พิมพ์หน้านี้ - { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2019 22:34:55

หัวข้อ: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2019 22:34:55
ภข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

ติดตามผลงานอื่นๆ ได้ที่...

(https://uppic.cc/d/KUGr) (https://uppic.cc/v/KUGr)


twitter : https://twitter.com/foggytimenaja
FB : https://www.facebook.com/FoggyTime/

#สิงหกุลโภชนา
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 01-06-2019 22:37:20
ตอนที่ 1
   

กลิ่นเหม็นไหม้ของฟืนไม้เก่าลอบฟุ้งไปในอากาศ
   
เพลิงกัลป์โหมไหม้รุนแรงกลายเป็นสีแดงฉานเสียดฟ้า
   
กองเพลิงร้อนแรงปะทุแผดเผาเศษซากร้อนระอุ
   
มันกำลังแผดเผาทุกอย่าง


   

กรุ๊งกริ๊ง
   
กระพรวนเหนือประตูไม้เก่าแก่อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปีส่งเสียงออกมา เมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้าน ซึ่งผู้คนที่มาใหม่นั้นก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะไม่คาดคิดว่าร้านที่ภายนอกดูซอมซ่อไม่ต่างจากตึกราดำขึ้นอื่นๆ ในย่านเดียวกัน กลับมีสภาพภายในที่สวยงามเกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก
   
จมูกสีชมพูบนใบหน้าขนสีขาวหม่นคลุกฝุ่นนั้นทำจมูกฟุดฟิด เมื่อได้กลิ่นหอมจางๆ ของอาหารอะไรสักอย่าง ที่เขาไม่น่าจะเคยกิน เนื่องจากอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งมากๆ นั้นเป็นอาหารของพวก ‘อัลฟ่า’ เหล่าชนชั้นนำของประเทศนี้ ของที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยได้ลิ้มรสบ้างก็มีแค่ไวน์ตกเกรดที่พวกอัลฟ่าไม่กินแล้วก็เท่านั้น
   
นัยน์ตาสีทับทิมกวาดมองรอบๆ ด้วยความสนใจ เพราะมันเหมือนกับร้านอาหารจีนโบราณที่กำลังฮิตในหมู่อัลฟ่า การตกแต่งที่ราวกลับย้อนกลับไปอยู่ในยุคที่โรงเตี๊ยมยังรุ่งเรือง มีเสี่ยวเอ้ออะไรทำนองนั้น ทุกอย่างในห้องนั้นล้วนถูกย้อมไปด้วยสีแดงจากโคมแดงเหนือหัวที่ถูกจัดวางได้อย่างเหมาะเจาะ มีไม้แกะของจีนลวดลายสมมาตรที่เขาเรียกชื่อไม่ถูกกับลายอื่นๆ เต็มไปหมด แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดในร้านแห่งนี้นั้นคือสิงโตจีนเหล็กหล่อสองตัวที่ยืนแยกเขี้ยวต้อนรับเขาหน้าร้าน
   
หลังจากที่ชื่นชมการตกแต่งภายในร้านเสร็จ คนเป็นลูกค้าก็คล้ายกับเพิ่งได้สติเมื่อได้ยินน้ำเสียงทุ้มที่ฟังดูเฉยชาเอ่ยทักตนเอง
   
“..คุณกระต่าย?”
   
“..คะ ครับ”
   
ใบสองข้างที่ตกลงมาแล้วกระดิกเล็กๆ ราวกับกำลังจะตอบรับว่าตัวเองนั้นเป็นกระต่าย ใบหน้าขนปุยค่อยๆ ย้อนคืนกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาเพื่อที่จะพูดคุยให้ได้ง่ายขึ้น เหลือเพียงหูกระต่ายสองข้างที่ไม่สามารถเปลี่ยนกลับได้ เพราะอาการป่วยจากการทำงานหนัก และโรคประจำตัวที่กัดกินร่างกายมานาน
   
มือเล็กๆ ที่ยังปกคลุมด้วยขนรีบถอดหมวกใบเก่งของตัวเองออก พร้อมกับจัดแจงเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเรียบร้อยขึ้น แม้ว่าจะทำไปแล้วตั้งแต่ก่อนเข้าแล้วก็ตาม แต่ก็อดอีกไม่ได้เพราะที่นี่นั้นดูหรูหราเกินกว่าเบต้าไร้ค่าอย่างเขาจะมาก่อความสกปรก
   
“ผม ผมชื่อกวินทร์ครับ เป็นเบต้าสายพันธุ์กระต่าย ผมได้ยินว่าที่นี่มีบริการทำให้ ‘หลับสบาย’ ไม่ทราบว่าที่นี่มีบริการแบบนั้นจริงไหมครับ”
   
ทั้งๆ ที่กวินทร์นั้นยังดูหนุ่มอยู่ แต่น้ำเสียงที่พูดกลับอ่อนล้าราวกับคนอายุมาก นัยน์ตาสีทับทิบที่ดูมีชีวิตชีวาเมื่อกี้ดูหม่นหมองขึ้นมาทันตาเห็น เมื่อนึกได้ว่าตนมาทำอะไรที่นี่กันแน่
   
“มีสิ”
   
คำตอบของอีกฝ่ายทำให้กวินทร์มีสีหน้าดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
   
กวินทร์มองชายหน้าสวยตรงหน้าตัวเองอย่างมีความหวัง ถึงแม้คนพูดจะมีร่างกายที่ไม่ใหญ่มากนัก แต่กลับสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจบางอย่างยามที่เผลอไปสบกับนัยน์ตาสีทองที่มองมาอย่างเฉยชา และเผลอสะดุ้งเมื่อสังเกตเห็นเสื้อเนื้อดีสีดำที่ถูกปักเป็นลวดลายเสื้อโคร่งคำราม
   
ซึ่งมันก็ดูสมจริงจนเขาเผยถอยหลังหนีโดยไม่รู้ตัว
   
“คะ คุณเป็นอัลฟ่าเหรอ”
   
กวินทร์ปากคอสั่นสติแตก เพราะไม่คาดคิดว่าจะเจออัลฟ่าในที่แบบนี้ สถานที่ที่เหล่าอัลฟ่าให้นิยามว่าเป็นที่ๆ พวกเดนมนุษย์อยู่กัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นที่ซุกหัวนอนของเหล่าเบต้าที่มีค่าแรงต่ำ ไม่มีการศึกษา ดื่มสุราเกรดต่ำรสชาติบาดคอจนแทบกินไม่ได้ไปวันๆ เพื่อลืมความเจ็บปวดที่เป็นอยู่
   
“เปล่า”
   
“งั้นผมขอโทษด้วยที่เสียมารยาท ผมมีประวัติที่ไม่ดีนิดหน่อยกับพวกอัลฟ่าน่ะ” เมื่อได้ยินแบบนั้นคนเป็นเบเต้ารู้สึกสบายใจขึ้นนิดๆ เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าจริง เขาคงจะวางตัวไม่ถูก
   
หลังจากหายตกใจ กวินทร์ก็ล้วงหยิบของที่มีค่าที่สุดที่ตัวเองมีในกระเป๋า และยื่นมันให้กับคนที่น่าจะเป็นเบต้าเหมือนกันด้วยท่าทีนอบน้อม
   
“ผมพอจะทราบธรรมเนียมมาบ้าง นี่เป็นของที่ดีที่สุดที่ผมมีครับ”
   
“สร้อย?”
   
“ครับ สร้อย” กวินทร์มองสร้อยสีเงินในมืออีกฝ่ายด้วยความอาลัย “มันเป็นสร้อยประจำตระกูลผม ทำจากเงินแท้ ถ้าเอาไปขายก็น่าจะได้ราคาดีอยู่ครับ”
   
คนรับไปถือขมวดคิ้วเมื่อมองใกล้ๆ และเผลอบ่นพึมพำออกมาไม่จริงจังนัก “..เงินปลอม”
   
“อะไรนะครับ”
   
“คุณไปนั่งรอผมที่โต๊ะก่อน”
   
กวินทร์เกาหัวแกรกๆ เพราะค่อนข้างมั่นใจว่าตอนแรกอีกฝ่ายไม่ได้พูดแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ยอมเดินไปนั่งที่โต๊ะที่ใกล้ที่สุด นั่งรอได้สักพักร่างของคนที่น่าจะเป็นเจ้าของร้านก็เดินออกมาจากหลังร้าน พร้อมกับถาดอาหารชุดหนึ่งที่ประกอบไปด้วยอาหารที่เขาไม่รู้จัก
   
อึก..
   
กวินทร์กลืนน้ำลายเอือก เมื่อมองอาหารตรงหน้า รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นอาหารที่ต่อให้เขาใช้ความพยายามทั้งชีวิตก็ไม่สามารถกินมันได้
   
“กินสิ”
   
ทั้งๆ ที่ดูเย็นชาตั้งแต่แรกพบ แต่กวินทร์กลับสัมผัสได้ถึงความใจดีเล็กๆ ของอีกฝ่าย
   
“ผมไม่มีปัญญาจ่ายหรอก คุณ”
   
กวินทร์หัวเราะเสียงขืนด้วยสีหน้าเจ็บปวด เพราะไอ้สร้อยเงินที่เขาเพิ่งให้อีกฝ่ายก็คงขายได้ไม่ถึงครึ่งของราคาอาหารพวกนี้ด้วยซ้ำ
   
“คุณจ่ายแล้ว กินเถอะ”
   
“…ขอบคุณครับ”
   
สุดท้ายกวินทร์ก็พ่ายแพ้ให้กลิ่นหอมและความน่ากินของมัน หยิบช้อนซ้อมขึ้นมาตักกิน ก่อนที่จะพบว่ามันอร่อยมาก และน่าจะเป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในชีวิตที่เขาเคยกิน
   
“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม”
   
ระหว่างที่กวินทร์เพลิดเพลินกับการกินอาหารก็ถูกถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
   
“แน่ใจครับ”
   
“ทำไม?”
   
นัยน์ตาสีทับทิบหม่นแสงลงอย่างเจ็บปวด
   
“ผมก็แค่ทนทำมันต่อไปไม่ไหวแล้ว”
   
กวินทร์เงยหน้ามองคนถามทั้งน้ำตา
   
“ผมยอมแพ้แล้ว คุณ กับการทนใช้ชีวิตเพื่อทำงานบ้าๆ นี่น่ะ ผมทำงานหนักมาทั้งชีวิต เพราะผมเชื่อว่ามันจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น แต่หลังจากผมทำมาเกือบสิบปี มันก็ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยน ผมก็ยังจนเหมือนเดิม อยู่บ้านหลังเดิม เงินค่ารักษาตัวเองผมยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย”
   
เหล่าอัลฟ่ามักจะสอนเหล่าเบต้าเสมอว่า ‘จงทำงานให้หนัก เพื่อชีวิตที่ดีกว่า’ ซึ่งกวินทร์ก็เป็นหนึ่งในเหยื่อที่หลงเชื่อคำสอนนี้อย่างสุดหัวใจและทำมันอย่างเคร่งครัด จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองนั้นเสียปอดไปครึ่งหนึ่ง เพราะสารเคมีของโรงงานที่ตัวเองทำอยู่ถึงได้ตาสว่าง
   
“มันไม่ประโยชน์อะไรแล้วคุณ ที่ผมจะอยู่ต่อบนโลกบ้าๆ นี่น่ะ ผมจะเป็นบ้าแล้วคุณ ไม่มีใครช่วยผมได้แล้วนอกจากคุณ ฮึก ไม่มีใครแล้วจริงๆ ”
   
กวินทร์ปล่อยโฮออกมาในที่สุด
   
เขาเจ็บปวดมาก เพราะเขาเคยมีความฝัน ฝันว่าจะมีบ้านหลังใหญ่ สวนสวยๆ กับครอบครัวน่ารักของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ความจริงมันโหดร้าย เขาเป็นแค่เบต้าสมองทึบ แค่หาเงินเลี้ยงตัวเองไปวันๆ ก็หืดขึ้นคอแล้ว
   
เขาใช้เวลาหลายปีในการพยายาม ในการพิสูจน์ตัวเอง แต่มันก็ไม่เคยช่วยอะไร ทุกอย่างมีแต่แย่ลงไปเรื่อยๆ อาการป่วยทำให้เขาทำงานได้แย่ลง และในที่สุดเขาก็โดนไล่ออกจากงาน ไม่มีเงิน ต้องเป็นขอทานในย่านเดนมนุษย์นี้
   
การได้ยินข่าวลือจากคนที่เดินผ่านทางไปมา ทำให้เขารู้สึกกลับมามีความหวังอีกครั้ง
   
หวังว่าจะมันจะช่วยปลดปล่อยเขาออกจากความทรมานนี้ได้
   
“ฮึก ช่วยให้ผมหลับสบายเถอะ คุณ”
   
กวินทร์กินอะไรไม่ลงอีกต่อไป แม้ว่าร่างกายจะเรียกร้องมากขนาดไหนก็ตาม
   
“อืม”
   
“ฮึก ผม ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร แต่ผมขอบคุณคุณจริงๆ นะ”
   
กวินทร์พูดโดยไม่รู้สักนิดว่าผู้มีพระคุณของตัวเองนั้นกำลังกรุ่นโกรธได้ที่ นัยน์ตาสีทองที่ดูเฉยชานั้นสุมไปด้วยเพลิงแห่งความโกรธเคือง
   
มือเล็กซึ่งล้วงเข้าไปในกระเป๋านั้นกำแน่นจนเลือดแทบซึมออกมา
   
เขากำลังโกรธ..
   
โกรธจนแทบบ้า!

=========

เรื่องยาวเรื่องแรกในปีนี้  :z10:

#สิงหกุลโภชนา
   

หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 02-06-2019 06:57:18
โถ.. คุณต่ายยย :hao5:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 02-06-2019 09:03:51
สู้นะคุณกระต่าย อย่าร้อง เอาใจช่วยนะ รอออ ยุนะ รีบมาๆ ^^
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-06-2019 21:16:41
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 02-06-2019 21:42:39
คุณกวินทร์น่าสงสาร
แล้วคุณคนนั้นโกรธอะไรล่ะเนี่ย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 02-06-2019 21:50:06
สิงหกุลโภชนา ต้องเป็นชื่อร้านแน่ๆเลย
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 03-06-2019 03:28:30
น่าสนใจ
คุณต่ายจะได้หลับแบบไหนละ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 03-06-2019 11:01:38
 :ruready :ruready :ruready
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 03-06-2019 12:00:44
สงสารคุณกระต่าย
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 0 : บทนำ 1 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 05-06-2019 16:45:51
คุณกระต่ายน่าสงสารมากเลย
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 06-06-2019 02:13:15
ตอนที่ 1
   
   
‘ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว’
   
เป็นคำที่ ‘ทวิช’ มักจะกล่าวกับลูกค้ากับตัวเองของเสมอ
   
เพราะมันเป็นเพียงแค่สัมผัสเจ็บปวดชั่วพริบตา และสติสัมปชัญญะจะสูญสิ้นมลายหายไปหมดในไม่กี่นาทีต่อมา
 เป็นการลงทุนที่คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
 
แต่ว่าเหล่า ‘อัลฟ่า’ ผู้สูงส่งนั้นกลับบอกว่าสิ่งๆ นี้ผิดกฎหมาย ไม่อนุญาตให้เบต้าคนใดประกอบอาชีพหรือมีความสัมพันธ์ใดๆ กับสิ่งนี้ เพราะการมอบความตายกับผู้อื่นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ผู้ที่ตัดสินสิ่งเหล่านี้มีเพียงอัลฟ่าเท่านั้นที่ตัดสินได้

แน่นอนทวิชไม่เชื่อคำสอนหลอกลวงพวกนั้น

เขาเชื่อในตัวเองมากกว่าพวกมัน




“…หลับซะ กวินทร์ ไม่มีอะไรที่นายต้องกังวลอีกแล้ว”

ทวิชอุ้มกระต่ายตัวผอมในมือ และโยกไปมาเบาๆ ราวกับกำลังกล่อมเด็กทารกให้หลับใหล นัยน์ตาสีทับทิบปรือปรอยอย่างมึนงง มันส่งเสียงงี้ดเล็กๆ เมื่อรู้สึกง่วงเหลือเกิน แต่สัญชาตญาณส่วนลึกของมันกลับยังกระตุ้นให้มันตื่นตัว แม้ว่ามันจะอ่อนล้าเต็มทน

“พวกมันก็ทำร้ายนายได้เท่านี้แหละ ในโลกใบนั้นจะไม่มีใครทำร้ายนายได้อีก”

น้ำเสียงของทวิชนั้นแผ่วเบา นุ่มนวล น่าฟัง  ราวกับนกที่คอยขับกล่อมและปลอบประโลมให้เหล่าผู้ที่สิ้นหวังได้กลับมามีความหวัง แม้ว่าสิ่งๆ นั้นอาจจะเป็นความตายอันชั่วนิรันดร์ แต่ถึงกระนั้นสถานที่นั้นก็จะไม่มีใครมาคอยขีดกฎเกณฑ์ และบีบบังคับเบต้าที่น่าสงสารเหล่านี้อีก
   
“งี้ด”
   
ในห้วงเวลาสุดท้ายก่อนที่จะจมสู่ห้วงความมืดมิด  กวินทร์ในร่างกระต่ายสบตากับทวิชเชิงขอบคุณ และยอมจำนนต่อการ ‘หลับสบาย’ ที่ตนเองเลือกในที่สุด
   
ทวิชยิ้มรับเศร้าๆ และวางกวินทร์ลงบนเบาะนุ่ม
   
ก่อนที่จะเดินไปสูบบุหรี่ข้างหลังร้านอย่างที่มักจะทำ
   
อย่างไรก็ตามสำหรับทวิชแล้ว กวินทร์ไม่ใช่ลูกค้าคนแรกและคนสุดท้ายของเขา ยังมีเบต้ามากมายในโลกภายนอกนั้นที่ยังต้องจมปลักทุกข์ทนอยู่ในระบอบทุนนิยมที่เอื้อหนุนเฉพาะกลุ่มอัลฟ่า ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน ความไม่เท่าเทียม กระจายไปทุกหย่อมหญ้าไม่ละเว้นเบต้าคนใด เพียงแต่อาจจะมีบางคนที่ได้รับสิทธิ์พิเศษอย่างการเป็น ‘คนของอัลฟ่า’
   
ถึงแม้อาจจะได้ย่างกรายไปในสังคมระดับบน แต่เบต้าพวกนั้นก็ต้องสวมปลอกแขนเหล็กซึ่งสลักเลขประจำตัวเอาไว้ หนำซ้ำยังต้องสวมปลอกคอที่บังคับให้งดกลายร่างเป็นร่างต้นในทุกกรณี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
   
เห็นได้ชัดว่าทุกอย่างในโลกโสมมนี้ช่างแสนเหลื่อมล้ำ และโหดร้าย แต่เรื่องที่ตลกร้ายกว่านั้นคือเหล่าเบต้าที่ทนทรมาทรกรรมจากสิ่งเหล่านั้น กลับไม่เคยเข้าใจสักนิดว่ามันคือความไม่เท่าเทียม แน่นอน การที่เหล่าเบต้าไม่รู้จักย่อมมีมูลเหตุมาจากการที่เหล่าชนชั้นนำจงใจลบบิดเบือนข้อมูลนี้ทั้งหมด แม้กระทั่งข้อมูลของโอเมก้าที่เคยคิดจะก่อกบฏตอนนี้ก็แทบไม่เหลือด้วยซ้ำ

โอเมก้าแทบทั้งหมดของประเทศนี้นั้นได้ถูกฆ่ากวาดล้างไปหมดแล้ว ด้วยการใส่ไฟของรัฐบาลที่กล่าวว่าโอเมก้านั้นคือปีศาจที่ต้องกำจัด เพราะโอเมก้านั้นคือสาเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดในประเทศ
   
ความจริงในส่วนนี้แทบไม่เป็นความจริงด้วยซ้ำ แต่ในเมื่อสื่ออยู่ในมือใคร ผู้นั้นย่อมเป็นผู้ควบคุม อัลฟ่าเลือกใช้แทบทุกสื่อในมือในการปลุกระดมเหล่าเบต้าที่มีจำนวนเยอะที่สุดในสามเพศ ให้เกลียดชังในตัวโอเมก้า ให้มองว่ามันเป็นปีศาจ ไม่ใช่คนเหมือนกัน จนเกิดการล่าแม่มดขึ้นมา และในที่สุดโอเมก้าในประเทศนี้ก็ตายไปหมดจริงๆ
   
อัลฟ่าบางส่วนเชื่อว่ายังมีโอเมก้าหลงเหลืออยู่ แต่ก็คิดว่าเป็นเพียงทฤษฎีขบคิดเท่านั้น เพราะโดยพื้นฐานแล้วโอเมก้ามีข้อเสียเปรียบด้านร่างกายที่ท้องได้และอ่อนแอ สิ่งที่พอจะทำเนาให้โอเมก้าเอาชีวิตรอดได้ คือความฉลาดเป็นกรดเท่านั้น
   
อาจจะกล่าวได้ว่าหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้อัลฟ่าต้องกำจัดโอเมก้า ก็คงจะเป็นเพราะความรู้มากเกินไปของเหล่าโอเมก้า การรู้เท่าทันไปเสียหมด ทำให้ควบคุมได้ยาก จนเหล่าชนชั้นนำเกิดความขุ่นเคืองใจและออกแนวคิดกวาดล้างขึ้นมา เพื่อที่จะได้ไม่มีใครมาสามารถตรวจสอบพวกเขาได้อีก
   
แต่น่าเสียดายนักที่ทฤษฎีขบคิดที่ถูกปัดตกไปนั้นกลับเป็นความจริงเสียได้
   
เพราะไม่ใช่อัลฟ่าทุกคนที่โหดร้าย
   
แผ่นหลังเล็กๆ ของทวิชนั้นรอยกระดูกปูดขึ้นมาเล็กๆ ยากที่จะมองออก แต่หากลองสัมผัสดูจะสัมผัสได้ถึงความแข็งของมันที่มากพอจะเป็นฐานให้กับอะไรบางอย่าง
   
เหล่าโอเมก้านั้นส่วนใหญ่แล้วล้วนแต่เป็นนก
   
และทวิชก็เป็นนกที่เหลือรอดไม่กี่ตัวที่รอด ทำตัวแนบเนียนไปกันเหล่าเบต้าธรรมดา ซึ่งจะเรียกว่าเนียนก็คงไม่ถูกนัก เพราะทวิชไม่ได้คิดจะซุกซ่อนตัวแต่อย่างใด หนำซ้ำยังเปิดร้านขายความตายให้กับเหล่าเบต้าที่สิ้นหวังด้วยอย่างเปิดเผยด้วย
   
จะเรียกว่าท้าทายก็ไม่เชิง เพราะทวิชไม่ได้สนใจที่จะต่อต้านพวกอัลฟ่าอย่างจริงจังเหมือนที่โอเมก้ารุ่นก่อนทำ เขาก็แค่เลือกที่จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ อย่างเฉื่อยชา และมองโลกเบื้องบนที่อัลฟ่าปกครองกันอย่างสุขสบายด้วยความรังเกียจ
   
ใช่ว่าทวิชจะไม่เคยมีความคิดก่อกบฏ เขาคิด แต่เรื่องแบบนั้นก็เป็นไปได้ยากเกินไปในสังคมที่อัลฟ่ายังควบคุมทุกอย่างแบบนี้ ตลอดระยะเวลาที่เปิดร้านนี้มา ทวิชรู้จักเบต้านับคนได้ที่ไม่ถูกพวกอัลฟ่าล้างสมองไปแล้ว พวกเขาเป็นเบต้ากลุ่มเล็กๆ ไม่ถึงสิบคนที่มักจะมาเยือนร้านเขาแล้วให้เขาทำอาหารเลี้ยงอยู่บ่อยๆ
   
และแน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าทวิชนั้นเป็นโอเมก้า
   
คิดว่าเป็นเพียงเบต้าที่เส้นใหญ่พอที่จะมาเปิดร้านขายความตายแบบสบายๆ ก็เท่านั้น
   
ปัง!!!
   
ประตูไม้เก่าถูกกระแทกเปิดออก ซึ่งมันก็ดังมาจนถึงหลังร้านจนทวิชที่กำลังเหม่ออยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้
   
ไร้มารยาท
   
ทวิชสบถในใจ ใช้เท้าดับบุหรี่บนพื้น แล้วสาวเท้าออกไปหาลูกค้ารายที่สองของวันนี้เพื่อที่จะบอกว่าให้มาวันอื่น เขารับลูกค้าแค่วันละรายเท่านั้น มากกว่านั้นคือมากเกินไปสำหรับเขา
   
กลิ่น..?
   
ทวิชย่นจมูกทันทีเมื่อได้กลิ่นฮอร์โมนรุนแรงของพวกอัลฟ่า และเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองในไม่ช้า แต่ถึงกระนั้นใบหน้าของทวิชก็ยังเฉยชา
   
ซึ่งก็เป็นอย่างที่ทวิชคิด เพราะเมื่อเดินออกมาก็เจออัลฟ่าในชุดตำรวจร่างใหญ่ที่มียศประดับอยู่เต็มอกกำลังยืนกอดอกรอเขา ใบหน้าที่ดูหล่อเหลานั้นดูกวนประสาท และเอาเรื่องอย่างเห็นได้ชัด
   
“คุณเป็นเจ้าของร้านนี้ใช่ไหม?”
   
ทวิชไม่รู้ว่าเป็นนิสัยโดยปกติของอัลฟ่าหรืออะไร ถึงชอบวางท่าใส่เบต้าทั่วไปแทบจะทุกคน
   
“ใช่ ผมเอง”
   
ทวิชตอบเสียงเนือย ไม่ยี่หระแม้ว่าจะถูกอีกฝ่ายมองมาอย่างหงุดหงิด เพราะว่าเขาไม่ยอมทำตัวนอบน้อมใส่พวกอัลฟ่า เหมือนพวกเบต้าคนอื่นๆ
   
“คุณรู้ใช่ไหมว่าไอ้บริการหลับสบายๆ อะไรของคุณเนี่ย มันผิดกฎหมาย”
   
“แล้ว?”
   
ทวิชเอียงคอถาม ใช้นิ้วม้วนผมเปียเล็กๆ ของตัวเองเล่น
   
“ผมก็ต้องจับคุณไง อย่ามาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้ไหม”
   
ชนินทร์พูดด้วยความหงุดหงิด บอกตามตรงเลยว่านี่น่าจะเป็นเบต้าคนแรกในชีวิตเขาที่ทำตัวกวนประสาทเขาขนาดนี้ หนำซ้ำยังไม่กลัวเขาด้วย ทั้งๆ ที่เขาจงใจใส่ชุดตำรวจมาเต็มยศเพื่อมาข่มขู่โดยเฉพาะ
   
“ก็ได้ ถ้าคุณทำตัวแบบนี้ผมก็คงต้องใช้ไม้แข็ง ไปสถานีตำรวจกับผมเดี๋ยวนี้เลย!”
   
มือหนาล้วงหยิบกุญแจมือออกมา และตรงปรี่เข้าไปจับอีกฝ่าย แต่น่าเสียดายที่ทวิชนั้นก็ไม่ได้ยืนอยู่เฉยๆ ให้จับ สามารถหลบได้อย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าเฉยเมย
   
“ก่อนที่คุณจะจับผม ก็ช่วยไปดูด้วยนะ ว่าใครคุ้มกะลาหัวผมอยู่”
   
ทวิชเหยียดยิ้มจงใจหยุดให้ชนินท์จับ แต่ก็จงใจดึงเสื้อคลุมให้อีกฝ่ายเห็นชัดๆ ว่าเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่าตระกูลไหน
   
“..พยัคฆ์โภคสกุล”
   
ชนินทร์พึมพำออกมาด้วยความหงุดหงิดกว่าเดิม เพราะตระกูลพยัคฆ์โภคสกุลก็คือหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่เป็นหนึ่งในกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ของประเทศ มีอัลฟ่ามากมายในตระกูลนั้นที่ทำงานในสภา และดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆ ไหนจะกลุ่มที่แยกตัวออกมาเป็นบริษัทจนร่ำรวยอีก
   
เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่ไม่ว่าใคร ก็ไม่อาจรู้จัก ขนาดอัลฟ่าด้วยกันเองยังต้องเกรงใจตระกูลนี้เลย เพราะกลัวการกระทบกระทั่งกัน
   
“..ว่าไงคุณ ยังจะจับผมอยู่ไหม”
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ ตั้งใจจะดึงมือตัวเองออก แต่กลับถูกมือหนาๆ นั่นกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ
   
“ผมไม่สนหรอกนะว่าคุณจะเป็นคนของใคร แต่คุณทำผิดกฎหมาย”
   
ชนินทร์พูดเสียงเย็น ถึงแม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างที่อีกฝ่ายไม่ได้สวมปลอกคอหรือสนับแขนเหมือนเบต้าที่เป็นของพวกอัลฟ่าตระกูลใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามเสื้อดำเนื้อดีที่ปันดิ้นลายเสือนี้นั้นเป็นของจริงแน่นอน เพราะเขาเคยเห็นเสื้อคลุมแบบนี้ในงานใหญ่มาก่อน
   
“คุณจับผมไม่ได้หรอก คุณตำรวจ”
   
ทวิชเหยียดยิ้ม
   
“ยศคุณน้อยเกินไป”
   
“ผมเชื่อว่าระบบความยุติธรรมในชั้นศาลจะเป็นคนบอกผมเองนะ ว่าผมจับคุณได้หรือไม่ได้”
   
ชนินทร์ยังดึงดัน อย่างไรก็ตามเขาก็เชื่อว่าชั้นศาลต้องให้ค่าความยุติธรรมมากกว่าอำนาจเงินอย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับอัลฟ่าอย่างเขาที่ทำคุณงามความดีให้กับประเทศมากมาย ผิดกับเบต้าชั้นต่ำนี่ที่จงใจกระทำผิดโดยไม่สนใจกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของบ้านเมืองสักนิด
   
ชั้นศาลต้องให้ความยุติธรรมกับเขาแน่
   
“คุณแน่ใจเหรอ?”
   
ทวิชหัวเราะเยาะในความคิดใสซื่อของชนินทร์ เอาเข้าจริงเขาก็ไม่แปลกใจนัก ที่รัฐบาลจะผลิตคนประเภทนี้ออกมาได้ประเภทที่ศรัทธาในพวกเดียวกันเอง จนลืมไปหมดว่าความยุติธรรมจริงๆ มันทำงานยังไง
   
“คุณอย่ามาเล่นลิ้นมากได้ไหม  ตามผมมาได้แล้ว!”
   
อัลฟ่าหนุ่มที่ตอนแรกตั้งใจจะใช้กุญแจมือล็อก ตอนนี้คือเปลี่ยนใจลากผู้ต้องหาไปเลย เขาไม่สนใจแล้ว ไอ้เบต้าชั้นต่ำนี่มันน่ารำคาญเป็นบ้าเลย
   
“ไม่”
   
นัยน์ตาสีเทาของชนินทร์เบิกตากว้าง เมื่ออยู่ๆ ไอ้คนที่เขาคิดว่าเป็นเบต้ามาตลอดกลับจงใจคืนสู่ร่างต้น
   
ใบหน้าที่เคยสวยค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพร้อมๆ กับเสียงหักของกระดูกดังไม่หยุด  ในเวลาเพียงชั่วพริบตาบริเวณลำคอส่วนบนขึ้นไปก็กลายเป็นหัวสัตว์กินเนื้อประเภทหนึ่ง
   
“..คุณเป็นอัลฟ่า?”
   
ชนินทร์เผลอปล่อยมือจากอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว จดจ้อง ‘เสือดำ’ ที่จ้องตัวเองกลับอย่างยียวน
   
นัยน์ตาที่ยังคงเป็นสีทองเช่นเดิมแต่รีขึ้นหรี่ตามองคนเป็นตำรวจอย่างเหยียดหยาม
   
“ไปทำเรื่องขอเอกสารให้มันเสร็จก่อน แล้วค่อยกลับมาจับผมแล้วกัน คุณตำรวจ”
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ หลังจากการปฎิวัติครั้งนั้น กฎหมายของประเทศนี้ก็ถูกเขียนขึ้นมาใหม่อย่างประหลาด พวกกฎหมายแบบเก่าก็ยังคงใช้กับพวกเบต้าได้เหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นอัลฟ่านั้นต้องผ่านการขอเอกสารยุบยับมากมาย อีกทั้งยังมีศาลอัลฟ่าแยกออกไปอีกศาล ซึ่งเป็นศาลที่อำนวยความสะดวกให้กับพวกอัลฟ่าที่มีเงินเยอะแบบสุดๆ
   
ฉะนั้นต่อให้ตำรวจหน้าโง่นี่สามารถจับเขาไปขึ้นศาลได้ เขาก็ต้องไปขึ้นศาลอัลฟ่าอยู่ดี และแน่นอนด้วยอิทธิพลของตระกูลพยัคฆ์โภคสกุล แค่เรื่องถึงหัวหน้าไอ้อัลฟ่าหน้าโง่นี่ก็จบแล้ว
   
ฉะนั้นไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถเอาเขาขึ้นศาลได้
   
“ผมถามจริงเถอะ คุณให้ค่ากับชีวิตเบต้าขนาดนั้นเลยเหรอ?”
   
ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่ว่าทวิชจะไม่เคยเจอพวกตำรวจ พวกนั้นรับรู้การมีอยู่ของร้านเขา แต่ก็ไม่ได้คิดจะจัดการจริงจังมากมาย เพราะเบต้าส่วนใหญ่ที่มาหาเขาก็เป็นเบต้าสิ้นหวังกันทั้งนั้น ต่อให้ไม่เลือกใช้บริการของเขา เบต้าพวกนี้ก็คงจะไปฆ่าตัวตายกันวิธีอื่นอยู่ดี
   
ตำรวจในท้องที่จึงเลือกที่จะปิดตาข้างเดียวมาตลอด ซึ่งเขาก็ให้ส่วยตามความเหมาะสมทุกปี ซึ่งปีนี้ก็เข้าปีที่สามที่เขาตัดสินใจเปิดร้านนี้แล้ว และมันก็ราบรื่นดี จนกระทั่งมาเจอไอ้อัลฟ่าหน้าโง่คนนี้เนี่ยแหละ
   
“..แต่คุณกำลังทำผิด”
   
ชนินทร์ขมวดคิ้วมุ่น รู้สึกเดือดดาลก็จริง แต่ก็น้อยลงเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าเหมือนกับตัวเอง และเขาก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าอัลฟ่าที่อยู่ในตระกูลร่ำรวยขนาดนั้น มาทำอะไรในที่แบบนี้
   
“ใช่ ผมรู้ ที่ผมทำอยู่ ผมก็แค่เล่นสนุกอยู่เท่านั้นแหละ คุณไม่ต้องมายุ่งหรอก”
   
เสียงของทวิชนั้นแปร่งขึ้นยามที่พูด แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นไปด้วยความแดกดันไม่พอใจ
   
หากจะบอกว่าอัลฟ่านั้นถือทิฐิแล้ว ลูกผสมอย่างทวิชนั้นกลับมีมากกว่ามาก
   
เพราะเขานั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความเกลียดชัง เขาเกลียดแทบจะทุกๆ อย่างรอบตัว หลังจากที่รู้ความจริงว่าพ่อแม่ตัวเองนั้นหายไปไหนกันแน่ และเขาก็ใช้เวลาเกือบสิบแปดปีอยู่กับตัวเองแทบจะตลอดเวลา
   
“พูดตามตรงว่าผมก็ไม่ได้ให้ค่าขนาดนั้นหรอก” ชนินทร์ยอมรับออกมาตรงๆ แล้วเลือกนั่งที่นั่งใกล้ๆ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น “ตอนแรกผมคิดว่าคุณเป็นเบต้า ผมเลยไม่พอใจ แต่เอาเถอะ ถ้าคุณเป็นอัลฟ่า ผมก็โอเค โทษทีนะ คุณ เมื่อกี้ผมอาจจะหยาบคายไปหน่อย ผมแค่ไม่ชอบเวลาพวกเบต้าทำผิดกฎหมาย เหมือนไม่เห็นหัวพวกเราน่ะ”
   
พอเห็นท่าทีผ่อนคลายไม่เอาเรื่องของชนินทร์ ทวิชก็กลับมาเป็นร่างมนุษย์ปกติ แต่นัยน์สีทองที่ดูเฉยชานั้นกลับซุกซ่อนความโกรธเคืองเอาไว้อย่างชัดเจน
   
แน่นอนว่าทวิชไม่ได้โง่พอที่จะแสดงออกตรงๆ ให้กลายเป็นปัญหาของตัวเอง จึงยอมตีหน้านิ่ง และนั่งตรงข้ามอีกฝ่าย แม้ว่าลึกๆ จะอยากไล่ออกไปมากก็ตาม
   
เพราะถึงจะไม่เห็นหัวอีกฝ่าย เขาก็ควรจะไว้หน้าไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นไอ้อัลฟ่านี่คงจะกลับมาวอแวหาเรื่องกัดเขาไม่เลิก
   
“ผมชอบร้านคุณนะ สวยดี ชื่อร้านว่าอะไรนะ? อะไร สิงๆ ”
   
ทวิชขมวดคิ้ว เพราะพอเห็นว่าเขาอ่อนลงหน่อย อีกฝ่ายก็ตีสนิทเขาทันที
   
“คุณเป็นหมาป่า?”
   
“ว้าว คุณเป็นคนแรกเลยนะที่เดาถูก”
   
ชนินทร์ไม่ได้ว่าอะไรที่ทวิชตอบไม่ตรงคำถาม หนำซ้ำยิ้มเผล่โชว์เขี้ยวให้ทวิชอย่างซุกซน หูกับหางฟูๆ ปรากฏให้เห็นราวกับจะยืนยันสายพันธุ์ของตัวเอง ซึ่งทวิชเห็นอีกฝ่ายมองมากๆ ก็ยอมบอกไป
   
“ผมเห็นขนของคุณติดเสื้อ”
   
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ขนถึงทำให้รู้ แต่ทวิชก็ไม่ได้บอกจนหมด ไม่เช่นนั้นเจ้าหมาป่านี่อาจจะฉุนเขาแทนได้ เพราะไอ้สาเหตุที่เขารู้อีกอย่างก็เพราะนิสัยหมาๆ ของอีกฝ่ายเนี่ยแหละ
   
ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไอ้หมานี่แอบดมเขาวะ
   
“งั้นตอบผมหน่อย ร้านคุณชื่ออะไร เผื่อคราวหน้าผ่านมาแถวนี้อีก ผมจะได้แวะมากินถูก”
   
จากอารมณ์กรุ่นโกรธของชนินทร์หายไปแทบหมด เมื่อเขาเริ่มรู้สึกถูกใจคนเป็นเจ้าของร้านที่ดูดีไม่หยอก ใบหน้าสวยที่เรียบเฉยนั้นทำให้เขาเดาอารมณ์อะไรไม่ออกเลย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือรสนิยมการแต่งตัวของอีกฝ่าย ที่ค่อนข้างจะเข้ากับใบหน้าและผมเปียสีดำเล็กๆ ข้างเดียวนั่น
   
ซึ่งรวมๆ สำหรับเขาแล้ว มันเซ็กซี่เป็นบ้าเลย
   
“สิงหกุลโภชนา” ทวิชยังคงขมวดคิ้ว “แล้วร้านผมก็ไม่ใช่ร้านอาหารด้วย”
   
“แต่ผมได้ข่าวว่าคุณทำอาหารเก่งนะ”
   
“ใช่ แต่ผมทำให้พวกเบต้ากินก่อนตาย คุณอยากจะเป็นเบต้าคนนั้นไหมล่ะ?”
   
ทวิชฉีกยิ้มเย็น
   
เขารู้สึกมาสักพักแล้ว ว่าเขาโคตรจะไม่ถูกชะตากับไอ้หมานี่เลย เป็นไปได้เขาอยากเอาน้ำร้อนสาดมันมาก เพราะไอ้หมานี่โคตรน่ารำคาญ ถ้ามันอยู่ในร่างหมา ตอนนี้คงจะปรี่มาดมเขาแล้วกระดิกหางไม่หยุด
   
“ใจเย็นสิ คุณ” ชนินทร์หัวเราะ เพราะคิดว่ามันเป็นมุก “ว่าไป ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมชื่อชนินทร์ เป็นตำรวจที่จะมาดูแลพื้นที่เขตนี้แทนคนเก่าที่ย้ายไปครับ”
   
ทวิชพยักหน้าอย่างขอไปที พูดตรงตามเขาไม่อยากรู้จักมัน และก็ไม่ได้อยากให้มันรู้จักเขาด้วย
   
“แล้วคุณล่ะ”
   
“..ทวิช”
   
“ชื่อคุณน่ารักจัง”
   
“…”
   
ทวิชจงใจกลอกตาใส่ แน่นอนว่าชนินทร์เห็นแต่ไม่สนใจ เพราะยังสนุกกับการหยอกกับอีกฝ่ายเล่น ยิ่งทวิชแสดงท่าทีว่ารำคาญเขา เขายิ่งอยากแหย่ให้โกรธ
   
“ชวนผมคุยบ้างสิ คุณทวิช”
   
“ผมมีคู่แล้ว”
   
ไม่ว่าเปล่าทวิชจงใจชูแหวนเงินที่ใส่อยู่ให้ชนินทร์เห็น เขารำคาญหมานี่จะแย่แล้ว ให้ตายเถอะ
   
“โกหก”
   
“ผมไม่ได้โกหก เลิกยุ่งกับผมแล้วไสหัวออกจากร้านผมสักที!”
   
ในที่สุดทวิชก็หมดความอดทน ตะคอกใส่อีกฝ่ายอย่างเหลืออด
   
“หวา อย่าเพิ่งโกรธสิ คุณ ผมก็แค่อยากเป็นเพื่อนกับคุณก็เท่านั้นเอง” ชนินทร์หดคอหูลู่นิดๆ เมื่อถูกเอ็ดใส่ แต่ก็ยอมลุก “ผมไปก็ได้ แต่ผมจะมาอีก ถึงตอนนั้นคุณก็เตรียมอาหารไว้ให้ผมด้วยแล้วกัน คุณทวิช”
   
“ได้”
   
ทวิชยิ้มเย็น ซึ่งมันก็ทำให้ชนินทร์ที่กำลังจะดีใจ ไม่กล้าดีใจ
   
“คุณได้กินอาหารหมาแน่”
   
“ใจร้ายชะมัด แต่ถ้าเป็นคุณซื้อให้ผม ผมอาจจะยอมกินก็ได้นะ”
   
ชนินทร์บ่นไม่จริงจังนัก และยอมล่าถอยออกไปจากร้านแต่โดยดี เพราะทวิชหยิบโทรศัพท์เตรียมโทรออกแล้ว แน่นอนว่าหลังจากรู้ตัวตนอีกฝ่ายแล้ว ชนินทร์ก็ไม่กล้าตอแยมาก
   
เพราะขืนทำให้ทวิชหมดความอดทนจริงๆ เขาอาจจะโดนเด้งวันนี้เลยก็ได้ ใครจะไปรู้
   
หลังจากที่ไล่ชนินทร์ออกไปได้ ทุกอย่างก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง แต่ทวิชก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิด จึงเดินไปสูบบุหรี่ที่หลังร้านอีกรอบอย่างเดือดดาล
   
เขาเกลียดพวกอัลฟ่า โดยเฉพาะอัลฟ่าแบบชนินทร์ที่พอเห็นว่าเขาเป็นพวกเดียวกันก็เปลี่ยนท่าทีอย่างเห็นได้ชัด พวกมันไม่มีสามัญสำนึกสักนิดว่าตัวเองกำลังเลือกปฏิบัติอยู่ และยังดูพอใจกับการกระทำของตัวเองด้วย
   
“บัดซบ!”
   
ทวิชสบถกับตัวเอง เมื่อรับรู้ถึงน้ำตาที่คลอเบ้าตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อยากร้องไห้สักนิด แต่น้ำตากลับไหลออกมาไม่หยุด จนเขาต้องดับบุหรี่อีกรอบมานั่งปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ
   
เขาเจ็บปวดที่ตัวเองไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องบ้าๆ นี้ได้เลย นอกจากยอมรับสภาพอย่างยอมจำนน ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้อยากยอมจำนนสักนิด เขาทนเห็นพวกอัลฟ่ากดขี่เบต้าต่อไปไม่ไหวแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
   
เพราะแค่คิดจะก้าวเท้าออกไปประท้วง ในชั่วพริบตาเขาก็ถูกพวกมันยิงตายแล้ว
   
ทั้งๆ นี่เป็นความไม่ถูกต้อง เป็นความไม่เที่ยงธรรม เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมอัลฟ่าพวกนั้นถึงได้เห็นแก่ตัวนัก พวกมันเอาเปรียบและขูดเลือดขูดเนื้อเบต้าทุกทาง ทั้งขึ้นภาษีต่างๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าขนส่งสาธารณะ หรือแม้แต่ภาษีดอกเบี้ยออมทรัพย์ ที่พวกเบต้าพยายามหมั่นเก็บกันหวังเป็นทุนใช้ในช่วงบั้นปลายชีวิต พวกมันก็ยังหักดอกเบี้ยไปอย่างหน้าตาเฉย
   
“ฮึก แม่งเอ๊ย!!”
   
ทวิชหลุดสะอื้นออกมาในที่สุด เขาเกลียดชังพวกมันจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว แต่เขาก็ยังลมหายใจอยู่ ทั้งๆ ที่เขาพยายามเพิกเฉยมัน ไม่สนใจมัน แต่สุดท้ายไอ้สิ่งที่เขาเพิกเฉยมันก็รุกคืบเข้ามาในชีวิตของเขาตลอดเวลา จนเขาทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้จนต้องออกมาเปิดร้านขายความตายนี่ เพื่อมอบความหวังสุดท้ายให้กับเบต้าที่สิ้นหวัง
   
เขารู้ดีว่ามันเป็นวิธีการที่ผิด แต่เขาก็คิดทางที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะลำพังแค่ตัวเขาคนเดียว คงจะไม่มีปัญญาไปเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก ต่อให้เขาจะเป็นโอเมก้าไม่กี่คนที่เหลือรอดจากการกวาดล้างก็เถอะ
   
ทุกวันนี้ที่เขายังทนมีชีวิตอยู่ ก็แค่รอวันที่เขาหมดความอดทนเท่านั้น
   
เพราะอุดมการณ์เลิศหรูที่เหล่าโอเมก้ารุ่นก่อนพยายามเรียกร้องนั้น
   
เขาแบกรับมันด้วยตัวคนเดียวไม่ไหวจริงๆ

=========

 :m29:
   
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: tasteurr ที่ 06-06-2019 09:48:06
หมั่นไส้นายชนินทร์
 :pig4:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 06-06-2019 11:19:59
อ้าวเป็นคุณนกหรือนี่
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 06-06-2019 17:42:23
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: น่าสนุกกกกก
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Jiraapp ที่ 06-06-2019 21:50:20
เจ้าหมานี่!!! บ้านเมืองน้องทวิชทำไมมันคล้ายบ้านเมืองแถวนี้ ๆ จังเล๊ยยยยยย :o12:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-06-2019 12:12:16
เป็นกำลังใจให้ทวิชนะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-06-2019 16:30:22
รอลุ้นต่อ ไม่ชอบอัฟฟ่าเลยอ่ะ ..-_-"
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 09-06-2019 20:52:16
น้องทวิชเป็นนายเอกนี่เอง
น้องเป็นโอเใก้า ทำไมถึงกลายร่างเป็นอย่างอื่นได้
สงสารคุณต่ายจัง
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 1 : ความสิ้นหวัง 6 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-06-2019 12:47:05
ชื่อแปลว่านก แต่กลายร่างเป็นสัตว์ใหญ่ได้ด้วย เป็นโอเมก้าที่เท่มากเลยย
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-06-2019 21:59:30
ตอนที่ 2

   
บนโลกอันห่วยแตกนี้ มีสถานที่มากมายที่ทวิชเกลียด แต่สถานที่ที่เกลียดเป็นอันดับต้นๆ ก็คงจะเป็นสถานที่แห่งนี้
   
“ฉันลงหนึ่งพันเหรียญ! ถ้าไอ้กวางถึกนั่นล้มแรดได้!”
   
“ไม่มีทาง! ฝั่งฉันต่างหากที่ต้องชนะ!”
   
“อย่ามาปากดีไปหน่อยเลย ไอ้กวางนั่นเคยล้มช้างมาแล้วนะ แกนั่นแหละที่ต้องแพ้ ไอ้โง่!”
   
เบต้าสองคนซึ่งนั่งข้างกันแต่กลับลงเงินคนละฝ่ายทะเลาะกันเสียงดังลั่น ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันมาก่อน ส่วนเบต้าร่างเล็กที่อยู่ในร่างกึ่งกระต่ายก็เดินเก็บเงินพนันทั้งสองอย่างคล่องแคล่ว เอี๊ยมที่สวมอยู่นั้นเต็มไปด้วยเงินหลายฟ่อนจนแทบจะล้นออกมา ใบหน้าเล็กถูกสวมทับด้วยหัวเสืออันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ดำเนินการกิจการแห่งนี้
   
กิจการที่ว่าด้วยการ ‘ประลองของเหล่าเบต้า’ เป็นหลัก แต่ดำเนินการโดยอัลฟ่าตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งที่ชื่นชอบการต่อสู้และการพนันเป็นชีวิตจิตใจ จึงได้มาสร้างลานต่อสู้ขนาดย่อมในย่านใจกลางเมืองที่เบต้าอยู่กันหนาแน่น
   
แน่นอนว่าเมื่อถูกดำเนินกิจการด้วยฝีมืออัลฟ่า ทุกอย่างย่อมถูกสร้างขึ้นตามมาตราฐานของอัลฟ่า พื้นประลองเป็นพื้นยางที่สามารถเช็ดเลือดออกได้ง่าย อีกทั้งยังเป็นวงกลมเพื่อให้ผู้ชมสามารถนั่งชมบนอัฒจรรย์ที่ล้อมรอบได้อย่างถึงใจ ซี่กรงเหล็กกล้าถูกตีขึ้นอย่างแน่นหนาจรดเพดานเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายแก่ผู้ชมที่มานั่งลงขันกัน
   
และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของลานประลองแห่งนี้ย่อมเป็น ‘เงินรางวัล’
   
มีเบต้ามากมายที่อุทิศตนกับการประลองเพื่อเงินรางวัลจำนวนมหาศาลที่สามารถทำให้อยู่ได้สบายได้ไปหลายปี แต่น่าเสียดายที่ผู้ถือเงินอย่างอัลฟ่าก็ไม่ได้โง่ เพราะทางอัลฟ่าเองก็มีเบต้าฝีมือในการครอบครอง ทำให้ชัยชนะไม่ใช่เป็นของผู้ที่มาท้าชิงเสมอไป
   
แต่อย่างไรก็ตามอัลฟ่าผู้เป็นเจ้าของกิจการแห่งนี้ก็ไม่ได้ใจร้ายเกินไปนัก เพราะยังเปิดโอกาสให้เบต้าทั่วไปที่อยากรวยทางลัดมาร่วมสนุก ร่วมลงขันเงินพนัน ด้วยความคาดหวังที่จะเป็นเศรษฐีในชั่วข้ามคืน
   
“คุณจะลงเงินด้วยไหม?”
   
เบต้าซึ่งเป็นหนึ่งในพนักงานเอ่ยถามทวิชที่นั่งนิ่งอยู่บนอัฒจรรย์
   
“ไม่ล่ะ”
   
ทวิชส่ายหัวก่อนที่จะขมวดคิ้วตอนถูกตบหลัง
   
“เฮ้ ไม่เอาน่า ทวิช มาทั้งทีก็เล่นสักหน่อยเถอะ”
   
‘พอส’ หนึ่งในเบต้าหัวขบถพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทวิชลงพนันด้วย เพราะตัวเองก็ลงฝั่งกวางไปพอหอมปากหอมคอ ตามนิสัยคอพนัน ที่พยายามเลิกยังไงก็เลิกไม่ได้สักที
   
“ไม่”
   
ทวิชกลอกตาใส่อย่างเฉยชา แค่มาที่นี่เป็นเพื่อนก็มากเกินพอสำหรับเขาแล้วด้วยซ้ำ
   
“นายนี่น่าเบื่อชะมัดเลย ทวิช ฉันเป็นพวกมือขึ้นนะ รอบที่แล้วก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าได้มาตั้งเยอะ” พอสพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่าใบหน้าดุๆ จะดูไม่เหมาะกับรอยยิ้มนัก เพราะมันทำให้คนที่มองรู้สึกหวาดกลัวมากกว่าจะสบายใจ ดวงตาข้างขวาถูกเศษผ้าสีดำปิดเอาไว้แล้วผูกกับเขาแพะบนหัว
   
“…”
   
ทวิชไม่ตอบ จงใจเงียบใส่เพราะอีกฝ่ายก็รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเกลียดไอ้ลานประลองนี่ ลานประลองที่หลอกให้เบต้ามากมายมาต่อสู้เพื่อความบันเทิงส่วนตัวของอัลฟ่า มีเบต้าหลายรายที่ได้รับบาดเจ็บจนพิการจากการประลองบ้าๆ นี่ และแน่นอน ไม่มีใครรับผิดชอบชีวิตที่เหลือของเบต้าเหล่านั้น
   
ลูกค้าบางส่วนของทวิชจึงมักจะเป็นคนจากงานประลองเสมอ คนพวกนั้นเคยแข็งแรง การที่อยู่ๆ กลายเป็นคนที่ไร้สมรรถภาพ ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม ย่อมสร้างความสิ้นหวังให้กับความพวกเขามาก จนมาใช้บริการกับหลับสบายกับทวิช
   
แน่นอนว่าทวิชไม่สบายใจกับเรื่องนี้ ถึงแม้จะสิ้นหวังยังไง ลึกๆ เขาก็ยังมีความหวัง เขาหวังเล็กๆ ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างเกิดขึ้น เขาอยากให้เบต้าพวกนี้ชีวิตดีขึ้น และไม่มีใครมาใช้บริการกับเขาอีก
   
“ดูนั่นสิ ทวิช ไอ้กวางนั่นอึดเป็นบ้าเลย!”
   
พอสพูดอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นการต่อสู้อันดุเดือดบนลานประลอง ซึ่งกำลังดุเดือดได้ที่ กวางเรนเดียร์ขนาดยักษ์ยังคงพยายามใช้เขาและร่างกายในการล้มแรดขาวขนาดพอๆ กัน บนร่างกายของเจ้ากวางนั้นเต็มไปด้วยบาดแผลจากเขาของแรด แต่ตัวแรดเองนั้นก็เต็มไปด้วยบาดแผลเช่นกัน
   
เสียงโห่ร้องเชียร์ดังกึงก้องในห้องโถง เบต้าจำนวนมากนั่งกันเต็มอัฒจรรย์ไม่เว้นว่างแม้แต่ที่เดียว พวกเขาล้วนหวังในสิ่งเดียวกันซึ่งก็คือชัยชนะของฝั่งที่ตัวเองลงเงินไป
   
“ลุกสิวะ!!! ลุก!”
   
ทวิชเหลือบมองเบต้าข้างๆ ที่หน้าซีดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ตอนที่เห็นแรดขาวล้มไปกองบนพื้นอย่างสิ้นท่าท่ามกลางคลองเลือดที่เกิดขึ้นจากตัวมันเอง
   
“สิบ!”
   
หนูตัวจิ๋วสวมเสื้อกั๊กลายตารางปีนขึ้นไปเกาะบนหัวของเจ้าแรด ในมือเล็กๆ ของมันถือไมค์ และนับถอยหลังพร้อมๆ กับเลขที่ปรากฏขึ้นบนจอแอลอีดีกลางสนาม
   
“โอ๊ย ลุกขึ้นสิวะ!!! ลุก!!!”
   
เบต้าข้างๆ ทวิชอยู่ไม่สุขอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเทียบกับพอสที่ตอนนี้นั่งยิ้มหน้าบานไม่หยุด เพราะลงขันถูกฝั่ง หากเจ้าแรดขาวเป็นฝ่ายแพ้จริง เขาจะได้เงินจากการพนันครั้งนี้เป็นกอบเป็นกำเลยทีเดียว
   
“ห้า!”
   
เจ้าหนูเพิ่มความตื่นเต้นของการนับถอยหลังด้วยการทำเสียงให้ใหญ่ขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นสักนิด เนื่องจากไม่มีอะไรให้ลุ้นแล้ว เจ้าแรดขาวนอนนิ่งจนพวกเบต้าที่ลงขันฝั่งมันบ่นกันขรมไม่หยุด
   
“ลุกสิวะ! นี่มันเงินก้อนสุดท้ายของฉันแล้วนะ!!”
   
เบต้าคนเดิมกล่าวอย่างสติแตก ใบหน้าหยาบกร้านเต็มไปด้วยน้ำตา ในมือข้างซ้ายกำรูปของลูกสาวตัวเองแน่น จนเผลอทำรูปยับไปโดยไม่รู้ตัว
   
“ศูนย์! นาธาน เบต้าสายพันธุ์กวางเรนเดียร์เป็นฝ่ายชนะ!!!!”
   
เฮ!!!
   
ถึงแม้จะพอเดาผลได้อยู่แล้ว ฝั่งที่ลงขันถูกก็พากันเฮยกใหญ่ บางส่วนถึงกับกู่ร้องออกมาไม่หยุด ผิดกับเบต้าบางส่วนที่นั่งคอตก และนับเงินที่เหลืออยู่เพื่อที่จะลงขันในการประลองครั้งหน้าโดยหวังว่าจะสามารถชนะพนันครั้งหน้าได้
   
“….ไม่”
   
เมื่อผลออกมาชัดเจนขนาดนี้ ทำเขากลั้นน้ำตาไม่ได้อีกต่อไป
   
“เฮ้ คุณ”
   
พอสดึงตัวทวิชไปนั่งที่ตัวเอง แล้วขยับตัวเข้าไปคุยกับเบต้าที่ร้องไห้ไม่หยุดราวกับโลกทั้งจะล่มสลายไปตรงหน้า ใบหน้าดุยิ้มนิดๆ และยื่นตั๋วพนันของตัวเองให้
   
“ผมให้”
   
“..ล้อเล่นรึเปล่า คุณ” เบต้าวัยกลางคนถามออกมาด้วยสีหน้าสิ้นหวัง นัยน์ตายังคลอไปด้วยน้ำตา
   
“ผมพูดจริงๆ คุณเอาไปเถอะ” พอสยิ้มและยัดตั๋วเงินใส่มืออีกฝ่าย “ผมมั่นใจว่าคุณต้องการมันมากกว่าผม”
   
“..ขอบคุณนะ ผมขอบคุณคุณมากจริงๆ ฮึก ถ้าไม่ได้เงินของคุณ ลูกผมคงไม่ได้รักษาต่อแน่ๆ ”
   
ทั้งๆ ที่คิดว่าสิ้นหวังไปแล้ว แต่อยู่ๆ กลับมีความหวังยื่นเข้ามา จึงทำร้องไห้หนักมากกว่าเดิม พึมพำขอบคุณไม่หยุด
   
“เฮ้ๆ ไม่ร้องน่า คุณรีบเอาเงินไปช่วยลูกคุณเถอะ”
   
แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ทวิชที่เหลือบมอง พอสก็มองเรื่อยๆ เช่นกัน จึงพอจะเดาได้ถึงสาเหตุที่เบต้าที่ดูอ่อนแอมาเยือนสถานที่แห่งนี้
   
ถึงแม้ว่าการพนันจะไม่จำกัดอายุ เพศ หรืออาชีพ แต่ถ้าไม่ใช่คนที่โลภ หรือจวนตัวจริงๆ ก็คงไม่มีใครอยากมาเยือนสถานที่แห่งนี้นัก เพราะมันเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ มีเบต้ามากมายที่ตายคาสนามประลอง แม้ว่าจะมีกฎว่าห้ามทำร้ายกันจนถึงแก่ความตายก็ตาม
   
“..ถ้ามีโอกาสได้เจอกันอีก ผมจะตอบแทนคุณแน่ๆ ”
   
“ไม่ต้องหรอกคุณ ผมมีคนเลี้ยง” พอสหัวเราะแล้วเอาแขนพาดคอทวิชอย่างสนิทสนม “คุณไปเถอะ ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจ”
   
พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะพูดอะไรอีก เบต้าสายพันธุ์แพะก็ลากทวิชไปนั่งที่อื่นเพื่อตัดบทสนทนา
   
“เงินเก็บไม่ใช่เหรอ”
   
ทวิชเหลือบมองพอสที่ยังคงยิ้มน้อยๆ แม้ว่าจะเพิ่งสูญเสียเงินก้อนของตัวเองไป
   
“ก็ใช่ แต่เขาจำเป็นต้องใช้มากกว่าฉันนี่”
   
“…”
   
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ทวิชยอมรับพอสก็คงจะเป็นเรื่องความใจกว้างมหาศาลของอีกฝ่าย หลายครั้งที่ยอมสูญเสียเงินหรือของมีค่าของตัวเองไปเพื่อใครสักคนที่ไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่บางครั้งตัวเองยังไม่พอกินด้วยซ้ำ
   
“แย่เนอะ”
   
เมื่อหาที่นั่งใหม่ได้ พอสก็พึมพำกับทวิชเสียงแผ่ว ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่นัยน์ตาสีดำที่เหลือเพียงข้างเดียวนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและสิ้นหวังไม่ต่างกับเบต้าเมื่อกี้
   
“นายช่วยไม่ได้ทุกคนหรอก”
   
ทวิชเอ่ยออกมาตรงๆ
   
“มันก็จริง”
   
พอสหัวเราะ แม้ว่าจะไม่มีอะไรน่าขำก็ตาม
   
“แต่วิธีของนายก็ช่วยทุกคนไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ ทวิช”
   
“…”
   
แน่นอนว่าทั้งพอสและทวิชรู้อยู่แก่ใจว่าวิธีของตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้นัก ไม่มีใครรู้ว่าลูกของเบต้าคนนั้นจะหายรึเปล่า เงินก็เป็นเพียงแค่องค์ประกอบหนึ่งในการยื้อชีวิตและเวลาเท่านั้น เช่นเดียวกับบริการของทวิช ที่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะยังคงมีเบต้ามากมายในสังคมภายนอกที่ยังคงทุกข์ทรมานอยู่
   
พวกเขาก็เป็นเพียงแค่ฟั่นเฟืองเล็กๆ ที่หมุนผิดทางในสังคมเท่านั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากทำให้มันติดขัดเล็กๆ น้อยๆ เฝ้ารอโอกาสที่จะถูกจับได้ และถูกบังคับให้หมุนในทิศทางเดิม
   
..หรือไม่ก็อาจจะถูกกำจัดทิ้งไปเลย
   
“รอบใหม่มาแล้ว!! ใครจะเล่นรอบนี้กวักมือเรียกผมเลยคร้าบ!!”
   
กระต่ายเบต้าอีกตัวที่เป็นวัยรุ่นและค่อนข้างดีด วิ่งพล่านไปทั่ว
   
“เก็บไวจังวะ”
   
พอสขมวดคิ้ว แรดขาวเมื่อกี้ก็ตัวใหญ่ใช่ย่อย แต่เมื่อเห็นแรงงานที่มาจัดการทำความสะอาดก็เลิกแปลกใจ เพราะตัวที่มาจัดการเป็นพวกสายพันธุ์ช้างตัวใหญ่คับสนาม ส่วนพวกรอยเลือดตามพื้นเป็นหน้าที่ของฝูงกระต่ายที่จัดการได้ในพริบตาราวกับเล่นกล
   
“..พอส”
   
เป็นทวิชบ้างที่ขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างของเด็กวัยรุ่นอายุไม่น่าถึงเกณฑ์ที่จะแข่งได้คนหนึ่งเดินเข้ามาในลานประลอง ถึงแม้ร่างจะดูใหญ่โตกว่าเด็กทั่วไป แต่ทวิชก็ดูออกอยู่ดี
   
“อืม พวกนั้นยอมให้เด็กมาลง” พอสถอนหายใจ “และฉันก็ไม่มีเงินเหลือแล้ว ทวิช”
   
“ฉันก็ไม่ได้เอาเงินมาเหมือนกัน”
   
ทวิชพึมพำตอบ แต่มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมนั้นกลับเผลอลูบแหวนเงินของตัวเอง
   
“..กระทิง”
   
พอสผิวปากหวิวเมื่อเห็นร่างต้นของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นกระทิงตัวใหญ่ ถึงแม้จะยังโตไม่เต็มวัยแต่ก็ถือว่าใหญ่พอๆ กับเรนเดียร์ตัวเมื่อกี้เลยทีเดียว บริเวณเนื้อตัวของมันนั้นมีบาดแผลเต็มไปหมดราวกับผ่านการต่อสู้มาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดนั้นกลับเป็นเขาคู่ใหญ่โค้งงอที่ดูน่ากลัว
   
“คิดว่าเด็กนี่จะรอดไหม”
   
ทวิชถามเมื่อเห็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายซึ่งเป็นกระทิงเหมือนกัน แต่ใหญ่กว่าเป็นเท่าตัว
   
“จากเซนส์ฉัน มันบอกว่ารอด ไม่งั้นพวกอัลฟ่าคงไม่ยอมให้เด็กนี่ลงหรอก”
   
“…แต่นั่นเด็กนะ”
   
“แล้วไง? นายคิดว่าพวกอัลฟ่าสนเหรอวะ ทวิช ขอแค่สู้ได้ พวกมันก็เอาลงหมดนั่นแหละ”
   
“เขาเด็กเกินไป”
   
ทวิชยังคงยืนยันคำเดิม นัยน์ตาที่มักจะเฉยชาเริ่มส่อเค้าเป็นห่วง แต่ขณะเดียวกันยังไม่สามารถตัดใจจากแหวนของตัวเองได้ เพราะมันเป็นแหวนของพ่อที่ใช้ขอแม่แต่งงาน และเป็นทรัพย์สินเพียงไม่กี่อย่างที่ทวิชนำติดตัวออกมาจากสถานที่แห่งนั้น
   
แน่นอนมันสำคัญสำหรับทวิชมาก
   
“..เด็กนั่นแย่แน่”
   
พอสพูดขึ้นเมื่อเห็นประวัติคร่าวๆ ของแต่ละฝั่ง ซึ่งฝั่งกระทิงอายุเข้าเกณฑ์นั้นก็มีประวัติที่น่ากลัวใช้ได้ทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นพวกเจนสนามคนหนึ่งเลยทีเดียว ผิดกับเจ้ากระทิงเด็กนั่นที่ไม่มีประวัติอะไร และดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเป็นการลงแข่งขันครั้งแรกซะด้วย
   
“…”
   
ทวิชกำแหวนตัวเองแน่น รู้สึกเครียดจนเผลอกัดปากตัวเอง และได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ อวลในคอ
   
อย่าเห็นแก่ตัวนักสิ ทวิช
   
นัยน์ตาของทวิชสั่นระริก ต่อว่าตัวเองที่เห็นแก่ตัว เขารู้ดีว่าแหวนของเขาเป็นของมีราคา และมันก็มากพอที่จะไถ่ตัวเด็กนั่นออกจากการแข่งขันโดยที่เด็กนั้นไม่ต้องแข่งด้วย
   
“ใครจะลงรีบเลยนะคร้าบบ รีบเลย ช้ากว่านี้อดรวยแล้วนะครับ!!”
   
ในที่สุดเจ้ากระต่ายก็วิ่งมาถึงแถวที่ทวิชอยู่ มือของมันฉีกตั๋วฝั่งแดงซึ่งเป็นฝั่งของเจ้ากระทิงตัวใหญ่ยักษ์เป็นประวิง ในขณะที่ฝั่งของกระทิงเด็กนั้นกลับไม่ค่อยมีใครลงพนันนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยมีคนกล้าเสี่ยงกับกระทิงเด็กนี่ แม้ว่าเขาของมันจะใหญ่กว่าคู่แข่งก็ตาม
   
“เอาไหมคุณ จะหมดแล้วนะ ฝั่งแดงอ่ะ”
   
เบต้ากระต่ายถามพอสกับทวิชอย่างกระตือรือร้น อาจจะเพราะด้วยวันนี้มันได้รับยาแปลกๆ มาจากเจ้านายด้วย ทำให้มันรู้สึกว่าตัวเองดีดมาก อยากทำงานตลอดเวลา
   
“ไม่เอา ผมไม่เหลือเงินแล้ว”
   
พอสหัวเราะซึ่งเจ้ากระต่ายก็หัวเราะรับ พอเห็นว่าทวิชส่ายหัว มันก็วิ่งไปที่อื่นต่อ เร่งขายตั๋วให้หมดเพื่อที่จะได้เริ่มการแข่งขันรอบใหม่เสียที
   
“..ทวิช โอเครึเปล่า” พอสถามทวิชอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไรมาสักพักแล้ว ใบหน้าสวยที่มักจะเฉยชา ตอนนี้ดูแปลกไปจนสังเกตได้ง่ายๆ
   
“เปล่า”
   
ทวิชส่ายหัว แล้วพยายามปรับอารมณ์ตัวเองให้เหมือนเดิม
   
เขาไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย
   
“งั้นกลับเลยไหม เดี๋ยวฉันไปส่งเอง” พอเห็นท่าทีของทวิช ยิ่งทำให้พอสรู้สึกผิด ที่เขาพาทวิชมาที่นี่ก็แค่อยากได้เพื่อนมาพนันด้วยก็เท่านั้น เพราะทวิชเป็นไม่กี่คนที่ยอมมาที่นี่กับเขา
   
“..ลองดูเด็กนั่นแข่งก่อน”
   
“นายแน่ใจนะว่าจะดู?”
   
เพราะมาที่นี่บ่อยครั้ง พอสจึงพอจะเดาเหตุการณ์ที่จะขึ้นได้ลางๆ

ถ้าเด็กนั่นไม่ชนะ ก็ปางตายเหมือนเจ้าแรดนั่น
   
มีแค่สองทางเลือกเท่านั้นสำหรับลานประลองอันโหดร้ายนี่
   
“อืม”
   
ทวิชพยักหน้าเล็กๆ และกลืนเลือดที่คลุ้งอยู่ในปากลงคอ อันเกิดจากความเครียดจัดที่เขามักจะเผลอไผลไปทุกครั้งอย่างอดไม่ได้ เพราะมันเป็นการตอกย้ำให้รู้เขายังมีตัวตนอยู่ ยังคงเป็นทวิช เป็นโอเมก้าลูกผสม ที่ยังไม่ถูกระบอบแนวคิดของอัลฟ่ากลืนกินตัวตนของตัวเองไป
   
“ก็หมดไปแล้วนะครับกับตั๋วรอบนี้!”
   
เจ้าหนูตัวจิ๋วพิธีกรคนเดิมพูดออกมาด้วยเสียงตื่นเต้น ตัวเล็กๆ ของมันลอยคว้างไปในอากาศโดยอาศัยสลิงเส้นบางที่ห้อยจากเพดาน ก่อนที่มันจะค่อยๆ ลงไปเหยียบบนพื้นวงกลมสีแดง อันเป็นตรงกลางของสนาม ตัวของมันดูเล็กกว่าเดิมเมื่อข้างกายของมันทั้งสองฟากนั้นเป็นกระทิงตัวขนาดโตเต็มวัยกับเกือบเต็มวัยกำลังจ้องกันนิ่ง
   
รอจนแสงสปอร์ตไลท์จากข้างบนสาดใส่ตัวมัน มันจึงพูดดำเนินรายการต่ออย่างรู้จังหวะ
   
“คราวนี้เป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีระหว่างกระทิง ฝ่ายแดงก็ยังคงเป็น นพคุณ เบต้าสายพันธุ์กระทิงเจ้าเก่า ที่เคยชนะการแข่งขันมาแล้วถึงสองสมัย เอ้า ผมขอเสียงฝั่งสีแดงหน่อย!!!”
   
เฮ!!!
   
เสียงเฮดังกึกก้องห้องโถงยิ่งกว่าคราวเมื่อกี้ เพราะไม่ว่านักพนันคนไหนก็ล้วนแล้วแต่รู้จักนพคุณทั้งนั้น เนื่องจากเป็นตัวทำเงินชั้นดี ทำให้พวกเขาสามารถคาดผลแพ้ชนะได้อย่างสบายๆ
   
“ส่วนผู้ท้าชิง เป็นเบต้าหน้าใหม่ครับ ชื่อแซ่ไม่ได้เขียนมาแฮะ แต่เป็นสายพันธุ์กระทิงเหมือนกัน นี่เป็นการลงแข่งครั้งแรกของเขา เอ้า! ขอเสียงเชียร์ให้หน่อยครับ!!”
   
เฮ!!!
   
คราวนี้เสียงเฮไม่ดังเท่าเดิม แต่ออกจะเป็นการเฮเพื่อเย้ยหยันเสียมากกว่า พวกเบต้าที่ลงฝั่งเจ้าเด็กนี่ไปก็ล้วนแล้วแต่ลงไปไม่กี่เหรียญ ลงขำๆ เอาสนุกเท่านั้น เพราะยังไงก็รู้ผลอยู่แล้ว
   
แน่นอนว่าเสียงเฮรอบสนามล้วนแล้วส่งผลต่อกำลังใจของผู้เข้าแข่งขัน นพคุณซึ่งอยู่ในร่างต้นแค่นเสียงหึ ตอนที่เห็นท่าทีเงียบสงบไม่สนใจโลกของเจ้าเด็กตรงหน้า
   
“ไอ้หนู เปลี่ยนใจยังทันนะ”
   
แม้ว่าในลานประลองคำว่ามนุษยธรรมจะมีอยู่น้อยนิด แต่นพคุณก็อดสงสารเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ เพราะดูๆ แล้วอายุน่าจะยังไม่ถึงเกณฑ์ด้วยซ้ำ เพราะการประลองนี่ขั้นต่ำอายุที่ต้องการคือยี่สิบปีบริบูรณ์ การที่มีเด็กอายุไม่ถึงมาแข่ง ก็ไม่ต่างอะไรกับการรังแกเด็กนัก
   
“…”
   
แต่น่าเสียดายที่ความหวังดีของนพคุณก็ดูจะส่งไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะคนฟังยังคงยืนนิ่ง นัยน์ตาสีเทาสบกับอีกฝ่ายนิ่งไม่แสดงอารมณ์อะไร
   
เจ้าหนูพิธีกรพูดเรื่อยเปื่อยอีกสองสามประโยค รอจนเห็นสัญญาณว่าพร้อมจึงกล่าวเริ่มการแข่งขัน
   
“ก็คงจะถึงเวลาที่ทุกท่านรอคอยแล้ว งั้นผมก็ขอเริ่มการประลองครั้งนี้เลยครับ!”
   
เพียงชั่วพริบตาที่เจ้าหนูเปิดการแข่งขัน ตัวของมันก็ถูกสลิงดึงขึ้นข้างบนทันที ก่อนที่เสี้ยววินาทีถัดมาร่างกระทิงใหญ่ยักษ์ทั้งสองร่างจะอัดกระแทกกันอย่างรุนแรง
   
“ใช้ได้ว่ะ”
   
พอสเอ่ยชมออกมาทันที เมื่อเห็นท่าทีปราดเปรียวของคนที่คงว่าจะเสียท่าตั้งแต่ห้านาทีแรก แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นกลับยังอยู่ และหน้ำซ้ำยังเป็นฝ่ายรุกไล่อีกฝ่ายด้วย
   
“…”
   
ทวิชยังคงมองการแข่งขันด้วยความเป็นห่วง ถึงเจ้าเด็กนั่นจะดูเรี่ยวแรงเยอะได้เปรียบ แต่ยังไงเด็กก็คือเด็ก ยังไงด้านประสบการณ์การต่อสู้ และความสมบูรณ์ทางกายภาพก็คงจะเทียบกับอีกฝ่ายที่เจนสนามไม่ได้อยู่แล้ว
   
ซึ่งไม่นานก็เป็นอย่างที่ทวิชคิด ไม่นานฝั่งนพคุณอ่านทางเจ้าเด็กนั่นได้ และรุกไล่กลับอย่างดุดัน เขาแหลมแทงเข้าไปในที่ท้องเจ้าเด็กนั่นหลายแผล แต่มันก็ยังสู้ต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
   
เสียงโห่ร้องดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผลแพ้ชนะชัดขึ้นเรื่อยๆ
   
กลิ่นเลือดที่คละคลุ้งของทั้งสองราวกับได้ปลุกสัญชาตญาณของสัตว์ในตัวแต่ละคนออกมา แทบจะทุกคนที่โห่ร้องสะใจไปกับการสู้กันกะเอาถึงตายในลานประลอง ซึ่งคนที่เพลี่ยงพล้ำอยู่เรื่อยๆ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเด็กนั่น
   
“..เขาเป็นแค่เด็กนะ”
   
ทวิชพูดเสียงสั่น รู้สึกเจ็บปวดที่เบต้าพวกนั้นถูกความบ้าคลั่งกลืนกินจนลืมไปแล้วว่าศีลธรรมนั้นสะกดยังไง ทั้งๆ ที่เด็กนั้นกำลังจะถูกฆ่าตายคาสนาม แต่กลับไม่มีใครสักคนที่ตะโกนขึ้นเพื่อหยุดมัน หนำซ้ำยังเชียร์ให้ฆ่าไวขึ้นด้วย!
   
“..ทวิช”
   
พอสกลืนน้ำลายเอือก แทบไม่กล้ามองภาพในสนาม เขาชอบการพนันก็จริง แต่ไม่ชอบการเล่นกันถึงตายในลานประลองเลยสักนิด
   
“เรียกไอ้กระต่ายนั่นมา”
   
“อะไรนะ?”
   
“ฉันบอกให้เรียกไอ้กระต่ายเวรนั่นมา!!!”
   
ทวิชตะคอกใส่พอสนัยน์ตาแดงก่ำ เมื่อเห็นสีหน้างุนงนเงอะงะของอีกฝ่าย จึงตัดสินใจลุกและเดินออกไปหาเจ้ากระต่ายที่ตอนนี้ร่วมโห่เชียร์ไม่หยุดอย่างสนุกสนาน
   
“หยุดไอ้การแข่งบ้าๆ นี่ซะ”
   
ทวิชกระชากคอเสื้อเจ้ากระต่ายขึ้นมา แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้
   
“หวา พูดอะไรของคุณน่ะ”
   
เจ้ากระต่ายหน้าซีดเผือด พยายามไกล่เกลี่ยแม้จะไม่เข้าใจสักนิดว่าทวิชกำลังพูดถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ คือเขาต้องรีบทำให้ทวิชอารมณ์เย็นลงโดยด่วน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะโดนคนตรงหน้าฆ่าตายแน่ๆ
   
“ฉันบอกให้หยุดการแข่งขันบ้าๆ นี่ซะ!!!”
   
นัยน์ตาของทวิชแปรเปลี่ยนเป็นของเสือในพริบตา และจดจ้องอีกฝ่ายด้วยสัญชาตญาณของอัลฟ่าที่ฝังลึกมาในกายตั้งแต่เกิด ถึงแม้เขาจะมีความโอเมก้ามากกว่าอัลฟ่า แต่ลึกๆ แล้วร่างกายของเขาก็ยังคงมีอัตลักษณ์บางอย่างของอัลฟ่าอยู่
   
เจ้ากระต่ายอ้าปากค้าง ตัวสั่นงั่นงกเมือรู้ว่าทวิชเป็นอัลฟ่า หูที่ตั้งชันตลอดเวลาลู่ลงโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่มันจะรีบลนลานพูดใส่สมอลทอร์คเพื่อคุยกับนายของมันโดยตรง พูดคุยอยู่สักพักก่อนที่จะได้คำสั่งมา
   
“นะ นายท่านถามว่าคุณจะใช้อะไรแลก”
   
ทวิชยังคงไม่ปล่อยมือจากคอเสื้อเจ้ากระต่าย แต่นัยน์ตากลับมาเป็นปกติแล้ว
   
“แหวนเงินฝีมือช่างตระกูลพยัคฆโภคสกุลแลกกับตัวเด็กนั่น”
   
น้ำเสียงของทวิชแข็งกระด้าง ควบคุมอารมณ์แทบไม่อยู่เมื่อเหลือบไปมองแล้ว เห็นความพยายามที่จะสู้คืนของเจ้าเด็กนั่น ที่ดูยังไงก็ไม่มีทางเอาชนะแชมป์เก่าได้
   
“ผม ผมขอถามนายท่านก่อนนะครับ”
   
เจ้ากระต่ายตัวสั่นง่กถามเสียงสั่น ก่อนที่จะได้คำตอบมาอย่างรวดเร็ว
   
“นายท่านตกลงครับ ได้ ได้ของก่อน ถึงจะยอมส่งมอบเด็กให้คุณ”
   
ทวิชส่งเสียงชิออกมาอย่างหงุดหงิด ยอมปล่อยตัวเจ้ากระต่ายลงพื้น ดึงแหวนตัวเองออกจากนิ้วกลางแล้วยัดใส่มือของเจ้ากระต่าย
   
“เร็ว!! ฉันต้องการคนเป็นกลับ!”
   
(มีต่อ) vv
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 15-06-2019 21:59:55
ทวิชตะคอกใส่ จนเจ้ากระต่ายวิ่งหน้าตื่นไปหลังเวทีที่ลึกเข้าไปแล้วนั้นเป็นอาณาจักรหรูหราของอัลฟ่า มีทั้งแอร์เย็นเฉียบ โซฟานุ่ม และที่สำคัญคือมี ‘ผู้ดำเนินกิจการ’ แห่งนี้
   
แน่นอนว่าถึงแม้จะรีบยังไงเจ้ากระต่ายก็ไม่ลืมกฎของเหล่าเบต้าเมื่ออยู่ต่อหน้าอัลฟ่า จึงรีบคืนสู่ร่างมนุษย์ปกติ และเข้าไปหานายท่านของตัวเองอย่างนอบน้อม
   
“นะ นี่ครับ นายท่าน แหวนที่อัลฟ่านั่นให้”
   
“..ของจริงแฮะ”
   
อัลฟ่าหนุ่มพึมพำกับตัวเอง เมื่อมองแหวนเงินใกล้ๆ และพบว่าเป็นของตระกูลพยัคฆโภคสกุลจริง เพราะลวดลายบรรจงแบบนี้ยากที่จะคนลอกเลียนแบบได้ ทำให้ราคาของมันสูงมาก ช่างพวกนั้นนอกจากคำสั่งของตระกูลพยัคฆโภคสกุลแล้วก็ไม่รับงานใครเลย ไม่ว่าจะถูกเสนอเงินมากแค่ไหนก็ตาม
   
ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าใจนักว่าทำไมอัลฟ่าคนนี้ถึงยอมสละแหวนมูลค่าสูงขนาดนี้ให้กับเบต้าเพียงคนเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาได้กำไร ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องใส่ใจมากนัก
   
“ปล่อยตัวเบต้านั่นให้อัลฟ่านั่นซะ ส่วนเรื่องเงินชดเชยเอากำไรรอบที่แล้วไปแจกจ่ายให้พวกนั้นแล้วกัน”
   
“คะ ครับ”
   
เบต้ากระต่ายพยักหน้าหงึกๆ แล้วรีบวิ่งกลับออกไปข้างนอกเพื่อใช้สมอลทอร์คคุยกับเจ้าหนูพิธีกรให้รีบทำให้การแข่งขันเป็นโมฆะก่อนที่เจ้ากระทิงหน้าอ่อนนั่นจะตายคาสนามไปก่อน
   
ส่วนเจ้าหนูพิธีกรที่กำลังเมามันกับการพากษ์ ก็ต้องหยุดชะงักการพากษ์ไปกลางคัน และรีบประกาศคำสั่งใหม่จากนายท่าน พร้อมกับส่งสัญญาณให้ทีมงานให้เข้าไปจัดการห้ามมวยในสนามที่ยังนัวกันไม่เลิก
   
“ผมต้องขออภัยเป็นอย่างสูงกับทุกท่าน ตอนนี้ได้มีคนไถ่ตัวของเจ้าเบต้าหน้าอ่อนนั่นออกแล้ว”
   
เกิดเสียงโห่ไม่พอใจทันที เหล่าเบต้าที่หวังจะกินนิ่มๆ รอบนี้โวยวายกันยกใหญ่ มีบางส่วนเขย่าซี่กรงแรงๆ อย่างโกรธเคือง พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อเงิน หากไม่ได้เงินที่พวกเขาควรจะได้แล้วเขาจะมากันทำไม
   
[ ใครมีปัญหากับคำสั่งของฉัน? ]
   
ในขณะที่เจ้าหนูพยายามไกล่เกลี่ยสถานการณ์ ก็มีเสียงเย็นชาดังกึกก้องพร้อมกับไฟในห้องโถงที่เปลี่ยนเป็นสีทอง สีของเหล่าอัลฟ่าผู้สูงส่งที่มีสถานะเป็นนายเหนือหัวเบต้าทุกคนในประเทศนี้
   
เหล่าเบต้าที่เคยโวยวายเงียบกริบทันที ถึงแม้ความไม่พอใจจะยังคุกรุ่นอยู่ในอก แต่ถ้านั่นเป็นคำสั่งของอัลฟ่าแล้ว พวกเขาก็คงจะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากยอมรับสภาพอย่างจำยอม
   
พอสถานการณ์กลับมาควบคุมได้อีกครั้ง เจ้าหนูก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ลอบขอบคุณนายท่านในใจ และดำเนินรายการต่ออย่างคล่องแคล่ว
   
“ทุกท่านไม่ต้องกังวลไป ตั๋วเงินของทุกท่านไม่ได้สูญเปล่า เพราะนายท่านใจดีคืนเงินทั้งหมดให้ พร้อมกับเงินชดเชยเล็กๆ น้อยๆ ด้วย”
   
เมื่อได้ยินค่าชดเชยเบต้าบางส่วนก็ยอมอ่อนข้อลง แต่ก็มีเบต้าบางส่วนเช่นเดียวกันที่ไม่ค่อยพอใจกับข้อเสนอนี้นัก เพราะถ้าเทียบกับเงินที่จะชนะพนันรอบนี้แล้ว ย่อมได้มากกว่าแน่นอน แต่ไม่พอใจแล้วยังไงต่อ ยังไงซะพวกเขาก็คงเรียกร้องอะไรไม่ได้อยู่ดี ได้แต่ทดความไม่พอใจนี้ไว้ในใจ แล้วลืมๆ มันไป
   
ส่วนต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดนี้นั้น..
   
“…”
   
ทวิชยืนกอดอกมองเด็กเจ้าปัญหาที่ตอนนี้อยู่ในร่างมนุษย์แล้ว แต่เนื้อตัวนั้นมีรูและแผลเหวอะแหวะเต็มไปหมด สภาพแย่จนเขาทนมองแทบไม่ไหว แต่เจ้าเด็กนี้กลับดูไม่เจ็บปวดกับมันสักนิด ราวกับชินชากับบาดแผลฉกรรจ์เหล่านี้ไปแล้ว
   
“นายเป็นของฉันแล้ว”
   
แน่นอนว่าสำหรับทวิชแล้ว มันไม่คุ้มค่าสักนิด เพราะนอกจากเขาจะเสียแหวนไปแล้ว เขายังต้องมาอุปการะเด็กนี้ต่ออีก เรียกได้ว่ามีแต่เสียกับเสีย แต่ถ้าจะให้เขาปล่อยให้ไอ้เด็กนี้ตายคาสนาม เขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
   
โลกนี้มันโหดร้ายมากเกินพอแล้ว
   
“...”
   
ทวิชขมวดคิ้วเมื่อเจ้ากระทิงนี่ไม่ยอมพูดอะไรสักนิด ที่ทำมากสุดคือพยักหน้าน้อยๆ เชิงรับรู้ ซึ่งดูยังไงก็ไม่น่าเอ็นดูสักนิด
   
“ทวิช ไหนบอกว่าไม่มีเงินไง!” พอสที่เพิ่งวิ่งตามลงมาทีหลังโวยวาย
   
ทวิชไหวไหล่ไม่ตอบ และถอดเสื้อคลุมสีดำของตัวเองที่ตัวไม่ใหญ่นักออกมาคลุมตัวเจ้าเด็กใบ้ที่ไม่ยอมพูดอะไรสักที ซึ่งทวิชก็ไม่สนใจความจริงข้อนั้นนัก
   
ยังไงซะ เขาก็ไม่ได้กะเอามาเลี้ยงจริงจังอยู่แล้ว
   
เขาก็แค่ทนเห็นเด็กคนหนึ่งตายในสนามไม่ได้ก็เท่านั้น มันเร็วเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้ที่จะตาย
   
“นายมีชื่อรึเปล่า?”
   
ทวิชเงยหน้ามองสำรวจลูกบุญธรรมชั่วคราวของตัวเองตอนนี้ ซึ่งก็พบว่าถึงเจ้าเด็กนี่จะไว้ผมสีน้ำตาลรุงรังปิดตา แต่หน้าตาโดยรวมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมาก เพียงแต่นัยน์ตาสีเทานั่นดูว่างเปล่าเกินไป
   
และเรื่องที่ตลกร้ายกว่าตอนนี้คือ ทวิชเข้าใจดีถึงแววตาของเจ้าเด็กนี่
   
แววตาที่คล้ายกับสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปแล้ว ทั้งความรัก ความฝัน ความหวัง  ทุกอย่างๆ เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ได้ถูกโลกอันห่วยแตกนี้ช่วงชิงไปจนหมด
   
“…”
   
คนโดนถามส่ายหัว
   
“งั้นเดี๋ยวค่อยตั้งแล้วกัน นายกลับบ้านมากับฉันก่อน”
   
ทวิชดึงมือที่เย็นเฉียบของอีกฝ่ายมาจับ ไม่สนใจบาดแผลหรือเลือด พยายามใช้มืออุ่นๆ ของตัวเองนวดและแบ่งปันความอบอุ่นของร่างกายให้เจ้าเด็กนี่ จนมือของมันอุ่นขึ้น ทวิชก็พาเดินกลับร้านตัวเองพร้อมกับพอสที่ยังงุนงงกับสถานการณ์เป็นแพะตาแตก จนเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว พอสถึงเพิ่งได้สติ
   
“เดี๋ยว ทวิช สรุปคือนายจะเอากระทิงนี่ไปเลี้ยงที่ร้านนายเหรอ”
   
“อืม นายโทรเรียกนทีมาด้วย ให้หมอนั่นมาช่วยทำแผลให้เด็กนี่หน่อย”
   
“เออ โอเค ถึงจะงงๆ หน่อยแต่ก็โอเค”
   
พอสยังคงงงอยู่ แต่ก็ตัดสินใจโยนความงงนั้นทิ้งไป เพราะงงยังไงทวิชก็คงไม่คลายความสงสัยให้เขาอยู่ดี
   
“งั้นเดี๋ยวเจอกันอีกที ตอนดึกๆ แล้วกัน ฉันจะไปรับนทีมาเอง ส่วนนายก็ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ไอ้เด็กนี่ไปก่อนแล้วกัน”
   
“อือ” ทวิชพยักหน้า
   
“เออ แล้วทำอาหารไว้ด้วย อะไรก็ได้แล้วแต่นายเลย พวกนั้นคิดถึงอาหารฝีมือนายจะแย่แล้ว”
   
ทวิชหลุดยิ้มนิดๆ เมื่อนึกถึงประโยคที่ตัวเองเพิ่งแดกดันตำรวจคนหนึ่งไป ไอ้หมานั่นอย่างเดียวที่เขาจะยอมทำให้กินก็คงจะมีแค่เศษอาหารในถังขยะเท่านั้นแหละ
   
“ดีลนะ?”
   
พอสยกมือขึ้นมา
   
“อืม ดีล”
   
ซึ่งทวิชก็ยอมเอามือแปะด้วยง่ายๆ แต่โดยดี

===========

 :z13:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 16-06-2019 22:24:07
น้ำตาใหลเลย กินใจ มากๆ รอตอนต่อไป ขอบคุณที่มาอัฟ ให้ได้อ่าน รอๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-06-2019 00:10:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 19-06-2019 13:05:22
 :pig4: :pig4:

สนุกกกกก  มารออ่านทุกวันเลยค่ะ55555
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Raspberry complex ที่ 24-07-2019 17:49:17
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-07-2019 10:12:41
 :katai5: :katai5: :katai5:  รออออออออ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 2 : งานประลอง 15 มิ.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 27-07-2019 14:53:47
คนมีความหลังฝังใจ ทวิชทำให้ตัวเองอาจจะลำบากได้
แต่ก็เพื่อสิ่งที่ต้องการ ทวิชก็เลือกที่จะทำ
ลูกครึ่งเสือนกหรอ น่าสนใจดีค่ะ

ทวิชไปเกี่ยวกับตระกูลนี้เพราะเป็นสายเลือดเดียวกันไหม
แต่ยอมแลกแหวนประจำตระกูลเพื่อกระทิงเด็ก ก็น่าลุ้นค่ะ

พึ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ และรอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 16-09-2019 20:05:30
ตอนที่ 3


“เจ็บรึเปล่า?”
   
ทวิชพึมพำถามเจ้าเด็กตัวโตที่จนถึงตอนนี้ไม่ร้องสักแอะ แม้ว่าจะถูกเขาเอาแอลกอฮอล์เช็ดแผลสดให้ก็ตาม นัยน์ตาสีเทาว่างเปล่าหลุบตามองเขาไม่วางตาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
   
“ถ้าเจ็บบอกนะ”
   
แน่นอนว่าทวิชไม่ได้สนใจนักว่าจะได้รับคำตอบกลับมารึเปล่า ออกจะรู้สึกดีด้วยซ้ำที่เด็กนี้เป็นคนเงียบๆ เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่พูดมากเท่าไหร่ เขาจึงค่อนข้างพึงพอใจกับบรรยากาศเงียบๆ นี้พอสมควร
   
“…”
   
ทวิชขมวดคิ้วเมื่อเห็นแผลเป็นบนแผ่นหลังหนาหลายสิบแผล ถึงแม้ว่ามันจะเหลือเพียงแค่รอยแผลเป็น แต่เขาก็ดูออกอยู่ดีว่ามันต้องเจ็บมากแน่ๆ
   
“เกิดอะไรขึ้น”
   
น้ำเสียงที่ทวิชใช้ถามนั้นนุ่มนวล ไพเราะ จนคนฟังอดที่จะหลับตาฟังอย่างผ่อนคลายไม่ได้
   
“ศูนย์รับเลี้ยง”
   
ทวิชกระพริบตาปริบ แปลกใจนิดๆ ที่เสียงของอีกฝ่ายนั้นทุ้มต่ำและโตกว่าที่คิด แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่ทวิชไม่แปลกใจเลยคือคำตอบที่ได้รับ
   
ศูนย์รับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสถานที่รับเลี้ยงเด็กที่ดำเนินการโดยรัฐบาล ที่มีฉากหน้าสวยงามคือคอยรับเลี้ยงเด็กที่ถูกพ่อแม่ทอดทิ้งหรือไร้ญาติคอยดูแล แต่ฉากหลังคือการลักลอบค้ามนุษย์ของพวกรัฐบาล ที่มักจะขายพวกเบต้าเด็กๆ ให้กับพวกอัลฟ่ารวยๆ ไปใช้สนองตัณหาหรือไม่ก็เอาไปใช้แรงงานอย่างป่าเถื่อน
   
แต่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่กลายเป็นแบบนั้น มีอีกหลายที่ที่ยังพอมีศีลธรรมไม่เลี้ยงเด็กเพื่อการนั้นอยู่บ้าง ศูนย์รับเลี้ยงของเจ้าเด็กนี่ก็คงไม่พ้นเน้นความรุนแรงในการเลี้ยงดู
   
“อยากมีชื่อรึเปล่า”
   
ทวิชทิ้งตัวกับโซฟาข้างๆ เมื่อปฐมพยาบาลให้คร่าวๆ เสร็จ และเลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะรู้ดีว่ามันคงจะไม่ใช่ความทรงจำที่น่าเล่าสักเท่าไหร่
   
“…”
   
“งั้นเดี๋ยวตั้งให้แล้วกัน”
   
ทวิชตัดบทอย่างเอาแต่ใจ เพราะเจ้าเด็กนี่เงียบนานเกินไป และเขาก็อยากเรียกอย่างอื่นที่มันดูเป็นชื่อคนมากกว่าการเรียกสายพันธุ์ด้วย
   
ทะเลาะกับตัวเองในหัวสักพัก สุดท้ายทวิชก็เคาะออกมาได้ชื่อนึง
   
“กันต์.. ต่อไปนี้นายชื่อกันต์”
   
กันต์ ที่หมายถึงความยินดี พอใจ
   
เขาอยากให้เด็กนี่มีความสุข ถึงแม้ว่าโลกห่วยๆ ใบนี้จะเคยทำลายตัวตนเจ้าเด็กนี้ไปแล้วก็ตาม
   
นัยน์ตาสีทองของทวิชยามที่ทอดมองอีกฝ่ายนั้นอ่อนลง โดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าน้อยๆ เชิงรับรู้ ก่อนจะก้มมองทวิชอย่างไร้จุดหมายเช่นเดิม
   
อย่างไรก็ตามการที่กันต์นั้นเลือกที่จะไปยังลานประลอง นั้นก็แทบจะบอกทุกอย่างอยู่แล้ว หากไม่ได้รับชัยชนะก็ตายหรือไม่ก็พิการ แต่สำหรับกันต์แล้วมันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับตอนที่อยู่ในศูนย์รับเลี้ยงนัก
   
เพราะขนมปังแต่ละก้อนที่เขาจะได้กินนั้น ล้วนแล้วต้องแย่งชิงกันจนแทบจะฆ่ากันตาย ดุจราวกับว่ามันนั้นเป็นทองคำที่ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงแค่ขนมปังตกเกรดใกล้หมดอายุรสชาติห่วยแตกเท่านั้น
   
แน่นอนว่ามันไม่ได้อร่อย แต่เขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก เขาไม่ใช่เด็กหัวดีพอที่จะไปรับงานง่ายๆ ใช้ความรู้พื้นฐานอย่างเด็กคนอื่นในศูนย์ได้ ที่พอจะทำเป็นและคล่องแคล่วที่สุดก็มีแต่เรื่องการใช้กำลังในการแย่งชิงเท่านั้น
   
การที่ทวิชยอมไถ่ตัวกันต์ออกมานั้น จึงแทบจะไม่ได้มีความหมายอะไรกับกันต์เลย เพราะเขาแทบไม่สนใจแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีลมหายใจอยู่รึเปล่า ที่ยังพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ก็เพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น
   
“ถ้านายหายดีเมื่อไหร่ นายจะไปจากที่นี่ตอนไหนก็ได้นะ”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ ให้กับแววตาว่างเปล่าของกันต์
   
โลกห่วยแตกนี้ใจร้ายเป็นบ้าเลย..
   
“หรือนายจะอยู่ที่นี่ต่อไปก็ได้ ฉันไม่ได้ว่าอะไร”
   
สุดท้ายทวิชก็ทนมองสายตาของกันต์ไม่ไหว และล่าถอยไปจัดการกับอาหารที่ครัวหลังร้านต่อ ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับข้าวต้มปลาที่น่าจะกินง่ายที่สุดสำหรับคนเจ็บในเวลานี้
   
“โห วันนี้ทำข้าวต้มปลาเหรอ”
   
“อือ ถ้าอยากกินก็ไปตักเอาที่ครัวได้เลย”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ ให้กับกลุ่มเบต้าที่เพิ่งมาถึง และนั่งเกะกะกันเกลื่อนร้าน ซึ่งก็มีเพียงเบต้าคนเดียวที่ทำแผลให้กับกันต์ต่อจนมือเป็นประวิงด้วยสีหน้ากังวล
   
“แผลเยอะมากเลย ดีนะที่ไม่ลึกมาก”
   
นทีบ่นพลางเย็บแผลให้กับกันต์ไปด้วยอุปกรณ์ที่แอบลักลอบเอามาใช้เป็นการส่วนตัว
   
“จะไม่เยอะได้ไง ก็เจ้าเด็กนี้ไปฟัดในลานประลองมา”
   
เวฟที่เท้าคางมองอยู่พูดออกมาอย่างอดไม่ได้ เล่นเอานทีตาโตด้วยความตื่นตระหนกจนหูกับหางกระต่ายโผล่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
   
“ลานประลองเนี่ยนะ! อายุแค่นี้เอง ทำไมเดี๋ยวพวกอัลฟ่ามันป่าเถื่อนนักนะ”
   
นทีบ่นหนักกว่าเก่า ใบหน้าน่ารักคิ้วเล็กๆ ขมวดมุ่นจนแทบจะม้วนกันเป็นโบว์
   
“ยังไม่ชินอีกเหรอ ถามจริง”
   
กายหรือเบต้ากวางที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น พูดออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย ในมือถือขนมปังเกรดต่ำที่ได้รับแทนค่าแรง และเคี้ยวมันตุ่ยๆ แก้หิว
   
“ก็ชิน แต่มันก็น่าหงุดหงิดนี่นา”
   
นทีที่ปกติแล้วก็ทำงานอยู่ในสถานพยาบาลบ่นออกมาอย่างเสียไม่ได้ ถึงแม้ว่างานของเขาจะเจอคนป่วยคนเจ็บทุกวัน แต่เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี ที่มักจะมีเบต้าที่มาด้วยอาการที่เป็นผลพวงความเห็นแก่ตัวของรัฐบาล ซึ่งถ้าหากต้องการจะรักษาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดจริงๆ ก็ต้องแก้จากเบื้องบน ไม่ใช่ปลายเหตุ
   
จำนวนผู้ป่วยหรือคนเจ็บที่มาใช้บริการนทีจึงแทบไม่เคยลดลงเลย มีแต่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเขากลัวว่าสักวันเบต้าจะตายกันหมด แล้วเหลือแต่อัลฟ่า
   
“หงุดหงิดแล้วไงต่อ นายคิดเหรอว่าพวกนั้นจะสนใจชีวิตของพวกเรา”
   
เวฟหัวเราะเสียงแผ่ว แล้วรับข้าวต้มจากเพื่อนตัวเองมากิน ซึ่งก็เป็นตามที่คิด อร่อยเหมือนเดิม จนเขาอดคิดไม่ได้ว่านี่อาจจะเป็นรสชาติเดียวกับอาหารขึ้นชื่อบนภัตตาคารชื่อดังของพวกอัลฟ่าก็ได้
   
แต่น่าเสียดายที่เขาก็ทำได้เพียงคาดเดา เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม เบต้าอย่างเขาก็คงไม่มีโอกาสในการกินอะไรหรูหราแบบนั้นอย่างแน่นอน
   
“..ใช่ พวกนั้นไม่สนใจเราหรอก”

พอสซึ่งเป็นคนยื่นข้าวต้มให้กับเวฟหัวเราะ มองกันต์ด้วยความรู้สึกเดือดดาลแกมเจ็บปวด

เขาทนเห็นเรื่องพวกนี้ต่อไปแทบไม่ไหวแล้วจริงๆ
   
“เราถึงต้องเป็นคนที่สนใจเรื่องพวกนี้ไง”
   
“หมายความว่าไง”
   
กายกลิ้งตัวมาทับเท้าพอสแล้วจึงถามอย่างอยากรู้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าพอสหมายถึงเรื่องอะไร แต่ก็ยังอยากได้ยินจากปากอีกฝ่ายอยู่ดี
   
“ฉันว่ามันถึงเวลาที่เราต้องมาจริงจังเรื่องการปฏิวัติสักที”
   
“..นายคิดมันจะสำเร็จจริงๆ เหรอ”
   
นทีแค่นยิ้ม และลุกขึ้นไปกินข้าวต้มบ้าง เมื่อเย็บแผลให้กันต์เสร็จ ซึ่งก็ต้องขอบคุณที่เขาแอบเอาออกมาเยอะพอ ไม่อย่างนั้นคงจะทำแผลให้ไม่เสร็จ
   
“จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ มันไม่สำคัญหรอก แต่ที่สำคัญคือเราต้องทำให้พวกเบต้าทั่วไปรู้ตัวสักทีว่าพวกอัลฟ่ามันไม่ได้ดีเลิศเลอหรือมีอภิสิทธิ์เหนือเรามากขนาดนั้น”
   
อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความสำเร็จของอัลฟ่าในยุคสมัยนี้อย่างแท้จริง ที่แทบจะสามารถล้างสมองเบต้าทั่วไปได้แทบจะสมบูรณ์ ด้วยระบบการศึกษาและศาสนา จนพวกเขาเชื่อจริงๆ ว่าเหล่าอัลฟ่านั้นคือสมมุติเทพที่ลงมาจุติ อยู่ในวรรณะที่สูงกว่า เป็นผู้มีพระคุณ และสูงส่งกว่าเบต้า
   
แน่นอนว่าแนวคิดเหล่านี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นแนวคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้ความเห็นแก่ตัวของอัลฟ่ากลายเป็นความชอบธรรม และไม่สามารถตั้งคำถามได้
   
พอสจึงหงุดหงิดเอามากๆ ยามที่พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ของตัวเอง และพบว่าพวกเขาไม่รู้สึกผิดปกติอะไรเลยกับการเอารัดเอาเปรียบของพวกอัลฟ่า อีกทั้งยังคิดว่าเป็นเรื่องที่ทำได้อีกต่างหาก จนเขาอยากจะตะโกนใส่หน้าคนพวกนั้นแทบตายว่าการที่เขาถูกบังคับให้บริจาคดวงตาข้างขวาของตัวเองให้กับอัลฟ่านี่คือเรื่องที่ถูกต้องเหรอ  เขาไม่มีสิทธิ์ในร่างกายของตัวเองเลยงั้นเหรอ ทั้งๆ ที่เขานั้นก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน แล้วพวกอัลฟ่าถือดีอะไรถึงมาช่วงชิงร่างกายของเขาไป
   
แน่นอนว่าพอสก็เคยเชื่อมั่นในอัลฟ่าอย่างไม่มีเงื่อนไขมาก่อน จนกระทั่งสูญเสียดวงตาของตัวเองไปข้างหนึ่ง ถึงได้ตาสว่าง และมองโลกอย่างเข้าใจมากกว่าเดิม
   
“งั้นนายก็จริงจังถูกเวลาแล้ว เพื่อน”
   
กายที่ยังคงกลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้น กลืนขนมปังที่เหลือในคำเดียว แล้วหยิบเศษกระดาษบางอย่างที่ซุกซ่อนเอาไว้ในซองที่ใส่ขนมปังออกมาขยำ แล้วโยนให้พอส
   
“พวกนั้นเริ่มกันแล้ว”
   
พอสรับกระดาษยุ่ยๆ มาแกะอ่าน
   
’30.7.19 เผา สิงโต’
   
“เผาสิงโต?”
   
ถึงแม้ว่าเขาจะพอรู้มาบ้างว่ามีกลุ่มเบต้ากลุ่มหนึ่ง มีแนวคิดเดียวกับเขา แต่เขาก็ไม่รู้อยู่ดีว่าคนพวกนั้นคือใคร รู้เพียงแค่ว่ามีตัวตนอยู่ แต่ไม่กล้าติดต่อกันเพราะต่างฝ่ายต่างกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นสายของทางการที่แฝงตัวมา และแน่นอนว่าไม่มีใครอยากถูกเผาทั้งเป็นหรือจับแขวนประจานกับประตูเมืองแน่ๆ
   
แต่เรื่องที่น่าแปลกใจนิดหน่อย ก็เรื่องกระดาษในซองขนมปังของทางการเนี่ยแหละ ที่เขาไม่รู้ว่าพวกนั้นลักลอบกันท่าไหนถึงไปยุ่มย่ามกับโรงงานขนมปังโง่ๆ ที่มีอัลฟ่าคุมอย่างหนาแน่นได้
   
แน่นอนว่ามันเริ่มทำให้เขาเริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมานิดๆ
   
“ใช่ เผาสิงโต สิงโตตัวที่ว่านั้นก็คงไม่พ้นรูปปั้นสิงโตที่ยืนหน้าทำเนียบรัฐบาลนั่นแหละ”
   
“มันจะไหม้เหรอ”
   
นทีถามงงๆ เพราะไอ้รูปปั้นสิงโตที่ว่านั้นเป็นหินอ่อน แล้วที่แถวนั้นก็เป็นที่โล่งๆ ไม่น่าจะมีอะไรที่ดูจะเผาได้สักนิด และยิ่งไปกว่านั้นคือพวกอัลฟ่าตรวจตรากันชุกชุมมาก
   
เพราะ ‘สิงโต’ นั้นคือสัญลักษณ์หรือตัวแทนของอัลฟ่า
   
“ใครเขาสนว่ามันจะไม่หรือไม่ไหม้ล่ะ เขาสนที่มีคนกล้าไปเผาต่างหาก” กายเด้งตัวขึ้นมานั่ง แล้วพุ่งเข้าไปแย่งข้าวต้มของนทีมากิน
   
“เฮ้ยๆ ไปเอาเองสิโว้ย”
   
นทีพยายามสุดชีวิตในการปกป้องข้าวต้มของตัวเองด้วยการถีบเพื่อนตัวเองออก หมดมาดหมอหนุ่มผู้นุ่มนวลใจดีในโรงพยาบาล ตีกันจนสุดท้ายคนที่พ่ายแพ้ก็คือกาย ที่ยอมลงไปนอนกลิ้งบนพื้นเหมือนเดิม
   
“แล้วนายจะไปไหม?”
   
พอสถามกายที่ตอนนี้กลิ้งไปกอดขาเวฟ ออดอ้อนขออาหารไม่หยุด เพราะขี้เกียจเดินไปตักเอง
   
“ไปสิ”
   
กายตอบโดยไม่ต้องคิด แม้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำนั้นอาจจะอันตรายถึงชีวิต แต่อย่างไรก็ตาม การแอบศึกษาเกี่ยวกับอะไรพวกนี้ก็อันตรายอยู่แล้ว แถมในห้องแฟล็ตรูหนูของเขาก็มีพวกหนังสือต้องห้ามเต็มไปหมด เรียกได้ว่าถ้าถูกสุ่มตรวจแล้วจับได้ขึ้นมา เขาต้องโดนโทษหนักแน่นอน
   
แต่ถ้าถามว่าเขากลัวไหม? ก็ไม่เท่าไหร่ เพราะยังไงทุกวันนี้การมีชีวิตอยู่ของเขาก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ชีวิตของเขาถูกพวกทางการกะเกณฑ์มาตั้งแต่ต้น ตื่นเช้าทุกวันไปคัดแยกขยะในโรงงานขยะที่เต็มไปด้วยสารพิษเพื่อที่จะรอรับเศษเงินกับเศษอาหารที่พวกมันจะกรุณาประทานลงมาให้ในแต่ละอาทิตย์
   
ทั้งๆ ที่เขานั้นเรียนจบหลักสูตรขั้นพื้นฐานแล้วด้วยซ้ำ เขาเคยไปขอสมัครงานตำแหน่งดีๆ แต่สุดท้ายก็ถูกพวกเบต้าที่มีเส้นสายหรือไม่ก็อัลฟ่าชั้นต่ำแย่งงานไปอยู่ดี จนสุดท้ายเขาก็มาจบที่โรงงานบ้าๆ นี่
   
แน่นอนว่าเขาไม่ได้อยากทำ แต่งานนี้เป็นงานที่เขาจะหาเงินพิเศษได้ง่ายที่สุดและมักจะมีของต้องห้ามบางอย่างทิ้งมาด้วย เขาถึงได้ยอมทนทำ แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แก่ใจว่าอายุขัยเฉลี่ยของคนที่ทำงานโรงงานขยะสารพิษนี้จะไม่เกินสี่สิบปีก็ตาม
   
“แล้วนายไม่กลัวรึไง กาย”
   
คนเป็นหมอถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล เพราะลำพังแค่เพื่อนเขาไม่ยอมเลิกทำงานโรงงานขยะนี้ก็แทบจะทำเขาประสาทกินแล้ว
   
“อย่างกูนี้ยังมีอะไรเหลือให้กลัวด้วยเหรอ นที”
   
กายหัวเราะหึๆ จนตัวสั่น นัยน์ตาขึ้นสีแดงฉานอย่างเคียดแค้น
   
“พ่อแม่กูตายก็เพราะพวกมัน มีกูตายเพิ่มอีกคนนึงจะเป็นอะไรไป”
   
“คือมันเสี่ยงไง มึงเข้าใจไหม ว่ามึงอาจจะตายฟรี!!!”
   
สุดท้ายนทีก็อดกลั้นความกังวลตัวเองไม่ไหว ลงไปเขย่าคอเสื้อกายบนพื้นและตะคอกเสียงดังลั่น
   
“มึงเรียกการแสดงออกของพวกกูว่าตายฟรีเหรอ นที”
   
กายเหยียดยิ้มใส่เพื่อนตัวเอง ไม่มีเค้าความขี้เล่นเหมือนปกติ จนนทีใจหายแต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะเปลี่ยนความคิดเพื่อนสมัยเด็กของตัวเอง ยังไงก็ตามเขายินดีที่จะถูกเพื่อนเกลียด ดีกว่าที่จะเห็นมันตายไปต่อหน้าโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไร
   
“กูไม่ได้หมายความแบบนั้น มึงก็รู้ แต่กูไม่อยากให้มึงตาย เข้าใจไหม กูไม่อยากให้มึงตาย ฮึก” สุดท้ายนทีก็สะอื้นฮัก หูกระต่ายลู่ลงอย่างเจ็บปวด “มึงก็รู้นี่ว่าถ้ามึงไป แล้วหนีไม่ทัน มันจะเป็นยังไง”
   
“เวลาที่กูรอ มันมาถึงแล้ว นที”
   
กายยิ้มและคืนสู่ร่างต้นซึ่งเป็นกวางเพื่อที่จะสลัดเพื่อนตัวเองออก เพราะร่างมนุษย์ของตัวเองตัวค่อนข้างเล็กและแรงน้อย ซึ่งพอสลัดหลุดออกมาได้ กายก็จงใจเปลี่ยนส่วนหัวของตัวเองให้เป็นงูเห่าซึ่งเป็นหนึ่งในสัตว์กินเนื้อของเหล่าชนชั้นอัลฟ่า จนทำเอาคนอื่นๆ ที่เห็นมองด้วยความตกตะลึงโดยเฉพาะนที
   
“ถึงเวลาทุกคนแม่งจะรู้ความจริงสักที ว่าไอ้เพศที่พวกอัลฟ่าแบ่งกันน่ะ แม่งก็เป็นแค่วาทกรรมที่รัฐบาลใช้หลวกลวงทุกคนเท่านั้นแหละวะ”
   
“เดี๋ยวนะ กาย มึงไม่ใช่เบต้าเหรอวะ”
   
เวฟถามด้วยความมึนงง
   
“มันไม่มีใครเป็นเพศอะไรทั้งนั้นแหละ ไอ้เวฟ ทุกคนเป็นคนเหมือนกัน แต่ไอ้รัฐบาลสารเลวมันหลอกพวกมึงไง แล้วพวกมึงก็เชื่ออย่างสนิทใจ เชื่อคำหลอกลวงพวกมัน”
   
กายกลับคืนร่างมนุษย์และหัวเราะลั่น
   
“มึงไม่สงสัยบ้างเหรอ ทำไมอัลฟ่าถึงต้องคู่กับความรวย อำนาจ และชื่อเสียง แล้วทำไมเบต้าอย่างพวกเรามันถึงคู่กับความโง่ ความจน แล้วก็ต้องยอมเป็นเบี้ยล่างให้พวกอัลฟ่ามันขูดเลือดขูดเนื้อตามอำเภอใจ ไหนจะเรื่องโอเมก้าอีก ทำไมอยู่ดีๆ พวกเขาถึงโดนตราหน้าว่าเป็นปีศาจล่ะว่ะ ทั้งๆ ที่เขาก็เคยเป็นพ่อเป็นแม่ให้กับพวกอัลฟ่าเบต้าเหมือนกัน มึงไม่คิดว่าแม่งประหลาดบ้างเหรอวะ แม่ง ฮึก กูทนไม่ไหวแล้ว กูทนเรื่องเหี้ยๆ พวกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
   
กายยกมือปิดตาและสะอื้นจนตัวโยน
   
“พวกมึงทุกคนมีสิทธิ์ในทรัพยากรของประเทศนะเว้ย มันเป็นของคนทุกคน แล้วทำไมถึงมีแค่คนส่วนเดียวที่ได้มันไปวะ แล้วทำไมพวกเราถึงต้องมาทนกับอะไรเหี้ยๆ แบบนี้วะ ฮึก กูทำอะไรผิดวะ นที มึงตอบกูสิ มึงจะให้กูหุบปากแล้วทนต่อไปเหรอ กูแม่งไม่ไหวแล้ว ถ้าพวกเราต้องมาเจออะไรแบบนี้วะ”
   
“..มึงรู้เรื่องนี้นานรึยัง”
   
พอสถามเสียงแผ่ว ค่อนข้างตกใจเนื่องจากรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาก็แอบระคายคะคายไม่น้อย เพราะบางครั้งบางคราเขาก็เห็นเพื่อนร่วมงานของเขามีเอกลักษณ์ของพวกอัลฟ่าโผล่มานิดหน่อย และพวกของทางการก็จะรีบจับคนพวกนั้นไปโรงพยาบาลเพื่อรับยาบางอย่างทันที ซึ่งพอเพื่อนเขากลับมาไอ้เอกลักษณ์ของพวกอัลฟ่าก็หายไปหมดแถมความจำบางส่วนยังหายไปด้วย
   
“อาทิตย์ก่อน”
   
กายที่เหมือนจะรวบรวมสติได้แล้ว ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเกือบจะปกติแต่ก็ไม่ได้สะอื้นแล้ว
   
“กูรู้มาจากพวกกลุ่มปฏิวัตินั่นแหละ  พวกนั้นรู้ว่ากูแอบสะสมแล้วก็ขายหนังสือ เลยเข้ามาคุยกับกู”
   
“แล้วมึงรู้อะไรอีกไหม”
   
“กูก็รู้แค่เรื่องนี้แหละ แล้วก็เรื่องยาระงับเอกลักษณ์ที่มันใช้กับพวกเรา”
   
นทีชะงักทันทีเมื่อได้ยินคำว่ายาระงับ และสั่นไปทั้งตัว เพราะมีสิ่งหนึ่งแวบเข้ามาในหัวเขาทันที
   
“ยาระงับของมึงคงไม่ใช่วัคซีนกันโรคที่พวกรัฐบาลบังคับให้เบต้าทุกคนฉีดทุกปีใช่ไหม”
   
สาเหตุที่มันทำให้เขาใจสั่นนัก ก็เพราะมันเป็นวัคซีนที่พวกอัลฟ่าบังคับอย่างเด็ดขาดว่าเบต้าทุกคนต้องฉีด แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ทำให้คนไข้เขาบางส่วนอาการทรุดลงอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ก่อนจะรับวัคซีนนี้ก็อาการปกติดี พอเขานำเรื่องไปร้องเรียนก็ถูกพวกเบื้องบนสั่งให้เลิกสนใจ และตั้งใจทำงานห้ามสงสัย ไม่เช่นนั้นเขาอาจจะถูกย้ายออกงานหรือเลิกจ้างไปเลย เขาถึงต้องฉีดมันให้กับคนไข้ของเขาเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่เต็มใจก็ตาม
   
“ใช่ ก็ไอ้ยาที่มึงเคยร้องไห้บอกว่าไม่อยากฉีดให้คนไข้มึงนั่นแหละ”   
   
“…”
   
“มึงรู้สึกผิดได้ นที แต่มันไม่ใช่ความผิดมึง มึงก็รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ใครเป็นคนผิด”
   
กายพูดเสียงอ่อนลงเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองลงไปนั่งร้องไห้บนพื้น จนสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะไปนั่งลูบหลังปลอบมัน เพราะคนที่ถวายชีวิตให้กับเป็นหมออย่างมันคงเจ็บปวดมากที่ทำคนไข้ของมันตายด้วยน้ำมือตัวเอง
   
“สรุปคือทุกคนก็เป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้าได้เหมือนกันใช่ไหม”
   
เวฟที่นั่งนิ่งอึ้งอยู่นานมาก ในที่สุดก็พูดออกมาประโยคนึง
   
“ใช่ แต่พ่อหรือแม่ต้องเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้านะ ถึงจะแสดงเอกลักษณ์ของเพศนั้นได้” กายพยักหน้าหงึกหงัก “แต่มึงอาจจะหาคนอื่นมาพิสูจน์เรื่องนี้ยากหน่อย เพราะยังไงทุกคนก็รับยาระงับจากพวกมัน อย่างกูที่ทำได้ก็เพราะได้ยากระตุ้นมาจากพวกนั้น”
   
“..ผมไม่ได้ฉีด”
   
กันต์พูดเสียงเบา แต่กลับเรียกความสนใจได้ทั้งวง แม้แต่ทวิชที่นั่งจิบไวน์ฟังเงียบๆ ก็หันมาสนใจ เพราะนอกจากตัวเองแล้วก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเจอใครที่เป็นแบบตัวเองอีก ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่กายพูดนั้น เป็นเรื่องที่ทวิชรู้ด้วยตัวเองมานานมากๆ แล้ว ตั้งแต่เห็นปีกสีดำปลอดของตัวเองในกระจกด้วยนัยน์ตาของเสือดำ มันดูประหลาดมาก แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้จากอาสิงห์ที่คอยดูแลเขามาตลอดตั้งแต่ที่เขาจำความได้
   
และด้วยความว่างจัด ไม่มีอะไรทำ เขาจึงมักจะอ่านหนังสือที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้จนแทบจะรู้เรื่องพวกนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นเพียงการคาดเดาของคนที่เขียนหนังสือ แต่ถ้าหากไม่มีมูลก็ย่อมเขียนไม่ได้ และมันก็จะคงไม่ถูกทำให้กลายเป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศนี้
   
ประเทศที่กลัวประชาชนรู้ความจริงจับใจ กลัวว่าหากประชาชนฉลาดและตาสว่างแล้วจะควบคุมไม่ได้อีก จึงใช้วิธีการเข่นฆ่าคนกลุ่มนั้นอย่างเลือดเย็นเพื่อความมั่นคงของบัลลังก์ของตัวเอง
   
เขาถึงได้เกลียดพวกอัลฟ่านัก เกลียดที่พวกมันฆ่าพ่อแม่ของเขา ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นส่วนเกินของตระกูลพยัคฆ์โภคสกุลที่ไม่ได้มีความเกี่ยวดองกันด้านสายเลือดด้วยซ้ำ ที่เขาได้รับการอนุเคราะห์ก็เพราะพ่อแม่เขาเคยเป็นเพื่อนและมีบุญคุณกับอาสิงห์เท่านั้น
   
เอาเข้าจริง ถ้าหากมีอัลฟ่าสักคนรู้ว่าเขาคือลูกหลานของกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อน ก็คงจะไม่ลังเลที่จะฆ่าเขาในพริบตา
   
“งั้นนายใช้เอกลักษณ์ของพวกอัลฟ่าได้ไหม”
   
พอสถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นนิดๆ
   
“…”
   
กันต์ไม่ได้ตอบแต่พยักหน้าน้อยๆ ก่อนที่ร่างที่เต็มไปด้วยบาดแผลจะมีเสียงกระดูกหักดังกร็อบๆ และปรากฎร่างสิงโตขนาดยักษ์ขึ้นมาร่างหนึ่ง มันพ่นลมหายใจหนักๆ ก่อนที่จะหันมองทวิชนิ่งๆ ราวกับคาดหวังอะไรบางอย่าง
   
“..อืม”
   
ทวิชงุนงงนิดๆ ที่อยู่ดีๆ ก็ถูกกันต์มอง แต่ก็พยักหน้าให้เชิงรับรู้ กันต์ถึงค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างมนุษย์แบบเดิม
   
“ที่มึงไปร่วมพรุ่งนี้ ก็เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม”
   
พอสพูดออกมาด้วยความหนักใจ เพราะเชื่อว่าการที่กายได้รับยากระตุ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือความใจดีของกลุ่มปฎิวัติแน่นอน
   
“ใช่ กูตกลงยอมเป็นตัวพิสูจน์ความจริงให้กับคนพวกนั้น”
   
“..มึงจะรอดกลับมาใช่ไหม กาย”
   
ถึงแม้จะร้องไห้มานานแล้ว นทีก็ยังไม่หยุดสะอื้น นั่งปาดน้ำตาป้อยๆ ไม่ต่างกับตอนเด็กที่มักจะร้องไห้ไม่หยุด เวลาที่มีเรื่องที่ไม่สบายใจหรือเสียใจมากๆ
   
“ไม่รู้ว่ะ”
   
กายหัวเราะเบาๆ แล้วเดินไปตบไหล่พอสอย่างฝากฝัง
   
“ถ้ากูไม่รอด ฝากเผาห้องกูด้วยแล้วกัน กูไม่อยากให้ของๆ กูต้องกลายไปเป็นของพวกมัน”
   
“..ที่มึงยอมมาวันนี้ มึงมาเพราะอะไรกันแน่วะ กาย”

นทีลุกเขย่าคอเสื้อกายอีกรอบ เพราะปกติแล้วกายจะเป็นคนค่อนข้างเก็บตัว ถึงแม้ว่ามีนิสัยขี้เล่นก็ตาม เวลานัดมากินข้าวรวมตัวก็มักจะบอกปัดตลอด ปีหนึ่งได้เจอกันได้ไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำไป
   
“กูมาลาพวกมึง”
   
กายพูดด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว แม้ว่ามันจะแฝงไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
   
“เพราะวันนี้น่าจะเป็นวันสุดท้ายที่กูได้อยู่กับพวกมึง”

====

แง หายไปนานเลย ขอโทษนะคะ พอดียุ่งๆ กับต้นฉบับอีกเรื่อง  :hao5:
   

หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 16-09-2019 22:50:52
นึกว่าจะไม่มาต่อซะแร้วววว  ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-09-2019 02:39:33
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-09-2019 07:53:07
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-09-2019 20:20:24
มาต่อแล้ว รอ มานานมากๆ ดีใจมากที่มาต่อ ขอบคุณ มาก ^^
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-09-2019 23:14:54
 ดีใจที่กลับมาต่อนะคะ จะรออ่านตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 3 : เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง 16 ก.ย 62 p.1
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-09-2019 01:00:48
น่าสนๆ ลองตามดู
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 17-10-2019 00:02:31
ตอนที่ 4

   
กลิ่นอายความตายเคล้ากับกลิ่นฟืนไฟโหมไปทั่วบริเวณ แทบไม่มีตารางนิ้วใดที่ไม่ปกคลุมด้วยควัน เหล่าผู้ที่ยังมีลมหายใจต่างจับจ้องกลุ่มควันฟุ้งซึ่งมีกลิ่นอายของผู้วายชมน์ด้วยความเศร้าโศก เพราะพวกเขาไม่แม้แต่จะสามารถรวบรวมอัฐิของผู้สูญเสียกลับไปประกอบพิธีการตามศาสนาด้วยซ้ำไป
   
ซึ่งถ้าหากต้องการจริงๆ ก็สามารถทำได้ แต่ใครเล่าจะกล้าบุกเข้าไปในเตาเผาขนาดยักษ์ที่ติดไฟอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่เหตุการณ์ปฏิวัติครั้งล่าสุด ศพจำนวนมหาศาลถูกลำเลียงมายังที่แห่งนี้เพื่อที่จะเผาทำลายโดยเฉพาะ ด้วยคำสั่งการทำลายหลักฐานของเหล่าอัลฟ่าชนชั้นนำ และถึงแม้ทุกวันนี้ศพในแต่วันจะน้อยลงแต่ไฟที่อยู่ในเตาหลอมก็ยังโชติช่วงและแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ย่างกรายเข้าไปอยู่ดี
   
“..คนเดียว?”
   
เบต้าวัยกลางคนซึ่งสวมหน้ากากปิดปากสกปรกเหลือบมองทวิชด้วยสายตาเหยียดหยันแกมขี้เกียจ บริเวณใบหน้าที่ยังคงรูปลักษณ์กวางมีฝุ่นควันเต็มไปหมดจนดำไปทั้งแถบ
   
“ครับ คนเดียว”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ และเหลือบมอง ‘กวินทร์’ ที่นอนอย่างสงบในอ้อมกอดของตัวเอง ซึ่งดูเผินๆ แล้วเหมือนกับว่ากวินทร์เพียงแค่หลับไปเท่านั้น ไม่ได้จมไปสู่ความตายอันเป็นนิรันดร์จริงๆ
   
“เดี๋ยวก่อน” เบต้าคนเดิมที่กำลังจะปล่อยผ่านไปอย่างเบื่อหน่าย ถึงกับเบิกตากว้างตอนที่เห็นชัดๆ ว่าเบต้าสายพันธุ์ไหนที่อยู่ในมือของทวิชและแถมยังมีสภาพที่สมบูรณ์มากๆ อีก!
   
“หมอนี่ตายยังไง”
   
ทวิชเลิกคิ้วงงๆ เพราะนี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้คุยกับพวกเจ้าหน้าที่ของทางการเกินหนึ่งประโยค ที่ผ่านมาพวกคนของทางการจะไม่ค่อยสนใจทำงานสักเท่าไหร่ ใช้ชีวิตอย่างเบื่อหน่ายเพราะหน้าที่ของพวกเขาในสถานที่แห่งนี้ก็คือการจดจำนวนศพที่ถูกนำเผาในแต่ละวันเพื่อเก็บสถิติส่งให้ทางการ ไม่มีอะไรมากมายกว่านั้น
   
ดังนั้นท่าทีกระตือรือร้นแปลกๆ ของอีกฝ่ายจึงทำให้ทวิชรู้สึกไม่ไว้วางใจสักนิด
   
“เขาป่วย”
   
“ใช่ โรคติดต่อร้ายแรงไหม? ถ้าไม่ใช่เดี๋ยวผมจัดการเรื่องศพให้เอง”
   
“เขาถูกพิษจากโรงงาน”
   
ทวิชตอบแบบเดาสุ่มตามข้อมูลที่รู้มาจากกวินทร์ และคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเขาไปสักที อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์ของเขาที่มาแห่งนี้คือพากวินทร์มาพักพิงในสถานที่สุดท้ายของชีวิตก็เท่านั้น น่าเสียดายที่เขามีเงินไม่มากพอที่จะจัดพิธีเผาให้ทุกคนที่มาใช้บริการเขาให้เป็นเรื่องเป็นราว จึงได้แต่มาใช้บริการเผาฟรีของทางการที่มีวิธีการที่ค่อนข้างโหดร้าย ซึ่งก็คือการโยนร่างของคนที่ไร้ชีวิตลงไปในหลุมด้านล่างที่กองเพลิงโชติช่วง ที่เคยเผาผู้คนมานับหมื่นนับแสนคน
   
“งั้นเนื้อก็เป็นพิษงั้นสิ”
   
เบต้าวัยกลางคนสบถอย่างผิดหวัง แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับเก้าอี้อย่างขี้เกียจเช่นเดิม
   
“ศพเล็กนี่ เอาไปเข้าไปเองเลย ไม่ต้องไปรบกวนไอ้พวกตัวขี้เกียจมาช่วยขนหรอก”
   
“..ครับ”
   
ทวิชก็ยังคงงุนงงอยู่ดีแต่ก็สาวเท้าเข้าไปในลานอย่างคุ้นชินโดยมีร่างใหญ่โตของกันต์เดินตามหลังต้อยๆ เงียบๆ
นัยน์ตาของกันต์นั้นยังคงไร้ประกายและทอดมองเหล่าเบต้าที่ร้องไห้ร้องห่มร้องไห้รอบตัวอย่างไร้ความรู้สึก มีเบต้าครอบครัวหนึ่งที่ต้องช่วยกันแบกศพของเบต้าแรดที่ตายในร่างต้นทำให้ค่อนข้างเปลืองพื้นที่ค่อนข้างมาก และแต่ละคนก็ดูเจ็บปวดมากกับสิ่งที่ตัวเองแบกอยู่จนแทบจะแบกร่างที่นำมาด้วยไม่ไหว

ทวิชเผลอชะงักหยุดมองและเหลือบมอง ‘พวกตัวขี้เกียจ’ ที่ว่าซึ่งเป็นเบต้าช้างนอนหลับกันบนพื้นอย่างเอกขเนก อาจจะเพราะด้วยการทำงานกับรัฐบาลที่ไม่มีการแข่งขัน ไม่มีแรงจูงใจ ไม่ว่าพวกเขาจะตั้งใจทำงานหรือไม่ตั้งใจทำงาน สุดท้ายก็ยังได้เงินเดือนเท่าเดิมและสวัสดิการเดิมๆ จึงไม่มีใครลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของตนเองอย่างจริงจัง

“..กันต์”

“…”

ทวิชสบตากันต์และเหลือบมองเบต้ากลุ่มนั้นก่อนที่กันต์จะพยักหน้ารับ และเดินเข้าไปอาสาช่วยแบก ซึ่งเบต้ากลุ่มนั้นก็พร่ำขอบคุณกันต์ไม่หยุดปากทั้งน้ำตา

“ขอบคุณนะหนู ป้าขอบคุณมากเลยนะ”

เบต้าที่มีอายุมากที่สุดและมีศักดิ์เป็นภรรยาของผู้ตายสะอื้นไปพูดไป และปล่อยให้กันต์มาอยู่แทนที่ตัวเอง ทำให้การแบกร่างเป็นไปได้ง่ายขึ้น เพราะกันต์นั้นค่อนข้างถนัดเรื่องการใช้พละกำลัง ไม่ว่าจะอยู่ในร่างไหนก็มีพลังมหาศาลพอๆ กัน ผิดกับกายที่ไม่ค่อยได้ใช้พละกำลังเท่าไหร่ทำให้ร่างมนุษย์กับร่างต้นมีพละกำลังที่ค่อนข้างจะต่างกันมาก

“…”

กันต์ไม่ได้ตอบอะไรยอมแบกร่างและเดินตามทวิชที่นำไปก่อนเงียบๆ ไม่ค่อยตื่นตกใจนักเมื่อเดินมาถึงปลายทางและพบหลุมเพลิงร้อนระอุที่ไฟโหมแรงจนแทบจะคนที่ยืนอยู่ข้างบน ซึ่งพอถึงปลายทางกันต์ก็ปล่อยให้ครอบครัวเบต้าดูแลศพต่อ

“..ผมขอถามได้ไหมว่าเขาไปเพราะอะไร”

ทวิชที่ในมือยังคงลูบหัวกวินทร์ถามคุณป้าที่ยังร้องไห้โฮไม่หยุด มือผอมที่มีร่องรอยบาดแผลจากการปักชุนผ้ามาแทบทั้งชีวิตลูบหัวสามีของตนเองราวกับปลอบประโลมไม่ให้หวาดกลัวต่อไฟที่กำลังจะแผดเผาร่างอีกในไม่ช้า

“..ฮึก โรงงาน โรงงานบ้าๆ นั่นที่รัฐบาลโฆษณานักหนาไง หนู ป้าขอเตือนหนูเลยนะว่าอย่าไปทำที่นั่น อย่าไปเชื่อว่าทำแล้วหนูจะสบาย ฮึก สามีพี่เพิ่งทำได้แค่ปีครึ่งอาการก็ทรุด พออีกอาทิตย์นึงก็เสียเลย”

“..ผมเสียใจด้วยนะครับ”

หากทวิชยังคงอยู่ในร่างต้นที่เป็นเสือดำ ตอนนี้คงไม่วายหูลู่ลงมาอย่างหดหู่เจ็บปวด อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนมอบความตายให้กับลูกค้ามามาก แต่เขาก็ยังเจ็บปวดกับการตายของเบต้าทั่วไปอยู่ดี

เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมรัฐบาลที่มักจะโฆษณาว่าตัวเองเป็นผู้ประเสริฐดีเลิศนักหนาถึงได้ใจร้ายนัก กับแค่การเจียดเงินส่วนหนึ่งมาจ้างนักบวชคอยสวดภาวนาให้ผู้วายชมน์พวกนี้สักนิดกลับไม่คิดจะทำ ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้ที่นับถือศาสนาก็เถอะ แต่เบต้าทั่วไปยังนับถือศาสนากันอยู่ไง การมีสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวพวกเขาไม่ให้สูญสิ้นสติก็ถือว่าเป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ

ไม่สิ เขาจะหาความชอบธรรมไปทำไม ในเมื่อคนที่เขาเรียกร้องคือกลุ่มคนเดียวกับกลุ่มคนที่ฆ่าพ่อแม่และฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เดียวกันอย่างเลือดเย็นกลางเมือง แถมยังได้รับความเห็นดีเห็นงามจากคนส่วนใหญ่ในประเทศอีก

“…”

ทวิชกัดปากแน่นจนได้กลิ่นคาวเลือดในปาก

มันเป็นความเจ็บปวดที่เขาทนแบกรับมาตลอดตั้งแต่จำความได้ ต่อให้เขารอดจากการปฏิวัติครั้งนั้น

แต่แล้วมันจะมีความหมายอะไรล่ะ? เขามันก็แค่พวกเศษเหลือเดนจากการปฏิวัติก็เท่านั้น  แทบไม่มีใครจำได้แล้วว่าการปฏิวัติฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งก่อนได้เกิดขึ้นจริง มันถูกลบออกไปหมดแล้วอย่างหมดจด ทั้งในบทเรียน สื่อ หรือการสอนศาสนา และความทรงจำของผู้คน

เอาเข้าจริงลุงสิงห์ก็เคยเผลอเรียกเขาครั้งหนึ่งว่า ‘ผีปฏิวัติ’ ตอนที่เขาพยายามทำร้านขายความตายขึ้นมา เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันก็เป็นแค่ความพยายามโง่ๆ ของตัวเอง ที่พยายามจะต่อต้านไอ้พวกอัลฟ่าสารเลวพวกนั้น
การโดนเรียกแบบนั้นทำให้เขาเผลอหลุดหัวเราะออกมา เพราะมันเป็นคำเหยียดหยันที่เหล่าอัลฟ่าเคยใช้ด่าพวกเบต้าหรือคนกลุ่มสมัยใหม่ที่พยายามจะก่อการปฏิวัติขึ้นมาอีกครั้ง

ใช่ เขามันก็แค่ผีตัวนึงจริงๆ นั่นแหละ

ไร้ตัวตน ทุกข์ทรมาน กล้ำกลืนความพ่ายแพ้

บางครั้งบางคราที่เขามาที่นี่ เขาก็อยากจะกระโดดลงไปให้มันรู้แล้วรู้รอด เขาทนมีชีวิตอยู่ทั้งๆ ที่เห็นคนที่สั่งฆ่าหรือมีส่วนรู้เห็นในการฆ่ากวาดล้างครั้งนั้นได้ดิบได้ดีในสังคมต่อไปไม่ได้จริงๆ
ทำไมกับแค่การมีความเห็นที่แตกต่างและอยากให้สังคมดีขึ้น มันถึงกลายเป็นชนวนเหตุที่ทำให้เหตุการณ์บานปลายถึงเพียงนั้น

ตลอดยี่สิบสามสิบปีมานี้ เขาพยายามหาคำตอบทุกวัน

แต่ก็ไม่มีคำตอบไหนที่สามารถตอบเขาได้ว่าทำไมอัลฟ่าถึงมีสิทธิ์ ‘ฆ่า’ โอเมก้า

ทำไมอัลฟ่าถึงสามารถปฏิบัติกับโอเมก้าราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ ทำไมอัลฟ่าถึงมีสิทธิ์ยิงโอเมก้า ทำไมการข่มขืนฆ่าโอเมก้าถึงไม่ผิด แล้วอัลฟ่ามีสิทธิ์อะไรมาปฏิบัติกับศพที่เสียชีวิตไปตั้งนานแล้วด้วยความหยาบคายเพียงนั้น การเอารองเท้ายัดปาก หรือการเอาลิ่มตอกอกนั้นถือว่าเป็นวิถีของผู้ที่เจริญแล้วจริงๆ หรือ?

ทั้งๆ ที่โอเมก้าพวกนั้นไม่มีแม้แต่อาวุธในมือด้วยซ้ำ พวกเขามีแค่เสียง ปากกาและอุดมการณ์อันแรงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของทุกคนให้ดีขึ้น ให้มีการแบ่งสันปันส่วนที่เป็นธรรม ไม่กระจุกอยู่กับแค่คนเพียงกลุ่มเดียวที่อ้างว่าตัวเองนั้นเป็น ‘อัลฟ่า’ จึงมีสิทธิ์เหนือเพศอื่นๆ

“…”

สุดท้ายทวิชก็เผลอยืนสะอื้นขณะที่จ้องลงไปในกองเพลิง

มีศพโอเมก้ากี่ศพกันที่ได้ลงไปในนั้น แล้วหนึ่งในนั้นมีร่างของพ่อแม่เขารึเปล่า?

“หลับให้สบายนะ กวินทร์ ในที่แห่งนั้นจะไม่มีใครทำร้ายนายได้อีก”

ทวิชพึมพำกับกวินทร์โดยมืออันสั่นเทา ทำใจอยู่สักพักก่อนที่จะโยนร่างกระต่ายเข้าไปในกองเพลิง เพียงชั่วพริบตาร่างของกวินทร์ก็ถูกแผดเผาสิ้น ไหม้เกรียมและกลายเป็นเถ้าถ่านทันควันไม่ต่างจากศพอื่นๆ ที่ถูกโยนลงไป

“…พี่ชายๆ ”

ระหว่างที่ทวิชจมอยู่ในภวังก์และความทุกข์โศก เด็กชายคนหนึ่งที่เด็กเกินกว่าจะเข้าใจความตายก็วิ่งมาหาทวิช และยื่นดอกไม้ที่เตรียมมาโปรยให้คุณตาตัวเองให้กับทวิช

“พี่ชายก็ร้องไห้เหรอ ไม่เอานะ แค่แม่ร้องไห้คนเดียวผมก็เจ็บหูจะแย่แล้ว”

เด็กชายซึ่งเป็นเบต้ากระต่ายเช่นเดียวกับกวินทร์กระดิกหูกระต่ายดุ๊กดิ๊กอย่างน่าเอ็นดู

“อ่ะ ผมแอบให้พี่ชายดอกนึง พี่ชายอย่าเศร้าไปเลยนะ”

“...ขอบคุณนะครับ”

ทวิชรับดอกไม้มาทัดไว้ตรงอกตัวเอง ย่อตัวลงให้ตัวเองสูงเดียวกับระดับเด็กชาย ลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยสีหน้าเอ็นดูและเป็นมิตร

พอเห็นหน้าพี่ชายใกล้ๆ เด็กน้อยก็หน้าแดงแจ๋เพราะพี่ชายสวยมาก และเผลอพูดละล่ำละเลิกใส่อย่างควบคุมไม่ได้ “ผม ผมไปหาแม่ก่อนนะฮะ พี่ชายมีความสุขมากๆ นะฮะ”

“อืม”

ทวิชพยักหน้าและมองตามหลังเด็กชายด้วยรอยยิ้มจาง

ความทุกข์ตรมอันทุกข์ทรมานที่แบกรับมาตั้งแต่จำความได้จนถึงวินาทีนี้ เมื่อกี้คล้ายกับถูกชำละล้างไปด้วยความบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจความโหดร้ายของโลก

นัยน์ตาสีทองที่มันชืดชาเจ็บปวดตลอดเวลาดูอบอุ่นขึ้นมานิดๆ

อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขายังทนมีลมหายใจต่อก็คงเป็นเพราะเด็กพวกนี้ เพราะเขาคงทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้แน่ ที่จะเห็นเด็กเหล่านี้ต้องถูกระบบโครงสร้างอันห่วยแตกของรัฐฆ่าเด็กเหล่านี้ทั้งเป็น

พวกมันพรากทุกอย่างไปจากเด็กคนหนึ่ง

สวัสดิภาพในการใช้ชีวิต สิทธิเสรีภาพ สิทธิ์ในการเข้าถึงการศึกษา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทั่วไปพึงมีและควรได้รับ เพื่อที่จะไปปรนเปรอในชนชั้นของตัวเอง

เขายอมรับตัวเองแค้น แค้นมากด้วย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ระบบโครงสร้างล้มเหลวที่อยู่ตรงหน้าเขามันยิ่งใหญ่เกินไป เขาไม่มีอาวุธ ไม่มีกำลังทหาร ไม่มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่มากพอ เขาไม่มีอะไรเลย นอกจากตัวเนื้อตัวเปล่าๆ กับเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ได้จากพ่อแม่มา

แววตาของทวิชจึงกลับมาเจ็บปวดอีกครั้ง

เขาอยากสร้างอนาคต สร้างสิ่งที่ดีกว่านี้ให้กับเด็กคนนั้น เขาไม่อยากให้เด็กคนนั้นต้องโตขึ้นมาเจ็บปวดเมื่อวันใดวันหนึ่งเกิดตาสว่างไม่เชื่อโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda) ของรัฐบาลที่ใช้หลอกเบต้าทั่วไปมาทั้งชีวิตขึ้นมา

อาจจะจริงในเรื่องที่ว่าเพราะฉลาดและตื่นรู้ ถึงได้เจ็บปวดมาก การเป็นคนโง่งมงายไปสิ่งที่ถูกสอนให้เชื่ออาจจะทำให้มีความสุขมากกว่านี้ เช่นเดียวกับเบต้าคนอื่นๆ ที่ยังหลงเชื่อในคำหลอกลวงของรัฐบาลอยู่

พวกเขาก็ไม่ต่างจากเด็กเหล่านี้ที่เซื่องซื่อ เพียงแต่ว่าอายุมากกว่าและทำงานหหนักกว่าก็เท่านั้น ซึ่งเบต้าพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตกว่าที่จะตาสว่างขึ้นม และแน่นอนว่ามันไม่ทันกาล

เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีพวกเขาก็สูญเสียไปหมดสิ้นแล้ว

กรี๊ดดด

ทวิชสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ก็เกิดเสียงกรี๊ดดังลั่นและตามมาด้วยเสียงอึกทึกโวยวายทั่วบริเวณ ก่อนที่จะตกใจกว่าเดิมเมื่อตัวเองถูกใครบาง ‘หยิบ’ ออกจากสถานการณ์วุ่นวายตรงหน้าทันที

“อย่าเพิ่งออกไป กันต์ รอดูก่อนเผื่อว่ามันมีอะไรเกิดขึ้น”

ทวิชที่ถูกกันต์อุ้มขึ้นมาในท่าเจ้าสาวอย่างง่ายดายบีบไหล่กันต์แน่นด้วยสีหน้าตึงเครียด ซึ่งภายใต้ใบหน้านิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซุกซ่อนความคิดวุ่นว่ายในใจเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ปกปิดจากกันต์ไม่ได้เลยคือแก้มที่ขึ้นสีนิดๆ อย่างประหม่า เพราะไม่เคยมีปฏิบัติกับแบบนี้กับเขามาก่อน

แน่นอนว่าทวิชไม่ได้ตำหนิกันต์ เนื่องจากมันก็เป็นสัญชาตญาณทั่วไปที่พอจะเข้าใจได้ เพราะถ้าเป็นสภาวะปกติในสถานการณ์อื่น เขาก็จะเผ่นออกจากสถานที่ทันทีเหมือนกัน

เพราะเขารู้ว่ามันคือการจงใจก่อความวุ่นวายขึ้นโดยฝีมือรัฐ ที่มักจะบอกว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี การวางระเบิดหรือการปะทะกันตามจุดต่างๆ มักถูกจัดฉากขึ้นมาเพื่อให้รัฐได้ส่งคนเข้าไปปราบปราม และรับตำแหน่งฮีโร่ผู้ผดุงความยุติธรรมของประเทศอยู่ร่ำไป

แน่นอนว่าถ้ามันเป็นหนังสือสักเรื่องเขาคงเผามันทิ้งได้ เพราะบทมันช่างห่วยแตกสิ้นดี แต่เรื่องที่ตลกร้ายกว่าคือมันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้และเบต้าแทบทุกคนในประเทศนี้ก็เชื่อสนิทใจ

“…”

กันต์พยักหน้าน้อยๆ กระชับออกกอดให้แน่นขึ้น กระชับเสื้อคลุมสีดำสนิทที่ทวิชให้มาคลุมตัวให้ร่างในอ้อมแขน ราวกับกำลังซุกซ่อนอะไรบางอย่างที่สำคัญมากๆ อยู่

“พวกนั้นไม่เคยก่อเหตุที่นี่”

สุดท้ายทวิชก็ทนประหม่าไม่ไหว ทุบไหล่ร่างใหญ่เบาๆ เชิงให้ปล่อย ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตามอย่างว่าง่าย ยอมปล่อยทวิชลงอย่างนุ่มนวล และจดจ้องไปยังเบต้าคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาในบริเวณด้วยความคลุ้มคลั่ง เนื้อตัวอาบไปด้วยเลือด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวดราวกับว่าโลกนั้นได้ถล่มลงมาต่อหน้า ในอ้อมแขนอุ้มร่างของเบต้ากระต่ายคนหนึ่งที่ร่างกายเหลือเพียงท่อนบน

“ฮว้ากกกกก!!!”

เขากรีดร้องออกเสียงเสียดหู กรีดร้องจนเสียงแหบแห้งขณะที่ตระกองกอดร่างในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอมและลูบใบหน้าที่หลับสนิทด้วยความอาลัยอาวรณ์ ก่อนที่อยู่ๆ จะกลับคืนสู่ร่างต้นซึ่งเป็นกระต่ายเหมือนกัน และโผเข้าหาฝูงชนที่ยืนออกันเพื่อปกป้องตัวเอง

ปัง!

กระสุนปืนคือคำตอบของการคืนสู่ร่างต้น

ปัง!! ปัง! ปัง!

เพราะการคืนสู่ร่างต้นนั้นทำให้ประสิทธิภาพของร่างกายเพิ่มขึ้น มีสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดมากกว่า!

“อย่ายิง!!! ได้โปรดอย่ายิง!!”

เหล่าเบต้าที่ไม่เกี่ยวข้องต่างกรีดร้องออกมา มีบางส่วนพยายามอ้อนวอนขอร้องเหล่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของรัฐบาลที่วิ่งตามกันมาทีหลังสามสี่คน และยังยิงเบต้าคนนั้นไม่หยุดโดยไม่สนใจว่าใครจะโดนลูกหลงบ้าง

ปัง! ปัง! ปัง!

น่าตลกที่กระสุนแทบจะทุกนัดล้วนแล้วแต่ถูกเบต้า แต่ไม่มันไม่ได้โดนบุคคลที่ทางการต้องการ การกราดยิงจึงยังไม่หยุดแม้ว่าจะมีเบต้าพยายามเข้าไปขัดขวางและอ้อนวอนแทบเท้าแค่ไหนก็ตาม

“พวกอัลฟ่ามันโกหก!! มันหลอกเรา!!! อย่าไปเชื่อมัน!!!”

เบต้าตัวต้นเหตุที่คล้ายจะวิปลาสไปแล้วนั้นร้องออกมาไม่หยุด วิ่งอย่างคลุ้มคลั่งรอบหลุมอันตราย

“หุบปากซะ! แกไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้น!!”

หัวหน้าของคนของทางการที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีคำรามออกมา แล้วตัดสินใจยิงตัว ‘กบฏ’ คนนั้นด้วยตัวเอง ปืนกระบอกยาวที่รุนแรงและนิ่งที่สุดถูกตั้งลำบนไหล่ ก่อนที่จะเคลื่อนตามกระต่ายที่วิ่งไปมาอย่างแม่นยำ นับถอยหลังในใจสามวินาทีก่อนที่จะตัดสิดใจเกี่ยวไกปืน

ปัง!!!

“อ้ากกก”

กระสุนนัดนั้นเจาะเข้าที่กลางหลังอย่างแม่นยำ ก่อนที่มันจะบิดเกลียวและระเบิดทำลายอวัยวะภายในในชั่วพริบตา เบต้ากระต่ายคนนั้นกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด แต่ก็ไม่สูญสิ้นสติสัมปชัญญะแทบทันที

“ฮึก พวกมัน พวกมันฆ่าคน แล้ว แล้วยังกิ--“

ยังพูดไม่ทันจบร่างของผู้ที่ถูกกล่าวว่าเป็นกบฏนั้นก็สะดุดศพเบต้าบางคน และเผลอร่วงหล่นไปในกองเพลิงพร้อมกับร่างกระต่ายครึ่งท่อนในมือ ซึ่งมันก็ดูคล้ายจะจบแล้ว แต่มันก็ไม่ได้จบเพราะเบต้ากระต่ายคนนั้นได้ชนใครอีกคนให้ร่วงหล่นไปด้วยกัน!

“แม่!!!”

ทวิชที่หลบอยู่ข้างหลังเบิกตากว้าง เมื่อเห็นร่างของเด็กชายที่ให้ดอกไม้ตัวเองตกไปในบ่อต่อหน้าต่อตา ร่างกายพุ่งเข้าไปในหาเด็กคนนั้นแทบจะทันทีโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“ปล่อย ปล่อยฉัน!! กันต์!!’

ทวิชคำรามออกมาทั้งน้ำตา รู้สึกทั้งโกรธแค้นทั้งเจ็บปวดและอยากคลุ้มคลั่ง

“…”

กันต์ไม่ได้พูดอะไรแต่รวบทวิชมากอดให้แน่นขึ้น ใช้ร่างกายของตัวเองเป็นกรงไม่ให้อีกฝ่ายออกไปตายแบบง่ายๆ แต่ทวิชก็ทั้งกัดทั้งทุบจนกันต์พูดออกมาประโยคหนึ่ง

“คุณจะตายฟรี”

“ก็ช่างสิ จะตายก็ให้มันตายไป นั่นเด็กทั้งคนเลยนะ กันต์!!! พวกนั้นมันฆ่าเด็ก!!!”

ทวิชร้องไห้ออกมาอย่างหมดท่า หยิบดอกไม้ที่เด็กชายให้ออกมาดูและสะอื้นไม่หยุด เพราะนอกจากเด็กที่ตายแล้ว ยังมีเบต้ามากมายที่ยังตายอยู่ตรงนี้

ทำไม ทำไมกัน ทำไมเขาถึงต้องทนกับความโหดร้ายเหล่านี้กัน ทำไมเขาถึงไม่มีสิทธิ์อะไรเลย ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันเป็นความรุนแรงที่รัฐต่อประชาชนอย่างอุกอาจ ไร้ซึ่งศีลธรรมและยางอาย

จะให้เขามีความสุขได้ยังไงกัน!

พรึ่บ!!!

ทวิชเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ก็มีอะไรพุ่งออกมาจากบ่อเพลิงไหม้ข้างล่าง ที่เขามองไม่ออกว่ามันคืออะไรเพราะฝุ่นควันต้องนี้ขโมงกว่าเดิมมาก ราวกับว่าศพที่ตกลงไปนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเชื้อไฟชั้นดีให้กับมัน

“แม่!”

ทวิชตกใจมากกว่าเดิม เพราะอยู่ๆ ข้างหลังก็มีเสียงเรียกคุ้นเคย ก่อนที่จะหันไปพบว่าเป็นเด็กชายคนเดิมคนนั้นวิ่งเข้าไปหาแม่

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ทวิชคิดด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสถานการณ์นัก เขามั่นใจว่ามีอะไรสักอย่างที่ช่วยเด็กคนนั้นออกมา แต่กลับมองไม่ทันว่าเป็นอะไร

“ไปกันเถอะ”

กันต์พยายามลากทวิชออกจากบริเวณ จากประสบการณ์ที่เคยเร่ร่อนอยู่ตามถนนมานับสิบปีนั้นบอกอยู่เสมอว่าควรจะไม่ควรยุ่งกับพวกคนของทางการ ไม่ว่าเราจะถูกหรือผิดก็ตาม เพราะไม่ว่ายังไงคนพวกนั้นก็มักจะเล่นกลจนให้ตัวเองถูกอยู่เสมอ

แน่นอนว่าเป็นตัวเขาคนเดียวเขาคนไม่สนใจอะไรเท่าไหร่ การโดนยิงตายตั้งแต่เมื่อกี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่ได้สนใจอยากมีชีวิตต่ออยู่แล้ว

ซึ่งตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปเพราะตอนนี้เขารู้จักทวิช และทวิชก็ไม่สมควรตายด้วยเรื่องแบบนี้

“..อืม”

ทวิชมีสีหน้าดีขึ้นเมื่อรู้ว่าเด็กคนนั้นรอด แต่ก็ยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อเดินผ่านกลับทางเดิม และแห็นซากศพผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องมากมายนอนก่ายกองกันตามพื้น มีบางศพที่ยังกอดดอกไม้ที่มาโปรยให้ผู้ตายด้วยซ้ำ

“ใครก็ตามที่ได้ยินกบฏเมื่อกี้มันพูด ลืมมันซะ!! เพราะอัลฟ่าไม่มีวันหักหลังพวกเรา!!! พวกมันคือกบฏที่มาพยายามให้พวกเราแตกแยก อย่าไปเชื่อมัน!!”

ทวิชเหยียดยิ้มออกมาเมื่อเห็นสีหน้าคล้อยตามของเบต้าบางคนที่ไม่ได้ถูกยิง มีเบต้าบางส่วนที่โดนกระสุนตะโกนเถียง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับเสียงของเบต้าส่วนใหญ่ที่เออออเห็นด้วยกับมาตรการขั้นเด็ดขาดที่ทางการใช้กับกบฏ

“ตลกดีเนอะ”

ทวิชหัวเราะออกมาเมื่อมาถึงรถตัวเอง

“จนถึงตอนนี้ คนส่วนใหญ่ก็ยังเชื่อในสิ่งที่พวกอัลฟ่ามันหลอก”

“…”

กันต์ไม่ได้ออกความเห็นอะไร เพียงแค่สีหน้าเจ็บปวดของทวิชนิ่งๆ

“แล้วฉันล่ะ กันต์ ทำไมไม่เชื่อพวกมันบ้าง”

ทวิชสะอื้นออกมาจนตัวโยน ยกมือขึ้นปิดปากตัวเองแน่นพยายามหยุดสะอื้น

เขาไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเจอการกราดยิงคนบริสุทธิ์กลางวันแสกๆ แบบนี้ วันนี้เขาแค่ตั้งใจมาเผาร่างให้กวินทร์เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายไปกว่านั้น

“ฮึก ฆ่าฉันที กันต์”

ทวิชดึงมือใหญ่ของกันต์ที่วางอยู่บนตักมากำรอบคอตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวด

“ฉันเจ็บจนจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ ”

===========

หายไปนานมาก  :mew5: กลับมาแล้วว รอบนี้ว่างยาวแล้วค่ะ น่าจะได้ลงเรื่อยๆ

ps ตอนนี้เขียนด้วยความโกรธล้วนๆ เลย 5555555




หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 17-10-2019 10:53:11
 :katai2-1: รอค่ะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-10-2019 22:02:04
 :pig4 :pig4:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 17-10-2019 23:33:59
โหดร้ายเกินไป
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 19-10-2019 10:19:07
อย่าเท กันนะ รอเสมอ ^^
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-10-2019 03:11:34
หดหู่มากเลย หวังว่าสังคมนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงไวๆนะ
จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่ะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 4 : เศษเหลือเดน 17 ต.ค 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-10-2019 08:31:41
มีอำนาจ แต่ใช้ไม่ถูกทางยังไงก็ล่มสลายค่ะ
ไม่มีใครสงบสุข ต่างกลัวและหวาดระแวง

สงสารทวิช ต้องเจออะไรมาเยอะ ถึงเลือกจะช่วย
ในสิ่งที่พอทำได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่ก็เป็นสิ่งสุดท้าย
ส่งท้ายความเศร้าที่จะพบความสุข

กันต์จะปกป้องทวิชได้ใช่ไหม
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 5 : นองเลือด 3 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 03-11-2019 14:17:40
ตอนที่ 5

   
ฟู่…
   
ทวิชที่เพิ่งอ่านหนังสือพิมพ์เล่มสี่สีพิเศษที่ถูกนำมาแจกอย่างเร่งด่วนเมื่อเช้า อัดบุหรี่เข้าร่างกายและพ่นออกมาจนควันท่วมหลังตึก นัยน์ตาสีทองสั่นระริกรื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นและอ่านไปเมื่อกี้
   
มันเป็นภาพเพื่อนของเขาในร่างมนุษย์ถูกแขวนคออยู่บนบานประตูเหล็ก บนอกถูกตอกด้วยลิ่มสีทองที่ทางการมักจะใช้กับนักโทษคดีร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิตเพื่อเป็นการประจาน บริเวณตามเนื้อตัวอาบด้วยเลือดและรอยกระสุน แทบจะไม่มีส่วนใดของร่างกายที่ดูปกติ
   
มีเพียงใบหน้าของ ‘กาย’ เท่านั้นที่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บสาหัส แต่มันกลับเป็นสีหน้าที่แสดงชัดถึงความเจ็บปวดมาก จนแม้แต่ความตายที่เข้ามาถึงตัว ก็ไม่สามารถทำให้ความทุกข์ทรมานที่คั่งค้างบนร่างกายหายไปได้
   
ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่พอจะได้เดาอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังโกรธมากและเสียใจจนตัวสั่นอยู่ดี
เพราะหนึ่งในสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของรัฐบาลนี้คือการลงมือฆ่าประชาชนของตัวเองที่เห็นต่างอย่างเลือดเย็น พวกเขาเพิกเฉยต่อคำร้องขอที่เหล่าพลเมืองเรียกร้อง มองว่ามันเป็นการกระทำที่ประสงค์ร้ายต่อรัฐ เป็นความคิดที่มุ่งให้ประเทศเกิดความเสียหาย และเป็นการสมควรแล้วที่พวกเขาจะมีสิทธิ์อันชอบธรรมในการกำจัดบุคคลเหล่านี้

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักปฏิวัติที่กระทำไปเมื่อวานจึงถูกนับว่าเป็นการก่อการร้ายในชั่วพริบตา ทั้งๆ ที่พวกเขาแค่พยายามจะทำอันตรายต่อรูปปั้นหินอ่อนสิงโตตัวนั้น พยายามจะบอกกับประชาชนคนทั่วไปว่าอัลฟ่านั้นไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่พวกเขาคิด เป็นเพียงบุคคลธรรมดาเช่นเดียวกับเราๆ เท่านั้น

ไม่ใช่สมมุติเทพ เทพเจ้า หรืออะไรก็ตามแต่ที่ในศาสนาของอัลฟ่าพยายามจะพูดกรอกหูตลอดเวลาผ่านสื่อต่างๆ ทั้งบทเพลง โทรทัศน์ การเรียนหนังสือ หรือแม้แต่การมีวันรำลึกพระคุณของอัลฟ่าเป็นของตัวเองเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของอัลฟ่า

เอาเข้าจริง พวกเขาก็แค่อยากจะบอกให้ทุกคนเลิกเชื่อได้แล้วว่าตัวเองนั้นติดหนี้บุญคุณใหญ่หลวงกับประเทศนี้

เพราะถ้าหากประเทศนี้มีบุญคุณกับพวกเขาจริง ทำไมพวกเขาถึงยังใช้ชีวิตกันอยู่อย่างยากลำบากอยู่ล่ะ ทำไมวันทุกวันพวกเขาถึงต้องประสบกับความหวาดกลัวตลอดเวลาว่าตัวเองจะทำอะไรผิด กลัวว่าจะถูกทำให้หายไปโดยที่เอาผิดใครไม่ได้ ประเทศนี้มันเป็นประเทศแบบไหนกัน ที่มอบสันติสุขให้กับประชาชนแบบนี้

คนที่เกิดในประเทศนี้มันไม่ใช่คนที่โชคดีที่สุดในโลกหรอก

แต่เป็นประชาชนที่พยายามหลอกตัวเองด้วยวาทกรรมสวยหรูของรัฐบาลก็เท่านั้น พวกเขาไม่กล้าเชื่อโลกภายนอก ไม่กล้าเชื่อประเทศอื่น เพราะรัฐบาลไม่ให้เชื่อ ทั้งๆ ที่สิ่งพวกเขาเหล่านั้นพูดนั้นมักจะเป็นความจริง

ความโง่งมและนัยน์ตามืดบอดของประชาชนอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประเทศนี้ไปไหนไม่ได้สักที

พวกเขาเลือกที่จะเชื่อในสิ่งที่รัฐบาลบอกเสมอ แต่พวกเขากลับไม่เคยยอมเชื่อความจริงที่ปรากฏตรงหน้า มีคนตายมากมายเพื่อแลกกับการตื่นรู้ของพวกเขาเหล่านี้ แต่มันก็สูญเปล่าเสมอ เพราะทางการสามารถใช้สื่อได้อย่างเก่งกาจ ผลิตซ้ำประชากรในแบบที่ตัวเองต้องการได้มากเพียงพอ และปล่อยให้ประชาชนผู้เชื่องชื่อเหล่านี้ฆ่ากลุ่มกบฏด้วยตัวเองเพื่อที่มือของพวกเขาจะได้ไม่เปื้อนเลือดมากนัก

และเมื่อมีการนองเลือดมากเกินไป ก็โยนความผิดให้กับพวกเบต้าที่แสนเชื่องพวกนั้นรับไปเสีย

“…มีอะไรรึเปล่า? กันต์”

ทวิชกลืนก้อนสะอื้นลงคอ ใช้หลังมือปาดน้ำตาตัวเองลวกๆ และหันไปมองกันต์ที่เปิดประตูเข้ามามองตัวเองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ลูกค้า”

กันต์พูดนิ่งๆ ไม่แสดงท่าทีอะไรกับสภาพที่เหมือนผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาของทวิช

“..อืม ขอบใจที่มาบอก”

ทวิชยิ้มและแตะไหล่ของกันต์เบาๆ เชิงขอบคุณตอนที่เดินสวนออกไป ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากได้ข่าวของกายแล้ว มันก็ทำให้เขาไม่พร้อมที่จะให้บริการหลับสบายกับใครเท่าไหร่ ลำพังแค่ความตายของเพื่อนเขามันก็หนักอึ้งพอแล้วจริงๆ

แต่ถึงแม้จะเจ็บปวดขนาดไหน ทวิชก็ยังคงสามารถแสดงออกได้ออกมาอย่างเป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“คุณ..?”

ทวิชเรียกคนที่น่าจะเป็นลูกค้าตัวเองด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล เพราะอีกฝ่ายกำลังนั่งฟุบอยู่กับโต๊ะ

“..คุณคือทวิชใช่ไหม”

น้ำเสียงหวานของหญิงสาวเรียกชื่อทวิชด้วยรอยยิ้มพราวเสน่ห์ด้วยความเคยชิน ซึ่งมันก็เล่นเอาทวิชเลิกคิ้วนิดๆ เพราะไม่บ่อยนักที่จะมีคนรู้ชื่อเขา ลำพังแค่จะมาร้านของเขาให้ถูกยังยากเลย ถ้าไม่ได้แผนที่แบบแน่นอนหรือมีคนพามา

“ครับ”

พอเห็นทวิชพยักหน้า หญิงสาวก็ยิ้มจนตาหยีและเผยร่างต้นอันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมา

“…เกรซ?”

ทวิชพึมพำด้วยความตกตะลึง  เพราะในระแวกนี้มีไม่กี่คนที่มีร่างต้นเป็นกระต่ายสีชมพูแบบนี้!

“ค่ะ”

เกรซพยักหน้าเบาๆ แล้วรีบกลับคืนร่างมนุษย์ ราวกับว่ารังเกียจร่างของต้นของตัวเองนักหนา

“คุณแน่ใจแล้วใช่ไหม?”

ถึงแม้ว่าทวิชจะตั้งใจว่าวันนี้จะไม่บริการให้ใครแต่ก็อดถามไม่ได้อยู่ดี เพราะเกรซนั้นเป็นกระต่ายสีชมพูที่มีชื่อเสียงในเขตย่านกามอารมณ์ที่คอยขายเรือนร่างและร่างกาย ซึ่งในที่แห่งนั้นมักจะมีการจัดอันดับและเกรซก็มักจะครองอันดับหนึ่งอยู่เสมอ
อาจจะเรียกได้ว่าเกรซตอนนี้นั้นมีทั้งเงินทอง ชื่อเสียง ถ้าหากต้องการอะไรที่ไม่ยากเกินไป พวกคนของที่แห่งนั้นก็คงจะหามาประเคนได้ง่ายๆ ในพริบตา เขายังจำได้ดีว่ามีอัลฟ่ามากมายที่อยากได้เกรซไปครอบครอง แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ไปสักที

“แน่ใจสิ” เกรซหัวเราะนิดๆ ก่อนที่จะมองทวิชด้วยแววตาคาดหวัง “ฉันจะตายจริงๆ ใช่ไหมคะ คุณทวิช”

“…”

ทวิชชะงักไปเมื่อได้ยินคำว่าตายชัดๆ แต่ก็พยักหน้ารับ

“ดีจัง”

เกรซยิ้มและถอดแหวนเพชรที่มีราคาเหยียบหลักล้าน ก่อนที่จะมอบให้กับทวิชโดยไม่ลังเล

“..ผมขอของที่มีค่ากับคุณจริงๆ เกรซ”

แน่นอนว่าทวิชพอจะมองว่าเพชรของเกรซนั้นเป็นของจริง แต่สิ่งที่เขาต้องการจากเหล่าผู้ใช้บริการนั้นไม่ใช่เงิน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะเก็บเงินทุกคนที่มาใช้บริการร้านเขาในราคาสูงๆ แล้ว

“แต่คุณรับไว้เถอะค่ะ อย่างน้อยๆ ถ้าคุณเอาไปขาย เงินพวกนี้อาจจะทำให้ร้านคุณอยู่ได้นานขึ้นก็ได้”

หญิงสาวประหลาดใจนิดๆ เพราะเคยได้ยินมาว่าธรรมเนียมของที่นี้คือมอบสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตตัวเองแทนการชำระค่าบริการหลับสบาย และแน่นอนว่าแหวนนี้คือสิ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดที่เธอเคยได้รับมา

ซึ่งมันก็ไม่ได้มีความหมายกับเธอเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับอีกอย่างที่เธอพกติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา และจนถึงตอนนี้เธอก็ยังคงพกมันอยู่

เกรซค่อยๆ ถอดสร้อยที่ห้อยของบางอย่างของตัวเองออกมาอย่างระมัดระวัง และยื่นมันให้กับทวิช แววตาแสดงความอาลัยอาวรณ์ต่อมันอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับแหวนมูลค่าหลักล้าน แต่ถ้าหากเทียบกับการได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่เธอต้องทนเจอทุกวันนั้น แน่นอนว่ามันเทียบไม่ได้เลยจริงๆ

“ผมถามได้ไหมว่ามันคืออะไร”

ทวิชลูบแผ่นเหล็กเล็กๆ ที่สลักเลขเอาไว้ด้วยความสงสัยนิดๆ เพราะลักษณะของพวกมันคล้ายกับพวกป้ายชื่อที่กลัดไว้บนหูของพวกสัตว์ เป็นเลขประจำตัวของสัตว์แต่ละตัวตั้งแต่เกิด

“คุณเคยได้ยินเรื่องมนุษย์ทดลองไหม”

“…”

ทวิชเผลอตัวสั่นตอนที่มองเกรซ และเห็นอีกฝ่ายมองกลับมาอย่างเจ็บปวด

มนุษย์ทดลองคือโครงการที่รัฐบาลพยายามจะจับมนุษย์ไปทดลองและตัดต่อพันธุกรรมเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ แน่นอนว่ามันเป็นโครงการลับและผิดหลักมนุษยธรรม รัฐบาลจึงพยายามปกปิดให้มากที่สุด แต่สุดท้ายข่าวก็รั่วไหลอยู่ดี จนทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นมา พวกมันจึงยอมล้มเลิกโครงการนี้ไปอย่างไม่จำยอมนัก แต่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่า พวกรัฐบาลสารเลวพวกนั้นเลิกทำจริงๆ หรือเปล่า

“ไม่แปลกใจบ้างเหรอว่าทำไม ฉันถึงเป็นสีชมพูได้ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีกระต่ายสายพันธุ์ไหนเคยเป็นสีชมพูมาก่อน”

เกรซยิ้มบางมองเหล็กแผ่นบางในมือทวิช

“ที่คุณถืออยู่คือป้ายประจำตัวฉันตอนเด็กๆ เวลาที่พวกเขามาตรวจ ถ้าใครไม่มีหรือทำหาย พวกนั้นก็จะลากคุณไปทำโทษ บางคนที่พิการหรือร่างกายอ่อนแออยู่แล้วก็ตายไปเลย เวลาที่พวกมันซ้อม”

นัยน์ตาสีแดงอย่างพวกกระต่ายนั้นมองทวิชด้วยความเจ็บปวด

“ฉันมันก็แค่เด็กโชคดีที่หนีออกมาจากนรกแห่งนั้นเองเท่านั้นเอง คุณ” หญิงสาวยิ้มออกมาทั้งน้ำตา “แต่ต่อให้หนีออกมาได้ ชีวิตของฉันมันก็ไม่ต่างจากตอนอยู่ในนั้นนรกนั่นอยู่ดี ฉันไปอยู่ที่ย่านบ้านั่น พวกมันก็จงใจให้งานฉันเยอะๆ ปล่อยให้พวกอัลฟ่าสารเลวพวกนั้นข่มขืนฉันเกือบทุกวัน”

“…”

จากที่ตั้งใจจะปฏิเสธให้อีกฝ่ายกลับมาในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้ทวิชกลับพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองจะไม่เจ็บปวดเวลาที่ได้ยินเรื่องราวจากเบต้าที่มาใช้บริการแล้ว แต่สุดท้ายเขาก็ยังคงเจ็บปวดอยู่ดี

ทำไมอัลฟ่าถึงได้ใจร้ายกับคนที่ไม่ใช่พวกของตัวเองนักนะ

“เชิญคุณนั่งก่อน เดี๋ยวผมจะทำอะไรให้คุณกินสักหน่อย”

“..ไม่ต้องก็ได้ คุณ ฉันเกรงใจ”

แน่นอนว่าเกรซรู้ถึงธรรมเนียมให้กินอาหารมื้อสุดท้ายของทวิชดี จึงรีบปฏิเสธเพราะไม่อยากให้ทวิชต้องมาเสียเวลากับตัวเอง ลำพังแค่มอบความตายที่ไม่ทุกข์ทรมานให้กับเธอก็ถือว่าเป็นความใจดีของทวิชมากเท่าไหร่แล้ว

“คุณนั่งเถอะ ผมเต็มใจ”

ทวิชยิ้มบางด้วยสีหน้ากึ่งบังคับ เกรซจึงยอมนั่งแต่โดยดี ซึ่งวันนี้ทวิชก็คงจะใช้เวลาเตรียมอาหารค่อนข้างนานกว่าปกติ ต่างจากวันทั่วไปที่มักจะตื่นมาทำตอนเช้าๆ เพื่อทำมันด้วยความพิถีพิถัน เพราะเขาอยากอาหารมื้อสุดท้ายของลูกค้าเขาเป็นมื้อที่ดีที่สุด
เขารู้ว่ามันอาจจะช่วยอะไรไม่ได้มาก เมื่อเทียบกับความขมขื่นทั้งชีวิตที่พวกเขาเจอ แต่เขาก็ยังอยากทำให้อยู่ดี

“คุณอ่านนี้รอไปก่อน”

ทวิชเดินไปหยิบหนังสือบนชั้นและยื่นมันให้กลับเกรซด้วยรอยยิ้มนิดๆ

“..มันคือ?”

เกรซรับไปดูด้วยความสนใจ เพราะหนังสือที่ทวิชยื่นให้นั้นเป็นสมุดภาพสีสันสดใสที่เล่าเรื่องการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันระหว่างอัลฟ่า โอเมก้า และเบต้าอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครมีอำนาจมากกว่าใคร ทุกคนเป็นคนเท่ากัน อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติ
   
“โลกหลังความตายของผม”
   
ทวิชหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้างุนงงของหญิงสาว
   
“ผมไม่เชื่อศาสนาของพวกอัลฟ่า ผมเลยลองเขียนโลกหลังความตายที่ตัวเองอยากไปดูเล่นๆ คุณจะลองวาดอะไรเพิ่มก็ได้นะ ผมไม่ว่า เพราะรูปอื่นๆ ในนั้นก็มีฝีมือลูกค้าคนอื่นๆ เหมือนกัน”
   
ไม่บ่อยนักที่ทวิชจะหยิบหนังสือเล่มนี้มาให้ลูกค้าอ่าน นอกเสียว่าจะถูกชะตากับลูกค้าคนนั้นจริงๆ เพราะเนื้อหาหลายอย่างในเล่มนั้นประกอบด้วยสิ่งที่ทางการห้ามไว้เต็มไปหมด แถมยังเป็นแค่ฝันเฟื่องโง่ๆ ของเขาเสียด้วย
   
เพราะความเท่าเทียมในประเทศนี้นั้นไม่มีอยู่จริง และถ้าหากจะมีคนที่เท่าเทียมกันก็จะมีแค่ชนชั้นเบต้าเท่านั้น ส่วนอัลฟ่านั้นจะอยู่บนยอดพีระมิดเสมอ ไม่มีวันที่เบต้าธรรมดาทั่วไปที่ไหนจะเทียบชั้นได้ ไม่มีสิทธิ์ที่แม้แต่จะคิดหรือเปล่งเสียงออกมาด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือยอมศิโรราบอยู่แทบเท้าอัลฟ่าเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
   
แน่นอนว่านอกจากจะเรื่องความเท่าเทียมแล้ว ทวิชยังวาด ‘นก’ หรือสัญลักษณ์ต้องห้ามที่ทางการห้ามพูดถึงอย่างเด็ดขาดไว้เต็มสมุดไปหมด
   
“นี่คือโอเมก้าเหรอคะ”
   
เกรซลูบรูปโอเมก้าคนหนึ่งในร่างต้นที่ถูกทวิชวาดขึ้นมาด้วยความเผลอไผล
   
เธอไม่เคยเห็นนกมาก่อน เพราะเธอเกิดหลังจากช่วงกวาดล้างโอเมก้า ที่ทางการออกกฎหมายและสนับสนุนการฆ่านกทุกตัวที่อยู่ในประเทศ โดยไม่สนใจว่าเป็นโอเมก้าหรือนกจริงๆ ตามธรรมชาติ
   
พวกเขาเลือกที่จะฆ่ามัน ‘ทั้งหมด’ จนระบบนิเวศในประเทศนี้แปรปรวน แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาฆ่าจนในประเทศนี้ไม่เหลือนกตามธรรมชาติ แม้แต่นกอพยพที่บินเหนือประเทศพวกมันก็ไม่ละเว้น ทำให้ถูกประเทศรอบข้างประฌามถึงความเห็นแก่ตัวและไร้ความมนุษยธรรมนี้
   
แน่นอนว่าด้วยทิฐิแล้ว เหล่าอัลฟ่าไม่สนใจข้อครหาพวกนั้น และใช้สื่อในประเทศหลอกลวงประชาชนของตัวเองว่าการฆ่านี้คือความถูกต้อง ทั้งๆ ที่การฆ่ากันนั้นไม่สมควรได้รับความชอบธรรม ไม่ว่าจะในกรณีไหนก็ตาม โดยเฉพาะคนที่ถูกฆ่านั้นเป็นเพียงโอเมก้าหรือนักศึกษาหัวสมัยใหม่ที่ไร้ซึ่งอาวุธ แต่ต้องกลับกลายเป็นเป้ากระสุนปืนและตายอย่างทุกข์ทรมาน
   
“ครับ พวกเขาคือโอเมก้า”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นราวกับเด็กๆ ของเกรซ ก่อนที่เธอจะตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือที่เขาเขียนขึ้นมาอย่างตั้งใจ พอเห็นว่าวางใจให้อยู่คนเดียวได้แล้ว ทวิชก็เดินกลับเข้าครัว พยายามคิดเมนูง่ายๆ ที่ใช้เวลาทำไม่นานนัก
   
“..อยากกินเหรอ”
   
ทวิชถามกันต์ที่มายืนมองเขาทำอาหารอย่างตั้งใจ แววตาที่เคยดูเลื่อนลอยไร้จุดมุ่งหมาย หลายวันมานี้ดูมีสีสันขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“…”
   
ยิ่งเห็นกันต์พยักหน้าน้อยๆ ทวิชก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดู
   
“ยังไงฉันก็ทำเผื่อเป็นมื้อเที่ยงของเราอยู่แล้วน่า นายไปนั่งเล่นเถอะ ไม่ต้องมายืนร้อนในนี้หรอก”
   
ทวิชพูดไปพร้อมกับผัดข้าวในกระทะอย่างคล่องแคล่ว
   
“…”
   
แต่ถึงพูดอย่างนั้นกันต์ก็ยังคงยืนดูเขาทำอาหารเงียบๆ ไม่ยอมออกไป ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร และทำอาหารต่ออย่างตั้งใจ เพราะมันเป็นไม่กี่สิ่งในตอนนี้ที่ทำให้เขามีความสุข ที่ทำให้เขาลืมความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ตัวเองกำลังแบกรับไว้อยู่
   
เขารู้ว่าเขาสามารถลอยตัวเหนือเรื่องพวกนี้ได้ อย่างไรก็ตามครึ่งหนึ่งของเขาก็เป็นอัลฟ่า แถมยังมีเงินอีกจำนวนหนึ่งที่พ่อกับแม่ทิ้งไว้ให้ด้วย เขาสามารถชีวิตต่อจากนี้ได้อย่างสุขสบายถ้าหากว่าเขาต้องการ
   
ทั้งๆ ที่เขาก็อยากจะมีความสุข ใช้ชีวิตโง่ๆ ไปวันๆ แต่เขากลับทำใจทำแบบนั้นไม่ได้ ในเมื่อทุกครั้งที่เขาทำอาหารเขาก็มักจะนึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่แม่ลูบหัวเขาเบาๆ ค่อยๆ สอนเขาทำอาหารอย่างตั้งใจ และอีกมุมหนึ่งของห้องก็จะมีพ่อของเขาที่ก่นด่าอัลฟ่าแทบจะตลอดเวลา บางครั้งพ่อของเขาก็หงุดหงิดมากจนเผลอกระพือปีกแรงๆ ทำเอาขนนกของพ่อฟุ้งไปทั่วห้อง ให้แม่ของเขาเอ็ดเล่นๆ
   
เอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็แทบจะจำใบหน้าของพ่อกับแม่ไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ มีเพียงอาหารรสมือของเขาเองที่ยังเหมือนเดิม เหมือนรสชาติที่แม่ทำให้เขากินก่อนที่จะออกไปทำงานเป็นพยาบาล คอยรักษาให้คำปลอบประโลมต่อผู้ป่วยที่แบกความเจ็บปวดทุกข์ตรมของความยากจนมาให้แม่เขาดูแล
   
บางครั้งเขาก็สงสัยนักว่าการสิ่งที่พ่อกับแม่เขาผิดมากถึงต้องฆ่ากันเลยเหรอ? กับแค่แนวคิดที่ทำให้คนทุกคนเท่ากัน ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นลง ให้ทุกคนได้รับในสิ่งทุกคนสมควรได้รับ มันเป็นอาชญากรรมต่อประเทศขนาดนั้นเลยเหรอ
   
เขากับพ่อแม่ก็เป็นแค่ครอบครัวธรรมดาเท่านั้นเอง
   
พ่อของเขาไม่เคยทำอะไรผิดกฎหมาย เป็นแรงงานในโรงงานอุตสาหกรรมใหญ่ที่ตั้งใจทำงานทุกวัน ก่อนที่อยู่ๆ จะตกงานแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และไร้ค่าชดเชย ไม่สามารถร้องเรียนกับใครได้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือเก็บงำความเจ็บปวดและหางานใหม่ ดีหน่อยที่ว่างานพยาบาลของแม่เขาค่อนข้างมั่นคง ถึงแม้ว่าภาครัฐจะจ่ายล่าช้าไปบ้างก็ตาม แต่มันก็ทำให้พวกเขาพออยู่ได้อย่างแร้นแค้น ไม่อดตาย
   
เขาไม่รู้และไม่แน่ใจว่าทำไมอยู่ๆ พ่อถึงได้ไปเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะการปฏิวัติได้ ตอนนั้นเขาก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจสถานการณ์ด้วย รู้ตัวอีกทีก็ถูกนำตัวไปฝากฝังกับเพื่อนพ่อแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ถูกขังไว้ในรั้วตระกูลพยัคฆโภคสกุลและไม่ได้ออกมาอีกเลย จนกว่าอายุจะบรรลุนิติภาวะ
   
สำหรับเขาทุกอย่างหลังจากที่พ่อแม่จากไป มันก็เหมือนกับฝันร้าย
   
เขาถูกซ่อนตัวเอาไว้ในห้องโดยไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อแม่ตายตอนไหน และตายยังไง กว่าลุงสิงห์จะยอมบอกว่าพ่อแม่เขาตาย มันก็ผ่านไปหลายปีแล้ว
   
โลกของเขาล่มสลายครั้งแล้วครั้งเล่า จนบางวันเขาก็อยากจะเป็นลูกค้าของตัวเองซะเอง เพื่อที่จะได้จบความทุกข์ทรมานนี้ลงสักที
   
ทวิชยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นฝีมือข้าวผัดของตัวเองที่จัดเรียงบนจานอย่างสวยงาม เขาโรยผักตกแต่งจานนิดหน่อยก่อนจะเดินถือออกไปเสิร์ฟให้กับลูกค้าคนสำคัญที่ตอนนี้กำลังตั้งหน้าตั้งตาวาดรูปกระต่ายในสมุดของเขาด้วย
   
“..นี่ครับ”
   
ทวิชวางจานลงตรงหน้าหญิงสาวอย่างเบามือ ก่อนที่จะเดินไปหยิบช้อนส้อมและน้ำมาให้
   
“ขอบคุณนะคะ” เกรซยิ้มออกมาและคืนสมุดให้กับทวิช ดูผ่อนคลายและมีความสุขต่างจากตอนที่เข้าร้านมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“ครับ” ทวิชยิ้มรับ เปิดดูรูปของเกรซที่ถูกวาดไว้รวมกับของลูกค้าคนอื่นๆ ซึ่งมันก็เป็นกระต่ายสีขาวธรรมดาที่ดูมีความสุขเอามากๆ ในโลกหลังความตายของเขา
   
หลังจากกินไปสักพักเกรซก็ตัดสินใจพูดขึ้นมา “จริงๆ แล้วมันคือแนวคิดของพวกโอเมก้าใช่ไหมคะ”
   
แน่นอนว่าถึงแม้ว่ารัฐบาลจะพยายามปกปิด บิดเบือน ลบข้อมูลพวกนี้ขนาดไหน แต่ข้อมูลบางอย่างก็ยังถูกส่งต่อกันเรื่อยๆ ด้วยการเล่าต่อกันปากต่อปากอยู่ดี 
   
“ครับ”
   
ทวิชยอมรับง่ายๆ ทั้งๆ ที่การยอมรับสิ่งเหล่านี้คือความเสี่ยงที่จะถูกจับกุมได้ สำหรับประเทศนี้ความเท่าเทียมถือว่าเป็นอันตรายนัก อันตรายเสียยิ่งกว่าอาชญากรโรคจิตที่ไล่ฆ่าคนอีก
   
“..ถ้ามันเป็นแบบนั้นได้จริงก็คงจะดี”
   
เกรซหัวเราะเบาๆ แต่นัยน์ตากลับคลอไปด้วยน้ำตา

“ขอบคุณนะคะ คุณทวิชที่เปิดร้านนี้ขึ้นมา”
   
หญิงสาวสบตากับทวิช
   
“อาหารของคุณอร่อยมาก อร่อยกว่าที่ฉันเคยไปกินพวกนั้นอีก ฉันมั่นใจว่าถ้าคุณเปิดร้านอาหารในย่านที่พวกอัลฟ่าอยู่ คุณคงจะเป็นร้านดังไปแล้วแน่ๆ ”
   
“ขอบคุณครับ”
   
ทวิชยิ้มรับคำชม มองเกรซด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ในไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า คนๆ นี้ก็จะเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณเช่นเดียวกับเพื่อนของเขาในวันนี้
   
“ฉันพร้อมแล้วค่ะ” เกรซยิ้มให้ทวิช แม้ว่ากำลังจะพูดถึงความตายของตัวเองอยู่ก็ตาม


   

ห้องที่ใช้สำหรับให้บริการหลับสบายนั้นอยู่ชั้นสองของตึก มันเป็นห้องขนาดไม่ใหญ่นัก เพราะทวิชกั้นอีกครึ่งหนึ่งของห้องให้ไว้ใช้เป็นห้องสำหรับเก็บข้าวของต่างๆ ที่จำเป็นรวมถึงส่วนผสมของยาที่ใช้ฉีดด้วย ซึ่งทวิชก็ปล่อยให้เกรซขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้นวม ปล่อยให้หญิงสาวเพลิดเพลินกับมองแสงไฟในห้องที่เขาจงใจจัดขึ้นมาให้มันดูคล้ายแสงดาวบนผืนผ้าคลุมสีดำที่คลุมรอบห้อง
   
ทวิชใช้เวลาเตรียมยาที่ใช้ฉีดอยู่สักพัก แน่นอนว่าสูตรยาเหล่านี้นั้นไม่ใช่สูตรยาที่มีทั่วไปเหมือนตามที่โรงพยาบาลรัฐใช้กัน แต่เป็นสูตรที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยโอเมก้าสมัยช่วงปฏิวัติที่ใช้สำหรับการฆ่าตัวตายตอนที่ถูกพวกอัลฟ่าจับไป เพื่อที่ตอนตายพวกเขาจะได้ไม่รู้สึกทรมานจนเกินไป
   
ซึ่งสูตรยานี้ทวิชก็ได้มาจากหนังสือของพวกโอเมก้าที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้เขาในห้องที่ใช้กักขังเขาไว้
   
“..ขอบคุณจริงๆ นะคะ”
   
เกรซพูดขึ้นมาตอนที่ทวิชใช้นิ้วลูบเส้นเลือดตรงข้อมือ
   
“ครับ” ทวิชยิ้มรับ “ก่อนที่จะคืนร่างต้น คุณมีอะไรอยากจะพูดกับผมอีกไหม”
   
เพื่อความสะดวกในการขนย้ายร่าง ทวิชจะให้ลูกค้าอยู่ในร่างที่ทำให้ตัวเองขนง่ายที่สุด เพราะลำพังแค่เขาคนเดียวคงจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะขนร่างพวกเบต้าสัตว์ใหญ่ๆ ได้ไหว
   
“ค่ะ ฉันอยากจะบอกความลับของพวกอัลฟ่าให้คุณฟังอย่างหนึ่ง”
   
เกรซที่คืนร่างต้นไปครึ่งหนึ่งแล้ว กระดิกหูกระต่ายบนหัวนิดๆ นัยน์ตาคู่สวยมองทวิชและยิ้มบาง
   
“พวกมันกินเนื้อเบต้า”
   
“…”
   
ลมหายใจของทวิชสะดุดไปจังหวะหนึ่ง ชั่วพริบตาเขาได้คำตอบทันทีว่าทำไมเจ้าหน้าที่คนนั้นถึงได้สนใจศพของกวินทร์นัก ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่เคยสนใจอะไรเลยนอกจากนั่งเฉยๆ และทำงานไปวันๆ
   
“..ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากฝากคุณให้เตือนเบต้าคนอื่นๆ ด้วย พวกนั้นเริ่มล่ากันแล้ว”
   
หนึ่งในเหตุผลที่เกรซทนมีชีวิตต่อไปไม่ได้ คือการเห็นเพื่อนของเธอบางคนหายไปอย่างลึกลับพร้อมกับอัลฟ่าสัตว์กินเนื้อสักตัว ซึ่งมันก็ไม่ใช่ครั้งเดียวจนเธอเริ่มทนต่อไปไม่ไหว หวาดกลัวว่าศพต่อไปจะเป็นเธอเข้าซะเอง
   
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีอัลฟ่าแค่กลุ่มเดียวที่นิยมกิน แต่ใครจะไปรู้ว่าสักวันหนึ่งถ้าหากมันเป็นที่นิยมของอัลฟ่าไปเสียหมด และออกกฎหมายให้ล่าเบต้าได้อย่างถูกกฎหมาย พวกเธอจะทำอะไรได้กัน ในเมื่อชั้นศาลและความยุติธรรมทั้งหมดของประเทศนี้นั้นตกอยู่ในมืออัลฟ่าอย่างเบ็ดเสร็จตั้งนานแล้ว
   
เธอไม่สามารถร้องเรียนใครได้ และได้แต่ยอมรับว่าความยุติธรรมของประเทศนี้นั้นมีให้แต่อัลฟ่าเท่านั้น
   
“ผมจะพยายาม”
   
ทวิชรับคำถึงแม้จะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองจะสามารถทำได้ตามที่พูดจริงๆ เพราะบางอย่างต่อให้รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่เขาหรือคนอื่นๆ ก็ไม่มีความสามารถหรือมีอำนาจมากพอที่จะหยุดยั้งมันอยู่ดี
   
“..แล้วอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกคุณคือฉันอยากเห็นพวกโอเมก้า”
   
เกรซหัวเราะเบาๆ จดจ้องนกที่ถูกปักไว้บนผ้าคลุมของทวิช รู้สึกหลงใหลในปีกคู่นั้น ปีกที่เหล่าเบต้าเล่าลือกันว่ามันหมายถึงอิสรภาพ
   
“…ฉันเชื่อนะว่าพวกเขายังอยู่ อยู่ที่ไหนสักที่เพื่อซุกซ่อนตัวจากประเทศห่วยๆ นี่”
   
“…”
   
ทวิชมองหน้าเกรซ ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่ปล่อยให้ปีกคู่ใหญ่งอกออกจากหลังตัวเอง เหยียดยาวสุดความยาวรอบหนึ่งเพื่อคลายความเมื่อยขบ ก่อนที่พับเก็บเรียบร้อย
   
“..คุณ คุณเป็นโอเมก้า” เกรซเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเธอตื่นเต้นกับปีกของทวิชมากกว่า มองปีกสีดำมันขลับด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย
   
“คุณจะลองจับมันก็ได้นะ”
   
ทวิชพูดอย่างใจดีและกางปีกไปให้เกรซจับ แน่นอนว่าเกรซไม่ปฏิเสธจับมันอย่างตื่นเต้น
   
“ให้ตายสิ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะยังมีโอเมก้าอย่างคุณซ่อนตัวท่ามกลางฝูงอัลฟ่าแบบนี้”
   
“ผมก็แปลกใจเหมือนกันที่ตัวเองรอดมาได้นานขนาดนี้”
   
ทวิชหัวเราะเบาๆ
   
“คุณเคยบินรึเปล่า ทวิช รู้ไหมว่าฉันน่ะอยากบินมากเลยนะ ฉันว่ามันต้องเป็นความรู้สึกที่ดีมากแน่ๆ เลย ตอนที่ได้อยู่บนท้องฟ้าแล้วมองลงมา”
   
“..เคย แต่เป็นตอนที่ผมยังเด็กมากๆ ”
   
ทวิชหุบยิ้มแทบจะทันที เพราะมันผ่านมานานมาก จนตอนนี้เขาก็แทบจะจำวิธีบินไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ เอาเข้าจริงเขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยว่าปีกของตัวเองนั้นมันสามารถใช้บินได้
   
“ขอบคุณนะคะ คุณทวิช”
   
เกรซกุมมือมือทวิชและยิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคืนสู่ร่างต้น ซึ่งเป็นกระต่ายตัวเล็กขนาดพอๆ กับกวินทร์ นัยน์ตาสีมันขลับจดจ้องทวิชนิ่งก่อนที่มันจะหลับตาลง

และเฝ้ารอความตายอันเป็นชั่วนิรันดร์ด้วยความสงบ   

-----
 :z13:


   
   


   
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 5 : นองเลือด 3 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 03-11-2019 17:25:47
เศร้ามาก T-T
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 5 : นองเลือด 3 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 03-11-2019 22:30:10
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 5 : นองเลือด 3 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 03-11-2019 23:11:20
เห้ออออ อึดอัดแทนเลย
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 6 : NEW TOMORROW 6 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 06-11-2019 20:31:15
ตอนที่ 06

   

250 – Grace
   
เบต้า : สายพันธุ์กระต่าย { โครงการมนุษย์ทดลอง }
   
ทรัพย์สิน : แหวน
   
สาเหตุ : ถูกข่มขืน , ถูกล่า

   

“ทำอะไร?”
   
กันต์ที่รับหน้าที่เป็นคนคอยจับบันไดให้ ถามทวิชเพราะเพิ่งรู้ว่าห้องที่อยู่ชั้นสี่นั้นเป็นห้องสำหรับเก็บของ และมีข้าวของวางกองเรียงรายเต็มไปหมด แต่มันก็ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบและมีหมายเลขกำกับไว้บนกล่องพวกนั้นทุกกล่อง
   
“เก็บของลูกค้า” ทวิชตอบพร้อมกับวางแหวนที่เก็บใส่ซองพลาสติกในกล่องด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ “เผื่อว่าสักวันหนึ่งของพวกนี้ได้ไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์สักที่”   
   
ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะคิดว่าทวิชจะนำทรัพย์สินมีค่าไปขายเผื่อทำทุน ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วทวิชนั้นไม่เคยขายของพวกนั้นแม้แต่ชิ้นเดียว เขาเก็บรักษาพวกมันเป็นอย่างดีพร้อมกับเขียนประวัติต่างๆ โดยย่อแนบเอาไว้ เพื่อที่จะใช้เป็นสิ่งเตือนใจให้กับคนรุ่นหลังที่ได้มาเห็นของพวกนี้ ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าเคยมีผู้คนสิ้นหวังกับการใช้ชีวิตในระบอบนี้มากมายขนาดไหน
   
เขารู้ดีว่ามันอาจจะเป็นการกระทำที่เหนื่อยเปล่า แต่เขาก็ทนเห็นลูกค้าของเขาตายไปเฉยๆ ไม่ได้อยู่ดี เพราะถ้าหากไม่ทำอะไรเลย คนพวกนี้ก็จะตายฟรีเหมือนที่พ่อแม่ของเขา ไม่มีหลักฐานอะไรหลงเหลืออยู่ นอกจากความทรงจำอันเลือนรางกับความเจ็บปวด
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ออกความเห็นอะไร
   
“เกรซเป็นคนที่สองร้อยห้าสิบ ซึ่งมันก็หมายความว่าฉันฆ่าคนมาตั้งสองร้อยห้าสิบคนแล้ว กันต์” ทวิชหัวเราะเบาๆ ในลำคอ ทั้งๆ ที่จุกเสียกในอกจนแทบหายใจไม่ออก
   
หากเขาเปิดร้านต่อไปเรื่อยๆ เขาคงจะฆ่าคนเป็นพันไปแล้วแน่ๆ แต่ก่อนจะถึงตัวเลขนั้น พวกอัลฟ่าคงจะลงมาจัดการเขาก่อน เพราะการมีอยู่ของเขาทำให้แรงงานบางส่วนในระบบหายไป ซึ่งนั้นก็หมายความว่าคนที่จะเสียภาษีมีลดลง
   
“หรือจริงๆ ฉันควรจะเลิกทำร้านนี้สักที”
   
ทวิชลูบหน้าตัวเอง รู้สึกเจ็บปวดที่ตัวเองเป็นคนมอบความตายให้กับบุคคลเหล่านี้ ถึงพวกเขาจะขอบคุณเขา สรรเสริญเขา แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาสักนิด
   
เขาฆ่าคน
   
ฆ่าคนที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าหากเขาไม่ทำ พวกเขาก็ต้องทนตรากตรำใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากบนความเจ็บปวดที่ต้องถูกพวกอัลฟ่าเหยียบไว้ใต้เท้าทุกวัน
   
พวกเขาทำอะไรผิด ผิดเพราะเกิดในประเทศนี้เหรอ หรือว่าผิดที่เกิดมาในชนชั้นเบต้า ไม่ใช่ชนชั้นอัลฟ่าที่มีสิทธิ์เสวยสุขบนความทุกข์ตรมของเบต้าและความตายของโอเมก้า
   
อย่าว่าแต่ลูกค้าเขาเลย แม้แต่ตัวเองเขาก็ทนอยู่แทบไม่ไหวเหมือนกัน ประเทศที่แสนห่วยแตกพรรค์นี้ ถ้าหากเขามีโอกาสหนีออกไปได้ เขาก็อยากหนีออกไปเหมือนกัน เขาไม่อยากทนอยู่หรอก แต่เขาหนีไม่ได้ไง เขาไม่ใช่พวกอัลฟ่าจริงๆ แล้วการออกจากประเทศก็ต้องใช้การตรวจสอบเยอะด้วย
   
ถึงเวลานั้นเขาคงจะถูกจับได้ และยิงให้ตายตรงนั้นแน่ๆ
   
“…”
   
กันต์ก็ยังคงไม่ออกความเห็นอะไรอยู่ดี พอทวิชลงจากบันไดก็ยื่นน้ำเปล่าที่หยิบติดมือมาให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
   
“ขอบใจนะ” ทวิชหัวเราะเบาๆ รับน้ำมาดื่มสองสามอึกและส่งคืนให้กันต์ “ฉันก็บ่นไปอย่างนั้นแหละ ไม่ต้องสนใจหรอก ตราบใดที่ฉันยังไม่ถูกพวกนั้นยิงตาย ฉันก็จะทำร้านนี้ต่อไปอยู๋ดี”
   
ทวิชไหวไหล่แล้วเดินลงมาชั้นหนึ่งเพื่อที่จะเตรียมอาหารเย็นให้ทั้งกันต์และตัวเองกิน แต่น่าเสียดายที่แผนนี้ก็จะต้องถูกล้มเลิกไป เพราะบริเวณบันไดนั้นได้มีคนๆ หนึ่งมายืนขวางเอาไว้
   
“พวกนั้นเริ่มกันแล้ว”
   
พอสยิ้มบางให้กับทวิชในมือถือใบปลิวที่ถูกเขียนว่า ‘NEW TOMORROW’ พร้อมกับวาดรูปปีกสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงอิสรภาพไว้อย่างชัดเจน
   
“กลุ่มเดิมเหรอ”
   
ทวิชเดินเข้าไปหยิบใบปลิวมาอ่าน และพบว่าตรงมุมล่างก็เขียนกำกับไว้ถึงวันเวลาสถานที่เหมือนตอนที่นัดกันไปเผารูปปั้นสิงโตของพวกอัลฟ่า
   
“ใช่ กลุ่มเดิม แต่ฉันไม่รู้ว่าพวกนั้นมีมากแค่ไหน รู้แค่ว่าไอ้ใบปลิวบ้านี้คือปลิวว่อนไปทั้งเมืองแล้ว”
   
พอสพูดไปหัวเราะไป แน่นอนว่าของพวกนี้ย่อมเป็นของต้องห้ามของประเทศอยู่แล้ว ใครที่ทำหรือเก็บของพวกนี้ล้วนแล้วแต่มีความผิดกันทั้งนั้น แต่ตำรวจจะเอาเวลาที่ไหนมาตรวจคนได้ทุกคนกัน
   
“รอบนี้พวกนั้นจะทำอะไร”
   
“ทำลายสถานที่สำคัญของพวกอัลฟ่ามั้ง นายก็น่าจะรู้ดีว่าใช้วิธีปกติกับพวกอัลฟ่าไม่ได้”
   
บทเรียนชั้นดีสำหรับกลุ่มปฏิวัติคือการตายของโอเมก้าครั้งก่อน ที่ถูกปิดล้อมและกราดยิงเข้าใส่อย่างเลือดเย็น ทั้งๆ ที่พวกเขามาชุมนุมอย่างสันติ ไร้ซึ่งอาวุธ มีเพียงลำโพงกับอุดมการณ์อันแรงกล้าที่อันตรายมากพอที่จะทำให้ระบบชนชั้นที่เหล่าอัลฟ่าหวงแหนนักหนาสั่นคลอน
   
แน่นอนว่าการตายของโอเมก้าเหล่านี้ ไม่มีใครสามารถเรียกร้องความชอบธรรมให้กับพวกเขาได้ พวกเขาต้องตายฟรีโดยที่ไม่สามารถเอาผิดใครได้แม้แต่คนเดียว หนำซ้ำพวกเบต้า อัลฟ่าที่เป็นคนลงมือฆ่ายังได้รับการยกย่องเชิดชูราวกับวีรบุรุษอีกด้วย
   
ประเทศนี้นั้นเต็มไปด้วยเรื่องตลกร้าย เกิดการฆ่าล้างกลางเมือง ณ เวลากลางวันแสกๆ โดยที่มีคนถืออาวุธเพียงฝ่ายเดียว แต่ฝ่ายที่ผิดกลับเป็นโอเมก้าที่ไร้ซึ่งอาวุธ และถูกกล่าวหาว่าเป็นทั้ง ‘กบฏ’ และ ‘ปีศาจ’
   
และคนที่จะรับบทบาทตัวร้ายนี้อีกครั้งก็คงจะเป็นกลุ่ม ‘NEW TOMORROW’
   
กลุ่มคนที่เชื่อว่าเช้าในวันพรุ่งนี้จะดีกว่าวันนี้ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ ถ้าหากทุกคนเข้าร่วมและเชื่อมั่นในอุดมการณ์เดียวกับพวกเขา
   
“โอกาสมาถึงแล้ว ทวิช” พอสลูบเบ้าตาที่ไร้ซึ่งของนัยน์ตาด้วยรอยยิ้มบาง “ฉันจะเข้าร่วมกับกลุ่มนี้ ฉันไม่สนหรอกนะว่าตัวเองจะตายไหม ฉันทนมามากเกินพอแล้วจริงๆ ”
   
ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวของพอสฉายแววความมุ่งมั่นออกมา
   
“ฉันจะไม่ปล่อยให้กายตายฟรีแน่นอน กับแค่รูปขู่พรรค์นั้น คิดว่าคนกลัวนักเหรอวะ”
   
แน่นอนว่าการลงข่าวภาพชัดแบบสีสี่เช่นนั้นของรัฐบาลนั้นมีวัตถุประสงค์ชัดเจนว่าต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ตักเตือนไปยังผู้คนที่มีความคิดที่จะกล้าก่อกบฏ ตอกลึกไปในความรู้สึกพวกเขาให้รับรู้ว่าต้องเจอกับอะไร ถ้าหากกล้าที่จะทำแบบเดียวกับกาย
   
แต่ก็น่าเสียดายที่ทางการนั้นประเมินความโกรธของผู้คนต่ำเกินไป ถึงแม้กลุ่มคนที่มีความคิดเป็นกบฏอย่างชัดเจนนั้นจะมีไม่มากนักในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากลัวเลยสักนิด เพราะลำพังแค่ทุกวันนี้ที่ใช้ชีวิตอยู่ มันก็ทุกข์ทรมานเกินพอแล้ว
   
พวกเขาต้องทนใช้สาธารณูปโภคห่วยๆ โรงเรียนไร้ประสิทธิภาพ นโยบายทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้สร้างโอกาสให้ประชาชนแต่เอื้อแต่นายทุนด้วยกันเอง หรืออะไรก็ตามที่พวกเขาสมควรได้รับแต่ก็ไม่ได้รับ เพราะการคอร์รัปชั่นอย่างหนักของเบื้องบนที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้
   
พวกเขาสะสมความโกรธมามากพอแล้ว และกำลังเป็นระเบิดเวลาที่รอระเบิดในสักวัน ตอนนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสอันดีที่พวกเขาจะแสดงความโกรธออกมา ซึ่งมันก็แลกมาด้วยความเสี่ยงที่จะโดนฆ่าได้ตลอดเวลา
   
สิ่งที่ตลกร้ายกว่านั้นคือถึงแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะตายอยู่ดี
   
“นายจะเอาด้วยไหม ทวิช พรุ่งนี้ฉันจะไปตามที่พวกนั้นนัด”
   
“ฉันว่ามันเสี่ยงไป”
   
ทวิชตอบอย่างตรงไปตรงมา และมองตำแหน่งพิกัดเวลาที่ระบุไว้อย่างชัดเจนในใบปลิว
   
“แล้วอีกอย่าง ฉันว่าพวกนี้สื่อสารกันตรงเกินไป มันดูแปลกๆ ฉันว่านายอย่าเพิ่งไปเลยดีกว่า รอให้พวกนั้นสื่อสารแบบที่แค่พวกเรารู้ก็พอ ขืนนายไปตอนนี้ได้ไปตายฟรีๆ แน่นอน”
   
แน่นอนว่าถ้าหากทางการรู้เรื่องนี้แล้วย่อมไม่ปล่อยผ่านแน่ พรุ่งนี้พวกเขาคงจะเตรียมทหารตำรวจไว้เป็นร้อยๆ คนมารอต้อนรับพวกเขาแน่
   
“ก็จริง”
   
พอสพยักหน้ารับ เพราะตอนมาที่นี่คือรีบมามาก ไม่ได้คิดอะไรนอกจากจะชวนทวิชไปเข้าร่วมกลุ่มนี้ด้วย เพราะลำพังแค่กลุ่มที่พวกเขาอยู่กันสี่ห้าคนไม่ได้มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้สักนิด แถมแต่ละคนก็สิ้นหวังกับชีวิตตัวเองไปแล้วด้วย เหลือแค่รอวันหมดหวังและมาขอเป็นลูกค้าทวิชก็เท่านั้น
   
“งั้นลองไปซื้อข่าวจากแถวนี้ไหม ฉันว่ามันน่าจะมีคนพอรู้เรื่องนี้อยู่”
   
“แล้วนายจะแน่ใจได้ยังไงว่ามันขายข่าวจริงให้เรา”
   
พอสขมวดคิ้วมุ่น จากประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เขาเคยซื้อข่าวคือโดนข่าวปลอม ไม่มีอะไรจริงเลยสักนิด นอกจากเงินที่เขาเสียไปฟรีๆ
   
“ของแบบนี้มันก็ต้องเสี่ยงหน่อยไหมล่ะ” ทวิชหัวเราะในลำคอก่อนที่จะถามด้วยสีหน้าหมองลง “แล้วนายเผาห้องกายไปรึยัง”
   
“เผาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” พอสยิ้มเศร้าๆ “ฉันรู้ยังไงมันก็ไม่มีทางรอดหรอก”
   
“..แล้วนี่กินอะไรมารึยัง”
   
สุดท้ายทวิชก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องคุย เพราะเริ่มรู้สึกเหมือนจะร้องไห้อีกรอบ
   
“ยัง”
   
“งั้นกินเสร็จ ดึกๆ เราก็ออกไปหาข่าวแล้วกัน ฉันพอจะมีคนที่ไว้ใจอยู่” ทวิชแตะไหล่พอสเบาๆ เชิงปลอบ ก่อนที่จะหันไปมองกันต์ที่ยังคงยืนอยู่ตรงบันได และจ้องเขาไม่วางตา “ส่วนนายก็.. ตามสบายแล้วกัน ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวฉันเรียก”
   
“เกรซ?”
   
กันต์ถามเสียงเรียบ ซึ่งมันก็ทำให้ทวิชนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังไม่ได้จัดการร่างของเกรซเลย แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเพราะเขาได้เก็บร่างของเกรซในตู้แช่สำหรับเก็บรักษาร่างโดยเฉพาะแล้ว
   
“คงต้องพรุ่งนี้ล่ะมั้ง”
   
“เดี๋ยวทำให้”
   
“ทำให้?”
   
ทวิชทวนคำงงๆ
   
“เดี๋ยวจัดการให้” กันต์พูดยาวกว่าเดิม “คุณทำอาหารเถอะ”
   
“แน่ใจนะ” ทวิชขมวดคิ้วแต่ก็ยื่นกุญแจรถให้แบบง่ายๆ “ระวังตัวหน่อยแล้วกัน มีกระต่ายไม่กี่ตัวบนโลกหรอกที่มีสีชมพูแบบนี้”
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าเชิงรับรู้แล้วเดินไปทันที ไม่พูดอะไรต่ออีก
   
“เหมือนนายจะโชคดีได้เด็กดีมาอยู่ด้วยนะ”
   
พอสหัวเราะเบาๆ อดแซวทวิชไม่ได้ เอาเข้าจริงแล้วตอนเขาเห็นกันต์ครั้งแรก เขาก็ไม่ค่อยรู้สึกไว้ใจอีกฝ่ายเท่าไหร่ แต่พอเห็นท่าทีของกันต์ก็วันนี้ก็รู้เลยว่ากันต์นั้นค่อนข้างเชื่อฟังทวิชมากจริงๆ
   
“อืม”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ และลูบนิ้วตัวเองด้วยความอาลัยอาวรณ์
   
คุ้มค่าแล้วล่ะ กับชีวิตเด็กคนหนึ่ง เพราะถ้าหากเขาไม่ช่วยกันต์วันนั้นก็คงไม่มีใครช่วยแล้ว ถึงเจ้าตัวอาจจะเต็มใจตายที่สนามก็เถอะ แต่เขาก็คงจะปล่อยให้กันต์ตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้จริงๆ
   
“งั้นก็มาเรื่องของเราต่อ”
   
ทวิชเลิกคิ้วเมื่อเห็นพอสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง จึงเผลอกลั้นหายใจและจริงจังตามไปด้วย
   
“ฉันอยากกินเกี๊ยวกุ๊ง”
   
“…”


   

ท่ามกลางความเจริญย่อมมีความโสมมซุกซ่อน สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ที่ว่านั้น  ‘เขตปลอดแสงสว่าง’ หรือเขตแดนที่กฎหมายและศีลธรรมใดๆ ไม่อาจเข้าถึงในสถานที่แห่งนี้ มันเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้คนทุกประเภทเอาไว้ ซึ่งทุกคนที่เข้ามาในเขตนี้ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่รู้กันเองคือต้องสวมเสื้อคลุมสีดำสนิททั้งตัวพร้อมกับสวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เพราะสถานที่นี้ไม่ใช่สถานที่ศิวิไลซ์อะไรนัก มีการใช้อาวุธและยาเสพติดพูดคุยต่อรองกันจนแทบจะเป็นเรื่องปกติ
   
แน่นอนว่าอัลฟ่ารับรู้ถึงการมีอยู่ของสถานที่นี้แต่ก็เลือกที่จะปิดตาข้างหนึ่ง และรับส่วยเป็นเงินก้อนใหญ่ทุกปีเพื่อแลกกับการไม่มายุ่มย่ามกับกิจการภายในเขตนี้ที่มีการซื้อขายกันแทบจะตลอดเวลา
   
“..นายมาที่นี่บ่อยเหรอ”
   
พอสกระซิบถามทวิชที่สวมหน้ากากของพวกเสือดำกับเสื้อคลุมและเดินนำด้วยความชำนาญทาง ไม่มีท่าทีหวาดกลัวต่อความมืดมิดหรือความจอแจของผู้คนเลยสักนิด หนำซ้ำนัยน์ตาสีทองที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากากคล้ายจะเรืองรองขึ้นด้วย
   
“ทุกเดือน”
   
ทวิชตอบสั้นๆ และดึงกันต์หลบทางให้คนที่ขนของเข้ามาในเขต แสงไฟที่สลัวทำให้มองไม่ออกแทบด้วยซ้ำว่าในรถเข็นคันนั้นมีอะไร แต่ทวิชกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันไม่ใช่ของทั่วไปอย่างแน่นอน
   
“…”
   
พอสตกตะลึงนิดๆ เพราะเขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน หรือเอาเข้าจริงแล้วเขาแทบไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับทวิชด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่รู้จักกันมาเกือบปีแล้ว แต่ทวิชก็ยังเว้นระยะห่างกับทุกๆ คนอย่างชัดเจน  ถึงแม้ว่าจะดูใจดีกับพวกเขามากเป็นพิเศษก็ตาม
   
“เดินต่อ อยู่ที่นี่นายจะอยู่นิ่งนานๆ ไม่ได้”
   
ทวิชกระตุกชายเสื้อกันต์ให้เดินตามต่อโดยพยายามเลี่ยงกลุ่มคนที่พกอาวุธให้เห็นอย่างชัดเจน นัยน์ตาสีทองเหลือบมองตรอกใกล้ๆ และมองมันด้วยความไม่แน่ใจนัก เพราะครั้งล่าสุดที่เขามาซื้อข่าวมันก็นานมากจนเขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว
   
ซึ่งข่าวๆ นั้นก็เป็นข่าวเกี่ยวกับพวกโอเมก้าที่โดนฆ่าล้างไป เขาซื้อข่าวนี้ด้วยราคาที่สูงมาก แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเท่าไหร่ นอกจากหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งแผ่นเดียวที่เป็นภาพขาวดำของศพโอเมก้านับร้อยที่นอนกองอยู่ในเขตมหาวิทยาลัย
   
แน่นอนว่าเขาก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก มันเป็นเรื่องเกือบสิบยี่สิบปีที่แล้วด้วยซ้ำ เขาก็เพียงแค่คาดหวังเล็กๆ ว่าอาจจะรูปของพ่อแม่เขาให้เห็นสักรูป ไม่ว่าจะในสภาพไหนก็ตาม เขาก็คิดว่าเขาน่าจะทำใจยอมรับมันได้
   
“นั่น”
   
ม่านตาของทวิชหรี่ลงแทบจะทันทีเมื่อเห็นหนูสีเทาขนาดใหญ่นอนแทะขนมปังอยู่บนเก้าอี้ ดูขี้เกียจจนอยากจะคืนร่างต้นแล้วไล่ตะปบให้รู้แล้วรู้รอด
   
“คุณ”
   
ทวิชลากพอสมายืนข้างๆ รั้วนั้น และเงยหน้าขึ้นคุยกับเจ้าหนูตัวเขื่องที่ตอนนี้อมขนมปังไปทั้งก้อนจนแก้มพองเป็นรูปขนมปัง
   
“อะไร” เจ้าหนูก้มมองคนที่น่าจะเป็นลูกค้าของตัวเองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “วันนี้ไม่มีข่าวอะไรทั้งนั้นแหละ ถ้าอยากได้ข่าวก็ไปรอหนังสือพิมพ์ของทางการไป”
   
“คุณจำผมไม่ได้?”
   
ทวิชจงใจคืนร่างต้นเฉพาะส่วนข้อมือและตะปปไปที่หางของเจ้าหนู จนเจ้าตัวร้องจ๊ากกลืนขนมปังในคำเดียว ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นร่างมนุษย์แทบจะทันที
   
“นาย นาย อย่าบอกนะว่าเป็นเสือบ้านั่นที่จะกินฉันน่ะ”
   
เจ้าหนูพูดรัวเร็วแทบไม่เป็นภาษา หัวใจในอกสั่นรัวอย่างหวาดกลัวตามสัญชาตญาณ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วไม่ว่าจะเป็นลูกค้าแบบไหน เขาก็จะรับมือได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าไอ้ลูกค้าคนนี้มันเคยจะ ‘กิน’ เขาจริงๆ ซึ่งไม่ใช่กินในความหมายแบบนั้นด้วย แต่เป็นกินแล้วเคี้ยวกร๊วมๆ ให้เขาไส้แตก และกลายเป็นมื้อเย็นแสนอร่อยในวันนั้น
   
“ใช่ แล้วผมจะกินคุณอีก ถ้าคุณยังไม่เลิกขี้เกียจ”
   
เสียงกระดูกดังลั่นก่อนที่ทวิชจะเลิกหน้ากากตัวเองขึ้นเพียงครึ่งใบหน้า และแยกเขี้ยวให้เห็นคมเขี้ยวคมของตัวเองที่พร้อมจะฉีกกระชากเจ้าหนูนี่ให้เป็นชิ้นๆ
   
จากหน้าที่ซีดอยู่แล้ว ตอนนี้หน้าของเบต้าหนูซีดกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า
   
“มีๆๆ มี อย่ากินฉันนะ อย่ากินฉัน แม้แต่หางฉันนายก็ห้ามชิม! ฉันรู้ว่าช่วงนี้เนื้อเบต้ามันอินเทรนด์ แต่นายไปกินคนที่มันน่ากินกว่าฉันได้ไหมวะ”
   
เบต้าหนูวัยกลางคนบ่นขรมออกมาอย่างตัดพ้อ
   
“สรุปช่วงนี้มีข่าวไหม”
   
ทวิชกลับคืนสู่ร่างมนุษย์และดัดเสียงถามด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มกว่าเดิม ข้อมือที่ยังคงเหลือลักษณะของพวกเสือดำไว้เผยกรงเล็บออกมา และจงใจให้มันต้องแสงจนเกิดเป็นประกายที่ดูน่าขนลุกในสายตาเจ้าหนู
   
“มีสิ มี มันก็มีข่าวทุกวันแหละ นายอยากรู้ข่าวอะไรล่ะ”
   
เบต้าหนูบ่นงึมงำ แต่อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาถูกบังคับให้ขาย ก็ย่อมขายในราคาที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเขาจะกลัวไอ้เสือบ้านี้แทบตายก็ตาม
   
“..พวกนี้”
   
ทวิชยื่นโปสเตอร์ของกลุ่มปฏิวัติให้กับเจ้าหนู ซึ่งอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตกใจอะไร ยืนคืนมันให้กับทวิขก่อนที่จะกอดอกด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน
   
“พวกนั้นเรียกตัวเองว่าวันพรุ่งนี้”
   
“วันพรุ่งนี้?”
   
ทวิชทวนคำ ซึ่งเจ้าหนูก็ยิ้มยิงฟันและแบมือทันที เชิงว่าเงินมาของไป ทวิชขมวดคิ้วแต่ก็ยอมควักเงินจำนวนหนึ่งวางบนมืออวบ พอเจ้าหนูนับเงินเสร็จก็พูดต่ออย่างคล่องแคล่วด้วยท่าทีเป็นมิตรกว่าเดิมมาก
   
“ใช่ วันพรุ่งนี้ พวกนั้นพยายามทำตัวเหมือนพวกโอเมก้าตอนนั้น” เบต้าหนูถอนหายใจออกมา “ฉันก็ยอมรับความใจกล้าของพวกนี้นะ แต่ภาพศพของญาติฉันยังติดตาอยู่เลยว่ะ นายคงจินตนาการไม่ออกหรอกว่าตอนนั้นว่าพวกอัลฟ่าฆ่าคนกันสนุกกันขนาดไหน พวกมันไม่สนใจด้วยซ้ำว่าใครเบต้าหรือโอเมก้า ขอแค่ร่วมเดินขบวนกับพวกนั้นมันก็ฆ่าหมด ฉันบอกเลยนะว่าไอ้พวกนี้ก็คงจะไม่รอดเหมือนกัน”
   
“..แล้วเรื่องนัดชุมนุมนี่มันเป็นเรื่องจริงไหม?”
   
เจ้าหนูแบมือมาอีก ทวิชเลยยัดเงินอีกจำนวนเงินให้อีกด้วยความหงุดหงิดนิดๆ เพราะเขายังได้ข่าวไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้หนูนี่เล่นเก็บเอาๆ ไม่หยุดสักที
   
“จริงและไม่จริง” พอได้ยินเสียงทวิชขู่ในลำคอ เจ้าหนูก็สะดุ้งสุดตัวและยิ้มแห้ง “ใจเย็นๆ ไอ้เรื่องนัดพวกนี้ก็ของจริงแหละ แต่ที่ไม่จริงคือเขาไม่นัดพวกเรา เขานัดพวกอัลฟ่าต่างหาก ล่อให้พวกมันออกไปไง ส่วนจะโผล่ที่ไหนก็อีกเรื่อง”
   
“แล้วถ้ามีเบต้าไปเข้าร่วมล่ะ”
   
“ก็อาจจะตายล่ะมั้ง” เจ้าหนูพูดอย่างไม่ยี่หระ “ยังไงซะทุกการปฏิวัติก็ต้องมีคนสูญเสียอยู่แล้ว นายก็เห็นข่าวเมื่อเช้าไม่ใช่เหรอ เบต้ากวางนั้นยังโดนซะขนาดนั้น คิดว่าพวกนั้นจะปล่อยคนที่กล้าต่อต้านพวกมันเหรอ”
   
“…”
   
นัยน์ตาสีทองของทวิชหม่นแสงทันที ไม่ต่างอะไรกับเบต้าหนูที่ซึมเซาลงเมื่อนึกถึงญาติของตัวเองหลายคนที่ตายไปกับการฆ่ากวาดล้างครั้งนั้น เพราะมันเพิ่งผ่านมาไม่ถึงชั่วอายุคนด้วยซ้ำ แต่กลับถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์แทบทั้งหมด เหล่าคนรุ่นใหม่ที่เกิดมาแทบไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ถ้าหากไม่แอบเล่าสู่กันฟังแบบลับๆ
   
“ถ้าเป็นฉันนะ ฉันไม่ออกไปหรอก ไอ้พวกอัลฟ่าพวกนั้นอำมหิตจะตายไป อย่างน้อยๆ ถ้าฉันยอมทำตัวเป็นหนูโสโครกที่นี่ ฉันก็อาจจะมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปีก็ได้”
   
“แต่ถ้านายยอมมันพวกมันไปเรื่อยๆ สักวันกระสุนพวกนั้นก็จะตกถึงนาย ต่อให้นายจะไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้แค่ไหนก็ตาม”
   
ทวิชมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเย็นชา ถึงแม้จะเข้าใจดีถึงเหตุผลของเจ้าหนูที่ยอมศิโรราบให้กับความอยุติธรรมนี่ แต่เขาก็ยังไม่พอใจมากๆ อยู่ดี เพราะการที่คนพวกนั้นออกมาแสดงออก มันก็คือความเสียสละ ถ้าหากเขาและทุกๆ คนต้องการอนาคตที่ดีกว่าทุกวันนี้ก็ควรจะออกมาช่วยกันสิ
   
มันอาจจะดูไร้ค่าในสายตาอัลฟ่า แต่ถ้าเป็นเขา เขาก็เลือกที่จะออกมาอยู่ดี ยังไงก็ตามทุกวันนี้ เขาก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว เขาไม่มีครอบครัว ไม่มีอะไรทั้งนั้น นอกจากความเจ็บปวดที่ตอกลึกในใจทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา
   
เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพวกเบต้าถึงยังยอมอดทนกันอยู่ ความหวาดกลัวอาจจะเป็นหนึ่งในคำตอบ แต่คำตอบอื่นล่ะ เพราะศรัทธาในพวกอัลฟ่า? หรือเพราะมัวแต่หวังว่าชาติหน้าจะเกิดมามีโชคกว่านี้กัน!
   
“แต่วันนี้ก็ไม่มีกระสุนนี่”
   
เจ้าหนูหัวเราะเสียงแผ่วยอมรับการเสียดสีของทวิชแต่โดยดี เพราะรู้ดีว่าตัวเองมันก็แค่คนขี้ขลาดที่หวังว่าอนาคตจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้โดยไม่ทำอะไรทั้งนั้น นอกจากเฝ้ารอให้คนอื่นไปช่วงชิงมันมาให้กับตัวเองโดยแลกกับชีวิตของพวกเขาเอง
   
“ชีวิตของเราดีกว่านี้ได้นะ ถ้าไม่ถูกพวกอัลฟ่าขโมยไป”
   
“แต่นายก็เป็นอัลฟ่านะ”
   
เจ้าหนูเหลือบมองกรงเล็บทวิช
   
“แล้วนายคิดเหรอว่าอัลฟ่าปกติที่ไหนเขาจะมาอยู่ในที่แบบนี้”
   
“…โรงมหรสพพยัคฆโภคสกุล” เบต้าหนูตัดสินใจอยู่สักพักก่อนที่ให้ข่าวที่ราคาแพงที่สุดของตัวเองโดยไม่คิดราคาเพิ่ม
   
“อะไรนะ”
   
“พวกนั้นจะไปป่วนงานวันสถาปนาประเทศ พรุ่งนี้เป็นวันซ้อม ฉันไม่แน่ใจว่ากี่โมง แต่น่าจะช่วงกลางๆ งานก็น่าจะเริ่มทำอะไรกันแล้ว”
   
ทวิชกระพริบตาปริบอย่างประหลาดใจ เพราะเขาไม่เคยคาดหวังน้ำใจในสถานที่แห่งนี้สักนิด ทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีราคาและอันตรายไปหมด
   
“นายรู้ได้ยังไง”
   
“ไม่สำคัญหรอกว่าจะรู้ได้ยังไง เอาเป็นว่านี่จะเป็นข่าวสุดท้ายที่ฉันจะให้นายได้ และหลังจากนี้ฉันกับนายถือว่าไม่รู้จักกันมาก่อน”
   
เจ้าหนูถอนหายใจใส่ทวิชก่อนที่จะคืนสู่ร่างต้น เป็นหนูขี้เกียจที่ดูไร้ค่าตัวเดิม และดึงผ้าห่มเปื่อยๆ มาคลุมตัวเองเพื่อตัดตัวเองออกจากโลกภายนอก
   
“..ขอบคุณ” ทวิชหลุบมองอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนลง
   
“…”
   
“สักวันนายจะได้อยู่ในที่ๆ ดีกว่าที่นี่”

===========



   
   



   
   
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 6 : NEW TOMORROW 6 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-11-2019 22:11:22
ขอให้มันดีขึ้นสักที
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 6 : NEW TOMORROW 6 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 06-11-2019 23:31:06
เศร้าใจจริงๆ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 6 : NEW TOMORROW 6 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-11-2019 07:43:44
 จะรออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 6 : NEW TOMORROW 6 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 07-11-2019 19:09:06
ขอให้ทุกอย่าง ดีขึ้น ขอบคุณ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 6 : NEW TOMORROW 6 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 08-11-2019 22:33:48
 :katai1: :katai5:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 09-11-2019 20:13:28
ตอนที่ 07

   

‘วันสถาปนาประเทศ’ นั้นคือวันที่มีการเฉลิมฉลองการมีอยู่ของประเทศนี้ โดยชนชั้นที่ตื่นเต้นของวันนี้เป็นพิเศษก็ยังเป็นพวกอัลฟ่าเช่นเดิม เพราะมันจะเป็นวันที่พวกเขาจะได้รับการสรรเสริญยกยอมากที่สุด เนื่องจากประวัติศาสตร์ของประเทศนี้นั้นถูกเขียนด้วยอัลฟ่า สิ่งที่พวกเขาเขียนย่อมเป็นการชื่นชมตัวเอง และแน่นอนว่าภายในประวัติศาสตร์พวกนั้นไม่มีโอเมก้า หรือเบต้าร่วมด้วยแม้แต่คนเดียว แม้ว่าความเป็นจริงแล้วประเทศนี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของทุกคนก็ตาม
   
โดยภายในงานนั้นจะประกอบไปด้วยการเดินขบวน การแสดงละคร การประกวดแต่งคำขวัญ ดอกไม้ไฟ และอะไรอีกต่างๆ มากมายที่จะถูกจัดขึ้นมาเพื่อตอกย้ำถึงความสำคัญของอัลฟ่า  และแบ่งแยกอย่างชัดเจนว่าเบต้านั้นเป็นเพียงประชาชนในประเทศ เป็นคนที่ติดหนี้บุญคุณอัลฟ่ามากมายอย่างเหลือล้นตั้งแต่กำเนิดมาในแผ่นดินนี้ 
ให้เหล่าเบต้าที่ยังคงเหลืออยู่จงสำนึกบุญคุณ และสำเหนียกตัวเองซะว่าพวกเขานั้นไร้ค่าเพียงใด หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของเบต้าคือการยอมทำคำสั่งพวกเขาแบบเชื่องๆ เท่านั้น ห้ามตั้งคำถาม ห้ามสงสัย หรือห้ามต่อต้านโดยเด็ดขาด เพราะพวกเขาไม่มีสิทธิ์ สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีคือมีชีวิตอยู่บนแผ่นดินนี้และเสียภาษีตามที่ตั้งเกณฑ์ไว้เท่านั้น
   
แน่นอนว่าการที่เหล่าเบต้าจะเชื่องขนาดนี้ได้ก็ย่อมอาศัยหลายอย่าง โดยสองสิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญนั้นก็คือระบบการศึกษาและสื่อที่ใช้เผยแพร่ ซึ่งเหล่าอัลฟ่าหรือกลุ่มชนชั้นนำก็ใช้สามารถใช้ปัจจัยเหล่านี้ได้อย่างชาญฉลาด
   
ในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคน พวกเขาสามารถเปลี่ยนแนวคิดของเบต้าทั่วไปให้มาเคารพเหล่าอัลฟ่าอย่างสุดหัวใจจนยอมถวายชีวิตให้ได้ พวกเขาทำลายระบบการศึกษาที่เน้นการตั้งคำถามหรือต่อยอดแนวคิดให้เหลือเพียงการศึกษาที่มีคำตอบเพียงถูกกับผิด ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้น เพราะไม่ใช่ทุกอย่างจะมีคำตอบที่แน่นอน ไม่มีอะไรที่ถูกเสมอไปหรือผิดเสมอไป สิ่งที่ระบบการศึกษาควรสอนมากกว่าคือการยอมรับความเห็นต่าง ไม่ใช่การมองคนอื่นเพียงผิดหรือถูก ขาวหรือดำเท่านั้น
   
นอกจากนี้แล้วพวกเขายังใช้สื่อในการผลิตซ้ำวาทกรรมที่ตัวเองต้องการ อย่างเรื่องที่ว่า ‘เบต้า’ นั้นต้องเป็นคนจนและถ้าหากอยากจะมีฐานะก็ต้องทำงานอย่างหนักเพื่ออนาคตที่ดี โดยพวกเขาถ่ายทอดแนวคิดเช่นนี้ผ่านละครโทรทัศน์ ละครวิทยุ บทความ มุกตลกต่างๆ ในรายการ ผลิตซ้ำไปเรื่อยๆ จนเกิดความเคยชินขึ้นมา และทำให้พวกเบต้าเชื่อจริงๆ ว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้น
   
และแน่นอนว่ามันก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี แต่น่าเสียดายที่มันไม่ได้สามารถใช้ได้ผลกับทุกคน
   
เพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมเชื่องให้กับระบบชนชั้นที่แสนเห็นแก่ตัวนี้ ยังมีคนบางส่วนที่ยังจดจำได้ถึงเสรีภาพของตัวเองที่เคยมีก่อนการปฏิวัติครั้งล่าสุด พวกเขาเคยมีอิสระ เคยมีเงิน และเคยมีชีวิตที่ดีกว่านี้
   
พวกเขาเคยมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองพึงได้รับ ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มาก แต่ก็ไม่น้อยหรือต่ำเตี้ยเรี่ยดินแบบนี้ ทุกวันนี้ลำพังแค่เงินจะกินข้าวพวกเขายังแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ ทุกอย่างแพงขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหล่าชนชั้นนำนั้นใช้เงินอย่างมือเติบ ไร้ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ผลาญเงินไปกับการซื้ออาวุธมือสองและของไร้ประโยชน์ให้กับประเทศด้วยอ้างว่าเพื่อป้องกันตัวจากประเทศเพื่อนอื่น ทั้งๆ ที่ในยุคสมัยนี้นั้นกลายเป็นสงครามด้านเศรษฐกิจไปแล้ว
   
เป็นเรื่องตลกร้ายเหลือเกินที่เหล่าเบต้าส่วนใหญ่ก็ยังศรัทธาในอัลฟ่าพวกนี้อยู่ดี ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นกำลังใกล้อดตายเพราะไม่สามารถเข้าถึงระบบการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม
   
ซึ่งกลุ่มคนที่จะมาช่วยปลุกเบต้าเหล่านี้ให้ตื่นขึ้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากกลุ่มปฎิวัติกลุ่มใหม่ กลุ่มที่รวบรวมความหาญกล้าทั้งหมดในชีวิตตัวเองออกมาแสดงออกว่าต่อต้านอัลฟ่า ทั้งๆ ที่รู้ว่าจุดจบที่รออยู่นั้นคือความตายอันทุกข์ทรมาน และอาจโดนทำให้ลืมไปเช่นเดียวกับกลุ่มปฏิวัติกลุ่มก่อน
   
“พวกเราคือกลุ่มวันพรุ่งนี้”
   
เบต้าหนูคนหนึ่งในร่างต้นพูดใส่ไมค์ก่อนที่เสียงจะออกมาตามลำโพงที่ซุกซ่อนตามที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง มีพวกเบต้าวัยทำงานพลุกพล่านเต็มไปหมด เหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการเปิดเผยความจริงหรือโน้มน้าวอะไรสักอย่าง
   
“พวกมึงอยู่ไหน!!! ออกมาเดี๋ยวนี้!!!”
   
เจ้าหน้าที่รัฐอาวุธครบมือคนหนึ่งคำรามออกมาเสียงดังกึกก้อง สายตาพยายามสอดส่องหาต้นกำเนิดเสียงว่าอยู่ที่ไหนแต่ก็หาไม่เจอสักที เพราะทุกคนเดินกันจอแจไปหมด ถึงแม้ว่าจะมีเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐทั้งทหาร ตำรวจจำนวนนับร้อยคนกำลังเดินสอดส่องอยู่ก็ตาม
   
แน่นอนว่าเหล่าเบต้าทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องนั้นก็รู้สึกหวาดกลัวต่อเจ้าหน้าที่รัฐ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังมีหน้าที่การงานที่ต้องทำ จึงกดความกลัวลงและเดินผ่านแบบเร็วๆ แสดงให้เจ้าหน้าที่รัฐเห็นชัดว่าพวกเขาไม่สนใจเข้าร่วมการประท้วงของพวกกลุ่มวันพรุ่งนี้แต่อย่างใด
   
“จุดยืนของเราคือการทำให้เรากลับไปเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยเสรีภาพอีกครั้ง” เบต้าหนูสูดหายใจครั้งหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อด้วยแววตาที่มุ่งมั่นกว่าเดิม “เราจะทำให้คนทุกคนสามารถใช้ชีวิตโดยปราศจากความกลัว ความสิ้นหวัง ความกระวนกระวาย ความหวาดหวั่น และความไม่แน่ใจ”
   
“อย่าไปฟังพวกกบฏมันพูด! มันหลอกเรา!! ต้องมีคนจ้างมันมาหลอกเราแน่ๆ !!”
   
“…”
   
มีเบต้าหลายคนที่ถึงแม้จะตีหน้าเฉยเมย แต่ลึกๆ ในใจก็แอบคิดตามในสิ่งที่เบต้าหนูนั้นพูด เพราะสำหรับพวกเขาแล้วคำว่า ‘เสรีภาพ’ นั้นกระทบจิตใจพวกเขาเหลือเกิน
   
ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาโหยหามัน แม้ว่ามันจะขัดกับหลักศาสนาและกฎหมายในประเทศนี้ แต่พวกเขาก็อยากได้มันอยู่ดีเพราะมันอาจจะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีกว่านี้ก็ได้
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
เสียงรัวกระสุนดังขึ้นเมื่อมีคนของทางการเจอหนึ่งในสมาชิกของกลุ่มปฏิวัติที่กำลังแอบแจกใบปลิวอยู่ ร่างของหญิงสาวเบต้าคนนั้นจึงล้มลงในพริบตาพร้อมกับเสียงกรีดร้องของประชาชนทั่วไปที่เห็นอาชญากรรมโดยรัฐ (state crimes) ต่อหน้าต่อตาตนเอง
   
“เราเชื่อว่าคนทุกคนเท่าเทียมกัน เพศที่อัลฟ่าใช้แบ่งนั้นมันไม่อยู่จริง มันเป็นแค่วาทกรรมหลอกลวงที่พวกอัลฟ่าใช้หลอกทุกคน พวกมันไม่ใช่สมติเทพ ไม่ใช่พระเจ้า ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น นอกจากชนชั้นเห็นแก่ตัวที่กอบโกยผลประโยชน์ทุกอย่างไว้กับตัว แล้วปล่อยให้พวกคุณใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก”
   
ถึงแม้จะเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นตายไปทีละคนสองคน แต่เบต้าหนูผู้รับมอบหมายหน้าที่จากในกลุ่มก็ยังคงพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงอันนิ่งสงบ ราบเรียบ และเปี่ยมไปด้วยความหนักแน่น
   
“ถึงเวลาหรือยังที่พวกคุณทุกคนจะตื่นจากฝันร้ายพวกนี้สักที พวกคุณไม่ได้ไร้ค่า ไม่ได้ไร้สิทธิ์ไร้เสียงอย่างที่พวกคุณคิด พวกคุณทุกคนมีอำนาจอยู่กับตัว ถ้าไม่ได้เงินภาษีของพวกคุณ คิดเหรอว่าพวกมันจะมีเงินใช้กันแบบนี้”
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
พอเริ่มรู้สึกว่าหาตัวคนพูดไม่เจอ เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐจึงหันไปจัดการพวกลำโพงต่างๆ แทน ทำให้มีทั้งเสียงระเบิดและเสียงอื่นๆ ดังปนกันไปหมด จนทำให้เสียงที่ออกจากลำโพงนั้นเริ่มฟังยาก มีเสียงผิดเพี้ยนฟังเสียดหู แต่ก็ยังมีบางลำโพงที่ยังเหลือรอดให้เสียงที่เป็นปกติอยู่
   
“กระสุนแต่ละนัดที่พวกเขายิงคือเงินภาษีของพวกคุณ ความจริงแล้วพวกเขาควรจะรับใช้พวกคุณมากกว่าพวกอัลฟ่าพวกนั้นซะอีก”
   
“รีบหาตัวมันให้เจอสักที!!!”
   
ตำรวจอัลฟ่าคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างดุดัน
   
“ลองคิดดูสิ ทำไมพวกเขาถึงสอนให้คุณเกลียดชังพวกเรา? ทำไมถึงบอกว่าเราเป็นปีศาจ ทั้งๆ ที่เราก็เป็นคนเหมือนกับพวกคุณ เราไม่มีปืนหรืออาวุธด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่เรามีคือแนวคิดอันตรายที่จะทำให้พวกอัลฟ่าไม่ได้มีอำนาจเท่าเดิม และมันก็กำลังจะเป็นสาเหตุที่จะทำให้เราตายกันอีกครั้ง”
   
เบต้าหนูผุดยิ้มออกมาเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลังตัวเอง ซึ่งนั่นมันก็หมายความว่าเขาอาจจะมีชีวิตอยู่และพูดต่อได้อีกไม่กี่ประโยคเท่านั้น
   
“พวกคุณอย่าได้สิ้นหวังกับประเทศห่วยแตกนี้ เรายังสามารถเปลี่ยนมันได้ ขอแค่คุณเข้าร่วมกับพวกเรา—“
   
ปัง!
   
ยังไม่ทันจบประโยคดีกระสุนก็เจาะเข้าที่หัวอย่างแม่นยำ เบต้าหนูที่พูดเจื้อยแจ้วมาตลอดจึงล้มลงกับพื้น ทำให้ไมค์ตกและหวีดเสียงยาวฟังเสียดหู จนกระทั่งนายตำรวจเจ้าของกระสุนเมื่อกี้เข้ามาใช้ไมค์ต่อ
   
“ตอนนี้กบฏได้ถูกปราบแล้ว ขอให้ประชาชนทุกคนอยู่ในความสงบ อย่าได้หลงเชื่อคำหลอกลวงพวกมันเป็นอันขาด สิ่งเดียวที่เราเชื่อได้นั้นมีเพียงอัลฟ่า อัลฟ่าไม่เคยหลอกเรา กบฏพวกนี้มันถูกจ้างมาจากคนนอกประเทศ พวกโอเมก้าสวะที่ไม่หวังดีกับประเทศเรา!”
   
ถึงแม้จะเป็นการจับไมค์แบบฉุกละหุก แต่อัลฟ่าหรือนายตำรวจคนนี้ก็สามารถพูดออกมาได้อย่างลื่นไหล แม้ว่าจะไม่รู้ข้อเท็จจริงอะไรใดๆ เกี่ยวกับกลุ่มปฏิวัติหน้าใหม่นี้เลยก็ตาม
   
และแน่นอนว่าด้วยความเป็นอัลฟ่าของเขา ทำให้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรออกมาก็มีเบต้าบางส่วนที่พร้อมจะเชื่อทุกอย่างโดยไม่สนข้อเท็จจริงใดๆ
   
“ผมอยากจะทบทวนให้ทุกท่านฟังอีกครั้งว่าประเทศนี้นั้นถูกสร้างมาเพื่อทุกคน ไม่มีใครเสียเปรียบใคร และอัลฟ่าก็รับบทเป็นผู้เสียสละคอยทำให้สังคมของเรานั้นเป็นไปอย่างปกติสุข เราเหล่าอัลฟ่าทุกคนล้วนหวังดีต่อเบต้า ทุกท่านอย่าได้ลืมว่า ‘ใคร’ ที่เป็นผู้ที่ปกป้องประเทศนี้เสมอมา”
   
มีเบต้าวัยกลางคนคนหนึ่งที่กำลังจะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจ อยู่ๆ ความเจ็บปวดล้ำลึกที่ซุกซ่อนเอาไว้ในใจก็ตีตื้นขึ้นมาตอนที่เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐรุมใช้ไม้ตะบองตีเบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งที่กอดใบปลิวที่ตัวเองนำมาแจกไว้อย่างหวงแหน เบต้าคนนั้นอายุไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำไป แต่กลับถูกทารุณราวกับว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าผู้คนมานับร้อยศพ
   
เสียงร้องขอชีวิตดังเคล้ากับเสียงร่ำไห้และเลือดที่เจิ่งนองบนพื้น ใบหน้าของเบต้าคนนั้นเจ็บปวดมากก่อนที่คำร้องขอชีวิตจะกลายเป็นการอ้อนวอนให้มอบความตายให้กับตนเอง เพราะทนการทรมานต่อไปไม่ไหว
   
สีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนานของเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐทำเอาความอดทนของเขาหมดสิ้น ก่อนที่เขาจะระเบิดความคับแค้นใจออกมาเสียงดังลั่นพร้อมกับคืนสู่ร่างต้น
   
“พวกมึงโกหก!! ไอ้พวกอัลฟ่าสารเลว!! ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมึง ชีวิตกูก็คงจะไม่เหี้ยแบบนี้!!!”
   
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้เกิดผลเช่นไร แต่เขาก็พุ่งตัวเข้าไปช่วยเด็กคนนั้นอยู่ดี
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้ากลางหลังเบต้าวัยกลางคนนั้นทันทีที่เขาเข้าไปใกล้เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ด้วยความที่ร่างต้นของเขาเนื้อค่อนข้างหนาพอสมควร จึงพอทนกระสุนได้ เขาผลักพวกคนที่รุมทำร้ายเด็กนี้ออก ฉุดกระชากร่างโชกเลือดขึ้นมาประคอง และพยายามจะพาหนีไปให้ไกลที่สุด
   
“หนีไป ไอ้หนู หนีไป”
   
ปัง! ปัง!
   
กระสุนอีกหลายนัดฝังเข้าที่ร่างเขาอีกซึ่งมันก็ทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ แต่ความโกรธแค้นที่ยังหลงเหลือจากปฏิวัติครั้งก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ทำให้เขาคำรามออกมา แล้วผลักเด็กคนนั้นเข้าใส่ฝูงชน ก่อนที่เขาจะหันหน้ากลับไปเผชิญกับ ‘ความยุติธรรม’ ในประเทศนี้ที่กำลังวิ่งไล่ล่าเขา
   
เขากระอักเลือดออกมาคำโต พุ่งตัวเข้าชนกับทหารคนหนึ่งที่กำลังเติมกระสุนปืนคล้ายจะกราดยิงเข้าไปในฝูงชน เขาครวญครางออกมาเมื่อถูกกระแทกกลับจนล้มไปกองกับพื้น และถูกทั้งตะบองทั้งรองเท้าบูทแย่งกันเรียกร้องความสงบสุขกลับคืนสู่ประเทศ
   
“…แม่ง”
   
ทั้งๆ ที่เจ็บแทบตายและรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตายจริงๆ เขากลับเผลอหลุดหัวเราะออกมา เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ขี้ขลาดอย่างเขา จะกล้ายอมทำตัวแหกกฎออกมาช่วยชีวิตเด็กคนหนึ่งแบบนี้
   
อาจจะเป็นเพราะครั้งที่แล้วเขาปล่อยให้เพื่อนตายต่อหน้าตัวเอง เขาตอนนั้นเอาแต่พร่ำขอชีวิตจากพวกมัน บอกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ และเกลียดชังกบฏพวกนี้เหลือเกิน ซึ่งผลจากการกระทำนั้น มันก็ทำให้เขามีชีวิตต่อไปโดยที่ต้องฝันร้ายถึงวันนั้นทุกวัน
   
เขาเห็นแก่ตัวมามากพอแล้วจริงๆ
   
นัยน์ตาของเบต้าวัยกลางคนหรี่ลงช้าๆ ใกล้จะหลับเต็มทน ก่อนที่อยู่ๆ ประโยคบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวเขา และเขาตะโกนออกมาเสียงดังลั่นด้วยแรงเฮือกสุดท้ายของตัวเอง
   
“อัลฟ่าจงพินาศ!! เสรีภาพจงเจริญ!!!”
   
ปัง!
   
เพราะได้เอ่ยประโยคต้องห้ามออกมา กระสุนจึงฝังเข้าไปในสมองเขาในพริบตา
   
แต่ก่อนที่สติของเขาจะหายไปตลอดกาลนั้น เขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจอะไรนัก เพราะการได้พูดคำขวัญของกลุ่มกบฏรุ่นก่อนก่อนที่ตัวเองจะตายนั้นก็นับว่าเป็นเกียรติสูงสุดของชีวิตเขาแล้วจริงๆ


   


“เพราะการมีอยู่ของอัลฟ่า ประเทศของเราถึงได้เจริญขนาดนี้ อัลฟ่าทุกคนในประเทศเขาเรานั้นต้องเสียสละมากกว่าอัลฟ่าประเทศอื่นมากมาย อัลฟ่าของเรานั้นทำงานอย่างหนักทุกวันเพื่อที่จะทำให้เบต้าทุกคนในประเทศนั้นได้อยู่อย่างสุขสบายและ—”
   
เสียงของเบต้าเด็กประถมคนหนึ่งดังเจื้อยแจ้วทั่วห้องโถง ในมือเล็กๆ นั้นกำลังถือเรียงความที่ตัวเองแต่ง และชนะการประกวดจากทั่วประเทศมาได้ ใบหน้าของเด็กหญิงนั้นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจยามที่พูด นัยน์ตาสดใสจดจ้องไปยังที่นั่งบนอัฒจันทร์ที่มีอัลฟ่าบางส่วนมานั่งเรียงรายเพื่อรอซักซ้อมพิธีสำคัญที่จะจัดขึ้นในอีกหลายอาทิตย์ข้างหน้า
   
“…”
   
ทวิชซึ่งอยู่ในชุดสูทสีเลือดนกปักด้วยดิ้นทองลายเสือโคร่ง และมาในนามของพยัคฆโภคสกุลฟังเรียงความของเด็กหญิงด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่พังทลายไม่หยุด
   
เขาเพิ่งได้ข่าวจากพอสว่าพวกอัลฟ่าฆ่าคนอีกแล้ว
   
ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกนิดๆ ที่เลือกที่จะมาที่นี่แทนที่จะตามไปที่นั่น เพราะเขาคงจะทนมองภาพพวกนั้นไม่ได้อีก มันโหดร้ายเกินไปจริงๆ กับการที่เจ้าหน้าที่รัฐไล่ฆ่าประชาชนของตัวเองราวกับว่าอีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์ แล้วยิ่งอาชญากรรมที่ก่อโดยรัฐแบบนี้ยิ่งเป็นอะไรที่เอาผิดใครไม่ได้ ร้องเรียนใครไม่ได้

เพราะคงไม่มีโจรที่ไหนรับแจ้งความผิดของโจรด้วยกันเอง
   
สิ่งที่พวกเขาทำได้เช่นเดิมคือกล้ำกลืนความทุกข์ตรมพวกนี้เอาไว้กับตัว และสำเหนียกซะว่าในประเทศนี้มันไม่ได้มีความยุติธรรมให้กับทุกคนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
   
“หนูรักอัลฟ่าค่ะ”
   
“…”
   
ทวิชฉีกยิ้มนิดๆ ให้กับเด็กหญิงตอนที่ถูกมองมาด้วยสายตาเชิดชู เพราะตอนนี้นั้นเข้าอยู่ในร่างกึ่งร่างต้น เขาปล่อยให้ตัวเองมีลักษณะของพวกอัลฟ่าครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะได้กลมกลืนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่มักจะชอบอยู่ในร่างต้นเสมอ
   
เขายอมรับว่าตัวเองค่อนข้างเจ็บปวด ที่เห็นเด็กมากมายที่พวกอัลฟ่าพวกนี้ล้างสมองให้รักและจงรักดีกับอัลฟ่าแบบยอมถวายชีวิต ซึ่งมันก็ทำให้กลายเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำให้ทุกคนนั้นตาสว่าง
   
ระบบความคิด ความเชื่อ และทุกๆ อย่างในประเทศนี้นั้นมันฝังลึกในประชาชนเกินไป จนเขาไม่รู้ว่าต้องรอให้มีคนตายอีกเท่าไหร่ กลุ่มคนเหล่านี้ถึงจะยอมรับฟังความจริงเหล่านี้สักที   
   
การอยู่แบบโดนเปรียบว่าไร้ค่าและเป็นหนี้บุญคุณกับอัลฟ่ามากมายนี้ เขาถามจริงๆ ว่ามันเป็นชีวิตที่ดีนักเหรอ ทำไมถึงไม่ยอมเอะใจกันบ้าง เวลาที่ประเทศอื่นวิจารณ์อัลฟ่าของตัวเองในความเห็นที่ต่างออกไป ทำไมไม่รับฟังความเห็นพวกเขา จะมัวโง่งมเชื่อแต่ในสิ่งที่เขาหลอกทุกวันไปทำไม
   
ยิ่งไปกว่านั้นคือทำไมกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์หรือต่อต้านอัลฟ่าถึงต้องโดนปฏิบัติด้วยความโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทำไมกับแค่ความคิดชุดเดียวถึงทำให้คนพวกนี้ต้องลี้ภัยไปอยู่ประเทศอื่น และทำไมบางคนที่ลี้ภัยไม่ทันถึงต้องโดนจับยังถังแดงและฆ่าอย่างเลือดเย็น
   
นี่เป็นประเทศที่เจริญ อุดมไปด้วยศีลธรรมอันดีงาม และมีความสุขที่สุดในโลกจริงๆ งั้นเหรอ?
   
นัยน์ตาของทวิชเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อครุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ ยิ่งเขามองการซ้อมการแสดงละครเวทีที่กำลังเชิดชูเหล่าอัลฟ่าตอนที่ไล่ปราบกบฏเพื่อคืนความสุขให้กับประเทศก็ยิ่งทำให้เขาเคียดแค้น
   
เขาเกลียดประเทศนี้เหลือเกิน
   
กลิ่นคาวเลือดอวลในลำคอตอนที่ทวิชเผลอกัดปากตัวเอง ซึ่งทวิชก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะมันกลายเป็นนิสัยเสียส่วนตัวไปแล้วที่เขามักจะเผลอทำร้ายตัวเองตอนที่เครียดจัดๆ บางครั้งเขายังเคยนั่งถอนขนปีกตัวเองออกด้วยซ้ำ
   
นัยน์ตาสีทองของทวิชจดจ้องไปทั่วงาน พยายามมองหาว่าสิ่งแปลกปลอมหรืออะไรสักอย่างในงาน เนื่องจากเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าพวกกลุ่มปฏิวัติตั้งใจจะทำอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจแน่ๆ คือมันไม่ใช่ความรุนแรงอย่างแน่นอน เพราะเหล่าโอเมก้ามักจะสอนกันว่าไม่ให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา ถึงแม้ว่าจะโดนความรุนแรงสั่งสอนกลับมาก็ตาม
   
“…?”
   
ทวิชกระพริบตาปริบเมื่ออยู่ๆ ก็มีขนนกลอยเต็มโถงไปหมด และเขาก็เผลอคว้ามันมาถือโดยไม่รู้ตัว
   
ขนนก?
   
“พวกกลุ่มกบฎมันบุกรุกที่นี่!!!”
   
มีอัลฟ่าคนหนึ่งที่เพิ่งได้สติหลังจากตกตะลึงไปสักพักตะโกนออกมา ก่อนที่คนในงานจะวุ่นวายกันแบบจ้าละหวั่น พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ติดอาวุธวิ่งหากบฏกันไม่หยุด ส่วนคนอีกบางส่วนก็วิ่งมาไล่เก็บขนนกที่ตอนนี้ลอยไปทั่วบริเวณทั้งในห้องโถงและบริเวณรอบนอก
   
“..ฉลาดชะมัด”
   
ทวิชนั่งงงอยู่สักพักก่อนที่จะหัวเราะออกมาเบาๆ โดยที่พยายามแสดงสีหน้าเคร่งขรึมเช่นเดิมเอาไว้ เพื่อไม่ให้ถูกคนอื่นจับได้ว่าตัวเองนั้นเห็นด้วยกับการกระทำของกลุ่มกบฏ
   
แววตาของทวิชดูมีสีสันขึ้นมายามที่มองขนนกในมือ
   
เพราะถ้าหากปีกนั้นเป็นนัยยะถึงอิสรภาพ ขนนกในมือของเขานี้ก็มีความหมายไม่ต่างกัน
   
อิสรภาพได้มาเยือนในที่แห่งนี้แล้ว

ซึ่งมันก็เป็นการกระทำที่คล้ายพวกอัลฟ่าตรงที่อัลฟ่าก็ชอบทำรูปปั้นของตัวเองไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อบอกว่าเขตนี้นั้นอยู่ใต้การปกครองของอัลฟ่า ฉะนั้นจึงนับได้ว่าเป็นการแสดงออกทางการเมืองที่ฉลาดมาก เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ใครต้องได้รับบาดเจ็บแล้ว มันยังทำให้พวกอัลฟ่าแตกตื่นกันยกใหญ่ด้วย

แน่นอนว่าอัลฟ่ามักจะแสดงท่าทีมั่นอกมั่นใจเหลือเกินว่าสามารถจัดการหรือควบคุมพวกกลุ่มกบฏเอาไว้ใต้เท้าตัวเองได้ ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นหวาดกลัวการลุกฮือของประชาชนแทบตาย

“เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงได้มาถึงแล้ว”

ทวิชเผลอพึมพำประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่จะนึกได้ว่ามันคือประโยคที่พ่อของเขามักจะพูดกับเขาเสมอหลังจากที่ตกงาน

“…”

ทวิชพยายามกลั้นยิ้มอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็หลุดยิ้มออกมา เพราะเขาดีใจมากจริงๆ

เขารอเวลานี้มานานมากแล้ว

“ทวิช”

“!”

ใบหน้าสวยหุบยิ้มทันที และเหลือบมองร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีขาวที่ปักดิ้นทองลายเสือโคร่งเหมือนกันด้วยสีหน้าสงบ ไร้อารมณ์ ทั้งๆ ที่ในใจนั้นยังตกใจไม่หาย

“มาทำอะไรที่นี่”

นัยน์ตาสีทองอย่างสัตว์ตระกูลแมวมองทวิชอย่างซักไซ้ ใบหน้าคมคายที่ถึงแม้ว่าจะมีร่องรอยของอายุ แต่ก็ไม่ได้ทำเสน่ห์ที่มีอยู่นั้นด้อยลงแต่อย่างใด หนำซ้ำยังทำให้ดูสุขุมและเปี่ยมไปด้วยอำนาจมากขึ้นด้วย

“…”

ทวิชไม่ได้พูดอะไรและเลือกที่จะเงียบใส่แทนคำตอบ

“อาเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าเราไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว” สิงห์หรือผู้นำตระกูลพยัคฆโภคสกุลในเวลานี้มองทวิชด้วยสีหน้าหงุดหงิดอย่างไม่ปิดบัง
   
“…”
   
“ต่อให้มานั่งเฉยๆ เธอก็ไม่มีสิทธิ์ทำ ทวิช เพราะตระกูลพยัคฆโภคสกุลไม่เคยรับเลี้ยงลูกกบฏ”
   
ร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
   
“ออกไปจากที่นี่ซะ แค่ทุกวันนี้ฉันยอมให้เธอใช้นามสกุลคุ้มกะลาหัวก็เป็นบุญคุณแค่ไหนแล้ว”
   
ทวิชไม่ได้ตอบ แต่ก็ยอมเดินออกไปเงียบๆ โดยไม่แสดงท่าทีก้าวร้าวอะไร เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดนั้นก็เป็นความจริงทั้งหมด
   
เขาอาศัยชื่อตระกูลของอาในการปกป้องตัวเองจริงๆ
   
“แล้วก็อย่าคิดที่จะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏเชียว”
   
“…”
   
ทวิชเผลอชะงักไปสักพัก ซึ่งมันก็ทำให้อีกฝ่ายแค่นหัวเราะเหยียดหยามออกมา เพราะพอจะเดาได้ว่ายังไงเชื้อก็คงจะไม่ทิ้งแถวแบบเดียวกับพ่อมันอยู่แล้ว
   
“อะไรที่ฉันให้เธอได้ ฉันก็ยึดมันคืนได้เหมือนกัน”

=========

 :a12:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-11-2019 21:42:19
แอบเศร้า
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 10-11-2019 22:15:27
 :เฮ้อ: โหดร้ายยยยย
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 10-11-2019 23:41:27
 :pig4:
 :3123:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: ข้าวสวย ที่ 11-11-2019 01:13:55
สนุกมา​ รอคอยเรื่องแบบนี้มานานมากกกก
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 11-11-2019 02:08:13
ปวดใจ
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 7 : State crime 9 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 11-11-2019 12:39:01
ดีแบบดีมากๆ ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ เป็นโอเมก้าเวิสที่ลึกซึ้งมีทุกอย่างมากกว่าเรื่องเพศ แต่ชี้สังคมเรื่องชนชั้น ปัญหาต่างๆ ก็คือดีมาก ชอบมาก ประทับใจมากๆๆๆๆๆ ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะ❤
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 8 : เลือกข้าง 18 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-11-2019 02:00:58
 ตอนที่ 08

   
ร่องรอยคราบเลือดบนพื้นค่อยๆ ถูกชำระล้างจากสายฝนห่าใหญ่ที่ตกลงมาหลังจากการประท้วงครั้งที่สองของกลุ่มปฏิวัติใจกลางเมือง และแน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ได้ก็ยังคงเป็นการทารุณอย่างเลือดเย็นจากรัฐบาล พวกเขาฆ่าล้างคนที่มีความคิดต่อต้านโดยไม่ลังเลด้วยซ้ำ ก่อนที่จะกลบเกลื่อนความโหดร้ายของตัวเองด้วยการบังคับให้สื่อต่างๆ สร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับกลุ่มปฏิวัติ พร้อมกับให้เล่นข่าวไร้สาระที่ไม่สร้างประโยชน์หรือความรู้ใดๆ ให้กับคนอ่านเพื่อให้ประชาชนของตัวเองนั้นเกิดความเชื่อง ไม่สามารถฉุกคิดอะไรได้ นอกจากใช้ชีวิตไปวันๆ อย่างไร้จุดหมาย
   
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ก็เป็นอะไรที่เหล่ากลุ่มปฏิวัตินั้นได้คาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นลูกไม้เดิมๆ ที่รัฐบาลใช้ และมันก็ยังคงได้ผลมาตลอด แต่พวกเขาก็ทำอะไรกับมันไม่ได้ เนื่องจากสื่อที่รัฐบาลกุมเอาไว้ในมือนั้นค่อนข้างมีผลต่อประชาชนในประเทศนี้จริงๆ
   
เอาเข้าจริงพวกเขาแอบคาดหวังใน ‘จรรยาบรรณสื่อ’ ของกลุ่มสื่ออยู่บ้าง เพราะจริงๆ หน้าที่ของสื่อนั้นควรจะทำงานเพื่อรับใช้ประชาชน รายงานความจริง มีความเป็นกลาง ไม่รับใช้ใคร ทั้งๆ ที่มันความจะเป็นแบบนั้น แต่สื่อในประเทศนี้นั้นกลับขาดความกล้าเหล่านั้นไปซะหมด
   
พวกเขายินยอมศิโรราบให้กับความอยุติธรรมตรงหน้า สนับสนุนความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนด้วยการบิดเบือนข่าวให้มันเป็นความชอบธรรม อีกทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โอเมก้าในครั้งที่แล้วด้วย
   
พวกเขาหลอกลวงประชาชนให้เกลียดชังกันเอง ใช้ความเป็นสื่อของตัวเองในการชี้นำสังคมไปในทางที่ผิด จนทำให้มีคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องตายลงอย่างทรมานโดยที่ตนเองนั้นไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ และมักจะอ้างว่าทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
   
ทั้งๆ ที่เห็นแก่ตัวถึงเพียงนั้น แต่พวกเขาก็ยังได้รับการยอมรับในสังคมเสมอ ทั้งๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของการฆ่าคนบริสุทธิ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พวกเขาก็ไม่คิดที่จะสนใจ และกำลังจะทำให้มันเกิดขึ้นอีก ด้วยการประโคมข่าวปลอมของกลุ่มปฏิวัติไม่หยุดด้วยการสร้างคำใหม่ขึ้นมา
   
‘ปีศาจ’
   
พวกเขาใช้คำนั้นแทนชื่อกลุ่มเหล่านี้อีกครั้ง การเลือกใช้คำนี้ก็ย่อมมีสาเหตุมาจากการที่พวกเขาต้องการลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนกลุ่มนี้ลง พยายามทำให้คนอ่านข่าวรู้สึกว่ากลุ่มคนที่พวกเขาเขียนถึงนั้นไม่ใช่คน ไม่ใช่มนุษย์เฉกเช่นเดียวกับตัวเอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่พวกเขามีสิทธิ์อันชอบธรรมในการกระทำเลวร้ายใส่มากเท่าใดก็ได้ หรือจะฆ่าได้เลยก็ย่อมไม่มีความผิด เพราะพวกเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจที่ต้องการสร้างความแตกแยกให้กับประเทศ อีกทั้งยังเป็นปีศาจที่เป็นสาเหตุของเรื่องเลวร้ายทั้งหมดในประเทศด้วย
   
ความยากจน ความอดอยาก ความเหลื่อมล้ำ ความล้มเหลวใดๆ ของประเทศนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นผลพวงมาจากปีศาจตัวนี้ ปีศาจร้ายที่จะนำพาประเทศไปสู่หุบเหวแห่งความล่มสลาย และหนทางเดียวที่จะหยุดยั้งปัญหาทั้งหมดเหล่านี้คือการฆ่าปีศาจเหล่านี้ซะ
   
การฆ่าเท่านั้นที่จะเป็นคำตอบของการแก้ปัญหานี้ และผู้ที่หาญกล้าฆ่าพวกเขาก็จะรับคำว่า ‘คนดี’ แทนเหรียญตรารางวัลเพื่อความภาคภูมิใจในการกระทำ สนับสนุนให้พวกเขากระทำความรุนแรงอันบ้าคลั่งไม่ชอบธรรมนี้ต่อไป จนกว่าจะไม่มีปีศาจตัวไหนกล้าลุกขึ้นมาแสดงตัวอีก
   
แน่นอนว่ามีเบต้าหลายคนที่ฉุกใจคิดถึงการกระทำของตนเองเหมือนกันว่ามันโหดร้ายเกินไปเหลือเปล่า เพราะหนึ่งในปีศาจเหล่านั้นก็เคยเป็นเพื่อน ญาติ คนรู้จัก หรือแม้แต่ลูกของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ฉุกใจคิดแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เนื่องจากทางรัฐบาลและสื่อได้เตรียมคำตอบให้กับคำถามเหล่านี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
   
‘ไม่มีอะไรที่เราสามารถแก้ไขได้’
   
รัฐบาลและสื่อบอกเช่นนั้นโดยผ่านดารา นักร้อง นักบวช หรือผู้มีอิทธิพลต่อความคิดประชาชนในสักคนในประเทศสักคนเพื่อเพิ่มน้ำหนักของเหตุผลนี้ เพราะพวกเขาไม่กล้าปล่อยให้คนที่มีความคิดอันเป็นปรปักษ์ต่อระบบชนชั้นมีชีวิตอยู่ต่อไป พวกเขาหวาดกลัวว่าหากปล่อยไปแล้วคนที่คล้อยตามสิ่งที่พวกเขาพูดน้อยลงจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนวันใดวันหนึ่งระบบชนชั้นที่พวกเขารักยิ่งชีพมันจะถูกทำลายลงและหายไปตลอดกาล
   
ฉะนั้นพวกเขาจึงพยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อรักษามันไว้โดยไม่สนใจศีลธรรมใดๆ อย่างไรก็ตามศาสนาที่ประชาชนเชื่อถือในประเทศนั้นก็ถูกเขียนขึ้นมาโดยพวกเขาอยู่แล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาต้องเชื่อมันเพราะมันสร้างมันถูกมาโดยน้ำมือมนุษย์ หลักคำสอนหลอกลวงที่เปรียบเสมือนยากล่อมประสาทคอยกล่อมเกลาให้ประชาชนเชื่อว่าความเลวร้ายทั้งหมดทั้งมวลที่ตัวเองประสบอยู่นั้นคือผลกรรมจากชาติก่อน ไม่ใช่เป็นผลของการกดขี่หรือความเหลื่อมล้ำในสังคม และหนทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้คือการมีศรัทธาในอัลฟ่าเท่านั้น
   
เรื่องที่ตลกร้ายกว่านั้นคือมีเบต้านับหมื่นนับแสนที่ยังเชื่อในหลักคำสอนพวกนี้ แต่ชีวิตของตนเองนั้นก็ไม่เคยดีขึ้นเลยแม้แต่วันเดียว
   
ประชาชนในตอนนี้โง่เขลาเกินไป งมงายเกินไป เชื่องเชื่อเกินไป ซึ่งถ้าหากมาในแง่ในรัฐบาลแล้ว นับว่ามันเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เลยทีเดียวที่พวกเขาสามารถผลิตซ้ำประชาชนในตัวแบบที่ตัวเองต้องการได้มากขนาดนี้ และรู้สึกไม่เสียแรงที่สอดแทรกข้อมูลเกี่ยวกับอัลฟ่าลงไปในทุกแขนงวิชา ตั้งแต่อนุบาลยันอุดมศึกษา ทั้งๆ ที่มันไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่ประชาชนต้องรับรู้เรื่องราวพวกนี้
   
เอาเข้าจริงเหล่ากลุ่มปฏิวัติก็ไม่ได้มั่นอกมั่นใจอะไรนักว่าตัวเองจะสามารถเปลี่ยนระบบการปกครองอันโหดร้ายนี้ได้ทันที แต่เหตุผลที่พวกเขายังทำอยู่ก็เพียงเพราะไม่อยากให้ความคิดและอุดมการณ์เหล่านี้ถูกกลืนหายไปกับการเวลาหรือถูกลบไปจากประวัติศาสตร์โดยพวกอัลฟ่า
   
ซึ่งอีกเหตุผลสำคัญเลยคือพวกเขายังศรัทธาใน ‘เสรีภาพและความเท่าเทียม’ และคาดหวังตัวเองนั้นจะเป็นยาหยอดตาให้กับพวกเบต้าที่ยังนัยน์ตามืดบอดเชื่อในอัลฟ่าอย่างไม่เคยนึกสงสัยมาก่อน เพียงเพราะถูกสอนให้เชื่อทันทีและศรัทธาโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ หากเผลอสงสัยขึ้นมาก็อาจจะกลายเป็นตัวแปลกแยกในสังคม

ทั้งๆ ที่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น เพราะการตั้งคำถามควรเป็นเรื่องที่สามารถกระทำได้โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ และถ้าหากสิ่งๆ นั้นดีจริง ทำไมถึงไม่ให้มีการตั้งคำถามหรือสงสัยกัน?

แน่นอนว่าเหล่ากลุ่มปฏิวัติก็รู้สึกสิ้นหวังกันอยู่บ้างที่ผู้ร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นถูกฆ่าตายมากมายถึงเพียงนี้ ทุกคนที่แสดงตัวในที่สาธารณะแทบจะไม่มีใครเลยที่มีชีวิตรอดกลับมา หรือถ้าหนีรอดออกมาได้ก็มีสภาพปางตายและอาจจะตายในอีกไม่กี่วันเพราะไม่สามารถเข้าถึงระบบการรักษาของโรงพยาบาลได้

พวกเขาเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้คิดจะเลิกรา เพราะหลังจากการแสดงตัวสองครั้งก็มีผู้มาเข้าร่วมกลุ่มปฏิวัติของพวกเขามากขึ้น แววตาของเหล่าเบต้ายามที่มองความรุนแรงที่รัฐกระทำต่อประชาชนนั้นมีความหวาดกลัวและเห็นใจ เนื่องจากสิ่งที่เห็นตรงหน้านั้นมันโหดร้ายเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกัน ต่อให้เป็นคนตรงหน้าปีศาจก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่สมควรถูกฆ่า พวกเขาไม่ได้ทำร้ายใครเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงฝ่ายรัฐบาลผู้ป่าวประกาศแสดงตนว่าตัวเองเป็นคนดีนักหนาที่เข่นฆ่าเหล่าผู้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐอยู่ฝ่ายเดียว!
พวกเขาใช้อาวุธ ใช้อำนาจความยุติธรรม ใช้ความเกลียดชัง ทารุณสั่งสอนเหล่าผู้คนที่ถูกตราหน้าว่าปีศาจที่ไร้ซึ่งอาวุธใดๆ ในมือ จนมีผู้บริสุทธิ์ตายนับพันนับแสนคน ยังไม่รวมบางคนที่ถูกลักพาตัวเข้าไปในค่ายและหายตัวไปอย่างลึกลับโดยไม่มีใครรู้ชะตากรรมอีกนับร้อยคน
   
ประเทศนี้เป็นประเทศแบบไหนกันแน่
   
กลุ่มปฏิวัติไม่ว่าจะรุ่นไหนตั้งคำถามนี้มาตลอด และปลอบประโลมกันว่าสักวันมันจะดีขึ้น สักวันพวกเราจะเปลี่ยนแปลงมันได้ สักวันจะมีคนมากพอที่ศรัทธาในอุดมการณ์เดียวกับพวกเขา
   
สักวันหนึ่งที่พวกเขาคาดหวังว่าวันเป็นวันพรุ่งนี้
   
วันที่เบต้าทุกคนจะหลุดพ้นจากความเป็นทาสและได้เสรีภาพกลับคืนมาเสียที

   

“คุณคือทวิชใช่ไหม?”
   
“…”
   
ทวิชที่กำลังยืนสูบบุหรี่หน้าร้านเลิกคิ้วมองเบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทักตัวเองนิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยกับเท่าไหร่ นัยน์ตาคู่สวยมองอีกฝ่ายอย่างเฉยชา รู้สึกเหนื่อยหน่ายกับสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้เต็มทน
   
“อ่า นั่นสินะ ผมควรจะแนะนำตัวเองก่อนสิ” เบต้าคนนั้นหัวเราะเบาๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรน่าหัวเราะ อีกทั้งยังมีท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัด “ผม ผมเป็นตัวแทนจากกลุ่มวันพรุ่งนี้มาชวนคุณให้เข้าร่วมกลุ่มกับเราครับ”
   
“…”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ เชิงให้พูดต่อ ไม่ได้แปลกใจอะไรนักที่ตัวเองจะถูกชักชวน เพราะการกระทำของเขาทุกวันนี้มันก็ไม่ได้ดูเหมือนเบต้าทั่วไปเท่าไหร่ แถมเขายังเคยติดต่อกับกายด้วย
   
ซึ่งคนที่เป็นเบต้าเห็นทวิชดูค่อนข้างคุยง่ายก็พูดด้วยความมั่นใจมากขึ้น
   
“ที่พวกเราตัดสินใจชวนคุณทวิชเพราะเราเห็นว่าคุณทวิชมีศักยภาพพอที่จะช่วยเหลือพวกเราครับ ถึงพวกเราจะเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่มาก แต่คุณทวิชก็มั่นใจได้เลยว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะไม่มีเหมือนครั้งก่อนแน่นอน”
   
“…”
   
ทวิชพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้ ยังคงง่วนอยู่กับการอัดควันเข้าปอดและพ่นมันออกมาอย่างเฉยชา
   
“เราจะประท้วงพวกอัลฟ่าอย่างสันติ เราจะไม่ฆ่าใคร ทำร้ายใคร เหมือนที่พวกมันทำกับเรา เราจะเปลี่ยนวิธีการสื่อสารกับคนไปเรื่อยๆ ไม่ให้พวกอัลฟ่าเดาทางถูก”
   
“..ผมต้องทำอะไร”
   
ทวิชถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
   
เขารู้ดีว่าถ้าอาจับได้ว่าเขาเข้าร่วม เขาคงถูกยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่มีตอนนี้ ทั้งตึกที่เปรียบเสมือนชีวิตของเขา ข้าวข้องต่างๆ ที่เหล่าลูกค้าของเขาได้ฝากฝังเอาไว้ และที่สำคัญที่สุดคือตัวตนของเขา
   
‘สิงหกุลโภชนา’
   
ชื่อร้านที่ถูกสลักไว้บนแผ่นไม้ด้วยตัวอักษรสีทองและแขวนเอาไว้ในร้าน
   
ไม่มีใครรู้ว่าเขาตั้งชื่อร้านแบบนี้เพราะอะไรแม้แต่อาสิงห์ก็ตาม มีแต่เขาและครอบครัวของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาตั้งชื่อร้านนี้เพราะอะไร
   
ทวิชอัดควันเข้าปอดอีกเพื่อความเจ็บปวดตีตื้นขึ้นมาจนเขาทนแทบไม่ไหว
   
เขาคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงน้ำเสียงที่เคยบอกเขาให้เลือกชื่อว่าอยากชื่ออะไรระหว่าง ‘ทวิช’ ที่แปลว่านก กับ ‘สิงหกุล’ ที่มีแปลว่าสิงห์ ซึ่งตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เลือก พ่อกับแม่เลยเรียกเขาทั้งสองชื่อ จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเลือกชื่อทวิช เพราะอยากให้ตัวเองมีอิสรเสรีแบบนก

ส่วนอีกชื่อหนึ่งเขาก็ไม่อยากทิ้งมัน เขาเลยสัญญากับแม่ว่าจะตั้งเป็นชื่อร้านอาหาร เขาจะทำให้มันดังๆ เพื่อที่เขาจะได้เงินเยอะๆ เราจะได้ไม่ต้องมาอดมื้อกินมื้อกันแบบนี้อีก

แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้ว ฝันพวกนั้นก็เป็นได้แค่ฝันกลางวันของเด็กโง่ๆ คนหนึ่ง

“คุณจะคอยทำงานให้กับเรา คุณทวิช เราจะให้คลื่นความถี่ลับที่เราใช้ติดต่อกันให้กับคุณ”

ทวิชยื่นมือไปรับกระดาษและเมื่อพลิกดูก็มีตัวเลขเขียนกับตัวอักษรเขียนกำกับเอาไว้

“ครั้งต่อไปพวกคุณจะทำอะไร”

เบต้าวัยรุ่นยิ้มบาง

“พวกเราจะเล่นละคร”

“เล่นละคร?”

“ใช่ เล่นละครแบบเดียวกับพวกกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อนเล่นนั่นแหละ เราจะเล่นละครพวกนั้นซ้ำอีกครั้งที่จัตุรัสกลางเมืองพรุ่งนี้ พวกเบต้าที่มาซ้อมงานสถาปนาประเทศจะได้เห็นเรา แต่งานนี้ยังไม่ใช่งานของคุณทวิช คุณยังตายไม่ได้ เรายังต้องการคุณสำหรับงานอื่นๆ อยู่”

ทวิชพ่นควันออกมาอีกครั้ง

“พวกคุณวางแผนจะประท้วงไปจนถึงตอนไหน”

“จริงๆ พวกเราก็อยากประท้วงไปเรื่อยๆ จนกว่าจะชนะนะ แต่พวกเราก็รู้ความจริงกันดีว่ามันเป็นไปไม่ได้” เบต้าหนุ่มหัวเราะออกมาเสียงแผ่ว แววตาสิ้นหวัง “เราจะประท้วงกันจนถึงวันสถาปนาประเทศ ถ้าจนถึงวันนั้นแล้วยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พวกเราก็จะยอมแพ้ เพราะถ้าถึงตอนนั้นจริงๆ เราก็คงไม่น่าจะมีอะไรเหลือแล้ว”

“..คุณจะยอมแพ้พวกมันจริงๆ เหรอ”

ทวิชถามเสียงแผ่ว รู้สึกเสียดายโอกาสเพราะถ้ารอบนี้จบลง เขาก็ไม่รู้ว่ากลุ่มปฏิวัติครั้งหน้าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งที่เขากลัวที่สุดคือครั้งนี้อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าลุกขึ้นมาทำอะไรก็ได้

“คุณก็รู้ดีว่าประเทศนี้มันเป็นยังไง เอาเข้าจริงต่อให้ผมไม่ยอมแพ้ จนถึงตอนนั้นคนก็น่าจะตายไปกันหมดแล้ว”

“…”

“ผมถึงได้ทุ่มทุกอย่างกับการปฏิวัติครั้งนี้ไง วันนี้ก็น่าจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมได้คุยกับคุณ เพราะพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปแสดงละครที่นั่น”

ทวิชพูดอะไรไม่ออก รู้สึกหดหู่ที่ช่วงนี้เขาต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียบ่อยเหลือเกิน ทั้งจากคนใกล้ตัวและไม่ใกล้ตัว แต่อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ที่สูญเสียไปนั้นก็เป็นชีวิตคนบริสุทธิ์ทั้งนั้น

“คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกอะไรนะ คุณทวิช เพราะมันเป็นความตายที่ผมยอมรับได้” เพราะกลัวว่าทวิชจะคิดมาก เบต้าหนุ่มจึงลนลานพูดต่อ “ถ้าการแสดงละครของผม มันทำให้พวกเบต้าตาสว่าง ผมก็ยินดีทำมัน”

“มันไม่มีใครสมควรตายเพราะแสดงละคร”

“พวกอัลฟ่าไม่สนใจหรอกเรื่องนั้น คุณทวิช” เบต้าหนุ่มหัวเราะเบาๆ “เอาเป็นว่าผมถือว่าคุณตกลงเข้าร่วมกลุ่มแล้ว หลังจากนี้คุณก็รอฟังข่าวจากวิทยุแล้วกัน เพราะหลังจากนี้จะไม่มีใครมาหาคุณอีก ถ้ามีใครมา ผมให้คุณสงสัยได้เลยว่าไม่ใช่กลุ่มพวกเราแน่ๆ ”

“…”

ทวิชพยักหน้าเบาๆ เชิงรับรู้ ซึ่งเบต้าวัยรุ่นก็กล่าวลาสั้นๆ และขอตัวกลับไปซ้อมละครสำหรับวันพรุ่งนี้ ทิ้งให้ทวิชยืนอยู่คนเดียวอีกครั้ง

ทวิชเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ยังคงครึ้มฝนด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง

เขาเลือกข้างไปแล้ว



“ช่วงนี้คุณระวังตัวหน่อยนะ”

“…”

ทวิชเหลือบมองเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มานั่งเล่นในร้านเขาอย่างถือวิสาสะโดยอ้างว่ามาตรวจดูความเรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วคือตั้งใจมายุ่มย่ามกับเขาโดยเฉพาะ

“ฟังผมอยู่ไหมเนี่ย ผมอุตส่าห์มาเตือนคุณเลยนะ แล้วไอ้บริการหลับสบายอะไรของคุณเนี่ยก็เลิกไปก่อน ตอนนี้เบื้องบนจับตาดูทุกเขตเลย ถ้าขืนยังทำต่อไป คุณได้อยู่ไม่เป็นสุขแน่ ผมรับประกันเลย”

เพราะเพิ่งไปไล่จับโจรเบต้ามา ชนินทร์หรืออัลฟ่าหมาป่าจึงยังคงอยู่ในร่างกึ่งร่างต้นอยู่ หูทั้งสองข้างยังคงตั้งชันปกติ แต่พวงหางที่ทวิชมองไม่เห็นนั้นตกลงอย่างหงอยๆ เพราะทวิชไม่สนใจตัวเองเลยสักนิด

“คุณไม่มีอะไรให้ผมกินเลยเหรอ ผมก็อยากกินมั้งนะ”

รอบนี้แม้แต่หูของชนินทร์ก็ลู่ลง ไม่เหลือท่าทีน่าเกรงขามของพวกอัลฟ่าเลยแม้แต่นิดเดียว พร้อมทำหน้าหมาหงอยใส่ทวิชอย่างน่าสงสาร

“กินเสร็จผมไปเลย ไม่อยู่กวนใจคุณแน่นอน”

แน่นอนว่าชนินทร์ได้กลิ่นอาหารที่เหมือนเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ จากในครัว ก็เลยลองอ้อนทวิชดูเผื่อว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนบ้าง เขาไม่เชื่อหรอกว่าทวิชจะใจร้ายซื้ออาหารเม็ดมาให้เขากินจริงๆ

“นะ คุณทวิช ถ้ามีข่าวอะไรจากเบื้องบน ผมจะมาบอกคุณคนแรกเลย”

“..รีบกินแล้วก็ไสหัวไปแล้วกัน”

ทวิชกลอกตาใส่อย่างรำคาญ ยอมเดินไปหลังร้านแล้วตักซุปเห็ดกับขนมปังกลับมาให้ชนินทร์ด้วยสีหน้าไม่จำยอมนัก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อลองชั่งน้ำหนักในใจถึงความคุ้มค่ากับการผูกมิตรคนของทางการ ก็พบว่ามันก็คุ้มค่ามากพอ

เขายังต้องการข่าววงในอยู่ ต้องการรู้ความเคลื่อนไหวของทางการ เพราะส่วนหนึ่งของการปฏิวัติครั้งนี้ขึ้นอยู่กับความข่าว ใครรู้ข่าวของอีกฝ่ายมากกว่า ฝ่ายนั้นก็ได้เปรียบ

“น่ากินจัง”

ชนินทร์กระดิกหางอย่างตื่นเต้น และพอมองข้อนิ้วที่ว่างเปล่าของทวิชก็ตื่นเต้นกว่าเดิม

“คุณโสดแล้วใช่ไหม ทวิช งั้นผมก็จีบคุณได้สิ”

“ผมมีคู่แล้ว แล้วคู่ผมก็ยืนอยู่ตรงนั้น”

ทวิชพยักพเยิดไปนอกร้าน ซึ่งเป็นกันต์ที่กำลังรดน้ำต้นไม้ให้อยู่

“อย่าโกหกผมเลยน่า เด็กนั่นไม่ใช่แฟนคุณหรอก” ชนินทร์ยิ้มแล้วหยิบขนมปังจิ้มซุปและกัดเข้าไปคำนึง “ผมเป็นตำรวจนะคุณ ผมดูออกว่าเด็กนั่นมาจากศูนย์รับเลี้ยง”

ทวิชถอนหายใจใส่แรงๆ เอาเข้าจริงเขาก็ไม่อยากพาดพิงถึงกันต์ แต่ไอ้ตำรวจนี้ก็ไม่เลิกสนใจเขาสักที ไม่รู้ว่าจะสนใจอะไรเขานักหนา

“ผมไม่สนใจอัลฟ่าอย่างพวกคุณ”

“ทำไมล่ะ คบกับอัลฟ่ามีอนาคตกว่าคบกับเด็กนั่นนะ แล้วผมก็มั่นใจว่าถ้าคุณคบกับผม ผมจะพาคุณออกจากที่ห่วยๆ นี่ได้แน่ๆ เขตบ้าอะไรไม่รู้ มีแต่พวกเบต้าติดยากับขอทานเต็มไปหมด”

“แล้วคุณรู้ไหมล่ะ ว่าทำไมพวกเขาถึงติดยา”

ทวิชแค่นเสียงหัวเราะตอนที่เห็นชนินทร์ตอบไม่ได้

“มันเป็นทางเดียวที่ทำให้พวกเขาลืมความเจ็บปวดไง คุณตำรวจ เพราะรัฐบาลของคุณทอดทิ้งพวกเขา ปล่อยให้พวกเขาตกงาน อดอยาก แล้วก็เจ็บปวด อ้อ แล้วคุณรู้ไหมที่ผลิตยาพวกนี้มันอยู่ที่ไหน”

ทวิชตอนนี้คล้ายกับสติหลุดไปชั่วขณะหนึ่ง พรั่งพรู่ทุกอย่างที่ซุกซ่อนเอาไว้ในใจออกมา และพูดมันด้วยแววตาเกลียดชังจนคล้ายกับว่าชนินทร์นั้นเป็นตัวแทนของพวกอัลฟ่าทั้งหมด

“ศูนย์เภสัชกรรมของพวกอัลฟ่าไง คิดว่าพวกเบต้าธรรมดาๆ จะมีปัญญาหาสารตั้งต้นยาพวกนี้เหรอ แล้วถ้าคุณคิดว่าผมหลอกคุณก็แล้วแต่คุณเถอะ จะเชื่อไอ้บทเรียนโง่ๆ กับไอ้โฆษณาชวนเชื่อที่ล้างสมองคุณตลอดเวลาก็ตามใจ เอาสิ จะจับผมไหมล่ะ คุณชนินทร์ ยิงผมเลยก็ได้ ผมไม่โกรธ”

ปกติทวิชมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเสมอ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาช่วงนี้มันมาเกินไปจนเขาแทบจะรับมันไม่ไหวจริงๆ

เขายอมรับว่าเขาคงทำใจไม่ได้ถ้าต้องสูญเสียร้านของเขาไป การปฏิวัติมันสำคัญกับเขา แต่ร้านของเขาก็สำคัญกับเขามากเหมือนกัน เขาไม่อยากจะสูญเสียมันทั้งสองอย่าง แต่ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่อาจะปล่อยร้านเขาไป

เขาเจ็บปวดมาก เพราะสถานที่แห่งนี่เป็น ‘บ้าน’ หลังเดียวที่เขาเหลืออยู่ หอพักที่เขาเคยอยู่กับพ่อแม่ตอนเด็กๆ ตอนนี้ก็ถูกทำลายไปแล้ว ที่ทางทั้งหมดทั้งของฝ่ายพ่อและแม่ก็โดนยึดเป็นของอัลฟ่าไปหมด ส่วนตึกนี้เขาก็ตัดสินใจซื้อมันหลังจากที่ออกมาจากการดูแลของอาสิงห์

เขาอยู่ที่นี่มาเกือบสี่ปีแล้ว มันอาจจะไม่ใช่ที่ที่ดีมาก แต่มันก็เป็นบ้านของเขา เป็นที่ซุกหัวนอนแห่งเดียวที่อนุญาตให้เขาอยู่

“..คุณเป็นพวกกบฏเหรอ”

ชนินทร์พูดเสียงเบา รู้สึกตกใจความจริงที่เพิ่งรู้ตอนนี้มาก เพราะไม่เคยเจอกบฏที่เป็นอัลฟ่ามาก่อน

“อืม ผมเป็นกบฏ ยิงเลย ผมจะได้ตาย มันจะได้จบๆ แล้วเชิญคุณอยู่ในประเทศห่วยแตกที่ไม่มีวันเจริญนี่ต่อไปเถอะ”

ทวิชแค่นเสียงหัวเราะจ้องชนินทร์ตาเขม็ง ไม่หวาดกลัวต่อความตายสักนิด

“ใจเย็นก่อน คุณทวิช ผมไม่ยิงคุณแน่ๆ คุณ คุณต้องโดนพวกมันล้างสมองมาแน่เลย ใช่ มันต้องใช้คลื่นอะไรสักอย่างสะกดจิตคุณแน่ๆ คุณได้อ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เมื่อเช้าไหม”

“แล้วคุณเชื่อเหรอ?” ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ “รู้รึยังว่าตอนนี้ดวงอาทิตย์ไม่ได้หมุนรอบโลก”

“ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย ผมเป็นห่วงคุณนะคุณทวิช ส่วนเรื่องเมื่อกี้ผมจะถือว่าผมไม่ได้ยินก็แล้วแต่กัน แต่ผมขอเตือนคุณเลยว่าพวกเบต้าที่มันออกมาประท้วงอะไรนี่มันต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ มันคิดกันเองไม่ได้หรอก”

“ทำยังไง พวกคุณถึงจะเลิกโง่นะ”

ทวิชพูดออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย ส่วนชนินทร์ก็ขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม

“ผมไม่ได้โง่สักหน่อย ทวิช ผมสอบได้ท็อปทุกวิชาเลยนะ แล้วอีกอย่างที่คุณพูดเมื่อกี้มันก็ไร้สาระทั้งนั้น มันจะเป็นไปได้ยังไงที่รัฐบาลจะเป็นคนขายยาให้กับพวกเบต้าเอง”

“คุณรู้อยู่แก่ใจ คุณตำรวจ”

ทวิชยิ้มบาง
   
“คุณก็แค่ไม่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น กลัวว่าความเชื่อตลอดอายุยี่สิบสามสิบปีของคุณมันพังทลาย แต่เชื่อผมเถอะว่า ถ้าคุณรู้ความจริงของเรื่องพวกนี้แล้ว คุณจะดีใจมากกว่าเสียใจ”
   
“คุณชักจะพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ”
   
“งั้นก็ฆ่าผมสิ ฆ่าอย่างที่พวกอัลฟ่าชอบทำกัน ไม่อยากเป็นคนดีเหรอ ชนินทร์ คุณจะปล่อยให้กบฏอย่างผมมีชีวิตต่อจริงๆ เหรอ”
   
ชนินทร์ตอนนี้หน้าซีดมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มือเผลอเอื้อมไปจับด้ามปืน แต่ก็ไม่มีความคิดที่จะยิงทวิชเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะนอกจากคำพูดที่ดูคุกคามแล้วทวิชก็ไม่ได้มีท่าทีจะทำร้ายเขา
   
หรือว่าที่ทวิชพูดจะเป็นความจริง?
   
ชนินทร์ครุ่นคิดอย่างงุนงง ซึ่งวินาทีถัดมาเขาก็แย้งกับทวิชในใจทันที เพราะอัลฟ่าที่เขารู้จักไม่ทำอะไรที่ชั่วร้าย เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับสังคม อีกทั้งยังรักความยุติธรรมด้วย
   
เอาเข้าจริง สิ่งที่พวกกบฏจะเป็นความจริงได้ยังไงกัน ทวิชก็แค่ถูกล้างสมองเท่านั้น เขาต้องหาทางช่วยทวิชก่อนที่ทวิชจะถลำลึกลงไปมากกว่านี้!
   
“ไม่ต้องห่วงนะ ทวิช ผมจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ผมจะหาทางช่วยคุณให้ได้”
   
เพราะความตึงเครียดตอนนี้ทำให้ลิ้นของชนินทร์แทบไม่รู้รสสิ่งที่ตัวเองกิน ทั้งๆ ที่ตอนแรกรู้สึกว่ามันอร่อยมากๆ และตั้งใจจะชมทวิช ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังอยากชมนะ แต่มันก็ไม่ใช่เวลาที่เหมาะเท่าไหร่
   
“แล้วแต่คุณ”
   
ทวิชกลอกตาและรู้สึกเสียดายเวลาที่ตัวเองอุตส่าห์อธิบายให้ชนินทร์ไปเมื่อกี้ แต่เอาเข้าจริงมันก็เป็นอะไรที่พอจะเดาได้อยู่แล้ว พวกที่โดนล้างสมองมาตั้งแต่เกิด จะให้กลับมาตาสว่างมันก็ยากอยู่หรอก ไม่อย่างนั้นพวกเบต้าก็คงจะตาสว่างกันทั้งประเทศแล้ว
   
“แต่ที่ผมสัญญากับคุณเรื่องข่าว ผมจะให้จริงนะ”
   
“…”
   
ทวิชเงียบไม่รู้จะตอบอะไร เพราะค่อนข้างกับงงกับเจ้าหมานี่พอตัว ทั้งๆ รู้ว่าเขามีใจฝักใฝ่เข้าข้างพวกกบฏก็ยังจะมาให้ข่าวจากฝั่งตัวเองอีก
   
“ผมเชื่อว่าคุณเป็นคนดีทวิช คุณไม่ใช่กบฏหรอก คุณก็แค่ถูกพวกมันหลอกใช้”
   
ชนินทร์ยัดขนมปังที่เหลือเข้าปาก แล้วจัดการซุปที่เหลือทั้งหมดในคราวเดียว ซึ่งพอกินหมดก็หยิบหมวกตำรวจที่วางพาดไว้บนเก้าอี้มาใส่อีกครั้ง และยิ้มให้ทวิช
   
“อาหารของคุณอร่อยสมคำเล่าลือ ทวิช เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะหาอะไรมาฝากคุณนะ”
   
อัลฟ่าหมาป่าโน้มหัวอีกรอบเชิงขอบคุณ ก่อนที่จะเดินออกจากร้านไป ไม่รอให้ทวิชพูดอะไร เพราะรู้ดีว่าคงจะไม่วายถูกอีกฝ่ายเอ็ดอีกแน่ๆ
   
“..หมาเวร”
   
ทวิชสบถเซ็งๆ
   
นี่เขาต้องทนไอ้หมาบ้าไปอีกนานเท่าไหร่กัน?
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 8 : เลือกข้าง 18 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 18-11-2019 20:45:59
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 8 : เลือกข้าง 18 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 18-11-2019 21:23:34
เศร้าจัง
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 8 : เลือกข้าง 18 พ.ย 62 p.2
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 18-11-2019 21:56:21
 :pig4:
รออ่านต่อค่ะ
 :3123:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 9 : แสดงละคร 21 พ.ย 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-11-2019 00:53:08
ตอนที่ 09

   
การซ้อมวันสถาปนาประเทศในภาคประชาชนนั้นส่วนใหญ่คนที่มาจะมาจากการเกณฑ์จากหน่วยงานภาครัฐต่างๆ นักเรียน นักศึกษา และอาสาสมัครอีกส่วนหนึ่ง สาเหตุที่รัฐบาลต้องเกณฑ์นั้น เพราะเบต้าปกติโดยทั่วไปแล้ว ถ้ามีโอกาสหลีกเลี่ยงงานนี้ได้ก็จะหลีกเลี่ยง เนื่องจากจะต้องซ้อมก่อนวันงานนับสิบครั้งท่ามกลางอากาศร้อนจัดในเดือนกันยายน เพื่อที่จะให้วันสถาปนาประเทศในวันที่ x เดือนตุลาคม นั้นออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
   
แน่นอนว่าถึงแม้จะศรัทธาในอัลฟ่ามากแค่ไหน แต่มันก็ยังมีขอบเขตของความจงรักภักดี
   
พวกเขาอาจจะศรัทธาในอัลฟ่ามากก็จริง แต่มันก็ไม่ใช่ทุกคนที่ยินยอมตากแดด ยอมโดนบังคับให้เดินสวนสนามพร้อมกับถือป้ายโฆษณาชวนเชื่อ และนอกจากนี้พวกเขายังต้องตะโกนร้องเพลงออกมาด้วยสีหน้ายินดีอีก
   
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีผู้ที่รอดพ้นก็ย่อมมีผู้ที่ไม่รอดพ้น
   
เหล่าเบต้าที่มาซ้อมงานกันในวันนี้ แม้ว่าส่วนใหญ่จะมีสีหน้ายินดีที่ได้ทำสิ่งที่ ‘ดี’ เพื่อประเทศ แต่อีกหลายส่วนก็มีสีหน้าไม่เต็มใจนักกับการยืนตากแดดร้อนจัดเฝ้ารอสัญญาณจากเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง
   
เอาเข้าจริงลึกๆ ในใจพวกเขาก็มีคำถามอยู่มากมายว่าทำไมตัวเองถึงต้องมายืนอยู่ตรงนี้ ทั้งๆ ที่การแสดงความรักความจงรักภักดีนั้นสามารถแสดงออกได้หลายทาง และที่แน่นอนที่สุดคือไม่ใช่การชี้หน้าด่าคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีเพราะไม่ยอมทำตามคำสั่งของอัลฟ่า
   
พวกเขารักในอัลฟ่าก็จริง แต่ก็เหนื่อยเหลือเกินกับการที่ต้องใช้ชีวิตแบบนี้
   
ถึงแม้จะได้รับเงินชดเชยสำหรับการเข้าร่วมงาน แต่มันก็ไม่คุ้มค่าอยู่ดีกับการเสียโอกาสที่จะได้พักผ่อน หรือการได้ทำงานประจำของตัวเองที่อาจจะให้เงินมากกว่าเงินชดเชย แน่นอนว่าพวกเขาพูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิ์ให้พูด แม้แต่การคิดในใจก็ถือว่าเป็นบาปแล้วด้วยซ้ำ
   
สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็มีแต่ยินยอมทำมันให้จบๆ ไป เพื่อที่ตัวเองและครอบครัวจะไม่เดือดร้อน
   
เหล่าเบต้าในเวลานี้จึงยืนสงบนิ่งกันอย่างนิ่งงัน เฝ้ารอสัญญาณเพลงอย่างเบื่อหน่าย จนกระทั่งอยู่ๆ ก็มีเบต้ากลุ่มนักศึกษากลุ่มหนึ่งวิ่งขึ้นไปบนเวทีว่างเปล่า และมีอีกหลายกลุ่มที่วิ่งไปยังจุดต่างๆ กระจายกันออกไปเพื่อที่ละครที่พวกเขาเล่นนั่นจะได้มีคนเห็นมากที่สุด
   
และเพราะความสะเพร่าของอัลฟ่าที่มีส่วนรับผิดชอบในงานนี้ ตอนนี้จึงยังไม่มีใครจับได้ว่าได้มีเหตุการณ์ที่ไม่ได้อยู่ในแผนขึ้น เหล่าเบต้าที่ออกมาจากกลุ่มนั้นจึงยังมีเวลาหายใจหายคออยู่บ้าง และเริ่มการแสดงละครของตัวเองในทันทีเพื่อไม่เป็นการเสียเวลา
   
กลุ่มเบต้าในคณะละครกระชากเครื่องแบบที่ทางการจัดให้ออก เผยให้เสื้อผ้าภายในซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าของอาชีพต่างๆ ทั้งชาวนา กรรมกร นิสิตนักศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยพวกเขาแสดงท่าทีคล้ายกับพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง กราบกรานอ้อนวอนขอความเป็นธรรมให้กับตัวเอง
   
แต่เบต้าที่แสดงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐนั้นก็ทำเพียงแค่มองเมินอย่างไม่ใส่ใจ และผลักชาวนาคนนั้นออก ก่อนที่จะใช้ปืนที่ทำขึ้นจำลองขึ้นมาลวกๆ จากลังกระดาษยิงใส่จนชาวนาคนนั้นตายบนพื้นอย่างอเนจอนาถ เหล่ากรรมกรและนิสิตนักศึกษาต่างโกรธเคืองพยายามจะวิ่งเข้ามาช่วยห้าม แต่สุดท้ายก็โดนยิงตายกันหมด
   
“…”
   
เบต้าวัยกลางคนคนหนึ่งที่ไม่มีส่วนเกี่ยวของกับคณะละครกลุ่มนี้น้ำตารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกหนักอึ้งในใจเพราะมันเป็นความจริงที่เคยเกิดขึ้นตอนที่เกิดการปฏิวัติครั้งที่แล้ว
   
มีแกนนำชาวนา และกลุ่มแรงงานตายจริงๆ ด้วยวิธีอันหลากหลาย บ้างก็ถูกลักพาตัวจนหายสาบสูญ บ้างก็โดนลอบสังหารตอนที่เดินขบวนประท้วงอยู่ แต่ทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ตายดีกันทั้งนั้น
   
การแสดงละครของเบต้ากลุ่มนี้นั้นทำให้เขาเหมือนภาพเหล่านั้นฉายซ้ำขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็น่าเจ็บปวดตรงที่เขาเกือบจะลืมเหตุการณ์เหล่านี้ไปแล้ว
   
เหตุการณ์ที่ทางรัฐบาลเคยกระทำต่อประชาชนของตัวเองอย่างทารุณ
   
ละครของกลุ่มเบต้านั้นคล้ายจะจบลงแต่ก็ยังไม่จบลงสักทีเดียว เพราะหลังจากที่เหล่าเบต้าบทบาทต่างๆ ในละครนั้นตายกันหมดก็มีเบต้าอีกบางส่วนซึ่งอยู่ในกลุ่มละครเช่นเดียวกันทำท่าคล้ายกับทนเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ วิ่งออกมาห้ามเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้น บางคนก็โดนยิง แต่ก็มีบางคนที่เข้าถึงตัวและแย่งชิงปืนนั้นมาได้
   
ทุกคนล้วนแล้วแต่คิดว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนนั้นต้องโดนยิงแน่ๆ แต่วัตถุประสงค์ของกลุ่มวันพรุ่งนี้มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น การแสดงจึงจบลงที่การควบคุมตัวเจ้าหน้าที่รัฐและการแสดงความปราชัยของกลุ่มเบต้าที่สามารถเอาชนะเจ้าหน้าที่รัฐได้
   
แน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาความรุนแรงด้วยวิธีสันตินั้นก็เหมือนกับการฝันกลางวัน พวกกลุ่มปฏิวัติรู้กันดี แต่พวกเขาก็ยังยืนหยัดเพราะไม่อยากให้มีคนตายไปมากกว่านี้ มีคนตายมามากเกินพอแล้วจริงๆ สำหรับประเทศนี้
   
ปัง!
   
แต่น่าเสียดายที่แนวคิดนี้ก็คิดกันอยู่แค่ฝ่ายเดียว
   
เหล่ารัฐบาลผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาและความยุติธรรมไม่คิดเช่นนั้นจึงมอบกระสุนจริงให้ทันทีโดยไม่มีการประนีประนอมใดๆ
   
เบต้าวัยรุ่นคนหนึ่งบนเวทีตายทันที ซึ่งส่วนที่เหลือก็หนีเอาชีวิตกันจ้าละหวั่น แต่ก็มีบางส่วนที่ทนไม่ไหวกับความรุนแรงตรงหน้า คืนร่างต้นและพยายามแย่งปืนจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่ให้ยิงคนอื่นต่อ
   
จากวันซ้อมที่แสนน่าเบื่อหน่าย ตอนนี้กลับกลายเป็นการวันนองเลือดอีกครั้ง เหล่าอัลฟ่าที่รู้ถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏแล้วต่างตะโกนด่าทอกันเสียงดังลั่น ข่มขู่เหล่าเบต้าธรรมดากันอย่างเดือดดาล จนมีเบต้าธรรมดาบางคนทนไม่ไหวพุ่งเข้าไปแย่งปืนและยิงกลับโดยเลี่ยงจุดสำคัญด้วยความโกรธแค้น
   
“เลิกฆ่าประชาชนสักที!”
   
เบต้าคนนั้นคำรามก่อนที่จะโดนห่ากระสุนยิงใส่ในเวลาต่อมา เพราะปืนในมือเหล่าอัลฟ่านั้นไม่ได้มีแค่กระบอกเดียว พวกเขามีนับร้อยพันนับหมื่นกระบอกที่พร้อมใช้ตลอดเวลาด้วยเงินภาษีจากประชาชน และพร้อมส่งคืนภาษีเหล่านั้นผ่านลูกตะกั่วอย่างเท่าเทียม
   
“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ!”
   
หนึ่งในเบต้ากลุ่มคณะละครที่ยังรอดชีวิตตะโกนขึ้นมา ก่อนที่มันจะถูกตะโกนต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับซึมลึกเข้าไปในใจเบต้าบางคนที่ยังคงมีจิตใจฝักใฝ่กับพวกอัลฟ่าอยู่
   
เสรีภาพ..
   
พวกเขาแทบไม่ได้ยินคำนี้มานานมากแล้วนับตั้งแต่การปฏิวัติครั้งล่าสุด สิ่งเดียวที่พวกรู้จักและคุ้นเคยกันดีมีเพียงการทำตามคำสั่งอัลฟ่าโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ซึ่งมันแทบทำให้พวกเขาจดจำไมได้แล้วว่ามันมีความหมายว่ายังไง
   
แน่นอนพวกเขาไม่เข้าใจกลุ่มกบฏเลยสักนิดว่ามันคุ้มค่านักเหรอ กับการยอมสละชีวิตตัวเพื่อเสรีภาพพวกนี้ ราคาของเสรีภาพที่พวกเขาต้องการมันแพงเกินไปหรือเปล่า ทำไมมันถึงต้องจ่ายด้วยชีวิตของตัวเองกัน
   
“อย่าไปฟังพวกมัน!!! พวกมันโดนสะกดจิตมา!!!”
   
อัลฟ่าตำแหน่งสูงคนหนึ่งขึ้นไปบนเวทีในร่างต้นซึ่งเป็นร่างของสิงโตหรือ ‘สัญลักษณ์’ ของอัลฟ่า และตะโกนก้องออกมาด้วยเสียงทั้งหมดของตัวเอง
   
“เสรีภาพที่พวกมันต้องการเป็นแค่ของหลอกลวง!! เป็นความคิดดัดจริตของพวกนอกรีต!!! อัลฟ่าของเราต่างหากที่เป็นขอจริง!! คิดว่าพวกเราจัดงานนี้ขึ้นเพื่อใคร เพื่ออัลฟ่าของเรา เพื่อประเทศของเรา!! ถ้าหากไม่มีอัลฟ่า ประเทศนี้ก็ไปไหนไม่ได้หรอก!!”
   
“…”
   
เบต้าบางส่วนที่โดนต้อนเอาไว้ไม่ให้หนียืนฟังด้วยสีหน้านิ่งเฉย แต่ในใจคือสุมไปด้วยความสับสนและคำถามเต็มไปหมด
   
ประเทศที่ปกครองด้วยอัลฟ่านั้นเป็นประเทศที่ดีอย่างที่พวกอัลฟ่าพูดจริงๆ งั้นเหรอ? แล้วทำไมพวกเขาถึงยังยากจนอยู่ละ ทำไมถึงยังต้องอดมื้อกินมื้อ ไร้ความคาดหวังในความก้าวหน้าด้านอาชีพการงานเพราะเป็นแค่เบต้าธรรมดา ไหนจะเรื่องระบบขนส่งสาธารณะที่ขึ้นราคาทุกปีแต่คุณภาพเท่าเดิมอีก แถมทางเท้าที่พวกเขาต้องเดินทุกวันก็โครตห่วยแตกเมื่อเทียบกับเขตที่พวกอัลฟ่าอยู่กัน
   
ถ้าจะบอกว่าประเทศที่อัลฟ่าปกครองนั้นดีที่สุด สู้บอกว่าห่วยแตกที่สุดยังน่าจะฟังมากกว่า
   
แน่นอนว่าพวกอัลฟ่าก็มีวิธีกลบเกลื่อนความล้มเหลวของตัวเองด้วยการเอาค่า GDP (ผลิตภัณฑ์รวมในประเทศ) หรือเอาตัวเลขทางเศรษฐกิจหลอกๆ มาหลอกประชาชนโง่เขล่าในประเทศ ปั้นตัวเลขขึ้นมาสักตัวเลขหนึ่งแล้วก็อ้างมันตลอด ทั้งๆ ที่ความจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ทุกคนกำลังจะอดตาย แถมยังอดตายในประเทศที่ขึ้นชื่อว่าสมบูรณ์ที่สุดในโลกด้วย
   
ตลกร้ายเหลือเกินที่พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศที่มีทรัพยากรมากมาย แต่ทรัพยากรเหล่านั้นกลับถูกใช้หล่อเลี้ยงเพื่อความมั่งคั่งของคนเพียงกลุ่มเดียว
   
“ใครที่คิดจะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏมีโทษสถานเดียวคือตายเท่านั้น!!! เราจะยอมให้พวกกบฏมาทำลายประเทศเราไม่ได้!”
   
ยิ่งอัลฟ่าที่ยืนอยู่บนเวทีพูดมากเท่าไหร่ เบต้าบางส่วนก็โกรธยิ่งเท่านั้นจนในที่สุดพวกเขาก็ระเบิดออกมา
   
“เออจะตายก็ตาย!!! กูไม่ทนแล้ว!!”
   
พวกเขาโยนป้ายในมือทิ้ง ตะโกนกลับแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องออกมาอย่างชัดเจน
   
“แกไม่มีวันฆ่าเราหมดหรอก!!”
   
เบต้าส่วนหนึ่งคืนร่างต้นแล้วกู่ร้องออกมา พุ่งเข้าไปไปแย่งกระบอกปืนแล้วยิงกลับ ไม่ไยดีชีวิตตัวเองอีกต่อไป เพราะต่อให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปมันก็เฮงซวยเหมือนเดิม
   
“พวกเราจะหลุดพ้นจากความเป็นทาส!!! เราจะสั่งสองพวกอัลฟ่าว่าพวกมันไม่ได้ดีไปกว่าเรา!!!”
   
ปัง!!
   
“หุบปาก!!”
   
สุดท้ายความชุลมุนและแรงต่อต้านก็เกิดขึ้นตามที่กลุ่มปฏิวัติต้องการ เริ่มมีกลุ่มเบต้าจำนวนหนึ่งแสดงตัวเข้าร่วมเพราะอัลฟ่าได้ทำลาย ‘ฟาง’ เส้นสุดท้ายนั้นด้วยตัวเอง
   
พวกเขาประเมินความโกรธของผู้คนต่ำเกินไป



   
[ …จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ.. สนามกีฬาxx เราจะไปที่นั้นอีกครั้ง ในวันพรุ่งนี้.. ]
   
“…”
   
หลังจากที่ปรับวิทยุเสร็จทวิชก็ขมวดคิ้วเพราะพบว่าในคลื่นความถี่นั้นนั้นไม่มีพูดคุยกัน นอกจากการกลอเสียงหนึ่งซ้ำๆ ไม่หยุด
   
วันพรุ่งนี้?
   
ทวิชถอนหายใจและนั่งลูบปีกตัวเองอย่างเผลอไผล
   
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตั้งแต่ที่โดนเกรซทัก เขาก็เริ่มรู้สึกอยากบิน ทั้งๆ ก็แทบจะจดจำวิธีการบินไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ และมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ด้วยที่เขาจะบินได้ในวันพรุ่งนี้
   
โอเมก้ายังคงเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศนี้ หากเขาบินจริงๆ ก็คงจะตายทันที ซึ่งเขาก็ไม่อยากให้ตัวเองต้องตายเปล่า เขาคิดว่าตัวเองยังทำอะไรได้มากกว่านั้น
   
“…จริงสิ”
   
ทวิชยิ้มออกมาเมื่ออยู่ๆ ก็นึกออกว่ายังมีวิธีทำให้เขาบินได้
   
ร่างโปรงของทวิชจึงค่อยๆ ส่งเสียงกระดูกดังลั่น ค่อยๆ ตัวเล็กลงจนกลายเป็นอีกาสีดำขลับตัวหนึ่งที่ตัวใหญ่กว่านกทั่วไปนิดหน่อย มันก้าวเดินสองสามก้าวเพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างต้นที่ไม่ได้คืนมานาน ก่อนที่จะพยายามตีปีกบินขึ้นไปบนตู้ข้างบน
   
กา กา
   
ทวิชร้องออกมาอย่างหงุดหงิดเพราะเขาบินได้เตี้ยและห่วยแตกมาก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขาคุ้นชินกับร่างเสือดำมากกว่า
   
ให้ตายสิ มันบินยังไงนะ
   
ทวิชพยายามตีปีกอยู่สองสามครั้งซึ่งก็บินถึงแค่เตียง แต่เหนื่อยก่อนเลยนอนซบบนเตียงทั้งร่างนก และเผลอหลับไปโดยที่ลืมไปเลยว่านอกจากตัวเองแล้ว ช่วงนี้ยังมี ‘เพื่อน’ ร่วมห้องอีกคนที่มาอาศัยอยู่ด้วย
   
“…”
   
กันต์ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปิดประตูเข้ามาในห้องชะงักทันทีเมื่อไม่เห็นทวิชนอนบนเตียง แต่พอมองหาก็พบว่าทวิชนั้นอยู่ในร่างต้นและมุดเข้าไปใต้ผ้าห่มแล้วโผล่ออกมาเห็นเพียงแค่ปลายหางของพวกนก
   
แน่นอนว่ากันต์รู้ขอบเขตของตัวเองดี จึงปิดไฟและไปล้มตัวนอนลงบนฟูกที่อยู่อีกมุมห้อง ซึ่งเป็นที่ๆ ทวิชนั้นจัดเตรียมไว้ให้เขานอนด้วยอย่างใจดี ทั้งๆ ที่สามารถให้เขาไปนอนที่อื่นที่ไม่ใช่ห้องตัวเองก็ได้
   
เพราะยังไม่ค่อยง่วงกันต์จึงนอนดูหางของทวิชที่ขยับขึ้นลงเหมือนกับกำลังฝันอะไรสักอย่างอยู่อย่างเพลินตา
   
เอาเข้าจริง เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทวิชถึงใจดีกับคนแปลกหน้านัก
   
ขอแค่รู้ว่าเป็นเบต้าที่สิ้นหวังสักคน ทวิชก็พร้อมจะช่วยทันที ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางเลือกที่ไม่ถูกศีลธรรมเท่าไหร่ แต่ในสถานการณ์แบบนี้ก็มีแค่ความตายเท่านั้นที่จะปลดเปลื้องพวกเขาออกจากความทุกข์ทรมานได้ เพราะปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระบบโครงสร้างที่ถูกเขียนโดยพวกอัลฟ่า
   
พวกนั้นไม่สนใจชีวิตคนที่อยู่เบื้องล่างด้วยซ้ำ ทอดทิ้งผู้คนให้จมอยู่กับความสิ้นหวัง แม้แต่เขาเองถ้าหากไม่ถูกทวิชไถ่ตัวออกมาวันนั้นก็คงจะตายคาสนามไปแล้ว
   
ซึ่งต่อให้เขาตายตอนนั้น เขาก็ไม่เสียใจอยู่ดี
   
เขาสิ้นหวังไปแล้ว เขาไม่คิดว่าตัวเองจะมีอนาคตที่ดี เขาไร้การศึกษา เขาไม่มีแม้แต่บัตรประชาชนด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เกิดในประเทศนี้เหมือนกัน
   
สาเหตุที่เขาไม่ได้รับการรับรองว่าเป็นประชาชนของประเทศนี้นั้นก็เพราะว่าเขามีเชื้อสายของพวกอัลฟ่า ฟังดูดีแต่ความจริงแล้วเขาก็เป็นแค่ผลผลิตของตัณหาที่มากล้นของพวกอัลฟ่าเท่านั้น
   
ทีแรกเขาเติบโตในซ่อง ใช้ชีวิตอยู่กับแม่ที่ต้องรับแขกทุกวันเช่นเดียวกับเกรซ แม่ไม่ได้ตั้งใจจะมีเขาด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาเกิดมาแม่ก็พยายามดูแลเขาด้วยความสามารถทั้งหมดของตัวเอง
   
แม่พยายามสอนเขาทุกอย่าง แม้แต่การเขียนหนังสือ แต่เพราะว่าแม่เขาก็ไร้การศึกษาเหมือนกันก็เลยทำให้เขาเขียนได้แค่ชื่อตัวเอง แต่สิ่งที่แม่พยายามบอกเขาอยู่เสมอคือไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพวกอัลฟ่าและไม่ว่าจะป่วยขนาดไหนก็อย่าได้เข้าไปใช้โรงพยาบาลของพวกมัน
   
แม่เขารู้เรื่องวัคซีนที่พวกอัลฟ่าผลิตขึ้นมา และรู้ดีด้วยว่ามีคนมากมายขนาดไหนที่ตายเพราะยานั่น
   
เขารู้ดีว่าแม่พยายามแค่ไหนที่จะทำให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันแย่ลงไปอีก คือเขาไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนของประเทศนี้ ทำให้เขาแทบไม่ได้รับสวัสดิการอะไรจากรัฐเลยแม้แต่อย่างเดียว
   
ถ้าหากคิดว่าสวัสดิการรัฐมันห่วย การที่ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะได้รับมันนั้นห่วยกว่าอีก เขาถูกปฏิบัติราวกับพลเมืองชั้นสอง หลังจากที่แม่เสีย เขาก็หาทางลอบเข้าไปในศูนย์รับเลี้ยง เพราะที่นั่นมีอาหาร และขโมยได้ง่ายที่สุด
   
กับขนมปังแค่ก้อนเดียว เขากลับต้องแย่งชิงมันแทบตาย
   
มันไม่อร่อย เขาไม่เคยอยากกินแต่ก็ต้องกิน อาหารมื้อดีๆ ที่เขาจะได้กินส่วนใหญ่ก็จะเป็นการบริจาคของพวกอัลฟ่าที่พวกเบต้าซาบซึ้งว่าเป็นบุญคุณนักหนา แทบจะลืมไปหมดว่าทำไมตัวเองถึงต้องใช้ชีวิตห่วยแตกแบบนี้
   
พวกเบต้าเป็นพวกที่ลืมง่าย เอาจะฟังดูเหมารวมแต่มันก็เป็นเรื่องจริง แม่เขาบอกว่าถ้าพวกเบต้าลุกฮือขึ้นแรงๆ จนพวกอัลฟ่าล้มลง เราก็อาจจะไม่ต้องจมอยู่กับวาทกรรมโง่ จน เจ็บอีกต่อไป
   
เอาเข้าจริงตอนนี้เขาก็แทบจะจำหน้าแม่ตัวเองไม่ได้แล้ว ที่แย่กว่านั้นคือเขาจำชื่อเก่าตัวเองไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะเขาเอาชีวิตรอดอยู่คนเดียวกันนานเกินไปด้วยล่ะมั้ง
   
ซึ่งชีวิตตอนนี้ของเขาก็เหมือนกับฝัน
   
เขามีบ้านอยู่ เขามีที่ให้ซุกหัวนอน เขามีอาหารอุ่นๆ กินครบสามมื้อ แถมเขายังมีน้ำสะอาดให้ใช้ด้วย ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป ชีวิตของเขาต้องการแค่นี้ก็เพียงพอแล้วจริงๆ แต่เขาก็รู้อีกนั่นแหละว่ามันก็แค่ฝัน
อีกไม่นานฝันแสนหวานนี่ก็จะจบลง
   
การปฏิวัติครั้งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น
   
กันต์ถอนหายใจและหลับในที่สุด

   

เพียงคืนเดียวกลิ่นของการปฏิวัติก็ขจรขจายไปทั่ว เบต้านั้นแบ่งแยกเป็นหลายกลุ่ม มีทั้งที่สนับสนุนและไม่สนับสนุน นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ไม่สนใจอะไรด้วย ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่ความผิดอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ก็กลัวกระสุนจริงกันทั้งนั้น
   
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องที่ชอบธรรมหรือควรเคยชินเลยสักนิด
   
ประเทศนี้โหดร้ายเกินไป พวกเขาใข้กระสุนจริงทุกครั้งโดยไม่แม้แต่จะลังเลและอ้างว่าทำเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ชอบธรรม เหล่าเบต้าที่สนับสนุนการปฏิวัติถึงได้โกรธเคืองกันนัก
   
พวกเขาเริ่มกักตุนอาหาร สะสมอาวุธ และหยุดงาน เพราะหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้สังคมระดับบนชะงักชะงันได้ก็คือการนัดประท้วงหยุดงาน
   
อัลฟ่าขาดเบต้าไม่ได้
   
นี่เป็นความจริงที่เบต้าส่วนใหญ่ไม่รู้ และมักจะเชื่อว่าตัวเองต่างหากที่ขาดอัลฟ่าไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นความจริงสักนิด ระบบชนชั้นอันเหลื่อมล้ำนี้จะมีอยู่ไม่ได้เลย ถ้าขาดเบต้าที่เปรียบเสมือนมดงานค่าแรงถูกไป
   
ทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมนี้ต้องการเบต้า ต้องการคนที่คอยขับเคลื่อนมัน
   
วันนี้พวกเขาจึงนัดกันหยุดทำงานตามเสียง ‘กระซิบ’ ที่บอกต่อกันมาโดยไม่รู้ที่มาแน่ชัด รู้ตัวอีกทีเบต้าที่สนับสนุนการปฏิวัติส่วนใหญ่ก็ออกตัวหยุดงานกันแล้ว แต่น่าเสียดายที่มันก็ยังเป็นส่วนน้อยอยู่ เพราะไม่ใช่เบต้าทุกคนที่อยากจะเอาชีวิตไปเสี่ยงกับการต่อต้านพวกอัลฟ่า
   
แต่อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงก็ย่อมดีกว่าการนิ่งเฉย
   
พวกเขานัดหยุดงานกันก่อนที่ช่วงบ่ายจะได้ข่าวถึงการชุมนุมหน้าสนามกีฬาชุมชนใจกลางเมืองจึงพากันไปรวมตัวกันเพื่อประท้วงกับเบต้าอย่างสันติ ไร้ซึ่งแกนนำ พอได้จำนวนหนึ่งก็มีเบต้าผลัดกันไปพูดปราศรัยเรียกร้องสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาควรจะได้จากอัลฟ่า ซึ่งมันก็เป็นคำขอที่แสนเรียบง่ายเข้าใจไม่ยาก
   
พวกเขาก็แค่ต้องการชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้เท่านั้น
   
ทุกวันนี้พวกเขาใช้ชีวิตยากเกินไป สิ้นหวังเกินไป เหนื่อยล้าเกินไป ในแววตาของเด็กๆ แทบจะไม่เหลือความหวังในประเทศนี้แล้ว พวกเขาหิวโหยและโกรธเคือง
   
“สิ่งที่เราร้องขอไม่ใช่สิ่งใหม่ พวกเราก็แค่ต้องการสวัสดิการที่ดีขึ้น”
   
ในระหว่างที่เบต้าคนหนึ่งปราศรัยอยู่นั้น จำนวนของเบต้าที่มาเข้าร่วมรับฟังก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ผ่านไปได้ไม่นานกลุ่มคนที่ยังหวงแหนใน ‘อำนาจ’ ของตัวเองก็มาถึง
   
“หยุด!! ใครขยับตาย!!”
   
ทันทีที่รถบรรทุกของทางการจอดเหล่าทหารตำรวจของอัลฟ่าก็กรูลงมาจากรถพร้อมอาวุธครบมือ ด้วยสีหน้าขึงขังและเล็งไปยังประชาชนมือเปล่าของตัวเองอย่างข่มขู่ เพราะคำสั่งที่พวกเขาได้รับมาคือต้องหยุดการชุมนุมที่เกิดขึ้นนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม
   
และแน่นอน วิธีการที่ง่ายที่สุดสำหรับการปิดปากและสร้างความหวาดกลัวก็คือการ ‘ฆ่า’
   
อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะฆ่าหรือการกระทำรุนแรงแค่ไหนก็ตาม ยังไงพวกเขาก็ไม่มีความผิดเพราะเป็นการกระทำตามหน้าที่ และคนที่ควบคุมศาลอยู่ก็คืออัลฟ่า ฉะนั้นไม่มีทางใดเลยที่พวกเขาจะมีความผิดได้
   
เบต้าคนที่ปราศรัยอยู่บนเวทีนั้นยืนตัวแข็งทันที แต่เบต้าอีกคนก็ทนไม่ได้ขึ้นไปแย่งไมค์พูดปราศรัยต่ออย่างเกรี้ยวกราด
   
“เราจะทนกันแบบต่อไปจริงๆ งั้นเหรอ ปล่อยให้พวกชั่วๆ พวกนี้มันมันปกครองเรา ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันเป็นฝ่ายผิด!!!”
   
ปัง!
   
พูดไม่ทันจบประโยคก็โดนยิงสวนขึ้นไปทันที แต่มันเหตุการณ์ที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว จึงสามารถหลบได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะคืนร่างต้นซึ่งเป็นแพะครึ่งหนึ่งและวิ่งหนีไปตึกที่ใกล้ที่สุด
   
ปัง! ปัง!
   
เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐวิ่งตามไปทันที ขณะที่เดียวกันก็ไล่จับกุมผู้ที่มาชุมนุมเพื่อจับไปขังและดำเนินคดี แน่นอนว่าเหล่าเบต้าส่วนใหญ่ไม่อยู่เฉยให้จับกุมง่ายๆ เพราะรัฐนั้นได้ใช้วิธีการที่รุนแรงและไร้มนุษยธรรมที่สุดกับพวกเขา
   
ตูม!
   
ระเบิดควันลูกหนึ่งจากฝั่งผู้ประท้วงโยนคืนใส่เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อสร้างม่านควันขึ้นมา และซื้อเวลาให้พวกเขาได้หลบหนี ซึ่งแน่นอนว่ามันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างตอนนี้อลหม่านกันกว่าเดิม
   
เจ้าหน้าที่รัฐต่างวิ่งตามจับเหล่าผู้ชุมนุมราวกับสุนัขล่าเนื้อที่หิวจัด รางวัลชิ้นโตที่พวกเขาจะได้รับจากการจับผู้ชุมนุมได้สักคนคือตำแหน่งหรือเงินก้อนใหญ่สักก้อน พวกเขาคาดหวังมันมากจึงต้องพยายามอย่างยิ่งในการสร้างผลงานให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
“สารเลว.. ไอ้พวกสารเลว”
   
เบต้าคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมโดนลูกหลงจากการพยายามยิ่งทะลุม่านควัน ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อโดนลูกหลงเช่นนี้แล้ว เขายอมกลายเป็นผลงานของเหล่าเจ้าหน้าที่ทันที ไม่ว่าเบต้าคนนี้จะเป็นผู้ชุมนุมหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากพวกเขาให้เป็นก็ต้องเป็นอย่างไม่มีเงื่อนไข
   
ส่วนเบต้าแพะนั้นก็ยังคงพูดใส่ไมค์ต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่ากำลังถูกความตายไล่ล่าอยู่ก็ตาม
   
“ถ้าเรายอมมันไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีวันเปลี่ยน ตลอดชีวิตของเราก็จะเป็นทาสของมัน”
   
ปัง!
   
“หุบปากสักที!! จะพูดไปให้ได้อะไรวะ!!”
   
เบต้าซึ่งเป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่รัฐคำรามออกมาอย่างดุดัน เขาคือหนึ่งในบุคคลที่เทิดทูนอัลฟ่าอย่างสุดหัวใจ ไม่เคยตั้งคำถามใดๆ เพราะความเชื่อมั่นอย่างถึงที่สุด
   
แน่นอนว่าเบต้าแพะคนนั้นไม่ใส่ใจ แต่การพูดก็ค่อนข้างช้าขึ้น เริ่มเหนื่อยจากการหนีขึ้นบันไดหนีไฟที่สูงชั้นขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอีกใจหนึ่งของเขาก็ภาวนาให้มันไม่สิ้นสุด เพราะถ้ามันหมดเมื่อไหร่ นั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่มีทางหนีแล้ว
   
“เสรีภาพเป็นสิ่งทีมีอยู่จริง อิสรเสรีที่โอเมก้าพูดถึงมันคือเรื่องจริง พวกเขาไม่ได้โกหก!”
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
เพราะไปแตะเรื่องต้องห้าม  กระสุนที่ถูกยิงจึงมากขึ้น ความอ่อนล้าจากการหนีทำให้เขาหลบไม่ทันนัดหนึ่งจนมันฝังเข้าไปในช่องท่อง แต่เขาก็ยังพยายามหนีและพูดต่อไปอยู่ดี
   
ซึ่งสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือสิ้นสุดบันไดหนีไฟแล้ว
   
เขาเปิดประตูก่อนที่จะวิ่งออกมาทางดาดฟ้าพยายามจะหาทางหนีและพูดอะไรต่อ แต่สมองก็โล่งไปหมดตอนที่เห็นเด็กอายุประมาณสี่ห้าขวบคนหนึ่งวิ่งเล่นอยู่คนเดียว
   
“…แย่แล้ว”
   
เบต้าแพะสบถรู้สึกอยากจะร้องไห้เต็มทน
   
อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าพวกมันจะตามมาข้างหลัง และกราดยิงใส่เขา ซึ่งเขาก็ค่อนข้างมั่นใจมากว่ามันจะไม่ระวังเด็กนี้แน่ๆ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือต่อให้เอาตัวกันกระสุนให้ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเด็กนี้รอดอยู่ดี
   
ทำยังไงดี ทำยังไงดี ทำยังไงดี
   
ความบ้าบิ่นเมื่อกี้แทบจะหายไปหมด และถูกแทนที่ด้วยความกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้บีบบังคับให้เขาตัดสินใจให้ไวที่สุด ทั้งๆ ที่มันไม่มีหนทางอื่นเลยนอกจากกระโดดลงจากตึกสูงเจ็ดชั้น
   
ปัง!
   
เสียงประตูที่ถูกกระแทกให้เปิดทำให้เบต้าแพะตัดสินใจในพริบตา
   
ไม่ทันแล้ว
   
เขาวิ่งเข้าไปอุ้มเด็กคนนั้นแล้วกระโดดลงจากตึกทันที!

=

 :a12:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 9 : แสดงละคร 21 พ.ย 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 21-11-2019 03:14:04
แง้ เส้าทุกครั้งที่อ่านเลย รู้สึกเหมือนประเทศเรากำลังจะกลายเป็นแบบที่นี่
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 9 : แสดงละคร 21 พ.ย 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-11-2019 13:41:41
เศร้าอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 9 : แสดงละคร 21 พ.ย 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 23-11-2019 07:41:48
มันเศร้าและหดหู่ใจมากเลย :mew6:
หัวข้อ: Re: { OMEGAVERSE } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 9 : แสดงละคร 21 พ.ย 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 25-11-2019 22:45:14
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 9 : แสดงละคร 21 พ.ย 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 01-12-2019 21:04:44
ไม่มีคำใดจะบอกเลยค่ะ
ชีวิตที่ไม่มีอนาคต มีแต่จมลง

สงสารทวิชนะ รอคอยมานาน อยากให้สมหวังสักที
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 10 : ความตาย 11 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 11-12-2019 23:30:43
ตอนที่ 10

   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
สิ่งที่ยุติความเห็นต่างได้ดีที่สุดและง่ายที่สุดก็ยังคงเป็นความรุนแรง
   
ทวิชมองภาพพวกคนของทางการวิ่งไล่ตามผู้ชุมนุมด้วยความเย็นชา นัยน์ตาสีทองสั่นระริกด้วยความโกรธแค้นเพราะสิ่งที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องนั้นมันก็เป็นแค่ความต้องการเบื้องต้น เป็นแค่ปัจจัยพื้นฐานที่มนุษย์คนหนึ่งต้องการ ไม่ได้พูดถึงการแบ่งแยกประเทศหรือการชังชาติอะไรทำนองนั้นสักนิด แต่พวกคนของทางการกลับตะโกนออกมาไม่หยุด
   
“เพราะพวกมึงประเทศชาติถึงล่มจม!!”
   
เสียงแหบห้าวดังมาจากเบต้าธรรมดาคนหนึ่งซึ่งเข้าร่วมกับกลุ่ม ‘อาสาสมัครเพื่อชาติ’ ซึ่งเป็นกลุ่มที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาอย่างเป็นวาระเร่งด่วนและเชิญชวนให้ประชาชนเข้าร่วมเพื่อต่อต้านเหล่ากบฏที่มุ่งร้ายต่อประเทศ โดยสิ่งที่โดดเด่นของกลุ่มนี้คือผ้าพันคือสีดำและหมวกสีทอง ซึ่งเป็นสีของอัลฟ่าเหล่าชนชั้นนำผู้ปกครองประเทศนี้ตลอดเวลาที่ผ่านมา
   
แน่นอนว่าเดิมทีแรงกำลังทหารของอัลฟ่าอาจจะควบคุมฝูงชนผู้โกรธแค้นได้ไม่อยู่มือพอ พวกเขาจึงยืมมือประชาชนเบต้าทั่วไปมาเข่นฆ่าคนด้วยกันเอง โดยให้รางวัลเป็นสวัสดิการต่างๆ เช่นการรักษาพยาบาลฟรี อาหารฟรี หรือแม้แต่การช่วยเหลือค่าเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐานให้เสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุดเป็นต้น
   
ซึ่งสิ่งที่กลุ่มอาสาสมัครเหล่านี้ได้รับก็ล้วนแล้วแต่เป็นสวัสดิการที่กลุ่มกบฏเรียกร้องให้ทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รัฐบาลควรจะจัดสิ่งเหล่านี้ให้กับประชาชนตามหน้าที่ แต่พวกเขากลับไม่ทำและนำมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงกลุ่มเบต้าหัวอ่อนที่ไม่เท่าทันความคิดของอัลฟ่าเข้าร่วมกับโครงการนี้อย่างขาดสติ และเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
   
พวกเขาถูกหลอกให้ ‘ฆ่า’ คนด้วยกันเอง
   
ฆ่าคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเดียวกัน ฆ่าคนที่อาจจะเป็นเพื่อนบ้าน ญาติ พ่อแม่พี่น้องของใครสักคนอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจเพราะถูกสอนมาจากค่ายว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว ไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องประนีประนอมกับกลุ่มกบฏชังชาติเหล่านี้
   
ปัง! ปัง!
   
“อย่ายิง ฮึก ได้โปรดอย่ายิง ผมไม่ทำแล้ว ผมยอมแล้ว อย่ายิงผม”
   
เบต้าหนึ่งในผู้ชุมนุมนอนสั่นงั่นงกอยู่บนพื้นร้องไห้ไม่หยุดอย่างสิ้นหวัง ข้างกายมีศพของเบต้าแปลกหน้าที่ไม่รู้จักนอนก่ายกองอยู่ข้างๆ ใบหน้าของเบต้าคนนั้นเจ็บปวดความเจ็บปวดถึงแม้ว่าจะถูกกระสุนพรากวิญญาณไปแล้วก็ตาม
   
“เจอตัวกบฏแล้ว! ฆ่ามันเลย!!”
   
อาสาสมัครคนหนึ่งร้องออกมาอย่างดีใจ พุ่งปรี่เข้าไปกระชากเบต้าคนนั้น ก่อนที่จะพยายามลากไปหากลุ่มคนของทางการเพื่อเอาหน้าและเรียกร้องถึงรางวัลที่ตัวเองจะได้รับโดยไม่สนใจแม้แต่น้อยว่ารางวัลที่ตัวเองจะได้นั้นต้องแลกมาด้วยชีวิตของเบต้านักเรียนธรรมคนหนึ่งที่มีแม่นอนป่วยอยู่ที่บ้าน
   
“ฮึก ผมขอร้อง อย่าฆ่าผมเลย อย่า—“
   
เบต้านักเรียนร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง ซึ่งผลสุดท้ายที่เขาได้รับก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมายนัก
   
ปัง!
   
กระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้ากลางหัวกลายเป็นร่างไร้วิญญาณในชั่วพริบตา
   
“…”
   
ทวิชที่กำลังจะพุ่งเข้าไปช่วยจ้องภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ก่อนที่ความเคียดแค้นจะพวยพุ่งขึ้นมาในอกจนกดไม่อยู่ น้ำตารื้นอย่างควบคุมไม่ได้
   
“ท่านครับ ขอทางหน่อยนะครับ”
   
คนของทางการคนหนึ่งซึ่งพยายามจะเข้าไปตรวจสอบศพของนักเรียนคนนั้นพูดกับทวิชอย่างนอบน้อม เพราะเห็นทวิชอยู่ในร่างต้น ใบหน้าที่ควรจะเป็นใบหน้าสวยถูกแทนที่ด้วยหัวของเสือดำที่ดูน่าเกรงขาม
   
“…”
   
ทวิชพยักหน้าน้อยๆ แล้วถอยหลบ พยายามไม่ทำตัวมีพิรุธนัก อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาก็ยังตายไม่ได้ และเขาก็ไม่รู้ด้วยว่าเหตุผลอะไรที่พวกกลุ่มปฏิวัติถึงนัดให้มาที่นี่
   
เพราะอยากให้เขาเห็นการประท้วงเหรอ? หรืออยากให้เห็นการสังหารหมู่กลางเมืองที่เขาเห็นมาเป็นร้อยครั้งในชีวิตแล้ว ซึ่งพอเขาพยายามจะมองหากลุ่มปฏิวัติที่เหลือรอดที่ยังซุกซ่อนตัวอยู่ก็เห็นแต่พวกเบต้าที่มาเข้าร่วมชุมนุมร้องตะโกนขอชีวิตและหนีอย่างหัวซุกหัวซุน ไม่มีวี่แว่วของการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติสักนิด
   
ทุกอย่างดูวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีทีท่าจะลดลง
   
ทวิชกวาดตามองรอบๆ อยู่สักพักจนกระทั่งเห็นอะไรบางอย่างตกลงจากตึกก็เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก
   
“!!!”
   
มีคนกำลังตกลงจากตึก!
   
เพียงชั่วพริบตาที่รับรู้ถึงความจริงข้อนี้ เลือดในกายของทวิชก็ร้อนฉ่า สัญชาตญาณบางอย่างในตัวก็กู่ร้องออกมา ความคิดตรรกะต่างๆ ที่ดำเนินอยู่ของทวิชหายไปโดยพลัน
   
เขาพุ่งไปหาร่างนั้นทันที
   
เสียงกระดูกดังลั่นก่อนที่ปีกอีกาสีดำคู่ใหญ่จะปรากฏบนหลังทวิชในเวลาไม่กี่วินาที ดันเอาเสื้อคลุมที่ใส่ทับมาตัวเองหลุดออกไปจนร่างกายครึ่งบนเปลือยเปล่า
   
“..โอเมก้า?”
   
อัลฟ่าวัยรุ่นหนึ่งในทหารของทางการพูดออกมาอย่างตกตะลึง เมื่อเห็นโอเมก้าตรงหน้าตัวเองเป็นครั้งแรกในชีวิต มือที่ประคองปืนอยู่คล้ายจะหมดแรงไปกะทันหัน เมื่อเห็นปีกสีดำที่น่าหลงใหลของทวิช ซึ่งนอกจากนี้แล้วพวกเบต้าและคนของทางการอื่นๆ ก็เผลอไผลมองตามไปเช่นกัน
   
นก..
   
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของพวกเขาที่ได้เจอโอเมก้าตัวเป็นๆ
   
สิ่งที่น่าหลงใหลและเป็นที่ต้องการของตลาดมืดก็ยังคงเป็นปีกอันสวยงามของโอเมก้าที่แทบจะละสายตาไปไม่ได้ ซึ่งปีกคู่ใหญ่บนแผ่นหลังขาวของทวิชก็น่าจะเป็นหนึ่งนั้น แน่นอนว่าถ้าหากทวิชถูกจับได้ตอนนี้ ถ้าไม่ถูกฆ่าก็คงจะถูกแปรเปลี่ยนสินค้าราคาสูงในตลาดมืดให้พวกอัลฟ่าชั้นสูงซื้อไปสะสมและกลายเป็นทาสตัณหาของอัลฟ่าสักคน
   
ปัง!
   
แต่น่าเสียดายที่เหล่าทหารของทางการก็ไม่ได้ตกตะลึงกันนานนัก อย่างไรก็ตามคำสั่งด่วนที่จรดปลายคอพวกเขาราวกับมีดคมก็ตักเตือนพวกเขาอยู่เสมอว่าอย่าได้ปล่อยให้กลุ่มกบฏเหลือรอดไปโดยเด็ดขาด
   
“ฆ่ามัน!!”
   
ทหารยศใหญ่คนหนึ่งตะโกนออกมาก่อนที่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะกู่ร้องรับกันเกรียวกราว พาดกระบอกปืนบนไหล่หนาและเล็งไปยัง ‘อิสรภาพ’ ที่กำลังโบยบิน
   
ปัง!
   
“!”
   
ทวิชสะดุ้งเฮือกเมื่อมีกระสุนนัดหนึ่งยิงถากปีกตัวเอง ก่อนที่อีกหลายนัดจะยิงเฉี่ยวหัวและตัวเขา ใบหน้าที่ยังคงอยู่ในร่างต้นแยกเขี้ยวออกมาอย่างหงุดหงิด พยายามประคับประคองร่างของมนุษย์ทั้งสองคนที่สลบไปแล้วอย่างสุดความสามารถ แม้ตัวเองนั้นไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่แบกร่างของทั้งสองไหวก็ตาม
   
ปัง!
   
“โฮกกก!!”
   
ทวิชคำรามออกมาเสียงดังลั่นเมื่อกระสุนนัดหนึ่งเจาะเข้าที่ปีก ความเจ็บปวดที่ล้นปรี่ทำเอาสูญเสียการทรงตัวและร่วงหล่นสู่พื้นในที่สุด
   
“…จบแล้วสินะ”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วออกมาอย่างฝาดเฝื่อน ไม่ได้รู้สึกกลัวความตายที่จะมาถึงตัวเองในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้าแม้แต่นิดเดียว หนำซ้ำยังรู้สึกสงบมากด้วย
   
“..ขอโทษนะ กันต์”
   
ทวิชพึมพำกับตัวเองด้วยความรู้สึกเสียใจเล็กๆ เพราะเขาไม่ได้บอกอะไรกันต์เลย นอกจากว่าตัวเองจะออกมาซื้อของข้างนอกและจะกลับอีกทีช่วงดึกๆ   
   
แต่เอาเข้าจริงเขาก็ไม่ได้ห่วงกันต์มากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเด็กนั่นก็เคยอยู่ด้วยตัวเองมาก่อน การที่เขาตายอาจจะไม่ส่งผลอะไรต่อกันต์มากตามที่เขาคิดก็ได้
   
พอคิดได้แบบนั้นทวิชก็หลับตาลง ยอมศิโรราบต่อแรงโน้มถ่วงโลกให้พรากชีวิตตัวเองจากแรงกระแทกอันรุนแรงโดยไม่คิดจะขัดขืนแต่อย่างใด
   
เขาเหนื่อยกับใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังในประเทศเฮงซวยนี่มากจริงๆ
   
“..ยังไม่ถึงเวลาของแกนะ ไอ้หนู”
   
“!!”
   
ทวิชเบิกตาโพลงอย่างตื่นตระหนกเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีแขนทรงพลังแย่งชิงตัวเองจากความตาย และตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นปีกสีน้ำตาลดำคู่ยักษ์บนแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ใหญ่พอจนเขามองอะไรแทบไม่เห็น ใบหน้าคมที่มีเค้ามีร่องรอยของกาลเวลายิ้มให้ทวิชอย่างเป็นมิตร และในขณะเดียวกันก็บินโฉบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนกระสุนของเหล่าทางการยิงตามไม่ทัน
   
“..คุณเป็นคนของกลุ่มวันพรุ่งนี้เหรอ?”
   
ทวิชถามเสียงแผ่วมองปีกคู่ใหญ่ที่ถึงแม้จะกระพืออย่างรุนแรงแต่กลับไม่มีเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว ซึ่งทวิชก็เดาว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นนกสายพันธุ์กลางคืนสักอย่างที่เขาไม่รู้จัก
   
“ไม่ใช่”
   
“..แล้วคุณช่วยผมทำไม”
   
ทวิชหลุบตามองมือตัวเองที่ยังคงสั่นเทาเพราะช่วยสองคนนั้นไม่ได้ เขามีเรี่ยวแรงน้อยเกินไป และตอนนี้ทั้งคู่ก็คงจะตายไปแล้วจากการแรงกระแทกอันรุนแรง
   
“มันยังไม่ถึงเวลาของนาย”
   
“แล้วมันถึงเวลาของสองคนนั้นแล้วเหรอ ..ทำไมคุณไม่ช่วยพวกเขาด้วย”
   
ทวิชรู้ดีว่าตัวเองกำลังงี่เง่า แต่เขาก็เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องรับรู้ว่ามีตัวเองช่วยใครไม่ได้อีกแล้ว
   
ทำไมประเทศนี้ถึงชื่นชอบความรุนแรงและความตายนักนะ เขาไม่เข้าใจเลย
   
“โอเมก้าที่ยังมีปีกสมบูรณ์แบบนายเหลือน้อยแล้ว ถ้านายอยากจะเปลี่ยนประเทศเฮงซวยนี้นายก็ต้องทนมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะนายยังมีประโยชน์อยู่ ส่วนสองคนนั้นใช่ว่าฉันจะไม่อยากช่วย แต่มันไม่ทันจริงๆ ”
   
“คนอย่างผมจะไปทำอะไรได้”
   
ทวิชหลับตาหัวเราะเสียงแผ่ว ก่อนจะครวญครางออกมาอย่างเจ็บปวดเพราะเผลอขยับตัวมากเกินไป เลือดที่ไหลบ่าออกมาอยู่แล้วไหลมากกว่าเดิมจนชุ่มไปทั้งแผ่นหลัง
   
“..หลับซะ พูดไปตอนนี้นายก็ไม่ฟังฉันหรอก”
   
“..คุณน่าจะปล่อยให้ผมตาย”
   
ทวิชพึมพำออกมาเสียงเบาด้วยแววตาสิ้นหวังก่อนที่จะสลบไปในที่สุด

   

ทวิชสลบไปอยู่หลายวันกว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขยับตัวได้ไม่มากเท่าไหร่ แม้ว่าจะโดนกระสุนจากภาษีตัวเองเพียงนัดเดียวเท่านั้น
   
“..ที่นี่?”
   
ทันทีที่ฟื้นขึ้นมาทวิชก็ไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจกับความแปลกตาของที่ๆ ตัวเองอยู่นัก เพราะหลายครั้งที่ทวิชมักจะจินตนาการถึงที่ๆ เลวร้ายที่สุดที่ตัวเองสามารถตื่นขึ้นมาเจอได้ เนื่องจากเขารู้ดีว่าราคาของการคิดต่างนั้นค่อนข้างสูง
   
วันดีคืนดีเขาอาจจะโดนจับตัวขังในห้องมืด หรือแย่กว่านั้นคือโดนจับโบกปูนถ่วงน้ำอะไรทำนองนั้น เท่าที่พวกคนของทางการจะคิดวิธีการทัณฑ์ทรมานเขาคิดออก
   
ไม่ว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นในประเทศเฮงซวยที่ไร้ซึ่งสิทธิมนุษยธรรมนี่
   
ทวิชมองคนที่พาตัวเองมาที่นี่สลับกับคนที่น่าจะเป็นหมอรักษาเขาและยิ้มน้อยๆ ให้อย่างเป็นมิตร
   
“ยินดีต้อนรับสู่ท้องฟ้าใต้ดิน ฉันชื่อปั้นเป็นหมอประจำที่นี่ ส่วนคนที่พานายมาชื่อธัน เราทั้งคู่เป็นสมาชิกกลุ่มปฏิวัติครั้งที่แล้วที่ยังหลงเหลืออยู่ และตอนนี้นายก็กำลังอยู่ใต้ดินในป่าสักแห่ง ฉะนั้นอย่าแปลกใจที่อากาศที่นี่มันไม่ถ่ายเทสักเท่าไหร่”
   
“…งั้นคุณก็รู้จักพ่อแม่ผมสิ”
   
ทั้งๆ ที่ปกติแล้วทวิชมักจะระวังตัวมากกว่านี้ในเรื่องส่วนตัว แต่ตอนนี้เขากลับพูดเผลอพูดมันออกมาอย่างลืมตัว นัยน์ตาสีทองที่มันจะแสดงท่าทีเฉยชาสั่นระริก มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มจิกแขนตัวเองแน่น หัวใจในอกเต้นอื้ออึงจนแทบไม่ได้ยินอะไร
   
ถึงแม้จะทำใจเอาไว้แล้ว แต่เมื่อต้องมารับรู้จริงๆ ว่าพ่อแม่ตัวเองตายแบบไหน อยู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว เจ็บปวดยิ่งกว่าตอนที่ตระหนักว่าตัวเองเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนมาเกือบสามร้อยคนอีก
   
ทวิชพยายามกลั้นสะอื้นในลำคอ
   
แต่นี่ไม่ใช่เหรอที่เป็นความจริงที่เขาอยากรู้มาตลอด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะรู้ไปทำไม มันคงไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์ใจอะไรด้วยซ้ำ หรือเอาเข้าจริงเขาก็อาจจะแค่อยากรู้ว่าพวกทางการจะโหดร้ายกับพ่อแม่ที่แสนดีของเขาได้ถึงขนาดไหนกัน
   
“พ่อแม่?” ปั้นขมวดคิ้วมุ่นหูกวางขยับขึ้นลงเล็กน้อยเหมือนไม่แน่ใจว่าตัวเองได้ยินถูก “พ่อแม่นายเข้ากับการกลุ่มปีกแห่งเสรีภาพด้วยเหรอ”
   
“คุณจำลอง”
   
“…”
   
“…หนูทวิช?” ปั้นพูดออกมาด้วยสีหน้าเหรอหรา ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นดีใจมากเพราะไม่นอกจากคนในท้องฟ้าใต้ดินแล้วก็แทบไม่เจอคนรู้จักใหม่ๆ แล้ว การได้เจอทวิชจึงถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก “โตขนาดนี้แล้วเหรอ จำอาได้ไหม อาปั้นที่เป็นหมอเพื่อนแม่ทวิชไง อาที่ชอบฝากของเล่นไปให้ทวิชบ่อยๆ ”
   
จากท่าทีที่เป็นมิตรอยู่แล้ว ตอนนี้เป็นมิตรกว่าเดิมหลายเท่ายิ้มจนตาหยีให้กับทวิช และทอดถอนหายใจถึงเวลาที่ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน ในตอนนั้นทวิชยังตัวไม่ถึงเอวเขาด้วยซ้ำ ตอนนี้กลับเป็นโตขนาดนี้ซะแล้วแถมยังหน้าตาเหมือนแม่มากด้วย
   
“…ขอโทษนะครับ ..แต่ผมจำคุณไม่ได้”
   
ทวิชพูดอย่างกระอักกระอ่วนใจ
   
“โอ๊ย ไม่เป็นไร แค่อาจำหนูได้ก็พอแล้ว โตขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย มิน่าล่ะถึงมีปีกอีกาเหมือนพ่อเลย อาก็ว่าอยู่มันคุ้นๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
   
“อาอยู่ที่นี่มาตลอดเหรอ..”
   
ทวิชพึมพำพูดเสียงเบาพลางมองห้องรอบตัวที่ยังคงเป็นห้องที่สร้างขึ้นมาอย่างลวกๆ และฉาบด้วยอะไรบางอย่างที่ทำให้ดินแข็งตัวและยังคงอยู่ในสภาพเดิมได้ แหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียวในห้องคือเทียนไขที่จุดไว้ตามจุดต่างๆ ของห้อง นอกจากนี้แล้วสิ่งที่ชัดเจนที่สุดของห้องก็คือกลิ่นอับชื้นจากการระบายอากาศที่ไม่ดี
   
“ใช่” หนึ่งในผู้เหลือรอดจากการกวาดล้างกลุ่มกบฏหัวเราะเสียงแผ่ว “บนบกไม่มีให้หนีก็ต้องหนีเข้าป่า พอเข้าป่ากลัวเขาตามมาฆ่าก็ต้องมาหลบใต้ดินแบบนี้เนี่ยแหละ”
   
“ที่นี่ลึกขนาดไหน”
   
ทวิชมองสีหน้าสิ้นหวังของอาปั้นด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
   
“ก็ลึกพอที่พวกมันจะหาเราไม่เจอ” ปั้นยิ้มนิดๆ “แต่อยู่ที่นี่ก็เหมือนติดคุกนั่นแหละ ไปไหนไม่ได้ ได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่าสักวันไอ้พวกชนชั้นนำจะล้มลงแล้วเราจะได้กลับขึ้นไปบนดินสักที รู้ไหมว่าอาไม่ได้เห็นท้องฟ้ามาเกือบสิบปีแล้วมั้ง”
   
“..เชื่อผมเถอะว่าอาไม่อยากขึ้นไปตอนนี้หรอก”
   
“ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนอีกเหรอ คนตายไปเยอะขนาดนั้น พวกคนทั่วไปยังเชื่ออีกเหรอว่าพวกอัลฟ่ามันดี”
   
ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าใจว่าสถานการณ์ข้างบนเป็นยังไง ปั้นก็อดไม่ได้ที่จะหวังเล็กๆ เพราะเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาตายไปมากมายเหลือเกินกับการกวาดล้างครั้งนั้น การกวาดล้างที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีความชอบธรรมตรงไหน ผู้คนถึงเห็นดีเห็นงามกันไปหมด ทำไมถึงยินยอมให้เกิดการใช้กระสุนฆ่าล้างพวกเขาที่ไม่มีแม้แต่อาวุธในมือด้วยซ้ำ
   
เหตุการณ์อันโหดร้ายแบบนั้นจะเกิดขึ้นอีกเหรอในประเทศนี้ มันเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและเกินกว่าเหตุเกินไปหรือเปล่า นี่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงหนึ่งชั่วอายุคนด้วยซ้ำ ผู้คนหลงลืมไปแล้วเหรอว่ามีคนการฆ่าล้างกันกลางเมืองแถมยังมีวันทำความสะอาดเมืองอีก
   
พอเห็นว่าทวิชพยักหน้า คนเป็นอายกมือขึ้นปิดตาตัวเองทันทีเพราะรู้ตัวว่าตัวเองคงกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ก่อนจะหลุดสะอื้นออกมาจนตัวโยนด้วยความสิ้นหวัง
   
“ธัน เราจะสู้ไปเพื่ออะไรกันวะ”
   
“…”
   
“พวกเราตายกันขนาดนี้พวกนั้นยังไม่ตาสว่างกันอีก กับสิทธิที่พวกเราควรจะได้ ทำไมคนถึงไม่เข้าใจกันสักทีวะ ฮึก ทำไมถึงยอมให้มันหลอกวะ เล่นตามกติกาก็แพ้ ไม่เล่นตามกติกาก็แพ้ พอเอามาประท้วงก็โดนยิง ทำไมวะ ทำไมถึงดูกันไม่ออกสักที!!!”
   
“…”
   
ธันไม่ได้พูดอะไรและเลือกที่จะลูบหลังปลอบอีกฝ่ายอย่างเบามือ แน่นอนว่าคนที่ออกไปเห็นการฆ่ากวาดล้างกลางเมืองอีกครั้ง มันก็เหมือนภาพฉายซ้ำของเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแค่ตัวละคร และเขาก็มั่นใจว่าต่อให้พวกทางการฆ่ากลุ่มนี้ ในอนาคตข้างหน้าก็มีกลุ่มปฏิวัติกลุ่มใหม่ลุกขึ้นมาต่อต้านอยู่ดี
   
เขาสิ้นหวังเช่นเดียวกับปั้น แต่ลึกๆ เขาก็ยังต่อต้านพวกนั้นอยู่ดี เขาจึงยังทนมีชีวิตอยู่จนมาถึงตอนนี้
   
“รู้ไหมว่าพ่อหนูตายยังไง ทวิช”
   
ปั้นแค่นเสียงหัวเราะออกมาฝาดเฝื่อน สะอื้นหนักกว่าเดิมเพราะความทรงจำในตอนนั้นยังชัดเจนราวกับว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นตรงหน้าตัวเองตอนนี้ แม้ว่ามันจะผ่านมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม
   
เสียงกรีดร้อง กลิ่นคาวเลือด ซากศพและความสิ้นหวัง
   
ทุกอย่างเกาะกุมไปทั้งเมืองเพื่อทำลายความหวังที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองของเบต้าและโอเมก้า ให้พวกมันสำเหนียกซะว่าตัวเองก็เป็นแค่เบี้ยล่างของเหล่าอัลฟ่า ไม่มีสิทธิ์มีเสียงไปมากกว่านั้น
   
“พ่อหนูตายแบบโคตรทรมานเลย พวกมันไม่ยิงนะแต่จับไปแขวนคอบนรูปปั้นอัลฟ่าของพวกแล้วตอกลิ่มกลางอกทั้งเป็นแล้วป่าวประกาศใส่พวกเราว่าถ้าใครไม่ยอมมอบตัวก็จะโดนแบบเดียวกัน ส่วนแกนนำคนอื่นๆ ก็โดนตอกลิ่มเหมือนกันแต่ไปแขวนไว้ตามประตูเหล็ก บอกตามตรงว่าอาโคตรสิ้นหวังเลย ทำไมวะ ทำไมถึงต้องโหดร้ายกับเราขนาดนี้”
   
“…”
   
ทวิชจ้องแขนตัวเองที่เลือดอาบทั้งน้ำตา
   
ราคาของเสรีภาพที่พ่อเขาจ่ายนั้นแพงเหลือเกิน
   
“ส่วนแม่หนูเหรอ เหอะ ไม่ต่างกันหรอกทวิช ทั้งๆ ที่มีกฎหมายของนานาชาติว่าห้ามยิงหน่วยรักษาพยาบาล แต่แล้วเป็นไงล่ะ แม่หนูไปช่วยดูแลพวกผู้ประท้วงที่โบสถ์ สุดท้ายก็ตายกันหมดทั้งคนไข้ หมอ พยาบาล เสียดายนะวันนั้นที่อาไม่ได้เข้าไป ไม่งั้นอาไม่ต้องมานั่งทรมานแบบนี้หรอก”
   
ปั้นร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง เลิกแสดงท่าทีเข้มแข็งเพราะเขาสิ้นหวังในประเทศนี้เหลือเกิน
   
เขาเหนื่อย เขาเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ยอมอยากยอมพวกมัน และที่แย่ที่สุดคือเขาทำอะไรพวกมันไม่ได้
   
“อาจะไม่บอกหนูนะว่าหนูควรทำอะไร อาไม่ยุ่ง หนูจะอยู่ที่นี่ก็ได้หรือจะกลับขึ้นก็ได้ ขอแค่อย่าบอกใครว่ามีที่นี่อยู่ก็พอ”
   
“..ผมยอมรับว่าผมเหนื่อย” ทวิชสะอื้นและเผลอจิกเล็บเข้าไปในเนื้อตัวเองลึกกว่าเดิม “..ผมอยากตาย ตายให้พ้นๆ จากประเทศเฮงซวยนี่ แต่ลึกๆ ผมก็รู้ว่าผมยังตายไม่ได้ ผมยอมให้พ่อแม่ผมตายฟรีไม่ได้”
   
ถึงแม้ทวิชจะยังสะอึกสะอื้นอยู่แต่นัยน์ตาสีทองก็มีความเด็ดเดี่ยวมากขึ้น หลังจากรับรู้การตายของพ่อแม่ตัวเองที่มักจะพร่าเลือนถึงวิธีการมาตลอด
   
หนำซ้ำความเคียดแค้นที่ได้รับรู้ความจริงก็ทำให้เขามีแรงจูงใจในการใช้ชีวิตเพิ่มขึ้น
   
เขารู้ว่าการดำรงชีวิตด้วยความแค้นไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง แต่ตลอดชีวิตของเขาก็ถูกความแค้นและความรุนแรงขัดเกลามาตลอด จนเขาแทบไม่รู้แล้วว่าการดำรงชีวิตแบบคนปกติมันเป็นยังไง
   
พ่อแม่อาจจะคิดว่าการนำเขาไปซ่อนไว้กับตระกูลพยัคฆโภคสกุลจะทำให้เขามีชีวิตรอดและมีชีวิตใหม่ที่ดี ซึ่งมันก็ไม่เป็นตามที่พ่อแม่คาดหวังเลยสักนิด เพราะสิ่งที่พ่อกับแม่เผลอฝังเข้ามาในตัวเขาด้วยคืออุดมการณ์อันแรงกล้าพวกนั้น
   
อุดมการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงความผิดปกติตรงหน้าที่อาจจะแลกมาด้วยชีวิตของตัวเองก็ตาม
   
เขารู้แค่เพียงว่าตัวเองทนเห็นความเหลื่อมล้ำตรงหน้าไม่ได้เหมือนกับพ่อ และเจ็บปวดทุกครั้งที่มีคนเจ็บป่วยหรือตายเหมือนกับแม่
   
เขารู้สึกอะไรมากมายกับชนชั้นที่ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องล่างและถูกกดขี่อย่างไม่รู้ตัว
   
เขาอยากให้ผู้คนเหล่านี้รู้ตัวกันสักที ตื่นกันได้แล้วจากฝันร้ายพวกนี้ ฝันที่สร้างโดยพวกอัลฟ่าและถูกแต่งเติมตามแต่ใจที่พวกมันต้องการ ความเห็นแก่ตัวอุบาทว์ชาติชั่วล้วนแล้วสำแดงออกมาทางการใช้อำนาจของพวกมันทั้งนั้น
   
มันชัดเจนซะยิ่งกว่าชัดเจน ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าผู้คนโดนยากล่อมประสาทอะไรกันอยู่ถึงยังเชื่อพวกมันไม่เลิกสักที
   
“ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ผมก็ยังอยากทำอยู่ดี”
   
ทวิชเช็ดเล็บที่ชุ่มเลือดของตัวเองกับชายเสื้อที่ตัวเองซ่อนไว้ใต้ผ้าห่มลวกๆ ก่อนที่จะใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองออกเพราะเขาเหนื่อยที่จะร้องไห้เต็มทนแล้ว
   
ปีกของทวิชขยับน้อยๆ ขณะที่พูด
   
“ในเมื่อคุณขโมยความตายจากผมไปแล้ว หลังจากนี้ผมจะพยายามไม่โหยหามันอีก”
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 10 : ความตาย 11 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 11-12-2019 23:37:53
นั้มตาไหลพราก
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 10 : ความตาย 11 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-12-2019 14:58:36
 :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 10 : ความตาย 11 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-12-2019 20:57:40
เศร้าสุดๆ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 10 : ความตาย 11 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-12-2019 00:47:16
เป็นกำลังใจให้ทวิชนะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 10 : ความตาย 11 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 14-12-2019 20:18:16
สู้นะ เราต้องชนะ สักวัน
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 11 : เจ้าของร้านคนใหม่ 22 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-12-2019 15:12:22
ตอนที่ 11

   
“ร้านยังไม่เปิดอีกเหรอ?”
   
เบต้ากวางร่างเล็กเอ่ยถามกันต์ด้วยสีหน้าอมทุกข์หลังจากที่แวะเวียนมาร้านนี้ถึงสามวันแล้ว ร้านก็ไม่เปิดเสียทีมีแต่เบต้ากระทิงหน้าตาไม่เป็นมิตรนั่งเฝ้าอยู่หน้าร้าน
   
“…”
   
กันต์ส่ายหัวแล้วหลุบมองพื้นตรงหน้าด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
   
เหตุผลที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในตอนนี้ได้หายไปจากชีวิตและครรลองสายตาของเขาแล้ว ถึงแม้ทวิชจะเคยบอกเขาก็เถอะว่าถ้าตัวเองหายไปนานๆ ก็ให้เขายึดร้านเป็นของตัวเองได้เลย ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่อยากได้มัน
   
เขาคิดถึงน้ำเสียงนุ่มนวลที่เอ่ยกับเขาและรสมืออาหารที่หาจับตัวยากของทวิช
   
การมีอยู่ของทวิชทำให้เขารู้สึกมีความสุขในโลกห่วยๆ ใบนี้ หากไม่มีทวิชแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะอยู่ไปทำไม ประเทศนี้ไม่เคยยอมรับการมีอยู่ของเขา ไม่ว่าเขาจะตายหรืออยู่ก็ไม่มีใครสนใจ เพราะลำพังแค่เอาตัวเองให้รอดไปวันๆ ก็หืดขึ้นคอแล้ว
   
เขาไม่รู้ว่าทวิชเติบโตมาแบบไหนถึงได้ใกล้เป็นคนที่ดีขนาดนี้ได้ อาจจะท่ามกลางดอกไม้หรือสถานที่สวยๆ สักที่ แต่มันก็คงเป็นเพียงแค่จินตนาการของเขา เพราะเขารู้ดีว่าสถานที่สวยงามพรรค์นั้นก็มีแค่ในเขตของพวกอัลฟ่าเท่านั้น
   
โลกที่เบต้าและเขาได้รับอนุญาตให้ใช้ชีวิตอยู่มันก็ห่วยเหลือเกิน
   
เงินกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแย่งชิงโอกาสและซื้อสิ่งต่างๆ แม้กระทั่งเวลา แน่นอนว่าเขาไม่มีปัญญาหามัน เขาถึงต้องมาใช้ชีวิตห่วยแตกพรรค์นี้ ซึ่งมันก็น่าสิ้นหวังจนเขาอยากตายให้พ้นๆ สักที
   
“แล้วนายทำแทนไม่ได้เหรอ? บริการหลับสบายน่ะ”
   
เบต้ากวางถามต่ออย่างคาดหวัง นัยน์ตาสีมันขลับที่มองกันต์นั้นแทบไม่หลงเหลือความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิตหลงเหลืออยู่แล้ว
   
“ผมทำอาหารไม่เป็น”
   
แน่นอนว่าทวิชนั้นสอนกระทั่งการผสมยาและฉีดยาให้กับกันต์ คาดหวังเล็กๆ ว่าอีกฝ่ายจะสานพันธกิจของตัวเองต่อ ถ้าหากว่าตัวเองตายไปแล้วในสักวัน
   
“ไอ้อาหารมื้อสุดท้ายนั้นน่ะนะ” เบต้ากวางหัวเราะเบาๆ “ถ้านายไม่ถนัดทำอาหารก็ลองทำสิ่งที่นายถนัดดูสิ แต่เอาเข้าจริงนายไม่จำเป็นต้องทำให้ฉันก็ได้ แค่นายทำให้ฉันตายได้ ฉันก็มีความสุขมากแล้วจริงๆ ”
   
ถึงแม้จะเรียกร้องหาความตายทุกลมหายใจ แต่ลึกๆ ก็ยังกลัวความเจ็บปวดอยู่ดี จึงพยายามหาทางหว่านล้อมกันต์ทุกวิถีทางเพราะเขาทนความทุกข์ทรมานเหล่านี้แทบไม่ไหวแล้ว และไม่อยากให้ความสุขที่จะหลุดพ้นจากเรื่องเลวร้ายทั้งปวงเหล่านี้กลายเป็นความเจ็บปวดทางร่างกายเหลือคณา
   
พอเห็นกันต์พยักหน้าน้อยๆ เบต้ากวางก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจและทรุดตัวนั่งลงข้างๆ พร้อมกับเล่าประวัติของตัวเองทันทีอย่างรู้งาน
   
“ผมชื่อเปรม ผมเป็นเบต้ากวางและตลอดชีวิตของผมคือการทำงานเป็นข้าราชการให้กับรัฐบาล” นัยน์ตาของเปรมนั้นฉายความขมขื่นออกมา “ผมทำงานอยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์หรือคุณจะเรียกผมง่ายๆ ว่า IO (Information Operation) ก็ได้ ผมคอยผลิตข่าวปลอมๆ เกี่ยวกับพวกโอเมก้าหรือกลุ่มปฏิวัติส่งให้พวกรายการโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์แล้วก็พวกสื่อต่างๆ ”
   
ขณะที่พูดอยู่นั้นน้ำตาของเปรมก็ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
   
“ทีแรกผมก็ชอบงานนี้นะ เงินมันดีแล้วผมก็รู้สึกว่าผมก็ทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วย ผมกำลังผดุงความยุติธรรมให้กับรัฐบาลและประเทศ ผมรู้สึกว่าพวกโอเมก้าพวกนั้นสมควรตายให้หมดรวมถึงพวกกบฏด้วย ผมคิดมาตลอดว่าพวกเขาสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ เป็นสาเหตุของความล้าหลังของประเทศเรา ผมทำอาชีพนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งลูกของผมกลายเป็นหนึ่งในคนที่ตาย”
   
เปรมสะอื้นจนตัวโยนเมื่อนึกถึงลูกคนเดียวของตัวเอง
   
“ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าอุดมการณ์ของพวกโอเมก้าจะมีคนกล้าตายเพื่อมัน ผมเลยเขียนข่าวปรามาสพวกมัน วันต่อมาลูกผมก็เลยผูกคอตายหน้าสำนักงานที่ผมทำงานอยู่”
   
“…”
   
กันต์ไม่ได้ออกความเห็นอะไร นั่งฟังเงียบๆ อย่างสงบ พยายามจดจำให้ได้มากที่สุดเพื่อที่ทวิชกลับมาจะได้ให้อีกฝ่ายบันทึกให้เพราะเขาเขียนไม่เป็น
   
“ผมไม่รู้มาก่อนว่าลูกผมมีความคิดเหมือนพวกโอเมก้าเพราะเราไม่เคยคุยการเมืองที่บ้าน ผมไม่เคยสนใจว่าอิสรภาพที่พวกโอเมก้าเรียกร้องเพราะคิดว่ามันไร้สาระและอันตรายต่อประเทศ แต่พอลูกผมตาย ผมถึงรู้ว่ามันไม่ได้ทำร้ายประเทศเราเพราะคนที่ทำร้ายจริงๆ คือพวกอัลฟ่าต่างหาก”
   
เปรมหัวเราะทั้งน้ำตาพยายามใช้มือปาดน้ำตาตัวเองออก แต่มันก็ไม่หยุดไหลสักที
   
“พอผมเข้าใจเจตนาของพวกโอเมก้ากับพวกกลุ่มปฏิวัติ ผมก็รู้สึกเจ็บปวด เพราะข่าวปลอมๆ ที่ผมเขียน ทำให้พวกเขาตายไปกี่คนแล้ว ทำไมผมถึงต้องเขียนข่าวให้พวกเขาโดนเกลียดชัง ทั้งๆ ที่สิ่งที่พวกเขาเรียกร้องคือประโยชน์ส่วนรวมของพวกเรา ทำไมพวกเขาถึงต้องตายอย่างทุกข์ทรมานแบบนั้นด้วย มันไม่ยุติธรรมเลย”
   
เปรมสะอื้นออกมาจนตัวโยน หมดสิ้นซึ่งความทระนงตัวของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ยศถาบรรดาศักดิ์ที่เขาได้รับจากอัลฟ่าก็เป็นแค่ของหลอกลวงให้เบต้าหน้าโง่อย่างเขาหลงระเริง เพราะในความเป็นจริงของก็เป็นแค่เครื่องมือในการฆ่าคนด้วยกันเองเท่านั้น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นทางอ้อมแต่ก็ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชน
   
เขารู้ว่าพวกเบต้าอย่างเขาหัวอ่อนอย่างกับอะไร ขอแค่ทางการพูดอะไรก็เชื่องเชื่อไปหมดเพียงเพราะถูกสอนมาว่ารัฐบาลนั้นคือความถูกต้อง ไม่มีวันโกหก ไม่เอียงเอน สิ่งอื่นนอกจากนี้ล้วนแล้วแต่เชื่อถือไม่ได้ทั้งนั้น แม้ว่าจะเป็นประเทศโลกที่หนึ่งที่มีความเจริญมากกว่าเราก็ตาม
   
“ผมทนอยู่ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
   
เปรมพยายามฝืนยิ้มให้กันต์แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะการพอนึกถึงความสูญเสียที่ตนเองได้กระทำลงไปโดยเฉพาะกับลูกตัวเองก็ทำให้เจ็บปวดเหมือนตายทั้งเป็น
   
เอาเข้าจริงเขาก็ไม่คิดมาก่อนเลยสักนิดว่าลูกสาวที่ดูอ่อนหวานของเขาจะมีความกล้าถึงเพียงนั้น กล้ากว่าเขาเสียอีก ยินยอมใช้ความตายของตัวเองสังเวยให้กับประโยคดูถูกของรัฐบาลเพื่อเป็นการยืนยันว่ามันคุ้มค่าพอที่จะตายเพื่อมัน
   
“จริงๆ ผมก็อยากลองเปลี่ยนแปลงอะไรภายในเพื่อลูกของผมนะ แต่พอผมพยายามได้สักพัก ผมถึงได้รู้ว่ามันโคตรเสียเวลาเปล่าเลยเพราะทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็เป็นเหมือนผมเมื่อก่อน ถ้าไม่เดือดร้อนหรือถึงตัวเองก็ไม่เคยคิดจะใส่ใจ เชื่อเถอะว่าถ้าคนที่ตายไม่ใช่ลูกผม ผมก็คงไม่สนใจเหมือนกัน”
   
ความน่ากลัวของความเคยชินคือการทำให้ผู้คนชินชากับสิ่งผิดปกติในสังคม การมีคนมาฆ่าตัวตายหน้าสำนักงานไม่ใช่เรื่องปกติ แต่ทุกคนในสำนักงานก็เฉยชาเพราะความตายของกลุ่มกบฏนั้นเป็นเรื่องปกติ ตายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขึ้นก็ถือว่าเป็นเรื่องดีเสียอีก พวกเขาจะได้รับประเทศที่สงบกลับคืนมาเสียที
   
“ผมลองอยู่หลายวิธี พยายามโน้มน้าวพวกเขา พยายามทำให้พวกเขาเปิดใจรับความจริง แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเชื่อผมอยู่ดี คิดว่าผมเป็นบ้าตามลูกแถมยังขู่ผมด้วยว่าถ้ายังไม่เลิกพูดเรื่องนี้จะแจ้งทางการให้มาจับผมไป”
   
เบต้ากวางถอนหายใจเหนื่อยๆ
   
“สำหรับผมประเทศนี้มันสิ้นหวังและไร้อนาคตไปแล้ว พวกเราทำงานเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัวเอง กลัวว่าครอบครัวหรือตัวเองจะเดือดร้อนถ้าเผลอทำในสิ่งที่ถูกต้องไป เอาเข้าจริง พวกเราทุกคนที่เป็น IO ก็รู้ดีกันดีนั่นแหละว่ากำลังสร้างข่าวปลอมกันอยู่ โพลล์บ้าบออะไรนั่นก็มั่วเลขขึ้นมาเขียนอวยรัฐบาลล้วนๆ ใครมันจะว่างลงไปสำรวจความคิดเห็นประชาชนทุกวันกัน ฮะๆ แต่ที่ตลกร้ายที่สุดคือมีคนเชื่อเนี่ยแหละ แปลกนะที่พวกเขาเลือกที่จะเชื่อสื่ออย่างพวกเรา มากกว่าความจริงตรงหน้าตัวเอง พวกเราบอกเศรษฐกิจดีก็เชื่อแต่เงินในกระเป๋าตัวเองแทบไม่มีซื้อข้าวแล้วด้วยซ้ำ”
   
“…”

แน่นอนว่ากันต์ไม่คิดจะออกความเห็นอะไรกับการสารภาพบาปของเปรม เพราะรู้ดีว่าลำพังแค่เล่าให้เขาฟังอีกฝ่ายก็คงจะเจ็บปวดพอแล้ว และคำปลอบประโลมหรือการโต้ตอบอะไรสักอย่างก็คงจะช่วยอะไรเปรมไม่ได้ หนทางเดียวที่จะปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของได้นั้นก็มีเพียงทางเดียวที่เปรมร้องขอเท่านั้น
   
“อยากรู้อะไรอีกไหม คุณ ถ้าไม่ก็ช่วยฆ่าผมสักที ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ ”
   
เปรมแทบจะก้มลงไปกราบเท้าอ้อนวอนกันต์ เขาเจ็บปวด เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว การได้รับรู้ความจริงอันแสนสกปรกโสมมของเหล่าอัลฟ่าทำให้เขาทุกข์ทรมาน แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือเขาไม่อยากรับรู้แล้วว่าลูกตัวเองตายเพราะใคร
   
“…ตามผมมา”
   
ถึงแม้จะไม่ค่อยอยากรับหน้าที่เป็นเจ้าของร้านคนใหม่นัก แต่สุดท้ายกันต์ก็อดใจอ่อนไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีก็ตามความตายไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกต้องที่สุด แต่ในประเทศห่วยแตกไร้ตรรกะพรรค์นี้ ความตายก็อาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดก็ได้
   
กันต์พาเปรมขึ้นชั้นสองไปนั่งบนเก้าอี้ที่เคยผ่านการนั่งของคนผู้สิ้นหวังนับร้อย ปล่อยให้อีกฝ่ายนอนหนุนกับเบาะนุ่มรอคอยความตายที่ร้องขออย่างสบายอกสบายใจ ซึ่งแน่นอนว่ากันต์มีสีหน้ายุ่งยากใจนิดๆ เพราะรู้สึกว่าเหมือนเขาขาดพิธีกรรมไปหนึ่งอย่าง
   
เขาต้องทำให้เบต้าผู้สิ้นหวังคนนี้มีความสุขให้ได้ก่อนที่จะฉีดยาให้ เหมือนที่ทวิชเคยทำแต่วิธีการของทวิชคือการทำอาหารมื้อสุดท้ายที่อร่อยๆ ให้กิน แต่เขาทำอาหารไม่เป็นเนี่ยแหละประเด็น
   
กันต์วุ่นวายใจอยู่สักพักจนในที่สุดก็ตัดสินใจเลือกวิธีของตัวเอง
   
เขาคุยกับคนอื่นไม่เก่ง วาดรูปก็ไม่เป็น เขียนหนังสือก็ไม่ได้ จะร้องเพลงก็จำเนื้อไม่ได้อีก
   
เขาทำอะไรไม่เป็นเลย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็มีเพียงการแสดงออกทางร่างกายเท่านั้น
   
“..ผมขอกอดคุณได้ไหม”
   
กันต์พูดด้วยน้ำเสียงสงบ แววตาจริงจัง ไม่มีทีท่าอะไรที่แสดงถึงความหมายโดยนัยของคำพูดแม้แต่นิด เพราะเขาหมายความตามที่ตัวเองพูดจริงๆ
   
“..ได้สิ”
   
เปรมเลิกคิ้วงงๆ แต่ก็ยอมรับอ้อมกอดอุ่นที่กอดตัวเองอย่างสุภาพ ร่างกายที่ใหญ่โตของกันต์อาจจะดูเทอะทะไปบ้างแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการได้กอดคนอื่นนั้นให้ความรู้สึกที่ดีกว่าที่คิด ราวกับว่าความเจ็บปวดที่กดทับเขาเอาไว้หายไปชั่วขณะ
   
กันต์ไม่ได้พูดอะไรขณะที่กอด ลอกเลียนแบบวิธีการที่แม่ของเขาใช้ปลอบเขาตอนเด็กๆ เวลาที่เขาร้องไห้งอแง ให้ความอบอุ่นของร่างกายปลอบประโลมเขาจากความโหดร้ายของโลกทั้งปวงที่ได้กระทำต่อเขาอย่างทารุณ ใช้แผ่นหลังบางนั้นปกป้องเขาจากทุกสิ่งที่มุ่งร้ายต่อเขา ซึ่งกันต์กอดอีกฝ่ายอยู่สักพักก่อนจะผละออกมาและรู้สึกพอใจนิดๆ ที่เห็นเปรมมีสีหน้าดีขึ้น
   
“ขอบคุณคุณมากจริงๆ มันช่วยให้ผมสบายใจขึ้นมากเลย”
   
เปรมยิ้มออกมาด้วยท่าทีสงบขึ้นมาก
   
“ผมพร้อมแล้ว”
   
“…”
   
กันต์พยักหน้าเชิงรับรู้ก่อนที่จะเดินเข้าไปหยิบเข็มฉีดยาซึ่งถูกบรรจุของเหลวเตรียมไว้ในกล่องเหล็กที่ทวิชซ่อนเอาไว้ใต้พื้นด้วยกลไกพิเศษ เช็คความสมบูรณ์ของอุปกรณ์อยู่สักพักกันต์ถึงเดินกลับไปหาเปรมที่หลับตานอนรอความตายอย่างสงบ
   
“หลับซะ.. ไม่มีอะไรที่คุณต้องกังวลอีกแล้ว”
   
ชั่วขณะหนึ่งระหว่างที่กำลังลูบหาเส้นเลือดบริเวณข้อมือและจรดปลายเข็มตรงเส้นเลือด กันต์ตัดสินใจร่ายมนตร์แบบเดียวกับที่ทวิชมักจะพูดออกมา มนตร์วิเศษที่จะทำให้เบต้าผู้สิ้นหวังไม่หลงทาง ได้ปลดปล่อยตัวเองจากความเหนื่อยยากทุกข์ทรมาน ให้พวกเขาได้หลบหนีโลกอันโหดร้ายใบนี้ไปยังสถานที่ที่ดีกับเขามากกว่านี้
   
เปรมสะดุ้งนิดๆ ตอนที่ยานั้นได้ถูกฉีดเข้ามาในเส้นเลือด แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคือความรู้สึกเบาสบายๆ พร้อมกับน้ำเสียงนุ่มนวลของกันต์ที่ช่วยขับกล่อมให้เขารู้สึกสงบ สงบจนเลิกหวาดกลัวและน้อมรับต่อความตายด้วยความยินดี
   
“พวกมันก็ทำร้ายคุณได้เท่านี้แหละ ในโลกใบนั้นจะไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีก”
   
กันต์ยังคงขับกล่อมต่อไปเรื่อยๆ รอจนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของเปรมหยุดลง เขาถึงหยุดร่ายมนตร์และยิ้มเศร้าๆ ออกมา
   
งานแรกในฐานะเจ้าของร้านคนใหม่ของเขา
   
สำเร็จแล้ว

   

หากจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงหรืออะไรใดๆ โรงพยาบาลก็ยังเป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ใช้เป็นจุดสังเกตการณ์ได้ดี เพราะถ้าหากมีคนมาใช้บริการมากกว่าปกติหลายเท่าตัว ก็อาจจะเป็นสัญญาณกลายๆ ว่าความรุนแรงครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้นอีกแล้ว
   
“มีมาเพิ่มอีกแล้วเหรอ”
   
นทีที่โหมงานมาเกินยี่สิบแปดชั่วโมงแล้วพูดด้วยสีหน้าคล้ายกับจะร้องไห้ขณะเดียวกันก็ซดกาแฟไปด้วย พยายามประรับประคองสติตัวเองให้อยู่ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าการอดนอนหนักๆ แบบนี้จะส่งผลเสียต่อตัวเองในระยะยาว และอาจจะทำให้การวินิจฉัยผิดพลาดด้วย
   
แน่นอนว่านทีถึงความจริงข้อนี้ แต่ก็ยังตัดใจไปนอนไม่ได้อยู่ดี เพราะวันนี้นั้นได้มีร่างของทั้งผู้บาดเจ็บทั้งผู้เสียชีวิตมาถึงโรงพยาบาลมากมายเหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะโรงพยาบาลที่เขาทำเป็นโรงพยาบาลรัฐที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้ด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทั้งเคสเล็กใหญ่ถึงมากองที่นี่หมด
   
“ครับ เบื้องบนเริ่มจัดการอีกแล้ว”
   
พยาบาลเบ้ตากระต่ายวัยกลางคนซึ่งทำงานร่วมกับนทีตอบอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม บริเวณคอมีปลอกคอเหล็กคอยป้องกันไม่ให้คืนร่างต้น บริเวณหางตามีแผลเป็นใหญ่อันเป็นผลพวงจากการถูกทำร้ายในคุกเพราะเผลอหลุดปากไปวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลขณะอ่านหนังสือพิมพ์เข้า แต่ถึงกระนั้นบนใบหน้าก็ยังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่เสมอ ราวกับว่าทุกความเลวร้ายในประเทศนี้นั้นไม่สามารถทำให้เขารู้สึกอะไรได้อีกต่อไปแล้ว
   
“พวกเขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้นเอง”
   
นทีบ่นขณะเดียวกันก็ง่วนอยู่กับการเย็บแผลให้เบต้าคนหนึ่งที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้สติ
   
“แต่พวกเขาก็ลืมไปว่าตัวเองเป็นแค่เบต้าไร้ค่าไง คุณนที สิ่งที่พวกเราเบต้าทุกคนต้องรู้คือเราไม่มีสิทธิ์พูดอะไรทั้งนั้นกับความชั่วร้ายพวกนี้ หน้าที่เดียวของเราก็คือมีชีวิตและเสียภาษีเลี้ยงพวกมันจนกว่าเราจะเป็นฝ่ายตายจากพวกมันไปเอง”
   
“…”
   
นทีพูดอะไรไม่ออกกับคำแดกดันของหมอก นักโทษตลอดชีวิตหรือผู้ช่วยที่เขาได้รับมาจากกรมราชทัณฑ์ที่เขาถูกเบื้องบนฝากฝังว่าให้ดูแลอย่างใกล้ชิดไม่ให้ออกนอกลู่นอกทางอีก แน่นอนว่าเขารับคำอย่างดี แต่เรื่องที่ตลกร้ายกว่าคือทั้งหมอกทั้งเขาก็คือคนประเภทเดียวกัน
   
พวกเขาเกลียดรัฐบาล
   
แต่สิ่งที่ต่างกันคือเขายังไม่ถูกจับได้ว่าเกลียด เลยมักจะได้รับการเอ็นดูจากผู้ใหญ่เสมอเพราะเขาเป็นคนที่ค่อนข้างตั้งใจทำงาน เข้าร่วมกับกิจกรรมของรัฐบาลแทบทุกอันเท่าที่เวลาจะอำนวย อีกทั้งยังพยายามทุกวิถีทางให้ตัวเองอยู่ในสายตาของรัฐและได้รับความไว้วางใจอยู่เสมอ
   
แน่นอนว่าการถูกจ้องมองโดยตรงจากเบื้องบนนั้นเป็นความเสี่ยง แต่ความเสี่ยงนี้ก็แลกมาด้วยผลประโยชน์มากมายเช่นกัน เพราะเขาสามารถใช้ตำแหน่งของตัวเองในการปกปิดการหายไปของอุปกรณ์หรือยาบางอย่างโดยอ้างว่านำมารักษาคนไข้นักการเมืองระดับสูงสักคนที่เขารู้จัก ก่อนที่เขาจะนำไปแจกจ่ายหรือขายให้กับตลาดมืดเพื่อนำเงินมาใช้เกี่ยวกับการลอบทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวต่างๆ
   
หากจะวัดความใกล้ชิดกับรัฐบาล นทีคงจะเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในกลุ่ม ถึงแม้จะเป็นคนที่ค่อนข้างขี้อายและเก็บตัว แต่สิ่งที่โดดเด่นคือฝีมือการรักษาที่ค่อนข้างแม่นยำ มีหลายครั้งที่นักการเมืองใหญ่ๆ หรือทหารพยายามดึงตัวนทีไปเป็นหมอประจำตัว แต่ก็ไม่สำเร็จเพราะนทีนั้นยืนยันจะทำงานที่โรงพยาบาลรัฐต่อและแนะนำให้คนอื่นที่มีฝีมือใกล้เคียงกันไปแทน
   
“..แล้ว พอจะรู้ข่าวประท้วงไหม”
   
นทีกระซิบถามด้วยสีหน้านิ่งเฉย ทั้งๆ ที่กำลังประหม่าจนมือชื้นเหงื่อ เพราะสิ่งที่เขากำลังพูดคุยอยู่นั้นค่อนข้างสุ่มเสี่ยงพอตัว
   
“แกนนำยังอยู่ดี แต่คนธรรมดาตายไปเยอะมาก ที่มาโรงพยาบาลเราก็แค่เสี้ยวเดียวของคนทั้งหมด” หมอกเหลือบมองเบต้าอีกเตียงที่ร้องโหยหวนไม่หยุด คร่ำครวญถึงเพื่อนร่วมอุดมการณ์เตียงข้างๆ ที่เพิ่งโดนผ้าขาวมาคลุมหน้าเตรียมจะถูกเคลื่อนย้ายออกเพื่อนำคนที่ยังมีลมหายใจอยู่มาใช้เตียงต่อ
   
“มีอะไรที่ต้องรู้เป็นพิเศษไหม”
   
แน่นอนว่าการเอาแต่ง่วนอยู่กับการทำงานช่วงนี้ ทำให้นทีขาดการติดต่อกับพอสไป ถึงแม้ว่าจะอยากติดต่อไปมาก แต่สภาพเบต้าที่โดนความรุนแรงกระทำมาจนเสียสภาพความเป็นมนุษย์ก็เล่นเอาเขาลืมไปแทบทุกอย่าง
   
เขาทิ้งผู้คนตรงหน้าไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะยังอยากสนับสนุนพอส แต่เขาก็ไม่อาจะละทิ้งโอกาสที่ช่วยเหลือคนพวกนี้ ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้วปลายทางของพวกเขาจะถูกขังลืมในคุกหรือไม่ก็กลายเป็นแรงงานทาสของรัฐบาลก็ตาม
   
“คุณรู้เรื่อง ‘นก’ ไหม”
   
“…”
   
นทีตะลึงไปนิดๆ เมื่อเห็นรอยยิ้มของหมอกที่น่าจะเป็นรอยยิ้มจากใจจริงๆ หลังจากที่พวกเขาทำงานร่วมกันมาเกือบสองปี นัยน์ตาที่มักจะดูสิ้นหวังเฉื่อยชาดูมีประกายขึ้นมา ก่อนที่จะส่ายหัวเพราะสามวันมานี้เขาเอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูอะไรทั้งนั้น
   
“ถึงพวกรัฐบาลจะพยายามปิดข่าวยังไง เสียงกระซิบก็ยังดังมากอยู่ดี” เบต้ากระต่ายยิ้มบางแทบจะฮัมเพลงออกมาด้วยความอารมณ์ดี เลือกที่จะใช้น้ำเสียงนุ่มนวลเล่ามันออกมาราวกับนิทานแสนหวานที่กล่อมให้เด็กทารกได้หลับใหลอย่างปกติสุข

“สามวันก่อน วันที่เรากลุ่มปฏิวัติตัดสินใจชุมนุมกันกลางเมืองอย่างสันติ พวกเราเหล่าผู้ไม่พอใจในความอยุติธรรมได้ขึ้นปราศรัยกันอย่างห้าวหาญ บริภาษถึงความชั่วร้ายปกปิดของรัฐบาลที่ได้กระทำต่อเราอย่างทารุณและตรงไปตรงมา พวกเราผลัดเปลี่ยนกันพูด ผลัดเปลี่ยนกันฟัง พูดคุยกันอย่างสันติ จนกระทั่งผู้ผดุงความยุติธรรมได้แบกอาวุธเข้ามา เสียงกระสุนดังสนั่นเข่นฆ่าพวกเรา ตื่นกันได้หรือยัง เหล่าเบต้าโง่งม พอได้รึยังกับความทุกข์ทน ปัง! เสียงกระสุนดังอีกครั้ง ผู้ร่วมอุดมการณ์ของเราร่วงหล่นลงมาจากฟ้า ให้ตายเถิดนี่คงจะเป็นอีกครั้งที่เพื่อนของเราต้องตาย”
   
“…”
   
เบต้ากระต่ายพักหายใจครู่หนึ่งก่อนจะเล่าต่อ แววตามีประกายแห่งความหวังมากกว่าเดิม
   
“ทันใดนั้นเพื่อนคนสำคัญของเราก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา ปีกสีนิฬกาลคู่ใหญ่สยายไปทั่วฟ้า กระพือพัดโบกความหวังและโฉบเฉี่ยวขึ้นไปช่วยเหลือเพื่อนของเรา ทุกคนจงดูสิเพื่อนของเราได้นำพามาซึ่งอิสรภาพแล้ว”
   
นทีกลืนน้ำลายเอือกหลังฟังจบ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพอฟังจบมันก็ทำให้เขาฮึกเหิมขึ้นมานิดๆ และเรื่องเล่าเรื่องนี้ก็คงไม่วายเป็นชนวนเหตุให้เหล่าเบต้าออกมาเรียกร้องกันมากมายขนาดนี้ ไม่ยอมหยุดนิ่งแม้กระทั่งวันเดียวเพราะคงจะกลัวว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ความหวังได้จุดติด
   
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พวกเบต้าเล่าให้กันฟังช่วงนี้ ถ้าคุณอยากฟังสดๆ ก็ลองถามพวกเบต้าที่พุดคุยรู้เรื่องก็ได้”
   
“คุณพอจะมีรูปไหม”
   
“มี แต่ไม่ชัดเท่าไหร่ เห็นลางๆ แค่ว่าเป็นโอเมก้านกที่มาช่วยพวกเรา จริงสิ หลังจากที่คนๆ นี้ปรากฏตัว พวกโอเมก้านกคนอื่นๆ ที่ทางการเคยอ้างว่ากำจัดไปหมดแล้วเต็มไปหมด ทั้งพวกลูกครึ่งเบต้า อัลฟ่า หรือพวกที่ยังไม่ฉีดยาก็ออกกันมาทั้งนั้น ตอนนี้แม้แต่เด็กๆ ยังทำปีกปลอมเพื่อเป็นโอเมก้าเลย”
   
หมอกหัวเราะแล้วหยิบรูปที่ได้รับจากการลอบแจกจ่ายกันให้นทีดู
   
“ก็อย่างว่า ใครๆ ก็อยากเป็นฮีโร่กันทั้งนั้น ตอนนี้พวกอัลฟ่าแทบจะอกแตกตายกันอยู่แล้ว พวกมันถึงได้ลงมือกันรุนแรงขนาดนี้”
   
ขณะที่พูดสีหน้าของเบต้ากระต่ายก็กลับมาหมองลง ถึงแม้เขาจะดีจริงก็จริงที่เกิดการเคลื่อนไหวของฝูงชน แต่เขาก็หดหู่เหลือเกินกับความรุนแรงที่รัฐได้กระทำ เพราะยิ่งรัฐออกแรงมากก็ยิ่งแสดงชัดว่าพวกเขาไม่มั่นใจถึงเสถียรภาพในมือของตัวเอง
   
“!!!”
   
นทีที่มือก็ยังง่วนอยู่กับการทำแผลอยู่เบิกตากว้างกับรูปที่เห็น เพราะคนที่ปรากฏในรูปนั้นช่างคุ้นหน้าค้นตาเขาเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะเห็นใบหน้าได้ไม่ชัดนัก แต่เขาก็พอจะจดจำรูปร่างของอีกฝ่ายได้ ซึ่งสิ่งที่โดดเด่นที่สุดนั้นคือปีกคู่ใหญ่ที่กำลังกระพืออย่างรุนแรง
   
ทวิช?
   
“เอาเข้าจริงผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีโอเมก้าที่กล้าขนาดนี้เหมือนกัน ท่ามกลางทหารตำรวจของพวกทางการอาวุธครบมือ แต่เขากลับพุ่งขึ้นไปช่วยคน ทั้งๆ ที่มันอาจจะทำให้เขาตายก็ได้”
   
“…”

คำพูดประกอบของหมอกยิ่งทำให้นทีมั่นใจว่าคนในภาพนั้นคือ ‘ทวิช’ ที่เขารู้จักแน่ๆ เพราะจะมีสักกี่คนกันที่ยอมเปิดร้านขายความตายแบบไม่เจ็บปวดให้กับพวกเบต้าสิ้นหวังโดยที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไร ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นจะสามารถใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายไปตลอดชีวิตก็ได้

แน่นอนว่าถึงแม้เขาจะรู้จักทวิช แต่เขาก็รู้จักเพียงแค่ผิวเผินและรู้แค่ว่าทวิชดีกับพวกเขา มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาลเหมือนกันก็แค่นั้น ส่วนเรื่องส่วนตัวมากกว่านั้นเขาไม่เคยรู้เลย ทวิชไม่เคยอธิบายตัวตนของตัวเอง ไม่พูดถึงเสื้อคลุมของตระกูลพยัคฆโภคสกุลที่ตัวเองสวมใส่อยู่ ไม่พูดอะไรทั้งนั้นและมักจะทำสีหน้าเฉยชาไม่ยี่หระกับอะไรสักอย่าง ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเปิดร้านและสูบบุหรี่จัด

มีครั้งหนึ่งที่เขาพยายามเตือนให้ทวิชสูบบุหรี่น้อยลงเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะป่วย แต่ผลตอบรับที่ได้ก็มีแค่รอยยิ้มจางๆ และคำขอบคุณ นัยน์ตาสีทองที่รียาวกับสัตว์ตระกูลแมวนั้นเรืองรองขึ้นอย่างพอใจมากกว่าเสียใจ

ทวิชไม่สนใจชีวิตตัวเอง ยินดีเสียอีกที่ตัวเองจะตาย

“ผมเชื่อนะคุณนทีว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ”
   
นักโทษที่ไร้ซึ่งอิสรภาพมาแล้วนับสิบปีเก็บภาพทวิชคืนใส่กระเป๋าและพูดเสียงกระซิบ
   
“ผมก็คาดหวังให้มันสำเร็จเหมือนกัน”
   
นทียิ้มให้กำลังใจอีกฝ่ายก่อนจะชะงักกับเสียงทีวีที่อยู่ๆ ก็ถูกปรับเสียงให้ดังขึ้นอีกจนดังลั่นไปทั่วบริเวณ พอจะมองหาตัวต้นเหตุก็พบว่าเป็นเบต้าของทางการที่ถูกส่งมาตรวจตรา เขาคนนั้นมีสีหน้าเกลียดชังเหล่าเบต้าที่นอนบาดเจ็บกันอย่างระเกะระกาและใช้รีโมตในมือเร่งเสียงทีวีขึ้นจนสุดตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายมา
   
[ พวกคนชังชาติได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว กลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่คิดร้ายต่อประเทศ พวกเราต้องช่วยกำจัดมันเพื่อที่จะคืนความสงบให้กับประเทศเราอีกครั้ง --- ]
   
เสียงผู้บัญชาการอัลฟ่าพูดอย่างขึงขังดังประกอบภาพของถ่ายเหตุการณ์เลือนลางของทวิชที่โผบินขึ้นไปบนฟ้าเพื่อที่จะให้ประชาชนรู้ว่า ‘คนชังชาติ’ มีหน้าตาเป็นแบบไหน และหน้าที่หนึ่งเดียวของพลเมืองที่ดีของประเทศคือกำจัดมันเท่านั้น
   
“พวกมึงนั่นแหละที่ชังชาติ!! มีที่ไหนมากล่าวหาคนอื่นแบบนั้นวะ!!!”
   
เบต้าคนหนึ่งที่ทนฟังไม่ได้ตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลถึงแม้ว่าจะสูญเสียดวงตาของตัวเองไปแล้วข้างหนึ่งก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจจะสกัดกั้นปณิธานอันแรงกล้าของเขาได้
   
“หุบปาก ผมไม่อยากลงมือที่นี่”
   
ตำรวจเบต้าคนนั้นตอกกลับอย่างเย็นชาและมองด้วยสายตาเหยียดหยัน
   
“มึงมันโง่ที่ยอมให้เขาหลอก!! เศษเงินที่พวกมันให้สำคัญกว่าชีวิตประชาชนรึไงวะ!!! กูก็คนเหมือนกันมึงไหมวะ พวกมึงมีสิทธิ์อะไรมากฆ่าพวกกู!!”
   
“..ประเทศนี้มีปัญหาเพราะพวกคุณ”
   
“เออ!! ปัญหาก็คือพวกมึงเห็นแก่ตัวนั่นแหละ!!! คนมันจะอดตายกันหมดประเทศแล้วยังจะมาทำตัวเหี้ยๆ แบบนี้อีก ฆ่ากูสิ ฆ่าไปเลย ฆ่าหมดประเทศแล้วพวกมึงก็อยู่กันเองไปเลย!!”
   
เบต้าคนนั้นตะเกียกตะกายไปหาอัลฟ่า ความโกรธแค้นที่ไหลเวียนในตัวตลอดหลายวันมานี้กระตุ้นให้เขาตะโกนเรียกร้องไม่หยุด “พวกเราก็ชุมนุมกันอย่างสันติป่ะวะ อาวุธก็ไม่มี คนที่มีอาวุธก็มีแค่พวกมึง แล้วถ้าพวกอัลฟ่าที่พวกมึงบอกว่าดีจริง ทำไมตลอดหลายสิบปีทำไมประเทศเรามันได้แค่นี้ล่ะวะ แม่ง ประเทศเฮงซวยแบบนี้ กูไม่อยากอยู่!!!”
   
ปัง! ปัง!
   
ฉับพลันที่เบต้าคนนั้นพยายามจะคืนสู่ร่างต้นซึ่งเป็นแรดโตเต็มวัย เขาก็โดนกระสุนแห่งความยุติธรรมหยุดยั้งเอาไว้ซะก่อน
   
“…”
   
สิ้นเสียงปืนทั้งโถงที่เต็มไปด้วยคนป่วยก็เงียบงัน มีเพียงเสียงทีวีจ้อยแจ้วที่พยายามสร้างความเกลียดชังและมลพิษทางเสียงไม่หยุด
   
“..มีใครจะมีปัญหาอีกไหม?”
   
ตำรวจเบต้าพูดขึ้นมาหลังจากที่เพิ่งได้สติ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าอีกฝ่าย แต่ความหวาดกลัวเมื่อกี้ก็กระตุ้นให้เขาเผลอทำตามสัญชาตญาณเข้าจงเผลอยิงหัวอีกฝ่ายให้ตายคาที่ไปทันที
   
“…”
   
แววตาของเหล่าเบต้าวาวขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว ความขุ่นเคืองเพิ่มพูนทุกชั่วขณะท่ามกลางความเงียบ เหล่าอัลฟ่าและเบต้าของทางการที่ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างกระชับปืนที่อยู่ในมือกันมั่น และโอดครวญในใจที่ตนไม่ได้ไปประจำโรงพยาบาลของพวกอัลฟ่า
   
เพราะถ้าเป็นที่นั่น พวกเขาก็คงจะรับมือง่ายกว่านี้
   
“…หนีเถอะ”
   
หมอกกระชากตัวนทีเข้าหาตัวเองเมื่อเห็นท่าไม่ดีและเริ่มออกวิ่งทันที เมื่อความอดทนของเหล่าเบต้าที่อยู่ในห้องโถงหมดลง
   
“พวกมึงนั่นแหละที่ชังชาติ!!!!”
   
เสียงตะโกนที่ไม่แน่ใจว่ามาจากฝ่ายใดกันแน่คำรามลั่น

ก่อนที่ความรุนแรงครั้งใหม่จะเกิดขึ้นอีกครั้งในสถานที่ที่ควรจะปลอดภัยที่สุด

-----------

#สิงหกุลโภชนา

   
 


   
   

หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 11 : เจ้าของร้านคนใหม่ 22 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 22-12-2019 19:13:51
เส้าสุด แงง้ อยากซื้อเก็บแล้ว
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 11 : เจ้าของร้านคนใหม่ 22 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 22-12-2019 21:53:14
โหดกันจริงๆ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 11 : เจ้าของร้านคนใหม่ 22 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-12-2019 23:43:39
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 11 : เจ้าของร้านคนใหม่ 22 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-12-2019 20:23:23
ชีวิตยึดติดและอยู่กับการแก้แค้นไม่ช่วยให้เราอยู่ดีขึ้น
แต่ แต่ถ้าเราต้องเผชิญชะตากรรมที่ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรร้าย
ก็ไม่ควรนิ่งเฉย และไม่ควรยอมรับแบบไม่รู้จุดหมาย

ทวิชเลือกทางนี้ เพราะรอเวลามานาน ยิ่งรู้ว่าพ่อแม่ต้องเจออะไร
ใครจะทนไม่แก้แค้นยังไงไหว

หมอกกับนที ขอให้ปลอดภัย และกันต์ก็ขอให้อยู่รอด อยู่ดี
รอวันที่ทวิชกลับมานะคะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 11 : เจ้าของร้านคนใหม่ 22 ธ.ค 62 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 24-12-2019 23:52:43
ฮือออออ เขียนดีมากกกก อ่านแล้วอึดอัด มันอินกับเนื้อหามาก จนร้องไห้ออกมา นึกถึง ปทท ที่ช่วงนึกมีการเรียกร้องประชาธิปไตย จนเกิดความสูญเสียขึ้น :m15:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 12 : เห็นแก่ตัว 5 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 05-01-2020 00:16:46
ตอนที่ 12

   
เป็นเวลาเกือบห้าวันแล้วนับตั้งแต่ ‘ทวิช’ ได้ปรากฏตัวขึ้นมา
   
แน่นอนว่าปีกคู่ใหญ่บนแผ่นหลังทวิชนั้นได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับเหล่าผู้พบเห็นไม่น้อยเลยทีเดียว ในมุมหนึ่งก็เรียกทวิชว่าเป็นผู้นำมาซึ่งอิสรภาพ แต่อีกในอีกมุมหนึ่งก็เรียกทวิชว่าเป็นกบฏผู้ชังชาติ นอกจากนี้แล้วยังมีคำเรียกอีกมากมายที่ถูกใช้เรียกแทนทวิชเพื่อนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองและให้เกิดประโยชน์กับฝ่ายตนเองมากที่สุด
   
หลายวันนี้ประเทศที่เคยอยู่อย่างสงบเสงี่ยมราบคาบก็การประท้วงไม่หยุด ถึงแม้จะยังเป็นแค่คนส่วนน้อยของประเทศแต่ก็นับว่าเป็นการประท้วงจริงจังครั้งแรกในรอบหลายสิบปี มันเป็นการประท้วงที่เต็มไปด้วยสันติแต่ก็ถูกรัฐโต้ตอบด้วยความรุนแรง จนผู้ประท้วงเหล่านั้นทนไม่ไหวโต้ตอบกลับบ้างด้วยความโกรธเคือง
   
เพราะการ ‘ชุมนุม’ นั้นเป็นสิทธิโดยพื้นฐานที่ประเทศปกติพื้นฐานทั่วไปพึงมี ในประเทศโลกที่หนึ่งก็สามารถชุมนุมกันได้ทั้งนั้น ถึงแม้จะกล่าวอ้างว่าประเทศนี้เป็นประเทศพิเศษก็ย่อมมีกฎของตัวเอง แต่การสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่ออัลฟ่าเพียงชนชั้นเดียวก็ไม่น่านับว่าเป็นกฎหมายที่ดีได้ มีนักกฎหมายที่ดีคนไหนกันที่เขียนกฎหมายเอื้อแต่อัลฟ่า ใช้เพื่ออัลฟ่า และกำจัดคนที่ไม่ใช่พรรคพวกตัวเองขนาดนี้
   
ถ้าหากว่าเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความยุติธรรมก็คงจะเป็นเรื่องที่ตลกร้ายเกินไปแล้ว
   
“ทำไมเบต้าพวกนั้นหัวรุนแรงจัง”
   
“ใช่ ฉันว่าตำรวจน่าจับไปขังให้หมดเลย พวกคนสร้างความวุ่นวายเนี่ย จะชุมนุมกันทำไมก็ไม่รู้”
   
เสียงกระซิบกระซาบของข้าราชการสาวสองคนดังก้องในห้องชงกาแฟ ขณะที่รับชมข่าวจากทางโทรทัศน์ที่รัฐบาลจงใจออกสกู๊ปพิเศษออกมามากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการกระทำอันป่าเถื่อนของตัวเอง พยายามนำเสนอข่าวแต่ด้านความรุนแรงจากภาคประชาชนโดยหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงความรุนแรงที่เกิดจากรัฐที่ทั้งโหดร้ายและทารุณยิ่งกว่า
   
“…”
   
เวฟหรือเบต้าวัวหนึ่งในสมาชิกกลุ่มของพอสพยายามไม่แสดงท่าทีอะไร ทั้งๆ ที่ในใจค่อนข้างไม่พอใจในสิ่งที่ทั้งสองคนนั้นพูดพอตัว แต่เขาก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะพูดหรือตำหนิอะไร
   
ช่วยไม่ได้ก็เขามันขี้ขลาดเกินไป เขาไม่กล้าทำอะไรเลยสักอย่างเพราะหวาดกลัวว่าตัวเองจะสูญเสียสถานะทางสังคมของตัวเองตอนนี้ไป สถานะที่อาจจะไม่ได้สูงส่งมากแต่ก็มากพอให้เขาใช้ชีวิตสะดวกสบายก็พวกเบต้าทั่วไป
   
เขามันเห็นแก่ตัว
   
เวฟคิดอย่างหดหู่ มือที่จับแก้วกาแฟนั้นสั่นน้อยๆ จนกาแฟดำที่เพิ่งชงนั้นสั่นเป็นวง เคราะห์ดีที่เขาเป็นพวกไม่ค่อยเข้าสังคม ตอนพักเลยไม่ค่อยมีใครมาสนใจเขานัก
   
นัยน์ตาสีดำหลุบมองพื้นอย่างรู้สึกผิดเพราะนับตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง เขาก็ไม่ได้ติดต่อใครในกลุ่มอีกเลย ทิ้งโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อกับพอสไปทันทีเพื่อป้องกันทั้งตัวเองและพอส ช่วยไม่ได้ ถึงแม้เขาจะสามารถยัดตัวเองเข้ามาทำงานในตำแหน่งดีๆ ได้แต่ก็ยังหาเงินไปเช่าบ้านพักดีๆ ไม่ได้อยู่ดี

ทางเลือกเพียงหนึ่งเดียวของเขาเลยต้องเป็นบ้านสวัสดิการที่ค่าเช่าถูก แต่แลกมากับการถูกสุ่มตรวจบ้าน ถ้าหากพบสิ่งผิดปกติหรืออะไรไม่ชอบมาพากล เขาก็อาจจะถูกนำไปขังคุกทันทีไม่รอลงอาญาหรือหมายศาลใดๆ
   
แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ แต่สำหรับประเทศนี้มันก็เป็นเรื่องปกติไปแล้ว และต่อให้เขาหรือใครโดนจับ ไม่นานตำแหน่งที่ขาดหายไปก็เบต้าคนใหม่มาทำงานแทนอยู่ดี เป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำให้ข้าราชการอย่างเขารู้สึกว่าตัวเองช่างต่ำต้อยและไร้ค่าเหลือเกิน
   
เขาตั้งใจเรียนหักโหมแทบตายเพื่อจะเข้ามาทำงานที่นี่ สู้กับระบบอุปถัมภ์กับพวกเด็กฝากมาเกือบสิบปีกว่าจะพาตัวเองมาอยู่ในจุดนี้ได้ เขาพยายาม พยายามมามากจนไม่อยากจะสูญเสียอะไรสักอย่างของตัวเองเลยแม้แต่อย่างเดียว
   
สำหรับเขาการพยายามเรียกร้องอิสรภาพของเหล่าเบต้านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องถึงที่สุด เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้และควรกระทำ แต่เขาก็จะไม่ทั้งเข้าร่วมกับพวกนั้นทั้งทางตรงและทางอ้อม เพราะมันเสี่ยงเกินไป
   
เขารู้ดีว่าความจนมันน่ากลัว ความอดอยากมันทำให้เขาหิวโหยขนาดไหน การโดนถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังมันเจ็บปวดยังไง เขารู้ดีทุกอย่างว่ามันทรมานจนอยากตายให้พ้นๆ เขาไม่อยากเจอเรื่องพวกนั้นอีก จึงไม่ยอมเสี่ยงไปกับกลุ่มปฏิวัติเหล่านั้น ความเสี่ยงที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะปราชัยในตอนจบรึเปล่า
   
ประเทศนี้มันเลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไขได้แล้ว
   
ผู้คนที่เต็มใจตามืดบอดพวกนี้มันเกินกว่าจะเยียวยาจริงๆ คนพวกนี้เอาแต่พร่ำเพ้อถึงบาปกรรมของตัวเองในชาติก่อนที่มีผลทำให้พวกเขาต้องมาลำบากในชาตินี้ ไหนจะเรื่องที่ชอบพูดว่าตัวเองฝักใฝ่ในศาสนาเป็นคนดีรักศีลธรรมแต่กลับไม่เคยเห็นสิ่งผิดปกติหรือความโหดร้ายตรงหน้า
   
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าการที่เบต้าถูกฆ่าด้วยน้ำมือของอัลฟ่านั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตรงไหน ทำไมการที่เหล่าผู้นำหรือนักบวชของศาสนาออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองมันน่าศรัทธาและเป็นคนดียังไง
   
เขาไม่เข้าใจและไม่อยากเข้าใจด้วย เขาไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มคนที่สนับสนุนความโหดร้ายพวกนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะออกตัวขัดขวางคนพวกนี้อยู่ดี
   
โลกความจริงที่พวกเขาอยู่กันตอนนี้มันโหดร้ายเกินไป ฝันที่เหล่ากลุ่มปฏิวัติพยายามขายให้กับพวกเบต้านั้นก็ช่างเป็นฝันที่หวานที่แสนอันตรายราวกับลูกอมอาบยาพิษ คนที่หลงกินมันไปเต็มคำอย่างกายถึงต้องตายด้วยความทุกข์ทรมานแบบนั้น
   
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการยอมพลีชีพอย่างเต็มใจ แต่เขาก็ยอมรับไม่ได้อยู่ดี
   
เขาไม่อยากให้มีเบต้าตายอีกแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากก้มหน้าก้มตายอมรับชะตากรรมตัวเองต่อไปเงียบๆ และแสร้งว่ายอมจำนนต่อมันซะ
   
“..เราไม่มีวันชนะมันได้หรอก พอส”
   
เวฟพึมพำเสียงเบากับกาแฟดำในมือ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคนที่ชอบกินกาแฟดำ แต่คนที่ชอบนั้นเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กของเขาต่างหาก

   

“ทุกคนอย่าเพิ่งหมดหวัง เราต้องยืนหยัดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะได้มาซึ่งอิสรภาพที่เราต้องการ! อีกไม่นาน ผมเชื่อว่าอีกไม่นานเราจะได้อิสรภาพของเราคืนมา”
   
เสียงหนึ่งในผู้ร่วมชุมนุมขึ้นไปปราศรัยบนเวทีเพื่อให้กำลังใจผู้ชุมนุมด้วยกันเองที่เพิ่งขวัญเสียอย่างหนักจากสูญเสียเพื่อนร่วมอุดมการณ์ และพากันไปซุกซ่อนในป่าลึกหวังจะซุกซ่อนตัวเองจากสายตาของทางการ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันก็เป็นแค่การซื้อเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น
   
พวกเขารู้กันอยู่แก่ใจว่าผู้ที่มาเข้าร่วมกับพวกเขายังไม่มากพอ ผู้คนยังคงหลับใหลกันมากเกินไป ยังคืนมัวเมาในความฝันจอมปลอมที่รัฐบาลสร้างขึ้นมา ทั้งๆ ที่พวกเขาใช้ชีวิตทั้งชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงเพื่อให้คนพวกนี้ตาสว่างกันเสียที
   
“ทุกอย่างมันต้องดีขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้เราจะไม่พ่ายแพ้อีก พวกมันพรากชีวิตไปจากเราได้แต่พวกมันจะไม่มีวันพรากอุดมการณ์ของเราไปได้! เสรีภาพจงเจริญ! ความเสมอภาคจงเจริญ! พวกเราจะไม่ตกเป็นทาสของใครอีก!”
   
แน่นอนว่าถึงแม้ว่าสถานการณ์จะอยู่ในสภาพเป็นรองหรือจนตรอกเพียงใด พวกเขาก็ยินดีครื้นเครงและภาคภูมิใจในอุดมการณ์ที่กินไม่ได้ของพวกเขาเสมอ
   
เสียงเฮดังตอบรับเกรียวกราว พยายามสร้างบรรยากาศฮึกเหิมให้แก่เหล่าผู้กล้าที่ยังมีลมหายใจ ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะก็จะเป็นเสี้ยนหนามคอยยอกใจทางการต่อไป เป็นฝูงหิ่งห้อยตัวเล็กๆ ที่ยังคงส่องสว่างในประเทศอันมืดมิด คอยส่องทางให้กับเหล่าผู้ไม่ยอมตกเป็นทาสของใครได้อุ่นใจว่าพวกเขาไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีเพื่อนร่วมทางอีกมากมายที่พร้อมจะเดินทางร่วมไปกับเขา แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าปลายทางอาจจะเป็นความตายอันชั่วนิรันดร์ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะหลีกหนี
   
เพราะการเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัตินั้นก็ทำให้พวกเขาตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว
   
“..พอจะรู้ไหมว่าครั้งต่อไปจะทำอะไร”
   
พอสซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ชุมนุมที่ยังแข็งแรงดีไม่บาดเจ็บถามด้วยความกระตือรือร้น ถึงแม้ลึกๆ จะรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่พอถึงเวลาเข้าจริงๆ กลับเหลือเขาอยู่คนเดียว ไม่มีใครในกลุ่มที่ติดต่อได้เลยทั้งนที เวฟ และทวิช ทุกคนนั้นขาดการติดต่อไปเหมือนกับไม่อย่างข้องเกี่ยวกันอีก
   
ทั้งๆ ที่พวกเขามักจะพูดถึงการปฏิวัติอยู่เสมอ ใฝ่ฝันจะเข้าร่วมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและประเทศที่ดีกว่าเดิมและยังวาดฝันเอาไว้อีกมากมาย ถ้าหากว่ามันสำเร็จ
   
พวกเขาสร้างฝันร่วมกันมามากแต่พอถึงเวลาจะสร้างมันกลับไม่มีใครที่อยู่ยืนหยัดกับเขา
   
แน่นอนว่าพอสไม่ได้โกรธเพื่อนตัวเองเพราะเคารพการตัดสินใจของคนอื่น ไม่ว่าใครก็คงจะรักชีวิตของตัวเองกันทั้งนั้น แม้แต่เขาเองก็ไม่อยากตาย แต่ถ้ามันจำเป็นเขาก็ยอมเพื่อให้อนาคตข้างหน้านั้นดีกว่าตอนนี้
   
“พรุ่งนี้พวกเราจะชุมนุมกันอีกที่ศาลอัลฟ่ากับทำเนียบรัฐบาล”
   
เบต้าพยาบาลคนหนึ่งที่นอนพักอยู่ตอบกลับมาเสียงเรียบ ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้นมามองคนถามด้วยซ้ำเพราะยังคงเหนื่อยอ่อนจากการทำแผลให้เบต้าที่บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
   
“ทำไมถึงต้องชุมนุมที่นั่นด้วย เราชุมนุมกันที่อื่นไม่ได้เหรอ แถวนั้นพวกอัลฟ่าเยอะจะตาย”
   
เบต้าอีกคนที่นั่งกินขนมปังเกรดต่ำอยู่พูดด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เพราะรู้ดีว่าถ้าพวกเขาไปชุมนุมกันที่นั่น คงไม่วายได้กินกระสุนฟรีแทนข้าวกันแน่ๆ
   
“เพื่อที่จะแสดงว่าเราไม่ยอมรับอำนาจจากส่วนกลาง”
   
พอสตอบด้วยรอยยิ้มบ้างนิดๆ พร้อมกับขอบคุณกายในใจที่ชอบมาพูดถึงเรื่องพวกนี้และวิเคราะห์ให้ฟังอยู่บ่อยๆ ถึงการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของโอเมก้ายุคก่อน
   
“อำนาจจากส่วนกลาง?”
   
“ใช่ หนึ่งในสิ่งที่พวกอัลฟ่ากลัวมากที่สุดคือการที่อำนาจของตัวเองไม่ได้รับการยอมรับเนี่ยแหละ เพราะไอ้อำนาจส่วนกลางที่พวกมันใช้กับเราโคตรจะไม่มีความชอบธรรมเลย มีประเทศไหนกันที่ใช้กฎหมายสองมาตรฐานแบบนี้ ไหนจะรัฐบาลที่ปกครองแบบโคตรเหลื่อมล้ำนี้อีก บอกตามตรงเลยนะว่าคนประเทศเรานี่โคตรแปลกเลยที่ยังตาบอดกันมาถึงตอนนี้ได้”
   
“โห ฟังแบบนี้ยิ่งโคตรเสี่ยงเลย”
   
เบต้ากวางวัยรุ่นอีกคนเข้ามาร่วมวงคุยด้วยสีหน้าตื่นเต้น ถึงแม้จะรู้ว่ามันเสี่ยงตายแต่เขาก็อดสะใจไม่ได้อยู่ดีที่การชุมนุมของพวกเขาจะทำให้พวกอัลฟ่าอยู่ไม่สุขได้
   
พวกเขาทุกข์ทรมานกันมามากเกินพอแล้ว ถึงเวลาสักทีที่พวกมันจะทุกข์ทรมานและหวาดกลัวบ้าง
   
พอสยิ้มบางให้กับอุดมการณ์ที่โชติช่วงในแววตาของวัยรุ่นคนนั้นที่หาได้ยากกับพวกเบต้าวัยทำงานทั่วไป คนพวกนั้นพอตัวเองเอาตัวรอดได้แล้ว ก็เพิกเฉยกับพวกที่เอาตัวไม่รอดและดูถูกพวกเขาเหล่านั้นว่าพยายามไม่มากพอ
   
“เออ แล้วรู้รึยังว่าพวกมันเลื่อนวันสถาปนาประเทศแล้ว”
   
เบต้าพยาบาลคนเดิมพูดเสียงเอื่อยเฉื่อยก่อนที่จะหาวหวอดออกมาง่วงๆ
   
“จริงอ่ะ พี่ ตั้งแต่ผมเกิดมาผมยังไม่เคยเห็นเขาเลื่อนเลยนะ”
   
“จริงสิ” พยาบาลหนุ่มตอบด้วยรอยยิ้มมุมปาก “เพราะช่วงนี้ยังวุ่นวายอยู่ พวกมันเลยไม่กล้าจัดงาน คงอีกสักพักจนกว่าพวกมันจะฆ่าพวกเราได้มากพอ พวกมันถึงจะประกาศวันจัดงานใหม่อีกรอบเพื่อประกาศศักดาของพวกมัน”
   
“..ผมยังไม่อยากตายเลยอ่ะ พี่”
   
เบต้าวัยรุ่นพูดด้วยสีหน้าสลด ลึกๆ ก็รู้สึกคิดถึงครอบครัวที่ตัวเองหนีมา แต่อีกใจเขาก็โหยหายซึ่งอิสรภาพเหลือเกิน เพราะถ้าหากเขาทนอยู่แบบนั้นต่อไป ในอนาคตเขาก็คงจะสร้างครอบครัวแบบเดียวกับพ่อแม่ตัวเองออกมาอีก
   
ครอบครัวที่เต็มไปด้วยพี่น้องมากมาย แต่ไม่มีใครสักคนที่มีความสามารถมากพอที่จะพาครอบครัวไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้ อาชีพไม่กี่อย่างที่ทำได้เพื่อเลี้ยงครอบครัวก็เป็นอาชีพแรงงานในโรงงานที่พวกเบต้าเตือนกันว่าห้ามไปทำงานเด็ดขาด แม้ว่าจะได้เงินดีก็ตาม
   
รัฐบาลนั้นบีบให้เขาและครอบครัวต้องจนตรอก ทุกข์ทรมานกับความยากจนที่เขาเลือกไม่ได้ หนทางเดียวที่จะเปลี่ยนสถานะของตัวเองได้ก็มีแต่ตั๋วชิงโชคที่รัฐบาลขายให้เท่านั้น
   
“ก็อย่าตายแค่นั้นแหละ”

“พูดเหมือนง่ายนะ พี่ พวกนั้นแม่งยิงกระสุนยังกับโปรยทาน ใครจะไปหลบทัน”

“แล้วแกคิดว่าพวกเราจะโง่ให้มันยิงเฉยๆ ทุกรอบรึไง”

“..เดี๋ยวนะ พี่จะบอกว่ารอบนี้เรามีวิธีรับมือพวกมันเหรอ!”

 “ก็เออสิวะ”

สุดท้ายเบต้าพยาบาลคนนั้นก็นอนต่อไม่ลง และพูดคุยถึงแผนของวันนี้พรุ่งนี้ด้วยความตื่นเต้นพอๆ กับคนเป็นวัยรุ่น ฟุ้งเฟ้อถึงความสำเร็จที่น่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ไม่หยุด เพราะมันเป็นแผนใหม่ล่าสุดที่เพิ่งถูกคิดได้และนำมาใช้เป็นครั้งแรก ซึ่งรับรองได้เลยว่าถ้าข่าวไม่หลุดออกไปก่อน

พวกรัฐบาลก็ไม่มีวันจับพวกเขาได้อย่างแน่นอน!



“ยังไม่อยากกลับขึ้นไปเหรอ?”

ปั้นถามทวิชที่นั่งทอดกายอยู่ในน้ำ ปีกคู่ใหญ่ที่เริ่มกลับมาปกติถูกกางออกและปกคลุมตัวราวกับว่าพยายามจะซุกซ่อนตัวเองจากเรื่องทุกสิ่ง ไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวเลวร้ายอะไรอีก

“..ถ้าแผลผมหายสนิทเมื่อไหร่ ผมจะกลับขึ้นไป”

ทวิชตอบเสียงแผ่ว นัยน์ตาสีทองสั่นระริกอย่างเจ็บปวด เพราะหลังจากที่รับรู้ว่าพ่อแม่ตัวเองตายยังไง เขาก็เจอพวกหนังสือพิมพ์ในช่วงนั้นถูกรวบรวมเอาไว้ที่นี่เต็มไปหมด แน่นอนว่าถ้ามีพวกนักประวัติศาสตร์มาเจอมันก็คงเป็นหลักฐานอ้างอิงชั้นเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่สำหรับทวิชแล้วก็เป็นแค่ภาพโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมาก่อนเท่านั้น

รัฐบาลนั้นเข่นฆ่าประชาชนของตัวเองอย่างเลือดเย็น บนภาพหนังสือพิมพ์บางฉบับถูกพาดหัวด้วยรูปของพ่อเขากึ่งร่างต้นที่เป็นอีกาเต็มไปหมด ทำนองว่า ‘หัวหน้ากบฏตายแล้ว!!! ประเทศเราจะกลับคืนสู่ความเป็นชาติอีกครั้ง’ แถมในบางพาดหัวยังมีการปรามาสถึงแม่เขาที่เข้าไปช่วยรักษาผู้ก่อการร้าย หาว่าแม่ของเขานั้นเป็นพวกหัวรุนแรง ทั้งๆ ที่แม่ของเขานั้นไม่เคยทำร้ายใครด้วยซ้ำแถมยังเป็นอัลฟ่าด้วย
   
แน่นอนว่าคนตายพูดไม่ได้ เหล่าสื่อที่อยู่ในมือรัฐบาลจึงสร้างข่าวออกมาอย่างสนุกสนานตามอำเภอใจ ชักจูงให้ประชาชนเกลียดชังกลุ่มกบฏที่เป็นเพียงประชาชนธรรมดาที่เรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง
   
ความอดอยากเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ความเหลื่อมล้ำก็เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างที่กลุ่มกบฏเรียกร้องคือสิ่งที่พวกเขาประสบอยู่ทุกวัน การพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาดังๆ มันนับว่าเป็นความผิดตรงไหนกัน
   
มันเลวร้ายจนถึงต้อง ‘ฆ่า’ กันอย่างเลือดเย็นขนาดนี้เลยเหรอ
   
ทวิชขบกรามกรอดพยายามกล้ำกลืนน้ำตาตัวเอง พยายามที่จะเลิกร้องไห้แต่ก็หยุดไม่ได้ เขาเจ็บปวด เจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว เจ็บปวดจนเหมือนตายทั้งเป็น
   
พ่อแม่เขาตายด้วยฝีมือใครเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ!
   
ทวิชมือยกขึ้นปิดปากพยายามปิดบังเสียงสะอื้นไม่ให้คนอื่นได้ยิน แต่สุดท้ายมันก็ยังคงเล็ดลอดออกมาอยู่ดี ซึ่งก็ทำให้ทวิชไม่พอใจตัวเองสักเท่าไหร่เพราะเขาไม่ได้อยากร้องไห้เลยสักนิด
   
“ถ้าไม่อยากขึ้นไปก็อยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้นะ อาเข้าใจ”
   
ปั้นพูดด้วยรอยยิ้มเศร้าๆ เพราะหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เขาทำใจกลับขึ้นไปใช้ชีวิตข้างบนนั้นไม่ได้คือการเห็นรัฐบาลที่เคยฆ่าล้างเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขายังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติสุขอยู่บนความมั่งคั่ง ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ ต่ออาชญากรรมร้ายแรงที่ตนเองได้ก่อขึ้นแถมยังลบประวัติศาสตร์พวกนี้ออกอย่างแนบเนียนด้วย
   
สำหรับเขาตอนนี้ก็คงไม่ต่างอะไรกับผีตัวหนึ่งที่ยังคงจมปลักอยู่กับอดีต เอาเข้าจริงเขาสามารถกลับขึ้นไปใช้ชีวิตบนบกได้เพราะทุกคนในตอนนี้ก็คงจะลืมอดีตอันโหดร้ายพวกนั้นไปหมดแล้ว
   
ทั้งๆ ที่มันโหดร้ายถึงเพียงนั้น ทำไมทุกคนถึงลืมมันได้ ทำไมถึงจะยอมให้มันเกิดขึ้นอีก ทำไมทุกคนถึงไม่เข้าใจสักทีว่าการฆ่าคนธรรมดามันไม่ใช่สิ่งปกติ ทำไมถึงยินยอมให้คนชั่วร้ายพวกนี้ครอบงำตลอดชีวิตด้วย!
   
ความผิดปกติที่กลายเป็นเรื่องปกติในสังคมทำให้ปั้นตัดสินใจยอมซุกซ่อนอยู่ใต้ดินมาตลอดหลายสิบปี เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ทนรับกับความจริงไม่ได้จึงยอมใช้ชีวิตไร้แสงตะวันกันที่นี่ คอยดูแลรักษาข้าวของที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่รัฐได้กระทำต่อประชาชนของตนเองกันเป็นอย่างดี

เพื่อเฝ้ารอว่าสักวันจะมีวันทีประเทศนั้นเป็นของพวกเขาจริงๆ

พวกเขาจะไม่มีวันละทิ้งอดีต จะไม่หลงลืมคนที่ตายไปอย่างอยุติธรรม จะไม่ทำให้การตายเหล่านั้นสูญเปล่าอย่างที่รัฐบาลพยายามจะทำเด็ดขาด และจะคอยบอกกล่าวความทรงจำอันเจ็บปวดนี้ต่อไปจวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของตัวเอง

“..ผมต้องกลับขึ้นไป”

ในที่สุดทวิชก็กลื้นก้อนสะอื้นลงได้สำเร็จ ซึ่งก็เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่ทวิชมีสีหน้าสงบขึ้น นัยน์ตาสีทองยังคงไว้ซึ่งความเจ็บปวดแต่ความโกรธแค้นที่มีต่อรัฐบาลนั้นมากยิ่งกว่า

เขาทนอยู่เฉยต่อไปไม่ได้จริงๆ

เขาจะไม่มีวันให้พ่อแม่ของเขาต้องตายอย่างสูญเปล่า มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้วที่เขาจะมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างสงบสุข ทั้งๆ ที่มีคนมากมายตายถึงเพียงนั้น

“...”

ปั้นเผลอชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อคล้ายกับเห็นภาพเพื่อนของตัวเองซ้อนทับกับทวิชขึ้นมา แววตามุ่งมั่นของทวิชนั้นคล้ายกับพ่อตัวเองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน แถมปีกอีกาก็ยังเป็นปีกคู่ใหญ่ไม่ต่างกันที่ยังคงเหมือนแม่นิดหน่อยก็มีแค่ใบหูเล็กๆ ของพวกเสือดำที่โผล่ออกมาบนกลุ่มผมเท่านั้น

“..อืม”

สุดท้ายปั้นก็แค่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ เท่านั้น

“..อาจะขึ้นไปด้วยไหม”

“อาขอโทษนะ ทวิช” ปั้นหัวเราะเสียงแผ่ว “อาต้องอยู่ที่นี่เพราะที่นี่เหลือหมอแค่คนเดียวแล้ว”

ทั้งๆ ที่ตอนลงมาซุกซ่อนตัวที่นี่ครั้งแรกนั้นเต็มไปด้วยพรรคพวกมากมาย ทั้งหมอ อาจารย์ นิสิต นักศึกษาหลากหลายอาชีพมากมายมาซุกซ่อนตัว แต่สุดท้ายพอระยะเวลาผ่านไปสักพักคนบางส่วนก็เริ่มสิ้นหวังกับความหวาดกลัว บางคนก็ฆ่าตัวตาย บางคนก็ยอมขึ้นไปยอมติดคุกเพื่อที่จะได้เจอครอบครัวอีกครั้ง บ้างก็ป่วยตาย จนถึงตอนนี้ก็มีคนหลงเหลืออยู่ไม่ถึงสิบห้าคน ซึ่งในสิบคนเหล่านี้ก็คือคนที่หัวเด็ดตีนขาดยังไงก็ไม่มีวันกลับขึ้นไปบนบกแน่ๆ

อิสรภาพที่พวกเขาต้องการนั้นมีราคาที่ต้องจ่ายแพงเกินไป

หนึ่งคนกลายเป็นบ้า สองคนพิการตลอดชีวิต สามคนมีอาการตื่นกลัวตลอดเวลากลัวว่าจะมีคนมาฆ่าตัวเอง และอีกหลายคนที่ไม่ปกติเหมือนเดิม ส่วนคนที่ยังปกติอยู่ก็ช่วยดูแลคนเหล่านี้อย่างแข็งขันในฐานะเพื่อนที่ร่วมอุดมการณ์ร่วมเป็นร่วมตายกันมา

เอาเข้าจริงถึงแม้เขาจะสามารถไปจากที่นี่ได้ เขาก็คงไม่ไปอยู่ดี

ลึกๆ แล้วเขาก็หวาดกลัวการกลับขึ้นไปข้างบน ไม่กล้าแม้แต่จะมองท้องฟ้าด้วยซ้ำ เขาแทบจะไม่กล้าฝันถึงอิสรภาพอะไรพรรค์นั้นที่เขาต้องการแล้ว

เขาไม่อยากเห็นศพของคนที่ตัวเองรู้จักอีก มันเป็นความรู้สึกใจสลายที่เจ็บปวดเกินไป ซึ่งถ้ามันเกิดขึ้นอีกเขาคงจะเป็นหนึ่งในคนที่บ้าหรือฆ่าตัวตายแน่ๆ

“..พรุ่งนี้ผมจะไป”

ทวิชหลุบตามองเงาสะท้อนของตัวเองในน้ำ มองปีกสีดำของตัวเองที่นับได้ว่าเป็นของแสลงใจของทางการ ปีกที่หมายถึงอิสรภาพที่ประเทศนี้ไม่ต้องการมอบให้กับประชาชน

“..หึ”

ทวิชหลุดหัวเราะออกมา

เขาโชคดีชะมัดที่มีทั้งปีกที่รัฐบาลเกลียดชังและความเป็นอัลฟ่าที่ทางการนั้นเทิดทูน

ถ้าหากจะหาคนปั่นหัวรัฐบาล เขาคงจะเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ดีที่สุด หนำซ้ำเขายังค่อนข้างถนัดการใช้ร่างอัลฟ่าด้วยเพราะต้องมีโอกาสได้ใช้มันในการข่มขู่พวกอัลฟ่าด้วยกันเองอยู่บ่อยๆ

“งั้นขึ้นมากินอะไรก่อนไหม วันนี้มีข้าวต้มให้กินนะ”

“ครับ”

ทวิชรับคำง่ายๆ รอจนอาเดินไป ก็ลุกขึ้นจากบ่อน้ำขึ้นมาแต่งตัวแต่โดยดี มือผอมหยิบเสื้อคลุมแจ็คเก็ตลายเสือโคร่งหรือตราสัญลักษณ์ประจำพยัคฆโภคสกุลซึ่งเป็นเสื้อที่อาปั้นนั้นรวบรวมเอาไว้ได้ และตัดสินใจส่งต่อให้กับทวิชเพราะมันเคยเป็นของพ่อทวิชมาก่อน

แน่นอนว่าหนึ่งในสิทธิประโยชน์ที่ทวิชจะได้รับทันทีก็คือความเกรงอกเกรงใจจากทั่วสารทิศแบบเดิม แทบทุกคนในประเทศนี้รู้จักตระกูลพยัคฆโภคสกุลและเสื้อคลุมอภิสิทธิ์ชนที่เหล่าคนในตระกูลนี้ชอบสวมใส่ดี ซึ่งทวิชก็คุ้นชินดีกับการใช้อำนาจมิชอบนี้ในการเอาตัวรอดในสังคมห่วยๆ ด้วยตัวคนเดียวมาหลายปี

เอาเข้าจริงแล้วทวิชก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าพ่อตัวเองไปมีบุญคุณอะไรนักกับตระกูลนี้ ทำไมอาสิงห์ที่รังเกียจเขาแทบตายถึงยินยอมให้เข้ามีชีวิตอยู่จนโตถึงขนาดนี้กัน

เขาไม่รู้เลยและก็คงไม่มีใครให้คำตอบเรื่องนี้กับเขาได้นอกจากอาสิงห์ ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็คงไม่มีหน้าไปถามคนที่เกลียดเขาขนาดนั้น

ทวิชง่วนอยู่กับการแต่งตัวสักพักก่อนจะเดินเข้าไปในโถงที่ถูกเรียกว่าโรงอาหารเพื่อกินข้าว หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมาหลายวัน

“กินเยอะๆ นะ ทวิช หนูผอมจะตายแล้วเนี่ย”

ปั้นยื่นจานข้าวต้มหมูที่ตักจนพูนถ้วยให้กับทวิชด้วยรอยยิ้มบาง

“..ขอบคุณครับ”

ทวิชรับมาถือก่อนที่จะใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมาเป่าให้หายร้อน แต่พอกำลังจะตักเข้าไปกลับรู้สึกแปลกๆ จนต้องวางช้อนที่เดิมและยกมือขึ้นปิดปากทันควัน

“..ทวิช?”

คนเป็นหมอเรียกทวิชด้วยความงุนงงเมื่ออยู่ๆ ทวิชก็หน้าซีดเผือดกะทันหัน นัยน์ตาสีทองที่ดูเด็ดเดี่ยวอยู่ๆ ก็สั่นระริกจนคนมองเผลอใจหายไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้น”

“..ไม่มีทาง”

ทวิชพึมพำพูดทั้งๆ ที่ตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง มือสั่นๆ พยายามตักข้าวใหม่อีกครั้งเพื่อที่จะกินแต่สุดท้ายก็ทนความเหม็นหืนจนแทบจะอ้วกออกมาตอนที่จะตักเข้าปาก

“...”

หลังจากพยายามต่ออยู่สองสามครั้ง ทวิชก็วางถ้วยไว้ข้างๆ แล้วแผดเสียงหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา แขนบางกอดตัวเองที่สั่นระริกแน่น หวาดกลัวกับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับตัวเองตอนนี้เหลือเกิน

“..ผมคิดว่าผมน่าจะท้อง อาปั้น”

ทวิชพูดทั้งๆ ที่สะอื้นจนตัวโยน

“..ผมท้อง!”

-------------

 :m29:




หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 12 : เห็นแก่ตัว 5 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 05-01-2020 11:46:12
ท้อง กะใคร
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 12 : เห็นแก่ตัว 5 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 05-01-2020 14:39:31
หือ ท้อง ท้องได้ไง
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 12 : เห็นแก่ตัว 5 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 05-01-2020 14:49:47
เจ็บปวดกับความจริงที่เกิดค่ะ

ทุกคนย่อมมีหนทางของตัวเอง และมีความเห็นแก่ตัว
จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไป
อุดมการณ์สำหรับบางคนมันทำให้โลกเปลี่ยน
แต่สำหรับบางคนมันช่วยไม่ได้ เพราะโลกโหดร้ายมากขึ้น

อ้าววว แล้วทวิชท้องได้ยังไงคะ ตกหล่นตอนไหนน
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 12 : เห็นแก่ตัว 5 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-01-2020 18:26:23
อ่านถึงประโยคสุดท้าย เชื่อว่าหลายคนต้องทำหน้างง แล้วอุทานว่า ท้องได้ไง!
ช่างเป็นเนื้อหาที่หนักหนาแต่สะท้อนสังคมเหลือเกิน รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 12 : เห็นแก่ตัว 5 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 07-01-2020 21:50:13
เดี๋ยวๆ ทวิชท้องได้ยังไง
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 13 : ชิงสุกก่อนห่าม 12 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-01-2020 16:34:07
ตอนที่ 13

   
“คุณฆ่าผมที ผมทนไม่ไหวแล้ว”
   
“ฆ่าผมด้วย ผมก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน!”
   
“ช่วยด้วย ฮึก ผมทนทำงานต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมเหนื่อย ผมไม่อยากทำแล้ว ไม่อยากทำอีกแล้ว ฮึก ผมเหนื่อย”
   
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เหล่าเบต้าที่อยู่ภายใต้ระบบการปกครองอันเห็นแก่ตัวนี้ก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น ลูกค้าที่ได้ยินถึงข่าวคราวของร้านทวิชมากขึ้นทุกวัน และแห่กันมาใช้บริการกันอย่างคับคั่ง
   
แน่นอนว่าเหล่าตำรวจในพื้นที่ก็รับรู้ถึงเรื่องนี้ดี จึงได้ตักเตือนกันต์ไปและกันต์ก็ยอมทำตามเพราะไม่อยากให้ร้านของทวิชนั้นถูกทำลาย ถึงแม้ว่าจะอยากช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ยากจากเบต้าพวกนั้นก็ตาม
   
ในตอนนี้กันต์จึงได้แต่นั่งอยู่ในร้านมองกระจกที่ภายนอกมีเบต้าสิ้นหวังมากมายมาเคาะประตูและตะเกียกตะกาย คร่ำครวญออกมาอย่างสิ้นหวัง ถึงแม้จะได้ยินข่าวลือที่ว่าเจ้าของร้านตายแล้วก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังมีความหวังที่จะได้รับบริการขายความตายนั้นอยู่ดี
   
“...”
   
กันต์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ และเดินกลับไปนอนขดตัวในห้องครัวเหมือนเดิม
   
เฝ้ารอทวิชต่อไป แม้ว่าจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตอยู่ไหมก็ตาม

   

“...เธอท้องจริงๆ ทวิช”
   
ถึงแม้จะรู้ว่าเป็นคำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจสำหรับทวิช แต่ปั้นก็ตัดสินใจพูดออกไปอยู่ดี อาจจะด้วยจรรยาบรรณแพทย์หรือความรู้สึกส่วนตัวหรืออะไรก็ตามแต่ มันก็ทำให้เขาอยากพูดออกไปอยู่ดี
   
เด็กน้อยของเขาท้องจริงๆ
   
“..อาขอถามได้ไหมว่าท้องกับใคร”
   
ปั้นพยายามถามอย่างระมัดระวัง เพราะจนถึงตอนนี้ทวิชก็เอาแต่นั่งก้มหน้านิ่งเงียบจมจ่ออยู่กับตัวเองด้วยสีหน้าเจ็บปวดราวกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
   
“..ผมไม่รู้”
   
ทวิชพูดเสียงแผ่วและหัวเราะเสียงขืน
   
“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นพ่อเด็ก ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้เวรนั่นมันแอบถอดถุงยางตอนไหน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองนอนกับใคร ผมรู้แค่ว่าตัวเองได้เงินเท่าไหร่กับการนอนกับพวกนั้นเท่านั้นเอง”
   
ทวิชเสยผมตัวเองก่อนที่จะเงยหน้าขึ้น พยายามประคับประคองตัวเองไม่ให้สูญสลาย ไม่ให้น้ำตาที่ไม่ต้องการได้ไหลรินออกมาอีก
   
“...ผมไม่มีเงิน และวิธีเดียวที่หาเงินได้ง่ายที่สุดในประเทศแบบนี้ก็มีแค่วิธีนี้”
   
ถึงแม้ว่าอาสิงห์จะเคยส่งเงินให้เขาใช้แต่เมื่อเขาเริ่มทำร้านขายความตายจริงจัง เขาก็ไม่เคยได้เงินจากอาอีก ได้แต่มาตะเกียกตะกายหาทางหาเงินทุกวิถีทางก่อนจะมาจบลงที่วิธีนี้ วิธีที่เป็นสาเหตุให้เขาต้องเข้าไปในเขตอันตรายอย่างเขตปลอดแสงสว่างทุกเดือนเพื่อขายตัว
   
ความเป็นอัลฟ่าของเขานั้นทำให้พวกเบต้านั้นสนใจมาก มีคนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นเบต้ามากมายหลายคนที่พร้อมจะทุ่มเงินทั้งหมดเพื่อได้บดขยี้อัลฟ่าให้อยู่ใต้อาณัติร่างของตัวเอง ให้สมกับความคับแค้นใจที่ได้ถูกกระทำ ให้พวกเขาได้รู้สึกเหนือกว่าอัลฟ่าแม้เพียงชั่วข้ามคืนก็ยังดี
   
แน่นอนว่าเงินจำนวนนั้นคือเงินที่ทวิชสนใจ จึงยินยอมเอาตัวเองไปทำงานในสถานที่แห่งนั้น ยอมถูกเบต้าที่สุมความเกลียดชังในอัลฟ่ามาล้นฟ้าย่ำยีตัวเองจนแทบสูญสิ้นความเป็นมนุษย์ ถึงแม้จะมีกฎเหล็กคือต้องป้องกันทุกครั้งและห้ามทำร้ายร่างกายกัน แต่เบต้าส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการก็มักจะเผลอรุนแรงมากเกินไปอยู่ดี
   
เคราะห์ดีที่พวกมันเป็นแค่รอยฟกช้ำที่ไม่กี่วันก็หาย แต่บาดแผลในใจทวิชนั้นกลับไม่เคยจาง
   
เบต้าพวกนั้นเกลียดเขาสุดหัวใจ ทั้งๆ ที่เขานั้นพยายามทำเพื่อเบต้ามาตลอด การโดนเหมารวมว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าชั่วร้ายเหมือนคนอื่นๆ นั้นทำให้ทวิชนั้นเจ็บปวดยิ่งกว่าตอนโดนซ้อมหลังจากเสร็จกิจเสียอีก
   
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองจะทนมาขนาดนี้เพื่อคนอื่นที่ไม่รู้จักทำไม
   
มันเจ็บปวด เจ็บจนเขาทนแทบไม่ไหว และได้แต่ปลอบใจว่ามันก็เป็นแค่ครั้งเดียวต่อเดือน แลกกับเงินจำนวนหนึ่งที่จะใช้ในการดำเนินกิจการร้านของเขาต่อ มันคุ้มค่าพอแล้วสำหรับความเจ็บปวดของเขา
   
‘ตื่นมาพรุ่งนี้ก็หายเจ็บแล้ว’
   
ประโยคนี้เป็นประโยคที่แม่เคยบอกกับเขาและเขาก็เชื่อมันมาตลอด ท่องทุกครั้งหลังจากที่เขารู้สึกเจ็บเกินไป แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเจ็บจนประโยคนี้ใช้กับเขาไม่ได้อีกแล้ว
   
“ฮึก ผมไม่ไหวแล้ว อาปั้น ผมทนเรื่องพวกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
   
ทวิชสะอื้นออกมาจนตัวโยน เผลอกุมท้องที่ยังราบเรียบของตัวเองโดยไม่รู้ตัว
   
“ผมปล่อยให้เด็กคนนี้เกิดมาไม่ได้ ผมจะไม่มีวันยอมให้เขาเกิดมาในประเทศแบบนี้ ผม ผมจะทำยังไงดี อาปั้น ฮึก ผมควรจะทำยังไงดี”
   
ถึงแม้จะพยายามเข้มแข็งมากขนาดไหน แต่สุดท้ายเมื่อทุกอย่างประเดประดังเข้ามามากเกินไป ในที่สุดทวิชความเข้มแข็งนั้นก็ถูกทำลายไปจนหมด เหลือเพียงตัวตนเปราะบางที่หวาดกลัวต่อทุกสิ่งไม่กล้าไว้ใจใครนอกจากตัวเอง
   
ร่างของทวิชสั่นระริกอย่างเห็นได้ชัด
   
“ถ้าเขาเกิดมา ผมก็ไม่มีปัญญาเลี้ยง โตอีกหน่อยเขาก็ต้องสิ้นหวังแบบผม ผมไม่อยากให้ลูกของผมต้องสิ้นหวังแบบนี้ มันเจ็บปวดเกินไป ผมไม่อยากให้เขาเกิดมา ผมสงสารเขา”
   
แน่นอนว่าทวิชไม่ได้ใส่ใจว่าลูกของตัวเองจะมีพ่อหรือไม่ แต่เขาสนใจกับสภาพแวดล้อมในการเติบโตมากกว่า เพราะในตอนนี้ทุกอย่างที่เขามีไม่ได้เอื้ออำนวยต่อการเลี้ยงเด็กเลยสักนิด
   
เขาอาศัยอยู่ในย่านเสื่อมโทรมที่เต็มไปด้วยขอทานและคนติดยา หากไม่ใช่เพราะว่าที่แถวนี้ราคาถูกเขาคงไม่ซื้อตึกนี้แน่ๆ นอกจากนี้แล้วอากาศในย่านนี้นั้นยังค่อนข้างแย่มาก มีฝุ่นควันอวลแทบจะตลอดเวลา ผู้คนเลยมักจะมีฝุ่นติดตัวอยู่เสมอ แถมแถวนี้ยังไม่มีโรงเรียนหรือโรงพยาบาลด้วย
   
ถ้าเกิดลูกของเขาเกิดมาจริงๆ แม้แต่สนามเด็กเล่นเขายังหาให้ไม่ได้ด้วยซ้ำ คงได้โตขึ้นในห้องแบบเดียวกับเขา แน่นอนว่าเขายอมให้มันเกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันทุกข์ทรมานเกินไปกับการต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม มันเป็นความปลอดภัยที่แลกมาด้วยการไร้ซึ่งอิสรภาพ และเขาก็คงทนโดนขังอีกรอบไม่ไหวแล้วจริงๆ
   
หากมันเป็นแบบนั้นจริง ให้เขาตายยังจะดีกว่าซะอีก
   
เขาไม่อยากมีชีวิตแล้ว ชีวิตที่สิ้นหวังแบบนี้
   
มันเจ็บ เจ็บจนแทบทนไม่ไหว
   
เขาไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะสามารถเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ ลำพังแค่ควบคุมตัวเองไม่ให้สูบบุหรี่เวลาเครียดจัดยังทำไม่ได้เลย ไหนจะนิสัยชอบทำร้ายตัวเองอีก เงินจะเลี้ยงตัวเองเขายังไม่มีเลย ขืนถ้าไปทำงานแบบเดิมแล้วเขาท้องอีกล่ะ เขาจะทำยังไง
   
“ฆ่าผมที ฆ่าผม ผมทนไม่ไหวแล้ว”
   
ทวิชตะเกียกตะกายไปอาของตัวเอง เขารู้ว่าเขาสามารถทำแท้งได้ แต่เขาก็อยากได้ความตายมากกว่าอยู่ดี เขาทนความทุกข์ทรมานเหล่านี้ต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว
   
เพราะเขามีลักษณะเป็นอัลฟ่าเหรอ เขาถึงโดนเหมารวมไปกับอัลฟ่าพวกนั้น เขามันชั่วร้ายมากใช่ไหม เขาเคยทำร้ายเคยกดขี่พวกเขามาก่อน เขาถึงสมควรต้องมารับผิดชอบความเลวทรามพวกนั้น
   
นี่คือผลตอบแทนที่เขาได้รับจากการยอมทิ้งทุกอย่างเพื่อทำร้านนี้เหรอ..?
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืน
   
เบต้าพวกนั้นไม่เห็นเขาเป็นคนด้วยซ้ำไป เขาจะไม่สนใจแล้วว่าร้านบ้านั่นจะเป็นยังไงอีกต่อไป ใครจะเป็นอะไรก็ช่าง เขาไม่อยากรู้แล้ว เขาอยากจะตายไปให้พ้นๆ จากเรื่องเลวร้ายพวกนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำผิดตรงไหน เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะใช้ชีวิตยังไงในเมื่อไม่เคยมีใครบอกเขาเลย
   
จริงๆ เขาสมควรตายไปตั้งแต่การปฏิวัติที่แล้วด้วยซ้ำ ควรจะตายไปพร้อมกับพ่อแม่เขาเพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเผชิญความทุกข์ทรมานนี้
   
เพราะในที่แห่งนั้นเขาคงจะมีความสุขมากกว่านี้
   
ปั้นขยับเข้าไปใกล้ทวิชแล้วกอดทวิชแน่นและลูบแผ่นหลังบางที่สั่นเทิ้มไม่หยุด
   
“เธอเป็นเด็กดี ทวิช”
   
“...ฮึก”
   
ทวิชกอดอาตัวเองกลับโหยหาความอบอุ่นที่ไม่ได้รับมานาน ความเป็นเด็กที่เคยถูกฝังกลบในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาทีละเล็กละน้อย
   
“เป็นเด็กดีมากๆ และอามั่นใจมากเลยว่าถ้าพ่อแม่กับเธอยังอยู่ต้องภูมิใจในตัวเธอแน่ๆ ”
   
“…”
   
แปลกที่ประโยคเพียงแค่ไม่กี่กระโยคกลับทำให้ทวิชนั้นรู้สึกสงบขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังรู้สึกเจ็บปวดมากอยู่ดี เขาถูกบีบบังคับให้โต ทั้งๆ ที่อายุได้ไม่กี่ขวบ โดนจับไปซ่อนเอาไว้ในห้องโดยไม่มีคำอธิบายอะไรทำนั้นนอกจากประโยคที่ว่าให้เป็นเด็กดีรอพ่อแม่ที่นี่นะ
   
“..สิ่งเดียวที่พ่อกับแม่เธอต้องการคืออยากให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อ ทวิช มีชีวิตอยู่ต่อในแบบของตัวเองและวันไหนที่เธอโตพอ เธอก็จะเป็นคนเลือกเองว่าจะทำใช้ชีวิตของตัวเองเพื่ออะไร”
   
ปั้นพูดด้วยรอยยิ้มจางและล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อออกมาเช็ดน้ำตาให้ทวิชอย่างเบามือ
   
“สิ่งที่พ่อแม่เธอฝันถึงมันยิ่งใหญ่นะ ทวิช มันเป็นความฝันที่เราทุกคนเคยฝันถึงกันทั้งนั้น วันที่คนทุกคนเป็นคนเท่ากัน เคารพซึ่งกันและกัน ได้ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขในโลกที่ไม่โหดร้ายต่อกัน”
   
ทวิชนั่งฟังอย่างตั้งใจโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าตัวเองนั้นหยุดร้องไห้แล้ว สีหน้าท่าทางสนอกสนใจราวกับเด็กที่ได้ฟังนิทานก่อนนอน
   
“อาเชื่อนะว่าพ่อกับแม่เธอยอมตายเพื่อมันเพราะอยากสร้างอนาคตที่ดีกว่านี้ให้กับเธอ อยากให้เธอได้เจอโลกที่ดีกว่าเดิม”
   
“..ตอนนี้มันแย่กว่าเดิมอีก”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่เท่าไหร่นัก เริ่มกลับมาตั้งสติได้อย่างช้าๆ หลังจากปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาจนหมด ความสุขุมที่เคยเกิดกระเจิดกระเจิงหายไปถูกเรียกคืนมาทีละส่วน
   
“รู้สึกดีขึ้นรึยัง”
   
ปั้นถามขณะที่ยังลูบหัวทวิช
   
“ครับ ดีขึ้นแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”
   
ทวิชลูบท้องตัวเองเบาๆ ไม่แน่ใจอายุครรภ์ตัวเองเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะไม่มากนัก
   
“แล้วเธอจะยังไงกับ..”
   
“ผมจะทำแท้ง แต่ไม่ใช่ที่นี่หรอกครับ เดี๋ยวกลับขึ้นไป ผมจัดการเรื่องทุกอย่างเอง อาไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้”
   
ทวิชพูดด้วยรอยยิ้มบาง แววตากลับมาเด็ดเดี่ยวอีกครั้งเมื่อนึกถึงอนาคตที่ตัวเองเฝ้าฝันถึง อนาคตที่พ่อแม่เขาไม่อาจไขว่คว้ามาเพื่อเขาได้ แต่เขากำลังจะไขว่คว้ามันด้วยตัวเอง
   
เขาไม่รู้หรอกว่ามันจะสำเร็จไหม แต่มันก็คงจะดีกว่าการอยู่เฉยๆ แล้วยอมโดนพรากสิทธิ์ เสรีภาพ และอนาคตของเขาไปอย่างแน่นอน
   
ถ้าหากเขาไม่เข้าร่วมตอนนี้ เขาก็ไม่มีวันที่จะได้รับชีวิตที่ดีกว่านี้ และวันใดวันหนึ่งที่เขาทนไม่ไหว เขาก็คงจะกลายเป็นลูกค้าของตัวเองไปแล้วจริงๆ แต่ถ้ามันสำเร็จ เขาอาจจะคิดเรื่องการทำแท้งใหม่ก็ได้
   
เด็กในท้องเขาต้องได้รับชีวิตที่ดีกว่าเขา มีความสุขกว่าเขา และมีอนาคตมากกว่าเขา เขาจะไม่มีวันยอมให้รัฐบาลชั่วช้าพวกนั้นมาทำให้ลูกเขาเจ็บปวดเหมือนที่อย่างที่เขาเจอแน่นอน
   
“ผมจะขึ้นไปวันนี้เลย ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะครับ”

   

‘คนชังชาติพวกนี้กำลังทำให้ประเทศเราไม่มั่นคง พวกมันกำลังเรียกร้องในสิ่งที่ประเทศของเรายังไม่พร้อม ประเทศเราเป็นประเทศที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ฉะนั้นในสิ่งที่พวกมันร้องขอนั้นเราไม่สามารถทำได้ และเราจะไม่ให้การกระทำชิงสุกก่อนห่ามนี้มาทำลายประเทศของเรา’
   
“ชิงสุกก่อนห่าม? พวกเราเนี่ยนะชิงสุกก่อนห่าม พวกรัฐบาลมันพูดอะไรของมันวะเนี่ย”
   
พอสซึ่งอยู่ในชุดเครื่องแบบของพวกทางการสบถออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงวิทยุกระจายเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณศาลยุติธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ
   
ศาลของพวกอัลฟ่า ที่มีผู้พิพากษาเป็นอัลฟ่า เนติบริกรเป็นอัลฟ่า และในแทบทุกตำแหน่งเป็นอัลฟ่า ที่คอยบริการรับใช้ประชาชนอัลฟ่าอย่างภักดี และเหยียบย่ำเหล่าเบต้าไร้ยศศักดิ์ให้จมดิน ในประเทศนี้นั้นถ้าว่าเป็นเบต้าที่ไม่มีเงินแล้วคำพิพากษาแบบเดียวที่พวกเขาจะได้รับคือการยึดทรัพย์ให้เป็นของประเทศและติดคุกเพื่อชดใช้ความผิด ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่มีความผิดก็ตาม
   
เหล่าผู้พิพากษาอัลฟ่าที่ยังพอมีคุณธรรมในใจอยู่บ้างนั้น พวกเขาก็พยายามต่อต้านความอยุติธรรมนี้ด้วยชีวิตหรือตำแหน่งของตัวเองเพียงเพื่อเบต้าที่ตกเป็นแพะของคดีพวกนั้น แต่น่าเสียดายที่มันก็เป็นการกระทำที่สูญเปล่า
   
ประเทศนี้นั้นความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว ความมั่นคงของเหล่าอัลฟ่าต่างหากที่สลักสำคัญยิ่งกว่า เพราะอัลฟ่าไม่มีวันทำผิด พวกเขาคือสมมุติเทพที่ถูกกำหนดขึ้น เป็นเทพเจ้าบนฟากฟ้าที่ลงมาจุติบนโลกเพื่อช่วยเหลือคุ้มครองเหล่าเบต้าอ่อนแอใต้อาณัติ เป็นชนชั้นสำคัญที่คอยขับเคลื่อนประเทศนี้และทำให้มันดำรงอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้นด้วยคุณธรรมอันมากล้นที่พวกเขามีนั้น จึงสามารถตัดสินได้ว่าพวกเขาไม่ผิด หรือถ้าผิดจริงๆ ก็อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของลูกความเท่านั้น
   
พวกเขาจะไม่มีวันอนุญาตให้เบต้าธรรมดานั้นมีสิทธิทัดเทียมกับตน หน้าที่เดียวของเหล่าเบต้านั้นคือการยอมโดนกดหัวอยู่ใต้เท้า ทำงานจ่ายภาษีไปจนตายและห้ามเรียกร้องมากกว่านั้น
   
‘มาเถิดพวกเรา เหล่าผู้คนผู้รักชาติ เราจะยินยอมให้คนชังชาติพวกนี้มาทำลายประเทศชาติของเราหรือ คำสั่งของท่านนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้เป็นมติเอกฉันท์ออกมาแล้วว่าถ้าพบเห็นกบฏเหล่านี้สามารถกำจัดได้ทันที ไม่มีความผิด’
   
พอสแค่นเสียงหึออกมาอย่างอย่างเหยียดหยันและพึมพำตอบด้วยประโยคของเหล่ากลุ่มปฏิวัติ
   
“ถึงแม้จะต้องอุทิศจนตัวตาย แต่อุดมการณ์ของเราจะเป็นนิรันดร์”
   
เหล่าอัลฟ่าจะไม่มีวันพรากความหวังไปจากพวกเขาได้อีก
   
นี่จะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเขาและเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด
   
อิสรภาพของพวกเขาได้กางปีกออกมาแล้ว ไม่ว่าท้องนภาจะอนุญาตให้พวกเขาบินหรือไม่ พวกเขาก็จะบิน บินจนกว่าจะได้ในที่ตัวเองต้องการ แม้ว่ามันอาจจะทำให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานแสนสาหัสก็ตาม
   
“เจอพวกมันบ้างไหม”
   
พอสเผลอสะดุ้งนิดๆ เมื่อจู่ๆ มีคนของทางการจริงๆ เดินเข้ามาทัก ซึ่งก็เป็นเบต้าท่าทางขึงขังที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ามาช่วยงานของทางการ เหนือสิ่งอื่นใดนั้นสิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันคือผ้าพันคอกับหมวกที่เป็นสัญลักษณ์ของคนดี เบต้าหน้าอ่อนอายุไม่เกินยี่สิบปี คนนั้นยิ้มให้พอสอย่างเป็นมิตรแม้ว่าจะเพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกก็ตาม
   
“ไม่เจอ”
   
พอสตอบกลับเสียงเรียบไม่ได้ชวนคุยต่อ
   
“เสียดายเนอะที่พวกมันไม่มาแถวนี้ ไม่อย่างนั้นทั้งผมทั้งคุณก็คงจะได้รางวัลติดไม้ติดมือกลับบ้านไปบ้าง”
   
“...”
   
แววตาของพอสเย็นชาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อตระหนักได้ว่ากลุ่มปฏิวัติในสายตาคนพวกนี้นั้นไม่ได้เป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ พวกเขาก็เป็นแค่ของที่เอาไว้ใช้แลกรางวัลกับทางการ เป็นแค่กลุ่มคนที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะมีชีวิตต่อไปในประเทศนี้ด้วยซ้ำ
   
“ผมน่ะอยากลองยิงคนมาตั้งนานแล้ว อยากรู้ว่ามันจะน่าตื่นเต้นเหมือนผมได้จับปืนตอนเด็กๆ ไหม”
   
“ตอนเด็กๆ ?”
   
“ใช่ ตอนเด็กๆ ไง พ่อแม่คุณไม่เคยพาคุณไปเล่นรถถังกับปืนเหรอ ผมโคตรชอบเลย”
   
“...ผู้ใหญ่มองเราแล้ว ผมว่าเราเลิกคุยกันก่อนดีกว่า”
   
แน่นอนว่าสิ่งที่พอสพูดนั้นมีความจริงเพียงครึ่งเดียว เพราะสาเหตุที่แท้จริงคือเขาทนคุยกับพวกเบต้าที่โดนอัลฟ่าล้างสมองพวกนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว มันทำให้เขาหดหู่กับความจริงที่รู้ว่าว่าตัวเองกำลังสู้กับอะไรอยู่
   
เขากำลังสู้กับเบต้าด้วยกันเอง เบต้าที่ถูกล้างสมองและเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพวกอัลฟ่านั้นทำถูกต้องทุกอย่าง ทั้งๆ ที่เบต้าพวกนี้เคร่งครัดในศาสนาเหลือเกิน แต่กลับมองไม่เห็นสักนิดว่าการกระทำของตัวเองนั้นละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่นขนาดไหน
   
การฆ่าคนไม่ใช่สิทธิ์ ไม่ใช่ความถูกต้องหรือความยุติธรรม พวกเขาไม่มีสิทธิ์ทำเรื่องพรรค์นี้กับใครทั้งนั้น การเลือกที่จะเชื่อในบทเรียนหรือค่ายล้างสมองนั้นเป็นการกระทำที่ไร้สมองสิ้นดี เอาเข้าจริงความต่ำช้าพวกนี้ไม่ควรถูกบรรจุให้การเป็นที่ศึกษารับรู้ของประชาชนทั่วไปด้วยซ้ำ
   
“จริงด้วย งั้นผมไปประจำจุดประจำการของผมก่อนนะ ถ้าคุณเห็นพวกมันตะโกนเรียกผมก่อนเลยนะ ผมจะรีบวิ่งมาช่วยคุณเลย”
   
“อืม”
   
พอสรับคำอย่างขอไปที และตั้งหน้าตั้งหน้ากับการสอดส่องความปลอดภัยให้กับกลุ่มปฏิวัติของตัวเองต่อ ซึ่งวันนี้ก็เป็นเพียงแค่วันธรรมดาอีกวันที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหล่าอัลฟ่าเบต้าที่ทำงานในชั้นศาลใช้ชีวิตกันอย่างปกติสุขโดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าทหารประจำการแต่ละจุดนั้นได้ถูกแทรกซึมไปเกือบหมดแล้ว
   
เป็นเรื่องที่ตลกร้ายดีที่เหล่าอัลฟ่านั้นประเมินความสามารถของกลุ่มปฏิวัติต่ำเกินไป พวกเขาคิดลำพองใจว่าตนนั้นสามารถควบคุมทุกอย่างได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น
   
ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศนั้นมันเลวทรามเกินไป กลุ่มอัลฟ่าที่ยังพอมีสำนึกดีอยู่บ้างก็เลือกที่จะลอบให้ความช่วยเหลือกลุ่มปฏิวัติอย่างลับๆ จนเหตุการณ์การโต้กลับของกลุ่มปฏิวัติที่ตอนแรกแทบไม่มีโอกาสวันนี้เริ่มมีความหวังให้เห็นบ้าง
   
สิ่งที่กลุ่มปฏิวัติรอก็คือเวลาเที่ยงวัน เวลาที่ทุกคนในประเทศต้องลุกขึ้นยืนเพื่อสรรเสริญการคงอยู่ของประเทศที่นำโดยอัลฟ่า การทำลายศาลอัลฟ่าในช่วงเวลานี้จึงเปรียบได้กับการทำลายความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของพวกอัลฟ่า ให้ผู้คนทั้งประเทศตระหนักเสียทีว่าพวกอัลฟ่านั้นก็เป็นแค่ประชาชนคนธรรมดาเหมือนเราเท่านั้น
   
พวกเขาไม่ได้มีค่ามากกว่าใครและไม่มีสิทธิ์ที่จะช่วงชิงทรัพยากรไปใช้แต่เพียงผู้เดียว
   
พวกเราเป็นคนเท่ากัน
   
‘ณ ตอนนี้เป็นเวลาสิบสองนาฬิกา ขอเชิญทุกท่านลุกขึ้นยืนเพื่อแสดงความรักชาติ—’
   
น้ำเสียงกระด้างหนักแน่นดังขึ้นอย่างองอาจ เหล่าอัลฟ่า เบต้า และทุกคนในอาณาบริเวณค่อยๆ ออกมาจากตึกและยืนเรียงรายกันเป็นแถวหน้ากระดานหน้าศาลต่อหน้าอนุสาวรีย์ขนาดยักษ์ซึ่งก็คือสิงโตอันเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่า โดยอนุสาวรีย์ที่ตั้งหน้าศาลอัลฟ่าแห่งนี้นั้นค่อนข้างมีความพิเศษกว่าที่อื่นคือสร้างจากไม้ราคาแพงอายุหลายร้อยปี
   
มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีต นัยน์ตาสีดำมันขลับที่เป็นลูกแก้วนั้นแวววาวราวกับมีชีวิตอยู่จริง ร่างกายขนาดใหญ่ยักษ์ที่กำลังอ้าปากคำรามนั้นคล้ายกับการประกาศศักดาอำนาจถึงขีดสุด
   
พรึ่บ
   
ในชั่วขณะที่เหล่าผู้คนกำลังโค้งคำนับเป็นการจบพิธี เหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น
   
“!!!!”
   
อัลฟ่าหลายคนอุทานสบถคำหยาบกันออกมาเสียงดังลั่น เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากการคำนับแล้วเห็นทะเลเพลิงที่โชติช่วงอยู่บนตัวอนุสาวรีย์ที่เคารพรักของตนในเวลาเพียงไม่กี่วินาที
   
“ดับไฟ!! ทุกคนรีบดับไฟเร็ว!!!”
   
แน่นอนว่ามันเป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์เพราะกลุ่มปฏิวัตินั้นได้นำสิ่งที่สามารถยับยั้งเหตุการณ์นี้ได้ไปซุกซ่อนหมดแล้ว ความโกลาหลที่เกิดขึ้นก็มีแต่ทำให้เหตุการณ์วุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น
   
“ดับไฟสิ ดับไฟ!!!”
   
ผู้พิพากษาอาวุโสคนหนึ่งตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นเพียงสัญลักษณ์ของอัลฟ่าแต่ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งที่คอยยึดเหนี่ยวจิตใจเขามาตลอดหลายสิบปีนี้ในการทำงานเพื่ออัลฟ่า หากมันถูกทำลายลงก็ไม่ต่างจากอำนาจที่เขามีนั้นถูกทำลายไปด้วย
   
เขารู้ดีว่าอำนาจในมือของพวกอัลฟ่านั้นไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืนคงกะพันเพราะมันไม่ได้มีมาแต่แรก พวกเขาสร้างมันขึ้นมาเองต่างหากด้วยการช่วงชิงอำนาจจากขุมอำนาจเก่าก่อนที่จะใช้วาทกรรมเกี่ยวกับอัลฟ่า เบต้าและโอเมก้าในการแบ่งแยกผู้คน หากเขายินยอมให้อนุสาวรีย์นี้มอดไหม้ไปเฉยๆ มีหวังความเชื่อมั่นงมงายในอัลฟ่าคงจะลดลงไปมาก
   
อย่าลืมสิว่าพวกเขาคือสมมุติเทพที่เสกสรรได้ทุกอย่าง ความผิดหวังครั้งเดียวอาจจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อระบบชนชั้นที่พวกเขาสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากได้
   
แต่น่าเสียดายที่มันก็อาจจะไม่ทันกาล เพราะผู้ในสถานที่แห่งนี้มีแต่ผู้ที่ไม่ยินยอมกับความอยุติธรรมนี้อีกต่อไป ทันทีที่มีรถดับเพลิงจากภายนอกวิ่งเข้ามา เหล่ากลุ่มปฏิวัติก็พยายามเข้าไปขัดขวาง พวกเขายอมใช้ชีวิตของตัวเองเพื่อแลกกับอนาคตข้างหน้าที่ลูกหลานของพวกเขาจะได้ไม่ต้องมาประสบกับความสิ้นหวังเหล่านี้อีก
   
“มีพวกกบฏแฝงตัวอยู่กับพวกเรา ฆ่ามัน!!!”
   
ตำรวจอัลฟ่ายศใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งมาถึงตะโกนอย่างลนลาน มือที่จับกระบอกปืนนั้นสั่นเทาเพราะเมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่สามารถแยกออกเลยว่าใครเป็นใคร ทุกครั้งที่เขาพยายามจะยิงฆ่าใครสักคนก็ต้องเผลอหยุดมือไปซะก่อนด้วยความไม่แน่ใจ เพราะหากเขาพลั้งมือพลาดฆ่าอัลฟ่าด้วยกันเองจะเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก
   
สุดท้ายเหล่าคนของทางการก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วยความไม่แน่ใจ ได้แต่ประคับประคองสถานการณ์ไปเรื่อยๆ ฆ่ากลุ่มกบฏไปบางส่วนท่ามกลางควันโขมงจนในที่สุดหน้าที่ของพวกเขาก็จบลง เมื่อเจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปดับเพลิงได้สำเร็จ
   
“...”
   
เกิดความเงียบสงัดไปทั่วบริเวณเมื่อไฟมอดลงและเหลือเพียงไม้ที่กลายเป็นเถ้าธุลี บริเวณจุดที่เคยเป็นอนุสาวรีย์ยิ่งใหญ่องอาจนั้นกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
   
“..นั่นมัน”
   
อัลฟ่าหนึ่งในเนติบริกรร้องออกมาอย่างขวัญเสีย เพราะเมื่อกลุ่มควันจางลงพวกเขาถึงเห็นขนนกที่ลอยฟ่องไปทั่วอาณาบริเวณอันเป็นสัญลักษณ์ของเหล่ากลุ่มปฏิวัติ
   
สีหน้าของอัลฟ่าที่เป็นคนของทางการซีดเผือดขึ้นถนัดตา
   
เพราะครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝ่ายรัฐบาลพ่ายแพ้ให้กับกลุ่มกบฎ!

--------------

สวัสดีปีใหม่ทุกคนนะคะ  :mew1: (จะบอกตอนที่แล้วแต่ลืม 5555)

#สิงหกุลโภชนา
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 13 : ชิงสุกก่อนห่าม 12 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 12-01-2020 17:28:06
สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะไรท์
สงสารทวิชมากเลย แต่ดูเหมือนว่ากลุ่มปฏิวัติเริ่มจะมีความหวังขึ้นมาแล้วนะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 13 : ชิงสุกก่อนห่าม 12 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 14-01-2020 00:19:34
อะ เริ่มแล้ว
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 13 : ชิงสุกก่อนห่าม 12 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 15-01-2020 20:43:52
 :sad4:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 13 : ชิงสุกก่อนห่าม 12 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 18-01-2020 16:03:30
กอดทวิชแน่นๆ :กอด1: แบบคิดไม่ถึงจริงๆว่าทวิชเข้าไปที่ตรอกนั้นเดือนละครั้งทำไม :monkeysad: เบต้าที่น่ารังเกลียดก็มีเยอะ โอ้ยยยยทวิชเป็นดีเกินไป :katai1:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 13 : ชิงสุกก่อนห่าม 12 ม.ค 63 p.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-01-2020 16:51:25
รู้ว่าเข้าไปตรอกนั้น จนดูคุ้นเคยไปหมด
แต่ไม่คิดว่าต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วย ชีวิตคนเรา

สงสารทวิช ต้องต่อสู้กับความโดดเดี่ยวและทรมาน
ต้องเติบโตมากับบาดแผลที่หยั่งลึก รักษายาก
ทวิชยอมแลกเพื่อความอยู่รอดของคนอื่น
ถึงตัวเองจะเจ็บปวด ทนมาได้ขนาดนี้ คือที่สุดแล้ว

เอาใจช่วยทวิชนะคะ ทวิชกลับไปหากันต์ไหม
ถ้ากลับไป อย่างน้อยก็มีกันต์ดูแลนะ

ชัยชนะครั้งแรกที่ได้ ไม่รู้จะรู้สึกตัวกันมากขึ้นไหม
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 14 : เหล้าความจริง 23 ม.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-01-2020 22:19:45
ตอนที่ 14

   
เพราะเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ทำให้รัฐบาลประกาศเคอร์ฟิวในยามค่ำคืน ไม่อนุญาตให้พลเมืองคนใดออกจากบ้านในยามวิกาลไม่ว่าจะเหตุการณ์จำเป็นแค่ไหนก็ตาม หากผู้ใดขัดขืนสามารถกำจัดได้ทันทีโดยไม่มีการประนีประนอม
   
แน่นอนว่าคำสั่งที่ออกมาอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ล้วนมีนัยยะสำคัญคือรัฐบาลต้องการควบคุมการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏ และตักเตือนไปยังเบต้าทั่วไปที่มีความคิดที่เข้าร่วมกับกลุ่มกบฏชังชาติเหล่านี้
   
การกระทำเช่นนี้แสดงออกชัดว่ารัฐบาลกำลังหวาดหวั่น
   
อนุสาวรีย์ของพวกเขานั้นไม่เคยถูกทำลายได้สำเร็จมาก่อน ประวัติศาสตร์ที่พวกเขาบรรจงเขียนบรรจงสร้างขึ้นมาให้เหล่าพลเมืองของประเทศได้ภาคภูมิใจนั้นกำลังถูกสั่นคลอน
   
ถึงแม้ทางรัฐบาลจะพยายามปิดข่าวอย่างไร แต่ข่าวใหญ่แบบนี้ก็ไม่มีวันเงียบในหมู่มวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหล่ากลุ่มปฏิวัติที่ทั้งเก็บภาพ อัดเสียง และทำทุกวิถีทางที่จะเก็บวินาทีประวัติศาสตร์เหล่านี้ไปเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับรู้ ให้พวกเขาเริ่มสงสัยและตั้งคำถามก่อนที่จะผันตัวมาเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏในที่สุด
   
อนาคตอันรุ่งโรจน์
   
กลุ่มปฏิวัตินิยามมันเช่นนั้นยามที่โปรยรูปอนุสาวรีย์สิงโตของอัลฟ่าที่ถูกแผดเผาไปทั่วเมือง ไฟแห่งความหวังของพวกเขากำลังล้างผลาญอำนาจอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลและประกาศศักดาว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของอำนาจโดยแท้จริงในประเทศนี้ ไม่ใช่พวกอัลฟ่าเห็นแก่ตัวที่มาชุบมือเปิบแล้วอวดอ้างว่าตนเองนั้นมีบุญคุณนักหนาแล้วทวงบุญคุณไม่เลิกสักที
   
การปฏิวัติกำลังถูกจุดขึ้นอย่างจริงจัง เหล่าเบต้าที่หลบซ่อนความเป็นขบถในใจมานานต่างเริ่มเผยตัวกันออกมาเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติด้วยความหวังว่าจะส่งต่อประเทศที่ดีกว่านี้ให้กับตัวเองและลูกหลาน แต่ด้วยความเป็นรองทั้งในแทบทุกด้าน ในเวลานี้พวกเขาก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาเล่นละครไปตามที่อัลฟ่าต้องการ แสร้งว่ายอมศิโรราบและเฝ้ารอสัญญาณจากกลุ่มปฏิวัติว่าพวกเขาควรจะลุกฮือเมื่อใด
   
ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำร้อยในแบบเดิมอีก
   
การต่อสู้ครั้งนี้ผู้ชนะจะต้องเป็นมวลชนเท่านั้น!

   

แน่นอนว่าถึงแม้รัฐบาลจะพยายามประกาศเคอร์ฟิวหรือศักดาอย่างไร พื้นที่บางพื้นที่ก็ยังคงความเป็นเอกเทศและไม่สนใจข้อกฎหมายใดหรือศีลธรรมจรรยาเช่นเดิม
   
“ถ้ามีปัญหาอะไรก็กลับไปหาพวกอาได้นะ”
   
ธันลูบหัวทวิชด้วยความเอ็นดูหลังจากที่พากลับมาส่งไว้ที่เขตปลอดแสงสว่าง ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคึกคักอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะทหารของทางการเข้ามาในพื้นที่อย่างหนาตาก็ตาม
   
“ครับ”
   
ทวิชพยักหน้ารับเบาๆ แล้วกระชับเสื้อฮู้ดของตัวเองให้ปิดหน้ามากขึ้นเมื่อมีคนเดินเฉียดเข้ามาใกล้
   
“งั้นอากลับก่อนนะ”
   
ธันเอ่ยลาทวิชก่อนที่จะเดินเข้าไปในฝูงชนกลืนหายเข้าไปในพริบตา ส่วนทวิชนั้นก็ตัดสินใจคืนร่างต้นส่วนบนเป็นเสือดำแล้วถึงเดินลึกเข้าไปข้างใน อย่างไรก็ตามในเวลานี้สถานะของอัลฟ่าในสายตาคนส่วนใหญ่นั้นก็ยังน่าหวาดหวั่นอยู่ ทวิชที่แทบไม่มีทักษะการต่อสู้อะไรจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้ในการปกป้องตัวเองอยู่เสมอ
   
“…”
   
ทวิชพยายามคงสีหน้านิ่งเฉยเพราะรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงการจับตามองอย่างผิดปกติจากเหล่าเบต้าที่อยู่ในเขต ทั้งๆ ที่ปกติแล้วผู้คนที่อยู่ในเขตนี้จะไม่สนใจอะไรนัก จดจ่ออยู่กับสินค้า เงินทอง และชีวิตของตัวเอง
   
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ทวิชรู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิดพลาดที่คืนร่างต้น
   
กลิ่นอายของการปฏิวัติที่ลอยไปทั่วจนแม้แต่ผู้คนในเขตนี้ให้ความสนใจ  อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ล้วนแล้วแต่หวังถึงอนาคต ความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว เพราะในเขตนี้ลำพังแค่สูดหายใจให้เต็มปอดยังทำไม่ได้เลย มีทั้งฝุ่นควัน กลิ่นสาป อะไรต่างๆ คละคลุ้งไปหมด ยามที่เดินผ่านตรอกต่างๆ รองเท้าก็มักจะเหยียบน้ำอยู่ตลอดเนื่องจากเป็นเขตที่ตั้งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ เวลาที่มีฝนตกบริเวณนี้ก็มักจะน้ำท่วมอยู่เสมอ
   
ข้อดีเพียงอย่างเดียวข้อที่นี่ก็คือความมืดมิดที่ก่อเกิดจากตึกสูงของพวกอัลฟ่าที่ตั้งขนาบไว้แทบทุกทิศ เงาที่ทอดลงมาทำให้เขตนี้ทั้งเขตมืดมัวจนต้องเปิดไฟตลอดเวลา แต่ผู้คนในเขตนี้ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะใช้ไฟจากตะเกียงมากกว่าเพราะมีราคาที่ถูกกว่ามาก
   
และแน่นอนว่าความมืดมิดเหล่านี้ก็ล้วนก่อให้เกิดการอำพราง การอาศัยอยู่ในย่านนี้ทำให้ผู้คนไร้ตัวตน หนำซ้ำวัฒนธรรมการสวมชุดคลุมดำที่อยู่ๆ ก็เกิดขึ้นนั้นก็ยิ่งทำให้สถานะของบุคคลในเขตนี้ไร้ตัวตนมากยิ่งขึ้นไปอีก
   
ฉะนั้นเมื่อพวกเขาเจ็บป่วย ถูกล่วงละเมิด ลักพาตัว อุ้มฆ่าหรือทรมานจนตายก็ไม่มีใครสนใจ
   
ชีวิตในที่แห่งนี้คล้ายกับมีอิสรภาพแต่มันก็เป็นแค่ของจอมปลอม พวกเขายังคงเป็นบุคคลไร้สถานะในสังคมเช่นเดิม และมีหน้าที่จำนนต่อชะตากรรมชีวิตก่อนที่จะก่นด่าตัวเองว่ายังพยายามไม่มากพอ
   
สาเหตุที่ผู้คนนั้นต่างดูออกนั้นว่าทวิชนั้นเป็นอัลฟ่าก็อาจจะเป็นผลพวงมาจากนัยน์ตาสีทองที่กำลังเรืองรองในความมืดอย่างสัตว์ตระกูลแมว โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงหน้าที่ดูดุร้ายนั้นก็แสดงออกชัดว่าเป็นอัลฟ่า แน่นอนว่าทวิชไม่อยากมีปัญหากับใครในที่แห่งนี้จึงรีบก้มหน้าเดินไปยังจุดหมายของตัวเอง
   
‘บาร์ตึกแถว’ คือชื่อจุดหมายที่ว่าและเป็นสถานที่ที่ทวิชได้ยินคำเล่าลือมานานว่าเข้าถึงยาก มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของร้านให้ขึ้นไปลิ้มรสสุรารสจัดได้
   
แน่นอนว่าถ้าเป็นตอนปกติทวิชคงไม่สนใจ เพราะลำพังแค่เข้ามาเดือนละครั้งก็ทำให้เขาเจ็บปวดเต็มกลืนแล้ว และในเขตนี้ก็ไม่เคยทำให้เขารู้สึกเพลิดเพลินใจด้วย สิ่งเดียวที่ทำให้เขายิ้มออกคือจำนวนเงินได้รับจากแม่เล้าเท่านั้นเอง
   
ทวิชเดินตอนไปเรื่อยๆ โดยพยายามตัวให้เล็กและเป็นจุดสนใจน้อยที่สุด อาศัยจังหวะช่วงหนึ่งที่คิดว่าไม่มีใครสนใจคืนกลับเป็นใบหน้ามนุษย์แล้วเดินต่อด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้น หากแต่สิ่งเดียวที่ทวิชซุกซ่อนไม่ได้ก็ยังคงเป็นนัยน์ตาเรืองรองของตัวเอง
   
ผ่านไปสักพักหลังจากที่ลัดเลาะไปหลายซอยในที่สุดทวิชก็พาตัวเองมาถึงหน้าตึกของบาร์ที่ว่านั่นได้ ซึ่งชั้นล่างก็เป็นกิจการขายยาสูบที่เจ้าของร่างเป็นเบต้าหนูร่างเล็กที่ยืนสูบอยู่และพ่นควันออกมาเป็นช่วงๆ
   
“วันนี้ร้านปิดแล้ว ไม่มีของ ของมาเติมพรุ่งนี้”
   
เบต้าหนูในร่างกึ่งมนุษย์เหลือบมองทวิชด้วยหางตา ไม่สนใจอีกฝ่ายสักนิด
   
“ผมมาตามคำเชิญ”
   
ทวิชล้วงหยิบการ์ดที่เพิ่งได้รับมาจากอานทีและยื่นให้กับเจ้าของร้านร่างเล็ก ซึ่งเจ้าหนูก็ขมวดคิ้วนิดๆ ตอนที่รับไปดูเพราะสภาพการ์ดที่เขามีนั้นค่อนข้างเก่าพอสมควร แต่มันก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเนื่องจากการ์ดนี้ก็เป็นอีกหนึ่งมรดกที่เขาได้รับจากพ่อแม่ตัวเอง
   
‘สิทธิพิเศษสำหรับเหล้าความจริงหนึ่งแก้ว’
            บาร์ตึกแถว
   
นั่นเป็นข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ข้างในและเขาไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร ซึ่งคนที่งงกว่าก็คืออานทีที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบาร์อะไรนี้เลย สิ่งเดียวที่อาของเขารู้คือพ่อแม่ฝากเอาไว้ให้เขาเท่านั้นเอง
   
“รหัส”
   
“รหัส?”
   
ทวิชทวนคำงงๆ จนเบต้าหนูหงุดหงิดกว่าเดิม และพ่นควันใส่หน้าทวิชจนทวิชไอโขลก ซึ่งพอแกล้งทวิชเสร็จก็อารมณ์ดีขึ้นยอมคุยด้วยดีๆ
   
“ก็รหัสในวิทยุไง”
   
ทวิชอยากจะทำหน้างงอีก แต่สุดท้ายก็ลองเดาสุ่มไปจากข้อความในความทรงจำที่ดูพิลึกพิลั่นเกินกว่าจะเป็นคำปลุกใจทั่วไปของกลุ่มปฏิวัติ  “..จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ”
   
“ถูก แล้วก็จำด้วยนะไอ้หนูว่าไอ้รหัสนี้มันไว้เช็คพวกเดียวกัน อย่าไปพูดกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วกัน”
   
เบต้าหนูหัวเราะร่วน คืนการ์ดให้ทวิชแล้วพยักพเยิดไปยังบันไดทางขึ้นข้างหลังตัวเอง
   
“ขึ้นไปซะ ร้านอยู่ชั้นสาม”
   
“..ครับ”
   
ทวิชพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นไปบันไดด้วยความยากลำบากนิดๆ เพราะส่วนภายในห้องนั้นค่อนข้างรกมาก ข้าวของภายในถูกวางอย่างระเกะระกะ ส่วนตามบันไดก็เต็มไปด้วยลังที่บรรจุข้าวของต่างๆ เอาไว้ ทวิชพยายามเดินอย่างระมัดระวังจนในที่สุดก็พอตัวเองมาถึงหน้าประตูชั้นสามได้
   
‘Whale’s Bar’
   
“...”
   
ทวิชจ้องป้ายเล็กๆ ที่ห้อยไว้หน้าประตูนิ่ง และได้แต่หวังว่าสัญชาตญาณของเขาจะแม่นยำมากพอ เพราะเขารู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเขาในทางทางหนึ่งแน่ๆ เขาจึงยอมมาที่นี่ก่อนที่จะกลับไปร้านของเขา
   
แน่นอนว่ามาถึงตอนนี้แล้ว ทวิชไม่มีวันถอยกลับจึงเลือกที่จะเปิดประตูเข้าไปทันทีและยืนตะลึงค้างอยู่ที่เดิม เมื่อเห็นบรรยากาศข้างในชัดๆ
   
“...ยินดีต้อนรับ”
   
น้ำเสียงนุ่มนวลจากบาร์เทนเดอร์ที่กำลังยืนเช็ดแก้วอยู่แทบไม่เข้าหูทวิชสักนิด เพราะบรรยากาศในร้านนั้นราวกับไม่มีอยู่จริง ถึงแม้ทุกอย่างจะมืดสลัวแต่ก็ถูกกล่อมเกลาด้วยบรรยากาศบางอย่างที่ชวนให้รู้สึกวาบหวามลึกลับและร้อนแรง ห้องนั้นถูกฉาบไปด้วยไฟสีแดงกับม่วงสลัว บนผนังนั้นมีไฟนีออนสีฟ้ากับขาวที่ถูกดัดเป็นรูปวาฬซึ่งบริเวณใต้ท้องมันนั้นก็ถูกมีชื่อร้านที่ใช้ไฟนีออนทำเหมือนกันดัดเป็นตัวเขียนเล็กๆ อีกที
   
“ครับ”
   
ทวิชรับคำในลำคอเผลอเหม่อลอยไปชั่วขณะ ต้องยอมรับเลยว่าเขารู้สึกเมาทั้งๆ ที่ยังไม่ดื่มอะไรแม้แต่หยดเดียว
   
“เดี๋ยวผมขอการ์ดของลูกค้าด้วยนะครับ”
   
ทวิชสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของร้านและพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีผมสีเงินหนำซ้ำยังมีตาเทาอีก ซึ่งดูยังไงก็ไม่ใช่รูปลักษณ์แบบที่ผู้คนทั่วไปมีอย่างแน่นอน
   
“..อ่า ผมลืมแนะนำตัวสินะ” คนเป็นเจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ และยิ้มบางให้ทวิชอย่างใจดี “ผมชื่อรุจ เป็นเจ้าของบาร์ตึกแถวแห่งนี้ที่พวกคุณเล่าลือกันนั่นแหละครับ เพียงแต่ผมเจ้าของร้านที่เรื่องมากนิดหน่อยตรงที่ชอบเลือกลูกค้าเนี่ยแหละ ฮะๆ ”
   
ผ่านไปสักพักสติของทวิชก็เริ่มกลับมาเข้าที่เข้าทาง ทวิชจึงหยิบการ์ดออกมาให้อย่างว่าง่าย ซึ่งรุจก็รับไปดูด้วยท่าทีสบายๆ และยิ้มให้ทวิชอีกครั้ง
   
“เหล้าความจริงหนึ่งที่สำหรับคุณทวิชนะครับ”
   
“...คุณรู้จักผม?”
   
รุจหัวเราะแล้วหันไปจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับการชงเหล้าให้ทวิชอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าคมคายที่ถึงแม้จะดูมีอายุแต่ก็ยังคงเสน่ห์เอาไว้อย่างผุดยิ้มลึกลับ
   
“รู้จักสิ ผมก็รู้จักทุกคนที่ผมสนใจนั่นแหละ”
   
“...”
   
จากที่นั่งสบายๆ บนที่นั่งกลายเป็นเกร็งตัวขึ้นมาทันทีด้วยความหวาดหวั่น ซึ่งรุจก็คล้ายกับเห็นความกลัวนั้นของทวิชจึงพูดต่อเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายมากขึ้น
   
“ไม่ต้องห่วง คุณทวิช ผมก็แค่เฝ้ามองคุณเท่านั้นเอง แล้วคุณก็ไม่ใช่คนเดียวที่ผมมองด้วย”
   
รุจพูดไปยิ้มไป
   
“..คุณเป็นใครกันแน่”
   
“เห็นแก่ที่คุณยังมีชีวิตรอดจนมาถึงตอนนี้ได้ ผมก็จะยอมบอกหน่อยแล้วกัน” รุจหัวเราะก่อนที่จะวางทุกอย่างในมือลง แล้วถอดเสื้อคลุมของตัวเองออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อสมบูรณ์ข้างใต้เสื้อที่มีร่องรอยแผลฉกรรจ์เต็มไปหมด นัยน์ตาสีเทาของรุจนั้นคล้ายกับเรืองรองขึ้นเมื่อจับจ้องทวิช
   
“คิดว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับคุณนั้นเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ เหรอ คุณทวิช”
   
“...ผมไม่เข้าใจ”
   
ทวิชตอบเสียงแผ่วเผลอกุมมือตัวเองแน่นใต้โต๊ะตามสัญชาตญาณ
   
ทั้งๆ ที่คนตรงหน้าเขาไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามอะไรด้วยซ้ำ แต่เขากลับรู้สึกหวาดกลัว
   
“วันนั้นที่คุณบินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
   
“คุณเป็นพวกกลุ่มปฏิวัติ?”
   
รุจแค่นเสียงหัวเราะ “ผมไม่ใช่พวกใครทั้งนั้น และผมก็ไม่รับใช้ใครนอกจากพรรคพวกของผม” นัยน์ตาสีเทาจับจ้องไปยังปลาวาฬที่ถูกดัดจากไฟนีออนด้วยความอาลัย “คุณเคยได้ยินเรื่องวาฬรึเปล่า”
   
ทวิชเบิกตากว้างเพราะพอรุจหันหลัง เขาถึงเห็นว่าบนแผ่นหลังหนานั้นมีครีบสีดำงอกออกมา
   
“..ไม่ใช่ว่าพวกคุณสูญพันธุ์หมดแล้วเหรอ”
   
“ก็แค่เกือบเพราะอย่างน้อยก็มีคนที่รอดอย่างผมอยู่”
   
พอให้ทวิชดูเสร็จก็หันไปง่วนกับการชงเหล้าต่อ และเล่าด้วยท่าทีสบายๆ
   
“ก็อย่างที่ประวัติศาตร์ของอัลฟ่าเขียนไว้นั่นแหละ พวกวาฬอย่างเราก่อกบฏก่อนรุ่นพ่อแม่คุณอีก แต่สุดท้ายก็แพ้ยับเยินจนตายกันหมด ที่ผมยังทนมีชีวิตอยู่ก็แค่สืบต่อเจตนารมณ์ของพวกเขาเท่านั้น”
   
ถึงแม้จะเป็นเรื่องราวที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่น้ำเสียงของรุจนั้นก็ยังแข็งกร้าวมากอยู่ดี อายุที่ยืนยาวบางครั้งก็เหมือนเป็นคำสาปร้ายมากกว่าพรจากพระเจ้า ความโดดเดี่ยวและความทรงจำอันเจ็บปวดทำให้การใช้ชีวิตในแต่ละวันเป็นความทุกข์ทรมานมากกว่าสุขสันต์
   
“หน้าที่ของผมก็คือล้มพวกชนชั้นนำสารเลวพวกนั้นให้ได้ก่อนที่ผมจะตาย”
   
“..สรุปคือคุณอยู่เบื้องหลังกลุ่มปฏิวัติครั้งนี้?”
   
รุจวางแก้วลงตรงหน้าทวิชและยิ้มแทนคำตอบ
   
“ทุกครั้งของการปฏิวัติต่างหาก ใครจะให้คำปรึกษาด้านการปฏิวัติได้ดีเท่าคนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ล่ะ ทุกการเคลื่อนไหวของกลุ่มปฏิวัติพวกนี้ต้องปรึกษาผมกันทั้งนั้น อาจจะเรียกผมว่าเป็นที่ปรึกษากลุ่มก็ได้”
   
“แล้วที่คุณบอกว่าที่ผมบินไม่ใช่เรื่องบังเอิญหมายถึงอะไร”
   
ทวิชหยิบแก้วขึ้นมาอย่างว่าง่าย กลิ่นหอมผลไม้หมักนั้นเชิญชวนเขาไม่น้อย แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเขาก็ยังลังเลนิดๆ เพราะรู้ตัวดีว่าเขานั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังบนโลกห่วยแตกนี้แล้ว
   
“ก็ตามที่ผมพูดนั่นแหละ ผมรู้ว่าวันนั้นต้องเกิดอะไรสักอย่างขึ้นที่บีบให้คุณใช้ปีก แล้วผมก็มั่นใจด้วยว่าเด็กดีอย่างคุณต้องไม่ยอมอยู่เฉยกับความไม่ยุติธรรมพวกนี้แน่ๆ ”
   
“..คุณมองผมมานานแค่ไหนแล้ว”
   
“ตั้งแต่ที่พ่อแม่คุณตาย” รุจลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับทวิชและเท้าคางพูด “พวกเด็กที่ยังมีปีกสมบูรณ์แบบคุณมันมีไม่กี่คนหรอก ทวิช และผมก็ต้องการปีกของคุณมาใช้แทนสัญลักษณ์เพื่อโต้กลับใส่พวกอัลฟ่าด้วย”
   
“แปลว่าคุณก็รู้จักพ่อแม่ผม”
   
“รู้จักสิ” รุจตอบยิ้มๆ เมื่อเห็นท่าทีกระตือรือร้นของทวิช “พ่อของคุณเป็นคนดีนะ ทวิช เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองบ้าๆ นี่ถึงกับยอมแลกทุกอย่างแม้กระทั่งชีวิตตัวเองเพื่อมัน ทั้งๆ ที่ผมก็ให้คำแนะนำพ่อคุณไปแล้วแท้ๆ ว่าอย่าเชื่อผมให้มันมาก เพราะบางทีผมก็พูดเรื่อยเปื่อย”
   
“..ที่อยู่ๆ พ่อผมไปเป็นแกนนำปฏิวัติก็เพราะคุณเหรอ”
   
น่าแปลกที่ทวิชตอบตัวเองไม่ได้ว่ากำลังรู้สึกแบบไหนอยู่
   
ผิดหวัง? โกรธ? หรือเสียใจ?
   
เขาไม่รู้เลย รู้แต่ว่าตัวเองตัวสั่นเทาจนลืมความลังเลเมื่อกี้ไปเสียหมด และหนทางเดียวที่เขาจะประคองความสุขุมของตัวเองต่อไปได้นั้นคือแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเองเท่านั้น
   
ทวิชกำแก้วแน่นจนมือสั่นระริก ก่อนที่จะยกซดกินมันหมดแก้วในคราวเดียวทันที
   
..ช่างเด็กในท้องมันเถอะ คนเป็นแม่อย่างเขาแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว!
   
ฝีมือการชงเหล้าของรุจนั้นสมกับเป็นบาร์ลึกลับจริงๆ เพราะเพียงแค่แก้วเดียวก็ทำให้เขาสมองโล่งทันที รสเหล้าที่แรงจนแทบเผาคอเขาให้ไหม้นั้นทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกตบหน้าแรงๆ เพื่อเรียกสติกลับคืนมายอมรับความจริงที่ต้องเผชิญ
   
พ่อเขาต้องตายอย่างทรมานเพราะไปเป็นแกนนำปฏิวัติ ถ้าหากพ่อเขาไม่ถูกปั่นหัวให้เข้าร่วม พ่อกับแม่เขาอาจจะยังไม่ตายก็ได้!!!
   
ทวิชจ้องรุจตาขวาง เผลอคืนร่างต้นเป็นเสือดำแบบทั้งตัวก่อนที่จะแยกเขี้ยวออกมาอย่างดุร้าย ถึงแม้จะรู้ว่าฝีมือการต่อสู้ของตัวเองห่วยแตก แต่เขาก็โกรธมากๆ อยู่ดี และหวังว่าเขี้ยวเล็บของตัวเองจะทำอะไรอีกฝ่ายได้บ้าง
   
“แน่ใจเหรอว่าจะโทษผม คุณทวิช ที่คุณจะควรจะโกรธมากกว่าคือรัฐบาลพวกนั้นรึเปล่า”
   
“...”
   
แน่นอนว่าทวิชรู้ดีว่าต่อให้โกรธให้ตายยังไง เขาก็ไม่ได้พ่อแม่เขากลับคืนมาอยู่ดี แต่เขาก็เลิกโกรธไม่ได้เพราะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องมารับรู้ความจริงซ้ำๆ ว่าพ่อแม่เขาตายเพราะประเทศเฮงซวยนี้ และรายต่อไปที่โดนหมายหัวก็คือเขา
   
ทำไมกันนะ ทำไมเขาถึงเรียกร้องความเป็นธรรมกับใครไม่ได้เลย เขาก็แค่อยากมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขกับครอบครัวเท่านั้นเอง 
   
ทวิชค่อยๆ คืนกลับร่างมนุษย์ ลูบหน้าตัวเองอย่างสิ้นหวัง พยายามเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าออก
   
“..คุณคิดจะทำยังไงกับผมต่อ”
   
การรับรู้ว่าความจริงแล้วตัวเองเป็นเพียงแค่หมากในมือของอีกฝ่ายนั้นทำให้ทวิชเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าทุกการกระทำของตัวเองนั้น เกิดจากความต้องการตัวเองจริงๆ หรือเปล่า
   
“เอาเข้าจริงหน้าที่ของคุณก็จบแล้วนะ ทวิช เพราะผมก็แค่อยากใช้ปีกคุณกระตุ้นให้พวกเบต้าตื่นตัวมากขึ้นก็เท่านั้นเอง ตอนนี้คุณก็หมดหน้าแล้ว หลังจากนี้คุณก็อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกลุ่มปฏิวัติเถอะ”
   
รุจตอบอย่างไม่ยี่หระ เพราะเหตุผลหนึ่งเดียวที่รุจยังทนมีชีวิตอยู่คือการปฏิวัติให้สำเร็จ การรักษาความสัมพันธ์อะไรต่างๆ นั้นแทบไม่ใช่เรื่องสำคัญกับรุจอีกต่อไป
   
“..ที่ผมท้องไม่ใช่เพราะความตั้งใจของคุณใช่ไหม”
   
รุจเลิกคิ้วนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก เนื่องจากรู้ดีว่าทวิชนั้นประกอบอาชีพอะไร “สิ่งเดียวที่ผมบงการคือเรื่องเมื่อวันก่อนแค่นั้น ผมแค่ใช้ปีกคุณครั้งเดียว ทวิช ไม่ต้องมาโทษผมหรอกว่าชีวิตห่วยๆ ที่คุณเจอมันเป็นเพราะผม เพราะคุณเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเองต่างหาก”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วเมื่อถูกแทงใจดำ แต่ถ้าให้เขาเลือกอีกครั้งเขาก็จะเลือกแบบเดิมอยู่ดี
   
“ผมไม่มีทางเลือก”
   
“ไม่มีใครมีทางเลือกทั้งนั้นแหละ คุณทวิช แม้แต่ผมเองก็เถอะ”
   
คนเป็นเจ้าของร้านถอนหายใจหน่ายๆ เอาเข้าจริงแล้วเขาก็เบื่อการต้องมาพยายามก่อปฏิวัติซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกัน และก็ไม่รู้เวรกรรมอะไรของเขาที่มันไม่เคยสำเร็จสักที เขาอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติมาสามครั้งแล้ว และนี้ก็คือครั้งที่สามของเขาที่เขาหวังว่ามันจะสำเร็จเพราะเขาเหนื่อยที่จะพยายามใหม่แล้ว
   
การรวบรวมความกล้าของผู้คนเป็นเรื่องยาก กว่าเขาจะรวมกลุ่มปฏิวัติกลุ่มใหม่นี่ให้ได้มากขนาดนี้ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมหาศาล และเขามั่นใจมากว่าถ้าครั้งนี้ถูกทำลายไปอีก ครั้งต่อไปจะยากขึ้นกว่านี้มาก
   
“กลับร้านของคุณไปได้แล้ว ทวิช เจ้าเด็กที่คุณรับอุปการะไว้ยังรอคุณอยู่”
   
“..คุณอย่ายุ่งกับเขาได้ไหม ผมไม่อยากให้เขาตาย” ทวิชพูดด้วยสีหน้ากังวล “ถ้าคุณอยากทำอะไรก็ให้ผมทำแทนเถอะ”
   
“สบายใจได้ ผมไม่ใจร้ายขนาดเอาพวกเด็กมาใช้งานหรอก”
   
รุจหัวเราะแล้วโบกมือไล่ทวิช
   
“ไปซะ คุณหมดธุระกับที่นี่แล้ว ทวิช หลังจากนี้จะอยู่เฉยๆ หรือเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติคุณก็เลือกเอาเอง แต่ผมไม่รับประกันหรอกนะว่ามันจะสำเร็จ”
   
“จนถึงตอนนี้คุณยังไม่มั่นใจอีกเหรอ”
   
แน่นอนว่าทวิชก็พอได้ยินข่าวคราวเรื่องการเผาอนุสาวรีย์ของอัลฟ่าบ้างระหว่างที่เดินมา เบต้าพวกนั้นคุยเรื่องนี้ด้วยนัยน์ตาเป็นประกายโดยไม่แยแสพวกทางการที่เดินอยู่ฝั่งตรงข้ามสักนิด
   
“ผมไม่กล้ามั่นใจหรอก เพราะทุกครั้งที่มันจะสำเร็จ พวกมันก็ใช้วิธีการรุนแรงฆ่าเราจนพวกเราต้องยอมจำนนต่อพวกมันเพื่อที่จะได้ไม่ถูกฆ่า ครั้งพ่อแม่คุณพวกเขาก็ปิดล้อมฆ่า มีคนมากมายที่พยายามจะหนีลงน้ำแต่สุดท้ายก็จมน้ำตายกันอยู่ดี ซึ่งผมก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกนั้นจะโหดร้ายกันขนาดนั้น คนบริสุทธิ์ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมานเพียงเพราะพวกเขาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองควรจะได้ มันเป็นเรื่องที่ต้องฆ่ากันอย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้เลยเหรอ”
   
นัยน์ตาสีเทาของรุจนั้นเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้จะพยายามไม่รู้สึกกับมัน แต่เขาก็ยังเจ็บปวดที่มีคนบริสุทธิ์มากมายที่ต้องถูกพรากชีวิตไปเหมือนเดิม
   
เรื่องพวกนี้ไม่สมควรเกิดขึ้นกับใคร แต่เขารู้ดีว่าถ้าหากต้องการปฏิวัตินี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องเกิด และหากเขานิ่งเฉยไม่ทำอะไรต่อไป ทุกความเลวร้ายในสังคมก็จะถูกส่งต่อในรุ่นลูกรุ่นหลานอีก ดีไม่ดีจนถึงตอนนั้นพวกอัลฟ่าอาจจะทำให้อะไรที่มันบ้าคลั่งกว่านี้ก็ได้ ขนาดเนื้อเบต้ามันยังกินกันได้เลย อีกไม่นานมันคงจะทำฟาร์มมนุษย์เพื่อกินเนื้อแน่ๆ
   
“แล้วตอนนี้ยังมีอะไรที่ผมทำได้ไหม”
   
“มีชีวิตต่อเพื่อเห็นความพินาศของพวกมัน”
   
รุจตอบก่อนที่จะล้วงหยิบจี้ห้อยคอซึ่งเป็นรูปอีกาสยายปีกสีเงินออกมาให้ทวิช มันยังคงดูใหม่อยู่แม้ว่าจะผ่านกาลเวลามานานหลายสิบปีเพราะรุจมักจะนำมันมาทำความสะอาดอยู่บ่อยครั้งเมื่อนึกถึงเจ้าของสร้อยเส้นนี้
   
“..มันคือ”
   
ทวิชรับไปดูด้วยความสนใจ
   
“พ่อคุณฝากเอาไว้”
   
“...”
   
แน่นอนว่าทวิชเลือกที่จะสวมมันให้กับตัวเองทันที ถึงแม้จะรู้ว่าการมีสัญลักษณ์เกี่ยวกับนกนั้นเป็นเรื่องผิดกฎหมายร้ายแรง แต่ยังไงเขาก็สบายใจที่จะแต่งตัวให้มิดชิดมากกว่าเดิมมากกว่าเก็บมันไว้ในที่ใดที่หนึ่งอยู่ดี
   
“จี้นี้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มปฏิวัติรุ่นก่อน มันเป็นรุ่นแรกและเป็นของพ่อคุณ พวกอัลฟ่าพยายามจะหามาทำลายแต่ก็หาไม่เจอเพราะพ่อคุณเอามาฝากไว้ให้กับผมก่อน แน่นอนว่าพ่อคุณให้ผมเขียนการ์ดโง่ๆ ไร้รสนิยมนี้ด้วย เหล้าความจริงอะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี ผมไม่ตั้งชื่อเหล้าไร้สาระแบบนี้หรอก แต่ผมก็เห็นแก่ที่พ่อคุณชอบเหล้านี้มากก็เลยยอมๆ ไป”   
   
บรรยากาศที่ดูตึงเครียดมาตลอดดูเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทวิชก็พอจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกดีและเป็นมิตรกับพ่อตัวเองไม่น้อยถึงได้ดูมีความสุขนักยามที่พูดถึง
   
“ถึงแม้การปฏิวัติครั้งนั้นจะพ่ายแพ้ แต่ผมก็เชื่อนะว่ามันไม่ได้สูญเปล่า”
   
รุจจับจ้องจี้ที่อยู่ตรงคอของทวิชด้วยความอาลัย เพราะลึกๆ แล้วเขาอยากจะเก็บมันไว้เองมากกว่า มีคนไม่กี่คนจริงๆ ที่เขาเคยเจอและประทับใจ ซึ่งเอาเข้าจริงถ้าหากทวิชไม่เป็นเด็กดีขนาดนี้ เขาอาจจะเลือกที่จะชงเหล้าให้ทวิชกินสักแก้วแล้วไล่กลับไปเลยก็ได้
   
แต่พอเห็นใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับเขาคนนั้นแล้วเขากลับทำไม่ลง
   
“จงมีชีวิตต่อไป ทวิช สร้างโลกที่ดีพอแล้วถึงค่อยปล่อยให้เด็กในท้องคุณเกิดมา”
   
นั่นเป็นความฝันของเขาคนนั้น น่าเสียดายจริงๆ ที่มันไม่สำเร็จ ไม่อย่างนั้นเด็กคนนี้ก็คงจะมีความสุขและมีชีวิตที่ดีกว่านี้
   
“..ครับ”
   
ทวิชพยักหน้ารับ รู้สึกผิดเล็กๆ เพราะเขาเลือกที่จะกินแก้วเมื่อกี้เข้าไปและมันก็คงจะส่งผลไม่ค่อยดีกับลูกของเขาสักเท่าไหร่ ซึ่งมันก็จะเป็นแก้วสุดท้ายที่เขากิน ต่อจากนี้เขาถ้าหากไม่เหลืออดเหลือทนจริงๆ เขาก็จะไม่กินอีก
   
“ขอบคุณนะครับ”
   
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เพราะครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่คุณจะได้มาที่นี่”
   
รุจหัวเราะน้อยๆ
   
เพราะคนที่จะมาร้านเขาตอนไหนก็ได้มีแค่คนเดียวเท่านั้น

----------

หลังจากนี้จะเครียดขึ้นกว่าเดิมอีกค่ะ 555 :z10:

ขอบคุณทุกคอมเมนต์นะคะ  :กอด1:   
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 14 : เหล้าความจริง 23 ม.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 24-01-2020 00:43:17
สนุกกกกกกกกกก สนุกมากกกกกกกกก อยากอ่านอีกกกกกกกกกกกก  :ling1:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 14 : เหล้าความจริง 23 ม.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-01-2020 09:12:15
จะอึดอัดไปไหน
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 14 : เหล้าความจริง 23 ม.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-01-2020 23:26:25
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 15 : เหรียญกล้าหาญ 2 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 02-02-2020 01:23:35
ตอนที่ 15

   
‘อัลฟ่า’
   
คือคำแรกๆ ที่ชนินทร์พูดได้หลังจากที่เพิ่งเกิดวาทกรรมนี้ได้ไม่กี่ปี เด็กชายวัยหนึ่งขวบที่มีเชื้อสายเป็นสัตว์กินเนื้อโดยสมบูรณ์นั้นเป็นสัญลักษณ์อันดีของอัลฟ่าและแทบจะไม่ต้องตัดแต่งพันธุกรรมอะไรเพิ่มเติม
   
ในวัยเด็กนั้นชนินทร์ชื่นชอบที่จะอยู่ในร่างกึ่งร่างต้น สนุกกับการกระดิกหูกับหางเพราะพ่อบอกว่าเขาเท่สุดๆ ชนินทร์ใช้ชีวิตสุขสันต์กับครอบครัวได้ไม่ถึงสองปี สงครามกลางเมืองก็ก่อตัวขึ้น พ่อของชนินทร์ถูกเรียกตัวไปรับใช้รัฐบาลที่ส่วนใหญ่แล้วมีเชื้อสายสัตว์กินเนื้อที่ในอดีตเคยรุ่งโรจน์ เป็นเชื้อสายที่ครอบครองทรัพยากรทุกอย่างมาก่อนจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติครั้งก่อนที่ทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมขึ้น มีสายเลือดผสมเกิดขึ้นมากมายซึ่งเป็นนิมิตหมายอันดีในการที่จะพัฒนาให้ประเทศนั้นมีมนุษยธรรมทัดเทียมกับประเทศอื่นๆ หลังจากที่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและตกอันดับในเวทีนานาชาติมานาน
   
ประเทศนี้เคยถูกปฏิวัติ เคยมีหมุดหมายแห่งเสรีภาพและความเท่าเทียม เคยมีอนุสาวรีย์ชัยอันเป็นสัญลักษณ์ของการอยู่ร่วมกันโดยที่ไม่มีใครมีสิทธิเหนือกว่าใคร เคยมีอะไรต่างๆ มากมายที่คนในอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชนินทร์นั้นไม่อาจจินตนาการถึงได้ เพราะเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นสัญลักษณ์แห่งอิสรภาพเหล่านี้ก็ได้ถูกทำลายและบังคับให้สูญหายไปหมดแล้ว
   
หมุดที่เคยกล่าวถึงการถึงก่อตั้งคณะปฏิวัติได้ถูกปรับเปลี่ยน
   
อนุสาวรีย์ที่เคยเป็นรูปปั้นของผู้ปฏิวัติได้ถูกทุบทำลาย
   
ประวัติศาสตร์ในหน้าหนังสือถูกลบออกจนหมดเหลือไว้เพียงบรรทัดเดียวว่าพวกเขาก่อกบฏ
   
แน่นอนว่าการลบประวัติศาสตร์พวกนี้ล้วนแล้วแต่มีราคาที่ต้องจ่าย พ่อของชนินทร์ซึ่งเป็นตำรวจที่ไปช่วยปรามปราบการก่อจลาจลของมวลชนก็ได้สังเวยชีวิตไปกับกระสุนที่ไม่แน่ชัดว่ามาจากฝ่ายใด
   
ชนินทร์ในวัยสี่ขวบนั้นเด็กเกินกว่าจะทำความเข้าใจถึงเหตุผลที่แท้จริงของการต่อสู้ของมวลชนได้ เขารับรู้เพียงว่าพ่อที่เท่ที่สุดในโลกของตัวเองนั้นต้องตายด้วยฝีมือโอเมก้า โอเมก้าฆ่าพ่อของเขา ทำให้เขาต้องอยู่กับแม่สองคนและแน่นอนว่ามันไม่เหมือนเดิม
   
แม่ของชนินทร์กลายเป็นซึมเศร้าและแทบไม่ยิ้มอีกเลยหลังจากวันนั้น แม้แต่วันที่ชนินทร์ได้รับเหรียญกล้าหาญแทนพ่อที่เสียไป แม่ก็ทำเพียงแค่ลูบหัวเขาเบาๆ ไม่พูดอะไร หลังจากทนทุกข์ทรมานจากโรคมาหลายปีแม่ของชนินทร์ก็ตัดสินใจฆ่าตัวตาย ทิ้งให้ลูกชายวัยสิบแปดปีเผชิญกับโลกใบใหญ่ต่อเพียงลำพัง
   
ชนินทร์ไม่ได้แปลกใจอะไรนักกับการตัดสินใจของแม่ รู้สึกดีด้วยซ้ำที่แม่ของเขาอยู่กับเขาจนเขาโตพอที่จะใช้ชีวิตของตัวเองได้แล้ว แน่นอนว่าเขาไม่โทษแม่แต่เขาโทษพวกโอเมก้าสารเลวที่ทำให้ชีวิตครอบครัวเขาพังแบบนี้ ถึงการตายของพ่อจะทำให้เขาได้รับสวัสดิการหรือโอกาสต่างๆ มากมายก็ตาม แต่มันก็เทียบกันไม่ได้เลยกับครอบครัวที่เสียไป
   
เขาคิดถึงช่วงวัยเด็กอันเลือนรางของเขา
   
มันอาจจะไม่ใช่ครอบครัวที่เพียบพร้อมอะไรแต่เขาก็รักมัน และได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ในอนาคตว่าตัวเองจะสามารถสร้างครอบครัวดีๆ ขึ้นมาได้บ้าง
   
“ต่อไปนี้คุณดูแลเขตนี้นะ คุณชนินทร์”
   
“ครับ ท่าน”
   
ชนินทร์รับคำจาก ‘ผู้ใหญ่’ ที่คอยดูแลครอบครัวเขามาตั้งแต่เด็กและจนถึงตอนนี้ก็ยังคอยให้การอุปถัมภ์เขาอยู่ แน่นอนว่าชนินทร์ชื่นชมผู้ใหญ่ท่านนี้มาก เป็นอัลฟ่าที่ดีที่สุดที่เขาเคยพบในชีวิตเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นคนให้โอกาสเขาในด้านหน้าที่การงานด้วย
   
หลังจากนั้นชนินทร์ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กับการเป็นตำรวจอย่างกระตือรือร้น เขาอยากจะเป็นตำรวจในแบบที่พ่อของเขาเคยเป็น และเขาก็ทำมาอย่างเคร่งครัดจนกระทั่งวันหนึ่งไปเจอกับร้านลึกลับบางอย่างเข้า
   
“ไม่ต้องเข้าไปยุ่งหรอก”
   
เพื่อนร่วมอาชีพบอกชนินทร์แบบนั้นระหว่างที่นั่งกินโดนัทและดูแข่งมวยไปด้วย
   
“แต่มันผิดกฎหมายนะ เราไม่อนุญาตให้พวกเบต้าทำการการุณฆาตกันเองได้ มันไม่ถูกต้อง ถ้าจะทำก็ต้องทำผ่านพวกอัลฟ่าสิ ให้ตายเถอะนี่มันยิ่งกว่าผิดกฎหมายอีก พวกนั้นจะยิ่งกว่าตกนรกอีกนะ”
   
ชนินทร์อ้างถึงหลักศาสนาที่กล่าวกันว่าเป็นบาปอันสาหัสถ้าหากเบต้าเลือกที่จะทำอะไรกันเองโดยไม่ได้รับการอนุญาตจากอัลฟ่าเสียก่อน
   
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะไม่ยุ่งกับร้านนั้น แต่ถ้านายว่างนักก็ลงไปดูเองแล้วกัน”
   
“ไม่ต้องห่วง ผมลงไปดูเองแน่ ตอนนี้เลยด้วย ผมจะไม่ยอมให้ใครมาทำผิดกฎหมายในเขตนี้แน่ๆ ตราบใดที่ผมยังเป็นผู้ดูแลเขตนี้อยู่”
   
ชนินทร์บอกกับเพื่อนร่วมงานตัวอย่างขึงขัง แล้วฟึดฟัดขี่รถออกไปและเข้าไปในร้านลึกลับนั่นในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง แต่น่าเสียดายที่เขาดันบังเอิญเจอพวกเบต้าพยายามจะปล้นอัลฟ่าเข้าซะก่อน เลยช่วยไล่จับอยู่หลายชั่วโมงกว่าจะมาถึงสถานที่ที่ต้องการก็เย็นแล้ว
   
“ก่อนที่คุณจะจับผม ก็ช่วยไปดูด้วยนะ ว่าใครคุ้มกะลาหัวผมอยู่”
   
สาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยเจอเบต้าที่ไหนอวดดีใส่ขนาดนี้มาก่อน
   
ชนินทร์หงุดหงิดมากและมากกว่าเดิมเมื่อรู้ว่าตระกูลไหนที่คอยคุ้มครองอีกฝ่ายอยู่ แต่เขาก็เลือกที่จะเมินเฉยต่อความไม่ถูกต้องนี้ไม่ได้ ไม่สมควรมีเบต้าคนไหนที่ละเมิดกฎหมายและถ้าเขาปล่อยหมอนี่ไป คนอื่นๆ อาจจะทำตามจนเมื่อถึงเวลานั้นเขาอาจจะควบคุมไม่ได้ก็ได้
   
แต่แล้วพอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอัลฟ่าเหมือนตัวเอง ชนินทร์ก็ยอมหยุดมือและรู้สึกแปลกใจที่มีอัลฟ่ามาใช้ชีวิตในย่านเสื่อมโทรมที่ไม่มีอะไรดีแบบนี้ และเมื่อมองสำรวจอีกฝ่ายดีๆ ก็อดประหม่าเล็กๆ ไม่ได้
   
อีกฝ่ายหน้าตาดีเป็นบ้าแถมยังเป็นแบบที่เขาชอบอีก
   
ซึ่งแน่นอนว่าชนินทร์รู้ตัวดีว่าทวิชไม่ค่อยชอบตัวเองเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้เพราะการเจอกันครั้งแรกของเขากับทวิชไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่
   
เอาเถอะ ครั้งหน้าเขาจะทำตัวให้ดีและน่าประทับใจกว่าครั้งนี้ให้ได้!
   
“...”
   
ชนินทร์นั่งคอตกอยู่ในห้องนอนของตัวเองอย่างสิ้นหวัง เพราะครั้งที่สองที่เจอกันเขาก็ทำให้ทวิชไม่พอใจเหมือนเดิม แถมยังเหมือนจะเกลียดขี้หน้าเขามากขึ้นด้วย ทั้งๆ ที่เขาก็เตือนทวิชด้วยความหวังดีแท้ๆ ว่าอย่าไปหลงเชื่อพวกกบฏ พวกนั้นชั่วร้ายกันจะตายและเขามั่นใจมากด้วยว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ
   
‘คุณก็รู้อยู่แก่ใจ คุณตำรวจ’
   
น้ำเสียงเหยียดหยันของทวิชดังในหัวของชนินทร์ ทำให้ชนินทร์รู้สึกยอมคิดทบทวนเรื่องนั้นอีกครั้ง เอาเข้าจริงแล้วสภาพของทวิชก็ไม่เหมือนคนโดนสะกดจิตเหมือนที่รัฐบาลเขียนไว้ด้วยซ้ำ ดูเหมือนคนที่จนตรอกและโกรธมากๆ ที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้มากกว่า
   
หรือว่าที่ทวิชพูดจะเป็นความจริง?
   
ชนินทร์ลูบหน้าตัวเอง พยายามจะคิดต่อแต่หลายสิ่งในใจก็ค้านเต็มไปหมด ทั้งหลักศาสนา กฎหมาย คำประกาศ คำปฏิญาณที่ต้องทุกท่องทุกเช้า ทุกๆ อย่างกำลังฉุดรั้งให้เขาไม่ให้เขาได้กล้าสงสัยต่อ
   
‘คุณก็แค่ไม่กล้ายอมรับความจริงก็เท่านั้น กลัวว่าความเชื่อตลอดยี่สิบสามปีของคุณจะพังทลาย’
   
“..แม่ง!!”
   
ชนินทร์สบถและยีหัวตัวเองจนยุ่งเหยิง นัยน์ตาขึ้นสีแดงก่ำ
   
เพราะมันเป็นอย่างที่ทวิชพูดจริงๆ
   
เขาไม่กล้ายอมรับความจริง

   

[ จากคำประกาศใช้มาตรา 666 ขอให้เบต้าทุกคนในเขตนี้อาศัยอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งระยะเวลากลางวันและกลางคืนเป็นเวลาสามวัน โดยทางรัฐบาลจะแจกจ่ายอาหารและยาตามจำนวนครอบครัวที่ได้ลงทะเบียนเอาไว้ ขอให้เบต้าทุกคนอย่าได้ขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อมีเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจตราในบ้าน หากผู้ใดขัดขืนจะถูกตัดสินว่าเป็นกบฏและมีโทษสูงสุดคือถูกวิสามัญ ณ จุดเกิดเหตุทันที ]
   
เสียงวิทยุประจำเขตดังเป็นจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนหลังจากรัฐบาลได้ประกาศใช้มาตราฉุกเฉินออกมาเพื่อควบคุมสถานการณ์ความไม่สงบในประเทศ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ห้าแล้วแต่เหล่าคนทางการก็ยังไม่ยกเลิกการใช้มาตราฉุกเฉินในเขตนี้เพราะยังตรวจตราได้ไม่ครบครันดี และพวกเขาก็ยังไม่ ‘เจอ’ ในสิ่งที่ต้องการจะหาด้วย
   
บรรยากาศในเขตนี้ที่ปกติมักจะอึมครึมสิ้นหวังอยู่แล้ว ในเวลานี้นั้นกลับสิ้นหวังกว่าเดิมมาก ผู้คนส่วนใหญ่ในเขตนั้นประกอบอาชีพเป็นแรงงานในโรงงาน ใช้ชีวิตทั้งชีวิตไปกับการทำงานร่วมกับเครื่องจักร สารพิษ และความหวังอันน้อยนิดที่จะได้รับโชคจากตั๋วชิงโชคที่ทางรัฐบาลขายให้
   
การถูกห้ามให้ออกจากบ้านนั้นเท่ากับว่าพวกเขาขาดรายได้ แน่นอนว่าถึงรัฐบาลจะกล่าวว่าพวกเขาจะชดเชยในส่วนนั้นให้แต่ไม่ว่าใครก็รู้ว่าระบบการทำงานของทางการนั้นล่าช้าเพียงใด มีเบต้าหลายรายที่ตายก่อนที่จะได้รับเงินชดเชยที่พวกเขาควรจะได้รับด้วยซ้ำไป
   
‘พวกคุณยังทำงานไม่หนักพอ เอาแต่ใช้เงินฟุ่มเฟือยถึงได้ไม่รวยเสียที’
   
อัลฟ่าคนหนึ่งที่มาจากในเมืองเข้ามาในเขตนี้พร้อมกับเงินบริจาคก้อนหนึ่งที่ไว้ใช้ลดหย่อนภาษีและมอบคำสอนให้กับเหล่าเบต้าที่มารับน้ำใจนั้นทั้งน้ำตา น้อมรับในคำสั่งสอนว่าพวกเขาต้องขยันมากกว่านี้ ทำงานมากกว่านี้ กินให้น้อยลง นอนให้ลง ใช้เวลาทั้งหมดให้คุ้มค่าที่สุดด้วยการทำงานเพื่ออนาคตของตัวเอง
   
ตลกร้ายที่เบต้าส่วนใหญ่ที่ทำตามคำสอนนี้นั้นส่วนใหญ่ไม่ป่วยตายก็หัวใจล้มเหลวในที่ทำงาน โดยที่พวกเขายังไม่เข้าใกล้กับความฝันที่จะพวกเขาต้องการเลยสักนิด
   
เหล่าเบต้าที่ทำงานอยู่ในระบบการปกครองเช่นนี้นั้นล้วนแล้วแต่ถูกหลอกลวง พวกเขาทำงานหนักและเจ็บปวดมากกว่าพวกอัลฟ่าที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตด้วยซ้ำ
   
ประเทศนี้นั้นโหดร้ายเกินไป เหล่าชนชนนำที่อยู่เบื้องบนหลอกให้เหล่าคนธรรมดาให้ทำงานหนัก ปิดกั้นทุกโอกาสที่พวกเขาจะสามารถถีบตัวขึ้นมาชนชนกรรมมาชีพขึ้นมาเป็นชนชั้นกลาง ขโมยการศึกษา สาธารณสุข อาหาร ทรัพยากร ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้กับตัวเพื่อความมั่งคั่งของชนชั้นตัวเอง
   
การเข่นฆ่าผู้คนในครั้งก่อนนั้นนับว่าเป็นความสำเร็จของรัฐบาลนี้ พวกเขากอบโกยความร่ำรวยทรัพยากรของประเทศไว้กับตัวบนกองเลือดและซากศพของประชาชน เหยียบย่ำอุดมการณ์ของพวกเขาใต้ฝ่าเท้าและบดขยี้ทุกจิตวิญญาณของทุกคนที่กล้าจะเงยหน้าขึ้นมา
   
‘จงพึ่งพาตนเองก่อนที่จะพึ่งรัฐบาล’
   
พวกเขากล่าวประโยคนี้อย่างไร้ความละอายใจ ทั้งๆ ที่ตนเองนั้นได้สร้างข้อจำกัดขึ้นมาเสียมากมายจนเหล่ามวลประชาใต้ฝ่าเท้าไม่กล้าเฝ้าฝันถึงอะไรอีกแล้ว เพราะลำพังแค่ประคองลมหายใจให้ผ่านพ้นไปอีกวันก็นับเป็นเรื่องที่ยากเย็นสำหรับพวกเขามากแล้วจริงๆ
   
“กลับเข้าไป!!!”
   
ตำรวจจากทางการคนหนึ่งตะโกนเสียงดังลั่นเมื่อมีเบต้ากลุ่มหนึ่งพยายามจะออกมาข้างนอก ใบหน้าของพวกเขาอิดโรยตามร่างกายเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจากสารพิษจากโรงงานผลิตเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ยาฆ่าแมลง บางคนถึงกับมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมาจากตัว
   
“พวกผมต้องไปหาหมอ”
   
หนึ่งในเบต้ากลุ่มนั้นพูดเสียงเบา ขณะเดียวกันก็พยายามประคองเพื่อนร่วมงานของตัวเองที่ขยับร่างกายส่วนล่างแทบไม่ได้แล้วให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายตัวมากขึ้น
   
“ยังไปไม่ได้ กลับเข้าบ้านไปซะ”
   
อัลฟ่าคนนั้นพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด และจงใจขยับกระบอกปืนในมือให้เห็นชัดๆ ว่าอย่าได้ต่อรองเพราะกฎอัยการศึกที่ประกาศไว้ยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ หากขัดขืนก็สามารถยิงอีกฝ่ายทิ้งได้ทันทีโดยไม่มีความผิด
   
“แต่ แต่เพื่อนผมจะไม่ไหวแล้วนะครับ ขอร้องเถอะครับ พวกเราจำเป็นจริงๆ ”
   
เบต้าอีกคนในกลุ่มที่มีสภาพร่างกายเลวร้ายไม่ต่างกันขอร้องทั้งน้ำตา เคราะห์ดีที่เขาตัดสินใจลาออกจากโรงงานได้ทันก่อนที่จะสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของตัวเองไป
   
“กลับเข้าไป”
   
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่เบื้องบนและเหนือกฎหมายย่อมไม่เข้าใจความทุกข์ทนของผู้คนเบื้องล่าง พวกเขาไม่ได้มองว่าเหล่าเบต้าเป็นคนเท่ากับตัวเองด้วยซ้ำไป เป็นเพียงแค่ชนชั้นที่ต้องคอยรับใช้พวกเขาอย่างรู้บุญคุณเท่านั้น
   
“แต่ว่า—”
   
ปัง!
   
เบต้าคนนั้นยังพูดต่อรองไม่ทันจบประโยคดีก็ถูกแกล้งยิงเฉี่ยวหัวจนต้องหุบปากฉับ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวจนไม่กล้าพูดอะไรอีก เหล่าเบต้ากลุ่มนี้จึงต้องยอมเข้าห้องกันแต่โดยดีแม้ว่าจะไม่ยินยอมก็ตาม
   
“ก็แค่นี้”
   
ตำรวจอัลฟ่าหัวเราะอย่างย่ามใจก่อนที่จะเดินตรวจตราต่อเพื่อป้องกันไม่ให้มีเบต้าออกมาเพ่นพ่านอีก งานตามหากลุ่มกบฏที่ซุกซ่อนในเขตนี้ของพวกเขายังไม่จบเพราะยังหาตัวไม่เจอ ทั้งๆ ที่มีสายข่าวยืนยันมาว่าในเขตนี้มีหัวหน้ากลุ่มกบฏซุกซ่อนตัวอยู่พร้อมกับลูกสมุนอีกจำนวนหนึ่งที่ตั้งใจจะก่อกบฏสร้างความวุ่นวายให้กับชาติ แน่นอนด้วยความรักในชาติและประเทศพวกเขาย่อมไม่มีวันปล่อยให้เรื่องพรรค์นี้เกิดขึ้นแน่นอน
   
มีเสียงเบต้าหลายคนที่พยายามอ้อนวอนขอร้องให้เหล่าอัลฟ่ายกเลิกกฎอัยการศึกในเขตนี้เพราะความหิวโหย เนื่องจากอาหารที่ทางการนำมาแจกนั้นไม่มากเพียงพอสำหรับผู้คนในเขตที่มีอยู่เกือบหกร้อยคน แถมการทำงานที่ล่าช้าก็ยิ่งส่งผลให้พวกเขาต้องอยู่อย่างไร้อาหารมาถึงสองวันจนแทบจะออกมาคลุ้มคลั่งตามท้องถนนด้วยความจนตรอก
   
แต่น่าเสียดายที่เสียงความต้องการของเบต้าในรัฐบาลนี้ก็ช่างเบาแสนเบา ต่อให้พวกเขาทั้งหกร้อยคนตายเหล่าอัลฟ่าที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็คงไม่แม้แต่ให้ความสนใจด้วยซ้ำ หนำซ้ำยังรู้สึกดีเสียอีกที่มีคนมาแย่งชิงทรัพยากรอันล้ำค่าของพวกเขาน้อยลง
   
“..ผม ผมขอขนมปังสักแผ่นได้ไหมครับ แค่ แค่แผ่นเดียวก็ได้”
   
เด็กชายคนหนึ่งที่แอบหนีออกมาจากบ้านวิ่งไปเกาะขาชนินทร์ที่เดินตรวจตราอยู่อีกทาง แน่นอนว่าถ้าหากชนินทร์ยังเป็นอัลฟ่าคนเดิมที่เชื่อในรัฐบาลยังสุดหัวใจก็คงจะเตะเด็กนี้ออกจากตัวเพื่อตัดความรำคาญไปแล้ว
   
“…รอก่อนสิ เดี๋ยวก็มีคนเข้าไปแจกเอง”
   
ชนินทร์ก้มมองเด็กชายและพบว่าเป็นพวกที่ระบุจำแนกประเภทยากอย่างพวกหมี ที่ก้ำกึ่งระหว่างสัตว์กินเนื้อกับสัตว์กินพืชทำให้เกิดการถกเถียงอย่างวงกว้างว่าควรจะอยู่จำพวกไหน จนสุดท้ายได้ข้อสรุปเป็นการสวมแหวนของพวกอัลฟ่าเป็นการแสดงตัวแทนการใช้ร่างต้นที่แยกประเภทได้ยาก ซึ่งเจ้าเด็กที่เกาะขาเขาก็คงเป็นหมีประเภทหลังที่ไม่มีสิทธิ์ในความเป็นอัลฟ่า ทำให้ต้องมาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในเขตนี้
   
“.ไม่มีหรอก”
   
เด็กชายหัวเราะเสียงเบาๆ สีหน้าหม่นหมองลง
   
ทั้งๆ ที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ แต่ชนินทร์กลับเห็นถึงความสิ้นหวังในแววตาคู่นั้น แววตาที่ไม่กล้าฝันถึงอนาคตอะไรอีกต่อไปเพราะลำพังแค่จะมีชีวิตรอดถึงวันพรุ่งนี้เขายังไม่มั่นใจเลยว่าจะทำได้ไหม
   
“งั้นเอานี่ไปก่อน”
   
ชนินทร์ชั่งใจอยู่สักพักก่อนที่จะตัดสินใจล้วงเอาเนื้ออัดแท่งที่กะเอามากินเล่นฆ่าเวลาให้
   
“คุณ คุณตำรวจให้ผมจริงเหรอ”
   
แน่นอนว่าเด็กชายยังไม่ลืมสถานะอันต่ำต้อยของตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะยื่นมือไปรับด้วยซ้ำ  ถึงแม้ว่าจะเป็นฝ่ายร้องขออาหารก็ตาม
   
“เอาไปกินเถอะ”
   
ถึงแม้จะรู้สึกอยากลูบหัวปลอบ แต่ลึกๆ ในใจชนินทร์ก็ยังไม่พร้อมยอมรับอยู่ดีว่าตัวเองกับเด็กชายนั้นมีสถานะเป็นมนุษย์แบบเดียวกัน เขาคุ้นชินและพอใจกับการถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า
   
“ขอบคุณมากนะฮะ”
   
ชนินทร์พยักหน้ารับส่งๆ มองตามหลังเบต้าร่างเล็กที่วิ่งกลับเข้าบ้านไป และกลับไปเดินลาดตระเวนต่ออย่างขึงขังเพราะวิทยุที่ติดอยู่กับตัวนั้นประกาศซ้ำไม่หยุดถึงการระมัดระวังไม่ให้มีพวกกบฏหลบหนีไปได้ แต่อยู่ๆ เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้น
   
“…?”
   
ชนินทร์ก้มมองลงตรงแขนตัวเองและพบว่ามีเข็มฉีดยาบางอย่างปักเอาไว้อยู่ ก่อนที่เรี่ยวแรงที่มีอยู่อย่างเหลือล้นจะค่อยๆ หายไปจนล้มไปกองกับพื้นในที่สุด อัลฟ่าหนุ่มครวญครางออกมาไม่หยุดเมื่อถูกความรู้สึกปวดหัวรุนแรงคุกคามจนตาพร่า พยายามจะเอื้อมมือไปจับวิทยุเพื่อร้องขอความช่วยเหลือแต่ก็ถูกมือเล็กๆ แย่งไปซะก่อน
   
“…พวกแก”
   
ชนินทร์สบถเพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นว่ามีพวกเบต้ากลุ่มหนึ่งในชุดคลุมสีดำออกมายืนมุงตัวเอง วิทยุของเขานั้นอยู่ในมือเด็กชายที่เขาเพิ่งให้อาหารไปเมื่อกี้ที่มีท่าทางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
   
แววตาที่เคยสิ้นหวังแปรเปลี่ยนเป็นเกลียดชัง
   
“อัลฟ่าจงพินาศ อิสรภาพจงเจริญ”
   
เด็กชายที่เขาเคยคิดสงสารกระซิบข้างหูเขาอย่างเย็นชา ก่อนที่จะปล่อยให้เบต้าคนอื่นๆ มาช่วยรื้อชุดของเขาออกไป ขโมยทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงถึงความอภิสิทธิ์ชนของเขาออกไปจนหมด เหลือเพียงเสื้อกล้ามและกางเกงขาสั้นให้เขาได้พอมีอะไรปกคลุมร่างกายบ้าง
   
“..พวกแกทำไปทำไม”
   
ถึงแม้จะปวดหัวแทบตายแต่ชนินทร์ก็ยังพยายามที่จะพูดคุยกับกลุ่ม ‘กบฏ’ ที่ทางการตามหามาหลายวัน แน่นอนว่าชนินทร์ก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเป็นคนพบพวกคนชั่วพวกนี้คนแรก
   
“เพราะมันหมดเวลาความเห็นแก่ตัวของพวกแกแล้วไง”
   
เบต้าคนหนึ่งในกลุ่มนั่งยองๆ ตรงหน้าชนินทร์และแค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยัน
   
“..พวกแกต่างหากที่เห็นแก่ตัว ทำลายความมั่นคงของชาติ”
   
ชนินทร์เถียงตอบอย่างยากลำบาก แต่ก็พยายามปกป้องความชอบธรรมของตัวเองเต็มที่ เขายอมรับไม่ได้จริงๆ ถ้าสถานะอัลฟ่าสูงส่งของเขาต้องถูกถอดถอนออกไป และในอีกวันเขาเป็นแค่คนธรรมดา
   
“อัลฟ่าไม่ใช่ชาติ ประชาชนอย่างเราต่างหากที่คือชาติ”
   
เป็นเด็กชายที่ตอบชนินทร์อย่างคล่องแคล่ว ถึงแม้อายุจะยังน้อยแต่เด็กชายนั้นก็เป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของกลุ่มปฏิวัติมากเท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้ เพราะในโลกปกติที่อัลฟ่าทอดทิ้งให้เด็กอย่างเขาอยู่นั้นไม่หลงเหลือความหวังอะไรให้เขาอีกแล้ว
   
“แล้วถ้าจะด่าว่าพวกผมเห็นแก่ตัว คุณตำรวจดูตัวเองก่อนเถอะ ทุกวันนี้คุณตำรวจกินอิ่มนอนหลับดีไหม พวกผมน่ะแทบจะไม่เคยอิ่มกันจริงๆ ด้วยซ้ำ แถมพ่อแม่ผมทำงานจนตายเพื่อหาเงินส่งผมเรียน คุณชดใช้มันให้ผมได้ไหมล่ะ คุณตำรวจ ไหนจะเรื่องที่พวกคุณฆ่าพวกเราเพื่อเอาเหรียญกล้าหาญบ้าๆ อะไรนั่นอีก พวกคุณภูมิใจนักเหรอกับเหรียญที่ได้มาจากการฆ่าล้างกบฏอย่างพวกผมน่ะ”
   
ความจริงที่โหดร้ายย่อมผลักให้เด็กคนหนึ่งเติบโตอย่างรวดเร็ว ถึงจะไม่ยินยอมแต่ถ้าหากไม่รีบโตพอเพื่อที่จะรับเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่มีวันใช้ชีวิตต่อไปได้
   
เด็กชายถลึงตามองชนินทร์อย่างโกรธเคือง
   
“...”
   
ชนินทร์พูดอะไรไม่ออกเพราะเขายอมรับว่าตอนนั้นเขาดีใจและภูมิใจมากจริงๆ ที่ได้รับเหรียญกล้าหาญแทนพ่อตัวเอง ถึงแม้จะรู้ว่ามันแลกมากด้วยชีวิตของคนจำนวนมากมายก็ตาม
   
“ไปเถอะ อย่าเสียเวลาคุยกับมันต่อเลย เรายังมีงานที่ต้องทำอีก”
   
เบต้าที่ดูโตที่สุดในกลุ่มลูบหัวเด็กชายให้ใจเย็นลงและโอบไหล่ให้เดินเลี่ยงออกไป พยายามเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะกันเพราะความรุนแรงไม่ใช่วิถีของกลุ่มปฏิวัติ ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสฆ่าอีกฝ่ายก็ตาม
   
พวกเขารู้จักความเจ็บปวดของความสูญเสียดีจึงไม่คิดจะกระทำคืนต่ออีกฝ่าย เพราะการสร้างความเกลียดชังต่อไปเรื่อยๆ รังแต่ทำให้มีผู้คนต้องสูญเสียทั้งสองฝ่ายโดยไม่จำเป็น และความยุติธรรมในประเทศก็ไม่สามารถช่วยทำให้พวกเขาเหล่านั้นฟื้นคืนชีพกลับมาด้วย
   
หนทางเดียวที่พวกเขาทำได้โดยไม่ต้องให้ใครต้องเสียเลือดเสียเนื้ออีกคือการแก้กฎหมายของประเทศนี้ กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์ที่อัลฟ่ายืนยันนักหนาว่าเป็นกฎหมายฉบับที่ดีที่สุดและโปร่งใสที่สุดเท่าที่ประเทศนี้เคยมีมา
   
แน่นอนว่ามันเป็นไปได้ยากแต่พวกเขาก็จะใช้ความพยายามทั้งหมดในการทำมันให้สำเร็จจงได้
   
“อัลฟ่าจงพินาศ อิสรภาพจงเจริญ”
   
เบต้าคนที่อยู่รั้งท้ายก็ไม่วายอดไม่ได้ที่จะเข้าไปพูดใส่ชนินทร์อย่างเหยียดหยัน ตอกย้ำอีกครั้งถึงศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง อำนาจจะถูกเปลี่ยนผ่าน ประชาชนจะกลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง
   
และพวกอัลฟ่าจะไม่มีวันได้เหยียบย่ำพวกเขาอีกต่อไป!

-------

 :a12:
   

หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 15 : เหรียญกล้าหาญ 2 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 02-02-2020 12:23:15
เฮ้อ....หวังว่าชนินทร์จะไม่เป็นไรไ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 15 : เหรียญกล้าหาญ 2 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 02-02-2020 13:44:05
เห้อออออ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 15 : เหรียญกล้าหาญ 2 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 06-02-2020 00:08:09
แบบนี้ชนินทร์คงกลับมาเกลียดโอเมก้ากับเบต้าแบบไม่กังขาแน่ๆ // เฮ้อออ อ่านๆไปเหมือนกำลังอ่านคำทำนายประเทศที่อิชั้นอยู่เลยค่ะ เศร้า :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 16 : รางวัล 12 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 12-02-2020 23:33:09
ตอนที่ 16
   
   
“ชนินทร์?”
   
ทวิชเรียกอัลฟ่าร่างสูงที่นั่งตัวสั่นอยู่หน้าร้านตัวเองด้วยความไม่แน่ใจนัก เพราะสภาพของอีกฝ่ายตอนนี้ค่อนข้างยับเยินมากกว่าปกติ เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลแถมยังไม่สวมเครื่องแบบตำรวจที่เจ้าตัวภูมิใจนักหนาด้วย
   
“ทวิช ช่วยผมด้วย”
   
ชนินทร์เงยหน้ามองทวิชทั้งน้ำตา ยังไม่สามารถยอมรับได้ว่าตัวเองนั้นได้สูญเสียความสามารถในการคืนร่างต้นไปแล้วซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ายาที่ฉีดเข้ามาในร่างกายเขานั้นจะออกฤทธิ์นานแค่ไหน อาจจะแค่วันนี้วันเดียวหรือตลอดไป เขาไม่มีทางรู้เลย
   
“..เกิดอะไรขึ้น”
   
ถึงแม้จะไม่ค่อยถูกชะตากับชนินทร์นัก แต่ทวิชก็ไม่ใช่คนที่ใจร้ายอะไร การเห็นคนที่เกลียดขี้หน้ามาตลอดนั้นใจสลายแทบไม่ทำให้เขารู้สึกดีเลย
   
“รีบเข้าร้านก่อนเถอะ ผมไม่รู้ว่าพวกนั้นจะมาตรวจแถวนี้อีกรอบตอนไหน”
   
ชนินทร์พูดเสียงเบาและหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง
   
สาเหตุที่ลูกค้าที่มากองหน้าร้านทวิชหายไปนั้น ส่วนหนึ่งก็มีผลมาจากการประกาศใช้เคอร์ฟิวทั่วประเทศโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ยากจนแน่นอนว่ามันรวมถึงเขตนี้ด้วย เหล่าลูกค้าผู้สิ้นหวังของทวิชจึงไปหาหนทางอื่นกันแทน อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ปรารถนาความตายมากกว่าการถูกทางการจับไปแน่ๆ

เพราะเมื่อถูกจับไปแล้ว พวกเขาก็ไม่คงไม่มีสิทธิ์ได้ออกมาใช้ชีวิตของตัวเองอีก กลายเป็นพลเมืองที่ถูกบังคับให้สูญหายกลายเป็นแรงงานทาสหรืออาจจะตายในคุกจากการทัณฑ์ทรมานของผู้คุมบ้าอำนาจสักคน
   
ประเทศนี้ไร้ซึ่งอนาคตให้พวกเขาได้คาดหวังแล้ว ประชาชนใช้ชีวิตด้วยความเจ็บปวด ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นถ้าหากไม่ทำให้พวกอัลฟ่าเดือดร้อน พวกมันก็จะเพิกเฉยปล่อยให้เบต้าที่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะเอาตัวรอดได้ ตะเกียกตะกายพยายามหาทางเอาชีวิตรอดต่อไป ซึ่งถ้าหากทำไม่ได้พวกเขาก็แค่ตายเท่านั้น
   
ชีวิตเบต้าในประเทศนี้นั้นช่างแสนไร้ค่า ต่อให้ตายไปอีกนับพันคนก็มีค่าไม่เท่ากับอัลฟ่าหนึ่งคนด้วยซ้ำไป
   
“อืม”
   
ทวิชรับคำในลำคอและก้มหยิบกุญแจที่ซ่อนไว้ใต้กระถางต้นไม้ขึ้นมาไขกุญแจที่คล้องเอาไว้หลายชั้น จัดการอยู่สักพักประตูก็เปิดออก รอจนชนินทร์เข้าไปในร้านก่อนทวิชถึงจัดการล็อคประตูเพราะช่วงนี้เขาคงจะงดรับลูกค้าไปสักพักจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลง
   
“นั่งรอก่อน เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน”
   
ทวิชถอนหายใจเนื่องจากสภาพชนินทร์ตอนนี้ดูน่าสงสารพอๆ กับพวกลูกค้าที่มาใช้บริการของเขาเลยด้วยซ้ำ แววตาที่มักจะเปล่งประกายอย่างมั่นใจและอวดดีหม่นหมองลงจนน่าใจหาย
   
ทวิชเดินกลับเข้าห้องครัวก่อนที่จะสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นถึง ‘สาเหตุ’ ที่ทำให้รีบกลับมาที่ร้าน
   
“..กันต์”
   
ทวิชพยายามเขย่าปลุกกันต์ที่นอนขดตัวอยู่บนพื้นซึ่งก็มีสภาพมอมแมมไม่ต่างอะไรจากชนินทร์สักนิด เพียงแต่สภาพของกันต์นั้นดูอิดโรยกว่าเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวัน ทั้งๆ ที่เขาก็ซื้อข้าวของตุนเอาไว้มากพอที่จะอยู่ได้สบายๆ หลายเดือนด้วยซ้ำ
   
“กันต์!”
   
ทวิชเขย่าแรงๆ อีกครั้งจนในที่สุดกันต์ก็ลืมตาขึ้นมา นัยน์ตาสีเทาหม่นจ้องมองทวิชไม่วางตาก่อนที่จะโผกอดอีกฝ่ายแน่นจนทวิชรู้สึกเจ็บแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยกมือขึ้นมาลูบหลังกันต์เบาๆ
   
อย่างไรก็ตามทวิชก็ไม่ได้ลืมว่ากันต์นั้นก็ยังเป็นแค่เด็ก เด็กที่ถูกบีบบังคับให้เติบโตอย่างรวดเร็วจนในที่สุดเจ้าตัวก็เลือกความตายมากกว่าการดิ้นรนมีชีวิตอยู่ต่อ
   
การที่กันต์ยังอยู่ที่นี่เพื่อเราเขากลับมานั้นมันทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลับไปมีครอบครัวอีกครั้ง
   
เขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลกเฮงซวยนี่แล้ว
   
“..ปล่อยก่อน เดี๋ยวทำอะไรให้กิน”
   
ทวิชพูดกับกันต์ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลซึ่งกันต์ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ถึงแม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์อะไรเท่าไหร่แต่ก็มีท่าทีมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดจนทวิชอดยิ้มเอ็นดูเล็กๆ ไม่ได้
   
เคราะห์ดีที่จนถึงตอนนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้ตัดน้ำตัดไฟในเขตนี้ ทวิชจึงยังพอใช้ของสดที่เก็บไว้ในตู้เย็นได้ ซึ่งเมนูที่ทวิชทำนั้นก็มีเป็นเมนูง่ายๆ อย่างกะเพราไก่กับข้าวที่หุงไว้ด้วยปริมาณที่เยอะกว่าปกติ เพราะทั้งชนินทร์และกันต์ก็คงจะกินเยอะพอๆ กัน
   
ใช้เวลาไม่นานทวิชก็ทำอาหารเสร็จซึ่งกันต์ก็เป็นคนคอยช่วยถือจานกับหม้อหุงข้าวออกไป และเพิ่งรู้ตัวว่าในร้านนั้นมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วย
   
“...”
   
กันต์เหลือบชนินทร์ด้วยท่าทีไม่เป็นมิตรนัก แต่ท่าทางหมดอาลัยตายอยากของชนินทร์ก็ดูน่าสังเวชเกินกว่าจะซ้ำเติมอะไรเลยเลือกที่จะนั่งข้างทวิชและกินเงียบๆ
   
“..เล่าได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
   
ทวิชถามอย่างข้องใจ
   
“..พวกกบฏเอายาอะไรไม่รู้มาฉีดผม” ชนินทร์ลูบหน้าตัวเองพยายามประคับประคองสติไม่ให้ตัวเองสติแตกไปซะก่อน “ยานั่นทำให้ผมคืนร่างอัลฟ่าไม่ได้แถมพวกมันยังขโมยของผมไปหมดเลยด้วย ผมไม่เหลืออะไรที่สามารถยืนยันตัวตนได้เลย แล้วช่วงนี้พวกเราก็เคร่งเรื่องการถือบัตรยืนยันตัวตนด้วย ต่อให้ผมกลับไปทำเรื่องขอก็คงไม่มีใครให้ ผมจะทำยังไงดี ทวิช ผมจะทำยังไงดี ผมทนใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ ”
   
ถึงแม้ภายนอกเหล่ารัฐบาลจะยังดูทำงานการกันปกติ แต่มันก็เพียงแค่ฉากหน้าที่ปกปิดความระส่ำระส่ายและหวาดระแวง ในตอนนี้นั้นพวกเขาแทบจะไม่ไว้ใจกันเองด้วยซ้ำเพราะกลุ่มกบฏคล้ายกับจะแฝงตัวไปทุกที่ การเป็นอัลฟ่าไม่ได้ทำให้รู้เลยว่าลึกๆ ในใจนั้นอยู่ฝักฝ่ายใดกันแน่
   
การออกบัตรอัลฟ่าหรือสิทธิพิเศษต่างๆ จึงถูกระงับไว้ชั่วคราว มีเพียงอัลฟ่ากลุ่มเดียวที่ยังใช้สิทธิพิเศษในส่วนนี้ได้คือเหล่าอัลฟ่านักบวช อัลฟ่าที่อยู่เหนือกว่าอัลฟ่าทั่วไป พวกเขาสถาปนาตัวเองเป็นชนชั้นพิเศษ แอบอ้างในความใกล้ชิดเทพเจ้าที่ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่ของศาสนาประจำประเทศนี้
   
แน่นอนว่าอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่และยากที่สุดของคณะปฏิวัติคือกลุ่มอัลฟ่าชนชั้นนี้ ชนชั้นที่มักจะลอยตัวเหนือปัญหาทุกอย่าง คอยอยู่เบื้องหลังและชักใยอัลฟ่าที่คอยรับใช้ตนเองอีกทีราวกับว่าตนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับความวุ่นวายทั้งหมดในประเทศ เป็นเพียงกลุ่มชนศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดมั่นในศีลธรรมและคอยดูแลประเทศนี้อย่างเที่ยงธรรมเท่านั้น
   
และบุคคลที่ถือว่าเป็นผู้นำของกลุ่มอัลฟ่านักบวชเหล่านี้ก็คือ ‘ณภัทร’
   
อัลฟ่าสิงโตเผือกร่างใหญ่อายุอารามเกือบเจ็ดสิบปีที่นับได้นับว่าเป็นผู้นำศาสนาคนสำคัญคนปัจจุบันในประเทศ เป็นเจ้าแห่งลัทธิบูชาอัลฟ่าหรือลัทธิบูชาบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศนี้
   
เพราะในประเทศนี้นั้น ‘ณภัทร’ เปรียบเสมือนพระเจ้าที่ได้ลงมาจุติในร่างมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่สืบทอดเชื้อสายพระผู้เป็นเจ้าที่คอยสร้างโลกมาก่อนจึงมีสิทธิที่เหนือกว่าเบต้าหรืออัลฟ่าคนใดในประเทศ เป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียวที่จะนำพาประเทศไปสู่ความรุ่งโรจน์ได้
   
“ผมก็คงจะช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก ลำพังผมยังเอาตัวเองไม่รอดเลย” ทวิชหัวเราะเสียงขื่นแววตาหม่นลง “ถ้าคุณไม่ทำตัวมีปัญหา ผมก็ให้คุณอยู่ที่นี่ด้วยได้”
   
“…ผมอยากกลับบ้าน”
   
ชนินทร์พูดเสียงแผ่ว เขายอมรับว่าตัวเองนั้นคิดถึงความสะดวกสบายที่ตัวเองเคยได้รับในฐานะอัลฟ่า การอยู่ในสถานะนั้นถึงแม้จะดูเอาเปรียบและเห็นแก่ตัวต่อเบต้า แต่เขาถ้าเลือกได้เขาก็เลือกที่จะเป็นอัลฟ่าอยู่ดี
   
“งั้นกินเสร็จ คุณก็หาทางกลับไปซะ ผมช่วยได้แค่นี้”
   
ทวิชตอบอย่างเย็นชาและตักข้าวให้กันต์เพิ่มเมื่อเห็นจานของอีกฝ่ายเริ่มพร่องลง ก่อนที่จะกินในส่วนของตัวเอง ไม่สนใจชนินทร์อีก
   
“มันต้องมีสักทางที่คุณจะช่วยผมได้สิ ทวิช คุณเป็นพวกกบฏไม่ใช่เหรอ” ชนินทร์ไม่สนใจข้าวที่ทวิชตักให้ผลุดลุกขึ้นยืนค้ำโต๊ะและจ้องหน้าทวิชอย่างคุกคาม “ถ้าคุณช่วยผมครั้งนี้ ผมจะตอบแทนคุณอย่างงามเลย คุณอยากได้อะไรล่ะ ทวิช พูดมาเลย ผมจะหามันมาให้คุณเอง”
   
“กันต์ ไม่ต้อง”
   
ทวิชรั้งแขนกันต์ที่ทำท่าจะลุกตาม สีหน้าของกันต์ที่ปกติมักจะเฉยชาตอนนี้นั้นทะมึนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ทวิชเหลือบมองชนินทร์และกลอกตาหน่ายๆ เพราะอุตส่าห์คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะทำตัวดีขึ้นสักนิด แต่ความจริงก็คือไม่เลย การตกอยู่ในสภาวะจนตรอกไร้ทางเลือกแบบพวกเบต้ากลับผลักดันให้ชนินทร์นั้นพยายามตะเกียกตะกายกลับไปหาชนชั้นของตัวเองอย่างจริงจังมากกว่าเดิมอีก ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวรู้ตัวเลยสักนิดว่าระบบการปกครองที่เป็นอยู่ตอนนี้มันบิดเบี้ยวขนาดไหน
   
ไม่มีชนชั้นไหนที่สมควรต้องถูกลดทอนคุณค่าจนราวกับไม่ใช่คน และไม่มีชนชั้นไหนที่สมควรได้รับการยกย่องจากการกดขี่คนอื่นไว้เบื้องล่างอย่างเลือดเย็นเพื่อชนชั้นของตัวเอง
   
ระบบชนชั้นน่ารังเกียจนี่สมควรจะถูกทำลายทิ้งสักที
   
“คุณจะช่วยผมไหม ทวิช ถ้าคุณไม่ช่วยผมก็จะไปแจ้งกับทางการว่าคุณเข้าร่วมกับพวกมัน”
   
ชนินทร์พูดเสียงกร้าวไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่ในสถานะต่อรองได้หรือไม่ ที่เขาสนใจคือเขาอยากกลับไปเป็นอัลฟ่าเต็มทนแล้ว เขาทนใช้ชีวิตห่วยๆ แบบนี้อีกต่อไปไม่ไหวแล้ว
   
“ไม่” ทวิชตอบอย่างไร้เยื่อใยและมีสีหน้าเย็นชากว่าเดิม “อยากทำอะไรก็ทำ คุณตำรวจ ต่อให้คุณฆ่าผม ผมก็ไม่คิดจะช่วยคุณอยู่ดี คนเห็นแก่ตัวอย่างคุณไม่มีค่าพอให้ผมช่วยหรอก”
   
“ทวิช!!! ที่ผ่านมาผมก็อุตส่าห์ใจดีไม่แจ้งคุณเพื่อเอารางวัลนะ!!!”
   
ชนินทร์ตะคอกเสียงดังลั่นแต่ก็ไม่ได้ทำให้สีหน้าของทวิชเปลี่ยนสักนิด
   
“ชีวิตของผมมีค่าแค่นั้นเองสินะ คุณตำรวจ” ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ “แต่ยังไงผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าผมไม่ช่วยคุณ คุณจะไปแจ้งพวกมันก็เชิญ เพราะสำหรับผมอยู่หรือตายมันก็ไม่ได้ต่างกันนักหรอก”
   
“ทวิช ผมจะถามเป็นครั้งสุดท้ายนะ” ชนินทร์โน้มตัวเข้าหาเจ้าของร้านอย่างคุกคาม “คุณจะช่วยผมไหม”
   
“จะฆ่าผมก็ได้นะ มีดอยู่ในครัว” ทวิชเหยียดยิ้ม “แต่ถ้าคุณคิดจะทำจริงๆ ผมก็คงจะต้องฆ่าคุณก่อนเหมือนกัน คุณตำรวจ ถึงผมจะอยากตายแต่คนที่จะทำให้ผมตายได้ก็มีแค่ตัวผมเองเท่านั้น”
   
นัยน์ตาสีทองเรืองรองอย่างดุร้าย
   
“คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
   
“ทวิช!!!”
   
ชนินทร์คำรามตั้งใจจะกระชากคอเสื้อทวิชแต่กลับถูกกันต์พุ่งเข้ามาจัดการเข้าซะก่อน แน่นอนว่าคราวนี้ทวิชไม่ได้ห้ามกันต์อีกจึงเกิดเป็นสงครามย่อมๆ ขึ้นกลางร้าน ซึ่งคนที่ตกเป็นรองก็ยังคงเป็นชนินทร์ที่สูญเสียความสามารถในการใช้พลังของร่างต้นไปแล้วทำให้พ่ายแพ้ให้กับกันต์อย่างง่ายดาย
   
“พวกแก!! ไอ้พวกเศษสวะ!! พวกแกต้องชดใช้แน่!!”
   
ถึงแม้จะอยู่ในสภาพยับเยินและถูกมัดมือมัดเท้าแต่ชนินทร์ก็ไม่คิดจะที่อ่อนข้อให้กับทวิช เพราะหนทางเดียวที่เขาจะตะกายกลับไปสู่สถานะเดิมได้คือการได้รับความช่วยเหลือจากทวิช หากเขายอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้เขาก็จะไม่มีวันกลับไปได้อีกและต้องใช้ชีวิตไร้ค่าแบบนี้ไปตลอดชีวิต
   
เขายอมรับชีวิตแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
   
“กินข้าวต่อเถอะ กันต์” ทวิชลูบหลังกันต์เชิงขอบคุณและก้มมองชนินทร์ที่นอนกองอยู่บนพื้นด้วยสายตาสมเพช “ชีวิตแบบนี้แหละที่เบต้าต้องเจอทุกวัน คุณเพิ่งจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้ไม่กี่วันก็ทนไม่ได้แล้วเหรอ บอกตามตรงนะว่าคุณมันน่าสมเพชยิ่งกว่าทุกคนที่ผมเคยเจออีก”
   
“…ผมเป็นอัลฟ่าไม่ใช่เบต้า”
   
ชนินทร์ขบเคี้ยวฟันพูดอย่างยากเย็น
   
“จนถึงตอนนี้คุณยังเชื่ออยู่เหรอว่าอัลฟ่า เบต้า อะไรพวกนี้มันมีจริงๆ ความจริงมันก็แค่วาทกรรมไว้ล้างสมองพวกคิดไม่เป็นอย่างพวกคุณนั่นแหละ ชนินทร์ พวกเราก็เป็นแค่คนโง่ๆ ที่ใช้ชีวิตในประเทศบ้าชนชั้นนี่ก็เท่านั้นเอง”
   
ถึงแม้จะจะสมควรฆ่าชนินทร์เพื่อความปลอดภัยของตัวเองแต่ทวิชก็ทำไม่ลงอยู่ดี พวกคนของรัฐบาลอาจจะฆ่าคนที่เห็นต่างได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่ใช่คนแบบนั้น ถ้าไม่ใช่การร้องขอความตายด้วยความสมัครใจหรือการป้องกันตัวเองอย่างสุดวิสัย เขาก็ไม่คิดจะฆ่าใครหรอก
   
ประเทศนี้สูญเสียมามากเกินพอแล้ว
   
“ผมไม่อยากฆ่าคุณ หลังจากนี้ก็ช่วยทำตัวดีๆ ด้วย”
   
ทวิชถอนหายใจเหนื่อยๆ เพราะนี่ก็คงจะเป็นอีกหนึ่งการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของเขา
   
“ผมไม่เข้าใจ …ทำไมคุณต้องช่วยพวกมัน”
   
“เพราะผมทนให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้วไง คุณคิดว่าผมเปิดร้านนี้เล่นๆ เหรอ ชนินทร์ คิดว่าผมมีความสุขนักเหรอที่ต้องมาฆ่าคนอื่น ทั้งๆ ที่ตัวเองก็อยากตายเหมือนกัน ผมโคตรเกลียดที่นี่เลย ผมเกลียดตัวเอง ผมเกลียดทุกอย่าง แต่ผมก็ยังไม่ตายไง ผมก็เลยยังพยายามต่อและหวังว่าสักวันว่าผมจะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง”
   
ทวิชทรุดตัวนั่งลงข้างๆ ชนินทร์และหัวเราะออกมาอย่างสิ้นหวัง
   
“แต่คนแบบคุณมาเยอะไง ชนินทร์ คนที่ไม่รู้อะไรเลยแล้วก็ชี้หน้าด่าผม แช่งให้ผมตาย ไล่ให้ผมไปอยู่ประเทศอื่น ผมก็อยากไปนะ แต่ผมทำไม่ได้ ถ้าผมไปใครจะอยู่ช่วยคนพวกนี้ล่ะ ผมทนให้พวกเขาเจ็บปวดกว่านี้ไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากให้มีใครต้องมาทนเจ็บปวดเพราะระบบบ้าๆ นี่แล้ว ฝันร้ายนี่ควรจะจบลงสักที”
   
ทวิชหลุบตามองชนินทร์
   
“คุณมองไม่เห็นมันจริงๆ เหรอ ชนินทร์ ความไม่ยุติธรรมพวกนี่น่ะหรือคุณแค่ยอมรับความจริงไม่ได้”
   
“…”
   
ชนินทร์หลบตาทวิชอย่างเห็นได้ชัดไม่กล้าพูดอะไรอีก
   
“ผมเชื่อนะว่าคุณไม่ใช่คนเลวร้าย การยอมรับว่าตัวเองหลงผิดไปไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอก คุณยังกลับตัวทันนะ ชนินทร์ ตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป คุณยังมีโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่นะ”
   
“…”
   
ทวิชถอนหายใจเมื่อยังเห็นท่าทีดื้อดึงของชนินทร์ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเพราะมันก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ความเชื่อที่เชื่อมั่นมาตลอดชีวิตนั้นเมื่อพบว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ไม่ว่าใครก็ทำใจยอมรับกันได้ยากทั้งนั้น แต่การทำตัวโง่งมยอมถูกหลอกต่อไปก็เป็นการกระทำที่โง่ยิ่งกว่า
   
คนพวกนี้ควรจะตาสว่างกันสักที ยากล่อมประสาทขนานใหญ่ที่รัฐบาลใช้กล่อมประสาทพวกเขานั้นก็ช่างเป็นยากล่อมประสาทที่ห่วยแตก เพราะเรื่องราวที่พวกเขาปั้นแต่งขึ้นมานั้นมีแต่เรื่องหลอกลวง ข้อมูลชุดเดียวที่ว่าด้วยอัลฟ่านั้นมีขึ้นเพื่อเบต้านั้นถูกเผยแพร่ ผลิตซ้ำไม่หยุดไม่หย่อนแม้แต่วันเดียว สอดแทรกเรื่องราวเหล่านี้ไปกับการเรียน การศึกษา พิธีกรรม ความเชื่อ และทุกสิ่งทุกอย่างจนกว่าจะครอบงำความคิดได้
   
จากเรื่องที่คนทั่วไปรู้ว่าเป็นเรื่องโกหกก็ค่อยๆ กลายเป็น ‘ความจริง’
   
ความจริงที่มีเนื้อแท้เป็นเรื่องหลอกลวงเพื่อปกครองผู้คน เหยียบย่ำพวกเขาเอาไว้ใต้ฝ่าเท้า ขูดรีดเลือดเนื้อเงินทองพวกเขาออกมาทุกหยาดหยดเพียงเพื่อปรนเปรอตัวเองและใช้ผ้าคลุมศีลธรรมที่เรียกกันว่าศาสนามาสวมทับตัวเอง
   
“อัลฟ่าจงเจริญสินะ ชนินทร์”
   
ทวิชพูดก่อนที่จะคืนร่างต้นเป็นร่างผสมบางส่วน ปล่อยให้ปีกคู่ใหญ่ที่ถูกกล่าวขานว่าเป็นอิสรภาพได้กางออกมาพร้อมๆ กับปล่อยให้บางส่วนของใบหน้าตัวเองกลายเป็นสัตว์กินเนื้อซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่า
   
ชนินทร์เบิกตากว้างเมื่อเห็นปีกของทวิช เนื้อตัวสั่นเทาอย่างห้ามไม่อยู่และถามด้วยความแตกตื่น
   
“..โอเมก้า? คุณเป็นโอเมก้าเหรอ ทวิช! คุณไม่ใช่อัลฟ่าเหรอ!”
   
“เราทุกๆ คนก็เป็นแค่มนุษย์ ชนินทร์” ทวิชก้มมองอุ้งเท้าเสือของตัวเอง น้ำตาคลอเมื่อรู้สึกว่ามันเหมือนอุ้งเท้าของแม่เขาเหลือเกิน “อัลฟ่า เบต้า โอเมก้า ของพวกนี้มันไม่มีจริงหรอก มันก็เป็นแค่คำเอาไว้หลอกเราเท่านั้นเอง”
   
“…คุณคงไม่ใช่โอเมก้านั่นใช่ไหม”
   
ชนินทร์ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ
   
เขาไม่มีทางจำคนที่ตัวเองชอบผิดหรอก
   
“ใช่” ทวิชหัวเราะและจงใจขยับปีกเข้าไปใกล้ชนินทร์ “ปีกคู่นี่แหละที่ทำผมเกือบตาย”
   
“…”
   
เงียบอยู่สักพักสุดท้ายชนินทร์ก็สะอื้นออกมาจนตัวโยน ร่างที่เคยดูองอาจขดตัวราวกับเด็กเล็กๆ ที่ใจสลายเพราะสิ่งที่หล่อหลอมตัวตนของชนินทร์มาตลอดจนถึงตอนนี้นั้นก็คืออัลฟ่า
   
อัลฟ่าคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตชนินทร์และชนินทร์ก็ทำทุกอย่างเพื่ออัลฟ่า
   
การถูกความจริงตีแสกหน้าก็เหมือนถูกทำลายโลกทั้งใบ
   
ทั้งๆ ที่ไม่อยากยอมรับแต่เมื่อทบทวนสิ่งที่ทวิชพูดดีๆ ก็พบว่ามันเป็นความจริงที่เขาควรจะยอมรับสักที เขามันเห็นแก่ตัวและควรจะเห็นอกเห็นใจคนที่ถูกกดขี่ไว้เบื้องล่างบ้าง
   
ชนินทร์สะอื้นหนักกว่าเดิมเพราะเขารู้ดีว่าตนเองนั้นภูมิใจไหนความเป็นอัลฟ่าขนาดไหน เขากดขี่เบต้ามากมาย ทำร้ายพวกเขาอย่างไร้เหตุผล แถมยังเลือกปฏิบัติกับผู้คนเพียงเพราะความเป็นอัลฟ่าอีก
   
พ่อของเขาเคยสอนเขาให้ปฏิบัติกับผู้คนอย่างเท่าเทียมกันแต่เพราะการปฏิวัติที่เกิดจากโอเมก้า พ่อเขาถึงตายและเขาก็รู้สึกว่าตัวเองให้อภัยพวกมันไม่ได้
   
“ผมก็แค่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่นเท่านั้นเอง ทวิช ฮึก ผมคิดถึงพ่อ ถ้าพวกโอเมก้าตอนนั้นไม่กบฏ พ่อกับแม่ผมก็คงไม่ตายหรอก”
   
“แล้วคุณคิดว่ามีแค่คุณเหรอที่อยากมีครอบครัวที่อบอุ่น ผมก็อยากมีเหมือนกัน แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ไง” ทวิชเผลอกัดปากตัวเองเมื่อรู้สึกว่าตัวเองเจ็บปวดจนไม่ไหว “รู้ไหม ชนินทร์ ก่อนปฏิวัติครั้งนั้นผมกับพ่อแม่แทบไม่มีข้าวกินด้วยซ้ำ พ่อผมทำงานหนักแทบตายแต่ก็เงินก็ยังไม่พอเลี้ยงผม ไหนจะความห่วยแตกของรัฐบาลอีก แม่ผมเป็นพยาบาลแต่เงินตกเบิกตลอด คุณคิดว่าผมกับครอบครัวจะเอาอะไรกินวะ ก็ไม่มีไง ครอบครัวธรรมดาๆ ไม่มีเส้นสาย ไม่มีอะไร ผมต้องใช้ชีวิตแบบนั้นตั้งแต่เด็กเลยเหรอ มันเกินไปรึเปล่า ครอบครัวผมทำอะไรผิด พ่อผมก็ทำงานทุกวันแต่เงินมันก็ไม่เคยพอ ฮึก ทำไมวะ ชนินทร์ พวกเราก็แค่อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้เท่านั้นเอง”
   
สิ่งที่ทวิชเกลียดคือคำกล่าวที่พวกชนชั้นนำปรามาสใส่บ่อยๆ คือคำว่าพวกเขาไม่ขยันพอ แต่สิ่งที่เขาเห็นคือพ่อเขาไม่เคยหยุดงานสักวัน
   
ทวิชเช็ดน้ำตาตัวเองออกลวกๆ พยายามเพิกเฉยต่อความเจ็บปวดของตัวเองเพราะการร้องไห้ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรเปลี่ยนไป และเขาก็ร้องไห้มามากพอแล้วกับเรื่องนี้
   
“..พ่อแม่คุณก็เป็นกบฏเหรอ”
   
“เลิกสนใจคำว่ากบฏแล้วสนใจปัญหาจริงๆ ของเรื่องนี้สักที”
   
ทวิชกลอกตาหน่ายๆ แล้วสบตากับชนินทร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
   
“คุณจะเปลี่ยนข้างได้รึยัง”
   
“…”
   
“วัตถุประสงค์ของกลุ่มปฏิวัติก็มีแค่ทำลายระบบชนชั้นนี่เท่านั้นเอง ถึงผมจะไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่ามันจะสำเร็จไหม แต่ผมมั่นใจว่ามันจะทำให้ชีวิตพวกเราดีขึ้นกว่าตอนนี้แน่ๆ ”
   
นี่น่าจะเป็นความพยายามครั้งสุดท้ายของทวิชที่จะเปลี่ยนความคิดของชนินทร์ อย่างไรก็ตามถ้ามันไม่สำเร็จ ทวิชก็ไม่คิดจะสนใจแล้วเพราะการยอมสะกิดแผลตัวเองเพื่อพูด มันก็เป็นความพยายามที่มากเกินพอสำหรับเขาแล้วจริงๆ
   
เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรฝังกลบความทรงจำพวกนี้แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำมันอยู่ดี ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องพวกนี้ มันมักจะทำให้เขาเจ็บปวดจนทนไม่ได้และใช้การสูบบุหรี่เพื่อช่วยในการควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทนใช้ชีวิตเจ็บปวดแบบนี้มาจนถึงอายุขนาดนี้ได้ยังไง
   
มันเจ็บปวดจนทำให้เขาอยากตายให้รู้แล้วรู้รอด พ่อแม่พยายามที่สุดแล้วที่จะทำเพื่อเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วผลตอบแทนที่ได้รับคือความตายอันทุกข์ทรมานที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการถึง
   
“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ”
   
ทวิชเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ ชนินทร์พูดประโยคของกลุ่มปฏิวัติขึ้นมา
   
“ผมยอมแล้ว ทวิช ให้ผมเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัติของพวกคุณเถอะ”
   
ชนินทร์หัวเราะออกมาอย่างจำยอม
   
“ผมจะช่วยพวกคุณเอง”

---------------

 :katai5:
#สิงหกุลโภชนา



หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 16 : รางวัล 12 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 12-02-2020 23:46:39
ไม่แสดงเนาะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 16 : รางวัล 12 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-02-2020 00:24:42
เฮ้อ....เหนื่อยแทน
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 16 : รางวัล 12 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 13-02-2020 00:52:10
ตาสว่างจริงๆใช่มั้ย อย่าทำร้ายน้อนนะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 16 : รางวัล 12 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 18-02-2020 06:21:19
สงสารทวิช ทางเลือกมีไม่มาก ถ้าอยากอยู่ต่อ ก็ต้องหาทาง
แล้วมาเจอเรื่องแบบนี้อีก ทั้งลูก ทั้งเงิน ทั้งร้าน ทั้งกันต์
ทุกอย่างบีบรัดมากเลย หวังว่าจะเจอโชคดีไวๆ นะคะ

เออนั่น ชนินทร์ พอจะทำดี ก็กลายเป็นถูกกระทำ
และก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากทวิช
แต่สุดท้ายความทะนงตนก็หนีไม่พ้นความจริง
กลัวใจอย่างเดียว กลัวชนินทร์หลอกทวิชให้เชื่อใจ

ดีที่กลับมาทัน ไม่งั้นอาจต้องเสียกันต์ไปอีกคน เอ็นดูน้อง

เฮ้ออออ ยาวๆ เลยค่ะ ชีวิตที่ไม่กระเตื้อง
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 17 : ฆาตกร 23 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 23-02-2020 23:04:43
ตอนที่ 17

   
ประเทศคือการสร้างประวัติศาสตร์
   
ผู้ที่สามารถควบคุมประวัติศาสตร์ได้ก็สามารถแต่งตั้งตนเป็นอะไรก็ได้ ตั้งแต่เทวดา ราชา ยาจก สมมุติเทพ จอมโจร หรืออะไรก็ตามแต่ที่ตนเองต้องการ ขอเพียงควบคุมความทรงจำของผู้คนได้ ไม่ว่าความปรารถนาใดก็สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ทั้งนั้น
   
‘ณภัทร’
   
คือคนธรรมดาคนหนึ่งที่สามารถใช้แนวคิดข้างต้นมาสร้างตัวเองขึ้นมาให้เป็นผู้นำศาสนาเหนือใครทั้งมวล ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วตนเองนั้นเป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้สืบทอดชั้นปลายแถวเท่านั้นแทบจะไม่มีโอกาสใดๆ ในการครองตำแหน่งนี้เลย ถ้าหากไม่ได้รับการสนับสนุนลับจากกลุ่มผู้มีอำนาจที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดเดิมของผู้นำศาสนาคนก่อนที่มองในความเป็นมนุษย์ที่เท่ากัน จนทำให้บทบาทชนชั้นนำในสังคมของพวกเขาถูกลดทอนลง ทำให้พวกเขาไม่ได้รับความสำคัญเหนือคนอื่นใดอีก
   
แน่นอนว่าการอยู่ในชนชั้นปกครองมาตลอดชีวิตย่อมทำให้พวกเขาไม่พอใจ เงินจำนวนมากมายที่พวกเขามีย่อมสนับสนุนทุกอย่างที่พวกเขาต้องการให้เป็นจริงได้ ขอเพียงมีการวางแผนที่รอบคอบและรัดกุมมากพอ แผนของพวกเขาก็จะสำเร็จอย่างไม่ยากเย็น
   
การลอบสังหารจึงค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างเชื่องช้าและเงียบเชียบ เริ่มจากคนที่ไกลตัวที่สุดก่อนที่จะเข้าใกล้คนสำคัญเข้าไปเรื่อยๆ ภายในระยะเวลาไม่กี่วันเพื่อความรวดเร็วหมดจด
   
ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็ ‘ฆ่า’ ปณิธานอันรุ่งโรจน์ในประเทศลงได้
   
เหล่าผู้ที่เคยสนับสนุนต่างหวาดกลัวความตายจึงยอมจำนนอย่างว่าง่าย และสิ่งที่ช่วยโน้มน้าวให้พวกเขาตัดสินใจมากขึ้นคือจำนวนเงิน สวัสดิการ และตำแหน่งพิเศษต่างๆ ทางการเมือง จนในที่สุดคุณธรรมในใจก็ถูกทำลายลงก่อนที่จะยอมเข้าร่วมเป็นพยานในความชอบธรรมของการเข้ารับตำแหน่งของณภัทร
   
บุคคลใกล้ชิดหลายคนที่ไม่ยินยอมเข้าร่วมก็ถูกทำให้กลายเป็นแพะและถูกบังคับให้ยอมรับผิดว่าเป็นคนฆ่าผู้นำคนก่อนโดยเจตนาและถูกยิงเป้าประหารต่อหน้ามวลชน
   
การปกครองจึงถูกเปลี่ยนแปลงอีกครั้งและคราวนี้เหล่าชนชั้นนำที่ได้บทเรียนมาแล้ว จึงมีการสร้างความทรงจำที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น ใช้ศาสนาในประเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการปกครอง เสริมสร้างความชอบธรรมและภาพลักษณ์ที่ดีผ่านทางสื่อและวาทกรรมที่ผลิตซ้ำไปซ้ำมา
   
จากคนธรรมดาในสายตาผู้คนจึงค่อยๆ กลายเป็นสมมุติเทพที่ช่วยคืนความสงบสุขให้แก่ประเทศ เป็นผู้นำศาสนาผู้มากไปด้วยคุณธรรมและความโอบอ้อมอารี อีกทั้งยังเป็นผู้นำประเทศที่ดีที่สุดที่ประเทศนี้เคยมีมาด้วย
   
แน่นอนว่ายากล่อมประสาทนี้ไม่มีทางสำเร็จได้ถ้าหากไม่ได้รับการร่วมมืออย่างจากดีจากสื่อ เพราะในความจริงแล้วณภัทรก็เป็นเพียงฆาตกรผู้บ้าคลั่งในคราบนักบุญเท่านั้น
   
มีหลายศพที่ณภัทรเป็นผู้ลงมือยิงเอง ทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอเพียงมีโอกาสฆ่าได้เจ้าตัวก็ไม่ลังเลที่จะฆ่าเพราะที่ผ่านมานั้นมักจะถูกเปรียบเทียบอยู่ตลอดเวลา จนความน้อยเนื้อต่ำใจนั้นได้สร้างปีศาจในใจออกมาเข่นฆ่าผู้คน
   
เคยมีคำกล่าวว่าความตายคืออำนาจและผู้ที่ครอบครองปืนก็คือผู้ถืออำนาจนั้น ภายใต้ชุดนักบวชสีขาวเหลือบทองบริสุทธิ์ของณภัทรจึงมีปืนกระบอกหนึ่งติดตัวอยู่เสมอ จนบางครั้งเวลาที่ลงพบปะกับมวลชนและเด็กๆ เผลอโถมเข้ากอดอย่างไม่รู้เดียงสาก็ต้องประหลาดใจกับของแข็งเย็นเฉียบตรงบั้นเอวท่านผู้นำผู้แสนดี ก่อนที่จะถูกเบี่ยงเบนความสนใจไปยังลูกอมที่เตรียมเอาไว้ให้มากกว่า
   
น่าแปลกที่ถึงแม้จะอยู่บนตำแหน่งมาอย่างเนิ่นนานหลายสิบปี แต่ก็ไม่มีวันใดที่ณภัทรนั้นจะไม่พกปืนไปด้วย ราวกับว่ามันเป็นยารักษาแผลที่ซ่อนลึกอยู่ในใจที่คอยกระซิบกระซาบถึงความไร้ประสิทธิภาพของตัวเองที่ไม่ว่าจะพยายามเท่าใดก็ไม่มีวันเทียบชั้นกับพี่ชายตัวเองได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนพรากชีวิตพี่ชายด้วยมือตัวเองก็ตาม
   
สีหน้าเย้ยหยันของพี่ชายเขายังติดอยู่ในความทรงจำของเขาราวกับคำสาปร้าย ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าเขามัดอีกฝ่ายดีแล้วแต่ก็เหมือนกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบคอเขากลับ จนเขาเผลอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งบีบขย้ำคออยู่สักพักใหญ่จนมั่นใจว่าตายแน่ๆ เขาถึงเบาใจลง
   
แต่พี่เขาก็ไม่วายทิ้งประโยคหนึ่งไว้กัดกินเขาอยู่ดี
   
‘อย่าเล่นกับความสิ้นหวังของมวลชน’
   
ทั้งๆ ที่เหตุผลที่ทำให้พี่ชายเขาต้องตายนั้นคือประชาชน และทางฝ่ายเขาก็ยื่นโอกาสที่จะให้เปลี่ยนความคิดไปแล้วเกี่ยวกับให้เสรีภาพและความเท่าเทียมแก่ประชาชน แต่พี่เขาก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจยังคงมุ่งมั่นฝันใฝ่ในปณิธานไร้สาระนั่น
   
เขาไม่เชื่อหรอกว่ามนุษย์นั้นจะเท่าเทียมกันได้
   
คนจนก็ควรจะจนต่อไป ชนชั้นกลางก็รับใช้พวกเขาต่อไป ทุกอย่างที่เป็นไปเมื่อก่อนก็ดีอยู่แล้วไม่รู้ทำไมพวกผู้คนที่อยากได้เปลี่ยนแปลงกันนัก ทั้งๆ ที่ทุกคนนั้นก็มีบทบาทตั้งแต่เกิดมาอยู่แล้ว
   
ณภัทรนั่งจิบไวน์ทอดอารมณ์บนตึกสูงที่ติดกับแม่น้ำสายหลักของประเทศ จดจ้องไปยังรัฐสภาโอ่อ่าที่ตอนนี้มีการจัดการประชุมสภากันอย่างเร่งด่วนถึงมาตราการในการโต้กลับความไม่สงบที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ
   
การก่อกบฏกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
   
แววตาของณภัทรคุกรุ่นไปด้วยอารมณ์โกรธเพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดการก่อกบฏ ตลอดระยะเวลาการปกครองของเขามีการก่อกบฏอยู่ตลอดและเขาก็ต้องปวดหัวคอยตามกวาดล้างพวกมันที่เหมือนแมลงสาบที่ฆ่าไม่ตายสักที ฆ่าฝูงหนึ่งก็มีฝูงใหม่เกิดขึ้นและคอยมาตามรังควานอำนาจของเขาอย่างน่ารำคาญ
   
“พวกกลุ่มกบฏเผาอนุสาวรีย์อีกแล้วครับ ท่าน”
   
“ฆ่าพวกมันให้หมด อย่าให้รอดสักตัว”
   
ณภัทรตอบโดยไม่ได้เหลือบมองคนที่รับใช้ตนเองสักนิด น้ำเสียงยังคงดุดันไม่ต่างกับตอนที่ยังเป็นวัยฉกรรจ์
   
ถึงแม้จะอายุใกล้จะย่างเข้าเจ็ดสิบแล้วแต่ร่างกายของณภัทรนั้นก็ยังคงแข็งแรงอยู่ สามารถเดินเหินได้ปกติแต่สิ่งที่เป็นปัญหานั้นคือหัวใจที่เต้นอยู่ในทรวงอก ร่างกายที่ผิดปกติมาตั้งแต่เด็กทำให้หัวใจนั้นมักจะเต้นผิดจังหวะอยู่เสมออีกทั้งยังมีปัญหาเกี่ยวกับลิ้นหัวใจอีก
   
หนทางเดียวที่จะรักษาให้หายขาดคือการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจเท่านั้น และเพื่อเข้าใกล้ความเป็นสมมุติเทพ ณภัทรจึงทำแทบทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองเป็นอมตะหรืออายุยืนที่สุด
   
มีเบต้ามากมายที่ถูกลักพาตัวเขาห้องทดลองเพื่อทดสอบความเข้ากันได้ของร่างกายณภัทร แต่แล้วเรื่องตลกร้ายก็เกิดขึ้น เพราะเลือดของเบต้าส่วนใหญ่นั้นไม่สามารถนำมาใช้กับณภัทรได้ซึ่งเป็นผลพวงมาจากการใช้ถูกฉีดยาระงับเอกลักษณ์ทุกปี อวัยวะของเหล่าเบต้าจึงปฏิเสธเลือดของอัลฟ่า
   
แน่นอนว่าณภัทรไม่สามารถจะร้องขอหัวใจจากอัลฟ่าด้วยกันเองได้ เนื่องจากอัลฟ่าที่หลงเหลืออยู่ส่วนใหญ่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นทุนใหญ่และตัวการสำคัญที่หวงแหนชีวิตตัวเองเหนือสิ่งใด เขาจึงได้แต่พยายามควานหาเบต้าที่ยังไม่ถูกฉีดยาอย่างยากลำบาก
   
อาการที่เริ่มแย่ลงของณภัทรทำให้อัตราการถูกลักพาของเบต้าสูงขึ้นจนเกิดข่าวลือแปลกๆ อย่างการกินเนื้อเบต้าซึ่งเดิมทีก็ไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด แต่เมื่อมันถูกพูดถึงมากๆ ก็เกิดมีอัลฟ่าชั้นสูงกลุ่มหนึ่งอุตริกินขึ้นมาจริงๆ จนกลายเป็นรสนิยมการกินใหม่ที่เริ่มกลายเป็นที่นิยมของพวกอัลฟ่าเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง
   
พวกเขาไม่ได้มองเบต้าเป็นคนแบบเดียวกับตัวเองด้วยซ้ำ
   
เป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตที่อยู่เบื้องล่างที่พวกเขาจะปฏิบัติใส่ยังไงก็ได้ตามที่พวกเขาพอใจ
   
ณภัทรจิบไวน์ที่เหลือลงคอจนหมดแก้วในคราวเดียวด้วยความเดือดดาล เมื่อจู่ๆ ประโยคที่พี่ชายเคยพูดใส่เขาดังก้องในหัว เสียงหัวเราะดังลั่นก่อนตายนั้นเสียดประสาทเขาจนเขาแทบกลายเป็นบ้า
   
‘อย่าเล่นกับความสิ้นหวังของมวลชน’
   
เพราะเขาทำให้พวกมันสิ้นหวังเหรอ พวกมันถึงได้ก่อกบฏเรื่อยๆ ไม่หยุดไม่หย่อนแบบนี้ ทั้งๆ ที่เขามั่นใจว่าตัวเองสามารถลงมือได้เด็ดขาดมากพอแล้ว แต่มันก็ไม่เคยเพียงพอที่จะฆ่าอุดมการณ์ไร้สาระของพวกมันให้หายไปอย่างหมดจดสักที
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำพลาดตรงไหน แต่เขามั่นใจมากว่าคราวนี้จะต้องฆ่าพวกมันให้หมดให้จงได้ ให้หมดสิ้นซึ่งปณิธานและความมุ่งหวังใดๆ ให้พวกมันสำเหนียกเสียทีว่าสถานที่ที่เหมาะสมกับพวกมันคือการโดนพวกเขาปกครองและเหยียบย่ำไว้ใต้เท้าด้วยความยินดี
   
เสรีภาพอะไรนั่นมันก็แค่ของหลอกลวง เป็นแค่ของโก้หรูไร้สาระจากประเทศอื่นก็เท่านั้น การปกครองของเขาต่างหากล่ะถึงจะเป็นของจริงที่เหมาะสมกับประเทศนี้
   
“อัลฟ่าจงเจริญ”
   
ณภัทรเหยียดยิ้มมองแม่น้ำเบื้องล่างและกล่าวออกมา จินตนาการถึงวันที่เขาโยนร่างของพี่ชายตัวเองลงไปแม่น้ำนั่นเพื่อความสะใจและประกาศชัดว่าผู้สืบทอดตำแหน่งคนสุดท้ายได้ตายลงไปแล้ว
   
และมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะถือครองตำแหน่งผู้นำคนต่อไป!

   

เสียงวิทยุแบบโบราณดังเสียงแผ่วบนชั้นสูงสุดของตึกร้างที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางเมือง ทั่วทั้งอาณาบริเวณเต็มไปด้วยสมาชิกกลุ่มปฏิวัติส่วนหนึ่งที่นอนพักกันอย่างเอกเขนกทั้งร่างมนุษย์และร่างต้น สีหน้าของผู้ฟังส่วนใหญ่นั้นค่อนข้างนิ่งสงบและเคร่งเครียด เพราะหลายวันมานี้พวกเขานั้นถูกสื่อนำเสนอว่าเป็นปีศาจบ้าง อาชญากรบ้าง มารบ้างโดยไม่เว้นวันใด จงใจสร้างความเกลียดชังขึ้นมาอย่างน่ารังเกียจ

[ เกิดเหตุระเบิดใกล้กับเขตชุมชน จากการสำรวจเบื้องต้นมีผู้เสียชีวิตทันทีแปดรายค่ะ สาเหตุทางการคาดว่าเกิดจากกลุ่มกบฏชังชาติที่ต้องการสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศ ถ้าหากมีผู้ใดพบเห็นกลุ่มกบฏสามารถแจ้งเข้ามาได้ที่เบอร์ xxxx หรือเจ้าหน้าที่ค่ะ ]
   
“…”
   
พอสซึ่งนั่งรวมอยู่กับกลุ่มกบฏที่ว่าในวิทยุจ้องหน้าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ด้วยสีหน้าโกรธเคือง เพราะสิ่งที่สื่อนำเสนอในช่วงนี้นั้นไม่ได้เป็นความจริงเลยแม้แต่เรื่องเดียว เพราะพวกเขาไม่เคยทำอะไรสักอย่างที่พวกมันพยายามจะกล่าวหาทั้งนั้น ทั้งเรื่องอุโมงค์ลับ ซ่องสุมอาวุธ หรืออะไรที่สามารถสร้างความรุนแรงได้พวกเขาไม่มีทั้งนั้น
   
สิ่งที่พวกเขาก็มีเพียงแค่อุดมการณ์อันหนักแน่นเท่านั้นเอง
   
พวกเขามันก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาในสังคมที่ไม่อาจทนความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในประเทศได้อีกต่อไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศตอนนี้นั้นเลวร้ายเกินไป ทั้งๆ ที่การฆ่าล้างผู้ที่เห็นต่างนั้นไม่ใช่ความชอบธรรมแต่ผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นก็มองว่ามันเป็นความชอบธรรมและพวกเขาก็สมควรตาย
   
ทั้งๆ ที่เป็นความโหดร้ายถึงเพียงนั้น แต่พวกเขาเลือกที่จะมองไม่เห็นมัน เพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาพยายามจะเรียกร้องอีกทั้งยังพยายามประณามพวกเขาที่ชุมนุมด้วยความสันติ และสรรเสริญเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้ความรุนแรงในการกวาดล้างพวกเขาอย่างหน้าไม่อาย
   
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เหรอ?
   
ทำไมกับการมีความคิดที่แตกต่างออกไปถึงต้องโดนกำจัด ทำไมการที่พวกเขาเรียกร้องในสิ่งที่ตัวเองควรจะได้นั้นถึงเป็นเรื่องผิด ทำไมผู้คนถึงได้ยังคงทนกับความต่ำช้าพวกนี้อยู่ ทำไมกัน ทำไม!
   
“พวกเราทำถูกกันจริงๆ ใช่ไหม”
   
วัยรุ่นคนหนึ่งที่สูญเสียเพื่อนไปสองคนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ความมุ่งหวังอันกระตือรือร้นนั้นค่อยๆ ถูกความสิ้นหวังกัดกินอย่างเชื่องช้า เพราะประเทศนี้นั้นโหดร้ายกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีก
   
พ่อแม่ของเขาที่เป็นข้าราชการนั้นเข้าร่วมกับกลุ่มอาสาสมัคร มืออ่อนนุ่มที่เคยลูบหัวเขาอย่างใจดีนั้นถือตะบองและกระบอกปืนไล่เข่นฆ่าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของเขาอย่างไม่ลังเล
   
การเป็น ‘คนดี’ ในประเทศนี้นั้นสำคัญขนาดถึงเป็นเหตุผลในการเข่นฆ่าคนอื่นเลยงั้นเหรอ ทำไมถึงเลือกที่จะเชื่อในสื่อหลอกลวงพวกนั้น ทำไมถึงได้รักในสิ่งที่พวกเขาพยายามทำให้รักนัก และทำไมการไม่รักถึงได้กลายเป็นเรื่องผิดนักหนากัน
   
“เอาจริงๆ ก็ตอบไม่ได้หรอกนะว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าอะไรที่ถูกต้องและเหมาะสมกับประเทศนี้”
   
นิลหรือหนึ่งในผู้นำปฏิวัติครั้งนี้ตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งแม้ว่าจะอายุเพียงยี่สิบปีก็ตาม แววตาที่เต็มไปด้วยความกร้านโลกนั้นบ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวดมหาศาลที่ประเทศนี้ได้กระทำต่อคนๆ หนึ่งอย่างเลือดเย็น บริเวณใบหน้าครึ่งบนถูกปกปิดด้วยหน้ากากเรียบๆ สีดำเพื่อปิดบังตัวตนให้เป็นนิรนามแม้กระทั่งจากฝ่ายเดียวกันก็ตาม
   
แน่นอนว่าการปิดบังตัวตนก็มีขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดภาพจำว่ากลุ่มปฏิวัติต้องเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งเสมอไป เพราะไม่ว่าใครในกลุ่มก็ล้วนแล้วแต่เป็นสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มปฏิวัติทั้งนั้น ต่อให้นิลหรือผู้ก่อตั้งกลุ่มคนอื่นๆ ถูกฆ่าตาย อุดมการณ์อันรุ่งโรจน์ก็จะยังดำรงอยู่ ไม่มีวันที่รัฐบาลหรือใครหน้าไหนจะทำลายมันลงได้ทั้งนั้น
   
“แต่ที่ผมรู้คือการปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ผมทนให้สังคมเราแย่ขนาดนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ผมถึงได้พยายามออกมาต่อสู้ไง”
   
ถึงแม้ว่าเบต้ากระต่ายในสายตาอัลฟ่านั้นจะแสนอ่อนแอและต่ำต้อย แต่ความทะเยอทะยานในปณิธานของนิลนั้นก็ยิ่งใหญ่กว่าตัวไปมากจนยากที่เหล่าอัลฟ่าเห็นแก่ตัวจะจินตนาการถึง
   
“คุณจะถอนตัวตอนนี้ก็ได้ ผมไม่ว่าหรอกเพราะหลังจากนี้เหตุการณ์จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เราจะต้องรุกเข้าไปอีกจนกว่าจะทำลายความเชื่อมั่นรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ เราต้องจะทำทุกวิถีทางจนกว่าเราจะได้มาซึ่งเสรีภาพของเรา”
   
สิ่งสำคัญที่ทำให้รัฐบาลดำรงอยู่ได้นั้นคือความเชื่อมั่นจากประชาชน หากไร้ซึ่งความเชื่อมันก็จะไร้ซึ่งเสถียรภาพ สิ่งกลุ่มปฏิวัติต้องการนั้นคือการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐสภา ให้พวกเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหลังจากที่ถูกกีดกันออกไปด้วยเหตุผลที่ว่าเบต้านั้นโง่เขลากว่าจึงต้องถูกปกครองด้วยอัลฟ่า
   
ฝันร้ายที่ถูกสร้างขึ้นโดยชนชั้นนำควรจะจบลงเสียที
   
นิลยิ้มบางให้กับเหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์ของตัวเอง ก่อนที่จะตัดสินใจประกาศแผนการล่าสุดที่นับว่าการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่น่าจะชัดเจนที่สุดอีกครั้งของกลุ่มปฏิวัติ
   
“พรุ่งนี้พวกเราจะไปรัฐสภา”
   
เกิดเสียงฮือฮาขึ้นทันทีเพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีกลยุทธ์นี้ออกมา เนื่องจากเขตรัฐสภานั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดสำหรับกลุ่มกบฏตอนนี้เลยก็ว่าได้ ทุกตารางนิ้วเต็มไปด้วยทหารตำรวจอาวุธครบมือคอยอารักขาเสถียรภาพของประเทศที่นั่งอยู่ในรัฐสภา
   
ถึงแม้ว่าจะมีการแสดงออกหลายครั้งที่สำเร็จ แต่เหล่าสมาชิกในกลุ่มปฏิวัติก็ไม่กล้ามั่นใจพออยู่ดีว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะ เพราะทุกครั้งที่เขาแสดงตัวนั่นก็แลกกับการตายของสมาชิกกลุ่มไปเกือบครึ่ง แถมการลงมือฆ่าแบบโหดเหี้ยมทารุณเกินมนุษย์คนใดของทางการ ก็โหดร้ายจนทำให้เบต้าบางส่วนหวาดกลัวเกินกว่าจะเข้าร่วม และเพื่อไม่ให้รู้สึกผิดจนเกินไปพวกเขาก็เปลี่ยนตัวเป็นเองเป็นพวกเดียวกับมัน ยินดีปรีดาไปกับการฆ่าล้างมนุษย์ด้วยกันเอง
   
แน่นอนว่าเหล่าแกนนำรู้ดีแต่พวกเขาก็มาไกลเกินกว่าที่จะเปลี่ยนใจแล้ว เพราะถ้าหากพวกเขายินยอมศิโรราบให้กับพวกมันตอนนี้ก็เท่ากับว่าพวกเขาสูญเสียชีวิตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ไปอย่างไร้ประโยชน์
   
ชีวิตเหล่านั้นสูญเสียเพื่อความฝันที่มีร่วมกันของพวกเขา
   
ความฝันที่ว่าวันพรุ่งนี้ของพวกเขาจะดีกว่าเดิม
   
แต่น่าเสียดายที่มันก็เป็นแค่ความฝันของคนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าร่วม ไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มและสนใจที่จะตายเพื่อมันจริงๆ
   
“...หึ”
   
เบต้าแมววัยกลางคนคนหนึ่งเผลอหลุดหัวเราะออกมาก่อนที่จะแสร้งเป็นไอหนักๆ กลบเกลื่อน เคราะห์ดีที่ไม่มีใครสนใจเพราะเขาแสร้งว่าป่วยหนักมาตลอด นัยน์ตาสีแดงที่ซ่อนอยู่หลังเลนส์เต็มไปด้วยความสมเพชยามที่มองความพยายามโง่ๆ ของกลุ่มปฏิวัติที่ไม่ว่าครั้งไหนก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝันเฟื่องที่ไม่ส่งผลดีต่อประเทศทั้งนั้น
   
แน่นอนว่าตอนนี้เขายังทำอะไรมากไม่ได้เพราะเพิ่งแฝงตัวเข้ามาได้ไม่นาน ทำได้เพียงเล่นละครว่าเกลียดชังทางการนักหนาทั้งๆ ที่เคารพนับถืออย่างสุดหัวใจ และเฝ้ารอการที่ได้จะทำความดีเพื่อชาติอีกครั้งแทบไม่ไหว
   
เขาอยากจะฆ่าปีศาจพวกนี้จะแย่แล้ว
   
นัยน์ตารียาววาวโรจน์ยามที่จับตามองเหล่ากบฏเริ่มร้องเพลงปลุกใจอีกครั้ง บทเพลงที่ว่าด้วยเสรีภาพนั้นสั่นทั้งประสาทและจิตใจของเขาจนแทบจะสบถด่าออกมา
   
เขาทนให้มันทำร้ายประเทศต่อไปไม่ไหวแล้ว ต้องฆ่า ฆ่าเท่านั้น!
   
“ลุงไหวไหมคะ? ให้หนูเอายาให้ไหม”
   
หญิงสาวคนหนึ่งที่นั่งใกล้ๆ ถามด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร ตามร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์จากการถูกรุมประชาทัณฑ์แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำลายล้างซึ่งอุดมการณ์อันบริสุทธิ์ไปได้
   
“..ไม่เป็นไร”
   
คำถามที่ถามอย่างใจดีนั้นเล่นเอาความรู้สึกเกลียดชังล้นฟ้าสั่นคลอน เพราะบุคคลที่ถามเขานั้นดูต้องการยาพวกนั้นมากกว่าเขาเสียอีก บาดแผลบางแห่งยังดูสดใหม่ราวกับเพิ่งถูกทำร้ายมาได้ไม่นาน
   
มือที่ซ่อนอยู่ในเสื้อและจับระเบิดอยู่นั้นสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ เมื่ออยู่ๆ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมขึ้นมากัดกินเขาอย่างควบคุมไม่อยู่ สีหน้าเจ็บปวดของนักศึกษาคนหนึ่งที่เขาเพิ่งฆ่าไปเมื่อวันก่อนนั้นยังชัดเจนในความทรงจำของเขา
   
นักศึกษาคนนั้นกราบเขา ขอร้องให้ไว้ชีวิตเพราะยังอยากมีชีวิตอยู่ แต่เขาก็ไม่สนใจและตัดสินใจยิงทิ้งอย่างไม่ลังเล ซึ่งเมื่อเขาหันไปข้างๆ ก็ถึงเห็นว่าแม่ของเด็กที่เป็นอาสาสมัครเหมือนกันกำลังยืนมองเขาอยู่ด้วยสีหน้าเหมือนโลกถล่มลงตรงหน้า
   
ณ ตอนนั้นเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้างแต่เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ผิด ไม่มีทางผิดแน่ๆ เพราะเขาฆ่ากบฏ ฆ่าคนที่จะมาบ่อนทำลายชาติ เขาเสียสละทั้งแรงกายและแรงใจทั้งชีวิตเพื่อสิ่งนั้น เขาจะเป็นคนผิดได้ยังไง
   
“...”
   
แม่ของเด็กคนนั้นไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ตำหนิเขา ทำเพียงแค่กอดศพลูกตัวเองและสะอื้นจนตัวโยน พร่ำขอโทษและโทษตัวเองนั้นสั่งสอนลูกได้ไม่ดีพอ ถึงต้องมาตายตั้งแต่ยังเด็กแบบนี้
   
“..ผมขอโทษ”
   
ทั้งๆ ที่มั่นใจนักหนาว่าตัวเองทำในสิ่งที่ถูกต้อง แต่เขากลับไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องขอโทษทั้งน้ำตาแบบนี้ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเขาถึงได้รู้สึกเสียใจขนาดนี้กัน
   
เขาก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้นเอง...
   
กระบอกปืนในมือเขาที่ยังอุ่นอยู่กระซิบบอกเขา ตอกย้ำว่าเขานั้นกระทำสิ่งนี้ด้วยตัวเอง ฆ่านักศึกษาไร้อาวุธคนหนึ่งที่แจกปลิวอยู่ด้วยความไตร่ตรองและเลือดเย็น
   
ฆาตกร
   
คำๆ หนึ่งดังก้องในหัว
   
ไม่ ไม่มีทาง เขาไม่ใช่ฆาตกร เขาไม่มีวันเป็นฆาตกร เขาเป็นคนดีต่างหาก คนดีที่ทำเพื่อประเทศชาติ เขาจะปล่อยให้ประเทศวุ่นวายต่อไปไม่ได้ ต้องฆ่า ฆ่าเท่านั้น
   
“ใช่ ต้องฆ่าเท่านั้น”
   
ทั้งๆ ที่กระซิบบอกตัวเองแบบนั้น
   
แต่ไม่รู้ทำไมเบื้องล่างของจิตใจเขากลับปฏิเสธมันเหลือเกิน

----------

ตัวละครสำคัญมาแล้ว   :mc4:   

#สิงหกุลโภชนา
   

หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 17 : ฆาตกร 23 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 24-02-2020 07:44:22
เกินปายยยย
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 17 : ฆาตกร 23 ก.พ 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 24-02-2020 19:40:00
จริยธรรมยังสู้คำโฆษณาชวนเชื่อไม่ได้
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 18 : ปราบมาร 10 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 10-03-2020 08:43:51
ตอนที่ 18

   
สิ่งที่กลุ่มปฏิวัติกังวลและหวาดกลัวที่สุดนั้นไม่ใช่ความตายหรือความพ่ายแพ้ แต่เป็นการถูกใส่ความอย่างไม่เป็นธรรมที่มีอิทธิพลมากพอที่จะล้างผลาญอุดมการณ์อันรุ่งโรจน์ของพวกเขาจนมอดดับไปหมดสิ้น สูญสิ้นไปทั้งร่างกาย จิตวิญญาณ และอุดมการณ์
   
‘มาร’
   
คือคำที่สื่อใช้ในการสร้างฉายาให้กับกลุ่มกบฏในครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ฟัง ให้รู้สึกว่าบุคคลที่ถูกกล่าวถึงนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่จะมาทำร้ายประเทศ
   
แน่นอนว่านี้เป็นภาพยนตร์แบบเดิม ที่สร้างโดยผู้กำกับคนเดิม เนื้อหาจึงไม่ค่อยมีอะไรเปลี่ยนแปลงนักนอกจากตัวละครที่เปลี่ยนไป และสิ่งที่ขาดในภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เลยคือความเกลียดชัง
   
ความเกลียดชังที่มากพอที่จะทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในใจของตัวละครที่เกี่ยวข้องหายไปได้
   
อาวุธที่ได้รับการแจกจ่ายให้ก็นับได้ว่าเป็นของประกอบฉากที่ทำให้เนื้อหาของภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกสนานมากขึ้น เหล่ามารที่ถูกฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมานล้วนแล้วแต่ทำให้ฝ่ายธรรมะโห่ร้องกันอย่างลำพองใจและเข่นฆ่าหนักกว่าเดิม
   
เหล่ามวลชนกลุ่มปฏิวัติที่เป็นเพียงคนธรรมดามากมายสูญสลาย จำต้องทอดทิ้งอุดมการณ์และปณิธานอันรุ่งโรจน์ของตัวเองอย่างไม่จำยอม เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขามันช่างน่ากลัวนัก
   
พวกเขาถูกปฏิบัติราวกับไม่ใช่มนุษย์ ราวกับว่าพวกเขานั้นเกิดมาจากครรภ์ปีศาจ พวกคนของทางการถึงได้ลงมือกันอย่างไร้ซึ่งความละอายใจ
   
“พ่อแม่ไปไหนแล้วล่ะ เจ้าหนู”
   
ตำรวจร่างใหญ่คนหนึ่งซึ่งถือตะบองเปื้อนเลือดถามกับร่างเด็กชายคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้เนื้อตัวสั่นเทา นัยน์ตาสีทองรียาวชุ่มไปด้วยน้ำตา ใบหูสีดำลู่ลงอย่างหวาดกลัว
   
“…โอเมก้างั้นเหรอ?”
   
ตำรวจนายนั้นยิ้มบางทันทีเมื่อเห็นปีกสีดำคู่เล็กบนหลัง ศีลที่เคยพร่ำท่องพร่ำสวดทุกเช้า เย็นและก่อนนอนสลายไปทันควัน ก่อนจะแทนที่ด้วยความบ้าระห่ำอย่างที่ไม่ว่าใครก็คาดไม่ถึง
   
“มาร!!”
   
ผู้รักษาสันติราษฎร์และความยุติธรรมคำรามออกมาพร้อมกับหวดตะบองใส่เด็กชายอย่างไม่ลังเล แม้ว่าเด็กตรงหน้านั้นจะอายุไล่เลี่ยกับลูกสาวของตัวเองก็ตาม
   
ฟึ่บ!
   
น่าเสียดายที่นายตำรวจนั้นดูถูกสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์เกินไป ทันทีที่เขาเงื้อแขนขึ้นนั้นเด็กชายก็เริ่มออกตัววิ่งแล้ว ความหวาดกลัวที่จับขั้วหัวใจหลายวันมานี้นั้นแทบจะทำให้เด็กชายวัยไม่ถึงห้าขวบดีนั้นกลัวจนแทบสิ้นสติ สิ่งเดียวที่ฉุดรั้งไม่ให้สติแตกไปก่อนนั้นคือความคิดถึงครอบครัวที่พลัดหลงกันระหว่างเดินทาง
   
“อย่าหนี!!! ลูกกบฏชังชาติอย่างพวกมึงสมควรตาย!!!”
   
ตำรวจนายนั้นไม่ลังเลที่จะหยิบปืนสั้นที่เหน็บเอาไว้ออกมายิงตาม
   
ปัง! ปัง! แก๊ก—
   
เคราะห์ดีที่ตำรวจนายนี้ยิงปืนไม่ค่อยแม่นนักจึงยิงไม่โดนก่อนที่จะกระสุนจะหมด เพราะก่อนที่จะมาเจอเด็กชายนั้นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ผู้นี้ก็เข่นฆ่าศัตรูของชาติไปมากมายนับไม่ถ้วน
   
“แม่งเอ๊ย!! มาหมดอะไรตอนนี้วะ”
   
แน่นอนว่าคนที่ยินดีกับเรื่องนี้ย่อมเป็นเด็กชายที่พยายามหนีต่ออย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมามากกว่าเดิม แต่กลับไม่มีเสียงสะอื้นออกมาแม้แต่คำเดียว
   
“แม่..”
   
เด็กชายพูดเสียงเครือขณะที่วิ่ง รู้สึกสิ้นหวังแต่ก็ไม่กล้าหยุดวิ่งเพราะพ่อกับแม่สอนกับเขาเสมอว่าถ้ามีเหตุการณ์อันตรายแบบนี้เกิดขึ้นอย่าได้หยุดวิ่งจนกว่าจะหาที่หลบซ่อนใหม่ได้
   
ร่างเล็กวิ่งจนหกล้มหลายครั้งแต่ก็ตะเกียกตะกายตะกายขึ้นมาวิ่งต่อ ระหว่างมีทั้งซากศพ คนบาดเจ็บ คนที่ทำร้ายกัน เสียงกระสุนปืน และเสียงโหยหวนคร่ำครวญร้องขอชีวิตดังไม่หยุด
   
“…”
   
นัยน์ตาสีทองนั้นชุ่มไปด้วยน้ำตามากกว่าเดิม มั่นใจมากว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขานั้นชอบตามไปแม่ทำงานด้วยบ่อยๆ และเห็นอะไรพวกนี้จนชินตาคงจะเป็นบ้าไปแล้ว
   
เอาเข้าจริงคำว่า ‘โอเมก้า’ ที่คุณตำรวจพูดถึงนั้นเขายังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันหมายถึงอะไร
   
“แม่..อย่าทิ้งผม”
   
เด็กชายคร่ำครวญกับตัวเองเมื่อหาที่หลบซ่อนใหม่ได้เป็นกองขยะ พยายามมองหาแม่ของตัวเองที่วิ่งไปช่วยเหลือใครสักคนที่โดนทำร้ายซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาสักที
   
“..ฮึก”
   
ทั้งๆ ที่ไม่อยากร้องไห้ แต่สุดท้ายก็เผลอสะอื้นออกมาคำหนึ่ง ก่อนที่จะรีบเอามือปิดปากเพราะการส่งเสียงในเวลาแบบนี้นั้นเป็นเรื่องที่อันตราย และเขาก็ยังอยากเจอพ่อกับแม่อยู่
   
เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกผู้ใหญ่ถึงได้ลงมือทำร้ายพวกเขา ทำไมคุณตำรวจที่ควรจะคนปกป้องเขากลับเป็นคนเดียวที่อยากฆ่าเขาให้ตาย
   
เขาไม่เข้าใจเลย..
   
เด็กชายตัวสั่นเทาหนักกว่าเดิม เมื่อสัมผัสได้ว่าบริเวณปลายเท้าตัวเองนั่นไม่ใช่น้ำขังแต่เป็นเลือด เลือดที่ไหลเจิ่งนองจากซากศพที่นอนทอดกายอยู่ใกล้ๆ
   
ปีกสีน้ำตาลคู่ใหญ่กางออกมานั้นเต็มไปด้วยรอยกระสุน ไม่อาจนำพาเจ้าของร่างรอดพ้นไปจากการปราบมารในครั้งนี้ได้ ทำได้เพียงประดับอยู่บนแผ่นหลังบางนั้นให้เป็นที่ขุ่นข้องหมองใจกับทางการเท่านั้น
   
“...คุณนก”
   
แต่ถึงแม้ว่าซากศพตรงหน้าจะตายด้วยความน่าสยดสยองเพียงใด มันก็ไม่สามารถทำลายความบริสุทธ์และความหวังดีของเด็กชายไปได้ มือเล็กๆ กุมมือของคนตายผู้นั้นและร่ายมนต์วิเศษที่คิดค้นขึ้นเองเสียงเบา
   
“ขอให้การเดินทางครั้งสุดท้ายของคุณนกเป็นไปอย่างราบรื่นนะฮะ”
   
บ่อยครั้งที่เด็กชายนั้นแอบแม่ของตัวเองไปหาผู้ป่วยยากจนไร้ญาติที่ใกล้เสียชีวิต มือเล็กๆ กุมมือพวกเขาเหล่านั้นแน่นและพยายามขับกล่อมพวกเขาอย่างอ่อนโยน มีหลายครั้งที่ผู้ป่วยเหล่านั้นสะอื้นหนักและโผกอดเด็กชายแน่น พร่ำกล่าวขอบคุณอย่างไม่รู้จบก่อนที่จะปล่อยให้เด็กชายปลอบประโลมพวกเขาไม่ให้หวาดกลัวต่อความตายและยอมจำนนต่อมันในที่สุด
   
“ผมขอให้ที่แห่งนั้นใจดีกับคุณนกมากๆ ขอให้ที่แห่งนั้นไม่มีความเจ็บปวด ..ไม่มีความทุกข์ และไม่มีใครมาทำร้ายคุณนกได้อีก”
   
น้ำเสียงของเด็กชายนั้นนุ่มนวลราวกับนกตัวจ้อยที่คอยขับขานอยู่บนกิ่งไม้ยามเช้า นกน้อยตัวนั้นเกาะอยู่ข้างผู้วายชมน์และใช้เสียงนำพาวิญญาณของเขาผู้นั้นไม่ให้หลงทาง คอยนำทางเขาผู้นั้นได้ไปสู่ความสุขสงบอันชั่วนิรันดร์ที่ไม่มีเหล่าอันธพาลคนใดตามไปทำร้ายได้
   
“ผมขอให้คุณนกพบความสุขในที่แห่งนั้นนะฮะ”
   
เด็กชายยิ้มน้อยๆ และอวยพรให้กับคุณนก โดยไม่สนใจเสียงกระสุนและสงครามกลางเมืองที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนอกเสียจากว่าจะสามารถกำจัดโอเมก้าได้จนหมด
   
“ทวิช!! ไปเร็ว!! เดี๋ยวพ่อกับแม่พาไปหาอาสิงห์”
   
ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเด็กชายก็ถูกอุ้มขึ้นอย่างง่ายดาย ทวิชเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าคนที่อุ้มตัวเองนั้นคือพ่อที่ไม่ได้เจอมาหลายวันจึงอดยิ้มกว้างไม่ได้
   
“พ่อ!”
   
ทวิชโผกอดพ่อแน่นด้วยความคิดถึงและยิ้มกว้างกว่าเดิมเมื่อเห็นแม่ที่อยู่ข้างๆ ส่งยิ้มให้อย่างใจดี
   
“ไปอยู่กับอาแล้ว ก็ทำตัวดีๆ นะ ลูก”
   
“แล้วแม่ล่ะ แม่จะไปไหน”
   
ทวิชหน้างอทำท่าจะร้องไห้ทันทีเพราะยังค่อนข้างติดแม่ หลายครั้งที่แม่พยายามให้ทวิชนอนดูทีวีอยู่ที่บ้านหรือไม่ก็ไปเล่นกับเพื่อนใกล้บ้าน แต่ทวิชก็เลือกที่จะติดตามแม่ไปทุกที่อยู่ดี
   
“...แม่ไม่ไปไหนหรอก เดี๋ยวถ้าเสร็จงานแล้ว แม่จะกลับไปรับนะลูก”
   
“แม่ห้ามโกหกผมนะ ไม่งั้น ไม่งั้นผมจะโกรธ”
   
ทวิชงอแงแล้วเหลือบมองพ่อตัวเองบ้างและพบว่าอีกฝ่ายนั้นมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด บนอกเสื้อนั้นเต็มไปด้วยคราบเลือดแห้งกรังและร่องรอยของการต่อสู้มากมายไม่ต่างกับคุณนกที่เจอเมื่อกี้ เพียงแต่ว่าพ่อของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรก็เท่านั้น
   
“..พ่อ”
   
ทวิชเรียกพ่อตัวเองเสียงเบา
   
“ว่าไงครับ คนเก่ง”
   
เพราะต้องเลี้ยงครอบครัว พ่อของทวิชจึงต้องทำงานหนักแทบจะตลอดเวลาเพื่อมาเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับสิ่งต่างๆ และไม่ค่อยมีเวลาให้ทวิชนัก แต่ถึงกระนั้นทวิชก็ชอบพ่อตัวเองมากๆ อยู่ดี
   
“ถ้าพ่อมีวันหยุด พ่อ.. พ่อพาผมกับแม่ไปเที่ยวได้ไหมฮะ”
   
“..ได้สิ” พ่อของทวิชชะงักไปสักพักกว่าจะเค้นเสียงได้ นัยน์ตาสีเข้มหม่นลงเล็กน้อยอย่างเจ็บปวด “แต่คนเก่งของพ่อต้องเป็นเด็กดีนะ ตอนไปอยู่กับอาสิงห์ก็อย่าดื้อล่ะ”
   
“อื้อ! ผมจะเป็นเด็กดี ผมสัญญา ผมจะไม่ดื้อ แล้วผมจะอ่านหนังสือรอพ่อด้วย!!”
   
เด็กชายยิ้มกว้างรับคำอย่างแข็งขันด้วยท่าทีดีอกดีใจ
   
โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่านั้นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอครอบครัวของตัวเอง

   

“...”
   
ทวิชผลุดลุกขึ้นนั่งกลางดึกและพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลอาบแก้ม ซึ่งมันก็ไม่มีทีท่าที่จะหยุดสักนิดเพราะฝันที่เพิ่งฝันไปนั้น เป็นความทรงจำที่ทวิชในวัยเด็กนั้นตัดสินใจพยายามลืมมัน พยายามฝังและซุกซ่อนในส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำก่อนที่จะทำเหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
   
“ฮึก..”
   
ทั้งๆ ที่รู้ว่าการร้องไห้ไม่ได้ช่วยอะไร แต่ทวิชก็หลุดสะอื้นออกมาจนตัวโยน และรู้สึกเจ็บจนทนแทบไม่ไหวเมื่อตระหนักได้ว่ามันเป็นฝันเท่านั้น ไม่มีวันเกิดที่วันคืนที่ดีเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเขาได้อีก
   
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขาได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ของตัวเองยังชัดเจน น้ำเสียงนุ่มนวลเหล่านั้นยังคงพูดคุยกับเขาอย่างใส่ใจและอ่อนโยนราวกับว่าเขาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
   
แน่นอนว่าเขาเชื่อว่าตัวเองเป็นสิ่งนั้นของพ่อแม่จริงๆ ไม่เช่นนั้นพ่อกับแม่คงไม่ตัดสินใจพาเขาไปฝากไว้ในที่ปลอดภัยก่อนที่จะเผชิญกับกลุ่มชนชั้นนำเหล่านั้นเพื่ออนาคตของเขา
   
เขาคิดถึงพ่อกับแม่ของเขาเป็นบ้าเลย
   
ทั้งๆ ที่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว แต่เขาก็ยังอยากได้ครอบครัวอันอบอุ่นของเขาคืน อยากโดนกอด อยากกินอาหารอร่อยๆ ฝีมือแม่ อยากถูกพ่อชมว่าเป็นคนเก่งอีก
   
เขายังมีอะไรมากมายที่อยากทำกับครอบครัว สัญญาที่พ่อไว้ให้กับเขา พ่อก็ยังไม่ได้ทำเลย ครอบครัวเขาไม่เคยไปเที่ยวกันพร้อมหน้าด้วยซ้ำเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการทำงานจนหมด
   
“...ฮึก”
   
เขาไม่รู้ว่าอะไรที่เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เขาถึงฝันเรื่องในอดีตที่แสนน่าเจ็บปวดนี่ ความทรงจำอันแสนสุขของเขาก่อนที่หลังจากนั้นเขาจะต้องเผชิญกับความโดดเดี่ยวอีกหลายสิบปี
   
เขาถูกขังเอาไว้ในห้อง ราวกับนกที่ถูกขังเอาไว้ในกรง
   
มีชีวิตแต่ทว่าไร้ซึ่งตัวตน ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากห้องด้วยซ้ำนอกเสียจากจะบรรลุนิติภาวะแล้ว เขาถึงจะได้รับอนุญาตให้มีชีวิตของตัวเองต่อไปได้
   
ทวิชหลุบตามองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตักและเปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตา
   
อาจจะเป็นเพราะสงครามกลางเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ที่กระตุ้นให้เขานึกถึงเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งเขาก็ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าทำไมตัวเองในวัยเด็กนั้นถึงได้เข้มแข็งนัก เข้มแข็งกว่าเขาตอนนี้ด้วยซ้ำ
   
น่าเสียดายที่เขาทำตัวตนของเด็กชายคนนั้นหายไปแล้ว เพราะสิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้นั้นมีแต่ทวิชที่อ่อนแอและสิ้นหวัง แถมยังชอบร้องไห้อีก
   
“...หึ”
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะเสียงเบาเหยียดหยามตัวเอง
   
เขาโตมาไม่ได้เรื่องเลยสักนิด ถ้าพ่อกับแม่มาเห็นเขาที่เป็นแบบนี้คงจะผิดหวังมากแน่ๆ
   
“...?”

ทวิชกระพริบตาปริบเมื่อถูกดึงมือไปรับผ้าเช็ดหน้าผืนบางและมองกันต์ด้วยความอับอายนิดๆ เพราะเสียงสะอื้นของเขาน่าจะดังจนปลุกอีกฝ่ายขึ้นมา

“ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะ”

ทวิชหัวเราะเสียงแผ่ว รู้สึกสมเพชตัวเองมากกว่าเดิม

การที่เขายังมีอยู่ตัวตนอยู่จนถึงตอนนี้อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของพ่อแม่ก็ได้ เพราะถ้าเป็นไปได้ เขาก็อยากจะอยู่ร่วมกับพ่อแม่จนถึงวาระสุดท้ายมากกว่า

มันอาจจะเป็นความตายอันโหดร้ายและทุกข์ทรมาน

แต่มันก็คงจะดีเสียกว่าถ้าหากเขาได้อยู่ร่วมกับพวกท่านในช่วงเวลานั้น

เขาในตอนนั้นก็โตพอที่จะเข้าใจความตายตั้งนานแล้ว เข้าใจดีถึงความทุกข์ยากและยากจนของครอบครัวตัวเอง เข้าใจดีทุกอย่างและไม่เคยเรียกร้องอะไรมากกว่านั้นเพราะกลัวจะสร้างปัญหาให้กับครอบครัว ลำพังแค่แม่เจียดเวลาพักผ่อนที่มีอยู่น้อยนิดมาคอยดูแลเขามันก็ดีแค่ไหนแล้ว

“…”

ทวิชยกมือปิดหน้าและสะอื้นจนตัวโยน เพราะไม่ว่าเขาจะขบคิดยังไง เขาก็คิดไม่ออกเลยสักนิดว่าตัวเองทำอะไรผิด เขาก็เป็นเด็กดีและทำดีที่สุดเท่าที่เด็กอย่างเชาจะทำได้แล้ว
แล้วทำไมล่ะ ทำไมพ่อแม่ของเขาต้องถูกฆ่าด้วย

มันไม่ยุติธรรมเลย

“…คุณทวิช”

กันต์เรียกทวิชเสียงเบาแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจอะไร สะอื้นหนักกว่าเดิมที่ทำเอาคนมองรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย กันต์มองทวิชอย่างเป็นห่วง ยกมือจะลูบหลังยังไม่กล้าด้วยซ้ำ

“..ขอเวลาฉันสักพักนะ กันต์ ขอนิดเดียวจริงๆ ”

ทวิชพูดเสียงเครือ พยายามกล้ำกลืนความเศร้าของตัวเองครั้งนี้ลงคอแต่ก็ไม่สำเร็จสักที ความเจ็บปวดครั้งนี้มันมากเกินไปสำหรับเขา เพราะมันเป็นเรื่องจริงและเขายังจดจำมันได้แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วก็ตาม

“ฆ่าฉันที กันต์”

ทวิชเผลอหลุดประโยคหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัวระหว่างที่สะอื้น

บาดแผลที่ถูกทิ้งไว้บนร่างของเขานั้นมันเกินกว่าที่จะรักษาได้แล้ว มีแต่เจ็บขึ้นทุกครั้งที่เขาหายใจเท่านั้น และหนทางเดียวที่เขาจะหลีกหนีความทุกข์ทรมานนี้ก็แค่มีแค่ทางเดียวเท่านั้น

“..ไม่”

สุดท้ายกันต์ก็อดใจไม่ไหว รวบตัวทวิชที่นั่งบนเตียงมากอดแน่น พยายามประคับประคองตัวตนที่แหลกสลาญของทวิชอย่างระมัดระวังที่สุด ซึ่งด้วยขนาดตัวที่ต่างกันค่อนข้างมากทำให้ร่างของทวิชนั้นจมไปตัวของกันต์ แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ช่วยอะไรเพราะทวิชยังคงสะอื้นไม่หยุด

 “ฮึก ฉันทนกับมันไม่ไหวจริงๆ แล้ว กันต์ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ”

นัยน์ตาสีทองหยาดชุ่มไปด้วยน้ำตาและความสิ้นหวัง หมดสิ้นซึ่งภาพลักษณ์เจ้าของร้านขายความตายที่เต็มไปด้วยความสุขุมและเฉยชาต่อความตาย เหลือเพียงร่างของชายร่างที่จิตใจแหลกสลาย

เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะมีพยายามสร้างอนาคตที่ดีไปเพื่ออะไร ในเมื่อสิ่งที่เขาปรารถนาที่สุดคือการได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวตัวเอง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้และไม่มีทางเป็นไปได้ด้วย

เขาทนใช้ชีวิตกับบาดแผลแบบนี้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

“..ฆ่าฉันสิ กันต์ นายก็รู้วิธีนี่”

ทวิชเงยหน้าสบตากับกันต์ด้วยสีหน้ามีความหวังขึ้นมานิดๆ เริ่มเข้าใจถึงความรู้สึกปลอดโปร่งของลูกค้าที่มาใช้บริการหลับสบายกับตัวเอง

มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากจริงๆ เมื่อเขารู้ว่าตัวเองจะสามารถหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานนี้ได้เสียที

“ผมทำไม่ได้” กันต์ตอบเสียงเบาด้วยความรู้สึกผิด เพราะไม่บ่อยนักที่ทวิชจะร้องขอให้เขาทำอะไร และพอทวิชต้องการความช่วยเหลือขึ้นมาจริงๆ เขากลับทำใจทำมันไม่ได้

“...งั้นเหรอ” ทวิชหัวเราะเสียงแผ่ว “งั้นก็ปล่อยฉันซะ กันต์”

“ผมไม่อยากให้คุณตาย”
   
นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วกันต์ยังกอดทวิชแน่นขึ้นอีก พยายามสกัดกั้นอีกฝ่ายไม่ให้โบยบินสู่ความเป็นนิรันดร์ทุกวิถีทาง แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ก็ตาม
   
“...”
   
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังเศร้าเรื่องอะไร แต่ผมอยากให้คุณรู้ว่าว่าผมสามารถตายเพื่อคุณได้ คุณเป็นผู้มีพระคุณของผม เป็นครอบครัว และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม ถ้าคุณไม่อยู่แล้ว ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไรเหมือนกัน”
   
แน่นอนว่ากันต์รู้ดีว่าตัวเองนั้นกำลังพูดในสิ่งที่เห็นแก่ตัว แต่เขาก็กลัวว่าตัวเองจะสูญเสียทวิชไปมากกว่า
   
“วันนั้นถ้าคุณไม่ช่วยผม ผมคงตายไปแล้วและผมก็ไม่เสียใจด้วยที่ผมตาย แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ผมยังไม่อยากตาย ผมยังอยากอยู่กับคุณ”
   
กันต์สบตากับทวิชนิ่ง นัยน์ตาสีเทาที่เคยว่างเปล่านั้นมองทวิชอย่างประหม่าอยู่สักพัก และตัดสินใจสารภาพออกมาก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้สารภาพอีก
   
“ผมชอบคุณ”
   
“...”
   
ทวิชกระพริบตาปริบเพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าการช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองจะเป็นสิ่งสำคัญต่อกันต์ถึงเพียงนั้น แถมการกระทำของเขายังทำให้กันต์คิดไม่ซื่อกับตัวเองอีก
   
ตกตะลึงกับความจริงตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนที่ทวิชจะตัดสินใจกอดกันต์กลับแน่นอยู่สักพักใหญ่จนความเจ็บปวดในใจทวิชทุเลาลง ทวิชจึงยอมผละออก สีหน้าเศร้าหมองสงบขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อถูกมือใหญ่ลูบหลังเบาๆ
   
“..แต่ถึงยังไงพรุ่งนี้ ฉันก็ยังไปรัฐสภาอยู่ดีนะ กันต์”
   
ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วตอนที่นึกถึงคำประกาศจากวิทยุที่ฟังก่อนนอน
   
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น  ตราบใดที่ฉันยังทนมีชีวิตอยู่ ฉันจะไม่ปล่อยให้พวกเขาต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวแน่นอน”
   
“..ผมจะไปกับคุณ”
   
“ถ้าฉันเป็นเหตุผลให้นายไป ฉันก็ขอให้นายเปลี่ยนใจเถอะ”
   
ทวิชลูบมือของกันต์อย่างเบามือ รู้สึกผิดเล็กๆ ที่ไม่อาจตอบรับความรู้สึกกันต์ได้ เพราะเขานั้นตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมานานแล้วว่าจะไม่มีความสัมพันธ์กับใครทั้งนั้น
   
โลกเฮงซวยนี้แย่เกินกว่าที่เขาจะรู้สึกรักใครได้แล้วจริงๆ
   
“...”
   
“เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าฉันตาย ร้านนี้ก็จะยังคงอยู่ต่อไป ฉันอยากให้นายมอบความหวังให้กับเบต้าสิ้นหวังพวกนั้นต่อ เพราะฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องทุกข์ทรมานจากสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ก่ออีกแล้ว”
   
ทวิชสบตากับกันต์แล้วยิ้มนิดๆ
   
“รับปากได้ไหม?”
   
นัยน์ตาของกันต์สั่นระริก
   
“..ผมไม่อยากให้คุณตาย”
   
“ฉันไม่ตายพรุ่งนี้ ยังไงสักวันฉันก็ต้องตายตอนโดนกวาดล้างอยู่ดี กันต์”
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืนเพราะรับรู้ดีว่าตัวเองนั้นเป็นที่หมายหัวของทางการขนาดไหน ยิ่งฟังจากวิทยุคลื่นของรัฐบาลก็ยิ่งรู้ว่าเขานั้นอันตรายต่อชาติมาก ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องนั้นก็เป็นแค่เขาบินขึ้นไปช่วยคนที่กำลังจะตกตึกเท่านั้นเอง
   
อิสรภาพของประชาชนเป็นสิ่งที่ประเทศหวาดกลัวถึงเพียงนี้เชียว
   
เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาที่ทนความอยุติธรรมพวกนี้ไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
   
“...ผม”
   
“มีชีวิตต่อนะ กันต์ ใช้ชีวิตต่อในส่วนของฉัน” ทวิชลูบหัวกันต์อย่างเบามือ ก่อนจะเผลอยิ้มเศร้าๆ ออกมาเพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์ในตอนนี้นั้นเหมือนตอนที่พ่อแม่ล่ำลาเขาในวัยเด็กเหลือเกิน ซึ่งตอนนี้เขาก็เข้าใจดีแล้วจริงๆ ว่าทำไมพ่อแม่เขาถึงได้พยายามกันถึงเพียงนั้นเพื่อเขา “ที่เหลือต่อจากนี้ให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง ฉันอยากจะให้นายมีความสุข อยากให้นายได้มีโอกาสมีชีวิตที่ดีกว่านี้ ถ้ามันสำเร็จนายจะได้ไม่ต้องทนใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังในประเทศนี้อีก”
   
ทวิชยิ้มอย่างเอ็นดูเมื่อเห็นว่ากันต์ดูไม่เต็มใจสักนิด ซึ่งถ้าเขารู้ว่าพ่อแม่จะทำแบบนั้นเพื่อเขา เขาก็คงมีสภาพไม่ต่างกันและอาจจะหนักกว่านี้ด้วยซ้ำ
   
“ปีกแห่งเสรีภาพได้ถูกกางออกมาแล้ว และครั้งนี้ฉันจะไม่ยอมใครหน้าไหนสามารถมาทำลายความหวังนี้อีกแล้ว”

---------------

 :z13:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 18 : ปราบมาร 10 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 10-03-2020 18:47:48
รีบมากางปีกนะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 18 : ปราบมาร 10 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 10-03-2020 21:22:54
เศร้าไม่จบ ทวิชตอนเด็กน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 18 : ปราบมาร 10 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: mister ที่ 11-03-2020 12:13:56
อินมาก ยิ่งกับสถานการตอนนี้ รีบมาต่อไวๆนะคะ หึกเหิมสุดๆ :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 19 : ฤกษ์ดี 20 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 20-03-2020 23:44:02
ตอนที่ 19

   
หลังจากการปฏิวัติครั้งล่าสุดนับตั้งแต่ที่ ‘ณภัทร’ ขึ้นครองตำแหน่งผู้นำศาสนาและผู้ประเทศนี้นั้น รายได้ครึ่งหนึ่งของประเทศทุกปีจำนวนหลายพันล้านก็ถูกส่งมอบให้กับศาสนาใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นทันทีเพื่อเป็นการทำนุบำรุงศาสนาและใช้ค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆ ของท่านผู้นำที่เสียสละอย่างหาที่สุดไม่ได้
   
จากประเทศที่ปกครองด้วยระบบปกติจึงถูกปรับโฉมเป็นรัฐศาสนาในพริบตา ในหนึ่งปีจะมีการเฉลิมฉลองและพิธีเกี่ยวกับศาสนาอย่างโอ่อ่าถึงสองครั้งเพื่อตอกย้ำอำนาจผูกขาดและยิ่งใหญ่ไว้แต่เพียงผู้เดียว พร้อมกับบอกกล่าวกับประชาชนผ่านพิธีการอันลี้ลับเข้าใจได้ยากถึงสายสัมพันธ์อันไม่เท่าเทียมกันระหว่างอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้า
   
โดยให้เข้าใจตรงกันว่า ‘อัลฟ่า’ นั้นคือผู้อุปถัมภ์และอำนาจของอัลฟ่านั้นไม่สามารถมีชนชื้นใดเทียบเคียงได้ อีกทั้งยังเป็นชนชั้นที่เต็มไปด้วยความศีลธรรม มีความวิเศษวิโสเหนือกว่ามนุษย์ทั่วไป เป็นชนชั้นที่จะนำพาประเทศสู่ความศิวิไลซ์เหนือประเทศอื่นใดบนโลก
   
ส่วน ‘เบต้า’ นั้นก็พึงรับรู้ไว้ว่าตนเองนั้นเป็นเพียงผู้ได้รับการอุปถัมภ์ เป็นชนชั้นที่แสนจะโชคดีที่ได้รับการอุปถัมภ์จากอัลฟ่าผู้สูงศักดิ์ พร้อมพึงระลึกไว้ตลอดเวลาว่าหน้าที่ของตนเองนั้นคือการยอมศิโรราบและจงรักภักดีต่ออัลฟ่าโดยสิ้นเชิงเพื่อประเทศที่ดีของตัวเอง
   
และกลุ่มชนสุดท้ายอย่าง ‘โอเมก้า’ นั้นคือกลุ่มมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมกับความชั่วช้าและความเห็นแก่ตัว อีกทั้งยังเป็นเผ่าพันธุ์ที่เต็มไปด้วยความผิดบาปคอยเอารัดเอาเปรียบชนชั้นอื่นจนประเทศชาตินั้นต้องวุ่นวายและล่มจม
   
แน่นอนว่าประเทศนี้นั้นได้ผ่านการฆ่าล้างเหล่าคนบาปเหล่านี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนแทบจะเหลือเพียงสองชนชั้นในประเทศ แต่เหล่าชนชั้นนำก็รู้อยู่แก่ใจดีว่ามีปลาตัวเล็กๆ ที่ลอดอวนของพวกเขาไปบ้างจึงพยายามตามล่าอยู่ตลอดเพื่อที่จะได้ไม่เกิดการก่อกบฏขึ้นอีก
   
หากแต่ช่วงระยะเวลาบนความมั่งคั่งและความสุขสบายก็ทำให้อัลฟ่าบางส่วนนั้นหลงระเริงเกินกว่าที่จะมาใส่ใจกลุ่มคนเหล่านั้น เพราะลำพังแค่คิดว่าจะนำเงินวันนี้ไปทำอะไรดีก็ทำให้พวกเขาเคร่งเครียดเกินกว่าจะคิดอะไรได้แล้ว ความประมาทเลินเล่อเหล่านี้ก่อให้เกิดกลุ่มปฏิวัติครั้งใหม่ที่เข้มแข็งขึ้นอีกครั้ง
   
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามเหล่าอัลฟ่านักบวชหรืออัลฟ่าชนชั้นพิเศษก็ยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุข โดยเฉพาะเหล่าบุคคลใกล้ชิดของ ‘ณภัทร’ ที่ยังใช้ชีวิตหรูหราราวกับหาเงินทั้งหมดในด้วยตัวเอง เงินจำนวนมหาศาลที่ควรจะนำไปใช้เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนั้นมักจะถูกนำมาใช้อย่างสูญเปล่ากับรสนิยมประหลาดและน่ารังเกียจของกลุ่มชนเหล่านี้
   
มีนักบวชอาวุโสคนหนึ่งที่เป็นที่ปรึกษาของณภัทรนั้นถึงกับซื้อพื้นที่ใจกลางเมืองหลายสิบไร่เพียงเพื่อที่จะเอาไว้ตีกอล์ฟและนำนักบวชฝึกหัดหลายสิบคนไปกกนอนหลังจากที่ทำพิธีกรรมทางศาสนาเสร็จ
   
หากแต่ความวิปลาสที่มากกว่านั้นก็ยังคงมีอีกมาก อัลฟ่านักบวชอีกหลายคนที่ได้รับผลประโยชน์จากการปฏิวัติครั้งก่อนล้วนแล้วแต่มีความทะเยอทะยานและความคิดผิดแผกเกินกว่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะนึกถึงได้ ราวกับว่าหลักศีลธรรมและศาสนาที่พวกเขาคัดลอกมาจากศาสนาอื่นมาปรับใช้เป็นของตัวเองนั้นไม่มีผลอะไรเลยกับจิตใจ หนำซ้ำยังคล้ายกับเป็นเชื้อเพลิงกระตุ้นให้พวกเขาทำในสิ่งที่ผิดมนุษยธรรมมากขึ้นไปอีก
   
อัลฟ่าสาวที่ดำรงตำแหน่งเป็นนักบวชสาวเช่นกันถึงกับลอบสร้างชั้นใต้ดินไว้ใต้บ้านและซื้อทาสจำนวนมากมาซุกซ่อนไว้ในนั้นเพื่อทรมาน ซึ่งหนึ่งในเหยื่อที่อัลฟ่าสาวคนนั้นโปรดปรานคือโอเมก้าหนุ่มที่เหลือรอดจากการฆ่ากวาดล้าง หญิงสาวนั้นเพลิดเพลินไปกับการเผาปีกอีกฝ่ายและปล่อยให้เสียงกรีดร้องให้ฆ่าตัวเองนั้นกึกก้องใต้ดินราวกับเป็นบทสวดสรรเสริญพระเจ้าอย่างหล่อน
   
และเป็นที่แน่นอนว่า ‘ณภัทร’ ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่วิปลาสที่สุดในกลุ่ม
   
ชั้นบนสุดของคอนโดที่ณภัทรอาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยกระต่ายสีขาวนับร้อยตัว กระต่ายที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นมนุษย์แต่กลับถูกบีบให้อยู่ในร่างต้นตลอดเวลา ใช้ชีวิตกันอย่างแออัดและหวาดระแวง บ่อยครั้งที่ณภัทรนั้นขึ้นมาระบายอารมณ์ด้วยการหยิบปืนชนิดต่างๆ ที่แขวนเอาไว้มาไล่ยิงพวกมัน ซึ่งบางครั้งเมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นมาก็ใช้ฉีดยาบังคับให้คืนร่างมนุษย์และปล่อยให้ตั้งท้องเพื่อให้มีกระต่ายให้เขาฆ่าต่อไป
   
แต่สิ่งนี้ก็เป็นเพียงความลับหนึ่งของณภัทรที่ถูกปิดเอาไว้เท่านั้น ยังมีความลับอีกมากมายที่ณภัทรนั้นเก็บงำเอาไว้ เช่นการหมกมุ่นอยู่กับสัตว์เลี้ยงที่เป็นหนูแฮมสเตอร์ที่ณภัทรให้ความไว้ใจและความสำคัญกับมันมาก จนแต่งตั้งองครักษ์ระดับสูงมาดูแลมันโดยเฉพาะ อีกทั้งยังจ้างวานนักวิทยาศาสตร์ต่างประเทศให้มาโคลนนิ่งแฮมสเตอร์ของตัวเองเอาไว้เพื่อให้มันมีอยู่ตลอดไป
   
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะวิปลาสเพียงใด บุคคลเหล่านี้ก็รู้จักความกลัวกันอยู่บ้าง พวกเขาไม่หวาดกลัวต่อความชั่วร้ายที่ตัวเองกระทำเพราะคิดว่าทำสิ่งที่ดีมากมายชดเชยไปแล้ว และเชื่อว่าหลักโหราศาสตร์ที่พวกเขายึดถือและบูชานั้นจะคอยปกป้องพวกเขาได้
   
“ฤกษ์ที่ดีที่สุดคืออีกสองอาทิตย์เลยเหรอ ท่าน”
   
ณภัทรซึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขกร่วมกับหมอโหราศาสตร์ที่ชื่อดังที่สุดในประเทศด้วยสีหน้าไม่พอใจ เพราะยิ่งปล่อยให้วันสถาปนาประเทศล่าช้ามากไปเท่าไร โอกาสที่กลุ่มกบฏจะปฏิวัติสำเร็จก็มากขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าหากเขาไม่สนใจฤกษ์งามยามดี เขาคงจะจัดการพวกมันไปตั้งนานแล้ว
   
“ครับ ระหว่างนี้ผมต้องขอให้ท่านอดทนไปก่อน”
   
“มันจะนานเกินไปหรือเปล่า”
   
“นี่เป็นฤกษ์ที่ดีที่สุดแล้วครับ ท่าน ถ้าหากท่านเร่งรัดจนเกินไป ผมเกรงว่ามันจะอันตรายครับ” โหรยังคงตอบด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ว่าจะนั่งตรงข้ามกับผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดในประเทศนี้ก็ตาม ตามข้อมือเหี่ยวย่นนั้นเต็มไปด้วยรอยสักและกำไลทองฝังเพชรส่องประกายระยับขัดกับเครื่องแต่งกายสีขาวซอมซ่อที่ถูกเรียกว่าเป็นการแต่งกายของผู้ทรงศีล
   
“แล้วถ้าเป็นฤกษ์ฆ่าล้างล่ะ ฆ่าได้เลยรึเปล่า”
   
ณภัทรเผยรอยยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงวิธีการกวาดล้างแบบใหม่ที่เหล่าคนใกล้ชิดของเขาได้นำเสนอให้เขาฟังเมื่อวันก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นวิธีการที่ค่อนข้างเห็นผลและเป็นไปตามรูปแบบที่เขาชอบเลยทีเดียว อีกทั้งยังเป็นวิธีการที่ต้องใช้เวลาสักพักด้วย ซึ่งเมื่อมันออกฤทธิ์ก็คงฆ่าได้อย่างหมดจดทันฤกษ์ครั้งหน้าที่เขารอพอดี
   
“ขอเวลาผมคำนวณสักครู่นะครับ”
   
โหรคนเดิมตอบด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนจะหยิบหนังสือโบราณที่นำติดตัวมาด้วยออกมากางและคิดคำนวณวันเวลาออกมาอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึงห้านาที
   
“พรุ่งนี้ครับ”
   
“..ดี”
   
ณภัทรยิ้มมากกว่าเดิม นัยน์ตาสีเทาเหลือบมองออกนอกหน้าต่างซึ่งเป็นตึกรัฐสภาที่กำลังจะมีการจัดการประชุมขึ้นพรุ่งนี้และหัวเราะออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

   

“...คุณจะไปจริงๆ เหรอ ทวิช ถึงผมจะบอกว่าผมจะช่วยพวกคุณก็เหอะ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมอยากตายนะ” ชนินทร์บ่นอุบทันทีเมื่อตื่นเช้ามาและพบว่าทวิชนั้นเตรียมตัวจะไปสมทบกับกลุ่มปฏิวัติที่รัฐสภา ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ระดับการรักษาความปลอดภัยอันดับต้นๆ ของประเทศ เพราะสถานที่แห่งนั้นคือสัญลักษณ์แห่งอำนาจอันชอบธรรมของอัลฟ่า ทุกกฎหมาย คำร้อง ข้อบังคับต่างๆ ที่ถูกประกาศใช้ในประเทศนั้นล้วนแล้วแต่ผ่านความเห็นชอบจากคนในสภาทั้งนั้น
   
การบุกไปสถานที่แห่งนี้จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เข้าท่าเลยแม้แต่นิดเดียว
   
“ถ้ามัวแต่กลัวตายก็ไม่ได้ทำอะไรกันพอดี”
   
ทวิชยิ้มนิดๆ ขณะที่กระชับเสื้อคลุมสีดำตัวเองให้ปิดหน้ามิดชิดขึ้น พยายามให้เห็นหน้าน้อยที่สุดเพราะในช่วงเวลาแบบนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะแบบไหนก็อันตรายทั้งนั้น
   
“คุณไม่กลัว แต่ผมกลัวนี่” ชนินทร์ถอนหายใจเบื่อๆ และก้มมองเชือกที่ยังรัดมือตัวเองเหมือนเดิม “แล้วเมื่อไหร่คุณจะแกะเชือกให้ผมสักที ผมอยู่ข้างคุณนะ”
   
“สารภาพตามตรงว่าผมไม่ไว้ใจ คุณ”
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะและลูบหัวกันต์ที่จนถึงตอนนี้ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักคำ รู้สึกใจหายนิดๆ เพราะการตัดสินใจเข้าร่วมครั้งนี้นั้นเสี่ยงมากจริงๆ เขาไม่มีทางรู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเขาบ้าง
   
ถ้าหากเขาตายเลยตั้งแต่กระสุนนัดแรกก็คงดี แต่ถ้าไม่เขาก็อาจจะโดนไปจับไปทรมานก่อนที่จะถูกแขวนคอและตอกลิ่มใส่อกให้ตายทั้งเป็นเหมือนที่พ่อตัวเองตัวเองเคยโดน
   
เรื่องที่ตลกร้ายกว่านั้นคือเขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด แม้ว่าราคาของเสรีภาพที่เขาต้องการนั้นจะแพงขนาดนี้ก็ตาม
   
“มนุษย์ตายได้แค่ครั้งเดียว ถ้าผมพลาดอย่างมากผมก็ตาย ผมเชื่อว่ายังไงพวกมันก็ไม่มีปัญญาปลุกศพผมที่ตายไปแล้วให้ขึ้นมาฆ่าอีกรอบได้หรอก”
   
“...เสรีภาพที่คุณต้องการ มันสำคัญกว่าชีวิตคุณเลยเหรอ”
   
แน่นอนว่าชนินทร์นั้นก็ยังคงหวงแหนชีวิตของตัวเองอยู่ เพราะสำหรับชนินทร์แล้วไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงแบบไหนก็ตาม เขาก็จะยังคงพยายามตะเกียกตะกายมีชีวิตต่อในประเทศนี้ต่อไปอย่างสุดความสามารถเพื่อฝันหลายๆ อย่างของเขาที่ยังไม่สำเร็จ
   
เขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถึงแม้ว่าอาจจะโดนตราหน้าว่าเห็นแก่ตัวก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดจะสนใจ เพราะเขาไม่เชื่อว่าตัวเองนั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างที่ใหญ่โตขนาดนั้นได้ ฉะนั้นต่อให้ขาดเขาไปสักคนก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะ ไม่เข้าใจว่าทำไมชนินทร์ถึงได้ถามคำถามแบบนี้ออกมา ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าเขานั้นจะตอบอะไร นัยน์ตาสีทองสบกับกันต์ด้วยความอาลัยนิดๆ เมื่อคิดว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นอีกฝ่าย
   
“ถ้าหากสามวันแล้วฉันยังไม่กลับมา ร้านนี้และตึกนี้ทั้งตึกจะเป็นของนาย ส่วนพวกเอกสารอะไรพวกนั้นฉันจัดการไว้หมดแล้ว ถ้ามีคนมาถามหาเอกสารกรรมสิทธิ์นายก็ไปหยิบบนหัวเตียงฉัน”
   
ทวิชกวาดตามองร้านของตัวเอง พยายามเก็บเกี่ยวความทรงจำเอาไว้ให้ได้มากที่สุดและหวังว่ามันจะช่วยปลอบประโลมเขาในตอนที่เขานั้นสิ้นหวังหรือเข้าใกล้กับความตาย
   
“แล้วอย่าลืมใส่เสื้อคลุมที่ฉันทิ้งไว้ให้ตลอดไว้ด้วยล่ะ เวลาพวกตำรวจน่ารำคาญมายุ่มย่าม ก็บอกซะว่านายเป็นคนของตระกูลพยัคฆโภคสกุล ส่วนเงินฉันก็ทิ้งไว้บนเตียงให้แล้ว มันอาจจะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่น่าจะพอทำให้นายอยู่ต่อไปได้สักเดือนสองเดือน”
   
แววตาของทวิชหม่นลงเพราะรู้ดีว่าเงินจำนวนนั้นไม่สามารถทำให้กันต์นั้นไม่เพียงพอแน่ๆ สำหรับกันต์ และเขาก็ไม่ต้องการให้กันต์ใช้วิธีหาเงินแบบเดียวกับตัวเองด้วย จึงเหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น
   
วิธีที่ถ้าเขายังเป็นเจ้าของร้านสิงหกุลโภชนานี้อยู่ เขาจะไม่มีวันทำมันแน่ๆ
   
“แล้วถ้าหลังจากนั้นเงินก้อนนั้นหมดแล้ว ..พวกของที่ลูกค้าให้ไว้ นายเอาไปขายก็ได้นะ”
   
“...”
   
กันต์พยักหน้าเชิงรับรู้แต่สีหน้าไม่เต็มใจเลยสักนิด
   
“..ดูแลตัวเองดีๆ นะ กันต์” ทวิชยิ้มบางให้กันต์ “ถ้าโชคดีเราก็คงได้เจอกันอีก”
   
“...”
   
สุดท้ายกันต์ก็ทนมองทวิชไม่ไหว เลือกที่จะเบือนหน้าหนีเพราะทนรับความจริงไม่ได้
   
“ส่วนเจ้าหมานี่ก็ฝากนายดูแลไปพลางๆ แล้วกัน ถ้ามันทำตัวน่ารำคาญมากก็ปล่อยทิ้งก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไร”
   
ทวิชพูดติดตลกทิ้งท้ายก่อนที่จะก้าวไวๆ ออกจากร้านโดยไม่สนใจเสียโวยวายของชนินทร์ที่ดังไล่หลัง เพราะกลัวว่าตัวเองนั้นจะเผลอใจอ่อนเข้าซะก่อน
   
เขารู้ถึงความเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียคนที่รักไปดี แต่เขาก็ไม่สามารถละทิ้งอุดมการณ์เพื่อเด็กคนหนึ่งจริงๆ
   
“...ไปรัฐสภา ทวิช อย่าสนใจเรื่องอื่น”
   
ทวิชลูบหน้าตัวเองพยายามตั้งสติอยู่สักพัก และเดินออกจากร้านไปยังป้ายรอรถประจำทางที่จนถึงตอนนี้ก็ยังคงให้บริการอยู่ แม้ว่าสถานการณ์การเมืองจะยังไม่สงบก็ตาม
   
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในระยะนี้ทำให้ตามท้องถนนไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก ส่วนใหญ่ที่ออกมาจากบ้านนั้นก็ออกมาเพราะความจำเป็นมากกว่า แถมตามจุดต่างๆ อย่างมีเจ้าหน้าที่รัฐอาวุธครบมือคอยเดินตรวจตรารักษาความสงบของบ้านเมือง ป้องกันไม่ให้เกิดการรวมกลุ่มกันของกลุ่มกบฏ
   
ส่วนทวิชนั้นก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติระหว่างที่รอรถที่ป้าย ยอมดึงฮู้ดที่ปกปิดใบหน้าลงเพื่อไม่ให้ดูปกปิดตัวตนจนผิดสังเกต
   
แต่น่าเสียดายที่คนที่นั่งข้างๆ ทวิชนั้นไม่ได้สนใจที่จะปกปิดตัวตนและอุดมการณ์นัก นัยน์ตาเปล่งประกายไปด้วยความหวังและพูดมันออกมาอย่างกระตือรือร้นกับกลุ่มเพื่อนวัยรุ่นของตัวเองที่มีความคิดแบบเดียวกัน
   
“..ครั้งนี้ต้องเอาชนะพวกมันได้แน่ พวกอัลฟ่าไม่มีวันชนะตลอดไปหรอก”
   
เบต้ากระต่ายคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าฮึกเหิม หลังจากที่ได้ฟังประโยคปลุกใจจากในวิทยุและเชื่อมั่นเป็นอย่างมากว่าการรวมตัวเพื่อแสดงออกอย่างสันติในวันนี้นั้นจะสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
   
“อย่าพูดเสียงดังสิ เดี๋ยวก็โดนจับหรอก”
   
เพื่อนในกลุ่มอีกคนเอ็ดทันทีพร้อมกับหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดระแวง อย่างไรก็ตามถึงแม้สถานการณ์ตอนนี้ฝั่งกลุ่มปฏิวัติอาจจะดูได้เปรียบแต่พวกเขาก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่ารัฐบาลนั้นพร้อมจะใช้ความรุนแรงเพื่อควบคุมสถานการณ์ได้ทุกเมื่อ และด้วยเหตุผลแบบนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างเจ็บปวดที่คงจะมีแค่คนบางส่วนเท่านั้นที่กล้าออกมาเข้าร่วมในวันนี้
   
แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่นั้นก็รักชีวิตของตัวเอง พวกเขาอาจจะตาสว่างแล้วก็จริงแต่หวาดกลัวเกินกว่าที่จะนำชีวิตของตัวเองมาเสี่ยงกับกระสุนปืนและความรุนแรง ซึ่งบทลงโทษที่พวกเขาจะได้รับจากการไม่ทำอะไรเลยนั้นก็คือการมีชีวิตอยู่ต่ออย่างทุกข์ทรมาน ต้องยอมรับความเป็นทาสพร้อมกับยินยอมให้ตัวเองนั้นถูกเหยียบย่ำไว้ใต้ฝ่าเท้าด้วยความเต็มใจ เพราะพวกเขานั้นได้ละทิ้งโอกาสที่ดีที่สุดที่จะยุติความอยุติธรรมพวกนี้ไปแล้ว
   
“ก็กูตื่นเต้นอ่ะ เพิ่งเคยมาอะไรแบบนี้ครั้งแรก แถมแม่กูยังไม่รู้ด้วย”
   
เบต้ากระต่ายคนเดิมหัวเราะเพราะครอบครัวของตัวเองนั้นเทิดทูนอัลฟ่ามาก โดยเฉพาะแม่ที่แทบจะกราบรูปเคารพของณภัทรสามเวลา พยายามกรอกใส่หัวเขาตั้งแต่เด็กถึงคุณงามความดีของเหล่าอัลฟ่าที่ทำได้ให้กับประเทศ  แต่มันก็ไม่สำเร็จเพราะเขารู้สึกว่าชีวิตครอบครัวของตัวเองนั้นย่ำแย่เกินกว่าจะต้องมาซาบซึ้งในพระคุณของใคร
   
“เออ เงียบๆ หน่อยแค่นั้นแหละ เอาไว้ถึงที่นู่นก่อน ถึงตอนนั้นจะพูดอะไรก็พูด ไม่มีใครห้ามมึงหรอก”
   
“ก็กูกลัวตายก่อนจะถึงที่นู่นอ่ะ ตอนนี้กูยังพูดได้ กูก็อยากพูดอ่ะ” คนพูดหน้างอก่อนที่จะเหลือบมองเห็นทวิชและยิ้มกว้าง “พี่ก็จะไปร่วมเหมือนกันใช่ไหม”
   
“...”
   
ทวิชกระพริบตาปริบเมื่ออยู่ๆ ถูกดึงเข้าไปร่วมกับบทสนทนา แต่ก็ยอมพยักหน้ารับง่ายๆ เพราะยังไงพวกเขาทั้งคู่ก็ต้องไปทางเดียวกันแถมยังต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยด้วย
   
“แล้วพี่กลัวไหม”
   
“ไม่ครับ”
   
ทวิชตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและรอยยิ้มบาง แสดงออกชัดถึงความมั่นคงในอุดมการณ์ของตัวเองที่ถึงแม้ปลายทางอาจจะเป็นความพ่ายแพ้ที่น่าอดสู แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้ทำให้เขายอมแพ้ได้
   
“แต่ผมกลัวอ่ะพี่ ผมยังอยากกลับบ้าน”
   
เบต้าคนเดิมพูดด้วยสีหน้ากังวล ถึงจะรู้ว่าตัวเองต้องเจอกับสถานการณ์แบบไหนแต่เขาก็ยังรู้สึกกังวลอยู่ดี

“แค่รู้ว่าควรจะสู้ตอนไหนก็พอ” ทวิชแนะนำเสียงนุ่มนวล ในหัวหวนนึกถึงตอนที่ตัวเองนั้นต้องเผชิญหน้ากับความรุนแรงที่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ทำเพียงหนีหัวซุกหัวซุน “ถ้าพวกนั้นเริ่มยิงก็หนี แต่ถ้ามีโอกาสโต้กลับหรือทำอะไรสักอย่างที่ทำได้ก็ทำเพราะครั้งนี้น่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่เราจะมีได้แล้ว”
   
หากแต่พอทวิชกำลังจะพูดต่อรถที่รออยู่นั้นก็มาถึงซะก่อน บทสนทนาเลยเป็นอันต้องจบลง ทวิชปล่อยให้เด็กๆ ที่มีอยู่ห้าหกคนขึ้นก่อน และด้วยความที่เผลอลดความระมัดระวังตัวลงก็เปิดโอกาสให้ ‘ใคร’ บางคนเข้าประชิดตัว
   
“!!!”
   
ทวิชสะดุ้งสุดตัวเมื่อกำลังจะขึ้นรถกลับถูกกระชากกลับมาสู่พื้นถนน เรี่ยวแรงมหาศาลกำข้อมือทวิชนั้นจนทวิชแทบจะรักษาสีหน้าปกติเอาไว้ไม่ได้
   
“ไปเลย!!! ไม่ต้องรอ!!!”
   
เบต้ากวางในชูดสูทสีดำตะโกนบอกคนขับรถประจำทางด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว แน่นอนว่าคนขับรถนั้นทำตามคำสั่งแทบจะทันทีเมื่อเห็นเข็มกลัดเสือโคร่งที่ปักอยู่บนอกเสื้อสูทเนื้อดีอันเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล ‘พยัคฆโภคสกุล’
   
ตระกูลที่นับว่าเป็นหนึ่งในมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ เป็นตระกูลสำคัญที่คอยขับเคลื่อนประเทศและคอยสนับสนุนรัฐบาลนี้อย่างแข็งขัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลที่เป็นเสาหลักคอยค้ำยันให้รัฐบาลนี้ดำรงอยู่อย่างมั่นคง แม้ว่าที่มาของรัฐบาลนี้จะเต็มไปด้วยความผิดปกติก็ตาม
   
“…”
   
ทวิชสบตากับเจ้าของรถคันหรูที่จอดข้างๆ เขา ใบหน้าของอาเขาที่นั่งอยู่เบาะหลังนั้นไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดที่เห็นเขาในที่แบบนี้ แน่นอนว่าทวิชอยากพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก เพราะอาเคยบอกกับเขาแล้วว่าไม่ให้เขายุ่งกับกลุ่มปฏิวัติ แต่เขาก็ยังคงดึงดันที่จะเข้าร่วมอยู่ดี
   
“ขึ้นรถ”
   
อาของเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ซึ่งทวิชก็ยอมขึ้นแต่โดยดี อย่างไรก็ตามทวิชก็ไม่ลืมว่าตัวเองนั้นมีชีวิตรอดมาจนถึงตอนนี้ได้ก็เพราะใคร ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะทำเหมือนอยากเอาเขาไปทิ้งขยะตลอดเวลาก็ตาม
   
แต่ทวิชก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรงขังที่อาสิงห์ใช้ขังเขาไว้ตลอดหลายสิบปีนั้นก็สะดวกสบายพอตัว ในห้องขนาดไม่ใหญ่มากนั้นมีครบครันแทบจะทุกอย่างที่เขาต้องการ ทั้งครัว ตู้หนังสือ ทีวี วิทยุ และข้าวของเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะใช้แก้เบื่อในห้องได้ นอกจากนี้แล้วบางครั้งอาสิงห์ยังจ้างคนมาสอนหนังสือเขาอีก
   
ทวิชแทบจะไม่กล้าหายใจด้วยซ้ำ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำตัวยังไง ตลอดระยะเวลาที่รู้จักกันมา เขาไม่รู้ว่าอาสิงห์เกลียดเขาหรือเอ็นดูเขากันแน่ เขาไม่รู้จริงๆ และไม่กล้าพอที่จะถามด้วย
   
ทุกวันนี้ที่เขายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าเป็นกำไรแล้วจริงๆ
   
“อาเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้ยุ่งกับพวกกบฏ”
   
ผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งกว่าที่สิงห์จะปริปากพูดคุยกับทวิช นัยน์ตาสีทองคุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธแต่ถึงอย่างนั้นในแววตากลับไม่มีความประหลาดใจเลยสักนิด ราวกับว่าคาดเดาเอาไว้อยู่แล้วว่าทวิชนั้นจะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏ
   
“…”
   
ทวิชก้มหน้าจนแทบจะชิดกับอก ไม่แก้ตัวเพราะเขาเลือกที่จะทำมันเองและไม่ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน เขาก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนใจ ต่อให้อาสิงห์ฆ่าเขาในรถ เขาก็ยังเลือกที่จะเข้าร่วมเหมือนเดิม
   
“..เธอนี่เหมือนแม่เธอไม่มีผิดเลยนะ ทวิช”

สุดท้ายสิงห์ก็แค่นเสียงหัวเราะเฝื่อนๆ ออกมาอย่างไม่จริงจังนัก และมองทวิชด้วยสีหน้าระอาใจ

“ดื้อดึงแต่ทำเรื่องอะไรโง่ๆ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันทำให้ตัวเองลำบาก”

“…”

เพราะความเกรงใจ ทวิชจึงไม่ได้พูดอะไรแต่มือที่ซุกซ่อนอยู่ในเสื้อโค้ทนั้นจิกแขนตัวเองแน่นจนเลือดซึม

แววตาของทวิชนั้นแข็งกร้าว เพราะสิ่งที่เจ้าตัวเกลียดที่สุดอีกอย่างคือการโดนดูถูกพ่อแม่ของตัวเอง แน่นอนว่าถ้าหากมีคนอื่นมาพูดกับเขาแบบนี้เขาคงจะต่อยไปแล้ว แต่เพราะคนตรงหน้าคืออาสิงห์ คนที่ชุบเลี้ยงเขาขึ้นมาและปล่อยให้เขามีชีวิตเป็นของตัวเองจนถึงตอนนี้

“..ทั้งๆ ที่ฉันก็ให้โอกาสแม่เธอไปแล้วนะ ทวิช โอกาสที่จะทำให้แม่เธอไม่ต้องเป็นแค่พยาบาลในโรงพยาบาลห่วยๆ นั่น แต่แม่เธอก็ยังเลือกพ่อเธออยู่ดี”

มือหนาลูบมองแหวนที่สวมอยู่บนนิ้วตัวเองอย่างอ้อยอิ่ง ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างเมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมานานมากแล้ว แต่ความทรงจำในตอนนั้นก็ยังคงชัดเจนราวกับเกิดขึ้นเมื่อวาน

“รู้ไหม ทวิช เพราะพ่อเธอ แม่เธอถึงต้องใช้ชีวิตลำบากแบบนั้น ความรักแสนหวานหรือความรักจริงใจที่พ่อเธอมีให้แม่เธอมันไม่มากพอที่จะทำให้แม่เธออิ่มท้องด้วยซ้ำ เชื่อฉันสิ ถ้าแม่เธอเลือกฉัน ป่านนี้แม่เธอก็คงยังอยู่แล้วกลายเป็นเจ้าของกิจการโรงพยาบาลชั้นนำทั่วประเทศไปแล้ว”

สิงห์หัวเราะเบาๆ แต่สีหน้านั้นกลับสวนทาง ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ

“และเพราะพ่อเธอเป็นกบฏ แม่เธอถึงต้องตายแบบนั้น เธออยากตายแบบนั้นเหรอ ทวิช ฉันจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะฉันสัญญากับแม่เธอเอาไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เธอตาย”

“...”

นัยน์ตาของทวิชสั่นระริกเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงกันแน่

อาสิงห์ปกป้องเขามาตลอดก็จริงแต่อาก็ไม่ได้รักเขา และมองว่าเขาเป็นแค่สัญญาที่ต้องรักษาเท่านั้น แน่นอนว่าผลพลอยได้คือทำให้เขานั้นมีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ และเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่อาสิงห์พูดนั้นเป็นความจริง สภาวะทางการเงินของครอบครัวนั้นล้มเหลวสิ้นดี แต่พ่อของเขาก็พยายามทุกวิถีทางแล้วจริงๆ ที่จะเลี้ยงดูเขา

เขาไม่รู้ว่าอาสิงห์ต้องการให้พ่อของเขาขยันถึงขนาดไหนมันถึงจะเพียงพอ แต่พ่อของเขาไม่เคยขี้เกียจ ไม่เคยปล่อยให้เขานั่งร้องไห้ ทุกครั้งที่พ่ออยู่กับเขา พ่อก็จะเล่นกับเขาและทำเหมือนเขานั้นเป็นเด็กที่พิเศษที่สุดในโลก

สำหรับเขาความสุขแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วจริงๆ

“ส่วนเรื่องเข้าร่วมกับพวกกลุ่มกบฏก็ถอดใจซะ ฉันไม่อนุญาต แล้วหลังจากนี้เธอก็จะโดนกักบริเวณในบ้านเก่าของเธอจนกว่าพวกกลุ่มกบฏจนจะถูกกวาดล้างหมด ฉันถึงจะปล่อยให้เธอออกไปบินเล่นใหม่อีกรอบ”

คนเป็นผู้นำตระกูลผู้ออกมาอย่างไม่ยี่หระ แม้ว่าตัวเองกำลังจะพูดถึงการฆ่าคนที่เห็นต่างอยู่ก็ตาม อย่างไรเสียสิ่งที่จะทำให้เจ้าตัวสนใจมากที่สุดนั้นคือเงินลงทุนและผลกำไรที่ได้รับจากการช่วยเหลือการกวาดล้างครั้งนี้มากกว่า

เพราะทางรัฐบาลนั้นรับปากกับเขามาแล้วว่าจะให้ผลตอบแทนอย่างงามเลยทีเดียว

“...”

ทั้งๆ ที่มีอะไรที่อยากพูดอีกมากมายในใจ แต่ทวิชกลับพูดไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว เพราะสิ่งที่สัมผัสได้จากคนตรงหน้านั้นคือความเลือดเย็นที่ไม่เห็นหัวใครทั้งนั้นนอกจากคนที่ตัวเองสนใจ

ทวิชถอนหายใจและหลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน

เขารับมือกับคนประเภทนี้ไม่ไหวจริงๆ

------------
 :z13:

#สิงหกุลโภชนา


   
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 19 : ฤกษ์ดี 20 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 21-03-2020 14:10:05
อาสิงห์ กับ พ่อทวิช เป็นอะไรกัน
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 19 : ฤกษ์ดี 20 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 22-03-2020 09:43:04
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 20 : ความลับ 29 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-03-2020 16:23:20
ตอนที่ 20

   
“ช่วงนี้อย่าไปยุ่งกับพวกกบฏนะ”
   
เสียงทุ้มหนักแน่นของทหารชั้นนายพลท่านหนึ่งพูดกับนทีที่เพิ่งตรวจสุขภาพให้กับตัวเองเสร็จอย่างเป็นกันเอง ใบหน้าส่วนบนซึ่งเป็นม้านั้นหรี่ตามองหมอคนโปรดของตัวเองด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้าหากไม่ได้นทีมาช่วยผ่าตัดให้เขาครั้งนั้น เขาก็คงจะไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้
   
“ทำไมเหรอครับ”
   
นทีที่กำลังสวมเสื้อคลุมหรูหราสีดำขลิบทองที่เพิ่งได้รับมาจากรัฐบาลเหลือบมองหนึ่งในคนไข้พิเศษที่ต้องดูแลเป็นพิเศษของตัวเองในช่วงนี้ ซึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษนั้นไม่ใช่เพราะอาการป่วย แต่เป็นเพราะผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการยอมช่วยเหลือนายพลที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหล่าอัลฟ่าพิเศษที่คอยกำกับรัฐบาลอยู่เบื้องหลัง
   
เอาเข้าจริงแล้วในสายตาของนทีนั้นประเทศนี้ควรจะเลิกเหนียมอายและเปลี่ยนเป็นชื่อระบอบการปกครองเป็นรัฐศาสนาอย่างจริงจังได้แล้ว เพราะอย่างไรก็ตามถ้าหากไม่โง่เขลาจนเกินไป คนส่วนใหญ่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าประเทศนี้นั้นต้องการความเห็นชอบจากอัลฟ่าพิเศษแทบทุกเรื่องและเรื่องเหล่านั้นก็เกี่ยวพันกับชีวิตของประชาชนทั้งหมดในประเทศ
   
ดังนั้นทุกปัญหาความยากจน ความอดอยากและความทุกข์ตรมของชนชั้นล่าง กลุ่มชนชั้นเหล่านี้ก็ควรจะรับผิดชอบมันด้วย ไม่ใช่เอาแต่ช่วงชิงทรัพยากรและเงินจำนวนมหาศาลไปปรนเปรอชนชั้นของตัวเอง
   
คนพวกนี้เห็นแก่ตัวเกินไป และจากการที่โดนดึงตัวเข้าไปช่วยดูแลในช่วงนี้ก็ทำให้นทีนั้นตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าสมมุติเทพหรือกลุ่มคนที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากพระเจ้าที่กลุ่มคนเหล่านี้อ้างว่าตัวเองเป็นนั้นดูจะเป็นละครโง่ๆ ที่แสดงให้เบต้าดูฉากหนึ่งด้วยซ้ำ เพราะในความเป็นจริงแล้วคนพวกนี้นั้นก็เป็นเพียงแค่มนุษย์จิตใจอัปลักษณ์ที่เสวยสุขอยู่บนซากศพและคราบน้ำตาของผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องล่าง หนำซ้ำยังเหยียบย่ำพวกเขาเอาไว้แต่ฝ่าเท้าพร้อมกับเหยียดหยามลับหลังทุกครั้งที่สามารถทำได้
   
แน่นอนด้วยจรรยาบรรณและหน้าที่ นทีนั้นจึงยังต้องยอมรักษาเหล่ากลุ่มคนน่ารังเกียจเหล่านี้ แม้ว่าเบื้องลึกของจิตใจจะปฏิเสธมันอย่างถึงที่สุดก็ตาม
   
“พวกท่านเขาจะลงมือกันแล้ว”
   
นายพลวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าชื่นชม อย่างไรก็ตามสำหรับเขาแล้วการได้รับใช้กลุ่มคนเหล่านี้นั้นถือว่าเป็นโชคดีของเขาที่สุดอย่างหาไม่ได้จริงๆ เพราะการได้รับใช้เหล่าอัลฟ่าพิเศษเหล่านี้นั้นคือการชำระล้างบาปที่มีมาแต่กำเนิดของพวกเขาที่เป็นเบต้าให้เบาบางลง
   
“ลงมือ?”
   
นทีย้อนถามด้วยสีหน้างุนงง เนื่องจากค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองนั้นก็เป็นวงในพอตัว แต่กลับไม่ทราบถึงข่าวการลงมืออะไรทั้งนั้น ที่เขารู้มากที่สุดคือในวันนี้ช่วงบ่ายจะมีประชุมคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตราการในการจัดการความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งผลจะออกมาเป็นแบบไหนเขาไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คงจะไม่มีวันเป็นผลดีต่อเหล่ากลุ่มปฏิวัติของเขาแน่
   
นัยน์ตาของนทีหม่นลงอย่างเจ็บปวด การเห็นเพื่อนร่วมอุดมการณ์มากมายที่ต้องบาดเจ็บและสูญเสียนั้นเป็นเรื่องที่ทำใจยอมรับได้ยาก แม้แต่หมอกที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของเขาก็ถูกนำตัวไปขังเพียงเพราะทางการหวาดกลัวว่าเขาจะถูกอีกฝ่ายหลอกใช้และทำร้ายเอาได้
   
น่าเสียดายที่ทางการนั้นประเมินศัตรูของตัวเองไว้ต่ำเกินไป คิดว่าอีกฝ่ายนั้นเหมือนกับตนที่ขอเพียงมีค่าตอบแทนที่สูงมากพอก็จะสามารถซื้อใจและความจงรักภักดีไปได้ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน
   
แน่นอนว่าด้วยฝีมือทางการแพทย์ของนทีนั้นทำให้เจ้าตัวได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมายจากรัฐ และได้รับความไว้วางใจค่อนข้างมากจากการทำงานอย่างนอบน้อมและอยู่ในร่องในรอย ไม่ค่อยมีปากเสียงอะไรกับนโยบายแปลกๆ ของรัฐ ดังนั้นนทีในตอนนี้นั้นจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีที่สุดเท่าที่เบต้าคนหนึ่งจะมีได้ โดยเป็นรองจากอัลฟ่าเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง
   
ฉะนั้นถ้าหากการปฏิวัติครั้งนี้นทีเลือกที่จะเพิกเฉยเพื่อชีวิตที่ดีและรุ่งโรจน์ของตัวเองก็เป็นอะไรที่สามารถเข้าใจได้ เพราะการลงไปเข้าร่วมกับกลุ่มปฏิวัตินั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะสำเร็จไหมแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับนทีแน่นอนคือความล่มสลายทางอาชีพและชีวิตต่อจากนี้ที่ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นแบบนี้ได้อีก
   
“ก็ลงมือชำระบาปให้กับประเทศเราไง คุณหมอ กบฏพวกนั้นสมควรตายสักที แค่นี้ประเทศของเราก็ปัญหาเยอะพอแล้ว”
เมื่อพูดถึงกลุ่มกบฏสีหน้าของนายพลก็รังเกียจขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

“เชื่อผมเถอะว่าต้องมีคนอยู่เบื้องหลังไอ้คนพวกนี้แน่ๆ พวกมันคิดเองไม่ได้หรอก ถ้าผมให้เดาก็คงจะเป็นพวกโอเมก้าที่หลบอยู่ประเทศอื่นที่อยากกลับมาประเทศเรา ให้ตายเถอะ แค่พูดถึงพวกมันผมก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ทำไมไอ้พวกคนชั่วคนเลวพวกนี้ไม่ตายกันให้หมดสักที”

“..ครับ ผมก็อยากให้พวกคนชั่วพวกนี้ตายให้หมดเหมือนกัน ประเทศเราจะได้กลับมาสวยงามเหมือนแต่ก่อน”

นทีตอบด้วยรอยยิ้มบาง และแน่นอนว่าตอบด้วยคำตอบที่กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการ เพราะเขารู้ดีว่าถ้าตอบด้วยคำตอบแบบอื่น เขาคงจะไม่สามารถซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพวกมันมาได้นานขนาดนี้

“เนอะ คุณหมอ ถ้าไม่มีพวกกบฏพวกนี้ออกมาก่อความวุ่นวายบ่อยๆ ผมว่าประเทศเราเจริญไปตั้งนานแล้ว”

พอเห็นว่าความคิดของตัวเองนั้นได้รับการสนับสนุน ท่านนายพลก็ยิ้มอย่างพอใจเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอะไรที่อยู่ในใจมาตลอด ทุกวันนี้เขาตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคำอนุญาตให้กวาดล้างกลุ่มกบฏอย่างเต็มรูปแบบทุกวัน ที่ผ่านมานั้นก็เป็นแค่การสลายการชุมนุมทั่วไปและมักจะมีกบฏที่เล็ดรอดออกไปอย่างน่าโมโห

ฉะนั้นคำสั่งการที่อนุญาตให้ ‘ลงมือ’ อย่างเบ็ดเสร็จครั้งนี้จึงทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“เออ จริงสิ เห็นว่าคุณหมออยากจะไปรัฐสภา จะติดรถผมไปไหมครับ พอดีวันนี้ผมต้องไปจัดการธุระด้วย”

แน่นอนว่าถึงแม้จะไว้ใจคุณหมอคนโปรดตัวเองขนาดไหน แต่คำสั่งนี้ก็ถือว่าเป็นความลับสุดยอดเพราะเป็นยุทธการใหม่ของทางกองทัพที่ใช้จัดการกับกลุ่มกบฏ แถมยังเป็นยุทธวิธีไม่เคยใช้ที่ไหนมาก่อนด้วย จึงนับได้ว่านี้น่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในการใช้เพราะทางการมั่นใจเป็นอย่างมากว่ามันจะสามารถทำให้พวกกลุ่มกบฏยอมเผยตัวออกมาและยอมแพ้แต่โดยดี

“ไปครับ พอดีผมอยากจะพูดคุยกับท่านรัฐมนตรีนิดหน่อยเกี่ยวกับการรักษาที่ท่านรับอยู่”

นทีโกหกหน้าตายเพราะในความเป็นจริงแล้ว เขาตั้งใจจะไปสอดส่องการชุมนุมในวันนี้ของกลุ่มปฏิวัติซึ่งเขาก็อาจจะช่วยอะไรได้ไม่มากแต่ก็ยังอยากไปเห็นการโต้กลับจากประชาชนด้วยตาของตัวเองอยู่ดี

“งั้นก็ไปด้วยกันเลยนะครับ เดี๋ยวคุณหมอขึ้นรถคันเดียวกับผมเลยก็ได้ จะให้ผมจอดที่ไหนก็บอกได้เลยนะครับ” คนเป็นนายพลยิ้มบาง รู้สึกดีไม่น้อยที่จะได้ตอบแทนคุณหมอของตัวเองบ้าง

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

นทียิ้มตอบก่อนที่จะเดินตามหลังท่านนายพลไปขึ้นรถยนต์คันหรูที่จอดรอหน้าบ้าน ชั่วขณะหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นแววตาของนทีเดือดดาลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

เพราะราคาของรถยนต์ที่นายพลท่านนี้ครอบครองนั้นมากกว่าเงินเดือนของพวกเบต้าที่ทำงานหนักตลอดชีวิตนับร้อยคนด้วยซ้ำ และสิ่งที่ทำให้เขาโมโหคือที่มาของเงินของนายพลพวกนี้ไม่มีความโปร่งใสและสุจริตสักนิด การทำงานในโรงพยาบาลทำให้เขามักจะเจอพวกเบต้าที่ไม่มีเงินแม้แต่จะมาโรงพยาบาลด้วยซ้ำเป็นประจำ

ความเหลื่อมล้ำในประเทศบ้าๆ นี้มันโหดร้ายเกินไปหรือเปล่า?

คนกลุ่มหนึ่งมีเงินมากล้นจนแทบไม่รู้จะนำไปทำอะไร แต่คนอีกกลุ่มกลับยากจนจนแม้แต่ข้าวมื้อหนึ่งยังไม่สามารถซื้อได้ ยิ่งช่วงฤดูหนาวที่เหล่าคนรวยต่างดีอกดีใจที่จะได้สวมเสื้อกันหนาวแต่มันกลับเป็นฝันร้ายของคนจน เพราะมีคนมากมายนั้นต้องหนาวตายจากการที่ไม่สามารถซื้อผ้าห่มมาปกป้องตัวเองจากอากาศอันโหดร้ายได้

สิ่งที่น่าโมโหไปกว่านั้นคือกลุ่มคนชนชั้นนำเหล่านี้ชอบมาแจกเงินและผ้าห่มเพื่อสำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมของตัวเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วตัวเองนั้นเป็นต้นเหตุของความยากจน ต้นเหตุที่ช่วงชิงทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเขาและมักจะมาทวงบุญคุณอย่างหน้าไม่อาย

“เดี๋ยวคุณหมอนั่งตามสบายเลยนะครับ ถ้าจะให้จอดตรงไหนก็บอกคนขับรถได้เลย ไม่ต้องเกรงใจผม”

เสียงของนายพลเรียกสติของนทีกลับคืนมาทันควัน นทียิ้มบางเชิงขอบคุณให้กับอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนที่จะนั่งเบาะหน้าข้างคนขับด้วยท่าทางเกรงอกเกรงใจ ทั้งๆ ที่ในใจยังคงสุมความโกรธเคืองเอาไว้อย่างเต็มอก และแสร้งนั่งเหม่อตลอดทางเพื่อที่จะได้ไม่ต้องพูดคุยกันอีก

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงนทีก็พาตัวเองมาถึงรัฐสภาอันศักดิ์สิทธิ์ของประเทศ นัยน์ตาของนทีเบิกกว้างเมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากมาชุมนุมกันอย่างสงบหน้ารัฐสภา ผ้าใบสีขาวที่ถูกวาดเป็นนกสยายปีกเหนือรัฐสภานั้นราวกับประกาศก้องว่าเสรีภาพของพวกเขานั้นสำคัญเหนือกว่ารัฐธรรมนูญจอมปลอมที่ร่างจากเหล่าชนชั้นนำเห็นแก่ตัว

โดยในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้นประกอบด้วยหลากหลายเพศ วัย อายุและชนชั้น ทั้งในร่างต้นและร่างมนุษย์ผสมกันเต็มไปหมดอย่างดาษดื่น มีแม้กระทั่งพวกนกที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ออกมาแสดงตัวเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยแตกต่างแต่กลมกลืนกันอย่างที่ประเทศที่เสรีภาพนั้นเบิกบานแล้วควรจะเป็น

นอกจากนี้แล้วยังมีผ้าใบอีกหลายผืนที่วาดรูปศาลที่ถูกเผาซึ่งเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าพวกเขานั้นไม่ยอมรับว่ากฎหมายนั้นคือความยุติธรรม เพราะกฎหมายที่ถูกร่างในประเทศนี้นั้นล้วนแล้วแต่เอื้อชนชั้นนายทุนและเหล่าชนชั้นนำทั้งนั้น เหล่าคนเล็กคนน้อยในสายตานักกฎหมายนั้นก็ถูกบีบให้เป็นเพียงชนชั้นกรรมมาชีพที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับการกดค่าแรงและการทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยที่ไม่ว่าจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความยากจนได้ และส่งต่อมันให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปเรื่อยๆ ราวกับว่ามันเป็นคำสาปแห่งความยากจนที่เหล่าชนชั้นนำสาปกลุ่มคนเบื้องล่างเอาไว้

แน่นอนว่าฝันร้ายพวกนี้ควรจะจบลงเสียที และหากการเรียกร้องในวันนี้สำเร็จเหล่าชนชั้นล่างที่แบกรับความเจ็บมหาศาลที่ยากจะจินตนาการถึงก็จะเจ็บปวดน้อยลงกับความยากจนที่ต้องประสบอยู่ทุกวัน

พวกเขาเจ็บปวดมามากพอแล้วและไม่สมควรที่จะมีใครไปหยามเหยียดพวกเขาอีก

“เดี๋ยวผมลงตรงนี้ก็ได้ครับ”

เมื่อเข้าใกล้ประตูทางเข้าที่มีเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือยืนตรวจสอบคนเข้าออก นทีก็บอกกับท่านนายพลที่นั่งขมวดคิ้วอยู่เบาะหลังด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก เพราะความภาคภูมิใจในฐานะอันสูงส่งของเขากำลังถูกทำให้สั่นคลอน
   
“ครับ ขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะครับ”
   
ท่านนายพลพยายามฝืนยิ้มบางให้คุณหมอ ลืมแม้กระทั่งที่จะสงสัยว่าทำไมคุณหมอถึงไม่ยอมเข้าไปในรัฐสภาด้วย ในหัวเต็มไปด้วยความหงุดหงิดงุ่นง่านที่ต้องเฝ้ารอเวลาที่ดีที่สุด แน่นอนว่าถ้าไม่ใช่คำสั่งนั้นถูกเน้นย้ำมานักหนา เขาคงไม่ลังเลที่จะลงไปจัดการเหล่าปีศาจร้ายของประเทศเหล่านี้ด้วยมือตัวเองแล้ว
   
แต่พอนทีจะลงรถจริงๆ ชั่วขณะหนึ่งก็นึกขึ้นมาได้และย้ำเตือนคุณหมอคนโปรดของตัวเองอีกครั้ง
   
“แล้วอย่างที่ผมเตือนนะ คุณหมอ”
   
แววตาของคนเป็นนายพลโหดเหี้ยมขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“วันนี้อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกกบฏเด็ดขาด”
   
“ครับ ขอบคุณท่านที่เป็นห่วงนะครับ”
   
นทีก็ยังคงยิ้มน้อยๆ ให้อย่างนอบน้อม ก่อนที่จะพาตัวเองลงจากรถและรอจนรถหรูขับเข้าไปจนลับสายตาแล้ว ถึงเดินย้อนเข้าไปในมุมอับแถวบริเวณนั้นและตัดสินใจถอดเสื้อคลุมอภิสิทธิ์ชนของตัวเองออก
   
แน่นอนว่านทีรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นทั้งเสี่ยงและโง่เง่าเต็มทน แต่เขาก็ทนใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายท่ามกลางความทุกข์ยากของชนชั้นล่างและชนชั้นกลางต่อไปไม่ได้จริงๆ
   
วันนี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เขาหวาดกลัวและหลบอยู่หลังความเป็นอภิสิทธิชนของตัวเองมานานเกินพอแล้ว ถึงเวลาที่เขาจะออกมาต่อสู้ร่วมกับกายและพอสอย่างเต็มรูปแบบสักที
   
“...”
   
นทีก้มมองเสื้อคลุมในมือตัวเองที่แม้แต่อัลฟ่าเห็นยังยอมพูดคุยกับเขาด้วยท่าทีนอบน้อม เพราะมันเป็นผ้าคลุมที่ได้มาจากเหล่าอัลฟ่าพิเศษโดยตรงและมันก็ถูกสั่งตัดมาจากผ้าสีดำเนื้อดีแถมดิ้นสีทองที่อยู่บนเสื้อคลุมนั้นก็ดันเป็นทองแท้ๆ อีก ซึ่งเจ้าตัวก็พิจารณาต่อสักพักก่อนที่จะยัดลงถังขยะอย่างไร้เยื่อใย
   
และเพื่อเป็นการพรางตัว นทีจึงคืนร่างกายบางส่วนให้เป็นกระต่ายก่อนถึงค่อยเดินแทรกเข้าไปในฝูงชนที่ชุมนุมกันอยู่ ผู้คนจำนวนมากทำให้ความกลัวของนทีนั้นลดลงอย่างน่าประหลาด มีหลายคนที่ส่งยิ้มให้นทีอย่างเป็นมิตรพร้อมกับชักชวนให้ไปยืนใกล้ๆ กับเวทีปราศรัยที่กำลังจะคนขึ้นไปพูดต่อ
   
แน่นอนว่านทีไม่ปฏิเสธและนำพาตัวเองมายืนใกล้กับเวทีด้วย จดจ้องอุดมการณ์อันแรงกล้าของเหล่าเสรีชนที่ล่องลอยอยู่รอบตัว นึกชื่นชมทุกคนที่กล้าเข้ามาร่วมในวันนี้เพราะทุกคนนั้นก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันอันตรายมากแค่ไหน แม้แต่เขาเองก็ยังกลัวความรุนแรงเหล่านี้มาโดยตลอด
   
ความรุนแรงที่กระทำโดยรัฐและไม่มีใครสามารถเอาผิดได้
   
[ สวัสดีเหล่าเสรีชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดในแผ่นดินนี้ทุกท่าน ]
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 20 : ความลับ 29 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 29-03-2020 16:24:37
   
น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นเมื่อหนึ่งในแกนนำคนสำคัญในการปฏิวัติครั้งนี้ขึ้นไปกล่าวปราศรัย เสียงพูดคุยจอแจจึงค่อยเงียบเสียงลงและสดับฟังการกล่าวปราศรัยครั้งที่น่าจะสำคัญที่สุดของกลุ่มปฏิวัติ
   
นทีเงยหน้าขึ้นมองแกนนำคนนั้นด้วยความรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อแกนนำคนนั้นถอดหน้ากากสีดำออกก่อนที่จะกลับคืนสู่ร่างต้นส่วนบนเป็นจระเข้ แต่สิ่งที่น่าตกตะลึงไปมากกว่านั้นคือปีกสีน้ำตาลคู่ใหญ่ที่ออกมาจากแผ่นหลัง
   
ไม่เพียงแค่นทีที่สั่นสะท้านหลายคนในมวลชั้นนั้นตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออกเพราะคนๆ นี้นั้นคือหนึ่งในกบฏที่ตายในวีรกรรมปราบกบฏครั้งนั้น ก่อนที่รัฐบาลจะนำพวกคนตายเหล่านี้มาป่าวประกาศตลอดว่าเป็นปีศาจร้ายตัวสำคัญที่ทำลายประเทศแทบจะตลอดหลายสิบปีมานี้ จนฝังหัวประชาชนทั่วไปว่าถ้าพวกเขาคิดนอกเหนือจากที่รัฐบาลให้คิด พวกเขาก็คงจะมีจุดจบไม่ต่างจากกบฏเหล่านี้
   
[ ผมชื่อติณห์หรืออดีตทหารรักษาความปลอดภัยประจำตัวท่านเดชะผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว วันนี้ผมมานามของประชาชนและภราดรแห่งกลุ่มวันพรุ่งนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนคิดว่าผมนั้นตายไปแล้ว แต่ความจริงนั้นผมยังไม่ตายและวันนี้ผมจะเปิดเผยความจริงทั้งหมดให้ทุกท่านได้ทราบครับ ]
   
ติณห์หรือผู้ถูกบังคับให้สูญหายยิ้มบางเมื่อเกิดเสียงฮือฮาไปทั่วบริเวณ เพราะในความเป็นจริงนั้นเขาควรจะตายไปพร้อมกับการวางเพลิงครั้งนั้นแล้ว แต่น่าเสียดายที่เหล่าลูกน้องของณภัทรก็เหมือนจะลืมไปว่าในบรรดาของผู้รับใช้พี่ชายของณภัทรนั้น มีเขาคนหนึ่งที่มีเชื้อสายนกอินทรีย์อยู่ การหลบหนีจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากสำหรับเขานัก แต่ไม่ใช่สำหรับคนอื่นๆ ที่ไร้ปีก
   
เขาจึงเป็นคนเดียวที่เหลือรอดจากการกวาดล้างครั้งนั้น
   
และเป็นคนเดียวที่รู้ ‘ความลับ’ ของณภัทรด้วย
   
[ แต่ที่ผมมาวันนี้ ผมไม่ได้มาเพื่อเปิดโปงรัฐบาลชั่วร้ายนี่อย่างเดียว วันนี้ผมมาเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ร่วมกับพวกท่าน เหล่าสรีชนที่จะก้ามข้ามวาทกรรมการแบ่งแยกชนชั้นลวงโลกของพวกเขาและจะนำพาประเทศไปสู่ความเท่าเทียม ความเท่าเทียมที่จะทำให้ทุกคนในประเทศเราเท่ากัน ไม่มีใครมีคุณค่ามากกว่าใคร ไม่มีใครด้อยค่ามากกว่าใคร ทุกคนเป็นมนุษย์เท่า กันและมีสิทธิ์ที่จะมีครอบครองทรัพยากรของประเทศนี้เหมือนกัน ]
   
ติณห์ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจแต่ในขณะเดียวกันก็สอดส่องรอบๆ ตลอดเวลาอย่างระมัดระวัง และอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมวันนี้ถึงไม่มีทหารตำรวจมาคุมเชิงอย่างทุกที ทั้งๆ ที่ปกติใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีพวกมันก็จะตรงปรี่เข้ามาสลายการชุมนุมของพวกเขาแล้ว
   
อย่างไรก็ตามเวลานี้ก็เป็นโอกาสอันดีในการพูดความจริง ติณห์จึงไม่ลังเลที่จะคว้ามันและพยายามอย่างสุดความสามารถในการเชิญชวนเหล่าเสรีชนคนอื่นที่ยังคงหลับใหลและยอมจำนนต่อความอยุติธรรมพวกนี้ให้ออกมาเข้าร่วมกับพวกเขา
   
[ ศัตรูที่แท้จริงของเรานั้นคือระบบการปกครอง รัฐธรรมนูญที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างผิดปกติ และกลุ่มคนเห็นแก่ตัวที่แอบอ้างในความเป็นเจ้าของประเทศอย่างหน้าไม่อาย สามสิ่งนี้คือสามสิ่งที่เราต้องเปลี่ยนเพราะเราไม่อาจจะปล่อยให้ประชาชนของประเทศนี้ต้องมาเจ็บปวดจากความผิดปกติพวกนี้อีก ]
   
ติณห์ขึ้นไปเหยียบบนกล่องไม้ที่เพิ่งถูกนำวางเพื่อให้ผู้คนเห็นตนเองชัดขึ้น ปีกคู่ใหญ่สยายออกกว้างอันเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพของกลุ่มปฏิวัติ ประกาศก้องถึงการมีตัวตนของพวกเขาบนประเทศที่ปกครองด้วยระบบอัปลักษณ์นี้
   
[ ในด้านการปกครองรัฐบาลนี้นั้นมีที่มาอย่างผิดปกติ พวกเขาใช้อำนาจอย่างน่ารังเกียจและจงใจใช้สื่อในการสร้างศัตรูอย่างโอเมก้าขึ้นมาเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาของตัวเอง พวกเขาเพิกเฉยต่อการสังหารหมู่ที่ตัวเองได้กระทำกับประชาชนและบอกให้ประชาชนลืมเรื่องราวเหล่านี้เพราะอนาคตของเรานั้นสำคัญกว่า ตลกร้าย ตลกร้ายเหลือเกิน รัฐบาลผู้ทรงศีลของเรากำลังบอกให้พวกเราลืมว่าพวกเขาลงมือฆ่าประชาชนด้วยตัวเอง พวกเขาเข่นฆ่าพวกพ้องของเราอย่างเลือดเย็น แต่กลับบอกว่าเรากำลังรื้อฟืนอดีต เสรีชนเอ๋ย พวกท่านยังสามารถนิ่งเฉยกับสิ่งนี้ได้หรือ เหยื่อของความเกลียดชังเหล่านั้นไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะมีชีวิตด้วยซ้ำ พวกท่านจะทอดทิ้งเขาหรือ จะปล่อยให้พวกเขาสูญหายไปเฉยๆ เหมือนที่ข้าพเจ้าเคยสูญหายหรือ ]
   
แววตาของติณห์นั้นสั่นสะริกอย่างเจ็บปวดยามที่พูดในประโยคหลัง การใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ มาตลอดหลายสิบปีนี้สร้างความเจ็บปวดให้กับเขาเป็นอย่างมาก เพราะเหล่าผู้คนชั่วร้ายเหล่านี้ที่ฆ่าพวกพ้องเขานั้นต่างมีชีวิตที่ดีทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ไม่ได้ดิบได้ดีจากการเข่นฆ่าคนอื่น พวกเขาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขราวกับว่าไม่เคยทำเรื่องชั่วช้ามาก่อน
   
และแน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับผิดเกี่ยวกับความตายของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่สูญเสียไปกับครั้งนั้นด้วย
   
พรรคพวกของเขาต้องตายอย่างอยุติธรรม จิตวิญญาณของเขาแทบจะถูกทำลาย แต่ความโกรธแค้นที่ไหลเวียนในกายนั้นก็กระตุ้นให้เขาออกมาก่อการปฏิวัติอีกครั้ง
   
เขาจะไม่มีวันยอมให้พรรคพวกของเขาและผู้คนต้องตายอย่างสูญเปล่า อุดมการณ์อันบริสุทธ์เหล่านั้นต้องได้รับการสืบสานต่อแม้ว่ามันอาจจะต้องทำให้เขาต้องเสี่ยงตายอีกครั้งก็ตาม
   
ชั่วขณะก่อนที่ติณห์จะกล่าวปราศรัยต่อ อยู่ๆ ฝนที่ไม่มีท่าทีก็จะตกก็ตกลงมาปรอยๆ ลงมา
   
“...”
   
หัวใจในอกของติณห์นั้นเจ็บแปลบ
   
เหตุการณ์การสังหารหมู่ครั้งนั้นฝนก็ตกลงมาเหมือนกัน ตกลงมาราวกับว่ามีน้ำตาจากฟากฟ้าที่ร่ำไห้ให้กับความสูญเสียที่กำลังจะเกิดขึ้น หยาดน้ำฝนเหล่านั้นพร่างพรมร่างของพวกเขาอย่างนุ่มนวล ความเย็นชื้นคล้ายกับกระซิบปลอบพวกเขาไม่ให้หวาดกลัวต่อความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้น และจงกล้าหาญในการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์อันบริสุทธิ์ของพวกเขา
   
ความเจ็บปวดในใจของชายผู้เป็นเดนตายจากการปฏิวัติจึงทุเลาลง ก่อนที่จะปราศรัยต่อใส่ไมค์อีกครั้งโดยไม่สะทกสะท้านต่อฝนหรือสิ่งใดอีก
   
แม้นว่าฝนต่อไปของเขาอาจจะเป็นลูกตะกั่วก็ตามที
   
[ เรื่องต่อไปคือเราต้องยุติการใช้รัฐธรรมนูญอันผิดปกติ ซึ่งหนทางหนึ่งเดียวที่เราจะเท่าเทียมกันอย่างเสมอภาคได้นั้นคือการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นต้องถูกเขียนขึ้นมาจากประชาชนโดยไร้ซึ่งการชี้นำจากใครเป็นพิเศษ และผู้บังคับใช้กฎหมายนั้นต้องมีความเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ดังนั้นไม่ว่าท่านจะเป็นทหารยศใหญ่โตแค่ไหนหรือเป็นขอทานที่ยากจนเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้ารัฐธรรมนูญชุดนี้แล้วท่านก็เป็นเพียงประชาชนคนหนึ่งของประเทศ หากท่านทำผิดต้องก็ต้องได้รับผิดตามข้อกฎหมายทัดเทียมกับผู้อื่น ไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ตาม ]
   
ติณห์พูดน้ำเสียงโกรธขึ้งเพราะเขาในวัยเด็กนั้นมักจะโดนรังแกอยู่บ่อยๆ จากการบังคับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
   
สิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศนี้มาตลอดนั้นคือการเลือกปฏิบัติของเหล่าเจ้าหน้าที่รัฐต่ออภิสิทธิ์ชนอย่างเห็นได้ชัด โดยใช้กฎหมายที่ควรจะเป็นบรรทัดฐานในการรักษาความสงบเรียบร้อยให้กับประเทศมาใช้ในการรังแกผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง บ่อยครั้งที่จับแพะมารับผิดแทนเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่ไม่ต้องการรับผิด และแพะเหล่านั้นก็ต้องยอมรับผิดแทนอย่างจนตรอกเพราะไม่ว่าพวกเขาจะไปสู้ในชั้นศาลด้วยหลักฐานที่ชัดเจนเพียงใด หากผู้พิพากษารับใช้ความอยุติธรรมเหล่านี้ พวกเขาก็ไม่มีวันที่จะได้รับความยุติธรรม ฉะนั้นการยอมรับผิดเพื่อลดโทษดูจะเป็นหนทางเดียวที่พวกเขาจะทำได้ แม้ว่าจะไม่อยากทำก็ตาม
   
ช่วยไม่ได้ที่เสียงร้องไห้และความเจ็บปวดของพวกเขานั้นมีค่าน้อยกว่าเงินทองของเหล่าอภิสิทธิ์ชนที่จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นอย่างไร้ยางอาย
   
แววตาของติณห์อ่อนลงเมื่อเห็นว่ามีหลายคนที่ฟังปราศรัยของเขาแล้วร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสาร
   
ความเจ็บปวดของคนธรรมดานั้นมากเหลือเกิน มากเกินกว่าที่เหล่าชนชั้นนำจะชดใช้มันได้ด้วยซ้ำ แต่พวกมันกลับไม่คิดที่จะสนใจในสิ่งที่ตัวเองกระทำต่อผู้อื่นสักนิด
   
ความทุกข์ทรมานจากความไม่เป็นธรรมเหล่านี้ควรจะยุติสักที
   
[ และในเรื่องสุดท้าย ..ศัตรูที่แท้จริงของเรา ]
   
เสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยวดังอื้ออึงไปทั่วบริเวณ พวกเขาเหล่าเสรีชนที่มาร่วมการชุมนุมในวันนี้นั้นล้วนแล้วแต่เป็นหนึ่งในผู้ที่โดนเหล่าชนชั้นนำกดขี่กันทั้งนั้น ซึ่งติณห์ก็ปล่อยให้ผู้คนแสดงพลังอยู่สักพักก่อนจะกล่าวปราศรัยต่อ
   
และแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงศัตรูที่ตัวเองโกรธแค้นแต่กลับรู้จักดีที่สุด ติณห์จึงอดไม่ได้ที่พูดจาเหน็บแหนมด้วยภาษาที่เป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
   
[ ผมเชื่อว่าหลายท่านคงเคยได้ยินคำว่ากล่าวที่ว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษ แต่ตลกร้ายเหลือเกินที่ในประเทศนี้นั้นเหล่าวีรบุรุษจงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองนั้นเป็นวีรบุรุษ ให้ตายเถอะ ไอ้พวกชนชั้นนำจอมปลอมเหล่านี้ก็เหลือเกิน อยากเป็นคนดีกันจนตัวสั่น ทั้งๆ ที่มือของพวกมันยังไม่วางกระบอกปืนเลยด้วยซ้ำ ไหนจะเรื่องที่พวกมันพยายามจะล้างสมองพวกท่านอีก ]
   
ติณห์ถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ เพราะเขารู้ดีว่ามีผู้คนที่ยังไม่ตาสว่างอีกมายที่ยังคงให้การสนับสนันชนชั้นนำน่ารังเกียจนั้นอยู่ และแน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้นั้นนับเป็นปัญหามากกว่ากลุ่มชนชั้นนำอีก
   
กลุ่มคนที่ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองนั้นกำลังถูกกดขี่และมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้
   
พวกเขาพอใจกับชีวิตยากลำบากของตัวเอง สรรเสริญชนชั้นนำที่โปรยความมั่งคั่งมาให้พวกเขาในบางครั้งอย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับว่าเป็นบุญคุณนักหนา ทั้งๆ ที่พวกเขานั้นสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ด้วยตัวเอง
   
ติณห์นั้นก้มมองไปยังผู้คนและในครั้งนี้ก็เห็นเบต้าหมาจิ้งจอกคนหนึ่งมีท่าทีต่อต้านกลุ่มปฏิวัติอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของเขานั้นดูรังเกียจผู้คนรอบกายหนักหนา แต่ก็ยังอดทนฟังเขาราวกับรอเวลาบางอย่าง
   
คนเดนตายจากการปฏิวัติยิ้มบางเมื่อเห็นแหวนวงเล็กสีดำทองของกลุ่มอาสาสมัครเพื่อชาติบนข้อนิ้วเบต้าคนนั้น
   
การเป็นคนดีในประเทศนี้นั้นสำคัญมากสินะ?
   
ติณห์คิดติดตลกกับตัวเองและปราศรัยต่อโดยสบตากับเบต้าคนนั้น สบกับนัยน์ตาของผู้คนที่ยังหลงทางและจมปลักหลงใหลอยู่กับภาพอดีตที่เหล่าชนชั้นนำสร้างความทรงจำขึ้นมาหลอกให้เชื่อ
   
[ ก่อนที่ผมจะพูดต่อ ผมอยากจะให้ผู้ฟังของผมทุกท่านที่เกลียดชังผมนั้นได้ลองวางอคติของพวกท่านที่มีต่อผมลง ผมขอให้ให้พวกท่านมองผมเป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกท่าน ปุตุชนคนธรรมดาบางครั้งก็เดินร่วมถนนกับท่าน หัวเราะบ้างเวลาที่ได้ยินเรื่องตลก ร้องไห้บ้างเวลาที่เจ็บปวด ลองมองผมเป็นเพียงมนุษย์เช่นเดียวกับท่าน และขอให้เปิดใจฟังในสิ่งที่ผมกำลังจะพูด ]
   
แววตาของอาสาสมัครนั้นมึนงงอย่างเห็นได้ชัด ความเกลียดชังที่ถูกปลูกฝังมานั้นก็คล้ายกับหายไปชั่วครู่เมื่อลองคิดว่ากบฏที่ตัวเองนั้นเป็นคนธรรมดาเหมือนกับตัวเอง ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่มาร แต่เป็นเพียงมนุษย์ผู้หนึ่งแบบเดียวกับตัวเอง
   
[ สำหรับผมมนุษย์นั้นคือสิ่งมีชีวิตที่แสนเปราะบาง พวกเขานั้นต้องการความมั่นคงทั้งในชีวิตและจิตใจจึงต้องเลือกที่จะเชื่อในสิ่งหนึ่งเพื่อให้ตัวเองนั้นมีความรู้สึกมั่นคง ซึ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศนี้นั้นเลือกที่จะเชื่อคือ ‘อัลฟ่า’ ]
   
ติณห์ยิ้มเห็นสีหน้าภาคภูมิใจของเบต้าคนนั้น
   
[ แล้วพวกท่านเชื่อหรือไม่ว่าถ้าหากพวกท่านมีชีวิตที่ดีมากพอ พวกท่านจะไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไรอีก เพราะสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นทำให้พวกท่านเชื่อนั้นก็ไม่ต่างจากยาเสพติด ยาเสพติดที่ใช้มอมเมาพวกท่านเพื่อที่จะทำให้พวกท่านลืมความทุกข์ยากและความเจ็บปวด ทำให้พวกท่านลืมว่าพวกท่านนั้นกำลังถูกกดขี่อยู่และสร้างภาพฝันให้กับพวกท่านว่าชาติหน้าจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ถ้ารับใช้อัลฟ่าเหล่านั้น ทั้งๆ ในความเป็นจริงแล้วพวกท่านสามารถมีชีวิตที่ดีได้ตั้งแต่ชาติภพนี้ด้วยซ้ำ ]
   
สีหน้าสับสนอย่างหนักของอาสาสมัครทำให้ติณห์นั้นยิ้มมากกว่าเดิม
   
อย่างไรก็ตามหนึ่งในวัตถุประสงค์สำคัญที่ทำให้เขายอมเสี่ยงขึ้นมาปราศรัยนั้นก็เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนที่ยังหลงทางด้วยนัยน์ตาอันมืดบอดเหล่านี้ได้ฉุกใจคิดในสิ่งที่ตัวเองยึดมั่นและงมงายมาตลอด
   
โลกแห่งความจริงนั้นอาจจะสว่างและแสบตาไปบ้าง แต่มันก็ย่อมดีกว่าใช้ชีวิตอยู่อย่างโง่งมจนกระทั่งตายก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมีความเป็นมนุษย์ทัดเทียมกับผู้อื่น
   
ติณห์ขยับปีกอีกครั้งและเหยียดกางจนสุดมากกว่าเดิม พยายามทำตัวให้ใหญ่ที่สุดเพื่อบดบังตึกรัฐสภาที่อยู่เบื้องหลัง ให้เหล่ามวลชนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเห็นเพียงเขาเท่านั้น
   
เขาที่เป็นประชาชนที่โอบอุ้มอุดมการณ์ร่วมกับเหล่าเสรีชนทั่วประเทศ
   
เขาที่มีความฝันอันสวยงามหลังจากการปฏิวัติสำเร็จ
   
เขาที่อยากจะเห็นผู้คนมีความเสมอภาคกันอีกสักครั้งในช่วงชีวิตของตัวเอง
   
[ หากท่านยังไม่เคยยืนเคียงข้างผู้ที่ถูกกดขี่ก็จงลงมาเคียงข้างผู้ที่ถูกกดขี่ ถ้าหากท่านยังหลงเชื่อในโฆษณาชวนเชื่อท่านก็จงพิจารณาความจริงที่ปรากฎตรงหน้า หากท่านยังไม่เชื่อในอุดมการณ์ของเราก็ขอให้ท่านลองเปิดใจรับฟัง ]
   
เมื่อพูดจบประโยคติณห์ก็ค่อยๆ คืนร่างกลับเป็นมนุษย์ธรรมดาและกล่าวคำปราศรัยต่อมาโดยน้ำเสียงนุ่มนวล
   
[ ตื่นเถิดเสรีชน อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน ดาบหอกกระบอกปืน หรือทนคลื่นกระแสเรา ] - { โดย รวี โดมพระจันทร์ }
   
สิ้นคำกล่าวของติณห์เบต้าและเหล่าอาสาสมัครเพื่อชาติบางคนที่แทรกซึมอยู่นั้นถึงกับสั่นสะท้าน บางคนถึงกับทรุดตัวกองกับพื้นพร้อมกับอาวุธที่เตรียมมาใช้เข่นฆ่ากลุ่มกบฏเหล่านี้เพื่อที่รัฐบาลจะได้ใส่ร้ายพวกเขาได้ง่ายๆ ว่ากบฏเหล่านี้นั้นซ่องสุมอาวุธและต้องการทำลายประเทศ
   
หากแต่เมื่อพวกเขาลองฟังและเปิดใจฟังที่เหล่ากบฏเหล่านี้พูดถึงได้รู้ว่าปีศาจที่ถูกเรียกขานนั้น กลับเป็นคนเดียวกับผู้ที่พยายามเรียกความยุติธรรมคืนกลับมาให้กับพวกเขาเอง
   
พวกเขาฆ่าคน ฆ่าคนไปแล้วมากมาย เป็นฆาตกรที่คิดว่าตัวเองนั้นดีประเสริฐเลิศเลอ ทั้งๆ ที่เหยื่อของพวกเขานั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีแม้แต่อาวุธด้วยซ้ำ
   
พวกเขาทำมันไปได้ยังไงกัน
   
แววตาของอาสาสมัครเพื่อชาติที่ตื่นแล้วนั้นเจ็บปวดจนแทบจะยอมรับความจริงไม่ได้ ความรู้สึกผิดมหันต์กัดกินจิตวิญญาณตะกละตะกลามราวกับว่าเป็นการลงทัณฑ์ในความผิดของพวกเขา
   
ติณห์มองเหล่าอาสาสมัครเหล่านั้นอย่างเฉยชา เพราะสำหรับเขาแล้วการฆ่าคนบริสุทธิ์และสนับสนุนให้ผู้อื่นฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่จะให้อภัยกันง่ายๆ ในการสำนึกผิดครั้งเดียว
   
ชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นสูญสลายไปแล้ว จะมีประโยชน์อะไรกับการมาขอโทษเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อการเข่นฆ่าคนอื่นก็ยังมีอยู่ ฉะนั้นหนทางเดียวที่จะลดทอนความผิดของพวกเขาเหล่านี้ได้คือการหยุดการก่ออาชญากรรมที่เกิดขึ้นโดยรัฐนี่ซะ
   
แน่นอนว่าคำปราศรัยของติณห์นั้นจบลงเพียงเท่านั้น แต่ ‘ความลับ’ ของณภัทรที่เขานำมาเปิดเผยด้วยนั้นยังไม่ถูกกล่าวถึงเพราะยังไม่ถึงเวลา
   
ติณห์หันไปมองหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญอีกคนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับระบบภาษาคอมพิวเตอร์และการแฮ็คซึ่งเป็นมนุษย์สายพันธุ์นกฮูก ใบหน้าง่วงงุนง่วนอยู่กับการแฮ็คระบบอยู่สักพักก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาสบตาติณห์และพยักหน้าให้เบาๆ เชิงว่าพร้อมแล้ว ก่อนที่จะเคาะคำสั่งลงบนแป้นคีย์บอร์ดเบาๆ
   
พรึ่บ!
   
ตึกรัฐสภาที่ข้างตึกนั้นเป็นจอแอลอีดีขนาดยักษ์ที่ถูกเปิดเป็นสัญลักษณ์ของอัลฟ่าอยู่นั้น ถูกเปลี่ยนเป็นคลิปวีดีโอบางอย่างในพริบตา ซึ่งนอกจากสถานที่แห่งนี้แล้ว ที่อื่นๆ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกแฮ็คเช่นกัน จนปรากฏเป็นรูปปกคลิปวีดีโอแบบเดียวกับข้างตึกรัฐสภาตามหัวเมืองใหญ่แทบจะทุกที่ที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน
   
[ และนี่ก็คือความลับ ไม่สิ ความจริงของณภัทรที่ผมนำมาเปิดเผยให้ทุกท่านได้ทราบในวันนี้ครับ ]
   
ติณห์ผายมือออกไปยังจอแอลอีดีเบื้องหลัง ก่อนที่คลิปที่ถูกอัดเก็บและซุกซ่อนกับติณห์มาตลอดหลายสิบปีนั้นจะได้เปิดเผยความจริงต่อหน้าสาธารณชน

   

‘…ยา ยาระงับเอกลักษณ์หมดฤทธิ์เหรอ’
   
น้ำเสียงทุ้มเหยียดหยันดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงันภายในห้องรับแขกของคอนโดหรู กล้องปากกาที่ถูกซุกซ่อนอยู่ในแจกันดอกไม้นั้นเผยให้เห็นภาพของ ‘เดชะ’ ผู้ถูกตรวนและมัดติดกับเก้าอี้เหล็กด้วยโซ่เหล็กแน่นหนา บริเวณส่วนบนที่เปลือยเปล่านั้นเต็มไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะจากการทัณฑ์ทรมาน
   
แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่สามารถทำให้เดชะนั้นดูจนตรอกแต่อย่างใด ใบหน้าคมคายนั้นยังคงมีรอยยิ้มประดับและหยามเหยียดผู้ที่อยู่ร่วมห้องกับตัวเองในตอนนี้ตลอดเวลา
   
‘รังเกียจนักไม่ใช่เหรอ พวกนกน่ะ’
   
‘หุบปาก!!’
   
เสียงคำรามดังลั่นก่อนที่ร่างของเจ้าของห้องจะพุ่งเข้าไปบีบคอเดชะอย่างเดือดดาล ใบหน้าผู้นำนักบวชผู้ทรงศีลนั้นถมึงทึงราวกับปีศาจร้ายและพยายามบีบคออีกฝ่ายเพื่อไม่ให้สามารถพูดอะไรได้อีก แต่น่าเสียดายที่ณภัทรนั้นดูถูกดวงของพี่ชายตัวเองน้อยเกินไป
   
เพราะทุกครั้งที่อีกฝ่ายเข้าใกล้กับความตาย ความเจ็บปวดมหาศาลในร่างกายก็จะปะทุขึ้นจนเขานั้นต้องคร่ำครวญออกมาอย่างเจ็บปวด ตะเกียกตะกายอยู่บนพื้นอย่างสิ้นท่า พยายามอย่างยิ่งในการสกัดกั้น ‘บางสิ่ง’ ที่พยายามจะงอกออกมาจากแผ่นหลังของเขา
   
‘ไม่! ไม่!!!’
   
ณภัทรปล่อยมือจากคอพี่ชายและกำแขนตัวเองแน่น ปลายเล็บที่ยังคงเป็นอุ้งเท้าสิงโตนั้นจิกแขนตัวเองแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเลือดไหลอาบออกมาเพื่อที่จะใช้ความเจ็บปวดทางกายส่วนอื่นหลอกล่อไม่ให้ร่างกายนั้นยอมให้สิ่งนั้นออกมา
   
ยิ่งเห็นท่าทีทุกข์ทรมานจนตรอกของน้องชายตัวเอง เดชะหัวเราะลั่นห้อง ในแววตาไร้ซึ่งความหวาดกลัวต่อความตายและพูดกระเซ้าเสียงเล็กเสียงน้อยอย่างเหยียดหยัน
   
‘ไม่เป็นไรนะ เจ้านกน้อย อย่าร้องไห้ไปเลย ปล่อยพี่ชายคนดีสิ เดี๋ยวพี่ชายคนนี้จะตัดปีกให้’
   
ความสิ้นหวังทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง เดชะรู้ตัวดีว่าตัวเองนั้นหมดหนทางรอดแล้วจึงพยายามอย่างที่สุดในการสร้างหลักฐานชิ้นสำคัญให้กับคนสนิทของเขา ให้เป็นมรดกสุดท้ายที่เขาจะทิ้งไว้ให้กับผู้คนที่ยังคงศรัทธาในความเท่าเทียมได้ใช้ในการโค่นล้มน้องชายของเขา
   
‘กูไม่ใช่พวกนก!!!’
   
ณภัทรคำรามออกมาอีกครั้งอย่างฉุนขาด พุ่งเข้าไปบีบคอเดชะอีกครั้งและลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตัวเองนั้นกำลังทำอะไรอยู่
   
ในชั่วพริบตานั้นปีกนกพิราบสีขาวบริสุทธิ์งอกออกมาจากแผ่นหลังของณภัทร แต่น่าเสียดายที่คราวนี้โชคของเดชะคล้ายจะหมดแล้ว การบีบคออย่างบ้าคลั่งและยาวนานครั้งนี้จึงสำเร็จ ก่อนที่ณภัทรจะปลดโซ่ที่ตรวนเก้าอี้ออกและค่อยๆ ลากร่างไร้วิญญาณของพี่ชายตัวเองออกจากกล้องไป

   
ภาพวีดีโอจบเพียงเท่านั้นก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มปฏิวัติ
   
อีกาสีดำที่กางปีกโบยบินอย่างอิสระเสรี
   
ความเงียบครอบงำไปทั่วบริเวณอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะมีเสียงระเบิดดังขึ้นเคล้ากับเสียงกรีดร้องของเหล่ามวลชนที่มาชุมนุม เหล่าอาสาสมัครเพื่อชาติที่ยังคงยึดมั่นในอัลฟ่าหลายคนนั้นแทบจะไม่หลงเหลือสติในการหนีด้วยซ้ำ เมื่อรับรู้สิ่งที่น่าจะเป็นความจริงที่ถูกปกปิดมาโดยตลอด
   
ความจริงที่มีอานุภาพมากพอที่จะสั่นคลอนฐานะอันศักดิ์สิทธิ์ของความจริงที่ผู้คนยึดถือและทำให้สถาบันหลักของประเทศล่มสลาย
   
ส่วนเหล่าทหารไม่กี่คนที่มายืนคุมเชิงนั้นต่างรีบสาดกระสุนปืนเข้าไปทันควันตามคำสั่งเร่งด่วนที่เพิ่งได้รับมา ทั้งๆ ที่คำสั่งแรกนั้นคือการควบคุมให้อาสาสมัครเพื่อชาติที่ปนเปื้อนบางอย่างนั้นเข้าไปอยู่แทรกซึมอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุมให้มากที่สุด โดยที่พวกเขานั้นห้ามเข้าใกล้อาสาสมัครพวกนั้นโดยเด็ดขาดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
   
แน่นอนว่าพวกเขาไม่รู้ว่าอาสาสมัครที่พกอาวุธสงครามที่อาณุภาพน้อยกว่าพวกเขานั้นซุกซ่อนความร้ายแรงอะไรไว้ ทำไมผู้บังคับบัญชาถึงได้ย้ำเตือนพวกเขาเหลือเกินว่าอย่าแม้แต่จะแตะต้องพวกเขา
   
ฝนที่ตกปรอยๆ มาตลอดนั้นค่อยๆ เทกระหน่ำลงมา
   
เหล่าเสรีชนถูกเข่นฆ่าอีกครั้ง อาสาสมัครหลายคนที่เชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏในคลิปนั้นไม่เป็นความจริงแต่เป็นภาพตัดต่อจึงไล่ฆ่าเหล่าผู้ชุมนุมรอบตัวอย่างเกรี้ยวกราด เพราะบังอาจมาใส่ความผู้นำศาสนาของพวกเขา
   
ความรุนแรงก่อตัวขึ้นอย่างเหี้ยมโหดแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่สามารถทำลายความกล้าของเสรีชนไปได้
   
“ถอยไป นที มึงอย่าไปยุ่งกับพวกกบฏ”
   
อาสาสมัครคนหนึ่งซึ่งเป็นแพทย์ที่จบสถาบันเดียวกับนทีพูดด้วยท่าทีขึงขัง เสื้อสีขาวที่สวมมานั้นอาบไปด้วยเลือดแดงฉานจนยากที่จะรู้ว่าเคยเป็นเสื้อสีขาวมาก่อน
   
“ไม่”
   
นทีหัวเราะและขยับตัวไปบังเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองซึ่งยังคงแสดงปีกของตัวเองอย่างต่อต้าน แม้ว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุให้ตัวเองต้องตายก็ตาม
   
“กูจะถามเป็นครั้งสุดท้าย นที”
   
แววตาของคนถามนั้นเดือดดาลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
   
“มึงจะหลบไหม”
   
นทีเหยียดยิ้มกำลังจะยืนยันในคำตอบเดิม แต่หางตากลับเห็นอาสาสมัครอีกคนยิงมาทางเพื่อนตัวเองจึงไม่ลังเลที่จะผลักอีกฝ่ายออกจากวิถีกระสุนทันที
   
“นที!!!”
   
อาสาสมัครคนเดิมคำรามอย่างขวัญเสียเมื่อได้สติว่าตัวเองนั้นได้ถูกช่วยชีวิตเอาไว้ แต่เพื่อนของเขานั้นกลับนอนแน่นิ่งบนพื้นไปแล้ว
   
ใบหน้าน่ามองของนทีที่มักจะมีรอยยิ้มประดับอย่างใจดีอยู่เสมอนั้นเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่กระสุนนัดนั้นได้พรากชีวิตของเจ้าตัวไปแล้ว

------------

ตอนนี้ยาวมากกก  :z6:   
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 20 : ความลับ 29 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 30-03-2020 01:10:24
เห้ออออ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 20 : ความลับ 29 มี.ค 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 30-03-2020 21:38:10
โหดอีกรอบ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 21 : อิสระ 7 เม.ย 63 p.4
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 07-04-2020 17:50:11
ตอนที่ 21

   
บางครั้งเขาก็คิดว่าตัวเองมีอิสระ
   
คิดว่าตัวเองนั้นหลุดพ้นจากสายตาของอาสิงห์ คิดว่าตัวเองเลือกทุกอย่างด้วยตัวเอง คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวนั้นเกิดขึ้นจากความตั้งใจของตัวเอง
   
“ฉันดีด้วยแล้วก็ทำตัวดีๆ เพราะถ้าเธอทำตัวมีปัญหามากฉันจะไม่ปราณี”
   
“…”
   
ทวิชก้มหน้าต่ำมองเท้าตัวเอง
   
เป็นอีกครั้งที่เขาสงสัยในตัวเอง เขาไม่แน่ใจแล้วว่าทุกสิ่งที่ตัวเองทำไปตลอดหลายปีมานี้มันเกิดขึ้นจากที่เขาต้องการจริงๆ หรือว่ามันเกิดจากการที่ใครมาโน้มน้าวให้เขาทำกันแน่
   
เขาไม่รู้เลย แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในท้องเขาตอนนี้เป็นความต้องการของอาสิงห์หรือเปล่า เขาก็ไม่รู้
   
อาสิงห์บอกว่าปล่อยให้เขาออกไปก็จริง แต่อิสระที่เขาคิดว่ามีก็อาจจะเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง เขาอาจจะอยู่ในการควบคุมของอาสิงห์มาตลอด
   
“เข้าไปซะ แล้วก็เลิกคิดเรื่องปฏิวัติงี่เง่านั่น มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเกิดเธอไปก็จะตายโง่ๆ เหมือนพ่อเธอ”
   
สิงห์ปลายตามองทวิชด้วยสายตาเหยียดหยัน เพราะในสายตาเขาแล้วไม่ว่าจะพ่อหรือลูกเขาก็รังเกียจทั้งนั้น ความเท่าเทียมหรืออะไรพรรค์นั้นเป็นสิ่งที่เขารังเกียจอย่างที่สุด เขาไม่ชอบการที่คนจนอย่างพ่อทวิชจะขึ้นมามีอำนาจเทียบเท่ากับตัวเองและแย่งชิงทรัพยากรของเขาไป
   
เขาคิดว่าตัวเองไม่ผิดที่ร่ำรวยเพราะตอนต้นตระกูลของเขาก็ตรากตรำอย่างหนักในการสร้างตระกูลนี้ขึ้นมา เขาขยันมากกว่าพวกคนจนเหล่านี้ คนจนที่แสนเกียจคร้านและรอความช่วยเหลือไปวันๆ งอมืองอเท้าไม่ยอมทำอะไร
   
ซึ่งคนที่เขาไม่ชอบหน้าที่สุดก็คือพ่อของทวิช
   
เด็กยากจนที่ได้ทุนเรียนดีมาเสนอหน้าเข้ามาเรียนในโรงเรียนชั้นนำของพวกเขาได้ ก่อนที่มันจะล่อลวงผู้หญิงที่เขาชอบไปเป็นของตัวเองอย่างหน้าไม่อาย ทั้งๆ เขากำลังจะขอพ่อให้หมั้นให้ด้วยซ้ำเพราะนอกจากจะเป็นการขยายความสัมพันธ์ภาคธุรกิจแล้วเขายังชอบแม่ของทวิชจริงๆ ด้วย
   
ทุกอย่างเกือบจะไปได้สวยถ้ามันเจียมตัวและไม่กระเสือกกระสนเข้ามาในสังคมของพวกเขา
   
และเพราะคนอย่างมัน ผู้หญิงคนที่เขารักถึงตอนโดนตัดขาดจากตระกูลแบบนั้น ต้องไปอยู่อย่างลำบากในย่านซอมซ่อที่มีแต่พวกคนชนชั้นแรงงานอยู่กัน
   
เขาถึงได้เกลียดคนพวกนี้นัก พวกคนที่ไม่จดจำสักทีว่าตัวเองนั้นอยู่ชนชั้นไหนและต่ำต้อยเพียงใด
   
สิงห์แค่นเสียงหัวเราะหยันเมื่อเห็นทวิชเดินเข้าไปในบ้านโดยไม่พูดอะไร ก่อนที่เขาจะเดินกลับขึ้นรถของตัวเองเพื่อที่จะออกไปจากสถานที่ไม่น่าพิสมัยนี่สักที
   
หลังจากปิดประตูทวิชก็ยืนนิ่งจดจ้องห้องของตัวเองที่เคยคิดว่าจะไม่ได้กลับมาอีก แต่สุดท้ายเขาก็ถูกนำตัวกลับมาขังในกรงนี้อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ดีเพียงอย่างเดียวคือกรงนี้ยังคงสะอาดสะอ้านเช่นเดิม
   
ทวิชพาตัวเองไปยืนหน้ากระจกในห้องน้ำ
   
มองหน้าตัวเองอย่างจริงจังอีกครั้งในรอบหลายปี
   
“...”
   
นัยน์ตาสีทองที่สะท้อนในกระจกนั้นสั่นระริก ดูเจ็บปวดไม่ต่างกับตอนที่จะได้ออกจากกรงแห่งนี้
   
เขาโตขึ้นแต่ตัวตนข้างในเขากลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
   
มือผอมลูบสีหน้าสิ้นหวังของตัวเองและหัวเราะเสียงแผ่ว
   
เขากำลังทำอะไรอยู่ ออกจากกรงเพื่อไปอะไร เพื่อไปใช้ชีวิตในกรงใหม่ที่เขาเลือกที่จะอยู่เองเหรอ
   
“ทำไมมึงไม่ทำตามที่อาเขาพูดให้จบๆ ไปวะ ทวิช”
   
ทวิชหัวเราะหนักขึ้นเมื่อเห็นน้ำตาไหลอาบน้ำตาตัวเองอย่างน่าสมเพช
   
“แค่ทำตามที่เขาบอกก็จบแล้ว ทำไมไม่ทำวะ ทวิช จะมัวแต่ไปทำอะไรโง่ๆ แบบนั้น ทำไม”
   
ทั้งๆ ที่เขาควรจะโกรธอาสิงห์เรื่องที่ดูถูกพ่อตัวเอง แต่ตอนนี้เขากลับโกรธไม่ลงเพราะมันเป็นความจริงที่ครอบครัวเขาใช้ชีวิตลำบาก เขารู้ว่าพ่อเขาเป็นคนฉลาดและพยายามอย่างที่สุดแล้วที่จะถีบตัวเองในการหาอาชีพมั่นคงเพื่อที่จะดูแลครอบครัว แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จจนสุดท้ายพ่อเขาก็เลือกที่จะเผาใบประกาศณียบัตรทิ้งและทำงานหามรุ่งหามค่ำทุกวันเพ่อเอาเงินมาเลี้ยงเขา
   
“ก็แค่ยอมแพ้แล้วก็ใช้ชีวิตเอง ทำไมไม่ทำวะ”
   
ทวิชสะอื้นจนตัวโยน รู้สึกเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหว อิสรภาพที่เขาต้องการนั้นราคาแพงจนแทบจะบดขย้ำจิตวิญญาณเขาให้สูญสลายมาหลายครั้ง
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทนรับเรื่องราวพวกนี้มาตลอดได้ยังไง ทำไมเขาถึงยังพยายามอยู่ ความตายของพ่อแม่เขายังไม่ชัดเจนอีกเหรอว่ามันไม่มีทางสำเร็จ เขาไม่มีวันที่จะเรียกความยุติธรรมให้พ่อกับแม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาต่อสู้อยู่ก็คือคนแบบอาสิงห์ที่มีทั้งเงินและอำนาจซึ่งเขาก็ไม่มีปัญญาที่โค่นมันได้แน่ๆ ลำพังแค่จะตอบโต้อาสิงห์เขายังไม่กล้าพอเลย
   
“..มึงมัวแต่ทำอะไรอยู่วะ ทวิช จะมัวแต่เปิดร้านโง่ๆ นั่นทำไม”
   
ทั้งๆ ที่กำลังด่าตัวเองด้วยความตั้งใจ แต่ทวิชกลับเผลอกัดปากจนกลิ่นคาวเลือดอวลในปาก นัยน์ตาสีทองสั่นระริกเพราะเบื้องลึกของจิตใจนั้นปฏิเสธอย่างรุนแรง
   
เขาทำเรื่องพวกนี้เพื่อให้ทางออกกับคนที่สิ้นหวังแบบเดียวกับตัวเอง
   
“..ยอมแพ้สักที”
   
ทวิชสะอื้นหนักกว่าเดิมเมื่อนึกถึงลูกค้าคนแรกของเขาที่เป็นเด็กอายุไม่กี่ปีเท่านั้น แต่กลับแตกสลายยิ่งกว่าเขาเสียอีก แววตาสิ้นหวังที่ไม่มีความมุ่งหวังใดๆ ต่อโลกใบนี้อีกยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกทำร้ายและการขัดขืน
   
เด็กคนนี้โดนพวกอัลฟ่านักบวชข่มขืน สามารถหนีออกมาจากโบสถ์นรกนั่นได้ก็จริงแต่จิตวิญญาณความรู้สึกนึกคิดนั้นก็สูญสลายไปแล้ว ไม่กินข้าว ไม่นอน ไม่ร้องไห้ ทำเพียงแค่นั่งเฉยๆ ตัวสั่นเทาตลอดเวลาและขอร้องเขาให้ปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมานนี้
   
ความทุกข์ทรมานที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจชำระให้เบาบางลงได้ จนท้ายที่สุดเขาก็ยอมทำการุณฆาตให้ด้วยมืออันสั่นเทา เขาคุ้นเคยกับความตายก็จริง แต่ไม่เคยมอบความตายให้ใครมาก่อน
   
และมันก็ทำให้เขาต้องฆ่าคนครั้งแรกตั้งแต่ตอนอายุใกล้จะยี่สิบเอ็ดปี
   
‘ขอบคุณ’
   
ก่อนที่จะตายเด็กคนนั้นยิ้มจนตาหยีให้เขา ไม่หวาดกลัวต่อความง่วงงุนที่เป็นสาส์นเตือนต่อความตายที่ตัวเองจะเจอในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ซึ่งนั่นก็เป็นรอยยิ้มแรกและรอยยิ้มเดียวที่เขาได้รับหลังจากอยู่ด้วยกันมา
   
‘…’
   
เขาในตอนนั้นก้มมองร่างไร้วิญญาณในอ้อมแขนตัวเองอย่างสงบนิ่ง
   
มันเป็นความรู้สึกราวกับว่าได้ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานของคนอื่น คล้ายกับว่าเขานั้นกลับไปเป็นเด็กไร้เดียงสาที่แอบหนีแม่ไปให้กำลังใจคนที่ใกล้เสียชีวิตอีกครั้ง
   
เด็กไร้เดียงสาคนนั้นกระซิบบอกเขาว่าให้ทำสิ่งนี้ต่อไป ทำเพื่อที่จะช่วยทำให้ความเจ็บปวดของผู้คนที่น่าสงสารนี้หายไป ช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากความทุกข์ทรมานที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขมันด้วยตัวเองซะ
   
“…”
   
ทวิชพยายามใช้หลังมือเช็ดน้ำตาออกแต่มันก็ไม่หมดสักที
   
เขาเหนื่อย เหนื่อยจนไม่อยากทำอะไรอีกต่อไปแล้ว แค่มีความสุขไปวันๆ เขายังไม่อยากทำเลย
   
“..ทำไมมึงถึงยังมีชีวิตอยู่ว่ะ ทวิช”
   
ทวิชเลิกเช็ดน้ำตาและจ้องหน้าตัวเอง รู้สึกเสียใจเหลือเกินที่ไม่ตายตั้งแต่ตอนนั้น เพราะการมีชีวิตอยู่ของเขามันทรมานจนเขาทนแทบไม่ไหวแล้ว
   
ครั้งนี้มันมาก มากจนเขาไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานแค่ไหน
   
คำพูดของอาสิงห์นั้นทำเขาใจสลาย
   
การปฏิวัติที่เขากำลังพยายามทำอยู่อาจจะเป็นเรื่องโง่ๆ จริงๆ ก็ได้
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืนตอนที่เห็นจี้เงินของพ่อตัวเองซึ่งเป็นอีกาสยายปีก
   
พ่อของเขาเป็นถึงหัวหน้าคณะปฏิวัติ แต่เขากลับเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ เป็นแค่อะไรสักอย่างที่ยังมีชีวิตอยู่และด้วยสาเหตุอะไรสักอย่างเขาก็ต้องมาเผชิญกับความเลวร้ายนี้ทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว
   
ทำไมต้องเป็นเขา?
   
ทำไมเขาถึงไม่ได้รับอนุญาตให้มีความสุข ทำไมเขาถึงใช้ชีวิตปกติแบบคนทั่วไปไม่ได้ ทำไมเขาต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ตั้งแต่จำความได้จนถึงตอนนี้
   
“…”
   
ทวิชยิ้มหยันให้ตัวเองเพราะต่อให้มีคนตอบคำถามนี้ได้ เขาก็ยังต้องทนใช้ชีวิตเฮงซวยนี่อยู่ดี นอกเสียว่าเขาจะยอมแพ้แล้วทำมันตอนนี้ไปเลย
   
หากแต่น่าเสียดายที่โลกใบนี้นั้นก็ยังคงโหดร้ายต่อเขาเหมือนเดิม
   
“ทวิช”
   
“…”
   
ทวิชเหลือบมองบอดี้การ์ดคนสนิทของอาสิงห์ที่ถูกแบ่งหน้าที่ออกมาจับตาดูเขาด้วยสีหน้าเฉยเมย ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาพร้อมกับคนๆ นี้ก็ตาม แน่นอนว่าทุกคนที่ส่งจับตามองเขานั้นเว้นระยะห่างกับเขาอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นจริงๆ ก็ไม่มีใครพูดคุยกับเขา
   
“หนีไปซะ”
   
“…”
   
ทวิชขมวดคิ้วเมื่ออยู่ๆ คนที่เย็นชากับเขามาตลอดพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล นัยน์ตารียาวอย่างพวกเสือโคร่งนั้นจดจ้องเขานิ่ง
   
“อย่าไปเชื่อที่อาของเธอพูด การปฏิวัติเป็นเรื่องที่เป็นไปได้และฉันเชื่อว่าครั้งนี้มันจะสำเร็จ”
   
“..ผม”
   
ทวิชก้มหน้ามองเท้าตัวเอง รู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินกับการต้องดิ้นรนเพื่อให้ทุกคนมีชีวิตที่ดี
   
เขาอยากยอมแพ้แล้ว
   
“เสรีภาพเป็นของราคาแพง พ่อกับแม่เธอยอมจ่ายชีวิตเพื่อให้เธอได้มันมา ถึงครั้งที่แล้วมันจะไม่สำเร็จ ตอนนี้มันจะสำเร็จ อย่าปล่อยให้คนอย่างอาเธอมาทำลายอุดมการณ์บริสุทธิ์ของเธอ ทวิช”
   
“..ทำไมคุณไม่ทำเอง”
   
“ฉันมารอปล่อยนกออกจากกรงก่อนถึงจะค่อยตามออกไป”
   
“...”
   
นัยน์ตาของทวิชสั่นระริก เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกลังเลว่าตัวเองนั้นควรจะอยู่ในกรงทองแห่งนี้ดีไหม เพราะอย่างน้อยที่นี่เขาก็ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลในเรื่องการหาเงินแถมยังสามารถอยู่ที่นี่ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น
   
แต่มันก็แลกมาด้วยอิสรภาพของเขาและยอมจำนนต่อความชั่วร้ายเหล่านี้
   
ซึ่งแน่นอนว่าเขายอมรับชีวิตแบบนั้นไม่ได้
   
“ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย”
   
ทวิชพูดพร้อมกับถอดเสื้อของตัวเองออกจนช่วงบนเปลือยเปล่า และปล่อยให้ปีกสีดำทมิฬงอกออกจากแผ่นหลังจนสุดความยาว
   
“ถ้ามันแพ้ ผมจะไม่สู้อีก”
   
แววตาของทวิชกลับมาเด็ดเดี่ยวอีกครั้ง
   
“เสรีภาพจงเจริญ”
   
บอดี้การ์ดคนสนิทอวยพรทวิชด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะกระชากแขนทวิชออกทางหลังบ้าและผลักออกไป ส่วนตัวเองนั้นก็ชักปืนออกมายิงเพื่อนร่วมงานที่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าทวิชเหมือนกันอย่างไม่ลังเล
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
“หนีไป!! ทวิช!!”
   
การทำงานร่วมกันมาเกือบตลอดชีวิตทำให้พวกเขานั้นรู้จักกันเป็นอย่างดี การฆ่ากันในกระสุนนัดเดียวจึงเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือการประวิงเวลาให้มากพอที่จะปล่อยให้ทวิชหนีไป
   
แน่นอนว่าทวิชตกใจมากแต่ก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว กางปีกออกมาและโผบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างไม่ลังเล
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
ห่ากระสุนจากบอดี้การ์ดอีกหลายคนยิงไล่หลังทวิช จนทวิชตัดสินใจเปลี่ยนเป็นร่างอีกาที่ขนาดตัวเล็กกว่าและบินสูงที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
   
ปัง!
   
“!!”
   
ทวิชสะดุ้งเฮือกเมื่อมีนัดหนึ่งเฉี่ยวหัวตัวเองไปเพียงนิดเดียว แต่ปณิธานและอุดมการณ์อันแรงกล้าในกายนั้นก็กระตุ้นให้เขาบินให้เร็วขึ้น ก่อนที่สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดจะครอบงำเขาจนเขาแทบไม่มีสติรับรู้อะไรนอกจากบินไปทางรัฐสภา
   
เป็นเวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่ทวิชจะกลับมาได้สติอีกครั้ง ซึ่งพอมารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองนั้นใกล้ถึงบริเวณรัฐสภาแล้ว ทวิชค่อยๆ พาตัวเองลงไปในมุมอับและคืนสู่ร่างมนุษย์อีกครั้ง กระชับกางเกงที่ร่นไปกองอยู่บริเวณข้อเท้าจากการคืนร่างต้นกระทันหันให้กลับคืนสู่สภาพขนาดพอดีตัวอีกครั้งจากอุณภูมิจากร่างกายมนุษย์
   
ทวิชก้มลงไปหยิบเสื้อยืดสีขาวที่ถูกทิ้งไว้ในพุ่มไม้ออกมาสลัดๆ สวมอย่างไม่ใส่ใจ และเดินเท้าต่อเพื่อเข้าไปร่วมกับกลุ่มปฏิวัติที่กำลังปราศรัยอะไรสักอย่างที่เขาได้ยินไม่ชัดนัก
   
“หนี!! หนีเร็ว!!”
   
ยังเดินไม่ถึงไหนก็มีผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีออกมาพร้อมกับร่างโชกเลือก ก่อนที่เสียงกระสุนและระเบิดจะดังกลบทุกอย่าง ผันแปรทุกสิ่งทุกอย่างทั่วบริเวณให้กลายเป็นลานสังหาร
   
“...”
   
ทวิชยืนแข็งอยู่สักพักด้วยความตกตะลึง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าการนองเลือดจะเกิดขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นไวและกลางวันแสกๆ แบบนี้
   
“หนีสิ!! เดี๋ยวก็ตายหรอก”
   
ผู้ชุมนุมคนหนึ่งที่แบกเพื่อนที่ถูกยิงมาด้วยกระชากแขนทวิชให้วิ่งตามไปด้วย ซึ่งทวิชก็วิ่งตามอย่างว่าง่ายก่อนที่จะถลาเข้าไปช่วยคนเจ็บอีกคนที่ถูกยิงบริเวณหน้าท้องและเดินโซซัดโซเซออกมาคนเดียว ทวิชประคับประคองอีกฝ่ายและพาหนีจนเสื้อสีขาวถูกย้อมด้วยเลือดเป็นสีแดงก่ำ
   
“อย่า อย่าโดนตัวผม”
   
คนเจ็บซึ่งเป็นหนึ่งในอาสาสมัครเพื่อชาติกระซิบบอกทวิชเสียงเบาด้วยสีหน้าเจ็บปวด
   
“ผมไม่ปล่อยให้คุณตายแน่ๆ อดทนหน่อย”
   
แน่นอนว่าทวิชไม่สนใจและคืนร่างต้นบางส่วนให้เป็นเสือดำเพื่อเพิ่มพละกำลังให้ตัวเอง
   
“..อย่าโดนตัวผม ฮึก ผม ผมขอร้อง แค่ก!!!”
   
คนเจ็บร้องไห้ไปพูดไปก่อนที่จะเผลอไอใส่ทวิชอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เจ้าตัวตกใจและร้องไห้หนักกว่าเดิม
   
“ขอโทษ ฮึก ผมขอโทษนะ คุณ ผมขอโทษ”
   
ทวิชที่ขมวดคิ้วงงๆ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ยังคงใช้สมาธิกับการหนีพร้อมกับหลบเลี่ยงกระสุนไปด้วย และใช้สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวในการเอาชีวิตรอดจากสมรภูมินรกแห่งนี้
   
ปัง! ปัง! ปัง!
   
“!!”
   
ทวิชเบิกตากว้างเมื่อเห็นกลุ่มคนที่วิ่งอยู่หน้าตัวเองไม่กี่เมตรล้มลงทันทีเมื่อมีเจ้าหน้าที่รัฐอีกกลุ่มตามมาสมทบ แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดคือพวกเขาเหล่านั้นล้วนแล้วแต่สวมชุดป้องกันอย่างแน่นหนาจนแทบจะมองไม่ออกว่าเป็นมนุษย์ สิ่งเดียวที่ยังคงชัดเจนคือกระบอกปืนสีดำซึ่งมีสัญลักษณ์สีทองของพวกอัลฟ่าสลักอยู่
   
พวกมันไม่แม้แต่จะลงจากรถกันด้วยซ้ำ เรียงรายกันอยู่บนรถทหารหุ้มเกราะและกราดยิงลงมาราวกับห่าฝน ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายที่พวกเขาเข่นฆ่านั้นเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่มีอาวุธด้วยซ้ำ
   
“อย่ายิง ฮึก อย่ายิง!”
   
ผู้ชุมนุมคนหนึ่งกรีดร้องออกมาเมื่อพี่ชายของตัวเองนั้นถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา แต่ถึงกระนั้นเสียงกรีดร้องของเขาก็ไม่อาจทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้เห็นใจแต่อย่างใด เพราะสิ่งเดียวที่เขาเชื่อฟังคือนายของพวกเขาเท่านั้น
   
พวกเขาเชื่อว่าการเข่นฆ่ากลุ่มกบฏบ่อนทำลายชาติเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกต้อง
   
เชื่อว่ามันจะคืนเสถียรภาพให้กับประเทศและจะทำให้พวกเขานั้นคือผู้ผดุงความยุติธรรมอันน่าเลื่อมใส
   
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะยิงผู้ชุมนุมคนนั้นต่อจนเจ้าตัวนั้นต้องกลายเป็นร่างไร้วิญญาณตามพี่ไป ก่อนที่จะพยายามกำจัดเหล่ากบฏคนอื่นที่ยังคงวิ่งเอาชีวิตรอดอยู่โดยไร้ซึ่งความละอายใจ
   
“ทางนี้!”
   
ท่ามกลางความวุ่นวาย ทวิชกลับได้ยินเสียงที่คุ้นเคยและวิ่งตามไปโดยไม่ต้องคิดสักนิด เพราะคนๆ นี้นั้นเป็นหนึ่งในคนที่เขาไว้ใจที่สุดนับตั้งแต่ออกจากกรงทองมา
   
“พอส!”
   
ทวิชตะโกนเรียกเพื่อนตัวเองที่วิ่งนำอยู่ข้างหน้าและพยุงคนบาดเจ็บอยู่เหมือนกัน พอสมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นทวิชแต่วินาทีต่อก็ยิ้มกว้างทันที น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่คุยกันได้เท่าไหร่ ทั้งสองจึงไม่ได้คุยอะไรกันนักและใช้สมาธิกับการหนีเข้าตรอกซอกซอยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมั่นใจว่าไม่มีใครตามมาฆ่าพวกเขาอีก
   
“เข้ามาในนี้!”
   
เมื่อมั่นใจว่าคนกลุ่มนี้เป็นพวกเดียวกันแน่ๆ แล้ว พอสก็ตัดสินใจเปิดประตูตึกใกล้ๆ ที่ตัวเองยืนอยู่และรีบพาคนเกือบยี่สิบคนเข้าไปหลบในหนึ่งฐานที่มั่นของกลุ่มปฏิวัติที่พอจะมีอาหารยาให้ใช้อยู่บ้าง ซึ่งเมื่อเข้าไปจนครบหมอที่ประจำการอยู่สองสามคนก็มาช่วยกันทำแผลให้กับคนเจ็บทันที
   
“..อย่าให้หมอโดนตัวผม คุณก็ด้วย.. เอาศพผมไปเผาทิ้งซะ”
   
 อาสาสมัครก็ยังยืนยันคำเดิมกับทวิชด้วยสีหน้าเจ็บปวด
   
“ทำไม”
   
ทวิชยอมผละออกจากตัวอีกฝ่ายแต่โดยดีและใช้หลังมือเช็ดคราบเลือดที่โดนไอใส่ออกจากหน้าตัวลวกๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
   
“อึก พวกอัลฟ่า..ใช้อาสาสมัครเป็นตัวปล่อยโรคระบาด แค่ก!!” พูดยังไม่จบดีก็ไอโขลกออกมาอีกครั้ง โชคดีที่ครั้งนี้ยกมือปิดปากได้ทันก่อนที่จะแพร่เชื้อไปมากกว่านี้ แววตาสิ้นหวังบอกกล่าวได้ดีว่าเขานั้นเจ็บปวดขนาดไหนกับการถูกหลอกใช้จากกลุ่มคนที่เขาเทิดทูนมาตลอดชีวิต
   
“โรคระบาด?”
   
ทวิชขมวดคิ้วเพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าทางการเคยใช้วิธีการนี้ในการปราบผู้ชุมนุมด้วย
   
“ใช่ โรคระบาด” เป็นพอสที่เดินมาตอบทวิชด้วยรอยยิ้ม หากแต่สีหน้านั้นซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยฟกช้ำบางอย่างที่เกิดขึ้นเองและอธิบายไม่ได้ “และข่าวดีก็คือกูก็ติดแล้วเรียบร้อย”
   
“ติดมากี่วันแล้ว พอจะรู้ไหม”
   
ทั้งๆ ที่คิดว่าตัวเองคุ้นเคยกับความตายมากพอแล้ว แต่พอคิดว่าพอสนั้นจะตายก็อดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้
   
แววตาของทวิชหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
   
“ไม่รู้ว่ะ น่าจะสักพักแล้วตั้งแต่พวกอาสาสมัครมันแทรกซึมเข้ามา แรกๆ อาการมันก็ไม่ค่อยออกหรอก กูก็คิดว่ากูแค่ล้าเฉยๆ แต่พอมาวันนี้อาการแม่งชัดเลยว่ากูต้องเป็นอะไรสักอย่างแน่ๆ ”
   
ทั้งๆ ที่พูดถึงความเป็นความตายของตัวเองแต่พอสก็ยังคงยิ้มให้ทวิชได้ หากแต่ระหว่างที่พูดอยู่นั้นเลือดกำเดากลับไหลออกจากจมูกพอสคล้ายกับเป็นเครื่องยืนยันคำพูดของพอส
   
“...กูรักมึงนะ ทวิช ถ้ากูตายก่อนก็สู้เผื่อกูด้วยแล้วกัน”
   
พอสหัวเราะเสียงแผ่วและใช้ชายเสื้อเช็ดเลือดตัวเองออก รู้สึกเสียใจเล็กๆ ที่เขาอาจจะไม่ได้กลับไปกินอาหารฝีมือทวิชแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการได้เจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในการต่อสู้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดีไม่น้อยเหมือนกัน
   
“...”
   
 ทวิชพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรด้วยซ้ำ
   
เพื่อนเขากำลังจะตาย
   
“..ถ้าเป็นอัตราปกติเชื้อจะแสดงอาการชัดเจนในวันที่สอง แต่ถ้ามีตัวกระตุ้นที่มากพอก็จะแสดงอาการรุนแรงออกมาทันที” อาสาสมัครคนเดิมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม นัยน์ตาปรือปรอยเข้าใกล้กับความตายเต็มทน พยายามนึกถึงข้อมูลที่ตัวเองบังเอิญไปรับรู้มาและพยายามที่จะไม่หลับก่อนที่จะพูดจบเพราะเขารู้ดีว่าถ้าหากหลับไป ตัวเองจะไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้อีก
   
“ถึงตอนนั้นถ้าอยู่ต่อได้ถึงพรุ่งนี้ก็นับว่าโชคดีแล้ว”
   
พูดจบก็ไอหนักกว่าเดิมและหอบหายใจอย่างหนัก จนหมอที่ทำแผลอยู่อีกฝั่งนั้นวิ่งมาดูแต่พอสก็ใช้แขนบังเอาไว้ไม่ให้เข้าไปก่อนที่จะถอยห่างออกจากหมอที่ยังคงปกติอยู่ไม่ให้ติดเชื้อจากเขา
   
เชื้อที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันระบาดทางไหนหรือระบาดยังไง สิ่งที่เขารับรู้อย่างชัดเจนตอนนี้คือเขาแทบจะไม่สามารถหายใจได้อย่างปกติแล้ว ภายในร่างกายร้อนระอุและเจ็บปวด รอยช้ำตามร่างกายเขานั้นสร้างความทุกข์ทรมานให้กับความอย่างมหาศาลราวกับว่ามันกำลังกัดกินเขาอย่างช้าๆ ที่แย่ไปกว่านั้นคือเขาไม่สามารถคืนร่างต้นเต็มตัวได้แล้วเพราะมันจะทำให้เขาเจ็บปวดจนแทบสิ้นสติ
   
ไม่ว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ เขาก็ไปไม่รอดแล้ว
   
“ไปดูคนอื่นเถอะ เดี๋ยวผมจัดการให้เอง”
   
พอสยิ้มให้หมอที่สวมปลอกแขนหน่วยรักษาพยาบาลของกลุ่มปฏิวัติ และนั่งลงข้างๆ อาสาสมัครคนนั้นที่พิงอยู่กับกำแพงและหายใจช้าลงเรื่อยๆ
   
“แล้วพวกแกนนำปราศรัยอะไรไป ทำไมพวกมันถึงตอบโต้รุนแรงขนาดนั้น”
   
ทวิชนั่งลงข้างๆ เช่นกันโดยไม่หวาดกลัวว่าติดเองจะติดโรคระบาด ฮัมเพลงในลำคอเบาๆ ด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อช่วยขับกล่อมให้อาสาสมัครนั้นหวาดกลัวต่อความตายน้อยลง
   
“ก็ไม่มีอะไรมาก แค่เปิดคลิปแฉว่าณภัทรมันมีเชื้อสายนกพิราบ”
   
พอสหัวเราะเสียงแผ่วกับความจริงอันตลกร้ายที่ตัวเองเพิ่งรับรู้เมื่อกี้ เพราะเขาเองก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนที่ยืนยันและภูมิใจนักหนากับความเป็นอัลฟ่าของตัวเองนั้นกลับมีเชื้อสายของพวกโอเมก้าด้วย ซึ่งนั้นก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีเลยว่าการแบ่งแยกอัลฟ่า เบต้า โอเมก้าก็เป็นแค่วาทกรรมไว้ใช้หลอกประชาชนประเทศเท่านั้นเอง
   
“..เป็นเรื่องจริงเหรอ”
   
ทวิชถามออกไปโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากภาพที่ณภัทรกลายร่างเป็นสิงโตเผือกทุกปีในงานฉลองวันสถาปนายังคงติดตรึงในความทรงจำของเขา ถึงแม้จะไม่อยากยอมรับแต่ร่างต้นที่เป็นสิงโตของณภัทรนั้นสง่างามมากสมกับที่ใช้เป็นโฆษณาชวนเชื่อมาหลายสิบปี
   
“จริง แต่คนส่วนใหญ่ก็เหมือนนายนั่นแหละ คิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง ฉันเลยไม่รู้ว่าที่ทำกันจนถึงตอนนี้มันจะได้ผลไหม” พอสพยายามฝืนยิ้มให้ทวิช ทั้งๆ ที่เริ่มรู้สึกสิ้นหวังเต็มทน “หรือว่าที่เราทำมาทั้งหมดมันก็แค่เสียเวลาเปล่า”
   
“…”
   
ทวิชถอนหายใจและหลับตาลงเหนื่อยๆ แต่ก็ยังคงฮัมเพลงเบาๆ ให้บรรยากาศรอบกายที่แสนโหดร้ายให้เบาบางลง พอสยิ้มบางและตัดสินใจพิงกำแพงหลับบ้าง
   
การปราศรัยครั้งที่สำคัญที่สุดได้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว ที่เหลือจากนี้ที่พวกเขาต้องรอคือผู้คนที่ยอมออกมาเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขามากขนาดไหน เขาเชื่อว่ามีคนที่ตาสว่างแล้วแต่ก็เลือกที่จะใช้ชีวิตปกติ เพิกเฉยต่อความพยายามของกลุ่มปฏิวัติอย่างพวกเขาเพราะสามารถเอาตัวรอดจากความเหลื่อมล้ำนี้ได้แล้ว
   
ฉะนั้นชัยชนะของการปฏิวัติครั้งนี้ไม่ใช่กลุ่มปฏิวัติหรือรัฐบาลที่เป็นตัวตัดสิน
   
ประชาชนต่างหากที่เป็นคนตัดสินผลของการปฏิวัติครั้งนี้

---

 :z6:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 21 : อิสระ 7 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 08-04-2020 00:37:07
เชื้อโรคมา มีโควิทพอดี
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 21 : อิสระ 7 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 08-04-2020 00:46:51
กักตัว 14 วันนะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 21 : อิสระ 7 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Thanaruedee ที่ 14-04-2020 04:43:26
ทันต่อเหตุการ :really2: :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 22 : วันชำระบาป 18 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 18-04-2020 18:42:18
ตอนที่ 22
   
   
ข่าวใหญ่ตั้งแต่เมื่อคืนนั้นนอกจากข่าวเกี่ยวกับการปราบกบฏแล้ว ก็ยังมีข่าวเกี่ยวกับ ‘โรคระบาด’ แปลกประหลาดบางอย่างที่กำลังระบาดอย่างหนักในหมู่ประชาชน ซึ่งเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแต่กลับแสดงอาการของโรคออกมาอย่างน่ากลัว อาการแรกเริ่มของผู้ป่วยนั้นจะเริ่มต้นจากการครั่นเนื้อครั่นตัว ก่อนที่จะตามมาด้วยอาการหายใจลำบาก และรอยช้ำตามร่างกายต่างๆ ตามลำดับ
   
หากแต่อาการที่เด่นชัดที่สุดคือการเลือดกำเดาไหลอย่างไม่มีสาเหตุ ซึ่งหากมีอาการเช่นนี้แล้วทางรัฐบาลก็มีคำแนะนำให้ผู้ป่วยนั้นต้องไปโรงพยาบาลทันทีโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ เพราะอาการเลือดกำเดาไหลนั้นคือสัญญาณเตือนสุดท้ายของร่างกาย และถ้าหากปล่อยเอาไว้ไม่รักษาอีกไม่นานอาการก็จะทรุดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากอาการนี้สะท้อนถึงสภาวะที่ร่างกายไม่สามารถรับมือกับโรคนี้ได้แล้ว
   
แน่นอนว่าสรีระร่างกายของแต่ละคนนั้นต่างกันการแสดงอาการของโรคจึงค่อนข้างไม่ชัดเจน ทำให้มีคนเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง ทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ได้แสดงอาการอะไรด้วยซ้ำ
   
ประชาชนในระยะเวลานี้จึงตกอยู่ในความหวาดกลัว ความไม่แน่นอนในชีวิตทำให้พวกเขาเลือกที่จะเลือกเอาชีวิตไว้ก่อน ฉะนั้นไม่ว่าเรากบฏจะเรียกร้องหรือพูดอะไร พวกเขาก็ไม่คิดจะสนใจแล้วเพราะลำพังตัวเองพวกเขายังเอาตัวไม่รอดด้วยซ้ำ
   
ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของประชาชนในประเทศนี้นั้นจึงตกอยู่ที่รัฐบาล และรัฐบาลก็แสดงออกอย่างเต็มที่ในการดูแลประชาชนในประเทศของตัวเอง ทั้งๆ ที่ที่ผ่านมานั้นเพิกเฉยมาตลอด ซึ่งรัฐบาลก็ฉวยโอกาสในตอนที่เหล่าผู้อยู่ใต้การปกครองกำลังหวาดกลัวในการสร้างความศรัทธาในตัวรัฐบาลขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
   
พวกเขามอบอาหารและเปิดโรงพยาบาลสนามตามท้องที่ต่างๆ ในช่วงเวลาเดียวกับที่เหล่าผู้ชุมนุมเริ่มขึ้นปราศรัย หล่อเลี้ยงความหวาดกลัวของประชาชนเพื่อให้พวกเขาเพิกเฉยต่อสิ่งที่เหล่ากลุ่มกบฏเรียกร้อง ก่อนที่จะฉีกทำลายความพยายามของกลุ่มคนเหล่านั้นด้วยความรุนแรงที่โหดเหี้ยมที่สุด
   
เสรีภาพ อิสรภาพ และภารดรภาพ
   
เหล่าชนชั้นนำจะไม่มีวันให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นในประเทศนี้อย่างเด็ดขาด
   
พวกเขาจึงทำทุกวิถีทางในการรักษาอำนาจของพวกเขาไว้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีที่เลวทรามขนาดไหนก็ตาม และแน่นอนว่าการเกิดโรคติดต่อในชั่วระยะเวลาสั้นๆ นี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และเกินความสามารถของรัฐบาล
   
น้ำคือสิ่งที่พวกเขาใช้เป็นตัวกลางในการแพร่ระบาด เพราะเป็นวิธีการที่ง่ายและไวที่สุด เนื่องจากระบบประปาของเมืองนี้นั้นล้วนแล้วแต่อยู่ในการดูแลของรัฐ หากแต่รัฐก็ไม่โง่เสียทีเดียว เลือกที่จะทำให้น้ำให้ปนเปื้อนไปด้วยแบคทีเรียเพียงไม่กี่เมืองเท่านั้น และไปโหมหนักกับการประโคมข่าวแทน
   
แน่นอนว่าสื่อทุกแขนงทั้งโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ วิทยุ ในมือของรัฐบาลนั้นก็ยังคงเป็นสุนัขรับใช้ที่จงรักภักดี ยอมขายวิญญาณให้กับการผลิตข่าวเท็จออกมาเพื่อโจมตีกลุ่มกบฏ กล่าวอ้างว่ากลุ่มกบฏนั้นเป็นต้นเหตุของโรคระบาดโดยไม่สนใจว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร และพยายามเผยแพร่อาการของโรคอย่างคลุมเครือเพื่อสร้างหวาดกลัวให้กับประชาชนให้ได้มากที่สุดตามคำสั่งที่พวกเขาได้รับมา
   
ซึ่งสิ่งเหล่านี้นั้นก็ส่งผลให้เช้าวันถัดมาหลังจากที่กลุ่มปฏิวัติได้เปิดเผยความจริงต่อสาธารณชนนั้นจึงแทบจะไม่ส่งผลอะไรเลยกับคนส่วนใหญ่ พวกเขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่ากลุ่มกบฏต้องการอะไรเพราะสิ่งที่จุกแน่นอยู่ในอกนั้นคือความหวัดกลัวต่อโรคระบาดและความโกรธเคืองในกลุ่มกบฏ
   
การโต้กลับครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกลุ่มปฏิวัติจึงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
   
พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับวิธีอันเลวทรามของรัฐที่จงใจสร้างสถานการณ์ขึ้นเพื่อกระชากคอพวกเขาให้ลงมาเป็นแพะรับบาปในอาชญากรรมที่ตัวเองก่อในครั้งนี้อีกครั้ง
   
ความสิ้นหวังเกาะกุมกลุ่มปฏิวัติแต่เพราะครั้งนี้เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย พวกเขาจึงดิ้นรนกันต่ออย่างถึงที่สุด กลุ่มคนที่ยังไม่มีอาการป่วยก็พยายามรวมกลุ่มกันแสดงพลังอีกครั้ง แม้ว่าจุดจบของพวกเขาจะใกล้เข้ามาทุกที
   
อำนาจและอาวุธของศัตรูของพวกเขานั้นยิ่งใหญ่เกินไป แต่สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือเหล่าชนชั้นนำที่ถือครองอำนาจเหล่านี้ไม่มีความละอายใจใดๆ ต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำแม้แต่นิดเดียว ทั้งๆ ที่กลุ่มปฏิวัตินั้นพยายามจะใช้วิธีที่ประนีประนอมและสันติที่สุดในการต่อรอง
   
เวลาของกลุ่มปฏิวัติในครั้งนี้จึงใกล้จะหมดลงเต็มทีแล้ว

   

“อยากตรวจก็เข้าแถวดีๆ !!”
   
ทหารที่ได้รับมอบหมายให้มาช่วยเหลือหน่วยพยาบาลตะคอกออกมาเมื่อแถวที่มารอรับการตรวจนั้นเริ่มแตกแถวจากการที่มีคนมายืนออกันมากเกินไป ซึ่งก็มีผลที่ทำให้แถวนั้นเป็นระเบียบอย่างรวดเร็วเพราะประชาชนที่มาส่วนใหญ่นั้นก็ล้วนแล้วแต่ไม่อยากมีปัญหากับทางการทั้งนั้น และพวกเขาก็เชื่อว่ารัฐบาลอัลฟ่าของพวกเขานั้นจะเลือกหนทางที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือพวกเขาจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้
   
“...”
   
เวฟซึ่งอยู่ในแถวตรวจเหมือนกันก้มหน้าต่ำ พยายามทำตัวนอบน้อมที่สุดเพื่อไม่ให้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง ทั้งๆ ที่ในใจลึกๆ นั้นเจ็บปวดที่แม้แต่ตัวเขาเองนั้นก็ต้องมายืนในแถวนี้
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดตรงไหนถึงมีอาการคล้ายกับที่โรคระบาดได้  ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าตัวเองนั้นภักดีต่อเหล่าอัลฟ่ามากพอแล้ว แต่ทำไมเขาถึงยังต้องมาอยู่ตรงนี้อีก
   
เขาไม่รู้จริงๆ และเขาก็ไม่อยากตายด้วย
   
แววตาของเวฟหม่นหมองเพราะเขายอมแม้กระทั่งทรยศเพื่อนและอุดมการณ์ของตัวเอง แต่เขาก็ยังต้องมาอยู่ในเกมการเมืองของกลุ่มอัลฟ่าอยู่ดี ซึ่งเขาก็รู้ว่ากลุ่มปฏิวัติไม่มีทางทำอะไรชั่วช้าเหมือนอย่างที่สื่อหลักของประเทศบอกแน่ๆ
   
พอสที่เขารู้จักไม่มีวันทรยศประชาชนด้วยกันเองแน่ๆ
   
“ตายไปได้ก็ดี!!! พวกเหี้ย!!”
   
เสียงผู้คนสบถด่าและคำรามดังลั่นเมื่อทหารจงใจลากพวกกบฏที่จับมาได้นั้นด้วยเชือก ปล่อยให้ร่างวิญญาณของคนบาปเหล่านี้นั้นได้ลากไปตามพื้นและให้เหล่าเบต้าผู้ที่โกรธแค้นได้มาระบายอารมณ์ใส่ บ้างก็ถุยน้ำลายใส่ บ้างก็ถอดรองเท้าและยัดเข้าไปในปากพวกเขา ทำซึ่งทุกวิถีทางที่จะทำลายตัวตนของเหยื่อที่ตายไปแล้วให้หมดสิ้นซึ่งความภาคภูมิใจให้พวกเขานั้นทุกข์ทรมานที่สุดให้สาสมกับการทำลายประเทศในครั้งนี้
   
“…”
   
เวฟเหลือบมองศพที่ถูกลากผ่านตัวเองด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา มีหลายคนที่เป็นเพียงแค่เด็กผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขากลับหัวเราะชอบใจกับการที่มีชายวัยกลางคนหนึ่งบ้าดีเดือดมาฉี่รดใส่  และแทบทุกคนในแถวนั้นตะโกนให้ฆ่ากบฏบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ซะราวกับบุคคลที่เหล่านั้นเป็นปีศาจจริงๆ   
   
“แทงเลย! แทงเลย!”
   
เด็กที่ยืนข้างหลังเขาตะโกนออกมาอย่างสนุกสนานเมื่อเห็นเพื่อนตัวเองอีกคนถือมีดเข้าไปจะแทงกบฏวัยรุ่นที่มีอายุใกล้ๆ กับตัวเอง สีหน้าของเหยื่อคนนั้นหวาดกลัวและร้องไห้ออกมาไม่หยุด พยายามอ้อนวอนขอชีวิตจากประชาชนด้วยกันเอง ก่อนที่จะมันจะกลายเป็นความสูญเปล่าเมื่อปลายมีดคมนั้นถูกแทงเข้าที่อกทันที
   
“...”
   
มือของเวฟที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋านั้นกำแน่นจนเลือดซึมออกมา พยายามอย่างยิ่งไม่ให้ตัวเองร้องไห้หรือแสดงอารมณ์เจ็บปวดออกมาเพราะไม่เช่นนั้นเขาก็อาจจะถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏไปด้วย
   
เขาไม่เข้าใจเลย..
   
ไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าผู้คนยอมรับความรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง
   
“!!”
   
เวฟเบิกตากว้างเมื่อศพที่ถูกลากมาทีหลังนั้นกลับเป็นคนที่เขารู้จักดีที่สุด
   
พอส!
   
นัยน์ตาของเวฟสั่นระริกอย่างควบคุมไม่อยู่และแทบจะร้องไห้ออกมา เพราะใบหน้าของพอสนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ตามลำตัวเต็มไปด้วยเลือดและรอยกระสุน หากแต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือลิ่มสีทองที่ถูกตอกไว้ที่อกเพื่อเป็นการปราบปีศาจ ทั้งๆ ที่เพื่อนของเขาก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น
   
ทำไม..
   
เวฟพยายามอย่างมากในการไม่ร้องไห้และใช้เสียงหัวเราะลั่นของตัวเองกลบเกลื่อน เสแสร้งความรู้สึกเพื่อผสมโรงไปกับความป่าเถื่อนอันบ้าคลั่งในบริเวณที่กำลังเกิดขึ้น ผนวกตัวเป็นส่วนหนึ่งกับความรื่นเริงในการฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเพื่อที่จะเอาตัวรอดจากความโหดเหี้ยมนี้
   
ทั้งๆ ที่เขาควรจะดีใจที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่ในอกเขากลับไม่รู้สึกแบบนั้นสักนิด
   
“...มึงมันก็ไม่ต่างจากคนพวกนี้หรอก เวฟ”
   
เวฟสะดุ้งสุดตัวเมื่อคล้ายกับได้ยินเสียงพอสข้างหู ใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อนึกถึงประโยคที่พอสเคยหลุดพูดออกมาตอนที่นั่งกินเหล้าด้วยกัน
   
“ยืนเฉยๆ ตรงนั้น ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้พวกมันทำตามอำเภอใจแล้วปลอบใจตัวเองว่ามึงไม่ได้ทำอะไรผิด”
   
“แล้วกูผิดตรงไหนวะ พอส”
   
เวฟมองตามร่างของเพื่อนตัวเอง
   
“กูก็แค่ไม่อยากตายเหมือนมึงเท่านั้นเอง”

   

หนึ่งในสิ่งที่กลุ่มปฏิวัติคำนึงอยู่เสมอคือกรณีเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นได้กับพวกเขา แน่นอนว่าความพ่ายแพ้ก็เป็นกรณีนั้นแต่สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงคือเงื่อนไขในการแพ้ครั้งนี้ของพวกเขาที่ทางการเลือกใช้กลับเป็นโรคระบาด ทั้งๆ ที่หลายครั้งนั้นจะเน้นการปลุกปั่นด้วยวาทกรรมและข่าวปลอม ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขาก็ยังจะพาหาทางรับมือได้บ้าง
   
แต่พอมันเป็นแบบนี้พวกเขาก็จะไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันยังไง เพราะลำพังแค่พยายามไม่ให้ตัวเองติดเชื้อก็แทบจะทำไม่ได้แล้ว ไหนจะความกลัวตายของประชาชนที่จะมาฝังกลบทุกข้อเท็จจริงอีก
   
สิ่งที่พวกเขายังพอทำได้ตอนนี้ก็มีเพียงแค่แบ่งกลุ่มคนที่ยังไม่ติดเชื้อและยังศรัทธาในอุดมการณ์ออกมาเท่านั้น แน่นอนว่าสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์คือการเอาตัวรอด เหล่าผู้ร่วมอุดมการณ์หลายคนจึงยอมถอนตัวจนกลุ่มสุดท้ายที่ยังสามารถยืนหยัดในการต่อต้านเหลือไม่ถึงยี่สิบคนด้วยซ้ำ
   
ความสิ้นหวังกัดกินกลุ่มปฏิวัติเพราะไม่ว่าพวกเขาเคลื่อนไหวอะไร ประชาชนก็พร้อมที่จะเกลียดชังพวกเขา ประฌามพวกเขาก่อนที่จะใช้ความรุนแรงกำจัดพวกเขาโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
   
แน่นอนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองนั้นติดตาสมาชิกกลุ่มปฏิวัติ
   
พวกพ้องของเขาถูกกระทำอย่างต่ำทราม โหดเหี้ยม ไร้มนุษยธรรม แต่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้กลับมีเพียงเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์เลวร้ายนั้นและออกมาต่อสู้เพื่อสืบสานอุดมการณ์ของเพื่อนตัวเองต่อ
   
พวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้จริงๆ เหรอ?
   
ถึงแม้จะไม่มีใครพูดออกมาแต่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจในความสั่นคลอนของอุดมการณ์ของพวกเขา
   
การต่อสู้ครั้งนี้พวกเขากำลังจะพ่ายแพ้และถ้าหากไม่รีบถอนตัวก็จะตายไปอย่างทุกข์ทรมานเช่นเดียวกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนอื่นๆ หากแต่ถ้าพวกเขาเลือกที่จะยอมศิโรราบกับความชั่วร้ายเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับฆาตกรพวกนั้นที่เหยียบย่ำชีวิตของเพื่อนเขา
   
พวกเขาควรจะเลือกอะไร
   
อุดมการณ์? ชีวิตตัวเอง? หรือไม่เลือกอะไรเลย
   
เหล่าสมาชิกกลุ่มปฏิวัติที่ยังมีชีวิตอยู่กว่าครึ่งร้องไห้ออกมาอย่างสิ้นหวัง ทั้งๆ ที่ก่อนจะแยกกับเพื่อนกลุ่มอื่นตัวเองนั้นก็รับปากมาอย่างดีว่าจะมาสู้ต่ออย่างถึงที่สุด หากแต่ความจริงที่พวกเขาเผชิญตอนนี้มันก็ช่างแสนเจ็บปวด
   
พวกเขาจนตรอกแล้ว
   
อาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขามีและทรงพลังที่สุดคือความจริง แต่ความจริงของพวกเขากลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่าไปแล้ว พวกเขาหมดหนทางแล้วกับการต่อสู้กับชนชั้นนำชั่วร้ายพวกนี้
   
“...”
   
ทวิชซึ่งยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองจลาจลที่อยู่บนถนนด้วยความรู้สึกสิ้นหวังเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในห้อง เพราะถึงแม้ว่าเขาจะอยากต่อสู้ต่อเพื่อพอสและทุกคนยังไง ความพ่ายแพ้ของพวกเขาก็ชัดเจนพออยู่แล้ว
   
ตอนนี้พวกเขายังทำอะไรได้บ้างนะ..
   
[ ...สวัสดีเหล่าลูกที่รักทุกคนของพ่อ ]
   
สมาชิกหลายคนในกลุ่มปฏิวัติเบิกตากว้างเมื่ออยู่ๆ วิทยุที่ฟังอยู่นั้นกลับปรากฏเสียงของ ‘ผู้ที่ทรงอำนาจ’ ที่สุดในประเทศนี้ ผู้ที่เป็นหนึ่งความชอบธรรมของการมีอยู่ของชนชั้นปกครอง และคอยเฝ้ามองการทำงานของรัฐบาลในประเทศนี้เสมอมา
   
แน่นอนว่าความสูงส่งยากจะเอื้อมถึงของณภัทรนั้นทำให้เจ้าตัวไม่ค่อยได้แสดงตัวนัก ถ้าหากไม่ใช่เหตุการณ์ที่สำคัญหรือจำเป็นจริงๆ ก็จะหลบอยู่หลังฉาก ปล่อยให้ลิ้วล่อทำงานแทนตัวเองเพื่อสร้างความลี้ลับและความน่ายำเกรงให้กับตัวเอง
   
“...”
   
ทวิชยังคงหลุบตามองจลาจลเบื้องล่างด้วยสีหน้าเฉยเมย มองตามเหล่านักบวชของศาสนาซึ่งสวมชุดคลุมสีขาวขลิบทองที่ลงมาจากรถยนต์ต่างประเทศคันหรูและกระจายกันไปให้กำลังใจแก่ประชาชนที่กำลังประสบอยู่ในสภาวะความหวาดกลัวและหลงทาง
   
[ ..สำหรับพ่อแล้ว วันนี้เป็นวันที่แสนจะวิปโยค เป็นวันที่พ่อรู้สึกไม่มีความสุขและเป็นทุกข์เหลือเกิน ]
   
ทวิชแค่นเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นชาวบ้านหลายคนเบื้องล่างนั้นนั่งน้ำหูน้ำตาไหลกันซึ่งก็คาดว่าน่าจะได้ยินเสียงณภัทรจากลำโพงประจำเมืองด้านนอก สีหน้าของพวกเขาเหล่านั้นเลื่อมใสศรัทธาจนทวิชหัวเราะจนตัวโยน เพราะข้างกายพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยซากศพของกลุ่มปฏิวัติที่ถูกเข่นฆ่าอย่างทารุณ
   
เขากำลังสู้เพื่อคนพวกนี้เหรอ?
   
คนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของเขาด้วยซ้ำ คนที่พร้อมจะโห่ร้องยินดีเมื่อเขาตาย คนที่เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการเข่นฆ่าพวกพ้องของเขาในวันนี้
   
มันคุ้มค่าเหรอกับการที่ต้องมาตายอย่างทุกข์ทรมานด้วยน้ำมือคนที่ไม่เห็นค่าชีวิตของพวกเขา
   
[ ..พ่อจะไม่โกรธพวกคนชั่วที่ทำในสิ่งชั่วร้าย ถึงแม้การจงใจแพร่โรคระบาดจะเป็นบาปร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ลูกๆ เอ๋ย พวกเราเป็นผู้เจริญแล้ว อย่าปล่อยให้ปีศาจร้ายมาควบคุมร่างกายเหมือนกับกบฏพวกนี้ เราจะเป็นผู้ที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่น เราจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเพื่อที่จะชดใช้บาปของเราและไม่ให้บาปของตัวเองไปทำร้ายใครอย่างพวกคนบาปเหล่านี้ ]
   
น้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจนั้นพูดอย่างเป็นจังหวะและน่าฟัง มีการทอดเสียงบ้างในบางจังหวะเพื่อให้ผู้ฟังได้คิดตามและหลงเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลเพราะอัลฟ่าในประเทศนี้นั้นคือความถูกต้อง เป็นความจริงแท้ที่ไม่มีสิ่งใดสามารถหักล้างได้ เป็นชุดความคิดเดียวที่ครอบงำสังคมและถูกยึดเป็นเหตุผลตรรกะทุกอย่างในประเทศ
   
ฉะนั้นสิ่งใดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่อัลฟ่าพูดนั้นก็ย่อมเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งสิ้น
   
“...”
   
ทวิชสบตากับเพื่อนร่วมอุดมการณ์ในห้องที่ดูสิ้นหวังมากกว่าเดิม ทั้งๆ ที่ร่างกายของพวกเขานั้นครบสมบูรณ์ที่สุดแต่ในเวลานี้กลับแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงหรือแรงใจที่จะต่อสู้เพื่อสิ่งใดอีกแล้ว
   
[ ..และเพื่อเป็นการชำระบาปของคนชั่วเหล่านี้ พระเจ้าก็ได้ประทานยารักษาโรคระบาดนี้ให้กับพ่อ ยารักษาที่จะทำให้ลูกๆ ของพ่อรอดพ้นจากกระทำอันชั่วร้ายของพวกกบฏ ]
   
“..เล่นง่ายดีเนอะ”
   
นิลหรือหนึ่งในแกนนำปฏิวัติครั้งนี้หัวเราะเสียงขืน รู้สึกสิ้นหวังเพราะสิ่งที่พวกอัลฟ่าทำอยู่นั้นไม่เนียนเลยสักนิด การคิดยารักษาโรคระบาดที่เพิ่งอุบัติใหม่ได้ในเวลาไม่ถึงอาทิตย์นี้ดูจะเป็นความบังเอิญเกินไปแล้ว ถ้าหากคนทั่วไปลองคิดไตร่ตรองหรือสงสัยสักนิดก็จะรู้ว่ายารักษานี้มีความไม่ชอบมาพากลอยู่
   
ให้ตายเถอะ เขาเบื่อข้ออ้างพระเจ้าอะไรนั่นของพวกอัลฟ่าชะมัด เพราะแค่เอ่ยถึงพวกคนธรรมดาทั่วไปก็เชื่อแล้ว ไม่กล้าสงสัยเนื่องจากกลัวว่าบาปของตัวเองจะมากกว่าเดิม จากแต่เดิมที่มีอยู่เยอะแล้วตั้งแต่เกิด
   
เอาเข้าจริงเขาในสมัยเด็กก็เคยหลงเชื่อเหมือนกัน จนกระทั่งพ่อแม่ของเขาถูกฆ่าตายด้วยข้ออ้างว่าเป็นความต้องการของพระเจ้า เขาถึงได้สำนึกรู้เลยว่าพวกอัลฟ่าไม่ได้สูงส่งอย่างที่พวกมันกรอกหัวใส่ประชาชน
   
ทุกคนในประเทศนี้ก็เป็นแค่มนุษย์ และมีคนกลุ่มหนึ่งแอบอ้างว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนอื่นก็เท่านั้น แน่นอนว่าการกำจัด ‘ณภัทร’ ไม่ใช่การยุติระบบการปกครองอัปลักษณ์นี้ สิ่งที่เป็นปัญหาจริงๆ คือกลุ่มชนชั้นนำที่สนับสนุนระบบการปกครองนี้และนัยน์ตาที่มืดบอดของประชาชน
   
ซึ่งตอนนี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าคนส่วนใหญ่นั้นพอใจกับชีวิตลำบากเช่นนี้ มีความสุขกับภาพฝันที่เหล่าชนชั้นปกครองหลอกให้เชื่อและมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปตราบใดที่พวกมันยังคงควบคุมการศึกษาเอาไว้
   
“ยอมแพ้กันเถอะ” เบต้าคนหนึ่งพูดเสียงเบาและพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงที่เบากว่าเดิม “...ผมยังไม่อยากตาย”
   
“…”
   
นิลพูดอะไรไม่ออกเพราะในห้องนี้ มีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นหนึ่งในแกนนำการปฏิวัติครั้งนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนแกนนำคนอื่นๆ นั้นตายไปหมดแล้วตอนที่พวกอัลฟ่าส่งคนมากวาดล้าง บางคนก็ตายเพราะพวกอาสาสมัครที่แทรกซึมมาเพื่อที่จะเป็นพวกระเบิดพลีชีพ และอีกหลายคนที่ไม่ติดต่อไม่ได้แล้ว
   
อำนาจการตัดสินใจครั้งสุดท้ายอยู่ที่เขา
   
แววตาของนิลสั่นระริก
   
เขาไม่อยากยอมแพ้  ไม่อยากให้สิ่งที่ทุกคนทำมาตลอดหลายอาทิตย์นี้สูญเปล่า
   
เขา..
   
[ …แต่พวกกบฏพวกนี้ช่างใจร้ายนัก แม้แต่โบสถ์ของเรามันก็ไม่ละเว้นเผาสิ้นจนพ่อแทบใจจะขาด พี่น้องของเราก็ล้มตายไปมากมาย ลูกๆ เอ๋ยพ่อจะคืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องของเรา ถ้าลูกพบพวกกบฏก็จงจับมันมาให้พ่อ พ่อจะชำระล้างบาปมหันต์ที่มันได้สร้างให้แก่เรา เราจะยินยอมให้มันใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขไม่ได้อีกแล้ว ]
   
“!!!”
   
ทวิชที่กำลังยืนเหม่ออยู่นั้นสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ กลับมีบ่วงเชือกคล้องเข้าที่คอและรัดแน่น แน่นอนว่าทวิชขัดขืนตามสัญชาตญาณทันที
   
“ทำอะไรของมึงวะ!!!”
   
นิลตะคอกใส่เพื่อนสนิทตัวเองที่เป็นคนกระโจนเข้าใส่ทวิช แล้วถลาเข้าไปช่วยทวิชทันทีแต่คนอื่นที่เหลือก็มาช่วยกันจับนิลเอาไว้ไม่ให้เข้าไปช่วย
   
“กูไม่อยากตาย! เข้าใจไหม นิล! กูไม่อยากตาย!”
   
ความสิ้นหวังก็ยังคงทำให้ผู้คนบ้าคลั่ง
   
เพื่อนร่วมอุดมการณ์ของนิลพยายามต่อสู้กับทวิช เพื่อที่จะนำตัวไปแขวนคอบนดาดฟ้าอันเป็นการแสดงสัญลักษณ์ในการยอมสวามิภักดิ์ต่ออัลฟ่าและจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไปในฐานะผู้ที่ปราบกบฏ
   
“มึงทำแบบนี้ไม่ได้!!! มึงจะมาฆ่าพวกกันเองทำไมวะ มึงจะทำตัวแบบพวกมันทำไม!!!”
   
นิลตะโกนออกมาทั้งน้ำตาเพราะร่างต้นของเขาก็เป็นแค่กระต่ายอ่อนแอ เขาเลยไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะขัดขืนจากพันธนาการนี้ได้
   
“กูก็ไม่อยากทำแต่มันมีทางเลือกให้กูไหมล่ะ ฮึก กูอยากชนะพวกมัน แต่มึงก็ยอมรับความจริงเหอะว่าเราแพ้แล้วและทางเดียวที่เรามีคือต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอโอกาสครั้งต่อไป”
   
“แล้วทำไมมึงไม่เอาตัวมึงเองวะ”
   
“กูก็บอกแล้วไง นิล ว่ากูไม่อยากตายแล้วเขาก็เป็นคนที่พวกเราสนิทน้อยที่สุดแล้ว”
   
กรรซ!!!
   
ในที่สุดทวิชก็ทนไม่ไหวตัดสินใจคืนร่างต้นครึ่งบนเป็นเสือดำแล้วปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าครอบงำตัวเองทันที ทวิชกัดแขนของคนที่พยายามจะบีบคอเขาจนจมเขี้ยวก่อนที่จะสลัดออก นัยน์ตาสีทองวาวโรจน์อย่างดุร้าย หอบหายใจเข้าออกอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ
   
“..มึง มึง”
   
เบต้าที่โดนกัดมองแขนชุ่มเลือดตัวเองด้วยความตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าทวิชจะมีเชื้อสายของพวกสัตว์กินเนื้อด้วย ที่เขาพวกเขาแน่ใจคือทวิชนั้นเป็นพวกนกอย่างเต็มตัวแน่ๆ ดังนั้นการตายของทวิชจะช่วยให้พวกเขาทั้งหมดรอดพ้นจากการถูกชำระบาปจากพวกอัลฟ่าอย่างแน่นอน
   
กรรซ
   
ทวิชส่งเสียงขู่ออกมาอย่างดุร้าย จ้องมองคนอื่นๆ ที่ปล่อยตัวเขาได้ทันก่อนที่เขาจะกัด แน่นอนว่าด้วยความโกรธที่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกวินาที ทวิชมั่นใจมากว่าตัวเองจะสามารถขย้ำคนพวกนี้ให้ตายคาห้องด้วยซ้ำ
   
เขาเกลียด..
   
เกลียดทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกบ้าๆ นี่!
   
“ทวิช ใจเย็นๆ นะ อย่าฆ่าพวกเราเลย”
   
เบต้าวัยกลางคนที่อายุมากที่สุดในกลุ่มพยายามเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นเป็นคนเสนอชื่อทวิชและอดนึกเกลียดชังสายพันธุ์สัตว์กินพืชในร่างตัวเองไม่ได้ เพราะมันทำให้เขาหวาดกลัวทวิชจนตัวสั่น ซึ่งนั้นรวมถึงคนอื่นๆ ในห้องด้วยที่ล้วนแล้วแต่เป็นเบต้ากันทั้งนั้น ไม่มีใครที่มีเชื้อสายสัตว์กินเนื้อหรือนกทั้งนั้นนอกจากทวิช
   
นี่มันเป็นความบังเอิญบ้าบออะไรกัน
   
เบต้ากว่าครึ่งในห้องคิดอย่างหงุดหงิด เพราะหลังจากลอบปรึกษากันในระยะเวลาสั้นๆ พวกเขาก็คิดว่าทวิชนั้นน่าจะเป็นคนที่จัดง่ายที่สุด ดูอ่อนแอเหมือนจะตายได้ตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับเป็นฝ่ายของพวกเขาที่เพลี่ยงพล้ำเองซะอย่างนั้น
   
แน่นอนว่าพวกเขาที่ไม่เหลือทางรอดแล้วจึงไม่ได้คิดจะปล่อยทวิชไปจริงๆ
   
“...ถอยไป”
   
ทวิชไม่สนใจและยังคงแยกเขี้ยวขู่อย่างดุร้าย ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วนอกจากความต้องการของตัวเอง เพราะทุกครั้งที่เขาพยายามจะทำเพื่อคนอื่น ก็จะเป็นทุกครั้งที่เขาถูกเอารัดเอาเปรียบ โดนกระชากคอให้รับเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น ทั้งๆ ที่เขายังไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรด้วยซ้ำ
   
แค่การที่เขามีเชื้อสายนกเพียงคนเดียวในห้องเหรอ เขาถึงต้องรับผิดชอบการอยู่รอดของคนพวกนี้
   
ทำไมคนที่เป็นหนึ่งในแกนนำการปฏิวัติครั้งนี้อย่างนิลถึงไม่ถูกเลือก ทำไมคนอื่นๆ ในห้องนอกจากนิลถึงได้เห็นดีเห็นงามกับการตายของเขากัน การอยู่รอดมันสำคัญนักเหรอ อยากให้เขาตายมากนักเหรอ?
   
กรรซ
   
ทวิชคำรามซ้ำเมื่อไม่มีใครยอมถอยห่างออกจากประตูแม้แต่คนเดียว นัยน์ตาสิ้นหวังของผู้คนรอบกายเขานั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งไม่ต่างจากพวกที่หลงเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของพวกอัลฟ่าและไล่ฆ่าผู้คนด้านนอก
   
คนพวกนี้อยากมีชีวิตต่อ
   
นัยน์ตาของทวิชสั่นระริกอย่างเจ็บปวด เมื่อชั่วขณะหนึ่งนึกถึงพ่อตัวเองที่โดนแขวนคอเหมือนกัน ซึ่งเขาก็ไม่รู้ว่าพ่อโดนพวกพ้องด้วยกันเองทรยศเหมือนเขาหรือเปล่า
   
เขาเจ็บ.. เจ็บจนแทบบ้า
   
การมีอยู่ของอัลฟ่าคือสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ผิดเพี้ยนถึงขนาดนี้เชียว
   
ผู้คนยอมละทิ้งซึ่งศีลธรรมและอุดมการณ์เพื่อการอยู่รอดของตัวเอง
   
แน่นอนว่าเขาอยากตายก็จริงแต่การตายของเขาจะไม่มีวันเกิดจากคนอื่น และจะไม่มีใครหน้าไหนมาใช้ประโยชน์จากศพของเขาได้ทั้งนั้น
   
“ถอยไป”
   
ทวิชพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ หยิบเชือกที่คล้องคอตัวเองอยู่มากัดออกจนขาดเป็นสองท่อนจนเหลือความยาวแค่ถึงเอว ก่อนจะค่อยๆ เดินไปยังประตูโดยไม่สนว่าคนที่ขวางประตูอยู่
   
“จับมัน!!”
   
มีคนหนึ่งให้สัญญาณก่อนที่ความชุลมุนจะเกิดขึ้นในทันที แน่นอนว่าทวิชไม่เหลือความลังเลใดๆ อีกต่อไป ตะปบแขนคนหนึ่งและกระชากเข้าหาตัวก่อนจะกัดไหล่จนจมเขี้ยว เลือดที่ไหล่บ่าออกมาอาบหน้าทวิชจนเลอะไปด้วยเลือดแต่ทวิช
   
“ปล่อย!! ไม่เอา อย่าฆ่าผม อย่าฆ่าผม”
   
เบต้าคนที่โดนกรีดร้องออกมาขวัญเสีย แต่คนอื่นๆ ก็ยังคงพยายามต่อ บางส่วนก็คืนร่างต้น บางส่วนก็หยิบเอาไม้ในห้องมาทุบ ทวิชจึงยอมปล่อยออกจากไหล่และงับเข้าที่หลอดลมของคนที่อยู่ในมือแทน
   
“!!!”
   
ทวิชสบตากับคนอื่นๆ ที่ยืนตกตะลึงด้วยสีหน้าเฉยชา ก่อนที่จะคายเหยื่อออกจากปากตัวเองและแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะอยู่ตามปาก
   
“..จะถอยไหม”
   
ทวิชถามซ้ำอีกครั้งด้วยการเตะเหยื่อที่กองอยู่แทบเท้าตัวเองไปยังเบต้าที่พยายามฆ่าเขา
   
คนพวกนั้นสะดุ้งสุดตัวแต่ก็ยังไม่กล้าทำอะไร มีบางคนร้องไห้ออกมาอย่างหวาดกลัวเมื่อเห็นเพื่อนของตัวเองค่อยๆ ตายต่อหน้าจากรอยกัดเหวอะแหวะบริเวณคอ
   
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบอะไรทวิชก็เดินต่อ ซึ่งคราวนี้ก็ไม่มีกล้ามาขวางทางเขาอีก แน่นอนว่าก่อนที่ทวิชจะปิดประตูก็อดไม่ได้ที่มองอดีตเพื่อนร่วมอุดมการณ์ของตัวเองด้วยสีหน้าสมเพช และเดินเข้าไปในห้องน้ำอีกห้องเพื่อชำระร่างกายตัวเอง
   
ทวิชคืนร่างกลับเป็นมนุษย์ ถอดเสื้อที่ชุ่มไปด้วยเลือดออก และวักน้ำจากก๊อกขึ้นมาร่างหน้าตัวเองเพื่อล้างเลือด
   
ทวิชครางออกมาเมื่อล้างไปได้สักพักร่างกายของเขาอยู่ๆ ก็ร้อนระอุขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ก่อนที่มันจะสร้างความเจ็บปวดให้เขาจนเขาควบคุมร่างของตัวเองไม่ได้
   
ทุกข์ทรมานอยู่พักใหญ่ในที่สุดความเจ็บปวดก็หยุดลง ทวิชมองตัวเองในกระจกที่มีปีกอีกาคู่ใหญ่บนแผ่นหลังและใบหูของเสือดำ ก่อนที่จะเบิกตากว้างเมื่อเห็นเลือดค่อยๆ ไหลออกจากจมูก
   
“...”
   
ทวิชเช็ดเลือดนั้นออกและก้มมองมือชุ่มเลือดของตัวเองด้วยแววตาสิ้นหวัง
   
เขาติดโรคระบาดแล้ว

(https://sv1.picz.in.th/images/2020/04/18/U3gk5Q.jpg)
-------

 :mew2:

หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 22 : วันชำระบาป 18 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-04-2020 16:11:55
เศร้าตลอด จะมีความหวังมาบ้างไหม
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 22 : วันชำระบาป 18 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 20-04-2020 01:23:57
วนไป มีแต่เรื่องแย่ๆ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 22 : วันชำระบาป 18 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 21-04-2020 16:46:30
อะไรจะโชคร้ายขนาดนี้นะทวิช :sad4:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 23 : ยารักษา 22 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 22-04-2020 23:30:55
ตอนที่ 23

   
“ไสหัวไปสักที”
   
กันต์พูดด้วยสีหน้าเย็นชาใส่ชนินทร์ที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ไปไหน ทั้งๆ ที่เขาปล่อยให้หนีไปตั้งนานแล้ว
   
“ไม่”
   
ชนินทร์ตอบกลับอย่างไม่ลังเลและนั่งมองความชุลมุนข้างนอกร้านที่มีผู้คนเต็มไปหมด หลังจากที่มีข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดเมื่อคืน แน่นอนว่าการเก็บตัวอยู่บ้านคือทางเลือกที่ดีที่สุดตอนนี้ แต่ความอดอยากและความหวาดกลัวก็บีบให้คนพวกนี้ออกมารอความเมตตาจากอัลฟ่าที่ว่ากันว่ามียารักษาโรคระบาดนี้แล้ว
   
“คุณคิดว่าทวิชจะติดไหม”
   
กันต์เผลอมองไปยังเก้าอี้ไม้ที่ทวิชชอบนั่งอย่างเผลอไผล ก่อนจะรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อคิดว่าทวิชนั้นอาจจะติดโรคระบาดที่ระบาดตอนนี้ไปแล้ว และอาจจะมีจุดจบแบบเดียวกับแม่ของเขาที่ตายภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่รู้ตัวว่าติดโรคได้ไม่นาน
   
ไม่.. เขายอมให้มันเกิดเรื่องแบบนั้นกับทวิชไม่ได้
   
กันต์พยายามควบคุมตัวเอง แต่มือและร่างกายกลับสั่นอย่างเห็นได้ชัด
   
“ไม่รู้สิ ติดมั้ง ยังไงโรคระบาดมันก็ไม่เลือกคนหรอก”
   
สำหรับชนินทร์นั้นทวิชในตอนนี้ก็ไม่ต่างกับคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าจะตายเพราะโรคระบาดหรือตายเพราะเข้าร่วมกับกลุ่มกบฏก็มีผลลัพธ์แบบเดียวกันคือความตาย
   
แน่นอนว่าชนินทร์ก็เสียดายทวิชอยู่บ้าง แต่เขาก็รักชีวิตตัวเองมากกว่า เขารู้ว่าสิ่งที่ทวิชทำนั้นคือการเสียสละเพื่อส่วนรวม หากแต่โอกาสความสำเร็จมันก็น้อยจนเขาไม่อยากเข้าไปเสี่ยงด้วย
   
เขารู้ดีว่าพวกอัลฟ่าโหดร้ายกับคนที่อยู่ข้างล่างยังไง รู้ดีว่าภายใต้ภาพลักษณ์เลิศหรูซุกซ่อนความเน่าเฟะอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นส่วนหนึ่งของมันมาตลอด
   
เขายอมรับว่าตัวเองขี้ขลาดเกินกว่าจะออกมาทำอะไรแบบทวิช ถึงแม้ว่าสิ่งที่พวกอัลฟ่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย เห็นแก่ตัว แต่ตราบใดที่เขายังมีเชื้อสายของอัลฟ่าอยู่ เขาก็มั่นใจว่าเขาต้องหาทางกลับไปใช้ชีวิตในแบบอัลฟ่าได้แน่ๆ
   
ที่เขาบอกทวิชว่าจะช่วยตอนนั้นมันก็แค่คำโกหกของเขาเท่านั้น
   
เขาทนใช้ชีวิตห่วยๆ แบบนี้ตลอดไปไม่ได้หรอก
   
ชนินทร์กำลังจะหาวอีกรอบก็สะดุ้งเมื่อเห็นกันต์ลุกพรวดและเดินเข้ามากระชากคอเสื้อ
   
“ทำอะไรของมึงวะ!!”
   
คนเป็นอัลฟ่าร้องเสียงหลงเพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว เขายังถูกเรี่ยวแรงมหาศาลพาตัวออกมาด้านนอกที่มีผู้คนมายืนรอความช่วยเหลือมากกว่าที่เห็นจากข้างในอีก
   
“ปล่อย ปล่อยสิวะ!!”
   
ชนินทร์พยายามตะเกียกตะกายหนีแต่ก็ไม่ได้ผล ซึ่งกันต์ก็ใช้เพียงมือข้างเดียวเท่านั้นในการจัดการกับชนินทร์และใช้อีกข้างกับการล็อคประตูร้าน
   
“ผมจะไปเอายาให้ทวิช” กันต์พูดกับชนินทร์ด้วยน้ำเสียงเย็นชา “และคุณก็ต้องไปกับผม”
   
“ติดเองก็ต้องรับผิดชอบตัวเองไหมวะ”
   
“…”
   
สีหน้าของชนินทร์ซีดเผือดเมื่ออยู่ๆ แรงที่บีบคอเขาแรงขึ้นกว่าเดิมจนหายใจไม่ออก
   
นัยน์ตาของกันต์วาวโรจน์อย่างเดือดดาล เพราะเขานั้นเกลียดคนแบบชนินทร์ที่สุด
   
คนที่เอาแต่โทษคนจนอย่างพวกเขาว่าผิด ไม่รับผิดชอบตัวเอง ทั้งๆ ที่เขาและแม่ใช้ความพยายามทั้งหมดแล้วในการเอาตัวรอดจากความเลวร้ายพวกนี้ พยายามมากจนไม่รู้จะพยายามยังไงแต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
   
แม่เขาต้องตายเพราะอยากรับผิดชอบที่ทำให้เขาเกิดมาด้วยการโหมรับงานเพื่อที่จะเอาเงินมาให้เขาใช้และหวังว่าสักวันมันจะมากพอให้เขากับแม่ออกไปตั้งตัวประกอบอาชีพอย่างอื่นที่เลี้ยงพวกเขาได้
   
แต่สุดท้ายแม่เขาก็ติดโรคจากพวกอัลฟ่าซะก่อน ฝันเฟื่องพวกนั้นเลยจบลงที่เขาต้องใช้ชีวิตอย่างเดนมนุษย์ เป็นปรสิตที่คอยแย่งอาหารที่ไม่ค่อยมีอยู่แล้วจากพวกเดียวกันเองเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่ออย่างมีความสุขเหมือนที่แม่อยากให้เขามี
   
เขาไม่รู้ว่าพวกอัลฟ่าอย่างชนินทร์ต้องการให้เขาพยายามมากแค่ไหนถึงจะพอ แต่เขาไม่อยากพยายามแล้ว เขายอมแพ้แล้วเหมือนกับระบบโสโครกนี้ ถ้าทวิชตายเขาก็ไม่มีอะไรต้องสนแล้ว
   
เขาไม่เหลือฝันอะไรให้ฝันถึงแล้ว
   
ถ้าเลือกได้จริงๆ เขาไม่อยากเกิดมาด้วยซ้ำ
   
“..กันต์!!”
   
ชนินทร์พยายามเค้นแรงเฮือกสุดท้ายต่อรองกับกันต์
   
“หน้าที่ของคุณก็แค่เก็บยาไว้ให้ทวิช”
   
“..เออ ทำ ทำแล้ว ปล่อยก่อน”
   
“...”
   
กันต์มองชนินทร์ด้วยสีหน้าสมเพชก่อนที่จะยอมปล่อยอย่างว่าง่าย ซึ่งทำให้ชนินทร์ทรุดลงไปกองกับพื้นทันทีและหอบหายใจเอาอากาศอย่างบ้าคลั่ง ส่วนกันต์นั้นก็มองตามรถตู้คันหรูสีขาวสะอาดที่มีตราประทับของพวกอัลฟ่าที่เพิ่งวิ่งผ่านหน้าไปและไปจอดบริเวณจตุรัสกลางเมืองที่มีการตั้งเต็นท์พยาบาลรอเอาไว้อยู่แล้ว
   
ผู้คนที่มายืนรอกันตามถนนนั้นวิ่งตามรถไปทันที ส่วนคนที่รออยู่บริเวณเตนท์อยู่แล้วก็พยายามที่จะไปยืนข้างหน้าสุดของกลุ่มเพื่อที่จะได้รับยาคนแรก แต่น่าเสียดายที่พวกเขาก็ทำตามอำเภอใจไม่ได้นักเพราะหลังจากนั้นไม่นานรถของเจ้าหน้าที่รัฐอีกหลายคันก็ตามมาจอดใกล้ๆ ก่อนที่เหล่าทหารจะลงมาช่วยดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยพร้อมกับอาวุธครบมือ
   
เจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มหนึ่งที่วุ่นอยู่กับการจัดการลำโพงประจำจตุรัสที่เสียอยู่สักพักก่อนจะยิ้มออกมา เมื่อมันถ่ายทอดเสียงผู้ที่พวกเขาเคารพนับถือที่สุดในชีวิตออกมาด้วยเสียงที่ชัดเจนและกังวาน ถึงแม้จะเปิดไม่ได้ทันตั้งแต่ตอนเริ่มแต่พวกเขาก็ยินดีกันมากอยู่ดี
   
[ ..พ่อจะไม่โกรธพวกคนชั่วที่ทำในสิ่งชั่วร้าย ถึงแม้การจงใจแพร่โรคระบาดจะเป็นบาปร้ายแรงที่ไม่สามารถให้อภัยได้ แต่ลูกๆ เอ๋ย พวกเราเป็นผู้เจริญแล้ว อย่าปล่อยให้ปีศาจร้ายมาควบคุมร่างกายเหมือนกับกบฏพวกนี้ เราจะเป็นผู้ที่จะให้อภัยแก่ผู้อื่น เราจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมเพื่อที่จะชดใช้บาปของเราและไม่ให้บาปของตัวเองไปทำร้ายใครอย่างพวกคนบาปเหล่านี้ ]
   
ผู้คนในจัตุรัสโห่ร้องยินดีออกมาเมื่อเห็นนักบวชที่เป็นคนใกล้ชิดของท่านณภัทรลงมาจากรถ นักบวชในชุดคลุมขาวผู้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้ากำลังนำยารักษามารักษาพวกเขาด้วยความอารีย์และไมตรีจิต มือสองข้างประคองกล่องไม้สีขาวสลักด้วยลวดลายสิงห์ซับซ้อนสวยงามซึ่งภายในนั้นก็มียาที่บรรจุใส่บรรจุภัณฑ์อย่างดีพร้อมใช้งาน
   
[ ..และเพื่อเป็นการชำระบาปของคนชั่วเหล่านี้ พระเจ้าก็ได้ประทานยารักษาโรคระบาดนี้ให้กับพ่อ ยารักษาที่จะทำให้ลูกๆ ของพ่อรอดพ้นจากกระทำอันชั่วร้ายของพวกกบฏ ]
   
นักบวชวัยกลางคนนั้นยิ้มละมุนให้กับเบต้าอย่างอ่อนโยน พยายามทำตัวให้สมกับเป็นตัวแทนของณภัทรที่มาทำหน้าที่ชำระล้างบาปให้กับเบต้าในเขตนี้
   
แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงแค่การเสแสร้งเท่านั้น เพราะความจริงเขาก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดาที่เกิดในชนชั้นปกครองและสนิทกับณภัทร การมาอยู่ตรงนี้ของเขานั้นก็เป็นแค่หนึ่งในการแสดงละครฉากใหญ่ของอัลฟ่าที่จะเหยียบย่ำกบฏให้จมดินและล้างผลาญอุดมการณ์เรื่องความเท่าเทียมให้หมดไปจากประเทศ ไม่ให้มีใครหน้าไหนกล้าที่จะนำเสนอมันขึ้นมาอีก
   
[ …แต่พวกกบฏพวกนี้ช่างใจร้ายนัก แม้แต่โบสถ์ของเรามันก็ไม่ละเว้นเผาสิ้นจนพ่อแทบใจจะขาด พี่น้องของเราก็ล้มตายไปมากมาย ลูกๆ เอ๋ยพ่อจะคืนความยุติธรรมให้กับพี่น้องของเรา ถ้าลูกพบพวกกบฏก็จงจับมันมาให้พ่อ พ่อจะชำระล้างบาปมหันต์ที่มันได้สร้างให้แก่เรา เราจะยินยอมให้มันใช้ชีวิตต่อไปอย่างปกติสุขไม่ได้อีกแล้ว ]
   
สิ้นประโยคของณภัทรได้ไม่นานก็เกิดจลาจล
   
แววตาของเหล่าอัลฟ่าพิเศษที่รู้เกี่ยวกับแผนของณภัทรนั้นเต็มไปด้วยความพออกพอใจ เมื่อเห็นว่าแผนที่พวกเขาใช้เวลาคิดและวางกันอย่างรอบคอบมาอย่างดีประสบความสำเร็จ
   
ประชาชนกำลังล่ากันเอง
   
เบต้าหลายคนที่มาคนเดียวนั้นถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏเพื่อจะนำตัวไปแลกกับยารักษา บางคนก็หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต บางคนก็คืนร่างต้นและโต้กลับจนบาดเจ็บสาหัสไปหลายคน
   
ความวุ่นวายนั้นมากขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าหน้าที่รัฐที่คุมเชิงสถานการณ์อยู่พูดใส่โทรโข่ง
   
“ยามีไม่พอ!!! ใครอยากได้ก็ฆ่าเยอะๆ แล้วเอามาแลก!!! กบฏสามคนได้ยาหนึ่งหลอด!!!”
   
จากจัตุรัสธรรมดาจึงแปรเปลี่ยนเป็นแดนสังหารในพริบตา
   
เบต้าส่วนใหญ่ไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าคนตรงหน้าตัวเองจะเป็นกบฏหรือไม่ ขอเพียงฆ่าได้พวกเขาก็จะได้ยาและถ้าพวกเขาไม่ทำ พวกเขาก็ไม่มีวันรอดจากโรคระบาดนี้ได้เพราะคนแทบทุกคนในเมืองนี้นั้นก็ติดไปเกือบหมดแล้ว

[ ..ขอให้พระเจ้าทรงอวยพรและรักลูกของพ่อ ]
   
ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของชีวิตและความจ้าละหวั่น เสียงของณภัทรก็ยังคงดังกึกก้องเหนือเสียงอื่นใด ราวกับเป็นการตอกย้ำถึงสถานะพิเศษที่อยู่เหนือเบต้าทุกชีวิตในที่แห่งนี้
   
กันต์ซึ่งพาชนินทร์ไปหลบหลังร้านก่อนที่จลาจลจะเกิดขึ้นแค่นเสียงหัวเราะเมื่อพอจะเดาได้ว่าณภัทรตั้งใจจะพูดอะไร นัยน์ตาสีเทาเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะกล่าวประโยคเดียวกันออกมาพร้อมกัน
   
“จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ”
   
[ จงมีศรัทธาในเหล่าอัลฟ่าอยู่เสมอ …ลูกที่รักของพ่อ ]
   
กันต์กลอกตาให้กับความจอมปลอมของอัลฟ่า และรู้สึกดีที่แม่เขาไม่ใช่คนที่หลงเชื่อไปกับคำหลอกลวงพวกนี้ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงจะรู้สึกแย่กว่านี้ ถ้าตัวเองต้องไปเป็นหนึ่งในคนที่แย่งชิงยานั้นด้วยการฆ่ากันเอง
   
“..ยังจะเอายาอยู่เหรอ”
   
ชนินทร์ถามเสียงเบา ไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะกลัวจะไปดึงดูดเบต้าที่บ้าคลั่งข้างนอกมาฆ่าตัวเองที่แม้แต่ร่างต้นยังคืนไม่ได้ด้วยซ้ำ
   
“อืม”
   
กันต์ตอบในลำคอและหยิบข้าวของที่ซ่อนไว้หลังถังขยะออกมาให้ชนินทร์ ซึ่งข้าวของที่ว่านั้นก็คือชุดตำรวจที่ชนินทร์ภูมิใจนักหนากับยากระตุ้นเอกลักษณ์ที่ทวิชบอกว่าน่าจะพอช่วยชนินทร์ได้บ้าง
   
แน่นอนว่าอัลฟ่าหมาป่ามองสิ่งที่อยู่ในกันต์ตาพราวระยับ เพราะในสถานการณ์แบบนี้เครื่องแบบตำรวจอัลฟ่าคือสิ่งที่ทำให้เขาปลอดภัยที่สุดแล้ว
   
“อย่าลืมที่สัญญา” กันต์สบตากับชนินทร์ด้วยแววตาแข็งกร้าว “คุณมีหน้าที่เก็บยาให้ทวิช”
   
“เออ แค่เก็บยาไม่ยากเท่าไหร่หรอก”
   
ชนินทร์รับชุดตำรวจอัลฟ่ามาใส่อย่างดีอกดีใจ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่เครื่องแบบของเขาแต่มันก็ทำให้เขารู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในสถานะที่สูงส่งอีกครั้ง
   
“ยื่นแขนมา”
   
“เดี๋ยวมียาด้วยเหรอ”
   
ถามยังไม่ทันจบประโยค กันต์ก็กระชากแขนชนินทร์ออกมาแล้วฉีดยาเข้าเส้นเลือดให้ทันที ชนินทร์กัดปากจนเลือดซึมเมื่อความรู้สึกทุกข์ทรมานปั่นป่วนกลับมากัดกินเขาอีกครั้ง สารกระตุ้นร้อนระอุแทบจะแผดเผาอวัยวะภายในชนินทร์ พยายามฉุดกระชากอีกตัวตนหนึ่งที่ซุกซ่อนในร่างกายมนุษย์ให้แสดงออกมา
   
ฮื่ออออ
   
ชนินทร์คำรามออกมาอย่างเจ็บปวดเมื่อมันเหมือนจะกระตุ้นมากเกินไป ร่างกายของเขาจนแทบไม่เหลือเค้ามนุษย์และกลายเป็นหมาป่าสีเทาทั้งตัว ก่อนจะคำรามออกมาอีกครั้งตอนที่ถูกฉีดอีกเข็มซึ่งคราวนี้นั้นกลับเป็นเข็มที่บรรจุสารเย็นเฉียบซึ่งช่วยบรรเทาความร้อนระอุในร่างกายเขาลง ร่างของหมาป่าจึงค่อยๆ คืนกลับเป็นมนุษย์อีกครั้งอย่างไม่ยากเย็น
   
“...”
   
กันต์มองชนินทร์ที่สามารถควบคุมร่างต้นได้ตามปกติแล้วด้วยสายตาทึ่งนิดๆ พราะไม่คิดว่ายาที่ทวิชให้มานั้นจะสามารถช่วยชนินทร์ได้จริงๆ
   
“ฉันทำแค่เก็บยานะ นอกนั้นฉันไม่สน”
   
ชนินทร์ซึ่งอยู่ในร่างต้นที่จงใจให้ร่างกายบางส่วนเป็นหมาป่าเพื่อแสดงความเป็นอัลฟ่า ครึ่งบนที่กลายเป็นหมาป่าไปแล้วจับจ้องมองกันต์นิ่ง ส่วนมือก็ยังคงสาละวนกลับชุดเครื่องแบบตำรวจของอัลฟ่าที่ค่อนข้างต้องใช้เวลาในการใส่เนื่องจากความสลับซับซ้อนของมัน
   
“ผมจะโยนให้คุณ คุณก็ตามเก็บให้ทันแล้วกัน”
   
“โยน?”
   
“คุณคิดว่าผมจะยอมฆ่าคนอื่นเพื่อยาเหรอ” กันต์พูดเสียงเรียบเรื่อยก่อนจะค่อยๆ คืนร่างต้นบ้าง หากแต่คราวนี้กลับไม่ใช่กระทิงแต่เป็น ‘สิงโต’ ที่สถานะอัลฟ่าเหนือกว่าชนินทร์ด้วยซ้ำ กันต์แค่นเสียงหึเมื่อเห็นสีหน้าอึ้งๆ ของชนินทร์
   
“ผมจะไปแย่งยามาจากพวกมัน ถึงตอนนั้นผมก็ไม่น่าจะฝ่าอาวุธของพวกมันกลับมาให้คุณได้ดีๆ แล้ว”
   
“…”
   
ชนินทร์ยังคงพูดอะไรไม่ออกเพราะยังอึ้งกับร่างต้นของกันต์อยู่
   
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่สีขาวเผือกเหมือนณภัทร แต่ก็เป็นร่างต้นสิงโตที่สง่างามมากพอๆ กับพวกอัลฟ่าพิเศษที่มักจะแปลงให้ดูในวันสถาปนาประเทศ และสิ่งที่ทำให้กันต์ดูทรงอำนาจมากขึ้นไปอีกคือแผงคอขนาดใหญ่สีดำเข้มซึ่งแซมกับสีส้ม
   
เอาเข้าจริงถ้าหากเขาไม่รู้จักกันต์มาก่อนคงจะคิดว่าเป็นพวกนักบวชอัลฟ่าแล้ว
   
“จำไว้ หน้าที่ของคุณก็แค่เก็บยาให้ทวิช ถ้าแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ พรรค์นี้คุณยังคิดจะไม่ทำ ผมก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ทั้งๆ ที่ทวิชก็ยอมช่วยคุณขนาดนี้”
   
กันต์พูดอย่างเย็นชาก่อนจะเดินนำชนินทร์ออกไปด้านนอกที่ยังเป็นคนสมรภูมิรบ แน่นอนว่าด้วยความเป็นอัลฟ่าของทั้งสอง เบต้าส่วนใหญ่จึงพยายามเลี่ยงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองจึงสามารถเดินไปยังจัตุรัสที่ยังแจกจ่ายยาโดยไม่ยากเย็นนัก ซึ่งระหว่างทางนั้นเต็มไปด้วยเลือดและซากศพ ความหวังใหม่ที่จุดประกายขึ้นจากอัลฟ่านั้นผลาญทำลายชีวิตของเบต้ามากกว่าโรคระบาดเสียอีก เบต้าหลายคนจึงเลิกหวังที่จะเอายาและพยายามเอาชีวิตรอดไปจากสถานที่แห่งนี้แทน
   
ความดิบเถื่อนอันบ้าคลั่งยังคงดำเนินต่อไปภายใต้ความนิ่งเฉยของเจ้าหน้าที่รัฐ พวกเขาสนุกสนานกับความโหดร้ายตรงหน้าและมองความตายของเบต้าเป็นตัวเลขเท่านั้น
   
เพราะยิ่งตายมาก พวกเขาก็จะยิ่งได้ความดีความชอบมาก
   
การแจกยารักษาโรคระบาดแก่เบต้าก็เป็นแค่มหรสพสำหรับพวกเขา เพราะความจริงทางการนั้นสามารถผลิตวัคซีนต้านโรคระบาดได้แล้วและเจ้าหน้าที่รัฐก็ได้รับการฉีดวัคซีนการมาปฏิบัติงานที่เป็นที่เรียบร้อย
   
การต่อสู้เพื่อแย่งยารักษาในวันนี้จึงเป็นเรื่องที่โง่เง่าสมกับเบต้าดี
   
“คุณรอแถวนี้ พอได้ยาจากผมก็รีบกลับไปรอทวิชที่ร้านเลยนะ”
   
เมื่อเดินเข้าใกล้กับจัตุรัสกันต์ก็ตัดสินใจให้ชนินทร์รอรอบนอก ไม่ให้เข้าไปเสี่ยงกับวงข้างในที่ค่อนข้างวุ่นวายกับการนับหัวกบฏกับการมอบยาให้กับเบต้า
   
“..ถ้านายอยากกลับไปมีชีวิตแบบอัลฟ่า ฉันพอจะหาทางช่วยได้นะ”
   
อย่างไรก็ตามชนินทร์ก็ยังไม่ลืมว่ากันต์ก็เป็นเพียงเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ ถึงจะไม่รู้ว่ากันต์จะใช้วิธีการไหนในการเอายามาจากอัลฟ่าโดยไม่ฆ่าใคร แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่าจุดจบของเรื่องนี้จะเป็นยังไง
   
กันต์แค่นเสียงหัวเราะไม่สนใจข้อเสนอและเดินเข้าไปสบทบกับจุดที่กำลังมอบยาให้กับเบต้า ในบริเวณนั้นมีสื่อมวลชนของรัฐบาลที่มาถ่ายทำภาพนักบวชอัลฟ่ามอบยาให้กับเบต้า สีหน้าของเบต้าเหล่านั้นซาบซึ้งน้ำตาไหล ทั้งๆ ที่การได้มาของยาในมือนั้นแลกมากับชีวิตคนทั้งคน มีสื่อดังหลายเจ้าที่มาช่วยถ่ายทำเหตุการณ์ครั้งนี้และสัมภาษณ์เบต้าพวกนั้นในลักษณะชี้นำคำตอบเพื่อให้ในคำตอบตามที่เบื้องบนต้องการ
   
“..มีอะไรให้ผมรับใช้ไหมครับ ท่าน”
   
ทหารคนหนึ่งที่มาช่วยดูแลความเรียบร้อยเดินเข้าไปถามกันต์อย่างนอบน้อม เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นอัลฟ่าสิงโตที่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในชุดที่เลิศหรูนัก แต่เชื้อสายอัลฟ่าสิงโตนอกจากในพวกอัลฟ่าพิเศษแล้วก็แทบหาไม่ได้ในอัลฟ่าทั่วไป
   
“...”
   
กันต์ส่ายหัวและจับจ้องไปยังกล่องที่ตั้งข้างมือนักบวชอัลฟ่า ในกล่องที่ถูกเปิดออกนั้นเต็มไปด้วยยา นัยน์ตาสีเทาเข้มขึ้น ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยให้สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวครอบครอง
   
“—ท่าน”
   
เพียงชั่วพริบตาในขณะที่อัลฟ่านักบวชคนนั้นกำลังมอบยาชุดต่อไปให้กับเบต้า เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่กันต์ใช้พลังกายทั้งหมดในการพุ่งตัวเข้าไปแย่งกล่องใบนั้นมา ซึ่งในช่วงระยะที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกันอยู่ กันต์ก็ได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงไปมากกว่าเดิมด้วยปีกนกพิราบสีขาวที่งอกออกมาจากแผ่นหลังและโผบินขึ้นไปในอากาศพร้อมกับกล่องยา
   
“ฆ่ามัน!!”
   
อัลฟ่านักบวชคนนั้นตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก เนื้อตัวเย็นเฉียบเมื่อเห็นปีกบนแผ่นหลังกันต์ชัดๆ
   
ปัง! ปัง!
   
แน่นอนว่าเหล่าเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือทำตามคำสั่งทันทีโดยไม่ลังเลแม้ว่าจะเห็นอย่างชัดเจนก็ว่าผู้ที่ช่วงชิงยาไปนั้นคืออัลฟ่าสิงโต หากแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขานั้นต้องลงมือลั่นไกคือ ‘ปีก’ ของเหล่าปีศาจที่ต้องการจะทำลายประเทศได้ถูกกางออกมาอีกครั้ง
   
ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะไม่มีวันให้นกตัวใดรอดชีวิตไปจากประเทศนี้ได้
   
ชะตากรรมหนึ่งเดียวของพวกมันคือการตายเท่านั้น
   
ปัง!
   
กรรซ
   
กันต์คำรามออกมาเมื่อกระสุนนัดหนึ่งฝังเข้าที่ช่องท้อง แต่พอเห็นว่าอยู่ในระยะที่ใกล้พอที่จะโยนยาให้กับชนินทร์แล้วก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจ และตัดสินใจโปรยยาเข้าใส่ฝั่งที่ชนินทร์ยืนอยู่ทั้งหมดแล้วขว้างกล่องคืนใส่เจ้าของกล่อง
   
ปัง! ปัง!
   
กระสุนอีกหลายนัดเจาะเข้าตามตัวกันต์จนเจ้าตัวแทบจะประคองให้บินต่อไปไม่ได้ ชั่วขณะหนึ่งที่ความเจ็บปวดจู่โจม กันต์หลุดสะอื้นออกคำหนึ่งเมื่อคิดว่าตัวเองจะไม่ได้เจอทวิชอีกแล้ว
   
กันต์พยายามประคับประคองให้ตัวเองบินหนีให้ไกลกว่านี้ แต่ความทุกข์ทรมานที่เขาเผชิญอยู่นั้นก็มากเกินไป เลือดไหล่บ่าออกจากแผลไม่หยุดจนตาพร่าแทบจะมองไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ
   
ปัง!
   
กระสุนนัดสุดท้ายที่ใช้ปลิดชีวิตกันต์นั้นเป็นของชายชุดดำที่ซุกซ่อนอยู่บนตึกซึ่งถูกส่งมาเพื่อฆ่าพวกนกโดยเฉพาะ ซึ่งกันต์ก็น่าจะเป็นรายแรกและรายเดียวของชายคนนี้ในวันนี้
   
“...ฮึก”
   
ชั่วขณะหนึ่งที่ร่วงหล่นจากฟากฟ้า ก่อนที่สติจะสูญสลายไปตลอดกาล
   
กันต์สะอื้นด้วยความเจ็บปวดและอวยพรให้ตัวเองได้เกิดมาพบกับทวิชอีกครั้ง ด้วยความหวังเล็กๆ ว่าการพบกันใหม่ครั้งหน้านั้น
   
โลกจะใจดีกับเขาทั้งสองมากกว่านี้

--


 :mew5:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 23 : ยารักษา 22 เม.ย 63 p.5
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 23-04-2020 01:26:56
-.-
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 24 : เถ้าถ่าน 25 เม.ย 63 p.5 {ตอนจบ}
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 25-04-2020 21:24:20
ตอนที่ 24

   
หลังจากที่รู้ว่าตัวเองติดโรคระบาดแล้ว ทวิชก็ตัดสินใจพาตัวเองกลับร้านโดยคืนร่างต้นครึ่งบนเป็นเสือดำเพื่อไม่ให้มีเบต้าบ้าคลั่งคนไหนมายุ่มย่ามกับตัวเอง แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างก็ไม่ได้ง่ายเหมือนปกตินัก
   
“..ฮื่อ”
   
ทวิชกัดปากตัวเองขณะที่พยายามตะเกียกตะกายกลับร้านด้วยไม้เท้าของใครสักคนที่ถูกทิ้งไว้ที่พื้น ความเจ็บปวดมหาศาลกัดกินทวิชตลอดเวลา จนเจ้าตัวอยากจะยอมแพ้ให้กับความชั่วร้ายพวกนี้แล้วไปเป็นหนึ่งในคนที่ยอมทรยศต่ออุดมการณ์เพื่อยารักษาพวกนั้น
   
มันเจ็บ.. เจ็บมากจริงๆ
   
นัยน์ตาสีทองคลอไปด้วยน้ำตาทุกครั้งที่ย่างก้าว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่หวาดกลัวต่อความตาย แต่ก็ใช่ว่าจะเคยชินกับความเจ็บปวดที่ถูกยัดเยียดให้
   
เขาเคยจินตนาการเล่นๆ ไว้มากมายถึงความทุกข์ทรมานที่ตัวเองจะได้รับก่อนตาย หากแต่สิ่งที่เขากำลังประสบอยู่ตอนนี้มันกลับแย่กว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
   
เขาแทบไม่อยากหายใจด้วยซ้ำ อากาศที่เขาสูดเข้าไปราวกับกรดร้ายแรงที่แผดเผาปอดของเขา ราวกับว่าเป็นประกาศิตของอัลฟ่าที่ไม่อนุญาตให้เขามีชีวิตในประเทศนี้อีกต่อไป
   
“..ฮึก”
   
ทวิชสะอื้นจนตัวโยนเมื่อต้องยอมทรยศอุดมการณ์ตัวเองด้วยการไม่สนใจความบ้าคลั่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว เหล่าเบต้าที่พวกเขาพยายามปกป้องชีวิตด้วยชีวิตของตัวเองนั้นกำลังฆ่ากันเอง
   
สิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง
   
ทวิชเดินตัวลีบอยู่ริมถนน หายใจอย่างเชื่องช้า เจ็บปวดที่เกิดการฆ่าล้างกันอีกครั้งไม่ต่างกับสมัยเด็กที่พ่อกับแม่ของเขาต้องเผชิญ ตลอดสิบปียี่สิบปีมานี้ประเทศนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงสักนิด ความพยายามของกลุ่มปฏิวัติสูญเปล่า นัยน์ตาของผู้คนยังมืดบอดและมัวเมาอยู่ในฝันที่เหล่าอัลฟ่าสร้างให้พวกเขาเชื่อ
   
ฝันหลอกลวงพรรค์นั้นมันสวยงามนักเหรอ?
   
ทวิชหัวเราะเสียงขืนเพราะแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าตัวเองเจ็บปวดด้วยเรื่องอะไร
   
โรคระบาด ความสิ้นหวัง หรือทั้งสองอย่าง
   
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองไม่ยอมรับสักทีว่าประเทศนี้นั้นไม่ได้มีความหวังมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ชีวิตของพ่อแม่เขา พวกพ้องของเขา แม้แต่ชีวิตของเขาเองมันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตื่นเลย
   
สิ่งที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่าคือเขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายเพื่ออะไร เขาหมดสิ้นซึ่งศรัทธาในกลุ่มปฏิวัติครั้งนี้แล้ว เขาไม่มีหนทางไปแล้ว สิ่งที่เขาพอจะทำได้ตอนนี้คือกลับไปหากันต์ที่ร้านตัวเอง อย่างน้อยๆ การตายในร้านของตัวเองก็อาจจะเป็นรางวัลสุดท้ายที่เขาสามารถให้ตัวเองได้
   
ความยุติธรรมในประเทศนี้เป็นฝันที่สูงเกินไปสำหรับเขา ของพรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ลูกกบฏอย่างเขาจะฝันถึงได้ เพราะถึงแม้ว่ามันจะสวยงามแต่เขาก็ควรจะจำใส่กะลาหัวว่าใครเป็นคนควบคุมความยุติธรรมเหล่านั้น กลุ่มชนที่มีความคิดนอกรีตแบบพวกเขาจึงต้องได้รับความตายเป็นค่าตอบแทนจากการฝันสูงเกินไป
   
กบฏอย่างเขามันสมควรตายอย่างที่ทุกคนว่าจริงๆ
   
“ฮึก ฮึก”
   
เสียงร้องไห้แผ่วๆ ที่ดังในซอกตึกเรียกความสนใจของทวิช และเมื่อหันไปมองก็ถึงเห็นว่ามีเด็กชายคนหนึ่งที่นั่งนิ่งอยู่ข้างร่างไร้วิญญาณของหญิงสาว
   
“...”
   
แววตาของทวิชสั่นไหวเมื่อสบตากับเด็กชายที่อายุน่าจะไม่ถึงสามขวบคนนั้น ก่อนที่จะพยายามบอกให้ตัวเองเลิกสนใจแล้วเดินต่อ เพราะยังไงคนอย่างเขาก็คงไม่มีปัญญาทำอะไรได้อีกแล้ว
   
“..แม่ง!”
   
ทวิชสบถกับตัวเองก่อนจะตะเกียกตะกายเข้าไปเด็กคนนั้น รู้สึกเกลียดตัวเองเหลือเกินที่ใจอ่อนทุกครั้ง
   
“..พอจะคืนร่างต้นได้ไหมครับ คนเก่ง”
   
ทวิชยอมทนเจ็บปวดจนการคืนเป็นร่างมนุษย์ในระยะเวลาสั้นๆ และฉีกยิ้มใจดีให้กับเด็กชาย “ไปกับพี่ชายไหมครับ”
   
“..แม่ ฮึก แม่ไม่ตื่น”
   
เด็กชายงอแงจนทวิชรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิม เพราะเขาเข้าใจความรู้สึกราวกับโลกถล่มนั้นดี  แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้มีเวลาพิรี้พิไรมากนักจึงได้แต่รีบเกลี้ยกล่อมเด็กชายก่อนที่เขาจะหมดแรง
   
“..เดี๋ยวพี่เป็นแม่ให้เอง ไปกับพี่นะ”
   
แววตาของทวิชสั่นระริกมากกว่าเดิม
   
“นะครับ คนเก่ง รีบคืนร่างต้นแล้วมากับแม่เร็ว”
   
เขากำลังโกหก
   
“อื้อ”
   
เคราะห์ดีที่เด็กชายยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่ายแล้วคืนร่างต้นที่เป็นกระรอกตัวจิ๋ว ซึ่งทวิชก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเพราะถ้าหากร่างต้นเป็นสัตว์ใหญ่หรือถ้าเด็กชายดื้อกว่านี้ เขาคงจะพากลับด้วยไม่ไหว
   
ทวิชคืนร่างต้นเป็นเสือดำอีกครั้ง ซ่อนกระรอกตัวจิ๋วไว้ใต้เสื้อคลุมที่ขโมยมาและเดินกลับร้านตัวเองต่อ ซึ่งหลังจากเดินทางมาหลายชั่วโมงด้วยวิธีการต่างๆ ตอนนี้ร้านของเขาก็อยู่อีกไม่ไกลแล้ว
   
“...ฮึก”
   
ทวิชพยายามกลั้นสะอื้นไม่ให้ตัวเองร้องไห้ออกมารบกวนเด็กชายที่ร้องไห้จนหลับไปแล้ว แต่เขาก็เจ็บมากเมื่อระลึกได้ว่านอกจากเขาที่กำลังจะตายแล้ว เด็กในท้องของเขาก็กำลังจะตายเหมือนกัน
   
ถึงแม้ว่าเขาจะตั้งใจไว้แล้วก็ตามว่าจะแท้ง แต่เขาก็เจ็บปวดมากอยู่ดีที่ตัวเองไม่สามารถโลกที่ดีพอได้ ความฝันสวยงามของเขามันพังทลายไปแล้ว ที่เขาต้องยอมรับคือความพ่ายแพ้ของตัวเอง
   
แต่เขากลับยอมรับไม่ได้สักทีว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่อความอยุติธรรมพวกนั้น
   
มันเจ็บปวดจนเขาไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้วจริงๆ
   
“..?”
   
ทวิชเบิกตากว้างเมื่อเห็นควันไฟสีดำขนาดใหญ่ลอยฟุ้งเหนือบริเวณที่ร้านเขาอยู่ ลางสังหรณ์รุนแรงกู่ร้องในหัวทำเขาลืมแทบทุกอย่าง ทวิชขว้างไม้เท้าที่ช่วยประคองร่างตัวเองมาตลอดทิ้งและออกแรงวิ่งโดยไม่สนใจสภาพร่างกายตัวเองอีก
   
ขอให้มันไม่เป็นอย่างที่เขาคิดเถอะ
   
ทวิชพยายามอ้อนวอนต่อโชคชะตาของตัวเองทั้งน้ำตา

   

กลิ่นเหม็นไหม้ของเถ้าธุลีลอยฟุ้งไปในอากาศ

เพลิงกัลป์โหมไหม้รุนแรงกลายเป็นสีแดงฉานเสียดฟ้า

กองเพลิงร้อนแรงปะทุแผดเผาเคล้ากับเศษซากร้อนระอุ

มันกำลังแผดเผาทุกอย่าง


ทวิชหยุดยืนหน้าร้านตัวเองด้วยสายตานิ่งอึ้ง จับจ้องร้านสี่ชั้นของตัวเองที่กำลังไหม้จนไฟสูงเสียดฟ้า ก่อนที่ชั่วขณะหนึ่งคล้ายกับจะได้ยินคำกระซิบบางอย่างจากในความทรงจำอีกครั้ง

‘อะไรที่ฉันให้เธอได้ ฉันก็ยึดมันคืนได้เหมือนกัน’

“...ฮึก”

สุดท้ายทวิชก็ทนยืนต่อไปไม่ไหวเขาอ่อนทรุดตัวลงกองกับพื้นแล้วปล่อยโฮออกมาอย่างเจ็บปวด

อาสิงห์ทำลายร้านของเขาเพื่อบีบให้เขายอมซมซานกลับไปอยู่ในกรงทองนั่นอีกครั้ง

แน่นอนการเห็นร้านที่ตัวเองที่ใช้ชีวิตมาตลอดหลายปีถูกทำลายมันทำให้เขาใจสลายยิ่งกว่าการโดนกลุ่มปฏิวัติทรยศซะอีก
ตัวตนของเขา ความฝันของเขา อุดมการณ์ของเขา และข้าวของความทรงจำมากมายของลูกค้าเขาในนั้น กำลังถูกทำให้เป็นเถ้าถ่าน ให้กลายเป็นความทรงจำที่ถูกลืมเหมือนที่พ่อแม่เขาเป็น เพราะคงไม่มีใครมาสนใจจดจำคนอย่างเขา ที่ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครร้องไห้ด้วยซ้ำ

“ทวิช!! รีบฉีดยาเร็ว!!”

ชนินทร์ที่หลบอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นทวิชก็รีบพุ่งเข้าใส่ทันที และตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นทวิชเลือดกำเดาไหลไม่หยุด แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือท่าทางที่คล้ายกับคนที่ใกล้จะเสียศูนย์เต็มทีของทวิช

“กันต์ล่ะ กันต์”

ทวิชไม่สนใจยาที่ชนินทร์ยื่นให้และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือกว่าเดิม

แน่นอนว่าชนินทร์ไม่อยากตอบความจริงนัก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อให้โกหกไปก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ดี หนทางที่ดีที่สุดคงจะเป็นบอกความจริงกับทวิชเพราะคงจะไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว

ชนินทร์อึกอักอยู่สักพักก่อนจะตอบทวิชเสียงเบา

“..ตายแล้ว”

“…”

ทวิชตัวสั่นหนักกว่าเดิม ก่อนที่จะค่อยๆ ประคองกระรอกตัวจิ๋วที่ยังหลบอยู่ในเสื้อตัวให้กับชนินทร์ด้วยสีหน้าสิ้นหวังกว่าเดิม

“ให้ผมทำไม”

ถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แต่ชนินทร์ก็ยอมรับมาอุ้มอย่างว่าง่าย

“..จริงๆ จะฝากให้กันต์ดูแลต่อ แต่ถ้ากันต์ตายแล้ว นายจะทำอะไรกับเด็กนี้ก็ทำเถอะ ฉันไม่สนแล้ว”

ทวิชถอดจี้ห้อยคอออกและยัดมันใส่มือชนินทร์พร้อมกับยารักษาของตัวเอง

“..นายจะไม่ใช้ยาเหรอ ทวิช” ชนินทร์มองทวิชด้วยสายตาไม่เข้าใจนัก “กันต์ยอมตายเพื่อเอามาให้นายเลยนะ”

“ฉันยอมแพ้แล้ว ชนินทร์”

ทวิชหัวเราะเสียงแผ่วและมองจี้หอยคอรูปอีกาสยายปีกของพ่อตัวเองด้วยความรู้สึกผิด ที่ตัวเองไม่เข้มแข็งพอที่จะสานต่ออุดมการณ์ของพ่อกับแม่ได้

“ฉันจะไม่สู้อีกแล้ว”

“…”

“นายกลับไปใช้ชีวิตปกติของนายเถอะ”

ทวิชยิ้มบางให้กับชนินทร์แล้วค่อยๆ ประคับประคองตัวเองไปยังร้าน แต่น่าเสียดายที่ชนินทร์ไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นจึงกระชากแขนทวิช และรั้งแขนเจ้าตัวเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดที่ยอมให้คนมาเผาร้านของทวิชง่ายๆ โดยที่ตัวเองไม่ได้เข้าไปห้ามหรือทำอะไร เพราะไม่คิดว่าร้านจะสำคัญกับทวิชถึงเพียงนั้น

“ไม่เอาน่า ทวิช นายยังไม่สิ้นหวังสักหน่อย นายยังมีโอกาสรอดจากโรคบ้าๆ นี่นะ แล้วร้านน่ะ เผาได้ก็สร้างใหม่ได้ อย่าหมดหวังสิ ตอนไม่มีที่อยู่ก็มาอยู่กับฉันก่อนก็ได้”

ทั้งๆ ที่ไม่อยากยุ่งกับทวิชอีก แต่ชนินทร์ก็ทนเห็นทวิชตายต่อหน้าไม่ได้

“..เลิกยุ่งกับฉันสักที!”

ทวิชพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะสลัดแขนของกันต์ออกและคืนร่างต้นเป็นอีกาบินเข้าไปในกองเพลิงที่กำลังเผาไหม้อยู่อย่างไม่ลังเล

โครม!

ตัวร้านถล่มลงมาทันทีหลังจากที่ทวิชพยายามเข้าไปในร้าน ไฟร้อนจัดแผดเผาปีกของทวิชจนไหม้ไปบางส่วนหากแต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก และนึกขอบคุณที่ไฟข้างในไม่รุนแรงเท่าข้างนอก เขาจึงพอมีเวลาที่จะทำอะไรให้ตัวเองบ้าง

ทวิชคืนร่างเป็นมนุษย์ก่อนจะเดินเข้าไปในครัวของตัวเองด้วยรอยยิ้มเล็กๆ ทั้งๆ ที่ไฟร้อนระอุกำลังแผดเผาไปทั่วครัวและควันขโมงจนไอโขลกสำลักควันออกมาหลายครั้ง

มือที่มักจะทำอาหารอยู่เป็นกิจวัตรนั้น ในวันนี้นั้นกลับเลือกที่จะหยิบขวดไวน์แดงออกมาเทใส่แก้วไวน์จนเกือบเต็มแก้วก่อนจะพาตัวเองกลับที่ห้องอาหารอีกครั้ง ที่ซึ่งเขามักจะใช้เวลาไปกับการนั่งรอลูกค้าอย่างเบื่อหน่ายและวางแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไรเป็นอาหารให้กับลูกค้าของเขาดี

ทวิชลากเก้าอี้ไม้ตัวโปรดของตัวเองมานั่งในมุมร้านและจิบไวน์ที่พอสเคยเอามาให้เมื่อนานมาแล้ว ซึ่งเขาก็ไม่มีโอกาสได้กินมันสักทีเพราะกะว่าจะรอเปิดขวดตอนได้อยู่กันพร้อมหน้าในช่วงปีใหม่

แต่น่าเสียดายที่คงจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว

“…”

นัยน์ตาสีทองสั่นไหวเมื่อเห็นป้ายชื่อร้าน ‘สิงหกุลโภชนา’ ถูกไหม้จนแทบจะดูไม่ออกแล้วว่ามันเคยสลักคำว่าอะไรมาก่อน
ความเจ็บปวดที่มากจนทนไม่ไหวบีบบังคับให้ทวิชยกไวน์ขึ้นมาดื่มอีกครั้งจนเหลือครึ่งแก้ว

ทวิชนั่งมองรอบๆ ร้านตัวเองที่กำลังพังทลายลงมาอย่างช้าๆ ด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่สนใจสะเก็ดไฟที่ลุกลามและโลมเลียบริเวณปลายเท้าและเก้าอี้ไม้ของตัวเอง

น้ำตาที่คิดว่าจะหมดแล้วกลับยังคงไหลออกมาไม่หยุด

“..ฮึก”

ทวิชสะอื้นออกมาคำหนึ่งเมื่อยอมรับว่าตัวเองนั้นพ่ายแพ้อย่างหมดรูป และทิฐิของเขาก็สูงเกินกว่าจะกลับไปขอความเมตตาจากอัลฟ่าชั่วร้ายพวกนั้น เขายอมรับการมีชีวิตต่อไปด้วยความอนุเคราะห์ของพวกมันไม่ไหวหรอก

ครั้งนี้มันมากเกินไปจริงๆ

แววตาสิ้นหวังหลุบมองขวดบางอย่างที่หยิบติดมือมาด้วย ก่อนจะเทผสมลงในไวน์แล้วเขย่าให้เข้ากันด้วยท่าทีอ้อยอิ่ง เพราะเหลือบไปเห็นเสื้อคลุมของตระกูลพยัคฆโภคสกุลที่ตัวเองให้กันต์ไว้วางอยู่บนโต๊ะในสภาพดี

“…”

ความโกรธบางอย่างพลุกพล่านขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ทำให้ทวิชเลือกที่จะฝ่ากองเพลิงไปหยิบเสื้อคลุมนั้นขึ้นมาขว้างใส่โต๊ะที่อยู่ริมสุดซึ่งไฟกำลังแผดเผาไปถึงเพดาน

เพียงชั่วพริบตาเสื้อคลุมนั้นลุกไหม้ทันที

ทวิชยิ้มบางด้วยความพอใจก่อนจะพาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง จับจ้องสัญลักษณ์ของอัลฟ่าที่ถูกเผาทำลายพร้อมกับจิบไวน์ที่รสชาติแปลกไปอย่างเห็นได้ชัดอย่างช้าๆ และปล่อยให้ความง่วงงุนครอบงำตัวเอง

‘ความตายไม่ใช่สิ่งน่ากลัว’

ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่เขาจะหลับไป ทวิชนึกถึงสิ่งที่ตัวเองมักจะบอกกับลูกค้า ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ เขากลับไม่รู้สึกกลัวเลยสักนิด สิ่งที่เขารู้สึกมากกว่าคือความเป็นอิสระจากพวกมัน
พวกมันไม่สามารถควบคุมเขาได้และถึงแม้ว่าเขาจะยอมแพ้ แต่เขาก็จะไม่ยอมตายด้วยโรคระบาดของพวกมัน เขาจะตายด้วยวิธี
การของตัวเองที่เขาเลือกเอง

“อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ”

ทวิชกระซิบกับไฟที่โลมเลียและหลับไปในที่สุด

เพลิงกัลป์แผดเผากาดำอย่างทารุณ

โหมไหม้ให้หายสิ้นซึ่งร่างและอุดมการณ์

แปรเปลี่ยนบาดแผลและความทรงจำให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ไม่ให้เหลือสิ่งใดที่จะสร้าง ‘ผี’ ขึ้นมาได้อีก

--------

ก่อนอื่นเลยขอบคุณนักอ่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ เพราะเนื้อเรื่องหนักมากก 555 แถมยังจบแบบนี้อีก แต่สำหรับเราที่เป็นคนเขียนแล้ว เราคิดว่ามันเป็นจุดจบที่ดีสำหรับทวิชที่ใช้ชีวิตด้วยตัวคนเดียวมาตลอด การได้เป็นอิสระจากความทุกข์ทรมานพวกนี้น่าจะเป็นของขวัญสุดท้ายที่เราจะให้ได้กับทวิชที่เป็นเด็กดีมาตลอดทั้งเรื่อง

จริงๆ เรื่องนี้เราไม่คิดว่าตัวเองจะเริ่มเขียนจนเขียนจบมาถึงตอนนี้ได้เลย เพราะความตั้งใจของเราคือต้องการสะท้อนเหตุการณ์ 6 ตุลา ในรูปแบบนิยายโอเมก้าเวิร์ส เช่นเหตุการณ์การกวาดล้างโอเมก้าที่ใช้วิธีเดียวกับการที่เหล่านักศักษาถูกใส่ไฟในช่วงนั้น หรือจะเหตุการณ์ความรุนแรงอื่นที่สอดแทรกในเรื่องก็อ้างอิงมาจากเหตุการณ์จริงบางอย่าง

ซึ่งแน่นอนว่าต้องหาข้อมูลเยอะมาก TWT ที่หายไปบางช่วงก็หายไปอ่านหนังสือค่ะ

สำหรับใครที่สนใจเรื่อง 6 ตุลา หรือเรื่องการเมือง ไรต์ขอแนะนำเว็ป doct6.com  , เพจประชาไท , นิตยสาร Way นอกจากนี้แล้วนักวิชาการที่ไรต์ชอบมากก็จะเป็น อ.ธงชัยค่ะ สัมภาษณ์กับบีบีซีได้ดีมากจริงๆ

และสุดท้ายนี้หวังว่าจะเป็นนิยายที่ทำให้ทุกคนอยากมาเป็น 'ทวิช' ด้วยกันนะคะ
 
เพราะไรต์ก็เหมือนมีความเชื่อแบบเดียวกับทวิชค่ะ :)

ติดตามกันต่อได้ที่ twitter : @foggytimenaja    ส่วนใครว่างๆ ก็ไปรีวิวทวิชในแท็ค #สิงหกุลโภชนา ได้นะคะ เงียบเหงามากเรย

หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 24 : เถ้าถ่าน 25 เม.ย 63 p.5 {ตอนจบ}
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 26-04-2020 01:12:41
เศร้าจนจบจริงๆ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 24 : เถ้าถ่าน 25 เม.ย 63 p.5 {ตอนจบ}
เริ่มหัวข้อโดย: Philosophy ที่ 26-04-2020 01:38:50
แงงงง เขียนดีมากเลย มันเศร้า มันหดหู่ สิ้นหวัง ร้องไห้  :m15:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 24 : เถ้าถ่าน 25 เม.ย 63 p.5 {ตอนจบ}
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 29-04-2020 15:53:02
เป็นเรื่องที่หนักมากจริงๆค่ะ แต่ก็ขอบคุณที่แต่งนิยายแนวสะท้อนสังคมมาให้อ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 24 : เถ้าถ่าน 25 เม.ย 63 p.5 {ตอนจบ}
เริ่มหัวข้อโดย: 0832-676 ที่ 01-05-2020 18:38:00
ขอบคุณที่เขียนนิยายเรื่องนี้มาให้อ่านนะคะ ขอให้ทวิชหลับให้สบาย ไม่มีอะไรจะทำร้ายเธอได้อีกแล้ว ไว้อาลัยแต่ทวิช กันต์ กาย พอส หมอนที และทุกคนที่ได้ทำอย่างเต็มที่แล้ว เราเอาใจช่วยทวิชและทุกคนตลอด จนตอนท้ายๆที่ตั้งคำถามว่า ทวิชจะเหนื่อยเปล่ามั้ยที่ช่วยพวกเห็นแก่ตัวพวกนี้ พวกเขายังคงตั้งหน้าตั้งตาจมปลัก เทิดทูนบูชา ยินยอมที่จะโดนกดขี่ ถ้าพวกเค้าไม่ทำตัวแบบนี้ เราคงเอาใจช่วยอย่างสนิทใจมากกว่านี้ ทั้งๆที่ทวิชไม่มีอะไรจะเสียแล้ว พ่อแม่ตายหมด เพื่อนตายหมด แต่เค้าสู้เพื่อช่วยพวกคุณและคนรุ่นหลัง แต่นี่คือสิ่งตอบแทนที่เค้าควรได้เหรอ หักหลังเค้าแบบนี้เหรอ เราไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้ว ทุกคนในเรื่องนี้จะหลุดพ้นวงจรนี้มั้ย หรือก้มหน้าก้มตายอมรับต่อไป แต่ขอให้ในความเป็นจริง พวกเราจะสามารถหลุดจากวงจรบ้าๆ จากคนบางกลุ่มที่เอารัดเอาเปรียบพวกเราอยู่ ...จงพินาศ เสรีภาพจงเจริญ
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ขอให้มีกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานดีๆแบบนี้ต่อไป ❤️
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนที่ 24 : เถ้าถ่าน 25 เม.ย 63 p.5 {ตอนจบ}
เริ่มหัวข้อโดย: คุณซี ที่ 05-05-2020 01:50:17
เป็นนิยายที่ดิ่งมาก ร้องไห้ทุกตอนบีบใจทุกตัวหนังสือที่อ่าน แง้ขอบคุณมากๆนะค
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนพิเศษ : หลังจากนั้น p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 02-06-2020 01:02:17
ตอนพิเศษ After the ceremony

   
ความรุนแรงและคำหลอกลวงคือสิ่งที่รัฐใช้ในการทำลายอุดมการณ์ของกลุ่มปฏิวัติ
   
เผาทำลายความหวังด้วยคำประกาศิตอันชัดเจนว่าพวกเขาคือที่จะเป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ตลอดไป
   
โอเมก้าจะไม่มีวันเป็นใหญ่ เบต้าจะไม่มีวันเป็นใหญ่ มีเพียงอัลฟ่าเท่านั้นที่จะเป็นใหญ่ เหล่าผู้ที่พ่ายแพ้จงยอมรับในความจริงและกล้ำกลืนความผิดพลาดอันขมขื่นนี้ตลอดชีวิตว่าพวกเขาจะไม่มีวันชนะ
   
จงทิ้งอุดมการณ์เลิศหรูจอมปลอมไปกับความพ่ายแพ้ครั้งนี้และก้มหน้าใช้ชีวิตต่อไปด้วยความจำยอม
อย่าได้ผยองและกล้าเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาอีก

   

“ผมอยากกลับบ้านแล้วอ่า”
   
“รอก่อน”
   
ชนินทร์ซึ่งพาเด็กชายตัวเล็กมาทำงานด้วยยืนมองอดีตตึกแถวที่เคยเป็นที่เลื่องลือในย่านนี้ว่าขายบริการหลับสบาย ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าและมีพวกขอทานมาทำเพิงพักอาศัยอยู่กัน
   
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรอยู่ๆ เขากลับรู้สึกผิดขึ้นมา ทั้งๆ มันก็ผ่านมาเป็นปีแล้ว แต่ทุกอย่างในวันนั้นยังชัดเจนในความทรงจำของเขาราวกับว่ามันเกิดขึ้นเมื่อวาน วันที่เขาเห็นทวิชบินเข้าไปในกองเพลิงแห่งนั้นอย่างไม่ลังเล
   
“…”
   
น้ำตาเขารื้นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงสีหน้าสิ้นหวังของทวิช แววตาที่มักจะมองโลกอย่างเฉยชามาตลอดนั้นวันนี้กลับไม่เหลือความหวังใดๆ อีกต่อไปแล้ว
   
แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจสักนิดว่าทวิชจะยอมตายเพื่อมันทำไม  ทำไมถึงไม่ยอมรับความชั่วร้ายพวกนี้แล้วเป็นส่วนหนึ่งของมันเพื่อที่จะได้ไม่เจ็บปวด อย่างไรก็ตามทุกคนก็ต้องยอมรับความจริงว่าไม่ว่าจะพยายามให้ตายยังไงพวกเขาก็ไม่มีวันเอาชนะคนพวกนั้นได้
   
ทำไมถึงไม่ยอมมีชีวิตอยู่ต่อ
   
“คุณลุง คุณลุงกระต่าย”
   
อยู่ๆ เจ้าเด็กที่ทวิชฝากเขาเลี้ยงก็พยายามแกะมือเขาออก แล้ววิ่งไปหาขอทานคนหนึ่งที่นอนคลุกฝุ่นอยู่ในเพิงและกำลังร้องไห้จนตัวโยน
   
“…”
   
ชนินทร์นวดขมับตัวเองเซ็งๆ เพราะเขาก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงปล่อยทุกอย่างเลยตามเลยมาจนถึงขนาดนี้ จะไปเลี้ยงลูกใครก็ไม่รู้ทำไม ทำไมไม่ปล่อยทิ้งให้ตายตั้งแต่วันนั้นเหมือนพวกเด็กคนอื่นๆ ที่หนีจากการล่าหัวไม่ทัน
   
“พี่นิน! พี่นิน!”
   
กระรอกเจ้าปัญหาตะโกนเรียกเขาจนเขายอมสาวเท้าตามเข้าไป และเมื่อเข้าไปใกล้ก็พบว่าขอทานที่ว่านั้นเป็นเบต้ากระต่ายวัยกลางคนที่ดูอมโรคใกล้ตายเต็มทน
   
“อย่าเข้าไปใกล้”
   
ชนินทร์ดึงตัวเด็กชายไปไว้ข้างหลังตัวเองทันที และสบตากับเบต้ากระต่ายที่ร้องไห้จนนัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ
   
“..ร้องไห้ทำไม”
   
เขาหลุดถามออกไปโดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
   
เพราะแววตาของอีกฝ่ายนั้นก็ไม่ต่างจากทวิชในวันนั้นสักนิด
   
“..ร้านสิงหกุลโภชนาไม่ได้อยู่แถวนี้เหรอครับ”
   
เบต้ากระต่ายก้มหน้าจนชิดอกด้วยความนอบน้อมและหวาดกลัว เพราะเครื่องแบบที่ชนินทร์สวมใส่อยู่นั้นคือชุดตำรวจอัลฟ่าของทางการ และเหล่าเบต้าส่วนใหญ่ก็รู้ดีว่าอำนาจของกลุ่มคนเหล่านั้นมากมายไพศาลเพียงใด
   
“…”
   
ชนินทร์แทบจะลืมวิธีพูดไปด้วยซ้ำ
   
ขนาดตายไปเป็นปีแล้วสิ่งที่ทวิชสร้างไว้มันก็ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนอยู่เลย
   
“..จะไปที่นั่นทำไม”
   
ทั้งๆ ที่สถานที่แห่งนั้นมีเพียงความตายรออยู่ ทำไมถึงได้อยากไปนัก
   
“..ผมอยากเจอคุณทวิช”
   
เบต้ากระต่ายพูดด้วยสีหน้าดีขึ้นเมื่อนึกถึงเจ้าของร้านที่คนเล่าลือกันว่าช่วยสามารถปลดปล่อยจากความทุกข์ทรมานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ขอแค่หาร้านให้เจอทุกความเจ็บปวดก็จะหายไป และเขาก็จะหลุดพ้นจากชีวิตอันเลวร้ายนี้เสียที
   
“…”
   
ตลกร้ายที่ตอนนั้นเขาไม่พอใจกับการมีอยู่ของร้านทวิชมากเพราะขัดต่อกฎหมายของอัลฟ่า แต่มาวันนี้เขากลับอยากให้ร้านของทวิชนั้นยังอยู่เพื่อที่จะช่วยปลดปล่อยคนๆ นี้
   
“..ชีวิตของคุณมันไม่มีหวังแล้วเหรอ”
   
ชนินทร์ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง
   
“ผมเหนื่อยจะสู้แล้ว คุณตำรวจ” เบต้าคนนั้นยิ้มบางให้กับชนินทร์ หากแต่นัยน์ตาสั่นระริกด้วยความเจ็บปวด “ผมไม่อยากดิ้นรนอีกต่อไปแล้ว”
   
“ถ้าผมให้เงินคุณ คุณจะเปลี่ยนใจไหม”
   
เบต้ากระต่ายส่ายหัวและหัวเราะเสียงแผ่ว
   
“ชีวิตผมมันได้แค่นี้แหละ คุณตำรวจ มันไม่มีทางดีไปกว่านี้ได้แล้ว”
   
“...”
   
ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกว่าความภาคภูมิใจในอาชีพตำรวจหายไปจนหมด ซึ่งมันก็เป็นความรู้สึกที่รุนแรงจนเขาอยากจะถอดชุดเครื่องแบบนี้ทิ้งเลยด้วยซ้ำ
   
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะภูมิใจในอาชีพไปทำไมในเมื่อเขาไม่สามารถปกป้องใครได้เลย ทุกวันนี้เขาก็ไม่ต่างจากกับหมาที่พวกรัฐบาลใช้เฝ้าบ้านคอยทำลายพวกกบฏ และเหยียบย่ำคนข้างล่างเหล่านี้อย่างหน้าไม่อาย
   
เขารู้ว่าตัวเองทำเพื่อความอยู่รอดแต่ขณะเดียวกันเขาก็เจ็บปวดที่ตัวเองไม่สามารถเป็นตำรวจในแบบเดียวกับที่พ่อของเขาเป็นได้ แถมเขายังเป็นส่วนหนึ่งของความเลวร้ายพวกนี้อีก
   
จริงๆ แล้วเขามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันแน่
   
“คุณลุงกระต่าย ผม ผมให้”
   
เบต้ากระรอกตัวจิ๋วโผล่หน้าออกมาจากข้างตัวชนินทร์แล้วยื่นถุงลูกอมให้ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
   
“ขอบคุณนะ หนู”
   
เบต้ากระต่ายรับลูกอมไปด้วยรอยยิ้มหากแต่แววตาก็ยังเต็มไปด้วยความทุกข์ทน และรู้สึกเสียดายที่ความบริสุทธิ์ของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถชำระล้างความเจ็บปวดของเขาได้
   
เขาเจ็บปวดเกินไป เจ็บจนแบกรับไม่ไหว ความตายของพวกพ้องและความสิ้นหวังที่ต้องเผชิญทุกครั้งที่ตื่น มันคอยกระซิบกระซาบเขาหยุดความทรมานนี้สักที
   
“รับไปสิ”
   
สุดท้ายชนินทร์ก็อดไม่ได้ที่จะควักเงินจำนวนหนึ่งให้อยู่ดี ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าตัวเองจะให้ไปทำไม อาจจะเพราะความสบายใจหรืออะไรสักอย่างที่จะทำให้เขาไม่รู้สึกผิดไปกว่านี้
   
“…”
   
เบต้ากระต่ายมองเงินนั้นอย่างลังเลแต่เมื่อเหลือบไปเห็นขอทานคนอื่นๆ ที่นอนอยู่ข้างหลังก็ตัดสินใจรับไว้
   
“ส่วนร้านสิงหกุลโภชนาที่เขาคุณตามหา..” ชนินทร์หลบตาเพราะทนมองแววตามีความหวังนั่นไม่ไหว “ถูกเผาไปแล้วพร้อมกับเจ้าของร้าน ทวิชที่คุณตามหาอยู่ตายไปแล้ว”
   
“…เป็นเรื่องจริงสินะ”
   
แววตาของเบต้ากระต่ายจากที่ไร้แววอยู่แล้วตอนนี้ไม่เหลือโดยสิ้นเชิง
   
ความหวังเล็กๆ ที่จะได้ตายอย่างสงบและมีเกียรตินั้นไม่มีทางเป็นจริงได้แล้วจริงๆ
   
เบต้ากระต่ายยัดเงินกลับเข้ามือชนินทร์ ก่อนจะเดินโซซัดโซไปยังแม่น้ำที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อที่จะหยุดความทุกข์ทรมานนี้สักที
   
“…”
   
ชนินทร์มองตามหลังอีกฝ่ายและหลุดสะอื้นในลำคอ
   
นี่อาจจะเป็นคำสาปที่ทวิชทิ้งเอาไว้ให้เขาก็ได้
   
“พี่นิน กลับบ้านกัน ผมหิวแล้ว”
   
“...อืม กลับบ้านกัน”
   
ชนินทร์ที่เพิ่งได้สติก้มลงอุ้มเด็กชายและรีบพากลับบ้านอย่างว่าง่าย
   
เพราะเขามั่นใจว่าถ้าตัวเองยืนอยู่ที่นี่นานต่ออีกนิด เขาคงจะใจสลายแบบเดียวกับเบต้ากระต่ายนั่นแน่ๆ


   

“ผมขอขอบคุณทุกท่านสำหรับความช่วยเหลือ ขอบคุณสำหรับทุกความเหนื่อยล้า ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับงานเฉลิมฉลองตำแหน่งของผมในวันนี้ อย่าได้เกรงใจผมเลยครับ เต็มที่เลย”
   
สิงห์หรือว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่มาร่วมโต๊ะจีนในวันนี้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะชูแก้วเหล้าขึ้นสูงร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงที่คุ้นหน้าคุ้นตาทั้งทหาร ตำรวจ ผู้พิพากษา และผู้ที่มีส่วนรวมที่ทำให้การกวาดล้างกลุ่มปฏิวัติสำเร็จ
   
เขายิ้มให้กับเหล่าผู้ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นมิตรก่อนจะดื่มมันจนหมดแก้วในคราวเดียว
   
เฮ!!
   
เสียงเฮดังขึ้นอย่างครึกครื้นก่อนที่งานเฉลิมฉลองจะดำเนินไปอย่างคึกคัก ซึ่งแก้วที่สิงห์ดื่มไปเมื่อกี้นี้นั้นก็ไม่ต่างกับเลือดร่วมสาบานที่พวกเขาดื่มกินร่วมกันเพื่อผลประโยชน์อันสูงสุด
   
สิงห์ยิ้มบางให้กับแก้วเปล่าของตัวเองอย่างพอใจ เพราะเขาและคนในตระกูลหมายตาตำแหน่งนี้มาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งตระกูลของเขาก็สูญเสียผลประโยชน์ ทรัพย์สิน คนและทรัพยากรไปมากมายเพื่อสนับสนุนรัฐบาล
   
หากแต่ผลตอบแทนที่พวกเขาได้รับตอนนี้ก็คุ้มค่าจนเขามั่นใจว่าเขาจะสามารถทำให้ตระกูลของเขามั่งคั่งได้ไปอีกร้อยสองร้อยปีกับการถือครองตำแหน่งนี้
   
เขากำลังจะได้ควบคุมตลาดและสินค้าในตลาดนั้นก็เป็นของเขาเอง
   
พวกเบต้ามักจะเรียกเขาว่านายทุนหน้าเลือดแต่เขากลับคิดต่างออกไป เขาคิดว่าตัวเองนั้นเป็นผู้ให้ซะมากกว่า เพราะลำพังด้วยสติปัญญาของเบต้าเองคงไม่มีทางจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแบบเขาได้
   
เบต้าและโอเมก้าโง่เง่าจะตาย
   
ไม่สิ แม้แต่อัลฟ่าบางคนก็ยังโง่
   
สิงห์แค่นเสียงหัวเราะเหยียดหยันเมื่อนึกถึงทวิชที่ตายไปแล้ว เอาเข้าจริงในสายตาเขา ทวิชน่าจะเป็นคนที่โง่ที่สุดที่เขาเคยรู้จักด้วยซ้ำ
   
เขาให้โอกาสในการใช้ชีวิตมากมาย พยายามที่จะฉุดกระชากจากเด็กคนนี้ออกจากความเชื่อปัญญาอ่อนที่คิดว่าเพศทุกเพศเท่ากัน ทั้งๆ ที่มันไม่มีวันเป็นแบบนั้น อัลฟ่าต่างหากที่ต้องครอบครองทุกสิ่งและแจกจ่ายให้กับคนเบื้องล่าง
   
การตายของทวิชไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักนิดนอกจากความสมเพช เอาเข้าจริงถ้าทวิชยอมกลับมารับความอนุเคราะห์จากเขาอีกครั้งและทำตัวให้เข้าร่องเข้ารอยกว่านี้ เขาก็อาจจะพิจารณางานดีๆ ให้สักงานก็ได้ เพราะจากผลการเรียนทวิชก็ค่อนข้างหัวดีพอตัว เสียอย่างเดียวก็คืองมงายไปกับเรื่องความเหลื่อมล้ำหรือชนชั้นบ้าๆ นั่นแหละ
   
“ท่านครับ ท่านนายกให้ผมมาเชิญท่านไปชนแก้วครับ”
   
นายทหารคนสนิทคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับสิงห์อย่างนอบน้อม
   
“อืม ไปสิ”
   
สิงห์หันยิ้มให้กับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นเพื่อไปกระชับมิตรกับเหล่าผู้ร่วมงานของเขาในอีกตลอดหลายสิบปีนี้ ซึ่งบทสนทนาที่พวกเขาจะได้พูดคุยนั้นก็หนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์อย่างแน่นอน
   
“อัลฟ่าจงเจริญ”
   
ว่าที่รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กระซิบกับอากาศด้วยรอยยิ้มเย็น
   
เพื่อตำแหน่งนี้แล้วต่อให้เขาต้องฆ่าคนอีกสักกี่คนหรือต้องทำลายล้างอีกเท่าใด
   
เขาก็พร้อมที่จะแลกกับมันอย่างไม่ลังเล

เพราะมีเพียง ‘เงิน’ เท่านั้นที่จะทำให้เขาอยู่รอดบนโลกที่ไม่แน่นอนแห่งนี้

----------

หายไปนานเลย  :hao5:

รีเควสต์ตอนพิเศษได้นะคะ  :mc4: 

#สิงหกุลโภชนา
   
   
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนพิเศษ : หลังจากนั้น p.5
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 07-06-2020 15:41:06
เป็นเรื่องที่บีบหัวใจมากเลยค่ะ ไม่พลิกคืน ไม่ดีขึ้นเลย
ทวิชจมดิ่งไปเรื่อยแบบไร้ตัวตน ต่อสู้เพื่อคนที่ไม่รู้รักตัวเอง
ชีวิตแบกรับกับความเจ็บปวดที่จับต้องไม่ได้
ถูกกลืนกินกับความพยายามที่ไร้ผล ปลายทางคือที่สุดของชีวิตแล้ว
ยอมแลกกับการมีอยู่ เลือกที่จะจากไป

กันต์ก็ไม่เสียดายชีวิต เพราะคนเราย่อมมีความหวังเสมอ
และเชื่อว่าจะช่วยทวิชได้ ถึงแม้ทวิชจะไม่อยากให้ทำก็ตาม

สิงหกุลโภชนาจริงๆ ค่ะ สุดท้าย สิงห์ก็ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ

ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ เป็นเรื่องที่อ่านยาวๆ ได้สนุกมาก
พีคทุกตอน ดิ่งทุกตอน ยิ้มได้แค่ช่วงแรกๆ ที่ยังไม่มีเรื่องปฏิวัติ
หลังจากนั้น คือที่สุดของความระทม ทั้งชีวิตของทวิช


หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนพิเศษ : หลังจากนั้น p.5
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 08-06-2020 05:14:30
ต้องบอกว่า ขอบคุณมากจริงๆค่ะ เป็นเรื่องที่เรียบเรียงได้ดีและเล่าถึงเหตุการณ์จนเราเข้าใจจริงๆ เบื่อนิยายไม่ได้มาหลายเดือน เหมือนอ่านไม่จบไม่สนุกแต่พอมาอ่านเรื่องนี้ก็ทำเราอ่านไม่หยุดจนจบไปเลย ต้องขอบคุณนักเขียนมากนะคะที่นำเรื่องราวของทวิชมาเล่าให้ฟังแบบนี้ ถึงมันจะทำให้เราอึดอัดและรู้สึกเศร้าใจอยู่ตลอดก็ตาม แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นสิ่งที่มีจริงและทวิชก็ทำได้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองสามารถทำได้แล้ว ถึงเราจะอยากให้เขาพบความสุขบ้างก็เถอะนะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนพิเศษ : หลังจากนั้น p.5
เริ่มหัวข้อโดย: psyche ที่ 28-10-2020 23:03:11
เป็นเรื่องที่เขียนดีมาก สะท้อนปัญหา​ปัจจุบัน​มาก อ่านไปก็คิดว่า เหมือนเราตกอยู่ในนิยายเรื่องนี้เลย เศร้ามากๆ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา ตอนพิเศษ : หลังจากนั้น p.5
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 11-11-2020 12:32:50
หลังจากนี้หลังจากการต่อสู้ของทวิชเราเชื่อว่ามันจะต้องมีวันสำเร็จในสักวันสิ่งที่อัลฟ่าฆ่าไปคือผู้คนไม่ใช่อุดมการณ์ไม่ว่ายังไงอุดมการณ์เหล่านั้นก็จะยังอยู่ ผู้คนที่ตื่นรู้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะต้องมีวันสำเร็จแน่นอนค่ะ อยากให้ทวิชอยู่เจอความสำเร็จในประเทศเค้า แต่เค้าคงจะสู้ต่อไม่ไหวจริงๆ แต่ในสักวันนึงมันจะสำเร็จ และทวิชก็คงจะดีใจ

อัลฟ่าจงพินาศ เสรีภาพจงเจริญค่ะ
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิสสิคัล ชมฟรี ที่ มข
เริ่มหัวข้อโดย: Foggy Time ที่ 21-03-2021 23:45:55
To. ประชาชน

"เมืองสวรรค์สรรสร้างนามระบือ
แดนเลื่องลือรอยยิ้มพริ้มสุขขี
อาเรลปกครองถิ่นนี้ด้วยไมตรี
ชาวประชาเปรมปรีดิ์สุขอุรา

คราวถึงยุคทมิฬมารนึกครองเมือง
ความรุ่งเรืองสิ้นสลายกลายระกา
สังคมเนืองนองเลือดพสุธา
จิตวิญญาความรักราชพาป้องภัย"

พวกเรากลุ่ม New Tomorrow ขอเชิญชวนเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกท่านเข้ารับชมนิทรรศการงานศิลปะและละครเวที ในชุด "New Tomorrow The Musical"
สามารถลงทะเบียนสำรองที่นั่งเพื่อเข้ารับชมละครเวทีได้ที่ลิ้งก์ข้างล่างนี้
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 06-04-2021 19:02:52
 :z13:
หัวข้อ: Re: { DSYTOPIA } สิงหกุลโภชนา แจ้งข่าว : ละครเวทีมิวสิคัล ชมฟรี ที่ มข
เริ่มหัวข้อโดย: nonocong ที่ 10-05-2021 11:24:00
ดีใจที่ได้มาเจอเรื่องราวนิยายแนวนี้จัง ขอให้ทวิซได้ไปเจอสิ่งที่ดีนะ อำนาจมันมีอยู่ทุกที่ ใคร ๆ ก็ต้องการ   :hao5: :pig4: :sad4: