PLEASE ♥ ขอรักได้ไหมครับ 1
เพี๊ยะ!
แรงตบจากฝ่ามือที่ประเคนลงบนหน้าของเป้าหมาย เป็นผลให้ใบหน้านวลขาวซีดเผือดนั้นหันไปตามแรง รอยปื้นสีแดงปรากฏอย่างเด่นชัด จนคนที่ลงไม้ลงมือถึงกับรู้สึกผิด แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทางห่วงใยออกไป มีเพียงแววตาที่ขึ้งโกรธมองคนตรงหน้าอย่างรังเกียจระคนผิดหวัง
นิ้วเรียวชี้หน้าน้องชาย กล่าวต่อว่าด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“แกยังเป็นน้องฉันอยู่หรือเปล่าห๊ะ! รู้ทั้งรู้ว่ากฤษเป็นแฟนของฉัน แต่แกก็ยังไปอ่อยเขาไม่เลิกไม่สิ้น อยากได้เขาจนตัวสั่นล่ะสิ แกเป็นเกย์ไม่พอยังอยากจะลากให้คนอื่นไปเป็นด้วยหรือไง”
ถ้อยคำต่อว่าจากพี่สาวเพียงคนเดียวในชีวิตทำให้เด็กหนุ่มถึงกลับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ทั้งที่พยายามอดทนแล้ว ทั้งที่พยายามบอกทุกอย่างแล้วแต่พี่สาวก็ยังจะเชื่อใจคนรักของตัวเองมากกว่าน้องชายที่อยู่ด้วยกันมาตลอดชีวิตอย่างเขา
ปัณณ์มองเครื่องหน้าสวยหวานตรงหน้าด้วยความรักและเทิดทูนแม้จะต้องเจ็บปวดทุกครั้งที่พี่สาวชอบทำให้รู้สึกว่าเห็นขี้ดีกว่าไส้ แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อพี่สาวที่น่ารักและเข้าใจเขามาตลอดกลับเปลี่ยนไปเพราะผู้ชายเพียงคนเดียวที่เข้ามาในชีวิตเพียงแค่ปีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยได้รับจากพี่สาว ผู้ชายคนนั้นกลับมาแย่งไปด้วยท่าทางที่ราวกับเป็นคนดีเสียเต็มประดา แต่ก็แค่ทำเพื่อเอาหน้าพี่สาวของเขา ความจริงมันก็แค่เดนมนุษย์!
หลายครั้งแล้วที่กฤษพยายามเข้ามาพูดจาลามกและพยายามลวนลามเขา ซึ่งเขาก็จะคอยหลบหน้าหรือไม่ก็พยายามไม่อยู่กับแฟนพี่สาวตามลำพังเด็ดขาด
เหตุที่ไม่เคยบอกถึงความชั่วให้พี่สาวฟังก็เป็นเพราะเขาสงสารไม่อยากให้พี่สาวเสียใจหรือคิดมากกับเรื่องนี้ ทั้งที่หลายครั้งเขาก็อยากจะบอกให้รู้แล้วรู้รอดไป แต่ก็ไม่ทำเพราะไม่อาจทำลายความสุขของคนที่เขารักได้
จนเรื่องมันมาแตกลงวันนี้เมื่อกฤษเข้ามาลวนลามเขาถึงห้องนอน บอกว่าชอบเขามากหากยอมมีอะไรด้วยจะยอมเลิกกับพี่อันน์ทันที เขาที่พยายามปัดป้องกายจากผู้ชายที่มีรูปร่างไม่ต่างกันอย่างยากลำบากก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพี่สาวที่บอกว่าอาจจะกลับดึกเปิดประตูเข้ามาเห็นเขาที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยโดยมีกฤษคล่อมเขาไว้ด้วยท่าทางอันล่อแหลม
ทั้งที่พูดอธิบายถึงเหตุผลต่างๆที่เกิดขึ้น และการยอมบอกความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับตัวกฤษ แต่พี่สาวก็เพียงแค่นิ่งเหมือนยอมรับฟัง แต่ความจริงแล้วทุกถ้อยคำที่เขาพูดนั้นหาได้เข้าไปสู่โสตประสาทของพี่สาวเพียงแต่น้อยไม่
“กฤษคุณทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง ฉันไม่ดีตรงไหนคุณถึงต้องมายุ่งกับปัณณ์ด้วย” หญิงสาวหันไปไล่เบี้ยผู้ชายอีกคนที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆตนเองด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ น้ำตาแห่งความผิดหวังและเสียใจรินไหลจนคนเป็นน้องอยากเข้าไปกอดปลอบ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะในสายตาของพี่อันน์ตอนนี้เขาก็คงไม่ต่างกับคนทรยศไปเสียแล้ว
กฤษรีบเข้ามากอดหญิงคนรักอย่างเอาใจ ภายในใจแม้จะตกใจที่หญิงสาวจับผิดเขาได้คาหนังคาเขาขนาดนี้ จากตอนแรกที่คิดว่าอันน์จะต้องโกรธและอาจจะขอเลิกเขาเป็นอันต้องตกไป เมื่อยังมองเห็นร่องรอยของความรักอยู่เต็มแววตาของหญิงสาวอยู่ แค่ง้อนิดเดียวก็คงหายโกรธได้ไม่ยาก
“อันน์อย่าพูดแบบนี้เลยนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้อันน์รู้สึกไม่ดีเลยนะ แล้วอีกอย่างผมก็ไม่ได้คิดหรือทำอย่างที่น้องชายคุณว่าเลยนะ...มันก็แค่การเข้าใจผิดเองนะ ที่รัก” เสียงห้าวบอก กดศีรษะอันน์แนบอก ส่งยิ้มอย่างเหนือกว่าให้คนอีกคนที่ยืนเงียบมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความน้อยใจ
“แต่ที่อันน์เห็น..”
“พอทีเถอะครับ!”
เมื่ออดรนทนไม่ไหว ปัณณ์ก็เป็นฝ่ายที่ตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเหลืออด
“ผมเองที่ผิดทุกอย่าง ผมยั่วเขาเอง...พอใจแล้วใช่ไหม” สิ้นเสียงกล่าวนั้น อันน์ก็ปรี่เข้ามาตบหน้าน้องชายอีกฉาดใหญ่ด้วยความโกรธ
“ปัณณ์กลายเป็นคนแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ห๊ะ!”
“ก็ตั้งแต่ที่ผู้ชายคนนี้เข้ามาไงล่ะ! พี่คงลืมไปเลยว่านอกจากผู้ชายคนนี้แล้วพี่ยังมีปัณณ์ที่เป็นน้องอยู่อีกคนนึง..ปัณณ์คงไม่สำคัญอะไรเลยสินะ เพราะแค่พูดพี่ยังไม่เชื่อกันเลย...หึ ถ้าไม่มีปัณณ์อยู่ด้วยก็คงไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าพี่สาวนิ่งไปเด็กหนุ่มก็เค้นเสียงบอกทั้งที่น้ำตายังไหล
“ดูแลตัวเองดีๆนะพี่อันน์” ปัณณ์ว่าก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป
“ปัณณ์! ปัณณ์กลับมานะ” อันน์รีบวิ่งตามน้องไปโดยที่กฤษเดินตามมาอย่างช้าๆด้วยท่าทางไม่ร้อนใจ ถึงจะเสียดายที่วันนี้ไม่ได้แอ้มปัณณ์ แต่วันหน้าเขาไม่มีทางพลาดแน่!
เมื่อลงมาถึงหน้าบ้านก็ไม่ปรากฏเงาของน้องชายแล้ว หญิงสาวใจเสียตั้งแต่ได้ฟังคำตัดพ้อจากปัณณ์แล้ว ไม่คิดว่าน้องจะน้อยใจถึงขั้นวิ่งหนีออกมาอย่างนี้ หญิงสาววิ่งไปถนนหน้าบ้านก็ไม่พบ จึงตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในบ้านเพื่อที่จะหยิบกุญแจรถ แต่กฤษขวางไว้ก่อน
“ปล่อยน้องไปสักพักเถอะอันน์ เดี๋ยวหายน้อยใจก็คงกลับมาเอง”
“แต่...”
“ที่รักครับ...เชื่อผมเถอะนะ”
กฤษคว้าตัวหญิงสาวเข้ามากอดไว้แน่นๆ ก้มลงบดจูบอ่อนโยนที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างแสร้งรักใคร่ เขายิ้มเมื่อคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการจะได้ในไม่ช้านี้...ปัณณ์จะต้องเสร็จเขาแน่นอน
เมื่อเห็นว่าพี่สาวเข้าไปในบ้านเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มก็ออกมาจากข้างๆรถยนต์ที่ตนใช้ซ่อนตัว ความจริงเขาไม่คิดที่จะไปไหนหรอกเพียงแค่น้อยใจมากจนอยากเรียกร้องความสนใจจากพี่สาว แต่ก็ดูเอาเถอะพี่สาวไม่คิดจะออกตามหาเขาเลย แต่กลับ...ภาพในห้องนั้นฟ้องทุกอย่างแล้วว่าเขาไม่ใช่คนสำคัญของพี่สาวอีกต่อไป
เด็กหนุ่มค่อยๆย่องออกมาจากบ้านด้วยความรู้สึกเสียใจ ทั้งสับสนทั้งกลัวกับสิ่งที่เขากำลังจะทำ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างในหนทางข้างหน้า ใจหนึ่งอยากย้อนกลับเข้าไปในบ้าน แต่ทิฐิอีกใจกลับเหนือกว่าทำให้ขาก้าวไปข้างหน้าบนทางฟุตบาทที่ข้างทางเงียบสงบเพราะบ้านเรือนเริ่มปิดไฟแล้ว มีเพียงแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าข้างทางเท่านั้นที่ยังพอเป็นเพื่อนร่วมทางไปกับเขา
ปรี้น!
เสียงแตรจากข้างหลังทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งเพียงนิดก่อนจะหันไปมองดูรถที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ คนขับลดกระจกลง
“ว่าไงน้อง ไปไหนเหรอ ให้พี่ไปส่งหรือเปล่า” เสียงจากชายหนุ่มเจ้าของรถดังออกมา สายตาที่มองตามเนื้อตัวอย่างจาบจ้วงนั้นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจก่อนเอ่ยปากปฏิเสธ
“ผะ ผมไปเองได้ครับ ไม่เป็นไร”พร้อมกับเร่งฝีเท้าไปข้างหน้า แต่รถคันเดิมก็ยังตามอย่างไม่ลดละ
“จะดีเหรอน้อง มีคนให้พี่พาน้องกลับไปส่งบ้านนะ”
“ใคร?”
“ก็พี่สาวน้องไง เขาให้พี่มาตาม” สิ้นคำนั้นเด็กหนุ่มหยุดเดินทันที มองคนที่เดินลงจากรถมาอย่างสนใจและมีความหวัง ทั้งดีใจที่พี่สาวยังคงเป็นห่วงเชาอยู่
“พี่เป็นเพื่อนกับพี่อันน์เหรอ”
“อืม...จะว่างั้นก็ได้นะ ตอนนี้เขาเป็นห่วงน้องมากเลย กลับไปพร้อมพี่เถอะนะ” ผู้ชายตัวสูงตรงหน้าที่มองดูเจ้าสำอางบอกพร้อมรอยยิ้มใจดี แต่ปัณณ์กลับรู้สึกตงิดกับท่าทางนั้น แต่อารามความดีใจมีมากกว่าทำให้เด็กหนุ่มปัดความระแวงนั้นทิ้งไป ยอมขึ้นรถไปกับชายแปลกหน้านั้นอย่างยินยอม
“พี่ มันไม่ใช่ทางกลับบ้านผมนะ” เด็กหนุ่มท้วงเมื่อเส้นทางที่อีกฝ่ายกำลังพาไปมันคนละทางที่จะไปบ้านของเขา
พันหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้เด็กหนุ่มข้างๆ
“น้องรู้จักกฤษไหม?” คำตอบคือความเงียบ
”มันเป็นเพื่อนพี่ว่ะ...แล้วมันก็อยากได้น้องมากๆๆเลยนะ”
ปัณณ์ถึงกับหน้าซีดเผือดเมื่อฟังคำนั้นจบ ดูท่าแล้วเขาคงจะไม่ได้กลับบ้านง่ายๆแน่ ผู้ชายคนนี้โกหก!
“พี่จอดรถเถอะ ผมจะกลับเอง” เสียงสั่นๆของเขาทำให้คนขับระเบิดหัวเราะออกมา
“น้องคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ เอาน่ายอมๆเพื่อนพี่มันสักครั้งเหอะ น้องก็ชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอ ไม่ยากหรอกน่า” เสียงเรียบเรื่อยจากพันทำให้คนฟังฉุน
“เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับพี่ จอดรถเดี๋ยวนี้”
“เห็นว่าคงจะไม่ได้นะ” สิ้นเสียงนั้นเด็กหนุ่มก็ได้แต่นั่งฮึดอัดก่อนจะนึกบางอย่างออก
“ทำไมพี่ถึงต้องทำตามที่เพื่อนพี่ต้องการด้วยล่ะ เป็นลูกน้องเขาหรือไง”
คนข้างๆไม่ตอบเพียงแค่หันมายิ้ม ก่อนจะหันกลับไปมองถนนเช่นเดิม
“พี่ชอบผู้ชายหรือเปล่า” พันหันมามอง คิ้วมุ่นอย่างไม่ชอบใจ
“พี่ไม่ชอบ!”
“แต่พี่ก็ไม่รังเกียจใช่ไหม?”
พันจอดรถข้างทาง ดึงคอเสื้อเด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ แล้วตะคอก
“อย่าพยายามพูดให้มันมากนัก บอกว่าไม่ชอบก็ไม่ชอบสิ มันจะอะไรกันนักกันหนาห๊ะ!”
“ถ้าพี่ไม่ชอบก็ปล่อยผมไป เพราะผมจะไม่ยอมให้ไอ้บ้าหน้าไหนมาเอาผมแน่”
“น้องจะโดนเอาอยู่แล้ว ยังไงก็หนีไม่พ้นหรอก” พันสะบัดมือออกจากอีกฝ่ายอย่างหัวเสีย ทุบพวงมาลัยระบายอารมณ์ หากเขาไม่ติดหนี้พนันกฤษ เขาคงไม่ยอมมาทำอะไรบ้าๆแบบนี้แน่ๆ
เมื่ออารมณ์เริ่มสงบชายหนุ่มก็ออกรถอีกรอบ
แม้จะตกใจในท่าทางเอาเรื่องของอีกฝ่ายมากเท่าไร แต่ปัณณ์ก็ยังไม่อยากจะยอมแพ้เพียงเท่านี้
ปัณณ์รอจนกระทั่งชายหนุ่มพาเขามายังคอนโดแห่งหนึ่งที่เขาไม่รู้จักอย่างรอเวลาหนี แต่พันแค่จอดรถเพียงแค่ครู่เดียวอย่างตัดสินใจก่อนจะขับรถออกมาจากคอนโดนั้นด้วยใบหน้ายุ่งยากใจ เขาหวังว่าสิ่งที่ทำอยู่จะไม่ส่งผลร้ายอะไรมากนัก
“พี่ชื่ออะไร” ปัณณ์เอ่ยถามทำลายความเงียบที่เกาะกุมภายในรถได้สองชั่วโมงกว่าๆ อย่างอดไม่ไหว
“พัน” ชายหนุ่มตอบทั้งที่สายตายังเพ่งไปที่ถนนตรงหน้าอย่างมีสมาธิ
“ผมชื่อปัณณ์ เอ่อ..พี่จะพาผมไปไหน” เสียงถอนหายใจดังออกมาจากร่างสูง
“จะพาไปเอา”
“ไหนพี่ว่าไม่ชอบผู้ชายไง ละ แล้วไหนบอกว่า...” ปัณณ์ละล่ำละลักถามอย่างขวัญเสีย อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ก็จะทำอะไรเขาด้วย
“เฮ้อ...พี่บอกว่าไม่ชอบแต่ก็ไม่ได้รังเกียจนี่”
“แต่พี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
พันไม่สนคนที่ร้องโวยวายข้างๆตัว เขาจอดรถเมื่อถึงที่หมาย สงสัยเขาคงจะได้ตัดเพื่อนกับกฤษก็คราวนี้ล่ะมั้ง
“ลง” ปัณณ์แทบไม่รอให้อีกฝ่ายกล่าวซ้ำเด็กหนุ่มรีบลงจากรถอย่างไว มองถนนหนทางที่มืดสนิท ข้างทางก็มีแต่ต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด
พันลงจากรถเดินอ้อมมาหาอีกฝ่ายก่อนกล่าว
“น้องกลัวผีหรือเปล่า”
ปัณณ์ถึงกับใจสั่น เมื่ออีกฝ่ายพูดราวกับรู้จุดอ่อนของเขา
“ทะ ทำไมเหรอ?”
