ช่วยแปะ^^
http://www.youtube.com/v/dde7EIsZk9c
ช่วงนี้อ่านบทความเกี่ยวกับภาษาไทยบ่อย เพราะต้องหาข้อมูลไปเขียนบทความส่งอาจารย์ เลยทำให้เจอประเด็นเกี่ยวกับภาษาไทยที่น่าสนใจหลายๆ ประเด็น เลยอยากจะเอามาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ชาวเล้าได้อ่านกันเพลินๆ บ้างค่ะ
เรื่องการเลิกใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ก็เช่นกัน เป็นเรื่องที่น้องมิสงสัยมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่ได้รับความกระจ่าง จนโตมาก็เห็นคำอธิบายเกี่ยวกับการเลิกใช้พยัญชนะสองตัวนี้เผยแพร่ในอินเทอร์เน็ต แต่คำอธิบายเหล่านั้นยังไม่ได้ตอบข้อสงสัยบางประเด็นที่น้องมิสงสัย พอได้ค้นคว้ามากขึ้นก็เจอข้อมูลเพิ่มเติมที่ตอบข้อสงสัยให้กระจ่าง เลยเอามาเขียนมาเป็นบทความสั้นๆ ให้เพื่อนๆ ที่สงสัยเหมือนน้องมิและยังไม่ได้คำตอบได้อ่านกัน หลายคนอาจจะทราบที่ไปที่มาของการเลิกใช้พยัญชนะสองตัวนี้อยู่แล้ว น้องมิก็ต้องขออภัยด้วยนะคะที่เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน
ฃ ที่ไม่ใช่ ขวด ฅ ที่ไม่ใช่ คน
“ก เอ๋ย ก ไก่ ข ไข่ในเล้า ฃ ขวด ของเรา ค ควายเข้านา ฅ คนขึงขัง...” เคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าทำไมเวลาเราท่องจำพยัญชนะ ก ไก่ ข ไข่ พอมาถึงพยัญชนะ ฃ กลับกลายเป็น ขวด ฅ กลับกลายมาเป็น คน แล้วเหตุใดจึงไม่เขียนรูปคำให้ตรงกับตัวพยัญชนะที่ท่อง หรือเพราะเหตุใดจึงไม่ใช้พยัญชนะสองตัวนี้เขียนสะกดคำในภาษาไทยปัจจุบันเลย พยัญชนะสองตัวนี้ไม่มีความสำคัญหรือ และถ้าไม่สำคัญ ไม่มีการใช้พยัญชนะสองตัวนี้เขียนสะกดคำภาษาไทยในปัจจุบันแล้วเหตุใดยังคงต้องรักษารูปพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ไว้ในระบบพยัญชนะไทย
ลำดับแรกต้องทำความเข้าใจความหมายของ “พยัญชนะ” ก่อนว่าหมายถึง เสียงที่เปล่งออกมาโดยใช้อวัยวะส่วนต่างๆ ในปากและคอ เมื่อพยัญชนะคือเสียงที่เปล่งออกมาครั้งโดยใช้อวัยวะต่างๆ ในปากและลำคอเป็นตัวกล่อมเกลาทำให้เสียงที่เปล่งออกมามีลักษณะที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นการถ่ายทอดสัญญาณเสียงให้เป็นลายลักษณ์นั้นจึงต้องประดิษฐ์หรือสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาสำหรับแทนเสียงนั้น รูปพยัญชนะจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ประดิษฐ์ขึ้นสำหรับใช้สื่อสารแทนเสียงที่เปล่งออกมา พยัญชนะหนึ่งตัวมีหน้าที่แทนเสียงหนึ่งเสียง ในภาษาไทยเรามีรูปพยัญชนะ ๔๔ รูป จึงอนุมานได้ว่าในสมัยเมื่อครั้งที่ประดิษฐ์ตัวอักษรไทยนั้นต้องมีเสียงพยัญชนะที่ออกเสียงต่างกันถึง ๔๔ เสียงจึงต้องประดิษฐ์รูปพยัญชนะถึง ๔๔ รูป เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนเสียงทั้ง ๔๔ เสียงนั้น ด้วยหลักการนี้จึงอธิบายได้ว่า ในอดีตเสียงของพยัญชนะ ฃ ต้องไม่เหมือนกับเสียงพยัญชนะ ข และเสียงพยัญชนะ ฅ ต้องไม่เหมือนกับเสียงพยัญชนะ ค อย่างในปัจจุบันแน่นอน
