พิมพ์หน้านี้ - [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:06:26

หัวข้อ: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:06:26
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม




เนื่องจากกระทู้เก่านั้น เราได้ทำการลบเนื้อหาออกจากกระทู้ที่ย้ายเข้าห้องนิยายที่โพสจนจบแล้ว ถึงแม้จะลบเพื่อรีไรท์แต่ก็เป็นการทำผิดกฎข้อที่ 16 จึงขอตั้งกระทู้ใหม่เป็นอันนี้แทนนะคะ // อันเก่าไม่รู้ว่าจะโดนลบหรือเปล่า แต่เสียดายคอมเม้นของคุณนักอ่านมากๆ เลย TT


Re-Write

How to bake me สูตรอบรัก
.
.
.
"เร็วสิ ตอนนี้พี่อยากกินเค้กจะแย่แล้ว"
"แต่พี่ไม่ได้จะกินเค้ก นี่พี่กำลังจะกินผม"

ถ้ารู้ว่าผมจะโดนจับแทะจับกินแบบนี้ทุกวัน
วันนั้นผมจะไม่มีทางเขียนใบสมัครงานที่นี่เด็ดขาด
ไม่สิ ผมจะไม่มีทางเข้ามาหลบฝนในร้านนี้เด็ดขาด!!!


#สูตรอบรัก (https://twitter.com/search?q=%23%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81&src=hashtag_click&f=live)
Twitter : @loammyloammie (https://twitter.com/LoammyLoammie)
Facebook : LoammyLoammie (https://www.facebook.com/loammyloammie/)



♥ - ♥ - ♥ - ♥
ผลงานเรื่องอื่น ๆ
เรื่องสั้น : ดอกไม้ป่า (Omegaverse) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70732.0#lastPost)
เรื่องสั้น  หนังสือเก่า (Omegaverse) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70652.0) -- จบแล้ว
เรื่องสั้น ...เป็นบ้า... (Omegaverse) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70270.0#lastPost) -- จบแล้ว
เรื่องสั้น : เสร็จโจร (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69603.0) -- จบแล้ว
เรื่องสั้น : "ก็แค่เจลหล่อลื่นธรรมดา ๆ" (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68362.0) -- จบแล้ว
เรื่องยาว : Love you,bae รักนะ จุ๊บๆ (YAOI) (https://www.readawrite.com/a/a5442d14a3dc2f56981b84c2b48d99c8) --จบแล้ว
เรื่องยาว : Twins Love รักของฝาแฝด(YAOI) (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68618.0) --จบแล้ว
♥ - ♥ - ♥ - ♥


หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 0 : ชีวิตใหม่ l 05-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:09:38
0 : ชีวิตใหม่



ผมควรทำอะไรต่อจากนี้... เดินหางานที่ไม่มีวี่แววว่าจะได้ต่อไป หรือกลับไปรอโทรศัพท์จากบริษัทที่ผมไปสมัครไว้แล้วนอนหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตบนเตียงนุ่มๆ ดี

เฮ้อ...ลองหาอีกซัก 2-3 ที่ละกัน

ผมเริ่มหางานมาตั้งแต่เดือนที่แล้ว จนตอนนี้ยังไม่มีที่ไหนรับผมเลย เรียนจบมาจะ 2 ปีแล้วแต่ยังหางานทำเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้แบบนี้ก็รู้สึกว่าชีวิตผมมันห่วยจริงๆ และถ้าถามว่าก่อนหน้านี้ผมเอาเงินที่ไหนกิน ที่ไหนใช้ ขอบอกเลยว่าขอแม่บ้างเป็นบางเดือน เพราะก่อนหน้าหลังเรียนจบ ผมอีโก้สูงไปหน่อย ไม่อยากเป็นพนักงานบริษัท ผมเรียนจบด้านถ่ายภาพมาครับ เลยรับแต่งานฟรีแลนซ์ รับจ้างถ่ายภาพทั่วไป บางครั้งก็มีรุ่นพี่ที่รู้จักแนะนำงานให้ชั่วคราว แต่แค่นั่นมันไม่พอกินไง เลยต้องระเห็จตัวเองมาหางานทำแบบนี้ หิ้วพอร์ทไปสมัครตามบริษัทก็แล้ว พยายามหางานพาร์ทไทม์ก็แล้ว ไม่มีที่ไหนรับผมเลย

เฮ้อ ชีวิต!

ครืน!

เอ้อ ฝนจะมาตกอีก!

ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มมืดครึ้ม ฝนเม็ดเล็กกระทบใบหน้าตอกย้ำว่า ชีวิตผมช่วงนี้มันเข้าขั้นวิกฤตแล้ว เงินก็จะหมด งานก็หาไม่ได้ กินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจนจะขาดสารอาหารละเนี่ย

ฝนเริ่มแรงขึ้น จนผมต้องหาที่หลบฝนก่อน ผมวิ่งไปที่ร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ น่าจะเป็นร้านที่เปิดใหม่ เพราะผมพักแถวนี้นะ แต่เพิ่งจะเคยเห็นร้านนี้

กริ๊ง~

เสียงกระดิ่งที่อยู่บนประตูดัง ผมกวาดสายตาไปทั่วเพื่อสำรวจว่ามีใครอยู่บ้าง และก็พบว้าร้านนี้ตกแต่งได้สวยงามดี มีโต๊ะแค่ 4-5 โต๊ะเอง แถมมีกลิ่นหอมๆ เหมือนขนมอบด้วย

“สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับครับ”

ผู้ชายหน้าตาดีตัวสูงใส่แว่นที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ส่งยิ้มและทักทายผมที่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าประตู ผมเลยยิ้มและผงกหัวกลับไป

“ต้องการรับเครื่องดื่มหรือขนมเค้กครับ? ”

ไม่ครับ ผมแค่เข้ามาหลบฝน...

ถ้าตอบไปแบบนั้นผมจะโดนเขาปาแก้วกาแฟใส่หน้ารึเปล่า... ไม่ดีกว่าถึงปกติผมจะไม่หล่ออยู่แล้วแต่ก็ไม่อยากขี้เหร่ไปมากกว่านี้ ผมกวาดสายตาดูเมนูที่เขียนไว้ตรงกระดานเหนือเคาน์เตอร์ขึ้นไป

ตังค์ก็ไม่ค่อยจะมี เอาเมนูที่ถูกที่สุดก็ได้

“เอ่อ นมร้อนแก้วนึงครับ” ผมเดินไปสั่งหน้าเคาน์เตอร์ และจ่ายเงินไป สายตาเจ้ากรรมก็เหลือบไปเห็นตู้กระจกที่มีเค้กน่าตาน่ากินอยู่มากมาย ทั้งเค้กช็อกโกแลต เค้กครีมสดสตอเบอรรี่ เครปเค้ก พายเค้ก แล้วนั่นทาร์ตผลไม้ที่ผมชอบ แต่ละอย่างช่างน่ากินและยั่วน้ำลายไปหมด

“รับเค้กหรือทาร์ตเพิ่มสักชิ้นมั้ยครับ” คุณแว่นถามแล้วยิ้มละมุนมาให้ผม

“...” อยากรับครับ...แต่ผมไม่มีเงิน กินฟรีได้มั้ย? เดี๋ยวถูพื้นกับล้างจานให้วันนึง แลกกันๆ

ถ้าตอบไปแบบนั้นคงได้โดนด้ามไม่กวาดฟาดหัวแน่ๆ ผมคิดเองแล้วก็ขำกับความคิดตัวเองคนเดียว จนคุณแว่นถามซ้ำอีกครั้ง เพราะผมไม่ยอมตอบซักที

“ว่าไงครับ ทาร์ตผลไม้นั่น ผมเพิ่งอบเสร็จใหม่ๆ จากหลังร้านเลยนะครับ”

ว้าว~ ทาร์ตอุ่นๆ อยากกินแต่ไม่มีเงินอ่ะครับ เลยได้แต่มองทาร์ตผลไม้ด้วยความอาลัยอาวรแและตัดใจปฏิเสธไป

“ไม่ดีกว่าครับ ขอแค่นมร้อนก็พอ”

“....ได้ครับ เชิญนั่งรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวไปเสริฟให้ที่โต๊ะเลย”คุณแว่นยิ้มแล้วก็หันไปทำเครื่องดื่มอย่างคล่องแคล่ว ผมหันไปมองรอบร้านๆ ผมเลือกที่นั่งโซฟาที่ติดกับกระจกจะได้เอนหลังพิงโซฟานุ่ม จิบนมอุ่นๆ ดูการจราจรที่ติดขัดไปพร้อมมองหยดน้ำที่ไหลลงมาตามกระจก ได้นั่งที่นุ่มๆ หลังจากเดินมาทั้งวันแบบนี้ สบายจริงๆ

อืม ร้านนี้ทำเลดีเหมือนกันนะเนี่ย อยู่ในเมืองใกล้มหาวิทลัยแบบนี้ผู้คนก็เข้าเยอะแน่นอน จัดร้านได้ดูอบอุ่นน่านั่ง คุณแว่นนั่นที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านก็น่าตาดีใช่เล่น ไม่นานต้องมีนักศึกษาเต็มร้านแน่นอน เสียอย่างเดียวคือมีที่นั่งไม่ค่อยเยอะเท่าไร

~กริ๊งๆ ~

นั่งชมร้านไปสักพักโทรศัพท์ของผมก็มีสายเข้า ผมรีบหยิบขึ้นมารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่าตื่นเต้น และกดรับโดยที่ไม่ได้ดูเบอร์ที่โทรเข้าเสียก่อน เพราะคิดไว้เต็มหัวว่าคงเป็นบริษัทที่จะรับผมเข้าทำงานแน่ๆ

“สวัสดีครับ” พูดด้วยน้ำเสียงสุภาพและไพเราะที่สุดในชีวิต หลับตาลงเพื่อซึมซับน้ำเสียงที่กำลังจะเปล่งออกมาว่า ‘คุณเป็นพนักงานบริษัทเราแล้วนะครับ’

(สวัสดีครับคุณตองหนึ่ง เป็นอะไรครับพูดซะเพราะเชียว หางานจนไม่สบายสมองเพี้ยนไปแล้วเหรอครับ)

ผมขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายเมื่อรู้ว่าคนปลายสายเป็นไคร

“ไอ้พี โทรมาทำไม”

ไอ้พีเพื่อนผมเองครับ รู้จักกันมาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง ปากเสียแต่ก็นิสัยดีและตอนนี้มันเป็นช่างถ่ายภาพให้หนังสือท่องเที่ยวอยู่ ผมว่ามันโชคดีนะ ได้งานดี ได้เงินแล้วได้เที่ยวด้วย

(ก็โทรมาถามว่ามึงได้งานรึยังไง เป็นห่วงนะเนี่ย กลัวมึงจะอดตายหรือไม่ก็สิ้นคิดไปเป็นขอทานข้างถนนแล้ว)

ผมส่ายหน้า ถ้ามันนั่งอยู่ใกล้ๆ ก็คงฝาดหัวมันไปซักที ปากหมาไม่เปลี่ยนจริงๆ

“ยังหาไม่ได้อ่ะดิ งานหายากจะตาย นี่กูยอมเปลี่ยนมาหางานประจำหรือพาร์ทไทม์ทำตามร้านก็ไม่มีใครรับ”

(แล้วนี่มึงมีเงินเหลือเยอะแค่ไหน)

“เหลือไม่กี่พันแล้ว” พูดถึงเงินที่เหลือแล้วระเหี่ยใจ เงินก็เหลือน้อย ยังต้องมาจ่ายค่านมที่ราคาเท่าข้าวหนึ่งจานนี่อีก

(แล้วถ้ามึงหางานทำไม่ได้จะทำไง)

“สิ้นเดือนนี้ยังหางานไม่ได้ก็จะคิดสั้นเอากล้องกับเลนส์ไปขายหรือไม่ก็ไปเป็นขอทานละ” พอผมพูดแบบนั้น ไอ้พีก็หัวเราะใหญ่ หลังจากหัวเราะเสร็จมันก็ขอวางไปทำงานมันต่อ

เฮ้อ อยากมีงานทำบ้างจัง

“นมร้อนได้แล้วครับ ขอโทษที่ทำให้คอยนานนะครับ”

คุณแว่นยกนมที่มีควันลอยหอมกรุ่นมาวางบนโต๊ะตรงหน้าผมพร้อมกับจานทาร์ตผลไม้

ผมมองจานขนมนั้นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นเพระาผมไม่ได้สั่งขนมมา ถึงจะอยากกินมากๆ แต่ก็ไม่ได้สั่งไปแน่นอน หรือเขาจะโมเมว่าผมสั่งแล้วให้ผมจ่ายตังค์ ไม่! เขาจะมาโมเมไม่ได้ได้ ผมไม่จ่ายเพราะผมไม่มีเงิน!

ผมเงยหน้ามองคุณแว่นที่ตอนนี้ยืนยิ้มขำกอดถาดสีดำอยู่ด้านหน้าผม

“ทาร์ตนั้นไม่คิดเงินครับ เป็นโปรโมชั่นจากร้านที่เปิดวันนี้เป็นวันแรก ซื้อน้ำ 1 แก้วแถมฟรีเค้ก 1 ชิ้นครับผม”

เขาพูดและยิ้มกว้าง ในขณะที่ผมขมวดคิ้วกับรอยยิ้มและท่าทางของเขาที่ชวนให้รู้สึกไม่น่าไว้ใจยังไงไม้รู้ นี่ถ้าผมกินหมดแล้วจะมาเก็บตังทีหลังไม่ได้นะ บอกเลยว่าไม่มีจ่าย

“ขอบคุณครับ” ถึงจะบ่นในใจมากขนาดไหน แต่ผมก็ทำได้แค่กล่าวมุบมิบขอบคุณเขาไปเบาๆ

ผมยกแก้วนมอุ่นๆ ขึ้นมา หลับตาแล้วดมกลิ่นนมหอมละมุน เป่าเบาๆ เพื่อไล่ความร้อนและจิบนม เมือ่ได้ลิ้มรสแล้วก็ต้ิงอมยิ้ม เพราะอร่อยมาก หอมหวานกำลังดี เป็นรสชาติแบบที่ผมชอบเลยล่ะ

ผมละเลียดนมหวานอุ่นละมุนลิ้นที่อยู่ในปากนั่นอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็กลืนลงไป แต่ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าคุณแว่นยังไม่ไปไหนยืนยิ้มอยู่ที่เดิมท่าเดิม หรือต้องการคำแนะนำเรื่องรสชาตินะ ผมจึงรีบตักทาร์ตเข้าปากเพื่อชิม

“เอ่อ นมอร่อยมากครับ แล้วทาร์ตก็อร่อยเหมือนกัน”

ผมก้มหน้าอ้อมแอ้มตอบไป สิ่งที่ผมไม่ถนัดเลยก็คือเข้าสังคมและการคุยกับคนอื่นที่ไม่สนิทนี่แหละ ถึงในหัวจะมีความคิดจะพูดเป็นล้านคำ แต่ผมกล้าพูดออกไปแค่สิบคำแค่นั้น ผมถึงมีไอ้พีเป็นเพื่อนอยู่แค่คนเดียวไง

“ขออนุญาตนั่งด้วยครู่หนึ่งนะครับ” คุณแว่นขยับมานั่งที่โซฟาตัวตรงข้ามกับผม แล้วก็หยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง เขาคลี่แผ่นกระดาษนั่นออกแล้วยื่นมาให้

มันคือใบสมัครงาน!

“คือผมไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังนะครับ คือมันได้ยินเอง...คุณกำลังหางานทำใช่มั้ยครับ”

“...” ผมไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าให้ไป มือยังกุมแก้วนมอุ่นๆ อยู่ ยกขึ้นจิบเป็นระยะๆ แต่หัวใจเริ่มเต้นเร็วขึ้นหนึ่งจังหวะ

“แล้วตอนนี้ก็ยังหาไม่ได้ ใช่มั้ยครับ? ”

“...” ผมพยักหน้าช้าๆ แต่หัวใจผมเต้นแรงขึ้นรู้สึกตื่นเต้นกับคำพูดที่เขากำลังจะพูดออกมา

“ดีเลย...คือตอนนี้ทางร้านเราเป็นร้านเปิดใหม่ต้องการพนักงานประจำมากๆ คุณพอจะมาทำงานร้านผมได้มั้ยครับ? ”

“ต แต่ผมไม่เคยทำงานร้านกาแฟ พวกชงกาแฟก็...” ผมก็พอรู้มาบ้างว่าจำทำงานร้านแบบนี้ด้ ก็ต้องเรียนบาริสต้ามาบ้าง แต่ผมนั้นชงเป็นแต่กาแฟซองทรีอินวันแค่นั้นเอง

“ไม่เป็นไรครับ ผมจะเป็นคนสอนให้เอง เอ่อ...แต่ถ้าคุณไม่สะดวก...”

“อ๊ะ...สะดวกครับ ผมอยากทำงานนี้” ผมรีบละล่ำละลั่กบอก รีบวางแก้วนมและเด้งตัวขึ้นนั่งหลังตรงเมื่อเขาทำท่าจะเปลี่ยนใจ

“เป็นพนักงานประจำนะครับ ไม่ใช่แค่พาร์ทไทม์”

“ครับ! ทำได้ครับ” ผมรีบตอบเสียงดังฟังชัด ไม่สนว่าจะได้เงินเดือนกี่บาท ถึงอาจจะได้น้อยแต่ก็ได้บ้างล่ะวะ

“ถ้าอย่างงั้น ช่วยกรอกข้อมูลตามใบสมัครนี่ด้วยนะครับ...” คุณแว่นที่กำลังจะเป็นเจ้านายในอนาคตของผมยื่นปากกามาให้ ผมรีบรับมากรอกข้อมูลอย่างบรรจง ระหว่างนั้นเขาก็พูดถึงเงินเดือนและงานที่ผมต้องทำ ซึ่งไม่ค่อยจะเข้าหูผมเลย

ผมได้งานทำแล้ว จะไม่เป็นคนตกงานอีกต่อไปแล้ว ผมกรอกข้อมูลเสร็จแล้วก็ยื่นให้คุณแว่น เขาอ่านข้อมูลของผมครู่นึงแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้ม

“ตองหนึ่ง อายุ 24”

“ครับ...เรียกหนึ่งเฉยๆ ก็ได้ครับ” ผมยกมือขึ้นมาเกาแก้มเบาๆ รู้สึกประหม่าทุกครั้งที่คนอื่นเรียกผมว่าตองหนึ่ง มันไม่ชินเท่าไรเวลาคนเรียกชื่อเต็มๆ ขนาดนั้น

“โอเคครับ งั้น...พี่ชื่อนัทนะ เป็นเจ้าของร้านนี้ แล้วหนึ่งเริ่มงานได้วันไหนครับ”

“วันไหนก็ได้ครับ ผมสะดวกทุกวัน” ความจริงอยากจะบอกว่าให้เริ่มทำตอนนี้เลยก็ได้ แต่ก็คงจะดูประจบประแจงเกินไปหน่อย

“อืม งั้นพรุ่งนี้มาร้านก่อนแล้วกัน มาวัดชุดทำงานกับเรียนรู้เรื่องชงเครื่องดื่มแล้วก็เรียนรู้การเป็นผู้ช่วยปาติซิเย่กับบาริสต้าเล็กๆ น้อยๆ ละกัน พรุ่งนี้ก็ใส่เสื้อสีขาวหรือสีชมพูมาก่อนนะครับ”

“ครับ” ผมตอบและอมยิ้มกลับไป ถึงภายนอกผมจะดูนิ่งๆ แต่ในใจนี่ตื่นเต้นมากๆ เลยนะครับ เพราะนอกจากจะได้ทำงาน แล้วยังได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ด้วย ถือเป็นเรื่องโชคดีสำหรับผมจริงๆ

“งั้นพี่ไม่กวนละ ทานให้อร่อยนะครับ” พี่นัทเอื้อมมือมาบีบไหล่ผมเบาๆ แล้วก็ลุกไปทำงานต่อ ส่วนผมก็นั่งจิบนม กินทาร์ตไป คิดเกี่ยวกับงานที่จะทำในวันพรุ่งนี้ไป

ฮ้า~ ชีวิตใหม่ของผมกำลังเริ่มขึ้นแล้ว



สวัสดีกันอีกครั้งนะคะ ดีใจที่ได้กลับมาพบกันอีกในเรื่องนี้

เราตั้งใจจะรีไรท์เรื่องนี้มาสักพักนึงแล้ว เพราะพอได้มีโอกาสกลับมาอ่าน เราก็รู้สึกว่ามีคำผิด คำฟุ่มเฟือยเยอะมาก บางอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผล บางประเด็นในเรื่องเราก็เข้าใจผิดและอยากแก้ไขให้มันดีขึ้น และประเด็นที่เราเปลี่ยนมุมมองเล็กน้อย เราจะอธิบายไว้ใน talk ของตอนนั้นๆ ค่ะ

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 1 : ปาติซิเย่ขี้อ่อย l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:11:32
1 : ปาติซิเย่ขี้อ่อย


เช้าที่สดใสที่สุดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผมก็หวังไว้ว่ามันจะต้องสดใสและดีขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 6.30 น. ผมเดินกินขนมปังไปฮัมเพลงไปพลาง เมื่อวานพี่นัทบอกว่าให้ไปถึงประมาณเจ็ดโมงเช้าเพราะไปดูวิธีเปิดร้านและทำความสะอาดต่าง แล้วก็จะสอนวิธีการชงกาแฟง่ายๆ ให้ด้วย เมื่อคืนผมนอนดูคลิปชงกาแฟทั้งคืนเลย ก็คนกำลังเห่องานใหม่อ่ะครับ

โชคดีอีกเรื่องคือที่พักผมกับร้านไม่ไกลกันมากนัก ผมเลยสามารถเดินไปทำงานได้ ใช้เวลาเดินเรื่อยๆ แค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึง และตอนนี้ผมยืนอยู่หน้าร้านแล้ว แต่ร้านยังไม่เปิดประตูหน้าก็ล็อคอยู่ พอลองเดินไปดูตรงประตูทางเข้าหลังร้านก็พบว่ามันล็อคอยู่เหมือนกัน ไม่มีทางไหนให้ผมเข้าไปได้เลย แถมเบอร์เจ้าของร้านก็ไม่มี ทำไมเมื่อวานผมถึงลืมขอเบอร์นายจ้างไว้นะ แต่ตอนนี้ก็เกือบจะเจ็ดโมงแล้ว รออีกแปปเดี๋ยวพี่นัทก็คงมาแหละ

“หนึ่ง มารอนานยังครับ”

“อะ...ไม่นานครับ” ผมยืนรอไม่ถึงสิบนาทีพี่นัทก็มาถึงพร้อมกับหอบถุงผลไม้ต่างๆ มาเต็มไปหมด ผมรีบเดินเข้าไปช่วยถือ เขาก็แบ่งบางส่วนมาให้ผมช่วยแล้วล้วงไปหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตูหลังเข้าร้าน แต่พวกผลไม้นี่หนักมากๆ เลยนะเนี่ย ขนาดแบ่งกันถือคนละครึ่งแล้วยังหนักเลย

“พี่ถือคนเดียวมาจากตลาดเลยเหรอครับ” ผมถามขณะที่เดินตามพี่นัทเข้ามาในครัว

“ไม่ใช่ๆ พี่มีรถ แต่จอดอยู่ตรงลานจอดรถรวมโน่น”

ผมพยักหน้าแล้ววางของบนเคาน์เตอร์ใหญ่ๆ กลางครัว ครัวที่ร้านนี่ใหญ่มาก ตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลอ่อนกับขาวดูอบอุ่นและสวยงาม ข้าวของเป็นระเบียบ มีตู้อบเค้กใหญ่ๆ หนึ่งตู้ เตาไฟฟ้า ไมโครเวฟ แล้วก็อุปกรณ์ทำขนมต่างๆ ถัดมาก็เป็นอ่างล้างจานแล้วก็ตู้เก็บแก้วกับภาชนะต่าง อีกฝั่งเป็นชั้นเก็บวัตถุดิบ มีตู้เย็นสองประตูขนาดใหญ่ แล้วก็มีบันไดขึ้นไปชั้นสองอีก

โห เป็นครัวที่อลังการมากสำหรับผม

“พี่จะอธิบายแล้วนะว่าหนึ่งต้องทำอะไรบ้าง”

“ครับ” ผมหันหน้าไปมองพี่เขา แล้วตั้งใจฟังสิ่งที่เขาจะพูด พี่นัทสบตากับผมและอมยิ้มก่อนจะเริ่มอธิบาย

“ร้านนี้เปิดทุกวันเวลาสิบโมงครึ่ง ปิดสามทุ่มนะ หนึ่งก็มาประมาณเจ็ดหรือแปดโมงก็ได้อย่าให้เกินนั้น มาทำความสะอาดร้าน กับเตรียมของเปิดร้าน ถ้ามาถึงแล้วประตูหลังไม่เปิดก็รอพี่ครู่หนึ่ง บางวันที่พี่ไปตลาดก็จะกลับมาประมาณนี้แหละ”

“ครับ” ผมพยักหน้าตั้งใจฟังที่พี่นัทพูดสุดฤทธิ์

“อืม...แล้วก็พอจัดร้านข้างนอกเสร็จก็เข้ามาช่วยพี่ทำขนมในครัวนะ”

“ครับ” จะได้ช่วยทำขนมด้วย แบบนี้ผมก็แอบขโมยสูตรขนมไปเปิดร้านแข่งเลยดีมั้ยนะ...ล้อเล้นครับ ฮ่าฮ่าฮ่า

“ส่วนพวกเครื่องดื่ม ก็ดูตอนที่พี่ชงเอานะ เดี๋ยวพี่ให้คำแนะนำไปด้วย”

“ครับ” ผมพยักหน้า พี่นัทมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง จนผมเริ่มรู้สึกประหม่าเลยก้มหน้าลงมองพื้น

“รอตรงนี้นะครับ เดี๋ยวพี่ไปเอาชุดมาให้รองใส่”

พูดจบพี่นัทก็วิ่งขึ้นชั้นสองไป ไม่นานก็ถือถุงผ้าลงมาและยื่นให้ผม ข้างในเป็นเสื้อเชิตสีขาวหนึ่งตัว ตรงอกเสื้อด้านซ้ายปักลายเค้กกับรูปหัวใจเล็กๆ อยู่แล้วก็ผ้ากันเปื้อนแบบคาดเอวสีดำอยู่หนึ่งผืน

“ลองใส่เสื้อดูเลยก็ได้ ถ้าไม่พอดีเดี๋ยวพี่เอาขึ้นไปเปลี่ยนให้”

“ครับ แล้วห้องน้ำอยู่ไหนครับ” พี่นัทชี้ไปที่ข้างบันไดด้านหน้าครัว ผมเดินไปตามที่เขาชี้ ก็พบกับห้องน้ำเล็กๆ ที่อยู่ตรงทางเชื่อมเล็กระหว่างหน้าร้านกับห้องครัว

ห้องน้ำก็สวย สะอาด ผมรีบเปลี่ยนเสื้อ กับผูกผ้าคาดเอวแล้วออกไปให้พี่นัทดู

“กะแล้วว่าต้องพอดีดับตัวหนึ่ง สายตาพี่นี่เป๊ะจริงๆ ” พี่นัทยิ้มแล้วหัวเราะออกมา ผมมองพี่เขายิ้มจนตาหยีแล้วก็อมยิ้มตาม เพิ่งจะสังเกตจริงๆ จังๆ ว่า พี่เขายิ้มสวยดีจัง หล่ออีกตังหาก

“ขอบคุณครับ”

“ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวหลังเลิกงานพี่เอาเพิ่มให้อีก 4-5 ชุดเนอะ จะได้พอใส่ทุกวัน”

“ครับ” ผมตอบไปสั้นๆ คือใจก็อยากจะตอบให้ยาวกว่านี้ อยากยิ้ม อยากคุย อยากตีสนิทกับพี่เขาอีกสักหน่อย แต่ผมมันไม่กล้าอ่ะ กลัวพูดอะไรไม่ถูกหู หรือพูดอะไรเจื่อนๆ ออกไป

“งั้น...ไปทำความสะอาดหน้าร้านกัน”

พี่นัทเดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาด แล้วก็เดินนำผมไปหน้าร้าน ขั้นตอนการทำความสะอาดก็ทั่วไป แค่กวาดพื้น เช็ดกระจก เช็ดโต๊ะ เตรียมแก้ว แล้วก็จัดของ

เราใช้เวลาในการเตรียมหน้าร้านแค่ชั่วโมงเดียวเสร็จ พี่นัทเลยจะสอนผมเตรียมของทำเค้กกับปลอกผลไม้

“หนึ่งล้างผลไม้แล้วพักไว้บนตระแกรงนี่นะ” ผมล้างผลไม้โดยมีพี่นัทยืนดูอยู่ข้างๆ แค่ล้างผลไม่เอง ง่ายๆ ครับ แม่ใช้ผมล้างมาตั้งแต่เด็กๆ ผมน่ะลูกเจ้าของสวนผลไม้นะครับ ไม่อยากจะโม้

“ล้างแบบนั้นไม่ได้นะ ผลไม้จะช้ำ”

อ้าว...เพิ่งจะอวดไปไม่ทันขาดคำ ผมหัวใจกับตัวเองในใจ มองดูพี่นัทเข้ามาล้างและก็อธิบายให้ฟังไปด้วย

“หนึ่งต้องล้างแบบนี้ครับ ถูเบาๆ ขัดแรงแบบเมื่อกี้ไม่ได้นะ ช้ำหมด”

“ข ขอโทษครับ” ผมขอโทษเสียงเบา รู้สึกผิดขึ้นมาเพราะถ้าผมทำผลไม้ช้ำ เค้กเขาก็คงจะเสียรสชาติไปด้วย

“ไม่ต้องทำท่ารู้สึกผิดขนาดนั้น พี่แค่แนะนำเฉยๆ ครับ” พี่นัทหันมาพูดแล้วก็เอามือเปียกๆ มาลูบหัว

“...”

ผมนี่ตัวแข็งไปเลยสิครับ นอกจากพ่อกับแม่แล้วไม่มีใครกล้าลูบหัวผมแบบนี้เลย เพราะภายนอกผมดูเป็นคนที่เข้าถึงยาก ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยยิ้ม แล้วนี่ผมเพิ่งจะรู้จักพี่เขาเมื่อวานนี่เอง ใครจะไม่เกร็งบ้าง

“อ๊ะ พี่ขอโทษ ไม่ชอบให้คนอื่นเล่นหัวใช่มั้ย?” พอเห็นผมนิ่งไปนานๆ พี่นัทเลยดึงมือออกแล้วนึกว่าผมไม่ชอบซะงั้น

“มะ...ไม่เป็นไรครับ ค คือ...” ผมพยายามจะพูดออกไป แต่ก็กลัว่าพูดไปแล้วมันจะดูเป็นการตีสนิมเกินไปรึเปล่า การที่ผมอยากสนิทกับเขา มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาอยากสนิทกับผมนะ

“คือ?” พี่นัทก้มลงมานิดหน่อยจนหน้าอยู่ระดับเดียวกัน ยิ่งทำให้ผมประหม่าเข้าไปใหญ่และก้มหน้าลงจนคางชิดอกเมื่อรู้ว่าพี่เขากำลังพยายามจ้องตาผมอยู่

“พี่ลูบหัวผมได้ครับ เผื่อว่าเราจะได้สนิทกันเร็วขึ้น...”

“หะ? น้องหนึ่งว่าไงนะครับ”

ผมรู้ตัวว่าผมพูดออกไปเบามากๆ จนพี่นัทต้องขยับมาใกล้ผมอีกแล้วเงี่ยหูฟัง ผมทำท่าจะผละออกแต่ก็ยอมหยุดยืนอยู่ที่เดิมเพราะกลัวว่าพี่เขาจะหาว่าผมไม่ชอบอีก

ไม่เอานะ ผมไม่อยากให้คนอื่นคิดว่าผมดูเข้าถึงยาก ไม่น่าคบอีกแล้ว ผมต้องมาทำงานที่นี่ทุกวันก็ควรที่จะทำความคุ้นเคยกันเอาไว้ ผมจะมัวแต่อายและถือตัวไม่ได้ ผมต้องพูดเสียงดัง ต้องพูด!!

“ผมอยากให้พี่นัทลูบหัวผมครับ!”

คือ...ผมก็ไม่รู้ว่าเสียงที่ผมอุตส่าห์เค้นออกมาจะดังขนาดนี้ พี่นัทรีบยืดตัวขึ้นมองหน้าผมอย่างตกใจ แล้วเอามือจับหูข้างซ้ายของตัวเองไว้ ขอโทษครับที่เสียงผมทำให้ขี้หูพี่เต้นระบำ ผมก็ตกใจเสียงตัวเองเหมือนกันครับ

“หึหึ โอเคๆ พี่เข้าใจแล้ว เรามาเตรียมผลไม้กันต่อดีกว่าเนอะ” พี่นัทหัวเราะในคอ ยิ้มออกมาอย่างน่ารัก แล้วเอามือมาลูบหัวผมอีก

“ครับ” ผมอมยิ้มตามเมื่อเห็นว่าพี่เขาดูเป็นคนที่ใจดี ดูท่าแล้วผมคงจะมีเพื่อนใหม่เพิ่มมาอีกคนแล้ว

ระหว่างที่เราทำเค้ก บรรยากาศในครัวมันดูผ่อนคลายและสนุกขึ้น อาการเกร็งและประหม่าของผมน้อยลง พี่นัทก็คุยเล่นกับผมเยอะเลย เขาเองก็พยายามที่จะทำความรู้จักกับผม ถึงแม้ว่าผมจะกล้าตอบเขาได้แค่คำว่า ครับ ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณครับและขอโทษครับแค่นั้น

“หนึ่งเอาครีมนี่ไปปั่นนะ ใช่ตระก้อไฟฟ้าตรงนั้น ใช้เป็นใช่มั้ย?”

ผมพยักหน้าถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าตัวเองใช้เป็นรึเปล่า แต่เคยเห็นในคลิปไม่น่าจะยากหรอกมั้ง ผมรับอ่างแก้วที่มีครีมเหลวๆ อยู่มาจากพี่นัท วางลงบนอ่างน้ำแข็งแล้วก็จัดการเปิดสวิตซ์ตะกร้อไฟฟ้า

“เหวอ!” นี่เสียงผม

“เฮ้ย!” ส่วนนี่เสียงพี่นัท

ใช่ครับ...ผมยังไม่ได้เอาตะกร้อลงแล้วดันเปิดแรงไป ตะกร้อเลยปั่นหน้าครีมจนกระเด็นเต็มตัวผมเลย หลังจากเสียงพี่นัทผมก็ไม่กล้าขยับตัว ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองพี่เขาที่อาจจะกำลังโกรธผมอยู่ ได้แต่เม้มปากมองครีมที่กระเด็นไปทั่ว มาทำงานวันแรกก็สร้างปัญหาให้พี่เขาซะแล้ว

“...หนึ่งครับ ไม่เป็นไรใช่มั้ย มาล้างครีมออกก่อนครับ” พี่นัทดึงตะกร้อไปปิดสวิตซ์แล้วพาผมไปล้างหน้าที่อ่างล้างจาน วักน้ำขึ้นลูบตามแขนและเสื้อของผม

“ผมขอโทษครับพี่” พี่นัทไม่ตอบอะไร ผมเลยก้มลงไปล้างหน้า รู้สึกแย่จนไมากล้าพูดอะไรต่อ เพิ่งได้งานทำเอง ขออย่าเพิ่งไล่ผมออกนะครับพี่นัท

“พี่สิต้องขอโทษที่ไม่บอกวิธีใช้ก่อน” ผมเหลือบตามองหน้าพี่นัทนิดนึง แต่พี่เขาก็แค่ยิ้มบางๆ ยิ้มตลอดเลยอ่ะ ผมนี่ยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่

“ผมผิดเองครับ ที่ไม่บอกว่าผมไม่เคยใช้”

“มายืนตรงนี้ครับ เดี๋ยวพี่สอนให้นะ” พี่นัทดึงผมไปยืนหน้าอ่างครีมที่เดิม เช็ดทำความสะอาดเล็กน้อย แล้วก็ยื่นตระกร้อไฟฟ้าให้ผมอีกครั้ง

“...” ผมเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ นี่ผมเพิ่งจะทำครีมพี่กระจายไป พี่ยังจะให้ผมทำเองอีกเหรอ?

“ลองทำใหม่ดูครับ พี่อยู่ตรงนี้ไม่เป็นไรหรอก”

ผมรับเครื่องมา มือซ้ายจับปากอ่างครีมไว้ มือขวาเตรียมเปิดสวิตซ์เครื่อง แต่พี่นัทเข้ามายืนซ้อนหลังผมแล้วก็ยื่นมือมาทับที่มือผม ฝ่ามืออุ่นๆ ของเขาทำให้ผมตกใจเล็กน้อย พอเงยหน้ามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาก็ส่งยิ้มให้อีกครั้งและค่อยๆ ใช้นิ้วโป้งเขาดันนิ้วผมให้เปิดสวิตซ์ เครื่องเริ่มสั่นเบาๆ เหมือนหัวใจผมที่เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย…

พี่นัทเปลี่ยนมาจับที่ข้อมือผม บังคับให้ขยับเครื่องวนไปมาทั่วอ่างครีม

“เห็นมั้ยครับ แค่นี้ครีมก็ไม่กระเด็นแล้ว อย่ายกปลายตะกร้อขึ้นและไม่ต้องเปิดแรงจนสุด เปิดแค่ประมาณนี้ก็โอเคแล้ว”

“...”

พี่นัทอธิบายไปเรื่อย แต่ลมหายใจของพี่เขากระทบกับหูผมแผ่วๆ เพิ่มจังหวะการเต้นของหัวใจผมขึ้นไปอีก

“แล้วเราก็ตีไปเรื่อยๆ จนครีมตั้งยอด”

ผมรู้สึกเหมือนเสียงพี่นัทเบาจนเหมือนเสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูผมเพียงแค่นั้น ความร้อนจากมือพี่นัทที่ข้อมือเริ่มลามมาที่แก้ม ผมรู้สึกประหม่าอีกแล้ว อยากจะชวนพูดอะไรบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศแปลกๆ แบบนี้แต่ก็ไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร

“เรียบร้อยแล้ว ง่ายๆ แบบนี้หนึ่งทำได้สบายมากใช่มั้ยครับ?”

แล้วอยู่ดีๆ พี่นัทก็เปลี่ยนโทนเสียง ปิดสวิตซ์ลงทันที ปล่อยมือแล้วถอยออกจากตัวผม ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศเข้ามาแทนที่ความอบอุ่นจากร่างกายพี่นัทอย่างรวดเร็วไม่ทันให้ผมตั้งตัวเตรียมใจ พอสติที่หลุดออกไปเริ่มกลับมาเข้าที่ ผมก็หันไปมองพี่นัทที่ยืนยิ้มแฉ่งกอดอกมองผมอยู่

“ครีมตั้งยอดเรียบร้อยแล้วครับ” พี่นัทพูดยิ้มๆ ผมมองครีมในอ่างก็รู้สึกว่าครีมจับตัวอย่างที่พี่เขาบอกแล้ว

“อะ...ครับ” ผมขานรับเบาๆ พี่นัทยังยืนอยู่ท่าเดิมเพิ่มเติมคือรอยยิ้มที่กว้างขึ้น พี่เขายิ้มเก่งจัง ถ้าพี่เขาเป็นผู้หญิงนะ ผมคงหลงไปแล้วแน่ๆ เพราะขนาดพี่เขาเป็นผู้ชายแบบนี้ผมยังเกือบจะหลงเขาแล้วเลย…

“สอนง่ายดีจังเลยนะเราอ่ะ ทำให้พี่อยากสอนอะไรๆ ให้หนึ่งเยอะแยะไปหมดเลย”

ผมเม้มแล้วปากมองคนตัวสูงตรงหน้า คือ...ผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ยว่ารอยยิ้มของพี่นัททะเล้นขึ้น แล้วสายตาของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ยังไงไม่รู้แฮะ


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 2 : หยอดเด็ก l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:12:53
2 : หยอดเด็ก


หลังจากที่พี่นัททำเค้กเสร็จแล้ว เขาก็สอนผมห่อพลาสติกรอบๆ เวลาหยิบจะได้หยิบเสิร์ฟได้ง่าย จากนั้นก็ช่วยกันยกมาจัดเรียงที่ตู้เค้กและเปิดร้านในเวลาประมาณสิบโมงเช้า

รอไม่นานก็มีลูกค้าทยอยเข้ามาซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษา หน้าที่ของผมนั้นไม่ต้องทำอะไรมากแค่นำขนมไปเสิร์ฟให้ลูกค้าแล้วก็คอยเช็ดโต๊ะและเก็บแก้วไปล้าง จนถึงประมาณบ่ายสองกว่าๆ ที่ลูกค้าเริ่มน้อยลง พี่นัทก็เรียกผมให้เข้าไปหลังเคาน์เตอร์

“พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

พอเห็นพี่นัทยิ้ม ผมก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาอีก ทำไมพี่ยิ้มเก่งจังครับ ถ้าไม่กลัวเหงือกแห้ง ก็ช่วยกลัวว่าผมจะหลงรอยยิ้มของพี่หน่อยได้มั้ยล่ะ

“พี่จะสอนทำช็อคโกแลตกับลาเต้ร้อน สองเมนูนี้คนสั่งกันเยอะ เผื่อพี่ทำไม่ทัน หนึ่งจะได้ช่วยพี่ได้ไงครับ”

พี่นัทดึงผมมายืนข้างๆ แล้วก็สอนวิธีการใช้ช้อนตวง การบดเมล็ดกาแฟ การเทน้ำร้อน การสตรีมนม ขั้นตอนพวกนั้นผมทำได้สบายมาก แต่ที่มีปัญหาสุดก็คือการเทฟองนมให้เป็นรูปใบไม้ แต่มันไม่เป็นรูปใบไม้ให้ผมนะสิครับ เป็นแค่ฟองนมกลมๆ อย่างเดียว เทียบกับอีกแก้วที่พี่นัททำให้ดูแล้ว มันต่างกันมาก ผมคิดว่าให้ล้างแก้วเหมือนเดิมอ่ะดีแล้ว อย่าให้ผมมาทำกาแฟของพี่แปดเปื้อนเลยครับ

“หึหึ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ไม่มีใครทำได้ตั้งแต่แรกหรอก พี่เองก็ฝึกตั้งนานกว่าจะทำได้” พี่นัทหัวเราะและขยี้หัวผมไปเล็กน้อย

“...” ถึงผมจะเงียบแต่ก็พอใจอยู่ไม่น้อยเลย ความอัธยาศัยดีของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกเราเข้ากันได้ดีแม้จะเพิ่งรู้จักกันจริงๆ เพียงแค่ครึ่งวันเท่านั้น

“เรามาชิมลาเต้ที่เราทำกันดีกว่า อะนี่...หนึ่งชิมของพี่นะ เดี๋ยวพี่จะชิมของหนึ่งเอง”

“อ๊ะ! เดี๋ยวครับ ผมขอถ่ายรูปด้วยได้มั้ยครับ ผลงานแก้วแรกของผม” เมื่อเช้าผมพกกล้องมาด้วย ผมมักจะพกกล้องตัวเล็กของผมไปทุกๆ ที่ เวลาเจออะไรที่ถูกใจก็ถ่ายได้ตลอด

“ได้สิครับ” ผมวิ่งไปเอากล้องที่อยู่ในช่องเก็บกระเป๋าหลังร้าน และเอามาถ่ายลาเต้แก้วแรกของผม ผมถ่าย 2-3 มุมก็พอ เพราะเกรงใจพี่นัทที่ยืนรออยู่

“เสร็จแล้วครับ” ผมดันแก้วกาแฟไปให้ พี่นัทถือขึ้นมาดมกลิ่นหอมของกาแฟอยู่ครู่นึงแล้วก็จิบ ผมเลยถือแก้วขึ้นมาแล้วก็ทำตาม สูดหายใจลึกๆ เอากลิ่นกาแฟและนมหอมๆ เข้าไป แล้วตามด้วยจิบคำเล็กๆ กลั้วกาแฟจนทั่วปาก ให้ลิ้นซึมซับความหวานมันของนม ความขมและกลิ่นหอมของกาแฟ

ผมอมยิ้ม เลียปากตัวเองแล้วก็ยกขึ้นมาดื่มอีก กาแฟแก้วนี้อร่อยมาก ให้ดื่มอีกสิบแก้วก็ยังไหว ยอมนอนตาค้างเลย

“...”

“อะ...อะไรครับ” ผมลืมตามองพี่นัทก็เจอเขามองผมอยู่ก่อนแล้ว พี่เขายิ้มขำก่อนจะส่ายหน้าแล้ววางแก้วกาแฟลง

“เรื่องรสชาติพี่ให้สิบคะแนนเต็มเลย อร่อยนะ หอมมัน กลมกล่อม แต่เรื่องหน้าตานี่...” พี่นัทมองหน้าตาฟองนมขี้เหร่ๆ นั่น แล้วก็ถอนหายใจออกมา ขอโทษครับ ที่มันขี้เหร่จนพี่รับไม่ได้

“ผ...ผมจะฝึกทำเรื่อยๆ นะครับ”

“อื้ม แต่รสชาติดีแล้วนะ อร่อยมาก!” พี่นัทพูดเชียงดังฟังชัด จับไหล่ผมแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้พร้อมกันรอยยิ้มกว้างที่เห็นฟันขาวเรียงตัวสวย

“ก็ผมตวงตามพี่เป๊ะๆ เลยนี่ครับ” ไม่ต้องพูดเพื่อรักษาน้ำใจผมก็ได้

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฝึกทำทุกวันๆ เดี๋ยวก็สวย พี่จะเทรนด์ให้เอง...ทุกวันเลย”

“แล้วอีกนานแค่ไหนถึงจะทำออกมาดูดีอ่ะครับ วันนี้ผมทำได้ห่วยมาก”

ยิ่งเทียบกับแก้วที่พี่เขาทำ ของผมยิ่งห่วย ดูสิ...ตัวใบไม้สวยเชียว ผมมองฟองนมในแก้วแล้วยกขึ้นมาดื่มอีกครั้ง ยิ่งได้มองภาพสวยๆ และดื่มไปด้วย ก็ยิ่งรู้สึกว่ากาแฟแก้วนี้อร่อยขึ้น

“อืม...ลายอาร์ตในกาแฟแก้วนี้อาจจะห่วย”

“...”

พี่นัทมองมาแล้วหัวเราะจากนั้นก็ค่อยๆ ก้มลงมาจนหน้าเราอยู่ระดับเดียวกัน ผมสบสายตาที่เหมือนจะส่อแววทะเล้นของพี่เขา ผมกลืนน้ำลายเล็กน้อยตั้งใจว่าจะก้มหน้าหนี ที่แต่พี่เขาก็ยกมือขึ้นจับหัวไหล่ผมเอาไว้

“แต่พี่ว่า…คนที่ทำกาแฟแก้วนี้อ่ะ...”

“...” เขาเชยคางผมขึ้นมาจงใจสบตาและส่งรอยยิ้มละมุนมาให้ผมรู้สึกใจสั่นเล่นๆ

“น่ารักดีเนอะ~”

BANG!

ไปแล้วครับ...สติไปแล้ว ความร้อนก่อตัวอยู่พวงแก้มและใบหู ผมอ้าปากหวอกับไอ้คำว่า ‘น่ารักดีเนอะ’ ของพี่เขาอีกทั้งแววตาของพี่นัทก็กำลังทำให้ผมเขิน ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มๆ ของเขาและฝ่ามือใหญ่ที่ขยี้หัวผมอยู่ก็ยิ่งรู้สึกเขิน

รู้ว่าเราสนิทกันค่อนข้างเร็ว แต่เราสนิทกันถึงขั้นแกล้งเล่นให้เขินกันแบบนี้ได้แล้วเหรอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า ยุงบินเข้าปากแล้วนะเรา” พี่นัทคงเห็นผมตกใจ หายใจพะงาบๆ อ้าปากค้าง เลยดันคางผมขึ้นให้หุบปาก ดีนะที่ผมเก็บลิ้นทัน ไม่งั้นกัดลิ้นตัวเองแน่ๆ แต่พอเขาดันคางผมแล้วแทนที่จะเอามือออกไป พี่แกดันลูบปลายคางผมเล่นอี๊ก!

“ข...ขอบคุณครับ!” ผมกระดกกาแฟที่เหลือเข้าปากรวดเดียวหมด ไม่มีอารมณ์มาละเมียดละไมรสกาแฟอะไรแล้ว ตัวผมจะระเบิดและพอจะเดินหนีออกจากเคาน์เตอร์นี่แต่ก็โดนพี่นัทดึงแขนเอาไว้

“เอ...ขอบคุณพี่เรื่องอะไรเหรอครับ” พี่แกถามพลางยิ้มทะเล้นแล้วก็โยกหัวผมไปมาอีกครั้ง

ผมมองหน้าเขาแล้วขมวดคิ้วน้อยๆ อยากจะบอกให้เขาพอได้แล้ว อย่าแกล้งผมแบบนี้เลย ถึงผมจะไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อน แต่พี่นัทเล่นแกล้งผมแบบนี้ คนใจง่ายแบบผมก็ชักจะหวั่นไหวขึ้นมาเสียแล้ว

“ทะ ที่พี่ชมผมไงครับ” ผมตอบไปเบาๆ แล้วเหลือบตาขึ้นมองอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเขาเงียบไปนาน

“ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย ก็ตองหนึ่งน่ารักจริงๆ นี่นา”

“...” ผมตัวเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง ขืนยังยืนอยู่ตรงนี้คงได้เขินจนเป็นลมแน่ ก็เลยตั้งใจว่าจะหนีไปล้างแก้มที่ด้านหลังร้าน แต่พอจะเดินออกจากเคาน์เตอร์ก็โดนพี่ขาเอาตัวบังเอาไป ผมมองหน้าพี่นัทเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าลงหลบตา แล้วเบี่ยงตัวไปทางด้านขวาแต่พี่แกก็ยังจะขยับตามมาขวางทางไว้อีก สุดท้ายผมเลยได้แต่ยืนก้มหน้า หันซ้านหันขวาหาทางออกอยู่แบบนั้น

“หึหึ” เขายืนกอดอกและหัวเราะเบาๆ เหมือนพี่เขากำลังสนุกที่ได้แกล้วผมอ่ะ

~กริ๊ง~

เสียงกระดิ่งที่ประตูดัง แล้วลูกค้าที่เป็oนักศึกษาผู้หญิงสองสามคนก็เดินเข้ามา พี่นัทเลยยอมหลีกทางเพื่อไปรับลูกค้า

“หนึ่งเอาแก้วไปล้างเถอะ เดี๋ยวพี่เสิร์ฟเองครับ”

“ครับ” ผมเดินออกมาจากเคาน์เตอร์แล้วก็หันไปมองพี่นัท เขากำลังยิ้ม คุยเล่นกับผู้หญิงคนนั้น แล้วก็หันไปหัวเราะกับผู้หญิงอีกคน

อืม...พี่เขานี่เป็นคนที่อัธยาศัยดีจริงๆ นะ กล้าคุยเล่นกับคนอื่นเขาไปทั่วเลย หากคนหน้าตาแบบผมทำอย่างนั้นบ้างต้องมีโดนด่าว่าหน้าหม้อบ้างล่ะ แต่พี่เขาหน้าตาดีแถมยังดูสุภาพไง เลยดูเป็นคนเฟรนลี่น่ารักไปอีก

พอผมล้างแก้วเสร็จก็เดินไปหยิบกล้องมาดูรูป เพราะยังไม่อยากออกไปหน้าร้าน อีกทั้งเห็นว่ายังไม่มีลูกค้าใหม่เข้ามา ก็เลยจะข้ออู้ซักเล็กน้อย

“ถ่ายภาพสวยดีนี่”

“เฮ้ย!” พี่นัทที่มาตอนไหนก็ไม่รู้ ยื่นหน้าข้ามไหล่ผมมาพูด แก้มผมกับแก้มพี่แกเฉียดกันไปนิดเดียวเอง และเพราะว่าตกใจก็เลยเผลอปล่ยอมือจนกล้องเกือบจะหล่น ดีที่พี่นัทเอื้อมมือมารับไว้ทัน

“แหม~ ตกใจแรงอะไรเบอร์นั้นครับ”

“ข...ขอ...ขอโทษครับ” คนอย่างผมจะไปกล้าพูดอะไรนอกจากขอโทษ ตกใจที่อยู่ดีๆ พี่นัทก็วาร์ปมาอยู่ข้างหลัง แถมใจแทบวายที่เกือบทำกล้องราคาเป็นหมื่นหลุดมือ

“ขอโทษอีกละ พี่ไม่ได้ว่าเราซักหน่อยแต่พี่ขอดูรูปอีกทีชัดๆ ได้มั้ย?”

ผมลูบหน้าอกตัวเองเรียกใจที่ตกไปอยู่ตาตุ่มให้กลับขึ้นมาแล้วก็พยักหน้าส่งกล้องให้พี่นัทดูรูปที่ถ่ายเอาไว้ พี่นัทดูอยู่ครู่นึงก่อนจะพยักหน้า เงยขึ้นมาส่งยิ้มและสบตากับผม

“ถ่ายรูปลงเพจร้านให้พี่ด้วยได้มั้ยครับ พี่อยากมีช่องทางโฆษณาร้านทางโซเชียลเหมือนที่อื่นๆ บ้าง”

“ตอนนี้ที่ร้านนี่มีเพจแล้วเหรอครับ”

“มีสิ แต่ยังไม่ได้อัพรูปอะไรลงไปเลย พี่เลยอยากให้หนึ่งก็ถ่ายรูปเมนูที่นี่ แล้วก็ส่งให้พี่...เดี๋ยวพี่ให้ทิปพิเศษเลย”

“ด...ได้ครับ” ไม่ใช่ว่าเห็นแก่เงินอะไรหรอกนะ ผมก็จะทำให้แต่แรกอยู่แล้ว แต่เขาเสนอมาแบบนั้นก็ไม่อยากไปขัด ถือเป็นรายได้พิเศษละกัน

“ถ้างั้นก็….”

“...” พี่นัทแบมือมาตรงหน้าผมแล้วยิ้ม ไม่พูดอะไร ผมก็เลยวางกล่องลงบนมือเขาอีกครั้ง แต่พี่แกก็หัวเราะออกมา

“...”

“เอามือถือมา พี่จะเอาไอดีของของพี่ให้ หนึ่งก็คอยส่งรูปให้พี่ทาง inbox เดี๋ยวพี่เอาลงเพจเองไงครับ”

“อ๋อ...ครับ” ก็บอกดีๆ สิครับ จู่ๆ มาแบมือแล้วยิ้ม ใครจะไปรู้ว่าพี่แกต้องการอะไร ผมยื่นโทรศัพให้พี่นัท พี่แกก็เอาจิ้มๆ แล้วผมก็ได้ไอดีเขามา



ผมเปิดดูหน้าโปรไฟล์ของเขาเล็กน้อย คืนนี้ล่ะ...จะส่องดูรูปพี่แกให้ครบทุกรูปเลย หึหึหึ



เอ๊ะ! สงสัยจังว่า...ใครจะส่องใครกันแน่

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 3 : ลักเล็ก ขโมยน้อย l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:14:29
3 : ลักเล็ก ขโมยน้อย


ผมมาทำงานที่ร้านพี่นัทเป็นเวลา 1 อาทิตย์แล้ว ได้รับรู้ว่าเขาเป็นผู้ชายที่ชอบชอบหยอกไปเรื่อย ผมโดนพี่แกแกล้งตลอดทุกครั้งที่มีโอกาส แต่เก็ทำให้เราสนิทกันมากขึ้น ตอนกลางวันเจอกันที่ร้านแล้ว ตอนกลางคืนเราก็ยังคุยกันด้วย แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอกครับ ผมก็แค่ส่งรูปให้พี่เขาตามที่ตกลงกันไว้แค่นั้นเอง

“หนึ่ง เดี๋ยวจัดแก้วเสร็จแล้วเข้ามาในครัวนะครับ จะให้ถ่ายภาพเค้ก” พี่นัทที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูออกมาเรียกผมที่กำลังทำงานหน้าร้านอยู่

“ครับผม” ผมจัดแก้วเสร็จพอดีเลยเดินตามหลังพี่นัทเข้าไปในครัว

“รอก่อนนะ พี่ขอตกแต่งเพิ่มอีกนิด”

“ครับ”

ระหว่างรอผมก็เอากล้องขึ้นมาเช็ค แล้วก็ถ่ายภาพผลไม้และอื่นๆ ไปเรื่อยเปื่อย แต่อยู่ดีๆ เลนส์กล้องผมก็เปลี่ยนไปโฟกัสที่พี่นัทแทน เขาดูดีชะมัดจะมุมไหนก็ยังดูดี ผมกดชัตเตอร์เบาๆ เก็บทุกท่วงท่าของพี่นัทลงกล้องอย่างช้าๆ ไม่อยากให้เสียงชัตเตอร์ไปรบกวนเขา

ผมหลงเสน่ห์ท่าทางการเป็นปาติซิเย่ของพี่นัทมาก กระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว และสีหน้าที่แสดงถึงความความสุข ผ่อนคลายและตั้งใจ ใส่ใจทำทุกๆ ขั้นตอน ยิ่งมองผมก็ยิ่งชอบ ถ้าหากใครมาบอกว่าผู้ชายตัวใหญ่ๆ ไม่เข้ากับการใส่ผ้ากันเปื้อนทำเค้ก ผมจะยกพี่นัทไปเถียงจนขาดใจเลยอ่ะ แล้วยิ่งเป็นผู้ชายที่ใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูก็น่ารักมากๆ เหมือนกัน

“เรียบร้อยแล้วครับ มาถ่ายได้เลยคุณตากล้อง” พี่นัทเอาฟรุตเค้กมาวางในที่ที่ผมจัดไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ผมเดินเข้าไปหมุนถาดหามุมเล็กน้อย แล้วก็ถ่ายไว้เลือกหลายๆ ภาพ หลายๆ มุม บรรดาเค้กที่อยู่ตรงหน้าผมนี่หน้าตาทรมานใจเหลือเกิน น่ากินจัง เห็นแล้วอยากจะหยิบทั้งก้อนมาเข้าปาก

ตั้งแต่มาทำงานที่นี่ผมไม่เคยได้กินเค้กที่นี่เลย ตั้งใจจะขอซื้อหลังเลิกงานแต่ก็หมดก่อนตลอด จะขอซื้อเก็บไว้ก่อนที่ร้านจะเปิดก็ไม่กล้าขอพี่นัท

“เรียบร้อยแล้วครับ” ผมบอกพี่นัท แต่ตาก็ยังมองอยู่ที่เค้กๆ ทั้งหลาย ทำไมน่ากินอย่างนี้ อยากจะกิน อยากลองชิมอีก รสชาติของทาร์ตที่กินไปวันนั้นยังตึงใจผมไม่หาย ยิ่งเห็นเค้กหน้าตาน่ากินแบบนี้ทุกวันผมยิ่งทรมาน ผมมองเค้กเหล่านั้นที่พี่นัททยอยเอาออกมาเพื่อเตรียมจัดใส่ตู้ที่หน้าร้านแล้วก็กลืนน้ำลาย ก่อนจะพยายามตัดใจจากเค้กแล้วก็เอากล้องไปเก็บ

“หนึ่งช่วยเอานี่ไปวางไว้ที่ตู้เค้กนะ เดี๋ยวพี่ออกไปจัดเอง พี่ขอจัดการอะไรในนี้ก่อน”

“ครับ” ผมรับคำและยกเค้กมาไว้ที่ตู้หน้าร้านอย่างระมัดระวัง แต่ตาก็จ้องเค้กในมือไม่หยุด กลิ่นก็หอมหน้าตาก็น่ากิน ขอซักคำเถอะ หยิบไปซักก้อนพี่นัทจะรู้มั้ยนะ...

ผมคิดเล่นๆ ระหว่างที่วางเค้กไว้ในตู้ แล้วสายตาก็บังเอิญไปเห็นก้อนครีมเล็กๆ อยู่ตรงขอบถาด สงสัยพี่นัทเขาเช็ดออกไม่หมด ผมใช้นิ้วปาดออกมา กำลังจะเช็ดที่ผ้าคาดเอวแล้ว แต่ผมก็รู้สึกเสียดายครีมที่ปลายนิ้วชี้ผมขึ้นมา ผมมองซ้าย มองขวา แล้วก็มองไปทางครัว พอเห็นว่ายังไม่มีวี่แววที่พี่นัทจะออกมาก็เลย...

จ๊วบ!

เร็วกว่าสติจะคิดทัน ผมส่งนิ้วชี้เข้าปากดูดปลายนิ้วชิมรสครีมหอมหวานละมุน ถึงจะเล็กน้อยแต่เป็นพลังในการใช้ชีวิตมากเลยครับ

“น้องหนึ่งเป็นอะไรรึเปล่า ยืนดูดนิ้วตัวเองทำไมครับ” พี่นัทที่เดินออกมาพร้อมเค้กถาดที่เหลือ ผมสะดุ้งดึงนิ้วออกแทบไม่ทัน หันไปหาอีกฝ่านด้วยสีหน้าเลิ่กลักเพราะความผิดที่ติดตัว

“อ่อ เอ่อ...ผม ทำ…ประตูตู้เค้ก...หนีบนิ้วครับ” บอกออกไปตรงคงต้องโดนดุแน่ๆ ก็แถไป สีข้างนี่แทบถลอกขอโทษนะครับพี่นัท

“เอ้า ไหนเป็นอะไรมากมั้ย ขอพี่ดูหน่อย” พี่นัทรีบวางเค้กแล้วจับนิ้วผมไปเพ่งใกล้ๆ ใกล้ไจนผมกลัวว่าพี่เขาจะได้กลิ่นน้ำลายที่ปลายนิ้วผมเอาจึงต้องรีบชัดมือกลับ

“ไม่เป็นไรครับ หายเจ็บแล้วครับ เอ่อ…ผมเข้าไปล้างจานในครัวนะครับ” ผมรีบเดินเข้ามาในครัว แต่สายตาก็ยังจะหันกลับไปหน้ามองพี่นัทอีกครั้ง เขายืนยิ้มเหมือนกับว่าแกจับพิรุธผมได้ แต่ไม่หรอกมั้ง...เขาไม่น่าจะเห็นว่าผมปาดครีมมาชิม ถ้าเห็นก็คงโดนพี่เขาดุไปแล้วสิ

พอเข้ามาหลังร้านได้ ผมเก็บอุปกรณ์ที่ใช้แล้วไปไว้ที่อ่าง เตรียมที่จะล้างแต่เจอเค้กชิ้นๆ เล็ก เป็นแค่ครีมและขนมปังแค่นั้น มันเป็นเศษเนื้อเค้กที่พี่นัทตัดออกให้สวยงาม

ผมมองเศษเค้กเหล่านั้นแล้วก็มีความคิดขึ้นมาว่า...ถ้าผมกินจะเป็นไรหรอก ก็พี่นัทจะทิ้งแล้วนี่นา ผมกินไปก็ไม่น่าจะผิดหรอกมั้ง แต่...ถึงพี่นัทจะทิ้งแล้ว เราก็ควรจะขออนุญาตก่อนป่ะ ถ้ากินเลยก็เหมือนขโมยอ่ะดิ

ตอนนี้ฝ่ายดีฝ่ายชั่วของผมตีกันในหัวให้วุ่น และในที่สุดผมก็ตัดสินใจได้...ผมจะไม่กินเค้กนั้น บอกกับตัวเองในใจว่าจะขอชิมแค่คำเดียวก็พอ ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ หันไปมองประตูแล้วเอื้อมมือไปหยิบส้อมก่อนจะจ้วงลงไปบนเค้กนั่น รีบเอาเข้าปากแล้วเคี้ยวหงับๆ ตาก็คอยเหลือบมองไปที่ประตูครัวอยู่ตลอด เพราะกลัวพี่นัทจะเดินเข้ามาไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงแบบครั้งก่อน

อื้ม! นี่ขนาดกินแบบสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวยังอร่อยได้ขนาดนี้ ผมจ้วงส้อมตักขึ้นมากินอีกคำแล้วก็อีกคำ ก่อนจะเกิดข้อสงสัยว่าพี่นัทเขาใส่กัญชาหรืออะไรลงในเค้กรึเปล่านะ กินแล้วหยุดไม่ได้แบบนี้เนี่ย ว่าแล้วก็ขออีกคำนึงแล้วกันนะครับ...ผมตักขึ้นมาอีกคำ ใหญ่กว่าก่อนหน้านี่นิดหน่อย แล้วก็ หงับ! ...หย่อยมากเลยฮับ

“หนึ่ง พี่จะเปิดร้านแล้วนะครับ” พี่นัทตะโกนบอก พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามา ผมกลืนเค้กที่เพิ่งเคี้ยวไปได้ไม่เท่าไรลงไปทั้งก้อน รีบจัดกองเค้กให้ดูไม่แหว่งและดันจานไปไว้ที่เดิม ก่อนจะรีบไปประจำที่อยู่ที่หน้าอ่างล้างจาน ทำทีเป็นว่ากำลังเปิดน้ำล้างจานอยู่

“ล้างจานอยู่เหรอ? ถ้าล้างเสร็จแล้ว เอากล้องไปถ่ายเครื่องดื่มหน้าร้านด้วยนะครับ”

“ค...คะ...ครับ” ผมหันไปมองพี่นัท ก็เห็นพี่แกมองไปที่จานเค้กอยู่ ใจผมมันตุ๊มๆ ต่อมๆ เพราะกลัวพี่แกจะดูออกว่าผมแอบกินไปหน่อยนึงอ่า แต่ก็ไม่หรอกมั้ง ผมว่าผมเกลี่ยดีแล้ว ดูสิ! เค้กนั่นปกติเหมือนตอนแรกทุกอย่างเลยนะ

ผมมองไปไปที่พี่นัทอีกครั้งนึง ก็เห็นพี่แกดันแว่นขึ้นนิดหน่อย ยิ้มที่มุมปากดูไม่น่าไว้ใจ แล้วก็เดินไปหยิบจานเค้กขึ้นมามองอย่างพินิจพิจารณา ท่าทางแบบนั้นคือพี่เขารู้แล้วใช่มั้ย แต่ก็แค่เศษเค้กเองนี่ครับ พี่นัทคงไม่ว่าอะไรมากหรอกมั้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าขโมยกินแบบนี้มันไม่ดีแต่ก็ขอปลอบใจตัวเองหน่อยเถอะ

“หนึ่งครับ…”

พี่นัทเรียกแล้วเดินมาทางผมพร้อมกับรอยยิ้มเย็น...รอยยิ้มแบบนั้นของเขาทำให้ผมกลัวรู้สึกกลัว อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายที่ยังมีรสเค้กติดอยู่จางๆ ลงไป สมองก็คิดว่าไม่น่าเลย ไม่น่าแอบกินเลย

“...”

แต่แทนที่เขาจะว่าหรือดุอะไรผม พี่นัทดันเดินเลยตัวผมไปที่ถังขยะ...เฮ้ย! อย่าบอกนะว่า…ยังคิดไม่ทันจบ พี่นัทก็เทเค้กลงถังทันทีเลย ไม่นะ ทำไมพี่ทำแบบนั้น ตะเตือนใตผมมากเลย

“พี่ฝากล้างจานนี้ด้วยนะ”

ผมได้แต่เม้มปากและคร่ำครวญในใจมองเค้กที่หล่นอยู่ก้นถังขยะด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์ แล้วก็มองจานว่างเปล่าที่พี่นัทส่งมาให้... ทำไมพี่ทำแบบนี้ล่ะครับ จานเปล่าผมไม่ต้องการ ผมต้องการจานที่มีเค้ก ฮือ

“พี่จะทิ้งเศษเค้กแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอครับ” ผมถามออกไปในขณะที่สายตาก็คงยังมองเค้กในถังขยะอยู่ นี่ถ้าผมรู้ว่าเขาจะทิ้งนะ ผมกินให้หมดไปเลยดีกว่า

“ก็ถ้าไม่ใช่เค้กสูตรใหม่ที่ต้องลองชิม พี่ก็ทิ้งครับ”

ตอบแบบนี้นี่แสดงว่าทิ้งมาหลายครั้งแล้วสินะ น่าเสียดาย

“ทำไมล่ะครับ” ผมต้องการเหตุผลครับ เอาเค้กผมไปทิ้งแบบนั้น ขอเหตุผลดีๆ ด้วยครับ ฮือๆ

“โห ให้กินทุกครั้งก็ไม่ไหวหรอกครับ อ้วนพอดีสิ ทิ้งๆ ไปเถอะครับ เก็บไว้เดี๋ยวก็มีแมวมาขโมยกิน”

แมวที่ไหนมันจะมากินแค้กครับ! ถ้าจะทิ้งแบบนั้นพี่ก็เอามาให้ผมกินสิครับ คิดซะว่าผมเป็นถังก็ขยะก็ได้นะ ผมอยากกิน ผมไม่กลัวอ้วน แต่ก็ได้แต่เถียงในใจ พอได้คำตอบของพี่เขาแล้วก็หันมาล้างจาน และความไม่พอใจที่เขาทิ้งเค้กนั่นยังคุกรุ่นอยู่ แต่จะไปลงที่พี่เขาไม่ได้ก็เลยมาลงที่หม้อ ผมขัดคราบไขมันที่ติดหม้อเสียจนน้ำกระจายไปเลย

“หึหึ ขัดแรงแบบนั้นเดี๋ยวหม้อพี่ก้นทะลุหมดนะ”

พี่นัทหัวเราะพลางขยี้หัวผมเล่น ผมทำหน้าบึ้งบุ้ยปากแล้วขยับหัวออกจากมือเขาเล็กน้อย...ไม่ต้องมาจับเลย ผมงอน!

“พี่ไม่ออกไปเฝ้าหน้าร้านเหรอครับ”

“กำลังจะไปครับ รีบๆ ตามมานะ...พี่เหงา”

ยังไม่วายมาทำหน้ามทะเล้นใส่ แล้วเขาจะไปเหงาอะไรหล่ะ เดี๋ยวก็มีลูกค้าเข้ามาเต็มร้านแล้วพี่ก็จะคุยกับคนอื่นไปทั่ว เฮอะ

ผมขัดอ่างผสมแป้งแรงๆ รู้สึกหมันไส้พี่นัทและเซ็งที่เขาทิ้งเค้ก ฮึ่ย คิดแล้วเสียดาย เค้กนั่นอร่อยมากเสียด้วย

ผมล้างอุปกรณ์เสร็จช้าไปหน่อยเพราะมัวแต่เสียดายเค้กในถังขยะ พอออกไปลูกค้าเยอะมาก ยืนรอที่เคาน์เตอร์ 5-6 คน แล้วโต๊ะก็เต็มทุกตัวเลยครับ ผมเห็นพี่นัทมือระวิงไปหมดเลยจึงต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วย

“อ้าวหนึ่ง หยิบโรลนมสดกับฟรุตเค้กไปเสริฟโต๊ะสองให้พี่ที แล้วก็สองแก้วนั้นโต๊ะห้านะ”

ผมรีบไปช่วยพี่นัทหยิบเค้กกับเสริฟของ จากนั้นกลับมาช่วยหลังเคาน์เตอร์จนลูกค้าเริ่มน้อยลง พอไม่มีอะไรที่ต้องทำในช่วงนี้พี่นัทก็เดินเข้ามาคุยตอนที่ผมกำลังเช็ดโต๊ะอยู่

“เฮ้อ ชงกาแฟจนมือแทบเป็นตะคริวแหนะ ถ้าไม่ได้หนึ่งช่วยนะพี่แย่กว่านี้อีก”

“ครับ” ผมตอบรับแล้วก็ยกแก้วเดินเข้าครัวไป พี่นัทก็เดินตามเข้ามาอีก ผมมองเขาแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ทำไมพี่ไม่ไปเฝ้าหน้าร้านล่ะ เดี๋ยวลูกค้าเข้ามาก็ไม่รู้หรอกครับ

“เก็บไว้ล้างทีเดียวตอนที่แก้วหมดก็ได้นะครับ ล้างบ่อยเดี๋ยวมือเปื่อยนะ”

“ครับ” ผมพยักหน้าทำตามที่เขาแนะนำโดยการหันไปปิดน้ำเช็ดมือแล้วเดินไปหน้าร้าน พี่นัทก็เดินตามมาอีก ผมเหล่อตามองเขาอย่างไม่เข้าใจ แล้วหยิบกล้องขึ้นมากะว่าจะถ่ายภาพเล่นซักหน่อย

“จริงสิ! พี่ลืมไปเลยว่าจะให้หนึ่งถ่ายรูปให้ รอแป๊ปนึงนะ”

“ครับ” พี่นัทหันไปชงเครื่องดื่ม หยิบโน่น เทนั้น อย่างคล่องแคล่ว ระหว่างนั้นผมก็ถ่ายภาพไปด้วย ไม่นานน้ำสีสวย ก็วางลงบนเคาน์เตอร์ให้ผมพร้อมถ่าย

“เสร็จแล้วครับ ไอซ์เบอร์รี่มิกซ์ เมนูใหม่ของร้าน” พี่นัทยิ้มแฉ่ง และท่าทางภูมิใจนำเสนอสุดๆ

“ผมถ่ายเลยนะครับ” ผมขยับแก้ว หามุม หาแสง แล้วก็ถ่ายไปหลายๆ ภาพ ไม่นานก็เสร็จเรียบร้อย

“ถ่ายเสร็จแล้วเหรอ ขอพี่ดูภาพหน่อยได้มั้ยครับ” พี่นัทขยับมายืนพิงเคาน์เตอร์ข้างๆ ผม แล้วก็ก้มลงมาคุยด้วย

“ครับ” ผมตอบเพียวแค่นนั้นแล้วส่งกล้องจะให้พี่นัทดูรูปแต่พี่แกไม่รับไปซักที จนผมต้องเลิกคิ้วใส่เป็นเชิงถาม

“ก็พี่กลัวทำกล้องหลุดมือนี่ครับ ถ้าพี่ทำกล้องหนึ่งตกนี่ พี่ไม่มีปัญญาใช้คืนนะ หนึ่งกดให้พี่ดูอ่ะดีแล้ว” ไม่มีปัญญาใช้คืนอะไรล่ะ ผมว่าอย่างพี่น่าจะซื้อใหม่ได้ได้อีกหลายตัวเลยด้วย ดูของที่พี่ใช้ ชุดที่พี่ใส่สิ ของดีๆ ทั้งนั้นอ่ะ

แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรอกไป แค่ขยับตัวแล้วเอากล้องมากดเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ ให้เขาดู

“หนึ่งถ่ายรูปสวยจัง พี่ชอบ”

“ขอบคุณครับ”

ผมบอกขอบคุณก่อนจะชะงักและหยุดกดภาพก่อนจะเงยหน้ามองเขา ผมว่าตอนแรกพี่นัทไม่ได้ยืนใกล้ผมขนาดนี้นะ ตอนนี้พี่นัทนั่งใกล้แนบชิดสนิทกับผมสุดๆ อ่ะ แถมมือพี่แกยังพาดอยู่ที่เคาน์เตอร์ข้างตัวผม จึงเหมือนกับว่าเขาโอบเอวผมไว้นิดๆ ด้วย

“มีอะไรครับ หน้าพี่มีอะไรติดเหรอ”

“พี่เขยิบออกไปหน่อยได้มั้ยครับ” ผมใช้ข้อศอกดันพี่นัทออกไปเบาๆ พร้อมกับขยับตัวเองออกมาด้วย

“ก็พี่มองเห็นไม่ชัดนี่ครับ สงสัยสายตาจะแย่ขึ้นอีกแล้วแหละมั้ง” พี่นัทพูดแล้วก็ใช้มือขยับแว่นตัวเองไปมา ผมเลยขยับไปยืนด้านหน้าเขา เอาสายกล้องคล้องคอพี่นัทแล้วก็ยื่นกล้องให้

“ทำแบบนี้กล้องก็ไม่หล่นแน่นอนครับ” พี่นัทรับกล้องไปแล้วมองหน้าผม เขายิ้มอยู่ตลอดนะแต่ซักพักก็ถอนหายใจออกมา จนผมคิดว่าเขากลัวทำกล้องผมพังขนาดนั้นเลยเหรอ

“น้ำนั่นอ่ะ หนึ่งกินได้เลยนะ ปล่อยไว้นานเดี๋ยวจะละลาย”

“ครับ ขอบคุณครับ” ได้ยินแบบนั้นผมก็ตาวาว เดินไปหยิบแก้วมาพิจารณาหน้าตานิดหน่อย น้ำสีชมพูใสไล่ไปจนถึงสีแดงที่อยู่ก้นแก้ว ปากแก้วประดับด้วยลูกบลูเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่และเลมอนฝานบางๆ ผมจัดการหยิบลูกบลูเบอรี่เข้าปาก หรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะรสเปรี้ยวของมัน

แชะ!

“อะ...อ้าว กล้องนี่ปิดเสียงได้มั้ยครับ? ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่นัทลดกล้องในมือลงแล้วก็หัวเราะออกมา

“อย่าถ่ายเล่นสิครับ” พี่นัทพยักหน้าและยิ้มเหมือนเดิมแล้วก็ส่งกล้องคืนให้ เขายืนยิ้มมองผมนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วขยับเข้ามายืนใกล้ๆ

“น้ำเป็นไงบ้าง อร่อยมั้ย เปรี้ยวไปรึเปล่า”

“...” ผมไม่ได้ตอบอะไร ไปเพราะยังไม่ได้ลองชิมน้ำเลยครับ กำลังจะชิมแต่เขาก็มาขัดจังหวะซะก่อน

“ไม่อร่อยเหรอครับ” พี่นัททำหน้าหงอย ไหล่ตกไปทันทีจนผมต้องรีบยกแก้วขึ้นดื่มเพื่อบอกเขาไป

“ก็ดีครับ”

“หืม ก็ดีเองเหรอ เฮ้อ~”

ผมขมวดคิ้วแล้วเอียงคอ รู้สึกว่าวันนี้พี่เขาจะถอนหายใจบ่อยจัง เดี๋ยวก็หน้าแก่หรอกครับ แต่แล้วอยู่ดีๆ พี่นัทก็จ้องผมกลับมาด้วยสายตาจริงจังจนผมรู้สึกอึดอัด เขาหันมองไปรอบร้านแล้วก็กลับมาจ้องผมใหม่ทำแบบนั้นอยู่สองรอบก็เดินออกไปหน้าร้าน

ผมว่าวันนี้พี่เขาแปลกๆ นะ แต่ก็ไม่ได้สนใจมาก เลือกที่จะไปไปเช็ดโต๊ะแทน แต่แล้วอยู่ดีๆ ก็มีดอกไม้สีชมพูยื่นมาตรงหน้าผม

“พี่ให้ครับ” พี่นัทยิ้มกว้างพลางยื่นดอกไม้ให้ผมทั้งสองมือแล้วก็แกว่งดอกไม้ไปมาอยู่ตรงหน้าผม

“พี่ไปเอาดอกไม้มาจากไหนครับ”

“ก็เพิ่งไปเด็ดมาจากหน้าร้านนั่นไง” พี่แกยิ้มแล้วก็ชี้ไปที่กระถางต้นไม้หน้าร้าน ผมอ้าปากและขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่าเขาจะไปเด็ดมาทำไม

“ให้ผมทำไมครับ ผมไม่ชอบดอกไม้” ผมพูดไปตามตรง ไม่ใช่ว่าไม่ชอบดอกไม้ แค่ไม่ชอบเห็นเวลามันเหี่ยวเลย จะทิ้งก็สงสาร แต่จะเก็บไว้ก็รกอีก

“อ้าว งั้นคงต้องทิ้ง” พี่นัทพูดเสียงเบาๆ ทำไหล่ตก หน้าเศร้า เหมือนคนเสียใจแต่ผมดูก็รู้ว่าไม่ได้รู้สึกจริงๆ ซักหน่อยเพราะแววตายังคงทะเล้นอยู่ พี่เขาเล่นอะไรของเขาเนี่ย...แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องรีบเดินไปดึงดอกไม้จากพี่นัทมาก็เพราะว่าเขาทำท่าจะทิ้งดอกไม้นั้นลงถังขยะจริงๆ

ผมมองคนตรงหน้าที่ยิ้มกว้าง ดีอกดีใจเมื่อผมรับดอกไม้มาก่อนจะเดินออกไปหน้าร้าน ซึ่งพี่แกก็ตามออกมาไม่ห่างเลย

“หนึ่งจะออกไปไหนครับ”

“ผมชอบดอกไม้ที่อยู่ในดินมากกว่าครับ” พูดแล้วก็ปักดอกไม้ลงไปในดินที่เดิม ผมว่ามันคงไม่ขึ้นมาใหม่แล้วล่ะแต่อย่างน้อยเวลาดอกไม้ดอกนี้เฉาตาย ก็จะเป็นปุ๋ยให้ต้นอื่นได้

เขามองผมไปซักพักนึงแล้วก็พยักหน้า พอดีกับที่มีลูกค้าเข้าร้านมาพอดี เราเลยต้องกลับไปทำงาน และหลังจากนั้นก็มีเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ได้หยุด

ตลอดวันนี้ พี่นัทชวนผมคุยมากกว่าปกติแต่ผมก็ไม่ได้ตอบอะไรมากเพราะไม่รู้ว่าจะตอบอะไร จนร้านปิดแล้ว ผมยืนล้างแก้วอยู่พี่นัทก็ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัว ชวนผมคุยไม่มีหยุด

“พรุ่งนี้มาเช้าๆ ได้มั้ย พี่มีเรื่องอยากให้ช่วย”

“ครับ” ผมพูดแต่ไม่ได้มองหน้าพี่นัท เพราะกำลังระมัดระวังกับการคว่ำแก้วอยู่ ถ้าหากทำแก้วตกลงมาหมดนี่ ผมไม่มีปัญญาซื้อคืนจริงๆ

“แล้วก็พรุ่งนี้พี่ว่าจะเปิดร้านช้าหน่อยนะ”

“ครับ” ผมว่าผมก็ตอบตามปกติของผมนะ แต่เหมือนพี่นัทไม่พอใจ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะดึงผมไปยืนเผชิญหน้า จับไหล่ผมแล้วก็จ้องผมแบบจริงจังมากจนผมเกร็งขึ้นมาอีก

“ผมเกือบทำแก้วหล่นอ่ะพี่...”

“หนึ่งไม่อยากรู้เหรอว่าพี่ไปไหนอ่ะ ทำไมถึงเปิดร้านช้า ไม่คิดจะถามหน่อยเหรอครับ”

“...”

ผมส่ายหน้าช้าๆ เพระาคิดว่าเขาก็มีธุระของเขา ที่ไม่ได้ถามกลับไปก็เพราะผมไม่ได้อยากรู้เป็นพิเศษ แต่ถ้าพี่แกจะมีท่าทางอยากบอกผมขนาดนี้ก็บอกมาเลยก็ได้ ผมคิดว่าวันนี้พี่นัทดูแปลกไปจริงๆ

“เฮ้อ~” พี่นัทคอตก ถอนหายใจมาเฮือกใหญ่

“เอ่อ…” อันนี้สิที่ผมอยากจะถามว่าพี่มีเรื่องอะไรกลุ้มในชีวิตหรือเปล่า ทำไมถอนหายใจทั้งวันเลย

“ถ้าไม่ยอมพูดกันดีๆ พี่ก็จะใช้ไม้เเข็งแล้วนะครับ”

“หะ?” ผมขมวดคิ้วแล้วเอียงคอ มองคนตรงหน้าที่ดูขึงขังขึ้นมา แล้วก็ไม่เข้าใจไม้แข็งที่เขาพูดถึงด้วย

พี่นัทเลื่อนมือมาจับที่ต้นคอผมเบา อีกมือจับบริเวณกกหู สายตาใต้แว่นนั่นบอกว่า จริงจังสุดๆ เดี๋ยวนะ การจับแบบนี้ นี่มันเหมือนพี่เขาจะ…

จุ๊บ!

“เห้ย พี่!”

สัมผัสหนักๆ ประทับลงมาที่หน้าผาก ผมมองคนตรงหน้าที่ผละออกยิ้มกว้างแต่ยังไม่ปล่อยท้ายทอย ผมตกใจรีบดันพี่นัทออกแล้วก็โวยวายจนเสียงหลง รู้ตัวเลยว่าความร้อนวนเวียนอยู่พวงแก้ม ทั้งไม่พอใจและก็อายด้วย ผมพยายามดันตัวออกแต่พี่เขาจับผมแน่นมาก สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้เลยเป็นแค่การตีแขนและพยายามเบี่ยงหน้าหนีเท่านั้น

“หึหึ” เขาหัวเราะในลำคอ ก่อนจะรั้งคอผมเข้ามาจุ๊บหน้าผากอีกครั้ง

เขาจุ๊บผมอ่ะ มาจุ๊บหน้าผากผมทำไมอ่ะ

“พี่! ปล่อยผมก่อน พี่ปล่อยผม” โวยวายไปก็ตีไป พี่นัทเลยเปลี่ยนมาไพล่มือผมไปไว้ข้างหลังแล้วก็ดึงผมเข้าหาตัวแล้วกอดและรัดลำตัวผมแน่นมาก ผมกำลังจะอ้าปากงับใหล่พี่นัท แต่พี่นัทก็จุ๊บลงมาที่เดิมเป็นครั้งที่สามซะก่อน

จุ๊บ! จุ๊บ!

สี่ครั้งแล้วด้วย! ผมอ้าปากและมองอย่างไม่พอใจเท่าไร ผมว่าเกินไปแล้ว ถึงเนื้อถึงตัวเกินไปแล้ว

“หายโกรธพี่ได้ยังครับ”

“หะ! ผมไปโกรธพี่ตอนไหน” ผมเงยหน้ามองพี่นัทอย่างสงสัย พี่แกก้มหน้าลงมาจนจมูกแทบจะชนกัน ผมนี่เกร็งคอหนีจนขอแทบจะเป็นตะคริว ผมจะเริ่มโกรธเพราะเขามาทำแบบนี้กับผมนี่แหละ!

“ก็...ไม่รู้สิ วันนี้ทั้งวันพี่ถามอะไรไปหนึ่งก็ตอบแค่ครับๆ จนพี่ไม่รู้ว่าจะเอาใจหรือชวนคุยยังไงเลยเนี่ย” พี่นัทกระชับอ้อมกอด แล้วอุ้มตัวผมขึ้นทำให้ใบหน้าของหน้าของผมขึ้นมาอยู่ระดับเดียวดับพี่นัท ขาผมเลยลอยขึ้นตีอากาศไปมาและตอนนี้ผมไร้ทางหนีโดยสมบูรญ์แล้วครับ

“พี่นัทครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย”

“ไม่เชื่อ แค่ตอบมาก็พอว่าหายโกรธยัง”

“...”

จะให้ตอบอะไรล่ะครับ นอกจากเรื่องเมื่อครู่นี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองไปโกรธเขาตอนไหน ก็เลยเงียบใส่ พอเงียบนานเข้า พี่นัทก็จัดไปอีกดอกนึง

ฟอด~

ผมตาค้าง เพราะคราวนี้ไม่ใช่ที่หน้าผากแต่ลามลงมาที่แก้มผมแล้วเนี่ย

“พี่นัท!”

“ถ้าไม่ตอบมาตามตรง พี่จะจูบจริงล่ะนะ”

“แล้วถ้าผมไม่ตอบเลย” เพราไม่พอใจนิดหน่อยและคิดว่าเราค่อนข้างสนิทกันผมก็เลยต่อล้อต่อเถียง พี่นัทเลิกคิ้วขึ้นข้างนึง แล้วก็...

ฟอด~

ไปอีกข้างแล้วครับแก้มผม และก่อนที่จะเปลืองตัวไปมากกว่านี้ก็เลยรีบตะโกนตอบออกไป ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ก็เถอะว่าก่อนหน้านี้ผมไปโกรธเขาเรื่องอะไรกันแน่

“ผมไม่ได้โกรธพี่เลย”

“ไม่โกรธแล้วจริงๆ อ้ะ?” เขาถามซ้ำแถมยังทำน้ำเสียงหน้าตาทะเล้นซะเหลือเกิน แต่ตอนนี้ผมทำได้พยักหน้าหงึกหงักเท่านั้น ผมมองพี่นัทที่ยิ้มกว้างจนตาปิดแต่ก็ยังไม่วาย...

จุ๊บ!

อ๊าก! เขาจุ๊บผมที่ข้างปากอ่า โดนปากผมไปนิดนึงด้วย คราวนี้อารมณ์ผมมันปนเปไปหมด จะว่าไม่พอใจก็ไม่เชิง แต่การกระทำของเขาทำเอาใจผมสั่นอย่างบอกไม่ถูก จะว่าเขินก็เขินอยู่ แต่ไม่ใช่ว่าชอบ แต่ก็ไม่ได้รังเกียจเช่นกัน...

พี่นัทปล่อยผมลงแล้วก็ลูบหัวพลางส่งยิ้มกว้างอวดฟันสวยมาให้แล้วก็พูดด้วยหน้าตาทะเล้นๆ นั่นอีก

“เมื่อกี้มัดจำไว้ก่อน เผื่อครั้งหน้าหนึ่งโกรธพี่อีก”

ความร้อนที่แก้มลามไปที่ใบหู ผมเม้มปากแล้วได้แต่คิดว่าหากครั้งหน้าผมโกรธพี่เขาขึ้นมาจริงๆ ผมจะไม่มีทางให้พี่แกได้รู้เด็ดขาดเลย!



ช่วงนี้ต๊อแต๊มากเลย ขอกำลังใจหน่อยนะคะ

ขอคนละเม้นเนอะ สติ๊กเกอร์ก็ได้ค่ะ อยากรู้ว่ามีคนรออ่านอยู่บ้างรึเปล่า แหะแหะ


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 4 : โดนจับ l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:15:50
4 : โดนจับ



หนึ่งเดือนที่ผมได้เข้ามาทำงานร้านพี่นัท เมื่อวานผมเพิ่งได้เงินเดือนไปหมาดๆ งานที่ร้านถือว่าหนักมากเพราะเข้างานเช้าแต่เลิกงานดึก แต่เงินเดือนที่ได้รับก็หนักตาม แถมมีค่าแรงพิเศษค่าถ่ายรูปให้ด้วย และตลอดหนึ่งเดือนนี้ที่อยู่กับพี่นัทแทบจะตลอดเวลาทำให้ผมสนิทกับพี่นัทมากขึ้นไปอีก และทำให้ผมเข้าใจขึ้นมาว่าพี่แกเป็นคนที่ค่อนข้างเล่นถึงเนื้อถึงตัวมาก ทั้งกอด ทั้งโอบ จับโน่น แตะนี่ ซึ่งผมโดนบ่อยมาก และถึงแม้ว่าจะโดนจับโดนกอดอยู่ทุกวันผมก็รู้สึกไม่ชินซักที แต่ไม่ต้องห่วง เพราะผมเก็บค่าปลอบขวัญตัวเองรวมไปถึงค่าเสียหายที่โดนพี่นัทแกล้งโดยแลกกับเค้กชิ้นเล็กๆ ที่เขาจะทิ้ง

ใช่ครับ...ผมยังคงแอบกินเค้กทุกครั้งที่มีโอกาส ถึงแม้จะกินได้เล็กน้อยแล้วต้องรู้สึกเสียดายทุกครั้งที่เห็นพี่แกเทลงถังขยะก็เถอะ แต่รสชาติหวานละมุนซักคำสองคำก็เป็นเชื้อเพลิงในการทำงานของผมได้แล้ว

ถ้าถามว่าทำไมไม่ขอพี่นัทตรงๆ ก็ขอบอกเลยครับว่าไม่กล้า...ผมกล้าที่จะแอบกิน แต่ไม่กล้าที่จะขอตรงๆ ผมรู้ว่ามันแย่ แต่ผมไม่กล้าจริงๆ กลัวโดนเขาดุ กลัวว่าเขาจะหาว่าผมตะกละด้วย

และเช้าวันนี้ผมก็กำลังไปทำงานตามปกติ มือซ้ายถือนม มือขวาถือขนมปัง ปากก็เคี้ยวหงับๆ หูฟังเพลงขาก็เดิน ยิ่งนึกถึงจำนวนเงินเดือนที่เข้าบัญชีอันแห้งแล้งมานานของผมก็ยิ่งสบายใจ

ปรี๊น!

ผมสะดุ้งตกใจเพราะเสียงแตรที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันไปมองรถยนต์ห้าประตูสีดำที่ขับชลอตามหลังผมอยู่

ผมมองอย่างไม่เข้าใจเพราะผมก็เดินชิดติดริมถนนเลยนะ ถึงจะเป็นซอยเล็กก็จริง แต่ผมก็มั่นใจว่าตัวเองไม่ได้ไปขวางทางรถวิ่งแน่นอน

ปรี๊นๆ

แหนะ! อะไรของมันวะ

ผมสะดุ้งอีกรอบและหันไปมองอย่างหัวเสีย ผมว่าตัวเองก็ไม่รู้จักใครที่ขับรถยนต์แบบนี้นะ พอจะเพ่งเข้าไปในรถก็ไม่เห็นอะไรมาก เพราะฟิล์มค่อนข้างดำจึงไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ผมเลิกสนใจรถนนั้นแล้วรีบเดินออกห่าง จะมาสนใจก็เสียเวลาเดินไปทำงาน แต่รถด้านหลังนั้นก็เร่งเครื่องขับมาจอดเทียบแล้วกระจกก็ค่อยๆ เลื่อนลงให้เห็นคนขับ

“พี่นัท! ”

“ครับ ขึ้นมาเร็ว” พี่เขาพูดกลั้วหัวเราะ ส่วนผมพอเห็นว่าเป็นคนรู้กจักก็ยิ้มออก รีบเปิดประตูขึ้นไป นั่งรถไปทำงานสบายๆ ดีจะตาย ผมจะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยขา

“พี่ไปตลาดมาเหรอครับ” ผมถามเพราะของตรงเบาะหลังเต็มไปหมดเลย

“ใช่ครับ” พี่นัทหักพวงมาลัยรถจอดข้างทาง ผมกำลังจะถามว่าจอดทำไม แต่จู่ๆ พี่แกก็เอี้ยวตัวมาดึงเข็มขัดนิรภัยไปคาดให้ ผมตัวแข็งไม่กล้าขยับเพราะจมูกผมเฉี่ยวแก้มพี่นัทไปนิดเดียวเอง ได้กลิ่นหอมเหมือนขนมปังนมหรือวานิลลาจากตัวพี่นัทด้วย

หลังจากคาดเข็มขัดให้ผมเรียบร้อยแล้วเขาก็ส่งยิ้มและขยี้เส้นผมจนยุ่งไปหมดก่อนที่พี่เขากลับไปประจำที่เตรียมจะออกรถพร้อมฮัมเพลงออกมาเบาๆ จะมีก็แต่ผมที่ผมยังคงนั่งตกใจตัวแข็งอยู่ท่าเดิม

"หนึ่งเป็นอะไรไป ขนมปังเละหมดแล้วนะครับ" ผมก้มมองขวดนมของและขนมปังในมือตัวเอง มันโดนผมบีบแน่นเสียจนไส้ครีมอันน้อยนิดในขนมปังทะลักออกมาเลย ดีนะที่มันมีไส้น้อยเลยทะลักออกมาเปื้อนมือผมนิดเดียว และดีนะที่ผมกินนมขวดแก้ว ถ้าผมกินนมกล่องนี่ ไม่อยากจะคิด…

"ก…ก็พี่ทำผมตกใจนี่ครับ"

"หืม? พี่ไปทำให้หนึ่งตกใจตอนไหนครับ? " พี่นัทเลิกคิ้วขึ้นและถาม ทั้งที่ตายังมองถนนอยู่ มุมปากเขายิ้มนิดๆ เหมือนคนกำลังอารมณ์ดี

ผมเงียบไม่ยอมตอบ จะให้ผมตอบยังไงล่ะ ให้บอกว่าเพราะพี่เกือบทำให้ผมจุ๊บแก้มพี่ และผมได้กลิ่นหอมๆ มาจากตัวพี่ ผมชอบมากแต่ตกใจมากเหมือนกัน ผมเลยเผลอกำขนมปังจนครีมทะลักแบบนี้ ถ้าบอกไปพี่นัทคงขำตายเลย

"งั้นเดี๋ยวพี่รับผิดชอบเองล่ะกัน"

หะ? รับผิดชอบอะไรเหรอ ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าใจได้ พี่นัทก็ดึงมือข้างที่ถือขนมปังเข้าหาตัว ผมก็กำลังจะโวยวายเพราะนึกว่าพี่แกจะแย่งขนมปังผมกิน แต่พี่แกดันเลียลงบนครีม...ซึ่งครีมนั่นอยู่บนมือผม!

"อืม ขนมปังร้านไหนครับ ครีมอร่อยดีนะแต่พี่ว่าเค็มไปหน่อย แต่..." พี่นัทพูดพลางวิเคราะห์รสชาติไปด้วย ในขณะที่ผมยังอึ้งอยู่นั้น พี่นัทก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะ...

จ๊วบ!

คราวนี้ไม่ใช่แค่เลีย แต่คราวนี้นัทดูดครีมบนมือเลย ผมรู้สึกถึงแรงดูดเบาๆ กับลิ้นที่เลียลงบนผิว ตวัดเลียสลับกับดูด บางครั้งก็รู้สึกถึงฟันที่ครูดกับผิว ผมตาโตอ้าปากค้างมองริมฝีปากพี่นัท อยากจะดึงแขนกลับแต่เรี่ยวแรงผมถูกดูดไปหมดตั้งแต่รู้สึกได้ถึงลิ้นที่ดุนไปมา โอ๋ย~ ผมรู้สึกเหมือนจะเป็นลม

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในความรู้สึกผมนี่เหมือนเวลาหยุดหมุนเลย หัวใจผมแทบหยุดเต้น พี่นัทเลิกดูด แล้วก็เอามือผมมาวางที่เดิม หันมามองหน้าผม ใช้มือขวาดันแว่นขึ้นให้เข้าที่แล้วก็พูดว่า

"พี่ว่ากินไปกินมาครีมมันหวานขึ้น อร่อยจนอยากกินอีกเรื่อยๆ เลย...เนอะ"

เนอะอะไรของพี่อิ๊ก ไม่รู้! ผมมองรอยยิ้มทะเล้นของพี่นัทแล้วก็หันหน้าหนี ยกมือขึ้นกุมตรงหน้าอกเพราะหัวใจก็เต้นกระเด็นกระดอนไปมา

ตลอดทางนั่นผมนั่งตัวแข็งเม้มปาก แก้มเห่อร้อนจนอยากจะยกมือขึ้นไปนาบเอาไว้และรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าแม้แต่จะกินนมกับขนมปังต่อ ความหิวผมหายไป เพราะอาการใจสั่นเข้ามาแทน ผมนั่งเหม่อมาตลอดทางจนรู้สึกว่าแก้มข้างขวาผมถูกพี่นัทดึงอยู่

“เป็นอะไรครับนั่งเหม่อมาตลอดทางเลย ลงมาช่วยกันยกของเร็ว” พี่นัทพูดแล้วก็บีบแก้มผมขึ้นลง ผมรีบพยักหน้ารับและตั้งสติก่อนจะลงไปช่วยแกถือของไปที่ร้าน

“อ่ะนี่ หนึ่งเอากุญแจพี่ไปไขประตูให้พี่หน่อย” พี่นัทพูดแล้วก็เอียงตัวให้ผม

“ไหนกุญแจอ่ะครับ” ตอนแรกผมนึกว่าพี่นัทเอากุญแจห้อยไว้ที่หูกางเกง แต่ไม่มี

“ในกระเป๋ากางเกงไง ล้วงเลย”

“หะ! พี่ล้วงเองดีกว่าครับ” จะให้ผมล้วงได้ไงครับพี่ เดี๋ยวผมก็ไปล้วงไปโดนพวงอย่างอื่นของพี่ที่ไม่ใช่พวงกุญแจหรอกครับ ไม่ดีๆ ไม่เอาดีกว่า

“พี่ถือของเต็มสองมือเลยเห็นมั้ย หนึ่งนั่นแหละหยิบให้พี่หน่อย”

“...” ผมเม้มปาก มองพี่นัทที่เอียงตัวให้ ความจริง...พี่ก็วางก่อนก็ได้นี่ครับ คิดแบบนั้นผมก็หันซ้ายขวามองหาที่วางของให้พี่นัท

“เร็วๆ สิ พี่หนักนะเนี่ย แขนล้าไปหมดแล้ว”

พี่นัทเร่ง แขนที่ถือของหนักนั้นเริ่มสั่นจนผมตัดสินใจล้วงหากุญแจเอง ผมเดินเข้าไปใกล้พี่นัทแล้วก็ล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงอย่างระมัดระวัง

“ล้วงไปลึกๆ หน่อย มันอยู่ก้นกระเป๋าล่ะมั้ง”

ฮึบ~ ผมล้วงลงไปจนมือผมหายเข้าไปในกระเป๋าทั้งมือ ทำไมกระเป๋าพี่แกมันลึกจังวะ แล้วล้วงไปนี่ ไม่เจอกุญแจเลย เจออะไรก็ไม่รู้แข็งๆ …ต้นขาครับ ต้นขาพี่นัทแข็งดีมีแต่กล้ามเนื้อ อย่าคิดลึกกันสิครับ

“ไม่เห็นเจอเลยครับพี่นัท” ผมควานหาจนทั่วกระเป๋าแล้วแต่ก็ไม่เจอ พี่ไปหนีบไว้ตรงไหนเนี่ย

“อ้อ สงสัยอยู่ข้างนี้มั้ง” ว่าแล้วพี่แกก็หมุนตัว เอาอีกข้างมาให้ผมล้วง

“พี่อ่ะ! ” ผมถอนหายใจใส่พี่นัท แต่ก็ยอมล้วงลงไปอีกครั้ง

“ล้วงลงไปตรงๆ นะครับ อย่าแวะข้างทาง เดี๋ยวไปเจออย่างอื่น”

“เฮ้ยพี่!! ” ผมรีบดึงมือออกจากกระเป๋า พี่นัทพูดตอนที่ปลายนิ้วผมไปสัมผัสอะไรบางอย่าง เกรงว่ามันจะไม่ใช่กุญแจ

“เร็วๆ พี่หนัก” ผมเห็นเหงื่อออกเต็มหน้าผากพี่นัท ผมเลยรีบล้วงลงไปตรง พรวดเดียวถึงก้นกระเป๋า เจอกุญแจเจ้าปัญหาแล้วรีบดึงออกมาเลย

ผมเอากุญแจไปไขประตูครัวให้พี่นัท พอประตูเปิดพี่นัทนี่รีบวิ่งไปวางของที่โต๊กลางครัวทันที

“ปวดแขนเลย” พี่นัทสะบัดแขนไปมา ผมได้แต่มองอย่ารู้สึกผิด แต่จะโทษผมก็ไม่ได้นะ ก็พี่เขจาทำให้ผมกลัวน่ะ

พี่นัทผงกหัวขอโทษเล็กน้อย พี่นัทก็หัวเราะแล้วขยี้หัวอีกครั้งก่อนจะเริ่มจัดการกับวัตถุดิบแห้ง ส่วนผมก็จัดการเอาผลไม้ไปล้างและปอกเปลือกออกอย่างรู้หน้าที่ จนมาถึงฟักทองที่ผมปอกไม่เป็น

"พี่นัทครับ ฟักทองนี่ปอกยังไงครับ"

"หั่นออกเป็นชิ้นแบบนี้ก่อนก็ได้แล้วก็ค่อยปอกเปลือกครับ แล้วก็ขูดเม็ดตรงนี้ออกด้วย"

พี่นัททำให้ผมดูอย่างคล่องแคล่ว แล้วก็ส่งให้ผมทำก็ไม่ยากเท่าไร แค่ต้องออกแรงเพราะเปลือกฟักทองนี่หนามาก พอเตรียมทุกอย่างให้พี่นัทเรียบร้อยแล้ว ผมก็ออกไปจัดการทำความสะอาดและเตรียมหน้าร้าน เริ่มจากกวาดพื้นตามด้วยเช็ดโต๊ะ

จนมาถึงขั้นตอนสุดท้ายคือการเช็ดกระจก เป็นขั้นตอนที่ผมเหนื่อยที่สุดเลยครับ เพราะกระจกค่อนข้างสูงและผมเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างตัวเล็ก เวลาเช็ดกระจกทีผมต้องกระโดดเหยงๆ จนเหงื่อแตกทุกที และพอเสร็จแล้วผมยืนมองกระจกที่ใสสะอาดอย่างภูมิใจ ถ้าใครมือบอนมาทาบกระจกนี่พ่อจะฟาดให้มือหักเลยเชียว แต่ชื่นชมกระจกได้ไม่นานผมก็ต้องรีบไปจัดแก้วต่อ ผมหันควับแล้วเดินทันทีไม่ได้ระวังมองทำให้ชนกับพี่นัทยืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

ผลั่ก!!

"โอ๊ย! ฮือ~ จมูกผม" ผมครวญครางเบา พลางยกมือขึ้นกุมจมูกตัวเองเพราะมันดันไปกระแทกกับแผ่นคนของอีกคน ดีนะที่ไม่หงายหลังลงไปนอนแอ้งแม้งเพราะพี่นัทช่วยประคองหลังเอาไว้ไม่ให้ล้ม

"เป็นอะไรมากรึเปล่า ขอพี่ดูหน่อยครับ" พี่นัทดันคางผมขึ้นแล้วก็เอามือผมที่กุมจมูกออก แกจับหน้าผมหันไปมาเพื่อดูจมูก ผมที่ตอนแรกเจ็บอยู่ก็ไม่สนใจอะไร แต่ตอนนี้เริ่มหายเจ็บแล้วและเพิ่งจะตระหนักได้ว่า...พี่นัทใช้มือข้างนึงกอดเอวผมอยู่ ระหว่างลำตัวของผมและพี่นัทนี่แนบสนิทกันชนิดที่ว่าอากาศแทบผ่านไม่ได้

"อ...เอ่อ ผมหายเจ็บแล้วครับ" พี่นัทที่จ้องๆ จมูกผมอยู่เปลี่ยนมาจ้องตาผมแทนจนหลุบตาลงหลบแทบไม่ทัน ผมไม่กล้าสบตากับใครตรงๆ ทั้งนั้น และผมรู้สึกว่าพี่นัทยังจ้องอยู่ผมก็เลยเสมองดินฟ้าอากาศไปเรื่อย ในใจก็คิดขอให้พี่เขาเลิกมองผมได้แล้ว เพราะผมทำหน้าไม่ถูกอ่ะ

"หายเจ็บแล้วแน่นะ? ว่าแต่...เจ็บจมูกแต่ทำไมแก้มแดงด้วยน๊า~"

“ก...ก็หน้าผมชนกับพี่ไงมันเลยแดง แต่ผมไม่เจ็บแล้วครับ” ผมยกมือขึ้นปิดแก้มร้อนๆ ของตัวเองเอาไว้พลางพยายามดิ้นออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่าย

“เหรอ...แดงเพราะพี่นี่เอง” แต่พี่นัทดูไม่ค่อยเชื่อกับคำแถข้างๆ คูๆ ของผมเท่าไร ผมเห็นว่าพี่นัทเลิกคิ้วขึ้นและยิ้มขำเล็กน้อยก่อนจะปล่อยตัวผมออก

จุ๊บ!

ผมอ้าปากค้าง หัวใจในอกเต้นรัวอีกครั้งเมื่อคนที่ปล่อยตัวผมออกนั้นเปลี่ยนใจดึงไหล่ผมไว้ แล้วห้มหน้ามามองสัมผัวเบาๆ ที่ปลายจมูก เท่านั้นยังไม่พอ ยังส่งยิ้มละมุนพร้อมแววตาแพรวพราวมาให้จนผมต้องเม้มปากและหลบตาเขา

"พี่...ทำอะไรอ่ะ" ผมถามกลับด้วยเสียงเบาหวิว อยากจะโวยวายแต่เสียงกลับแหบแห้งไปหมดแล้ว

"จุ๊บปลอบใจไงครับ พี่เป็นคนทำให้หนึ่งเจ็บ พี่ก็ต้องปลอบใจ...เนอะ~"

รอยยิ้มละมุนมาพร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่โยกหัวผมไปมาเบาๆ เท่านั้นยังไม่พอ พี่แกดันใช้ปลายนิ้วลูบปลายจมูกผมอีกตังหาก สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมเริ่มหวั่นไหวและตระหนักได้ว่ามันไม่ดีต่อหัวใจของผมเลย จึงรีบก้มหน้าลงหลบสายตาของเขาเดินหนีมาที่เคาน์เตอร์แล้วทำทีเป็นจัดแก้ว แต่พี่นัทก็เดินตามมาเท้าแขนลงบนเคาน์เตอร์แล้วอมยิ้มมองมาจนผมทำงานไม่ได้

"พ..พี่มีอะไรหรือ ป...เปล่าครับ" ผมถามตะกุกตะกักไม่ยอมเงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่ก็พอรู้ว่าพี่นัทเอียงคอไปมา แล้วก็ยิ้มอยู่ตลอด ผมเม้มปากแล้วหันกลับมาจัดแก้วต่อ เขาก็ยืนมองเงียบๆ จนผ่านไปซักพักพี่นัทก็เดินเข้ามาในเคาน์เตอร์ ผมกำลังจะหนีแต่ก็โดนเขาดึงแขนเอาไว้ อีกฝ่ายโน้มตัวลงมาใกล้แล้วกระซิบเบาๆ ที่ใบหู

"เสร็จแล้ว เข้าไปในครัวด้วยนะครับ" พี่นัทพูดแล้วก็หัวเราะระรื่นเดินกลับเข้าครัวไป ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ รีบกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอด มองแผ่นหลังกว้างที่เดินหายเข้าไปในครัว

ถ้าจะพูดแค่นั้น ก็บอกดีๆ ก็ได้ ทำไมต้องมากระซิบด้วยล่ะ ผมตกใจหมดเลย!

พอจัดแก้วเสร็จ ผมก็เดินไปที่ครัวด้านหลัง พี่นัทส่งยิ้มให้เรียกผมไปใกล้ๆ แต่คราวนี้เขาไม่ได้อะไรหรอกครับ แค่ใช้ให้ผมถ่ายรูปแล้วก็ยกเค้กมาเรียงที่ตู้ด้านหน้าเท่านั้น

"หนึ่งวันนี้เปิดร้านช้านะ พี่ออกไปทำธุระแปปนึง"

"ครับ"

ตลอดหนึ่งเดือนที่ผมทำงานที่นี่ พี่นัทคิดสูตรเค้กใหม่ไปแล้วสองสูตร และทุกครั้งที่พี่นัทลองทำสูตรใหม่ๆ ออกมา เขามักจะจะเปิดร้านช้ากว่าปกติเพราะจะห่อเค้กใส่กล่องออกไปให้ใครก็ไม่รู้ก่อนเสมอ

"พี่ฝากจัดการที่เหลือด้วยนะครับ พี่ไปก่อนล่ะ"

ผมพยักหน้าให้ มองพี่นัทที่วิ่งถือกล่องเค้กออกไป จากนนั้นผมก็เข้าครัวไปจัดการทำความสะอาดและเก็บของให้เรียบร้อย และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ผมรอคอย

เค้กก้อนน้อยๆ ที่พี่นัทตัดทิ้ง แต่ที่น่าแปลกใจคิดทำไมวันนี้มีสองก้อน ปกติแล้วถ้าเป็นเศษเค้กพี่นัทจะตัดรวมกันไว้นี่ สงสัยก้อนนี้พี่นัทลืมห่อเข้าตู้เหรอ ผมเดินออกไปดูที่ตู้หน้าร้าน แต่ก็เห็นว่าเค็กเหล่านั้นถูกเรียงและจัดวางอย่างพอดีแล้ว งั้นเค้กก้อนนี้ก็...เสร็จผมล่ะครับ

ผมยืนน้ำลายสอ มองเค้กที่ทำจากฟักทองสีเหลืองทอง น่ากิน พอลองยอกขึ้นดมกลิ่นแล้วก็รับรู้ได้เลยว่าเค้กที่อบเสร็จใหม่ๆ นี้มีกลิ่นหอมชวนชิมมากๆ เลย

ช้อนไม่ต้องครับ มือผมนี่แหละหยิบเค้กแล้วก็ค่อยๆ เอาเข้าปาก สิ่งแรกที่รับรู้คือความนิ่มของเนื้อเค้ก ตามมาด้วยกลิ่นหอมของฟักทองและรสชาติหวานกลมกล่อมกำลังดี

กินไปก็คิดไปพี่นัทนี่เจ๋งมากเลย เขาทำเค้กได้แจ่มจริงๆ รสชาติถูกปาก สัดส่วนก็พอดิบพอดีไปหมดทั้งสี กลิ่น และรสชาติ กินเท่าไรก็ไม่พอจริงๆ นะครับ ว่าแล้วก็ส่งเค้กเข้าปากอีกคำ

“อืม...อร่อยจังเลย”

ยิ่งเคี้ยวยิ่งนุ่ม ยิ่งกินยิ่งอร่อย ผมกำมือยืนหมุนตัวไปมาด้วยความฟินระดับสุด แต่ก็ต้องตกใจแทบจนแทบช็อคเมื่อเห็นใครบางคนยืนอยู่ตรงประตูครัวมองผมอยู่

“หนึ่ง...กำลังกินอะไรอยู่เหรอครับ”

ฉิบหายแล้วไงผม!



เอาแล่วๆ ตองหนึ่งซวยแล้ว แต่จะซวยขนาดไหน ติดตามตอนหน้านะคะ

บอกเลยว่า ค่อกแค่ก นิดโหน่ย อิอิ


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 5 : ทำโทษ l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 14:17:32
5 : ทำโทษ


พี่นัท’ s part

ผมกำลังเดินไปที่จอดรถเพื่อเอาเค้กไปให้คนๆ นึงที่สำคัญกับผมมาก แต่ก็หงุดหงิดตัวเองที่ดันลืมกุญแจรถไว้ที่ร้านเสียได้เลยต้องเดินย้อนกลับไปเอา แดดในช่วงสายแบบนี้ก็ร้อนไม่แพ้แดดตอนเที่ยงวันเลยแม้แต่น้อย รู้แบบนี้ตอนรีโนเวทร้านผมน่าจะสร้างโรงจอดรถไว้ด้านหลังซะก็ดี

ผมเปิดประตูเข้าร้านไป แต่ไม่เห็นตองหนึ่งอยู่แถวหน้าร้าน ก็เลยว่าเดาว่าเขาคงล้างแก้วอยู่ในครัว ผมวางกล่องเค้กไว้ที่เคาน์เตอร์แล้วก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในครัว เพราะมีความคิดว่าจะแกล้งเจ้าเตี้ยของผมเสียหน่อย เขาตกใจง่ายมาก แกล้งอะไรนิดหยอกอะไรหน่อยก็หน้าแดง ตัวแข็งค้างไปหมด น่าแกล้งน่าเอ็นดูถูกใจผมไม่น้อยเลย

ผมยิ้มอย่างมีแผนการเมื่อเดินมาหยุดตรงประตูครัวก็เห็นว่าเขายืนหมุนอยู่ตรงโต๊ะใหญ่ แต่พอเดินเข้าไปใกล้อีกนิดก็เห็นว่าเจ้าตองหนึ่งกำลังยัดเค้กฟักทองของผมเข้าปากอย่างเอาเป็นเอาตาย แล้วดูเขาทำหน้าสิ...หลับตาพริ้ม หมุนไปมาอยู่คนเดียว เห็นแล้วน่าแกล้งเข้าไปใหญ่

ผมรู้มาตั้งนานแล้วครับว่าหนึ่งชอบแอบกินเค้กที่เหลือเอาไว้ตลอด แต่ผมก็ทำเป็นไม่รู้เพราะเห็นท่าทางแอบกินแล้วน่ารักดี มองๆ ไปก็เหมือนแมวแอบย่องมากินปลาทูอย่างไรอย่างนั้นเลย

ผมถอยออกมายืนตรงประตูครัวแล้วกอดอก กะว่าจะแกล้งทำเสียงกระแอมไอเสียหน่อย แต่ตองหนึ่งที่ทำหน้าตาน่ารักและยืนหมุนไปมานั้นก็หันมาเห็นผมเสียก่อน

“!!”

เห็นหน้าตาอีกฝ่ายแล้วก็ต้องพยายามกลั้นขำ แก้มกลมๆ สองลูกนั้นเต็มไปด้วยเค้กในมือก็ยังมีถืออยู่ ไหนจะดวงตาที่เบิกกว้างนั่นอีก ตกใจอะไรเบอร์นั้นล่ะ ผมอยากจะหัวเราะออกมาแต่ก็ต้องทำเป็นขรึมเอาไว้อยากจะแกล้งให้ร้องไปเลย อุตส่าห์จับขโมยได้คาตาคาปากแบบนี้

“หนึ่ง...กำลังกินอะไรอยู่เหรอครับ”

“อึก! แค่กๆ ...แอ่ก แค่กๆ ” เจ้าเตี้ยกลืนเค้กในปากลงไป แล้วก็ยัดในมือเข้าปากแล้วกลืนไปทั้งก้อนแบบไม่เคี้ยว ก็เลยสำลักอย่างที่เห็น ผมเลยเดินไปรินน้ำให้กินจนอาการสำลักของเขาดีขึ้น พอเห็นแบบนั้นผมก็เลยทำทีเดินไปมารอบๆ โต๊ะก่อนจะหันถามเจ้าตัวที่ยืนหน้าซีดอยู่

“เอ...เค้กที่พี่แบ่งเอาไว้กะว่าจะกลับมาชิมทีหลัง มันหายไปไหนแล้วนะ หนึ่งเห็นมั้ยครับ?”



ตองหนึ่ง’ s part

“พอจะรู้มั้บครับว่ามันหายไปไหน?”

พี่นัทถามพร้อมกับเดินเข้ามาใกล้ ผมที่ไม่รู้จะทำยังไงก้มหน้าอย่างเดียวเลย ไม่กล้าบอกว่าเค้กที่พี่เขาถามถึงนั้นอยู่ที่ไหน เพราะมันอยู่ในท้องผมเอง

พี่นัทหยุดยืนอยู่ตรงหน้า เขาเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ จับคางผมให้เงยหน้ามองเขา ผมหน้าเสียมากกว่าเก่าเพียงแค่เห็นหน้าอีกฝ่ายเต็มตาแบบนี้ทำนบน้ำตาผมก็แทบจะแตก เพราะหน้าหน้าพี่แกนิ่งมาก ไม่ยิ้มเลย

...ทำไมไม่ยิ้มหน่อยล่ะครับ ยิ้มเถอะนะ หัวเราะสิ พี่หน้านิ่งแบบนี้ผมกลัว

“อืม…” เขาครางในลำคอแล้วหรี่ตาลง ขยับมือที่จับคางมาลูบเบาๆ ที่ข้างปาก ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่แกจะทำอะไร แต่พอเขาดึงมือออกเท่านั้นล่ะ ผมก็อยากจะโขกหัวตัวเองกับอ่างล้างจาน เพราะมีครีมติดนิ้วพี่นัทออกไป ตายๆ คาหนังคาเขาแถมมีหลักฐานคราบครีมติดปากแบบนี้ ผมโดนไล่ออกแน่ๆ

“พ...พี่ครับ...” ผมพูดเสียงเบา มองพี่นัทที่เลิกคิ้วขึ้นดูคราบครีมที่ปลายนิ้วของตัวเองสลับกับมองหน้าผมไปมา แล้วขยับตัวออกไปยืนกอดอก ส่งสายตาดุๆ มองมาที่ผม

“แบบนี้ต้องโดนลงโทษนะ...แล้วแอบกินในตู้บ่อยมั้ย?”

“ผ ผมไม่เคยแอบกินในตู้เลยนะครับ ส่วนใหญ่ก็แอบกินแค่เค้กที่อยู่ในครัวนี่เท่านั้น” เพราะกลัวโดนไล่ออกผมก็เลยปากบอนรีบอธิบายความบริสุทธิ์ของตัวเองว่าไม่เคยแตะของของลูกค้าเลยแม้แต่น้อย แต่ลืมไปว่าหากตอบไปแบบนั้นก็เหมือนสารภาพว่า แอบกินเค้กเขาอยู่ดีล่ะวะ ไอ้บ้าตองหนึ่งเอ๊ย มึงตกงานแน่เลยผม! ฮือ

“อ๋อ ถึงว่า...ทำไมพักหลังๆ นี่ ถึงชอบเข้าไปจัดการอะไรในครัวคนเดียว พี่จะเข้าไปช่วยก็ไม่ให้เข้ามา...จะแอบกินเค้กนี่เอง”

ผมได้แต่ก้มหน้าน้อมรับความผิดเพราะถูกอย่างที่พี่เขาว่าทุกอย่าง ที่ผมไม่ให้พี่เข้ามาช่วยก็เพราะจะกินเค้กนั่นแหละ ถึงแม้ว่าการกระทำของผมมันสมควรจะโดนไล่ออก แต่ก็อยากให้เขาไล่นะ หากผมไม่อยู่ใครจะช่วยพี่เขาล่ะ ทำคนเดียวเขาต้องเหนื่อยมากแน่ๆ อ่ะ

“ถ้าทำครั้งแรกก็ยังจะแค่ตักเตือน แต่นี่ดูท่าจะทำมาหลายครั้งแล้ว...อืม ยังไงดีนะ”

ผมก้มหน้าสำนึกผิดอย่างเดียวเลยครับ ไม่กล้าเงยหน้ามองอะไรทั้งนั้น ได้หลับตาปี๋เพราะกลัวว่าถ้าลืมตาขึ้นมาน้ำตาจะแตกน่ะสิครับ ฮึบไว้ๆ

“ไล่…..”

ได้ยินแค่นั้นใจผมก็ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบขยับเข้าไปแตะแขนเขาเอาไว้แล้วขอร้องออกไป

“พ...พี่นัท ผมจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับ ผมขอโอกาสได้มั้ยครับ”

“...” เขายืนกอดอก มองมาด้วยสายตานิ่งๆ ใจผมสั่นกลัวไปหมด เมื่อรู้ว่าความฉิบหายกำลังมาเยือนจริงๆ

ความทรงจำตอนตกงานมันย้อนขึ้นมาว่าตอนนั้นผมเครียดมากแค่ไหน จะนอนก็หลับไม่สนิทเพราะเรื่องเงินมันเรื่องใหญ่ ไม่มีเงินจะใช้ ค่าห้องค่าข้าวก็ไม่มีจะจ่าย มันรู้สึกแย่เอามากๆ ผมไม่อยากเป็นคนไม่มีงานทำแบบนั้นอีกแล้ว ฮึก

“ผ...ผมยอมทำทุกอย่างเลยครับพี่ ห...ให้ผมทำงานยันเที่ยงคืนก็ได้หรือจะให้มาแต่เช้าก็ไม่มีปัญหา ฮึกๆ หรือให้ผมปีนไปขัดดาดฟ้าผมก็ทำได้ ฮึก แต่อย่าไล่...ฮึก ย...อย่าไล่ผมออกเลยนะครับ ฮือ ฮือ”

ผมข้อร้อง และเริ่มร้องไห้ ใครจะว่าขี้แงก็ช่าง ตอนที่ไม่มีงานทำนั้นผมรู้แย่มากๆ บางเดือนไม่มีเงินจนต้องยอมขอให้แม่โอนเงินมาให้ ซึ่งผมอายตัวเองมากๆ

“แต่..เค้กนั่นพี่ลองสูตรใหม่ อยากชิมว่ารสชาติเป็นยังไง ทำไงดีนะ”

“ฮึกๆ พี่ครับ ผ..ผมชิมให้แล้ว หอมและอร่อยมากเลย ฮือ พี่อย่าไล่ผมออกนะครับ”

ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาตัวเองป้อยๆ น้ำมูกน้ำตามาหมด และพอเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไปนานก็เงยหน้าดูเสียหน่อย แต่ตรงหน้ากลับทำให้ผมประหลาดใจ เพราะคนที่ทำหน้าดุเมื่อครู่นี้ดันระบายยิ้มกว้างมองมาที่ผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แพรวพราวแปลกๆ

“งั้นพี่ขอชิมนิดนึงนะครับ”

“หะ?” ยังไม่ทันที่ผมจะเข้าใจอะไร ฝ่ามือใหญ่ก็จับคางผมเอาไว้ใบหน้าของพี่นัทก็ก้มลงมาหาอย่างรวดเร็วโดยที่ผมก็ตั้งตัวไม่ทัน

จุ๊บ!

พี่เขาก้มลงมาจุ๊บที่ปากผมเพียงครู่เดียวก็ผละออกไป เขายืนแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองแล้วมองมาด้วยสายตาพึงพอใจ ผมเองก็ได้แต่ยืนกระพริบตาปริบๆ เพราะตามไม่ทัน รู้สึกทั้งตกใจและงงไปหมด น้ำตายังคงไหลออกมาเป็นเม็ดๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองยังได้ทำงานอยู่มั้ย หรือโดนไล่ออกไปแล้ว

“...”

“อืม...หวาน แต่ยังไม่ค่อยรู้รสเท่าไร งั้นขออีกคำนะครับ”

คราวนี้ไม่ใช่แค่จุ๊บเบาๆ แบบครั้งที่แล้ว พี่นัทดูดปากล่างของผมแล้วไล้เลียไปมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะขยับใบหน้าออก แต่ฝ่ามือของเขายังคงประคองแก้มของผมเอาไว้ เขาหัวเราะเบาๆ ไล้ปลายนิ้วโป้งไปตามแก้มเหมือนเช็ดน้ำตาให้ผม แล้วก็ก้มลงมาจุ๊บใหม่ ทั้งไล้เลีย ขบเม้มด้วยสัมผัสเบาๆ ชวนให้ผ่อนคลายและคล้อยตาม

การที่เขาทำแบบนี้มันทำใจผมสั่นขึ้นมา ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด คราวนี้พูดได้เต็มปากเลยว่าเขิน ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองมามายืนจูบกับคนอื่น แถมเป็นผู้ชายเหมือนกันแบบนี้มันน่าตกใจเอามากๆ แต่แปลกที่ผมไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะพลักออกหรือหันหนีเลยแม้แต่น้อย แถมตัวผมก็เริ่มรู้สึกดีกับริมฝีปากนี้อีกด้วย จูบที่ดูช้าๆ ชวนใจหวิวไม่ได้เร่งรีบ บุ่มบ่ามโรมรันเหมือนที่ผมเห็นในหนังบ่อยๆ

ผมไม่เคยจูบกับใคร...เลยไม่สามารถบอกได้ว่าพี่นัททำอยู่นี้เขาเรียกว่าจูบเก่งรึเปล่า แต่ผมบอกได้แค่ว่าจูบนี้มันรู้สึกดีจนอยากจะยื่นปากให้อีกฝ่ายจูบทั้งวันเลย

พี่นัทถอนจูบออกและยังคลอเคลียอยู่ใกล้ ใช้ปลายจมูกโด่งของถูไถไปมากับปลายจมูกของผมพลางหัวเราะในลำคอไปด้วย พี่เขาดูมีความสุขนะแต่ทำแบบนี้ผมรู้สึกเขินๆ ใจสั่นแปลกๆ อ่ะ

“พี่ไม่ไล่เราออกหรอกครับ เจอเค้กรสชาติที่ถูกใจขนาดนี้แล้วจะปล่อยไปได้ยังไงอ่ะเนอะ~”

เขาพูดเสียงนุ่มแต่น้ำเสียงกลับทะเล้น มันชวนให้ผมรู้สึกเกลียกคำว่า เนอะ ของพี่เขาจริงๆ พูดคำว่าเนอะทีไร มีเรื่องต้องทำให้ผมเขินทุกทีเลย

“…” ผมเม้มปาก ซุกแก้มร้อนๆ ไปกับแผ่นอกของเขา ไม่กล้าเงยหน้ามองอะไรทั้งนั้น อยากจะละลายไปกับอากาศ ยืนมุดจนแทบจะมุดเข้าไปในรักแร้พี่เขาอยู่แล้ว พี่นัทหัวเราะแล้วก็ดันไหล่ผมออกเพื่อสบตาแต่ผมก็ขืนตัวเอาไว้เพราะยังไม่พร้อม ก่อนหน้านี้ก็ร้องไห้โยเยเป็นเด็ก แถมยังยืนนิ่งๆ ให้เขาจูบอีก อายจนไม่กล้ามองหน้าเขาก็เลยผมยกสองมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้

“เราขึ้นข้างบนกันดีกว่า” พี่นัทพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ พลางจูงมือผมขึ้นไปชั้นสอง ผมมองอย่างไม่เข้าใจแล้วก็คิดขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะขัดดาดฟ้าให้หากเขาไม่ไล่ผมออก

“ขึ้นไปทำอะไรเหรอครับ”

เขาหัวเราะในลำคอแต่ก็ไม่ได้ตอบผม พี่เขาแสดงว่าจะให้ขัดดาดฟ้าจริงๆ เหรอ...ยังไงก็พูดไปแล้ว ผมขัดให้ก็ได้นะ แต่ขอเป็นตอนกลางคืนไม่ได้เหรอ ตอนนี้ร้อนอ่ะ

ผมเดินตามพี่นัทมาจนถึงชั้นสองที่ผมเพิ่งเคยขึ้นมาเป็นครั้งแรก และเพิ่งรู้ว่าข้างบนนี้เป็นที่อยู่ของพี่เขาด้วย เปิดประตูเข้ามาด้านซ้ายมีโซฟา ทีวี ตู้หนังสือ ถัดไปเป็นห้องน้ำ ด้านขวาเป็นห้องนอนและถัดห้องนอนไปทางด้านซ้ายเป็นครัวเล็กๆ ที่ทะลุไปตรงระเบียงได้

ห้องน่าอยู่จัง แสดงว่าพี่เขานอนที่นี่แน่ๆ เลย ก็ว่าทำไมถึงมาร้านเช้าตลอด เขาอยู่ข้างบนแค่นี้เอง

พี่นัทเปิดแอร์ตรงทางเข้าและพาผมไปนั่งตรงโซฟาเขานั่งลงใกล้ๆ กันแล้วดึงผมไปหอมแก้ม แถมจุ๊บไปทั่วหน้าเลย ผมตกใจเล็กน้อยกับการกระทำแบบนั้นของเขาก็เลยเผลอดันอกเขาออก พี่นัทยอมถอยออกไปดีๆ แต่ก็จ้องหน้าผมใหญ่เลย

“รังเกียจพี่รึเปล่า ถ้าไม่ชอบหนึ่งก็บอกพี่มาตรงๆ ก็ได้ครับ พี่ไม่ว่าอะไรหรอก” เขาพูดแล้วยิ้ม ลูบแก้มผมเบาๆ ไม่ได้มีท่าที่โกรธเคืองที่ผมดันเขาออกเลยแม้แต่น้อย

“...ผ ผมตกใจครับ” ผมเม้มปาก สายตาล่อกแล่กไปมาก่อนจะส่ายหน้า...ก็ผมไม่ได้รังเกียจเขานี่นา ที่เขาทำแบบนี้ ลึกๆ ในใจผมก็รู้สึกดี แต่แบบ...แค่ตกใจเฉยๆ ผมยังไม่ชินกับการที่มีคนอื่นมาสัมผัสอะไรแบบนี้ พี่นัทยังคงยิ้มและจ้องมองผมอย่างไม่วางตา จะว่าเขินก็เขิน แต่ก็รู้สึกอึดอัดเหมือนกัน ผมไม่เคนโดนใครมองมาด้วยสายตาแบบนั้น รู้สึกมือไม้มันเกะกะไปหมด ไม่รู้จะเอาไปไว้ตรงไหนเลย

“หึหึ พี่แคอยากลองชิมเค้กนิดหน่อย ไม่ต้องตกใจหรอกครับ พี่แค่ชิม...”

“ต...แต่เค้กอยู่ข้างล่างนะครับ” พี่นัทดันผมพิงกับโซฟาแล้วแกก็ทับผมไว้ครึ่งตัว ผมเม้มปากแน่น มองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลากหลาย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าจะโดนทำอะไร ผมพอจะเดาได้แต่แปลกที่ผมกลับไม่คิดที่จะห้ามเขาเลย

“นั่นมันเค้กของลูกค้า เค้กของพี่อยู่ตรงนี้”

“แต่ อื้อ~” คือผมกำลังจะตอบกลับไปว่าตัวผมไม่ใช้เค้กแต่พี่นัทก็จูบมาซะก่อน

อืม...ครับ ไม่พูดแล้วก็ได้ครับ

พี่นัทดูดปากล่าง สลับกับขบและเลียไปมาเบาๆ มันต่างจากจูบก่อนหน้านี้อย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะมีน้ำหนักจากตัวเขาด้วยเลยทำให้ผมรู้สึกวูบวาบที่ท้องน้อยขึ้นมา มือของผมที่ขยับไปมาอย่างเกะกะก็ถูกพี่นัทจับให้ไปคล้องคอของเขาเอาไว้

ผมว่าจูบครั้งนี้มันดีมาก มากจนผมคิดที่จะจูบตอบ เริ่มจากดูดปากพี่นัทกลับไป รู้สึกแปลกใหม่กับสัมผัสของริมฝีปากคนอื่น อืม...ปากคนเรานี่นุ่มได้ขนาดนี้เลยเหรอ

“โอ๊ย...”

“ข...ขอโทษครับ”

ผมเผลอกัดปากพี่นัทจนพี่แกต้องดันผมออก เขาแลบลิ้นออกมาเลียตรงรอบแผลก่อนที่เขาจะก้มลงมาจูบปากผมแรงๆ หนึ่งที จากนั้นก็พรำจูบไปทั่วใบหน้า เรื่อยๆ ลงมาที่ลำคอ ผมผ่อนลมหายใจและเงยหน้ามองเพดานด้านบน ใจมันหวิวไปหมด รู้สึกเหมือนจะเป็นลมให้ได้เลย

“พ...พี่ พี่นัท เอ่อ สิบโมงกว่าๆ แล้วครับ” ผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาที่ติดผนัง พอรู้ว่านี่คือเวลาที่ร้านควรจะเปิดได้แล้วก็พยายามที่จะดันคางของพี่นัทออก

“พี่บอกแล้วไงว่าวันนี้เปิดช้า หรืออาจจะหยุดไปเลยวันนึง ตองหนึ่งว่าแบบไหนดีครับ”

พี่นัทถามไม่รอคำตอบ เขาหัวเราะแล้วก้มลงมาจูบทันที...ถ้าพี่จะทำแบบนี้ไม่ต้องถามผมก็ได้นะครับ ยังไงๆ ผมก็ค้านอะไรพี่ไม่ได้อยู่แล้วนี่

พี่นัทดูดปากผมเบาๆ แล้วก็แรงขึ้นเรื่อยๆ จนตอนนี้รู้สึกว่าปากล่างผมเจ่อไปแล้ว

“อื้อ! อึก” ผมสะดุ้งเพราะคราวนี้พี่นัทไม่ได้แค่ดูดปาก แต่สอดลิ้นเข้ามาด้านในเลย ผมหลับตาปี๋เกาะไหล่อีกฝ่ายเอาไว้ เพราะมันรู้สึกแปลกๆ พี่เขากดตัวผมลงให้นอนราบ ตอนนี้ผมรู้สึกราวกับว่าตัวเองโดนพี่เขาทับจนจมหายไปกับโซฟาเลย

“ตองหนึ่งครับ…” เขาผละออกแล้วเรียกผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เรามองตากันและพี่นัทก็ก้มลงมาจูบอีก ผมครางในลำคออย่างห้ามไม่ไหว ที่ดูดปากกันก็ว่าวูบวาบแล้ว แต่ตอนนี้ผมกลับวูบวาบที่ท้องน้อยมากกว่าเดิมเพราะเรียวลิ้นของอีกฝ่ายที่เกี่ยวกระหวัดไปมา ไล้ไปตามเหงือกกับเพดานปาก เป็นความรู้สึกที่เขาเรียกกันว่า...เอ่อ เสียวครับ

“อือ อึก อะ”

ผมหนีบขาตัวเองไปมา ร่างกายของผมเริ่มตื่นตัวขึ้นมาอย่างง่ายดาย...ตั้งแต่มาทำงานร้านพี่นัทนี่ผมก็ไม่ได้ช่วยตัวเองเลย เพราะต้องตื่นก็เช้ากลับห้องไปหัวถึงหมอนผมก็หลับแล้ว

“รู้สึกยังไงบ้างครับ?”

พี่นัทถามและเปลี่ยนมาเลียที่ช่วงลำคอ มือก็เริ่มวนไปมาที่หน้าอก ปัดผ่านเม็ดเล็กๆ นั่นไปมาจนผมสะดุ้งแล้วสะดุ้งอีก อยากจะบอกเขาว่าจับๆ ไปเถอะครับ ทำแบบนั้นเเล้วผมจักจี้แปลกๆ

“ฮ๊า พี่นัท...ผม อะ” พี่นัทปลดกระดุมผมออกทีละเม็ดๆ ปากก็ดูดไปตามลำคอลงมาเรื่อยๆ ที่แผ่นอก

“ขาวจังเลยนะเรา” เขาพูดพร้อมกับแยกสาบเสื้อผมออก จากนั้นก้มลงมาจูบที่ยอดอก สัมผัสนั้นทำให้ผมเผลอแอ่นอกขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

“พี่ ฮ๊าๆ อึก อือ” ผมเหมือนคนหายใจไม่เป็น ลิ้นของเขาปัดเลียไปมาที่ยอดอกข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็โดนบีบและสะกิดซ้ำๆ ไปมาอย่างไม่น้อยหน้า ผมหลับตาปี๋บีบขาตัวเองแน่นขึ้น รู้สึกอึดอัดสุดๆ

ผมลืมตามองเมื่อเขาผละออก พี่นัทส่งยิ้มแล้วถอดแว่นออกจากนั้นก็กลับมาหาผมใหม่ คราวนี้คนด้านบนยกสะโพกผมขึ้นเล็กน้อย แยกขาผมออกแล้วก็แทรกตัวเข้านั่งที่หว่างขา ผมครางออกมาเพราะเห็นหน้าพี่นัทแล้วรู้สึกวูบวาบ เสียดเสียวไปหมด

พี่นัทถอดผ้าคาดเอวผมออกแล้วโยนไปไว้ข้างหลัง มือก็ลูบไปมาที่หน้าท้องและสีข้างแล้วก็ก้มลงมาเม้มปากดูดแรงๆ ที่ข้างสะดือ เพียงแค่เขาทำแค่นั้นผมก็สั่นไปทั้งตัวเลย หอบสะท้านเมื่อพี่นัทขยับขึ้นมาจูบปากแล้วก็วนลงไปที่หน้าอก ฝ่ามือร้อนของเขาลูบวนไปมาอยู่แค่ลำตัวช่วงบน

เขาดูใจเย็นในขณะที่ผมร้อนไปทั้งตัว และเริ่มรู้สึกว่าตัวเองต้องการอะไรที่มากกว่านี้ อยากให้พี่นัททำมากกว่านี้ ทำอะไรผมก็ได้ ตอนนี้ผมยอมทุกอย่างเลย...

“พี่ครับ ช่วยผมหน่อย อึก ช่วยผมหน่อยนะครับ” ผมตวัดขาตัวเองรอบเอวพี่นัท ตั้งใจเขยิบสะโพกเข้าไปใกล้เขาแล้วยกขึ้นลง ระบายอาการอึดอัดนี้ด้วยตัวเอง

ผมเห็นพี่นัทเสยผมขึ้นแลบลิ้นออกมาเลียปากตัวเองเป็นภาพที่เซ็กซี่ปลุกอารมณ์ผมสุดๆ เขาปลดกระดุมและดึงกางเกงผมลงไปพร้อมกับกางเกงใน ผมเม้มปากอย่างเขินอายเพราะตอนนี้น้องชายของผมชี้หน้าเขาอยู่...

“น่ารักจริงๆ ” พี่นัทพูดแล้วก็แตกส่วนปลายของมันเบาๆ ผมแอบเคืองที่พี่นัทบอกว่ามันน่ารัก คำนั้นมันไม่น่าดีใจซักนิด แต่เพราะผมตัวเล็ก อะไรๆ ของผมมันก็เลยเล็กตามไปหมดเลย

พี่นัทหายใจแรงขึ้นเมื่อผมเผลอยกสะโพกในตอนที่เขาคลึงเบาๆ มาที่ส่วนปลายปริ่มน้ำนั่น มันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก นี่คือครั้งแรกเลยที่โดนมือคนจับตรงๆ และเมื่อหลุดเสียงครางเมื่อเขาขยับมือรูดขึ้นลงพร้อมกับใช้อีกมือคลึงที่ลูกบอลน้อยๆ ของผมไปด้วย

...สวรรค์อยู่ตรงหน้าชัดๆ

พี่นัทขยับเปลี่ยนให้ผมนั่งค่อมอยู่บนตัก เขาดันตัวผมให้เอนหลังเล็กน้อยแล้วก็ก้มลงมาดูดเลียและขบเม้มที่ยอดอก ผมแอ่นอกขึ้น สอดแขนโอบลำคอของเขาเอาไว้ ฝ่าเท้าก็จิกลงบนโซฟาเมื่อโดนกระตุ้นทั้งด้านบนและด้านล่างพร้อมๆ กันแบบนี้

“พี่ครับ ผมไม่ไหว ฮึก อือ…” ผมแอ่นสะโพกขึ้น เกร็งตัวกอดคอของพี่นัทไว้แน่นจนใบหน้าของเขาซุกกับหน้าอกผมเต็มๆ พี่นัทกำมือให้แน่นกว่าเดิม รูดขึ้นลงเร็วขึ้น ผมกัดปากเกร็งท้องน้อยแรงๆ ก่อนที่ตัวจะกระตุกและปลดปล่อยออกมาใส่ฝ่ามือของพี่นัทที่เริ่มขยับช้าลง

“ฮ๊า! อืม...” ผมผ่อนลงหายใจออกช้าๆ หลังจากเกร็งกระตุกอยู่พักนึง เมื่อหยาดหยดสุดท้ายโดนคนตัวสูงรีดออกมาจนหมดผมก็หมดแรงตาม ผมเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง ขยับตัวขึ้นมานั่งซบหน้าไปกับซอกคอพี่นัท ตาก็เหลือบมองน้ำขาวข้นของตัวเองในอุ้งมือของพี่นัท แถมบางส่วนยังพุ่งไปโดนเสื้อผ้าของพี่เขาอีกตังหาก

“พี่ ผม...ผมทำพี่เลอะ” ผมยังคงหอบอยู่ ความเสียวเมื่อกี้ยังแผ่ซ่านอยู่ที่ท้องน้อยผมอยู่เลย

พี่นัทยักคิ้วแล้วส่งยิ้มให้ เเขาดันผมนอนราบกับโซฟาอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มจูบ ไล้ลงมาเรื่อยจนถึงยอดอก มือก็เริ่มที่จะปลุกน้องชายผม จนมันตั้งเด่อีกครั้ง

“อะ…เอ่อ พี่นัท ผม...ผม”

“ให้พี่ช่วยอีกครั้งนะครับ”

พอพี่นัทพูดจบก็เริ่มทำทันที ส่วนผมก็ไม่คัดค้านหรือขัดขืนอะไรทั้งนั้น

พี่นัทกำรอบๆ คลึงและรูดขึ้นลงช้าๆ แล้วก็เร็วขึ้น ผมกำเสื้อพี่นัทแน่นจนแทบขาดติดมือ สะโพกก็เด้งสวนขึ้นไป ใช้เวลาไม่นานผมก็ปล่อยออกมา คราวนี้เลอะไปทั้งมือพี่นัท และตัวผมด้วย

“อือ! อา…แฮ่กๆ อึก”

ผมนอนแผ่ปล่อยให้พี่นัทเช็ดทำความสะอาดให้ ผมหมดแรงเมื่อปลดปล่อยความอัดอั้นไปถึงสองครั้งติดๆ และถึงแม้ว่าแอร์จะเย็น แต่พี่นัทก็กอดจนผมไม่รู้สึกหนาว อีกทั้งโซฟานี่ก็นุ่มมากทำให้หนังตาผมมันเริ่มหนัก ปรือปรอยจนลืมตาแทบไม่ขึ้น...แต่ไม่ได้ ผมต้องลงไปทำงานต่อ

ผมกระพริบตาถี่ๆ พยายามฝืนลืมตาขึ้นแต่ก็ได้ยินเสียงแผ่วๆ จากอีกฝ่าย



“หลับเถอะครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่นเดี๋ยวพี่จัดการเอง” แล้วก็ตามด้วยสัมผัสอุ่นๆ ตรงริมฝีปาก ผมอมยิ้มและหลับตาลง พลิกตัวหนีสัมผัสชื้นๆ ที่แตะแต้มอยู่ตรงริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยแล้วก็หลับไป...



