INDY-POET
Wordslinger
AI.NoR
coffeeQbread
ไม่คิดว่านักเขียนหลาย ๆ ท่านที่ผมติดตามผลงานจะมาให้คำตอบ มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพส์มาก
ขอบคุณสำหรับ ความรู้ที่มอบให้ ผมเองเป็นแค่นักเขียนมือใหม่ เคยแต่งมาแล้ว 4-5 เรื่อง
แต่ไม่จบสักเรื่อง แต่ไม่รู้เป็นเพราะผมเริ่มรักในงานเขียนแล้วหรือเปล่า ...
วันไหนที่ไม่ได้แต่งนิยาย รู้สึกว่าตัวเองเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง สุดท้ายนี้
ขอขอบพระคุณมากจริง ๆ คับ
เราต่างหากที่ควรจะขอบคุณ คุณAlone ที่อ่านนิยายแปลกๆ ของเรา อารมณ์ตอนนี้คือแทบถลาไปกราบเลยล่ะ มันปลื้ม!
คุณแต่งมา4-5เรื่อง เก่ากว่าเราอีก เราพึ่งแต่งจบจริงๆ แค่1เรื่อง เป็นเรื่องสั้นด้วย ที่เหลือยังไม่จบเลย เรื่องไหนที่ยังเขียนไม่จบต่อให้คิดพล็อตคร่าวๆ ไว้หมดแล้วเรายังไม่นับน่ะ เพราะพล็อตกับการเขียนให้ออกมาไปตามที่คิดมันก็มีอะไรขัดกันอยู่ บางทีเขียนไม่ออก นึกคำไม่ได้ สารพัดปัญหา
แอบเสนอว่าถ้าตันลองพักแล้วไปทำอะไรเรื่อยๆ คิดไปๆ เดี๋ยวมันก็ปิ๊งเองอะไรทำนองนี้มั้ย?
เรื่องพี่ชัชน้องต้นเราไม่เคยตันนะ แต่STRINTเราเคยตันแหละ เขียนค้างไว้ที่LV3. เราก็พักเลยเป็นปี หนีไปแต่งพี่ชัชน้องต้นจนจบ ตอนนี้กลับมาหยิบงานชิ้นนี้อ่านแล้วเริ่มเขียนต่อปรากฏว่าไม่ตันแฮะ คือพล็อตที่คิดไว้หนึ่งปีก่อนก็ยังอยู่ในหัวนะ เรื่องยังเหมือนเดิม แต่คราวนี้เรารู้แล้วว่าต้องทำยังไงให้ตัวละครเดินไปตามพล็อต รู้สถานการณ์ ฉาก คำพูด ของตัวละครอ่ะ พอรู้แล้วมันก็เขียนได้
สถานการณ์คือ คนจะได้กัน เมาแล้วพลาด มุกซ้ำม๊าก! รู้ว่าตัวละครต้องลากกันไปงานเกมที่ต่างจังหวัด แต่ทีนี้แหละ จะเขียนยังไงให้มันไปเมาไปพลาด พลาดแล้วยังไง ตื่นมาแล้วเกิดอะไรขึ้น คือพอโล่งแล้วคาแรคเตอร์ลงเราก็เขียนได้เองเลยอ่ะ ลื่นปรื๊ด!
หรือเป็นเพราะมีอย่างอื่นสะสมเลยคิดไม่ออก? งั้นก็ไปทำอย่างอื่นก่อน โล่งแล้วมันก็ไหลออกมาเอง หรือถ้าคิดอีกแง่ เขียนงานที่รักมากที่สุดก่อน ทุ่มเทกับมันให้จบ พอจบแล้วจะได้โล่ง ไม่ค้างไปลงกับอย่างอื่น
เราอ่านนิยาย The Southern Vampire Mysteries หรือ The Sookie Stackhouse Novels มันมีดัดแปลงเป็นซีรี่ย์ฉายทาง HBO ด้วย ชื่อว่า TRUE BLOOD (แต่เนื้อเรื่องไม่เหมือนกันนะ!)
เราชอบอย่างนึงในเรื่องนี้คือ สถานการณ์บางอย่างดำเนินไปเรื่อยๆ ดันมีอะไรโผล่มาซะงั้น แหวกแนวไปเลย
เช่น นางเอกกลับมาจากมหกรรมกระซวกแม่มด กำลังเหนื่อยๆ ปนเหงาเพราะแวมขี้อ้อนที่รักจะหายความจำเสื่อมกลับมาหยิ่งเหมือนเดิม เข้าบ้านมาดันเจอกิ๊กเก่าหมาป่าเอาลูกซองมาขู่ นังตัวร้ายโดนแวมกระซวกตาย กลายเป็นฉากยัยนางเอกนั่งขัดบ้านกับบ่นปนพล่ามซะงั้น ไม่เหลือเวลารำลึกความหลังอะไรกันแล้วนอกจากช่วยกันทำความสะอาดเช็ดคราบเลือด แล้ววันต่อมาพี่แวมก็ฟื้นกลับเป็นปกติ แต่มันเล่นประเด็นต่อไปได้ว่า พี่แวมก็รู้สึกว่ามีอะไรค้างๆ คาๆ
แต่ถ้าเป็นนิยายปกติมันต้องพลอดรักยันวินาทีสุดท้ายใช่มั้ยล่ะ? บางทีการอ่านอะไรหลายๆ แนวก็ช่วยได้นะ ทั้งนิยายทุกๆ แนว ไลท์โนเวล การ์ตูน มุกแก๊ก หรือแม้แต่พวกขายหัวเราะ ถ้าเรามีวัตถุดิบในมือเยอะๆ เราก็จะเลือกมาใช้ได้เยอะตามอ่ะ อารมณ์ประมาณนั้นเลย
เราไปค้นบทความของคุณลวิตร์มาแปะให้ดีกว่า เอามาจาก
เฟสเขา เป็นนักเขียนไทยอีกคนที่เราชอบมาก ทุกเรื่องจะมีความอบอุ่นที่แฝงอยู่อ่ะ มันคือสไตล์เขาเลย บางเรื่องก็สนุกบางเรื่องก็เฉยๆ บางเรื่องฮา แต่เราตามงานเขาทุกเล่มเลยแหละ แหะๆ
เวลาที่ตัน:
เวลาที่ตันก็เหมือนอยู่ในซอยตัน คือว่าไปทางนี้ไม่ได้แล้ว แต่ความตันทางจิตวิญญาณนั้นไม่เหมือนซอยตันจริง ๆ คือว่าซอยตันมันก็จะตันจนกว่าท่านจะทุบกำแพงลงมา แต่อาการตันทางจิตใจนั้น แม้บางทีไม่ทุบกำแพง จู่ ๆ ที่ตันอาจจะหายตันได้ (เพราะความตันเป็นภาวะหนึ่งในใจเท่านั้น)
ความตันอาจจะเกิดขึ้นจากหลาย ๆ อย่าง เช่น ข้อมูลไม่พอ โครงเรื่องมันผิดมาตั้งแต่แรก สภาพจิตใจไม่พร้อม (กลัว มีเรื่องให้คิดมากเกินไป ฯลฯ) ไปจนถึงการอยู่แต่ที่เดิม ๆ นานเกินไป (ทั้งอยู่ในสถานที่เดิม ๆ และการอยู่ในสภาพจิตใจแบบเดิม ๆ นานเกินเหตุ)
ทั้งหมดนี้ แต่ละคนไม่เหมือนกันเลย และแต่ละคนจะมีวิธี approach ต่างกันมาก ๆ ด้วย จะมีคนที่บอกว่าทั้งชีวิตไม่เคยตันเลย ตันคืออะไร และคนที่ตันเป็นเดือน ๆ ปี ๆ เคสร้ายแรงถึงยี่สิบกว่าปีก็มี (แน่นอนว่าตานั่นมีหนทางทำมาหากินทางอื่น) ดังนั้นถ้าเจอคนที่เขียนหนังสือเหมือนกัน แล้วมันดันตันไม่เหมือนเรา ขอให้เข้าใจว่าเขาเป็น "คนละไทป์" อย่างได้ไปริษยามารศรี หรือเหยียดหยามดูแคลน แต่ละไทป์จะมีข้อดีต่าง ๆ กันไป
ข้าแบ่งคนเขียนหนังสือออกเป็นสองประเภทคร่าวๆ นี่เป็นการแบ่งจากประสบการณ์ล้วน ๆ ซึ่งอาจจะแบ่งให้ละเอียดไปกว่านี้ได้ ข้าเรียกว่า
- คนเขียนที่จมลงไปในเรื่อง
- คนที่เขียนลอยอยู่เหนือเรื่อง
ขอให้สังเกตว่า ถ้าอ่านงานของคนเขียนที่จมลงไปในเรื่อง ส่วนใหญ่ท่านจะหลงรักตัวละคร ท่านจะอินมาก ๆ ไม่ใช่แค่อินเพราะท่านเคยอกหัก อีตัวละครนั่นก็เคยอกหัก แต่ท่านอินเพราะท่าน sympathize กับตัวละครได้ในระดับลึก ประหนึ่งเป็นคนรู้จักกันเป็นอย่างดี
ถ้าอ่านงานของคนเขียนที่ลอยอยู่เหนือเรื่อง ส่วนใหญ่ท่านจะตื่นเต้นกับพล็อตที่ซับซ้อนลึกซึ้ง การโยงใยต่าง ๆ ท่านจะทึ่งว่า เฮ้ยคิดได้ไงฟะ แต่ท่านจะไม่รู้สึกกับตัวละครมากเท่ากับแบบแรก บางทีท่านอาจเฉย ๆ ที่มันตายหรือเป็นอะไรด้วย มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวท่านแต่อย่างไร ท่านเป็นแค่คนดู
แน่นอนว่างานเขียนจำนวนมากจะผสมผสานทั้งสองแบบนี้เข้าด้วยกัน แต่คนเขียนส่วนใหญ่มักจะหนักไปด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ชัดในบางผลงาน โดยเฉพาะงานที่ "เขียนไม่ดีแบบเอกซตรีม" งานของแบบจมที่เขียนไม่ดีจะฟุ้งฟูมฟาย (ถ้ามันไม่ตันจนเขียนไม่ออกเลย) งานของแบบลอยที่เขียนไม่ดีจะสากกะเบือ
ทั้งสองกลุ่มก็มีโอกาสตันได้เหมือนกัน แต่เท่าที่เห็น พวกจมจะมีปัญหามากกว่า ถ้าท่านรู้จักตัวเองว่าเป็นแบบจมหรือลอย ก็ช่วยไปได้เยอะแล้ว อย่างน้อยก็ช่วยได้ในกรณีที่ท่านตันแต่ทำไมเพื่อนอีกคนมาบอกว่าตันคืออะไร ไม่เคยได้ยิน แกขี้เกียจเองละกระมัง
ทีนี้มาถึงคำถามว่าทำไมพวกจมถึงตันง่ายกว่า
คำตอบง่าย ๆ คือพวกจมมี emotional expense มากกว่า ในระดับที่บางทีเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เช่นคิดวนไปเวียนมาว่าก็ลูกตูมันไม่ยอมไปทางโน้นนี่ มันไม่ถูกนี่ มันต้องผิดแน่ ๆ ไปจนถึงอาจจะคิดด้วยว่า คนอ่านอาจจะไม่ชอบ มันจะไม่สนุกถูกใจ ข้ามันห่วย ชีวิตนี้ไม่มีความหวังอีกต่อไป (พวกจมจะฟีลสิ่งรอบตัวได้ดีกว่า จึงคิดมาก)
ในขณะที่พวกลอยนั้นไม่ค่อยฟีลอะไร นอกจากงานที่อยู่ตรงหน้า ด้วยเหตุนี้จึงมีความสามารถในการมองสิ่งต่างๆ ได้เป็น objective มากกว่า อ้าว ไม่ยอมไปเรอะ งั้นลากมันไปก่อน ไว้เขียนเสร็จค่อยแก้อีกทีก็ได้ อ้าว ไม่สนุกเรอะ ไม่เป็นไร เขียนไปก่อน แก้ใหม่ทีหลังได้ นอกจากนั้นเพราะถอยห่างออกมาจากงานมากกว่า จึงสามารถเห็นภาพในมุมที่กว้างกว่าด้วย พอเห็นภาพมุมกว้างก็สามารถเลือกทางใหม่ ๆ ได้เร็วกว่า เหมือนคนเล่นหมากรุก หมากไปทางนี้ไม่ได้ก็ไปทางนั้น
ที่จริงคือสำหรับพวกจมนั้น ในเวลาที่รู้สึกแย่มาก ๆ จะต้องรีบถามตัวเองว่า "จมลึกไปหรือเปล่า" ด้วยนะ เพื่อที่จะได้มีสติ แล้วดึงตัวเองให้ลอยขึ้นมาให้ได้ ถ้าสามารถถอยออกห่างจากเรื่องได้นิดหน่อย ก็จะสามารถเห็นมุมกว้างได้เหมือนกัน (แต่มันเป็นสิ่งที่ต้องฝึก จะทำไม่ได้ง่าย ๆ เท่ากับพวกที่ลอยโดยธรรมชาติอยู่แล้ว)
###
อันนี้เป็นหลักทั่ว ๆ ไปสำหรับเวลาที่ตัน แต่ขอบอกว่าคนเขียนนี่ก็ไม่เคยหายตันแบบหายขาดเลยนะ ก็มีช่วงที่ตันอยู่ แล้วก็สู้กับการตันมาตลอด เพราะอย่างนั้นถึงต้องพยายามหาทางต่าง ๆ เท่าที่จะเป็นไปได้มาเรื่อย ๆ มาฝึกตัวเองให้อยู่กับมันให้ได้
ที่จริง บางทียังคิดด้วยซ้ำว่า การตันนี่เป็นสัญญาณที่ดีนะ มันคือตัวบอกว่าตรงนี้ไม่ใช่แล้ว เราจะยอมทำตามแผนนี้ไปเรื่อย ๆ แบบไม่ดูตาม้าตาเรือไม่ได้แล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่าง และถ้ายอมอยู่กับมันจนผ่านมันไปได้ (ซึ่งจะเป็นพีเรียดที่ข้าจะนิสัยไม่ดี จิตตก ฯลฯ) ก็มักจะมีไอเดียที่ดียิ่งกว่าแผนที่วางไว้มา
แต่แน่นอนว่าข้าไม่อยากนิสัยไม่ดี จิตตก ลงไปถึงก้นเหวก่อนทุกครั้งที่ตัน ข้าก็ว่าคนทุกคนก็ไม่อยากเป็นอย่างนั้นโดยไม่จำเป็นเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นจึงได้ลิสต์สิ่งที่ช่วยไว้ได้
- เปลี่ยน
การตันก็เหมือนเจอซอยตัน มันแปลว่าท่านอยู่ที่เดิมซ้ำ ๆ นานเกินไป และท่านเดินต่อไปทางนี้ไม่ได้ ท่านกำลังเอาหัวชนกำแพง ท่านจึงได้ทุกข์ทรมาน
ถ้าเมื่อไหร่ที่ทำอะไรซ้ำ ๆ อยู่ที่เดิมจนชักไม่ไหวแล้ว ให้รู้เลยว่ากำลังย่ำอยู่ในสภาพจิตแบบเดิม เมื่อรู้ว่าอยู่ในสภาพจิตแบบเดิม ให้ย้ายออก ขั้นแรกคือเลิกเขียน
ลองเปลี่ยนทุกอย่าง ตั้งแต่สถานที่เขียน ไปจนถึงการเล่าเรื่อง เปลี่ยนคนเล่าเรื่อง เปลี่ยนโฟกัสตัวละคร ตัวเอกมองเรื่องอย่างนี้ ไม่สนุก ไหนลองเปลี่ยนไปดูข้างตัวร้ายบ้าง
ลองเอาเรื่องไปถามคนอื่น บางทีก็ไม่ต้องเป็นคนที่อ่านเรื่องของเราก็ได้ เช่นเอาไปถามว่าถ้าเธอเป็นคนนี้ ๆ มีสถานการณ์แบบนี้ ๆ เธอจะทำยังไง คำตอบที่ได้รับ บางทีจะน่าสนใจมาก ๆ เพราะเราคิดว่ามันต้องเป็นอย่างนี้แน่ๆ แต่คนอื่นกลับมองไม่เหมือนเรา มันจะช่วยเปิดมุมมองใหม่ ๆ และพาเรากลับสู่การมองภาพมุมกว้างได้
สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนนี่ บางครั้งเพราะปัญหาทางจิตใจล้วน ๆ โดยเฉพาะคนที่จมนาน ๆ และมีระบบวิจารณ์ตัวเองที่ดุร้ายเขี้ยวโง้ง (เช่นข้าพเจ้า) ถ้าจมนานเกินไปจะคิดในแง่ร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ และวนลูปเดิมซ้ำจนกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง ดังนั้นทางที่ดีคือหาทางเปลี่ยนลูปใหม่ บางทีออกไปเดินรอบหมู่บ้านสักรอบก็จะรู้สึกดีขึ้นแล้ว
- สำรวจ
ถ้าหากว่าเปลี่ยนแล้วยังไม่เวิร์ค อาจจะมีปัญหาอื่น ๆ อยู่ เช่นปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่นบางทีเราคิดมาไม่หมด ขาดบางอย่างที่สำคัญไป ก็ต้องมาหาว่าไอ้ที่ขาดนั่นคืออะไร บางคนจะเขียนไม่ได้ถ้าไม่รู้จะไปต่อยังไง (แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ไม่รู้ไปจนจบเลยว่ามันจะไปต่อยังไง แต่เสือกเขียนได้ เนื่องจากตามตัวละครไปเรื่อย ๆ แกจะทำยังไงก็ทำไปเถอะลูก อนึ่ง นี่เป็นข้อดีของพวกจมที่พวกลอยจะไม่ค่อยได้ลิ้มรสหรอก)
การสำรวจนี่ ขอให้สำรวจหลังจาก "เปลี่ยน" แล้ว ห้ามสำรวจในภาวะที่กำลังจมลึกเด็ดขาด เพราะระบบวิจารณ์ตัวเองจะทำงาน และท่านจะไม่สามารถมองมุมกว้าง ส่วนใหญ่ท่านจะวนเวียนอยู่ที่ปัญหาเดิม ๆ และทางแก้ที่ท่านก็ไม่ชอบ แถมยังไม่สร้างสรรค์ด้วย (< ระบบวิจารณ์ตัวเองจะไปแอคติเวตสมองซีกซ้าย ทำให้ความคิดสร้างสรรค์ไม่ออกมา)
- รอ
นี่อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนักสำหรับหลาย ๆ คน แต่บางทีก็จำเป็นต้องรอจริง ๆ เพื่อให้ได้คำตอบที่ดีที่สุด
อนึ่ง ระหว่างที่รอนั้น ขอให้เชื่อไว้เสมอว่าจะต้องมีอะไรดี ๆ มา แต่อย่าไปคาดหวังแบบต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้โยนความคาดหวังกับนิยายทิ้งไปไว้ที่ห้องด้านใน ๆ ของจิตใจเลย ให้เสพรับประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามาอย่างเต็มที่ ให้ไปเที่ยว ให้ถาม ให้รู้ว่าบางทีคำตอบอาจจะไม่มีมาในสามวันเจ็ดวัน แต่สุดท้ายคำตอบมันจะมา ปรกติมันจะมาจริง ๆ นะ แต่ระหว่างที่รอนี่แหละมันทรมาน เพราะไม่รู้ว่าจะมาจริงไหม
ข้ายังจำได้ว่าตอนที่ติดช่วงท้าย ๆ ของผู้เสกทรายมาก งานที่ทำอยู่ก็เกิดทำให้ได้เขมร ข้าเดินเข้าไปในคุกตุลเสลง (เป็นที่ขังนักโทษการเมืองที่ทารุณมาก ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์) ตอนนั้นข้านึกออกเลยว่าอัยด์รู้สึกยังไง มีประสบการณ์ยังไง เขียนถึงอัยด์ได้ทันที
ข้าก็ไม่รู้ว่าตัวจะได้ไปเขมร ไม่คิดว่าจะได้ไปตุลเสลง ไม่รู้ด้วยว่าไปแล้วจะได้อะไรกลับมา บางทีการจะเขียนให้ได้ก็ต้องศรัทธาในสิ่งที่ชีวิตจะโยนมาให้แบบนี้เหมือนกัน (แต่ไม่ใช่งอมืองอเท้ารออย่างเดียว)
- ทะลวง
นี่คือทางที่พวกลอยจะใช้บ่อย ๆ แต่พวกจมมักจะไม่กล้าใช้ คือเขียนไปเลยแล้วแก้ทีหลัง หรือบางทีทะลวงไปแล้วมันก็อาจจะดีก็ได้
บางทีถ้ารอเท่าไหร่ก็ไม่มา แล้วมันติดอยู่นิดเดียวเอง เปลี่ยนยังไงก็ไม่ใช่ ก็ต้องทำใจให้กล้าหาญ แล้ว "ทะลวง" มันไปเลยเหมือนกัน การทะลวงทำได้ตั้งแต่หลับหูหลับตา เขียนให้ข้ามตรงนี้ไปให้ได้ จนกระทั่งถึงข้ามแม่งมันทั้งกะบินั่นแหละ เปลี่ยนเซ็ตติ้งไปอีกฝั่งนึงเลย แล้วมาคิดอุดช่องว่างเอาอีกที กล้า ๆ หน่อย แล้วส่วนใหญ่หลังจากที่เป๋ไปสักพัก มันจะเข้าที่เข้าทางเองแบบงงๆ (นี่คือประสบการณ์ตรง)
ทีนี้ถามว่าจะรู้ได้ไงว่าตอนไหนให้รอ ตอนไหนให้ทะลวง คำตอบก็คือไม่มีคำตอบที่ชัดเจนหรอก ไม่มีจริง ๆ แล้วแต่แต่ละคนเลือกยังไง แต่ถ้ารอนานแล้วยังไม่มีอะไรมา บางทีจักรวาลก็อาจจะบอกว่าเอ็งจงทะลวงเต๊อะอยู่ก็ได้นะ
อนึ่ง ถ้าเป็นไปได้ พยายามอย่าทะลวงด้วยความกลัว เพราะเรื่องต่อจากนั้นจะเกร็งและสากกะเบือทันที ถ้าทะลวงอย่างสร้างสรรค์ได้ก็จะดี (เช่นเปลี่ยนเป็นอีกฝั่งไปเลย)
อย่างไรก็ตาม พึงทราบว่าท่านรีไรท์ใหม่ได้เสมอ แก้ไขได้เสมอ ให้คิดว่านี่กำลังเล่น ไม่ใช่จริง จริงอีกทีทีหลังได้ เพอร์เฟคอีกทีหลังก็ได้ ท่านก็จะสบายใจในการทำงานและมีความสร้างสรรค์ได้มากขึ้นเหมือนกันก็ไม่รู้จะช่วยได้รึเปล่า แต่เฟซเขาสนุกดีนะ แหะๆ
เราเป็นคนพูดมาก อย่ารำคาญเขานะ แค่ทอล์กประจำเรื่องก็กลัวคนอ่านเบื่อแล้ว แหะๆ