เมื่อศึกษาลักษณะทางสัทศาสตร์หรือลักษณะการออกเสียงของพยัญชนะ ข ฃ ค และ ฅ พบว่ามีความแต่งต่างกันดังนี้ พยัญชนะ ข และ ค เป็นเสียงกัก ไม่ก้อง มีลม เวลาออกเสียงพยัญชนะสองตัวนี้ โคนลิ้นจะยกตัวขึ้นติดเพดานอ่อนในช่องปาก แต่มีความแตกต่างกันตรงที่เวาลาออกสียงพยัญชนะ ค เราจะออกเสียงเป็นเสียงต่ำ แต่เวลาออกเสียงพยัญชนะ ข เราจะออกเสียงเป็นเสียงสูง ในทางภาษาศาสตร์ใช้สัญลักษณ์ /k/ แทนเสียงของพยัญชนะสองตัวนี้
ลักษณะทางสัทศาสตร์หรือลักษณะการออกเสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ นั้น เนื่องจากปัจจุบันไม่มีตัวอย่างเสียงพยัญชนะสองเสียงนี้แล้ว เสียงพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ได้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับพยัญชนะ ข และ ค ตามลำดับ ต้องอาศัยการศึกษาเชิงประวัติจึงจะทำให้ทราบลักษณะเสียงเดิมของพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ ซึ่งพบว่าพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ออกเสียงแตกต่างกับพยัญชนะ ข และ ค ตรงที่เสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ นั้นออกเสียงลึกกว่าเสียงพยัญชนะ ข และ ค คือ เวลาออกเสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ นั้นโคนลิ้นจะแตะกับส่วนที่อยู่ลึกถัดจากเพดานอ่อนเข้าไปในช่องปากอีก ซึ่งเป็นเสียงที่ออกยาก และไม่มีเสียงพยัญชนะตัวอื่นๆ ในภาษาไทยที่มีฐานกรณ์ลึก หรือออกเสียงลึกใกล้เคียงกับพยัญชนะสองตัวนี้มาช่วยยึดเหนี่ยวเสียงเอาไว้ จึงเป็นผลให้เสียงพยัญชนะสองตัวนี้แปรสภาพไปตามธรรมชาติของการออกเสียง โดยขยับฐานกรณ์หรืออวัยวะที่ใช้การการออกเสียงสองเสียงนี้ให้มาอยู่ในตำแหน่งที่ตื้นขึ้นมาซึ่งตรงกับตำแหน่งเพดานอ่อน ทำให้เสียงสองเสียงนี้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะ ข และ ค ในที่สุด สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสาเหตุเดียวกับการเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะตัวอื่นๆ ในภาษาไทยปัจจุบันที่มีเสียงซ้ำกัน แต่กลับมีรูปเขียนที่แตกต่างกัน เช่น ชุดพยัญชนะเสียง /th/ ได้แก่ ฑ ฒ ท ธ ชุดพยัญชนะเสียง /n/ ได้แก่ ณ น เป็นต้น
เมื่อเสียงของพยัญชนะ ฃ และ ฅ ได้กลายเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะตัว ข และ ค ไปแล้ว จึงเป็นเหตุให้รูปคำที่เขียนด้วยพยัญชนะฃ และ ฅ เปลี่ยนไปใช้รูปพยัญชนะที่เป็นเสียงแปรตามไปด้วย โดยปรากฏหลักฐานการเลิกใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ อย่างชัดเจนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๕ ในพจนานุกรมฉบับพระยาปริยัติธรรมาดา (แพ ตาละลักษณ์) ร.ศ.๑๒๐ ว่าไม่มีการใช้พยัญชนะสองตัวนี้ในการเขียนสะกดคำแล้ว
เมื่อทราบแล้วว่าเสียงพยัญชนะ ฃ และ ฅ แต่เดิมเป็นคนละเสียงกับพยัญชนะ ข และ ค ดังนั้นต้องปรากฏรูปคำที่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ ในอตีตอย่างแน่นอน หากศึกษาศิลาจารึกหลักต่างๆ ในสมัยสุโขทัยจะพบว่า มีการใช้ ฃ สะกดคำทั้งหมด ๑๑ คำ และมีการใช้ ฅ สะกดคำทั้งหมด ๑๑ คำ เช่นกัน ดังนี้
คำที่ใช้พยัญชนะ ฃ สะกด
ฃับ (ขับร้อง) ฃ้า (ฆ่า) ฃาม (มะขาม) ฃาย (ขาย) เฃา (ภูเขา) เฃ้า (เข้า) ฃึ้น (ขึ้น) ฃอ (ตะขอ) ฃุน (ขุน) ฃวา (ขวา)
แฃวน (แขวน)