เอ๊ะๆ แบบนี้เรียกว่าทำโทษรึเปล่านะ ทำไมตองหนึ่งดูชอบ 5555


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 6 : รางวัลของพี่นัท l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 07-08-2019 17:01:41
6 : รางวัลของพี่นัท


“อืม...” ผมบิดขี้เกียจไปมาบนที่นอนนุ่มใต้ผ้านวมผืนหนา รู้สึกสบายจนไม่อยากจะลุกไปนอน ต้องการที่จะนอนอยู่ตรงนี้ทั้งวัน แต่แล้วก็ต้องลืมตาโพรงขึ้นมาเมื่อระลึกได้ว่าก่อนที่ผมจะหลับไปนั้นมันเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง ภาพเหล่านั้นพากันผุดขึ้นมาในสมองแล้วความอายก็ตีขึ้นมาทันที

“ตองหนึ่ง ทำไมใจง่ายแบบนี้วะ” ผมทึ้งหัวตัวเอง นึกถึงสภาพตัวเองที่ไม่มีการขัดขืนใดใดทั้งสิ้น แถมยังเป็นฝ่ายขอให้พี่นัททำให้ นอกจากนั้นยังไม่พอดันเผลอหลับให้พี่เขาต้องตามล้างตามเช็ดให้อีก คิดแล้วอยากจะเขกกระโหลกตัวเองจริงๆ เลย  ทำไมตัวผมถึงได้หน้าด้านแบบนี้วะ

ผมด่างุ้งงิ้งเอาหัวโขกหมอนอยู่นานสองนานจนสงบสติได้แล้วผมก็มองหานาฬิกา ปรากฏว่าจะบ่ายสามอยู่แล้วเห็นแบบนั้นก็รีบลุกออกจากเตียงหยิบกางเกงกับผ้าคาดเอวมาใส่แล้วรีบวิ่งลงไปข้างล้าง ยิ่งมาเห็นว่าหน้าร้านตอนนี้คนเยอะขนาดไหนก็รู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ พี่นัทหันไปหันมาทั้งหยิบเค้ก ทำเครื่องดื่มและรับออเดอร์อีก เห็นแบบนั้นผมก็รีบปรี่ไปช่วยพี่นัททันที เขาส่งยิ้มให้ผม แววตาวาววับจนผมทำหน้าไม่ถูกแต่เรายังไม่มีเวลาพูดคุยกันมากนัก เพราะเขาก็ยุ่ง ส่วนผมนี่เดินเสิร์ฟจนขาขวิด จนอยากจะร่อนแก้วเสิร์ฟแทน แต่ถ้าทำแบบนั้นจริงพี่นัทได้กระทืบผมจริงๆ แน่ แหะแหะ

แต่มีลูกค้าเยอะแบบนี้ก็ดีอย่าง ผมไม่ต้องเผชิญหน้ากับพี่นัทสองต่อสอง ตอนนี้ยังไม่พร้อมเพราะยังทำใจรับตัวเองไม่ได้ ไปนอนให้เขารีดน้ำออก ทำตัวพี่เขาเลอะ แถมยังหนีไปหลับสบายไม่ช่วยเขาอีก คิดแล้วก็เอาถาดขึ้นฟาดหัวตัวเอง

“หึหึ เป็นอะไรไปครับ เหนื่อยเหรอ? ลูกค้าหมดแล้วไปพักหลังร้านก็ได้นะ” พี่นัทเห็นผมเอาถาดฟาดตัวเองแล้วเกรงว่าลูกค้าจะกลัวเลยให้ผมไปพัก ผมก็ไม่ขัดสิครับ ไหนๆ ก็ยังไม่มีลูกค้าใหม่เข้าร้าน

ผมพยักหน้าให้พี่หนึ่งแล้วเดินไปวางถาดที่เคาน์เตอร์ พี่นัทที่สตรีมนมอยู่เอื้อมมือมาขยี้หัวผมเล่นแล้วผมจะไม่ประหม่าเลยครับหากพี่แกไม่ลูบลงมาที่เอวผมด้วย คือเมื่อก่อนพี่นัทก็ทำแบบนี้บ่อยนะ ตอนนั้นผมก็ไม่คิดอะไร แต่ตอนนี้ผมคิดครับ คิดมากด้วย ผมเดินตัวแข็งมานั่งที่ม้านั่งหลังร้าน พยายามหายใจเข้า-ออกลึกๆ  เรียกสติกลับมาให้อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ยิ่งอยู่คนเดียวยิ่งฟุ้งซ่านถึงเรื่องเมื่อเช้า

ตองหนึ่งมึงทำไปได้ยังไง มึงทำไปได้ยังไง๊! ถึงมันจะรู้สึกดีมากแต่ก็ไม่ควรปล่อยให้เลยเถิดไปขนาดนั้นเลย แล้วต่อไปนี้จะเข้าหน้าเขาติดได้ยังไงล่ะผม

ระหว่างที่ผมกำลังนั่งบ้าอยู่นั้นก็มีสตรอว์เบอรี่ชอร์ตเค้กกับนมปั่นยื่นมาวางที่โต๊ะหินอ่อนข้างหน้าผม พอเงยหน้าขึ้นไปก็เจอพี่นัทเจ้าของรอยยิ้มหวานละมุนละไมเหมือนขนมปาตี้ที่ชอบกินตอนเด็กๆ

“พี่เอามาให้ครับ เมื่อเช้าเห็นกินขนมปังไปหน่อยเดียวเอง”

“ขอบ...ขอบคุณครับ” เสียงผมสั่นนิดๆ เพราะรู้สึกเขินสายตาที่พี่นัทมองผม มันไม่ได้เอ็นดูเหมือนเมื่อก่อน แต่นี่เขามองมาแล้วผมรู้สึกแปลกออกไป สายตาตอนนี้เหมือนสายตาที่เขามองผมเมื่อเช้าเลย…พอเลย ผมต้องเลิกคิดถึงเรื่องนั้นได้แล้ว เลิกๆ

ผมบอกตัวเองแบบนั้นและหันมาสนใจเค้กหน้าตาน่ากินตรงหน้า ก่อนจะใช้ส้อมจ้วงเค้กเนื้อนุ่มเข้าปาก...อืม นุ่มจริงครับ หวานตามด้วยเปรี้ยวปลายลิ้น อร่อยมากเลย ผมตักเข้าปากอีกคำใหญ่ๆ ทั้งที่ในปากก็ยังเคี้ยวไม่หมด อร่อยจนอดยิ้มไม่ได้เลย

“เมื่อเช้ารู้สึกดีมั้ยครับ?”

“ดีครับ...หือ อึก แค่กๆ...” ผมสำลักไอหน้าดำหน้าแดง คนตัวสูงที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เลยขยับเข้ามาช่วยลูบหลังลูบอกแล้วก็ส่งนมปั่นมาให้ กว่าจะไล่ก้อนเค้กลงท้องไปได้ผมนี่เกือบตาย พี่เขาถามอะไรออกมาเนี่ย เรื่องแบบนี้ใครเขาให้มาถามกัน ฮึ่ม!

พอเลิกสำลักได้ ผมก็มองหน้าพี่นัท อยากจะรู้จริงๆ ทำไมพี่แกถามเหมือนมันเป็นเรื่องปกติเลย เอ่อ...สำหรับเขาอาจจะปกติก็ได้ แต่สำหรับผมที่เพิ่งเคยจะโดนคนอื่นคั้นน้ำให้ครั้งแรกแบบนั้น มันน่าอายครับ!

“...ที่พี่ทำให้เมื่อเช้า ตองหนึ่งชอบมั้ย?” พอผมไม่ตอบพี่นัทก็เขยิบเข้ามาใกล้ ใช้มือโอบไหล่ผมแล้วดึงเข้าหาตัว

“...”

“ชอบมั้ยครับ?” พี่นัทถามย้ำพร้อมกับกระชับกอดให้แน่นขึ้น

“...” ผมหลุบตาลงก่อนจะตัดสินใจพยักหน้ากลับไป ถึงมันจะน่าอายหากถามจรงก็ต้องตอบว่า...ชอบมากๆ เลยครับ

“แล้ว...มีความสุขมั้ยครับ?”

“...” สุขสุดๆ เลยครับ ผมพยักหน้าหงึกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเม้มปากซ่อนแก้มร้อนของตัวเองไว้กับแผ่นอกของอีกฝ่าย

“งั้นเดี๋ยววันหลังพี่ทำให้อีกเนอะ โอเคมั้ยครับ?”

“...”

ผมหลับตา กัดปากตัวเองจนเจ็บ พี่เขาจะตรงไปไหน เรื่องแบบนี้อ้อมๆ บ้างก็ได้ผมจะเป็นลมครับ แล้วอย่าคิดว่าผมจะส่ายหน้าปฏิเสธ ผมนี่พยักหน้าจนคอแทบหัก...ก็แบบว่าคนอื่นทำให้แล้วมันดีกว่าเองคนเดียวนี่นา

“งั้นก่อนที่พี่จะกลับไปเฝ้าหน้าร้าน พี่ขอรางวัลของพี่หน่อยนะ”

“รางวัล...อะไรครับ” ผมช้อนตามองพี่นัทแล้วถามเสียงอู้อี้กับแผ่นอกของเขาเสียงเบา พี่นัทยิ้ม ดันตัวผมออกแล้วก็ประกบปากลง แถมยังสอดลิ้นเข้ามาด้านมาด้านใน ทำเอาผมเคลิ้ม ไม่อยากขัดขืนเลย เพราะจูบของพี่นัทอร่อยกว่าเค้กเสียอีก…

ไม่นานพี่นัทก็ผละออก เขาไล้ปลายนิ้วไปตามริมฝีปากล่างของผม ผมเม้มปากแล้วหลบตา ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาแผ่วๆ พอหันกลับไปไปมองเขาก็ก้มลงมาหอมแก้มผมก่อนจะตอบกลับมา

“หนึ่งไงครับ รางวัลของพี่”

“พี่นัท...” เขินจนแทบจะมุดดินหนีเลยทีเดียวครับ



หลังจากเก็บร้านเสร็จผมก็กำลังเก็บของเตรียมตัวกลับห้องในเวลาสามทุ่มครึ่ง ทุกทีหลังเลิกงานผมนี่ง่วงจนแทบจะคลานกลับ แต่เมื่อกลางวันผมนอนไปซะเต็มอิ่มเลย แล้วคิดว่าคืนนี้ผมคงนอนไม่หลับแน่ๆ

“พี่ว่าเหมือนฝนจะตกเลยนะ คืนนี้ค้างที่นี่ดีมั้ย?” พี่นัทที่ยืนดูผมเก็บของมาได้ซักพักนึงพูดขึ้น เขามองออกไปหน้าร้าน ดูท้องฟ้าครึ้มและลมที่พัดแรงเหมือนกับว่าฝนกำลังจะตก

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมเดินแป๊ปเดียวก็ถึงห้องผมแล้ว” ผมตอบกลับไปไม่เต็มเสียงมากนัก เพราะดูจากท่าที รอยยิ้มและสายตาของพี่นัทตอนนี้แล้ว ถ้าผมค้างที่ร้าน ผมคงจะไม่ได้นอน...

“เมื่อเช้าใครบอกพี่ว่าจะเริ่มทำงานตั้งแต่เที่ยงคืนก็ได้...นี่ไงครับ อีกแค่สามชั่วโมงก็จะเที่ยงคืนแล้ว รออยู่ทำงานเลยดีกว่า”

“...”

ผมหันไปมองพี่นัทแบบเหวอๆ นี่คือพี่เขาเอาจริงดิ ให้ผมทำงานเที่ยงคืนจริงอ่ะ ผมเริ่มหน้าเสียเพราะคำพูดที่ตัวเองพร่ำออกไปตอนสติไม่อยู่กับตัว

“แต่ขึ้นไปทำบนห้องพี่นะครับ อยากให้ทำความสะอาดเตียงให้พี่หน่อย” พี่นัทพูดด้วยท่าทีกรุ้มกริ่ม ดูแล้วไม่น่าไว้วางใจสุด “หรือว่าจะช่วยกันทำที่โซฟาแบบเมื่อเช้าดีน๊า~”

“พี่นัทครับ!” เพราะตกใจ อีกทั้งสมองก็นึกถึงเหตุการณ์บนโซฟานั่นทำให้ผมเผลอตะเบ็งเสียงใส่เขาไป พอรู้ตัวว่าเสียงดังก็รับผงกหัวขอโทษ แต่พี่แกก็แค่หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี มีแต่ผมก้มหน้ามองเท้าตัวเองรู้สึกอายจนอยากมุมหนี อุตส่าห์เลิกคิดไปแล้ว แต่พี่แกก็ยังจะขุดขึ้นมาพูดอยู่ได้

“หนึ่งไม่อยากอยู่กับพี่เหรอ” พี่นัทใช่แขนสองข้างเท้าคางพร้อมมองมาที่ผมด้วยแววตาท่าทางหงอยๆ  ผมเองก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะดูก็รู้ว่าเขาแกล้งทำ

“ตอนนี้ยังไม่อยากครับ...ผมต้องไปแล้ว สวัสดีครับ” ผมรีบบอกลาแล้วก็เดินออกมา ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งโดนพี่นัทรั้ง ผมต้องรีบกลับก่อนที่ฝนจะตกลงมาแล้วต้องนอนที่ร้านจริงๆ

“ก็ได้ ไม่นอนที่นี่ก็ได้ แต่...พี่ขอเดินไปส่งนะครับ” พี่นัทเดินตามมากอดคอผมแล้วพูดเสียงระรื่น ผมเหลือบมองแล้วพยักหน้านิดหน่อย มีคนเดินกลับเป็นเพื่อนก็ดีครับ ผมไม่ต้องกลัวผี แหะแหะ

พี่นัทเดินมาส่งจนถึงหน้าแมนชั่นที่ผมอยู่ แต่เขาก็บ่นว่าอยากเข้าห้องน้ำมาตั้งแต่ครึ่งทาง พอบอกให้กลับไปเข้าที่ร้านไม่ต้องไปส่งผมแล้ว แกก็ไม่ยอม ถ้าเป็นนิ่วขึ้นมานี่ผมไม่รับผิดชอบด้วย สุดท้ายเขาก็เลยขอขึ้นมาเข้าห้องน้ำที่ห้องผมเพราะรอกลับไปเข้าที่ร้านไม่ไหว

“ขอรบกวนด้วยนะครับ”  หลังจากผมเสียบคีย์การ์ดปลดล็อคห้องเสร็จ พี่แกก็พูดขออนุญาตแล้วรีบดิ่งไปที่ห้องน้ำทันที ผมหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้กับท่าทางแบบนั้นของเขา

ระหว่างที่พี่นัทเข้าห้องน้ำผมก็เตรียมเสื้อผ้า กะว่าพอลงไปส่งพี่พี่นัทเสร็จจะขึ้นมาอาบน้ำแล้วเข้านอนเลย ถึงไม่ง่วงก็ต้องนอนก่อนแหละครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นไปทำงานไม่ไหว

“หนึ่งจะอาบน้ำแล้วเหรอครับ” พี่นัทเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วเห็นผมหยิบผ้าขนหนูพอดีเลยถาม

“ครับ แต่เดี๋ยวลงไปส่งพี่นัทก่อน”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ลงไปคนเดียว หนึ่งจะได้ไม่ต้องเดินเยอะ ไม่ต้องลงไปส่งพี่หรอกครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ดันผมเข้าห้องน้ำไป ถึงแม้ว่าจะดูน่าสงสัยไปบ้างแต่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

“ก็ได้ครับ งั้น...เจอกันพรุ่งนี้นะครับ” ผมยกมือไหว้เล็กน้อย พี่นัทก็ยิ้มให้โบกมือบ๊ายบายแล้วก็ปิดประตูห้องน้ำให้ ผมแอบยืนฟังอยู่พักนึง พอได้ยินเสียงเปิด-ปิดประตูแล้วก็เสียงล็อคกลอน ผมก็หันกลับมาถอดเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ

 

พี่นัท’s part

ผมแสร้งทำเป็นล็อคกลอนปิดประตูทั้งๆ ที่ตัวผมยังยืนอยู่ในห้องไม่ได้ออกไปไหน เงี่ยหูฟังอยู่หน้าห้องน้ำจนได้ยินเสียงว่าตองหนึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ก็เข้าไปเปิดแอร์ปิดไฟแล้วก็มานั่งรอที่เตียงของเขา...ผมรู้ว่าทำแบบนี้มันไม่ดี แต่แหม~ เห็นใจผมหน่อยสิครับ ตอนนี้มันดึกมากๆ แล้ว ทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยจะตาย แถมฝนก็ลงเม็ดปรอยๆ มาแล้วด้วย ผมเดินกลับไม่ไหวหรอกครับ นอนนี่แหละ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วครับ เนอะ~

ผมคลุมผ้านอนรออยู่ที่เตียงไม่นาน เจ้าเตี้ยก็ออกมาจากห้องน้ำ กลิ่นสบู่หอมๆ ลอยมาเข้าจมูก

หอมจัง ยิ่งหอมยิ่งอยากกิน...

“ทั้งเปิดแอร์ทั้งปิดไฟให้เลยแหะ”

ไม่ใช่แค่เปิดแอร์ปิดไฟให้นะครับ พี่ยังเตรียมตัวเป็นหมอนข้างเกรดพรีเมี่ยมให้ตองหนึ่งนอนกอดด้วยนะ เสียสละแค่ไหนคิดดูสิครับ

ผมมองผ่านความมืดไปที่ตัวเล็กที่กำลังตากผ้าขนหนูพร้อมกับฮัมเพลงแล้วโยกหัวไปด้วย ดูแล้วน่ารักจริงๆ อยากได้ไปไว้ที่บ้านอ่ะ! ผมอมยิ้มมองคนตัวเล็กที่เดินคลำทางในความมืดมาที่เตียง เขาแทรกกายลงใต้ผ้าห่ม แล้วก็เขยิบมานอนตรงกลางเตียงใกล้ๆ กับผม

เขานอนนิ่งๆ จนผมอยากจะขมวดคิ้วแทน...นี่เจ้าเตี้ยไม่รู้สึกเอะใจหรือไม่รู้เลยจริงๆ เหรอว่ามีคนนอนอยู่บนเตียงด้วย แบบนี้อันตรายมากเลยนะครับ ถ้าผมเป็นคนอื่นจะทำยังไงล่ะ เขาคงจับกินจนเหลือแต่กระดูกไปแล้วมั้ง ไม่ได้การละ ต้องอบรมกันซักหน่อย คิดแบบนั้นผมก็แกล้งสอดมือไปที่เอวแล้วก็ดึงเข้าหาตัวเอง

“เฮ้ย!”

ตุ๊บ!

ตองหนึ่งร้องตกใจเสียงดังตามมาด้วยเสียงของหลังผมที่กระแทกกับพื้น ผมงอตัวเพราะทั้งเจ็บและจุก ตัวเล็กกว่าผมตั้งครึ่งแต่ทำไมมีแรงเยอะจนผลักผมตกเตียงได้ขนาดนี้วะ

“โอ๊ย! ตองหนึ่งผลักพี่ทำไมครับ เจ็บนะ”

“...”

เงียบ...สงสัยจะยังคงตกใจอยู่ ผมค่อยๆ พลุงตัวเดินคลำทางไปเปิดไฟแล้วก็มองมาที่เตียง ก็เห็นท่าตองหนึ่งที่จับผ้าห่มแน่น หน้าตาดูตกใจและกลัวเล็กน้อยและขาข้างขวาที่ยกค้างไว้กลางอากาศ

อืม เมื่อกี้เขาไม่ได้ผลัก แต่เป็นถีบผมลงมา…

“พ...พี่นัท” ตองหนึ่งมองมาที่ผมตื่นๆ เรียกด้วยเสียงสั่นๆ  ทั้งขดตัว ทั้งมือกำผ้าห่มแน่น ท่าทางเหมือนลูกแมวที่ม้วนหางจนผมอยากจะเข้าไปกอดปลอบขวัญ

“ก็พี่นะสิครับ ทำไมต้องถีบพี่ด้วยล่ะ” ผมเดินไปนั่งบนเตียงแล้วดึงตองหนึ่งขึ้นมานั่งตักพร้อมลูบผมไปด้วย ผมนุ่มๆ หัวกลมทุยๆ  ลูบแล้วมันเพลินมือดีจริง

“...ทำไมพี่ไม่กลับไปล่ะครับ” นั่งให้ผมลูบอยู่สักพักแล้วก็รีบดันผมออก ดูท่าแล้วคงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ ผมหัวเราะกับท่าทางซื่อของเขา

“มันดึกแล้ว พี่ง่วงมาก” ผมล้มตัวลงนอน แล้วก็ดึงผ้าห่มมาคลุมด้วย ถ้าเขาอยากให้ผมกลับก็ต้องลากออกไปแล้วแหละครับ

“พี่ก็กลับไปนอนห้องพี่สิครับ เดินแค่แปปเดียวเอง” หนึ่งดึงผ้าห่มที่คลุมหน้าผมออก คิ้วเล็กนั่นขมวดมุ่นอย่างน่าเอ็นดู

“ทางมันเปลี่ยวพี่ไม่กล้าเดินคนเดียว แถมฝนก็ตกแล้วด้วย ให้พี่นอนด้วยคืนนึงนะ” ผมลุกขึ้นนั่งแล้วก็ยิ้มออดอ้อนให้ ยิ้มอย่างเดียวครับตอนนี้ยิ้มเท่านั้นที่จะทำให้ได้ครองตองหนึ่ง หึหึ

“ก็...ได้ครับ” ตองหนึ่งเม้มปากนั่งคิดอยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะยอมตอบตกลง เขาถอนกายใจเล็กน้อยแล้วก็เป็นฝ่ายขยับตัวขึ้นไปปิดไฟ ผมหัวเราะเพราะเห็นเขามองมาทางผมอีกครั้งก่นอจะรีบหันหนี พร้อมทั้งยกมือขึ้นกุมแก้มแดงๆ ของตัวเองเอาไว้ น่ารักจริงๆ เลย  ผมนอนยิ้มมองคนตัวเล็กมีกลิ่นหอม กำลังล้มตัวนอนบนเตียงข้างๆ กันแบบนี้ผมแล้วอยากจะดึงเข้ามาฟัดให้ขาดใจ...แต่ก็ทำไม่ได้ วันนี้ผมทำให้เขาตกใจมากพอแล้ว

เอาวะ...ไม่ได้ฟัดแต่ขอนอนกอดอย่างเดียวก็ชื่นให้ล่ะ พี่ขอเอาเปรียบนิดนึงนะครับตองหนึ่ง ถือเป็นรางวัลที่พี่อดทนนะ ผมขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ แล้วก็กอดเบาๆ ตองหนึ่งสะดุ้งเล็กน้อยแต่เขากลับไม่ขัดขืนผมเลยแม่แต่น้อย

“ไม่ต้องกอดไม่ได้เหรอครับ” เขาหันมาถามผมตาแป๋ว ผมมองแล้วก็ยิ้ม อยากจะฟัดแก้ม

“คืนนี้ฝนตกทำให้อากาศเย็น แอร์ก็หนาว กอดกันจะได้อุ่นๆ ไงครับ”

“แต่ผมไม่หนาว” ยังจะเถียงอีก

“อากาศเย็นเดี๋ยวถ้าหนึ่งไม่สบาย เจ็บคอ กินเค้กไม่อร่อยนะครับ”

“...” หนึ่งทำท่าจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็ไม่พูด แล้วก็หันกลับไปนอนผมก็กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น ไม่นานก็ได้ยินเสียงกรนเบาๆ  นอนกรนด้วยอ่ะ น่ารักดี

ผมจูบเบาๆ ที่ขมับกะว่าจะหยุดแค่นั้นแต่เห็นแก้มกลมๆ แล้วอดใจไม่ไหวจนต้องหอมไปฟอดนึงเบาๆ ให้ชื่นใจ


“ไปเจอกันในฝันนะครับ”





เริ่มสงสารตองหนึ่งที่โดนคนเจ้าเล่ห์หลอกแทะหลอกเล็มอยู่ตลอด 5555

และขอบอกไว้เลยนะคะ ว่าพี่นัทอ่ะ ไม่ใจดีละมุนละไมเหมือนรอยยิ้มหรอกนะคะ

รอติดตามกันนะคะว่าตองหนึ่งจะโดนพี่นัทหลอกลวนลามแบบใหนอีก เรื่องหลอกเด็กอ่ะ พี่นัทถนัดนัก



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 6 : รางวัลของพี่นัท l 07-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-08-2019 22:00:26
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 7 : เด็กลามก l 09-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 09-08-2019 18:27:58
7 : เด็กลามก


ผมตื่นมาในตอนเช้าก็ไม่เจอพี่นัทแล้ว ผมอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเพราะนึกว่าเราจะเดินไปร้านพร้อมกันเสียอีก นี่อะไรกัน ถ้าจะกลับไปก่อนก็น่าจะปลุกผมหน่อย...ผมไม่ได้น้อยใจหรืออะไรเลยนะครับ ก็แค่...แบบว่าอยากให้บอกนิดนึง…

ผมส่ายหัวไปมา พยายามเลิกคิดเรื่องพี่นัทแล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูพาดบ่าเตรียมตัวจะอาบน้ำ แต่ประตูห้องก็เปิดเข้ามาซะก่อน

“อ้าว ตื่นแล้วเหรอครับ” พี่นัทเดินยิ้มเข้ามาแล้วจุ๊บที่ปากผมเบาๆ  จากนั้นก็วางคีย์การ์ดห้องผมลงบนโต๊ะ ผมนี่มองตามพี่นัทไปเลย มาจุ๊บผมเรื่องอะไรอ่ะ ผมยังไม่ได้แปรงฟันเลยนะ...ผมอายขี้ฟันตัวเองอ่ะ

“...”

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ ก็ morning kiss ไงหรืออยากได้ที” พี่นัททำท่าจะเดินเข้ามาทำอีกจนผมต้องร้องห้ามทันที แค่จุ๊บเดียวผมก็เขินจะแย่แล้วครับ

“ไม่เป็นไรครับ เอ่อ...แล้วพี่ไปไหนมาครับ”

พี่นัทยิ้มแล้วก็ชูแปรงสีฟันในมือ เขาแค่ลงไปซื้อของใช้นี่เอง จู่ๆ ผมก็รู้สึกดีใจขึ้นมา อารมณ์ไม่พอใจในตอนแรกหายไปทันที...ไม่ได้น้อยใจครับ ก็แค่ไม่ชอบที่พี่นัทกลับไปแล้วไม่บอกแค่นั้นเอง

“หนึ่งกำลังจะอาบน้ำเหรอ ให้พี่อาบด้วยเลยมั้ย อาบพร้อมกันจะได้ประหยัดเวลา” ไม่รอให้ผมตอบ พี่แกก็เริ่มถอดเสื้อ ตามด้วยจะปลดกระดุมกางเกงจนผมตั้งตัวไม่ถูก

“เฮ้ย! พี่นัท ไม่เป็นไร” ผมโบกไม้โบกมือปฏิเสธ แต่พี่แกก็ไม่ได้ฟังผมเลย ทำท่าจะถกกางเกงลงจนผมต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำมาก่อนที่จะได้ยินเสียงหัวเราะร่วนของอีกฝ่ายตามมา แบบนี้แสดงว่าผมโดนแกล้งอีกแล้วสินะ หัวเราะไปเถอะ ซักวันผมจะแกล้งคืนบ้าง จะเอาให้พี่เขาหัวเราะไม่ออกเลย

ใช้เวลาไม่นานผมก็อาบน้ำทำธุระส่วนตัวจนเสร็จ แต่ยังไม่กล้าออกไปเพราะผมไม่ได้เอาชุดเข้ามาเปลี่ยนด้วย ปกติผมอยู่ห้องคนเดียวก็แค่นุ่งผ้าขนหนูออกไปแต่งตัวด้านนอก แต่หากวันนี้ออกในสภาพแบบนั้นคงโดนพี่นัทแกล้งตายเลย ผมไม่พร้อมที่จะโดนแกล้งในสภาพที่มีผ้าผืนเดียวติดตัวหรอกครับ เขายิ่งชอบแกล้งอะไรแปลกๆ อยู่ด้วย ยอมใส่ชุดนอนออกไปก่อนดีกว่า

ผมค่อยๆ เปิดประตูห้องน้ำออกไป เห็นพี่นัทนั่งเปลือยท่อนบนดูทีวีอยู่บนเตียง รูปร่างของเขาทำให้หน้าผมร้อนขึ้นมา เพราะเพิ่งจะสังเกตุว่าเขามีกล้ามด้วย ไม่ได้ใหญ่บึ๊ก แต่ก็พอมีให้น่าดู….หุ่นดีเลยทีเดียว

“อ้าว ทำไมใส่ชุดเก่าออกมาล่ะครับ พี่อุตส่าห์รอดูหนึ่งในชุดผ้าขนหนูผืนเดียวอยู่นะเนี่ย”

เขาพูดพลางทำหน้าทะเล้น ยักคิ้วหลิ่วตาใส่ผม นั่นไงล่ะ ถ้าผมนุ่งแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวออกมาต้องโดนแกล้งแน่ๆ

“พี่นัทไม่ไปอาบน้ำเหรอครับ เมื่อคืนพี่ก็ไม่ได้อาบ...ตัวเหม็น” ผมพูดแล้วก็เดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า หาชุดที่จะใส่วันนี้ ผมหันมองคนตัวสูงเล็กน้อยเมื่อเขาเดินเข้ามาพิงตู้เสื้อผ้าแล้วมองหน้าผม

“พี่ตัวเหม็นเหรอ?”

“...ครับ” ผมเม้มปากแล้วพยักหน้าไปแกนๆ  ทำเป็นไม่สนใจแผงอกล่ำกระแทกตาแล้วหันมาเลือกเสื้อผ้าต่อ

“หนึ่งคิดว่าตัวพี่เหม็นจริงๆ เหรอครับ?” เขาถามแล้วขยับเข้ามาใกล้จนผมทำท่าจะถอยหลังหนี แต่ก็โดนเขาดึงข้อมือเอาไว้ พี่นัทอมยิ้มก้มลงมาหาเหมือนกับว่าจะให้ดมตัวเขาให้ได้เลย

“พ...พี่ไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวไปทำงานสาย อื้อ” ผมดันตัวออก พี่นัทหัวเราะก้มลงมาใกล้กว่าเดิมแล้วมองตา ผมกลืนน้ำลายช้าๆ เมื่อเขาเคลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้กว่าเดิมจนปลายจมูกของเขาคลอเคลียอยู่ที่แก้มของผม

“จะกลัวไปสายทำไมครับ เจ้าของร้านอยู่ตรงนี้ อืม...หอมจัง”

พี่นัทก้มลงมาหอมแก้มผมแล้วก็พูดชม ผมได้แต่หันหน้าหนีไปอีกทางแต่มันก็เหมือนเหมือนเปิดโอกาสให้เขาหอมอีกข้างไปด้วย เขาขยับออกเล็กน้อยแล้วส่งยิ้มให้ ผมสบตากับพี่นัทเล็กน้อยแล้วเม้มปากก่อนจะก้มหน้าลง…ไม่ใช่ว่าไม่ชอบแต่ผมเขิน ทำตัวไม่ถูก ความร้อนกระจายไปทั่วแก้ม แล้วก็รู้สึกจั๊กจี้ในใจด้วย

“ถ้าพี่ไม่ปล่อย ผมจะกัดนะครับ” จะกัดให้เนื้อหลุดเลย ผมพูดขู่ออกไปเมื่อเขาบีบแก้มผมเล่น

“ดุจัง พันธ์อะไรเนี่ย” พี่นัทหัวเราะและยอมขยับออกไป แต่ก็ไม่วายเอานิ้วยื่นมาตรงหน้าผม เดี๋ยวก็กัดจริงๆ ซะเลยนี่

“เมื่อไรพี่จะไปอาบน้ำครับ”

“ก็พี่หาผ้าเช็ดตัวไม่เจอนี่”

“เอ่อ...ผมมีผืนเดียวครับ อีกผันมันเป็นผ้าเช็ดผม ผืนเล็กนิดเดียวเอง”

“ถ้าไม่มีจริงๆ  พี่เดินโป๊เข้าห้องน้ำก็ได้” พี่นัทพูดแล้วก็ทำท่าจะถอดกางเกงจริงๆ จนผมต้องรีบห้ามเอาไว้

“อ๊ะ! อย่านะครับ อ่า...พี่ใช้ของผมได้มั้ย แต่มันจะชื้นนิดหน่อยนะ” ผมรีบยื่นผ้าขนหนูชื้นๆ ของผมให้

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา” พี่นัทรับผ้าขนหนูไปพาดที่บ่า เขามองหน้าผมเล็กน้อยก่อนจะดึงกางเกงลงอย่างรวดเร็ว ผมตกใจรีบหันหลังหนี แต่ก็ได้ยินเสียงคนช่างแกล้งหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ทะ...ทำไมพี่ไม่ไปถอดในห้องน้ำล่ะครับ!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า จะอายทำไมครับ ของพี่ก็เหมือนของหนึ่งนั่นแหละ หันมาดูเร็วครับ”

“ไม่!”

“หึ หันมาเถอะน่า พี่ไม่ได้โป๊แล้ว”

ผมยกมือขึ้นมาปิดตาแล้วค่อยๆ หันไป พอเห็นพี่นัทเอาผ้ามาผูกที่สะโพกเรียบร้อยแล้วก็ลดมือลง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งออก เขายิ้มขำยกมือขึ้นกอดอกแล้วลูบคางตัวเอง ก้มหน้ามองเป้าของเขาแล้วสักพักก็เงยหน้าขึ้นมาที่เป้าของผม จนต้องยกมือขึ้นมาปิด

“พี่มองอะไรของพี่!”

“อืม...พี่ว่ามันก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ขนาดของเรา…ก็ต่างกันมากอยู่เนอะ~”

ว่าแล้วก็เดินผิวปากเข้าห้องน้ำไป ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างกับถ้อยคำดูถูกนั้น กว่าจะรู้ตัวว่าต้องโวยวายก็ตอนที่ได้ยินเสียงเขาเปิดน้ำแล้ว

“ผมไม่เชื่อ!”

เฮอะ! ขนาดต่างกันมากอะไรล่ะ เขาพูดเกินจริงแน่ๆ และผมจะไม่เชื่อจนกว่าจะเห็นกับตาตัวเอง ของเขามันจะใหญ่แค่ไหนกันเชียว มาทำเป็นพูดดี หึ!

 

“ผมขอแวะร้านสะดวกซื้อก่อนนะครับ” หลังจากผ่านเหตุการณ์น่าปวดหัวในช่วงเช้าไปได้ ผมกับพี่นัทก็เดินไปที่ร้านด้วยกัน แต่ผมจะเข้าร้านสะดวกซื้อเป็นประจำทุกวันเพราะต้องซื้อนมและขนมปังกินเป็นอาหารเช้าระหว่างเดินไปทำงาน

“ไม่ต้องซื้อหรอกครับ วันนั้นที่พี่ลองชิมพี่ว่าไม่อร่อยอ่ะ” เขาคงหมายวันที่พี่ดูดมือผมตอนนั้นแน่ๆ แค่นึกถึงผมก็รู้สึกร้อนวูบวาบที่หลังมือขึ้นมาซะงั้น

“...แล้วอาหารเช้าของผม?” ผมเอียงคอถาม ตอนนี้พี่นัทลากผมเดินผ่านร้านสะดวกซื้อมาแล้ว

“เดี๋ยวพี่ทำให้กินเองครับ ทุกเช้าเลยด้วย ดีมั้ยครับ?”

“ดีครับ!” ผมตอบรับเต็มเสียง เรียกเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายได้ดี เขาถามมาแบบนั้นผมก็ต้องรีบตอบ ไม่ต้องเสียเวลาคิดมากหรอกครับ ขนมโฮมเมดฝีมือพี่นัท อร่อยกว่าขนมปังโรงงานแน่นอน

เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนถึงร้าน พี่นัทก็ขอตัวขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ ส่วนผมก็เริ่มกวาดพื้นอยู่ในครัว วันนี้ผมไม่มีผลไม้ให้ล้างให้ปอก เพราะพี่นัทไม่ได้ไปตลาด

“หนึ่งอยากกินอะไรครับ เดี๋ยวพี่ทำให้” พี่นัทเดินผูกผ้าคาดเอวลงมาพร้อมกับถามผม ผมนั่งคิดอยู่ซักพัก แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากกินอะไร

“อะไรก็ได้ครับ”

“ไม่ต้องเกรงใจ บอกมาเถอะว่าอยากกินอะไร ถ้ามีวัตถุดิบพี่ก็ทำให้ได้” พี่นัทเดินเข้ามาดีดหน้าผากผมไปหนึ่งทีเพราะคิกว่าผมเกรงใจไม่กล้าขอ

“ก็ผมไม่รู้ว่าอยากกินอะไรจริงๆ  รู้แค่ว่าอยากกินขนมที่พี่นัททำครับ” พอผมพูดแบบนั้นพี่นัทที่กำลังหยิบอุปกรณ์ทำขนมปังก็ชะงักแล้วก็หันมามอง ผมเลยตั้งใจส่งยิ้มหวานไปให้ ก็พี่เขาอุตส่าห์จะทำขนมให้กิน ก็ต้องยิ้มเอาใจหน่อย

พี่นัทนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาคอแล้วยิ้มพร้อมกับหัวเราะพลางก้มลงไปจัดการของต่อ

“เอ้อ~ วันนี้ไม่มีผลไม้เลยแฮะ ทำพวกขนมอบดีกว่าเนอะ”

พี่นัทบ่นพึมพำไปมาแต่ใบหูของพี่นัทแดงแจ๋เลยครับ ดูเหมือนว่าเขากำลังเขินผมอยู่เลย รู้สึกดียังไม่รู้แฮะที่เห็นเขามีท่าทีแบบนั้น แต่ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าผมไปทำอะไรให้เขาเขิน ก็แค่ยิ้มให้เอง

ผมยืนมองพี่นัทซักพักนึงก็ไปหยิบกล้องมาถ่ายเล่น  ถ่ายจนไม่รู้จะถ่ายอะไรแล้วก็เลยเปิดดูรูปภาพ จะว่าไปแล้วรูปในกล้องผม ส่วนใหญ่จะมีรูปพี่นัทมากกว่ารูปขนมอีก...คงต้องลบทิ้งบ้างซะแล้ว เดี๋ยวเมมเต็ม

“หนึ่งครับ หนึ่งออกไปทำความสะอาดหน้าร้านเลยก็ได้ครับ เดี๋ยวขนมเสร็จแล้วพี่เรียก”

“ได้ครับ”  ผมเอากล้องไปเก็บ ผูกผ้าคาดเอวแล้วก็เดินออกไปหน้าร้าน เริ่มกวาดพื้นจากด้านในไปด้านนอก ทำความสะอาดเสร็จก็รดน้ำต้นไม้ ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าทุกอย่างก็เรียบร้อย พอเห็นว่าหน้าร้านไม่มีอะไรทำก็เลยกะว่าจะเดินเข้าไปหาพี่นัทในครัว เผื่อว่าเขาจะมีอะไรให้ผมช่วย

ผมเปิดประตูกระจกเข้าไป กลิ่นหอมๆ ของขนมปังอบก็ลอยเข้ามาปะทะจมูกให้ท้องไส้ผมส่งเสียงร้องทันที อา...หอมมากเลย ผมเดินหลับตาตามกลิ่นเข้าไปในครัว จนไม่ได้ระวังจนกับพี่นัทที่มายืนอยู่นิ่งๆ

“เป็นอะไรครับ แล้วเดินหลับตาทำไม พี่ยืนอยู่เฉยๆ  หนึ่งก็มาชน”

“...แหะๆ” ผมยิ้มเขิน สาเหตุที่ผมหลับตาก็เพราะว่าเล่นพิเรนท์ทำตามการ์ตูน แบบที่หลับตาแล้วใช้จมูกดมตามอาหารกลิ่นไป แต่ผมก็แค่ยิ้งบางๆ ให้พี่นัท  ไม่กล้าบอกว่าผมเล่นอะไรปัญญาอ่อนแบบนั้นเดี๋ยวโดนเขาดุเอา

“รอพี่ครู่หนึ่งนะครับ เดี๋ยวพี่ทำนมสดให้”

พี่นัทเดินเข้าไปหลังเคาน์เตอร์หน้าร้าน ผมยืนเท้าคางมองดูพี่นัททำนมสดกับกาแฟดำอย่างคล่องแคล่ว ไม่นาน นมอุ่นๆ ก็วางลงบนเคาน์เตอร์ด้านหน้าผม

“ไปกินด้วยกันในครัวดีกว่าเนอะ”

“ครับ” ผมอมยิ้มเดินถือแก้วนมอุ่นๆ ตามหลังพี่นัทไป พอเห็นขนมปังน่าตาน่ากินอยู่บนโต๊ะก็ยิ้มกว้าง ขนมปังที่ยังมีควันกรุ่นๆ วางเรียงอยู่บนตะแกรง นี่ถ้ากินขนมอบใหม่แบบนี้ทุกวันจะเป็นพระคุณมากๆ เลย

“เป็นไง ดูดีใช่มั้ย?” พี่นัทถามยิ้มๆ ใช้ที่คีบหยิบขนมปังสองสามก้อนเรียงใส่จานแล้วดันมาให้ผม

“น่ากินมากครับ กลิ่นก็หอม หอมไปถึงหน้าร้านนู้นแหนะ...ผมกินเลยนะครับ” ผมหยิบขนมปังขึ้นมา เป่าเพียงเล็กน้อยก็อ้าปากเตรียมจะงับ แต่พี่นัทก็จับแขนแล้วห้ามเอาไว้

“เดี๋ยวสิครับ อย่าใจร้อน” พี่เขาส่ายหน้า แย่งขนมปังในมือผมไปวางในจานที่ที่เดิม ผมนี่มองตามตาละห้อยเลย

“ทำไมครับ ผมหิว” หิวมากด้วย

“จะกินขนมของพี่ก็ต้องจ่ายมาก่อนสิ” พี่นัทแบมือมาข้างหน้าผม แล้วก็กระดิกนิ้วเหมือนเรียกเก็บตังค์

“อ้าว…” ผมเหวอไปเลย เพราะนึกว่าจะให้กินฟรีเสียอีก ผมรีบลุกขึ้นจะไปเอาเงินมาจ่ายให้พี่นัท แต่ก็ถูกดึงให้กลับไปอยู่ที่เดิม ผมเงยหน้ามองเขาอย่างไม่เข้าใจ

“พี่ไม่อยากได้เงินนะครับ”

“…”

พี่นัทพูดแล้วยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์ชอบกล แต่ผมที่ไม่ได้เอะใจอะไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี และเขาก็ไม่ปล่อยให้ผมงงนาน พี่นัทจับท้ายทอยผมเอาไว้แล้วก็จก้มลงมาหา ริมฝีปากเราประกบกันเบาๆ แล้วเขาก็ผละออกไปส่งยิ้มจนตาหยีให้ ผมมองแล้วก็อมยิ้มตามนิดๆ

“พี่อยากได้หนึ่ง...” พูดจบก็ประกบริมฝีปากลงมาใหม่ ผมไม่ได้ตกใจ แถมเป็นฝ่ายยอมอ้าปากให้พี่นัทส่งลิ้นเข้ามาได้ง่ายเพราะรู้ดีว่าจูบมันรู้สึกดีขนาดไหน...

อืม จูบครั้งนี้ก็รู้สึกดี มีกลิ่นเนยหวานๆ ในปากพี่นัทด้วย ผมขยับปากเพราะยิ่งลิ้นเราสัมผัสกันก็ยิ่งรู้สึกเหมือนว่าผมได้รสหวานๆ จากริมฝีปากเขามากขึ้น...รสชาติหวานๆ แบบนี้เหมือนผมกำลังกินขนมอยู่เลย

“อร่อย…” หลังจากเขาถอนจูบออก ผมก็หลุดพูดออกไป พี่นัทหัวเราะ รั้งตัวผมให้เข้าไปแนบชิดแล้วจูบลงมาอีกครั้ง ผมดันตัวเขาออกเพราะรู้สึกเกะกะแว่นที่มันดั้งจมูกจนต้องเป็นคนถอดแว่นไปวางไว้ด้านหลังซะเอง

“ไม่ชอบเเว่นพี่เหรอครับ”

“มันเกะกะ” ผมบอกเสียงเรียบแล้วก็ดึงพี่นัทลงมาจูบอีก ผมรู้สึกดีที่ได้จูบ รู้สึกดีกว่าได้กินเค้ก ปากพี่นัทนุ่ม อุ่นๆ ยิ่งจูบก็ยิ่งหวาน ผมชอบเวลาที่ลิ้นพี่นัทเข้ามาในปากผม เกี่ยวดูดพันกับลิ้นของผม ไร้ไปตามเพดานปากทำให้รู้สึกจักจี้นิดๆ  มันทำให้ผมรู้สึกดีมาก ผมพยายามที่จะส่งลิ้นเข้าไปในปากพี่นัทหลายครั้ง แต่พี่นัทก็จะใช้ลิ้นเขาดันลิ้นผมออกมาทุกที ผมแค่อยากให้พี่นัทรู้สึกดีเหมือนที่ผมรู้บ้าง

พี่นัทจูบ สลับไล้เลียและดูดกลีบปากผมไปด้วย ทำให้บางครั้งก็เกิดเสียง แรกๆ ผมคิดว่าเสียงนั้นมันน่าอาย แต่ไปๆ มาๆ ทุกครั้งที่ได้ยินทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นจนอยากได้ยินอีก

ในตอนแรกมือผมกอดเอวพี่นัทไว้หลวมๆ แต่ตอนนี้มือของไปคล้องคอเขาไว้ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และมือพี่นัทที่จับอยู่ที่ท้ายทอยและลำคอของผมนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนลงมาที่เอว ลูบไปสะโพกและเลื่อนต่ำลงไปที่ต้นขา ผมครางในลำคอเมื่อพี่นัทขยำช่วงต้นขาเบาๆ แล้วก็แรงขึ้นจนผมเสียววูบในท้องน้อยขึ้นมา

“อืม ตองหนึ่งใจเย็นก่อนครับ อือ...”

พี่นัทถอนจูบออก แต่ผมที่ติดลมก็รั้งคอพี่นัทลงมาจูบใหม่ เขาไม่ได้ว่าอะไรแถมยังมือไวดึงชายเสื้อผมออกจากกางเกง แล้วสอดมือเข้ามาใต้เสื้อ มือพี่นัทร้อนจนผมสะดุ้งนิดหน่อย แต่พอชินแล้วมันก็รู้สึกดีชวนใจหวิวเอามากๆ เลย ฝ่ามือที่ลูบไปมาอยู่ตรงหน้าท้องนั้นลื่อนสูงขึ้นมาเรื่อยๆ  จนปลายนิ้วสะกิดที่ยอดอกทำให้ผมต้องแอ่นอกขึ้น ยิ่งปลายนิ้วเขาบีบเบาๆ แล้วก็สะกิดไปมา ผมก็ยิ่งเสียววูบวาบจนยืนแทบไม่อยู่

“อะ พี่นัท…”

“หืม?” พี่นัทดันตัวผมออกแล้วมองไปที่เป้ากางเกงของผมที่ตอนนี้มันตึงไปหมดแล้ว ผมกำคอเสื้อพี่นัทแน่น ตอนนี้ร่างกายผมมันร้อนอึดอัดไปหมด อยากปลดปล่อย และต้องการให้พี่นัททำกับผมเหมือนที่ทำเมื่อวาน ผมเงยหน้ามองเขา เม้มปากและขอร้องออกไป

“พี่ครับ...ผมอยากให้พี่ทำแบบเมื่อวาน” พอพูดเสร็จผมก็ซุกหน้ากับหน้าอกพี่นัท ถึงจะอายที่พูดออกไปแบบนั้น แต่ในตอนนี้ความต้องการมันมีมากกว่า

“เด็กลามก”



 
อ่ะ คุณคิดว่าใครลามกกว่ากัน คิคิ

#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 7 : เด็กลามก l 09-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 11-08-2019 09:33:48
ตามมมมม
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 7 : เด็กลามก l 09-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-08-2019 09:39:45
 :pig4: :pig4: :pig4:

WiFi กันจริง ๆ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 8 : เด็กงอแง l 11-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 11-08-2019 17:01:21
8 : เด็กงอแง


ตอนนี้ผมทำงานที่ร้านพี่นัทมาได้ 3 เดือนแล้วครับ ทุกอย่างราบรื่นดีและพี่นัทก็ยังคงช่วยผมทุกครั้งที่มีอารมณ์ ผมก็เกรงใจพี่เขานะ แต่แบบว่ามันดีเกินกว่าจะบอกให้เลิกทำ แถมดูพี่นัทไม่ได้รังเกียจอะไรผมก็ปล่อยเลยตามเลยไป และเราก็ตกลงกันว่าจะเปลี่ยนเวลาจากตอนเช้าเป็นหลังเลิกงานแทนเพราะผมรู้สึกผิดต่อลูกค้าเพราะพี่นัทเคยทำให้ผมจนอบเค้กไม่ทันถึงสามครั้งแถมเคยเปิดร้านสายอีกหลายครั้ง พี่นัทขาดทุนไปเท่าไรก็ไม่รู้

แต่จะโทษผมคนเดียวก็ไม่ได้ ทุกครั้งที่ผมเกิดอารมณ์ก็เพราะพี่นัทนั่นแหละ มาทำให้ผมอยากเหมือนเช่นตอนนี้



“อึก อา พี่ครับ เมื่อวาน… พี่ก็เพิ่งทำให้ผม อื้อ” ตอนนี้ผมถูกจับให้นั่งตักพี่นัทตรงโซฟาในร้าน ขาทั้งสองข้างถูกจับให้พาดกับที่พักแขนของโซฟา

“ก็ตรงนี้ของหนึ่งมันดูต้องการให้พี่ทำนี่ครับ” พี่นัทจับไปที่น้องชายของผมแล้วบีบตรงส่วยปลายแน่นๆ จนผมร้องเสียงหลง ผมรู้สึกตื่นเต้นกว่าปกตินิดหน่อยเพราะพี่นัทกำลังทำให้ผมบนโซฟาที่ลูกค้านั่ง

“ตะ… แต่ อื้อ อ๊ะ ผมยังถูพื้นไม่เสร็จ”ผมมองไปที่ไม้ถูที่วางพิงอยู่ตรงเคาน์เตอร์ แล้วช้อนตามองคนตัวสูง พี่นัทแค่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ

“แต่เดี๋ยวหนึ่งก็ทำพื้นเลอะนี่ครับ ค่อยถูทีเดียวจะได้ไม่เหนื่อยสองรอบไง” พี่นัทจับคางผมให้หันไปจูบ ผมก็หันไปแต่โดยดี แถมยังพยายามส่งลิ้นออกมาให้พี่นัทดูดอย่างเต็มที่อีกด้วย แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นกระจกบานหนึ่งที่ยังรูดม่านลงไม่สุด

“พี่...พี่ยังเอาม่านลงไม่หมดครับ” ผมผละออกจากเขา และพยายามที่เอาขาลง แต่พี่นัทกลับไม่ยอมให้ผมทำง่ายๆ

“ไม่มีใครเดินมาตรงนั้นหรอกครับ มันมืดแล้ว”

พี่นัทจับขาผมแยกออกกว้างขึ้นไปอีกแล้วลูบลงที่แฝดน้อยของผมแล้วคลึงไปมาเบาๆ พอให้ผมซี๊ดซ๊าดไม่หยุดปาก

“ฮ๊า~ อะ อื้อ”

เมื่อผมรู้สึกว่าสวรรค์ต่ำลงมาเรื่อยๆ  พี่นัทก็เร่งมือรูดเร็วขึ้น มือที่จับน้องแฝดของผมอยู่ก็เลื่อนลงไปลูบตรงช่องทางด้านหลังยิ่งทำให้ผมวูบวาบ ร้อนๆ หนาวๆ ไปทั่วทั้งตัว

ช่วงหลังๆ มานี่พี่นัทชอบทำแบบนี้บ่อย พี่แกบอกว่ามันจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นซึ่งมันก็จริงอย่างที่พี่นัทบอก

“ดีใช่มั้ย?”

“พี่ๆ อะ ผม...อือ ผม” ผมเกร็งตัว แหงนหน้าเมื่อพี่นัทเร่งจังหวะมือพร้อมทั้งลูบช่องด้านหลังผมหนักหน่วงมากขึ้น

“...จะเสร็จแล้วเหรอ” เขากระซิบถามพลางไล้ปลายจมูกโด่งนั้นลงมาที่ที่แก้ม ผมก็เม้มปากแล้วพยักหน้ารัว บีบแขนพี่เขาแน่นเมื่อรู้สึกว่ามันความสุขสมมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“อือ อะ...อื้อ!!”

ผมแอ่นตัวขึ้นและปลดปล่อยออกมา น้ำขาวขุ่นพุ่งใส่ฝ่ามือใหญ่แต่พี่นัทก็ยังไม่หยุดขยับยมือ เขาคลึงไปทั่วจนส่วนนั้นของผมมันอ่อนตัวลง ส่วนผมก็หมดแรง ทิ้งตัวลงพิงกับไหล่กว้าง ดวงตายังคงเลื่อนลอย สติยังคงไม่หลุดออกจากความสุขสมเมื่อครู่นี้

“รู้สึกดีมั้ย? ชอบรึเปล่า?”

เขาถามด้วยเสียงนุ่มทุ้มพร้อมทั้งก้มลงจูบที่แก้มและลำคอผมเองก็เอียงให้จูบแล้วพยักหน้ากลับไป มิหนำซ้ำยังเป็นฝ่ายขยับขึ้นไปจูบ เกี่ยวลิ้นกันไปมาพัลวัน จากที่คิดว่าจะพอแค่นั้นก็กลับกลายเป็นว่าผมเริ่มเครื่องติดอีกครั้งเมื่อพี่เขายกขาผมขึ้นให้พาดอยู่กับแขน เขาทำให้ผมอยู่ในท่าที่น่าอายมากกว่าเดิม จากนั้นก็ใช่มือข้างเดียวนั้นลูบไล้ไปทั่วสะโพกทำให้ผมรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก 

“อืม...อื้อ อ๊ะ! พี่ทำไร! ย...อย่าครับ” ผมสะดุ้งและตั้งใจจะลุกหนีเมื่อรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วที่ลูบอยู่ดีๆ นั้นก็สอดเข้ามาในช่องทางน่าอาย พี่นัทจุ๊ปากเป็นการปรามให้ผมนั่งนิ่งๆ แล้วก็ใช้มือที่ว่างยึดแขนทั้งสองข้างผมไว้พร้อมทั้งสอดนิ้วเข้ามาลึกกว่าเดิม ผมเบ้หน้าเพราะมันรู้สึกเสียดท้องแปลกๆ และผมไม่ชอบ ครั้นพอดิ้นแรงขึ้นก็ทำให้ขาอีกข้างที่ไม่ได้โดนยึดเอาไว้เตะไปที่โต๊ะกระจกตัวที่ตั้งอยู่ด้านหน้า

“อ๊ะๆ อย่าดิ้นสิครับ โต๊ะตัวนั้นแพงนะ ถ้ามันพัง พี่คิดค่าเสียหายสองเท่าเลยนา~”

น้ำเสียงเหมือนพูดเล่นแต่แววตาพี่แกบ่งบอกว่าเอาจริงๆ และนั่นทำให้ผมต้องหยุดดิ้นทันที เขาหัวเราะแตะแต้มริมฝีปากลงมาที่แก้มและดันนิ้วเข้ามาลึกขึ้นเรื่อยๆ ผมกัดฟันและส่ายหน้าไปมากับแผ่นอกของเขา มันไม่เชิงว่ารู้สึกแย่ แต่มันอึดอัดวูบวาบแปลกๆ ทำให้ผมนั้นหมดแรงที่จะดิ้นแล้ว

“อือ อึก พี่...ทำแบบนี้ทำไม อ๊ะ”

“...” พี่นัทไม่ได้ตอบ แค่ก้มลงมาดูดที่ซอกคอของผม แล้วขยับนิ้วเข้าออกช้าๆ ทำให้ผมหายใจแทบไม่ทั่วท้อง เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

“อึ๋ย พี่นัท...พอ อึก ฮือ มัน..มันแปลกอ่ะ”

“จุ๊ๆ เดี๋ยวพี่จะให้หนึ่งรู้สึกดี”

“อื้อ....พี่ พอเถอะครับ ผม… ฮึก ตรงนั้นมันสกปรกนะครับ”

พี่นัทหัวเราะ เขาก้มลงมาหอมแก้มผมและคลอเคลียไปมา พร้อมทั้งขยับนิ้วเร็วขึ้น บ้างก็ผ่อนจังหวะเหมือนกับเขาพยามคลำหาอะไรบางอย่างซึ่งทำให้ผมรู้วึกชาวูบวาบไปทั่วทั้งตัวจนผมต้องจิกเข้าที่แขนของเขาเต็มแรง เพื่อหาที่ยึดเหนี่ยวแต่อีกใจก็ทำไปเพราะหงุดหงิดที่พี่เขาไม่ฟังผมเลย

“หึหึ อดทนอีกนิดนะครับ พี่สัญญาว่าหนึ่งจะต้องชอบ” พี่นัทไม่ยอมเลิกแถมผมรู้สึกราวกับว่าเขาขยับนิ้วเร็วกว่าเดิม ผมกำลังจะส่ายหน้าปฏิเสธ เพราะดูแล้วผมคงจะไม่ทางชอบแน่ๆ แต่ก็ไม่มีคำพูดอะไรออกไป มีเพียงเสียงเหนอะหนะจากน้ำรักก่อนหน้านี้ และ...เสียงครางๆ แผ่วจากปากผม

“...”

“เป็นไง เริ่มชอบแล้วใช่มั้ย?”

ทั้มผมเขาต่างก็หยุดชะงักไปทั้งคู่ พี่นัทหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วขยับนิ้วต่อเหมือนกับยั่วให้ผมคราง ผมร้องแผ่วๆ ก่อนจะรีบตะครุบปากตัวเองเอาไว้ เสียงมันน่าอายกว่าที่ผ่านๆ มา อีกทั้งความรู้สึกก็น่าอายไม่แพ้กัน

“ไม่ชอบ มันแปลกๆ ฮึก พี่หยุดนะครับ นะ...” จะว่าโกหกก็ไม่เชิง ผมยังคงรู้สึกว่าความรู้สึกน้มันแปลก แต่มันก็เจือความรู้สึกดีๆ เอาไว้อยู่

ผมเม้มปากเงยหน้ามองพี่นัทและส่ายหน้าไปมา ส่งสายตาให้พี่นัทว่า ‘พอเถอะครับ หยุดเถอะครับ’  แต่พี่นัทกลับก้มลงมาจูบแทน ผมเม้มปากและผละออกไม่ยอมให้เขาจูบ แต่พี่แกก็เอาคืนโดยการดึงนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น ผมพยายามที่ขยับมือไปจับมือพี่นัทให้หยุดแต่ก็ไม่มีแรงบังคับทำได้แค่วางทับบนมือพี่นัทแค่นั้น สะโพกที่ท่าจะหยัดหนี แต่ไปๆ มาๆ ก็กลับกลายเป็นผมหยัดขึ้นเพื่อให้พี่นัทดันนิ้วเข้ามาได้สะดวกขึ้น

“อือ อึก...อ๊ะๆ ” ยิ่งพี่เขาทำเร็วขึ้นมันก็ยิ่งแปลกจนผมต้องปล่อยเสียงออกมาอย่าห้ามไม่ได้ แถมน้องชายของผมดันเเข็งขึ้นมาซะอีก

“ตรงนี้ของน้องหนึ่งก็แข็งขึ้นมาแล้วนี่ครับ พี่ขอใส่เพิ่มอีกนิ้วได้มั้ยครับ”

ผมรีบจับแขนพี่นัทไว้แล้วส่ายหน้าไปมา น้ำตาเริ่มปริ่มออกมาเพราะความรู้สึกแปลกและสับสน แค่นิ้วเดียวยังเป็นขนาดนี้ ถ้าพี่นัทใส่เพิ่มไปอีกผมต้องตายแน่ๆ เลยครับ

แต่พี่นัทก็ไม่สนใจที่ผมส่ายหน้า แค่ก้มลงมาจูบกวาดลิ้นเข้ามา ซึ่งผมไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจปากพี่นัท ตอนนี้พี่นัทดึงนิ้วออกแล้วก็กดเข้ามาพร้อมกันทั้งสองนิ้ว ผมพยามหันหน้าหนีแต่พี่นัทใช้อีกมือที่ยึดแขนผมไว้มาล็อคคางผมแทน พี่นัทดันเข้ามานิดเดียวแต่ผมก็เจ็บจนเผลอเกร็งเพื่อไม่ให้พี่นัทดันเข้ามาลึกอีก พี่นัทดึงนิ้วออกแต่โดยดี แต่ก็ดันเข้ามาอีกเรื่อยๆ

ไม่ไหว ผมเจ็บ...

“หนึ่งอย่าเกร็งสิครับ” พี่นัทบอกผมที่ข้างหู ผมคิดว่าเขาจะดุแต่น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมานั้นกลับนุ่มนวลจนผมใจสั่น

“ฮึก พี่นัท ไม่เอาแล้ว ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้แล้ว ฮึก ฮืออ” ในที่สุดก็ร้องไห้ออกมาจนได้ ทั้งความรู้สึกที่อึดอัดแปลกๆ  ทั้งยังเจ็บแล้วพี่นัทก็ไม่ยอมหยุดด้วย พวกนั้นทำให้ผมรู้สึกกลัว

“อย่าเกร็งสิครับหนึ่งจะยิ่งเจ็บนะ” ผมส่ายหน้าไปมา พยายามพูดให้พี่นัทหยุด พี่นัทจับหน้าผมหันให้ไปจูบแต่ผมไม่มีอารมณ์แล้ว ผมแค่พยายามจะสะบัดคางออกจากมือพี่นัท ทำให้ผมเผลอเกร็งและกัดปากพี่นัทๆ ไป

“โอ๊ย! เด็กดื้อกัดพี่เหรอครับ” ผมมองหน้าเขาแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด ยิ่งพี่นัททำหน้าดุตอนที่พูดผมก็ยิ่งรู้สึกกลัว

“ผ..ผมขอโทษ อื้อ!”

พี่นัทเจ้าเล์ห์ ใช้จังหวะที่ผมเผลอดันนิ้วเข้าไปลึกกว่าเดิม และเริ่มขยับเข้าออกอย่างต่อเนื่องเนิบนาบ แต่ละครั้งครั้งที่เขาขยับนิ้วเข้าก็รู้สึกเหมือนมันเข้าไปลึกขึ้นมากกว่าเดิม

“เห็นมั้ยครับ...นิ้วพี่เข้าไปจนสุดเลย” ผมก้มลงไปมองช่องทางของตัวเองที่มีนิ้วพี่นัทเข้าออกก็รู้สึกว่ามันน่าอายมาก มันไม่ใช่เรื่องที่เราควรทำเลยซักนิด

“ฮึก ฮือ  ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ ผมไม่ใช่เกย์ ฮือ ฮึก ฮือ~” ผมเบ้หน้า น้ำตาไหลพราก ความสับสนวนไปทั่วหัวอีกครั้ง ผมเคยพร่ำบอกตลอดว่าตัวเองไม่ใช่เกย์ พยายามที่จะหาคำตอบให้ตัวเองเสมอว่าถ้าไม่ใช่เกย์แต่ทำไมถึงยอมให้พี่นัทซึ่งเป็นผู้ชายเหมือนกันทำแบบนี้ให้ง่ายๆ และผมก็จะให้คำตอบกับตัวเองเสมอว่า เพื่อนสนิทกันมากๆ ที่ช่วยตัวเองด้วยกันมีเยอะแยะ นั่นคือเหตุผลง่ายๆ ค่อนข้างไร้เหตุผลที่ผมคิดขึ้นมาเอง

“ครับ...น้องหนึ่งไม่ใช่เกย์ครับ แล้วหนึ่งรู้สึกรังเกียจที่พี่ทำแบบนี้มั้ยครับ” พี่นัทถามแล้วก็ก้มลงจูบที่ซอกคอ ไม่ต้องคิดอะไรมากผมก็ส่ายหน้ากลับไป ผมไม่ได้รังเกียจเลยแม้แต่น้อย รู้สึกดีด้วยซ้ำ...แต่ต้องไม่ใช่การเอาอะไรสอดเข้ามาในตัวผมแบบนี้

“แต่ผมไม่อยากให้พี่ทำแบบนี้ ฮึก มันแปลกๆ  พี่ทำแบบเดิมนะครับ ฮือ” ผมพยายามขอร้องให้พี่นัทเลิกทำ แต่พี่นัทก็แค่มองผมแล้วขยับนิ้วเหมือนเดิม

“...อืม ตรงนี้รึเปล่านะ?” 

“อะๆ อึก อะ...อ๊า!” อยู่ดีๆ ผมก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อนิ้วเขาโดนจุดๆ หนึ่งมันรู้สึกเสียววูบไปทั่วไขสันหลังและท้องน้อยจนเผลอร้องเสียงดังออกมา ผมรับยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง มันน่าอายมากที่เมื่อกี้ผมเผลอร้องครางเสียงแบบนั้นออกมา ผมเงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของพี่นัท พี่เขาดูตกใจแล้วยิ้มตามมาด้วยเสียงหัวเราะ ซึ่งมันทำให้ผมอายยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ไหวแล้ว ฮือๆ ผมไม่อยากทำแล้ว

“หึหึ มาลองดูกันว่าหนึ่งจะชอบรึเปล่า?” พี่นัทพูดปล่อยขาผมให้พาดกับโซฟาเหมือนเดิมแล้วก็กดย้ำ เท่านั้นผมก็ดิ้นพล่าน ทั้งแปลกทั้งดีปนกันมั่วไปหมด

“อ๊ะ อื้อ! พ...พี่นัท ผม อึก” ไม่ไหวแล้ว ผมยกมือขึ้นมาปิดปากแน่นขึ้นไปอีกเพราะเสียงผมโคตรน่าอายเลย แต่ก็โดนพี่นัทดึงแขนออก

“พี่อยากฟังครับ”

“อ๊ะๆ ตรงนั้น”

“ชอบรึยังครับ?”

“อือ อึก ครับ...ชอบแล้ว อ๊ะ”

พี่นัททำเร็วขึ้นเรื่อย จากรู้สึกแปลกๆ ปนกันมั่วเมื่อครู่นี้ กลายเป็นความรู้สึกที่โคตรจะดีอย่างเดียว ดีจนต้องครางออกมาเสียงดังๆ แอ่นสะโพกขึ้นพร้อมทั้งอ้าขาออกกว้างอย่างเต็มใจ ไม่สนแล้วว่ามันน่าอายขนาดไหน ไม่สนด้วยว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้างก่อนหน้านี้

โคตรจะเสียวและโคตรจะดี ในหัวผมมีแต่สองคำนั้นเต็มไปหมด

พี่นัทเริ่มหอบหายใจแรงๆ ข้างหูผม สมหายใจอุ่นร้อนที่กระทบใบหูยิ่งทำให้รู้สึกมากขึ้นไปอีก ผมเงยหน้าขึ้นไปขอจูบจากพี่นัท พี่เขาก็ก้มลงมาจูบแต่โดยดี ไม่เคยรู้สึกดีขนาดนี้มาก่อนเลย

“พี่นัท อือ อึก อ๊ะๆ” ผมครางเสียงดังอย่างไม่อาย เพราะเหมือนรู้สึกว่ายิ่งผมครางเสียงดังเท่าไร พี่นัทยิ่งหอบหนักมากขึ้นเท่านั้น และเหมือนผมจะรู้สึกมีอะไรบางอย่างดันอยู่ที่ก้นผม

...ของพี่นัท

พอรู้ว่ามันคืออะไร ยิ่งทำให้ผมมีอารมณ์และรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก

“พี่...อ๊ะ อึก ของพี่ อื้อ!” พี่นัทไม่ตอบแต่ขยับมือเร็วขึ้นจนผมรู้สึกว่าไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้

ผมพยายามขยับสะโพกถูกับส่วนนั้นพี่นัท ยิ่งขยับ พี่นัทก็ยิ่งหอบแรงขึ้น แถมยังขยับมือเร็วขึ้นจนผมสั่นไปทั้งตัว

พี่นัทดึงมือออกก้มลงจูบผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเกร็งตัวปลดปล่อยออกมา จากนั้นก็กระตุกอยู่บนตัวพี่นัทอยู่ครู่หนึ่ง ทุกอย่างเงียบมีแค่เสียงหอบหายใจของผมและพี่นัทแค่นั้น ผมนอนปรือตามองดวงไฟบนเพดาน นึกอึ้งกับสิ่งที่นัททำและสิ่งที่ตัวเองรู้สึก...เมื่อครู่นี้ผมเสร็จโดยที่ไม่ได้แตะน้องชายเลยด้วยซ้ำ

พี่นัทจับขาผมลงจากที่พักแขน อุ้มผมแล้วลุกขึ้นเดินขึ้นชั้นสอง ผมที่ยังรู้สึกงง และสับสน ซุกหน้ากับอกพี่นัทแล้วร้องไห้ออกมา

“อึก ฮึก ฮือๆ ” พี่นัทเดินเข้าห้องน้ำแล้ววางผมลงในอ่าง เปิดน้ำอุ่นๆ แล้วนำมาราดตัวผมช้าๆ

“หนึ่งร้องไห้ทำไมครับ ไหนลองบอกพี่สิ” พี่นัทถามเสียงนุ่ม พลางกดสบู่มาถูเบาๆ ตามตัวผม

“ฮึก อือ...” ผมยังคงร้องไห้ มันอธิบายไม่ถูกว่าผมรู้สึกยังไง มันเป็นความไม่เข้าใจ ว่าทำไมพี่นัททำแบบนั้น เขาแค่แกล้งผม? ทำไมต้องแกล้งแบบนี้? แค่คิดว่าพี่นัทแค่แกล้ง ผมก็รู้สึกอยากร้องไห้หนักไปอีก

“ร้องไห้ทำไมครับ โกรธพี่เหรอ?” พี่นัทหอมแก้มผมแล้วก็ถาม ผมรีบส่ายหน้าทันที ผมไม่ได้โกรธพี่ซักหน่อย

“งั้นหนึ่งไม่ชอบที่พี่ทำเมื่อกี้เหรอครับ?”

ผมนิ่งและพยายามคิดว่าผมไม่ชอบที่พี่นัททำหรือเปล่า มันก็ไม่เชิงไม่ชอบ มันก็รู้สึกดี เสียวมากๆ  ดีกว่าทำข้างหน้าซะอีก แต่มันก็รู้สึกแปลก อึดอัดด้วย แถมตอนที่พี่นัทโดนบางอย่าง ก็ยิ่งรู้สึกแปลกเข้าไปอีกแต่มันก็ดี

ในสมองผมเอาแค่คิดถึงความสับสนนั้น แต่สุดท้ายผมก็ส่ายหน้าไป

“งั้นครั้งหน้า พี่ทำแบบนี้อีกได้มั้ยครับ”

ผมนิ่งไปครู่หนึ่ง ใจมันลังเลแต่มันก็เสียวมากและมันก็น่าอายยังไงไม่รู้ แต่พอคิดว่าจะปฏิเสธ ผมก็รู้สึกเสียดายจนสุดม้ายเลยตัดสินใจพยักหน้าไป...

“นานๆ ทีนะครับ” พี่ตอบพี่นัทเสียงเบาๆ  น้ำตาหยุดไหลไปได้ซักพักแล้ว

พี่นัทเอาผ้าขนหนูชุบน้ำเช็ดหน้าให้ผม ดันแว่นที่ตกลงมาขึ้นแล้วก็ส่งยิ้มน่ารักๆ มาให้ พออาบน้ำเสร็จ พี่นัทก็เอาผ้าขนหนูผืนใหญ่มาคลุมตัวผมแล้วพาผมไปนั่งบนโซฟา

“เดี๋ยวพี่ลงไปเอาเสื้อผ้ามาให้นะครับ” พี่นัทเดินลงไปชั้นล่าง ก็ชุดของผมโดนพี่นัทถอดไว้ข้างล่างหมดเลย ผ่านไปค่อนข้างนาน จนผมแทบจะหลับคาผ้าขนหนู พี่นัทก็วิ่งขึ้นมาพร้อมเสื้อผ้าของผม

“พี่ไปนานมาก”

“หึหึ ขอโทษครับพี่มัวแต่ถูพื้น”

“อ่า...ครับ” พื้นที่มันเลอะน้ำของผม แล้วพรุ่งนี้ลูกค้าก็จะนั่งดื่มกาแฟตรงนั้น แค่คิดก็ทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกผิด พรุ่งนี้ผมจะเอาน้ำยามาขัดให้สะอาดเลยนะครับคุณลูกค้า

“คืนนี้ดึกแล้ว นอนนี่มั้ยครับ?”

“ไม่เป็นไรครับ”

“ตอบทันทีเลยแฮะ” พี่นัทขำแล้วก็เกาท้ายทอยนิดหน่อย ผมรับเสื้อผ้าจากมือพี่นัทมา เตรียมจะเดินไปเข้าห้องน้ำแต่ก็ดดนพี่นัทดึงตัวเอาไว้

“ใส่ตรงนี้แหละครับ ห้องน้ำมันเปียก”

ผมทำท่าลังเลนิดหน่อย พี่นัทก็เลยหัวเราะลูบหัวผมไปมาด้วยแววตาขี้เล่น

“ไม่ต้องอายหรอกครับ พี่เห็นของหนึ่งหมดแล้วไง”

“ครับ!” ผมหันไปค้อนใส่พี่นัทนิดหน่อย แต่ก็ยอมปลอดผ้าขนหนูออกเพื่อใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย

“คืนนี้ไม่ค้างที่นี่แน่เหรอครับ ดึกมากแล้วน”

“ไม่ครับ” พี่นัทเข้ามายืนกอดอก จ้องหน้าผม ผมก็เลยกอดอกเลียนแบบพี่นัทแล้วก็จ้องกลับไป

“เฮ้อ~ ก็ได้ครับ เดี๋ยวพี่เดินไปส่งนะ”

“เดี๋ยวพี่ก็เนียนนอนห้องผมอีก”

ผมพูดอย่างรู้ทัน แต่พี่นัทก็แค่ยักไหล่กวนประสาทแล้วก็หันหลังเดินนำผมลงไปด้านล่าง ผมมองแผ่นหลังอีกฝ่านแล้วก็เม้มปาก ที่ผ่านมาเขาชอบไปส่งผมแล้วก็อ้างโน่นอ้างนี่เพื่อนนอนห้องผมตลอด จนตอนนี้ที่ห้องผมมีผ้าขนหนูของพี่นัทอีกผืนนึงด้วยจากที่เคยมีของผมแค่ผืนเดียว แถมยังมีเสื้อผ้าและของใช้พี่นัทเต็มไปหมดเลยด้วย

พอผมเอาของเรียบร้อย เราก็เดินออกจากร้านพร้อมกัน

“พี่นัท” เสียงสั่นของผู้หญิงดังขึ้น ผู้หญิงหน้าตาเหมือนลูกครึ่งคนนั้นนั่งร้องไห้อยู่หน้าร้าน พอเห็นพี่นัทก็วิ่งเข้ามาแล้วกอดพี่นัทพร้อมร้องไห้ออกมาเสียงดัง พี่นัทดูตกใจมากๆ แต่ก็ยอมกอดตอบแล้วลูบหัวปลอบ

ไม่ใช่แค่พี่นัทที่ตกใจ ผมทั้งงงและทั้งตกใจไปด้วย

ผ่านไปซักพัก ผู้หญิงคนนั้นก็ยังกอดพี่นัทและร้องไห้หนักขึ้นจนพี่นัทหันมามองผมหน้าเครียด

“พี่คงไปส่งหนึ่งไม่ได้แล้ว ขอโทษนะครับ” พอพูดเสร็จก็พาผู้หญิงคนนั้นเดินเข้าร้านไป ทิ้งให้ผมยืนงงอยู่หน้าร้านคนเดียว

...

กลับคนเดียวก็ได้ เมื่อก่อนก็กลับคนเดียว




ไหนใครอ่านแล้วมาตอบหน่อยเร้ว ว่าทำไมพี่นัทหายไปนาน ไปเอาเสื้อผ้าให้ตองหนึ่งอย่างเดียวแน่เหรอ?? 5555

ตอนนี้เราเปลี่ยนคำพูดพี่นัทในช่วงท้านค่ะ ฉบับเก่าพี่นัทจะพูดว่า
"พี่ไปส่งหนึ่งไม่ได้แล้ว กลับคนเดียวนะ"
ซึ่งเราคิดว่าดูเย็นชาเกินไปหน่อย ดูทิ้งกันเกินไป เพราะพี่เขาไม่ได้เย็นชาและไม่ใช่ไม่อยากไปส่งตองหนึ่งนะคะ เพียงแต่เขามีเหตุจำเป็นทำให้ไปส่งไม่ได้
ก็เลยเปลี่ยนคำพูด ให้พี่เขาขอโทษ จะดูเป็นคนดีขึ้นมาหน่อย หวังว่าทุกคนจะเข้าใจน๊า ♥♥

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie

หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 8 : เด็กงอแง l 11-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-08-2019 18:42:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่นัทหายไปทำไรน้าตั้งนาน ถูพื้นก็น่าจะแป๊ปเดียวเอง  แถมห้องน้ำก็เปียกอีก  หุหุ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 9 : สถานะ...โดนทิ้ง? l 13-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 13-08-2019 20:52:23
9 : สถานะ...โดนทิ้ง?


      เช้าวันนี้ผมมาทำงานด้วยอาการสะลึมสะลือเพราะเมื่อคืนผมนอนไม่หลับ เอาแต่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร พี่นัทดูเป็นห่วงมาก จะคิดว่าเป็นน้องสาวก็ไม่น่าใช่เพราะหน้าตาของพวกเขาไม่เหมือนกันเลย ผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกครึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พี่นัทนั้นหน้าตี๋มาก และผมก็ไม่กล้าคิดด้วยว่าพวกพี่เขาเป็นแฟนกัน…

ผมคงรู้สึกแย่น่าดู ถ้าหากพี่นัททำแบบนั้นกับผมทั้งๆ ที่เขามีคนรักอยู่แล้ว

ผมเดินมาจนถึงร้านแล้วก็เข้าทางด้านหลังที่ถูกเปิดเอาไว้ ผมคิดว่าพี่นัทคงจะทำเค้กอยู่เพราะได้กลิ่นหอมของแป้งอบและพอเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ก็ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิง ผมเม้มปากค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปก็เห็นว่าพี่นัทและผู้หญิงคนนั้นช่วยกันทำขนมอย่างคล่องแคล่วแถมยังคุยกันอย่างสนุกสนานด้วย ผมไม่เคยเห็นพี่นัทหัวเราะเสียงดังแบบนั้นมาก่อนเลย...

“อ้าว สวัสดีครับหนึ่ง พี่มีคนมาแนะนำให้หนึ่งรู้จัก นี่ๆ ผู้หญิงคนนี้ชื่อพายหวานนะ”

พี่นัทที่หันมาเห็นผมพอดีรีบขวักมือเรียกและแนะนำชื่อของใครอีกคนให้ผมรู้จัก ชื่อที่ได้ยินทำให้ผมแปลกใจไม่น้อยเลย นึกว่าจะเป็นชื่อฝรั่งเสียอีก

“สวัสดีครับ” ผมพงกหัวให้ไป ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มกลับมา

“สวัสดีจ้า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” ผมแปลกใจอีกครั้ง เพราะสำเนียงภาษาไทยของเธอนั้นชัดเจนมาก ไม่มีสำเนียงภาษาอังกฤษเลยแม้แต่น้อย

“ครับ ผมก็ขอฝากตัวด้วยนะครับคุณพายหวาน”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เต็มยศมาเลย เรียกแค่พี่พายก็ได้ค่ะ” เธอแทนตัวเองว่าพี่ ก็คงจะอายุมากกว่าผม เสียงหัวเราะหวานใสดังไปทั่วครัวแต่ผมก็แค่ยิ้มบางๆ  แล้วพยักหน้าให้ไป เพราะปกติแล้วผมก็ไม่ใช่คนที่เข้ากันได้ง่ายกับคนแปลกหน้า ไม่รู้จะวางตัวยังไง

“พายจะมาช่วยงานที่ร้านนี้ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะช่วยพี่ทำขนม ทำเครื่องดื่มนะครับ หนึ่งจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากเนอะ”

“ครับ” ก็ดีครับ ผมจะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาจนลิ้นห้อยอีก พี่นัทก็มีคนช่วยทำเค้กโดยที่ต้องมาเสียเวลาสอนผมด้วย ผมเดินไปเก็บของแล้วก็ใส่ผ้าคาดเอว ระหว่างนั้นผมก็มองพี่นัทกับพี่พายที่หยอกกันไป ล้อกันมา ดูน่ารักจริงๆ

“นี่นะครับ กินก่อนไปทำความสะอาดหน้าร้านนะครับ” พี่นัทเลื่อนจานคุ๊กกี้และนมสดมาให้ ผมขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้สูงแล้วก็หยิบคุกกี้ขึ้นมากัด ความหอมอร่อยจากคุกกี้นิ่มและนมอุ่นๆ ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวในก่อนหน้านี้ของผมหายไปเกือบครึ่งเลย

“ยิ้มใหญ่เลย ชอบกินขนมหวานใช่มั้ย” พี่พายถามแล้วยิ้มกว้าง

“ครับ” ผมตอบแล้วก้ทหน้าลง ยัดคุกกี้เข้าปากไปทั้งอัน เคี้ยวจนเต็มปากตามด้วยซดนมอุ่นๆ ตามไป

“คุกกี้นั่น อร่อยมั้ย” พี่พายถามอย่างตื่นเต้น แถมยังรอคอยคำตอบสุดๆ  ผมเลยพยักหน้าหงึกหงักให้ไป เพราะในปากผมมีคุกกี้อยู่เต็มปาก ไม่สามารถเปิดปากพูดได้เดี๋ยวคุกกี้ล่วง

“เย้~ น่ารักจริงๆ ด้วย พี่ให้เพิ่มนะคะ” พี่พายหันไปหยิบคุกกี้ในถาดมาใส่จานให้ผมเพิ่มอีกสามชิ้น ผมเห็นแบบนั้นก็ตาวาวที่ได้กินของอร่อยเพิ่ม แต่ก็เกรงใจเพราะนี่มันคือของขายและกลัวพี่นัทจะขาดทุนเลยเหลือบๆ มองไปที่คนตัวสูงแต่พี่แกก็แค่ยิ้มกว้างหัวเราะออกมานิดหน่อยพลางพยักหน้าให้ผมเป็นเชิงว่ากินไปเถอะ แล้วพี่เขาก็มองไปที่พี่พาย สายตาและสีหน้าที่มองไปนั้นดูอบอุ่นเสียจนผมรู้สึกอึดอัดใจอย่างประหลาด

“คุ๊กกี้นั่น พายมันเป็นคนทำอ่ะ พอเห็นว่าหนึ่งชอบ มันก็เลยบ้าแบบนั้น”

“นี่พี่นัท อย่าให้พายพูดมั่งนะ”

พี่นัททำตาดุใส่แล้วก็ใช้มือที่เปื้อนแป้งขยี้ไปบนหัว พี่พายก็เลยหันไปตีแขนแล้วก็โวยวายใส่พี่นัทเสียงดัง แต่ใบหน้าของสองคนนั้นก็ยิ้มให้กันตลอด

ผมนั่งกินคุกกี้กับนมไปก็มองทั้งสองคนเล่นกันไปด้วย ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะดูสนุกแต่ผมก็ไม่รู้สึกสนุกเลยซักนิด

มองพี่นัทที่ลูบหัวพี่พาย ซึ่งพี่นัทเคยทำกับผม

บีบแก้ม อันนี้พี่นัทก็เคยทำกับผม

จี้เอว พี่นัทก็เคยทำกับผม

ป้อนขนม พี่นัทก็เคยทำกับผม

ทุกอย่างที่พี่นัทเคยทำกับผม เขาก็ทำกับพี่พายด้วย

แล้วเรื่องนั่นล่ะ...

ไม่ๆ ผมไม่ควรคิดไปถึงเรื่องนั้น เขาสองคนเป็นอะไรกันก็ยังไม่รู้ จะไปคิดแบบนั้นก็จะไม่ให้เกียรติพี่พายเกินไป ผมสะบัดหัว รีบกินขนมในจานให้หมดยกนมขึ้นดื่มจนหมดแก้วเตรียมไปทำความสะอาดหน้าร้าน

“อะ…เอ่อ พี่ๆ ครับ” ผมพยามเรียกพี่ๆ หลายครั้ง แต่ทั้งสองก็คุยกัน แกล้งกัน หัวเราะให้กันเสียงดัง และตอนนี้ดูเหมือนว่าผมจะไร้ตัวตนไปเรียบร้อยแล้ว

ผมเอาแก้วเอาจานไปวางในอ่างล้าง แล้วก็เดินไปหยิบอุปกรณ์ทำความสะอาดออกมาทำหน้าร้าน พยายามทำทุกอย่างแบบพิถีพิถันสุด ทำช้าๆ ทำเบาๆ เหมือนกลัวพื้นจะถลอก กลัวแก้วจะแตก ก็ถ้าทำเสร็จเร็วผมก็ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหนนอกจากในครัว ซึ่งวันนี้ผมไม่อยากเข้าไปในครัวเลย ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะความสุขของพวกเขาอ่ะ

พอทำทุกอย่างจนไม่รู้จะทำอะไรแล้วผมก็เลยคิดว่าจะเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดไปเก็บในครัว แต่พอผมเดินไปจนถึงหน้าครัวก็เห็นพี่นัทกับพี่พายยืนกระซิบอะไรอะไรกันอยู่ พี่พายหัวเราะคิกคักดูน่ารัก พี่นัทก็หัวเราะออกมาเบาๆ  เหมือนผมเป็นบ้าไปชั่วขณะ เดินตึงตังเอาไม่กวาดกับไม้ถูไปวางไว้ ซึ่งผมวางมันลงอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง พี่นัทหันมามองแล้วก็หันกลับไปเหมือนไม่เห็นผม ซึ่งนั้นทำให้ผมเม้มปากและขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม

ผมโมโห ไม่พอใจไปเองคนเดียวเลยเดินลงเท้าหนักๆ เสียงดังมาที่หน้าร้าน จนได้มาอยู่คนเดียวเงียบๆ ก็เพิ่งคิดได้ว่า ผมไม่ควรทำแบบนั้น ผมไม่ควรไม่พอใจ พี่นัทไม่ได้ทำอะไรผิด ผมตังหากที่...ที่ไม่พอใจไปเอง ผม...ไม่ชอบอาการที่เป็นอยู่เลย

ผมไปนั่งสงบอารมณ์มัวๆ งี่เง่าๆ ที่หน้าร้านรอเวลาเปิด แต่รอจนจะได้เวลาเปิดร้านแล้ว ไม่เห็นพี่นัทออกมาซักที ผมมองนาฬิกาข้อมือแล้วมองไปในร้านอีกครั้ง ผมนึกว่าเขามีคนช่วยทำเก่งๆ แล้วจะทำเสร็จเร็วกว่าเดิมซะอีก  นี่มัวแต่เล่นกันจนลืมเวลาเปิดร้านรึเปล่าเนี่ย

ผมเดินเข้าไปในร้านก็เห็นว่าเค้กถูกนำมาเรียงในตู้แล้ว เดินวนจนทั่วร้านก็ไม่มีใครอยู่เลย ผมชะเง้อมองขึ้นบนชั้นสองเพราะคิดว่าพวกเขาอาจจะอยู่ด้านบน แต่ก็พบว่ามันปิดไฟอยู่ ในขณะที่กำลังจะเดินไปเปิดประตูดูด้านหลัง ผมก็เจอโพสอิทสีชมพูอ่อนแปะไว้ที่โต๊ะ ข้างๆ มีเค้กหน้าตาน่าทานอยู่ชิ้นหนึ่ง

‘นี่เค้กสูตรใหม่พี่แบ่งไว้ให้หนึ่งกินนะครับ แล้วก็วันนี้พี่ออกไปทำธุระกับพาย กลับมาเปิดร้านเที่ยงๆ ครับ’

แหม ดีจังเลย...ได้กินเค้กสูตรใหม่อีกแล้วแถมได้อู้จนถึงเที่ยงแหนะ ผมเอาเค้กไปนั่งกินที่หน้าร้าน หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายนิดหน่อย แล้วก็เตรียมตัวเอาเค้กเข้าปาก

สมองก็เผลอนึกถึงพี่นัท ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ใช่กงการอะไรของผม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่พอใจเพราะเขาไม่อธิบายเลยว่าพี่พายคือใคร อยู่ๆ ก็โผล่มาหรือว่าพี่พายจะเป็นแฟนของพี่นัทจริงๆ แล้วถ้าพี่นัทมีแฟนอยู่แล้ว ทำไมไม่บอกผม

พอคิดมาถึงตรงนี้ผมก็กัดปากตัวเอง เพราะลองคิดดูดีๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องที่พี่นัทจะมาบอกนะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันไปมากกว่าเจ้านายและลูกน้อง… ส่วนเรื่องนั้น เขาก็แค่อาจจะนึกสนุกอยากช่วยคนลามกแบบผมก็ได้ อาจจะเป็นแค่นั้นจริงๆ...

ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พอคิดว่าพี่นัททำไปโดยไม่คิดอะไร ผมรู้สึก... ปวดหน่วงๆ  ตันในอก

...อยากร้องไห้...

อาการแบบนี้ผมเป็นบ่อยตอนที่ดูหนังรักที่มันเศร้าจนบีบหัวใจ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้ดูหนังอยู่...ผมแค่นั่งแล้วนึกถึงพี่นัท

แล้วมันหมายความว่ายังไง…

 

ผมนั่งรอจนถึงเที่ยง ทั้งเดินไปเดินมาเช็ดโต๊ะจนขึ้นเงา พี่นัทก็ยังไม่กลับ ผมมองนาฬิกาอีกครั้งแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ หยิบก้องถ่ายภาพมาถ่ายแก้เบื่อไปเรื่อยๆ จนถึงประมาณบ่ายโมงกว่าๆ  พี่นัทกับพี่พายก็กลับมา แล้วผมก็รีบเดินไปหา

“พี่จะกินข้าวเลยมั้ยครับ”  ทุกๆ วันพี่นัทจะให้ผมไปซื้อข้าวร้านข้างๆ มากิน  แต่ส่วนใหญ่จะสลับกันทาน เพราะต้องเปลี่ยนกันมาดูหน้าร้าน แต่วันนี้ร้านยังไม่เปิดก็น่าจะได้นั่งกินด้วยกัน ซึ่งนานมากๆ แล้วที่ผมไม่ได้ทานข้าวพร้อมพี่นัท วันนี้แหละ โอกาสดี

“พี่กับพายกินกันมาเรียบร้อยแล้วครับ หนึ่งกินรึยัง?” เขายิ้มแล้วถามกลับเหมือนเป็นห่วง ส่วนผม...

น้อยใจ...คำนี้คำเดียวที่โผล่แวบเข้ามา

“ตองหนึ่งทานข้าวรึยังคะ?” พอเห็นผมเงียบไม่ตอบนานเข้า พี่พายก็เลยถาม

“ผม...ทานเรียบร้อยแล้วครับ” ผมตอบไปแบบนั้นแต่ความจริงคือ ยังไม่ได้ทาน เพราะหวังว่าจะรอทานพร้อมกันกับใครบางคน

แต่ผมคงลืมคิดไป...พี่นัทออกไปข้างนอกกลับมาก็บ่ายแล้ว เขาก็น่าจะกินมาแล้วสิ ฮ่าฮ่าฮ่า บ้าหวะ...ไม่น่ารอเลย กินๆ ไปก็จบแล้ว ไม่ต้องมารู้สึกแย่แบบนี้ด้วย

“โอเคงั้นไปเปิดร้านกันเถอะ” พี่นัทพูดแล้วดันหลังพี่พายให้เข้าไปหลังเคาน์เตอร์ ส่วนผมก็ไปพลิกป้ายหน้าร้าน เพื่อบอกคนที่เดินผ่านไปมาให้รู้ว่าร้านเปิดแล้ว

ตลอดเวลาที่ทำงานนั้น พี่พายช่วยพี่นัทได้มาก ไม่นัทไม่ต้องทำเครื่องดื่ม หยิบเค้กจนหัวหมุนอยู่คนเดียว พี่พายช่วยได้ทุกอย่าง ทำเครื่องดื่ม รับออเดอร์ พูดแนะนำเค้กต่างๆ  ซึ่งผมทำได้ไม่ดีนัก  ในตรงนี้ผมยอมรับเลยว่าพอมีพี่พายทุกอย่างก็ดูลงตัวมากไปอีก ไม่ดูวุ่นวายเหมือนก่อนหน้านี้  ยิ่งรู้ว่าการมีพี่พายอยู่มันดีมากแค่ไหน ผมยิ่งรู้สึก…แย่

ผมมองพี่นัทที่กำลังแกล้งพี่พายอยู่หลังเคาน์เตอร์ จะว่าไปวันนี้พี่นัทยังไม่ได้แกล้งผมเลยนี่นา มันก็คงเป็นเรื่องดีล่ะมั้ง...ผมจะได้ไม่ต้องโวยวาย ไม่ต้องอายลูกค้าที่มองมาอย่างขบขันด้วย 

ดีจัง  ดีมาก  ดีจริงๆ  ดีจนเจ็บหน่วง ตันไปทั้งอกจนจะหายใจไม่ออกอยู่แล้วเนี่ย ดีที่สุดเลย...

 

เช้าวันต่อมาผมมาทำงานแต่เช้า เช้ากว่าปกติ เพราะหวังว่าจะได้ไปช่วยอะไรพี่นัทได้บ้าง แต่พอไปถึงร้านทุกอย่างกลับถูกจัดการอย่างเรียบร้อยแล้ว กวาดร้าน เช็ดกระจก รดน้ำต้นไม้ รวมไปถึงกระจกร้านที่ถูกเช็ดจนใสสะอาด

“สวัสดีจ้า หนึ่งมาทำงานเช้ามากเลยนะเนี่ย เพิ่งจะหกโมงกว่าๆ เองนะ” พี่พายเดินออกมาพร้อมถาดแก้ว

“...พี่ก็มาเช้าเหมือนกันนะครับ”

“พี่นอนอยู่ชั้นสองนี่เองค่ะ ชั้นสองนี่พี่นัทเขาแต่งเป็นห้องนอนไว้”



พี่พายนอนที่นี่กับพี่นัท?

“อ้าว! ตองหนึ่งมาแต่เช้าเลยครับ” พี่นัทเดินยกเค้กออกมาใส่ตู้ ซึ่งนั่นทำให้ผมรู้สึกแย่เข้าไปอีก พี่ทำเค้กเสร็จตั้งแต่เช้าแบบนี้ คงเพราะมีคนที่เป็นประโยชน์อย่างพี่พายคอยช่วยสินะ

ก่อนที่พี่พายจะมา ร้านเปิดสิบโมง เค้กก็เสร็จสิบโมงเพราะพี่นัทต้องทำทุกอย่างคนเดียว ผมที่ไม่รู้เรื่อง จะเข้าไปช่วยก็ทำให้ทุกอย่างดูช้าจนพี่นัทต้องทำคนเดียวอยู่หลายครั้ง ผมพยายามฝึกแล้วนะ ซื้อหนังสือมาอ่าน ดูรายการสอนทำเบเกอรี่ต่างๆ มันก็ดีขึ้น...แต่ก็ดีไม่พอที่จะช่วยพี่เขาได้

“อะ...เอ่อ พี่ให้ผมช่วยมั้ยครับ”

“ไม่เป็นไรครับ นี่พี่ให้พายยกออกมาหมดเเล้ว”

“...ครับ” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินเอาของเข้าไปเก็บ ใส่ผ้าคาดเอวแล้วก็มองพี่นัทกับพี่พายคุยกัน มองไปก็เจ็บแปลบๆ ไป ผมรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนเลย

การทำงานในวันนั้นผมรู้สึกแย่กว่าเมื่อวานเสียอีก พี่นัทแทบจะไม่ได้คุยกับผมเลย เขาคุยกับพี่พายตลอด ถามนู้นถามนี่ คุยกันในเรื่องที่ผมไม่รู้ ไม่เข้าใจ พอพี่นัทหันมามองที ผมก็ทำได้แค่ส่งยิ้มโง่ๆ ให้

เวลาที่พี่นัทกับกับพี่พายทำงานแล้วผมต้องเข้าไปอยู่ตรงนั้น ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน

มีแค่ตอนที่ลูกค้าเยอะเท่านั้นที่ผมรู้สึก มีตัวตน เพราะพี่นัทจะเรียกผมไปเสิร์ฟ ในช่วงเวลานั้นที่ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าเรายังคงประโยชน์สำหรับร้านนี้อยู่

จนเวลามันผ่านเกือบอาทิตย์...

ใช่..ผมเคยคิดว่าตัวเองยังมีประโยชน์กับพี่นัทอยู่ แต่ยิ่งพี่พายอยู่นาน ผมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีความจำเป็นสำหรับร้านนี้แล้ว ผมเริ่มหมดหน้าที่ลงไปทุกที พี่นัทชอบใช้พี่พายไปเสิร์ฟแทนผม ทั้งๆ พี่พายก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว

“เอ่อ..พี่พายครับ เดี๋ยวผมยกไปเสิร์ฟเองครับ”

“ไม่เป็นไร น้องหนึ่งไปพักเถอะ เดี๋ยวพี่โดนพี่นัทดุเอา” ผมแย่งถาดกาแฟกับพี่พายอยู่ คือผมกำลังยกกาแฟไปเสิร์ฟ แต่พี่นัทก็ใช้พี่พายที่กำลังจัดเค้กอยู่ไปเสิร์ฟแทนผมซะงั้น

“ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับ” ใช่ครับ ตั้งแต่ผมมาร้าน ผมยังไม่ได้ทำงานอะไรเลย นอกจากเดินไปเดินมา เพราะพี่พายทำทุกอย่างให้เรียบร้อยหมดแล้ว

“หนึ่งครับ ให้พายมันทำไปเถอะ หนึ่งไปนั่งพักหลังร้านร้านดีกว่า อ่ะนี่ครับ เค้กกับนม เอาไปนั่งทานข้างหลังนะครับ” พี่นัทจับไหล่ผมแล้วก็ยื่นถาดที่ที่เค้กและนมปั่นมาให้ผม ผมรับมาและมองพี่นัทนิ่งๆ อยู่พักนึง พี่แกก็แค่พยักหน้าให้ผมเข้าไปหลังร้าน แล้วเขาก็ก้มหน้าลงจัดเค้กให้ลูกค้าต่อ

ไม่อยากเห็นหน้าผมเหรอครับ! ผมรับถาดมาจากพี่นัทแล้วก็เดินหน้าตึงมาหลังร้าน

นั่งลงที่ม้านั่งแล้วก็จ้วงเค้กเข้าปาก เป็นแบบนี้ก็ดี งานก็ไม่ได้ทำ แค่มาร้าน ดูคนอื่นทำงานแล้วก็นั่งกินเค้ก พอหมดเดือนก็ได้เงินเดือน สบายจะตาย

“เออใช่ สบายจะตาย งานก็ไม่ต้องทำ แถมโดนไล่มานั่งกินเค้กสบายๆ อยู่หลังร้านนี่ ฮึก จะมีลูกจ้างที่ไหนสบายเท่าไอตองหนึ่งคนนี้ ไม่มีหรอก ฮึกๆ ”

ยิ่งคิดผมก็ยิ่งตื้อตันในอกจนรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เจ็บจบต้องเอามือลูบหน้าอก แล้วสุดท้ายก้อนหน่วงๆ ในอกก็กลั่นออกมาเป็นน้ำตา

“ฮึก ฮือ.. ” ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาลวกๆ พลางคิดปลอบใจตัวเองว่าไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องโดนพี่นัทแกล้ง ดีจะตาย จะร้องไห้ทำไมก็ไม่รู้

ผมตักเค้กเค้าปากทั้งก้อน เผื่ออารมณ์มันจะได้ดีขึ้นแล้วน้ำตาจะได้หยุดไหล แต่ยิ่งเคี้ยวความหวานของเค้กก็ยิ่งซึมอยู่ในปาก ความหวานแบบนี้ทำให้ผมนึกถึงพี่นัทกับเรื่องที่เขาทำกับผม หรือว่าพี่นัทจะเบื่อผมแล้วอ่ะ  พี่นัทเบื่อผมแล้วจริงๆ เหรอ

ผมก็รู้ว่าตัวผมน่าเบื่อ ซึ่งผมก็โดนคนอื่นเบื่อใส่จนชินแล้ว

แต่ผมแค่รู้สึกว่า ไม่อยากให้พี่นัท...เบื่อผม ไม่อยากให้พี่นัทคิดว่าผมน่าเบื่อ

แค่พี่เขา ที่ไม่อยากให้เบื่อ

“ฮือ ฮึก ฮือๆ” ผมสะอื้น จนไหล่สั่นไปหมด ซบหน้าลงกับเข่าตัวเอง แล้วก็ร้องไห้ออกมา

ผมไม่อยากโดนพี่นัทเบื่อ ไม่อยากรู้สึกว่าไร้ประโยชน์แล้วนั่งกินเงินเดือนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ด้วย

“ฮึก ผมจะไม่อยู่ให้พี่นัทเบื่อแล้ว...”

เพราะฉะนั้นพี่อย่าเบื่อผมเลยนะครับ





พี่นัทในตอนนี้ก็คือโดนสาปอีกรอบแน่ๆ เลย 5555

อย่าว่าพี่เขาแรงมากนะคะ เดี๋ยวพี่เขาร้องไห้แงๆ



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 9 : สถานะ...โดนทิ้ง? l 13-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-08-2019 22:45:24
 :pig4: :pig4: :pig4:

พายหวาน  นางคือใครหนอ?
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 9 : สถานะ...โดนทิ้ง? l 13-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: GBlk ที่ 13-08-2019 22:50:23
ขี้แกล้ง
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 9 : สถานะ...โดนทิ้ง? l 13-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 15-08-2019 01:16:38
 :pig4:
 :3123:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 10 : สถานะ...โดนเก็บ? l 17-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 17-08-2019 21:02:09
10 : สถานะ...โดนเก็บ?


ตอนนี้เลิกงานแล้ว ผมยืนมองพี่พายถูร้านอยู่ พอผมจะเข้าไปช่วยพี่พายก็ไม่ยอม และพอผมหนีไปทำอย่างอื่นพี่พายก็จะวิ่งมาแย่งไปทำเสียทุกที วันนี้ทั้งวันผมเพิ่งได้ล้างแก้วไปแค่ใบเดียวเอง แล้วสิ่งที่ผมหนักใจที่สุดก็คือพี่นัทคุยกับผมน้อยมาก พอผมพยายามชวนคุย พี่เขาก็จะพยายามทำตัวให้ยุ่งตลอด แถมพอพยายามชวนคุยมากๆ เข้า เขากฌแค่ยิ้มให้แต่ไม่ตอบอะไรเท่าไร

ผมทนไม่ไหวที่ต้องอยู่ในสภาพแบบนี้ มันรู้สึกเหมือนกับว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเรา จะไปเดินไปทางไหนก็ดูเหมือนว่าตัวผมจะเกะกะคนอื่นไปเสียหมด…ผมคิดว่า ผมไม่ควรอยู่ที่นี่

ผมคิดมาทั้งคืนและตอนนี้ผมตัดสินใจแล้วว่า ผมจะลาออกจริงๆ

“พี่นัทครับ ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับพี่”

“...” ผมพูดออกไปเสียงสั่น พี่นัทไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เขาแค่พยักหน้าให้ผมพูดต่อแค่นั้นเอง แต่ผมแค่เห็นพี่นัททำแบบนี้ใส่ผมก็อยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกแล้ว

“ผม...อยากจะขอลาออกครับ” พี่นัทหยุดทำแล้วก็เงยหน้าขึ้นมามองผม

“ลาออก?” ผมพยักหน้าไป แล้วพี่นัทก็หันไปมองพี่พายที่ทำหน้าตกใจอยู่ “ทำไมล่ะ? คิดดีแล้วเหรอ?”

 พี่นัทถามผมอีกที ผมไม่ได้ตอบ ไม่ได้พยักหน้าอะไรให้ไป ผมแค่เม้มปากแน่น มือทั้งสองกำผ้าคาดเอวแน่น ในใจลึกๆ ผมก็อยากให้ พี่นัทไม่อนุญาติ ไม่ยอมให้ผมออก ให้เขาพูดว่าเขายังอยากให้ผมทำงานอยู่ แต่พี่นัทก็แค่ถอนหายใจออกมา มองมาที่ผมนิ่งๆ  ไม่มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าพี่นัท

“ตามใจหนึ่งละกัน” พี่นัทเดินไปหยิบเงินส่งมาให้ผม ผมมองตามหลังพี่นัทไป มันรู้สึกอยากจะร้องไห้ แต่น้ำตาไม่ไหลออกมาเลย “เงินเดือนครับ”

 ผมแทบจะไม่มีแรงยื่นมือไม่รับ รู้สึกเหมือนมันชาไปทั้งตัว มีแค่ในอกเท่านั้นที่รู้สึก โหวงเหวงสักพักก็ตันไปหมด เหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจจนรู้สึกอึดอัดจนกลืนน้ำลายไม่ลง เหมือนหายใจไม่ออก

“ขอบคุณ...ครับ" เสียงผมเบาหวิว ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าพี่นัท ผมได้แต่ก้มหน้า เดินไปหยิบของแล้วเดินออกทางหลังร้านเงียบๆ

ผมไม่อยากมองหน้าพี่นัท ผมกลัวร้องไห้ ถ้าผมร้องไห้ พี่นัทอาจจะรำคาญแล้วเบื่อผมไปอีกรึเปล่า ผมเป็นคนขอลาออกเองแต่ดันมาร้องไห้หวังไห้พี่นัทไม่ยอม มันน่าตลก

ผมเดินออกมาไม่นานฝนก็ลงเม็ดปอยๆ  เหมือนวันนั้น วันที่ผมเจอพี่นัทครั้งแรก

“อึก ฮึก ฮือๆ ”

รู้งี้วันนั้นยอมเดินตากฝนดีกว่า ไม่น่าเข้าไปเลย

“ฮือ ฮึก ไม่น่าเลย...ไม่น่าเลย”

ฝนเริ่มตกลงมาหนักขึ้น กล้องจะเปียกแต่ผมไม่สามารถวิ่งหาที่หลบฝนได้ แต่ละก้าวที่เดินมันหนัก  เหมือนมีอะไรมาถ่วงไว้ จึงตัดสินใจนั่งลงตรงฟุตบาทแล้วนั่งซบหน้ากับเข่าร้องไห้ตรงนั้น ไหนๆ ก็ฝนตกพอดี ขอเป็นพระเอกมิวสิคหน่อยเถอะ แต่ยิ่งเม็ดฝนกระทบตัวเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ก็คิดถึงเรื่องราวในวันนั้น วันแรกที่เดินเข้าร้าน...

ถ้าวันนั้นผมไม่ไปหลบฝนร้านนั้น ผมอาจจะไม่ต้องทรมานแบบวันนี้

และมันคงจะดีกว่า....ถ้าวันนั้นผมไม่ได้เจอพี่นัท วันนี้ผมจะๆ ได้ไม่ต้อง ‘รัก’ พี่นัทแบบนี้...

.

.

“ทำไมคนที่ขอลาออก ถึงมานั่งร้องไห้ตากฝนอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”

“...” ผมไม่ต้องมองก็รู้ว่าใคร น้ำเสียงนุ่มทุ้มปนทะเล้นแบบนี้มีคนเดียวแหละ

พี่นัทเดินมานั่งลงข้างๆ ผมก็ยังร้องไห้ต่อไป แต่ไม่กล้าร้องเสียงดังเหมือนตอนแรก พี่นัทก็ไม่ได้พูดอะไร เขานั่งเงียบๆ จนผ่านไปซักพักผมเพิ่งรู้สึกว่า ตัวผมไม่ได้โดนฝนแล้ว ทั้งๆ ที่ฝนก็ยังตกหนักอยู่

ผมเงยหน้ามอง ก็เห็นคนช้างๆ นี่เป็นคนกางร่มให้ผมแต่ตัวพี่เขาเองดันโดนฝนไปครึ่งตัว

“พี่โดนฝน” ผมดันมือที่ถือร่มของพี่นัทกลับไป

“หนึ่งก็โดนฝน” พี่นัทก็ดันร่มกลับมาทางผมอีก

ผมก็เลยดันกลับอีกครั้ง แล้วขยับตัวเองห่างออกมา

“งั้นแบบนี้ละกัน อยู่ในร่มทั้งคู่” พี่นัทขยับเข้ามานั่งซ้อนที่ด้านหลังแล้วโอบผมเอาไว้ ผมซุกหน้าลงกับเข่าเพราะรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งพี่นัททำแบบนี้ผมยิ่งร้องไห้ ตัดใจไม่ได้

“…”

“ตกลงบอกพี่ได้ยังครับว่าทำไมถึงมานั่งร้องไห้ตรงนี้”

“...” ก็เพราะไม่มีแรงเดินกลับไปร้องที่ห้องไงครับ แค่เดินออกมาจากร้านได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว

“ไม่ยอมตอบ งั้น...ร้องไห้ทำไมครับ”

“...”ก็เพราะพี่นั่นแหละ พี่นัททำแบบนี้ยิ่งทำให้ผมคิดเข้าข้างตัวเองว่าพี่ก็ชอบผมด้วยเหมือนกัน

“งั้นบอกพี่ได้มั้ยครับ ว่าทำไมถึงต้องลาออกด้วย”

“...” ก็เพราะพี่อีกนั่นแหละ

“ทำไมไม่ตอบพี่เลยล่ะครับ ตองหนึ่งเกลียดพี่ไปแล้วเหรอครับ”

ผมรีบส่ายหน้าทันที ก็ไม่ได้เกลียดจริงๆ นี่ ตรงกันข้ามเลยตังหาก

“แล้วทำไมหนึ่งไม่ยอมพูดกับพี่เลยล่ะครับ”

“.......” ผมก็แค่ก้มหน้าเงียบเหมือนเดิม ก็พี่อยากไม่คุยกับผมก่อนนี่นา

“เฮ้อ! พี่ง้อแล้วจะไม่หันมาพูดกับพี่จริงๆ เหรอครับ”

“...”

พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยเลิกคิ้วแล้วหันไปมอง แต่ยังไม่ทันที่จะหันกลับมาก็โดนอีกฝ่ายจับแก้มเอาไว้แล้วก้มลงมาจุ๊บที่ริมฝีปาก บางเบาและนุ่มนนวล ผมชะงักและสับสนกับสัมผัสนั้นและเมื่อเขาเห็นว่าผมไม่ขัดขืนอะไร พี่นัทก็สอดลิ้นเขามาด้านใน รสจูบหวานๆ ของจูบนี้ซึมลงในใจผม พี่นัทถอนจูบออกแล้วจุ๊บลงมาที่ปลายจมูก

“ขอพี่ถามได้มั้ย...ทำไมถึงลาออกครับ”

“...ผมไม่อยากให้พี่เบื่อผม” ผมพูดแล้วก็ก้มลงไปร้องไห้อีกครั้ง แค่พี่นัทจูบผมก็ยอมไปหมดแล้ว ผมมันใจง่าย ส่วนเขาก็นิสัยไม่ดี มีพี่พายอยู่แล้วเขาจะเอาผมไปไว้ตรงไหน หรือแค่แกล้งผมเล่นอีก พอเบื่อก็จะทิ้งผมอีก

“แล้วทำไมหนึ่งถึงคิดว่าพี่จะเบื่อหนึ่งล่ะครับ”

“ก็พี่ไม่คุยกับผมเลยอ่ะ!” ผมตอบพี่นัทเสียงดัง คิดถึงตอนที่พี่นัทเอาแต่คุยกับพี่พาย ผมก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก

“หือ?” ผมเริ่มคิดได้ว่าตอบไปแบบนั้นมันเหมือนเด็ก เลยพูดแก้ไปใหม่

“พี่...พี่ไม่เล่นกับผมเหมือนเดิมด้วย” ไอ้บ้าหนึ่ง ตอบไปแบบนี้ยิ่งเหมือนเด็กเข้าไปอีก

“...” พี่นัทไม่ตอบ แค่มองหน้าผมแถมยิ้มขำๆ  จนผมนี่รู้สึกอายกับเหตุผมที่ฟังเหมือนเด็กของตัวเอง

“พี่ไม่เหมือนเดิมอ่ะ เพราะพี่นั่นแหละ ฮึก ฮือ” พอพี่นัทขำ ผมก็เลยกลับมาร้องไห้อีก เจ็บใจตัวเอง เหมือนเด็กเลย โกรธทั้งพี่นัท โกรธทั้งตัวเอง

“ครับๆ  เป็นเพราะพี่เนอะ พี่ผิดเองครับ อย่าร้องนะ โอ๋ๆ ” พี่นัทกอดผมแน่นขึ้นแล้วก็โยกผมไปมาเหมือนเด็ก ผมอายุ 24 แล้วนะครับ ยังมาทำแบบนี้อีก

“ฮือ เพราะพี่นั่นแหละ ฮืออ พี่นั่นแหละ” พี่นั่นแหละที่ทำให้ผมเหมือนเด็กแบบนี้ พี่คนเดียวเลย นิสัยไม่ดี

“พี่ผิดเอง พี่ขอโทษนะครับ”

“ฮือ พี่ต้องขอโทษผม ฮึก” ผมร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่ยอมหยุด น้ำตาน้ำมูกมาเต็ม ดีที่มีฝนคอยล้างให้ไม่งั้นคงเละเต็มหน้าเหมือนเด็กเข้าไปอีก

“ครับๆ ไปร้องต่อบนห้องพี่ดีกว่าเนอะ” พี่นัทลุกขึ้นแล้วก็อุ้มผมขึ้นเอวเหมือนอุ้มเด็ก เอาเลยครับพี่ วันนี้ผมยอมเป็นเด็กโข่งวันนึง

เขาอุ้มผมกลับมาที่ร้านแล้วเดินขึ้นชั้นสอง ผมเกาะพี่นัทแน่นเป็นลูกลิงมาตลอดทาง กลัวตกครับ พี่นัทก็สูงใช่ย่อย พี่นัทปลดเป้กับถอดรองเท้าผมออกทั้งที่ยังอุ้มผมอยู่ผมก็สะบัดขาช่วยแต่หน้ายังซุกอยู่ที่ไหล่ตลอด

พี่นัทพาผมเข้าไปในห้องน้ำ วางผมลงในอ่างแล้วก็เดินออกไปแล้วกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนู พี่นัทพาดผ้าไว้ที่ราว แล้วก็เดินมาปลดกระดุมเสื้อผม

“พี่จะทำอะไร ฮึก ฮือ” น้ำตาที่หยุดไหลไปแล้วเริ่มไหลลงมาอีก เพราะเกิดคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเกิดพี่พายมาเห็นจะทำยังไง พี่พายใจดี ผมไม่อยากให้พี่เขาเสียใจเหมือนกัน

“ก็ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำไงครับ”

“ไม่…” ผมส่ายหน้าแล้วกุมคอเสื้อไว้แน่น

“ทำไมล่ะครับ เดี๋ยวเป็นหวัดนะ”

“พี่นัททำแบบนี้ พี่พายอาจจะคิดมากนะครับ ฮือ”

“อ้อ พี่ยังไม่ได้บอกนี่เนาะ ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่นัทเดินออกไป แล้วก็กลับเข้ามาพร้อมกับกรอบรูป “พี่กับพายเป็นพี่น้องคนละแม่กันครับ นี่ๆ คนนี้คือพ่อพี่ เด็กผู้ชายหล่อๆ ตรงนี้คือพี่ นี่คุณแม่ลิซ่า แล้วเด็กผู้หญิงที่ขี้เหร่ๆ นี่คือพายหวานครับ”

“...” ผมไม่ได้ตอบอะไรแค่ดูรูปนิ่งๆ สลับกับมองหน้าพี่เขา

“เชื่อพี่รึยังครับ?” พี่นัทไม่รอให้ผมตอบเอารูปไปวางไว้ที่อ่างล้างหน้าแล้วก็กลับมาดึงมือผมออกจากเสื้อ ผมก็ไม่ขัดขืนอะไร

“อาบน้ำกันดีกว่าเนอะ เดี๋ยวเป็นหวัดเอา พี่เป็นห่วงนะ” ผมปล่อยให้พี่นัทจัดการไป เรื่องที่พี่นัทพูดคือเรื่องจริงรึเปล่าไม่รู้ แต่หัวใจผมตอนนี้มันรู้สึกดีมากๆ เลยครับ แค่พี่นัทบอกว่าเขากับพี่พายไม่ได้เป็นแฟนกัน ผมก็รู้สึกเหมือนความอึดอัด หน่วงอกมันหายไปทันที

“อ๊ะ เอ่อ...ผมอาบเองก็ได้ครับ” ผมเพิ่งจะรู้สึกอายตอนที่พี่นัทถอดกางเกงชั้นในผมออก

“ให้พี่อาบให้เถอะ ไถ่โทษที่ทำให้หนึ่งร้องไห้หนักไงครับ” พี่นัทยิ้มถอดแว่นไปวางไว้ข้างๆ กรอบรูป แล้วก็ก้มลงมาจูบที่หน้าผากผม ก่อนจะหันไปเปิดน้ำอุ่นมาราดไปที่ตัวผม

น้ำอุ่นๆ และมือพี่นัทที่ลูบสลับบีบนวดไปมาตามแขน ทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจนเผลอหลับตาเอนตัวพิงตัวเขา พี่อยากทำอะไรก็ทำเลยครับ ผมยอม

ตอนแรกพี่นัทก็บีบตามปกติจนมาตอนที่ถูสบู่ เวลาที่มือพี่นัทลื่นไปด้วยสบู่ลูบมาบริเวณหน้าอก แล้วปัดผ่านไปมาที่ยอดอกจนมันตั้งชันขึ้นมา ผมบิดตัวแล้วเม้มปากพยายามกลั้นอารมณ์หวามๆ นี้เพราะคิดว่าพี่นัทคงไม่ได้ตั้งใจจนฝ่ามือใหญ่ไล้มือลงมาที่หน้าท้องแล้วลงไปต่ำกว่านั้นจนผมสะท้านขึ้นมา

“อ่ะ...เอ่อ พี่พอเถอะครับ ผมว่ามันสะอาดแล้ว” ผมเอื้อมมือไปเปิดน้ำล้างตัวแต่ก็ทำไม่ได้เพราะโดนอีกคนจับมือเอาไว้ พี่นัทอทยิ้มขยับใบหน้าเข้ามาจรดจูบที่แก้ม คลอเคลียอยู่ตรงนั้นแล้วก็ทาบริมฝีปากลงมา พร้อมกับฝ่ามือที่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของผม

“จะสะอาดได้ไงครับ พี่ยังไม่ไดถูตรงนี้เลยนี่นา...”



“ฮ๊ะ พี่...ผมเสียว อือ”

ตอนนี้ผมถูกจับให้เท้าแขนกับผนังห้องน้ำ ส่วนลพตัวก็ถูกจับเอี้ยวให้หันไปรับจูบที่ที่ลึกซึ้งขึ้น ด้านล่างก็โดนรูดรั้งไม่หยุดจนขาสั่นไปหมด

“ชอบมั้ยครับ?”

เขาละริมฝีปากออก คลอดเคลียไปตาแก้มและใบหู ส่วนผมก็พยักหน้าแล้วเด้งเอวใส่มือพี่นัทอย่างเร็วเพราะแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น จนผมนั้นรู้ว่าตัวเองใกล้เสร็จแล้ว อีกแค่นิดเดียว...อีกแค่นิดเดียว แต่อยู่ดีๆ พี่นัทก็ปล่อยมือออก ทำให้ผมเกิดอารมณ์ค้างขึ้นมาทันที

“พี่นัท…” ผมเรียกอีกฝ่านเสียงสั่นเมื่อโดนเขาจับให้หันไปเผชิญหน้า

“พี่ลืมไปว่า พี่ยังไม่ได้ถูตรงนี้เลยครับ” พี่นัทลูบลงไปที่ก้น ผมรู้สึกตื่นเต้นเหมือนรู้ว่าพี่นัทกำลังจะทำอะไร ใจผมเต้นไม่เป็นส่ำเหมือนปลายนิ้วเรียวยาวลูบไปมาตรงช่องทางด้านหลังก่อนจะสอดเข้ามาอย่างช้าๆ

“อื้อ อึก” ความรู้สึกแปลกๆ ก็พุ่งขึ้นมาจนไม่มีแรงจะยืน ผมต้องกอดพี่นัทแน่นเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้

“เจ็บมั้ยครับ?” พี่นัทก้มลงมาถาม แต่นิ้วก็ยังขยับอยู่ด้านใน ผมได้แต่เม้มปากและส่ายหน้าไปมา มันไม่เจ็บแต่รู้สึกเสียดแปลกๆ ถึงแม้ว่าจะเคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกชินขึ้นมาซักนิด

เสียงหอบของพี่นัทดังอยู่ใกล้หู ผมรู้สึกได้ว่าปลายนิ้วนั้นเข้ามาลึกกว่าเดิม รู้สึกราวกับว่ากำลังโดนกดย้ำไปเรื่อยๆ เพื่อหาอะไรบางอย่าง

“อ๊า!” ผมสะดุ้งเกือบจะทรุดตัวลงถ้าไม่ได้อ้อมแขนของพี่นัทโอบเอวเอาไว้ ผมเบ้หน้าและเชิดหน้าขึ้นเมื่อคนตัวสูงที่กอดผมอยู่นี้กดย้ำจุดเดิมให้ผมรู้สึกเสียวๆ จุกๆ แบบนี้

“ชอบรึเปล่า?”

“...” ผมหลับตาปี๋ ซุกใบหน้าลงกับหัวใกล่กว้างแล้วส่ายหน้า เขาถามอะไรมาผมก็จะส่ายหน้าลูกเดียว ผมยังคงกล่อมตัวเองด้วยคำว่า มันไม่ปกติ... ใครจะไปชอบให้คนอื่นแหย่นิ้วเข้ามาแบบนั้นกันล่ะ

“ดูหน้าแล้วพี่ค่อยอยากจะเชื่อเลยครับ งั้น...ขอพิสูจน์เองแล้วกัน” ว่าแล้วพี่แกก็ขยับนิ้วเข้าออก เขาจงใจให้ท้องนิ้วถูไถไปกับส่วนนั้น จนผมกลั้นไม่ไหว ครางออกมาและดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพี่นัทขยับนิ้วเร็วกว่าเดิม

“อ๊า! พี่... พี่หยุด พี่ครับ อึก”

“อยากให้หยุดจริงๆ เหรอครับ”

พี่นัทไม่หยุดแต่ทำเร็วขึ้น อีกทั้งยังถูไถเป้าตัวเองไปกับส่วนอ่อนไหวของผมด้วย ผมเม้มปากและเกร็งตัว เมื่ออารมณ์หวามเริ่มถึงจุดผมก็เริ่มให้ความร่วมมือ เขย่งเท้าขึ้นและขยับสะโพกดันกับเป้ากางเกงที่โป่งนูนขึ้นมาพี่นัท

“อ๊ะๆ ไม่ อือ เร็วอีก...”ผมกอดอีกฝ่ายแน่น จากที่พูดขอให้พี่เขาหยุดก็กลับกลายเป็นว่าขอให้เขาทำเร็วขึ้น พี่นัทก็ใจดีทำให้ตามคำที่ผมขอ

“หึหึ...”

เขาหัวเราะในลำคอแล้วดันเอวผมออก นอกจากนั้นยังหยุดขยับมือด้านหลังอีกด้วย

“อ๊ะ! พี่หยุดทำไม!”

“...ก็พี่ถูจนหนึ่งสะอาดไปทั้งตัวแล้วนี่ครับ ดูสิผิวใสเชียว” พูดพลางยิ้มจนตาหยีแล้วก้มลงมาจูบที่หัวไหล่

ผมมองพี่นัทตาเขียว เขาแกล้งผมอีกแล้ว เขาปล่อยให้ผมค้างคาถึงสองรอบ ผมมองค้อนอีกฝ่ายที่เอาแต่ผมยิ้มขณะคว้าเอาผ้าขนหนูมาห่อตัวผมเอาไว้ หงุดหงิดดด

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ พี่เป็นห่วงหนึ่งนะครับ อาบน้ำนานจะเป็นหวัดเอานา”

พี่นัทพูดยียวนหน้าระรื่นแล้วพาผมไปนั่งที่โซฟา ระหว่างทางก็เหมือนจงใจลูบให้ผมยิ่งอยากขึ้นไปอีก พอผมจะทำให้ตัวเองพี่ก็ดึงมือผมออกแถมทำตาดุใส่อีก ผมได้แต่ฮึดฮัด มองน้องชายผมมันยืนตรงสะอึกสะอื้นอยู่ใต้ผ้าขนหนู ปล่อยให้มันร้องไห้ออกมาไม่ได้รึไง อัดอั้นหงุดหงิดไปหมด ผมเม้มปาก หาวิธีที่จะช่วยตัวเองหายอึดอัด

“รอพี่ก่อนนะครับ เดี๋ยวไปหาเสื้อมาให้ใส่” พี่นัทกำลังหันหลังไปที่ตู้เสื้อผ้า แต่ผมดึงชายเสื้อเขาเอาไว้

“พี่นัท...” ผมอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ลังเลที่จะพูดออกไปเพราะรู้สึกว่ามันน่าอายเกินไป

“มีอะไรครับ หนึ่งต้องรีบใส่เสื้อนะ ไม่งั้นจะไม่สบายเอา”

“พี่ครับเอ่อ...ช่วยผมก่อน” ผมอึกอักกำชายผ้าขนหนูเอาไว้แล้วมองอีกฝ่ายอย่างขอร้อง พี่นัทอมยิ้มแล้วนั่งลงข้างๆ

“...แต่พี่กำลังจะไปหาเสื้อผ้ามาให้ใส่นะ”

“ผ...ผมอยากให้พี่ทำอย่างอื่นมากกว่าหาเสื้อมาให้ผม” ผมส่งยิ้มให้ จงใจพูดแบบนั้นออกไปทั้งที่แก้มมันร้อนไปหมด แต่คนตรงหน้ากลัยอมยนิ้มและนั่งเฉยๆ อ่อยขนาดนี้ยังจะนิ่งอยู่อีก ผมปัดความอายทิ้งแล้วขยับตัวลุกขึ้นไปนั่งคร่อมทันที

“จะถอดเสื้อพี่ทำไมครับ”

“เสื้อพี่ก็เปียก เดี๋ยวพี่เป็นหวัด ผมต้องถอดเสื้อให้พี่”

“งั้นก็...ตามสบายเลย” พี่นัทยิ้มออกมา แล้ววางมือลงบนโซฟาเหมือนให้ผมทำอะไรก็ได้

ผมถอดเสื้อเขาออก ขยับลงมาจัดการกับกางเกงต่อ แต่ตรงเป้าของพี่นัทมันนูนอย่างเห็นชัด ทำให้ความอายและความประหม่าเริ่มวิ่งกลับเข้ามาหาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพี่นัทที่ยิ้มแล้วเลียลิมฝีมองมองมา ท่าทางแบบนั้นของเขาทำให้ผมร้อนวูบไปทั้งตัว เหมือนคอผมกลายเป็นผงต้องกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอไปหลายต่อหลายครั้ง

ผมกัดปาก ขยับตัวอยู่บนตักของเขา มองแววตาและท่าทางเซ็กซี่เร้าอารมณ์ของคนตัวใหญ่ ผม...รู้สึกอยากให้พี่นัทสัมผัสผมเยอะๆ  อยากให้ทำอะไรกับผมก็ได้

“พี่ครับ….”

“รู้มั้ยเนี่ยว่าตัวเองทำหน้าตาแบบไหน”

“...แล้วพี่ล่ะรู้มั้ยว่าตัวเองทำหน้าตาแบบไหนอยู่”



ตองหนึ่งจะเอาอะไรไปโกรธอิพี่ได้นาน ก็รักพี่เขาไปแล้วนี่นา...
แต่พี่นัทก็รักตองหนึ่งนะคะ ถึงแม้ว่าจะหื่นและแกล้งแรงไปนิสนุง แต่ให้อภัยพี่แกน๊า

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 10 : สถานะ...โดนเก็บ? l 17-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-08-2019 23:47:40
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 10 : สถานะ...โดนเก็บ? l 17-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: ryukazeII ที่ 18-08-2019 23:23:16
 :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 11 : สถานะ...โดนกิน? l 22-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 22-08-2019 16:24:54
11 : สถานะ...โดนกิน?


“...แล้วพี่ล่ะรู้มั้ยว่าตัวเองทำหน้าตาแบบไหนอยู่”

พี่นัทเป่าลมหายใจร้อนๆ ออกมา ดึงผมเข้าไปกอดและจูบแรงๆ  กดสะโพกผมให้ทับลงไปบนส่วนโป่งนูน ผมเองก็ขยับเอวให้ส่วนปลายของแก่นกายตัวเองถูไถไปกับหน้าท้องแข็งๆ ของพี่นัท

“อืม ดี..” พี่นัทครางในลำคอเบาๆ แต่โคตรทำให้ผมมีอารมณ์มากขึ้นไปอีก

“พี่ครับ...นั่นๆ”

“ช่วยพี่หน่อยสิ...ขยับสะโพกเร็วขึ้นอีกนิดครับ” พี่นัทพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ลูบแก้มแล้วลากปลายนิ้วลงมาที่สะโพก เขาจับแล้วบังคับให้ขยับในแบบที่เขาชอบ พอผมทำได้ดีพี่นัทก็ผละมือขึ้นไปที่ยอดอก ลูบและขยี้จนผมแอ่นอกให้ สะโพกก็ขยับเสียดสีไม่หยุด

ผมเม้มปาก มองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าพึงพอใจจากนั้นก็ลุกขึ้น ทำใจกล้าถอดกลางเกงพี่นัทออก แก่นกายใหญ่ตั้งตรงชี้หน้าทันทีที่ผมดึงชั้นในลง ผมมองนิ่งๆ กลืนน้ำลายเหนียวหนืดของตัวเองลงคอ ไม่คิดมาก่อนเลยว่าตัวจะยิ่งมีอารมณ์ขึ้นไปอีกเมื่อเห็นของผู้ชายด้วยกันเอง

ผมจับแก่นกายของพี่นัทเบาๆ  ลูบพร้อมกับสำรวจไปด้วย ใจผมเต้นแปลกๆ เพราะทั้งสีและขนาดไม่เหมือนของผมเลยซักนิด ของพี่นัทดูสมชายกว่าตั้งเยอะ พอเทียบของตัวเองกับของพี่นัทแล้ว มันต่างกันจริงๆ เหมือนที่เขาเคยพูดเอาไว้...น่าอายชะมัด

ของพี่นัทนี่ไม้นวดแป้ง ของผมนี่อะไร...อย่างกับหลอดชาไข่มุก เจ็บใจจริงๆ

“หนึ่งทำแบบนั้นพี่จักจี้นะครับ” เพราะผมเอาแต่ลูบไปมาเบาๆ จึงทำให้เขารู้สึกแบบนั้น พี่นัทยิ้มให้แล้วขยับมือผมช้าให้กอบกุมตรงนั้นของเขาเอาไว้จนเต้มฝ่ามือ

“อ เอ่อ...บ แบบนี้ดี...มั้ย?” ผมพูดตะกุกตะกักกำมือแน่นขึ้นแล้วขยับขึ้นลง มองดูส่วนปลายสีก่ำของพี่นัทที่กระตุกอยู่ในมือ ผมบิดขาตัวเอง เริ่มขยับสะโพกอีกครั้งหลังจากที่หยุดขยับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้

“อืม หนึ่งครับ...พี่เป็นพวกโลภมาก หนึ่งทำให้แค่นั้นพี่ไม่พอหรอก” เขาขยับตัว กอบกุมสะโพกของผมเอาไว้ด้วยอุ้งมือทั้งสองข้าวของเขา บีบเคล้นและขยับให้ผมโยกสะโพกขึ้นลงอย่างเนิบนาบแนบแน่น

“ล แล้วผมต้องทำยังไง”

“พี่ขอเอาไอ้นี่” พี่นัทหลุบตามองแก่นกายปริ่มน้ำของตัวเองในขณะที่ปลายนิ้วของเขาก็ลูบไล้ไปรอบๆ ช่องทางด้านหลังของผม “เข้าไปในนี้ของหนึ่งได้มั้ยครับ?

“...”

ผมก็รู้ว่าผู้ชายกับผู้ชายด้วยกันมันทำกันยังไง แล้วดูจากสถานะตอนนี้ก็พอรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายไหน เราช่วยกัน เราอยู่ในสภานที่ล่อแหลม แต่ไม่คิดว่าเราจะไปถึงขั้นนั้นกันเร็วขนาดนี้ อีกทั้งผมคิดว่าผมอาจไม่พร้อมเท่าไร ดูขนาดของพี่นัทแล้วไม่น่าจะเข้ามาได้...ตอนนั้นที่พี่นัทใส่มาสองนิ้วผมยังเจ็บมาก แต่นี่มันใหญ่กว่าสองนิ้วตั้งเยอะ ผมคงเจ็บจนขาดใจตายแน่ๆ

“ได้มั้ยครับ?” พี่นัทถามย้ำ ลูบไปมาไม่ยอมหยุด

“มะ...ไม่ครับ”

พี่นัทมองหน้าผม ผมก็ส่ายหน้าใส่ พี่แกทำปากเบะนิดหน่อย ถึงจะดูน่ารัก แต่ผมก็ส่ายหัวให้อีกอยู่ดี ผมกลัวของผมอ่ะ

“ก็ได้...ถ้าหนึ่งไม่ให้พี่ก็ไม่ทำ” พี่นัทถอนหายใจออกมา ผมเลยปลอบเขาด้วยการก้มลงไปจูบเอาใจ พี่เขาครางอย่างพึงพอใจและยอมจูบตอบ ผมยกมือจับไหล่เขาเอาไว้ก่อนจะสะดุ้งเมื่อโดนฝ่ามือใหญ่จับเข้าที่แก่นกายอย่างไม่ทันที่ผมจะตั้งตัวแล้วชักขึ้นลง ผมแยกขาออกแล้วก็ทำแบบเดียวกันกับของพี่นัท...ตอนนี่เราต่างคนต่างช่วยกัน

“อื้อ! ไหนพี่บอกจะไม่ทำ” อยู่ดีๆ พี่นัทก็ไปวนเวียนอยู่ตรงช่องด้านหลังผมอีกแล้ว

“พี่แค่อยากช่วยให้รู้สึกดีมากกว่าเดิมไงครับ” พี่นัทพูดยิ้มๆ  ไม่น่าวางใจสุดๆ แต่พอพี่นัทดึงผมไปจูบต่อ ผมก็จูบตอบตอนนี้ขอแค่ให้พี่นัททำให้ผมเสร็จสมไปสักทีก่อนก็พอ เรื่องอื่นค่อยพูดกันทีหลัง

พี่นัทไม่ได้สอดนิ้วเข้าไปอย่างที่พูดจริงๆ แค่ลุบไปมาอย่างเดียวซึ่งมันช่วยทำให้ผมเสียวขึ้นมากๆ  ผมมัวแต่เด้งเอวใส่มือพี่นัทจนแทบไม่ได้ทำให้เขาเลยเพียงแค่กำไว้หลวมๆ เท่านั้น

“อ๊ะ อีกนิด” ผมหยัดตัว เด้งสะโพกเข้าหาเมื่อผมรู้สึกว่าใกล้จะถึงจุดหมาย ปรือตามองอีกฝ่ายแล้วกอดเขาเอาไว้

“ดีมั้ยครับ?” ผมพยักหน้ารัวๆ  ดีครับ ดีมาก พี่ทำให้อะไรๆ ก็ดีหมด  พี่นัททำเร็วขึ้น กำมือแน่นขึ้น

“อือ อ๊ะ...อ๊า!” ทุกอย่างกำลังไปได้ดีและในจังหวะที่ผมกำลังจะใกล้จุดหมายนนั้นพี่นัทก็สอดนิ้วเข้ามาอบ่างรวดเร็ว มันโดนกับจุดแปลกๆ ด้านในทำให้ผมปลดปล่อยออกมาแรงกว่าเดิม น้ำขาวขุ่นพุ่งสูงขึ้นมาเปรอเปื้อนแผ่นอกของผมและพี่นัท

ผมเกร็งกระตุก หยัดสะโพกหามือพี่นัทในขณะที่ปลดปล่อยไปด้วย จากนั้นก็หมดแรงลงไปซบกับไหล่กว้าง ผมหลับตาลง ความรู้สึกดีๆ เมื่อครู่นี้ยังคงวนเวียนอยู่ในช่องท้อง

“หนึ่งครับ”พี่นัทพูดเสียงนุ่มลูบหัวผมเบาๆ  ยิ่งทำให้ผมเคลิ้ม

“ครับ” ผมตอบไปก็หอบไป

“ดีมั้ยครับ?”

“ดีครับ” ดีมากๆ เลย...

“เสียวมั้ยครับ?” พี่นัทลูบลงมาตามลำตัวผมก็ยิ่งเคลิ้ม ยิ่งเพลิน

“เสียวครับ”

“ชอบมั้ยครับ?” ผมอมยิ้มและเม้มปาก เมื่อเขาลูบลงมาที่บั้นท้ายและช่วงขา เขาบีบเบาๆ ด้วยแรงมือกำลังดีเหมือนนวด ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เขาสัมผัวได้เต้มที่ก่อนจะกลับตาลง...สบายตัวจัง

“ชอบครับ” เรื่องที่ทำให้เสียใจมาตลอดอาทิตคลี่คลายแล้ว สิ่งที่อัดอั้นก็ปลดปล่อยออกมาหมดแล้ว สบายทั้งตัวสบายทั้งใจแถมยังได้เสียงนุ่มๆ คอยกล่อกับมืออุ่นๆ ของคอยลูบ ผมนี่ทั้งฟินทั้งเคลิ้ม

“พี่ขอเข้าไปในตัวหนึ่งได้มั้ยครับ?”

“...ได้ครับ” อืม พี่นัทเพิ่งแรงบีบตามต้นขาและบั้นท้าย ก็ยิ่งผ่อนคลาย ผมอมยิ้มแล้วหลับตาลง ซุกหน้าไปกับบ่ากว้างหาที่เหมาะเพื่อนอน

“งั้น…ฮึบ!”

“อ๊ะ...หวา!” อยู่ดีๆ ตัวผมก็ถูกยกขึ้นอย่างเร็วจนต้องกอดคอและเกี่ยวขากับเอวพี่นัทไว้เพราะกลัวตก

“ไปที่เตียงกัน”

หะ!!เมื่อกี้ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า?

“หะ...เห้ยๆ  พี่เมื่อกี้ผมไม่ได้ หวา!” พี่นัทโยนผมลงบนเตียงแล้วเข้าคร่อมอย่างรวดเร็วจนผมยังตกใจ

“ไม่สงสารพี่เหรอครับ หนึ่งสบายตัวไปแล้ว แต่พี่นี่สิ...” พี่นัทยืดตัวขึ้น ทาให้ผมได้เห็นแก่นกายของพี่นัทชัดๆ 

“อ...เอ่อ” ผมมองตรงส่วนนั้นของเขาตาค้างที่ชี้หน้าผมอยู่ ส่วนปลายสีก่ำ เส้นเลือดและขนาดของมันทำให้สมองหายไปอีกครั้ง

“หนึ่งช่วยพี่นะครับ?” พี่นัทพูดเสียงอ่อนและส่งยิ้มพลางจับแก่นกายแข็งๆ นั่นมาถูกับน้องชายของผมที่มันอ่อนตัวไปแล้ว พี่ครางออกมาเล็กน้อยก่อนจะก้มลงมาจูบปากและผละออกไป “นะครับ...ช่วยพี่นะครับ หนึ่งก็รู้ใช่มั้ยว่ามันค้างคาแบบนี้ มันจะทรมานขนาดไหน”

“ง...งั้นผมจะใช้มือ”

“...”

พี่เขาไม่ตอบ แต่มองมาด้วยสายตาอ้อนวอน เขาแยกขาผมออกแล้วดุนดุนส่วนปลายไปมากับก้นของผม น้ำสีใสเหนียวเหนอะไหลออกมาไม่หยุด เปื้อนจนของเขามันวาวไปหมด อีกทั้งยังร้อนผ่าวและแข็ง...คงจะปวดน่าดู

ผมลังเล ทั้งกลัวและอยากรู้ ผมเม้มปากหลุบตาลง แล้วมองไปที่พี่นัทอีกครั้ง...คงไม่แย่นักหรอกมั้ง

“พ...พี่ห้ามทำผมเจ็บนะ”

“อืม...เจ็บแค่นิดเดียวครับ เหมือนตอนโดนคุณหมอฉีดยาแค่นั้น”

เขาพูดแล้วทะเล้น ผมเลยบุ้ยปากใส่ไปทีนึง จะไปเหมือนกันได้ยังไง ของพี่มันใหญ่กว่าเข็มตั้งเยอะ

“ผ...ผมต้องทำยังไงบ้าง”

“หนึ่งเอื้อมไปเปิดลิ้นชัก แล้วหยิบของในนั้นให้พี่หน่อย”

“ครับ”

ผมหันไปเปิดลิ้นชักที่หัวเตียงแล้วก็หยิบของข้างในออกมา เป็นหลอดคล้ายๆ ยาสีฟัน…เฮ้ย! เจลหล่อลื่นนี่หว่า

“หึหึ ถุงยางด้วยสิครับ หนึ่งอยากทำกี่รอบ ก็หยิบมาเท่านั้นเลยครับ”

ผมส่ายหน้าแล้วหันไปค้อนใส่เขา กี่รอบอะไรกันล่ะ ถ้าทำผมเจ็บนะ จะไม่ให้เขาแตะตัวผมอีกเลย...อ๊ะ แบบนั้นคงไม่ดี จะไม่ให้เขาแตะก้นผมอย่างเดียวดีกว่า

“หึหึ รอบเดียวเองเหรอ” พี่นัทโยนของไว้ข้างๆ ตัวผมที่นั้งเก้ๆ กังๆ ทำตัวไม่ถูก เขาดันผมให้กลับไปนอนหงาย แล้วก็จับขาผมแยกออก ผมส่ายหน้าแล้วหุบขาตัวเอง ผิดส่วนน่าอายให้พ้นจากสายตาของอีกฝ่าย

“อ...อ่า ผมอาย”

“ไม่ต้องอายหรอกครับ ขอพี่ดูหน่อยนะ” พี่นัทไม่ได้บังคับให้ผมอ้าขาออก พี่แค่ลูบไปมาอย่างแผ่วเบา จากต้นขาไปถึงข้อเท้า แล้วก็ไล้เข้ามาตามต้นขาด้านในจนถึงส่วนอ่อนไหวของผม เพียงแค่นั้นผมก็ยอมแยกขาออกให้ดีๆ แล้ว

พี่นัทก้มลงมาจูบ สอดลิ้นเข้ามาแล้วก็ค่อยๆ เลื่อนริมฝีปากลงมาที่คอเรื่อยมาจนถึงหน้าอกและหน้าท้อง แล้วก็ขึ้นมาจูบที่ปากผมอีก ผมอ้าปากให้พี่นัทจูบอย่างเต็มใจ ส่วนข้างล่างพี่นัทก็ชักรูดจนผมมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

“อ่ะ! อื้อ” พี่นัทใช้จังหวะที่ผมเผลอสอดนิ้วเข้ามา ดันเข้าไปลึกแล้วก็ดึงออก สลับไปมาอยู่แบบนั้นจนผมหอบหายใจแรงขึ้น

“หนึ่งครับ”

“ค..ครับ”

“รู้มั้ยว่าตอนนี้เข้าไปกี่นิ้วแล้ว”

ผมพงกหัวขึ้นมองนิดหน่อยแล้วก็พยักหน้า ช้อนตามองอีกฝ่ายแล้วก็หันหนี

“นิ้วเดียว..” ผมเสียงสั่นตอนที่ตอบเพราะรู้สึกตื่นเต้นสุดๆ  ที่เห็นพี่นัทค่อยเพิ่มนิ้วแล้วดันเข้าไปอย่างช้าๆ ความรู้สึดอึดอัดเริ่มแทรกซึมเข้ามา ผมกัดปากตัวเองแน่นมองดูนิ้วเรียงยาวที่หายเข้ามาในตัวผมเอง...

“แล้ว...นี่ล่ะครับ”

“สะ...สอง พี่ นั่น...นั่น” เสียงผมเริ่มขาดหาย รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง พอพี่นัทเพิ่มนิ้วผมก็ยิ่งรู้สึกตื้อๆ ขึ้นมาแต่มันก็ไม่ได้เจ็บอย่างที่คิดเลย พี่นัทใช้อีกมือหยิบหลอดเจลแล้วก็ยื่นมาให้ผม มือข้างล้างก็ยังขยับไม่ยอมหยุด และดูเหมือนจะเร็วขึ้นด้วย

“เปิดฝาให้พี่หน่อยครับ” ผมรับมาเปิดฝาให้ แค่หมุนเกลียวธรรมดา แต่กว่าจะหมุนออกผมทาเจลหล่นใส่หน้าตัวเองตั้งสองครั้ง มือไม้มันสั่นไปหมด พอเปิดเสร็จ ผมก็ยื่นคืน พี่นัทเอาไปบีบลงบนนิ้วขณะที่ดันเข้ามา

“หวา อา...” พอมีเจลช่วย มันก็ยิ่งลื่น ไม่รู้สึกฝืดๆ เหมือนตอนแรก แล้วความรู้สึกเสียดเสียวก็เริ่มเด่นชัดขึ้นมา

ผมมองพี่นัทที่ค่อยเพิ่มนิ้วเข้ามาอีกนิ้วนึง ผมรู้สึกเกร็งเล็กน้อยเพราะกลัวเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนรอจนพี่นัทดันเข้ามาจนสุด มันไม่มีความเจ็บเลยซักนิด ตรงกันข้าม มันอึดอัดแต่มันก็เสียวมากด้วยเหมือนกัน

“หนึ่งครับ นี่กี่นิ้ว”

“สาม…”ผมตอบเสียงเบาหวิว คว้าหมอนที่อยู่ใกล้มากอดแน่น เมื่อเขาขยับนิ้วทั้งสามนั้นจนผมครางเสียงหลง

เขาเร่งจังหวะให้เร็วขึ้น จนผมห้ามเสียงตัวเองไม่ได้ เพราะทุกครั้งที่พี่นัทดันเข้ามา มันจะไปโดนจุดที่ทาให้สติผมกระเจิงทุกครั้งที่โดน

“อา อื้อ อะ” พี่นัทจับส่วนอ่อนไหวของผมพร้อมกับดันนิ้วเข้าออกที่ด้านหลัง พอโดนรังแกสองที่ในเวลาเดียว ผมก็ยิ่งสติแตก ครางจนลืมกลืนน้ำลาย ทำให้น้ำสีใสนั่นไหลออกมาจากริมฝีปาก พี่นัทก้มมาลงปาดเลียอย่างไม่รังเกียจ ผมอายแต่ก็รู้สึกดีกับการกระทำของเขาด้วย

“ดีมั้ยครับ?” ผมพยักหน้าตอบ พี่นัทก็ทำให้ผมเร็วขึ้น ยิ่งผมทำท่าจะเสร็จสมเขาก็เร่งจังหวะจนเกิดเสียเฉอะแฉะน่าอาย

“ดี...อ๊ะ พี่นัท อือ พี่ครับ อื้อ!”

หลังจากที่ผมปลดปล่อย เขาก็ดึงมืออก ผมรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาจนต้องหุบขาเข้าแต่ก็ติดตัวพี่นัท เขาส่งยิ้มให้แล้วขยับตัวเล็กน้อยก่อนจะบีบเจลอีกครั้ง แล้วกลับมาแยกขาผมออกกว้างพร้อมกับดึงสะโพกให้ยกขึ้นสูงแล้วเอาหมอนมาลองไว้ข้างใต้

ผมตัวเกร็งขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อรู้ว่าใกล้ถึงเวลาของจริงแล้ว ยิ่งรู้ว่าโดนเจลเย็นนั้นป้ายไปทั่วช่องทางน่าอายนั่นก็ยิ่งสะดุ้งและขนลุกไปหมด

“ใจเย็นๆ นะครับ ไม่ต้องกลัว”

“อึก อือ...พี่นัท อ๊ะ” ผมขมวดคิ้ว พยามทำใจให้เย็นตามที่เขาบอกเมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างพยายามดันเข้ามา ผมรู้สึกเจ็บหน่วงและอึดอัดจนหายใจแทบไม่ออก ผมอยากรู้ว่ามันเข้ามาถึงแค่ไหนแล้วจึงผงกหัวขึ้นดู แต่ก็อยากจะยอมแพ้เมื่อเห็นว่า ของพี่นัทมันเข้ามาแค่ส่วนปลายเพียงเท่านั้น

“อืม นี่กี่นิ้วแล้วนะ” พี่นัทที่มองหน้าผมอยู่ก่อนแล้วก็ถามขึ้น

“อื้อ! พี่...พอ อะ” พี่นัทดันเข้ามาลึกกว่าเดิม  ผมส่ายหน้าแล้วจิกหน้าท้องตัวเองเพื่อระบายความอึดอัด พี่นัทส่ายหน้าแล้วดึงมือผมให้ทาบลงบนต้นแขนของเขาแทนที่จะจิกตัวเอง

“ชู่วว ใจเย็น...บอกพี่เร็วครับว่ากี่นิ้วแล้ว” ผมกลับมานอนแผ่ กอดหมอนแน่น แล้วส่ายหัวไปมากับเตียง

“พ…พี่ นั่นไม่ใช่นิ้ว อึก” นั่นมันไม่นวดแป้งของพี่!

พี่นัทหัวเราะในลำคอแล้วดันสะโพกเข้าหาสลับกับขยับออก ทำแบบนั้นจนส่วนที่ร้อนผ่าวเข้ามาหมด ผมกัดปากและหลับตาปี๋ เพราะมันเจ็บไม่ใช่เล่นๆ เลย ถึงแม้จะอยู่ในระดับที่ทนได้ แต่ก็ไม่เห็นช่องทางว่าผมจะรู้สึกดีกับมีเซ็กส์แบบนี้ได้เลย

“อือ หนึ่ง...ผ่อนคลายหน่อยครับ อย่ารัดพี่แน่นแบบนั้นสิ” เขานั่งนิ่งๆ พลางตบก้นเบาคล้ายกล่อมเด็ก ก่อนจะละมือมาด้านหน้า กอบกุมกลางกายผมเอาไว้แล้วรูดรั้งเพื่อปลุกเร้าอารมณ์

“พี่นัท ผมอึดอัด ผม...อ๊า อย่าๆ”  ผมดันหน้าท้องเขาออกเมื่อเขาเริ่มขยับสะโพก ถึงจะเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็ทำให้เสียดเสียวอย่างประหลาด

“อึก ดีมั้ยครับ ดีขึ้นรึเปล่า”

“อื้อ อ๊ะ...อะ” พอพี่นัทเริ่มขยับเร็วขึ้น ความเสียวก็พรั่งพรูขึ้นมาที่สมองทันที ผมสะดุ้งเผลอแยกขาออกกว้าง แะลหลุดเสียงร้องออกไป

“ไม่เจ็บแล้วเนอะ” พี่นัทยิ้ม ก้มลงมาประกบปากจูบ เราครางอื้ออึงกันในลำคอและเสียงของพี่เขาทำให้ผมยิ่งมีอารมณ์

“อือ...อ๊ะ อาๆ อึก“ ผมส่ายหน้าไปมากับที่นอนเมื่อพี่นัทผละออกไป เสียงครางน่าอายหลุดออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อผมรับรู้ได้ว่ามันดีกว่าแค่นิ้วจริงๆ อย่างที่พี่เขาว่าไว้

“อืม ตองหนึ่ง...” พี่นัทเป่าลมออกจากปากแล้สเสยผมขึ้น เขาหยุดขยับไปครู่หนึ่งแล้วเท้ามือลงกับเตียง จากนนั้นก็ขยับสะโพกกระแทกเข้ามาแรงขึ้นและเร็วขึ้น จนผมสั่นคลอน

“อื้อ อึก อะ” ผมกัดปากเพื่อกลั้นเสียง ยกมือสองมือขึ้นปิดปากตัวเองเอาไว้แต่คนตัวสูงก็จับมือผมไปยึดไว้ที่หน้าท้อง แล้วกระหน่ำเอวลงมาไม่หยุด

“หนึ่งครับ อย่ากลั้น...ขอพี่ฟังเสียงหน่อยครับ”

ผมส่ายหน้าไม่ยอม เสียงน่าอายแบบนั้นใครจะไปอยากให้ได้ยินกันล่ะ พี่นัทหัวเราะเมื่อเห็ฯว่าผมดื้อ และเขาก็มีวิธีปราบเด็กดื้อด้วยการหยุดขยับ เปลี่ยนจากจัวหวะเร็วๆ เป็นการขยับช้าเนิบนาบ แต่ทุกครั้งที่เขาดันเข้ามามันลึกเสียจนผมกลั้นครางไม่ไหว

พอผมยังคงดื้อและพยายามขยับสะโพกออก พี่นัทก็เลยปัดปัญหาโดยการยกขาผมขึ้นพาดบ่าทั้งสองข้าง สะโพกผมลอยขึ้นจากที่นอน รองรับกับสธโพกของเขาที่ขยับลงมาอย่างพอดิบพอดี

“อึก อ๊ะ อื้อ”

พี่นัทกลับมาขยับสะโพกเร็วขึ้นอีก พร้อมกับก้มลงจูบผมไปด้วย จังหวะที่สับเปลี่ยนทำให้ผมเกร็งตัว ไม่นานก็ปลดปล่อยออกมาจะเลอะหน้าท้อง แต่พี่นัทก็ไม่หยุดเขายึดสะโพกผมเอาไว้ ดึงเข้าหาตัวและขยับสะโพกเข้าหาอย่างรวดเร็ว

“อ๊ะๆพ..พี่ ฮะ ช..ช้า” ผมแค่จะบอกให้ช้าๆ ลงหน่อย แต่เหมือนพี่เขาจะทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม

“ซี๊ด ดีมากครับ อืม...” พี่นัทครางอย่างพึงพอใจแล้วขยับเร็วขึ้น ผมที่โดนกระแทกจนตัวสั่นปลดปล่อยออกมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วพี่นัทก็กดสะโพกผมลงกับเตียง ดันเข้ามาลึกมากๆ  จนผมเสียวแปล๊บ เขาเกร็งกระตุกและหยุดนิ่งไป ผมเห็นเส้นเลือดที่ท่อนแขนพี่นัทขึ้นเป็นเส้นอย่างชัดเจน จนผ่านไปซักพักก็ซบลงมาที่ซอกคอผม

ตอนนี้ทั้งห้องมีแต่เสียงหอบหายใจของผมและพี่นัท จนเวลาไปผ่านครู่ใหญ่ๆ  ผมที่เริ่มรู้สึกหนัก ก็ดันตัวพี่นัทให้ลุกขึ้น

เขาหัวเราะและยันตัวขึ้นถอนร่างกายออกไป ก่อนที่จะผละออกก็ไม่วายจูบผมจนปากเจ่อไปหมด ผมนอนแผ่อ่าซ่า หมดแรงจะขยับตัว ไม่มีปัญญาแม้แต่จะหยิบผ้าห่มมาคลุมอ่ะ  มันเมื่อยไปหมดเลย

พี่นัทลุกขึ้นไปทาอะไรบางอย่างที่หัวเตียงแล้วก็กลับมาจูบไปตามตัวผม บีบนวดไปซักพัก แล้วก็พลิกตัวผมให้นอนคว่ำ ผมให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเพราะคิดว่าพี่นัทจะนวดให้ แต่พคนนิสัยไม่ดีดัยจับบั้นท้ายผมแอ่นขึ้น ใช้หมอนใบเดิมรองด้านหน้า แล้วพี่นัทก็ทาบทับเข้ามาอยู่ทางด้านหลัง

“พี่! จะทำอะไร” ผมถามเอี้ยวตัวไปถามพี่นัท พอเห็ฯว่าเขากำลังใส่ถุงยางอีกครั้งก็ ตาตื่นรีบขยับหนี แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะฝ่ามือใหญ่ๆ นั้นคว้าข้อเท้าผมเอาไว้ ออกแรงดึงให้กลับไปนอนอยู่ที่เดิม ก่อนจะดันตัวเข้ามาทีละนิดๆ ผมอ้าปากและเชิดหน้าขึ้น เพราะรู้สึกว่าท่านนี้ทำให้เข้ามาลึกมาก อีกทั้งยังระบมไปหมด

“หนึ่ง ดีมากเลยครับ อืม ดีมาก” ผมพึมพำ ก้มลงมาพรมจูบไปตามหัวไหล่พร้อมกับขยับสะโพกเข้าหา ผมมุดหน้าลงกับเตียง แอ่นสะโพกขึ้นรับกับจังหวะที่รุนแรงขึ้น

“ฮ๊ะ! ไหน...พี่บอก...อื้อ แค่ครั้งเดียว อึก”

“อืม...พี่ใจดี พี่แถมให้” แล้วพี่นัทก็เริ่มขยับสะโพกเร็วขึ้น

ผมไม่สามารถเถียงอะไรได้อีก เพราะผมๆ ไม่สามารถพูดได้ เสียงที่ออกมาจากปากผมหลังจากนั้น มีแต่เสียง คราง

 

พี่นัท’s part

“อืม...” ร่างนุ่มนิ่มที่หลับสนิทครางออกมาเบาๆ เมื่อผมไล่มือไปตามแก้มนุ่มๆ  ตอนนี้มันปาเข้าไปเกือบจะบ่ายสามแล้ว แต่ตัวเล็กนี่ยังไม่มีท่าทีจะตื่นเลย พอผมปลุก ก็เอาแต่งึมงำๆ  เหมือนบ่นผมอยู่ในลำคอ

ผมไม่เคยเห็นมุมตื่นยากแบบนี้ของเขาเลย ไปนอนห้องตองหนึ่งก็บ่อย แต่ก็ตัวเล็กนี่ก็ตื่นตรงเวลาตลอด แต่ทำไมครั้งนี้ขี้เซาจัง

“หนึ่งครับตื่นเถอะนี่มันเย็นแล้วนะ” ผมขยับไปกอดแน่นๆ  แล้ว ส่งเสียงปลุดแล้วพรมจูบไปทั่วแก้มนุ่มอย่างหลงไหล...ผมหลงไหลเขา ผมชอบเขา ตองหนึ่งน่ารักตรงใจผมทุกอย่าง

“อืม งึมๆ ”

เห็นเขางึมงำแบบนั้นก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ ตองหนึ่งพลิกตัวหนีแต่ผมไม่ให้หนีหรอก ทางนี้รัดไว้หมดแล้ว

“ม่ยอมตื่นดีๆ  พี่ก็ต้องใช้วิธีปลุกของพี่นะครับ”

“...”

“พี่เตือนแล้วนา...”

ผมดันตองหนึ่งให้นอนคว่ำ ก้มลงไปขบจนเกิดรอยแดงนิดหน่อยตามหัวไหล่ เลื่อนไปที่ต้นแขน สะบักไหล่ และแผ่นหลัง ตองหนึ่งแค่ขยับตัวนิดหน่อย แล้วก็นิ่งไป ผมเลยเริ่มกัดลงมาที่สะโพก แต่ดุนลิ้นไปตามผิวหอมเนียน

“ฮืม...” คราวนี้ตองหนึ่งเริ่มครางออกมาแล้วเงียบไป ผมไม่หยุด ลงเขี้ยว ขบกัดไปที่เนินบั้นท้ายนุ่มๆ  แล้วขบไปทั่ว ตอนนี้แผ่นหลังและสะโพกตองหนึ่งมีแต่รอยกัดและดูดจากผม แต่เจ้าเตี้ยขี้เซาแค่พลิกตัวนอนหงายหลบแผ่นหลังจากปากผมแค่นั้นเอง

และอย่าคิดว่าผมจะหยุด ปากผมมันกัดไปได้ทุกที่

ผมจับขาตองหนึ่งยกขึ้นข้างนึง แล้วไล่ดูดสลับกัดจนเกิดรอยแดงจางๆ  ตั้งแต่ข้อพับขามาจนถึงต้นขาด้าน และหากว่าเขายังไม่ตื่น ผมคงต้องใช้ปากกับ....

“พ...พี่...ผมตื่นแล้ว” และขณะที่ผมกำลังจะก้มลงไปที่ก้อนนุ่มนิ่มตรงหว่างขา ตองหนึ่งก็ตื่นขึ้นมาดันหัวผมออกและบอกด้วยเสียงแหบเซ็กซี่ ผมยิ้มเพราะถูกใจเสียงแบบนั้นของเขา สงสัยคงต้องทำให้แหบบ่อยเสียแล้ว

“หืม? ทำไมรีบตื่นล่ะครับ พี่อยากจะปลุกต่ออีกซักหน่อย”

ตองหนึ่งพยุงตัวลุกขึ้น ผมเลยจัดการอุ้มมานั่งบนตักแล้วเอาผ้าห่มห่อไว้กันลมเย็นๆ จากแอร์

“ก็พี่อ่ะ” ตองหนึ่งดันตัวผมออกแล้วก็มองผมตาขวาง นี่ผมผมคงทำให้น้องไม่พอใจซะแล้ว ต้องจุ๊บเอาใจเสียหน่อย ผมก้มลงไปจุ๊บที่หน้าผากทีนึง ตองหนึ่งยังทำตาขวางอยู่ ผมก็เลยจุ๊บที่ปากแรงๆ ไปอีกที แล้วก็เพราะว่ามันเขี้ยวเลบแกล้งจูบเพิ่มไปอีกที

“พี่ใจดี แถมให้อีกทีครับ”

“พี่นัท! แค่กๆ อื้อ” ตองหนึ่งตะเบ็งเสียงใส่ผมเลยทำให้เขาไปออกมา ผมมองตัวเล็กที่ลูบคอตัวเองพลางกระแอมเรียกเสียงตัวเอง

“เจ็บคอเหรอครับ?”

“แค่เสียงหายครับ เพราะพี่นั่นแหละ..”

ผมยื่นไปลูบบริเวณลำคอขาวๆ  ผมกลืนน้ำลาย เห็นลำคอสวยๆ แล้วอยากทำรอบ

“ถือว่าโชคดีนะที่ไม่เจ็บคอ...ทั้งที่เมื่อคืนก็ร้องซะขนาดนั้น”

พอพูดจบ ผมก็ได้กำปั้นจากตองหนึ่งทุบที่หน้าอกเลยทันที ผมยิ้มขพ อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปฟัดแก้มเขาอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็โดนเขาตีลงมาอีก เห็นแล้วมันน่าเอ็นดู พวกที่อายแล้วรุนแรงแบบนี้เนี่ย

“พอเลยพี่นัท ผมหิวครับ”

“หึหึ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรอุ่นๆ มาให้ดื่มนะ” ผมดันหนึ่งให้นั่งบนเตียงแล้วผมก็ลุกขึ้น หนึ่งดูตกใจ อ้ำๆ อึ้งๆ  หน้าแดงขึ้นมาอีก เพราะผมไม่ได้ใส่อะไรเลย ผมยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วสองสามทีให้ แล้วเดินไปที่ห้องครัวในสภาพแบบนั้น ไม่หาอะไรมาใส่ด้วย ให้เขาได้มองบ่อยๆ  จะได้ชินเร็วๆ ไงครับ

ผมเดินไปที่โซนครัวเล็กๆ  เทนมแล้วเอาไปอุ่นที่ไมโครเวฟ แล้วผมก็กลับมาทำของผมต่อ

“หนึ่งเอาขนมปังด้วยมั้ยครับ”

เจ้าเตี้ยที่นั่งจุ้มปุ้กอยู่บนเตียงพยักหน้า ผมก็หันมาทำต่อจนเสร็จ ใส่ถาดเล็กๆ  แล้วนำไปเสิร์ฟให้ถึงที่

ผมยกกาแฟขึ้นมาจิบ ตองหนึ่งทำจมูกฟุดฟิด แล้วชะเง้อมองในแก้วผม

“พี่กินอะไร” เสียงแหบนั่นถามออกมา

“กาแฟครับ ชิมมั้ย?”

ผมเป่าไล่ความร้อนนิดหน่อยแล้วยื่นแก้วไปให้ตองหนึ่งชิม

“ชอบมั้ยครับแลกกันมั้ย?”

หนึ่งมองแก้วในมือผมสลับกับนมอุ่นๆ ในมือตัวเองเหมือนพิจารณารสชาติอยู่ สักพักก็ยกนมอุ่นของเองขึ้นมาจิบ น่ารักจังว้า~

“ผมชอบนมนี่มากกว่าครับ”

ตองหนึ่งพูดแล้วก็ยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวเล็กๆ ข้างซ้าย โง้ย~ น่ารักอีกแล้ว เห็นท่าทางน่าฟัดของเขาแล้วก็อยากจะขอแบบเมื่อคืนอีกซักหลายๆ รอบ

ผมก็คิดอะไรของผมเพลินๆ  เจ้าตัวเล็กก็ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บที่ปากผม แล้วก็ค่อยๆ กลับไปนั่ง ผมมองเขายิ้มๆ ยกมือขึ้นลูบปากตัวเองแล้วทำท่าทางทะเล้นใส่เขาไป

"อยู่ๆ มาจุ๊บทำไม แต๊ะอั๋งพี่เหรอตัวเล็ก"

“รางวัลไงครับ” ตัวเล็กตอบเสียงเบา แล้วก็ยกนมขึ้นมาดื่มอั่กๆ  จนผมต้องยั้งเขาเอาไว้ เพราะเดี๋ยวจะเขินจนโดนนมลวกปาก ผมหัวเราะมองคนที่เขินจนหน้าแดง เป็นคนแต๊ะอั๋งเค้าเอง แล้วมาทำเป็นเขิน งุ้ยๆ มันน่านัก

“นี่ครับๆ  ขนมปังแยมวานิลลานะ” ผมหยิบขนมปังไปยื่นให้ ตองหนึ่งก็รับไปกัดคำใหญ่ แล้วก็เคี้ยวจนแก้มตุ๋ย คำแรกยังไม่ทันหมด ก็กัดคำใหม่เข้าไปอีก จนตอนนี้แก้มกลมๆ ทั้งสองตุ่ยออกมา

“อร่อยมั้ย?”

“อื้ม อร่อยมากๆ เลยครับ” ตองหนึ่งพยักหน้าหงึกหงักแล้วอมยิ้มน่ารักๆ

“กินแล้วอย่าลืมให้รางวัลพี่ด้วยนะครับ”


...สโลแกนต่อจากนี้ไปก็คือ...
เป็นตองหนึ่งทำใจ โดนพี่นัทฟัดเยอะแค่ไหนก็ต้องอดทน

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 11 : สถานะ...โดนกิน? l 22-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-08-2019 02:27:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 11 : สถานะ...โดนกิน? l 22-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 28-08-2019 09:41:16
  :haun4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 12 : หนึ่ง... l 28-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 28-08-2019 15:20:48
12 : หนึ่ง...


    หลังจากพี่พี่นัททวงรางวัลจนพอใจแล้ว เขาก็พาผมไปอาบน้ำและหาเสื้อผ้าให้ใส่ เขาพาผมมานั่งที่โซฟาและรื้ออัลบั้มรูปต่างๆ ออกมาให้ผมดูมากมาย เพราะตอนที่อาบน้ำผมมองไปที่กรอบรูปด้วยแววตาสงสัย พี่แกก็เลยเข้าใจผิดไปว่าผมไม่เชื่อเรื่องที่เขาบอก...แต่ผมเชื่อเขานะ

ผมนั่งดูรูปไปเรื่อยๆ ระหว่างรอพี่นัทเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว แต่ละรูปดูแล้วน่ารักมาก พี่นัทกับพี่พายเหมือนจะเป็นพี่น้องที่สนิทกันมาก เขาแกล้งกัน เล่นกัน เหมือนพี่น้องทั่วไปที่รักกันดี ผมเปิดอัลบั้มไปทีละหน้า ดูไปทีละรูปจนมาถึงรูปหนึ่ง ทั้งหน้ามีเพียงรูปใบเล็กใบเดียว รอบๆ มีสติ๊กเกอร์รูปดอกไม้แล้วหัวใจเต็มไปหมด ในรูปเป็นเด็กชายหน้าตาคล้ายพี่นัทในชุดนักเรียนประถมนั่งอยู่บนตักผู้หญิงผมดำหน้าตาสะสวย ที่ใส่ชุดสีฟ้าลักษณะคล้ายๆ ผู้ป่วยในโรงพยาบาล

ผมมองรูปใบนั้นด้วยความสงสัย การที่เขาเอารูปใบเล็กนี้ไว้หน้าเดียวแถมรอบๆ ก็ตกแต่งอย่างสวยงามแบบนี้ บ่งบอกว่าผู้หญิงในภาพสำคัญสำหรับพี่นัทมากๆ

ผมหันไปมองคนตัวสูงที่กำลังใส่เสื้ออยู่ อยากจะถามแต่ก็ดูเป็นเรื่องส่วนตัวเกินไป แต่ความอยากรู้ของผมมันกำลังพลุ่นพล่าน หรือว่าจะเป็นคุณแม่ของเขา… อาจจะเป็นไปได้เพราะเมื่อวานพี่นัทบอกว่าเขากับพี่พายเป็นพี่น้องคนล่ะแม่กัน

ฟอด!

“อื้อ!” เพราะผมมัวแต่คิดเรื่องรูป พี่นัทแอบมาหอมแก้มก็เลยตกใจนิดหน่อย วันนี้ผมโดนพี่นัทหอมแก้มกับจุ๊บเล็กจุ๊บน้อยบ่อยมาก บ่อยจนแก้มช้ำปากช้ำ ช้ำไปทั้งตัวแล้ว

“เชื่อยังครับว่าพี่กับพี่พายเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆ ”

“ผมไม่ได้ไม่เชื่อพี่ซักหน่อย” พี่นัทยิ้มให้แล้วกระโดดข้ามโซฟามานั่งข้างๆ ดึงผมเข้าไปกอดไว้ ผมเงยหน้ามองเขาแล้วบุ้ยปากใส่

“แล้วทำไมตอนมองรูปในห้องน้ำถึงจ้องแบบนั้นล่ะครับ อยากรู้อะไรหนึ่งก็ถามพี่มาเลยสิครับ”

พี่นัทก้มหน้าซุกไหล่ผมแล้วโยกตัวไปมา ผมมอมยิ้มเอนตัวพิงเขา ดมกลิ่นหอมสดชื่นจากอีกฝ่าย ผมชอบกลิ่นพี่นัทนะ ดมกี่ครั้งก็ไม่เบื่อ

“ผมก็แค่มองเฉยๆ ครับ แต่ที่ผมอยากรู้จริงๆ คือทำไมอาทิตย์ที่แล้วพี่ถึงไม่ค่อยคุยกับผมเลยล่ะครับ ไม่ให้ผมทำงาน ไม่ให้ผมทำอะไรเลย ผมรู้สึกแย่มากเลยนะ”

ผมแกะมือพี่นัทออกแล้วหันไปจ้องหน้า นี่คือคำตอบที่ผมอยากรู้ ถ้าผมทำอะไรที่พี่นัทไม่พอใจ ผมจะได้เลิกทำ ผมไม่อยากให้พี่นัทรู้สึกว่าผมไม่มีตัวตน ไร้ประโยชน์แบบนั้นอีก

“โห...นั่นเป็นประโยคที่หนึ่งพูดยาวที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมาเลยนะเนี่ย ขออัดเสียงไว้ได้มั้ยครับ”

“...” ผมถึงกับถอนหายใจและมองบนใส่เขาที่ทำตาโต เหมือนกับว่าการที่ผมพูดยาวขนาดนนั้นมันเป็นเรื่องแปลกหยักหนา แต่นี่มันใช่เวลามาเล่นมั้ยเนี่ย ผมอยากรู้จริงๆ  นี่ซีเรียสนะครับ

“ฮ่าฮ่าฮ่า  พี่ขอโทษครับ ตอนนั้นพี่แค่แกล้งหนึ่งเล่นเอง ก็ตอนที่หนึ่งทำตัวเหมือนหึงพี่มันน่ารักมากๆ เลยนี่ครับ พี่ไม่เคยเห็นหนึ่งอารมณ์เสียแล้วก็ต้องการพี่แบบนั้นมาก่อน แต่พี่ดันได้ใจไปหน่อยเผลอแกล้งแรงไปจนทำให้หนึ่งร้องไห้เลย”

ระหว่างที่พูดพี่นัทก็บีบแก้มผมไปด้วย พอพูดจบก็ก้มลงมาจูบที่หน้าผาก ถึงพี่เขาจะมาอธิบายแล้วก็เถอะ แต่ทำแบบนั้นมันไม่ดีเลย ผมคิดมากจนนอนไม่หลับเลยนะ

“...พี่นี่นะ นิสัยไม่ดี”

“ครับๆ พี่นิสัยไม่ดี หนึ่งคงต้องลงโทษพี่แล้วล่ะ ทำโทษพี่เลย พี่พร้อมแล้ว มามะ...”

“ม...ไม่ทำครับ ผมไม่ได้โกรธขนาดนั้น” ผมก้มหน้าหลบสายตากรุ้มกริ่มของคนตรงหน้า ผมไม่ไว้ใจไอ้คำว่าลงโทษของพี่นัทเลยซักนิด คนจะโดนลงโทษที่ไหนเขาทำสายตาแวววาวถูกใจแบบนั้นกันเล่า

พอเห็นว่าผมไม่ทำอะไรเขาก็หัวเราะ ดึงผมขึ้นไปนั่งตักแล้วกอดเอวผมเอาไว้

“หึหึ พี่ขอโทษนะครับ” พี่นัทพูดแล้วจูบเบาๆ ที่แก้มหนึ่งที

“แล้ว...ทำไมพี่ไม่ยอมให้ผมทำอะไรเลย ผมรู้สึกไร้ประโยชน์มากๆ ”

“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ต้องการให้หนึ่งรู้สึกแบบนั้นนะครับ ก็ตอนนั้นพายมันมาขอให้พี่ช่วยเรื่องของมัน พี่ก็เลยใช้ให้มันทำงานในร้านทุกอย่างเป็นการแลกเปลี่ยน ไม่ได้อยากให้หนึ่งรู้สึกแบบนั้นเลยนะครับ แค่อยากให้นั่งเฉยๆ เป็นเจ้าชายน้อยใจในพี่”

“เจ้าชายอะไร...”

ผมพึมพำ เขาจะให้ผมอยู่เฉยๆ เพราะอยากให้ผมเป้ฯเข้าชายเหรอ คิดอะไรของเขากันล่ะนั่น ผมหัวเราะกับความคิดของเขา พี่นัทก็หัวเราะตามแล้วจูบแก้มผมไปอีกทีหนึ่ง

“หนึ่งไม่มีทางไร้ประโยชน์สำหรับพี่แน่นอน อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อหัวใจของพี่”

จบประโยคเสี่ยวๆ นั่นพี่แกก็หอมแก้มผมไปอีกสองฟอด บอกแล้วว่าอยู่กับพี่เขาอ่ะ ผมเปลืองตัวสุดๆ แต่หลังจากที่เขาอธิบายมาแบบนั้นผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมากเลย จะมีก็แต่อีกเรื่องที่ยังตาใจ...จะถือเแ็นความงี่เง่าของผมเองก็ได้ แต่ผมอยากรู้

“ปลเว…ทำไมตอนที่ผมขอลาออก พี่ถึงอนุญาตให้ผมออกง่ายๆ ล่ะครับ พี่ไม่อยากยื้อผมไว้เหรอ”

“พี่ขอโทษครับ...แต่พี่ถามหนึ่งแล้วว่า คิดดีแล้วเหรอ หนึ่งก็ยังยืนยัน อีกทั้งเห็นว่าหนึ่งดูไม่มีความสุขที่จะอยู่ด้วยกัน พี่ก็เลยไม่อยากบังคับเราไว้”

“ก็พี่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ”

“พี่ขอโทษ พี่ผิดเองครับ ไม่โกรธพี่เรื่องนั้นนะ” เขารัวจูบลงบนหัวไหล่ผมหลายครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ได้ตอบอะไรไป ได้แต่อมยิ้มแล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น เรื่องนั้นผมก็ไม่ได้โกรธ แต่อดที่จะเคืองไม่ได้ ทีตอนที่อยากให้ยื้อล่ะไม่ยื้อ ปล่อยไปง่ายๆ เลย

“...”

“พี่ขอโทษ ยกโทษให้พี่นะครับคนดี”

พี่นัทจูบไปทั่วใบหน้าของผม ปากนุ่ม แตะเบาไปตามหน้าและลำคอ นั่นทำให้ผมรู้สึกดีมาก เงยหน้าให้พี่นัทจุ๊บลงมาอย่างสะดวก เผยอปากรอด้วย เผื่อว่าพี่เขาอยากจะจูบขอโทษด้วย เขาดึงเอวผมให้แนบชิดแล้วปากก็ประกบพร้มอเลียงลิ้นนุ่มที่กวาดไล้ไปทั่วโพรงผากอย่างนุ่มนวล ใขณะที่ผ่ามือด็สอดเข้าไปใต้เสื้อ ลูบไปมาตามแผ่นหลัง ผมไม่ได้ว่าอะไรหากเขาจะลูบอยู่แค่ตรงนั้น แต่นี่พี่แกดันขยับมาที่แผ่นอก เดี๋ยวนะ..ไม่ใช่ละ นี่มันเกินกว่าจูบแล้ว!

“พี่นัท! พี่สำนึกผิดจริงป่ะครับ เผลอไม่ได้เลยนะ”

ผมรีบดึงมือพี่นัทออกจากเสื้อ โวยวายกอดอกตัวเองแล้วจ้องหน้าเขา ตอนนี้ยอดอกผมมันแดงและบวมนิดๆ ผมจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเวลาที่โดนสัมผัส มันไม่แปลกที่ผมจะเจ็บในที่แบบนั้นก็เมื่อคืนผมโดนเขาจับดูดจับบีบซะแทบจะหลุดติดปากพี่เขาไป

“สำนึกสิครับ แต่พี่ถือคติจะง้อคนก็ต้องใจร่มๆ  เอาน้ำเย็นเข้าลูบ”

“...” ผมมองหน้าพี่นัทเพราะไม่เข้าใจคำที่เขาพูด ง้อคนเอาน้ำเย็นเข้าลูบ แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกันที่พี่นัทจะแต๊ะอั๋งผมอีก

“แต่ตอนนี้พี่ไม่มีน้ำเย็นเลยต้องใช้มือลูบแทนครับ”

“โว๊ะ! พี่นี่...”

พอได้ยินคำพูดกะล่อนๆ ของเขาผมก็กลอกตาไปมา ทำท่าจะขยับลงจากตักของเขา แต่พี่นัทไม่ยอม กอดตัวผมเอาไว้แน่นกว่าเดิม

“โธ่~ พี่ขอโทษจริงๆ ครับ นี่พี่นึกว่าเรื่องนี้จะเคลียร์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วนะเนี่ย”

“ใครจะไปเข้าใจ พี่ไม่อธิบายอะไรเลย มาถึงก็จับผมอาบน้ำแล้วก็...ทำ..อะไรก็ไม่รู้”

ผมอ้อมแอ้มตอบตรงช่วงท้าย นึกถึงเรื่องที่ทำเมื่อคืนแล้วมันน่าอายมาก เหมือนไม่ใช่ผมเลยทั้งคำพูดและท่าทาง นั่นมันไม่ใช่ผมเลยแม้แต่น้อย!

“พี่ต้องทำยังไงหนึ่งถึงจะหายโกรธพี่ครับ ไม่เห็นหนึ่งยิ้มแบบนี้พี่รู้สึกเหมือนจะขาดใจรอนๆ แล้วเนี่ย” พี่พูดแล้วก็จับมือผมไปกุมไว้ตรงหน้าอก แถมเอาหน้าเข้ามาใกล้ๆ อีก ดูคำพูดคำจาเขาสิครับ กะล่อนไม่มีใครเกิน

“ผมไม่ได้โกรธแล้วครับแต่พี่อย่าทำแบบนี้อีกนะครับ ผมรู้สึกไม่ดีเลย”

ผมดึงมือออกแล้วก็เตรียมตัวลุก ว่าจะลงไปข้างล่าง แต่พี่นัทดึงมือผมให้ลงไปนั่งเหมือนเดิม กอดไว้ แล้วก็เอาคางเกยไหล่อีกครั้ง

“สัญญาว่าจะไม่แกล้งแบบนั้นแล้วครับ”

พี่นัทยื่นนิ้วก้อยมาตรงหน้าผมพลางกระดิกไปมา ริมฝีปากได้รูปยิ้มกว้างจนดวงตาใต้กรอบแว่นนั้นหยีจนแทบปิด ผมยื่นนิ้วก้อยออกไปแตะเบาๆ  พี่เขาก็เกี่ยวนิ้วก้อยเขาเข้ากับนิ้วของผม แล้วก็แกว่งไปมา ก่อนที่เขาจะก้มลงมาจรดริมฝีปากลงบนนิ้วก้อยของเรา ผมยิ้มกับสิ่งที่พี่นัททำ ถึงจะดูกะล่อนไปและเสี่ยวไปบ้าง แต่การกระทำแบบนั้นของเขาผมว่าน่ารักดี

“พี่สัญญาแล้วนะครับ ถ้าแกล้งอีกผมจะตีพี่เลย”

“น่ารักจริงๆ ” พี่นัทพึมพำออกมาแล้วก็ดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ  คลายออกแล้วก็พรมจูบไปมาตามซอกคอ มือก็ไม่อยู่สุขลูบไปตามแขนและต้นขาของผม

“พี่นัท ผมหิวแล้ว”

“ครับ พี่ก็หิว...” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่พี่นัทก็ยังไม่ยอมหยุด แถมล้วงเข้ามาในขากางเกงผมแล้วด้วย

“งั้นไปกินข้าวกันครับ” ผมพูดเสียงดัง ผลักพี่นัทออกแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกมาทันที ได้ยินเสียงพี่นัทบ่นแว่วๆ

“โธ่ พี่อยากกินตองหนึ่งมากกว่ากินข้าวนี่นา”

ผมนี่รีบเดินลงมาข้างล่างทันที ที่โดนทำไปเมื่อคืนยังรู้สึกเจ็บอยู่เลย เดินก็ไม่สะดวก ปวดเมื่อยตัวไปหมด เอวยิ่งปวด เมื่อเช้าที่ตื่นมานี่นึกว่าเอวหักไปแล้ว ผมเดินหนีลงมาข้างล่างก็เห็นพี่พายกำลังเก็บของเข้าตู้เย็นอยู่จึงรีบเดินเข้าไปช่วย

“สวัสดีครับพี่พาย  ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย”

“ก็พี่นัทใช้ให้พี่ไปซื้อของสดมาเก็บไว้น่ะสิ”

“พี่หิ้วมาคนเดียวหมดนี่เลยเหรอครับ” จากที่เห็นนี่มันเยอะมากเลยนะ ไม่ได้มีแค่ของสดนะ มีทั้งผัก ผลไม้ นมและขนมอีก

“ใช่ค่ะ หนักมากแขนพี่จะหลุด” พี่พายเหวี่ยงแขนตัวเองไปมา แล้วก็จัดการเก็บของต่อ ผมก็หัวเราะฟังพี่พายพูดบ่นพี่นัทไปเรื่อย

พี่พายคงโดนใช้โหดน่าดู ทั้งช่วยพี่นัททำเค้ก ทำเครื่องดื่ม ซื้อของ และถ้ารวมงานในส่วนของผมด้วยนี่ พี่พายแทบจะทำทุกอย่างในร้าน ซึ่งผมว่ามันหนักเอาการอยู่นะ พี่นัทนิสัยไม่ดีจริงๆ ผมมองไปทางบันใด พอไม่เห็นวี่แวว่าพี่นัทจะเดินลงมาก็ขยับตัวเข้าไปใกล้พี่พายแล้วถามบางอย่างออกไป

“พี่พายครับ คือ...พี่กับพี่นัทรู้จักกันมานานยังครับ?”

“รู้จักตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ พี่นัทยังไม่ได้บอกหนึ่งเหรอว่าพี่กับเขาเป็นพี่น้องกัน”

“...บอกไปตั้งสองรอบแล้ว แต่หนึ่งไม่ยอมเชื่อพี่ซักที พี่รู้สึกน้อยใจขึ้นมาแล้วนะเนี่ย”

พี่นัทที่เดินมาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ตอบแทนด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกเหมือนเขาน้อยใจผมจริงๆ ผมนี่กลืนน้ำลายหลบตาวืดเลยตอนที่เขามองมา คือ...ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อที่พี่นัทบอกนะ แต่ที่ถามพี่พายด้วยก็เพื่อความมั่นใจไงครับ



แต่ก่อนหน้านี้ผมเชื่อพี่นัทไปแล้ว 90% เลยนะ...พี่พายที่เก็บของเสร็จแล้วเดินไปหาพี่นัทแล้ววางมือบนบ่าแล้วตบเบาๆ คล้ายปลอบใจ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มเยาะเย้ย

“สมน้ำหน้า ฮ่าฮ่าฮ่า”

“จะไปไหนก็ไปเลยไป” พี่นัทมองพี่พายด้วยหางตาแล้วสะบัดไหล่หนี เดินดันหัวพี่พายไปที่ประตู

“เดี๋ยวๆ  นี่ไม่ห่วงน้องเลยเหรอ ใจคอจะไล่กันจริงๆ เหรอ ข้างนอกฝนตกนะพี่นัท”

พี่นัทหยุดดันหัวพี่พาย แล้วเดินกลับเข้ามาเพื่อเอาร่มไปยื่นให้ เธอทำหน้ายู่ยี่แต่ก็ยอมรับร่มแล้วเดินออกไปดีๆ  แต่ถึงแม้ว่าร่มจะคันใหญ่แต่ลมค่อนข้างแรงพี่พายก็เลยโดนฝนสาดจนเปียกไปครึ่งตัว

หลังจากพี่พายขึ้นรถไปเรียบร้อยแล้ว พี่นัทก็เดินกลับมาจับผมให้นั่งบนเก้าอี้สูงโดยไม่พูดอะไร เขาเดินไปใส่ผ้ากันเปื้อนสีชมพูลายทางเรียบๆ แต่ดูมุ้งมิ้ง จากนั้นก็หยิบของในตู้เย็นออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ

“พี่จะทำอาหารเองเหรอครับ?” ผมมั่นใจว่าพี่นัททำขนมอร่อยมากแต่ไม่เคยเห็นพี่นัททำอาหารคาวเลย พี่เขาไม่ได้ตอบผมแค่เงยหน้าขึ้นมายิ้มบางๆ ให้แค่นั้น

“…”

เงียบแบบนี้ ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่า...พี่นัทงอนผมน่ะ แต่จะใช่เหรอ? คนอย่างผมเนี่ยนะจะทำพี่เขางอนได้

“เอ่อ..พี่ครับ ให้ผมช่วยมั้ย? ผมหั่นผักได้นะ”

“นั่งรอเฉยๆ ดีกว่าครับ”

พูดโดยที่ไม่หันมามองเลยแม่แต่น้อย บู่ว~ เขางอนผมจริงๆ ด้วย พี่นัทขี้งอน

ผมนั่งเท้าคางมองเขาทำอาหาร ถึงจะไม่ใช่ขนม แต่พี่นัทก็ยังทำอย่างคล่องแคล่ว หั่นโน่น ผัดนี่ ดูแล้วไม่เบื่อเลย แถมยังดูมีเสน่ห์มากๆ เลยด้วย แล้วเวลาผ่านไปไม่นานข้าวผัดทะเลจานโตก็ถูดวางลงด้านหน้าผม กลิ่นหอยฉุย ข้าวสีสวย ปลาหมึกและกุ้งตัวใหญ่ที่แกะเปลือกออกเรียบร้อยแล้ว ทำให้ผมตาโตแล้วรู้สึกหิวจริงๆ ขึ้นมาทันที

“ผมกินเลยนะครับ” ผมยิ้มให้ จับช้อนเตรียมตักข้าว พอพี่นัทพยักหน้าผมก็จัดการจ้วงใส่ปากทันที และพบว่าไม่ได้ดูดีแค่หน้าตา รสชาติก็อน่อยมากๆ อีกด้วย พี่นัทนี่ก็จะเก่งเกินไปแล้วนะ ทำขนมก็อร่อย ทำข้าวก็อร่อยอีก ใครได้เป็นแฟนนะโชคดีตายเลย

“...”

“อร่อยมากเลยครับ ผมชอบข้าวผัดที่พี่ทำมากๆ เลย”

“ครับ...”

ผมทานไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกว่าบรรยากาศมันเงียบเกินไป ก็ทุกทีพี่นัทจะชวนผมคุยแต่วันนี้พี่เขาแค่นั่งกินเงียบๆ พอผมมองไปมากๆ เข้าพี่แกก็แค่เงยหน้ามายิ้มให้แล้วก้มลงก็ทานต่อโดยไม่ได้พูดอะไร ผมนั่งกินสลับมองไปพี่นัท สมองก็คิดหาทางง้ออีกฝ่ายจนข้าวหมด

“พี่ครับ...ถ้าไม่อิ่ม ผมขออีกจานได้มั้ยครับ?”

“เดี๋ยวพี่ไปตักให้ครับ” พี่นัทหยิบจานผมไปตักข้าวเพิ่มให้ แล้วก็เอาวางที่เดิม พี่นัทยิ้มให้เหมือนเดิม แล้วก็กลับไปนั่งกินเงียบๆ เหมือนเดิม อืม...แล้วผมต้องทำยังไงต่อล่ะ

ผมตักข้าวกินคำนึง แล้วก็ใช้ส้อมจิ้มกุ้งตัวใหญ่ๆ ที่กะว่าจะเก็บไว้กินตอนสุดท้ายยื่นไปให้พี่นัท เขาเงยหน้ามองมาแล้วก็เลิกคิ้วขึ้น

“หืม?”

“ผมให้ไง...” ผมเม้มปาก ยื่นกุ้งไปจ่อตรงปากพี่นัท พูดง่ายๆ ก็คือตั้ฃใจจะป้อนเขา แต่พี่นัทก็ดันมือผมออก

“แล้วหนึ่งไม่กินเหรอ”

“ผม...ง้อพี่อยู่”

ผมตอบเบาๆ แล้วเม้มปากอย่างประหม่า ผมไม่เคยง้อใครเลยเพราะไม่มีใครให้ง้อ เพื่อนผมมีแค่คนเดียวก็คือไอ้พี แล้วมันก็ไม่เคยงอนผมแบบที่พี่นัทงอน หรือต่อให้มันงอนผมก็คงไม่ง้อแบบที่ผมง้อพี่นัทอยู่ตอนนี้

“...”

พี่นัทมองมาด้วยแววตาสุขุมแบบที่เขาไม่เคยเป็น ทำให้ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตา ได้แต่เหลือบมองเป็นระยะ  มือที่จิ้มกุ้งค้างไว้เริ่มสั่น เพราะยกค้างไว้จนเมื่อย ผมเม้มปากแน่นรู้สึกกลัวว่าจะโดนพี่นัทเมินใส่ ถ้าเขาไม่ยอมกินกุ้งที่ผมป้อน ผมต้องทำยังไง ทำไมเขายังไม่กินเข้าไปเสียที นี่เสียสละกุ้งให้ตัวนึงเลยนะ หรือไม่พอ

ผมเอาส้อมกลับมาเพื่อจิ้มกุ้งเพิ่มอีกตัว แล้วยื่นไปให้อีกครั้ง ตอนนี้ส้อมผมอัดแน่นไปด้วยเนื้อกุ้งตัวใหญ่ๆ สองตัว ที่จะหล่นแหล่มิหล่นแหล่ แต่เขาก็ไม่กินเสียที ทำไมล่ะ...นี่ผมง้ออยู่นะ ง้อเขาอยู่

ผมกัดริมฝีปาก หลบตาของอีกฝ่ายและรอจนจะร้องไห้อยู่แล้ว ถ้าพี่นัทไม่ยอมกินนี่อีกนิดเดียวน้ำตาจะไหลออกมาแล้วนะแต่ในที่สุด พี่นัทก็ฉีกยิ้มกว้างพลางหัวเราะออกมาเบาๆ  แล้วก็อ้าปากเอากุ้งทั้งสองตัวเข้าปากในทีเดียว

พี่นัทเคี้ยวจนแก้มตุ่ยแล้วก็มองผมไปด้วย ผมดีใจจนยิ้มกว้างออกมา ไม่เสียแรงที่ให้กุ้งไปตั้งสองตัว

“หึหึ พี่ไม่ได้งอนหนึ่งซักหน่อย แต่หนึ่งตอนที่พยายามง้อพี่ น่ารักดีนะต้องงอนให้ง้อบ่อยๆ ซะแล้ว”

อย่าเลยครับพี่ ถึงผมไม่ได้ง้อพี่ ผมก็มั่นใจว่าน่ารักให้พี่ได้อยู่แล้ว

พอกินกันเสร็จแล้วผมก็ยกจานไปล้างและเก็บจนเรียบร้อย หันกลับมาก็เจอพี่นัทนั่งจ้องอยู่ ดูท่าทางแล้วคงจะจ้องอยู่นานแล้วด้วย เอ่อ...รู้สึกทำตัวไม่ถูกแหะ ผมมองไปรอบๆ เพื่อที่จะหาเรื่องมาคุยกับเขา

“เอ่อ...พี่นัทครับ ทำไมวันนี้ปิดร้านล่ะครับ”

“ก็เมื่อคืนเจ้าของร้านมัวแต่ง้อเด็กทั้งคืน เลยตื่นเช้ามาทำเค้กไม่ไหวครับ”

นั่น...ไม่น่าถามให้เข้าตัวเองเลย หลังจากได้ยินคำตอบแบบนั้นผมก็ไม่คิดที่จะหาเรื่องคุยอีก นี่ก็จะปั้นหน้าไปไม่ถูกแล้วเนี่ย

พี่นัทเอาแต่จ้องหน้าผมแล้วยิ้มไม่พูดอะไร ผมนี่ทั้งเขินทั้งอึดอัด จะนั่งก็ไม่กล้านั่งเลยได้แต่ยืนเกร็งอยู่หน้าอ่างล้างจาน จนพี่นัทดันเก้าอี้ออกแล้วตบตัก คล้ายกับว่าต้องการให้ผมไปนั่งบนตักเขาแต่โดยดี

“ถึงจะไม่ได้งอนแต่พี่ก็น้อยใจนะ พี่ดูไม่น่าเชื่อถือมากเลยเหรอครับ”

“ผมเชื่อพี่ครับ!” ผมหันกลับไปกอดแล้วซุกหน้ากับอกพี่นัท ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงผมก็ขออ้อนไว้ก่อนล่ะ

“เชื่อพี่แล้วจริงๆ อะ?”

“เชื่อครับ” ผมพยักหน้ากับอกพี่นัทรัวๆ  ตอนนี้เชื่อแล้ว เชื่อหมดใจ ให้ทั้งตัวเลยด้วย

“แต่พี่ยังน้อยใจอยู่ ปลอบใจพี่หน่อยสิครับ”

“ปลอบยังไงครับ”

“ก็…”

พี่นัทดันตัวผมออก หลับตาทำแก้มป่อง แล้วก็เอียงแก้มขวามาให้ ไม่ต้องบอกก็รู้แล้วล่ะว่าพี่เขาต้องการอะไร ผมอมยิ้มเขิน แล้วกดริมฝีปากลงแก้มพี่นัท แล้วผละออกก้มหน้าลงซุกหน้าอกพี่เขาเหมือนเดิม พี่นัทหัวเราะแล้วดันตัวผมออกจากนั้นก็เอียงแก้มอีกข้างมาให้

“ผมทำไปแล้วนะ”

“ทำให้ครบสองข้างสิครับ เดี๋ยวข้างนี้มันน้อยใจนะ” พูดจบเขาก็หลับตาลงรอผมปลอบใจ ผมก้มลงไปหอมแก้มเขาอีกฟอดใหญ่ พอได้สมใจเขาก็ลืมตาขึ้นมองผมแล้วยิ้มกว้าง ผมชอบรอยยิ้มของพี่นัท ชอบที่สุด...

ผมก้มลงไปจุ๊บแก้มพี่นัทอีกสองครั้งอย่างรวดเร็ว ผละออกมาก็แก้มร้อนผ่าว เม้มปากแน่น เพราะรู้สึกอายในความใจกล้าของตัวเอง ผมสบตากับพี่นัทที่ทำหน้าตกใจยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองป้อยๆ

“เมื่อกี้...เป็นของแถมจากผม”

“...พี่ชอบของแถมมากเลย แต่อยากได้ของแถมแบบเมื่อคืนจังครับ” พี่นัทส่งสายตาที่ดูเจ้าเล่ห์ให้ชวนให้นึกถึงเรื่องที่เราทำด้วยกันเมื่อคืน ผมเม้มปาก ซุกแก้มร้อนๆ ลงกับแผ่นอกกว้าง เรียกเสียงหัวเราะจากอีฝ่ายได้ดี และนั่นยิ่งทำให้อายยิ่งขึ้นไปอีก พี่นัทเชยคางผมขึ้นซึ่งแน่นอนว่าผมขัดขืนเพราะเขินเกินกว่าจะมองหน้าเขาได้ คนตัวสูงจอมทะเล้นหัวเราะและงัดตัวผมออกจากอกสำเร็จก็ยิ้มหวานแล้วก้มลงมาจูบที่ขมับของผมแล้วคลอเคลียอยู่แบบนั้น

“ผ...ผมไปทำความสะอาดหน้าร้านดีกว่า  พรุ่งนี้จะได้ไม่ต้องทำเยอะ” ผมหาทางหนี ยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาอ้าง เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนแก้มมันไหม้ไปหมดแล้ว แต่คนตัวสูงก็ยอมปล่อยไป เขากอดเอวผมเอาไว้ วางคางไว้ที่หัวไหล่ของผม ลมหายใจอุ่นๆ ของเขามันรินรดอยู่ข้างแก้มให้ผมเขินอายยิ่งขึ้น

“ไม่ต้องทำหรอก พรุ่งนี้พี่คงต้องปิดร้านอีกวันนึง”

“...ทำไมล่ะครับ”

“ก็พนักงานลาออกไปคนนึง พี่ก็ต้องหาพนักงานใหม่ไงครับ”

อาใช่...ผมลาออกไปนี่นา แต่ว่าเราเข้าใจกันแล้วแถมเมื่อคืน...โอ้ย ไม่เกี่ยวๆ นั่นมันเรื่องส่วนตัว นี่มันเรื่องงาน แต่นี่ก็หมายความว่า...ยังไงผมก็ตกงานอยู่ดีเพระาผมลาออกมาเอง

พี่นัทขยับตัวให้ผมนั่งหงอยบนเก้าอี้ ส่วนเขาก็เดินไปเปิดตู้เย็นเอากล่องสตอว์เบอร์รี่กับบลูเบอร์รี่ แล้วของอื่นๆ ออกมาวางไว้ที่โต๊ะ ผมมองของน่ากินเหล่านนั้นด้วยความสงสัย

“พี่จะทำอะไรเหรอครับ”

“ของหวานไงครับ คาราเมลหรือช็อกโกแลต?”

“อืม...ช็อกโกแลตครับ”

ผมตอบออกไปทั้งที่ไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร แต่ผมก็ตอบสิ่งที่ผมชอบไว้ก่อน พี่นัทยิ้มให้ ก่อนจะหันไปทำขนมหวานอย่างคล่องแคล่ว ล้าง หั่นผลไม้ ตีวิปครีม แล้วก็จัดใส่จาน โดยที่ผมไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่นานของหวานน่าตาน่ากินก็วางลงตรงบนโต๊ะด้านหน้าผม

“ขอบคุณครับ”

พี่นัทยิ้มกว้างให้ผมแล้วก็เดินออกไปทางหน้าร้าน ผมใช้ส้อมจิ้มสตอว์เบอร์รี่สดและวิปครีมรวดด้วยซอสช็อกโกแลตขึ้นมา จัดการเอาใส่ปากเข้าไปทั้งลูกแล้วก็ยิ้ม อร่อยจนอยากจะกินทุกวันต่อให้อ้วนผมก็ยอมล่ะวะ

ผมกินไปฟินไป ไม่นานพี่นัทก็เดินกลับมานั่งลงเก้าอี้ตัวตรงข้ามกับผม เขาสูดลมหายใจเข้าดูประหม่าจนผมเอะใจ พี่นัทส่งยิ้มให้แล้วกางแผ่นกระดาษลงบนโต๊ะก่อนจะดันมาให้ผมอ่าน

“อ...เออ เอ่อ ได้ข่าวว่า...ตกงานอยู่ใช่มั้ยครับ?”

“...” ผมมองพี่นัทที่ยิ้มแล้วก็ก้มมองที่กระดาษ ‘ใบสมัครงาน’ ด้วยความไม่เข้าใจ พี่เขาเล่นอะไร จะแกล้งอะไรผมอีก

“แล้ว...แล้วตอนนี้ก็ยังหางานไม่ได้ด้วยใช่มั้ยครับ?”

“พี่จะแกล้งอะไรผมครับ”

“...คือตอนนี้ พี่ต้องการพนักงานประจำมากๆ  หนึ่งพอจะช่วยพี่ได้มั้ย...ครับ”

“...” พี่นัทยัดปากกาใส่มือผมแล้วก็ยื่นกระดาษให้ ผมยังงงอยู่ ไม่เข้าใจว่าพี่เขาต้องการอะไรกันแน่

“เขียนใบสมัครสิครับ หนึ่งไม่อยากกลับมาทำงานกับพี่แล้วเหรอ?”

ได้ยินแบบนั้นผมก็ดีดตัวนั่งหลังตรง จรดปลายปากกาลงบนกระดาษด้วยความดีใจ ผมก็เขียนชื่อและข้อมูลต่างๆ ตามปกติ จนมาถึงช่องตำแหน่ง ซึ่งโดยปกติผมจะต้องเขียนว่า พนักงานประจำ แต่ในตอนนี้ ช่องนั้นกลับมีตัวหนังสือเขียนไปอยู่ก่อนแล้ว...

‘แฟนเจ้าของร้าน’

“เห้ยยย!!” ผมเงยหน้าขึ้นมองพี่นัทที่นั่งตัวตรงกุมมือตัวเองอยู่ ดูท่าทางเขาแล้วก็คงจะประหม่าไม่แพ้ผมเลย

“ตำแหน่งนี้ สวัสดิการเยอะนะครับ ได้ดื่มน้ำฟรี ได้ทานเค้กฟรี แถมยัง ด..ได้ ได้เจ้าของร้านฟรีอีกด้วย”

และยิ่งพี่นัทดูประหม่า ผมก็ยิ่งประหม่าเขินตามเขาไปใหญ่ อะไรของพี่เขากัน จะมาขอคนอื่นเป็นแฟน ยังจะมาทำท่าทางแบบนั้นอีก พี่นัทบ้า บู่ว~

“ล...แล้วก็ถ้าทำงานเหนื่อยกลับบ้านไม่ไหว ชั้นสองก็มีห้องนอนให้พักฟรี อยู่ได้ตลอดเวลา แล้วก็มีเจ้าของร้าน...เอ่อ...นอนเป็น...แล้วก็มีเจ้าของร้านไว้ให้นอนกอดอุ่นๆ ด้วยนะครับ ”

“อ่า…” ผมบกมือเกาแก้มตัวเอง พยายามเม้มปากเพื่อกลั้นยิ้ม มองผู้ชายตัวโตที่พูดไปเขินไปเอามือขึ้นมาเกาคอบ้าง เกาจมูกบ้าง ดันแว่นบ้าง เขาเขินได้น่ารักดีนะ แต่พี่อย่าเขินสิ ผมตังหากที่ควรเขิน

“แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย”

“...”

“ถ้าสนใจก็...ลงชื่อตรงนั้นแล้วก็มา ประทับตรา...ตรงนี้” พี่นัทพูดแล้วก็เอามือชี้ไปที่ปากตัวเอง วิธีการประทับตราของเขานี้นะ หาเรื่องแตะอั๋งผมตลอด

“แล้ว...มีแค่ตำแหน่งนี้เหรอครับ?”

“หนึ่งไม่ชอบตำแหน่งนี้เหรอครับ!”

ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ทำจาแป๋วมองไป แล้วจู่ๆ  พี่นัทก็ลุกขึ้นเดินมาทางผม อุ้มผมขึ้นไปนั่งบนโต๊ะแทนเก้าอี้ แล้วก็ดันตัวผมให้นอนราบกับโต๊ะจนผมดันตัวเขาออก

“อ๊ะ...พี่จะทำอะไรครับ พี่นัทอย่าจับตรงนั้น!”

“ทำให้หนึ่งรู้ไงว่าตำแหน่งแฟนเจ้าของร้านมันดียังไง”

พูดเสร็จพี่นัทก็ก้มลงมาจูบที่แก้มทั้งสองข้างๆ แถมก็ไม่อยู่นิ่ง หนุบหนับเข้ามาที่แผ่นอกของผมอย่างรวดเร็ว ไอ้คนที่เขินอยู่ตอนแรกมันหายไปไหนแล้ว

“เดี๋ยวพี่ หยุดก่อนครับ ตอนแรกพี่ยังอายอยู่เลยไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ทำไม...”

“ก็ตอนนี้พี่ถือคติ ด้านได้อายอด ครับ”

“...”

“ตอนแรกก็อาย แต่พี่ก็อยากได้หนึ่งมากๆ พี่เลยต้องด้านครับ”

“อื้อ พี่หยุดก่อน...อย่าจับตรงนั้นสิ!” พี่นัทก้มลงมาจูบปากผมแผ่วๆ  สลับกับดูดไปมา แถมมือก็เลื่อนลงที่บั้นท้ายจนต้องตีแขนเขาไปหลายที

“หนึ่งไม่อยากได้ตำแหน่งนั้นจริงๆ เหรอ เป็นแฟนเจ้าของร้าน แถมเจ้าของร้านหล่อมากด้วยนะ”

“ผมแค่ถามว่ามีตำแหน่งอื่นมั้ย ไม่ได้หมายความว่าไม่อยากทำตำแหน่งนั้นซักหน่อย” ผมพูดกลั้วหัวเราะ ดูคำพูดของเขาสิครับ มีการชมตัวเองว่าหล่อด้วย

“งั้นก็...”

“ผมจะเซ็นชื่อตรงนี้ แล้วก็…” ผมดันตัวพี่นัทออกแล้วก็หยิบปากกามาลงชื่อแล้วก็ส่งคืนพี่นัทที่ยืนยิ้มจนแก้มปริอยู่

“มาประทับตราตรงนี้ครับ” พี่นัททำปากจู๋ แล้วยื่นหน้ามาหา ผมว่าพี่นัทนี่ต้องเป็นโรคสองบุคลิกแน่ๆ  ตอนแรกยังเขินน่ารักอยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนกลับมาเป็นจอมหื่นไปแล้ว

ผมจับเสื้อพี่นัทให้ก้มลงมาใกล้ๆ แล้วจุ๊บไปที่ปากของพี่นัทเบา ตอนกำลังจะผละออกพี่นัทก็จับคอกอดเอวผมไว้ไม่ยอมให้ผมหันหนี

“อื้อ...อืม” พี่นัทถอนจูบออก เขาส่งยิ้มแล้วก้มลงมาจุ๊บเบาๆ ที่หน้าผาก ปลายจมูกโก่งคลอเคลียไปมากับปลายจมูกผม ไล้ไปที่สันกรามและลำคอ ก่อนจะวกขึ้นมาขบเม้มที่ติ่งหูจนผมขนลุกไปหมด

“หนึ่งครับ...” พี่นัทกระซิบเบาๆ  ด้วยน้ำเสียงที่โคตรอบอุ่น

“ครับ…”

“ตอนนี้เราเป็นแฟนกันแล้วนะครับ”

“ครับ” พี่นัทลูบไปตามแผ่นหลังของผม แล้วก็จูบแก้มและลำคอไปด้วย สัมผัสและสายตาของเขาทำให้ผมนี่โคตรของโคตรจะเขิน

“หนึ่ง..”

“ครับ” จะพูดอะไรอีก พูดมาเลยครับ เอาให้เขินไปทีเดียว เอาให้ผมละลายไปเลย

“หนึ่ง…”

“ครับ” ผมตอบดังขึ้นมาอีกหน่อย คิดว่าพี่นัทไม่ได้ยิน

“หนึ่ง…”

“อะไรครับ”

“หนึ่ง..”

“...” คราวนี้ผมหันหนีไม่ตอบแล้ว เขาจงใจกวนผมชัดๆ และผมไม่ว่างตอบ...เขินอยู่

“หนึ่ง”

พี่นัทจับหน้าผมให้สบตากับพี่นัท แล้วก็ถูจมูกไปมากับปลายจมูกผม ตอนนี้หน้าผมกับหน้าพี่นัทใกล้กันมาก ผมมองตาพี่นัทนิ่ง เรามองตากัน มีเพียงเลนส์แว่นเท่านั้นที่กั้นอยู่ ใครก็ได้เอาน้ำมาสาดผมที ผมเขินจนไหม้ไปทั้งตัวแล้ว

“หนึ่ง…”

“....”

“หนึ่ง…ในใจพี่”

เอารถดับเพลิงมาเลยดีกว่าครับ

 



หนึ่งในใจพี่...

loammy...หนึ่งในใจคุณ >0<

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 12 : หนึ่ง... l 28-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 28-08-2019 16:27:26
+1 o13 ขอบคุณมากครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 12 : หนึ่ง... l 28-08-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-08-2019 16:40:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 13 : หวานปาก ละมุนลิ้น l 02-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 02-09-2019 16:24:28
13 : หวานปาก ละมุนลิ้น


“หนึ่ง….ในใจพี่”

เพราะประโยคนั้นของพี่นัททำให้ผมเขินจนแทบระเบิด แถมหน้าเขาก็อยู่ใกล้มาก ใกล้จนเห็นรูขุมขน ใกล้จนผมกลัวว่าพี่นัทจะได้ยินเสียงหัวใจของผมที่มันรัวเป็นกลองอยู่ตอนนี้ สุดท้ายเมื่อทนความเขินไม่ไหวก็เลยแก้ปัญหาโดยการดันพี่เขาออกแล้วก็ก้มไปซบหน้ากับฝ่ามือตัวเอง ยิ่งได้ยินอีกฝ่ายหัวเราะผมเขินจนอยากจะลงไปดิ้นกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“น่ารักจังเลยเนอะ แฟนใครก็ไม่รู้” พี่นัทลากเสียงยาวโอบกอดผมแล้วโยกตัวไปมา ผมเหลือบตามองเล็กน้อยเห็นอีกฝ่ายทำหน้าพึงพอใจแค่ไหนก็ยิ่งเขิน หูร้อนหน้าร้อนไปหมด ชักจะสงสัยว่าเคยมีใครตายเพราะเขินมั้ย อาจจะมีผมเป็นคนแรก

“...”

“หนึ่งครับ จุ๊บพี่หน่อยสิ”

จุ๊บอะไรอีก เขาอยากทำก็ทำเองเองเลย  ทำไมต้องมาให้ผมจุ๊บด้วยเล่า นี่แค่เงยหน้ามองเขาผมก็ยังไม่กล้าแล้วจะให้จุ๊บ ผมคงได้เป็นลมตาย ผมส่ายหน้าแต่เขาก็ยังตื้อด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกเขินอะไรเลย ต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ

“นะครับ ขอจุ๊บเดียวนะ ขอให้พี่ชื่นใจหน่อย”

ผมส่ายหน้ารัวๆ  ยังครับ ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมยังไม่พร้อมขอเวลาผมเขินก่อน อยากจะมุดดินกลับห้อง ไม่เคยเขินขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิต เขินจนคิดว่าหน้าตัวเองไหม้ไปหมดแล้ว

ผมอยากจะรู้ว่าพี่นัทเขาจะเขินมั้ย เลยแอบเงยขึ้นมองหน้าพี่นัทนิดนึง ภาพที่เห็นทำให้ผมยิ่งเขินหนัก ไม่ใช่แค่ผมที่หน้าแดง พี่นัทก็แดงไปยันคอเหมือนกัน พี่ก็เขินแล้วพี่จะพูดให้ตัวเองยิ่งเขินทำไม เดี๋ยวก็ได้พากันเป็นลมคาร้านหรอกครับ

“ขอจุ๊บหน่อยนะ ท...ที่รักของพี่”

ช็อตนี้ผมตาย!

ละลายแล้ว หมดแรงคาอ้อมแขนของพี่นัทไปแล้ว ผมเขินจนเกร็งไปทั้งตัว และเกร็งจนขี้เกียจจะเขินแล้ว เข้าใจว่าเขินจนเมื่อยก็วันนี้แหละ ผมเงยหน้าขึ้น ค่อยๆ ขยับเข้าไปหาพี่นัทพร้อมกับที่ดึงคอเสื้อให้พี่นัทก้มลงมาก่อนจะจูบเบาไปไปที่กลีบปากล่างของพี่เขา

พี่นัทอมยิ้มและประคองท้ายทอยของผมเอาไว้ เขาไม่ได้รีบร้อนส่งลิ้นเข้ามาแค่บดกลีบปากของผมอย่างช้าๆ  ผมรู้สึกถึงความนุ่มนวล มันเป็นจูบที่หวานที่สุดในความรู้สึกของผม จูบที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ พี่นัทไล้เลียไปตามริมฝีปากสลับดูดเบาๆ   บางครั้งรู้สึกถึงฟันที่ขบโดนริมฝีปากผมเจ็บเล็กน้อย แต่พี่นัทก็จะใช้ปลายลิ้นไล้อย่างแผ่วเบาให้ความเจ็บผมหายไป เหลือแค่ความวาบหวามใจ จากนั้นไม่นานลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวช้าๆ เป็นจูบที่ไม่รีบเร่ง 

'จูบที่ปาก แต่ละลายที่ใจ' เป็นแบบนี้นี่เอง

พี่นัทค่อยถอนจูบออก มองเข้ามานัยตาและก้มลงมาจูบที่หน้าผากผมก่อนจะค่อยผละออกอย่างอ้อยอิ่ง ผ่านไปไม่นานก็ก้มลงมาจูบใหม่ที่ปลายจมูก แล้วก็ผละออกมาจ้องตาผมอีก ผมอมยิ้มขำกับสิ่งที่เขาทำพลางมองเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลของพี่นัท ในนั้นมันสะท้อนเงาของผม หัวใจที่ระรัวราวกลองชุดในก่อนหน้านี่เริ่มเต้นช้าลง มันสงบ ยิ่งพี่นัทลูบมือไปตามแขนและไหล่ของผม ผมยิ่งรู้สึกสงบและสบายใจ

ผมยิ้มให้ก่อนจะตัดสินใจดึงพี่นัทลงมาจุ๊บที่หน้าผากและปลายจมูก พร้อมกับใช้ผ่ามือลูบไปตามแผ่นหลังและไหล่เหมือนที่พี่นัททำกับผม ผมแค่อยากตอบแทน เขาทำให้ผมรู้สึกดี ผมจึงอยากให้รู้สึกดีเพระาผมบ้าง

“ตองหนึ่ง...” พี่นัทพูดเบาๆ  ตอนที่ผมกำลังลูบหลังและไหล่พี่นัท ผมมองเขาและยิ้มให้จากนนั้นเขาก็เริ่งพูดต่อ “ทำแบบนี้…ระวังพี่จะไม่หยุดแค่จูบนะครับ”

ได้ยินแบบนั้นผมก็รีบดันตัวพี่นัทออกทันที จะมาไม่หยุดอะไรอีกล่ะ ที่ทำกันเมื่อคืนผมยังไม่หายเจ็บเลย

“หยุดเลยพี่นัท...ผมกินขนมต่อดีกว่า” ผมก็หยิบส้อมขึ้นเตรียมตักของหวานขึ้นมาทานต่อ บรรยากาศกำลังดี พี่นัทนี่...หื่นไม่รู้เวลาจริงๆ

ผมตักบลูเบอร์รี่ลูกเล็กเข้าปาก แล้วก็เตรียมตักคำต่อไปแต่พี่นัทกลับเลื่อนจานหนีผมซะนี่ พอผมขยับส้อมตามไปตัก พี่นัทก็เลื่อนจานหนีอีก ผมบุ้ยปากแล้วก็มองพี่นัทที่ทำหน้าทะเล้นอยู่

“ผมจะกินนะครับ”

“ก็พี่อยากป้อนไง”

พี่นัทแย่งส้อมจากในมือผม เอาไปตักสตอว์เบอร์รี่มาจ่อที่ปาก ผมมองอย่างไม่ไว้ใจกลัวว่าเขาคิดจะแกล้งอะไรผมอีกรึเปล่า มองหน้าทะเล้นของเขาสิ สายตาเจ้าเลห์นั่นอีก

“...”

“กินสิครับ”

ผมอ้าปากเตรียมจะงับสตอว์เบอร์รี่เข้าปาก แต่พี่นัทดันดึงส้อมออกแล้วเอาไปเข้าปากตัวเองแทน แต่แทนที่จะกินเข้าไป พี่นัทกลับงับสตอว์เบอร์รี่ไว้ครึ่งเดียวแล้วยื่นหน้ามาหาผม นั่นไง...ผมบอกแล้วว่าเขาน่ะไม่น่าไว้ใจ

“ผมกินเองดีกว่า”

ผมจะหยิบจานมาตักกินเอง แต่พี่นัทกลับยึดมือผมไว้แล้วก็ยื่นหน้ามาใกล้อีก ผมยังคงนิ่ง จนพี่นัทยื่นหน้าเข้ามาอีกสตอว์เบอร์รี่ชนกับริมฝีปากผม

“อื้อ ผมกินก็ได้ครับ”

พี่นัททำท่าจะใช้สตอว์เบอร์รี่ชนปากผมเรื่อยๆ  จนผมต้องอ้าปากกินผลไม้เข้าไป  ผมรู้สึกว่าวิปครัมมันติดขอบปากเลยคิดว่าจะแลบลิ้นออกมาเลีย แต่ช้ากว่าคนอีกคนที่ขยับเข้ามาใกล้แล้วก้มหน้าเข้ามาเลียวิปครีมที่ขอบปากผมแทน

“ให้พี่ป้อนอ่ะ อร่อยกว่ากินคนเดียวนะครับ”

ผมยกมือขึ้นมาเช็ดปากแล้วก็มองพี่นัทอย่างเขินๆ  ส่วนพี่นัทก็ตักสตอว์เบอร์รี่ขึ้นมางับที่ปากอีก ดูท่าทางแล้ว พี่อร่อยคนเดียวอ่ะดิ

ถึงจะคิดแบบนั้นก็คอยกินผลไม้ที่พี่นัทป้อนด้วยปากจนหมดจาน รู้สึกอิ่มทั้งท้อง อิ่มทั้งใจ...

“เอาอีกมั้ยครับ เดี๋ยวพี่ทำเพิ่มให้”

ผมเช็ดปากแล้วก็ส่ายหน้าปฏิเสธไป พอแล้วครับ ให้หัวใจผมได้พักบ้างเถอะ ช่วงนี้หัวใจใช้งานหนักเหลือเกิน

“งั้น...ขึ้นห้องกัน” พี่นัทหยิบจานไปไว้ที่อ่างแล้งก็ดึงแขนผมให้เดินไปทางบันได ผมขืนตัวไว้แทบจะทันทีเลย

“พี่ครับ แต่ว่าเราเพิ่งจะลงมา” เพิ่งจะลงไม่นานเลยจะให้ขึ้นไปอีกล่ะ

“แล้วหนึ่งอยากไปไหนล่ะครับ”

“อยากกลับบ้านครับ”

พอผมพูดว่าอยากกลับไปที่ห้องของผม พี่นัททำหน้าเศร้าไหล่ตกทันทีเลย ก็อยากกลับไปเตรียมตัว เตรียมเสื้อผ้านี่นา อยู่นี่ใส่แต่เสื้อผ้าพี่นัท กางเกงในก็ไม่มีให้ใส่ จะให้ใส่ชุดหลวมโพรกกับช่วงล่างโล่งโจ้งไปทั้งวันรึไง...ไม่เอาอ่ะ

“ทำไมถึงต้องกลับล่ะครับ นอนที่นี่ด้วยกันก็ได้”

“ผมไม่มีเสื้อผ้าแล้วนะครับ ผมอยากได้เสื้อผ้าของผมอ่ะ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่พาไปเปลี่ยนชุด แต่คืนนี้นอนที่นี่ด้วยกันนะครับ”

พี่นัทเดินเข้ามากอดผม แล้วก็วางคางลงบนหัว พร้อมกับทำเสียงงุ้งงิ้ง นี่คือไร กลับไปเป็นเด็กแล้วเหรอ พี่เขานี่นะ

“นอนนี่เนอะ นอนกอดกัน อบอุ่นนะครับ” พี่นัทรัดผมแน่นๆ  แล้วก็ดันตัวผมออก ส่งยิ้มหวานจ๋อยมาให้ เรื่องยิ้มนี่งานถนัดเขาเลยสิท่า

“ก็ได้ครับ แต่พรุ่งนี้พี่อย่าลืมพาผมไปเปลี่ยนชุดนะ”

“ไม่ลืมแน่นอนครับ  แล้ว...คืนนี้เราทำอะไรกันดี”

“ไม่รู้ครับ แล้วแต่พี่เลย”

“อืม…งั้นไปทำงานกันครับ”

“เหวอ! งานอะไร” พี่นัทย่อตัวอุ้มผมพาดบ่าแล้วก็เดินขึ้นบันได ผมโวยวายเพราะตัวพี่ก็ใช่ว่าจะเตี้ย แล้วมาทำแบบนี้ หวาดเสียวได้อีก

“ก็ตอนนี้หนึ่งทำงานในตำแหน่งแฟนเจ้าของร้าน แล้วคนเป็นแฟนกัน เขาขึ้นห้องไปทำอะไรกันล่ะครับ นี่แหนะ!”

“ผมเจ็บ!” พี่นัทฟาดมือลงบนก้นผม มือก็ใหญ่แรงก็เยอะ ฟาดมาทีผมก็เจ็บสิครับ แล้วนี่ คนเป็นแฟนกันเขาทำอะไรเวลาอยู่ในห้อง



เห้ย! ไม่ได้นะ ผมยบังไม่หายเจ็บเลยจริงๆ อยากจะดิ้นก็กลัวตก อยากจะโวยวายก็ไม่ได้ มาโดนอุ้มห้อยหัวตอนที่กินอิ่มๆ แบบนี้ กลัวของที่กินเข้าไปมันจะย้อนออกมา

“หึหึๆๆ ”

พี่นัทวางผมลงบนโซฟาหน้าทีวี กักตัวผมไว้ในวงแขน แลบลิ้นออกมาเลียริมฝาก ไหนจะสายตาที่มองมาอีก  อึ๋ย เสร็จแล้วไอ้หนึ่ง ยังไม่หายระบมเลย

“เอ่อ...พี่ คือผมยัง..”

ผมดันหน้าอกเขาไว้ แต่พี่ก็จับมือออกแล้วขยับเข้ามาใกล้มากๆ และใกล้มากขึ้นเรื่อย ผมหลับตาแล้วเอียฃหน้าหนี แต่ผ่านไปสักพักก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึลืมตาขึ้นดูก็เห็นแค่รอยยิ้มบขันจากอีกฝ่าย

“หนึ่งอยากดูหนังเรื่องไหนครับ”

“หะ?”

พี่นัทเดินไปที่หน้าทีวีแล้วกลับพร้อมกับกองแผ่นดีวีดีให้ผมผมเลือก ผมมองกองหนังที่ตักอย่างงงๆ  คือตกลงแล้วผมคิดมากไปเองหรือไง แต่พี่นัทบอกว่า สิ่งที่แฟนเขาขึ้นห้องมาทำกัน…อ่า ดูหนังด้วยกันก็ได้นี่นา ผมนี่คิดเองเออเองทั้งนั้นเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

ผมแอบหน้าแตกเบาๆ  แล้วก้มเลือกแผ่นหนัง มีหลายแนวเต็มไปหมดเลยแหะ พี่นัทนี่ท่าทางจะชอบดูหนัง ผมเลือกเรื่องที่ตัวเองไม่เคยดูมาหนึ่งเรื่องแล้วก็ยื่นไปให้เขา

“นี่ครับ”

“...แน่ใจนะครับว่าจะดูเรื่องนี้”

“ครับ” ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วยิ้มให้ พี่เดินไปเปิดหนัง ผมเดินไปปิดไฟแล้วก็กลับมานั่งที่เดิม หยิบหมอนมากอดแล้วพี่นัทก็เดินมานั่งข้างๆ พร้อมกับดึงผมเข้าไปกอดอีกที



(ฮ๊า อ๊ะๆ อ๊า)



(อู้ว อา)

...

(ซี๊ด อ๊ะ อาห์)

ผมนั่งตัวเกร็งกอดหมอนแน่น ที่ผมเลือกมันหนังโรแมนติคคอมเมดี้ไม่ใช่เหรอ แล้วไหงจู่ๆ มันกลายเป็นหนังเรทระดับ 18+ ไปได้เล่า  ผมแอบเหลือบมองพี่นัทที่ดูหนังแบบชิลๆ  ไม่มีอาการเกร็งเลยแม้แต่น้อย ต่างกับผมที่นั่งเกร็งปั้นหน้าไม่ถูกอยู่

“พี่นัท...เปลี่ยนเรื่องกันดีไหมครับ?”

“ทำไมล่ะครับ พี่ว่าเรื่องนี้มันก็สนุกดีนะ หนึ่งเป็นคนเลือกเองด้วยนี่”

ก็ผมไม่นึกว่ามันจะเป็นหนังแบบนี้นี่ ตอนนี้ในภาพยนต์เป็นฉากที่ฝ่ายหญิงกำลังใช้ปากกับแก่นกายของฝ่ายชายอย่างดุเดือด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นจะๆ ก็เถอะ แต่...นี่มันหนังโป๊รึเปล่าเนี่ย ผมนั่งบิดขาไปมา บิดแล้วบิดอีกจนจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว ก็ดูๆ แล้วมันดันเกิดอารมขึ้นมานิดหน่อยนี่ครับ มันก็...เป็นเรื่องปกติของผู้ชายอ่ะเนอะ ฮือ

พี่นัทค่อยยกมือขึ้นมาลูบไปตามแก้ม สันกรามและลำคอของผมอย่างอ้อยอิ่งทั้งที่ตาก็ยังจ้องอยู่ที่หนัง พี่อย่าเพิ่งมาลูบ อารมณ์กำลังขึ้นอยู่ ผมพยายามเบี่ยงตัวหลบนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากนักเพราะนั่งอยู่ในอ้อมแขนพี่นัท

“หืม ทำไมขนลุกแบบนี้ล่ะครับ หนาวเหรอ? มานี่มา”

พี่นัทดึงผมไปนั่งบนตักแล้วกอดไว้ อยากจะบอกเหลือเกินว่าผมไม่ได้หนาว ไม่ต้องมากอด

ตอนนี้ทั้งเสียงในภาพยนต์ ไออุ่นจากพี่นัท มือที่ลูบไปมา และลมหายใจที่เบาลดต้นคออยู่นั้น ทำให้ผมต้องหนีบขาและกอดหมอนแน่นกว่าเดิม ยิ่งเขาลูบผมยิ่งรู้สึก...

“พี่ไม่ต้องลูบแบบนี้ก็ได้ครับ ผมไม่ได้หนาว” ผมปัดมือพี่นัทออกจากตัว คือยิ่งพี่นัทลูบ ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวผมเริ่มสั่น แต่มันไม่ได้สั่นเพราะความหนาวเลย

“ก็หนึ่งขดตัวแน่นขนาดนี้ พี่ก็นึกว่าหนาวนี่ครับ” พี่นัทลูบมือไปตามขาของผม แล้วลบมาที่ใต้ขาอ่อน จนผมเสียววูบเรี่ยวแรงหาย ทิ้งตัวพิงกับพี่นัททันที

“อ๊ะ!”

“หือ?”

พี่นัมก้มมามองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้น แต่มือก็ยังลูบอยู่ต้นขาอยู่ ผมเริ่มหอบหายใจเพราะเสียวๆ ปนกับจักจี้

“อื้อ!! อย่า...พี่อย่า”พี่นัทเลื่อนมือทั้งสองข้างขึ้นมาที่ก้นของผมแล้วบีบพร้อมๆ กัน ผมพยายามปัดมือพี่นัทให้ออกห่างจากก้นผม พี่นัทยอมหยุดแต่โดยดี แต่กลับขยับมือมาจับที่ขอพับขาของผมแล้วแยกออกอย่างกะทันหัน หมอนที่ผมกอดไว้ทีแรกหล่นไปที่พื้น  พี่นัทมองกลางกายผมที่มันตั้งนูนขึ้นมา

“หึหึ  แตะนิดสัมผัสหน่อยก็ของขึ้นซะแล้วนะเรา”

พี่นัทจับน้องชายผมผ่านกางเกง ลูบไปมา แล้วก็ล้วงเข้าไปในกางเกง ผมหลับตาปี๋ มือกำอยู่ที่ชายเสื้อตัวเองแน่น

“ฮ๊า!”  มือร้อนลูบไปมาภายในกางเกง ริมฝีปากอุ่นนุ่มก็งับเบาๆ ไปตามลำคอและติ่งหู ให้ผมขนลุกซู่ ตัวอ่อน เอียงหน้าให้พี่เขาทำอย่างเต็มใจ

“ลองทำตามหนังกันดูมั้ยครับ?”

ตอนนี้ในภาพยนต์เป็นฝ่ายชายกำลังดูดกลืนหน้าอกให้ฝ่ายหญิงอยู่ ผมมองหน้าพี่นัทสลับกับหนัง แล้วก็ส่ายหน้า

“ผมไม่มีหน้าอกแบบนั้น” แน่สิ ผมเป็นผู้ชายจะไปมีก้อนนุ่มนิ่มสวยๆ แบบนั้นได้ไง

“...”

พี่นัทแค่ยิ้มให้แล้วดันตัวผมให้นอนพิงโซฟาในขณะที่พี่เขาลงไปนั่งที่พื้นหันหน้าเข้าหาผมแทน  มือร้อนๆ ของพี่นัทจับมือผมให้พาดกับโซฟา แล้วเขาก็ค่อยถกเสื้อขึ้นจนเห็นยอดอกของผมที่มันนูนขึ้นมาเป็นเม็ด พี่นัทใช้มือลูบไปมาทั้งสองข้างแล้วก็ก้มลงดูดเลีย จนผมขนลุกไปทั่ว อีกข้างพี่นัทก็ใช้ปลายนิ้วสะกิดและบีบดึง มันเจ็บๆ  เพราะยังระบมไม่หายจากเมื่อคืน มันเจ็บแต่ก็รู้สึกดี

มันดีชนิดที่ว่าพอพี่นัทเอาปากออกผมก็แอ่นหน้าอกตามปากพี่นัทไป  ท่อนขาที่เคยหนีบตอนนี้ผมกลับแยกออกกว้างและหยัดกายให้ท่อนล่างของผมถูเสียดสีไปมากับตัวพี่นัท

ผมมองไปที่หนังก็เห็นว่าฝ่ายชายกำลังซุกหน้าลงกับหว่างขาของฝ่ายหญิง และผมก็รู้สึกว่าพี่นัทค่อยๆ จูบสลับดูดเลียลงมาที่หน้าท้องพร้อมๆ กับถอดกางเกงผมออกไปด้วย  พี่นัทมองผมไปด้วยปากก็เลียดูดวนไปมาแถวสะดือ ท้องน้อย และกำลังจะต่ำลงไปกว่านั้น

“พ...พี่ พี่ อย่า!!” ผมใช้มือดันปากพี่นัทไว้ก่อนที่ปากของเขาจะสัมผัสกับน้องชายของผม พี่นัทมองมาด้วยสายตาชวนเขินก่อนจะแลบลิ้นออกมาเลียที่ฝ่ามือแล้วลามไปตามนิ้วต่าง มันทั้งเสียวทั้งจักจี้ทั้งรู้สึกดีปนกันไป

พี่นัทปัดมือผมออกแล้วก็ค่อยก้มลงต่ำจนน้องชายผมรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นร้อนของพี่นัท จนมันสั่นและมีน้ำปริ่มออกมาเหมือนรอคอย ผมมองพี่นัทอย่างตื่นเต้น มันเหมือนภาพสโลว์โมชั่นที่ผมค่อยๆ เห็นลิ้นสีสดของพี่นัทค่อยแตะตรงส่วนปลายของผมอย่างแผ่วเบา

“ฮ๊า!! อื้อ” ผมเผลอเกร็งตอนที่โดนลิ้นสัมผัสในครั้งแรก มันเสียวอย่างบอกไม่ถูก  ผมมองพี่นัทที่เลียจากส่วนปลายลงไปที่ส่วนโคน  แล้วก็เห็นน้องชายของผมหายเข้าไปในปากพี่นัทช้าๆ  มันน่าอายแต่ผมไม่สามารถละสายตาไปได้

พี่นัทรูดปากขึ้นลงช้า ผมเสียวจนเกร็งไปทั้งตัว มือจิกเข้าที่โซฟา เงยขึ้นมองเพดาน ครางไม่ได้หยุด ในปากของพี่นัทมันนุ่มมากๆ  และอุ่นด้วย

“อ๊า พะ...พี่ พอแล้วๆ ” ปากบอกพอแล้ว แต่ร่างกายผมกลับหยัดสะโพกส่งให้ พี่นัทยื่นมามาเล่นกับยอดอกของผมไปมา มันเสียวทั้งบทั้งล่างจนทนไว่ไหว

“พี่ๆ ออกไป ผมจะ..ต..แตก อึก” ผมดันหัวพี่นัทออกแต่พี่นัทกลับใช้มือยึดไว้แล้วรูกปากแน่นขึ้น ผมเกร็งตัวเผลอตวัดขารัดรอบคอพี่นัท แล้วปลดปล่อยออกไป

“ฮ๊า ฮื้อ!”

รู้สึกหมดแรงเหมือนโดนสูบพลังจริงๆ  ผมเงยหน้าตาลอยมองเพดาน มือทั้งสองปล่อยลงที่ข้างตัว ลมหายใจยังหอบกระชั้นอยู่ ที่พี่นัททำให้เมื่อกี้มันดีจริงๆ...ดีอีกแล้ว พอเริ่มปรับลมหายใจได้ผมมองไปพงกหัวมองอีกฝ่ายที่ยังคงอยู่ที่เดิมมองมาทางผม และแลบลิ้นออกมาเลียที่ริมฝีปากตัวเอง แต่...เดี๋ยวนะ

“เฮ้ยพี่! คายออกมา คายออกมา” ผมเด้งตัวลุกขึ้นเอามือไปลองตรงปากพี่นัทพร้อมกับลูบหลังพี่นัทไปด้วย

“อึก ฮ่าฮ่าฮ่า”พี่นัทยิ้มแล้วก็หัวเราะออกมา เมื่อกี้พี่นัท ใช้ปากกับน้องหนูของผมแล้วก็กลืนน้ำผมลง พี่นัทเค้ากลืนน้ำของผมลงไป!

“พี...ม...เมื่อกี้พี่...”

“หึหึ ไม่เป็นไรหรอกครับ มานี่มา”

พี่ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาแล้วอุ้มผมให้นั่งบนตักพี่นัทอีกที พี่นัทเอื้อมมือไปหยิบทิชชู่มาเช็ดทำความสะอาดให้ แล้วก็ใส่กางเกงให้เรียบร้อย จนเวลาผ่านไปซักพักสติสตังผมเริ่มกลับมาเข้าที่ก็รู้ว่าเหมืองมีบางอย่างดันก้นผมอยู่หน่อยๆ

“อ๊ะ! พี่ก็ของขึ้นนี่”

ผมหันไปมองหน้าพี่นัทที่กำลังยิ้มอยู่ พร้อมกับขยับสะโพกให้เสียดสีกับส่วนที่นุนขึ้นมาของพี่นัทไปด้วย

“ย อยากให้ผมช่วยมั้ย…”

ผมลุกออกจากตัวพี่นัทแล้วลงไปนั่งในตำแหน่งที่พี่นัทเคยนั่ง ผมซูดหายใจเข้าลึกๆ  เพราะทั้งอายและประหม่ากลัว แต่พี่นัททำได้ ผมก็ต้องทำได้

ผมรูดซิปกางเกง ดึงชั้นในพี่นัทลงมา ผมค่อยจับไปที่แก่นกายที่ค่อนข้างแข็งแล้วก็รูดขึ้นลงช้าๆ  ผมตื่นเต้นเล็กน้อยที่เห็นว่าของพี่นัทนั่นมันขยายใหญ่อยู่ในมือผม

“อืม..”

พี่นัทครางออกมาเบาแล้วก็แหงนคอพิงกับโซฟา ผมชักรูดไปเรื่อยๆ จนเห็นน้ำใสๆ ปริ่มออกมาตรงส่วนปลาย ผมเผลอแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก และก่อนที่จะคิดอะไร ผมแลบลิ้นออกมาและเลียไปเบาๆ ตรงส่วนที่ฉ่ำน้ำนั่น คนด้านบนเกร็งหน้าท้องซึ่งทำให้ผมรู้สึกว่า มันก็ไม่ได้แย่

ผมเลียส่วนปลายแล้วก็ค่อยๆ เล็มริมฝีปากไปที่ส่วนโคนแล้วก็ดูดเบาๆ ไปทั่ว ทำเหมือนที่พี่นัททำกับผม

“ฟู่ว อืม”

พี่นัทเริ่มหอบหายใจแรงขึ้นตอนที่ผมรับส่วนปลายเข้าไปในปาก ผมใช้ลิ้นดุนไปด้วย พยายามดันปากให้ลึกที่สุดแต่ก็รับได้แค่ครึ่งเดียว

“อึก อึก”

“อาห์ หนึ่ง...” ผมเหลือบมองพี่นัทที่ตอนนี้กำลังมองผมอยู่เหมือนกัน ผมพยายามรัดปากแน่นๆ เหมือนที่พี่นัท และอยู่ๆ ผมก้รู้สึกว่าน้องชายพี่นัทที่อยู่ในปากมันขยายขึ้นไปอีก

อึก คับแน่นไปทั้งปากจนเกือบหายใจไม่ออก ผมดูดขึ้นลงช้าๆ  มีหลายครั้งที่เผลอทำฟันครูด พี่นัทแค่ร้องออกมาเบาๆ  ไม่ได้ว่าอะไร

ผมขยับปากขึ้นลง พี่นัทก็ครางหนักขึ้น ส่งมือมาลูบไปตามเส้นผมและหน้าของผม ผมเหลือบมองพี่นัทเป็นระยะๆ เห็ฯใบหน้าแดงระเรื่อใต้แว่น เขาหลับตาครางแผ่วๆ ออกมา เป็นอะไรที่โคตรเซ็กซี่มาก ผมขยับปากเร็วขึ้นอีกครึ่งนึงที่เหลือก็ใช้มือช่วยชักรูดให้  พี่นัทเริ่มเกร็งตัวขึ้นเรื่อยนั่นหมายความว่า พี่นัทใกล้จะเสร็จแล้ว ผมห่อปากแน่นและทำเร็วขึ้น

“อือ..หนึ่งออกไปก่อน พี่จะแตก” เสียงพร่าๆ บอกผมแต่ผมยังคงทำต่อไป เอาแต่คิดว่าพี่เขาทำได้...ผมก็ต้องทำได้

“อื้อ อะ...พี่นัท” พี่นัทดันหัวผมออกอย่างแรง จนน้ำขาวขุ่นของพี่นัทที่ผมตั้งใจให้อยู่ในปากพุ่งใส่หน้าผมอย่างจัง น้ำอุ่นร้อนนั่นไหลไปตามใบหน้า จนเวลาผ่านไปซักพัก ผมก็ยังคงนั่งเงยหน้าอยู่ที่เดิมและท่าเดิมไม่กล้าขยับเพราะกลัวว่าจะทำพรมเลอะ

“พ..พี่ขอโทษนะครับ” พี่รีบหยิบทิชชู่มาเช็ดไปตามหน้าผม อยากจะพูดว่าเป็นไร แต่อ้าปากไม่ได้ เพราะน้ำอุ่นๆ บางส่วนมันก็ไหลเข้ามาในปากเหมือนกัน

“อึก” ผมรีบกลืนลงคอไป มันก็ไม่ได้แย่แค่รสชาติแปลกๆ และไม่คุ้นลิ้น

“หนึ่งไม่ต้องทำแบบพี่ก็ได้ครับ ทีหลังไปคายทิ้งก็ได้ พี่ไม่ว่า” พี่นัทใช้ทิชชุ่เช็ดไปตามหน้าและปากของผมอย่างอ่อนโยน

“ผมทำได้...” ผมพูดแล้วดึงคอพี่นัทลงมาประกบจูบ จนเวลาผ่านไปซักพักพี่นัทก็ถอนจูบออกแล้วหัวเราะออกมา

“พี่หัวเราะอะไรครับ” ผมถามแล้วก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา พี่นัทลุกยืนใส่กางเกงจนเรียบร้อยแล้วก็มองหน้าผม

“ก็หนึ่งเพิ่งจะใช้ปากกับน้องชายพี่มา แล้วเราก็มาจูบกัน รสชาติมันก็เลย...”

พี่นัททำนิ้ววนไปมาบริเวณปาก แค่นั้นผมก็เข้าใจแล้ว

“อ๊ะ ผมขอโทษครับ” พี่นัทยิ้มแล้วก็ก้มลงมาจุ๊บเบาๆ

“ไปอาบน้ำนอนกันดีกว่าครับ”

“แต่ผมยังไม่ง่วง” ผมพูดแค่นั้น พี่นัทก็ก้มลงมาอย่างรวดเร็ว กักผมไว้ในอ้อมแขน มองผมด้วยสายตาที่ไม่น่าไว้วางใจ

“งั้นคงต้องออกกำลังกายบนเตียงให้เหนื่อย จะได้ง่วงและหลับสบาย”

“...ถ้างั้นผมง่วงก็ได้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ง่วงแล้วเนอะ”

พี่นัทจับผมยืนขึ้นแล้วก็ก้มลงมาจุ๊บที่ท้ายทอยผมอีกที ผมมองค้อนพี่นัทไปทีนึง มาจุ๊บมากๆ  เดี๋ยวก็ทนไม่ไหวหรอก ผมกับกับพี่นัทถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็ลงไปแช่น้ำอุ่นๆ ในอ่างด้วยกัน

“สบายมั้ยครับ?”

พี่นัทถามและบีบนวดไปตามแขนและไหล่ ผมพยักหน้า เอนหลังพิงกับอกพี่นัทหลับตาและปล่อยให้พี่นัทนวดให้ มันสบายอ่ะ มือใหญ่ๆ แรงบีบกำลังดี ทำให้ผมผ่อนคลาย

“พี่นัท ผมถามอะไรอย่างนึงได้มั้ย” ผมแหงนคอหนุนไหล่แล้วมองหน้าพี่นัท จู่ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องนึงที่สงสัยขึ้น ก็ว่าจะไม่ถามอ่ะนะ แต่อยากรู้จริงๆ

“ถ้าพี่ตอบได้นะครับ” มือขวักน้ำขึ้นมาราดตามไหล่ผม

“ผู้หญิงคนนึง ผมยาวสีดำใส่ชุดคล้ายคนป่วยที่อยู่ในอัลบัมภาพคือใครครับ”

พอผมถามไป พี่นัทก็เงียบ เขาไม่ได้มีท่าทีว่าไม่พอใจหรือตกใจอะไร เขาแต่วักน้ำขึ้นมาลาดไปตามหัวไหล่ผม ก้มลงมาจูบที่ลำคอแล้วก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสบาย

“แม่พี่เองครับ”

“...แล้ว” ผมอยากจะถามต่อว่าเขามีแม่สองคนเหรอ แต่ก็พอที่จะเดาอะไรๆ ได้ เพราะเขากับพี่พายเป็ฯพี่น้องคนละแม่กัน

“ไหนๆ พรุ่งนี้ร้านก็ปิดอยู่ เดี๋ยวพี่พาไปหาแม่พี่ ดีมั้ยครับ?”

“เร็วไปมั้ยพี่ ละ...แล้วผมเป็นผู้ชาย พี่จะแนะนำผมในฐานะอะไร แม่พี่จะรับได้มั้ย?” ผมเด้งตัวนั่งหลังตรง หันไปเขย่าแขนพี่นัท

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องกังวลหรอกครับ แม่พี่ลืมง่าย พูดอะไรไปไม่ถึงชั่วโมงก็ลืมแล้ว”

พี่นัทดึงผมให้นั่งพิงเหมือนเดิม พรุ่งนี้พี่นัทจะพาไปหาแม่เขา นี่เพิ่งจะคบกันได้แค่วันเดียวแล้วผมควรจะทำไงดีอ่ะ ต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือไปหน่อย เพื่อสร้างความประทับใจแรกเจอ ซื้ออะไรไปดีอ่ะ แม่พี่นัทจะชอบอะไรเป็นพิเศษรึเปล่านะ แล้วต้องแต่งตัวยังไงดีอ่ะ  โอ้ย...ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น

ผมสูดลมหายใจเข้า 2-3 รอบแล้วก็ปล่อยอารมณ์ ปล่อยกาย ปล่อยพิงอกอุ่นๆ ของพี่นัทไป พอเริ่มสบายใจผมก้ฮัใเพลงออกมาระหว่างที่วาดมือไปมาอยู่ใต้น้ำ เล่นฟองสบู่อย่างสบายอารมณ์

“พี่ว่าเราขึ้นจากอ่างกันดีกว่า ก่อนที่พี่จะทนไม่ไหว”

พูดจบปุ๊บพี่นัทก็ดันตัวผมออกแล้วลุกออกจากอ่างทันที ปล่อยให้ผมงงอยู่ในอ่างคนเดียว อะไรอ่ะคิดจะเลิกอาบก็เลิก นี่ยังไม่ได้ถูสบู่เลยนะ ผมกดสบู่หอมๆ ของพี่นัทมาถูตามตัวแล้วก็ล้างออก จากนั้นก็หยิบผ้าขนหนูมาคลุมตัวออกไปใส่เสื้อผ้า

พอผมออกมาชุดนอนก็ถูดพาดไว้ที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว มองไปที่เตียง พี่นัทก็ปิดไฟนอนห่มผ้าแล้วเหมือนกัน อะไรอ่ะ ไม่รอกันเลย ไหนบอกว่าจะนอนพร้อมกันง่ะ ผมใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ค่อยขึ้นเตียง มองพี่นัทที่หันหลังให้แล้วก็ขยับเข้าไปนอนใกล้ๆ หลังพี่นัท แอบชะเง้อมองหน่อยนึงว่าหลับรึยัง แต่พี่นัทไม่ขยับไม่ไหวติงเลย...คงหลับไปแล้วมั้ง ผมล้มตัวลงนอนแล้วหลับตามั่ง

ผมพยามที่จะข่มตาให้หลับแล้ว แต่มันไม่ง่วงจริงๆ  แล้วพอนอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านเรื่องที่พรุ่งนี้พี่นัทจะพาไปหาแม่ ผมยิ่งนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาอยู่นั่นแหละ จนพี่นัทขยับตัวพลิกหันหน้ามาทางผม พร้อมกับถอนหายใจออกมา นี่พี่นัทตื่นอยู่รึเปล่าอ่ะ

“พี่นัทหลับอยู่รึเปล่าครับ”

“ยังครับ” พี่นัทลืมตาขึ้น มองผมตาแป๋ว

“ผมทำให้พี่ตื่นรึเปล่าครับ”

“ความจริงพี่ยังไม่หลับ รอให้หนึ่งลักหลับพี่อยู่นะ” ผมถอนหายใจและมองบนใส่พี่นัท ลักหลับอะไรล่ะใครจะไปมีอารมณ์ทำแบบนั้น “หนึ่งนอนไม่หลับเหรอครับ?”

ผมพยักหน้า พี่นัทก็เลยอ้าแขนออก ผมขยับเข้าไปอ้อมแขนของพี่นัท แล้วก็กอดเอวไว้หลวมๆ

“เดี๋ยวพี่กล่อมนอนเนอะ เด็กดี”

พี่นัทพูดแล้วตบก้มผมเบาๆ  คล้ายกล่อมเด็กจริงๆ

“ผมไม่ใช่เด็ก” ผมทุบอกพี่นัทเบาๆ ไปทีนึงอย่างหมันไส้

“ครับๆ  ไม่ใช่เด็กแล้วเนอะ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่พี่นัทก็ไม่หยุดมือ ตบก้นผมแถมยังใช้อีกมือมาลูบหัวผมไปด้วย

“ฝันดีนะครับ” พี่นัทพูดแล้วก้มลงมาจูบที่หน้าผาก ผมบุ้ยปากใส่ วันนี้นอนมาเกือบทั้งวันแล้วใครจะไปหลับลงเล่า ผมไม่ง่วงเลยซักนิด แต่มืออุ่นๆ ที่ตีก้นผมอยู่นี่ก็เพลินดีเหมือนกันนะ…



...

 “คร่อก ฟี้~~~”


“เจ้าเตี้ยเอ้ย~ พี่รักเรานะครับ”




เขาจะพาไปเจอแม่กันแล้วนาาา

พี่นัทแกจริงจังนะคะ ไม่ได้เต๊าะเล่นๆ


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 13 : หวานปาก ละมุนลิ้น l 02-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 02-09-2019 21:57:32
 :กอด1: :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 13 : หวานปาก ละมุนลิ้น l 02-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 02-09-2019 23:08:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 14 : มงกุฎดอกไม้ l 03-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 03-09-2019 16:09:43
14 : มงกุฎดอกไม้


“หนึ่งตื่นเร็วครับ สายแล้วนะ”

“งืม...กี่โมงแล้วครับ” ผมปรือตาขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหรี่หนีแสงจากหน้าต่างแล้วบิดขี้เกียจหมุนไปมา ยังไม่อยากลุกจากเตียงเลยอ่ะ มันทั้งนุ่มทั้งสบายฟุดๆ

“จะสิบโมงแล้วครับ”

ผมเด้งตัวลุกขึ้นทันที สายมากเลยนะเนี่ย ผมมองไปที่พี่นัทที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วแถมยังใส่ผ้ากันเปื้อนอยู่ด้วย ดูท่าจะตื่นนานแล้ว

“ทำไมพี่ตื่นแล้วไม่ปลุกผมด้วยล่ะครับ”

“ก็พี่เห็นเราหลับสบายก็เลยไม่อยากปลุกนี่ครับ”

“...” แต่ผมอยากตื่นพร้อมพี่บ้างอ่ะ พี่นัทยิ้มแล้วบิดแก้มผมเบาๆ  ผมหันหน้าหนี ไม่ต้องมายุ่งกับแก้มเลย ช้ำหมดแล้ว

“ไปอาบน้ำเร็ว เดี๋ยวมากินข้าวกันครับ”

ผมลุกไปอาบน้ำ แล้วก็ใส่เสื้อผ้าของผมที่พี่นัทซักไว้ให้ ผมซุกหน้าลงบนเสื้อของเขา ดมกลิ่นหอมสดชื่นเหมือนกลิ่นบนตัวพี่เขา พอผมใส่เสื้อผ้าเสร็จก็เดินไปหาพี่นัทที่อยู่ตรงครัวเล็กๆ ติดระเบียง

“หอมจังเลยครับ” ผมทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นหอมๆ  เดินไปยืนข้างพี่นัทที่กำลังทำอาหารอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม แล้วก็เทข้าวต้มกุ้งลงชาม แล้วก็เดินไปวางไว้ที่โต๊ะหน้าโซฟา ผมเดินต้อยๆ ตามกลิ่นหอมไป แล้วก็นั่งลงกับพื้นตรงข้ามกับพี่นัทคว้าช้อนขึ้นมาเตรียมจ้วง แต่พี่นัทดึงชามหนีซะก่อน ทำไมอ่าาา

“มันยังร้อนอยู่นะครับ ค่อยๆ กิน” แล้วพี่นัทก็ดันชามคืนมาให้ ผมตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าๆ เอาเข้าปาก แล้วก็พบง่าอร่อยอีกแล้ว ผมยิ้มแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้คนตัวสูงที่นั่นตรงกันข้าม

พี่นัทยิ้มกว้างแล้วก็ทำแก้มป่องยื่นมาให้ผม ผมก็เลยยืดตัวไปหอมแก้มให้ฟอดนึงเป็นรางวัลสำหรับของอร่อย

“อร่อยมากเลยครับ”

“ถ้าไม่อิ่มตักเพิ่มได้นะ ในหม้อยังมีอยู่”

หลังจากนั้นผมก็จัดการข้าวต้มทั้งในชามและในหม้อจนเรียบ ถ้ากินแบบนี้ทุกมื้อผมได้อ้วนกลมแน่ๆ พอทางมื้อเช้าเสร็จพี่นัทก็พาผมไปอบเค้กที่ครัวใหญ่ชั้นหนึ่ง ผมก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย แค่ช่วยล้างอุปกรณ์ทั่วไป

“หนึ่งอยากทานด้วยมั้ยครับ พี่จะได้อบให้” ผมนี่พยักหน้าทันทีเลย ของอร่อยๆ ใครก็ชอบ นี่ครับ “งั้นมาช่วยพี่ปั่นครีมหน่อยนะครับ”

“ได้ครับ”

ผมเดินไปยืนข้างๆ พี่นัทแล้วก็ลงมือตีครีมตามที่พี่นัทเคยสอนไว้ มานึกๆ ดูวันที่พี่นัทสอนครั้งแรกนั้น พี่นัทต้องจงใจทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวแน่ๆ เลยอ่ะ ใครจะไปสอนปั่นครีมแบบนั้นกัน พี่นัทเจ้าเล่ห์สุดๆ ไปเลย

“พี่นัท นี่ใช้ได้ยังครับ”ผมตีไปเรื่อยๆ จนครีมเริ่มตั้งยอดก็ส่งให้พี่นัทดู

“อืม ได้แล้วครับ” พี่นัทที่กำลังปอกผลไม้อยู่เดินมาดูใกล้ๆ  แล้วก็จ้องหน้าผม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?” ผมถามพี่นัทก็ยังคงจ้องอยู่เหมือนเดิม แล้วก็ค่อยๆ ยิ้ม หลังจากนั้นพี่นัทก็ก้มลงมาจุ๊บที่ปากผมเร็วๆ แล้วก็ผละออก

“ขอบคุณที่ตีครีมให้ครับ” แล้วเขาก็เดินไปปอกผลไม้ต่อ อะไรอ่ะ...แค่ตีครีมเอง ไม่เห็นต้องขอบคุณอะไรเลย  ถึงจะขอบคุณก็ขอบคุณธรรมดาได้มะ ไม่เห็นต้องมาจุ๊บแบบนี้เลย ทำแบบนี้บ่อยๆ ผมก็เขินนะครับ

หลังจากพี่นัทปอกผลไม้เสร็จก็แต่งหน้าเค้กนิดหน่อย จนในที่สุดเค้กโรลช็อคโกแลตหน้าตาดูดีก็เสร็จ

“มีครีมเหลือนี่พี่จะทิ้งรึเปล่าครับ?”

มีครีมที่ตีไว้มันเหลืออยู่นิดหน่อย ถ้าพี่นัทจะทิ้งมันก็น่าเสียดาย ผมกะว่าจะขอกินซักหน่อย ครีมช็อคนุ่มๆ กินกับสตอว์เบอร์รี่เปรี้ยวอมหวาน  ก็น่าจะเข้าอยู่นะ

“ตอนแรกก็ว่าจะทิ้งแหละ แต่ตอนนี้พี่อยากชิมแล้วสิ”

ผมบุ้ยบปากอย่างเสียดาย ครีมมันมีอยู่หน่อยเดียวเอง แบ่งกินสองคนไม่พอหรอกครับ จากที่คิดว่าคงจะอดแล้วแต่พี่นัทก็เดินมาปาดครีมในอ่างแล้วก็ยื่นมาให้ ผมจึงรีบอ้าปากจะกินครีมที่อยู่บนนิ้วเขา แต่พี่แกดันขยับนิ้วหนีอีก ผมมองหน้าพี่นัท ตกลงจะยังไง จะแกล้งอะไรอีก

“พี่บอกว่า พี่จะชิมนะครับ ไม่ได้ให้หนึ่งชิมซักหน่อย”

“เอ้า! แล้ว…” ผมกำลังจะบอกว่า แล้วพี่จะยื่นมาให้ผมทำไม แต่พี่นัทดันมือบอนป้ายครีมลงมาบนปากผมซะก่อน มาอีหรอบนี้รู้เลยว่ากำลังจะโดนอะไร

ผมยืนนิ่งๆ ให้พี่นัทปาดครีมจนทั่วไปทั้งริมฝีปาก พี่นัทขยับออกไปดูผลงานตัวเองพลางเช็ดนิ้วที่เปื้อนครีมกับผ้ากันเปื้อนไปด้วย จากนั้นก็รั้งตัวผมให้เข้าไปใกล้ๆ

“ครีมที่อยู่บนปากหนึ่งดูน่ากินกว่าอยู่บนเค้กอีกครับ”

พีนัทก้มลงมากินครีมที่อยู่บนปากผม ค่อยเลียกินไปทีล่ะส่วนๆ  จากริมฝีปากล่าง แล้วก็ขึ้นมาที่ริมฝีปากบน จนครีมหมดแล้ว พี่นัทก็ยังไม่ผละออก ลิ้นร้อนเลียปัดไปมาไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในปาก แค่ดูดเม้มอยู่อย่างนี้ มีหลายครั้งที่พี่นัททำเหมือนแซะเข้ามาในปาก แต่พอผมเปิดปากออกกลับแค่ไล้เลียอยู่ที่กลีบปากแค่นั้น มันน่าหงุดหงิดจนผมต้องล่วงล้ำเข้าไปในปากพี่นัทเสียเอง

ในปากพี่นัทมีรสหวานๆ ของครีมอยู่ด้วย มันอร่อยจนผมโถมตัวใส่ พี่นัทต้องขยับเปลี่ยนท่าไปยืนพิงโต๊ะไว้ ผมเขย่งปลายขาและกอดคอพี่นัทให้ก้มลงมาเพื่อที่ผมจะได้จูบได้สะดวกๆ  แต่คนตัวสูงดูไม่ให้ความร่วมมือเท่าไรเลย แถมยังดันตัวผมออกอีก

พี่นัทเห็นแก่ตัวอ่ะ ทีตัวเองอยากทำนี่ นึกจะทำก็ทำ แต่ผมอยากจูบบ้างดันไม่ได้จูบ เฮอะ!

“หนึ่งจะชิมครีมด้วยมั้ย?” พี่นัทหยิบอ่างครีมขึ้นมา แล้วยื่นมาให้ผม ไม่มีอารมณ์จะมากินครีมแล้วววว ผมทำหน้าบึ้งแก้มป่อง แล้วหันหน้าหนีพี่นัท

“หึหึ  หนึ่งงอนพี่เหรอครับ”

“ผมไม่ได้งอนครับ” แค่หงุดหงิด

“โกหกชัดๆ  กินครีมมั้ย อร่อยนะ” พี่นัทยังยื่นอ่างครีมมาให้ผม จนผมต้องหันไปมองพี่นัทตาขวาง

“ผมไม่อยากกินแล้วครับ”

ผมกำลังจะออกห่างจากพี่นัทแต่พี่แกดึงตัวผมไว้ วางอ่างครีมลงกับโต๊ะ แล้วก็ใช้นิ้วโป้งปาดครีมออกมา พี่นัทมองผมยิ้มๆ  เลียริมฝีปากตัวเองพอเซกซี่แล้วก็ค่อยๆ บรรจงป้ายครีมลงไปที่ริมฝีปากของตัวเอง  เสร็จแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาหาผมช้าๆ

“กินครีมมั้ยครับ? อร่อยนะ”

นอกจากจะเจ้าเล่ห์ยังอ่อยเก่งอีกตังหาก ผมยิ้มออกมาแล้วก็เขย่งเท้าและโอบรอบคอพี่นัทลงมาจูบ

 

หลังจากที่ชิมครีม ชิมอะไรๆ กันเสร็จแล้ว ผมก็มานั่งดูพี่นัทจัดการผูกโบว์น่ารักๆ ที่กล่องเค้ก พี่นัทก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มและขยิบตาให้ผม ผมนี่ก้มหน้ามองเข่าตัวเองอย่างไวเลยครับ เมื่อกี้ยังกล้าเรียกร้องจูบ แต่พอตอนนี้กลับมานั่งนึกเขิน อย่างกะคนบ้าเลยครับผม คือแบบรสชาติครีมและสัมผัสของพี่นัทยังอวลอยู่ในปากจนผมเผลอแลบลิ้นออกเลียและกัดริมฝีปากตัวเองเบาๆ  ตาก็เหลือบขึ้นไปมองพี่นัทอีกที แต่พี่นัทก็ยังจ้องผมอยู่นิ่งๆ  จนผมรีบหลุบตาลงอีก

ผมเหลือบตามองอีกทีก็เห็นว่าพี่นัทเอาเค้กส่วนหนึ่งไปเก็บไว้ในตู้เย็น จากนนั้นก็เดินมาทางผม รอยยิ้มนี่เจ้าเล่ห์มาเชียว เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วยืนซ้อนด้านหลัง แผ่นอกแข็งของอีกฝ่ายแนบชิดไปกับแผ่นหลังของผม มืออุ่นไล้ไปตามสีข้าง ปากก็คลอเคลียตามแก้มและต้นคอของผม

“พี่นัท…”

เสียงผมเบาหวิวเพราะมืออีกข้างของพี่นัทลูบลงไปต้นขาวกเข้าไปต้นขาด้านในของผม ลากผ่านน้องน้อยๆ ของผมอย่างแผ่วเบาจนขนตามสันหลังของผมพากันลุกซู่ซ่า พี่นัทลากขึ้นมาที่ชายเสื้อผมล้วงเข้ามาในเสื้อ ลูบที่หน้าท้องผมแผ่วเบา ปากนุ่มๆ อุ่นๆ ก็พรมจูบไปตามหลังคอ

พี่นัทลากขึ้นมาจนเจอยอดอกและปัดผ่านไปมาเบาๆ  ไม่บีบ ไม่บี้ จนผมรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจลึกๆ  ปากก็จูบซับมาเรื่อยๆ จนถึงติ่งหู พี่นับเม้มที่ติ่งหูผมเบาๆ  แล้วก็กระซิบว่า

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคุณแม่พี่รอ”

“หวา!!”

จบประโยคนั้นปุ๊บ พี่นัทก็ผละออกจนผมที่ไม่ทันตั้งตัว เซจนแทบตกเก้าอี้ ดีที่คว้าขอบโต๊ะเอาไว้ได้ ผมหันไปมองพี่นัทที่เดินถือกล่องเค้กและหัวเราะออกไป นี่ผมโดนเขาแกล้งกันอีกแล้ว เจ็บใจแต่ก็ได้เข่นเขี้ยวเขียวฟัน พึมพัมอยู่คนเดียว แล้วก็เดินตามพี่นัทออกไป

จำไว้เลยนะพี่นัท ซักวันผมจะปล่อยให้พี่ค้างบ้าง ฮึ่ย!

 

“พี่อย่าลืมพาผมไปเปลี่ยนชุดนะครับ”

พี่นัทกำลังจะเปิดประตูรถหันมามองผมแล้วก็หัวเราะออกมา

แหงดิ สภาพผมตอนนี้ ใครเห็นเขาก็หัวเราะกันทั้งนั้นแหละ เสื้อยืดตัวใหญ่ๆ ที่ชายเสื้อแทบเลยเข่า กางเกงที่ดูยังไงมันก็กางเกงนอนตัวเก่าๆ  ที่ย้วยเต็มที่ และที่ยิ่งทำให้ดูตลกเข้าไปอีกคือ รองเท้าแตะคีบไซส์ยักษ์ของพี่นัทนี่แหละ ตอนส่องกระจกนี่อย่างกะเด็กไปขโมยชุดพ่อมาใส่

“ฮ่าฮ่าฮ่า แบบนี้น่ารักดีนะ พี่ชอบ”

“น่ารักของพี่คนเดียวอ่ะดิ”

“....”

พอขึ้นรถเรียบร้อยผมก็จัดการคาดเข็มขัด พอเงยหน้าขึ้นมาก็เจอพี่นัทที่จ้องอยู่

“อะไรครับ”

“แต่ตอนไม่ใส่อะไร น่ารักที่สุดอ่ะ”

“พอเลยพี่นัท”

ผมนี่หันหน้าออกหน้าต่างเลยครับ ไม่อยากจะพูดต่อ เดี๋ยวจะโดนไปมากกว่านี้ คุยกันทีไรพี่นัทชอบลากเข้าเรื่องแบบนี้ทุกที หื่นจริงๆ

แค่แปปเดียวรถพี่นัทก็มาจอดหน้าที่พักผมเรียบร้อย ผมรีบขึ้นห้องแล้วก็เอากล้องที่ชื้นฝนนิดหน่อยเข้าตู้อบไล่ความชื้น ทิ้งไว้เกือบสองคืนหวังว่าคงไม่พังนะ ตัวนี้นี่แพงอยู่ด้วย

พอจัดการกับอุปกรณ์กล้องแล้วผมก็มาเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อ ส่วนพี่นัทที่ตามขึ้นมาด้วยก็ พอถึงห้องปุ๊บก็กระโดดลงไปกลิ้งกับเตียงผมทันทีเลย

อืม ใส่เสื้อตัวไหนดีหว่าา สีฟ้าดีกว่า สดใสเหมาะกับใส่ไปเยี่ยมคนป่วย จังหวะที่ยื่นมืออกกำลังจะใส่เสื้อ พี่นัทที่เดินเข้ามาตอนไหนไม่รู้ มายืนซ้อนหลังผมเฉยๆ

“ผมตกใจหมดเลย อย่ามายืนเงียบๆ แบบนี้ดิ”

“ตกใจอะไรครับ ในห้องไม่ได้มีคนอื่นซักหน่อย”

“อย่ามาพูดแบบนั้นในห้องผมนะ” ผมก็ไม่ใช่คนกลัวผีอะไรมากหรอกครับ แค่บางครั้งอยู่คนเดียว มันก็อดคิดไม่ได้อ่ะ พี่นัทหัวเราะแล้วก็หมุนตัวผมไปติดกระดุมให้

“พี่จะติดกระดุมก็ติดอย่างเดียวสิ จะมาลูบตัวผมทำไมล่ะครับ” ผมปัดมือพี่นัทออก เพราะพี่นัทลูบมือเข้ามาที่หน้าอกผม

“ก็เห็นแล้วมันดูเนียนนุ่มมือ เลยอยากสัมผัสดูนี่ครับ ดูดิ พุงนุ่มมากเลยอยากเอาหน้าฟัด”

“พี่หื่นอีกแล้ว ผมใส่เองดีกว่า” ผมดันตัวพี่นัทออกแล้วก็ แล้วก็จัดการใส่เสื้อ ใส่กางเกง แปปเดียวก็เสร็จ

“พี่ว่าหนึ่งไปเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อยดีกว่านะ จะได้ไม่ต้องแวะกลางทาง”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ปวดหรอก”

“ไกลนะกว่าจะถึง”

ตอนแรกก็กะว่าจะไม่เข้าหรอก แต่พี่นัทย้ำแบบนั้นก็แสดงว่าคงจะไกลจริง แล้วพี่นัทคงอยากขับยาวๆ ไปเลย ผมก็ไปไปจัดการเข้าห้องน้ำให้เรียบร้อย

“เรียบร้อยแล้วครับ นั่นถุงไรอ่ะ”

“อ่อ ถุงเสื้อผ้าครับ เสื้อผ้าพี่มาอยู่ที่นี่เยอะมากเลย เอากลับๆ ไปบ้างดีกว่า”

ผมพยักหน้าเพราะของพี่นัทอยู่ที่ห้องผมเยอะมากจริงๆ  และเสื้อผ้าในตู้นี่เสื้อพี่นัทเยอะกว่าเสื้อผมซะอีก

พี่นัทจูงมือผมออกจากห้อง จากที่จูงข้อแขนธรรมดาก็เปลี่ยนเป็นจับมือแบบสอดนิ้ว ผมรู้สึกเกร็งนิดหน่อยเวลาที่มีคนอื่นเดินสวนมาแล้วมอง  ผมพยายามที่จะบิดมือออก เวลาที่มีคนจ้องมากๆ เพราะผมกับพี่นัทก็ผู้ชายทั้งคู่ คนอื่นจะคิดยังไงก็ไม่รู้

“เป็นอะไรครับ”

ผมส่ายหน้าและยิ้มให้ แต่เหมือนพี่นัทดูออก เพราะพี่นัทปล่อยมือออก แต่กลับเปลี่ยนมาโอบไหล่ผมแทน ผมเดินตัวเกร็งไปตลอดทาง

มันก็รู้สึกดีที่พี่นัทกล้าเปิดเผยแบบนี้ แต่ผมตังหากที่แย่ ผมยังกลัวและอายสายตาที่คนอื่นมองมา มองพวกเราแบบมันผิดปกติ ทั้งๆ ที่เอาจริงๆ แล้วมันก็แค่ความรักรูปแบบนึง แต่ลึกๆ ผมก็ห้ามตัวเองไม่ไห้คิดไม่ไม่ได้ว่า มันคงดีกว่านี้ถ้าผมหรือพี่นัทมีใครซักคนเป็นผู้หญิง

ผมขึ้นมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว แต่พี่นัทยังไม่ออกรถซักที ผมเลยหันไปมองพี่นัทที่ยิ้มอยู่ อ้ออ ผมลืมคาดเข็มขัด ทุกครั้งที่ขึ้นรถ พี่นัทจะไม่ยอมออกรถถ้าเรายังคาดเข็มขัดไม่เสร็จ พี่นัทค่อนข้างที่จะเคร่งครัดเรื่องแบบนี้พอสมควรเลยแหละ

ผมกำลังจัดการคาดเข็มขัด จู่ๆ พี่นัทก็เอี้ยวตัวลงมาล็อคให้และจุ๊บเบาๆ ที่ปาก ผมกำลังจะอ้าปากดุที่เขาแต๊ะอั๋ง แต่ก็โดนพี่นัทขยับเข้ามาหอมแก้มอีกครั้งแล้วยิ้มให้

“หนึ่งอย่าสนใจสายตาคนอื่นเลยครับ สนใจแค่พี่...สนใจแค่เราก็พอ”

“...”

“เนอะ ที่รัก!” พี่นัทพูดเสร็จก้ทำหน้าทะเล้น จับหมับเข้าที่แก้มของผม ดึงไปจุ๊บเน้นๆ ที่หน้าผากและปาก แล้วบีบแก้มผมไปมา

“โอ๊ยพี่! ผมเจ็บนะ”

ผมตีมือพี่นัทที่บีบแก้ม แล้วก็โวยวาย ความจริงก็ไม่เจ็บหรอกครับ แต่ผมเขิน ผมทำทีเป็นเอี้ยวตัวไปหยิบขนมขบเขี้ยวหลังรถมานั่งทานไปเรื่อยๆ เพื่อกลบความเขินอาย ผ่านไปไม่นานพี่นัทก็เลี้ยวรถเข้าสถานที่แห่งหนึ่ง เป็นสถานพยาบาลและพักฟื้นผู้ป่วยความจำเสื่อม ตอนแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าถึงแล้วรึเปล่า เพราะพี่นัทบอกว่าไกล แต่พอพี่นัทดับเครื่องยนตร์ และเอี้ยวตัวไปเอาเค้กที่เบาะหลัง จนผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ นี่คือไกลของพี่เขาเหรอ ผมกินขนมยังไม่ทันหมดซองเลยนะ

“ไม่ลงเหรอครับ ถึงแล้วนะ”

“ไหนพี่บอกว่าไกล”

“นั่นสิ สงสัยพี่จำทางผิดมั้งครับ”

พี่นัทขี้โม้ ผมยังไม่ได้ทำใจเลย มาเจอแม่พี่นัททั้งทีแต่ผมกลับรู้สึกว่าเตรียมตัวมาไม่ดีพอ ผมซูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความประหม่าตื่นเต้นนี้แล้วก็เดินตามหลังคนตัวสูงเข้าไป

ที่นี่เป็นที่ที่ค่อนข้างกว้างขวาง เหมือนบ้านหลังใหญ่มากกว่าโรงพยาบาล มีสวนที่สวย อาคารดูสะอาดสบายตา พอเดินเข้ามาๆ ก็เจอผู้ป่วยที่ใส่ชุดสีขาวเดินไปมาหลายคน มีพยาบาลเดินไปมาหลายคน เหมือนเป็นโรงพยาบาลที่อยู่ในบ้านมากกว่า

พี่นัทเดินไปจนถึงห้องๆ หนึ่ง เปิดประตูเข้าไป เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคนในรูปที่ผมเจอ แต่ร่างกานผ่ายผอมและใบหน้าดูโทรมกว่ามาก เธอนั่งอยู่บนเตียงมองไปที่หน้าต่าง ข้างเตียงมีโต๊ะเล็กๆ และมีคุณพยาบาลกำลังนั่งจัดดอกไม้อยู่

พี่นัทพยักหน้าทักทายคุณพยาบาลและเดินไปที่เตียง จับมือและส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น

“สวัสดีครับคุณแม่ วันนี้ผมทำเค้กมาให้อีกแล้วนะครับ”

“...” ผู้หญิงที่พี่นัทเรียกว่าแม่ ยิ้มเหม่อลอยมองท้องฟ้าไม่ได้สนใจพี่นัทเลยซักนิด

“รบกวนคุณพยาบาลนำไปใส่จานให้ด้วยนะครับ มีส่วนของคุณพยาบาลด้วยนะ”

“ขอบคุณคุณนัทมากเลยนะคะ ทำมาเผื่อรินทุกครั้งเลย” ผมมองไปที่คุณพยาบาลหน้าตาน่ารัก ที่เดินยิ้มออกไปพร้อมกล่องเค้ก

“หนึ่ง มาตรงนี้สิครับ"

“ครับ” ผมที่ยืนตัวลีบอยู่ตรงหน้าประตูห้อง เดินไปหาพี่นัท

“แม่ครับ นี่ตองหนึ่งนะครับ...แฟนของผมเอง”

ผมตกใจเล็กน้อยที่พี่นัทแนะนำตัวผมแบบนั้น ผมว่ามันคงเร็วไปจริงๆ นั่นแหละ ผมรู้สึกไม่พร้อมเลย แต่คุณแม่พี่นัทที่ตอนแรกมองท้องฟ้าอยู่นั้น ก็ค่อยๆ หันกลับมามองพี่นัทและมองมาที่ผม และจ้องอยู่อย่างนั้น

“อ...เอ่อ ส...สวัสดีครับ”

จนเวลาผ่านไปคุณแม่พี่นัทก็ยังจ้องผมอยู่จนผมเริ่มทำไรไม่ถูก หันไปหาพี่นัทอย่างขอความช่วยเหลือ

“ไม่ต้องเกร็งหรอกครับ เป็นอาการปกติของคนเป็นโรคนี้แหละ”

“เค้กมาแล้วค่า” คุณพยาบาลนำเค้กมาวางบนโต๊ะสำหรับทานอาหารและเลื่อนมาข้างหน้าคุณแม่พี่นัท จากนั้นก็มองมาที่ผมและยิ้มให้ ผมก็พงกหัวรับและยิ้มกลับตามปกติ

“เรามาทานเค้กกันดีกว่าค่ะคุณแก้วตา”

“เดี๋ยวผมป้อนเองดีกว่าครับ คุณพยาบาลไปจัดดอกไม้ต่อก็ได้ครับ”

“ได้ค่ะ”

คุณพยาบาลส่งช้อนให้พี่นัทและเดินไปนั่งจัดดอกไม้ต่อ  ผมมองตามเล็กน้อยแต่คุณพยาบาลเงยหน้าขึ้นมาพอดี เธอจึงส่งยิ้มให้ผม

“อยากลองจัดดอกไม้ด้วยกันมั้ยคะ?”

“ไม่เป็นไรครับ ผมจัดไม่เป็น”

คุณพยาบาลยิ้มให้และก้มลงไปจัดต่อ ส่วนผมก็หันกลับมาสนใจพี่นัทที่ป้อนเค้กให้คุณแม่ พี่นัทพยายามชวนคุณแม่คุยมากมาย และชี้ให้ดูนั่นนี่เยอะแยะ แต่คุณแม่ก็แค่นั่งยิ้มและเคี้ยวช้าๆ แค่นั้นจนเค้กหมดจาน

“หมดแล้ว เก่งจังเลย คุณแม่ใครเนี่ย เก่งจังเลยครับ”

พี่นัทปรบมือให้คุณแม่ ผมก็ทำตามไปด้วย

“เดี๋ยวรินเอาจานไปเก็บให้นะคะ”

ผมกับพี่นัทถอยออกให้คุณพยาบาลจัดการเก็บโต๊ะและจาน และในตอนที่คุณพยาบาลกำลังจะออก จู่ๆ เธอก็สะดุด แวบนึงผมใจหายและคิดว่าหน้าเธอต้องฟาดกับขอบเตียงแน่ๆ  แต่พี่นัทเร็วกว่าก้าวเข้ามาดึงไว้ทัน

...แต่จะมองหน้ากันอีกนานมั้ย รีบลุกขึ้นสิ

ผมมองไปที่พี่นัทกับคุณพยาบาลที่มองหน้ากันอยู่ ในใจมันก็หงุดหงิดๆ  แบบทำเป็นละครไปได้ จนผมอดคิดร้ายๆ ไม่ได้แบบ สะดุดอะไร สะดุดขาตัวเองเหรอ แล้วเมื่อไรจะปล่อย จะจ้องกันอีกนานมั้ย?

หลังจากนั้นพี่นัทก็รีบดันตัวคุณพยาบาลขึ้น ส่วนพยาบาลก็รีบจัดเสื้อและผมให้เข้าที่

“คุณพยาบาลเป็นอะไรมั้ยครับ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ ดีที่คุณนัทช่วยไว้ ไม่งั้นหน้ารินฟาดแน่ๆ ”

คุณพยาบาลบอกแบบอายๆ  เกาท้ายทอยให้ดูน่ารักนิดหน่อยก่อนจะเดินออกไป แล้วพี่นัทก็หันมายิ้มให้ผม ส่วนผมเหรอ เหอะ! จู่ๆ ก็หงุดหงิดครับ พี่นัทหัวเราะเบาๆ เดินไปที่โต๊ะจัดดอกไม้และหยิบดอกไม้ขึ้นมาส่งให้ให้ผม

“พี่ให้ครับ”

“นั่นไม่ใช่ของพี่ซักหน่อย” ผมส่ายหน้าไม่รับ พี่นัทหัวเราะแล้วก็ก้มลงไปหยิบขึ้นมาพันกันไปมาจนเป็นวงกลมคล้ายมงกุฎดอกไม้

“ว้าว~ คุณนัททำเหรอคะ สวยจังเลย”

คุณพยาบาลที่เดินเข้ามาตอนที่พี่นัททำเสร็จพอดี ออกปากพูดชมทันที

“ขอบคุณครับ ผมทำแต่ตองหนึ่งเป็นคนเลือกดอกไม้นะครับ”

หือ ผมไปเลือกตอนไหน ยืนอยู่ตรงนี้ตลอด ยังไม่ได้ขยับไปไหนเลยด้วย พี่นัทขี้ตู่ พี่นัทยิ้มให้ผม แล้วเดินเอามงกุฎไปสวมให้คุณแม่

“คุณแม่สวยมากๆ เลย ชอบมงกุฎที่ผมทำมั้ยครับ” คุณแม่ที่เหม่อไปมา ค่อยๆ หันมามองพี่นัทแล้วก็เอื้อมขึ้นเพื่อเอามงกุฎออก “โถ่ คุณแม่ไม่ชอบเหรอครับ ผมน้อยใจนะเนี่ย”

คุณแม่เปลี่ยนจากมองพี่นัทมามองผมแทน และค่อยขยับมือวางมงกุฎดอกไม้นั่งลงบนหัวผม ผมตัวเกร็งและตกใจเล็กน้อย พอวางเสร็จท่านก็ยิ้มพลางเอียงหน้าไปมา

“สวยมากๆ เลยครับ” พี่นัทยิ้มและพูดชม ก็ไม่รู้ว่าชมผม หรือชมดอกไม้ที่ตัวเองทำกันแน่อ่ะนะ

“ส...ส...สวย” คุณแม่พี่นัทพูดออกมาเบาๆ แค่คำเดียวแล้วก็เงียบ พี่นัทหันไปยิ้มกับคุณแม่และดูดีใจมากๆ  คุณพยาบาลก็ดูตื่นเต้นเช่นกัน

“คุณแก้วตาคิดว่าดอกไม้นั่นสวยใช่มั้ยคะ?”

“สวย สวยใช่มั้ยครับคุณแม่”

“ส..สวย”

คุณแม่พูดและยิ้มไปมา พี่นัทและคุณพยาบาลก็ดูดีใจแล้วก็หันมายิ้มกว้างให้ผม ผมก็ยังงงกับสถานการณ์อยู่ว่าทำไมทุกคนดูดีใจกันมากที่คุณแม่พูดออกมา

“ครับสวยมากๆ เลยเนอะครับแม่”

“ส..สวย” ท่านพูดคำเดิมอีกครั้ง พี่นัทยิ้มกว้างก้มลงไปหอมแก้มคุณแม่และชี้มาที่ผม คุณแม่ก็ทำตาม

“ทำไมเหรอครับ” ผมถามออกไปเพราะไม่เข้าใจ พี่นัทก็หัวเราะยกมือขึ้นลูบแก้มผม

“แม่คงรู้ว่าลูกชอบใคร แม่ก็เลยชอบด้วย”

หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 14 : มงกุฎดอกไม้ l 03-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 03-09-2019 16:10:13
หลังจากคำพูดนั้นผมก็ชะงัก และไม่ใช่แค่ผมที่ชะงัก คุณพยาบาลก็ชะงักไปด้วยกัน ผมมองหน้าคุณพยาบาลที่มองหน้าผมค้างอยู่ ส่วนผมก็หันไปมองหน้าพี่นัทที่ยืนยิ้มลูบแก้มผมป้อยๆ อยู่ นี่พี่ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ อะไรเลยเหรอครับ!

“อ่ะ…เอ่อ จัดดอกไม้เสร็จพอดีเลยค่ะ รินขอตัวเอาไปเก็บอุปกรณ์ก่อนนะคะ”

คุณพยาบาลรีบพูด แล้วเดินหอบดอกไม้และอุปกรณ์ออกจากห้องไป แต่ระหว่างทางที่เดินออกไปนั้นก็ยังคอยมองผมอยู่ตลอด เอ่อ...เห็นแววตาเสียใจของเธอแล้วผมรู้สึกยังไงไม่รู้แหะ

“พี่นัท ผมว่าคุณพยาบาลคนนั้นต้องแอบชอบพี่อยู่แน่ๆ เลยอ่ะ” เชื่อผมสิ ผมรู้สึกได้ ผมพูดกับพี่นัทเสียงจริงจัง

“คนมันมีเสน่ห์ช่วยไม่ได้”

เขาพูดแล้วหัวเราะ ฟังคำพูดหลงตัวเองของเขาแล้วผมก็เบ้ปากใส่พี่นัทไปทีนึงเลยครับ แต่คิดในมุมของคุณพยาบาลแล้วก็แอบสงสารเธอนิดๆ เหมือนกันนะครับ อกหักแบบกะทันหันขนาดนั้น ผมสะบัดหัวเลิกคิดเรื่องของคนอื่น และหันมาดูพี่นัทที่ยังพยายามชวนคุณแม่คุยต่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเลิกพูดและกลับไปนั่งเหม่อไปมาเหมือนเดิมแล้วก็ตาม แต่ดูพี่นัทไม่ท้อเลยที่จะชวนคุณแม่คุยและดูนั่นนี่มากมาย

“พี่นัทครับ คุณแม่ของพี่เป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเหรอครับ?”

“อืม...ก็ช่วงที่พี่อยู่ประถมนู่นแหน่ะ”

“...” ผมพยักหน้าและเดินไปนั่ง อยากรู้เรื่องของพี่นัทอีกหลายๆ เรื่อง แต่ก็ไม่รู้ว่าเรื่องไหนที่สมควรถามหรือไม่สมควรถามเลยเลือกที่จะเงียบดีกว่า จนเวลาผ่านไปซักพัก พี่นัทก็เดินมานั่งข้างๆ  วางมือโอบไหล่ผมและเริ่มพูด

“แต่พ่อของพี่บอกว่า  แม่เริ่มมีอาการเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่ตอนที่ท้องพี่แล้ว พอพี่อายุได้ขวบกว่า แม่ก็ขอหย่ากับพ่อแล้วก็ยกพี่ให้พ่อเลี้ยงไปเลย ส่วนแม่ก็กลับไปอยู่กับคุณยาย แต่พ่อก็ยังพาพี่ไปหาแม่อยู่บ่อยๆ นะ จนพี่อายุได้ซักประมาณเจ็ดขวบมั้ง คุณยายเสียชีวิตแล้วแม่ก็เริ่มเป็นหนักขึ้น จนดูแลตัวเองไม่ได้ พ่อก็เลยพาแม่มารักษาที่นี่ เพราะแม่จะได้มีคนคอยดูแล กระตุ้นและคอยคุยด้วย”

“...” ผมไม่ได้พูดอะไรกลับไป แค่พยักหน้า และนั่งเงียบๆ เอนตัวพิงกับพี่นัทฟังเขาเล่าต่อ

"โรคแบบนี้ก็น่ากลัวนะครับ อัลไซเมอร์น่ะ...ไม่ใช่โรคที่แค่ขี้หลงขี้ลืมธรรมดานะ แรกๆ ก็ลืมเล็กลืมน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลืมคนรู้จัก ลืมคนที่รัก ลืมครอบครัว พอนานวันเข้า ก็ลืมวิธีการพูด ลืมวิธีการใช้ชีวิต ลืมว่าตัวเองก็ยังมีชีวิตมีคนที่รักอยู่..."

"..." พี่นัทเงียบไป มองไปที่คุณแก้วตาด้วยสายตาที่ดูเจ็บปวด มันคงรู้สึกแย่น่าดูที่โดนแม่ตัวเองลืมแบบนี้

“หนึ่งครับ ถ้าเกิดวันหนึ่ง พี่เป็นแบบแม่ขึ้นมา หนึ่งจะทำยังไง?”

“หะ?”

“โรคนี้ก็ถือว่าเป็นกรรมพันธุ์นะครับ คุณตาก็เป็นโรคนี้ แล้วคุณแม่ก็เป็น พี่น่ะ มีโอกาสเป็นเยอะเลยนะ”

พี่นัทยกมือข้างที่โอบไหล่ผมมาบีบที่แก้มผมและลูบไปมา

ส่วนผม…ก็พยายามคิดตามพี่นัท ว่าถ้าเกิดจู่ๆ พี่นัทจำผมไม่ได้ ถ้าเกิดเขาเป็นแบบนี้ผมจะทำยังไง ผมจะดูแลพี่นัทได้เหรอ ผมคง…. ผมไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองจะทำได้รึเปล่า

“ผม…ไม่รู้ครับ” ผมตอบไม่เต็มเสียงนัก จะให้บอกไปว่าดูแลได้แน่นอนก็ไม่กล้าพูด… มันเหมือนกับว่าผมอาจจะโกหกเขา

“หึหึ อย่าซีเรียสสิครับ พี่แค่ถามเฉยๆ  พี่อาจจะมีโอกาสเป็นเหมือนแม่ แต่อาจจะไม่เป็นก็ได้...ใครจะไปรู้ใช่มั้ยครับ?”

“…” เหมือนเดิมที่ผมแค่พยักหน้า ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี

“มานี่ครับ” ผมขยับเข้าไปให้พี่นัทกอดได้สะดวก โดยยังไม่ทันตั้งตัว พี่นัทก็ก้มลงมาหอมแก้มผมฟอดใหญ่

“เห้ยพี่! จะทำอะไรครับ แม่พี่อยู่นี่นะ” ผมดันตัวพี่นัทออกแล้วต่อยท้องพี่นัทไปเบาๆ สองที หมันไส้อ่ะ แต่พี่นัทก็ยอมซะที่ไหนล่ะ ดึงผมขึ้นไปนั่งบนตักแถมมาด้วยหอมแก้มผมอีกข้างนึง “อื้อ!!”

ผมนี่ดิ้นสุดแรงเลยครับ ไม่ใช่ที่เลย ถ้าคนอื่นเข้ามาเห็นมันก็ไม่ดี แถมผมเกรงใจคุณแม่พี่นัทด้วย

“ฮ่าฮ่าฮ่า แม่พี่ก็ไม่เห็นว่าอะไรเลยนี่ครับ จุ๊บๆ นะ”

คราวนี้พี่นัทจุ๊บลงมาที่ปากเร็วๆ  พอผมทำท่าจะว่า พี่แกก็จุ๊บซ้ำลงมาอีก โอเค๊! ถ้าพี่จะทำแบบนี้ผมเงียบก็ได้ เหอะ!!

“เอ่อ...ขอโทษนะคะ แต่ว่า ได้เวลาทานยาของคุณแก้วตาแล้วค่ะ”

“ครับ เชิญตามสบายเลยครับ” พี่นัทพยักหน้าแล้วคุณพยาบาลก็เข้ามา ผมนี่กระโดดลงจากตักพี่นัทแทบไม่ทัน

“...”

“พี่ว่าเราก็มานานแล้วนะ กลับกันดีกว่า ให้คุณแม่ได้พักผ่อน” พี่นัทหันมาพูดกับผม

พี่นัมเดินเข้าไปหาคุณแม่ รอจนทานยาจนเสร็จแล้วก็บอกลากัน

“อ๊ะ! ลืมถอดดอกไม้นี่ออกเลยอ่ะ แล้วก็เดินร่อนไปทั่วเลย” ผมเดินออกมาจนเห็นเงาตัวเองที่ประตูรถ ถึงได้รู้ว่าบนหัวของตัวเองยังมีมงกุฎดอกไม้อยู่เล ผมหัวเราะ คนทั้งโรง’บาลคงคิดว่าผมสติไม่เต็มไปแล้วมั้ง ผมขึ้นนั่งประจำที่เรียบร้อย คาดเข็มขัด แล้วก็กำลังจะถอดดอกไม้บนหัวออก แต่พี่นัทก็ยืดตัวเขามาจุ๊บแก้มผมไปอีกที

“พี่นัท พอได้แล้วครับ แก้มผมอ่ะมีแต่คราบน้ำลายพี่ล่ะ” ผมบอกอย่างเอือมๆ  แล้วก็ถูแก้มตัวเองไปมา

“แฟนใครก็ไม่รู้น่ารักจัง~”

ผมหันไปมองแล้วทำตาโตใส่พี่นัท พี่ชอบแฟนที่มีคราบน้ำลายติดแก้มเหรอ? จนผมเลิกเช็ดแล้วพี่นัทก็ยังไม่ออกรถซักที ผมก็คาดเข็มขัดเรียบร้อยดีแล้วนี่

“พี่นัทครับ...”

“หนึ่งชอบความตื่นเต้นมั้ยครับ?” ผมกำลังจะถามว่าทำไมไม่ออกรถ พี่นัทก็หันมาถามซะก่อน

“หะ?” ตื่นเต้นอะไรอ่ะ งงครับ

“อยากทำอะไรตื่นเต้นๆ กันมะ?”

“หะ?  เห้ยๆ ” พี่นัทปลอดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วก็เอี้ยวมาหาผม พร้อมกับเอื้อมมือมาปรับเบาะให้เอนราบลงไป ผมแทบจะตะโกนเต็มเสียงตอนที่ พี่นัทก้มลงมาหาผมอย่างรวดเร็ว “พี่จะทำอะไรครับ?”

“ประสบการณ์ใหม่ไงครับ” ว่าจบพี่นัทก็ก้มลงมาจูบที่ซอกคอผม

ประสบการณ์อาไร๊! ไม่เอ๊า!

“พี่นัท!! นี่มันบนรถนะ ถ้าคนอื่นรู้จะทำไง อื้อ!”  เอายกขาและมือขึ้นมาดันพี่นัทออก แต่พี่แกก็ง้างแขนผมออกอย่างง่ายดาย แรงควายมาก!

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รถพี่ติดฟิล์มดำ ข้างนอกมองไม่เห็นแน่นอน มาลองทำบนรถดูนะครับ”

ยังไงก็ไม่อยู่ดี ผมพยายามดิ้นแต่พี่นัทยึดแขนทั้งสองข้างผมไว้แล้วก็ถกเสื้อผมขึ้นมาจนถึงหน้าอก

“อย่า พี่นัทหยุดก่อน ผมไม่อยากทำบนนี้ อื้อ ฮึก” พี่นัทก้มลงมาเลียตามยอดอกของผม ส่วนอีกมือที่ว่างก็ลูบลงไปที่หว่างขา ผมบีบขาแน่นไม่ยอมให้พี่นัทล่วงเข้าไปลึกกว่านี้แน่ๆ  แต่พี่นัทก็เปลี่ยนมาจับเข้าที่เป้าของผมเต็มๆ มือเลย

“ไม่ต้องกลัวครับ”

“พี่นัท ฮึก ถ้าพี่ไม่หยุด ผมจะร้องแล้วนะ ฮึก ฮือ” ร้องไปแล้วด้วย ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าจะร้องทำไมกับเรื่องแค่นี้ รู้แค่ว่าไม่อยากทำบนรถแบบนี้แล้วพี่นัทไม่ยอมหยุด เขาไม่ฟังผมเลยแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นคนขี้แงแบบนี้ซักหน่อย

“ตองหนึ่งครับ ร้องไห้ทำไม?” พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองผม แต่หลังจากนั้นก็ก้มลงมาคลอเคลียบริเวณแก้มและซอกคอผม และดูดแรงๆ

“ฮือฮึก ก็พี่ ฮือ...พี่อ่ะ” พี่ไม่ยอมหยุดอ่ะ ผมไม่อยากทำอ่ะ

“โอ๋ๆๆ  พี่ขอโทษนะครับ พี่แค่แกล้งเฉยๆ พี่ไม่ทำแล้วครับ หยุดร้องนะ ตองหนึ่งหยุดร้องไห้นะครับ” พี่นัทปล่อยมือผมออก ดึงเสื้อลง จัดเสื้อผมและเช็ดน้ำตาให้ผม จากนั้นก็ดึงเบาะขึ้น

“แกล้งอะไรของพี่อ่ะ นิสัย…”

“ไหนดูหน้าคนขี้แงหน่อย หยุดร้องไห้ยัง” พี่นัทบีบจมูกผมไปมา

“...” ผมแค่นั่งนิ่งให้ให้พี่นัททำตามใจ

“ตัวเล็ก...งอนพี่เหรอครับ พี่ไม่ได้จะทำจริงๆ ซักหน่อย ถ้าหนึ่งไม่ยอมพี่ไม่ทำหรอกครับ พี่ขอโทษนะครับ อย่างอนพี่นะ ดีกันนะๆ” พอผมเงียบเข้าหน่อยพี่นัทก็ร่ายยาว ดึงตัวผมไปกอดแล้วโยกไปโยกมาเหมือนโอ๋เด็ก จากนั้นก็ส่งนิ้วก้อยมากระดิก ดิ๊กๆ ตรงหน้าผม แถมด้วยทำหน้าทำตาแบบเว้าวอนสุดๆ  มีการทำตาวิ๊งใส่อีก

“ผมไม่ได้งอนพี่ซักหน่อย”

“ไม่งอนแล้วร้องไห้ทำไมครับ?”

“...” ผมเงียบ ก็ไม่รู้จะตอบไงนี่ ผมไม่ได้งอนนะ แค่น้ำตามาไหลออกมาเอง

“อ่ะๆ  ถ้าน้องหนึ่งไม่งอนงั้นมาเกี่ยวก้อยกันหน่อย”  พี่นัทยังคงกระดิกนิ้วอยู่เหมือนเดิม จนผมต้องยกมือขึ้นมาเกี่ยวก้อยกับพี่นัท เออะ ทำอะไรเป็นเด็กไปได้

“พี่ขอโทษนะครับ”

“...”

“ตัวเล็กค๊าบบ คุยกับพี่หน่อยสิ” พี่นัทซบหน้าลงกับพวงมาลัย แล้วก็หันหน้ามาคุยกับผม

“...”

“อย่าเงียบไปแบบนี้สิครับ พี่ใจคอไม่ดีเลย” พี่นัทเริ่มโขกหัวกับพวงมาลัยรถแล้วก็ทำหน้าหงอยใส่ ผมไม่ได้งอนพี่นัทจริงๆ นะครับ แค่แบบ...เห็นหน้าสำนึกผิดแบบนั้นแล้วอยากแกล้งคืนนิดหน่อย

“...”

“ไหนบอกไม่งอนพี่ไงครับ แถมเมื่อกี้เราเกี่ยวก้อยคืนดีกันแล้วด้วย ทำไมยังไม่คุยกับพี่อีกล่ะ พี่ใจจะขาดแล้วนะ”

“...” ขี้ตู่ ใจจะขาดอะไรเดี๋ยววันหลังก็แกล้งผมอีก ในเมื่อโอกาสก็ขอเอาคืนนิดนึง

“พี่ขอโทษครับ วันหลังพี่จะไม่ทำแบบนี้แล้ว ถ้าหนึ่งไม่ยอม พี่จะไม่ทำเด็ดขาดเลย พี่สัญญา”

“...” ไม่เชื่อ พอเวลานั่นพี่ก็ทำอีก พี่นัทขี้จุ๊ กะล่อน

“คุยกันนะครับ ดีกันๆ  ดีกันนะ” พี่นัทยื่นมาจิ้มแก้มผม น่าสงสารจังเล้ย เหมือนหมาหงอยเลย

“...”

“โธ่ ถ้าหนึ่งยังไม่ยอมคืนดี จะกลายเป็นพี่นี่แหละที่จะร้องไห้แทนหนึ่งแล้ว”

พี่นัทกอดพวงมาลัยแล้วก็ซบหน้าลงไปบ่นอู้อี้ๆ ดูเขาพูดเข้าสิ ผมแค่แกล้งนิดหน่อยเอง เหมือนที่พี่แกล้งผมไง แต่ชักน่าสงสารแล้วอ่ะ พอแล้วดีกว่า

“ผมไม่ได้งอนพี่ซักหน่อย แต่คราวหลังพี่อย่าทำแบบนี้นะครับ ผมไม่อยากถูกพี่บังคับให้ทำบนรถแบบนี้อ่ะ”

“ครับๆ  ไม่ทำแล้วครับ พี่ขอโทษ” พี่นัทหันมาพูดทำหน้าจริงจัง...แบบจริงจังเกินไป

เวลาผ่านไปชั่วครู่นึง ผมพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้บางๆ  พี่นัทยิ้มกว้าง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แล้วก็หันกลับไปเตรียมตัวออกรถ

“น้องหนึ่งอย่าเงียบไม่คุยกับพี่แบบเมื่อกี้อีกนะ พี่เสียใจมากเลย แล้วพี่สัญญาเลยว่าต่อจากนี้ ตอนที่อยู่บนรถ พี่จะไม่ทำอะไรหนึ่งเด็ดขาดเลยครับ”

พี่นัทชูสามนิ้วขึ้นมาทำท่าเหมือนลูกเสืออย่างจริงจัง....จริงจังแบบนี้มันก็เกินไป ผมไม่ได้ต้องการแบบนี้ซักหน่อย พี่นัทนี่ไม่เข้าใจผมเลย ต้องให้พูดอีก

“ไม่ต้องจริงจังถึงขนาดนี้ก็ได้ครับ”

“.......”

“แค่อย่าบังคับผมก็พอ แค่แบบ...ถ้าผมเต็มใจ พี่ก็ทำได้..”  ผมก้มหน้าม้วนชายเสื้อตัวเล่น ท้ายประโยคผมพูดเสียงเบาๆ

“หนึ่งหมายความว่า...”


“ว่าถ้าผมเต็มใจ...ที่ไหนก็ทำได้...”



หรืออีกความหมายก็คือ...
ถ้าตองหนึ่งเต็มใจ พี่นัทจะทำอะไรตองหนึ่งที่ไหนก็ได้จ้า ฮิ้ว~
มีความฝึกอ้อยนะตองหนึ่ง ไม่ธรรมดาๆ

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie


 *** ข้อชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องโรคอัลไซเมอร์หน่อยนะคะ ระยะแรกของโรคนนี้ก็จะมีอาการขี้หลงขี้ลืมนิดหน่อยเหมือนที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แต่พอเข้าระยะที่สองและสามก็จะหนักขึ้น การหลงลืมจะไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง สุขภาพทรุดโทรมลงคล้ายผู้ป่วยติดเตียง รับประทานได้น้อยลง การเคลื่อนไหวน้อยลงหรือไม่เคลื่อนไหวเลย ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ สมองเสื่อมเป็นวงกว้าง คือลืมวิธีการใช้ชีวิตไปเลย ไม่พูดจา เหมือนที่คุณแม่พี่นัทเป็นเลยค่ะ
เราอิงอาการมาจากภาพยนตร์เรื่อง still alice ค่ะ (เป็นหนังที่ดีมาก เราแนะนำให้ดูเลย) ***
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 14 : มงกุฎดอกไม้ l 03-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-09-2019 02:40:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 15 : โอ้~ที่รัก l 06-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 06-09-2019 16:19:02
15 : โอ้~ที่รัก


“ที่รักครับ เอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะสามให้พี่หน่อยครับ”

“พี่นัท!”

“ว่าไงครับ ที่รัก”

ผมที่กำลังเช็ดโต๊ะอยู่ใกล้ๆ ก็รีบเดินหน้าตึงเข้าไปหาเขา คนอีกฝ่ายก็ดูจะไม่เกรงกลัวอะไรเลย กลับยิ้มแป้นแล้น ทำหน้าทะเล้นใส่อีก

“พี่อย่าเรียกผมแบบนั้นตอนที่ลูกค้าอยู่ได้มั้ยครับ” ผมคว้าแก้วจากมือพี่นัทมาแล้วนำไปเสิร์ฟ จากนั้นก็เดินหน้าตึงกลับมาหาเขาอีกครั้ง

“ทำไมล่ะครับ ที่รักก็บอกว่าเรียกแบบนี้น่ารักดีไม่ใช่เหรอ?”

ตั้งแต่ตื่นนอนพี่นัทเอาแต่เรียกผมว่า ที่รักๆ  ตลอด ต้นเหตุมาจากเมื่อคืนตอนที่ดูหนังกัน ผมดันพูดออกมาว่า คู่รักที่เรียกชื่ออื่นแทนกันแบบนี้น่ารักมากเลย แต่นั่นผมหมายถึงคู่อื่นๆ ไง พอมาโดนเรียกเองแบบนี้แถมต่อหน้าลูกค้าอีก มันน่าอาย คนอื่นๆ มองมาจนผมไม่กล้าเดินไปเสิร์ฟแล้ว

“...ถ้าพี่เรียกผมแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นอีกนะ คืนนี้ผมจะกลับไปนอนห้องตัวเอง” ผมเข่นเขี้ยวเขี้ยวฟันพูดออกไป

“โธ่~ที่รักอ่า ถ้าที่รักไม่ชอบคำนี้...งั้นให้พี่ลองเรียก ฮันนี่ ดีมั้ยครับ คำนี้ก็น่ารักนะ หวานๆ ”

“คืนนี้ผมจะกลับห้อง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง แล้วก็หันหลังจะเดินออกมาไม่ให้พี่เขาท้วงหรือกวนอะไรได้อีก แต่พี่นัทซะอย่าง มือยาวหยั่งกับแม่นาค ยืดตัวข้ามเคาน์เตอร์มาคว้าแขนผมเอาไว้

“เดี๋ยวสิครับ พี่แค่ล้อเล่นเอง นอนนี่ด้วยกันแหละดีแล้วจะได้ไม่ต้องเดินไปมาไงครับ”

“ถ้าคราวหลังพี่เรียกผมแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นอีก ผมจะกลับห้องจริงๆ ด้วย”

“ครับๆ   เอาเก็บไว้เรียกกันบนเตียงสองคนเนอะ”

“พี่!!” ผมถลึงตาใส่พี่นัท  ไม่มีสำนึกเลยจริงๆ

“โธ่ เมื่อก่อนยังเป็นแค่แมวน้อยน่ารัก เชื่องๆ อยู่เลย ทำไมตอนนี้กลายเป็นแมวดุ ขู่ฟ่อๆ  ตลอดเวลาแบบนี้ไปได้น๊า สงสัยต้องจับฉีดยาซะบ้างแล้ว หึหึ”

พี่นัทหันหลังไปบ่นพึมพำอยู่คนเดียวแต่ผมได้ยินนะ แมวน้อยอะไรหล่ะ พี่นัทเพ้อเจ้อ ผมก็เป็นของผมแบบนี้แหละ ก็แค่สนิทกับเขามากขึ้น มันก็เลยกล้ามากขึ้นแค่นั้นเอง

ผมยืนง้องแง้งอยู่กับพี่นัทซักพักหนึ่งก็มีลูกค้านักศึกษาชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ผมจึงหลบทางให้ลูกค้าเดินเข้ามาสั่งขนมและเครื่องดื่ม ส่วนผมก็กลับไปเช็ดโต๊ะต่อจนลูกค้าคนนั้นเดินมานั้งโต๊ะที่ผมเช็ดอยู่

“เชิญนั่งเลยครับ” ผมกล้าวอย่างยิ้มแย้ม จากนั้นผมก็เข้าไปช่วยพี่นัทหยิบขนมเค้ก จัดใส่จานและนำไปเสิร์ฟให้ตามปกติ แต่จู่ๆ ก็ลูกค้าชายคนนั้นยื่นมือมาจับข้อมือของผมที่กำลังวางเค้กจานสุดท้ายลง ผมเงยหน้ามองเขาอย่างตกใจซึ่งตอนนี้เขาก็มองอยู่เหมือนกัน ผมพยายามที่จะดึงมือกลับแต่เขาก็จับข้อมือผมแน่นมากและดึงมือผมให้นำจานเค้กไปวางตรงหน้าเขาพอดี

โดยปกติแล้ว ผมจะเสิร์ฟแบบวางจานได้ด้านหน้าตัวเองก่อนแล้วค่อยเลื่อนไปให้ลูกค้าที่นั่งด้านใน พอโดนลูกค้าทำแบบนี้ผมก็เลยรู้สึกตกใจขึ้นมา

“อะ เอ่อ รอเครื่องดื่มซักครู่นะครับ” คนที่จับมือผมยิ้มและพยักหน้าให้ ผมนี่รีบเดินกลับมาหาพี่นัทเลยครับ รู้สึกแปลกๆ กับลูกค้าคนนั้นยังไงก็ไม่รู้ ดูสายตาที่เขามองมาสิครับ...ผมไม่ชอบเลย

“พี่นัทครับ...”

“ครับ ว่าไง”

ผมคิดว่าจะบอกพี่นัทแต่ก็ลังเลที่จะพูดออกไป...เรื่องมันดูหยุมหยิม ก็แค่จับมือเอง เขาไม่ได้จะลวนลามอะไรมากไปกว่านนั้นเสียหน่อย คงไม่มีอะไรหรอก...ผมก็ผู้ชาย เขาจะมาลวนลามอะไรผมได้มาก

“ไม่มีอะไรครับ แค่อยากเรียกชื่อเฉยๆ ”

“หืม? เหรอครับ...แต่ถ้าเรียกชื่อไม่ถนัด เรียกที่รักก็ได้นะ~”

“เห้อ! พี่นี่นะ” ผมถอนหายใจและกลอกตาไปมา  พี่นัทหัวเราะแล้ววางเครื่องดื่มสองแก้วลงบนเคาน์เตอร์

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ เอานี่ไปเสิร์ฟโต๊ะเดิมนะ” พูดเสร็จเขาก็หันไปทำเครื่องดื่มต่อ

ผมยกเครื่องดื่มสองแก้วนั้นเดินไปที่โต๊ะ ผมหลุบตาลงเมื่อบังเอิญสบสายตากับผู้ชายคนที่จับมือผมและเขามองตามผมตั้งแต่เคาน์เตอร์จนมาถึงโต๊ะเลย

“เครื่องดื่มครับ เอ่อ...ได้ของออเดอร์ครบแล้วนะครับ”

เขาจ้องมองมาจนผมรู้สึกเกร็ง สายตาของเขาทำให้ผมไม่สบายใจจึงรีบวางแก้วลงบนโต๊ะหวังจะรีบเดินออกมาเร็วๆ  แต่พอผมหันหลังไปไม่เท่าไรผมก็รู้สึกว่าสะโพกของผมโดนจับอยู่

“!!” ผมปัดมือนั้นออกและหมุนตัวกลับไปมองอย่างตกใจ แล้วก็เจอผู้ชายคนเดิมที่จับมือและจ้องผมยกมือค้างไว้จากแรงสะบัดของผมเมื่อกี้ แต่เขาดูไม่รู้สึกผิดเลยกลับนั่งยิ้มและยังจ้องมาที่ผมเหมือนเดิม

“...”

“ค..คุณลูกค้าจะทำอะไรเหรอครับ”

“อืม...ห้องน้ำอยู่ตรงไหนเหรอ?” เขาถาม ซึ่งป้ายบอกทางไปห้องน้ำก็คิดอยู่แค่ตรงนี้เอง หันหน้าไปมองก็น่าจะเห็นแล้ว แต่โอเค...เขาอาจจะไม่เห็นจริงๆ ก็ได้

“อยู่ทางนั้นครับ เดินตรงไปก็เจอเลยและห้องน้ำอยู่ทางขวามือนะ...ครับ”

ผมพูดไม่ทันจบลูกค้าคนเดิมก็ลุกขึ้นอย่างรวดเร็วจนผมที่ค้อมตัวลงเพื่อบอกทางอยู่ถึงกับผงะและเดินถอยหลังออกมา เพราะตอนที่เขาหันมาแล้วลุกขึ้นนั้นทำให้ใบหน้าของผมและเขาเฉียดกันไปนิดเดียวเอง

“รบกวนนายช่วยพาเราไปหน่อยสิ”

“เอ่อ...ห้องน้ำอยู่แค่ตรงนั้นเองครับ ไม่หลงหรอก”

“เราเจ็บข้อเท้าอยู่อ่ะ เดินไม่ถนัดกลัวจะล้มระหว่างทาง นายช่วยพาเราไปหน่อยนะ”

ผมก็ก้มลงมามองขาของลูกค้าที่ตอนนี้เขายกขึ้นมาน้อยๆ อยู่ข้างหนึ่ง แล้วหันไปมองพี่นัทกะว่าจะให้เขาช่วยหน่อย แต่ตอนนี้พี่เขากำลังทำเครื่องดื่มสลับกับรับออเดอร์อย่างหัวหมุนจนผมไม่กล้าเรียก แต่พอหันกลับมามองคุณลูกค้าที่ตอนนี้ยืนยิ้มอยู่ ยิ้มที่ดูไม่น่าไว้ใจยังไงไม่รู้

“ช่วยลูกค้าแค่นี้คงไม่ลำบากอะไรมากนักหรอก”

“ก...ก็ได้ครับ”

ผมตอบเสียงเบา ห้องก็อยู่แค่นี้ คนก็เต็มร้านเขาคงทำอะไรผมไม่ได้หรอก พอผมพยักหน้าเขาก็โอบเข้าที่ไหล่พร้อมโถมตัวเข้าใส่จนผมรับแทบไม่ทัน เขาตัวใหญ่เกือบเท่าพี่นัท และตัวหนักมาก ผมจึงต้องจับแขนและโอบหลังเขาไว้แล้วตั้งหลักดีๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ทั้งผมและเขาล้มไปด้วยกันทั้งคู่

“ขอโทษนะครับ ผมเจ็บขามากเลย” เขาพูดแล้วขยับมือลงไปที่เอว ผมขนลูกไปหมดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ตาก็มองไปที่ขาของเขาอย่างสงสัย ตอนเดินเข้าร้านมาก็ดูปกติรึเปล่านะ ไม่แน่ใจเลยเพระาผมไม่ได้สังเกตุอะไรขนาดนั้น

“ถึงแล้วครับ...” พอถึงห้องน้ำปุ๊บผมก็ปล่อยเขาทันที แต่พอผมเผลอเขาก็เปิดประตูห้องน้ำและดันตัวผมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนผมยังตกใจ

เดี่ยวนะ! ไหนบอกเจ็บขาอยู่

ผมจะผลักเขาออก แต่อีกฝ่ายก็ใช้ตัวใหญ่ของเขานนั้นดันผมให้ติดกับกำแพงห้องน้ำก่อนจะโน้มหน้าลงมาใกล้จนผมต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เขาหัวเราะออกมาแล้วก็กดปลายจมูกลงบนแก้ม

“คุณลูกค้าจะทำอะ...อุ๊บ!”

ผมตะโกนออกไปด้วยความตกใจแล้วก็โนมือใหญ่ของผมตีเข้าที่ปากพร้อมกับปิดแน่นทำให้ผมไม่สามารถส่งเสียงได้ และตอนนี้ใบหน้าของผมและเขาอยู่ใกล้กันมากๆ ปลายจมูกเราเฉียดกันไปมา ดีที่มีมือเขากั้นปากเราอเอาไว้ ไม่เช่นนนั้นผมคงโดนเขาจูบไปแล้ว

“อื้อ!”

“อย่าดิ้นสิ เดี๋ยวคนอื่นก็รู้หรอก” มันพูดและยกมืออีกข้างนึงขึ้นลูบแก้มผม ขาของมันสอดเข้ามาตรงกลางหว่างขา จงใจให้โดนส่วนนั้นจนผมสั่นเพราะความกลัวตีขึ้นมา

“...อือ อือ” ผมส่ายหน้า พยายามจะส่งเสียง พยายามจะดิ้นก็เพื่อให้คนอื่นรู้ว่าในห้องน้ำนี้มีสิ่งผิดปกติ แต่ผมก็หลับตาลงหยุดดื้นเมื่อโดนเขาออกแรงบีบปากบีบคาง พอมันเห็นว่าผมไม่ได้ขัดแขน แรงบีบก็คลายลงเล็กน้อยพอให้ผมหายใจออก

“เดี๋ยวจะปล่อยมือออกแต่นายห้ามร้องนะ ถ้าคราวนี้นายร้อง...เราจะจูบปิดปากนายเลยนะ”

“!!” ไอ้บ้า ไอ้โรคจิตนี่

ผมถลึงตาใส่ แต่ก็ยอมอยู่เงียบๆ เขาจึงเอามืออกจากปากผมช้าๆ ยืนรอดูท่าทีว่าผมจะตะโกนมั้ย เรื่องอะไรจะตะโกนเสียงดังอ่ะ ถ้ามันเกิดมันเอาจริง จูบปิดปากผมขึ้นมาทำไงล่ะ ผมไม่อยากเสี่ยงขนาดนั้น

“ฮืม~ น่ารักจังเลยน๊า ผิวก็นุ่มมากๆ เลย น่ากอดไปทั้งตัวจริงๆ ”

มันพูดพลางไล้มือไปตามแก้ม สันกรามและตอนนี้ลงมาที่ลำคอของผมแล้ว แถมสายตาที่มองมาก็เหมือนจะกินผมเข้าไปทั้งตัว ผมเม้มปากพยายามขยับตัวหนีและหาช่องทางให้ตัวเองออกไปจากสถานการณ์ให้ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่จะช่วยผมได้เลย สิ่งเดียวที่ผมคิดถึงในตอนนี้คือ...พี่นัท

พี่นัท พี่รีบๆ สังเกตุว่าผมหายไปแล้วมาช่วยผมหน่อย ฮึก

“ค...คุณลูกค้าจะทำอะไรเหรอครับ?”

ผมพยายามพูดเสียงเบาๆ  ขยับปากน้อยๆ ไม่กล้าขยับตัวเยอะ กลัวว่าจะสัมผัสกันไปมากกว่านี้ กลัวว่าหากพูดอะไรออกไปให้เขาไม่พอใจแล้วตัวผมจะเดือดร้อนไปมากกว่านี้

“เราชอบนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเลยนะ แล้วเรามาร้านนี้บ่อยมาก แทบทุกวันเลย นายจำเราไม่ได้เหรอ?”

ผมส่ายหน้า ลูกค้าเข้าร้านเป็นร้อย แถมนักศึกษาใส่ชุดแบบนี้กนมาเกือยทุกคน ใครจะไปจำได้ เขาเองก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นจนผมจำได้เลย

“โถ เสียใจจังเลย...นายทำเราผิดมากจริงๆ”

“...” ผมเม้มปาก มองเขาอย่างไม่ไว้ใจ ทั้งที่บอกว่าผิดหวังแต่ก็ยังยิ้มอยู่ตลอดเวลา แถมมือไม้เขาก็อยู่ไม่สุข ลูบแก้มผมอยู่ตลอด เขาเหมือนคนที่ประสาทไม่ปกติเลย

“เรามองนายทุกครั้งที่มาเลยนะ ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ แล้วเราสังเกตุว่าช่วงหลังมานี้นายน่ารักขึ้นมาก มากจนเราอดใจไม่ไหวอยากทำความรู้จักสุดๆ ไปเลย”

“ผมไม่น่ารักหรอกครับ” ผมพูดเสียงสั่นและลองพยายามดันตัวเขาออกอีกที แต่ก็เหมือนเขาใช้ตัวเองกดตัวผมไว้  อยากจะตะโกนเรียกพี่นัทแต่ผมไม่กล้า กลัวเขาทำอะไรไปมากกว่านี้

เมื่อไรพี่นัทจะมา ผมจะแย่แล้ว ผมกลัว พี่นัทช่วยมาเร็วๆ หน่อย ช่วยรู้หน่อยว่าผมหายไป ฮึก

ผมคร่ำครวญในใจหาพี่นัท ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมากๆ เลย แค่ดันตัวเขาออกยังทำไม่ได้ ผมนึกถึงแต่พี่นัท อยากให้เขามาช่วย ถ้าเป็นแต่ก่อนผมอาจจะไม่กลัวเท่านี้ แต่ในตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่าผู้ชายกับผู้ชายด้วยกัน มันทำอะไรได้หลายอย่างมากกว่าที่ผมคิด และตอนนี้ผมกลัว ขยะแขยงจนอยากจะร้องไห้แล้ว

“เราอยากรู้จักนายมากกว่านี้ ขอเบอร์นายได้มั้ย ไอดีหรืออะไรก็ได้? เรามารู้จักกันให้มากขึ้นนะ”

เขาพูดและขยับหน้าเข้ามาใกล้ มือก็ลูบอยู่ที่แขนผมและค่อยๆ ล้วงแขนเสื้อขึ้นมาที่ต้นแขน

“ผ..ผมจำเบอร์และไอดีของตัวเองไม่ได้ แล้วตอนนี้เวลางาน ผมไม่พกโทรศัพท์ติดตัวด้วย ขอออกไปเอาก่อนได้มั้ยครับ” ผมพยายามหาทางออกไปจากห้องน้ำแคบๆ นี้ แต่เขามองมาเหมือนไม่เชื่อเลย

...ผมควรทำไงดี ผมควรทำยังไง ผมควรทำยังไง

“ไม่ได้พกติดตัวไว้จริงๆ เหรอ งั้นขอพิสูจน์หน่อยน้า...”

พูดเสร็จเขาก็จับเข้าที่บริเวณอกเสื้อผมทันที ซึ่งตอนนี้ผมคิดว่าเขาจงใจจับหน้าอกผมมากกว่า เขาขยับมือไปมาแล้วปลายนิ้วก็บีบลงบนยอดอก ผมสะดุ้งรีบปัดมือเขาทิ้งทันที

“อ่ะ…เอ่อๆ ” ผมตกใจจนผลักเขาออก เขาถอยไปยืนจ้องหน้าผมและยิ้มกว้างขึ้น ซึ่งโคตรไม่น่าไว้ใจ

“กระเป๋าเสื้อไม่มีจริงๆด้วย งั้นต่อไปก็...กางเกง”

แล้วเขาก็เข้ามาหาผมอย่างรวดเร็ว ผมตั้งใจจะหลบแต่เขาเร็วกว่า เขาถึงตัวผมและจับไปที่กระเป๋ากางเกงด้านหลังพร้อมกับขยำก้นผมไปด้วย ผมผลักเขาออกได้ แต่เขาเองก็ไม่ยอมแพ้ พุ่งกลับเข้ามาและจับที่หน้าผมพร้อมก้มลงมาอย่างรวดเร็ว

ริมฝีปากของเขาทาบทับลงมา ผมที่สติแตกข่วนไปที่ใบหน้าของเขา พออีกฝ่ายผละออกผมก็รีบยกเท้าขึ้นมาดันไปที่กลางตัวของเขาแล้วถีบออกไป จังหวะเดียวกันกับที่ประตูห้องน้ำถูกเปิดเข้ามาอย่างแรงจนกระแทกกับลูกค้า

“พี่นัท...ฮือ” ผมเรียกชื่อของคนที่เข้ามาใหม่ แค่เห็นหน้าเขาน้ำตาผมมันก็ทะลักออกมาทันที

พี่นัทดึงตัวผมออกมาจากห้องน้ำและดันไปไว้ด้านหลัง จากนั้นก็จ้องเขม็งผ่านแว่นไปที่ลูกค้าที่ตอนนี้ล้มลงไปกองกับพื้นห้องน้ำ

“ทำอะไรกันเหรอครับ?” พี่นัทถามเหมือนปกติ แต่น้ำเสียงและสายตาที่ส่งไปนั้น น่ากลัวมาก ขนาดผมหลบอยู่ข้างหลังยังสัมผัสได้ว่าเขาโกรธแค่ไหน

ชายโรคจิตคนนั้นค่อยลุกขึ้นยืนมาและจ้องที่พี่นัทเช่นกัน ทำท่าแบบนั้นหมายความว่าไง อย่าต่อยกันนะ ไม่เอา อย่าต่อยกัน ถึงอีกฝ่ายเป็นโรคจิตแต่หากพี่นัทต่อยก่อนก็จะกลายเป็นเราที่ผิดได้ เดี๋ยวเรื่องใหญ่ ฮือ ผมสะอึกสะอื้นอยู่ด้านหลังพี่นัท มือก็ขยำเสื้อพี่นัทจนยับไปหมดแล้ว

“ก็ผมชอบเขา อยากรู้จักเขามากกว่านี้ แล้วข้างนอกมันเสียงดังเลยพามาคุยกันตรงนี้”

“ผมต้องขอโทษคุณลูกค้าด้วยนะครับ ผมคงให้คุณรู้จักเขามากไปกว่านี้ไม่ได้”

“ทำไมอ่ะ ร้านนี้เขาห้ามพนักงานมีแฟนเหรอ?”

“ที่ร้านเราไม่ได้มีกฎอะไรแบบนั้นหรอกครับ” พี่นัทถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ และพูดเสียงเรียบกลับไป

“ถ้างั้นเขาก็มีแฟนได้ และผมก็จีบเขาได้เหมือนกัน คุณไม่มีสิทธิ...”

อีกฝ่ายพูดไม่จบประโยคพี่นัทก็หันมาคว้าผมเข้าไปในอ้อมกอดและก้มลงมาจูบอย่างรวดเร็ว

“พี่นัท อื้อ...อือ อืม”

ผมที่จากร้องไห้อยู่ น้ำตานี่แห้งไปเลยครับ ตกใจอ่า จะจูบโชว์โรคจิตก็บอกกันก่อนสิ นี่จู่ๆ มาคว้าไปแบบนี้ ผมตกใจนะพี่นัท

ตอนแรกผมก็ตกใจแต่รู้สึกได้ว่ามืออุ่นลูบเบาๆ อยู่ที่ช่วงเอวคล้ายจะปลอบให้ใจผมเย็นลง และพอเหลือบมองหน้าช๊อกๆ ของไอ้ลูกค้านั่นแล้วมันก็สะใจดี ผมเลยโอบแขนรอบคอพี่นัทและจูบตอบอย่างถึงพริกถึงขิงจนเสียงจูบเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินตลอดๆ

พี่นัทจูบผมนานพอสมควรจนในที่สุดเขาก็ปล่อยผมออกและก็หันไปยิ้มให้ลูกค้าที่ยืนตาค้างอยู่ท่าเดิม

“คุณมีสิทธิที่จะจีบใครก็ได้ครับคุณลูกค้า…แต่คุณไม่ควรไปจีบแฟนคนอื่น”

“...”

“และนี่..” พี่นัทมองมาทางผมและหันกลับหาลูกค้าที่ยังยืนนิ่งอยู่

“...”

“แฟนผม ผมหวงมากครับ”

จุ๊บ!

พี่นัทพูดเสร็จก็ก้มลงมาจูบผมแรงอีกรอบนึง จากนั้นก็โอบเอวผมเดินไปหน้าร้านและเปลี่ยนจากโอบเป็นลากผมเข้าไปที่หลังเคาน์เตอร์ หลังจากจัดการกับลูกค้าโรคจิตเรียบร้อยแล้วก็ถึงคิวผม พี่นัทหันหลังกลับมาบีบแก้มผมแรงๆ ผมเจ็บแต่ผมไม่กล้าร้อง เพราะพี่นัทก็ทำตาดุใส่ผมด้วยอ่ะ

“เรานี่นะ มันน่าจับตีซักที เข้าไปกับเขาได้ยังไง!”

“ก็เขาขาเจ็บ แล้วผมไม่รู้ว่าเขาจะทำแบบนั้น” ผมแก้ตัวเสียงอ่อน เหลือบตามองเขาแล้วก็หลุบตาลง ได้แต่เว้าวอนในใจ ขออย่าให้เขาทำตาดุแบบนั้น นี่ผมยังตกใจอยู่เลย ผมอยากให้เขาโอ๋ไม่ใช่มาดุซ้ำ ผมแฟนเขานะ เจอเรื่องแบบนี้มา พี่ต้องกอดและปลอบหน่อยสิ นี่อะไร มาดูกันอีก...ใจร้าย

“คืนนี้ต้องเคลียร์!”

“ง่า~ ผมผิดอะไร” ผมร้องครวญออกไป อะไรอ่ะ เคลียร์อะไร ผมไม่ผิดซักหน่อย ผมก็แค่อยู่ของผมเฉยๆ  แล้วเขาก็มาหลอกผมไปอ่ะ ผมผิดอะไรอ่ะพี่นัท ผมผิดอะไรอ่า

ผมโอดครวญในใจ ถึงจะรู้ว่าเรื่องเมื่อกี้ไม่ใช่ความผิดผม แต่มันก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ความจริงถ้าผมบอกพี่นัทตั้งแต่ตอนแรก ผมคงไม่โดนแบบนี้ แต่ใครมันจะไปรู้ว่าโดนแบบนั้น ไม่ใช่ความผิดผมเลยซักนิด ความผิดไอ้โรคจิตนั้นคนเดียว หึ่ม

ไม่นานหลังจากนั้น ไอ้ลูกค้าคนนั้นก็เดินออกมา ผมเห็นพี่นัทจ้องเขม็งแว่นแทบแตกไปที่มัน ผมก็เลยทำหน้าบึ้งตาดุใส่มันบ้าง แบบว่ากลัวพี่นัทจะเหนื่อยคนเดียว เลยช่วยพี่นัทด่ามันทางสายตาด้วยไง ผมจ้องชนิดที่ว่าไม่วางตาเลยทีเดียว เผื่อโทษคืนนี้ของผมจะลดลงบ้างไรงี้ ประจบสุดๆ อ่ะ

จ้องได้ไม่นานเขาก็รีบออกจากร้านไป ก็โดนกดดันขนาดนี้ใครจะไปอยู่ไหว นี่แค่กดดันทางสายตานะ ยังไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรเลย พวกอ่อนเอ๊ย! ผมนี่เก่งจริงๆ  พอมีพี่นัทอยู่ด้วยนี่ล่ะเก่งจริงจริ๊ง ก่อนหน้านี้ยังกลัวจนร้องไห้อยู่เลย

ผมถือถาดถือผ้าเตรียมไปเก็บโต๊ะที่พวกนั้นเพิ่งลุกออกไปแต่พี่นัท ดึงแขนผมไว้ก่อน

“หนึ่งไม่ต้อง เดี๋ยวพี่ไปเก็บเอง” แล้วพี่นัทก็แย่งผ้ากับถาดไปจากมือผม “เผื่อมันวางอะไรไว้ที่โต๊ะ คนพวกนี้อย่าไปไว้ใจมัน”



แรกๆ ผมก็ขำนะครับที่เห็นท่าทางระแวงของพี่นัท แต่ตลอดช่วงเย็นที่ผ่านมาพี่นัทระแวงผู้ชายแทบทุกคนที่เข้ามาคุยกับผม พอผมคุยอะไรกับลูกค้านิดหน่อย พี่นัทนี่แทบจะโยนแก้วโยนช้อนทิ้งแล้วปรี่มาหาผมเลย ผมล่ะปวดเฮด

“เมื่อกี้คุยไรกันเหรอครับ เขาพูดจาอะไรไม่ดีใส่หนึ่งรึเปล่าครับ?”

“เขาแค่จะสั่งเค้กเพิ่มเองครับ พี่เลิกระเเวงได้แล้ว” ผมลากเสียงยาวอย่างเหนื่อยใจ ทำไมพี่นัทเป็นคนแบบนี้นะ พี่นัทที่โคตรดูดีของผมหายไปไหน คบกันไม่ถึงสองวัน ทำไมพี่นัทกลายเป็นตาลุงคิดมากและง้องแง้งแบบนี้ไปได้เนี่ย เอาพี่นัทสุดเท่และโคตรคูลของผมคืนมา

“จะให้พี่เลิกระแวงได้ไงล่ะครับ ถ้าเกิดเขามาหลงเสน่ห์หนึ่งอีกคนพี่คงแย่...” พี่นัทละมือจากการปั่นน้ำมาขยี้หัวผมเบาๆ แล้วก็ทำหน้าตาที่ดูกังวล...ทำหน้าแบบนั้นไม่เหมาะกับเป็นพี่นัทเลยอ่ะ

“พี่นัทครับ อย่ากังวลเลย พี่เลิกระแวงเรื่องผมได้เลยครับ เพราะผมไม่มีเสน่ห์อะไรแบบที่พี่พูดมาซักนิด” ถ้าผมนี่เสน่ห์อย่างที่พี่นัทพูดจริง ผมคงไม่โสดเศร้าเหงาใจมาได้ตั้ง 24 ปีหรอก

ผมจัดเค้กใส่จานปล่อยและพี่นัทง้องแง้งไปคนเดียว แต่ก็ยังไม่วายได้ยินเสียงพี่นัทบ่นถึงผม

“ไม่มีเสน่ห์อะไรล่ะ ที่พี่หลงจนโงหัวแทบไม่ขึ้นอยู่นี่ ก็ไม่ใช่เพราะเสน่ห์ของหนึ่งรึไง เจ้าเตี้ยเอ๊ย ไม่รู้เรื่องเลย!”

ผมหลุดยิ้มออกมาน้อยๆ  และตอนที่เดินผ่านหลังพี่นัท ผมหยุดและก็เขย่งปลายเท้ายื่นหน้าไปกระซิบที่ข้างหูพี่นัทเบา แล้วก็เดินหนีออกมาจากเคาน์เตอร์ทันที

"ก็ผมตั้งใจโปรยใส่พี่คนเดียวไงครับ"


เป็นไงล่ะพี่นัท
เจอสกิลการอ้อยของน้องหนึ่งเข้าไป 555
พี่นัทพลาดละ เอ๊ะ!! หรือว่าหนึ่งกันแน่ที่พลาดไปอ่อยพี่นัทแบบนั้น...

#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 15 : โอ้~ที่รัก l 06-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-09-2019 17:21:38
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 16 : คืนนี้มีเคลียร์ l 09-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 09-09-2019 19:30:39
16 : คืนนี้มีเคลียร์



หลังจากที่ปิดร้าน กินข้าวและอาบน้ำกันเสร็จแล้วผมก็เดินหัวเปียกมาผึ่งพัดลมที่หน้าโซฟา หลับตารับลมจากพัดลมและไอเย็นจากแอร์ที่เป่าลงมาตรงหัวพอดี วันนี้ลูกค้าเยอะมากแทบจะไม่ได้นั่งเลย แถมยังเจอลูกค้าโรคจิตอีก

“ที่รัก ผมยังไม่แห้งแต่เปิดทั้งแอร์ทั้งพัดลมแบบนั้นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

“ก็ผมกำลังจะเป่าพัดลมให้ผมแห้งอยู่นี่ไงครับ”

“มานี่มา เดี๋ยวพี่เช็ดให้”

“ครับ” ผมปิดพัดลมและลุกขึ้นเดินไปหาพี่นัทที่นั่งบนโซฟากางขาออกให้ผมลงไปนั่งแทรกตรงกลาง ให้อีกฝ่ายใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มเช็ดเบาๆ ไปตามเส้นผมและมีการนวดศีรษะให้ด้วย ผมนั่งเคลิ้มตาปรือให้พี่นัททำตั้งนานสองนาน

“หนึ่งครับ พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ?” เส้่นผมยังไม่แห้งดีพี่นัทก็หยุดมือพร้อมหมุนตัวให้ผมหันกลับไปจ้องหน้า ดูท่าทางจริงจังจนผมหวั่นใจว่าเจาจะพูดถึงเรื่องเมื่อกลางวันรึเปล่า ผมไม่อยากโดนดุอีก อุตส่าห์ทำเป็นไม่พูดถึงก็หวังว่าพี่เขาจะลืมไปแล้ว

“ก็...ได้ครับ” เรื่องอะไรก็ถามมา ขอแค่อย่าดุผมก็พอ

“ถ้าซักวัน...หนึ่งเจอคนที่ดีกว่า หนึ่งจะทิ้งพี่มั้ยครับ?” เขาพูดเสียงแผ่ว มองตาผมครู่หนึ่งก่อนจะหลุบลง ยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วขยี้ไปมาตามปลายเส้นผมที่ชื้นน้ำ

“ผู้หญิงหรือผู้ชายล่ะครับ”

“...ทั้งสองครับ”

“ถ้าผู้ชายผมมั่นใจว่าไม่ แต่ถ้าผู้หญิงผมว่าไม่แน่ แหะแหะ” ผมตอบและกลั้วหัวเราะไปด้วย แต่พี่นัทที่ตอนนี้อยู่ในโหมดจริงจังบีบเข้าที่แก้มผมแล้วดึงขึ้นลงจนผมร้อง “โอ๊ยๆ พี่! ผมเจ็บ”

“พี่จริงจังนะครับ” เขาเปลี่ยนจากบีบแก้มผมมาจับไว้เบาๆ ทั้งสองข้างเหมือนเป็นการล็อคหน้าผมไว้ไม่ให้หันไปทางอื่น ผมเลยจัดการปัดมือพี่นัทออก ลุกขึ้นและขยับไปนั่งบนตักพี่นัทโดยที่หันหน้าเข้าหากัน พี่นัทก็ขยับให้ผมนั่งดีๆ  เอามือกอดหลังผมไว้ กันผมหงายหลังตกโซฟา ผมยกมือขึ้นมาจับแก้มพี่นัทไว้จ้องตาพี่นัทตรงๆ แล้วก็พูดออกไป

“นอกจากพี่ก็ไม่มีใครคิดอะไรกับเด็กกะโปโลแบบผมหรอกครับ”

“ไม่มีที่ไหนล่ะ ตั้งแต่กลับมาเปิดร้านนี่ พี่สังเกตุเห็นพวกผู้ชายดูสนใจหนึ่งตั้งเยอะ พี่แค่มองก็รู้แล้วว่าพวกนั้นจ้องจะงาบหนึ่งอยู่เหมือนกัน”

“พี่อย่าคิดมากสิครับ เพิ่งจะเคยเจอกัน เขาไม่คิดแบบนั้นกันหรอก”

“หนึ่งจะไปรู้ทันได้ไง ตอนพี่เจอหนึ่งครั้งแรก พี่ยังคิดจะจับหนึ่งกดลงกับโต๊ะตอนนั้นเลย”

“...ผมว่าพี่นี่แหละตัวอันตรายสำหรับผม” ผมดึงหูพี่นัทขึ้นลงเบาๆ แล้วก็หัวเราะออกมา พี่นัทมองผมนิ่งๆ ไปพักนึงก่อนจะกอดผมแน่นขึ้นและซุกหน้าลงกับไหล่พลางซุกไซ้ไปมาให้รู้สึกจักจี้

“แต่วันนี้พี่กลัวจริงๆ นะ ถ้าพี่ไม่รู้แล้วไปไม่ทัน...หนึ่งจะทำไงครับ” พี่นัทถามอู้อี้กับซอกคอ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาทำให้ผมขนลุกไปหมดแล้ว

“ผมก็ต่อยไงครับ” ถึงจะบอกไปแบบนั้น พูดเหมือนตลกเพื่อไม่หยากให้พี่เขาคิดมากแต่สถานการณ์จริงๆ ผมก็คงไม่กล้าหรอกมั้ง อาจจะสติแตกและกลัวจนร้องไห้แบบวันนี้ และพอผมพูดออกไปแบบนั้นพี่นัทก็ดึงคอเสื้อผมลงแล้วกัดเข้าที่ไหล่จนผมสะดุ้งเลย

“หึหึ เตี้ยแบบนี้โดนเขาต่อยทีเดียวก็สลบก่อนแล้วมั้งเราน่ะ...ถ้าเจอแบบวันนี้อีก หนึ่งต้องรีบบอกพี่เลยนะ ตะโกนบอกดังๆ เลยหรือไม่ก็หาของใกล้ๆ ตัวฟาดหัวมันไปก่อน เข้าใจมั้ย?”

“โธ่ พี่นัท...”

“เข้าใจมั้ยครับ?” พี่นัทถามย้ำและกอดผมแน่นกว่าเดิม

“ครับๆ  ถ้าเจอแบบวันนี้อีก ผมจะแหกปากให้ร้านแตกไปเลย”

“เด็กดี” พี่นัทลูบหลังผมไปมา และเงยหน้าขึ้นมาจูบที่ปากผมแผ่วๆ

“ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะครับ” ใช่ ผมไม่เด็กแล้ว เนรยนจบมาสองปีแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่วัยทำงานแล้วเถอะ

“เด็กของพี่ไงครับ”

“ผมไม่เด็กแต่พี่อ่ะ...แก่”

พอเห็นพี่นัทหัวเราะออกมาผมก็รู้สึกโล่งอก เมื่อกี้คือการ ‘เคลียร์’ ของพี่นัทใช่มั้ย? ผมจะไม่โดนดุไปมากกว่านี้แล้วใช่มั้ย? ผมมองหน้าเขาและเราก็นั่งกอดแบบนั้นอยู่ซักพักนึงจนผมกลัวว่าพี่นัทจะเมื่อยเพราะผมนั่งทับขาพี่เขาอยู่ก็เลยจะขยับตัวออก

“จะไปไหนครับ นั่งแบบนี้แหละอบอุ่นดี” แต่พี่นัทไม่ยอมปล่อย รั้งเอวเอาไว้ให้ผมนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม

“พี่ไม่หนักเหรอครับ เดี๋ยวก็ขาชาหรอก” ถึงตัวผมจะเตี้ยตามที่พี่นัทพูดบ่อยๆ  แต่ผมก็ไม่ใช่คนตัวเล็กแบบที่พี่นัทคิดนะครับ ยิ่งช่วงนี่กินเก่งขึ้นมากๆ  จนจะเป็นอวบระยะสุดท้ายอยู่แล้ว

ความคิดผมหยุดลงทันที่เพราะพี่นัทกดท้ายทอยผมลงแล้วเขาก็เอียงหน้าประกบปาก และพอเห็นว่าผมไม่ขัดขืนเข้าหน่อยก็โดยพี่แกพลิกให้ตัวผมนอนราบไปกับโซฟาส่วนตัวพี่นัทก็ทับอยู่ด้านบนแทน

“อืม พี่นัท...” ผมครางเรียกเขาเสียงเบา ริมฝีปากอุ่นที่ผละออกไปนั้นไม่ได้ขยับออกห่างมากเท่าไรนัก เขายังคงวบเวียนขบเม้มตามกลีบปากล่างและปลายคางผมอยู่หลายที

“เมื่อตอนนั้นหนึ่งโดนมันจูบด้วยรึเปล่าครับ?”

“เอ่อ…” ผมชะงัก ผมโดนมัยจูบ แต่ไม่กล้าบอกเขาออกไป เพราะกลัวว่าพราเขาจะโกรธขึ้นมาอีก

“ว่าไง” พี่นัทผละออกเล็กน้อย ดวงตาคมดุขึ้นและปลายนิ้วร้อนที่ลากไปมาอยู่ที่ริมฝีปากก็ออกแรงบีบเล็กน้อยเป็นวิธีทวงคำตอบในแบบของเขา

“...นิดเดียวครับ”

“...”

ผมแอบกลืนน้ำลาย เมื่อแววตาของเขาฉายแววไม่พอใจอย่างชัดเจน หัวคิ้วก็ขมวดมุ่นจนแทบจะชนกัน ดุลอดแว่นมาเลยทีเดียว ผมเลยหันหน้าหนีและเสมองไปทางอื่น พี่นัทนี่บทจะดุ ก็ดูน่ากลัวจนผมไม่อยากจะยุ่ง

แต่ผมมองอย่างอื่นได้ไม่นานนัก พี่นัทก็จับคางผมให้หันกลับไปมองเขาเหมือนเดิม แต่ผมก็ไม่กล้าสบตาพี่นัทอยู่ดี ผมเลยหลุบตาลงต่ำจนแทบจะหลับตาอยู่เเล้ว

“พี่นัท” ผมหลับตาปี๋แล้วเม้มปากหนี พี่นัทก้มลงมากัดริมฝีปากของผม มันเจ็บเล็กน้อย และผมรู้ว่านี่คือการลงโทษ...ลงโทษที่ผมไม่บอกเขาว่าโดนไอ้โรคจิตนั่นทำอะไรบ้าง

“คืนนี้พี่บอกว่าจะเคลียร์นี่นา”

“อ้าว ที่คุยตอนแรกนั่นไม่เรียกว่าเคลียร์...เหรอครับ”

“นั่นพี่เรียกว่าคุยกัน”

“เอ่อ…แต่นั่นสำหรับผมเขาเรียกว่า เคลียร์ปัญหาครับ”

“ที่เราต้องเคลียร์กัน มันต่อจากนี้ต่างหากครับ”

พูดจบพี่นัทก็ถอดแว่นออกและก้มลงมาประกบปากไม่ยอมให้ผมได้ท้วงติงอะไรอีก พอโดนรุกเร้ามากเข้าผมพยายามหันหน้าหนีแต่พี่นัทใช้มือล็อคคางผมไม่ให้หันไปทางอื่นได้

“อึก อื้อ”

เขาตวัดลิ้นพัวผันกับกันลิ้นผมอย่างดุเดือดจนผมยังตกใจและหายใจตามไม่ทัน พี่นัทจูบไม่หยุดและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งพี่เขาขยับปากเหมือนผมยิ่งรู้สึกเหมือนผมโดนพี่นัทดูดเอาลมหายใจออกไป ผมได้แต่ขยำแขนเสื้อพี่นัทแล้วนอนหมดแรงอยู่กับโซฟา

เขาผละออก แล้วมองมาด้วยแววตาแปลกๆ ผมมองไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่พี่นัทมองผมนานมาก ยิ่มมองนาน แววตาเขาก็เปลี่ยนไป มันทำให้ผมกดดันและรู้สึกกลัวแปลกๆ แต่ไม่ทันที่จะได้พูดถามอะไร เขาก็ก้มลงมาใหม่ คราวนี้รสจูบเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด มันรุนแรงและดูบุ่มบ่ามจนผมใจเต้นด้วยความกลัวเล็กน้อย

“อย่าดิ้น”

“พี่...เบาหน่อย”  ผมปรามให้เขาเบาลงหน่อยเมื่อพี่นัทผละออกและเคลื่อนต่ำลงไปซุกไซ้ที่ซอกคอ ดูดสลับกัดกัดตรงจุดเดิมย้ำๆ จนผมเจ็บ แต่เขาไม่ได้ลดแรงลงเลย อีกทั้งฟันคมก็ขบลงมาแรงขึ้นเมื่อผมดันหน้าเขาออก

“หนึ่งเป็นของพี่” พี่นัทพึมพำออกมาพร้อมกับถกเสื้อผมขึ้น ริมฝีปากร้อนแตะแต้มไปทั่วแผ่นอกก่อนจะเริ่มต้นดูดดึงหัวนมทั้งสองข้างสลับกันไปมาจนมันตั้งชันขึ้น ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงผละออก แต่ก็ใช่ว่าจะหยุด พอไม่ได้ใช้ปาก เขาก็ใช้ปลายนิ้วบีบขยี้ลงมาให้แอ่นตัวโค้ง หลังแทบไม่ติดโซฟา

“อื้อ!”

“อย่าไปปล่อยให้คนอื่นมาแตะตัวง่ายๆ สิครับ” พี่นัทเงยหน้ามาพูดแล้วก็ก้มลงไปตวัดลิ้นเลียอีกข้างนึง เขาปาดเลีย บ้างก็กัดทำให้ผมสะดุ้งแล้วระดุ้งอีก เพราะกลัวว่าเขาจะกัดแรงจนผมเจ็บไปมากกว่านี้

“อึก อือ เจ็บ...” 

ก็ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะโดนคนอื่นทำแบบนั้นนี่…

 อยากจะเถียงกลับ แต่ตอนนี้ผมไม่มีแรงจะตอบอะไรแล้ว พี่นัทไล้เลียเปลี่ยนข้างสลับไปมา ยอดอกของผมถูกพี่นัทดูดดึงจนมันแดงก่ำและบวมขึ้นมา พี่นัทล่ะมืออีกข้างที่ลูบอยู่ตรงยอดอกผมลงไปคลึงที่น้องชายผมแทน

“หนึ่งเป็นที่รักของพี่คนเดียวนะครับ” เขาพูดเหมือนคนละเมอพร้อมกับแยกขาผมออกกว้างและขยับตัวเข้ามาตรงหว่างขาผมพร้อมกับถูส่วนที่แข็งขืนนั่นกับแก่นกายของผม มันรู้สึกดีเมื่อเขาไม่ได้ทำให้ผมเจ็บมากนัก ยิ่งเขาขยับเอวเข้าหา ผมก็ยิ่งโยกเอวรับ บิดตัวไปซ้ายทีขวาทีด้วยความเสียว น้ำใสๆ ปริ่มออกมาเลอะกางเกงนอนจนแฉะไปหมด เห็นแบบนั้นพี่นัทก็ขยับตัวและถอดกางเกงขาสั้นผมออกไปให้พ้น

“ฮ๊า พี่ครับ...” ผมมองหน้าเขาและแยกขากว้างให้อีกฝ่ายขยับได้สะดวก เขาขยับมือร้อนๆ นั่นลงไปขยำก้อนเนื้อด้านหลังจนผมต้องซี๊ดปาก แต่ก็สะดุ้งอีกครั้งเพราะโดนเขาดันนิ้วที่แห้งผากนั้นเข้ามาด้านใน พอจะขยับหนีก็โดนเขายึดเอวเอาไว้

“ตองหนึ่ง…”

“พี่ครับ ใจเย็นหน่อย...ผมยังไม่พร้อม” ผมออกปากห้าม แต่อีกฝ่ายไม่หือไม่อือ เขายกสะโพกผมขึ้นและลูบปลายนิ้วไปมารอบช่งทางก่อนจะดันเข้าไปใหม่อย่างไม่อ่อนโยนนัก

“...ห้ามให้คนอื่นทำแบบนี้นะ” เขาพึงพำอยู่ในลำคอ ผมไม่มั่นใจนักว่าเขาพูดอะไร แต่ใบหน้าตอนนี้ของพี่นัทคือน่ากลัวมาก ผมเริ่มใจไม่ดีเมื่อเขาไม่หยุดมือ แถมยังดันทุลังดันเข้ามาในช่องทางที่ยังไม่มีสารหล่อลื่นมาเป็นตัวช่วยนั้น

“อือ พี่...ผมเจ็บ หยุดก่อน” ผมดันตัวเขาออก แต่พี่นัทในตอนนี้คือไม่ฟังผมเลย เห็นเขาไม่มีท่าทีจะหยุดแบบนั้นก็เลยเปลี่ยนมาแยกขาออกกว้างและพยายามผ่อนคลายตัวเองให้เจ็บน้อยที่สุด หรือไม่ก็พยายามทำให้ตัวเองเสร็จก่อนซักครั้ง แต่ผมก็ทำไม่ได้ ยิ่งเข้าเขาดันเข้ามาผมก็เจ็บจนทนไม่ไหว อารมณ์หวามก่อนหน้านี้ก็พากันหายไปหมดแล้ว

“...ถ้าพี่ไปช่วยไม่ทัน จะทำยังไง”

ไม่ได้สนใจฟัวที่ผมเขาพูดแล้ว สองตาผมเห็นว่าเขาพยายามที่จะเพิ่มนิ้วเข้าไปในตัวผมอีกนิ้ว ผมส่ายหน้าและดันพี่เขาออก ส่งเสียงโวยวายให้เขาฟังผมหน่อย แต่พี่นัทก็ไม่กลับ ทำท่าจะจะสอดนิ้วที่สามเข้ามา พอมันเข้าไม่ได้ เขาไม่ยอมหยุด ดันทุรังจนผมเจ็บจนน้ำตาไหล

“ตองหนึ่งครับ พี่...ฮึบ!

“อะ..โอ๊ย !เจ็บ ผมเจ็บ!!”

ผมตะโกนสุดเสียงอยู่ข้างหูจนพี่นัทก็สะดุ้งสุดตัวไปพร้อมๆ กับผม พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองหน้าผมที่ตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตา

“หนึ่ง… พี่...ขอโทษครับ”

“ฮึก พี่นัท...ผมเจ็บนะ”

“พี่ขอโทษนะครับ”พอพี่นัทได้ยินที่ผมพูด ก็รีบดึงนิ้วออกและจูบซับน้ำตาไปทั่วใบหน้าผม ส่วนมือข้างที่ทำผมเจ็บนั้นพี่นัทก็ใช้มันลูบที่เนินก้นเหมือนจะปลอบใจ

“ฮึก ผมเจ็บอ่ะ” ยิ่งพี่นัทปลอบ ผมยิ่งร้องหนัก ความรู้สึกเจ็บหน่วงๆ เมื่อกี้ผมยังรู้สึกได้อยู่เลย พี่นัทตอนที่ไม่ฟังอะไรแบบนั้น น่ากลัวมาก

“หนึ่งหยุดร้องเถอะครับ พี่ไม่ทำแล้ว”

พี่นัทลูบไปทั่วหน้าผมและเช็ดน้ำตาให้ก่อนจะซบหน้าลงกับหน้าผากผมและคลอเคลียไปมา ผมพยายามกลั้นสะอื้นและหยุดร้องให้แต่มันก็มีหลุดออกมาบ้าง

“ฮึก ฮือ”

“พี่ไม่ทำแล้ว คนดี...หยุดร้องเถอะนะ” พี่นัทจูบเปลือกตาทั้งสองข้าง  ซุกหน้าลงกับซอกคอของผม และกอดผมไว้อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปซักพัก ผมหยุดสะอื้นและน้ำตาผมก็แห้งไป ผมเลยสะกิดเรียกพี่นัท

“พี่นัทครับ...ผมไม่ร้องแล้ว”

“พี่ขอโทษครับ ขอโทษที่ทำให้หนึ่งเจ็บแบบเมื่อกี้” พี่เงยหน้าขึ้นมองผมและยิ้มออกมา พอผมยิ้มตามเขาก็ขยับขึ้นมาจูบที่ริมฝีปากผมแผ่วเบา คล่ยกับว่าเป็ฯการขอโทษผมอีกครั้ง

“พี่นัทเป็นอะไรครับ” ผมกุมแก้มพี่นัทไว้แล้วใช้นิ้วโป้งลูบเบาๆ เขาหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“พี่ก็ไม่รู้….พี่แค่คิดว่าถ้าพี่ไปไม่ทัน หนึ่งจะโดนอะไรบ้าง แค่คิดว่ามันจะทำอะไรกับหนึ่งบ้าง พี่ก็...รู้สึกโมโห” พี่นัทพูดจบก็ซบหน้าลงกับหน้าอกผมอีกครั้งนึง

“พี่อย่าไปคิดถึงมันสิ มันผ่านไปแล้วไง พี่ไปช่วยผมทันผมไม่เป็นอะไรด้วย”

“ครับ…”

พอเห็นว่าเข่ยังไม่สบายใจผมทก็อยากจะ ปลอบให้เขาดีขึ้น จึงยกแขนดึงคอพี่นัทลงมาแล้วผงกหัวขึ้นไปจูบ แรกๆ พี่นัทก็ปล่อยให้ผมนำ แต่ผ่านไปไม่นานานก็กลับกลายเป็นว่าพี่นัทเป็นคนนำและกลายเป็นผมที่ขยับปากตาม

“อืม อืออ” ผมครางในลำคอ หยัดตัวขึ้นเสียดสีกับตัวอุ่นๆ ของพี่นัท พี่นัทดันตัวผมออกและอุ้มผมไปที่เตียงนอน ผมส่งยิ้มให้เขาจึงก้มลงมาหอมแก้มผมทั้งซ้ายและขวา ก่อนจะค่อยๆ ถอดเสื้อผมออก จาเปลือยไปทั้งตัว

“ถ้าพรุ่งนี้พี่ตื่นไม่ไหว อย่ามาโทษผมนะ”

“หนึ่งก็อย่ายั่วพี่มากนักสิ พี่จะได้ไม่เหนื่อยมาก” ผมไม่ได้ยั่วเขาเลย ผมอยู่ของผมเฉยๆ แต่พี่นัทตังหากที่มาหลงผมเอง

“พี่นัท...” ผมพูดออกคล้ายละเมอ ตามองไปที่พี่นัทที่ตอนนี้ถอดเสื้อออกตามด้วยกางเกง ผมไล่สายตามองตามเครื่องหน้าลงมาที่ลาดไหล่กว้าง แผ่นอกและหน้าท้องที่มีกล้ามเล็กน้อยเรียงตัวสวยงาม ต่ำไปกว่านั้นก็มีเส้นขนบางๆ และ…

ผมมองไปที่จุดนั้นและความรู้สึกที่หลากหลายก็วิ่งวนในหัวผม ทั้งสีและขนาดที่แตกต่างจากของตัวผมเอง และอดไม่ได้จะนึกไปถึงเวลาที่มันเข้ามาอยู่ร่างกาย

“เด็กลามกมองอะไรครับ”

ผมรีบละลายตาขึ้นไปมองและเห็นรอยยิ้มล้อๆ ของพี่นัท ผมก็รู้สึกเขินจนต้องยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองไว้

“ทีพี่ยังมองของผมได้เลย” ผมอุบอิบตอบกลับไป เราทำมาถึงขั้นนี้กันแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดที่จะมองแต่พอโดนจับได้บวกกับรอยยิ้มล้อๆ นั่น มันก็อดรู้สึกเขินไม่ได้

“ก็มองไปสิ พี่ไม่ได้ว่าอะไรซักหน่อย...จะจับมันด้วยก็ได้นะ”

พี่นัทพูดและขยับเอาส่วนนั้นเข้ามาใกล้ ผมค้อนตากลับและขยับตัวออก แต่ก็โดนอีกฝ่ายดึงแขนเอาไว้แล้วกดตัวผมให้นานราบไปกับเตียง

“อื้อ”

“จะหนีไปไหนล่ะครับ หืม?”

“ผมไม่ได้หนีไปไหนซักหน่อย”

“หึ แต่ถึงจะหนี...ก็หนีไม่พ้น” เขายิ้มและประกบปากลงมา จูบครั้งนี้หวาน และเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานผมก็มีอารมณ์ร่วม เขาไล่จูบไปทั่วใบหน้าและลำตัว ตรงไหนที่ทำรอยได้เขาก็ทำ ไม่มีส่วนไหนของร่างกายผมที่ปากและมือของพี่นัทไม่สัมผัส ส่วนผมนั้นได้แต่บิดตัวครางอยู่ใต้ร่างพี่นัทอย่างสิ้นท่า

ผมมองพี่นัทเทเจลลงที่มือและค่อยดันนิ้วเข้ามา ผมเกร็งนิดหน่อยพราะกลัวจะเจ็บเหมือนที่พี่นัททำตอนแรก แต่พี่นัทก็ปลอบผมด้วยน้ำเสียงนุ่มข้างหู

“เจ็บรึเปล่า?” ผมส่ายหน้า ตัวสั่นไปหมด  โอบแขนรอบคอพี่นัทดึงเข้าหาตัวและกอดไว้แน่น พอเป็นแบบนั้นอีกฝ่ายก็ดันนิ้วเข้าออกเร็วขึ้น บ้างก็ผ่อนจังหวะลงเพื่อกดย้ำปลายนิ้วไปทั่วด้านในให้ผมเสียงสะท้านไปหมด

“อื้อ! พี่ครับ..ผม..อึก” ผมครวญคราง เงยหน้าขึ้นจูบปลายคาวของพี่เขา ขยับจาและสะโพกไปมาเพราะความวาบหวามเริ่มควบคุมร่างกาย ผมอ้าปากหอบหายใจหยัดตัวขึ้นให้ตัวผมและตัวพี่นัทเสียดสีกันไปมา ผมรู้สึกทนไม่ไหวจนต้องตวัดขาโอบสะโพกพี่นัท…

“เป็ฯอะไรครับ อยากได้อะไร?”

“...อือ” อยากได้มากกว่านี้ อยากได้อะไรที่มากกว่าแค่นิ้ว...ผมไม่ได้ตอบออกไป แต่กลับขยับมือลงไปสัมผัสแก่นกายร้อนผ่าวของเขา พี่นัทสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ผมยกขาขึ้น พยายามส่ายเอวไปมาให้ส่วนอ่อนไหวของเราเสียดสีกัน สิ่งที่ผมทำมันเสียวแต่มันก็ไม่สุด

“ใจเย็นๆ สิครับ ให้พี่จัดการตัวเองก่อน”

เขาพูดอย่างใจเย็น ขยับตัวออกช้าๆ แล้วหยิบถุงยางขึ้นมาและฉีกถุงออกและจัดการใส่ลงไป ผมมองทุกขั้นตอนอย่างตื่นเต้นและรอคอย พอเห้ฯว่าเขาพร้อมผมก็ใช้มือจับขาตัวเองทั้งสองข้างและแยกออกกว้างเพื่อให้พี่นัทเข้ามาได้สะดวก แต่เหมือนผมยิ่งอยากพี่นัทยิ่งจงใจทำทุกอย่างช้าๆ ไม่ทันใจผมเลย

“ฮื่อ! พี่นัท” ผมครางออกมาอย่างขัดใจ ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ พี่นัทและหยัดตัวขึ้นให้กลางกายของเขาสำผัสกับช่องทางด้านหลังของผม

“เด็กลามก ใจเย็นหน่อยครับ”

“ฮื่อ!!” ....ก็พี่ช้า ไอตอนอยากล่ะไม่ทำ ไอตอนที่ผมไม่อยากก็แกล้งจัง คนนิสัยไม่ดี

คนตัวสูงหัวเราะ ลูบฝ่ามือไปมาอยู่ปริเวณสะโพกแล้วกดหน้าอกผมลงกับเตียงและยกสะโพกผมขึ้น ผมปล่อยมือจากขาตัวเองเปลี่ยนมาโน้มคอพี่นัทลงมาจูบแทบ และตวัดขาโอบสะโพกพี่นัทไว้อีกครั้ง

“พี่จะเข้าไปแล้วนะครับ” พี่นัทพูดช้าๆ จับขาผมแยกออกกว้างอย่างช้าๆ ดันส่วนที่ร้อนผ่าวที่ผมรอคอยเข้ามาอย่างช้าๆ ทุกอย่างช้าไปหมด ไม่ทันใจผมเลยสักนิด

“พี่ครับ เร็วๆ ”

“...เดี๋ยวหนึ่งเจ็บ” ผมรู้ว่าพี่นัทก็อดกลั้นไม่น้อย เขาทำช้าๆ เพราะกลัวผมเจ็บ

“ไม่...ไม่เจ็บครับ”

หลังจากที่ผมพูดไปแบบนั้น พี่นัทก็ใส่ไม่ยั้งจนเตียงหลังใหญ่ที่ผมคิดว่าแข็งแรงมากๆ ก็สั่นเอี๊ยดอ๊าดไปด้วย

เขาขยับสะโพกอย่างแรง ปากก็ดูดลงมาตามหน้าอกและลำคอ ผมครางลั่นเพราะความกระสันและแรงกระแทกจากพี่นัท ผมกัดปากกลั้นเสียครางไม่ให้ดังจนเกินไปเพราะอารมณ์ผมพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ  ในขณะที่พี่นัทเองก็ขยับอย่างบ้าคลั่ง แต่อยู่ๆ พี่นัทก็ลดความเร็วลงเป็นช้าๆ เนิบนาบๆ แต่กระแทกเข้ามาลึกและตรงจุด

   “อือ แบบบนี้ดีมั้ย?” เขาถาม แต่ผมก็ส่ายหน้าไปมา ร้องขอให้เขาทำเร็วๆ แบบเดิม พี่นัทยกยิ้มอย่างเจ้าเลห์แล้วถามกลับมาอีกครั้ง “อยากได้เร็วๆ ?”

   “ครับ...เร็วๆ” ผมพยักหน้ารัว แล้วอ้าขากว้างขึ้นอีก สองมือเกี่ยวสะโพกพี่นัทเข้าหาตัว พร้อมกับหยัดกายขึ้น คนตัวสูงด้านบนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“แบบนี้เหรอ?” พี่นัทพูดพร้อมกับขยับสะโพกเร็วๆ ผมพยักหน้าจนคอแทบหัก ส่ายเอวอย่างถูกอกถูกใจ แต่ก็ร้องออกไปอย่างขัดใจตอนที่พี่นัทหยุด

“อื้อ พี่นัท! อย่างแกล้งผมแบบนี้ ฮึก”

“ที่รัก…” พี่นัทยิ้มเจ้าเลห์ สองมือประคองแก้มผมเอาไว้แล้วมก้มลงมาคลอเคลียจูบ ในขณะที่ยังคงขยับสะโพกช้าๆ เนิบนาบเหมือนเดิม

“ฮึก...อย่าแกล้งผม พี่ครับ”

“เรียกว่าที่รักหน่อยได้มั้ยครับ? เรียกพี่หน่อย...ที่รัก”

“ที่..ที่รัก ที่รัก ที่รัก” ผมพูดคำที่เขาต้องการออกมา พูดมันซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ผมทำตามที่เขาต้องการแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมทำอย่างที่ผมต้องการบ้าง ผมทนไม่ไหวเป็นฝ่ายหยัดตัวขึ้นสวนสะโพกขึ้นหาพี่นัทเสียงเอง แต่ก็โดนอีกฝ่ายกดเอวเอาไว้ให้นอนนิ่งๆ

“หนึ่ง...อืม อยู่เฉยๆ ก่อนสิครับ”

“ฮื่อ!! อือ ผมอึดอัดนะ!” ผมจิกลงไปที่ไหล่พี่นัทแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์ และรู้สึกได้ถึงน้ำตาของผมที่มันไหลออกมาเป็นทาง

“โถ เด็กขี้แยร้องไห้อีกแล้ว อย่าร้องสิครับ เงียบก่อนนะ โอ๋ๆ”

“ฮือ พี่แกล้งผม ฮึก” ผมส่ายหน้ากับหมอน ความรู้สึกอึดอัดเต็มไปทั้งร่างกาย อยากจะปลดปล่อย พอผมจะใช้มือปลดปล่อยให้ตัวเองก็โดนคนนิสัยไม่ดียึดมือเอาไว้ทั้งสองข้าง

“บอกพี่สิว่าหนึ่งอยากรู้สึกแบบไหน อยากให้พราทำแบบไหน?”

“อยาก...อยากเสียว” ผมพูดเสียงแผ่วเพราะมันน่าอาย แต่ก็ผมเหมือนจะได้ผล พี่นัทขยับเร็วขึ้นมาอีกหน่อย

“แล้วพี่ต้องทำยังไงให้ตองหนึ่งเสียงครับ บอกพี่หน่อยเร็ว”

“อืม...อยากให้ที่รักที่เร็วๆ เข้ามาลึกๆ เลย อ๊ะ!”

พูดไม่ทันจบพี่นัทก็กระแทกลงมาอย่างเร็วแถมด้วยความแรงจนผมรู้สึกเหมือนเอวผมคงหักคาเตียงแน่ๆ แต่มันก็สมใจอยาก ผมครางส่ายหน้าไปมากับหมอนอย่างสุขสม แยกขาออกกว้างให้พี่เขาขยับได้สะดวก ความอึดอัดในก่อนหน้านี้ก็เริ่มปะทุและผมก็ปลดปล่อยออกมาจนเลอะไปทั่วหน้าท้องของเราทั้งคู่ พี่นัทไม่ปล่อยให้ผมพักหายใจ เขาจับขาข้างนึงของผมพาดไปที่บ่ากว้างและขยับสะโพกต่อทันที

“หนึ่ง...อือ อย่ารัดพี่แน่นนักสิ อือ”

“พี่ครับ ผม...ฮึก” ผมส่ายหน้า มองพี่นัทที่หลับตาและหอบหายใจถี่ขึ้น ยิ่งมองเขาผมก็ยิ่งรู้สึก มันมีอารมณ์มากเกินไปจนต้องจับแขนพี่นัทที่เท้าลงกับเตียงเพื่อระบายความเสียวออกไป และหลังจากนั้นพี่นัทก็เรื่อมหอบหายใจแรงขึ้นจนเหมือนครางเสียงแหบพร้อมกับขยับสะโพกแรงขึ้น จนที่สุดพี่นัทก็ปล่อยออกมาพร้อมๆ กับที่ผมปล่อยออกมาอีกครั้ง เรานอนกอดกันนิ่งๆ จนเวลาผ่านไปซักพักนึง ลมหายใจของเราทั้งสองเริ่มกลับมาปกติ พี่นัทถึงค่อยดึงตัวออกอย่างช้าๆ แล้วตลบผ้าห่มมาคลุมตัวเราทั้งสองคน

“เมื่อกี้เจ็บมั้ยครับ?”

“...” ผมยิ้มบางๆ ซุกหน้าลงซบกับอกอุ่นของพี่นัท ก่อนจะพรมจูบและกัดลงไปบนเนื้อแน่นอย่างมันเขี้ยว

“กัดพี่ทำไมครับ อยากได้อีกซักรอบหรอ?” พี่นัพูดและเลื่อนมือลงไปลูบที่ก้น จนผมปัดมือเขาออกแทบไม่ทัน

“หยุดเลยพี่นัท ผมง่วงแล้ว เหนื่อยด้วย”

“หนึ่งนอนอยู่เฉยๆ จะไปเหนื่อยได้ไงครับ พี่สิขยับอยู่คนเดียวเหนื่อยจะแย่”

“พี่เหนื่อยมากเลยเหรอครับ” พี่นัทยิ้มแล้วก็พยักหน้า มือก็รั้งผมเข้าไปกอดแน่นกว่าเดิม

“งั้นวันหลังเราก็ไม่ต้องทำแบบนี้กันแล้วเนอะ ผมไม่อยากให้พี่เหนื่อย!!” พูดจบผมก็กัดไปที่หน้าอกของพี่นัทแรงๆ อีกหล่ยครั้ง เขาครางโอดโอยเหมือนเจ็บมาก แต่ก็หัวเราะออกมาไม่หยุด

“พี่อยากเหนื่อยครับ พี่อยากเหนื่อยกับที่รักแบบเมื่อกี้อีกทุกคืนเลยด้วยครับ”

“หึ” ผมย่นจมูกใส่คนลามกแล้วไม่ได้พูดอะไรกลับไป นอนนิ่งๆ สบตาและให้เขาลูบแก้มผมเล่น

“หนึ่งรักพี่มั้ยครับ?”

“ทำไมพี่ถามบ่อยจัง”

“ก็พี่อยากฟังหนึ่งพูดบ้างนี่ครับ เหมือนพี่พูดคำว่ารักอยู่แค่คนเดียวเลยนะ”

“...” ผมเงียบแล้วก็กระชับกอดให้แน่นขึ้น จะกอดให้พี่นัทอึดอัดจนหายใจไม่ออกเลย

“พี่รักหนึ่งนะครับ” พี่นัทก้มลงมาจูบหน้าผากและแก้มทั้งสองข้างของผม แล้วก็หลับตาลง เวลาผ่านไปซักพัก ลมหายใจของพี่นัทเข้าออกสม่ำเสมอ พอเห็นว่าเขาหลับแล้วผมก็ลุกขึ้นนั่งมองหน้าเขา ยิ้มบางๆ ออกมาแล้วก้มลงจูบที่หน้าผาก 

คำว่ารัก...ที่ไม่พูด ไม่ใช่ว่าไม่รัก แต่ผมเขิน สิ่งที่คนขี้อายอย่างผมจะทำได้ก็คือรอให้พี่นัทหลับและบอกออกไป เปล่งถ้อยคำหวานให้เคล้าคลอไปกับความฝันดีๆ ของเขา


“ผมก็รักพี่...รักนะครับ”



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 16 : คืนนี้มีเคลียร์ l 09-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 09-09-2019 19:44:38
เรื่องน่าสนใจจจ แปะไว้ ติดตามค่าาาา
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 16 : คืนนี้มีเคลียร์ l 09-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-09-2019 22:27:08
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 17 : น่ารัก l 16-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 16-09-2019 20:55:23
17 : น่ารัก


พี่นัท’s part

ผมรู้สึกตัวเมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนผมต้องรีบหันไปปิดทันทีเพราะกลัวว่าคนตัวเล็กที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มจะตื่น ปกติผมจะตื่นเวลานี้เพื่อไปตลาด แต่...เถลไถลอีกซักหน่อยก็ได้ ผมคิดอย่างอารมณ์ดีพลางหันกลับมากอดคนรัก มองแก้มกลมที่แนบอยู่หมอนแล้วก็อดใจไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปฟัด เข้าไปบีบให้ชื่น

“อืม” เขาบ่นงึมงำในคอก่อนจะหันหน้าหนีมือผม แต่พอเจอไอเย็นจากแอร์ก็กลับมาขดตัวซุกผมเหมือนเดิม เห็นท่าทางน่ารักแบบนั้นแล้วก็อยากจะปิดร้านแล้วจับฟัดรับอรุณให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

ผมกระชับกอดแน่นขึ้น ขยับตัวไปหอมแก้มคนตัวเล็กทั้งซ้ายและขวา และเกลี่ยจมูกไปมาตามแก้มนุ่มๆ ตัวหอมๆ  มือก็บีบไปตามเอวเล็ก ลงไปที่สะโพกนุ่มแต่เคล้นได้ไม่นาน ตองหนึ่งก็ส่งเสียงหงุดหงิด ดิ้นหนีแถมยังดันหน้าผมออกอีกตังหาก ชักจะลามปามเกินไปแล้ว

“เจ้าเตี้ยขี้เซากล้าดันหน้าพี่ออกเหรอ ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ต้องโดนซะแล้ว” ว่าแล้วก็เม้มปากดูดไปตามผิวเนียนนุ่ม ฝ่ามือก็ลูบลงไปที่ต้นขาแล้วตลบผ้านวมออกจนร่างขาวนวลละออปรากฏแก่สายตา

แม่เจ้าโว๊ย! ขาวเนียน น่าฟัด น่าขย้ำไปทั้งตัวเลย

ผมจับเขานอนหงาย พรมจูบไปทั่วแผงอกและหน้าท้องอยู่ครู่หนึ่งก็ต้องหักห้ามใจ เพราะเดี๋ยวผมจะห้ามตัวเองไม่อยู่จริงๆ แต่พอผมขยับออกห่างคนตัวเล็กก็ขดตัวเข้าหากันเพราะอากาศเย็นจากเครื่องปรับอากาศจนผมต้องเอื้อมมือไปหยิบรีโมตมาปิดแอร์

“หนึ่งครับ ตื่นกันเถอะ” ผมกระซิบปลุก ริมฝีปากขบเม้มใบหูบางในขณะที่ฝ่ามือก็ลูบไปตามสะโพกอวบอย่างสุขใจ

“อือ...” เขาครางออกมาแล้วก็หันหน้าหนี สองมือดันอกดันคางผมออกจากตัวเขาใหญ่เลย

“จะตีห้าแล้ว เดี๋ยวพี่ทำเค้กไม่ทันนะครับ”

ผมจับคนตัวเล็กให้หันกลับมาหาแล้วก็ดึงมือเขาให้ลูกขึ้น แต่เจ้าคนขี้เซาก็ขืนตัวเอาไว้ไม่ยอมลุกแถมยังเหนี่ยวคอผมให้ลงไปนอนด้วยอีก

“อืม  พี่นัท...ผมง่วง” เขาปรืตามองเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งทั้งกอดผมแน่น ถูไถแก้มนุ่มไปมากับแผงอกของผม

“ทำตัวน่ารักแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลยนะครับ ตอนเช้าๆ แบบนี้พี่ยิ่งเกิดอารมณ์ง่ายด้วยนะ” ผมพูดและบีบเคล้นไปตามเนื้อตัวของคนตัวเล็กอย่างห้ามใจไม่อยู่ แต่ก่อนที่ฝ่ามือผมจะคลืบคลานลงไปที่ส่วนอ่อนไหวของเขา ก็โดนตองหนึ่งคว้ามือเอาไว้เสียก่อน

“อื้อ! พี่จะทำอะไร”

ตองหนึ่งส่งเสียงดุและดันตัวออก เขาเบะปากและขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่พอผมยิ้มให้เขาก็ส่งยิ้มหวานจ๋อยกลับมาให้เช่นกัน บอกเลยว่าผมโดนโดนแอคแทคจากยิ้มนั้นอย่างรุนแรง หรือวันนี้จะปิดร้านอีกดีนะ…

ผมเลิ่มลังเล ใจนึงก็อยากจะอยู่กับตองหนึ่งแค่สองคนทั้งวัน แต่อีกใจก็ห่วงร้าน เพิ่งเปิดไม่นานแต่ดันมาปิดบ่อยๆ  มันก็ดูไม่ดี ลูกค้าคงหายหมด

ผมมองไปที่ตัวเล็กที่ตอนนี้นั่งงัวเงียหัวฟูอยู่ข้างๆ กัน ถึงตาจะยังปิดอยู่แต่ริมฝีปากเล็กนั่นกลับอมยิ้มอยู่ ผมก้มลงไปจุ๊บสลับกับดูดกลีบปากอวบอิ่มอยู่สักพักจนพอใจก็ผละออกมามองหน้าเขาอีกที

ผมจะปิดร้านบ่อยไม่ได้ เพราะต้องหาตังค์มาเลี้ยงเด็ก….คนนี้ยิ่งกินเก่งอยู่ด้วย

“ตัวเล็ก ตื่นได้แล้วครับ เดี๋ยวพี่ทำขนมอร่อยๆ กับนมอุ่นๆ ให้กินนะ”

“ผมอยากกินขนมปังเนยสด” พอผมพูดถึงเรื่องกิน หนึ่งก็ลืมตาขึ้นทันที แล้วก็พึมพำออกมาเสียงแหบๆ

“ถ้างั้นก็รีบไปอาบน้ำสิครับ พี่จะได้รีบลงไปทำขนมให้ไง”

คนตัวเล็กขยับเข้ามาใกล้ๆ ผม จากนั้นก็กอดและถูหน้ากับต้นแขน เท้าคางมนๆ นั่นไว้ที่หัวไหล่และช้อนตาขึ้นมองผม

“อาบน้ำให้หน่อย ผมง่วง ปวดเอวด้วย...เพราะพี่นั่นแหละ”

เขาพึมพำเสียงเบา พูดโทษว่าผมเป็นคนผิดอยู่ฝ่ายเดียวทั้งที่เขาเองนั่นแหละที่เรียกร้องให้ผมทำ แต่อ้อนมาแบบนั้นผมปฏิเสธไม่ลงหรอกครับ น่ารักอย่างแรงเลยคนนี้

“ตัวหอมจังเลย” หลังจากที่อาบน้ำกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็ก้มลงไปหอมแก้วเขาอยู่หลายเลยระหว่างที่แต่งตัวกันอยู่ก็ตองหนึ่งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แบบนี้หอมมากเลยนี่ครับ

“พี่นัท เดี๋ยวพี่ก็อบเค้กไม่ทันหรอก”

“ก็หนึ่งตัวหอมอ่ะ อยากจะจับฟัดจับหอมไปทั้งวันทั้งคืนเลย”

“เมื่อคืนพี่ก็ฟัดผมไปทั้งคืนแล้วยังไม่พออีกเหรอครับ ตัวผมเป็นรอยหมดเลย” เขาแล้วถกเสื้อขึ้นให้ผมดูรอยจูบตัวเองที่อยู่ช่วงหน้าท้องและแผ่นอกของเขา แต่มาเปิดโชว์แบบนี้ถือว่าอันตรายมากเลยนะ จิตใจผมยิ่งหวั่นไหวกับตัวขาวๆ หอมๆ ของเขาอยู่

“หนึ่งครับ พี่ว่า...วันนี้เราปิดร้านอีกวันนึงดีมั้ย?” ผมถามพลางก้มจูบไปที่แก้มนุ่ม มือก็ลูบลงไปที่สะโพก คนตัวเล็กไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืนอะไรแค่หันหน้ามามองผมตาแป๋ว

“แต่ผมอยากกินขนมปังอ่ะพี่นัท”

“เดี๋ยวพี่ทำให้กินพรุ่งนี้ไงครับ” ยิ่งตัวเล็กไม่ขัดขืนผมยิ่งบีบไปที่สะโพกนิ่มๆ อย่างย่ามใจ

“แต่ผมอยากกินวันนี้อ่ะครับ...นะครับ”

หนึ่งพูดพลางทำหน้าตาน่ารักใส่ผม มีการพิงตัวกับผมและถูแก้มไปมา ตาก็ช้อนขึ้นมองอย่างน่ารัก ใครสั่งใครสอนให้อ้อนแบบนี้ครับ พ่อแม่เหรอ? สอนมาดีมากเลย...เจอแบบนี้ผมยอมทุกอย่างเลยครับ เขาอยากได้อะไรผมก็จะหามาให้ ต่อให้น้องบอกให้พี่ขายร้านทิ้ง พี่ก็ยอมหมดเลย

“ยอมแล้วครับๆ งั้นเราลงข้างล่างกันดีกว่าเนอะ”

พอลงมาด้านล่างตองหนึ่งก็เตรียมอุปกรณ์ไว้ให้ผมก่อนที่จะออกไปทำความสะอาดหน้าร้าน ผมเริ่มต้นทำแป้งเค้กก่อน และระหว่างที่รอแป้งเค้กเย็นก็หันมาทำขนมปังเนยไว้ให้ตองหนึ่ง พอทุกอย่างเรียบร้อยก็ค่อยทยอยขนขนมเค้กไปเรียงไว้ในตู้หน้าร้าน

ผมแบ่งขนมปังไว้สี่ก้อนเป็นอาหารเช้าของผมและหนึ่ง จัดการแต่งหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งเล็กน้อยแล้วก็ถือออกไปวางไว้เคาน์เตอร์ ให้ตองหนึ่งหยิบกล้องมาถ่ายเล่นไป

“หนึ่งจะเอานมสดหรือโกโก้ดีครับ”

“อืม วันนี้ขอโกโก้ครับ”

ผมจัดการชงโกโก้ร้อนให้ตองหนึ่งและชงกาแฟให้ตัวเอง เสร็จแล้วก็หันไปหาหนึ่งที่ตอนนี้กินขนมปังหมดไปก้อนนึงแล้ว เคี้ยวจนแก้มกลมนั้นพองออกมาสองข้าง

"ช้าๆ ก็ได้ครับ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก”  ผมวางแก้วโกโก้ไว้ตรงหน้าหนึ่งแล้วก็เอื้อมมอไปเช็ดคราบน้ำตาลที่ขอบปากออกให้ ผมยืนมองตองหนึ่งที่ยกโกโก้ขึ้นมาเป่าจนแก้มพองลมออกมา ผมบิขนมปังเป็นชิ้นเล็กแล้วป้อนเข้าปากให้ ตองหนึ่งก็รับไปแล้วเคี้ยหงับๆ อย่าน่ารัก

เลี้ยงง่ายจริงๆ ป้อนอะไรให้ก็อ้าปากรับไปหมด แถมกินน่าอร่อยเสียด้วย คนทำอย่างผมนี้ยืนมองใจฟูไปหมดเลยครับ

“พี่นัทไม่กินขนมปังเหรอครับ”  ผมมัวแต่จิบกาแฟและมองตองหนึ่งกินอย่างเอร็ดอร่อยจนลืมกินขนมปังของตัวเอง แต่แค่เห็นหนึ่งกินอย่างอร่อยผมก็รู้สึกอิ่มไปด้วย

“หนึ่งยังไม่อิ่มเหรอครับ”

“ก็อิ่มแล้วครับ” ปากบอกว่าอิ่มแล้ว แต่จ้องขนมปังผมตาเป็นมันเชียว ผมหยิบขนมปังขึ้นมาแล้วก็เอาไปจ่อที่ปากเล็กๆ ของตองหนึ่ง

“พี่ให้” หนึ่งยิ้มออกมาแต่ก็ยังไม่ยอมอ้าปากกัดขนมปังเข้าไป

“แล้วพี่ไม่กินเหรอ”

“พี่กินแค่ก้อนเดียวก็อิ่มแล้วครับ”

คนตรงหน้ายิ้มกว้าง แล้วก็อ้าปากงับขนมปังเข้าไปคำใหญ่เรื่อยๆ จนหมดก้อน

“อร่อยมากๆ เลยครับ” กินหมดก็ส่งยิ้มหวานจับใจมาให้ หวานจนเบาหวานขึ้นตามองอะไรไม่เห็นนอกจากรอยยิ้มเขาไปชั่วขณะหนึ่งเลยทีเดียว

“มีอะไรที่พี่ทำแล้วหนึ่งบอกว่าไม่อร่อยบ้าง”

“ก็พี่ทำอร่อยทุกอย่างเลยนี่ครับ”

หนึ่งนั่งจิบโกโก้จนหมด ส่วนผมก็จัดการของตัวเองจนหมดแล้วเหมือนกัน หนึ่งเก็บจานจะเอาไปล้างแต่ผมคว้าแขนไว้ยังไม่ยอมให้ไป

“อะไรครับ?”

“ลืมอะไรรึเปล่า...”

ผมทำแก้มป่องแล้วเอียงให้ ก็ผมยังไม่ได้รางวัลเลยนี่ แต่คนตัวเล็กก็ไม่ได้บ่นอะไรยอมหอมแก้มผมดีๆ  แถมหอมทั้งซ้ายทั้งขวาเลยด้วย น่ารัก…

“ขอบคุณสำหรับของอร่อยๆ นะครับ” คำพูดที่มาพร้อมกับรอยยิ้มที่มีดาเมจแรงมาก ผมก้มลงไปจุ๊บที่ริมฝีปากเล็ก ตอนแรกผมก็แค่จะจุ๊บเบาๆ แต่ตองหนึ่งดันเผยอปากขึ้นเหมือนอยากได้มากกว่านั้น ผมก็กลัวน้องจะรอคอย เลยสอดลิ้นเข้าไปด้วย ปากของหนึ่งตอนนี้ร้อนกว่าปกติเพราะเพิ่งกินโกโก้มา แต่ยิ่งจูบก็ยิ่งรู้สึกดี

ผมดึงเอวเขาเข้ามากอดและกดท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้เขาขยับหนี กวาดลิ้นชิมรสหวานไปทั่งริมฝรปากจนหนำใจก็ผละออก มองหน้าแดงระเรื่อของเขาอย่างขบขัน

“พี่นัทขี้โกง...”

“พี่เปล่านะ”

“ขี้โกงสิ”

“ขี้โกงยังไงครับ ก็หนึ่งกินขนมปังไปตั้งสามก้อนจะมาจูบแค่สองทีได้ไง ”

“...”

“สามก้อน ก็สามที ถูกแล้วนะนี่พี่ยังไม่ได้คิดค่าโกโก้เลยนะครับพี่เสียเปรียบเสียด้วยซ้ำ”

“นั่นแหละที่โคตรขี้โกง”

"หึ แล้วหนึ่งชอบมั้ยครับ ที่พี่ขี้โกงแบบนี้"

เขาย่นจมูก ดันผมออกแล้วก็เดินเอาจานไปเก็บ ผมเห็นแก้มแดงที่ลามมายันใบหูแล้วก็ยิ่งอยากแกล้งให้หนักๆ   ผมเดินไปพลิกป้ายหน้าร้านเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าร้านเปิดแล้ว ไม่นานก็มีลูกค้าเข้ามา และก็เข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทั้งวัน

และเพราะขนมปังเนยสดขายดีมา จนผมต้องเข้าครัวมาทำใหม่ในตอนที่ลูกค้าไม่ค่อยมี ผมเรียกหนึ่งที่เดินเข้ามาพอดีมานวดแป้งขนมปังต่อ ผมจะได้ไปดูหน้าร้าน

“หนึ่งครับ มานวดนี่ให้พี่หน่อย”

ผมขยับออกเพื่อให้หนึ่งยืนหน้าโต๊ะ แต่หนึ่งกลับเดินตรงดิ่งมาทางผม และก็เริ่มต้นบีบแขนผม

“หนึ่งมาบีบเเขนพี่ทำไมครับ”

“ก็พี่ให้ผมมานวดให้ไงครับ”

“หะ? พี่หมายถึงนวดแป้งนี่นะ...”

ผมบอกอย่างงงๆ  ชี้ไปที่แป้ง แล้วเจ้าเตี้ยก็ยืนเอ๋อไปพักนึง ผมอดขำไม่ได้กับหน้าตาที่อ้าปากค้าง มองผมกับก้อนแป้งสลับกันไปมาแบบนี้  แล้วผมก็หัวเราะกับหน้าตาบ๊องๆ นั่น

“ไหวมั้ยครับเด็กเอ๋อ ฮ่าฮ่าฮ่า”  ผมล้อและบีบไปที่แก้ม หนึ่งปัดมือผมออก หน้าแดงและคิ้วขมวดใส่ผม

“ฮื่อ!”

“สมองเบลอเหรอครับ หรือเพราะเมื่อคืนนอนไม่พอ”

“หยุดหัวเราะเลย ก็พี่บอกไม่ละเอียดนี่ครับ  พี่บอกให้ผมมานวด ผมก็ไม่รู้ว่านวดอะไร ผมเห็นว่าพี่แก่แล้ว อาจจะปวดเมื่อย ก็เลยมาช่วยนวดให้”

“หึหึ เด็กเอ๋อ” ผมไม่หยุดหัวเราะ แถมใช้นิ้มชี้จิ้มย้ำๆ ไปที่แก้มกลมจนเขาจิ๊ปากรำคาญผม

“พี่นัท! หยุดหัวเราะได้แล้วครับ” ตัวเล็กพูด ทำหน้าตาบึ้งตึง ทุบมาทีต้นแขนผมเบาๆ  เหมือนไม่พอใจผมที่หัวเราะแบบนี้ แต่ผมหยุดขำไม่ได้จริงๆ  ยิ่งทำท่าทางแบบนี้ เหมือนแมวตัวเล็กๆ ที่กำลังขู่จนหางฟูอยู่เลย “พี่จะไม่หยุดใช่มั้ยครับ!”

“ก็เราน่ะ...ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมหยุดขำไม่ได้ ได้แต่กุมท้องตัวเอวเอาไว้ อยากจะบอกว่าผมไม่ได้ขำที่ตองหนึ่งนวดผิดแล้ว แต่ขำหน้าตาบ๊องๆ ก่อนหน้านี้ และท่าทางที่อายแต่ทำโมโหกลบเกลื่อนนี่ด้วย

“ผมจะไม่ช่วยพี่แล้ว” พูดจบ หนึ่งก็หน้าบึ้งจะเดินออกไป แต่ผมคว้าแขนและดึงกลับมาให้ยืนที่เดิม

“โอเคๆ พี่หยุดแล้ว หึหึ” ผมพยายามหยุดหัวเราะ แต่ยิ่งมองหน้าแดงบึ้งๆ  ปากยู่ๆ นั้นแล้วก็หลุดขำออกมาอีกครั้ง

“พี่นัท!” หนึ่งกดเสียงต่ำเรียกชื่อผม และฟาดเข้าที่ไหล่ผมดังเพี๊ยะ อะไรกัน...แมวน้อยน่ารักขี้อ้อนเมื่อเช้าหายไปไหนแล้ว ตอนนี้ล่ะดุจริ๊ง

“โอ๊ย เจ็บครับ”

“สมควร พี่ควรออกไปได้แล้ว หน้าร้านไม่มีคนเฝ้าครับ ถ้าผมนวดแป้งนี่เสร็จแล้วเดี๋ยวผมเรียก” หนึ่งดันผมออกห่าง แล้วก็เข้ามายืนนวดแป้งต่อ ผมเดินไปล้างมือที่อ่างแล้วก็หันไปคุยคนที่ยืนหน้าบึ้งนวดแป้งอยู่

“คืนนี้พี่ว่าจะทำข้าวห่อไข่ หนึ่งทานได้มั้ยครับ?”

“...” อีกฝ่ายทำปากยื่น เหลือบตามามองครู่หนึ่งแล้วก็ก้มลงนวดแป้งต่อโดยที่ไม่ได้ตอบอะไรผมกลับมา...เงียบแบบนี้ สงสัยผมคงโดนงอนแน่เลย

“งอนพี่เหรอ?” ผมพูดแล้วจิ้มไปที่แก้มนั้นทีนึง แต่ตัวเล็กไม่ตอบ เอาแต่นวดแป้งอย่างเดียวแถมมีการหันหน้าหนีด้วย อาการแบบนี้นี่ “งอนพี่เหรอครับ?” แล้วผมก็จิ้มไปอีกสองจึ้ก

“หึ” คราวนี้สะบัดหน้าหนีเลยล่ะ ผมโดนเด็กน้อยงอนอีกแล้ว

“โถ่ เด็กน้อยขี้งอน” ผมยังคงล้อและลูบหัวทุยๆ นั่นแล้วก็หัวเราะ แต่หนึ่งคงไม่ชอบใจเท่าที่ผมเรียกเขาว่าเด็กน้อย เขาหันมามองตาขวางทันทีเลย

“ผมไม่เด็ก!”

“ก็หนึ่งงอนพี่นี่ครับ มีแต่เด็กเท่านั้นแหละที่ขี้งอนหนะ”

“ก็พี่แกล้งผมก่อน” ผมหัวเราะกับท่าทางกะฟัดกะเฟียด แต่หนึ่งก็หันมามองผมตาขวางทันที ผมรีบเข้าไปกอดและหอมหัวนั่นฟอดนึง เอาใจเล็กน้อยก่อนที่คนขี้งอนในอ้อมกอดจะโกรธผมจริงๆ

“ก็หนึ่งน่ารักพี่ก็เลยอยากแกล้งนี่ครับ เนอะๆ เด็กน้อยน่ารักของพี่” ผมยกมือขึ้นมาบีบแก้มหนึ่งทั้งสองข้าง แต่เหมือนตัวเล็กนี่จะไม่เล่นด้วยเลย

“...พี่แกล้งผมเยอะไป ผมไม่ชอบที่พี่หวเราะเยาะผมแบบเมื่อกี้เลย” เขามุบมิบตอบ เขาดข้าใจผิด ผมไม่ได้หัวเราะเยอะที่เขาทำผิด ผมแค่หัวเราะเพราะเอ็นดูเขา

“...งั้น”

แต่ทำเขางอนไปแบล้ว ยังไงผมก็ต้องง้อแหละ ผมยิ้มแล้วก็เดินไปหยิบกล่องสตอว์เบอร์รี่มาเรียงใส่จานและเทเกร็ดช็อกโกแลตนำไปใส่ไมดครเวฟและนำออกมาคนจนละลาย

“พี่จะทำอะไรครับ”

“ง้อเด็กไงครับ อ้าม~” ผมหยิบสตอว์เบอร์รี่เย็นๆ มาจุ่มไปในช็อกโกแลตที่กำลังอุ่นได้ที่ จากนั้นก็ป้อนเขา ตองหนึ่งอมยิ้มมองของหวานในมือตาเป็นประกายก่อนจะอ้าปากงับเข้าไปทั้งลูก ผมมองเข้าเคียวแล้วก็ยิ้มตาม “อร่อยมั้ยครับ?”

“อื้อ…”

คนตัวเล็กพยักหน้าหงึกหงัก พอเคี้ยวลูกเก่าหมดก็อ้าปากรับลูกใหม่ที่ป้อนเข้าไป หึหึ ผมบอกแล้วว่าคนนี้เลี้ยงง่าย เอาอะไรมาป้อนก็อ้าปากรับเข้าไปหมด

“หายงอนพี่ยัง?”

“ไม่” เขาอมยิ้มเล็กๆ แล้วส่ายหน้าแถมแอบแลบลิ้นใส่ผมอีก อะไรกัน...นี่ผมเอาขนมมาง้อ เสียสตอว์เบอร์รี่ไปเกือบห้าลูกแต่เขาก็ยังไม่หายงอนอีก ใจร้ายจัง...สงสัยคำว่า คนน่ารักมักใจร้าย คงจะเป็นเรื่องจริง

“ทำไมล่ะ...เพระสตอว์เบอร์รี่ไม่อร่อย ช็อกโกแลตไม่หวาน หรือเพราะพี่หล่อเกินไปถึงไม่หายงอนเสียทีอ่ะ”

“หื้อ? เกี่ยวอะไรกับพี่หล่อครับ” ตองหนึ่งหลุดหัวเราะและส่งยิ้มหวานจนตาหยีมาให้ ดีต่อใจมากมาย

“หายงอนพี่แล้วใช่มั้ยครับ?”

“ยังครับ”

“อ้าว!” แล้วมายิ้ม มาหลอกให้พี่ดีใจเก้ออีก

“แต่...ถ้าพี่ป้อนสตอเบอรี่ผมอีกซัก 4-5 ลูก ผมอาจจะหายงอนก็ได้นะ”

“ต่อรองเก่ง~ แต่ถ้าจะยิ้มน่ารักแบบนั้น อยากกินอีกทั้งสวนพี่ก็ยอมครับ”





ของเก่าจะเป็น “ต่อให้ป้อนอีกร้อยลูกก็ยอม” แต่เราอยากให้รู้ว่าพี่นัทมันหลงน้องขนาดไหน

ก็เปลี่ยนเป็นสวนค่ะ 5555 แบบพี่นัทนี่ต้องเอาให้เวอร์ไว้ก่อนเลย



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 17 : น่ารัก l 16-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-09-2019 00:56:00
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 18 : เปลี่ยนแปลง l 16-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 20-09-2019 19:34:31
18 : เปลี่ยนแปลง


เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ช้าๆ ทุกวันทีเรื่องให้ผมสุขใจตลอด จนตอนนี้ ผมเป็นแฟนกันพี่นัทมาได้ 10 เดือนแล้ว น่าดีใจที่พี่นัทยังไม่มีท่าทีเบื่อหรือรำคาญผมแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าช่วงหลังนี้จะเอาแต่ใจมากก็ตาม

ผมมักเป็นแบบนี้เสมอ ถ้าคนที่ไม่สนิทด้วย ผมก็ขี้อาย พูดน้อย แต่ถ้าสนิทกันผมก็จะพูดมาก แต่กับพี่นัทนั้น ผมพูดเยอะขึ้นจนตัวเองยังตกใจ ผมไม่เคยเถียง ไม่เคยเผลอแตะเนื้อต้องตัวคนอื่นเวลาที่ผมเขินหรือโมโห แต่กับพี่นัทผมทำทุกอย่างที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองก็ทำอารมณ์แบบนั้นได้ด้วย แต่ก่อนแค่แตะตัวพี่นัทผมก็ไม่กล้า แต่ตอนนี้ผมตีเขาป้าบๆๆ  ตอนแรกๆ ผมกล้าพูดกับพี่นัทแค่คำว่า ‘ครับ’ แต่ตอนนี้ผมเถียงพี่เขาแทบจะทุกคำ แถมบางวันมีการสวนกลับอีกตังหาก เมื่อก่อนพี่นัททำอะไรมาผมก็กินหมด แต่ตอนนี้ผมกลับเป็นคนสั่งให้พี่นัททำของที่ผมอยากกิน 

รู้สึกเป็นพระคุณมากที่พี่นัท ไม่แสดงท่าทางว่าอยากจะทิ้งและไล่ผมออกจากร้านเลยซักนิด ทั้งที่ผมคิดว่าตัวเองตอนนี้โคตรเอาแต่ใจ  ถึงแม้ว่าจะทะเลาะ มีงอแง แต่ก็งี่เง่าใส่กันไม่นาน เพราะพี่นัทชอบทำของอร่อยๆมาตามง้อทุกที เพราะพี่นัทตามใจ ผมก็เลยเคยตัวแบบนี้ไง ความผิดพี่นัทเลย

“หนึ่งครับ นมสดปั่นเพิ่มวิปราดคาราเมลหนึ่งแก้วครับ” พี่นัทหันมาสั่งออเดอร์กับผม ตอนนี้ผมสามารถปั่นเครื่องดื่มง่ายๆได้หลายอย่างแล้ว หลังจากเลิกงาน พี่นัทก็สอนผมทำอยู่เป็นเดือนกว่ารสชาติจะถูกใจพี่แก แต่กว่าจะอร่อยถูกใจนั้น พี่นัทเทน้ำผมไปเป็นสิบๆแก้ว ผมก็แอบเสียดายบ้าง แต่ถ้าให้กิน ผมก็ขอบายครับ เดี๋ยวจืด เดี๋ยวหวาน บางแก้วนี้เค็มอย่างกับใส่เกลือไปทั้งโหล

“โต๊ะไหนครับพี่”

“สามครับ”  หลังจากเทใส่แก้ว บีบวิปครีม ราดคาราเมลและตกแต่งแล้วผมก็ถามพี่นัทแล้วก็ยกไปเสริฟ คุยกับลูกค้านิดหน่อย

ผมเดินกลับมาที่เคาน์เตอร์ก็เห็นพี่นัทที่ยืนมองผมอยู่

“อะไรครับ” ผมเดินผ่านพี่นัทเข้ามาในเคาน์เตอร์ พี่แกก็หมุนตัวจ้องตามผมตลอด

“ก็เมียน่ารัก พี่เลยชอบมอง” คำพูดที่มาพร้อมแววตากะลิ้มกะเหลี่ย

“พี่นัทอย่าพูดแบบนั้นตอนที่มีลูกค้าสิครับ”

พี่นัทดึงมือผมให้เดินเข้าไปใกล้ๆ ขยำแก้มผมทั้งสองข้างเบาๆ แล้วก็ยิ้ม

“น่ารัก น่าฟัด น่า…”

“น่าอะไรครับ” พี่นัทเว้นช่วงไปสักพักหนึ่งจนผมอยากรู้ เลยถามออกไป

“น่าเอา”

ผลั่วะ!!

“โอ๊ย!! นั่นถาดเลยนะครับ”

ผมใช้ถาดที่อยู่ฟาดไปที่แขนพี่นัทไม่แรงมากนัก แล้วก็เดินมาเช็ดเคาน์เตอร์แก้เขิน

“ถ้าเป็นมือนิ่มๆจะไม่ว่าเลยซักคำ”

พี่นัทบ่น เดินตามมายืนข้างๆผม แล้วก็ขยำไปที่ก้นผม จนตัวผมสะดุ้งหันไปกะว่าจะฟาดอีกที แต่พี่นัทตั้งกาดป้องกันไว้

“โอ๊ย!! พี่เจ็บ”

“ผมยังไม่ได้ตี!!”

“55555 ก็ร้องเผื่อไว้ไงครับ” ผมลดมือลงแล้วก็หน้าบึ้งกับท่าทางกวนๆของพี่นัท

“กวนนักนะพี่นัท”

“หนึ่งอ่ะ ใจร้าย ชอบทำร้ายร่างกายพี่”

“ก็พี่แกล้งผมก่อน”

“ที่แกล้งก็เพราะรัก” พี่นัทใช้นิ้มเขี่ยไปมาทีแก้มของผมแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

“แล้วพี่แกล้งผมแบบนี้ ไม่กลัวผมไม่รักเหรอครับ”

ผมทำเสียงอ่อนและช้อนตามองพี่นัทที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ เพิ่มความออดอ้อนด้วยด้วยการกระพริบตาช้าๆ

“โห…” พี่นัทถอยหลังออกไป ผมรู้สึกขำกับท่าทางใหล่ตก และมือขวาที่ยกขึ้นมากุมบริเวณหน้าอกด้ายซ้าย

ผมรู้ว่าพี่ชอบให้ผมอ้อน พอผมรู้จุดอ่อนนี้ผมก็เลยอ้อนบ่อยเลย

“ชอตเมื้อกี้ ทำเอาใจสั่นเลยแหะ” พี่นัทพึมพำแล้วก็ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้งแล้วก็ก้มลงมาลมหายใจร้อนของพี่นัทกระทบที่ใบหูของผม

“หนึ่งครับ พี่ขอหอมแก้มซักฟอดได้มั้ยครับ” ผมมองหน้าพี่นัทที่ยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่

“แต่มีลูกค้าอยู่นะครับ”

“แค่คนเดียวเองครับ นั่งอยู่ในมุมด้วย เขาไม่รู้หรอกครับ”

“อย่าเลยครับ มันไม่ดีนะ”

ผมดันพี่นัทออก แต่คนตัวสูงก็ขยับเข้ามาใหม่ แถมแนบชิดกว่าเดิมอีกด้วย

“นะครับ แค่จุ๊บเดียวเอง” พี่นัทใช้นิ้วเรียวยาวเขี่ยนิ้วก้อยผมไปมาเบาๆ

“.........” ผมชะเง้อคอมองไปที่ลูกค้าที่นั่งอ่านหนังสืออยู่

“น๊าาา น้องหนึ่งคนดีของพี่ ตอนนี้ขอแค่จุ๊บเดียวจริงๆ”

พี่นัทแพ้ความออดอ้อนของผม ตัวผมเองก็แพ้ลูกตื๊อลูกอ้อนของพี่นัทเช่นกัน เสียงทุ้มนุ่ม แววตาอบอุ่นแต่กลับดูแวววับอยู่ในที แล้วยังจะมีริมฝีปากนิ่มๆที่อมยิ้มอยู่อีก เห็นทีไรใจอ่อนทุกทีเลยเว้ย!!

ผมนั่งลงกับพื้นหลังเคาน์เตอร์ ดึงพี่นัทให้ตามลงมา แล้วผมก็ยื่นแก้มขวาให้พี่นัท

พี่นัทเห็นแบบนั้นก็ได้ใจ ยิ้มกว้างคว้าตัวผมเข้าไปกอด จนผมเซทับพี่นัทไปเต็มๆ

“สุดที่รักของพี่”

“อื้อ!”

พูดจบพี่นัทก็กอดผมเข้าเต็มรัก และกดจมูกลงมากับแก้มผม พี่นัทสูดหายใจเข้าแรงๆ จนรู้สึกราวกับว่าแก้มของผมผมดูดเข้าไป เพียงแค่นั้นยังไม่พอพี่แกยังถูจมูกโด่งๆไปมากับแก้มผมอยู่พักนึงเลย

ฟอด!!

“อื้อ พอแล้วครับ เดี๋ยวลูกค้ามาเห็น”

“ฮาา ชื่นใจ~” พี่ผละออกแต่ยังกอดผมอยู่ แถมยังดึงผมขึ้นไปนั่งตักและส่งยิ้มละมุนละไมมาให้ พี่นัทยิ้มแบบนี้ทีไรผมเขินทุกที

หลังจากนั้นก็ส่งพยุงผมให้ลุกขึ้น ผมมองไปที่ลูกค้าที่ยังอ่านหนังสืออยู่ท่าเดิมไม่ขยับ แล้วก็หันมาขมวดคิ้วใส่พี่นัท

“เมื่อกี้พี่แทบจะดูดแก้มผมเข้าไปแหนะ”

“หนึ่งครับ ถ้าพี่ทำได้นะ พี่อยากจะ ดูดหนึ่งเข้ามาเก็บไว้ในกระพุ้งแก้มพี่ด้วยซ้ำครับ”

“ผมมีแฟนเป็นโรคจิต”

ผมว่าไม่จริงจังนักพลางทำหน้าแหยงใส่ พี่นัทเลยหัวเราะออกมา ผมหันไปเช็ดเคาน์เตอร์ส่วนพี่นัทก็ยังยืนอยู่ใกล้คอยยุ่งวุ่นวายกับผมอยู่ตลอดเวลา

ผมว่า กว่าพี่นัทจะเบื่อ ผมคงจะเบื่อพี่นัทก่อนแน่เลย

“หนึ่งครับ พอลูกค้าคนนี้ออก เราปิดร้านกันเลยดีมั้ยครับ?”

“อ้าว ทำไมล่ะครับ เพิ่งจะสองทุ่มเอง พี่ต้องไปธุระเหรอครับ” โดยปกติแล้ว พี่นัทจะเริ่มปิดร้านตอนประมาณห้าทุ่ม แต่ก็มีบางครั้งที่ปิดเร็วหากพี่นัทต้องไปธุระ

“อยากปิดเร็วหน่อย พี่ว่าจะพาไปกินข้าวข้างนอกครับ”

“พี่ไม่ทำกินเองเหรอครับ” วันนี้ผมกะว่าจะอ้อนให้พี่นัททำต้มซุปไก่ให้กินซักหน่อย

“พี่เหนื่อยแล้วก็ขี้เกียจด้วยครับ ทำไมเหรอ หนึ่งไม่อยากออกเหรอครับ?”

พี่นัทถามกลับ มันก็ไม่ใช่ผมไม่อยากออกไปกินข้างนอกนะ แต่ว่ากว่าจะหาร้านได้ หาที่จอดรถอีก แล้วรถก็ติดอีก พี่นัทก็จะยิ่งเหนื่อยน่ะสิ

“ครับ ไม่อยากออก” แล้วก็มีความคิดเล็กๆโผล่แวบเข้ามาในหัวว่า ถ้าพี่นัทก็ไม่อยากทำ งั้นผมก็เป็นคนทำเองสิ

“เย็นนี้ผมทำให้ทานมั้นครับ”

พี่นัททำตาโตใส่ผม

“หนึ่งทำอาหารเป็นเหรอครับ?” ผมไม่ตอบแต่ยิ้มกว้างกลับไป

และไม่นานลูกค้าก็ออกจากร้านไป พี่นัทเดินไปพลิกป้าหน้าร้านและปิดม่าน ส่วนผมก็จัดการเก็บแก้วและเช็ดโต๊ะเล็กน้อย แล้วก็เดินตามพี่นัทเข้าหลังร้านไป

“จะทำอะไรให้พี่กินครับ”

“ไม่บอกก” ผมลากเสียงยาวอย่างยวน พี่นัทเลยแค่ยักใหล่และเดินไปลากเก้าอี้มานั่งรอตรงโต๊ะ  ผมจัดการเข้าอินเตอร์เน็ตหาสูตรทำต้มซุปไก่ และก็เริ่มทำตามทุกขั้นตอน และก็หุงข้าวจนเสร็จ ทุกอย่างผ่านไปอย่างทุลักทุเลเพราะผมไม่เคยทำกับข้าวเองเลย ซื้อข้าวแกงกินตลอด แต่ตอนเสร็จหน้าตาก็ดูใช้ได้นะ ที่น่าภูมิใจสุดๆคือ ผมทำเองคนเดียวทุกขั้นตอนโดยที่ผมไม่ยอมให้พี่นัทมาช่วยเลยแม้แต่น้อย

“เสร็จรึยังครับ พี่หิวมากเลยนะ” พี่นัทเดินเข้ามาดูใกล้ๆ ผมหันไปยิ้มและส่งช้อนให้พี่นัทชิม นี่ให้พี่นัทชิมคนแรกเลยนะ เป็นการตัดริบบิ้นไง

พี่นัทตักน้ำซุปใสๆขึ้นมาเป่าและนำเข้าปากช้าๆ ผมยืนมองอยู่ข้าง รู้สึกตื่นเต้นนิดๆ

พี่นัทชิมเข้าไป แล้วก็หันมายิ้มให้กับผม ยิ้มแบบนั้นแสดงว่าอร่อยใช่มั้ย?

“จืดมากเลยครับ นี่พี่นึกว่ากินน้ำเปล่าอยู่นะ” ผมนี่หุบยิ้มแทบไม่ทันเลย ความมั่นใจในตอนแรกสลายหายวับไปทันที

“จริงเหรอครับ แต่ผมก็ใส่เกลือไปเยอะเลยนะ” พี่นัทส่งช้อนมาให้ผ ผมเลยเข้าไปลองชิมด้วยตัวเอง

จืดจริงด้วยอ่ะ ผมวางช้อนแล้วก็ยิ้มเจื่อนไปให้พี่นัท จ๋อยเลยสิผมเนี่ย

“เห็นมั้ยครับ พี่บอกแล้วว่าจืด”

“แต่ผมทำตามสูตรเป๊ะๆเลยนะครับ เขาใส่อะไร ผมใส่ตามหมดเลย”

“หนึ่งตวงผิดรึเปล่าครับ”

ผมส่ายหน้า เพราะไม่รู้ และก็ไม่แน่ใจด้วย

“นี่หนึ่งใส่น้ำไปกี่ถ้วยครับ พี่ว่ามันเยอะเกินไปนะ”

“สามครับ”

พี่นัทดูหน้าในหม้อและขมวดคิ้ว

“พี่คิดว่านี่มันเกินสามนะครับ เดี๋ยวนะ หนึ่งใช้ไอนี่ตวงน้ำเหรอครบ” ระหว่างที่พูดหันไปเห็นถ้วยเหล็กที่ผมใช่ตวง แล้วก็หันมาถามผม

“ใช่ครับ” พี่นัทหัวเราะออกมาเบาๆ

“นี่ไม่ใช่ถ้วยนะ นี่กะละมังครับ กะละมังใบเล็กแบบนี้ใช้ตวงน้ำไม่ได้นะ มันจะเยอะเกินไปแบบนี้ไงครับ”

“ก็ผมไม่รู้ เห็นขนาดใกล้เคียงกัน แค่ใหญ่กว่านิดเดียว ก็เลยเอามาตวงน้ำ”

“ถ้ากะน้ำนี่ยังผิด และน้ำที่ใช้หุงข้าวล่ะครับ” พี่นัทหันไปเปิดฝาหม้อข้าวและใช้ทัพพีตักขึ้นมาเป็นข้าวแฉะๆที่ไม่เป็นเม็ดเลย

“หือออ แฉะเป็นข้าวต้มเลยครับหนึ่ง”

ผมถูมือและยิ้มเจื่อนๆไปให้ สรุปที่ทำมานี่ ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะ

“เฮ้อออ ไปหากินข้างนอกตั้งแต่แรกก็จบแล้วนะครับเนี่ย พี่ก็อุตส่าทนหิวรอกินฝีมือหนึ่ง สุดท้ายพี่ก็ต้องมาทำเองอยู่ดีนะเนี่ย”

พี่นัทดันตัวผมออกเล็กน้อย และเข้ามาจัดการตักน้ำซุปที่เกินมาเยอะออก ผมยืนมองพี่นัททำเงียบๆ ส่วนพี่นัทก็พูดอธิบายปนบ่นไปให้ผมฟัง ผมนี่จ๋อยแล้วจ๋อยอีก

ก็ผมรู้ว่าพี่นัทเหนื่อยก็เลยอยากเอาใจทำของอร่อยๆให้กิน แต่มันดันไม่อร่อยอย่างที่คิด แถมพี่นัทก็ยังบ่นไม่หยุดอีก จากที่เฟลๆตอนแรกก็กลายเป็นความรู้สึกน้อยใจขึ้นมานิดๆ

“ก็ผมเห็นพี่เหนื่อย ก็เลยไม่อยากให้ขับรถออกไปไหน อยากช่วยพี่ ก็เลยจะทำให้กิน พี่ทำของอร่อยให้ผมกินตั้งเยอะ ผมก็อยากทำของอร่อยให้พี่บ้าง แต่มันดันไม่อร่อย”

“.......” พี่นัทหยุดมือและหันมามองผมพูด

“ก็แค่นั้นเองครับ”

ผมก็ยืนใหล่ตกเงียบๆอยู่ข้างพี่นัท เฟลอ่ะ น้อยใจด้วย ไม่ได้อยากเพิ่มภาระให้พี่นัทซักหน่อย แค่อยากช่วยเอง

"ที่รักของพี่ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ"

ผมไม่รู้ตัวเองทำหน้าตาแบบไหนอยู่ แต่พี่นัทขยับเข้ามายกมือใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่แก้มผมและดึงตัวเข้าไปกอด พร้อมทั้งยังลูบแผ่นหลังผมอีกด้วย พี่นัทคงรู้ว่าผมน้อยใจแน่เลย

“พี่ขอโทษที่เผลอหงุดหงิดใส่น้องหนึ่งนะครับ”

ผมกอดตอบ ส่ายหน้าและตอบเสียงอู้อี้กับหน้าอกของพี่นัท

“พี่ไม่ผิดครับ”

เราเงียบกับไปสักพักแล้วพี่นัทก็ดึงตัวผมออก ส่งยิ้มมาให้ผม

“แต่พี่ยังอยากกินข้าวฝีมือหนึ่งอยู่นะครับ” พี่นัทดึงผมให้มายืนหน้าเตา ส่วนตัวพี่นัทเองยืนอยู่ข้างๆผม และยื่นทัพพีมาให้ผม

“พี่ตักน้ำออกให้แล้ว หนึ่งก็ปรุงตามสูตรที่หนึ่งหามาได้เลยครับ”

ผมส่ายหน้า ความมั่นใจหายไปแล้ว ตอนนี้ไม่กล้าปรุงอะไรเพิ่ม กลัวจะรสชาติห่วยมากไปกว่าเดิม

“งั้นมาทำพร้อมไปกับพี่นะครับ”

หลังจากนั้นพี่นัทก็บอกให้ผมใส่เครื่องปรุงต่างๆ ผมหยิบพริกไทยมาใส่พี่นัทก็มายืนซ้อนหลัง จับที่ข้อมือผม ออกแรงผ่านมือผมให้ใส่พริกไทยลงไปในซุปด้วยปริมาณที่พอเหมาะ

พอพี่นัททำแบบนี้ ผมก็นึกถึงตอนที่พี่นัทสอนผมตีครีม ผมคิดจนเผลอยิ้มออกมา

“ยิ้มอะไรครับ”  พี่นัทถาม ผมก็ส่ายหน้าแต่ก็ยังหุบยิ้มไม่ได้ 

กลิ่นหอมๆของซุปเริ่มเข้มข้นขึ้นตามปริมาณเครื่องปรุง

“กลิ่นหอมมากๆเลยครับพี่” ผมเงยหน้าไปบอกพี่นัท แล้วก็หันกลับมามองน้ำซุปในหม้อที่กำลังเดือดปุดๆ พี่นัทยื่นหน้าผ่านใหล่ผมมาดมกลิ่นหอมของซุป โดยที่แก้มผมและพี่เขาเฉียดไปนิดเดียวเอง

“อืมม หอมจริงด้วยครับ” พี่นัทพูด แล้วก็หันมากดจมูกลงบนแก้มผม อีกทั้งยังสูดลมหายใจเข้าไปแรงๆ

“แต่นี่หอมกว่า” แล้วพี่นัทก็ถูไถแก้มไปมากับแก้มผม ผมยืนนิ่งๆเอียงแก้มให้พี่นัทถู

ผมหลุดยิ้มออกมาด้วยความเขินปนความสุข ความน้อยใจเมื้อกี้อ่ะเหรอ โยนทิ้งลงท่อไปแล้วครับ

พี่นัทหัวเราะออกมาเบาๆ ขยับตัวออก หยิบช้อนมาตักน้ำซุปในหม้อมาชิม แล้วก็ตักอีกช้อนขึ้นมา เป่าไล่ความร้อนอยู่พักหนึ่งแล้วก็ยื่นมาให้ผม ผมก็ค่อยซดน้ำซุปอุ่นๆนั่นเข้าไป รสชาติความอร่อยซึมไปทั่วปาก ส่งผลให้น้ำย่อยในท้องผมทำงานอย่างหนึ่งจนเกิดเสียง

“อร่อยมากครับ”

พี่นัทยิ้มหันไปปิดเตา ตักต้มซุปไก่ร้อนๆใส่ชาม แล้วเราก็ตั้งโต๊ะกินมื้อเย็นกัน

“ข้าวแฉะมากๆเลย” ผมบ่นกับตัวเอง ข้าวในจานนั้น ดูไม่น่ากินเลย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าวแฉะก็ดีนะ ย่อยงายดี” พี่นัทพูดแล้วก็ส่งเนื้อไก่ที่เลาะกระดูกออกเรียบร้อยแล้วมาให้ผม

“ขอบคุณครับ”

มื้อเย็นของผมกับพี่นัทที่ตอนแรกนึกว่าจะพังแล้ว ผ่านไปด้วยดี จานชามทุกใบถูกเก็บล้างวางอยู่ในตู้เรียบร้อย ขึ้นห้องมาอาบน้ำจนสบายทั้งใจ สบายทั้งกายก็พุ่งหลาวใส่เตียงนอนนุ่มๆ แทรกตัวหนีแอร์เย็นๆเข้าไปในผ้านวมอุ่นๆ

พี่นัทปิดไฟเหลือแค่แสงสลัวๆจากไฟหัวเตียงแค่นั้น พอพี่นัทล้มตัวลงนอน ผมก็เอื้อมมือไปปิดจนทั้งห้องมืดสนิท ผมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ขยับเข้าไปใกล้ไออุ่นของพี่นัท แล้วก็หลับตาลงเตรียมตัวนอนหลับพักผ่อน

แต่เหมือนว่าพี่นัทจะไม่อยากพักผ่อนซักเท่าไร เพราะอยู่ๆพี่แกก็ลุกขึ้นคร่อมตัวผมและประกบปากลงมาอย่างแม่นยำก่อนที่ตัวผมจะได้พูดอะไร

พี่นัทแยกขาผมออกกว้างแทรกตัวเข้ามา ฝ่ามือร้อนไล้ลูบและขยำไปตามเนื้อตัวผม  ผมไม่ยอมเสียเปรียบที่โดนลูบอยู่คนเดียว ผมขยับมือขึ้นมาลูบไปตามแผ่นหลังและกล้ามหน้าท้องของพี่นัทไปทั่ว และค่อยลากลึกเข้าไปใต้กางเกงนอนของพี่นัท

พี่นัทถอนจูบออก เปลี่ยนมาแนบปากร้อนไปตามผิวเนื้อของผม ดูดบ้าง กัดบ้าง ทิ้งรอยแดงจางๆไว้ตามผิวของผม  ผมถอดเสื้อที่พี่นัทถลกขึ้นมาไว้เหนือแผ่นออกตามด้วยพยายามถอดเสื้อคนตัวโตที่คร่อมผมอยู่ออกด้วยเช่นกัน

พี่นัทจูบดูดไปตามหน้าท้อง พาปากร้อนๆนั่นต่ำลงไปเรื่อยๆ มือที่ลูบอยู่บริเวณสะโพกค่อยดึงกางเกงนอนตัวเล็กผมออก รูดออกจากเรียวขาและพาดไว้กับกับขอบเตียง แล้วกลับมาจูบซับไปตามเรียวขา พร้อมทั้งยังจ้องมองผมด้วยสายตาที่ผมเห็นแล้ว...พี่จะทำอะไร ผมยอมทุกอย่างเลยครับ

คนที่จ้องผมอยู่จูบมาลงมาจนถึงข้อพับและยังลงมาเรื่อยๆจนถึงต้นขาด้านใน ลมหายใจร้อนกระทบซอกขาพาให้ผมรู้สึกขนลุกและเกร็งตัว พี่นัทลากลิ้นแผ่วเบาใกล้เข้ามาที่จุดอ่อนไหวของผมช้าๆ ยิ่งผมรู้ว่าตัวเองกำลังจะโดนทำอะไร อารมณ์ของผมก็สูงขึ้น พี่นัทเงยหน้าขึ้นมาจ้องตาผมอีกครั้ง และเลียริมฝีปากตัวเอง ก่อนที่จะก้มไปตรงหว่างขาผมและ…..

กริ๊งงง!!! กริ๊ง!!!!!

ทั้งผมและพี่นัทต่างก็สะดุ้งกันทั้งคู่ ผมตกใจไปพักหนึ่ง เพราะสติยังไม่เข้าที่ จนรำลึกได้ว่า นี่มันเสียงโทรศัพท์ผมนี่หว่า

ผมรีบหากางเกงขึ้นมาใส่และถลาไปหาโทรศัพน์ที่ผมวางไว่บนโซฟา

“โอ๊ย!!” แต่เพราะรีบเกินไปบวกกับความมืดทำให้ผมเตะเข้าที่ขาโต๊ะอย่างจัง เจ็บจนน้ำตาจะไหล

“หนึ่งเป็นอะไรครับ!”  พี่นัทเปิดไฟหัวเตียงและถาม ผมส่ายหน้า ข่มความเจ็บ และตะเกียกตะกายไปรับโทรศัพท์

ใครฟระ โทรมาได้ถูกเวลาจริงๆ

(ตองสอง)

…….

….



..

หลังจากวางสายและปิดเสียงแล้ว ผมก็เดินกลับมาหาพี่นัทที่นั่งรออยู่บนเตียง

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

เป็นสิ จิตใจผมตอนนี้มันเหี่ยวฟีบไปแล้ว ไม่น่ารับโทรศัพน์เมื่อกี้เลยอ่ะ

“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ ใครโทรมาเหรอ?”

“น้องชายผมครับ”

ผมกระโจนใส่พี่นัท ซุกตัวและกอดพี่นัทไว้แน่น

“พี่นัทครับ…”

“ว่าไงครับ”


“พรุ่งนี้ ผมต้องกลับไปนอนห้องของตัวเองแล้วนะครับ”




#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 18 : เปลี่ยนแปลง l 16-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-09-2019 21:05:06
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่ชื่อตองหนึ่ง  น้องชื่อตองสอง  ถ้ามีอีกคนคงชื่อตองสาม ตองสี่  ไปเรื่อย ๆ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 19 : ตองสอง l 27-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 27-09-2019 18:37:08
19 : ตองสอง


(พี่...นอนยัง? คุยได้มั้ย?)

น้ำเสียงนิ่งๆ ของน้องชาย ถามขึ้นหลังจากที่ผมรับสาย

“กำลังจะนอนแล้ว มีอะไรล่ะ โทรมาซะดึก” ความจริงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มตังหากครับ

(สองได้ที่ทำงานแถวคอนโดพี่อ่ะ แม่เลยให้สองไปอยู่กับพี่)

“...”

(พรุ่งนี้เย็นๆ  น่าจะถึง)

“เดี๋ยว! พรุ่งนี้เลยเหรอ แล้วจะมาอยู่นานแค่ไหน” ผมถามตาโต เร็วไปมั้ยเนี่ย? กะทันหันมาก ผมเตรียมตัวไม่ทันจริงๆ ผมมาอยู่กับพี่นัทเกือบตลอด ที่ห้องผมฝุ่นคงเต็มไปหมด

(จนกว่าผมจะหาที่อยู่ได้ หรือไม่ก็จนกว่าพี่หรือสองจะมีเมียเพราะแม่อยากให้เราอยู่ด้วยกัน สองยังไงก็ได้ พรุ่งนี้พี่ก็ลองคุยกับแม่ดูสิ)

“แม่มาด้วยเหรอ”

(ใช่ พ่อกับแม่ก็จะไปหาพี่ด้วยเขาคิดถึงพี่กันมาก)

“พี่ก็คิดถึง” ผมไม่ได้กลับบ้านมาเกือบปีกว่าๆ แล้ว ทุกทีผมจะกลับแค่ช่วงปีใหม่ แต่ปีที่ผ่านมา ผมยุ่งกับการหางาน พอหางานได้ก็ยุ่งอยู่อีก เลยไม่ได้กลับ แต่ผมก็โทรหาแม่หาพ่อเกือบทุกอาทิตย์ แต่คุยผ่านโทรศัพท์มันไม่หายคิดถึงหรอก

(พี่เลิกงานกี่โมง?)

“ประมาณสี่ทุ่ม”

(ดึกเกินไป พ่อกับแม่คงได้กลับดึกเพราะรอเจอพี่แน่ๆ  พี่ลางานไม่ได้เหรอ?)

“...” ผมเงียบ มองไปที่พี่นัท ไม่อยากลางานแต่ก็ไม่อยากให้พ่อแม่ขับรถกลับดึกๆ  ถ้าจะให้ค้างที่ห้องผม แม่ก็ห่วงบ้านอีก พ่อกับแม่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบนอนค้างที่อื่น เพราะจะห่วงบ้านตลอด “เดี๋ยวพี่ลองขอดู”

(โอเค พรุ่งนี้เจอกัน)

นั่นคือบทสนทนาของผมและน้องที่คุยกัน นั่นแหละครับ...ผมมีน้องชื่อตองสอง ห่างจากผมแค่ 2 ปี เราเลยค่อนข้างสนิทกัน บุคลิคก็คล้ายๆ กัน แต่มันเท่กว่า หล่อกว่า เพราะมันรูปร่างเหมือนพ่อ ส่วนผมตัวเล็กเหมือนแม่...แต่ก็ถือว่าดูดีเหมือนกัน

“พี่นัทครับ…”

“ว่าไงครับ”

“พรุ่งนี้ ผมต้องกลับไปนอนห้องของตัวเองแล้วนะครับ”

พี่นัทมองผมที่ยังกอดอกอยู่ท่าเดิม ผมถอนหายใจออกมาแล้วก็หลับตาลง

“ทำไมล่ะครับ”

“น้องผมจะมาอยู่ด้วย ไม่รู้ว่านานแค่ไหน อาจจะจนกว่าน้องจะมีแฟนแล้วออกไป”

“แล้วทำไมหนึ่งถึงจะยังนอนกับพี่ไม่ได้ล่ะครับ ก็ให้น้องของหนึ่งนอนห้องนั้นไป ยังไงหนึ่งก็ไม่ได้ใช้ห้องนั้นแล้วนี่ครับ”

“ไม่ได้ครับ ถ้าทำแบบนั้น น้องผมก็สงสัยนะสิ ผมไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นพวกอะไรแบบนี้”

ใช่ครับ ส่วนหนึ่งที่ผมหนักใจคือ ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวรู้ผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ผมกลัวว่าพวกเขาจะรับผมไม่ได้ ผมกลัวว่าเขาจะให้ผมเลิกกับพี่นัท กลัวหลายๆ อย่าง

“...” พี่นัทมองผมและเงียบไป จนผมเริ่มนึกได้ว่า ที่ผมพูดไปแบบนั้นก็อาจทำให้พี่นัทรู้สึกไม่ดี

“พี่นัท ผมขอโทษที่พูดแบบนั้น ผมรักพี่นะครับ แต่ผมกลัวครอบครัวผมรับไม่ได้ ตอนนี้ผมเลยยัง...ผม…” พยายามคิดหาเหตุผลแต่ยิ่งคิดสมองผมยิ่งไม่ทำงาน ผมรู้ว่าเรื่องชอบเพศเดียวกันมันเป็นเรื่อปกติไปแล้ว แต่ก็มีคนรุ่นเก่าหลายคนที่ยังรับความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้ ซึ่งผมไม่รู้ว่าพ่อแม่ผมจะคิดกันยังไง ผมรักพี่นัทแต่ผมก็รักครอบครัวของผมเช่นกัน

ผมไม่อยากให้ครอบครับผิดหวังกับผมไปมากกว่านี้และผมไม่อยากให้พี่นัทเสียใจเพราะผมด้วย

“ตองหนึ่งอย่าคิดมากสิ พี่ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย พี่เข้าใจว่ามันค่อนข้างละเอียดอ่อน เรื่องครอบครัวไม่ต้องคิดมากเลยครับ ถ้าหนึ่งไม่อยากให้เขารู้...เราก็จะยังไม่ให้เขารู้”

“แต่เราก็จะไม่ได้นอนด้วยกัน ไม่ได้กอดกัน ไม่ได้จูบกันด้วย”

“แต่ยังไงเราก็ต้องเจอกันทุกวันอยู่ดี แล้วอีกอย่างเมื่อก่อนเราก็ไม่ได้นอนด้วยกันทุกคืน แต่ตอนกลางวันพี่ก็ยังกอด จูบหรือทำอะไรๆ มากกว่านั้นได้เลย จริงมั้ยครับ?  ”

พี่นัทจับคางผมให้เงยหน้ามอง แววตาพี่นัทเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ ผมมองแล้วก็เขินขึ้นมา คิดถึงเมื่อก่อนที่ผมโดนพี่นัทหลอกล่อ พอมาคิดดูแล้วตอนนั้นผมมันโคตรซื่อเลย โดนพี่เขาหลอกล่อจนมาติดกับเสียได้

พี่นัทเอนตัวลงนอน ดึงผมที่กอดแน่นไม่ยอมปล่อยให้ขึ้นไปนอนทับข้างบน พี่นัทลูบหัวผมไปให้ผมผ่อนคลาย

“พรุ่งนี้ผมอาจจะต้องลางานเพราะพ่อแม่มาด้วย ผมให้เขารอจนเลิกงานไม่ไหว ไม่อยากให้เขากลับดึก”

“ไม่เป็นไรครับ พี่น่าจะทำคนเดียวได้”

“พี่อย่าหักเงินเดือนผมนะ”

“อืม...คงต้องหักครับ บอกกะทันหันแบบนี้พี่ลำบาก แต่ถ้ามีใบรับร้องแพทย์ว่าป่วยพี่จะไม่หักนะ”

“โธ่ ขี้งก ผมแฟนพี่นะ”

“หึหึ ถ้าไม่อยากโดนหักเงินเดือนก็ต้องทำงานล่วงเวลาชดเชยสิครับ” คนที่ลูบหัวผมอยู่เลื่อนมือลงไปที่แผ่นหลังและลูบไปที่บั้นเอว ผมเงยหน้ามองรอยยิ้มแพรวพราวของอีกฝ่าย พี่นัทนี่มันพี่นัทจริงๆ เลย หื่นยังไงก็หื่นแบบนั้น แล้วก็มาทำให้ผมหื่นตามไปด้วย แย่จริงๆ ครับคนแบบนี้

“งั้น...ก็ได้ครับ งั้นผมขอทำ OT ตอนนี้เลยแล้วกัน”
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 19 : ตองสอง l 27-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 27-09-2019 18:37:26

พี่นัทอมยิ้มและเลื่อนมือลงไปจับบั้นเอวผมพร้อมบีบอย่างมันมือ ผมถอดกางเกงของตัวเองออกและลุกขึ้นนั่งคร่อมอยู่บนตัวพี่นัท ผมขยับสะโพกถูเบียดกับแท่งร้อนที่กำลังขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

“อืม...” เขาหลับตาแล้วครางในลำคอ ผมขยับสะโพกช้าๆ เน้นให้เราสำผัสกันมากขึ้น พี่นัทดึงตัวผมลงไปจูบ และมือทั้งสองข้างของพี่นัทกดสะโพกผมลงให้กระแทกกันเบาๆ อย่างเป็นจังหวะ

แก่นกายร้อนผ่าวแข็งผงาดอยู่ภายใต้กางเกงนอนเสียดสีไปมากับช่องทางด้านหลังของผม บางครั้งก็เหมือนว่าพี่นัทจะดันเข้ามาทั้งอย่างนั้นจนผมอดำไม่ได้ที่จะเกร็งเป็นระยะ ส่วนน้องน้อยด้านหน้าของผมถูอยู่ตรงของกางเกงและไรขนใต้สะดือของอีกฝ่ายให้ผมขนลุกไปหมด น้ำใสไหลปริ่มออกมาจากส่วนปลายมากมาย หยดลงบนผิวร้อนของคนใต้ร่าง

“อือ อึก พี่นัท” ผมหลับตาพริ้ม กอดพี่นัทไว้แน่น ครางในลำคอเบาบ้างดังบ้าง มวลอารมณ์ถาโถมเข้ามาจนความอายผมหายไป พยายามให้ร่างกายของผมสัมผัสกับร่างกายร้อนๆ ของพี่นัทให้มากที่สุด อยากจะกดตัวเองให้จมลงไปในตัวพี่นัทเลยด้วยซ้ำ ผมเร่งจังหวะขยับสะโพกเร็วขึ้นจนใรที่สุดก็ปลดปล่อยลงบนหน้าท้องของพี่นัท ก่อนจะหมดแรงซบลงไปทับน้ำรักที่ตัวเองเพิ่งปล่อยออกมา

“เสร็จแล้วเหรอครับ เด็กน้อย” พี่นัทพูดและลูบหัวของผมไปด้วย ผมจัดการทุบไปทีนึงข้อหาล้อเลียนผม คนที่เพิ่งล้อผมหัวเราะออกมาเล็กน้อยแล้วพลิกตัวกะทันกันจนผมหล่นไปอยู่บนเตียง และคนตัวสูงก็เข้ามาทับผมไว้อย่างเร็ว

“เหวอ! อุ๊บ”

พี่นัทก้มลงมาจูบ มือก็จับการแยกขาผมออกกว้าง จับน้องชายของผมชักขึ้นลงจนกลับมาสู้มืออีกครั้ง ลากนิ้วลงไปช่อทางด้านหลังของผม ลูบวนอยู่ครู่หนึ่งและค่อยดันเข้าไปช้าๆ  ผมเจ็บเล็กน้อยเวลาที่นิ้วเรียวยาวถูกดันเข้ามาจนสุดอาจเป็นเพราะพี่นัทไม่ได้ใช้เจลหล่อลื่น แต่ใช้น้ำรักที่ผมเพิ่งปล่อยออกไปแทน

“หนึ่งครับ รักนิ้วพี่แน่นมากเลย”

“อื้อ อึก...พี่” ผมมองหน้าพี่นัท ซึ่งเขาเองก็มองผมอยู่เหมือนกัน คนที่มองหน้าผมกดปลายนิ้วไปทั่วจนผมสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วหลังจากนั้นก็กดย้ำอยู่ที่เดิม ผมสะดุ้งครั้งแล้วครั้งเล่า ครางออกมาเสียงดัง ยกสะโพกไปมาเพื่อหนีนิ้วนั่นแต่พี่นัทล็อกเอวผมไว้ ความรู้สึกที่ได้รับทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

“หนึ่งเจ็บเหรอครับ?”

ผมส่ายหน้าแต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล ในตอนนี้ผมไม่ได้เจ็บเลยซักนิด มันรู้สึกดีตังหาก ผมคิดว่าที่ผมร้องไห้เพราะผมรู้สึกดีเกินไป

“อา อือ อ๊ะ” พี่นัทดึงนิ้วเข้าออกเพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น จนผมเริ่มชินพี่นัทก็เพิ่มจำนวนนิ้วเข้ามา จากเพียงแค่หนึ่งนิ้วก็กระโดดข้ามเข้ามาเป็นสามนิ้วทันที ผมไม่ได้รู้สึกเจ็บ แต่จู่ๆ มันก็รู้สึกแน่นท้องไปหมดแล้วตามมาด้วยความเสียว ผมแหงนหน้าไปด้านหลังครางอย่างห้ามตัวเองไม่ไหวในขณะที่พี่นัทจูบและดูดดุนไปตามลำคอของผม พร้อมทั้งขยับมือไม่หยุด

“ดีมั้ย? ให้พี่ทำเร็วขึ้นดีมั้ย?

“อื้อ อ๊ะๆ  อึก พี่...พอ อือ พอ” ผมสั่นหน้าปฏิเสธ มองเขาแล้วบอกให้หยุด พร้อมทั้งเอื้อมมือไปจับมือพี่นัทด้วย แต่เขาไม่ยอมหยุดง่ายๆ แค่ผ่อนจังหวะลงเท่านั้น

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบเหรอครับ หนึ่งก็รู้สึกไม่ใช่เหรอครับ ดูสิ” พี่นัทพูดและพิสูจน์โดยการขยับนิ้วข้างในตัวผมไปมาอีกทั้งยังขยับเข้าออกเร็วๆ  ผมกัดฟันพูดกลับไป

“อาๆ  อยาก อึก อือ...ของพี่นัทดีกว่า อือ อยากได้ของพี่ อะ” ผมมองหน้าพี่นัทอย่างขอร้อง ตอนนี้ก็ดี...แต่ผมอยากรู้สึกกว่านี้ รู้สึกดีด้วยแท่งเนื้อร้อนๆ ของเขามากกว่า อีกฝ่ายยิ้มแล้วดึงนิ้วออก ก้มลงมาจูบปากผมอย่างดูดดื่ม เขากำลังทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปกับรสจูบดีๆ นี้แต่สักพักเขากลับขยับตัวออกจนผมต้องกอดตัวพี่นัทเอาไว้

“พี่จะไปไหนครับ!”

“ใจเย็นๆ ปล่อยพี่ก่อนครับ ขอพี่หยิบถุงยางหน่อย”

ผมปล่อยพี่นัทออกให้เขาหันไปหยิบของในลิ้นชักหัวเตียงและยื่นให้พี่นัทเองกับมือ ผมลุกขึ้นนั่งขยับพิงกับหัวเตียง แล้วอ้าขาออกกว้างให้พี่นัทดูอย่างเต็มตา มือข้างนึงก็ลูบไปตามหน้าอกส่วนอีกข้างก็รูดรั้งแก่นกายเปียกชุ่มของตัวเอง

“ยั่วชิบ...”

พี่นัทพูดพึมพำพลางขยับเข้ามาหาผม พอจัดท้าจนเข้าที่ดีแล้วเขาก็ดันส่วนนั้นเข้ามาอย่างช้าๆ  ดึงออกและดันเข้ามาลึกกว่าเดิม ทำแบบนั้นจนเข้ามาได้หมด

“อือ แน่น อึก พี่นัทครับ…”

“ผ่อนคลายหน่อย พี่จะแย่เอา”

ผมส่ายหน้า ก็พยายามผ่อนคลายแล้วแต่มันก็ยังจุกแน่นไปทั้งหน้าท้องอยู่ดี ผมอ้าขาออกกว้าง จิกเล็บลงกับเตียงเพื่อระบายความอึดอัด เวลาผ่านไปไม่นานความอึดอัดทรมานก็หายไป เป็นความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่ ครางออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ตอนที่พีนัทขยับตัวและก็ดังขึ้นตอนที่พี่นัทเคลื่อนไหวเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

ผมครางระงมทั่วห้อง พี่นัทดันขาผมทั้งสองข้างขึ้นพาดบ่าและขยับเข้ามาราวกับพายุ ผมตวัดมือกอดคอพี่นัทและแหงนหน้าไปข้างหลัง น้ำตาไหลไม่ขาดสาย ยิ่งเสียวมากเท่าไร ต่อมน้ำตาผมยิ่งแตก และพอน้ำตาผมแตกมากๆ เข้า น้ำข้างล่างผมก็แตกตาม  พี่นัทดันเข้ามาอีกสักพักนึงก็เกร็งและกระตุกตามผมมา

ผมขยับตัวออกแต่ขาที่ยังอยู่บนบ่าพี่นัทเลยทำให้ผมขยับตัวลำบาก คนตรงหน้าผมยื่นหน้าเข้ามาจูบ และบีบที่หน้าอก หน้าท้องและสะโพกผม สิ่งที่อ่อนลงไปแล้วเริ่มพองขยายใหญ่ภายใน จนผมอดจะเกร็งไม่ได้

พี่นัทโยกสะโพกเข้าหาอย่างเนิบนายทำให้ผมเริ่มที่จะไฟติดขึ้นมาอีกครั้งนึง พอจะหยัดตัวเข้าหาบ้างคนตัวสูงก็ก็จับขาผมลงและดึงตัวออก ทำให้ผมครางอย่างขัดใจ

“อื่อ!”

“ชู่ว~ อย่างโวยวายสิครับ”

เขาปรามแล้วหัวเราะออกมา ก่อนจะจับผมพลิกให้นอนคว่ำและรั้งสะโพกผมให้สูงขึ้น และรับรู้ได้ว่ามีแก่นกายร้อนๆ ถูอยู่ตรงช่อทางแต่ไม่ยอมเข้ามาในตัวซักที

“พี่ครับ...อือ” ผมเอี้ยวตัวหันไปมอง เห็นพี่นัทค่อยๆ ดึงถุงยางออก มัดและโยนไว้ที่พื้น ผมหันกลับมาพยายามดันตัวไปด้านหลังส่ายสะโพกถูกับแก่นกายนั่นแต่พี่นัทก็ลีลาไม่เข้ามาตามที่ผมต้องการเสียที ผมไม่ชอบให้พี่นัทแกล้งผมแบบนี้เลย มันทรมารเกินไป

“เป็นอะไรไปครับ บอกพี่สิ”

“อยากให้...พี่เข้ามาเร็วๆ อ๊ะ” พี่นัทโน้มตัวลงมา แผ่นหลังของผมสัมฟัวได้ถึงแผ่นอกกว้างอบอุ่น เขาฝังเขี้ยวลงบนไหล่ น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกเสียวมากกว่าเจ็บ พี่เขาแลบลิ้นออกมาเลียตรงที่ลงเขี้ยวไว้ และกระซิบข้างหูผม

“พี่ตามใจหนึ่งครับ”

แล้วพี่นัทก็ดันตัวเข้ามารวดเดียวจนสุดโดยที่ไม่มีถุงยาง ภายในของผมสัมผัสกันความร้อนนั่นโดยตรง ผมอ้าปากค้าง มันร้อนและพี่นัทก็ดันเข้ามาลึกมาก

“อึก อือ อ๊า!”

มันเข้ามาจนสุดแล้วแต่พี่นัทก็ยังจงใจดันเข้ามา มันเข้ามาลึกเกินไป จนสมองผมขาวโพลนไปหมด ยิ่งตอนที่เขาดึงออกและกระแทกเข้ามาใหม่ ผมก็รู้สึกว่ามันลึกกว่าเดิมทุกครั้ง มันเข้ามามากเกินไปจนผมต้องเอี้ยวตัวใช้มือดันหน้าท้องพี่นัทไว้

“ดันไว้ทำไมล่ะครับ ไม่ชอบเหรอ?”

“พี่...อึก ลึกไป ผม...ผมเสียว อือ”

พี่นัทจับมือผมออก ไม่ฟังที่ผมพูดแต่เริ่มที่จะขยับเข้ามาเร็วๆ  ผมครางเสียงดัง ปากก็พร่ำครางสลับกับบอกให้พี่นัทหยุดก่อน ผมรู้สึกเหมือนมันสอดลึกเข้ามาถึงในท้องจริงๆ

“อืม เสียวชิบ รัดพี่แน่นดีมากเลย อือ”

“พี่หยุด อือ ลึกไป...พอก่อน อ๊ะๆ...”

“ไม่หยุดครับ ถ้าหนึ่งอยากให้พี่หยุดจริงคงไม่กระดกก้นรับแบบนี้...”

อา ผมกระดกก้นรับพี่เขาอยู่จริงๆ ด้วย…

แล้วโอทีก็ดำเนินต่อไปอย่างเร่าร้อนในหลายๆ ที ตั้งแต่บนเตียง โซฟา ในอ่างอาบน้ำที่ตั้งใจว่าจะเป็นครั้งสุดท้าย แต่ถ้าผมไม่สลบก็ไม่มีคำว่ารอบสุดท้ายของพี่นัทหรอก



“พรุ่งนี้หนึ่งต้องมาทำงานเช้าๆ เลยนะครับ” พี่นัทส่งกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้ แต่พอผมยื่นมือไปรับ เขาก็ดึงหนี

“ผมรู้แล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปก่อนพี่นัทตื่นเลย” พี่นัทส่งกระเป๋าให้ผม แต่ก็ไม่ยอมออกจากห้องไปสักที มัวแต่ยืนทำตาละห้อยขวางประตูอยู่ “พี่ไม่กลับไปเปิดร้านเหรอครับ นี่มันจะเที่ยงแล้วนะ”

ทั้งผมและพี่นัทต่างตื่นสายด้วยกันทั้งคู่เพราะทำโอทีกันจนเพลีย พอตื่นแล้วพี่นัทก็รีบลงไปทำเค้กจัดการร้าน ส่วนผมก็เก็บของจัดกระเป๋าเตรียมกลับมาห้องตัวเอง แต่ก่อนจะเปิดร้านพี่นัทก็อาสามาส่งฃทั้งที่ผมเดินเพียงแค่สิบนาทีก็ถึงแล้วแท้ๆ

“พอหนึ่งหยุดแล้วพี่อยากหยุดตามเลย”

“เดี๋ยวก็ขาดทุนหรอกครับ เมื่อวานพี่ก็ปิดร้านเร็ว”

“ร้านพี่ไม่ขาดทุนหรอกครับ แต่พี่นี่ดิจะขาดใจ”

“เว่อน่าพี่ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันแล้วไง”

พี่นัทยืนงี่เง่าอยู่หน้าห้องผมอยู่พักหนึ่งแล้วก็ออกไป ผมจัดการทำความสะอาดห้อง และลงไปซื้อของเล็กน้อยเตรียมไว้ให้น้อง เสร็จแล้วก็มานั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไม่นาน ไม่นานน้องชายและพ่อแม่ผมก็มาถึง

“ไงพี่” ผมพยักหน้าและยิ้มให้น้องชายไปทีนึง จากนั้นก็รีบไปกอดแม่ทันที

“แม่ครับ ผมคิดถึงแม่ที่สุด” แม่หัวเราะออกมา ผมกอดแม่แน่นกว่าเดิมจนเขาบ่นอึดอัด แล้วผมก็สัมผัสได้ถึงแรงดีดเบาๆ ที่กกหู พอหันไปมองก็เห็นพ่อยืนหน้านิ่งๆ อยู่ด้านหลัง ก็รีบปล่อยตัวแม่แล้วยกมือไหว้พ่อก่อนที่เขาจะน้อยใจ

“สวัสดีครับพ่อ ผมก็คิดถึงพ่อสุดๆ เหมือนกันนะ”

“คิดถึงแต่ไม่เคยกลับบ้านไปหาเลยนะ”

“ก็ผมทำงานไง”

พอผมพูดแบบนั้น พ่อก็เขกหัวผมมาทีนึง พ่อเดินไปหยิบของหลังรถ ผมกับตองสองก็เดินตามไปช่วย แล้วผมก็เดินนำขึ้นมาที่ห้องผม

“เนี่ย ห้องก็ออกกว้าง แม่บอกแล้วว่าอยู่ด้วยกันได้” แม่ผมพูดทันที่ผมเปิดห้องให้ทุกคนเข้าไป

“ผมก็โตแล้ว สองมันก็โตแล้ว จะให้มาอยู่ด้วยกันมันก็ไม่สะดวก”

“แต่อยู่ด้วยกันมันก็ดูแลกันได้ไง” แม่พูดพลางเดินสำรวจห้องไม่หยุด ส่วนพ่อพอวางของก็นอนตากแอร์บนเตียงสบายใจเฉิบ

“พี่เขาหมายถึง ถ้าผมหรือพี่มีแฟนมันจะไม่สะดวกอ่ะแม่” ตองสองพูด ผมก็พยักหน้าเห็นด้วยสุดๆ

“ก็ดีเลย จะได้ช่วยกันดู ว่าแฟนเป็นคนดีรึเปล่า” พอแม่พูดแบบนั้นตองสองก็มองหน้าผมแล้วส่ายหน้าทันที

“ก็จริง...พี่เขาซื่อจะตาย มองไม่ออกหรอกว่าใครดีหรือไม่ดี”

ผมหันไปหาน้องชายทันที อยากจะเถียงเหมือนกันแต่มันคือเรื่องจริง ผมมองไม่ออกหรอกว่าใครมาดีมาร้าย พ่อแม่นอนเล่นพักผ่อนบนเตียง ผมนั่งดูโทรทัศน์บนโซฟา ส่วนตองสองก็จัดการเอกสารสมัครงาน

“เอ้อ...ตองหนึ่งลูก แล้วที่ทำงานเป็นไงบ้าง วันนี้ขอหยุดแล้วเจ้านายเขาจะว่าอะไรรึเปล่า” แม่ที่นอนๆ อยู่ลุกขึ้นมาถามผม

“ไม่หรอกครับ ผมขอลาแล้ว” แถมทำงานชดเชยไปแล้วด้วย...

“ที่ทำงานพี่เป็นร้านกาแฟอยู่หน้าปากซอยนี่ใช่มั้ย ตอนเข้ามาผมเห็นอยู่ เหมือนที่พี่ส่งรูปให้ดู”

“ใช่ ร้านนั้นแหละ เจ้าของร้านใจดีด้วยนะ” ผมพูดไปยิ้มไป อธิบายเกี่ยวกับร้านแล้วก็พี่นัทให้แม่ฟังไปตั้งเยอะ “เป็นร้านเล็กๆ แต่ขายดีตลอดเลย พี่นัทที่เป็นเจ้าของร้านก็ใจดีให้ผมกินขนมทุกวันเลย แม่ดูตอนสิผมอ้วนขึ้นตั้งเยอะแหนะ”

“แล้วเห็นบอกเลิกงานดึก ซอยก็ดูเปลี่ยว ตอนกลับนี่ไม่อันตรายเหรอ”

“เอ่อ…ไม่นี่ครับ ผมเดินมาเป็นปีแล้วไม่มีอะไรหรอก” ผมโกหกแม่ไปคำโต เดินกลับทุกคืนอะไรล่ะ ห้องนี่ที่ผมกลับมาล่าสุดก็สองเดือนก่อนล่ะมั้ง ส่วนค่าเช่าค่าส่วนกลางที่นี่ผมใช้วิธีโอนเงินตลอดเลย

“อืม แล้วเริ่มงานก็เช้า เลิกงานก็ดึกมาก เขาให้เงินเดือนเท่าไร”

“ก็ถือว่าเยอะมากนะครับ” อันนี้ผมพูดตามจริงเลยครับ พี่นัทให้เงินเดือนเยอะจริง และให้ตรงเวลาตลอดทุกเดือน แล้วยิ่งตอนผมเริ่มค้างกับพี่นัทผมยิ่งเกรงใจ เพราะนอกจากค่าเช่ากับส่วนกลางห้องนี่แล้วแทบจะไม่ได้ใช้เงินเดือนเลย ค่ากินค่าอะไร พี่นัทก็ใจป๋าจ่ายให้หมด เงินเก็บของผมตอนนี้เยอะที่สุดในชีวิตเลยครับ

“ดีแล้วๆ  แม่ฝากน้องด้วยนะ”

“ครับ”

“เอ้อ ที่ทำงานหนึ่งเป็นร้านกาแฟใช่มั้ย”

“ใช่ครับ”

“ไหนๆ ก็มาแล้ว แวะไปดูหน่อยก็ดีเนอะ พ่อจะได้กินกาแฟก่อนขับรถกลับด้วย”

พ่อที่นอนๆ อยู่ลุกขึ้นนั่งแล้วก็พยักหน้า ด้วยเหตุการณ์นั้นทำให้ 30 นาทีต่อมา ผมและครอบครัวมานั่งจิบกาแฟอยู่ในร้านพี่นัทอย่างสบายใจ

“อื้ม หอมอร่อย เนอะพ่อเนอะ” แม่ที่จิบกาแฟแล้วก็ชม แถมยังหันไปหาแนวร่วมจากพ่อที่ยกกาแฟเข้มๆ ขึ้นดื่ม หลังจากนั้นก็หันไปพยักหน้ากับแม่ จนพี่นัทที่ยืนอยู่ข้างๆ ยิ้มจนแก้มแทบปริ

“ขอบคุณครับ รับเค้กหรือขนมด้วยมั้ยครับ คุ๊กกี้ก็มีนะครับ ทานคู่กับกาแฟ เข้ากันสุดๆ ”

พี่นัทพูด แนะนำเค้กต่างๆ ใหญ่ ทั้งแม่และพ่อผมที่ชอบขนมและอะไรแบบนี้อยู่แล้วก็ตั้งใจฟังและสนใจมาก จนสุดท้าย แม่ผมจัดการสั่งเค้กและขนมไปสามชิ้น คุ๊กกี้อีกชุดนึง ตองสองที่นั่งเงียบๆ ก็จัดการสั่งชีสพายไปชิ้นนึงด้วย ผมล่ะทึ่งกับทักษะการขายของพี่นัทตลอด คุยๆ กันครู่เดียวพี่แกก็เกลี้ยกล่อมลูกค้าให้ซื้อมาหลายรายเลยล่ะ

“รอซักครู่นะครับ”

แล้วพี่นัทก็เดินไปจัดการขนม ผมก็มองตามตลอด วันนี้พี่นัทดูวุ่นวายมาก ทั้งรับออเดอร์ ทั้งทำ ทั้งเสิร์ฟ ทำทุกอย่างอยู่คนเดียวเลย เห็นแล้วก็อยากเดินไปช่วยอ่ะ

“พ่อครับแม่ครับ ไหนๆ ก็มาแล้ว ผมขอไปช่วยพี่เขาแปปนึงได้มั้ย ดูเขายุ่งมากเลย”

พ่อแม่พยักหน้า ผมก็รีบวิ่งไปช่วยพี่นัททันที พอมาถึงในเคาน์เตอร์ผมแทบผงะ ของกระจัดกระจาย แก้วก็เต็มไปหมด แถมทำเครื่องดื่มค้างไว้ตั้งสองแก้วอีก แต่ยังมีเวลาไปคุยเล่นกับพ่อแม่ของผมอีกนะ

“โหยพี่ อะไรเนี่ย”

“ก็ไม่มีเวลาเก็บอ่ะ หนึ่งไม่อยู่พี่โคตรลำบาก ไม่อยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง พี่ก็คิดถึงหนึ่งใจจะขาดแล้วเนี่ย”

“พี่แค่คิดถึงคนช่วยมากกว่าครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็คิดถึงหนึ่งที่คอยช่วยพี่ไงครับ” พี่นัทหัวเราะแห้งๆ แล้วก็แก้ตัว

“พี่ไปทำเครื่องดื่มก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเอาขนมไปให้พ่อแม่ผมเอง” ผมจะหยิบที่คีบขนมจากมือพี่นัท แต่พี่แกก็ไม่ยอม แถมดันผมมาที่เครื่องปั่นแทนด้วย

“หนึ่งทำเครื่องดื่มนั่นแหละครับ ขนมนี่เดี๋ยวพี่เอาไปเสิร์ฟเอง แม่ยายพ่อตาและน้องเมียมาหายันร้าน ลูกเขยอย่างพี่ก็ต้องรีบทำคะแนนหน่อย”

“ประจบมากกว่าอ่ะดิ ผมรู้”

“ฮ่าฮ่าฮ่า สำหรับพี่เรียกว่าเอาใจครับ”

พี่นัทพูดแล้วก็เอาขนมใส่ถาดเดินหน้ายิ้มแป้นไปยังโต๊ะที่พ่อแม่ผมนั่งอยู่ แถมยังยืนคุยกันอยู่อีก ลูกค้าคนอื่นเขารอเครื่องดื่มกันเนี่ย ลืมไปแล้วเหรอพี่นัท!!

หลังจากที่อิ่มหนำสำราญ กินเค้กที่พี่นัทขนมาประจบจนเบาหวานแทบขึ้นแล้ว พ่อก็ชวนแม่กลับ เพราะไม่อยากขับรถกลางคืน

“ตองหนึ่ง ตองสอง แม่กลับแล้วนะลูก ดูแลกันดีๆ นะ”

“ครับผม” ผมตอบ ส่วนตองสองแค่พยักหน้า เราเข้าไปกอดแม่กันคนล่ะที ส่วนพ่อแค่ยืนลูบหัวพวกผมแค่นั้น

“ถ้าว่างก็กลับบ้านบ้าง พวกชบามันคิดถึง” พ่อผมพูดออกมาเรียบๆ หน้านิ่งๆ  แต่แววตาที่ส่งมาก็พอดูออกว่ามีแววเหงาๆ อยู่ แหงสิ..ถึงพ่อจะเงียบนิ่ง ดูหยิ่งเป็นเจ้าชายน้ำเเข็ง แต่ก็รักพวกผมมาก แต่ทำมาอ้างชบาคิดถึง ตัวเองคิดถึงก็บอกเถอะ  แล้วนี่ตองสองก็ย้ายมาอยู่กับผมแล้ว ที่บ้านก็เหลือแค่พ่อแม่สองคน กับแมวอีกสี่ตัว

ชบาที่พ่ออ้างก็คือแมว ชบาเป็นแม่ของ ดาวเรือง ส่วนอีกสองตัวชื่อกุ้งกับปูเป็นลูกของดาวเรืองอีกที  ชื่อแมวทุกตัวพ่อเป็นคนตั้ง ได้แรงบรรดาลใจมากจากอะไรไม่รู้ เจอกันครั้งแรกพ่อเรียกอะไร เราก็เรียกตามกันหมด

“ทำงานกันดีๆ นะลูก มีอะไรก็อดทนไว้...นัทลูก แม่ฝากดูแลลูกแม่ด้วยนะถ้าหนึ่งทำอะไรไม่พอใจทนมันหน่อย อย่าไล่มันออกนะลูก ถือว่าสงสารมันนะ”

ประโยคหลังแม่หันไปพูดกับพี่นัทที่ยืนอยู่ด้านหลัง ถือการประจบของพี่นัทประสบความสำเร็จอย่างสูง แม่หลงคารม ความช่างเอาอกเอาใจ จนคนแก่สองคนหลงและไว้ใจในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง

“ครับ ผมจะดูแลตองหนึ่งให้ดีที่สุดเลยครับ คุณน้าคุณอาไม่ต้องห่วงเลยครับ”  พี่นัทโอบไหล่ผมยืดอก หมายมั่นปั้นมือรับปากแม่ไปอย่างขึงขัง จนตองสองที่ยืนอยู่ข้างผม แอบเหล่มองพี่นัทสลับกับผมนิดหน่อย จนผมต้องขยับออกจากพี่นัทมาเล็กน้อยเพราะกลัวว่าน้องจะจับสังเกตุได้

“พ่อกับแม่ไปแล้วนะลูก” แม่บอกลาอีกครั้ง และกำลังจะออกจากร้านพี่นัทก็รั้งไว้และยื่นถุงกระดาษและกล่องเค้กอีก 3-4 ชิ้น รวมทั้งกระปุกกาแฟบด ส่งให้แม่

“จะดีเหรอ เดี๋ยวนัทก็ขาดทุนหรอก ที่แม่กินกันไปวันนี้ก็เยอะ แล้วของนี่อีก แม่กับพ่อเกรงใจนะ” แม่ผมไม่ยอมรับถุงจากพี่นัท แต่ดันกลับ เพราะของบนโต๊ะนั้นพี่นัทก็ไม่ยอมคิดเงิน

“ไม่เป็นไรครับ รับไปเถอะครับถือเป็นของฝากเนื้อฝากตัวจากผมนะครับ” แม่รับไปเถอะครับ ไม่ต้องกลัวพี่นัทขาดทุนหรอก เดี๋ยวเขาก็มาเก็บกำไรจากตัวผมอยู่ดี

“งั้นก็ขอบใจนะจ๊ะ พ่อกับแม่ไปจริงๆ ละนะ”

“ครับ เดินทางปลอดภัยนะครับ” พอพ่อแม่ออกจากร้านไป พี่นัทก็หันมาส่งยิ้มให้ผม

“หนึ่งกับน้องกลับเลยก็ได้ครับ นี่มันเย็นแล้ว ลูกค้าไม่เยอะแล้วพี่ทำไหว”

“อ่ะ..เอ่อ เดี๋ยวผมช่วยเก็บแก้วก่อนก็ได้ครับ สองนั่งรอพี่ครู่หนึ่งนะ” ผมหันไปบอกน้อง สองก็พยักหน้าเดินไปนั่งโต๊ะเล็กที่มุม หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นรอผม ผมก็หันมายิ้มให้พี่นัท เดินไปเก็บแก้วและจานเค้กที่โต๊ะ ความจริงคือผมยังอยากอยู่กับพี่นัท เลยหาเรื่องช่วย

“หนึ่งกลับเลยก็ได้นะครับ น้องจะได้ไม่ต้องนั่งรอ” พี่นัทเดินถือถาดมาช่วยผมเก็บแล้วก็พูด

“เดี๋ยวช่วยพี่ก่อนครับ”

“แค่นี้เอง พี่ทำได้ครับ นี่วันหยุดหนึ่งนะ”

“ผมอยากช่วยพี่ครับ”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ หนึ่งกลับเถอะ เดี๋ยวมืดนะ”

“ผมยังอยากอยู่กับพี่”

“หึหึ ก็บอกมาแค่นั้นแหละ” พอผมพูดไปพี่นัทก็หัวเราะ ยกมือขึ้นมาขยี้หัวผมและไล้ลบมาบีบแก้มเบาๆ  พี่นัทส่งยิ้มมาให้ มันดีมากแต่จะดีกว่านี้ถ้าหางตาผมมไม่เหลือบไปเห็นว่าตองสองมองมาทางนี้อยู่ ผมปัดมือพี่นัทออกแทบจะทันที แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเก็บแก้วต่อ

พี่นัทถอนหายใจออกมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร  พี่นัทยกถาดแก้วไปไว้ในเคาน์เตอร์ ผมก็ตามเข้าไปจัดการช่วยล้างและเช็ดแก้ว แถมเช็ดเคาเตอร์ทำความสะอาดเครื่องปั่นให้ด้วย ยื้อเวลาสุดๆ อ่ะ ทำจนไม่มีอะไรให้ทำแล้ว ผมก็เลยเตรียมตัวกลับ

“ผมจะกลับแล้วนะครับ”

“ครับ พรุ่งนี้มาเช้าๆ นะ”

ผมพยักหน้า เดินออกมาจากเคาน์เตอร์ แล้วก็เดินกลับห้องพักกับตองสอง ตลอดทางมีแต่ความเงียบ เพราะผมก็พูดไม่เก่ง ตองสองก็พูดไม่เก่ง แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอึดอัดอะไรอาจเพราะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว กลับกันมันเป็นความเงียบที่อยู่แล้วสบายใจนะ

“พี่…” ตองสองที่เดินมาเงียบๆ  หยุดเดินแล้วก็เรียกผม

“หืม” ผมหันไปถาม เพราะสองไม่พูดออกมาซักที

“เดี๋ยวกลับไปคุยกันที่ห้อง เรื่องของพี่กับคุณนัทน่ะ” ตองสองพูดนิ่งๆ แล้วก็เดินนำหน้าผมไป ทิ้งให้ผมยืนตัวเย็นอยู่กับที่ บรรยากาศสบายใจเมื่อครู่นี่หายวับไปทันที

...คุยอะไร คุยทำไม หรือว่ารู้แล้ว รู้ได้ไงอ่ะ

ผมเดินตามสองกลับห้องด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ  กลัวว่าน้องรู้แล้วจะทำยังไงกับผมต่อ จะบอกพ่อแม่มั้ย จะรังเกียจผมรึเปล่า แล้วน้องจะคิดกับผมยังไง ผมคิดมากไปเรื่อยเปื่อย

แต่อีกใจก็คิดในแง่ดี ว่าสองอาจยังไม่รู้ ที่จะคุย อาจจะคุยเรื่องทำไมพี่นัทหล่อจัง อะไรประมาณนี้ก็ได้มั้ง...คิดในแง่ดีไว้ก่อนแล้วกัน

เราเดินกันมาช้าๆ จนถึงห้อง ผมถอดรองเท้า และเดินตรงเข้าห้องน้ำก่อนที่สองจะได้พูดอะไร ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่ขอผมทำใจก่อน จากความรู้สึกคงไม่ใช่เรื่องดีของผมแน่ๆ  ผมวักน้ำขึ้นมาล้างหน้า สูดหายใจเข้าเพื่อเรียกกำลังใจแล้วเดินออกไป ตองสองนั่งรออยู่ตรงโซฟา ผมก็เดินเข้าไปแต่ยังไม่ทันหย่อนก้นลงนั่ง สองก็หันมาทางผม

“พี่เป็นแฟนกับคุณนัทเหรอ?”

อืมหืม ตรงประเด็นมาก ไม่มีเกริ่นเลย ตองสองนายแน่มาก...ถึงแม้สองจะพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ผมก็รู้สึกกลัวอยู่ดี กลัวว่าน้องจะรับผมไม่ได้นะ ถึงจะรู้ว่านี่มันสมัยไหนแล้ว คนรับได้ก็มีเยอะ แต่รับไม่ได้มันก็เยอะเหมือนกัน แล้วตองสองล่ะ น้องชายผมล่ะ...รับได้มั้ย ถ้าพี่ชายจะเป็นเกย์น่ะ

ผมไม่ตอบนั่งนิ่งๆ  ก้มหน้ามองมือตัวเอง ตองสองก็นิ่ง ผมรู้สึกได้ว่าสองจ้องมาที่ผม จ้องมานิ่งๆ จนผมรู้สึกสั่นไปหมด ปลายนิ้วเย็นๆ ของผมบีบเข้าหากัน เม้มปากแน่น คิดหาคำตอบว่าควรตอบน้องยังไง จะตอบตามความจริง หรือโกหกออกไปดี

“...”

“พี่ตอบผมหน่อย” พอผมเงียบนานเข้า ตองสองก็เร่งเอาคำตอบ  สุดท้ายเลยพยักหน้าไปพร้อมกับน้ำตาของผมที่มันไหลออกมาด้วย  ตองสองเงียบ ผมก็เริ่มสะอื้นน้อยๆ

“ฮึก….”

“พี่ร้องไห้ทำไม”  ตองสองขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ  แล้วก็ยกมือขึ้นจับไหล่ผม

“ไม่รังเกียจพี่?” ผมพูดเสียงอู้อี้ เงยหน้ามองน้องชาย

“ไม่ จะรังเกียจทำไม” สองพูดออกมาแค่นั้น ผมก็เลยปล่อยโฮออกมาเสียงดัง “หยุดร้องน่ะพี่ รำคาญ”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังลูบไหล่ผมอยู่ ไอ้น้องบ้า ปากแข็ง จะปลอบให้หยุดร้องไห้ก็ปลอบดีๆ หน่อย

“ไม่รังเกียจกันจริงอ่ะ”

“จะรังเกียจทำไมล่ะ มันก็ความรักปกตินั่นแหละ ผมมองว่าเป็นคนสองคนรักกันก็เท่านั้น”

“อือ ตองสอง”  แล้วผมก็ร้องไห้อีกรอบ เวลาผ่านไปสิบนาที น้ำตาผมก็แห้ง ใจผมเบาขึ้นเยอะ นั่งเงียบๆ สงบอารมณ์ที่ก่อนหน้านี้ผมปล่อยให้ฟุ้งซ่านมากไปจนเกินเหตุ

“แล้วสองรู้ได้ไงว่าพี่คบกับพี่นัท”

“...ก็เดาๆ เอา” ตองสองพูดเหมือนเรื่องปกติ มือก็ไถหน้าจอโทรศัพน์ไปเรื่อย

“เดาเก่งเนอะ”  นี่ขนาดคิดว่าวันนี้พี่นัทไม่ค่อยลุ่มล่ามใส่แล้วนะ ตองสองยังดูออกเลย

“คุณนัทมองพี่ขนาดนั้น แถมมีจับแก้มจับหัวกันอีก แถมแววตาที่คุณนัทมองพี่มันก็พอให้ผมรู้ ก็ประมาณ…ผีเห็นผีล่ะมั้ง”

ผมเงียบไปพักนึง เพราะไม่เข้าใจ ผีเห็นผี เกี่ยวไรกับมันรู้อ่ะ...

…เดี๋ยวนะ ผีเห็นผีคือ พวกเดียวกันที่มองเห็นพวกเดียวกัน พี่นัทชอบผู้ชายแล้วไอ้สองมองออก งั้นก็แสดงว่า….

“เฮ้ย สอง…นี่แก”

“ผมเป็นไบ” ตอบได้ปกติมาก หน้านิ่งได้อีก ช่วยตกใจเป็นเพื่อนพี่แกหน่อยได้มั้ยไอ้น้องชาย

“ไบ...คือได้ทั้งชายและหญิง?”

“ใช่ ตอนแรกก็ชอบผู้หญิงปกติ พอเจอคนนึงเป็นผู้ชายแล้วผมก็ชอบเขา แต่ก็ยังรู้ชอบผู้หญิงอยู่ด้วยเลยรู้ว่าตัวเองได้ทั้งสองแบบ”

“ค..เคยลองกับผู้ชายแล้ว?” ตองสองพยักหน้า

“...ก็ตอน ม.4” ร้ายมาก น้องชายผมมันไม่ธรรมดา มีประสบการณ์มาตั้งแต่เพิ่งขึ้นมัธยมปลายเลยทีเดียว

“แล้วไม่กลัวพี่กับพ่อแม่รู้เหรอ?” ผมถามออกไป

“ก็เพราะกลัว เลยไม่บอกใครไง”

“อืม...ถ้าพ่อแม่รู้จะทำยังไง?”

“ไม่รู้สิ ยังไม่กล้าบอก ยิ่งแม่อยากอุ้มหลาน ผมยิ่งไม่อยากบอก ตอนแรกคิดว่ายังไงพี่คงมีหลานให้แม่ได้ แต่ตอนนี้คงต้องคิดใหม่” ตองสองพูด ทิ้งตัวพิงโซฟา เงยหน้ามองเพดาน ผมเลยทำตาม แล้วก็ถอนหายใจออกมา

“สองไง สองยังไม่มีแฟนนี่ แถมชอบผู้หญิงได้ด้วย มีโอกาสมีหลานให้แม่นะ”

“เดี๋ยวดูก่อน แต่โอกาสน้อยนะ...ผมมีคนในใจอยู่แล้ว” ตองสองตอบแล้วก็หลับตาลง ในห้องเงียบขึ้นมา ผมเงยหน้ามองเพดานคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย

ไหนๆ ตองสองก็รู้แล้ว...คืนนี้กลับไปนอนกับพี่นัทจะดีมั้ย?



มีคนติดแฟนอยู่ทางนี้ 2 ae จ้า

เม้นและติดแท็กให้เราหน่อยน้า ฟีดแบ็กดีจะมาต่อไวๆ เล้ย


#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 19 : ตองสอง l 27-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 27-09-2019 20:58:42
 :pig4: :pig4: :pig4:

อ่าว  ผีเห็นผีซะงั้น
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 19 : ตองสอง l 27-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 29-09-2019 12:53:06
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 20 : ของโปรดคือโดนัท l 30-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 30-09-2019 20:05:44
20 : ของโปรดคือโดนัท


“สอง พี่ไปทำงานแล้วนะ” คนที่นอนคุดคู้อยู่บนเตียงส่งเสียงอือในลำคอนิดหน่อย แล้วก็พลิกตัวไปอีกฝั่ง ผมกระชับกระเป๋าให้แนบแผ่นหลังแล้วก็เดินออกมา ตอนนี้เพิ่งจะตีสี่เอง มันเช้าเกินไปมาที่จะไปทำงานในเวลานี้ แต่ผมอยากเจอพี่นัทเร็วๆ นี่ เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเท่าไร ก็มันหนาว ผ้าห่มก็มีผืนเดียว ต้องแย่งผ้าห่มกับน้องอีก แต่ตอนที่พี่นัทมานอนด้วยนี่ไม่ต้องแย่งเลย เพราะพี่นัทห่มผ้าแล้วนอนกอดผม อบอุ่นสุดๆ

ผมเพิ่งรู้ว่าผมติดพี่นัทกว่าที่คิด ไม่ได้นอนด้วยกันแค่คืนเดียว ผมยังเป็นขนาดนี้  ผมคิดว่านี่ต้องเป็นแผนของพี่นัทแน่ๆ  เข้าทำให้ผมหลง ทำให้ผมรักจนโงหัวไม่ขึ้น ตามใจผมทุกอย่าง ผมอยากได้อะไรพี่นัทก็ไม่ค่อยจะขัดใจ ทำของอร่อยให้กิน ทำตัวน่ารักใส่ผม ทำให้ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีเขา

ต้องเป็นแผนของพี่นัทแน่ๆ  พี่นัทที่เป็นจอมเจ้าเล่ห์ จอมกะล่อนและหื่น แต่ก็น่ารักที่สุด ผมนี่หลงพี่นัทสุดๆ เลยนี่หว่า แต่มันไม่ผิดนี่ครับ ที่ผมจะหลงแฟนตัวเองอ่ะ หรือไม่จริง?

ผมเดินสลับวิ่งไม่นาน เหงื่อยังไม่ทันออก ผมก็ถึงร้าน ผมหยิบกุญแจดอกเล็กที่มีตุ๊กตาหัวใจสีแดงแปร๊ดห้อยอยู่ออกมาไขประตูหลังร้านและเดินเข้าไป ในครัวมืดและเงียบมาก อาจเพราะพี่นัทยังไม่ตื่น ผมโยนกระเป๋าไว้ที่โต๊ะกลางครัวแล้วก็เดินขึ้นชั้นสองไปเงียบๆ และพอเปิดประตูห้องนอนชั้นสอง ความเย็นจากแอร์ก็กระทบผิวแผ่วๆ แสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านหน้าต่างที่ไม่ได้ปิดผ้าม่านไว้เข้ามา ผมปิดประตูเบาๆ เดินไปที่เตียง พี่นัทนอนหลับห่มผ้าจนถึงคอ ผมมุดผ้าห่ม ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ พี่นัทที่หลับสนิท ซุกหน้าและสูดกลิ่นกายจากอกอุ่นๆ พี่นัทยับตัวเล็กน้อยแล้วกอดผมเอาไว้

“ตองหนึ่ง….” พี่นัทพึมพำแล้ววาดวงแขนมากอดผมไว้แล้วดึงเข้าไปกอดแน่นๆ  ตอนนั้นผมนึกว่าเขาตื่นแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง พี่นัทคงหลับตาและกรนอยู่เหมือนเดิม ผมแอบยิ้มมุมปากอย่างพอใจ พี่นัทคงทำไปเพราะความเคยชิน เขาชินกับการนอนกอดผม ส่วนผมเองก็ชินกับอ้อมกอดพี่นัทเช่นกัน

ผมนอนกอดพี่นัทไม่นาน นาฬิากาก็ปลุกดัง คนตัวสูงละมือจากตัวผมไปควานหานาฬิกาแล้วปิดเสียง หลังจากนั้นก็นอนต่อทั้งที่ยังถือนาฬิกานั้นอยู่ ผ่านไปซักพักนาฬิกานั่นก็ดังขึ้นใหม่  พี่นัทก็ทำเหมือนเดิมคือปิดเสียงแล้วก็หลับต่อ

“พี่นัทครับ จะไม่ตื่นเหรอ” ผมขยับตัวขึ้นมานอนทับเขา แล้วก็บีบแก้มเล่น

“อือ…ขออีกนิด”

“เดี๋ยวทำเค้กไม่ทันอีกนะครับ”

“อือ…” พี่นัทครางในลำคอ แล้วหันหน้าหนีไปทางอื่น ผมเลย ตวัดผ้าห่มออก แล้วลุกขึ้นนั่งบนตัวพี่นัท จากนั้นก็จุ๊บไปที่ปากพี่นัทรัวๆ

“ตื่นๆ พี่นัทตื่นได้แล้ว” ว่าแบ้วรัวจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย  “ถ้าพี่ไม่ตื่น ผมจะจุ๊บไปเรื่อยๆ นะ”

“อื้อ”

“ตื่นแล้วครับ ทำขนมให้ผมกินหน่อย”

“อือ...หนึ่ง”

เขาครางในลำคอเสียงกระเส่าขึ้นเล็กน้อย ผมไม่ได้เอะใจอะไร และยังคงจุ๊บไปเรื่อยๆ  ตั้งใจว่าจะไม่หยุดจนกว่าเขาจะตื่น แต่ก็ต้องหยุดเมื่อรู้สึกได้ว่าบริเวณก้นของผมมันมีบางอย่างดุนดันอยู่ พอผมขยับออกแล้วหันไปมอง ก็เห็นน้องชายพี่นัทตั้งตรงเคารพธงชาติตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

“พี่นัท! น้องชายพี่มันตื่นก่อนพี่ซะอีก โว๊ะ!”

“หึ ฮ่าฮ่าฮ่า” คนที่ผมคิดว่ายังไม่ตื่น หลุดหัวเราะออกมายกใหญ่ แล้วก็ลืมตามองมาจนเห็นแววตาแพรวพราวเจ้าเล่ห์ ไม่เหมือนคนเพิ่งตื่นเลยซักนิด

“ตื่นแล้วทำไมไม่ลุกล่ะครับ แกล้งผมอีกแล้ว”

“หือ....พี่ก็ลุกแล้วนี่ไงครับ” พี่นัทพูดแล้วก็เปรยตามองไปที่เป้าตัวเองที่ทั้งลุกทั้งพองตัว ดันก้นผมอยู่ตลอด

“ผมไม่ได้หมายถึงไอ้นี่ซักหน่อย” ผมอ้อมแอ้มตอบไป แต่ตาก็ยังมองจ้องไปที่น้องชายพี่นัทที่ชี้เพดานอยู่ในกางเกงนอน “เห้ย! พี่จะถอดกางเกงทำไม!”

“แหม ก็เห็นจ้องซะขนาดนั้นพี่ก็เลยเปิดให้ดูไปเลย”

จะไม่ให้ผมตกใจได้ไงล่ะครับ ก็จู่ๆ  พี่นัทก็ถกกางเกงลง จนอะไรๆ ของพี่นัทเด้งออกมาให้ผมเห็นเต็มตาเลย เห็นท่าไม่ดีผมก็รีบคลานลงจากตัวพี่นัท เตรียมหนีก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายเอาเปรียบอีก

“ผม...ผมว่า ผมลงไปทำความสะอาดดีกว่าครับ”

“เดี๋ยวสิ จะมาทำให้พี่อยาก แล้วจะมาจากไปแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

“ผมไม่ได้ทำ” ผมตอบ พี่นัทก็ดึงผมเข้าใกล้ ผมรั้งตัวเองไว้ ขืนถ้าผมยอมตามพี่นัท วันนี้คงได้เปิดร้านครึ่งวันอีกแน่ๆ

“แค่หนึ่งนั่งหายใจเฉยๆ พี่ก็เกิดอารมณ์แล้วครับ” พอผมไม่ยอมพี่นัทเลยเปลี่ยนจากดึงมือ มารั้งเอวผมเข้าไปใกล้ๆ แทน

“ไม่ได้ ผมต้องไปทำความสะอาดหน้าร้าน แล้วพี่ก็ต้องไปทำเค้กด้วย.” ผมขืนตัวออกสุดแรง แล้วปฏิเสธท่าเดียว ตอนแรกผมพูดไม่เสียงแข็งเลย แต่พอเจอสายตาสีน้ำตาลอ้อนๆ เข้าหน่อย เสียงผมก็อ่อนลงไปซะอย่างงั้นอ่ะ

“จะไม่ช่วยกันเหรอครับ เมื่อคืนพี่อุตส่าห์อดทนไม่ช่วยตัวเอง เพื่อรอหนึ่งมาช่วยพี่เลยนะ ไม่เห็นใจน้องน้อยของพี่บ้างเลยเหรอครับ ดูสิน้ำตามันไหลใหญ่เลย”

ผมขึงตาใส่เขาที่พูดจาทะลึ่ง เขาก็หัวเราะจับผมไปนั่งตรงด้านหน้าให้น้องชายพี่นัทชี้หน้าผม ผมพยายามหันหน้าออกไปทางอื่น แต่สายตาเจ้ากรรมดันเหลือบกลับมามองส่วนนั้นของเขาอยู่ตลอดเลย

ก็ไม่ใช่ไม่อยากช่วยพี่นัทหรอก แต่ลองคิดดูสิครับ คนอย่างเขาน่ะเขาไม่ยอมหยุดอยู่แค่ใช้มือแน่นอน แล้วก็ไม่อยากให้พี่นัทไปเปิดร้านสายอ่ะ เดี๋ยวพี่นัทก็ขาดทุนแล้วลูกค้าก็รอด้วย

“...เดี๋ยวพี่ก็เปิดร้านสายอีก ผมทำให้พี่เปิดร้านเที่ยงมาหลายครั้งแล้วนะครับ”

“หนึ่งไม่สงสารพี่เหรอ ดูสิ...แข็งจนเจ็บไปหมดแล้วนะ” พี่นัทจับมือผมไปสัมผัสส่วนๆ นั้น ผมเม้มปากแน่น พอผมไม่ชักมือออก พี่นัทก็จัดการบังคับมือผมให้กำรอบลำแกร่งที่ร้อนและพองขยายขึ้นเรื่อยๆ

“ถ้าขาดทุนจนร้านเจ๊ง ก็อย่ามาโทษผมละกัน…”

“ถ้าหนึ่งทำให้พี่พอใจ พี่จะไม่โทษหนึ่งเลยครับ”


“ตองหนึ่งเป็นอะไรรึเปล่าครับ ทำไมหน้าแดงแบบนั้น”

“...จิ๊”

ผมหันไปมองพี่นัทที่ยิ้มล้อๆ อยู่ แล้วก็เดินหนีไปถูพื้นอีกทางนึง ได้ยินเสียงคนตัวสูงหัวเราะมาแว่วๆ เมื่อเช้า ผมก็ช่วยพี่นัทปกติแหละไปมาๆ  กลับกลายเป็นว่าพี่นัทมาช่วยผมด้วยซะงั้น พี่นัทเสร็จไปหนึ่งรอบ แต่ผมนี่สิเห็นประตูสวรรค์ไปถึง 3 รอบ เสียเซลฟ์ชะมัดเลย

“เลิกงอนแล้วมากินอาหารเช้าเถอะครับ”

“ผมไม่ได้งอน”

“ไม่ได้งอนก็มากินเร็วครับ เดี๋ยวนมหายอุ่นแล้วจะไม่อร่อยนะ”

“พี่ก็หยุดยิ้มแบบนั้นสักทีสิ เห็นแล้วหมันไส้ชะมัดเลย” ผมบ่นอุบอิบแล้วก็เดินไปนั่งกินข้างๆ พี่นัท เมนูวันนี้คือชูครีมที่ข้างในเป็นใส้ครีมสด และที่ขาดไม่ได้คือนมสดอุ่นๆ กินแบบนี้ทุกวันเลย เห็นแววเบาหวานขึ้นมารำไรๆ เลยครับ

“อร่อยมั้ยครับ?”

“มีอะไรที่พี่ทำแล้วผมบอกว่าไม่อร่อยบ้างล่ะครับ วันหลังพี่เอาเครื่องอัดเสียงมาอัดไว้เลยก็ได้ครับ พี่ถามผมแบบนี้ทุกวัน ผมก็ตอบแบบเดิมทุกวันน่ะแหละ”

“โธ่ หนึ่งอ่ะ ที่พี่ถามก็แค่เก็บเป็นกำลังใจให้มีแรงทำงานต่อไปแค่นั้นเอง พี่ก็แค่อยากได้ยินเสียงใสๆ ของแก้วตาดวงใจของพี่แค่นั้นเองครับ” พี่นัทพูดแล้วก็มองมาที่ผม แถมยังส่งยิ้มเล็กยิ้มน้อยมาให้อีก แล้วดูตาเขาสิจะประกายแวววาวอะไรได้ขนาดนั้น

“น้ำเน่ามากครับพี่นัท แก้วตาดวงใจอะไรกัน”

ปากผมบอกแบบนั้นแต่หน้าผมนี่ร้อนแทบใหม้ ฟังๆ แล้วก็แอบเขิน พี่นัทคนบ้า

 

หลังจากทานอาหารแล้วเราก็เปิดร้านกันตามปกติ ลูกค้าก็เยอะเหมือนปกติ จนถึงช่วงดึก ลูกค้าเริ่มน้อยลง และเราก็เตรียมตัวปิดร้าน

ระหว่างนั้นเสียงโทรศัพท์พี่นัทดังขึ้น พี่นัทละมือจากทำความสะอาดตู้เค้กมารับโทรศัพท์ คุยไม่นานพี่นัทก็วางแล้วหันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้งที่ชวนให้ผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ อย่างบอกไม่ถูก

“พรุ่งนี้ไปหาพ่อพี่กันครับ พาลูกสะใภ้ไปแนะนำให้คุณพ่อรู้จักซักหน่อย”

หลังจากคำพูดนั้นของพี่นัท สติผมก็ปลิวหายไปทันที คราวก่อนไปหาคุณแม่ คราวนี้ต้องไปหาคุณพ่อของพี่นัทอย่างไม่ทันได้เตรียมตัวอีก

พี่นัทขับรถไปส่งผมที่ที่พัก ผมรื้อเสื้อผ้าออกมาเลือกจนตองสองหาว่าผมเพี้ยน ทำตัวเป็นผู้หญิงที่จะไปเดทแรก  นี่มันยิ่งกว่าเดทแรกอีกนะ...นี่มันไปหาพ่อพี่นัทเลย!

ผมหาชุดที่ดูสุภาพและเป็นผู้ใหญ่ที่สุด และจบลงที่ เสื้อเชิตสีขาว และกางเกงสแล็คสีดำ ในตอนแรกที่เลือก ผมก็คิดว่า ชุดนี้แหละไม่ตลกแน่นอน จนมาเจอพี่นัท คำแรกที่พี่แกทักทำเอาผมใจฝ่อเลยทีเดียว

“ทำไมใส่ชุดนักศึกษามาล่ะครับ”

ไม่~ นี่ไม่ใช่ชุดนักศึกษา ผมทำท่าจะกลับไปเปลี่ยน แต่พี่นัทไม่ยอมลากผมขึ้นรถแล้วเดินทางทันที

“พี่น่าจะให้ผมไปเปลี่ยนชุดก่อนนะครับ ผมไม่มั่นใจเลยอ่ะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ หนึ่งอย่าคิดมากดิ พ่อพี่เขาไม่ได้เป็นคนเข้มงวดอะไรซักหน่อย”

“...” ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรออกไป ความรู้สึกหลายๆ อย่างตีกันมั่วไปหมด นี่ผมรู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวยิ่งกว่าตอนที่ไปหาแม่พี่นัทอีกอ่ะ พี่เขาเห็นว่าผมดูท่าทางกังวลก็เลยเอื้อมมือมาลูบหัวผมเบาๆ

“อย่าคิดมากๆ พ่อพี่ใจดี อืม….ก็ถือว่าใจดีนะแต่ขี้แกล้งไปหน่อย”

ระยะทางจากร้านไปที่บ้านพี่นัทไม่ไกลมาก แต่เพราะจราจรที่ติดขัดทำให้การเดินทางนั้นค่อนข้างนาน  แต่ถึงจะนานขนาดไหน สุดท้าย เราก็ถึงจุดหมายปลายทางอยู่ดี

ผมยืนอยู่ข้างรถพี่นัทยังไม่อยากขยับไปไหน สายตาก็มองไปรอบๆ บ้านพี่นัทเป็นบ้านสองชั้น ดูทันสมัย มีสวนที่ค่อนข้างกว้าง ในโรงจอดรถที่มีรถหลายคันจอดอยู่ มีสระว่ายน้ำใหญ่ๆ  อยู่อีกด้านหนึ่งของบ้าน...นี่มันบ้านคนรวยเลยนี่หว่า ยิ่งรู้แบบนั้นผมก็ยิ่งประหม่าไปอีก

“จะยืนสิงประตูรถพี่อีกนานมั้ยครับ เข้าบ้านกันเร็ว พี่ร้อนมากเลย”

ผมส่ายหน้าน้อยๆ  พี่นัทเลยเดินมาลากผมเข้าไปในบ้าน ตื่นเต้นง่ะ

เขาพาผมมานั่งในห้องนั่งเล่น แล้วพี่แกก็เดินหายไปไหนก็ไม่รู้ แล้วซักพักก็มีสุนัขตัวใหญ่สีขาวแต้มน้ำตาลเดินเข้ามาหาผม ผมที่เกร็งอยู่แล้วยิ่งเกร็งขึ้นไปอีก ผมเคยบอกไปรึเปล่า ว่าผมไม่ถูกกับสุนัขตัวใหญ่อ่ะ แล้วเจ้าตัวที่นั่งจ้องผมอยู่นี่ เรียกได้ว่า...ใหญ่มหึมาเลยล่ะครับ

ผมพยายามส่งยิ้มให้ บอกให้เจ้ายักษ์นั่นรู้ว่าผมมาดี ไม่ได้เป็นขโมยเข้ามาทำอะไรไม่ดีทั้งนั้น แต่เหมือนว่าเจ้ายักษ์จะดูไม่ออกหรืออยากทักทายผมก็ไม่รู้ เพราะมันทำท่าจะกระโจนใส่ผมและเห่าออกมาเสียงดัง

โฮ่ง!

“เหวอ! พี่นัท”

ผมรีบกระโดดขึ้นมายืนบนโซฟา แล้วเรียกพี่นัทเสียงดัง ผมมองไปที่หมายักษ์ไม่วางสายตา griktกลัวว่าถ้าไม่ได้สบตากับมันไว้แล้วมันจะกระโดดเข้างับหัวผมน่ะสิ

“คุณสุนัข ผ...ผมมาดีนะครับ ผมมากับพี่นัท รู้จักมั้ย?” ผมพูดเพราะๆ ใส่หมา เขาว่าหมาฟังภาษาคนรู้เรื่อง ถ้าผมพูดไปก็คงรู้เรื่องเหมือนกันแหละ

โฮ่งๆ !

“พี่นัท!” ผมแหกปากเรียกพี่นัทลั่นบาท แต่ก็ไม่เห็นหัวพี่นัทออกมาเลย พี่พาผมมาบ้านให้เป็นขนมให้หมายักษ์นี่เขี้ยวเล่นเหรอวะ...หมายักษ์นั่นเดินเข้ามาหาผม จนผมต้องกระโดดไปอยู่ที่โซฟาอีกตัว มันก็ดันตามมาอีก  ผมร้องเรียกพี่นัทและกระโดดเหยงๆ ไปมา ไอ้หมายักษ์นั่ยก็เห่าไม่หยุดอีกด้วย

หลังจากกระโดดไปมาอยู่ซักพัก หมานั้นก็กระโดดใส่ผม ผมเห็นมันอ้าปาก และผมก็เห็นเขี้ยวมันด้วย ไปแล้วว หัวผมจะโดนกัดไปแล้ว

“พี่นัท! เหวอ!”

แผล่บ! โฮ่ง แผล่บๆ

“พี่นัท! ช่วยผมด้วย”  ผมร้องเรียกและยกมือบังใบหน้าตัวเอง ตอนนี้ผมล่วงมานอนแอ้งแม่งอยู่บนโซฟาอีกตัว มีหมายักษ์อยู่ด้านบน ลิ้นใหญ่ๆ เลียไปทั่วใบหน้าและมือ น้ำลายเต็มไปหมด

“แต้ม! ออกมา”

พอเสียงเข้มๆ นั้นดังขึ้น หมายักษ์ก็กระโดดออกจากตัวผม ทำเสียงร้องหงิงน่าสงสารก่อนจะเดินไปหาคนที่เรียก

ผมพยุงตัวเองขึ้น มือก็เช็ดไปตามหน้าที่เลอะไปด้วยน้ำลายเหนียวๆ  มองไปที่ผู้ชายตัวสูงโปร่ง ผมสีดำแซมสีขาวเล็กน้อย หน้าตาคล้ายพี่นัท และที่เหมือนพี่นัทสุดๆ ก็ดวงตานี่แหละ ดูขี้เล่นและเจ้าเล่ห์อย่างบอกไม่ถูก เบ้าเป๊ะขนาดนี้...พ่อพี่นัทชัวเลย

“ส...สวัสดีครับ”

ผมรีบลุกขึ้นนั่ง แล้วยกมือไหว้ ชายตรงหน้ายิ้มออกมานิดๆ แล้วก็พยักหน้า พี่นัทที่หายไปนานวิ่งหน้าตื่นออกมา

“เกิดอะไรขึ้นครับ” พี่นัทเดินเข้ามาเห็นสภาพผม แล้วก็หันไปถามคุณพ่อ

“ไปดูเด็กแกก่อนไป เกือนโดนไอ้เเต้มขย้ำคอขาดแล้วไง ถ้าพ่อมาช้าอีกนิดนะได้โดนกัดจมเขี้ยวไปแล้ว”

อย่าพูดอย่างงั้นสิครับ หมายักษ์นั้นตั้งใจจะขย้ำคอผมจริงๆ สินะ ที่เลียๆ นั่นคือชิมก่อนใช่มั้ย คิดเองเออเองแล้วก็กลัวจนตัวแข็งขึ้นมาอีกครั้ง

“หนึ่งครับ เป็นอะไรมากมั้ย?”

ผมส่ายหน้า แล้วก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะที่พี่นัทเดินเข้ามาช่วยพยุง

“พาเด็กแกไปล้างหน้าล้างตัวก่อน แล้วค่อยพาไปคุยกันที่สวนหลังบ้านนะ ล้างๆ ดีล่ะ ระวังโดนโรคจากน้ำลายหมา ไอ้แต้มนี่ยังฉีดยาไม่ครบเลย”

ประโยคท้ายเหมือนคุณพ่อหันมาคุยกับผม แต่หมายักษ์นั่นมีโรคเหรอ? ติดจากน้ำลายได้เหรอ? ผมจะติดมั้ยอ่ะ

“พ่อก็หยุดพูดแกล้งแฟนผมเถอะน่า โถ่ หนึ่งยิ่งกลัวๆ อยู่”

พี่นัทลูบหัวลูบหลังผม แล้วก็พาเดินขึ้นชั้นสอง แล้วผมก็ได้ยินเสียงหัวเราะเสียงดังตามหลังมา เมื่อกี้คือผมโดนแกล้งเหรอ ผมโดนคุณพ่อพี่นัทแกล้งเหรอ ในขณะที่ผมกำลังงุนงง คนตัวสูงก็พาผมเดินเข้ามาที่ห้องๆ หนึ่ง หยิบผ้าขนหนูในตู้เสื้อผ้าแล้วก็พาเข้าห้องน้ำ

“ก้มลงมาหน่อยครับ” เขาว่าพลางกดคอผมลงเล็กน้อย แล้ววักน้ำขึ้นมาล้างตามใบหน้าและฝ่ามือ จนน้ำลายเหนียวๆ นั่นหมดไป “เป็นอะไรครับ หนาวเหรอ น้ำเย็นไปเหรอ?”

“พี่นัทหมายักษ์เมื่อกี้จะกัดผมจริงๆ เหรอครับ”

“พ่อพี่แค่แกล้งหนึ่งเล่นเองครับ ไอ้แต้มมันเคยกัดใครซะที่ไหนล่ะ”

“แต่เมื่อกี้หมานั่นกระโจนใส่ผมเลยนะครับ แล้วตัวมันก็ใหญ่มาก ปากก็ใหญ่ เขี้ยวก็ใหญ่มาก!”

“หมาพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดก็ต้องตัวใหญ่อยู่แล้ว แต้มมันก็แค่อยากเล่นกับหนึ่งแค่นั้นแหละครับ มันไม่กัดหรอก”

“...เหรอครับ” พี่นัทจูงผมออกจากห้องน้ำ แล้วก็พาไปลงชั้นล่าง เดินเข้าไปอีกทางของตัวบ้านแล้วก็มาโผล่อีกด้านหนึ่งที่มีสวนและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีโต๊ะตั้งอยู่ บนโต๊ะมีขนมอยู่มากมาย น้ำชา กาแฟ นมสด ครบชุด มีกลุ่มคนนั่งล้อมโต๊ะอยู่ มีคุณพ่อพี่นัท ที่พอเห็นผมเขาก็หัวเราะออกมา พี่พายที่ส่งยิ้มใจดีมาให้ผม ผู้ชายหน้าตาดีที่ซีดเซียว นั่งดมยาดมอยู่ข้างๆ พี่พาย ผู้หญิงชาวต่างชาติที่นั่งข้างๆ คุณพ่อที่ส่งยิ้มมาทางผมเช่นกัน

“แฟนผมครับ ชื่อตองหนึ่ง” พี่นัทพูดแนะนำตัวผม แล้วนั่งลง ผมสวัสดีทุกคนอย่างประหม่า

“พ่อว่าแก่คบแฟนเด็กเกินไปนะ นี่ยังเรียนอยู่เหรอ จะโดนข้อหาพรากผู้เยาว์รึเปล่าล่ะ”

“อย่าแกล้งมากจะได้มั้ย ตองหนึ่งยิ่งขี้กลัวอยู่” พี่นัทพูดออกมา คุณพ่อพี่นัทก็หัวเราะ แล้วก็หันไปป้อนขนมให้ผู้หญิงชาวต่างชาติที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน พี่นัทก็ส่งจานที่มีโดนัทมาให้ พร้อมด้วยชาหอมๆ อีกแก้วนึง ผมรับมานั่งกินเงียบๆ  แล้วนั่งฟังพ่อลูกคุยกัน

“แล้วที่ร้านเป็นยังไงบ้าง”

“ครับ ก็เรื่อยๆ  เข้าที่เข้าทางแล้ว”

“ลูกค้าเยอะมั้ย?”

“ก็เยอะอยู่ครับ อยู่ใกล้มหาลัยด้วย เลยเหนื่อยหน่อย”

“ให้มีวันหยุดซักวันนึงบ้างสิ ไม่งั้นก็เหนื่อยเกินไปแบบนี้ หาวันหยุด หยุดงาน นอนเล่น พาแฟนไปเที่ยวบ้าง หรือต้องขยันหาตังมาเลี้ยงเด็ก ดูท่าแล้วคงกินเก่ง”

“...” ทุกคนเงียบแล้วก็หันมาที่ผมพลางอมยิ้ม

“ดูสิ...มานั่งแปปเดียวแต่กินขนมเข้าไปตั้งกี่ชิ้นล่ะ เอาอีกมั้ยหนู เดี๋ยวพ่อเข้าไปทำเพิ่มให้?”

“พ่อพอเถอะน่า จะแกล้งกันไปถึงไหน โธ่”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเด็กแกทำหน้าเข้าสิ ตลกว่ะ”

ผมเม้มปากแล้วค่อยๆ วางโดนัทลง...ก็จริงอย่างที่เขาพูดแหละครับ ผมมานั่งแค่แปปเดียว แต่กินโดนัทเข้าไปมากกว่าคนทั้งโต๊ะนี้กินซะอีก

“กินต่อเถอะตองหนึ่ง โดนัทนี่พี่ทำเองนะ ทำไว้เยอะเลย ถ้าหนึ่งไม่กินก็เหลือทิ้ง พี่ก็เสียดาย”

พี่พายพูด แล้วส่งโดนัทให้ผมอีกสองชิ้น ผมเหลือบมองคุณพ่อพี่นัทนิดหน่อย แต่ก็รับมา...ก็เกรงใจพี่พายนี่ครับ เขาอุตส่าห์ส่งให้แบบนี้ ถ้าไม่รับมาก็เสียมารยาทสิ

“พาย กินขนมเยอะเหรอ อ้วนขึ้นเยอะเลย” พี่นัททักพี่พาย ผมก็คิดว่าพี่พายอ้วนขึ้นนะ ดูอวบๆ ขึ้นมากเลยอ่ะ

“ไม่อ้วนสิแปลก พายอยากกินอะไร คุณมาคัสก็ไปหามาให้หมด พายได้กินอย่างมีความสุข ส่วนตัวเองก็มานั่งแพ้ท้องแทนเมียจนหมดสภาพแบบนั้นไง” คุณพ่อพี่นัทพูดแล้วก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“แพ้ท้อง พายท้องเหรอ!” พี่นัทตกใจ ผมก็ตกใจเหมือนกัน ส่วนพี่พายก็หันไปหาชายที่นั่งข้างพลางยิ้มกว้างออกมา

“ใช่ค่า 3 เดือนแล้ว โอ๊ย!”

พี่นัทเอื้อมมือไปเขกหัวพี่พายเล็กน้อย ข้อหาที่ไม่บอกข่าวอะไรพี่นัทเลย แล้วเขาก็หันไปพูดกับผู้ชายที่ชื่อมาคัส

“หนูๆ ชื่อหนึ่งใช่มั้ย” 

“ค...ครับ” พ่อพี่นัทหันมาคุยกับผม ผมพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมวางโดนัทในมือลง

“ลุงชื่อกรนะ ผู้หญิงสวยๆ คนนี้ชื่อลิซ่า เมียลุงเองแหละ” ผู้หญิงที่ชาวต่างชาติหันไปตีคุณพ่อพี่นัทเบาๆ

“สวัสดีครับคุณลิซ่า” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้าและส่งยิ้มดูใจดีให้ผม อืม...สวยจริง ๆ

“คบกับไอ้นัทมานานแค่ไหนล่ะ”

“ป...ประมาณ 10 เดือนได้แล้วครับ”

“อืม...แล้วมันได้พาหนูไปหาแม่มันบ้างยัง คุณแก้วตาน่ะรู้จักมั้ย?”

“ครับ ก็พาไปหลายครั้งแล้ว”

“อุแหม่! ไอ้นี่ พาไปหาแม่ตั้งหลายครั้งแต่พึ่งจะพามาหาพ่อ ลำเอียงจริงๆ เลยเว้ย” ลุงกรพูดแล้วปรายตาไปทางพี่นัทที่คุยกับคุณมาคัสอยู่

“...”

“แล้วเราทำงานกับมันด้วยใช่มั้ย? มันขายดีรึเปล่า? มีขาดทุนหรือได้กำไรเยอะมั้ย? มีปัญหาอะไรที่ร้านรึเปล่า? เอาขนมค้างคืนให้ลูกค้าบ้างรึเปล่า?”

“เอ่อ คือว่า…” ผมกุกกัก หลุบตามองมือตัวเอง เพราะพอเขาถามมาแบบนั้นผมก็ตอบไม่ถูกเลย ก็ผมไม่ค่อยรู้เรื่องขาดทุนหรือกำไรของร้านเท่าไรนี่ครับ เวลาพี่นัทนั่งทำบัญชี ผมก็เอาแต่นั่งเล่น นอนเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไม่เคยได้ช่วยพี่นัทเลย

“บอกความจริงมาเลยหนู ไม่ต้องกลัวหรอก”

“เอ่อ….ก็ขายดีครับ เรื่องกำไรกับขาดทุนอะไรผมไม่รู้เรื่องครับ” ผมตอบเสียงเบาๆ จนลุงกรต้องเอียงหูฟัง ก็แบบว่ายังไม่ชินอ่ะ แถมยังมีหมายักษ์ที่เดินมานั่งจ้องหน้าอีก ผมก็เริ่มกลับมาเกร็งอีกครั้ง

“ตอบมาตามตรงเถอะน่า ถ้าไม่พูดลุงจะสั่งให้ไอ้แต้มไปกระโดดงับคอเอานะ ดูสิ ท่าทางมันคงอยากเขี้ยวคอหนูแหละ”

พูดเสร็จ ลุงกรก็หันไปกระดิกนิ้วเรียกหมายักษ์นั้นให้ลุกขึ้น แล้วเดินเข้าใกล้

“อ่า...พี่นัทเปิดร้านสายบ่อย แต่ลูกค้าก็เยอะครับ เค้กขายหมดทุกวัน ไม่เคยเอาเค้กค้างคืนให้ลูกค้าครับ” ผมพูดออกไปอย่างเร็วจนลืมหายใจ เพราะหมานั่นดันเอาปากใหญ่ๆ มาวางเกยบนตักผม ผมที่ไม่ถูกกับหมาตัวใหญ่ก็กลัวสิครับ

“เหรอ~ ดีๆ”

“พ่อแกล้งอะไรแฟนผมอีกเนี่ย คุณแม่ลิซ่าก็ไม่ห้ามพ่อเลยนะครับ สงสารตองหนึ่งบ้างสิ กลัวจนสั่นไปหมดแล้วครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ลุกขึ้นดึงคอหมายักษ์นั่นให้เดินไปทางอื่น

“แหม แค่พูดด้วยนิดหน่อยทำเป็นหวงนะ”

“ก็พ่อชอบแกล้ง หนึ่งกลัวไอ้แต้ม พ่อก็ยังพาให้แต้มมาแกล้งแฟนผมอีก”

“พ่อพามันมาที่ไหน แต้มมันชอบเด็กแกหรอกเลยอยากเล่นด้วยแค่นั่นเอง”

“พ่อเป็นคนสั่งไม่ใช่รึไงครับ พ่อชอบแกล้งทุกคนแบบนี้ ผมเลยไม่อยากจะพาใครมาบ้านซักเท่าไรเลย”

“โถ น้องโดนัทที่ติดพ่อเมื่อก่อนหายไปไหนแล้ว ตอนนี้กลายเป็นพี่นัทที่ติดแฟนไปซะแล้ว”

“พ่อ!” พี่นัทตะเบ็งเสียง มองหน้าพอ่ตัวเองเลิ่กลั่กก่อนจะหันมามองผม

“แหน่ะ ดูสิ ลิซ่าจ๋า น้องโดนัทที่น่ารักและขี้อ้อนของคุณเสียงดังใส่ผมด้วยแหละ” ลุงกรหันไปหันไปฟ้องคุณลิซ่าที่นั่งหัวเราะอยู่

ผมหน้าแดงนิดหน่อยที่ถูกพาดพิงว่าพี่นัทติดผม แต่ก็หลุดยิ้มออกมากับชื่อที่ลุงกรเรียกพี่นัท แล้วก็ท่าทางอายปนโกรธๆ ของพี่เขาด้วย

“พอเถอะน่า ผมว่าผมกลับดีกว่า อยู่ไปพ่อก็แกล้งแฟนผมอีก”

“จะกลับเอาขนมกลับไปด้วย ดูท่าทางเด็กแกจะชอบกิน”

พี่พายลุกขึ้นจัดการเอาโดนัทหลากรสใส่กล่องให้ผมหลายชิ้น แล้วก็ยื่นให้พี่นัท

“ผมไปแล้วนะครับ” พี่นัทเดินเข้าไปกอดคุณลิซ่า แล้วก็แวะเขกหัวพี่พายนิดหน่อย แล้วก็เดินจูงผมออกมา แต่ลุงกรก็ตะโกนตามหลังมาด้วย

“พาเด็กแกมาบ้านบ่อยๆ นะ พ่อชอบแกล้งง่ายดี” ผมได้ยินแล้วก็หันไปหาพี่นัท คนตัวสูงส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ พอเดินมาถึงรถ ผมก็เห็นหมายักษ์ที่วิ่งอยู่ตามสนาม วิ่งตรงดิ่งเข้ามาหาผม

“เหวอ! หยุดเลยนะ!”

ผมตกใจที่เห็นมันวิ่งน้ำลายเยิ้มมาหาผม เลยเผลอเสียงดังและออกคำสั่งไป เจ้าหมาที่วิ่งๆ อยู่เกือบถึงตัวผมก็ค่อยๆ หยุด และยืนจ้องหน้าผมนิ่ง

โฮ่งๆ !

“หนึ่งลองสั่งให้มันนั่งดูก็ได้ครับ แต้มมันเป็นหมาโดนฝึกมาแล้ว”

“งั้น...นั่ง!” ผมหันไปพูดคำเดียว เจ้าหมายักษ์ก็นั่งลงอย่าว่าง่าย

โฮ่ง!

“งั้นไปแล้วนะ บ๊ายบาย เจ้าแต้ม” ผมโบกมือบ๋ายบายให้หมา แล้วก็ขึ้นรถมา พี่นัทส่งกล่องโดนัทให้ผมแล้ว ก็ออกรถ ผมเปิดกล่องหยิบโดนัทขึ้นมากิน ป้อนพี่นัทบ้างเป็นระยะๆ

“อร่อยมั้ยครับ?”

“ครับ พ่อพี่ชอบกินโดนัทเหรอ?”

“อืม ก็ชอบมั้งครับ แค่คงชอบพวกเค้กมากกว่า ที่วันนี้ทำโดนัทเพราะคุณแม่ลิซ่าน่าจะอยากกิน พ่อเลยให้พายทำ”

“แล้วทำไมเขาไม่ตั้งชื่อพี่ว่าน้องเค้กแทนน้องโดนัทล่ะครับ...” พี่นัทหันมามอง ผมส่งยิ้มล้อๆ ไปให้ ตามด้วยเสียงหัวเราะขบขันเล็กน้อย

“เดี๋ยวเถอะนะ เดี๋ยวคืนนี้พี่ไม่ให้กลับห้องเลยนี่”

“อุ๊บส์ ฮ่าฮ่าฮ่า” ผมและพี่นัทหัวเราะออกมา หันกลับมานั่งกินโดนัทต่อ พี่นัทหันมามองบ่อยๆ ผมก็เลยฉีกแป้งเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วป้อนให้ แต่นัทก็ส่ายหน้าไม่กิน

“หนึ่งชอบโดนัทมากเหรอครับ”

“ชอบที่สุดเลยครับ”

“ชอบเท่าโดนัทที่เป็นคนมั้ยครับ?”

“...” ผมอมยิ้มขำพลางส่ายหน้า พูดไม่ได้เพราะผมเคี้ยวอยู่เต็มปาก

“โถ่ พี่น้อยใจ โดนัทคนแพ้โดนัทขนม”

“ผมชอบโดนัทที่เป็นขนม แต่ผมรักน้องโดนัทที่เป็นคนครับ”

“พูดได้ดี! ไหนๆ วันนี้ก็ปิดร้านแล้ว เดี๋ยวกลับไปพี่จะป้อนโดนัทให้กินทั้งวันเลย ดีมั้ย?”

“ไม่ไหวแล้วครับ ผมอิ่มมาก ในท้องมีแต่แป้งโดนัทเต็มไปหมด”

“พี่ก็ไม่ได้จะป้อนโดนัทที่เป็นขนมซักหน่อย” เขาพูดเสียงกะล่อนพล่งยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมส่ายหน้าแล้วพูดกลับไป

“...แล้วโดนัทนั้นอร่อยมั้ยครับ”

“หนึ่งก็กินมาตั้งหลายครั้งแล้วนี่...อร่อยดีมั้ยล่ะ?”

พี่นัทคนบ้า...คนหื่นด้วย!



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 20 : ของโปรดคือโดนัท l 30-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 01-10-2019 01:30:13
 :pig4: :pig4: :pig4:

นัท...มาจากโดนัทนี่เอง
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 20 : ของโปรดคือโดนัท l 30-09-62
เริ่มหัวข้อโดย: mypink801 ที่ 01-10-2019 12:21:51
คนพี่ลามก  o18
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l21 ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับl 09-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 03-10-2019 19:31:57
21 : ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับ


พี่นัทไม่ได้พาผมกลับร้านแต่พามากินข้าวและดูหนังแทน ผมกอดป็อบคอร์นถังใหญ่และยืนดูดน้ำที่ตนตัวสูงยื่นมาป้อนให้ถึงปาก รอเวลาหนังเข้าฉาย

“ถังใหญ่ขนาดนี้ หนึ่งกินหมดแน่นะครับ”

“หมดแน่นอนครับ” ผมตอบอย่างมั่นใจ ทุกครั้งที่ผมมาดูหนังผมจะสั่งถังประมาณนี้ตลอด และกินหมดทุกครั้งด้วย ตอนที่ดูหนังผมจะไม่ชอบให้ปากตัวเองว่าง มันรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ป็อบคอนถังใหญ่แบบนี้มีปริมาณพอดีๆ ให้ผมเคี้ยวจนหนังจบเลยครับ

“ทำไมกินเก่งจังครับ กินโดนัทหมดไปกล่องนึงแล้ว ก็ยังกินข้าวไหว นี่มาดูหนังก็อุ้มป๊อปคอร์นถังใหญ่มากินอีก”

“ผมก็กินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้วนี่ครับ ปกติ”

“กว่าจะเลี้ยงมาโตขนาดนี้ พ่อแม่เลี้ยงไหวได้ไงเนี่ย ฮ่าฮ่าฮ่า”

“พ่อแม่ผมอ่ะเลี้ยงไหว แล้วพี่นัทอ่ะเลี้ยงผมไหวไหมครับ?” ผมส่งยิ้มทะเล้นไปให้คนตัวสูง

“คิดว่าพี่ไหวมั้ยล่ะครับ เลี้ยงมาเป็นปีแล้วเนี่ย แถมยังขุนให้น่ารักกว่าเก่าได้อีกด้วย”

พี่นัทพูดพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางดึงแก้มผมไปด้วย ผมเองก็ขยับไปใกล้ๆ ทำทีเป็นเอาหัวถูต้นแขนไปมาอย่างออดอ้อน

“ถ้าพี่นัทเลี้ยงไหว ก็เลี้ยงผมไปนานๆ นะครับ”

“พี่อยากจะเลี้ยงหนึ่งไปตลอดชีวิตเลยครับ”

ได้ยินพี่นัทพูดแบบนั้น ใจผมก็เบิกบาน พองฟูเหมือนข้าวโพดที่โดนความร้อนและกลายเป็นป็อปคอร์นอย่างไรอย่างนั้นเลย ผมหันมองรอบๆ ตัวนิดหน่อย พอเห็นว่าไม่มีคนก็เขย่งเท้าขึ้นจุ๊บแก้มเขาไปทีนึงเป็นรางวัลที่เขาพูดได้ถูกใจ

“ไม่กลัวคนอื่นเห็นเหรอครับ?”

“มันมืด...ไม่มีใครเห็นหรอกครับ”

“งั้นเข้าโรงหนังกันเถอะ ในนั้นมืดกว่าตรงนี้อีกครับ”

พูดจบพี่นัทก็ดันหลังผมเดินเข้าไปในโรงหนังที่หนังรอบเก่าเพิ่งฉายจบและมีคนมากมายเดินออกมาพอดี  ผมเดินตามพี่นัทไปยังที่นั่ง เขาเลือกเก้าอี้ฮันนีมูนแถวหลังสุด เห็นเก้าอี้กว้างๆ แล้วมันน่าทำอะไรอย่างอื่นมากกว่าดูหนัง...ผมหมายถึงนอนหลับนะครับ ไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นเลย

“เก้าอี้เขากว้างดีเนอะ ไม่เสียแรงที่จ่ายแพง” พี่นัทพูดแล้วก็หันมายิ้มกรุ้มกริ้มกับผม เห้อ...ผมอ่ะไม่ได้คิดอะไร แต่คนที่นั่งข้างผมนี่สิ คิดแน่นอน

เรานั่งรอกันไม่นาน คนอื่นก็ทยอยเข้ามาเรื่อย และเพราะเป็นหนังใหม่ที่ใครๆ ก็อยากดู คนเลยเต็มทุกที่นั่ง พี่นัทที่จ้องจะจับตรงนั้นแตะตรงนี้ของผมก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อมากนัก อย่างมากก็แค่แอบหอมแก้มนิดหน่อยแต่เพราะเรานั่งหลังสุดและมันก็มืด ผมก็เลยไม่ได้หันไปว่าอะไร ผมกินป็อปคอร์นจนหมดถังพอดีกับที่หนังจบ เราก็เดินออกมา พี่นัทพาผมไปซื้อของวัตถุดิบทำเค้กต่อ พอได้ของที่ต้องการครบแล้วเขาก็พาไปที่รถ ผมนึกว่าเราจะกลับกันแล้วแต่พอเก็บของไว้ท้ายรถเสร็จ พี่นัทก็พาผมเดินเข้าห้างอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้พี่นัทพาผมมาที่แผนกเสื้อผ้าแทน

“หนึ่ง เอาตัวนี้ไปลองให้พี่หน่อย”

“พอแล้วพี่นัท ผมเหนื่อยแล้วอ่ะ เมื่อยด้วย” ผมเริ่มงอแง ก็ผมโดนพี่นัทจับลองชุดมาเป็น 10 ชุดแล้วมั้ง ออกร้านนั้นเข้าร้านนี้จนผมงงไปหมด พี่นัทอ่ะชอปปิ้งเก่งกว่าผู้หญิงอีกมั้งเนี่ย

“ชุดสุดท้ายแล้วครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ยื่นเสื้อมาให้ผม ผมรับแล้วก็เดินเข้าห้องลองเสื้อไปอย่างเสียไม่ได้ ผมถอดเสื้อตัวเก่าออก ใส่เสื้อยืดสีชมพูอ่อนที่มีรูปหัวใจสองดวงเล็กๆ ปักตรงอกซ้าย ผ้าเนื้อดีใส่สบาย พอเสร็จผมก็ออกจากห้องลอง เพื่อไปให้พี่นัทพิจารณา แต่พอเดินออกมาก็เห็นพี่นัทที่ใส่เสื้อแบบเดียวกับผมอยู่

“อ้าว พี่ก็เข้าไปลองเอง แล้วพี่จะให้ผมลองด้วยทำไมล่ะครับ”

“หยุดบ่นก่อนสิครับ” พี่นัทดึงผมให้ยืนตรงหน้ากระจกบานใหญ่ในร้าน พี่นัทยืนข้างๆ ผมแล้วก็ยิ้ม “เหมือนเสื้อคู่เลยครับ น่ารักมากเลยเนอะ”

“ครับ น่ารักมาก ผมชอบตรงลายปักรูปหัวใจตรงนี้…”ผมมองดูเงาในกระจก แล้วยิ้มออกมา

“พี่ไม่ได้หมายถึงเสื้อ พี่หมายถึงตองหนึ่งครับ น่ารักมากเลย”

ชมมาแบบนั้นผมก็เขินสิครับ พอหันหนีไปอีกทางก็เจอคุณพนักงานยืนยิ้มอยู่ ยิ่งเพิ่มความเขินความอายให้ผมไปอีก จะเสี่ยวก็ดูสถานที่หน่อยสิพี่นัท

“ผมเอาสองตัวนี้นะครับแล้วก็รบกวนเอาเสื้อนี่ใส่ถุงให้ด้วยครับ พวกผมจะใส่เสื้อตัวนี้ออกไปเลย”

พี่หันไปคุยกับพนักงานแล้วยื่นเสื้อตัวเก่าของผมกับพี่นัทไปใส่ถุงแทน

หลังจากที่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้วพี่นัทก็พาผมเดินออกมา แล้วก็บอกว่าจะกลับแล้วจริงๆ  แต่ระหว่างทางที่เดินกลับไปที่รถ พี่นัทหยุดกึก มองไปที่บางอย่างเขม็ง ผมมองตามก็เห็นร้านชุดชั้นในชาย และดูจากสายตาแล้ว พี่นัทกำลังมองไปที่หุ่นสีขาวที่ใส่กางเกงในสีขาวขอบชมพูอ่อนที่ด้านข้างเว้าสูงจนผมคิดว่านั่น ไม่ได้มีไว้ให้ผู้ชายใส่แน่นอน

“พี่นัทอยากได้ตัวนั้นเหรอครับ”

“อยากได้ครับ” พี่นัทออกมาตาเป็นประกายวิ้งๆ  ผมก็เห็นกางเกงในพี่นัทมาหมดแล้วนะ แต่ไม่เคยเห็นว่าพี่นัทจะมีทรงแบบในหุ่นนั่นเลย หรือว่าพี่นัทอยากลองใส่แบบใหม่ แต่ผมว่าพี่นัทไม่น่าจะใส่ได้นะ เว้าสูงขนาดนั้น แล้วจะเก็บอะไรยังไงอ่ะ

พี่นัทพาผมเข้าไปในร้าน พนักงานรีบเดินมาต้อนรับทันที

“ผมอยากได้ตัวที่เหมือนในหุ่นหน้าร้านครับ”

“ได้ครับ ไม่ทราบว่าคุณผู้ชายต้องการขนาดอะไรครับ?”

“เอสครับ”

อืม พี่นัทใส่กางเกงในไซส์เดียวกับผมเลยอ่ะ...



หื้ม ใช่เหรอ? พี่นัทตัวใหญ่กว่าผมตั้งเยอะ…เดี๋ยวนะ ทำไมผมรู้สึกทะแม่งๆ

“พี่ซื้อให้ใครครับ”

“ให้หนึ่งไงครับ” พอผมถามออกไปปุ๊บ พี่นัทก็ตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเหมือนคิดไว้ก่อนแล้ว

“ไม่เอา! ผมไม่ใส่นะพี่นัท” แน่นอนว่าผมก็ปฏิเสธกลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน

“ต้องใส่สิครับ พี่ซื้อแล้วเนี่ย” พี่นัทพูดเป็นเวลาเดียวกับที่ยื่นบัตรให้พนักงานและรับถุงมา

“ถึงพี่จะซื้อมาแล้ว ผมก็ไม่มีทางใส่”

“หนึ่งต้องได้ใส่แน่นอนครับ” พี่นัทพูดออกมาอย่างมั่นใจ รับบัตรคืนจากพนักงานแล้วก็พาผมเดินไปที่รถเพื่อกลับบ้าน

“ผมไม่ได้ใส่ด้วยความเต็มใจแน่นอนครับ” ระหว่างทางผมก็บ่นๆ เรื่องนี้ไปตลอด พี่นัทคงรำคาญหรือขี้เกียจฟังก็เลยเปลี่ยนเรื่องชวนผมคุยเรื่องอื่น ถึงจะชวนคุยเรื่องอื่น แต่ผมก็ไม่ลืมเรื่องกางเกงในแน่นอน

ระหว่างที่ขับรถนั้นเสียงจากเรียกเข้าโทรศัพท์พี่นัทดังขึ้น เขาหยิบหูฟังบลูทูธมาสวมเพื่อขับรถไปด้วยและคุยไปด้วย คุยได้สักพักพี่นัทก็วางสายแล้วก็หันมาเล่าให้ผมฟัง

“อีกสองวันจะมีคนมาดูร้านครับ เขาจะเอาร้านเราไปแนะนำในเว็บไซต์ของเขา”

พอพี่นัทพูดชื่อเว็บไซต์นั้นออกมาผมก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย เว็บไซต์นั้นเป็นเว็บที่ค่อนข้างดัง คอยรีวิวร้านอาหารหรืออะไรหลายๆ อย่าง ถ้าเขามารีวิวร้านพี่นัท ลูกค้าก็ต้องเยอะขึ้นแน่ๆ

“ว้าว ดีอ่ะ พี่นัทเก่งจัง”

“แน่นอนครับ พี่เก่ง หล่อด้วยนะ” ผมไม่เถียงเพราะมันคือเรื่องจริง พี่นัททำขนมเก่ง ทำอะไรๆ ก็เก่ง รู้สึกภูมิใจที่มีแฟนเก่งแถมหล่อ

หลังจากฝ่าการจราจรสุดโหด พี่นัทก็ขับรถมาส่งผมที่ที่พัก ส่งถุงเสื้อผ้าให้ผม

“ทำไมมันเยอะจังอ่ะ ผมนึกว่าของผมมีแค่ถุงเดียว”

“จะถุงเดียวได้ไงล่ะครับ หนึ่งลองไปตั้งหลายชุดไง”

“พี่ซื้อมาหมดนั่นเลยเหรอ?” พี่นัทส่งยิ้มมาให้

“ก็มันน่ารักนี่ครับ หนึ่งลองใส่แล้วพี่ชอบ พี่ก็เลยซื้อมา”

“ไม่เห็นต้องซื้อให้เยอะขนาดนี้เลย ผมเกรงใจ”

“ก็พี่ชอบนี่ครับ พี่อยากให้คนที่พี่รัก ใส่สิ่งของที่พี่ชอบ พี่จะได้ทั้งรักทั้งชอบหนึ่งมากขึ้นไปอีก” พูดจบพี่นัทยื่นหน้ามาจุ๊บที่ปากผมแล้วก็ผละออก ผมที่ตอนแรกว่าจะบ่นก็กลายเป็นนั่งเขินเงียบๆ  บ่นไม่ลงอ่ะ

“ผมไปดีกว่า ตองสองรออยู่” ผมหอบถุงลงจากรถ แต่ก่อนที่จะปิดประตูพี่นัทจับมือผมไว้แล้วก็พูด

“พรุ่งนี้หนึ่งมาเช้าๆ อีกนะครับ มาคอยปลุกพี่”

“พี่ก็ตั้งนาฬิกาปลุกสิครับ”

“พี่อยากให้หนึ่งปลุกพี่แบบเมื่อวานอ่ะครับ พี่รู้สึกกระชุ่มกระชวยทั้งวันเลย”

“กลับดีๆ นะครับ” ผมถอนหายใจ แล้วก็วิ่งหน้าแดงขึ้นห้องมาเลย พี่นัทไปว่าพ่อตัวเองว่าขี้แกล้ง ตัวพี่นัทเองก็แกล้งผมเหมือนกันน่ะแหละ บู่ววว

 

สองวันผ่านไป ตอนนี้ผมกับพี่นัทกำลังหัวหมุนกับการเตรียมร้าน เตรียมเมนูขนมเพื่อต้อนรับตัวแทนจากเว็บไซต์ที่จะเข้ามาทำการรีวิว แต่รอตั้งแต่เช้าจนบ่ายเขาก็ยังไม่มากัน ผมกับพี่นัทก็มัวแต่พะวักพะวงตื่นเต้น แต่ดูๆ ไปแล้วเหมือนผมจะตื่นเต้นกว่าพี่นัทซะอีก พี่นัทแค่ก็รับออเดอร์กับลูกค้าตามปกติ มีแค่ผมคนเดียวที่ลุกลี้ลุกลน กังวลว่าเขาจะมากันตอนไหน

“หนึ่งใจเย็นๆ สิครับ เลิกถูโต๊ะได้แล้วครับ เสิร์ฟโต๊ะสี่ครับ” พี่นัทยื่นถาดขนมมาให้ผมไปเสิร์ฟ แล้วก็เดินกลับมาช่วยพี่นัทตรงเคาน์เตอร์ต่อ

“รับอะไรดีครับ” พี่นัทรับออเดอร์จากลูกค้าคนใหม่ ผมไม่ได้สนใจอะไรเพราะมัวแต่เรียงเค้กในตู้ให้สวยงามเตรียมพร้อมเอาไว้

“ผมมาจากเว็บไซต์ที่ติดต่อไว้ครับ”

ผมเงยหน้าจากตู้เค้กขึ้นมองทันที เป็นผู้ชายสูงโปร่งคนหนึ่งใส่เสื้อสีดำในมือมีสมุดกับปากกาอยู่ มากันแล้วสินะ ผมคิดอย่างตื่นเต้น รู้สึกประหม่าเกร็งขึ้นมาอีกครั้ง

พี่นัทรับออเดอร์ตามปกติ แล้วก็หันมาสั่งผมให้ตักเค้กใส่จาน เขาสั่งขนมหลายอย่าง น้ำหลายแก้ว ผมก็แอบแปลกใจนิดหน่อย มาคนเดียวจะทานหมดเหรอ ผมเดินถือบรรดาขนมไปเสิร์ฟที่โต๊ะแล้วก็พูดแนะนำเค้กไปด้วย เขาก็ก้มหน้าจดยิกๆ ในสมุด มีถามแทรกบ้างเป็นบางครั้ง

“หนึ่ง...ตองหนึ่ง”

ระหว่างที่ผมกำลังแนะนำอยู่นั้นก็มีเสียงเรียกผม เป็นเสียงผมค่อนข้างคุ้นเคย ผมหันกลับไปมองก็เจอผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ สะพายกล้องตัวเขื่อง ผมสั้นเซ็ตเข้าทรงอย่างดี ท่าทางคุ้นตา รอยยิ้มและน้ำเสียงที่คุ้นเคย

“....พี่ยุ!” พี่วายุ หรือที่ผมเรียกสั้นๆ กันว่ายุ เขายิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหา

“นึกว่าจะจำพี่ไม่ได้แล้ว”

“จำได้ครับๆ ” ผมยิ้ม พี่เขาเป็นพี่รหัสของผมตอนที่เรียนมหาลัย เขาคอยช่วยผมตลอด ช่วยทุกอย่าง ทั้งการเลือกกล้องเลือกเลนน์ที่จำเป็น การถ่ายรูปแล้วก็เป็นคนแนะนำงานหลายๆ อย่างให้ผมด้วย แต่พอพี่เขาเรียนจบออกไป เราก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย จนมาถึงตอนนี้

“ตอนนี้หนึ่งทำงานที่นี่เหรอ”

“ครับผม” ผมยิ้มและพยักหน้ากลับไป

“พาร์ทไทม์?”

“ฟูลไทม์ครับ”

“อ่าวเหรอ แล้วยังได้ถ่ายรูปอยู่มั้ย?” พี่วายุนั่งลงตรงโต๊ะของคนจากเว็บไซต์ ดูจากเสื้อและกล้องแล้ว พี่วายุคงทำงานนี่อยู่แน่ๆ เลย

“ก็ถ่ายพวกเมนูของที่ร้านนี้ลงทางเพจครับ รูปทั้งหมดเป็นฝีมือผมหมดเลย” ผมยืดเล็กน้อย รูปสวยๆ ในเพจอ่ะผีมือผมถ่ายหมดเลยนะครับ

“เอ้อ พี่เสียดายฝีมือเราอ่ะ หนึ่งถ่ายรูปแนว close up สวยนะ พี่ชอบ”

“ขอบคุณครับ แต่สวยสู้พี่ไม่ได้หรอกมั้ง ได้ทำงานเว็บดังด้วย”

“อยากลองมาทำงานกับพี่มั้ย แนวถ่ายอาหารแบบนี้แหละ เดี๋ยวพี่แนะนำกับเจ้านายให้เอง”

“จริงเหรอครับ!” ผมตื่นเต้นตาโต พี่ยุพยักหน้าแล้วก็หัวเราะ

“เจ้านายพี่ต้องชอบแน่ๆ  ถ่ายแนวๆ นี้อ่ะ”

ผมยิ้มแล้วก็พยักหน้า รู้สึกตื่นเต้นเรื่องการถ่ายรูป ผมยืนคุยเรื่อยเปื่อยกับพี่วายุและเพื่อนพี่เขา คุยเรื่องทั่วไป ทั้งเรื่องงานเรื่องข้อมูลของร้าน ผมเดินหน้าบานกลับมาพี่นัทที่กำลังเตรียมเครื่องดื่มอยู่

“คุยจ้อเชียว หายตื่นเต้นแล้วเหรอครับ” พี่นัทถามแล้วก็วางแก้วใส่ถาดให้ผม

“ครับ เจอคนรู้จัก ก็เลยคุยง่าย”

“คนรู้จัก? คนจากทางเว็บไซต์ด้วยเหรอครับ”

“ใช่ครับ พี่ผู้ชายที่เป็นตากล้อง พี่รหัสผมเองครับ โลกกลมเนอะ”

“ยิ้มแป้นเชียว แต่หายเกร็งก็ดีแล้ว เขาถามอะไรบ้างครับ”

“ก็เรื่องขนมทั่วไปครับ ส่วนเรื่องที่มาของร้านเขารอพี่นัทครับ”

“เหรอครับ ทำแก้วนี้เสร็จเดี๋ยวพี่ก็ไปเสิร์ฟเองละกัน”

“ครับ พี่นัทครับ เมื่อกี้พี่วายุที่เป็นพี่รหัสผมอ่ะ ชวนผมไปทำงานกับเขาด้วยครับ เขาดูรูปในเพจของร้านที่ผมถ่ายแล้วเขาก็ชอบ บอกว่าเจ้านายเขาก็ชอบแนวๆ ที่ผมถ่ายอยู่”

“...” ผมพูดไปยิ้มไปจนลืมดูท่าทางของพี่นัท

“แล้วพี่ยุก็บอกจะแนะนำผมกับเจ้านายให้ด้วย”

“...แล้วหนึ่งจะไปทำกับเขาเหรอครับ” พี่นัทหยุดมือแล้วก็หันมาถามผม

“เอ่อ...ไม่...ไม่หรอกครับ” พี่นัทยิ้มแล้วก็หันกลับไปทำงานต่อ

“...” พอเห็นท่าทางแบบนั้นของพี่นัทผมก็หยุดพูดเรื่องนั้นทันที ผมเงียบ พี่นัทก็เงียบด้วย

พอทำเครื่องดื่มเสร็จพี่นัทก็ยกไปเสิร์ฟด้วยตัวเอง พูดคุยกันถ่ายรูปกันนิดหน่อย พี่นัทก็กลับมารอรับออเดอร์ที่เคาน์เตอร์เหมือนเดิม  บรรยากาศค่อนข้างน่าอึดอัดยังไงไม่รู้อ่ะ ผมจึงพยายามคิดหาเรื่องคุยเพื่อให้บรรยากาศกลับมาดี

“พี่นัทครับ วันจันทร์หน้าตองสองก็ไปทำงานแล้วก็ไม่ค่อยกลับห้อง ผมสามารถมากลับมานอนกับพี่ได้แล้วนะครับ” ตองสองทำงานกับนิตยสารการท่องเที่ยวที่ต้องออกเดินทางบ่อยมาก ทำให้ไม่ค่อยกลับห้องซึ่งสองเริ่มงานอีกสี่วันข้างหน้า ผมก็สามารถมานอนกับพี่นัทตามปกติก่อนหน้านี้ได้แล้ว

“จริงเหรอครับ ดีจังเลย พี่อยากจะฟัดหนึ่งมากๆ เลย จะลงแดงตายอยู่แล้วเนี่ย”

ผมยิ้มและหัวเราะออกเมื่อพี่นัทกลับมามีท่าทางปกติ  สงสัยเมื่อกี้ผมคงกังวลไปเองแหละ เรื่องนั้นแค่เล่าให้พี่นัทฟัง ไม่ได้จะไปทำงานกับพี่วายุจริงซักหน่อยนี่

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผมก็อยากโดนพี่นัทฟัดจะแย่แล้ว”

“อย่าพูดแบบนั้นเชียว เดี๋ยวพี่ก็ทนไม่ไหวหรอกครับ โอ๊ยๆ  อย่าทำหน้าน่ารักแบบนั้นสิ เดี๋ยวก็จับฟัดกลางร้านนี่เลย”

“อย่านะ ผมหนีก่อนดีกว่า” พี่นัทจะเดินเข้ามาหาพร้อมอ้าแขนออก ผมแกล้งร้องแล้วเดินหนีไปหลังร้าน

“ฮันแหน่! เดินไปทางหลังร้านแบบนั้น คือชวนพี่ใช่มั้ยครับ?”

“ไม่ใช่ซักหน่อย ผมหนีพี่ตังหาก!”

“หนีมาหลังร้านนี้ หนีเท่าไรก็หนีไม่พ้นหรอกครับ” พี่นัทกอดผมแน่นแล้วซุกหน้าลงที่ซอกคอ ผมหัวเราะออกมาเพราะจักจี้ ยิ่งเขาคลอเคลียปลายจมูกลงมาแรงผมยิ่งหัวเราะดังขึ้น

“คิก พอก่อนครับ ต้องกลับไปหน้าร้านแล้วนะ”

ผมกับพี่นัทเดินออกมาหน้าร้าน แล้วต่างทำหน้าที่กันต่อ

 

“ขนมอร่อยมากเลยครับ การเดินทางก็สะดวกมีลานจอดรถอีกตังหาก พอรีวิวถูกแชร์แล้ว ร้านนี้มีลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่นอนครับคุณนัท เตรียมรับมือได้เลย” เพื่อนพี่วายุพูด พี่นัทจัดการห่อขนมที่เขาทานไม่หมดใส่กล่องแล้วยื่นให้พี่วายุ

“ขอบคุณมากเลยนะครับ ที่ให้โอกาสร้านเล็กๆ ของผม”

“ครับ ทางเราขอตัวก่อนนะครับ พี่ไปก่อนนะหนึ่ง ว่างๆ จะแวะมาคุยด้วย”

พี่วายุบอกพี่นัทและหันมาคุยกับผมพร้อมทั้งยื่นมือมาขยี้หัวผมอีกด้วย หลังจากนั้นก็เดินหิ้วน้ำและขนมออกจากร้านไป  ผมหันยืนโบกมือยิ้มส่งอยู่ พอหันกลับมาก็เจอพี่นัทที่ยืนหน้าบึ้งอยู่

“สนิทกันจังเลยนะ”

“ครับ เมื่อก่อนสนิทกว่านี้อีก พี่ยุเขาช่วยผมทุกอย่างเลยครับ”

“เหรอ ช่วยอะไรบ้างครับ”

“ก็หลายๆ อย่าง ทั้งช่วยทำงาน ให้ผมยืมกล้อง แนะนำการเรียน ช่วยสอนเทคนิคต่างๆ ให้เยอะแยะมากเลยครับ หางานให้ผมทำด้วยนะ บางครั้งพาผมไปเที่ยว พาไปถ่ายภาพ แถมพาผมไปเลี้ยงข้าวบ่อยๆ ด้วย เป็นพี่รหัสที่ดีมากๆ เลยครับ”

“เหรอครับ...แล้วพี่กับเขา ใครดีกว่ากันครับ หนึ่งสนิทกับใครมากกว่ากันครับ”

ผมหันไปมองหน้าพี่นัทอีกที โอโห หน้านี่ตูมเชียว นี่ต้องไม่พอใจอยู่แน่ๆ เลย

“ผมต้องสนิทกับพี่นัทมากกว่าอยู่แล้วสิครับ”

“...”

“พี่วายุอ่ะแค่พี่รหัส แต่พี่นัทอ่ะ...”

“พี่ทำไมครับ”

“พี่อ่ะแฟนสุดที่รักของผมเลยนะครับ”

พูดเสร็จผมก็เดินหนีมาเขินอยู่หลังเคาน์เตอร์  พี่นัทยืนยิ้มหน้าบานอยู่หน้าประตูพักหนึ่งก็เดินตามผมเข้ามา

“ให้พี่เป็นแฟนสุดที่รักหนึ่งไปนานๆ นะครับ”

พูดจบพี่นัทก็ก้มลงมาจุ๊บที่ปากผมหนักๆ  แต่แค่แปปเดียวก็ผละออก เดินไปประจำที่ตรงเคาน์เตอร์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นปล่อยผมยืนเขินอยู่ตรงที่เดิม แล้วสักพักก็มีลูกค้าเดินเข้ามาพี่นัทก็รับออเดอร์แต่ก็มิวายหันมาขยิบตาให้ผม พร้อมทั้งขยับปากพูดแบบไม่ออกเสียง

‘รักนะครับ’

ผมหัวเราะแก้มร้อนผ่าวและยิ้มกว้าง พอตั้งสติควบคุมความเขินได้แล้วขยับปากบอกพี่นัทกลับเช่นกัน เป็นคำที่ทำให้พี่นัทตาโต ยกมือขึ้นกุมบริเวณหน้าอกตัวเองเลยทีเดียว

'ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับ'




แหววๆ หวานๆ กันต่อไปเรื่อยๆเลยนาจา

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie

หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 21 ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับ l 09-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-10-2019 21:37:47
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่นัทเนี่ย คนหลงเมียขั้นสุดอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 21 ผมก็รักพี่เหมือนกันนะครับ l 09-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-10-2019 20:53:50
 :man1: :pig4: :man1:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 22 : ชนวน l 08-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 08-10-2019 20:47:12
22 : ชนวน


พี่นัท’s part

“สวัสดีครับพี่ยุ มาอีกแล้วนะครับ”

“ก็ว่างอยู่พอดีเลยอยากแวะมาหาหน่อยครับแล้วเป็นไงบ้าง คนเยอะเลย”

“เยอะกว่าเดิมมากเลยครับ ตั้งแต่สองวันที่แล้วที่รีวิวถูกแชร์ออกไป”

“เหนื่อยแย่เลยดิ เดี๋ยวพี่ช่วยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่เป็นลูกค้านะ ไปนั่งรอดีกว่าครับ”

มือผมทำเครื่องดื่มแต่ตาก็แอบเหลือบมองตองหนึ่งกับไอ้พี่รหัสไปด้วย  หลังจากที่คุณวายุมาทำรีวิววันนั้น เขาก็มาทุกวันเลย รวมวันนี้ก็วันที่สี่แล้ว ดูท่าก็รู้แล้วว่ามันต้องเล็งหนึ่งของผมอยู่แน่ๆ แม่งเล่นมาทุกวันแบบนี้ แถมยังเอาแต่จ้อง เอาแต่แอ๊วตองหนึ่งคนเดียว ใครก็ดูออกวะว่าจ้องจะงาบแฟนผม จะมีก็แต่เจ้าตัวเด็กบ๊องนั่นแหละที่ไม่รู้ดูไม่ออก พอผมพูดๆ ก็หาว่าผมคิดมากเป็นตาลุง พอผมบ่นมากๆ ตองหนึ่งก็ทำหน้าเบื่อใส่ พอผมโกรธตองหนึ่งก็หาว่าผมไม่ไว้ใจที่รักของตัวเองอีก ผมไว้ใจตองหนึ่งแต่ไม่ไว้ใจมันโว้ย! จะออกปากไล่ก็ไม่กล้ากลัวโดนเมียโกรธที่ไปไล่พี่รหัสผู้มีพระคุณของเขา ถ้าตองหนึ่งโกรธผมขึ้นมาจริงๆ ทำไงอ่ะ จะให้ทะเลาะกันไม่ได้เด็ดขาด ช่วงนี้ยิ่งมีสุนัขมาป้วนเปี้ยนอยู่ ถ้าตองหนึ่งโดนสุนัขคาบไปผมคงอกแตกตาย

แล้วอีกอย่างสองวันนี้ลูกค้าเยอะขึ้นมากจนเขาต้องมาเดินช่วยเสิร์ฟเป็นครั้งคราว อยากจะบอกว่าไม่ต้องช่วยแต่ก็บอกได้ไม่เต็มปากนักเพราะลูกค้าเยอะจริงๆ เยอะจนสงสารตองหนึ่งที่ต้องเดินทั้งวัน อยากจะจ้างคนเพิ่ม แต่ก็นะ ลูกจ้างดีๆ หาได้ง่ายซะที่ไหนล่ะ

“สวัสดีครับคุณนัท”

“คุณวายุว่างมาทุกวันเลย ไม่มีงานทำแล้วเหรอครับ...แล้ววันนี้รับอะไรดี” ผมแอบเหน็บไปนิดหน่อยแต่คุณวายุคงหน้าหนาเกินไปเลยเลยดูไม่สะทกสะท้านเท่าไร

“เดี๋ยวผมช่วยเดินเสิร์ฟก่อนครับ คุณนัททำของคนอื่นก่อนก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไรครับผมเกรงใจ”

“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจช่วย วันนี้ผมว่างทั้งวัน อยุู่ช่วยได้ตลอดเลยครับ”

“ผมไม่มีค่าจ้างให้นะครับ”

“ไม่เป็นไร ผมอยากช่วยหนึ่งเฉยๆ ” กล้ามเนื้อใบหน้าผมกระตุกนิดหน่อย ความหงุดหงิดที่ก่อตัวก่อนหน้านี้เริ่มใหญ่ขึ้นๆ  เป็นความรำคาญอย่างสุดๆ

“ตองหนึ่ง โต๊ะสามนะ” ผมเลิกพูดกับคุณวายุแล้วหันไปหาหนึ่งแทน

“เดี๋ยวพี่ไปเองครับ” วายุหันไปยิ้มให้ตองหนึ่ง ยกแก้วที่ผมเพิ่งวางลงในถาดไปเสิร์ฟที่โต๊ะ คนตัวเล็กก็เลยเข้ามาหยิบเค้กแล้วก็ไปเสิร์ฟที่โต๊ะเดียวกัน ระหว่างนั้นผมก็เห็นว่าไอ้คุณวายุนั้นดูถึงเนื้อถึงตัวน้องตองหนึ่งของผมมากเกินไปรึเปล่า? จับมือยังอาจจะบังเอิญโดน แต่ไอ้จับหัวขยี้ผม บีบแก้ม นี่มันใช่เหรอวะครับ?  แล้วตองหนึ่งก็ช่วยอย่าไปหัวเราะคิกคัก ส่งยิ้มน่ารักๆ แบบนั้นให้คนอื่นได้มั้ย ผมหวงมากเลยอ่ะ หงุดหงิดว่ะ!

หลังจากช่วงกลางวันนั้นผมก็หงุดหงิดงุ่นง่านมันอยู่อย่างนั้นทั้งวัน ไอ้คุณวายุไม่ใช่แค่มาช่วยแค่ครู่เดียวแต่มาอยู่จนร้านปิด พอทำความสะอาดร้านเสร็จ ตองหนึ่งก็เดินยิ้มมาหาผม

“พี่นัทครับ วันนี้ผมจะออกไปถ่ายรูปกับพี่วายุอีกนะ เดี๋ยวผมค่อยมานอนกับพี่วันพรุ่งนี้แทน”

“เดี๋ยวสิครับ เมื่อวานหนึ่งก็ไปมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ครับ วันนี้พี่วายุจะไปพาไปอีกที่นึง น่าตื่นเต้นกว่าเมื่อวานอีกครับ” ตองหนึ่งพูดและแววตาเป็นกายระยิบระยับเชียว อาจจะเห็นแก่ตัวแต่ตอนนี้ผมอยากจะพูดไปว่าหนึ่งควรจะมีเรื่องตื่นเต้นกับพี่แค่คนเดียวสิครับ ทำไมต้องไปกิ๊วก๊าวกับคนอื่นด้วยอ่ะ ผมเริ่มชักจะน้อยใจแล้ว และถึงแม้ว่าอยากจะปฏิเสธแต่พอได้เห็นท่าทางตื่นเต้นอยาไปของเขาแบบนั้นผมก็ห้ามไม่ลง ได้แต่พยักหน้าแล้วมองคนตัวเล็กหยิบกระเป๋าเดินออกจากร้านไปพร้อมกับไอ้วายุนั่น

ผมพยายามไม่คิดมากแบบที่ตองหนึ่งบอก พี่วายุของตองหนึ่งอาจจะไม่ได้เป็นแบบที่ผมคิดก็ได้ ไม่งั้นตลอดเวลาที่เป็นสายรหัสกันตอนอยู่มหาวิทยาลัยหนึ่งคงไม่น่ารอดมาถึงผมได้หรอก ผมคิดแบบนั้นเพื่อให้ตัวเองสบายใจ

ผมขึ้นห้องมาอาบน้ำเตรียมตัวนอน แต่พอปิดไฟ หลับตา ความคิดน่ากลัวๆ ก็ประเดประดังเข้ามา ก็แบบว่าตองหนึ่งตอนนี้น่ารักขึ้นกว่าเดิมตั้งเยอะ เมื่อตอนปีที่แล้วหนึ่งก็น่ารักแต่ตอนนี้ก็น่ารักโคตรๆ ขึ้นไปอีกอ่ะ ไอ้คุณวายุนั่นอาจจะเพิ่งมาคิดอะไรกับตัวเล็กของผมตอนนี้ก็ได้ ไม่งั้นไม่มาเสียเวลาเดินช่วยงานหนึ่งอยู่ได้ตั้งหลายวันแบบนี้หรอก แถมยังพาไปถ่ายรูปอะไรตอนดึกๆ แบบนี้อีก

ผมรู้สึกไม่สบายใจจนต้องหยิบโทรศัพน์มาโทรหาหนึ่ง แต่ตัวเล็กดันปิดเครื่องอ่ะ หรือว่าถึงห้องพักแล้วนอนหลับไปแล้ว

อืม...แต่หนึ่งไม่เคยปิดเครื่องตอนนอนนี่ หรือแบตจะหมดอ่ะ...หรือจะโดนไอ้คุณวายุจับเคี้ยวเล่นไปแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ผมพยายามที่จะหหลับตานอน แต่ก็รู้สึกกังวลจนหลับไม่ลง นอนพลิกไปมาจนถึงเวลานาฬิกาปลุก

...

อา...วันนี้ผมต้องไปตลาดด้วยนี่

ผมลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวไปตลาดเพื่อซื้อผลไม้และของมาทำขนมด้วยสภาพที่เหมือนซอมบี้เลเวลหนึ่ง

ตลาดตอนเช้าคึกคัก เสียงเจื้อยแจ้วของแม่ค้าทำให้ผมตื่นตัวกระฉับกระเฉงขึ้นมาได้บ้าง ในขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ เลือกผลไม้ ผมก็บังเอิญไปเห็นไอ้คุณวายุที่กำลังเดินถ่ายรูปอยู่

เห็นหน้าแต่เช้าแบบนี้ช่างไม่รื่นอารมณ์เอาซะเลย...ทำหน้าเซ็งได้ไม่เท่าไรผมก็ต้องเบิ่งจนตาแทบถลนออกมา ก็เพราะรูปร่างเล็กคุ้นตาที่กำลังเดินกินน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ตามหลังคุณวายุต้อยๆ นั่นอ่ะ มันตองหนึ่งของผมนี่ครับ เห็นแบบนั้นผมรีบหิ้วถุงผลไม้เดินลิ่วไปหาสองคนนั้นทันที

“ตองหนึ่ง” พอเดินเข้าไปหาในระยะที่พอได้ยิน ผมก็เรียกตองหนึ่งเสียงเย็น เอาให้ได้ยินแล้วรู้สึกหนาวไขสันหลังไปเลย อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังไม่พอใจ

“พี่นัท~” แต่นอกจากตองหนึ่งจะไม่หนาวยังส่งเสียงสดใสกลับมาจนน้ำแข็งที่เส้นเสียงผมละลายไปทันทีเลยครับ แถมยังส่งยิ้มกว้างมาให้อีก ยิ้มน่ารักแบบนั้นแล้วทำให้ผมหงุดหงิดไม่ลงเลยครับ

“สวัสดีครับคุณนัท ซื้อของไปทำขนมเหรอครับ” คุณวายุที่ถ่ายรูปอยู่หันมาทักทายผม ผมก็แค่พยักหน้ากลับไป ไม่อยากจะพูดด้วยเลย หงุดหงิดมัน หวังจะมาแย่งตองหนึ่งไปจากผมสินะ ฝันไปเถอะเอ็ง!!

“หนึ่งครับ ทำไมเมื่อคืนปิดเครื่องล่ะ” ผมหันไปถามคนตัวเล็กที่ยืนเคี้ยวปาท๋องโก๋อยู่ตุ้ยๆ

“อ้อ เเบตหมดครับ”

ตองหนึ่งตอบมาแค่นั้นแล้วก็ก้มลงดูดน้ำเต้าหู้เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร...โอเคครับ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าพอชาร์ตแล้วหนึ่งไม่คิดจะโทรกลับมาหาพี่บ้างเหรอครับ ผมอยากจะพูดไปแบบนั้นแต่เพราะคุณวายุยังอยู่ก็เลยไม่อยากพูด เดี๋ยวผมจะดูงี่เง่าเกินไป

“แล้วหนึ่งมาทำอะไรที่ตลาดนี่ครับ”

“พี่วายุพามาถ่ายรูปตลาดเช้าครับ เลี้ยงขนมผมด้วย อร่อยๆ ทั้งนั้นเลย พี่นัทอยากกินอะไรมั้ยครับ?” ตองหนึ่งพูดแล้วก็ชูถุงขนมหลายถุงขึ้นมาอวดผม  ผมส่ายหน้าไป

“แล้วหนึ่ง…”

“ตองหนึ่งครับ ไปถ่ายภาพทางนั้นกันมั้ยครับ” คุณวายุที่ยืนเงียบมานานพูดแทรกขึ้นมา พร้อมกับชี้ไปอีกฟากหนึ่งของตลาด ตัวเล็กของผมก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วทำท่าจะเดินตามไปจนผมคว้าแขนแทบไม่ทัน

“ตองหนึ่งจะไม่ไปทำงานเหรอ นี่จะเจ็ดโมงเเล้วนะครับ”

ตามปกติตองหนึ่งจะไปที่ร้านประมาณเจ็ดโมงซึ่งนี่ก็ใกล้เวลาแล้วด้วย ไม่ใช่ว่าผมเข้มงวดอะไรมากนักหรอก แต่ผมไม่อยากหนึ่งไปกับคนอื่นในตอนนี้

“คุณนัทครับ ผมว่าเวลานี้มันเช้าเกินไปที่จะทำงานนะครับ ร้านคุณเปิดตั้งสิบโมง หนึ่งเข้างานเก้าโมงครึ่งยังทันเลยครับ เข้างานก็เช้า เลิกงานก็ดึกมาก ผมว่ามันเกินไปนะครับ”

สอใส่เกือกจริงๆ เลยไอ้นี่ ผมตวัดตามองคุณวายุตาขวาง

“อะ..เอ่อ..พี่วายุครับ ความจริงแล้วผม….” ตองหนึ่งที่เห็นท่าไม่ดีจึงเดินมาแทรกกลางและเตรียมจะอธิบาย แต่ไอ้คนที่ไม่รู้เรื่องอะ ไรเลยกลับพูดไม่หยุดและไม่ยอมให้หนึ่งพูดด้วย

“ยังไงวันนี้หนึ่งคงต้องเข้างานสายวันนึงนะครับ แต่ผมจะไปส่งตองหนึ่งก่อนที่คุณจะเปิดร้านแน่นอนครับ”

พูดจบคุณวายุก็จับมือหนึ่งแล้วเดินไปทันที  ผมมองหนึ่งที่หันหลังกลับมาหาพลางทำหน้าขอโทษผม แต่ก็วิ่งต๊อกแต๊กตามคุณวายุนั่นไป ส่วนผมจะทำอะไรได้ล่ะ ก็ซื้อของให้เสร็จแล้วกลับไปทำเค้กต่อสิครับ ใจนึงก็อยากวิ่งตามตองหนึ่งไป ตามให้กลับไปกับผม ไม่อยากให้ไปกับคุณวายุแต่หนึ่งก็เข้าใจชอบถ่ายรูปมาก ผมรู้ว่าหนึ่งมีความสุขที่ได้ถ่ายภาพ ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ  เกี่ยวกับการถ่ายภาพนั้น แล้วจะให้ผมไปขัดความสุขของหนึ่งได้ยังไงล่ะครับ

พอซื้อของเสร็จผมก็กลับมาร้าน รีบทำความสะอาดร้านก่อนแล้วจึงค่อยเข้าครัวมาทำเค้ก การทำอะไรๆ คนเดียวมันโคตรจะวุ่นวาย แถมพอคิดถึงเรื่องตองหนึ่งก็ทำให้ใจไม่สงบ ทั้งน้อยใจทั้งหงุดหงิดปนกันไปหมด

ผ่านไปสามชั่วโมงกว่าๆ  ผมถึงจะทำเค้กและขนมทั้งหมดเสร็จ ผมนำมาจัดเรียงใส่ตู้ให้สวยงาม  ตอนนี้มันเลยเวลาเปิดร้านมานานแล้ว แต่ไอ้คุณวายุก็ยังไม่พาตองหนึ่งมาส่งตามที่บอกไว้ จนผมต้องโทรตามตองหนึ่ง และผมถือสายซักพักตองหนึ่งก็รับสาย

“หนึ่งครับ ใกล้จะถึงร้านยังครับ?”

(เอ่อ.. พี่นัทครับ ผม…)

“พี่กำลังจะเปิดร้านแล้วนะครับ พอไม่มีหนึ่งช่วย พี่เลยเปิดร้านสายเลย”

(พี่นัทครับ ผม...เอ่อ อยากจะขอลาครึ่งวัน...)

“...” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เงียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ รู้สึกจุกอกอย่างห้ามไม่ได้ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่น้อยใจโคตรๆ  ผมน้อยใจตองหนึ่งอ่ะ ผมรู้สึกน้อยใจจนขอบตามันร้อนผ่าวขึ้นมาเลย เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดนั้น

ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  แล้วก็ผ่อนออกมาเฮือกใหญ่ ไล่ความรู้สึกจุกอกและอึดอัดน้อยใจนี้ออกไป

(พี่นัทครับ) ตองหนึ่งส่งเสียงเรียกมา เพราะผมเงียบไปนาน ผมอ้าปากเตรียมจะตอบว่า ‘ไม่เป็นไรครับ’ อยากจะบอกน้องไปแบบนั้น แต่ผมพูดไม่ได้จริงๆ  ผมน้อยใจเขามากเกินกว่าที่จะพูดคำนั้น สุดท้ายผมก็เลยกดวางสายไปเลย

หลังจากวางสายไปผมก็เดินไปเปิดร้าน ไม่นานลูกค้าก็ทยอยกันเข้ามาจนเต็มร้าน ผมทั้งตักเค้กทั้งทำเครื่องดื่มจนมือเป็นระวิง ทำให้ความอึดอัดจุกอกผมหายไปได้บ้าง

จนผ่านไปบ่ายโมงกว่าที่ผมเพิ่งเคลียออเดอร์เสร็จ ลูกค้าบางตาไปแล้ว ผมก็เห็นตองหนึ่งเดินลงจากรถเก๋งคันงามซึ่งเดาว่าเป็นของไอ้วายุนั่นแน่ๆ  แล้วตองหนึ่งเดินหน้าเจื่อนเข้ามา ที่ตอนลงจากรถยังยิ้มให้วายุอยู่เลยแล้วทำไมตอนเดินเข้าร้านทำหน้าแบบนั้นล่ะ เห็นแล้วต่อมน้อยใจมันพุ่งปรี๊ดขึ้นมาเลยจริงๆ

“พี่นัทครับ….” พอตองหนึ่งพูดขึ้นมาปุ๊บ ผมก็วางแก้วเครื่องดื่มบลูโซดาลงตรงเคาน์เตอร์ทันที

“เสิร์ฟโต๊ะสองครับ”

“อ่ะ...ครับๆ ” ตองหนึ่งรีบหยิบถาดมาใส่แล้วเดินไปเสิร์ฟทั้งที่ยังสะพายกระเป๋ากล้องอยู่  พอเสิร์ฟเสร็จก็เอากระเป๋าไปเก็บแล้วออกมาทำงานต่อ ตองหนึ่งก็ชวนผมพูดนั่นนี่มากมาย แต่ความน้อยใจมันเต็มอก ทำให้ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ถึงจะรู้ว่าที่ทำนี้มันดูงี่เง่าไม่สมเป็นผู้ใหญ่ก็เถอะ วันนี้ขอพี่งอนวันนึงล่ะกัน แล้วพรุ่งนี้จะกลับไปเป็นพี่นัทคนเดิมนะครับตองหนึ่ง

บรรยากาศในร้านดูมึนตึงทั้งวัน ตองหนึ่งก็พยายามพูดไปเรื่อย ผมก็เงียบลูกเดียว พอตองหนึ่งจะเข้ามาง้อ ผมก็ดันงี่เง่าทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา จนช่วงดึกที่ลูกค้าน้อยลงตองหนึ่งก็ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ผมเห็นแล้วก็ทั้งสงสารทั้งเสียใจที่ตัวผมทำให้หนึ่งซึมแบบนั้น  มันรู้สึกขัดแย้งกันในใจ ทั้งน้อยใจแต่ก็สงสารที่เป็นตัวเล็กของผมซึมๆ ไม่ยิ้มแบบนั้น สุดท้ายเป็นผมนี่แหละที่ทนไม่ไหวเดินเข้าไปคุยกับตองหนึ่งเอง

“ตัวเล็กครับ”

“น้องตองหนึ่ง!”

ผมพูดและก็มีอีกเสียงที่เพิ่งเข้าร้านมา ตะโกนเรียกตองหนึ่งเสียงดังจนกลบเสียงผมมิด...ไอ้คุณวายุมาอีกแล้ว มันจะมาทำไมบ่อยๆ วะ อยากจะแช่งให้ตกงานจริงๆ

แต่ไม่ได้ดิ ยิ่งมันตกงานยิ่งมีเวลาว่างมาหาตองหนึ่ง เผลอๆ อาจมาขอสมัครงานที่นี่เพื่ออยู่กับตองหนึ่งอีก ต้องอวยพรให้มันทำงานจนยุ่งไม่มีเวลาหายใจเลยสิถึงจะถูก

ส่วนตองหนึ่งที่ตอนแรกนั่งซึมอยู่ก็เดินยิ้มไปหามัน เห็นแล้วมันน่าน้อยใจมั้ยล่ะ? ผมน่ะมันคนขี้หวง แล้วนั่นน่ะรอยยิ้มของผม ทำไมหนึ่งต้องไปยิ้มให้มันด้วย

“พี่วายุเลิกงานแล้วเหรอครับ?”

“ใช่ครับ พี่ว่าจะพาหนึ่งไปดูไฟอีก การถ่ายภาพไฟ เทคนิคพิเศษการถ่ายภาพกลางคืนแบบแปลกๆ ไม่เหมือนเมื่อคืนแน่นอน สนใจป่าว?”

“สนครับ”

“ใกล้เลิกงานแล้วนี่ เดี๋ยวออกไปรอข้างนอกนะ” ตองหนึ่งพยักหน้า ส่วนไอ้วายุนั่นพอได้คำตอบแล้วก็เดินออก แต่ก็ยังไม่วายแอบหันมายักคิ้วใส่ผม แบบนี้มันตั้งใจกวนกันนี่หว่า ผมเดินออกจากเคาน์เตอร์ แล้วก็รีบดึงแขนตองหนึ่งมาเคลียโดยทันที

“หนึ่งครับ คืนนี้หนึ่งบอกว่าจะนอนกับพี่ไม่ใช่เหรอครับ แล้วทำไมถึงออกไปกับเขาอีกแล้วล่ะ”

“อะ...เอ่อ เดี๋ยวผมกลับมาไงครับ  ผมไปไม่นาน...นะครับ”

“เมื่อวานหนึ่งก็เลื่อนนะครับ วันนี้พี่ไม่ยอมเด็ดขาดเลย ถ้าคืนนี้หนึ่งไม่มานอนให้พี่กอด พี่จะไม่ให้หนึ่งกินขนมเลยนะ” บอกว่าจะไม่ให้กินขนมแบบนี้เหมือนเป็นเด็กเลยอ่ะ ยิ่งพอเห็นตองหนึ่งเงียบๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นผู้ใหญ่งี่เง่า

“...”

“แล้วพี่ยังไม่หายงอนหนึ่งเรื่องเมื่อเช้าเลยนะครับ หนึ่งจะไปอีกแล้วเหรอ” พอเอาเรื่องนี้ขึ้นมาอ้างผมก็ยิ่งรู้สึกเป็นคนงี่เง่าเข้าไปใหญ่ ผมรู้สึกหงุดหงิดตัวเองไปหมดเลย

“พี่อย่าโกรธผมเลย หายงอนผมนะครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมจะให้พี่นัทกอดผมทั้งคืนเลย” ตองหนึ่งพูดแล้วเดินเข้ามากอดผม คลอเคลียไปมาเหมือนลูกแมว “พี่วายุเขาเป็นคนดี ไม่ทำอะไรผมหรอกครับ”

“แล้วพี่ล่ะครับ พี่เป็นคนดีมั้ยครับ”

“พี่นัทก็เป็นคนดีครับ พี่นัทเป็นคนดีที่สุด”

“ครับ หนึ่งมองว่าพี่เป็นคนดี แต่พี่ก็คิดอะไรๆ ลามกกับหนึ่งได้เยอะแยะ ไอ้คุณวายุนั่นก็เหมือนกัน”

“พี่นัท ให้ผมไปเถอะนะครับ ผมดูแลตัวเองได้ไม่มีใครทำอะไรผมได้ ถ้าผมไม่เต็มใจ”

“...”

“ให้ผมไปนะ นี่เวลาเลิกงานผมนะครับ ผมอยากไปถ่ายรูป”

“งั้นพี่ไปด้วยได้มั้ยครับ?”

“แต่มันดึกแล้ว ผมไปไม่นานหรอก แล้วผมก็ดูออกว่าพี่นัทไม่ชอบพี่วายุ ถ้าพี่ไปด้วยก็จะหงุดหงิดเปล่าๆ นะครับ ผมไม่อยากให้พี่อารมณ์ไม่ดีมากไปกว่านี้”

“...”ผมเงียบเพราะจริงอย่างที่หนึ่งพูด ต้องไปกับไอ้คุณวายุนั้นผมคงหงุดหงิดประสาทแตกตาย

“ให้ผมไปนะ”

“...ก็ได้ครับ แต่ห้ามเกินเที่ยงคืนนะ”

“ครับ ไม่เกินแน่นอนครับ”

พูดจบผมกับตองหนึ่งก็เริ่มๆ เคลียร้านและไม่นานร้านก็ปิด ผมเดินออกมาส่งตองหนึ่งที่หน้าร้านและกำชับให้กลับมาเร็วๆ  ตองหนึ่งก็รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าไม่เกินแน่นอน



01.20 am.

ผมอดทนรอจนตอนนี้มันล่อไปตีหนึ่งกว่าแล้วก็ยังไม่เห็นแววของแฟนผมเลย พอโทรไปก็ไม่รับสายของผมอีก ผมยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ รู้สึกคิดผิดที่ปล่อยให้ตองหนึ่งไป จนเวลาผ่านไปซักพักแอปพลิเคชั่นสีน้ำเงินที่ผมได้ติดดาวติดตามความเคลื่อนไหวของตองหนึ่งไว้ก็ได้ขึ้นแจ้งเตือนว่า มีใครบางคนได้ลงรูปภาพและแท็กชื่อตองหนึ่งและได้เช็คอินสถานที่ไว้

“ไปถ่ายรูปกัน แล้วทำไมเช็คอินที่ร้านใต้แสงเทียนแบบนี้วะ” ในภาพเป็นไอ้คุณวายุกับตองหนึ่งกำลังยิ้มอยู่ด้านหน้าเป็นจานขนมหวานหน้าตาน่ากิน แถมบรรยากาศใต้แสงเทียนนั่นก็โรแมนติกจนน่าหมันไส้

ไม่ใช่ไม่ไว้ใจตองหนึ่งนะ แต่ไม่ไว้ใจไอ้วายุนั่นเลยซักนิด มันทำตัวชัดเจนมากว่าจีบตองหนึ่ง ผมรีบเปลี่ยนชุดแล้วหยิบกุญแจรถขับไปตามสถานที่ที่วายุได้เช็คอินไว้ทันที

พอมาถึงผมที่กำลังจะลงจากรถก็เห็นว่าวายุกับตองหนึ่งเดินออกมาพอดี ทั้งสองคนขึ้นรถแล้วก็ขับออกไป ผมคิดว่าคราวนี้ทั้งสองคงจะกลับแล้วจริงๆ  แต่ทางที่รถของวายุขับไปนั้น มันไม่ใช่ทางที่จะกลับที่พักของตองหนึ่งเลย ผมที่ขับตามมาห่างๆ  เริ่มรู้สึกเจ็บและอึดอัดในใจ ความกลัวความผิดหวังและความน้อยใจต่างอัดแน่นอยู่ในสมองและในอก สิ่งที่เห็นและรับรู้ตลอดหลายหวังมานี้ทำให้สมองที่สับสนของผมส่งความคิดที่น่าเจ็บปวดมาให้ผมคิดเล่นๆ

ความคิดที่ว่า...ตองหนึ่งกำลังนอกใจผมอยู่รึเปล่า?

ผมขับรถตามมาห่างๆ  จนรถไอ้วายุมาจอดที่แห่งหนึ่ง เป็นสวนสาธาณะข้างแม่น้ำ ไฟโดยรอบตกแต่งสวยงาม และเพราะดึกแล้วคนเลยไม่มี ผมแอบจอดรถไปบริเวณข้างสะพานเล็กๆ ซึ่งต้นไม้ใหญ่บังไว้ และเพราะแสงส่องไม่ถึง ทำให้บริเวณนี้มืด สองคนนั้นจึงไม่ทันได้สังเกตุรถผม

ผมเห็นวายุเดินลงจากรถเพื่อมาเปิดประตูฝั่งคนนั่ง ในตอนแรกตองหนึ่งยังไม่ยอมลงจากรถ จนวายุแทรกตัวเข้าไปอุ้มตองหนึ่งลงมา ผมเห็นฉากนั้นก็รู้สึกโมโหจนอยากจะลงจากรถไปซะเดี๋ยวนั้นเลย ผมเห็นตองหนึ่งเดินไปบริเวณที่มีไฟสว่าง แล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ส่วนไอ้คุณวายุก็เปิดท้ายรถและคว้าเอาช่อดอกไม้พร้อมลูกโป่งอัดแก๊สออกมา และเดินไปยังตองหนึ่งพร้อมยื่นไอ้ช่อฟรุ้งฟริ้งนั่นให้ไป พร้อมกับพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้ตองหนึ่งอึ้งไป

แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นก็ทำให้ผมแทบบ้า ใจผมบีบอัดและเต้นรัวจนเจ็บอยู่ในอก  รู้สึกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง ความแจ็บและจุกในใจแล่นพล่านไปทั่ว กระบอกตาผมร้อนจนแทบไหม้เมื่อน้ำตามันมาคลอๆ อยู่ ผมกำพวงมาลัยรถแน่น ขบฟันจบเจ็บไปหมด

ผมเคยเชื่อตองหนึ่งว่าไม่มีทางจะทำแบบนี้กับผมแน่นอนแต่ตอนนี้เขาก็ทำ ผมเคยเชื่อคำที่ตองหนึ่งเคยบอกว่าผมรักผมคนเดียวแต่ตองหนึ่งก็โกหกผม

ภาพตรงหน้าผมตอนนี้คือคนที่เคยบอกว่ารักผมคนเดียว คนที่เคยบอกให้ผมเชื่อใจ คนที่บอกว่าให้ผมรักเขาไปนานๆ  รักเขาไปตลอดชีวิต คนนั้นกำลังยืนกอดและยืนจูบกับผู้ชายคนอยู่

และผมไม่ใช่ไอ้บ้าที่จะใจเย็นถึงขนาดยืนดูแฟนตัวเองไปกอดจูบกับคนอื่น ผมมีความรู้สึก ผมรักได้ ผมโกรธเป็น และแน่นอน...ผมเกลียดเป็นด้วยเช่นกัน


 

ไม่มีอะไรพูดกับตอนนี้เลย เรารู้สึกว่าจู่ๆ ก็ลากมาดราม่าเร็วไปรึเปล่า พยายามรีไรท์อยู่นานแต่ก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันจะดูยืดเยื้อโดยใช่เหตุ สุดท้ายเลยคงไว้แบบเดิมค่ะ มีปรับเปลี่ยนแค่นิดหน่อยให้ดูสมูทขึ้น 

ครั้งที่แล้วมีคนว่าตองหนึ่งเยอะเลย แต่ก็อยากให้เข้าใจน้องนะ น้องชอบถ่ายรูปแอบเอาแต่ใจเล็กน้อย ยิ่งเห็นว่าพี่นัทตามใจก็เลยเอาแต่ใจหนักจนลืมนึกถึงใครอีกคน...และอยากให้รู้ไว้นะคะ ตองหนึ่งรักพี่นัทมากนะ เพราะฉะนั้นอย่าว่าน้องแรง เดี๋ยวน้องร้องไห้ แงงง




#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie


Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 22 : ชนวน l 08-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 08-10-2019 23:38:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

เอ๋....รักพี่นัท แต่ทำไมถึงปล่อยให้วายุกอดจูบได้หล่ะ?
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 22 : ชนวน l 08-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 09-10-2019 07:42:18
อยากบอกให้นัทเลิกรักตองหนึ่งไปเลยเหอะตองหนึ่งชอบถ่ายรูปก็จริงแต่ไม่ควรทำแบบนี้นะ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 23 : เจ็บ l 16-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 16-10-2019 20:03:04
23 : เจ็บ


ตองหนึ่ง’s part

01.05 am.

“เอ่อ...พี่ยุครับ ความจริงผมอยากจะกลับก่อนเที่ยงคืนอ่ะครับ” ผมหันไปพูดกับพี่วายุที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากที่เขาพาผมไปถ่ายภาพไฟสวยๆ แล้ว จนเวลาเกือบๆ เที่ยงคืนผมก็ชวนพี่วายุกลับ พี่เขาก็รับรู้แล้วแต่ไหงถึงมาโผล่ที่ร้านอาหารกึ่งผับแบบนี้ไปได้อ่ะ พอผมถามเหตุผล พี่แกก็บอกว่าพี่เขาหิวข้าวจนขับรถต่อไม่ไหว

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่นานหรอก เข้ามานั่งเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”

“แต่ผม...” ยังไม่ทันที่ผมจะพูดให้จบพี่วายุก็พูดแทรกขึ้นมา สิ่งที่ผมไม่ชอบในตัวพี่วายุก็คือการพูดแทรกนี่แหละ ไม่รอให้ผมพูดให้จบตัวพี่เขาก็ชอบพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“พี่หิวมากเลยครับ ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เย็นแล้วนะ หิวอ่ะ” ไม่รอให้ผมพูดอะไรต่อพี่วายุก็เปิดประตูลงไปและอ้อมมาลากผมไปด้วย ผมก็คิดว่าแค่กินข้าวเอง ไปร้านที่มันธรรมดากว่านี้ไม่ได้เหรอ

พอเข้ามาด้านในก็มีเสียงเพลงเปิดคลอเบาๆ  แสงไฟไม่สว่างมากนัก ลูกค้าส่วนใหญ่ดูดีมีฐานะ บริกรพาพวกผมไปนั่งที่โต๊ะ  ซึ่งโต๊ะนั่นมีเพียงโต๊ะเล็กๆ หนึ่งตัวกับโซฟาตัวใหญ่ตัวเดียว ผมเลยต้องนั่งข้างๆ กับพี่เขาอย่างช่วยไม่ได้ ไฟบริเวณนั้นมืดสลัวกว่าบริเวณอื่นๆ ของร้าน พอเรานั่งกันเรียบร้อยบริกรก็เดินมาพร้อมเมนูอาหาร ทั้งยังจุดเทียนให้ พี่วายุก็สั่งอาหารมาสำหรับเขาหนึ่งที่และของหวานหนึ่งจานสำหรับผม พร้อมทั้งยังสังเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาอีกด้วย

“พี่วายุครับ พี่มากินที่ร้านแบบนี้บ่อยเลยเหรอ?”

“เฉพาะวันที่อารมณ์ดีมากๆ ครับ”

“...วันนี้พี่ก็อารมณ์ดีมากๆ เลยเหรอครับ”

“ใช่ครับ ตองหนึ่ง...พี่ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ย?”

“ได้ครับ” ผมพยักหน้า พี่วายุก็ขยับเข้ามาใกล้ผมกว่าเก่าและมองตาจนผมรู้สึกแปลกๆ

“หนึ่งคิดยังไงกับพวกรักร่วมเพศครับ”

“แบบเกย์ เลสเบี้ยน แบบนี้เหรอครับ” พี่วายุพยักหน้าแล้วก็ยิ้มผมก็ยิ้มกลับแล้วตอบ “ก็ไม่คิดอะไรนี่ครับ ยังไงก็เป็นความรักเหมือนกัน แต่มันต่างกันที่คนที่เรารักเป็นเพศเดียวกับเราแค่นั้นเองครับ” ผมพูดแล้วก็ยิ้มๆ นึกถึงพี่นัท เขาเคยบอกผมแบบนั้น ผมก็เลยเอาคำพูดของพี่นัทมาบอกคนอื่นต่อ

“แล้วถ้ามีผู้ชายมาชอบหนึ่งล่ะ”

“ถ้าผมชอบเขาก็ไม่มีปัญหาครับ” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งนึกถึงพี่นัท แล้วผมก็ยิ้มออกมา

“เหรอ ได้ยินแบบนี้พี่ก็ดีใจ”

“ดีใจทำไมครับ พี่ชอบผู้ชายด้วยกันเองเหรอ” ผมแค่พูดล้อเล้นไปตามประสา แต่พี่วายุดันพยักหน้าแล้วยิ้ม

“ครับ พี่เป็นเกย์”

“ก็...ก็ไม่เป็นไรนี่ครับ ยังไงพี่ก็พี่รหัสที่น่ารักของผมเสมอแหละ”

“หึหึ วันนี้เป็นวันที่ดี ที่ทำให้พี่อารมณ์ดีจริงๆ เลยครับ”

“เหรอครับ พี่อารมณ์ดีเรื่องอะไร”

“เรื่องความรักครับ”

“อ่อ...ครับ”

“พี่ได้ตามที่หวังตลอด เรื่องที่พี่จะทำต่อจากนี้ก็ต้องสมหวังแน่นอน พี่มั่นใจ”

ผมไม่ตอบแต่พยักหน้ากลับไป มองไปรอบร้านๆ แล้วก็ถอนหายใจออกมา รู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางยังไงไม่รู้ ไม่นานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ล์พร้อมกับจานขนมหวานน่าตาน่ากินก็เสิร์ฟที่ด้านหน้าผม  พี่วายุจัดการรินเครื่องดื่มให้ตัวเองและให้ผมด้วย

“เอ่อ...พี่ครับ ผมไม่อยากดื่ม”

“นิดนึงนะ ดื่มเป็นเพื่อนพี่ไง”

“ผมดื่มไม่เก่งนะครับ”

“อันนี้รสชาติดีแน่นอน ไม่ขมบาดคอเหมือนที่เรากินกันตามร้านสมัยเรียนหรอกครับ ลองดูๆ ”

“...”หลังที่เลื่อนแก้วกันไปมา ผมก็ยอมแพ้ให้พี่วายุดันแก้วมาไว้ที่ฝั่งผม

“น่ากินจังเลยนะครับ อืม...ถ่ายรูปกันหน่อยมั้ย? ใต้แสงเทียนแบบนี้ บรรยากาศดีเนอะ”

พี่วายุไม่ได้รอให้ผมพูดตอบอะไร เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็ถ่ายทันทีจนผมตั้งตัวไม่ทัน ตอนที่พี่วายุกำลังลงรูปภาพที่ถ่ายในโซเชียลผมก็เห็นเวลาที่มุมจอโทรศัพท์พอดี ตอนนี้มันตีหนึ่งแล้ว พี่นัทต้องรอผมอยู่แน่ๆ  ผมรีบร้อนหวังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอ ทั้งกระเป๋าเสื้อ และกระเป๋ากางเกง

“ผมขอยืมกุญแจรถหน่อยได้มั้ย? ผมน่าจะลืมโทรศัพท์ไว้บนรถครับ”

“หนึ่งรีบใช้โทรศัพท์เหรอ? ใช้ของพี่ก่อนมั้ยครับ?”

“ไม่เป็นไรครับ ขอแค่กุญแจรถก็พอ”

“อืม....งั้นดื่มแก้วนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ให้กุญแจ”

“...” แก้วทรงสูงที่มีน้ำสีอำพันอยู่ครึ่งแก้วถูกพี่วายุหยิบขึ้นมาและนำมาจ่อถึงปาก กลิ่นฉุนกึกของแอลกอฮอล์ในแก้วลอยเข้าจมูกผมทันที แค่กลิ่นผมก็จะเมาแล้ว ผมหันหน้าหนีเล็กน้อยแต่พี่วายุก็ยังคงคะยั้นคะยอให้ดื่ม

“แค่อึกเดียวครับ เดี๋ยวพี่ให้กุญแจรถเลย”

ผมเลยยอมรับแก้วแล้วยกขึ้นจิบเล็กน้อย แต่พี่วายุดันยื่นมือมาจับที่คอของผมและดันก้นแก้วขึ้นจนผมเกือบสำลัก เลยจำเป็นต้องกระดกเข้าไปจนหมดแก้ว รสชาติขมนุ่มไม่ได้บาดคอก็จริง แต่มันก็แย่มาก ทั้งกลิ่นและรสชาติมันตีกันคลุ้งไปทั่วโพรงปากและขึ้นจมูกสุดๆ  พอกลืนลงไปก็รู้สึกร้อนเหมือนเหล้านั่นมันไปไหม้ท้องผมเลย

“พี่!!” ผมหันไปดุพี่วายุตาเขียวปั๊ด แต่พี่แกดูไม่รู้สึกผิดอะไร แค่นั่งหัวเราะและยื่นกุญแจรถมาให้ ผมรีบรับมาแล้วก็ลุกขึ้นทันที แต่เพราะฤทธิเหล้าเมื่อทำเอาผมมึนเซจนต้องลงไปนั่งใหม่

“เอ้าๆ  ไหวไหมตองหนึ่ง ค่อยๆ ลุกสิ เหล้านี่ดีกรีมันแรงอยู่นะครับ” พี่วายุยกมือขึ้นมาลูบหลัง ผมปัดมือพี่วายุออก ได้โปรดอย่าลูบ เดี๋ยวอ้วก!

ผมตั้งหลักใหม่แล้วลุกขึ้น เดินคลำทางไปที่รถ และก็หาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้ และกระเป๋ากล้อง แต่มันไม่มี ผมเลยต้องก้มดูตามเบาะรถและหลังรถ พอก้มๆ เงยๆ มากเข้ามาก็รู้สึกมึนพะอืดพะอมขึ้นมาอีก

“เหล้าเมื้อกี้มันอะไรวะ ชาตินี้จะไม่แตะอีกเลย” ผมบ่นแล้วก็นั่งยองๆ อยู่ข้างรถ พักจนอาการมึนหัวหายไปผมก็ลุกขึ้นมาหาโทรศัพท์ใหม่ แต่เพราะมันมืดบวกกับอาการมึนๆ ผมก็เลยถอดใจเดินกลับเข้าร้านไปหาพี่วายุ

“พี่ครับ ผมหาโทรศัพท์ไม่เจอ ขอยืมโทรศัพท์พี่ได้มั้ยครับ?”

“หนึ่งจะเอาไปโทรหาใครครับ”

“โทรเข้าเครื่องตัวเองครับ ไม่รู้ว่าผมเอาไปเก็บไว้ตรงซอกไหน?” พี่วายุตบตรงที่ว่างข้างๆ  ให้ไปนั่ง ผมก็เดินไปและนั่งปุกอยู่ข้างๆ พี่เขา

“อีกแก้วสิ แล้วพี่จะให้” เจารินให้ผมอีกแก้วและคราวนี้เยอะกว่าเดิมอีก

“ไม่ไหวแล้วครับพี่ เหล้าแรงมาก ผมมึนไปหมด”

“น่านะ เดี๋ยวก็ชิน”

“ผมไม่เอาแล้ว…อึก”

พี่วายุดันแก้วชิดปากผมแล้วก็กระดกแก้วขึ้น ผมเลยต้องเปิดปากก่อนที่เหล้านนั่นมันจะหกรดเสื้อ ผมอมไว้มันปากไม่ยอมกลืน แต่ยิ่งอมไว้นานกลื่นเหล้าก็ขึ้นจมูกจนอยากจะอ้วก และรู้สึกราวกับว่าน้ำเหล้านั่นมันเผาใหม้ไปทั้งโพรงปากผม ผมรีบคว้าแก้วจากมือพี่วายุมาแล้วเตรียมจะบ้วนทิ้ง

“อ๊ะ! น้องตองหนึ่งครับ มันแพงนะ ถ้าตองหนึ่งคายทิ้ง ต้องกินเข้าไปแทนอีกสองแก้วนะครับ”

“อืม...อึก” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เลยต้องกลืนลงไปทันที พี่วายุพูดจริงมั้ยไม่รู้ แต่ผมไม่ขอเสี่ยงดีกว่า แค่สองแก้วที่กินมานี่ก็จะแย่แล้วผม หัวมันรู้สึกตื้อไปหมด ลมหายใจเข้าออกผมมีแต่กลิ่นเหล้า

“เมื่อกี้นี้ตองหนึ่งจะยืมอะไรพี่นะครับ?”

ผมมึนหัวจนไม่สามารถนั่งก้มหน้าได้ผมแหงนคอไปด้านหลังพิงกับโซฟา ยกมือสองข้างมากุมขมับ แล้วส่ายหน้าให้พี่วายุ นึกไม่ออกว่าเมื่อกี้จะยืมอะไรจากคนข้างๆ ยิ่งพยายามนึกก็ยิ่งจะรู้สึกมึนมากขึ้นไปอีกจนได้แต่นั่งเฉยๆ

ผมนั่งแหงนหน้าฟังอีกฝ่ายพูดอยู่นานมาก จนรู้สึกดีขึ้นก็เลยชวนพี่วายุกลับ ไม่อยากจะอยู่ที่นี่แล้ว บรรยากาศมืดๆ แสงเทียนวูบไหวไปมาทำให้ยิ่งมองยิ่งรู้สึกเวียนหัว

“กลับกันเถอะครับ ผมอยากออกจากที่นี่แล้ว”

“อยู่อีกซักครู่สิครับ เหล้าที่เหลือในขวดนี่ยังได้อีกสองแก้วนะ” ผมเหลือบมองขวดเหล้า ที่ตอนนี้มันพร่องไปเยอะแล้ว

“ผมไม่อยู่ในนี้แล้วครับ ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยครับ เรากลับกันเถอะนะ”

“ช่วยพี่กินอีกแก้วนึงสิครับ หมดขวดนี้ พี่จะพาออกจากที่นี่ทันทีเลย” พี่วายุยื่นแก้วที่รินเหล้าไว้แล้วมาให้ ผมเบือนหน้าทีทันที

“ไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้วครับ”

“งั้นเราคงต้องนั่งกันอีกนานเลยครับ พี่อยากกินให้หมดก่อนแล้วค่อยออก”

ผมส่ายหน้า ไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ  อยากจะกลับไปนอน อยากจะทิ้งตัวลงกับเตียงนุ่มๆ  อยากกลับไปหาพี่นัท อา...ใช่ ผมยังไม่ได้โทรหาพี่นัทเลย นี่กี่โมงแล้ว พี่นัทรออยู่แน่ๆ

“พี่วายุเรากลับกันเถอะครับ มันดึกมากแล้ว” พอพูดมากๆ  ไอ้การมึนหัวก็วนกลับมาหาผมอีก เหล้าบ้าอะไรวะ กินไปสองแก้วเหมือนกินไปสองขวด

“งั้นช่วยพี่แก้วนึง แค่แก้วเดียวครับ...แก้วสุดท้าย”

“งั้นผมกลับเองก็ได้ครับ”

ผมส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นทันที ผมไม่กิน แล้วก็จะหนีไปขึ้นรถ ถ้าพี่วายุไม่ไปส่ง ผมก็จะนั่งแท็กซี่กลับ แต่เขาไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้น

“หนึ่งจะกลับยังไงครับมันดึกมากเเล้ว แท็กซี่เหรอ ไม่มีหรอกครับแล้วกระเป๋าและของหนึ่งก็อยู่ในรถพี่ทุกอย่างอ่ะ”

“แต่ผมไม่อยากอยู่ที่นี่”

“แก้วสุดท้ายจริงๆ ครับ เดี๋ยวพี่พาออกเลย”

“อือ” ผมครางในรำคออย่างขัดใจ แต่ก็รีบยื่นมือไปรับแก้วมากระดกเข้าไปทีเดียวจนหมด แล้วก็กระแทกแก้วลงกับโต๊ะ แล้วหันไปหาพี่วายุ

“หมดแล้ว พาผมกลับได้รึยังครับ”

ผมพูดอย่างไม่พอใจ แต่อีกฝ่ายก็แค่หัวเราะแล้วก็รอบริกรมาเก็บเงินอย่างใจเย็น พอเรียบร้อยแล้วเขาถึงพยุงผมออกมาจากร้าน

“อืม แก้มแดงเชียว น่ารักจัง” พี่วายุพูดแล้วก็ยกมือขึ้นมาลูบแก้ม ผมหันหน้าหนีพยายามรีบเดินให้มันถึงเร็ว แต่อีกฝ่ายที่พยุงตัวผมไว้นนั้นกลับก้าวเดินช้าเหมือนเขาจงใจกวนผมอ่ะ และพอขึ้นรถได้ปุ๊บ ผมแทบอยากจะเอนเบาะนอนแล้วหลับตาไปเลย

“...”

“ไหวมั้ยครับ? คออ่อนจังเลยเรา”

“เวียนหัว” ผมหลับตาลง ปล่อยให้พี่วายุขับรถไป ความจริงแล้วผมไม่ได้หลับแค่พักสายตา ไม่อยากจะมองทางหรืออะไรทั้งนั้น กลัวจะอ้วกออกมา ไม่อยากให้รถเปื้อนเลยหลับตาไว้ดีที่สุด

ไม่นานรถก็หยุด พี่วายุดับเครื่องยนตร์ และผมได้ยินเสียงประตูรถเปิดและปิด ผมคิดว่าคงถึงที่พักผมแล้วเลยลืมตาขึ้น แต่ถาพตรงหน้ามันไม่ใช่ที่พักผม มันเป็นพื้นที่ที่อยู่ข้างแม่น้ำ มีติดไฟประดับสีส้มสวยงาม แล้วประตูรถฝั่งผมก็ถูกเปิดโดยพี่วายุยืนยิ้มอยู่

“ลงมาเร็วครับ”

“พี่พาผมมาที่นี่ทำไม ผมอยากกลับแล้ว...มีคนรอผมอยู่”

“ก็พี่เห็นหนึ่งเมาๆ  เลยพามาสูดอากาศไงครับ ลงมาสิครับ ลมเย็นดีนะไฟสวยด้วยครับ”

ผมส่ายหน้าไม่อยากลง ไม่อยากจะขยับตัวแล้ว แต่พี่วายุไม่ยอม ถือวิสาสะอุ้มผมลงรถไป

“พี่ปล่อยผม!” ผมเผลอเสียงดังใส่พี่วายุเล็กน้อย แต่พี่เขาก็ดูไม่โกรธอะไร แค่ยิ้มๆ แล้วก็ส่งกล้องที่สะพายไว้ตอนแรกมาให้ผม

“นี่ครับ เคยมีคนเคยบอกพี่ว่าถ้าลองถ่ายภาพตอนที่เรากรึ่มๆ เมาๆ  รูปจะออกมาสวยนะ”

“ไม่ครับ ผมไม่อยากถ่ายแล้ว” ผมดันกล้องกลับอย่างสะเปะสะปะ แต่พี่วายุก็ไม่ยอมรับกลับไป ผมเลยตัดรำคาญโดยการเดินไปถ่ายให้สองสามภาพ แต่เพราะมันมึนหัวจนผมต้องยืนนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ลมเย็นๆ ริมแม่น้ำพัดมากระทบหน้าเอื่อยๆ อืม...ลมเย็นนี่ก็ทำให้สร่างได้บ้างเหมือนกันแหละเนอะ

“ตองหนึ่งครับ”

ผมก็ยืนตากลมไปเรื่อย ผ่านไปสักพักพี่วายุก็เรียกผมด้วยเสียงที่เรียกได้ว่าตั้งใจดัดให้มันนุ่มทุ้ม พอผมหันไป ก็เจอกับช่อดอกไม้สีแดงที่มองดีๆ แล้วมันคือดอกกุหลาบช่อใหญ่ที่ผูกติดกับลูกโป่งอัดแก๊สสีชมพูและขาวสามสี่ลูก

“อะไรเนี่ย...” ผมปัดช่อดอกไม้ออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคนให้

“พี่ให้ครับ”

“ให้?... ให้ผมทำไม?”

“...ก็พี่ชอบหนึ่งไง พี่ก็เลยให้”

“หะ?” เมื่อกี้พี่เขาพูดว่าอะไรนะ ผมเมา ผมมึนจนหูเพี้ยนฟังผิดหรือว่ายังไง? เพราะว่าผมยังมึนหัวอยู่การตอบสนองก็เลยดูช้าๆ ไปหมด

“พี่ชอบหนึ่งนะครับ” พี่วายุพูดซ้ำอีกครั้งแล้วก็ดันดอกไม้ไส่มือผม พอผมรับไว้พี่วายุก็รวบทั้งตัวผมทั้งดอกไม้เข้าไปไว้ในอ้อมแขนแล้วก็ก้มหน้าลง ริมฝีปากอุ่นก็ทับลงมาที่ปากผมตามมาลิ้นหยุ่นๆ ที่มีกลิ่นเหล้าได้แทรกตามเข้ามาด้วย

“ฮื้อ! อื้อ!” ผมหันหน้าหนีและดันตัวออก แต่ไอ้อาการมึนๆ ที่จู่ๆ ก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาทำเอาผมเซไป ทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสรวบตัวผมเข้าไปกอดอีกครั้ง

“ทำไมล่ะครับ หนึ่งชอบพี่ไม่ใช่เหรอ?”

ผมมองหน้าพี่วายุอย่างงงๆ  ผมไปแสดงท่าทางว่าชอบพี่วายุแบบนั้นตั้งแต่ตอนไหน ผมก็แค่ตามพี่เขาเพราะอยากไปถ่ายรูปแค่นั้นเอง ผมไม่ได้ตั้งใจให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้

“ไม่ ผมไม่ได้ชอบพี่!” พี่วายุดูผิดหวังไปเล็กน้อยแต่ก็กลับมายิ้มใหม่

“ไม่เป็นไรครับ ยังไม่ชอบไม่เป็นไร คงจะบอกเร็วไป พี่จีบมาอาทิตนึงแล้วเดี๋ยวพี่จะจีบหนึ่งต่อไปเรื่อยๆ ”

“จีบเหรอ? พี่จีบผมตอนไหน”

“เจ้าเซ่อ! พี่ก็จีบเรามาตลอดแหละครับ แต่ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวพี่ค่อยจีบค่อยคุยไปเรื่อยๆ นะ ไม่ต้องกังวลก็ได้ ให้โอกาสพี่ก็พอ”

“พี่จีบผมไม่ได้ ผมไม่ได้ชอบพี่”

“น้องตองหนึ่งไม่คิดจะให้โอกาสพี่เลยเหรอครับ” พี่วายุทำทาทางอ้อนๆ และกอดผมแน่นขึ้น จนหนามกุหลาบที่ทางร้านคงตัดออกไม่หมดแทงเข้ามาที่เนื้อแขนผมเล็กน้อย ผมพยายามดันพี่วายุออกแต่เขาก็ไม่ปล่อยเลย

“ผมให้โอกาสไม่ได้ ผม...ผมมีแฟนแล้ว”

“หนึ่งมีแฟนแล้วเหรอ? ผู้หญิงที่ไหนครับ”

“ไม่ใช่ผู้หญิงหรอกครับ และผมรักเขามากด้วย”

“เขาที่หนึ่งว่า...คือ....” พี่วายุถามผม

“พี่นัทไงครับ พี่ดูไม่ออกเหรอว่าผมกับเขารักกันน่ะ” ผมบอกตามความจริง ไม่เคยคิดจะปิดบังเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกก็คิดบ้างว่าพี่เขาจะรับได้รึเปล่า แต่ผมกับพี่นัทก็ไม่ได้รักกันแบบแอบซ่อนๆ ซักหน่อย เขาจะมองไม่ออกจริงๆ เหรอไง แต่คนตรงหน้าผมดูอึ้งและตกใจไปจริงๆ ผมใช้โอกาสนนี้ดันตัวเขาออกและเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

“พี่นัท...คุณนัท ที่เป็นเจ้าของร้านของหนึ่ง..เหรอครับ”

“ครับ ผมกับพี่นัทรักกัน…”

แววตาของพี่วายุดูผิดหวังไม่น้อย เขาถอยหลังออกไปเล็กน้อยและมองมา ผมไม่คิดจริงๆ ว่าพี่วายุจะชอบผมแบบนั้น ผมนึกว่าเขาแค่เห็นผมเป็นรุ่นน้อง เพราะเขาก็เคยบอกผมตอนสมัยเรียนว่าผมเป็นรุ่นน้องที่เขาเอ็นดูและสนิทที่สุด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจอกันอีกครั้งพี่เขาจะเปลี่ยนใจแบบนี้

“ตองหนึ่ง!!”

เสียงบางคนที่ไม่ใช่เสียงพี่วายุแทรกขึ้นมา เสียงนั้นดังมาจากทิศทางที่ไฟส่องไม่ถึง เป็นเสียงที่แค่ฟังผมก็รู้สึกกลัว เป็นเสียงของบางคนที่ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่เวลานี้ได้เลย

“พ..พี่นัท พี่มาที่นี่ได้ไงครับ” พี่นัทไม่ได้สนใจที่ผมพูดแต่เดินตรงไปที่พี่วายุแล้วต่อยเข้าไปทันที พี่วายุที่ยืนงงอยู่ในตอนแรกล่วงลงไปกับพื้น พี่นัทไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เขาตามลงไปต่อยพี่วายุรัวๆ  พร้อมกับตะโกนเสียงดัง

“ไอ้วายุ ไอ้เลว มึงคิดจะแย่งแฟนกูเหรอ ฝันเหรอมึง!”
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 23 : เจ็บ l 16-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 16-10-2019 20:05:09

พี่นัทปล่อยกำปั้นไม่ยั้ง หมัดพี่นัทดูรุนแรงอีกทั้งเขายังใช้เข่ากดที่หน้าอกของพี่วายุไว้ทำให้ดิ้นไม่ได้มาก ผมที่ตั้งตัวได้ก็รีบทิ้งกล้องและดอกไม้ลง เข้าไปคว้าแขนพี่นัทไว้ไม่ให้ปล่อยกำปั้นไปมากกว่านี้ แต่พี่นัทไม่ยอมพอผมคว้าข้างขวาไว้ พี่นัทก็เปลี่ยนไปใช้มือซ้าย ผมพยายามจับไว้ทั้งสองข้าง แต่แรงพี่นัทมาก เขาผลักผมออกอย่างแรงและหันมาชี้หน้าผม แววตาพี่นัทน่ากลัวมาก แดงก่ำไปหมด เหมือนพี่นัทร้องไห้เลย

พอเห็นพี่นัทเป็นแบบนี้ น้ำตาผมก็ไหลออกมา

“หนึ่งก็อีกคน ทำไมต้องนอกใจพี่ หมดใจแล้วก็บอกกันดีๆ เห็นพี่เป็นควายเหรอวะ!!”

“แค่กๆ ไม่…อย่า…” พี่วายุที่โดนพี่นัทใช่เข่าทับออกอยู่ไอออกมา เลือดกลบปากกลบจมูกจนแดงน่ากลัวไปหมด พอพี่วายุเริ่มพูดออกมาแค่นั้น พี่นัทก็หันไปปล่อยกำปั้นอีกชุดใหญ่ พร้อมทั้งยังพูดด่า คำหยาบคายถูกปล่อยออกมาเสียงดัง ผมจับใจความได้ประมาณว่า เป็นชู้ นอกใจ...และเลว

ผมเข้าใจทันทีว่าพี่นัทคงเห็นตอนที่พี่วายุกอดผมแน่ๆ  หรืออาจเห็นมากกว่านั้น

“ไม่ๆ  ไม่ใช่นะครับ ฮึก ฮือ พี่ฟังพวกผมอธิบายก่อน พี่วายุเขาไม่ได้ตั้งใจนะครับ ฮืออ พี่นัทหยุดก่อน” ผมเข้าไปใกล้และคว้าแขนพี่นัทพร้อมทั้งรีบอธิบาย

“เงียบ!” พี่นัทสะบัดผมออกและก็หันมาตวาดเสียงดังจนผมสะดุ้ง และจ้องหน้าผมนิ่งอยู่อย่างนั้น พี่นัทไม่เคยจ้องผมด้วยท่าทางและเเววตาแบบนี้มาก่อน ในตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างของพี่นัทดูน่ากลัวไปหมด

“ฮึก ฮือ”

“โธ่เว้ย!” พี่นัทสบถออกมาและหันไปปล่อยกำปั้นใส่พี่วายุอีกหมัดหนึ่ง

ผลั่ว!

“ฮึก พี่นัทอย่าทำเขา”

“ไม่ให้ทำมัน งั้นพี่ทำหนึ่งแทนก็ได้มั้ยล่ะ!” พี่นัทหยุดต่อยพี่วายุ และหันมาหาผมแทน ผมรู้สึกว่าพี่นัทในตอนนี้ดูอันตรายและน่ากลัวจนผมถอยออกมาโดยสัญชาติญาณ ผมมองหน้าพี่นัทอย่างหวาดๆ

เขาลุกขึ้นและเข้ามากระชากคอเสื้อผมให้ลุกขึ้นตาม ผมยังไม่ทันได้ลุกเต็มขา พี่นัทก็ลากคอเสื้อผมไปในทางที่มืดๆ นั่น ผมที่ก้าวขาตามไม่ทันเลยทำท่าจะล้มหลายรอบ

“ฮึกก ฮืออ พี่นัท ใจเย็นๆ ก่อน พี่นัทครับ ฮึก ฮืออๆ ”

พี่นัทไม่พูดไม่จาอะไรแต่ตวัดสายตาน่ากลัวๆ นั่นมาที่ผม พี่นัทขบกรามจนขึ้นเป็นสัน หน้าตาเคร่งเครียดน่ากลัว น่ากลัวจนผมไม่กล้ายื่นมือไปสัมผัสตัวพี่นัท

พี่นัทลากผมมาที่รถเปิดประตูแล้วก็ดันผมขึ้นไป จะเรียกว่าดันก็ไม่ถูก ต้องเรียกว่ายัดมากกว่า หัวผมโขกกับขอบประตูด้านบนที่เป็นเหล็กเเข็งๆ  ผมเจ็บมากแต่พี่นัทไม่สนใจปิดประตูโดยไม่สนใจว่าตัวผมนั้นเข้ามานั่งเรียบร้อยหรือยัง ผลก็คือชายเสื้อผมโดนประตูหนีบไปส่วนหนึ่ง ผมพยายามดึงออก แต่ไม่สามารถทำได้ ผมจึงเปิดประตูออกเพื่อที่จะดึงชายเสื้อ แต่พี่นัทที่ขึ้นรถมาพอดีและคิดว่าผมจะหนี รีบเอื้อมมือมากันไม่ให้ผมเปิดได้อีกทั้งยังมองผมด้วยสายตาน่ากลัวมา ผมเลยต้องนั่งติดประตูไปแบบนั้น

พี่นัทขับรถเร็วมากๆ  ถึงถนนจะมีรถไม่มาก แต่มันก็น่ากลัวอยู่ดี ในเวลาปกติพี่นัทเป็นคนที่ขับรถนิ่มแต่ตอนนี้รถเคลื่อนไปอย่างเร็ว ถึงจะหยุดทุกไฟแดง แต่เวลาที่รถออกตัวพี่นัทก็ออกตัวแรงจนผมหน้าหงาย แถมเวลาจอด พี่นัทก็จอดกะทันหันจนหัวผมโขกกับหน้ารถไปหลายรอบ และเพราะผมไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย เวลาพี่นัทขับรถแบบนี้ทำให้อาการมึนหัวและพะอืดพะอมกลับมาอีกรอบแต่คราวมันหนักกว่าเดิม หนักจนผมต้องการที่จะอ้วกออกมาจริงๆ

“อึก พี่นัทครับ พี่ขับดีๆ ได้มั้ยครับ ผมรู้สึกคลื่นใส้มากเลย”

“....”  เขาไม่ตอบและไม่หันมามองผมเลยแม้แต่น้อย แถมพอเจอไฟแดงพี่นัทก็ยังเบรกแรงจนหัวผมพุ่งไปโหม่งกับหน้ารถอีกครั้ง

“ผมเจ็บ พี่เบรกดีๆ ได้มั้ยครับ”

“...”

คราวนี้พอไฟเขียว พี่นัทก็ออกรถทันที จนผมหน้าหงายกลับมากระแทกเบาะอีก ยิ่งกระแทกไปกระแทกมา ความมึน และพะอืดพะอมก็ยิ่งเลวร้ายไปใหญ่

“พี่นัทครับ พี่ฟังผมหน่อย พี่ขับแบบนี้มันอันตรายนะครับ”

“...” พี่นัทไม่ยอมฟังผมอยู่แล้ว ซ้ำยังจะเร่งความเร็วจนหน้าปัดมันขึ้นไปร้อยกว่าๆ

“ผมว่ามันเร็วๆ ไปแล้วนะครับ” พี่นัทเงียบ นิ่ง และก็ขับเร็วกว่าเดิม

“...”

“ผมกลัวนะ พี่ครับ ช่วยช้าลงหน่อย”

“เงียบ!” พอผมเซ้าซี้มากๆ  พี่นัทก็รำคาญหันมาตวาดผมเสียงดังก้องรถจนสะดุ้ง ผมไม่เคยโดนพี่นัทตวาดหรือเสียงดังใส่ขนาดนี้มาก่อน พอโดนมันก็ไม่ชิน น้ำตามันก็เลยไหลมากกว่าเดิม

“ฮึก พี่นัทอย่าเสียงดัง ผมกลัว ฮือ”

“...” พี่นัทยังเงียบ ผมรู้ว่าพี่นัทโกรธผมมากเพราะเขาเข้าใจผิด ผมคิดว่าผมต้องรีบอธิบายทุกอย่างให้พี่นัทฟังตอนนี้ พี่นัทจะได้ใจเย็นลงบ้าง

“พี่ครับ พี่โกรธผมเรื่องพี่วายุใช่มั้ย ผมอธิบายได้นะ ที่พี่เห็นมันไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะครับ”

“หุบปาก! ไม่อยากฟัง”

“ไม่ได้นะครับ ฮือ ฮึก พี่นัทต้องฟังก่อน พี่จะได้ใจเย็นลง ฮือ”

จู่ๆ  พี่นัทก็เลี้ยวรถเข้าจอดที่ข้างทางอย่างกะทันหัน รอบข้างเป็นพงหญ้าดูน่ากลัว เสาไฟก็ไม่ค่อยมี ตรงนี้คือส่วนไหนของเมืองผมก็ไม่รู้ ใจผมก็แอบหวั่นว่าพี่นัทจะรำคาญจนปล่อยผมลงตรงนี้รึเปล่า?

“ฮึก พี่จอดทำไมครับ?”  ผมมองไปรอบๆ  พอหันกลับมา ก็โดนพี่นัทดึงคอเสื้อให้เข้าไปใกล้ๆ  จนเสื้อส่วนหนึ่งที่โดนประตูหนีบมันตึง และเสียดสีกับผิวจนเจ็บ

“หนึ่งจะให้พี่ใจเย็นแล้วฟังหนึ่งแก้ตัวเหรอ”

“ไม่ใช่ ผมไม่ได้แก้ตัว ฮือ พี่นัท ผม...”

“เหรอ! แล้วจะพูดว่าอะไร บอกได้มั้ยล่ะว่าทำไมไปยืนจูบยืนกอดกับมัน ถ้าพี่ไม่ไปขัดซะก่อนก็คงพากันไปเอาที่โรงแรมแล้วใช่มั้ยล่ะ”

“ไม่ใช่ครับ พี่ฟังผมก่อนได้มั้ย? ฮึก ฮือ ผม...”

“เสียดายมั้ย คืนนี้ไม่ได้เอากับมัน อยากมากมั้ย เดี๋ยวสงเคราะห์ให้”

“ไม่ๆ พี่อย่าพูดแบบนั้นสิ ผมไม่ได้จะไปทำแบบนั้น ฮือ ฮึก ผมรักพี่คนเดียว ผมไม่มีทางทำแบบนั้น” ตอนนี้ผมพูดอะไรไปพี่นัทไม่ฟัง พี่นัทปล่อยคอเสื้อผม แล้วก็สั่งให้ปีนไปที่เบาะด้านหลังรถ แต่เพราะเสื้อโดนประตูหนีบ ผมเลยไปไม่ได้ เป็นแบบนั้นเลยยิ่งทำให้เขาโมโหเข้าไปใหญ่เพราะคิดว่าผมตั้งใจกวนประสาท พี่นัทดึงตัวผมอย่างแรงจนเสื้อขาด และก็บังคับให้ตัวผมข้ามไปตรงเบาะด้านหลังแล้วพี่นัทก็ตามมา

“ถอดเสื้อ” พี่นัทสั่งผมเสียงแข็ง แววตาก็น่ากลัวแข็งกร้าวตลอดเวลา

“ฮึก พี่จะทำอะไร นี่มันบนรถนะครับ” เพราะผมลีลาท่ามาก ไม่ยอมถอดเสื้อตามคำสั่งพี่นัทก็เลยลงมือกระชากเสื้อผมออก ตามด้วยกางเกง แล้วก็ก้มลงมาซุกตามซอกคอ

“ฮือ พี่อย่า พี่เคยบอกจะไม่ทำถ้าผมไม่เต็มใจ ฮือ” พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองผมอีกครั้งก่อนก็ก้มลงไปที่แผ่นอก พี่นัทไม่ได้จูบหรือดูดเบาๆ อย่างที่เคยทำ ครั้งนี้พี่นัทใช้ฟันกัดลงมาอย่าแรง ผมสะดุ้ง มันเจ็บมากๆ  น้ำตาผมก็ไหลพรากไม่หยุด เขากัดผมแรงจนเหมือนว่าอยากให้ผมเลือดออก

“จะร้องไห้ทำไม”

“ฮือ ก็พี่เคยบอกแบบนั้น พี่จะผิดสัญญาเหรอครับ”

“อย่ามาพูดดี หนึ่งผิดสัญญาก่อน ไหนเคยบอกว่าจะรักพี่คนเดียว แล้วนี่อะไร วิ่งออกไปกับผู้ชายอื่นทุกคืน อย่างนี้ต้องเรียกว่าอะไร” พี่นัทมองหน้าผม เหมือนต้องการคำตอบ

“ฮึก ฮือ ไม่ใช่นะครับ” พอผมส่ายหน้า พี่นัทก็เลื่อนใบหน้ามาข้างใบหูผม แล้วกระซิบเบาๆ  แต่ดังก้องไปมาในหัวผมอยู่แบบนั้น

“แบบนี้มันเรียกว่านอกใจกันไม่ใช่เหรอ...” ผมส่ายหน้า น้ำตาไหล เจ็บไปหมด ใจเหมือนโดนบีบและคลายออก แล้วก็โดนบีบใหม่ให้เจ็บกว่าเดิม ผมแค่อยากให้พี่นัทหยุดแล้วฟังผมก่อน...ขอแค่ฟังผมหน่อย

“ฮื้อ พี่อย่ากัด ผมเจ็บ ฮือ”

“หุบปาก” เขากัดฟันพูดและกัดแรงกว่าเดิม กัดและดูดไปทั่วทั้งลำคอ ไหล่ ช่วงหน้าอก และต้นแขนของผม ไม่นานมันก็ขึ้นรอยกัดชัดเจนไปทั่วทั้งตัว

“ฮือ เจ็บ พี่นัทอย่ากัดนะครับ ผมเจ็บ อึก” พี่นัทใช้นิ้วมือเข้ามาคว้านไปทั่วช่องปากของผม บังคับให้อ้ากว้างจนสุด กว้างจนผมรู้สึกเจ็บมุมริมฝีปากและตรงกราม จากนั้นก็ก็ขยับลงมาใกล้ก่อนจะขยับออกไป

“กินเหล้ามาเหรอ?”

“ฮือ ผม...” ผมปฏิเสธไม่ได้ เพราะผมกินจริงๆ

“น่าผิดหวัง น่าผิดหวังจริงๆ ” พี่นัทขยับออก และกดหัวผมให้ลงไปที่ส่วนนั้นของพี่นัท

“ฮือ พี่นัท ฮึก”

“ทำสิ รู้อยู่แล้วนี่ว่าต้องทำอะไร”

“ฮึก ฮือ ผมไม่อยากทำ” พอผมส่ายหน้าไม่ยอมทำ พี่นัทก็กดหน้าผมลงกับส่วนนั้นที่มันแข็งดันกางเกงขึ้นมาเล็กน้อย

“ถ้าไม่ทำก็ลงจากรถไป”

พี่นัทพูดเสียงเรียบนิ่ง และดูจริงจัง ผมเงยหน้ามองตาคนด้านบน และพี่นัทกลับดันหัวผมให้แนบไปกับตรงนั้น

"จะทำหรือจะลง" และเพราะผมยังนิ่ง เอาแต่ร้องไห้ พี่นัทเลยขยับมือออก ดันตัวผมขึ้นและทำท่าจะเปิดประตูรถจริง จนผมต้องคว้ามือพี่นัทไว้และรีบละล่ำละลักบอกเสียงสั่น

"อย่า ฮือ พี่อย่าไล่ผม ผมทำแล้ว ต...แต่ถ้าเสร็จแล้ว พี่ต้องฟังผมนะ" ผมรีบรูดซิปกางเกงพี่นัท และก้มลงไปชั้นในพี่นัทลงและใช้เรียวลิ้นสัมผัสลงตรงส่วนที่ร้อนผ่าวไปมาตามความยาว จากนั้นจึงค่อยส่งเข้าไปในโพรงปาก พยายามไม่ให้โดนฟันของผม และเริ่มขยับหัวขึ้นลงเป็นจังหวะช้าๆ  ผมได้ยินเสียงครางแผ่วของพี่นัทและแรงขยำจากท้ายทอย พร้อมๆ กับแท่งร้อนที่อยู่ในช่องปากผมนั่นพองขยายขึ้นเรื่อยๆ  จนตอนนี้มันคับปากไปหมด

“ลึกกว่านี้...” พี่นัทกดหัวผม ทำให้ท่อนเนื้อเข้าไปลึกเข้าไปจนถึงคอ

“อือ อึก” ผมตีต้นขาพี่นัทเบาๆ  รู้สึกมันเข้ามาลึกเกินไป ผมหายใจไม่ออก ขยับลิ้นลำบากแต่พี่นัทไม่สนใจ ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายจับหัวผมโยกขึ้นลง บางครั้งพี่นัทก็เด้งสะโพกสวนขึ้นมาจนผมสะอึก มันทรมานเพราะผมหายใจไม่สะดวก พอผมพยายามดันตัวขึ้นก็โดนพี่นัทกดไว้ ผมเปิดช่องปากให้กว้าง หลับตาปี๋ มือก็บีบอยู่ที่ต้นขาของพี่นัท

“อึก อื้อ!”

“หนึ่ง...” พี่นัทขยับหัวผมขึ้นลงเร็วขึ้น อีกทั้งขยับสะโพกสวนขึ้นมา เสียงหอบหายใจของพี่นัทดังก้องไปทั่วรถ ผมกำมือแน่น รู้สึกทรมานมาก เหมือนจะหมดลมหายใจ แต่ผมทนอยู่แบบนั้นไม่นานพี่นัทก็ครางเสียงดังในลำคอ กดหัวผมลงไปจนสุด รู้สึกได้ถึงแท่งเนื้อที่แทงลึกเข้ามายันกลางลำคอ ผมเบิกตากว้าง และรู้สึกได้ถึงของเหลวร้อนที่ฉีดทะลักอยู่ในโพรงปาก

“อื้อ! อึก อ่ะ แค่กๆ” เขาคลายมือผมจึงรีบดันตัวออกขึ้นมานั่งไอจนตัวงอ สำลักของเหลวขาวขุ่นที่บางส่วนขึ้นจมูก อีกทั้งยังต้องพยายามกอบโกยอากาศเข้าปอด ในขณะที่อีกฝ่ายใช่มือจับคางผมบังคับให้เงยหน้าขึ้นเขา

“กลืน”

“อึก พี่ แค่กๆ อื้อ อึก” พี่นัทกวาดนิ้วเข้ามาในปาก บังคับให้อ้าออกกว้างเพื่อดูของเหลวด้านใน ก่อนที่พี่นัทจะแสดงสีหน้าพอใจจากนั้นก็ลูบนิ้วยาวนั่นลงมาที่ลำคอ  เขากดลงไปเบาๆ ลงไปบวิเวณลูกกระเดือกและถูวนอยู่อย่างนั้น ผมรู้สึกหน่วงๆ อย่างบอกไม่ถูกจนต้องหุบปากและเผลอกลืนของเหลวในปากนั่นลงไปด้วย

“ดีมาก” พี่นัทพูดแค่นั้นก็ดันตัวผมลงนอนกับเบาะ จับขาผมอ้าออก จับสะโพกผมยกขึ้นสูงแล้วพี่นัทก็แทรกเข้ามา ผมรู้ว่าพี่นัทกำลังจะทำอะไร แต่ผมให้พี่นัททำตอนนี้ไม่ได้ ผมรู้ตัวว่ามันยังไม่พร้อม

“ไม่ๆ  พี่นัท ฮือ ตอนนี้ไม่ได้นะ อือ ฮือ” พี่นัทไม่ฟัง จับแก่นกายของตัวเองและชักรูดให้พองขยายขึ้นมาใหม่ และขยับเข้ามาแนบชิดขึ้นอีก ผมเอื้อมมือไปดันตรงหน้าท้องพี่นัท และขยับตัวหนี แต่พี่นัทก็ดึงตัวผมกลับมาใหม่และปัดมือผมออก และจับแท่งแข็งนั้นถูตรงช่องทางของผมก่อนที่จะดันเข้ามาเล็กน้อย

“...”

“โอ๊ย! อึก พี่นัทอย่า อย่าทำ ผมเจ็บ...มันเจ็บ” ผมใช้มือดันตรงหน้าท้องไว้ไม่ให้พี่นัทขยับเข้ามามากไปกว่านี้

“อย่าเกร็งมากนักสิ ฮึบ!!” พี่นัทไม่ฟัง ไม่สนใจผม เขากดตัวผมให้นอนนิ่งอยู่บนเบาะและดันตัวเข้ามาอย่าแรงทีเดียวจนเข้ามาสุด ความเจ็บที่ผมไม่เคยสัมผัสมาก่อนโจมตีผม ความรู้สึกจุกๆ รามไปทั่วท้องน้อยผมเผลอเกร็งหน้าท้องตัวเองไว้แน่น ผมเกร็งนิ้วจิกเล็บลงไปในเนื้อของพี่นัทระบายความเจ็บและทรมานนี้ออกไป

“อึก!! จ...เจ็บ พะ...พี่ เอาออกก่อน เจ็บ ผ...ผมเจ็บ” พี่ไม่ได้หยุดแต่เริ่มขยับเข้าออกช้าๆ ตัวผมโยกคลอนตามจังหวะการขยับของคนด้านบน ความทรมานจู่โจมไปทั่ว ทุกครั้งที่ผมมีเซ็กส์กับพี่นัทผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แม้แต่ครั้งแรกที่ผมว่าเจ็บแต่มันก็มีความก็รู้สึกดีมากอยู่ด้วย 

ตอนนี้ผมรู้สึกเจ็บอย่างเดียว เจ็บอย่างบอกไม่ถูก มันไม่ได้มีความรู้สึกอื่นนอกจาก เจ็บ จุก ทรมาน พอผมมองดูคนข้างบนที่เอาแต่ขยับไม่สนใจผม ก็ทำให้ผมรู้สึกโมโหและน้อยใจขึ้นมา

“ฮึก อือ พี่นัทใจร้าย ฮือ ใจร้าย ฮื้อ!!” ผมสะอึกสะอื้นกล่าวว่าคนตรงหน้า ก่อนที่จะกรีดร้องเล็กน้อย เพราะพี่นัทขยับแรงขึ้นนิดหน่อย แต่มันก็เพิ่มความเจ็บให้กับผมได้มากโข

“หึ!”

ผมตัดพ้อไปเรื่อย น้ำตาไหลลงมาไม่ขาดสาย ร่างกายมีแต่รอยกัด รอยบีบ แถมยังรู้สึกเหมือนตรงช่องทางนั้นก็ฉีกขาดอีกด้วย ผมส่ายหน้าไปมากับเบาะ ผมรู้สึกแย่ที่สุด ในความคิดผม พี่นัทในตอนนี้ใจร้ายมาก

“อึก ฮือ...พี่ไม่รักผมแล้วเหรอครับ ฮือ พี่นัทบอกว่ารักผมไง จำไม่ได้เหรอ… โอ๊ย! อื้อ!!” ระหว่างที่ผมพูดพี่นัทก็ทำหน้าตาน่ากลัวขึ้น เขาจับต้นแขนผมแน่นยกตัวผมขึ้นและกระแทกผมลงกับเบาะรถอย่างแรง ถึงจะเป็นเบาะนุ่มไม่เจ็บมาก แต่มันก็ทำให้ผมสะเทือนไปทั้งตัว ผมมองพี่นัทอย่างตกใจ เขาดูน่ากลัวมากกว่าเดิมเสียอีก

“ผิดสัญญา? บอกว่ารัก? จำไม่ได้? พี่ตังหากที่ต้องถามว่าหนึ่งจำไม่ได้เหรอ? ที่บอกว่ารักพี่ บอกให้พี่รักหนึ่งไปตลอดชีวิต แล้วดูที่หนึ่งทำกับพี่สิ บอกให้พี่รออยู่ที่ร้าน พี่ก็โง่รอไง...เพราะไว้ใจ ปล่อยให้หนึ่งออกมากับมัน ถามจริงถ้าพี่ไม่ตามมาเจอหนึ่งยืนแรดกอดจูบอยู่กับมันแบบนี้ พี่ก็ต้องนั่งโง่เป็นควายรอหนึ่งไปอีกนานแค่ไหนวะ!!”

“ไม่…ไม่ใช่อย่างที่พี่คิดนะ พี่เข้าใจผิด ฮืออ”พี่นัทพูดออกมาด้วยแววตาเจ็บปวดแล้วขยับสะโพกเข้ามาเป็นบางครั้ง แต่ละครั้งที่เข้ามา มันลึกจนเหมือนทะลุถึงท้อง มันเจ็บและจุกไปหมด

“พี่ต้องถามหนึ่งตังหากว่ายังรักพี่อยู่รึเปล่า? พี่ไว้ใจหนึ่งแค่ไหนรู้บ้างไหม? หนึ่งเคยใส่ใจพี่รึเปล่า? นึกถึงความรู้สึกพี่บ้างไหม? เวลาที่หนึ่งออกไปกับมันดึกดื่นพี่รู้สึกยังไง หนึ่งบอกว่าจะมานอนกับพี่แล้วก็ผิดนัด หนึ่งไม่สนใจพี่เลย หนึ่งขอลาครึ่งวันเพราะไปถ่ายรูปบ้าบอกับมัน เคยคิดบ้างมั้ยว่าพี่จะรู้สึกยังไง พี่น้อยใจแค่ไหนเคยคิดบ้างรึเปล่า!”

“ผมขอโทษ ฮือ ผม…”

“ใครกันแน่ที่ผิดสัญญาก่อน พี่เหรอ? หนึ่งไง หนึ่งบอกพี่ว่าอะไร บอกว่าจะกลับกี่โมง บอกว่าจะรักพี่คนเดียว แล้วที่หนึ่งทำมันใช่เหรอวะ แรดไปกับผู้ชายคนอื่นตั้งหลายคืนหลายวัน ทิ้งพี่ยังไม่พอนะ ยังขาดความรับผิดชอบทิ้งงานไปอี๋อ๋อกับมัน แบบนี้มันใช่เหรอวะ!! ติดใจอะไรมันนักหนาหะ! ถามจริงๆ  ไอ้รูเนี่ยให้มันเข้ามากี่ครั้งแล้ว!!”

“ฮือ พี่นัท อย่าพูดแบบนั้น...มันไม่ใช่แบบนั้น ผมเจ็บ” พี่นัทตะคอกใส่ผมแล้วขยับเข้าออกแรงๆ  ผมได้แต่กรีดร้องและส่ายหน้าไปมาอยู่อย่างนั้น

“แล้วพี่ล่ะ...พี่ไม่เจ็บเหรอ พี่รักหนึ่งมากแค่ไหนเข้าใจบ้างไหม? ฮึก พี่เจ็บมากแค่ไหนหนึ่งจะเข้าใจบ้างไหม? ฮือ รู้รึเปล่าว่าพี่รักมากแค่ไหน เคยรู้บ้างไหม? ฮือ”

ผมรู้สึกแย่ และยิ่งรู้สึกแย่ที่สุดเมื่อเห็นผู้ชายตรงหน้าผมมีน้ำไหลออกมาจากดวงตา น้ำหยดเล็กหยดลงกระทบกับหน้าผม ใจผมสั่นไหวเจ็บปวดรุนแรง เจ็บที่สุด เจ็บกว่าความรู้สึกไหนๆ ที่ผ่านมา แต่มันคงไม่เจ็บเท่าคนตรงหน้าผม คงไม่ทรมานเท่าที่พี่นัทรู้สึกทรมาน ผมยกมือขึ้นไปหวังจะเช็ดน้ำตาให้พี่นัทแต่เขาก็ปัดมือผมออกแล้วเช็ดออกเอง...

หลังจากนั้นก็เริ่มต้นขยับอีก  ผมเจ็บแต่ก็นอนนิ่งๆ ไม่ได้ขัดขืน ไม่ได้โวยวายอย่างตอนแรก พอพี่นัทเห็นผมไม่ขัดขืนอะไรแล้วเขาก็ขยับสะโพกช้าลงหน่อยแต่ก็ยังไม่ยอมหยุด ผมได้แต่นอนกัดฟันอยู่อย่างนั้น

ผมรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำที่สุด ผมไม่คิดว่าพี่นัทจะรู้สึกยังไง ผมมันเห็นแก่ตัวเอาความสุขของตัวเองสำคัญที่สุด แล้วก็ละเลยพี่นัท ที่ผมโดนแบบนี้มันก็สมควรแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยพี่นัทระบายอารมณ์ความรู้สึกแย่ๆ ที่ผมเป็นต้นเหตุออกมา ผมไม่รู้ว่าพี่นัทเจ็บปวดแค่ไหน แต่รู้ว่าต้องเจ็บปวดและเสียใจกว่าผมมากแน่นอน เพราะแค่ผมลองคิดกลับกันว่าถ้าพี่นัทนอกใจผม ไม่สนใจผมและทำแบบที่ผมทำกับเขา ผมก็คงปวดใจและทรมานใจที่สุด มันทรมานกว่าที่ผมโดนอยู่ตอนนี้มากแน่นอน แค่คิดก็จะทนไม่ไหวแล้ว

ผมได้แต่นอนนิ่งๆ ให้พี่นัททำอย่างที่ต้องการ แต่ก็พูดขอโทษออกมาบ้างเป็นบางครั้งเวลาที่ความรู้สึกผิดมันเกาะกินอยู่ในใจจนต้องพูดขอโทษออกมา ไม่นานหลังจากนั้นพี่นัทก็ปลดปล่อยในตัวผม ผมไม่ได้ถึงจุดปลดปล่อยไปกับเขา มันเจ็บเกินกว่าที่จะรู้สึกดีได้ เขาดึงตัวออกจัดการทำความสะอาดตัวเองเล็กน้อย และกลับไปนั่งตำแหน่งคนขับและขับรถกลับร้าน ผมค่อยลุกขึ้นน้ำจากข้างในไหลออกมา ผมใช้ทิชชู่ที่พี่นัทโยนมาให้เช็ดทำความสะอาดตัวเอง แล้วก็จัดการใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วก็นั่งร้องให้เงียบๆ อยู่อย่างนั้น นั่งทบทวนความผิดของตัวเอง มองไปที่พี่นัทที่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาเป็นระยะๆ

ไม่นานเราก็ถึงร้าน พี่นัทนำรถไปจอดที่ลานจอดรถรวมและลากผมขึ้นห้อง ผมล้มลุกคลุกคลานไปตลอดทาง แข้งขาอ่อน ไม่มีแรงจนพี่นัทต้องอุ้มผมขึ้นและเดินขึ้นห้อง ความทรมาน ความเสียใจ ความรู้สึกผิดของผมมันไม่ได้จบลงแค่ที่เบาะหลังรถนั้น มันดำเนินไปเรื่อยๆ จนสว่าง ผมเผลอหลับไป พี่นัทก็ปลุกผมขึ้นมาทำต่อ จนร่างกายผมทนไม่ไหวรู้สึกเหมือนโลกมันหมองลงแต่ก่อนที่ผมจะหมดสติไปผมกลับรับรู้ได้ถึงแรงกอดรัดและเสียงร้องไห้ของคนที่ผมรัก ผมอยากกอดเขาอยากขอโทษ แต่ผมไม่มีแรงแล้ว...





ตอนนี้ก็รีไรท์นาน เพราะมีฉากที่เรียกได้ว่าเป็นการข่มขืน TT ขอบอกไว้ก่อนว่าเราไม่เคยสนับสนุนการข่มขืนหรือการมีเซ็กส์แบบไม่เต็มใจนะคะ แต่ก็มีความรู้สึกว่าไม่อยากจะเปลี่ยนปมเรื่องนี้ เราอยากแสดงให้รู้ว่าพี่นัทอารมณ์ร้อนและโกรธตองหนึ่งมากขนาดไหน แต่ก็จะมีอีกความคิดเห็นนึงในสมองเราแย้งว่าแสดงออกด้วยวิธีอื่นไม่ได้เหรอ??...

มันค่อนข้างละเอียดอ่อนเหมือนกันนะ แงงง เลยอยากจะขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณในการอ่านนิดนึงนะคะ เดี๋ยวพี่นัทเขาจะได้รับบทเรียนจากการไม่ฟังและอารมณ์ร้อนของเขาในภายหลังค่ะ

 

#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 23 : เจ็บ l 16-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 16-10-2019 21:30:31
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไอ้วายุ  เมิงมันเลว
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 23 : เจ็บ l 16-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 16-10-2019 22:36:31
นัททำแบบนี้ก็ไม่ถูกนะแย่กว่าวายุอีกแบบนี้ไม่เรียกว่ารักเรียกว่าเห็นแก่ตัวมีอีกหลายหนทางถึงจะโกรธกับสิ่งที่เห็นก็ควรฟังกันชีวิตรักของหลายคนพังเพราะการไม่ฟังกันเชื่อในสิ่งที่แค่ตาตัวเองมองเห็น
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 23 : เจ็บ l 16-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 17-10-2019 19:51:34
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 24 : ช่วงเวลาสำนึกผิด l 19-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 19-10-2019 21:35:08
24 : ช่วงเวลาสำนึกผิด


ผมตื่นขึ้นมาตอนที่ฟ้าข้างนอกเปลี่ยนเป็นสีส้มอีกครั้งมองดูนาฬิกาตรงหัวเตียงถึงรู้ว่านี่มันเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ผมพยุงตัวลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ เพื่อหาคนตัวสูง แต่ไม่มี…

ห้องว่างเงียบ หม่นๆ ดูไม่อบอุ่นเหมือนที่ผมเคยรู้สึก ผมทิ้งตัวลงนอนลืมตานิ่งอยู่สักพัก แค่ขยับนิดหน่อยก็ปวดเมื่อยไปหมด ผ่านไปนานเกือบครึ่งชั่วโมงผมก็ลุกขึ้นนั่ง  รู้สึกระบมไปทั้งสะโพกและเจ็บช่องทางด้านหลัง แถมเจ็บกรามอีก พอก้มลงมองตัวเองก็เห็นทั้งรอยกัด รอยดูด รอยมืออยู่เต็มตัวไปหมด

ผมนั่งทำใจอยู่ซักพักแล้วก็ค่อยลุกขึ้นเดิน หวังจะไปอาบน้ำ แต่พอลุกขึ้นน้ำรักของพี่นัทที่อยู่ภายในก็ไหลออกมาตามเรียวขา ผมกัดฟันเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว แต่พอถึงหน้าตู้เสื้อผ้าน้ำตาผมก็ไหลลงมาอีก...จะไม่ให้ไหลได้ยังไงไหว พื้นหน้าตู้มีแต่เสื้อผ้าของผม ข้างๆ ก็มีกระเป๋าที่ผมใส่เสื้อผ้ามาในตอนแรกวางอยู่

เดากันออกใช่มั้ย? ผมโดนพี่นัทไล่แล้วไง

“ฮึก พี่นัท ผมขอโทษ ฮึก”

ผมยืนร้องไห้อยู่แบบนั้นไม่นานแล้วหยิบผ้าขนหนูเสื้อผ้าขึ้นมาหนึ่งชุด ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำค่อนข้างนานเพื่อจัดการทำความสะอาดตัวเอง รวมถึงนั่งทำใจด้วย แทบจะอาบน้ำตาแทนน้ำปะปาอยู่แล้ว แต่ร้องไห้ไปก็ไม่ช่วยอะไรแล้วตอนนี้

ผมเดินออกมาจัดการเก็บเสื้อผ้า และทำความสะอาดห้องและร้านให้พี่นัท  เก็บผ้าปูที่นอนและเสื้อผ้าพี่นัทไปซักและตากให้ กวาดและถูพื้นให้ มันลำบากที่ต้องทำในตอนที่สภาพร่างกายไปพร้อมแบบนี้ แต่ผมอยากทำ ทำเพื่อรอพี่นัทกลับมาด้วย แต่รอจนผมทำทุกอย่างหมดแล้ว พี่นัทก็ยังไม่กลับ ผมนั่งรอพี่นัทอยู่ตรงโซฟาแบบนั้นไปเรื่อยๆ และเผลอหลับไปอีก ผมหลับไปนานพอสมควรและก็สะดุ้งตื่นขึ้นอีกทีตอนตีห้ากว่าๆ ของอีกวันแต่ก็ยังไร้วี่แววของพี่นัท  ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพี่นัทรู้สึกยังไงตอนที่รอผมกลับ ไม่รู้ว่ามันจะเหมือนกันมั้ย แต่ไม่ว่ายังไงคนที่รอก็รู้สึกทรมานแน่ๆ

ผมตื่นขึ้นมารอบนี้ผมรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว หนาวๆ ร้อนๆ สลับไปมาอยู่แบบนั้น ก็รู้ตัวว่าตัวเองกำลังจะเป็นไข้เลยตัดใจที่จะรอแล้วสะพายกระเป๋ากลับห้อง

พอเดินมาถึงที่พักก็นึกขึ้นได้ว่าข้าวของของผมอยู่บนรถพี่วายุหมดเลย ทั้งกล้องถ่ายภาพ โทรศัพท์ กระเป๋าเงินและกุญแจห้อง ผมนั่งรออยู่ตรงหน้าที่พักไม่นานเจ้าหน้าที่ของที่พักก็มา ผมขอยืมกุญแจสำรองและไขประตูเข้าห้อง ผมหยิบเงินสำรองที่ผมเก็บติดห้องไว้จำนวนหนึ่ง  แล้วเดินลงไปร้านสะดวกซื้อหน้าที่พักเลือกซื้อยาและอาหารไว้จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็ขึ้นห้อง กินข้าวกินยาและนอนพัก

ผมเคยได้ยินมาหลายครั้งว่าช่วงเวลาที่เรานอนนิ่งๆ อยู่บนเตียง ช่วงเวลาที่เราเตรียมตัวจะหลับ มันเป็นช่วงเวลาที่คนเราคิดมากที่สุด ผมขอบอกอีกเสียงเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง…

ผมร้องไห้ ผมคิดถึงพี่นัท หนึ่งปีที่ผ่านมาเวลาที่ผมไม่สบายพี่นัทก็คอยดูแลตลอด แต่ตอนนี้ผมนอนอยู่คนเดียวไม่มีกอดอุ่นๆ ไม่มีข้าวต้มอร่อยๆ มีแต่โจ๊กซองและยาขมๆ นอนกอดหมอนข้างอยู่คนเดียวในห้อง

‘เจ็บกว่าการไม่มีคือการเคยมี’

ผมเข้าใจคำนี้ก็ในเวลานี้แหละ แต่มันก็สมควรแล้วใช่มั้ย? เพราะผมทำตัวไม่ดีกับพี่นัทก่อน ผมรู้ ผมผิด และตอนนี้ผมรู้สึกผิดมาก ผมคิดน้อยไป ผมละเลยพี่นัทและออกไปกับคนอื่น ไม่นึกถึงความรู้สึกพี่นัทว่าเขาจะรอผมอยู่ ไม่คิดว่าพี่นัทจะรู้สึกยังไง ผมรู้ว่าผมเห็นแก่ตัว เห็นความสุขของตัวเองสำคัญที่สุด และขาดความรับผิดชอบ พี่นัทให้งานให้โอกาสผม แต่ผมก็คิดน้อย ไม่สิ! ไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำตอนที่ทำตัวแบบนั้น มันก็ไม่แปลกที่พี่นัทจะผิดหวังในตัวผม ผมทำให้พี่นัทเสียใจ ทำให้ผิดหวัง ผมไม่ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลยซักนิด…

ตองหนึ่งในอดีตหรือตองหนึ่งในวันนี้ก็ยังไม่ได้เรื่องเหมือนเดิม ไม่เคยทำให้ใครภูมิใจได้เลย

“ฮือ ฮึก ผมขอโทษ หนึ่งขอโทษ”

ผมลุกขึ้นนั่ง เช็ดน้ำตา ตอนนี้หลับไม่ลงแล้ว ผมลงจากเตียง เปิดลิ้นชักหาโทรศัพท์เครื่องเก่า เป็นรุ่นเก่าที่ยังเป็นปุ่มกดธรรมดาอยู่ เป็นเครื่องที่ผมใช้ตอนขึ้นมหาลัยใหม่ๆ ผมนำไปชาร์ตดีใจขึ้นมาหน่อยที่เห็นว่ายังสามารถเปิดติดอยู่ ผมล้างหน้าล้างตา แล้วลงไปซื้อซิมการ์ดที่ร้านสะดวกซื้อข้างล่าง แล้วรีบขึ้นมาใส่และเปิดใช้งานจนเรียบร้อย ในเครื่องยังมีเบอร์เพื่อนเก่าที่เซฟไว้ในเครื่อง มีเบอร์เก่าพี่วายุ มีเบอร์เก่าตองสองที่ตอนนี้มันเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว เลื่อนลงมาเรื่อยๆ ก็เจอเบอร์ของแม่...แม่ยังคงใช่เบอร์นี้อยู่ ตั้งแต่ผมเพิ่งใช้โทรศัพท์เป็นจนถึงตอนนี้ ผมไม่เคยเห็นแม่เปลี่ยนเบอร์เลย ผมกดโทรออกโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก อยากคุย อยากได้ยินเสียง

สายแรกที่โทรไป แม่ไม่ได้รับ ผมก็กดโทรไปอีกรอบ อาจเพราะว่าเป็นเบอร์แปลกหรืออาจเป็นเพราะแม่ไม่ว่าง ผมตั้งใจจะวางสายเพราะเกรงว่าจะรบกวนแม่ แต่แม่ก็กดรับสายซะก่อน

(สวัสดีจ้า)

“...” ผมเงียบ เสียงของแม่ลอยมาตามสาย พอได้ยินเสียงก็อยากเจอหน้าแม่ อาทิตย์นี้ผมยังไม่ได้โทรหาแม่เลยซักครั้ง

(สวัสดีจ้า นั่นใครเอ่ย?)

“แม่…หนึ่งเอง”

(อ้าวตองหนึ่ง เอาเบอร์ใครโทรมาลูก)

“เบอร์ใหม่ครับ ผมทำเครื่องเก่าหาย”

(โธ่ ไม่รักษาของเลยนะเรา)

“...” แม่แค่พูดเรื่องโทรศัพท์แต่ผมดันนึกไปถึงเรื่องพี่นัท จริงอย่างที่แม่บอก ผมไม่รักษาของเลย ข้าวของตัวเองยังไม่รักษา หัวใจตัวเองก็รักษาไว้ไม่ได้เหมือนกัน คิดๆ แล้วน้ำตาและก้อนสะอื้นมันก็มาจุกที่คออีกครั้งจนพูดไม่ออกขึ้นมา

(แล้วเบอร์ใหม่นี่ได้บอกน้องยัง? แล้วซื้อเครื่องใหม่มานี่แพงมั้ย? เก็บดีๆ นะ อย่าทำหายอีก มันเปลืองตัง รู้มั้ย!)

“...” แม่ก็บ่นไปเรื่อย แต่ผมดันร้องไห้อีกแล้ว ผมนั่งเงียบๆ ฟังเสียงแม่บ่น คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ อยากกลับบ้าน แต่ถ้าแม่เห็นผมสภาพนี้ แม่คงไม่สบายใจแน่ๆ แล้วอีกอย่างผมไม่รู้ว่าตอนนี้พี่นัทยังจะให้ผมไปทำงานอีกรึเปล่า? ผมไม่อยากบอกแม่ว่าผมตกงานอีกแล้ว ผมไม่อยากให้แม่กับพ่อผิดหวังกับผมอีก

(ตองหนึ่ง...เป็นอะไรไปลูก)

ปกติผมก็ไม่ใช่คนพูดเยอะ แต่ไม่ใช่ไม่พูดเลยแบบนี้ พอผมเงียบไปแม่เลยทัก ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ  กลืนก้อนสะอื้นลงไป แล้วคุยกับแม่ต่อ

“ผมคิดถึงแม่กับพ่อไง”

(โถ คิดถึงก็กลับมาบ้านบ้างสิ อยากกินอะไรเดี๋ยวแม่ทำให้กินหมดเลย พ่อเขาก็อยากให้หนึ่งมานอนบ้านบ้าง เขาเข้าไปกวาดห้องหนึ่งทุกอาทิตย์เลยนะ)

“...” ผมเช็ดน้ำตาและเงียบอีกครั้ง เช็ดน้ำตาจนรู้สึกแสบเปลือกตาไปหมด ผมพยายามห้ามน้ำตา แต่มันห้ามไม่ไหวจริงๆ  สุดท้ายก็หลุดสะอื้นไปจนแม่ได้ยินก็เลยหยุดพูดและถามผม

(ตองหนึ่ง...เป็นอะไรลูก) แม่พูดแบบนั้น ผมได้ยินว่าแม่เรียกพ่อให้มาคุยกับผมด้วย เห็นมั้ย! แค่อยู่ที่นี่ผมก็ทำให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจจนได้

“แม่ ผมไม่ได้เป็นอะไร”

(ตองหนึ่ง หนูเป็นอะไรลูก) คราวนี้ไม่ใช่เสียงแม่ แต่เป็นเสียงนุ่มๆ ของพ่อ นานแล้วที่ไม่ได้ยินพ่อเรียกแทนตัวผมแบบนั้น ในตอนเด็กๆ พ่อกับแม่เรียกผมกับตองสองแบบนั้น แต่พอโตขึ้นพ่อก็เปลี่ยนมาเรียกชื่อปกติ

ผมชันเข่าขึ้นมาซบหน้าลงไปและร้องไห้ พอผมไม่พูดอะไรพ่อกับแม่ก็เงียบบ้าง แต่ก็ยังถามเป็นระยะๆ ผมร้องไห้จนพอใจก็ตอบกลับไป

“ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ แค่เหนื่อย แล้วก็คิดถึงพ่อกับแม่ไง”

(เหรอ พ่อกับแม่ก็คิดถึงหนูนะ หยุดงานวันไหนล่ะ กลับมาบ้านมั้ย รอตองสองหยุดงานด้วย พากันกลับมาหาพ่อกับแม่)

ผมเงียบไม่อยากพูดถึงเรื่องงานให้พ่อแม่ฟัง ไม่อยากบอกว่าตอนนี้ไม่มีงานทำอีกแล้ว พอผมเงียบคนปลายสายก็เงียบ เขาคงไม่อยากเร่งรัดหรือเซ้าซี้อะไรผมมาก

“ผมรักพ่อกับแม่นะ รักมากๆ เลย”

(อืม พ่อกับแม่ก็รักหนู ฝากบอกตองสองด้วยว่าพ่อกับแม่ก็รักเขาเหมือนกัน)

“ไม่บอกหรอก ผมจะเก็บความรักของพ่อกับแม่ไว้คนเดียว” เพราะตอนนี้ผมต้องการความรักมากที่สุด

(จ้า แล้วทำไมโทรมาเวลานี้ ไม่ทำงานเหรอ)

“...พ่อกับแม่เคยทะเลาะกันมั้ย” ผมเปลี่ยนเรื่องตั้งใจจะถามไปเรื่อยเปื่อย แต่เพราะในสมองตอนนี้มันคิดแต่เรื่องทะเลาะก็ถามพ่อไปแบบนั้น

(เคยสิ มีใครไม่เคยทะเลาะกันมั่งล่ะ?)

“แล้วเคยเลิกกันมั้ย?”

(ถ้าเลิกแล้วจะมีสองหน่ออย่างพวกแกได้ไงล่ะ)

“นั่นสิ”

(แต่มีทะเลาะกันครั้งนึง แม่งอนพ่ออยู่ 3 วัน แต่พ่อแกตามตื๊อง้อแม่จนรำคาญต้องคืนดีด้วยเลยแหละ) แม่พูดแล้วหัวเราะกับพ่อ ผมก็พลอยหัวเราะไปด้วย พ่อคุยเรื่องตอนที่แม่งอนพ่อ แล้วก็วิธีที่พ่อใช้ง้อแม่ มันน่ารักและตลกมาก ผมเลยอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่เพราะว่าพ่อกับแม่ต้องทำงาน ไม่นานพ่อกับแม่ก็วางสายไป ผมที่ก่อนหน้านี้ร้องไห้อย่างหนักจนตอนนี้ตาบวมจนแทบลืมตาไม่ขึ้น บวกกับอาการไข้และฤทธิ์ยา ทำให้ต้องคลานกลับมานอนที่เตียงอีกครั้ง

ก่อนจะหลับคราวนี้ก็คิดมากเหมือนเดิมแหละ แต่มีความคิดอื่นแทรกเข้ามาด้วย ผมอยากจะรัก อยากอยู่กับพี่นัทนานๆ เหมือนพ่อกับแม่ เรื่องทะเลาะไม่เข้าใจกันมันมีทุกคู่ ถึงเรื่องของผมมันจะแย่มาก แต่ก็หวังว่าพี่นัทยังไม่เกลียดผมมากนัก

ผมรักพี่นัท ผมไม่อยากเสียพี่นัทไป ผมอยากอยู่กับพี่นัทไปนาน ผมจะตามตื๊อ ตามง้อ ตามขอโทษพี่นัท จะทำทุกอย่างจนกว่าพี่นัทจะคืนดีแล้วก็ยกโทษให้ ผมต้องทำทุกอย่างให้พี่นัทหายโกรธ พรุ่งนี้ผมต้องไปขอโทษพี่นัท!!





“ตองหนึ่งสู้ๆ ”

ผมบอกตัวเองและก้าวขาออกจากห้อง หลังจากที่บอกกับตัวเองว่าจะตามตื๊อขอโทษพี่นัทวันนั้น วันถัดมาอาการไข้ก็เล่นงานจนผมได้แต่นอนซมอยู่บนเตียงเกือบทั้งวัน แต่เพราะผมบังคับตัวเองกินข้าวกินยาอย่างตรงเวลา เช้าวันนี้อาการเลยดีขึ้น ไม่ปวดหัวแล้ว ไม่มีอาการหนาวร้อนแล้ว สะโพกกับเอวก็หายเจ็บแล้วด้วย จะเหลือก็แต่รอยกัดตามตัวที่มันเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ แต่มันก็ไม่เป็นอุปสรรคเลย ผมเลือกใส่เสื้อแขนยาวและใส่ฮู้ดทับปิดรอยตามคออีกที คนอื่นไม่เห็นแน่นอน เพราะฉะนั้นวันนี้ผมเต็มร้อย

ผมเดินอ้อมไปอีกซอยหนึ่งเพื่อที่จะซื้อดอกไม้สวยๆ ไปขอโทษพี่นัท แต่เพราะผมไม่ชอบดอกไม้ที่ถูกตัด ผมเลยเลือกซื้อมาทั้งต้นเลย ผมเดินหอบต้นดอกลิลลี่ไปที่ร้าน ระหว่างทางใจมันก็หวั่นๆ ว่าพอไปถึงแล้วจะโดนพี่นัทไล่กลับรึเปล่า วันนั้นพี่นัทโกรธผมมากเลย ไหนจะเรื่องที่ผมทำไม่ดีกับเขา แล้วยิ่งเข้าใจผิดว่าผมนอกใจอีก พี่นัทจะเกลียดผมไปแล้วรึยัง?

“ไม่ๆ อย่าคิดแบบนั้นสิ เราต้องสู้ไว้” ผมสะบัดหัวบ่นห้ามความคิดตัวเอง แล้วก็เดินต่อ จนมาถึงหน้าร้าน วันนี้พี่นัทไม่เปิดร้าน มันเงียบมากๆ  ผมแอบส่องดูตามช่องของม่านก็ไม่เห็นอะไรเลย ข้างในมันมืด

ผมวางดอกลิลลี่ไว้หน้าร้านแล้วก็เดินไปดูทางประตูหลังแต่มันก็ถูกปิดและล็อค ผมอยากจะลองไขกุญแจเข้าไป แต่กุญแจมันอยู่ในกระเป๋าบนรถพี่วายุ ผมเลยได้แต่กลับมานั่งรออยู่หน้าร้านเหมือนเดิม พี่นัทอาจจะนอนอยู่บนชั้นสอง ผมนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ พี่นัทน่าจะออกมารดน้ำต้นไม้ เพราะต้นไม้หน้าร้านใบยังแห้งอยู่ แสดงว่าวันนี้พี่นัทยังไม่ได้รดน้ำให้

แต่ผมนั่งรออยู่ได้ครึ่งวันก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่นัท หรือว่าเขาจะออกไปข้างนอกอ่ะ ผมหยิบโทรศัพท์รุ่นเก่าขึ้นมา หวังจะโทรหาพี่นัทไปเลย แต่ผมจำเบอร์พี่นัทไม่ได้ พยายามนั่งนึก กดมั่วๆ ไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ไม่ใช่ สุดท้ายก็เก็บที่เดิมแล้วนั่งรอต่อไป

รออีกแปปเดียว เดี๋ยวพี่นัทก็กลับ....

ผมบอกตัวเองด้วยประโยคนั้นตั้งแต่เที่ยงจนตอนนี้มันสองทุ่มแล้ว ไม่เคยนั่งรอใครนานขนาดนี้เลย  เพราะคำว่า...อีกแป๊ปเดียวเดี๋ยวเขาก็กลับแล้ว วันนี้ต้องขอโทษ... คำพวกนี้มันเวียนอยู่ในหัวทำให้ผมนั่งรอได้ แต่รอจนยุงกัดเลือดจะหมดตัวแล้วพี่นัทก็ไม่มา

พี่นัทไปไหน พี่นัทอยู่ข้างในรึเปล่า? หรือว่าพี่นัทเห็นว่าผมนั่งรออยู่ตรงนี้เขาเลยไม่ออกมา ผมมองไปที่ต้นไม้ ใบยังแห้งเหมือนเดิม ดินก็แห้ง

“ต้นไม้ น่าสงสาร...” ผมมองดอกไม้แล้วพึมพำออกมา ถอนหายใจแล้วลุกขึ้น เดินไปลากสายยางมาฉีดน้ำรดต้นไม้ ให้ผมแห้งเหี่ยวอยู่คนเดียวแหละพอแล้ว อย่าให้ต้นไม้ดอกไม้สวยๆ มาแห้งไปด้วยเลย

หลังจากที่รดน้ำเสร็จเสร็จก็เดินกลับห้อง อาบน้ำ อุ่นข้าวกล่องกินแล้วก็นั่งเหี่ยวอยู่บนเตียง เมื่อก่อนตอนอยู่คนเดียว เวลาแบบนี้ผมทำอะไร....

อืม...ผมนั่งคิดถึงกิจกรรมของตัวเองในสมัยก่อน แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีแลปทอป ผมมีไอดีของพี่นัท ผมติดต่อกับพี่นัทผ่านโซเชียลได้นี่

“นั่งโง่อยู่ได้ตั้งสองวันนะตองหนึ่ง” ผมก็บ่นตัวเองแล้วเปิดเครื่องแลปทอป รีบเข้าเว็บตัวเอฟสีน้ำเงินแล้วเข้าไปที่หน้าโปรไฟล์ของพี่นัท ไม่มีการอัพเดทอะไรเลย ผมกดข้อความและเตรียมมือจะพิมพ์ทักทายไป แต่ก็ชะงัก เพราะนึกไม่ออกว่าจะพิมพ์ไปว่าอะไรดี

ตอนนี้พี่นัทโกรธผมอยู่ ต้องพิมพ์ไปยังไงดี ขอโทษไปเลยดีมั้ย? หรือจะพูดสวัสดีไปก่อนดี?

“เฮ้อ...เรื่องง่ายๆ ยังไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเลย” ผมล่ะเซ็งตัวเอง

คิดอยู่นานก็เลยพิมพ์ไปด้วยถ้อยคำธรรมดาๆ

ตองหนึ่ง: พี่นัทครับ

ผมรอไม่นานมันก็ขึ้นว่าพี่นัทได้อ่านข้อความแล้ว แต่ก็ไม่มีความอะไรตอบกลับมา ผมนั่งรอนั่งจ้องอยู่อย่างนั้น แต่ก็ไม่มีแม้แต่ตัวอักษรเดียว ผมเลยพิมพ์ต่อไป เพราะอย่างน้อยพี่นัทก็ได้อ่านข้อความของผม

ตองหนึ่ง: พี่ครับ วันนี้พี่ไปไหน พี่นัทได้อยู่ในร้านรึเปล่าครับ ผมไปรอพี่ที่หน้าร้านด้วยนะครับ ผมอยากขอโทษเรื่องที่ผมทำไม่ดี

ตองหนึ่ง: พี่จะเปิดร้านวันไหนครับ ผมยังได้ทำงานอยู่ใกล้ๆ พี่มั้ย ผมคิดถึงพี่มากเลยครับ

ไม่ว่าผมจะพิมพ์ไปเยอะขนาดไหน มันก็แค่ขึ้นว่าอ่านแล้ว พี่นัทไม่ตอบกลับอะไรมาเลย

ตองหนึ่ง: ผมขอโทษจริงๆ ครับ

หลังจากจบประโยคนั้น ผมก็ปิดแลปทอป ทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วก็ร้องไห้ ก็ไม่อยากร้องไห้หรอกแต่ขอหน่อยเถอะ ขอระบายความอึดอัดในใจออกไปหน่อย หลังจากร้องจนพอใจ ผมก็หลับ เก็บพลังไว้ตื๊อพี่นัทต่อในวันต่อไป

 

ผมหวังว่าจะตื๊อขอโทษจนกว่าพี่นัทจะหายโกรธ แต่นี่มันผ่านไปอาทิตย์หนึ่งแล้ว ผมก็ยังไม่เจอพี่นัท ผมทำแบบเดิมมาตลอดอาทิตย์ นั่งรอหน้าร้าน บ้างก็เดินไปดูทางด้านหลังบ้าง กลางวันก็เดินไปกินข้าวที่ร้านประจำข้างๆ บางวันก็แวะไปทำบัตรประชาชนใหม่ พอได้มาก็เอาไปทำบัตรกดเงินใหม่ต่อ  ตอนเย็นรดน้ำดอกไม้และต้นไม้หน้าร้าน แล้วก็กลับห้อง เช้าวันต่อมาก็ทำแบบเดิม ต้นไม้ที่ผมตั้งใจเอามาขอโทษก็เยอะขึ้นเรื่อยๆ  วางเกะกะเต็มหน้าร้านไปหมด  ส่วนข้อความที่ส่งไปก็ไม่มีการตอบกลับเลย ผมพยายามอธิบายเรื่องของผมและพี่วายุไปแต่เขาก็ไม่อ่านมันด้วยซ้ำ

ผมคิดถึงพี่นัท ถ้ายังไม่เจอพี่นัทต่อไปแบบนี้แล้วผมจะทำยังไง ผมซบหน้าลงกับเข่าแล้วก็หลับตา คิดว่าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็รู้สึกท้อขึ้นมา ถ้าพี่นัทไม่อยู่ร้าน แล้วพี่นัทจะไปอยู่ที่ไหน

บ้าน!!

ใช่ พี่นัทอาจกลับไปอยู่บ้าน พรุ่งนี้ลองไปบ้านพี่นัทดูดีมั้ย จะดูก้าวก่ายเกินไปรึเปล่า

“แล้วจะไปยังไงวะ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ทางไปก็จำไม่ได้”

ผมลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้น แต่หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองจำเส้นทางไปบ้านพี่นัทไม่ได้ ก็กลับมานั่งหลังงอเหมือนเดิม...ตองหนึ่งไม่ได้เรื่อง

ผมด่าตัวเองในใจ แต่ก็นั่งรอต่อไปเหมือนเดิม ไปบ้านไม่ถูก ก็นั่งโง่รออยู่ตรงนี้ให้รากงอกนี่แหละ ซักวันพี่นัทต้องกลับมาร้านแน่ๆ  พี่นัทรักร้านนี้จะตาย เขาไม่ทิ้งร้านไปนานแน่

 
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 24 : ช่วงเวลาสำนึกผิด l 19-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 19-10-2019 21:35:57

“เกะกะ”

เสียงนุ่มที่แข็งกระด้างดังขึ้น ผมที่นั่งรอจนจะหลับก็เงยหน้าขึ้นมองผู้ชายตัวสูงที่หอบข้าวของอยู่เต็มสองมือ

“พี่นัท!!”

ผมลุกขึ้นยืน มองพี่นัทที่ตอนนี้ก็โทรมใช่เล่น คิ้วขมวดมุ่น ใบหน้ามีหนวดขึ้นประปราย พี่นัทตอนมีหนวดก็ดูหล่อเข้มดีนะ ผมยิ้มออกไปอย่างควบคุมไม่ได้ ดีใจที่ได้เจอ อยากจะโผเข้าไปกอดตอนนี้เลยด้วยซ้ำ

“แล้วนี่อะไร เกะกะเต็มหน้าร้านไปหมด” พี่นัทพูดและก้าวข้ามบรรดากระถางดอกไม้เข้ามาด้านใน

“ดอกไม้ไงครับ ผมเอาขอโทษพี่ครับ” ตอนนี้ผมอยู่ห่างพี่นัทแค่เอื้อมมือเดียวเท่านั้น ได้กลิ่นพี่นัทจางๆ  คิดถึง คิดถึงมากๆ  ผมมองพี่นัทที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทั้งดีใจทั้งกังวลปนกันไป แต่ความดีใจความคิดถึงมันวิ่งแซงหน้าความกังวลว่าพี่นัทจะเกลียดผมแล้วรึเปล่า ทำให้ผมเดินเข้าไปใกล้พี่นัทมากขึ้น อยากจะกอดแน่นๆ

“หลีก จะเข้าร้าน...มันหนัก” แต่พี่นัทก็ขยับตัวออก และบอกผมที่ยืนบังประตูหน้าร้านให้หลีกทาง

“ผมช่วยครับ”

“ไม่ต้อง!”

ผมยื่นไปจะช่วยถือของแต่พี่นัทก็ปฏิเสธเบี่ยงหลบ และถอยห่างไปอีก ผมชะงักนิดหน่อยที่เห็นพี่นัททำท่าแบบนั้น แต่ก็ยอมหลบดีๆ ไม่อยากให้พี่นัทแบกไว้นานเพราะเห็นของท่าทางจะหนักมาก

พี่นัทวางของลงมือนึงแล้วก็หยิบกุญแจมาไข แต่เพราะมีแค่มือเดียวเลยไม่ถนัด ทำให้กุญแจที่ไขอยู่มันล่วงหล่นไปที่พื้น พี่นัทกำลังจะก้มลงไปเก็บ แต่เพราะมีของอยู่ทำให้ช้ากว่าผม ผมรีบเก็บขึ้นมาแล้วเอาไปไขร้านและเปิดประตูให้ แล้วก็หันไปยิ้มให้พี่นัท คนตัวสูงมองผมนิ่งๆ  ถอนหายใจแล้วก็หยิบของเดินเข้าร้านไป พี่นัทเอาของไปวางไว้ที่เคาน์เตอร์ แล้วก็เดินกลับออกมาหาผม พี่นัทกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ชิงพูดขึ้นก่อน

“ผมอยากขอโทษกับเรื่องแย่ๆ ที่ผมทำ” พี่นัทชะงักไปเล็กน้อย เขาก้มหน้า ยกมือขึ้นมานวดขมับ ดันแว่นขึ้นแล้วก็มองผมนิ่งๆ  ผมก็ยิ้มอย่างเดียว จนพี่นัททำท่าจะพูด ผมก็ชิงพูดขึ้นก่อนอีกครั้ง “ผมคิดถึงพี่”

คราวนี้พี่นัทกอดอก ถอนหายใจใส่ มองผมสลับกับมองพวกดอกไม้ ผมหันไปมองดอกไม้ทางด้านหลัง แล้วก็หันมายิ้มกว้างให้

บอกเลยว่าถึงหน้าตาผมจะยิ้มแค่ไหน แต่ในใจมันเต้น สั่นไปหมด ความรู้สึกหลากหลายอัดอยู่ข้างใน ดีใจที่ได้เจอ ตื่นเต้นที่ได้คุยกัน แต่ก็กลัวว่าจะโดนเกลียด กังวลว่าพี่นัทจะไล่ผมอีก

“ดอกไม้พวกนั้น มันวางเกะกะหน้าร้าน รกเหมือนป่า ขนเอาไปทิ้งให้หมดด้วย”

“...ผมทิ้งไม่ได้ครับ ดอกไม้นั้นสวยนะครับ แล้วก็ไม่ได้ผิดอะไรซักหน่อย ผมสงสารดอกไม้ ผมไม่กล้าทิ้ง” พี่นัทยืนจ้องผมนิ่งๆ แบบนั้นอยู่สักพักจนผมเริ่มที่จะประหม่าขึ้นมา ยกมือขึ้นมาเกาคอ เกาหัวอยู่ตลอด เขามองผมนิ่งๆก่อนจะกัดฟันพูดกลับมา

“สงสารดอกไม้ แล้วไม่สงสารพี่เหรอ ทีทิ้งพี่ยังทิ้งได้เลย แค่ดอกไม้...ทิ้งง่ายกว่าตั้งเยอะ”

พี่นัทจ้องผมด้วยสายตาน่ากลัว ผมมองลึกลงไปในตานั้นแล้วก็ตัดสินใจถามคำถามที่ผมกลัวคำตอบที่สุดออกไป

“พี่นัทเกลียดผมแล้วเหรอครับ? พี่เกลียดผมไปรึยัง?”

พี่นัทก็ขยับตัวออก ผมเม้มปาก อาการอึดอัดในใจตีขึ้นมาทันที ผมสูดลมหายใจเข้าลึก เงยหน้าขึ้นเพื่อกลั้นน้ำตา แล้วก็ยืนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น  พอเห็นผมนิ่ง พี่นัทก็ดันตัวผมออกเพื่อที่จะปิดประตู แต่ผมไม่ยอม นั่งรอมานานขนาดนี้ใครจะไปยอมแพ้ง่ายแบบนี้ล่ะ พี่นัทไม่ตอบ ก็เท่ากับว่ายังไม่เกลียด ผมยึดมือพี่นัทไว้ แล้วก็พูดกลับไปเสียงค่อนข้างดัง

“ผมจะไม่ทิ้งดอกไม้ ไม่ทิ้งอะไรทั้งนั้น”

ผมพูดจูบ พี่นัทก็ดันตัวผมออก ปิดประตูพร้อมทั้งดึงม่านลง ผมยืนร้องไห้อยู่หน้าร้านสักพัก พี่นัทก็ไม่มีท่าทีจะออกมา ผมเลยเดินกลับห้อง

ขอกลับไปทำใจก่อน แล้วพรุ่งนี้ผมจะมาใหม่ สัญญากับตัวเองว่า ต่อให้ไล่ผมยังไง ก็ไม่ยอมแแพ้ จะตื๊อจนกว่าจะได้เลย คอยดูเถอะ!

 

พี่นัท’s part

ตอนที่ผมเดินมาถึงหน้าร้าน ภาพที่ผู้ชายตัวเล็กนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่หน้าร้านทำเอาใจผมเต้นแรงจนปวดหนึบไปหมด มันทั้งดีใจแต่ก็ไม่เข้าใจปนกันไป

ดีใจที่เขาไม่ไปถึงแม้ว่าผมจะไล่เขาโดยการทิ้งเสื้อผ้าเขาไว้กับพื้นในวันนั้น แต่ก็ไม่เข้าใจ ในเมื่อผมยอมปล่อยแล้วทำไมไม่ไป หรือเสียดายผมเหรอ? ใช่เหรอ? ไอ้วายุก็ดูดีใช่เล่น การงานก็ดูมั่นคง แถมยังชอบในเรื่องเดียวกับที่ตองหนึ่งชอบด้วย เทียบกับผมแล้วผมไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาสนใจอยู่เลยด้วยซ้ำ

ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเอาแต่คิด...วันนั้นผมทำรุนแรงกับเขาเกินไปรึเปล่า เขาก็แค่ไม่รักผมแล้ว แต่ผมก็ไม่มีสิทธิที่จะไปทำร้ายหรือรุนแรงกับเขาถึงขนาดนั้น ผมเอาแต่คิดว่าสิ่งที่ผมทำมันเลวร้ายเกินไป...สิ่งที่ผมทำนั่นเรียกว่าข่มขืนได้เลย

แต่อีกใจพอนึกถึงภาพที่เห็นภาพที่ตัวเล็กๆ นุ่มๆ โดนคนอื่นกอด ภาพที่ปากแดงๆ โดนคนอื่นประกบ มันก็ทำให้ผมคิดว่า คิดจะนอกใจกันแบบนั้นโดนแบบนั้นมันก็สมควรแล้ว

...ผมเองก็อาจจะสารเลวไม่แพ้คนอื่นหรอก

และเพราะมันสับสน ผมไม่อยากคิดอะไรแล้ว ผมก็เลยเลือกที่จะตัดขาดจากเขาดีกว่า

อยู่บ้านผมก็เอาแต่ฟุ้งซ่านอยู่ในห้อง เป็นห่วงร้านด้วยก็เลยคิดว่ากลับมาทำงานดีกว่า  วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจกลับมาทำงานต่อ ซื้อของและเข้ามาที่ร้าน แล้วก็มาเจอกับตองหนึ่ง

“สงสารดอกไม้ แล้วไม่สงสารพี่เหรอ ทีทิ้งพี่ยังทิ้งได้เลย แค่ดอกไม้...ทิ้งง่ายกว่าตั้งเยอะ”

ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดไม่ดีกับตองหนึ่งแบบนั้น ผมเห็นตองหนึ่งเม้มปาก น้ำตาคลอที่ดวงตา หน้าตาน่ารักที่ทำท่าจะร้องไห้ ผมเห็นแล้วก็อยากดึงมาปลอบ แต่ผมเป็นอะไรของผมไม่รู้ ในใจมันบอกให้ผมดึงตัวตองหนึ่งกอดแล้วลืมๆ เรื่องแย่นั้น แต่สมองก็แย้งว่าถ้าไม่อยากเจ็บอีกก็ปล่อยไป ไม่รู้ว่าจะเชื่อหัวใจหรือสมองดี

แต่ที่ผ่านมาผมทรมานกับเหตุการณ์ที่เห็น ผมร้องไห้แทบบ้า มันทำให้ผมขาดสติจนทำร้ายตองหนึ่ง และผมก็ไม่อยากเป็นแบบนั้นอีก ผมเลยคิดว่าเชื่อสมอง...คงดีที่สุด

“พี่นัทเกลียดผมแล้วเหรอครับ? พี่เกลียดผมรึยัง?”

ผมส่ายหน้า ดันตัวตองหนึ่งออก และปิดประตู ไม่อยากฟังไม่อยากพูดอะไรแล้วทั้งนั้น

ผมไม่ได้เกลียดตองหนึ่ง ตอนนี้ยังรักอยู่...และก็รักมากด้วย แล้วผมควรทำยังไงดี ลองเชื่อใจตองหนึ่งอีกครั้งดีมั้ย? มันจะไม่เป็นแบบที่ผ่านมาใช่มั้ย?

ตอนนี้ผมแอบมองตองหนึ่งที่ยืนร้องไห้อยู่หน้าร้าน แล้วก็เจ็บใจตัวเอง ผมไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง มันดีใจมากตอนที่ตองหนึ่งบอกว่าคิดถึงผม

ตองหนึ่งพูดจริงมั้ย ผมไม่รู้ แต่ผมคิดถึงตองหนึ่งจริงๆ ผมอยากจะกอดร่างเล็กนั่นแน่นๆ

หรือว่าผมควรให้โอกาสตองหนึ่ง เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำผิดก็ได้

จะลองเสี่ยงดูอีกครั้งดีมั้ย? ควรเชื่อหัวใจหรือสมองดี?



ตองหนึ่ง's part

เช้าวันถัดมาผมกลับมาตื่นเวลาเดิม...เพื่อไปทำงาน ก็พี่นัทกลับมาแล้วและวันนี้ก็น่าจะเปิดร้าน ถึงแม้จะไม่รู้ว่ายังได้ทำงานอยู่ที่นั้นมั้ย? แต่ถ้าพี่นัทยังไม่พูด ก็แสดงว่าผมยังพนักงานร้านพี่นัทอยู่

ผมใส่เสื้อเชิตสีชมพู กางเกงสีดำ รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อสีดำ ออกจากห้องเร็วกว่าปกติ เดินอ้อมไปอีกซอยเพื่อซื้อต้นไม้เหมือนหนึ่งอาทิตย์ที่ทำมา วันนี้ผมเลือกต้นดอกลิลลี่สีขาวเหมือนกับวันแรก เพราะมันหมายถึงการขอโทษกับสิ่งที่ผ่านมา

ผมเดินมาจนถึงร้านก็พบว่าดอกไม้ที่เมื่อวานมันวางอยู่เต็มหน้าร้าน ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว ผมก็ยังคิดในแง่ดี เดินไปดูด้านข้างของร้าน เผื่อว่ามันเกะกะทางเข้าพี่นัทก็เลยย้ายไปไว้ด้านข้างหรือด้านหลังของร้านแทน แต่ผมก็เดินจนทั่วแล้ว ไม่มีแม้แต่กระถางให้เห็น

พี่นัทขนไปทิ้งหมดเลยจริงๆ เหรอ

อาการตันๆ หายใจไม่ทั่วท้องตีขึ้นมาชั่วขณะ คิดว่าพี่นัทใจร้าย แต่ก็เพราะผมทำให้พี่นัทเป็นแบบนี้เอง ผมก็ควรรับผิดชอบ ต้องรีบพาพี่นัทที่ใจดีกลับมา

ผมวางกระถางดอกไม้ไว้ตรงทางเข้าหลังร้าน ผมเดินเข้าไปทางประตูหลังร้านที่เปิดทิ้งไว้  ในครัวไม่มีใครอยู่ มีแค่อุปกรณ์ วัตถุดิบแล้วก็ขนมที่กำลังถูกอบอยู่ในเตา กลิ่นเนยหอมๆ คลุ้งไปทั่ว ผมหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นเนยและแป้งหอมอบอวลไปทั่ว กลิ่นนี้ผมก็คิดถึง

ผมเดินมาที่หน้าร้านก็เห็นพี่นัทวิ่งเช็ดโต๊ะตัวนั้น ตัวนี้ จัดเก้าอี้ ดูวุ่นวายเห็นแล้วเหนื่อยแทนเลย ผมเลยเดินเข้าไปตรงเคาน์เตอร์แล้วก็เรียกพี่นัท

“พี่นัทครับ ผมจัดการหน้าร้านให้มั้ย?” พี่นัทหยุดทำแล้วก็หันมาทางผม ดันแว่นดึงเสื้อให้เข้าที่ พี่นัทตอนนี้กลับมาหน้าใสไร้หนวดเหมือนเดิมแล้ว แต่สำหรับผมไม่ว่าจะแบบไหนพี่นัทก็หล่อตลอดเวลาอยู่แล้ว

“ไม่เป็นไร พี่ทำคนเดียวได้” ผมดีใจนิดหน่อยที่พี่นัทยังใช้สรรพนามแบบเดิม

“แต่พี่ให้ผมดูแลเรื่องหน้าร้านนี่ครับ พี่จะได้ทำขนมได้เต็มที่ไง”

พี่นัทจ้องผมนิ่งๆ   หันไปทางอื่นแล้วก็ถอนหายใจ หันกลับมาผมอีกครั้งนึงแล้วก็ส่งผ้าเช็ดโต๊ะให้

“ทำดีๆ ล่ะ”

“ไว้ใจผมได้เลย” ผมยิ้มแล้วก็รีบรับผ้ามา เอาของไปวางแล้วก็วิ่งกลับมาเช็ดโต๊ะต่อ ผมทำทุกอย่างเหมือนกับก่อนหน้านี้ กวาดพื้นเช็ดกระจก ล้างแก้ว เสร็จแล้วก็เข้าไปช่วยพี่นัทยกเค้กออกมา

 

“ลูกค้ายังเยอะเหมือนเดิมเลยนะครับ นี่ขนาดหยุดไปหลายวันนะเนี่ย”

“...”

“ตอนที่พี่นัทหยุด ผมมานั่งรอพี่นัททุกวัน มีลูกค้ามาที่ร้านแล้วก็ถามว่าร้านจะเปิดเมื่อไรหลายคนเลยครับ”

“...”

“ตอนที่พี่นัทหยุด พี่นัทไปไหนมาเหรอครับ ผมส่งข้อความไป เห็นพี่นัทอ่าน แล้วทำไมไม่ตอบผมบ้างเลย”

“เงียบแล้วก็เอานี่ไปเสิร์ฟซะ”

“ครับผม” ผมรับเครื่องดื่มและเค้กจากพี่นัทแล้วก็เดินไปเสิร์ฟ ตั้งแต่เช้าผมชวนพี่นัทคุยตลอด ดูรู้แหละว่าพี่นัทคงรำคาญผมไม่น้อยเลย ก็เล่นแสดงออกทางสีหน้าท่าทางขนาดนี้ แต่ผมเองก็รู้สึกไม่ดีที่โดนพี่นัททำท่ารำคาญใส่ แต่ถ้าถามว่าจะหยุดพูดมั้ย ผมต้องขอบอกเลยว่าไม่มีทาง!

“เสิร์ฟมาเรียบร้อยแล้วครับผม”

“อือ”

“ลูกค้าคนนั้นบอกว่าผมน่ารักด้วยแหละ”

“...” พี่นัทไม่พูดอะไร แต่ชะเลืองมองผมแล้วก็ทำเครื่องดื่มต่อ

“ความจริงแล้วผู้ชายเนี่ยควรจะถูกชมว่าหล่อมากกว่าน่ารักนะ”

“...ไม่จำเป็นเลย”

“เหรอ....แล้วพี่นัทคิดว่าผมน่ารักมั้ยครับ?”

“เฮ้อ!” พี่นัทถอนหายออกมาหันหยิบแก้ว แล้วก็หันกลับ เทเครื่องดื่มใส่แก้ว บีบวิปครีม และตกแต่งด้วยทอปปิ้งอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ใส่ถาดพร้อมกระดาษทิชชู่และยื่นมาให้ผม

“แต่ผมคิดว่าพี่นัทหล่อนะ”

“เสิร์ฟโต๊ะห้า”

“ได้ครับ สุดหล่อของผม” ผมรับเครื่องดื่มจากพี่นัทมา แล้วก็พูดหยอดอีกนิดหน่อย พี่นัทก็จิ๊ปากใส่ผมแล้วหันไปทางอื่น

ผมไม่เคยพูดเยอะพูดเพ้อไปเรื่อย พูดหยอดพูดจีบแบบนี้บ่อยนัก ตอนนี้มาพูดมันก็อายนะ แต่ก็แบบที่พี่นัทเคยบอกแหละตรับ ด้านก็ได้อายก็อด

ถ้าพี่นัทไม่ยอมยกโทษให้ ผมก็คิดว่าจะจีบใหม่ไปด้วยเลย ดักไว้ทั้งสองทาง คนใจดีอย่างพี่นัทไม่นานต้องใจอ่อน



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 24 : ช่วงเวลาสำนึกผิด l 19-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-10-2019 00:07:42
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 25 : โหยหาสัมผัสที่อบอุ่น l 23-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 23-10-2019 20:38:56
25 : โหยหาสัมผัสที่อบอุ่น


“พี่นัทไม่หิวเหรอครับ”

“....”

ผมยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ถามพี่นัทที่กำลังตักขนมอยู่ เขาดูไม่ค่อยสนใจที่ผมพูดซักเท่าไร ผมก็อยากช่วยพี่นัทตักขนมหรือทำเครื่องดื่มบ้าง แต่เมื่อเช้าตอนที่ผมจะเข้าไปช่วยตามปกติที่เคยทำ พี่นัทก็ห้ามไม่ให้ผมเข้าไปในเคาน์เตอร์เด็ดขาด ให้คอยรอเสิร์ฟอย่างเดียวส่วนเรื่องในเคาน์เตอร์ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเขาจะจัดการอยู่คนเดียว

“นี่มันจะบ่ายสองแล้ว พี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนะครับ”

ก่อนหน้านี้เวลากินมื้อกลางวัน พี่นัทจะให้ผมไปซื้อข้าวร้านข้างๆ มาผลัดกันกิน แต่วันนี้พี่นัทยังไม่ได้กินมื้อเที่ยงเลย ในเมื่อพี่นัทยังไม่ได้กิน แล้วผมจะไปกินก่อนได้ยังไงล่ะ สรุปแล้วผมก็ยังไม่ได้กินเหมือนกัน แล้วผมก็หิวมาก เมื่อเช้าผมไม่ได้กินข้าวเช้าเพราะยังหลงตัวเองคิดว่าพี่นัทยังจะให้ขนมปังร้อนๆ กับนมอุ่นๆ เป็นมื้อเช้า แต่ไม่เป็นอย่างที่ผมคิดน่ะสิ พออบเค้กเสร็จ พี่นัทก็ยกขนมปังกับกาแฟมานั่งกินคนเดียว ผมก็ได้แต่มองตาปริบๆ เข้าใจในทันทีว่าต่อจากนี้ มื้อเช้าของผมต้องกลับไปกินขนมปังในร้านสะดวกซื้อเหมือนเดิมแล้ว

“...” พี่นัททำเหมือนเสียงผมเป็นแค่ลมวิ่งผ่านหูแค่นั้น พี่เขายกเค้กมาวางในถาดแล้วก็หันไปทำเครื่องดื่มต่อ

“ลูกค้าก็ไม่เยอะแล้ว ให้ผมไปซื้อข้าวร้านข้างๆ ให้มั้ยครับ”

“...”

กริบ…ไม่มีสัญญานจากเลขหมายที่ท่านเรียกในขณะนี้

“พี่ครับ ผมหิวอ่ะ”

“หิวก็ไปก็ไปกินสิ ใครอุดปากไว้ล่ะ” พี่นัทพูดออกมาแบบไม่เงยหน้ามองผม ผมก็ยืนนิ่งๆ ดูพี่นัทสักพักนึงว่าเขาจะพูดอะไรต่อรึเปล่า แต่พี่นัทก็เงียบทำงานต่อไป น้ำย่อยในกระเพาะของผมมันเรียกร้องอาหารมากๆ ผมก็เลยเดินออกมา กะว่าจะเข้าไปเอาเงินที่ในครัว แต่ออกตัวไปได้ไม่เท่าไร พี่นัทก็วางเครื่องดื่มลงในถาด แล้วก็พูดลอยๆ ด้วยเสียงเนิบๆ นิ่งๆ ว่า

“ลูกน้องที่ดีก็ไม่ควรที่จะกินข้าวก่อนนายจ้าง”

“...”

“โต๊ะ 1 ครับ” พี่นัทดันถาดมาทางผมแล้วก็หันกลับไปยืนพิงเคาร์เตอร์รอลูกค้าเข้าร้าน พอเห็นแบบนั้นผมก็เดินกลับมายกถาดไปเสิร์ฟแทบไม่ทัน ถ้าผมเป็นโรคกระเพาะขึ้นจะทำยังไงล่ะ พี่เขาใจร้ายกับผมจัง

พอเสิร์ฟเสร็จผมก็กลับมายืนทนหิวเฝ้าพี่นัทที่หน้าเคาน์เตอร์ต่อ

“พี่นัท ตอนนี้ยังไม่มีออเดอร์ใหม่ เรากินข้าวกันดีมั้ยครับ?”

“พี่ไม่หิว”

“แต่ผมหิว...” ผมทำไหล่ตกเสียงอ่อน พอท้องหิวแรงกายในการตื๊อพี่นัทก็ลดลงไปครึ่งนึงเลยนะ หรือนี่คือวิธีตัดกำลังของพี่นัทอ่ะ ผมหิวจนหมดแรงจะพูด ผมเลยยืนเกาะเคาน์เตอร์อยู่เงียบ ตอนนี้ไม่อยากพูดมาก เก็นแรงไว้เดินเสิร์ฟดีกว่า

“...ข้าวผัดกุ้ง” แล้วจู่ๆ พี่นัทก็พูดขึ้นแล้วก็ยื่นแบงค์ร้อยมาให้ผม

“ครับ?”

“เห้อ...พี่จะกินข้าวแล้ว ไปซื้อมา” พี่นัทถอนหายใจใส่ แล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผมอีกด้วย

“ได้ครับ รอแค่อึดใจเดียว เดี๋ยวผมมา”

ถึงพี่นัทจะทำหน้ากริ้วใส่ผมแค่ไหน ผมก็ยิ้มสู้แล้วก็รับเงินมา ตามปกตแล้วพี่นัทเขาจพเป็นคนออกเงินค่าข้าวให้ผมตลอด แต่คราวนี้เงินที่เขาให้มามันไม่พอสำหรับข้างสองจาน ซึ่งผมรู้ตัวดีว่าสถานการณ์ในตอนนี้ผมไม่ควรจะใช้เงินเขา ผมจึงรีบวิ่งไปหยิบเงินตัวเองแล้วก็ไปจัดการสั่งร้านอาหารตามสั่งที่อยู่ข้างๆ ไม่นานข้าวสองกล่องก็อยู่ในมือผม แต่พอผมกลับมาพี่นัทติดรับออเดอร์ลูกค้าอยู่ พี่เขาก็เลยให้ผมเข้ามากินก่อน ผมก็เกรงใจกับคำพูดที่พี่นัทอยู่ก่อนหน้านี้นะ แต่พอพี่นัทพูดกลับมาว่า ‘ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เป็นลูกจ้างที่ดี ตอนนี้จะมากังวลทำไม’ พร้อมกับไล่ผมให้รีบๆ เข้ามากิน ผมก็เลยเดินเจี๋ยมเจี๊ยมรีบมาจัดการกินในส่วนของตัวเองก่อน หลังจากนั้นจึงเอาข้าวของพี่นัทใส่จาน เตรียมช้อนเตรียมน้ำไว้คอย พอดีกับที่พี่นัทเดินเข้ามาพอดี พี่นัทก็บ่นนิดหน่อยว่าจะเทใส่จานให้เปลืองน้ำล้างทำไม กินจากกล่องเลยก็ได้ ก็แบบว่าผมอยากทำให้ไง พี่นัทนี่ไม่เข้าผมเลย แต่ผมก็แค่ยิ้มกว้างๆ ไปทีนึง แล้วก็ขอตัวไปเฝ้าหน้าร้านแทน

หลังจากที่กินข้าวเสร็จพี่นัทก็ออกมารับออเดอร์ต่อ ผมก็หาเรื่องคุย หาเรื่องหยอดพี่นัทไปเรื่อยอ่ะ ก็ไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบนี่ ผมจ้อไม่หยุด นึกเรื่องอะไรออกก็พูดไป พี่นัทก็แสดงท่าทีรำคาญผมนะ แต่ก็ไม่ยักจะไล่หรือดุผม ผมก็ยิ่งได้ใจคุยไปเรื่อยๆ จนได้เวลาที่จะต้องปิดร้าน

ผมเช็ดโต๊ะ ปิดม่าน ล้างแก็ว เช็ดแก้วเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งมองพี่นัทอยู่ห่างๆ ความจริงพี่นัทให้ผมกลับตั้งแต่เสร็จงานแล้วแหละ แต่ผมยังอยากอยู่กับพี่นัทต่อ

“เหนื่อยอ่ะ ไม่อยากเดินกลับเลย”

“...”

 ผมพูดขึ้นแบบลอยๆ ตั้งใจให้พี่นัทที่นั่งทำบัญชีอยู่ที่เคาน์เตอร์ได้ยิน แต่พี่แกก็ไม่สนใจ นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่อย่างเดียว

“อืม กลับไปแค่หกชั่วโมงก็ต้องตื่นมาทำงานอีกแล้ว แถมเดินกลับตอนนี้ก็น่ากลัวด้วย ซอยก็เปลี่ยวมากเลย ไม่มีใครเป็นห่วงผมเหรอไงน๊า”

“.....” ก็ยังคงก้มหน้าอยู่ แต่ก็แอบเหล่ตามามองผมอยู่นิดหน่อยพอเห็ฯว่าผมยังพูดไม่เลิกเขาก็ถอนหายใจและจิ๊ปากเล็กน้อยตามสเต็ป

“อยากได้คนใจดีไปส่งจังเลยครับ”

“...”

“หรือไม่ก็อยากได้เจ้านายใจดี ให้ลูกน้องตาดำๆ ค้างที่ร้านซักคืน...หรือสองคืน หรือ...”

“หรือไม่ก็ไล่ลูกน้องออก ให้ไปหางานใหม่ที่ไม่เลิกดึกแบบนี้ดีล่ะ” พี่นัทเงยหน้าขึ้นมองผม บ่งบอกอย่างชัดเจนเลยว่าเขาชักจะหงุดหงิดแล้ว

“อุ่ย....ผมว่าลูกน้องคนนั้นคงเลือกเดินกลับดึกๆ มากกว่าจะหางานใหม่ครับ แหะแหะ”

ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็ลุกขึ้นเตรียมตัวกลับที่พัก ผมมองพี่นัทที่กลับไปก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง แล้วก็เดินไปใกล้ๆ  เท้าคางกับเคาน์เตอร์

“พี่นัทครับ…” ผมเอียงหัวไปทางซ้าย

“...” พี่นัทก็ไม่สนใจ

“พี่ครับ” ผมเอียงหัวกลับมาทางขวาและตั้งใจส่งยิ้มให้

“...” พี่นัทก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

“พี่นัท...” ผมเขย่งขายื่นหน้าข้ามเคาน์เตอร์ไปเล็กน้อย “พี่นัทที่รักของผมครับ”

“อะไรเล่า!!” คราวนี้พี่นัทเสียงดังจนผมยังตกใจ แต่ก็เก็บอาการและตั้งสติไว้ได้ ผมกลับไปยิ้มหวานเหมือนเดิมแล้วก็พูดกับพี่นัทที่ทำหน้าตาไม่พอใจว่า

“ผมรักพี่นะครับ” ผมปั้นยิ้มให้หวานที่สุด ยิ้มแบบที่เขาชอบ พี่นัทนิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งแล้วก็หลับตาลง ไม่นานก็ลืมตาขึ้นมาใหม่ ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและจ้องเข้ามาในดวงตาของผม ผมเขินแต่ก็ไม่หลบสายตาพยายามทำใจแข็งจ้องกลับไป ทั้งที่เขย่งจนขาสั่นไปหมดแล้ว หัวใจก็เต้นแรง รู้สึกได้เลยว่าแก้มและหูตัวเองมันร้อนๆ ขึ้นมา เขาหันมายิ้มถึงจะแค่มุมปากเล็กน้อยก็เถอะ

“เหรอ แต่พี่ไม่ได้รักหนึ่งแล้วนะ” พี่นัทพูดจบรอยยิ้มก็กว้างขึ้น ผิดกับรอยยิ้มของผมที่มันค่อยๆ เจื่อนลงจนจืดสนิท ใจที่ฟองเมื่อครู่นี้โดนเจาะเป็นรู แล้วก็ฟีบลงเหมือนลูกโป่งที่โดนเข็มทิ่มแทง

“แหะแหะ มันดึกแล้วงั้นผมกลับก่อนนะครับ” ผมพยายามหัวเราะ พยายามคิดว่าพี่นัทก็พูดเล่น ทั้งๆ ที่ใจมันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันเจ็บในใจแต่ผมไม่ได้ร้องไห้ อาจจะเพราะรู้อยู่แล้วว่าพี่นัทอาจจะเลิกรักผมไปแล้วก็ได้ ก็ผมทำให้พี่นัทเสียใจ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจผิดแต่ยังไงก็ทำเขาเจ็บอยู่ดี ผมหยุดเดิน สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วก็จับที่หน้าอกตัวเอง

“สู้ก่อนนะตองหนึ่ง ซักวันจะต้องดีขึ้น อย่าเพิ่งท้อนะ”

ผมบอกตัวเอง ให้กำลังใจตัวเองและเงยหน้ามองท้องฟ้า ในเมืองหลวงที่มีไฟแสงสีเยอะจนทำให้กลบแสงดาวลงจนเกือบมองไม่เห็น แต่ถ้ามองดีๆ มันก็ยังมีดาวอยู่ เหมือนความหวังของผมไง

ผมคิดว่าความหวังของผมแสงมันอาจจะริบหรี่ แต่ก็คงมีแสง...

พอเรียกกำลังใจให้ตัวเองได้ ผมก็เดินต่อ ก่อนเข้าที่พักก็แวะซื้อข้าวกล่องแช่แข็งที่ร้านสะดวกซื้อ แต่ผมกินมันไม่หมดกล่องหรอกครับ ผมเบื่อแล้ว อยากกินข้าวหอมมะลิหุงใหม่ๆ  ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิที่เป็นกลิ่นพลาสติกแบบนี้ อยากกินข้าวฝีมือแม่ อยากกินข้าวฝีมือพี่นัท

ผมเดินเอาข้าวไปทิ้ง แอบขอโทษชาวนาในใจนิดหน่อย แต่มองหน้าตาของข้าวแห้งๆ ในกล่องแล้ว ผมก็ทิ้งลงถุงขยะทันที ผมอยากกินข้างหุงสุกใหม่ๆ  แต่เพราะผมเลิกงานดึก ร้านขายข้าวก็เลยปิดกันหมดแล้ว พอไม่ได้กินกับพี่นัทก็ต้องกลับมาพึ่งข้าวกล่องแช่แข็งแบบนี้แหละ เฮ้อ~

เดี๋ยวสิ! หาซื้อไม่ได้ ก็หุงกินเองไปเลยดิ พี่นัทเคยสอนหุงข้าว แล้วก็ทำกับข้าวมาบ้างแล้วนี่นา ใช่!! นี่แหละ เป็นความคิดที่ดี พอผมทำกับข้าวกินเอง กลางวันก็ทำข้าวกล่องไปกินที่ร้านด้วย ทำให้พี่นัทกินด้วย ทีนี้แหละสเน่ห์ปลายจวักของตองหนึ่งก็จะมัดใจพี่นัทได้ด้วย

ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่เข้าท่าอยู่นะ

พอคิดได้แบบนั้น ผมสำรวจดูว่าผมต้องซื้ออุปกรณ์อะไรบ้างแต่ห้องของผมมันมีแค่ไมโครเวฟกับตู้เย็นแค่นั้น ผมคงต้องซื้อเครื่องครัวชุดใหญ่เลยแหละ วางแผนเรียบร้อยผมก็รีบเปิดแลปทอปเข้าเว็ปไซต์สั่งซื้อเครื่องครัวออนไลน์ ของจำเป็นต่างๆ ผมซื้อมาครบเซ็ตเลยรวมถึงกล่องใส่ข้าวลายน่ารักๆ ชุดใหญ่มาเลยด้วย ผมสั่งแบบบริการส่งด่วนที่สุด ไม่เกินสามวันพี่นัทได้กินข้าวกล่องของผมแน่นอน~



เช้าวันต่อมาผมตื่นแล้วก็อาบน้ำแต่งตัว แวะไปดูของที่ตู้รับของรวมของที่พัก ก็รู้ว่ายังไม่มาแหละเพราะเพิ่งสั่งไปเมื่อคืนนี่เอง แต่มันตื่นเต้นอ่ะ ผมซื้อและหยุดกินนมและขนมปังสักพัก แล้วก็แวะไปซื้อดอกไม้ จากนั้นก็เดินไปทำงาน ก่อนเข้าร้านผมแอบทำใจอยู่เล็กน้อย วันนี้จะโดนพี่นัทเล่นสงครามประสาทอะไรอีกก็ไม่รู้ ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้หน่อย

พอพร้อมก็เดินเข้าทางประตูหลังร้าน วางดอกไม้ไว้หน้าประตูแทนที่ดอกลิลลี่ที่หายไป จะหายไปไหนได้ พี่นัทคงจะหิ้วไปทิ้งอีกอ่ะแหละ พี่ขยันทิ้ง ผมก็ขยันซื้ออ่ะ ไม่ยอมแพ้หรอก

“สวัสดีครับพี่นัท~” ผมทักทายพี่นัทที่ยืนผสมแป้งด้วยน้ำเสียงสดใสราวกับว่ามีสายรุ้งและม้ายูนิคอร์นอยู่ในครัวด้วย ส่วนพี่นัทก็เมินหน้าหนีไป ผมยิ้มเก้อนิดหน่อย แล้วก็ค่อยๆ เดินเอากระเป๋าไปเก็บ ผูกผ้ากันเปื้อน แล้วก็ออกไปทำความสะอาดหน้าร้าน พอหน้าร้านเรียบร้อยก็เข้ามาช่วยพี่นัทปั่นครีมและล้างผมไม้ในครัว

“วันนี้พี่นัททำอะไรบ้างเหรอครับ?” ผมถามขณะที่คนครีมสีเหลืองนวลในหม้อที่ตั้งไฟอ่อนๆ ให้เข้ากัน

อีกฝ่ายไม่ตอบ หันไปหยิบถุงและหีวบีบวิปครีมแล้วก็เดินเข้ามาหาผม ใช้ช้อนตักชิมนิดหน่อย แล้วก็ดันผมให้หลบทาง พี่นัทเทครีมลงไปในถุงแล้วก็ตั้งพักไว้ แล้วเอาครีมสดพร้อมเครื่องตีไฟฟ้ามาวางตรงหน้าผม แล้วก็พูดออกมาสั้นๆ

“ตีให้ฟู”

พูดน้อย ยิ้มยากแบบนี้พี่นัทก็ดูเท่และสุขุมไปอีกแบบนะ แต่ผมชอบพี่นัทที่พูดเยอะๆ แล้วก็ยิ้มเก่งมากกว่าอ่ะ คิดถึงพี่นัทที่เป็นแบบนั้นจะแย่แล้ว ผมมองพี่นัทด้วยสายตาที่พยายามเว้าวอนเล็กน้อย อยากให้เขาใจอ่อนลงหน่อย อยากให้เขาเห็นว่าผมพยายามอยู่นะ แต่พี่แกก็เมินเหมือนผมไม่ใช่คน ผมก็เลยเลิกคิดแล้วก็เริ่มต้นตีอย่างช้าๆ ให้เนื้อครีมมันเข้ากัน พอมันฟูพี่นัทก็มาเอาไปใส่ถุงบีบและไปบีบตกแต่งหน้าเค้ก

ผมคิดถึงรสชาติเค้กฝีมือพี่นัท ได้กลิ่นล่อกิเลสทุกวันแบบนี้ผมล่ะอยากจะแอบกิน เห็นพี่นัททิ้งเศษขนมปัง เศษเค้กแบบนี้ผมล่ะปวดใจ เอามาทิ้งลงท้องผมจะเป็นพระคุณมาก อยากกินอ่ะ ถ้าผมแอบกินแบบตอนนั้น พี่นัทจะลงโทษผมแบบไหน จะทำแบบนั้นอีกมั้ย? ผมเผลอคิดไปถึงบทลงโทษตอนที่ผมแอบกินเค้กแล้วพี่นัทจับได้ แล้วหูมันก็ร้อนขึ้นมา ผมอมยิ้มเล็กน้อยเพราะคิดแล้วมันเขิน ถ้าตอนนี้ผมแอบกินอีก พี่นัทจะยังลงโทษแบบเดิมมั้ย?

ผมคิดถึงเสียงนุ่มๆ ที่ปลอบใจในตอนนั้นมากเลย คิดถึงสัมผัสอ่อนโยนแต่เร่าร้อน คิดถึงความสุขในตอนนั้น รอยยิ้มปลอบโยนและอ้อมกอดหลังจากที่มีความสุขกัน ผมคิดถึง…

“หลีก! ยืนยิ้มอยู่ได้ เอานี้ไปบีบครีมใส่ อย่าให้ทะลักออกมานะ” แล้วเสียงแข็งๆ กับหน้าตาบูดบึ้งของเขาในตอนนี้ก็ดึงผมออกมาจากความคิด ผมว่าถ้าผมแอบกินคราวนี้ พี่แกคงจับผมโยนออกนอกร้านไปเลยแหละ

พี่นัทใช้ศอกดันผมให้ออกห่าง ก่อนจะยกถาดที่มีขนมเป็นก่อนวางไว้อย่างเป็นระเบียบออกมาวางบนโต๊ะ

ว้าว! เมนูพิเศษของพี่นัทวันนี้คือชูครีมก้อนใหญ่ หอมมากเลยครับ ผมยืนมองขนมสายตาเป็นกระกายวิ้งๆอยากกินแต่รู้ว่าตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เดี๋ยวค่อยไปซื้อกินที่ร้านสะดวกซื้อพรุ่งนี้ก้ได้ ผมส่งสายตาอาลัยอาวรขนมเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็หยิบขึ้นมาใส่ใส้

“อยากกินเหรอ?” พี่นัทพูดขึ้นมา

“อยากครับ” ผมก็พยักหน้า ยิ้มสวยๆ  อ้อนพี่นัทนิดหน่อย เผื่อว่าเขาจะใจดีให้ผมซักก้อนนึง

“...ของเอาไว้ขาย”

“แล้วถ้าผมขอซื้อล่ะครับ”

“ของลูกค้า”

“ผมซื้อ ผมก็เป็นลูกค้าไง” พี่นัทวางมีดที่ตัดเค้กลงแล้วก็ทำหน้าเบื่อใส่ผม ผมถอยหลังออกห่างเล็กน้อย ไปเถียงพี่นัทมากๆ  เดี๋ยวพี่นัทรำคาญแล้วเอามืดปาใส่หน้าผม นี่เสียโฉมเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า

“งั้นก็เอาไว้ซื้อหลังเลิกงาน ถ้าเหลือเดี๋ยวขายให้”

ผมแอบง้องแง้งในใจ ก็ถ้ารอหลังเลิกงานนะผมอดแน่นอน  พวกขนมกับเค้กไม่เคยเหลือเลย ให้ผมตอนนี้เลยก็ไม่ได้ พี่นัทใจร้าย ผมอดกินขนมที่พี่นัททำแน่ๆ อ่ะ

พี่นัทยั่วน้ำลายผมโดยการหยิบชูครีมที่ใส่ครีมจนเต็มแล้ว ไปนั่งกินกับกาแฟร้อนต่อหน้าผม

“อืม อร่อย แป้งก็นุ่มครีมก็หวานกำลังดี” พี่นัทพูดถึงรสชาติ ผมแอบเลียปากกลืนน้ำลายตอนที่เห็นพี่นัทกัดแป้งชูครีมสีเหลืองน่ากินแล้วครีมก็ทะลักออกมา แบบนี้มันจงใจชัดๆ  พี่นัทจงใจแกล้งผมชัดๆ เลย!

ตลอดวันนั้นผมก็เอาแต่จ้องขนมก้อนกลมนี่ตลอด ภาวนาว่าอย่าให้หมดเหลือซักก้อนก็ยังดี แต่พอช่วงเย็นชูครีมก้อนสุดท้ายก็หมดไป เสียดายครับ….แต่รู้อยู่แล้วแหละว่าไม่ได้กินแน่ๆ อยู่แล้ว ไปซื้อกินที่อื่นก็ได้ บู่ว~

วันนี้พี่นัทปิดร้านตอนประมาณสามทุ่ม เขาทำความสะอาดตู้เค้กส่วนผมก็ทำความสะอาดโต๊ะ พอเสร็จก็เตรียมไปเอาไม้ถูมาถูพื้นต่อ แต่ตอนที่ผ่านเคาน์เตอร์ ผมเห็นพี่นัทยกถาดออกมาจากตู้เค้ก แล้วผมก็เห็นชูครีมที่เหลืออยู่สองก้อน

“อ๊ะ! ชูครีม” ยังเหลืออยู่อ่ะ แต่เมื่อเย็นผมเห็นพี่นัทคีบใส่กล่องให้ลูกค้าไปจริงๆ นะ หรือว่าผมดูไม่ทั่วอ่ะ ยังไงก็ช่างเถอะ เหลือตั้งสองลูกแหนะ ขอเหมาสองก้อนเลยได้มั้ยอ่ะพี่นัท

“จะซื้อมั้ย? มันเหลือ...”

ผมเดินเข้าไปหาพี่นัท ผมยิ้มแล้วก็พยักหน้า พี่นัทหันไปหยิบกล่องมาใส่ให้ผมแล้วก็วางไว้หน้าเคาน์เตอร์ ผมรีบหยิบเพราะอยากจะกินมันซะตอนนี้เลย แต่พี่นัทก็เบรกผมไว้เสียก่อน

“ไปรีบทำงานให้เสร็จก่อนสิ แล้วค่อยเอาไปกินที่อื่น จะให้พี่ยืนรอปิดร้านช้าเพราะมัวแต่รอพนักงานอู้เอาแต่ยืนกินขนมเหรอไง”

“อ่า...ได้ครับ ผมจะรีบทำให้เสร็จ” ผมวางกล่องขนมไว้ที่เดิมแล้วก็รีบจัดการถูพื้น ล้างแก้วและถาดขนม พอเสร็จแล้วผมก็เตรียมตัวกลับที่พัก ผมสะพายกระเป๋าออกมาหาพี่นัทที่ยืนอยู่หน้าร้าน

“พี่นัทครับ นี่ค่าขนม” ผมยื่นเงินให้พี่นัท แต่คนตัวสูงกลับไม่รับเดินหนีไปในเคาน์เตอร์ซะงั้น ผมก็เดินตามไปยื่นเงินให้

“เก็บไปเถอะ เดี๋ยวหักจากเงินเดือนเอา” พี่นัทพูดไม่มองหน้าผม เอาแต่เช็ดเคาน์เตอร์ ผมก็ไม่รู้จะยืนทำอะไรก็เลยหยิบกล่องขนมมาถือแล้วบอกลาพี่นัท

“ผมกลับก่อนนะครับพี่นัท”

“...”

“ฝันดีนะครับ..” ผมรักพี่นะ ฝันถึงผมหน่อยนะครับ...

ผมได้แต่ต่อประโยคหลังในใจ ความจริงก็อยากจะพูดไปแบบนั้น แต่กลัวจะโดนตอกกลับมาแบบเมื่อวาน ผมเลยเงียบไว้ดีกว่า ผมยิ้มให้พี่นัทที่ก้มหน้าอยู่ แล้วก็เดินออกจากร้านมา

ก่อนถึงที่พักก็แวะซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทนข้าวกล่อง หลังจากนั้นก็เดินเข้าที่พัก แอบแวะไปส่องของ แล้วประกฏว่า มีลังกล่องใหญ่อยู่สามกล่องตั้งอยู่ เป็นชื่อผมทั้งหมด ผู้ส่งก็เป็นชื่อเว็บไซต์ที่ผมสั่งของไป ไม่เสียแรงที่ยอมจ่ายแพงสั่งแบบส่งด่วน ผมต้องขึ้นลงสองรอบเพื่อขนกล่องสามกล่อง

ผมรีบจัดการตัวเองอาบน้ำแล้วต้มบะหมี่ทานจนอุ่นท้อง ผมก็มาไล่นั่งแกะกล่องด้วยความตื่นเต้นอ่ะ เหมือนได้ของขวัญจากซานต้า ทั้งๆ ที่ผมเป็นคนซื้อเอง พอแกะของทั้งหมดออกมาวางเรียงแล้วก็ยิ้มไม่หุบ

พรุ่งนี้แหละ พี่นัทจะได้กินข้าวกล่องจากรักของผม  เตรียมท้องไว้ได้เลยพี่นัท!





#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie


Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 25 : โหยหาสัมผัสที่อบอุ่น l 23-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 23-10-2019 23:31:19
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 26 : ที่รักของผม l 26-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 26-10-2019 19:19:29
26 : ที่รักของผม


04.30 AM

ผมตื่นเช้ากว่าปกติมากๆ  เพื่อที่จะได้ไปตลาดแล้วก็กลับมาทำข้าวกล่องไงครับ ผมเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจแล้วนอนต่อเพราะมันเช้ามากและผมก็ง่วง แต่พอคิดถึงหน้าพี่นัทตอนที่ได้ลองชิมข้าวกล่องฝีมือผมแล้วมันตื่นเต้นและมีแรงฮึดขึ้นมา ก็เลยลุกขึ้นมาอาบน้ำและมายืนเลือกผักในตลาด

เมื่อคืนก่อนนอนผมหาข้อมูลเรื่องการเลือกผักสด เนื้อสด หรือวัตถุดิบต่างๆ  จากอินเตอร์เน็ตมาอย่างดี ผมวางแผนไว้ว่าจะซื้อทีก็ซื้อค่อนข้างเยอะเพราะผมรู้ตัวเองว่าตื่นมาตลาดแบบนี้ทุกวันไม่ไหวแน่ๆ ผมก็หิ้วของกลับห้อง พะรุงพะรังเต็มสองมือไปหมด ตอนไปตลาดผมเดินไป แต่ตอนกลับผมต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างกลับ

พอถึงห้องผมก็รีบเอาของสดที่ยังไม่ใช้เข้าตู้เย็นก่อน และเนื่องจากห้องพักของผมไม่ได้มีครัวให้เป็นสัดส่วน มีเพียงอ่างล้างจานที่ตั้งอยู่ตรงระเบียงด้านนอก ผมจึงต้องยกโต๊ะในห้องไปตั้งไว้ที่ระเบียงเพื่อทำเป็นพื้นที่ในการทำอาหาร พอมีพื้นที่ของครัวเล็กๆ แล้วผมก็จัดการล้างเครื่องครัว กล่องข้าวต่างๆ หลังจากนั้นจึงหุงข้าวและเตรียมเนื้อสัตว์ ทั้งการหุงข้าวและสูตรอาหารผมหาวิธีทำมาอย่างดี

เมนูของวันแรกที่ผมเลือกคือ หมูผัดซีอิ๊วพริกไทยดำกับไข่ดาว ผมก็ค่อนข้างมือใหม่ ขอเมนูง่ายก่อนแล้วกัน ผมหั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นบางๆ  อืม…พยายามทำให้บางมากกว่าครับ เพราะผมก็ไม่ถนัดเรื่องการใช้มีด มันก็เลยเก้ๆ กังๆ เนื้อหมูก็เลยออกมา บางบ้าง หนาบ้าง แถมด้วยแผลสดที่โดนมีดแฉลบเข้าเนื้อตรงนิ้วชี้อีกแผลนึง

“ทำไมมัยยุ่งยากจังวะ”

หลังจากเนื้อหมูผ่านไป ผมก็มาทุลักทุเลกับการปอกกระเทียมต่อ อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาเพราะยิ่งกลีบเล็กยิ่งปอกยาก แต่แม่บ้านในเน็ตเขาบอกว่ากลีบเล็กกลิ่นจะหอมกว่ากลีบใหญ่ ผมก็ซื้อกระเทียมไทยหลายหัวเลย

ยุ่งกับการปอกกะเทียมแล้วก็มายุ่งกับการทำอย่างอื่นอีก การทำอาหารยังคงเป็นสิ่งที่ยสกสำหรับผมเสมอเพระาน้ำมันกระเด็นไปทั่วเลย ผมได้แต่ยืนห่างแล้วใช้ตะหลิวเขี่ยหมูในกระทะไปมา กว่าจะผัดเสร็จได้มือและแขนผมก็มีแต่รอยแดงและแสบยิบๆ ไปทั้งแขนเลย

แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าไรหรอกครับ สิ่งที่สำคัญคือหมูผัดซีอิ๊วพริกไทยดำนี่ตังหาก หน้าตาและสีสันก็ดูดีใช้ได้เลย แต่ดูจากหน้าตาอย่างเดียวไม่ได้จุดสำคัญมันอยู่ที่รสชาติ

“โฮ้ว ร้อน!!” เพราะผมลืมเป่าไล่ความร้อน ทำให้หมูลวกลิ้นผมจนต้องรีบเคี้ยวๆ แล้วกลืนลงไป รู้สึกว่าลิ้นชาไปเลย ผมอ้าปากผึ่งลิ้น พลางนึกถึงรสชาติเมื่อสักครู่ไปด้วย

อืม...มันก็ไม่แย่หรอกมั้ง กำลังดีแหละแต่เหมือนจะหนักพริกไทยไปหน่อย ผมตกลงกับตัวเองว่ารสชาตินี่แหละ โอเคแล้ว! ผมเปิดหม้อหุงข้าวที่ขึ้นว่าสุกมาสักพักนึงแล้วดู

“หอมจัง~ นี่แหละกลิ่นของข้าวที่หุงสุกใหม่ๆ ” ผมใช้ทัพพีตักข้าวใส่กล่องสองใบ แล้วก็ตักหมูในกะทะราดบนข้าว ตบท้ายด้วยไข่ดาวที่สุกไปนิดนึง พอเสร็จแล้วผมก็ชื่นชมผลงานตัวเองแต่ความรู้สึกมันดูโล่งๆ ขาดอะไรบางอย่างไป ผมเลยไปเปิดตู้เย็น เอาผักชีออกมาสองต้นแล้วก็เด็ดใบมาโรยหน้าไป ทุกอย่างดูโอเคขึ้นแค่มีผักชีโรยหน้า

“สวยงาม~”

ผมยิ้มแล้วก็ปิดผากล่องข้าวเตรียมช้อนไปสองชุด ผมหาถุงผ้ามาใส่แล้วก็นำไปวางไว้ข้างๆ กระเป๋าสะพายของผม พอดีกับที่ผมเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาว่าได้เวลาที่ผมควรออกจากห้องได้แล้ว แต่ผมควรจะอาบน้ำใหม่เพราะเหงื่อจากการที่ซื้อของในตลาด แล้วไหนจะคราบน้ำมันกระเด็นอีก ผมหยิบผ้าขนหนูเข้าห้อง ไม่ถึงห้านาทีก็ออกมาแต่งตัวด้วยชุดทำงานที่เตรียมไว้ สะพายกระเป๋าและหยิบกล่องข้าวเตรียมออกจากห้อง ส่วนพวกกะทะอะไรนั่นค่อยกลับมาล้างตอนเลิกงานแล้วกัน ขืนผมล้างตอนนี้ คงได้ไปทำงานสายแน่ๆ

ถึงกำลังจะไปสายผมก็ยังอุตส่าอ้อมไปซื้อดอกไม้มาอีก พอซื้อเสร็จผมก็หอบทั้งถุงกล่องข้าวและกระถางดอกไม้วิ่งมาที่ร้าน

“เจ็ดโมงครึ่งแหนะ โดนดุแน่เลย” ผมพึมพำพลางวางดอกไม่ไว้แทนอันเก่าที่หายไป รีบเก็บข้าวเก็บกระเป๋าใส่ผ้ากันเปื้อนแล้วเดินออกไปที่หน้าร้าน เห็นพี่นัทกำลังเช็ดกระจกอยู่ ก็รีบเดินเข้าไปหาพอดีกับที่พี่เขาหันมามองผมพอดี

“สวัสดีตอนเช้าครับพี่นัท” ผมยกมือทักทายพี่นัทแล้วก็ยิ้มให้

“สายนะ” พี่นัทพูดแค่นั้น ส่งผ้ามาให้ผมแล้วก็เดินเข้าครัวไป

ผมก็พึมพำขอโทษไปเบาๆ  แล้วหันมาเช็ดกระจกและทำความสะอาดหน้าร้าน พอทำทุกอย่างเรียบร้อยพี่นัทก็เปิดร้าน

ผมเดินเสิร์ฟไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดเวลาที่ผมรอคอยก็มาถึง เมื่อลูกค้าเริ่มบางตา ไม่มีออเดอร์ใหม่ พี่นัทก็ใช้ผมไปซื้อข้าว แต่ผมก็ดึงพี่นัทเข้ามาในครัวแทน

“ลูกค้าไม่ค่อยมีแล้วทำไม ไม่ไปซื้อข้าวล่ะ” พี่นัทก็บ่นมาตลอด ผมปล่อยมือจากเสื้อพี่นัทแล้วก็เดินมาหยิบถุงผ้า

“วันนี้ไม่ต้องซื้อครับ” ผมหยิบข้าวกล่องออกมา แล้วก็ยื่นไปให้พี่นัทกล่องนึง

“อะไร?” พี่นัทไม่ได้รับไปแต่มองกล่องข้าวในมือผมด้วยสายตาอ่านยาก ผมทำใจกล้ายื่นให้อีกครั้งแต่พี่แกก็ถอยหลังเหมือนเห็นกล่องข้าวผมเป็นกล่องระเบิด

“กล่องข้าวไงครับ ผมทำมาเอง อันนี้เป็นของพี่นัท” พี่มองกล่องข้าวในมือผม แล้วก็ส่ายหน้าไปมาพาให้ผมใจเสีย

“ไม่กินอ่ะ” พี่นัทแล้วก็หันหลังจะกลับออกไปหน้าร้าน

“อ้าว ถ้าพี่ไม่กินนี่แล้วพี่จะกินอะไรครับ” ผมรีบวิ่งไปขวางไว้

“ก็ข้าวร้านข้างๆ นี่ไง”

“แต่ผมทำข้าวกล่องนี่มาให้พี่แล้วไง เมื่อเช้าผมตื่นมาทำแต่เช้าเลยนะครับ ถ้าพี่ไม่กินผมเสียใจนะ”

“ไร้สาระน่ะ” พี่นัทพูดแล้วก็เบี่ยงออกไปอีกทาง ผมก็ขยับไปขวางไว้ ผมตื่นมาทำแต่เช้า ตั้งใจจะให้พี่นัทกินเป็นมื้อกลางวัน ผมก็ต้องทำให้พี่นัทยอมกินให้ได้แหละ

“ไม่ๆ ไม่ไร้สาระเลยครับ ผมตั้งใจทำมาให้พี่เลยนะ ผมลองชิมแล้วด้วยรสชาติไม่แย่แน่นอนครับ” แล้วผมก็ยื่นข้าวกล่องให้พี่นัทอีกครั้ง พี่นัทดันออก ผมก็ดันกลับไปอีก...ผมแค่อยากให้เขากินข้าวของผม อยากให้เขารู้ว่าผมกำลังพยายามมากแค่ไหน

“พี่ไม่อยากกิน อย่าบังคับได้มั้ย?”

“ผ...ผมตั้งใจทำมาให้พี่นะครับ ลองชิมหน่อยสิครับ นะๆ แค่คำเดียวก็ได้นะครับ”

“…”

“นี่ๆ พี่ดูสิครับ ผมทำหมูผัดซีอิ๊วพริกไทยดำแล้วก็ไข่ดาว หน้าตาดูดีใช่มั้ยครับ? พี่ลองกินนะ” ผมลองเปิดกล่องข้าว แล้วก็ให้พี่นัทดูเมนูข้างใน ถึงจะไม่ร้อนน่าทานเท่าเมื่อเช้าตอนที่เสร็จใหม่ แต่รสชาติไม่เปลี่ยนไปแน่นอน

“...หนึ่ง”

“ส่วนข้าวนี่ ผมใช้ข้าวหอมมะลิแบบที่พี่นัทใช้หุงเลยนะครับ ผมตวงน้ำอย่างดี ไม่แฉะเป็นข้าวต้มแบบครั้งแล้วแน่ครับ” ผมยื่นกล่องข้าวพร้อมส่งช้อนให้พี่นัทอีกครั้ง คราวนี้พี่นัทดันไหล่ผมออกและผมยังไม่หยุดเซ้าซี้เลยทำให้พี่นัทหงุดหงิดจนทนไม่ไหว และเพราะผมเซ้าซี้มากเกินไป พี่นัทเลยหงุดหงิด ถอนหายใจเสียงดังจนผมต้องหยุดมอง

“ตองหนึ่ง! ไม่อยากกินก็คือไม่อยากกินจะมาเซ้าซี้กันทำไม น่ารำคาญว่ะ!”

แต่เพราะคงรำคาญผมมาก พี่นัทก็ดันผมออกค่อนข้างแรงจนกลายเป็นผลัก นั่นทำให้ผมยิ่งไปได้แต่มองหน้าพี่นัทที่ไม่ค่อยสบอารมณ์เลย

ผมฝืนยิ้มให้...และเพิ่งคิดได้ว่า ผมไม่ควรเอาแต่ใจตัวเองในเวลานี้เลย ถ้าพี่นัทไม่อยากกินจริงๆ ผมก็ไม่ควรจะบังคับพี่นัทจนเขาต้องรำคาญขนาดนี้ ผมก็เลยถอยหลังออก เม้มปากแน่นแล้วก็ปิดฝากล่องข้าว

“อะ..เอ่อ ผมขอโทษครับ ผมแค่...อืม ผมขอโทษครับ”

ผมขอโทษเสียงแผ่ว รู้ว่าตัวเองกำลังจะร้องไห้เพราะน้ำตามันมาคลอไปทั่วดวงตาแล้ว ผมเลยก้มหน้ามองกล่องข้าวในมือตัวเอง ไม่อยากมองพี่นัท ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากเห็นว่าตอนนี้พี่นัทจะทำหน้าเบื่อผมขนาดไหน…

“....”

“พี่นัทอยากกินอะไรครับ ด...เดี๋ยวผมไปซื้อมาให้” ผมถามทั้งๆ ทียังก้มหน้าก้มตาอยู่ เขาไม่ตอบและเงียบอยู่อย่างนั้น ผมเม้มปาก ตอนนี้น้ำตามันไหลออกมาแล้ว หยดแหมะๆ ลงบนกล่องข้าว ผมพยายามกลั้นสะอื้นและก่อนที่เขาจะพูดออะไรออกมาผมก็รีบเดินเอากล่องข้าวไปเก็บ

พอหันหลับมาก็เห็นปลายเท้าพี่นัทที่กำลังเดินเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเขาเข้ามาต่อว่าอะไรอีก ผมรู้ว่าผมทำตัวน่ารำคาญ แต่ตอนนี้ผมไม่พร้อมรับฟังหรือโดนดุอะไรทั้งนั้น ผมกลั้นน้ำตาไม่ไหว ผมไม่อยากให้เขาเห็นผมร้องไห้น่าสมเพชแบบนี้เลย

“ผม...ขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ” ผมรีบเดินหลบพี่นัทไปเข้าห้องน้ำ ทันทีที่เข้ามาในห้องน้ำผมก็ปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาอย่างกลั้นไม่ไหว นั่งเบะปากร้องไห้เป็นเด็กๆ พยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นหลุดออกไป แต่บางครั้งที่ก็กลั้นไม่อยู่ มีเสียงร้องไห้หลุดออกมาบ้าง

ผมแค่อยากให้พี่นัทกินข้าวกล่องฝีมือผม ผมตั้งใจทำมาให้ ผมตื่นแต่เช้า ตั้งใจเลือกผักเลือกของสด ผมพยายามทำ ผมทำกับข้าวไม่เป็นแต่ผมพยายามทำ ข้าวกล่องนั่นผมตั้งใจทำให้พี่นัท ตอนที่เลือกของสดก็นึกถึงแต่พี่นัท ตอนทำก็นึกถึงแต่พี่นัท พี่นัท พี่นัท พี่นัท ผมนึกถึงแต่เขาตลอดเลย

ตอนนี้ผมรู้สึกหลายๆ อย่าง น้อยใจ เสียใจ ท้อ ผมควรจะทำยังไงต่อ ถ้าตื้อต่อไปแบบนี้ผมกลัวว่าพี่นัทจะรำคาญจนไล่ผมออกไปจากชีวิตมากกว่าที่จะยอมคืนดีด้วย ผมรักพี่นัท...ผมยังอยากอยู่ใกล้เขา ผมอยากให้เขารักผมแบบก่อนหน้านี้ ผมอยากให้พี่นัทกลับมาใจดีกับผม ผมอยากกอดพี่นัท ผมรักพี่นัท ผมไม่อยากยอมแพ้ ผมไม่อยากถอดใจ แต่ตอนนี้ผมท้อแล้ว เริ่มได้ไม่เท่าไรผมก็ท้อ...เพราะมันเหนื่อยและเจ็บ มันบั่นทอนจิตใจผมไปหมด

ผมนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำสักพัก พอได้ร้องให้ ได้ระบาย ใจที่อึดอัดหนักอึ้งในตอนแรกก็เบาลง แล้วก็เริ่มคิดในแง่มุมของพี่นัทบ้าง ผมคิดว่าผมคงตื๊อและเซ้าซี้พี่นัทมากเกินไป ถ้าผมโดนทำแบบนั้นผมก็รำคาญ  ผมไม่ควรที่จะวอแวพี่นัทจนเกินไป...ผมต้องใจเย็นๆ ค่อยเป็นค่อยไป มันต้องใช้เวลา

พี่นัทไม่ชอบดอกไม้ เพราะผมอาจจะเอามาวางเกะกะทางเดินก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ผมจะเอาไปวางเข้ามุมอย่างสวยงามไม่เกะกะแน่นอน

หรือถ้าพี่นัทไม่ชอบดอกลิลลี่สีขาว ผมก็จะเปลี่ยนเป็นดอกไม้ชนิดอื่นแทนได้  ดอกกุหลาบก็สวย ปลูกง่ายด้วย

ถ้าพี่นัทไม่อยากให้ผมกินเค้กที่พี่นัททำ ผมก็จะไม่กิน เพราะก่อนหน้านี้ผมกินมาเยอะแล้ว ถือโอกาสตอนนี้ลดความอ้วนไปด้วยเลย

หรือถ้าพี่นัทไม่อยากกินข้าวกล่องที่ผมทำก็ไม่เป็นไร ผมจะวิ่งไปซื้อข้าวที่อื่นให้พี่นัทกินแทนก็ได้

แค่ทำแบบนี้ พี่นัทก็จะไม่รำคาญผมมากเกินไปใช่มั้ย...

ผมเช็ดน้ำตาลุกขึ้นล้างหน้าและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย พยายามคิดในแง่ดี เปลี่ยนมุมมองกับเรื่องต่างเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง

ผมเดินออกมาจากห้องน้ำ จังหวะเดียวกับที่พี่นัทเดินออกมาจากครัวพอดี ผมก็ยิ้มให้แล้วก็ก้มหน้าลง ถึงเมื่อกี้ผมจะเข้าใจแล้วแต่ก็ยังน้อยใจอยู่ลึกๆ เห็นหน้าพี่นัทแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอยากร้องไห้อีกจึงก้มหน้าหวังว่าให้พี่นัทเดินนำไปก่อน แล้วผมค่อยเดินตามไปทีหลัง แต่เขาเดินมาหยุดตรงหน้าผม

“เค็ม”

“...?” พี่นัทหยุดแล้วก็พูดขึ้นมาแค่คำเดียว ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าพี่เขาพูดถึงอะไร จึงเงยหน้าขึ้นมองพี่นัทที่มองมาที่ผมอยู่

“มันเค็มเกินไป คราวหลังทำก็เบาๆ พวกซีอิ๊วกับเกลือหน่อย”

“...”

“รีบไปกินข้าวแล้วมาทำงานต่อ อย่าอู้ให้มันเยอะนัก เปลืองเงินเดือน”

“เอ่อ...ค ครับ” ผมพยักหน้ารับถึงแม้ว่าจะยังงุนงงอยู่ พี่นัทเดินออกไปที่หน้าร้านแล้วผมก็เดินมากินข้าวในครัว แล้วก็เห็นกล่องข้าวที่ถูกกินจนเกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่ข้าวซักเม็ด ผมเม้มปากแน่น ก่อนจะยิ้มกว้างจนแก้มแทบจะปลิ หัวใจดวงน้อยๆ ที่ห่อเหี่ยวในก่อนหน้านี้เริ่งพองฟูอีกครั้ง

“เค็มจริงๆ ด้วย” ไม่ใช่แค่เค็มอย่างเดียวนะ แต่ฉุนพริกไทยด้วย พรุ่งนี้ต้องลดเกลือกับพริกไทยลงหน่อย พอกินข้าวเสร็จก็เก็บกล่องและเตรียมไปทำงานต่อ

ผมเดินออกมาหน้าร้าน พี่นัทมองมาทางผมนิดหน่อยแล้วก็หันกลับไป พอเห็นหน้าพี่นัทผมก็ยิ้มออกมา ผมหยุดยิ้มตัวเองไม่ได้ มันดีใจไปหมด

“ยิ้มอะไร...”

“ก็พี่กินข้าวกล่องที่ผมทำ”

“กินเพราะหิว คนที่บอกว่าจะไปซื้อข้าวให้ ดันหนีไปเข้าห้องน้ำตั้งนาน”

“แหะแหะ แล้วพี่นัทชอบข้าวกล่องที่ผมทำมั้ยครับ?”

“ใครจะไปชอบ เค็มจะตาย กินเยอะเสี่ยงเป็นไตอีก”

“ขอโทษครับ ผมคงใส่เกลือเยอะไป” พี่นัทไม่ได้ตอบอะไรเพราะมีลูกค้าเข้ามาพอดี ผมหลบทางให้ลูกค้า พี่นัทก็รับออเดอร์ เสร็จแล้วก็จัดการทำเครื่องดื่ม พอลูกค้าเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมก็ถามพี่นัทต่อ

“พรุ่งนี้ผมจะลดเกลือลงอีกนะครับ”

“ยังจะทำอีกเหรอ? ถามพี่รึยังว่าต้องการรึเปล่า หรือจะบังคับกันอีก?” พี่นัทพูดแล้วก็ส่ายหน้า ผมก็เลยเจื่อนๆ ลงไป

“...” ก็จริงอย่างที่พี่นัทพูด ที่เขายอมกินวันนี้ก็ใช่ว่าพรุ่งนี้เขาจะกินอีกนี่เนอะ

“...แต่ถ้าพรุ่งนี้ทำแบบอร่อยๆ มาก็กินได้” ผมเงยหน้ามองพี่นัทแล้วก็ยิ้มทันที แต่พี่นัทก็ดูไม่สนใจผมเพราะก้มหน้าเทน้ำลงแก้ว พรุ่งนี้ผมจะทำข้าวมาให้พี่นัทอีก ผมจะทำแบบสุดฝีมือเลย ต้องทำให้อร่อยให้ได้

“ยิ้มอะไรเยอะแยะ เอานี่ไปให้เสิร์ฟ”

ผมถือถาดนำเครื่องดื่มไปเสิร์ฟ ผมยิ้มตลอดทาง ยิ้มแบบหุบยิ้มไม่ได้จริงๆ  ยิ้มแฉ่งจนลูกค้าคงคิดว่าผมเป็นบ้าอ่ะ

ประมาณสองทุ่มกว่าๆ พี่นัทก็ปิดร้าน ช่วงหลังมานี้เขาปิดร้านเร็วกว่าแต่ก่อน ผม...แอบคิดเข้าข้างตัวเองไปด้วยว่าเขาปิดเร็วเพราะไม่อยากให้ผมเดินกลับดึกๆ ถึงแม้ว่าความจริงแล้วอาจจะไม่ใช่ แต่ผมก็ขอคิดแบบนั้นเพื่อความสุขของผมละกัน

“พี่นัทครับ ผมกลับแล้วนะครับ” ผมทำความสะอาดจนครบก็เตรียมตัวจะกลับที่พัก แต่ก่อนที่จะไปก็เดินมาหาพี่นัทที่ทำบัญชีอยู่ตรงเคาน์เตอร์

“...”

“พรุ่งนี้เจอกันนะครับ ผมจะรีบมาแต่เช้า”

พี่นัทไม่เงยหน้ามามองผม ผมก็เลยหันหลังเตรียมออกจากร้าน แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวเขาก็เรียกไว้ แล้วก็ยื่นกล่องเค้กให้

“มันเหลือ จะซื้อมั้ย?”

ผมยิ้มแล้วก็รีบเดินเข้าไปรับกล่องเค้กมา วันนี้พี่นัททำพานาคอตต้า เนื้อเนียนน่ากิน แถมขายดีมากๆ เหลือถึงผมแบบนี้ เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมากเลย

“ขอบคุณนะครับ”

“...ค่าขนมเดี๋ยวหักในเงินเดือนนะ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

“...”

“ผม….กลับแล้วนะครับ”

ผมโบกมือลาพี่นัทแล้วก็เดินออกมา ผมมองกล่องเค้กในมือแล้วก็เดินยิ้มกลับที่พัก ผมคิดว่าพี่นัทคงเริ่มใจอ่อนแล้ว อีกไม่นานพี่นัทคงหายโกรธผม แล้วพอพี่นัทหายโกรธจนสนิทและใจเย็นพอที่จะฟัง ผมก็จะบอกความจริงทุกอย่างกับพี่นัท บอกว่าผมรักเขาคนเดียว ไม่ได้นอกใจอย่างที่เขาเข้าใจ ผมอยากกลับไปเป็นคนที่พี่นัทรัก ผมอยากให้พี่นัทกลับมารักผม

แต่ผมก็มีเรื่องที่หวั่นใจอยู่ หลังจากวันนั้นพี่วายุหายไปเลย ผมก็อยากจะได้กล้องถ่ายภาพของผมคืน แต่ไม่กล้าส่งข้อความไป กลัวว่าถ้าพี่วายุกลับมา พี่นัทก็จะโมโหอีก ถ้าพี่นัทต้องกลับไปเป็นคนที่น่ากลัวแบบนั้น ผมยอมไม่เอากล้องคืนก็ได้ ผมไม่อยากให้พี่นัทโมโหหรือรู้สึกไม่ดีอีก
.
.
.
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 26 : ที่รักของผม l 26-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 26-10-2019 19:20:46

ผ่านไปเกือบดือนแล้วที่ผมทำข้าวกล่องมาให้พี่นัทกินตอนมื้อเที่ยง พอได้ทำทุกวันมันก็คล่องมากขึ้น รสชาติก็ดีขึ้น ช่วงอาทิตย์แรกพี่นัทยังติโน่นแนะนี่อยู่

‘ก็ใช้ได้’ เป็นคำที่เขามักจะพูดบ่อยๆ ในระยะหลังมานี้ ถึงจะไม่ได้ชมว่ามันอร่อยหนักหนา แต่แค่นี้ผมก็ปริ่มใจแล้ว และผมก็รู้สึกว่าพี่นัทใจดีขึ้น ถึงจะยังไม่ได้กลับไปพูดคุยกับผมตามปกติแต่ก็ตอบเวลาที่ผมถาม เลิกเมินหรือปล่อยให้ผมพูดกับอากาศคนเดียวแล้ว แต่ที่ยังไม่เปลี่ยนคือ พี่นัทยังคงขนต้นไม้ที่ผมซื้อมาไปทิ้งทุกวัน หรือว่าพี่นัทไม่ชอบอ่ะ ผมลองเปลี่ยนเป็นดอกไม้ชนิดอื่นแล้ว แต่เช้าวันต่อมามันก็หายไปอยู่ดี แต่ผมก็ไม่หยุดที่จะซื้อมาทุกวัน ซื้อจนเริ่มสนิทกับเจ้าของร้านแล้ว

“พี่นัทครับ”

“...” เขาไม่ตอบเพราะกินข้าวกล่องของผมอยู่เต็มปาก แต่เงยหน้าขึ้นมามองและเลิกคิ้วใส่ผม

“พี่ไม่ชอบดอกไม้เหรอครับ?”

“ทำไม?” พี่นัทกลืนข้าวแล้วก็ถามผมกลับ

“ก็ผมซื้อต้นดอกไม้มาให้พี่ แต่พี่ก็ขยันเอาไปทิ้งทุกวันเลย”

“รู้ได้ไงว่าทิ้ง”

“ก็มันหายไปทุกเช้าเลย ถ้าพี่ไม่ทิ้งแล้วมันจะหายไปไหนล่ะครับ โดนขโมยเหรอ?”

“ก็ไปวางไว้ตรงนั้น มันเกะกะ เดินเข้าออกลำบาก”

“แต่ผมก็เปลี่ยนไปวางข้างๆ กำแพงแล้วนี่ครับ ไม่ได้รบกวนทางเดิน”

พี่นัทวางช้อนแล้วก็มองหน้าผมนิ่งๆ  เอ่อ...ผมว่า ผมคงถามมากไปแล้วพี่นัทคงจะรำคาญแล้วเหละ ผมกำลังจะบอกว่า พี่นัทไม่ต้องตอบก็ได้ แต่เขาก็พูดขึ้นมาก่อน

“แล้วคิดว่าดอกไม้ที่ตัวเองซื้อมาทุกวันแบบนี้ มันจะเยอะแค่ไหนล่ะ ถ้ายังวางอยู่ที่เดิมแล้วพี่ไม่ได้เอามันออก ลองคิดดูสิป่านนี้จะเป็นยังไงอ่ะ?”

ผมคิดภาพตาม มันก็จริงแบบที่พี่นัทพูดแหละ ผมซื้อให้พี่นัทมาจะเป็นเดือนแล้ว แถมบางวันผมยังซื้อมาสองต้นอีกถ้าพี่นัทไม่ขนไปทิ้ง ตอนนี้หลังร้านคงกลายเป็นป่า มีแต่กระถางจนเดินไม่ได้ ถึงแม้จะเป็นกระถางเล็กๆ แต่ก็คงเกะกะน่าดู

“...คงไม่มีทางเดิน”

“อืม เลิกซื้อมาได้แล้ว วางไปก็เกะกะ” พี่นัทพูดและตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ผมมองแล้วก็ยิ้มกว้างออกมาพูดเสียงดังฟังชัดใส่พี่นัท

“พี่ก็หายโกรธผมแล้วกลับมารักผมสิ ผมจะได้เลิกซื้อดอกไม้มาง้อพี่ไงครับ”

พี่นัทส่ายหน้า ยกน้ำขึ้นมาดื่ม แล้วก็ลุกขึ้น ชี้มาที่กล่องข้าวของผม

“รีบกินเร็วๆ แล้วออกไปหน้าร้าน”

แล้วเขาก็เดินออกไปเลย ผมก็ก้มหน้ารีบตักข้าวเข้าปาก วันนี้ผมได้กินข้าวเที่ยงพร้อมพี่นัท เพราะว่ามันเป็นช่วงวันหยุดยาว มหาลัยที่อยู่ใกล้ๆ ก็ปิดนักศึกษาก็กลับบ้าน คนแถวนี้ก็ไปเที่ยวต่างจังหวัดกัน ลูกค้าก็เลยน้อยๆ ผมก็เลยได้โอกาสมานั่งกินข้าวพร้อมกันกับเขา

“วันหยุดยาวแบบนี้ พี่นัทไม่หยุดบ้างเหรอครับ?” ตอนนี้ในร้านไม่มีลูกค้าเลย พอนักศึกษาปิดเทอมกัน ร้านก็เงียบลงไปมาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นวัยทำงานที่มาซื้อและออกไป ไม่ใช้เข้ามานั่งทำงานหรือติวกันแบบพวกนักศึกษา

“อยากหยุดเหรอ?” พี่นัทถามผมกลับ ผมส่ายหน้าเท้าคางลงกับเคาน์เตอร์และยิ้มให้พี่นัท

“ไม่อยากเท่าไร ผมอยากเจอพี่นัททุกวันครับ” พี่นัทกลอกตามองบน แล้วก็ดันหน้าผมออกจากเคาน์เตอร์

“ยังไม่แน่ใจว่าจะหยุดดีมั้ย ลูกค้าเข้าร้านน้อยกว่าที่คิดไว้ ดีนะที่วันนี้ทำเค้กน้อย ไม่งั้นคงเหลือบานเลย”

“ถ้าเหลือ พี่นัทก็ขายต่อผมไงครับ เหลือกี่ชิ้นผมก็จะซื้อหมดเลยครับ”

“หึ” พี่นัทหัวเราะในลำคอและหันไปทำเครื่องดื่ม ผมก็งงว่าทำไปทำไม ไม่มีลูกค้าเลย พี่นัททำให้ใครอ่ะ ผมมองพี่นัททำไม่นาน นมสดปั่นเพิ่มวิปปิ้งครีมและราดคาราเมลก็มาวางตรงหน้าผม ผมทำตาโต เพราะคิดว่านมนั่นพี่นัททำให้ผม

“โห ของผม...”

ผมพูดได้แค่นั้นพี่นัทก็เสียบหลอดลงมาแล้วยกขึ้นไปดูดเอง ผมนี่หุบปากแทบไม่ทันเลย แก้วนั้นพี่นัททำกินเองแหละ ผมก็หลงตัวเองเห็นว่าพี่นัทใจดีขึ้นมากๆ  ก็เลยคิดว่าทำให้ ผมก็หัวเราะแห้งๆ แก้เก้อไป รู้สึกหน้าแตกระเอียดยิบเลยครับ

“อะไร คิดว่าพี่จะทำให้เหรอ? อยากกินก็สั่งออเดอร์แล้วจ่ายตังสิ”

“งั้นผมขอสั่งออเดอร์ครับ เอานมสดปั่นและทอปปิ้งแบบพี่นัทครับ”

“ไม่เอาอ่ะ ขี้เกียจทำ”

“โถ่…” ผมหน้ามุ่ย

“ดูทำหน้าเข้า ฮ่าฮ่าฮ่า” พี่นัทหัวเราะออกมา ผมตาโต หูผึ่ง เมื่อกี้พี่นัทหัวเราะให้ผม เสียงหัวเราะของเขาที่ผมไม่ได้ยินมาเป็นเดือน ถึงจะแค่นิดเดียว แต่ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยจิตใจมาก การะกระทำที่ดีขึ้นของเขาทำให้ผมรู้สึกมีหวังมากขึ้นทุกวัน

พี่นัทที่กินนมปั่นอยู่ วางแก้วและมองไปนอกร้านแล้วขมวดคิ้ว แถมหน้าตาก็ดูทมึนทึงน่ากลัวขึ้นด้วย ผมหันไปมองตามว่าพี่นัทเห็นอะไร แล้วก็ตกใจคนที่ผมไม่อยากให้พี่นัทเจอที่สุดกำลังเดินมาที่ร้าน...พี่วายุ

ในมือของเขามีกระเป๋าเป้และกระเป๋ากล้อง นั่นนะของผมแน่นอน ผมหันกลับมามองพี่นัทที่มองผมอยู่เช่นกัน เขาขมวดคิ้ว ดวงตาแข็งกร้าวดูก็รู้ว่าไม่พอใจมากๆ  ผมส่ายหน้า ตามันร้อนผ่าว รู้เลยว่าผมกำลังจะร้องไห้อีกแล้ว พี่นัทเดินออกมาจากเคาน์เตอร์และ เดินไปทางหน้าร้านเตรียมที่จะเปิดประตูออกไป ผมจึงรีบวิ่งไปจับแขนเขาไว้เพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงเกินควบคุมแบบวันนั้นอีก

“พี่จะไปไหนครับ!”

“ไปหามันไง”

“ผ ผมไปด้วย!”

“จะไปทำไม อยากเจอมันเหรอ?” พอพี่นัทพูดแบบนั้น น้ำตาผมมันไหลออกมา ผมยกมือขึ้นเช็ดแบบลวกๆ  แล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่แบบนั้น ฮือ” ผมกลัวว่าจะมีเรื่องแบบนั้น ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการแบบนั้น วันนั้นพี่วายุมีเลือดออกมามาก พี่นัทก็น่ากลัวมากๆ เหมือนกัน

“เข้าไปอยู่หลังเคาน์เตอร์ ห้ามออกมาเด็ดขาด กินนมปั่นให้หมด”

“...”

“ถ้าหนึ่งออกไปหรือถ้าพี่เข้ามา แล้วนมยังไม่หมด พี่จะไล่หนึ่งออก”

“ฮึก ฮือ พี่นัท”

พี่นัทแก้มือผม แล้วดันผมเข้ามาในร้านพร้อมกำชับเสียงเข้มอีกครั้ง

“ถ้าออกมา หางานใหม่ได้เลย”

ผมเดินเข้ามาในเคาน์เตอร์ รีบยกนมปั่นขึ้นมาดูดทั้งน้ำตา แล้วก็ชะเง้อคอดูว่าพี่นัทที่เดินออกไปด้านนอก พี่วายุชี้มาทางผม แล้วก็พูดอะไรออกมา พี่นัทก็ยืนนิ่งๆ แล้วส่ายหน้าบ้าง บางครั้งก็เหมือนพูดอะไรบางอย่างกลับไป พี่วายุเปิดกล้องของผมแล้วส่งให้พี่นัทดูก่อนจะหันมาทางนี้ ผมก็รีบยกนมปั่นมาดูด ความเย็นแล่นปรี๊ดขึ้นไปที่สมองทันทีจนผมต้องยกมือขึ้นบีบขมับตัวเอง พวกเขาคุยกันไม่นานมากนักก่อนที่พี่วายุจะส่งยิ้มาให้ผมแล้วเดินกลับไป ส่วนพี่นัทก็มองกล้องของผมนิ่งแบบนั้นอยู่นานแล้วเดินกลับเข้าร้านมา ผมรับก้มหน้าดูดนมปั่นที่เหลืออยู่ค่อนแก้วจนหมดก่อนที่พี่นัทจะเข้าร้าน  ผมวางแก้วลงตอนที่พี่นัทเปิดประตูเข้ามาพอดี

“...” พี่นัทหยุดตรงหน้าประตู และมองผมอยู่อย่างนั้น ผมรีบกลืนเกล็ดน้ำแข็งเย็นๆ ลงคอและยกแก้วขึ้นมาโชว์พี่นัท

“ผมกินจนหมดแก้วแล้วนะครับ ก่อนที่พี่จะเปิดประตูเข้ามา”

“...” พี่นัทไม่ตอบ เดินเข้ามาในเคาน์เตอร์และส่งข้าวของให้ ผมรับมาถือไว้ก่อนจะโดนพี่นัทดันตัวออกจากเคาน์เตอร์

“เอ่อ..พี่นัทครับ นมปั่นอร่อยมากเลย ขออีกแก้วได้มั้ยครับ”

“...” ผมพยายามชวนคุยแต่เขาก็ไม่ตอบ เอาแต่มองผมแล้วก็หันไปทางอื่น ผมรู้สึกไม่ดีเลย ทำไมพี่นัทถึงกลับมาเงียบแบบนี้อีกแล้วล่ะ พี่วายุพูดอะไรกับพี่นัทกันแน่

“พ...พี่นัทครับ พรุ่งนี้พี่อยากกินอะไร ผมจะทำมาให้”

“......” พี่นัทยืนพิงเคาน์เตอร์และหันหลังให้ผม พี่นัทจะกลับมาเมินผมอีกแล้วเหรอครับ

“พี่ครับ...พี่ว่าวันนี้จะมีลูกค้าเข้ามาอีกมั้ย?”

“......”

“ม มาเล่นเกมกันมั้ยครับ? ทายกันว่า ช่วงบ่ายจะมีลูกค้าเข้ามากี่คน”

“....”

“พี่นัทครับ” ผมเสียงสั่นเพราะพี่นัทไม่ตอบไม่หันมามองผมเลย เขาก้มหน้าจมอยู่กับความคิดตัวเอง บ้างก็เงยหน้ามองผมแล้วทำหน้าเจ็บปวดจนผมอยากจะร้องไห้ตาม เขาก็เป็นแบบนั้นตลอดบ่าย จนช่วงหัวค่ำพี่เขาก็บอกให้ปิดร้าน ผมก็ทำตามคำสั่งพร้อมกับชวนเขาคุยตลอดเวลา แต่เขาก็ยังคงไม่พูดไม่ตอบอะไร ผมเลยเงียบๆ ลงบ้างเพราะกลัวว่าพี่นัทจะรำคาญที่ผมพูดมากไป

ผมกำลังกลับไปแย่ และตอนนี้ผมโกรธพี่วายุมากๆ เขาไม่น่ามาเลย พอเขามาพี่นัทก็กลับมาเป็นแบบนี้ กลับไปเป็นแบบวันแรก

“ตองหนึ่ง…” พี่นัทเรียกตอนที่ผมกำลังถูพื้นอยู่ ผมรีบวางไม้ถูแล้วก็เดินไปหาพี่นัททันที

“ครับ พี่นัท”

“ที่หนึ่งเคยบอกว่าจะยอมทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง หนึ่งพูดจริงรึเปล่า?”

“จ...จริงครับ ไม่ว่าพี่นัทต้องการอะไร ผมจะพยายามทำให้ได้” ผมตอบเสียงดังฟังชัดและยิ้มให้ พี่นัทขมวดคิ้ว ขบกรามและมองมาที่ผม ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่พี่นัททำหน้าแบบนั้น อยู่ดีๆ ก็รู้สึกกลัว...กลัวที่จะรู้สึกเสียใจอีก

“ถ้าขอให้เลิกมายุ่งวุ่นวายล่ะ...ทำให้ได้มั้ย?”

ยิ้มของผมมันค่อยหายไป ผมกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ตาก็เริ่มพร่าไปด้วยหยาดน้ำตา ผมก้มหน้าลง กลืนก้อนสะอื้นลงท้อง และส่ายหน้าช้าๆ

“พี่ขอแบบนั้น...ผมทำให้ไม่ได้”

“หึ แล้วบอกว่าทำให้ได้ทุกอย่าง” พี่นัทถอนหายใจออกมา ผมยิ้มบางๆ ตอบกลับไป แล้วก็กลับไปถูพื้นต่อ ผมถูพื้นเงียบๆ

ทำไมพี่นัทถึงขอผมแบบนั้น พี่นัทไม่อยากมีผมอยู่ใกล้ๆ แล้วเหรอ ตอนนี้ร่างกายผมมันหนักไปหมด เหมือนมันชาไปทุกส่วน รู้สึกที่ทำไปตลอดหนึ่งเดือนมัน…หายไป ความหวังที่เคยมี….ก็เหมือนไม่มีแล้ว

“ทำไมถึงยังอยู่…”

“ผม...ผมรักพี่ไงครับ รักพี่คนเดียว”

“คืนนั้น...พี่ทำเรื่องแย่มากๆ หนึ่งจะรัก...รักคนที่ข่มขืนตัวเองได้จริงๆ เหรอ?”

“ฮึก ผมรักพี่”

“...”

ผมเข้าใจว่าคืนนั้นพี่นัทขาดสติ ซึ่งผมเป็นคนทำให้พี่นัทเป็นแบบนั้นเอง ผมไม่ได้รักคนที่ข่มขืนผม ผมรักพี่นัทคนที่ใจดีกับผม คนที่ดูแล อ่อนโยน และรักผมมากๆ...ให้ผมเลิกรักพี่นัท ผมทำไม่ได้เลย ทำไม่ได้จริงๆ

“ผมรักพี่ ฮือ พี่ครับ”

เขาส่ายหน้าและหันหลังให้ และนั้นทำให้ผมร้องไห้ น้ำตาเม็ดเล็กไหลออกมา หยดน้ำที่กลั่นออกมาจากความเจ็บปวดของผม ผมหวังว่ายังคงมีหวัง ให้พี่นัทหันกลับมาหาผมหน่อย

“เดี๋ยวพี่ถูเอง หนึ่งรีบกลับเถอะ” พี่นัทแย่งไม้ถูไปจากมือ ผมเจ็บ...ที่พี่นัททำแบบนี้เพราะไม่อยากให้ผมอยู่แล้วรึเปล่า? ผมยืนมองอยู่พักหนึ่ง พี่นัทก็ไม่สนใจ เอาแต่ถูพื้น จนผมถอดใจเดินมาเอาของหลังร้าน หลังจากนั้นก็เดินไปหาเขา

“พี่นัทครับ...ผมจะกลับแล้วนะครับ”

พี่นัทไม่มองมองผมเลย พอถูพื้นเสร็จ พี่นัทก็เดินไปหลังร้านทันทีไม่สนใจผม ผมมองตามแล้วก็หลับตาลง ยกมือขึ้นมากุมตรงหน้าอกที่มันบีบจนเจ็บไปหมด ผมเดินออกจากร้าน ฝนลงเม็ดปอยๆ และก็ตกหนักขึ้นจนผมต้องกลับมาที่ร้านที่หลบฝน ผมจะเดินตากฝนกลับก็ได้ แต่ผมไม่อยากให้กล้องเปียก

ผมมองฝนพลางนึกถึงคนที่อยู่ในร้าน ตอนนี้ผมมีโอกาสแค่ไหน ในเมื่อพี่นัทกลับมาเป็นแบบนี้ ผมควรจะทำยังไงต่อ ผมมองไปในร้าน เห็นพี่นัทนั่งก้มหน้าอยู่ที่เคาน์เตอร์ ดูเหมือนไม่รู้ด้วยว่าผมวิ่งกลับมายืนอยู่ที่หน้าร้าน ผมมองแล้วก็คิดว่า ถ้าพี่นัทไม่อยากให้ผมไปวุ่นวายกับเขาแล้ว ผมควรที่จะยอมแพ้ดีกว่ามั้ย?

ผมไม่อยากยอมแพ้ ถึงแม้จะรู้ตัวว่ากำลังจะแพ้

ผมรักพี่นัทแต่ผมเหนื่อยและตอนนี้ผมท้อมาก พี่นัทกลับไปเมินผมอีกแล้ว ผมอยากจะกลับไปร้องไห้ที่ห้อง ฝนก็ดันมาตก จะเดินร้องไห้กลางฝนก็ไม่ได้ มีกล้องอยู่อีก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงนอนกอดพี่นัทอยู่ที่ร้านนี่แหละ ผมอยากนอนกอดพี่นัท  ผมอยากย้อนเวลา แต่มันย้อนไม่ได้….

...

ใช่...เวลามันย้อนไม่ได้ ถ้าวันนี้ผมเลือกยอมแพ้ เดินห่างจากพี่นัท แล้วในอนาคตผมจะเสียใจมั้ยที่ไม่พยายามให้ดีกว่านี้ ตอนนี้ผมยังสามารถคุยกับพี่นัทได้ ผมก็ควรที่จะทำให้เต็มที่เพราะถ้าผมเลือกที่จะไม่ทำ อนาคตผมอาจจะเสียใจมากกว่าตอนนี้ก็ได้...ผมทำใจปล่อยพี่นัทไปไม่ได้จริงๆ

ผมมองไปในร้านพี่นัทยังนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ผมอยากกอดพี่นัท อยากให้พี่นัทพูดว่ารักผม ขอแค่อีกครั้งเดียว ถ้าผมลองคราวนี้แล้วพี่นัทไม่กลับมารักผมแล้วจริงๆ  ผมก็จะยอมรับความจริง ว่าพี่นัทจะไม่ทางรักผมได้อีก

ครั้งนี้ครั้งสุดท้ายนะ….

ผมเช็ดน้ำตาสูดลมหายใจลึกๆ แล้วเปิดประตูเข้าร้าน พี่นัทเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างไม่เข้าใจ ผมยิ้มให้มองใบหน้าของอีกฝ่ายด้วยใจที่หนักอึ้ง...พี่นัทตาแดง ปลายจมูกก็แดง ผมดูออกว่าเขาเพิ่งจะร้องไห้ ผมไม่แน่ใจว่าเขากำลังเสียใจเรื่องอะไร แต่ผมรู้สึกแย่ที่เขาไม่มีความสุข

ผมอยากกลับไปเป็นความสุขของเขา อยากได้ยินเสียงหัวเราะ อยากทำให้เขายิ้ม

“ฝนตก ผมกลับไม่ได้ ผมขอนอนค้างที่นี่ได้มั้ยครับ?”

“ไม่” ผมยิ้มออกมาถึงแม้จะโดนปฏิเสธ

“แต่ฝนตก...หนักด้วย”

“ก็รีบเดินไปสิ”

“ผมไม่อยากเปียก”

“ยังไม่ทันเปียกหรอก”

“แต่ผมมีกล้องด้วยนะ ผมไม่อยากให้กล้องเปียก”

ผมพูดแล้วก็ทำใจกล้ายิ้มไป ส่วนพี่นัทก็มองผมนิ่งๆ อยู่นาน ใบหน้าเครียดเขม็งชวนให้หวั่นใจว่าดีรึเปล่าที่เซ้าซี้เขาแบบนั้น จนผ่านไปซักพักเขาก็หันไปทางอื่นพร้อมถอนหายใจออกมา

“อยากทำอะไรก็ทำ”

แล้วพี่นัทก็เดินไปปิดไฟ ผมยิ้มออกมา ดีใจสุดๆ  ผมรีบเดินไปช่วยพี่นัทปิดม่านอีกแรง แล้วก็เดินตามพี่นัทขึ้นห้องชั้นสอง

พี่นัทเปิดประตูเข้าไป แล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไปทันที ผมเดินไปวางของไว้ที่โซฟา แล้วก็มองรอบๆ ห้อง ผมคิดถึงห้องนี้ คิดถึงกลิ่นนี้  ผมมองไปรอบห้อง พอดีกับที่ได้ยินเสียงน้ำจากในห้องน้ำ

พี่นัทกำลังอาบน้ำอยู่...

ผมเดินไปหน้าห้องน้ำ ค่อยๆ แนบหูกับประตู แล้วก็ฟังเสียงพี่นัทอาบน้ำ อาจจะดูโรคจิตนะแต่มันรู้สึกว่า ตอนนี้ผมอยู่กับพี่นัท มันรู้สึกดี

ผมยืนฟังอย่างนั้นอยู่ซักพัก แล้วประตูห้องน้ำก็เปิดออก

“เฮ้ย!!” พี่นัทอุทานออกมา เพราะพอเปิดประตูห้องมาก็เจอหน้าผมอยู่

“...”

“ตกใจหมด” พี่นัทพึมพำแล้วก็ดันผมออกให้พ้นทาง ผมเดินตามหลังพี่นัท จมูกก็ดมกลิ่นสบู่หอมๆ ที่โชยออกมาจางๆ จากตัวพี่นัท กลิ่นนี้ผมก็คิดถึง…

“พี่นัทครับ ผมขอยืมเสื้อหน่อยได้มั้ย ผมไม่มีชุดนอน”

พี่นัทจิ๊ปาก แต่ก็ยอมเปิดตู้และส่งเสื้อกับกางเกงมาให้ผมหนึ่งชุดพร้อมกับผ้าเช็ดตัว ผมดูชุด มันเป็นเสื้อกับกางเกงที่พี่นัทเคยให้ผมใส่ตอนที่ผมมานอนห้องนี้วันแรก ชุดนี้ผมก็คิดถึง

ผมขอบคุณพี่นัทแล้วก็เดินเข้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาไม่นานก็อาบน้ำเสร็จ ผมเอาชุดทำงานของวันนี้ไปใส่เครื่องซักผ้า พร้อมทั้งซักชุดของพี่นัทไปด้วยเลย แล้วก็ไปนั่งดูทีวีตรงโซฟากับพี่นัท พี่นัทไม่พูดอะไรเลย ตาก็มองแต่ทีวี จนเครื่องซักผ้าส่งเสียงเตือนว่าผ้านั้นซักเสร็จแล้ว ผมก็เดินไปเอาผ้าใส่ตระกร้าเตรียมเอาไปตาก แต่จู่ๆ พี่นัทก็รีบเดินมาแย่งตระกร้าผ้า ผมก็บอกว่าผมตากคนเดียวได้ พี่แกก็สั่งไม่ให้ผมตามมา ไม่งั้นจะไล่กลับห้อง เพราะตอนนี้ฝนก็หยุดแล้วผมเดินกลับได้แน่ แล้วพี่นัทก็เอาผ้าไปตากคนเดียว พอพี่นัทตากผ้าเสร็จ กลับมาก็ปิดไฟ ปิดทีวีเข้านอนโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมเลย

ผมนอนมองแผ่นหลังพี่นัท พี่นัทนอนชิดจนติดขอบเตียง พี่นัททำเหมือนไม่อยากเข้าใกล้ผม ผมก็นอนบอกตัวเองว่า บอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งยอมแพ้ อย่ายอมแพ้ ผมบอกตัวเองแบบนั้นไปเรื่อยๆ และไม่นานผมก็ได้ยินเสียงลมหายใจที่เข้าออกสม่ำเสมอ ผมหันไปมองแผ่นหลังพี่นัทในความมืด

“พี่นัทครับ พี่นัท…” ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ๆ  แล้วลองเรียกเบาๆ ดูว่าพี่นัทหลับแล้วจริงๆ รึเปล่า

ไม่มีเสียงจากคนตรงหน้านอกจากเสียงหายใจ ผมขยับตัวเองเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยืดแขนโอบเขาเอาไว้อย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ฝังหน้าเข้ากับแผ่นหลังกว้างอบอุ่นที่คิดถึง

...คิดถึง อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ  ต้องทำยังไง คิดถึงกลิ่นของพี่นัท รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ความอบอุ่นและความใจดี คิดถึงทุกอย่างของพี่นัท...คิดถึงมาก แต่ผมทำผิดก่อน ผมทำตัวผมเอง ผมต้องรับผิดชอบความผิดของตัวเอง คราวนี้ผมต้องรอจนกว่าพี่นัทจะไว้ใจผมใหม่ ต้องรอ ต้องอดทน...แต่ผมจะไม่ไหวแล้ว

“พี่นัท ผมขอโทษ ผมรักพี่คนเดียวจริงๆ นะครับ ผมรักพี่จริงๆ  ฮึก ไม่ได้นอกใจพี่จริงๆ นะครับ ผมรักแต่พี่คนเดียว”

ผมพูดพึมพำเบาๆ  และกดหน้าแนบกับแผ่นหลังอุ่น น้ำตามันรื้นออกมา อยากจะร้องไห้เต็มทน ผมกลั้นสะอื้น และพยายามกลั้นน้ำตา เดือนกว่าๆ เลยนะที่ไม่ได้กอดพี่นัทแบบนี้ คิดถึงมากไม่อยากปล่อยมือเลย

แต่เพราะกลัวพี่นัทจะรู้สึกตัวแล้วตื่น ผมเลยต้องค่อยๆ ขยับตัวออก หันกลับมานอนที่ฝั่งตัวเองแล้งงอตัวกอดตัวเองเอาไว้ ผมเช็ดน้ำตา พยายามสูดหายใจเข้าเพื่อตั้งสติแล้วหลับตาลง ทรมานเหมือนกันนะมีพี่นัทนอนใกล้ๆ แต่กอดไม่ได้

ผมหลับตาลงแล้วกอดตัวเองขึ้น พยายามทำใจยอมรับว่าผมแพ้แล้ว แต่แล้วก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่โอบเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับน้ำเสียงนุ่มทุ้มที่พูดอยู่ข้างหู

“พี่ขอโทษครับ...”



 
ทุกคนเตรียมตัวนะคะ...ตอนหน้านะ...



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 26 : ที่รักของผม l 26-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 26-10-2019 20:50:48
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตอนหน้าอะไรเหรอ? 

ฉาก NC?
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 27 : ที่รักของผม 2 l 28-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 28-10-2019 19:36:35
27 : ที่รักของผม 2


“พี่ขอโทษครับ...”

“!!!”

ผมตัวแข็งร่างกายเกร็งเพราะความตกใจและความไม่เชื่อ ผมอาจคิดไปว่าตัวเองฝันหรือพี่นัทละเมอแต่เพราะความอบอุ่นที่กระชับแน่นขึ้นพร้อมกับสัมผัสอุ่นชื้นที่ต้นคอ ทำให้ผมรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝันและเขาก็ไม่ได้ละเมอด้วย

“ตองหนึ่ง…” พี่นัทซบหน้าลงกับต้นคอของผมและเรียกชื่อออกมาเบาๆ  เพียงแค่นั้นน้ำตาของผมก็ไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ผมไม่รู้ทำไมพี่นัทถึงยกโทษให้ผม แล้วก็กลัวว่าพรุ่งนี้พี่นัทจะกลับไปเมินผมเหมือนเดิมอีก

“ฮึก ฮือ พี่นัทครับ ฮือ” ยิ่งพี่นัทกอดผมแน่นและจูบที่ต้นคอผมแผ่วเบาเท่าไร ผมยิ่งร้องไห้และสะอึกสะอื้นมากเท่านั้น

“หนึ่งครับ พี่ขอโทษ”

พี่นัทขอโทษเรื่องอะไร ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ผมพลิกตัวกลับไปกอดเขา กดหน้าลงกับหน้าอกพี่นัทแล้วก็พูดออกไป

“ฮึก ไม่ใช่พี่...ผมต้องเป็นคนขอโทษต่างหาก ผมตัวว่าผมผิด ผมขอโทษที่ตอนนั้นผมไม่ใส่ใจพี่นัทเลย ขอโทษที่ออกไปกับคนอื่นแล้วก็ทำให้พี่ไม่สบายใจ ทำให้พี่นัทเสียใจ ฮือ”

“พี่เองก็ทำหนึ่งเสียใจ พี่ทำ...เรื่องไม่ดี”

“ผมทำให้พี่ร้องไห้ ผมขอโทษ ฮือ ฮึก พี่นัทหายโกรธผมนะ หายโกรธผมเถอะนะ นะครับ ฮืออ ฮึก” ผมพูดเสียงอู้อี้อยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าพี่นัทจะฟังรู้เรื่องมั้ย ผมอยากขอโทษแต่ก็อยากกอดพี่นัทแน่นๆ ไปด้วย

“พี่เองก็ทำหนึ่งร้องไห้ ทำสิ่งที่ไม่ดีมาก...”

“ฮึก พี่นัท อย่าพูดแบบนั้น เพราะผม...เพราะผมคนเดียว ฮือ ทำให้พี่โกรธ ขอโทษ”

“พี่ไม่ได้โกรธหนึ่งแล้วครับ...ไม่ได้โกรธนานแล้ว หยุดร้องไห้เถอะนะ พี่ขอโทษ โอ๋ๆ หยุดร้องนะ พี่ไม่ดีเองครับ” เขากอดผมแน่นเสียงขึ้นจมูกของเขาทำให้ผทต้องเงยหน้าดู พี่นัทเองก็ทำท่าจะร้องไห้ ผมรีบกอดเขาอีกครั้ง กอดให้แน่นที่สุด

“จริงๆ นะ พี่ไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย? ฮือ”

“ไม่โกรธแล้วครับ หยุดร้องก่อนนะ”

พี่นัทพูดแล้วก็กดจูบลงมาที่กลางกระหม่อมของผม ถึงพี่นัทจะบอกให้ผมหยุดร้องไห้แต่ผมกลั้นน้ำตากลั้นเสียงไม่ได้ ยิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง ผมเอาแต่คิดว่าคควรใช้โอกาสนี้รีบอธิบายความจริงทั้งหมด ผมพยายามหยุดสะอื้น และลุกขึ้นนั่งดีๆ พี่นัทก็ลุกตามแล้วก็เช็ดน้ำตาให้ผม แต่มันก็เหมือนว่ายิ่งเขาปลอบผมก็ยิ่งร้อง ผมกลั้นสะอื้นดึงเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาแล้วตั้งใจพูดออกไป

“พี่ครับ พี่ฟังผมนะ พี่อย่าโกรธผมอีกนะ ผมจะอธิบาย...ไม่ได้แก้ตัวแล้วก็ไม่ได้โกหกด้วยนะครับ” ผมจับมือเขาไว้ มองหน้าเขา พยายามที่จะสื่อว่าสิ่งที่ผมพูดต่อจากนี้เป็นความจริง ผมจริงใจในคำพูดทุกคำ “วันนั้นอ่ะ...วันนั้นผมไม่ได้นอกใจพี่เลยนะครับ พี่วายุเขาเข้าใจผิดแล้วก็คิดไปเองของเขาคนเดียวนะครับ ผมไม่ได้นอกใจพี่เลยนะ ฮือ พี่นัทเชื่อผมสิ...ผมรักพี่คนเดียว รักพี่นัทมากนะครับ ฮึก”

ผมเคยคิดมาก่อนหน้านี้ว่าเวลานี้ผมต้องพูดยังไง พูดอะไรก่อน แต่พอถึงเวลาผมเรียบเรียงคำพูดตัวเองไม่ได้ สิ่งที่จะอธิบายก็พูดไม่ออก เลยได้แต่บอกซ้ำๆ ว่า ผมรักพี่นัทที่สุด แล้วผมก็พูดวนอยู่แค่นั้น ส่วนพี่นัทก็ยิ้มบางๆ และเช็ดน้ำตาให้ผม ทั้งที่ในดวงตาของเขาก็คลอหยาดน้ำเหมือนคนกำลังจะร้องไห้

“ครับ พี่เชื่อตองหนึ่งแล้วครับ”

“ผมไม่เคยคิดจะนอกใจ ผมรักพี่คนเดียว...รักพี่คนเดียวจริงๆ”




พี่นัท’s part

“ผมไม่เคยคิดจะนอกใจ ผมรักพี่คนเดียว...รักพี่คนเดียวจริงๆ”

ผมมองตองหนึ่งที่เอาแต่พูดและร้องไห้ไม่หยุด มือเล็กๆ กำที่ชายเสื้อผมแน่น ไม่ว่าผมจะขยับยังไงเขาก็กำไว้ไม่ยอมปล่อยเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป

ผมไล่เช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือ ก้มลงไปจูบปลอบบ้างเป็นบางครั้ง ผมไม่เคยเห็นตองหนึ่งร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน หนึ่งร้องไห้จนตาแดงจมูกแดง ร้องเสียงดังจนเสียงแหบแห้งไปหมด ผมมองแล้วก็ยิ่งสงสาร ยิ่งรู้สึกผิดแล้วก็ยิ่งเสียใจกับสิ่งที่ตัวเองทำ

ถ้าวันนี้วายุไม่มาและถ้าผมไม่ยอมฟังที่วายุอธิบาย ผมคงโง่ต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ตองหนึ่งไม่ได้นอกใจอย่างที่ผมเข้าใจผิด วันนี้วายุมาอธิบายเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาเอารูปภาพในกล้องของตองหนึ่งให้ผมดู มันไม่ได้มีแค่ภาพขนมภาพเครื่องดื่มที่ผมทำ แต่ในกล้องนั้นมีรูปถ่ายของผมอยู่เต็มไปหมด ทุกๆ อริยาบถ ทุกๆ หน้าตาและรอยยิ้มของผมถูกตองหนึ่งจับภาพไว้ และยิ่งวายุอธิบายความจริงของเหตุการณ์มากเท่าไรผมยิ่งรู้สึกแย่…

คืนนั้นผมทำในสิ่งที่คนอื่นเรียกว่าการข่มขืน...มันแย่มากจริงๆ ผมจะไม่แปลกใจเลยหากคนตรงหน้าเลือกที่จะเกลียดผม เขามีสิทธิเอาผมเข้าคุกได้เลยด้วยซ้ำ ความรู้สึกผิดคือสิ่งที่เกาะกินใจผมอย่างหนัก...คนที่สารเลวไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นตัวผมเองนี่แหละ

 ก่อนหน้านี้ใจร้ายกับตองหนึ่งไปเยอะมาก หนึ่งพยายามอธิบายตั้งหลายครั้งผมก็ใจร้อนไม่ยอมฟังเลย ถ้าตอนนั้นผมใจเย็นและยอมเปิดใจฟังตองหนึ่งอธิบายหน่อย ทั้งหนึ่งทั้งผมก็คงไม่ต้องเสียใจแบบนี้

“พี่ผิดเองครับ พี่คนเดียวเลย พี่คนเดียวที่นิสัยไม่ดี”

“ไม่ๆ ผมผิดเอง ฮือ เพราะผม...”

ผมกอดตองหนึ่งไว้แน่นเต็มสองแขนซุกหน้าลงกับไหล่เล็กและร้องไห้ออกมา รับรู้ได้ว่าเราสองคนกำลังสั่น ผมพยายามกอดและจูบปลอบเพื่อให้เขาหยุดร้องไห้ แต่ผมจะทำได้ยังไงในเมื่อผมเองก็หยุดร้องไม่ได้

“ตองหนึ่ง...สิ่งที่พี่ทำไป พี่ไม่ว่าอะไรนะหากหนึ่งจะโกรธพี่...หรือเปลี่ยนใจไปหาใครที่เขาจะทำดีกับหนึ่งได้มากกว่า” น้ำเสียงผมขาดห้วง อึดอัดและเจ็บจนหายใจไม่ออก สิ่งที่ผมกับเขา...แม้แต่ตัวผมก็ไม่อยากจะให้อภัยตัวเอง

“ฮึก ไม่เอา! พี่อย่าพูดแบบนั้น ผมรักพี่ไง ผมรักพี่คนเดียวอ่ะ” ตองหนึ่งกำเสื้อผมแน่น เขาขยับตัวเข้าหาและกอดคอผมเอาไว้ไม่ยอมปล่อย พร่ำบอกว่าเขาไม่โกรธ เขาลืมสิ่งที่ผมทำตอนขาดสติไปแล้ว

“แต่...ที่พี่ทำไป มัน...เรียกว่าข่มขืน”

“ก็บอกว่าผมรักพี่ไง ฮือ พี่ไม่ได้เลว ผมรู้ว่าจริงๆ แล้วพี่เป็นคนยังไง ที่ผมยังรักเพราะรู้ว่าพี่รักผมมากแค่ไหน ฮึก  หากพี่ยังรู้สึกผิด ต่อจากนี้ก็รักผมมากๆ ดีกับผมมากๆ สิ...พี่นัท อย่าทิ้งผม อย่าไปคิดถึงมันเลย” ตองหนึ่งร้องเสียงสูงและส่ายหน้าไปมา เขากุมหน้าอกตัวเองแล้งงอตัวเข้าหาผม เป็นท่าทางที่น่าสงสารจับใจ “ลืมเรื่องนั้นไปนะ เรามาเริ่มต้นใหม่นะครับ...เรายังรักกันนะ”

“ไม่ทิ้งครับ ไม่เคยคิดอยากจะทิ้งเลย พี่เคยคิดแบบนั้นได้เลย...หยุดร้องไห้เถอะนะครับ”

ถึงแม้จะรู้สึกผิด แต่ผมไม่อยากให้เขาเสียใจไปมากกว่านี้ เราสองคนร้องไห้กันมากเกินไปแล้ว ในเมื่อเขาพร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่ ผมก็ควรหยุดนึกถึงเรื่องไม่ดีที่เคยทำไว้เช่นกัน เก็บมันไว้เป็นบทเรียนและสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก และเริ่มต้นใหม่ไปพร้อมตองหนึ่ง...คนรักของผม

“ฮึก ผมรักพี่ พี่นัทไม่ใช่คนไม่ดีที่ทำแบบนั้นเพราะว่าพี่โกรธมากๆ แต่ผมไม่เป็นอะไรแล้ว เรากลับมารักกันนะครับ ผมคิดถึง..ฮือ” ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้องหนัก ผมเลยปล่อยตองหนึ่งออกพร้อมเช็ดน้ำตาให้อย่างเบามือก่อนจะก้มลงจูบไปตามแก้มนุ่ม ไล้ปากสัมผัสไปมาอยู่อย่างนั้น มือก็ลูบไปมาตามแผ่นหลังและต้นคอเพื่อปลอบให้เขาดีขึ้น

“ขอบคุณครับ พี่ก็รักหนึ่งนะ”

“ฮึก พี่นัท ผมก็รักพี่นัท ผมรักพี่คนเดียวจริงๆ ” คนตัวเล็กในอ้อมกอดผมพูดพลางสะอึกสะอื้นจนตัวสั่น ผมกระชับแขนแน่นแล้วกดจูบไปที่หน้าผาก

“พี่รู้แล้ว…รู้แล้วว่ารัก”

“ผมคิดถึงพี่มากๆ เลย ฮือ ฮึก”

ตองหนึ่งกอดผมแน่นจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองผม ผมส่งยิ้มให้และเช็ดน้ำตาให้คนตัวเล็กในอ้อมแขน ไม่ใช่แค่หนึ่งที่คิดถึง พี่ก็คิดถึงหนึ่ง ถึงจะเจอกันทุกวัน แต่ผมเอาแต่โกรธและทิฐิจนเหมือนสร้างกำแพงกันไว้

ตองหนึ่งร้องไห้ไม่หยุด แขนก็กอดผมแน่น ผมลูบหลังเบาๆ ให้หนึ่งใจเย็น แล้วก็กอดอยู่อย่างนั้นไม่ปล่อย

“หยุดร้องไห้เถอะนะคนดี เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”

“ครับ  พี่อย่าโทษตัวเองนะครับ ฮึก เราเริ่มใหม่นะ”

“ครับ หยุดร้องไห้นะ” ผมกอดปลอบแล้วก็โยกตัวเหมือนปลอบเด็ก ตองหนึ่งพยักหน้ารัวก่อนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่ก็ยังมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ ผมจึงเช็ดน้ำตาออกให้อีกครั้งแล้วจูบลงที่หน้าผากแล้วคลอเคลียอยู่แบบนั้น

เรานั่งกอดกันอยู่ค่อนข้างนาน จนตองหนึ่งหายสะอึกและน้ำตาหยุดไหล ผมก้มลงไปหอมแก้มคนตัวเล็ก 2-3 ฟอดและส่งยิ้มให้ หนึ่งก็เงยหน้ามองผมแล้วก็ส่งเสียงออกมาเบาๆ ผมจึงก้มลงไปเพื่อที่จะฟังให้ชัดขึ้น

“ผมรักพี่” ผมมองหน้าตองหนึ่งที่อมยิ้มน้อยๆ  อยู่ แววตามัวหม่นตอนนี้กลับมาใสแจ๋วอีกครั้ง

น่ารัก… เขายังคงน่ารักอยู่เสมอ

“พี่ก็รักหนึ่ง” ผมพูดเบาๆ ตอบกลับไปแล้วก็ยิ้ม ผมกอดเขาแน่น วนเวียนหอมและจูบเพื่อปลอบใจและทำให้เขารู้สึกดีและสบายใจ ทดแทนเวลาแย่ๆ ที่ผ่านมา คนตัวเล็กเองก็เอาแต่หอมแก้มผม เพื่อย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช้ความฝัน

“ผมคิดถึงพี่” เรากอดและจูบกันไปมาอยู่เกือบชั่วโมง ตองหนึ่งก็ขยับขึ้นนั่งบนตัก เขากระซิบเบาแล้วหอมแก้มผมอีกหลายครั้ง

“พี่ก็คิดถึงหนึ่ง”

“ผมคิดถึงพี่นัทมากๆ เลย ผมอยากให้พี่นัทกอดผม”

“ก็กอดอยู่นี่ไงครับ” ผมกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นไปอีก

ตองหนึ่งส่ายหน้า และช้อนตามองผม มือเล็กที่จับอยู่ตรงเอวผมเลื่อนขึ้นมาตรงท้ายทอยและดึงผมให้ก้มลงไปให้ริมฝีปากผมแตะสัมผัสอย่างแผ่วเบากับริมฝีปากนุ่ม

ตองหนึ่งปล่อยผมออก และสิ่งยิ้มมาให้ ยิ้มหวานๆ ที่ผมเห็นทีไรก็ตกหลุมรักทุกที

“กอดและรักผม...”

“...” ผมเลิกคิ้ว มองเด็กตรงหน้าที่อมยิ้ม ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด แต่คาดไม่ถึงว่าเราจะทำกันทันทีที่คืนดีกันแบบนี้ แถมเขายังเป็นฝ่ายชวนก่อนอีก

“ผมคิดถึงพี่ คิดถึงความอ่อนโยนของพี่...”

ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามว่าแน่ใจรึเปล่า? แต่ตองหนึ่งก็เอาแต่ยิ้มน้อยๆ  ปากพูดชวนแต่แก้มนี่แดงก่ำเชียว

“เวลาแบบนี้ยังจะมาอารมณ์อีกนะ” ผมแซว คนในอ้อมกอดก็อมยิ้มแล้วตอบกลับเสียงเบาด้วยท่าทีที่น่าเอ็นดู

 “ผมคิดถึงพี่นัท คิดถึงมากๆ”

ผมก้มลงไปจูบปากแผ่วๆ แล้วผละออก ก้มลงไปอีกครั้งแล้วก็ผละออก ทำแบบนั้นอยู่สองสามครั้งเพื่อลองเชิงว่าเขาจะเอาจริงรึเปล่าแต่ตองหนึ่งก็ร้องอย่างขัดใจอีกทั้งยกมือขึ้นมากอดคอ ดึงผมลงประกบปากด้วยตัวเอง ทำให้ผมมั่นใจว่าพร้อมที่จะทำจริงๆ

ตองหนึ่งขยับปากบดเคล้ากับริมฝีปากของผมช้าๆ  เราต่างก็ขยับเปลี่ยนองศาให้กลีบปากสัมผัสกันมากขึ้น หนึ่งเริ่มสอดลิ้นเล็กเข้ามาในปากผม ส่วนผมสอดมือเข้าไปลูบที่ผิวเนียนใต้เสื้อตัวใหญ่ สะกิดและคลึงอย่างแผ่วเบาที่ยอดอกเม็ดเล็กๆ ตองหนึ่งครางในลำคอ ยืดตัวและแอ่นอกขึ้นเพื่อให้ผมสัมผัสอย่างถนัดถนี่ ผมกดจูบไปทั่วใบหน้าหวาน ดูดุนไปทั่วผิวนุ่มพร้อมทั้งถอดเสื้อเขาออก และลากลิ้นวนรอบๆ ยอดอก ปัดผ่านไปมาจนได้ยินเสียงครางกระเส่าของเขา แถมยังแอ่นอกให้ผมทำอย่างเต็มที่

ผมขยับขึ้นไปจูบปากตองหนึ่งอีกครั้ง และจ้องเข้าไปในดวงตาฉ่ำของตองหนึ่ง คนตัวเล็กยิ้มพราว

“แน่ใจว่าจะทำกันตอนนี้เลย...ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้นะครับ” เขาประคองใบหน้าผมไว้แล้วพยุงตัวขึ้นมาจูบปากก่อนจะเอื้มมือไปที่ลิ้นชักหัวเตียง

“พี่จะให้ผมหยิบถุงยางกี่อันดี” ตองหนึ่งยิ้มและกัดปากตัวเอง นี่คือตั้งใจยั่วกันใช่มั้ย? ผมแค่อยากรอให้เขาพร้อมจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะว่าต้องทำหรืออยากเอาใจผม แต่อีกฝ่ายกลับพยักหน้าแถมยังกระตือรือร้นที่จะทำอีกตังหาก คงต้องเชื่อแล้วว่าเขานั้นพร้อมยิ่งกว่าผมเสียอีก

“อยากให้พี่ทำกี่ครั้ง ก็หยิบมาเท่านั้นแหละครับ”

“...งั้นคงต้องหยิบมาทั้งกล่อง”

“หึหึ เจ้าเด็กลามก”
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 27 : ที่รักของผม 2 l 28-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 28-10-2019 19:37:07

“ผมเป็นเด็กลามกของพี่แค่คนเดียว อืม”

เขายิ้มอย่างน่ารัก ผมจึงให้รางวัลโดยการมอบจูบหวานๆ ให้ทันทีที่เขาพูดจบ จูบและดูดกลีบปากถึงแม้จะทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่ก็ใช้ระยะเวลานาน พอผละออกปากอิ่มของตองหนึ่งก็เจ่อขึ้นมาอย่างเซ็กซี่ ผมลูบไปตามเนื้อตัวและเรียวขา ผมใช้มือยกขาทั้งสองข้างของตองหนึ่งขึ้นแล้วค่อยถอดกางเกงออก ตองหนึ่งมองผมทั้งๆ ที่แก้มแดงแจ๋ แต่ก็ยังอ้าขาออกกว้างเพื่ออวดส่วนน่ารักที่ฉ่ำเยิ้มนั้นให้ผมมอง

“ยั่วกันขนาดนี้ แค่กล่องเดียวคงไม่พอละมั้ง”

“ผมเห็นว่าในลิ้นชักก็ยังมีอีกกล่องนึง…”

ทำไมวันนี้ถึงยั่วเก่งขนาดนี้ แบบนี้คงแย่แน่ๆ

ผมใช้หมอนมารองด้านใต้และยกสะโพกตองหนึ่งขึ้น ช่องทางเล็กๆ ที่สั่นระริกทำเอาสายตาผมพร่าไปหมด ท่อนเนื้อใต้กางเกงผมมันก็ขยายตัวจนเจ็บไปหมด อยากจะเข้าไปในรูเล็กๆ นั่นใจจะขาด ผมใช้มือคลึงสะโพกและก้นเพื่อให้เขาผ่อนคลายซักหน่อย แล้วก็วกขึ้นมาที่แท่งเนื้อฉ่ำน้ำของตองหนึ่ง ผมค่อยรูดขึ้นลงช้าๆ น้ำใสตรงส่วนปลายก็ยิ่งปริ่มออกมาจนเยิ้มไปทั่ว

“อือ อื้ม” ตองหนึ่งครางเบาๆ  หลับตาพริ้ม ปากอิ่มสีระเรื่ออ้าออกเพื่อหอบหายใจ ทั้งน่ารักทั้งเซ็กซี่ ผมมองดูแล้วก็ต้องค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกเพื่อระบายอารมณ์ที่มันพลุ่งพล่านไปทั่ว

ผมคลึงเบาๆ ตรงส่วนปลายและก็รูดขึ้นลง และเพิ่มความเร็วขึ้นไม่นานตองหนึ่งก็ปล่อยน้ำสีขาวออกมาเต็มฝ่ามือ ผมใช้น้ำนั่นมาละเลงตรงช่องทางต่อและค่อยดันนิ้วเข้าไป คนตัวเล็กเกร็งขึ้นทันที ผมขยับตัวขึ้นและจูบปากตองหนึ่ง ดูดปากล่างและสอดลิ้นเข้าไป ตองหนึ่งโอบแขนรอบคอผม แล้วก็เริ่มใช้มือลูบไปตามแผ่นหลังและท้านทอยของผม  เมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กหายเกร็งแล้วจึงดันนิ้วเข้าไปช้าๆ จนสุด และเริ่มชักเช้าชักออกช้าๆ

“อ๊ะ! อะ อาๆ ”

ผมผละริมฝีปากออก เขาก็ครางในลำคอในขณะที่ผมก็เพิ่มจำนวนนิ้วเข้าไปเรื่อยๆ คนตัวเล็กใต้ร่างผมเริ่มตอบสนองมากขึ้น เสียงครางแว่วหวาน มือเล็กที่ค่อยๆ ลูบก็เปลี่ยนมาจิกและบีบไปตามต้นแขนผมแทน แถมยังอ้าขาออกกว้างและยกสะโพกตัวเองขึ้นสูงเพื่อให้ผมขยับได้อย่างถนัด เขาดูพร้อมและผมก็ทนไปมากกว่านี้ไม่ไหว

ผมดึงนิ้วออก ถอดกางเกงตัวเองขณะที่ท่าทางของตองหนึ่งให้พร้อม เมื่อทุกอย่างโอเค ผมจึงค่อยๆ จับเจ้าท่อนเนื้อของผมดันเข้าไปในตัวของตองหนึ่ง แต่จู่ๆ  ตองหนึ่งก็กลับมาเกร็งใหม่อีกครั้งแถมยังรุนแรงกว่าเดิมจนผมตกใจ

“อื้อ พี่นัท มันแน่น อือ อึก อื้อ!!”

อาจเพราะเราไม่ได้ทำกันมาเกือนเดือน ตองหนึ่งเลยอึดอัดมากกว่าปกติ และอาการเกร็งคราวนี้มันแย่กว่าครั้งแรก ตองหนึ่งเกร็งตัวไม่ผ่อนคลาย และเมื่อผมพยามที่จะดันให้เข้าไปจนสุด ตองหนึ่งก็เกิดอาการตัวสั่นขึ้นมา

ผมตัดสินใจหยุดขยับและคราวนี้คนตัวเล็กเกร็งจนผมรู้สึกเจ็บไปด้วย ดันเข้าก็ไม่ได้ ดึงออกก็ไม่ได้  ผมสูดหายใจเข้าลึก แล้วจึงค่อยจับเรียวขาของตองหนึ่งให้โอบสะโพกผมไว้ มองตองหนึ่งที่เกร็งไปทั้งตัว หลับตาแน่น กัดปากของตัวเอง และดูเหมือนจะร้องไห้

“ที่รัก ลืมตามองหน้าพี่หน่อยครับ” ผมก้มตัวลงแล้วกอดตองหนึ่งไว้ ผมพอจะเดาออกว่ากลัว พอผมเริ่มสอดใส่ตองหนึ่งก็เริ่มกลัวผม ประสบการณ์ครั้งสุดท้ายที่เราทำเมื่อหนึ่งเดือนก่อน มันแย่มากสำหรับตองหนึ่ง แล้วตองหนึ่งก็คงกลัวว่าจะเป็นแบบนั้นอีก

“อึก อือ ผมอึดอัดครับ ฮือ ฮึก พี่อย่าทำผมเจ็บนะ ฮือ” เขาเริ่มร้องให้อีกครั้ง ผมจูบลงไปบนเปลือกตาทั้งสองข้าง พรมไปทั่วทั้งใบหน้า มือก็ลูบไปตามแผ่นอก หน้าท้อง และหยุดบีบอยู่ที่สะโพก พยายามทำให้หนึ่งผ่อนคลายและหายกลัวผม

“ไม่ต้องกลัวนะ พี่จะไม่ทำแบบนั้นอีก พี่สัญญาว่าจะไม่ทำครับ...เริ่มต้นใหม่นะ เริ่มกันใหม่...พี่รักหนึ่งนะครับ”

“ผมก็รักพี่ ฮือ ฮึก”

ตองหนึ่งลืมตามองและเริ่มหายเกร็งลงไปเล็กน้อย ผมจูบซับไปที่เปลือกตาอีกที แล้วไล่ก็มาที่ริมฝีปาก ผมแค่ทาบไว้นิ่งๆ  ให้ตองหนึ่งเป็นคนนำและขยับปาก เขาสอดลิ้นเล็กมาเกี่ยวกับลิ้นผม ส่วนผมก็คอยขยับลิ้นตามอีกที ขณะที่มือผมก็ยังนวดไปตามตัวและสะโพกไม่หยุด

“อืม อา!” ผมใช้เวลาซักพักจนตองหนึ่งหายเกร็งและกลับมาครางอีกครั้ง ตองหนึ่งอ้าขาออกกว้างพร้อมๆ  กับยกสะโพกตัวเองขึ้นสูงจนท่อนเนื้อของผมที่อยู่ในตัวตองหนึ่งขยับเข้าไปลึกกว่าเดิม

“อืม...หนึ่ง..รู้สึกดีแล้วใช่มั้ยครับ?” ผมพยามระงับความอยากที่จะขยับแรงๆ  และถามเขา แต่ดูเหมือนคนที่เคยบอกว่าอึดอัดไม่คิดจะตอบคำถามผมเลย เพราะเอาแต่ขยับสะโพกตัวเองเข้าหาผมอยู่อย่างเดียว ผมจึงเท้าแขนลงกับเตียงและเป็นฝ่ายขยับสะโพกบ้าง ผมพยายามที่จะอ่อนโยนและทำเบาๆ  ไม่ให้ตองหนึ่งกลัว

“อือ พี่นัท อึก”

“ดีมั้ยครับ?” ผมค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขยับเป็นพายุเหมือนที่ผ่านมา ผมก้มลงกัดและเม้มเบาๆ  ไปทั่วลำคอและช่วงอก ผมชอบที่ผิวขาวเนียนของตองหนึ่งมีรอยจูบของผมจางๆ

“อืม ดีครับ… อา แต่ผมอยากรู้สึกดีกว่านี้ ทำแรงๆ  กว่านี้นะครับ” ตองหนึ่งพูดเสียงออดอ้อน ใช้ศอกชันตัวลุกขึ้น แล้วใช้มืออีกข้างเกี่ยวคอผมให้ลงไปจูบกับปากอิ่มหวานฉ่ำ ผมซี๊ดปากเล็กน้อยเมื่อตองหนึ่งเด้งสะโพกสวนกับผมขึ้นมาจนผมใช้แขนยึดเอวเล็กๆ นั่นไว้แน่น

“เดี๋ยวเราก็กลัวพี่อีก” ไม่ใช่แค่หนึ่งที่อยากทำแรงๆ  แต่ผมก็อยากทำไม่แพ้กัน แต่กลัวว่าตองหนึ่งจะกลัวผมอีก เหมือนในตอนแรกที่ให้ความร่วมมืออย่างดี แต่พอผมจะลงมือทำจริง คนตัวเล็กดันเกิดอาการเกร็งและกลัวผมขึ้นมาซะงั้น ผมไม่อยากให้ผมสุขแค่คนเดียว ถ้าผมรู้สึกดี ตองหนึ่งก็ต้องรู้สึกดีไปกับผมด้วย

ดูเหมือนคนตัวเล็กที่เกี่ยวคอผมไว้เริ่มที่จะไม่พอใจผมแล้ว เพระใบหน้าเริ่มงอแก้มเริ่มป่องเพราะงอน ตองหนึ่งปล่อยมือจากคอผม ดันตัวผมออกและบังคับดันไหล่ผมให้นอนราบกับเตียงแทน แล้วก็ขึ้นมานั่งคร่อมผมอย่างรวดเร็ว

“แต่ตอนนี้ผมไม่กลัวแล้ว” ตองหนึ่งพูด ยกตัวขึ้นนั่งยองๆ แล้วก็จับท่อนเนื้อของผมให้ตรงกับช่องทางของตัวเอง หลังจากนั้นจึงค่อยทิ้งตัวลงช้าๆ  พอเข้าไปจนสุด ตองหนึ่งก็เริ่มขยับทันที

ผมนอนนิ่งๆ มองภาพตรงหน้า ใบหน้านวลเชิดหน้าไปด้านหลัง แขนทั้งสองข้างเท้าลงกับต้นขาของผม เขาอ้าปากครางแผ่วๆ ยอดอกสีเรื่อชูชันจนผมต้องใช้มือลูบและสะกิดให้แดงบวมขึ้นไปอีก ขาเล็กๆ ก็ขยับส่งตัวขึ้นลง ผมมองไปทั่วจนมาถึงส่วนที่เชื่อมต่อกัน เพราะเราทำกันท่านี้ เลยทำให้ผมมองเห็นท่อนเนื้อของผมหายไปในช่องทางของตองหนึ่งอย่างชัดเจน ยิ่งได้เห็นผมก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าท่อนเนื้อของผมมันขยายขึ้นจนเหมือนจะระเบิดเอาให้ได้

“อ๊ะ อะ พ..พี่นัท อะ มัน สะ...เสียว อะๆ ” ตองหนึ่งหลับตาพริ้มครางเสียงดังขึ้น ดูเหมือนว่าใกล้จะถึงจุดแล้ว ผมจึงขยับมือลงมากอบกุมท่อนเนื้อเล็กไว้แล้วก็ชักรูดขึ้นลง เขาขยับตัวมาด้านหน้าแล้วกุมมือผมไว้อีกที พร้อมกับสะโพกที่ขยับขึ้นลงแรงขึ้น

“ตองหนึ่ง อือ”

“อึก อ๊ะ อือ อื้อ!” ผมเด้งสะโพกสวนขึ้นไปเป็นจังหวะไม่กี่ครั้งตองหนึ่งก็หยุดขยับและเกร็งตัวปล่อยออกมาใส่มือผม

เขาตาปรือมองผมแล้วก็ซวนซบลงมาที่แผ่นอกของผมพลางหอบหายใจไปด้วย ผมก็อยากให้ตองหนึ่งพักซักนิดนะ แต่ตัวผมมันจะไม่ไหวแล้ว เป็นฝ่ายที่ถูกทำมันก็ดีแต่ผมชอบที่จะทำให้หนึ่งรู้สึกดีมากกว่า

ผมลุกขึ้นนั่ง แล้วกดสะโพกตองหนึ่งลงมาอีกครั้ง จนคนที่เพิ่งเสร็จไปหมาดๆ ร้องเสียงหลง หลังจากนั้นผมก็ใช้ทั้งสองมือจับเอวหนึ่งไว้มั่น บังคับให้ขยับขึ้นลงอย่างเร็ว พร้อมกับที่ผมเด้งสะโพกสวนขึ้นไปด้วย

“อืม หนึ่งครับ”

หนึ่งครางและหอบหายใจอยู่ข้างใบหูผม เสียงแหบเซ็กซี่ดังอยู่ใกล้หูยิ่งทำให้ผมเร่งเด้งสะโพก อยากได้ยินมากกว่านี้ อยากจะฟังมากกว่านี้ อยากทำให้ร้องมากกว่านี้

“อ๊ะ หวา! อ๊า จะเสร็จ..อะ” ผมรีบดันตัวตองหนึ่งนอนลงกับเตียงอีกครั้ง รีบจับขาทั้งสองข้างขึ้นพาดบ่าและขยับสะโพกทันที ไม่นานตองหนึ่งแอ่นตัวขึ้นแล้วปล่อยน้ำรักออกมาอีกรอบ ผมรีบเร่งจังหวะ ขยับเอวเข้าไปอีกแค่พักเดียวผมก็ปลดปปล่อยออกไปในช่องทางนิ่มๆ ของตองหนึ่ง

ผมก้มมองตองหนึ่งที่นอนแผ่หลาหอบหายใจอยู่ ดวงตาที่ฉ่ำและแพขนตาหนาที่ถูกเกาะด้วยน้ำตา แก้มแดงก่ำ ไม่รู้เป็นว่าเพราะเลือดกำลังสูบฉีดดีหรืออายกันแน่ ปากเจ่อสีแดงเรื่อเพราะโดนผมตะโบมจูบไปหลายครั้ง รอยจูบสีแดงอ่อนเป็นทางลงมาตั้งแต่คอจนถึงสะโพก ผิวขาวเนียนก็เปียกไปด้วยเหงื่อจนดูมันวาวไปหมด

ภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมตื่นตัวขึ้นมาอีกรอบ เจ้าหนูที่ยังคงอยู่ในรูแคบนิ่มๆ ของตองหนึ่งเริ่มพองตัวและขยับขยายขึ้น ตองหนึ่งมองมาที่ผมแล้วทำปากหวอตาโต ผมยิ้มและหัวเราะเล็กน้อยแล้วก็เริ่มขยับเอวอีกครั้ง  ตองหนึ่งเริ่มครางแผ่วๆ และก็ตอดรัดผมเป็นอย่างดี ผมเงยหน้าซี๊ดปาก  จับขาตองหนึ่งลงจากบ่า พลิกร่างเล็กๆ นั่นให้นอนคว่ำและยกสะโพกขึ้นสูงจนอยู่ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ผมดันแท่งเนื้อเข้าไปใหม่แล้วก็เริ่มขยับ

“ยังไหวอยู่ใช่มั้ยครับ?”

“ว...ไหว อ๊ะ! ท่านี้ อะ...ลึก อะๆ”

ผมไม่ได้ขยับแรงเร็วแต่ค่อยดันเข้าไปลึกๆ แล้วดึงออกช้าๆ สองมือก็ลูบไปทั่วแผ่นหลังขาว เห็นแล้วอยากทำให้เป็นรอยซัก2-3รอย  ผมก้มตัวลงแล้วใช้ริมฝีปากและฟันขบเม้มจนเป็นรอย บริเวณต้นคอด้านหลังและหัวไหล่ก่อนจะยืดตัวขึ้นมาดูอย่างพอใจ สะโพกก็ขยับไม่หยุด รักษาจังหวะเอาไว้

ตองหนึ่งส่ายหน้าไปมาหลังจากนั้นก็ปลดปล่อย น้ำสีขาวขุ่นหยดลงบนผ้าปูที่นอน จนเป็นดวงไปหมด เขาเชิดหน้าแอ่นตัวเกร็งอย่าสุขสมอยู่ซักพักจนปลดปล่อยออกมาหมด แขนทั้งสองข้างที่เท้าอยู่กับที่นอนก็หมดแรงจนหน้าทิ่มลงไปกับเตียง

“อ๊ะ! พี่นัท อืม...ช้าก่อน”

ผมใช้สองจับสะโพกหนึ่งไว้แล้วดึงเข้าหาตัวช้าๆ แล้วก็เร่งจังหวะให้เร็วขึ้น คนที่ตัวเล็กที่เพิ่งเสร็จไปหมาดๆ ก็กลับมาครางระงมอีกครั้ง ผมขยับสะโพกช้าบ้างเร็วบ้างสลับกันไป ตองหนึ่งส่ายหน้าไปมา ปากก็บอกให้ผมช้าลงหน่อย เห็นแบบนั้นแล้วมันน่าแกล้ง ผมเลยขยับเข้าไปจนลึกและพยายามให้โดนกับจุดกระสันของตองหนึ่งเน้นๆ

“ช้าแบบนี้ดีมั้ยครับ?”

“อ๊าๆ  ต...ตรงนั้น อะ เสียว เสียวมากเลย” ตองหนึ่งร้องครางและแอ่นสะโพกให้ผมทำอย่างถนัด ผมบีบขยำแก้มก้นนุ่มๆ อย่างมันมือ เห็นมันเป็นรอยแดงจากการขยำก็หมันเขี้ยว ผมเลยฟาดลงไปทีนึง

ตองหนึ่งร้องเสียงดังแล้วก็ถึงจุดสุดยอดไปอีกครั้ง ตองหนึ่งเกร็งตัว และตอดรัดท่อนเนื้อของผมถี่ยิบ ผมกระแทกสะโพกเน้นๆ อีกพักนึงก็ปลดปล่อยตามหนึ่งไป

“อืม อือ อื้อ! พี่ครับ อืม”

ตองหนึ่งครางออกมาเพราะผมค่อยๆ ดึงตัวออก น้ำขาวขุ่นจำนวนมากไหลตามออกมาเป็นทาง ผมจ้องช่องทางสีสดที่มีน้ำรักของผมไหลออกมาเขม็ง ผมแยกขาตองหนึ่งออกและยกสะโพกขึ้นเพื่อที่จะดูให้เต็มตา ช่องทางสีสดที่เริ่มบวมแล้วมีคราบน้ำขาวๆ  เปรอะเต็มไปหมด อีกทั้งยังคงขมิบเป็นจังหวะอยู่ เห็นแล้วมันก็กระตุ้นอารมณ์ผมอีก เจ้าน้องชายที่ก่อนหน้านี้อ่อนตัวลงไปแล้ว ก็กลับมาปึ๋งปั๋งอีกครั้ง อยากจะทำอีกแต่คนตัวเล็กดูเหนื่อยล้าอ่อนปวกเปียกไปหมด

“รักนะครับ รักตองหนึ่ง” ผมหอมแก้ม กดจูบบนต้นคอย้ำๆ ซ้ำๆ คนตัวเล็กหันมาหาแล้วส่งยิ้มให้ แก้มกลมแดงก่ำน่าเอ็นดู

“ท...ทำอีกก็ได้นะ” เขาจับไปที่แก่นกายของผมแล้วรูดรั้งจนมันขยายตัวเต็มที่

“ไม่เหนื่อยเหรอ?”

“ผมไหว...ผมอยากทำ อืม”

ผมจับตัวตองหนึ่งให้นอนตะแคงข้างดีๆ  หยิบหมอนมารองต้นคอให้ ส่วนผมก็ลงไปนอนซ้อนหลังอีกที

“ท...ท่านี้” ตองหนึ่งพิงตัวกับผมจนก้นนิ่มถูกับท่อนเนื้อของผมอย่างจัง คนตัวเล็กนิ่งและเงียบลง แก้มกลมแดงระเรื่อและเม้มปากแน่น ผมหัวเราะเบาๆ กับทาทางนั่น จากนั้นก็ก้มลงจูบไปทั่วแก้ม และต้นคอ มือก็ยกขาตองหนึ่งขึ้นข้างนึง นำมาพาดไว้กับขาของผม แล้วก็ใช้มือเดิมนวดคลึงไปที่แท่งเนื้อของตองหนึ่งให้แข็งตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“อืม” ผมครางในลำคอ ซุกใบหน้าลงบนกลุ่มผมนุ่มแล้วขยับสะโพกเข้าหาทีละน้อยๆ

“อืม พี่นัทพรุ่งนี้พี่จะหยุดร้านมั้ย?”

“ครับ? ก็อยากจะหยุดนะ วันหยุดแบบนี้ลูกค้าไม่ค่อยเยอะเท่าไร เปิดไปก็คงได้ไม่คุ้มเสีย ”

“...อึก งั้นหยุดนะ วันหยุดนี้เราจะใช้เวลาด้วยกันเยอะๆ ทดแทนเวลาที่เสียไป...” เขาอ้อน ดึงมือไปจูบแล้วกอดเอาไว้ในขณะที่ผมดันตัวเข้าไปลึกขึ้น

“ตกลงครับ ใช้เวลาด้วยกันเนอะ” ผมสอดแท่งเนื้อร้อนของผมเข้าไปในตัวตองหนึ่งจนสุดแล้วค่อยเริ่มขยับและมือกดหน้าท้องของตองหนึ่งไว้แล้วก็เพิ่มจังหวะให้เร็วขึ้น คนตัวเล็กครางระงม แอ่นก้นเข้าหาและเกี่ยวขาผมเอาไว้ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเลยเชียว

“อืม...งั้นเอาถุงยางอีกกล่องออกมาใช้กันนะครับ”

“หึหึ เด็กลามก”

...

..

.

“พี่นัท ผมง่วง…” ตองหนึ่งพูดเสียงเบา แล้วก็ทิ้งตัวเอนหัวซบลงกับไหล่ผม

“พี่กำลังอาบน้ำให้ไง หนึ่งจะได้สบายตัวไงครับ” ผมใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดไปตามเนื้อตัวของตองหนึ่ง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในอ่างอาบน้ำ เราทำกันไปหลายรอบ ทั้งเหงื่อทั้งคราบน้ำรักจึงเต็มตัวไปหมด ผมก็เลยอุ้มตองหนึ่งที่หมดแรงไปแล้วมาอาบน้ำให้ ที่ทำกันไปมันอาจจะเกินลิมิตของตองหนึ่ง แต่มันเต็มอิ่มกับร่างกายและจิตใจของผมมากๆ  เลย พอร่างกายที่อัดอั้นมาตลอดหนึ่งเดือนได้รับการปลดปล่อยอย่างเต็มที่ อารมณ์ผมตอนนี้มันเลยชื่นมื่นสุดๆ

ผมยิ้มเมื่อเห็นตองหนึ่งครางอื้ออึงอยู่ข้างๆ หู และใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงปัดมือผมออกเมื่อผมเลื่อนมือลงไปเช็ดตรงส่วนล่างให้ ปากก็บ่นว่าพอแล้วๆ  ทีตอนยั่วล่ะเก่งนัก ตอนนี้เลยหมดแรงแบบนี้ไง ผมกดสบู่มาถูไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มของตองหนึ่ง แล้วก็ล้างน้ำออกให้ มีพิสูจน์เล็กน้อยว่าสะอาดทุกซอกทุกมุมรึเปล่า?

“ผมง่วงอ่า…”

ตองหนึ่งพูดท้วงตาปรือตอนที่ผมเผลอบีบไปตามสะโพกอีกครั้ง  ผมหยุดมือ และพาตองหนึ่งขึ้นจากอ่าง พอทุกอย่างเรียบร้อยผมก็ใช้ผ้าขนหนูผืนใหญ่ห่อตัวตองหนึ่งออกมา  ผมจัดการเช็ดตัว เช็ดผมและใส่เสื้อผ้าให้จนครบก็อุ้มมานอนต่อบนเตียง ผมดึงผ้าปูที่เลอะออกไปแล้ว เตียงตอนนี้จึงสะอาดและน่านอน ผมปิดนาฬิกาปลุก ที่กำลังจะส่งเสียงในอีกไม่ถึงสิบนาทีนี้ อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าแล้วและเพื่อป้องกันแสงรบกวนตอนในเช้า ผมจึงเดินไปปิดม่านใหญ่ภายในห้องให้หมด หลังจากนั้นก็กลับมานอนกอดตองหนึ่ง ผมห่มผ้าและดึงตองหนึ่งหลับสนิททันทีที่หัวถึงหมอนเข้ามากอด

ผมนอนมองใบหน้าหน้าน่ารักผ่านความมืด ในหัวใจของผมตอนนี้มีแต่คำว่ารัก รัก รัก อยู่เต็มไปหมด รู้สึกเสียดายเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมเอาแต่โกรธ และกลัวความเจ็บ จนทำสิ่งที่ไม่ควรทำไปหลายอย่าง ผมขยับเข้าใกล้ตองหนึ่งก้มลงไปจูบปากเบาๆ  ผมกะว่าจะหยุดแค่นั้น แต่เห็นแก้มป่องๆ แล้วมันหมันเขี้ยวก็เลยฟัดไปข้างละสองฟอด

“อื่อ พี่นัท ผมง่วง...” ตองหนึ่งปรือตาขึ้นมาบ่นผม คิ้วขมวดเล็กน้อย ผมเลยจุ๊บๆ ไปเบาๆ ตรงหัวคิ้ว

“พี่รักตองหนึ่งนะครับ”

ผมมองหน้าตองหนึ่งแล้วยิ้ม คนที่อยู่อ้อมกอดผมพยักหน้าแล้วก็หลับตาลง วาดแขนมากอดเอวผมไว้หลวมๆ

“ผมก็รักพี่…รักที่สุดเลย”


 

 
ทุกคนเตรียมตัวนะคะ...เตรียมตัวต้องรับความหวานไงงง
เอาให้หวานหยดจนมดขึ้นมดไต่กันไปเลยจ้า ร้องไห้กันมาเยอะเลยเนอะ ต่อจากนี้เวลาอ่านก็ขอให้ยิ้มกว้างๆ ไปเลย หรือหากอ่านในที่สาธารณะก็แอบยิ้มมุมปากกันไปนะคะ
ขอให้เรื่องราวของพี่นัทและตองหนึ่งสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนนะ

#สูตรอบรัก
Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 27 : ที่รักของผม 2 l 28-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-10-2019 21:17:51
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 27 : ที่รักของผม 2 l 28-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-10-2019 23:47:40
เพราะตองหนึ่งรักพี่นัทมากจริงๆ ถึงได้ลงเอยด้วยดีแบบนี้
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 27 : ที่รักของผม 2 l 28-10-62
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-11-2019 00:15:50
 :haun4: :pighaun: :jul1:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 28 : กลิ่น strawberry l 04-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 04-11-2019 20:03:57
28 : กลิ่น strawberry


ตองหนึ่งs’ part

“เอาไข่ลวกเพิ่มอีกฟองมั้ยครับ?” พี่นัทยิ้มหน้าระรื่นและชูไข่ไก่ในมือขึ้น พร้อมกับหันมาถามผมที่ยังคงนั่งจมอยู่กับเตียง

พอผมลืมตาตื่นมาก็ปาเข้าไปบ่ายสองแล้ว พี่นัทก็รีบยกอาหารจำพวก เนย นม ขนมปัง มาเสิร์ฟยันเตียงเลยทีเดียว

“ไม่เอาแล้วครับ พี่จะให้ผมกินอะไรเยอะแยะ แค่สองฟองผมก็อิ่มแล้ว นมถั่วเหลืองนี่อีก ผมกินไม่หมดจริงๆ นะครับ” ผมวางแก้วนมที่เหลืออยู่เต็มแก้วลง ผมกินไม่ไหวแล้วจริงๆ  นอกจากไข่ลวกแล้วก็ยังกินขนมปังทาเนยไปสามแผ่น แถมพี่นัทยังบังคับให้กินนมอีกสองแก้ว จะขุนกันไปถึงไหน แค่นี้ก็ใส่เสื้อผ้าตัวเก่าไม่ได้แล้วครับ

“ก็เมื่อคืนพี่ทำหนึ่งเพลียมาก พี่รู้สึกผิดก็เลยต้องบำรุงกันหน่อย หนึ่งรู้มั้ยครับ ไข่ลวกเนี่ยทำให้น้ำอสุจิแข็งแรง ส่วนนมถั่วเหลืองทำให้หนึ่งมีน้ำอสุจิเยอะขึ้น”

“...” ผมนั่งปากหวอฟังพี่นัทอธิบาย รู้สึกหน้าตัวเองร้อนผ่าวๆ

“หนึ่งต้องกินเยอะๆ นะครับ เวลาเราทำกัน ร่างกายของหนึ่งจะได้ผลิตน้ำอสุจิทัน แล้วก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ dry orgasms แบบเมื่อคืนอีก” (dry orgasms คือสภาวะการถึงจุดสุดยอดแต่ไม่หลั่ง เกิดจากร่างกายผลิตน้ำอสุจิไม่ทัน)

ผมอ้าปากกว้างกว่าเดิม อยากจะตะโกนใส่พี่นัทแต่เสียงไม่อำนวย เมื่อคืนผมรู้จักความรู้สึกของ dry orgasms ครั้งแรกในชีวิต ผมได้แต่กัดฟันรับความอาย แต่จะไปโทษเขาก็ไม่ได้ เมื่อคืนผมคึกมากไปหน่อย...ก็ผมคิดถึงเขา

“พี่อย่าล้อผม” ผมมุดหน้าเข้าผ้าห่มเพื่อกลบแก้มแดงๆ ของตัวเอง ได้ยิ่งเสียงหัวเราะจากอีกฝ่ายผมก็ยิ่งอาย

“เป็นอะไรไปครับ ยิ่งทำแบบนั้นพี่ยิ่งอยากแกล้งนะ” พี่นัทเดินมานั่งที่เตียงข้างๆ ผม แล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาจุ๊บ พร้อมทำหน้าทะเล้น ตั้งท่าว่าจะแกล้งผมอีก

“พอแล้วพี่นัท หยุดแกล้งผมเดี๋ยวนี้เลย ไม่ต้องมาแตะตัวผมเลย” ผมดันหน้าพี่นัทให้ออกห่าง เห็นหน้ายิ้มล้อๆ ของพี่นัทแล้วมันหงุดหงิด ทั้งอายทั้งหงุดหงิด พี่นัทยิ้มและขยับมาใกล้ๆ  ขโมยหอมแก้มผมไปอีกฟอดหนึ่งด้วย

“อุ๊ย! แตะไปแล้วอ่ะ” พี่นัทพูดแล้วทำตาโต หน้าเหวอ แบบนี้มันแสแสร้งแกล้งผมนี่หว่า

“หยุดเลย” ผมใช้มือฝาดลงไปที่ไหล่พี่นัท คนที่ทำหน้าตากวนประสาทผมอยู่เอี้ยวตัวหลบและคว้ามือไปจูบตรงหลังมือจนผมต้องรีบชักกลับมา

“โอ๊ะ! พี่เผลอแตะไปอีกแล้วอ่ะ”

“...” ผมเปลี่ยนมานั่งเงียบๆ  นิ่งๆ  พี่นัทก็จับตามแก้มตามแขน ผมก็ไม่ปัดออก จนพี่แกดึงผมเข้าไปกอดแล้วเอาแก้มมาถูกับแก้มผม ตัวใหญ่อย่างกับหมี แต่มามาถูคลอเคลียเป็นแมวเลยนะพี่นัท

“5555 งอนพี่เหรอครับ งอนทำไมอ่ะ?” ยังจะมาถามอีก ผมดันพี่นัทออก แต่มือพี่แกก็เหนียวซะเหลือเกิน

“พี่นั่นแหละ! ล้อผมอยู่ได้ แกล้งให้ผมหงุดหงิดมันสนุกมากรึไงครับ?” พี่นัทเขาอยากให้ผมทำหน้าบึ้งมากรึไง ถึงได้เอาแต่ล้อ เอาแต่แกล้ง เอาแต่กวนประสาทผมแบบนี้อยู่เรื่อยอ่ะ!

“ก็หนึ่งน่ารัก พี่เลยอยากแกล้งไง” พี่นัทพูดแล้วก็ถูแก้มขึ้นลงๆ

“พี่ไม่ต้องแกล้งผมมากก็ได้นะ ถึงพี่ไม่แกล้งผมก็น่ารักอยู่แล้ว”   เป็นไงล่ะ มีความหลงตัวเองเบาๆ

“โถ่~ ถ้าไม่พี่แกล้งแฟนตัวเอง แล้วจะให้พี่แกล้งใครล่ะครับ เนอะ~” พี่นัทขยับตัวพิงหัวเตียงแล้วก็ถึงตัวผมให้ขึ้นไปนั่งตัก ใช้มือทั้งสองข้างโอบเอวผมไว้หลวมๆ

“พี่ก็อย่าแกล้งผมเยอะสิครับ” พี่นัทหัวเราะเบาๆ  แล้วก้มลงจูบที่หน้าผากของผม

“เมื่อยตัวมั้ยครับ? เดี๋ยวพี่นวดให้” พี่นัทพูดพร้อมกับบีบเบาๆ ไปตามท่อนแขน ผมพยักหน้า พี่นัทก็เลยถอดแว่นวางไว้ตรงหัวเตียงและดันตัวผมลงจากตักแล้วก็จับให้นอนคว่ำลงกับเตียงพร้อมกับดึงผ้าห่มที่ผมใช้คลุมตัวไว้ออกไป

“นวดอย่างเดียวนะครับ” ผมพูดดักทางไว้ก่อน ดึงผ้าห่มออกแบบนี้ รู้เลยว่ามีแผนแน่ๆ

“...นวดอย่างเดียวก็ได้ครับ” ผมมองพี่นัทด้วยหางตาเล็กน้อย แล้วก็หลับตาลงเมื่อพี่นัทเริ่มบีบนวดไปตามเอวและสะโพกของผม

แรงมือของพี่นัทที่บีบไปตามตัวผมนั้นทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายมากๆ  ไม่ต้องมีน้ำมัน หรือกลิ่นอโรม่าอะไรทั้งนั้น แค่มือของพี่นัทคู่เดียวทำเอาผมเคลิ้มแทบจะหลับได้เลย

แต่เคลิ้มได้ไม่นานก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่อุ่นๆ และชื้นแตะไปตามแผ่นหลังไปจนถึงสะโพกและต้นขา ผมลืมตาแล้วเอี้ยวตัวมอง เห็นพี่นัทกำลังใช้ริมฝีปากแตะไปตามผิวของผม

“ไหนบอกว่าแค่นวดอย่างเดียวไงครับพี่นัท” พี่นัทเงยหน้ามองผมแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

“ก็นวดตามแบบฉบับของพี่มันต้องใช้ปากด้วยไงครับ”

“กะล่อนจังเลยนะ ผมไปอาบน้ำดีกว่าครับ”

“อ้อ ได้ครับ” ผมขยับตัวลุกขึ้น พี่นัทก็ขยับตัวออก เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินนำเข้าห้องน้ำไป ผมยังยืนงงอยู่หน้าเตียงที่เดิม ผมบอกว่าตัวผมจะอาบน้ำ แล้วพี่นัทเขาเดินเข้าไปทำไม ผมยืนคิดได้แปปเดียว พี่นัทก็ยื่นหน้ามาตาม

“ตามเข้ามาสิครับ หนึ่งจะอาบน้ำไม่ใช่เหรอ”

“แล้วพี่จะเข้าไปทำไมครับ?”

“เดี๋ยวพี่จะขัดหลังให้ไง พี่ได้เกลืออาบน้ำกลิ่นใหม่มา ขัดแล้วหอม ผิวใสแน่นอนครับ” พี่นัทพูดแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำ

ผมก็อยากปฏิเสธนะ แต่ว่ามีคนขัดหลังให้ตอนอาบน้ำมันก็ดีนี่ครับ ผมก็เลยตัดสินใจเดินตามเข้าไป

ผมกับพี่นัทใช้เวลาอยู่ในห้องนานนานมาก เกือบหนึ่งชั่วโมงได้เลยมั้ง ขัดหลังเสร็จแล้วก็แช่นานอุ่นๆ ตามมาด้วยบริการนวดอีกเล็กน้อย สระผมให้ด้วย หลังจากแช่น้ำจนตัวเปื่อยแล้ว พี่นัทก็ห่อผมด้วยผ้าขนหนู พามาแต่งตัวหน้าตู้ รู้สึกราวกับว่า ตัวเองกลับไปเป็นเด็กแล้วนั่งนิ่งๆ ให้พ่ออาบน้ำและแต่งตัวให้

“ไม่มีเสื้อผ้าของหนึ่งเลยอ่ะ” พี่นัทเปิดตู้เสื้อผ้าใส่เสื้อผ้าให้ตัวเองจนเรียบร้อยแล้วก็มองหาเสื้อให้ผม

“ก็ตอนนั้นพี่นัทเอาชุดผมทิ้งไว้หน้าตู้ ผมก็เลยเก็บชุดของตัวเองกลับไปหมดแล้ว” ผมก็พูดบอกพี่นัทด้วยน้ำเสียงธรรมดาไม่ได้คิดอะไร แต่พี่นัทคงจะคิดมากเพราะเขาเงียบ ไม่พูดอะไรออกมา พอหันไปมองก็เห็นว่าพี่นัททำหน้าเศร้าอยู่

“พี่ขอโทษนะครับ พี่ใจร้ายกับหนึ่งมากเลยใช่มั้ย?” พี่นัทไหล่ตกพูดเสียงเบาๆ  แล้วก็ขยับเข้ามากอดผม

“ใช่ พี่นัทใจร้ายกับผมมาก แต่ผมทำให้พี่นัทเป็นแบบนั้นเอง ผมเข้าใจครับ พี่นัทไม่ผิดหรอก”

“พี่ขอโทษ ตอนนั้นพี่ไม่ฟังหนึ่งเลย” พี่นัทกอดผมแน่นขึ้น ผมเลยลูบหลังพี่นัทแล้วก็พูดปลอบพี่นัท

“มันผ่านไปแล้วก็ช่างมันเถอะครับ ตอนนี้เราดีกันแล้วนี่ครับ”

“พี่ยังรู้สึกผิดอยู่เลย เหวอ!” ผมดันพี่นัทออกแล้วก็กระโดดกอดคอแล้วก็เอาขาเกี่ยวเอวพี่นัทไว้ พี่นัทที่ยังไม่ทันตั้งตัวอุ้มผมแทบไม่ทัน ตัวผมเองก็เกาะและเกี่ยวพี่นัทไว้แน่นเหมือนกัน เมื่อกี้แอบหวั่นใจนิดหน่อยกลัวพี่นัทจะอุ้มไม่ทัน แล้วผมคงได้หงายหลังหัวฝาดพื้นแน่ๆ

พอมั่นใจว่าพี่นัทอุ้มไว้แล้วผมเกาะแน่นจนไม่ตกแน่นอนแล้ว ผมก็เอาหน้าผากของตัวเองชนกับหน้าผากของพี่นัท

“ถ้าพี่รู้สึกผิดไม่หาย ต่อจากนี้ พี่ก็แกล้งผมให้น้อย ตามใจแล้วก็ใจดีกับผมให้มาก แล้วก็รักผมหลงแต่ผมคนเดียวสิครับ”

“หึหึ ตอนนี้ก็ทั้งรักทั้งหลงจนโงหัวไม่ขึ้นแล้ว” พี่นัทขยับตัวผมให้อุ้มได้ถนัดขึ้นแล้วก็จูบมาที่ริมฝีปากและผละออกไปยิ้มละมุนให้

“ส่วนผมก็ยังรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุให้เราทะเลาะกัน ต่อจากนี้ผมจะรักและมีแต่พี่นัทคนเดียวไปตลอดเลยครับ”

“สัญญานะครับ ถ้าหนึ่งทิ้งพี่ไปจริงๆ  พี่คงขาดใจตาย ไม่รู้ว่าจะไปหาเมียน่ารักๆ แบบนี้ที่ไหนได้อีก”

ผมเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วอมยิ้ม เม้มปาก แก้มทั้งสองมันเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา เมื่อได้ยินพี่นัทเรียกผมว่าเมียได้เต็มปากเต็มคำมาก บวกกับรอยยิ้มละมุนและสายตากรุ้มกริ้มยิ่งทำให้ผมโคตรจะเขินจนต้องมุดหน้าลงกับไหล่พี่นัท ก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินพี่นัทเรียกแบบนั้นมาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ดาเมจมันแรงกว่าครั้งก่อนๆ จนผมเขินม้วนไปหมด

พี่นัทดันผมให้พิงกับประตูตู้เสื้อผ้าที่ปิดสนิทแล้วจับขาผมให้เกี่ยวเอวพี่นัทแน่นๆ  พร้อมทั้งเบียดตัวเข้ามา เขาเลียริมฝีปาก กัดปากล่างแล้วยิ้ม อีกทั้งจ้องตาผมด้วยสายตาที่โคตรจะดูเร่าร้อน และผมก็เพิ่งจะตระหนักได้ว่า ผ้าขนหนูผืนเดียวที่ผมมีนั้น มันล่วงไปกองกับพื้นตั้งแต่ที่ผมกระโดดเกาะพี่นัทแล้ว

“ตอนแรกก็คิดว่าจะพาไปข้างนอก แต่ตอนนี้หนึ่งน่ารักจนพี่อยากจะเปลี่ยนความคิดแล้วสิ”

“ต...แต่ผมอยากออกข้างนอก ปะ...ไปเที่ยวบ้าง...อื้มม” ผมพูดไม่ทันจบพี่นัทก็ประกบปากและสอดลิ้นเข้ามา เกี่ยวไล้ไปทั่วทั้งโพรงปาก ผมขยับตัวเกาะพี่นัทแน่นขึ้น มือก็ขยำจนคอเสื้อเขายับ พี่นัทผละออกเพื่อดูดริมฝีปากล่างของผมและเบียดตัวเข้ามาจนผมแทบจะแบนไปกับตู้ พี่อุ้มผมด้วยมือเดียว ส่วนอีกมือนึงนั้นก็ลูบขึ้นมาที่หน้าอกแล้วคลึงไปมา ผมร้องครางในลำคอเพราะยังยอดอกผมยังระบมจากเมื่อคืนอยู่เลย พี่นัทผละหน้าออกแล้วเลียริมฝีปากตัวเอง

“เดี๋ยวพี่พาไปเที่ยวสวรรค์ไงครับ”

จุ๊บ!

พี่นัทยื่นหน้ามาจะจูบที่ปาก แต่ผมหันหนี ปากพี่นัทเลยจุ๊บลงที่แก้มผมแทน พี่นัทหัวเราะในลำคอแล้วก็เม้มปากไปตาม สันกรามและลำคอของผม

“พี่ครับ ผมยังเจ็บอยู่เลย ทำไม่ไหวแล้ว”

“เดี๋ยวพี่จะทำเบาๆ”

“อื้อพี่เพิ่งจะบำรุงผมไป พี่ก็จะใช้แรงผมเลยเหรอครับ”

“ไม่อยากทำจริงๆ เหรอครับ ไม่คิดถึงพี่เหรอครับ” พี่นัททำหน้าตาออดอ้อน แล้วก็เอาหน้ามาคลอเคลียตามแก้มและซอกคอ

“คิดถึงสิครับ แต่เมื่อคืนพี่เล่นทำซะผมหายคิดถึงเลย” พี่นัทยังคงไม่เลิกเกลี่ยกล่อมผม แค่คำพูดไม่พอ มือข้างที่ไม่ได้รัดตัวผมไว้ก็คอยลูบคอยคลึงยอดอก แถมยังขยับสะโพกเข้าหาตัวผมเป็นจังหวะอยู่ตลอดอีกด้วย

“แต่พี่ยังไม่หายคิดถึงหนึ่งเลยนะครับ นะ~ ขออีกรอบเดียวนะ” พี่นัทขยับออกแล้วอุ้มผมไปนอนที่โซฟาแทน แล้วแทรกตัวเข้ามากลางหว่างขาผมอย่ารวดเร็ว ไม่ใช่ว่าผมหวงตัวอะไรหนักหนาหรอกครับ แต่มันยังระบมอยู่จริงๆ  แล้วเมื่อคืนพี่นัทเล่นรีดน้ำผมออกจนน้องชายน้อยๆ ของผมหลับแบบปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่นแบบนี้

“อะ..อย่า พี่นัท…” ผมดันหัวพี่นัทออก เมื่อพี่แกก้มลงเลียตรงยอดอกผม ผมก็ได้แค่ดันออก ไม่กล้าทำแรง กลัวพี่นัทจะเจ็บ แต่ถึงจะไม่เจ็บพี่นัทก็คงรำคาญ เพราะพี่เขารวบข้อมือทั้งสองข้างผมไปยึดไว้เหนือหัว แล้วใช้อีกมือที่ว่าง ช้อนสะโพกผมขึ้นพร้อมกับที่พี่นัทขยับตัวเข้ามา ผมหน้าแดงขึ้น พูดไม่ออก เมื่อสัมผัสได้ว่า พี่นัทมีอารมณ์จนส่วนนั่นมันจิ้มก้นผมอยู่...ไม่รอดแน่ๆ เลยผม

“อืม เนื้อตัวของหนึ่งมันนุ่มมือไปหมด พี่ชอบมากเลยครับ” พี่นัทเงยหน้ามาพูดแล้วก็ก้มลงไปงับตามตัวผมเบาๆ

“อือ...หยุดก่อนพี่นัท”

พี่นัทปล่อยมือผมออก แล้วใช้ทั้งสองมือใหญ่ลูบไปทั่วลำตัวผม เมื่อมือของผมไม่ได้โดนยึดอยู่ ผมก็กลับมาดันตัวพี่นัทออก พี่นัทยืดตัวขึ้นเตรียมที่จะถอดเสื้อตัวเองออก ผมรีบจับมือพี่นัทไว้ พี่นัทยิ้มแล้วเปลี่ยนมาจูบที่มือผมแทน แล้วก็จูบสลับกดจมูกลงกับผิวของผมไล่ลงมาเรื่อยๆ ตามแขน

“หอมจัง ตัวหนึ่งเป็นกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ด้วยครับ น่ากินมากๆ เลย พี่ชอบสตรอว์เบอร์รี่ พี่อยากกินสตรอว์เบอร์รี่ลูกนี่จังเลยครับ”

“ฮือ พี่นัท แต่ตอนนี้สตรอว์เบอร์รี่ลูกนี้ยังไม่สุกนะครับ กินตอนนี้ไม่อร่อยหรอก อดเปรี้ยวไว้กินหวานดีกว่านะครับ” ที่ตัวผมเป็นกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่ก็เพราะว่าเกลือขัดตัวที่พี่นัทซื้อมาใหม่เป็นกลิ่นนั้น แล้วผมเพิ่งอาบน้ำเสร็จกลิ่นก็เลยติดตัวอยู่ ผมมองพี่นัทที่เอาแต่ยิ้มแล้วกดจมูกดมไปผิวของผม

“งั้นขอชิมหน่อยนะครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ถอยตัวออก แยกขาผมออกจนกว้าง แล้วเตรียมจะก้มหน้าไปตรงส่วนนั้น

“หวา!! ไม่ได้พี่นัท!” ผมร้องเสียงหลง  ลุกขึ้นแล้วจับหน้าของพี่นัทไว้

“โธ่ ทำไมเล่นตัวจัง ขอพี่ชิมหน่อยนะครับ คนดี นะ” พี่นัทพูดเสียงอ่อน ทำหน้าตาออดอ้อน โธ่พี่นัท ผมไม่ได้เล่นตัว แต่ไม่มีอารมณ์จริงๆ นี่นา ถ้าปกตินะ ป่านนี้ผมยอมพี่นัทไปแล้ว แต่ตอนนี้พี่นัททั้งจูบทั้งลูบ นกเขาผมยังไม่ขันเลยครับ

“วันนี้ผมไม่ไหวจริงๆ ครับ ไว้วันหลังนะ วันนี้ไปเที่ยวกันเถอะครับ”

“หนึ่งไม่ไหวจริงๆ เหรอ พี่อุตส่าบำรุงไปตั้งเยอะนะ”

“โธ่ พี่นัทบำรุงแค่มื้อเดียวเองครับ ผมจะไปไหวได้ยังไง จริงมั้ยครับ? หลังจากนี้พี่นัทก็บำรุงผมทุกวัน ผมจะได้พร้อมทุกเมื่อเพื่อพี่เลยครับ” ผมพยายามหว่านล้อมให้พี่นัทหยุด พี่นัทก็รับฟังหยุดขยับเอวใส่ผม  แต่มือก็ยังลูบอยู่ที่ต้นขาของผมอยู่

“...” พี่นัททำปากจู๋ แต่ก็ยอมปล่อยตัวผมออก แล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่กองอยู่กับพื้นมาคลุมตัวผมให้ ผมถอนหายใจ ขอรักษาร่างกายให้หายระบม หายเมื่อยก่อน แล้วผมจะตามใจพี่นัท ไม่อิดออดเลยจริงๆ

“ไว้ครั้งหน้านะครับ ครั้งหน้าพี่นัทอยากให้ผมทำอะไร ผมทำให้ทุกอย่างเลย ยอมทุกอย่างเลยจริงๆ  ไม่งอแงแบบตอนนี้เลยครับ” พี่นัทที่กำลังคลุมผ้าให้ผมทำตาโต มองมาทางผม แล้วก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่โคตรเจ้าเล่ห์และดูมีแผนการสุดๆ  จนผมยังหวั่นใจว่าพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ทำไมพี่นัทยิ้มแบบนั้น

“ก็ได้ครับ แต่ต้องตามใจจริงๆ นะ พี่ให้ทำอะไรก็ต้องยอมนะ”

“เอ่อ...ครับ” รู้สึกเหมือนต้องให้โดนทำอะไรแปลกๆ และน่าอายมากแน่เลยครับ รู้สึกหวาดหวั่นในใจ

พี่นัทยิ้มกว้างแล้วก้มลงมาหอมแก้มผมทั้งสองข้างฟอดใหญ่ แล้วก็เดินไปหน้าตู้เสื้อผ้า เพื่อหาชุดให้ใส่

“ใส่ชุดพี่ไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่พาไปเปลี่ยนที่ห้องหนึ่งอีกที” พี่นัทหยิบเสื้อกับกางเกงตัวใหญ่แล้วส่งมาให้ ผมรับมาแล้วลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อย พอใส่เสร็จแล้วก็ลงไปนั่งข้างๆ พี่นัท

“พี่นัทจะพาผมไปไหนเหรอครับ”

“อืม...พี่ยังไม่ได้ตัดสินใจเลยครับ อยากไปต่างจังหวัดอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เปิดร้านพี่ก็ไม่ได้ไปไหนไกลๆ เลย”

ผมพยักหน้าฟังพี่นัทพูด แต่สายตาก็ดันไปสะดุดตรงส่วนที่มันนูนเด่นขึ้นมาตรงเป้ากางเกง

“เอ่อ...” เมื่อกี้ผมจะถามพี่นัทว่าอะไรนะ ลืมไปแล้ว

“อย่ามองมากสิครับ พี่พยายามคิดเรื่องอื่นให้มันลงๆ ไปอยู่ หนึ่งจ้องแบบนี้ เดี๋ยวพี่ก็เปิดให้ดูซะเลยนี่” เพราะเอาแต่จ้องๆ  ผมพยายามที่จะละสายตาไปแล้วนะ แต่รู้สึกว่ามันเด่นจนผมเผลอมองอีกตลอด

“แหะๆ  ผมไม่มองแล้วครับ” ผมหันไปตามอื่นแล้วก็หัวเราะแก้เขิน พี่นัทเลยเอาหมอนมาปิดไว้ แล้วก็วาดมือโอบไหล่ผม

“หนึ่งอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ” พี่นัทก้มลงมาถาม ผมยิ้มแล้วก็ตอบกลับไปทันที

“ที่ไหนก็ได้ที่มีพี่นัทครับ” เป็นไงล่ะ เสี่ยวมั้ยล่ะ

“มาอยู่ในใจสิ พี่พกติดตัวเลยครับ” อูว พี่นัทเสี่ยวกว่า ผมและพี่นัทหัวเราะออกมาก่อนที่พี่นัทจะรีบลุกขึ้น จนผมตกใจแล้วก็ลุกตาม

“มีอะไรเหรอครับ”

“พี่เพิ่งจะนึกได้ว่า เราซักผ้าแล้วตากไว้ เมื่อคืนฝนตกลงมาใหม่ พี่ยังไม่ได้เอามาซักใหม่เลยครับ มีชุดของหนึ่งอยู่ด้วยครับ” พี่นัทหยิบตระกร้าและเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า ผมก็เดินตามพี่นัทขึ้นไป

พี่นัทเปิดประตูออก แดดสีส้มและสายลมยามเย็นก็กระทบตามร่างกาย พี่นัทเดินไปเก็บผ้าที่ตากไว้ แต่ผมยืนค้างอยู่ตรงประตูตามองไปที่ กระถางดอกไม้มากมายที่อยู่มีผ้าใบสีทึบกางบังแดดให้อยู่ ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ  เป็นดอกไม้ทั้งหมดที่ผมซื้อมาให้พี่นัท ทุกต้นถูกเปลี่ยนกระถาง เปลี่ยนดิน และมีผ้าใบกางบังแดดให้เป็นอย่างดี

ผมนั่งแล้วมองดอกลิลลี่ที่บางดอกเริ่มเหี่ยวแล้ว เพราะสภาพอากาศที่นี่มันไม่เอื้อให้เติบโตได้อย่างสวยงาม ผมมองไปที่ดอกไม้ รู้สึกดีใจจนอยากร้องไห้ พี่นัทไม่ได้ทิ้งเลยแต่กลับขนขึ้นมาไว้บนดาดฟ้านี่ แถมดูแลให้ด้วย ถึงจะเหี่ยวไปบ้าง แต่ก็ไม่มีต้นไหนที่เฉาตายเลย

“ตื้นตันใจล่ะสิ” พี่นัทเดินมายืนข้างๆ แล้วก็บีบแก้ม ผมหันไปยิ้มให้แล้วก็กอดพี่นัทแน่น คนตัวสูงที่ตั้งตัวไม่ทันตั้งตัวเซเล็กน้อย แต่ก็หัวเราะออกมาและลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

“ผมนึกว่าพี่จะทิ้งไปหมดเลย”

“พี่ทิ้งไม่ลง...นึกถึงตอนที่หนึ่งต้องเดินอ้อมไปซื้อ แล้วก็อุ้มกระถางหนักๆ มาตลอดทาง แล้วพี่ก็ทิ้งไม่ลง”

“ผมรักพี่จัง”

“พี่ก็รัก รักมากๆ ด้วย และเพราะรักมากตอนนั้นเลยเจ็บมาก พี่คิดว่าตองหนึ่งทำแบบนั้นจริงๆ พี่เลยเจ็บแล้วก็ทรมาน เข้าใจถึงความรู้สึกของคนที่อกหักจนอยากฆ่าตัวตายเลยครับ”

“พี่อย่าคิดสั้นสิ” ผมเงยหน้ามองพี่นัทแล้วกอดแน่นกว่าเดิม พี่นัทกอดผมแล้วก็ลูบหลัง

“พี่แค่เข้าใจไม่ได้หมายความว่าจะทำครับ ถ้าพี่คิดสั้นจริงพ่อคงยืนด่าพี่หน้าโรงศพแน่” ผมหัวเราะออกมาเมื่อพี่นัทยกมือขึ้นไปดึงหูตัวเองแล้วทำใบหน้าท่าทางเบื่อ

“ใช่ครับ ถ้าผมไม่รักพี่แล้วจริงๆ ก็มีคนที่รักพี่ตั้งเยอะ”

พี่นัทจูงมือผมไปนั่งตรงม้านั่งที่พี่นัทจัดไว้เป็นมุมนั่งเล่นบนดาดฟ้าตอนไม่แดด หรือตอนกลางคืน

“พี่ขอถามได้มั้ยครับ ทำไมหนึ่งต้องซื้อดอกไม้มาเยอะขนาดนี้? ดูสิ เยอะมากๆ เลย”

“ผมขอโทษนะครับที่ลืมคิดว่าอาจจะเอามาเป็นภาระของนัท ที่ให้ดอกไม้ก็เพราะว่าพี่นัทไม่ยอมรับคำขอโทษ ผมก็เลยให้ดอกไม้ขอโทษแทน พี่นัทไม่ยอมเชื่อว่าผมรักพี่นัทคนเดียวก็เลยให้ดอกไม้ช่วยยืนยัน”

“ยังไงเหรอครับ?”

“ก็ดอกไม้แต่ละชนิดมันมีความหมายนี่ครับ”

“เหรอ แล้วหนึ่งบอกพี่ผ่านดอกไม้ว่าอะไรบ้างครับ” พี่นัทเอนตัวพิงผมแล้วก็ถาม ผมมองดูพี่นัทที่นั่งยิ้มมองดอกไม้อยู่ ผมเอนหัวพิงไหล่พี่นัทแล้วก็พูด

“ดอกลิลลี่สีขาวที่ผมเอามาให้พี่เยอะๆ นั่นหมายถึงผมขอโทษ ขอโทษจากใจจริง ที่เป็นกลีบบานๆ นั่นคือดอกเบญจมาศ ผมฝากให้บอกพี่ว่า...ยกโทษให้ผมเถอะนะครับ”

“...” ผมแอบเหล่มองพี่นัทนิดหน่อย แต่พี่แกนั่งนิ่งแล้วก็ยิ้มอย่างเดียว ผมเลยพูดต่อ

“ดอกบานไม่รู้โรยคือผมตั้งใจจะบอกพี่ว่า ผมจะรักพี่นัทไปตลอด”

“.....” พี่นัทยิ้ม ผมเลยขยับตัวนั่งหลังตรง แล้วหันหน้ามองพี่นัท พี่นัทที่มองต้นไม้อยู่หันมามองผม ผมยิ้มบางๆ แล้วมองหน้าพี่นัทอย่างจริงจัง

“ส่วนดอกกุหลาบแดง คือผมตั้งใจจะบอกว่า ผมรักพี่คนเดียว...”

“...”

“...”

ผมกับพี่นัทต่างก็ยิ้มให้กัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา  จนพี่นัทละลายตาจากผม เงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วหันกลับมามองผมอีก พี่นัทใช้ทั้งสองมือจับใบหน้าของผมไว้แล้วก็ก้มลงมาจนปลายจมูกของเราแตะกัน

“ทำไมน่ารักอย่างนี้เนี่ย จะทำให้พี่หลงไปถึงไหนครับ”

พี่นัทพูดแล้วก็ใช้ปลายจมูกโด่งๆ นั่นถูกับปลายจมูกผม

“ทีพี่ยังทำให้ผมรัก จนไม่รู้จะรักยังไงแล้วเลยนี่ครับ”

พี่นัทหัวเราะออกมา เรานั่งรับลมอยู่ที่ดาดฟ้าอยู่สักพัก แล้วก็เอาผ้าลงมาซักใหม่ รอจนเสร็จก็นำไปตากบนดาดฟ้า แล้วพี่นัทก็พาผมไปเอาเสื้อผ้าที่ห้องพักของผม แต่พอไปถึงผมก็พบกับน้องชายของผม

“สวัสดีครับ”

“สวัสดีครับ ตองสอง”

ตองสองยกมือไหว้ พี่นัทก็ยิ้มให้ ตองสองหลีกทางให้เราสองคนเดินเข้าห้อง ผมลืมไปเลยว่าช่วงนี้มันเป็นช่วงวันหยุด ตองสองก็ต้องหยุดงานเหมือนกันนี่เนอะ

“สองกลับมาตั้งแต่เมื่อไร”

“เมื่อคืนนี่เอง เอ่อ...พี่เอาน้ำอะไรมั้ยครับ เดี๋ยวผมหยิบให้”

“พี่ขอแค่น้ำเปล่าครับ” สองเดินไปเทน้ำเปล่า แล้วนำมาให้พี่นัทที่นั่งรออยู่ตรงโซฟา

ส่วนผมก็เดินไปหยิบกระเป๋าใบใหญ่มาเตรียมใส่เสื้อผ้า ตาก็เหลือบไปเห็นพวกเครื่องครัวตรงระเบียง ก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อวานผมออกไปทำงานแล้วไม่ได้ล้างจาน ผมวางกระเป๋าแล้วรีบเดินไปตรงระเบียงทันที  ปรากฏว่าจานชาม กะทะ ถูกล้างแล้วคว่ำไว้อย่างดี ส่วนคนที่จัดการล้างให้ก็ต้องเป็นน้องชายผมแน่นอน ผมยิ้มแล้วก็หันหลังกลับไปมองน้องชายตัวเอง

“ล้างจานให้พี่เหรอ ขอบใจนะ”

“พี่ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ ตอนอยู่บ้านผมไม่เคยเห็นพี่ทำเลย”

“เอ่อ...ก็เพิ่งหัดๆ ทำไม่นานนี่แหละ” ผมบอกแล้วก็เดินมาจะเก็บเสื้อผ้าต่อ แต่ตอนที่เดินผ่าน ผมได้ยินมันพึมพำเบาๆ  แต่ก็ดังพอให้ผมต้องหันกลับไปมองทันที

“อ่อ หัดทำเพื่อง้อแฟนสินะ” ผมหันไปมองตาเขียวปั๊ด แต่ไอ้สองก็แค่ยักไหล่แล้วเดินไปนั่งบนเตียง แต่ก็ยังส่งสายตาแพรวพราวมาล้อผมเป็นระยะๆ  ถนัดเขาล่ะเรื่องกวนประสาทหน้านิ่งเนี่ย ก่อนหน้านี้เวลาที่ผมเหงาผมก็โทรติดต่อตองสองบ้าง มันก็เลยรู้เรื่องของผมกับพี่นัท แต่มันก็รู้แค่ว่าผมกับพี่นัททะเลาะกันแค่เล็กน้อย

ผมเดินมานั่งหน้าตู้ ตองสองก็เดินไปนั่งเล่นแลปทอปบนเตียงต่อ ซักพักผมก็เห็นว่าพี่นัทกับตองสองคุยอะไรบางอย่างอยู่ ตองสองให้พี่นัทดูบางอย่างในแลปทอป แล้วพี่นัทก็หยิบโทรศัพน์ขึ้นมา แล้วก็มองมาทางผม พอสบตากัน พี่นัทก็หันกลับไปทันที

“ขอบใจมากที่แนะนำ”

“ไม่เป็นไรครับ แต่เว็บไซต์นี้ผมรับประกัน ปลอดภัยแน่นอนครับ”

ผมมองว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน พี่นัทยิ้มและตบบ่าตองสองเบาๆ เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากางเกงแล้วก็เดินมาช่วยผมเก็บเสื้อด้วย

“พี่คุยอะไรกันครับ”

“เรื่องของลูกผู้ชายครับ”

“ผมก็ผู้ชายนะ”

พี่นัทยิ้มและยักไหล่ใส่ไม่ยอมตอบ ผมเลยหันไปมองตองสอง แต่มันก็ยักไหล่ใส่ผมเเล้วก้มลงไปมองจอต่อ  ผมเลยเลิกสนใจ

พี่นัทเป็นคนยืนเลือกชุด ส่วนผมมีหน้าที่พับใส่กระเป๋าอย่างเดียว ซึ่งชุดที่พี่นัทเลือกส่วนใหญ่ก็เป็นชุดที่พี่แกซื้อให้นั่นแหละ นอกจากจะเลือกเสื้อและกางเกงแล้ว พี่นัทยังใจดีเลือกกางเกงในให้ผมด้วย

“ตัวนี้พี่ยังไม่เคยเห็นหนึ่งใส่เลยครับ” พี่นัทแล้วใช้สองมือคลี่ชิ้นผ้าสีชมพูตัวเล็กโชว์ผม

“เห้ยพี่!” ผมรีบตระครุบชิ้นผ้าในมือมาใส่กระเป๋า ตาก็แอบเหล่มองตองสอง รู้สึกอายน้องตัวเองอ่ะ ขืนมันเห็นกางเกงในตัวนี้นะ มันล้อผมยันแก่แน่ ก็กางเกงในสีชมพูเว้าสูงที่พี่นัทเคยซื้อให้ผมไง ใครจะไปใส่ลงล่ะ ข้างหน้าก็ปิดไม่มิด ข้างหลังนี่อย่าหวัง โชว์ก้นเต็มๆ

“พี่อยากเห็นหนึ่งใส่อ่ะ พี่ว่าน่ารักดีนะ”

“ถ้าพี่ว่าน่ารักพี่ก็ใส่เองสิครับ ผมไม่อยากใส่อ่ะ”

พี่นัทไม่ตอบแต่ยิ้มจนตาหยี จากนั้นหันไปเลือกกางเกงในผมต่อ ผมแอบเหล่ตามน้องชายอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเห็นมันมองผมอยู่ แถมมันดันยักคิ้วให้ผมอีกด้วย ผมหันกลับมาช้าๆ แล้วก็ถอนหายใจ...มันคงเห็นไปแล้วสินะ

ประมาณสิบนาทีต่อมาพี่นัทก็เลือกชุดที่พอใจเสร็จ กระเป๋าแทบใส่ไม่พอ

“พี่ไปแล้วนะ อยู่คนเดียวดีๆ ล่ะ”

“รู้แล้ว เอ้อ! วันหยุดนี้พี่กลับบ้านมั้ย” ผมนิ่งไป ลืมคิดไปเลย พี่นัทก็ปิดร้านแถมเป็นหยุดยาวด้วย ผมก็ควรจะกลับบ้านสิ

“คงจะกลับไป 2-3 วันอ่ะ แล้วสองกลับวันไหน”

“พรุ่งนี้ จะได้อยู่บ้านนานๆ หน่อย” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินออกจากห้อง ตองสองเดินตามเพื่อมาล็อกประตู ก่อนที่ผมจะออกจากห้อง ตองสองแล้วก็ถามผมอีก

“แล้วระหว่างนี้ พี่จะกลับมานอนห้องมั้ย?”

“เอ่อ...คิดว่าไม่” ผมอ้อมแอ้มตอบ เห็นตองสองที่ยกยิ้มอย่างรู้ทันแล้วมันทำตัวไม่ถูกอ่ะ รู้สึกอายน้องตัวเองหวะ ผมแอบๆ เหล่มองพี่นัท ก็เห็นพี่แกมองผมอยู่แล้ว แถมยังยิ้มอีกด้วย หน้าตานี่เจ้าเล่ห์ใช่เล่นเลย

“อืม” ก่อนที่ตองสองจะปิดประตู ผมก็เห็นว่าพี่นัทกับตองสองยักคิ้วใส่กัน คือผมชักจะสงสัยจริงๆ แล้วสองคนนี้มีเรื่องอะไรกันเนี่ย ผมเตรียมจะถามพี่นัท แต่โทรศัพท์พี่นัทก็ดังขึ้นมาก่อน คุยได้ซักพักพี่นัทก็วางสายไปแล้วก็หันมายิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มหวานหยดย้อย จนไม่น่าไว้ใจเลยครับ

ทำไมช่วงเย็นนี้เจอแต่เรื่องที่ทำให้หวั่นใจตลอดเลยเนี่ย เฮ้อ!

“พรุ่งนี้ไปนอนที่บ้านพี่กันนะครับ พ่อของพี่เขาบอกว่า อยากแกล้งหนึ่งอีก”



หวานๆ จ้า เรื่องไม่ดีอะไร หากผ่านมันมาได้และพร้อมที่จะเริ่มใหม่แล้วแล้วก็จำไว้เป็นบทเรียนและทิ้งไว้ข้างหลังนะคะ



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 28 : กลิ่น strawberry l 04-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 04-11-2019 21:40:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 28 : กลิ่น strawberry l 04-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 05-11-2019 07:32:59
กว่าจะเข้าใจกันได้ตองหนึ่งก็น่วมไปทั้งตัว พี่นัทใจร้าย  o18
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 28 : กลิ่น strawberry l 04-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 06-11-2019 09:35:32
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 29 : ครอบครัวเดียวกัน 1 l 10-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 10-11-2019 18:58:15
29 : ครอบครัวเดียวกัน 1


“พี่นัท!” ผมร้องเรียกพี่นัทเสียงหลงเพราะทันทีที่ก้าวลงจากรถเจ้าหมายักษ์ที่ชื่อว่าแต้มก็เตรียมที่จะวิ่งน้ำลายยืดเข้ามาหาผมทันที ทำให้พี่นัทต้องรีบทิ้งกระเป๋าเสื้อผ้ามากันเจ้าแต้มออกจากตัวผม

“แต้ม อย่ามายุ่งน่า!” พี่นัทดุแต้มจนหมาตัวใหญ่นั่นคอตกร้องหงิงๆ  เดินกลับไปเล่นที่สนามเหมือนเดิม พอเห็นว่าเจ้าหมายักษ์นั่นเดินไปแล้วผมก็ขยับออกจากหลังพี่นัท

“สองคืนที่ผมอยู่ที่นี่ หมายักษ์นั่นจะไม่ขย้ำผมใช่มั้ยครับ?”

“ไม่หรอกครับ แต้มมันเป็นหมาโง่ตัวใหญ่กัดใครไม่เป็นหรอก” พี่นัทยิ้มแล้วก็กอดคอผมเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของแล้วพาเดินเข้าบ้าน

“แต่ครั้งที่แล้ว พ่อพี่บอกว่าจะสั่งให้แต้มกัดผมก็ได้นะครับ”

นี่ผมไม่ได้ฟ้องพี่นัทนะ แต่แค่เล่าให้พี่นัทฟังเฉยๆ ว่า ถ้าลุงกร พ่อพี่นัทออกคำสั่งแต้มก็คงกัดผมได้

“พ่อพี่เขาก็พูดแกล้งหนึ่งไปแค่นั้นเองครับ อย่าเก็บมาคิดจริงจังสิ เชื่อคนง่ายแบบนี้นี่ไง ถึงได้โดนหลอกเอาเปรียบบ่อยๆ ”

พี่นัทยกมือที่กอดคอมายีหัวของผมแล้วก็หัวเราะ ผมยู่หน้าใส่ คนที่ผมไม่ควรเชื่อที่สุดก็คงต้องเป็นคนที่กอดคอผมอยู่นี่ไง คนที่หลอกเอาเปรียบผมบ่อยๆ ก็พี่นัทนี่แหละ

พี่นัทพาผมเดินเข้ามาที่ห้องนั่งเล่น ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งลุงกร คุณลิซ่า พี่พาย และคุณมาคัส ทุกคนกำลังนั่งคุยและหัวเราะด้วยกันอยู่

“แหม พอนินทาปุ๊บเจ้าตัวก็มาปั๊บเลย” ลุงกรมองพี่นัทแล้วก็พูด พี่นัทกลอกตาใส่พ่อตัวเองเล็กน้อยแล้วก็ยกมือขึ้นไหว้ ผมก็ทำตามสวัสดีทักทายทุกคน ลุงกรยิ้มและพยักหน้ารับไหว้ผม คุณแม่ลิซ่าส่งยิ้มมาให้ หน้าตาดูใจดีเหมือนเดิม พี่พายที่ดูอวบขึ้นมากใส่ชุดคลุมท้องสีฟ้านั่งอยู่ข้างๆ กับคุณมาคัส

“มาอยู่กี่วันเนี่ย ขนของมาเยอะเลย” พี่พายหวานถาม เมื่อเห็นทั้งผมและพี่นัทหอบของกันมาเยอะแยะ

“พี่ว่าจะมานอนบ้าน 2 คืน แล้วจะพาตองหนึ่งกลับบ้านไปหาพ่อแม่เขาที่ต่างจังหวัดด้วย ก็เลยเอาของมาทีเดียวเลย”

“จะไปประจบพ่อตาเเม่ยายก็บอก” ลุงกรพูดและหรี่ตาใส่พี่นัท ส่วนคนตัวสูงที่อยู่ข้างผมก็แค่ยักไหล่แล้วพาผมขึ้นไปเก็บของบนห้อง

ห้องพี่นัทที่นี่ผมเคยมาครั้งนึงแล้วเมื่อตอนที่พี่นัทพาผมมาล้างหน้า แต่ครั้งนี้ผมเพิ่งจะได้เห็นชัดๆ  ห้องที่บ้านแตกต่างกับห้องที่ร้านอย่างสิ้นเชิง ห้องที่ร้านพี่นัทแต่งด้วยโทนอบอุ่น สีน้ำตาลและขาวเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่นี่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไป แต่งด้วยโทนสีน้ำเงินและเทา ก็ดูเท่ดี

“ห้องพี่นัทที่นี่เท่จัง ไม่เหมือนห้องที่ร้านเลยครับ”

“แล้วหนึ่งชอบห้องไหนมากกว่ากันครับ?” พี่นัทถามหลังจากที่นำกระเป๋าเสื้อผ้าไปวางให้เป็นที่เป็นทางเสร็จแล้วก็เดินมาลูบแก้ม ผมเอียงแก้มให้ลูบดีๆ แล้วก็ยิ้มให้

“ชอบห้องที่มีพี่นัทอยู่ด้วยครับ”

“ปากหวานนะ พี่อยากชิมคนปากหวานจัง” พี่นัทบีบแก้มและก้มลงมาจุ๊บปากผมเบาๆ แล้วก็ลามลงมาที่ซอกคอมือใหญ่ก็กอดตรงเอว ผมหัวเราะแล้วก็ดันตัวออก

“ยังไม่ให้ชิมตอนนี้”

“หื้ม มันเขี้ยวจริง!”

พี่นัทยอมปล่อยๆ ดีแต่ก่อนปล่อยก็ฟัดแก้มผมไปหลายฟอดเลย ผมเดินไปตรงหน้าต่าง วิวจากห้องนอนพี่นัทมองลงไปด้านล่างเป็นเหมือนสวนเล็กๆ หลังบ้าน ปลูกดอกไม่ไว้หลายชนิดด้วย แต่ส่วนใหญ่ผมไม่รู้จักเลย

“หลังบ้านพี่มีแปลงดอกไม้ด้วย สวยจัง”

“ใช่ครับ คุณแม่ลิซ่าชอบปลูกดอกไม้และต้นไม้ ก็เลยทำเป็นแปลงไว้ พวกดอกไม้ที่หนึ่งเอามาให้พี่ก็ได้คำแนะนำจากแม่ลิซ่านี่แหละ ไม่งั้นป่านนี้พี่คงทำเฉาตายไปหมดแล้ว”

“ผมขอโทษครับ เลือกต้นที่ดูแลยากไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรครับ พี่ชอบมากเลย” พี่นัทเดินไปนั่งตรงโซฟาเล็กปลายเตียงพร้อมทั้งตบที่ว่างข้างตัวเพื่อให้ผมไปนั่งด้วย

“พี่นัทชอบดอกลิลลี่เหรอครับ” ผมถามและเดินไปหาพี่นัท เขายื่นมือมาดึงแขนผมทำให้จากที่ผมควรจะนั่งข้างๆ ก็กลับกลายเป็นว่าผมนั่งลงบนตักอีกฝ่ายแทน

“เปล่า...ชอบคนให้ครับ” พี่นัทก้มลงฟอมแก้มผมไปฟอดนึง ส่วนผมก็ยิ้มเขิน จะไม่ให้เขินได้ไงล่ะ ทั้งแววตา ทั้งรอยยิ้ม ดูกะลิ้มกะเหลี่ยซะเหลือเกิน

“อื้อ พอเถอะครับ ผมหิวแล้วนะ” ผมลุกขึ้นจากตัวพี่นัทแล้วเดินไปหยิบกล้องของตัวเองลงไปด้วย เห็นแปลงดอกไม้แล้วอยากถ่ายภาพ

“หิวพี่เหรอครับ?” พี่นัทยิ้มกว้างแล้วเดินมาหา

“หิวข้าวสิ!” ผมตอบแล้วหัวเราะ ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้กินอะไรเลย พอตื่นก็พากันอาบน้ำแต่งตัวแล้วมาที่บ้านนี่เลย เพราะพี่นัทขี้เกียจมาเก็บกวาดล้างจานอีกที เราก็เลยหวังจะมาฝากท้องกันที่บ้านพี่นัท

พี่นัทพาผมเดินลงมาชั้นล่าง ทุกคนยังนั่งอยู่อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พี่นัทพาผมไปนั่งที่โซฟาใกล้กับคุณแม่ลิซ่า แล้วพี่นัทก็เอี้ยวตัวกอดเอวคุณแม่ตัวเองไว้

“คุณแม่ลิซ่าครับ ผมกับตองหนึ่งหิวมากเลย ที่บ้านเรามีอะไรกินบ้างครับ” ผมเพิ่งเคยเห็นพี่นัทอ้อนแม่ตัวเอง อดตะลึงไม่ได้จริงๆ นอกจากกอดแล้วเขายังทำเสียงเล็กเสียงน้อยเอาแก้มไปถูกับแก้มคุณแม่ลิซ่าอีกด้วย นี่มันเด็กชายโดนัทที่ลุงกรเคยพูดถึงชัดๆ

“ดูมัน เมียมันก็นั่งอยู่ข้างแต่ยังหน้าด้านมากอดเมียคนอื่นอีก” ลุงกรพูดขึ้นแล้วก็ดันหน้าพี่นัทออกห่างจากเมียตัวเอง ผมที่นั่งอยู่นิ่งๆ ก็มีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกพาดพิง

“อ้อนเมียเยอะแล้ว กลัวเขารำคาญและตอนนี้อยากกินข้าวเลยต้องอ้อนแม่ ใช่มั้ยครับแม่ลิซ่า” ผมเม้มปากรู้สึกทำตัวไม่ถูก เมื่อลุงกรและพี่นัทพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าผมเป็นเมียของลูกกชายตัวเอง ครอบครัวพี่นัทคิดว่าการรักเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติที่มีมานานแล้ว แต่สำหรับผมเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ยังไม่ชินซักเท่าไร มันเลยรู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้ครับ

“พูดจาน่าหมั่นไส้ แล้วเมื่อไรจะกลับมาอ้อนพ่อกรคนนี้บ้างล่ะ น้องโดนัท” ลุงกรดันหน้าพี่นัทออกจากแม่ลิซ่าอีกครั้งแล้วก็ดีดหน้าผากพี่นัทเบาๆ

“ก็ตอนขอตังค์ไงครับพ่อกร ” พี่นัทพูดแล้วก็หัวเราะออกมา ทุกคนต่างก็หัวเราะครื้นเครงยกเว้นลุงกรที่ลุกขึ้นมาดีดหูพี่นัทไปทีนึง

“จะไปไหนก็ไปเลยไป ไอ้ลูกไม่รักดี กวนประสาทนัก”

“ตามแม่มาลูก เมื่อเช้าแม่ทำแกงจืดเต้าหู้ หรือนัทอยากกินขนมปังกับไข่ดาว ไส้กรอกก็มีนะ” คุณแม่ลิซ่าถามพี่นัท สำเนียงภาษาไทยนี่ชัดเจน เห็นเป็นคนต่างชาตินึกว่าจะพูดไทยไม่ชัด แต่นี่ทั้งควบกล้ำและตัว ร. นี่พูดชัดกว่าผมซะอีกครับ

“แกงจืดดีกว่าครับแม่ ขนมปังให้ผมกินแค่ที่ร้านก็พอ”

ผมกับพี่นัทลุกขึ้นเดินตามคุณแม่ลิซ่าเข้ามาในครัว และกินข้าวเช้ากันที่โต๊ะเล็กในครัวแอบประหม่าเล็กน้อย เพราะคุณแม่พี่นัทเอาแต่ยืนมองและก็ยิ้มให้ผม แต่เพราะความหิวแล้วก็แกงจืดอร่อยมากทำให้ผมซัดข้าวไปสองจาน นี่ขนาดประหม่านะเนี่ย

“เห็นตัวเล็กแต่กินเก่งจังเลย เอาอีกจานมั้ยลูก แม่ตักให้?” แม่ลิซ่าพูดกับผม เมื่อเห็นผมตักข้าวคำสุดท้ายของจานที่สองเข้าปาก ก็ลังเลนิดหน่อยว่าจะเอาอีกดีมั้ย แต่เห็นแกงจืดในชามเหลืออีกนิดหน่อย แถมพี่นัทก็อิ่มไปแล้ว เหลือทิ้งก็เสียดายของอร่อย ผมเลยพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็ยิ้มให้คุณแม่ลิซ่า

“ขออีกแค่นิดเดียวนะครับ” คุณแม่ของพี่นัทยิ้มกว้างแล้วก็ยกจานผมไปตักข้าวเพิ่มให้ ส่วนพี่นัทก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ

“เมื่อก่อนตองหนึ่งตัวเล็กกว่านี้อีกครับแม่ นี่ผมขุนจนน่ากอดขึ้นมาตั้งเยอะ” พี่นัทพูดแล้วก็แอบยื่นมาเข้ามาบีบแก้มผมขณะที่คุณแม่ลิซ่ากำลังหันหลังตักข้าวให้ผมอยู่

“ตัวขนาดนี้แหละ แม่ว่ากำลังน่ารัก” คุณแม่ลิซ่าส่งจานข้าวให้ ผมรับมาแล้วก็ขอบคุณ จากนั้นก็กินจนเกลี้ยงทั้งข้าวทั้งแกงจืด ท้องตึงมากๆ บอกเลย

เมื่อกินข้าวเสร็จพี่นัทก็พาผมไปนั่งเล่นในห้องนั่งเล่นกับทุกคน นั่งคุยกันสนุกสนาน ทั้งเรื่องงาน เรื่องท้องของพี่พาย เรื่องคุณแก้วตา แต่ที่ทุกคนจะขำที่สุดก็คือเรื่องของพี่นัทนี่หละครับ ลุงกรเล่าวีรกรรมในวัยเด็กของพี่นัทให้ผมฟังแทบจะทุกเรื่องเลย

“ตอนนั้น นัทมันอยู่ประมาณประถมหนึ่ง โรงเรียนเขาก็มีประชุมผู้ปกครอง พ่อก็ไปโรงเรียนมัน แล้วในตอนท้ายเขาก็ให้เด็กนั่งที่โต๊ะเรียน ส่วนผู้ปกครองก็จัดที่นั่งแยกไว้ตรงหลังห้อง”

“โหย พ่อ เรื่องนั่นนี่พ่อจะเล่าอีกกี่รอบเนี่ย” พี่นัทแย้งขึ้นมา ลุงกรก็ไม่สนใจเล่าต่อไป

“เขาให้เด็กออกไปพูดเรื่องความฝันของตัวเองหน้าชั้นเรียน เด็กคนอื่นก็พูดไปว่าอยากเป็นหมอ อยากเป็นคุณครู แต่พอถึงคิวเจ้านัทพ่อก็รอฟังว่ามันอยากเป็นอะไร”

“...” พี่นัทถอนหายใจ แล้วก็นั่งกอดอกพิงโซฟา มองไปที่ลุงกรแล้วก็ขมวดคิ้ว

“มันออกไปหน้าห้อง แล้วก็ชี้ไปที่เด็กคนนึงแล้วมันก็พูดเสียงดังเลยนะว่า ‘ผมอยากแต่งงานกับคนนั้นครับ’ มันพูดแค่นั้นว่าตกใจแล้วนะ แต่เด็กที่มันชี้ไปเป็นเด็กตัวเล็กๆ น่ารัก และที่สำคัญเป็นเด็กผู้ชายเว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า” ลุงกรพูดแล้วก็ขำใหญ่

“...” ทุกคนก็ยิ้มกันหมดยกเว้นพี่นัทคนเดียวแหละที่อ้าปากหาวออกมาเล็กน้อย

“ตอนนั้นพ่อก็ตกใจ มันเข้าใจผิดหรืออะไรของมัน แต่มีหลายครั้งเลยที่พ่อชี้เด็กผู้หญิงหรือผู้หญิงสวยๆ ให้มันดู ถามว่าน่ารักมั้ย? หนึ่งรู้มั้ยมันตอบว่าอะไร?  มันดันบอกพ่อว่า ก็งั้นๆ แหละ แล้วหาว่าพ่อไม่มีรสนิยมอีก”

“...” พี่นัทยกมือขึ้นมาเกาหัว แล้วหรี่ตามองพ่อตัวเอง ผมมองแล้วก็ขำกับท่าทางแบบนั้น

“พ่อก็เลยถามกลับว่าแบบไหนถึงจะน่ารัก มันดันชี้ไปที่เด็กผู้ชายคนอื่นอีก พ่อก็ถามมันอยู่แบบนั้นตั้งแต่ประถมหนึ่งยันประถมหก มันก็ชี้อยู่แต่ผู้ชายแถมแต่ละคนที่มันชี้นะตองหนึ่ง สไตล์เดียวกับเราทั้งนั้นเลย”

“...”

“พ่อก็ทำใจไว้แล้ว ว่ามันคงเป็นเกย์แน่ๆ  แต่แฟนคนแรกของมันเป็นผู้หญิงนะ ช่วงนั้นคงกำลังสับสนตัวเอง”

ผมหัวเราะแต่นัทกอดอกเม้มปาก ผมแอบเห็นด้วยนะว่าหูพี่นัทน่ะแดงแปร๊ดเลย ไม่รู้ว่าโมโหหรือว่าอายกันอยู่แน่ ลุงกรก็เล่าอะไรให้ผมฟังหลายเรื่องมาก ถึงบางครั้งอาจจะมีล้อผมอยู่บ้าง แต่ก็เป็นคนคุยสนุก เรานั่งคุยกันอยู่นานจนพี่พายที่ท้องแก่เริ่มปวดหลัง คุณมาคัสเลยพาขึ้นไปนอนบนห้อง  พี่นัทที่ไม่อยากโดนลุงกรล้อ เลยเดินไปทางครัวกับคุณแม่ลิซ่า เหลือผมที่ยังนั่งกับลุงกรอยู่ที่ห้องนั่งเล่น พอเหลือกันแค่สองคน ผมก็เลยประหม่าขึ้นมา

“เห็นพกกล้องตลอดเลย ชอบถ่ายรูปเหรอ?” ลุงกรถามแล้วมองมาที่กล้องผม

“ครับ ผมเรียนจบทางด้านนี้มาด้วย”

“เหรอ งั้นถ่ายพ่อให้ดูหน่อยสิ ขอแบบหล่อๆ นะ เอาแบบดูไม่แก่นะ” ผมยิ้มแล้วก็ยกกล้องขึ้นมาถ่าย ผมถ่ายอยู่สองสามมุม แล้วก็เอารูปให้ลุงกรดู

“อืม ถึงจะดูแก่ไปหน่อย แต่ก็หล่ออยู่ ลุงขอเอาไปใส่กรอบไว้หน่อยล่ะกัน”

“ได้ครับ” ผมพยักหน้าและยิ้มกว้าง

“สอนพ่อถ่ายบ้างได้มั้ย อยากลองเล่นกล้องใหม่ๆ แบบนี้ดูบ้าง ไอ้เราก็ใช้เป็นแค่กล้องฟิล์มเก่าๆ”

“ได้ครับ” ผมรับเอาสายกล้องออกจากคอตัวเอง แล้วส่งให้ลุงกร พร้อมทั้งสอนปรับแสง ปรับโฟกัสภาพ โดยใช้แจกันดอกไม้เป็นตัวทดลอง ลุงกรยังปรับแสงไม่เป็น ผมเลยทดลองถ่ายให้ลุงกรดูอีกครั้ง จนผ่านไปซักครู่ลุงกรก็ทำได้ดีขึ้น

“ทำไมรูปที่พ่อถ่าย กับรูปที่เราถ่ายมันไม่เหมือนกันเลย ทั้งๆ ที่ก็ถ่ายแจกับใบเดียวกัน” ลุงกรบ่นออกมาเมื่อมองสลับไปมาระหว่างรูปที่ผมถ่ายกับรูปที่ตัวเองถ่าย

“กว่าผมจะปรับแสงเป็นก็ฝึกหลายวันอยู่ครับ”

“อื้ม เราเป็นคนถ่ายรูปขนมลงเพจร้านของเจ้านัทด้วยใช่มั้ย?”

“ครับ” ลุงกรคืนกล้องให้ผม แล้วก็ทำท่าคิดอยู่พักนึง หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น

“อืม...งั้นตามพ่อมาหน่อย”

“ครับ?” ผมงง แต่ลุงกรก็ลุกขึ้นแล้วเดินนำผมไป พอผมยังนั่งอยู่ที่เดิม ลุงกรก็เดินกลับมาตามผมอีก

ลุงกรพาผมขึ้นรถแล้วขับพาผมไปข้างนอก ผมเริ่มตกใจเพราะไม่รู้ว่าจะถูกพาไปที่ไหน ออกมาข้างนอกแล้วไม่ได้บอกพี่นัทก่อนแบบนี้จะเป็นอะไรมั้ยเนี่ย… แต่คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง เพราะผมก็ออกมากับพ่อของพี่นัทนี่ ลุงกรคงไม่พาผมไปขายหรอก จริงมั้ย?

“ลุงกรจะพาผมไปไหนเหรอครับ?” ผมถาม ลุงกรหันมายิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มที่ดูเจ้าเลห์มาก และเหมือนพี่นัทมาก จนแวบนึงผมเห็นหน้าพี่นัทซ้อนอยู่กับหน้าลุงกรเลยทีเดียว

“พาไปหาตังค์!!”

ลุงกรพูดแล้วยิ้มกว้าง แต่ผมนี่ยิ้มไม่ออกเลยครับ พาไปหาตังค์นี่คือพาไปไหนครับ จะพาผมไปขายจริงๆ เหรอ อย่างผมขายไม่ออกหรอครับ...

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงลุงกรก็จอดลงที่ลานจอดรถบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แล้วพาผมเดินเข้าไปบริเวณที่เป็นอเวนิว มีร้านอาหารมากมายตั้งอยุู่ แล้วลุงกรก็ตรงไปที่ร้านขนมร้านใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณส่วนกลางของอเวนิว พอเข้าไปภายในร้าน พนักงานทุกคนต่างก็พากันยกมือไหว้ลุงกรพร้อมทั้งยิ้มมาให้ผมที่ยืนอยู่ด้านหลังด้วย ลุงกรเดินเข้าไปหลังร้าน ไม่นานก็ออกมา

“ร้านน่ารักมั้ยล่ะ ขนมก็น่ากินนะ” ลุงกรหันมาพูดกับผม ที่มัวแต่ยืนงงอยู่ ผมมองไปรอบๆ เป็นร้านที่ค่อนข้างใหญ่ ลูกค้าในร้านก็มีแต่เด็กวัยรุ่นมานั่งอ่านหรือติวหนังสือกันทั้งนั้นเลย และพอลุงกรพูดถึงขนมผมก็หันไปมองตู้ขนมบ้าง ในตู้มีเค้กอยู่แค่ไม่กี่ชนิด แต่กลับมีโดนัทน่าตาน่ารัก น่าทานอยู่เต็มไปหมดเลย วอลเปเปอร์ส่วนใหญ่ของร้านก็เป็นลายโดนัท ของตกแต่งส่วนใหญ่ก็มีรูปร่างคล้ายโดนัท ขนาดยูนิฟอร์มของร้านยังเป็นลายโดนัทหลากสีเลย

“ร้านของลุงกรเหรอครับ?” ลุงกรพยักหน้าแล้วพาผมเดินไปนั่งตรงมุมหนึ่งของร้าน พร้อมกับพนักงานที่เดินนำโดนัทมาหลากหลายรส หลากหลายน่าตา หลากหลายขนาดมาวางตรงโต๊ะด้านหน้า นอกจากโดนัทแล้วก็ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายแก้ว หลังจากนั้นลุงกรก็ค่อยชี้ให้พนักงานช่วยกันจัดแบ่งเป็นเซตๆ จนโต๊ะด้านหน้าวางไม่พอ ต้องลากโต๊ะข้างๆ กันมาต่อเป็นโต๊ะใหญ่ ผมมองตาโต ที่เอามาทั้งหมดนี่คืออะไร ลุงกรจะทำอะไรกันเน่!!

“อะ...อะไรกันครับ ผมไม่เข้าใจเลย”

“ช่วยถ่ายรูปขนมแล้วทำโปสเตอร์ให้พ่อหน่อยสิ เดี๋ยวพ่อให้ค่าขนม หนึ่งอยากได้เท่าไรบอกมาเลย”

“โปสเตอร์?”

“ใช่ ถ่ายเป็นเชตตามที่จัดไว้ พ่อจะเอามาทำโปสเตอร์แปะตรงเมนู เวลาเด็กๆ มาซื้อ ก็จะได้สั่งเป็นเซตกัน พนักงานก็ไม่งงมากเวลาคิดเงิน คนซื้อก็สะดวก คนขายก็สะดวก”

“...” ลุงกรอธิบายมารวดเดียว ผมที่สมองค่อนข้างช้า ยังคงงงๆ อยู่ เลยนั่งนิ่งเรียบเรียงคำพูดและเหตุการณ์ใหม่

“ช่วยทำให้พ่อหน่อยได้มั้ย พ่อไม่รู้ว่าต้องไปจ้างใครอะไรยังไง ต้องจัดการอะไรบ้าง ถ้าได้ตองหนึ่งที่เรียนทางด้านนี้มาช่วยทำให้ก็คงดีไม่น้อย เนอะ?”

ลุงกรมองหน้าผมแล้วยิ้ม พามาขนาดนี้ จัดเซตพร้อมสถานที่ให้แบบนี้ มัดมือชกกันชัดๆ  แล้วไหนจะไอ้คำว่า ‘เนอะ’ นี่อีก ลุงกรนี่คือพี่นัทรุ่นซีเนียร์ชัดๆ เลย เป๊ะเลยครับ

“...ก็ได้ครับ” ผมพยักหน้า ลุงกรก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม

เมื่อผมตกลงที่จะทำแล้วก็อยากจะทำให้ดี ผมเลยขอให้ลุงกรหาฉากสีขาวมาวางให้เป็นสตูดิโอขนาดเล็ก ผมใช้เวลาตั้งฉากตั้งไฟไม่นานก็พร้อมถ่าย  มีลุงกรคอยกำกับ และบอกความต้องการตัวเองอยู่ใกล้แบบนี้ งานก็เสร็จเร็ว ใช้เวลาไม่เกินสามชั่วโมงก็ได้รูปตามที่ลุงกรต้องการ

จากการที่ได้ทำงานร่วมกันระยะสั้นๆ ทำให้ผมได้รู้ว่า ถึงลุงกรจะขี้เล่นขี้แกล้งยังไง แต่พอเข้าโหมดทำงานก็เข้มงวดเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน รูปไหนที่ไม่ถูกใจ แกก็ให้ถ่ายใหม่ จัดแสง จัดฉากใหม่หมดเลย แต่ผมก็ไม่มีปัญหา รู้สึกสนุกด้วยซ้ำ นานๆ ครั้งได้ทำอะไรแบบที่เคยทำก็ดีเหมือนกัน

“พวกขนมนี่ หนึ่งอยากกินอะไรก็หยิบกินได้เลยนะ”

“เอ่อ…” ผมลังเล หน้าตานัทนี่ก็น่ากินมากๆ เลย แต่ผมก็เกรงใจอ่ะ นี่ของซื้อของขายนะ

“กินไปเถอะ ของนี่เอาไปขายต่อไม่ได้หรอก ถ้าหนึ่งไม่กินพ่อก็ต้องให้เด็กๆ ในร้านกินกันอยู่ดี”

“...ครับ ขอบคุณนะครับ” ผมขอบคุณลุงกรแล้วก็เลือกหยิบโดนัทมากินชิ้นนึง ไม่ใช่ว่าผมกลัวกินไม่หมดอะไรหรอก แต่เกรงใจอ่ะ ลุงกรมองหน้าผมแล้วหัวเราะเล็กน้อยแล้วก็หยิบโดนัทเพิ่มให้ผมอีก 2 ชิ้น ตามด้วยน้ำส้มอีกแก้วนึง

“เห็นครั้งที่แล้วกินไปตั้งเยอะ ครั้งนี้กินแค่ชิ้นเดียวจะไปอิ่มเหรอไง เกรงใจอยู่ได้”

“แหะแหะ ครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ แล้วก็พยักหน้าไป จากนั้นก็ก้มกินโดนัทต่อ ลุงกรก็ลุกขึ้นไปดูพนักงานบ้าง ดูร้าน ทักทายลูกค้าบ้าง จนผมกินโดนัทและน้ำส้มจนหมด ผ่านไปพักหนึ่งลุงกรก็เดินกลับมาหา พาผมไปในครัว ได้ทดลองทำโดนัทด้วย สนุกดีเหมือนกัน พี่ๆ ที่สอนทำก็ใจดี ถึงแม้ว่าบางครั้งจะร่วมด้วยช่วยลุงกรแกล้งผมบ้างเป็นบางครั้ง

ผมขลุกอยู่หลังร้านเกือบครึ่งวัน สนุกกับการแต่งหน้าโดนัทนี่แหละครับ ชุบน้ำตาล บีบช๊อคโกแลตบีบครีม ถึงขั้นตอนจะคล้ายๆ การทำเค้ก แต่ทำโดนัทนี่มันก็สนุกไปอีกแบบ ทุกอย่างดูกระจุ๊กกระจิ๊กน่ารักไปหมด ลุงกรก็ใจดีให้ผมเอาโดนัทที่แต่งหน้าเองกลับไปกินที่บ้านได้ด้วย เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ จนลุงกรมาตามให้กลับบ้านผมถึงรู้ว่ามันเย็นมากแล้ว

“ตกลงว่า ค่าถ่ายรูปเราคิดยังไง พ่อจะได้โอนให้เลย” ลุงกรถามขณะที่ผมกำลังล้างมือเตรียมกลับ

“โอ๊ะ ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องให้ผมก็ได้ครับ” ผมรีบปฏิเสธ แต่ลุงกรก็หรี่ตาและส่ายหน้าใส่ผม

“จะไม่ให้ได้ยังไง หนึ่งมาถ่ายรูปให้ มันก็เหมือนเป็นงานของหนึ่งนั่นแหละ จะไม่คิดค่าเหนื่อยพ่อได้ยังไงล่ะ”

“...” ทีลุงยังไม่คิดค่าน้ำค่าขนมผมเลยนี่ ผมเถียงในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป

“ถ้าไม่คิดตัง พอไม่พากลับไปหาเจ้านัทนะ ทิ้งให้อยู่ที่นี่แหละ” ลุงกรพูดแล้วก็มองหน้าผมอยู่เล็กน้อย

“...”

“ถ้าคิดค่าแรงได้แล้วก็ยืมโทรศัพท์ที่ร้านโทรไปบอกพ่อนะ ไปล่ะ” ลุงกรพูดแล้วก็ก้าวฉับๆ  เดินออกจากครัวจากร้านไปทันที พนักงานในร้านต่างก็ยกมือไหว้กันแทบจะไม่ทัน นี่คือลุงกรเขาจะทิ้งผมไว้จริงๆ เหรอ ผมรีบวิ่งจนตามหลังทัน ลุงกรหันมามองและยักคิ้วใส่ผม

“ตกลงกี่บาท เดี๋ยวพ่อโอนให้ตอนนี้เลย”

“เอ่อ…2000 ครับ” ไม่ได้ตั้งใจกวนหรืออะไรนะ แต่แบบโดนสายตาคาดคั้นแล้วมันคิดไม่ออกอ่ะครับ

“อย่ามาตลก หารถกลับเองล่ะกัน” ว่าแล้วลุงกรก็เดินไปที่รถ ผมต้องวิ่งตามอีก

“ง่า...อย่าทิ้งผม คุณลุงอยากให้ผมเท่าไรก็ได้ครับ เอาตามที่ลุงกรอยากให้เลย” ลุงกรหยุดหันมามองผม แล้วก็ยิ้ม

“อืม งั้นเอาเลขบัญชีมา” ลุงกรหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วมองหน้าผม ผมเลยบอกเลขบัญชีธนาคารตัวเองไป

“...” ผมยืนมองลุงกรที่กดๆ จิ้มๆ โทรศัพท์อยู่พักหนึ่ง แล้วเขาก็เงยหน้ามองผมพร้อมกับยิ้มกว้างออกมา

“เอาไว้กินขนมนะ” ลุงกรยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูจำนวนตัวเลข ผมตกใจเพราะตัวเลขหลักหมื่นกลางๆ ที่ลุงกรโอนให้ นี่มันมากเกินไปสำหรับการถ่ายรูปแค่เล็กน้อยของผมมากเลยนะครับ ผมถ่ายไปไม่เท่าไรแต่ได้ค่าจ้างเป็นหมื่นนี่ เกินไปจริงๆ

“คุณลุงครับ มันเยอะเกินไปนะครับ ราคาขนาดนั้นคุณลุงไปให้สตูดิโอดีๆ ทำให้ได้เลยนะครับ”

“เอาไปเถอะ พ่อให้เป็นค่าขนมไง ไปเร็ว รีบกลับบ้านกัน ป่านนี้ เจ้านัทคงกลายร่างเป็นยักษ์ไปแล้วมั้ง มันโทรมาเป็นสิบสาย...พ่อไม่ได้รับซักกะสาย”

ลุงกรพูดแล้วก็หัวเราะเสียงสะใจ ผมอยากจะร้องไห้ ไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนเลย ทั้งแรงกดดันจากจำนวนเงิน ทั้งนึกถึงพี่นัทในร่างยักษ์ที่ลุงกรพูดถึงอีก โอย...ปวดหัว พ่อกับลูกบ้านนี้ทำเอาผมปวดหัวจริงๆ

การจราจรในช่วงเย็นเป็นอะไรที่โคตรจะติดขัด กว่าจะถึงบ้านพี่นัทก็มืดเลย

“เดี๋ยวหนึ่งคอยดูนะ หน้าบ้านจะมียักษ์มายืนเฝ้า” ลุงกรบอกผมแล้วก็หัวเราะออกมา ดูลุงกรอารมณ์ดีมากเลย แต่ผมนี่สิได้แต่ยิ้มฝืดๆ หวั่นใจกลัวพี่นัทจะโกรธเอา

พอเข้ามาในบริเวณลุงกรก็ยิ่งหัวเราะเสียงดัง เพราะพี่นัทมายืนรอตรงที่จอดรถเลยด้วยซ้ำ หน้าตานี่หงุดหงิดสุดๆ ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วก็เปิดประตูลงจากรถ ผมเห็นพี่นัทจ้องลุงกรเขม็งเลยอ่ะ สักพักก็ตวัดสายตามาทางผม

อือหืม ดุลอดแว่นมาเลย

“โอย หิวข้าวจัง วันนี้มีอะไรกินนะ” ลุงกรพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยยักษ์ที่ชื่อว่านัทอยู่กับผมแค่สองคน ทำไมลุงกรทิ้งผมแบบนี้ล่ะครับ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ผมยืนก้มหน้าอยู่ที่เดิม จะเดินตามลุงกรไปก็ไม่กล้า จะทักทายก็ไม่กล้าเหมือนกัน ผมเลยได้แต่ยิ้มแหยๆ ไปให้พี่นัท

“เด็กดื้อ เด็กนิสัยไม่ดี อยู่ดีๆ ก็หายไป” พี่นัทกอดอกจ้องผมเขม็งเลย

“ผมไม่ผิดนะ...” ผมพูดเสียงเบา ผมไม่ผิดจริงๆ นะก็ลุงกรเป็นคนพาผมออกไปเอง แล้วก็ออกไปกะทันหันด้วย ผมก็ไม่รู้จะบอกพี่นัทยังไงนี่นา

“ไปไหนทำไมไม่บอกกันหน่อยล่ะครับ พี่ก็เป็นห่วงไปสิ ออกไปตั้งแต่เช้ากลับมาก็มืด โทรไปก็ไม่รับเลยซักคน”

“ก็มันกะทันหัน ผมไม่ได้พกโทรศัพท์ไป แล้วผมบอกพี่ไม่ทันเพราะพี่นัทก็ไม่อยู่ให้ผมบอกด้วย…”

“ยังจะมาเถียงอีก มันน่านัก” พี่นัทยกมือขึ้นเหมือนตี ผมเลยดันกระเป๋ากล้องไปไว้ด้านหลังแล้วรีบพุ่งเข้ากอดพี่นัทไว้ก่อน

“อย่าตี หนึ่งไม่ได้เถียง หนึ่งแค่อธิบายให้พี่นัทฟังครับ” ผมกอดเอว แล้วซบหน้ากับหน้าอกพี่นัท แล้วพูดเสียงออดเสียงอ้อน เวลาแบบนี้ต้องอ้อนเท่านั้นแหละ

พี่นัทลดมือลงแล้วเปลี่ยนดันไหล่ผมออกแทน ผมก็ยิ่งกอดเอวพี่นัทแน่นเข้าไปใหญ่ เงยหน้ากระพริบตาปริบๆ ใส่พี่นัท ยิ่งพี่นัทดันผมออกผมก็ยิ่งกอดแน่น

“ปล่อยได้แล้ว ถ้าไม่ปล่อยจะตีจริงๆ นะครับ”

“งื้อ พี่นัทจะตีหนึ่งจริงๆ เหรอครับ”

“จิ๊ มาทำเป็นอ้อนเสียงเล็กเสียงน้อย คิดว่าทำแบบนี้แล้วพี่จะหายโกรธเหรอ?” พี่นัทจิ๊ปากแล้วก้มมองผม จากนั้นก็หันหน้าไปทางอื่น ผมเลยเขย่งเท้าขึ้นจุ๊บปลายคางพี่นัทไปทีนึง แล้วก็อ้อนต่อ

ผมเห็นว่าพี่นัทหูแดง ก็รู้เลยว่าพี่นัทน่ะใจอ่อนไปแล้ว ผมเลยเพิ่มระดับการอ้อนขึ้น พูดเพราะๆ ทำตาวิ๊งๆ ใส่ แถมยิ้มหวานให้ด้วย ไม่ยอมก็ให้รู้ไปสิ

“แล้วที่รักจะไม่หายโกรธเค้าเหรอ?” พี่นัทก้มลงมามองผมแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะใช้ทั้งสองดึงดึงแก้มผม

“หายสิคร๊าบ น่ารักแบบนี้ใครจะไปโกรธลงล่ะ”

พี่นัทยืนดึงแก้มแล้วถามสาเหตุที่ผมหายไปทั้งวันสักพักก็พาผมเข้าบ้าน เพราะอยู่นานๆ  ชักจะโดนยุงกัดเยอะ พอเข้าไปเราก็กินข้าวมื้อเย็นกัน ผมรู้สึกสนิทและคุ้นเคยกับครอบครัวพี่นัทมากขึ้น อาการประหม่าก็น้อยลง เพราะทุกคนก็ชวนผมคุยตลอด แถมยังใจดีมีขนมให้ผมกินเยอะแยะไปหมด

พอกินข้าวกินขนมกันเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายเข้าห้องนอน  ผมก็รีบเปิดแลปทอปที่ติดตัวมาพอดีปรับแต่งภาพให้กับลุงกร เกรงใจค่าแรงครับเลยอยากทำให้เสร็จเร็วๆ ไม่กล้าอู้นาน

“หนึ่งครับ นี่มันดึกแล้วนะ ไปอาบน้ำแล้วมานอนกันเถอะ” พี่นัทเรียกจากบนเตียง ตอนนี้มันก็เวลาเกือบจะเที่ยงคืนอยู่แล้ว ผมอยากทำให้เสร็จคืนนี้เลย เหลืออีกแค่ไม่กี่ภาพเอง

“พี่นัทนอนไปก่อนเลยครับ ผมอยากทำภาพของลุงกรให้เสร็จก่อน”

“ไม่เอาอ่ะ พี่อยากนอนพร้อมหนึ่งนี่ครับ”

“ถ้าพี่นัทง่วงก็หลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมก็เสร็จแล้ว” ผมพูดทั้งที่ยังไม่ละสายตาไปจากหน้าจอ

“พ่อนะพ่อ แทนที่จะได้นอนกอดเมียดีๆ ยังส่งงานมาขัดขวางกันอีก” พี่นัทบ่นกระงอดกระแงดอยู่พักหนึ่ง แล้วเสียงก็เงียบไป พอผมหันไปอีกที คนที่บอกว่าอยากนอนพร้อมผมก็หลับไปก่อนซะแล้ว ผมยิ้มแล้วก็กลับมาทำงานตัวเองต่อ

ผมนั่งทำอยู่สักพักก็เสร็จ เวลาก็ตีสองกว่าๆ แล้ว ผมตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วก็จัดการโอนไฟล์ใส่ USB ที่ลุงกรให้มา ผมปิดคอมไปอาบน้ำแล้วก็มานอนกับพี่นัท

ผมค่อยแทรกตัวเข้าผ้าห่มเบาๆ เพราะกลัวว่าพี่นัทจะตื่น จนจัดท่าตัวเองเรียบร้อยแล้วกำลังจะหลับตานอน คนที่ผมคิดว่าหลับไปแล้วก็สอดมือเข้ามาดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้ๆ กับตัวเอง

“พี่นัท ผมนึกว่าพี่หลับไปแล้ว” ผมพลิกตัว หันหน้าเข้าหาพี่นัทแล้วก็พูด ตอนนี้ทั้งห้องมืดไปหมด สายตาผมก็ยังไม่ชินความมืด เพราะเพิ่งจะปิดโคมไฟไป ผมเห็นแค่หน้าพี่นัทลางๆ แค่นั้น ไม่รู้ว่าหลับตาหรือลืมตาอยู่

“ไม่มีหนึ่งนอนข้างๆ แล้วมันหลับไปสนิท”

พี่นัทพูดแล้วก็ดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้อีก เปลี่ยนให้ผมนอนหนุนแขนพี่นัทแทนหมอน แล้วพี่นัทก็ใช้ตัวเองห่อผมไว้อีกที อบอุ่นสุดๆ  รู้สึกอบอุ่นจนร้อนเลยล่ะครับ

ผมเอื้อมมือกอดเอวพี่นัทไว้แล้วก็ซุกหน้าลงกับซอกคอพี่นัทและหลับตาลง หลังจากที่เงียบไปซักพัก เขาก็พูดขึ้นช้าๆ  เหมือนคนละเมอ

“พี่อยากหลับไปพร้อมกับหนึ่งแบบนี้ทุกคืน พี่รู้สึกมีความสุขที่มีหนึ่ง”

“...ผมก็มีความสุขที่มีพี่”

ผมพูดเสียงเบาๆ  แต่มั่นใจว่าพี่นัทได้ยินชัดแน่นอน เพราะหลังจากที่สิ้นเสียงผม พี่นัทก็กอดผมแน่นขึ้น มันไม่ได้อึดอัด แต่มันอบอุ่น...อุ่นใจ

“พี่มีความสุขที่ได้รักหนึ่ง” พี่นัทพูดเสียงเบาและช้าลงเรื่อยๆ  คงจะง่วงจนพูดไม่ไหวแล้ว ผมเลยขยับใบหน้าแล้วจูบเบาๆ ตรงคอพี่นัท

“ผมก็มีความสุขที่ได้รักพี่ครับ”

 
#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie
Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 29 : ครอบครัวเดียวกัน 1 l 10-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 10-11-2019 20:32:20
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 29 : ครอบครัวเดียวกัน 1 l 10-11-62
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 11-11-2019 00:06:50
เจอครอบครัวว่ามี่ซะมีแล้ว แถมพ่อซะมีสายเปย์ซะด้วย  :katai2-1:

เหลือครอบครัวน้องจะโอเคมากๆ เหมือนกันหรือเปล่าน้อ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 30 : ครอบครัวเดียวกัน 2 l 20-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 20-12-2019 21:52:17
30 : ครอบครัวเดียวกัน 2


“อูย...” ผมรู้สึกตัวขึ้นช้าๆ  เมื่อรู้สึกว่าคนข้างตัวผมขยับเล็กน้อยพร้อมกับเสียงโอดโอยแล้วเงียบไป ผมมองหน้าต่างก็เห็นว่าฟ้ายังไม่สว่างดีเลย บวกกับที่ยังง่วงอยู่ ผมก็เบียดตัวเข้าหาพี่นัทแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง

“หนึ่งครับ ตื่นเถอะ” ผมได้ยินเสียงนุ่มๆ แล้วก็มืออุ่นที่ลูบไปตามแก้ม ยิ่งเจอแบบนี้ยิ่งไม่อยากตื่นเลย อยากจะนอนกอดกับพี่นัทแบบนี้ไปทั้งวัน ยิ่งคิดผมก็ตวัดแขนโอบเอวพี่นัทแล้วก็กอดไว้หลวมๆ

“เจ้าเตี้ยขี้เซา ตื่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” พี่นัทพูดเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมืออุ่นที่ลูบนั้นก็เปลี่ยนเป็นบีบแก้มผมแทน

“อื้อ” ผมครางในลำคออย่างขัดใจเล็กน้อย แล้วก็ลืมตาค้อนใส่พี่นัทไปทีนึง แต่พอลืมตาปุ๊บก็เจอรอยยิ้มละมุนปั๊บ อาการขัดใจที่โดนปลุกก็หายไปทันทีเลย

“อรุณสวัสดิ์ครับ” พี่นัททักทายตอนเช้าพร้อมกับดันตัวผมออก แต่ผมไม่ยอม เบียดตัวเข้าหาพี่นัท ซุกหน้ากับซอกคออุ่นๆ  แต่ดูเหมือนว่าพี่นัทก็ยังพยายามที่จะดันตัวผมออกอยู่ดี ผมบุ้ยปากแล้วเงยหน้ามองพี่นัท

“ดันผมออกทำไม ผมอยากกอดพี่นี่ครับ”

“พี่ก็อยากนอนให้หนึ่งกอดครับ แต่ว่าหนึ่งลุกขึ้นดีกว่าครับ”

“ผมยังไม่อยากลุก นี่วันหยุดนะครับ ผมอยากนอนกอดพี่!” ผมส่ายหน้าแล้วเริ่มงอแง และพูดเสียงแข็งใส่พี่นัทผมอยากกอดเขาอ่ะ พี่นัทไม่อยากกอดผมรึไง ทีเมื่อคืนยังบอกว่ายังอยากนอนกอดผมอยู่เลย ผ่านมาแค่คืนเดียวทำไมกลับคำแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวงอนซะเลยนี่

“โอย  พี่ก็อยากนอนกอดหนึ่ง แต่ตอนนี้แขนพี่เป็นเหน็บชาไปทั้งแขนแล้วครับ หนึ่งรีบลุกออกไปก่อนเถอะนะครับ พี่รู้สึกเหมือนจะเป็นตะคริวแล้วด้วย”

พี่นัทพูดจบผมก็รีบลุกขึ้น มองไปที่แขนพี่นัทที่วางราบกับเตียง ส่วนพี่นัทก็พยายามใช้มืออีกข้างบีบนวดไปตามต้นแขน พร้อมกับร้องโอดโอยไปด้วย

“พี่นัท ผมขอโทษ ผมไม่รู้...ก็พี่ไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้นี่ครับ” ผมขยับตัวนั่งแล้วก็รีบบีบนวดไปตามแขนของพี่นัท ปากก็พูดโบ้ยความผิดไปให้คนตัวสูงที่นอนโอดอวยอยู่ ทั้งๆ ที่สาเหตุที่ทำให้พี่นัทแขนชาก็มาจากผมนี่แหละครับ ก็พี่นัทเล่นวางแขนมาให้ผมใช้หนุนแทนหมอนทั้งคืนเลย

“ครับๆ  พี่ผิดเองที่ไม่บอกหนึ่ง โอย” ผมบีบไปตามแขนและมือ พี่นัทก็พยายามขยับนิ้ว กำเข้าและแบออก เวลาผ่านไปนานพอสมควร อาการแขนชาดีขึ้น พี่นัทลุกขึ้นนั่ง แล้วยิ้มให้ผม

“พี่ดีขึ้นแล้วใช่มั้ย?” ผมถามแต่มือก็ยังบีบแขนพี่นัทอยู่

“หายแล้วครับ ไม่ชาแล้ว” พี่นัทบอกแล้วกำมือแบมือโชว์ผม พอเห็นว่าพี่นัทคงจะหายแล้ว ก็หยุดนวดแล้วถอนหายใจออกมา และกำลังจะลุกออกจากเตียงเพิื่อไปเข้าห้องน้ำ แต่จู่ๆ ก็โดนพี่นัทดึงลงให้ไปนอนกับเตียงอีกครั้ง

“เหวอ!! พี่นัทจะ หวา~ พี่จะทำอะไรครับ” ผมตกใจเมื่อจู่ๆ ก็โดนดึงแล้วก็ตกใจอีกครั้งเมื่อจู่ๆ พี่นัทแยกขาผมออกพร้อมๆ กับที่ตัวพี่แกแทรกเข้ามาอยู่ตรงกลางหว่างขาผมอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นพี่นัทก็เหยียดตัวนอนยาว แล้วซบหน้าลงกับหน้าท้องของผม

“ก็หนึ่งบอกว่าอยากนอนกอดพี่นี่ครับ” พี่นัทมุดหน้าเข้าไปในเสื้อของผมแล้วแนบริมฝีปากลงกับหน้าท้องเปลือยเปล่าจนผมเกร็งหน้าท้องเล็กน้อย

“อื้อ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ครับผมอยากเข้าห้องน้ำ ผมปวดฉี่ครับ” ผมพูดแล้วก็บิดขาเข้าเล็กน้อย แต่พี่นัทก็ไม่ยอมหยุด ประทับจูบเบาๆ ไปทั่วหน้าท้องและเลยขึ้นมาที่หน้าอก มือข้างหนึ่งของพี่นัทก็กดลงที่ท้องน้อยของผม ทำเอาผมเกร็งตัวแทบไม่ทันเลย ก็แหม่...คนยิ่งปวดฉี่อยู่ มากดท้องน้อยกันแบบนี้ นี่อันตรายสุดๆ เลย

“นุ่มนิ่มดีจัง น่ากัด น่ากิน”

หงับ!

“อ๊ะ! พี่นัท!”  ผมสะดุ้ง เกร็งขาเกร็งหน้าท้อง เมื่อพี่นัทงับเข้าที่หัวนมผมอย่างกะทันหัน ผมมองลอดคอเสื้อของตัวเองก็มองเห็นว่าพี่นัทกำลังงับและดูดตรงยอดอกผมอยู่

“ข้างนี้ก็น่ากิน~” พี่นัทช้อนตามองผม แล้วก็ย้ายไปอีกข้าง ผมแหงนหน้าขึ้น บิดขาตัวเองเข้าหาตัวพี่นัท เกร็งหน้าท้องแน่น มือก็ดันหัวพี่นัทออก ยิ่งพี่นัทดูดผมก็รู้สึกเหมือนฉี่จะราดเอาให้ได้เลย

“อื่อ พี่นัท ผมไม่ไหวแล้วจะราดแล้ว ฮือ” ผมร้องครวญคราง หลับตาปี๋ อยากจะร้องไห้จริงๆ  ยิ่งมีตัวพี่นัทกดท้องน้อยผมอยู่ด้วยแล้ว ยิ่งไปกระตุ้นให้ผมปวดมากกว่าเดิมอีกครับ

“อืม หนึ่งดูนี่สิ สีสวย แวววาวน่ากินมากเลย” พี่นัทชวนให้ผมมองยอดอกของตัวเองที่เป็นสีเรื่อๆ และตั้งชันเพราะโดนพี่นัทดูด อีกทั้งยังดูแวววาวเพราะน้ำลายของพี่นัทอีกด้วย

“ผมปวดฉี่ ผมจะฉี่ราดที่นอนพี่แล้วนะครับ” ผมขึ้นเสียงเล็กน้อยเมื่อพี่นัทไม่ยอมลุกออกจากตัวผมซักที

“งั้นเดี๋ยวพี่พาไปห้องน้ำนะครับ” พี่นัทยิ้มหวาน ลุกออกจากตัวผม แล้วเอื้อมมือไปหยิบแว่นมาใส่ แล้วดึงตัวผมให้ลุกขึ้น จับแขนผมให้กอดคอและจับขาผมให้โอบเอวพี่นัทไว้ หลังจากนั้นก็อุ้มผมขึ้นจากเตียงเพื่อเดินไปห้องน้ำ

“พะ...พี่ ผมเดินมาเองก็ได้นะ” ผมบอก พี่นัทอุ้มผมมาในห้องน้ำ และปล่อยผมลงตรงหน้าชักโครก ผมรีบปลดกางเกงของตัวเองลงเตรียมพร้อมที่จะปลดปล่อย แต่พี่นัทที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เข้ามายืนซ้อนหลัง

“เดี๋ยวพี่ช่วยนะครับ”

“ช...ช่วยอะไร...” ผมพูดเสียงเบาหวิว เมื่อเริ่มเข้าใจว่าพี่นัทจะช่วยอะไรผม

พี่นัทใช้มือข้างซ้ายจับทั้งสองมือและชายเสื้อของผมไว้ ส่วนมือขวาของพี่นัทก็ลูบลงไปตามหน้าท้อง ท้องน้อย ก่อนที่จะจับเข้าที่เจ้าหนูของผม ก่อนที่จะเล็งไปที่ชักโครก เล่นเอาผมเกร็ง ฉี่ไม่ออกไปเลยทีเดียว

“ปล่อยออกมาสิครับ” ใครจะไปปล่อยได้ล่ะ ทั้งจ้องทั้งจับขนาดนี้ น่าอายจะตาย

“ไม่เอา แบบนี้น่าอายเกินไป อื้อ...” พอผมปฏิเสธ แต่มือพี่นัทที่ยึดข้อมือผมไว้ก็กดลงไปเบาๆ  ตรงหน้าท้อง ทำเอาฉี่ผมเล็ดออกมาเล็กน้อย

“ปล่อยสิ อั้นไว้ไม่ดีต่อสุขภาพนะครับ” พี่นัทพูด แล้วก็กดหน้าท้องผมหนักขึ้น ผมกัดปากตัวเองแน่น เหลือบตามองค้อนใส่คนที่อยู่ด้านหลัง ผมเอาแต่ยืนบิดขาไปมา ไม่ยอมฉี่ออกมาซักที พี่นัทก็ยิ่งกดท้องน้อยผมแรงขึ้น จนผมที่ปวดฉี่จนทนไม่ไหวอีกต่อไปก็ต้องปล่อยสายน้ำออกมา

จ๊อก~

“ฮือ โรคจิต...พี่นัทโรคจิต”

ผมก้มหน้าหลับตาปี๋ รู้สึกร้อนไปทั้งใบหูและหน้า อยากจะร้องไห้ออกมา ทั้งๆ ที่ด้านล่างก็ยังปล่อยน้ำออกมาไม่หยุด น่าอายจริงๆ  เพราะพี่นัทคนเดียวเลย พี่นัทโรคจิต

“หึหึ น่ารักจัง” พี่นัทพูดแล้วก็จุ๊บตรงหลังคอของผมเหมือนปลอบใจ

“พี่นัทโรคจิต” ผ่านไปครู่เดียวผมก็ปล่อยจนหมดก๊อก พี่นัทก็จัดการทำความสะอาดให้จนเรียบร้อย ผมมองพี่นัทตาขวาง ทำปากยื่นปากยาวใส่

“ทำไมมองแบบนั้นล่ะครับ อยากลองทำดูมั้ยครับ พี่ว่ามันก็ตื่นเต้นดีนะ พี่รู้สึกปวดฉี่อยู่พอดีเลยด้วย”

“...พี่นัทโรคจิต นิสัยไม่ดี”

“ฮ่าฮ่าฮ่า โรคจิตแล้วรักมั้ยล่ะ? นิสัยไม่ดีแล้วรักมั้ยล่ะ?” พี่นัทพูด ยิ้มกว้างทำหน้าตาทะเล้นน่ารัก แล้วเอามือมาแตะๆ แกล้มผมเหมือนหยอกเล่น

“ไม่รู้ หู้วว” ผมปัดมือพี่นัท แล้วถอดเสื้อออกเตรียมจะอาบน้ำ

“จะอาบน้ำเหรอ พี่อาบด้วยสิ จะได้ประหยัดเวลา” พี่นัทพูดแล้วทำท่ากะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาหาผม พลางถอดชุดนอนของตัวเองออกไปด้วย

“อาบด้วยกันได้ แต่ห้ามทำอะไรผมนะ ถ้าพี่ทำ...ตอนที่ไปบ้านผม ผมจะให้พี่นอนนอกห้อง” ผมบอกพี่นัทไว้ ไม่ได้ขู่ด้วย อยู่บ้านพี่นัทผมไม่มีสิทธิสั่ง แต่ถ้าอยู่บ้านผม ผมจะทำอะไรกับพี่นัทก็ได้ หึ!

“โถ่ ทำไมดักคอกันแบบนี้ล่ะครับ มีของน่ากิน น่าฟัด น่าขย้ำอยู่ตรงหน้า ใครจะอดใจไหว”

พี่นัทยังคงบ่นต่อไป แต่ก็ทำตามที่ผมบอก ไม่ได้มาลุ่มล่ามอะไรมาก พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จ พี่นัทก็พาผมลงด้านล่าง เจอคุณแม่ลิซ่าทำข้าวเช้าอยู่พอดีก็เลยเข้าไปช่วย จนตอนประมาณแปดโมงกว่าๆ  ทุกคนตื่นกันครบ เราก็ตั้งโต๊ะกินข้าวเช้ากัน

“อ๊ะ ลงกรครับ นี่รูปภาพของเมื่อวาน ผมทำเสร็จแล้ว แยกไฟล์ไว้แล้วด้วยครับ” ก่อนที่จะทานข้าว ผมส่ง USB ให้ลุงกร แล้วก็อธิบายไฟล์ภาพให้ลุงกรฟังเล็กน้อย

“อื้ม ทำเสร็จเสร็จเร็วจัง เดี๋ยวพ่อให้ทิปเพิ่มนะ”

“ไม่เป็นไรครับ ที่คุณลุงให้ผมมาก็เยอะมากๆ เลยครับ ลุงกรไม่ต้องให้ผมเพิ่มแล้วครับ” ผมรีบปฏิเสธทันที ขืนรับเงินมาเยอะกว่านี้ ความเกรงใจผมคงจุกอกตาย

“แหม ว่าจะพูดตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ทำไมยังเรียกลุงอยู่อีกล่ะ พ่อก็เรียกแทนตัวเองว่าพ่อแล้วไง หนึ่งก็เรียกพ่อว่าพ่อบ้างสิ พ่อกร อ่ะลองเรียกสิ”

“เอ่อ...”เมื่อลุงกรอยากให้ผมเรียกแทนตัวเองว่าพ่อ ผมก็เกิดอาการปากแข็งขึ้น มันยังไม่ชินนี่ ให้มาเปลี่ยนกะทันหันก็แปลกๆ อ่ะครับ

“ไม่ยอมเรียก พ่อจะสั่งให้แต้มมาขย้ำให้เหลือแต่กระดูกเลย แต้ม!!” ว่าแล้วลุงกรก็ตะโกนเรียกเจ้าหมายักษ์ลั่นบ้าน

โฮ่ง!!

ทันที่ลุงกรเรียก เจ้าแต้มที่ก่อนหน้านี้ ไปมุดอยู่รูไหนก็ไม่รู้ วิ่งหูกระเพื่อมมาเลย แถมวิ่งน้ำลายเยิ้มมาทางผมอีกด้วย จนผมตกใจรีบหลบหลังพี่นัททันที

“หวา! ผมจะเรียกครับ!”

“เหรอ งั้นเรียกสิ” ลุงกรลูบหัวเจ้าหมาแต้มเล็กน้อย เจ้ายักษ์นั่นก็นั่งลงอย่างว่าง่าย แต่ตานั่นดันจ้องมาทีผมอย่างเดียวเลย

“พ...พะ...” ผมตะกุกตะกัก ทั้งประหม่าที่ต้องเรียก ทั้งกลัวเจ้ายักษ์ที่นั่งน้ำลายยืดอยู่อีก

“แต้ม!” พอเห็นผมเอาแต่ติดอ่าง ลุงกรก็เรียกชื่อแต้ม เจ้าหมายักนั่นลุกขึ้นทันที จนผมต้องหันไปขอความช่วยเหลือจากพี่นัท

“พี่นัท ช่วยผมหน่อย”

“หนึ่งก็เรียกไปสิครับ ตอนนี้พ่อของพี่ก็เหมือนพ่อของหนึ่ง เร็วสิ ถ้าไม่รีบระวังแต้มงับจริงๆ นะ” นอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังขู่ให้กลัวด้วย

“พะ พะ พะ...”

“แต้ม ไปกัดให้จมเขี้ยวเลย!”  ลุงกรตบก้นเจ้าแต้มทีนึง เจ้ายักษ์นั่นเตรียมท่าจะกระโจนใส่เต็มที่ ทำเอาผมตาเหลือกเลยทีเดียว

“พ่อกร!” ผมตระโกนเรียกเสียงดังจนคุณมาคัสกับพี่พายที่เพิ่งเดินลงมาพากันตกใจ

“เอ้อ แกล้งสนุกนะเราเนี่ย” ลุงกรหัวเราะชอบใจ ก่อนที่จะดึงคอเจ้าแต้มให้ออกไปเล่นนอกบ้าน ส่วนผมก็ยืนสติกระเจิงอยู่ที่เดิม มีพี่นัทกับพี่พายคอยปลอบอยู่

พอลุงกร อ๊ะ! ไม่ใช่สิ พอพ่อกรกลับมา ทุกคนก็เริ่มทานข้าวเช้ากัน

“พรุ่งนี้นัทจะไปต่างจังหวัดนี่ จะออกกี่โมง เดี๋ยวแม่ตื่นมาทำข้าวเช้าให้” คุนแม่ลิซ่าถามพี่นัท

“ไม่เป็นไรครับ ผมออกกันแต่เช้า รถจะได้ไม่ติด”

“แล้วจะไม่กินข้าวเช้าเหรอ ลูกสะใภ้ฉันยิ่งกินเก่งๆ อยู่ อย่าปล่อยให้หิวสิ เดี๋ยวพ่อให้โดนัทไปกินระหว่างทางนะ” คราวนี้ลุงกร เอ๊ย! คุณพ่อกรพูด ทำเอาผมหน้าแดงทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว ก็แกเรียกผมว่าลูกสะใภ้ได้เต็มปากขนาดนั้น ผมก็รู้สึกเขินๆ สิครับ

“ลูกสะใภ้พ่อก็เมียผมป่ะล่ะ ไม่ปล่อยให้อดตายหรอกครับ” พี่นัทพูดแล้วก็ตักกับข้าวมาใส่จานให้ผม

“แล้วพรุ่งนี้จะเตรียมอะไรไปสู่ขอล่ะ ได้เตรียมของไว้รึยัง” พ่อกรถามพี่นัท ผมก็งงว่าสู่ขออะไร ผมเลยหันไปมองพี่นัทถามทางสายตา

“ทางบ้านตองหนึ่งเขาชอบกินกาแฟกับคุ๊กกี้กันครับ ผมเลยเตรียมเม็ดกาแฟพันธ์ดีกับคุ๊กกี้ที่ผมทำไว้ให้ครับ”

“หะ สู่ขออะไรครับ ทำไมผมไม่รู้เรื่อง” ผมพูดแทรกขึ้นไป อาจจะดูไม่มีมารยาท แต่นี่มันคือเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวผม ผมจึงอยากรู้จนทนไม่ไหวจริงๆ

“อ่าว…”พี่พายมองหน้าผม แล้วก็หันไปมองพี่นัท ทุกคนก็หยุดทาน แล้วมองผมกับมองพี่นัทกันเลิกลั่กไปหมด ทำไมทุกคนดูรู้เรื่องกันหมดแล้ว ยกเว้นผม ผมเนี่ยยังงงอยู่เลย

“คือพรุ่งนี้ เราจะไปเยี่ยมพ่อแม่หนึ่งกันใช่มั้ยครับ” พี่นัทวางช้อนแล้วหันมาพูดกับผม

“ใช่ครับ” ผมพยักหน้า พี่นัทยื่นมาจับแก้มผมและลูบเบาๆ

“พี่คิดว่าไหนๆ ก็ไปแล้ว แล้วพี่ไม่อยากจะคบหนึ่งแบบหลบๆ ซ่อนๆ หรือต้องปกปิดใครซักเท่าไร...อยากทำให้มันถูกต้องที่สุด”

“...”

“พี่ก็เลยตัดสินใจที่จะบอกเรื่องของเราให้พ่อแม่ของหนึ่งได้ทราบครับ” พี่นัทพูดแล้วยิ้มละมุน ผิดกับผมที่ยังคงนั่งนิ่งๆ มองพี่นัทอยู่

“แล้วถ้าพ่อผม แม่ผม ไม่ยอมรับล่ะครับ ถ้าเขาไม่ยอมให้เราคบกัน หรือถ้าพ่อแม่ผมรังเกียจผมล่ะ”ผมขมวดคิ้ว พอคิดตามที่พี่นัทพูด ผมก็กลัวๆ ขึ้นมา

“หนึ่งใจเย็นๆ สิครับ พี่คิดว่าพ่อแม่ของหนึ่งไม่รังเกียจหรอกครับ”

“ใช่ พ่อคิดว่า ไม่มีพ่อแม่คนไหนจะรังเกียจลูกเพราะเรื่องแค่นี้หรอก” พ่อกรพูดขึ้น ผมมองหน้าทุกคนที่ส่งยิ้มให้กำลังใจให้ผม

“แต่ผมกลัว ผมกับน้องเป็นผู้ชายทั้งคู่ แล้วก็เป็นแบบนี้ทั้งคู่ด้วย แม่เคยบอกว่าแม่อยากอุ้มหลาน อยากมีหลาน แต่ผมมีให้แม่ไม่ได้ ตองสองก็คงทำไม่ได้ ผมไม่กล้าบอก ผมกลัวแม่รับไม่ได้ กลัวพ่อรับไม่ได้” ผมพูดออกมาเสียงเบา แค่คิดถึงตอนที่ผมบอกความจริง แล้วแม่ต้องร้องไห้ หรือพ่ออาจจะไล่ผม...ผมก็กลัว

ตอนนี้ผมอาจจะคิดมากไปเอง แต่ความกลัวที่อยู่ในใจตอนนี้ ผมไม่รู้จะจัดการยังไง คนที่กลัว ยังไงก็กลัวอยู่ดี ต่อให้คนอื่นมาปลอบว่าจะไม่เป็นไรก็เถอะ

“ถ้าหนึ่งกลัวก็ไม่เป็นไรครับ หนึ่งไม่อยากให้พี่บอกจริงๆ  พี่ไม่บอกพ่อแม่หนึ่งก็ได้ เราคบกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ  รอให้หนึ่งพร้อมแล้วเราค่อยบอกกันก็ได้นะครับ อย่าคิดมากนะ” พี่นัทพูดเสียงนุ่ม

“พอๆ  อย่าเพิ่งเครียดกันเลย มากินข้าวกันก่อนเถอะ เดี๋ยวกับข้าวจะเย็นซะก่อน” ลุงกรพูดชวนให้ทุกคนกินข้าว ระหว่างมื้อเช้าผมก็แอบมองหน้าพี่นัทอยู่เรื่อยๆ  พี่นัทอยากจะบอกเรื่องราวของเราให้พ่อแม่ของผมรู้ ในขณะที่ผมคิดว่าจะปิดไปตลอด...อาจจะปิดไม่ได้นาน แต่ก็ไม่มีความคิดว่าจะบอกความจริงกับพ่อแม่ตัวเองในเร็วนี้ๆ

 
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 30 : ครอบครัวเดียวกัน 2 l 20-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 20-12-2019 21:52:49


พอทุกคนกินข้าวเช้ากันเสร็จ ก็แยกย้ายกันไป คุณมาคัสพาพี่พายไปตรวจครรภ์ ส่งลุงกรกับคุณแม่ลิซ่าเดินเล่นกันอยู่ในสวน ส่วนผมก็มาช่วยพี่นัททำคุ๊กกี้อยู่ในครัว

“ทำไมเงียบจัง เครียดเหรอครับ”

ผมไม่ได้ตอบอะไรแต่ส่งยิ้มให้พี่นัท มือก็คนส่วนผสมในอ่างแก้วต่อไป พี่นัทที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  เท้ามือลงกับเคาน์เตอร์ครัวแล้วก้มหน้าลงมามองผม

“พี่ขอโทษนะที่ไม่ได้บอกหนึ่งก่อน ไม่ได้ปรึกษาเรื่องที่จะบอกนั่น” พี่นัทยิ้มให้ผม พอผมไม่ได้ตอบอะไร พี่แกก็ขยับเข้ามาหอมแก้ม “โกรธพี่เหรอครับ?”

“ทำไมพี่นัทถึงอยากให้บอกเรื่องของเราให้พ่อแม่ผมรู้ล่ะครับ พี่นัทกลัวว่าผมไม่รักพี่นัทเหรอครับ พี่นัทกลัวว่าผมไม่จริงจังกับพี่นัทเหรอครับ”

ผมพูดตามที่ตัวเองคิด ที่พี่นัทอยากจะบอกพ่อแม่ของผม อาจเป็นเพราะว่า พี่นัทไม่มั่นใจในตัวผมรึเปล่า พี่นัทอาจจะคิดว่าที่ผมไม่บอกเรื่องนี้กับครอบครัวตัวเอง อาจเป็นเพราะผมไม่คิดจะจริงจังกับพี่นัทรึเปล่า

“ไม่ใช่แบบที่หนึ่งคิดนะครับ เพราะพี่รู้ว่าหนึ่งรักพี่มาก พี่รู้ว่าหนึ่งจริงจังกับพี่ เหมือนกับที่พี่รู้สึกรักและจริงจังกับหนึ่ง พี่เลยอยากจะจัดการเรื่องราวของเราให้เข้าที่เข้าทาง ให้พ่อแม่ของเราทั้งสองฝ่ายรับรู้และเข้าใจเรื่องราวความรักของเรา…”

“...”

“พ่อแม่ของพี่ก็รักหนึ่งเหมือนลูก พี่ก็อยากให้พ่อแม่ของหนึ่งรักพี่เหมือนลูกด้วยเช่นกัน”

“...” พี่นัทจับตัวผมให้หันหน้าเข้าหา แล้วพี่นัทก็ใช้ทั้งสองมือประคองแก้มผมไว้ ก่อนที่จะมองตาผม

“พี่อยากทำให้เราทั้งสองคนเป็นครอบครัวเดียวกัน…” พี่นัทยิ้มหวานแล้วก้มลงมาจุ๊บปากผม ทาบทับไว้แบบนั้นอยู่สักพักแล้วก็ผละออก มองตาผมด้วยแววตาที่จริงจังของพี่นัท

“ฮึก ผมก็อยากเป็นครอบครัวกับพี่นัท ผมรักพี่นัทอ่ะ อยากมีพี่ไปตลอด” พอพี่นัทผละ ผมก็โผกอดพี่นัทไว้ ทำท่าจะร้องไห้เพราะความกังวลนนี้แต่ก็อึบเอาไว้ได้

ช่วงบ่ายพี่นัทพาผมไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ ส่วนใหญ่ก็วัตถุดิบแห้งเพื่อทำขนมนั่นแหละครับ ซื้อเตรียมไว้ก่อนที่ร้านเปิด พอซื้อเสร็จพี่นัทก็ชวนผมทานข้าวแล้วเดินเล่นอยู่ซักพักก่อนที่จะพากันกลับ เพราะพี่นัทเห็นว่าผมดูไม่ค่อยสนุกเท่าไร  ผมพยายามยิ้มกับหัวเราะเยอะๆ แล้วนะ แต่พี่นัทก็ดูออกอยู่ดี

ตลอดวันผมก็เอาแต่คิดเรื่องพ่อแม่ตัวเองอยู่ตลอด ถึงพี่นัทจะบอกว่า ถ้าผมยังไม่พร้อม พี่นัทก็จะไม่บอกพ่อแม่ผม แต่ผมก็อยากทำให้มันเข้าที่เข้าทางเหมือนที่พี่นัทพูด ผมควรที่จะกล้ามากกว่านี้ ควรจะจัดการอะไรบ้าง ไม่ใช่เอาแต่นั่งเฉยๆ  แล้วบอกว่ารักพี่นัทแต่ไม่ยอมทำอะไรเลย

พอทานข้าวเย็นเสร็จ ทุกคนก็นั่งคุยกันอยู่สักพัก คุยเรื่องของผม ส่วนใหญ่ก็ให้กำลังใจ บอกไม่ให้ผมเครียดแต่ผมห้ามตัวเองไม่ให้เครียดไม่ได้จริงๆ  ยิ่งเห็นว่าครอบครัวพี่นัทอบอุ่นและใส่ใจผมมากเท่าไร ผมก็คิดถึงครอบครัวตัวเองมากเท่านั้น ผมอยากให้ครอบครัวของผม พ่อแม่ของผม เข้าใจและยอมรับจริงๆ  อยากทำให้เราเป็นครอบเดียวกัน เหมือนที่พี่นัทต้องการ...

 

“พร้อมยังครับ?” พี่นัทถามขณะที่เราช่วยกันขนของขึ้นรถเพื่อเตรียมตัวเดินทางไปบ้านผม ผมพยักหน้าและยิ้มให้ พอเก็บของกันเสร็จก็เข้าบ้านไปบอกลาพ่อกรและคุณแม่ลิซ่าที่อุตส่าตื่นมาส่งพวกเรา ผมกับพี่นัทกินกาแฟกับโดนัทที่พ่อกรให้ไว้เป็นอาหารเช้า ก่อนที่จะขับรถมุ่งไปที่บ้านผมรวดเดียวเลย การจราจรในกรุงเทพช่วงวันหยุดยาวแบบนี้ไม่ติดขัดเลยครับ แต่พอเข้าเขตต่างจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวเท่านั้นแหละ รถติดยาวมาก กว่าจะถึงบ้านก็ปาเข้าไปบ่ายโมงกว่าๆ

“ต้นไม้เยอะมากเลย” พี่นัทพูดขึ้น เมื่อขับรถเข้ามาในเขตของบ้านที่เป็นสวน

บ้านของผมอยู่ต่างจังหวัด ที่บ้านเป็นสวนผลไม้  พ่อกับแม่เป็นชาวสวน  มีคนงานอยู่นิดหน่อย ฐานะก็ปานกลาง พอมีพอใช้ ไม่ได้ร่ำรวยอะไรมาก บ้านก็เป็นบ้านไม้สองชั้น ร่มรื่นน่าอยู่ มีสัตว์เลี้ยงเป็นแมวอยู่ 4 ตัว

“พ่อ! แม่!” ลงจากรถได้ ผมก็ตะโกนเรียกพ่อแม่ตัวเองลั่นสวน ไม่นานก็เห็นพ่อกับแม่และตองสองเดินออกจากสวนมาหาผม ผมรีบวิ่งไปกระโดดกอดแม่ทันที

“กว่าจะกลับมาได้นะ” พ่อพูด ผมก็ยิ้มๆ แล้วก็รีบไปออเซาะพ่อทันที

“สวัสดีครับคุณน้าคุณอา” พี่นัทสวัสดีพ่อแม่ของผม แล้วก็หันไปยักคิ้วข้างเดียวให้กับตองสอง ผมล่ะเกลียดท่าทักทายของสองคนนี้จริงๆ เลย

“สวัสดีจ้า ขอบใจที่พาตองหนึ่งมานะ กินข้าวกันมายัง เดี๋ยวแม่หาอะไรให้กิน”

“ยังเลยครับ ผมหิวมากๆ เลย” ผมพูดอ้อนแม่ตัวเอง แล้วก็เดินตามแม่เข้าไปในบ้าน

ผมกับพี่นัทกินข้าวกันจนอิ่มก็เอาเสื้อผ้าไปเก็บบนห้อง แม่ให้พี่นัทนอนห้องเดียวกับผม เพราะคิดว่ายังไงเราก็ผู้ชายเหมือนกัน แต่เตรียมเตียงเล็กกับที่นอนให้ จะได้ไม่นอนเบียดกันมาก แต่เตรียมไปเท่านั้นแหละ ผมว่ายังไงๆ ผมกับพี่นัทก็นอนเตียงเดียวกันอยู่ดี แต่เพื่อไม่ให้แม่สงสัยก็ต้องตามน้ำกันไป พอจัดที่นอนเสร็จพ่อกับแม่ก็พาพี่นัทเข้าสวน ส่วนผมขอนอนเล่นกับแมวอยู่บ้านดีกว่า

“อ่าว พี่ ไม่ได้ไปกับพ่อแม่เหรอ” ตองสองเดินนั่งข้างผม ตรงระเบียงชั้นสอง ช่วงบ่ายแบบนี้ลมเย็นมาก แล้วบ้านผมที่ต้นไม้เยอะขนาดนี้ ร่มรื่นน่านอน น่านั่งไปหมด

“หึ ขี้เกียจเดินแล้ว นอนตากลมอยู่ที่นี่ดีกว่า”

“อืม” สองตอบผมแค่นั้นแล้วก็นั่งเล่นแมวไปเงียบ ผมมองหน้าน้องชายตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง

 “สอง…”

“หืม...” สองครางรับเบาๆ  ไม่ได้เงยหน้ามองผม เพราะมัวแต่ถ่ายรูปแมวอยู่ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดไป

“พี่คิดว่า…จะบอกพ่อกับแม่ เรื่องของพี่และพี่นัท” ตองสองชะงักไป ก่อนที่จะค่อยเงยหน้ามองผม

“พี่จะบอกตอนไหน”

“ไม่รู้ ก็คงหาจังหวะดีๆ บอกนั่นแหละ”

“อืม…”

“...”

“แล้วถ้าพ่อกับแม่รับไม่ได้ล่ะ พี่จะทำยังไง” ผมมองตาน้องชายตัวเอง ผมเอื้อมมือไปบีบไหล่ตองสอง ไม่ได้มีแต่ผมที่กลัว แต่ตองสองที่ดูแข็งแกร่งกว่าผมก็กลัวเหมือนกัน เราทั้งคู่ไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ เราทั้งคู่ไม่อยากให้พ่อแม่รังเกียจเราเหมือนกัน

“ไม่รู้สิ แต่พี่ไม่อยากปิดบัง มัน...อึดอัด อยากทำอะไรให้ชัดเจนไปเลย ไม่อยากหลอกให้ความหวังพ่อกับแม่ด้วย”

ตองสองพยักหน้าเข้าใจ พ่อกับแม่หวังให้ผมและตองสองแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา มีครอบครัวที่ดี มีลูกที่น่ารัก มีหลานให้พ่อกับแม่อุ้ม ผมคิดว่าการที่ไม่ยอมบอกเรื่องรสนิยมของเราให้พ่อแม่ได้รู้สักที ก็เหมือนเป็นการหลอกให้ความหวังไปเรื่อยๆ

“อืม ขอให้โชคดีนะพี่”

ผ่านไปนานพอสมควร พ่อกับแม่และพี่นัทก็กลับมาจากสวน ทุกคนเดินคุยกัน หัวเราะสนุกสนาน ขนาดพ่อที่หัวเราะยากก็ยังหัวเราะออกมาด้วยเลย

“พ่อกับแม่ดูชอบพี่นัทมากนะ ตอนที่พี่บอกไปคงไม่เป็นเรื่องใหญ่อะไรมาก” ตองสองพูดออกมา ผมก็ยิ้มมองไปที่พี่นัท เขาเป็นคนดี คุยสนุก อัธยาศัยดี พ่อแม่ก็ดูชอบพี่นัทไม่น้อยเลย แต่ตอนนี้คือพวกเขายังคิดว่าพี่นัทเป็นแค่เพื่อนร่วมงานเป็นเจ้าของร้านของผม ถ้าเกิดได้รู้ความจริงแล้วว่าผมกับพี่นัทเป็นอะไรกัน เขาจะยังชอบพี่นัทเหมือนตอนนี้อยู่อีกมั้ย

ผมคิดได้ไม่นานแม่ก็เรียกพวกเราลงไปชั้นล่าง ให้ช่วยกันทำกับข้าว อาจดูวุ่นวายไปซักหน่อยเพราะคนเยอะ แต่มันก็สนุกดี พอทำกันเสร็จ เราก็นั่งกินข้าวกัน พี่นัทเข้ากับแม่ได้ดีมาก จนแม่แทบจะยกให้พี่นัทเป็นลูกในดวงใจแทนพวกผมเลยทีเดียว ส่วนพ่อนั้นถูกใจกาแฟบดพันธ์ดีที่พี่นัทเอามาฝากมาก เปิดฝากระปุกดมกลิ่นอยู่นั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่ามันเย็นแล้วกลัวนอนไม่หลับ พ่อผมคงจะชงกินมันเย็นนั้นเลย

พอกินข้าวเย็นกันเสร็จ แม่ผมที่ติดละครหลังข่าว ก็ชวนพวกผมมาดูละครกัน ผมเริ่มที่จะกลับมากังวลสุดๆ อีกครั้ง ผมควรจะบอกตอนนี้เลยดีมั้ย หรือว่ารอตอนเช้าดี แต่ตอนนี้ใจผมมันร้อนไปหมดมันอึดอัดอยู่ภายใน อยากจะบอกให้จบๆ ไป จะได้รู้ไปเลย...แต่พอนึกไปถึงผลลัพธ์ ผมก็กลัวขึ้นมา ผมเอาแต่มองพี่นัท จนพี่นัทแปลกใจว่าผมเป็นอะไร

ผมนั่งเครียดจนละครจบ แล้วพ่อกับแม่ก็เตรียมตัวเข้าห้องนอน

“พ่อ...แม่… ผมมีเรื่องอยากบอก”

“หืม อะไรลูก” แม่หันมาถามผม ส่วนพ่อก็ยืนหาวอยู่ข้างๆ แม่ ผมเริ่มลังเลอีกครั้งว่าควรจะบอกเลยดีมั้ย ผมมองไปที่พี่นัทอีกครั้ง ในตอนแรกพี่นัทดูงง เพราะก่อนหน้านี้พี่นัทคิดว่าผมไม่พร้อม ก็เลยจะยังไม่บอกพ่อแม่ของผมในเร็วๆ นี้ แต่พอผ่านไปสักพัก พี่นัทก็เข้าใจและเดินมายืนข้างๆ ผม

ผมยืนมองหน้าพ่อแม่อยู่สักพัก จนแม่ถามซ้ำ

“หนึ่งมีอะไรลูก มีเรื่องอะไรกัน” ผมกำมือตัวเองแน่น รู้สึกตันไปหมด เหมือนจะหยุดหายใจเอาให้ได้ จนพี่นัทกุมมือผมไว้ ผมสังเกตุเห็นว่าพ่อมองมายังมือของผมและพี่นัทที่กุมกันไว้และเริ่มขมวดคิ้วเล็กน้อย

ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอด อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่เกิดวันนี้ วันหน้าก็ต้องเกิดอยู่ดี

“ผม...มีแฟนแล้วนะครับ..”

“โถ่...แค่นั้นเอง ไว้บอกแม่พรุ่ง..” แม่พูดไม่ทันจบ ผมก็พูดแทรกขึ้นไป

“แฟนผมเป็นผู้ชาย แฟนผมคือพี่นัท ผมกับพี่นัทรักกัน” ผมพูดออกไปรวดเดียว รู้สึกว่าเสียงที่พูดออกไปมันสั่นมาก มือผมมันเย็นไปหมด มันทั้งตื่นเต้นและกลัวอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเห็นทั้งพ่อแต่แม่ต่างตกใจและนิ่งไปแล้วด้วย ผมก็ยิ่งใจเสีย

ตอนนี้ไม่มีใครพูดอะไรเลย มีแค่เสียงจิ้งหรีดข้างนอกบ้านเท่านั้น แม่มองหน้าผมกับพี่นัทสลับกันไปมา ในขณะที่พ่อมองหน้าพี่นัทเขม็งอยู่คนเดียว

“ผมยังไม่มีแฟน แต่ผมก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน”

หลังจากที่เงียบกันอยู่นาน ตองสองก็พูดขึ้น ผมตกใจเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าน้องจะบอกพร้อมกับผมวันนี้ ใจผมเต้นเร็ว รีบหันกลับไปมองแม่ตัวเอง ผมเห็นแม่ขมวดคิ้วยกมือขึ้นปิดปากตัวเอง ส่วนพ่อหันไปมองตองสอง แล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปโดยไม่พูดอะไรเลย  สักพักแม่ก็เดินตามพ่อไปโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเหมือนกัน

“ฮึก ฮึก ฮือ” ผมทรุดลงกับพื้นแล้วร้องไห้ออกมา พี่นัทรีบนั่งลงแล้วกอดผมไว้ ส่วนตองสองก็นั่งลงด้านหน้าผมแล้วก้มหน้า

“ทำยังไงดี พ่อกับแม่ต้องรังเกียจแน่ๆ เลย ทำยังไงดี”

“ตองหนึ่งใจเย็นๆ ” พี่นัทพูดปลอบ ผมร้องไห้แล้วมองไปทางห้องนอนของพ่อกับแม่

“พี่นัท ทำยังไงดี อือ ทำยังไงดี พ่อกับแม่รังเกียจแน่ๆ เลย ฮือ” ผมเหมือนขาดสติไปแล้ว เอาแต่คิดอยู่แค่ว่าพ่อกับแม่รังเกียจผม รังเกียจตองสอง ผมขยับไปจับมือตองสองแน่น น้องเงยหน้าขึ้นมอง เห็นตาแดงๆ  ถึงจะไม่ร้องไห้น้ำตาไหลเป็นสายเหมือนผม แต่ก็รู้เลยว่าตองสองก็เจ็บปวดเหมือนกันและนั่นยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่

“ฮือ ทำยังไงดี ผมควรทำยังไง พี่นัทช่วยผมหน่อย” ผมนั่งร้องไห้อยู่แบบนั้นพักใหญ่ ตองสองก็เดินเข้าห้องไป พี่นัทก็รีบพาผมเข้าห้องนอนด้วยเหมือนกัน

“หนึ่งครับ มองหน้าพี่นะ พ่อแม่หนึ่งเขายังไม่ได้พูดอะไรเลย เขาไม่ได้รังเกียจหนึ่งหรอกครับ เขาแค่ตกใจ”

“ไม่ อึก ฮือ พี่นัท ทำยังไงดี” ผมเอาแต่พูดอยู่แบบนั้น พี่นัทอุ้มผมวางบนเตียงแล้วก็กอดผมไว้พลางลูบหัวลูบหลังไปด้วย

“ใจเย็นๆ นะครับ หยุดร้องไห้ก่อนะ คนดี ร้องไห้มากๆ เดี๋ยวเจ็บตานะครับ”

“ทำยังไงดี พ่อแม่จะผิดหวังแน่เลย ผมไม่เคยทำให้พ่อแม่ภูมิใจได้เลย”

“โอ๋ๆ  ใจเย็นๆ นะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยคุยกันให้รู้เรื่องนะ”

พี่นัทยังปลอบผมไปเรื่อยๆ  ผ่านไปนานมาก ผมร้องไห้จนตาบวมไปหมด พี่นัทก็ยังกอดผมอยู่ท่าเดิม ลูบหัวผมอยู่ตลอด

“ไหนขอพี่ดูหน่อย คนดีของพี่หยุดร้องไห้รึยัง?” พี่นัทดันตัวผมออกเพื่อมองหน้าผม ตอนนี้ผมหยุดสะอึกสะอื้นแล้ว แต่ก็ยังมีน้ำตาไหลออกมาบ้าง

“...”

“ตาบวมหมดเลย เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำแข็งมาประคบให้นะครับ” พี่นัทผละออกจนผมต้องรีบกอดเอวพี่นัทไว้แน่น ไม่อยากให้พี่นัทไปไหน ตาจะบวมก็ช่างมัน

“ไม่เอา พี่นัทอย่าไป อยู่กับผม ฮือ” ผมร้องไห้ออกมาอีกเล็กน้อย พี่นัทก็เลยกลับมานั่งกอดผมเหมือนเดิม

“โอ๋ๆ  พี่ไม่ไปแล้วครับ จะกอดหนึ่งไว้ทั้งคืนเลยนะ” พี่นัทพูดแล้วเช็กน้ำตาให้ ผมซุกหน้าเข้ากับอกเขา แอบเช็ดน้ำมูกน้ำตากับเสื้อพี่นัทไปด้วย

เรากอดกันเงียบๆ แบบนั้นไปอีกสักพัก จนผมเริ่มง่วง เพราะร้องไห้จนเพลีย แต่ก็หลับตานอนไม่ได้ เพราะแต่คิดเรื่องพ่อแม่ พอหลับตาก็เอาแต่คิดภาพตอนที่พ่อกับแม่หันหลังเดินเข้าห้องไป

“ผมง่วง…แต่ผมนอนไม่หลับ” ผมเงยหน้าบอกพี่นัท

“อืม ให้พี่กล่อมมั้ยครับ?”พี่นัทยิ้มแล้วลูบหัวผมอีกครั้ง

“ผมไม่ใช่เด็กน้อยนที่ต้องมากล่อมนอนอ่ะ” ผมทุบอกพี่นัทไปเบาๆ ก่อนที่พี่นัทจะลุกไปปิดไฟ แล้วเดินมาจับผมนอนแล้วก็พี่นัทก็กอดผมไว้อีกที

พี่นัทมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มจางๆ  ก่อนที่มืออุ่นๆ ของพี่นัทจะลูบไปตามเปลือกตาและแก้มผม

“หลับตาลงนะ…”

“...” พี่นัทลูบไปที่เปลืกตาผมเบาๆ  ทำให้ผมต้องหลับตาลง แล้วพี่นัทก็พูดต่อ

“นะ...คนดี”

“.....” ผมขยับตัวเข้าไปกอดพี่นัทไว้แน่น แล้วก็สัมผัสได้ว่าพี่นัทก้มลงจูบที่แก้มและหน้าผากผมเบาๆ  ก่อนที่จะเริ่มร้องเพลงกล่อมผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ทุ้มและนุ่ม

“หลับตาลงนะ นะคนดี

ขอให้เวลานี้ เธอหลับและพักผ่อน

กล่อมด้วยเพลงแห่งรัก ให้เธอนอน

แค่เพียงก่อนที่ฟ้าจะสาง…”



#สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 30 : ครอบครัวเดียวกัน 2 l 20-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 20-12-2019 23:19:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

ต้องรอลุ้นเหตุการณ์วันรุ่งขึ้นสินะ
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 30 : ครอบครัวเดียวกัน 2 l 20-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 23-12-2019 08:12:20
พ่อกับแม่คงตกใจมาก ที่ลูกชายทั้งสองคนก็ชอบผู้ชายเหมือนกัน คงหมดสิทธิ์ได้หลานแล้ว
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 31 : I’m falling in you again l 23-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 23-12-2019 11:25:17
31 : I’m falling in you again and again.



“อืม…” ผมขยับตัวแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วพบว่าฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว ผมยกมือขึ้นมาขยี้ตาเล็กน้อยแล้วพลิกตัวไปอีกทาง พี่นัทยังไม่ตื่น ผมนอนมองหน้าพี่นัทอยู่แบบนั้น แล้วก็คิดถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพที่พ่อแม่หันหลังเดินเข้าห้องยังติดตาอยู่เลย

ผมถอนหายใจออกมา ตอนนี้ผมเครียด และหนักใจ พ่อกับแม่คงไม่ชอบที่ผมชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ผมรักพี่นัท พี่นัทเป็นผู้ชายเหมือนผม แล้วผมควรทำยังไงอ่ะ

ผมรักพี่นัทแต่ผมก็รักพ่อกับแม่ ถ้าจำเป็นต้องเลือก ผมควรเลือกอะไร…

ผมขยับตัวเข้าหาพี่นัท มองไปตามใบหน้าของเขา คิดถึงเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมามันโคตรจะมีความสุข ในตอนนี้พี่นัทเหมือนเป็นครึ่งหนึ่งของความสุขของผมไปแล้ว ผมอยากอยู่กับผู้ชายคนนี้ไปนานๆ

แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งผมไม่มีพี่นัทแล้วจะทำยังไง?

แค่คิดถึงวันนั้นผมก็ใจเสียแล้วก็กอดพี่นัทไว้แน่น ดูดซับกลิ่นและไออุ่นจากเขาไว้ ผมรู้ว่าตอนนี้ผมอาจคิดมากไป แต่มันอดคิดไม่ได้ ผมห้ามความคิดความฟุ้งซ่านของตัวเองไม่ได้

“ตัวเล็ก เป็นอะไรครับ…” และเพราะผมอาจกอดแน่นเกินไปพี่นัทเลยตื่น เขาใช้มืออุ่นๆ นั้นลูบหลังผม เขาคอยส่งยิ้มมาให้ผมตลอดเวลา รอยยิ้มนี้ที่ทำให้ผมหลงรัก

“ผมรักพี่…” ผมมองหน้าพี่นัทแล้วบอกสิ่งที่มันอยู่ในใจออกไป ผมคิดว่าต่อจากนี้จะเป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ตอนนี้ผมยังมีพี่นัทอยู่ข้างตัว ก็ควรเก็บเกี่ยวความสุขให้ได้มากที่สุด

“พี่ก็รักหนึ่ง” พี่นัทพูดแล้วลุกขึ้นนั่ง ช้อนตัวผมขึ้นไปนั่งบนตักแล้วกอดผมไว้ ไออุ่นจากร่างกายของพี่นัทโอบล้อมร่างกายผมไว้ ความอบอุ่นนี้ก็ทำให้ผมหลงรัก

“ผมรักพี่นะครับ” ผมพูดไปอีกครั้ง แล้วก็ยืดตัวถูแก้มตัวเองกับแก้มพี่นัท ตามด้วยหอมแก้มพี่นัทฟอดหนึ่ง จากนั้นก็เอียงแก้มตัวเองให้พี่นัทหอมคืนบ้าง

“อืม ทำไมเช้านี้ขี้อ้อนจังเลย” พี่นัทถามแล้วก็บีบปลายจมูกผมเบาๆ

“ก็อ้อนไว้เยอะๆ  ก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้อ้อนไงครับ”

พี่นัทชะงัก เลิกบีบจมูกผม แล้วก็ถอนหายใจออกมา

“ถ้าพ่อแม่ของหนึ่งไม่ยอมรับจริงๆ  หนึ่งจะเลิกกับพี่เหรอครับ?” ผมมองพี่นัทที่ทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที และเมื่อพี่นัทถามออกมาแบบนั้น ผมเลยรับส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าตาของผมมันรื้นน้ำตาขึ้นมา ผมรู้สึกอยากจะร้องไห้อีกแล้ว

“ผมไม่อยากเลิกกับพี่นะครับ ” พี่นัทดึงผมไปกอด แล้วก็ลูบหัวผม

“หนึ่งครับ พี่ก็ไม่มีความคิดที่จะเลิกกับหนึ่ง ต่อให้คนอื่นจะไม่ยอมรับเราก็เถอะ แต่ตอนนี้พี่รักหนึ่ง รักมาก พี่ทิ้งหนึ่งไม่ได้ ตอนนี้พี่ไม่มีหนึ่งไม่ได้นะครับ พี่รักหนึ่ง หลงหนึ่งมากเลยนะ”

“ผมก็รักพี่ ต...แต่ผมไม่อยากให้พ่อแม่ลำบากใจเพราะผม ฮึก ทำไงดี... ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้ ถ้าพวกเขารังเกียจหรือรับไม่ได้ล่ะ ผมควรทำยังไงดีครับ…” ผมเสียงสั่น เพราะกำลังจะร้องไห้จริงๆ

“หนึ่งอย่าเพิ่งคิดมากสิครับ พ่อแม่ของหนึ่งรักหนึ่งมากๆ เลยนะครับ เขาไม่รังเกียจหนึ่งหรอก เมื่อคืน พวกเขาอาจจะแต่ตกใจ วันนี้เราลองๆ ค่อยอธิบายให้พ่อกับแม่ฟังดีกว่ามั้ยครับ?”

“....”ผมพยักหน้า และคิดตามที่พี่นัทพูด พยายามคิดตามที่พี่นัทบอก พยายามเชื่อว่าพ่อแม่อาจจะแค่ตกใจจริงๆ

“งั้นเราไปล้างหน้า ล้างตากันดีกว่านะครับ”

ผมกับพี่นัทพากันไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้า แปรงฟันและอาบน้ำ แต่เพราะบ้านผมไม่ได้มีห้องน้ำส่วนตัวเหมือนบ้านพี่นัท เลยต้องใช้ห้องน้ำรวมที่อยู่ด้านนอกห้อง   และเพื่อเป็นการประหยัดเวลาบวกกับผมที่ไม่ยอมให้พี่นัทห่างจากผมเลย ทำให้ผมกับพี่นัทอาบน้ำด้วยกัน

“อะ...เอ่อ คือ เอ่อ…” และเมื่ออาบเสร็จออกมา ผมก็เจอพ่อที่ยืนรอ อยู่หน้าห้องน้ำ ผมอึกอัก ทำตัวไม่ถูก ยิ่งพ่อที่มองมาทางผมและพี่นัทที่อาบน้ำพร้อมกันตาเขม็งแบบนี้ ผมก็ยิ่งไม่กล้ามองหน้าพ่อเข้าไปใหญ่

“หลับสบายมั้ย?” พ่อมองอยู่สักพักแล้วก็ถามออกมา

“หลับสบายครับ ที่นี่เงียบมากเลย อากาศก็ดีด้วยครับ” เพราะผมเอาแต่อ้ำๆ อึ้งๆ จนพี่นัทต้องตอบแทน ผมผ่อนลมหายใจออกเล็กน้อยเมื่อเห็นพ่อแต่พยักหน้าเบาๆ  พี่นัทยกมือขึ้นมาบีบไหล่ผม แล้วเราก็หลีกทางให้พ่อเข้าห้องน้ำ

แต่ก่อนที่พ่อจะเข้าไป พ่อก็หันมาหาพวกเราอีกครั้ง

“เอ้อ ลงไปช่วยแม่ในครัวสิ วันนี้เขาทำข้าวต้มกุ้ง”

“...” พ่อมองผมแล้วก็พูด ส่วนผมก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ  แล้วพยักหน้า ก่อนที่พ่อจะหันไปพูดกับพี่นัทต่อ

“พ่อฝากเจ้าของร้านกาแฟ ชงกาแฟให้หน่อยสิ ขอแบบเข้มๆ นะ”

“ได้ครับ เรื่องกาแฟไว้ใจผมได้เลย” พี่นัทตอบแล้วพ่อก็เดินเข้าห้องน้ำไป ผมมองหน้าคนที่อยู่ข้างตัวอย่างไม่เข้าใจ แต่พี่นัทก็แค่ยิ้มแล้วยักไหล่ใส่ผม หลังจากนั้นพวกเราก็เดินไปที่ครัว

ยังไม่ทันได้เข้าครัว ผมก็ได้กลิ่นข้าวต้มหอมๆ ลอยมาเตะจมูกแล้ว ผมคิดถึงข้าวต้มฝีมือแม่มาก พอได้กลิ่นแล้วท้องก็ร้องทันทีเลย ผมยกมือขึ้นลูบท้องตัวเองที่ส่งเสียงออกมาเบาๆ  ผมเดินไปจนถึงครัวก็เห็นว่าแม่กำลังยืนอยู่หน้าเตา แล้วก็เห็นตองสองที่ยืนปลอกกระเทียมอยู่ด้วย

ผมกับพี่นัทยืนนิ่งอยู่หน้าห้องครัวจนแม่หันมา

“อ้าว ตื่นกันนานยัง แม่ยังทำข้าวต้มไม่เสร็จเลย รอสักพักนะ”

“...ครับ” ผมพยักหน้าแล้วตอบเสียงเบา แล้วก็ยืนมองแม่ที่หันไปเปิดฝาหม้อข้าวต้มแล้วคบเบาๆ  ก่อนที่จะตัดสินใจถามออกไป

“เอ่อ แม่ครับ....มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยครับ?” แม่หันไปมองรอบๆ ครัวแล้วก็หันมาตอบผม

“อืม….ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว งั้นหนึ่งมาช่วยน้องปอกกระเทียมนะลูก” ผมพยักหน้าแล้วก็เดินไปที่ตองสองที่ยังตั้งใจปลอกเปลือกกระเทียมเม็ดเล็กๆ อยู่ ส่วนนัทก็ขอแม่ชงกาแฟให้พ่อ แม่ก็พยักหน้ายิ้มแย้มและคุยเล่นกับพี่นัทเหมือนเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมละสายตาจากแม่และพี่นัทมามองตองสอง

“ตองสอง พ่อกับแม่ไม่โกรธพวกเราเหรอ?” ตองสองเงยหน้าขึ้นมองผม แล้วก็ส่ายหน้าไปมา

“สองก็ไม่รู้ แต่เมื่อเช้าเเม่ก็เข้าไปปลุกสองตามปกติ พูดคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วย” พูดจบตองสองก็ก้มลงไปปอกกระเทียมต่อ ผมก็เลยช่วยน้องปอก พอเสร็จก็ส่งให้แม่สับเป็นชิ้นเล็กๆ  แล้วก็นำไปเจียวน้ำมันเพื่อโรยหน้าข้าวต้ม ไม่นานพ่อก็เดินลงมา แล้วเราก็เริ่มตั้งโต๊ะทานข้าวกัน

พ่อกับแม่พูดคุยกับพวกเราเหมือนกับว่าเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่นัทที่คงสงสัยอยู่เหมือนกันก็แอบมองหน้าผมอยู่หลายครั้ง ทั้งที่พูดคุยกับแม่อยู่ ส่วนพ่อก็พูดแทรกบ้างเป็นครั้งคราว มีแต่ผมและตองสองที่นั่งกินกันเงียบๆ เอาแต่มองพ่อและแม่ตัวเอง สงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่พ่อกับแม่คุยกับพวกผมปกติแบบนี้คือ พ่อกับแม่ยอมรับในสิ่งที่พวกผมเป็นแล้วใช่มั้ย ผมรักกับพี่นัทไปได้ใช่มั้ย ผมกับน้องไม่ต้องมีหลานให้พ่อกับแม่อุ้มก็ได้ใช่มั้ย?

“พ่อกับแม่ไม่โกรธผมเรื่องเมื่อคืนเหรอครับ” ตองสองทนความอยากรู้ไม่ไหว เลยพูดแทรกขึ้นไปตอนที่แม่หัวเราะอยู่

พ่อกับแม่หันมามองตองสองแล้วก็ยิ้มบางๆ  ก่อนที่พ่อจะพูดขึ้น

“โกรธเรื่องอะไรล่ะ” พ่อถามแล้วก็ตักข้าวต้มเข้าปาก เหมือนไม่รู้จริงๆ ว่าตองสองหมายถึงเรื่องอะไร ผิดกับพวกผมที่อึดอัดใจ อยากจะรู้ให้มันเคลียร์ๆ ไปเลย

“เรื่องที่ผมกับพี่เป็นเกย์…” ผมกับตองสองก้มหน้าลงแทบจะพร้อมกันเมื่อแม่ตวัดตาขึ้นมองพวกผม

แม่ถอนหายใจออกมา พ่อก็วางช้อนลงแล้วก็มองพวกผมโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา บรรยากาศเฮฮาเมื่อครู่หายวับไป เปลี่ยนเป็นเงียบและดูมาคุขึ้น ผมนั่งก้มหน้า บีบมือที่เย็นเฉียบของตัวเองไปมา จนพี่นัทวางมือใหญ่ๆ นั่นทับลงบนมือผม แล้วบีบเบาๆ  ผมเอียงหน้ามองพี่นัท ก็เห็นรอยยิ้มพร้อมกำลังใจส่งมาให้อย่างเต็มเปลี่ยม

เราเงียบอยู่แบบนั้นสักพักจนแม่ถอนหายใจขึ้นมาอีกครั้ง แม่ลุกขึ้น แล้วเอื้อมมือมาเชยคางของผมกับตองสองให้เงยหน้าขึ้นมองแม่

“เฮ้อ แม่ไม่ได้โกรธพวกลูกสองคนหรอก อย่าทำหน้าจะร้องไห้กันแบบนั้นสิ”

“อึก ฮึก ก็เมื่อวานพ่อแม่ไม่ยอมคุยกับพวกผม ผมก็นึกว่าแม่รังเกียจผม ฮือ ผมกับน้องเสียใจกันมากๆ เลย” ผมเบะปาก พอแม่ลูบแก้มเบาๆ ความขี้แงเป็นเริ่มกลับมาสิงผมอีกครั้ง

“ก็แค่ตกใจกันเฉยๆ หรอก” คราวนี่พ่อพูดบ้าง

“ใช่ ก็จู่ๆ  ลูกชายมาบอกตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชาย แล้วทั้งพี่ทั้งน้องเลย แม่กับพ่อก็ต้องตกใจกันอยู่แล้ว” น้ำตาผมไหลนองหน้าออกมาเรียบร้อยแล้ว แม่เลยเช็ดน้ำตาออกให้ผมอย่างเบามือ

“ลูกคนโตอ่ะตกใจนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะเป็นจริงๆ อย่างเคยคาดการณ์กันเอาไว้ ส่วนลูกคนเล็กนี่ต้องบอกว่าช๊อค ไม่คาดคิดมาก่อนเพราะเห็นว่าเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงมาหลายคน” พ่อพูดเสียงเรียบๆ ตามสไตล์ของพ่อพลางมองตองสองแล้วก็ส่ายหน้าไปด้วย

“ผมขอโทษครับ ความจริงผมรู้ตัวว่าชอบผู้ชายมานานแล้ว แต่ผมกลัวพ่อแม่รับไม่ได้ ผมเลยไม่กล้าบอกใคร” ตองสองพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้าลง พ่อเลยตบเข้าที่ไหล่ของตองสองป้าบใหญ่

“พ่อไม่ได้รังเกียจ ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลยด้วย”

“ใช่ ลูกจะรักใครก็เป็นเรื่องของลูก แค่พวกเราเป็นเด็กดีของพ่อแม่ตลอดไปก็พอ”

“พ่อกับแม่ผิดหวังในตัวพวกผมมั้ยครับ ผมกับตองสองอาจไม่มีหลานให้แม่อุ้มนะ ฮึก แม่เคยบอกอยากมีเด็กๆ  อยากมีหลาน อยากให้พวกผมมีครอบครัว อยากให้มีคนรัก คู่ชีวิตที่ดี ฮึก”ผมพลางคิดถึงคำที่แม่เคยพูดกับเราสองพี่น้อง

“แล้วหนึ่งคิดว่า คนที่นั่งจับมือหนึ่งอยู่ใต้โต๊ะตลอดนั่นจะเป็นคู่ชีวิตที่ดีได้มั้ยล่ะ” พ่อพูดแล้วมองเลยไปยังคนที่นั่งข้างๆ ผม ผมมองพ่อแล้วก็หันไปมองพี่นัทที่ยิ้มให้ผมอยู่

“ส่วนเรื่องหลานที่แม่เคยพูดถึงก็อย่าไปใส่ใจเลย แค่แมวสี่ตัวนี่ก็ปวดหัวแล้ว” แม่พูดแล้วก็หัวเราะออกมา แล้วต่อมน้ำตาผมมันก็แตก ร้องไห้ไม่พอ ยังสะอึกสะอื้นเป็นเด็กอีกตังหาก

“ฮึก ผมรักพ่อ ผมรักแม่ รักที่สุดเลย” ผมพูดไปเช็ดน้ำตา เช็ดน้ำมูกไป จนพี่นัทต้องส่งทิชชู่ให้ผม

“ผมก็รัก” ตองสองพูดแล้วยิ้มนิดๆ  แม่เลยเดินมากอดพวกเรา

“พ่อกับแม่ก็รักลูก ลูกๆ จะเป็นยังไงแม่ก็รัก” แม่พูดแล้วก็หอมแก้มพวกเราไปคนละฟอด แล้วก็กอดเราไว้

“พวกลูกเป็นเด็กดี เป็นของขวัญที่ดีที่สุดในชีวิตของเรา” พ่อพูดบ้างแล้วก็เอื้อมมือมาลูบหัวพวกเราทั้งสองคน หลังจากนั้นก็เดินมากอด เราทั้งสี่คนกอดกันกลมกลางโต๊ะอาหาร โดยที่มีเสียงร้องให้ของผมดังระงมอยู่คนเดียว

“มาๆ  ลูกคนที่สามมากอดด้วยกันมา” พ่อพูดมองไปที่พี่นัทที่นั่งยิ้มอยู่แล้วก็กางแขนออก พี่นัทเลยเดินมากอดกับเราด้วย

“ขอบคุณที่ให้โอกาสผมนะครับ คุณอา คุณน้า”

“พ่อฝากตองหนึ่งด้วยนะ ดูแลมันดีๆ ” ยิ่งพ่อพูดแบบนั้น ยิ่งทำให้ผมร้องไห้หนักเข้าไปใหญ่ มันทั้งดีใจ และโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เป็นความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เลยจริงๆ

กอดกันอยู่ครู่หนึ่ง เราก็กลับมานั่งกินข้าวกันต่อ เพราะแม่บอกว่าเดี๋ยวข้าวต้มชืดหมด

“แล้วพ่อคาดการณ์อะไรเกี่ยวกับพี่เขาไว้” ตองสองถามแทนผมที่ตอนนี้กำลังยื่นหน้าให้แม่ใช้ทิชชู่เช็ดน้ำมูกน้ำตาออกให้ พอเช็ดเสร็จ แม่ก็นั่งลงหันไปมองหน้าพ่อแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“แม่เคยคุยเล่นกับพ่อเขาว่า ลูกชายคนโตอาจเป็นตุ๊ดน่ะ เห็นอ้อนแอ้นไม่สนใจผู้หญิงเลย แถมยังมีพักนึงที่หนึ่งเคยโดนเพื่อนผู้ชายมาตามจีบอีก”

“ผมเคยโดนตามจีบด้วยเหรอครับ?”

“ใครมาตามจีบหนึ่งครับ!” ผมกับพี่นัทถามออกมาพร้อมกัน แต่พี่นัทเสียงดังกว่าผมมาก

“อ้าว ก็เพื่อนหนึ่งที่คอยมารับ มาส่งตอนที่เรียนพิเศษอยู่เกือบเทอมนึงนั่นไง หนึ่งจำไม่ได้เหรอ” พ่อพูดแล้วก็เริ่มกินข้าวต้มต่อ

ผมพยามคิดถึงช่วงที่ผมเรียนพิเศษ อืมม…ใช่ ช่วงม.6 ผมเรียนไปพิเศษช่วงวันหยุด แล้วก็มีเพื่อนที่เรียนพิเศษคนนึงเขามีรถ แล้วต้องผ่านบ้านผมพอดี เขาก็เลยให้ผมติดรถไปด้วยกันตลอด แต่พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ติดต่อกันเลย

“เขาไม่ได้จีบผมนะครับ เขาแค่ให้ผมติดรถไปด้วยแค่นั้นเอง” ผมพูดแล้วก็หันไปหาพี่นัทที่จ้องผมอยู่

“เขาหอมแก้มหนึ่งบนรถด้วย อย่าคิดว่าแม่ไม่เห็น อย่าคิดว่าผมจำไม่ได้นะ”

“เคยหอมแก้มกันด้วย!” พี่นัทบีบเข้าที่มือผมค่อนข้างแรง แถมยังกัดฟันพูดใส่ผมอีก หืมม ผมว่ายักษ์เริ่มจะลงพี่นัทอีกครั้งแล้วแหละครับ

ผมขมวดคิ้วแล้วพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ความจริงผมก็จำลายละเอียดอะไรไม่ได้ มันก็ผ่านมาค่อนข้างนานแล้วอ่ะนะ

“อ๋อ เขาไม่ได้หอมแก้มผมครับ มันเป็นแค่อุบัติเหตุครับ”

“พี่อ่ะซื่อบื้อ ตอนนั้นผมมองปราดเดียวก็รู้แล้ว แต่ไม่ได้บอกพี่ คิดว่าพี่รู้แล้วซะอีก” คราวนี้ตองสองถอนหายใจใส่ผม ผมเลยกลับมานั่งเงียบๆ  คิดพิจารณาว่าผมไปโดนจีบตอนไหน ผมคิดว่าพี่นัทนี่แหละคนแรกในชีวิตที่จีบผมเลย

“ใช่ หนึ่งอ่ะซื่อ ซื่อจนบื้อ ไม่เคยทันใครเขาเลย บื้อจนพี่ล่ะปวดหัว” พี่นัทพูดแล้วก็ยกมือขึ้นมานวดขมับ เหมือนกับว่าปวดหัวมาก ผมเลยหันไปเบะปากใส่

เรากินข้าวต่อจนหมด ผมกับตองสองกินกันไปคนล่ะสองชาม พอเรื่องกังวลมันหมดไป ก็รู้สึกเจริญอาหารขึ้นมา กินกันเสร็จ ผมและพี่นัทก็ตามพ่อกับแม่เข้าสวนไปเก็บผลไม้ พอตอนเที่ยงก็กลับมากินข้าว ช่วงบ่ายๆ  พ่อแม่ก็ดูโทรทัศน์พักผ่อนกันไป ตองสองออกไปหาเพื่อนเก่า ส่วนผม พาพี่นัทไปเที่ยวในตัวเมือง สถานที่ท่องเที่ยวประจำจังหวัด

“คนเยอะมากเลย” ผมพูดแล้วเดินเบียดฝูงคนไปหาพี่นัท เราอยู่ที่งานกาชาดที่จังหวัดจัดขึ้น ก็กะว่าจะมาเดินเล่นหาขนมกิน แต่คนมันเยอะมาก ผมที่เตี้ยก็โดนคนเบียดจนหลงกับพี่นัทไปหลายรอบ

“ก็ช่วงวันหยุดนี่เนอะ หนึ่งเดินข้างหน้าพี่นี่มา” พี่นัทดึงผมให้ไปเดินอยู่ด้านหน้า โดยมีมือพี่นัทคอยจับต้นคอผมไว้ เราเดินลัดเลาะซื้อขนมกินจนเต็มมือก็คิดว่ากลับกันดีกว่า

“กรี๊ดๆ วู้ว!”

ระหว่างที่ผมกับพี่นัทกำลังเดินไปลานจอดรถ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของคนมากมาย พอผมหันไปดูก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าใส่แหวนให้กับผู้หญิงท่ามกลางผู้คน  เขากำลังขอผู้หญิงคนนั้นแต่งงานแหละ ผมมองก็ยิ้มออกมา นับว่าต้องกล้ามากเลยนะที่จะขอใครซักคนแต่งงานแบบนั้น แล้วท่ามกลางคนเยอะแบบนี้ด้วย คงเขินกันน่าดู

“เขาขอแต่งการกันล่ะครับ” ผมบอกพี่นัทที่ยืนดูอยู่ข้างๆ  แล้วก็เงยหน้าไปยิ้มให้ พี่นัทพยักหน้าน้อยๆ แล้วก็พาผมเดินไปที่รถต่อ

“ถ้าหนึ่งจะขอใครซักคนแต่งงาน หนึ่งจะขอเขาแบบไหนครับ”

“หืม ผมเหรอ?” ผมชี้เข้าตัวเองแล้วถามพี่นัทที่เริ่มออกรถ

“ครับ หนึ่งนั่นแหละ”

“อืม ผมคิดว่า คงจะขอไปตรงๆ เลยมั้งครับ คงไม่มีเซอไพรส์อะไรแบบนั้น อืม ไม่รู้สิ ต้องดูก่อนว่าคนที่ผมขอเขาชอบแบบไหน” ผมบอกพี่นัทไปตามที่ตัวเองคิด ผมไม่เคยนึกภาพตัวเองตอนที่ต้องไปขอคนอื่นแต่งงานเลย เพราะผมเคยคิดว่า ชีวิตนี้ผมคงไม่มีแฟนแน่ๆ

“แล้วหนึ่งชอบแบบไหนครับ”

“ผมเหรอ ถามทำไมอ่ะ พี่จะขอผมแต่งงานเหรอครับ? โอ๊ย!” ผมถาม แล้วก็ยื่นหน้าไปหน้าแป้นแล้นใส่พี่นัทที่ขับรถอยู่ จนเจ้าตัวต้องดันหัวผมออกตามด้วยดีดหน้าผากมาอีกทีนึง

“แล้วถ้าพี่จะขอหนึ่งแต่งงานล่ะได้มั้ย?” พี่นัทพูดแล้วใช้มือซ้ายที่ไม่ได้จับพวงมาลัยรถมาบีบแก้มผม

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ขอผมไม่ได้ กฏหมายประเทศเราไม่ให้ผู้ชายกับผู้ชายแต่งงานนี่ครับ”

“แต่งได้ แต่ยังไม่ให้จดทะเบียนสมรสครับ”

“นั่นแหละ เหมือนๆ กัน” ผมพูดแบบไม่ใส่ใจมาก มือก็เริ่มหยิบขนมขึ้นมากิน

“งั้น...บนรถนี่อ่ะ สมมุติไม่มีกฏหมาย ถ้าพี่ขอหนึ่งแต่งงานที่นี่ ตอนนี้ได้มั้ยครับ?” พี่นัทหันมาพูดกับผมตอนที่รถติดไฟแดงอยู่

“ผมจะได้สินสอดเท่าไรครับ” ผมทวงค่าสินสอดแล้วแลบลิ้นใส่ พี่นัทก็เลยเขกเข้าที่หัวผมไปทีนึง

“ขี้งกจัง แล้วหนึ่งจะเรียกสินสอดพี่กี่บาทครับ”

“อืม...เท่าไรดีอ่ะ” ผมคิดๆ  มองพี่นัทที่มองผมอยู่เหมือนกัน ทำหน้าตากวนๆ ใส่อีก แบบนี้ผมต้องเรียกค่าสินสอดจากพี่นัทแพงๆ หน่อย เพราะกว่าพ่อแม่จะเลี้ยงผมจนได้ขนาดนี้เสียไปเยอะมาก ผมต้องคืนทุนให้พ่อแม่อ่ะ 5555555

“อย่าเยอะมากนะครับ ถ้าพี่จ่ายไม่ไหว พี่หนีเลยนะ” แหนะ ขู่แบบนี้ผมจะเรียกได้ซักเท่าไรล่ะ พี่นัทนี่ ไม่ได้เรื่องเล้ย~

“โถ่ งั้นสินสอดคือ...จูบ” ผมยื่นหน้าเข้าไปหา พี่นัทนัทเลยก้มลงมา แล้วประกบปากกับอยู่ครู่เดียวแล้วก็ผละออกไป เป็นเวลาเดียวกับพี่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวพอดี

“อืม ทำไมรสชาติมัน…” พี่นัทพูดแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง ผมชูถุงขนมขึ้นมา พี่นัททำท่าจะหันมามอง แต่ทำไม่ได้ เพราะรถเยอะ ตาเลยต้องมองถนนอยู่ตลอดเวลา ผมก็หยิบเลยขนมที่ตัวเองเพิ่งกินก่อนที่จะจูบกับพี่นัท ไปป้อนพี่นัทแทน

“หืม อะไรอ่ะ ปลาหมึกบด!” พี่นัทพูดเสียงดัง แล้วทำหน้าแหย ผมเลยหัวเราะหนัก

“ฮ่าฮ่าฮ่า จูบผมอร่อยมั้ยล่ะ?” ผมหัวเราะร่า หยิบปลาหมึดรสชาติดีเข้าปาก พี่นัททำหน้าเบ้เพราะเขาไม่ชอบกลิ่นปลานหมึกแบบนี้

“เตี้ย!! แสบนักนะ เดี่ยวรอไฟแดงก่อนเถอะ จะโดนไม่ใช่น้อย”

“ไม่กลัว~” ผมยิ้มหน้าแป้นแกล้งคนที่ขบฟันอยู่ ผมหยิบปลาหมึกนั่นมากินอีกจนเต็มปาก แล้วก็ไปทำท่าจุ๊บใกล้ๆ พี่นัท จนเจ้าตัวดันหน้าผมออกสุดแขน พี่นัทคงหมันไส้ผมไม่น้อยเลย

“ตองหนึ่ง พี่ไม่ชอบปลาหมึดบด เอาออกไปไกลๆ เจ้าเตี้ย!” เพราะนานๆ ทีผมจะแกล้งพี่นัทได้บ้าง ผมก็เลยสนุกใหญ่ จนพี่นัทรำคาญจริงๆ  พี่แกเลยเลี้ยวรถเข้าข้างทาง แล้วใช้มือปิดปากผมและกดผมลงกับเบาะ

“อื้อ” ผมดิ้นออก แต่แรงพี่นัทอ่ะมากกว่าผมอยู่แล้ว ดิ้นไปก็เท่านั้น

“บอกให้หยุดไม่หยุดใช่มั้ย พี่คันไม่คันมืออยากลงโทษเจ้าเตี้ยจอมดื้อคนนี้มากเลยครับ”

“อื้อ อื่อ!!”  ผมร้องเมื่อพี่นัทล้วงมือเข้าในเสื้อผม แล้วก็คลึงไปที่หัวนมผมแรงๆ  ทั้งคลึงทั้งบีบ ส่วนตัวผมก็ทั้งเจ็บทั้งเสียว ผ่านไป 5 นาที ผมดิ้นจนหมดแรงก็เลยปล่อยให้พี่นัททำตามใจ

“ยอมแพ้ยัง?” พี่นัททำตาดุใส่ผม แต่มือก็ยังไม่เลิกคลึง แต่ผ่อนแรงลง

“อื้อ!!”พอสบโอกาส ผมใช้มือตัวเองดันพี่นัทออก ทั้งดิ้นทั้งตี แต่อยู่บนรถ มันก็ขยับมากไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่สะดวก

“ยังไม่เลิกดื้อ งั้นต้องโดนอีก” คราวนี้พี่นัทถกเสื้อผมขึ้นมาไว้ที่หน้าอก แล้วพี่แกก็ดันตัวผมให้พิงกับประตู แล้วเจ้าตัวก็ก้มลงไปที่ยอดอก เลียเบาๆ ก่อนที่จะขบด้วยฟัน จนผมสะดุ้งโหยง

“อื้อ อือ” ผมดันหน้าพี่นัทขึ้น แล้วก็พยักหน้ารัวๆ

“ยอมแล้ว?” ผมพยักหน้าอีก พี่นัทเลยปล่อย แล้วจับให้ผมนั่งดีๆ

“พี่นัทอ่ะ นิสัยไม่ดีเลย” ผมมองพี่นัทที่ขยับตัวออกไป แถมยังส่งยิ้มน่าหมันใส้นั่นมาให้ผมด้วย เจ็บใจตัวเอง ทำอะไรไม่เคยชนะเขาได้เลย

“ก็หนึ่งแกล้งพี่ก่อนนี่ครับ พี่บอกให้หยุดแล้ว หนึ่งก็ไม่ยอมหยุดนะ”

“ก็นานๆ ที ผมจะมีโอกาสได้แกล้งพี่บ้างนี่”

พี่นัทหัวเราะแล้วก็ขับรถต่อไป จนถึงบ้าน ผมกับพี่นัทช่วยกันขนของและขนมลงมา แม่บ่นผมนิดหน่อยว่าทำไมซื้อของมาเยอะ ก็ผมเลือกไม่ถูก มันน่ากินทุกอย่างเลย

“พี่ไปงานกาชาดจังหวัดมาเหรอ” ตองหนึ่งคงกลับมาก่อนผม ถามพลางดูๆ ขนมที่ผมซื้อมา จะบอกว่าผมซื้อก็ไม่ถูก เพราะพี่นัทเป็นคนออกตังค์ทั้งหมดเลย

“ใช่ คนเยอะมากเลย ไปสอยดาวมาด้วยนะ ได้แป้งมากระป๋องนึง” ผมพูดแล้วก็หัวเราะ ตองสองขยับออกห่างผม แล้วก็ยกมือขึ้นมาปิดจมูก

“ปากเหม็นอ่ะ ไปกินอะไรมา” ตองสองถาม ผมเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ น้องชายตัวเอง แล้วก็ยิ้มกว้าง แกล้งพี่นัทไม่ได้ ก็แกล้งน้องนี่แหละวะ ตองสองขมวดคิ้วใส่แล้วก็ดันตัวผมออกห่าง

“ปลาหมึกบด ฟู่ว!” ผมพูดแล้วอ้าปากเป่าลมใส่น้อง ตองสองกลอกตาขึ้นข้างบน แล้วก็เดินหนี ส่วนผมก็เดินตามสิครับ

“ไปบ้วนปาก ไป๊!” คราวนี้ตองสองเดินหนีขึ้นชั้นสอง ผมก็เตรียมที่จะตามไปแกล้งนะ แต่ก็โดนพี่นัทหิ้วไปแปรงฟันซะก่อน พี่นัทบอกแค่บ้วนปากไม่พอ ต้องแปรงฟันเลย

 
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 31 : I’m falling in you again l 23-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 23-12-2019 11:25:37


ช่วงเย็นก็เหมือนเมื่อวานที่ผ่านมา ช่วยกันทำกับข้าว พอกินข้าวเสร็จก็มานั่งดูโทรทัศน์กับแม่ พอละครจบก็แยกย้ายกันเข้านอน แต่ผมนี่สิ พอละครจบ ท้องมันก็ดันร้องขึ้นมา

“พี่นัท ผมหิว” ผมบอกพี่นัทที่กำลังจะเดินเข้าห้องไปนอน พี่นัทหันมาหา แล้วก็ส่ายหน้าใส่ ผมเลยเดินไปเกาะแขนพี่นัทไว้ “เบื่อผมเหรอ อย่าเพิ่งเบื่อผมสิ มีแฟนกินเก่งต้องทำใจนะพี่นัท”

“ทีแบบนี้ละอ้อนนัก อยากกินอะไรล่ะครับ ขนมที่ซื้อมามั้ย เดี๋ยวพี่ลงไปเอาให้”

“ไม่เอาขนมอ่ะ เอาข้าว...ข้าวไข่เจียวอ่ะ” ผมบอก พี่นัททำตาโตเพราะที่ผมอยากกินมันคืออาหารหนัก ที่ไม่ควรกินก่อนนอนเลย แต่ผมหิวอ่ะมันอยากกินอ่ะก็เลยอ้อนหนัก จนพี่นัทต้องลงไปทำให้ โชคดีที่มีข้าวเหลือ พี่นัทเลยไม่ต้องหุงข้าวใหม่ แค่เจียวไข่ให้ผมอย่างเดียว ผมกินไปยิ้มไป ไข่เจียวกินตอนดึกนี่ มันอร่อยกว่ากินตอนกลางวันอีกนะ

พอกินเสร็จผมก็เริ่มง่วง พี่นัทพาผมขึ้นมานอน ผมก็ยังอุตส่าอ้อนให้พี่นัทร้องเพลงให้ฟังก่อนนอนอีก ผมชอบเสียงพี่นัท ฟังแล้วมันอบอุ่น คืนนั้นผมไม่มีเรื่องกังวลใจเหมือนเมื่อคืนก่อน ผมเลยนอนหลับไปอย่างสบายใจ

 

“อือ...” ลืมตาขึ้นมากลางดึกมองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ความมืด ผมวาดมือออกไปหวังจะกอดพี่นัท เจอแต่ความว่างเปล่า ผมรับลุกขึ้นนั่ง พยามปรับสายตาให้เข้ากับความมืด แต่ไม่เจอพี่นัทอยู่ในห้องเลย

“พี่นัท ไปไหนอ่ะ” ผมลนลานอยู่บนเตียง เตรียมจะก้าวลงและออกจากห้องดูพี่นัทข้างนอก แต่ประตูห้องก็เปิดออกซะก่อน

“ตองหนึ่งเป็นอะไร” พี่นัทถามแล้วเดินเข้ามาหา

“ผมนึกว่าพี่หายไปครับ” ผมพูดเสียงสั่น พี่นัทเลยนั่งลงและกอดผม

“พี่จะหายไปไหนครับ พี่แค่ไปเข้าห้องน้ำเอง” ผมนิ่งไป แล้วก็คิดว่าตัวเองคงเบลอๆ เพราะเพิ่งตื่น ลืมคิดว่าพี่นัทอาจออกไปเข้าห้องน้ำ แวบนึงตอนที่ตื่นขึ้นมา ผมคิดว่าพี่นัทแอบหนีผมกลับไปแล้ว ผมก็เลยลนลานใหญ่เลย

“ก็ผมตกใจเฉยๆ ยังตื่นไม่เต็มตา มันก็เลยเบลอๆ แล้วตอนนี้กี่โมงครับ”

“ตีสามเองครับ มานอนต่อกันเถอะ” พี่นัทขยับจัดหมอนเตรียมจะนอนต่อ ผมเลยขยับตัวขึ้นนั่งทับตักพี่นัทไว้

“ผมตาสว่างแล้วเนี่ย”

“อ้าว แล้วจะให้พี่ทำยังไงล่ะครับ พี่ยังง่วงอยู่เลย” พี่นัทพูดแล้วก็ขยี้หัวผมจนฟูไปหมด

“ผมไม่รู้ ตอนนี้ผมอยากกอดพี่นัท” พูดแล้วผมก็กอดคอพี่นัทแล้วซบหน้าลงกับอก พอพี่นัทยังนั่งนิ่งผมก็เลยจับแขนพี่นัทให้กอดเอวผมไว้ด้วย

“...”

“ตอนนี้ผมอยากหอมแก้มพี่นัทด้วย” พูดแล้ว ผมก็ยืดตัวขึ้นไปหอมแก้มพี่นัททีหนึ่ง พี่นัทเลยหัวเราะออกมาเบาๆ

“อ้อนแต่เช้าอีกแล้ว เป็นอะไรเนี่ย พอกลับมาอยู่บ้านตัวเองนี่อ้อนเก่งจังนะครับ”

“แล้วพี่ไม่ชอบเหรอ” ผมมองหน้าพี่นัทแล้วก็ถาม

“ชอบมากครับ” พี่นัทมองหน้าผมแล้วก็ตอบ ก่อนที่จะกดหน้าผมให้ลงไปซบอกตามเดิม

“พี่นัท...” ผมขยับแขนกอดคอพี่นัทไว้ แล้วก็ซุกหน้าเข้ากับอกพี่นัท

“หืม ว่าไง”

“พี่รักผมมั้ยครับ?”

“รักสิ”

“รักมากแค่ไหน”

“มากเท่าที่หัวใจของชายคนนี้จะรักได้”

“งั้นหอมแก้มผมหน่อย” ผมอดหัวเราะกับคำพูดเลี่ยนๆ ของพี่นัทไม่ได้ ก่อนจะขยับตัวออกพร้อมทั้งเอียงแก้มให้พี่นัท แต่คนตัวสูงก็ปล่อยมือจากเอวผมมาจับใบผมที่เอียงเล็กน้อยให้หันไปหาพี่นัทตรงๆ  แล้วคนตรงหน้าก็ก้มลงมาจูบที่ริมฝีปากผม พี่นัทกดปากลงกับปากผมให้แนบแน่นแล้วค้างไว้อย่างนั้นชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วก็ผละออก

“พี่แถมให้เป็นจุ๊บแล้วกันนะครับ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า งั้นแลกกันนะ...ตอนนี้พี่อยากได้อะไรจากผม” ผมยิ้มกว้าง พี่นัทหลับตาคิดเล็กน้อย สักพักก็ลืมตาแล้วก็ยิ้มจนตาหยี

“พี่ขอจูบหวานๆ ได้มั้ยครับ” พี่นัททำปากจู๋ยื่นมาให้ ผมก็พยักหน้า เลียริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย แล้วขยับใบหน้าเข้าไปหาพี่นัทช้าๆ  ค่อยประกบปากลงไป ส่งลิ้นเข้าไปเกี่ยวกับลิ้นพี่นัทไปมา ขยับใบหน้าเปลี่ยนองศาให้สัมผัสกันมากขึ้น ผมหลับตาแล้วขยับแขนกอดคอพี่นัทไว้   ก่อนที่จะดันตัวพี่นัทให้นอนราบกับเตียงพร้อมกับที่ผมขยับตัวตามไปนอนทับพี่นัทโดยพี่ริมฝีปากของเราประกบกันอยู่ตลอด มือใหญ่ของพี่นัทลูบไปตามแผ่นหลังก่อนที่ลาดต่ำลงไปที่สะโพก ผมผละริมฝีปากออก แล้วก็ยิ้มให้คนใต้ร่าง

ผมขยับตัวเปลี่ยนเป็นนั่งค่อมพี่นัทไว้ ก่อนที่จะยืดตัวถอดเสื้อยืดของตัวเองออก

“ผมก็มีของแถมเหมือนกันนะ”

“ว้าว~ เหมือนพี่จะได้ของแถมชุดใหญ่ซะด้วย” พี่นัททำเสียงตื่นเต้นและหัวเราะเบาๆ ฝ่ามือก็ไม่อยู่สุขลูบไปตามแผ่นอกและหน้าท้องของผม

“นี่ถ้าไม่ติดว่าอยู่บ้านพ่อแม่นะ ผมอยากจะแถมชุดใหญ่แบบจัดหนัก จัดเต็มให้พี่เลยล่ะครับ”

“เสียดายจัง งั้น…จัดหนัก! จัดเต็ม! เราค่อยไปจัดกันตอนที่อยู่กันแค่สองคนก็ได้ครับ”

“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ” ผมจะขยับตัวลุกออก แต่พี่นัทก็ขยับมากอดเอวผมไว้แน่น แล้วก็ส่งสายตาแพรวพราว และยิ้มกรุ้มกริ่มมาให้

“แต่ตอนนี้พี่ขอแบบจัดหนักอย่างเดียวก่อนดีกว่า เนอะ!!”

“อะ อ๊ะ...” พอพี่นัทพูดจบก็เริ่มลงมือทันที

ผมครางเล็กน้อย เมื่อพี่นัทล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อบีบก้นผม และสัมผัสไปที่ช่องทางด้านหลังของผมด้วย ผมโค้งตัวลงเพื่อจูบกับพี่นัท ขณะเดียวกันพี่นัทก็ค่อยๆ ดันนิ้วเข้ามา ผมหลับตาครางเครืออยู่ในลำคอ เริ่มตวัดลิ้นเกี่ยวกับลิ้นพี่นัท มือที่สองข้างของผมก็ลูบไปตามตัวเขา พยายามทำตัวเป็นฝ่ายนำบ้าง ผมใช้นิ้วเกลี่ยไปที่ยอดอกพี่นัท คนใต้ล่างผมปัดมือผมออกแทบจะทันที อีกทั้งเอาคืนผมโดยการดันนิ้วที่อยู่ในตัวผมเข้าไปลึกกว่าเดิม

พี่นัทขยับนิ้วอยู่ภายใน และกดย้ำไปทั่ว จนเจอจุดเร้าอารมณ์ของผม แล้วก็กดย้ำอยู่อย่างนั้นจนผมแอ่นก้นขึ้น แล้วจิกเล็บเข้าเนื้อพี่นัทเพื่อระบายอารมณ์

“อ๊ะ อ๊าๆ ” ผมเปลี่ยนมาใช้แขนยันตัวเองขึ้นสูง แล้วแอ่นหน้าอกไปด้านหน้า เปิดโอกาสให้คนที่นอนอยู่ตวัดลิ้นสัมผัสยอดอกผมได้อย่างถนัด

“อืม พี่…พอ” ผมขยับตัวขึ้น แล้วจับแขนพี่นัทให้หยุดขยับนิ้วเข้าออก

“พี่ทำให้เจ็บเหรอครับ”

“ไม่ได้เจ็บครับ” ผมขยับตัวลงมาอยู่ตรงหว่างขาพี่นัทแทน แล้วค่อยดึงกางเกงพี่นัทลง แล้วใช้มือลูบเบาๆ ไปที่แก่นกายของเขาที่เริ่มเเข็งตัวขึ้นมา

“ผมอยากทำแบบนี้…” ผมพูดแล้วค่อยแลบลิ้นออกมา ไล้เสียเบาๆ ไปที่ส่วนปลาย ผมทำแบบนั้นไปสักพักก็เริ่มมีน้ำใสปริ่มออกมา พร้อมๆ กับส่วนนั้นที่ขยับขยาย เแข็งเต็มมือ ผมจึงค่อยๆ เปิดปาก ครอบลงไปตรงส่วนปลายที่ปริ่มน้ำนั้น

พี่นัทส่งมือมาลูบหัวผม บ้างก็ขยำเส้นผม ผมพยายามเปิดปากให้กว้างแล้วดันส่วนนั้นเข้ามาให้ลึกขึ้น

“อึก ตองหนึ่ง….” ผมได้ยินเสียงหายใจพี่นัทถี่กระชั้นมากขึ้น พอผมเหลือบตาขึ้นดูก็เห็นว่าพี่นัทมองผมอยู่ ใบหน้าพี่นัทแสดงออกอย่างชัดเจนว่า...กำลังรู้สึกดี

พี่นัทยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วใช้มือข้างนึงกดหัวผมให้รับส่วนนั้นของพี่นัทเข้ามามากขึ้น น้ำตาผมเริ่มไหล เพราะมันก็อึดอัดไม่น้อย ส่วนใหญ่โตของพี่นัทมันเข้ามาลึกเต็มปากเต็มคอจนหายใจแทบไม่ออก

มันก็ค่อนข้างทรมานที่หายใจไม่สะดวกนะ แต่ตัวผมดันรู้สึกเสียวซะงั้น ผมละมือข้างนึงลงไปดึงกางเกงตัวเองลงแล้วกำลูกชายตัวเองแน่น แล้วค่อยขยับมือขึ้นลง ยิ่งพี่นัทกดหัวผมขึ้นลงเร็วเท่าไร ผมก็ยิ่งสาวมือตัวเองเร็วตามไปด้วย

“อึก อื้อ!!” ในขณะที่ผมกำลังจะปลดปล่อย พี่นัทก็ดันตัวผมออก พร้อมทั้งจัดท่าทางให้ผม จนในที่สุดใบหน้าผมก็มาจ่ออยู่กับส่วนนั่นของพี่นัท พอกับๆ ที่ช่วงล่างของผมไปจ่ออยู่ตรงหน้าพี่นัทอย่างพอดิบพอดี

“อ๊ะ พี่...ท่านี้...ท่านี้มัน...”

“หกเก้าไงครับ เรายังไม่เคยทำท่านี้กันเลยนี่เนอะ”

“อ๊า!!” พี่นัทพูดจบก็กดสะโพกผมลง แล้วใช้ลิ้นอุ่นสัมผัสกับช่องทางของผม จนสะดุ้ง สติกระเจิงหนีไปทันที ผมยกสะโพกหนี แต่พี่นัทก็ใช้ทั้งสองมือกดไว้ ผมทำได้แค่ส่ายสะโพกไปมา ผมเลยก้มลงไปจัดการกับส่วนนั้นของพี่นัทบ้าง

“อะ ฮ๊ะ อาา พี่...ไม่ ไม่ไหวแล้ว พี่นัท...พอเถอะ” ผมเชิดหน้าครางออกมาเบาๆ  จะครางเสียงดังก็ไม่กล้า ห้องฝั่งตรงข้ามน่ะ ห้องพ่อแม่ผมนะครับ

พี่นัทดันตัวผมออก ดึงกางเกงผมโยนไว้บนพื้น จับผมให้ขึ้นนั่งคร่อมตัก และก่อนที่ผมจะได้ตั้งตัว พี่นัทก็จับตรงส่วนนั้นจ่อเข้าที่ช่องทางของผมแล้วค่อยกดตัวผมให้นั่งลงไป ทำให้ส่วนร้อนผ่าวนั่นสอดเข้ามาในตัวผมช้าๆ  และลึกขึ้นเรื่อยๆ

“อื้อ อื้อ!” ผมแยกสองขาออกกว้าง แล้วค่อยกดตัวลงไป จนเข้ามาสุด ท่านี้มันทำให้เข้ามาลึก รู้สึกเหมือนโดนทะลวงถึงท้อง มันเสียวไปหมด ขาทั้งสองข้างผมสั่นจนรู้สึกได้

“คนดีของพี่ ขยับหน่อยครับ พี่ไม่ไหวแล้ว” พี่นัทพูดแล้วจับสะโพกให้โยกขึ้นลง ผมอ้าขาตัวเองออกกว้าง กอดคอพี่นัทไว้แน่นแล้วก็ขยับตัวขึ้นลง

“อึก อะ”

“ดี...แบบนั้นแหละครับ”

ผมเชิดหน้าแล้วสะบัดไปมา เมื่อพี่นัทจับหน้าอกพร้อมกับที่รัวลิ้นลงบนยอดอกที่ตั้งชันของผม ความเสียวซ่านเร่งให้ผมขยับตัวเร็วขึ้น และกระแทกลงไปแรงกว่าเดิม แต่เหมือนมันจะไม่ทันใจพี่นัทเท่าไร เพราะคนที่ผมคร่อมอยู่ใช้สองมือจับสะโพกผมไว้แน่นแล้วเป็นฝ่ายเด้งกายสวนเข้าหาผมซะเอง

“อืม อะๆ  อ๊ะ พี่นัท...อือ”

“ดีมั้ยครับ…” พี่นัทถามผมเบาขณะที่ขยับตัว ผมก็พยักหน้าหัวสั่นหัวคลอนเพราะแรงกระแทกจากพี่นัท

“อ๊า!!”

“ชู่ว!! เดี๋ยวพ่อกับแม่ก็ตื่นหรอกครับ” ผมเผลอร้องออกมาเสียงดัง จนพี่นัทรีบปิดปากผมเพราะกลัวคนที่หลับอยู่จะได้ยินกัน พี่นัทนั่นแหละผิด จู่ๆ ก็เปลี่ยนท่า ไม่ทันตั้งตัว พี่แกก็ดันผมนอนกับเตียง แยกขาผมออกกว้างแทบจะร้อยแปดสิบองศา แล้วก็รัวสะโพกใส่ผมซะยิบเลย ผมเสียว ผมก็ต้องร้องสิครับ

“ปิดปากไว้นะครับ” พี่นัทถอดเสื้อตัวเองออก แล้วส่งมาให้ผมกัดไว้ ก่อนที่พี่แกจะเริ่มรัวใส่สะโพกผมอีกครั้ง ผมกัดผ้าแน่น หลับตาปี๋แล้วอ้าขาออกกว้าง หัวใจเต้นเร็วจนแทบจะวาย ได้ยินเสียงเตียงลั่นเบาๆ ตามจังหวะที่นัทขยับ

ผมหอยหายใจกลั้นเสียงครางก่อนที่จะเกร็งตัวปลดปล่อยออกมา ในขณะที่พี่นัทจับเอวผมแน่นอีกครั้ง แล้วขยับสะโพกใส่ผมจนมองแทบไม่ทัน ก่อนที่ผมจะรู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นร้อนที่ฉีดเข้ามาในตัว ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ซบลงที่ซอกคอ ผมกับพี่นัทเกร็งกระตุกอยู่พักนึง แล้วทุกอย่างก็เงียบสงบ เสียงที่ได้ยินมีแต่เสียงหอบหายใจของเราสองคน

“อืม...” พี่นัทค่อยถอนตัวออก แล้วขยับตัวลงไปนอนข้างๆ ผม ผ่านไปไม่นาน ผมยังไม่ทันหายเหนื่อย พี่นัทก็เข้ากอดผมอีกครั้ง

“เมื่อกี้มันดีมั้ยครับ รู้สึกดีมั้ย?”

“ดีครับ ดีมาก” ผมตอบไปตามตรง เมื่อกี้มันดีจริง ผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์จริงๆ

“ฟ้ายังไม่สว่างเลยเนอะ” พี่นัทขยับตัวลุกขึ้น แล้วแยกขาผมออกอีกครั้ง ก่อนจะค่อยดันเจ้าแท่งร้อนนั่นเข้ามาตัวในผม...ทีเดียวสุดทาง

“อา อื้อ!”

“พี่ขออีกรอบนะครับ”

ความจริงแล้ว พี่ควรที่จะขอก่อนแล้วค่อยทำไม่ใช่หรอก แต่นี่ทำไมพี่ถึงทำก่อนขออีกแล้วล่ะ

หลังจากที่จัดหนักกันไปแล้วสองรอบติดๆ และเกือบจะมีรอบที่สาม ถ้าไม่ใช่เพราะผมได้ยินเสียงแม่เคาะประตูปลุกตองสองที่อยู่ห้องข้างๆ ติดกับผมซะก่อน  ผมกับพี่นัทเลยลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้า แล้วรอเข้าห้องน้ำ พออาบน้ำกันเสร็จก็ลงไปกินข้าวเช้า แล้วก็ขึ้นมาเก็บของ เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ตอนที่เดินขึ้นผมก็เห็นตองสองเดินเข้าห้อง ก็เลยเรียกไว้

“สอง กลับไปพร้อมกับพี่วันนี้เลยมั้ย?”

“ไม่อ่ะ พี่กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวอีกสองวันผมค่อยกลับ” ตองสองหันหลังเตรียมจะเดินเข้าห้อง แต่ผมก็ยังรั้งไว้อยู่

“อืมๆ  แล้ววันนี้ไม่เข้าสวนไปกับแม่เหรอ”

“วันนี้ไม่อ่ะ ผมง่วง” ตองสองพูดแล้วก็อ้าปากหาวหวอดๆ ออกมา

“อะไรกัน เพิ่งจะตื่นมาง่วงอีกแล้ว”

“ผมตื่นตั้งแต่ตีสามล่ะพี่” น้องผมพูด ถอนหายใจออกมา แล้วก็ขมวดคิ้วใส่ผมอีก

“ตีสามอะไร พี่ได้ยินแม่ปลุกเมื่อตอนเจ็ดโมงเช้านี่เองนี่ อย่ามาโกหก”

“ผมตื่นก็เพราะพี่ๆ นั่นแหละ” ตองพูดแล้วทำหน้าตาเบื่อหน่ายใส่ผม รวมไปถึงพี่นัทที่เพิ่งเดินขึ้นมาด้วย

“อ้าว มาโทษพี่อีก”

“นี่...พี่ลืมไปแล้วเหรอ ผนังกั้นห้องเรามันเป็นแค่ไม่อัดบางๆ นะ พี่ทำอะไรกันเมื่อเช้า คิดว่าผมไม่รู้รึไง แค่พี่หายใจแรงๆ ผมก็ได้ยินแล้ว เฮ้ออ ทีนี้เข้าใจผมรึยัง!” ตองสองพูดแล้วก็เดินปึงปังเข้าห้องไปนอน ส่วนตัวผมนั่นแข็งเป็นหินไปแล้ว

“เห็นมั้ย พี่บอกแล้ว ให้ตองหนึ่งร้องเบาๆ หน่อย” เอ้า มาโทษกันเฉยเลย

“เพราะพี่นั่นแหละ” ผมชกอกพี่นัทไปที แล้วก็เดินเข้าห้องมาเก็บของต่อ

กว่าเราจะเก็บของเสร็จก็ปาเกือบเที่ยง เราเลยได้กินข้าวฝีมือแม่อีกมื้อนึง ก่อนกลับพ่อได้พาพี่นัทไปเก็บผลไม้มาให้เราอีกตระกร้าใหญ่ๆ  พี่นัทนี่ขอบคุณแล้วขอบคุณอีก กว่าที่ผมจะได้ออกจากบ้านแม่จริงๆ ก็เกือบจะบ่ายสามนั่นแหละครับ และเพราะใกล้ที่จะหมดวันหยุดยาวแล้วรถก็ติดเป็นพิเศษ เพราะทุกคนก็เริ่มที่จะกลับจากการไปเที่ยวต่างจังหวัดกันแล้วผมที่โคตรจะเหนื่อยจากการจัดหนักเมื่อเช้า บวกกับเมารถ พี่นัทเลยให้กินยาแก้เมารถ ผลก็คือผมหลับจนไม่รู้เรื่องเลย

 

พี่นัท’s part

หลังจากที่ขับรถมาเกือบสี่ชั่วโมง ในที่สุดก็ถึง ผมจอดรถที่ว่างหลังร้าน เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินแบกของกันไกล ปกติผมจะจอดตรงนี้ก็ได้ แต่มันค่อนข้างแคบ เข้าออกลำบาก  พอจอดได้ที่แล้ว ก็หันไปมองคนข้างๆ ที่หลับคอพับคออ่อนมาตั้งแต่ออกจากบ้านพ่อแม่เพราะเมารถ ผมพยายามขับให้นิ่มที่สุดแล้ว แต่เพราะรถเยอะเลยทำให้คนตัวเล็กเมารถได้ไม่ยาก ผมเอื้อมมือเปิดไฟในรถเพื่อมองหน้าคนที่หลับอยู่ได้ชัดขึ้น

ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารัก ยิ่งรู้ว่าน่ารักก็ยิ่งหลง

ผมถูกใจตองหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ มันไม่มีเหตุผล แค่เห็นแล้วก็ชอบ มองๆ ดูแล้วมันน่ารักน่าแกล้งไปหมด แกล้งให้เขิน กวนให้หงุดหงิด พอได้รู้จักกันมากขึ้นก็ยิ่งรู้ใจตัวเองว่าคนนี้ ตรงใจผมเลย อยากได้มาเก็บไว้คนเดียว พอได้เป็นเจ้าของแล้วจริงๆ ก็หวงจนไม่อยากจะให้คนอื่นมาแตะเลยด้วยซ้ำ

ผมก้มลงไปหอมแก้มคนที่หลับไม่รู้เรื่อง แล้วเกลี่ยจมูกกับแก้มนิ่ม สูดดมกลิ่มเนื้อหอมละมุนจากตองหนึ่ง พ่อแม่เลี้ยงมาด้วยอะไร ทำไมถึงน่ารัก น่าฟัดได้แบบนี้

แค่แก้มมันไม่หนำใจ ผมเลยจูบไปที่ปากแล้วแล้วขยับดูดดึงเบาๆ  ตองหนึ่งพยายามหันหนีและเผลอเปิดปากออก เปิดโอกาสให้ผมสอดลิ้นเข้าไปเก็บเกี่ยวความหวานภายในโพรงปาก

“อือ อืม” ตองหนึ่งครางเบาๆ ทั้งๆ ที่เปลือกตายังปิดสนิทอยู่ ผมผละออก ไล้นิ้วไปตามริมฝีปากชุ่มสีเรื่อ ขึ้นมาที่เปลือกตาบาง ผมมองไปที่หน้าผากกลมมน ที่เหมือนจะดึงดูดให้ผมต้องประทับรอยจูบอยู่ตลอดเวลา

และก่อนที่ผมจะยับยั้งตัวเองไม่ได้ ผมก็ตัดสินใจผละออก แล้วเขย่าตัวปลุกตองหนึ่ง

“ตองหนึ่ง ถึงแล้วนะ ตื่นได้แล้วครับ”

“อืออ งืมๆๆ ”

ผมปลุกตองหนึ่งอยู่สองสามครั้ง คนตัวเล็กก็ไม่ยอมลืมตา แต่เอางึมงำอยู่ในลำคอ เห็นแล้วมันมันเขี้ยว ผมเลยก้มลงไปกัดริมฝีปากตองหนึ่งเบาๆ  แล้วผละออก

“อื่ออ…” ตองหนึ่งปรือตามองผมเล็กน้อย ก่อนจะหันหนีแล้วหลับไปอีก

“ขี้เซา ตื่นเร็วครับ ไปกินข้าวกัน ตองหนึ่งหนึ่งอยากกินอะไร เดี๋ยวพี่ทำให้ครับ?”

“งืมๆ... ” ตองหนึ่งยังเอาแต่พูดในลำคอเหมือนเดิม ผมเลยเดินเอาของไปเก็บก่อน พอขนของเก็บหมดแล้วก็มาปลุกตองหนึ่งต่อ ผมเปิดปนระตูฝั่งของตองหนึ่ง แล้วก็เขย่าคนตัวเล็กแรงขึ้น

“อื่อ!” ตองหนึ่งขมวดคิ้วแล้วมองผม คงจะเริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ

“ตื่นเถอะครับ นี่มันมืดแล้วนะ เดี๋ยวคืนนี้ก็นอนไม่หลับหรอก” ผมขยับตัวเข้าไป ปรับเบาะที่เอนนอนอยู่ให้เข้าที่ดีๆ

“ผมง่วง...ง่วงมากอ่า” พอปรับเบาะเสร็จตองหนึ่งก็ไม่สามารถนอนได้ แต่เอนตัวมาซบผมแทน ขี้เซาจัง ผมคิดว่ายายังไม่หมดฤทธิ์ เลยให้อนอต่ออีกหน่อย

“นอนต่อก็ได้ครับ แต่ขึ้นไปนอนบนห้องดีกว่าครับ พี่จะได้เอารถไปเก็บ”

“อืม อุ้มหน่อย” ซบยังไม่พอ ยังมีการคล้องคอแล้วอ้อนให้อุ้มด้วย นี่กี่ขวบแล้วเนี่ย ตอบ!!

“ทำไมพักหลังๆ นี่อ้อนเก่งจัง จะทำให้พี่หลงไปถึงไหนครับ หืม” ถึงจะบ่น แต่ก็ยอมอุ้มอยู่ดี ผมจับขาตองหนึ่งให้เกี่ยวเอวผมไว้ แล้วก็ช้อนก้น ช้อนหลังตองหนึ่งขึ้น อุ้มแบบอุ้มเด็กนี่แหละครับ ถนัดดี

ผมอุ้มตองหนึ่งมาจนถึงเตียงแล้วก็ค่อยๆ  วางลง แต่พอจะผละออกเพื่อห่มผ้าให้ ตองหนึ่งดันไม่ยอมปล่อยคอผมซะนี่

“ผมหนาว…”

“หนาวก็ปล่อยพี่สิครับ เดี่ยวพี่ห่มผ้าให้ไง จะได้อุ่นๆ ”

“ไม่เอา...กอดพี่อุ่นกว่า” พูดแล้วก็ดึงคอผมลงไปมากกว่าเดิม จนปลายจมูกผมเฉี่ยวๆ แก้มคนตัวเล็กไปนิดเดียวเอง

“ครับๆ  งั้นหนึ่งขยับเข้าไปหน่อยนะ” ผมดันตัวตองหนึ่งให้เข้าไปนอนกลางเตียง แล้วก็ขยับขึ้นไปนอนข้างๆ พร้อมกับห่มผ้าให้

“กอดผมหน่อย~” ตองหนึ่งปรือตามองผม แล้วอ้าแขนออก ผมขยับตัวลงนอนแล้วกอดตองหนึ่งไว้ คนขี้อ้อนขยับขึ้นมาจุ๊บที่ปากผมเบาๆ แล้วก็ขยับลงไปซบอกผมต่อ

“นี่อ้อนหรืออ่อยเนี่ย เดี๋ยวก็โดนจัดหนักอีกรอบหรอกครับ”

“ไม่ได้อ่อยนะ” ผมยิ้มกริ่ม ตองหนึ่งพูดเบาๆ แล้วก็หลับตาลง

“...”

“ผมรักพี่นัท”

“พี่ก็รักหนึ่งครับ” หลังจากเงียบไปซักพัก ตองหนึ่งพูดขึ้นเบาๆ ช้าๆ

“ผมอยากทำให้พี่พอใจ…อยากให้รู้ผมรักพี่มากแค่ไหน”

“...”

“ผมอยากกอดพี่แบบนี้ไปตลอด…”

“...”

“พี่อย่าทิ้งผมนะ หลงผมคนเดียวนะ รักผมคนเดียวนะ”

“...”

“เพราะหลังจากนี้ ผมคงรักใครไม่ได้อีกแล้ว…”

“...” ผมฟังเงียบๆ แล้วก็ยิ้ม ดูว่าตองหนึ่งจะพูดอะไรมาอีกมั้ยแต่ผมก็ได้ยินเสียงหายใจและเสียงกรนเบาๆ แทน

“น่ารักขนาดนี้ พี่คงไปหลง ไปรักใครไม่ได้อีกแล้วเหมือนกันแหละครับ”

ดีต่อใจขนาดนี้ จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ ไม่ปล่อยให้ห่างใจ ไม่ยอมให้ห่างกายไปตลอดชีวิตเลย คอยดู






  #สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 31 : I’m falling in you again l 23-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 23-12-2019 17:21:07
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 31 : I’m falling in you again l 23-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 24-12-2019 00:22:28
ทำอะไรไม่เกรงใจพ่อแม่เลยเน๊อะตองสองเน๊อะ  สงสารตองสอง คงไม่หลับยันหว่าง :laugh: 
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 31 : I’m falling in you again l 23-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-12-2019 01:50:28
 :haun4: :jul1: :pighaun:
หัวข้อ: Re: [Re-Write] How to bake me สูตรอบรัก l 31 : I’m falling in you again l 23-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-12-2019 19:50:10
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: Loammy ที่ 28-12-2019 09:04:12
32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ


ผมตื่นอีกทีก็รู้สึกว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่มพร้อมกับแอร์เย็น พอมองไปข้างนอกฟ้าก็มืดแล้ว ผมลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบ ห้อง ดูนาฬิกาตรงหัวเตียง นี่มันก็ประมาณสามทุ่มกว่าแล้ว โห…ผมหลับไปนานเหมือนกันนะเนี่ย

แล้วตอนนี้ผมก็หิวอ่ะ…พี่นัทหายไปไหน…ผมมองไปทั่วห้องมืดก็ไม่เห็นเงาของพี่นัทเลย ผมตลบผ้าห่มออกเตรียมลุกออกจากเตียงแล้วก็พบว่ากางเกงยีนส์ที่ใส่ในตอนแรกนั้นถูกถอดออกจนเหลือแค่ชั้นใน

“พี่นัทนี่ หวังดีประสงค์ร้ายแน่ๆ อ่ะ” ผมก็ไม่แน่ใจว่าที่พี่นัทถอดกางเกงผมออก เพราะว่าอยากให้ผมนอนสบายๆ  หรืออยากจะทำอย่างอื่นตอนผมหลับกันแน่

ผมเดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่างแล้วก็หากางเกงมาใส่  แล้วก็เดินลงไปชั้นหนึ่ง เพื่อหาพี่นัท แต่ก็ไม่พบ เดินไปหาทั้งหน้าร้านและด้านหลังร้านก็ไม่มี เลยเดินกลับมาที่ครัวใหม่ เปิดตู้เย็นหาขนมกิน เพราะทันทีผมตืนขึ้นมาท้องผมก็เรียกร้องหาอาหารทันที แต่เพราะหาพี่นัทไม่เจอเลยต้องหาอะไรรองท้องไปก่อน  แต่พอเปิดมาก็เจอเนื้อชิ้นใหญ่สามชิ้นที่หมักใส่กล่องไว้ และพวกผัดสลัดอยู่ในตู้เย็น ดูจากลักษณะของชิ้นเนื้อและเครื่องปรุงแล้ว คืนนี้ผมคงได้กินสเต็กแน่ๆ เลย  งั้นผมควรที่จะเก็บท้องไว้รอกินสเต็กดีกว่า

ผมปิดไฟชั้นล่างแล้วก็เดินกลับขึ้นมาที่ชั้นสอง เพื่อที่จะโทรศัพท์หาพี่นัท แต่ปรากฏว่าโทรศัพท์พี่แกวางอยู่ที่โซฟานี่

“โอ๊ย! โทรศัพท์ก็อยู่นี่ แล้วพี่นัทหายไปไหนอ่า หิวนะเนี่ย!!” ผมหยิบโทรศัพท์พี่นัทขึ้นมาแล้วก็กระแทกตัวลงกับโซฟาแทน

อ๊ะ! หรือว่าอยู่ที่ดาดฟ้า อาจจะรดน้ำดอกไม้อยู่ก็ได้

ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปชั้นบน พอเปิดประตูไปสิ่งแรกที่รู้สึกคือลมที่พัดเข้าหน้าพอดี และตามมาด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนที่ประดับไปตามขอบประตู กำแพง พันรอบๆ ไปตามกระถางดอกไม้

“โห...สวยอ่ะ บนดาดฟ้ามีไฟแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย”

และท่ามกลางแสงไฟและดอกไม้ก็มีโต๊ะเล็กๆ กับเก้าอี้สองตัวตั้งอยู่ บนโต๊ะมีจาน ช้อน และแก้วอยู่สองชุด ตรงกลางมีเชิงเทียนวางอยู่ ผมคาดว่าพี่นัทคงจัดไว้สำหรับกินสเต็กแน่ๆ เลย

ว้าวๆ วันนี้ได้กินสเต็กท่ามกลางแสงไฟและหมู่ดาวดวงน้อยยามค่ำคืน

ผมเดินไปที่ม้านั่งเล็กๆ ที่ถูกย้ายไปอยู่ตรงมุม แล้วก็นั่งรับลมเย็นๆ

พี่นัทไปไหนก็ไม่รู้ ชั้นล่างก็ไม่อยู่ บนดาดฟ้าก็ไม่มีเจอ คงออกไปซื้อของล่ะมั้ง อาจจะกำลังทำเสต็กแล้วก็ไปซื้อของเพิ่มก็ได้ แต่ว่าไปนานจังเลย ถ้าแค่ซื้อของ ซุปเปอร์ที่เปิดตลอดเวลาก็น่าจะมี ไปก็ไม่น่าจะเกินสิบนาที แต่ตั้งแต่ผมตื่นนี้มันก็นานล่ะนะ

ผมนั่งเล่นอยู่บนดาดฟ้าอยู่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งขึ้นมา แล้วประตูดาดฟ้าก็เปิดออกอย่างแรง ผมเห็นพี่นัทที่ยืนหอบอยู่หน้าประตู มองมาที่ผมหน้าตาตื่น ในมือมีเทียนสีขาวอยู่สามเล่ม

“ตองหนึ่ง ขึ้นมาทำไมครับ!!” พี่นัทพูดเดินข้ามกระถางดอกไม้เอาเทียนไปวางบนโต๊ะแล้วก็รีบเดินมาหาผม

“ก็ผมตื่นแล้วไม่เจอพี่นัท ผมก็เลยขึ้นมาดูบนนี้ เผื่อพี่รดน้ำดอกไม้อยู่...แล้วพี่ไปไหนมาครับ?”

“เอ่อ...ไป...ไปซื้อของ..”

“ของอะไรครับ….พี่นัทร้อนเหรอครับ?” ผมยกขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้ ยิ่งพูดพี่นัทก็ยิ่งเหงื่อแตก พี่นัทร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ ดาดฟ้าลมก็พัดออกจะเย็น

อ๋อ..อาจเป็นเพราะพี่นัทวิ่งขึ้นมาก็ได้

พี่นัทมองหน้าผม แล้วมองไปรอบๆ  สูดหายใจเข้า แล้วก็กลับมามองผมอีกครั้ง

“ตองหนึ่ง...” พี่นัทเรียกผม แล้วก็ทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา

“ครับ?” ผมเงียบรอฟังอยู่สักพัก แต่พี่นัทก็เอาแต่อ้าปาก ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

“ตองหนึ่ง...หิวยังครับ?”

“หิวครับ” ผมสงสัยเล็กน้อย ผมไม่ได้คิดไปเองใช่มั้ย ทำไม...พี่นัทดูเลิกลั่กแปลกๆ

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปทำอาหารให้นะ หนึ่งจะไปช่วยพี่ทำมั้ยครับ” พี่นัทลุกขึ้น แล้วก็พูด ดูชี้มือชี้ไม้วุ่นวายไปหมด

“เดี๋ยวผมลงไปช่วยก็ได้ครับ”

พี่นัทพยักหน้าแล้วก็รีบดันหลังผมลงไปที่ครัวใหญ่ด้านล่าง ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงสเต็กน่าตาน่าทานก็เสร็จ และเป็นไปตามคาด พี่นัทยกจานพาผมขึ้นมากินบนดาดฟ้า นอกจากสเต็กและสลัดแล้ว พี่นัทยังลงทุนเปิดไวน์ด้วย ไวน์แดงถูกรินลงแก้วผมและแก้วพี่นัท ก่อนที่เขาจะหันไปจุดเทียน แต่เพราะลมที่พัดอยู่ตลอดทำให้พี่นัทจุดเทียนไม่สำเร็จซักที

“พี่นัทครับ ลมมันแรง ผมว่าพี่จุดเทียนไม่ได้หรอก” พี่นัทหันมามองผม ก่อนที่จะยิ้มแหยๆ  แล้วก็วางเชิงเทียนลงบนพื้น และก็นั่งลงฝั่งตรงข้ามกับผม

“นั่นสิ พี่ก็ลืมคิดไปเลยว่าดาดฟ้าลมมันแรง อุตส่าออกไปซื้อเทียน 555” พี่นัทหัวเราะแห้งๆ  ยกมือขึ้นเกาคอ แล้วก็ดันแว่นที่มันเข้าที่อยู่แล้วให้ชิดดั้งเกินไป จนสักพักพี่แกก็ต้องยกมือดันแว่นลงมาให้อยู่ตำแหน่งเดิม

“พี่นัทเป็นอะไรเหรอครับ?”

“หะ!! พี่เหรอ พี่ไม่ได้เป็นอะไรครับ ก็ปกติดี รีบกินกันดีกว่าหนึ่งบอกว่าหิวนี่ครับ”

พี่นัทพูดเร็ว แล้วก็ก้มหน้าก้มตาหั่นเนื้อในจานตัวเอง ผมเลิกสนใจพี่นัทแล้วก็ก้มลงสนใจอาหารที่อยู่ด้านหน้า ผมได้สิทธิพิเศษ พี่นัททำเนื้อให้ผมสองชิ้นแหละ กินให้ท้องแตกไปเลย!

“หนึ่งครับ…”

ในขณะ ที่ผมกำลังกินพี่นัทก็เรียกผมอีกครั้ง ทำเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็เงียบไป จนผมเริ่มทนไม่ไหว อยากรู้ว่าพี่นัทเป็นอะไร

“พี่นัทมีอะไรรึเปล่าครับ?”

“เปล่าครับ พี่แค่อยากถามว่าอร่อยมั้ย?”

“อร่อยครับ อร่อยมาก...ทำไมพี่ดูแปลกๆ ” ผมยังถามคำเดิม ยิ่งพี่นัทไม่ยอมตอบ ผมก็ยิ่งอยากรู้ ยิ่งพี่นัทหลบตา ผมก็ยิ่งอยากเค้น

“ทำไมวันนี้ถึงมากินบนนี้ล่ะครับ แล้วทำไมถึงมีไฟ มีเทียนด้วย มันดู...แบบว่า...”

“หนึ่งไม่ชอบเหรอครับ?”

“ไม่ใช่ครับ ผมชอบ มันสวยดีแต่มันก็ดูพิเศษกว่าปกติ...มาก แบบว่าดูต่างจากวันทั่วไป”

“...” ผมรอฟังพี่นัทพูด ผมดูออกว่าตอนนี้พี่นัทเขินหรืออาจจะประหม่าอะไรซักอย่าง เพราะเขาทำเหมือนคนที่ไม่รู้จะเอามือไปไว้ตรงไหน ยกขึ้นเกาคอ เกาแก้มบ้าง ดันแว่นบ้าง บางครั้งก็ล้วงกระเป๋ากางเกงทำเหมือนจะหยิบอะไรออกมา แต่ก็ไม่มีอะไร

“ก็…พี่อยากให้วันนี้มันพิเศษนี่ครับ”

“ทำไมพี่นัทอยากให้วันนี้พิเศษล่ะครับ ”

“เอ่อ...เพราะ…”

“...”

“เพราะหนึ่งพิเศษ...สำหรับพี่” พี่นัทพูดแล้วก็มองหน้าผมส่งยิ้มเขินๆ มาให้ก่อนที่จะก้มหน้าลง

ผมยิ้มแล้วก้มหน้าลงเหมือนกัน ผมเขินอ่ะ ยิ่งเห็นพี่นัทเขิน ผมก็ยิ่งโคตรเขิน เขินตามๆ กันไป

“พี่นัทเป็นคนพูดเอง แล้วพี่จะเขินทำไมล่ะครับ”

“พี่ก็ไม่รู้ แต่พอพี่เห็นหนึ่งแดงแล้วมันก็ เขิ๊น..เขิน” แดงที่นัทพูดถึงน่ะ หมายถึงใบหน้าผมใช่มั้ย พี่นัทยกมือลูบคอตัวเองอีกครั้ง ผมเหลือบมองพี่นัท ตอนนี้พี่นัทแดงไปทั้งหน้าเลย ตอนแรกน่ะแดงแค่หู แต่ตอนนี้แก้มพี่นัทก็แดงด้วย โง้ยย..น่ารัก

ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ เราถึงรู้สึกเขินกันได้ขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะไวน์แดงที่เราดื่มเข้าไปทำให้เลือดมันสูบฉีดดีกว่าปกติ หรือเพราะว่าไฟส้มอ่อนสีอบอุ่นที่ประดับรายล้อมอยู่รอบตัว หรือท่าทางของพี่นัทที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงหน้าผม หรือว่าเพราะคำพูดของเขาที่บอกว่าผมพิเศษ

หรืออาจจะเป็นทุกอย่างที่ผมกล่าวไป มันก่อให้เกิดบรรยากาศที่เรากันเรียกว่า โรแมนติก...

หลังจากนั่งเขินกันอยู่สักพัก ท้องผมมันก็ส่งเสียงเรียกร้องอาหาร ความเขินอายจึงลดลงมานิดหน่อย เรากลับมากินเสต็กกันต่อเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรมาก เงยหน้าขึ้นมามองตากันแล้วก็ยิ้มให้กันบ้างเป็นครั้งคราว

ผมยื่นมือไปหยิบแก้วไวน์ แต่แล้วพี่นัทก็ยื่นมาจับที่มือผม แล้วบีบไว้ ผมเงยหน้ามองคนตรงหน้า พี่นัทสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ผ่อนออกมาช้าๆ

“หนึ่งครับ...พี่รักหนึ่งนะครับ”

“ครับ ผมก็รักพี่”

“เอ่อ...ต่อจากนี้ พี่...พี่อยากให้...” พี่นัทล้วงมือไปที่กระเป๋ากางเกง พร้อมกับทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ผมรอฟังและรอดูอย่างตื่นเต้น

“...”

“พี่...อยากให้...พี่อยากให้เรารักกันเยอะๆ ”

ผมเงียบแล้วพี่นัทก็ไม่พูดอะไรต่อ แต่ปล่อยมือผมออกแล้วก็ก้มหน้าก้มตา หยิบแก้มไวน์ขึ้นไปจิบ ผมเห็นแล้วแปลกใจมากๆ  เหมือนพี่นัทจะพูดอะไรบางอย่างอีก เมื่อกี้แวบนึงตอนที่พี่นัทล้วงกระเป๋า ผมคิดว่าพี่นัทจะขอผมแต่งงานอะไรประมาณนั้นซะอีก ไม่ใช่ว่าผมคิดเข้าข้างตัวเองนะ แต่แบบว่า บรรยากาศมันชวนให้คิดน่ะ

ก็ดูสิครับ ทั้งไฟ ดอกไม้ ดินเนอร์ ไวน์ แล้วก็ท่าทางของพี่นัทอีก ตามแบบฉบับของคนที่ขอแต่งงานท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติกเลยครับ

พอกินกันเสร็จ เราก็นั่งเล่นรับลมอยู่อีกสักพัก พี่นัททำเหมือนจะพูดและหยิบอะไรบางอย่างออกมาตลอดเวลา แต่ก็ไม่ยอมพูด ไม่ยอมทำอะไรเลย นอกจากนั่ง ให้ผมพิงแค่นั้น จนเป็นผมนี่แหละที่ทนไม่ไหว อยากรู้จนอึดอัด

“พี่นัทผมถามจริงๆ นะ พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“ก็...ไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ ทำไมหนึ่งถามคำถามนี้บ่อยจัง”

“ก็พี่นัททำตัวแปลกๆ นี่ครับ พี่นัทเหมือนจะพูดอะไรกับผม แต่ก็ไม่พูด พี่เอาแต่เรียกชื่อผม แล้วก็เงียบมาหลายครั้งแล้วนะครับ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ หนึ่งอย่าเพิ่งสนใจเลย”

โอเค๊! พี่นัทบอกไม่ให้ผมสนใจ ผมก็จะไม่สน

“ตองหนึ่งครับ…” ผ่านไปไม่นานเลย พี่นัทก็ดันตัวผมออก มองตาผม ส่วนมือก็ล้วงเข้าไปที่กระเป๋ากางเกง เหมือจะหยิบอะไรออกมาอีกครั้ง

“...” ผมนั่งนิ่งๆ  รอฟัง แต่ก็นั่นแหละ พี่นัทก็ไม่ยอมพูดออกมาซักที ค้างอยู่ท่าล้วงกระเป๋าได้ประมาณหนึ่งนาที แล้วก็กลับไปนั่งปกติ ไม่พูดอะไรออกมา นี่คืออะไร? พี่นัทเล่นเกมอะไรอยู่? หรือแค่แกล้งกวนประสาทผม? ถ้าใช่ พี่นัททำสำเร็จ ผมจะประสาทเสียล่ะเนี่ย นี่ชักจะหงุดหงิดแล้วนะครับ  ทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด เห็นแล้วมันอึดอัดใจแทน

“...” ผมมองหน้าพี่นัทที่หันไปทางอื่นแล้ว พี่ทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้วนะครับ ฮึ่มม!

“พี่นัท พี่เป็นอะไรของพี่เนี่ย พี่จะพูดอะไร จะบอกอะไรผม ก็พูดออกมาเลยสิครับ พี่เรียกชื่อผมแล้วเงียบมาหลายครั้งมากเลยนะครับ ผมรอฟังอยู่นะ!!” ผมเขย่าตัวพี่นัทแล้วก็พูด พี่แกตกใจอยู่เหมือนกันที่อยู่ๆ  ผมก็ปรี๊ดแตก ก็เห็นท่าทางของพี่นัทแล้วมันหงุดหงิดอ่ะ เห็นท่าทางอ้ำๆ อึงๆ นั่นแล้วมันอึดอัดด้วย

“....ใจเย็นๆ สิครับ”

“พี่จะให้ผมใจเย็นอะไรอ่ะ ผมใจเย็นรอฟังพี่พูดมาหลายรอบแล้วนะครับ พี่จะพูดอะไรกับผม จะถาม จะสารภาพ จะบอกอะไรก็บอกมาเลย หรือพี่จะขอผมแต่งงาน เนี่ย! ในกระเป๋ากางเกงนั่นมีแหวนใช่มั้ย ขอมาเลยครับ พูดมาเลย ผมรออยู่ อย่าลืมใส่แหวนให้ผมด้วยนะ นิ้วนางข้างซ้ายนะครับ อ่ะนี่!! ถ้าแหวนไม่สวย ผมไม่แต่งนะ เร็วๆ สิครับ!”

ผมหงุดหงิดสุดๆ  ไม่ได้อยากทำให้เสียบรรยากาศ แต่มันหงุดหงิดจริงๆ  ผมพูดค่อนข้างเสียงดังตามอารมณ์ ตามด้วยพูดประชดพี่นัทออกไป แถมยังยื่นมือออกไปจนเกือบจะกระแทกหน้าพี่นัทอีก

พี่นัทเงียบและนิ่ง มองผมอย่างอึ้ง ทำตาโต อ้าปากค้างอยู่นาน ผมขมวดคิ้วหายใจเข้าออกแรงเพราะหงุดหงิด อารมณ์เสีย  แล้วสักพักพี่นัทก็ทำหน้าคล้ายคนจะร้องไห้ จนผมที่อารมณ์ขึ้นเริ่มรู้สึกตัวว่าเสียงดังและอาจใส่อารมณ์เกินไป

ผมลดมือลง ขยับเข้าไปใกล้ๆ  ตั้งใจจะพูดขอโทษ แต่พี่นัทที่เพิ่งหายตกใจก็พูดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงเบาๆ  เศร้าๆ

“หนึ่งรู้อยู่แล้วจริงๆ ด้วย…ไม่ได้เซอไพรส์เลยซักอย่าง”

“หะ?! รู้อะไร”

“ก็หนึ่งรู้แล้วว่าพี่มีแหวน”

“ว่าไงนะ! พี่พูดจริงอ่ะ?”

“อะ...อ้าว ตกลงว่าหนึ่งรู้รึเปล่าครับ?” ทั้งผมทั้งพี่นัทเกิดอาการงงขึ้นมา ผมนี่ทั้งงงทั้งตกใจ ในกระเป๋านั่นมีแหวนจริงอ่ะ ผมแค่พูดประชด ไม่ได้คิดว่าเขาจะมีจริงๆ

“ไม่! ผมไม่รู้”

“อ้าว แล้วที่หนึี่งพูด…”

“เมื่อกี้ผมพูดประชด” ผมเสียงดัง สั่นหน้าปฏิเสธ ทั้งผมทั้งพี่นัทต่างทำหน้าเหวอ เลิกลั่กกันไปหมด พี่นัทดูตั้งสติได้ก่อน เขาหายใจเข้าลึกแล้วมองหน้าผม ก่อนจะลุกขึ้น แล้วลงไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าผม พี่นัทขอผมแต่งงานจริงๆ อ่ะ ได้เหรอ?

พี่นัทขยับแว่นอีกครั้งแล้วล้วงลงไปในกระเป๋า  หยิบกล่องกำมะหยี่สีดำออกมา ไม่ต้องเดาให้ปวดหัว แหวนแน่ๆ ล่ะงานนี้

“หนึ่งครับ…” พี่นัทพูดแล้วก็เปิดกล่องออก ข้างในเป็นแหวนสองวง แหวนเรียบๆ  ไปมีลวดลาย ทรงสวย เรียบหรู

เอาแล้ว เอาแล้ว เอาแล้วไง!

“พี่ไม่ได้จะขอหนึ่งแต่งงานนะ… พี่แค่จะขอให้หนึ่งมาอยู่กับพี่”

“ตอนนี้ผมก็อยู่อยู่แล้วนี่ครับ” นี่ก็เรียกว่าอยู่แล้วจริงๆ นะ เสื้อผ้าข้าวของของผมนี่ มาอยู่ห้องพี่นัทเกือบจะหมดแล้ว

“พี่หมายถึงให้หนึ่งมาอยู่ข้างๆ พี่ เป็นที่รักของพี่ไปตลอดชีวิตครับ”

“...” พี่นัทเปิดกล่องแหวนออก เป็นแหวนสองวง ทองคำขาว เรียบๆ  ไม่มีลวดลาย แต่ดูเรียบหรู พี่นัทหยิบออกมาวงหนึ่ง ก่อนที่จะสวมลงบนนิ้วผม แหวนนั้น มันพอดีกับขนาดนิ้วผมจนน่าตกใจ ไม่หลวม และไม่แน่นเกินไป

“เป็นที่รักของพี่ ยังอยู่กับพี่ถึงแม้ว่าอาจจะมีวันหนึ่งวันใดที่เราทะเลาะกัน ขอให้หนึ่งให้อภัยหากวันข้างหน้าพี่เผลอทำอะไรให้หนึ่งหงุดหงิดใจ บอกพี่...หากหนึ่งไม่ชอบใจอะไร พี่พร้อมจะปรับปรุงตัวครับ”

พอสวมเสร็จ พี่นัทก็จูบลงบนมือผม ผมเกร็งตัวนิดหน่อย รู้สึกทำตัวไม่ถูก ก็โดนใส่แหวนแถมโดนจูบมือด้วย

“ต่อจากนี้ รักพี่คนเดียวไปตลอด….นะครับ”

แค่จูบมือยังไม่พอ พี่นัทขยับตัวลุกขึ้นมา ประคองใบหน้าของผม แล้วก็ประทับจูบลงมาเบาๆ  สักพักก็ผละออก ผมมองหน้าพี่นัท จากที่งงๆ นั้นก็ทำเอาผมยิ้มออกมา ก็หน้าพี่นัทน่ะแดงแจ๋เลย

ผมหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วก็ขยับตัว หยิบแหวนอีกวงในกล่อง คาดว่าเป็นวงของพี่นัทนั้นแหละ ผมหยิบแหวน แล้วก็จับมือพี่นัทขึ้นมา และใส่แหวนวงนั้นลงบนนิ้วมือพี่นัท

“ผมจะอยู่กับพี่ จะรักพี่คนเดียว แต่พี่ต้องสัญญานะ ว่าพี่นัทจะไม่ทิ้งผม รักผมในวันที่ผมทำตัวไม่น่ารักด้วย เพราะผมยกหัวใจของผมให้พี่ไปทั้งดวงแล้ว ทั้งร่างกายทั้งหัวใจของผมมันเป็นของพี่ไปแล้ว ตอนนี้ผมยกให้พี่เป็นครึ่งชีวิตของผมแล้วนะครับ...พี่นัทต้องอยู่กับผมไปตลอด พี่ต้องสัญญานะ?”

“ครับ..พี่สัญญาเลย”

“ถึงแม้ว่า ต่อจากนี้ ผมจะเอาแต่ใจ หรือเผลอทำตัวนิสัยไม่ดี พี่ก็จะไม่ทิ้งผมนะ”

“ไม่ทิ้งครับ...”

ผมมองตาพี่นัทอยู่สักพักก่อนที่จะโผเข้ากอดพี่นัทแน่น ต่อจากนี้ผมจะมีพี่นัทไปตลอดชีวิตจริงๆ ใช่มั้ย ต้องใช่สิ ก็พี่นัทสัญญาแล้วนี่

พี่นัทพยุงตัวผมให้นั่งบนเก้าอี้เหมือนเดิม แล้วพี่นัทตามขึ้นมานั่ง ส่วนผมก็ยกมือขึ้นมาดูแหวน มองแล้วก็ยังรู้สึกแปลกอยู่ มันทั้งดีใจ ตื้นตันใจ แล้วก็งงด้วย ก่อนหน้านี้ผมยังหงุดหงิดอยู่เลย แล้วก็งงที่พี่นัทคุกเข่า แล้วตอนนี้ผมก็ดีใจอุ่นใจสุดๆ ไม่ถึงสิบนาทีอารมณ์ของผมเปลี่ยนได้หลากหลายมาก

“ที่ผมตื่นมาแล้วไม่เจอพี่ นี่คือพี่ออกไปซื้อแหวนเหรอครับ”

“ใช่ครับ พี่สั่งทำไว้ตั้งแต่วันที่เราไปบ้านพ่อแม่พี่แล้ว แล้วทางร้านโทรมาเมื่อเย็นบวกกับคำพูดน่ารักๆ จากหนึ่ง พี่เลยตัดสินใจ ออกไปรับแหวนทันทีเลย”

“ผมพูดอะไรไปเหรอ?”

“หนึ่งบอกว่ารักใครไม่ได้อีกแล้วนอกจากพี่”

“อ๋อ…” ถึงมันจะเลือนลาง แต่ผมก็จำได้นะว่าพูดอะไรไปบ้าง ตอนนั้นผมแค่อยากอ้อนให้พี่นัทนอนกับผมแค่นั้นเอง

“...”

“แสดงว่าพี่วางแผนจะให้แหวนผมไว้นานแล้วเหรอครับ ตั้งแต่เมื่อไร”

“ก็ตั้งแต่ที่มั่นใจว่า ชีวิตนี้คงไม่มีความสุขถ้าไม่มีตองหนึ่ง”

“...”

“พี่พยายามทำให้เรื่องของเรามันถูกต้องที่สุด อย่างน้อยก็ให้ผู้ใหญ่ทั้งสองบ้าน ยอมรับพวกเรา”

ผมยิ้มและพยักหน้า เริ่มเข้าใจความคิดของพี่นัทแล้ว

ผมขยับเข้าไปนั่งเบียดพี่นัท กอดแขนพี่นัทไว้ แล้วก็ซบหน้าลงกับต้นแขนคนข้างกาย

“ผมรักพี่นัทนะครับ ผมขอโทษ ที่ก่อนหน้านี้ ผมอารมณ์เสียใส่พี่”

“หึหึ พี่ตกใจเลยนะนั่น แล้วก็คิดว่าหนึ่งรู้อยู่แล้ว ใจพี่นี่ตกไปอยู่ที่พื้นเลยครับ คิดว่า แผนจะแตกซะไม่เหลือชิ้นดีเลย”

“ก็ตอนแรกพี่เอาแต่อ้ำอึ้ง ไม่ยอมพูดแถมล้วงกระเป๋าตลอด เหมือนพระเอกในละครที่ไม่กล้าขอแต่งงานเลย ผมเห็นแล้วหงุดหงิด เลยประชดออกไปแบบนั้น ก็เดาออกแหละว่าพี่อาจจะมีของให้ผมแต่คาดไม่ถึงเลยครับว่าพี่จะให้แหวนแบบนี้”

“ก็ตอนแรกพี่เขิน รู้สึกประหม่าไปหมด ถึงจะมั่นใจว่าหนึ่งคงไม่ปฏิเสธ แต่ก็ตื่นเต้นมากๆ ”

“ผมแค่รำคาญตอนที่พี่เอาแต่เรียกผมแต่ไม่ยอมพูดมากกว่า ผมอยากรู้ว่าพี่จะเรียกผมทำไมเยอะแยะ แต่ผมชอบตอนพี่เขินนะ น่ารักดี”

“เหรอครับ”

“...”

“ตองหนึ่ง อยู่กับพี่ไปตลอดนะครับ”

“ครับผม ตลอดชีวิต ถึงพี่นัทจะไล่ผม ผมก็จะไม่ไป ถ้าพี่นัททิ้งผมผมก็จะจุดไฟเผาร้านนี้เลยครับ เพราะฉะนั้นพี่ห้ามทิ้งผม”

“ไม่ทิ้งครับ เพราะพี่รู้ตอนไม่มีหนึ่ง มันทรมารมาก” ผมยิ้ม ยึดตัวขึ้นหอมแก้มพี่นัท คนตัวสูงหันมามองผมแล้วก็ยิ้ม ผมเลยขยับขึ้นไปจูบปากพี่นัท ผมกับพี่นัทจูบกันสักพักแล้วก็ผละออก พี่นัทเลียริมฝีปากตัวเอง แล้วก็เริ่มกลับมาทำหน้าเจ้าเล่ห์

“เมื่อเจ้าบ่าว สวมแหวนให้เจ้าสาวแล้ว….”

“หือ...” เจ้าบ่าวเจ้าสาวอะไรเหรอ ผมไม่เข้าใจ จู่ๆ พี่นัทก็พูดขึ้นมา

“ถึงเวลาเข้าหอ”

หะ เมื่อกี่พี่นัทพูดอะไรนะ ผมฟังไม่ทัน ยังไม่ทันได้ถามใหม่ พี่นัทก็ลุกขึ้น แล้วก้มลงมาช้อนตัวผมอย่างรวดเร็ว จนผมต้องกอดคอพี่นัทไว้

“หวา!! พี่นัทเดี๋ยวผมตก”

“พี่ไม่ปล่อยให้หนึ่งตกหรอกครับ”

พี่นัทอุ้มผมลงไปที่ขั้นสอง แล้วก็วางผมลงกับเตียง แถมตัวพี่แกเองก็ตามลงทับทันที แถมยังมือเร็วถกเสื้อผมขึ้นอีกด้วย

“เดี๋ยวๆ  พี่นัทจะทำอะไรครับ”

“เข้าหอกันไงครับ”

“แต่พี่บอกว่าเมื่อกี้ พี่ไม่ได้ขอผมแต่งงานนี่”

“พี่บอกอย่างนั้นเหรอครับ” พี่นัททำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก็ก้มลงจูบผม ส่วนผมก็หัวเราะเบาๆ กับความตีมึนนั่น พี่นัทขยับมือขึ้นมายอดอก ผมไม่ขัดขืนหรอกครับ กลับเป็นฝ่ายถอดกางเกงพี่นัทออกเองด้วยซ้ำ

ก็พี่นัทเขาอยากทำ ผมเองก็ไม่อยากขัดใจ ก็เลยต้องต้องยอมๆ ไปนี่ครับ ตัวผมอ่ะ ไม่ได้อยากทำเลย จริงนะครับ จริงจริ๊ง!

“พี่บอกคืนนี้เป็นคืนพิเศษ เพราะผมเป็นคนพิเศษของพี่”

“ใช่ครับ หนึ่งพิเศษสำหรับพี่”

ผมลุกขึ้น แล้วพลิกตัวพี่นัทให้นอนลงไปบนเตียง มือก็ค่อยปลดกางเกงตัวเองออก แล้วผมตามขึ้นไปนั่งทับอีกทั้งโยกสะโพกเบาๆ  ให้ร่างกายเสียดสี

“พี่เป็นคนพิเศษของผม คืนนี้ผมเลยจะจัดให้เป็นพิเศษสำหรับพี่”

พี่นัทเลียริมฝีปากตัวเอง แล้วทำท่าจะถอดแว่นออก ผมก้มไปหยุดมือพี่นัทแล้วส่ายหน้า

“พี่ใส่แว่นไว้ แล้วก็มองผมให้ชัดๆ  มองว่าผมรักพี่มากแค่ไหน มองว่าผมมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้อยู่กับพี่ อ๊ะ อา” ผมครางออกมาเบาๆ  เมื่อพี่นัทขยับตัว ทาเจลหล่อลื่นที่ช่องทางด้านหลัง ก่อนที่ความอุ่นร้อนจะแทรกเข้ามาในร่างกาย ผมโยกตัวแล้วขยับช้าๆ  พี่นัทลุกขึ้นนั่ง แล้วกอดเอวผมไว้

“พี่รักหนึ่ง...ที่รักของพี่ รักที่สุด อืม”

ผมก้มหน้ามองพี่นัท มองตาพี่นัท เงาของผมอยู่ในดวงตาคู่นั้น และผมก็อยากให้มันสะท้อนเงาของผมไปตลอดด้วย  ผมก้มลงจูบปากพี่นัทอย่างดูดดื่ม ในขณะที่สะโพกก็ขยับไม่หยุด ผมขยับช้าๆ เนิบนาบ ไมได้เร่งรีบ เน้นให้ร่างกายเราสัมผัสกัน ดูดซับไออุ่นร่างกายของกันและกัน ให้รู้สึกได้ว่าเรามีกันและกัน

“มองแค่ผม รักแค่ผม...นะครับ”

“รักนะครับ รักที่สุด รักคนเดียว”


End.



  #สูตรอบรัก

Twitter : @loammyloammie

Facebook : LoammyLoammie
หัวข้อ: Re: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-12-2019 10:21:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: วายซ่า ที่ 28-12-2019 20:05:39
โรแมนติกไม่สุดนะนะพี่นัท น้องหนึ่งมาเจอซะก่อน ได้บรรยากาศอีกแบบ.  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 30-12-2019 09:53:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 14:25:04
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] How to bake me สูตรอบรัก l 32 : ของขวัญ...ของคนพิเศษ(จบ) l 28-12-62
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 19-06-2020 16:21:30
มดขึ้นค่า น่ารักมากมาย