“พี่จะบอกว่าที่นี่ผีดุ ถ้าไม่อยากโดนหลอกก็ตามมา” พันว่าก่อนจะเดินนำหน้าโดยมีไฟฉายส่องนำทาง เด็กหนุ่มยืนลังเลเพียงครู่ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย มองข้างทางอย่างหวาดๆ
เดินมาได้สักพัก เด็กหนุ่มก็เห็นบ้านพักที่เป็นไม้ทั้งหลังอยู่ตรงหน้า
“บ้านพี่เหรอ”
“อือ” พันว่าแล้วสาวเท้าเข้าไปในบริเวณบ้าน
“อ้าวคุณพันกลับมาแล้วเหรอครับ เอ๋...นี่ใครครับ” ชายวัยกลางคนวิ่งเข้ามาร้องถามอย่างสนใจ ที่เห็นเจ้าของบ้านที่นานๆทีจะกลับมาที่นี่สักครั้งหนึ่ง โดยปล่อยให้เขาดูแลบ้านแทน
“ลุงจ๋องกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ” พันว่า ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับสาวเท้าขึ้นบันไดไปโดยไม่รอคนที่พามาด้วย
ปัณณ์ยิ้มแหยให้ลุงตรงหน้านิดนึงก่อนจะรีบตามผู้ชายคนนั้นขึ้นไป
“พี่”
พันหันมามองปัญหาใหญ่ตรงหน้าอย่างระอา เขาไม่น่าแส่หาเรื่องเลย ไม่น่าโทรไปหากฤษตอนนั้นเลย ไม่งั้นเขาคงไม่ต้องมาเจอเรื่องที่ลำบากใจเช่นนี้แน่ๆ
“น้องนอนห้องนี้แล้วกัน” พันเปิดห้องนอนของเขาให้เด็กหนุ่มก่อนจะกล่าวย้ำ
“ห้ามคิดหนี เพราะพี่จะไม่ตามแล้ว อยากไปไหนก็ไป ถ้าคิดว่าไปรอด” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกห้องนึง
ปัณณ์นิ่ง เขาคิดว่าควรถามสิ่งที่ข้องใจอยู่ในตอนนี้ ไม่งั้นคืนนี้เขาคงนอนไม่หลับแน่
“พี่จะไม่พาผมไปให้พี่กฤษใช่ไหม”
พันถามตัวเองว่าตั้งแต่เขาอยู่กับเจ้าเด็กคนนี้เขาถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้า
“นอนพักเถอะ อย่าเพิ่งคิดอะไรมากเลย” พันว่าแล้วเดินเข้าห้องไป
ปัณณ์ยิ้ม อย่างน้อยในตอนนี้เรื่องที่เขากังวลอยู่จะไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เพราะอีกฝ่ายก็ดูจะเปลี่ยนใจไม่ทำตามที่เคยเอ่ยปากบอกเขาไว้แต่แรกแล้ว ชายหนุ่มยังดูเป็นคนดีขึ้นมาบ้าง
คืนนั้นปัณณ์นอนไม่ค่อยหลับ เช้ามาจึงดูไม่ค่อยแจ่มใสนัก เด็กหนุ่มอาบน้ำและใส่เสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ ซึ่งคงจะเป็นของเจ้าของห้อง ขนาดตัวที่ไม่ต่างกันมากนักจึงทำให้เขาใส่ได้อย่างพอดี
เด็กหนุ่มเดินลงมาข้างล่างก็เห็นเจ้าของบ้านเดินกลับมาจากข้างนอกพอดี มองรอบตัวในยามเช้าที่นี่เหมือนอยู่ในป่า มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นไม้มากมาย จนเหมือนหลุดเข้ามาในป่าลึกก็ไม่ปาน
“ตื่นแล้วเหรอ” พันว่า ยื่นถุงโจ๊กในมือให้เด็กหนุ่มตรงหน้า
ปัณณ์รับมาแล้วมองอีกฝ่ายอย่างต้องการถาม
“กินข้าวก่อนเถอะ มีอะไรค่อยคุยกัน” พันเดินเลี่ยงขึ้นบ้านไปปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนเคว้งอยู่หน้าบ้านคนเดียว
“พี่” ปัณณ์เรียกเมื่อเห็นพันกำลังจะเดินผ่านเขาไป เด็กหนุ่มรีบออกจากชานบ้าน หยุดยืนมองหน้าผู้ชายที่เขาเพิ่งสังเกตว่าดูดีมากคนนึงก็ว่าได้ แล้วเอ่ยปากถาม
“พี่จะไปไหนเหรอ”
“ไปหากฤษ”
“ไปทำไม?”
“ไปคุยกับมัน เรารออยู่ที่นี่แหล่ะ เพราะยังไงก็ยังกลับไปบ้านไม่ได้อยู่ดี”
“พี่”
“อะไรอีกล่ะ”
“ขอบคุณนะ”
พันถึงกับพูดไม่ออก รอยยิ้มที่เด็กหนุ่มตรงหน้าส่งมาให้เขานั้นมันดูจริงใจและใสซื่อบริสุทธิ์ จนเขาตัดใจทำสิ่งที่เลวร้ายไม่ลงจริงๆ
“อืม”
ปัณณ์นั่งรอและนอนรอจนกระทั่งเย็นพันก็ยังไม่กลับมา เด็กหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ อยากกลับบ้านก็อยาก แต่ก็กลัวว่าอาจจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิมเลยได้แต่รอให้พันกลับมาก่อน จนกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงทุ่มนึง พันก็กลับมา
“พี่” ปัณณ์วิ่งเข้ามาหาเมื่อเห็นร่างที่โงนเงนนั้นเดินอย่างสะเปะสะปะ ร่องรอยบนใบหน้าที่สะท้อนแสงไฟปรากฏรอยช้ำเหมือนโดนทำร้ายร่างกายมา
“พี่โดนอะไรมา ใครทำพี่” ปัณณ์แทบไม่รู้ว่าตัวเองนั้นได้แสดงท่าทางห่วงใยต่อหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน พันยิ้มแห้ง สะบัดแขนที่ปัณณ์ประคองออกจากตัว
“เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้วล่ะ เดี๋ยวพี่ให้ลุงจ๋องไปส่ง” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเดินขึ้นบ้านไปโดยไม่สนใจคนที่วิ่งตามมาอย่างเป็นห่วง
“เดี๋ยวผมทำแผลให้นะ”
“เอ่อ...คุณพันครับ” เสียงลุงจ๋องที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้พันหันกลับไปมอง
“ลุงพาเด็กคนนี้ไปส่งที่...แล้วกันนะ เดี๋ยวพี่สาวเขาไปรับเอง”
“หมายความว่ายังไงครับ” ปัณณ์ที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ร้องถามขึ้นมา
“นายกลับบ้านไปได้แล้ว”
“แต่”
“กลับไปซะ!” ปัณณ์พยายามกลบความน้อยใจที่ตีตื้นขึ้นมาในอกอย่างลำบาก เขาแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่แค่ผู้ชายคนนี้ที่แค่เพียงรู้จักกันแค่วันเดียวแต่กลับทำให้เขาทุกข์ร้อนใจเมื่อเห็นบาดแผลบนร่างกายและท่าทางเฉยชานั่น
“ผมไม่กลับ!” ทั้งที่เขาควรจะดีใจและรีบกลับไปตามที่อีกฝ่ายสั่ง แต่ใจกลับไม่อยากทำแบบนั้นเลย
“ลุงกลับไปก่อนเถอะนะครับ ผมยังไม่ไปไหนทั้งนั้น” เด็กหนุ่มหันไปบอกลุงจ๋องที่ไม่รู้จะเอายังไงกับชีวิตดี เหตุการณ์ตรงหน้าดูจะไม่ค่อยน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่แล้วสิ เขาควรหลบฉากเสียดีกว่า คิดได้ดังนั้นลุงจ๋องก็ขอตัวกลับบ้านตัวเองเสียเลย
“น่าจะดีใจนะที่จะได้กลับบ้านแล้ว จะอยู่ต่อทำไมล่ะ หืม” พันถาม เดินหนีจะเข้าห้อง
“มา ผมทำแผลให้” ปัณณ์เดินเข้าไปฉุดแขนอีกฝ่ายไว้พยายามลากให้เข้าไปในห้องที่เขาใช้นอนเมื่อคืนเพราะมีตู้ยาสามัญประจำบ้านอยู่
พันเดินตามเด็กหนุ่มเข้าไปอย่างว่าง่าย เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ชายหนุ่มก็ผลักปัณณ์ลงบนที่นอนแล้วขึ้นคล่อมอีกฝ่ายไว้ กลิ่นแอลกอฮอร์จางๆจากร่างสูงทำให้คนที่ตกอยู่เบื้องล่างเบ้หน้าอย่างไม่ชอบใจนัก
“พี่” ปัณณ์ตกใจไม่น้อยที่จู่ๆอีกฝ่ายขึ้นมาทับเขาไว้
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าได้ลองเอากับเราน่ะ ช่วยไม่ได้ไม่ยอมกลับไปตั้งแต่ทีแรก คราวนี้พี่ไม่ปล่อยเราอีกแล้วนะ” พันว่าก่อนจะซุกไซ้จมูกไปที่ลำคอขาวผ่องนั่นตามแรงอารมณ์
เขาไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนี้ แต่เพราะอยากให้ทุกอย่างมันจบๆไปเสีย ให้เด็กนี่เกลียดเขาจะได้รีบกลับบ้านไปซะ
ทั้งที่เฝ้ารอการตอบโต้หรือขัดขืนจากอีกฝ่าย จนแล้วจนรอดก็ไม่มีท่าทีใดๆที่ต่อต้านเลย ชายหนุ่มจึงหยุดตัวเอง เงยหน้ามองคนที่นิ่งอยู่อย่างแปลกใจ
“ทำไมไม่ขัดขืน ไม่กลัวหรือไง”
“ผมรู้ว่าพี่ไม่ได้อยากทำแบบนี้หรอก ใช่ไหม?” สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังนั้นทำให้คนมองได้แต่ทอดถอนใจ
“พี่ไม่ใช่คนดี เราแทบไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ จะมาไว้ใจพี่ได้ยังไง” ชายหนุ่มว่าก่อนจะผละตัวออกจากเด็กหนุ่ม ลุกนั่งบนเตียงขยี้ผมอย่างหงุดหงิดใจ
“พี่ชอบผมไหม” จู่ๆปัณณ์ก็เกิดอยากถามเรื่องที่ไม่ควรถามขึ้นมา เด็กหนุ่มยิ้มขืนให้กับตัวเอง เขาหวังอะไรอยู่หรือไง
“อืม...มั้ง” พันว่ากำลังจะลุกขึ้นก็ต้องล้มตัวลงนอน โดยมีปัณณ์ขึ้นทาบทับด้านบน
“ทำอะไรของเราเนี่ย” ชายหนุ่มถามอย่างตกใจ ไม่เข้าใจการกระทำของอีกฝ่าย
“ครั้งแรก”
“หืม?”
“ผมจะให้ครั้งแรกกับพี่” ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจนั่นทำให้คนฟังถึงกับหลุดขำออกมา
“ฮ่าๆๆ เราคิดอะไรน่ะ ไม่เอาน่าเมื่อกี้พี่ล้อเล่น เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปส่งที่บ้านโอเคนะ” พันพยายามจะลุกขึ้น แต่คนด้านบนไม่ยอม ปัณณ์ก้มลงมอบจูบแรกให้คนข้างล่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าบวมช้ำที่ยังมีความหล่อเหลานั้นอย่างประหม่า
“เราจะไม่เสียใจภายหลังแน่นะ” พันถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า คำตอบของเด็กหนุ่มคือการก้มลงจูบอีกรอบ เส้นความยับยั้งช่างใจขาดผึง พันจัดการจับคนด้านบนพลิกลงให้อยู่ใต้ร่างของเขา บดจูบที่ริมฝีปากบางนั้นอย่างกระหาย ปัณณ์ตอบสนองจุมพิตนั้นอย่างเงอะๆงะๆ แต่พันกลับชอบใจจูบที่ไร้เดียงสานั้นมากนัก เขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนเองและเด็กหนุ่มตรงหน้าออกจนหมด กระซิบถามเสียงพร่า
“เราแน่ใจนะ พี่ไม่ถอยแล้วนะ” เมื่อไม่ได้รับคำปฏิเสธหรือเอ่ยห้ามใดๆ พันก็จัดการแทรกนิ้วเข้าไปที่ช่องทางด้านหลังนั้น อาการเกร็งตัวและสีหน้าเหยเกของอีกฝ่าย ทำให้เขาต้องก้มลงมอบจูบอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมเด็กน้อยที่หน้าซีดเผือด กัดปากสะกดกลั้นเสียงร้องไว้อย่างหน้าสงสาร
เมื่อทุกอย่างดูพร้อมพรักแล้ว ชายหนุ่มก็เปลี่ยนจากนิ้วมาเป็นแท่งร้อนที่แทบระเบิดของตน สอดแทรกเข้าไปยังช่องทางคับแน่นนั้นอย่างอดทน มือหนาลูบไล้ผิวกายที่นวลเนียน ชักจูงแท่งร้อนของเด็กหนุ่มให้มีอารมณ์ร่วมด้วย
เมื่อพันดันตัวเองเข้ามาจนสุด เขาก็หยุดนิ่งแช่ไว้ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มขยับโยกเบาๆ เสียงครวญครางดังออกมาจากร่างของทั้งสองที่ผสานเป็นหนึ่งเดียว รวมถึงหัวใจที่เริ่มผสมเข้าด้วยกัน
ปัณณ์ดิ้นพล่านกับรสเพศที่เพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรกในชีวิต แม้ในตอนแรกจะเจ็บ แต่สักพักเขากลับพบว่าในความทรมานนั้นมันกลับแฝงไปด้วยความสุขที่หอมหวานไม่แพ้กัน ทุกครั้งที่พันเน้นย้ำและกระแทกถี่รัวตรงจุดกระสัน มันทำให้เขาสุขจนกระอักน้ำรักออกมาหลายรอบ เด็กหนุ่มกอดก่ายผู้ชายด้านบนไว้แน่น เมื่อรู้สึกกระตุกพร้อมทั้งที่รู้สึกว่ามีอะไรพุ่งเข้ามาในตัวเขาจนล้นปรี่
ทั้งสองหอบหายใจเสียงหนัก เมื่อบทรักร้อนแรงได้จบลง พันล้มตัวลงนอนข้างๆปัณณ์ ดึงเด็กหนุ่มมากอดไว้แนบอก หลับตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน เขายังไม่อยากคิดอะไรให้มากความอีกแล้ว หวังว่าพรุ่งนี้คงจะไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องยุ่งยากใจอีก
แสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามากระทบใบหน้า ทำให้คนที่นอนอยู่อย่างเหนื่อยอ่อนต้องยกผ้าห่มขึ้นมาบังหน้าไว้ ก่อนที่จะลืมตาตื่นเมื่อนึกเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาได้ ปัณณ์ลดผ้าห่มลง มองข้างกายที่ไม่ปรากฏร่างของใครอีกคนที่เขาหวังว่าจะได้เจอ
เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่ง แม้จะรู้สึกปวดระบมตัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก บทรักที่เขากับพันได้ทำร่วมกันเมื่อคืนแม้จะร้อนแรง แต่ชายหนุ่มก็อ่อนโยนกับเขามากเช่นกัน
เด็กหนุ่มอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จก็เดินลงมาหน้าบ้าน พบคนที่เขานอนกอดเมื่อคืนกำลังยืนพิงเสาบ้าน ผมประบ่าถูกรวบไว้เป็นจุกอยู่ท้ายทอย ยืนหันหลังให้เขาอยู่ ปัณณ์รีบสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ แล้วสวมกอดไปที่เอวนั่น มันอบอุ่นจริงๆ กับคนที่เขารู้สึกดีด้วยคนแรก แถมยังเป็นคนที่ได้ครั้งแรกของเขาไปด้วยความเต็มใจ
พันสะดุ้งเมื่อถูกกอด เขาจับมือที่แนบหน้าท้องเขาไล้เบาๆ สายตาจ้องไปยังผืนป่าตรงหน้า
“พร้อมที่จะกลับบ้านหรือยัง” เสียงทุ้มเอ่ยถาม ทำให้คนที่อยู่ข้างหลังผละออกจากอ้อมกอด พันหันกลับมามองหน้าผู้ชายที่เขาก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ว่ารู้สึกอะไรกับอีกฝ่ายหรือไม่
ปัณณ์สูดลมหายใจเข้าลึก เริ่มเข้าใจทุกอย่างแล้ว เป็นเขาเองที่ยอมให้ทุกอย่างมันเกิดขึ้น แล้วจะไปคาดหวังอะไรจากผลลัพธ์ของมันด้วยล่ะ ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน จะมาเสียใจในท่าทีเฉยชาของอีกฝ่ายไปทำไม
“ครับ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่ม แม้กระทั่งตอนที่เจอหน้าพี่สาวโดยไร้เงากฤษข้างกาย ปัณณ์ดีใจที่ได้พี่อันน์กลับคืนมา เขาไม่ได้ถามถึงกฤษ รู้แค่ว่าตอนนี้ทั้งคู่ได้เลิกรากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คงจะเป็นเพราะคนนั้นที่เข้ามาช่วยเคลียร์ทุกอย่างให้สินะ ผู้ชายที่เขาให้ครั้งแรกของตัวเองไป ผู้ชายที่ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างกัน ผู้ชายที่เขาเริ่มรักทั้งที่ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ช่างน่าขำ! เขาควรจะลืมด้วยใช่ไหม แต่ทำไมมันทำยากจัง!