คำที่ใช้พยัญชนะ ฅ สะกด
ฅอ (คอ) ฅ้อน (ค้อน) ฅา (คา – ขวางทางอยู่) ฅาบ (คาบ-ครั้ง) ฅำ (ค่ำ)
ฅีน (คืน) แฅน (ดูแคลน) แฅ่ง (หน้าแข้ง) แฅว (แคฺว) ฅวาม (ความ)
ฅวาง (คว้าง)
จะสังเกตเห็นว่าในจำนวน ๒๒ คำที่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ สะกดนั้นไม่ปรากฏคำว่า ฃวด ที่เป็นภาชนะบรรจุน้ำ และคำว่า ฅน หรือมนุษย์ อย่างที่สำนักพิมพ์บางแห่งพยามใช้ และรณรงค์ให้หันมาเขียนสะกดคำสองคำนี้ด้วยพยัญชนะ ฃ และ ฅ รวมอยู่ใน ๒๒ คำนั้นเลย จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจว่าสูตรการท่องจำพยัญชนะที่นักการศึกษากำหนดให้เด็กฝึกท่องจำว่า “ฃ ขวด ของเรา” และ “ฅ คนขึงขัง” นั้น ไปได้แนวเทียบคำมาจากที่ไหน และด้วยสูตรการท่องจำพยัญชนะสูตรนี้เองที่ทำให้เกิดความสับสนว่าในเมื่อเวลาท่องจำท่องเป็น ฃ ขวด และ ฅ คน แล้ว เหตุใดจึงไม่ใช้พยัญชนะทั้งสองตัวนี้ในการเขียนสะกดคำสองคำนี้ คำตอบก็คือเราไม่เคยใช้รูปพยัญชนะนี้เขียนสะกดคำสองคำนี้มาแต่เดิมอยู่แล้วดังที่ปรากฏหลักฐานในข้างต้น
กระนั้นแล้วเมื่อเสียงพยัญชนะทั้งสองตัวนี้ได้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับเสียงพยัญชนะ ข และ ค โดยสมบูรณ์ในปัจจุบัน ไม่ปรากฏรูปคำที่ใช้พยัญชนะ ฃ และ ฅ สะกดอีกต่อไปแล้ว เหตุใดยังคงต้องรักษารูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ในระบบพยัญชนะภาษาไทยปัจจุบันอีก นั่นเป็นเพราะว่าการที่เรายังคงรูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ในระบบพยัญชนะไทยนั้นเป็นการรักษาสัญลักษณ์เชิงประวัติของระบบเสียงภาษาไทยไว้ เป็นการบอกให้คนยุคถัดไปได้รู้ว่า ครั้งหนึ่งระบบเสียงพยัญชนะไทยมีเสียงที่แตกต่างกัน ถึง ๔๔ เสียง เราเคยมีเสียงพยัญชนะที่คล้ายคลึงกับเสียง ข และ ค คือเสียงพยัญชนะที่เขียนแทนด้วย ฃ และ ฅ นั่นเอง แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าความรู้พื้นฐานเหล่านี้ไม่เป็นที่แพร่หลายหลาย ผู้สอนวิชาภาษาไทยในระดับเบื้องต้นบางคนยังไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดคนในสังคมจึงยังคงมีคำถามและข้อสงสัยเกี่ยวกับพยัญชนะ ฃ และ ฅ อยู่ทั่วไปในปัจจุบัน
กล่าวโดยสรุปในอดีตเสียงของพยัญชนะ ฃ และ ฅ เป็นคนละเสียงกับเสียงพยัญชนะ ข และ ค แต่เนื่องจากปัญหาเรื่องความลำบากในการออกเสียง และเหตุที่ไม่มีพยัญชนะตัวอื่นๆ ในภาษาไทยที่ออกเสียงคล้ายกับพยัญชนะสองเสียงนี้เป็นตัวยึดเสียงของพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ ทำให้เสียงของพยัญชนะสองตัวนี้แปรไปเป็นเสียงเดียวกับเสียงของพยัญชนะ ข และ ค ซึ่งออกเสียงคล้ายกัน แต่ทว่าง่ายออกเสียงง่ายกว่าในที่สุด ส่งผลให้การเขียนสะกดคำที่เคยใช้รูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ เปลี่ยนไปใช้รูปพยัญชนะของเสียงแปรแทน แต่ถึงไม่ปรากฏรูปคำที่เขียนด้วยพยัญชนะทั้งสองตัวดังกล่าวในปัจจุบันแล้ว แต่เรายังคงรักษารูปพยัญชนะ ฃ และ ฅ ไว้ในระบบพยัญชนะไทยเพื่อเป็นการรักษาสัญลักษณ์เชิงประวัติของระบบเสียงพยัญชนะไทย
บรรณานุกรม
กาญจนา นาคสกุล และคณะ. บรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๔๕.
นิตยา กาญจนะวรรณ. ฃ (ฃวด) ฅ(ฅน) หายไปไหน ใน ภาษาไทยไนส์ตี้ส์. เชียงใหม่: สุริวงศ์บุ๊คเซนเตอร์, ๒๕๔๒.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพฯ: นามีบุ๊คส์พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖.
.
.
.
เมื่อคืนเพิ่งได้คุยกับน้องคนหนึ่งที่เรียนอักษรศาสตร์ ศิลปากร แล้วก็เลยคุยถึงน้องมิด้วย ...
น้องคนนั้นบอกว่าน่าจะอยู่รุ่นเดียวกัน ... แต่ไม่รู้ว่าเก็บขาเอกอะไร ..
ผมเลยบอก เดาจากกระทู้ที่ตั้งๆ น่าจะไม่เอกไทย ก็ ประวัติฯ ไม่รู้ถูกรึเปล่า ก็เดาไป ...
:laugh: :laugh:
ความจริงแล้วผมเป็นเด็กช่างสงสัยมาตั้งแต่เด็ก แต่มีหนึ่งคำถามที่อาจารย์ตอบไม่ได้ และเพื่อนก็ไม่ตอบ เพราะมันหาว่าผมกวนตีนมัน
เห็นน้องมิสนใจด้านภาษาศาสตร์เลยว่าจะถามสักหน่อย ..
คือผมสงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าไอ้ที่เราเรียกๆ ใช้ๆกันอยู่ในปัจจุบันเนี่ย แต่ละคำมันมีที่มาอย่างไรเหรอครับ
เข้าใจว่าภาษาไทยอ้างอิงและผันมาจากหลากหลายภาษา ได้รับอิทธิพลมาจากหลายเมือง หลายถิ่น
ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "ตู้เย็น" ทำไมถึงต้องเป็น "ตู้เย็น" ด้วยล่ะ
เพื่อนหลายๆคนก็บอกว่าก็มันเป็นคำประสม เอาคำว่า "ตู้" มารวมกับคำว่า "เย็น" เพราะมันมีลักษณะเป็นตู้ แล้วให้ความเย็น
ไอ้นั่นน่ะผมก็รู้อยู่แล้ว ... แต่ที่อยากรู้ก็คือ ทำไมไอ้สิ่งแบบนี้ลักษณะแบบนี้ถึงต้องเรียกว่า "ตู้"
ไอ้อาการ ความรู้สึกแบบนี้ เรียกว่า "เย็น" มันอ้างอิงหรือเพี้ยนมาจากคำว่าอะไร เลียนเสียงสัตว์ หรือ ธรรมชาติ หรือว่ายังไง
น้องมิพอจะอธิบายได้รึเปล่าครับ ไม่ก็แนะนำหนังสือมาให้ผมอ่านก็ได้ T___________T''
ปล. ถ้าน้องมิจะเขียนอธิบายขอแบบเข้าใจง่ายๆๆนะครับ อย่าใช้ภาษาเชิงวิชาการมากนัก ผมปวดหัว อิอิ
ขอบคุณน้องมิมากกกกค้าบบ บ :'))
.
ความจริงแล้วผมเป็นเด็กช่างสงสัยมาตั้งแต่เด็ก แต่มีหนึ่งคำถามที่อาจารย์ตอบไม่ได้ และเพื่อนก็ไม่ตอบ เพราะมันหาว่าผมกวนตีนมัน
เห็นน้องมิสนใจด้านภาษาศาสตร์เลยว่าจะถามสักหน่อย ..
คือผมสงสัยมาตั้งแต่เด็กแล้วว่าไอ้ที่เราเรียกๆ ใช้ๆกันอยู่ในปัจจุบันเนี่ย แต่ละคำมันมีที่มาอย่างไรเหรอครับ
เข้าใจว่าภาษาไทยอ้างอิงและผันมาจากหลากหลายภาษา ได้รับอิทธิพลมาจากหลายเมือง หลายถิ่น
ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "ตู้เย็น" ทำไมถึงต้องเป็น "ตู้เย็น" ด้วยล่ะ
เพื่อนหลายๆคนก็บอกว่าก็มันเป็นคำประสม เอาคำว่า "ตู้" มารวมกับคำว่า "เย็น" เพราะมันมีลักษณะเป็นตู้ แล้วให้ความเย็น
ไอ้นั่นน่ะผมก็รู้อยู่แล้ว ... แต่ที่อยากรู้ก็คือ ทำไมไอ้สิ่งแบบนี้ลักษณะแบบนี้ถึงต้องเรียกว่า "ตู้"
ไอ้อาการ ความรู้สึกแบบนี้ เรียกว่า "เย็น" มันอ้างอิงหรือเพี้ยนมาจากคำว่าอะไร เลียนเสียงสัตว์ หรือ ธรรมชาติ หรือว่ายังไง
น้องมิพอจะอธิบายได้รึเปล่าครับ ไม่ก็แนะนำหนังสือมาให้ผมอ่านก็ได้ T___________T''
ปล. ถ้าน้องมิจะเขียนอธิบายขอแบบเข้าใจง่ายๆๆนะครับ อย่าใช้ภาษาเชิงวิชาการมากนัก ผมปวดหัว อิอิ
ขอบคุณน้องมิมากกกกค้าบบ บ :'))
จากคำถามที่ถามว่าทำไมจึงเรียกสิ่งนี้ว่าตู้ ทำไมจึงเรียกคำนี้ว่าอย่างนี้ ทำไมจึงเรียกสิ่งนั้นว่าอย่างนั้น คำตอบก็คือ ไม่มีคำตอบ ค่ะ ไม่มีใครตอบได้ว่าทำไมสมมติเสียงนี้แทนสิ่งนี้ เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของภาษาชัดเจนขึ้น น้องมิขออธิบายลักษณะโดยทั่วไปของภาษาให้ฟังก่อนนะคะ ลักษณะทั่วไปของภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาใดๆ ในโลกนักภาษาศาสตร์สรุปไว้ดังนี้ค่ะ
1. ภาษาเป็นเสียงที่มีความหมาย
2. ภาษาทุกภาษามีระบบ กฎเกณฑ์ (ไวยากรณ์)
3. ภาษาเป็นสิ่งสมมติ
4. ภาษามีความสมบูรณ์ในตัวเอง
5. ภาษามีพลังงอกงามไม่รู้จบ
6. ภาษามีลักษณะทางสังคม
จากข้อสงสัยของคุณ ณ กาลครั้งหนึ่งนั้น ตรงกับหลักในข้อ 3 และ 6 โดยตรง ดังนั้นจึงขออนุญาตขยายความเพิ่มเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับสองข้อดังกล่าวนี้เท่านั้นนะคะ
การกำหนดเสียงให้แทนความหมายนั้น เป็นเรื่องสมมติที่คนในแต่ละกลุ่มตกลงกัน จึงไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรือความถูกต้องตามหลักธรรมชาติ สิ่งที่คนไทยเรียกว่าข้าว เรียกอย่างอื่นก็ได้ในกรณีอยู่อีกสังคมหนึ่ง เช่นคนจีนเรียกฝั้น คนญี่ปุ่นเรียก gohan คนเขมรเรียกบาย คนมอญเรียกเปิง คนอังกฤษเรียก rice แต่ข้าวก็คือข้าวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามเสียงที่เรียกกัน ไม่มีส่วนไหนของข้าวที่จะบอกว่าคำใดถูกคำใดผิด คนในแต่ละกลุ่มแต่ละชาติจะเข้าใจตรงกันในกลุ่มของตน การกำหนดเสียงให้แทนความหมายจึงเป็นสิ่งสมมติ ซึ่งเมื่อครั้งที่คนในสังคมกำหนดเสียงแทนคำพื้นฐานต่างๆ ว่าจะใช้เสียงนี้แทนสิ่งนี้ จะใช้เสียงนั้นแทนสิ่งนั้น ก็เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินกว่าจะสืบสร้างขึ้นไปเพื่อหาเหตุผลได้ และเมื่อครั้งที่คนในสังคมตกลงกันก็ไม่ได้มีการบันทึกเหตุผลไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่ามีเหตุผลใดจึงสมมติแบบนั้น (เพราะตัวอักษรหรือภาษาเขียนเกิดหลังภาษาพูดตั้งนาน อย่างตัวอักษรไทยของเราก็เชื่อกันว่าเพิ่งเกิดมาได้แค่ 700 กว่าปีเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้า 700 ปีขึ้นไปนั้นเราก็ต้องมีภาษาพูดกันอยู่ก่อนแล้ว)
แล้วอย่างนั้นวิชาภาษาศาสตร์เชิงประวัติให้คำตอบของข้อสงสัยนี้ไม่ได้หรือ ก่อนอื่นต้องเข้าใจขอบเขตของภาษาศาสตร์เชิงประวัติก่อนว่าเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับการแปรของภาษาจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน โดยศึกษาจากหลักฐานลายลักษณ์ต่างๆ ที่ยังคงหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน ว่าในอดีตคำๆ นี้เคยออกเสียงว่าอย่างไร ตัวอักษรตัวนี้มีรูปเขียนอย่างไร และคำๆ นี้เปลี่ยนแปลงความหมายไปจากเดิมอย่างไร จะเห็นได้ว่าขอบเขตของภาษาศาสตร์เชิงประวัติมุ่งศึกษาเฉพาะกลวิธีการเปลี่ยนแปลงเป็นสำคัญ
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางคนเสนอว่าคำบางคำเราสามารถบอกที่มาได้ว่าทำไมจึงสมมติให้ออกเสียงอย่างนั้น คำเหล่านั้นคือคำที่เกิดจากการเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เรียกนกตัวที่มีขนสีดำทั้งตัว ปากยาวเป็นสีดำว่า กา เนื่องจากมันร้อง กากา เรียกสัตว์สี่ขา เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะคล้ายเสือ แต่ตัวเล็กกว่าว่า แมว เนื่องจากมันร้อง แมว แมว แต่แนวความคิดนี้น้องมิไม่ค่อยเห็นด้วยค่ะ เนื่องจากถ้าคำเหล่านั้นเกิดจากการเลียนเสียงธรรมชาติจริง มนุษย์ทั่วโลกก็น่าจะมีประสาทหูที่รับฟังเสียงได้เหมือนๆ กัน แล้วสมมติให้สัตว์เหล่านั้นมีชื่อเรียกที่เหมือนกันไม่ว่าจะอยู่ในสังคมที่พูดภาษาใด แต่ทำไมสัตว์เหล่านั้นยังมีคำสมมติที่เกิดจากเสียงร้องที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสังคม ทำไมคนแต่ละสังคมถึงฟังเสียงธรรมชาตินั้นได้ไม่เหมือนกัน ดังนั้นคำเรียกสัตว์ที่บอกว่ามาจากการเลียนเสียงธรรมชาตินั้นเป็นการเลียนเสียงธรรมชาติจริงหรือ
ส่วนเรื่องที่เพื่อนคุณ ณ กาลครั้งหนึ่งบอกว่า "ที่เรียกตู้เย็นเพราะมันเป็นคำประสมไง เกิดจากนำคำนี้มาประสมกับคำนี้" อันนี้เป็นเรื่องของกลวิธีการสร้างคำใหม่ขึ้นใช้ในภาษาไทย เพื่อให้ภาษาไทยมีคำสำหรับรองรับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
ที่น้องมิพิมพ์ตอบไปเป็นการสรุปจากที่จดตอนอาจารย์บรรยายในชั้นเรียน รวมกับข้อมูลจากหนังสือบรรทัดฐานภาษาไทย เล่ม 1 ไม่รู้ว่าคำตอบของน้องมิจะเหมือนกับที่คุณครู และ เพื่อน บอกไว้ หรือเหมือนกับที่คุณ ณ กาลครั้งหนึ่งทราบอยู่แล้วรึเปล่านะคะ หรือว่าคำตอบของน้องมิจะทำให้คุณงงเข้าไปใหญ่ก็ไม่รู้นะคะ ถ้าไม่กระจ่างหรือยังมีข้อสงสัยก็หาอ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือภาษาศาสตร์เบื่องต้นของสำนักพิมพ์ไหนก็ได้ค่ะ มีตอนที่อธิบายลักษณะธรรมชาติของภาษาเหมือนกันค่ะ :m23: