พิมพ์หน้านี้ - ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 13-01-2020 10:36:37

หัวข้อ: ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 13-01-2020 10:36:37
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0




ห ล ง [Omegaverse]

มะแมเคยคิดว่าในโลกนี้ไม่มีของสักอย่างเดียวที่เป็นของของเขาเพียงคนเดียว

ไม่ว่าจะครอบครัวของป้าที่เขามาพึ่งใบบุญ คนรักของเขาที่มีภรรยาและลูกอยู่แล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่งมีผู้ชายหนึ่งคนที่มั่นหน้าซะเหลือเกินว่าลูกในท้องเขาเป็นลูกตัวเองแน่ๆ ทั้งที่พลาดมีอะไรกันได้แค่คืนเดียวก้าวเข้ามา

"คุณเป็นบ้าเหรอ!"

 

สวัสดีค่า แวะมาเปิดนิยายเรื่องแรกของเราเลย เป็นฟีลกู้ดนะคะ ไม่ดราม่า แต่ฟีลกู้ดของเราอาจไม่เท่ากันค่ะ แหะๆ

ฝากเนื้อฝากตัวและฝากนิยายด้วยนะคะ

#คุณคิหลงน้อง
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse]
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 13-01-2020 10:39:39
1: หลงใหล

ทั้งที่เป็นเวลาเพียงหกโมงนิดๆ ของฤดูหนาวที่อุณหภูมิยังไม่เริ่มเย็นแต่อย่างใด พระอาทิตย์กลับตกไวซะเหลือเกิน ท้องฟ้าตอนนี้กำลังเปลี่ยนเป็นสีส้มแดง โรงยิมเล็กที่อยู่ชั้นล่างของอาคารเรียนที่เด็กๆ ต่างเรียกกันจนติดปากว่าตึกสามแทบไม่เหลือคนแล้ว อาจจะเป็นเพราะโรงยิมชั้นหนึ่งนี้ไม่ได้มีอุปกรณ์กีฬาอะไรเลย นอกจากเบาะยิมนาสติกที่ปูจนเกือบเต็มพื้นที่เพื่อใช้สอนยูโดและม้วนหน้าม้วนหลังเท่านั้น แถมยังติดกับห้องพักครูวิชาพละ เด็กนักเรียนถึงไม่เลือกที่นี่เป็นที่นั่งจับกลุ่มมั่วสุมกันเลือกเรียนด้วย

บรรยากาศรอบตัวแทบจะเงียบสนิท มีแค่เสียงนกที่ทำรังอยู่ในบริเวณโรงเรียนดังมาจากไกลๆ เท่านั้น มะแมนั่งคนเดียวบนที่นั่งข้างทางที่เด็กนักเรียนส่วนมากใช้วางกระเป๋ากันหน้าห้องเรียน ตัวบางเอนพิงกับเสาอาคาร ขาสองข้างแกว่งไปมาเบาๆ ตอนนี้ไม่เหลือใครสักคนแล้วแถวๆ นี้ ตาเรียวจ้องตัวเลขสี่หลักบนหน้าจอโทรศัพท์ที่นอกจากจะตกรุ่นแล้วยังถูกทำตกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งจนหน้าจอร้าวตัวเครื่องถลอก

“ไหนบอกว่าหกโมงไงครู” ปากอิ่มงึมงำกับตัวเอง วันนี้เขาเลือกเรียนตอนสี่โมงครึ่ง ออกไปซื้อลูกชิ้นทอดกับน้ำปั่นจากหน้าโรงเรียนมานั่งกินในโรงอาหาร แล้วก็มานั่งจุ้มปุ๊กรอครูตรงนี้ตั้งแต่ยังมีคนเดินไปมาพลุกพล่านจนตอนนี้กลายเป็นโรงเรียนร้างซะแล้ว คนที่เป็นฝ่ายนัดเสียดิบดีก็ยังไม่เดินออกมาจากห้องพักเสียที

แมนั่งนับครูพละที่เดินออกจากประตูกระจกบานเลื่อนได้คนแล้วคนเล่า แต่ไม่มีใครทักเขาหรอกนะ เพราะภาพลักษณ์เหมือนเด็กเกเรหลังห้องที่ทั้งผมยาวผิดระเบียบ แต่งตัวไม่เรียบร้อย ท่าทางไม่เป็นมิตร แล้วยังพูดจาห้วนๆ ไม่ค่อยมีหางเสียงกับผู้ใหญ่ นอกจากเพื่อนนักเรียนด้วยกันที่หลบแล้ว ครูหลายๆ คนโดยเฉพาะครูฝึกสอนสาวๆ ก็ยังพากันเลี่ยง ทั้งๆ ที่คะแนนสอบของเขาไม่ใช่แค่ไม่ขี้เหร่ เรียกได้ว่าอยู่ในเกณฑ์ดี และบางครั้งก็ดีกว่าเด็กหน้าห้องด้วยซ้ำไป

..แต่ก็แค่คะแนนสอบเท่านั้นล่ะนะ เพราะพอเอามารวมกับที่โดนหักคะแนนความประพฤติกับที่ลืมส่งการบ้านบ่อยๆ แล้ว เกรดเฉลี่ยก็เรียกได้ว่าแค่พอผ่านเท่านั้น

“หรือว่าครูลืมไปแล้ววะแม่ง” ฟันขาวกัดลงบนริมฝีปากล่าง เท้าที่แกว่งไปมาเบาๆ เมื่อครู่กระทืบย้ำๆ ลงกับพื้นกระเบื้องแล้วเตะเข้าที่เสาข้างๆ ตัวอย่างหงุดหงิด “รู้อย่างงี้ไม่น่าลางานเลยว่ะ เสียดายต..”

“ครูตรวจการบ้านน้องปีหนึ่งเพลินจนลืมเวลาไปสิบนาทีแค่นี้ ต้องโมโหจนทำร้ายทรัพย์สินโรงเรียนเลยเหรอ รามิล”

มะแมสะดุ้ง หันข้างไปมองต้นเสียงจนคอแทบเคล็ด และพบว่าคนที่เพิ่งถูกเขาบ่นงึมงำยืนห่างไปไม่เกินสามเมตร คงได้ยินประโยคเมื่อกี้ชัดแจ๋ว

“ค.. ครูเจษ มาไม่ให้สุ้มให้เสียงเนอะ” หัวเราะแห้งพร้อมกับยิ้มแหยๆ ที่ดูแห้งยิ่งกว่าเสียงหัวเราะเสียอีก

“ให้สัญญาณก็คงไม่เห็นเด็กแสบหน้าซีดหรอกใช่ไหมล่ะ” นอกจากจะไม่โกรธแล้วยังหัวเราะชอบใจ ครูเจษตบไหล่แมสองทีเป็นสัญญาณให้ลุกขึ้น “มานั่งหงอยอะไรตรงนี้ เข้าไปข้างในเลย ให้เร็ว”

เด็กตัวบางลุกขึ้น พอยืนเทียบกันแล้วถึงแมจะไม่ได้ตัวเล็กอะไรมากมายแต่ตัวหนาๆ ของครูหนุ่มวัยสี่สิบนิดๆ ก็ทำเอาเขาดูตัวเล็กไปอีกหน่อย ครูเจษเป็นครูสอนวิชาพละและสุขศึกษา จริงๆ แล้วเขาไม่รู้หรอกว่าครูอายุเท่าไหร่กันแน่ แต่ได้ยินเพื่อนๆ คุยกันว่าประมาณนี้ แต่คงเพราะยังออกกำลังกายสม่ำเสมออย่างน้อยก็ตอนสาธิตให้นักเรียนดูในคาบ ครูเลยไม่ได้อ้วนลงพุงอย่างครูวิชาอื่น มองๆ ดูแล้วก็เหมือนคนอายุสามสิบปลายๆ ซะมากกว่า

“ได้ข่าวว่าวิชาอื่นก็ได้คะแนนดีนี่ แต่ดันมาสอบตกทดสอบสมรรถภาพวิชาพละเนี่ยนะ รามิล” หนุ่มใหญ่พูดเจือเสียงหัวเราะ “รู้ถึงไหนอายถึงนั่นเลยนะ”

“ครูก็..” เขาทำเสียงสะบัดแถมยังเบะปากใส่ครูอีก

“อะไรฮึ ครูดูคะแนนแล้วอย่างอื่นก็ไม่แย่เท่าไหร่ จะช่วยปัดคะแนนให้ผ่านๆ ไปก็ได้ แต่คะแนนความยืดหยุ่นนี่เกินจะเยียวยาจริงๆ นะรามิล ก่อนจะสอบใหม่คงต้องฝึกก่อนแล้วมั้ง”

มะแมพยักหน้าหงึกหงัก เออออไปกับที่ครูพูดทั้งหมด

..ช่วยปัดคะแนนก็ดี ไม่งั้นชาตินี้คงไม่ผ่านหรอก ขี้เกียจจะวิ่งรอบสนามสามรอบแล้ว..

“ไป วอร์มอัพก่อนสักหน่อย แล้วค่อยลองเอามือแตะปลายเท้า ครูจะช่วยดูให้”

แมวางกระเป๋านักเรียนไว้ข้างเบาะ ถอดถุงเท้าวางแปะไว้บนกระเป๋าเป้อีกทีก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปเหยียบเบาะยิมนาสติก

“จะยืดกล้ามเนื้อทั้งๆ เสื้อนักเรียนเนี่ยนะ”

แมเลิกคิ้ว มองหน้าครูเป็นเชิงถามว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้พกเสื้อมาเปลี่ยนสักตัว

“เอาเสื้อยูโดใส่ไปก่อน เปลี่ยนตรงนี้แหละไม่ต้องไปไหน”

คนตัวบางทำหน้าเหรอหรา เถียงไปว่ายังไงกลับไปก็ต้องซักเสื้ออยู่แล้ว แต่ครูเจษก็ยังยืนยันว่าให้เปลี่ยนเสื้ออยู่ดี

แมขยับตัวยุกยิก ยกมือขึ้นลูบคออย่างประหม่านิดๆ ถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกัน แต่จะให้เปลี่ยนเสื้อต่อหน้าครูมันก็เขินหน่อยๆ เขายืนหันด้านข้างให้ครูเจษ นิ้วมือเรียวปลดกระดุมเสื้อนักเรียนที่ละเม็ดจากบนลงล่าง อุตส่าห์เก๊กหน้าว่าไม่ได้อายเอาไว้นิ่ง แต่ริ้วแดงๆ ก็พาดผ่านแก้มตอนที่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ไม่ได้ใส่เสื้อกล้ามไว้ด้านในเนี่ยแหละ เสียอาการชะมัด

คนตัวผอมถอดเสื้อขาวออกจากตัว ขยำเป็นก้อนๆ โยนไปบนกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่นอกเบาะแล้วคว้าเอาเสื้อคลุมยูโดจากมือครูมาสวม ผูกผ้ารอบเอวอย่างลวกๆ

“ผอมขนาดนี้ ลมพัดจะปลิวไหมเนี่ยรามิล” คำแซวจากครูยิ่งทำเขาอายไปใหญ่ “ครูต้องจับตรวจพยาธิหน่อยแล้วมั้ง เลี้ยงไว้เต็มท้องรึเปล่าตัวถึงได้ไม่โตสักที”

“ครูพูดมากอ่ะ” แมค้อนใส่วงใหญ่ เพราะสนิทกับครูเจษพอสมควรเลยกล้าพูดไปอย่างนั้น

“เดี๋ยวเถอะ ไอ้ตัวแสบ” ครูโยกหัวเขาเหมือนมันเขี้ยวมากกว่าจะโกรธ “เอ้า! สะบัดมือสะบัดเท้าเลย ทำเหมือนที่ครูให้ทำก่อนเริ่มเรียนนั่นแหละ”

มะแมขยับตัวตามคำสั่ง ส่วนครูเจษนั้นถอยหลังไปยืนกอดอกมองเขาเงียบๆ ตาคมจ้องตัวผอมบางจนแทบทะลุยิ่งทำให้เขาประหม่าขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่ใช่ว่าปกติครูไม่ชอบจ้องเขาหรอกนะ ทุกครั้ง ถึงจะไม่มีใครสังเกตแต่แมก็รู้สึกตัวว่าครูชอบแอบมองเขาในชั้นเรียน แถมยังชอบมาจับเนื้อต้องตัวถ้ามีโอกาสอีกต่างหาก พอได้อยู่ด้วยกันแค่สองคนโดยไม่มีเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ อย่างนี้แล้ว บรรยากาศมันแปลกๆ อย่างไรไม่รู้

จริงๆ แล้วเขาก็แอบปลื้มครูเจษอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะเป็นโอเมก้า การจะรักหรือชอบผู้ชายด้วยกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันเพื่อนชายวัยรุ่นราวคราวเดียวกันถึงไม่สามารถทำให้ใจเต้นได้เหมือนตอนถูกสายตาของคุณครูวัยสี่สิบเศษจ้องในตอนนี้

ครูเจษไม่ได้หล่อเหลามากมายจนเป็นที่สะดุดตาอะไรหรอก ก็เป็นแค่ครูเบต้าธรรมดาๆ คนหนึ่งที่หน้าตาไม่ได้แย่รูปร่างหนา ถึงจะไม่ได้หุ่นดีถึงขนาดมีกล้ามหน้าท้องเป็นลอน แต่กล้ามแขนครูเจษใต้เสื้อโปโลแขนสั้นก็แน่นจนแมอยากลองสัมผัสดูสักครั้ง มันจะต่างจากแขนผอมๆ ของตัวเองรึเปล่านะ นอกจากนั้นแล้วก็คือสายตาเจ้าชู้ที่ชอบส่งมาให้จนเด็กอย่างเขาหวั่นไหว

..ครูจะแต่งงานรึยังนะ? ..

แก้มเนียนสีน้ำผึ้งขึ้นสีแดงอีกครั้ง เมื่อรู้ตัวว่าเมื่อกี้เผลอคิดอะไรออกไป

“ก้มไปอีก” มืออุ่นร้อนแตะลงกลางหลังตอนนี้แมก้มตัวลงพยายามเหยียดแขนเอาปลายนิ้วแตะเท้าตัวเอง ครูออกแรงกดเบาๆ “ถ้าเจ็บก็ร้องนะ”

แรงดันจากมือครูเจษทำให้แมรู้สึกตึงนิดหน่อย พอกดลงมามากไปก็เริ่มจะรู้สึกเจ็บขึ้นมา สงสัยจะตัวแข็งเป็นคนแก่อย่างที่ครูว่าไว้จริงๆ

“อ๊ะ! อื้อ..” หลุดเสียงร้องเบาๆ ออกมาประท้วงว่ากดแรงเกินไปแล้วนะ

ลมหายใจร้อนๆ เป่ารดผ่านปลอกคอที่พาดทับบนท้ายทอยมะแม ขนอ่อนตรงลำคอเขาลุกซู่ ครูเจษจะใกล้เกินไปแล้ว “ร้องซะเซ็กซี่เชียว” แรงที่กดลงบนหลังผ่อนลง แต่เสียงทุ้มที่ถ้าป้าเขาได้ยินต้องบอกว่าเหมือนพระเอกละครสมัยป้ายังสาวๆ กลับกระซิบใกล้จนแทบชิดใบหูซ้าย

ตัวผอมสั่นระริกตอนที่มือใหญ่ของครูเจษแตะลงเบาๆ บนผิวหน้าอกตรงส่วนสาบเสื้อแหวกเห็นเนื้อผิวเนียนสีคาราเมลอ่อน ตาเรียวหลับแน่นแต่ร่างกายกลับไม่ขยับหนี สถานการณ์ตอนนี้ไม่ปลอดภัยเลยสำหรับเด็กอายุสิบหก หัวใจแมเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดจากอกแล้ว กลัวก็กลัวแต่ก็อยากลองด้วยเช่นกัน

“ตรงนี้มันร้อนนะ เข้าไปนั่งในห้องพักครูไหม” ผิวเนื้อเปลือยถูกเคล้นจนขึ้นรอยจางๆ “ครูคนอื่นกลับหมดแล้ว แล้วแมไม่ต้องสอบใหม่ครูจะให้คะแนนเต็ม ดีไหม”

เอาคะแนนสอบมาหลอก เหมือนเด็กที่ถูกล่อด้วยขนมหวาน..

แต่ไม่ใช่คะแนนสอบหรอกที่ทำให้เขาเดินตามครูเข้าไปในห้องที่มุมหนึ่งของยิมอย่างว่าง่าย มันเป็นความอยากรู้อยากลองของวัยรุ่นล้วนๆ ประตูบานเลื่อนถูกกดล็อกตามหลังในทันที

ช่วงเย็นย่ำของวันหนึ่งในฤดูหนาว ในห้องพักครูวิชาพละแคบๆ แมที่อายุแค่สิบหกได้รู้รสชาติของเซ็กส์เป็นครั้งแรกกับครูที่แก่กว่าแม่ตัวเอง







“แม น่ารักมาก” ครูเจษจูบซับคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มแม “ครูรักแมนะ แต่ครูขออะไรได้ไหม อย่าบอกใครเรื่องนี้นะ กับเพื่อนสนิทก็ไม่ได้ แมคงไม่อยากให้ครูถูกไล่ออกใช่ไหม ถ้าใครรู้เรื่องของเรา”

มะแมปรือตามองผู้ชายตรงหน้า ภาพมันพร่าไปหมด

“เป็นความลับของเราแค่สองคนไง” ครูเจษยิ้ม จูบริมฝีปากอิ่ม ใช้คำหวานหลอกล่อเด็กน้อย

“..ครับ.. แมจะไม่บอกใคร” แขนเรียวโอบคอครูหนุ่มให้โน้มใบหน้าลงมาอีกครั้ง ตอนนั้นสมองแมยังตื้อๆ เขาคิดแค่ว่าถ้าจบปวช.ชั้นปีที่สามก็คงได้คบกับครูเจษแบบเปิดเผย แค่รอเวลาจนกว่าฐานะของนักเรียนและอาจารย์จะสิ้นสุดเท่านั้น

ในตอนที่รู้ความจริงว่าเรื่องของเราสองคนไม่มีทางพัฒนาไปได้ไกลกว่าตรงนี้ ความสัมพันธ์ของเราสองคนไม่มีทางถูกเปิดเผย เขาไม่มีวันจะได้เดินจับมือครูในที่สาธารณะ เพราะครูเจษแต่งงานกับภรรยามากว่าสิบปีแล้ว แถมยังมีพยานรักเป็นลูกสาวอายุเจ็ดขวบถึงสองคน

ตอนนั้นแมก็เดินทางผิดไปไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับแล้ว

เวลาเกือบปีที่เขามีความสัมพันธ์ที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จากสายตาชาวบ้านกับครูเจษ แมค่อยๆ รู้ได้เองว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามครอบครัวของครูมาก่อนเขาเสมอ วันธรรมดาครูจะมีเวลาให้เขาแค่ช่วงเย็นหลังครูทุกคนในห้องพักกลับบ้านแล้วและไม่เกินหนึ่งทุ่ม เพราะครูเจษต้องรีบกลับบ้านไปทานข้าวกับภรรยาและลูกๆ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์เป็นเวลาของครอบครัว เขาไม่ควรโทรศัพท์หรือส่งข้อความใดๆ ถ้าไม่สำคัญจริงๆ







เสียงครางต่ำดังชิดหูพร้อมกับลมหายใจร้อนๆ เจษฎาโถมตัวทับเด็กน้อยใต้ร่างเมื่อเสร็จสม มะแมบีบแขนล่ำของคนตรงหน้าเป็นการประท้วง ครูเจษถึงฝั่งแล้ว แต่ว่าเขายัง!

“ครู..” ขาเรียวขยับเสียดสีกับสีข้างของคนแก่กว่า ยั่วยวน “อื้อ.. ขยับต่อสิ แมยังไม่เสร็จอ่..”

ยังไม่ทันพูดจบดี ครูเจษก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน “แป๊บนะแม”

เจษฎาถอนกายออกจากเด็กตรงหน้า มือขวาเขารูดถุงยางทิ้งลงถังขยะที่เตรียมจะเอาไปทิ้งหลังเลิกงานเพื่อทำลายหลักฐาน ส่วนมือข้างซ้ายก็คว้าโทรศัพท์ที่กำลังสั่นครืดๆ บนโต๊ะทำงานขึ้นมาแนบหู ทำสัญญาณมือให้แมรู้ว่าอย่าส่งเสียงอะไรเด็ดขาดแล้วจึงกดรับสาย

“ว่าไงคะลูก...” ทั้งๆ ที่เพิ่งทำเรื่องอย่างว่ากับลูกศิษย์ไป เจษฎากลับรับโทรศัพท์จากลูกสาวได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แมถอนหายใจเสียงฟึดฟัด นิ้วเรียวกระตุกชายเสื้อเชิ้ตของครูเจษเรียกร้องความสนใจ

“ป๊ะป๋ากำลังเก็บของเลยค่ะ หม่าม้าทำอะไรให้กินคะเย็นนี้ ใช่ของโปรด….”

เขาไม่มีอารมณ์จะฟังว่าครูเจษพูดอะไรต่อ ตัวผอมบางขยับลุกขึ้นท่าทางกระฟัดกระเฟียด ครูเสร็จไปแล้วอย่างนี้ แถมลูกสาวยังโทรมาอีก นั่นแปลว่าเขาคงต้องอารมณ์ค้างไปจนถึงบ้าน เพราะครูเจษต้องรีบกลับไปหาครอบครัว มะแมรูดกางเกงชั้นในที่ม้วนอยู่ตรงข้อเท้าขึ้นมาใส่ คว้ากางเกงนักเรียนที่ถูกถอดเหวี่ยงไปอยู่บนกองชีทการเรียนการสอนวิชาสุขศึกษาขึ้นสวม ติดกระดุมเสื้อลวกๆ หยิบเอากระเป๋านักเรียนที่วางบนพื้นพิงโซฟาขึ้นสะพาย แล้วจ้ำเท้าออกจากห้องพักครูพละอย่างหัวเสีย ไม่ลืมที่จะกระแทกประตูปิดดังๆ ให้ครูรู้ว่าเขาไม่พอใจ

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องดี ก็รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงลูกสาวครูจากโทรศัพท์ และนับครั้งไม่ถ้วนที่อยากจะจบความสัมพันธ์ผิดๆ ของเราสองคน แต่ได้ยินครูบอกว่ารักทีไร เด็กโง่อย่างเขาก็ถูกหลอกให้จมอยู่กับความรักปลอมๆ นี่ต่อไปทุกที




**********************************



แมรูก ;_; อยากทุบหัวครูเจษให้แบะ

เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจเพลง Teacher's pet - Melanie Martinez บวกกับความฝันอีกนิดหน่อยค่ะ 555

ติชมกันได้นะคะ ขอบคุณทุกคนที่หลงเข้ามาอ่านค่า ฝากเอ็นดูน้องมะแมกันเยอะๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 1: หลงใหล l 13/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: t152_rakjai ที่ 13-01-2020 11:45:27
รอนะคะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 1: หลงใหล l 13/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Ac118 ที่ 13-01-2020 12:25:31
คำโปรย น่าสนใจมากๆ รอตอนต่อไปนะคะ

ครูเจษ...เลวววว
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 1: หลงใหล l 13/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 13-01-2020 18:31:32
เอ้าาาาาาา อาจาน!!!
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 1: หลงใหล l 13/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 14-01-2020 02:13:42
บาปมากแมเอ้ยย ครูแม่งก็เลว
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 2: ฮีท! l 14/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 14-01-2020 10:51:56
2: ฮีท!

“แน่ใจนะแมว่าจะไม่ไปเที่ยวกับป้า ลางานซักสามวันพี่ที่ร้านเขาไม่ไล่ออกหรอกมั้ง”

แมกรอกตา เป็นรอบที่ห้าของวันนี้แล้วตั้งแต่ตื่นเช้ามาที่ป้าถามเขาย้ำๆ มาจะไม่ไปงานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ของญาติที่ต่างจังหวัดช่วงวันหยุดยาวสามวันติดด้วยกันจริงๆ ใช่ไหม และเขาก็ปฏิเสธไปเหมือนเดิมทุกครั้ง

“ไม่ไปจริงๆ ป้า” ยกกระเป๋าใบสุดท้ายยัดเข้าหลังรถเก๋งคันเก่า แขนเรียวดุนหลังหญิงวัยกลางคนร่างอวบให้ขึ้นรถไวๆ “ไปได้แล้วป้าออกสายก็ไปถึงสายนะ แมอยู่บ้านคนเดียวได้น่าสัญญาจะไม่พาโจรมายกเค้าแน่ๆ”

ป้าเกียงมองเขาตาเขียว ฟาดมือลงกลางหลังดังปั่ก

“เดี๋ยวเถอะ เด็กคนนี้นี่! ” มะแมหัวเราะเสียงดังตาหยีเมื่อยั่วโมโหป้าได้ ถึงป้าจะมือหนักจนรู้สึกเหมือนจะช้ำในแต่ก็คุ้มค่า

คุณเกียงปิดประตูรถฝั่งคนนั่งดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดตัวแล้วกดปุ่มลดกระจกลงครึ่งบาน ห้ามใจไม่ได้ต้องสั่งเสียหลานตัวดีเป็นรอบสุดท้ายก่อนออกเดินทาง “ล็อกบ้านดีๆ ล็อกรั้วด้วยล่ะอย่าลืม ต้องกลับมานอนบ้านทุกคืนแล้วก็ห้ามพาใครมานอนที่บ้านด้วยเข้าใจไหม เพื่อนก็ไม่ได้”

“รับทราบแล้วครับ ล็อกบ้านล็อกรั้ว ห้ามไปนอนไหน ห้ามพาใครมานอนนี่” ได้แต่คิดในใจว่าทำไมคำสั่งมันยาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกี้ยังมีแค่ให้ล็อกประตูอยู่เลยไม่ใช่หรือยังไงแต่มะแมก็รับคำขันแข็ง แล้วหันไปพูดกับผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เจ๊ออกรถเลย ขืนอยู่ต่ออีกสองนาทีสงสัยป้าได้ห้ามแมออกนอกบ้านตลอดสามวันแน่ๆ ”

ป้าเกียงยื่นมือออกนอกตัวรถหมายจะฟาดไหล่เขาอีกสักรอบ แต่ร่างโปร่งไหวตัวทันกระโดดหลบพ้นจากรัศมี มะแมฉีกยิ้มกว้างโบกมือหย็อยๆ ตามรถสีดำที่เคลื่อนตัวออกไปให้ทั้งพี่เมย์และป้าเกียง จนรถเลี้ยวออกจากซอยบ้านเขาก็หยุด

แมถอยหลังเข้าบ้าน ล็อกทั้งประตูรั้วเหล็กดัดที่ขึ้นสนิมไปแล้วครึ่งและประตูบ้านตามที่ป้ากำชับ ตาตี่มองนาฬิกาแขวนผนังที่เพิ่งบอกเวลาเจ็ดนาฬิกากว่าๆ

ตอนนี้เป็นเดือนตุลาคม ช่วงปิดเทอมเป็นเวลาที่แมจะได้กอบโกยเงินจากการทำงานพิเศษ เขาจะเปลี่ยนกะงานพาร์ทไทม์ที่ร้านกาแฟมาทำตั้งแต่เวลาสิบเอ็ดโมงไปจนถึงสามทุ่มของทุกวัน แทนการเข้าแค่บางวันเฉพาะช่วงเย็นจนถึงเวลาปิดร้านในตอนเปิดเทอม เท่ากับว่าเก็บเงินได้มากกว่าเดิมอีกเท่านึง เขาอยากเรียนต่อด้านการทำอาหารโดยเฉพาะขนมในระดับมหาวิทยาลัยแต่ก็ไม่อยากรบกวนให้ป้าส่งเรียนอีกจึงวางแผนเอาไว้ว่าจะกู้เรียน แล้วเอาเงินที่เก็บได้จากการทำงานตั้งแต่ปวช.ชั้นปีที่หนึ่งใช้กินอยู่รวมไปถึงเวลาฉุกเฉินด้วย

แม่ของมะแมเสียตั้งแต่เขาอยู่ชั้นมัธยมปีที่สามเพราะโรคมะเร็งเต้านมที่กว่าจะตรวจพบก็ไปถึงขั้นที่สามแล้ว แม่ไม่ได้เข้ารับคีโมเพราะไม่อยากหยุดขายของที่เป็นงานประจำหารายได้เข้าครอบครัวทำให้แม่จากไปไวมาก ป้าเกียงพี่สาวคนโตของแม่เป็นคนรับเขามาเลี้ยงต่อตั้งแต่นั้นมาเพราะทนดูไม่ได้ที่ไม่มีญาติพี่น้องสักคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเด็กอายุแค่สิบสี่ปี ส่วนพ่อนั้นแมไม่เคยได้เห็นหน้า แม่เคยเล่าให้ฟังแค่ว่าเป็นลูกคนมีฐานะในจังหวัดบ้านเกิดที่เขาไม่อยากรับผิดชอบ

ส่วนป้าเกียงมีลูกสาวหนึ่งคนคือเจ๊เมย์ ลุงนั้นตายไปตั้งแต่เขายังไม่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านนี้ด้วยซ้ำ แมย้ายเข้ามากรุงเทพได้เกือบสี่ปีแล้ว เป็นสี่ปีที่ความเป็นอยู่ถือว่าดีกว่าที่ต่างจังหวัดมากเพราะป้าเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่มีรายได้แน่นอนในขณะที่แม่ของเขาเป็นแม่ค้าขายน้ำเต้าหู้ในตลาด

แต่ถ้าจะให้พูดตามจริงแล้วป้ากับเจ๊ก็ไม่ใช่ว่าจะรักอะไรตัวเขามากมาย ไม่ได้เกลียดแต่ก็ไม่ได้รัก แค่เลี้ยงเพราะว่ารู้สึกสงสารก็เท่านั้น

บ้านเงียบสนิทไม่มีเสียงทีวีที่ป้าชอบเปิดข่าวและละครทั้งวันหยุด แมไม่มีอะไรจะทำ ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะเริ่มงาน

คนตัวผอมหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นกดเข้าแอปพลิเคชันไลน์ ไถหน้าจอไปสองทีก็เจอหน้าแชทของครูเจษที่ร้างมากว่าอาทิตย์

แมเพิ่งปิดเทอมได้สามวันแต่เขาไม่เจอครูมาเป็นอาทิตย์แล้ว ครั้งสุดท้ายคือก่อนสอบที่พวกเขามีเซ็กส์กันในห้องพักครูพละห้องเดิม

..คิดถึงครูจัง..

นิ้วเรียวกดตัวอักษรส่งไปตามที่ใจคิด



Maemaemae: คิดถึงครูอะ

Maemaemae: ครูตรวจข้อสอบเสร็จยัง?

Maemaemae: ให้แมไปช่วยมะ วันจันทร์หน้าไรงี้ อยากเจอครูด้วยอะ

ส่งสติ๊กเกอร์รูปแมวกอดหัวใจไปด้วย



มันขึ้นว่าอ่านแล้วแทบจะในทันที แต่พอมะแมนั่งมองหน้าแชทไลน์สลับกับเล่นไอจีอยู่เกือบยี่สิบนาทีกลับไม่มีข้อความตอบกลับมาจากครูแม้แต่ประโยคเดียว

ถอนหายใจยาว จริงๆ ก็รู้อยู่แก่ใจ ครูเจษเคยบอกไว้แล้วว่าวันเสาร์อาทิตย์ห้ามส่งข้อความหาเพราะเป็นเวลาสำหรับครอบครัวของครู

สงสัยตอนนี้ครูคงกินข้าวเช้าพร้อมหน้ากับภรรยาและลูกสาวสองคนอยู่ล่ะมั้ง

สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจว่าจะขึ้นไปนอนต่อสักสองชั่วโมงถึงค่อยตื่นไปทำงาน









‘Something with Sugar’ เป็นคาเฟ่ขนาดกลางๆ ที่มีจำนวนโต๊ะทั้งในและนอกร้านมีสิบสองตัว ตัวร้านตกแต่งสไตล์วิคตอเรียนเน้นสีขาวแซมด้วยฟ้าและเหลืองตั้งอยู่ถัดจากปากซอยติดกับถนนใหญ่เข้ามาหน่อย

ที่นี่เน้นขายเบเกอรี่โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ดิชอย่างสตรอเบอรี่ชอร์ตเค้กมากกว่ากาแฟ มีพี่แจนเป็นเจ้าของร้านครึ่งหนึ่งรวมไปถึงควบทั้งตำแหน่งผู้จัดการร้านและปาติซิเย่คนหนึ่งด้วย

มะแมทำงานที่นี่มาประมาณครึ่งปี ก่อนหน้านี้เขาเป็นเด็กเสิร์ฟอยู่ร้านกาแฟเล็กๆ แถวบ้านตั้งแต่ที่ย้ายเข้ามาอยู่กับป้าได้ใหม่ๆ จนร้านเจ๊งนั่นแหละ

ร่างบางชอบทำงานที่นี่ก็ตรงที่นอกจากจะเป็นเด็กเสิร์ฟแล้ว บางครั้งที่ลูกค้าในร้านน้อยพี่แจนจะยอมให้เขาไปช่วยทำขนมในครัวด้วย ตอนแรกๆ เขาน่ะแค่ขนมปังปิ้งยังทำไหม้จนดำไปครึ่งชิ้น แต่ตอนนี้ทำอะไรเป็นเพิ่มขึ้นเยอะแยะเลย แถมตอนฝึกงานเมื่อเทอมก่อนพี่แจนก็รับให้เขาฝึกที่นี่ด้วย

แมเพิ่งเก็บจานจากโต๊ะมาเก็บที่เคาน์เตอร์ตอนที่พี่แจนโผล่หน้าออกมาจากประตูห้องครัว เธอมองไปรอบๆ ร้านพอเห็นว่าลูกค้าน้อยก็กวักมือเรียกเขาให้เดินไปใกล้

“แถ่แด๊ม! พี่ลองทำเมนูใหม่ แมมาช่วยชิมหน่อยถ้าปรับสูตรเสร็จแล้วพี่ว่าจะขายเป็นเมนูช่วงคริสต์มาสต์” สาววัยสามสิบเศษแต่หน้าเด็กเหมือนเพิ่งเรียนจบหมาดๆ ยื่นจานเค้กในมือให้เขา

“พี่แจนรีบไปป้ะนี่เพิ่งเดือนตุลาคม ที่ต้องคิดตอนนี้มันต้องเมนูสำหรับวันฮัลโลวีนรึเปล่าอะ”

“ก็ฉันไม่อินฮัลโลวีน เอาเมนูเก่าๆ ปีก่อนมาขายนั่นแหละขี้เกียจคิด บ่นมากนักจะกินหรือไม่กินถ้าไม่กินก็เอาคืนมา ชั้นเอาไปให้น้องเก้ากินก็ได้ย่ะ” เจ้าของร้านคนสวยหวีดใส่แต่ยั้งเสียงไว้เพราะยังมีลูกค้าอยู่ในร้าน มือดึงจานกระเบื้องในมือแมที่มีชิ้นเค้กเลเยอร์สลับสีแดงเขียวทาครีมสีขาวเข้ากับเทศกาลที่ยังมาไม่ถึงแต่มะแมไม่ยอมปล่อย อ้อยเข้าปากช้างแล้วเรื่องอะไรจะคืน

“หื้อ กินสิกิน ไอ้เก้ามันกินเค้กหรูเป็นที่ไหน นู่นเลยต้องแพนเค้กรถเข็นถุงละยี่สิบ ถ้าให้มันลองก็เสียของเปล่าๆ ต้องให้ผมนี่” ว่าแล้วก็ตัดเค้กในมือเข้าปากคำโต เคี้ยวไปสองคำมะแมก็ทำตาโตหน้าซึ้งเหมือนที่ในการ์ตูนทำอาหารเขาทำกันบ่อยๆ “อร่… โอ๊ย! ”

เสียงม้วนกระดาษฟาดเข้าหัวทุยๆ ของมะแมดังเผียะ คนที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับรสชาติในปากหันขวับไปมองคนทำที่ไม่ใช่ใครที่ไหน คนที่เขาเพิ่งพาดพิงไปเมื่อกี้นี้เอง

“นินทากูเหรอไอ้ดำ เค้กแพงกูก็กินเป็นแค่ตังค์ในกระเป๋าไม่เอื้อให้กินบ่อยๆ เฉยๆ เว้ย” ไอ้เก้าอาศัยจังหวะชุลมุนหยิบเค้กที่เหลืออยู่ในมือเขาเข้าปากไปทั้งชิ้น

“เขาเรียกว่าผิวแทนไอ้สัตว์ เห้ย! เค้กกู” แมโวยวาย หันไปทำหน้างอฟ้องพี่แจน “พี่แจนดูมันดิ มันแย่งของผมอะ เค้กของผม”

“ทะเลาะกันเรื่องของกินนี่อายุกี่ขวบกันแน่พวกแก” พี่แจนถอนใจ “ในครัวมีอีกเป็นปอนด์เลยไม่ต้องแย่งกัน ปิดร้านแล้วค่อยมากินหรือจะแบ่งใส่กล่องกลับบ้านก็ตามสบายเลย”

เก้าแลบลิ้นใส่เขาแปลความหมายได้ว่า ‘ว้าย! พี่แจนไม่ช่วยว่ะ’

“ลูกค้าลุกแล้วเก้าไปเก็บโต๊ะ แมไปกลับป้ายให้พี่ทีสิเหมือนตอนสองทุ่มพี่ลืม”

มะแมเปิดประตูส่งลูกค้าสาวสองคนออกจากร้าน เขายิ้มให้พร้อมกับก้มหัวขอบคุณพวกเธอแล้วค่อยพลิกป้ายหน้าร้านจาก Open ให้เป็นคำว่า Close มองออกไปนอกร้านตอนนี้มืดแล้วมีแค่ไฟจากเสาไฟฟ้าและจากร้านค้าแถวๆ นี้ที่คอยส่องให้เห็นทาง ได้ยินเสียงรถวิ่งบนถนนใหญ่ดังมาถึงในร้าน แต่ในซอยนี้ไม่ค่อยมีรถขับผ่านแล้วคงเพราะเป็นซอยตัน

อยู่ๆ ก็รู้สึกอึดอัดข้างในอกขึ้นมาเฉยๆ แมยกมือขึ้นกดๆ ที่กลางหน้าอกหน้านิ่วคิ้วขมวด

“เป็นไรวะ” เก้าเดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง เขายักไหล่ตอบว่าเปล่า “กูกลับและมึง ขอพี่แจนกลับเร็วมีนัดดูหนังรอบดึกกับเพื่อนว่ะ”

พอไอ้เก้าตัวดีชิ่งทั้งร้านก็เหลือแค่เขากับพี่แจนที่ต้องปิดร้านและนับเงิน มะแมไม่ถนัดเรื่องตัวเลขเคยไปช่วยนับสามรอบได้เลขไม่ตรงกันสักรอบจนพี่แจนถอดใจ

กว่าแมจะเช็ดโต๊ะยกเก้าอี้ในร้านเสร็จก็เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว เก้าอี้ที่นี่หนักเป็นบ้า เรียกได้ว่ายกทีต้องเดินเซ

“ขอบคุณน้องแมมากจ้า รีบกลับบ้านได้แล้วดึกแล้วแถวบ้านเราอันตรายไม่ใช่เหรอ”

“แล้วพี่แจนอ่ะ”

“เดี๋ยวคุณคิเข้ามาอ่ะพี่รอเจอมันก่อน น้องแมทำที่นี่มาครึ่งปีแล้วยังไม่เคยเจอคิเลยนี่” คุณคิที่ว่าคือหุ้นส่วนอีกคนของ Something with Sugar แมไม่เคยเห็นหน้าอีกคนอย่างที่พี่แจนว่าจริงๆ เคยได้ยินพี่แจนพูดว่าเขาดูแลร้านที่อื่นด้วยเลยไม่ค่อยได้เข้ามาบ่อยๆ หรือพอเข้ามาก็เป็นวันที่แมไม่อยู่ตลอดก็ไม่รู้

แต่เขาไม่สนใจหรอกเรื่องหุ้นส่วนเรื่องการบริหาร เงินเดือนออกตรงทุกเดือนหรือเปล่านั่นแหละเรื่องที่เขาสนใจ

“พี่เอาเค้กใส่กล่องให้แล้วนะ แกอย่าลืมหยิบกลับบ้านล่ะวางไว้ตรงนี้นะจ๊ะ”

แมยิ้มเผล่รีบวิ่งเข้าห้องล็อกเกอร์เล็กๆ หลังร้านถอดชุดยูนิฟอร์มพนักงานเสิร์ฟออกเปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทที่ใส่มาจากบ้านแทนแล้วค่อยมาหยิบถุงใส่กล่องเค้กขึ้นมาดมฟุดฟิด

..หอมจัง กินตอนกลับบ้านชิ้นหนึ่ง แล้วอีกชิ้นเก็บไว้กินพรุ่งนี้เช้าดีกว่า..

“งั้นผมกลับแล้วนะพี่แจน สวัสดีครับ”

“จ้า ดีจ้า กลับบ้านดีๆ นะ” พี่แจนเงยหน้าจากเครื่องคิดเงินขึ้นมาโบกมือบ๊ายบาย

ไอร้อนจากด้านนอกตีหน้าแมทันทีที่ก้าวออกจากร้านที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นสบาย จริงๆ อากาศวันนี้ก็ร้อนอบอ้าวตั้งแต่เช้าแล้วแต่ไม่นึกว่าดึกขนาดนี้แล้วจะยังร้อนอยู่อย่างนี้

จากคาเฟ่ถึงบ้านแมใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาที นั่งรถเมล์ที่ป้ายหน้าปากซอยตรงนี้แค่ห้าป้ายเท่านั้น แต่ใช้เวลานานหน่อยก็ตอนที่ต้องเดินจากป้ายรถเมล์เข้าซอยบ้านนี่แหละ บางทีก็นานกว่านั้นไปอีกถ้ารถเมล์ขาดระยะ

แถวบ้านแมสภาพแวดล้อมไม่ค่อยดี ตอนมาทำงานที่นี่ใหม่ๆ เขาเคยโดนวิ่งราวกระเป๋าตตอนเดินเข้าซอยบ้านอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นพี่แจนก็ไม่ค่อยยอมให้เขากลับบ้านดึกอีก เรียกได้ว่าสองทุ่มก็ไล่กลับบ้านแล้ว วันนี้แทบจะเรียกได้ว่าวันที่กลับดึกที่สุดในรอบหลายเดือนเลย

..อ่ะ! เจ็บหน้าอกอีกแล้ว..

มะแมนิ่วหน้า รู้สึกแปลกๆ ข้างในตัว มันอธิบายไม่ถูก ถึงจะบอกว่าเจ็บแต่มันเหมือนกับมีอะไรร้อนๆ แล่นไปทั่วมากกว่า เหมือนกับ…

เหมือนกับ.. ตอนฮีทครั้งแรกเมื่อหลายเดือนก่อน!

“อ..ไอ้บ้าเอ๊ย! จังหวะโคตรแย่”

เขาหอบหายใจถี่ขยุ้มเสื้อบนตัวจนยับย่น แมอยากกลับเข้าไปในคาเฟ่ อย่างน้อยพี่แจนก็เป็นเบต้าเพศหญิง แต่ตอนนี้ขามันไม่มีแรงเลย

มะแมไม่ได้พกยายาระงับฮีทไว้กับตัวเพราะชะล่าใจเห็นว่าตั้งแต่เกิดฮีทครั้งแรกเมื่อเกือบปีก่อนแล้วเขาก็ไม่เคยฮีทอีกเลย

“ฮื่อ ทำไงดีวะ..”









รถเอสยูวีสีดำถอยหลังเข้าจอดในลานจอดรถโล่งไร้คนถัดจากคาเฟ่สีขาวไปไม่กี่บล็อกเวลานี้มีรถไม่ถึงสิบคันเท่านั้นที่จอดอยู่ คิรากรดับเครื่องปลดเข็มขัดนิรภัย แต่ร่างสูงยังนั่งนิ่งไม่ขยับลงจากรถ

เป็นเวลาเกือบสามเดือนแล้วทุกครั้งที่แวะเข้ามาที่ร้านคิรากรต้องนั่งนิ่งๆ ในห้องโดยสารมืดๆ อย่างน้อยก็สักสามนาที ตาคมกวาดมองไปทั่วๆ ลานกว้างจนกว่าเขาจะพอใจว่าไม่มีใครที่กำลังตามหาอยู่แถวนี้

ไม่เห็นคนที่มองหาเห็นก็แต่เจ้าแมวส้มขนกระเซิงที่เมื่อสามเดือนก่อนยังเป็นลูกแมวตัวกระจิ๋ววิ่งย่องตัดผ่านหน้ารถคันใหญ่ของเขาไปทางตรอกทิ้งขยะที่ห่างออกไปแค่นิดเดียว

คิรากรปลดกระดุมเม็ดบนของเสื้อเชิ้ตสีกรมลงพับแขนเสื้อยาวขึ้นมาเหนือศอกทั้งสองข้าง หยิบโทรศัพท์กับซองเอกสารที่เตรียมมาให้เพื่อนมาถือในมือข้างซ้าย มือขวาเขาเปิดประตูรถด้านคนขับ

กลิ่นหอมเหมือนเลม่อนลอยมาตามลมเบาๆ ของคืนเดือนตุลาคม

ขนอ่อนที่หลังคอคิรากรลุกชัน

..ให้ตาย! มีโอเมก้าฮีทอยู่แถวนี้เนี่ยนะ..

เขาเกือบจะทำเป็นไม่สนใจเดินหนีหรือไม่ก็ขับรถออกไปจากตรงนี้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้เพราะอะไรที่คนร่างสูงตัดสินใจหยิบผ้าปิดปากชนิดหนาที่พอจะกรองกลิ่นได้เล็กน้อยออกมาสวมแล้วจึงก้าวลงจากตัวรถมองไปรอบๆ ตัว

ถึงแม้ว่าแถวนี้จะค่อนข้างปลอดภัยแต่เขารู้ว่าถัดออกไปไม่กี่ซอยมีบาร์เปิดอยู่หลายร้าน ที่จอดรถตรงนี้เป็นหนึ่งในที่ที่เหล่าคนเที่ยวกลางคืนเลือกมาจอดรถทิ้งไว้ คิรากรเป็นอัลฟ่าที่สามารถควบคุมสัญชาติญาณตัวเองได้ค่อนข้างดีไม่ได้ถูกปลุกเร้าอย่างง่ายดายด้วยฟีโรโมนของโอเมก้า แต่พวกที่เมามายมาจากร้านเหล้านั้นคงไม่ใช่

ร่างสูงได้ยินเสียงร้องของเจ้าแมวส้มดังไม่หยุดจากแถวๆ ถังขยะใบใหญ่ เสียงมันดังแปลกๆ เหมือนกำลังกลัวหรือกังวลบางอย่างอยู่ ขายาวในกางเกงสแล็คจึงก้าวตามเสียงนั้นไป

ที่ด้านหลังถังขยะใบใหญ่สามใบที่ตั้งหันหน้าเข้าหากันในซอกเล็กๆ ติดกับลานจอดรถนั่น เจ้าเหมียวกำลังร้องแง้วๆ ใส่ร่างผอมที่สั่นระริกและขดตัวจนเกือบเป็นก้อน คนคนนั้นก้มหน้าติดชิดกับหัวเข่าทำให้คิรากรมองเห็นแค่ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อนเกือบทอง

“คุณไหวไหม มียารึเปล่า” เขาไม่กล้าแตะตัวคนตรงหน้า เลยทำได้แค่ยืนอยู่ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ไกล

หัวกลมๆ นั่นส่ายไปมาจนผมปลิว ร่างสูงก้าวขาเข้าไปใกล้อีกหนึ่งก้าวโน้มตัวลงไปใกล้อีกนิด กลิ่นเลมอนหอมจัดจนคิรากรมึนหัวไปหมด

“ช่… อือ..ที” อีกฝ่ายเสียงงึมงำในลำคอเขาฟังไม่ถนัด

“อะไรนะ” คิรากรถามย้ำ

“ช่วย.. ช่วยผมที”

อยู่ๆ คนที่ตัวสั่นอยู่บนพื้นคอนกรีตก็เงยหน้าขึ้นมา ตาเรียวฉ่ำน้ำเป็นสีทองสว่างเป็นประกายในความมืด แค่เสี้ยววิที่สบตากัน หัวใจคิรากรก็กระตุกวูบ ความร้อนแล่นพล่านตั้งแต่หัวจรดเท้า

ทั้งๆ ที่มั่นใจว่าสามารถควบคุมตัวเองได้แท้ๆ แต่คิรากรก็ดันรัทตอบสนองอีกฝ่ายเต็มๆ




*****************************************





อิพี่อุตส่าห์มั่นหน้าว่าเอาอยู่ ตบะแตกเฉย วงวารเค้านะคะ

ตอนหน้าเค้าจะได้โบ๊ะบ๊ะกันนะคะ แต่พี่เป็นผู้ชายอบอุ่นกินพืชคงไม่ทำอะไรน้องรุนแรงหรอกเนอะ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 2: ฮีท! l 14/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 14-01-2020 14:47:18
 :L2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 3: อัลฟ่าแปลกหน้า l 17/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 17-01-2020 11:38:48
3: อัลฟ่าแปลกหน้า

ตาคมวาววับมองร่างเล็กบนพื้นตรงหน้าราวกับเห็นเหยื่อ ทิ้งคราบของผู้ชายที่ดูสุขุมเมื่อครู่ไปหมดสิ้น สัญชาตญาณดิบบอกให้คิรากรเมทกับโอเมก้าคนนี้ในทันทีแต่อย่างน้อยสติที่เหลืออยู่น้อยนิดก็ยังบอกเขาว่าที่ตรงนี้มันไม่เหมาะ

มือใหญ่ดึงแขนคนตรงหน้าขึ้นยืน ตัวผอมๆ นั่นโซเซไปมาเหมือนกับว่าจะยืนไม่ไหวถ้าหากไม่มีแรงของเขาช่วยพยุง คิรากรใช้มืออีกข้างหนึ่งปิดจมูกทับผ้าปิดปากที่สวมอยู่อีกรอบเมื่อโอเมก้าเข้ามาใกล้กว่าเดิม กลิ่นเลม่อนหอมๆ นั่นตลบไปทั่วบริเวณกลบแม้แต่กลิ่นกองขยะด้านหลังที่สูงเป็นกองพะเนิน หอมจนเวียนหัวชวนให้หน้ามืดอยากทำอะไรรุนแรงตั้งแต่ตอนนี้เลย

เขากึ่งดึงกึ่งพยุงตัวอีกคนให้เดินไปที่รถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกล เมื่อถึงที่หมายคิรากรก็ถามย้ำอีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่งถึงความต้องการ

“รู้ใช่ไหมว่าช่วยหมายถึงอะไร” เสียงคิรากรทุ้มต่ำและแหบพร่า กระซิบใกล้ๆ ใบหูนิ่ม โอเมก้านั่นหดคอหนีแต่สักพักก็เงยหน้ามองเขาตาปรือปรอย

“รู้.. รู้สิ” คำตอบกระท่อนกระแท่น แต่ก็ถือว่าอีกฝ่ายยังพอมีสติตอบคำถามรู้เรื่อง เพราะฉะนั้นเขาจะถือได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไปจากนี้ไม่ใช่การขืนใจ “แต่เจ็บ เจ็บจังเลย ช่วยหน่อยนะ ช่วย..”

ไม่ต้องรอให้อีกคนพูดจนจบ เขาปลดล็อกประตูรถฝั่งข้างคนขับดันตัวผอมบางนั่นเข้าไปนั่งดึงเข็มขัดนิรภัยรัดให้เรียบร้อยด้วย แม้ว่าคอนโดเขาจะอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสิบนาทีแต่คนอย่างเขาก็คิดถึงความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่ง

ร่างสูงยังไม่ก้าวขึ้นรถ เขาล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาใครบางคนที่รับสายแทบจะทันที คิรากรไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูดก่อน “ฉันติดธุระด่วนนิดหน่อยคงไม่ได้เข้าไปแล้ว”

ปลายสายโวยวายที่ถูกผิดนัด ก่อนจะถามเสียงเป็นห่วงเป็นใยว่าเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ซึ่งเขาตัดสินใจที่จะโกหกออกไป “เปล่า.. อืม แล้วเจอกัน จะมาวันไหนจะบอกอีกที”

เคลียร์ธุระไปได้หนึ่งเรื่อง ทีนี้ก็เหลือแค่เจ้าตัวปัญหาที่นั่งบิดตัวไปมาบนเบาะด้านซ้ายเท่านั้น

จะให้จัดการบนรถตอนนี้เลยก็ย่อมได้ แต่พอดีคิรากรเป็นคนเรื่องมาก และเขาไม่ชอบทำอะไรในที่แคบอย่างบนรถ โดยเฉพาะรถที่จอดในลานจอดรถโล่งๆ นอกบ้านอย่างนี้

“ห้องฉันอยู่เลยห้างxxxไปหน่อย ทนหน่อยแล้วกันนะ”







ระยะจากลานจอดรถใกล้ๆ คาเฟ่ที่รามิลทำงานทุกวันกับคอนโดมิเนียมที่อยู่ไม่ไกลจากห้างสรรพสินค้าชื่อดังไม่ถึงสองกิโลเมตรด้วยซ้ำ แต่สำหรับเขาในตอนนี้มันกลับรู้สึกไกลราวกับขับรถจากกรุงเทพไปกาญจนบุรีอย่างไรอย่างนั้น

มะแมพยายามบรรเทาอาการเจ็บและร้อนผ่าวในตัวด้วยการสัมผัสร่างกายใต้ร่มผ้าของตัวเอง เขาขยับไม่ค่อยถนัดเพราะร่างสูงข้างๆ ล็อกตัวเขาไว้ด้วยเข็มขัดนิรภัยรถยนต์ มือเรียวสองข้างตั้งใจจะดึงกางเกงวอร์มขายาวที่สวมอยู่ลงแต่ก็ถูกห้าม

คนตัวผอมส่งเสียงอื้อประท้วงในลำคอ ตวาดกลับน้ำตาคลอเบ้า “อย่ามาห้ามนะ! ”

กลายเป็นศึกยื้อยุดกางเกงวอร์มกันโดยที่อีกฝ่ายใช้มือเพียงข้างเดียวที่ว่างจากการจับพวงมาลัยรถก็สามารถรวบข้อมือเขาไว้ด้วยกันทั้งสองข้างได้ “ถ้าเธอทำบนรถ ฉันไม่รับประกันว่าจะไม่ขับไปเสยเกาะกลางถนนหรอกนะ”

..ดุเป็นบ้า! ..

ถึงในใจเขามันจะรู้สึกยาวนานเป็นชั่วโมง แต่รถเอสยูวีก็จอดสนิทในที่จอดรถของคอนโดมิเนียมโดยใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีจริงอย่างที่อีกฝ่ายบอก

ถูกคนที่ไม่รู้จักชื่อดึงแขนให้ออกจากมายืนนอกตัวรถ ในตอนแรกเหมือนกับอีกฝ่ายจะดึงให้เขาก้าวตามไปแต่ก็เหมือนไม่ทันใจ เพราะสุดท้ายคนตัวสูงก็ตัดสินใจอุ้มเขาขึ้นในท่าเจ้าสาวแทน เสื้อสูทแจ็คเก็ตตัวใหญ่ถูกคลุมลงบนหัวตอนที่ทั้งสองคนก้าวเข้าไปในส่วนล็อบบี้ของคอนโดมิเนียม

บนลิฟต์โดยสารมีเพียงแค่พวกเขาสองคน ยิ่งถูกอุ้มไว้แนบอกอย่างนี้ มะแมยิ่งร้อนยิ่งทรมาน มือข้างหนึ่งปัดป่ายไปบนอกแกร่งพยายามปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตออกให้ได้แต่ก็มือสั่นเกินกว่าจะทำสำเร็จ

คนตัวสูงไม่ได้ดุอะไรอีกแล้วเพราะเอาแต่กดจมูกลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนสูดกลิ่นหวานๆ เข้าลึกเต็มปอด ไล้จมูกโด่งจากเส้นผมไปตามขมับและใบหูเล็ก ฟันคมงับเข้าที่ติ่งหูมะแมเหมือนมันเขี้ยว

มะแมรู้สึกว่าสติเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ภาพรอบๆ ตัวเบลอไปหมด เขารู้สึกตัวบ้างไม่รู้สึกบ้างแต่ความเจ็บในตัวไม่ได้หายไปเลย ร่างผอมมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่หลังตัวเองแตะลงกับเตียงนุ่มๆ

ตอนนี้กางเกงวอร์มขายาวที่เพิ่งถูกยื้อแย่งกันบนรถเมื่อครู่โดนอีกฝ่ายรูดดึงออกไปแล้ว ทั้งตัวมะแมเหลือแค่เสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งที่ยาวพอปิดกางเกงชั้นในขาสั้นได้หมิ่นเหม่

ร่างบางปรือตามองอัลฟ่าตัวใหญ่ที่กำลังยืนเข่าคร่อมร่างเขาอยู่ ห้องนี้ไม่ได้เปิดไฟซักดวงมีแค่แสงไฟจากด้านนอกที่ลอดผ่านรอยแยกผ้าม่านเข้ามาแค่เล็กน้อยมะแมเลยมองไม่เห็นหน้าอีกคนในความมืด เห็นก็แต่ตาสีทองที่เป็นประกายเกือบจะเรืองแสง

คนด้านบนดึงเสื้อมะแมออกทางหัว ผมเขาเลยยุ่งกระเซอะกระเซิงไปหมด ใบหน้าที่มองเห็นไม่ชัดเพราะม่านน้ำตาและความมืดก้มลงมาใกล้จนจมูกโด่งชิดกับจมูกปลายรั้นของแม ลมหายใจร้อนๆ ปะทะหน้ายิ่งทำให้ร้อนไปกว่าเดิม มือใหญ่ยกขึ้นปัดและสางเส้นผมออกจากวงหน้าแดงก่ำก่อนที่จะลดลงไปเคล้นคลึงต้นขาทั้งสองข้าง จับมันให้แยกออกจากกันในท่วงท่าน่าอาย

ถึงตอนนี้อารมณ์อยากจะพลุ่งพล่านแต่มะแมก็อดอายไม่ได้ บวกกับสัญชาตญาณขัดขืนก่อนการเมทของโอเมก้าที่ตีเข้ามา ร่างบางดิ้นขลุกขลักใต้ร่างกายใหญ่ที่เป็นเหมือนกรงล้อมพยายามดึงชั้นในขาสั้นที่กำลังจะถูกอีกคนถอดออกเอาไว้สุดแรง

มือแข็งแรงรวบแขนสองข้างของแมไว้เหนือหัวง่ายๆ โดยไม่ต้องใช้กำลังรุนแรงเลยด้วยซ้ำ เหมือนกับเมื่อครู่บนรถไม่มีผิด ฝ่ามือร้อนอีกข้างหนึ่งดันขาทั้งคู่ของเขาให้ยกขึ้นสูงจนเข่าชิดหน้าอกแบนราบแล้วจึงรูดชั้นในสีดำเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายบนตัวเขาเขวี้ยงออกไปอย่างไม่สนใจทิศทาง กลายเป็นว่าท่านี้มันน่าอายเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่ด้วยซ้ำ

จากท่านี้ตาคมมองเห็นทุกส่วนของร่างกายแม ทุกส่วนแม้แต่ส่วนลับที่ไม่เคยให้ใครเห็นนอกจากครู น่าอายแต่ช่องทางด้านหลังกลับแฉะชื้นขับน้ำหล่อลื่นออกมายิ่งกว่าเดิมจนล้นเอ่อหยดลงผ้าปูที่นอนสีเข้มจนเห็นเป็นรอยเปื้อนชัดเจนราวกับตอบสนองสายตาของอัลฟ่าตรงหน้า

ริมฝีปากอิ่มถูกบดจูบรุนแรงราวกับว่าอีกฝ่ายตั้งใจจะสูบวิญญาณเขาออกไปอย่างไรอย่างนั้น คนด้านบนบีบกรามเขาไม่แรงจนเกินไปแต่ก็ไม่เบาบังคับให้แมอ้าปากรับเรียวลิ้นที่เข้ามา นี่ไม่ใช่จูบแรกแต่เป็นครั้งแรกที่ร่างบางสำลักเพราะหายใจไม่ทัน น้ำลายใสๆ ไหลเลอะตั้งแต่มุมปากไหลผ่านปลายคางไปถึงต้นคอเรียว แมหอบหายใจทางปากเหมือนคนจะจมน้ำทันทีที่เจ้าของห้องถอนหน้าออกไปเป็นเวลาสั้นๆ ก่อนจะบดปากลงมาใหม่อีกครั้ง และอีกครั้ง

โอเมก้าตัวผอมพยายามถีบขาหนีจากการเกาะกุมแต่ไม่เป็นผล ขนาดร่างกายของอีกคนทั้งใหญ่และแข็งแรงเกินไปที่เขาจะสู้ไหว สุดท้ายความรู้สึกที่ต้องขัดขืนข้างในก็แผ่วลงไปเองเมื่อยอมรับได้แล้วว่าอัลฟ่าตนนี้แข็งแกร่งเพียงพอที่จะเป็นคู่ผสมพันธุ์

“หมดแรงแล้วรึไง” เสียงถามของคนอยู่เหนือกว่าทั้งร่างกายและบทบาท

“เงียบไปเลย ทำเงียบๆ ไม่เป็นเหรอ”

ทั้งๆ ที่ฮีทอยู่แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดปากเสีย

“ชื่ออะไร” ปากถามแต่นิ้วชี้กดสอดเข้ามาที่ช่องทางด้านหลัง มันไม่ได้ฝืดแน่นกับนิ้วเพียงนิ้วเดียวเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกไหนจะน้ำลื่นๆ นั่นอีก

“...” แมเม้มปากแน่น ตาดื้อจ้องตาอีกคนในความมืดสลัว

“ไม่บอกเหรอ” นิ้วถูกเพิ่มเป็นสองและสาม ปลายนิ้วสากกดไปทั่วผนังนุ่มข้างในพยายามหาจุดที่อ่อนไหวและก็เจอในที่สุด

“อื้อ! อ๊ะ..”

สะโพกเล็กขยับยกตามจังหวะที่อีกฝ่ายกระทำ ตาเรียวตี่ของมะแมฉ่ำไปด้วยน้ำตาและความอยากมองแล้วดูเชื้อเชิญ ครั้งนี้เป็นเขาเองที่ขยับแยกขาออกจากกันเปิดทางให้อีกคนเต็มที่ “เข้ามาเลย อ๊ะ ตอนนี้เลย ไม่รอแล้ว”

ทันทีที่จบคำเชิญชวนร่างผอมบางของแมก็โดนจับพลิกเหมือนเป็นตุ๊กตา เขาถูกจัดท่าให้คุกเข่าสองข้างใบหน้าอยู่ต่ำแก้มนิ่มแนบกับผ้าปูเตียงในขณะที่สะโพกยกสูง

“อ๊า! จุกอ่..” เสียงร้องครางกระท่อนกระแท่นดังขึ้นทันทีที่แก่นกายแข็งชำแรกผ่านช่องทางอ่อนนุ่มและชื้นแฉะครั้งเดียวจนสุดทาง

ไปถึงจุดที่ครูไม่เคยไปถึง ซึ่งมันแน่นอนอยู่แล้วร่างกายของเบต้าจะสู้กับอัลฟ่าได้อย่างไรกัน

คนแปลกหน้าหอบหายใจและครางต่ำอย่างพึงพอใจ

มือเรียวตีลงบนเตียงเพื่อประท้วงแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ฟัง และยังคงขยับสะโพกสอบตอกกระแทกกระทั้นเข้ามาอย่างหนักหน่วงต่อเนื่อง มันรุนแรงมากเสียจนเขาได้ยินเสียงลามกของเนื้อที่กระทบเนื้อไปทั่วห้อง แรงเสียจนแมรู้สึกว่าตัวเองไถลไปมาบนเตียง

ไม่นานความจุกเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นเสียวซ่านและมือมะแมก็เปลี่ยนเป็นขยุ้มผ้าปูที่นอนจนยับย่นแทน ภายในห้องกว้างตอนนี้มีแต่เสียงหอบหายใจของคนสองคน

มะแมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเสร็จสม ช่องทางนิ่มเริ่มบีบรัดพอๆ กับร่างกายที่กระตุกเฮือก ในตอนที่แก่นกายเล็กสีน้ำผึ้งปล่อยของเหลวสีขาวออกมาทั้งๆ ที่ไม่ได้แตะต้อง เขาก็เจ็บที่หลังคอเจ็บมากเสียจนร้องไม่ออก ปากเล็กเพียงแค่อ้าค้างไว้แต่ไม่มีเสียงร้องอะไรออกมา

“ขอโทษ” เสียงแหบพร่ากระซิบชิดใบหู

มะแมเพิ่งได้สติรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอนที่ปลอกคอหนังที่สวมใส่ตลอดตกลงกับเตียง

..ไอ้บ้านี่! มันกัดปลอกคอเขาจนขาด! ..

ก็จริงอยู่ที่ปลอกคอของเขาเป็นแค่ปลอกคอหนังเกรดต่ำราคาถูกๆ ไม่ได้แข็งแรงพรีเมี่ยมหรือทำจากโลหะราคาแพงอย่างของพวกโอเมก้าที่มีฐานะร่ำรวยเขาใช้กัน แต่ก็ไม่นึกว่าแค่อัลฟ่านี่กัดแล้วมันจะขาดไหมวะ

สมองของมะแมกำลังเบลอกับการโดนจับคู่โดยไม่ได้คาดคิด แต่แล้วเขาก็รู้สึกถึงอะไรแปลกที่ช่องทางด้านหลัง

“อะ.. อะไรอะ” ความรู้สึกแปลกๆ มันตึงแน่นไปหมดแถมเจ็บนิดๆ ด้วย อย่าบอกนะว่า..

“ขอโทษ” มือใหญ่ลูบผมเหมือนรู้สึกผิด จูบซับเลือดที่รอยแผลสดใหม่ที่หลังคอเหมือนปลอบประโลม

“ไอ้บ้า! ไอ้เวร! น็อททำบ้าอะไร อ๊ะ..ออกไปเลยนะ..เว้ย เอาออกไปสิ! อ๊า! เจ็บนะ เจ็บ! ”

“มันเอาออกไม่ได้ อ่า.. เธอก็รู้”

ร่างสูงใหญ่กดตรึงเขาไว้ทุกทาง แขนแกร่งกอดรัดลำตัวในขณะที่ขาสองข้างก็ถูกกดเอาไว้เช่นเดียวกัน มะแมขยับหนีไม่ได้เลยทำได้มากที่สุดก็แค่เอื้อมมือไปจิกทึ้งผมและหน้าของอีกคนที่ซุกอยู่บนหัวเขาสุดแรงเท่านั้น ร่างบางในตอนนี้ทั้งโมโหทั้งโกรธ รู้ก็แค่ว่าถ้าเขาเจ็บมันก็ต้องเจ็บด้วยเหมือนกัน

รู้สึกได้เลยว่านอกจากความตึงเจ็บที่ส่วนนั้นแล้ว มีของเหลวจำนวนมากถูกปล่อยเข้ามาไม่หยุดและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆ มันมากเสียจนแมรู้สึกแน่นในท้องไปหมด

เป็นเวลากว่าสิบนาทีการน็อทที่ยาวนานถึงสิ้นสุดลง

เมื่อร่างกายที่ถูกยึดเอาไว้ถูกปล่อยลง มะแมก็ฟุบคว่ำลงกับเตียงกว้างตาหลับพริ้มสูดหายใจเต็มปอดรู้สึกขอบคุณอะไรสักอย่างที่ทุกอย่างมันจบแล้ว ตอนนี้เขาปวดไปทั่วทั้งตัวไม่ใช่แค่สะโพกแต่แขนก็ล้าขาก็ยังสั่น เซ็กส์ของครูเจษฐ์ในระยะเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมานี้เทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บด้วยซ้ำ

ตาเรียวตี่ลืมโพลงขึ้นแทบจะในทันทีที่ก้นนุ่มนิ่มถูกสัมผัสด้วยมือใหญ่ร้อน อัลฟ่านั่นแหวกขาสองข้างเขาออกจากกันแค่เล็กน้อยเท่านั้นของเหลวภายในตัวก็ไหลย้อนออกมาตามทาง มะแมอยากจะพลิกตัวกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็ขยับตัวไม่ไหวแล้ว

อีกฝ่ายแตะส่วนปลายที่ยังแข็งขืนเข้าที่ช่องทางแดงก่ำ ถูเอาน้ำรักที่ไหลเปื้อนไปทั่วบริเวณนั้นแล้วสอดกายเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง “อีกรอบนะ สัญญาว่าครั้งนี้จะไม่น็อท”

...ตอนนี้มันไม่เกี่ยวกับน็อทไม่น็อทแล้วไหมวะ! แม่งเอ๊ย! กูจะบ้าตาย..

“ไม่เอาแล้ว ฮือ ปล่อยกูไปเหอะ ปล๊อย! ”

ไม่นานเสียงโหยหวนก็เปลี่ยนเป็นครางอืออา

“ซี้ด อ๊ะ บ..เบาหน่อย ลึก อ๊า! เสียว”









ฟ้ายังไม่สว่างดีตอนที่รามิลได้สติจากค่ำคืนที่ยาวนาน สิ่งแรกที่เห็นตอนลืมตาตื่นคือใบหน้าของอีกคนบนหมอนใบข้างๆ

จะไม่หลอกตัวเองหรอกนะว่าอีกฝ่ายหน้าตาไม่ดี ถ้าป้าเกียงมาเห็นอาจจะบอกเลยก็ได้ว่า ‘หล่อวัวตายควายล้ม’ ริมฝีปากอิ่มเหยียดยิ้มสะใจตอนเห็นรอยแดงจากเล็บของเขาพาดผ่านแถวๆ ขมับขวาของอัลฟ่านี่ลึกจนได้เลือด

นอกจากจะเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวไปหมดแล้วหัวเขาก็เจ็บ มือเรียวยกขึ้นจับกลางกระหม่อมรู้สึกได้เลยว่ามันโนนิดๆ พอนึกถึงสาเหตุของอาหารเจ็บตัวแล้วมะแมก็หน้าแดงก่ำด้วยทั้งอายทั้งโกรธ

ทั้งๆ ที่ร้องบอกจนเสียงแหบเสียงแห้งแล้วว่าให้เบาหน่อยแต่อัลฟ่าตรงหน้าก็ไม่ฟังสักนิดโถมกายตอกร่างเข้ามาเน้นๆ ทุกครั้ง ยิ่งตอนที่เขาถูกจับตัวพลิกกลับมาประชันหน้ากัน แรงกระแทกจากอีกคนทำเอาตัวเขาไถลไปจนหัวชนกับขอบเตียงดังปั่กหลายต่อหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ใช่ว่าจะเบาที่ไหน

“อดอยากปากแห้งมาจากไหนวะ” คนปากไวอดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ตอนที่ดึงตัวเองให้ลุกจากที่นอนนุ่มตามเก็บชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่ตกกระจัดกระจายตามข้างเตียงหลังใหญ่

แค่ขยับขาเดินนิดเดียวของเหลวที่ยังคั่งค้างอยู่ข้างในตัวก็ไหลเยิ้มตามขา มะแมเลือกหยิบเสื้อเชิ้ตเนื้อดีราคาท่าทางจะแพงของอีกคนที่ตกอยู่ปลายเตียงขึ้นมาเช็ดขาที่เปื้อนน้ำสีขาว ถือซะว่าเป็นการเอาคืนเล็กๆ น้อยๆ ก็แล้วกัน

ร่างบางงับประตูอย่างเงียบเสียงที่สุดในชีวิตของคนที่ทำอะไรก็เสียงดังโครมครามไปหมด เมื่อคืนจำอะไรไม่ได้เลยเพิ่งจะเห็นก็ตอนนี้ว่าห้องที่นอนมาค่อนคืนนั้นกว้างพอสมควร ทั้งๆ ที่เป็นคอนโดมิเนียมแต่ห้องนอนที่เพิ่งเดินออกมากลับกว้างกว่าห้องนอนของเขาเองที่บ้านป้าเกียงเสียอีก แมหยุดยืนหน้ากระจกเงาบานใหญ่ความสูงเท่าผนังห้องใกล้ๆ ประตูห้องชุดเห็นเงาสะท้อนของตัวเองแล้วตาโต

สภาพตอนนี้เรียกว่าดูไม่ได้เลย ผมสั้นย้อมสีอ่อนทั้งชี้ฟูและกระเซอะกระเซิง ตาตี่แดงก่ำเพราะร้องไห้ติดกันเป็นเวลานาน ปากอิ่มก็บวมเจ่อ ไม่ต้องพูดถึงแผลโดนกัดที่หลังคอเลย ถึงแมจะมองไม่เห็นแต่ตอนเอานิ้วไปแตะก็สัมผัสถึงคราบเลือดแห้งๆ ที่ติดอยู่ได้

คีย์การ์ดและกุญแจที่ถูกเจ้าของห้องวางทิ้งไว้บนโต๊ะข้างประตูถูกรามิลฉวยหยิบมาใช้กดลิฟต์ไปยังชั้นล็อบบี้ แล้วฝากของทั้งสองอย่างไว้ที่พนักงานต้อนรับก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากที่นี่ตั้งแต่ยังไม่ทันจะหกโมง

..ลาขาดแล้วโว้ย! ..



..อ่า.. แต่วันนี้สงสัยต้องลางานด้วยว่ะ สะโพกครากแถมยังเดินขาถ่างแบบนี้ ไอ้เก้าแซวตายห่า..





********************************





กี้สสส พี่คิเป็นผู้ชายกินพืชที่เยแรงจนหัวน้องโขกเตียงปั่กๆ แล้วเรื่องขับรถพี่ Safe Driving แต่พี่ดันลืม Safe Sex ไม่ได้มั๊ยยย 555

เป็นฉากจึ้กๆ ฉากแรกในรอบเกือบสิบปีเลยค่ะ จริงๆเราอยากอยากให้มันพรกว่านี้แต่สุดความสามารถแล้วจริงๆ

ฝากติชม+เป็นกำลังใจให้น้องแมที่เดินขาถ่างกันด้วยนะคะ 5555
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 3: อัลฟ่าแปลกหน้า l 14/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 17-01-2020 12:19:23
ก๊กกกกกกกกกกก ทำแบบนี้ ฉันยิ่งขาดใจ อ๊กกกกกกก

รออ่รตอนต้อไปจ้า
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 3: อัลฟ่าแปลกหน้า l 17/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 18-01-2020 03:21:41
 :hao6: o13 :pighaun:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 4: สองขีด l 21/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 21-01-2020 09:34:11
4: สองขีด

“ไม่ได้กินมาม่าทุกมื้อจริงๆ ป้า แมก็ซื้อข้าวแกงก็เป็นไหมล่ะ”

วันนี้ป้าเกียงโทรมาตรวจความเรียบร้อยตั้งแต่เช้า มะแมเอียงหัวหนีบโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กไว้ระหว่างไหล่กับหูขวา มือสองข้างง่วนกับการแกะหนังยางรัดถุงข้าวแกงที่ซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น

“ข้าวในเซเว่นก็อย่ากินบ่อยล่ะ”

“อาหารแช่แข็งกินไม่เกินอาทิตย์ละสามมื้อ เนี่ยแมกำลังจะอุ่นแกงส้มปลาไข่หน่อไม้นานๆ ทีป้าศรีจะทำมาขาย” ป้าศรีรัดหนังยางแน่นจังวะ แกะไม่ออกสักที

“ดี เดี๋ยวฉันไปทำงานละ อย่าลืมกวาดบ้านถูบ้านล่ะ ถ้าฉันกลับไปเห็นบ้านรกจนจำไม่ได้จะฟาดให้ตูดลายเลยโตเป็นหนุ่มแล้วก็ไม่แคร์นะยะ”

คุณเกียงวางสายไปแล้ว แต่เขายังแกะถุงแกงส้มปลาไข่นี่ไม่ได้สักที

ตอนนี้บ้านป้าเกียงโดนเขายึดครองแค่คนเดียว เพราะป้าขอย้ายสาขาไปทำงานในโรงงานที่จังหวัดชลบุรี เห็นบ่นมานานว่าเบื่อแล้วกรุงเทพอยากจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเกิดตอนแก่ตอนนี้คุณเกียงเลยเช่าคอนโดราคาไม่แพงแถวๆ นิคมอยู่กับเจ๊เมย์ที่ก็ย้ายตามแม่ไปด้วย บ้านที่กรุงเทพนี้ถูกประกาศขายแต่ยังไม่มีใครติดต่อขอซื้อเขาเลยขออยู่ไปก่อนจนกว่าจะจบชั้นปีสาม โชคดีที่ป้ายังใจดีออกค่าน้ำค่าไฟแถมค่าข้าวให้อยู่ไม่งั้นคงกินแกลบ

มะแมเปิดหากรรไกรมาตัดหนังยางจากลิ้นชักในห้องครัว เทแกงส้มในถุงลงชามพลาสติกแล้วยัดเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟ

..เอ๊ะ..เอาชามพลาสติกเข้าเวฟ จะเป็นมะเร็งไหมวะ ช่างเหอะ! ..

ครบสองนาทีไมโครเวฟร้องติ๊งเขาก็หยิบชามใส่แกงส้มร้อนๆ ควันฉุยขึ้นมาดมกลิ่นเรียกน้ำย่อย

แทนที่จะกลิ่นหอมน่ากินแบบที่คิดเอาไว้ กลิ่นที่ได้กลับเหม็นจนมะแมเวียนหัวคลื่นไส้ มือเรียวรีบวางกระแทกของในมือลงกับเคาน์เตอร์ครัวจนน้ำแกงร้อนกระฉอกลวกมือ ขาเรียวจ้ำเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน

น้ำเต้าหู้ที่เพิ่งตกถึงท้องไปไม่ถึงสิบห้านาทีก่อนออกมากองในโถชักโครกจนหมดไส้หมดพุง ไม่มีอะไรให้อ้วกออกมาแล้วนอกจากน้ำย่อยใสๆ มะแมหมดแรงกอดชักโครกถ้าเขาขาวกว่านี้ก็คงจะเรียกได้ว่าหน้าซีดเป็นกระดาษ

ร่างบางเดินโซเซออกมาจากห้องน้ำใต้บันได หยิบชามแกงส้มในครัวขึ้นมาดมอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

..เหม็นจนจะอ้วกเหมือนเดิม สงสัยจะบูดว่ะ ป้าศรีแม่งเดี๋ยวนี้หลอกลวงผู้บริโภคแล้วเหรอวะ..

มะแมนิ่วหน้าเสียดายของดีที่นานๆ จะได้กิน เทน้ำสีส้มๆ ทิ้งลงในอ่างล้างจานส่วนผักกับปลาเขาแยกใส่ไว้ในถุงขยะเตรียมหิ้วออกไปทิ้งก่อนไปโรงเรียน

อวสานอาหารเช้าของจริงเลยทีนี้ พอป้าเกียงไม่อยู่ก็ไม่มีคนซื้อของกินมาตุนไว้ที่บ้าน ตู้เย็นตอนนี้เลยว่างเปล่ามีแค่น้ำเปล่าน้ำแข็งแล้วนมถั่วเหลืองแช่อยู่สามอย่างเท่านั้น

มะแมหยิบเอาไวตามิลค์กล่องสุดท้ายขึ้นมาเจาะดื่มแทนข้าวเช้าที่เพิ่งไหลลงท่อไป

“อนาถจังวะกู”







มะแมชักไม่แน่ใจว่าที่อาเจียนออกมาเมื่อเช้าเป็นเพราะอาหารบูดหรือว่าเขากำลังไม่สบาย เพราะตั้งแต่คาบแรกจนตอนนี้ใกล้จะหมดเวลาคาบสุดท้ายของวัน สิ่งที่ครูพูดหรือสอนไม่ทะลุเข้าหัวเขาสักนิด แค่เหม็นแกงบูดไม่น่าจะเพลียจนเรียนไม่รู้เรื่องขนาดนี้ไม่ใช่หรือไง

ร่างบางเอียงหน้าซบลงกับแขนสองข้างตาหรี่มองออกไปนอกหน้าต่าง จากตรงนี้ถ้าเพ่งดูดีๆ จะเห็นหลังคาบ้านป้าเกียงด้วย เพราะอยู่ใกล้บ้านมากๆ อย่างนี้ป้าก็เลยให้เขาเข้าเรียนที่นี่หลังจากที่ย้ายมา จริงๆ ก็มีโรงเรียนมัธยมธรรมดาอีกที่หนึ่งอยู่ใกล้ๆ เหมือนกันหรอก แต่ที่ตอนนั้นเลือกเรียนต่อสายพาณิชย์ก็เพราะคิดว่าถ้าเรียนจบสามปีจะสามารถทำงานได้เลย แล้วกลายเป็นว่าตอนนี้เขาอยากเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแล้วสิ

ข้อศอกของเพื่อนที่นั่งข้างๆ กันกระแทกกับข้อศอกแมเป็นสัญญาณเตือนให้ยกหัวขึ้นจากโต๊ะ

“รามิลข้อที่สิบเอ็ดตอบอะไร” อาจารย์หญิงวัยกลางคนที่คงสังเกตเห็นว่ามีนักเรียนหนึ่งคนไม่สนใจในบทเรียนมานานเรียกให้เขาลุกขึ้นตอบคำถาม

แน่นอนว่าเขาตอบไม่ได้หรอก ครูหมายถึงหน้าไหนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ โชคดีที่เพื่อนคนเดิมข้างๆ แอบเลื่อนคำตอบในหนังสือของตัวเองมาให้เขาได้ลอกไปตอบครูที่ยืนรออยู่หน้าห้องเรียน

“นั่งลงได้ ทีหลังอย่าหลับในห้องล่ะ ตั้งใจเรียนหน่อย” เสียงครูสาวออกจะติดสะบัดนิดๆ ไม่แปลกหรอก เพราะปกติก็ไม่ค่อยมีครูชอบพวกเด็กหลังห้องอย่างเขาอยู่แล้ว แถมยังเป็นเด็กหลังห้องที่เหม่อมาทั้งคาบอีกต่างหาก

“เป็นไรอะ” เพียว เพื่อนที่แมไม่แน่ใจว่าจะเรียกได้ว่าสนิทรึเปล่าถามหลังจากเขานั่งลง

เพราะจำนวนโอเมก้ามีอยู่น้อยกว่าเพศอื่นๆ อย่างในห้องนี้ก็มีแค่เขากับเพียวเพียงสองคนเท่านั้น และเพราะถูกมองว่าเป็นพวกตัวปัญหาพวกเบต้าก็ไม่นิยมที่จะมาคบหาอย่างสนิทชิดเชื้อกับพวกเขาเท่าไหร่ อัลฟ่ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย โอเมก้าสองคนในห้องเลยถูกบังคับให้ต้องเป็นเพื่อนร่วมหัวจมท้ายกันไปกลายๆ

“ไม่ค่อยสบายว่ะ” เพื่อนตัวขาวมองเขาแล้วเลิกคิ้วแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เป็นมะแมเองที่อธิบายอาการของตัวเอง “เวียนหัวจะอ้วก เมื่อเช้ากูอ้วกไปรอบหนึ่งแล้วด้วย”

“อ้อ...กินยาด้วยล่ะ”

เสียงออดหมดคาบดังขึ้น แปลว่าการเรียนในวันนี้จบลงแล้ว

“กลับบ้านเลยไหม”

มะแมส่ายหัวยกกระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบนไหล่ข้างเดียว จริงๆ ก็อยากกลับบ้านไปนอนพักอยู่หรอก แต่ว่าเมื่อตอนกลางวันครูเจษส่งข้อความมาว่าจะมาหาหลังเลิกเรียน “ยังอ่ะ กลับก่อนเลย”

เพียวอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ “อ่า.. งั้นเจอกัน”

“อื้อ เจอกัน” เขาโบกมือให้เพื่อน “พรุ่งนี้อย่าลืมเอาไม้แบตมาคืนกูด้วยล่ะ”

“เออ! ”

มะแมมองเพื่อนเดินออกจากห้องเรียนบนชั้นหกนี่ทีละคนจนเหลือแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น นิ้วเรียวพิมพ์ส่งข้อความหาครูเจษ



Maemaemae: อยู่ 564 นะครู เพื่อนกลับหมดแล้ว



ไม่นานครูก็ตอบกลับมา



Jessada: เดี๋ยวไปนะ



บางครั้งที่ห้องพักครูไม่ว่างเพราะมีครูคนอื่นนั่งตรวจงานกันยันค่ำเขากับครูมักจะนัดเจอกันในห้องเรียนแทน เลือกห้องเรียนชั้นหกของตึกเรียนที่อยู่หลังสุดโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีใครเดินผ่านนี่แหละ

แมจับปลอกคอโอเมก้าอันใหม่ที่ซื้อมาใส่แทนอันเดิมที่ขาดไปในเหตุการณ์เมื่อเกือบสองเดือนก่อน ความจริงแล้วโอเมก้าที่ถูกบอนด์ไม่มีความจำเป็นต้องใส่ปลอกคอ แต่เขาไม่อยากให้ใครเห็นรอยกัดที่หลังคอโดยเฉพาะครูเจษ

เขาไม่เคยเจออัลฟ่าคนนั้นอีกซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดี แต่ที่ไม่ดีก็คือเขานอนกับครูเจษไม่ได้ ครั้งแรกที่ครูพยายามเข้ามามันเจ็บข้างในท้องไปหมด หลังจากนั้นแมเลยพยายามหลบเลี่ยงที่จะมีอะไรกับครูให้มากที่สุดด้วยการใช้มือหรือปากทำให้แทนแล้วอ้างไปเรื่อยว่าไม่สบายหรือไม่ก็วันนี้ไม่มีอารมณ์จะทำเรื่องอย่างว่า

แต่ว่าเขาก็ยังชอบครูเจษมากๆ อยู่ดี ถึงจะทำเรื่องอย่างนั้นด้วยกันไม่ได้ ถึงครูจะอายุแก่กว่าแม่ มีลูกมีเมียแล้ว แต่ก็เลิกชอบไม่ได้ ถึงรู้ทั้งรู้ว่าจริงๆ แล้วครูไม่ได้รักหรือสนใจเขามากกว่าครอบครัวของตัวเองแท้ๆ แต่ก็ยังเลิกชอบไม่ได้

..แล้วจะทำยังไงต่อไปดีวะ..

ร่างบางกัดเล็บหน้าเครียดไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตตอนนี้ดี แค่สองเดือนแต่ชีวิตเขามีเรื่องเต็มไปหมดไม่ต้องพูดถึงเรื่องอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย เพราะแทบไม่ได้แตะด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่การเรียนต่อมหาวิทยาลัยเป็นความฝันอย่างหนึ่งของมะแมแท้ๆ

เสียงเปิดและล็อกประตูเรียกมะแมออกจากภวังค์

“อ๊ะ ครู มาเร็วจัง” ปากอิ่มยิ้มกว้างให้หนุ่มใหญ่ที่เพิ่งมาถึง

ครูเจษยิ้มหล่อให้ลูกศิษย์คนโปรดยิ่งกว่าโปรด ให้พูดตามจริงแล้วรามิลไม่ใช่เด็กคนเดียวที่ได้อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้กับเขาหรอก เจษฎาชอบเด็กผู้ชายวัยมัธยมปลายเขามีนักเรียนคนโปรดมาหลายต่อหลายรุ่น แต่เด็กคนนี้จัดว่าเด็ดที่สุดก็ว่าได้

“คิดถึงครูจังเลย” ร่างผอมอ้อนออเซาะก้าวเข้าไปใกล้ครูกว่าเดิมแล้วไล้นิ้วมือไปบนอกกว้างใส่เสื้อโปโล “สอบแบตอาทิตย์ก่อนแมได้เต็มด้วยจำได้ไหม สงสัยโค้ชจะดี แล้วโค้ชจำได้ไหมนะว่าบอกว่าจะให้รางวัลแมถ้าสอบผ่าน”

“ได้เต็มเพราะครูแอบปัดคะแนนให้รึเปล่าหืม” มะแมฟังแล้วมุ่ยหน้า

“ไม่ใช่ซะหน่อย แมตีได้ทุกลูกไม่มีตกเลย ครูจะมาแอบปัดคะแนนได้ยังไง” ประท้วงเสียงเขียว

เจษฎาหัวเราะเสียงต่ำรั้งหัวมะแมให้เข้ามาใกล้พร้อมถามเสียงเซ็กซี่ “แล้วแมอยากได้รางวัลอะไรล่ะ”

“แมอยากได้...” หัวทุยซบลงบนไหล่หนาของหนุ่มใหญ่กำลังคิดหาของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากได้เป็นรางวัลสำหรับคะแนนสอบแบตกลางภาคที่ทำได้ดี แต่กลิ่นโคโลญจน์ครูเจษกลับดึงความสนใจไปหมด จมูกรั้นดมฟุดฟิดแล้วเบ้หน้า

“อยาก.. อุ๊บ! ” คนตัวผอมยกมือขึ้นปิดปากดันตัวออกจากร่างสูงใหญ่ของเจษฎา แมจ้ำเท้าวิ่งตรงไปยังห้องน้ำทันทีที่ปลดล็อกประตูห้องเรียนเสร็จ

อาเจียนรอบที่สองของวันทำเอามะแมหมดแรงจนทิ้งตัวลงกับพื้นห้องน้ำไม่สนใจว่ามันจะสกปรกแค่ไหน แต่เขายืนไม่ไหวแล้วจริงๆ

ครูเจษที่วิ่งตามมาเดินเข้ามาดึงให้เขาลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาเมื่อเห็นว่าเขาน่าจะหยุดอาเจียนแล้ว แต่พอครูเข้ามาใกล้เขาก็เวียนหัวอีกจนต้องผลักครูให้ออกไปยืนห่างๆ

“แมเหม็นโคโลญจน์ครูอะ ครูอย่าเข้ามาใกล้ๆ ดิ เดี๋ยวแมอ้วกอีกรอบ” มะแมรองน้ำจากก๊อกขึ้นบ้วนปากและลูบหน้าล้างไปถึงขาที่เปื้อนเพราะลงไปนั่งกับพื้นเมื่อครู่ด้วย หันไปมองอีกทีก็เห็นครูหนุ่มใหญ่ทำหน้าตาเคร่งเครียด

“ครูใช้โคโลญจน์นี้มาเป็นปีแล้วนะ แมไม่เห็นเคยบอกว่าเหม็น”

“ก็วันนี้เหม็นอะ สงสัยแมไม่สบายเมื่อเช้าก็อ้วกไปแล้วทีหนึ่ง” พอเขาเล่าถึงเรื่องแกงส้มบูดครูเจษยิ่งทำหน้าเครียดไปใหญ่

“เหมือนแพ้ท้องเลยนะแม” เจษฎาหลุดปากพูดความคิดในหัวออกไป เพียงแค่นั้นก็มีแต่ความเงียบในห้องน้ำแคบๆ ทั้งเขาและลูกศิษย์ได้แต่มองหน้ากันไม่มีใครพูดอะไรออกมา

ร่างบางหน้าซีดเหมือนหาเสียงของตัวเองไม่เจอไปชั่วขณะ

..ท้องเหรอ..

..บ้าน่า ถึงจะไม่ได้ใส่ถุงยางทุกครั้งแต่เบต้าก็มีโอกาสติดน้อยมากไม่ใช่หรือไง..

สุดท้ายแล้วก็เป็นมะแมที่เป็นฝ่ายฝืนหัวเราะแห้งๆ ให้กับคำทักของคุณครู “บ้าเหรอครู แมน่าจะเป็นกรดไหลย้อนมั้ง ก็ช่วงนี้เครียดๆ เรื่องสอบเข้า”

“คนเป็นกรดไหลย้อนเขาไม่เหม็นน้ำหอมกันหรอกนะแม” เสียงค้านเกือบจะเป็นตวาด ไม่ใช่แค่มะแมที่กลัว เจษฎาก็กลัวไม่แพ้กันถ้าลูกศิษย์คนนี้ท้องขึ้นมา

“ก็บอกว่าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ไงเล่า!” พอถูกยัดเยียดเข้ามากๆ เขาก็ขึ้นเสียงกลับไปบ้าง

“แมอย่าลืมนะว่าครูมีครอบครัวอยู่แล้ว ถ้าไม่ท้องก็ดี แต่ถ้าท้องขึ้นมาครูไม่..” ถึงจะมั่นใจว่าตัวเองไม่ท้องแต่คำพูดเหมือนจะปัดความรับผิดชอบทำเอาร่างบางโกรธจนหน้าแดง

“บอกว่าไม่ท้องก็คือไม่ท้องสิ เดี๋ยวแมกลับบ้านไปซื้อที่ตรวจเลยแล้วถ้าไม่ท้องครูอย่าลืมมาขอโทษแมล่ะ” รามิลผลักอกครูเจษให้พ้นทาง เดินกระฟัดกระเฟียดกลับไปเก็บของในห้องเรียน

คอยดูเถอะ เขาจะเอาที่ตรวจครรภ์ขีดเดียวมาฟาดหน้าครูให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย แล้วครูต้องขอโทษที่ปากเสียใส่เขาแบบนี้







ตาตี่มองที่ตรวจครรภ์ในมือนิ่ง

มะแมคว้าเอากล่องมาอ่านวิธีใช้อีกครั้งจนละเอียด แล้วก็อ่านซ้ำอีกรอบจนแน่ใจว่าไม่มีขั้นตอนไหนที่เขาทำผิดพลาดไป

ไม่ผิดเลย เขาทำตามข้อแนะนำการใช้งานถูกต้องครบถ้วนทุกประการ แล้วทำไมแท่งพลาสติกสีขาวในมือถึงขึ้นสีแดงสองขีดจางๆ อย่างนี้ล่ะ

..ทำไงดี..

ความรู้สึกแรกของแมก็คือกลัว เขากลัวไปหมดกลัวไปทุกเรื่อง กลัวป้ารู้กลัวการอุ้มท้องกลัวไม่ได้เรียนต่อ และกลัวที่สุดก็คือกลัวจะเป็นเหมือนแม่ แม่ก็ท้องตอนเรียนเหมือนกันสุดท้ายแล้วแม่เลยไม่ได้เรียนหนังสือต่อไม่ได้ทำงานดีๆ สบายๆ เพราะต้องเลี้ยงเขา

มือเรียวหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปที่ตรวจครรภ์ในมือส่งไปให้ครูเจษทางไลน์ ถึงจะเพิ่งทะเลาะกันมาแต่ตอนนี้มะแมไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว

แมปาแท่งพลาสติกในมือใส่ผนังห้องน้ำ ทรุดตัวลงนั่งร้องไห้โฮพิงกำแพงอีกด้านหนึ่งปล่อยให้ความคิดในหัวแล่นไปเรื่อยๆ เขาห้ามให้ตัวเองหยุดคิดไปไกลไม่ได้เลย

แรงสั่นของโทรศัพท์มือถือในมือเรียกสติคนที่กำลังร้องไห้หนักให้กลับมา คนโทรมาไม่ใช่ใคร ก็ครูเจษนั่นแหละ

แมรับโทรสาย ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรอีกฝ่ายก็สวนมาเสียก่อน “ไม่ใช่ลูกครูแน่ๆ ครูเป็นเบต้าแมก็รู้”

ฟังแล้วมะแมก็อยากกรี้ดอัดใส่สายมันตอนนี้เลย อยากทำอะไรก็ได้ให้ครูรู้ว่าเขาโกรธ เขาโมโห เขาผิดหวัง

“เบต้าก็มีโอกาสทำให้ท้องไม่ใช่เหรอครู ครูจะมาปัดความรับผิดชอบอย่างนี้ไม่ได้นะเว้ย!” ร่างผอมแผดเสียงใส่โทรศัพท์ขาเรียวยกขึ้นถีบชักโครกตรงหน้าระบายความอัดอั้นในใจ

“แมฟังนะ มันเป็นลูกครูไม่ได้ ถ้าเมียครูรู้ล่ะ แล้วครูก็ใส่ถุงยางแทบทุกครั้งเลยนะ แล้ว..”

ร่างบางยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นเมื่อฟังคำพูดจากคนที่คิดมาตลอดว่าเป็นคนรัก เขาปล่อยให้อีกฝ่ายพล่ามไปเรื่อยๆ หมดคำจะพูดแล้ว

“..แมแน่ใจเหรอว่านอนกับครูคนเดียว”

คำกล่าวหาจากครูเจษทำเอาเขาเลือดขึ้นหน้า “ครูหมายความว่าไง! ก็ใช่ไง! แมนอนกับครูคนเดีย...”

เสียงตะโกนตอบด้วยอารมณ์ชะงักไปเมื่อแมนึกขึ้นได้ถึงเรื่องคืนนั้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน

“อะไรแม มีใช่ไหมล่ะ อย่าคิดว่าครูไม่รู้นะเรื่องรอยกัดที่คอน่ะ อัลฟ่าใช่ไหม เป็นลูกไอ้นั่นแน่ๆ ” เจษฎาสรุปเข้าข้างตัวเองเพียงเท่านี้เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาแล้ว “แมก็ไปเคลียร์กับไอ้นั่นซะ แค่นี้ก่อนนะ ครูต้องไปกินข้าวกับลูกแล้ว”

ครูเจษวางสายไปแล้ว เหลือแค่มะแมที่นั่งมองหน้าจอแตกๆ ของโทรศัพท์ในมือนานเกือบห้านาทีกว่าที่ร่างบางจะขยับมือทำอะไรบางอย่าง

..ให้ไปเคลียร์กับอัลฟ่าอย่างงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ! แม้แต่ชื่อมันแมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ..

มะแมเปิดห้องแชทระหว่างเขากับครูเจษในโปรแกรมไลน์ ไล่แคปหน้าจอทุกๆ บทสนทนาทุกอย่างย้อนไปให้นานที่สุดเท่าที่จะมีบันทึกไว้ ยิ่งอ่านบทสนทนาเก่าๆ ก็ยิ่งน้ำตาไหล พรุ่งนี้เขาจะไปคุยกับครูเจษอีกครั้ง ส่วนแชทพวกนี้เขาจะเก็บไว้เป็นหลักฐานถึงความสัมพันธ์ลับๆ ของเขาและครู ถ้าหากว่าชีวิตเขาจะพังเขาก็จะให้ครูพังไปด้วยกันนี่แหละ





*******************************



สงสารน้อง แต่อย่าไปยอมครูมันลูก จะพังต้องพังด้วยกัน

แมเป็นเด็กหลงเหมือนชื่อเรื่องเลยนะคะ แบบแม่เสียป้าก็เป็นคนไม่อ่อนโยนไม่เข้าใจเด็ก

พอเจอครูเจษที่หลอกเด็กเก่งๆ ก็เลยรักฝังใจ

ตอนนี้นอกจากจะเครียดแล้วคุณคิก็ไม่มีบทเลยค่ะ ค่าตัวแพงมากๆ 5555

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านและคอมเม้นท์กันนะคะ ดีใจมากๆ เลย ยังยืนยันว่าเป็น feel good นะคะเรื่องนี้ เชื่อเราเถอะ 5555
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 4: สองขีด l 21/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 21-01-2020 12:44:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 4: สองขีด l 21/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 22-01-2020 10:14:53
ป๊าดดดดดดดด อาจาน แหงแบบนี้อ่ะ ตอนแรกก้ยังพอรับได้ที่กุกกิ๊กกีบนร. แต่มีนร.มาหลายรุ่นแล้วด้วย ชิชิ

แมเอาให้พังไปทั้งคู่เลยลูก ถ้ามันจะพังอ่ะ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 4: สองขีด l 21/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 22-01-2020 11:48:59
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 5: หลงทาง l 22/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 22-01-2020 16:57:42
5: หลงทาง

มะแมนอนไม่หลับทั้งคืน พยายามนอนจนตีสองก็เลิกพยายามแล้วลุกขึ้นมานั่งอ่านหนังสือสอบเข้าแทน อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็ถือว่าดีกว่านอนลืมตาอยู่เฉยๆ สรุปว่าเมื่อคืนเขาได้ชีทสรุปข้อสอบภาษาอังกฤษมาสามเรื่องพร้อมกับใต้ตาดำเป็นหมีแพนด้าแถมยังบวมเพราะร้องไห้หนักอีกต่างหาก

วันนี้ร่างโปร่งเตรียมตัวจะมาคุยกับครูหนุ่มให้รู้เรื่องอีกครั้ง เพราะตามตารางเรียนแล้ววันนี้จะมีคาบพละที่มีครูเจษเป็นผู้สอน ถึงแม้จะไม่รู้ก็เถอะว่าการคุยให้รู้เรื่องที่ว่านี้คืออะไร ข้อสรุปแบบไหนที่ตัวเองอยากได้สำหรับปัญหาในตอนนี้

แต่กลับกลายเป็นว่าเขาโดนครูเจษหลบหน้าเข้าเต็มๆ เพราะเมื่อถึงเวลาคาบพละ กลับกลายเป็นอาจารย์อีกคนหนึ่งที่มาเข้าสอนแทนพร้อมทั้งบอกว่าวันนี้ครูเจษลาป่วยเนื่องจากไม่สบายกะทันหัน

..ตอแหล! ..

“อ่านหนังสือดึกเหรอ” ผลจากการไม่ได้นอนมาทั้งคืนเพิ่งมาแสดงให้เห็นก็ตอนคาบว่างช่วงบ่าย เพียวเอาสันสมุดเคาะหัวแมที่หลับซุกหน้ากับแขนให้ตื่นมาคุยเป็นเพื่อน ถึงแม้จะง่วงแต่ความจริงแล้วเขายังไม่หลับหรอก ก็แค่ไม่อยากสู้หน้าใครเลยซะมากกว่า

ตาเรียวหรี่ขึ้นมองหน้าตาน่ารักน่าหมั่นไส้ของเพื่อนโต๊ะติดกัน “เสือก”

เพียวคว่ำปากให้คำตอบของเขาและนั่นทำให้คนที่เครียดมาทั้งคืนยิ้มออกมาได้บ้าง “โรคจิตเหรอ คนอุตส่าห์เป็นห่วงนะ”

“จริงเหรอ ให้พูดอีกที” มะแมเลิกคิ้ว ยกมือขึ้นเท้าคาง

“ก็ขี้เสือกนิดๆ ก็ได้ แต่ก็เป็นห่วงด้วยไง” สุดท้ายก็ยอมแพ้ ยอมรับก็ได้ “สรุปว่าเป็นไรอะ”

ร่างบางส่ายหัวให้เพื่อนสนิท ปกติแล้วเขากับเพียวพูดมากพอๆ กัน อยู่ด้วยกันก็เรียกได้ว่าแย่งกันพูดไม่มีคนฟัง แต่พอช่วงนี้มีเรื่องเครียดหลายๆ อย่างแล้วก็เหมือนว่าเขาจะร่าเริงน้อยลงจนเพื่อนสังเกตได้

“เปล่านี่ อ่านหนังสือดึก” มะแมโกหก

ไม่รู้ว่าจะเล่าให้เพื่อนฟังได้ยังไง จะให้บอกว่าตัวเองแอบคบกับอาจารย์วิชาพลศึกษามาตั้งแต่ชั้นปีที่หนึ่ง แถมเพิ่งไปมีวันไนท์สแตนด์กับผู้ชายที่ไหนไม่รู้เมื่อปิดเทอมที่ผ่านมาแล้วตอนนี้ก็กำลังเครียดหัวจะแตกเพราะไม่รู้ว่าลูกในท้องเป็นลูกใครกันแน่ แถมครูยังทำท่าจะไม่รับผิดชอบแน่ๆ อีกต่างหากงั้นเหรอ

“อ้อ..เหรอ” เพียวลากเสียงเออออ แต่หน้าตาไม่เชื่อคำโกหกเขาสักนิดเดียว

“อื้อ ไม่เครียดเหรอจะสอบไม่กี่เดือนหน้าแล้วนะ” มะแมบ่นเพิ่ม เติมความน่าเชื่อเข้าไปอีกหน่อย

“ช่วงนี้มึงไม่ค่อยสบายด้วยนี่ เมื่อวานก็อ้วกใช่ไหม อย่าหักโหมมากล่ะ” เด็กหนุ่มฉีกยิ้มแหยพยักหน้าหงึกหงักรับคำเพื่อน

“ไม่อยู่แล้วน่า”

“ไม่ใช่ว่าแพ้ท้องกับครูเจษหรอกใช่ไหม” เพียวเขยิบเข้ามากระซิบเสียงเบาข้างหูทำเอาแมยิ้มค้าง ตาตี่เหลือกมองเพื่อนอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ แต่ก็เห็นมาหลายครั้งแล้วล่ะ คราวหลังก็ระวังตัวหน่อยล่ะ ถ้ายังมีคราวหลังอะนะ”

เพียวพูดหน้าตาเฉยเหมือนกับพูดเรื่องดินฟ้าอากาศอะไรอย่างนั้น

นอกจากจะช็อกที่เพื่อนรู้ว่าตัวเองท้องแล้วยังตกใจที่เพียวรับรู้เรื่องความสัมพันธ์ที่ควรเป็นเรื่องลับๆ ระหว่างเขากับครูสองคนมาตั้งนานแล้วอีก

“..รู้นานแล้วเหรอ”

“ก็สักพัก” เพียวยักไหล่หยิบเอาการบ้านเลขที่ต้องส่งคาบต่อไปของเขาไปลอกหน้าตาเฉย “จริงๆ กูไม่อยากว่าอะไรมึงหรอกนะเพราะเรื่องของใครเรื่องของมัน แต่ว่า..เลิกเหอะ”

ฟังคำพูดของเพื่อนแล้วคนตัวผอมก็สะอึกเพราะเป็นเรื่องที่รู้ดีแก่ใจมานานแล้วแต่ว่าทำไม่ได้สักที สงสัยว่าจะได้เลิกจริงๆ ก็ตอนนี้ล่ะ

“ตรงนี้ทำยังไงอะ ไม่เห็นเข้าใจเลย” คนกำลังเครียด แต่อยู่ๆ เพื่อนตัวดีก็หักอารมณ์ด้วยการถามวิธีทำการบ้านในมือแทนซะงั้น มะแมก้มเอาหัวโขกโต๊ะนักเรียนทีหนึ่ง เหนื่อยใจกับเพียวจริงๆ

“ไม่! ไหนๆ มึงก็รู้เรื่องแล้วมึงต้องฟังกูระบายก่อน” แมกระชากกระดาษในมือเพียวคืนมาแล้วยัดลงเก๊ะใต้โต๊ะ

“อะไรวะ” เพียวประท้วงแต่พอแมมีการบ้านเป็นตัวประกันก็ต้องยอมตามใจเพื่อน

“คือว่ากูไม่แน่ใจว่าท้องกับครูรึเปล่า” นิ้วเรียวขูดรอยลิควิดบนโต๊ะว่าเสียงเบาหวิว

“ฮะ! ” คนที่ทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรแปลกมาตั้งแต่เมื่อกี้หลุดอุทานเสียงดังจนเพื่อนข้างหน้าหันหลังกลับมามองว่าเกิดอะไรขึ้น รามิลยิ้มแหยส่ายหน้าตอบไปว่าไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ

พอเพื่อนหันกลับไป ร่างโปร่งก็มองหน้าเพียวตาปริบๆ เพื่อนเขายื่นหน้ามาจนชิดกระซิบลอดไรฟันเสียงเบา “แล้วถ้าไม่ท้องกับครูเจษจะท้องกับใคร ครูพลเหรอ! โอ๊ย! ”

“ครูพลจะเกษียณปีหน้าแถมหลานครูเป็นรุ่นน้องเราปีเดียว มึงจะบ้าเหรอ”

“ก็นึกว่ามึงชอบแบบมะเขือเหี่ยวๆ ครูเจษไม่เห็นจะหล่อเลยถ้าเป็นครูฝึกสอนวิชาคอมฯ ปีนี้จะไม่ว่าเลย” มะแมฟังเพียวว่าครูสุดรักสุดเกลียดแล้วก็ตีเพื่อนไปอีกที

“อย่าว่าครู” อดปกป้องไม่ได้เลย

“ล้อเล่นน่ะ อีกคนคืออัลฟ่าเจ้าของรอยกัดใช่ไหม เป็นใครล่ะ”

มือเรียวยกขึ้นจับรอยแผลใต้ปลอกคอหนังแถบกว้างแทบจะทันทีพอคิดถึงอัลฟ่าคนนั้น “อันนี้ก็รู้เหรอ”

“ได้กลิ่นอัลฟ่าจากตัวมึงน่ะ โอเมก้ากับอัลฟ่าคนอื่นก็ได้กลิ่นนะ” เพียวจิ้มนิ้วที่หน้าผากใสของมะแมหนึ่งทีแรงๆ จนหน้าแทบหงาย “วันหลังตอนเรียนสุขศึกษาน่ะก็ตั้งใจฟังครูเจษบ้างนะ ไม่ใช่จ้องหน้าจ้องเป้าเขาอย่างเดียวถึงโง่อ่ะ”

“เพียว! ” มะแมหน้าแดง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องจริง

“เล่าต่อสิ”

“ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร ตอนนั้นบังเอิญฮีทนอกบ้านเจอกันก็เลยได้กันแค่นั้น” ละเรื่องน็อทเอาไว้ในใจแค่นี้เขาก็อายเพื่อนจะตายอยู่แล้ว

“อือฮึ แล้วเอาไงต่อ”

ร่างบางส่ายหัวดิ๊กๆ “ไม่รู้”

“งั้นก็จบ เอาการบ้านมาให้ลอกต่อได้แล้วอีกสิบนาทีต้องส่งแล้วเนี่ย”

แมยื่นการบ้านคณิตที่เก็บไว้ใต้โต๊ะให้เพื่อน เพียวรับกระดาษนั่นไปลอกต่อเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้คุยกันเรื่องคอขาดบาดตายสักนิด เพียวก็เป็นอย่างนี้ตลอด เรียกว่ายังไงดีล่ะ ช่างแม่งทุกอย่างล่ะมั้ง

เขาตั้งใจว่าจะนอนต่ออีกสักหน่อยจนกว่าครูคาบต่อไปจะเข้าห้องมา จุ่มหัวลงบนโต๊ะเรียบร้อยแล้วด้วยซ้ำตอนที่ได้ยินเสียงเพียวพูดลอยๆ เข้าหูมา

“เอาออกไหมล่ะ ยาขายเต็มเน็ตไปหมด”







ที่ห้องนอนรามิลตอนนี้มีที่ตรวจครรภ์สี่อันสามชนิดกองกันอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ เขาซื้อมาตรวจปัสสาวะซ้ำๆ และผลลัพธ์สองขีดสีแดงก็ขึ้นมาตอกย้ำความจริงทุกทีไป

คำพูดของเพื่อนวนเวียนในหัวมะแมไปมาตั้งแต่บ่ายของวันนั้นจนตอนนี้ก็สามวันแล้วที่ร่างบางเสิร์ชหาข้อมูลการทำแท้งของโอเมก้าเพศชายอ่านจากอินเทอร์เน็ต จนตอนนี้เรียกได้ว่าปราดเปรื่องเหลือก็แค่ขั้นตอนลงมือทำจริงนี่แหละ

เขาไม่แน่ใจว่าตอนนี้อายุครรภ์ของตัวเองคือกี่สัปดาห์แล้ว แต่ถ้าให้นับจากครั้งสุดท้ายที่มีอะไรกับครูหรือไม่ก็อัลฟ่าคนนั้นก็คงไม่เกินเจ็ดสัปดาห์ ในเว็บไซต์บอกว่าอายุครรภ์น้อยแบบนี้สามารถทำแท้งได้โดยไม่มีอันตรายมากนักโดยการใช้ยาที่ขัดขวางการทำงานของฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการตั้งครรภ์ทำให้เยื่อบุที่ผนังมดลูกบางลงจนไข่ไม่สามารถเกาะและเจริญเติบโตต่อไปได้

..ฟังดูก็ไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่..มั้ง..

“ไหนบอกว่าวันนี้พี่ที่ร้านขอให้ไปช่วยไม่ใช่เหรอ” เพียวยื่นหน้าเข้ามาถามเขาที่กำลังหมุนปากกาในมือนั่งจ้องงานคู่ตรงหน้านิ่ง “กลับก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวกูทำต่อเองเหลืออีกนิดเดียว”

“เอางั้นเหรอ” เพียพยักหน้าแย่งกระดาษในมือเขาไปเขียนเอง วันนี้พนักงานเสิร์ฟลาป่วยคนหนึ่งพี่แจนเลยโทรมาขอแรงให้เขาไปช่วยทำงานหน่อยเพราะปกติแล้ววันอังคารคือวันหยุดงานของเขา “งั้นไปล่ะ”

แมเก็บปากกากวาดเอาของต่างๆ นานาบนโต๊ะเรียนลงกระเป๋าเป้สีดำที่มีตราโรงเรียน ลุกขึ้นโบกมือลาเพื่อน

ร้าน Something with Sugar อยู่ในย่านการค้าใกล้ๆ รถไฟฟ้าไม่ไกลจากโรงเรียนเท่าไหร่นั่งรถเมล์ก็แค่ไม่กี่ป้าย หรือถ้าวันไหนแมงกหรือว่างจัดอยากจะเดินเท้าไปก็ยังได้แค่จะลิ้นห้อยหน่อยๆ

แน่นอนว่าวันนี้เขาไม่มีอารมณ์จะเดิน แถมเลิกเรียนช้าแบบนี้แค่นั่งรถเมล์ไปก็น่าจะไม่ทันเวลาเข้างานอยู่แล้ว

ตาเรียวมองหน้าเว็บในจอโทรศัพท์มือถือตลอดเวลาที่นั่งบนรถเมล์พัดลม ฟันขาวขบริมฝีปากอิ่มหน้าเครียด แมเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงตอนถึงป้ายที่จะลงแล้วก็หยิบขึ้นมาจ้องใหม่เมื่อลงจากรถแล้วเรียบร้อย

..ยาแบบกินเม็ดละหนึ่งพันสองร้อยบาทแล้วต้องใช้แบบสอดร่วมด้วยเหรอ ได้กินแกลบแน่เดือนนี้..

..สั่งเลยดีไหมนะ..

ขาเรียวก้าวไปตามทางเดินที่คุ้นเคยตาก็จ้องเนื้อหาบนหน้าจอ แมยกมือซ้ายขึ้นมากัดเล็บตามนิสัยที่ชอบทำเป็นประจำเวลาเครียดหรือใช้ความคิด

ร่างบางเหลือบตามองรั้วไม้เลื้อยของคาเฟ่แวบหนึ่ง เลี้ยวซ้ายเข้าประตูรั้วของร้านข้างหน้านี้ก็จะถึงแล้ว แต่เขาก็ยังไม่กล้าตัดสินใจสักที

ผลั่ก!

“เชี่ย เอ๊ย! ขอโทษครับ” หลุดคำหยาบตามนิสัยออกไปแล้วตอนที่เดินชนกับใครสักคนที่ตัวใหญ่อย่างกับกำแพงโดยไม่คาดคิด มะแมไม่ได้ล้มหน้าทิ่มแต่อย่างใดแต่โทรศัพท์ในมือร่วงไถลหน้าจอไปไกลกับพื้นหินหน้าร้าน พอนึกขึ้นได้ว่าอาจจะเดินชนลูกค้าเขาถึงได้รีบขอโทษตามไป

“ไม่เป็นไรครับ ผมยืนขวางทางเอง” มะแมเงยหน้าขึ้นมองคู่กรณีที่ดูจะไม่ได้ติดใจเอาเรื่องอะไร

ตอนนั้นแหละที่รู้ว่าตาแทบถลนออกจากเบ้าเป็นอย่างไร มะแมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตาตี่ๆ ของตัวจะเบิกกว้างได้ขนาดนี้

ผู้ชายผิวขาวรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อจัดในชุดเสื้อเชิ้ตสีเข้มพับแขนกับกางเกงสแล็คขายาว แต่งตัวแทบไม่ต่างจากวันเกิดเหตุเมื่อเกือบสองเดือนก่อนเลยถ้าจำไม่ผิด ร่างสูงไม่ได้มองหน้าเขาแต่ก้มตัวลงไปเก็บโทรศัพท์ใกล้พังเต็มทีของมะแมขึ้นมาให้แทน

“ขอบ.. ขอบคุณ”

มะแมผงกหัวขอบคุณอีกฝ่ายรับของมาถือเอาไว้ สองคนยืนมองหน้ากันหน้าประตูร้านไม่มีใครพูดอะไร

ปากอิ่มเม้มแน่น ปกติแล้วมะแมจำหน้าคนไม่เก่ง ถ้าคนตรงหน้าจะหน้าตาดีโดดเด่นน้อยกว่านี้อีกมากๆ หน่อยเขาก็คงจำไม่ได้หรอก โชคร้ายที่มันไม่เป็นแบบนั้น

แต่เหมือนอีกคนจะจำเขาไม่ได้รึเปล่านะ ก็ไม่เห็นจะตกใจหรือพูดอะไรเลยนี่นา หรือว่ามีวันไนท์สแตนด์บ่อยจนถือเป็นเรื่องปกติไปแล้วกันแน่

“คิ! แกจะยืนขวางหน้าร้านทำไมเดินเข้ามาสิยะ” พี่แจนตะโกนมาจากในร้านเรียกให้สายตาสองคู่หันไปสนใจที่ต้นเสียงแทน “อ้าว น้องแมมาแล้วเหรอ”

“อ..อื้อ”

แจนเดินมาเปิดประตูกระจกหน้าร้าน “ไปเปลี่ยนชุดเร็ว เอ๊ะ! น้องแมไม่เคยเจอคิใช่ไหม”

มะแมพยักหน้าให้เจ้านายสาว รู้สึกเหงื่อแตกพลั่กๆ ทั้งๆ ที่แอร์เย็นๆ จากในร้านลอดผ่านประตูออกมาแท้ๆ

“นี่พี่คริษฐ์นะหรือจะเรียกพี่คิแบบพี่ก็ได้ใช่ไหมคิ” สาวหมวยถามหาคำเออออจากเพื่อนแล้วหันมาคุยกับเขาต่อ “หุ้นส่วนพี่เองจ้า ส่วนคินี่น้องแมที่ชั้นเคยเล่าให้แกฟังไงจำได้ไหม น้องน่ารักอย่างที่บอกเลยเนอะ”

มะแมไม่รู้ว่าพี่แจนจะเอาเขาไปนินทาอะไรให้คุณหุ้นส่วนฟัง รู้แค่ว่าตอนนี้เขาหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม คุณคริษฐ์มองหน้าเขาแล้วยิ้มบางๆ ให้ก็ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นแสนดีอยู่หรอกแต่เหมือนตาเป็นประกายแปลกๆ อย่างไรไม่รู้

“พี่แจนเค้กที่อบจะไหม้แล้ว” เสียงไอ้เก้าโหวกเหวกมาจากครัวทำเอาพี่แจนหน้าตาตื่นวิ่งผลุบกลับเข้าไปหลังร้านปล่อยให้เขากับคุณคริษฐ์ยืนกันอยู่ที่เดิมตรงประตูหน้าร้าน

ในเมื่อดูท่าว่าคุณเขาจะจำอะไรไม่ได้จริงๆ เพราะเรื่องคืนนั้นก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว มะแมก็จะปล่อยผ่านไปเหมือนกัน ถึงครูจะไม่รับผิดชอบแต่ร่างบางก็ไม่ได้อยากให้คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักชื่อเมื่อกี้นี้มารับผิดชอบเหมือนกัน ดีไม่ดีจะโดนด่าด้วยก็อีกฝ่ายจำเขาไม่ได้นี่นา

..เดี๋ยวซื้อยาแล้วเรื่องก็จะจบใช่ไหมล่ะ..

“งั้นผมขอตัว” มือเรียวจับลูกบิดประตูเตรียมชิ่ง แล้วก็เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วถ้าอีกฝ่ายไม่พูดออกมา

“เดี๋ยวก่อน” หัวใจมะแมเต้นตึกตัก อีกไรอีกวะ

คนตัวผอมกลืนน้ำลายอึกใหญ่แต่ยังทำใจแข็งมองหน้าคิรากรเหมือนไม่มีไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น

“เธอน่ะ..” จะพูดอะไรก็รีบๆ พูดจะได้ไหม ทำไมต้องค่อยๆ เค้นมาทีละด้วย มะแมแอบชักสีหน้าในใจแต่ความจริงที่ทำได้ก็คือแค่เลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าอะไรครับ

“......”

“..ท้องเหรอ”




*************************





คุณคิมาแล้ว กรี้สส ใครก็ได้จุดพลุทีค่าาา ทีนี้หนีไม่รอดแล้วนะยัยน้อง

ตอนนี้สั้นตก QC ไปหน่อย ขอโทษด้วยนะคะ หลังจากนี้ก็ไม่ค่อยมาม่าแล้วนะคะ (มั้ง 5555) มาคอยดูพี่เขาตะล่อมน้องกัน

เม้ามอยสกรีมในทวิตติด #คุณคิหลงน้อง กันนะคะ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 5: หลงทาง l 22/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 22-01-2020 22:42:06
เจอกันอีกแล้ววววว เจอครั้งนี้คิดว่าคิต้องจำได้แน่ๆ ไม่งั้นคงไม่ถาม

เอาแล้วๆๆ รอๆๆ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 5: หลงทาง l 22/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Hnggnh ที่ 23-01-2020 00:17:45
จบแบบนี้คือค้างมากกกกกก ชอบมากเลยค่ะสนุกมากกกก
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 5: หลงทาง l 22/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 23-01-2020 03:05:13
 :pig4: เจอพ่อของลูกแล้วน้าหนูแม
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 6: ความลับไม่มีในโลก l 22/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 23-01-2020 14:23:40
ุ6: ความลับไม่มีในโลก

มะแมมือไม้อ่อนแทบจะทำโทรศัพท์ในมือร่วงอีกรอบ ตาเรียวมองหน้าผู้ชายตัวสูงข้างหน้าแล้วมองพื้นแล้วมองหน้าเขาอีกรอบแล้วก็หันไปมองเถากุหลาบที่ข้างรั้ว เลิ่กลั่กไปหมดแล้ว

..มีญาณทิพย์ด้วยเหรอวะ! ..

..ใจเย็นมึง ใจเย็นก่อน..

เตือนตัวเองในใจแล้วมะแมก็พรูลมหายใจเรียกขวัญกำลังใจกลับมาอีกครั้ง “ฮะ! ป..เปล่า จะบ้าเหรอ! ” ทำเสียงสูงหน้าตาแปลกใจไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะถูกทักเรื่องไร้สาระแบบนี้ อย่างนี้จะดูสมจริงรึยังนะ

“ฉันเห็นในโทรศัพท์” คิรากรชี้มาที่โทรศัพท์มือถือในมือเขา “ถ้าไม่ท้องจะหายาขับเลือดไปเพื่ออะไรไม่ทราบ กินเล่นๆ เหรอ”

“แล้วกินเล่นๆ ไม่ได้เหรอ” กะว่าจะขายขำคลี่คลายสถานการณ์สักหน่อยแต่เหมือนคุณเขาจะไม่เล่นด้วยเลย มะแมเลยขำแห้งพยักหัวหงึกๆ “อ้อ.. ไม่ได้เนอะ”

สู้หน้าด้วยไม่ไหวแล้วมะแมก็คิดว่าจะหนีมันซะเลย แต่ร่างสูงไหวตัวทันดึงคอเสื้อนักเรียนเขาเอาไว้ได้ สภาพตอนนี้เลยไม่ต่างกับลูกแมวโดนหิ้วคอสักเท่าไหร่

“จะไปไหนเรายังคุยกันไม่จบ” คิรากรถามเสียงเข้มแล้วเปิดประตูร้านเข้าไปพูดกับไอ้เก้าที่ยืนแอบมองโต้งๆ อยู่หลังตู้แช่เค้ก “ฝากบอกแจนทีว่าขอยืมเด็กเสิร์ฟแป๊บหนึ่ง”

มะแมพยายามส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากเพื่อนด้วยจากการขยิบตาจนหน้าเบี้ยว แต่ไอ้เก้าก็หาได้สนใจไม่แถมยังรับคำคุณหุ้นส่วนร้านซะขันแข็งเชียวว่าตามสบายเลย

ร่างบางโดนลากถูลู่ถูกังมาถึงสวนข้างร้านที่ปลอดคน ความจริงคุณคริษฐ์ก็ไม่ได้ใช้กำลังรุนแรงกับมะแมหรอก เป็นเขาเองแหละที่ขืนขาเอาไว้สุดแรง

อัลฟ่าร่างสูงปล่อยคอเสื้อเขาแล้วแต่ยังยืนกอดอกขวางทางไม่ให้แมได้หนี “ให้พูดอีกรอบ”

“... แฟน! ”คนจะไม่พูดความจริงซะอย่างก็หาทางไหลไปจนได้นั่นแหละ

“ผู้หญิง” คิ้วเข้มเลิกขึ้นพร้อมกับปลายเสียงสูงเป็นคำถาม แมพยักหน้าตอบจนหัวแทบหลุด

“ใช่ ผู้หญิง”

“อ้อ..เหรอ”

“...” เงียบอย่างนี้แปลว่าเชื่อใช่ไหม แปลว่าเขาไปเปลี่ยนชุดทำงานได้แล้วใช่ไหมล่ะ

“ขอดูรูปแฟนเธอหน่อยสิ”

มะแมอ้าปากค้างมองหน้าหล่อจัดของคนตรงหน้า

..หน้าตาก็ไม่น่าจะเป็นคนขี้เสือกนี่หว่า..

รูปเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งในห้องที่เคยถ่ายคู่กันในชุดไทยเมื่องานวันลอยกระทงที่โรงเรียนจัดเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเล่าเรื่องโกหกครั้งนี้

“น่ารักดีนะ ดูเรียบร้อยไม่น่าจะท้องในวัยเรียนเลย” แมคิ้วกระตุกเหมือนโดนด่ากระทบอย่างไรไม่รู้ “คบกันนานแล้วเหรอ”

“ก็เกือบปี”

“แล้วท้องได้กี่เดือนแล้วล่ะ” คิรากรส่งโทรศัพท์คืน “ซักเดือนกว่าๆ รึเปล่า”

“คุณนี่ถามมากจัง ไม่ถามด้วยเลยล่ะว่าผมทำกับแฟนท่าไหนถึงได้ท้อง” คนปากไวยั้งไม่อยู่กวนประสาทกลับไปจนได้ แต่คิรากรไม่ถือสาแถมยังแสยะยิ้มให้อีกต่างหาก

“นั่นสิ..ใช่ทำจากข้างหลังแล้วน็อทรึเปล่านะถึงท้อง”

เด็กหนุ่มหน้าแดงแปร๊ดต่อปากต่อคำด้วยไม่ไหวแล้ว เพราะเหมือนยิ่งพูดจะยิ่งเข้าตัว ขอเปลี่ยนกลยุทธ์เป็นดื้อเงียบไม่หือไม่อือแทน

ร่างสูงถามซักไซ้ต่อแต่พอเห็นว่าเขาไม่ยอมตอบอะไรก็หยุดมองหน้าเหมือนคาดโทษ จะยอมแพ้แล้วสินะ

“สรุปว่าเธอยืนยันว่าเธอไม่ได้ท้อง”

“อือฮึ” โกหกเก่งขนาดนี้ยังไงก็ต้องเชื่อแล้ว

เป็นอีกครั้งที่แมโดนลากไปมาตามใจอีกฝ่าย คิรากรจับแขนเขาเดินนำมาส่งที่หน้าเคาน์เตอร์คิดเงินในร้าน คุณหุ้นส่วนจับแขนซ้ายเขายื่นไปให้ไอ้เก้าที่ยืนทำหน้างงไม่ต่างกันเท่าไหร่จับไว้แล้วฝากฝังก่อนจะผลุนผลันออกจากคาเฟ่ไป

“ฝากเฝ้าไว้หน่อยอย่าปล่อยให้หนีกลับบ้านล่ะ เดี๋ยวฉันมา”







ไอ้เก้าถามเซ้าซี้ว่าเขาไปเหยียบหางอะไรคุณคริษฐ์รึเปล่าตั้งแต่ที่เขาเข้าไปเปลี่ยนเสื้อนักเรียนเป็นยูนิฟอร์มของร้าน จนตอนนี้เสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าไปแล้วสามโต๊ะมันก็ยังไม่หยุดถาม

“หรือว่ามึงไปจีบเด็กเขา เอ๊ะ แต่มึงไม่ชอบผู้หญิงนี่นา แต่คุณคิก็อาจจะชอบผู้ชายก็ได้แต่ว่าเด็กเขาน่าจะเป็นแบบสวยๆ ไม่ใช่สเปคมึงเลยนี่” มะแมกลอกตาเมื่อฟังข้อสันนิษฐานที่ร้อยจากปากเพื่อน พอเขาไม่เฉลยมันก็เดาเองเป็นตุเป็นตะตั้งแต่ขโมยของมาจนถึงแย่งผู้ชายกันแล้ว

“ปัญญาอ่อน” ด่าไปที แต่ฝันไปเถอะว่าคนอย่างมันจะสลด

แมทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่รู้หรอกว่าคิรากรออกไปไหนแล้วจะกลับเข้ามาอีกจริงหรือเปล่า ร่างบางทำงานเสิร์ฟเครื่องดื่มและของหวานตามปกติแต่ในใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีกต่อจากนี้

เก้าทำเสียงขัดอกขัดใจเมื่อความพยายามเกือบยี่สิบนาทีไม่สำเร็จผล เขาส่ายหัวระอาแล้วพยักพเยิดหน้าไปที่ลูกค้าโต๊ะสี่ที่กำลังยกมือขอสั่งอาหารเพิ่มเป็นเชิงให้เพื่อนเป็นไปรับออเดอร์

มีเสียงกระดิ่งเหนือประตูร้านดังบ่งบอกว่าคงมีลูกค้าอีกคนเดินเข้าร้านมา แต่รามิลไม่สนใจจะมองเพราะโต๊ะสี่ที่ไอ้เก้าเดินไปรับออเดอร์อยู่ใกล้ประตู คิดเอาเองว่าเดี๋ยวมันคงจัดการเอง

คนกำลังอู้งานอยู่หน้าอ้างล้างจานสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ คิรากรก็พุ่งเข้ามายืนหน้านิ่งข้างตัวไม่บอกไม่กล่าว มือใหญ่กระแทกแก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้งลงกับเคาน์เตอร์หินอ่อนที่อยู่ติดกัน

“ไปฉี่ใส่แก้วให้หน่อย” กระซิบเสียงเบาไม่ให้พี่บาร์เทนเดอร์ที่ยืนชงกาแฟอยู่ห่างออกไปอีกหน่อยได้ยิน

“ฮะ!” รู้สึกเหมือนหูจะฝาด เมื่อกี้คนคนนี้ให้เขาทำอะไรนะ

“ฉี่-ใส่-แก้ว-ให้-หน่อย”

มะแมอ้าปากหวอ พอคนตัวใหญ่ทำท่าจะพูดซ้ำอีกรอบเขาก็ยกมือไปปิดปากอีกฝ่ายแทบไม่ทันไม่อยากได้ยินซ้ำอีกเป็นรอบที่สามเพราะมันแสลงหู

“คุณจะบ้าเหรอ! อยู่ๆ มาบังคับให้ฉี่ใส่แก้ว ประสาทป้ะเนี่ย ผมไม่ปวดแล้วผมก็ไม่ฉี่ด้วยเอาแก้วกลับไปเลย” ไม่น่าเชื่อว่าคนหน้าตาดีจะสติไม่ดีแบบนี้

“ฉันไม่ได้บ้าแต่ฉันจะตรวจฉี่เธอว่าเธอไม่ได้ท้องจริงๆ อย่างที่เล่ามา” มะแมขนลุกซู่เมื่อเห็นรอยยิ้มของอัลฟ่า ที่หายไปเกือบครึ่งชั่วโมงเมื่อกี้คือออกไปหาซื้อของมาพิสูจน์คำโกหกเขางั้นเหรอ “ยังไม่ปวดก็ไม่เป็นไรฉันนั่งรอได้ไม่รีบ”

งั้นก็นั่งรอให้รากงอกไปเลย มะแมตั้งใจแล้วว่าวันนี้จะอั้นฉี่ไปปล่อยที่บ้าน

“ขอนมสดเย็นสามแก้วด้วย” คิรากรหันไปสั่งเครื่องดื่มก่อนจะผละออกไปนั่งโต๊ะที่มุมหนึ่งของร้าน คนตัวผอมเห็นว่ามีโน้ตบุ๊กวางตั้งเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว คงจะนั่งทำงานที่โต๊ะนั่นก่อนจะเจอกับเขาที่หน้าร้าน

คู่กรณีถอยออกไปได้ไม่นาน ไอ้เก้าที่เพิ่งรับออเดอร์เสร็จก็เดินเข้ากระแซะเขาต่อ “เมื่อกี้คุณคิเขาว่าไรวะ”

“พี่แจน เก้ามันอู้ไม่เอาของไปเสิร์ฟให้ลูกค้าเอาแต่ชวนผมคุย” พี่แจนที่เพิ่งโผล่หน้ามาจากครัวหลังร้านถูกเขาใช้เพื่อสลัดไอ้เพื่อนน่ารำคาญออกไปไกลๆ เจ้าของร้านสาวฟังความข้างเดียวแล้วก็ถลึงตาใส่เก้า

“ไปเลยเก้า อู้เหรอ ไหนลูกค้าสั่งอะไรเอามาดูซิ”

โยนขี้ให้เพื่อนแล้วมะแมก็กลับมายืนล้างแก้วล้างจานไปเรื่อยๆ จนหมดอ่างพี่แจนถึงเรียกเขาให้ยกนมสดเย็นของคุณคริษฐ์ไปเสิร์ฟที่โต๊ะ

มือเรียวยกแก้วใส่นมวางลงบนโต๊ะไม้ทีละแก้วจนครบไม่ยอมมองหน้าเจ้าของโต๊ะ ตั้งใจว่าจะเดินหนีออกมาทันทีเลยแต่โดนขัดเสียก่อน

“ของเธอทั้งสามแก้วนั่นแหละฉันเลี้ยง กินให้หมดนะเสียดายของ” สายตานั่นเหมือนจะแปลความได้ว่า ‘เอาสิ จะไม่ฉี่ราดก็ลองดู’ แถมยังหันไปสำทับกับพี่แจนที่เดินตามมาดูอีกด้วย “น้ำนี่สั่งให้น้องนะ ฉันเห็นน้องปากแห้งเหมือนไม่ได้กินน้ำเป็นห่วงว่าเดี๋ยวจะไม่สบาย แกช่วยเตือนน้องให้กินให้หมดทีสิ”

มะแมอ้าปากพะงาบๆ พี่แจนคนขี้เป็นห่วงลูกน้องก็ตกหลุมเข้าเต็มเปา “อ้าวเหรอ ได้ๆ แต่สามแก้วมันจะไม่เยอะไปหน่อยเหรอแก”

พี่แจนยกแก้วนมสองแก้วขึ้นใส่ถาดเสิร์ฟเหมือนเดิมแล้วยังยึดถาดไปถือเองอีกด้วย นมอีกแก้วถูกยัดเยียดใส่มือเขาแถมยังสั่งให้แมดูดให้ดูก่อนเลยครึ่งแก้วอีก

ตั้งแต่หกโมงกว่าจนถึงทุ่มครึ่ง น้ำสามแก้วหมดไปแล้วสองเพราะพี่แจนขยันเดินมาสั่งให้เขากินน้ำเยอะๆ จิบเข้าไปอีก ตอนนี้มะแมเลยยืนลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขขาสองข้างหนีบเข้าหากันอยากจะเข้าห้องน้ำไม่ไหวแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงจะเลิกงานระหว่างฉี่ราดกับเป็นนิ่วอะไรจะมาก่อนกัน

“เป็นไรของมึงอ่ะยืนย่ำเท้าอยู่ได้ ปวดฉี่ก็ไปฉี่ดิ”

คนหูทิพย์พอได้ยินคำฉี่ปุ๊บก็ลุกพรึ่บเดินไปรอที่ห้องน้ำพร้อมกล่องในมือ แมถึงกับค้อนเพื่อนตาเหลือกเขาอุตส่าห์ยืนอั้นอยู่เงียบๆ แล้วเชียว

“น้องแมไปเข้าห้องน้ำก่อนก็ได้ ตอนนี้ลูกค้าไม่เยอะ”

มะแมไม่อยากจะไปแต่ก็ทนไม่ไหวแล้วจริง ขาสับเร็วๆ ตรงไปที่ห้องน้ำชายเจอกับคิรากรที่ยืนพิงผนังรออยู่ก่อนแล้ว

คิรากรยื่นแก้วพลาสติกใบเดิมให้เขา แถมขู่อีกว่า “ถ้าตุกติกฉันจะเป็นคนจับเล็งให้ตรงปากแก้ว”

..โรคจิต! ..

ในเมื่อที่หนีไม่ได้อีกแมก็ยอมแพ้ จริงๆ ก็คือเขาฉี่จะราดแล้วจะให้ฉี่ใส่แก้วใส่ขวดหรือฉี่ลงพงหญ้าข้างทางก็ได้หมดไม่เกี่ยงแล้ว

ยังดีที่ร่างสูงยอมหันหน้าเข้ากำแพงไม่ได้จ้องมองเขาทำธุระส่วนตัว ร่างบางหน้ามุ่ยยื่นแก้วพลาสติกที่มีของเหลวด้านในให้คนที่รอรับ

คิรากรจุ่มแท่งพลาสติกหน้าตาคุ้นเคยลงไปในถ้วย ไม่ต้องรอให้ผลขึ้นร่างบางก็รู้แล้วว่ามันจะเป็นอย่างไร เพราะเขานั่งมองขีดสีแดงสองอันบนที่ตรวจสี่อันที่บ้านก่อนนอนทุกคืนจนแทบจะเก็บไปฝันอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มเหลือบตาขึ้นมองหน้าตาฮึ่มฮั่มของคนอายุมากกว่าแบบหวาดๆ ตอนที่ครูเจษรู้ครูยังโกรธแทบตายแล้วกับคนที่เพิ่งรู้จักกันยังไม่ทันถึงครึ่งวันดีอย่างนี้เขาจะไม่โดนบีบคอเลยเหรอ

“ก่อนคุณจะด่าคุณฟังผมก่อนนะ” ขอชิงแก้ตัวก่อนก็แล้วกัน “หนึ่ง ผมไม่ได้วางแผนจะท้องแล้วจับคุณนะ สอง ผมไม่รู้จักคุณมาก่อนเลยไม่รู้ด้วยว่าคุณรวยอะ แล้ว… แล้ว...โอ๊ย! ”

“ฉันยังไม่ได้ว่าสักคำ อย่าเพิ่งตีโพยตีพายได้ไหม” โดนเขกหัวกับดุไปทีหนึ่งคนที่กำลังอารมณ์อ่อนไหวเพราะเครียดจัดมาหลายวันก็น้ำตาร่วงแหมะ

“ก็..ก็… ฮือ เดี๋ยวคุณก็ด่า อึก! แล้ว.. แล้วผมก็อาจจะไม่ได้ท้องกับคุณด้วย” ตอนแรกก็แค่น้ำตาไหลเฉยๆ แต่พอยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่

คิรากรตกใจที่อยู่ๆ เด็กตรงหน้าก็ร้องไห้โฮเป็นเขื่อนแตก แต่ประโยคที่เด็กนี่พูดมาทำให้เขาคิดหนักจนต้องถามต่อ “หมายถึงแฟนเหรอ”

ถ้าเกิดรามิลมีแฟนอยู่แล้ว แล้วการที่เขาบังคับขืนใจอีกฝ่ายให้บอนด์กับตนไปคราวนั้นไปทำลายความสัมพันธ์ของร่างบางรึเปล่านะ

แมทรุดตัวลงนั่งยองๆ กับพื้นห้องน้ำซุกหน้าลงกับเข่าสองข้างของตัวเองส่ายหัวจนผมกระจาย พอได้พูดออกมาแค่นิดเดียวก็เหมือนหยุดเล่าต่อไปไม่ได้

“ไม่ใช่แฟน ฮึก เป็นครูสอนพละที่โรงเรียน” มะแมสูดน้ำมูกดังฟืดทำท่าจะยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดน้ำมูกแต่คริษฐ์ชิงยืนทิชชูไปให้ได้ทันเวลา “พอเขารู้ก็โกรธบอกว่าจะไม่รับผิดชอบเพราะเดี๋ยวเมียรู้แล้วก็หลบหน้าผมอะ ฮือออ”

พอเห็นว่าคิรากรไม่ตอบอะไร แมก็ยิ่งเอาใหญ่

“ไอ้ครูเจษบ้า! ผม ฮึก ชอบครูมากเลยนะ ทำไมทำกันแบบนี้วะ!”

ร่างสูงไม่แน่ใจว่าควรพูดอะไรดีหรือเปล่า สุดท้ายก็ตัดสินใจลงไปนั่งข้างๆ เป็นฝ่ายฟังเงียบๆ แทน

“ตอนเอากันทำไมไม่บอกก่อนวะว่ามีเมียแล้ว ฮือ เวรเอ๊ย!”

ตาคมจ้องหน้าบู้บี้ของเด็กข้างๆ มือใหญ่ก็คอยดึงทิชชูส่งให้รามิลเช็ดน้ำมูกน้ำตาเรื่อยๆ คนรับเอามันไปสั่งหนึ่งครั้งแล้วขยำเป็นก้อนก่อนจะปาไปอีกทางเหมือนระบายอารมณ์ ไม่ถึงสิบนาทีเด็กที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งไปด่าคนชื่อเจษไปก็ผล็อยหลับทั้งๆ ที่มือยังกำกระดาษแน่น







ตอนที่ลืมตาตื่นขึ้นมามะแมก็ไม่ได้อยู่ในห้องน้ำชายของร้านแล้วแต่กำลังนอนขดตัวเป็นกุ้งอยู่บนโซฟาผ้าตัวยาวในห้องทำงานของพี่แจนแทน

ในห้องเล็กๆ ไม่มีวี่แววเจ้าของห้อง จะมีก็แต่เพื่อนเจ้าของห้องที่ยึดโต๊ะทำงานไปใช้นั่งอ่านอะไรสักอย่างเงียบๆ ในสมาร์ตโฟนยี่ห้อหรูและหันมามองเขาทันทีขยับตัว

“..หิว..น้ำ” เสียงที่พูดออกไปแหบจนเจ้าตัวยังตกใจ ปกติพูดเป็นต่อยหอยทั้งวันไม่เห็นเป็นอะไร ร้องไห้แค่นี้ถึงกับเสียงหายเลยเหรอวะ

พอได้ยินอย่างนั้นร่างสูงก็เปิดประตูห้องหายออกไปแป๊บหนึ่งและกลับมาพร้อมกับน้ำเปล่าหนึ่งแก้วในมือ มะแมได้ยินเสียงของพี่แจนดังมาจากข้างนอกเหมือนว่าเธอจะโดนเพื่อนห้ามไม่ให้เข้ามาในห้อง

“ระวังลวกปากนะ” แมเบ้หน้าเมื่อรู้ว่าน้ำในแก้วเป็นน้ำอุ่นที่เขาไม่ชอบกิน คนถือมาให้เหมือนจะรู้เลยอธิบาย “ก็เห็นมีน้ำมูกเลยให้กินน้ำอุ่นดีกว่า”

“แต่ว่าอยากกินเป๊ปซี่..”

เห็นตาดุๆ แล้วก็กลืนคำขอลงคอดีกว่า เดี๋ยวกลับบ้านไปซื้อกินเองก็ได้

คิรากรรอให้เด็กหนุ่มจิบน้ำจนพร่องไปครึ่งแก้ว

“เดี๋ยววันเสาร์หน้าเราไปหาหมอกัน”

คนตัวผอมฟังแล้วตาโต “ไปหาหมอทำแท้งเหรอ” แล้วก็โดนอัลฟ่าเขกหัวไปอีกหนึ่งที

“หาหมอฝากท้องสิ” คิรากรแก้

“ไม่เอา! ถ้าเกิดจริงๆ แล้วผมท้องกับครูไม่ใช่กับคุณล่ะ” มะแมแย้งแต่คนฟังยักไหล่ไม่สนใจสักนิด

“เกี่ยวกันตรงไหนท้องก็ต้องไปฝากท้องไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าถามล่ะก็.. มั่นใจมากๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์”

คนฟังอ้าปากเตรียมจะเถียงอีกแต่ก็ไม่ทันเมื่อคิรากรมัดมือชกแย่งแก้วน้ำในมือเขาไปตั้งบนโต๊ะแล้วยัดโทรศัพท์ตัวเองมาให้ถือแทน

“ขอเบอร์หน่อย” ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกพูดดีๆ ด้วยหรือยังไง เด็กหัวฟูบนโซฟาถึงไม่เล่นตัวยอมกดเบอร์ตัวเองให้ง่ายๆ ซะอย่างนั้น มะแมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูหมายเลขที่โทรเข้ามาจากคนตรงหน้า “เมมเบอร์ไว้ด้วย”

“รู้แล้ว..” ร่างบางจิ้มหน้าจอแต่อยู่ๆ ก็ชะงัก เงยหน้าขึ้นมองคิรากรตาแป๋ว “ว่าแต่คุณชื่ออะไรนะ เมื่อกี้ตอนพี่แจนบอกผมตกใจมากเลยไม่ทันได้ฟังอะ”

คนโตกว่ายิ้มค้างไปครู่ก่อนจะหลุดขำแห้งๆ สงสัยจะไม่คาดคิดว่าเขาจะเอ๋อได้ขนาดนี้

"คริษฐ์แต่เมมว่าพี่คิก็ได้ แล้วก็ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้เรียกพี่แบบที่เรียกแจนนั่นแหละ" มือใหญ่ยื่นมาลูบผมยุ่งๆ ของเด็กบนโซฟาให้เป็นทรงแล้วดึงแขนอีกคนให้ลุกขึ้น "ดึกแล้วกลับบ้านได้แล้ว เดี๋ยวพี่ไปส่ง"


********************************



เขียนไปเขียนมาก็รู้สึกว่าตอนนี้วนเวียนอยู่กับฉี่

พี่ไม่ร้องไห้นะคะ น้องแค่ลืมชื่อเอง 5555555555

คุณคิเขาก็จะเป็นสายมัดมือชกแบบละมุนๆ ที่ชิงบอกให้เรียกพี่ก่อนก็คือกลัวน้องเรียกลุงแน่ๆ

เวิร์สของเราคือโอเมก้าชายก็ยังทำผู้หญิงเบต้ากับโอเมก้าท้องได้นะคะแต่โอกาสน้อยมากๆ แล้วก็ท้องเองก็ได้ด้วย

เม้ามอยอย่าลืมติด #พี่คิหลงน้อง กันนะคะ ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยค่า
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 6: ความลับไม่มีในโลก l 23/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 23-01-2020 15:30:54
แม แกมันน่ารักว่ะ!!!!
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 6: ความลับไม่มีในโลก l 23/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 24-01-2020 07:38:57
 :pig4: :pig4: พี่คิน่ารัก
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 7: สัญญา l 24/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 24-01-2020 15:49:52
7: สัญญา

“ครูกุ๊กไม่ชอบหน้าแมแน่ๆ เลยอ่ะ” ร่างโปร่งโพล่งออกไปจากอารมณ์ที่ยังคุกรุ่น หน้าตาน่ารักบู้บี้จนครูเจษที่ตรวจงานอยู่แล้วหันมามองยังหัวเราะขำ “ไม่ตลกนะ! ครูรู้ไหมว่าวันนี้เขาพูดว่ายังไง”

“ว่ายังไง” เจษฎาถามแต่ตากลับมามองงานในมือ

คนตัวบางเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดสดๆ ร้อนๆ เมื่อคาบสุดท้ายอย่างใส่อารมณ์ “..พอคะแนนออกแล้วแมได้เยอะ นางก็หาว่าแมลอกไอ้แว่นรึเปล่า ถุยมาก ก็ไอ้แว่นป้ะที่ส่องกระดาษคำตอบแมจนคอยื่น”

“อ่าฮะ แล้วแมทำไง”

“ก็พูดไปว่าข้อสอบครูกากเองเปล่าแล้วทำหน้ากวนตีนๆ ใส่เลยโดนด่าหูชาเลย” หนุ่มใหญ่ฟังคำตอบของลูกศิษย์แล้วขำเสียงดัง

“ไอ้ตัวแสบ” ครูเจษวางปากกาในมือมาหยิกแก้มรามิลเบาๆ อย่างมันเขี้ยว “ก่อนหน้านี้เขาอาจจะเฉยๆ แต่ตอนนี้น่ะไม่ชอบหน้าแมแล้วแน่ๆ ”

“ก็ช่วยไม่ได้อะ” แมยักไหล่เบะปาก

“ไหนบอกว่าปกติเพื่อนกับครูก็ไม่ค่อยชอบเราอยู่แล้ว แล้วจะสนใจทำไมล่ะครั้งนี้”

จริงอย่างที่ครูเจษว่า ไม่เคยมีใครมาพูดตรงๆ ต่อหน้าหรอกว่าไม่ชอบขี้หน้าเขา แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยแอบได้ยิน ถึงจะหน้าตาน่ารักแต่ท่าทางเหมือนพวกอันธพาลทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งกับมะแม

“ก็..”

ไม่รอให้เจ้าตัวเฉลย เจษฎาเป็นคนพูดต่อเสียเอง “ฆ่าได้หยามไม่ได้เหรอ งั้นต้องเอาคะแนนสอบกลางภาคเต็มไปให้ครูกุ๊กเห็นว่ากำลังเล่นกับใครแล้วไหม”

คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย เพราะอย่างนี้เขาถึงชอบมาเล่าเรื่องต่างๆ ให้ครูฟัง เพราะถ้าเล่าให้ป้าเกียงฟัง นอกจากป้าจะไม่สนใจจะฟังแล้ว บางทียังโดนว่ากลับมาอีกต่างหากว่าครูถูก ส่วนเขานั้นผิดเสมอ

เจษฎาเป็นที่ปรึกษาที่ดี ไม่ได้ด่าว่าแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยยกหางมะแมไปหมดเสียทุกอย่าง ที่สำคัญคือไม่ขัดอารมณ์เขาเหมือนป้าหรือเจ๊

“แต่ว่าไม่ใช่ครูทุกคนไม่ชอบแมหรอกนะ” แมเลิกคิ้วเงยหน้ามองคนที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะตามไม่ทันว่าครูกำลังพูดถึงอะไรอยู่ “ก็ครูชอบแมจะตายไป”

ใบหน้าครูเจษก้มลงมาใกล้ ริมฝีปากแนบลงกับริมฝีปากอิ่มนุ่มนิ่มของแม เสียงจูบกันของอาจารย์และลูกศิษย์ดังเบาๆ ในห้องห้องเดิม










นานมากแล้วที่รามิลไม่เคยฝัน น่าตลกที่ฝันครั้งล่าสุดเมื่อเช้าตรู่ที่ผ่านมานี้คือฝันถึงเรื่องของเขาและครูเจษเมื่อเกือบปีก่อน อดีตแสนหวานแต่ตอนนี้กลับขมจนทำให้ปวดหัวคลื่นไส้แค่นึกถึง

อาจจะไม่เกี่ยวหรอก เขาน่าจะตื่นมาแล้วแพ้ท้องอยากอ้วกมากกว่า แต่อยากพาลซะอย่างใครจะทำไม

แมรู้จักกับเจษฎาครั้งแรกเมื่อตอนชั้นปีที่หนึ่ง ตอนนั้นเขาเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่กรุงเทพยังปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ เพื่อนใหม่แล้วก็ครอบครัวใหม่ไม่ได้ ยังไม่สนิทกับเพียวเลยด้วยซ้ำ

ครูเจษเป็นครูคนโปรดของนักเรียนเกือบทุกคนเพราะไม่ดุแล้วยังชอบปล่อยมุกตลกเวลาสอน แมนึกหน้าเพื่อนๆ ไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไรถ้ารู้เบื้องหลังว่าครูที่ทุกคนคิดว่าเป็นคนดีคั่วกับนักเรียนชายที่อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะมาตั้งแต่อายุสิบหกปี

เทอมหนึ่งของชั้นปีที่หนึ่งวิชาพลศึกษาของโรงเรียนเลือกสอนบาสเกตบอล เด็กไม่เก่งกีฬาอย่างเขาที่ถูกเรียกไปช่วยงานแทนการสอบซ่อมทุกครั้งที่สอบปฏิบัติตกเลยสนิทกับครูไปโดยปริยาย

เกือบได้เวลาเข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้าแล้ว แต่มะแมยังไม่ไปไหนไกลจากห้องน้ำ น้ำท่าก็ยังไม่อาบข้าวเช้าไม่ต้องพูดถึงเลยได้แต่ทรุดตัวนั่งอยู่ข้างชักโครกที่เพิ่งกลายเป็นที่ประจำเกือบทุกเช้ามาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน

..อ้วกจนไม่มีอะไรให้ออกแล้ว เหลือก็แค่เครื่องในนั่นแหละที่ยังไม่ไหลออกมา..

โทรศัพท์ที่วางไว้บนขอบอ่างล้างหน้าสั่นครืดๆ แมที่กำลังซบหัวกับเข่าสองข้างเงยหน้าขึ้นมือเรียวเอื้อมไปหยิบมันลงมาดู



Krist: ทำไมไม่ตอบ

Krist: เป็นอะไรรึเปล่า



อีกฝ่ายหมายถึงข้อความที่ส่งมาเมื่อเช้าถามว่าวันนี้แพ้ท้องรึเปล่าซึ่งแมไม่ทันได้ตอบเพราะรีบมาอาเจียนเสียก่อน

คืนของวันที่เจอกันอีกครั้งหน้าร้าน Something with Sugar คิรากรขับรถมาส่งเขาเกือบถึงบ้าน ที่เกือบก็เพราะซอยบ้านเขาแคบจัดแถมยังมีรถจอดขวางทางเต็มไปหมด อีกคนเลยทำได้แค่จอดรถไว้หน้าปากซอยแล้วเดินเข้ามาส่งแทน แน่นอนว่าแมไม่ได้เชิญอีกคนเข้ามานั่งกินน้ำในบ้านแต่อย่างใดวันนั้นเขาไม่มีอารมณ์จะสนทนาด้วย หลังจากวันนั้นคุณหุ้นส่วนร้านก็ขยับส่งข้อความผ่านไลน์มาทุกวันถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่ไม่เคยได้เจอหน้ากันอีกและคิดว่าคงจะไม่โผล่หน้ามาจนถึงวันนัดนั่นแหละ

ถ้าถามว่าทำไมแมถึงไม่คิดจะซื้อยามากินอีก คำตอบก็คือคิดแหละแต่คิรากรตัวใหญ่เป็นยักษ์แถมดุเป็นบ้า ในเมื่ออีกฝ่ายยืนยันคำขาดว่าห้ามทำอีกถ้ารู้ล่ะก็เจอดีแน่เขาก็จำต้องยอมตามน้ำไปก่อน รอให้เผลอก่อนเถอะ

..ก็ไม่ได้กลัวหรอกนะ แต่มือนั่นหักคอเขาได้เลยนะเว้ย! ..

ร่างบางโทรหาเพื่อนเพื่อบอกว่าวันนี้เขาคงไปโรงเรียนไม่ไหว ตั้งใจเมินข้อความของคิรากร

“ฮัลโหลเพียว” เสียงที่พูดออกไปดูเพลียจนเพื่อนทัก

“เป็นไร”

“ไม่สบายอะไปเรียนไม่ไหวนะวันนี้ ฝากบอกครูด้วย”

“ได้ๆ ไม่ได้เป็นไรมากใช่ไหม” เพียวถามน้ำเสียงดูเป็นห่วงหน่อยๆ

“ไม่เป็นไร แค่นี้นะขอบใจมาก” เลือกตอบไม่ให้เพื่อนกังวลออกไป

ตอนที่วางสายจากเพียว โทรศัพท์เขาก็สั่นอีกครั้งหนึ่งเป็นข้อความจากคนคนเดิม



Krist: ข้าวเช้ากินอะไร อย่าลืมกินล่ะ



พอเห็นข้อความที่ส่งมาคนที่กำลังหมดแรงกลับกลายเป็นว่าโมโหจัด มะแมโทรออกหาคิรากรซึ่งอีกฝ่ายก็รับแทบจะทันที

ไม่รอให้อีกฝ่ายได้พูดอะไรเพราะคนตัวบางชิงโวยวายใส่เสียก่อน “ทำไมต้องสั่งด้วย! ”

“ฮะ.. ยังไม่ได้สั่งเลย” คิรากรงงไปหมด เขาแค่กลัวว่าร่างโปร่งจะรีบไปเรียนจนลืมกินข้าวเช้าก็เท่านั้น

“ยังไม่กิน! กินไม่ได้กินอะไรไม่ได้เลยปวดหัวอ้วกจนไส้จะไหลออกทางปากแล้วเนี่ย หิวข้าวอะหิวมากๆ กับข้าวที่ซื้อมาเมื่อวานก็กินไม่ได้จะออกไปซื้อข้าวก็ไม่มีแรง” แมระบาย ตอนนี้เขาโมโหหิว “ทำไมมันทรมานงี้อะ แล้วต้องเป็นอย่างนี้ไปถึงเก้าเดือนเลยเหรอ ไม่ไปฝากท้องแล้วได้ไหมวันเสาร์นี้ เปลี่ยนเป็นพาไปคลินิกทำแท้งแทนดีกว่า”

ถ้าอยู่ตรงหน้าคิรากรสาบานเลยว่าจะเขกหัวเด็กนี่สักที ให้ความคิดที่เอะอะก็จะเอาเด็กออกทุกทีนี่กระเด็นออกจากหัวเล็กๆ นั่นซะที

“ฝันไปเลยเรื่องนั้น” เขาเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้แพ้หนักมากจนกินอะไรไม่ได้เลยเหรอ แล้วตอนนี้อยู่โรงเรียนรึยัง”

“ยัง ยังอยู่ในห้องน้ำอยู่เลย” มะแมสูดน้ำมูกตอบเสียงเบาลงเมื่ออีกฝ่ายพูดดีๆ ด้วย

“งั้นวันนี้ไม่ไปโรงเรียน” คริษฐ์ถาม

“อือ หมดแรงไม่ไปแม่ง”

คนโตกว่าจุ๊ปาก “พูดไม่เพราะ ในบ้านมีนมไหมพอกินได้รึเปล่า ไปเอามากินรองท้องไปก่อน แค่นี้ก่อนนะ”

ไม่รู้ว่ารีบอะไรถึงได้รีบวางสายไปแล้วไม่รอคำตอบของเขาก่อนด้วย

นั่งนิ่งอยู่อีกสักพักเด็กตัวบางก็ลุกขึ้นล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน เดินสะโหลสะเหลจากห้องนอนชั้นสองของบ้านลงมาเปิดหานมกล่องในตู้เย็น โชคดีที่หลังจากเหตุการณ์แกงส้มวันนั้นเขาได้ซื้อนมและขนมนิดหน่อยมาแช่เก็บไว้ในตู้เย็นแล้ว

มะแมเจาะนมพร่องมันเนยดื่มทรุดลงนั่งบนโซฟาหนังตัวเก่าในห้องนั่งเล่นเปิดเรื่องเล่าเช้านี้ดูข่าวเซ็งๆ อีกมือหนึ่งที่ว่างจากถือกล่องนมไถมือถือในมือไปเรื่อย อดไม่ได้ที่จะกดเข้าไปดูหน้าแชทของครูเจษที่ร้างมากว่าอาทิตย์แล้ว ข้อความสุดท้ายคือรูปที่เขาส่งไป

เสียงอ่านข่าวเบาๆ จากโทรทัศน์บวกกับอากาศเย็นๆ ของเช้าฤดูหนาวทำเอาหนังตาหย่อน เผลอแป๊บเดียวร่างโปร่งก็ผล็อยหลับทั้งๆ ที่มือยังกำโทรศัพท์







แรงสั่นของของในมือปลุกให้มะแมตื่น เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ ตอนแรกตั้งใจว่าจะงีบแค่แป๊บเดียวแล้วจะออกไปซื้อข้าวในร้านสะดวกซื้อปากซอยมากินแท้ๆ

แมกดรับสายในมืออัตโนมัติไม่ได้มองชื่อคนโทรเข้าด้วยซ้ำ ตาตี่ยังปิดสนิท พูดออกไปเสียงอู้อี้ “ฮัลโหล”

“ออกมาเปิดประตูให้หน่อย” เสียงใครอะไม่ค่อยคุ้นเลย

“ใครอะ” ถามเสียงงัวเงียไปตามที่ใจคิด

“..แกร๊บฟู้ดมั้ง”

“ไม่ได้สั่ง” แมเถียงทั้งที่ยังหลับตา

“ประชดไง พี่เองคริษฐ์ ซื้อของกินมาให้จะเอาไหม” พอพูดถึงของกินแล้วคนฟังก็ลืมตาโพลง ตอนแรกก็ไม่ได้หิวเท่าไหร่หรอก แต่พอได้ยินคำว่าของกินท้องมันก็ร้องเลย

“เอา! พี่รอแป๊บผมเพิ่งตื่นอะ” ตอนแรกที่เรียกพี่มันก็กระดากปากนิดหน่อย แต่พอเรียกมาหลายๆ วันตอนนี้แมก็ชินปากไปแล้ว

“ไม่ต้องรีบลุกเดี๋ยวเวียนหัวอ้วกแตกอีกหรอก” ปลายสายเอ็ดเหมือนมีตาทิพย์ว่าเขาเพิ่งจะเด้งหัวตะเกียกตะกายขึ้นจากโซฟา

มะแมบอกเปล่าเสียงสูง ขาเรียววิ่งตึกตักบนพื้นพรมน้ำมันไปหน้าประตูบ้านแอบมองลอดหน้าต่างบานเกล็ดฝุ่นเขรอะเพราะเขาขี้เกียจทำความสะอาดออกไปนอกรั้วบ้านว่ามีคนยืนอยู่จริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่ว่าโดนหลอกให้ดีใจเก้อ พอเห็นผมดำๆ ของอีกคนที่สูงเลยรั้วบ้านป้าเกียงมาหน่อยปากอิ่มก็คลี่ยิ้มกว้างแก้มแทบปริ

คำพูดแรกของคิรากรคือการดุเด็กที่วิ่งหน้าบานมาเปิดประตูให้ “บอกว่าอย่าวิ่งไง”

หลานเจ้าของบ้านดึงเอาถุงพลาสติกหลายใบในมือข้างซ้ายคริษฐ์ไปแย่งถือแล้วเงยหน้ามองตาเขาตาปริบๆ “ก็เราหิว.. ยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากนมกล่องเดียว”

คิรากรเดินตามเด็กข้างหน้าเข้าบ้านไม้ครึ่งปูนสองชั้นขนาดเล็กแบบที่ว่ามองจากประตูหน้าบ้านเข้าไปก็เห็นจนครบทั้งชั้นหนึ่งแล้ว

“ไม่มีคนอยู่บ้านเหรอ” ร่างสูงถามเมื่อเห็นว่าบ้านเงียบสนิทตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขามาส่งแล้ว

“อื้อ ป้ากับพี่ย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด เราอยู่คนเดียว” เด็กตัวบางพยักหน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องมาสนใจอาหารที่คิรากรซื้อมาเต็มสองมือ พอเป็นเรื่องกินจะยอมญาติดีด้วยก็ได้ “ซื้อไรมาเยอะแยะ ที่วางสายใส่คือไปซื้อข้าวให้เราเหรอ”

“อืม..” มือใหญ่หยิบของแต่ละอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะทานข้าวพร้อมอธิบาย “พี่ไม่แน่ใจว่าเรากินอะไรได้บ้าง มีส้มตำเผื่อเราอยากกินอะไรเผ็ดๆ อันนี้สเต๊กเผื่ออยากกินเนื้อ นี่ข้าวผัดแซลมอนเห็นเขาบอกว่ามีประโยชน์ มีโยเกิร์ตแล้วก็มะม่วงด้วยพี่เสิร์ชหาแล้วเจอว่าผลไม้เปรี้ยวๆ จะทำให้หายคลื่นไส้ ส่วนขนมพวกนี้พี่ซื้อมาให้เก็บไว้กินวันอื่นห้ามกินตอนนี้”

คนตัวเล็กตาโตเท่าที่จะโตได้ วิ่งผลุบเข้าไปในห้องครัวไม่ฟังเสียงค้านของแขกแล้วกลับมาพร้อมกับจานชามเต็มไม้เต็มมือวางลงบนโต๊ะไม้

ตาคมมองเด็กตรงหน้าแกะอาหารในกล่องในถุงเทลงจานจิ้มกับข้าวอย่างละนิดอย่างละหน่อยเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ หน้าตาดูมีความสุข ทีนี้คิรากรก็ได้รู้แล้วว่าถ้ามีของกินคงล่อหลอกเจ้าเด็กนี่ได้ไม่ยาก กินไปก็ชมไปว่าอันนู้นอร่อยอันนี้อร่อย คนซื้อมาฟังแล้วต้องเม้มปากกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน

“เรื่องทำแท้งน่ะ..”

คนกำลังสูดเส้นมะละกอเข้าปากหันหน้าขวับมามองคิรากร แมรีบเคี้ยวอาหารในปากลงท้องละล่ำละลักถามกลับ “เปลี่ยนใจแล้วเหรอ วันนี้เลยไหมเราว่างนะ”

“ไม่เปลี่ยน” คนฟังหน้าตึงถอนหายใจเสียงดังเสริมคำปฏิเสธ “จะถามว่าทำไมถึงอยากทำล่ะ”

“ก็..” รามิลตักข้าวผัดคำโตเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ยไม่ยอมตอบในทันที แต่ร่างสูงที่นั่งมองจากอีกฝั่งของโต๊ะทานข้าวก็รอฟังไม่เร่งรัด “เรายังเรียนไม่จบ”

คนโตกว่าทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออกแล้วถามว่าเขากำลังเรียนชั้นอะไรอยู่กันแน่ พอได้คำตอบแล้วก็นั่งกุมขมับหน้าเครียดซะอย่างนั้น ทำไมอะ ไม่เห็นเข้าใจเลย

“อายุสิบเจ็ด..” คิรากรครางกับตัวเองเสียงเบา เหมือนจะเห็นคุกตารางเปิดประตูเชิญให้เขาเข้าไปอยู่ตรงหน้า

“อื้อ”

“แล้วทำไมผมยาวแล้วตอนนั้นก็ย้อมผมใส่ต่างหูด้วย” หมายถึงเมื่อเกือบสองเดือนก่อน

“ก็ตอนนั้นปิดเทอมอะไม่เคยย้อมผมตอนปิดเทอมเหรอ แล้วเราเรียนพาณิชย์อ่ะไว้ผมยาวได้นิดนึงไม่ได้เรียนรด.ด้วยแหละ” ความจริงผมเขาก็ไม่ได้ยาวหรอก แต่ไม่ใช่ทรงนักเรียนแน่ๆ มะแมเมินท่าทางคนที่ทำเหมือนกับเพิ่งได้รับรู้ความลับของจักรวาลมาอธิบายต่อในเรื่องที่ถูกถามไว้ “ก็นั่นแหละเรายังเรียนไม่จบ แล้วก็อยากเรียนต่อด้วย อยากเรียนทำอาหารอะเราอยากเป็นปาติซิเย่แบบพี่แจน”

“อืม แล้วจะจบปีสามเมื่อไหร่ เข้ามหา’ลัยเดือนไหน”

“ประมาณปลายมกราไม่ก็ต้นกุมภาปีหน้า มหา’ลัยก็เปิดเดือนกลางเดือนสิงหามั้ง” คิรากรนับเดือนตามที่เด็กบอก คาดเดาไว้ก่อนว่าตอนนี้อายุครรภ์ประมาณเดือนกว่ากว่าจะถึงสิงหาคมปีหน้าก็เกินเก้าเดือนแล้ว “กว่าจะเปิดเทอมก็คลอดแล้ว ตอนนี้ก็เรียนไปก่อนอีกสองสามเดือนเองก็จบแล้ว ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นห่วง”

“มันไม่ใช่ว่าคลอดเสร็จแล้วก็จบไหมล่ะ แล้วถ้าเราไปเรียนใครจะเลี้ยงเด็ก”

“พี่ไง” ตอบอย่างมั่นใจแต่พอเจอสายตาเต็มไปด้วยคำถามจากแม ร่างสูงก็ยกมือขึ้นจับคอประหม่า “ยังเลี้ยงไม่เป็นหรอกแต่ว่ามีแม่กับป้าแม่บ้านที่บ้านสอนให้ได้ แล้วพี่อุ้มไปเลี้ยงที่ทำงานก็ได้พนักงานไม่ว่าหรอก”

“แต่ว่า..”

คนขยันพูดคำว่าแต่ทำท่าจะขัดต่อ แต่คิรากรไม่ยอม “ถ้าล้มเลิกความคิด พี่จะช่วยจ่ายค่าเทอมตอนเรียนมหา’ลัยสี่ปีแล้วจะให้ฝากงานให้หลังเรียนจบจะได้เป็นปาตีซิเย่อย่างที่อยาก ให้เลือกระหว่างโรงแรม xxx กับร้านพี่ทองหล่อ”

ตอนแรกก็เกือบจะโมโหที่อีกคนไม่ยอมฟังเหตุผล แต่พอฟังข้อเสนอแล้วแมก็ตาลุกวาว ลูกก็เลี้ยงให้ แถมยังจะส่งเรียนกับฝากงานให้หลังเรียนจบด้วยเหรอ อะไรจะดีขนาดนั้น

ฟันขาวขบริมฝีปากอิ่มอย่างใช้ความคิดแต่มือกับปากยังกินไม่หยุด

“ว่าไง”

“ขอกินก่อนได้ไหม” ยังคิดไม่ออกท้องยังไม่อิ่มเลย

พอได้รับคำอนุญาตว่าตามสบาย ร่างบางก็ไม่เกรงใจรีบจ้วงจนต้องเตือนให้ช้าลงหน่อยไม่มีใครแย่งกิน กลัวว่าอาหารพวกนี้จะไปกองในคอห่านด้วยอีกมื้อ ท่าทางมะแมจะหิวจริงอย่างที่ว่าเพราะอาหารที่คริษฐ์ตั้งใจซื้อมาให้เผื่อเลือกโดนจัดการเรียบเรียกได้ว่าเกลี้ยงแทบเลียจาน เขาชักสงสัยว่าตัวผอมๆ นั่นเอาสารอาหารไปเก็บไว้ที่ไหนหมด

จบของคาวก็ตบท้ายด้วยผลไม้ มือเรียวจิ้มมะม่วงดิบกับพริกเกลือในถุงเข้าปากแล้วส่งเสียงซี้ดซ้าดกับความเปรี้ยวสะใจ

“ซี้ด.. อ่า อร่อย” ตาที่ตี่อยู่แล้วยิ่งหยีกว่าเดิมพอกินของเปรี้ยว ปกติเขาไม่ชอบกินมะม่วงด้วยซ้ำทำไมวันนี้มันอร่อยจังวะ

คิรากรแย่งผลไม้ในมือแมมากินบ้างเรียกความสนใจ "สรุปว่า.."

ปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างคนใช้ความคิด "แล้วถ้าตรวจดีเอ็นเอแล้วไม่ใช่ลูกพี่ล่ะ"

"ข้อตกลงทุกอย่างเหมือนเดิม เราบอกเองนี่ว่ายังไงครูก็คงไม่รับผิดชอบก็เอามาให้พี่เลี้ยงแค่นั้นเอง"

หมายความว่าแค่มะแมอุ้มท้องต่อไปอีกแปดเดือนไม่ว่าเด็กในท้องเขาจะเป็นสายเลือดของใครก็ตามหลังจากคลอดแล้วทุกอย่างจะจบอย่างนั้นเหรอ เขาจะได้กลับไปเรียนต่ออย่างที่ฝันไว้ ส่วนเด็กคิรากรก็จะรับไป เราไม่ต้องมีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกแบบในละครหลังข่าวที่ป้าเกียงชอบดูน่ะเหรอ

สุดท้ายรามิลก็ตัดสินใจพยักหน้า "ดีลก็ได้.. แต่ว่าเราต้องได้สัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรด้วย ห้ามโกงห้ามเบี้ยว"

"หัวหมอเหรอ ตอนนี้ไม่มีหรอกนะ เกี่ยวก้อยสัญญาแทนได้ไหม"

คริษฐ์ชูนิ้วก้อยยื่นไปตรงหน้าเด็กหนุ่มที่เบ้หน้ากับคำพูดเขา "เล่นอะไรเป็นเด็กสามขวบ"

"แปลว่าไม่เกี่ยว"

"..เกี่ยวไว้ก่อนก็ได้ แล้วพี่ต้องทำสัญญามาให้เราเซ็นทีหลังด้วยล่ะอย่าลืม"

"เด็กดี"

นิ้วเรียวยื่นออกไปเกี่ยวกับนิ้วก้อยของคิรากร คนที่ปกติแล้วโดนกล่าวหาว่าเป็นเด็กเกเรมาเกือบทั้งชีวิตหน้าแดงจนถึงหูกับคำพูดของคนอายุมากกว่า







"พี่เล่าเรื่องเราให้ที่บ้านฟังแล้วเหรอ! " มะแมถามหน้าตาตื่น ไม่อยากจะเชื่อว่าคิรากรจะกล้าเล่าให้ครอบครัวฟังเร็วขนาดนี้ สำหรับเขาแล้วแค่คิดถึงหน้าป้าเกียงกับไม้เรียวในมือก็กลัวจนปากสั่นพูดอะไรไม่ออกแล้ว

"อืม เขาก็ตกใจที่อยู่ๆ จะมีหลาน ถามนู่นถามนี่แต่พี่ก็ยังไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังมาก" ร่างสูงเล่า ยกมือขึ้นกุมขมับเมื่อพูดถึงประโยคต่อไป"แต่เรื่องที่เราอายุสิบเจ็ดนี่สิ พี่ไม่รู้จะบอกแม่ยังไงดี"

บอกคุณเคทยังไงดีนะว่าลูกสะใภ้ที่เขาหามาให้น่ะ อายุเท่าหลานคนโตของแม่เลย






*************************







มีส่งเสียให้เรียนแถมฝากงานให้ขนาดนี้ ต้องยอมเป็นเด็กป๋าเขาแล้วมั๊ยอ่ะเรา แต่ว่าหนูเข้าใจผิดไปไกลเลยนะลูก ;_;

ส่วนคุณคิ ใครก็ได้ส่งยาดมให้พี่เขาทีค่ะ เกียมเงินไว้ประกันตัวอิพี่แล้วนะ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 7: สัญญา l 24/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 25-01-2020 04:52:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 7: สัญญา l 24/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 25-01-2020 12:28:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 7: สัญญา l 24/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 25-01-2020 17:25:25
 :katai5:   สนุกกกกกกก
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 8: อัลตร้าซาวน์ ไข่ดาว บุฟเฟ่ต์ l 27/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 27-01-2020 11:37:12
8: อัลตร้าซาวน์ ไข่ดาว บุฟเฟ่ต์​

วันนี้เป็นวันเสาร์ ปกติแล้วเด็กนักเรียนที่ต้องตื่นเช้าทุกวันจันทร์ถึงศุกร์อย่างเขาจะถือโอกาสเล่นเกมจนดึกดื่นแล้วก็ตื่นสายโด่ง แต่เสาร์นี้กลายเป็นว่าร่างโปร่งต้องตื่นมานั่งสัปหงกหน้าชามซีเรียลตั้งแต่ยังไม่แปดโมงดี เพราะคุณคิรากรน่ะสิดันนัดมารับเขาไปฝากครรภ์ตั้งแต่เช้า

แปดโมงครึ่งออดหน้าบ้านก็ดังเหมือนตั้งนาฬิกาเอาไว้อย่างไงอย่างนั้น มะแมที่ยังแปรงฟันไม่เสร็จวิ่งมาเปิดประตูรั้วบ้านให้คนที่ขับรถมารับถึงบ้านทั้งๆ ที่ฟองยาสีฟันยังเต็มปาก

ตั้งแต่ที่เกี่ยวก้อยทำสัญญากันไปเมื่อครั้งก่อน เรื่องหาซื้อยาขับเลือดก็ตกกระป๋องไปเลยสำหรับมะแม ไม่มีการเสิร์ชหาเว็บขายอีกต่อไป

..ก็นะ กลิ่นเงินค่าเทอมมันหอมมาก..

พอมีผู้ใหญ่มานั่งรอกดดันในบ้าน รามิลก็รีบจนเบลอขนาดตอนจะล็อกประตูออกจากบ้านถึงเพิ่งรู้ตัวว่าลืมหยิบโทรศัพท์ไปด้วยต้องกลับเข้าบ้านไปเอาอีกรอบ

ครั้งก่อนๆ ที่เคยนั่งรถเอสยูวีของคิรากรเขาไม่ค่อยจะมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่ ครั้งนี้แมถึงเพิ่งรู้ว่ารถของชายหนุ่มใหญ่กว่ารถเก๋งของป้าเกียงโข แอร์ก็เย็นสดชื่นกว่ารถป้าที่ชอบลืมเปลี่ยนน้ำยาแอร์ด้วย ถ้าทำงานมีเงินเยอะๆ เขาก็อยากจะมีรถคันใหญ่ๆ แบบนี้บ้าง

..แต่ก่อนอื่นก็ต้องขับให้เป็นก่อน

มะแมไม่แน่ใจว่าทำไมคนขับรถถึงต้องพาเขามาฝากท้องไกลถึงขนาดนี้ด้วย จากวิวสองข้างทางที่คุ้นเคยพอนานไปก็เปลี่ยนเป็นถนนชื่อแปลกๆ ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ก็แค่ฝากท้องฝากโรงพยาบาลเล็กๆ ปากซอยถนนใหญ่แถวบ้านก็น่าจะได้ไม่ใช่เหรอ

“ง่วงก็นอน” คิรากรดันหัวกลมของเด็กข้างตัวที่โยกขึ้นลงเหมือนอยู่ในคอนเสิร์ตร็อกบังกระจกมองข้างไปหลายทีเพราะเจ้าตัวฝืนถ่างตาไม่ยอมหลับดีๆ ให้พิงกับเบาะ “ไม่ได้จะพาไปขาย เมื่อคืนนอนดึกเหรอ”

“อือ..” พอหัวถึงพนักพิง มะแมก็ขยับตัวหามุมที่นอนสบายซุกหน้ากับเข็มขัดนิรภัยที่พาดตัว

“ทำอะไรถึงนอนดึก อ่านหนังสือสอบ”

“ม่าย.. เล่น อือ.. เกม” ข้อความสุดท้ายก่อนคนที่เมื่อคืนลงแรงค์เพลินถึงตีสามจะหนีไปเข้าเฝ้าพระอินทร์

 

 

 

“ไม่เห็นต้องอัลตร้าซาวน์เลยพี่อ่ะ อย่าเว่อได้ป้ะมันยังไม่เห็นอะไรหรอก ใช่ไหมหมอ” มะแมโวยวายพร้อมกับหาพรรคพวกเมื่อได้ยินร่างสูงบอกว่าจะให้หมออัลตร้าซาวน์ท้องเขาไปด้วยเลยหลังจากที่การตรวจสุขภาพทั่วๆ ไปเสร็จสิ้น

“เอ่อ.. จริงๆ แล้วถ้าคุณพ่ออยากอัลตร้าซาวน์ไว้ก็ไม่เสียหายนะครับ เพราะคุณแม่เป็นโอเมก้าชายเลยนับอายุครรภ์จากประจำเดือนครั้งสุดท้ายไม่ได้ ถ้าอัลตร้าซาวน์จะได้ทราบน่ะครับ รวมไปถึงตรวจดูสภาพความสมบูรณ์ของ Bridge ด้วย” แพทย์สูตินรีเวชวัยกลางคนยิ้มพลางอธิบายให้มะแมฟัง

คิรากรได้ยินอย่างนั้นก็ยักคิ้วให้เด็กข้างๆ อย่างเป็นต่อ

“เชิญคุณแม่เปลี่ยนชุดเลยครับ”

เปลี่ยนทำไม อัลตร้าซาวน์ไม่ใช่แค่เปิดพุงให้หมอเอาเครื่องไถไปไถมาหรอกเหรอ มะแมขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งจนคุณหมอต้องอธิบายต่อ “จะตรวจ Bridge ต้องอัลตร้าซาวน์จากทางด้านหลังครับ”

“ฮะ! ”

ได้ยินแค่นั้นปากคนฟังก็อ้าค้าง หมายความว่าเขาจะต้อง.. จะต้องให้หมอเห็นตรงนั้น แล้วก็เอาเครื่องใส่เข้าไปในนั้นด้วยเหรอ

เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุดด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยาก ตอนขึ้นเตียงเหมือนกับขึ้นเครื่องประหารชัดๆ มะแมอายทั้งหมอทั้งคิรากรจนหน้าแดงเถือกไปหมด โชคดีที่ร่างสูงไม่ได้สนใจจะไปมองครึ่งล่างที่อยู่ใต้ผ้าคลุมของเขา

มะแมย่อคอตอนที่หมอสอดเครื่องมือเข้าไปในร่างกาย รู้สึกตื่นเต้นจนต้องคว้าแขนเสื้อคนข้างๆ ดึงไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ สักพักก็คุณหมอชี้ให้เขาและคิรากรดูภาพที่ปรากฏบนหน้าจอ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าหน้าจอมีแต่สีดำๆ เทาๆ ดูไม่เห็นรู้เรื่องว่าจะให้โฟกัสที่ตรงไหนกันแน่

คนอาวุโสที่สุดในห้องชี้นิ้วให้เห็นจุดสีดำเล็กๆ ที่มีสีขาวอยู่ด้านในดูเหมือนไข่ดาวในสายตาแม “ตรงนี้เป็นหัวใจของเด็กกำลังเต้นอยู่เห็นไหมครับ”

จุดที่ว่านั้นเต้นตุบๆ ตามที่คุณหมอบอก หมอชี้ที่กราฟเหมือนคลื่นเสียงด้านล่างแล้วอธิบายต่อ “ส่วนตรงนี้เป็นกราฟคลื่นหัวใจเด็กนะครับ คุณแม่กับคุณพ่อฟังได้ทางหูฟังเลยครับ”

เสียงตึกตักๆ กับภาพจุดขาวๆ ที่เต้นดุ๊บๆ ทำเอาแมปั้นหน้าไม่ถูก ตาเรียวเหลือบมองคิรากรที่จดจ้องกับภาพในจอจนแทบจะสิงเข้าไปอยู่แล้ว ร่างสูงไม่ได้ยิ้มกว้างแต่ก็ดูออกว่าตื่นเต้นดีใจ

แล้วเขาล่ะ ต้องดีใจรึเปล่า ที่หัวใจเต้นแรงแข่งกับเสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้แปลว่าตื่นเต้นอยู่รึเปล่านะ

“วัดจากขนาดตัวอ่อนแล้วอายุครรภ์ประมาณเจ็ดสัปดาห์แล้วนะครับ”

เกือบสองเดือนแล้วเหรอ ไอ้เจ้าก้อนกลมๆ นี่อยู่กับเขามาเกือบสองเดือนแล้วเหรอเนี่ย รามิลนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่าขอบตาและปลายจมูกมันร้อนผ่าวชอบกล

“เป็นอะไร กลัวเหรอ” มือใหญ่ขยี้ผมเด็กบนเตียงที่ทำหน้าตาแปลกๆ

“เปล่า”

“เดี๋ยวหมอจะปริ๊นท์ภาพหัวใจให้คุณพ่อกับคุณแม่นะครับ ต่อไปหมอจะขอตรวจหา Bridge” หมอขยับเครื่องไปมาอีกเล็กน้อย พอภาพบนจอเปลี่ยนไปมะแมก็กลับมองไม่รู้เรื่องเหมือนเดิม

“โดยปกติแล้วโอเมก้าชายจะมีส่วนที่เรียกว่า Bridge นะครับ” เสียงนุ่มอธิบายไปพลาง “Bridge หมายถึงทางเชื่อมระหว่างมดลูกกับส่วนด้านหลังของโอเมก้าชายเป็นเหมือนกับช่องคลอด ถ้าคนที่มีช่องทางส่วนนี้สมบูรณ์ดีจะสามารถคลอดเด็กได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ส่วนคนที่ Bridge มีขนาดเล็กมากๆ จนไม่สามารถใช้ในการคลอดเด็กได้ก็จะต้องใช้การผ่าคลอดเข้ามาช่วยแทนนะครับ เป็นโชคดีของคุณแม่นะครับดูสิตรงนี้คือ Bridge สภาพสมบูรณ์ดีครับ”

คุณหมอชี้ให้ดูภาพบนจออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาดูไม่รู้เรื่องได้แต่พยักหน้าเออออไปอย่างนั้น

“แต่ก็ต้องมาลุ้นอีกครั้งตอนใกล้คลอดนะครับว่าเด็กจะตัวใหญ่รึเปล่า เพราะถ้าใหญ่มากหมอก็จะแนะนำให้ผ่าคลอดจะดีกว่า”

หมอถอนเครื่องมือออกจากตัวแมแล้วพูดถึงข้อควรระวังอีกหลายอย่างในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ร่างโปร่งฟังบ้างไม่ฟังบ้างเพราะยังเบลอกับความรู้สึกของตัวเอง เอาไว้คอยถามคิรากรทีหลังก็ได้เพราะคุณพ่อมือใหม่นั้นตั้งใจฟังจบแทบจะหยิบสมุดขึ้นมาจดเล็คเชอร์อยู่แล้ว

จบเรื่องในห้องตรวจมะแมก็ได้กระดาษใบยาวที่มีรูปภาพหัวใจไข่ดาวจากผลอัลตร้าซาวน์สามรูปติดมือออกมาด้วย

“พี่เอาไปไหมเห็นจ้องจนแทบจะมุดเข้าไปในจอ” หมายถึงรูปภาพในมือ

“เราจะไม่เก็บไว้เหรอ” ปากเหมือนจะปฏิเสธ แต่ดูท่าทางแล้วอยากได้มากชัดๆ

“พี่เก็บไว้ก่อนก็ได้” ถ้าคลอดแล้วเขาค่อยขอมาเป็นของดูต่างหน้าก็ได้มั้ง

มะแมกางสมุดเล่มสีชมพูที่คุณหมอให้มาอ่านฆ่าเวลาระหว่างรอคิวจ่ายเงิน สะดุดกับชื่อของคิรากรในนั้น

ถ้าวันนั้นพี่แจนไม่เรียกเขาให้เข้าไปช่วยงาน ชีวิตตอนนี้คงต่างกันจากหน้ามือเป็นหลังเท้า และไอ้ก้อนไข่ดาวก็คงไม่อยู่ในท้องเขาแล้ว

“หิวรึยัง” คนตัวสูงที่นั่งอยู่ข้างๆ ถาม

“ยัง” รามิลเม้มปากอิ่ม เหลือบตามองคิรากรที่จ้องหน้าเขาอยู่ก่อนแล้ว “ถ้า.. ถ้าจริงๆ แล้วเขาไม่ใช่ลูกพี่ พี่จะรักเขาไหมอะ”

“.. รักสิ” คนอายุมากกว่ายืนยันพร้อมมือใหญ่ยื่นมาบีบจมูกเด็กขี้คิดมาก รอยยิ้มอบอุ่นจนร้อนจนคนมองต้องสะบัดหน้าหนีส่งเสียงประท้วง เมินบรรยากาศโรแมนติกที่คิรากรพยายามสร้างเสียสนิท

นั่งอ่านสมุดในมือรอต่อไปอีกไม่ถึงสิบนาทีชื่อรามิลก็ถูกเรียกให้ลุกไปชำระเงิน พนักงานหญิงในชุดขาวยิ้มพร้อมแสดงความยินดีกับคุณแม่มือใหม่ยื่นใบเสร็จค่าฝากครรภ์ให้เขา พอมองดูตัวเลขสี่หลักที่ท้ายกระดาษแล้วปากอิ่มก็อ้าหวอ รีบล้วงเอากระเป๋าสตางค์ตัวเองมานับแบงก์ข้างใน เมื่อเช้าก็ลืมเอาเงินมาเผื่อไปเสียสนิท แล้วใครใช้ให้คิรากรเลือกโรงพยาบาลเอกชนราคาแพงหูฉี่ขนาดนี้กัน

..มีอยู่สามร้อย..

เสียงหัวเราะเบาๆ บนหัวเรียกสายตาเด็กที่กำลังตกใจกับค่าใช้จ่ายในการฝากครรภ์ให้เงยหน้าขึ้นมอง คิรากรดึงใบเสร็จในมือเขาออกไปก่อนจะยื่นแบงก์สีเทาหลายใบให้คุณพี่คนสวย

“ที่บอกว่าอัลฟ่าเก่งกว่าเบต้าทุกเรื่องน่ะรวมไปถึงเรื่องนั้นด้วยรู้ไหม” เอ่ยเสียงเบาชิดใบหูให้ได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้นว่าแต่ทำไมต้องทำเสียงแหบเซ็กซี่ด้วยวะ มันจั๊กจี้หูชะมัด

“...”

“เพราะฉะนั้นต่อให้เราถามอีกล้านรอบพี่ก็จะบอกว่าพี่มั่นใจว่าลูกพี่แน่ๆ พี่จ่ายเองครับ”

 

 

 

แผนที่วางเอาไว้ว่าจะไปทำงานที่ร้านหลังจากเสร็จธุระที่โรงพยาบาลในช่วงเช้าถูกพับเก็บไปเมื่อการตรวจใช้เวลานานกว่าที่คิดไว้มาก และแทนที่คิรากรจะขับรถพาเขากลับไปส่งบ้านกลับกลายเป็นว่าร่างสูงเลี้ยวรถเข้าจอดในห้างสรรพสินค้าข้างคอนโดมิเนียมที่มะแมจำได้ว่าเคยมานอนค้างอยู่ค่อนคืน ชวนเขาไปเดินดูหนังสือสำหรับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่แทน

“ลาให้แล้ว” คริษฐ์ตอบคำท้วงแมที่ว่ายังไม่ได้ลางานกับพี่แจนเลย มือใหญ่ยื่นหนังสือให้เด็กข้างๆ พิจารณาต่อ “เล่มนี้ดีไหม”

มะแมรับมาเปิดอ่านแล้วส่ายหน้าก็หนังสือเล่มที่ยื่นมาให้มันเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม แถมศัพท์ยังยากเกินกว่าเด็กอายุแค่สิบเจ็ดอย่างเขาจะเข้าใจได้หมด “เอาแบบที่อ่านง่ายๆ มีรูปเยอะๆ ” หยิบหนังสือปกแข็งสีสันสดใสแถมยังมีรูปการ์ตูนมาแทน

“เล่มนั้นก็ดูเข้าใจง่ายดี น่ารักด้วย” คิรากรรวบทั้งสองเล่มมาถือเอง “แต่เล่มนี้ละเอียดดีพี่เอาไว้อ่านเองแล้วเดี๋ยวแปลให้ฟัง”

สรุปแล้วกว่าจะได้ออกจากร้านหนังสือ คิรากรก็มีหนังสือในอ้อมแขนเพิ่มอีกสามเล่ม หมดค่าเสียหายไปอีกมากโข แถมเด็กที่มาด้วยก็หิวก็ท้องร้องโครกครากประท้วง

“อยากกินอะไร” ร่างสูงมองมะแมที่ลูบท้องแบนราบใต้เสื้อยืดลายกราฟฟิคแบบที่เด็กวัยรุ่นชายชอบใส่กันป้อยๆ ถ้าไม่มีผลตรวจมายืนยันคงไม่เชื่อว่าคนคนนี้จะท้องได้เกือบสองเดือนแล้วจริงๆ

แมมองร้านอาหารญี่ปุ่นเกาหลีฝรั่งที่เปิดเรียงรายแล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก แต่กลับถามคนโตกว่าไปว่า “พี่กินฟู้ดคอร์ทเป็นไหมอ่ะ”

“เป็นสิ แต่ที่มองร้านพวกนั้นตาละห้อยนี่คืออะไร” คิรากรเย้า

“เรามีอยู่สามร้อยอะ” กะพริบตาปริบๆ ขอความเห็นใจเงินในกระเป๋าถ้าจะต้องหารค่าข้าว เมื่อกี้ที่จ่ายค่าฝากครรภ์กับค่าหนังสือให้คงเพราะเด็กในท้อง แต่เรื่องปากท้องเขาไม่น่าจะเกี่ยวกันใช่ไหม

“ก็พี่เลี้ยงไง” มือใหญ่ดึงแขนแมให้เดินตาม “กินชาบูแล้วกันเด็กรุ่นเธอน่าจะชอบ”

รีบก้าวตามเลยอย่างนี้ เลี้ยงชาบูหัวละหกร้อยอย่างนี้ใครจะไม่ชอบบ้าง

..อิ่มจัง ตังค์อยู่ครบ วู้! ..

 

 

 

“จะถามตั้งนานแล้ว..” คิรากรวางตะเกียบในมือเท้าคางมองแมที่เพลิดเพลินกับการคีบเนื้อขึ้นจากหม้ออยู่อีกฝั่งของโต๊ะอาหาร

สูดเส้นอุด้งยาวในชามเข้าปากรวดเดียวแล้วซดน้ำซุปร้อนๆ ตบท้ายก่อนจะตอบคำถามของเจ้าภาพ “ว่า”

ตาคมมองกองจานพะเนินสูงเท่าหัวเด็กตรงหน้าพนักงานเสิร์ฟจะมาเก็บทีต้องแบ่งเดินสองรอบ “กินเป็นยัดนุ่น เอาไปเก็บไว้ตรงไหนตัวก็แค่เนี้ย”

“แหะ พี่ถามเหมือนครูเจษเลย ครูก็ชอบบอกว่า.. อะ! ” คนลืมตัวเผลอพาดพิงถึงบุคคลที่สามหยุดปากเมื่อนึกขึ้นได้ ตะเกียบในมือถูกยกขึ้นมากัดไม่รู้ว่าคิรากรจะรำคาญรึเปล่าถ้าพูดถึงครูเจษบ่อยๆ หรือจะว่ารึเปล่าว่าเขาเป็นเด็กไม่ดีตัดใจจากสามีชาวบ้านไม่ได้สักที “ขอโทษ เราเผลออะ”

“เล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังหน่อยสิ” กลายเป็นว่าอีกคนเมินหน้าตาสำนึกผิดของเขาซะงั้นแถมยังคีบเนื้อมาใส่ในถ้วยเพิ่มให้อีก

“ที่บ้านเราเหรอ” เกริ่นก่อนจะส่งชิ้นเบคอนเข้าปากเคี้ยวหยับๆ จนหมดแล้วค่อยตอบคำถาม “ก็...เราอยู่กับป้าแล้วก็ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่ง แต่ตอนนี้อยู่คนเดียวแล้วเพราะป้าย้ายไปอยู่ชลบุรี บ้านก็กำลังประกาศขายอยู่”

“แล้วถ้าป้าขายบ้านแล้วจะไปอยู่ไหน”

“ก็ไปอยู่หอ” แมคีบลูกชิ้นในหม้อต้มใส่ชามของคริษฐ์บ้าง “อันนี้อร่อย พี่ลองๆ ”

“อืม อร่อย ไม่กลับไปอยู่กับพ่อแม่เหรอ” เขาเข้าใจว่ามะแมคงมาอาศัยกับป้าชั่วคราวเพื่อเรียนในตัวเมือง

“ไม่มีให้กลับอะ แม่เราเสียแล้ว ส่วนพ่อเราไม่มี” เด็กตัวผอมตอบหน้าตาเฉยแต่คนฟังสะอึก

“ขอโทษ ไม่รู้ว่า..”

“ไม่เป็นไร แม่เราเสียไปสามสี่ปีแล้ว เขาก็มีเราตอนยังเรียนไม่จบเหมือนกันประมาณสิบเก้ายี่สิบมั้งแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อจนจบอะ แม่ทำงานหาเงินมาเลี้ยงเราหนักมากแต่ก็ได้เงินนิดเดียวเองมันลำบากอะเราไม่อยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นก็เลยมีความคิดอยากจะเอาออก” รามิลเหลือบมองสีหน้าคนตรงหน้าแล้วก็รีบปฏิเสธพัลวัน “แต่ตอนนี้ไม่คิดแล้วนะดีลแล้วค่าเทอมสี่ปี แฮ่”

“อือฮึ ดีมาก แล้วทำไมอยากเป็นปาตีซิเย่ล่ะ”

“ทำงานที่คาเฟ่แล้วพี่แจนชอบแบ่งขนมให้กิน พี่แจนเวลาทำขนมแล้วดูโคตรมีความสุขเลยพอพี่เขาสอนทำเมนูง่ายๆ ก็ชอบอยากทำได้อีกเยอะๆ แล้วทำไมเราโดนถามอยู่คนเดียวล่ะ”

“ให้พี่เล่าบ้างเหรอ” คิรากรยิ้มขำคนที่พยักหน้าจนหัวโยก “ก็ที่บ้านมีแม่กับป้าแม่บ้านแล้วก็แมวสามตัว”

“มีแมวด้วยเหรอ เราโคตรชอบแมว พี่มีรูปให้ดูป้ะ ชื่อไรมั่งอะ” พอพูดถึงแมวคนเป็นทาสแมวก็ตื่นเต้นใหญ่

รูปแมวสองตัวนอนกอดกันส่วนอีกตัวหนึ่งนั่งอยู่ไกลๆ ถูกส่งมาให้ดู แมซูมรูปดูหน้าแมวทีละตัวตาเป็นประกาย "เป็นแมวของแม่น่ะ ตัวสีดำขาวอ้วนๆ ชื่อโอริโอ้ ตัวขนยาวเป็นเมนคูนชื่อบิสกิต แล้วก็วิเชียรมาศชื่อคุณนาย”

“น่ารัก! เราอยากเลี้ยงแมวแต่ว่าป้าแพ้ขนแมวอะก็เลยอดแล้วก็ไม่มีตังค์จะเลี้ยงด้วย”

สมาร์ตโฟนของคิรากรโดนยึดไปให้เด็กทาสแมวเลื่อนดูรูปแมวของคุณเคทไปมาไม่มีท่าว่าจะเบื่อ มืออีกข้างหนึ่งถือโทรศัพท์มืออีกข้างก็ยังคีบอาหารเข้าปากรัวๆ โชคดีสำหรับเขาที่ร้านนี้เป็นบุฟเฟ่ต์แต่คงเป็นโชคร้ายของร้านที่เขาพาเด็กนี้มากิน

"เล่าเรื่องที่บ้านพี่ต่อสิ"

"อืม.. ก็พ่อพี่เสียแล้วตั้งแต่พี่เด็กๆ เหมือนกัน แม่พี่เป็นซิงเกิ้ลมัมเลี้ยงลูกไปด้วยเปิดร้านขนมไปด้วย เป็นผู้หญิงเก่งแหละแล้วก็ดุมากด้วย" เขาเว้นจังหวะมองหน้าเด็กที่ยังจ้องจอโทรศัพท์ในมือแต่ดูก็รู้ว่าตั้งใจฟัง "แต่พี่ว่าเขาจะชอบเรานะ แต่คงไม่ใช่ตอนแรกเพราะเขาชอบคนเรียบร้อย แต่เราน่ะดูเกเรมาก"

มะแมเบะปากใส่คิรากรที่หัวเราะขำ

“ลูกคลอดออกมาต้องอ้วนแน่ๆ " ร่างสูงว่า

“หื้อ ก็คนมันหิวเมื่อเช้ากินไปนิดเดียวเอง” คนโดนแซวอ้อมๆ ว่ากินเป็นยัดนุ่นหูแดง “แล้ว.. พี่ชอบเด็กผู้หญิงหรือเด็กผู้ชายมากกว่า”

“อืม ยังไงก็ได้” เลือกไปทำไม แค่มีผู้หญิงคนผู้ชายอีกสักคนซะก็สิ้นเรื่อง

มะแมมองคนที่แสยะยิ้มเหมือนคิดอะไรแปลกๆ กับตัวเองงงๆ “อ้อ..แต่ถ้าเป็นอัลฟ่าหรือเบต้าก็คงจะดี”

“เป็นโอเมก้าก็ได้ เพราะถ้าเป็นโอเมก้าก็คงน่ารักเหมือนเรา”

โทรศัพท์มือถือของคิรากรโดนปากลับมาตกลงบนตักพอดี คนเขวี้ยงหน้าแดงถึงใบหูจนเห็นได้ชัดทั้งๆ ที่ผิวสีคาราเมล “บ.. บ้า! ”

 

 

******************************

 

 

ตอนนี้เบาๆ ให้คุณคิเขาได้หยอดเล็กหยอดน้อย

ส่วนตอนหน้าครูเจษคัมแบ็ค นางกลัวโดนลืมว่าเป็นตัวหลักเหมือนกัน อยากให้ทุกคนเตรียมหินมาเขวี้ยงหัวครูกันนะคะ



#คุณคิหลงน้อง

หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 8: อัลตร้าซาวน์ ไข่ดาว บุฟเฟ่ต์ l 27/1/2020
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 27-01-2020 22:33:10
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 9: การกลับมาของเจษฎา l 5/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 05-02-2020 12:11:59
9: การกลับมาของเจษฎา
[/b]


วันจันทร์มาถึง รามิลตื่นนอนเวลาปกติ แพ้ท้องจนอ้วกในห้องน้ำเป็นปกติ มาโรงเรียนเหมือนกับปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือไอ้เพียวที่ปกติแล้วไม่เคยจะโผล่หัวมาทันเข้าแถวเคารพธงชาติวันนี้กลับมาถึงโรงเรียนเช้ากว่าเขาเสียอีก ผิดปกติสุดๆ

เด็กตาตี่หรี่ตามองหน้าเพื่อนที่ทำตัวแปลกประหลาดตั้งแต่เช้า

..มองจากดวงจันทร์ยังดูออกเลยว่าอยากเสือก..

“เพื่อนแม เราซื้อน้ำเต้าหู้มาฝาก ร้านนี้อร่อยม๊ากมาก เจ้มจ้นสุดๆ ” เพียวยื่นน้ำเต้าหู้ใส่แก้วพลาสติกจากโรงอาหารให้กับเขา ที่หายหัวไปทันทีหลังเข้าแถวเสร็จก็คือวิ่งไปเอาแก้วมานี่เอง

เพียวเขยิบเข้ามากระซิบประโยคต่อไปเบาๆ กลัวว่าเพื่อนคนอื่นจะได้ยิน “เขาว่าดีกับคุณแม่ด้วย นี่คือเพื่อนใส่ใจ”

แมดันหน้าน่ารักของเพื่อนออกไปไกลๆ คว้าแก้วน้ำเต้าหู้มาดูดรวดเดียวจนน้ำแห้ง เทเครื่องเข้าปากเคี้ยวจนแก้มป่อง “ดูไม่ออกเลยว่าอยากรู้เรื่องวันเสาร์”

“อุ๊ย! เพื่อนแมเก่งจัง” เพียวยกมือขึ้นปิดปากท่าทางสะดีดสะดิ้ง “รู้แล้วก็รีบๆ บอกมาสิ อย่ามาเล่นตัว คิดว่าง้อเหรอ”

“แล้วไม่ง้อเหรอ”

“ง้อจ้า แฮ่” ยกมือขึ้นบีบนวดไหล่เอาใจเพื่อนไปอีก

เรื่องของคุณคริษฐ์ถูกแมเล่าให้เพื่อนสนิทฟังตั้งแต่สามวันแรกหลังจากที่ได้เจอกันโดยบังเอิญ ตอนแรกก็กะเอาไว้ว่าจะเก็บไว้เป็นความลับวักพักหนึ่งนั่นแหละ แต่เพียวดันมาเห็นแจ้งเตือนข้อความไลน์บนหน้าจอที่คิรากรส่งเข้ามาพอดี ชื่อคนส่งที่ไม่คุ้นหูแถมยังเป็นบทสนทนานุ่มๆ แบบที่คุณเขาชอบพูดชอบพิมพ์ มะแมเลยโดนเพื่อนซักเสียจนขาวสะอาด

หลังจากนั้นเพียวก็ถามเขาเรื่องของคิรากรบ่อยๆ แถมยังดูชอบอีกฝ่ายเสียจนออกนอกหน้า

“ไหนอ่ะรูปหลานกู ไหนบอกว่าทำอัลตร้าซาวน์ด้วย” เพียวกวักมือขอดูรูปยิกๆ

“มีแต่รูปที่ถ่ายมาอะกูให้พี่เขาเก็บรูปไป ตอนนี้ยังเป็นก้อนเหมือนไข่ดาวอยู่เลย” แมว่าพลางหยิบมือถือขึ้นมาเปิดรูปที่แอบถ่ายเอาไว้ให้เพื่อนสนิทดู แอบทำน้ำเสียงอวดหน่อยๆ โดยไม่รู้ตัว

“งุ้ย เหมือนไข่ดาวจริงด้วยว่ะ” เพียวขำกับคำอธิบายของเพื่อนก่อนจะกระแซะตัวเข้าไปใกล้กว่าเดิม ชนไหล่กับไหล่ของอีกฝ่าย “แล้ว… คุณพ่อของหลานล่ะเป็นยังไงบ้าง”

..แหนะ..

แต่มะแมไม่ใช่คนชอบมีลับลมคมในกับเพื่อนถ้าไม่ใช่เรื่องที่บอกไม่ได้จริงๆ มีแค่เรื่องของครูเรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ปิดไม่ให้เพียวรู้มาได้ตั้งนาน “เขาก็ดูดีใจอะดีใจแบบเพี้ยนๆ ยังไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองจริงเปล่า แล้วก็ใจดีด้วยเลี้ยงบุฟเฟ่ต์กูตั้งหัวละหกร้อย แถมยังซื้อหนังสือคู่มือคนท้องมาให้อ่านด้วย”

“บุฟฟเฟ่ต์หกร้อยลาภปากจังวะมึง เขาน่าจะอยากมีลูกป้ะ”

“ก็ดูรักเด็กนะตอนอยู่ในร้านมีเด็กอยู่โต๊ะข้างๆ ก็ชอบหันไปยิ้มให้”

“คนนี้กูเชียร์! เป็นหุ้นส่วนคาเฟ่กูขอโมเมว่ารวย รักเด็ก อยากมีครอบครัว สายเปย์อีก ดีกว่านี้ไม่มีแล้วไหมวะ”

“ติดตรงเขาไม่ได้จะเอากูไง” แมขำแห้งกับคำเชียร์สุดตัวของเพื่อน

“เอ๊ะ ยังไง กูงง”

มะแมยักไหล่

“เอ่อ… แม เพียว ช่วยกรอกแบบสอบถามให้หน่อยสิ” ถือว่าจบศึกเมื่อหัวหน้าห้องเดินเข้ามา เพียวไม่มีโอกาสได้ไล่บี้ถามเขาต่อ

รามิลละสายตาจากหน้าเพื่อนไปมองหน้าพลอย หัวหน้าห้องเบต้าหญิงที่ยืนยิ้มอยู่ข้างโต๊ะ เธอสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่สบตากับเขาแต่ยังฝืนให้ยิ้มประดับบนหน้า

พลอยเป็นคนที่แมคิดว่าประหลาด เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กเหมือนเด็กชั้นมัธยมตอนต้นสวมแว่นกลมอันใหญ่บังหน้าไปครึ่งหนึ่ง แล้วยังชอบมาชวนเขากับเพียวคุยด้วยทั้งๆ ที่ก็ดูออกว่ากลัวอยู่ชัดๆ

“เอามาสิ” หยิบกระดาษมาจากมือพลอยมา ส่งต่อให้เพียวหนึ่งแผ่นส่วนของตัวเองก็ยกขึ้นอ่าน “อะไรอะ แบบสอบถามเส้นทางอนาคต..”

“แมอยากเรียนต่อเชฟใช่ไหมเราจำได้” เขาคงเคยเล่าไปสักวันที่เธอมานั่งคุยด้วยล่ะมั้งเธอถึงรู้

เด็กผิวเข้มจ้องกระดาษตรงหน้าหน้าเครียด ก็จริงอยู่ที่เขาสัญญาปากเปล่ากับคิรากรไปแล้วว่าค่าเทอมสี่ปีแลกกับเอาเด็กในท้องไว้ ตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรหรอกที่จะต้องยกลูกตัวเองให้คนอื่นไปดูแล แต่พอเห็นภาพหัวใจเล็กๆ ที่เต้นตอนอัลตร้าซาวน์แล้วมันก็รู้สึกโหวงๆ อย่างไรไม่รู้

“อื้อ” ฉีกยิ้มแข็งๆ ให้ไปเธอก็ยิ้มตอบกลับแล้วเดินไปแจกนักเรียนโต๊ะอื่นต่อ

เพียวมองดูเพื่อนที่ทำเครื่องหมายกากบาทในช่องต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาแล้วอดถามไม่ได้ “คลอดแล้วจะเรียนต่อเลยเหรอ แล้วลูกอ่ะ”

แมเมินคำถามเพื่อนสนิททำเป็นเหมือนว่าใจจดจ่อกับเอกสารในมือจนไม่ได้ยิน

ถึงจะบอกว่าไม่ชอบมีลับลมคมในกับเพียว แต่เขายังไม่พร้อมจะบอกเพื่อนเรื่องนี้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็วๆ นี้

 

 

 

“มึง กูไปฉี่แป๊บ” มะแมใช้ศอกสะกิดเพื่อนข้างตัวก่อนจะลุกขึ้นยกมือขออนุญาตครูที่กำลังสอนอยู่ออกไปเข้าห้องน้ำ

ตอนที่เดินมาจนถึงห้องน้ำชายชั้นสองก็ต้องร้องอ้าวเพราะป้ายที่แขวนว่าห้องน้ำเสีย

แมเกาหัวแกรกๆ ตอนนี้เขาเรียนอยู่ชั้นบนสุดของตึกที่มีสามชั้น ถัดลงไปหนึ่งชั้นเป็นห้องน้ำครู นั่นหมายความว่าตัวเลือกสุดท้ายก็คือห้องน้ำชั้นหนึ่งที่อยู่หลังโรงยิมอาคารสาม สถานที่ในความทรงจำ

ถึงจะไม่ค่อยอยากผ่านแถวนั้นคนเดียวแล้ว แต่ว่าคิดอีกทีคงไม่บังเอิญเจอครูเจษหรอก ในเมื่อที่ตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนอีกฝ่ายยังหลบหน้าหลบตาเขาจะเป็นจะตาย คาบพละของอาทิตย์ก่อนก็ยังไม่เข้าสอนปล่อยเป็นคาบว่างด้วยซ้ำไป

น่าตลกดีที่ครูเจษทำเหมือนกับว่ากลัวเด็กอายุสิบเจ็ดคนหนึ่งอย่างเขาขนาดนี้

ทำธุระส่วนตัวเสร็จร่างโปร่งก็รีบล้างมือ ไม่ใช่เพราะว่าต้องการรีบกลับขึ้นไปเรียนต่อแต่เป็นเพราะกลิ่นไม่พึงประสงค์ของห้องน้ำหลังตึกนี้มันเกินจะเยียวยาต่างหาก

“แม”

เสียงทุ้มเรียกให้ได้ยินเบาๆ จากทางด้านหลังมองผ่านกระจกเงาตรงหน้าเขาเห็นครูเจษกำลังยืนอยู่นอกห้องน้ำห่างไปไม่มาก

ตอนมาไม่เจอเป็นต้องเจอตอนกลับทุกทีสิน่า พอตอนอยากเจอกลับไม่เคยได้เจอ แต่ตอนไม่อยากเห็นหน้าอย่างนี้จะโผล่มาทำไมกัน

แมไม่อยากยอมรับ แต่ว่าความจริงแล้วเขายังรู้สึกกับครูอยู่ ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะน้อยลงจนเหมือนน้ำในทะเลที่คลื่นลมสงบเพราะมีเรื่องอื่นมารบกวนความสนใจ แต่การได้เจอหน้ากันตอนนี้มันก็เหมือนกับมีคลื่นยักษ์เข้าซัดยิ่งทำให้ตัดใจได้ลำบาก

“...” มะแมไม่ตอบกลับเสียงเรียกชื่อตัวเอง เขาปิดก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือหันหน้าไปเผชิญกับเจษฎา

“เมื่อกี้ครูเห็นหลังไวๆ จากในห้องพักครูเลยเดินตามมา” ครูหนุ่มใหญ่พูดเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น

รามิลนิ่วหน้า “ตอนนี้อยากคุยกับแมแล้วเหรอ”

“โถ่.. แม” เจษฎาครางเสียงอ่อน “แล้วเป็นยังไงบ้าง”

ถึงครูเจษจะไม่ได้ระบุชัดเจนว่าหมายถึงอะไรที่เป็นอย่างไรบ้าง แต่สายตาที่จับจ้องมาที่หน้าท้องทำให้มะแมยกมือขึ้นกุมท้องในทันทีเหมือนกับเป็นสัญชาตญาณปกป้องลูกของโอเมก้า

"ครูคิดถึงแมจัง ไม่เจอกันตั้งสองอาทิตย์ได้ไหม"

"...." คำว่าคิดถึงจากครูทำเอาคนฟังต้องตาร้อนผ่าว

“ครูมาคิดๆ ดูแล้วครูก็ทำไม่ถูกเองแหละ” เจษฎาก้าวเข้ามาจับต้นแขนเรียวเอาไว้ แต่เด็กหนุ่มสะบัดไหล่ออกจากการเกาะกุม “ครูขอโทษนะ เรามาช่วยกันหาทางออกดีไหม”

ร่างบางทำเสียงขึ้นจมูก คำพูดของครูน่าตลก “ยังไง”

“ครูหาคลินิกที่หนึ่งไว้ แล้วเดี๋ยวครูให้เงินแมไปเอาออกไง” ครูพละยิ้ม พยายามโน้มน้าวเด็กตรงหน้าให้คล้อยตามความคิดของตัวเอง “มันไม่น่ากลัวหรอก แมจะได้ไม่ต้องลำบากแล้วเราก็มาเริ่มต้นกันใหม่”

ขาเรียวก้าวถอยออกห่างจากร่างหนาเมื่อได้ยินคำพูดที่หลุดจากปากอีกฝ่าย

เขาไม่คิดมาก่อนว่าครูจะพูดแบบนี้ ถึงเมื่ออาทิตย์ก่อนเขายังมีความคิดแบบเดียวกันนี้ถึงขนาดเสิร์ชหาซื้อยาจากในอินเทอร์เน็ต แต่ว่ากับครูเจษที่มีลูกสาวฝาแฝดสองคนกับภรรยา คนที่เขาคิดว่ารักครอบครัวมากๆ แบบนั้นกลับบอกให้เขาเอาเด็กในท้องที่อาจจะเป็นลูกของตัวเองก็ได้ออกได้หน้าตาเฉยอย่างนี้

ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเลย

ถ้าไม่อยากรับผิดชอบแล้วก็ปล่อยเขาไปสิ ไม่มายุ่งเกี่ยวกันอีกยังจะดูดีซะกว่า

“ไม่!”

“แมคิดดูดีๆ ก่อนได้ไหม”

“คิดแล้ว!” ขึ้นเสียงใส่ทั้งๆ ที่เสียงสั่น ร่างโปร่งสูดจมูกก่อนจะพูดต่อไป “ครูจำอัลฟ่าคนที่ครูกล่าวหาได้ไหม แมเพิ่งเจอเขาแล้วเขาบอกว่าจะรับผิดชอบเอง ทีนี้ครูก็ไม่ต้องห่วงแล้วแค่ไม่ต้องมายุ่งกันอีกก็พอ”

เหมือนจะเป็นทางออกที่ดี แต่ไม่ดีพอสำหรับเจษฎา จริงอย่างที่มะแมเคยว่าถึงเบต้าจะมีโอกาสน้อยมากแต่มันก็ยังมี บางครั้งเขาเองก็ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยกับเด็กตรงหน้า ถ้าหากเด็กเกิดออกมาแล้วกลายเป็นลูกเขาเองล่ะก็มันอาจกลายเป็นงูที่ขว้างไม่พ้นคอกลับมาฉกเขาอีกได้

เรื่องของเขากับมะแมจะให้ภรรยารู้ไม่ได้เด็ดขาด

เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นแน่ในอนาคต เจษฎาต้องการให้แมทำแท้งเท่านั้น

“แมแน่ใจได้ยังไงว่าไอ้นั่นจะไม่หลอกแม” เจษฎาเกลี้ยกล่อมร่างบาง “ถ้ามันเกิดเปลี่ยนใจไม่รับผิดชอบขึ้นมาแล้วแมจะทำยังไงต่อ ตอนนั้นแมก็จะเป็นเหมือนแม่แมที่เคยเล่าให้ครูฟังนะ”

"..."

"ถ้ามันทิ้งแมแล้วใครจะดูแลแมกับลูกล่ะ ถ้าแมต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานหาเงินแล้วใครจะดูแลลูกให้แมล่ะ แมคิดให้ดีนะ" เจษฎาย้ำความกลัวของเด็กหนุ่มได้ตรงจุด ขยี้ซ้ำๆ ที่ตรงนั้นจนน้ำตาคนฟังร่วงเผาะ

“...”

“เชื่อครูนะทำแท้งแล้วทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม"

มะแมยืนฟังเจษฎาทั้งสะอื้น

"แล้วเราสองคนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไง ครูรักแมน….”

ไม่รอให้ครูเจษได้พูดคำว่ารักปลอมๆ นั่นจนจบประโยค ร่างบางโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขาไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเคยหลงรักคนแบบนี้จนหัวปักหัวปำขนาดนั้นไปได้อย่างไร

มือเรียวคว้าเอาขวดพลาสติกใส่สบู่เหลวที่วางอยู่ข้างอ่างล้างหน้าขว้างใส่หน้าคุณครูหนุ่มใหญ่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

"โอ๊ย! แม ครูเจ็บนะ! " ร่างบางอาศัยจังหวะที่ครูร้องโอดโอยว่าทำอะไรน่ะวิ่งหนีออกจากห้องน้าหลังอาคารสาม

ห้องเรียนไม่ใช่ที่ที่เขาอยากไปในตอนนี้ มะแมทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ริมสนามที่ปลอดคนและไกลจากอาคารสามพอสมควร นั่งปาดน้ำตาที่หยดแหมะๆ เพราะความโกรธสุดขีด ไม่สนใจด้วยว่าเด็กนักเรียนที่เดินผ่านไปผ่านมาตรงนี้จะสงสัยหรือเปล่าว่าเขาเป็นบ้าอะไรถึงมานั่งร้องไห้คนเดียวตรงนี้

คำพูดที่ครูบอกทำให้แมคิดมาก มันก็จริงอย่างที่ครูว่าเขาจะเชื่อใจคิรากรได้อย่างไรในเมื่อที่เราเพิ่งรู้จักกันได้แค่สองอาทิตย์เท่านั้นเอง

โทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบขึ้นมาเพื่อเข้าแอปพลิเคชันสีเขียว ช่องแชทของเขากับคิรากรยังอยู่ที่ตำแหน่งบนสุดเพราะอีกฝ่ายเพิ่งทักมาเมื่อเช้านี้เพื่อถามไถ่อาการในวันนี้

 

Maemaemae: พี่

Maemaemae: พี่จะไม่ผิดสัญญาแน่ๆ นะ

 

รอไม่ถึงห้านาทีข้อความที่เขาส่งไปก็ขึ้นว่าอ่านแล้ว คิรากรพิมพ์ตอบกลับมาในทันที

 

Krist: หือ?

Krist: ไม่ผิดครับ

Krist: เป็นอะไร มีใครพูดอะไรมารึเปล่า

 

เหมือนโดนน้ำเย็นๆ มาสาดดับไฟที่ลุกบนหัวรามิล คนอ่านข้อความอารมณ์เย็นลงไปนิดหน่อยแต่ก็ยังโมโหอยู่ดี

 

Maemaemae: พี่ห้ามโกหกเรานะ ไม่งั้นเราจะแช่งพี่เช้าเย็นทุกวัน

Maemaemae: แช่งพร้อมกับที่แช่งครูแม่ง พูดจริงๆ นะ

Maemaemae: ก็เมื่อกี้เราเจอครูเจษอะ

Krist: แล้วเขาว่าอะไรเราครับ

 

นิ้วเรียวจิ้มหน้าจอพิมพ์เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้อีกฝ่ายฟัง แมเป็นคนที่ยิ่งโกรธยิ่งพิมพ์ไว ไวเสียจนคิรากรตอบกลับไม่ทันได้แต่อ่านเงียบๆ เท่านั้น

 

Krist: อย่าไปฟังเขา

Krist: โอริโอ้บอกว่าอย่าโมโห



 

รูปแมวขาวดำตัวอ้วนกลมที่คิรากรส่งมา ทำเอาคนที่กำลังเดือดใจอ่อนยวบแต่ปากยังแข็ง

 

Maemaemae: เราเปล่าโมโห เราแค่เล่าให้ฟังเฉยๆ เหอะ

 

เด็กทาสแมวแอบกดเซฟรูปภาพที่ร่างสูงส่งมาให้เงียบๆ ได้ระบายจนสบายใจแล้วก็กลับไปเข้าห้องเรียนต่อได้แล้ว

"ไปฉี่หรือไปแบกหินแบกปูนสร้างห้องน้ำวะมึง สภาพดูไม่ได้" พอโผล่หน้าเข้าห้องมาเพียวก็ทักเขาที่หนีหายไปจนหมดคาบเรียน แถมกลับมายังตาแดงอีกต่างหาก

วิชาต่อไปถูกปล่อยเป็นคาบว่าง เป็นเรื่องธรรมดาของเด็กนักเรียนชั้นปีสามเทอมสองที่ใกล้ถึงเวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฝึกงานก็จบไปแล้วเมื่อเทอมก่อน ครูวิชาต่างๆ ก็แทบไม่เหลืออะไรจะสอนเด็กแล้วนอกจากปล่อยเป็นคาบว่างลูกศิษย์ได้มีเวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ากัน เพื่อนคนอื่นๆ พากันแยกย้ายไปตามสนามโรงเรียน โรงอาหาร หรือห้องสมุด เหลือก็แต่เพียวที่นั่งรอเขากลับมาเนี่ยแหละ

"ไปเจอครูเจษ" คำตอบของแมทำเอาเพื่อนตาเหลือกเมื่อได้ฟัง

"ฮะ! ได้ไง แล้วเขาทำอะไรมึงรึเปล่า" เพียวจับตัวเพื่อนหมุนๆ ดูสภาพว่าครบสามสิบสองหรือเปล่า

"เปล่ามึง แต่เขาปากหมาแล้วก็เหี้ยมากจนกูตัดใจได้แล้วตั้งแต่วันนี้เลย" มะแมเล่าเรื่องที่เพิ่งเจอมาในห้องน้ำให้เพียวฟัง

"โห เหี้ยจริงจัง ไม่น่าเชื่อเลยว่ะ เมื่อก่อนกูอุตส่าห์คิดว่าเขาเป็นครูที่โคตรดี" เพียวเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเพื่อนสนิทคนเดียว ทำท่าเหมือนว่าอยากจะซัดหน้าครูซักตั้งทั้งๆ ที่ดูจากขนาดตัวแล้วครูคงรู้สึกเหมือนโดนลูกหมาชิวาว่าวิ่งชนเท่านั้น

กลายเป็นแมต้องมาปลอบให้เพื่อนสนิทใจเย็นลงแทนได้ยังไงเนี่ย

โทรศัพท์ที่วางลงบนโต๊ะนักเรียนไม้สั่นหนึ่งครั้งเป็นสัญญาณเตือนว่ามีข้อความเข้า มะแมมือไวไม่ทันเพื่อนที่นั่งหันหน้าเข้าหามือถือเครื่องนั้นพอดี เพียวชิงหยิบโทรศัพท์ตรงหน้าขึ้นอ่านแจ้งเตือนข้อความไลน์ที่ขึ้นมาบนหน้าจอ

"ไลน์จากคุณพี่คริษฐ์ว่ะเขาบอกว่า ถ้ายังไม่หายโมโหคืนนี้มาเล่นกับโอริโอ้ที่ห้องพี่ไหม" เพียวอ่านออกเสียง ไม่วายจะหันหน้ามาถามมะแมที่ฟังแล้วยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตาหลบหน้าเพื่อนใหญ่

"กูไม่เก็ทอะ โอริโอ้นี่อะไรวะมึง"

"ไม่บอกว้อย! "

 

 

****************************

น้องแมขี้ฟ้องมากๆ เอ็นดูววว แล้วคุณคิก็คือหลอกเด็ก จะชวนน้องไปดูแมวอุ่นที่ห้องหรอ!
ส่วนครูเจษนั้น เชิญด่ากันให้เต็มที่เลยค่ะ 5555

หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 9: การกลับมาของเจษฎา l 5/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 05-02-2020 12:45:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 9: การกลับมาของเจษฎา l 5/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 05-02-2020 21:54:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 10: คริสต์มาสแรกของน้อง l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 19-02-2020 10:06:12
10: คริสต์มาสแรกของน้อง

Krist: พรุ่งนี้เก้าโมง เช้าไปไหมครับ

Maemaemae: เช้าไปปปป

Maemaemae: ขอเราตื่นสายหน่อย

Maemaemae: เที่ยงได้ไหมๆ

Krist: โอเคครับ เจอกัน

Maemaemae: เค

…..

…..

…..

มะแมขบริมฝีปากอิ่มมองบทสนทนาหน้าจอ ลังเลใจอยู่นานว่าจะกดส่งดีหรือไม่ส่งดีกับข้อความที่พิมพ์ๆ ลบๆ อยู่นานสองนาน

สุดท้ายก็กลั้นใจกดส่งไปแล้วรีบออกจากช่องแชท มือเรียวโยนโทรศัพท์ออกห่างจากตัวเหมือนของร้อน ยกหมอนขึ้นปิดหน้าปิดตาไม่กล้าจะหยิบของที่เพิ่งทิ้งไปกลับมาดูจนหลับไปทั้งอย่างนั้น



Maemaemae: ฝันดี







เมื่อเช้าเขาเกือบลืมไปแล้วว่าก่อนนอนส่งข้อความอะไรไป จนกระทั่งเห็นแจ้งเตือนข้อความจากคิรากรบนจอโทรศัพท์ตอนที่หยิบมือถือมาเล่นระหว่างกินข้าวเช้านั่นแหละ

อีกฝ่ายส่งมาว่า ‘ฝันดีเหมือนกันครับ’

เมื่อคืนจำไม่เห็นได้เลยว่าฝันอะไรรึเปล่า เสียดายที่มาเห็นข้อความเอาตอนเช้า ไม่งั้นอาจจะได้ฝันดีตามที่อีกฝ่ายบอกจริงๆ ก็ได้

จริงๆ แล้ววันนี้เขาควรจะต้องไปช่วยงานพี่แจนที่ร้าน เพราะช่วงวันคริสต์มาสอย่างนี้ที่คาเฟ่มีเมนูพิเศษสำหรับเทศกาล ลูกค้าก็เลยคึกคักแวะเวียนมาที่ร้านกันมากกว่าปกติ แต่เมื่อวานคุณคิรากรกลับส่งข้อความมาขอให้ไปช่วยงานที่ห้องแทนแถมยังบอกอีกว่าขอลางานให้เรียบร้อยแล้ว

ตั้งแต่ที่รู้จักกันก็เหมือนกับเขาจะได้สิทธิพิเศษในที่ทำงานอย่างไรอย่างนั้น เพราะคุณหุ้นส่วนเล่นอนุมัติให้ลาหยุดบ่อยเหลือเกิน โชคดีที่พี่แจนใจดีจึงไม่ได้ว่าอะไร แต่เขาคิดว่าบางทีพี่แจนอาจจะต้องหาพนักงานเพิ่มอีกสักคนถ้าคิรากรยังชอบชวนเขาโดดงานแบบนี้อยู่เรื่อยๆ

ไม่รู้ด้วยว่างานที่ให้ไปช่วยคืออะไร เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมบอกแค่บอกว่าไม่ยากเขาทำได้อยู่แล้วแค่นั้นเอง

“แล้วสรุปว่าตื่นกี่โมง” ร่างสูงถามตอนเขากำลังจะรัดเข็มขัดนิรภัยหลังจากขึ้นมานั่งบนรถอีกฝ่ายเรียบร้อยแล้ว คิรากรมาสายไปหน่อยวันนี้เพราะรถติดหนักแถวคอนโด ทำเอาเด็กที่นั่งรอชะเง้อคอยจากในบ้านจนคอแทบยืด

“สิบ” มะแมชูนิ้วมือครบทั้งสองข้างประกอบคำตอบ หน้าตาสดใสเพราะได้นอนตื่นสายตามที่หวังไว้

“แสดงว่าเมื่อเช้าไม่ตื่นมาอ้วก ดีขึ้นแล้วเหรอ” คิรากรส่งแก้วกาแฟแบรนด์ดังที่แวะซื้อระหว่างทางไปให้น้ำด้านในเป็นช็อกโกเลตแฟรบปูชิโน่ที่เขาสั่งแบบสุ่มๆ มาคิดว่าเด็กนี่น่าจะชอบ และก็คงชอบจริงเมื่อคนยื่นมือมารับทำตาโตกับลาภปากแต่เช้า แต่มือใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยแก้วให้อีกฝ่ายเอาไปดูดดีๆ “ขอบคุณด้วย”

“ง่า ขอบคุณ” ร่างบางเกาแก้มแก้เก้อ ปกติแล้วไม่ค่อยได้พูดอะไรดีๆ มีมารยาทกับเขาสักเท่าไหร่ ยิ่งเวลาต้องพูดเพราะๆ ก็ยิ่งเขินเพราะคนแถวบ้านเขาโดยเฉพาะพวกเด็กๆ ไม่มีใครพูดกัน เลยกลายเป็นว่าติดการพูดจาไม่มีหางเสียงจนเป็นนิสัยไปแล้ว “สรุปว่าวันนี้พี่จะใช้งานอะไรเรา”

“ไปช่วยแต่งต้นคริสต์มาสที่ห้อง” คำตอบของคนที่กำลังหมุนพวงมาลัยออกตัวรถทำเอาแมร้อง

“ฮะ ปกติเขาแต่งกันตั้งแต่ก่อนวันคริสต์มาสไม่ใช่เหรอ”

“ก็พอใจจะแต่งวันนี้” คิรากรยักไหล่ ก็เขาพอใจอย่างนี้ ใครจะว่าอะไรได้

ไม่เห็นจะเคยรู้เลยว่าคิรากรเป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง

ตอนเปิดประตูห้องคอนโดมิเนียมของคริษฐ์เข้าไป ร่างโปร่งถึงกับต้องอ้าปากหวอด้วยความตกใจกับต้นคริสต์มาสสูงสองเมตรครึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องนั่งเล่นเห็นได้ชัดเจนจากประตู

ห้องที่เคยมาเยือนครั้งหนึ่งเมื่อเกือบสี่เดือนก่อนเต็มไปด้วยของตกแต่งเข้ากับเทศกาล มะแมคิดว่าดูๆ ไปแล้วจะเล่นใหญ่กว่าที่คาเฟ่ด้วยซ้ำไป ตามผนังห้องมีประดับไฟกะพริบสีวอร์มเต็มไปหมด ถ้าให้พูดจริงๆ ก็คือมะแมคิดว่าทั้งห้องนี้ตกแต่งเสร็จหมดแล้วเหลือก็แต่ต้นไม้สีเขียวกลางห้องนั่นแหละที่ยังไม่มีของประดับแขวน ไหนจะเสียงเพลงคริสต์มาสเปิดคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศนี่อีกล่ะ

..มันจะไม่ดูแปลกๆ ไปหน่อยเหรอ..

แมหันไปมองหน้าคิรากร เลิกคิ้วหรี่ตาเรียวมองเจ้าของห้องอย่างสงสัย

คนถูกสายตาคาดคั้นรีบคายความจริง “ก็เราเคยเล่าให้พี่ฟังว่ายังไม่เคยฉลองคริสต์มาสกับที่บ้านเลยสักครั้ง” ร่างสูงหมายถึงวันนั้นที่พวกเขานั่งดูหนังเรื่อง Home Alone ภาคแรกที่โทรทัศน์นำมาฉายย้อนหลังก่อนช่วงคริสต์มาสในบ้านป้าเกียงแล้วมะแมเล่าออกมาลอยๆ “พี่ก็ไม่ได้ตั้งต้นคริสต์มาสมานานแล้ว คิดว่าถ้าชวนเรามาช่วยน่าจะชอบ”

“ชอบ! ” รู้ได้ยังไง เก่งอะไรขนาดนี้

คนที่สาละวนตกแต่งห้องนั่งเล่นมาค่อนคืนกัดกรามกลั้นยิ้มพอเห็นเด็กตรงหน้ายิ้มหน้าบานตาหยีเป็นขีดจนมองไม่เห็นทั้งตาดำและตาขาว

“โอริโอ้ก็อยู่ด้วยนะ” เจ้าของห้องที่เดินหายเข้าไปในห้องนอนที่เปิดประตูอ้าไว้กว้างก้าวกลับออกมาพร้อมแมวตัวอ้วนลายสีขาวดำในอ้อมแขน มะแมรู้สึกว่าตัวเองจะเซอไพรส์ไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

มือเรียวรีบวางของประดับต้นคริสต์มาสในมือลงทันที ถลาเข้าไปจ้องเจ้าแมวอ้วนที่พอถูกปล่อยลงบนโซฟาผ้าก็แผ่ตัวลงนอนหงายท่าประจำทันที

ช่วงหลังมานี้ร่างสูงเหมือนจะรู้ว่าเขาชอบเลยขยันส่งรูปแมวของตัวเองมาให้บ่อยๆ เรียกได้ว่าแทบจะวันละรูป และเจ้าโอริโอ้ก็เป็นตัวโปรดของมะแม

พอได้มาเจอตัวจริงแล้วน่ารักกว่าในรูปมากๆ จนทาสแมวแทบจะละลาย

“เราจับได้ไหมๆ ” ปากขอไปอย่างนั้น แต่นิ้วแตะลงไปลูบหัวเจ้าเหมียวเรียบร้อยแล้ว

คิรากรส่งขนมแมวเลียให้เขาได้ผูกมิตรกับเจ้าแมวลายวัวตรงหน้าตามสบาย ส่วนตัวเองขอตัวเดินเข้าไปทำอะไรสักอย่างในพื้นที่ส่วนห้องครัวที่ถัดออกไป

สรุปได้ว่างานประดับต้นคริสต์มาสเป็นหมันไป เพราะคนที่โดนชวนมาช่วยเอาแต่สนใจเล่นกับแมวจนใกล้จะบ่ายแก่มะแมก็สนิทกับโอริโอ้จนอุ้มมานอนบนตักได้แล้ว

กลิ่นหอมๆ จากห้องครัวทำให้เด็กหนุ่มช้อนตัวแมวบนตักขึ้นมาอุ้มเหมือนอุ้มเด็กเดินเข้าไปดูใกล้ๆ กว่าคิรากรกำลังทำอะไรกันอยู่แน่

“ไหนบอกว่าอยากแต่งต้นคริสต์มาส” คริษฐ์ดึงถาดคุกกี้ออกจากเตาอบหันไปมองต้นคริสต์มาสกลางห้องที่ยังเขียวโพลนไร้ของประดับ “ต้นคริสต์มาสพี่เป็นหมันเหรอพอเจอแมว”

คนโดนแซวหัวเราะแหะแก้เขิน “ทำอะไรอะ”

“ของว่างครับ แต่ยังไม่ได้บีบครีมแต่งหน้าเลย อยากลองทำไหม” ร่างสูงหมายถึงคุกกี้ขนมปังขิงหน้าตาโล้นๆ ที่เพิ่งเอาออกมาร้อนๆ จากเตาอบ

“อยาก ทำไงอะ” แน่นอนอยู่แล้วว่าคำตอบของเด็กที่อยากเรียนต่อเชฟย่อมเป็นอยาก ตาเรียวไล่มองขนมหลายชนิดที่จัดไว้ในจานอยู่แล้ว “ไม่คิดว่าพี่จะทำขนมเองเป็นด้วย เข้าใจว่าแค่ลงเงินกับพี่แจนเฉยๆ พวกนี้พี่ก็ทำเองหมดเลยเหรอ”

คิรากรฟังแล้วก็หัวเราะ เคาะหัวเจ้าตัวดีที่บังอาจดูถูกเขาไปหนึ่งที “เป็นสิ แต่ในจานนั่นพี่ไม่ได้ทำเองหรอก ฝีมือแม่พี่น่ะ”

คนอายุมากกว่าหยิบถุงบีบครีมมาสาธิตให้รามิลดูวิธีการแต่งหน้าคุกกี้ปากก็เล่าเรื่องคุณเคทไปด้วย “แม่พี่ชอบทำขนม ร้านที่พี่ดูแลอยู่ส่วนหนึ่งก็เป็นร้านที่แม่เป็นเจ้าของมาก่อนสมัยสาวๆ เขาสอนพี่ทำขนมทำอาหารตั้งแต่เด็กๆ ยังไม่เข้าประถมเลยมั้ง ก็เลยทำเป็นน่ะ”

“แม่เราขายน้ำเต้าหู้เราไม่เห็นจะทำน้ำเต้าหู้เป็นเลย เคยแต่ไปช่วยมัดถุง” มะแมเล่าเรื่องของตัวเองบ้างแล้วหัวเราะ มือปล่อยโอริโอ้ที่นอนนิ่งให้เขาอุ้มได้ตั้งนานสองนานลงกับพื้นห้อง รับถุงบีบครีมมาลองทำบ้างได้ตุ๊กตาขนมปังขิงหน้าเปื้อนหน่อยๆ มาหนึ่งตัว

“ถ้างั้นพี่สอนเราทำขนมบ้างสิ อยากทำอะไรแอดว๊านซ์ๆ เป็นมั่งอะ ที่ร้านพี่แจนก็ยุ่งเราไม่ค่อยอยากกวน”

“แล้วตอนนี้ทำอะไรได้มั่งล่ะ”

“ส่วนมากเราเป็นลูกมือพี่แจนผสมแป้งนวดแป้งแล้วก็อบคุกกี้ง่ายๆ เองได้ แต่พวกเค้กยังไม่เคยลองทำเองเลย บ้านเราไม่มีเตาอบด้วยแหละ”

“วันนี้วัตถุดิบไม่พอแล้วล่ะพี่ไม่ได้ซื้อมาเผื่อ” ที่ไหนล่ะ อย่าให้เด็กนี่เปิดตู้วางของเหนือหัวเชียวจะได้เห็นว่ามีถุงแป้งอัดอยู่เป็นสิบ “วันหลังมาห้องพี่อีกสิ เดี๋ยวสอนให้”

..ถ้าสอนวันนี้เลย ก็ไม่มีข้ออ้างหลอกเด็กมาที่ห้องคราวหน้าอีกน่ะสิ..

เด็กไม่รู้ตัวว่าโดนหลอกมองคนพี่ตาเป็นประกาย “อาทิตย์หน้าเลยไหม”





กว่าต้นคริสต์มาสจะเสร็จก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม ที่ใช้เวลานานขนาดนี้ก็เป็นเพราะคิรากรขยันเอากิจกรรมนู่นนี่มาให้แขกได้ทำซะเหลือเกิน ตั้งแต่เล่นกับแมว ทำขนม ทำอาหารเย็น กว่าจะได้มาช่วยกันประดับประดาลูกบอลและลูกสนชุบสีทองก็ปาเข้าไปตอนเย็นนู่นแล้ว

สองคนช่วยกันพันไฟหิ่งห้อยรอบต้นสนปลอมเสร็จเป็นส่วนสุดท้าย พอปิดไฟในห้องนั่งเล่นแล้วเปิดไฟกะพริบวิบวับรอบๆ ห้องแล้วห้องพักคอนโดมิเนียมในกรุงเทพก็สวยซะจนดูเหมือนอยู่ต่างประเทศ เหมือนภาพงานคริสต์มาสในบ้านที่ดูในหนังเลย

ไหล่บางของคนที่กำลังยืนชื่นชมผลงานครึ่งหนึ่งของตัวเองถูกสะกิด มะแมหันหลังมาก็เห็นคิรากรถือกล่องของขวัญห่อกระดาษสีแดงผูกโบขาวในมือ

“อะไร ของเราเหรอ” เด็กหนุ่มทำหน้าเหลอหลาชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“อืม แกะเลยไหม”

คนรับกล่องไปทำอะไรไม่ถูก เขย่าของในมือเบาๆ ฟังเสียงของด้านในปากอิ่มเอาแต่บ่นกระปอดกระแปดแต่ก็หุบยิ้มไม่ได้เช่นกัน “ได้ไงอะ! ทำไมพี่ไม่บอกเราก่อน เราไม่ได้ซื้ออะไรมาให้พี่เลย แปะโป้งไว้ก่อนนะ เดี๋ยวเงินเดือนออกเราซื้อให้เป็นของขวัญปีใหม่แล้วกัน”

“จะรอนะครับ”

“เราจะถ่ายรูปกล่องไว้ก่อนอะ ของขวัญคริสต์มาสชิ้นแรกในชีวิตเราเลยนะเว้ย” ตื่นเต้นจนหลุดคำหยาบและโดนคริษฐ์ดีดหน้าผากไปหนึ่งที แต่ที่บอกว่าของขวัญชิ้นแรกน่ะคือเรื่องจริงเพราะขนาดงานจับฉลากของขวัญวันคริสต์มาสปีใหม่ที่โรงเรียนจับเขายังไม่เคยดวงดีจะได้อะไรกับคนอื่นเขาเลย “ยืมมือถือพี่หน่อยกล้องเรากากอะถ่ายไม่สวย”

คิรากรยิ้มขำแต่ส่งโทรศัพท์ให้เด็กตรงหน้าไปโดยดี พอถ่ายรูปเสร็จมะแมก็เริ่มลงมือแกะกระดาษห่อ “กระดาษห่อมันสวยจังวะพี่ เรามือหนักอะแกะแล้วต้องขาดแน่ๆ เลย” พูดไม่ทันขาดคำก็มีเสียงแควก คนทำขาดร้องเสียดาย เห็นแล้วมันน่าซื้อกระดาษห่อสวยๆ ให้ซักรีม

ด้านในห่อกระดาษสีแดงเป็นกล่องกระดาษแบนๆ รูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีน้ำตาลอ่อนหนึ่งใบ ข้างในนั้นเป็นผ้ากันเปื้อนสำหรับใส่ทำอาหารลายแมวที่ปักชื่อของรามิลด้วยด้ายสีทองตรงอกด้านซ้ายกับช็อกโกแลตจากต่างประเทศหลายๆ ยี่ห้อรวมกันอย่างละนิดอย่างละหน่อย คนรับมองของในกล่องสลับกับเงยหน้ามองคนให้สองสามทีน้ำตาซึม

“ชอบไหม คราวหลังมาให้พี่สอนทำขนมที่ห้องก็เอาผ้ากันเปื้อนมาด้วยนะ” ร่างสูงยิ้ม อบอุ่นกว่าไฟวอร์มในห้องเสียอีก

“อื้อ! ชอบมากๆ ขอบคุณนะ..ครับ” รามิลวางของลงบนโซฟาข้างตัวยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณคนโตกว่า

“ไม่เป็นไรครับ”

ไฟในห้องถูกเปิดกลับมาสว่างเหมือนเดิม ตอนนั้นเองที่รามิลสังเกตเห็นกีตาร์โปร่งที่วางพิงผนังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล “พี่เล่นกีตาร์ด้วยเหรอ”

“อ้อ ครับ ทำไมล่ะเราก็เล่นหรือว่าอยากเล่นบ้าง”

“ไม่อะ เราเล่นฉิ่งยังคร่อมจังหวะเลย ให้พี่สอนน่าจะลำบากเปล่าๆ แต่อยากฟังอะเล่นให้ฟังหน่อยสิ” คนฟังหลุดขำกับความสามารถทางดนตรีของมะแม ยอมเดินไปหยิบกีตาร์มานั่งบนโซฟาตามคำขอแต่โดยดี “ไม่เอาเพลงคริสต์มาสนะ วันนี้เราฟังเพลย์ลิสต์คริสต์มาสของพี่วนไปสิบรอบแล้ว” หมายถึงเพลงที่คิรากรเอามาเปิดวนสร้างบรรยากาศให้เข้ากับเทศกาลในห้อง

คนโดนขัดนิ่งไปครู่ไม่รู้จะเล่นเพลงอะไรให้เด็กนี่ฟังถึงจะเหมาะดี ห้องนั่งเล่นกว้างเงียบสนิทจนกระทั่งมือใหญ่เริ่มดีดสายกีตาร์ในมือเป็นจังหวะเพลง



..I won't lie to you..

..I know he's just not right for you..



ตาคมของคิรากรมองหน้ารามิลที่จ้องดูอยู่เขม็งก่อนจะฮัมท่อนต่อไปออกมาพร้อมกับดีดกีตาร์ไปด้วย



..And you can tell me if I'm off..

..But I see it on your face..

..When you say that he's the one that you want..

..And you're spending all your time..

..In this wrong situation..

..And anytime you want it to stop..



ร่างสูงไม่แน่ใจว่าเด็กที่นั่งอยู่ลูบพุงโอริโอ้อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโซฟาจะเข้าใจความหมายของเพลงนี้ที่เขาอยากสื่อออกไปหรือเปล่า



..I know I can treat you better..than he can..

..And any ‘boy’ like you deserves a gentleman..

..Tell me why are we wasting time..

..On all your wasted cryin'..

..When you should be with me instead..

..I know I can treat you better..

..Better than he can..



มะแมหยุดมือเรียวที่กำลังลูบท้องแมวของเจ้าของห้องที่นอนแผ่อยู่ใกล้ๆ มองหน้าคนที่กำลังฮัมเพลงเบาๆ กับเสียงกีตาร์ไม่วางตาได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องหลบ นิ้วเรียวจิกชายเสื้อตัวเองอย่างทำอะไรไม่ถูก ใครสั่งให้ร้องเพลงนี้กัน

นึกไปถึงคำพูดของเพื่อนว่าคิรากรทั้งรวย หน้าตาดี และรักเด็ก หาดีกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว ตอนนี้เขาคงต้องขอเพิ่มคุณสมบัติให้ร่างสูงอีกสองข้อว่าเล่นดนตรีได้ ร้องเพลงก็เป็น

“...Just know that you don't have to do this alone. Promise, I'll never let you down…. เห้ย! ร้องไห้ทำไม” คนตั้งใจจะร้องเพลงจีบเด็กตกใจรีบวางกีตาร์ในมือลงทันทีที่เห็นมะแมยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“พี่ร้องเพลงเพราะอะ ฮึก แล้ว..แล้วเพลงโดนใจมากเลย” รามิลสูดน้ำมูก “ถ้ามีผู้ชายมาร้องเพลงงี้ให้เรานะ ต้องดีใจมากๆ เขินมากๆ แน่”

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อฟังคำพูดของแม คิรากรไม่เข้าใจ “พี่ก็ผู้ชาย”

“ก็เขินนิดนึงแต่มันไม่เหมือนกันอะ ฮือออ”

มือใหญ่ของคนฟังยกขึ้นกุมขมับกับคำตอบเด็กชาย ตั้งแต่รู้จักกับเด็กนี่เหมือนคิรากรจะแก่เร็วขึ้นไปอีกสามปี ไม่เคยจะตามความคิดคนตรงหน้าทันเลยจริงๆ

..ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เหมือน แล้วต้องทำยังไงให้มันเหมือนกันเล่า! ..

"ดึกแล้วพี่ง่วงแล้วคงขับรถกลับไปส่งไม่ไหว คืนนี้นอนที่นี่แล้วกัน" คำพูดของร่างสูงทำเอาเด็กที่กำลังซึ้งกับเพลงหยุดร้องไห้โฮกะทันหัน

"ต..แต่เรานั่งรถเมล์กลับเองก็ได้ แล้ว.. แล้ว.." แมกลืนคำว่าเคยกลับเองมาแล้วลงคอเมื่อมันทำให้ยิ่งนึกไปถึงเรื่องคืนนั้น

"มันอันตราย นอนที่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ไปหาแปรงสีฟันกับชุดนอนมาให้ เล่นกับโอริโอ้ไปก่อน" คิรากรมัดมือชกแล้วลุกขึ้นเดินหนี รอบนี้เขาซ่อนคีย์การ์ดไว้เป็นอย่างดีไม่มีทางที่จะตื่นมาแล้วอีกฝ่ายหายไปในกลีบเมฆอีกแน่

..แล้วทีนี้..คืนนี้จะใช้แผนไหนต่ออีกดีล่ะ..







“อะไรของลูกน่ะ อยู่ๆ ก็โทรมาบอกให้แม่อบขนมคริสต์มาสไว้ให้หน่อย แล้วยังจะเอาโอริโอ้ไปคอนโดด้วยอีก” เคทลินร้องถามลูกชายที่อยู่ๆ ก็ขับรถกลับมาบ้านเป็นรอบที่สองของวัน หลังจากรอบแรกมาเอาขนมที่เธออบไว้ให้แล้วยังกลับมาอีกครั้งตอนดึกเพื่ออุ้มแมวตัวหนึ่งของเธอติดมือไปด้วย

“ขอยืมโอริโอ้หน่อยนะครับแม่ เดี๋ยวผมเอามาคืนวันพรุ่งนี้” เขาเลือกโอริโอ้เพาะเจ้าแมวอ้วนชินคน และเชื่องที่สุด ถ้าเป็นคุณนายล่ะก็มีหวังเด็กนั่นตัวลายแน่

“แล้วเมื่อไหร่จะพาลูกสะใภ้มาให้แม่เจอ” สาวลูกครึ่งวัยกลางคนแต่ยังสวยสะพรั่งกอดอกมองลูกชายคนเดียวที่อยู่ๆ เมื่อเดือนก่อนก็มาสารภาพว่ากำลังจะมีหลานมาให้อุ้ม

“เร็วๆ นี้แหละครับแม่ ผมไปแล้วนะครับ รักแม่ครับ” ร่างสูงก้มลงหอมแก้มคุณเคทก่อนจะหิ้วกรงแมวขึ้นรถขับกลับคอนโด

เพราะคำว่าฝันดีที่อีกฝ่ายส่งมาแท้ๆ เลย คิรากรถึงกับต้องขับรถกว่าสิบกิโลเมตรกลับมาบ้านแม่อีกรอบกลางดึก เพราะมะแมน่ารักมากจนเขาอยากให้แผนฉลองคริสต์มาสครั้งแรกของน้องมีความสุขมากๆ เลยต้องใช้เจ้าแมวอ้วนนี่เป็นตัวช่วยอีกอย่างหนึ่ง เด็กนั่นต้องยิ้มแก้มแตกแน่ถ้าได้เห็นโอริโอ้ในห้องเขาวันพรุ่งนี้




*******************



อยากเขียนฉากพระเอกร้องเพลงจีบนายเอกมานานแล้ว ฝันเป็นจริง 555 Treat You Better - Shawn Mendes เป็นเพลงที่เหมาะกับร้องจีบน้องแมที่สุดเลยค่ะ

ใครจะดีกว่าคุณคิไม่มีอีกแล้วนะน้องแม เสียอย่างเดียวคืออิพี่มันแอบจินตนาการภาพน้องใส่ผ้ากันเปื้อนตัวเดียวนี่แหละ
ตอนนี้ก็วงวารพี่อีกแล้วค่ะ ทุ่มสุดตัวขนาดนี้แล้วน้องยังไม่เข้าใจว่าพี่อยากเปงผัว ไม่ได้อยากเป็นแค่พี่ 5555555
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: อัญญอหญิง ชันนอหนู ที่ 19-02-2020 10:09:42
11: ลูกไม้ใต้ต้น

“พี่เปลี่ยนใจกลับบ้านไหม จะนอนได้จริงๆ อะ” มะแมถามย้ำทั้งๆ ที่หอบหมอนกับผ้าห่มมาแล้วเต็มไม้เต็มมือ

“แล้วทำไมจะนอนไม่ได้ล่ะ” คิรากรถามเด็กขี้กังวลริมฝีปากติดรอยยิ้มบางๆ เอนตัวพิงกำแพงข้างเตียงเดี่ยวหลังเล็กของเจ้าของห้อง บ้านป้าเกียงว่าเล็กแล้ว ห้องของมะแมยิ่งเล็กไปใหญ่ยิ่งมีคนตัวโตเป็นยักษ์เข้ามานั่งยิ่งดูแคบลงไปอีกถนัดตา

เพราะคริษฐ์ติดงานด่วนในคืนวันที่สามสิบเอ็ดกว่าจะคุยงานกับซัพพลายเออร์เสร็จสิ้นก็เป็นเวลาดึกดื่นไปแล้ว ในเมื่อไม่ได้ใช้เวลาส่งท้ายปีใหม่กับเด็กน้อยอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก เขาเลยหอบเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเป้มากดกริ่งหน้าบ้านป้าของมะแมตอนหัวค่ำเพื่อฉลองคืนปีใหม่ด้วยกันที่นี่ทันทีที่เคลียร์งานทุกอย่างเรียบร้อย

จะเรียกว่าฉลองก็คงเกินจริงไปหน่อย ก็เพียงแค่สั่งอาหารมากินกันสองคน แล้วก็ยืนกรานกับรามิลว่าคืนนี้เขาจะไม่กลับไปนอนที่ห้องตัวเอง เพราะอยากใช้เวลาอยู่กับหลานเจ้าของบ้านนานๆ เหมือนกับวันคริสต์มาสที่ผ่านมาไม่นานนี้ที่เขาหลอกให้อีกฝ่ายไปนอนค้างที่คอนโดมิเนียมนั่นแหละ

คืนที่เพิ่งผ่านมานั้นไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบคืนแรกของเขาและมะแม ซึ่งคิรากรก็ไม่ได้คาดหวังถึงอะไรอย่างนั้น คืนนี้ก็เช่นกันเขาแค่ติดใจการตื่นขึ้นมาแล้วเห็นน้องที่หลับตาพริ้มอยู่ใกล้ๆ กันก็เท่านั้น

“ห้องเราไม่มีแอร์นะพี่ ห้องน้ำก็ไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยนะ” หมอนที่ใหม่และสะอาดที่สุดในบ้านหนึ่งใบถูกโยนไปที่ข้างตัวคิรากร มะแมทิ้งผ้านวมในมือลงกับพื้นไม้ข้างเตียงเตรียมจะลงมือปูที่นอนในแขกที่ดึงดันว่าจะไม่กลับห้องตัวเองแล้ววันนี้ “พี่ต้องนอนพื้นด้วยนะเตียงเรามันนอนได้คนเดียวอ่ะ หรือพี่จะไปนอนโซฟาข้างล่าง แต่ข้างล่างยุงเยอะนะ”

“จริงๆ พี่ว่าเรานอนเบียดกันก็พอได้อยู่นะ” มือใหญ่ตบเตียงที่นั่งอยู่ หยิบหมอนข้างตัวขึ้นวางบนตัก

ตาคมสังเกตเห็นชิ้นผ้าคุ้นตาแปลกๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ใต้หมอนลายโดราเอมอนของเจ้าของห้อง พอดึงมันติดมือออกมาก็พบว่าเป็นชุดนอนท่อนบนไซส์ใหญ่ที่ถ้าจำไม่ผิดแล้วเป็นของเขาเอง แต่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน

“แมครับ นี่เสื้อพี่รึเปล่า” คิรากรยกของในมือให้เด็กตัวผอมที่สาละวนกับการปูผ้าให้เขานอนบนพื้นห้อง มะแมเงยหน้าขึ้นมองตามคำเรียกก่อนจะร้องเสียงหลง

“เห้ย! ชิบหาย ลืมเก็บ” ตกใจจนหลุดสบถออกไป ก่อนจะตบปากตัวเองเบาๆ เมื่อเห็นตาดุของคนพี่ที่จ้องมา

“เสื้อพี่ใช่ไหมเนี่ย” มะแมจำใจพยักหน้าเมื่อหลักฐานนั้นคามืออีกฝ่ายเต็มๆ “ขโมยของพี่เหรอ”

ร่างบางเม้มปากเป็นเส้นตรงยกมือขึ้นเกาคอตอบเสียงเบา “เราเปล่าขโมยนะ”

“แค่หยิบมาจากตะกร้าแต่ไม่บอกพี่” คิรากรดักคอน้อง

“ง่า.. พี่ก็พูดเว่อร์ไป เรียกว่ายืมมาแป๊บนึงเดี๋ยวก็จะเอาไปคืนแล้วดีกว่า”

“แล้วยืมมาทำไมครับ”

“ก็..ก็…”

“ก็..” คิ้วเข้มเลิกขึ้นรอคำตอบจากปากอิ่ม

“ก็มันหอมอ่ะ! เราดมแล้วนอนหลับสบายมากๆ เลย แต่พอนานๆ ไปมันไม่ค่อยหอมแล้วอะ เราคืนให้แล้วขอแลกกับตัวที่พี่จะใส่วันนี้ได้ไหมอ่ะ แต่หลังจากพี่ใส่แล้วนะ”

คำตอบน่าเอ็นดูนั่นทำเอาคนฟังหัวใจพองฟู คิรากรกัดกรามกลั้นยิ้มแน่น อยากจะขนเอาเสื้อที่ห้องมาให้เด็กตรงหน้านี่ซักสองตะกร้าให้ดมให้พอใจไปเลย

“ได้สิ”

มะแมมองหน้าคนตัวโตงุนงง “อ่าว.. ให้จริงเหรอ พี่จะไม่ด่าเราเหรอว่าแบบโรคจิตจังไรงี้”

“โรคจิตตรงไหน น่ารักจะตาย” มือใหญ่ลูบหัวแมที่นั่งอยู่ข้างเตียง “ได้อ่านหนังสือที่ซื้อมารึยัง”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ไม่เห็นเข้าใจว่ามันเกี่ยวกับเรื่องนี้ตรงไหน “เขาบอกว่าโอเมก้าที่ท้องจะสร้างรังจากผ้า ตุ๊กตา แล้วก็ของที่มีกลิ่นของคู่เพราะจะทำให้สบายใจ นี่เราคงจะริ่มสร้างรังแล้วมั้งถึงขโมยเสื้อพี่มาเนี่ย”

“ยืม! ” มะแมค้าน

“ยืมครับยืม” คิรากรหลุดขำกับเจ้าตัวดีที่ยังยืนยันว่ายืมเสื้อเขามาจริงๆ “เดี๋ยวพี่เอามาให้ยืมอีกเยอะๆ เลยดีไหม”

“อืม”

ร่างสูงโน้มตัวลงไปใกล้คนด้านล่าง ดึงตัวบางขึ้นมานั่งข้างๆ กันบนเตียงหลังเล็ก “ไม่ต้องปูผ้าแล้ว ไหนๆ ก็ดมกลิ่นพี่แล้วนอนหลับง่ายมานอนเตียงด้วยกันนี่แหละ”

เด็กผิวแทนทำท่าจะเถียงแต่พอนั่งใกล้ๆ กันแล้วก็ได้กลิ่นหอมๆ จากตัวอัลฟ่าหนุ่มจริงอย่างที่ว่า เขาเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้อีกหน่อยและอีกหน่อยจนแทบชิด สูดจมูกฟุดฟิดแถวไหล่กว้าง “ก็ได้ เพราะช่วงนี้เรานอนไม่ค่อยหลับหรอกนะ” ดึงหน้าออกเพราะกลัวจะเสียฟอร์ม “พี่ไปอาบน้ำได้แล้ว ผ้าเช็ดตัวใหม่อยู่ใต้อ่างล้างหน้า ไม่มีแปรงสีฟันให้นะ พี่เอามาเองเปล่า”

คิรากรหยิบแปรงสีฟันจากกระเป๋าเป้มาโชว์ก่อนจะปลีกตัวเดินไปเข้าห้องน้ำตามทางที่เขาบอกไว้ แต่ถึงไม่บอกก็คงไม่หลงหรอก เพราะบ้านมันเล็กแค่นี้เอง

มะแมเอาเท้าเขี่ยผ้าปูบนพื้นที่เป็นหมันไม่มีคนอยากใช้งานไปมา ยกโทรศัพท์ขึ้นส่งข้อความหาเพื่อนที่ตอนแรกนัดกันไว้ว่าจะไปเที่ยวรับปีใหม่กันตั้งแต่เช้าของวันพรุ่งนี้

 

Maemaemae: มึงจะด่ากูมั๊ย

Maemaemae: ถ้ากูจะขอเทพรุ่งนี้อะ

pureticha: อ่าว เลว

Maemaemae: ฟังก่อนดิ

Maemaemae: พี่คิมานอนค้างอะ ไม่สะดวกแล้ว

pureticha: เลวคูณสอง นอกจากเทนัดกูยังต้องอวดผัวให้ฟังด้วยเหรอ อิมะแม๊!

Maemaemae: ไม่ใช่ผัว!

pureticha: เชื่อจ้า แค่ได้กันทีเดียวเนาะ ไม่เรียกผัวหรอก ถ้าได้สองทีเรียกผัวได้ยังอะ

Maemaemae: สัส ไม่คุยด้วยแล้วโว้ย

 

พอเถียงเพื่อนไม่ได้เขาก็ใช้คำหยาบคายเข้าสู้ ก่อนจะหนีออกจากช่องสนทนาของเพียว

นอกจากตัวเลขในกรอบเขียวที่เตือนว่ามีข้อความเข้ามาจากเพียวแล้ว ก็ยังมีแชทกลุ่มของชั้นเรียน แล้วก็แชทของครูเจษที่เพิ่งเด้งเข้ามาอีกด้วย

แมกัดปากเผลอกำโทรศัพท์ในมือแน่นขึ้น ตั้งแต่วันนั้นที่เจอกันครูก็ไม่ยอมหยุดระรานเขาเลย คอยส่งข้อความมาหา เขาไม่ได้คิดจะบล็อกเมื่อมันเป็นแค่ตัวอักษรที่ทำอะไรมากกว่านั้นไม่ได้ แค่อ่านแต่ไม่ตอบข้อความกลับไปก็จบ แต่พอเป็นอย่างนั้นครูเลยพยายามหาเวลาให้ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองหลังจากคาบเรียนพลศึกษาให้ได้ซึ่งเขาก็ได้เพียวช่วยไว้ได้ทุกครั้ง

สาเหตุที่ทำให้ช่วงนี้เด็กชายนอนไม่ค่อยหลับไม่ใช่ใครที่ไหนไกลเลยนอกจากเจษฎา

 

Jessada: ถ้าแมไม่กล้าไปคลินิกคนเดียวครูหาซื้อยาให้ก็ได้นะ แล้วให้ไปส่งที่บ้านแมไง

 

เรื่องใหญ่โตอย่างทำแท้งครูยังให้เขาไปคนเดียว ทุเรศชะมัด

มะแมล็อกหน้าจอปาโทรศัพท์ลงบนผ้านวมบนพื้นข้างเตียงไม่เบาแต่ก็ไม่แรงนัก มันกระดอนบนผ้าหนึ่งครั้งก่อนจะไถลหน้าจอไปกับพื้นไม้ของห้อง และเป็นเวลาเดียวกันกับที่คิรากรเปิดประตูห้องกลับเข้ามาพอดี ร่างสูงเลิกคิ้วกับการกระทำแปลกๆ ของเด็กที่นั่งขัดสมาธิบนเตียง

“เป็นอะไรรึเปล่า”

“เปล่า เราอยากทดสอบความนุ่มเบาะที่เราปูว่ามันจะเด้งรึเปล่า ไม่ค่อยเด้งอะ” สีข้างถลอกไปหมดแล้ว

“นึกว่าจะอยากได้โทรศัพท์ใหม่ พี่จะได้พาไปซื้อพรุ่งนี้เลย”

“พูดเหมือนเรามีตังค์ซื้อแหละ” มะแมเบ้ปาก

“ซื้อให้ด้วยสิ ใครบอกจะให้ซื้อเองครับ” อย่างน้อยแค่เปลี่ยนจอก็ยังดี เห็นสภาพมือถือสภาพสมบุกสมบันของน้องแล้วเขาทึ่งทุกที

คนฟังยิ่งเบ้ปากหนักกว่าเดิม คันปากยุบยิบอยากจะถามว่ารวยมากนักเหรอ แต่ก็ยั้งปากไว้ได้ก่อนเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่สะทกสะท้านแล้วตอบตรงๆ ว่ารวยมากแน่ๆ

คนอายุมากกว่าสาวเท้าเข้ามายืนประชิดจนจมูกเขาแทบจะชนกับหน้าท้องอีกฝ่าย “หอมรึยัง” หมายถึงที่เพิ่งอาบน้ำมา

มะแมพยักหน้าหงึกหงักสูดกลิ่นสบู่อ่อนๆ ที่จริงๆ แล้วก็เป็นกลิ่นเดียวกับที่เขาเพิ่งใช้อาบไปตอนที่พี่อาสาจะล้างจานชามที่ใช้ทานมื้อเย็นให้ แต่ทำไมกลิ่นที่ติดตัวคิรากรถึงหอมและดมแล้วรู้สึกสบายใจกว่าอย่างบอกไม่ถูกก็ไม่รู้

คริษฐ์รั้งหัวกลมเข้ามาใกล้จนจมูกรั้นจมกับเสื้อนอน หัวเราะที่เด็กน้อยทำเป็นโวยวายแต่กลับไม่ยอมดึงหน้าออกซะอย่างนั้น “แล้วง่วงรึยังครับ”

“อือ ง่วงแล้ว"

ร่างสูงผละออกไปกดปิดไฟที่สวิตซ์ใกล้ประตูห้อง พอไฟดับเหลือเพียงแค่แสงจากไฟถนนที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างพอจะให้เห็นเงาลางๆ ของอีกคนเดินเข้ามาทิ้งตัวบนเตียงแคบและดึงให้เขาลงไปนอนเบียดข้างๆ กัน

เตียงแคบกว่าที่คิด หรือคิรากรตัวใหญ่กว่าที่คิดก็ไม่รู้ หัวเขาเกยอยู่บนของแข็งๆ ที่ไม่น่าใช่หมอนแต่เป็นแขนขวาของอีกคน ไม่มีที่พอให้ผู้ชายสองคนนอนหงายสบายๆ จึงกลายเป็นว่าทั้งสองคนต้องนอนตะแคงหันหน้าเข้าหากันในความมืดสลัว เมื่อตาปรับเข้ากับแสงที่น้อยลงได้ เขาถึงเห็นว่าหน้าของพี่ใกล้กันแค่คืบเท่านั้นเอง

..เหมือน..นอนกอดกันเลย..

มะแมหลับตาปี๋หลบสายตาคมของคนที่อยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียว กลิ่นหอมเย็นสบายจากตัวอีกฝ่ายทำให้เด็กน้อยนอนหลับฝันดีทั้งคืน

 

 

 

เสียงสั่นครืดๆ ของโทรศัพท์มือถือที่ตกอยู่ข้างเตียงดังปลุกเด็กในอ้อมแขนคิรากรให้ลืมตาตื่นขึ้นมา ร่างสูงลอบถอนหายใจด้วยความเสียดาย ทั้งๆ ที่เขาคิดว่าอยากจะนอนมองหน้าเด็กนี่ให้นานกว่านี้อีกสักหน่อยแท้ๆ

มะแมส่งเสียงอืออาในคอ ยกมือขึ้นขยี้ตาสองข้างแรงจนร่างสูงต้องดึงมือห้ามไว้เพราะกลัวว่าเส้นเลือดฝอยในตาจะแตกเอา ร่างบางลุกขึ้นนั่งขยี้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ยุ่งเป็นรังนกก่อนจะปีนข้ามตัวเขาลงไปหยิบโทรศัพท์บนพื้นห้องขึ้นดูสายเรียกเข้าที่เพิ่งวางไป

หน้าจอมือถือขึ้นแจ้งเตือนว่าสายที่ไม่ได้รับเมื่อครู่คือป้าเกียง คิ้วบางขมวดเข้าหากันนิดหน่อยเมื่อเดาไม่ถูกว่าป้าจะโทรเข้ามาทำไม โทรมาสวัสดีปีใหม่ในเช้าตรู่ของวันที่สองมกราคมก็คงไม่น่าใช่

"ฮัลโหล" มะแมกรอกเสียงทักทายเมื่ออีกฝ่ายรับสายที่เขาโทรกลับไปอย่างรวดเร็ว "มีไรอะป้า"

"เสียงอู้อี้แบบนี้ เพิ่งตื่นล่ะสิ เด็กสมัยนี้นอนกินบ้านกินเมืองจริงจริ๊ง" ทันทีที่รับสายคำแรกที่คุณเกียงทักทายก็คือคำบ่นตามนิสัยคนเป็นป้า

"ก็นอนตื่นเช้าทุกวันที่ไปเรียนอ่ะ วันหยุดแมขอตื่นสายหน่อยไม่ได้เหรอ" เด็กชายเถียงป้า

"ได้ย่ะแต่ไม่ใช่วันนี้ นี่ฉันอยู่หน้าบ้านลืมเอากุญแจรั้วมาด้วย มาเปิดประตูให้ที เร็วๆ ล่ะ" ปลายสายไม่รอคำตอบจากหลานชายวางสายไปในทันที

สมองคนเพิ่งตื่นนอนยังประมวลผลคำพูดของป้าเกียงไม่ทัน มะแมถือโทรศัพท์แนบหูค้างไว้อีกหลายวินาทีกว่าที่จะตีความหมายประโยคที่ป้าพูดก่อนที่จะวางไปได้

"ชิบหายแล้ว..." ตาเรียวมองหน้าปัญหาชิ้นใหญ่ที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงของตัวเองไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลยว่าพายุเจ๊เกียงกำลังจะเข้าแล้ว

"ทำไมครับ"

"ป้าเรา.. อยู่หน้าบ้าน ชิบหายแล้วพี่! ทำไงดีอะทำไงดี" มะแมเขย่าแขนคนพี่แต่เป็นตัวเองแทนที่หัวสั่นหัวคลอน ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว "พี่ไปซ่อนในตู้เสื้อผ้าได้ไหมอะ เดี๋ยวป้ากลับค่อยออกมา นะๆ "

"มะแม พี่ไม่ใช่ชู้ไหม" คิรากรขมวดคิ้วกับความคิดเด็กหนุ่มแต่ก็อดขำออกมาเบาๆ ไม่ได้ ที่แน่ๆ คือเขาจะไม่เข้าไปแอบในตู้เสื้อผ้าหรือใต้เตียงน้องแน่ๆ

"แล้วพี่จะให้ทำไงอะ พี่จะหนีไปทางหลังบ้านไหมปีนรั้วไปอะ" ไม่ยอมซ่อนในตู้เขาก็หาทางหนีใหม่มาให้

"ไม่ใช่แล้ว" มือใหญ่เคาะเหม่งไอ้ตัวแสบที่ตื่นตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูมให้ใจเย็นลง "พี่ก็ไปไหว้ป้าเรา สวัสดีปีใหม่แนะนำตัวฝากเนื้อฝากตัวไป แค่นี้เอง"

"พี่ไม่เข้าใจ ป้ามือหนักมากถ้าตบเราเราคอเคล็ดแน่ๆ ป้าดุด้วยนะป้าเคยด่าแม่ค้าในตลาดจนแม่ค้ายังต้องยกมือไหว้ยอมแพ้" มะแมบรรยายสรรพคุณคุณป้าตัวเองให้คิรากรฟัง แค่คิดถึงก็ขนหัวลุกแล้ว

คนฟังหัวเราะเสียงทุ้ม ลุกขึ้นยืนพร้อมฉุดเด็กชายที่นั่งหมดอาลัยตายอยากบนพื้นไม้ให้ลุกขึ้นมาพร้อมกัน

"แต่พี่โตแล้ว คุณป้าคงไม่ตีก้นพี่หรอกเพราะฉะนั้นพี่รอด" รามิลฟังแล้วขมวดคิ้วหน้ายุ่งกับคำล้อเล่นของคนอายุมากกว่า "มะแมไปเปิดประตูนะครับเดี๋ยวพี่ไปล้างหน้าแปรงฟันแล้วนั่งรอในห้องนั่งเล่น พี่อยู่ด้วยทั้งคนคุณป้าไม่ตีเราหรอก"

 

 

 

"กว่าจะเสด็จมาเปิดประตูได้นะยะ" คุณเกียงบ่นหลานชายตัวแสบ มือสองข้างเธอหอบของฝากจากชลบุรีมาพะรุงพะรัง "แล้วทำไมยืนไกลฉันขนาดนั้นฮะ! ป้ามาหาทั้งคน ของฝากจะเอาไหม"

"อ..เอา" เขาคว้าถุงใส่กระบอกข้าวหลามหนองมนมาถือไว้เองแต่ยังไม่ยอมเดินไปใกล้ๆ ป้า "ป้า.. คือ.. แมแบบว่า.. เอ่อ.."

"แล้วนี่ติดอ่างทำไมฮะ เจ้าแม! "

คนไม่โดนดุต่อหน้ามานานเป็นเดือนสะดุ้งนิดหน่อย ไหล่เล็กๆ ห่อลง ก่อนพูดเสียงอ้อมแอ้มออกไปกับป้าเกียง "คือแมมีเรื่องจะสารภาพ.."

หญิงวัยกลางคนเห็นสีหน้าจริงจังแถมยังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของหลานแล้วก็หยุดบ่น "สารภาพว่า"

มือเรียวดันหลังคนเป็นป้าให้เดินเข้าบ้านไปโดยยังไม่ยอมพูดอะไรต่อ จนถึงประตูบานไม้หน้าบ้านก็หยุด มะแมสูดลมหายใจเข้าปอดลึก

..ไม่บอกตอนนี้ วันหน้าป้าก็ต้องรู้อยู่ดี หนีไม่ได้หรอก..

"เมื่อคืนเอ่อ.. เพื่อนแมมานอนด้วยอะ ตอนนี้อยู่ในบ้าน" แต่ขอปิดต่ออีกสักนิดก็แล้วกัน ไปเปิดตอนอยู่กับพี่ดีกว่าอย่างน้อยถ้าป้าจะตีก็ยังหลบหลังพี่ได้ "เขารอไหว้ป้าอยู่อะ ป้าเข้าไปสิ"

คุณนายเกียงจ้องหน้ามะแมนิ่งราวกับจะจับผิด เธอชี้หน้าคาดโทษเด็กหนุ่มที่พาใครไม่รู้มาค้างบ้านเธอโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน แต่ไม่ได้ด่าว่าอะไรออกไป

เธอกับรามิลไม่ได้สนิทกัน หลานชายมาอยู่กับเธอก็ตอนที่โตมากแล้ว และเธอก็รู้ว่าความเป็นคนเสียงดังขี้บ่นไม่ได้อ่อนโยนหรือมีเวลาใส่ใจครอบครัวเหมือนอย่างที่แม่คนอื่นๆ เขาเป็นกัน แม้แต่กับลูกสาวแท้ๆ ของตัวเองอย่างเมย์ก็ตาม มะแมเลยไม่ค่อยจะเล่าเรื่องเพื่อนเรื่องที่โรงเรียนหรือเรื่องใดๆ ก็ตามให้เธอฟังมากนัก เรียกว่าแทบไม่เคยเล่าเลยก็ว่าได้

คุณเกียงรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่ความสบายใจของหลาน เธอไม่สามารถคอมฟอร์ตโซนของอีกฝ่ายแทนน้องสาวตัวเองที่เสียไปแล้วได้

หญิงวัยกลางคนละสายตาจากหลานชาย พรูลมหายใจก่อนจะบิดลูกบิดประตูบ้านเข้าไป

ภาพผู้ชายหน้าตาหล่อเหลารูปร่างสูงใหญ่และท่าทางมีภูมิฐานในชุดนอนที่แค่มองก็รู้ว่าเนื้อผ้าดีและราคาแพงนั่งอยู่บนโซฟาหนังเก่าๆ ในห้องรับแขกทำเอาคุณเกียงหวั่นใจ เหมือนภาพซ้อนทับกับพ่อของเจ้าแมไม่มีผิด ถึงแม้ว่าฝ่ายนั้นจะไม่เคยมาแนะนำตัวหรือพูดคุยกับบ้านของเธอ แต่เพราะเป็นคนใหญ่คนโตลูกชายคนเดียวของเจ้าของตลาดสดในแถบหมู่บ้าน เธอจึงเคยเห็นหน้าค่าตาผ่านๆ อยู่บ้าง

"สวัสดีครับเอ่อ.. คุณเกียงจะให้ผมเรียกว่าอะไรดีครับ" คิรากรลุกขึ้นยืนยกมือไหว้คนอายุมากกกว่า ถึงแม้ว่าคุณเกียงจะดูรุ่นราวคราวเดียวกับคุณเคท แต่เพราะเขาอายุมากกว่ามะแมมากพอสมควรจึงไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะให้เขาเรียกตัวเองด้วยคำว่าอะไรดี

"สวัสดีจ้ะ เรียกป้าแบบไอ้แมมันเรียกก็ได้" รับไหว้เสียงแข็งนิดๆ แต่ก็ยังปรานีให้อีกคนเรียกว่าป้าได้

"ครับคุณป้า" คิรากรนั่งลงเมื่อเกียงนั่งลงบนโซฟาอีกฝั่งหนึ่งและผลักมะแมให้ลงไปนั่งตรงกลางระหว่างเธอและเขา "ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุณป้าจะมาเลยไม่ได้เตรียมซื้อของมาสวัสดีปีใหม่ เอาไว้คราวหน้านะครับ"

"ไม่เป็นไรหรอกคุณ เอ้า! แมแนะนำเขาให้ฉันหน่อยสิยะ ชื่อเสียงเรียงนามอะไร"

คนที่โดนลากเข้าบทสนทนาโดยที่ยังไม่ได้เตรียมใจสะดุ้งเฮือก หันซ้ายมองหน้าป้าที หันขวามองหน้าร่างสูงอีกที "เอ่อ.. เอ่อ.. นี่พี่คริษฐ์ เป็น..เป็น.. เพื่อนแมเองป้า"

หญิงร่างอวบหรี่ตาเรียวแบบคนเชื้อสายจีนมองมือใหญ่ของคุณคริษฐ์ที่เอื้อมมากุมมือเล็กของหลานตัวเองเอาไว้เหมือนให้กำลังใจกันแอบๆ กับอีแค่เรื่องแนะนำตัวแค่นี้เนี่ยนะ

..เพื่อนจ้ะเพื่อน อีแก่คนนี้ไม่ได้โง่นะยะ! ..

คุณเกียงมองหน้าหลานที่อ้าปากพะงาบๆ คล้ายจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็ไม่หลุดออกมาสักที พอเห็นมืออีกข้างของหลานชายวัยรุ่นที่ยกขึ้นวางในท่ากุมหน้าท้องแล้วหัวใจเธอก็ไหววูบ

เป็นคุณเกียงเสียเองที่พูดถามออกไปก่อน "กี่เดือนแล้วล่ะ" ถามแล้วก็ถอนหายใจยาว

แค่ฟังคำถามน้ำตารามิลก็แทบร่วง เขาละล่ำละลักจะตอบแต่ก็เหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอจนถูกคิรากรชิงรับหน้าไปเสียก่อน "ประมาณสิบสองสัปดาห์แล้วครับ"

ทั้งที่คิดว่าจะทำใจได้ แต่คุณนายเกียงก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองจะเป็นลม เธอค้นเอาพิมเสนน้ำจากกระเป๋าถือขึ้นมาสูดเข้าปอดเฮือกใหญ่

"ผมขอโทษที่ไม่ได้เข้าตามตรอกออกตามประตูล่วงเกินน้องโดยไม่ได้ป้องกัน แต่ผมจะรับผิดชอบน้องกับลูกแน่ๆ เรื่องนี้คุณป้าไม่ต้องกังวลนะครับ" คิรากรไม่สนใจแรงกระตุกที่ชายเสื้อจากเด็กข้างๆ ตัวที่เหมือนอยากจะประท้วง

มะแมกระตุกชายเสื้อพี่ยิกๆ เขาไม่กล้าขัดแต่ก็ทำตาเหลือกกับคำพูดของคิรากรเพราะเมื่อตอนที่ตกลงกันมันเป็นการรับผิดชอบแค่เด็กในท้องเท่านั้น ถ้าเกิดบอกป้าไปอย่างนี้ แล้วอีกหกเดือนกลายเป็นความสัมพันธ์แบบไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธออย่างที่ตัวเองเข้าใจ ตอนนั้นจะบอกป้าว่ายังไงเล่า

พอเด็กชายเห็นว่าป้าตัวเองเงียบแทนที่จะโวยวายกับคำตอบที่ได้เขาถึงกล้าหันไปมองหน้าป้าตรงๆ

"ป้า... แมขอโทษ" มองตาได้แค่แป๊บเดียวก็ต้องหลบ "สุดท้ายแล้วแมก็เป็นเหมือนแม่ ป้าโกรธแมมากเลยใช่ไหม ทำไมป้าไม่ด่าแมอะ แมทำให้ป้าผิดหวังใช่ไหม"

เด็กชายสะอื้นเบาๆ สลับกับพร่ำคำว่าขอโทษซ้ำๆ โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนเป็นป้าแม้แต่นิดเดียว

"ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยจริงๆ "

แค่คำเดียวจากปากคุณนายเกียง เด็กหนุ่มก็กลั้นสะอื้นต่อไปไม่ไหวปล่อยน้ำตาไหลทะลักทะลายราวเขื่อนแตกกับคำพูดของญาติผู้ใหญ่ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียว

นั่นสินะ เขาคงเป็นลูกไม้ที่หล่นมันเสียใต้ต้น แม่เคยทำให้ป้าเสียใจอย่างไรเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ตอนนี้เขาก็ทำให้ป้าเสียใจแบบนั้นไม่ต่างกันเลย

คุณเกียงมองหลานชายตัวบางที่ร้องไห้โฮกับชายหนุ่มหน้าตาดีข้างๆ ที่คอยลูบหัวลูบหลังเจ้าแมปลอบแล้วถอนหายใจยาวเสียงดัง "เฮ้อ! ฉันยังไม่ได้ด่าสักคำ ตีความไปถึงไหนแล้วยะเจ้าแมเอ๊ย! ก็เหมือนแม่จริงๆ นี่จะให้ฉันพูดยังไงได้ หน้าก็เหมือนนี่ก็ยังมาเหมือนอีก" คุณเกียงตีเผียะเข้าไปทีแขนผอมหนึ่งทีเรียกสติ

"โอ๊ย! ฮือออ แมเจ็บนะป้า" ไอ้ตัวดีเบะปากถอยหนีจากวงสวิงของหล่อนจนกลายเป็นว่าไปเบียดกับคุณคริษฐ์ที่นั่งอยู่ด้านหลังแทน แถมยังซุกหน้ากับไหล่เขาเหมือนหาคนช่วยอีก

"คุณป้าอย่าตีน้องเลยนะครับ ตีผมแทนก็ได้" ป้าเกียงทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ ไอ้หนุ่มนี่ก็อีกคนปกป้องกันดีจริงๆ เห็นอนาคตลางๆ แล้วว่าหลานหล่อนได้ถูกตามใจจนเสียผู้เสียคนแน่คราวนี้

"ฉันตีให้หยุดร้อง เงียบเดี๋ยวนี้เลยไอ้แมแล้วฟัง"

“เงียบ ฮึก! แล้ว”

“อย่ามาทำหน้างอแบบนั้นนะ เดี๋ยวฉันจะฟาดให้อีกสักทีไหม” คุณเกียงชี้หน้าเด็กชาย

ห้องรับแขกเล็กๆ มีแต่ความเงียบเมื่อคนทั้งสามไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ คิรากรกับมะแมนั่งเงียบรอฟังว่าคุณเกียงจะพูดอะไร

หญิงวัยใกล้หกสิบปีสูดหายใจเอากลิ่นเย็นๆ ของพิมเสนน้ำในมืออีกหนึ่งเฮือกก่อนจะเริ่มต้นพูด “สามเดือนแล้วสินะ ตอนที่รู้เรื่องยัยก้อยนั่นท้องโย้แล้วนะ ปิดคนทั้งบ้านมาได้ตั้งนานเก่งจริงๆ ให้ตายสิ! ” ก้อยคือน้องสาวของเธอ แม่ของมะแม

“...”

“รู้ไหมว่าแกโชคดีกว่าแม่ตรงไหน” ป้าถามเขา แต่เขาส่ายหน้า “ตรงที่พี่เขารับผิดชอบลูกแกไง พ่อแกน่ะโผล่หน้าหรือส่งเงินมาซักแดงยังไม่เคยมี”

ถึงแม้ท้ายประโยคป้าจะด่าพ่อด้วยความเคียดแค้นไม่หาย แต่ต้นประโยคกลับทำให้มะแมใจชื้นขึ้นมาหน่อย

..นั่นสินะ อย่างน้อยพี่ก็ดีกว่าพ่อเขาแน่ๆ ..

“ฉันก็คงทำอะไรไม่ได้ ไม่มีสิทธิ์ไปด่าว่าแกหรอกนะเพราะฉันก็ไม่ได้เลี้ยงแกมาดีเด่อะไรเหมือนกัน” สามปีที่รับมาอยู่ด้วยกัน เธอมีเวลาให้เด็กคนนี้น้อยมากจริงๆ เพราะเคยชินกับยัยเมย์ที่เรียนจบแล้วจึงมักเผลอคิดว่าหลานชายคนนี้ก็คงไม่ได้ต้องการการดูแลมากมายเหมือนกัน “โตแล้วนะเจ้าแมจะเป็นแม่คนแล้วนะ เลิกทำตัวบ้าๆ บอๆ ได้แล้ว ทำอะไรอย่าคิดถึงแต่ตัวเองคิดถึงเด็กในท้องด้วย ฉันเชื่อว่าชีวิตแกจะไม่เป็นแบบแม่หรอก แต่ถ้ามีอะไรก็กลับมาหาฉันได้ตลอดนะรู้ใช่ไหม หลานทั้งคนป้าไม่ทิ้งหรอกนะ”

“อื้อ รู้แล้ว”

คุณเกียงลุกเข้าไปนั่งใกล้ๆ ตาตี่มองหน้าคิรากรที่นั่งถัดออกไปอีกหน่อยในขณะที่ยกมือขึ้นลูบหัวหลานชายที่เห็นมาตั้งแต่ตัวเท่าเมี่ยงแต่วันนี้กลับโตเร็วจนเธอไม่ทันได้ทำใจ “ป้าฝากแมด้วยนะคุณ” เมื่อคิรากรรับคำเธอก็หันมาคุยกับหลานต่อ “ชีวิตมันไม่แย่หรอกไอ้แมถ้ามีคนข้างๆ น่ะ”

เกียงคงเป็นให้ไม่ได้ทั้งความสบายใจ และคนข้างกาย

คงได้แต่หวังว่าคิรากรจะสามารถเป็นคนๆ นั้นที่หลานชายเธอต้องการมาตลอดได้

 


**************************

 

 

ไม่เคยเขียนหนึ่งตอนยาวเท่านี้เลยค่ะ ;_; รู้สึกเลยเถิดมากๆ

ป้าเกียงไฟเขียวแล้วว โล่งไปหนึ่งเปราะเนอะ แต่เหลืออีกหลายเปราะเลย 55555555

ตอนหน้าเตรียมทิชชู่กันด้วยนะคะ เอามาทำอะไรดีระหว่าง A. เช็ดนั้มตา หรือ B. เช็ดกำเดา ทายซิๆ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่าน รักน้าา <3

#คุณคิหลงน้อง

หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 20-02-2020 15:17:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: sailom_orn ที่ 21-02-2020 03:24:15
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: mystery Y ที่ 22-02-2020 09:28:10
ติดตามจ้า~
หัวข้อ: Re: ห ล ง [Omegaverse] l 11: ลูกไม้ใต้ต้น l 19/2/2020
เริ่มหัวข้อโดย: smmikie ที่ 29-03-2020 01:27:03
หายไปเลยยยย