☻☻☻☻
สวัสดีนักอ่านทุกท่านนะคะ มาเปิดเรื่องสั้นอีกเรื่องแล้วจ้า เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอยากเขียนล้วนๆเลย อิอิ เรื่องนี้มีอยู่สองตอนจบจ้า ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะคะ :mew1:
PLEASE♥ ขอรักได้ไหมครับ 2 (จบ)
สายลมพัดกระพือแรงจนร่างของนักศึกษาหนุ่มที่เดินอยู่บนริมถนนฟุตบาทแทบปลิวลอยไปกับแรงลมที่ซัดสาดใส่เขาอย่างไม่ออมกำลัง ปัณณ์พาร่างอันเปียกปอนของตัวเองเข้าไปยืนหลบหน้าเซเว่นหน้าถนนก่อนถึงทางเข้ามหาวิทยาลัยที่ยังพอมีพื้นที่ว่างให้เขาได้พักพิงชั่วคราว
นักศึกษาชายห้าคนที่ยืนออหลบฝนเช่นเดียวกัน ต่างซุบซิบกันเบาๆแล้วมองมายังเขาด้วยสายตาแปลกๆจนเด็กหนุ่มรู้สึกประหม่า ถอยห่างจากคนกลุ่มนั้นออกมา เดินย่ำเท้าฝ่าเม็ดฝนมหาศาลเข้าไปหลบอยู่ในตู้โทรศัพท์สาธารณะไม่ไกลจากเซเว่นนัก ก้มมองดูสภาพเปียกชื้นของตัวเองแล้วพร่างพรูลมหายใจอย่างยอมรับสภาพที่ดูไม่จืดของตัวเอง
สภาพอากาศแปรปรวนไม่เหมาะที่จะออกมานอกบ้านเสียเลย นี่คงเป็นเช้าวันจันทร์ที่แสนทุลักทุเลสำหรับเขาไม่น้อย มาเรียนวันแรกในเทอมสองของชั้นปีที่สองคณะคหกรรมศาสตร์ก็เจอเรื่องให้ต้องหงุดหงิดกับฝนที่ตกลงมาเหมือนแกล้งจะให้เขาหนาวตาย เด็กหนุ่มสะบัดผมจนหยดน้ำกระจายไปกระทบกับกระจกที่โอบล้อมร่างของเขาไว้รอบด้าน
สายตาลอบมองนักศึกษาห้าคนที่วิ่งขึ้นรถเก๋งคันดำที่มาจอดรับแล้วเคลื่อนเข้าไปในรั้วมหาลัยจนหายไปจากสายตา เขารู้สึกหงุดหงิดกับสายตาที่มองมาอย่างน่าเกลียดเหล่านั้น สายตาอันจาบจ้วง ละลาบละล้วงจนเขาอึดอัด
ไม่คิดว่าการที่เขาเป็นเกย์จะถูกมองออกได้ง่ายขนาดนี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายตุ้งติ้ง ออกจะเหมือนผู้ชายปกติทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากผู้ชายเหล่านั้นเลย แต่ดูเหมือนว่าหลังจากที่เขา...
เด็กหนุ่มส่ายหัวราวกับไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้น
เรื่องที่เขาควรจะลืมไปตั้งนานแล้ว...แต่มันไม่ง่ายเลย
หึ...มันจะลืมกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?
ไม่มีทางเป็นไปได้...ก็ในเมื่อเขายังจดจำถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะผ่านมาหนึ่งปีแล้วก็ตาม
หนึ่งปี...ที่ผู้ชายคนนั้นหายไปจากชีวิตเขา พร้อมกับมีคนมากมายเข้ามารู้จักและต้องการสานสัมพันธ์กับเขา
แต่มันไม่ง่าย...เขาไม่อาจจะรับความรักจากใครได้ มันทำใจยากเกินไป...
ก่อนที่ปัณณ์จะกลับบ้านไปกับพี่สาวเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว เขาให้เบอร์มือถือไปกับผู้ชายคนนั้น
เขาดูเหมือนคนโง่ ที่ได้แต่รอคอยผู้ชายคนนั้นให้ติดต่อกลับมา ไม่ต้องมาหาแค่โทรมาให้ได้ยินเสียงบ้างก็ยังดี
แต่มันกลับเงียบกริบ...ราวกับใครคนนั้นหายตัวได้
หึ...เขาไม่เคยลืม แต่ไม่รู้จะจำไปทำไม ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าในตอนนั้นถึงได้ทำตัวเหมือนคนโง่ที่ได้แต่รอ รอแล้วรอเล่า รอจนเวลาล่วงเลยมาหนึ่งปี
แต่ไม่มีอะไรเลย...เท่ากับที่รอมามันเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
พี่อันน์เล่าให้ฟังว่า ผู้ชายคนนั้น ได้เข้ามาบอกเธอในเช้าก่อนวันที่เขาจะกลับว่า พี่กฤษสั่งให้ผู้ชายคนนั้นพาตัวเขามาให้ บอกอีกว่ากฤษอยากได้เขามาตลอด และพี่กฤษไม่เคยซื่อสัตย์กับพี่อันน์เลย หลักฐานที่เอามาให้ดูคือคลิปของพี่กฤษกับสาวๆและเด็กหนุ่มอีกหลายรายที่เปิดให้กดโหลดซื้อมาดู
พี่อันน์เสียใจมาก บอกตัดขาดกับพี่กฤษในทันที ส่วนผู้ชายคนนั้นก็โดนพี่กฤษทำร้ายร่างกาย แต่ก็ไม่ได้โต้ตอบกลับ ยอมให้พี่กฤษซ้อมจนพอใจ แล้วความเป็นเพื่อนก็สะบั้นลงภายในวันนั้น พี่อันน์ได้ยินว่าผู้ชายคนนั้นติดหนี้พี่กฤษไว้มากอยู่พอควร แต่ไม่รู้รายละเอียดมากนัก
นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เขาไม่เคยต้องระแวงเกี่ยวกับพี่กฤษอีกแล้ว แต่เขากลับโหยหาคนไร้หัวใจคนนั้น
เขามันใจง่ายเอง ที่รักคนที่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงสองวัน
เขามันใจง่ายที่เสนอตัวเองให้คนเย็นชา
เขามันคนใจง่าย...ทั้งที่ประณามตัวเองแบบนั้น แต่เขาหาได้รู้สึกเสียใจไม่
ให้คิดเสียว่ามันคือบทเรียนราคาแพงที่เขาจะไม่ทำซ้ำให้ต้องเจ็บปวดอีกอย่างแน่นอน
อยากจะหายไป ก็อย่ามาให้เห็นหน้าอีก เพราะเขาจะไม่ทน
เขาจะไม่ทน...และจะไม่ปล่อยให้ไปไหนอีกแล้ว
อย่าให้เจออีก...เพราะเขาจะพันธนาการพี่พันไว้ด้วยหัวใจของเขา
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเคยทอดทิ้งเขาไปอย่างไม่ใยดีก็ตาม
เสียงเคาะกระจกจากบุคคลหนี่งซึ่งเขามองเห็นหน้าไม่ชัดดังขึ้น ไอความเย็นขึ้นเป็นฝ้าขาวถูกถูออกด้วยฝ่ามือบาง ปรากฏภาพข้างนอกตู้โทรศัพท์เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่สูงระดับเดียวกันกับเขา
ร่างนั้นถือร่มสีดำไว้ ทอดมองมาด้วยสายตาที่เขาก็ไม่อาจจะอ่านความหมายได้ ความเงียบเกิดขึ้นราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เด็กหนุ่มไม่ได้ขยับตัวไปทางไหน ได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง ที่เริ่มจะหลอมละลายเมื่อโดนไฟจากดวงตาคมที่มองอย่างแผดเผา ราวกับว่าเขากำลังทำเรื่องที่ไม่สบอารมณ์จนอีกฝ่ายต้องโกรธ
โกรธ?
เขาต้องเป็นฝ่ายที่รู้สึกแบบนั้นไม่ใช่เหรอ? คนนิสัยไม่ดีแบบนั้นมีสิทธิ์อะไรมาโกรธเขา
เด็กหนุ่มก้าวพรวดออกจากที่พักพัง มายืนประจันหน้ากับผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาไม่เหลือเค้าหนุ่มเจ้าสำอางที่เขาเคยเจอมาก่อน ผิวที่เคยขาวดูกร้านแดด ดูเป็นชายหนุ่มดิบเถื่อน เพราะเหนือริมฝีปากนั้นปกคลุมไปด้วยหนวดครึ้ม ปากหนาของอีกฝ่ายไร้รอยยิ้ม
สิ่งที่ปัณณ์คิดได้ในตอนนี้คือ เขาจะทำยังไงดี กับผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผู้ชายที่เขาคิดถึงมาตลอด
ผลัวะ
กำปั้นหนักๆกระแทกเข้าแก้มซ้ายพันอย่างจัง จนเขาล้มลงไปกองกับพื้น ร่มหลุดมือปลิวห่างออกไปตามกระแสลม รสเลือดในปากบอกเขาได้ดีว่าคนที่ยืนหน้าซีดตัวสั่นโกรธเขามากแค่ไหน
ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากทั้งสองฝ่าย พวกเขาต่างจ้องตากันท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำอย่างไม่ลืมหูลืมตา
เม็ดฝนที่พร่างพรมบดบังความรู้สึกมากมายที่ออกมาจากแววตา น้ำที่รินไหลไม่อาจแยกได้ว่าอันไหนน้ำตาอันไหนน้ำฝน ปัณณ์ร้องไห้เงียบๆ ดวงตาแดงก่ำ ก้อนสะอื้นจุกที่อก เขาปวดแปลบ ราวกับใจมันโดนชำแหละด้วยสายตาที่ว่างเปล่านั้น เด็กหนุ่มทรุดนั่งลงกับพื้นเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่มีแรงที่จะยืนได้อีกต่อไป
พันตกใจเมื่อเห็นคนที่ฝากหมัดไว้ที่เขาทรุดนั่ง ร่างนั้นนั่งนิ่ง เขาเข้าไปพยุงร่างของเด็กหนุ่มขึ้น แต่ปัณณ์กลับสะบัดมือเขาออกราวรังเกียจ แล้วลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง สายตาตัดพ้อและเสียใจของอีกฝ่ายทิ่มแทงทำให้เขารู้สึกผิด
ไม่รู้จะพูดคำไหนดี ให้ไม่เหมือนเป็นการแก้ตัว แต่เป็นการอธิบาย
พันยืนลังเล ในขณะที่ปัณณ์กลับยิ่งเสียใจในท่าทางนิ่งเฉยที่ดูเย็นชานั่น
เป็นเขาคนเดียวใช่ไหมที่ดีใจ
เป็นเขาคนเดียวใช่ไหมที่คิดถึง
“ปัณณ์” เสียงที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางสายฝน ไม่อาจทำให้คนที่กำลังเศร้าซึมสนใจ ปัณณ์หันหลังให้อีกฝ่าย แล้วก้าวเดินออกมาจากตรงนั้นทันที
“ปัณณ์” พันวิ่งตามมาคว้าแขนที่ดูจะเล็กกว่าตอนที่เขาเคยจับ เอวของอีกฝ่ายไม่บางเหมือนตอนนี้....ผอมลงขนาดนี้เลยเหรอ?
“ปล่อย” ปัณณ์ควบคุมน้ำเสียงสั่นๆของตัวเองไว้ไม่ได้ เขาสะอื้นออกมาเบาๆ เขาคงจะเพี้ยนไปแล้วที่ดีใจกับการที่อีกฝ่ายโอบกอดเขาไว้ ไม่แคร์สายตาคนอื่น ราวกับมีกันอยู่แค่สองคน แรงรัดจากอ้อมแขนแกร่งทำให้ปัณณ์ปล่อยโฮออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“ขอโทษ” พันพูดคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา จนแม้กระทั่งยามที่เขาพาอีกฝ่ายเข้ามาในรถของตัวเอง รถเก๋งคันเดิมที่เขาเคยใช้ถูกเปลี่ยนเป็นรถกระบะมือสองกลางเก่ากลางใหม่แต่ยังใช้การได้ดีอยู่
ทั้งคู่นั่งเงียบตลอดเส้นทาง สายตาของพันคอยลอบมองคนที่เคยชอบชวนเขาคุยด้วย แต่อีกฝ่ายกลับรูดซิบปากเงียบกริบ เขาถอนใจอย่างยอมรับความจริง
เป็นใครก็คงจะโกรธที่โดนทิ้ง
จะว่าแบบนั้นก็คงไม่ผิด เขาทิ้งอีกฝ่ายจริงๆนั่นแหล่ะ
หนี้สินที่เขาติดกฤษนั้นมันมากมายนักจนเขาต้องขายคอนโด และขายบ้านไม้ที่เป็นเรือนไทยเพื่อไปใช้หนี้จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกัน รู้ดีว่าเขามันไม่แมนนักที่เอาความลับไม่ดีของเพื่อนไปบอกกับแฟนสาวของกฤษ แต่มันคงจะเป็นหนทางเดียวที่กฤษจะเลิกยุ่งกับปัณณ์ได้ ถ้าพี่สาวได้เลิกรากับกฤษเสีย
เขาดูเป็นคนเลวในสายตาของทุกคน ที่เอาตัวเองไปยุ่งเรื่องของคนอื่น ทำให้พวกเขาต้องเลิกรากัน เขาก็ยอมรับแต่โดยดี ก็คนที่เคยเหลวแหลกจะมีความคิดที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร
ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ออกจากงานประจำแล้วย้ายกลับไปอยู่บ้านนอกกับพ่อแม่ ทำไร่ทำสวน จนไม่มีเวลา...
พันหัวเราะเบาๆ เขายังจะแก้ตัวอะไรอีก ไม่ใช่ไม่มีเวลา แต่เพราะเขายังไม่พร้อมจะติดต่อมาหาเด็กหนุ่ม เขายังไม่พร้อมที่จะยอมรับความรู้สึกผิดที่มันกัดกินใจจนแกว่ง
เขารู้สึกผิดที่ไม่อาจจะรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำไว้กับปัณณ์ได้ เขามันแทบไม่เหลืออะไรสักอย่าง ถ้าเขาไม่เหลวแหลก ติดหนี้พนันบอล ชีวิตเขาคงจะดีกว่านี้ และคงจะรับผิดชอบดูแลชีวิตใครสักคนได้
วันเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปีเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าเขาก็ไม่เคยลืมเด็กหนุ่มคนนี้เลย
คนที่มอบความบริสุทธิ์ของตัวเองให้ผู้ชายอย่างเขา...ผู้ชายที่อาจจะดูเลวที่สุดในสายตาของปัณณ์
“ปัณณ์ บ้านอยู่ที่เดิมหรือเปล่า” พันถามทำลายความเงียบ
“เพราะอะไร? พี่ถึงกลับมา” ปัณณ์ก้มหน้านิ่งร้องถามเสียงเพ้อ
“......”
“ทำไมไม่ตอบ” น้ำตาที่รินไหลอาบแก้มปรากฏต่อสายตาเมื่อเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น
“เดี๋ยวพี่โทรให้พี่สาวปัณณ์มารับกลับบ้านแล้วกัน” ร่างสูงว่า หยิบมือถือตรงคอนโซนรถมาถือไว้แต่ยังไม่โทรออก
“พี่มีเบอร์พี่อันน์?”
“อืม” พันยอมรับ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาสอบถามเกี่ยวกับตัวปัณณ์ทางพี่สาวเท่านั้น ถึงได้ความเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มเป็นอย่างดี โดยที่เขาขอร้องอันน์ว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับปัณณ์ เพราะเขายังไม่แน่ใจ
เขาไม่เคยแน่ใจหรือมั่นใจในเรื่องของความรักเลย เขากลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเสียใจ ในคืนที่ได้อยู่ด้วยกัน เขาก็รู้แล้วว่าปัณณ์คิดกับเขามากกว่าคนแปลกหน้า ความรักแบบไร้เดียงสาปรากฏในแววตาของเด็กหนุ่มตลอดการที่เขาพาอีกฝ่ายขยับก้าวย่างอย่างเชื่องช้าและร้อนแรง มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข...ที่แค่เพียงครั้งเดียวแต่เขากลับจำไม่รู้ลืม
“พี่ติดต่อกันมาตลอดเลยเหรอ? ระหว่างที่ผมเหมือนคนบ้าที่เฝ้าแต่คิดถึงและรอโทรศัพท์จากพี่ แต่พี่ก็ไม่เคยสนใจเลยสักนิด กลับไปทำอะไรลับหลังผมใช่ไหม” น้ำตาพร่างพรู สายตาตัดพ้อนั้นแดงก่ำ
“ปัณณ์เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว พี่ไม่เคยทำอะไรที่เราคิดเลยนะ” พันละล่ำลักบอก
“แล้วทำไมพี่ไม่เคยติดต่อมาหาผมบ้างเลย พี่ลืมผมแล้วใช่ไหม? ทำไมล่ะ กลับมาทำไม?” ปัณณ์แทบตะโกนถามด้วยความอัดอั้น เขาร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่คิดว่าเขาจะสามารถร้องไห้ได้มากขนาดนี้มาก่อน
“เฮ้อ...พี่จะไปส่งปัณณ์ที่บ้านก็แล้วกัน หยุดร้องไห้ได้แล้ว” พันบอกตัดบท เขาโยนมือถือไว้ที่เดิมอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่
น้ำตามากมายของอีกฝ่ายเหมือนน้ำกรดที่สาดใส่เขาไม่ยั้ง มันทั้งเจ็บปวดและทรมานจนเขาแทบอยากจะตายๆไปซะ เขาทำให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวดมากขนาดนี้ได้ยังไง เขาปล่อยทิ้งให้อีกฝ่ายต้องเสียใจมากขนาดนี้เพราะความไม่แน่ใจของตัวเองเพียงคนเดียวได้อย่างไร
หวังว่ายังไม่สายเกินไปถ้าเขาจะขอ โอกาสอีกสักครั้ง...
“เราขึ้นบ้านไปได้แล้ว อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็กินยานอนพักสักวันแล้วพรุ่งนี้ก็ค่อยบอกอาจารย์ว่าไม่สบายก็แล้วกัน” พันพูดขึ้นเมื่อเขาจอดรถหน้าบ้านของเด็กหนุ่ม แม้จะมีสิ่งเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นที่นี่มากมายแต่เขากลับจำเส้นทางมาบ้านของเด็กหนุ่มได้ดี...
“พี่ก็ควรไปอาบน้ำเหมือนกัน” ปัณณ์ว่า สายตาจับจ้องไปที่บ้านจัดสรรสองชั้นที่เขาอยู่กับพี่สาวสองคนตั้งแต่จำความได้ราวกับคิดถึงมันนักหนา
“ปัณณ์ก็ลงไปสิ พี่จะได้กลับไปอาบน้ำบ้างเหมือนกัน”
“เข้าบ้าน”
“หืม?”
“อาบที่นี่แหล่ะ แล้วพี่ค่อยไป”
“แต่เสื้อผ้าพี่อยู่ที่...”
“กลัวปัณณ์ปล้ำพี่หรือไง” ปัณณ์คงจะไม่รู้ตัวว่าเขานั้นทำหน้าตาอย่างไร พันมองคนที่ทำหน้ามุ่ย ปากยื่นอย่างเอาแต่ใจอย่างยอมแพ้
“แล้วปัณณ์ไม่กลัวพี่ปล้ำหรือไง”
“ถ้าพี่อยาก ปัณณ์ไม่ขัดขืนหรอก เพราะปัณณ์ก็ชอบเรื่องอย่างว่ามากซะด้วยสิ” ปัณณ์หย่อนระเบิดลูกใหญ่ทิ้งไว้ก่อนจะเปิดประตูรถแล้วลงไป วิ่งฝ่าสายฝนที่ยังตกไม่ขาดสายปิดประตูบ้านอย่างไม่สนใจว่าอีกคนจะตามมาหรือไม่
พันกัดฟันกรอด เขาโมโหจนควันแทบออกหู เขาคิดเข้าข้างตัวเองมาตลอดว่าปัณณ์รักเขา และคงไม่ยอมปล่อยใจให้ใครง่ายๆ แต่ฟังจากคำพูดชวนคิดนั้น เขาก็ชักจะไม่มั่นใจเสียแล้ว
ร่างสูงวิ่งตามคนที่เดินเข้าไปในบ้านแล้วกระชากแขนบางเข้ามาบีบแน่น เค้นเสียงถามอย่างโกรธจัด
“ที่พูดเมื่อกี้หมายความว่ายังไง? บอกพี่มาเดี๋ยวนี้”
ปัณณ์เลิกคิ้วขึ้นอย่างกวนๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ก็หมายความตามนั้นนั่นแหล่ะ พี่จะสนไปทำไม ว่าผมจะเคยเอากับใครมาบ้าง เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย...อ้อ! ก็แค่เคยเอากันหนนึง”
ประโยคนั้นเหมือนน้ำมันที่ราดลงบนไฟที่กำลังลุกท่วมใจของพันให้ลุกโชน ชายหนุ่มบีบแขนคนปากดีแรงขึ้นอย่างควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
“พูดมาได้ยังไงว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วใครกันล่ะที่อยากได้พี่มากจนยอมให้พี่แทงเอาๆ”
“พี่!!!” ปัณณ์อึ้งไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจาร้ายกาจขนาดนี้
“พี่เป็นผัวปัณณ์แล้ว ไม่ว่าปัณณ์จะผ่านใครมา ก็หนีความจริงข้อนี้ไปไม่ได้หรอก” ว่าจบร่างสูงก็โน้มหน้าลงจูบปากสีสดที่อ้าค้างนั้นทันที
ปัณณ์ยืนนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายลงโทษเขาอย่างไม่ขัดขืน ทำไมถ้อยคำร้ายกาจนั่นถึงไม่ทำให้เขาโกรธเลยสักนิดนะ อาจจะเป็นเพราะคำพูดนั้น คำที่เหมือนบอกความสัมพันธ์ของเขากับพี่พัน
พันถอนปากออกเมื่อลงโทษคนปากดีจนพอใจ
“เห็นทีว่าพี่คงต้องทบทวนความทรงจำสักหน่อยแล้วว่าปัณณ์น่ะเมียใคร จะทำให้ลุกไปเอาคนอื่นไม่ได้เลย”ว่าจบพันก็จัดการถอดแทบกระชากเสื้อนักศึกษานั้นจนหลุดติดมากับมือ เขาใช้เวลาไม่นานในการปลดเปลื้องร่างกายให้เด็กหนุ่มจนเปลือยเปล่า โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากปัณณ์
เพราะรักหรอกจึงยอมทุกอย่าง
“ทำตรงนี้ไม่ได้” ปัณณ์ร้องบอกเมื่อพันทำท่าจะถอดเสื้อ
พันชะงักมือเมื่อปัณณ์จูงมือเขาขึ้นบันไดไปชั้นสองเปิดห้องนอน หยดน้ำจากร่างกายของเขาพวกหยดตามทางแต่ทั้งสองก็หาสนใจไม่
พันผลักปัณณ์เข้ากับผนังห้องบดจูบลงบนริมฝีปากอีกฝ่ายอย่างหนักหน่วง มือหนาเค้นคลึงร่างกายเปลือยนั้นอย่างหยาบโลน เขาละปากออกมาถอดเสื้อผ้าออกจนหมด แล้วจัดการผลักปัณณ์ลงบนที่นอนก่อนจะขึ้นคร่อมไว้
“พี่รักปัณณ์บ้างไหม?” จู่ๆปัณณ์ก็อยากรู้ เขาอยากให้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นเพราะความรัก ไม่ใช่เพราะแค่อยากเอาหรืออยากสั่งสอนเขาที่พูดจาไม่ดี
พันชะงัก เขานิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะโน้มหน้าลงซุกไซ้ซอกคอขาวผ่องราวกับกระหาย แต่แล้วคนที่เคยให้ความร่วมมือกลับขัดขืน ปัณณ์จับมือที่ลูบไล้กายเขาไว้ จนพันต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความไม่เข้าใจ
“ปัณณ์ถามว่าพี่รักปัณณ์ไหม?”
“มันสำคัญนักเหรอ ไอ้คำว่ารักน่ะ”
“สำคัญสิ บอกมาว่ารักหรือเปล่า บอกมาสิ!” เด็กหนุ่มเริ่มโกรธ
“เราเพิ่งเจอกันหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน คิดว่ามันเป็นความรักไหมล่ะ กับไอ้สิ่งที่เราจะทำกันน่ะ”
“ปัณณ์แค่ถามว่ารักไหม มันพูดยากมากหรือไง!”
“ไม่ยาก! แต่รู้ไปแล้วมันจะมีอะไรดีขึ้นมาหรือไง”
“พี่มันคนไม่มีหัวใจ!” ปัณณ์ว่าทั้งน้ำตาคลอ
พันเงยหน้าถอนหายใจ มันไม่ยากอะไรหรอกกับแค่คำว่ารัก ถ้าเขาพูดไปว่า”รัก” อีกฝ่ายจะเชื่อเขาเหรอ
ฟันแล้วทิ้ง
นั่นคงจะเป็นนิยามที่ปัณณ์มอบให้เขาแน่ๆ
“เราอยากได้ยินมากเลยเหรอ คำว่ารักน่ะ” พันถามเสียงอ่อน
“พี่คิดว่าเราอยากได้ยินคำว่ารักจากคนที่เรารักไหมล่ะ”
“ก็คงงั้นมั้ง...แล้วปัณณ์รักพี่หรือไงถึงได้อยากรู้นัก”
แก้มร้อนผ่าวเมื่อพันยิงคำถามนั้นมา แต่เขาก็เป็นคนที่ยอมรับความจริงอยู่แล้ว
“ใช่! ปัณณ์รักพี่ อาจจะฟังเหมือนใจง่ายนะ แต่ปัณณ์รักผู้ชายที่เคยเอากันเมื่อปีที่แล้ว เข้าใจไหม อื้อ!”
พันก้มลงจูบคนด้านล่างอย่างดีใจ ปากของเขายิ้มแม้จะยังบดจูบซ้ำๆบนปากของปัณณ์อย่างไม่รู้เบื่อ
“ถ้าพี่พูดไป เรายังจะเชื่อพี่เหรอ? พี่เคยฟันแล้วทิ้งเรานะ ปัณณ์ไม่เกลียดพี่เหรอ?”
ปัณณ์ส่ายหัวจนผมกระจาย
“ถ้าปัณณ์เกลียดพี่ ปัณณ์จะไม่แค่ต่อยหน้า แต่ปัณณ์จะไม่มองหน้าพี่อีกเลย ปัณณ์จะลืม ทำเหมือนพี่ไม่มีตัวตนอีกต่อไป”
“ใจร้ายจังนะ”
“คำนั้นเหมาะกับพี่มากกว่า”
“พี่ขอโทษ”
“ปัณณ์ไม่ได้อยากได้ยินคำนี้”
พันถอนหายใจ เขาคิดว่าไม่ควรจะทำสิ่งที่บั่นทอนความรักให้มันป่นปี้ให้มากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว
“รัก”
“หืม?”
“พี่รักปัณณ์”
ปัณณ์ค่อยๆยิ้มทั้งน้ำตากับคำพูดเบาๆนั้น แต่มันกลับดังก้องในใจของเขา
“งั้นก็รักปัณณ์นานๆนะ” จบคำนั้นปัณณ์ก็ชะโงกหน้าขึ้นไปจูบพัน
ไม่ว่าชายหนุ่มจะพูดจริงหรือเปล่า แต่เขาก็เชื่อไปทั้งหัวใจแล้ว
ทำไมจะต้องคิดอะไรมากด้วย ในเมื่อเขาก็รักอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย
แล้วทำไมพี่พันจะรักเขาได้อย่างง่ายๆไม่ได้
จะถือซะว่าที่ผ่านมาเป็นการทดสอบของจิตใจก็แล้วกัน
...หากจะเจ็บอีกสักครั้ง ก็ขอให้มันเจ็บไป ในเมื่อใจมันอยากง่ายเอง...
หลังจากชั่วโมงอันร้อนแรงจบลงทั้งคู่ก็กอดกันกลมอยู่บนเตียง ปัณณ์แนบแก้มกับอกหนาแล้วหลับตาถาม
“พี่ไปอยู่ที่ไหนมา ปัณณ์ไปหาที่บ้านแล้วเจอคนแปลกหน้า เขาบอกว่าพี่ขายบ้าน?”
ไม่อยากจะเล่าเลย แต่ถ้าเป็นคนรักกันแล้วก็ควรบอกเล่าให้กันฟังบ้างก็ยังดี
“ใช่ พี่ขายบ้านเอาไปใช้หนี้กฤษจนหมด แล้วกลับระยองไปช่วยพ่อแม่ทำสวนผลไม้
“พี่กะจะหายไปจากชีวิตปัณณ์เลยสินะ...ปัณณ์เสียใจมากรู้ไหมที่พี่ทำเหมือนลืมกัน ทิ้งกันอย่างเยือกเย็นแบบนั้น”
“พี่ขอโทษ”
“ปัณณ์ไม่อยากได้ยินคำขอโทษจากพี่อีก ขอแค่อย่าทิ้งให้ห่างกันไปอีก ทำได้ไหม?”
“พี่ทำไม่ได้”
ปัณณ์ลืมตาแล้วผละออกจากอ้อมกอดนั้นทันที เขาลุกขึ้นนั่ง น้ำตาที่แห้งไปแล้วกลับคลอหน่วยอีกครั้ง จ้องคนที่นอนตาปริบอย่างตัดพ้อ
“พี่จะไปอีกแล้วใช่ไหม...จะหายไปอีกแล้วใช่ไหม” ปัณณ์กลืนก้อนสะอื้นลงคอ ยิ้มออกมาน้อยๆอย่างสมน้ำหน้าตัวเอง...เห็นไหมล่ะว่าสุดท้ายก็คงเป็นเขาคนเดียวที่เจ็บปวด
พันเห็นท่าทางแบบนั้นของคนรักก็ลุกขึ้นดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมกอด ปัณณ์ดิ้นขัดขืนอย่างไม่พอใจ
“หยุดดิ้นสักทีสิ จะไม่ฟังกันพูดให้จบใช่ไหม”
“ยังจะพูดอะไรอีกล่ะ ที่บอกเมื่อกี้ปัณณ์ก็เข้าใจหมดแล้ว”
“คิดไปเองน่ะสิ”
“ก็มันจริงนี่”
“ปัณณ์ฟังพี่นะ ที่พี่บอกว่าทำไม่ได้เพราะพี่ต้องกลับไปช่วยงานที่บ้าน”
คำนั้นทำให้ปัณณ์หยุดดิ้นรนแต่โดยดี
“พี่ไม่ได้จะทิ้งปัณณ์?” ปัณณ์เงยหน้าถาม พันยิ้มอย่างเพลียใจ...ให้ตัวเองหรอกนะ ไม่ใช่ปัณณ์
“อืม...เอาไว้เสาร์นี้พี่จะมารับเราไปบ้านพี่ดีไหม”
“จริงเหรอ? พี่จะพาปัณณ์ไปบ้านพี่จริงๆเหรอ”
“อืม”
“แล้วพี่จะบอกพ่อแม่พี่ว่าปัณณ์เป็นใคร?”
พันกรอกตาอย่างครุ่นคิด สีหน้าเครียด หัวใจปัณณ์ห่อเหี่ยวเมื่อเห็นดังนั้น แต่แล้วพี่พันกลับยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็จะบอกว่าปัณณ์เป็นเมียสิครับ”
ปัณณ์ยิ้มเขิน พุ่งตัวเข้ากอดอีกฝ่ายจนล้มลงไปนอนด้วยกัน
“อย่าลืมล่ะว่าปัณณ์เป็นเมียพี่”
“ไม่ลืมแน่ครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน ก่อนจะเริ่มทำหน้าที่ผัวเมีย...บอกรักกันไม่ขาดปากจนกระทั่งพากันหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อน
""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
สวัสดีจ้า กลับมาแล้วกับตอนจบ หลายท่านอาจคาใจว่าบางฉากมันหายไปไหน
อิอิ ขอยกยอดฉากรักไปตอนพิเศษนะคะ
แล้วพบกันตอนพิเศษจ้า... :katai5: