พิมพ์หน้านี้ - To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kinsang ที่ 16-07-2017 18:21:17

หัวข้อ: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-07-2017 18:21:17
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


เรื่องยาว
เหวี่ยง ซบ พบ(รัก)เธอ [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53572.0)
ความน่ารักชนะทุกอย่าง [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54065.0)
8 วัน 7 คืน [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=58861.0)
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว[จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61182.0)
อยากให้เธอฝันยามหนุน [จบแล้ว]  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64766.0)
My Egg #ไข่ต้มเพื่อนผม [จบแล้ว] (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64895.0)
P H O T O (X) ความลับในภาพถ่าย [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=67428.0)
เหนือลิขิต [จบแล้ว]  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=69628.0)



เรื่องสั้น
★  สองแถวกับสองเรา (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=53650.0)
★  อยากบอกว่าชอบเธอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62434.0)
★  พรหมลิขิตไม่มีอยู่จริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=62866.0)



========================



To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว

ผมเก็บมือถือได้ ดูเหมือนเป็นคนดี
แต่ความจริงผมแค่หยิบมันมาเพราะเจ้าของลืมมันวางไว้บนโต๊ะ
ผมอยากเอามันไปขาย ก็ตั้งใจไว้แบบนั้น
แต่เพราะโน้ตแผ่นหนึ่งที่เจอในเคสมือถือทำให้ผมเปลี่ยนใจ
To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว
มันหมายความว่ายังไง จดหมายสั่งเสียอย่างนั้นเหรอ
อย่าบอกนะว่าเจ้าของมือถือเครื่องนี้คิดจะฆ่าตัวตาย


#Toจุดๆๆ


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 16-07-2017 18:23:32



บทนำ

 

            สมาร์ทโฟนแบรนด์ดังรุ่นใหม่ หน้าจอหกนิ้ว ตัวเครื่องบางเฉียบ ราคาเกือบครึ่งแสน มันวางอยู่ตรงนั้น

            วางอยู่ตรงหน้าผม

            มันมักจะมีเวลาที่ความคิดฝั่งดีกับความคิดฝั่งชั่วร้ายออกมาสู้รบกัน ซึ่งบางทีมันไม่ได้เกิดโดยกมลสันดาน แต่เกิดจากสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ

            ซึ่งบางทีผมคิดว่าจิตสำนึกความเป็นคนดีก็ไม่สำคัญเท่าปากท้องสักเท่าไร

            ผมละสายตาจากสมาร์ทโฟนราคาแพงเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนที่เพิ่งลุกออกไปจากโต๊ะ คนที่ผมตั้งชื่อเล่นให้ว่า 'นายมืดมน'

            ผมไม่ได้ตั้งชื่อเล่นให้ใครั่วๆ โดยไม่มีเหตุผล นายคนนั้นดูห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง แววตาหม่นหมอง ใต้ตาดำคล้ำ ดูง่วงเหงาหาวนอนเหมือนจะหลับตลอดเวลา เราบังเอิญได้นั่งกินข้าวเช้าโต๊ะเดียวกันในคณะที่ผมไม่มีคนรู้จักอยู่เลยสักคน แล้วเขาก็ลืมมือถือทิ้งเอาไว้

            ถ้าผมเป็นคนดีสักนิดคงจะรีบเรียกเขาเอาไว้ หรือไม่ก็กุลีกุจอวิ่งเอามันไปคืน แต่...ก็นั่นแหละ สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกย่อมมีคำว่าแต่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ

            ผมหันมองรอบข้างอย่างระแวดระวังก่อนเอื้อมมือไปหยิบสมาร์ทโฟนเครื่องนั้นมาถือไว้อย่างแนบเนียน ลองสไลด์ปลดล็อคหน้าจอแล้วก็ต้องแปลกใจที่มันไม่ถูกตั้งรหัสอะไรเอาไว้ วอลเปเปอร์หน้าโฮมเป็นลายกราฟฟิคสีเข้มดูลึกลับและหลอนแปลกๆ กับแอปพลิเคชันมากมายที่ผมไม่รู้ว่ามันเอาไว้ทำอะไรได้บ้าง

            หลังจากสำรวจเจ้าสมาร์ทโฟนราคาแพงเครื่องนี้ได้คร่าวๆ ผมก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของตัวจริงของมันอีกครั้ง เห็นแผ่นหลังห่อเหี่ยวนำพาความมืดมนเลี้ยวออกไปจากโรงอาหารก็ได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เก็บมันใส่กระเป๋าสะพายไว้อย่างเงียบเชียบแล้วลุกเอาจานไปเก็บก่อนก้าวยาวๆ ออกประตูอีกฝั่ง

            หวังว่านายมืดมนนั่นคงยังไม่รู้ตัวเร็วๆ นี้นะว่าลืมมือถือเอาไว้

 

            ออกมาจากโรงอาหารคณะบริหารผมก็มุ่งหน้าไปคณะตัวเองที่อยู่เกือบอีกฝั่งของมหาวิทยาลัย หยิบมือถือของนายมืดมนนั่นขึ้นมาดูอีกทีกะว่าจะปิดเครื่องหนี ไอ้เพื่อนตัวดีก็ดันวิ่งเข้ามาหาซะก่อนเลยต้องเก็บมันลงกระเป๋าอย่างช่วยไม่ได้

            "ไอ้ปลื้มกินข้าวกัน"

            "กูกินมาแล้ว"

            "กินที่ไหนวะ กูเพิ่งมึงเดินมาเนี่ย"

            "บริหาร"

            "ไปกินทำไมที่นั่นวะตั้งไกล"

            "เปลี่ยนบรรยากาศ"

            "แหนะๆ ติดสาวบริหารก็บอก"

            ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนเดินนำไอ้เจนไปกะว่าจะเข้าห้องเลคเชอร์เลย แต่ก็ไม่วายโดนมันลากไปโรงอาหารด้วยอยู่ดี คนยิ่งไม่มีเงินอยู่ไปนั่งมองมันกินเดี๋ยวน้ำลายแตกอยากกินอีก ไอ้เพื่อนนี่ก็ไม่ได้คิดถึงสถานะทางการเงินของเพื่อนเลยให้ตาย

            ไอ้เจนกินข้าวราดแกง ส่วนผมได้น้ำเก๊กฮวยแก้วละสิบบาทมาดูดแก้กระหายหนึ่งแก้ว นั่งคุยเรื่องงานที่อาจารย์สั่งเมื่อคาบก่อน แต่แล้วอยู่ๆ เสียงเรียกเข้าปริศนาก็ดังขึ้นมา ไม่ใช่ของผมแน่ๆ ล่ะเพราะปิดเสียงเอาไว้ แล้วก็ไม่น่าใช่ของไอ้เจนที่ทำหน้างงอยู่ตอนนี้เช่นกัน

            เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่เครื่องเดียว คือของนายมืดมนนั่น

            ฉิบหายแล้ว!!

            "เสียงมือถือใครวะ"

            ผมเปิดกระเป๋าควานหามันอย่างรีบๆ หยิบขึ้นมาดูพยายามแอบไว้ไม่ให้ไอ้เจนเห็น ยังไม่ทันได้อ่านชื่อบนหน้าจอก็กดตัดสายทิ้งแล้วปิดเครื่องทันที

            "ของมึงเหรอ"

            "อ๋อ เออๆ"

            "แปลก ปกติมึงไม่ชอบเปิดเสียง"

            "กูลืม"

            "ปกติก็ไม่ใช่เสียงนี้" ไอ้เจนมันกินไปถามไป หน้าตาซื่อๆ ตามประสา แต่จะรู้เรื่องกูเยอะไปแล้วมึง เป็นแฟนพันธุ์แท้กูเหรอ รู้ดีจัง

            "กูเพิ่งเปลี่ยนเสียงใหม่"

            "ไม่ยักรู้ว่าชอบฟังเพลงแนวนี้"

            คราวนี้ผมได้แต่ฉีกยิ้มแถต่อไม่เป็น ก็ไอ้เพลงสากลที่นายมืดมนมันต้องเป็นเสียงเรียกเข้าผมรู้จักซะที่ไหน ไม่ใช่แนวเลย ก็ได้แต่ภาวนาอย่าให้ไอ้เจนมันถามอะไรมากไปกว่านี้เป็นพอ

            "เออ ว่าแต่..." มันเกริ่นมาแค่นี้แล้วก็ยกน้ำขึ้นมาดูด มึงเว้นจังหวะได้ดีมากเพื่อน

            "อะไร"

            "สรุปแม่มึงโอนเงินค่าหอมาให้ยัง ถ้ามึงไม่จ่ายภายในสัปดาห์นี้เค้าจะให้มึงออกแล้วไม่ใช่เหรอ"

            "อ๋อ เออ ไม่มีปัญหาแล้วมึง กูจัดการแล้ว"

            "แน่นะ ไม่ใช่มีปัญหาอะไรไม่บอกพวกกูอีกนะ"

            "เออ เรียบร้อยแล้ว จริงๆ"

            "เนี่ย กูเพิ่งคุยกับไอ้ว่านมาว่าถ้ามึงไม่มีเงินจ่ายจริงๆ อาจจะช่วยกันออกให้ก่อน หรือไม่ก็มาอยู่บ้านกู ไม่ก็คอนโดไอ้ว่านไปพลางๆ ได้หอใหม่แล้วค่อยย้าย"

            "โหย ซึ้งใจ"

            "มึงคบเพื่อนถูกคนไง กูอ่ะคนดี" ไอ้เจนยักคิ้วแล้วเหยียดยิ้ม ดูกวนประสาทแถมทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนเลวขึ้นมาซะอย่างนั้น

            ที่ทำไปทั้งหมดนั้นเพราะผมไม่มีทางเลือก จริงๆ ก็อาจจะมีแต่วิธีนี้มันได้ผลเร็วมากกว่า ผมไม่มีเงินจ่ายค่าหอ ค้างมาสามเดือนแล้วแม่ก็ยังไม่โอนมาให้เพราะบ้านที่ต่างจังหวัดก็แย่พอกัน เงินเดือนที่ได้จากการทำงานพิเศษก็พอแค่เลี้ยงปากท้องไปวันๆ ไหนจะค่าอุปกรณ์การเรียนอีก และถ้าผมไม่มีเงินไปจ่ายค่าหอได้ออกมาเป็นคนเร่ร่อนแน่ๆ

            ต้องขอโทษนายมืดมนนั่นด้วยจริงๆ เพราะชีวิตคนจนมันไม่ค่อยมีทางเลือกสักเท่าไร

 

            เลิกคลาสวันนี้ผมกะว่าจะแวะห้างแล้วเอามือถือที่เก็บได้ไปขาย แต่โชคชะตากลับเล่นตลกโดนไอ้ว่านลากไปคอนโดให้ไปช่วยแก้งานจนมืดค่ำซะงั้น ดูนาฬิกาอีกทีก็เกือบสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว ห้างเหิงอะไรปิดหมด สุดท้ายเลยต้องเดินคอตกกลับหอ

            เปิดประตูห้องเข้ามาได้ก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง มองห้องแคบแสนแคบแค่พอวางที่นอนได้กับค่าเช่าแสนถูกแล้วอนาถใจ จนต้องรีบค้นมือถือของนายมืดมนนั่นออกมาดู

            มือถือราคาแพงขนาดนี้ชาตินี้คงไม่มีปัญญาซื้อมาใช้แน่ๆ

            ลองกดเปิดเครื่องอีกที ทั้งมิสคอล ไลน์ สารพัดแจ้งเตือนก็เด้งขึ้นมาไม่ขาดสาย ผมกดทุกอย่างทิ้ง แต่พออีกฝ่ายรู้ว่าติดต่อได้แล้วก็พยายามติดต่อมาอีกจนต้องปิดเครื่องหนีอีกรอบ

            เอาไงดี ตั้งค่าโรงงานไปเลยดีไหม หรือถอดซิมออก

            สมองครุ่นคิดถึงวิธีปิดการสื่อสารทุกทางมือก็ทำการแกะเคสออกไปด้วย เคสสีดำหลุดออกจากตัวเครื่องพร้อมกับอะไรบางอย่างที่ร่วงออกมาจากเคสอีกที

            ผมหยิบกระดาษถนอมสายตาที่ถูกพับจนเป็นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ขึ้นมาดู วางโทรศัพท์ลงแล้วหันมาสนใจมันแทน คลี่มันออกด้วยความสงสัย และอ่านสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้

            'To...คนที่ได้สิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว'

            หัวคิ้วผมวิ่งชนกันทันทีที่ได้อ่าน เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที

            อย่างกับจดหมาย...ลาตาย

            จั่วหัวว่าน่าสงสัยแล้วแต่เมื่ออ่านเนื้อหาข้างในทุกอย่างก็กระจ่าง มันคือคำฝากฝัง ฝากถึงใครก็แล้วแต่ที่ได้อ่านแล้วไหว้วานให้ทำตามคำขอ

            'ถ้าใครได้อ่านโน้ตแผ่นนี้ มันอาจจะเป็นวันที่ผมได้จากโลกใบนี้แล้วก็ได้ แต่ยังมีบางอย่างที่อยากฝากฝังให้ทำซักหน่อย เพราะถ้าไม่ได้ทำมันผมต้องไม่สบายใจมากแน่ๆ 5555'

            ผมไล่อ่านทุกข้อที่เขียนไว้ในโน้ตแผ่นนี้ เหมือนว่านายมืดมนนั่นจะมีเพจเกี่ยวกับอะไรสักอย่าง มียูสเซอร์เนมและพาสเวิร์ดถูกเขียนเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์และบล็อก มีคนติดตามและทำการค้าขาย สิ่งที่ฝากฝั่งคือการแจ้งให้คนเหล่านั้นรับรู้ว่าหมอนั่นได้จากไป รวมถึงช่องทางการติดต่อต่างๆ ในกรณีที่การค้าขายยังไม่เสร็จสิ้น

            ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ ผมเลยอ่านทวนอยู่หลายรอบ นึกถึงตอนที่ได้เจอกันเมื่อเช้านี้ จนได้ข้อสรุปว่านายมืดมนนั่นต้องคิดจะฆ่าตัวตายแน่ๆ

            ห่อเหี่ยว ไม่สดใสไร้ชีวิตชีวา ถ้าจำไม่ผิดที่แขนกับมือมีรอยแผลเป็นอยู่หลายจุด บางทีนายมืดมนนั่นอาจจะเครียดอย่างหนัก หรือไม่ก็เป็นโรคซึมเศร้าและพยายามฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้งแล้วก็ได้

            อยู่ๆ ก็รู้สึกเครียดยิ่งกว่าไม่มีเงินจ่ายค่าหอ เงินก็สำคัญแต่ชีวิตคนสำคัญกว่า แล้วทำไมโทรศัพท์เครื่องนี้ต้องเป็นของนายมืดมนนั่นด้วยก็ไม่รู้

            แล้วทำไมต้องเป็นผมที่หยิบมันมาด้วยอีกนั่นแหละ

            ผมนั่งจ้องมองไอ้สมาร์ทโฟนเครื่องนี้อย่างไม่รู้จะทำยังไง ถ้าเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตกว่านี้สักหน่อยผมคงขยำกระดาษโน้ตแผ่นนี้ทิ้งแล้วทำตามเป้าหมายเดิม แต่เพราะผมยังไม่ชั่วร้ายขนาดนั้น       

            เสียงเรียกเข้าเพลงสากลที่ผมไม่รู้จักดังขึ้นหลังจากผมตัดสินใจเปิดเครื่อง จ้องมองมันอย่างชั่งใจสักพักก่อนจะกดรับ

            (สวัสดีครับ ผมเจ้าของโทรศัพท์นะ คุณเก็บมันได้ใช่มั้ย)

            ปลายสายพูดรัวมาจนผมแต่ได้เงียบ เอาไงดี วางสายหรือคุยต่อ คืนเจ้าของหรือเอาไปขาย มีเงินไปจ่ายค่าหอหรือโดนไล่ออกเป็นพวกไร้ที่อยู่

            (ฮัลโหลๆ ได้ยินหรือเปล่า) น้ำเสียงที่ถามฟังดูร้อนใจ ถ้าเป็นผมมือถือหายก็คงร้อนใจเหมือนกัน แต่สำหรับคนที่ไม่คิดจะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้วยังจะร้อนใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อีกเหรอ

            ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

            (ได้ยินหรือเปล่าครับ ถ้าได้ยินช่วยตอบผมที)

            "ครับ ผมเก็บมือถือเครื่องนี้ได้"

            เอาล่ะ ผมตัดสินใจแล้ว ต่อจากนี้ไม่ว่ายังไง ความจริงเกี่ยวกับกระดาษโน้ตสั่งเสียนั่น ผมต้องรู้ที่มาของมันให้ได้

 


TBC.




เอามาลมชิมลางก่อน ชื่อเรื่องอาจจะดูโศกๆ แต่ก็นั่นแหละ อิอิ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า



หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 16-07-2017 19:33:53
น่าติดตามค่ะ สิ่งที่นายคนนั้นทำเราก็คิดจะทำเหมือนกัน กลัวตายแล้วไม่มีใครรู้ 555555555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 16-07-2017 20:13:52
รออ่านตอนต่อไปค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 16-07-2017 20:27:45
จะยังไงต่ออ่า อยากรู้ๆ  :hao4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 16-07-2017 21:29:06
ตกใจชื่อเรื่อง  :z3: :sad4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-07-2017 22:45:30
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: EARTHYSS :) ที่ 16-07-2017 22:47:01
ไม่ใช่ผีใช่มั้ย  :sad3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 17-07-2017 07:53:31
ชื่อเรื่องหดหู่มาก แต่ก็สะดุดใจจนต้องเข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: FeaRes ที่ 17-07-2017 07:55:38
ตกลงตายหรือยังนะ 55555
ติดตามน้าาาาา
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 17-07-2017 08:44:55
ชื่อเรื่องหดหู่มาก แต่ก็นั่นแหละ ทำให้เราสงสัยจนต้องเข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทนำ ★ 16/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: zzzzzz ที่ 20-07-2017 00:30:35
รอๆๆหง่ะ เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง อ่านแล้วก็สนใจ

อย่าทิ้งกันนะๆ รอๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 23-07-2017 20:47:44



ตอนที่ 1

 

            ผมสะดุ้งตื่นเพราะเสียงเรียกเข้าที่ไม่คุ้นหู มือปัดป่ายไปมาบนที่นอนเพื่อหาสิ่งที่มันกำลังแผดเสียงลั่นรบกวนการนอน

ว่าแต่ใครมันโทรมาตอนนี้วะ อีกอย่าง เสียงเรียกเข้าแบบนี้มันไม่ใช่มือถือผม

            นอนฟังเสียงเพลงสากลที่ไม่รู้จักจนมันหยุดไปก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ผมมีมือถือที่ไม่ใช่ของตัวเองอยู่ในครอบครองด้วย

            สมาร์ทโฟนราคาเกือบครึ่งเสนของนายมืดมนนั่น

            เสียงเงียบไปได้ไม่กี่วินาทีมันก็ดังขึ้นอีก ผมหยิบมันมาดู ไม่ได้มีอารมณ์อยากจะรับสายเท่าไร ยิ่งเห็นนาฬิกาบอกเวลาตีห้าครึ่งยิ่งอยากจะขว้างมันทิ้ง นี่มันวันเสาร์นะเว้ย ตื่นอะไรเช้าป่านนี้ จนสุดท้ายเลยต้องกดรับสาย คุยเสร็จค่อยปิดแจ้งเตือนแล้วนอนต่อ

            ว่าแต่ไอโฟนนี่มันปิดเสียงตรงไหนวะ

            (ฮัลโหลๆ ได้ยินผมหรือเปล่า)

            เพราะไม่มีอารมณ์จะคุยผมเลยเงียบใส่ ปลายสายก็ถามย้ำถี่ๆ เหมือนเวลาทดสอบเสียงไมค์

            ที่จริงเมื่อคืนเราคุยกันแล้วว่าจะนัดคืนมือถือวันจันทร์ เพราะนายมืดมนกลับไปอยู่บ้านวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมเองก็มีงานพิเศษต้องทำเลยไม่สะดวกไปหา แต่เช้านี้ก็ยังโทรมาอีก ไม่สิ ไม่ใช่แค่เช้า แต่มันเช้ามาก สงสัยคงกลัวว่าผมจะเบี้ยวนัดแหงๆ ซึ่งถ้าแบตเตอรี่เกิดหมดขึ้นมาผมไม่มีที่ชาร์ตแบตมาชาร์ตให้หรอกนะ

            (นายอย่าเงียบดิ)

            "รู้ไหมว่ามันเช้ามาก นายโทรมากวนเวลานอน"

            (เอ้า นอนอยู่เหรอ ขอโทษๆ)

            ถ้าเป็นคนรู้จักผมคงด่าสวนกลับไปชุดใหญ่ วันหยุดที่ไม่มีธุระหรือต้องออกไปเที่ยวไหนใครเขาจะแหกขี้ตาตื่นกันมาตั้งแต่ตีห้าครึ่งวะ ขนาดผมมีงานพิเศษต้องไปทำยังไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้เลย

            "ถ้าไม่มีอะไรแค่นี้นะ จะนอน"

            (โอเคๆ ไว้จะโทรมาใหม่)

            "ไม่ต้อง ไม่เบี้ยวหรอก เอาไปคืนแน่นอน แต่ถ้าแบตหมดติดต่อไม่ได้อันนี้ก็ไม่รู้นะ" พูดจบผมก็ชิงตัดสาย ทิ้งตัวลงนอนกะว่าจะหลับอีกสักงีบก่อนต้องตื่นไปทำงานพิเศษแต่ตาดันสว่างซะงั้น เพราะนายมืดมนนั่นคนเดียวเลย ไม่รู้ตื่นเช้าไปให้อาหารไก่หรือยังไง

            สมาร์ทโฟนราคาแพงยังถืออยู่ในมือ ผมยกมันขึ้นมามองแล้วถอนหายใจดังเฮือก เกิดความรู้สึกสับสนวุ่นวายขึ้นในหัว ไม่เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไร กำลังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอะไรอยู่ ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องสนใจก็ยังได้ ชีวิตคนที่ไม่รู้จักกับที่ซุกหัวนอนและผมกลับเลือกที่จะทิ้งให้ตัวเองลำบาก เลือกทำตัวเป็นคนดีที่ทำให้ชีวิตต้องตกระกำลำบากขึ้นอีกนิด คนดีที่เข้าไปจุ้นเรื่องคนอื่นเขา

            มองมันอยู่สักพักสุดท้ายผมก็ตัดสินใจลองสำรวจมือถือเจ้าปัญหาเครื่องนี้อีกครั้ง กดปิดเครื่องเพื่อรักษาแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว แกะเคสออกและเปิดอ่านกระดาษโน้ตที่ถูกพับใส่เอาไว้

            กระดาษโน้ตที่ไม่ต่างจากจดหมายสั่งเสีย

            เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และบล็อก ผมเข้ารหัสไปเช็คทุกอย่างที่ถูกเขียนเอาไว้ รู้สึกว่านายมืดมนนั่นจะมีงานอดิเรกเป็นการวาดรูป เป็นนักวาดที่มีชื่อเสียงอยู่พอตัวเมื่อดูจากจำนวนผู้ติดตาม ส่วนงานที่ลงไว้ในเพจก็สวยใช้ได้

            โอเค ผมโกหก มันสวยมากๆ เลยล่ะ

            ผมกดเข้าอัลบั้มในเพจ ไล่ดูงานแต่ละชิ้นไปเรื่อยๆ งานส่วนมากที่ลงจะเป็นแฟนอาร์ตสีน้ำของคนดังทั้งไทยและเทศ มีงานเสียดสีสังคมบ้างเล็กน้อย ยอดไลค์หลักพันกับคอมเม้นต์อีกเกือบหลักร้อย งานสวย ดูเพลิน รู้ตัวอีกทีก็เลื่อนมาถึงรูปสุดท้ายเสียแล้ว

            ถัดจากเพจในเฟซบุ๊กผมก็เข้าทวิตเตอร์ ในนี้นายมืดมนบ่นอะไรไม่รู้เต็มไปหมด เรื่องมือถือหายก็ทวีตไว้ แต่ผมดันสะดุดตากับอีกทวีตหนึ่งมากกว่า

            'ทุกคน เราเจอมือถือแล้วนะ มีคนใจดีเก็บไว้ให้ แต่คงได้ไปเอาคืนวันจันทร์นู่นเลย'

            อ่านแล้วริมฝีปากมันก็ยกยิ้มขึ้นมา ไม่ใช่ว่าดีใจหรือรู้สึกดีอะไร แต่กลับรู้สึกสมเพชตัวเองนิดๆ ไม่รู้ว่านายมืดมนทวีตไปเพราะคิดว่าผมเป็นคนดีจริงๆ หรือประชดประชันเล่นกันแน่ แต่ถ้าผมไม่ดันไปเห็นโน้ตบ้าๆ นั่นเข้าให้ตายนายก็ไม่มีวันได้มือถือคืนหรอก คิดแล้วก็เริ่มเครียด แล้วจะเอายังไงกับค่าเช่าห้องดี

            ผมไถทวิตเตอร์ลงมาเรื่อยๆ จนเจองานวาดภาพหนึ่งที่ถูกอัพเมื่อหลายสัปดาห์ก่อน มันสวย แต่ให้ความรู้สึกหน่วงอย่างประหลาด ผมควรคิดยังไงเมื่อได้เห็นภาพสีน้ำที่คนถูกแบ่งชิ้นส่วน แขนขาและหัวกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางเหมือนถูกฆ่าแล้วทิ้งไว้ในทุ่งดอกไม้ กับแคปชันที่ทำให้รู้สึกจิตตกมากกว่าจะทำใจชื่นชมไปกับผลงานชิ้นนี้ได้

            'ถ้าจะตายก็อยากตายที่นั่นล่ะ'

            ตัวละครของภาพไม่ได้ถูกวาดให้น่ากลัว อวัยวะที่ถูกตัดขาดมันเหมือนกับแขนขาของตุ๊กตา แถมหน้าตาเด็กผู้ชายในภาพยังยิ้มแย้มมีความสุข สำหรับคนอื่นอาจจะไม่คิดอะไรถึงได้มีแต่คนเข้าไปชื่นชมความงามของภาพกับถามเรื่องสีที่ใช้วาดเสียมากกว่า

            แต่สำหรับคนที่ได้อ่านโน้ตแผ่นนั้นอย่างผมมันไม่ใช่

            อยู่ๆ ในหัวก็สร้างคำถามมาให้ตัวเองอีกข้อว่าสถานที่ในภาพนั้นมันคือที่ไหน ผมลองเลื่อนลงไปดูเรื่อยๆ แต่ก็ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ค่อยได้ เพราะทวิตเตอร์ของนายมืดมนมีแต่อะไรไม่รู้วุ่นวายไปหมด อีกอย่างรูปนี้ไม่ถูกโพสต์ลงเพจในเฟซบุ๊กที่มีคนติดตามเยอะกว่า

            ฝังตัวอยู่ในทวิตเตอร์อยู่นานผมก็เลิกสนใจเว็บเพจวาดรูปต่างๆ นานาของนายมืดมนนั่น นอนเอาแขนก่ายหน้าผาก คิดแล้วคิดอีกว่าจะเอายังไงกับชีวิตตอนนี้ดี หรือจะกลับลำไม่คืนมือถือแล้วเอาไปขายให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราว เพราะถึงนายนั่นจะจำหน้าผมได้แต่ก็คงไม่รู้หรอกว่าผมเป็นใครเรียนคณะไหน อีกอย่างเวลาที่เรานั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันมันไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ

            โน้ตที่คล้ายกับจดหมายสั่งเสียถูกหยิบขึ้นมาดูอีกรอบ อ่านทวนมันอีกครั้ง ไม่ว่าจะคิดยังไงตีความแบบไหนความหมายของมันก็เหมือนเดิมคือนายมืดมนคิดว่าตัวเองต้องตายในเร็ววันนี้ หากคิดในแง่ดีตัดเรื่องฆ่าตัวตายออกไป บางทีหมอนั่นอาจจะกำลังป่วยหนัก ซึ่งจากสภาพร่างกายอันทรุดโทรมนั่นก็ดูเข้ากับเหตุผลข้อนี้ดี แล้วอย่างไหนกันแน่ที่มันถูกต้อง

            แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะต้องรู้ความจริงเกี่ยวโน้ตแผ่นนี้ให้ได้ ยังไงซะผมก็ยังจะทำตามแผนเดิมต่อไป

            ที่มาของโน้ตแผ่นนั้น ยังไงก็ต้องรู้ให้ได้

 

            เข้าสู่ช่วงสายของวันผมก็ได้เวลาออกไปทำงาน อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยเหวี่ยงกระเป๋าขึ้นสะพายบ่าแล้วออกจากห้อง

            ผมทำงานพิเศษทุกวันหยุด จะเสาร์อาทิตย์หรือนักขัตฤกษ์รับทำหมด ได้ค่าจ้างวันละห้าร้อยหรือสามร้อยบาทตามช่วงเวลาที่เข้างาน เวลาเริ่มงานไม่แน่นอนเวลาเลิกงานไม่กำหนด แต่ทุกวันจะไม่เกินสองทุ่ม เหนื่อยหน่อยแต่ก็คุ้ม ได้สกิลเล็กๆ น้อยๆ ติดตัวแถมได้ข้าวมากินฟรี นายจ้างก็ใจดี ถือว่าเป็นงานที่ผมชอบอย่างหนึ่ง

            เดินลงบันไดมาผ่านห้องเจ้าของหอผมก็แอบชำเลืองมอง แล้วก็จ๊ะเอ๋กับป้าแกเข้าจนได้ เลยรีบยกมือไหว้ทักทายแล้วส่งยิ้มหวาน ก่อนเดินจากมาอย่างเงียบเชียบ

            กับป้าเจ้าของหอเราตกลงกันได้ด้วยดีในระดับหนึ่ง ผมสัญญาไว้แล้วว่าสิ้นเดือนนี้จะจ่ายค่าห้องที่ค้างมาสามเดือน แต่ถ้าไม่มีเงินจ่ายจะยอมย้ายออกโดยไม่ต้องให้ใครมาไล่ ป้าแกก็ใจดียอมฟังที่ผมขอ สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวผมแล้วว่าจะหาเงินมาจ่ายค่าหอได้ทันไหม ซึ่งคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่าหาให้ตายยังไงก็ไม่ทัน เพราะฉะนั้นเตรียมตัวเก็บข้าวของย้ายออกเลยจะดีกว่า

            ส่วนเรื่องที่ซุกหัวนอนใหม่นั้นผมคิดแผนไว้แล้ว เพื่อนรักทั้งสองไอ้ว่านกับไอ้เจนยังไงก็คงต้องไปพึ่งใครสักคน หาข้อแก้ตัวดีๆ ออดอ้อนมันสักหน่อยเดี๋ยวพวกมันก็ยอม และแน่นอนว่าเรื่องนี้จะไม่มีวันรู้ถึงหูครอบครัวผม พ่อกับแม่เหนื่อยกันมามากพอแล้ว ส่งเสียให้ผมเรียนมหาวิทยาลัยดีๆ ได้ก็ดีเท่าไร เพราะฉะนั้นหัดแก้ปัญหาและพึ่งตัวเองให้ได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยเป็นดีที่สุด

            ผมมาถึงบ้านเดี่ยวสองชั้นซึ่งอยู่หลังมหาวิทยาลัยตอนสิบเอ็ดโมง สถานที่ทำงานพิเศษที่ไอ้ว่านช่วยแนะนำให้ เดินเข้าไปข้างในสมาชิกในบ้านกำลังเตรียมของกันอยู่พอดี ผมทักทายทุกก่อนรีบเอาของไปเก็บแล้วเข้าไปช่วยป้านกแม่ครัวใหญ่ของบ้านยกผักที่ล้างเสร็จแล้วไปวางบนโต๊ะเพื่อเตรียมหั่น

            ป้านกแกเป็นแม่ค้าขายกับข้าวอยู่ในตลาดใกล้ๆ กับมหาวิทยาลัย แล้วก็เป็นร้านโปรดของไอ้ว่านมันด้วย ขายตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงสองทุ่ม ระหว่างทางกลับคอนโดเพื่อนผมมันชอบแวะซื้อกลับไปกินเป็นประจำ คุยกันไปคุยกันมาได้ความว่าป้าแกอยากได้คนช่วย มันเลยฝากฝังผมให้เรียบร้อย จนเข้าปีที่สองแล้วที่ผมได้มาช่วยป้าแกขายกับข้าว

            ความจริงผมเคยคิดกับตัวเองเล่นๆ ว่าโตไปอยากเป็นพ่อบ้าน อยู่บ้านทำงานบ้าน ทำกับข้าว เลี้ยงลูกอะไรประมาณนั้น ฝีมือการทำอาหารของผมเองก็ไม่ได้เป็นสองรองใคร ยิ่งได้มาช่วยป้านกสกิลยิ่งร้ายกาจขึ้นเป็นเท่าตัว แต่เรื่องแบบนั้นคงเกิดขึ้นได้ยากนอกจากผมจะหาเมียรวยๆ ได้สักคน ให้ฝ่ายหญิงทำงาน ส่วนเรื่องงานในบ้านผมจัดการเอง

            เป็นงานในฝันที่คงต้องฝันต่อไป

 

 

            ใครมันโทรมาปลุกแต่เช้าวะ

            ผมเปิดผ้าห่มที่คลุมโปงอยู่ออกด้วยอาการหงุดหงิด มือควานหาโทรศัพท์ที่มีเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงสากลที่ไม่รู้จัก ความจริงไม่ต้องคิดให้เสียเวลาด้วยซ้ำว่าใครโทรมา คนที่โทรมาเช้าขนาดนี้ในชีวิตก็มีแค่คนเดียวเท่านั้น

            นายมืดมนนั่น

            หยิบมือถือมาได้ผมก็กดรับสายแล้วเงียบใส่ หมอนั่นเองก็เหมือนจะรู้แล้วว่าพอผมรับสายแล้วชอบเป็นแบบนี้เลยชิงพูดขึ้นมาก่อนโดยไม่มีการเทสเสียงว่าปลายสายยังฟังอยู่ไหมเหมือนครั้งก่อนๆ

            (อย่าลืมนัดวันนี้นะ แปดโมงตรง นายจะมาที่คณะผมจริงๆ ใช่ไหม ถ้าไม่สะดวกให้ผมไปหาก็ได้นะ)

            วันนี้เรานัดเจอกันที่โรงอาหารคณะบริหาร ผมไม่ได้บอกหรอกว่าเก็บมือถือได้จากที่นั่น นายมืดมนเองก็ไม่ถามถึงที่มาที่ไปซึ่งผมว่ามันดีมากๆ หรือไม่บางทีหมอนั่นอาจจะรู้ตัวอยู่แล้วก็ได้ว่าลืมไว้ที่ไหน และก็คงรู้ด้วยว่าผมเป็นคนหยิบไปไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่านั้น

            "ไม่เป็นไร ทางผ่าน"

            (งั้นถ้าถึงแล้วโทรมานะ)

            "โอเค" พูดจบผมก็วางสายซุกหน้าลงกับหมอนเตรียมนอนต่อ

 

            แปดโมงพอดีเป๊ะตามเวลานัดหมายผมก็มาถึงคณะบริหาร กำลังจะหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาเจ้าของมันสายตาก็เหลือบไปเห็นคนที่เหมือนมีก้อนเมฆอึมครึมลอยอยู่บนหัวตลอดเวลาเดินมาทางนี้พอดี ผมเก็บมือถือลงหยุดยืนรอ แต่นายมืดมนกลับเดินผ่านผมไปแบบไม่เหลียวแลกันเลย

            แสดงว่าจำกันไม่ได้เลยสักนิดสินะ แล้วก็คงไม่รู้ด้วยว่าคนที่หยิบมือถือไปคือคนที่นั่งร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันวันนั้น

            ผมปล่อยให้นายมืดมนเดินผ่านไปโดยไม่มีการทักทายใดๆ ทำทีเหมือนมายืนรอใครสักคนแล้วกดโทรหา สัญญาณดังแค่ครั้งเดียวปลายก็กดรับ

            (นายอยู่ไหน)

            "หน้าคณะ"

            (หน้าคณะเหรอ)

            "แล้วนายอยู่ไหน"

            (น่าจะ...ข้างหลังนาย)

            ผมหันกลับไปตามเสียงในสาย สิ่งเรียกที่เห็นคือรอยยิ้มเนือยๆ ที่เหมือนพยายามยิ้มให้เพื่อทักทายคนไม่รู้จัก ผมยิ้มตอบพลางลอบสังเกตคนตรงหน้าไปด้วย

            ครั้งก่อนกับครั้งนี้ที่ได้เจอสีหน้าท่าทางไม่แตกต่างกันนัก แต่ที่เห็นแล้วมันสะดุดตาผมก็คงจะเป็นรอยขีดยาวๆ บนแขนที่ไม่ใช่รอยเก่า กับพาสเตอร์ยาที่ติดตามนิ้วมือทั้งสองข้าง แผลแบบนั้นไปโดนอะไรมา

            "นาย...คนที่เก็บมือถือได้ใช่ไหม" เสียงของนายมืดมนทำให้ผมละสายตาจากบาดแผลน่าสงสัยทั้งหลาย ก่อนยื่นสมาร์ทโฟนราคาแพงคืนให้

            "อ๋อ อืม ใช่"

            "ขอบคุณนะที่เก็บไว้ให้"

            "ไม่เป็นไรๆ คราวหลังก็ระวังด้วยล่ะ"

            "โอเค จะพยายามไม่ลืมอีก" นายมืดมันรับปากที่เหมือนพูดส่งๆ ไปให้มันจบแล้วกดดูอะไรในมือถืออีกนิดหน่อยก่อนเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้

            เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้วรู้สึกขัดหูขัดตาชะมัด

            ตอนนี้ความคิดในหัวผมตีกันรวนไปหมด แสร้งยิ้มให้สดใสหรือว่ายังไง อยากรู้จริงๆ ว่าภายใต้ใบหน้าหมองคล้ำไร้ความมีชีวิตชีว่านั้นกำลังคิดอะไรอยู่ เกี่ยวกับเรื่องโน้ตแผ่นนั้นก็ด้วย ทำไมถึงต้องเขียนข้อความที่เหมือนกับการสั่งเสียลงไป คิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ  ป่วยใกล้ตายหรือเป็นอะไรกันแน่

            อยากรู้...แต่ไม่กล้าถาม

            "เอ่อ นายมีอะไรหรือเปล่า"

            "ฮะ อ่อ เอ่อ ไม่มีอะไร" ผมรีบส่ายหน้ารัวๆ แบบมีพิรุธเป็นที่สุด อยู่ๆ นายมืดมนก็ถามขึ้นมาตอนผมกำลังจ้องแผลที่แขนกับมือ แถมยังเอาหลบไปซ่อนไว้ข้างหลังอีก

            ตั้งใจจะปิดบังจริงๆ สินะ เรื่องแผลพวกนั้นถึงไม่อยากให้มอง

            "งั้นไปก่อนนะ" ก่อนจะทำให้เหยื่อตื่นผมต้องรีบหนีเพราะหลังจากนี้ยังตั้งใจจะตามติดหมอนี่ไปอีกสักพัก และถ้าหากโดนจับได้ว่าเข้ามายุ่งวุ่นวายโดยมีจุดประสงค์มันไม่ใช่เรื่องดีแน่

            "เดี๋ยวก่อน"

            ขาที่กำลังจะก้าวเดินหยุดชะงัก ผมกลับไป นายมืดมนยกยิ้มบางๆ แขนทั้งสองข้างยังซ่อนไว้อยู่ด้านหลัง หรือว่าจะสงสัยอะไรผม

            "ให้เราเลี้ยงข้าวตอบแทนหน่อยดิ"

            ผิดคาดแฮะ ไม่ได้สงสัยแต่ยังมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับคนที่เกือบขโมยโทรศัพท์ตัวเองอีก

            วันนี้มีเรียนเก้าโมงยังเหลือเวลาอีกร่วมชั่วโมงให้เอ้อระเหยได้เต็มที่ แต่ถ้าผมตอบตกลงไปตอนนี้ก็เหมือนการตัดขาดจากกัน การจะเข้าไปตามติดชีวิตนายมืดมนได้คงเป็นเรื่องยาก เพราะฉะนั้นต้องหาทางให้เราได้เจอกันอีกโดยที่ไม่น่าสงสัย

            "เดี๋ยวต้องไปเรียนแล้วว่ะ ตอนนี้คงไม่สะดวก"

            "เหรอ อืม...งั้นเป็นวันอื่นก็ได้"

            "เอางั้นเหรอ"

            "อื้ม อยากเลี้ยงขอบคุณจริงๆ"

            "ตามใจนายแล้วกัน"

            "งั้นขอช่องทางติดต่อด้วย"

            หลังจากตกลงกันได้เราก็แลกเบอร์โทรศัพท์กัน ผมขอบคุณอีกครั้ง จากกันด้วยรอยยิ้มบางๆ ที่แต่งแต้มบนใบหน้า ก่อนหันหลังกลับเดินก้าวเร็วๆ ทำทีเป็นรีบเพื่อไปเรียน จนเมื่อห่างออกมาจนลับสายตาถึงได้ชะลอฝีเท้าลง

            ผมหันกลับไปมองที่ตึกคณะบริหารอีกครั้ง นายมืดมนหายไปเข้าไปด้านในแล้ว พร้อมกับก้อนเมฆครึ้มฟ้าครึ้มฝนบนหัวที่คอยสร้างบรรยากาศอึมครึมให้คนรอบข้าง

            ก้อนเมฆอึมครึมที่ผมอยากจะลองทำให้มันกลายเป็นก้อนเมฆที่สดใสดูสักครั้ง

 

 
TBC.


 

ตอนที่ 1 มาแล้ววววววววว

ดูหลายคนตกใจกับชื่อเรื่อง ซึ่งมันก็น่าตกใจจริงๆ นั่นแหละเนอะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-07-2017 20:58:08
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-07-2017 23:26:32
รออีก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 24-07-2017 00:43:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: zzzzzz ที่ 25-07-2017 00:28:49
อยากรู้จักชื่อนายมืดมนแล้วว

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 25-07-2017 17:20:50
สนใจคนๆนี้ ฮืออออ อยากรู้จักค่ะ
ต้องมีเหตุผลสิที่เขียนอะไรแบบนี้ไว้ในมือถือ ใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 04-08-2017 14:30:14
 :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 1 ★ 23/07/2560
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 04-08-2017 15:32:40
 :o8:  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 13-08-2017 18:40:20


ตอนที่ 2

 

            ใครมันโทรมาแต่เช้าวะ

            ผมพลิกตัวไปมาหยิบหมอนมาปิดหูด้วยความรำคาญพลางใช้มือควานหาเมื่อโทรศัพท์ที่มันดังก่อนเวลาอันควร คว้ามือถือราคาไม่กี่พันมาได้ก็กดตัดสายแบบไม่ต้องคิด กำลังจะนอนต่อแต่ไม่ถึงนาทีมันก็ดังขึ้นมาอีกรอบจนเผลอถอนใจออกมาแรงๆ หนึ่งที

แล้วหยิบมันขึ้นมาดูอีกครั้ง ชื่อที่ผมเมมไว้ว่า 'นายมืดมน' โชว์หราอยู่หน้าจอ สุดท้ายเลยต้องกดรับสายทั้งที่ยังตื่นไม่เต็มตา

            (ฮัลโหล)

            "อืม" ผมตอบกลับอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก นายมืดมนเองก็คงจะรู้ตัวเลยรีบพูดเข้าเรื่องธุระที่โทรมา

            (วันนี้เจอกันแปดโมง อย่าลืมนะ)

            ได้ฟังเรื่องสำคัญที่อุตส่าห์โทรมาปลุกผมตั้งแต่เช้าเลยเผลอพ่นลมหายใจออกมาอย่างลืมตัว นายมืดมนเองก็เงียบไป อาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าผมอารมณ์ไม่สุนทรีเท่าไร

            (หลับอยู่เหรอ ขอโทษนะ)

            ถ้าเป็นเพื่อนหรือคนสนิทโทรมาในเวลาแบบนี้บ่อยๆ ผมคงด่าไปแล้ว แต่เพราะเป็นเขา คนที่ไม่ได้สนิท คนที่ผมไม่รู้ว่ากำลังมีเรื่องรบกวนจิตใจให้รู้สึกแย่อยู่หรือเปล่า สุดท้ายเลยพยายามชวนคุยให้เป็นปกติ

            อีกอย่างคือผมต้องรู้ให้ได้ว่านายมืดมนนั่นกำลังคิดหรือวางแผนอะไรไม่ดีในใจอยู่

            "อืม ไม่เป็นไร เรื่องนัดไม่ลืมหรอก แล้วนี่นายตื่นเช้าแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ"

            (อ๋อ อื้ม ใช่ ตื่นมาวิ่งน่ะ ออกกำลังกาย)

            ออกกำลังกาย? เสียงแหลมสูงของผมดังทวนขึ้นในใจ คนที่เขียนจดหมายสั่งเสียเหมือนไม่อยากอยู่บนโลกนี้แล้วแบบนั้นจะออกกำลังกายไปทำไม หรือว่า...

            ความคิดในแง่ลบผุดขึ้นมาในหัวผมไม่หยุดจนต้องส่ายหน้าแรงๆ เพื่อสลัดมันออกไป ฆ่าตัวตายโดยทำให้เหมือนอุบัติเหตุนั่นแหละคือสิ่งที่ผมคิด นายมืดมนอาจป่วยเป็นโรคหัวใจโตเลยคิดที่จะออกกำลังกายหนักๆ อย่างการวิ่งตอนเช้า แล้วถ้าตายไปด้วยสาเหตุแบบนั้นคงไม่มีใครสงสัยว่าแท้จริงแล้วเป็นการฆ่าตัวตาย

            เป็นไงล่ะความคิดผม เฮ้อ

            "นายออกกำลังกายแบบนี้ทุกเช้าเลยเหรอ"

            (ก็ไม่ทุกวันหรอก วันไหนตื่นไม่ไหวก็ไม่ได้วิ่ง)

            "ขยันเนอะ"

            เป็นเสียงหัวเราะเบาๆ ดังตอบกลับมากับคำที่ผมตั้งใจประชด น่าแปลกที่มันฟังดูสดใสต่างกับสีหน้าหม่นหมองนั่น ตอนที่นายมืดมนหัวเราะ จะแสดงสีหน้าแบบไหนออกมากัน อยากเห็นชะมัด

            (งั้นวางแล้วนะ โทรมาเตือนแค่นี้แหละ อย่าลืมล่ะ)

            "ครับๆ" ผมกดตัดสายทิ้งแล้วพลิกตัวซุกหน้าลงกับหมอน ในหัวยังคงฟุ้งซ่านกับบทสนทนาและความคิดแง่ร้ายของตัวเองเมื่อครู่

            ฆ่าตัวตายโดยที่ทำให้เหมือนเป็นอุบัติเหตุ หวังว่าสิ่งที่ผมคิดมันคงไม่ใช่ความจริงหรอกนะ

 

            ผมมาถึงโรงอาหารคณะบริหารแปดโมงตามเวลานัด แทบไม่ต้องมองหาให้เสียเวลาก็เจอนายมืดมนนั่งอยู่โต๊ะตัวเดิมที่เราได้นั่งกินข้าวด้วยกันเมื่อวันนั้น ผมเดินเข้าไปหาอย่างไม่เร่งรีบ วางกระเป๋าลงบนโต๊ะคนที่กำลังจิ้มโทรศัพท์ราคาแพงเครื่องนั้นอยู่ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามอง

            "ไง"

            "หวัดดี" นายมืดมนวางมือถือลงบนโต๊ะ แย้มรอยยิ้มบางๆ ที่ไม่ได้ทำให้คนมองรู้สึกสดใสขึ้นมาเท่าไร

            ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามพลางลอบมองหน้าจอมือถือที่นายมืดมนเปิดหน้าแชทกับใครบางคนค้างไว้ ไม่ได้อยากทำตัวเหมือนคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เพราะเป็นหมอนี่เลยต้องเฝ้าสังเกตทุกการกระทำ ทุกสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียง ผมคิดว่ามันบ่งบอกได้หลายอย่างว่าคนคนนั้นกำลังรู้สึกยังไง อย่างเช่นนายมืดมนนี่ที่มองยังไงก็เหมือนคนป่วยหมดอาลัยตายอยาก

            ว่าแต่ผมยังไม่ได้ถามชื่อหมอนี่เลยนี่หว่า เรียกนายมืดมนจนชินปากไปซะแล้ว

            "เออ นายชื่ออะไร เรายังไม่รู้ชื่อกันเลย"

            "นั่นดิ ลืมไปเลย เราต้นสน"

            ต้นสนงั้นเหรอ มิน่าล่ะรูปดิสเพลย์ในเพจของหมอนี่ถึงได้เป็นรูปต้นสน ส่วนชื่อเพจก็ตรงตัวว่า Pinetree

            "เราปลื้ม"

            "โอเคปลื้ม ไปซื้อข้าวกันก่อนมั้ย เดี๋ยวค่อยกลับมานั่งคุยกัน"

            "ได้ ตามใจนายเลย"

            นายมืดมนหรือต้นสนแนะนำร้านอร่อยของคณะ เป็นร้านข้าวราดแกงทั่วไป รสชาติไม่แย่เท่าไรแต่ผมว่าร้านป้านกอร่อยกว่าเยอะ เรานั่งกินไปทำความรู้จักกันไป ได้ความว่าเรียนอยู่ปีสอง สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ ก็เท่ากับว่าเราอายุเท่ากัน

            "แล้วปลื้มเรียนคณะอะไรเหรอ"

            "สังคม"

            "สังคม" นายมืดมนทวนคำ ทำหน้างงอย่างกับว่าไม่เคยได้ยินชื่อคณะนี้มาก่อน

            "สังคมและมานุษ" ผมช่วยขยายความให้ แต่ดูจากสีหน้าแล้วคงไม่ได้ช่วยให้มันกระจ่างขึ้นมาเท่าไรนัก เพราะฉะนั้นก็ชั่งมันเถอะ

            นายมืดมนที่ดูเซื่องซึมเหมือนจะเป็นคนนิ่งๆ เอาเข้าจริงกลับคุยเก่งกว่าที่ผมคิด ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแต่ต้นสนสามารถยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาพูดถึงจนบางทีผมไม่รู้จะตอบอะไรกลับไปเลยได้แต่ยิ้มให้เฉยๆ กลายเป็นคนสดใสร่างเริงต่างจากตอนอยู่นิ่งๆ ก้อนเมฆอึมครึมบนหัวไม่ดำครึ้มเหมือนเคย มันมีแสงอาทิตย์สาดส่องออกมาให้เห็นอยู่นิดๆ ถึงอย่างนั้นสีหน้ากับใต้ตาหมองคล้ำก็ไม่ช่วยให้ดูสดใสขึ้นมาอยู่ดี

            ระหว่างคุยกันสายตาผมเผลอเหลือบไปมองรอยที่แขนนายมืดมนอยู่บ่อยๆ บ่อยจนเจ้าตัวสังเกตเห็นแล้วดึงแขนเสื้อนักศึกษาที่พับไว้ลงมาปิด มีพิรุธจนคันปากอยากถาม ไหนจะพาสเตอร์ที่นิ้วมือทั้งสองข้างอีก เป็นใครเห็นก็ต้องสงสัยไม่ใช่แค่ผมแน่ๆ

            แล้วถ้าผมจะลองถามถึงสาเหตุในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่เป็นห่วงกัน มันคงไม่ดูยุ่งเรื่องของชาวบ้านเกินไปหรอกนะ

            ผมมองหน้านายมืดมนอยู่สักพักจนเจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามอง มันคือแผนที่ผมทำเป็นสงสัยติดใจอะไรบางอย่าง ต้องทำให้เหมือนมันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วค่อยถามออกไป ที่สำคัญต้องไม่จู้จี้จนน่ารำคาญ

            "มี...อะไรเหรอ"

            "สีหน้านายดูไม่ค่อยดีเลยนะ ไม่สบายหรือเปล่า"

            "อ๋อ เปล่าหรอก แค่โหมทำงานเยอะไปหน่อย" ต้นสนส่ายหน้าน้อยๆ ยิ้มบางๆ อย่างคนหมดแรงเหมือนกลัวว่าผมจะไม่เชื่อว่าที่หน้าดูโทรมขนาดนี้เพราะงานเยอะจริงๆ

            ผมพยักหน้ารับรู้โดยไม่คิดจะถามอะไรต่อ คำตอบของคำถามเป็นข้ออ้างหรือความจริงนั้นไม่อาจรู้ได้ และมันคือสิ่งที่ผมต้องค้นหาต่อไป

            เรายังนั่งกินข้าวด้วยกันและคุยถึงเรื่องทั่วๆ ไปจนสิ้นสุดมื้อเช้า ผมลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วบอกลา หมดธุระแล้วกับคนรู้จักในฐานะผู้มีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ทำให้เหมือนกับว่าเราคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่มีทางให้มันเป็นแบบนั้น

            เพราะจากนี้เราจะต้องได้รู้จักกันในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง

 

            ค่าเช่าหอยังคงเป็นปัญหาน่าปวดหัวสำหรับผมในช่วงนี้ และหลังจากคิดทบทวนอยู่หลายตลบผมตัดสินใจแล้วว่าจะหาเงินมาจ่ายให้ได้ อย่างน้อยก็สักหนึ่งเดือน หลังจากไปอ้อนวอนขอความกรุณากับป้าเจ้าของหอได้สำเร็จ และทำสัญญาใจว่าให้ทยอยจ่ายตามที่มี ผมยังไม่อยากเป็นคนไร้ที่อยู่ การทำตัวเป็นกาฝากไปรบกวนเพื่อนก็ไม่ใช่ทางที่ถูกที่ดี ครอบครัวที่ต่างจังหวัดเองยังประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่ เพราะฉะนั้นต้องพยายามให้ตายกันไปข้าง

            "เป็นอะไรวะมึง หน้าเครียดเชียว" ไอ้เจนทักขึ้นหลังจากผมปล่อยพวกมันถกกันเรื่องหนังที่จะดูเย็นนี้อยู่นาน แน่นอนว่าผมปฏิเสธไปเป็นที่เรียบร้อยเนื่องจากเศษเงินที่เหลืออยู่น้อยนิด ซึ่งพวกมันเองก็เข้าใจดี

            "วิชาอาจารย์พจนีไงมึง ทฤษฏีห่าเหวอะไรเยอะแยะไม่รู้"

            "เออแม่งปวดหัวจริง ได้ข่าวว่าข้อสอบโคตรโหด คนได้เอนี่นับหัวได้เลย"

            "กูคงเป็นหนึ่งในนั้น"

            "ได้เอเหรอมึง"

            "คนที่จะตกนี่แหละ แม่งยังจำไม่ได้ซักข้อ"

            ผมนั่งเท้าคางมองสองเพื่อนรักเล่นมุกฝืดแล้วหัวเราะหึ วิชานี้เครียดจริงอะไรจริงพวกมันยังมีอารมณ์มาล้อเล่น แต่อย่างว่า ชีวิตมันต้องคลายเครียดบ้าง และวิธีคลายเครียดที่พวกผมชอบใช้คือการเอาเรื่องที่เครียดอยู่มาล้อให้มันเฮฮา...เฮฮาทั้งน้ำตา

            คิดแล้วก็เครียด ทั้งเรื่องเรียน เรื่องหอ แล้วก็เรื่องนายมืดมน

 

            เพราะพยายามจะหาเงินไปจ่ายค่าหอให้ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปทุกวันหลังเลิกเรียนผมต้องไปช่วยป้านกขายแกงที่ตลาด แลกกับค่าแรงสองร้อยที่ผมว่ามันคุ้มมากกับการทำงานแค่ไม่กี่ชั่วโมง

            ช่วงเย็นวันธรรมดานั้นตลาดคึกคักมากเป็นพิเศษ ทั้งคนทำงานนักเรียนนักศึกษา ไหนจะอยู่ใกล้ย่านที่อยู่อาศัย ประชากรผู้หิวโหยต่างออกมาจับจ่ายใช้สอยหาซื้อของกินไปเติมกระเพาะ คนเยอะกว่ามันหยุดเอาเรื่อง ตั้งแต่เริ่มงานช่วงบ่ายแก่ๆ ผมมีเวลาพักนับรวมกันแล้วไม่ถึงครึ่งชั่วโมง

            "ปลื้ม ไหวไหมลูก" ป้านกถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยหลังจากลูกค้าคนล่าสุดเดินออกไป

            "แค่นี้สบายมากครับ" งานแค่นี้ทำอะไรผมไม่ได้หรอก อย่างมากก็แค่เมื่อยมือตอนมัดถุงแกงหลายๆ ถุงติดกัน โชคร้ายหน่อยก็ตอนโดนหนังยางดีดให้เจ็บนิ้วเล่นๆ

            "วันธรรมดาคนมันเยอะ ได้ปลื้มมาช่วยเบาแรงป้าไปเยอะเลย"

            "ผมจะมาให้ทุกวันที่ว่างเลยครับป้า เรียกใช้ได้"

            ป้านกยิ้มให้ก่อนหันไปหาลูกค้าที่เพิ่งเดินเข้ามา ผมเลยตักแกงที่ใกล้ขายหมดใส่ถุงเตรียมไว้ ได้ยินป้านกคุยจ๊ะจ๋ากับลูกค้าอย่างสนิทสนม เป็นเสียงที่ผมรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี จนหันกลับไปมองนิ้วมันก็ยกขึ้นชี้หน้าลูกค้าของป้าแบบอัตโนมัติ

            "ไอ้ว่าน เพิ่งกลับเหรอมึง"

            "เออ ขยันนะมึงเนี่ย"

            "มึงก็เอาให้ได้สักครึ่งของกูดิ"

            "กูเป็นลูกค้านะ พูดดีๆ หน่อย" มันว่ากลั้วหัวเราะ

            ป้านกมองผมกับไอ้ว่านเถียงกันแล้วก็เอาแต่ยิ้ม มันเป็นลูกค้าประจำที่แวะมาซื้อแกงของป้าตลอดถ้าไม่ได้กินข้าวมาจากข้างนอก ซื้อบ่อยจนสนิทกับคนงานร้านป้าแกทุกคน

            "เนี่ยป้า ไอ้ปลื้มมันร้าย ระวังมันแอบแต๊ะอั๋งน้องตาลนะ" รับถุงแกงที่สั่งกับป้านกพร้อมจ่ายเงิน ไอ้เจนยังไม่วายมาแซวผมอีก

            น้องตาลเป็นลูกสาวป้านกเรียนอยู่ ม.ปลาย ปกติวันไหนน้องไม่มีงานก็จะมาช่วยขาย แต่วันนี้น้องไม่มาไอ้เจนมันเลยปากดีกล้าแซว มันบอกว่าท่าทางน้องตาลเหมือนจะชอบผม มีโอกาสเลยชอบแซวให้ป้านกได้ยิน ไม่ได้ถามเพื่อนอย่างผมเลยว่ายินดีเป็นคู่ให้มันชงเล่นด้วยไหม

            "แต๊ะอั๋งพ่อมึงสิ"

            "โอ้โหร้าย แต๊ะอั๋งพ่อกูเลยเหรอ"

            "ไอ้ว่านกวนตีน รีบเลยไป"

            "ห่า ล้อเล่น งั้นกูไปละ เจอกันที่มอ"

            "เออ" ผมโบกมือไล่ส่งๆ มันเลยเดินหัวเราะอารมณ์ดีจากไป

            ก็เพราะแบบนี้แหละ ป้านกจะไล่ผมก็เพราะไอ้เพื่อนปากเปราะมันแซวไม่รู้จักเวล่ำเวลา ถ้าเกิดป้าแกคิดว่าผมจ้องจะจีบน้องตาลจริงๆ ขึ้นมาทำไง ได้ตกงานก็คราวนี้

 

            เวลาเดินเข้าใกล้สองทุ่มคนก็เริ่มซา กับข้าวขายหมดไปแล้วหลายหม้อ ทุกคนช่วยกันเก็บของเตรียมพร้อมสำหรับเลิกงาน ผมยืดตัวบิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อ หมุนตัวกลับไปหน้าร้านอีกทีก็เจอลูกค้ายืนมองอยู่

            "อ่าว ปลื้ม" น้ำเสียงสดใสหากแต่สีหน้าหม่นหมอง คนที่ยืนมองผมอยู่ดูท่าจะแปลกใจไม่น้อยที่ได้มาเจอกันในที่แบบนี้ ผมเองก็แปลกใจเหมือนกัน

            "ต้นสน"

            "มาช้านะวันนี้ เหลือแค่ไม่กี่อย่างเองลูก" ยังไม่ทันที่ผมจะได้คุยอะไรกับนายมืดมนป้านกก็โผงขึ้นมาซะก่อน ฟังจากคำพูดแล้วต้นสนน่าจะเป็นลูกค้าประจำของร้าน น่าแปลกทำไมผมถึงไม่เคยเจอ

            "ทำงานเพลินไปหน่อยน่ะครับ มองนาฬิกาอีกทีจะสองทุ่มแล้วเลยรีบลงมา หิวมากเลย" พูดแล้วก็ทำท่าลูบท้องประกอบ พอพูดคุยกับผู้ใหญ่แล้วสีหน้าท่าทางดูน่าเอ็นดูขึ้นมาทันที

            "งั้นวันนี้เอาดีอะไร ต้มจืดมั้ยลูก"

            "ครับ เอาต้มจืด"

            ตลอดเวลาที่โยนประโยคคำถามใส่กันริมฝีปากของทั้งคู่โค้งขึ้นตลอด ป้านกยังคงเป็นผู้ใหญ่ใจดี นายมืดมนก็ดูไม่เหมือนคนผิดหวังในชีวิตที่คิดจะฆ่าตัวตาย

            ต้นสนหันมาสบตากับผมหลังจากป้านกกำลังวุ่นวายกับการตักต้มจืดที่อยู่ก้นหม้อใส่ถุง หมอนี่แต่งตัวด้วยชุดธรรมดาอย่างเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นทำให้ดูเด็กลงซักสองสามปี และเพราะใส่ชุดโชว์เนื้อนหนังเลยทำให้ผมเห็นรอยขีดที่แขนชัดๆ มันเป็นรอยขีดยาวๆ สะเปะสะปะไม่มีรูปแบบ ที่ขาเองก็มีอยู่หนึ่งรอยที่เห็นชัดเจน

            รอยแบบนั้นไปทำอะไรมากันแน่

            "ปลื้มเป็นญาติกับป้านกเหรอ ไม่เคยรู้" นายมืดมนเริ่มชวนผมคุยระหว่างรอต้มจืดที่สั่ง แถมเดาได้แบบไม่เซ้นส์เลย

            "เปล่า เป็นลูกจ้าง"

            "รู้จักกันด้วยเหรอสองคนนี้" คุยกันได้แป๊บเดียวป้านกก็ถามแทรกขึ้นมาหลังจากมัดแกงใส่ถุงเรียบร้อย พลางยื่นให้คุณลูกค้า

            "ครับ เรียนที่เดียวกัน"

            "จริงด้วยเนอะ"

            "งั้นผมไปก่อนนะครับ" ได้ต้มจืดไปถือไว้ในมือต้นสนก็ขอตัวกลับ บอกลาป้านกก่อนหันมาโบกมือให้ผมสองสามทีแล้วเดินออกไป

            ผมมองตามหลังนายมืดมนไปจนลับสายตา ก่อนเบนสายตาไปหาป้านกที่กำลังสั่งลูกน้องคนอื่นให้จัดการกับแกงที่เหลือ ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะวนเวียนอยู่ใกล้ตัวผมขนาดนี้ และมันน่าแปลกมากที่ผมไม่เคยเจอต้นสนมาก่อนทั้งที่เป็นลูกค้าประจำ

            "ป้านกครับ"

            "จ๊ะ"

            "ต้นสนเขามาซื้อแกงที่ร้านบ่อยเหรอครับ"

            "ปกติก็มาทุกวันนะ แต่ปลื้มคงไม่ได้เจอหรอก ต้นสนเขามาแค่วันธรรมดา พักอยู่คอนโดตรงตรงนั้นน่ะ วันเสาร์อาทิตย์กลับไปอยู่บ้าน คงได้กินกับข้าวฝีมือคุณแม่เขาล่ะ" ป้านกอธิบายแล้วชี้ไปที่คอนโดที่อยู่ห่างจากตลาดแค่ร้อยกว่าเมตร และนั่นเป็นคอนโดเดียวกับที่ไอ้ว่านอยู่

            ผมว่าโลกมันชักจะกลมเกินไปแล้ว

            "อ๋อครับ ก็ว่าล่ะทำไมไม่เคยเจอ"

            "แต่ถ้าปลื้มมาช่วยป้าหลังเลิกเรียนทุกวันหลังจากนี้คงได้เจอกันบ่อยๆ ล่ะลูก"

            ‘แบบนั้นก็ดีเลยครับ’ ผมตอบป้านกในใจ ยิ้มให้แล้วเริ่มตักแกงที่เหลือในหม้อใส่ถุงเพื่อแจกจ่ายแบ่งกันเอากลับไปบ้าน จะได้กลับไปนอนเหยียดยาวๆ ที่ห้องสักที

            เรื่องของนายมืดมนนั่นมาคิดๆ ดูแล้วมันก็เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลก จากคนไม่เคยรู้จัก สถานการณ์ทางการเงินที่บีบบังคับให้ผมเลือกทำไม่ดีแบบนั้น โน้ตสั่งเสียที่ช่วยเปลี่ยนความคิด แล้วไหนจะความเกี่ยวโยงกับคนรู้จัก

            บางทีโชคชะตาอาจจะเลือกแล้วก็ได้ เลือกให้ผมเป็นคนช่วยเหลือชีวิตหมอนั่น และผมต้องทำมันให้สำเร็จ

 



TBC




กลับมาต่อแล้ววววววว หลังจากหายไปชาติเศษๆ

เราไปเคลียร์งานเก่ามาค่ะ ตอนนี้จัดการเรียบร้อยหมดแล้ว

หลังจากนี้จะมาอัพอย่างต่อเนื่องสัญญา อย่างเพิ่งหนีกันไปไหนน้า

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า



หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-08-2017 19:42:58
 :katai2-1:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 13-08-2017 20:17:31
นึกว่าจะตาย555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Zinub ที่ 13-08-2017 20:58:04
อะไร ยังไงว้าา หรือต้นสนเคยฆ่าตัวตาย :confuse:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 13-08-2017 22:05:10
เรื่องน่าสนใจมากค่ะ ชอบๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 14-08-2017 00:56:59
 o13
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 2 ★ 13/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-08-2017 01:41:27
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-08-2017 18:32:31


ตอนที่ 3

 
            ข้อมูลเกี่ยวกับนายมืดมนที่ได้รู้จากป้านกเมื่อคืนทำเอาเกือบนอนไม่หลับ ผมนอนเล่นมือถือส่องเพจกับบล็อก Pinetree อยู่นาน ทั้งที่ช่วงนี้มีงานอัพเดทใหม่ไม่มากนัก และเป็นวาดแฟนอาร์ตแบบที่ชอบลงเป็นประจำ แต่ผมกลับเลื่อนดูมันไปเรื่อยๆ จนถึงงานแรกที่ลง ดูเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ กว่าจะหลับก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว

            โชคดีที่วันนี้ผมไม่ต้องรีบตื่นไปเรียนตั้งแต่เช้า กว่าจะนวยนาดออกจากหอก็ตอนที่แสงตะวันแทงตา แวะกินข้าวเช้าที่คณะตอนใกล้เที่ยงก่อนขึ้นไปสบทบกับเพื่อนที่ห้องเลคเชอร์

            ทันทีที่เห็นหน้าไอ้ว่านคำถามเกี่ยวกับต้นสนก็ผุดขึ้นมาในหัวผมรัวๆ มันเป็นความตั้งใจอันแรงกล้าที่อัดอั้นมาตั้งแต่เมื่อคืน อยากจะโทรไปถามอยู่หลายรอบแต่กลัวจะโดนสงสัย เลยพยายามเก็บไว้จนมาถึงตอนนี้

            ก็หวังว่ามันจะรู้ในสิ่งที่ผมอยากรู้

            "ไงมึง ตื่นยัง" ไอ้เจนทักหลังจากผมนั่งลงข้างพวกมัน ที่โดนถามแบบนี้ไม่แปลกหรอก เมื่อคืนว่าจะยอมนอน ไหนจะล้าจากการทำงานอีก แม้ไม่ต้องตื่นเช้ามันก็รู้สึกไม่สดชื่นอยู่ดี

            "ไม่ตื่นกูจะเดินมาถึงนี่ได้มั้ย"

            "กวนแต่เช้าเลยนะมึง แล้วเมื่อวานเป็นไงบ้างครับเพื่อน เหนื่อยมั้ย" คราวนี้ไอ้ว่านถาม มันเป็นคนเดียวที่เคยเห็นผมตอนทำงาน แถมเปิดประเด็นมาแบบนี้เข้าทางผมเลย

            "เหนื่อยอยู่ คนแม่งเยอะกว่าวันหยุดอีก"

            "อย่าหักโหมมากแล้วกัน มีอะไรให้ช่วยก็บอกพวกกู" มันยักคิ้วให้แล้วตบบ่าสองที ถ้าผมเป็นคนอ่อนไหวคงร้องไห้ไปแล้ว ซึ้งใจที่มีเพื่อนดีๆ อย่างมันสองคน

            เว้นจังหวะเตรียมอุปกรณ์การเรียนขึ้นมาวางบนโต๊ะระหว่างรออาจารย์เข้าผมก็ทวนเรื่องที่อยากจะถามไปด้วย เรียนที่เดียวกัน อยู่คอนโดเดียว แถมยังชอบซื้อกับข้าวร้านเดียวกันอีก คนใกล้ตัวขนาดนี้ มันต้องรู้จักกันบ้างสิน่า

            "เออว่าน กูมีเรื่องจะถามมึงหน่อย"

            "อะไรวะ"

            "มึงรู้จักต้นสนป่ะ"

            "สนต้นไหน"

            "ต้นสนที่เรียนบริหารอ่ะ เมื่อวานกูเจอเขามาซื้อกับข้าวที่ร้าน"

            "อ๋อ ก็พอรู้จักอยู่ ทำไมวะ" มันถามกลับพลางหรี่ตามองผม ไอ้เจนที่นั่งข้างไอ้ว่านอีกทีก็ชะเง้อคอมองท่าทางอยากรู้อยากเห็นเต็มที่

            ก็แค่ถามถึงเพื่อนร่วมสถาบันทำไมพวกมันต้องทำหน้าจับผิดขนาดนี้ด้วยวะ

            "ป้านกบอกเขาอยู่คอนโดเดียวกับมึงเลยถามดู"

            "ก็รู้จักผ่านๆ ตามประสาเพื่อนบ้านอ่ะมึง เขาอยู่ถัดจากห้องกูไปอีกสองห้อง"

            "จริงดิ"

            "อืม"

            บังเอิญอยู่คอนโดเดียวกันว่าพีคแล้ว พักอยู่ชั้นเดียวกันยิ่งพีคเข้าไปใหญ่

            ผมล่ะอยากจะซัดคำถามใส่ไอ้ว่านอีกชุดใหญ่แต่ต้องยั้งปากเอาไว้ ขืนถามอะไรออกไปไม่ทันคิดเดี๋ยวจะโดนสงสัยเอา เคยคิดนะว่าอยากจะเล่าเรื่องโน้ตสั่งเสียให้พวกมันฟัง แต่ไม่รู้จะเอาเหตุผลไหนมาอ้างว่าไปเห็นโน้ตนั่นได้ยังไง ถ้าพวกมันรู้ว่าผมคิดจะขโมยโทรศัพท์เอาไปขายเพื่อมาจ่ายค่าหอต้องโดนด่าไปสามวันเจ็ดวันแน่

            เพราะฉะนั้นต้องข่มความอยากรู้เอาไว้แล้วตะล่อมถามเอาทีละนิดทีละหน่อย

            "เออมึง กูว่าเค้าดูหน้าหมองๆ โทรมๆ ว่ะ ปกติเป็นแบบนั้นป่ะวะ"

            "น่าจะปกติมั้ง กูเห็นกี่ครั้งก็เหมือนคนนอนไม่พอ"

            "เค้าเป็นอะไรวะ"

            "กูจะไปรู้เหรอ อยากรู้ขนาดนี้ไปถามเองเลยมั้ย ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านนะมึงเนี่ย"

            โดนมันด่าเข้าให้ผมเลยได้แต่ยิ้มแหย เพราะความอยากรู้ล้วนๆ เลยข่มใจไว้ไม่ทัน ยังดีที่มันไม่ทันสงสัยแล้วซักผมกลับ แต่นั่นเฉพาะไอ้ว่านไม่ใช่ไอ้เจนที่ยื่นหน้าออกมาแสดงความคิดเห็นเหมือนเก็บกดมานาน จนผมอยากกระโจนไปตะครุบปากมันเอาไว้ทันทีที่มันเปล่งเสียง

            "ใช่เด็กบริหารที่มึงเคยบอกป่ะวะ"

            "เดี๋ยว มั่วละ"

            "ไอ้ปลื้ม มีเด็กเหรอมึง" ไอ้ว่านก็เชื่อเพื่อนไปอีก

            "ไม่ใช่"

            ไอ้เจน ไอ้ขี้มโน กูไปบอกมึงตอนไหนว่ามีเด็ก ไอ้ห่านี่

            "มันเคยบอกว่าไปกินข้าวที่บริหาร ติดเด็กบริหารชัวร์"

            "กูแค่ไปกินข้าวมั้ย มึงกรุณาอย่าคิดไปเอง"

            "แหนะๆ" มันชี้หน้าล้อเลียน พยายามจะยัดเยียดเด็กบริหารในมโนมันให้ผมให้ได้

            "แหนะห่าไร ตัวเองยังเลี้ยงไม่รอดจะเอาอะไรไปเลี้ยงเด็ก"

            "เออก็จริง อีกอย่างต้นสนเป็นผู้ชายนะมึง"

            ไอ้เจนเงียบกริบหลังจากรู้ว่าเด็กบริหารของผมที่มันพูดถึงเป็นผู้ชาย แต่มันจะเข้าใจผิดก็ไม่แปลก ชื่อต้นสนมันระบุเพศไม่ได้ ตอนบอกมันว่าไปกินข้าวที่บริหารผมเองก็ลีลาท่ามากทำเป็นไม่ตอบอยากให้มันเข้าใจไปในเชิงแบบนี้เอง ก็สมควรที่โดนสงสัย

            "ว่าแต่มึงไปกินข้าวที่บริหารทำไมวะ ไกลฉิบหาย" แล้วก็เป็นไอ้ว่านที่สงสัยขึ้นมาแทน

            "เบื่อกับข้าวคณะ แล้วบริหารมันก็ทางผ่านหอกูไง จบนะ"

            มันสองคนพยักหน้ารับแต่ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อที่ผมบอกไปเท่าไร ก็แล้วแต่พวกมันแล้วล่ะ ผมเอาความจริงมาแถแก้ตัวได้แค่นี้ ขอไปคิดข้ออ้างก่อนแล้วจะกลับมาสู้ด้วยใหม่ แต่สองรุมหนึ่งนี่มันเหนื่อยจริงๆ

 

            ตามเวลาวันนี้ผมต้องเลิกเรียนหกโมงแต่อาจารย์ดันเข้าช้าสุดท้ายเลทอีกยี่สิบนาที กว่าจะออกมาจากตึกฟ้าก็เริ่มมืดครั้นจะไปช่วยป้านกขายของที่ตลาดก็เหมือนจะไม่ได้ประโยชน์สักเท่าไร กว่าจะไปถึงคงใกล้เวลาเก็บร้านพอดี พวกผมเลยแยกย้ายกันหน้าตึก ไอ้ว่านกลับคอนโดที่อยู่หลังมอ ส่วนไอ้เจนไปทางเดียวกับผม

            จากคณะผมเดินไปหน้ามอต้องผ่านคณะบริหาร มันกลายเป็นสถานที่หนึ่งเมื่อเดินผ่านผมต้องมองทุกครั้ง เผื่อว่าจะบังเอิญเจอใครบางคน มีโอกาสได้เชื่อมปฏิสัมพันธ์ พบเจอและพูดคุยกันมากขึ้น จนกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด สนิทกันจนยอมเปิดปากเล่าเรื่องไม่สบายใจออกมา ช่วยกันแก้ไขและหาทางออก

            ซึ่งมันเป็นอะไรที่...เพ้อเจ้อชะมัด

            "เออมึง กับข้าวบริหารอร่อยใช่ป่ะ พากูไปกินหน่อยดิ กำลังหิวเลย" เดินมาจนเห็นตึกคณะบริหารอยู่ในสายตาไอ้เจนมันก็ทิ้งประเด็นเรื่องเกมที่คุยกันอยู่เสียอย่างนั้น

            "มึงจะกินตอนนี้เนี่ยนะ"

            "เออดิ"

            "ป่านนี้เขาจะเหลืออะไรให้มึงกิน จานยังไม่มีให้ช่วยล้างเลย"

            "เออว่ะแม่ง จะทุ่มละ หิวเหี้ยๆ"

            "จะกินเหี้ยเลยเหรอ"

            "ห่านี่ กูสบถมั้ย" มันแวดใส่ทำหน้าหงุดหงิด ท่าทางจะหิวจริง

            "หิวแล้วไม่บอกแต่แรกวะ จะได้ไปหาอะไรกินแถวหลังมอ" เพราะหน้ามอไม่มีอะไรเลยนอกจากถนนใหญ่และป้ายรถเมล์ ไม่อย่างนั้นต้องนั่งรถไปที่ห้างสรรพสินค้าอีกสามป้าย ส่วนหอผมอยู่ฝั่งตรงข้าม เดินเข้าซอยไปร้อยเมตร หน้าซอยมีเซเว่นเป็นเพื่อนเวลาหิวยามดึก

            "กูก็ชวนไปงั้นแหละ พอดีเห็นตึกบริหารเลยนึกถึงเด็กมึงขึ้นมา"

            "เด็กกูที่ไหนล่ะ"

            "ก็ที่ตึกบริหารนี่แหละครับ" ไอ้เจนหัวเราะชอบใจยกใหญ่ ส่วนผมก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ถ้ามันจะยัดเยียดให้ผมติดเด็กบริหารให้ได้ผมก็จะไม่เถียง ซึ่งจะว่าไปแล้วผมก็คงติดจริงๆ นั่นแหละ แต่ติดคนละความหมายกับที่มันคิด

            เดินมาถึงหน้าคณะบริหารสายตามันก็มองเข้าไปตึกโดยอัตโนมัติ อย่างกับฟ้าเป็นใจที่ตรงนั้นบังเอิญมีคนที่ผมอยากมองเห็นยืนอยู่พอดี ที่บันไดขั้นบนสุดก่อนจะวนขึ้นชั้นสองของโถงใต้อาคาร ยืนนิ่งเหมือนคนเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น

            ขาที่จะก้าวต่อหยุดชะงักทันที ไอ้เจนเลยหยุดตาม มันมองตามผมแล้วใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างเบาๆ ตามด้วยคำถาม

            "มองอะไรวะ"

            "ต้นสน"

            "ไหน"

            "คนที่ยืนอยู่ตรงบันได"

            "หืมมมม แล้วไงวะ" มันลากเสียงยาวแล้วขมวดคิ้ว

            "ก็บอกไว้ไงเผื่อมึงอยากรู้"

            "อ๋อเหรอ เออ เหมือนจะหน้าตาดีนะ แต่ผอมไปหน่อย ดูโทรมๆ" ไอ้เจนออกความเห็น

            มันคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นนายมืดมนแล้วต้องคิดแบบนั้น ผอม โทรม หน้าหมอง เป็นคนที่ดูไม่น่าสนใจเลยสักนิดถ้าไม่ติดว่าผมดันไปเห็นโน้ตแผ่นนั้นเข้า ไม่งั้นเขาคงเป็นเพียงคนที่มาผ่านมาเพื่อโดนผมทำชั่วๆ ใส่แล้วผ่านไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง และคงไม่รู้ด้วยว่าทำไมหมอนั่นถึงมายืนนิ่งเป็นหุ่นอยู่บนบันไดขั้นสุดท้ายตรงนั้น

            "หมดธุระกับต้นสนของมึงหรือยัง กลับได้แล้ว"

            "เออๆ" ผมตอบรับแบบขอไปทีกำลังจะเดินตามไอ้เจนไป แต่สายตายังคงจับจ้องนายมืดมนอยู่อย่างนั้น จ้องมองจนรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ เพราะร่างกายผอมแห้งเหมือนคนไม่มีแรงนั่นกำลังโน้มมาด้านหน้าใขขณะที่ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท

            ขาผมก้าวออกไปอัตโนมัติ ตรงยังบันใต้โถง ได้ยินเสียงไอ้เจนร้องถามด้วยความงุนงงตามมาด้านหลัง ทว่ายังไม่ทันวิ่งไปถึงร่างผอมแห้งนั่นก็ถูกใครบางคนคว้าที่ไหล่เอาไว้แล้วดึงกลับไป ดวงตาที่เคยปิดสนิทเบิกโผง สีหน้าตื่นตกใจจ้องมองคนที่ทำหน้าเครียดใส่ ขาผมหยุดชะงักอยู่กับที่ มองเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นด้วยใจเต้นระรัว

            มันอะไรกันวะ ตั้งใจหรือแค่บังเอิญ

            "เป็นห่าอะไรวะ จู่ๆ ก็วิ่งมา" ไอ้เจนที่วิ่งตามมาขมวดคิ้วถาม

            ผมมองที่บันไดตรงนั้นสลับกับมองหน้ามัน นายมืดมนกับคนที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนยังคงยืนหน้าเครียดใส่กันอยู่ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกันเพราะอยู่ไกลเกินกว่าจะได้ยิน อันที่จริงผมยังไม่ทันได้เข้าตัวอาคารเลยด้วยซ้ำ และถ้ารอจนกว่าผมจะไปถึงหมอนั่นคงกลิ้งลงมานอนอยู่ที่ตีนบันไดแล้วก็ได้

            "หรือมึงอยากมาทักต้นสน" เมื่อผมไม่ตอบมันเลยถามต่อ บุ้ยปากไปทางต้นสนกับเพื่อนที่เหมือนจะเคลียร์กันลงตัวลงแล้ว คนที่เข้ามาช่วยถึงได้ยกมือขึ้นขยี้ผมหมอนั่นแรงๆ แล้วกอดคอพาเดินเข้าไปข้างใน

            "ก็คิดว่าจะทักแต่คงไม่ต้องแล้วมั้ง เค้าไปแล้ว กลับกันเถอะ" ผมแถและเดินนำไอ้เจนออกมา

            ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ยังค้างอยู่ในหัวผม ติดตาขนาดที่ว่าเพื่อนพูดอะไรมาก็ไม่เข้าหู มันเกิดอะไรขึ้นและเพราะอะไร สิ่งที่ผมเห็นคือผู้ชายผอมแห้งคนหนึ่งยืนเหม่ออยู่ที่บันไดขั้นบนสุด ท่าทางเหม่อลอย ก่อนจะหลับตาแล้วพยายามจะทิ้งตัวลงมาจากตรงนั้น น่าเสียดายที่มันไม่สำเร็จ

            ฆ่าตัวตายคือสิ่งที่ผมนึกถึงเป็นอย่างแรก แต่หมอนั่นคิดว่าบันไดแค่ไม่ขั้นจะทำให้ตายได้จริงๆ เหรอ โคตรสิ้นคิด แล้วก็น่าโมโหชะมัด

            ในหัวผมมีคำถามอยู่เต็มไปหมดแต่ไม่มีใครสามารถตอบให้ได้ ทำไมนายมืดมนถึงพยายามจะฆ่าตัวตาย อะไรที่ทำให้คนคนหนึ่งหมดหวังในชีวิตได้ขนาดนั้น แล้วเพื่อนคนนั้นล่ะ ไอ้ผู้ชายตัวโตที่เข้ามาช่วย มันรู้หรือเปล่าว่าต้นสนกำลังคิดอะไรอยู่ มันเคยเห็นโน้ตแผ่นนั้นไหม และแท้จริงแล้วมันรู้ไหมว่าตอนนั้นต้นสนคิดจะทำอะไร สีหน้าเคร่งเครียดกับบทสนทนาตอนนั้น ผมอยากรู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน

            ผมยกมือขึ้นยีหัวตัวเองแรงๆ ด้วยความหงุดหงิดจนไอ้เจนมันร้องทักด้วยความตกใจ

            "เป็นอะไรของมึงอีกเนี่ย"

            อยู่ๆ ก็นึกคำอ้างไม่ออก ผมหันไปมองมันก่อนถอนหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งที ตั้งสติและปล่อยวาง

            "คันหัว"

            "คันขนาดนี้ หนังหัวมึงไม่เปิดไปแล้วเหรอ"

            "เออๆ ช่างมันเถอะ" ผมบอกปัดแล้วรีบสาวเท้าเร็วๆ ไปยังป้ายรถเมล์หน้ามอ ส่งไอ้เจนขึ้นรถกลับบ้าน แล้วจะได้กลับหอสักที

            กลับไปแล้วก็ไม่วายหมกมุ่นคิดถึงเรื่องนายมืดมนอีก

            เมื่อไรกันที่ผมจะเลิกคิดมากเรื่องนี้ อาจจะเป็นตอนที่รู้ความจริงและช่วยหมอนั่นได้ หรือไม่ก็ตอนที่หมอนั่น...จากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ

 

            การได้เจอกันที่ตลาดหรือบังเอิญเจอกันที่มหาวิทยาลัยมันไม่เพียงพอสำหรับผมอีกต่อไป สถานการณ์ตอนนี้มันเลวร้ายเกินกว่าจะปล่อยวาง ผมไม่รู้ว่าต่อไปอะไรจะเกิดขึ้นอีกบ้าง เพราะฉะนั้นผมต้องรีบทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะสายเกินไป

            เพจวาดรูป Pinetree คือสิ่งเดียวที่นึกออกในตอนนี้ ผมมีเบอร์ติดต่อนายมืดมนก็จริง แต่จะให้ใช้ข้ออ้างอะไรในการโทรไปหา หรือจะให้ผมโทรไปบอกว่า 'ฉันเห็นโน้ตสั่งเสียนั่นแล้วนะ และรู้ว่านายกำลังคิดจะฆ่าตัวตาย ได้โปรดหยุดคิดสั้นแล้วใช้ชีวิตต่อไปเถอะ' มันก็คงไม่ใช่ จะเข้าทางเพื่อนผมว่ามันยุ่งยากเกินไป ทางที่เร็วที่สุด ถึงตัวที่สุด และไม่น่าสงสัยที่สุด ก็เหลืออยู่เพียงทางเดียว

            ผมลงทุนสมัครแอคเคาท์ทวิตเตอร์ใหม่เพื่อตามฟอลโลนายมืดมนโดยเฉพาะ รีทวิต กดไลค์รูป ทำทุกอย่างที่ทาสผู้คลั่งไคล้งานวาดอันสวยงามนี้ควรทำ มันอาจดูเหมือนพายุลูกใหญ่ที่จู่ๆ ก็พัดโหมกระหน่ำมา แต่เชื่อเถอะว่าต้นสนจะไม่มีทางสงสัยคนที่ชื่นชมงานตัวเองแน่ๆ

            หลังจากใช้เวลาสร้างตัวตนกับแอคเคาท์ทวิตเตอร์อันใหม่อยู่นาน ทำให้เหมือนเป็นบุคคลที่สนใจเกี่ยวกับหนัง งานวาด และอะไรก็ตามที่ดูเป็นศิลปะ ในที่สุดผมก็ตัดสินใจกดไปที่ข้อความส่วนตัวของแอคเคาท์ต้นสนและบรรจงพิมพ์ข้อความลงไป

            'สวัสดีครับคุณ Pinetree ผมเพิ่งมีโอกาสได้ติดตามงานของคุณ ชอบมากๆ เลยครับ ลายเส้นสวยมาก เห็นว่ามีขายอาร์ตบุ๊คด้วยแต่ผมมาจองไม่ทัน ถ้าผมอยากได้ต้องทำยังไงบ้างครับ อยากได้มากจริงๆ ช่วยตอบด้วยนะครับ'

            กดส่งข้อความไปแล้วผมก็รอแจ้งเตือนอย่างใจจดใจจ่อ ทั้งที่เงินค่าหอยังไม่มีจ่ายแต่ดันสิ้นคิดจะเอาเงินไปซื้ออาร์ตบุ๊คราคาหลายร้อย ถ้าไม่เสียสติก็คงต้องเรียกว่าบ้าแล้วล่ะ

            ตึ่ง!!

            เสียงแจ้งเตือนจากทวิตเตอร์เด้งขึ้นมาบนหน้าจอบอกว่าคนที่ผมกำลังรอได้ส่งข้อความตอบกลับมา นิ้วรีบกดเข้าไปอ่านอย่างรวดเร็ว ข้อความที่แสดงความดีใจและการสื่อสารทางการค้าบ่งบอกว่าในอนาคตอันใกล้นี้ผมคงได้เสียเงินเป็นแน่แท้

            ราคาอาร์ตบุ๊ค 450 บาท กับชีวิตคนที่ไม่สามารถประเมินราคา ถ้าการตัดสินใจของผมจะช่วยทำให้คนคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

            มันก็คุ้มที่จะเสีย...ใช่ไหม

 


TBC.

 


พี่พระเอกของเราลงทุนมาเลยนะเนี่ย เงินจะไม่มีใช้อยู่แล้วเด้อ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Bradly ที่ 20-08-2017 18:45:28
ลงทุนมากอะปลื้ม
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 21-08-2017 20:11:05
เราก็อยากรู้เรื่องของนายมืดมนเหมือนกัน  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 21-08-2017 21:10:59
อยากรู้เรื่องของต้นสนมากขึ้นเลย เกิดอะไรขึ้นนะ :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-08-2017 21:31:43
 :เฮ้อ:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-08-2017 22:25:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: OoniceoO ที่ 24-08-2017 10:37:33
ตกลงยังไงๆอยากรู้ละ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 3 ★ 20/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 24-08-2017 14:46:15
อ่านแล้วอินตามต้นสนเลย เราเข้าใจนายนะต้นสน T___T
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 27-08-2017 18:52:56

ตอนที่ 4


            อาร์ตบุ๊คราคา 450 บาทมาอยู่ในมือผมในสามวันต่อมา ผมกลายเป็นทาสผู้คลั่งไคล้งานศิลปะ พูดคุยกับนักวาดอย่างสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานานหลายปี ต้นสนผู้เฟรนลี่และสดใส ไม่เหมือนตัวจริงที่หม่นหมองคอยปล่อยบรรยากาศอึมครึมใส่คนอื่นเลยสักนิด

            หลังจากพูดคุยผ่านทางทวิตเตอร์มาหลายครั้งผมเคยตะล่อมถามเกี่ยวกับแรงบันดาลใจในการวาดภาพอยู่หลายรูป รวมถึงรูปทุ่งดอกไม้แห่งความตายนั่นด้วย ทว่าคำตอบที่ได้มันน่าผิดหวังสุดๆ นายมืดมนบอกเพียงว่าเพราะมันสวยดีเลยอยากวาด นึกถึงสถานที่นั้นแล้วอยากอยู่ไปนั้นนานๆ อะไรประมาณนั้น ซึ่งคนที่คิดฆ่าตัวตายคงไม่มีใครมาเที่ยวบอกเหตุผลหรือวิธีการให้คนอื่นรู้หรอก แต่อย่างน้อยการได้คุณกันทุกวันก็ทำให้ผมรู้ว่าเขาสบายดีและยังไม่จากโลกนี้ไปไหน

            จะว่าไปแล้วตอนซื้ออาร์ตบุ๊คเล่มนี้มาผมใช้ชื่อและที่อยู่จริงในการสั่ง ยังคิดอยู่ว่านายมืดมนจะนึกเอะใจไหมที่ที่อยู่อยู่ใกล้มากจนน่าตกใจขนาดนี้ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีการถามไถ่กันสักนิด เพราะมันคงไม่สำคัญอะไรนักกับคนค้าขาย แค่ขายของได้ก็เป็นอันจบ

            อาร์ตบุ๊คเล่มสวยถูกเก็บไว้อย่างทะนุถนอม ผมเปิดดูแต่ละหน้าในเล่มอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่ามันจะขาด วิเคราะห์และตีความภาพวาดแต่ละชิ้น เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง สุดท้ายก็ปิดมันแล้วเก็บเข้าลิ้นชักข้างเตียง

            กับนายมืดมนนั้นเรายังเจอกันแทบทุกวันยกเว้นเสาร์อาทิตย์ เขาเป็นลูกค้าประจำร้านข้าวแกงป้านก ใช้เวลามาเลือกซื้อไม่ถึงห้านาทีแล้วก็จากไป คุยกันแต่ละวันนับคำได้ หรือบางวันไม่ได้คุยกันเลยก็มี

            จากความห่างเหินนั้น...วันนี้ผมเลยตั้งใจจะทำบางอย่าง

            เช้านี้ผมแวะมาที่คณะบริหาร จุดประสงค์แรกคือข้าวเช้า ส่วนจุดประสงค์หลักคือนายมืดมน การมาแบบไม่ได้นัดหมายล่วงหน้ามีโอกาสน้อยมากที่จะได้เจอ แต่คงเป็นเพราะโชคชะตาที่ลิขิตมาแล้วล่ะมั้งผมถึงได้เห็นหมอนั่นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม

            โต๊ะเดิมที่ผมหยิบโทรศัพท์มือถือเจ้าปัญหาเครื่องนั้นมา

            รอยยิ้มฉาบบนใบหน้าเมื่อสิ่งที่คาดเป็นไปตามที่หวัง ผมเดินอารมณ์ดีถือแฟ้มเอกสารใสที่ใส่ชีทเรียนกับอาร์ตบุ๊คไว้ในนั้นเข้าไปหาต้นสน วางมันลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามโดยที่ไม่ขออนุญาตคนที่นั่งอยู่ก่อน

            "อ้าว! มาไง" ต้นสนละสายตาจาหน้าจอมือถือเงยหน้าขึ้นมาหา แย้มรอยยิ้มที่มอบให้ดูสดใสกว่าทุกครั้ง สีหน้าที่เคยหม่นหมองดูดีขึ้น

            "เดินมานี่แหละ"

            "ตอบงี้ต่อยกันมั้ย แต่ต่อยกับปลื้มคงไม่ชนะหรอก โดนกระทืบตายคาตีนแน่" ถามเองตอบเองแล้วก็หัวเราะคิกคัก

            ผมมองแล้วก็ได้แต่ยิ้ม ไม่ชอบเลยจริงๆ ที่ได้ยินหมอนี่พูดเรื่องความเป็นความตาย ถึงจะแค่ล้อเล่นก็เถอะ

            "มากินข้าวเหรอ"

            "อื้ม เบื่อกับข้าวคณะ บางทีเลยแวะกินที่นี่ แล้วนี่กินเสร็จแล้วเหรอ"

            "ยังไม่ได้กินเลย"

            "มัวแต่เล่นอะดิ" ผมพยักพเยิดหน้าไปยังมือถือที่เจ้าตัวถืออยู่เลยโดนยู่หน้าใส่ ก่อนเครื่องมือสื่อสารราคาเกือบครึ่งแสนจะถูกเก็บใส่กระเป๋า

            "งั้นไปซื้อข้าวละ เอาอะไรมั้ยเดี๋ยวซื้อมาให้"

            "ไปเป็นไร เดี๋ยวเราไปซื้อเอง"

            "โอเค งั้นฝากเฝ้าโต๊ะก่อนนะ"

            ผมพยักหน้ารับนายมืดมนก็หยิบกระเป๋าสตางค์ลุกขึ้นจากโต๊ะ แต่ยังไม่ทันเดินออกไปไหนก็ชะงักแล้วก้มลงมาจ้องที่แฟ้มเอกสารของผม

            แฟ้มใสที่ผมตั้งใจเอาอาร์ตบุ๊คใส่เอาไว้...ในที่สุดก็เห็นสักที

            "มีอะไรเปล่า" ผมแกล้งถาม มองแฟ้มกับนายมืดมนสลับกันไปมา อีกฝ่ายเองก็ดูอึกอักไม่กล้าพูดได้แต่ชี้มาที่อาร์ตบุ๊ค

            "นั่น"

            "อะไร"

            "ในแฟ้ม"

            "ไอ้นี่น่ะเหรอ" ผมหยิบอาร์ตบุ๊คออกมาจากแฟ้มให้ได้เห็นชัดๆ

            ต้นสนทำตาโต แสดงสีหน้าที่แยกไม่ออกว่าดีใจหรือตกใจกันแน่แล้วชี้นิ้วมาที่อาร์ตบุ๊ครัวๆ ดูตลกแต่ก็น่ารักแปลกๆ เข้าใจอารมณ์พวกศิลปินที่เจอแฟนคลับตัวเองเลย อาการก็คงประมาณนี้ล่ะมั้ง หรือบางทีนายมืดมนนี่คงเป็นข้อยกเว้น

            "ซื้อด้วยเหรอ"

            "เอ่อ ก็ใช่ ซื้อมา"

            "เราต้นสนนะ"

            "เอ่อ เออ ก็รู้แล้วว่าชื่อต้นสน" ผมเกือบจะหลุดขำกับท่าทางของนายมืดมนตอนนี้ แต่ต้องแกล้งทำเป็นตีหน้ามึนใส่

            "ไม่ใช่ หมายถึงต้นสนที่วาดอาร์ตบุ๊คเล่มนี้"

            "คนวาดเล่มนี้น่ะเหรอ"

            "ใช่ เราเอง"

            "จริงดิ"

            ถ้ามีการประกาศรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมควรยกผมมันให้ผมนะ เล่นละครเหมือนกับว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ทำเป็นตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอนักวาดที่ชอบ จนเริ่มรู้สึกอายตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

            ตอนนี้ผมไม่ใช่แค่คนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านธรรมดาๆ แต่เป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านแล้วยังตอแหลอีกด้วย

            อนาถตัวเองชะมัด

            "ซื้อมาเมื่อไรเหรอ" ต้นสนยังถามต่อด้วยสีหน้าตื่นเต้นที่ผมไม่เคยเห็น มันก็น่าตกใจอยู่หรอกที่มารู้ว่าคนที่ชอบผลงานตัวเองเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้ บางที่ผมอาจจะโดนถามซักไซ้เป็นผู้ต้องหาเลยก็ได้

            "เพิ่งได้มาสองสามวันนี้แหละ"

            "สองสามวันนี้เหรอ"

            "ใช่ สั่งไปทางดีเอ็ม"

            "ปุริม...ใช่มั้ย"

            "ใช่"

            "ก็ว่าล่ะที่อยู่โคตรใกล้ ตอนแรกกะว่าจะนัดเจอส่งให้เลยด้วยซ้ำจะได้ไม่ต้องเสียค่าส่ง ถ้ารู้ว่าเป็นปลื้มนะจะยกให้ฟรีๆ เลย"

            "จริงดิ งั้นขอตังค์คืนด้วยครับ" ชงมาผมก็เล่นกลับ แบมือขอเงินคืนกันแบบหน้าด้านๆ ไปเลย จะได้เอาเงินที่เสียค่าอาร์ตบุ๊คไปใช้จ่ายอย่างอื่น

            "สี่ร้อยห้าสิบใช่มั้ย แป๊บนึงนะ"

            "เอาจริงดิ ไม่ต้องๆ ล้อเล่น" ผมหดมือกลับแทบไม่ทันตอนต้นสนเปิดกระเป๋าสตางค์ทำท่าจะควักเงินออกมาจ่ายคืนให้จริงๆ หมอนนี่แยกเรื่องนี้กับเรื่องล้อเล่นขำๆ ไม่ออกหรือไง หรือหน้าผมตอนขอเงินคืนมันจริงจังมาก

            "แต่อยากให้ฟรีจริงๆ นะ น่าจะแสดงตัว" ต้นสนทำหน้าเสียดาย แถมยังไม่ยอมปิดกระเป๋าสตางค์ ถ้าเกิดหยิบเงินออกมาอีกรอบผมจะหน้าด้านยอมรับมันไว้ก็ได้เอาดิ

            "แล้วใครจะไปรู้ว่าเป็นคนใกล้ตัวขนาดนี้"

            "งั้นเดี๋ยวเลี้ยงข้าว ขอบคุณที่ซื้องานเรา"

            "เฮ้ยไม่ต้อง งี้ถ้าเจอคนรู้จักที่ซื้องานตัวเองไม่ต้องเลี้ยงทุกคนเลยเหรอ"

            "ก็ใช่ว่าจะได้เจอบ่อยๆ ที่ไหนล่ะ สรุปมื้อนี้เราเลี้ยง ห้ามปฏิเสธ โอเคนะ"

            ตื้อตัดบทแถมยังคับกันขนาดนี้แล้วผมจะไปขัดอะไรได้ สุดท้ายก็ยอมให้ต้นสนเลี้ยงข้าวเช้าไปตามระเบียบ เป็นข้าวราดแกงร้านเจ้าอร่อยร้านเดิม

            ก่อนหน้านี้ว่าต้นสนคุยเก่งแล้วแต่หลังจากรู้ว่าผมเป็นแฟนงานวาด(จอมปลอม)ยิ่งคุยเก่งกว่าเดิม ขนาดกินข้าวก็ยังจ้อไม่หยุด ผมเลยทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีแล้วแสดงรีแอคชั่นเหมือนวลาดูทอร์คโชว์ มันน่าแปลกตรงที่ว่าผมไม่รู้สึกถึงความมืดมนที่เคยแผ่ออกมาเหมือนก่อนหน้านี้ ต่อให้หน้าโทรมตาดำคล้ำ แต่รอยยิ้มที่เห็นมันดูสดใสอย่างบอกไม่ถูก

            ก้อนเมฆอึมครึมที่อยู่บนหัวนั่น เหมือนกับว่ามัน...จะหายไปแล้ว

            มื้อเช้าและการพบปะอันแสนสั้นจบลงเมื่อเพื่อนตัวสูงที่ผมเห็นคราวก่อนโผล่มา ผมกับเขาทักทายกันตามประสาคนไม่รู้จักก่อนผมจะเป็นฝ่ายขอตัวออกมา พร้อมกับทิ้งของบางอย่างเอาไว้ที่ตรงนั้น

            อาร์ตบุ๊คราคา 450 บาท

 

            นานกว่าที่คิดกว่าทวิตเตอร์จะแจ้งเตือนว่ามีข้อความเข้า ผมหยิบมันขึ้นมาดูระหว่างเรียน อ่านแล้วอมยิ้มอยู่คนเดียวก่อนวางมันไว้บนโต๊ะแล้วกลับมาตั้งใจเรียน แต่ขนาดแอบอ่านแล้วยังไม่สามารถรอดพ้นสายตาของไอ้เจนไปได้

            "ดูมือถือแล้วยิ้ม อะไรวะ"

            ผมไม่ตอบ ปล่อยให้มันมองด้วยสายตาจับผิดต่อไป เพราะถึงอยากจะเล่าก็เล่าไม่ได้อยู่ดี

            'ปลื้มลืมของสำคัญไว้!!!!'

            ข้อความนี้ถูกส่งเข้ามาพร้อมแนบรูปภาพที่ผมยังไม่ได้เปิดดู แต่มันคงเดาได้ไม่ยากว่ารูปนั้นคืออะไร และเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากอาร์คบุ๊ตราคาครึ่งพันเล่มนั้น

            มันคือข้อความธรรมดาๆ ที่ไม่น่าจะเรียกรอยยิ้มได้แต่ผมกลับยิ้ม ยิ้มให้กับว่า 'ของสำคัญ' ที่นายมืดมนเลือกใช้ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามันมีความพิเศษขึ้นมา

            "จะยิ้มอีกนานมั้ย ใครส่งอะไรมาวะ" ไอ้เจนมันทำท่าจะคว้ามือถือไปดูเมื่อความอยากรู้อยากเห็นเกินขีดจำกัด ผมเลยต้องรีบแย่งมายัดใส่กระเป๋ากางเกง และนั่นยิ่งสร้างความสงสัยให้พวกมันไปกันใหญ่

            "คือมึงแอบมีกิ๊กจริงๆ ใช่มั้ย" ไอ้ว่านทัก

            "แฟนกูยังไม่มีเลยจะให้มีกิ๊ก"

            "หรือว่าเด็กบริหาร"

            "ยังไม่จบประเด็นนี้อีกเหรอวะ" ผมทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วถอนหายใจใส่ เล่นละครฉากใหญ่กับเพื่อนอีกครั้ง

            "ใครจะไปรู้ เจอหน้าทุกวันอาจจะแอบกิ๊กกั๊กกันก็ได้"

            "กับต้นสนเนี่ยนะ"

            "เออ"

            ผมส่ายหน้าใส่พวกมันอีกรอบ กับนายมืดมนนั่นผมมีความลับต่อพวกมันอยู่แล้วเพียงแต่คนละประเด็นกันเท่านั้น แถมยังเป็นประเด็นที่โคตรห่างไกลกับสิ่งที่พวกมันคิดเลยด้วย

            แอบกิ๊กกั๊กกับคนที่กำลังคิดจะฆ่าตัวเอง ผมไม่เอาหัวใจตัวเองไปเสียงแบบนั้นหรอก

            ความสงบกลับมาเยือนเมื่อผมหยุดต่อปากต่อคำ ข้อความที่ต้นสนส่งมานั้นเอาไว้ค่อยตอบตอนพวกมันไม่อยู่ ไม่ได้อยากจะตอบช้าแต่จังหวะมันไม่ได้จริงๆ

 

            Pinetree : ปลื้มเลิกเรียนกี่โมง เราเลิกบ่ายสอง ให้แวะเอาของไปให้ที่คณะมั้ย

            PuuRimm : เราเลิกสี่โมงว่ะ แต่เดี๋ยวตอนเย็นไปขายของ วันนี้ต้นสนจะมาซื้อกับข้าวร้านป้านกเปล่า

            Pinetree : ไปๆ งั้นแวะเอาไปให้เย็นๆ นะ เดี๋ยวกลับคอนโดก่อน

            PuuRimm : โอเค ขอบใจนะ

            Pinetree : ไม่เป็นไร ยินดีมากๆ

            จากการพูดคุยผ่านข้อความทางทวิตเตอร์เป็นอันตกลงว่าเย็นนี้ต้นสนจะเอาอาร์ตบุ๊คมาคืนผมที่ตลาด ทั้งที่อยากปฏิเสธแล้วหาข้ออ้างเพื่อนัดเจอกันในวันพรุ่งนี้แท้ๆ แต่เพราะต้นสนเป็นลูกค้าประจำของร้านป้านก มีโอกาสน้อยมากที่จะไม่แวะมา เลยต้องจำใจรับอาร์ตบุ๊คเล่มนั้นคืนในวันนี้อย่างช่วยไม่ได้

            จำนวนผู้คนที่มาเดินตลาดในช่วงเย็นยังคึกคักเหมือนเดิม แต่งานที่ร้านวันนี้ไม่ได้สร้างความเหนื่อยล้าให้ผมมากนัก คงเพราะได้น้องตาลลูกสาวป้านกมาช่วยอีกแรง ช่วยๆ กันทำช่วยๆ กันขาย แป๊บเดียวก็เคลียร์ลูกค้าหมด มีเวลาได้พักเป็นช่วงสั้นๆ จนผมอยากให้น้องมาช่วยทุกวัน

            "เฉาก๊วยกับลอดช่องพี่ปลื้มกินอะไร" ว่างจากงานปุ๊บสาวน้อยในชุดนักเรียนผูกผมหางม้าก็เอ่ยถามขึ้นมา

            "ไม่เป็นไรครับน้องตาล" ผมบอกปฏิเสธไปด้วยความเกรงใจ

            น้องตาลยิ้มจนตาหยีก่อนเดินออกไปจากร้าน ไม่ถึงห้านาทีก็กลับมาพร้อมลอดช่องในมือสองแก้ว ตอนแรกผมคิดว่าน้องคงซื้อมาให้ป้านกแต่กลับเอามายื่นให้ผมซะงั้น

            "ตาลเคยเห็นพี่ปลื้มกินลอดช่องอะ"

            ผมได้แต่ยิ้มแห้งจะยื่นมือไปรับก็ไม่กล้า จะปฏิเสธก็ไม่กล้าอีก แอบเหล่มองป้านกที่ยกยิ้มใจดีมาให้สุดท้ายเลยยอมรับมาถือไว้

            "ยี่สิบใช่มั้ย"

            "ไม่ต้องๆ แม่เลี้ยง" น้องบุ้ยปากไปทางป้านกที่กำลังนั่งพัก และใช้หนังสือพิมพ์พัดวีไล่ความร้อนจากอากาศอบอ้าวของเมืองไทย ที่แม้จะดึกแล้วก็ยังร้อนตับแลบ

            "ขอบคุณครับ"

            ได้รับคำขอบคุณน้องตาลก็ยิ้มหวานก่อนหันไปทักทายลูกค้าที่เข้ามา ผมวางแก้วลอดช่องไว้บนโต๊ะลุกขึ้นช่วยน้องตาลหยิบแกงใส่ถุงให้ลูกค้า เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาทุ่มกว่าๆ ก่อนเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีเข้มใกล้จะมืดสนิท

            อีกไม่ถึงชั่วโมงก็จะปิดร้านแล้วทำไมต้นสนถึงยังไม่มาสักที หรือว่าวันนี้จะเบี้ยวนัด

            หรือว่า...เกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับนายมืดมนหรือเปล่า

            เผลอคิดไปแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าเตือนสติตัวเอง

            จนแล้วจดรอดสองทุ่มกว่าจนเก็บร้านเสร็จผมก็ยังไม่เห็นว่าต้นสนจะแวะมาหาอย่างที่บอก มันหมายความว่ายังไงถึงได้เบี้ยวนัด ผมไม่โกรธแต่รู้สึกเป็นห่วงมากกว่า เพราะไม่รู้ว่านายมืดมนคิดจะทำอะไรที่เสี่ยงกับชีวิตอยู่หรือเปล่า

            คิดมาถึงตรงนี้ความคิดแง่ลบก็เริ่มเข้ามาครอบงำตัวผมอีกครั้ง

            หลังจากรับเงินค่าจ้างผมก็รีบขอตัวกลับ หยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาอย่างไม่ลังเล เสียงสัญญาณดังอยู่นานแต่กลับไม่มีใครรับสาย โทรซ้ำๆ อยู่อย่างนั้นอีกสองรอบก็ยังเหมือนเดิมจนเริ่มร้อนใจ

            "รับสิวะ" ผมกระแทกเสียงใส่มือถืออย่างหงุดหงิดพลางเลื่อนหาเบอร์ไอ้ว่านหวังพึ่งมันหากไม่มีทางเลือก ในขณะที่สับขาเร็วๆ จนเกือบวิ่งตรงไปยังคอนโดที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก

            ยิ่งใจร้อนยิ่งรู้สึกเหมือนคนเสียสติ ผมหยุดยืนหอบอยู่หน้าทางเข้าคอนโด หันรีหันขวางทำท่าเหมือนโจรคิดจะปล้นเงินยาม มือกำโทรศัพท์แน่น บนหน้าจอยังโชว์เบอร์เพื่อนรักที่ไม่ได้กดโทรออกเพราะเกิดชั่งใจขึ้นมา

            เอาเป็นว่าผมจะลองโทรดูอีกครั้ง ถ้านายมืดมนไม่รับคงต้องขอความช่วยเหลือจากไอ้ว่านจริงๆ

            หน้าจอถูกปัดเลื่อนไปยังชื่อต้นสนแล้วกดโทรออกก่อนยกขึ้นมาแนบข้างหูพลางสาวเท้าก้าวผ่านป้อมยามเข้ามา ฟังเสียงสัญญาณที่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากเครื่องวัดชีพจร

            หดหู่ ยาวนานและเชื่องช้า

            หวังว่าต้นสนคงไม่ได้คิดอะไรบ้าๆ ขึ้นมาตอนนี้หรอกนะ

            ขอให้อย่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นเลย

            ตุบ!!

            ขาผมหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง ความกลัววิ่งเข้ามาเกาะกินหัวใจอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ไม่ได้หันไปมองก็สามารถรับรู้ได้ว่ากำลังมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ไหนจะเสียงหวีดร้องตกใจของคนรอบข้าง

            เพราะมันมีบางอย่างตกมาจากชั้นบนของคอนโด

 


TBC.

 

เขียนตอนนี้แล้วรู้สึกเหมือนนิยายสยองขวัญยังไงก็ไม่รู้

สารภาพเลยว่าพอนึกภาพตามแล้วแอบกลัว ฮรือออออ

ใครคิดว่าต้นสนเป็นอะไรมาร่วมทายกันได้น้า (แอบกลัวว่าจะมีคนทายถูกมั้ย ฮ่า)

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 27-08-2017 19:08:33
 :hao7:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 27-08-2017 19:14:08
 :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-08-2017 21:09:04
โอ้ยย เครียดแทนปลื้มเลย  :katai4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-08-2017 21:30:30
หลอนเบาๆ ฮือออออออ หวังว่าคงไม่ใช่นะ   :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 28-08-2017 01:49:48
ต้นสนเห็นตอนกำลังหวานแหววป่าว
เลยโกรธแล้วโยนหนังสือภาพลงมา
เป็นตุเป็นตะมาก ฮ่าๆ ลุ้นๆๆ :z3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 4 ★ 27/08/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 31-08-2017 02:40:25
อาร์ตบุ๊คหรือคน  :katai1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 5 ★ 03/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 03-09-2017 19:01:23

ตอนที่ 5

 

          ตุบ!!

          เสียงร้องของหญิงสาวที่เดินตามหลังมาทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว แต่ยังไม่ทันได้หันกลับไปมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็ร้องลั่นจนสะดุ้งอีกรอบ ชื่อนายมืดมนโชว์หราอยู่หน้าจอ ทำเอาสับสนจนต้องรีบหันกลับไปดูข้างหลังว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

          "เหี้ย! ใครทำหมอนตกลงมาวะ"

          "ระวังหน่อยสิครับคุณ! ถ้าโดนคนข้างล่างขึ้นมาทำไง"

          "ขอโทษค่าาาา!! จะรีบลงไปเก็บนะคะ"

          ยืนฟังคนข้างล่างกับเจ้าของห้องที่อยู่ชั้นสองตะโกนคุยกันผมก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ยอมรับแบบไม่อายเลยว่าเมื่อกี้คิดร้ายไปว่ามีคนกระโดดลงมาจากตึกหรือเปล่า และคนคนนั้นอาจจะเป็นคนที่ผมถ่อมาหาถึงที่นี่

          มือถือในมือยังแผดเสียงร้องไม่หยุดเพราะผมมัวแต่สนใจเหตุการณ์ชวนหวาดเสียวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ กำลังจะกดรับสายแต่แล้วมันก็ตัดไปก่อน

          ผมมองชื่อไม่ได้รับสายที่โชว์อยู่บนหน้าจอด้วยความโล่งใจจนเผลอระบายยิ้มออกมา แต่ยังไม่ทันได้โทรกลับเสียงเรียกชื่อก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน

          "ปลื้มมมม!!"

          ผมเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงเรียก เห็นต้นสนวิ่งกระหืดกระหอบมาหาจนกลัวว่าจะเป็นลมล้มพับไปเสียก่อน แล้วอยู่ๆ สมองมันก็ดันคิดอะไรบ้าๆ ออกมา ข้อสันนิษฐานเก่าๆ ที่เคยตั้งไว้กับตัวเอง

          โรคหัวใจ

          "หยุดๆๆๆ" ผมยกมือขึ้นห้ามจนคนที่วิ่งหน้าตั้งมาหาเหยียบเบรกแทบไม่ทัน

          "คะ...คือว่าเรา..."

          "เฮ้ยใจเย็น ค่อยๆ พูด พักก่อนๆ"

          นายมืดมนยืนหอบอกกระเพื่อมจนอยากเรียกรถพยาบาลมารับไปให้รู้แล้วรู้รอด หรือว่าผมควรจะโทรจริงๆ ถ้าเกิดมาตายอยู่ตรงนี้จะทำไง

          "ไหวมั้ยเนี่ย"

          "ไหวๆ"

          "ทำไมหอบขนาดนี้"

          "คือเรา...วิ่งลงบันไดมา"

          "ฮะ!"

          ผมอยากจะซักต่ออยู่หรอกแต่ตอนนี้ควรให้นายมืดมนได้พักก่อนจะเป็นลมไปจริงๆ เพราะต้นสนอยู่ชั้นเดียวกับไอ้ว่านแม้ไม่ต้องถามก็รู้ว่าวิ่งลงมาจากชั้นไหน แล้วเป็นบ้าอะไรถึงวิ่งลงบันไดมาตั้งห้าชั้น เหมือนจะไม่ไกลแต่เหนื่อยขนาดนี้ทำไมไม่รอลิฟต์

          "แล้วทำไมถึงวิ่งลงบันไดมา" รอจนอาการหอบของต้นสนดีขึ้นผมถึงได้ชวนคุยต่อ

          "คือลิฟต์...มันเพิ่ง...ผ่านชั้นเราไป...ถ้ารอ...มันจะนาน" ฟังคำตอบแล้วก็ได้แต่พ่นลมหายใจอย่างปลงๆ เข้าใจว่ารีบแต่ไม่จำเป็นต้องลงทุนวิ่งลงมาบันไดมาเลยสักนิด ถ้าลิฟต์มันขึ้นไปแค่ชั้นหกก็เท่ากับเสียแรงเปล่า น่าจะคิดให้มันเยอะกว่านี้

          "ไปหาที่นั่งคุยเถอะ"

          ต้นสนพาผมมาที่คาเฟ่ของตึกจอดรถข้างคอนโด จัดแจงหาโต๊ะให้นั่งเสร็จสรรพ แม้จะปฏิเสธและสารภาพไปตามตรงว่าไม่มีเงินแต่ก็ได้คำตอบกลับมาว่า

          "เราเลี้ยงเอง"

          สุดท้ายก็เลยต้องเลยตามเลย

          หลังจากสั่งเครื่องดื่มเสร็จต้นสนก็กลับมานั่งที่โต๊ะ ใช้มือดันอาร์ตบุ๊คที่ใส่ถุงไว้อย่างดีกลับมาให้ หน้าตาทรุดโทรมนั่นดูยุ่งเหยิง ผมเผ้าชี้โด่เด่ไม่เป็นทรง และผมคงจ้องนานไปหน่อยเจ้าตัวเลยยิ้มแหยออกมา

          "เผลอหลับน่ะ" ต้นสนสารภาพ ยกยิ้มแห้งๆ ที่พาให้รอบบริเวณดูแห้งแล้งไปหมด ถ้าแถวนี้มีต้นไม้คงยืนต้นตายอย่างไม่ต้องสงสัย

          "ทั้งที่นัดกันแล้วน่ะเหรอ"

          "เราขอโทษ มันง่วงจริงๆ หลับคาโต๊ะงานเลย"

          "แล้วมือถือ ทำไมโทรไปตั้งหลายรอบถึงไม่ได้ยิน"

          "ลืมเปิดเสียง"

          "ให้มันได้อย่างนี้สิ"

          "เฮ้ยเราขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจเบี้ยวจริงๆ"

          ดูจากสีหน้ากับน้ำเสียงแล้ว ถ้าเป็นไปไม่ได้ต้นสนคงอยากถลามากอดขาผมเพื่อขอให้ยกโทษเรื่องนี้ให้ ความจริงแล้วผมไม่ได้โกรธเรื่องเบี้ยวนัด แต่มันโมโหที่คิดว่าหมอนี่กำลังทำอะไรไม่ดีอยู่หรือเปล่า หรืออาจจะเป็นอะไรไปแล้วถึงได้ไม่มาตามนัด โทรไปหาก็ไม่รับอีก มันทำให้ผมร้อนใจ และรู้สึก...เป็นห่วง

          บทสนทนาถูกขัดจังหวะจากพนักงานที่นำน้ำมาเสิร์ฟ ผมหยิบโกโก้ปั่นเย็นๆ ขึ้นมาดูดให้หายร้อน ทั้งจากสภาพอากาศและจากอารมณ์

          "ดีขึ้นยัง"

          "ถามตัวเองเถอะ"

          ต้นสนปิดปากฉับทันทีเมื่อโดนผมสวนกลับ ไม่ได้อยากจะพาลใส่เลยจริงๆ แต่เห็นหน้าโทรมๆ นั่นแล้วมันหงุดหงิดจนอยากจะถามที่มาของไอ้โน้ตสั่งเสียนั่นให้รู้แล้วรู้รอด ไหนจะรอยแผลตามเนื้อตัวอีก แต่เพราะกลัวอีกฝ่ายจะเตลิดถึงได้ยอมเงียบเอาไว้

          "หายเหนื่อยหรือยัง"

          "หายแล้ว"

          "แล้วพักชั้นไหนทำไมวิ่งลงบันได ทำไมต้องรีบขนาดนั้น ถ้าสะดุดล้มหัวพาดพื้นตายขึ้นมาทำไง"

          "แค่ล้มหัวพาดพื้นมันไม่ถึงตายหรอก"

          "พูดเหมือนเคย"

          ต้นสนเงียบแล้วยิ้มแหย มันหมายความว่ายังไงอีกล่ะอาการแบบนี้ ยอมรับหรือไม่ยอมรับ อย่าบอกนะว่าเคยทดลองฆ่าตัวตายโดยการทำทีเป็นสะดุดล้มให้หัวฟาดพื้นจริงๆ

          "ปลื้มโทรมาตั้งหลายสายก็เลยต้องรีบมาหาไง แถมโทรกลับก็ไม่ยอมรับอีก นึกว่าหนีกลับบ้านไปแล้ว" ไม่ตอบหัวข้อเมื่อครู่แล้วยังพาเปลี่ยนเรื่อง ไม่สิ ต้องบอกว่าพาเปลี่ยนเข้าประเด็นที่แท้จริง

          "ใครจะไปคิดว่านอนหลับ หลับจริงใช่มั้ย"

          "หลับจริงๆ"

          ผมจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไร จ้องนานแถมยังจ้องเขม็ง จนเห็นรอยยับบนใบหน้าที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวฟุบหลับคาโต๊ะจริงๆ

          "พอสะดุ้งตื่นเห็นมิสคอลเลยรีบวิ่งลงมา กลัวโดนโกรธด้วย เห็นมาอยู่หน้าคอนโดนี่ใจหายแวบเลย นึกว่าโกรธจนตามมาหาถึงนี่เลยเหรอ" 

          "มาหาเพราะกลัวจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า" ผมมองอีกฝ่ายนิ่ง อยากให้รู้ถึงความจริงจังกับประโยคที่บอกออกไป

          'อย่างอื่น' คำๆ นี้ผมไม่รู้ว่าต้นสนจะตีความหมายมันไปในทิศทางไหน จะรู้หรือเปล่าว่าผมจงใจเจาะจงเรื่องใด แต่หวังว่ามันจะทำให้คนที่คิดอะไรตื้นๆ ฉุดคิดขึ้นมาได้และทบทวนความคิดนั้นดูใหม่บ้าง สักนิดก็ยังดี

          "เราไม่เป็นไรอะไรหรอก ขอบคุณมากนะ" รอยยิ้มบางๆ ที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าถูกส่งมาให้ เหนื่อยเพราะพละกำลังที่หดหาย เหนื่อยเพราะงานที่หนักเกินไป หรือเหนื่อยจากการใช้ชีวิตที่หมอนั่นอาจจะคิดว่ามันไร้ค่า มันเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่อยากได้รับเลยจริงๆ

          "งั้น...ถ้าไม่มีอะไรแล้วเรากลับก่อนนะ" ผมลุกขึ้นยืนแล้วขอตัว ไม่ลืมหยิบโกโก้ที่ยังพร่องไปไม่ถึงครึ่งแก้วติดมือมาด้วย

          "โอเคๆ กลับดีๆ นะ"

          "ถ้าว่างอาจจะทักไปคุย"

          ได้รับคำตอบเป็นรอยยิ้มที่ทำเอาตาโตๆ โค้งขึ้นจนเกือบหยีผมก็หมุนตัวเดินนำออกมาจากร้าน มือข้างหนึ่งถืออาร์ตบุ๊ค ส่วนอีกข้างถือแก้วโกโก้ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เร่งรีบ

          ก่อนหน้านี้ก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่หรอก แต่ตอนนี้มันรู้สึกดีแปลกๆ

          รอยยิ้มสุดท้ายนั่นอย่างกับแสงนวลของดวงจันทร์ พระจันทร์ครึ่งเสี้ยวที่วันนี้ก้อนเมฆสีเทาใจดียอมเปิดทางให้แสงอ่อนๆ นั่นออกมาอวดโฉมกลางท้องฟ้าอันมืดมิด

          รอยยิ้มที่ไม่ได้เจิดจ้าสว่างไสวอย่างแสงอาทิตย์ แต่นุ่มนวลชวนมองอย่างแสงจันทร์

          อยากเห็นร้อยยิ้มแบบนั้นอีกชะมัด

 

          อีกหนึ่งอาทิตย์จะสิ้นเดือน

          ผมนั่งนับเงินที่พยายามเก็บหอมรอมริบตรากตรำทำงานแล้วถอนใจออกมาอย่างโล่งอก เงินที่มีอยู่ตอนนี้มากพอสำหรับค่าเช่าหนึ่งเดือนที่ได้ตกลงกับป้าเจ้าของหอไว้ว่าจะทยอยจ่าย รวมเงินที่พ่อแม่โอนมาให้เป็นค่าขนมนิดหน่อยก็สามารถอยู่รอดไปได้อีกหนึ่งเดือน

          จากที่ได้โทรคุยกับแม่เมื่อคืนดูเหมือนว่าปัญหาทางการเงินของที่บ้านกำลังดีขึ้น เข้าเดือนที่สามที่พี่สาวเริ่มทำงานในโรงงานที่จังหวัดข้างๆ พอมีเงินเก็บส่งมาช่วยเหลือจุลเจือกัน ผมเองก็อยากเรียนจบเร็วๆ จะได้หางานทำส่งกลับไปให้พ่อแม่สักที แต่อีกตั้งสองปีกว่าจะถึงวันนั้น ยังไงก็ต้องพยายามต่อไป

          ผมเก็บเงินใส่กล่องไว้ในลิ้นชักข้างที่นอน ลุกขึ้นบิดขี้เกียจจนตะคริวแทบกินก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ

          ชีวิตที่ยังไม่สามารถเลือกได้ ลำบากแค่ไหนก็ต้องยอม

 

          ผมใช้วันหยุดเสาร์อาทิตย์ไปกับการทำงาน และตื่นมาในเช้าวันจันทร์ด้วยความขี้เกียจขั้นสูงสุด ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวออกไปเรียนแต่เช้า เดินงัวเงียมาจนถึงหน้าคณะบริหารขามันก็หยุดก้าวอัตโนมัติ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้วที่ต้องแวะกินข้าวเช้าที่นี่

          โต๊ะเดิมที่ประจำตรงนั้น คนที่ชอบแผ่รังสีความมืดมนใส่ชาวบ้านกำลังนั่งก้มหน้าจิ้มมือถืออย่างทุกที ผมสาวเท้าเดินตรงเข้าไปหาแล้วอยู่ๆ ริมฝีปากมันก็ยกยิ้มขึ้นเอง เข้าใจและรับรู้ว่าเป็นเพราะอะไร แค่เพียงเพราะได้เห็นคนตรงหน้ายังสบายดีอยู่มันก็อารมณ์ดีขึ้นมา

          "ไม่กินข้าวกินปลามัวแต่เล่นโทรศัพท์"

          ต้นสนเงยหน้าขึ้นมาอ้าปากค้างใส่ผมหลังจากได้ยินคำทักทายแบบใหม่ที่เหมือนคำสั่งสอนของผู้ปกครองมากกว่า

          "กินข้าวหรือยัง" ผมถามครั้งอีกครั้งเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะยังว่างเปล่า ไม่มีร่องรอยที่เหมือนผ่านสงครามมื้อเช้ามา กระทั่งรอยน้ำจากแก้วน้ำยังไม่มี

          "ยังเลย"

          "จะกินอะไรเดี๋ยวไปซื้อให้"

          "ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเราซื้อเอง ขอคุยงานอีกแป๊บนึง"

          ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้องคงจะถามกลับไปแล้วว่าคุยงานอะไรนักหนา แต่เพราะมีศักดิ์เป็นเพียงคนรู้จักธรรมดาเลยจำต้องพยักหน้ารับแล้วลุกเดินไปยังร้านข้าวแต่โดยดี

          นายมืดมนกับวันจันทร์มีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจมากถึงมากที่สุด ผิวกายขาวขัดกับหน้าตาโทรมๆ ช่วงแขนที่โผล่พ้นเสื้อนักศึกษาที่ถูกพับขึ้นไปจนถึงข้อศอก แขนที่ควรจะเรียบเนียนกลับเต็มไปด้วยรอยแผล และมันจะเกิดรอยใหม่ทุกเช้าวันจันทร์ เป็นรอยขีดสั้นบ้างขาวบ้างแบบไร้ทิศทาง มันคือสิ่งที่ผมสงสัยที่สุดว่าต้นสนไปทำอะไรกับแขนตัวเองมา

          หลังจากได้อาหารเช้าแสนธรรมอย่างข้าวราดแกงผมก็กลับมานั่งเฝ้าโต๊ะ สลับกับนายมืดมนที่ลุกไปเลือกซื้อมื้อเช้าบ้าง กลับมาแล้วก็คุยกันไม่หยุด บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเป็นไปอย่างราบรื่นเหมือนทุกที คนคุยเก่งอย่างต้นสนสามารถสรรหาเรื่องมาพูดได้ตลอดตั้งแต่เรื่องเล็กระดับหมู่บ้านยันเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล พูดไปกินไปจนข้าวไม่พร่องจานสักที

          "กินก่อนก็ได้นะ"

          พอผมทักเจ้าตัวก็ยิ้มรับ ทำท่าตั้งใจกินข้าวได้แป๊บเดียวก็กลับมาจ้อต่อ ทำอย่างกับว่าปกติไม่มีเพื่อนให้คุยด้วย

          เพราะอยู่กันแค่สองคนทำให้เราต้องมองกันบ่อยๆ ขณะที่อีกคนพูดและผมคอยรับฟัง มันทำให้ผมมีเวลาได้สำรวจร่างกายนายมืดมนไปด้วย ผมที่จัดทรงไว้ลวกๆ ดวงตาหม่นหมองไร้ความสดใส ใต้ตาดำคล้ำ จมูกที่ไม่ถึงกับโด่งแต่เข้ากับรูปหน้าเล็กๆ นั่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงริมฝีปากเรียวบางที่ขยับพูดไม่หยุด ทุกอย่างคล้ายจะปกติหากผมไม่สังเกตเห็นพลาสเตอร์ยาที่แปะอยู่ตรงหางหิ้วเสียก่อน

          "ต้นสน"

          "หืม" คนที่กำลังจ้ออย่างเมามันหยุดพูดพลางเลิกคิ้วใส่

          ผมจ้องพลาสเตอร์ที่หางคิ้วอยู่อย่างนั้น ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเอื้อมมือไปปัดผมที่บังสิ่งน่าสงสัยนั้นออกเพื่อจะได้มองเห็นมันได้ชัดๆ

          "ไปโดนอะไรมา"

          "เอ่อ...คือ" ต้นสนมองหน้าผมแล้วชะงักไป

          "ตอบมา"

          "อุบัติเหตุนิดหน่อย"

          "อุบัติเหตุอะไร"

          "คือ...เรื่องมันยาว"

          "เล่ามา"

          "มันไม่มีอะไรหรอกปลื้ม แค่แผลนิดเดียว"

          ผมละมืออก ปล่อยเส้นผมที่น้ำตาลตกลงมาปิดบังพลาสเตอร์ยาไว้อีกครั้ง แต่สายตายังคงจ้องมองอย่างไม่ลดละ ไม่ว่ายังไงผมต้องได้คำตอบว่ารอยแผลนั่นมันเกิดขึ้นได้ยังไง

          "ทำอะไรกันอยู่น่ะ" แต่ก่อนจะได้สอบสวนอะไรไปมากกว่านี้เพื่อนตัวโตของนายมืดมนก็เข้ามาขัดจังหวะ เขาถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ มองผมด้วยสายตาที่ดูเหมือนไม่พอใจ หรือนี่อาจจะเป็นสายตาปกติของเขาที่ผมคิดไปเองว่าเขากำลังไม่พอใจผมอยู่

          "ไม่มีอะไร อั๋นกินข้าวมายัง" คนที่ดูมีพิรุธที่สุดไม่ใช่ผม แต่เป็นต้นสนที่ดูลนๆ แถมยังรีบจัดผมหน้าม้าให้เข้าที่ ปัดมันลงมาบังพาสเตอร์ยาไว้ทั้งที่ตอนแรกมันก็บังแทบไม่เห็นอยู่แล้ว

          แม้กระทั่งเพื่อนก็ไม่รู้สินะว่านายมืดมนเป็นอะไร

          "ก็รู้หนิว่าปกติกูกินมาจากบ้าน"

          "เออเนอะ" ต้นสนหัวเราะแห้งอย่างคนไปไม่เป็น

          มองจากตรงนี้ดูรู้ได้ทันทีว่านายมืดมนพยายามปิดบังรอยแผลต่างๆ ตามตัวจากสายตาของเพื่อน ทั้งจัดทรงผมใหม่ ทั้งดึงแขนเสื้อลง ผมรู้เพราะเรามองในจุดเดียวกัน แต่สายตาที่ใช้มองนั้นมันต่างกัน

          ผมมองด้วยความสงสัยอยากรู้ แต่สายตาของเพื่อนตัวสูงนั้นมองด้วยความตำหนิ หรือบางทีเขาอาจจะรู้อะไรที่ผมอยากรู้ก็เป็นได้

          "กินเสร็จยัง จะให้รอมั้ย" อั๋นถาม เขาเหลือบมองจานข้าวบนโต๊ะที่เหลือเพียงความว่างเปล่า

          "เสร็จแล้วๆ งั้นเราขึ้นเรียนก่อนนะ"

          ผมพยักหน้ารับก่อนต้นสนจะหยิบกระเป๋าแล้วเดินตามเพื่อนตัวสูงไป ทิ้งผมให้จมอยู่กับความสงสัยและคำถามมากมาย มันเพิ่มพูนทับถมมากขึ้นเรื่อยๆ และสักวันเมื่อทนไม่ไหวคงระเบิดออกมาในที่สุด

 

TBC.



ไม่ใช่ทั้งอาร์ตบุ๊คและคน แต่มันคือหมอน!!! ฮ่าๆๆๆ // โดนโบก

ตกลงนายมือมนเป็นอะไรกันแน่ล่ะเนี่ย???

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 5 ★ 03/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-09-2017 19:48:55
อยากจะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง อึดอัดแทน ชีวิตหนูเจออะไรลำบากขนาดนั้นเลยเหรอลูกกก  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 5 ★ 03/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 03-09-2017 20:28:49
ต้นสนทำให้ต่อมเผือกของเราทำงานมากกว่าปรกติ  :katai1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 5 ★ 03/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_ness ที่ 03-09-2017 23:48:47
น่าติดตาม น่าสงสัย เกิดอะไรขึ้นกับต้นสนกันแน่
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 5 ★ 03/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: jaruporn ที่ 04-09-2017 00:29:45
พึ่งเข้ามาอ่าน คือแบบมันดีมาก
รอๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 5 ★ 03/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 04-09-2017 01:06:36
 :เฮ้อ:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 10-09-2017 19:48:34

ตอนที่ 6


          สี่วันมาแล้วที่ผมไม่ได้เจอหน้านายมืดมนเลย แวะไปกินข้าวที่บริหารตอนเช้าก็ไม่เห็น ที่ตลาดตอนเย็นก็ไม่โผล่มา หรืออาจจะมาในวันที่ผมไม่อยู่ รวมถึงสื่อโซเชียลทุกชนิดที่ไม่มีการอัพเดทใดๆ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังตอบข้อความในทวิตเตอร์ บ่นให้ฟังตั้งแต่หลายวันก่อนว่างานเยอะจนแทบไม่ได้กระดิกตัวไปไหน ซึ่งคำพูดเหล่านั้นเชื่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

          เย็นวันศุกร์สุดสัปดาห์ในขณะที่ไอ้ว่านกับไอ้เจนชวนกันไปหาอะไรกินหลังเลิกเรียน แต่ผมยังคงมุ่งมั่นกับการทำงานที่ร้านป้านกเพื่อเก็บเงินไว้จ่ายค่าหอ แม้เพื่อนสุดที่รักแสนใจดีบอกว่าจะช่วยออกส่วนของผมให้เพราะอยากให้ไปใช้เวลาเที่ยวเล่นด้วยกันสักครั้งแต่ก็เกรงใจเกินจะรับไว้ รอผมพื้นตัวได้เมื่อไรจะให้รางวัลตัวเองงามๆ สักหน

          ที่ตลาดเย็นนี้ไม่ค่อยคึกคักเหมือนทุกวันเพราะฝนปรอยมาตั้งแต่ช่วงบ่าย ตกหนักตอนหกโมงเย็นช่วงหนึ่งหลังจากนั้นก็ลงเม็ดสม่ำเสมอพอให้คนที่ไม่กางร่มเดินได้ชุ่มชื่นหัวใจ

          วันนี้ต้นสนไม่โผล่มาที่ร้านเหมือนตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเลยส่งข้อความไปหาในทวิตเตอร์แต่ผ่านมาแล้วร่วมชั่วโมงเจ้าตัวก็ยังไม่ตอบกลับ เลยได้แต่เข้าไปเช็คข้อความที่ส่งไปว่าถูกอ่านหรือยัง บางทีนายมืดมนอาจจะเห็นแล้วแต่ไม่ตอบกลับมาก็ได้

          หมอนั่น...กำลังทำอะไรอยู่กันนะ

          เลยสองทุ่มมานิดหน่อยหลังจากช่วยป้านกเก็บร้านเรียบร้อยผมก็เดินกางร่มออกมาจากตลาด แล้วสายตาก็ดันเหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า คนที่มาพร้อมกับบรรยากาศมืดมนชวนให้หดหู่ ยิ่งฝนตกแบบนี้ยิ่งช่วยเสริมให้พลังนั้นดูแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า หรือจะพูดให้ถูกคือวันนี้ต้นสนดูโทรมกว่าทุกครั้งที่เจอกัน

          ผมสาวเท้าเข้าไปหาคนที่เดินเหม่อลอยเหมือนไม่ได้เอาวิญญาณมาด้วยโดยไม่ต้องคิดให้เสียเวลา ต้นสนเดินไปยืนรอข้ามถนนที่ริมฟุตบาท มือข้างขวาถือร่มที่เหมือนจะปลิวหลุดมือได้ทุกเมื่อหากลมพัดแรงๆ

          "ต้นสน" ผมร้องเรียกแต่สิ่งที่ได้รับคือการนิ่งเฉย ทั้งเสียงฝน เสียงรถยนต์บนถนน มันไม่แปลกหรอกหากจะไม่ได้ยิน

          เดินเข้าไปหาจนเกือบประชิดตัวได้แต่จู่ๆ มือข้างขวาที่ถือร่มอยู่กลับปล่อยมันทิ้ง ต้นสนก้าวเดินไปข้างหน้าทั้งที่รถบนถนนยังวิ่งด้วยความเร็วเท่าที่สภาพการจราจรจะเอื้ออำนวย ไม่มีรถคันไหนหยุดให้คนเดินข้าม และไม่มีคนบ้าที่ไหนเดินข้ามถนนตอนรถกำลังวิ่งอยู่เข่นกัน

          เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก ผมเบียดทุกคนที่ขวางทางออก ร่มในมือโยนทิ้งไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ตะโกนคำที่ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ออกไปสุดเสียงหมายจะหยุดการกระทำบ้าๆ นั่นไว้ พร้อมทั้งพุ่งไปด้านหน้าให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ จับแขนที่เต็มไปด้วยรอยแผลไว้แล้วดึงกลับมาให้พ้นเขตถนนสุดแรง

          เสียงแตรรถดังระงมจนแสบแก้วหู ผู้คนรอบข้างตื่นตระหนก มือผมสั่น คนที่โดนกระชากกลับมาจนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นก็สั่น ผมโกรธ โกรธมาก จนสุดท้ายต้องระบายด้วยการตะคอกออกมาโดยไม่ทันคิดทบทวนให้มันดีก่อนว่าสมควรพูดออกมาหรือเปล่า

          "อยากตายนักหรือไงฮะ!!"

          ต้นสนสะดุ้งสุดตัวก้มหน้างุดตัวสั่นระริก ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากริมฝีปากนั้น มันยิ่งทำให้ผมโกรธจนอยากฉุดให้ลุกขึ้นยืน จับไหล่ที่กำลังสั่นเทาทั้งสองข้างนั่นไว้แล้วเขย่าแรงๆ คาดคั้นให้พูดเหมือนในหนังในละคร แต่เพราะผู้คนโดยรอบเข้ามาสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมต้องข่มอารมณ์ทั้งหมดเอาไว้

          "เกิดอะไรขึ้น"

          "เป็นอะไรหรือเปล่าหนู"

          "เรียกรถพยาบาลมั้ยคะ"

          "คนนั้นเค้าเป็นอะไรน่ะ"

          "ไม่รู้สิ อยู่ดีๆ ก็เห็นเดินออกไป"

          "จะเดินออกไปให้รถชนเหรอ บ้าเปล่า"

          จากคำที่ถามถึงอาการสู่การพูดปากต่อปากในคนหมู่มาก ต่างคนต่างความคิด และเริ่มมีความเห็นในแง่ลบดังแทรกสายฝนให้ได้ยินจนไม่อยากทนฟังต่อ แม้ความเห็นพวกนั้นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ผมคิดอยู่ก็ตาม

          "เด็กนั่นจะฆ่าตัวตายเหรอ"

          ผมฉุดต้นสนให้ลุกขึ้นยืนเพราะไม่สามารถทนฟังสิ่งที่คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ได้ ออกแรงดึงให้คนที่ยังตัวสั่นไม่หายเดินตามมา รู้ตัวดีว่ากำลังโกรธจนแทบคุมอารมณ์ไม่อยู่ จนเผลอบีบข้อมือที่มีรอยแผลนั้นไปเต็มแรง

          นายมืดมนไม่ได้ร้องทักหรือบอกว่าเจ็บ แต่ตัวที่สั่นเทาแถมเสื้อยังชื้นเพราะเปียกฝนกลับทำให้ผมอารมณ์เย็นลงกว่าเมื่อครู่

          ต้นสนกำลังกลัว ผม...รับรู้มันได้

          จากที่จับข้อมือผมเลื่อนลงไปกุมมือเย็นชืดนั่นไว้แทน ขาที่ก้าวอยู่หยุดเดิน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ มองคนที่เอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมเอ่ยปากพูดอะไรตั้งแต่เกิดเรื่อง

          "เราต้องคุยกัน"

          "อื้ม"

          "ที่คอนโดนาย"

          "อื้ม"

          ทั้งสองครั้งต้นสนครางรับในลำคอโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามอง แต่แรงบีบหนักๆ ที่มือมันบอกว่าเขากำลังต้องการที่พึ่งพิง และใครสักคนที่อยากให้อยู่ข้างๆ กันในตอนนี้

          ผม...รู้สึกอย่างนั้น

          เราเดินฝ่าสายฝนที่ยังลงเม็ดปรอยๆ โดยไร้ร่มเป็นที่กำบังจนมาถึงคอนโด ผมปล่อยมือต้นสนเป็นอิสระเพื่อให้เขาหยิบคีย์การ์ดออกมา แต่มือที่ยังสั่นไม่เลิกกลับไร้เรี่ยวแรงและทำมันหล่น สุดท้ายผมเลยต้องสวมบทเป็นเจ้าของห้องครอบครองคีย์การ์ดไว้เอง

          ประตูลิฟต์เปิดที่ชั้นสี่ ผมรู้ว่าห้องไอ้เจนอยู่ห้องไหน และหวังว่ามันคงไม่โผล่มาเห็นผมที่นี่ตอนนี้

          "อยู่ห้องไหน"

          "403"

          ผมเดินนำไปยังเลขห้องที่บอก แล้วก็อดระแวงไม่ได้ต้องหันหลังกลับไปมองห้อง 404 ที่ฝั่งอยู่ตรงข้ามเยื้องกันๆ ไปนิดเดียว ทำไมไอ้ว่านไม่บอกมาเลยว่ามันอยู่ห้องตรงข้ามกับต้นสน

          เปิดประตูเปิดไฟในห้องแล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ทำเอาพูดไม่ออก นี่มันห้องที่คนใช้อยู่อาศัยจริงเหรอ รกอย่างกับไม่ได้ทำความสะอาดมาเป็นเดือน และอีกอย่างที่ทำให้ห้องนี้ดูรกคือโพสอิท

          ผมมองสภาพห้องสลับกับเจ้าของห้องที่ยืนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า ไม่รู้ว่ายังตกใจ หรือกลัว หรือหนาวเพราะตากฝนมากันแน่ แต่ถ้ายังปล่อยให้ยืนสั่นอยู่แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องดี

          "หนาวเหรอ"

          ต้นสนพยักหน้ารับ ใช้แขนทั้งสองข้างกอดตัวเองไว้ นอกจากจะเป็นคนคิดสั้นแล้วยังขี้หนาวอีก

          "หรือกลัว"

          ต้นสนพยักหน้ารับอีกครั้ง

          ผมพรูลมหายใจออกมายาวๆ กับคำตอบที่ได้รับ คนที่เพิ่งคิดฆ่าตัวตายไปจำเป็นต้องมีความกลัวด้วยงั้นเหรอ

          เรายังยืนนิ่งกันอยู่หน้าประตูโดยที่เจ้าของห้องไม่คิดจะปริปากพูดอะไรออกมาสักอย่าง แน่นอนว่ามันทำให้โมโหจนอยากจะเคลียร์ให้รู้เรื่องมันตรงนี้ แต่ผมรู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องทนเห็นคนที่กำลังยืนหนาวสั่น

          "ไปอาบน้ำก่อนไป ให้เวลาสิบนาที เสร็จแล้วมาคุยกันหน่อย อ้อ แต่ถ้าไม่ยอมออกมาจะพังประตูเข้าไป" สงสารแต่ไม่ไว้ใจ เกิดนายมืดมนนึกครึ้มอกครึ้มใจหายกลัวแล้วใช้สายฉีดก้นรัดคอตัวเองตายมันไม่ใช่เลยเรื่องดี

          รับทราบคำบอกต้นสนก็พยักหน้ารับเร็วๆ ก่อนเดินกอดตัวเองไปยังห้องที่ผมเดาว่าคงเป็นห้องนอน

          ถึงก่อนหน้านี้จะตากฝนมา แต่หยดน้ำเม็ดเล็กๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าเปียกโชกระดับที่สามารถสร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของห้องได้ ผมถอดรองเท้าไว้หน้าประตูและเริ่มสำรวจภายในห้องที่ทำให้ตกตะลึงได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าวของวางระเกะระกะจนทำให้ห้องรกนั้นไม่ได้น่าสนใจเท่าไรเพราะบางเวลาที่ยุ่งๆ ห้องผมก็มีสภาพไม่ต่างจากห้องนี้นัก แต่สิ่งที่ผมเชื่อว่าทุกคนต้องสนใจเมื่อได้มาเยือนที่นี่นั่นก็คือโพสอิท

          'งานคุณพิ้งค์ สนพ. xxx ส่งภายในวันที่ 15 เดือนหน้า ยังไม่ได้ลงสี'

          'งานคุณผักชี เหลือลงพื้นหลัง เอาโทนสีเข้ม รอคอนเฟิร์มอีกรอบ'

          'งานน้องมะเหมี่ยว สแกนแล้ววว เหลือกราฟฟิก กำลังรอเรื่องย่อปกหลัง'

          'โปสการ์คเรื่อง xxx เปิดพรีถึงสิ้นเดือน ฝากนับยอดด้วย'

          โพสอิทหลายแผ่นติดไว้ที่โต๊ะทำงานสองตัวที่วางติดกัน ตัวหนึ่งมีชั้นใส่ของกับพวกอุปกรณ์วาดรูปทั้งหลายแหล่วางอยู่ แฟ้มงานรวมถึงงานที่ยังทำไม่เสร็จซึ่งมีโพสอิทแปะกำกับไว้ว่างานชั้นนั้นๆ ทำค้างไว้ถึงขั้นตอนไหน ส่วนโต๊ะอีกตัวที่อยู่ติดกันใช้วางคอมพิวเตอร์กับเครื่องสแกน มีสมุดโน้ตเล่มหนึ่งวางอยู่ ผมถือวิสาสะเปิดดูและพบว่าในนี้เขียนขั้นตอนการเข้าถึงเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นส่วนตัว โฟลเดอร์งาน และอีกหลายอย่างที่ผมไม่อยากอ่านและปิดมันลง โต๊ะนี้ดูสะอาดและเรียบร้อยกว่าโต๊ะข้างๆ นิดหน่อย ถ้าไม่นับเศษเหรียญ ใบเสร็จจากร้านค้า แล้วก็สารพัดของที่เหมือนหยิบติดมือมาวางกองไว้อย่างหวี คัตเตอร์ กรรกไกร กิ๊บติดผม รวมถึงเส้นมาม่าหรือเม็ดข้าวแห้งๆ

          หมอนี่กินนอนที่โต๊ะทำงานหรือไง

          ผมไล่อ่านโพสอิททุกแผ่นที่แปะไว้แล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีก ข้อความที่ถูกเขียนไว้ไม่ได้ต่างจากโน้ตสั่งเสียในเคสมือถือนัก มันก็เหมือนกับการฝากฝังงานให้คนที่มาเห็นทำต่อ มีความห่วงหาอาทรทั้งที่อยากจะไป ดูมีความรับผิดชอบและเห็นแก่ตัวในเวลาเดียวกัน ทั้งที่อยากจะตายแล้วจะไปแคร์สิ่งที่ตัวเองรับผิดชอบไม่ได้อีกต่อไปแล้วทำไม ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ

          โพสอินหลากสีไม่ได้จบแค่โต๊ะทำงานแต่ยังลามไปถึงในส่วนของครัว ตู้เย็นกับโพสอิทที่บอกว่ามีอะไรอยู่ในนี้บ้างและสามารถหยิบมันไปได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ตู้เก็บของกับโพสอิทที่บอกว่าอะไรเก็บไว้ตู้ไหนและสามารถหยิบใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเช่นกัน

          ผมมองโพสอิทที่ถูกแปะไว้ตามจุดต่างๆ แล้วอยากจะดึงมันมาขยำทิ้งถังขยะให้หมด ยังหงุดหงิดไม่หาย หงุดหงิดคนที่อยากตายแต่กลับดูเป็นห่วงเป็นใยผู้คนรอบตัวเสียเหลือเกิน แต่พอนึกหน้าสีหน้าตื่นตระหนกกับตัวที่สั่นเทาเหมือนลูกนกตัวน้อยๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา

          ผ่อนคลายเข้าไว้ ยังไงคืนนี้ผมต้องได้รู้เรื่องทั้งหมด นายมืดมนจะได้ตายสมใจหรืออยู่ใช้ชีวิตต่อไปผมจะตัดสินมันเอง

 

          สิบนาทีผ่านไปตามที่ตกลงกันไว้ต้นสนก็เดินออกมาจากห้องนอน บนหัวมีผ้าขนหนูผืนเล็กๆ วางอยู่สำหรับเช็ดผมที่เปียก สวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นโชว์บาดแผลตามร่างกายให้ได้เห็นกันชัดๆ ขอบตาแดงสีหน้าอดโรย เดินเหมือนคนหมดแรงก่อนทิ้งตัวลงบนโซฟา

          ผมมองเห็นต้นสนจากในครัว กลิ่นหอมของโกโก้อุ่นๆ ช่วยดึงความสนใจจากนายมืดมนให้หันมามอง ผมตีหน้านิ่งด้วยไม่รู้จะปั้นหน้ายังไงก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มรสหวานอุ่นๆ ไปให้ ดื่มมันแล้วจะได้หายหนาวและรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง

          มันก็แค่ของล่อลวงให้ผู้ต้องสงสัยรู้สึกดีนะขึ้นก่อนจะโดนสอบสวน

          "ชงมาให้ ไม่ว่าอะไรใช่มั้ย"

          ต้นสนส่ายหน้าน้อยๆ ยกยิ้มบางๆ ยื่นมือมารับแก้วไป ใช้ช้อนคนสองสามรอบ เป่าควันที่ลอยเอื่อยอยู่ขอบแก้วแล้วจิบโกโก้ร้อนของผมช้าๆ

          "ขอบคุณนะ ปลื้มชงอร่อยกว่าเราอีก"

          "อืม" ผมพยักหน้ารับส่งๆ เผลอดีใจไปกับคำชมชั่ววูบจนต้องรีบดึงสติกลับมา

          นี่ไม่ใช่ฉากสวีทของพระนางที่บังเอิญเจอกันในวันฝนตกแล้วชวนกันมาที่ห้อง แต่เป็นฉากที่ตำรวจสอบสวนผู้ต้องสงสัย โชคดีของนายมืดมนแค่ไหนที่เจอตำรวจใจดีอย่างผม

          แก้วโกโก้ถูกวางลงบนโต๊ะเล็กหน้าโซฟาหลังจิบไปสองสามครั้ง ต้นสนทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรออกแล้วหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่พาดอยู่บนบ่ายื่นมาให้

          "อะ ผ้าเช็ดตัว อันนี้ผืนใหม่ยังไม่ได้ใช้ ปลื้มจะอาบน้ำก่อนมั้ยเดี๋ยวเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้"

          "ไม่เป็นไร แค่อยากคุยให้มันจบๆ"

          "งั้นเช็ดผมให้แห้งหน่อยก็ดี เดี๋ยวเป็นหวัด"

          เมื่อผมไม่ยอมยื่นมือไปรับต้นสนเลยจัดการเอามันมาคลุมหัวให้เสร็จสรรพ คิดสั้นแถมยังเอาแต่ใจอีกให้ตายเถอะ

          "แล้วเรื่องที่จะคุย" ถามเกริ่นออกมาด้วยสีหน้าหวาดระแวงปนสงสัย

          เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ผมไม่รู้ว่าต้นสนจะตีความการกระทำของผมว่ายังไง ผู้ขัดขวางหรือผู้หวังดี ถ้าตามสคริปท์คนที่จะฆ่าตัวตายจริงๆ คงโวยวายออกมาแล้วว่ามาช่วยทำไม หรือยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ในกรณีนายมืดมนอาจจะเกิดกลัวขึ้นมาถึงได้ดูตื่นตระหนกและตัวสั่นขนาดนั้น

          "ที่ถนนเมื่อกี้นี้..." ผมเกริ่น เพียงแค่นี้ดวงตามืดมนนั่นก็เบิกกว้าง ริมฝีปากอ้าออกก่อนจะเหยียดโค้งเป็นรอยยิ้มบางๆ

          ยิ้ม...อย่างนั้นเหรอ

          "เออใช่ เรายังไม่ได้ขอบคุณปลื้มเลย"

          "ขอบคุณ?"

          "อืม ขอบคุณมากนะ"

          ผมไม่ได้ฟังอะไรผิดไปใช่มั้ย ทำไมถึงต้องขอบคุณ หมอนี่กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ถึงได้แสดงสีหน้าท่าทางแบบนี้ออกมา

          เหมือนกับว่ากำลัง...โล่งใจ

          "ขอบคุณเรื่อง"

          "ก็ที่ช่วยไว้ไง ถ้าปลื้มไม่มาช่วยอาจจะโดนรถชนตายไปแล้วก็ได้"

          หัวคิ้วผมวิ่งชนกันแทบจะผูกปมเป็นเงื่อนตาย หมายความว่ายังไง ขอบคุณที่ผมช่วยชีวิตทั้งที่อยากตายอยู่แล้วเนี่ยนะ หรือที่แสดงออกมาอยู่ตอนนี้นั้นก็เพียงแค่...เล่นละครตบตา

          "ต้นสน"

          "หืม"

          "ถามจริงๆ นะ ขอให้ตอบความจริงด้วย"

          น้ำเสียงที่เอ่ยถามอย่างจริงจังทำให้ทั้งห้องเงียบกริบ รอยยิ้มบนใบหน้าหมองๆ นั้นหายไป แต่ผมกลับไม่เห็นอะไรในแววตาคู่นั้นเลย มันดูว่างเปล่าคล้ายกับพร้อมจะรับทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา ผมเองก็พร้อมแล้วกับคำตอบมากมายที่ควรได้รับเช่นกัน

          "ตอนที่รอข้ามถนน...คิดจะฆ่าตัวตายใช่มั้ย"




TBC.

 

ตอนห้าเฉลยแล้วนะ มีใครเดาออกมั้ยว่านายมืดมนของเราเป็นอะไร

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-09-2017 20:08:57
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 10-09-2017 20:16:50
รอๆ :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-09-2017 21:54:46
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 10-09-2017 23:03:46
 :katai4: :katai4: :katai4:

ลุ้นเเละรอออออออ

 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: manU007 ที่ 10-09-2017 23:36:17
 :katai1: น่าจะเป็นโรคซึมเศร้า
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 11-09-2017 19:02:12
ทนอ่านอะไรแบบนี้ไม่ได้ ฮืออออ
ต้นสนลูก *กอด*
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-09-2017 22:37:34
เราเดาไม่ออกกกก ทำไมจบค้างงง สงสาร ทำไมดูทรมานกับการมีชีวิตขนาดนั้นลูกก  :ling1: :ling3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-09-2017 22:42:07
ต้นสนน เป็นอะไรนะ :mew2:  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 12-09-2017 00:57:02
จิ้มเข้ามาเพราะชื่อเรื่องกระแทกตาสุดๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 6 ★ 10/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 17-09-2017 11:42:00
เดาไว้ก่อนว่าต้นสนน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 17-09-2017 19:20:46

ตอนที่ 7


          "ตอนที่รอข้ามถนน...คิดจะฆ่าตัวตายใช่มั้ย"

          ดวงตาที่เคยว่างเปล่าเบิกกว้างเมื่อได้ฟังคำถาม มันเต็มด้วยความสงสัยก่อนริมฝีปากสีซีดจะเอ่ยถามย้ำออกมาอย่างไม่แน่ใจ

          "ฆ่าตัวตาย"

          "ใช่ไง อยู่ดีๆ เดินไปให้รถชน เป็นบ้าหรือไง"

          "ไม่ใช่สักหน่อย"

          "ไม่ใช่อะไรก็เห็นๆ อยู่" อารมณ์ผมเริ่มไม่คงที่อีกครั้ง ขึ้นเสียงจนคนฟังทำหน้าตกใจ แต่ต้นสนยังไม่ลดละที่จะเถียงและยืนยันว่าที่ผมเห็นนั้นแค่เข้าใจผิด

          "เข้าใจผิดแล้ว ไม่ได้จะฆ่าตัวตาย ไม่เคยคิดเลยด้วย"

          "อย่ามาโกหก"

          "แล้วปลื้มเป็นบ้าอะไรวะจู่ๆ มาคิดว่าเราจะฆ่าตัวตาย" เป็นครั้งแรกที่ผมโดนขึ้นเสียงใส่บ้าง หน้าโทรมๆ ดูจริงจังกว่าปกติ คิ้วขมวด สายตาเอาเรื่อง มองมาอย่างต้องการคำตอบไม่ต่างจากที่ผมต้องการคำตอบจากเขา

          "ก็เห็นอยู่ว่าตั้งใจเดินออกไปให้รถชน"

          "บอกแล้วไงว่าไม่ใช่ แล้วเราก็ไม่ได้ตั้งใจเดินออกไปให้รถชน"

          "แล้วมันยังไง"

          "เข้าใจผิดไปใหญ่แล้ว"

          "งั้นก็อธิบายมาดิ แล้วก็อธิบายทุกเรื่องที่จะถามต่อจากนี้ด้วย"

          ต้นสนหลับตาลงก่อนสูดลมหายใจเข้าแล้วผ่อนมันออกมาช้าๆ เราสบตากัน ผมเงียบและรอฟัง ยังไม่เชื่อและไม่มีทางเชื่อง่ายๆ ว่าทุกการกระทำที่ผ่านมานายมืดมนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายอย่างที่บอก

          "ฟังนะ เมื่อกี้ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตาย เราแค่วูบแล้วมันก็เซไปเอง"

          ผมเลิกคิ้วมองอย่างไม่เชื่อ ถึงไม่เคยเป็นลมไม่เคยวูบหรือเป็นอะไรที่ใกล้เคียงอาการแบบนั้น แต่การที่อยู่ดีๆ ก็ทิ้งร่มแล้วก้าวออกไปแบบนั้นมันเรียกว่าวูบได้เหรอ

          "เชื่อได้แค่ไหน"

          "แล้วทำไมถึงไม่เชื่อล่ะ"

          เป็นผมเองที่เงียบบ้าง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเล่าที่สุด ไม่อยากให้ใครได้รับรู้ทั้งนั้นว่าผมมีความผิดคิดโง่ๆ อย่างการขโมยของคนอื่นในวันที่อับจนหนทาง และโง่ยิ่งกว่าเดิมโดยการปล่อยให้โอกาสที่แลกมาด้วยความผิดบาปหลุดมือไปจนต้องเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องบ้าๆ แบบนี้

          เรื่องที่ทำให้เหมือนกับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมคิดไปเองคนเดียว

          "เราแค่วูบจริงๆ ช่วงนี้งานเยอะมาก ทั้งงานวาดแล้วก็งานที่คณะ นอนแต่ละวันนับชั่วโมงได้ ไม่เห็นตาโบ๋ๆ นี่เหรอ ยิ่งช่วงนี้โคตรเหมือนซอมบี้ อีกอย่างภาระเยอะขนาดนี้เราไม่ยอมตายง่ายๆ หรอก" อธิบายไปต้นสนก็ชี้ที่ใต้ตาอันดำคล้ำให้ผมดู ทำหน้าเหนื่อยหน่ายเหมือนจะโกรธในทีแรกก่อนเปลี่ยนสีหน้าเหมือนคนกำลังน้อยใจมากกว่า แต่สำหรับผมตอนนี้กำลังสับสนอย่างหนัก

          พักผ่อนน้อยจนวูบ แค่นี้จริงๆ น่ะเหรอ แล้วทำไมต้องไปวูบตอนข้ามถนนด้วยไม่ทราบ ที่บันไดใต้ตึกคณะตอนนั้นก็คงเหมือนกันสินะ

          "ทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ"

          "ก็ไม่เชื่อไง"

          "เราต้องทำไงปลื้มถึงจะเชื่อ" น้ำเสียงจริงจัง สายตาเองก็ไม่ต่าง

          ต้นสนมองผมนิ่ง สีหน้าเหนื่อยล้าดูคิดหนัก ในขณะที่หัวสมองผมเองก็ปวดตุบๆ เหมือนจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ พยายามคิดหาเหตุผลคัดค้านเหตุการณ์ต่างๆ นานาที่ได้เห็นมาแต่กลับคิดไม่ออก ถ้านายมืดมนไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายอย่างที่ว่าจริงแล้วแรงจูงใจในการเขียนโน้ตกับโพสอิทสั่งเสียนั่นคืออะไร สีหน้าและท่าทางอิดโรยอธิบายได้จากคำแก้ตัวที่ว่างานหนักและนอนน้อย แล้วรอยแผลตามแขนขาล่ะ มันมาจากไหน

          "ปลื้มนั่งก่อนเถอะ สงสัยคงได้คุยกันอีกยาว รีบกลับมั้ย" ต้นสนพยักพเยิดหน้าไปยังที่ว่างบนโซฟา

          แน่นอนว่ายังไงคืนนี้ต้องได้คุยกันยาวๆ จนกว่าจะรู้เรื่อง แต่ไอ้คำถามที่ว่ารีบกลับมั้ยมันออกจะกวนประสาทหน่อยๆ เพราะไม่มีทางอยู่แล้วที่ผมจะกลับถ้ายังไม่แน่ใจว่านายมืดมนไม่ได้คิดฆ่าตัวตายจริงๆ

          ผมนั่งลงที่ว่างข้างๆ ตามคำเชิญชวน ดึงผ้าเช็ดตัวที่เจ้าของห้องตั้งใจเอามาให้เช็ดผมออกจากหัว บรรยากาศตึงเครียดเหมือนกำลังเล่นเกมตอบคำถามชิงเงินล้าน แถมยังเป็นข้อตัดสินชะตาชีวิตเสียด้วย ซึ่งในที่นี้ผมเป็นถาม ส่วนต้นสนเป็นคนตอบ

          "เราไม่รู้จะเริ่มอธิบายยังไงให้ปลื้มเชื่อ เพราะไม่รู้ว่าปลื้มเอาความคิดบ้าๆ ว่าเราจะฆ่าตัวตายมาจากไหน เอาเป็นว่าถ้าอยากรู้อะไรก็ถามมาเลย ตอบครบทุกคำถามจนหายข้องใจเมื่อไรเราจะเป็นฝ่ายถามปลื้มบ้าง"

          ถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมแต่กลับให้ความรู้สึกว่าต้นสนกำลังถือไพ่เหนือกว่า ก็แน่ล่ะในเมื่อผมมีความลับที่ไม่อยากบอกอยู่ แถมยังเป็นตัวจุดประเด็นเรื่องทั้งหมด คงต้องคิดหาเหตุผลดีๆ เตรียมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

          "แบบนี้โอเคใช่มั้ย"

          "ได้"

          "งั้นถามมาเลย"

          ผมไล่มองต้นสนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเสียมารยาทซึ่งเจ้าตัวคงรู้ว่าโดนสำรวจอยู่ นอกจากตาหมีแพนด้ากับสีหน้าหมองๆ สิ่งที่มองเห็นชัดที่สุดย่อมหนีไม่พ้นร้อยแผลตามร่างกาย รอยขีดยาวๆ ที่ดูสะเปะสะปะไร้ทิศทางพวกนั้น

          "แผลที่แขนกับขา...ไปโดนอะไรมา"

          "รอยพวกนี้น่ะเหรอ" ต้นสนหงายท้องแขนให้ผมเห็นรอยแผลชัดๆ รวมถึงยกขาขึ้นมาให้ดูด้วย

          "ไปทำอะไรมาแผลถึงเยอะขนาดนี้"

          "ไม่รู้จักคนซุ่มซ่ามเหรอ"

          หัวคิ้วผมวิ่งเข้าประสานงากันทันที ชนแรงชนิดที่ว่าถ้าเป็นอุบัติเหตุใหญ่ทุกคนคงตายในที่เกิดเหตุ ความซุ่มซ่ามคือข้อแก้ตัวสำหรับรอยแผลพวกนี้งั้นเหรอ มันจะง่ายไปหน่อยไหม

          "ตรงนี้โดนธูป รอยนี้มีดบาด อันนี้หมาข่วน ตรงนี้เตารีด ส่วนตรงนี้ล้ม" ต้นสนบอกที่มาของรอยแผลพร้อมชี้ให้ดูว่ารอยไหนเป็นรอยไหน

          แผลที่โดนธูปเป็นจุดเล็กๆ บนมือที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น รอยมีดบาดไม่ใหญ่นักที่ข้อมือ บนท้องแขนกับรอยหมาข่วนเป็นขีดยาวๆ ซึ่งเป็นรอยที่ผมติดใจที่สุด ใกล้กันมีรอยเตารีดเป็นรูปสามเหลี่ยมเล็กๆ จางๆ และรอยแผลเป็นตรงข้อศอกที่บอกว่าล้ม

          "ส่วนขามีรอยท่อ ตรงนี้เคยเดินตกร่องแล้วโดนเหล็กบาด ยาวๆ นี่แมวข่วน ส่วนรอยอื่นๆ จำไม่ได้ บางทีอากาศหนาวๆ ผิวแห้งก็เกาจนเป็นแผล พวกรอยช้ำคงเป็นตอนเดินไปชนนู่นชนนี่มั้งนะ" จบจากแขนก็ต่อที่ขา พูดไปก็ทำหน้านึกไปเหมือนจำไม่ได้ว่าไปโดนอะไรมาบ้าง แต่ผมจำได้ว่ามันยังไม่หมดแค่นี้

          "แล้วตรงนี้"  ผมชี้ที่หางคิ้ว รอยล่าสุดที่ได้เห็น

          "อ๋อ ตรงนี้โดนขอบโต๊ะงานตัวนั้นเลย ก้มไปหยิบของแล้วลืมดู โขกไปเต็มๆ" ตอบพร้อมกับชี้ไปยังจุดเกิดเหตุ

          ยิ่งฟังผมยิ่งเครียดกว่าเดิม ไม่ได้เครียดแค่เรื่องฆ่าตัวตาย แต่เครียดที่นายมืดมนใช้ชีวิตโดยที่เหมือนไม่ระวังตัวแบบนี้มาได้ยังไง อย่างกับว่าไม่เคยดูแลตัวเอง ไม่ใส่ใจอะไรทั้งนั้นนอกจากงานที่โหมทำจนสภาพร่างกายเป็นแบบนี้

          "จริงเหรอที่พูดมา"

          "แล้วมันมีตรงไหนไม่น่าเชื่อ"

          เถียงคำไม่ตกฟาก ถ้าเป็นรุ่นน้องผมคงด่าสวนกลับไปแบบนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งมุ่มใหม่ๆ ที่ผมได้เห็นจากนายมืดมนเลยก็ว่าได้ นอกจากจะพูดเป็นต่อยหอยแล้วยังเถียงเก่งอีกต่างหาก

          "บ้านเลี้ยงหมาด้วยเหรอ" รอยที่น่ากลัวที่สุดและชัดที่สุดคือรวยหมาแมวข่วน รอยขีดเป็นเส้นยาวๆ สะเปะสะปะไม่สม่ำเสมอ ตื้นบ้างลึกบ้าง เพราะฉะนั้นประเด็นนี้น่าเจาะลึกที่สุด

          "หมาสี่ตัว แมวอีกสอง เรากลับบ้านเสาร์อาทิตย์ เวลากลับไปเจอพวกมันจะชอบดีใจแบบโอเวอร์มากๆ ชอบกระโดดเกาะ ชอบรุม แล้วเล็บมันก็จะข่วนเข้าที่แขน แต่นานๆ ทีจะเจอแบบข่วนแรงๆ จนเป็นแผลลึก กลับจากบ้านทีไรเลยได้รอยกลับมาด้วยประจำ ส่วนรอยแมวข่วนที่เห็นเราดันไปแกล้งมันจนตกใจเลยโดนข่วน อันนี้ก็สมควรโดนอยู่"

          "ไม่ระวังตัวเลย"

          "พูดเหมือนอั๋นเลย มันชอบบอกว่าเราไม่ระวังตัวแล้วก็ทำหน้าดุใส่ กลับบ้านเมื่อไหร่ถ้ามันเห็นรอยหมาแมวข่วนก็จะโดนด่า ด่ายิ่งกว่าพ่อแม่อีก" เล่าไปก็ยู่หน้าทำท่าทางเหมือนเด็กโดนขัดใจ

          หลังจากรับฟังเรื่องทั้งหมดแล้วผมยังไม่กล้าฟันธงกับตัวเองว่าจะเชื่อดีมั้ย ถ้ามันเป็นเรื่องโกหกก็แสดงว่าต้นสนแต่งเรื่องได้เก่งมาก และเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่อาจจะโดนจับได้ได้ทีเดียว แต่เมื่อลองนึกย้อนกลับไปตามคำบอกเล่าเมื่อครู่ สายตาและท่าทางของอั๋นก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ผมจำสายตาที่มองอย่างตำหนิติเตือนนั้นได้ดี มันดูไม่พอใจ และต่างจากสายตาที่ผมใช้มองนายมืดมนอย่างสิ้นเชิง

          "เชื่อที่พูดมั้ยเนี่ย"

          "มั้ง"

          "ทำไมมั้ง"

          "..."

          "ที่จริงเราสังเกตอยู่นะว่าปลื้มชอบมองแผลเราเลยพยายามซ่อนไว้เพราะมันคงดูไม่ดี แต่เหมือนว่ามันจะทำให้ยิ่งเข้าใจผิดใช่มั้ย"

          "คงงั้น" ได้แต่ตอบรับแบบกั๊กอย่างคนเสียฟอร์ม มันไม่ใช่แค่เข้าใจผิดธรรมดา แต่เป็นการเข้าใจผิดแบบโคตรของโคตรเข้าใจผิด ให้แก้สมการสิบตลบยังไม่รู้เลยว่าถ้าคุณครูไม่มาเฉลยจะตอบถูกหรือเปล่า

          "แล้วปลื้มคิดว่ามันเป็นรอยอะไร"

          "มันคงมีไม่มีรอยอื่นหรอกมั้งสำหรับคนที่คิดจะฆ่าตัวตาย"

          ต้นสนยิ้มรับ ผิดไปจากที่ผมจินตนาการไว้ว่าอาจจะโดนหัวเราะเยาะใส่ มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา เหมือนหายโง่ เหมือนรอยยิ้มนั้นกำลังบอกว่าไม่เป็นไร ต่อให้ผมจะคิดยังไงก็ไม่เป็นไร

          "เราไม่ทำอะไรสิ้นคิดแบบนั้นหรอก เชื่อเถอะนะ"

          ผมพยักหน้ารับช้าๆ ทั้งที่ในใจยังคัดค้านอยู่นิดๆ เพราะยังทำใจให้เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าโทรมๆ นั่นกลับสั่งให้เชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันก็แค่เรื่องที่ผมคิดไปเอง

          "มีอะไรอยากถามเราอีกมั้ย"

          มีข้อน่าสงสัยหลายอย่างที่ผมพยายามนึกให้ออกในช่วงเวลาที่เราได้รู้จักกัน เรื่องวูบทำให้เกิดอุบัติเหตุจนเหมือนการฆ่าตัวตาย รอยหมาแมวข่วนที่ผมคิดว่าเป็นรอยกรีดเพื่อทำร้ายตัวเอง นอกจากนี้ก็มีเรื่องโรคประจำตัว

          "ที่บอกว่าตื่นนอนไปวิ่งแต่เช้านี่ก็เรื่องจริงเหรอ"

          "อ๋อใช่ แต่ช่วงนี้ตื่นไม่ค่อยไหวเลยไม่ได้วิ่งแล้ว"

          "ทำไมต้องวิ่งด้วย"

          "ออกกำลังกายไง ไม่ใช่ว่าเราเคยบอกปลื้มไปแล้วหรอ ช่วงนี้งานเยอะสุขภาพไม่ค่อยดีเลยพยายามหาเวลาว่างออกกำลังกาย มันก็มีแค่ช่วงเช้านี่แหละที่ว่าง แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเท่าไหร่" อธิบายยาวเหยียดแล้วยิ้มแหยเมื่อผลลัพธ์ในสิ่งที่หวังไม่เป็นอย่างที่คิด

          ผมยกมือนวดขมับ รู้สึกปวดหัวขึ้นมา ตัวรุมๆ คล้ายจะเป็นหวัด หน้าร้อนหูก็ร้อน ไม่รู้เป็นเพราะคำสารภาพที่ได้ฟังหรือเพราะตากฝนมากันแน่ หรือบางทีจะอาจจะเป็นเพราะการได้รู้สิ่งที่ไม่คิดว่าจะเป็นความจริงก็ได้

          มันน่าอายที่ต้องยอมรับว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมคิดเพ้อเจ้อไปเองคนเดียว

          เพราะโน้ตสั่งเสียในเคสโทรศัพท์นั่น

          "ปลื้ม"

          "โน้ตสั่งเสีย" ผมเงยหน้ามองตามเสียงเรียกแล้วหลุดปากออกมาตามคำที่วนเวียนอยู่ในหัว

          "อะไรนะ"

          "เอ่อ สมุดโน้ตกับโพสอิท ทำไมต้องเขียนอะไรแบบนั้นไว้ด้วย"

          โชคดีที่หาอะไรมาแก้ตัวได้ทัน ต้นสนมองตามสายตาผมไปยังโต๊ะทำงาน ประเด็นนี้พอจะเดาออกลางๆ จากการคุยกันก่อนหน้านี้ แม้สิ่งที่ผมอยากรู้ที่สุดจะเป็นที่มาของโน้ตสั่งเสียในเคสมือถือแผ่นนั้นต่างหาก แต่มันกลับเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถถามออกไปได้

          "ก็อย่างที่บอกว่าเราวูบบ่อยแต่งานที่ทำค้างไว้ก็เยอะเหมือนกัน เลยทำทุกอย่างที่คิดว่าจะทำให้คนที่มาเห็นพอจะสานต่องานที่ทำค้างไว้ได้ อย่างน้อยช่วยแจ้งให้คนที่รองานเราอยู่รับรู้ก็ยังดี"

          "แบบนั้นมันก็คือการคิดว่าตัวเองต้องตายไม่ใช่หรือไง" ผมเข้าใจทุกอย่างแล้ว แต่มันยังมีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่คิดแค่ว่าจะทำยังไงถ้าต้องจากไป แต่ควรหาวิธีที่ทำให้ไม่ต้องจากไปมันไม่ดีกว่าเหรอ

          ต้นสนยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้า เท่ากับเป็นการยอมรับคำพูดของผม ซึ่งผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย

          "มันเคยเกิดขึ้นน่ะ มีครั้งหนึ่งตอนนั่งทำงานอยู่จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา มันอึดอัดมันทรมานหายใจไม่ออก จนคิดขึ้นมาว่าเราอาจจะตายจริงๆ ก็ได้ แต่ก็มีความคิดหนึ่งแวบเข้ามาว่ายังตายไม่ได้นะ ยังมีเรื่องที่อยากทำอีกเยอะเลย สิ่งที่ทำค้างไว้ก็เยอะ เลยพยายามตั้งสติกำหนดลมหายใจอาการก็ดีขึ้น แต่สักพักก็หนาวสั่น หนาวมากแบบชาไปทั้งตัวแต่เหงื่อกลับออก มันเหมือนจะวูบตลอดเวลา เอาจริงสติตอนนั้นก็แทบไม่เหลือแล้ว เลยนั่งหลับตาแล้วก็หลับไปเลย ผ่านไปเกือบชั่วโมงถึงรู้สึกตัวอีกที อาการดีขึ้นแต่ยังไม่โอเคอยู่ดี ตอนนั้นก็รู้นะว่าตัวเองอ่อนเพลียเรื้อรังแล้วก็เครียดด้วย ตอนที่คิดว่าจะตายมันน่ากลัวมากจริงๆ แต่ก็คิดอีกนั่นแหละว่าถ้าตายไปจริงๆ จะทำไง จากนั้นก็เลย..."

          เล่ามาถึงตรงนี้ต้นสนก็พูดขึ้นมาดื้อๆ เขาหันมาสบตากับผม สายตาที่ดูเหนื่อยล้ามีแววสงสัยปนอยู่  แล้วคำพูดที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากสีซีดนั้นก็ทำให้ผมตัวชาวูบขึ้นมา

          "หรือว่าปลื้มเห็นโน้ตนั่นแล้วใช่มั้ย"

          สิ่งที่ผมกลัวไม่ใช่เรื่องที่ต้นสนรู้ว่าเห็นโน้ตแผ่นนั้น แต่เป็นสาเหตุที่นำพาโน้ตแผ่นนั้นมาให้ผมเห็นต่างหาก ขโมยของเป็นสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เคยคิดจะทำ แต่ถึงแม้จะลงมือทำสุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ ความรู้สึกตอนนี้มันไม่ต่างจากเด็กที่ทำความผิดแล้วโดนผู้ใหญ่จับได้ ผมเองก็กลัวโดนเกลียด และอึดอัดที่จะเก็บเรื่องราวไม่ดีไว้กับตัวเองเช่นกัน

          "โน้ตที่อยู่ในเคสมือถือ ปลื้มอ่านมันแล้วใช่มั้ย" ต้นสนถามย้ำอีกครั้งผมถึงได้พยักหน้ารับ

          "อืม อ่านมันแล้ว"

          "ก็ไม่แปลกหรอกที่จะคิดแบบนี้ งั้นเราขอถามอะไรปลื้มหน่อยดิ"

          ฟังประโยคนี้แล้วหัวใจมันก็เต้นระรัวจนกลัวว่าคนที่นั่งข้างๆ จะได้ยิน คำพูดมากมายผุดขึ้นมาในหัว จับคำพูดมาร้อยเรียงให้เป็นประโยค และจับประโยคมาต่อกันให้เป็นคำอธิบาย เตรียมคำตอบสำหรับคำถาม เตรียมคำสารภาพสำหรับความผิดของตัวเอง

          "ที่ปลื้มเข้าหาเราเพราะเรื่องนี้ใช่มั้ย หรือเพราะอะไรกันแน่"

          ผมสูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอดก่อนผ่อนออกมาช้าๆ แล้วเริ่มถ่ายทอดเรื่องราวทุกอย่างตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความยากลำบากที่ต้องเผชิญ ทางเลือกที่ผิด จุดเปลี่ยนของการกระทำ ความเข้าใจผิด จนกระทั่งเข้ามายุ่งในเรื่องที่ไม่ควรจะยุ่ง ละครฉากใหญ่ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ได้เห็น ความคิดที่ถูกตอกย้ำและย้ำลึกทุกครั้งที่ได้เจอกันจนฝังเป็นความคิดผิดๆ ที่ยึดติดเอาไว้คนเดียว และความจริงที่ถูกเฉลยในวันนี้

          ต้นสนพยักหน้ารับฟังโดยไม่ออกความเห็นใดๆ สีหน้าไม่บ่งบอกว่ากำลังโกรธ หรือแสดงท่าทางไม่ดีออกมา อย่างกับยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้

          "จะด่าจะว่าก็ได้นะ ยอมรับว่าไม่ได้เข้าหาด้วยความจริงใจ เล่นละคร หลอกลวง หลอกกินฟรี งานศิลปะอะไรนั่นก็ไม่ได้ชอบนักหรอก ไม่เข้าใจมันด้วย เงินที่เอาไปซื้ออาร์ตบุ๊คก็จำใจสุดๆ" ผมใส่อารมณ์เต็มที่ในการพูด เพื่อสื่อให้เห็นถึงความจริงใจในทุกประโยค น่าแปลกที่ต้นสนกลับยิ้ม ไม่สิ เรียกว่าเกือบหลุดหัวเราะออกมาเลยจะดีกว่า

          "ไม่จริงใจตรงไหน เป็นคนดีเลยมากกว่า จะมีสักกี่คนที่เก็บมือถือคนไม่รู้จักได้แล้ว..."

          "ตั้งใจขโมยต่างหาก"

          "นั่นแหละ อย่าเพิ่งขัดดิ คิดจะขโมยโทรศัพท์แต่ดันเปลี่ยนใจเพราะไปเห็นโน้ตที่เหมือนจดหมายลาตายแล้วส่งคืนเจ้าของ แต่แทนที่จะจบแค่นั้นดันพยายามเข้าหาเพื่อให้รู้ความจริงว่าคนคนนั้นคิดจะฆ่าตัวตายจริงหรือเปล่า ไหนจะเอาเงินมาซื้อของที่ไม่จำเป็นเพื่อให้ได้สนิทกันอีก สำคัญที่สุดคือได้ช่วยชีวิตคนคนนั้นไว้ด้วย สำหรับเราแบบนี้เรียกว่าคนดีนะปลื้ม ขอบคุณนะที่วันนั้นเก็บมือถือเราไป"

          "มันน่าดีใจมั้ยเนี่ย" เกือบดีแล้วยกเว้นประโยคสุดท้ายนั่น

          ต้นสนหัวเราะชอบใจยกใหญ่ สีหน้าหม่นหมองที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่นั้นดูสดใสเป็นพิเศษ เป็นสีหน้าที่ผมอยากเห็นมาตลอด ก้อนเมฆสีเทาที่คอยสร้างบรรยายกาศอึมอรึมนั้นหายไป เหลือเพียงก้อนเมฆสีขาวที่ยังสว่างสดใสแม้ตอนนี้ท้องฟ้าจะมืดมิดก็ตาม

          "ขอบคุณจริงๆ นะ"

          "อืม"

          "ต่อไปนี้เรายังจะติดต่อกันอยู่ใช่มั้ย ถึงปลื้มจะรู้ว่าเราไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายก็ยังจะมาเจอกันอยู่ใช่มั้ย"

          เป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะได้เจอ ทุกอย่างเฉลยก็เท่ากับจบ เราไม่มีอะไรติดค้างต่อกัน ไม่มีอะไรต้องมายุ่งเกี่ยวกัน แต่ในใจกลับคิดอีกอย่าง

          ขนาดไม่ได้คิดฆ่าตัวตายชีวิตยังเสี่ยงไปเจอยมบาลขนาดนี้ แล้วผมจะปล่อยให้คนคนนี้ใช้ชีวิตโดยที่ไม่เคยดูแลตัวเองต่อไปได้จริงเหรอ

          คำตอบคือ...ไม่ได้

          หัวคิ้วที่วิ่งชนกันไม่รู้รอบที่เท่าไรของวันขมวดเป็นโบว์อีกครั้ง ดวงตาที่ใต้ตาลึกโบ๋จ้องมองมาอย่างต้องการคำตอบ ริมฝีปากสีซีดเม้มเข้าหากัน ดูลุ้นมากกว่าตอนที่ผมรอผลสอบออกเสียอีก

          "อืม ก็คงติดต่อเหมือนเดิมมั้ง"

          ยังยืนยันคำเดิมว่าอยากเห็นอีกครั้ง และอยากเห็นต่อไปอีกเรื่อยๆ

          รอยยิ้ม...ที่กำลังมอบให้ผมอยู่ตอนนี้

 

TBC.

 

เฉลยแล้ววววววววว สรุปไม่มีใครคิดแบบนี้เลยเหรอ ทุกคนโดนปลื้มลากไปเป็นพวกหมดเลยใช่มั้ย

ที่จริงตอนลงบทนำมีคอมเม้นของคุณ flimflam บอกว่า

สิ่งที่นายคนนั้นทำเราก็คิดจะทำเหมือนกัน กลัวตายไม่รู้ตัว (เราแอบก็อปมาวางเลย แฮ่)

ซึ่งคอมเม้นนี้แหละคือประเด็นของเรื่องเลยนะ เราก็คิดแบบเฮ้ย เม้นตรงเป๊ะเลยต้องมีคนจับได้แน่ๆ 55555555

แต่ทุกคนกลับบอกว่าเดาไม่ออกหรือเราจะใบ้น้อยไป แต่ก็ช่างมันเถอะ ฮา

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วเจอกันตอนหน้าจ้า


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-09-2017 20:28:49
ปลื้มมาช่วยดูแลต้นสนสิ อิอิ/ ดีใจจังที่ต้นสนไม่คิดจะฆ่าตัวตาย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-09-2017 20:53:57
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-09-2017 01:32:56
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 18-09-2017 03:20:44
ก่อนหน้านี้ก็มีลังเลว่าไม่ได้อยากตายรึเปล่า แตาพอเจอตอนทิ้งร่มเดินลงถนนนี่โยนความคิดนั้นทิ้งเลยค่ะ สรุปโดนหลอก  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: flimflam ที่ 18-09-2017 19:18:04
กรี๊ด เหมือนเดาเรื่องได้แต่แรกแต่ก็จับไม่ได้(?)
คิดว่าต้นสนเป็นโรคซึมเศร้าซะอีก โธ่ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วลูก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 18-09-2017 20:46:10
โห เดาผิดไปหลายโยชน์เลย โดนต้มซะเปื่อย :katai1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 18-09-2017 23:50:49
 :a5: โดนหลอกอ่ะ ฮ่าๆ แต่ก็ดีแล้วว
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-09-2017 17:56:38
ตามมม
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 23-09-2017 09:36:31
อ่าาาาทีนี้ก็เข้าหาได้โดยไม่ต้องหาข้ออ้างแล้วนะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 7 ★ 17/09/2560 ★ P.2
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 23-09-2017 13:00:26
เข้ามาเพราะว่าชื่อเรื่องล้วนๆ อ่านแล้วสะดุดมากๆ
พอได้อ่านก็ไม่ผิดหวัง อึมครึมหน่อยๆ แต่จากนี้ไปคงสว่างไสวแดดจ้า

ปล. แอบคิดว่า ปลื้มจะเป็นนายเอก สรุปเป็นพระเอกเหรอ :ling1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 24-09-2017 17:25:52

ตอนที่ 8


            เสียงเตือนจากแอปพลิเคชั่นรูปเจ้านกแลร์รี่ที่กลายเป็นหนึ่งในแอปสนทนาหลักของผมไปแล้วดังขึ้นหลังกลับมาถึงห้องได้ไม่ถึงสิบนาที ผมทิ้งตัวนั่งลงบนที่นอนหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ คว้ามือถือราคาถูกขึ้นมาดู ก่อนจะปลดล็อคหน้าจอเพื่อเข้าไปตอบข้อความเมื่อเห็นว่าเป็นชื่อใคร

            Pinetree : ถึงบ้านยัง

            PuuRimm : ถึงสักพัก

            PuuRimm : ยังไม่นอนอีกจะเที่ยงคืนแล้ว ไหนบอกพรุ่งนี้กลับบ้านแต่เช้า

            Pinetree : เดี๋ยวนอนๆ ขอเคลียร์งานก่อน

            อ่านแล้วก็เผลอถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย

            สำหรับต้นสนแล้วงานมาก่อนสุขภาพเสมอ สภาพตอนนี้เลยทรุดโทรมไม่ต่างจากศพเดินได้ ไหนจะความคิดแปลกๆ อย่างการเขียนสั่งเสียเรื่องงานเอาไว้ มันก็ไม่แปลกหรอกที่คนไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังอย่างผมมาเห็นแล้วจะเข้าใจผิด

            PuuRimm : ให้เวลาถึงเที่ยงคืน

            Pinetree : แค่ยี่สิบนาทีเอง

            PuuRimm : อีกยี่สิบนาทีไปนอน

            Pinetree : มันไม่ทันนนนน

            PuuRimm : ก็หยุดคุยแล้วรีบทำงาน

            Pinetree : TT

            หลังจากโดนว่าไปข้อความจากต้นสนก็ไม่ถูกส่งมาอีก

            จะว่าผมเด็ดขาดหรือใจร้ายก็ได้ แต่คนที่ดูแลตัวเองไม่เป็นอย่างนายมืดมนควรมีใครสักคนคอยจี้คอยสั่ง คอยบอกว่าต้องหยุดแล้วพักร่างกาย ไม่อย่างนั้นคงมีใครสักคนได้สานต่อความต้องการตามโน้ตแผ่นนั้นแน่ๆ

            รอจนแน่ใจว่าคนที่งอแงใส่เมื่อครู่นี้จะไม่เข้ามาป้วนเปี้ยนในโซเชียลอีกผมก็ล้มตัวลงนอน มองบทสนทนาที่เราเพิ่งคุยกันแล้วยิ้มขำตัวเอง และขำให้กับทุกๆ อย่างที่ผ่านมา

            เพิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่คิดได้เป็นตุเป็นตะชะมัดเลยให้ตาย แต่ก็ยังดีกว่าเมื่อสิ่งที่คิดนั้นมันไม่ใช่ความจริง

 

            ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกด้วยความง่วงสุดขีด ควานมือสะเปะสะปะคว้ามือถือมากดปิดเสียง มองตัวเลขที่บอกเวลาเก้าโมงตรงกับข้อความจากทวิตเตอร์ที่ขึ้นเรียงกันเป็นตับจนต้องกระพริบตาถี่ๆ ส่ายหน้าแรงๆ เพื่อสลัดความง่วงออกไปแล้วตั้งใจอ่านข้อความเหล่านั้น

            Pinetree : กำลังจะกลับบ้านแล้วววว

            Pinetree : ถึงบ้านแล้วนะ

            Pinetree : (ส่งรูปภาพ)

            Pinetree : ขนงานมาทำด้วย

            Pinetree : นี่น้องเนียร์พญาแมวท่ามกลางฝูงหมา

            Pinetree : (ส่งรูปภาพ)

            Pinetree : ส่วนนี่น้องหมา

            Pinetree : (ส่งรูปภาพ)

            Pinetree : ตัวสูงๆ สีน้ำตาลเข้มชื่อต้นตาล ตัวสีน้ำตาลอ่อนชื่อต้วมเตี้ยม สีขาวลายน้ำตาลชื่อต๋อมแต๋ม ส่วนตัวขาวล้วนชื่อตอเต่า

            ข้อความทั้งหมดถูกส่งไล่มาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า จนข้อความสุดท้ายเมื่อสิบนาทีก่อน ทั้งรูปกระเป๋าใส่งาน น้องแมวสีส้มขาวหน้าตาไม่รับแขก และน้องหมาสี่ตัวที่ทำหน้างงใส่กล้อง ท่าทางดื้อใช้ได้กับชื่อที่ชวนปวดหัว ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วสามตัวเหมือนบางแก้วพันธุ์ผสม ส่วนตัวที่ชื่อต้นตาลนั้นเหมือนหมานอกที่ผมไม่รู้ว่าพันธุ์อะไร

            อ่านจบครบถ้วนทุกข้อความแล้วไม่รู้ทำไมผมถึงได้ยิ้มกับประโยคที่เหมือนการรายงานสถานการณ์ข่าวแบบนี้ อย่างกับเป็นผู้ปกครองและมีลูกชายตัวน้อยๆ ที่ยังดูแลตัวเองไม่เป็น ทำอะไรไปไหนมาไหนต้องคอยบอก เรื่องนี้ผมไม่ได้ร้องขอแต่เป็นสิ่งที่ต้นสนทำมันเอง

            เพื่อความสบายใจสินะ

            PuuRimm : โดนมันข่วนอีกหรือเปล่า

            ผมพิมพ์สิ่งเดียวที่อยากรู้ตอบกลับไปแค่นั้นแล้ววางมือถือไว้บนที่นอนก่อนลุกขึ้นไปอาบน้ำ

            วันนี้ยังมีงานรออยู่ ปลดหนี้ค่าเช่าหอได้เมื่อไรจะให้รางวัลตัวเองงามๆ เลย

 

            ตลาดวันนี้คึกคักเหมือนปกติ ที่ร้านได้น้องตาลมาช่วยผ่อนแรงด้วยเลยไม่วุ่นวายเท่าไร หรือจะเรียกว่าว่างจนมีเวลาตอบข้อความจากต้นสนตลอดทั้งวันเลยก็ว่าได้

            Pinetree : พยายามแล้วแต่ไม่รอด

            Pinetree : แต่รอยนิดเดียวๆๆๆๆ

            ผ่านไปเกือบครึ่งวันหลังจากผมถามไปเมื่อช่วงสายข้อความนี้ก็ถูกส่งกลับมา แสดงว่าวันจันทร์ผมคงได้เห็นรอยเล็บหมาแมวเป็นของฝากสินะ

            PuuRimm : ขอรูปประกอบ

            Pinetree : ถ่ายไปก็ไม่เห็นหรอก

            Pinetree : มันเล็กมากๆๆๆ

            ในใจผมบอกว่าไม่ควรเชื่อสิ่งที่ต้นสนบอก แต่ละครั้งที่เจอกันวันจันทร์ไม่มีรอยขีดข่วนไหนที่เรียกว่าเล็กจนมองไม่เห็น ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เครียดจนคิดว่ามันเป็นรอยกรีด คิดไปแล้วก็อยากกับไอ้หมาแมวพวกนั้นถอดเล็บออกให้หมด หรือไม่ก็ให้เจ้าของมันใส่ชุดนักดับเพลิงไปเลยจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว

            PuuRimm : ตัวมีแต่แผล

            Pinetree : ถ้ามันโตก็คงเลิกข่วนแล้วล่ะมั้ง

            PuuRimm : ยังไม่โตอีกเหรอ

            Pinetree : ยังไม่ครบปีเลย โตแล้วคงหายซน

            ผมพยักหน้าให้โทรศัพท์อย่างกับว่าคนที่พิมพ์คุยกันอยู่จะเห็น ลูกหมาพวกนั้นยังโตไม่เต็มที่หรอกหรอ ทั้งที่ในรูปดูตัวใหญ่ขนาดนั้น

            คุยกันได้นิดๆ หน่อยๆ ผมก็ต้องเก็บมือถือใส่กระเป๋าหันไปสนใจลูกค้าที่มาซื้อแกง ขายเสร็จก็หยิบขึ้นมาเล่นต่อ เป็นแบบนี้อยู่หลายรอบจนน้องตาลร้องทัก ทั้งที่ในมือน้องเค้าเองก็ถือโทรศัพท์อยู่เหมือนกัน

            "ช่วงนี้เล่นมือถือบ่อยนะพี่ปลื้ม"

            "เหรอ" ผมหัวเราะรับแบบขอไปที จะไปว่าปกติก็ไม่ค่อยได้หยิบขึ้นมาเล่นบ่อยๆ อย่างที่น้องเค้าบอก ถึงจะหยิบขึ้นมาเล่นเวลาว่าง แต่ส่วนมากเป็นการเช็คข่าวสารมากกว่าคุยเล่นกับคนอื่นแบบนี้

            "ติดคนในมือถือเหรอคะ"

            "หือ เปล่า คุยกับเพื่อนเฉยๆ"

            "เหรอคะ" น้องตาลทำหน้าเหมือนอยากถามต่อแต่ก็ยอมตอบรับแล้วถอยกลับ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีมากสำหรับผม

            ติดคนในมือถือเหรอ ประโยคฮิตของพวกติดแฟนแบบนั้นใช้กับผมไม่ได้หรอก

 

            ตัวเบาหวิวเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หรือจะพูดให้ถูกคือหยิบเงินออกจากกระเป๋าจนหมดตัวแล้วนั่นเอง

            ผมยิ้มให้ป้าของเจ้าหอที่ยิ้มกว้างกลับมาหลังจากจัดการจ่ายค่าเช่าที่คั่งค้างตามที่ตกลงกันไว้ ก่อนจะหันหลังหมุนตัวเดินเข้าไปข้างในหอพักที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนตั้งแต่ปีหนึ่ง แต่จะมาสบายใจตอนนี้นั้นมันเร็วเกินไป ยังเหลือค่าเช่าทบต้นทบดอกที่ต้องจ่ายอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า แสนสาหัสกว่านี้คงไม่มีอีกแล้ว

            ไขกุญแจเข้าห้องมาได้ผมก็ทิ้งตัวลงนอนทันที หยิบมือถือขึ้นมาเช็คความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล ตั้งใจจะกดเข้าเฟซบุ๊กแต่นิ้วดันเผลอไปจิ้มทวิตเตอร์อย่างลืมตัว

            จิ้มผิดแล้วก็เลยตามเลยแล้วกัน

            หน้าไทม์ไลน์ของผมไม่มีอะไรน่าสนใจนักเพราะติดตามอยู่ไม่กี่คน ยิ่งช่วงนี้พ่อนักวาดที่ผมคลั่งไคล้หยุดอัพผลงานยิ่งเงียบไปกันใหญ่ จะมีก็แต่ข้อความส่วนตัวที่แจ้งเตือนตลอดทั้งวัน จนตอนนี้ก็ยังมีข้อความที่ไม่ได้ตอบกลับอยู่

            Pinetree : เลิกงานหรือยัง

            PuuRimm : ถึงห้องสักพักแล้ว

            พิมพ์ตอบกลับไปแล้วก็มองหน้าจออยู่อย่างนั้น มองรูปสีน้ำที่ต้นสนใช้เป็นรูปโปรไฟล์ ภาพต้นไม้สูงใบสีเขียวเข้มครึ้มคลุมจนถึงปลายยอดแหลม สัญลักษณ์แทนตัวที่แทบไม่มีการดัดแปลงใดๆ

            เห็นภาพสีน้ำแล้วจู่ๆ ก็นึกถึงรูปนั้นขึ้นมา ภาพที่ผมตั้งชื่อให้เองว่าทุ่งดอกไม้แห่งความตาย หนึ่งในสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดอันใหญ่หลวง ผมอยากรู้ เพราะอะไรถึงได้วาดรูปแบบนั้นขึ้นมา

            PuuRimm : ถามอะไรหน่อยดิ ทำไมถึงวาดรูปนี้ขึ้นมา

            ผมเข้าไปค้นหารูปเจ้าปัญหาและส่งไปให้พร้อมคำถาม ทิ้งเวลาไว้เนิ่นนานผ่านไปร่วมชั่วโมงกว่าเสียงแจ้งเตือนจะดังขึ้น และคำตอบมันก็ช่วยตอกย้ำอีกว่า...ผมนี่มันโคตรคิดไปเองเลยจริงๆ

            Pinetree : ตอนนั้นไปเที่ยวแล้วคิดว่าทุ่งดอกไม้ที่นี่มันสวยมากๆ 

            Pinetree : สวยแบบจนอยากอยู่ไปตลอดชีวิต เลยวาดเล่นน่ะไม่มีอะไร

            ผมอ่านแล้วไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่ทิ้งช่วงไปสักพักข้อความใหม่ก็ถูกส่งมา

            Pinetree : อยากบอกนะว่าปลื้มเห็นรูปนี้แล้วคิดว่าเราอยากฆ่าตัวตาย

            ไม่มีคำตอบอื่นนอกจากคำว่าใช่ แต่ผมไม่ได้พิมพ์ตอบกลับไปหรอก ทำแค่เปิดอ่านแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ

            นี่หรือเปล่าที่เขาเรียกว่าอารมณ์ศิลปิน ความคิดแปลกๆ ที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึง ซึ่งคนคนนั้นก็คือผมเอง

 

            ความเคยชินที่ผมเพิ่งจะผลักมันไปสู่อดีต ทางเดินที่คุ้นเคย บรรยากาศร่มรื่นในมหาวิทยาลัย แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้า และตึกคณะบริหารที่อยู่ทางซ้ายมือ ถ้าเป็นเมื่ออาทิตย์ก่อนผมคงเดินตรงไปที่นั่นอย่างไม่ลังเล ทำทีเป็นเข้าไปกินข้าวเช้าเพื่อหวังจะเจอกับใครบางคน ซึ่งในตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกต่อไป

            ผมละสายตาจากตึกคณะบริหารเพื่อตรงไปยังคณะของตัวเองที่ผองเพื่อนรออยู่ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนความคิดทั้งหมดก็หยุดชะงักลง

            "ไง" คำทักทายที่เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดีหลุดมาจากเพื่อนตัวสูงของต้นสนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม

            "หวัดดี"

            "วันนี้ไม่แวะเหรอ" อั๋นถามพลางพยักพเยิดหน้าไปยังตึกคณะ จุดที่ผมเดินเลยมันมาแล้วกว่าครึ่งทาง

            "คงไม่"

            "เหรอ" พยักหน้าขึ้นลงช้าๆ แล้วก็พากันเงียบทั้งคู่

            ผมไม่มีเรื่องอะไรต้องคุยกับอั๋น ก่อนหน้านี้แม้จะเจอกันบ่อยแต่เราไม่ได้สนิทกันชนิดที่ว่าสามารถต่อบทสนทนาได้อย่างราบรื่น จากที่สังเกตอั๋นไม่ใช่คนคุยเก่งเหมือนต้นสน ออกจะเงียบๆ เข้าถึงยากเสียด้วยซ้ำ มันจึงแปลกมากที่เขาเข้ามาทักผมก่อน

            "งั้นไปก่อนนะ" ผมบอกลากำลังจะเบี่ยงตัวหลบเพื่อเดินไปถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายพูดขัดขึ้นมา

            "สนมันเล่าให้ฟังแล้วนะเรื่องนั้น"

            ขาผมหยุดชะงักทันที มองหน้าอั๋นที่เอ่ยออกมาเรียบๆ แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆ จะว่ายังไงดี อยู่ๆ ก็รู้สึกอยากเดินหนีมันซะตอนนี้ ผมไม่รู้ว่าต้นสนเล่าอะไรออกไปบ้าง ละเอียดแค่ไหน มันน่าอายที่มีคนอื่นได้รับรู้เรื่อพวกนี้ด้วย

            "ไม่ต้องทำหน้าเซ็งขนาดนั้น พอดีบังเอิญเจอเลยอยากมาขอบคุณที่ช่วยดูแลมัน"

            "ก็ไม่ได้อยากจะช่วยนักหรอก"

            อั๋นหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อผมตอบ แต่แปลกที่สีหน้านิ่งเรียบที่ผมเคยคิดว่ากวนประสาทอยู่นิดๆ ไม่ได้ดูขัดหูขัดตาขนาดนั้น เขาแค่หัวเราะให้กับคำตอบแสนตรงประเด็นของผม หรือจะเรียกว่าหัวเราะเยาะเพื่อนผู้มืดมนของตัวเองก็ได้ถ้าผมไม่ได้ตีความหมายผิด ดวงตาคู่นั้นที่มองมาไม่ได้มีแววเยาะเย้ยแต่อย่างใด

            "สนมันก็เป็นคนแบบนี้แหละ ไม่ค่อยดูแลตัวเอง สนิทกับมันมาตั้งแต่มัธยมเห็นแล้วยังเบื่อ บ่นจนขี้เกียจบ่น พูดไปก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง แทบไม่เข้าหูเลยด้วยซ้ำ"

            อยู่ๆ คนที่ผมเคยได้ยินเสียงพูดแบบนับคำได้ก็จ้อยาวแทบจะเหมือนทำนองแร็พ สีหน้าบ่งบอกว่าเบื่อหน่ายสอดคล้อยกับสิ่งที่พูด และยังคงพูดต่อไปโดยที่ผมไม่มีโอกาสได้ขัด

            "มันชอบรับงานแบบไม่ดูสังขารตัวเอง ใครเสนองานให้รับหมด ขยันเก็บเงินจะได้เอาไปอวดที่บ้านว่าสิ่งที่มันชอบก็สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้ แต่คนที่พลอยลำบากไปด้วยก็เพื่อนมันนี่แหละ ไม่ยอมหลับไม่ยอมนอนจนจะเป็นลมวูบไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้"

            "หาเลี้ยงตัวเอง" ผมทวนคำนี้ขึ้นมาเพราะติดใจมันที่สุด หาเงินเพื่อเอาไปอวดที่บ้าน มันหมายความว่ายังไง

            "มันไม่เคยเล่าให้ฟังเหรอ"

            "ไม่อ่ะ ไม่เคยได้ยิน"

            "คืองี้ สนมันอยากเข้ามัณฑนศิลป์ แต่พ่อแม่จะให้เรียนบริหาร ทะเลาะกันใหญ่โตสุดท้ายมันก็ยอมตามใจ พอสอบติดเข้าบริหารได้เลยรับงานออกแบบงานวาดมาทำหาเงิน จะเรียกว่าดื้อเงียบก็ได้ ทำทุกอย่างให้พ่อแม่มันเห็นว่างานด้านนี้ก็หาเงินได้เหมือนกัน ของใช้ทุกอย่าง ค่ากินค่าอยู่ค่าเทอมมันไม่ขอพ่อแม่สักบาท จนสุดท้ายพ่อแม่มันก็ยอมรับ เก่งใช่มั้ย แต่แม่งจะตายเพราะไม่รู้จักพักผ่อนนี่แหละ" ยิ่งเล่าเหมือนว่าอั๋นจะยิ่งหัวเสีย แต่สีหน้าที่แสดงออกกลับชื่นชมเพื่อนอยู่กลายๆ เป็นสิ่งผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

            เก่ง เก่งมากเลยด้วย ใช้สิ่งที่ชอบและถนัดเพื่อพิสูจน์ตัวเองและทำมันสำเร็จ ทั้งเก่งแล้วก็น่าอิจฉา มันคือสิ่งที่ผมไม่สามารถทำได้ ใช่ว่าไม่พยายามหรือคิดยอมแพ้ แต่ต้นทุนและโอกาสของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ผมได้รับมามันไม่เอื้ออำนวยเลย

            "ปลื้ม"

            ผมหยุดความคิดทุกอย่างลงก่อนเงยหน้ามองคู่สนทนาตามเสียงเรียก อั๋นมองกลับมาด้วยสีหน้าจริงจัง ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่กลับถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน

            "มายืนทำอะไรกันตรงนี้" บุคคลผู้เป็นประเด็นของการสนทนาปรากฏตัวออกมาพร้อมสีหน้าอิดโรยที่เต็มไปด้วยความสงสัย

            ผมเงียบ ปล่อยให้เพื่อนตัวสูงเป็นผู้รับผิดชอบสถานการณ์ ซึ่งอั๋นก็ทำมันได้ดีจนน่าตบรางวัลให้ เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสจนต้นสนไม่กล้าถามอะไรต่อ

            "แขนเป็นรอยมาอีกแล้วนะ" น้ำเสียงที่ใช้ช่างเยือกเย็นจับใจ อั๋นยืนกอดอกมองหน้าตาเอาเรื่องโดยมีผมช่วยใช้สายตาสมทบอีกแรง

            "นิดเดียวเอง" ต้นสนตอบอ้อมแอ้มแล้วรีบดึงแขนเสื้อลง ซึ่งมันไม่ทันตั้งแต่คิดจะพับแขนเสื้อมาเรียนแล้ว

            "ถ้าคราวหน้ายังยอมให้มันรุมอีกจะบอกให้คุณป้าเอามันไม่ปล่อยวัดให้หมด" คำขู่ทีเล่นทีจริงทำเอาคนฟังขมวดคิ้วทำหน้าตึงใส่ อารมณ์ประมาณว่าหมาข้าใครอย่าแตะ

            "ทำไมใจดำอำมหิต"

            "งั้นเปลี่ยนเป็นเอาคนไปปล่อยแทนก็ได้ น่าจะง่ายกว่า"

            ทั้งที่เป็นคนช่างพูดช่างเถียงแท้ๆ แต่ครั้งนี้ต้นสนกลับยอมแพ้ง่ายๆ ทำหน้าตาถมึงทึงใส่เพื่อนก่อนหันมาส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากผม แล้วคิดว่าผมอยู่ข้างใครล่ะ แน่นอนว่าไม่ใช่ข้างคนที่ไม่ยอมดูแลตัวเองอยู่แล้ว

            "เอาคนไปปล่อยคงง่ายกว่านั่นแหละ"

            "อ้าว ทำไมปลื้มเข้าข้างอั๋นวะ"

            "ก็มันจริง ไหนบอกรอยนิดเดียว ที่เห็นเมื่อกี้ลากยาวตั้งแต่ข้อมือยันข้อศอก" ผมเริ่มสวมบทผู้ปกครองจอมโหดแบบอั๋นบ้าง คนไม่มีพวกเลยได้แต่ทำหน้าเหวอเฉไฉเปลี่ยนเรื่องทันที

            "กินข้าวกันมายัง ไปกินข้าว ไปๆๆ" พูดยังไม่ทันจบต้นสนก็เดินหนี เป็นการชวนที่ไม่ได้อยากให้คนโดนชวนไปได้สักเท่าไร

            มองคนที่หอบก้อนเมฆสีอึมครึมเดินหนีไปก็ได้แต่อมยิ้ม อาจจะคิดไปเองอีกก็ได้แต่ผมรู้สึกว่าเมฆก้อนนั้นมันมีแสงสว่างของดวงอาทิตย์ส่องออกมา เป็นความสดใสที่มองแล้วไม่ขัดตา แถมยังอยากเป็นกำลังใจให้อาทิตย์ดวงนั้นหนีออกมาจากคุกก้อนเมฆสีทะมึนนั้นเร็วๆ

            "จากนี้ไปก็ฝากด้วยนะ"

            ผมละสายตาจากมนุษย์มืดมนหันไปมองอั๋นที่ยังคงตีหน้านิ่งแบบคงคอนเซ็ปต์ อยู่ๆ ก็มาฝากเนื้อฝากตัวกันแบบนี้เลย

            "ดูแลสนมันด้วย ผมจะได้เอาเวลาไปหาแฟนบ้าง" พูดจบแล้วก็เดินหนีโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ทักท้วงใดๆ

            ฝากให้ดูแลต้นสนงั้นเหรอ...ถึงไม่บอกผมก็คิดจะทำมันอยู่แล้ว

 

TBC.

 

ตอนนี้ก็เลิกเครียดกันได้แล้วเนอะ สีเทาจะค่อยๆ หายไป

จากนี้อยากให้โทนของเรื่องเป็นสีเหลืองๆ ส้มๆ ปนชมพูดนี้สๆ ^^

แล้วก็เรามีคำถามมมมมมมม ตอบก็ได้ไม่ก็ได้เน้อ

เนื่องจากเห็นมีสองสามคนพูดถึงเรื่องโพสิชั่น ใครเป็นพระเป็นนายงี้

จริงๆ คือปลื้มเป็นพระเอกนะ (ฮา) แต่ด้วยลุคมืดมนของสนเลยทำให้คิดว่าเป็นพระเอกหรือเปล่า

ความจริงเราไม่ได้บรรยายลักษณะของตัวละครไว้ชัดเจนด้วย

ปลื้มกับสนใครสูงกว่าเตี้ยกว่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าอั๋นสูงที่สุด ฮ่าๆๆๆๆ

เลยอยากถามว่าตอนอ่านแรกๆ คิดว่าใครเป็นพระเป็นนายกันคะ

อยากรู้เฉยๆ ไม่มีผลอะไรกับการดำเนินต่อไปของเรื่องนะ จะได้เอาความเห็นไปปรับปรุงด้วย

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 24-09-2017 17:55:44
เป็นอีกคนที่แอบคิดว่าปลื้มเป็นนายเอก แต่พอเจอบทบรรยายของต้นสน อ้อ เข้าใจผิดสินะ  :z3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 24-09-2017 19:33:44
ดูแล้วต้นสนคงต้องการคนดูแล :-[ เลยมโนว่าเป็นนายเอกไปเลยตั้งแต่แรก ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 24-09-2017 20:27:48
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-09-2017 22:49:37
จากนี้ความมืดมนจะกลายเป็นสีฉมปู   :impress3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 24-09-2017 23:08:41
คิดว่าต้นสนเป็นพระเอกนะเนี่ยยย 555 ปลื้มดูเป็นเคะในความรู้สึกเรามาก 555 ไม่รู้ทำไม  หรือเพราะไอ้ความมืดมนของต้นสนมันทำให้ดูน่าค้นหา มีออร่าความเป็นพระเอกแฝงอยู่  :z1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 25-09-2017 09:07:36
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 8 ★ 24/09/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 01-10-2017 19:15:49

ตอนที่ 9

 
            พะโล้ ต้มยำขาหมู ผัดหอยลาย แล้วก็ข้าวเปล่า แค่นี้ก็คงจะพอแล้วมั้ง

            ผมมองกับข้าวสองถุงใหญ่กับข้าวเปล่าสิบบาทสองถุงที่ใส่ถุงหิ้วเอาไว้แล้วเรียบร้อยพลางพยักหน้าเออออกับตัวเอง ทั้งสามอย่างนี้เป็นกับข้าวที่เหลือจากการขายของวัน ของที่ป้านกมักแบ่งให้ทุกคนเอากลับไปกิน แต่วันนี้ผมเก็บมันไว้ในปริมาณที่เยอะกว่าปกติเลยรู้สึกเกรงใจอยู่หน่อยๆ

            "เอาพะแนงไปด้วยมั้ยลูก"

            "ไม่เป็นไรครับ แค่นี้ก็เยอะแล้ว" ตอบปฏิเสธไปแบบไม่ต้องคิดก่อนยกมือไหว้ล่ำลาแล้วเดินจากมา

            ปกติก็เห็นซื้อกินแค่ถุงเดียว แบ่งมาแค่นี้ก็คงจะพอแล้วมั้ง

            จัดการเก็บกระเป๋าสัมภาระทุกอย่างเรียบร้อยผมก็เดินออกจากตลาดไปรอข้ามถนน มันเป็นทางที่อยู่คนละฝั่งกับทางกลับหอ แต่เพราะข้อความที่เพิ่งได้รับก่อนเลิกงานทำให้วันนี้ผมมีจุดมุ่งหมายใหม่ต้องไปก่อนจะกลับไปล้มตัวนอนที่ห้องได้อย่างสบายใจ

            PuuRimm : กินข้าวยัง

            Pinetree : ยังเลย ไม่มีเวลาลงไป เดี๋ยวต้มมาม่ากิน

            มันก็เป็นซะแบบนี้

            ยืนรอไม่นานนักพอมีจังหวะรถว่างกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ริมฟุตบาทก็พากันเดินข้ามทางม้าลาย ผมเดินรั้งท้ายถือถุงใส่กับข้าวสำหรับสองคนมุ่งตรงไปตามทางที่ผู้คนเดินขวักไขว่ เห็นคอนโดสูงสิบห้าชั้นอยู่ในสายตาไม่ไกลเลยหยิบมือถือขึ้นมาพิมพ์ข้อความบอกคนที่กำลังไปหาสักหน่อย

            PuuRimm : กำลังไปที่คอนโด ลงมาหาหน่อย

            Pinetree : ตอนนี้เหรอ

            PuuRimm : ใช่

            Pinetree : เหยยยยยยยย

            ตอบกลับมาแค่นี้แล้วอีกฝั่งก็เงียบไป ผมพอจะนึกหน้าต้นสนตอนพิมพ์เสียงอุทานยาวๆ นั่นออก คงจะทำตาโตพร้อมกับร้องออกเสียงตามไปด้วย จากนั้นก็ออกจากห้องด้วยความเร่งรีบ

            หวังว่าตอนผมไปถึงหน้าคอนโดแล้วคงจะเห็นเขายืนต้อนรับอยู่นะ

            ผ่านป้อมยามมาได้ผมก็เห็นต้นสนเดินเร็วๆ ออกมาจากตึก สภาพผมชี้โด่เด่ สวมเสื้อสีขาวตัวย้วยกับกางเกงขาสั้นที่ชอบใส่ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดเป็นประจำ แล้วท่าทางรีบร้อนแบบนี้คงไม่ได้วิ่งลงบันไดมาอีกใช่มั้ย

            "เอากับข้าวมาฝาก" ผมยื่นถุงไปตรงหน้าคนที่เพิ่งเดินเข้ามาหา แต่ลืมไปเลยว่าเอาของทุกอย่างใส่รวมไว้ในถุงเดียวกันจนต้องหดมือกลับมาก่อน

            "มีเดริเวอรี่ด้วย" ทำหน้าตื่นเต้นถามแล้วก็หัวเราะคิกคัก

            "แต่เป็นของเหลือก้นหม้อนะ มีพะโล้ ต้มยำขาหมู แล้วก็ผัดหอยลาย จะกินไร"

            "ต้องเลือกเหรอ"

            "เออดิ จะกินหมดเลยเหรอ"

            "แล้วถ้าอยากกินทั้งสามอย่างอ่ะ"

            "ให้สองอย่าง สุดๆ ละ"

            ต้นสนทำหน้าคิดหนัก มองถุงแกงสลับกับหน้าผม ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆ เจ้าตัวถึงอยากจะกินกับข้าวทั้งสามอย่างขึ้นมา จนเมื่อรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าหมองๆ นั่นแหละคำตอบก็ถูกเฉลย

            "'งั้นปลื้มก็มากินด้วยกันดิ"

 

            เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ขึ้นมาเยือนห้อง 403 ห้องที่เต็มไปด้วยโพสอิทและความรกแบบมหากาฬ แต่วันนี้ทุกอย่างพัฒนาขึ้น ของในห้องเป็นระเบียบเรียบร้อย โพสอิทที่แปะไว้ตามโต๊ะน้อยลงยกเว้นในครัวกับหน้าตู้เย็น ให้บรรยากาศเหมือนที่อยู่อาศัยของคนปกติขึ้นมาอีกนิดหน่อย

            ผมเดินเอากับข้าวไปวางบนเคาน์เตอร์ในครัวหลังจากใช้สายตาสำรวจห้องพอเป็นพิธี ส่วนเจ้าของห้องยังวุ่นวายกับโต๊ะทำงาน บอกว่าขอเวลาเคลียร์ส่วนที่ทำค้างไว้ให้เสร็จก่อน ผมเลยจัดการหยิบจานชามออกมาจากตู้ เทข้าวกับแกงใส่ลงไปแล้ววางทิ้งไว้ในครัวก่อนเดินไปหาต้นสนที่โต๊ะทำงาน

            "สเก็ตซ์งานค้างไว้น่ะ ใกล้เสร็จแล้ว" พูดไปมือก็ยังขีดๆ เขียนๆ ไม่หยุด

            ผมมองกระดาษอีกสองแผ่นที่วางอยู่ข้างๆ สลับกับอีกแผ่นที่ต้นสนกำลังวาดอยู่ มันเป็นรูปร่างคร่าวๆ ของคนสองคนในท่าทางเดียวกัน ต่างกันที่ฉากและการจัดวางตำแหน่ง รอบนี้รับงานอะไรมาทำอีก

            "คราวนี้วาดอะไร"

            "ปกนิยาย"

            เสียงดินสอลากบนกระดาษดังครืดๆ อย่างต่อเนื่อง มันให้ความรู้สึกพลิ้วไหวและเป็นอิสระ อย่างกับสามารถทำทุกอย่างได้ดั่งใจ จะวาดมันออกมาให้เป็นยังไงก็ได้ตามต้องการ เป็นลายเส้นที่น่าหลงใหลจนมองตามปลายดินสอสีดำนั่นไปอย่างเผลอตัว

            "ผู้ชายทั้งสองคนเลยเหรอ" รูปที่วาดดูเป็นรูปเป็นร่างเมื่องานทั้งสามแผ่นใกล้เสร็จ ทรงผมและรูปร่างของตัวละครมันสื่อออกมาแบบนั้น ทั้งคู่มองตากัน คนหนึ่งยิ้มอีกคนหน้าบึ้ง จะว่าเป็นนิยายแฟนตาซีก็ไม่ใช่ อารมณ์มันเหมือนนิยายรักมากกว่า

            ต้นสนหยุดมือที่กำลังขีดๆ เขียนๆ แล้วหันมาหาผม ริมฝีปากสีซีดที่อยากจะหยิบลิปขึ้นมาทาให้ยกยิ้มบางๆ ก่อนบอกสิ่งที่ผมข้องใจออกมา

            "นิยายวายนะ"

            คิ้วผมยกขึ้นอัตโนมัติ ต้นสนยังยิ้มอยู่อย่างนั้นก่อนจะเลิกสนใจผมแล้วกลับไปวาดรูปต่อ

            "นิยายวาย"

            "ชายรักชายน่ะ"

            ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าคำว่าวายมันหมายความว่ายังไงซะทีเดียว แต่ต้นสนก็ช่วยขยายความให้อีกที

            รับหมดทุกงานอย่างที่ได้ยินมาจริงๆ สินะ

            "รับวาดเนี่ย เข้าใจความรักแบบนี้เหรอ" ผมแกล้งถาม คนวาดก็ยังก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป หากแต่ริมฝีปากอมยิ้มและตอบคำถามอย่างอารมณ์ดี

            "ความรักมันก็คือความรักนั่นแหละ จะไปแบ่งแยกมันทำไม"

            "ตอบได้ดี"

            ต้นสนหัวเราะเบาๆ แล้วหันมายักคิ้วให้ผม ก็จริงอย่างที่ว่า ความรักก็คือความรัก จะอยู่ในรูปแบบไหนก็คือความรักอยู่ดี

            "ใกล้เสร็จยัง"

            "ใกล้แล้วๆ เดี๋ยวขอถ่ายรูปส่งให้ลูกค้าดูแป๊บ" ดินสอถูกวางลงบนโต๊ะหลังจากวาดรูปแผ่นที่สามเสร็จเรียบร้อย ต้นสนหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปกระดาษที่สเก็ตซ์ภาพไว้ทั้งสามแผ่น แล้วก็วุ่นวายอยู่กับมือถืออยู่อย่างนั้นนานสองนาน

            ระหว่างรอเพื่อนร่วมมื้ออาหารจัดการงานให้เสร็จผมเลยใช้เวลาไปกับการสำรวจโต๊ะทำงานของพ่อศิลปินผู้มืดมนไปพลางๆ ข้าวของอุปกรณ์เก็บไว้เป็นระเบียบกว่าครั้งก่อน โพสอิทที่แปะไว้ก็เหลืออยู่แค่ไม่กี่งาน แสดงว่าเคลียร์งานใกล้เสร็จหมดแล้วสินะ

            พอคิดว่าต้นสนน่าจะว่างจากงานในเวลาอันใกล้นี้ในหัวผมก็ผุดความคิดบางอย่างขึ้นมา ถ้าไม่มีงานแล้วลองจัดคอร์สพักผ่อนให้สักคอร์สดีมั้ยนะ อย่างเช่นโปรแกรมนอนยาวๆ สักวันสองวัน หรือดูหนังอยู่ที่ห้องติดต่อกันให้ครบสิบเรื่อง แต่คิดไปแล้วคนบ้างานอย่างต้นสนคงไม่ยอมเข้าคอร์สพักผ่อนง่ายๆ ซะล่ะมั้ง

            ว่าแต่ว่าไอ้กระดาษที่ซุกอยู่ตรงซอกระหว่างชั้นใส่ของมันคืออะไร ไม่ใช่ว่าวาดงานอะไรไว้แล้วลืมหรอกนะ

            เห็นของน่าสงสัยผมเลยเอื้อมมือไปดึงกระดาษที่ว่านั้นออกมาจากซอก ดึงรอยยับให้คลี่ออกก็เผยรูปที่ถูกวาดไว้ออกมาให้เห็น

            จะเรียกว่าเซอร์ไพรส์ก็น่าจะใช่ ไม่ยักรู้ว่าแนวนี้ก็วาดด้วย

            "เสร็จแล้วกินข้าวกัน" ต้นสนหมุนเก้าอี้กลับมาหาเอ่ยชวนเสียงร่าเริง แต่พอเห็นว่าผมถืออะไรอยู่ก็จ้องตาไม่กระพริบ

            จะว่าตกใจที่ผมเห็นรูปวาดนี้ก็ไม่ใช่ เหมือนจะอึ้งและงงซะมากกว่า สีหน้าท่าทางแบบนี้มันน่าแกล้งยังไงก็ไม่รู้

            "วาดโคตรได้อารมณ์มากเลย ทำบ่อยอ่ะดิ" รูปที่ผมบังเอิญไปค้นเจอเข้าเป็นรูปคนจูบกัน มันก็ไม่แปลกนักหรอกถ้าคนสองคนนั้นไม่ใช่ผู้ชาย แถมจูบกันดูดดื่มลงรายละเอียดอย่างดี ไม่ใช่แค่การเอาริมฝีปากแตะกันธรรมดา สีหน้า สายตา รวมถึงลิ้นและน้ำลาย มันถูกวาดเพื่อสื่ออารมณ์ลงไปด้วย

            "ไม่หรอก ไม่มีคนให้ทำด้วย" ต้นสนตอบแบบทีเล่นทีจริง ถ้าเป็นอย่างที่ว่าคงตีเป็นความหมายอื่นไม่ได้นอกจากแต่ทำงานจนไม่มีเวลาหาแฟน

            "แค่จูบเอง"

            "พูดเหมือนเชี่ยวชาญ"

            คราวนี้เป็นทีผมหัวเราะบ้าง แม้ไม่ได้เชี่ยวชาญแต่ก็ใช่ว่าจะอ่อนประสบการณ์เรื่องพวกนี้ แค่จูบ ถ้าเคยมีแฟนก็ต้องผ่านมาบ้างล่ะ

            "ก็มีบ้าง"

            "งั้นสอนบ้างดิ จะได้เข้าใจความรู้สึกแล้ววาดออกมาได้ดีกว่านี้"

            คำขอด้วยหน้าตาซื่อๆ ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเล่นเหมือนหลุมดำขนาดใหญ่ดูดเอาเสียงหัวเราะผมหายไปหมด แต่ไม่ปล่อยให้สมองของคนชอบคิดไปเองอย่างผมได้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ต้นสนก็หัวเราะออกมา

            "ล้อเล่น"

            ผมยิ้มแหยอย่างไปไม่เป็น อำเล่นกันได้หนักหน่วงมาก ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าเรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริงผมจะตอบกลับไปว่ายังไง

            จะให้สอนดีพคิสเหรอ...บ้าไปแล้ว

            "แล้วไปหาเจอมาจากไหนเนี่ย" ต้นสนหยิบรูปจากมือผมไป มองมันแล้วตั้งคำถาม

            "เห็นมันยัดๆ อยู่ตรงนั้นเลยหยิบมาดู แล้วก็...ผ่าง!"

            "มือไม่นิ่งเลยนะเรา"

            "ก็ใครจะไปรู้ว่าชอบวาด 18+"

            "ยังไม่ถึงเรทนั้นสักหน่อย"

            ผมหัวเราะเบาๆ มองต้นสนทำหน้ามุ่ยเก็บรูปวาดที่ว่าไว้ใต้สมุดเก็ตซ์ภาพที่วางอยู่บนโต๊ะ ในใจเริ่มสงสัยขึ้นมาว่าจะมีรูปแนวนี้ที่เจ้าตัววาดไว้อีกหรือเปล่า และถ้าวาดเก็บเอาไว้ ผมในฐานะที่เป็นแฟนคลับผู้คลั่งไคล้ก็อยากจะเห็นมันอีก

            "ไปกินข้าวเหอะ" ต้นสนลุกจากเก้าอี้กวักมือเรียกส่งๆ ก่อนเดินนำไปในครัว เป็นอันปิดประเด็นเรื่องรูปวาดนั่น

            ความจริงผมเกือบจะลืมไปแล้วว่ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไร มัวแต่คุยเล่นจนพาออกทะเลกันไปเรื่อย ป่านนี้กับข้าวที่เทใส่ถ้วยไว้คงเย็นชืดไปหมดแล้ว เอาเข้าไมโครเวฟอุ่นให้ร้อนอีกรอบก่อนกินน่าจะดีกว่า

 

            โต๊ะหน้าทีวีถูกจับจองเป็นพื้นที่ในการจัดการอาหารมื้อดึกชั่วคราว ต้นสนเล่าว่าปกติแล้วมักจะกินข้าวที่โต๊ะทำงานมากกว่า แต่ถ้าอยากสบายหน่อยก็นั่งกินตรงนี้ เคาน์เตอร์เล็กๆ สำหรับกินข้าวในครัวเลยถูกทิ้งร้างไม่ได้ใช่งานมานาน จนบางทีถูกใช้เป็นที่วางของแทน

            ควันสีขาวจางๆ ลอยเอื่อยขึ้นมาจากถ้วยกับข้าวสามอย่างที่ผมจับใส่ไมโครเวฟเพื่ออุ่นให้มันร้อน จะเรียกว่าเป็นกับข้าวมื้อใหญ่ที่นานๆ ทีจะเจอก็ว่าได้ เพราะปกติจะมีกับข้าวแค่อย่างเดียว หรือข้าวราดแกงสองสามอย่างราคาเกือบครึ่งร้อยที่กินตามโรงอาหาร เว้นแต่ตอนกลับบ้านต่างจังหวัดอาหารแต่ละมื้อจะฟูลออฟชั่นแบบกินทีเดียวอิ่มไปสามมื้อ

            "ปลื้มได้กับข้าวกลับมากินแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ" ตักไข่พะโล้ใส่จานหนึ่งลูกพร้อมกับวิดน้ำไปอีกสามสี่ช้อนต้นสนก็เริ่มชวนคุย

            "ถ้าขายไม่หมดนะ ป้านกแกจะตักแบ่งให้เอากลับไปกิน จะทิ้งก็เสียดาย"

            "ดีว่ะ"

            "เป็นลูกจ้างเค้าน่ะนะ"

            "ก็ยังดีไง ทำงานได้ค่าจ้างแถมยังได้กับข้าวมากินอีก"

            ผมพยักหน้ารับพลางตักข้าวเข้าปาก มันก็ดีจริงๆ นั่นแหละ แต่มันจะดีกว่านี้ถ้ามีโอกาสเลือกงานและได้ค่าจ้างเยอะกว่านี้อีกสักหน่อย ซึ่งความสามารถผมยังไม่ถึงขั้นนั้น เป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ด้านใดด้านหนึ่งหรือทำอะไรได้ดีเป็นพิเศษ ให้พูดกันตามตรงคนที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์และต้นทุนอย่างต้นสนน่ะดีกว่าเยอะ

            "เออใช่ งี้ต่อไปเราก็จะได้กินข้าวฟรีทุกวันเลยดิ" อยู่ๆ ต้นสนก็ยกช้อนขึ้นมาจนผมสะดุ้งตาม แล้วไอ้ที่พูดมาน่ะมันหมายความว่าไง

            "ทำไมถึงได้กินข้าวฟรี"

            "ก็รอกินของเหลือที่ปลื้มได้มาไง"

            "อุดหนุนป้านกหน่อยเถอะ ไม่โผล่หน้าไปหลายวันป้าแกก็ถามถึงนะ" ผมล่ะเชื่อความคิดเขาเลย นี่กะจะกินของฟรีทั้งที่เจ้าของร้านถามหาเกือบทุกวันที่ไม่โผล่หน้าไปให้เห็น ยิ่งป้านกรู้ว่าผมเรียนที่เดียวกันยิ่งนึกว่าผมสนิทกับต้นสนซะอีก ซึ่งจริงๆ ตอนนี้จะเรียกว่าเริ่มสนิทก็คงได้ล่ะมั้ง

            "ล้อเล่น ป้านกบ่นถึงจริงดิ ฝากบอกด้วยว่าเดี๋ยวแวะไปซื้อ แต่ช่วงนี้ยุ่งมากๆ ต้องเตรียมอ่านหนังสือสอบด้วย"

            "บอกไปแล้ว" คงไม่มีคำตอบไหนที่ผมจะบอกป้านกได้นอกจากว่า 'ต้นสนงานยุ่งมากครับป้า' อีกแล้ว

            "แล้วถ้าเราไม่ว่างไปซื้อข้าวอีกทำไงอ่ะ มีบริการเดริเวอรี่ส่งแบบวันนี้อีกมั้ย"

            "อะไร ขี้เกียจเหรอ"

            "ถามเผื่อเฉยๆ"

            ผมเหล่มองอย่างจับผิด เจ้าตัวเลยทำหน้าตาลอกแลกก่อนจะหลุดยิ้มออกมา รู้หรอกว่าที่พูดคงล้อเล่น แต่ถ้าจะให้ผมเอาข้าวมาส่งหลังเลิกงานจริงๆ มันก็...ไม่มีปัญหา

            "จะมาส่งก็ได้นะ" เกริ่นลอยๆ ขึ้นมาจนคนฟังทำหน้าตื่นเต้นตามไปด้วย

            "จริงดิ"

            "แต่เฉพาะวันที่ไม่มีเวลาจริงๆ แล้วงานน่ะก็รับให้มันน้อยลงกว่านี้หน่อยก็ได้ โหมงานหนักก็ใช่ว่าจะดี เดี๋ยวตายก่อนได้ใช้เงิน"

            "บ่น"

            "ก็บ่นไง"

            ต้นสนย่นจมูกใส่ผมแล้วไม่พูดอะไรอีก ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวจนหมดจานอย่างรวดเร็ว เชื่อแล้วว่าหิวแต่ไม่มีเวลาไปหาอะไรกินจริงๆ หรือจะบอกว่าหิวแต่ขี้เกียจหาอะไรกินดี

            "เคี้ยวบ้างมั้ยเนี่ย" มองเจ้าของห้องกระดกน้ำกินไปหลายอึกก็ชักสงสัย กินเร็วขนาดนี้เคี้ยวข้าวไม่ละเอียดแน่นอน

            "เคี้ยวดิ"

            "กี่ครั้ง"

            "ใครจะไปนับ"

            "เค้าให้เคี้ยวสามสิบครั้งต่อหนึ่งคำนะ"

            "เคี้ยวอะไรเยอะแยะ เมื่อย"

            ได้เห็นคนที่ชอบแกล้งล้อเล่นทำหน้ายุ่งใส่แล้วรู้สึกชอบใจ ครั้งนี้ผมก็ล้อเล่นเหมือนกัน ถึงผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำให้เคี้ยวสามสิบครั้งก่อนกลืนก็เถอะ แต่ผมยังไม่เคยทำตามสักที อย่างที่ต้นสนว่า เคี้ยวนานๆ มันเมื่อย

            ใช้เวลาไม่นานนักกับข้าวทั้งสามอย่างก็ถูกจัดการจนเกลี้ยง ต้นสนยกจานไปใส่ในอ่างล้างจานแล้วทำท่าจะทิ้งไว้อย่างนั้น แต่โดนผมสกัดดาวรุ่งสั่งให้ล้างเก็บให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่อย่างนั้นมันคงถูกทิ้งไว้จนถึงพรุ่งนี้แน่ๆ สังเกตได้จากแก้วที่มีคราบสีน้ำตาลแห้งเกรอะกรังติดอยู่ จะแช่น้ำไว้สักหน่อยก็ไม่ได้

            งานนี้ผมรับผิดชอบล้างน้ำยา ส่วนต้นสนล้างน้ำเปล่า เห็นผิวมือบางๆ กับรอยแผลที่เริ่มจางไปมากแล้วตามแขนมันให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพวกขี้แพ้ บางทีอาจจะอ่อนแอจนแพ้น้ำยาล้างจานก็ได้ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ผมแค่คิดเองเออเองคนเดียวเท่านั้น

            "ปกติกี่วันล้างจานที"

            "ถ้าไม่ลืมก็ล้างอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะลืม" ตอบแล้วก็หัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว

            "ขยันวาดรูปอย่างเดียวใช่มั้ย ที่เหลือขี้เกียจ สกปรกซกมกด้วย"

            "นี่ก็ใส่ร้ายกันเกินไป"

            "ไม่มีแม่บ้านเหรอ"

            "ปลื้มสนใจมาเป็นให้มั้ยล่ะ"

            ผมเหล่มองแล้วขมวดคิ้วใส่ คนหยอกก็เอาแต่ยิ้ม แต่ผมน่ะมีแผนว่าจะเป็นพ่อบ้านที่ดีให้เฉพาะศรีภรรยาในอนาคตเท่านั้น คนที่ไม่ดูแลตัวเองอย่างหมอนี่ก็นอนฝันไปก่อนแล้วกัน

            ว่าแต่วันนี้นายมืดมนจะยิ้มสดใสบ่อยเกินไปหน่อยแล้ว

            "ค่าจ้างแพงนะ"

            "ถ้าดูแลดีขนาดนี้ก็ยอมจ่ายอยู่หรอก" เสียงพึมพำเบาๆ แทรกมากับเสียงน้ำจากก๊อกจนแทบไม่ได้ยิน ต้นสนไม่ได้มองหน้าผม ยังคงมุ่งมั่นกับการล้างฟองที่ติดอยู่บนจานให้สะอาดเอี่ยมแล้ววางมันลงบนชั้น

            ถ้าประโยคนั้นแค่บ่นกับตัวเอง เอาเป็นว่าผมจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน

            กินข้าวแล้ว ล้างจานเสร็จแล้วก็หมดธุระที่ผมจะอยู่ต่อ ต้นสนเดินลงมาส่งผมที่หน้าคอนโด บอกลากันพอเป็นพิธีก่อนหันหลังให้กันแล้วมุ่งหน้าไปตามทางของตัวเอง

            เดินห่างออกมาจากคอนโดได้ไม่ทันไรมือถือราคาถูกที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นเตือนเป็นจังหวะสั้นๆ ผมหยิบมันขึ้นมาดู เห็นสองข้อความจากคนที่เพิ่งบอกลากันไม่ถึงห้านาทีส่งมาแล้วริมฝีปากมันก็โค้งขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

            Pinetree : เมื่อกี้ลืมบอก

            Pinetree : ขอบคุณนะ

            ผมเลือกที่จะไม่กดเข้าไปอ่านเพื่อให้คนที่ส่งมาไม่รู้ว่าผมรับรู้แล้ว เลยกดล็อคหน้าจอแล้วยัดมันใส่กระเป๋ากางเกงไว้ตามเดิม มองสภาพแวดล้อมรอบตัวยามสามทุ่มเศษที่ยังคึกคักไปด้วยผู้คน

            หนึ่งชั่วโมงกับอีกนิดหน่อย วันนี้แบ่งเวลาส่วนตัวไปให้คนอื่นเยอะเหมือนกันแฮะ

 

TBC.

 

พระเอกเราสายพ่อบ้านแหละ ฮ่าๆๆๆ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 9 ★ 01/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-10-2017 20:21:46
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 9 ★ 01/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 01-10-2017 20:29:57
ปลื้มดูแลดี แต่นี่ก็ยังคิดว่าต้นสนเป็นพระเอกอยู่ดี 55555
       "ไม่มีแม่บ้านเหรอ"
   "ปลื้มสนใจมาเป็นให้มั้ยล่ะ"
ยิ่งทำให้คิดว่าปลื้มเป็นนายเอกไปอีก 55555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 9 ★ 01/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-10-2017 20:59:01
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 9 ★ 01/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 01-10-2017 22:18:35
อยากให้เขาอยู่ด้วยกัน ใช้เวลาด้วยกันทุกวันเลยค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 9 ★ 01/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Raccool ที่ 02-10-2017 00:44:59
น่ารักกก
สารภาพว่าตอนแรกคิดว่าปลื้มเป็นนายเอกค่ะ5555555
ดีใจควันขมุกขมัวค่อยๆ จางลงแล้ว
ดูแลสนดีๆ นะปลื้มมมมมม  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 9 ★ 01/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 02-10-2017 23:15:13
น่ารักอ้ะ กรี๊ดกร๊าด พ่อบ้านมาก ๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 07-10-2017 18:41:50

ตอนที่ 10


            'ยาทาลดรอยแผลเป็น'

            ผมพิมพ์ประโยคนี้ลงไปในช่องค้นหาของเว็บสารพัดประโยชน์อย่างกูเกิ้ล รอโหลดไม่นานนักข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ผมต้องการก็ปรากฏขึ้นมา กดเข้าไปดูทีละเว็บ กวาดสายตาอ่านคร่าวๆ แล้วจดชื่อยาที่น่าสนใจไว้ด้านหลังสมุดเลคเชอร์

            สิ่งหนึ่งที่ทำผมรู้สึกขัดหูขัดตาที่สุดเวลามองต้นสนคือรอยหมาแมวข่วนทั้งหลาย หมอนั่นเป็นคนผิวขาว ผิวพรรณดีแบบลูกคุณหนูมีเงิน ไม่สมควรมีรอยพวกนั้นอยู่บนตัว แม้ไม่ใช่รอยแผลลึกจนเป็นคีลอยด์แต่มันก็เป็นสิ่งรบกวนสายตาอยู่ดี ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าถ้าเอายาพวกนี้ไปทารอยพวกนั้นมันจะหายไปหรือเปล่าเหมือนกัน

            "ทำอะไรวะ ยาทาแผลเป็น" ไอ้เจนชะโงกหน้ามาดูสิ่งที่ผมกำลังทำอยู่อย่างถือวิสาสะ มันวางแก้วน้ำฝรั่ง ลูกชิ้นทอดพร้อมตังค์ทอนที่ผมฝากซื้อไว้บนโต๊ะ

            "มึงมีแผลเป็นด้วยเหรอ" ไอ้ว่านถามบ้าง มันนั่งลงฝั่งตรงข้ามผม ชะเง้อชะแง้มองทำตัวอยากรู้อยากเห็น

            เมื่อเห็นว่ามีแววจะโดนก่อกวนผมเลยกดออกจากเว็บแล้วล็อกหน้าจอ พลิกสมุดกลับมาด้านหน้าเปิดเนื้อหารายวิชาจดเลคเชอร์เอาไว้

            "หาเป็นความรู้"

            "เอาวิชาพจนีให้รอดก่อนเถอะ"

            "เรียกเป็นเพื่อนเลยนะมึง สนิทเหรอ"

            "สนิทก็ดีดิ เผื่อจะได้คะแนนเพื่อนรักบ้าง"

            "กูว่าน่าจะได้น้ำตามากกว่า แดกไข่ แด่เพื่อนรักศูนย์คะแนน"

            สองเพื่อนรักหัวเราะคิกคักเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ชงเอง เล่นเอง ตบเอง ผมเลยทำหน้าที่เป็นคนดูที่ดีหัวเราะเหอะๆ ตาม

            ตกวิชาอาจารย์พจนีนี้ไม่ตลกเลยนะเว้ย

            ช่วงนี้เป็นฤดูการสอบกลางภาค มีเวลาว่างพวกผมเลยชวนกันมานั่งอ่านหนังสือกันใต้ตึก อ่านบ้างเล่นบ้าง หิวก็ลุกไปหาอะไรกิน เครียดเป็นบางเวลา ดูเหมือนไม่จริงจังแต่ความจริงพวกผมไม่ใช่คนที่ความจำแย่เท่าไร หลังจากใช้สมองมาอย่างหนักเลยชอบพักกันยาวๆ นี่ก็ผ่านมาเกือบยี่สิบนาทีได้แล้ว

            "เออ แล้วพวกมึงจะไปไหนกันต่อ" ซัดของว่างที่ซื้อมาจนหมดเกลี้ยงไอ้เจนก็ถามหาจุดหมายต่อไป มันต้องวางแผนจะไปเตร็ดเตร่ที่ไหนต่อแน่ๆ

            "กูกลับหอ" ผมออกตัวไว้ก่อน ช่วงนี้งดรับงาน รายได้ขาดหาย ไม่มีโอกาสไปฟุ่มเฟือยที่ไหนทั้งนั้น

            "ก็คงกลับคอนโดมั้ง พี่ชายกูเข้าเวรดึก อ่านหนังสือได้ชิลๆ ไม่มีใครกวน แล้วมึงจะไปไหน" ตอบคำถามจบไอ้ว่านก็โยนคำถามให้ไอ้เจนที่แสดงออกทางสีหน้าชัดเจนว่าเสียดาย

            "ร้านที่เพิ่งเปิดข้างมออ่ะมึง เค้าว่าบรรยากาศดี ที่อ่านหนังสือเพียบ ของกินอร่อยด้วย"

            "คนเยอะ"

            "ก็เด็กมอเราไปอ่านหนังสือทั้งนั้น"

            "เปลืองตังค์"

            "น้ำแก้วละไม่กี่บาท"

            "ครึ่งร้อยนี้ก็แพงนะมึง"

            "'งั้นมึงก็เน่าตายอยู่ที่หอไป" พอผมออกความเห็นบ้างกลับโดนตอกกลับมาซะหน้าหงาย มึงนี่สองมาตรฐานมากไอ้เจน

            "แล้วมึงจะไปมั้ยว่าน"

            "เออๆ เดี๋ยวดูก่อน" ไอ้ว่านตอบรับแบบขอไปที แต่ผมว่ายังไงมันคงยอมไปกับไอ้เจนนั่นแหละ ดีไม่ดีไม่ยอมกลับบ้านกลับช่อง ได้ข่าวว่าร้านนี้เปิด 24 ชั่วโมงด้วย พวกมันคงนั่งกันยาวๆ

            จากที่ตั้งใจว่ากินขนมเสร็จจะอ่านหนังสือต่อกันอีกสักหน่อย ผมกลับโดนเพื่อนรักทั้งสองคนทิ้งเพราะไอ้เจนตื้ออยากจะไปร้านเปิดใหม่ข้างมอนั้นเลย คนงบน้อยเลยต้องย่ำต๊อกกลับบ้านคนเดียวอย่างช่วยไม่ได้

            เดินออกจากมอข้ามฝั่งมากำลังจะเลี้ยวเข้าซอยสายตาผมก็เอาแต่โฟกัสที่ร้านยาจนต้องหมุนตัวเดินกลับทางเดิม เปิดประตูเข้าไปในร้านได้ยาที่ต้องการมาในราคาไม่กี่สิบบาทก็เก็บใส่กระเป๋าแล้วออกจากร้านมา

            แค่คิดว่าอยากซื้อยาลบรอยแผลเป็นผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงก็ได้มันมาอยู่ในมือเสียแล้ว

            เป็นความคิดชั่ววูบที่มีอิทธิพลต่อการกระทำจริงๆ

 

            สัปดาห์แห่งการสอบผ่านไปอย่างไม่ยากเย็นเท่าไรนัก แถมพลังสมองและพลังงานที่โดนข้อสอบสูบไปเมื่อช่วงบ่ายยังถูกแทนที่ด้วยเครื่องดื่มมึนเมาที่วางเกลื่อนอยู่เต็มห้อง เป็นการฉลองสอบเสร็จจากความคิดของไอ้เจนผู้ชอบสังสรรค์และไม่ชอบกลับบ้านตัวเอง

            คอนโดไอ้ว่านถูกใช้เป็นสถานที่ในการดื่มกิน ความจริงไอ้เจนมันชวนไปนั่งร้าน แต่เพราะผมขี้เกียจแบกพวกมันกลับสุดท้ายเลยมาจบที่นี่ แถมยังได้สปอนเซอร์ใหญ่เป็นพี่เตย พี่ชายไอ้ว่านที่เข้ามาร่วมวงสังสรรค์ด้วย

            ในกลุ่มพวกผมมีอยู่คนหนึ่งที่คออ่อนมากซึ่งก็คือไอ้ว่าน มันกินเบียร์ได้ไม่เกินสองกระป๋องตัวก็แดงอย่างกับลูกหนูแรกคลอด ไอ้เจนผู้ทำหน้าที่บาร์เทนเดอร์ประจำกลุ่มเลยจัดการชงค็อกเทลแบบอ่อนๆ ให้

            "มึงลองนี่ สตรอเบอร์รี่สูตรใหม่ พรหมจารีสีเลือด" ไอ้เจนยื่นแก้วที่เพิ่งชงเสร็จให้ไอ้ว่านพร้อมกับชื่อที่มันขยันตั้งให้ใหม่ทุกครั้ง จนคนกินยื่นมือไปรับมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ

            "เหี้ย! น่ากลัว"

            เออ ผมก็ว่าน่ากลัว ตั้งชื่ออะไรของมัน อีกอย่างส่วนผสมก็เหมือนเดิม เหล้า วอสก้า โซดา น้ำสตรอเบอรี่ เกลือ น้ำแข็ง จบ

            "เออน่า ค่อยๆ จิบนะมึง เมื่อกี้มือหนักไปหน่อยใส่ไปเต็มฝาเลย เดี๋ยวจะน็อคก่อน"

            "ก็ว่า โคตรเข้ม" ไอ้ว่านจิบแล้วทำหน้ายู่ ความจริงนอกจากมันจะคออ่อนแล้วยังเมาแล้วหลับอีกต่างหาก เพราะฉะนั้นพวกผมต้องคอยดูไว้ไม่ให้มันกินเยอะ เดี๋ยวจะหมดสนุกซะก่อน

            "เออปลื้ม ช่วงนี้ที่บ้านเป็นไงบ้างวะ โอเคยัง" แก้วเครื่องดื่มของผมถูกยื่นมาให้พร้อมคำถาม พักหลังนี้พวกเราไม่ค่อยได้อัพเดตเรื่องราวให้ฟังกันเท่าไรเพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องสอบ

            "ดีขึ้นเยอะแล้วมึง งานพี่สาวเริ่มเข้าที่ ที่บ้านหันมาปลูกพริกเริ่มมีรายได้ขึ้นมาหน่อย อีกซักหน่อยคงส่งเงินมาให้ได้เหมือนเดิม"

            "แต่ตอนนี้มึงก็รวยแล้วนี่ ทำงานแม่งทุกวัน"

            "รวยห่าไรล่ะ ค่าจ้างสองร้อย"

            "เออ สองร้อยใช้วันเดียวก็หมดละ" ไอ้ว่านเออออเห็นด้วย แต่โดนพี่เตยพูดสกัดดาวรุ่งขึ้นมา

            "นั่นมันมึง ใช้เงินอย่างกับหาได้เอง เดี๋ยวกูจะให้ป๊าตัดค่าขนม"

            "โหเฮีย เห็นใจน้องบ้างเหอะ ชีวิตวัยรุ่นค่าใช้จ่ายมันเยอะ"

            ด่ามาเถียงกลับไม่โกง แล้วสองพี่น้องเจ้าของห้องก็ยังคงเถียงกันเรื่องการใช้เงินต่อ ผมเลยได้แต่หัวเราะเหอะๆ ยกแก้วขึ้นจิบแก้เก้อแล้วก็ต้องยู่หน้าตามไปว่านอีกคน

            ว่าแต่วันนี้ไอ้เจนมันมือหนักชะมัด

            กินไปคุยไปเผลอแป๊บเดียวก็ห้าทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ของที่ซื้อตุนไว้ทั้งเหล้าทั้งกับแกล้มหมดไม่เหลือหลอ ไม่รู้เพราะว่าซื้อมาน้อยหรือกินกันหนัก แต่ที่แน่ๆ ต้องมีผู้โชคดีไปซื้อของมาเพิ่ม

            "ไอ้ปลื้ม! มึงไป!" แล้วผู้โชคดีที่ว่านั้นก็ตกมาที่ผม

            หลังจากตั้งวงกันมาตั้งแต่ก่อนหนึ่งทุ่มหัวผมก็เริ่มวิงๆ มึนได้ที่ ไอ้ว่านนั้นพาตัวเองไปทิ้งไว้บนเตียงเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ส่วนไอ้เจนกับพี่เตยยังดวลกันไม่หยุด แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์จนนิสัยเริ่มเปลี่ยน จากที่ขี้โวยวายอยู่แล้วตอนที่มันสั่งให้ผมไปซื้อของมาเพิ่มนี่เสียงตะคอกดังจนแทบจะแดกหัวกันได้เลย

            "พอแล้วมั้ง"

            "ไอ้เหี้ยมึงแดกฟรีนะ!! บริการหน่อย! อย่าให้กูต้องโวยวาย!!"

            ตอนนี้มึงก็โวยวายอยู่แล้วมั้ย

            "พี่เตยจะกินต่ออีกเหรอ"

            "เออๆ ไปซื้อมา" สั่งแล้วพี่เตยก็โยนเงินมาให้ผม พี่แม่งไม่นับเลยว่าให้มาเท่าไร เปิดกระเป๋าตังค์ได้ก็ควักแบงค์ที่มีโยนให้หมด ทั้งสีเทา สีม่วง สีแดง นี่ถ้าไม่รู้จักกันแล้วพี่มันเมาไม่รู้เรื่องแบบนี้ผมเชิดเงินหนีไปแล้ว

            "พันเดียวพอพี่" แต่ด้วยความเป็นคนดีจากจิตใต้สำนึกเลยหยิบมาแค่แบงค์พันใบเดียว ส่วนที่เหลือโยนคืนพี่มันไป

            ผมยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วเซเล็กน้อย กินไปไม่ใช่น้อยเลยมึนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน พยายามตั้งสติแล้วเดินไปหยิบคีย์การ์ดที่ไอ้ว่านมันวางทิ้งไว้บนโต๊ะหน้าประตูแล้วออกมาจากห้องมา

            "อ้าว!"

            เสียงอุทานที่ดังขึ้นใกล้ๆ หูเรียกให้ผมหันไปมอง ภาพตรงหน้าพร่ามัวเล็กน้อยแต่ยังพอดูรู้ว่าใครเป็นใคร อีกอย่างจะเจอกับคนคนนี้ที่นี่ก็คงไม่แปลกหรอก

            "มืดมน"

            "ฮะ พูดอะไรอ่ะ"

            "อ่า ต้นสน"

            เจ้าของชื่อยกยิ้มก่อนเดินเข้ามาหา เมื่อกี้เผลอหลุดปากเรียกเฉพาะที่ผมตั้งไว้สำหรับเรียกต้นสนออกไป แต่คนเมาน่ะ ดูออกใช่มั้ยว่าผมเมาอยู่ พูดจาบ้าบออะไรไปเขาคงไม่ได้สนใจเท่าไร

            "กลิ่นหึ่งเลยนะ"

            "นิดนึง"

            "ไม่นิดนะ"

            ผมยกมือขึ้นเกาหัวอย่างมึนๆ คนกินเหล้ามันก็ต้องมีกลิ่นดิ หรือต้นสนไม่ชอบกลิ่นเหล้า

            "เหม็นเหรอ"

            "เหม็นดิ"

            "ไม่ชอบเหรอ"

            "เปล่าหรอก"

            "แล้ว"

            "แล้วอะไร"

            "แล้วเอ่อ...อะไรวะ" จะถามอะไรอีกผมก็ลืมเลยยกมือขึ้นเกาหัวอีกรอบ ได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังคิกๆ จากคนข้างๆ

            "เวลาเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องเหรอ"

            "หืม นี่ก็รู้เรื่องนะ รู้เรื่อง"

            "โอเค รู้เรื่องก็รู้เรื่อง แล้วนี่ปลื้มมาทำอะไรที่ห้องว่านอ่ะ"

            ผมมองตามนิ้วที่ชี้ไปยังประตู ยังมึนๆ กับการประมวลผลในสมอง แต่จำได้ว่ายังไม่เคยบอกต้นสนเรื่องที่ผมเป็นเพื่อนสนิทกับไอ้ว่านมัน

            "เป็นเพื่อนกันอ่ะ มากินเหล้า"

            "จริงดิ ไม่เห็นเคยบอกว่าเป็นเพื่อนกัน"

            "เออ ช่างมันเถอะๆ" ผมโบกมือไปมาเหมือนรำคาญให้ต้นสนเลิกสนใจประเด็นนี้ แต่ความจริงคือกำลังมึนหัว ยังนึกเหตุผลดีๆ มาอธิบายให้ฟังไม่ออก ขี้เกียจโกหกด้วย

            "แล้วนี่ปลื้มจะไปไหน"

            เออว่ะ! ไปไหนวะ

            หัวคิ้วผมวิ่งชนกันโครมใหญ่นึกไม่ออกว่าทำไมถึงมายืนคุยกับต้นสนอยู่ตรงนี้ ลองลูบๆ คลำๆ ที่กระเป๋ากางเกงก็เจอคีย์การ์ด แล้วก็ อ้อ! แบงค์พันของพี่เตยที่มันให้ผมไปซื้อเหล้ามาเพิ่ม

            "ไปซื้อเหล้า"

            "ที่ไหน"

            "เซเว่น"

            "งั้นไปด้วยกันมั้ย"

            "อ่อเออ ไปดิ"

            ผมเห็นต้นสนยิ้ม ไม่ดิ หัวเราะล่ะมั้ง ได้ยินเสียงคิกๆ เบาๆ ก่อนเจ้าตัวจะเดินนำหน้าผมไป

            ว่าแต่ขำอะไรของเค้า

 

            ที่อาคารจอดรถข้างคอนโดมีเซเว่นอยู่ ผมกำแบงค์พันในมือเอาไว้แน่นเพราะกลัวว่ามันจะปลิวหาย โซเซตามต้นสนเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง เดินผ่านเคาน์เตอร์ตรงไปยังโซนเครื่องดื่ม

            "ปลื้มจะซื้ออะไรบ้าง"

            "เหล้า"

            "รู้แล้ว หมายถึงอย่างอื่น"

            ไม่รู้หูผมเป็นอะไรเหมือนได้ยินเสียงดังคิกๆ อยู่ตลอดเวลา มึนหัวก็มึน ภาพตรงหน้าก็เบลอ มองแล้วแยกสารพัดเครื่องดื่มในตู้แช่ไม่ออกเลยว่าอะไรเป็นอะไร แต่ที่แน่ๆ ต้องซื้อสเมอร์นอร์ฟไปให้ไอ้ว่านด้วยเพราะมันชอบกิน แต่กินได้นิดเดียวมันก็เมา โคตรเสียของเลย

            เมื่อคิดได้ว่าจะซื้ออะไรผมก็ยื่นมือไปจับที่เปิดตู้ ออกแรงดึงอยู่สองสามรอบแต่ตู้ดันไม่ยักเปิดออก ทำไมวันนี้มันเหนียวผิดปกติ

            "พนักงานเอายันต์มาแปะตู้ไว้ป่ะวะ"

            เสียงคิกๆ แว่วมาเข้าหูผมอีกครั้งจนต้องหันไปมองรอบๆ อย่างกับมีสิ่งลึกลับบางอย่างติดตามมา จะเที่ยงคืนแล้วด้วย หรือว่าจะเป็นวิญญาณเร่รอนแถวนี้ อย่ามาหลอกคนเมานะเว้ย มันไม่ดี

            "ปลื้มจะเอาไร" เสียงคิกๆ นั่นหยุดลงแทนที่ด้วยคำถามของต้นสน ผมมองหน้าที่แต้มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ยังหม่นหมองตามคอนเซ็ปต์นายมืดมนไม่เปลี่ยนแปลง

            "สเมอร์นอร์ฟ"

            "รสอะไร"

            "แอปเปิ้ล"

            "กี่ขวด"

            "สองขวดพอ"

            "โอเค" ต้นสนพยักหน้ารับก่อนเดินไปหยิบตะกร้าแล้วกลับมาเปิดตู้หยิบเครื่องดื่มทั้งสองขวดที่ผมสั่งออกมาใส่ตะกร้าอย่างง่ายดาย

            ผมว่ามันต้องมีวิญญาณร้ายตามผมมาแน่ๆ ไอ้ผีคิกๆ อะไรนั่น มันแกล้งผมไม่ให้เปิดตู้แช่ได้ ร้ายกาจจริงๆ

            "เอาอะไรอีกมั้ย"

            โดนถามเอาอะไรมั้ยย้ำหลายๆ รอบผมชักปวดหัวหนักกว่าเดิม มองของในตะกร้าที่มีแค่ของโปรดไอ้ว่านสองขวดแล้วพยายามนึกว่าต้องซื้ออะไรอีก แต่ดันนึกขึ้นมาได้อีกว่าไอ้ว่านมันหลับไปแล้วของที่ตั้งใจซื้อไปให้คงไม่จำเป็น แต่หยิบมาแล้วก็ช่างมันเถอะ

            "เหล้ากับน้ำแข็ง เออ เอาเบียร์ไปด้วยดีกว่า โซดาด้วย อ่า...เอาชเวปส์ด้วย ขนม กับแกล้มๆ"

            "โอเค งั้นปลื้มไม่ต้องหยิบอะไรนะ เดินตามเรามาก็พอ"

            "ช่วยถือมั้ย"

            "ไม่ต้องเลย" ต้นสนปฏิเสธน้ำใจกันอย่างไม่ใยดี ผมเลยต้องเดินคอตกตามหลังไปอย่างช่วยไม่ได้

            ว่าแต่...ผมได้ยินเสียงคิกๆ นั่นอีกแล้ว

            ได้ของทุกอย่างครบตามที่บอกไปต้นสนก็หอบตะกร้าไปวางบนเคาน์เตอร์จ่ายเงินก่อนสั่งเหล้าเป็นอย่างสุดท้าย ผมยื่นแบงค์พันที่กำไว้ให้ ยอดรวมทั้งหมดเกินหรือขาดก็ไม่รู้เพราะคิดบิลรวมกันกับของที่ต้นสนซื้อไปด้วย แต่ในเมื่อเจ้าตัวไม่ทวงผมก็ปล่อยเลยตามเลย ขี้เกียจมาคิดเลขตอนนี้ หรือถ้ามีทอนเงินถ้าไม่ให้ผมก็ไม่ซีเรียสเพราะเงินพี่เตยมัน คิดซะว่าเป็นค่าจ้างที่มาช่วยผมซื้อของก็ได้

            เราแบ่งกันถือของคนละครึ่งกลับเข้าคอนโด ผมยังรู้สึกมึนหัวไม่หาย ใจจริงอยากจะไปล้มตัวลงนอนมากกว่ากลับไปนั่งดวลกับพวกนั้นต่อ แต่ซื้อมาแล้วก็ต้องกิน กินกันให้น็อคกันไปข้าง ไหนๆ พรุ่งนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว นอนแฮงค์อยู่ที่คอนโดไอ้ว่านทั้งวันยังได้ มันคงไม่ว่าอะไรหรอก

            ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นสี่ ผมเดินตามต้นสนออกมา เสียงขวดแก้วในถุงกระทบกันดังก๊องแก๊งจนรู้สึกเกรงใจชาวบ้านชาวช่องขึ้นมา เพราะตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว

            ใกล้เที่ยงคืนงั้นเหรอ

            "แล้วนี่ต้นสนทำอะไรอยู่ทำไมไม่นอน" เดินมาถึงหน้าห้อง 403 แล้วผมเพิ่งจะนึกสิ่งหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจออก แต่ถ้าให้เดาไม่พ้นปั่นงานอีกแน่ๆ

            "ทำงาน"

            "จะเที่ยงคืนแล้ว ไปนอน"

            "งั้นปลื้มก็ไปนอนได้แล้ว"

            "มันไม่เหมือนกัน"

            "ยังไง"

            "รีบๆ เปิดประตูเลย เราต้องคุยกัน" แม้จะมึนหัวขั้นรุนแรงแต่สติผมยังครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดนี้ชี้นิ้วออกปากสั่งคนที่ดูแลตัวเองไม่เป็นได้ คนบ้างานอย่างต้นสนต้องเจอผม โหมงานหนักไม่รู้จักพักแบบนี้ต้องสั่งสอนเสียหน่อย

            ว่าแต่...ผมได้ยินไอ้เสียงคิกๆ นั่นอีกแล้ว

            เมื่อประตูห้องเปิดออกผมรีบเดินตามต้นสนเข้าไปข้างใน วางของแล้วกวาดตามองรอบห้อง เห็นคอมพิวเตอร์เปิดค้างไว้กับรูปวาดที่น่าจะเพิ่งสแกนเสร็จ หัวที่ปวดตุบๆ เริ่มประมวลคำสั่งสอน แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากเจ้าของห้องก็ถามสวนขึ้นมา

            "แล้วปลื้มไปกลับไปห้องว่านเหรอ"

            "เดี๋ยวค่อยไป" ผมเองก็ตอบสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว

            "แล้วจะคุยอะไร" ยังจะกล้าถามอีกว่าจะคุยอะไร

            ผมยกยิ้มสวมบทผู้ปกครอบจอมโหด ทำตัวเป็นเด็กไม่ดีทำงานหามรุ่งหามค่ำแบบนี้ต้องโดนสั่งสอนให้หลาบจำเสียบ้าง ไม่ต้องห่วงว่าผมจะใช้วิธีรุนแรง ผมเป็นคนดีพอเพราะฉะนั้นจะไม่มีการลงไม้ลงมือใดๆ ทั้งสิ้น แต่จะใช้วิธีการพูด หรือจะเรียกว่าบ่นก็ได้ เด็กสมัยนี้ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่บ่น พอโดนบ่นมากๆ เดี๋ยวก็เลิกนิสัยเสียไปเอง...ล่ะมั้งนะ

            "ปลื้มจะคุยอะไรก็รีบว่ามาเลย คืนนี้เราต้องเคลียร์งานให้เสร็จ" ต้นสนย้ำอีกครั้งพลางยกแก้วกาแฟที่ซื้อมาจากเซเว่นขึ้นดื่ม สายตาไม่มีความเกรงกลัว ไหนจะประโยคที่เป็นการเร่งให้ผมรีบๆ พูดอีก

            ผมยกมือขึ้นกอดอกแล้วจ้องกลับ ทำสีหน้าให้ดูน่าเกรงขามเข้าไว้ หลับตาลงพยายามเรียบเรียงคำพูดในหัวที่มันโคตรสะเปะสะปะ และเลือกคำเกริ่นนำที่ฟังแล้วคนตรงหน้าต้องเกิดความเกรงกลัว

            แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นผมว่าผมเริ่มกลัวกับอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นแล้วล่ะ

            ไอ้เสียงคิกๆ นั่น...ผมได้ยินมันอีกแล้ว

 

TBC.



ตอนนี้มันก็จะเมาๆ หน่อย ฮา

สำหรับเรื่องโพสิชั่นนั้นก็แล้วแต่ความเห็นความชอบของทุกคนเลยเน้อ

เราอยากเขียนออกมาให้ทั้งคู่ดูเป็นผู้ชายธรรมดาทั่วไป ไม่แข็งและไม่อ่อนเกิน

ซึ่งในจุดนี้ทำได้ดีที่สุดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ยังไงก็ฝากทุกคนที่เข้ามาอ่านช่วยติชมกันด้วยน้า

ขอบคุณทุกคนที่ติดตาม เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-10-2017 19:39:12
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 07-10-2017 19:49:29
ความมืดมนของต้นสนค่อยๆจางลงไปเรื่อยๆ ขอบคุณปลื้มที่พาความสดใสเข้ามา  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 07-10-2017 20:01:14
ปลื้มเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องจริงๆด้วย 555 ต้นสนน่ารัก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 07-10-2017 21:00:42
ชอบความมึนของปลื้มจังอ่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 07-10-2017 22:20:27
ต้นสนโดนแสงแดดแล้ว ดูสว่างไสวขึ้นเยอะนะ ว่าแต่ว่าแอบชอบปลื้มแล้วใช่ปะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 08-10-2017 04:41:44
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 10 ★ 07/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Wereena ที่ 08-10-2017 07:51:46
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
เรื่องโพสิชั่น ตอนแรกก็คิดว่าปลื้มเป็นนายเอกเหมือนกันเพราะยังไม่ได้เจอต้นสน แต่พอคุยกันก็เริ่มแน่ใจว่าปลื้มเป็นพระเอก แล้วจริงๆเราชอบเรื่องที่พระเอกเป็นคนเล่าอยุ่แล้วด้วย
ชอบค่ะ ติดตามตอนต่อไปเลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 14-10-2017 19:29:01

ตอนที่ 11

 
          อาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัวกับหัวที่ปวดตุบๆ ปลุกผมให้ลืมตาตื่นขึ้นมา ตั้งสติอยู่สักพักก่อนมองสำรวจสภาพรอบตัวด้วยความงัวเงียแล้วต้องขมวดคิ้ว

          นอนบนโซฟา ผ้าห่มหอมน้ำยาปรับผ้านุ่ม บรรยากาศในห้องที่ค่อนข้างคุ้นเคย แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ห้องไอ้ว่าน

          ผมจำได้ว่าเมื่อวานเราตั้งวงกินเหล้ากัน มีผม ไอ้เจน ไอ้ว่าน แล้วก็พี่เตย กินไปได้ไม่กี่ชั่วโมงไอ้ว่านมันก็ชิ่งหนีไปนอนก่อน ห้าทุ่มกว่าเหล้าหมด ผมเป็นผู้โชคร้ายที่โดนบังคับให้ลงไปซื้อ แล้วก็เจอกับ...

          ต้นสน

          นึกมาถึงตรงนี้ผมก็รีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง มองรอบห้องที่มีเพียงไฟบริเวณห้องนั่งเล่นเปิดไว้ ก่อนลุกจากโซฟาเดินโซเซเพราะยังตื่นไม่เต็มตากับอาการมึนหัวที่ยังมีอยู่นิดหน่อย

          ผมจำได้แล้วว่าเมื่อคืนเดินตามต้นสนเข้ามาในห้อง ตั้งใจจะว่าเรื่องที่เขานอนดึกแต่พูดอะไรไปบ้างนั้นมันเลือนรางเต็มที ขนาดหลับไปตอนไหนยังไม่รู้ตัว ถามว่าเมื่อคืนเมาหนักไหมก็เอาเรื่องอยู่ ผมไม่ใช่คนที่เมาแล้วโวยวาย อ้วก หรือหลับแบบน็อคไปเลย ไอ้เจนบอกว่าผมเป็นพวกเมาแล้วเหมือนเป็นไบโพล่าร์ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าบ้าๆ บอๆ ก็ได้ บางทีเงียบ บางทีทำตัวเหมือนเด็ก หรือไม่ก็พูดมากจนน่ารำคาญ เลยนึกภาพไม่ออกเลยว่าเมื่อคืนแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรให้ต้นสนเห็นไปบ้าง

          คิดแล้วก็เริ่มหวั่นวิตก หวังว่าเจ้าตัวคงไม่คิดมากกับการกระทำของคนเมาหรอกนะ

          ผมเดินมายังห้องนอนที่คิดว่าเจ้าของห้องน่าจะยังหลับอยู่ แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปดูกลับพบแต่ความว่างเปล่ากับสภาพเตียงนอนที่เหมือนลุกออกมาแล้วไม่ได้กลับไปสนใจใยดีอีกเลย

          ต้นสนไม่ได้อยู่ในห้อง

          งงหนักมากถึงขนาดต้องยกมือขึ้นมายีผมที่ไม่ได้สระมาแล้วสองวัน ต้นสนหายไปไหน แล้วทิ้งให้ผมอยู่ในห้องนี้คนเดียวเนี่ยนะ บ้าไปแล้ว

          ผมลองเดินดูทุกซอกทุกมุมในห้องที่คิดว่าต้นสนน่าจะหลบอยู่ ด้วยความคิดที่ว่าอาจจะโดนเจ้าของห้องแกล้งเอาก็ได้เลยหาทั้งในห้องน้ำ ในครัว ใต้โต๊ะทำงาน ตู้เสื้อผ้า ใต้เตียงก็ด้วย ทว่าสิ่งที่พบก็คือความว่างเปล่าเหมือนเดิม เป็นอันสรุปได้ว่าผมถูกทิ้งให้อยู่ในห้องนี้คนเดียว แล้วเจ้าตัวล่ะหายไปไหน

          คิดอะไรไม่ออกสุดท้ายเลยเดินกลับมานั่งจุ้มปุ๊กที่โซฟา ตอนนี้เองที่สายตาอันพร่ามัวมองเห็นโน้ตแผ่นเท่า A4 ที่วางไว้บนโต๊ะเล็กคู่กับคีย์การ์ดของห้อง

          รู้สึกโง่จนถึงขึ้นต้องถอนหายใจออกมา ถ้ากระดาษแผ่นนี้เป็นงูผมคงโดนฉกตายไปแล้ว

          'To...คนที่เพิ่งตื่นนอนในเวลาที่ผมได้ออกจากห้องไปแล้ว'

          ผมหยิบกระดาษที่เจ้าของห้องทิ้งไว้ให้ขึ้นมาอ่าน เป็นการจั่วหัวที่เห็นแล้วชี้ตัวได้ทันทีว่าใครเป็นคนเขียน แต่ครั้งนี้มันออกจะกวนอวัยวะเบื้องล่างไปหน่อย

          'ไม่ต้องตกใจที่ตื่นมาอยู่ในห้องนี้ เมื่อคืนปลื้มเมานะรู้ตัวใช่มั้ย เราเจอกันหน้าห้อง ไปเซเว่นด้วยกันแล้วปลื้มก็เดินตามเราเข้ามา บ่นเรื่องเราทำงานดึกไม่ยอมนอน บ่นเป็นชั่วโมงอ่ะทำได้ไง'

          อ่านมาถึงตรงนี้ผมก็ยกมือตีหน้าผากดังเป๊ะ อายตัวเองชะมัด

          'ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ถ้าอยากรู้ไว้ค่อยคุยวันหลังนะ วันนี้เราตั้งใจจะกลับบ้านแต่ปลื้มไม่ยอมตื่นสักทีเลยทิ้งคีย์การ์ดสำรองไว้ให้ ถ้าหิวก็หาอะไรกินในครัวได้เลย แล้วเจอกัน'

          ข้อความในกระดาษจบลงเพียงเท่านี้ ประเด็นที่น่าเป็นห่วงไม่ใช่แค่ผมมานอนอุตุอยู่ที่ห้องนี้ได้ยังไง แต่เป็น 'รายละเอียดอื่นๆ' ที่เขียนไว้ในโน้ตนี้ต่างหาก

          นี่ผมทำอะไรไปบ้างวะเนี่ย!

          เครียดก็เครียด หิวก็หิว แต่ผมคงไม่มีเวลาหาของกินในครัวตามคำบอกในโน้ต รีบตบกระเป๋ากางเกงหาโทรศัพท์มือถือแต่เจอแค่คีย์การ์ดของไอ้ว่านที่หยิบติดมือมาตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนมือถือก็คงจะอยู่ในห้องไอ้ว่านมันนั่นแหละ

          ผมไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้วเพราะห้องนี้ไม่มีนาฬิกาติดผนังหรือตั้งโต๊ะเลย แต่คิดว่าคงจะเลยเที่ยงมาแล้ว สังเกตได้จากแสงแดดอันแรงกล้าที่สาดส่องอยู่ด้านนอก

          ผ้าห่มกับหมอนที่ใช้เมื่อคืนผมพับเก็บวางไว้บนโซฟาอย่างเรียบร้อย หยิบทั้งโน้ตและคีย์การ์ดที่เจ้าของห้องทิ้งไว้ให้แล้วจากมา ก็ไม่ได้ไกลกันเท่าไรหรอก ออกจากห้อง 403 ก็เดินเข้าห้อง 404 ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน

          "ไอ้ปลื้มมม! มึงยังอยู่!"

          เปิดประตูเข้าห้องมาก็เจอคำทักทายอันไพเราะเสนาะหู ไอ้ว่านมันคิดว่าผมตายไปแล้วหรือไงถึงได้ทักแบบนี้

          "ก็ยังอยู่ดิวะ"

          "มึงหายไปไหนมาเนี่ย มือถือก็ไม่พก ถามไอ้เจนกับพี่เตยแม่งก็ไม่รู้เรื่อง ยังนอนตายกันอยู่เลย กูเกือบจะโทรแจ้งตำรวจแล้ว" ไอ้ว่านบ่นใส่เป็นชุด มันทำหน้าเครียดก่อนโยนมือถือมาให้ผม สภาพห้องที่เมื่อวานรกสุดๆ กลับมาเป็นปกติ คิดว่ามันคงเก็บของทำความสะอาดหมดแล้ว แถมทำแค่คนเดียวด้วย

          "มึงอย่าเวอร์" ผมตอบแบบขอไปที ถ้าบอกว่าไปนอนห้องต้นสนคงได้ตั้งวงคุยกันยาว

          "เวอร์เหี้ยไร! ไอ้พี่เตยมันบอกมึงไปซื้อเหล้ากลับมาแล้วก็หิ้วเบียร์ออกไปจากห้อง แล้วมึงก็หายหัวไปเลย พี่มันคิดว่ามึงกลับหอ แต่กูเพิ่งไปหอมึงมา"

          ผมไม่รู้ว่าจะอึ้งเรื่องไหนก่อนดี หนึ่งคือผมซื้อของเสร็จแล้วกลับมาที่ห้องไอ้ว่านก่อนออกไปหาต้นสนอีกรอบ สองคือไอ้ว่านมันถ่อไปหาผมถึงห้อง ไม่น่ามันถึงได้ดูโมโหขนาดนี้

          "กูขอโทษ กูไม่เป็นไรแล้วไง มึงอย่าคิดมาก"

          "แล้วสรุปมึงหายไปไหนมา"

          เรื่องใหญ่ขนาดนี้ไอ้ว่านคงไม่ยอมง่ายๆ ถ้าเป็นก่อนที่จะรู้ความจริงให้ตายยังไงผมคงไม่เล่าแน่ๆ แต่ในเมื่อเรื่องที่คิดว่าร้ายแรงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ก็คงไม่จำเป็นที่ผมต้องปิดบังต่อไป

          โอเค ผมจะเล่าให้มันฟัง แต่จะย้อนความกลับไปและลงรายละเอียดลึกแค่ไหนมันก็อีกเรื่อง

 

          กว่าจะเคลียร์เรื่องจบกลับมาถึงหอก็บ่ายคล้อย ผมทิ้งตัวลงบนที่นอน รู้สึกหมักหมมจนได้กลิ่นตุๆ จากตัวเอง ก็นะ ไม่ได้อาบน้ำมาตั้งแต่เมื่อคืนวาน ตอนนี้กำลังเน่าได้ที่แต่ก็ขี้เกียจเกินกว่าจะลุกขึ้นไปทำความสะอาดตัวเอง

          หลังจากที่ผมเล่าเรื่องเกี่ยวกับต้นสนให้ไอ้ว่านฟังทุกอย่างก็จบลงด้วยดี แม้จะตามมาด้วยคำถามสารพัดที่ผมต้องตอบให้เคลียร์ทุกประเด็นมันถึงยอมเข้าใจ แต่ก็ไม่วายบ่นเป็นชุดเหมือนคนแก่ อีกอย่างคือผมไม่ได้เล่าเหตุจูงใจในการหยิบมือถือเครื่องนั้นมาเพราะต้องการขโมย แต่บอกไปว่าแค่เก็บได้และบังเอิญเห็นโน้ตนั่นเข้า ไม่อย่างนั้นคงโดนมันสวดยับไม่ได้กลับหอแน่ๆ โทษฐานที่ทำเลวไม่ปรึกษาเพื่อนและปิดบังเรื่องค่าหอที่ค้างจ่าย ไหนจะเรื่องทางบ้านที่ตอนนี้ดีขึ้นเยอะมากแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เกือบทำเลวในอดีตนั่นก็ลืมๆ มันไปเถอะ

          ตึ๊ง!

          เสียงจากโทรศัพท์มือถือที่ยัดไว้ในกระเป๋ากางเกงสั่งให้ผมหยิบมันออกมา แจ้งเตือนจากสารพัดแอพฯ ยังค้างอยู่ ไหนจะมิสคอลจากไอ้ว่านที่โทรมาเป็นสิบๆ สายจนแบตเตอรี่เกือบหมด

          ผมลุกจากที่นอนเสียบมือถือกับที่ชาร์ตแล้วไล่ดูแจ้งเตือนทั้งหมด แต่กลับมีเพียงข้อความจากต้นสนที่สามารถดึงความสนใจจากผมไปได้

          กลับบ้านคราวนี้ส่งอะไรมาให้ดูอีก

          Pinetree : ส่งรูปภาพ

          Pinetree : ขอบคุณไอ้นี้ด้วยนะ

          "เฮ้ย!" ผมถึงขั้นต้องยกมือถือขึ้นมาดูใกล้ๆ ใช้นิ้วช่วยขยายภาพอีกแรงให้เห็นรูปชัดๆ

          ถ้าผมไม่คิดไปเอง ไอ้ที่อยู่ในรูปนี้มัน...

          เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานผมเลยวางมือถือแล้วรีบถลาไปยังกระเป๋าที่วางกองไว้บนพื้น รูดซิบเปิดค้นหาของที่เพิ่งซื้อติดกระเป๋าไว้เมื่อไม่นานมานี้ ทว่ามันกลับ...หายไป

          ยาลดรอยแผลเป็นนั่น

          แล้วมันไปอยู่กับต้นสนได้ยังในเมื่อผมยังไม่ได้ให้เขาไปเลย

          เหวี่ยงกระเป๋าออกจากมือผมก็ถลากลับมาหามือถืออีกครั้งก่อนรัวข้อความกลับไป

          PuuRimm : มันไปอยู่นั่นได้ไง

          PuuRimm : เราเอาไปให้ตอนไหน

          ถ้าลองนึกให้ดีการที่ยาหลอดนั้นจะไปอยู่ในมือต้นสนได้มีแค่ทางเดียวคือตอนที่ผมเมาเมื่อวาน แล้วผมจะไร้สติขนาดจำไม่ได้เลยงั้นเหรอ ต้องกลับไปที่ห้องไอ้ว่าน เปิดกระเป๋าหายาแล้วก็กลับไปหาต้นสนใหม่ แต่ฟังจากที่ไอ้ว่านเล่าว่าผมเอาของที่ซื้อจากเซเว่นมาเก็บก่อนออกจากห้องไปอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้มันจึงเพิ่มน้ำหนักของข้อสันนิษฐานนี้ได้

          แม้ในใจจะกระวนกระวายอยากได้คำตอบจนเกือบจะกดโทรออกอยู่หลายรอบ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องนั่งปลงเมื่อต้นสนไม่มีวี่แววว่าจะตอบกลับมาสักที รอนานจนเลิกลุ้น รอนานจนลืม สุดท้ายคำตอบที่ได้คือ

          'เจอกันเมื่อไรเดี๋ยวเล่าให้ฟัง'

          ถ้าบอกมาแบบนี้ผมก็คงทำได้แค่รอ

 

          เมื่อกลับเข้าสู่ช่วงการเรียนการสอนปกติผมก็เริ่มกลับไปทำงานที่ร้านป้านกในวันที่ว่าง และคืนนี้เองที่ได้รับคำขอจากต้นสน แต่จะเรียกว่าคำขอก็ไม่ถูกนัก เพราะเป็นคำขอที่มาพร้อมข้อเสนอ บริการส่งกับข้าวที่คอนโดแลกกับเรื่องเล่าในคืนที่ผมเมา เรื่องที่ทั้งเพื่อนตัวดีและพี่เตยไม่มีใครจำได้เลยว่าสรุปแล้วผมทำอะไรลงไปบ้าง

          เพราะฉะนั้นคำตอบของข้อเสนอคือ...ตกลง

          เก็บของปิดร้านเสร็จเรียบร้อยผมก็เดินหิ้วข้าวกับแกงสองถุงตรงไปที่คอนโด แถมไม่ต้องเรียกให้เจ้าของห้องลงมาหาเพราะผมมีคีย์การ์ดห้อง 403 ไว้ในครอบครองอยู่แล้ว แต่คงเอากลับไปคืนต้นสนวันนี้ เพราะหลายวันมานี้ไม่ได้เจอหน้ากันเลย

          เปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอต้นสนนอนดูทีวีอยู่บนโซฟา พอเห็นว่าผมเข้ามาเจ้าตัวก็รีบลุกขึ้นนั่งส่งยิ้มกว้างมาให้ เป็นรอยยิ้มสดใสที่ไร้ความหม่นหมอง เพราะช่วงนี้ได้พักผ่อนเต็มที่ไม่มีงานให้ต้องเคลียร์แบบหามรุ่งหามค่ำ

          "ได้อะไรมากินบ้าง" เห็นหน้าปุ๊บก็ถามหาของกินเป็นอันดับแรก ผมยกถุงกับข้าวให้ดู แต่คงมองไม่เห็นหรอกว่าอะไรเป็นอะไร พร้อมกับแจงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสีย

          "ทั้งหมดสี่สิบห้าบาท"

          "ให้หนึ่งร้อยเลยรวมค่าส่ง"

          "จ้า พ่อคนรวย" ผมส่ายหน้ายิ้มๆ เดินเข้าไปในครัวโดยมีเจ้าของห้องเดินตาม

          ต้นสนเปิดตู้หยิบจานชามออกมาสองชุดช่วยผมเทกับข้าวใส่จาน เป็นแกงเขียวหวานกับลาบ อ้อ แล้วก็ได้กุนเชียงที่เหลืออยู่ไม่กี่ชิ้นแถมมาด้วย จัดแจงเสร็จก็ตกลงนั่งกินกันที่เคาน์เตอร์ในครัว มันจะได้ทำหน้าที่ของมันซึ่งเจ้าของห้องไม่เคยใช้งานสักที

          "กินเสร็จแล้วค่อยเอานะค่าข้าว" ข้าวยังไม่ทันเข้าปากต้นสนก็เอ่ยออกมา จะจ่ายให้จริงๆ เหรอ ผมคิดว่าเมื่อกี้ล้อเล่นเสียอีก

          "ไม่ต้องจ่ายหรอก ของเหลือ"

          "ของเหลือที่ไหน ของดีๆ ทั้งนั้น" ว่าแล้วก็ตักชิ้นไก่ในเขียวหวานใส่จาน

          "ถ้าอยากจ่ายก็เอาไปให้ป้านกเองนะ เพราะไอ้ที่เอามาวันนี้ไม่เสียเงินสักบาท" ผมยักคิ้วให้เพราะอยากกวนประสาท คนฟังเลยทำปากคว่ำยอมแพ้ไม่ดื้อจะจ่ายเงินต่อ

          "งั้นคราวหลังลงไปซื้อเองเหมือนเดิมดีกว่า แต่เอาคนขายมาเป็นเพื่อนกินด้วยได้มั้ย"

          ช้อนที่กำลังจะตักน้ำแกงชะงักทันทีเมื่อได้ยิน ผมเหลือบตาไปมอง เห็นต้นสนยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์ นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่ากวนมากวนกลับไม่โกง

          "ไม่ใช่โฮสต์"

          พอผมบอกไปแบบนั้นต้นสนก็หัวเราะร่าชอบอกชอบใจยกใหญ่ เดี๋ยวข้าวก็ติดคอเอาหรอก

          "ที่มานี่ไม่ได้จะมาคุยเรื่องนี้นะ"

          เจอผมสกัดดาวรุ่งมาเข้าประเด็นต้นสนเลยหยุดหัวเราะแต่ยังยิ้มไม่ยอมหุบ เหมือนจะพยายามกลั้นด้วยล่ะ ทำไม มันมีอะไรน่าขำขนาดนั้น ยิ่งแสดงท่าทีแบบนี้ผมก็ยิ่งอยากรู้น่ะสิว่าเมาแล้วสร้างเรื่องอะไรเอาไว้บ้าง

          "ให้เริ่มจากตรงไหนก่อน"

          "อย่ามาลีลา"

          "อย่าดุดิ"

          "ดุที่ไหนเล่า" ตอนแรกก็ว่าไม่ดุหรอกแต่รอบนี้ผมเผลอขึ้นเสียงด้วยความไม่ตั้งใจ ก็คนมันร้อนใจอยากรู้เรื่องเร็วๆ นี่หว่า

          "พูดขอดีๆ ก่อน" ส่วนไอ้คนนี้ก็ยังเล่นไม่เลิก ถ้าไม่ยอมเล่าดีๆ ผมจะล็อคคอข่มขู่แล้วนะรอบนี้

          "รีบๆ เล่ามา" ผมใช้สายตาจริงจังจ้องกลับ ต้นสนเลยยู่หน้าใส่ก่อนจะยอมเล่าออกมาดีๆ

          ต้องให้ดุจริงๆ สิน่าถึงจะยอม

          "งั้นขอถามก่อนว่าปลื้มจำได้ถึงตรงไหน จะได้เริ่มเล่าต่อจากตรงนั้นเลย"

          "ตอนกลับจากเซเว่นล่ะมั้ง แล้วก็เดินตามเข้ามาในห้อง"

          ต้นสนพยักหน้ารับแล้วทำหน้านึกอยู่สักพักหนึ่งก่อนจะยกยิ้ม เป็นรอยยิ้มร้ายกาจที่แฝงไปด้วยความมืดมนคล้ายพวกพ่อมดมนต์ดำอะไรทำนองนั้น พ่อมดที่มีเมฆสีทะมึนลอยไปมาอยู่รอบๆ และด้านหลังเมฆก้อนนั้นมีสายฟ้าขนาดใหญ่ซ่อนอยู่ เตรียมพร้อมจะฟาดใส่กันได้ทุกเมื่อ

          ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยให้ตาย

          "ปลื้มบ่นเราเรื่องทำงานอ่ะ บ่นนานมาก จนเราต้องทำงานไปฟังปลื้มบ่นไป"

          ตรงนี้ผมพอจะจำได้อยู่ เนื่องจากมันเป็นความตั้งใจอันแรงกล้าที่อุตส่าห์ทิ้งไอ้เจนกับพี่เตยไว้เพื่อเดินตามต้นสนเข้าห้องไปบ่นเจ้าตัวโดยเฉพาะ แต่บ่นอะไรไปบ้างผมก็จำไม่ได้เหมือนกัน

          "แล้วไงต่อ"

          "บ่นๆ อยู่ปลื้มก็ขอเอาของไปให้เพื่อน สักพักก็หอบเบียร์กลับมานั่งกินอยู่ที่โซฟาแล้วก็ยังบ่นเราเหมือนเดิม บ่นประโยคเดิมอยู่สี่ห้ารอบ แบบเบื่อมากเลย" เล่ามาถึงตรงนี้ต้นสนก็หัวเราะลั่น ผมกลายเป็นพวกเมาแล้วขี้บ่นไปแล้วสินะ

          "ต่อๆ"

          "แต่นั่งบ่นอยู่คนเดียวแล้วอาจจะเบื่อล่ะมั้งเลยเรียกเราไปหา ตอนแรกก็คิดว่าจะโดนด่าอะไรหรือเปล่าแต่ปลื้มกลับเอายานั่นมาให้"

          "แค่นี้ใช่มั้ย"

          ต้นสนส่ายหน้าน้อยๆ เป็นการปฏิเสธ ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ ที่ให้ความรู้สึกละมุนที่สุดตั้งแต่เคยเห็นมา มันยิ่งทำให้ผมสงสัยว่าวันนั้นเผลอทำอะไรลงไปกันแน่ แต่มันคงไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรเมื่อเจ้าตัวยังยิ้มได้แบบนี้

          "ปลื้มทำแบบนี้"

          ต้นสนวางช้อนส้อมแล้วยื่นมือออกมาจับแขนผมไปวงบนตัก ทำท่าเหมือนกำลังเปิดฝาหลอดยาแล้วบีบมัน จับแขนผมขึ้นมาอีกครั้งแล้วป้ายนิ้วลงมาเบาๆ ลูบวนไปมาอยู่สองสามรอบ จากท้องแขนไล่มาถึงข้อมือ สัมผัสที่ได้รับมันนุ่มนวลจนไม่อยากขัดขวางการแสดงละครใบ้ของคนตรงหน้า ต้นสนไม่ได้มองหน้าผม ไม่ได้พูดประกอบการกระทำ แต่สายตาอ่อนโยนที่ผมเห็นนั้นมันทำให้อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ อย่างกับว่าที่แขนผมมันมีรอยแผลอยู่จริงๆ และคนคนนี้กำลังพยายามลบรอยแผลนั้นออกไปด้วยความอ่อนโยน

          ในวันนั้น...ผมที่เมาไม่รู้เรื่องทำแบบนี้ลงไปจริงๆ น่ะเหรอ

          แสดงวิธีการทายาจนมาหยุดที่หลังมือต้นสนก็เงยหน้าขึ้นมองกัน ผมเกือบจะหลุดหัวเราะในขณะที่เจ้าของห้องยังอินกับบทบาทคนเมาของผมไม่เลิก แต่แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้กลับทำให้ผมอ้าปากค้าง เมื่อมือของผมถูกจับให้ยื่นไปตรงหน้าต้นสน ก่อนริมฝีปากคู่นั้นจะประทับลงมาเบาๆ

          เดี๋ยวนะ!

          "เฮ้ย!" ใจอยากจะด่าแต่กลับทำได้แค่ถลึงตาใส่แล้วดึงมือกลับ มันใช่เหรอ ผมเนี่ยนะจะทำอะไรแบบนั้น

          "ตกใจอะไรเล่า"

          "มั่วแล้วเนี่ย"

          "ไม่มั่ว"

          "จูบหลังมือเนี่ยนะ"

          "ก็ใช่ไง"

          "บ้าไปแล้ว"

          "บ้าจริงๆ นั่นแหละ"

          ผมยังทำตาโตใส่ต้นสนไม่เลิกจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา จริงใช่ไหมเนี่ย ไม่ได้อำกันเล่นใช่ไหม

          "ทำแบบนั้นไปจริงดิ"

          "จริง"

          "โอ้มายก็อด"

          "ตอนนั้นคือช็อคไปเลย"

          "ช็อคเหมือนกัน"

          เออ ผมก็ช็อค แค่จูบหลังมือมันไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก แต่ผมเป็นบ้าอะไรถึงไปจูบมือต้นสนแบบนั้น แล้วไหนจะไอ้ฉากทายาสุดอ่อนโยนนั่นอีก

          "แต่เราไม่คิดมานะ เข้าใจว่าเมา เมาแล้วก็ยังมีอารมณ์เป็นห่วงคนอื่นอีก" ต้นสนพูดแล้วหัวเราะคิกคักดูอารมณ์ดีเสียเหลือเกิน อีกอย่างผมรู้สึกคุ้นเสียงนี้ชะมัด เสียงคิกๆ ที่ดังแทบจะตลอดเวลาจนหลอนหู อย่าบอกนะว่าเสียงที่ว่านี่มาจากต้นสน

          "นี่ชมใช่มั้ย"

          "ชมดิ รู้แล้วก็สบายใจได้แล้วนะ"

          ผมถอนหายใจยาวๆ ออกมาหนึ่งที จะเรียกว่าสบายใจไหมก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ได้แต่บอกกับตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่น่าเลย

          ไม่น่าเมาแล้วบังเอิญกับต้นสนเลย

          มื้ออาหารยังคงดำเนินต่อไปท่ามกลางเสียงเจื้อยแจ้วของต้นสนที่จ้อไม่ยอมหยุด แถมเล่าย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเจอผมที่หน้าประตู ระหว่างเดินไปเซเว่นที่ผมเซไปเซมาจนโดนดึงให้กลับมาเดินดีๆ อยู่หลายครั้ง อาการพูดไม่รู้เรื่องเหมือนคุยกับเด็ก จนกระทั่งซื้อของเสร็จแล้วกลับเข้าคอนโดมาด้วยกัน ก่อนปิดท้ายด้วยการที่ผมหลับคาโซฟาลำบากต้นสนต้องสละผ้าห่มมาให้หนึ่งผืน และการสารภาพอย่างจริงใจว่าไม่อยากแบกผมไปนอนบนเตียงเพราะเหม็นเหล้าเป็นอันจบประเด็น

          กินข้าวเสร็จก็ช่วยกันล้างจาน หมดธุระแล้วผมก็เหวี่ยงกระเป๋าขึ้นสะพายบ่าเตรียมตัวกลับไปล้มตัวนอนที่หอ แต่ก่อนจะบอกลากันก็นึกอะไรบางอย่างออกที่เกือบจะลืมไปเสียแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องเอากลับมาคืน

          ผมเปิดกระเป๋าค้นหาคีย์การ์ดที่ต้นสนทิ้งไว้ให้เมื่อวันนั้นแล้วยื่นคืนให้ แต่แทนที่จะรับไปเจ้าตัวกลับส่ายหน้าแล้วผลักมือผมกลับมา

          "ปลื้มเก็บไว้เลย ยังไงก็ต้องมาอีก"

          เป็นการยัดเยียดแบบมัดมือชก นี่กะใช้บริการเดลิเวอรี่ส่งข้าวส่งน้ำโดยไม่ต้องลงไปรับผมข้างล่างแล้วใช่ไหม

          "ไว้ใจขนาดนี้ไม่กลัวโดนยกเค้าเหรอ"

          "ถ้าจะทำคงทำไปตั้งแต่วันนั้นแล้วมั้ง"

          "ก็ไม่แน่นะ วันนั้นเมาไงไม่ทันคิด แต่เดี๋ยวต้องกลับไปวางแผนก่อน" ผมก็พูดเล่นไปงั้น คนดีขนาดนี้ไม่กล้าทำหรอก แต่ต้นสนจะไว้ใจคนง่ายไปหรือเปล่าที่ยอมยกคีย์การ์ดให้แบบนี้ อีกอย่างผมไม่ใช่คนสำคัญในชีวิตเขาขนาดนั้น

          "เรารู้ปลื้มไม่ทำหรอก" รอยยิ้มบางๆ แต้มบนใบหน้ามันบอกว่าเชื่อตามที่ผมพูดจริงๆ

          "ให้เก็บไว้จริงดิ"

          "อืม"

          "ไว้ใจกันจริงเหรอ"

          "ใช่"

          "ไม่เสียใจทีหลังแน่นะ"

          "ถ้าปลื้มคิดจะหลอกเราจริงๆ ตอนนี้คงไม่มายืนอยู่ตรงนี้หรอกจริงไหม หรือถ้าคิดจะหลอกถึงตอนนั้นเราจะไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจแบบนี้ไป"

          ผมหมดคำจะเถียง สุดท้ายเลยยอมเก็บคีย์การ์ดใส่กระเป๋าไว้ตามเดิมก่อนบอกลาและเดินจากมา

          ต้นสนเชื่อคนง่ายเกินไป ผมยังคงคิดแบบนั้น แต่เพราะอะไรทำไมเขาถึงได้เชื่อในตัวผมขนาดนี้ทั้งที่รู้จักกันได้ไม่กี่เดือน เพราะความช่วยเหลือ เพราะคอยดูแลกันอย่างนั้นเหรอ ทั้งที่ผมเคยคิดจะทำไม่ดีกับเขามาก่อน ซึ่งเขาเองก็รู้ แต่ก็ยังเลือกที่จะเชื่อกันอยู่ดี

          ดูเหมือนจะตัดกันขาดได้ยากแล้วสินะ...กับนายมืดมนคนนี้

 

TBC.

 

รู้สึกอยากให้ปลื้มเมาบ่อยๆ ไงไม่รู้ ฮา

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 14-10-2017 20:31:30
 :mew1: :mew1: :กอด1: :กอด1: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: PaePT ที่ 14-10-2017 20:43:07
หวานดี ชอบบบบบบ อย่าให้มีเรื่องข่มขืนอะไรเลยเถิด
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-10-2017 22:01:09
นึกภาพตามตอนต้นสนทำท่าทายาให้ปลื้มแล้วน่ารักกกกก
อายแทนปลื้มเลยอ่า ตอนฟังต้นสนเล่าเวลาเมาทำอะไรไม่รู้ตัว 555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 15-10-2017 21:53:20
ต้นสนน่ารัก แต่ทำไมตอนนี้ดูอ่อยๆ  :hao6:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-10-2017 08:07:51
ปลื้มเริ่มจีบเองแล้วใช่มะ รอปลื้มไม่ไหว
ว่าแต่ว่าแค่จูบมือจริงอะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 16-10-2017 23:35:53
ในความรู้สึกเรานะ เราว่าต้นสนชอบปลื้มแล้วและเป็นคนขี้อ่อยมากเวอร์ตั้งแต่ชวนเข้าห้องยันขอให้สอนจูบอันนี้ไม่รู้พูดเล่นจริงมั้ย55555 หรืออาจจะไม่ใช่ก็ไม่รู้แต่ต้องรู้สึกดีด้วยมากๆแล้วแหล่ะ มีคนมาดูแลขนาดนี้ใครไม่หวั่นไหววะ>< แต่เราชอบต้นสนมากเลยนะน่ารักดี นี่ขนาดยังไม่มีใครเปิดเผยครส.นะเนี้ย ยังขนาดเนี้ย รอวันที่เขาจีบกันจริงจัง โอ๊ยยยแค่คิดก็เขินแล้ว-///-
ปล.เราติดตามไรท์มาตั้งแต่พี่หนึ่งน้องนายแล้วนะชอบมากๆ แต่เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้เพราะเห็นชื่อเรื่องแล้วนึกว่าไรท์เปลี่ยนแนว555555
ปล.2 จำได้ว่าไรท์มีนิยายอีกเรื่องที่เคะอายุมากกว่าเมะแล้วเมะชอบเคะก็เต๊าะกันไปมาอะจำรายละเอียดไม่ได้รู้แต่ว่ามันน่ารักมากจำได้ว่ามีฉากกินข้าวที่โรงอาหารด้วยมั้ง5555 ไรท์ไม่แต่งต่อแล้วหรอ เราถามถูกคนมั้ยเนี้ยแต่จำได้ว่าใช่จริงๆนะฮืออออ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 17-10-2017 17:53:43
น่ารักกกกกกกก ปลื้มตอนเมานี่ทำตามจิตใต้สำนึกอ้ะป่าวว
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-10-2017 20:53:06
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 18-10-2017 14:26:10
นี่คือการอ่อยแบบเนียนๆถูกม้ะ :z2: :hao3:

ทำไมน่ารัก :impress2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 11 ★ 14/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Chacha ที่ 19-10-2017 19:42:11
เข้ามาเพราะชื่อเรื่องเลย อ่านไปแล้วแบบงื้อออออ  :o8: :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 20-10-2017 20:48:14
ตอนที่ 12


            ช่วงบ่ายวันนี้ผมไม่มีเรียน ว่างยาวตั้งแต่บ่ายสอง ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับไปนอนที่หอแล้วค่อยออกไปทำงานตอนเย็น แต่ปรากฏว่าแผนผมล่มตั้งแต่เช้าเมื่อมีใครบางคนส่งข้อความเชิญชวนมาให้

            Pinetree : ตอนบ่ายปลื้มว่างเปล่า

            Pinetree : ไปซื้อของเป็นเพื่อนหน่อยดิ

            ครั้นจะตอบไปว่าไม่ว่างก็รู้สึกผิด จะปฏิเสธว่าไม่ไปก็รู้สึกว่าเหตุผลที่รองรับมันอ่อนเกินไป เลยพลั้งปากตอบตกลงไปในเวลาไม่กี่วินาที สุดท้ายผมเลยมายืนอยู่หน้าคณะบริหารท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ฟ้ามืดครึ้มเหมือนฝนจะตกแหล่ไม่ตกแหล่

            ปล่อยให้ผมรอไม่นานนักต้นสนก็เดินออกมาจากตึกโดยไร้วี่แววเพื่อนตัวสูง สีหน้าวันนี้ดูสดใสขึ้นเยอะเพราะช่วงนี้ยังไม่เปิดรับงานอย่างเป็นทางการเนื่องจากเพิ่งเลยช่วงสอบมา แต่ถ้ามีคนจ้างก็จะรับเรื่อยๆ เจ้าตัวเขาบอกผมมาแบบนั้น

            "ไปยังไงดี" ผมเอ่ยถามเมื่อเจ้าตัวเดินมายืนตรงหน้า

            สถานที่ที่เราจะไปวันนี้คือห้างสรรพสินค้าที่อยู่ห่างจากมหา'ลัยสามป้ายรถเมล์ มีรถโดยสารหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ จะนั่งรถเมล์ก็ถูก หรือนั่งไปแท็กซี่ก็สะดวกดี หารกันแล้วราคาคงไม่ต่างกันมากเท่าไรหรอกมั้ง

            "เราเอารถมา" แต่คำตอบที่ได้ไม่ตรงกับที่คิดไว้สักอย่าง

            "มีรถด้วยเหรอ"

            "เอาไว้ขับกลับบ้านไง แต่วันนี้จะซื้อของเข้าคอนโดเลยจะเอารถไปด้วย"

            "นี่จะให้ไปช่วยถือของว่างั้น"

            "ถูกต้อง"

            ร้ายนะคนเรา ผมทำทีเป็นส่ายหน้าใส่อย่างเอือมระอา แต่จริงๆ แอบอิจฉาด้วยส่วนหนึ่ง เหมือนกับว่าชีวิตต้นสนมันเพียบพร้อมไปหมดทุกอย่าง ฐานะทางบ้านดี มีพรสวรรค์ มีต้นทุน ในขณะที่ผมแทบไม่มีอะไรเลย ขนาดรถมอเตอร์ไซค์ยังไม่มีปัญญาซื้อ

            "รับปากแล้วห้ามปฏิเสธนะ"

            "รู้แล้วน่า"

            "เดี๋ยวเลี้ยงข้าว"

            "จะจัดให้หนักเลย"

            "ย่อมได้" ต้นสนยิ้มกว้างไม่เกรงกลังคำขู่ของผมเลยสักนิด สุดท้ายก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย ค่อยหาอะไรที่พอจะจ่ายไหวแล้วกัน

 

            ดับเครื่องยนต์ในลานที่จอดรถของห้างฝนก็ตกพอดี แถมตกอย่างบ้าระห่ำไม่ลืมหูลืมตา นับว่าโชคดีที่ต้นสนมีรถส่วนตัว ถ้าต้องใช้บริการรถประจำทางคงลำบากลำบนน่าดู ต้องโทษเจ้าตัวที่ดันอยากมาซื้อของวันฟ้าครึ้มฝนทำท่าจะตกตั้งแต่เช้าแบบนี้

            จากอาคารจอดรถที่ชั้นหนึ่งเราเดินทะลุเข้าห้างแล้วลงบันไดเลื่อนไปชั้น G ที่ตั้งของซุปเปอร์มาร์เก็ต ผมเป็นคนเข็นรถในขณะที่ต้นสนเดินตัวปลิวนำเข้าไปข้างใน ดูเป็นคุณหนูที่มีพ่อบ้านคอยเดินตามโดยแท้

            "จะซื้ออะไรบ้าง"

            "ตามนี้เลย" ต้นสนยื่นลิสต์ของที่จะซื้อมาให้ผมดู รายการยาวเป็นหางว่าว แถมลายมือที่เขียนยังไม่เหมือนกันอีก เพราะพวกของใช้ที่เขียนไว้เป็นอันดับแรกๆ เป็นลายมือหวัด ส่วนของกินสำเร็จรูปกับขนมเป็นลายมือของต้นสนเอง

            "พวกของใช้นี่ใครเขียนให้"

            "แม่บ้าน"

            "ปกติใครเป็นคนซื้อของเข้าคอนโด"

            "ก็แม่บ้านเหมือนกัน"

            "แล้วทำไมคราวนี้มาซื้อเอง" ผมถามอย่างสงสัย ปกติแม่บ้านเป็นคนจัดการ แล้วพ่อคุณหนูนี่นึกสนุกอะไรถึงได้อยากมาซื้อของเอง

            ต้นสนยกยิ้มบางๆ ดึงลิสต์ของที่ต้องซื้อกลับไป มองมันสลับกับผงซักฟองที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นก่อนจะเลือกหยิบมาหนึ่งยี่ห้อแล้วหันมาตอบ

            "อยากมากับปลื้มไง ไม่ได้เหรอ"

            เป็นคำตอบที่คาดถึงจนผมนึกคำต่อประโยคไม่ออก จะว่าไงดี มันก็รู้สึกดีใจอยู่เล็กๆ ถึงจะก็รู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ แต่ถ้าให้ผมเดา ต้นสนพูดอะไรแนวนี้ต้องอำกันเล่นชัวร์ๆ อย่างที่เคยชอบทำบ่อยๆ ทว่าครั้งนี้กลับ...ไม่ใช่

            "อยากให้มาด้วยจริงๆ นะ เวลาอยู่กับปลื้มแล้วเรารู้สึกปลอดภัย"

            "เห็นเป็นบอดี้การ์ดหรือไง"

            "ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง อย่างน้อยก็ช่วยให้รอดตายมาแล้วหนึ่งครั้ง" พูดจบก็เดินนำหน้าเพื่อไปเลือกซื้อของชิ้นถัดไป ส่วนผมก็ทำได้เพียงเข็นรถตาม

            เดินก้มหน้า เพื่อซ่อนรอยยิ้มเอาไว้

 

            เชื่อสนิทใจแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าต้นสนเป็นลูกคุณหนูแบบโคตรจะคุณหนูในเชิงการใช้ชีวิตเพื่อเอาตัวรอด เพราะแค่เดินซื้อของในซุปเปอร์มาร์เก็ตเล็กๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน เดินวนไปวนมาหาของไม่เจอจนผมต้องเป็นฝ่ายนำเอง เก่งเฉพาะเรื่องหาเงินจริงๆ

            "เหมือนจะครบแล้วนะ" ต้นสนเช็คลิสต์ในมือกับของที่อยู่ในรถเข็นแล้วพยักหน้าเออออกับตัวเอง

            มองของใช้ทั้งหลายแหล่ที่อยู่ในรถเข็นแล้วผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้ หน้าหม่นหมองขาดการบำรุง ตาคล้ำอย่างกับหมีแพนด้า สภาพอ่อนระโหยโรยแรงเหมือนคนป่วย แม้ทุกอย่างที่ว่ามานี้พักหลังจะดูดีขึ้นแล้วก็ตาม แต่เห็นสภาพช่วงทำงานหนักแล้วก็ชักสงสัย

            "ได้ใช้ความครีมบำรุงหรือกินอาหารเสริมบ้างมั้ย"

            "ไม่อ่ะ ขี้เกียจ"

            เป็นไปตามที่ผมคิด อย่างต้นสนจะขยันเรื่องอื่นได้บ้างไหมนอกจากทำงานกับเรียน ซึ่งเรื่องเรียนผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวทำได้ดีแค่ไหน

            "แต่มีอยู่ใช่มั้ย"

            "เคยมี"

            "ยังไง"

            "ก็เคยมีไง แม่เคยซื้อให้แต่ไม่ได้ใช้เลยให้เพื่อนไปหมดแล้ว"

            เชื่อเขาเลย แสดงว่าที่บ้านก็คงเหนื่อยใจกับสภาพลูกชายผู้ทำงานหนักเหมือนกัน แต่ก็เจอกำแพงความห่างบวกความดื้อด้านเลยไม่สามารถทำอย่างใจได้เต็มที่

            "ทำไมเป็นคนแบบนี้" ผมบ่น ตั้งใจบ่นให้ได้ยิน ต้นสนเลยหันมาเหล่มองกันก่อนจะเถียง

            "ก็มันไม่ได้ใช้ จะเก็บไว้ทำไมเล่า"

            "แล้วทำไมถึงไม่ใช้ หัดดูแลตัวเองซะบ้าง โทรมจนจะเหมือนศพเดินได้อยู่แล้ว"

            "บ่นอีกแล้ว"

            "จะบ่นมากกว่านี้อีก"

            ต้นสนทำหน้างอแงใส่ผมทันที อ้าปากตั้งท่าจะเถียงต่อแต่พอโดนผมจ้องกลับก็ยอมเงียบใช้สายตาในการประท้วงแทน

            เข้าใจว่าผมคงจะเข้ามายุ่มย่ามไม่เข้าเรื่อง อยู่ๆ ก็มาบอกให้ทำแบบนั้นแบบนี้ สั่งห้ามนั่นห้ามนี่ แถมยังบ่นเป็นตาแก่ แต่พูดจนปากเปียกปากแฉะนี่ก็เพราะตัวต้นสนทั้งนั้น อยากให้ดูแลตัวเองบ้าง อย่างน้อยนอนให้เต็มอิ่มสักคืนก็ยังดี

            "งั้นเดี๋ยวจะพาไปซื้อ"

            "จะซื้อให้เหรอ"

            "จะซื้อให้ก็ได้ แต่ขอแปะโป้งไว้ก่อน มีเงินเมื่อไรเดี๋ยวมาจ่าย"

            "ทำไมต้องลำบากขนาดนี้"

            "ก็เพื่อตัวใครบางคนนั่นแหละ"

            ต้นสนยู่หน้าใส่ผม ทำท่าเหมือนจะไม่ยอมแค่แป๊บเดียวก็หลุดยิ้มออกมา แต่ก็ไม่วายประชดประชันอย่างคนดื้ออีก

            "ซื้อมาก็ไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือเปล่านะ"

            ผมไม่ตอบอะไรกลับไป เข็นรถเดินตามหลังแล้วกระหยิ่มยิ้มย่องกับตัวเอง

            ลองได้อยู่กับผมแล้ว ทุกอย่างที่ใช้เงินซื้อมาต้องคุ้มค่าอย่างแน่นอน ถ้าไม่ยอมใช้ดีๆ ผมจะบังคับให้ใช้เอง

 

            กว่าจะซื้อของทุกอย่างครบเวลาก็ล่วงเลยมาเป็นชั่วโมง ได้ดูนาฬิกาอีกทีก็ใกล้ได้เวลาที่ผมต้องไปช่วยป้านกขายของที่ตลาด เป็นอันว่าแผนที่ต้นสนจะเลี้ยงข้าวผมเป็นการตอบแทนที่มาช่วยซื้อของต้องพับเก็บไว้ก่อน แล้วมุ่งหน้ากลับคอนโดท่ามกลางฝนปรอยๆ

            ฝนตกแบบนี้ที่ตลาดคงเงียบเหงาน่าดู

            เพราะไม่ได้อยู่กินข้าวด้วยต้นสนเลยซื้อข้าวกล่องจากซุปเปอร์มาร์เก็ตไปแทน เป็นยำปลาแซลมอนราคาหลายร้อย เมนูที่ผมเองยังไม่เคยได้ลิ้มลองรสชาติของมันว่าจะอร่อยแค่ไหนกันเชียว

            "แล้วทีนี้เราจะได้เลี้ยงข้าวปลื้มเมื่อไร" ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนไปบนถนนด้วยความเร็วอันน้อยนิดต้นสนก็ชวนคุยเรื่องเลี้ยงข้าวอีกครั้ง ดูท่าแล้วเจ้าตัวจะติดใจกับเรื่องนี้เหลือเกิน

            "เมื่อไรก็ได้ที่ว่าง"

            "แล้วปลื้มอยากกินอะไร"

            ถามแบบนี้ต้องใช้เวลาคิดนานหน่อย ของที่อยากกินน่ะมีเยอะ แต่เพราะผมไม่ได้คิดจะให้ต้นสนเรื่องแต่แรกอยู่แล้วเลยต้องคำนวณดีๆ การมาซื้อของเป็นเพื่อนเพื่อฆ่าเวลาเล็กๆ น้อยๆ ไม่นับว่าเป็นบุญคุณอะไร และผมยังยืนยันความคิดเดิมคือกินอะไรที่พอจะจ่ายไหวในช่วงเวลาที่สถานะทางการเงินไม่คล่องตัวแบบนี้ ถ้าเอาแบบง่ายๆ เลยก็...

            "ไม่เอาข้าวโรงอาหารนะ" ต้นสนขัดขึ้นมาเหมือนแบทเตอร์ที่หวดลูกสวยๆ ได้ แต่ลูกนี้มันไม่ใช่โฮมรัน เพราะมันอัดเข้าหน้าพิชเชอร์เต็มๆ

            ดักทางกันแบบนี้ อย่างกับรู้ว่าผมจะชวนกินข้าวโรงอาหารยังไงยังงั้น ซึ่งต้นสนก็คิดถูกแล้ว

            "ข้าวโรงอาหารไม่ดีตรงไหน ทำไมต้องปฏิเสธ"

            "เบื่อแล้ว"

            "งั้นร้านป้านก"

            "ก็กินอยู่ทุกวัน"

            "จะบอกว่าเบื่อว่างั้น"

            "ยังไม่ได้พูดเลย"

            "จะบอกป้านกให้"

            "ทำไมเป็นคนขี้ฟ้องล่ะฮะ"

            โดนขู่เข้าหน่อยต้นสนถึงกับขึ้นเสียง เห็นหน้าตาหมองๆ ทำเป็นเคร่งเครียดกับคำล้อเล่นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ มีความสุขชะมัดได้แกล้งคน

            "แล้วสรุปจะกินอะไร"

            "ขอคิดก่อนแล้วกัน" ผมตัดปัญหาโดยการบอกปัดไปก่อน ถ้าไม่ได้ข้อสรุปคงคุยเรื่องนี้กันไม่จบสักที

            ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักใช้เวลาไม่นานเราก็กลับมาถึงคอนโด ตอนแรกต้นสนตั้งใจจะส่งผมลงที่ตลาด แต่พอคิดๆ ดูแล้วจะปล่อยให้คนที่ไร้เรี่ยวแรงขนของขึ้นห้องคนเดียวก็ดูจะใจร้ายไปหน่อย สุดท้ายเลยไปลงที่คอนโดด้วยกัน ช่วยกันขนของเข้าห้อง ส่วนผมได้ร่มมาหนึ่งคันเป็นอุปกรณ์กันฝนระหว่างเดินไปตลาด

            "ไม่ให้ไปส่งจริงๆ เหรอ" ต้นสนถามคำถามนี้เป็นรอบที่สามหลังจากที่ผมบอกว่าจะเดินไปตลาดเองคนเดียว เพราะเจ้าตัวดื้อว่าจะเอารถออกไปส่งให้ได้ ทั้งที่จากคอนโดไปตลาดห่างกันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร

            "ไม่ต้อง จะออกไปเดินตากฝนเพื่อ กินข้าวกินยานั่งทำงานไป หลังอาบน้ำก็ทาครีมด้วย อ้อ แล้วก็ห้ามนอนหลังเที่ยงคืน"

            "มาเป็นชุด"

            ผมยื่นมือไปยีผมคนที่ทำเล่นหูเล่นตาใส่ด้วยความหมั่นไส้ แต่พอจะชักมือกลับกลับโดนต้นสนคว้าเอาไว้ เจ้าตัวทำตาโตเหมือนตกใจก่อนจะยิงคำถามใส่ เป็นคำถามที่ไม่รู้มานึกออกอะไรเอาตอนนี้

            "เออใช่ ปลื้มทำงานร้านข้าวแกงก็ต้องทำกับข้าวเป็นอ่ะดิ"

            "ก็พอได้อยู่หรอก"

            "งั้นคราวหน้าทำให้เรากินหน่อยดิ เดี๋ยวซื้อของไว้ให้ แล้วมาทำกินกันที่นี่ นะๆ" สายตาอ้อนวอนวาววับเป็นประกาย ต้นสนกุมมือผมแน่นไม่ยอมปล่อย ประมาณว่าถ้าไม่ตอบตกลงก็จะรั้งกันไว้แบบนี้

            "มันก็ได้อยู่ แต่ไม่รับประกันรสชาตินะ"

            "ต้องอร่อยอยู่แล้ว" ต้นสนยืนยันด้วยรอยยิ้มท่าทางมั่นใจกว่าคนที่ต้องลงมือทำอย่างผมเสียอีก

            "งั้นก็ปล่อยมือได้แล้ว จะไปทำงาน"

            พอโดนทักก็เหมือนว่าเพิ่งจะรู้ตัว ต้นสนปล่อยมือผมออก ริมฝีปากสีซีดยังคงยกยิ้ม จนอดไม่ได้ต้องย้ำให้ใช้ลิปบาล์มที่อุตส่าห์เลือกซื้อมาด้วยกันบ่อยๆ ด้วย

            "งั้นเดี๋ยวคืนนี้ทักไปรายงานผลนะ"

            ผมพยักหน้ารับคำบอกแล้วหมุนตัวเดินออกมาจากห้องพร้อมกับร่มสีดำในมือ

            ทั้งที่ฝนกำลังตกแท้ๆ แต่ทำไมใจผมมันได้รู้สึกสว่างสดใสแบบนี้ก็ไม่รู้

 

            ช่วงนี้เป็นหน้ามรสุม ท้องฟ้าอึมครึมเหมือนฝนจะตกทุกวัน สร้างความน่ารำคาญใจอยู่ไม่น้อย แต่มันก็มีข้อดีที่เมฆก้อนใหญ่ช่วยบดบังแสงอันร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ ไม่ต้องทนไอความร้อนที่ทำให้น่ารำคาญใจยิ่งกว่าเดิม

            ต้องอยู่ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้แล้วก็ทำให้ผมนึกถึงใครบางคน คนที่เหมือนมีเมฆสีเทาลอยอยู่บนหัวตลอดเวลา แม้ช่วงนี้แสงอาทิตย์จะเริ่มสาดส่องออกมาอยู่บ่อยครั้งก็ตาม

            ผมเดินทอดน่องไปตามทางเท้าในมหาวิทยาลัย พื้นคอนกรีตเปียกชื้นเพราะฝนที่ตกตลอดทั้งคืน นับว่ายังโชคดีที่มันไม่ตกยาวจนถึงเวลาที่ต้องมาเรียนด้วย ไม่เช่นนั้นอาจจะมีใครสักคนได้โดนเรียนวิชาที่ต้องมาตั้งแต่เก้าโมงเช้าในวันที่น่านอนแบบนี้แน่ๆ

            "นึกว่าจะไม่ตื่น" ไอ้เจนทักตอนผมนั่งลงข้างมันในห้องเลคเชอร์ วันนี้ตื่นสาย ข้าวเช้าไม่ได้กิน แค่เดินมาถึงห้องเรียนก็หมดเวลาแล้ว

            "ก็เกือบไม่ตื่น"

            "อากาศเย็นโคตรน่านอน"

            "กูยังง่วงอยู่เลย โดนไอ้พี่เตยปลุก แม่งถีบจนเกือบตกเตียง" ไอ้ว่านที่นั่งข้างไอ้เจนอีกทีเข้ามาผสมโรงด้วย

            ผมว่านักศึกษากว่าครึ่งที่นั่งทำหน้าง่วงอยู่ในห้องตอนนี้คงอยากกลับไปนอนมากกว่าทนถ่างตาฟังเลคเชอร์แน่ๆ

ระหว่างรออาจารย์เข้าไอ้เจนมันชวนผมคุยไม่หยุด ผิดกับไอ้ว่านที่เอาแต่เท้าคางนั่งจ้องหน้าผม จะพูดอะไรก็ไม่พูด ปล่อยให้มันมองอยู่นานจนหมดความอดทนผมเลยเป็นฝ่ายถามออกไปเอง

            "มองหน้ามีปัญหาอะไรวะ"

            "แค่คิดอะไรนิดหน่อย"

            "มองหน้ากูแล้วจะคิดออกหรือไง"

            "กูกำลังคิดว่ามึงกับต้นสนสนิทกันถึงขั้นเข้าออกคอนโดเหมือนบ้านตัวเองตั้งแต่เมื่อไร"

            เจอประโยคนี้เข้าไปผมถึงขั้นชะงัก มองไอ้ว่านที่ถามด้วยสีหน้านิ่งๆ แล้วพยายามนึกหาเหตุผลมาตอบ เหตุผลที่ผมเคยเล่าให้มันฟังแล้วก่อนหน้านี้

            "เคยเล่าให้ฟังไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ"

            "มันก็ใช่ แต่กูก็คิดอีกว่าทั้งที่ต้นสนอยู่ห้องตรงข้ามกูแท้ๆ ทำไมกูไม่รู้เรื่องอะไรเลยวะ"

            "มึงโกรธ"

            "กูเปล่าโกรธ แค่ข้องใจ อีกอย่างเมื่อวานกูเห็นมึงเดินออกจากคอนโดไปตอนหกโมง ไม่เห็นบอกวะว่าไปหาต้นสน"

            ถ้าผมอารมณ์ร้อนหรือไร้เหตุผลกว่านี้อีกสักนิดคงตอบกลับไปว่า 'กูต้องรายงานมึงทุกเรื่องเลยเหรอ' ไปแล้ว แต่เพราะเป็นไอ้ว่าน คนที่คอยช่วยเหลือผมตลอด คนที่อยู่ห้องตรงข้ามกับห้องที่ช่วงนี้ผมแวะไปบ่อยๆ เพราะฉะนั้นมันมีสิทธิ์ที่จะรู้ในฐานะเพื่อนสนิท

            "เมื่อวานไปแบบกะทันหัน กูแค่ไปช่วยเขาขนของเฉยๆ"

            "ไม่เรียกกูด้วยล่ะจะได้ไปช่วยขน"

            "มึงอย่าหาเรื่องดิว่าน"

            "ใจเย็นๆ นะพวกมึง สลับที่มั้ย จะได้คุยกันถนัด" ไอ้เจนท้วงขึ้นเมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มมาคุ เล่นเถียงกันข้ามหน้าข้ามตามันไอ้คนที่นั่งตรงกลางคงรู้สึกไม่ดีเท่าไร

            "มึงมาสลับที่กับกู อยากคุยให้จบก่อนอาจารย์เข้า" แล้วไอ้ว่านก็เออออตามที่ไอ้เจนว่าไปอีก

            พวกมันสองคนสลับที่กัน ไอ้ว่านมานั่งข้างผม ส่วนไอ้เจนได้แต่ชะเง้อมองด้วยความเป็นห่วงปนอยากรู้อยากเห็น ผมเองก็อยากเคลียร์ให้หายค้างคาใจเหมือนกัน ต่อไปทำอะไรจะได้ไม่ต้องปิดบังกันอีก

            "สรุปมึงโกรธเรื่องอะไรอีก เพราะกูไปหาต้นสนแต่ไม่ไปหามึงอ่ะเหรอ"

            "เรื่องมึงจะไปหาต้นสนหรือไม่ไปกูไม่สนใจหรอก แต่ที่กูรู้สึกไม่ดีเพราะต้นสนอยู่ห้องตรงข้ามกู เรื่องมันเกิดขึ้นใกล้ตัวกูมาก แต่ทำไมกูไม่รู้เรื่องอะไรเลย"

            "แล้วจะให้กูทำไง รายงานมึงทุกครั้งที่กูไปหาต้นสนเหรอ หรือต้องไปเคาะประตูบอก"

            ไอ้ว่านเงียบไม่ยอมตอบ มันมองผมนิ่งๆ อยู่พักหนึ่งแล้วถอนหายใจ หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออก สีหน้าเคร่งเครียดในทีแรกดูผ่อนคลายลง

            "กูแค่คิดว่ามึงใช้เวลาอยู่กับเขามากกว่าเพื่อนอย่างพวกกูอีก" ไอ้ว่านยอมรับออกมาในที่สุด

            "มึงไม่ได้ไปเที่ยวไหนกับพวกกูมานานแล้วนะ เรื่องที่บ้านก็พอเข้าใจ พวกกูก็เป็นห่วงมึง แต่พอรู้ว่ามึงไปไหนมาไหนกับต้นสนบ่อยๆ มันก็เลย..." ไอ้เจนเสริมมาเพียงเท่านี้แล้วก็เงียบ มันยักไหล่เหมือนไม่ใส่ใจให้ผมไปเติมคำในช่องว่างเอาเอง มีไอ้ว่านคอยพยักหน้าเห็นด้วยเป็นระยะ

            "หึงกูเหรอ"

            "เขาเรียกเป็นห่วง ไอ้ควาย" แล้วไอ้ว่านก็ด่าผมซะงั้น

            เสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้งหลังจากที่ผมโดนด่า ไอ้ว่านส่ายหน้าใส่ ไอ้เจนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่ยังไม่ทันได้ต่อบทสนทนาอาจารย์ก็เข้ามาพอดี เป็นอันปิดประเด็นเรื่องนี้ถ้าพวกมันไม่ขุดคุ้ยมาตอแยเอาความอะไรกับผมอีก

            สภาพอากาศกำลังเข้าสู่ช่วงมรสุมแต่ชีวิตผมกำลังก้าวออกจากมรสุมช้าๆ แม้ไม่ได้เกิดมาพร้อมเหมือนคนอื่น แต่อย่างน้อยนอกจากคนในครอบครัวก็ยังมีเพื่อนดีๆ อย่างมันสองคนที่คอยเป็นห่วงกันเสมอ

 

TBC

 

ทำไมต้องว่าต้นสนเราอ่อยอ่ะ ไม่อ่อยก็ไม่ได้นะ (ล้อเล้น ฮา)
เดี๋ยวตอนหน้าพี่ปลื้มมาทำอาหารให้กินนะครับ อาจจะอัพอีกทีไม่วันอาทิตย์ก็จันทร์น้า
ช่วงที่ผ่านมาสมองลื่นงานเลยเดินหน่อย แต่ช่วงนี้กลับมาตื้อๆ อีกแล้ว เหนื่อยกับงานประจำ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณที่แบ่งปันความคิดให้เราอ่านด้วยน้า เจอกันตอนหน้าจ้า

ตอบคุณ a.amyw นะคะ เรื่องที่ว่าใช้เรื่อง key เก็บไว้เป็นความลับ หรือเปล่าคะ
เพราะเคะแก่กว่า ส่วนเมะเป็น นศ.ทพ. เราก็จำไม่ได้ว่ามีฉากโรงอาหารมั้ย (ฮา)
แต่ตอนนี้หาลิ้งไม่เจอแล้วอ่ะค่ะสงสัยโดนแจ้งลบไปแล้วมั้งค้างไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
ดีใจจังมีคนจำได้ (ถ้าใช่เรื่องเดียวกันนะ)

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-10-2017 21:03:09
ต้นสนก็อ่อยจริงๆแหล่ะค่ะ ชวนเขาขึ้นคอนโดตั้งหลายรอบ  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 20-10-2017 23:15:29
ต้นสน อ้อยมาทั้งไร่เลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-10-2017 00:06:03
สะดุดกับชื่อเรื่องจนต้องเข้ามาอ่านคิดว่าจะเป็นแนวดราม่าน้ำตานองซะอีกแต่ก็ไม่ใช่กลับกลายเป็นชื่อเรื่องคือที่มาของความเข้าใจผิด แต่ยังไงก็สนุกอยู่ดีชอบความเป็นห่วงของปลื้มซึ่งตอนแรกก็คิดว่าปลื้มเป็นนายเอกจริงๆนั่นแหละ เพราะถ้าตัดเรื่องความงอแงของต้นสนไปนี่ต้นสนก็เหมือนพระเอกขี้อ้อยเลยนะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-10-2017 02:29:53
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 21-10-2017 03:06:07
 :hao7: อ่อยแบบนี้อีกไม่นานใช่มั้ยย ลุ้นแทนจริมๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-10-2017 12:03:35
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 21-10-2017 19:36:43
ต้นสนแจกอ้อยยยย :o8:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 22-10-2017 00:08:15
ใช่ค่ะๆเรื่องนี้แหล่ะ เรื่องเดียวกันนน เราจำได้5555 และสำหรับตอนนี้มีคำถามคือต้นสนจีบปลื้มอยู่ปัะเนี้ยย คืออ่อยได้เนียนมาก ไม่รู้ตั้งใจมั้ยนะ5555 โอ้ยยน่ารักกกฮือออออ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 12 ★ 20/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 22-10-2017 01:01:51
เห็นเรื่องนี้บ่อยมากอ่ะ  แต่ไม่กล้ากดเข้ามาอ่านนึกว่าจะดราม่า เลยจ้ามตลอดทีนี้ไปเจอคนแนะนำเล่าเรื่องย่อมาคิดว่าน่าสนใจเลยกดเข้ามาอ่าน ปรากฎว่าชอบมากก ชอบการดำเนินเรื่อง ตัวละคร คือมันดีงามมม ไรท์สู้ๆน้า รีบมาต่อ555//หยอกๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 23-10-2017 17:47:45

ตอนที่ 13


            ถ้าจะนับจำนวนครั้งที่ผมได้มาเยือนห้อง 403 หลังจากรู้จักและผ่านเรื่องราวบ้าๆ บอๆ ด้วยกันมาสิบนิ้วมือคงนับไม่พอ คีย์การ์ดที่เจ้าของห้องให้มาก็นับว่าใช้ได้อย่างคุ้มค่า แม้ส่วนใหญ่จะได้ใช้ตอนมาส่งข้าวส่งน้ำก็ตาม

            ช่วง 2-3 วันมานี้ผมกลายเป็นคนว่างงานเพราะป้านกปิดร้านพาครอบครัวไปพักผ่อนที่หัวหิน เลยกลายเป็นฤกษ์งามยามดีที่ต้นสนถือโอกาสทวงสัญญา ที่จริงจะเรียกว่าสัญญาก็ไม่ถูกนัก เรียกว่าโดนบังคับแต่ก็เต็มใจทำจะดีกว่า

            หลังจากเลิกเรียนช่วงบ่ายผมก็มุ่งหน้าไปยังตลาดโดยมีสองศรีเพื่อนรักตามมาด้วย เพราะคำสัญญาที่ให้กับต้นสนไว้ว่าจะทำกับข้าวให้กิน เมื่อวานเจ้าตัวเลยยัดเงินใส่มือผมมาห้าร้อยบาทแล้วบอกว่า 'จัดการได้เต็มที่' พร้อมยกครัวให้ด้วย

ส่วนเมนูที่ผมคิดไว้นั้นมีร้อยแปดพัดเก้า ทั้งที่จริงถ้านับที่ทำได้มีไม่กี่สิบอย่างก็เถอะ พอถามเจ้าตัวก็ตอบกลับมาแค่ว่ากินอะไรก็ได้ มาลองนึกๆ ดูที่เคยเห็นต้นสนกินก็มีแต่อาหารไทยทั่วๆ ไป ไม่แกงร้านป้านกก็กับข้าวโรงอาหาร เพราะฉะนั้นเมนูของเย็นวันนี้ผมเลยเลือกทำอะไรที่แปลกออกไปสักหน่อยอย่าง...สปาเก็ตตี้

            "มันแปลกตรงไหนวะ" คนที่ขัดความคิดผมคือไอ้เจน ก่อนหน้านี้ผมถามหาไอเดียจากมัน แต่มันดันเสนออาหารเกาหลีอย่างบิบิมบับที่ผมยังไม่รู้เลยว่าหน้าตามันเป็นยังไงเลยตัดทิ้งแบบไม่ต้องคิดให้เสียเวลา

            "กูเคยกินที่เดอะพิชซ่า มันก็อร่อยดีนะมึง แต่ประเด็นคืออย่างอื่นกูทำไม่เป็น"

            "อย่างกับไอ้สปาเก็ตตี้นี่มึงทำเป็น ในคาบยังเห็นเปิดกูเกิ้ลจดสูตรอยู่เลย" ไอ้เจนเถียงทันควัน

            เออ ยอมรับก็ได้ ไอ้สปาเก็ตตี้เนี่ยผมก็ทำไม่เป็นหรอก วันๆ ช่วยป้านกหั่นผักหั่นหมู ดีหน่อยก็ช่วยปรุง แต่เพราะมันดูจะทำง่ายที่สุดเลยเลือกมา

            "แล้วทำไมไม่ทำอะไรที่ทำเป็นอยู่แล้ววะ ข้าวผัดต้มยำที่มึงเคยทำก็อร่อยนะ" ไอ้ว่านเสนอ กับพวกมันผมเคยทำให้กินอยู่บ้างนานๆ ที ก็นับว่าเป็นบุญปากพวกมันแล้วที่ได้ลิ้มรสชาติฝีมือการทำอาหารของผม

            "กูกลัวต้นสนเบื่ออาหารไทย"

            "ถามแล้วเหรอถึงรู้"

            "ปกติก็เห็นกินแต่ข้าวแกง เลยอยากทำอะไรแปลกๆ ดูบ้าง"

            ไอ้ว่านกับไอ้เจนหันมองหน้ากัน พวกมันขมวดคิ้วเหมือนกำลังระดมความคิด ดูคิดหนักและเป็นเดือดเป็นร้อนกับอาหารมื้อนี้อยู่ไม่น้อย แต่จะให้มาเปลี่ยนเมนูเอาตอนนี้จะดีเหรอ ผมลิสต์รายการของที่จะซื้อมาหมดแล้ว ถ้าเปลี่ยนก็ต้องคิดอีกว่าจะซื้ออะไรบ้าง

            "กูว่าทำอะไรที่มึงมั่นใจดีกว่า กูเชียร์ข้าวผัดต้มยำ"

            "กูด้วย อยากกิน"

            สรุปที่พวกมันเชียร์เมนูนี้คืออยากกินว่าเองว่างั้น

            ก็ได้ เอาเป็นว่าเย็นนี้ทำข้าวผัดต้มยำก็แล้วกัน

 

            ข้าวผัดสีส้มหน้าตาจัดจ้านมีกุ้งกับปลาหมึกโปะหน้าถูกจัดใส่จานสำหรับสองที่วางไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว กลิ่นหอมๆ ของเครื่องต้มยำชวนให้น้ำลายสอ หน้าตาเองก็น่ากินไม่หยอก เพิ่มความมั่นอกมั่นใจให้พ่อครัวมือสมัครเล่นอย่างผมยิ้มกว้างมองอาหารสองจานตรงหน้าอย่างภาคภูมิใจ

            หลังจากที่โดนเพื่อนรักทั้งสองทิ้งให้จัดการทำมื้อเย็นคนเดียวด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากเข้ามายุ่มย่ามในห้องของต้นสนเพราะไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว ผมก็ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะเนรมิตเมนูนี้ออกมาได้ พร้อมทั้งบริการส่งถึงที่เอาไปให้ไอ้ว่านกับไอ้เจนได้ลิ้มลองรสชาติก่อนจะกลับมาจัดโต๊ะสำหรับเจ้าของห้อง 403 ที่ยังไม่กลับมสักที

            ตามตารางแล้ววันนี้ต้นสนเลิกเรียนหกโมง แต่เพราะอาจารย์เข้าสายคลาสเลยเลทแบบไม่ต้องสงสัย จนตอนนี้ปาเข้าไปหนึ่งทุ่มกว่า ผมว่าคงจะได้เวลาแล้วล่ะมั้ง

            ทว่าคิดยังไม่ทันไรผมก็ได้ยินเสียงประตู สองขาก้าวออกจากครัวไปชะเง้อคอดูก็พบต้นสนในสภาพซอมบี้ หอบกระเป๋าสองใบเดินโซเซแบบแกล้งทำเข้ามาข้างใน

            "หอม" พูดออกมาคำเดียวแล้วซอมบี้ผู้หิวโหยก็โยนกระเป๋าลงบนโซฟาเดินเข้ามาในครัว

            "ทำข้าวผัดต้มยำนะ"

            "น่ากิน"

            "มีทับทิมกรอบซื้อมาจากตลาดด้วย"

            "อยากกิน"

            "นั่งกินหน้าทีวีดีมั้ย"

            "ดี"

            "ไปล้างมือก่อนไป"

            "รับทราบ" ต้นสนรับคำอย่างแข็งขันก่อนเดินไปล้างมือที่ซิงค์

            ผมมองท่าทางเหมือนเด็กน้อยนั่นแล้วได้แต่อมยิ้ม ก่อนยกข้าวผัดต้มยำทั้งสองจานไปวางไว้บนโต๊ะในห้องนั่งเล่นหน้าทีวี ส่วนเจ้าของห้องพอล้างมือเสร็จก็ยกน้ำดื่มตามมา

            "กินเลยนะ หิวมาก"

            "เอาเลย"

            ช้อนส้อมพร้อมอยู่ในมือ พอได้รับคำอนุญาตข้าวผัดคำแรกก็ถูกตักใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ มองตามแล้วผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ทำทีเป็นเขี่ยข้าวยังไม่ยอมกินเพื่อลอบมองปฏิกิริยาจากเจ้าของห้อง จนดวงตาที่คล้ายหมีแพนด้าเบิกกว้างขึ้น ใจผมก็รู้สึกพองโตขึ้นมา

            "อร่อยมาก"

            "อร่อยหรือหิว" ผมแกล้งถาม เป็นมุกที่ใจจริงแล้วอยากให้คนฟังตอบย้ำคำพูดแรกมากกว่าตบมุกกลับมา

            "อร่อยจริงๆ ฝีมือร้ายกาจนะเนี่ย" พูดแล้วเอาช้อนชี้หน้าผม ทั้งที่ข้าวยังเต็มปากอยู่เลย

            "เคี้ยวให้หมดก่อนค่อยพูด"

            "คร้าบๆ" น่าแปลกที่วันนี้ต้นสนไม่หาว่าผมบ่น ยิ้มรับตาปิดตักข้าวกินเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี

            สรุปอร่อยเพราะหิวใช่ไหมล่ะเนี่ย

            "งานเริ่มเยอะอีกแล้วเหรอ" เห็นสภาพในห้องเริ่มกลับมารกอีกครั้งจึงไม่สามารถเดาเป็นอย่างอื่นไปได้ ทั้งสภาพคนทั้งโพสอิท สอบเสร็จก็เปิดรับงานไม่อั้นอีกแล้วสินะ

            "เดือนหน้ามีงานออกบูธ ขายพวกนิยาย แฟนฟิค ของไอดอลเกาหลีอะไรพวกนี้ งานเลยเข้าเพียบเลย ทั้งปกทั้งภาพประกอบ คิดอยู่ว่าอยากเอาโปสการ์ดไปขายด้วยเหมือนกัน"

            "ทำอะไรเยอะแยะ พักบ้างเถอะ เดี๋ยวก็วูบอีก"

            "ไม่ๆ ไม่เยอะเลย โปสการ์ดนี่ของเก่า ส่วนที่จ้างใหม่มีแค่สามงานเอง"

            ผมหรี่ตามองคนพูดกลับกลอกอย่างไม่เชื่อ ไหนเมื่อกี้ว่างานเข้ามาเพียบ มาบอกว่างานไม่เยอะตอนนี้มันไม่ทันแล้ว

            "แต่ก็จะรับเรื่อยๆ ใช่มั้ย"

            "ถ้ามีคนจ้างนะ" ตอบแล้วยิ้มแหย เหมือนกลัวจะโดนผมว่า

            "ปฏิเสธบ้างไม่ได้เหรอ"

            "มันน่าดีใจออกที่มีคนชอบผลงานเรา อยากให้เรามีส่วนร่วมในงานของเขาหรือเก็บผลงานเราไว้ เพราะงั้นเลยไม่อยากปฏิเสธงาน"

            ผมเลิกเซ้าซี้แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เข้าใจอะไรขนาดนั้น ผมไม่รู้ว่าการเป็นคนดัง เป็นคนที่หลายคนยอมรับและถูกชื่นชมมันเป็นยังไง ต้องแคร์ความรู้สึกใครบ้าง ต้องน้อมรับความรู้สึกเหล่านั้นไว้แล้วตอบแทนด้วยผลงานที่ทำให้พวกเขามีความสุขอย่างนั้นน่ะเหรอ

            ความสุขกับสภาพร่อแร่อย่างกับซอมบี้

            "อย่าหักโหมเกินไปแล้วกัน" ผมก็เตือนได้แค่นี้

            "รู้แล้วครับ"

            "เรายังเรียนอยู่ ไม่ได้มีเวลามาทุ่มให้งานพวกนี้อย่างเดียว แค่เรียนก็ปวดหัวจะตายแล้วยังมีเรื่องอื่นมาสุมหัวอีก จะทำมันก็ทำได้อยู่หรอก แต่หัดดูแลตัวเองหน่อย"

            "ยังมีปลื้มอยู่นี่ไง"

            ผมละสายตาจากข้าวผัดตรงหน้าหันไปมองคนพูดที่กำลังอมยิ้ม ล้อเล่นหรือจริงจัง ออกจะโกรธอยู่นิดๆ ที่บอกแล้วต้นสนยังไม่สำนึก แต่ลึกๆ กลับรู้สึกดีใจ เหมือนกับว่าผมสามารถดูแลคนคนหนึ่งได้เขาถึงกล้าพูดแบบนี้ออกมา

            "เราคอยดูแลต้นสนตลอดไปไม่ได้หรอกนะ"

            "แต่อย่างน้อยก็ตอนนี้"

            ริมฝีปากผมยกยิ้มบางๆ อย่างหมดคำพูด ทำทีเป็นเลิกสนใจคนที่เริ่มง้องแง้งใส่แล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวที่เหลืออยู่ให้หมดจาน

            ถึงจะดูแลตลอดไปไม่ได้ แต่อย่างน้อยตอนนี้ ผมจะดูแลคนคนนี้ให้ดีที่สุดก็แล้วกัน

 

            ทั้งของคาวของหวานถูกจัดการจนเกลี้ยง จานยังวางทิ้งไว้บนโต๊ะด้วยความขี้เกียจ ความเหนื่อยล้าที่สั่งสมมาทั้งวันสั่งให้ผมเหยียดตัวนอนยาวๆ ทั้งที่เพิ่งกินอิ่ม เป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรเลียนแบบ

            ผมกับต้นสนต่างคนต่างใช้เวลาส่วนตัวหลังจากอิ่มท้อง นอนเล่นมือถือสลับกับมองทีวี อากาศในห้องเย็นจวนเจียนจะหลับ แล้วอยู่ๆ เจ้าของห้องเปิดประเด็นขึ้นมา

            "ทำไมปลื้มไม่ลองเรียนทำอาหารดูอ่ะ น่าจะเหมาะ" ต้นสนที่นอนอยู่บนโซฟาชะโงกหน้ามาถาม กะทันหันจนต้องใช้เวลาคิดคำตอบสักพัก

            "ไม่เคยคิดเลยแฮะ ไม่ได้คิดด้วยว่าอยากเอามาเป็นอาชีพ"

            "แล้วถ้าเรียนจบปลื้มจะทำอะไร"

            "เอาจริงตอนนี้ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน อยากกลับไปอยู่บ้าน แต่ไม่รู้จะมีงานหรือเปล่า"

            บ้านที่ต่างจังหวัดผมค่อนข้างทุรกันดาร ถ้าอยากได้งานดีๆ ต้องเข้าไปทำในตัวเมืองหรือไม่ก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ยาวๆ ไปเลย คนในหมู่บ้านผมส่วนใหญ่ทำการเกษตรกรรม ปลูกข้าว ทำสวน พ่อแม่ผมเองก็เหมือนกัน รายได้ไม่คงที่ แค่พอให้มีอยู่มีกินไปทุกเดือน

            "แล้วปลื้มทำอะไรได้อีกนอกจากทำกับข้าว"

            ต้นสนโยนคำถามที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนักมาให้ผมอีกครั้ง สิ่งที่ทำได้น่ะมีหลายอย่าง ถ้าถามว่าทำแบบนั้นแบบนี้ได้ไหมให้มันระบุเจาะจงไปเลยยังตอบง่ายกว่า แต่ทุกอย่างที่ทำได้มันไม่สามารถเรียกได้ว่าดีที่สุด

            "ก็หลายอย่าง"

            "อย่างเช่นอะไรอ่ะ กีฬา บาส บอล วอลเลย์"

            "ก็ได้หมด" ผมน่ะนักกีฬาโรงเรียน แถมคงคอนเซ็ปต์เล่นเป็นทุกอย่างแต่ไม่เก่งสักอย่าง

            "ดนตรี"

            "กีตาร์" อันนี้ฝึกไว้เล่นจีบสาว แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้เท่าไร

            "ร้องเพลงได้ด้วยป่ะ"

            "ก็พอได้อยู่" เสียงผมก็ไม่ได้แย่นักหรอก

            "งั้นร้องให้ฟังหน่อยดิ" ต้นสนเด้งตัวลุกขึ้นมานั่ง ร้องขอแววตาเป็นประกายวิบวับคล้ายลูกแมว

            "ตอนนี้อ่ะนะ"

            "ใช่"

            "มีกีตาร์เหรอ"

            "ไม่มีอ่ะ"

            "แล้วจะร้องเฉยๆ เนี่ยนะ"

            "ไม่ได้เหรอ" ถามได้หน้าตาบ๊องแบ๊วจนผมอยากจะเขกหัวแรงๆ สักที ร้องเฉยๆ มันก็เขินไง ถ้าดีดกีตาร์แล้วร้องเพลงไปด้วยมันดูเท่กว่ากันเยอะ

            "ไว้วันหลังเถอะ" ผมบอกปัด แต่ท่าทางต้นสนจะไม่ยอมง่ายๆ

            "อยากได้อะไรมาประกอบจังหวะใช่มั้ย เอาจานได้ป่ะ หรือเปิดคาราโอเกะในยูทูปดี"

            ผมเลือกไม่ถูกว่าจะเหนื่อยใจหรือจะขำกับความดันทุรังนี่ดี พอลั่นวาจาว่าอยากให้ทำก็จะเอาให้ได้ ถึงขั้นจะลุกไปหยิบจานมาเคาะจังหวะให้อย่างที่บอกถ้าผมไม่ห้ามไว้เสียก่อน แบบนี้มันลูกคุณหนูเอาแต่ใจของแท้เลย

            "ถ้ากีตาร์ ไอ้ว่านน่าจะมีมั้ง" นึกถึงใครไม่ออกให้นึกถึงเพื่อนรัก จำได้ว่าตอนปีหนึ่งเคยมานั่งเล่นกีตาร์ที่ห้องมัน แต่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะยังอยู่หรือเปล่า

            "ว่านมีเหรอ"

            "น่าจะนะ เดี๋ยวไปถามมันก่อน"

            ต้นสนรีบพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มกว้าง ทำท่าเหมือนเด็กเวลาอ้อนแล้วได้ของตามใจ เป็นอะไรที่มองแล้วต้องเผลอส่ายหน้าใส่ แต่เป็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้ม

 

            ออกมายืนอยู่หน้าห้องไอ้ว่านผมก็โทรเรียกมันให้ออกมาเปิดประตูให้พร้อมบอกจุดประสงค์ โชคดีที่กีตาร์ตัวนั้นยังอยู่ มันไปค้นออกมาจากห้องนอนพร้อมกับโยนคำถามที่ทำเอาผมตอบไม่ถูกมาให้

            "พวกมึงจีบกันอยู่เหรอ" ไอ้ว่านถามหน้าตาย ส่วนไอ้เจนที่ไม่ยอมกลับบ้านรอคอยคำตอบด้วยความอยากรู้อยากเห็น

            "ถามอะไรของมึงเนี่ย"

            "เอ้า! ก็อยู่ๆ มาขอกีตาร์ไปร้องเพลง กูก็นึกว่าจะร้องเพลงจีบกันไรงี้"

            "คิดได้นะมึง แค่ร้องเล่นกันเฉยๆ พวกมึงจะไปด้วยมั้ยล่ะ"

            พวกมันสองคนพากันส่ายหน้าอย่างพร้อมเพรียง เข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย

            "ตามสบายครับเพื่อน ขอให้สนุกนะ"

            "มีอะไรก็มาเล่าให้พวกกูฟังด้วย"

            "เออๆ" ผมตอบรับส่งๆ มองพวกมันที่ยิ้มแปลกๆ พร้อมใจกันยกมือบ๊ายบายก่อนผมจะเดินออกมาจากห้องพร้อมกีตาร์โปร่งของไอ้ว่าน

 

            เห็นผมถือกีตาร์กลับเข้ามาในห้องต้นสนก็ยิ้มแฉ่ง ขยับแบ่งที่นั่งบนโซฟาให้ผมครึ่งหนึ่ง

            "เอาเพลงอะไรดี" จัดแจงท่านั่งเรียบร้อยผมก็ถามความเห็นคนที่อยากฟัง ตอนนี้ในหัวผมว่างเปล่ามาก นึกไม่ออกเลยว่าจะเล่นเพลงอะไร

            "ปลื้มเล่นเพลงอะไรได้บ้าง"

            "ถ้ามีคอร์ดก็เล่นได้หมด"

            "แล้วจะดูคอร์ดไงอ่ะ" ถามแล้วก็ทำหน้ามึนใส่ แล้วผมจะไปรู้ไหมล่ะ

            "เปิดดูในมือถือก็ได้มั้ง"

            "งั้นไปหน้าคอมฯ ดีกว่า" ว่าแล้วก็ลุกขึ้นกวักมือเรียกผมยิกๆ ให้เดินตามไป

            ต้นสนจัดการเปิดคอมพิวเตอร์ จัดเก้าอี้ทั้งสองตัวให้อยู่ระหว่างกลางของหน้าจอพอดี เปิดเข้ากูเกิ้ลแล้วถึงได้หันมาถามผม

            "สรุปเอาเพลงอะไร"

            "เลือกมาเลย"

            "ก่อนฤดูฝนมั้ย"

            "เฮ้ยไม่เอา! ร้องไม่ทัน" ผมรีบปฏิเสธแบบไม่ต้องคิดจนต้นสนหัวเราะออกมา เพลงนี้มันมีท่อนไม้ตายที่ผมยังไม่รู้เลยว่าสรุปท่อนนั้นมันร้องว่ายังไง

            "ไหนบอกเอาเพลงอะไรก็ได้ไง"

            "แต่ไม่เอาเพลงนี้ เลือกใหม่"

            ถึงจะโดนปฏิเสธแต่เจ้าของห้องยังคงยิ้มอารมณ์ดี ผมรู้อยู่แล้วว่าต้นสนแค่จะแกล้งกัน ที่จริงผมน่าจะรับมุกนะ พอถึงท่อนนั้นก็แค่ดำน้ำไปมั่วๆ เจ้าตัวคงชอบใจอยู่ไม่น้อย แต่มาคิดได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

            "งั้นเพลงระยะปลอดภัย"

            ผมพยักหน้ารับต้นสนก็ยิ้มกว้างก่อนพิมพ์ชื่อเพลงลงในกูเกิ้ลเพื่อหาคอร์ดกีตาร์ให้ผม ใช้เวลาแป๊บเดียวหน้าเว็บที่มีคอร์ดเพลงระยะปลอดภัยก็โชว์อยู่บนหน้าจอ ผมจับคอร์ดวอร์มนิ้วลองดีดสองสามคอร์ดแล้วเงยหน้าหวังจะให้สัญญา แต่เมื่อเจอสายตาเป็นประกายของอีกฝ่ายที่จ้องมาก็เป็นอันต้องชะงัก

            พอเอาเข้าจริงก็ชักรู้สึกเขินขึ้นมา เขินสายตากับรอยยิ้มสดใสนั่น

            "เริ่มแล้วนะ"

            "อื้ม"

            ต้นสนรีบพยักหน้ารับ ริมฝีปากที่ดูไม่ซีดเซียวเหมือนเก่ายังคงแย้มยิ้ม พาลให้ผมที่พยายามจะเก๊กหน้านิ่งเพื่อเก็บอาการเขินยิ้มตามไปด้วย สุดท้ายเลยตัดปัญหาด้วยการก้มหน้ามองคอร์ดมันซะเลย

            เริ่มดีดอินโทรผมก็ลอบมองท่าทางของต้นสนเป็นระยะ เจ้าตัวนั่งอมยิ้มโยกหัวตามมือตบต้นขาเป็นจังหวะเดียวกัน นับว่าฟอร์มผมยังพอใช้ได้แม้จะไม่ได้จับกีตาร์มาเป็นเดือน จนเมื่อถึงท่อนร้องริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปบาร์มกลิ่นแอปเปิ้ลก็ยิ้มกว้างกว่าเดิม

 

            "ช่วงเวลาดีดีที่เธอและฉันไม่ต้องกังวลอะไร
          เป็นช่วงเวลาดีดีที่เราทั้งสองจะมีแต่ความเข้าใจ
          วันนี้เป็นวันดีดี วันนี้เราควรจะทำอะไร"

           

            "ทำข้าวผัดต้มยำกินไง"

            มีจังหวะเว้นให้ต้นสนก็พูดสวนขึ้นมาแล้วหัวเราะชอบใจ ผมมองแล้วได้แต่ยิ้มกว้างจนคิดว่าปากอาจจะฉีกขึ้นไปจนถึงหูแล้วก็ได้

            ช่างคิดจังนะคนเรา

 

            "วันที่อะไรอะไรก็ดูจะเหมือนจะคอยเป็นใจให้กัน
          วันนี้จะทำอะไร ก็ดูจะเหมือนไม่ต้องระแวดระวัง
          วันนี้คือวันดีดีมีฉันและเธอคนดีเท่านั้น"

 

            "ดีจริงๆ นั่นแหละ"

            รอบนี้เสียงที่พูดบ่อยกว่าเดิม หากแต่รอยยิ้มยังคงแต่งแต้มอยู่บนใบหน้าไม่จางหายไปไหน ทั้งเขา...และผม

 

            "มีบรรยากาศฝนตกรถติดช่วยฉัน ยังมีมือเปล่าว่างอยู่ให้จับเท่านั้น
          ลองดูที่แก้มฉัน เธอนั้นว่ามีอะไร"

 

            "มีไขมันมั้ง" ว่าแล้วก็ยื่นนิ้วมาจิ้มแก้มผมจนเผลอโยกตัวหนี ยังดีที่ผมสติมั่นคง มือเปลี่ยนคอร์ดในขณะที่ส่งยิ้มให้คนขี้แกล้ง

 

          "เอามือไปแตะหน้าผากว่าตัวร้อนไหม เอาเธอมากอดข้างกายไม่แบ่งใครๆ
          มีเราเพียงเท่านั้น มีเธอและมีฉัน อยู่ในวันสำคัญ ของเรา"

           

            เพลงแรกจบลงแต่เพียงเท่านี้ ผมแอบโล่งใจนิดๆ ที่ต้นสนไม่บ้าจี้เล่นตามเพลง อย่างเช่นเอามือมาแตะหน้าผากหรือเข้ามากอดเหมือนตอนเอานิ้วมาจิ้มแก้ม เพราะถ้าหากเป็นแบบนั้นผมคงทำอะไรไม่ถูกแน่ๆ แค่เล่นกีตาร์ร้องเพลงให้ฟังก็รู้สึกเขินจะแย่แล้วต้องมาเจอสายตาเป็นประกายนั่นอีก

            ไม่ใช่ว่าผมรู้สึกแย่ กลับรู้สึกดีมากเสียด้วยซ้ำ

            ได้เห็นสีหน้ากับรอยยิ้มที่อยากเห็น ก้อนเมฆสีเทาและความมืดมนที่ค่อยๆ จางหายไป พร้อมกับความรู้สึกใหม่ที่เพิ่มเข้ามา

            "ร้องเพลงเพราะนะเนี่ย"

            "อยู่แล้ว"

            "ไม่ถ่อมตัวหน่อยเหรอ"

            "คนเราต้องยอมรับความจริงไง"

            "ครับๆ ต่อไปเอาเพลงอะไรดี" ต้นสนตอบรับมุกผมด้วยสีหน้าหน่ายๆ ก่อนจะยิ้มออกมาให้รู้ว่าแกล้งทำ

            "รีเควสมาเลย เดี๋ยวพี่จัดให้"

            สายตาที่มองมาเหมือนจะหมั่นไส้อยู่หน่อยๆ ต้นสนยู่หน้าใส่ผมก่อนพิมพ์ชื่อเพลงต่อไปลงในช่องค้นหาแล้วกดปุ่มเอนเทอร์ รอไม่ถึงวินาทีหน้าจอก็แสดงหน้าเว็บที่มีคอร์ดเพลงของเพลงนั้นให้เลือก

            เสียงกีตาร์กับเสียงร้องเพราะๆ ของผมยังดังอย่างต่อเนื่องไม่รู้เบื่อ ผมอยากร้อง เจ้าของห้องเองก็อยากฟัง ความเขินในทีแรกหายไปกลายเป็นความสุขเข้ามาแทนที่ ความสุขที่มาพร้อมความสดใส รอยยิ้มนั้นเสียงหัวเราะนั้น

            ก้อนเมฆสีอึมครึมที่พาลทำให้บรรยากาศโดยรอบมืดมนนั้นมันคงใกล้จะหายไปแล้วจริงๆ

            หายไป...ด้วยฝีมือของผมเอง



TBC

 

เอาข้าวผัดต้มยำฝีมือปลื้มมาเสิร์ฟค่า

ช่วงที่เขียนตอนนี้เป็นช่วงที่ฝนตกหนักเมื่ออาทิตย์ก่อนๆ ที่น้ำท่วมแหละ

เลยรู้สึกว่ามันตรงกับช่วงเวลาในนิยายเราพอดีเลยเนอะ ตอนเขียนเลยอินสุดๆ อินกับฝน ฮา

ตอนนี้ก็ยังคงอ้อยอย่างต่อเนื่อง บางทีที่บ้านต้นสนอาจจะทำธุรกิจค้าอ้อยก็ได้นะคะ ^^

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 23-10-2017 18:22:08
ชอบบบบ บรรยากาศแบบนี้อ้ะ
ปลื้มหลงต้นสนแล้วใช่มั้ยล่าววว :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-10-2017 19:57:25
ปลื้มอบอุ่น ต้นสนน่าร้ากกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 23-10-2017 20:12:34
ละมุนมาก น่ารัก ><
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 23-10-2017 20:44:38
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 23-10-2017 20:58:55
ชอบอะ นึกว่าจะหม่นหมองทั้งเรื่องซะอีก น่ารักมาก ๆ เลยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 24-10-2017 03:01:07
เขาไม่ได้จีบกันค่ะไม่ได้จีบเล้ยยยย555555 :hao5: :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-10-2017 08:11:08
 :m1: :m1: :m1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 24-10-2017 09:36:54
ทำขนาดนี้ชวนเขามาอยู่ด้วยเลยไหมจ้ะต้นสน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 24-10-2017 10:14:33
หวานกันจางงง 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 24-10-2017 19:22:23
ค่ะ ไม่ได้จีบเล้ยยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: pandant ที่ 24-10-2017 21:00:41
หูย เพิ่งได้เข้ามาอ่าน อ่านรวดเดียวเลย ชอบมาก เขียนดี ภาษาละมุน... เราว่ กลับบ้านไปขายอ้อยน่าจะเวิร์คนะ ถ้าอ้อยกันขนาดนี้แล้ว
ถ้าหอพักมีปัญหาเรื่องเงินอีก แต่งเข้าคอนโดไปเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-10-2017 22:29:47
ถ้าแบบนี้ไม่ได้จีบ แล้วถ้าเริมจีบจะขนาดไหน หวานกันไม่เกรงใจข้าวผัดเลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-10-2017 23:04:12
ต้นสนยังสกิลความอ่อยไม่เปลี่ยนแปลง อยากให้ปลื้มจ้บก็บอกเขาไปตรงๆสิลูก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 13 ★ 23/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 25-10-2017 17:40:12
เริ่มอ่านเรื่องนี้ตอนอัพถึงตอนที่3 แล้วเราพึ่งกลับมาอ่านเมื่อวาน บอกเลยว่าเรารู้ว่าสนอ่ะเคะ แต่เราเชียร์ให้สนเมะมากๆเลย5555 ปลื้มแม่บ้านขนาดนี้ ถ้ามาแนวแบบสนเมะต้องการที่พึ่งพิงงี้ แล้วปลื้มก็เข้ามา(ถึงตอนแรกจะมาแบบมืดๆก็เถอะ) หลังจากนั้นพอผ่านอะไรมาด้วยกันแล้วต้นสนก็รักและติดเมี--     แค่กๆ  ขอโทษค่ะ5555  :hao7: แล้วก็มาต่อไวๆนะเราจะรอ~ :call:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 28-10-2017 19:44:17

ตอนที่ 14

 
          ช่วงนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าประเทศไทยจะมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตกหนักบางพื้นที่แถวภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ รวมถึงที่คอนโดตอนนี้ก็เช่น

          "เบื่อฝนตก" ผมบ่นระหว่างที่กำลังนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนโซฟาในห้องต้นสนอย่างขี้เกียจ หลังจากที่เรากินข้าวเย็นกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

          วันนี้เป็นอีกวันที่ต้นสนใช้บริการเดลิเวอรี่ให้ผมมาส่งข้าวที่ห้อง เพราะเจ้าตัวต้องรีบปั่นงานให้ทันงานออกบูธที่เล่าให้ฟังเมื่อคราวก่อน ทั้งงานลูกค้าและงานตัวเอง จนใกล้จะโดนร่างซอมบี้สิงอีกรอบ กระทั่งครีมบำรุงกับอาหารเสริมที่ซื้อให้ก็เอาไม่อยู่

          "เย็นดีจะตาย" คนที่กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าคอมฯ พูดขึ้นมา เป็นความเห็นคนละขั้วที่ตรงใจผมนิดหน่อย แต่ยังไงก็รำคาญเวลาฝนตกอยู่ดี

          วันนี้ฝนพรำตั้งแต่เย็น ก่อนจะเริ่มตกหนักหลังจากผมมาถึงห้องต้นสนได้แป๊บเดียว ตกหนักชนิดที่ว่ามืดฟ้ามัวดิน น้ำคงท่วมซอยอย่างไม่ต้องสงสัย เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมสามทุ่มกว่าแล้วผมถึงยังนอนยาวเป็นงูเหลือมอยู่ที่นี่ เพราะแค่เดินออกจากคอนโดก็คงเปียกซกทั้งตัวแม้จะมีร่มคันน้อยช่วยกำบังก็ตาม

          "ปลื้มเบื่อแล้วเหรอ" เจ้าของห้องตะโกนมาจากโต๊ะทำงาน เป็นการคุยกันที่ให้ความรู้สึกโวยวายอยู่หน่อยๆ แต่ไม่ยักน่ารำคาญเหมือนฝนที่กำลังตก

          แล้วถามว่าผมเบื่อไหม มันก็...ไม่หรอก

          "จะไปหาว่านก็ได้นะ"

          "ไล่เหรอ"

          "ไม่ได้ไล่ ก็นึกว่าเบื่อไง เราทำงานไม่มีเวลาเล่นด้วย"

          "ไม่ใช่เด็กน้อยนะถึงต้องมาเล่นด้วยตลอดเวลา"

          ได้ยินเสียงต้นสนหัวเราะกลับมา ฟังแล้วรู้สึกอารมณ์ดีจนต้องยิ้มตาม บางทีการติดฝนจนไม่ได้กลับหอก็ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อนัก

          ผมนอนเล่นมือถือฆ่าเวลา เปิดเข้าเฟซบุ๊กก็เจอพ่อศิลปินผู้มืดมนเพิ่งอัพเดทผลงานใหม่ เป็นรูปนักศึกษาหญิงชายยืนหันหลังอยู่ข้างกัน ระยะห่างไม่ไกลนักเพียงเอื้อมมือเล็กน้อยก็ถึง ในมือของนักศึกษาหญิงถือร่มหันหน้ามองฝ่ายชายที่มองตรงไปด้านหน้า กับฝนที่กำลังโปรยปรายจากท้องฟ้าสีครึ้ม เป็นรูปที่เข้ากับบรรยากาศช่วงนี้เสียจริง

          'ใต้ร่มแห่งรัก ฉันไม่อาจจะบอกความรู้สึกที่เก็บซ่อนเอาไว้'

          จะว่าไปแล้วก็แอบเป็นแคปชั่นที่เสี่ยวอยู่หน่อยๆ

          ผมยันตัวลุกขึ้นจากโซฟาเดินเข้าไปหาต้นสนที่โต๊ะทำงาน จากตอนแรกที่นั่งหน้าคอมฯ ก็เปลี่ยนมานั่งวาดรูปที่โต๊ะข้างๆ เป็นขั้นตอนที่กำลังลงสีน้ำ ถาดสีกับอุปกรณ์เกี่ยวกับการวาดรูปบางชิ้นที่ผมไม่รู้จักวางอยู่เต็มโต๊ะ เยอะจนไม่กล้าเข้าไปยุ่มย่ามกลัวจะไปวุ่นวายเข้า

          "ลากเก้าอี้มานั่งดิ" ต้นสนละสายตาจากงานหันมามองผมที่ยืนดูอยู่ห่างๆ เจ้าตัวชี้ไปที่เก้าอี้โต๊ะคอมฯ แล้วออกคำสั่ง

          คนไม่มีอะไรอย่างผมก็ทำตัวแสนว่าง่ายลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ ระยะห่างพอให้ไม่รบกวนต้นสนจนเกินไป นั่งมองปลายพู่กันที่แต้มสีฟ้าอ่อนละเลงแต่งแต้มสีสันลงบนกระดาษ ผมไม่ใช่คนที่ชอบศิลปะอะไรนัก ฝีมือวาดรูปเข้าขั้นแย่ แต่กลับมีสองสิ่งที่ผมชอบ

          มันคือเสียงครืดๆ ของดินสอ กับปลายพู่กันที่สะบัดพัดพลิ้วไปมา เพียงแค่มองก็เหมือนถูกสะกดจนยากจะละสายตา

          เสียงเพลงเบาๆ ที่ต้นสนเปิดคลอไว้กับความเพลิดเพลินจากปลายพู่กันทำเอาผมเคลิ้มแทบหลับ เหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาใกล้สี่ทุ่ม ผมเลยลุกจากเก้าอี้ไปดูวี่แววของฝนที่หน้าต่างแต่กลับไม่ต่างจากชั่วโมงก่อนเลยสักนิด แบบนี้คงตกทั้งคืนเป็นแน่ แล้วผมจะได้กลับหอตอนไหน

          "ฝนยังไม่หยุดตกเลย" ผมกลับมานั่งที่เก้าอี้ตามเดิม บ่นด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายจนต้นสนหันมามอง

          "คงตกทั้งคืน"

          "สงสัยจะเป็นแบบนั้น"

          "ปลื้มจะค้างที่นี่ก็ได้นะ" ต้นสนพูดเชิญชวนด้วยรอยยิ้มก่อนกลับไปสนใจงานตรงหน้าต่อ

          ถ้าพูดถึงเรื่องค้างคืนมันก็ได้อยู่หรอก แต่ในฐานะที่ผมเป็นเพื่อนสนิทกับไอ้ว่านที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามถ้าผมจะค้างไปรบกวนมันน่าจะเหมาะกว่าหรือเปล่า

          แต่ตอนนี้ต้นสนชวนผมไม่ใช่ไอ้ว่าน เรื่องความเหมาะสมอะไรนั่นก็ช่างมันเถอะ

          "ได้เหรอ"

          "ทำไมจะไม่ได้ ก็เคยค้างแล้วนี่" ทักมาแบบนี้ทำเอาผมอยากเปลี่ยนใจ เมาแล้วเผลอหลับแบบนั้นอย่าเรียกว่าเคยค้างเลยดีกว่า

          "แล้วเสื้อผ้า"

          "ไม่เคยยืมเสื้อผ้าเพื่อนใส่เหรอ"

          คำตอบของต้นสนเหมือนอยากจะด่าผมอยู่กลายๆ เราสองคนขนาดตัวไม่ได้ต่างกันมาก ผมน่าจะสูงกว่าสักห้าเซนต์ ส่วนเรื่องความผอมบางนั้นต้นสนชนะขาด แม้ช่วงนี้จะดูอ้วนขึ้นมีน้ำมีนวลมากกว่าแต่ก่อนก็ตาม

          "ค้างก็ค้าง"

          "ไม่ได้บังคับนะ"

          ผมเหลือบตามอง คำพูดผมมันเหมือนคนโดนบังคับตรงไหน แค่เกรงใจแล้วอยากให้เจ้าของห้องย้ำว่า 'ค้างสิ' ก็แค่นั้น

          "เต็มใจสุดๆ"

          ได้รับคำตอบแกมประชดประชันจากผมต้นสนก็อมยิ้ม ละสายตาออกจากกันก่อนกลับไปสนใจงานตรงหน้าที่เหมือนลงสีใกล้เสร็จแล้ว

          รูปเด็กผู้ชายที่กำลังแหวกว่ายไปกับฝูงปลาอยู่ใต้ท้องทะเล ให้ความรู้สึกอิสระ แต่ล้ำลึกและน่ากลัว

          "ปลื้มวาดรูปเป็นมั้ย" งานที่เพิ่งลงสีเสร็จถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะ ต้นสนเปลี่ยนเป้าหมายมาหาผม รอบนี้อยากจะทดสอบอะไรกันอีก

          "ไม่เป็นเลย"

          "จริงดิ"

          "วาดคนก้างปลาได้นะถ้าอยากดู"

          ผมเป็นคนที่ค่อนข้างไร้ฝีมือทางศิลปะ ไม่สิ เรียกว่าไร้จินตนาการด้านการวาดรูปจะดีกว่า เป็นคนที่ไม่สามารถวาดสิ่งที่คิดออกมาเป็นลายเส้นได้ แต่จินตนาการในด้านความมโนนั้นดูเหมือนว่าจะชนะเลิศ

          "ไหนลองวาดโดเรม่อนให้ดูหน่อย" ดูท่าต้นสนจะไม่เชื่อคำพูดผมสักเท่าไร

          ผมเป็นพวกทำอะไรได้หลายอย่างก็จริง ทำอาหาร เล่นดนตรี เล่นกีฬา ยกเว้นเรื่องวาดรูป แต่ในเมื่อเจ้าตัวขอมาผมก็จัดให้ รับดินสอกับกระดาษที่ต้นสนยื่นให้แล้วเริ่มลงมือ วาดหัวกลมๆ ตัวกลมๆ แขนกลมๆ ขากลมๆ สรุปคือกลมทั้งตัว เติมปาก จมูกและหนวด รวมถึงกระเป๋าหน้าท้องเป็นอันเสร็จ

          "ตัวอะไรเนี่ย" ต้นสนหัวเราะคิกคักชอบใจยกใหญ่ ผมว่ามันคงเป็นโดราเอม่อนที่น่าเกลียดที่สุดที่เจ้าตัวเคยเห็นมา

          "โดเรม่อนไง"

          "ก็น่ารักดี"

          "เป็นโดเรม่อนเวอร์ชั่นมิชลิน"

          "ยังจะเล่นอีก" ว่าแล้วต้นสนก็หัวเราะอีกรอบ จะขำง่ายอะไรขนาดนั้น

          ผมมองต้นสนหัวเราะแล้วก็เผลอยิ้มตาม รับรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่แค่ทำให้หน้าตาหม่นหมองสดใสขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงอยากเห็นรอยยิ้มที่เจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ มันยังรวมถึงเสียงหัวเราะที่เหมือนสายลมแห่งความสุขนี้ด้วย

          ใบหน้าต้นสนยังแต้มด้วยรอยยิ้มระหว่างเก็บภาพโดราเอม่อนสุดน่าเกลียดของผมไว้ในสมุดสเก็ตซ์ภาพ มันคือช่วงพักคั่นเวลา เสร็จแล้วหนึ่งงานแต่ยังเหลืออีกหลายงานที่รออยู่ คืนนี้คงไม่พ้นนั่งทำงานจนเลยเที่ยงคืนแน่ๆ

          "ไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวชุดของปลื้มเราเตรียมไว้ให้ จะอาบตอนไหนก็ตามสบายเลย ส่วนพรุ่งนี้อยากใส่ชุดอะไรก็เลือกเอา"

          พอผมพยักหน้ารับตามคำบอกต้นสนก็ลุกเดินหายเข้าไปในห้อง ทิ้งให้แขกผู้มาเยือนนั่งเคว้งคว้างอย่างไม่รู้จะทำอะไร คิดว่าจะไปนั่งดูทีวีเป็นการฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันได้ลุกก็ดันเหลือบไปเห็นบางอย่างที่น่าสนใจเข้า

          บนโต๊ะทำงานที่รกมากจนผมไม่กล้าหยิบจับอะไร สมุดโน้ตเอย โพสอิทเอย อุปกรณ์วาดรูปนานาชนิดๆ ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้นยังมีสมุดสเก็ตซ์ภาพหน้าปกสีเหลืองสดใสแสนสะดุดตา เป็นเล่มที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

          ผมรู้ว่าการหยิบของคนอื่นมาดูโดยไม่ได้รับอนุญาตมันเสียมารยาท แต่มือเจ้ากรรมดันไวกว่าจิตใต้สำนึกคว้ามันมาถือไว้เสียแล้ว มันก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอนั่นแหละ ทำไปก่อนแล้วค่อยมาสำนึกได้ทีหลัง ต่างกันที่ครั้งนี้ไม่ร้ายแรงนัก แค่ขอแอบดูสมุดวาดรูป หวังว่าต้นสนคงไม่โกรธ

          ผมเปิดหน้าแรกของสมุดสเก็ตซ์ดูด้วยหัวสมองที่ว่างเปล่า แต่เมื่อเห็นภาพที่ถูกวาดเอาไว้กลับมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย คิ้วเริ่มขมวด ในหัวเริ่มวิเคราะห์

          ท่าทางแบบนี้ ลักษณะแบบนี้ สิ่งของประกอบฉาก คนที่อยู่ในรูปนี้มัน...ตัวผมเองไม่ใช่หรือไง

          หน้าที่สอง สาม สี่ ยังคงเป็นภาพเหตุการณ์ที่คุ้นเคย มันคล้ายกับไดอารี่ เพียงเปลี่ยนจากตัวอักษรเป็นรูปวาด บันทึกเรื่องราวตามลำดับเหตุการณ์ ตั้งแต่เริ่มรู้จัก เริ่มใกล้ชิด จนถึงเหตุการณ์หน้าสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้

          รูปวาดที่ผมนั่งดีดกีตาร์อยู่หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ตัวนี้

          ผมปิดสมุดสีเหลืองสดใสเล่มนี้ลงแล้ววางมันไว้ที่เดิม หัวคิ้วที่ขมวดคลายออกไปนานแล้ว แต่เป็นรอยยิ้มที่ติดอยู่ตรงริมฝีปากนี่สิที่ทำยังไงก็ไม่ยอมหยุดยิ้มเสียที

          ก็แค่มีใครบางคนบันทึกเรื่องราวระหว่างกันในรูปแบบภาพวาด ไอดารี่ที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจให้ดูแต่ก็ดันไปเห็น ไม่คิดเลยว่ามันจะทำให้หัวใจพองโตขนาดนี้

          มีความสุขชะมัด

 

          หลังจากอาบน้ำเสร็จผมมานอนดูทีวีที่โซฟา แต่งตัวด้วยชุดเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขาสั้นยางยืดที่ต้นสนบอกว่าใส่แล้วจะนอนหลับสบาย เป็นเครื่องแต่งกายที่ไม่ต่างกันทั้งผมและเขา แต่ต่างกันตรงที่อีกคนยังนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

          นอนเล่นจนเริ่มง่วง เผลอแป๊บเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาใกล้เที่ยงคืน ผมเดินในสภาพเหมือนคนใกล้หลับไปหาต้นสน ตั้งใจว่าจะชวนอีกฝ่ายเข้านอน แต่เจ้าตัวคงไม่ยอมง่ายๆ

          ผมยืนมองงานที่ต้นสนกำลังทำอยู่ในคอมพิวเตอร์ มันเป็นการ์ตูนสี่ช่องที่ผมไม่รู้ว่าเจ้าตัวเขียนขึ้นเองหรือรับทำแก๊กให้ใคร ถึงอย่างนั้นก็อยากจะกวน เลยแกล้งชวนคุยให้อีกคนละความสนใจออกจากงาน

          "ทำอะไรอยู่"

          "การ์ตูนสี่ช่อง ว่าจะใส่ลงในแฟนบุ๊ค" ต้นสนตอบโดยที่ไม่หันมามองผม สายตาจดจ่ออยู่กับการทำงาน ทำให้การก่อกวนของผมล้มเหลว

          "เอาไปขายที่งานด้วยเหรอ"

          "ถูกต้อง"

          "ไหนบอกจะขายแค่โปสการ์ดอันเก่า"

          "ก็มันอยากทำอ่ะ" ตอบเสียงเล็กเสียงน้อยในขณะที่มือยังขยับเมาส์ไม่หยุด

          "แล้วใกล้เสร็จยัง" ได้ยินคำถามนี้ต้นสนก็หันกลับมามองผม เจ้าตัวยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยออกมา

          "ถ้าง่วงปลื้มไปนอนก่อนก็ได้นะ"

          นั่นไง ผมเดาผิดที่ไหน ลองให้ตั้งใจขนาดนี้คงไม่ยอมทำตามที่ผมบอกง่ายๆ แน่

          "พรุ่งนี้ไม่กลับบ้านเหรอ"

          "กลับๆ"

          "กี่โมง"

          "เจ็ดโมงมั้ง"

          "แล้วจะนอนกี่โมง"

          "นอนสักตีสองตีสามตื่นหกโมงก็ได้"

          "ได้นอนแค่แป๊บเดียวเอง"

          "เยอะแล้ว"

          "มันพอที่ไหน ต้องขับรถกลับเองอีก"

          "แค่นี้สบายมาก"

          ต้นสนเถียงคำไม่ตกฟากจนผมหมดคำจะหว่านล้อม ยอมใช้ครีมบำรุงยอมกินวิตามินก็จริงแต่ถ้ายังนอนน้อยแบบนี้มันย่อมไม่เป็นผลดีต่อร่างกายอยู่ดี แล้วที่ว่าจะนอนตีสอง จะทำจริงอย่างที่บอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ดีไม่ดีทำงานจนเพลินเลยไปยันหกโมงเช้า

          "ให้ถึงเที่ยงคืน" ผมยื่นคำขาด อย่างน้อยต้องได้สักหกชั่วโมง

          "ไม่เอาน่าปลื้ม"

          "เดี๋ยวก็เพลียอีก เกิดวูบขึ้นมาจะทำไง"

          "ไม่เป็นไรหรอกน่า"

          "ถ้าไม่ยอมดีๆ จะบังคับนะ" ผมยื่นคำขาดก่อกวนแบบสุดกำลังจนต้นสนหันมาอ้าปากค้างใส่

          เข้าใจว่าทำตัวไร้เหตุผลมาขัดขวางการทำงานแบบนี้มันไม่ดี แต่เพราะมันเคยเกิดเหตุการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิตมาแล้ว สภาพตอนนี้ก็ใช่ว่าจะสู้ดีสักเท่าไร ยิ่งฝืนไปยิ่งมีแต่แย่ การโหมงานหนักแล้วคิดว่าค่อยพักผ่อนทีเดียวมันไม่ส่งผลดีต่อร่างกายเลยสักนิด

          "บังคับยังไงอ่ะ จะแบกไปนอนเหรอ"

          "อย่าคิดว่าจะอุ้มไม่ไหว" ตัวผอมกะหร่องแบบนี้หนักถึงห้าสิบกิโลหรือเปล่าก็ไม่รู้

          "ไม่เป็นแบบนี้ดิ เดี๋ยวมันเสร็จไม่ทัน" ต้นสนเริ่มใช้น้ำเสียงงอแงเข้าสู้ แต่ผมไม่ใช่คนที่แพ้ลูกอ้อนคนดื้อแบบนี้หรอก

          "ก็บอกแล้วว่าให้ถึงแค่เที่ยงคืน"

          "ตีหนึ่ง"

          "ไม่"

          "เที่ยงคืนสี่สิบห้า"

          "ไม่"

          "ครึ่งก็ได้"

          "ไม่"

          "โหยปลื้ม"

          "ถ้าไม่ยอมไปนอนจะจูบแล้วนะ" ผมที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังก้มลงไปค้ำโต๊ะคอมฯ ไว้ทำให้ต้นสนถูกขังไว้ในวงแขน

          คำขู่ที่ลั่นวาจาออกไปโดยไม่ผ่านกระบวนการคิดทำเอาต้นสนเงียบกริบไม่เถียงต่อ ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อเท่าไรว่าตัวเองจะพูดแบบนี้ออกไป เราสบตากันนิ่ง แต่กลับเป็นผมเองที่รู้สึกหวั่นไหว หวั่นใจกลัวว่าคำที่พูดไปนั้นจะทำให้คนฟังคิดไปในทางที่ไม่ดีหรือเปล่า ปากอยากจะแก้ตัวว่าล้อเล่นแล้วผละออกมาหากแต่มันช้าไป

          "ถ้าจูบแล้วจะยอมให้ทำต่อใช่มั้ย"

          คำถามที่เหมือนเด็กช่างสงสัยทำเอาผมตอบไม่ถูก ก้อนเนื้อใจอกขยับเต้นเป็นจังหวะเร็วขึ้น ไม่ยอมตอบรับหรือปฏิเสธ จนเมื่ออีกฝ่ายหลับตาลงความคิดทั้งหมดก็เหมือนถูกปิดสวิตช์

          หนึ่ง...

          สัมผัสได้ถึงความนุ่มและหอมกลิ่นแอปเปิ้ล

          สอง...

          ชวนฝัน จนอยากจะสัมผัสให้ลึกกว่านี้สักนิด

          สาม...

          แต่แล้วทุกอย่างมันก็จางหายไป

          "ขอทำงานอีกหนึ่งชั่งโมงนะ แล้วจะรีบตามไปนอน" เสียงอ้อมแอ้มดึงให้ผมหลุดออกจากภวังค์แล้วเปิดเปลือกตาขึ้น

          ต้นสนกลับไปทำงานต่อแล้ว ผมเลยยืดตัวขึ้นยืนตรงแล้วเกาต้นคออย่างเก้อๆ รู้สึกหน้าร้อนนิดๆ ไม่รู้ว่าอีกคนจะเป็นเหมือนกันไหมเพราะใช้โอกาสช่วงที่ผมกำลังเคลิ้มหนีหลบหน้าไปก่อน

          "ไปนอนแล้วนะ" บอกเพียงเท่านี้ผมก็หมุนตัวเดินเข้าห้องนอน แต่ยังไม่วายแอบหันไปมองคนที่เอาแต่นั่งจ้องจอคอมจนตัวเกร็งไปหมด

          จะว่าไปแล้วลิปบาล์มกลิ่นแอปเปิ้ลนั่นมันก็หวานดีเหมือนกันแฮะ แต่สามวินาทีกับหนึ่งชั่วโมงที่ต่อรอง

          มัน...ไม่ขี้โกงไปหน่อยเหรอ

 

          แรงขยับยุกยิกข้างตัวปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาแม้จะยังหลับไม่เต็มตานัก จะเรียกว่าหลับๆ ตื่นๆ ก็คงได้ เพราะมัวแต่พะวงเรื่องเวลานอนของเจ้าของห้องที่กำลังมุดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มเลยหลับไม่สนิทเสียที การขอต่อเวลาหนึ่งชั่วโมงแลกกับจูบแบบผิวเผินเพียงสามวินาที หวังว่าคงไม่ฉวยโอกาสต่อเวลาเพิ่มตอนที่ผมหนีมานอนหรอกนะ

          "กี่โมงแล้ว" ผมถามงัวเงีย ลืมตามองแบบไม่เต็มตื่น ผงกหัวขึ้นมาท่ามกลางความมืดที่แทบไม่เห็นอะไรเลยก่อนทิ้งหัวลงกับหมอนเหมือนเดิม

          "ตีหนึ่ง"

          "แน่เหรอ" บอกก่อนว่าผมไม่เชื่อ ทำท่าจะคว้ามือถือมาเปิดดูเวลาแต่ต้นสนสารภาพออกมาก่อน

          "เลยมายี่สิบนาทีเอง"

          "ตั้งยี่สิบนาที"

          "ไม่ต้องบ่นแล้ว นอนๆ"

          ถ้าผมลืมตาได้เต็มตื่นกว่านี้ หรือไฟในห้องยังเปิดสว่างอยู่เดาได้เลยว่าต้องเห็นรอยยิ้มขำกับคำบ่นเหมือนคนแก่ของผมแน่ๆ แต่พอคิดดูแล้วมันก็น่าบ่นจริงๆ สัญญาไม่เป็นสัญญาเลย ไว้ใจไม่ได้

          "เลยมายี่สิบนาทีเลยนะ" ผมยังย้ำคำเดิม จะย้ำจนกว่าเจ้าตัวจะบอกว่า 'จะไม่ทำอีกแล้ว'

          "นอนๆ"

          "ยี่สิบนาที"

          "บ่นจนเลยมาสามสิบนาทีแล้ว"

          "สามสิบนาที"

          "ละเมออยู่ป่ะเนี่ย"

          นอนหลับตาพูดแบบนี้ก็คงคล้ายคนละเมออยู่หรอก ใจจริงผมอยากจะลุกขึ้นมานั่งบ่นด้วยซ้ำ แต่ความง่วงมันเกินจะต้านทานได้ เลยได้แต่พูดว่า...

          "สามสิบนาที"

          คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่เป็นกลิ่นหอมของแอปเปิ้ลกับความรู้สึกนุ่มๆ ที่ริมฝีปาก แผ่วเบาหากแต่เนิ่นนานจนนึกขัดใจ อยากได้สัมผัสที่แนบแน่นกว่านี้อีกสักนิด อยากลิ้มรสชาติความหวานมากกว่านี้อีกสักหน่อย แต่พอคิดว่าจะตอบสนองกลับไปบ้างความรู้สึกดีทั้งหมดก็พลันหายไป

          น่าเสียดายชะมัด

          "ใช้คืนให้แล้วนะยี่สิบนาทีที่เกินมา" น้ำเสียงแผ่วเบากระซิบข้างหู

          ผมได้แต่ครางรับงึมงำแล้วทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

          มันคล้ายกับความฝัน เป็นฝันดีที่ไม่อยากตื่น หรือบางทีผมอาจจะฝันอยู่จริงๆ ก็ได้

 

TBC

 

ช่วงนี้ฝนตกบ่อยก็เลยอยู่แต่ในห้อง เบื่อกันหรือเปล่า  :hao3:

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ อ่านคอมเม้นต์เจออ้อยเยอะมาก ฮา

เจอกันตอนหน้าค่าาา

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 28-10-2017 20:51:43
โอ้ยยยน่ารักกกกก ปลื้มใกล้จะรุกเต็มที่แล้วใช่ป้ะ รู้ว่าต้นสนมีใจให้แล้วหนิ ส่วนต้นสนรายนี้รุกจัดเต็มสุด ควรได้รางวัลนายเอกขี้อ่อยแห่งปี5555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-10-2017 22:06:15
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: fahsai ที่ 28-10-2017 22:36:42
ดีมากๆเลยค่ะ ละมุน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 28-10-2017 22:43:19
ต้นสนลูก หนูไม่หวงตัวเลยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 28-10-2017 23:00:01
ต้นสนยังคงรุกอย่างต่อเนื่อง 5555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 28-10-2017 23:06:58
น่าร้ากทั้งคู่เลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 29-10-2017 01:13:48
ต้นสนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-10-2017 01:27:02
ชอบความใส่ใจของปลื้มถึงแม้จะขี้บ่นแต่ปลื้มเขาห่วงไง และชอบความอ่อยของต้นสนซึ่งขยันอ่อยจริงๆ ว่าแต่จูบกันเนี่ยตกลงเป็นอะไรกันคะ หืม?
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 14 ★ 27/10/2560
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 29-10-2017 02:03:27
โอ้ยย.  ทั้งหมัน ทั้งอิจ ไปเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 04-11-2017 22:09:20

ตอนที่ 15


          อย่างกับความฝัน

          ผมตื่นขึ้นมาในห้อง 403 อีกครั้งหลังจากเคยมาทำเรื่องไว้เมื่อคราวก่อน แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป ที่นอนนุ่มๆ ผ้าห่มหอมๆ อากาศเย็นฉ่ำที่สัมผัสไม่ได้ในห้องเช่าราคาถูก รวมถึงหมอนข้างชนิดพิเศษที่ยังหลับอุตุคล้ายกำลังฝันดี

          ผมดึงผ้าห่มที่กองอยู่ตรงเอวให้ขึ้นมาคลุมไหล่ ไม่รู้ว่าเปิดแอร์ไว้กี่องศาเจ้าของห้องถึงได้ขดตัวงอเหมือนกุ้งคล้ายลูกแมวซุกหาไออุ่น เตียงขนาดคิงไซซ์เลยเหลือพื้นที่กว้างเป็นวาให้กลิ้งเล่นสบาย สองร่างนอนเบียดชิดเทมาทางฝั่งหนึ่งของเตียง ถ้าหากลองขยับเข้ามาใกล้อีกนิด ปลายจมูกของเราคงได้สัมผัสกัน

          หอมกลิ่นแอปเปิ้ล

          ไม่รู้ว่ามาจากริมฝีปากคนที่ยังนอนหลับตาพริ้มหรือจากริมฝีปากตัวเองกันแน่ ความอุ่นที่สัมผัสยังติดตรึง กับกลิ่นที่ติดอยู่ปลายจมูก ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงกล้าโพล่งอะไรออกไปแบบนั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าพอใจเสียยิ่งกว่าอะไร

          เริ่มติดใจ เลือกไม่ถูกเหมือนกันว่าติดใจอะไร สัมผัส กลิ่น ความนุ่ม ความอบอุ่น หรือทั้งหมด คิดแล้วชักจะสับสนเข้าไปทุกที

          ผมยกมือเกลี่ยผมที่ปรกดวงตาหมีแพนด้านั่นออกเบาๆ มันยังดำคล้ำทั้งที่ใช้ครีมบำรุง หรือบางทีถุงใต้ตาสีคล้ำนี่อาจจะเป็นมาตั้งแต่กำเนิดก็ได้ เพราะดูแลยังไงมันก็ยังคล้ำเสมอต้นเสมอปลายอยู่ดี

          ปล่อยเวลาให้ผมเพ้อฝันกับความฝันในคืนที่ผ่านได้ไม่ทันไรเจ้าของดวงตาหม่นหมองก็ลืมตาขึ้น สีหน้ายังงัวเงียต้องใช้เวลาตั้งสติสักพักก่อนเจ้าตัวจะส่งยิ้มมาให้กัน ในระยะที่ค่อนข้างเป็นอันตรายต่อหัวใจ

          อย่างกับผมโดนความมืดมนของกลิ่นแอปเปิ้ลครอบงำไปเสียแล้ว

          "ตื่นนานแล้วเหรอ" น้ำเสียงงัวเงียเอ่ยถาม ตัวขยับยุกยิกอยู่ใต้ผ้าห่มก่อนหลับตาลงอีกครั้งเหมือนคนไม่อยากตื่น

          "วันนี้จะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ"

          "อื้ม" เสียงงึมงำตอบกลับมาเหมือนเด็กที่โดนแม่ปลุกให้ไปโรงเรียน

          วันนี้เป็นวันเสาร์ ปกติต้นสนจะกลับบ้านที่อยู่อีกฝั่งของกรุงเทพฯ ขนงานกลับไปทำเป็นกะตั๊กและกลับมาพร้อมรอยแผลตามตัวจากการโดนหมาแมวข่วน ส่วนผมเองก็มีภารกิจสำคัญอย่างงานที่ร้านป้านก เข้างานตอนสิบเอ็ดโมงเลิกสองทุ่ม แต่ป่านนี้จะเก้าโมงแล้วยังนอนเอื่อยเฉื่อยกันอยู่เลย

          "ลุกได้แล้ว ไปอาบน้ำ" สั่งแต่ปากตัวไม่ขยับ แถมน้ำเสียงยังอ่อนหวานอย่างกับจะบอกว่า 'นอนต่อเถอะ' อะไรประมาณนั้น

          "ขออีกนิดนะ"

          "จะเก้าโมงแล้ว"

          "ไม่เป็นไรหรอก"

          ตาปรือๆ ลืมขึ้นมองกันก่อนริมฝีปากที่ยังได้กลิ่นแอปเปิ้ลอ่อนๆ จะยกยิ้มบางๆ และคำที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นก็ทำให้ผมยอมสยบราบคาบ ไม่ปริปากเร่งเร้าหรือเถียงอะไรออกมาอีกเลย

          "ขออยู่ด้วยกันอีกนิดนะ"

 

          กว่าจะเยื้องย่างลงจากเตียงก็ปาเข้าไปเกือบสิบโมง ต้นสนไม่ได้หลับต่อ ผมเองก็เหมือนกัน เราใช้เวลาไปกับการพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่พบเจอมาในแต่ละวัน เรื่องราวแสนธรรมดาทั่วไปแต่กลับสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มได้

เพราะมันคือเรื่องราวที่ทำให้เรามีความสุข

          ชุดที่ต้นสนใส่กลับบ้านวันนี้ผมเป็นคนเลือก เสื้อแขนยาวกับกางเกงยีนส์ตัวหนา ชุดที่เจ้าตัวบ่นว่ามันไม่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนๆ อย่างประเทศไทยเอาเสียเลย แต่ใครสน ช่วงนี้ฝนตกบ่อยอากาศหนาวจะตาย อีกอย่างเดือนหน้าจะเข้าฤดูหนาวซึ่งจะหนาวอย่างชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่เหตุผลหลักที่ผมเลือกชุดนี้คือป้องกันกรงเล็บกรงเขี้ยวของสัตว์หน้าขนทั้งหลาย ถ้ามันจะดีใจแบบร่าเริงเกินเหตุจนทำเจ้าของเป็นรอยได้อีกก็ลองดู

          ต้นสนขับรถมาส่งผมที่บ้านป้านกตอนใกล้สิบเอ็ดโมง ทั้งที่ปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีกเพราะระยะทางไม่ได้ไกลจากคอนโดเท่าไรแต่เจ้าตัวก็ยังดื้อที่จะมาส่งให้ได้ ทำตัวเป็นคุณหนูจอมเอาแต่ใจได้อย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ

          "ถึงบ้านแล้วไลน์มาบอกด้วยนะ" ผมสั่งพลางสะพายกระเป๋าเตรียมลงจากรถ แต่ดูเหมือนจะลืมอะไรไปบางอย่าง

          "เรามีไลน์กันด้วยเหรอ"

          นี่แหละที่ผมลืม เรามีเบอร์กันก็จริงแต่ผมปิดรับเพื่อนอัตโนมัติไว้ ที่ผ่านมาก็คุยกันทางข้อความส่วนตัวในทวิตเตอร์ตลอด

          "ลืม"

          "แล้วไม่คิดจะให้เหรอ"

          "ไลน์อ่ะนะ"

          "อืม"

          "คุยเดมนั่นแหละ"

          ผมเว้นจังหวะไว้มองคนที่โดนปฏิเสธยู่หน้าหมองๆ ใส่แล้วอดยกมือยีผมที่ยุ่งอยู่แล้วให้ยุ่งกว่าเดิมไม่ได้

          "ในเดมมีแค่ต้นสนคนเดียว คุยในนั้นแหละดีแล้ว ไปนะ อย่าลืมทักมาด้วย" พูดจบผมก็เปิดประตูลงจากรถ ปิดประตูได้ค่อยโบกมือลา แต่ต้นสนกลับเลื่อนกระจกลงแล้วชะโงกหน้ามาหา

          "เจอกันวันจันทร์"

          พอพูดถึงวันจันทร์ก็ทำให้ผมนึกอะไรออกอีกเรื่อง เป็นคำสั่งที่ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ไม่เคยได้ผลสักที

          "อย่าให้เห็นแผลเพิ่มอีกนะ"

          โดนสั่งด้วยประโยคซ้ำๆ ถึงขั้นแลบลิ้นใส่แล้วปิดกระจกหนี ให้มันได้แบบนี้สิคนเรา

          ยืนรอจนรถแล่นออกไปสุดสายตาผมถึงได้หันหลังเดินเข้าบ้านป้านก เอ่ยทักทายทุกคนด้วยน้ำเสียงสดใสพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ เก็บของเสร็จก็ใส่ผ้ากันเปื้อนเตรียมออกมาช่วยงาน แต่โดนทักไว้ด้วยเสียงใสๆ ของลูกเจ้าของบ้านที่นั่งเล่นมือถืออยู่บนเก้าอี้โยก

          "พี่ปลื้ม ใครมาส่งเหรอ"

          "เพื่อนครับ"

          "เพื่อนคนไหน"

          "เพื่อนพี่ก็มีแค่ไม่กี่คนหรอก"

          "อยู่ใกล้แค่นี้ต้องขับรถมาส่งด้วยเหรอ"

          ผมเดาว่าน้องตาลน่าจะหมายถึงไอ้ว่าน เพื่อนผมที่น้องเขารู้จักก็มีแค่มันสองคน แต่มันจะไม่ก้าวก่ายไปหน่อยเหรอที่ถามด้วยน้ำเสียงประชดประชันแบบนี้

          "มันจะไปธุระเลยแวะมาส่ง"

          "ตาลนึกว่าจะเป็นคนอื่น ช่วงนี้เห็นพี่ปลื้มติดมือถือ คิดว่าจะคุยกับแฟน"

          "เคยบอกไปแล้วนี่ครับ"

          น้องตาลยิ้มกว้างอย่างพอใจในคำตอบ เธอเลิกสนใจมือถือแล้ววางมันลง ทำท่าจะลุกมาหาผมเลยต้องรีบตัดบทแล้วเดินเลี่ยงออกมา

          "พี่ไปทำงานก่อนนะ"

          พักหลังมานี้ผมว่าน้องตาลแปลกไป ไม่สิ อาจจะแค่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมามากขึ้น อย่างที่ไอ้ว่านเคยบอกว่าน้องเขาเหมือนจะชอบผม ยิ่งนานวันเข้าข้อสันนิษฐานนี้มันยิ่งชัดเจน คำพูด ท่าทาง สีหน้า น้ำเสียง รวมถึงการกระทำ ผมอยากจะออกตัวปฏิเสธไปให้มันเป็นเรื่องเป็นราว แต่เมื่อเธอยังไม่ได้พูดออกมาให้มันชัดเจนสิ่งที่ทำได้คือการหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด

          กับน้องตาลเราเป็นแค่คนรู้จักกัน เธอเป็นน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งซึ่งผมไม่มีทางที่จะตอบกลับความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าพี่น้องนั้นได้

 

          PuuRimm : พรุ่งนี้กินข้าวเช้าด้วยกันมั้ย

          Pinetree : อาจจะกินจากบ้าน เสียใจด้วยนะครับ กินข้าวคนเดียวไปก่อนนะ

          PuuRimm : ปกติไม่เคยเห็นกินที่บ้าน

          Pinetree : ไม่กินบ่อยๆ เดี๋ยวป้าจิตงอน

          PuuRimm : งั้นเดี๋ยวตอนเย็นแวะไปที่คอนโด

          Pinetree : ไม่ต้องมาก็ได้

          PuuRimm : ทำไมอ่ะ

          Pinetree : มาม่าที่ห้องเหลือเต็มเลย ไม่ได้กินนานแล้วเดี๋ยวหมดอายุ

          Pinetree : เลิกงานแล้วปลื้มไปพักผ่อนเถอะ

          แปลก ไม่ใช่แค่แปลกธรรมดาแต่แปลกมาก ร้อยวันพันปีมีแต่ขอให้ไปหาแต่ตอนนี้กลับบอกว่าไม่ต้องไป

          ผมนั่งอ่านข้อความที่เราคุยกันเมื่อคืนแล้วตั้งคำถามในใจ ทำไม เพราะอะไร นึกโทษตัวเองที่ไม่ยอมตื้อถามให้รู้เรื่อง แต่จะมาพะวงเอาทีหลังมันก็ไม่ทันแล้ว เพราะตอนนี้ผมกำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่คณะบริหารเพื่อรอเจอใครบางคนที่ป่านนี้ยังไม่โผล่มาสักที

          กินข้าวจนหมดจานนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างคนไม่รู้จะทำอะไร ไม่นานคนที่ผมรอก็เดินก้มหน้าแผ่รังสีความมืดมนเข้ามา แถมยังทำผมปีกหน้าปรกตาอีก แต่สิ่งที่สะดุดตาผมกลับไม่ใช่ท่าทางที่เหมือนคนนอนไม่เต็มอิ่ม กลับเป็นรอยขีดแดงๆ ข้างแก้มซ้ายที่โผล่พ้นเส้นผมสีดำออกมามากกว่า

          สายตายังจดจ้องในขณะที่สมองเริ่มประมวลผล สิ่งที่คุยกันในทวิตเตอร์ ข้อห้ามที่ดูแปลกๆ กับผลลัพธ์ที่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง มิน่าล่ะถึงได้พยายามหลีกเลี่ยง แล้วปล่อยให้โดนทำขนาดนี้มันน่าด่าไหมล่ะ

          ผมมองต้นสนเดินผ่านโต๊ะที่ผมนั่งอยู่ไปอย่างช้าๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกตเห็นหรือเอะใจเลยสักนิด รอยขีดข้างแก้มนั้นอยู่ตรงใต้หางตายาวประมาณหนึ่งนิ้ว เป็นบาดแผลที่นับว่ารุนแรงเป็นลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้

          "หน้าไปโดนอะไรมา"

          คนที่กำลังจะเดินผ่านผมไปหยุดกึกเหมือนโดนมนต์สะกด ต้นสนค่อยๆ เหลียวหลังกลับมามองเหมือนนักแสดงหนังสยองขวัญที่หันกลับมามองด้านหลังด้วยความหวาดกลัว มือสั่นๆ นั้นยกขึ้นมาปิดแผลช้าๆ แต่ปิดบังไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

          ผมลุกขึ้นเดินไปหาแล้วดึงมือคนที่ยังทำหน้าตกตะลึงไม่เลิกออก สงสัยเหมือนกันว่าหน้าผมตอนนี้มันน่ากลัวขนาดไหนต้นสนถึงได้หวาดระแวงนัก หรือเบื่อที่จะฟังผมบ่นกัน

          "หมาหรือแมว"

          "แมว"

          "ตัวไหน"

          "แมวมีตัวเดียว" ตอบเสียงเบาหวิวด้วยสีหน้าจ๋อยๆ จนผมอยากจะขำมากกว่าโกรธ

          "คราวหลังต้องให้ใส่หมวกไอ้โม่งด้วยมั้ยจะได้ปลอดภัยทั้งตัว"

          "ก็มันเล่นทีเผลออ่ะ โดนตอนหลับอยู่ รู้ตัวซะที่ไหน"

          "นอนด้วยกันเหรอ"

          "อืม"

          "เลิกนอนกับมันไปเลย"

          "ไม่ได้"

          "ไหนขอดูก่อน"

          ผมฉุดข้อมือต้นสนให้ลงมานั่งด้วยกัน จับปลายคางให้เจ้าตัวหมุนหน้าไปตามองศาที่ต้องการ เกลี่ยผมที่เจ้าตัวพยายามดึงลงมาปิดออก มองรอยแผลที่เป็นสะเก็ดแดงๆ แล้วเครียดขึ้นมาทันที จากแขนขาลามมาที่หน้า โทรมขนาดนี่แล้วยังปล่อยให้เป็นแผลอีกมันใช้ได้ที่ไหน

          "อยากจะเพี้ยงๆ ให้หายอยู่หรอกนะ แต่อายคน" ผมแกล้งหยอกหลังจากสำรวจรอยแผลจนพอใจ

          "ไม่เห็นต้องอายเลย"

          เจอสวนกลับมาแบบนี่ผมเลยได้แต่ถลึงตาใส่ ถ้าอยู่กันแค่สองคนผมอาจจะทำจริงก็ได้ 'เพี้ยงๆ บาดแผลและความหมองคล้ำจงหายไป ความสดใสจงกลับมา' ตามด้วยการเป่ามนต์ใส่หรือไม่ก็เสกคาถาด้วยการประทับริมฝีปากลงไปสักที 

          "มันจะเป็นรอยแผลเป็นมั้ย"

          "ไม่ลึกมากไม่น่าจะเป็นมั้ง"

          ผมมองอย่างไม่เชื่อ ตามแขนขาก็นับว่าไม่ลึกมากหรือเปล่า ถึงตอนนี้จะเห็นแค่รอยจางๆ ก็เถอะ นานวันเข้ารอยมันก็เริ่มจางไปเอง แต่มันก็ทำให้ผิวที่ควรเนียนสวยมีตำหนิอยู่ดี

          "ไม่เคยระวังตัวเองเลย" ผมดุ ทำหน้าดุใส่ด้วย แต่ความกลัวที่ต้นสนแสดงออกมาต้นแรกมันหายไปหมดแล้ว

          "ระวังแล้ว"

          "ยังจะเถียง"

          "ก็...แค่ปลื้มทายาให้ไง จุ๊บอีกทีเดี๋ยวก็หาย ใช่ป่ะ"

          ทำเป็นพูดเล่นแบบนี้มันน่า...จริงๆ เลย

          ถ้าได้ทายาให้อีกรอบโดยที่ยังมีสติไม่เมาเหมือนรอบก่อน คราวนี้ผมอาจจะไล่จูบทุกรอยแผลบนตัวเลยก็ได้...

ล่ะมั้งนะ

          "จุ๊บอะไรกัน" เสียงทุ้มใหญ่ของเพื่อนสนิทตัวสูงทักขึ้นทำเอาสะดุ้งทั้งคู่ ต้นสนเหล่มองอั๋นแล้วก้มหน้าพยายามปัดผมมาปิด ดูจากท่าทางแล้วคาดว่าอั๋นก็น่าจะยังไม่เห็นรอยข่วนที่หน้าเหมือนกัน

          "เปล่า ไม่มีอะไร"

          "จะขึ้นยัง ถ้ายังจะได้ไม่รอ"

          "ขึ้นไปก่อนเลย"

          "เออ" ตอบรับเพื่อนแบบส่งๆ แล้วอั๋นก็หันมาทักผมด้วยการยกมือให้ก่อนจะเดินหลบฉากออกไป

          "โดนอั๋นด่าแน่ๆ"

          "อย่าขู่ดิ"

          "ทีหลังก็ระวังกว่านี้หน่อย"

          "รู้แล้ว"

          "ก็รู้แล้วทุกที"

          ผมส่ายหน้าน้อยๆ อย่างเหนื่อยใจกับความดื้อด้าน ยกมือเกลี่ยผมที่ต้นสนพยายามปัดมาปิดหน้าปิดตาออกเพื่อดูรอยข่วนนั่นชัดๆ ก่อนขยับตัวเข้าไปใกล้ แล้วเป่าลมใส่มันเบาๆ

          "เพี้ยง! เดี๋ยวก็หาย"

          เป่ามนต์ใส่แล้วผมก็หัวเราะกับความเพี้ยนของตัวเอง มองต้นสนที่เหมือนจะอึ้งไปเล็กน้อยแต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมา แก้มขาวๆ ที่เคยดูซีดเซียวซับสีเลือดจนกลายเป็นสีชมพูอ่อน ท่าทางเขินอายแบบคนทำอะไรไม่ถูกดูผิดวิสัย แค่ร่ายคาถาไล่อาการบาดเจ็บไง จะเขินทำไมก็ไม่รู้

          "เล่นไรเป็นเด็ก"

          "แต่มันได้ผลนะ" ผมยิ้มล้อ

          ที่ว่าได้ผลไม่ใช่ว่าแผลจะหายเร็วขึ้น แต่เป็นหน้าตาโทรมๆ เพราะไม่ยอมหลับยอมนอนจนเหมือนซอมบี้มากกว่า แค่ 'เพี้ยง' เบาๆ หน้าตาก็ดูสดใสขึ้นมาเป็นกอง

          "ไปเรียนแล้ว" ว่าแล้วต้นสนก็ลุกหนีผมไปเลย ก้าวยาวๆ เหมือนอยากจะตามเพื่อนตัวสูงไปให้ทันโดยไม่หันกลับมามองกันเลยสักนิด

          ทีจูบล่ะไม่เขิน แต่ดันมาเขินตอนเล่นเป่ามนต์ให้เนี่ยนะ เชื่อเขาเลย

          ผมมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ ห่างไปจากระยะการมองเห็นแล้วอมยิ้มกับตัวเอง เมฆสีอึมครึมก้อนนั้น วันนี้แม้ยังไม่เห็นแสงแดดสาดส่องออกมา แต่มันกลับเปลี่ยนจากสีเทากลายเป็นสีชมพูจางๆ

          เป็นก้อนเมฆที่แปลกดีชะมัด

 

TBC



ช่วงนี้มันก็หวานหน่อยๆ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yanaanay ที่ 04-11-2017 22:35:26
มุ้งมิ้งกรุ๊งกริ๊งมว้ากก  :-[  :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 04-11-2017 23:47:44
น่ารักกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-11-2017 00:19:53
 :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 05-11-2017 00:32:15
อิจฉาคนมีความรัก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 05-11-2017 13:57:09
ต้นสนน่ารักกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-11-2017 15:40:48
ต้นสนเขินนน  :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 05-11-2017 18:00:44
ทำขนาดนี้ก็เป็นแฟนกันได้แล้วนะ :katai2-1: :impress2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 05-11-2017 20:07:52
โอ้ยย ความหวานนี้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: knxiiviii ที่ 05-11-2017 22:32:07
โอ๊ยยยยมดกัด เป็นความละมุนมุ้งมิ้งกิ่งก่องแก้วมาก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 06-11-2017 00:10:33
น่ารักกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 06-11-2017 01:13:46
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Kaikaaa ที่ 06-11-2017 02:01:35
อิจฉาได้มั๊ย ขนาดนี้เป็นแฟนกันเถอะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 08-11-2017 17:01:50
ทุกอย่างมันกลายเป็นสีชมพูไปหมดเลยยยย  :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ▲TEACHCHY▼ ที่ 08-11-2017 20:24:51
ดีจังค่ะ โทนเรื่องแรกๆก็ดูไม่หม่นมากยิ่งเฉลยยิ่งเห็นว่าน้องต้นสนน่ารัก  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ciaiwpot ที่ 08-11-2017 20:32:38
น่ารักกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 15 ★ 04/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Meercorn ที่ 08-11-2017 21:41:32
โว้ยยยยย อ่านแล้วตามันร้อนนน อยากมีคนมาคอยเป่าแผลให้บ้างจุง ทำไมเรามองว่าต้นสนมันแก่นเซี้ยวมากกว่าจะมืดหม่นล่ะ55555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 11-11-2017 19:24:19

ตอนที่ 16


            'อาจารย์ยกคลาสนะ'

            จากข้อความที่ไอ้เจนเพิ่งส่งมาบอกสดๆ ร้อนๆ ตีความรู้สึกของผมที่เพิ่งเดินมาถึงหน้ามหาวิทยาลัยออกเป็นสองส่วน หนึ่งคือดีใจที่ไม่ต้องเข้าเรียน และสอง แต่ผมแต่งตัวออกมาจากห้องแล้วไง อีกอย่างการยกเลิกคลาสไม่ใช่เรื่องดี เพราะยังไงอาจารย์ต้องหาเวลามาสอนชดเชยอยู่แล้ว ไอ้เวลาที่ควรจะว่างในอนาคตกลับกลายเป็นไม่ว่างไปซะอย่างนั้น

            แล้วทีนี้จะเอายังไงกับวันนี้ดี กลับหอไปนอนเลยดีไหม

            คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ ตั้งท่าเตรียมหมุนตัวกลับ แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหนสายเรียกเข้าจากเพื่อนสนิทก็ดังขึ้น

            (มึงอยู่ไหน) ไอ้ว่านถามสวนขึ้นมาทันทีที่ผมกดรับ ถ้าให้เดาวันว่างแบบนี้ผมว่ามันต้องหาเรื่องชวนไปเถลไถลแน่ๆ

            "หน้ามอ"

            (เออ รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวกูกับไอ้เจนเดินไปหา)

            "จะไปไหนกัน"

            (ดูหนัง) นั่นไง ผมเดาผิดที่ไหน

            "ห้างเพิ่งเปิดได้สองนาที ข้าวเช้ากูยังไม่ได้กินเลย"

            (ก็กินที่ห้างไงวะ ยากตรงไหน)

            ผมเงียบยังไม่ให้คำตอบเพราะกำลังคำนวณเงินในกระเป๋าสตางค์ที่มีอยู่น้อยนิด จะว่าไม่มีเงินเอาไปใช้ในส่วนของการเที่ยวเล่นก็ไม่เชิง เพราะใจจริงอยากเก็บไว้สำหรับเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินมากกว่า

            (อ้าวเงียบ หรือมึงอยากไปซาฟารีมั้ย กูอยากดูโชว์โลมาอยู่พอดี)

            "..."

            (หรือจะไปสวนสยาม กูไม่ได้นั่งรถไฟเหาะมานานละ เออ นึกแล้วก็อยากไปเหมือนกัน)

            "..."

            (แต่เกาะล้านก็โอนะมึง ไปเช้าเย็นกลับ แต่ช่วงนี้มรสุมว่ะ ฝนตกไม่น่าจะดี)

            "พอๆ" ผมต้องรีบห้ามก่อนมันจะอยากไปวัดร่องขุ่นที่เชียงรายซะก่อน

            (สรุปมึงไปกับพวกกูนะ รออยู่ตรงป้ายรถเมล์นะครับเดี๋ยวเดินไป) ไม่รอให้ผมตอบตกลง พูดเองเออเองจบไอ้ว่านก็วางสายไปเลย

            ให้มันได้อย่างนี้สิเพื่อน

 

            นั่งรอพวกมันอยู่ที่ป้ายรถเมล์ไม่นานนักสองเพื่อนรักก็เดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาหา ไอ้เจนทิ้งตัวนั่งลงข้างผมพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกระดี๊กระด๊าสุดๆ

            "รอนานมั้ยเพื่อน"

            ถ้าให้นับเวลาจริงๆ ก็ราวๆ สิบนาที สำหรับคนที่คิดว่าเวลามีค่านั้นถือว่านานอยู่ แต่ผมไม่ตอบแล้วเลี่ยงถามเข้าประเด็นเลย

            "จะไปดูหนังเรื่องอะไรกัน"

            "จีโอสตรอม"

            "เค้าว่าสนุก" ไอ้ว่านตอบชื่อหนัง สมทบด้วยไอ้เจน

            "เหมือนฝนจะตกเลยว่ะ"

            "อยู่ในห้างไม่เปียกแน่นนอนครับเพื่อน ไปมึง รถมาพอดี"

            มันจะเหมาะเจาะอะไรขนาดนี้ก็ไม่รู้ ไอ้ว่านพูดยังไม่ทันขาดคำรถเมล์ก็มาจอดเทียบป้ายให้คนลงพอดี ไอ้เจนคล้องแขนผมไปขึ้นรถ ไอ้ว่านเดินตามหลัง จับจองที่นั่งหลังสุดบนรถเมล์ปรับตามสภาพอากาศที่พัดลมดับบ้างติดบ้าง อาศัยลมเย็นที่เข้ามาทางหน้าต่างเวลารถวิ่งล้วนๆ

            "เดี๋ยวกูเลี้ยงค่ารถ เก้าบาท แด่มึงเลย" กระเป๋ารถเมล์เดินมาหาพร้อมกับเสียงก๊องแก๊งจากเศษเหรียญในกระบอกตั๋วไอ้เจนก็พูดขึ้นมา ทำตัวเป็นป๋าออกค่ารถให้ตั้งเก้าบาท แต่แค่นี้ผมจ่ายเองได้สบายมาก

            "ไม่เป็นไร" ว่าแล้วชิงยื่นเหรียญสิบให้กระเป๋ารถเมล์ก่อน

            คนอย่างปลื้มไม่จนตรอกขนาดให้เพื่อนจ่ายค่ารถเมล์ให้หรอกเว้ย

 

            เพราะมาแต่เช้าพวกเราเลยได้ดูรอบแรกของวัน นับจำนวนคนทั้งโรงแล้วได้เจ็ดคนถ้วน วีไอพียิ่งกว่าวีไอพี อย่างกับหุ้นกันเหมาโรงดู เป็นบรรยากาศเงียบๆ ชวนวังเวง แต่ละคนนั่งห่างกันคนละวา ถ้ารอบนี้ฉายหนังผีคงจะหลอนน่าดู

            หนังที่พวกมันพามาดูวันนี้ชื่อเรื่องว่าจีโอสตรอม เป็นหนังภัยพิบัติที่ผมว่าสนุกครบรส ลุ้นได้ตลอดเรื่องแถมได้ใช้สมองคิดวิเคราะห์ตามตัวละครไปด้วยพลางๆ แต่จะว่าไปพวกมันลืมอะไรไปหรือเปล่า ได้ยินอะไรไหมเพื่อน เสียงร้องโครกครากจากท้องกูเอง

            พวกมึง กูยังไม่ได้กินข้าวเลย

            ผมได้แต่คร่ำครวญบอกมันสองคนในใจจนกระทั่งหนังจบ อาจจะมีบางช่วงที่ลุ้นหนักๆ จนลืมความหิวไปบ้าง แต่สรุปโดยรวมแล้วตอนนี้คือหิวมาก

 

            ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงสี่สิบเก้านาทีไอ้ว่านกับไอ้เจนยังคงอินกับหนังไม่เลิก ถึงขั้นเดินเม้าท์ตั้งแต่ลุกจากเก้าอี้จนออกมาถึงหน้าโรงหนัง ผิดกับผมที่หิวมากจนอยากลากพวกมันไปหาอะไรกินเร็วๆ เพราะตอนดูหนังไม่ได้ซื้อน้ำหรือป๊อนคอร์นเข้าไปสักอย่าง ลุ้นกับหนังไปพลางฟังเสียงน้ำย่อยในกระเพาะไป ระทึกดีอย่างบอกไม่ถูก

            "เออ! ไอ้ปลื้มยังไม่ได้กินข้าวนี่หว่า หิวมั้ยมึง กินอะไรดี" ต้องขอบคุณไอ้เจนที่ยังอุตส่าห์นึกออก แต่ไม่ถามซะพรุ่งนี้เลยล่ะ

            "อะไรก็ได้เอาถูกๆ"

            "อะไรวะ ไม่เอาฟู้ดคอร์ทนะมึง"

            "เคเอฟซี" พอบอกพวกมันก็ทำหน้าเซ็งทันที ก็มันถูกสุดในนี้แล้วนี่หว่า

            "เออๆ เคเอฟซีก็เคเอฟซี" สุดท้ายพวกมันก็ยอมผม

            คิดจะลากผมมาฟุ่มเฟือยในยามอัตคัดมันก็ต้องแบบนี้แหละเพื่อน มีน้อยต้องใช้สอยอย่างประหยัด ทำใจซะ

            ได้ประหยัดอย่างใจหวังผมก็เดินนำหน้าพวกมันอย่างอารมณ์ดี ตรงไปที่บันไดเลื่อนเพื่อลงชั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ทันเดินไปถึงคนที่เพิ่งขึ้นจากบันไดเลื่อนมาก็ทำให้ผมชะงักเสียก่อน

            "อ้าว!"

            "ไง"

            เราทักทายกันด้วยคำสั้นๆ เป็นผมเองที่ออกอาการตกใจที่ได้มาเจอกันที่นี่ ส่วนอีกคนแค่ยิ้มแล้วยกมือโบกไปมา แต่สายตาผมกลับโฟกัสไปยังคนข้างๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน

            "มาดูหนังเหรอ" อั๋นถามพลางสอดส่ายสายตามองพวกผม

            "ใช่ เพิ่งดูจบ"

            "โห มากันแต่เช้าเลยดิ"

            "พอดีอาจารย์ยกคลาสเลยไม่มีไรทำ แล้วอั๋น..." ผมถามโดยจงใจเว้นจังหวะไว้ ทำทีเป็นมองผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนข้างๆ แล้วเบนสายตากลับไปมองอั๋นอีกที อาจจะดูสอดรู้สอดเห็นไปหน่อย แต่ปกติคนที่เห็นอยู่กับอั๋นบ่อยๆ น่าจะเป็นคนที่ชอบพกเมฆสีเทาบนหัวไปไหนมาไหนด้วยมากกว่า

            "นี่จอยแฟนผมเอง" อั๋นเข้าใจสิ่งที่ผมอยากสื่อได้ไม่ยาก รีบแนะนำแฟนตัวเองให้รู้จัก ผมเลยจัดการแนะนำเพื่อนตัวดีบ้าง

            "ส่วนนี่ว่านกับเจน"

            เจ้าของชื่อทั้งสองคนรีบผงกหัวทักทาย ผมว่าไอ้ว่านน่าจะพอจำได้เพราะตอนเล่าเรื่องต้นสนให้ฟังผมพูดถึงอั๋นด้วย

            "ต้นสนไม่มาด้วยเหรอ" เห็นเพื่อนตัวสูงแต่ไร้วี่แววเพื่อนอีกคนมันเลยอดถามไม่ได้ ถึงปกติสองคนนี้จะไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลา แถมอั๋นยังมากับแฟน แต่ผมดันอยากรู้ว่าตอนนี้ต้นสนไปอยู่ไหน ไม่มีเรียนแล้วกลับไปโหมทำงานที่คอนโดอีกหรือเปล่า

            "มันนัดเพื่อนไว้ รู้สึกว่าจะไปคาเฟ่มั้ง ที่ไหนไม่รู้ เห็นพกของไปวาดรูปด้วย"

            ผมพยักหน้ารับคำบอก เราจบบทสนทนาเพียงเท่านี้ก่อนต่างคนต่างแยกย้าย

            ไปนั่งวาดรูปที่คาเฟ่กับเพื่อนงั้นเหรอ น่าตามไปดูชะมัด

 

            อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลากลับไปนอน แต่ก่อนกลับไอ้เจนมันลากพวกผมไปบีทูเอส เห็นว่าอยากซื้อปากกาใหม่ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องเขียนหลายๆ อย่าง ผมเลยทิ้งมันสองคนให้เลือกซื้อกันไป ส่วนผมผละออกมาเดินดูหนังสือ

            ผมไม่ใช่พวกหนอนหนังสือหรือชอบอ่านอะไรนัก แต่ถ้าเจอเล่มไหนที่น่าสนใจก็จะยอมควักเงินซื้อ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนิยายแปล แนวแฟนตาซีหรือลึกลับสอบสวน อ่านแล้วรู้สึกได้ใช้ความคิดและจินตนาการดี

            เดินมาถึงหมวดนิยายสิ่งแรกที่ผมเห็นกลับไม่ใช่แนวที่ชอบอ่าน แต่เป็นนิยายรักอีกแนวที่ผมได้ยินพ่อศิลปินผู้มืดมนพูดถึงเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ยักรู้ว่ามันมีเยอะมากจนเต็มแผงหนังสือ เดี๋ยวนี้เขาฮิตอ่านแนวชายรักชายกันด้วยสินะ

            ผมกวาดตามองหนังสือบนชั้นแบบผ่านๆ เพราะไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นานนัก แต่แล้วสายตากลับไปสะดุดที่หนังสือเล่มหนึ่ง ปกสีฟ้ากับลายเส้นที่คุ้นเคย เลยเผลอหยิบมันขึ้นมาดูอย่างห้ามไม่ได้

            ปกเรื่องนี้ต้นสนวาดไม่ผิดแน่ ยิ่งเห็นชื่อนักวาดบนปกยิ่งแน่ใจ Pinetree ไม่น่าจะเป็นใครอื่นไปได้ ถึงแม้จะเป็นคนละเรื่องกับที่เห็นเจ้าตัวกำลังวาดก่อนหน้านี้ก็ตาม

            ผมหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปหนังสือก่อนวางมันไว้ที่เดิม รู้สึกว่าริมฝีปากยกยิ้มนิดๆ ตอนเดินกลับไปหาสองเพื่อนรักที่ยังเลือกของไม่เสร็จ ผมเลยออกมายืนรอพวกมันข้างนอก เปิดทวิตเตอร์แล้วเข้าหน้าข้อความส่วนตัว

            ผมกดส่งรูปถ่ายหนังสือเล่มนั้นไปให้ต้นสน พร้อมแนบข้อความว่า 'บังเอิญเจอที่บีทูเอส' ไปด้วย

            ผมกดเข้าหน้าโฮมระหว่างที่รออีกฝ่ายตอบกลับ ทวีตแรกที่เห็นก็เป็นของต้นสน เพิ่งโพสต์ไปเมื่อสิบนาทีก่อน รูปแรกเป็นบรรยากาศคาเฟ่โทนสีชมพู รูปที่สองเป็นขนมเค้กสองชิ้น รูปที่สามเป็นถาดสีกับพู่กัน และสุดท้ายเป็นรูปผู้หญิง

            ไปกับผู้หญิงหรอกเหรอ

            ภาพความคิดก่อนหน้าถูกตีจนแตกแล้วแทนที่ด้วยภาพความจริง คำว่าเพื่อนที่อั๋นบอกผมคิดว่าเป็นผู้ชาย แต่ไม่ใช่ ต้นสนไปกับผู้หญิง แถมสวยซะด้วย รู้ว่าไม่ควรหงุดหงิดแต่ผมกลับหงุดหงิดด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เพราะผู้หญิงกับรูปวาดนั่น

            รูปหญิงชายที่นั่งข้างกัน และผู้หญิงกำลังหอมแก้มผู้ชาย

            ไปด้วยกันแค่สองคนแบบนี้ วาดรูปสื่อออกมาขนาดนี้คงไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วล่ะมั้ง

            ไหนบอกไม่มีแฟนไงวะ

            "ไปมึง กลับกัน"

            ผมกดออกจากทวิตเตอร์ไอ้ว่านกับไอ้เจนก็เดินออกมาพอดี เป็นจังหวะเดียวกับที่แจ้งเตือนจากข้อความส่วนตัวดังขึ้นมา

            Pinetree : เป็นเล่มแรกที่ได้วาดปกนิยายเลย

            Pinetree : ดีใจอ่ะ ปลื้มรู้ด้วย

            อ่านสิ่งที่โชว์บนหน้าจอแล้วไม่มีอารมณ์ปลดล็อกเข้าไปตอบ ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงแล้วถอนหายใจแรงๆ จนเพื่อนทั้งสองหันมามอง โชคดีที่ไม่โดนพวกมันสงสัยผมเลยแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ชวนคุยเรื่องอื่นแทน

 

            Pinetree : วันนี้ป้านกทำไรอะไรกินบ้าง

            PuuRimm : (ส่งรูปภาพ)

            Pinetree : ไข่ลูกเขยน่ากิน ซื้อให้หน่อย

            PuuRimm : ลงมา

            Pinetree : เลิกงานแวะมาหน่อยดิ

            PuuRumm : ก็หิวต่อไป

            Pinetree : ทำไมวันนี้ใจร้าย ไม่มาจริงเหรอ

            Pinetree : ใกล้กำหนดแล้วอ่ะ ยังเคลียร์ไม่เสร็จเลย

            PuuRumm : ก็มัวแต่ไปวาดรูปเล่นไง

            Pinetree : หมายถึงที่คาเฟ่เหรอ ไปแค่แป๊บเดียวเอง

            PuuRumm : ถ้ามีเวลาไปวาดรูปเล่นแค่ลงมาซื้อข้าวเองคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง

            Pinetree : ปลื้มเป็นอะไร

            Pinetree : โกรธที่ไปคาเฟ่เนี่ยนะ ไม่เอาดิ

            Pinetree : คุยให้รู้เรื่องก่อน อย่าเงียบ

            Pinetree : โอเค ลงไปซื้อเองก็ได้

            Pinetree : ถ้าไม่อยากทำให้ก็บอกกันดีๆ ไม่ต้องประชด

            Pinetree : ขอโทษแล้วกันที่รบกวน

            บทสนทนาในข้อความส่วนตัวช่วงใกล้เลิกงานจบลงแค่นั้น เมื่อผมไม่ตอบอะไรกลับไปอีกจนกระทั่งกลับมาถึงห้องมันเลยค้างอยู่บนหน้าจอแบบนี้ ต้นสนเองก็ไม่ได้ลงมาที่ร้านอย่างที่บอกไว้ จากที่โกรธกลับกลายเป็นหงุดหงิดตัวเองแทนที่งี่เง่า อารมณ์ที่ตึงมาตั้งแต่ช่วงบ่ายยังขึ้นๆ ลงๆ ไม่คงที่ พอนึกถึงรูปวาดกับผู้หญิงคนนั้นจะหงุดหงิดแต่พออ่านข้อความที่ต้นสนทิ้งไว้ก็ยังไงหงุดหงิด แต่เปลี่ยนมาเป็นหงุดหงิดตัวเองแทน

            ดูท่าแล้วเหมือนจะอาการหนักเข้าไปทุกที ความรู้สึกที่เริ่มชัดเจนขึ้นก็เช่นกัน

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำเอาผมที่กำลังคิดเรื่องหนักๆ สะดุ้งตัวโหยง ใครมันมาหาเอาป่านนี้ ไม่ใช่ไอ้ว่านกับไอ้เจนแน่ๆ

            ห้องผมไม่มีตาแมวให้มองเลยต้องใช้วิธีมองลอดผ่านบานเกล็ดข้างๆ ประตูแทน แต่เดี๋ยวก่อน เสื้อย้วยๆ แบบนี้ รอยแผลจางๆ ที่แขน หน้าตาโทรมเหมือนซอมบี้

            เฮ้ย! มาได้ไง

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            เสียงเคาะประตูดังอีกครั้งจนผมสะดุ้งผละออกห่างจากบานเกล็ด

            ทำไมต้นสนถึงมาอยู่ที่นี่

            "เปิดประตูให้หน่อย"

            ผมสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สองสามครั้งก่อนตัดสินใจเปิดประตูเผชิญหน้ากับคนที่ยังไม่พร้อมจะเจอหน้าสักเท่าไร ต้นสนหน้าตึง ยืนกอดอกมองผมแล้วขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนอยากจะมาหาเรื่องกันเต็มแก่

            "เป็นอะไร" ถามคำถามแรกด้วยน้ำเสียงกรรโชกแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

            ผมรู้ว่าต้นสนกำลังร้อนใจ หรือไม่ก็ถึงขั้นโกรธ เหตุผลอะไรไม่ต้องเดา เพราะถ้าผมโดนเมินด้วยการไม่ตอบแชทก็คงโมโหเหมือนกัน แถมโดนเมินด้วยเหตุผลอะไรก็ยังไม่รู้ ทำไมอะไรผิดไว้ก็ยังไม่รู้ จากที่คิดว่าจะเป็นฝ่ายโกรธพอเห็นสีหน้าเป็นกังวลของคนตรงหน้าแล้วความคิดงี่เง่าที่อยู่ในหัวมาตลอดทั้งวันกลับหายไปเสียดื้อๆ

            "เข้ามาข้างในก่อน" ผมคว้าแขนต้นสนให้เดินตามเข้ามา แม้ไม่อยากให้มาเห็นสภาพห้องที่เล็กไม่ต่างจากรังหนูนี่ก็เถอะ แต่ดีกว่ายืนเถียงกันหน้าประตู

            "เป็นอะไร ทำไมเงียบใส่ โกรธเรื่องอะไร" ประตูห้องปิดปุ๊บต้นสนก็ใส่เป็นชุด

            ผมยังไม่ตอบ เดินไปนั่งบนเตียงแล้วตบที่ว่างข้างๆ ให้ต้นสนเดินมานั่งซึ่งเจ้าตัวก็ยอมทำตามโดยดี จากนั้นต่างคนก็ต่างเงียบ

            บรรยากาศเริ่มชวนให้อึดอัด ตอนนี้เองที่ผมค้นพบความสามารถพิเศษของต้นสนอีกอย่าง เพราะนอกจากจะปล่อยความมืดมนให้คนรอบข้างได้แล้ว ยังปล่อยรังสีความน่ากลัวได้อีก สีหน้านิ่งๆ ที่พยายามเก็บอารมณ์ดูเหวี่ยงจนไม่น่าเข้าใกล้ มันต่างจากตอนนิ่งๆ แบบน่าค้นหาที่ผมเจอเจ้าตัวครั้งแรกลิบลับ เป็นคนที่มีหลายบุคลิกซึ่งบุคลิกที่ผมไม่อยากเจอที่สุดก็คือตอนนี้

            "มีอะไรจะพูดมั้ย" เสียงเรียบๆ เอ่ยถามอย่างให้โอกาส

            ผมถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ตอนนี้ต่อให้นึกถึงรูปวาดกับผู้หญิงคนนั้นยังไงก็หงุดหงิดอีกฝ่ายไม่ลง ก็เล่นมาแผ่รังสีความน่ากลัวใส่ขนาดนี้ จะทำเป็นโกรธกลับก็ทำไม่ลงด้วยเพราะรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายไปงี่เง่าใส่ก่อน

            "แค่อารมณ์ไม่ดีนิดหน่อย ขอโทษนะที่งี่เง่าใส่"

            "อารมณ์ไม่ดีเพราะเราน่ะเหรอ บอกได้มั้ยทำไม"

            เป็นคำถามที่ทำให้ผมต้องเงียบอีกครั้ง ทำไมน่ะเหรอ จะให้ผมตอบไปว่ายังไงล่ะ หงุดหงิดเพราะบอกว่าไม่มีแฟนแล้วไปนั่งวาดรูปสวีทหวานแหววกับผู้หญิงสวยที่คาเฟ่แบบนั้นน่ะเหรอ เป็นเหตุผลที่ไม่เข้าท่าเอาซะเลย

            "ว่าไง"

            "ไม่รู้ดิ อยู่ดีๆ ก็โกรธ"

            "ปลื้ม" ต้นสนเรียกเสียงแข็ง บอกให้รู้ว่าไม่มีอารมณ์รับมุก

            แต่ถ้าพูดไปผมจะไม่โดนว่าอะไรใช่ไหม ถ้ายอมรับความจริงออกไป

            ผม...กลัว

            "เห็นรูปที่อัพในทวิตแล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกไม่ชอบใจ ที่ไปวาดรูปกัน"

            "กับอารี่น่ะเหรอ"

            "งั้นมั้ง ไม่ได้รู้จักผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย"

            ท่าทางผมเหมือนเด็กยังไงไม่รู้ ยิ่งหันไปเห็นรอยยิ้มจากคนที่ทำหน้าตึงตั้งแต่เดินเข้าห้องมายิ่งย้ำชัดความคิดนั้น เห็นไหมว่ามันงี่เง่า โกรธอะไรไม่เข้าเรื่อง แต่ก็ยังจะโกรธ

            "อารี่เป็นเพื่อนนักวาด นานๆ เจอกันที เดือนหน้าก็จะไปออกบูธด้วยกัน วันนี้มันมาแถวนี้เลยนัดเจอ"

            "ให้จริง"

            "ไม่หึงดิ"

            ไม่รู้ว่าที่ต้นสนพูดแกล้งเล่นหรือจริงจัง ทั้งที่ปกติผมจะดูออกมา แต่วันนี้กลับไม่ รอยิ้มบางๆ นั่น กับแววตามั่งคงไม่ขี้เล่นเหมือนทุกที แล้วถ้าผมจะขอรับคำนั้นไว้ด้วยความจริงจังล่ะ อีกฝ่ายจะมีท่าทีตอบกลับมายังไง

            "ไม่ได้อยากจะหึงสักหน่อย"

            "แสดงว่าหึง"

            "อืม"

            ผมเว้นจังหวะเพื่อสบตาคนตรงหน้า รอยยิ้มบางๆ นั่นหายไปแล้ว แววตามั่งคงเมื่อครู่เริ่มสั่นคลอน สั่นเหมือนใจผมที่เต้นรัวเร็ว และยิ่งเพิ่มจังหวะเร็วขึ้นเมื่อออกปากย้ำอีกครั้งให้ชัดกับความรู้สึกที่มี

            "หึง"

            ต้นสนเม้มปากแน่นก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วหันมองไปทางอื่น ใจผมที่เต้นรัวเริ่มผ่อนจังหวะลง บรรยากาศน่าอึดอัดหายไป รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอกทั้งที่ยังไม่แน่ชัดกับปฏิกิริยาตอบกลับของเจ้าตัวด้วยซ้ำ แต่จากสายตาที่มองมาเมื่อครู่มันเหมือนกับว่าได้รับอนุญาตให้รู้สึกแบบนั้นได้

            ผมหึงต้นสนได้

            "แล้วต้องตามมาถึงหอเลย" ผมพาเปลี่ยนประเด็นที่ไม่ได้ไกลจากเดิมเท่าไร เพราะกลัวว่าถ้าเงียบกันอยู่แบบนี้ความน่าอึดอัดจะกลับมาปกคลุมห้องเล็กๆ นี้อีก

            "ไม่ยอมตอบแชทจะให้ทำไงอ่ะ"

            "รู้ที่อยู่ด้วยเหรอ"

            "ก็มีอยู่ทำไมจะไม่รู้"

            ผมขมวดคิ้วนึกสงสัยอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกออกว่าเคยสั่งซื้ออาร์ตบุ๊ค เพราะงั้นไม่ต้องแปลกใจถ้าต้นสนจะมีทั้งชื่อ ที่อยู่ ยันรหัสไปรษณีย์

            "เดือนหน้าเสาร์ที่สองปลื้มว่างมั้ย"

            "ปกติทำงาน แต่ถ้ามีเรื่องจำเป็นก็ได้อยู่"

            "เรื่องจำเป็นเหรอ"

            ดูท่าคำว่า 'จำเป็น' ของผมจะทำให้ต้นสนคิดหนัก ความจริงสิ้นเดือนนี้ผมตั้งใจว่าจะเคลียร์ค่าเช่าให้หมด เพราะทางบ้านจะส่งเงินมาช่วยย้อนหลังที่ค้างไว้หลายเดือนก่อนด้วย เท่ากับว่าหลังจากนี้ผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบปกติสุขอย่างเดิม ไม่ได้ฟุ่มเฟือย แต่ไม่ต้องประหยัดจนทรมานตัวเอง

            "ได้ดิ จะชวนไปไหน" ได้ยินคำตอบรับจากสีหน้าเป็นกังวลต้นสนก็ยิ้มออก

            "ไปงานด้วยกันนะ ไปช่วยกันขายของ เดี๋ยวให้ค่าจ้าง" ถึงกับต้องเอาเงินมาล่อกันเลยทีเดียว

            "ไม่ให้ค่าจ้างก็จะไปอยู่หรอก"

            "งั้นตกลงนะ"

            "อืม"

            ต้นสนยิ้มกว้างแปลงร่างเป็นคนละคนกับตอนที่มายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้องผม พอได้ดั่งใจแล้วก็เป็นแบบนี้ ชอบยิ้มแจกความสดใสที่ไม่ค่อยจะมี พวกครีมบำรุง อาหารเสริมกับวิตามินที่ซื้อมาได้ใช้ได้กินอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พูดไปจะหาว่าบ่นอีก

            "ปลื้มกินข้าวยัง"

            กำลังจะอ้าปากบ่นสักหน่อยแต่กลับโดนถามตัดหน้า ผมส่ายหน้าตอบ ก่อนหน้านี้ไม่มีอารมณ์กิน เพราะปกติมักจะหิ้วของเหลือไปนั่งกินกับใครบางคนที่ห้อง 403 แต่วันนี้หิ้วท้องอันหิวโซกลับมาที่ห้องตัวเอง ป้านกจะให้กับข้าวกลับมาก็ไม่ยอมเอา อ้างว่าไม่หิวลูกเดียว

            "งั้นไปหาอะไรกินกันมั้ย เห็นกลางซอยมีร้านตามสั่ง" ชวนพร้อมเลือกร้านให้เสร็จสรรพ สำรวจมาอย่างดีอย่างกับวางแผนไว้ล่วงหน้า และไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปฏิเสธ

            "ไปดิ"

            ตอบตกลงก่อนลุกขึ้นหยิบกระเป๋าสตางค์เดินนำออกไปหน้าห้อง ปิดประตูล็อคกุญแจเรียบร้อยมือข้างขวาของผมก็ถูกความร้อนเข้ามากอบกุม ผมตอบรับความรู้สึกนั้นด้วยการกระชับมันไว้หลวมๆ ก่อนเราทั้งคู่จะก้าวเดินไปพร้อมกัน

 

TBC

 

งานหึงก็มานาจา นอกจากความน่ารักแล้วต้นสนก็มีโหมดน่ากลัวด้วยนะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-11-2017 19:50:03
ทำไมต้นสนดูรุกแรงมากกกก ฮื่อออ น่ารักจังเลยค่ะ เวลาเกรี้ยวกราดยิ่งน่ารักกกดดดด  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 11-11-2017 21:17:42
เผลอคิดว่าต้นสนเป็นพระเอกทุกที  :z3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 11-11-2017 23:06:37
น่ารักยิ่งอ่านยิ่งน่ารักกกกกก :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 11-11-2017 23:13:32
ฮือ ต้นสนลูกทำไมน่ารัก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 11-11-2017 23:57:16
น่ารักกกกกก ชอบต้นสนเกรี้ยวกราด
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yanaanay ที่ 12-11-2017 00:29:21
ต้นสนนี่พระเอกชัดๆเรย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 12-11-2017 00:56:54
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 12-11-2017 01:25:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 12-11-2017 14:59:10
ต้นสนนนนน  น่ารักจัง ต้นสนหาซื้อได้ที่ไหนคะ  :ling1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-11-2017 18:55:16
เราชอบที่ฝ่ายรุกเป็นฝ่ายพ่อบ้านดูแลเอาใจใส่แบบนี้จัง น่ารักอะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-11-2017 02:59:30
 :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 14-11-2017 17:25:28
สารภาพว่าตอนแรกเห็นชื่อเรื่องนี่ไม่กล้าอ่านจริงๆ กลัวเครียด

แต่พออ่านแล้วแบบ....จย้าาาาาาาาาาาา

ฮาาาา ชอบความค่อยเป็นค่อยไปนะ ชอบๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 14-11-2017 17:50:44
คนหลายบุคลิกนี่บางทีก็มีเสน่ห์มากอ่ะ อยากให้ต้นสนเป็นรุกจัง :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 16 ★ 11/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 14-11-2017 21:54:38
ต้นสนรุกนะจ๊ะ 555+
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 15-11-2017 19:33:33

ตอนที่ 17


            'งาน KFM ครั้งที่ 8'

            ผมอ่านชื่องานบนบัตรสตาฟที่ต้นสนเพิ่งยื่นมาให้ในใจก่อนเอามันคล้องคอ ยิ้มให้เจ้าหน้าที่ตรงโต๊ะลงทะเบียนพอเป็นพิธีแล้วหิ้วกระเป๋าเดินตามต้นสนเข้าในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมย่านใจกลางเมืองซึ่งเป็นสถานที่จัดงาน

            โต๊ะที่มีผ้าคลุมสีขาวตั้งเรียงกันไปตามความยาวของห้องทั้งหมดสี่แถว ต้นสนเดินนำไปยังบูธที่จองไว้อย่างชำนาญเส้นทาง  ผ่านหลายบูธที่กำลังจัดของกันอย่างขะมักเขม้น ก่อนหยุดที่โต๊ะแถวที่สองใกล้กับหัวแถว

            "ของเราโต๊ะนี้" ต้นสนบอกแล้ววางของลงบนโต๊ะที่มีกระดาษติดไว้ว่า B3 เป็นทำเลที่ดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่อยู่ใกล้เวทีก็น่าจะดีล่ะมั้ง

            ถึงบูธก็ได้เวลาจัดของ ผมหยิบโปสการ์ดเกือบยี่สิบลายออกมาวางตามที่ต้นสนบอก ลายหนึ่งมีสามสิบถึงสี่สิบแผ่น ตามด้วยแฟนบุ๊คอีกสองเรื่อง อาร์ตบุ๊คที่ผมซื้อไปแล้วอีกเล่ม จัดเรียงของทั้งหมดแล้วใช้พื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของโต๊ะที่ยาวเกือบสองเมตรได้

            บูธนี้ต้นสนแบ่งพื้นที่กับอารี่คนละครึ่ง แม่ศิลปินสาวตัวเล็กที่ผมออกอาการหึงใส่เมื่อคราวก่อน หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่วันนี้ ตั้งใจมาช่วยขายของแล้วก็อยากมาเห็นตัวจริงของแม่สาวอารี่ด้วยเหมือนกัน

            ช่วยกันจัดของจนใกล้เสร็จมือถือของต้นสนก็แผดเสียงร้อง เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมาดูก่อนกดรับ คุยกันสองสามคำแล้ววางสาย เป็นประโยคสนทนาที่ฟังแล้วรู้ได้ทันทีว่าคุยกับใคร

            "ไปรับอารี่ก่อนนะ"

            ผมพยักหน้ารับ ต้นสนยิ้มให้แล้ววางป้ายราคาที่ยังจัดไม่เสร็จไว้บนโต๊ะแบบลวกๆ ก่อนคว้าเอาบัตรสตาฟที่ได้มาตั้งแต่ตอนลงทะเบียนออกไปหาเพื่อน

            ระหว่างรอผมทำเป็นจัดของที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่แล้วให้เข้าที่อย่างคนไม่มีอะไรทำ ไม่ก็เหล่มองบูธข้างๆ หนังสือเอย โปสเตอร์เอย อีกทั้งสารพัดของเล็กๆ น้อยๆ มีทั้งแบบตัวการ์ตูนที่น่าจะเป็นคาแรคเตอร์ แล้วก็รูปผู้ชายหล่อๆ ซึ่งผมไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง เป็นสถานที่ที่ล่อลวงผู้มีใจรักได้ดียิ่งนัก

            หายออกไปไม่นานนักต้นสนก็เดินกลับเข้ามาพร้อมผู้หญิงตัวเล็กผมดำยาวใส่ชุดเดรสสีขาวชายลูกไม้ ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างสนิทสนมจนมาหยุดอยู่ที่บูธ B3 สาวน้อยนามว่าอารี่ก็ยิ้มหวานแล้วแนะนำตัว

            "หวัดดีปลื้ม เราอารี่นะ เป็นเพื่อนนักวาดกับต้นสนมัน ได้ยินมันพูดถึงบ่อยๆ ตัวจริงหล่อนะเนี่ย" อารี่เปิดปากได้ก็ใส่มาเป็นชุด ท่าทางจะคุยเก่งเหมือนกันทั้งคู่

            แล้วที่ว่าต้นสนไปพูดถึงบ่อยๆ นี่หมายความว่าไง เอาผมไปเมาท์ให้เพื่อนฟังว่าอะไรอีก

            "หวัดดี" ผมทักตอบกลับไปแค่นี้แล้วยิ้มอย่างเดียว

            "รีบจัดของเลยมึง อีกครึ่งชั่วโมงเขาจะเปิดให้คนเข้าแล้ว"

            "เหรอ เออๆ" อารี่ตอบรับแล้ววางกระเป๋าลงบนโต๊ะ ท่าทางลนๆ ก็ขัดกับลุกน่ารักๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่โก๊ะแบบเปิ่นๆ แต่เป็นเด๋อแบบตลกๆ ถึงอย่างนั้นความสวยที่มาก็ทำให้สามารถมองข้ามมันไปได้ เป็นสัจธรรมที่ว่า คนสวยมักได้เปรียบกว่าจริงๆ

            'คุยเก่งกันทั้งคู่' ไม่ผิดคาดจากที่ผมคิดเอาไว้ หลังจากจัดของเสร็จ อารี่ก็ชวนต้นสนคุยจนแทบไม่มีเวลาไหนที่เรียกได้ว่าเงียบสงบ ไม่รู้ขุดเอาเรื่องจากไหนมาคุยกันนักหนา มีโยนมาให้ผมตอบรับบ้าง พอเล่นด้วยเข้าหน่อยก็เล่นกลับใหญ่เวอร์วัง แต่แปลกตรงที่มันไม่ได้ดูน่ารำคาญเลยสักนิด

            "เฮ้ยๆ คนเข้ามาแล้ว"

            สิบโมงตามเวลาเริ่มงานที่ระบุในบัตรประตูห้องจัดเลี้ยงก็เปิดออก ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาเดินกระจายไปตามบูธต่างๆ และดูเหมือนว่าบูธของพวกเราเองก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของใครหลายคน

            "อันนี้น่ารัก"

            "อันนี้ก็สวย"

            "อยากได้หมดเลย"

            "หมดตัวเลยนะ"

            "มีโปรมั้ยคะพี่ต้นสนพี่อารี่"

            น้องผู้หญิงสองคนที่คาดว่าน่าจะอยู่มัธยมปลายยืนคุยกันงุ้งงิ้งอยู่หน้าร้าน ก่อนจะโยนคำถามมาให้เจ้าของบูธที่พร้อมแล้วสำหรับการขาย คงจะเป็นแฟนคลับของสองคนนี้ด้วยล่ะมั้ง ถึงได้เรียกชื่อกันสนิทสนมขนาดนี้

            "ของพี่ต้นสนไม่รู้มีมั้ยนะคะ แต่ของพี่อารี่มีค่า นี่จ้า ซื้อครบหนึ่งร้อยบาทแถมฟรีโปสการ์ดหนึ่งใบ เลือกลายได้เลยน้า มีสี่แบบ" อารี่หยิบกล่องพลาสติกออกมาพร้อมเปิดโชว์ของแถมที่ว่าให้ดู มันคือโปสการ์ดสี่ลายที่ไม่ได้เอาออกมาวางโชว์ตั้งแต่แรก สองลายเป็นรูปหญิงชาย ส่วนอีกสองลายนั้นเป็นรูปชายชาย แต่ไอ้รูปชายชายนั่นทำไมมันคุ้นๆ

            "ไอ้รี่!"

            "อะไร"

            "มึง"

            "กูทำไม"

            สองศิลปินเพื่อนรักเขากระซิบกระซาบอะไรกันไม่รู้ดูลับๆ ล่อๆ ชอบกล คนหนึ่งขมวดคิ้วใส่ทำหน้าเครียด ส่วนอีกคนยิ้มร่าท่าท้าย สงสัยคุณหนูต้นสนจะโดนขัดใจอะไรเข้าอีกเป็นแน่

            "แล้วพี่ต้นสนล่ะคะ" หนึ่งในลูกค้าสาวถามขึ้นมาเมื่อยังไม่ได้รับฟังโปรโมชั่นพิเศษจากทางต้นสน เจ้าตัวเลยแยกเขี้ยวใส่เพื่อนก่อนหันไปตอบ

            "พี่แถมสติ๊กเกอร์ครับ ซื้อเท่าไรก็แถม ส่วนโปสเตอร์สามใบร้อยนะ เลือกเลยๆ"

            ได้รับฟังโปรโมชั่นถูกใจทั้งสองสาวก็เริ่มเลือกสินค้าที่อยากได้ ส่วนผมมีหน้าที่รับมาใส่ซองและช่วยทอนเงิน

            "ขอบคุณครับ"

            ทั้งสองคนที่รับซองใส่สินค้าจากมือผมค้อมหัวเล็กน้อยพร้อมยิ้มให้ หนึ่งในนั้นมองรูปในโปสเตอร์ที่ได้แถมจากอารี่สลับกับมองผมก่อนจะยิ้มกว้าง ค้อมหัวให้อีกหนึ่งทีแล้วพวกเธอก็เดินจากไป

            ผมว่าโปสการ์ดนั่นมันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ รูปหนึ่งเดินจับมือกัน ส่วนอีกรูปเหมือนจะเล่นกีตาร์ร้องเพลง

            เดี๋ยวนะ!

            ตั้งใจว่าจะทักเรื่องรูปในโปสการ์ดแต่เพราะลูกค้าที่ทยอยกันเข้ามาเรื่อยๆ ผมเลยไม่มีโอกาสได้ถามสักที

            การขายของเป็นเรื่องสนุก โดยเฉพาะเวลาที่ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผมที่คุ้นเคยกับการขายของอยู่แล้วพอปรับตัวกับชนิดของสินค้าใหม่และจำราคาได้เลยยิ่งสนุกกับมัน แนะนำพูดคุยหยอกล้อกับลูกค้าจนเจ้าของบูธออกปากชม แถมคิดเลขเร็วอีกต่างหาก ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ แฟนบุ๊คหนึ่งเรื่องที่ต้นสนทำมาก็ขายหมด

            "นี่ขายดีหรือทำมาน้อย" แล้วก็โดนอารี่แซะเข้าให้

            "ระดับต้นสนนะครับ ทำมาเยอะแค่ไหนก็หมด"

            "จ้าๆ"

            ถ้าผมไม่มาเห็นกับตาวันนี้ก็คงจะทำหน้าหมั่นไส้ใส่ต้นสนเหมือนอารี่อย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะขายได้เรื่อยๆ แล้วยังมีแฟนคลับมาขอถ่ายรูปด้วยบ่อยๆ ถ้าช่วงไหนที่เจ้าตัวไม่อยู่เช่นไปห้องน้ำหรือเดินแวบไปที่อื่นก็มักจะโดนถามหา นับว่าเป็นคนดังคนหนึ่งของวงการนี้คงได้

            เวลาผ่านไปของที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะเริ่มหมดไปทีละอย่าง ในขณะที่ลูกค้ายังทยอยเข้ามาเรื่อยๆ มีงอนง้อใส่กันบ้างเมื่อของที่อยากได้ไม่มีให้ซื้อ แต่ด้วยวาทศิลป์อันแพรวพราวของอารี่เลยเกลี่ยกล่อมจนลูกค้าหันไปซื้อสินค้าอย่างอื่นแทน ไม่ได้เก่งแค่คุยโม้ไปเรื่อยอย่างเดียว

            เลยเที่ยงมาได้สองชั่วโมงผมเลยอาสาออกไปซื้อข้าวกับขนมนมเนยมาให้ กลับมาที่บูธอีกทีลูกค้ามีอยู่ประปราย ตั้งใจจะแลกเวรขายกับใครสักคนเพื่อผลัดกันไปพัก แต่กลับมีเสียงคุ้นหูเรียกชื่อผมขึ้นมาทั้งที่ไม่น่าจะมีใครรู้จักผมนอกจากต้นสนกับอารี่

            "พี่ปลื้ม"

            หันไปตามต้นเสียงก็เจอกับเด็กสาวยืนเอียงคอขมวดคิ้วมองผมอยู่ เธอใส่เสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ขาสั้นที่มักจะเห็นบ่อยๆ ซึ่งปกติแล้วผมจะเห็นเธอใส่ชุดนี้อยู่ที่ตลาดหลังมหาวิทยาลัย

            "ไม่ยักรู้ว่าพี่ปลื้มชอบอะไรแบบนี้ด้วย" น้ำเสียงที่ถามฟังดูแปลกใจ ทว่าสีหน้ากลับเย้ยหยัน น้ำตาลมองผมสลับกับต้นสนและอารี่ เป็นสายตาที่ดูไม่น่ารักและไร้มารยาท

            "พี่มาช่วยเพื่อนขายของน่ะครับ น้องตาลชอบอันไหนเลือกได้เลยนะ" ผมพยายามมองข้ามท่าทีเหล่านั้น เป็นการแสดงออกที่ผมไม่อยากเชื่อว่าเด็กผู้หญิงที่เคยน่ารักจะแสดงท่าทีอาการแข็งกร้าวได้ขนาดนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผมไม่ชอบเอาเสียเลย

            "ตาลไม่ได้ชอบ เพื่อนชวนมาก็มา ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาเจอพี่ปลื้มที่นี่ รับจ๊อบพิเศษเหรอคะ หรือเบื่องานที่บ้านตาลแล้ว"

            "พี่มาช่วยเพื่อนครับ ไม่ได้มารับจ๊อบ"

            "เขาจ้างพี่ปลื้มเท่าไรเหรอ พักนี้เลยชอบลางานตลอด"

            "ตาล" ผมเรียกเสียงแข็งแต่ไม่ดังนัก ส่งสายตาบอกให้อีกฝ่ายหยุดพูดอะไรเรื่อยเปื่อย คนรอบข้างเองก็เริ่มหันมามอง รวมถึงต้นสนกับอารี แต่มันไม่ได้ผลเมื่อตาลเปลี่ยนเป้าหมายไปหาต้นสนแทน

            "สวัสดีค่ะพี่ต้นสน"

            "สวัสดีครับ"

            "งานพวกนี้ของพี่เหรอคะ"

            "ครับ" ต้นสนยิ้มรับให้กับท่าทีคุกคามที่เหมือนจะไม่ยอมลดลงง่ายๆ

            "ตาลไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าพี่สองคนจะสนิทกันขนาดนี้"

            "พวกเราเป็นเพื่อนที่มหา'ลัย"

            "รู้ค่ะ แต่ก็เรียนคนละคณะไม่ใช่เหรอ"

            ต้นสนได้แต่ยิ้มรับโดยไม่ตอบโต้อะไรกลับไปอีก ผิดกับอารี่ที่ดูร้อนรนเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่โดนต้นสนหยิกแขนเอาไว้ เลยได้แต่ส่งยิ้มที่ไร้ความจริงใจให้กันไปมา

            สถานการณ์แบบนี้มันบ้าบอชะมัด

            ผมไม่รู้ว่าตาลไปรู้อะไรมา ที่ร้านเธอกับต้นสนเจอกันบ่อยก็จริงแต่คุยกันแทบนับประโยคได้ แถมยังเป็นประโยคสนทนาที่ใช้ในการค้าเสียส่วนใหญ่ ตาลไม่เคยมีท่าทีสนใจต้นสนมาก่อน กระทั่งพักหลังที่ผมคุยกับต้นสนที่ร้านมากขึ้น ปริมาณกับข้าวที่เอากลับไปหลังเลิกงานและเส้นทางกลับบ้านที่เปลี่ยนไป เธอเคยถาม แต่ผมไม่เคยตอบอย่างจริงจังเท่าไร

            "ตาลไปก่อนนะ พอดีเพื่อนรอยู่ ขอให้ขายดีนะคะ แล้วเจอกันนะพี่ปลื้ม" นึกอยากจะไปก็ไป นึกอยากจะมาก็มา ตาลโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มที่ดูยังไงก็เสแสร้งก่อนเดินจากไป พร้อมกับอารี่ที่พูดสวนขึ้นมาทันที

            "อะไรของอีเด็กนั่น"

            "พูดไม่เพราะเลย"

            "เอ้า! ก็ดูมันทำหน้าทำตาดิ แฟนปลื้มเหรอ หรือใคร"

            "ไม่ใช่" ผมตอบแล้วส่ายหน้า ดูท่าอารี่จะอารมณ์ขึ้นมากกว่าคนโดนยั่วอย่างผมกับต้นสนเสียอีก

            "หรือกิ๊กปลื้ม พูดกระแนะกระแหนน่าตบมากอ่ะ"

            "ไม่มีแฟนจะไม่กิ๊กได้ไงเล่า"

            "แล้วไอ้สนไม่ใช่แฟนปลื้มเหรอ" อารี่ยิงมาคำถามเดียวเงียบกันทั้งบูธ ไหนจะลูกค้าที่กำลังเลือกซื้อของอีก ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับต้นสนทั้งนั้น พอได้ยินประโยคนี้เลยหูผึ่งกันเป็นแถว

            "ไอ้รี่!"

            "ล้อเล่นมั้ยล่ะ เห็นพวกมึงสนิทกันอ่ะ มันก็อยากเชียร์ไง" พูดประโยคแรกเสียงดังก่อนอารี่จะเข้าไปกระซิบประโยคหลังกับต้นสน แต่ผมดันบังเอิญได้ยิน

            "พูดมาก"

            "นี่เพื่อนหวังดีนะคะ"

            "ไม่ต้องมาหวังดีกับคนอื่น มึงอ่ะหาผัวให้ได้ก่อนเถอะ"

            "อีนี่! ปากร้าย"

            มองต้นสนกับอารี่ยืนเถียงกันแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหน้ากับตัวเอง ไม่รู้ก่อนหน้านี้หลงคิดไปได้ยังไงว่าสองคนนี้เป็นแฟนกัน ถ้าเป็นภาพนิ่งทั้งคู่นั้นไม่ต่างกับเทพบุตรกับเทพธิดา แต่พอเป็นภาพเคลื่อนไหวแล้วกลับเป็นลุงขายน้ำเต้าหู้กับเจ๊ขายผัก มันก็ยังพอจะจินตนาการได้อยู่ล่ะมั้ง

 

            ใกล้สี่โมงเย็นคนที่มาร่วมงานก็เริ่มน้อยลง บางบูธทยอยกันเก็บของ พวกผมเองก็ด้วย งานที่เอามาส่วนมากขายได้เกือบหมด ของที่ต้องขนกลับเลยมีไม่เยอะเท่าไร

            "พวกแกจะไปไหนกันต่อ" อารี่ถามตอนพวกเราเดินออกมาจากห้องจัดงาน

            "ตอนแรกว่าจะไปกินข้าวก่อน แต่ตอนนี้อยากกลับเลยว่ะ ง่วงมาก" ต้นสนตอบแล้วเหล่มองมาทางผม

            ผมน่ะยังไงก็ได้ มาด้วยกันก็กลับด้วยกัน สนต้นจะพาไปไหนก็ไป จะไปกินข้าวหรือจะกลับคอนโดก็ตามใจคุณหนูเลย

            "แล้วมึงจะไปไหนต่อ"

            "นัดกับพี่พีไว้ตอนห้าโมง มึงเอารถมาใช่ป่ะ"

            "อืม"

            "งั้นไปส่งกูหน่อยดิ"

            "กูว่าละ"

            "เออน่า ไม่ไกลหรอกมึง นะๆๆ"

            "เออๆ"

            "ดีมากเพื่อนรัก" อารี่หยิกแก้มต้นสนหนึ่งทีเจ้าตัวเลยรีบปัดออกแล้วขมวดคิ้วใส่ หยอกกันได้น่ามันเขี้ยวจนคนมองต้องยิ้มตาม

            ผมว่าคู่นี้เขาเข้าขากันดีนะ ทั้งท่าทาง ลักษณะนิสัย ชอบวาดรูปเหมือนกันอีก พอเห็นหยอกกันมากๆ มองแบบคนไม่รู้ก็ชักจะเข้าข่ายเหมือนคู่รักกันยังไงชอบกล เป็นคู่รักคู่กัด แต่ดูเหมือนจะชอบกัดกันมากกว่า

 

            ต้นสนขับรถมาส่งอารี่ที่ร้านอาหารไม่ไกลจากโรงแรมนัก ก่อนจะลงจากรถเธอยื่นโปสการ์ดสองใบมาให้ผม มันคือของแถมสำหรับลูกค้า รูปวาดที่คุ้นแสนคุ้นเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวผมมาก่อน และยังเป็นสิ่งที่ผมเกือบลืมไปแล้วถ้าเธอไม่เอามันมาให้

            ผมมองโปสการ์ดในมือแล้วนั่งอมยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ในขณะที่ต้นสนยังคงปิดปากเงียบไม่พูดไม่จาเอาแต่มองไปข้างหน้าตั้งอกตั้งใจกับการขับรถ แต่เพราะมันมีประเด็นให้คิดเจ้าตัวถึงได้เป็นแบบนี้ เพราะคำพูดของอารี่ที่บอกกับผมก่อนลงรถ

            'ไอ้นี่น่ะ ตอนแรกตั้งใจวาดเล่นเฉยๆ แต่เผอิญว่าคนแถวนี้อยากได้เลยทำแจกมันซะเลย ไม่ว่ากันเนอะ'

            จะว่าหรือไม่ว่ามันก็ผ่านมาแล้ว ถึงไปบอกอารี่ว่าไม่ให้ทำตอนนี้มันก็ไม่ได้อะไรอยู่ดี อีกอย่างผมว่ามันก็ไม่ได้เสียหายอะไร

            รูปวาดสวยดี คาแรกเตอร์ในรูปก็เหมือน เหมือนมากอย่างกับมาเห็นเหตุการณ์เองยังไงยังงั้น

            "เล่าให้อารี่ฟังด้วยเหรอ" ผมถามเพื่อทำลายความเงียบ น้ำเสียงปกติไม่ได้หงุดหงิดอะไร แต่เหมือนว่าต้นสนจะกลัวว่าผมกำลังไม่พอใจอยู่

            "ก็เล่านั่นแหละ แต่ไม่คิดว่ามันจะเอามาวาด แล้วก็เอามาแจกด้วย"

            "เล่าอะไรไปบ้าง"

            ต้นสนเหลือบมามองผม หน้าจ๋อยสนิทแบบไร้ความมั่นใจ ทั้งตลกและน่าแกล้ง แต่ผมไม่ใช่คนที่ชอบแกล้งแหย่คนอื่นไปทั่ว ยิ่งเห็นเจ้าตัวทำหน้าคิดมากแบบนี้ยิ่งแกล้งไม่ลง

            "ก็เล่าหมดนั่นแหละ ทำอะไร ยังไง ตอนไหน เกิดอะไรขึ้น คนเราก็ต้องระบายให้เพื่อนฟังบ้างไง เก็บทุกอย่างไว้คนเดียวอึดอัดตาย"

            "แล้วอั๋น?"

            "ไอ้อั๋นก็เล่า แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด มันรู้แค่ว่าช่วงนี้อยู่กับปลื้มบ่อยๆ แค่นั้น"

            "เหรอ"

            "โกรธเหรอ"

            "เปล่า"

            ต้นสนหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปมองถนน หัวคิ้วขมวดเข้าหากันจนผมอยากจะจับให้หันหน้ามาหาแล้วนวดระหว่างคิ้วให้

            ท่าทางผมเหมือนคนโกรธตรงไหน ไม่เลยสักนิด ต้นสนน่ะขี้กังวลไปเอง วิตกไปเองทั้งนั้น แต่ทุกอย่างที่อีกฝ่ายแสดงออกมันช่วยบ่งบอกอะไรได้บางอย่าง ถ้าไม่ใช่กลัวว่าตัวเองจะมีความผิดก็เป็นเพราะว่าห่วงความรู้สึกกัน ซึ่งสำหรับต้นสนนั้นไม่ต้องคิดให้ยากว่าจะเป็นตัวเลือกไหน

            เพราะเป็นห่วงเลยกังวล ซึ่งผมเองก็มีเรื่องที่กำลังเป็นห่วงความรู้สึกของต้นสนอยู่เหมือนกัน

            "เรื่องตาลน่ะ อย่าไปคิดอะไรมากนะ"

            "ไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย" ตอบทั้งที่คิ้วยังขมวดอยู่แบบนี้ใครจะไปเชื่อ

            "งั้นก็เลิกขมวดคิ้วได้แล้ว"

            "แต่ที่จริงก็คิดอยู่แหละ"

            ผมหันหน้าไปมองคนขับเป็นจังหวะเดียวกับที่รถติดไฟแดงพอดี ต้นสนมองตอบแล้วอมยิ้มบางๆ สีหน้าเป็นกังวลยังไม่จางหายไปไหน

            "กำลังคิดว่าน้องเขาชอบปลื้มหรือเปล่า" ยิงคำถามมาได้ตรงประเด็นจนผมเองยังตกใจ

            "เพราะที่น้องเขาพูดวันนี้น่ะเหรอ"

            "อืม"

            "ก็บอกแล้วไงอย่าคิดมาก"

            "พูดซะขนาดนั้นไม่คิดได้ไงไหว"

            "ไม่มีอะไรหรอก"

            "แล้วน้องเขาชอบปลื้มอยู่ใช่มั้ย"

            "ไม่รู้เหมือนแฮะไม่เคยถามซะด้วย"

            "แค่ดูท่าทางก็รู้แล้วมั้ย"

            "รู้ว่าเราไม่ได้ชอบน้องเขาก็พอ"

            จากที่ตั้งท่าจะเถียงต้นสนกลับเงียบแล้วยู่หน้าใส่ผม จังหวะพอดีกับที่สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวเจ้าตัวเลยต้องกลับไปตั้งสมาธิกับการขับรถแทน แต่ผมเห็นนะรอยยิ้มนั่น ยิ้มที่เหมือนพอใจกับคำตอบ รอยยิ้มที่คนมองเห็นแล้วมีความสุขไปด้วย

            ในที่สุดก็เลิกก็ขมวดคิ้วได้สักที

 

            เรากลับมาถึงตอนโดเกือบหกโมงเย็น ดับเครื่องยนต์ปลดสายเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยกำลังจะลงจากรถจู่ๆ ต้นสนก็ชะงักแล้วหันมาหาผมหน้าตาตื่น

            "เออ ลืมถามปลื้มว่าจะลงหอหรือเปล่า"

            "นึกได้ตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วมั้ย"

            ต้นสนทำหน้าเจื่อน ผมไม่ได้อยากประชดแค่พูดความจริง แต่ถึงจะมาส่งที่คอนโดมันก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร เดินกลับไปหอผมไม่เกินยี่สิบนาทีก็ถึง

            "ก็ถ้าจะกลับหอจะได้ไปส่งไง"

            "เดินกลับก็ได้ แค่นี้เอง"

            "ไม่ได้"

            "ก็เดินอยู่ทุกวัน"

            "แต่วันนี้ไม่ได้ ปลื้มมาช่วยเรานะต้องบริการดีๆ หน่อย เออใช่ ค่าจ้างยังไม่ได้ให้เลย" ว่าแล้วก็ทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ผมเลยต้องรีบห้าม

            "เฮ้ยไม่ต้อง ไม่ต้องไปส่ง ค่าจ้างก็ไม่ต้องเหมือนกัน"

            "ทำไมชอบปฏิเสธของตอบแทนอ่ะ" ต้นสนขมวดคิ้วถาม

            ที่ไปช่วยขายของวันนี้ผมไม่ได้คิดถึงค่าตอบแทนเลย มันก็เหมือนเวลาที่เพื่อนช่วยเหลือกัน หยิบยื่นความมีน้ำใจให้เมื่อมีโอกาส แต่ถ้าหากเจ้าตัวอยากให้ผมได้สิ่งตอบแทนก็ย่อมได้ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

            "งั้นขออย่างอื่นที่ไม่ใช่เงิน"

            "อะไร" ต้นสนทำหน้ายุ่ง ขมวดคิ้วเอียงคอมอง

            ผมเหยียดยิ้มไม่ตอบด้วยคำพูด ขยับตัวเข้าไปใกล้ใช้มือข้างขวาประคองหน้าหม่นหมองเอาไว้ส่วนอีกข้างใช้คล้องเอวดึงให้ตัวเข้ามา ดวงตาที่เมื่อครู่เบิกกว้างปิดลงอย่างรู้งาน เอียงหน้ารับองศาจูบที่มอบให้ เริ่มต้นด้วยความแผ่วเบาแล้วจึงหนักหน่วงขึ้นตามลำดับ รุกล้ำอย่างกระหาย สำรวจทุกซอกมุมเหมือนเด็กเวลาได้ของเล่นใหม่ เล่นสนุกจนพอใจถึงได้ยอมเลิกรา

            "หอมแอปเปิ้ล" กระซิบชิดริมฝีปากแล้วจูบหนักๆ อีกสักทีถึงได้ผละออกมาอย่างจริงจัง

            "โดนกินไปหมดแล้วมั้ง" กลับไปนั่งพิงเบาะดีๆ แล้วต้นสนก็พึมพำขึ้นมา ยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากที่เหมือนจะช้ำนิดๆ ก่อนหันมามองกัน ผมเลยใจดีช่วยตอบคำถามที่เจ้าตัวสงสัยให้

            "กินหมดแล้ว"

            "ตะกละ"

            เป็นคำด่าที่ได้ยินแล้วเผลอหลุดหัวเราะออกมา จะว่างั้นก็ได้เพราผมมันตะกละจริงๆ และก็คงเป็นคนตะกละตะกลามไปอีกนานถ้ายังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้

            "ไปได้แล้ว เดินกลับเองไปเลย"

            "แค่นี้ถึงกับไล่"

            ต้นสนไม่ตอบมือคว้าที่เปิดประตูเตรียมตัวหนีลงจากรถ แต่ประเด็นเมื่อกี้ยังคุยกันไม่จบเลยจะรีบหนีไปไหน

            "เดี๋ยวดิ"

            "อะไรเล่า"

            "ถ้าคิดว่าทำอะไรให้แล้วเป็นบุญคุณตอบแทนด้วยวิธีนี้ได้นะ ยินดีรับมากๆ"

            "คร้าบๆ"

            เห็นรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากผมเลยยอมปล่อยให้ต้นสนลงจากรถ ส่วนตัวผมที่ไม่มีแผนจะทำอะไรต่อก็คงวนเวียนอยู่แถวนี้ ให้กลับหอตั้งแต่หกโมงเย็นมันไม่ใช่เวลา อีกอย่างวันเสาร์ที่เจ้าตัวอยู่ห้องไม่ได้มีบ่อยๆ ไหนๆ มาถึงคอนโดแล้วก็อยู่ที่นี่มันซะเลย เอาไว้สักสามทุ่มค่อยกลับหอก็แล้วกัน

 

TBC

 

ประเด็นเรื่องรุกๆ รับๆ ยังคงไม่จางหายไป ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องนี้ไม่มีเอ็นซี

ฉะนั้นรุกรับไม่สำคัญ แค่รักกันก็พอ ฮิ้ววว ฮ่าๆๆ

วันนี้แอบโผล่มากลางสัปดาห์ แล้วจะมาลงอีกทีเสาร์หรืออาทิตย์นะคะ

สัปดาห์หน้าไม่อยู่ แอบหายหัวยาวๆ เจอกันอีกทีสิ้นเดือนหรือไม่ก็เดือนหน้าเลยค่ะ

ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและพูดคุยกันนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 15-11-2017 19:57:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-11-2017 20:07:19
 เพิ่งเคยเห็นมุมนี้ของต้นสน การคุยกับเพื่อนออกรสออกชาตแถมแอบปากร้ายด้วยนะ 55555 หลงต้นสนหนักมากกก
นังน้องตาลไม่น่ารักเอาสะเลยยย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Haruya ที่ 15-11-2017 21:09:06
เฮ้ยยยย เข้าใจว่าจบแล้วถึงเข้ามาอ่าน  :z6:
งื้อออออออ พลาดละ
ติดจนได้




 ละมุน ชื่อเรื่องออกดราม่ามาก แต่มีคนแนะนำให้อ่านเลยมาลองดู
ทั้งปลื้ม ต้นสน ค่อยๆเรียนรู้ และขยับความสัมพันธ์ ชอบ น่ารักดี

อย่าดราม่านะะะ เค้าอ่อนแอ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 15-11-2017 22:12:05
ถ้าจะอ้อยใส่กันขนาดนี้ ขอเป็นแฟนไปเลยมั้ยยยยยย
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-11-2017 22:19:12
อ่อยกันไปกันมา ตกลงว่าเปนแฟนกันยัง
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: เกสรทอง ที่ 15-11-2017 23:15:46
ชอบมากฮะ ปูเรื่องมาน่าติดตามมาก ถึงจะเฉลยเร็วแต่ก้ไม่รุ้สึกว่ามันจะสะดุดเลย เรื่องหลังจากรุ้ความจริงมันก้ยังต่อเนื่องมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป บรรยายดีมาก อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆเลย อยากให้คนอื่นมาอ่านไปด้วย เปนเรื่องที่น่ารักมากครับ =)
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-11-2017 23:42:41
 :impress2: :impress2: :3123: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 16-11-2017 00:09:17
มีเล่าให้เพื่อนฟังด้วยอ่ะ ต้นสนน่าเอ็นดูจังเลยเนอะปลื้มเนอะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-11-2017 00:24:21
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 16-11-2017 09:42:13
ต้นสนตอนอยู่กับเพื่อนนี่คนละคนกับนายมืดมนมากก
ปลื้มทำขนาดนี้ก็ไม่ใช่เพื่อนแล้วจ้าาา เป็นแฟนกันเลย :z2:  :hao3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-11-2017 18:35:28
ชอบต้นสนคุยกับเพื่อนน่ารักจังเลยยยย ยิ่งอ่านยิ่งเอ็นดู ปลื้มมารับจ้างกินข้าวกับต้นสนมาดูแลคุณหนูดีกว่า น้องตาลนั่นไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยเลย พูดจาก็ไม่ดี แฟนก็ไม่ใช่  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Cardiac ที่ 16-11-2017 21:12:15
ต้นสนน่ารักมาก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ขอบฟ้าสีจาง ที่ 16-11-2017 21:31:08
อยากมีปลื้มเป็นของตัวเองงงงง  งุ้ยยยยย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Ashita ที่ 16-11-2017 23:01:41
สนุกมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 17 ★ 15/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 17-11-2017 03:55:16
คือชื่อเรื่องน่ากลัวมาก แต่พอเข้ามมาอ่านรู้สึกมี    ออร่าสีชมพูลอยอยู่รอบๆตัว  :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 18-11-2017 20:13:38

ตอนที่ 18

            น่าแปลกที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมแทบไม่ได้เจอน้องตาลเลย มีแค่ช่วงเย็นของวันจันทร์กับวันเสาร์เท่านั้นที่เธอมาช่วยงานที่ร้าน อีกทั้งท่าทีที่แสดงออกต่อผมยังมีเป้าหมายชัดเจน มีโอกาสเป็นต้องถูกเนื้อต้องตัว พูดจาชวนให้คิด จนผมคิดว่าถ้าไม่ติดว่าป้านกอยู่ด้วยเธอคงโพล่งอะไรที่น่าตกใจออกมา แต่ถึงไม่พูดเวลาที่เธออยู่ร้านมันก็ชักทำให้ผมรู้สึกอัดอึดกับการทำงานเข้าไปทุกที

            ซึ่งวันนี้นับว่าโชคดีมากที่น้องเขาไม่แวะเข้าช่วยงานที่ร้านด้วย

            หลังเลิกงานตอนสองทุ่มผมสะพายกระเป๋าหิ้วถุงแกงสำหรับสองคนไปยืนรอข้ามถนน มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ผมมักจะแวะไปที่คอนโดทุกวันหลังเลิกงาน พักหลังที่เอากับข้าวกลับไปเยอะกว่าเดิมผมเลยแอบหย่อนเงินใส่กระป๋องสตางค์จะได้ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เพราะถ้าบอกป้านกตรงๆ ว่าเอากลับไปเผื่อต้นสนถึงเจ้าตัวจะฝากซื้อป้าแกก็ไม่เอาเงินอยู่ดี

            คีย์การ์ดที่ได้มาตั้งแต่คราวก่อนยังทำหน้าที่ของมันได้อย่างสม่ำเสมอ หรืออาจจะบ่อยไปด้วยซ้ำสำหรับผู้ที่เพียงแวะเวียนมาหาไม่ใช่คนอยู่อาศัย มาบ่อยจนทั้งยามทั้งพนักงานจำหน้าผมกันได้หมดแล้ว

            เปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอต้นสนนั่งอยู่บนโซฟา เป็นภาพที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักเพราะส่วนใหญ่เจ้าตัวจะนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ที่โต๊ะทำงานมากกว่า เห็นว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานเข้ารวมถึงใกล้ช่วงสอบปลายภาคเลยงดรับงานไปด้วย ทำตัวว่าง่ายอย่างไม่น่าเชื่อว่าคนที่เคยพูดว่า 'รับทุกงานที่มีคนจ้าง' จะยอมทำตามที่บอกได้ สงสัยจะเบื่อที่ผมบ่นบ่อยๆ แล้วล่ะมั้ง แต่ถึงอย่างนั้นตอนนี้ก็ยังมีเรื่องให้บ่นอยู่ดี

            "จะเล่นมือถือหรือดูทีวีก็เลือกเอาสักอย่าง" เปิดทีวีทิ้งไว้แต่ตาจ้องโทรศัพท์ในมือ ผมบ่นตอนเดินผ่านโซฟาเข้าไปในครัว แล้วเสียงเจื้อยแจ้วก็เถียงกลับมาทันควัน

            "มันช่วงข่าวอ่ะ"

            ผมส่ายหน้าใส่แต่เจ้าตัวคงไม่เห็น วางถุงแกงบนเคาน์เตอร์ หยิบถ้วยชามออกมาแล้วจัดการเทข้าวและกับข้าวอีกสามอย่างลงไป มีผัดผัก ต้มจืด แล้วก็ห่อหมกที่ผมต้องเปิดศึกแย่งชิงกับคนอื่นมาเพราะมันเหลืออยู่กระทงเดียว

            จัดโต๊ะใกล้เสร็จเจ้าของห้องก็ลุกมาหา มองกับข้าวของวันนี้แล้วก็ยิ้มร่าเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเครื่องดื่มกับผลไม้ออกมาวางให้โต๊ะอาหารมื้อนี้ครบถ้วนสมบูรณ์

            "ไปแอบซื้อผลไม้มาตอนไหน" กินข้าวมาด้วยกันตั้งหลายมื้อไม่เคยมีผลไม้เป็นของหวานล้างปาก ผมเองยังไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ

            "เดินผ่านอยากกินเลยซื้อมา เพราะปลื้มคงไม่ซื้อมาแน่ๆ"

            "จะบอกว่าดูแลไม่ดีว่างั้น"

            "ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย"

            "ก็พูดอยู่เมื่อกี้"

            "หยอกเล่นหรอกน่า" ไม่พูดเปล่ายังจะมาหยิกแก้มผมอีก อารมณ์ดีเสียเหลือเกิน

            ช่วงเวลาของมื้อเย็นเป็นไปอย่างทุกวัน กินข้าว พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกัน กินเสร็จก็ล้างจาน ผมล้างน้ำยา ต้นสนล้างน้ำเปล่า อิ่มแล้วก็มานั่งผึ่งพุงหน้าทีวี ขั้นตอนสุดท้ายอาจไม่ค่อยได้เจอบ่อยนักเพราะเจ้าของห้องมักบึ่งกลับไปปั่นงานที่โต๊ะหลังกินข้าวเสร็จ

            เราสองคนนั่งอยู่บนโซฟาที่จะว่ากว้างก็กว้าง แต่กลับมานั่งเบียดกันอยู่ตรงกลางให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายได้สัมผัสกัน ใครเป็นฝ่ายเริ่มขยับเข้ามาชิดนั้นผมเองไม่ได้สนใจเท่าไร รู้แค่ว่าอยากให้มันเป็นแบบนี้ ได้นั่งอิงแอบกันก็ไม่เห็นว่ามันจะน่าอึดอัดตรงไหน

            "เออเนี่ย ที่บ้านทักด้วยนะว่าอ้วนขึ้น" ต้นสนพูดทั้งที่หัวยังเอนซบไหล่ผมอยู่ นั่งขัดสมาธิกอดหมอนหนุนหลังเอาไว้ ท่าทางสบายจริงเชียว

            "แล้วดีหรือไม่ดี"

            "ก็ดีดิ ป้าจิตยังทักว่าหน้าตาสดใสขึ้นเลย" ป้าจิตที่ต้นสนพูดถึงเป็นแม่บ้านคนสนิท เลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก อารมณ์คงเหมือนป้านมในละครล่ะมั้ง

            "แต่ตัวก็ยังมีแผลกลับมาเหมือนเดิม"

            "บ่นเรื่องนี้อีกแล้ว" โดนบ่นเรื่องที่ไม่อยากฟังถึงกับเด้งตัวขึ้นนั่งดีๆ แล้วหันมาทำหน้ามุ่ยใส่

            "ถ้ากลับมาไม่มีรอยเมื่อไรนั่นแหละถึงจะเลิกบ่น"

            "แต่มันน้อยลงนะ ถ้าโตขึ้นกว่านี้มันคงเลิกคึกแล้วมั้ง" พูดไปก็ยกแขนมาพลิกซ้ายขวาให้ผมดู รอยมันจางลงจริงๆ แต่รอยที่ท้องแขนยังคงตราตรึงชัดเจน ไอ้รอยนี้แหละที่ทำให้ผมคิดเตลิดไปไกล

            ผมจับแขนที่อีกฝ่ายโชว์ให้ดูไว้ด้วยสองมือ ข้างหนึ่งจับข้อมือส่วนอีกข้างจับแถวท้องแขน ใช้นิ้วโป้งลูกรอยแผลเป็นจางๆ นั่นไปมาอย่างทะนุถนอม ก่อนประทับจูบบางเบา อย่างกับว่ามันจะช่วยคลายคำสาปของแม่มดใจร้ายที่สาปร่องรอยน่าเกลียดลงบนผิวกายนี้ได้

            "ปลื้ม"

            แว่วเสียงแผ่วเบาเอ่ยเรียกแต่เหมือนหูผมดับได้ยินเพียงเสียงอื้ออึ้งที่จับใจความอะไรไม่ได้นัก ริมฝีปากยังคงสัมผัสกับผิวเนื้อละเอียดหากแต่ไม่เรียบเนียนนัก ไล่พรมจูบมันไปเรื่อยอย่างไม่รู้เบื่อ มือที่เคยจับแขนย้ายไปเกาะแกะที่เอวคอดผ่านเสื้อเชิ้ตนักศึกษาตัวบางของคนที่เหมือนไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันทั้งที่เพิ่งกินข้าวอิ่ม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ จากอีกฝ่าย

            ใกล้กันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร

            เพราะเผลอใจจนไม่อาจยับยั้งทำให้เผยการกระทำจากจิตใต้สำนึกออกไป ผมรั้งตัวต้นสนเข้ามาใกล้ คลอเคลียตั้งแต่แขนก่อนจะย้ายมาที่ใบหน้า หากไม่ติดว่าระหว่างทางนั้นมีอุปสรรคอย่างเสื้อนักศึกษาขวางอยู่คงทำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่านี้ สุดท้ายเลยกดจูบที่ริมฝีปากหอมกลิ่มแอปเปิ้ลอ่อนๆ หนึ่งที ก่อนจะนึกได้ว่าเมื่อกี้นี้ได้ยินชื่อตัวเองออกมาจากปากเจ้าตัว

            "ครับ"

            "ตอบช้าไปมั้ย" ต้นสนมุ่นคิ้วใส่ท่าทางไม่จริงจังนัก

            ผมยิ้มรับ ใช้วงแขนโอบรอบเอวบางไว้หลวมๆ นึกอยากแกล้งเล่นขึ้นมาอีกสักหน่อย อยากรู้ว่าปฏิกิริยาตอบรับจะเป็นยังไง

            "ก็เมื่อกี้ไม่ว่าง"

            "ทำอะไรล่ะถึงไม่ว่าง" สวนกลับมาทันควันจนอดยิ้มไม่ได้ ร้ายใช่เล่นนะคนเรา

            "จูบถอนคำสาปแม่มดอยู่"

            "คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าชายเหรอ"

            "งั้นมั้ง"

            "แล้วเจ้าชายรู้มั้ยว่าต้องจูบตรงไหนอีกถึงจะถอนคำสาปได้"

            ผมส่ายหน้ายอมแพ้ ต้นสนยกยิ้มขี้เล่น ประวิงเวลาอยู่ชั่วครู่ก่อนเขยิบเข้ามาใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกันแล้วเบี่ยงไปกระซิบข้างหูแทน

            "ลองหาดูดิ"

            มันน่าจัดการไหมล่ะทำตัวแบบนี้

            ผมดันตัวต้นสนออกแล้วผลักให้นอนราบไปกับโซฟา ไม่ถึงขั้นรุนแรงแต่ไม่ได้อ่อนโยนเท่าไรนัก อย่างแรกเลยที่สายตาจับจองคือขาที่โผล่พ้นขอบกางเกงขาสั้นออกมา ทุกรอยแผลนั้นผมจำได้ โดยเฉพาะรอยขีดยาวๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าโดนแมวข่วน ถึงจะไม่ใช่รอยแผลที่ต้องถอนคำสาป แต่ผมก็บรรจงจูบมันอย่างอ่อนโยนอยู่ดี ไล่จากหน้าแข้งมาที่หัวเข่า ขยับขึ้นบนมาเรื่อยจนมาถึงขาอ่อน ดึงขากางเกงที่กว้างอยู่แล้วให้ถกขึ้นอีกนิด มองหาตำหนิบนผิวขาวที่ยังไม่เคยได้สัมผัส ทว่าเสียดายที่ตรงนี้ไม่มีร่องรอยใดๆ อยู่เลย

            ผ่านต้นขาก็ขยับขึ้นมาที่เอว ผมปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาที่เจ้าตัวไม่ยอมเปลี่ยนออกทีละเม็ดไล่จากล่างขึ้นบน สำรวจอย่างถี่ถ้วนแต่กลับไม่พบรอยใดๆ ผิวใต้ร่มผ้านั้นเนียนละเอียด ขาวแบบสุขภาพดีจนจิตใจอันเลวทรามอยากจะสร้างรอยสักรอยแล้วโมเมขึ้นเองว่าจูบตรงนี้แหละถึงจะถอนคำสาปได้ แต่ความดีที่มีอยู่เหลือล้นกลับต่อต้านเอาไว้

            "มีแน่เหรอรอยที่ว่า" ผมแกล้งถาม ขยับเข้าไปใกล้คร่อมตัวต้นสนเอาไว้ในท่าที่ล่อแหลม

            "หาไม่เจอเองอ่ะดิ" อมยิ้มตอบกลับมาด้วยใบหน้าซับสีเลือด

            ผมเองก็รู้สึกร้อนหน้าวูบวาบอยู่ไม่น้อย ยิ่งเห็นกระดุมสองเม็ดสุดท้ายที่ยังไม่ถูกปลดแล้วยิ่งใจไม่ดี จะว่าผมหาไม่ละเอียดก็คงไม่ใช่ สำรวจทุกซอกทุกทุมที่ไร้อาภรณ์ปกปิด มองจนจะกินเจ้าของร่างนี้ได้อยู่แล้วแต่ก็ยังไม่เจอรอยแผลที่ไม่เคยเห็นอยู่ดี หรือว่ามันจะอยู่ในที่ลับตากว่านี้กัน

            "จำกัดพื้นที่ในการหามั้ย" ผมถามลองเชิง แค่นี้ก็นับว่าเยอะแล้ว ถ้าต้องมากกว่านี้สงสัยจะไม่จบแค่การจูบถอนคำสาปเป็นแน่

            "อีกนิดเดียว ไม่ไกลจากที่หาอยู่หรอก เพราะถ้ามากกว่านี้ก็..." ต้นสนลากเสียงยาวเป็นเชิงให้ผมคิดต่อ และคงไม่ต้องบอกว่าผมจะคิดอะไร

            ตอนนี้มีตัวเลือกสองทางคือข้างบนกับข้างล่าง จะปลดกระดุมสองเม็ดที่เหลือ หรือลองเกี่ยวขอบกางเกงที่ขึ้นมาสูงเกือบถึงสะดือลง แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนมันก็สร้างความระทึกใจได้พอกัน

            หน้าอกกระเพื่อมสลับกับหน้าท้อง ต้นสนคงตื่นเต้นไม่น้อยเมื่อดูจากจังหวะการหายใจ ผมเองก็เหมือนกัน สายตามองสลับไปมาระหว่างกระดุมกับขอบกางเกง เรียกว่าเป็นศึกชิงชัยระหว่างหน้าอดกับหน้าท้องก็คงได้ และถ้าหากถามว่าตอนนี้ผมชอบอะไรมากกว่ากัน คำตอบก็คงเป็น...

            หน้าท้องแบนราบที่อยากจะลองฝังจูบลงไปสักครั้ง

            ผมใช้นิ้วเกี่ยวขอบกางเกงไว้แล้วสบตากับคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง ค่อยๆ ดึงขอบกางเกงลงอย่างช้าๆ ด้วยใจที่เต้นรัวเร็ว พลางเลื่อนสายตากลับมาจดจ้องผิวใต้ร่มผ้าที่เพิ่งได้ประจักษ์ ดึงของกางเกงลงลึกมาเรื่อยๆ จนกลัวว่าจะเลยไปถึงอะไรต่อมิอะไร แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นรอยขีดยาวประมาณหนึ่งนิ้วที่อยู่ฝั่งซ้ายก็ปรากฏสู่สายตา เป็นรอยขีดที่เหมือนว่าสะเก็ดแผลเพิ่งจะหลุดออกไปไม่นาน

            ในที่สุดก็เจอสักที

            "ที่แบบนี้ยังจะอุตส่าห์มาข่วนได้อีกนะ" ปากบ่นไปงั้นในขณะที่มือยังคงลูบไล้รอยแผล

            ผมยิ้มให้ต้นสนอย่างผู้ชนะ ก่อนมอบจุมพิตเพื่อถอนคำสาปที่รอยแผลนั้น

 

            เลยสี่ทุ่มมาได้สักพักแล้ว ผมไล่ต้นสนไปอาบน้ำส่วนตัวเองเก็บของเตรียมกลับหอ นับว่าเป็นอีกวันที่อยู่จนดึกเอาเรื่อง เหวี่ยงกระเป๋าสะพายขึ้นบ่าตั้งใจว่าจะไปตะโกนบอกลาให้เจ้าของห้องรับรู้ แต่ก่อนจะถึงห้องนอนโต๊ะทำงานที่สะอาดเรียบร้อยเป็นพิเศษกลับดึงความสนใจผมเอาไว้

            โต๊ะทำงานที่ไร้โพสอิทและมีสมุดสเก็ตซ์สีเหลืองสดใสวางอยู่

            เห็นมันแล้วริมฝีปากก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ ผมเดินเข้าไปดูและถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมา เหลือบมองทางประตูห้องนอนที่ยังปิดสนิทแล้วจึงเปิดมันดูตั้งแต่หน้าแรก

            'ไดอารี่ภาพวาด' ผมเรียกมันว่าแบบนั้น จากหน้าสุดท้ายที่ได้เห็นเมื่อคราวก่อนตอนนี้มีรูปที่ถูกวาดขึ้นใหม่เพิ่มมาอีกสองหน้า คือรูปจูบแรกของเราที่โต๊ะทำงานนี้ และรูปที่เราจับมือกันที่หอผม

            ใจจริงอยากจะขโมยสมุดเล่มนี้แล้วเอากลับไปนอนกอดที่หอ แต่ก็ทำได้เพียงมองมันแล้วยิ้มกับตัวเองด้วยหัวใจที่พองโต คิดไปแล้วก็ชักสงสัยว่าต้นสนรู้สึกยังไงเวลาวาดภาพเหล่านี้ จะมีความสุขเหมือนผมเวลาได้เห็นมันหรือเปล่า แล้วเจ้าตัวจะรู้ไหมว่ารูปพวกนี้มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นหัวใจแค่ไหน

            มองไดอารี่ภาพวาดเหล่านี้แล้วบันทึกเก็บไว้ในภาพความทรงจำจนพอใจผมก็วางมันลงที่เดิม ตอนนี้เองที่สายตาหันไปสบเข้ากับเจ้าของก้องที่ยืนอยู่ไม่ห่างจากโต๊ะทำงานนัก สีหน้าตื่นตระหนกแววตาสั่นไหว ก่อนต้นสนที่อยู่ในชุดพร้อมนอนจะก้าวเข้ามาหา

            "เห็นแล้วเหรอ" เอ่ยถามโดยที่ไม่ยอมสบตาก่อนหยิบสมุดสเก็ตซ์นั่นเก็บใส่ลิ้นชักเหมือนไม่อยากให้เห็น

            ผมคิดว่าเรื่องนี้มันคงเป็นความลับ ไม่มีใครอยากให้คนอื่นเห็นไดอารี่ของตัวเอง ท่าทีของต้นสนแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้ และผมผิดเองที่เปิดมันดูโดยที่เจ้าของไม่ได้อนุญาต

            "ขอโทษที่แอบดู"

            "ไม่เป็นไรหรอก" ตอบแล้วเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มบางๆ ให้ แต่กลับถอนหายใจออกมา

            "ไม่อยากให้เห็นขนาดนั้นเลยเหรอ"

            "เพราะเป็นตอนนี้ล่ะมั้งเลยยังไม่อยากให้เห็น"

            "แล้วเมื่อไรถึงจะยอมให้เห็น" ผมเดินเข้าไปประชิดตัวเท้าแขนกับขอบโต๊ะสร้างกรงขังไม่ให้อีกฝ่ายหนีไปไหน

            เราสบตากันนิ่ง ก่อนต้นสนจะหลุบตาหนีเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมปล่อยให้ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่แบบนี้โดยไม่ได้เร่งเร้า ไม่นานนักเจ้าตัวก็หันกลับมามองกันอีกครั้ง พร้อมคำตอบที่ทำให้ผมยิ้มออกมา

            "ตอนที่มั่นใจกว่านี้"

            "แล้วตอนนี้ยังไม่มั่นใจอีกเหรอ" น่าแปลกที่ผมดันเข้าใจคำตอบแสนกำกวมนั่น แล้วยังตั้งคำถามสวนกลับไปได้ทันควัน

            ได้ฟังคำถามจากผมต้นสนก็หลบตาอีกครั้ง เห็นมุมปากที่ไม่ซีดจนน่ากลัวเหมือนแต่ก่อนยกยิ้มบางๆ คล้ายกับยิ้มให้ตัวเองก่อนตอบแอ้มอ้อม

            "มั่นใจ แต่อยากให้มากกว่านี้อีกนิด"

            "ถ้างั้นค่อยๆ พัฒนากันไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน" ขยับเข้ากระซิบข้างหูแล้วขโมยหอมขมับหนึ่งทีก่อนปล่อยให้เป็นอิสระ

            ต้นสนเงยหน้าขึ้นมองผม แย้มยิ้มทั้งตาและปาก สาวเท้าเดินตามผมมาที่ประตูเพื่อส่งแขกที่วันนี้มารบกวนจนดึกดื่นกว่าทุกวัน

            "เจอกันพรุ่งนี้"

            "ถึงหอแล้วบอกด้วย"

            "ครับๆ" ตอบรับคล้ายรำคาญกับคนช่างสั่งแต่ปากกลับยิ้มขัดแย้งกันไปหมด

            ผมโบกมือลาก่อนปิดประตูลง มีความสุขจนไม่สามารถหุบยิ้มได้ คำว่าค่อยๆ พัฒนาที่บอกไปมันกลายเป็นหลักประกันในความสัมพันธ์ของเราไปแล้ว ซึ่งวันนี้เองมันก็ได้พัฒนาไปอีกขั้น ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

            นึกถึงสิ่งที่ทำด้วยกันวันนี้แล้วชักอยากรู้ว่าภาพวาดต่อไปในไอดารี่นั่นจะเป็นรูปอะไร และถ้าหากไดอารี่ของแต่ละวันมีชื่อ ผมก็อยากตั้งชื่อรูปของวันนี้ว่า 'สัมผัสที่อ่อนโยน'

            อ่อนนุ่มและเปราะบาง จนรู้สึกเหมือนจะแตกสลายคามือ

 

TBC

 

อยากจิถอนคำสาปบ้างจังเลยยยยยยย

ตอนหน้าอาจจะมาช้ามากๆ นะคะ ขอแอบหนีเที่ยวแป๊บนึง

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและพูดคุยกันน้า เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-11-2017 20:39:52
ต้นสนแจกอ้อยยตลอดด  :pighaun:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Yyuii ที่ 18-11-2017 21:04:05
ต้นสนลูก หนูจะอ้อยแบบนี่ไม่ได้นะคะ ป้าหัวใจจะวาย   :-[ :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Fahsaizzz ที่ 18-11-2017 21:10:28
 :haun4: :haun4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-11-2017 21:39:22
 :m1: :m1: :m1: :m3: :m3: :m3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 18-11-2017 22:30:22
ตอนจะถอนคำสาปนี่ลุ้นมากต้นสนก็คนอ่านนี่แหล่ะ ใจนี่ตุ้มๆต่อมๆมว้ากกก
ทำไร่อ้อยกันทั้งคู่ ระวังเบาหวานจะถามหานะ  :z1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 19-11-2017 01:14:43
โอ้ยยยคือมันดีมากๆเลย เป็นนิยายสายฮีล อ่านแล้วต้องอมยิ้มตามอ่ะ บางฉากก็แอบเบ๋ปากด้วยความหมั่นไส้แหมมมมมมม ฮือออชอบมากเลยอะ ชอบมากเลยยยๆ ชอบความค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆโดยที่ไม่มีใครพูดแต่ก็รู้ๆกันว่าเออรู้สึกดีกับคนๆนี้นะ แบบนี้อะ><
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 19-11-2017 01:17:39
ต้นสนอ้อยแรงมากกกกกกกก  :m1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 19-11-2017 07:57:38
แหมปลื้มมมม จูบทั้งตัวขนาดนี้แล้วยังไม่ให้พ่อแม่มาขออีกหรออออ :hao3: เดี้ยวให้อารี่มาช่วยดำเนินการซะนี่ :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 19-11-2017 08:57:51
ถ้าจะขนาดนี้แล้วยังไม่มั่นใจล่ะก็นะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะะ :hao7:
ต้นสนลูกกกกกก อ่อยไปอีกกกกกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 19-11-2017 09:08:11
มากกว่านี้ ก็ได้กันแล้วอ่ะ เอาจริง 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 19-11-2017 13:15:10
ต้นสนนนนนน อ้อยมากกกกก  :hao6:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดเกรด ที่ 19-11-2017 21:41:18
งื้อออ รถอ้อยคว่ำ :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 19-11-2017 22:57:06
 :z1:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 20-11-2017 05:16:00
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: dukdikdukdik ที่ 20-11-2017 14:54:24
รถอ้อยคว่ำมากค่ะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 21-11-2017 20:24:47
ต้นสนอ่อยมากค่ะฮื่อออ ปลื้มทำไมไม่มโนรอยเองคะ อยากจูบตรงไหนก็จูบ เสียดายแทน :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 18 ★ 18/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 21-11-2017 23:45:10
ต้นสนอ่อยมากขึ้นทุกวันๆนะ นี่ถ้าต้นสนเป็นรุกนี่คงจับปลื้มปล้ำไปตั้งนานแล้วละมั้งเนี่ย ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 27-11-2017 21:14:08

ตอนที่ 19

            หน้าหนาวปีนี้อากาศเย็นสมกับชื่อฤดู วันเวลาเลยผ่านเข้าสู่ช่วงปิดเทอมและลากยากไปถึงปีใหม่ เป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด อยู่บ้านกับครอบครัวยาวๆ ให้หายคิดถึง ก่อนกลับมาเผชิญชีวิตที่เมืองกรุงอีกครั้งตอนเปิดเทอม

            "มึงกลับบ้านคืนนี้ใช่ป้ะ" ไอ้เจนเอ่ยปากถามระหว่างที่พวกเรากำลังเพลิดเพลินกับอาหารมื้อระหว่างวันในช่วงบ่ายสามอย่างก๋วยเตี๋ยวเรือในตลาด

            ผมพยักหน้ารับขณะคีบเส้นเข้าปาก วันนี้สั่งเส้นเล็ก รู้สึกว่ามันกินค่อนข้างลำบากนิดหน่อย สูดเข้าปากแล้วเหมือนจะไหลลงคอเลยไม่สะดวกขานรับด้วยเสียง

            "กลับไงอ่ะ"

            "นั่งรถเมล์เหรอ มึงต้องเผื่อเวลารถติดด้วยนะ"

            "มันนั่งรถทัวร์"

            "กูหมายถึงไปหมอชิตมั้ย"

            "มึงก็ไม่เล่นกับกูเลย"

            ฟังพวกมันต่อบทกันแล้วผมก็ได้แต่ส่ายหน้า อีกคนจริงจังอีกคนเอาแต่เล่น พวกมึงไปตกลงกันก่อนไหมแล้วค่อยมาคุยให้เป็นมันเรื่องเป็นราว

            "แล้วสรุปมึงไปไง" สุดท้ายไอ้เจนก็ถามวกกลับมาเรื่องเดิม

            "กูแนะนำขึ้นบีทีเอสไปลงหมอชิตแล้วต่อวิน รวดเร็วฉับไว"

            "แต่แพงฉิบหาย"

            "รถติดนะมึง"

            "มึงช่วยดูการเงินเพื่อนมึงด้วย"

            พวกมันเถียงกันอีกรอบจนผมเอือมระอา แต่เข้าใจดีว่าที่เถียงกันเพราะพวกมันผมห่วงผม ทั้งกลัวไปขึ้นรถไม่ทันแล้วก็ห่วงว่าจะไม่มีเงินขึ้นรถ ซึ่งประเด็นเหล่านี้ผมไม่กังวลเลยสักนิด

            "เดี๋ยวต้นสนไปส่ง"

            คำตอบของผมช่วยสยบทุกความห่วงใยของเพื่อนรักทั้งสอง มันมองแล้วกระพริบตาปริบ สายตามีแววสงสัยฉายชัดขึ้นมา ผมรู้ว่าพวกมันอยากถามอะไร และผมเองก็พร้อมที่จะตอบทุกข้อสงสัยในเมื่อกล้าโพล่งออกไปแบบนั้น มาไกลขนาดนี้แล้วผมว่ามันสองคนคงรับรู้ถึงอะไรบางอย่างที่แปลกไปในตัวผม

            "ปลื้ม กูถามจริงๆ นะ" ไอ้ว่านเกริ่นออกมา มันหันไปสบตากับไอ้เจนที่พยักพเยิดหน้าให้ถึงได้หันกลับมาสบตากับผมซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

            "ว่า"

            "มึงคบกับต้นสนแล้วเหรอ"

            เป็นคำถามที่ไม่ต่างจากที่ผมคาดไว้เท่าไรนัก แต่ก็เกินเลยไปจากที่คาดไว้ ผมคิดว่ามันจะถามว่า 'มึงชอบต้นสนเหรอ' หรือ 'ต้นสนชอบมึงเหรอ' อะไรทำนองนั้น ซึ่งการที่มันถามออกมาแบบนี้ทำให้ผมตอบอะไรได้ไม่เต็มปากนัก

            เพราะผมกับต้นสนยังไม่คิดตั้งชื่อให้กับความสัมผัสที่เกิดขึ้นระหว่างกันเลย

            "เปล่า ยังไม่ได้คบ"

            "แต่เหมือนคนอยู่กินกันแล้วเนี่ยนะ" จะว่าไอ้เจนพูดเกินจริงก็ไม่ใช่ เพราะมันพูดถูก

            ตกเย็นไปหา ว่างเมื่อไรต้องติดต่อหากัน ดูแล ห่วงใย ทำอะไรต่อมิอะไรที่เกินคำว่าเพื่อนธรรมดามาไกลโข แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครเอ่ยปากทวงถามถึงชื่อของความสัมพันธ์นี้ คงเพราะมันชัดเจนอยู่ในใจของเราแล้วล่ะมั้ง

            ผมเชื่อว่าแบบนั้น

            "กูไม่เคยคุยกับต้นสนเรื่องนี้เลย"

            "แล้วจริงๆ มึงรู้สึกยังไงวะ ทำไมไม่พูดให้มันชัดเจน มึงไม่กลัวเขาคิดไปเองเหรอ" ไอ้ว่านสาดคำถามมาเป็นชุด แต่คำตอบของมันง่ายยิ่งกว่าข้อสอบไฟนอลเสียอีก

            "เพราะเขาไม่ได้คิดไปเองไง"

            พวกมันสองคนหันไปมองหน้ากันเหมือนรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว เพียงแค่อยากถามเพื่อให้ข้อสันนิษฐานของตัวเองชัดเจนขึ้นเท่านั้น

            "แล้วถ้าเป็นมึงล่ะที่คิดไปเอง" คำถามนี้ของไอ้เจนก็ตอบง่ายมาก

            "ขอบใจพวกมึงที่เป็นห่วง แต่กูรู้ว่าเราต่างคนต่างรู้สึกยังไง กูไม่ได้คิดไปเอง ต้นสนก็เหมือนกัน"

            "อกหักกูไม่ปลอบนะ"

            "ให้แม่งร้องไห้ขาดใจตายไปเลย"

            แล้วไอ้สองคนที่เพิ่งเถียงกันก่อนหน้านี้ก็เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

            "ยังไงพวกมึงก็ต้องปลอบกู" แต่วันนั้นคงไม่มีทางมาถึงแน่ ผมอยากจะพูดประโยคนี้ต่อแต่ก็หยุดไว้เพียงเท่านั้น มองเพื่อนรักทั้งสองที่พากันทำหน้าหมั่นไส้กับความมั่นใจอันเหลือล้นของผม

            เพื่อนกันทำไมจะไม่รู้ว่าเป็นยังไง หากถึงวันที่ผมร้องไห้ให้กับความสัมพันธ์ครั้งนี้เมื่อไร พวกมันนั่นแหละที่จะวิ่งหน้าตั้งมาหาผมเป็นคนแรก

 

            เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมละมือจากข้าวของที่กำลังยัดใส่กระเป๋า หันมองไปยังต้นเสียงด้วยความฉงนสงสัยว่าใครกันที่บุกมาหาเวลานี้ แต่ยังไม่ทันได้ใช้ความคิดเพื่อตั้งข้อสันนิษฐานคนที่อยู่ด้านนอกก็เคาะอีกรอบ ทำให้ผมต้องรีบลุกขึ้นไปส่องดูว่าใครกันที่มาหา

            แต่เมื่อเห็นหน้าคนที่รออยู่หลังประตูผ่านช่องบานเกล็ดผมก็รีบเปิดประตูด้วยความเร็วแสง เจ้าตัวยิ้มกว้างท่าทางอารมณ์ดี ก่อนถอดรองเท้าเดินเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอให้ผมอนุญาต

            "บอกแล้วไงว่าจะไปหาที่คอนโด" ผลักประตูปิดแล้วผมก็หันไปบ่น ต้นสนนั่งลงบนพื้นข้างเตียง มองกระเป๋าที่ผมยังจัดไม่เสร็จแล้วตอบ

            "ไม่มีอะไรทำเลยมาหา ปลื้มจะได้ไม่ต้องเดินไปไง"

            "แล้วจอดรถไว้ไหน" ซอยหอผมค่อนข้างแคบ ที่จอดรถมีไม่เยอะ ที่ไม่อยากให้มารอที่นี่ก็เพราะกลัวต้นสนลำบากเรื่องหาที่จอด

            "ขอเค้าจอดข้างหอ"

            "ได้ด้วยเหรอ"

            "ได้ไม่ได้ก็นั่งอยู่นี่แล้วไง"

            "คร้าบๆ"

            ผมขี้เกียจเถียงต่อเลยเดินไปหยิบของจำเป็นแล้วกลับมานั่งจัดกระเป๋าต่อ ของที่เอามีไม่มากนัก ความจริงพกกระเป๋าสตางค์ไปใบเดียวยังได้ แต่กลับบ้านทั้งทีเลยต้องมีของเล็กๆ น้อยๆ ติดไม้ติดมือกลับไปหน่อย

            "เก็บของเสร็จแล้วเหรอ" ต้นสนถามตอนผมรูดซิบปิดกระเป๋า

            "ของไม่เยอะ"

            "กะว่าจะมาช่วยเก็บกระเป๋าสักหน่อย"

            ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนผมกำลังจะย้ายบ้าน ไปเที่ยวที่ไกลๆ หรือไม่ก็ไปเรียนต่อต่างประเทศอะไรทำนองนั้น ต้องขอโทษด้วยที่ไม่มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ให้ช่วยเก็บของ แต่เป็นแค่กระเป๋าเป้เก่าๆ ใบหนึ่ง

            "ไปกันเลยมั้ย" ผมถามอย่างคนเตรียมพร้อม แค่หยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายก็สามารถออกเดินทางได้เลย

            "เดี๋ยวดิ เพิ่งมาถึงเอง" ต้นสนยื่นมือมาจับแขนผมทั้งที่ยังไม่ได้ลุกหนีไปไหน กระตุกแขนสองทีพลางพยักหน้าให้ผมก็ขยับไปนั่งข้างๆ ทันทีที่หัวไหล่ชนกัน เจ้าของผมยุ่งๆ เหมือนคนไม่รู้จักหวีก็เอนมาซบ มือที่เคยจับแขนเลื่อนมากุมกันไว้ แล้วเวลาในห้องนี้ก็เหมือนหยุดเดินไปชั่วคราว

            ผมกระชับมือที่ต้นสนวางทับไว้ กลิ่นหอมแชมพูจางๆ ชวนให้ฝังจมูกลงไปก่อนจะเอนซบกันอีกที

            "อ้อนเหรอ"

            "จะไม่ได้เจอกันหลายวันเลยนะ"

            "โทรคุยเอาก็ได้"

            "จะไม่ได้กอดด้วยนะ" น้ำเสียงกระเง้ากระงอดเต็มที่ แต่ใช่ว่าจะงอนแบบไม่มีเหตุผลเพราะผมรู้ว่าแท้จริงแล้วต้นสนต้องการอะไร ซึ่งสิ่งที่ต้องการมันถูกระบุอยู่ในประโยคบอกเล่านี้อยู่แล้ว

            ผมดึงคนที่ซบไหล่อยู่ให้เข้ามานั่งในอ้อมแขนแล้วโอบกอดเอาไว้ ส่วนสูงเราไม่ต่างกันมากก็จริงแต่ด้วยขนาดตัวที่บางกว่าทำให้ต้นสนดูตัวเล็กกว่าผม พอมาอยู่ในอ้อมกอดแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าผมจะกลืนเขาเข้าไปได้ทั้งตัว

            "ไม่ได้ทำอะไรอีก" ผมถามชิดใบหู ต้นสนเอนหลังพิงแผ่นอกผมด้วยท่าทางสบายๆ แขนทั้งสองข้างกอดทับแขนที่ผมรัดเจ้าตัวเอาไว้

            "ไม่ได้หอม"

            ผมกดจมูกลงบนแก้มขาวที่ซับสีเลือดจางๆ อย่างหนักหน่วงจนได้ยินเสียงดังฟอดชัดเจน

            "ไม่ได้จูบ" พูดแล้วเอี้ยวหน้ามาหัน

            ผมขยับเข้าไปแนบริมฝีปากที่เปิดรอรับอย่างจงใจ กดจูบย้ำๆ ก่อนรุกล้ำเข้าไปยังพื้นที่ที่เจ้าตัวยินดีให้เข้าไปเยี่ยมชม ทว่าความสุขสมกลับมาพร้อมความทรมานที่ผมต้องพยายามฝืนมือตัวเองเอาไว้ ใจมันอยากจะสัมผัสผิวกายภายใต้เสื้อยืดตัวบาง แต่ถ้าหากยอมปล่อยให้เป็นแบบนั้นย่อมไม่ดีแน่

            นานนับนาทีกว่าจะผละออกจากกัน ผมจูบย้ำอีกครั้ง ซับริมฝีปากที่ฉ่ำน้ำและแดงเจ่อ ก่อนถามถึงความต้องการอย่างถัดไป

            "มีอะไรอีกมั้ย"

            "พอแค่นี้ก่อนก็ได้"

            ได้ฟังคำตอบผมก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่ได้

            วันนี้คงต้องพอก่อนอย่างที่ต้นสนบอก ไม่อย่างนั้นผมอาจจะไปขึ้นรถทัวร์รอบที่จองไว้ไม่ทันก็เป็นได้ เพราะมัวแต่ทำอะไรๆ ที่จะไม่ได้ทำระหว่างที่ไม่ได้เจอกันจนไม่ได้ออกจากห้องเสียที

 

            ต้นสนขับรถมาส่งผมที่หมอชิต สภาพการจราจรไม่ได้แย่นักทำให้เราไม่ต้องทนติดแหง็กบนท้องถนน เลยเหลือเวลาอีกนานนับชั่วโมงว่ารถทัวร์จะออก จากที่คิดว่าจะโดนทิ้งไว้ที่นี่คนเดียวเลยกลายเป็นว่ามีต้นสนตามมาด้วย แถมบอกอีกว่าจะส่งผมขึ้นรถก่อนแล้วค่อยกลับ

            ที่นี่ไม่มีอะไรให้ทำนักนอกจากนั่งรอ ปกติผมจะเล่นมือถือ กินข้าว หรือไม่ก็พกหนังสือมาอ่านฆ่าเวลา ส่วนวันนี้นั้นเราเลือกซื้อขนมมานั่งกินเพื่อรอเวลา

            "กลับเวลานี้ถึงบ้านกี่โมงเหรออ่ะ"

            "ประมาณตีห้า"

            ต้นสนพยักหน้ารับ หยิบขนมใส่ปากแล้วมองบรรยากาศโดยรอบที่เต็มไปด้วยผู้คน

            "อยากไปเที่ยวบ้านปลื้มบ้างจัง"

            "ไม่มีอะไรให้เที่ยวหรอกนอกจากทุ่งนา แถมร้อนด้วย" บ้านผมนับว่าค่อนข้างกันดาร อยู่ห่างไกลจากตัวเมือง เดินทางไปไหนมาไหนถ้าไม่มีรถนั้นลำบากมาก

            "เที่ยวบ้านก็อยู่แต่บ้านไง ไม่ต้องออกไปไหน"

            "น่าเบื่อตาย"

            ต้นสนหัวเราะเบาๆ เหม่อมองไปข้างหน้าเหมือนไม่มีจุดหมายแล้วอมยิ้มอยู่อย่างนั้น เว้นจังหวะเอาไว้จนผมคิดว่าประเด็นเรื่องบ้านที่ต่างจังหวัดน่าจะจบลงไปแล้วแต่กลับไม่ใช่ เมื่อเจ้าตัวตอบกลับประโยคก่อนหน้านี้ของผมออกมา

            "อยู่กับปลื้มไม่เบื่อหรอก"

            อะไรทำให้คนคนหนึ่งคิดแบบนี้ได้ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก ต่อให้สนิทกันก็เถอะมันก็ต้องมีบ้างที่รู้สึกเบื่อ แต่ถ้าหากถามผมว่าเบื่อไหมหากต้องอยู่กับต้นสนในสถานที่ที่ไม่มีอะไรน่าสนใจเลย คำตอบที่ได้ก็คงเหมือนกัน

            มันไม่น่าเบื่อเลย

            "คราวหน้าก็กลับด้วยกันดิ"

            "ไปได้ใช่มั้ย"

            "ถ้าไม่คิดว่ามันบ้านนอกน่ะนะ"

            "เห็นเราเป็นคนยังไง" คำพูดเหมือนจะโกรธแต่หน้ากลับยิ้ม

            "คนดื้อ"

            "จะบ่นอะไรอีก"

            "ไม่บ่นแล้วขี้เกียจ ให้พักหูก่อน ค่อยบ่นตอนเปิดเทอม"

            "งั้นเดี๋ยวจะโทรไปให้บ่น"

            ผมแย่งถุงขนมในมือต้นสนมาถือไว้เองด้วยความมันเขี้ยว ถ้าไม่ติดว่าอยู่ในที่สาธารณะคงจะจับจูบแรงๆ สักที โทษฐานกวนประสาท

            เรานั่งคุยกันจนได้เวลาที่ต้องแยกย้าย ต้นสนเดินมาส่งผมถึงหน้าทางเข้าชานชาลา พอคิดว่าจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยอดไม่ได้ต้องดึงเข้ามากอดแน่นๆ สักที พอผละออกเลยบ่นส่งท้ายเสียหน่อย

            "กลับบ้านก็ระวังไอ้ห้าตัวนั้นด้วย" ผมฝากฝังถึงสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของต้นสน หวังว่าเปิดเทอมคงไม่เห็นรอยแผลอะไรเพิ่ม

            "ครับๆ"

            "เจอกันเปิดเทอม"

            "เดินทางปลอดภัยนะ"

            "ถึงบ้านแล้วจะโทรหา"

            ต้นสนพยักหน้ารับแล้วยิ้มกว้าง โบกมือลาเป็นสัญญาณให้ผมรีบไปขึ้นรถก่อนจะเลยเวลา แต่หมุนตัวหันหลังให้ได้แป๊บเดียวก็หันกลับไปหาอีก

            "ขับรถกลับก็ระวังด้วย"

            "รับทราบครับ"

            ได้คำตอบรับผมก็หันหลังให้ เดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่หันกลับไปมองอีก

            พอคิดว่าช่วงนี้จะไม่ได้บ่น ไม่ได้เจอหน้า มันก็ชักรู้สึกเหงาๆ อยู่เหมือนกัน

 

            ทุ่งนา หนองน้ำ ถนนลาดยางเส้นเล็กๆ และแสงแดดยามเช้า

            ผมมองวิวข้างทางที่ไม่ว่าจะจากไปนานแค่ไหนก็ยังเหมือนเดิม อาจจะมีเปลี่ยนแปลงไปบ้างนิดหน่อยที่ตัวอาคารบ้านเรือน จากบ้านไม้กลายเป็นบ้านปูน ทำให้หมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ดูทันสมัยขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วไม่มีอะไรที่แตกต่างออกไปในความรู้สึกของผมอยู่ดี

            ผมลงจากรถทัวร์ตอนตีห้าเศษในตัวเมืองกำแพงเพชรที่ห่างไกลจากบ้านหลายสิบกิโลเมตร พ่อต้องขับรถออกมารับเพราะไม่มีรถโดยสารเข้ามาถึงหมู่บ้าน เป็นอีกหนึ่งความลำบากที่ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรความพัฒนาจะเข้าถึงชนบทที่นี่สักที

            เมื่อเริ่มเข้าเขตหมู่บ้านรถของพ่อก็แล่นช้าๆ ไปตามถนนสองเลนที่ขนาบไปด้วยบ้านเรือนและทุ่งนา เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าแต่ชีวิตในต่างจังหวัดกลับดูคึกคัก คนเฒ่าคนแก่ออกมานั่งรับลมเย็นของฤดูหนาวที่หน้าบ้าน ผู้ใหญ่วัยกลางคนดำเนินชีวิตประจำวันแบบเกษตรกรเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มองแล้วรู้สึกสบายใจมากกว่าความคึกคักวุ่นวายในเมืองหลวง

            ขับมาจนเกือบท้ายหมู่บ้านในที่สุดก็ถึงบ้านอันแสนอบอุ่นของผม บ้านไม้ยกสูงที่มีระเบียงยื่นออกมา ใต้ถุนบ้านผูกเปลเอาไว้ เป็นมุมพิเศษที่ผมชอบเป็นการส่วนตัว เวลาเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำก็มักมานั่งเล่นหรือไม่ก็ใช้เป็นที่นอนกลางวัน ว่าแล้ววันนี้คงต้องมานอนให้หายคิดถึง

            เครื่องยนต์ดับสนิทที่หน้าบ้านผมก็รีบเปิดประตูลงจากรถ พ่อตามลงมาพลางเอ่ยบอกตอนผมกำลังถอดรองเท้าอยู่หน้าบันได

            "แม่ทำกับข้าวไว้รอแหนะ"

            "กลิ่นหอมมาถึงนี่เลย"

            ถอดรองเท้าได้ผมก็ไม่รอช้าวิ่งขึ้นบันไดเสียงดังตึงตังจนพ่อตะโกนด่าตามหลัง โยนกระเป๋าทิ้งไว้หน้าประตูแล้วเดินตรงเข้าไปในครัว ตามกลิ่นหอมๆ ฝีมือแม่ครัวมือฉมังที่กำลังสรรค์สร้างมื้อพิเศษต้อนรับลูกชายคนนี้อยู่ จะมีอะไรให้ผมกินบ้างนะ

            "แม่" ผมเข้าไปกอดแม่จากด้านหลังเลยโดนตีมือกลับมา

            "ระวังสิลูก ไปนั่งพักก่อนไป ใกล้จะเสร็จแล้วเดี๋ยวแม่ยกไปให้"

            "มีอะไรกินบ้าง"

            "ผัดถั่วฝักยาวใส่หมูของโปรดไอ้แสบคนนี้ไง"

            "มาๆ เดี๋ยวปลื้มช่วยดีกว่า" ผมเดินไปชานบ้านตักน้ำในโอ่งล้างมือโดยไม่สนใจคำไล่ของแม่ก่อนหน้านี้ ปกติผมเป็นลูกมือให้แม่ประจำอยู่แล้ว แถมยังได้ทำงานกับป้านกอีก บอกเลยว่าฝีมือตอนนี้เป็นพ่อครัวได้สบาย

 

            อาหารมื้อแรกหลังกลับมาบ้านเกิดเป็นเมนูที่หาวัตถุดิบได้จากละแวกบ้าน อย่างเช่นผัดเผ็ดนก ต้มยำไก่บ้าน น้ำพริกผักต้ม พวกเรานั่งล้อมวงกินกันหน้าทีวี ผมกินไปพูดไป แชร์ประสบการณ์จากเมืองกรุงที่พ่อแม่คงฟังจนเบื่อแต่ท่านก็ยังยิ้มรับถามโต้ตอบกลับมาสร้างเสียงหัวเราะอยู่หลายครั้ง เสียดายอยู่อย่างที่พี่ปริม พี่สาวผมต้องพักที่สุโขทัยกว่าจะได้กลับบ้านก็ช่วงวันหยุด ไม่อย่างนั้นครอบครัวคงได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันกว่านี้

            หลังจากกินข้าวเสร็จผมก็โดนไล่ให้ไปนอน พ่อออกไปทำงานส่วนแม่จัดการงานบ้านหรือไม่ก็รับจ้างทำงานในสวนเวลามีคนมาจ้างนานๆ ครั้ง

            เวลาเดินเข้าสู่ช่วงสาย กินข้าวอิ่มแล้วหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน บวกกับความอ่อนเพลียจากการเดินทางที่หลับไม่เต็มตื่นนัก ผมเลยหยิบหมอนติดมือลงมาจากบ้านตั้งใจจะงีบสักตื่นบนเปลใต้ถุนบ้าน แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอะไรไปบางอย่าง

            ผมหยิบมือถือขึ้นมาปลดล็อกหน้าจอหลังจากเอนตัวลงนอน ข้อความจากต้นสนค้างอยู่ตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกลับถึงบ้านแล้วเช่นกัน

            เพราะอยากได้ยินเสียงมากกว่าคุยผ่านตัวอักษรผมเลยกดโทรออก เสียงสัญญาณดังเพียงครั้งเดียวปลายสายก็กดรับอย่างกับรออยู่

            (ถึงบ้านแล้วเหรอ) คำทักทายตอนรับโทรศัพท์ไม่ต้องมี มาถึงก็โยนคำถามใส่กันเลย

            "ถึงนานแล้ว"

            (ไม่เห็นบอก)

            "ถึงตอนตีห้า ตื่นหรือยังล่ะ"

            (ยังไม่ตื่นก็บอกได้ เดมไปหาก็ไม่ตอบนะ จะสิบโมงแล้วเนี่ย)

            "ก็โทรมาหาเลยนี่ไง"

            ปลายสายเงียบไปซึ่งผมเดาว่าต้นสนต้องยิ้มอยู่แน่ๆ เพราะผมเองก็ยิ้มอยู่เหมือนกัน และยิ่งยิ้มกว้างไปกันใหญ่เมื่อเจ้าตัวพูดขึ้นมาอีกครั้ง

            (คิดถึงแล้วเนี่ย)

            ผมเงยหน้ามองเพดานแล้วยิ้มค้าง อยู่ๆ ก็โพล่งออกมาตรงๆ แบบไม่มีอ้อมค้อม ทำเอาอยากเห็นหน้าตอนเจ้าตัวพูดประโยคนี้ออกมา

            "คิดถึงเหมือนกัน"

            (งั้นก็รีบกลับมาเลย)

            "เปลี่ยนเป็นให้มาหาแทนได้ป้ะ"

            (ได้นะ ส่งโลมาดิ)

            "ปลาโลมาอ่ะนะ"

            (โลมาไม่ใช่ปลา)

            "แล้วเป็นไร"

            (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม)

            "เก่งหนิ"

            (อยู่แล้ว)

            ยิ่งคุยบทสนทนาของเราก็เริ่มไร้แก่นสารขึ้นเรื่อยๆ แต่ผมกลับสนุกที่เราได้คุยกันแบบนี้ แค่พูดอะไรก็ได้ที่อยากจะพูด มีคนคอยรับฟังและโต้ตอบกลับมาแม้มันจะเป็นเรื่องที่ไร้สาระแค่ไหนก็ตาม

            ผมยังคงคุยเรื่องสัพเพเหระกับต้นสนไปเรื่อยเปื่อย ผลัดกันเล่าผลัดกันฟัง ยิ้มจนเมื่อยปาก หรือบางทีก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ทั้งที่เพิ่งจากกันยังไม่ครบยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่กลับมีเรื่องคุยกันเยอะแยะเหมือนไม่ได้เจอหน้ากันมาแรมปี

            เป็นแบบนี้จากที่คิดว่าจะงีบสักตื่นคงจะไม่ได้นอนเสียแล้วล่ะมั้ง

 

TBC

 

คิดถึงเลยมาหา กลับมาแล้วค่ะ ตอนนี้ก็ยังคงความอ้อนเช่นเดิม ^^

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yanaanay ที่ 27-11-2017 21:24:16
สวีทกันจิงจิ้งงงง
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 27-11-2017 21:32:56
น่ารักกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-11-2017 21:56:43
เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ต้องเรียกว่าแฟนก็ได้ มันชัดเจนในตัวเองแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-11-2017 21:57:40
ถ้าต้นสนเป็นพระเอกนะ ปลื้มคงเสร็จนางไปนานแล้ว 55555  ขนาดเป็นนายเอกยังแจกอ้อยจนเหมือนจะรุกเองอยู่แล้ว 5555555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 27-11-2017 22:11:55
ต้นสนรึต้นอ้อยเนี่ยะ อ่อยสุดๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-11-2017 22:36:33
กลัวแบบคนอื่นไม่รู้ว่าเป็นแฟนกันแล้วอ้างเข้ามาแทรกแซงได้อะดิ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-11-2017 23:16:27
หวานไม่เกรงใจคนไร้คู่เลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 28-11-2017 01:56:08
ต้นสนลูกกกก ยังคงความอ่อยเช่นเดิมอ่อยแบบเขินๆอะน่าร้ากกก หึยยนี่เป็นปลื้มจับฟัดไปแล่ว ชอบฟีลแบบนี้มากๆเลยฮือออ
สงสัยนานละ ปลื้ม ปุริม นี่มันไปตรงกับนักแสดงคนนึงอะคนเขียนตั้งใจหรือแค่บังเอิญคะเนี้ย แต่จะปลื้มนี้หรือปลื้มนั้นเราก็ชอบทั้งคู่5555 และเอ็นดูต้นสนเป็นพิเศษน่าร้ากกๆๆๆๆ ><
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 28-11-2017 12:10:56
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: konnarak ที่ 30-11-2017 13:32:12
น่ารักกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 19 ★ 27/11/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Yyuii ที่ 01-12-2017 18:07:28
รักต้นสนขี้อ่อย มาบ่อยๆน๊าาาา
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 02-12-2017 18:38:19

ตอนที่ 20

 
            อีกหนึ่งชั่วโมงจะเข้าสู่ปีใหม่

            ผมเพิ่งกลับมาจากบ้านงานที่อยู่อีกฝั่งของหมู่บ้าน ที่นั่นจัดงานเลี้ยงปีใหม่ มีจับฉลากของขวัญ นั่งดื่มกินสังสรรค์ข้ามปี ผมกับไอ้เมจ ลูกพี่ลูกน้องที่เด็กกว่าสองปีพากันขับมอเตอร์ไซค์ไปงานมาตั้งแต่ช่วงเย็น อยู่จนไม่รู้จะทำอะไรเลยพากันกลับมาแถวบ้านตามคำชวนของน้องมันที่ว่าจะจุดพลุฉลองปีใหม่

            "พวกพี่อ๋อน่าจะมาถึงแล้วมั้ง"

            ผมจอดรถหน้าบ้านคุณตาที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เมจลงจากรถเดินนำไปทางหลังบ้านอย่างคุ้นเคย ระหว่างทางเดินได้ยินเสียงผู้คนแว่วมา ที่นี่เองก็มีการสังสรรค์กลุ่มเล็กๆ ของชายแก่ ซึ่งพ่อผมเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ส่วนแม่กับพี่ปริมยังอยู่กับกลุ่มป้าๆ ที่บ้านงาน

            อ้อมมาถึงหลังบ้านก็เจอแคร่ไม้ไผ่สองหลัง หลังหนึ่งถูกจับจองโดยวงเหล้าชายแก่ ส่วนอีกหลังเป็นของลูกหลานตั้งวงเล่นไพ่ หนึ่งในนั้นที่เห็นผมกับเมจมาถึงจึงรีบกวักมือเรียกให้เข้าไปหา

            พูดถึงปีใหม่มันก็คือเทศกาลรวมญาติดีๆ นี่เอง นอกจากผมจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัวแล้ว เพื่อนวัยเด็กที่แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองก็ได้กลับมาเจอหน้ากันในวันนี้ ตลอดเวลาที่ผมอยู่บ้านถ้าไม่นอนขี้เกียจก็มักขับมอเตอร์ไซค์ตะลอนไปทั่ว ไปหาเพื่อนต่างหมู่บ้านบ้าง ชวนกันไปเที่ยวในเมืองบ้าง ไกลสุดก็ติดรถพวกผู้ใหญ่ไปเที่ยวจังหวัดข้างๆ

            "มาเลยมึง ป๊อกตาละบาท" ไอ้อ๋อชวนแกมบังคับ

            ทั้งวงนั้นมีอยู่ห้าคนรวมผมกับเมจ พวกเราอายุไล่เลี่ยกันห่างกันไม่เกินสามปี ผมกับไอ้อ๋อเป็นพี่ใหญ่สุด มันเรียนอยู่ที่พิษณุโลก สอบติดมหาวิทยาลัยใกล้บ้านจนผมอิจฉามันนิดหน่อย

            ผมเข้าร่วมวงไพ่กับพวกมัน ได้บ้างเสียบ้างตามดวงแต่ละคน เล่นไปกินเหล้าไปครื้นเครงจนน่าหนวกหู แต่เพราะผมเองรวมอยู่ในวงด้วยจึงไม่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญเท่าไรนัก

            ช่วงฆ่าเวลาในวงไพ่ผ่านไปจนเข้าใกล้เที่ยงคืนเต็มที ผมไม่ได้ดื่มมากนัก เงินเสียไปกับค่าไพ่ก็ไม่เท่าไร เงินส่วนมากที่เสียไปก็อยู่ที่ไอ้เมจ เอาไว้ผมค่อยไปข่มขู่คืนจากมันก็ได้

            ก็ว่าไปนั่น ผมไม่ใช่คนนิสัยแบบนั้นสักหน่อย

            "จะเที่ยงคืนแล้ว จุดพลุเล่นกัน" ใครสักคนในวงทักขึ้นพวกพ้องผู้เมามายก็พากันทิ้งวงไพ่หันไปสนใจถุงก๊อบแก๊บใบใหญ่ที่ใส่พลุไว้หลากหลายชนิด

            ผมลุกจากแคร่เดินตามพวกมันไปยังลานหลังบ้าน คว้าไฟเย็นมาได้สองอัน ในขณะที่คนอื่นให้ความสนใจกับพลุชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่า ไอ้อ๋อหยิบพลุโอ่งมาได้ก็เอามันไปวางไว้ตรงที่ว่าง ผมยืนรอดูอยู่นอกวงแต่แรงสั่นจากมือถือในกระเป๋ากางเกงดึงความสนใจไปเสียก่อน

            เห็นชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอริมฝีปากก็แย้มยิ้มอย่างห้ามไม่ได้ ผมเดินหลบฉากไปด้านหลัง ลึกเข้าไปทางทุ่งนาเพื่อหลบหนีความวุ่นวาย แต่ไม่ได้ไกลจนมองไม่เห็นลานกว้างที่พวกเพื่อนๆ กำลังเล่นพลุกันอยู่

            ผมนั่งลงใต้ต้นไม้กำลังจะกดรับ แต่สงสัยจะทิ้งเวลานานไปสายเลยตัดไปก่อน ทว่ายังไม่ทันได้กดโทรกลับเสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง

            (ทำไมช้า)

            "หาที่เงียบๆ อยู่"

            ประโยคทักทายไม่ต่างจากที่ผมคิดไว้นัก ฟังแล้วอยากเห็นหน้าคนพูด แต่ติดตรงที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยเท่าไร คุยไปเสียงขาดๆ หายๆ จะชวนให้หงุดหงิดเปล่าๆ

            (กินเลี้ยงเหรอ) ขอเดาว่าเสียงจากกลุ่มที่ตั้งวงกินเหล้ากับเพื่อนที่เล่นพลุกันอยู่คงดังมาถึงนี่ หรือไม่ต้นสนอาจจะเดาจากคำตอบของผมเมื่อครู่

            "ประมาณนั้น"

            (เมาป้ะเนี่ย)

            "ไม่เมา"

            (เดี๋ยวพูดไม่รู้เรื่องอีก) คนปลายสายหัวเราะคิกคัก เหตุการณ์ที่ผมเมาจนเผลอหลับคาห้องต้นสนวันนั้นยังเป็นเรื่องที่น่าจดจำจนถึงทุกวันนี้

            "เล่นพลุกันด้วยนะ" ผมพาเปลี่ยนประเด็น มองประกายไฟสีส้มแดงที่พุ่งออกมาจากโอ่งเล็กๆ กลางลานกว้าง

            (พลุเหรอ)

            "เพื่อนมันซื้อมา"

            (อยากเห็นจัง)

            "อยากให้เหมือนกัน" ผมได้แต่บอกอย่างเสียดาย

            สะเก็ดไฟเล็กๆ แม้ไม่อลังการเหมือนพลุดอกไม้ไฟตามงานเทศกาล แต่กลับสวยงามตามขนาดของมันในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ส่องแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด และสร้างความสุขในกับกลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้ได้

            "ไว้จะถ่ายรูปไปให้ดู แล้วตอนนี้ทำอะไรอยู่"

            (นั่งเบื่อๆ)

            "งานเลี้ยงไม่สนุกเหรอ"

            (ก็งั้นๆ) น้ำเสียงสื่อความหมายตามประโยคที่พูด

            คืนนี้บริษัทของครอบครัวต้นสนมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่ ทั้งผู้บริหารและพนักงานทุกระดับชั้นต่างเข้าร่วม จัดในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม มีอาหารบุฟเฟ่ต์ การแสดงบนเวที และแจกรางวัลสำหรับผู้โชคดี ฟังแล้วดูน่าสนุกแต่เจ้าตัวกลับเบื่อเสียอย่างนั้น

            (อยากอยู่กับปลื้มมากกว่า) แล้วประโยคที่ผมคิดว่าต้องได้ยินก็หลุดออกมา พักนี้เรามักชอบพูดอะไรแบบนี้ แสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ คิดยังไง รู้สึกอะไรอยู่ ไม่ต้องอ้อมค้อมให้เสียเวลา เพราะคำพูดเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต่างคนต่างอยากได้ยิน

            "อยากอยู่ด้วยเหมือนกัน"

            (ถ้าไปหาก็ได้คงดี)

            ผมพยักหน้ารับแต่คนปลายสายไม่มีทางเห็น สายตายังคงเหม่อมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่เริ่มขนพลุชนิดอื่นๆ ออกมาเล่น รวมถึงไฟเย็นแบบที่ผมถือติดมือมาด้วย

            "อยากเล่นไฟเย็นมั้ย"

            (เล่นอยู่เหรอ)

            "เปล่า แค่ถือไว้เฉยๆ ไม่มีไฟจุด"

            (ไปจุดไฟดิ)

            ผมลุกขึ้นตามคำบอก เดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนขอแบ่งไฟจุดแล้วเดินเลี่ยงออกมาเพื่อให้ห่างจากเสียงโหวกเหวก มองสะเก็ดไฟสีส้มที่สว่างท่ามกลางความมืด มันค่อยๆ ลุกลามมาทีละนิด ผมเลยแกว่งมันเล่นเหมือนเด็กเคยเล่นไฟเย็นครั้งแรก

            "เห็นมั้ย สวยนะ"

            (เห็นดิ สวยมาก) ต้นสนรับมุกแบบไม่ติดตลก จนผมนึกโมโหความทุรกันดารของหมู่บ้านตัวเอง ถ้าหากสัญญาณอินเทอร์เน็ตมันแรงกว่านี้ก็คงดี

            "วันหลังซื้อไปเล่นกันดีมั้ย"

            (จะรอนะ)

            ใบหน้าหม่นหมองที่เปื้อนรอยยิ้มลอยเด่นชัดอยู่ในความคิดผม แม้ได้ยินแค่เสียงก็พอจะเดาออกว่าเจ้าตัวทำหน้ายังไง มันเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้หรอกนอกจากกำลังอมยิ้มจนปวดแก้มเหมือนผมตอนนี้

            (เหมือนเค้าจะเริ่มนับถอยหลังกันแล้วนะ)

            ผมได้ยินเสียงครื้นเครงดังมาจากปลายสายตอนต้นสนพูด เจ้าตัวคงหลบมุมออกมาคุยโทรศัพท์ พอได้เวลาแล้วถึงเดินกลับไปเข้าในงาน เสียงนับถอยหลังของคนที่น่าจะเป็นพิธีกรบนทีวีดังผ่านสายมาให้ได้ยิน อีกไม่ถึงสิบวินาทีก็จะเข้าปีใหม่

            (เจ็ด หก ห้า สี่ สาม...)

            เราต่างคนต่างเงียบ ผมฟังเสียงที่ผ่านเข้ามาในสาย ตามองไฟเย็นในมือที่ใกล้จะดับ

            (สอง...หนึ่ง)

            ถ้าหากวันนี้เราได้อยู่ฉลองปีใหม่ด้วยกันก็คงดี

            (สวัสดีปีใหม่)

            "สวัสดีปีใหม่ครับ"

 

            สายลมที่พัดผ่านระเบียงบ้านทำเอารู้สึกหนาวจนผมต้องยกมือลูบขนแขนที่พร้อมใจกันลุกขึ้นยืน คว้าผ้าห่มที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาท่อนล่าง จับขยับหมอนปรับองศาให้พอเหมาะแล้วหยิบมือถือที่วางไว้บนอกมาเล่นเหมือนเดิม ทำตัวขี้เกียจอย่างคนไม่มีอะไรทำ

            วันนี้ผมไม่มีโปรแกรมออกไปไหนเลยออกมานอนยาวเหยียดอยู่ระเบียงบ้านตั้งแต่เช้า ปูเสื่อ เอาหมอมาหนุน วางผ้าห่มไว้ข้างตัวเผื่อหนาวจนทนไม่ไหวจนเพิ่งได้หยิบมาใช้เมื่อครู่ อ่านการ์ตูนบ้าง เล่นมือถือ กินข้าวเช้าเสร็จก็ล้มตัวลงนอนใหม่ เป็นวันที่ผมรู้สึกขี้เกียจอย่างแท้จริง

            จะว่าไปแล้วไม่รู้ป่านนี้ต้นสนจะตื่นหรือยัง

            ผมกดเข้าข้อความส่วนตัวในทวิตเตอร์ พิมพ์ข้อความส่งไป จากนั้นเข้าหน้าโฮมเลื่อนดูข่าวสารแบบผ่านๆ เจอทวีตของพ่อศิลปินผู้มืดมนแจกของปีใหม่ด้วย ผมเองก็ไปร่วมสนุกกับเขามา เจ้าตัวเลยส่งข้อความมาว่าไม่ต้องไปแย่งของแจกคนอื่นก็มีของขวัญพิเศษเตรียมไว้ให้อยู่แล้ว

            อยากรู้จริงๆ ว่า 'ของขวัญพิเศษ' ที่ว่ามันคืออะไร

            คิดไปแล้วก็เผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว ผมมอง ส.ค.ส ที่ต้นสนตั้งใจวาดเพื่อแจกเป็นของขวัญปีใหม่สำหรับแฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงาน มันเป็นรูปเด็กผู้ชายถือของขวัญยื่นให้โดยที่ด้านหลังของเด็กคนนั้นมีของขวัญกองโต ของขวัญที่ทำมาเพื่อมอบให้ทุกคน

            "วางบ้างก็ได้นะมือถือน่ะ" เสียงแม่แว่วมาก่อนตัว ผมหันไปมองแต่ยังไม่ยอมวางมือถือ

            "ก็มันไม่มีอะไรเล่นหนิแม่"

            "เล่นอะไรนักหนา สอนแม่บ้างสิ"

            "คุยกับเพื่อนนั่นแหละครับ"

            "ว่านกับเจนน่ะเหรอ" แม่นั่งลงข้างผม ทำเป็นชะเง้อมอง

            ผมพยักหน้าตอบรับเบาๆ ไม่อยากพูดโกหกว่ากำลังคุยกับมันสองคน แม้จะได้คุยกันอยู่บ้างนิดๆ หน่อยๆ ก็ตาม

            ช่วงที่อยู่บ้านผมจับมือถือบ่อยอย่างที่แม่ว่า คุยกับต้นสนแทบตลอดเวลาที่ว่าง ทุกคนในบ้านเห็นกันหมด แต่ไม่ยักมีใครทักจนกระทั่งวันนี้

            "แม่"

            "หืม" แม่ครางรับในลำคอ มือเกลี่ยผมผมเล่น ผมเลยขยับไปนอนตักแม่ทำตัวเป็นเด็กชายขี้อ้อนอย่างเอาใจ

            คิดแล้วก็สงสัย ถ้าผมพูดอะไรบางอย่างออกไป แม่จะรับมันได้หรือเปล่า

            "ถ้าปลื้มมีหลานให้ไม่ได้แม่จะโกรธมั้ย"

            "อยู่ๆ ทำไมถามแบบนี้ล่ะฮะ จะอยู่เป็นโสดไปตลอดเลยหรือไง" แม่เผลอถามเสียงหลง คล้ายจะตกใจแต่ก็เหมือนไม่ มือยังลูบหัวผมเล่นเบาๆ

            "ไม่รู้ดิ แค่ลองถามดู"

            "เห็นติดมือถือแม่ก็คิดว่ามีแฟนเสียอีก"

            ผมเงยหน้าแล้วยิ้มให้แม่ ได้รับรอยยิ้มอบอุ่นกลับมาก็ก้มหน้าลง วางมือถือไว้บนอกแล้วคว้ามือแม่มาจับแทน

ความรู้สึกของแม่จะเป็นยังไงหากรู้ว่าลูกชายคนนี้ไม่เหมือนเดิม ผมไม่ได้คิดที่จะพูดมันออกมาเร็วๆ นี้ ทุกอย่างยังอยู่เพียงจุดเริ่มต้น แน่นอนว่ามันต้องก้าวไปข้างหน้า แต่จะก้าวไปได้ไกลแค่ไหนผมไม่อาจรู้ได้ เพราะเหตุนี้เลยมีความคิดที่อยากจะคุยกันให้เข้าใจตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงอย่างนั้นกลับกลัวเกินกว่าจะเอ่ยปากบอกไปตรงๆ ได้

            ยิ่งรู้เร็วน่าจะทำใจได้เร็วกว่า แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทุกคนทำใจได้ เพราะงั้นถ้าเลือกทางเดินนั้นไปแล้ว จะบอกให้รู้ช้าหรือเร็วผมว่ามันก็ไม่ต่างกันนัก

            "สรุปไม่มีแฟนจริงเหรอ" แม่ผมยังตื้อไม่เลิก ถามแล้วยังยิ้มล้ออีก

            "ยังไม่มี"

            "ใจร้ายจังเลยน้า จะไม่มีหลานให้แม่เนี่ย"

            "ดักแบบนี้คิดหนักเลย"

            "แม่ก็ล้อเล่นไปงั้นแหละลูก" จากที่ลูบอยู่ดีๆ แม่ก็ยีหัวผมจนยุ่ง

            ผมเบี่ยงตัวหลบกลับมาหนุนหมอนเหมือนเดิม มองแม่ตาละห้อย ที่ผ่านมาผมไม่เคยบอกที่บ้านเลยเวลามีแฟน ไม่ได้ตั้งใจปิดเป็นความลับแต่คบกันแบบเรื่อยๆ คล้ายไม่มีเป้าหมาย เพียงแค่อยากอยู่ด้วยกันแบบนั้นไปนานๆ และผมซื่อสัตย์กับคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเสมอ เพราะงั้นหากแม่จะคิดว่าผมเป็นพวกด้านชากับความรักจนไม่อยากมีแฟนจึงไม่แปลกนัก

            สำหรับต้นสน ตัวผมไม่คิดเหมือนกันว่าจะเกิดความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้ จุดเริ่มต้นมันแตกต่างกับแฟนคนก่อนที่มักถูกใจรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับแรกก่อนจะเริ่มศึกษาด้านความคิดจิตใจ สุดท้ายก็แตกหักทางใครทางมัน แต่กับต้นสนแล้ว ทุกอย่างมันแตกต่าง

            ผมยืนยันไม่ได้ว่ากับต้นสนเราจะไปกันได้ดีหรือเปล่า ไม่มั่นใจที่จะออกปากยืนยันกับครอบครัวว่าเลือกเส้นทางนี้ไปแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็อยากอยู่กับเขาไปนานๆ

            "เป็นอะไรทำหน้าเครียด" ปล่อยให้ผมจมอยู่กับความคิดสักพักแม่ก็ทักขึ้นอีกรอบ

            "เปล่าเครียด"

            "ถ้าปลื้มไม่อยากมีลูก แม่ให้พี่ปริมมีให้ก็ได้"

            "ไม่ได้บอกว่าไม่อยากมี แต่อาจจะไม่มีให้ก็ได้"

            "ยังไงนี่ลูกคนนี้" แม่ไม่พูดเปล่ายังยื่นมือมาบิดหูผมอีก น้ำเสียงบ่งบอกว่าหมั่นไส้ ไม่ก็เริ่มหงุดหงิดที่ผมพูดไม่รู้เรื่อง

            "ไหนว่าจะไม่โกรธ"

            "แม่ยังไม่ได้พูดเลยว่าจะไม่โกรธ"

            ผมเบิกตาใส่แม่ไม่เชื่อคำพูด แต่พอลองนึกย้อนกลับไปแล้วแม่ก็ไม่ได้พูดว่าจะไม่โกรธผมจริงๆ

            "รีบๆ หาแฟนได้แล้ว"

            "มันหาได้ง่ายๆ ที่ไหนเล่า"

            "แม่ชอบคนน่ารักๆ ขยันทำงาน เราจะได้ไม่อดตาย"

            แม่พูดต่อโดยไม่ฟังคำค้านผมเลยสักนิด บอกสเปคแบบที่ชอบอย่างกับว่าผมจะหาได้ แต่จะว่าไปที่แม่พูดมากลับทำให้ผมนึกถึงคนคนเดียวที่ยังอยู่ในความคิด

            อาจจะไม่ค่อยน่ารักมากนัก แต่เรื่องขยันทำงานนี่ยกให้เป็นที่หนึ่งเลย

            "ถ้ามีแฟนอย่าลืมพามาให้แม่รู้จักด้วยนะ"

            ผมยิ้มแหยแล้วพยักหน้ารับ ถ้าหากแม่ได้เห็นคนที่ผมอยากพามาแนะนำจริงๆ จะยิ้มออกเหมือนวันนี้หรือเปล่า

            แต่ถ้าผมมีแฟนเมื่อไร...

            "เอาไว้ปลื้มจะพามาหานะแม่"

 

TBC

 

วันนี้ไม่มีอะไรจะทอล์คเอาเป็นว่าขอพูดเรื่องชื่อพระนายในเรื่องแล้วกันเนอะ

คือเราจะมีคลังชื่อที่ชอบค่ะ แบบเจอชื่อถูกใจก็จะเก็บเอาไว้

พอเปิดเรื่องใหม่ตอนตั้งชื่อจะค้นเอาจากคลังนี้

นอกจากว่าอยากได้ชื่อที่เฉพาะหรือมีความหมายกับตัวละครสักหน่อยก็จะหาเอาใหม่ค่ะ

ส่วนชื่อเจ้าปลื้มเราก็ได้มาจากคลังนี้นี่แหละ ชอบชื่อปุริม แล้วปลื้มมันก็เด้งเข้ามาในหัว

สงสัยจะคุ้นมาจาก ปลื้ม ปุริม จริงๆ นั่นแหละค่ะ ฮา

แต่ในเรื่องยังไม่บอกชื่อจริงต้นสนเนอะ ใบ้ให้ว่าสองพยางค์ มีใครรู้บ้าง มาเดากันๆ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาและพูดคุยกันคะนะ เจอกันตอนหน้าจ้า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-12-2017 23:57:30
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-12-2017 02:10:50
นอววววววว เมื่อไหรจะได้พามาน้อออ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 03-12-2017 02:31:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 03-12-2017 11:13:46
ตอนหน้าเขาจะได้เจอกันแล้วใช่ไหมคะ  :hao5: ชื่อต้นสนนี่คิดไม่ออกจริงๆค่ะว่าจะมาทางไหน ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 03-12-2017 13:03:28
คิดถึงต้นสนแล้ววววว
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 03-12-2017 16:33:17
กลัวดราม่าครอบครัวของทั้งคู่จังเลย ตอนหน้าจะเจอกันแล้วใช่มั้ย คิดถึงต้นสนม๊ากกกมากกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 20 ★ 02/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 03-12-2017 22:31:41
หวานมากขนาดนี้ก็คบไปเลยเถอะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 09-12-2017 20:41:45

ตอนที่ 21

            ช่วงเวลาที่ได้ทำตัวตามสบายมักผ่านไปเร็วเสมอ เผลอแป๊บเดียววันหยุดยาวของปิดเทอมต้นก็ใกล้หมด ผมบอกลาบ้านนาและกลับมากรุงเทพฯ ก่อนเปิดเทอมสองวัน หอบหิ้วของฝากและสารพัดกินที่ครอบครัวพยายามยัดใส่กระเป๋ามาให้ เยอะจนคิดว่าน่าจะอยู่ได้อีกราวๆ สองเดือน

            (ปลาเค็ม?) ไอ้ว่านถามเสียงสูงตอนผมโทรไปบอกว่าจะเอาของฝากไปให้

            "เออ ปลาเค็ม จะเอามั้ย กูจะได้ขนไปเผื่อ"

            (มีอย่างอื่นป้ะ)

            "หนูนา"

            (กูกินไม่เป็น)

            "ผัดเผ็ดอร่อยนะมึง เดี๋ยวกูทำให้กิน"

            (มึงขนแต่ของแบบนี้มาเหรอวะ ขนงขนมไรงี้ไม่มีเลย)

            "ที่จริงแม่จะเอามะละกอกับข้าวสารใส่มาให้ด้วย แต่กูเกรงว่าจะเอากลับไม่ไหวเลยไม่ได้ขนมา"

            (ถ้าขนมาได้ก็เก่งเกินไปแล้วมึง)

            เสียงประชดประชันของมันทำเอาผมหัวเราะ กระเป๋าใบแฟบๆ ที่สะพายขาไปเปลี่ยนเป็นกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ตอนขากลับ แม่ผมกลัวอดเลยชอบบังคับให้เอาของกินแห้งๆ ที่สามารถเก็บไว้ได้นานกลับมาด้วยเสมอ ไหนจะเงินที่แอบยัดใส่ช่องน้อยๆ ของกระเป๋าไว้อีก แม่บอกว่าเวลามีก็อยากให้ผมอยู่สบายเพราะเวลาอดมันลำบาก

            "งั้นเดี๋ยวเย็นๆ กูไปหา"

            (หาใคร)

            "ควายป่ามั้ง กูคุยกับมึงอยู่เนี่ยจะให้ไปหาใคร"

            (อ้าวเหรอ กูก็นึกว่ามึงจะไปหาต้นสนแล้วแวะมาหากูไรงี้)

            การคาดเดาของไอ้ว่านไม่ผิดนัก ถ้ามันซื้อหวยคงถูกโต้ดแน่ๆ ผมจะไปหาต้นสนอยู่แล้วแต่หลังจากเอาของไปให้เพื่อนสุดที่รักก่อน

            "ไปหาทั้งคู่นั่นแหละ"

            (แน่ะๆ)

            "จะมาแน่ะทำห่าไร กูวางแล้วนะ จัดของก่อน"

            (คร้าบๆ รีบจัดของแล้วรีบมานะครับเพื่อน)

            "เออๆ"

            (มาหาต้นสนเร็วๆ นะครับ)

            "สัด" ผมด่ามันแล้วกดตัดสาย ส่ายหน้าใส่มือถือก่อนวางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียง

            กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ยังนอนสงบนิ่งอยู่บนพื้นห้อง ผมมองมันแล้วล้มตัวลงบนที่นอน กะจะงีบสักตื่นค่อยลุกขึ้นมาจัดของ ตอนนี้เพิ่งเก้าโมงเช้า ผมกลับมาถึงห้องก่อนหน้านี้หนึ่งชั่วโมง อาบน้ำอาบท่าเสร็จก็โทรหาไอ้ว่าน การหลับๆ ตื่นๆ บนรถทัวร์ทำให้ตอนนี้ง่วงจนตาใกล้จะปิด

            ผมคว้ามือถือที่วางอยู่มาเปิดเข้าข้อความส่วนตัวในทวิตเตอร์ ตอนกลับมาถึงห้องผมรายงานตัวไปแล้วหนึ่งรอบ แต่ดูเหมือนต้นสนจะยังไม่ตื่นข้อความจึงยังไม่ถูกอ่าน ผมเลยพิมพ์อีกข้อความส่งเพิ่มไป ตื่นเมื่อไรคงตอบกลับมาเอง

            PuuRimm : เดี๋ยวตอนเย็นไปหานะ จะทำข้าวต้มกุ๊ยให้กิน

 

            ผมสะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่มาที่ห้องไอ้ว่านตอนหกโมงเย็น เอาขนมกับปลาเค็มที่เหมือนมันจะไม่อยากได้ติดมือมาด้วย ผิดกับพี่เตยที่เห็นของฝากแล้วตาลุกวาว ออกปากชมผมยกใหญ่ แถมยังบอกอีกว่าไม่ได้กินปลาเค็มมานานแล้ว

            ใช้เวลาอยู่ที่ห้องไอ้ว่านได้พักใหญ่ผมก็ขอตัวกลับ แต่จะเรียกว่ากลับคงไม่ถูกนักเพราะแค่ย้ายไปยังห้องที่อยู่ตรงข้าม ป่านนี้แล้วไม่รู้ว่าเจ้าของห้อง 403 จะทำอะไรอยู่ จะกลับมาถึงห้องหรือยัง

            "กูไปหาต้นสนก่อนนะ กลับก่อนนะพี่เตย" ผมบอกแบบไม่ปิดบังเพราะไหนๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว บอกลาพี่เตยพลางสะพายกระเป๋าและหอบของที่เพิ่งซื้อมาจากตลาดเดินตรงไปหน้าประตู โดยมีไอ้ว่านเดินตามหลัง

            "จะทำอะไรกินกันวะ" เดินมาถึงหน้าประตูมันก็ถาม เหล่มองถุงพลาสติกที่ผมถืออยู่ ผมว่าไอ้ว่านคงเห็นตั้งแต่เดินเข้าห้องมันมาแล้ว แต่ยังหาจังหวะแซวไม่ได้

            "ข้าวต้ม"

            "พ่อบ้านจังเลยนะมึง"

            ผมไหวไหล่ยักคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ ในอนาคตถ้าผมได้เป็นพ่อบ้านจริงๆ ก็ไม่ได้คิดว่ามันเสียหายอะไร อย่าลืมว่ามันเป็นหนึ่งในอาชีพที่ผมใฝ่ฝัน ให้ภรรยาเป็นคนออกไปทำงานหาเงินนอกบ้าน ส่วนผมรับหน้าที่จัดการงานบ้าน แต่มีเงื่อนไขสำคัญหนึ่งข้อคือภรรยาของผมต้องมีนิสัยรวยเป็นพิเศษ

            "เออ มึงอ่ะ"

            "อะไร"

            ไอ้ว่านมันโพล่งออกมาแล้วก็เงียบ ผมจ้องกลับรอฟัง แต่ท่าทางมันดูลังเลที่จะพูด

            "จะพูดอะไรก็รีบๆ กูจะไปแล้ว"

            "มึงเป็นผัวใช่ป้ะ"

            ผมที่กำลังจะใส่รองเท้าหยุดชะงักหันไปมองหน้ามัน ไอ้ว่านทำตาแป๋วใส่ พอโดนมองนานเข้าถึงออกอาการลนลานรีบแก้ตัว

            "กูไม่ได้จะอะไรนะเว้ย แค่สงสัย ก็มึงสองคนไม่น่าจะชอบกันได้นี่หว่า กูเห็นต้นสนบ่อยๆ ยังไม่เคยคิดเลยว่าเค้าจะชอบมึงได้ วันๆ เห็นแต่ทำหน้าง่วงอ่ะมึง เข้าใจกูใช่ป้ะ"

            ผมเกือบหลุดขำตอนไอ้ว่านว่าต้นสน 'วันๆ เห็นแต่ทำหน้าง่วง' ก็คงถูกของมัน คงไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่คบผู้หญิงมาตลอดอย่างผมจะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้ชาย

            "ต้นสนน่ารักนะมึง" ผมอวด สอดเท้าเข้าไปในอีคีบคู่เก่าแล้วทำหน้าภูมิใจใส่มัน

            "ของมึงคนเดียวอ่ะดิ"

            "ถูกต้อง ของกูคนเดียว"

            "รีบไปเลยไป เบื่อพวกอวดแฟน"

            ได้ยินแล้วผมเกือบจะหลุดปากบอกไปว่าจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่เพราะอยากให้เข้าใจแบบนั้นเลยเงียบไว้

            คงอีกไม่นานหรอกที่ความคิดของไอ้ว่านจะเป็นจริง เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้ว

            "กูไปละ" บอกมันอีกทีก่อนผมจะเปิดประตูเดินออกมา ขยับแค่ไม่กี่ก้าวก็มายืนอยู่หน้าห้อง 403 ใช้คีย์การ์ดเปิดประตูออกแล้วพบแต่ความมืด

            ยังมาไม่ถึงสินะ งั้นเดี๋ยวพ่อบ้านคนนี้จะเตรียมอาหารเย็นไว้รอคุณหนูเอง

 

            ต้มข้าวจนสุกได้ที่เสียงประตูเปิดก็แว่วมาให้ได้ยิน ผมยกยิ้ม ยังคงยืนอยู่ในครัวไม่ขยับไปไหน ทำทีเป็นจัดเครื่องเคียง ฟังเสียงย้ำเท้าที่กำลังเข้ามาใกล้ เสียงวางขางที่เหมือนรีบโยนมันทิ้งให้พ้นทาง และไออุ่นจากอ้อมแขนที่เข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง

            "คิดถึงจังเลย" น้ำเสียงงอแงบอกพร้อมกระชับกอดให้แน่นขึ้น

            จากที่ยิ้มอยู่แล้วเมื่อได้ฟังทำนี้ก็ทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม ละมือจากงานทั้งหมดแล้วจับมือต้นสนเอาไว้ คนที่ยังกอดไม่ปล่อยซุกหน้าลงกับแผ่นหลัง ทำตัวออดอ้อนเหมือนลูกแมวไม่มีผิด

            "หิวหรือยัง"

            "หิวดิ นี่ยอมไม่กินกับข้าวป้าจิตจนโดนงอนเลยนะ"

            "งั้นก็ปล่อยก่อน"

            ต้นสนยอมทำตามที่บอกแต่โดนดี แต่พอผมหันไปหากลับเจอเจ้าตัวทำหน้าบึ้งใส่เสียอย่างนั้น ทั้งที่เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีอยู่แท้ๆ เป็นอะไรอีกล่ะทีนี้

            "เป็นอะไรทำหน้าเป็นตูด"

            "ไม่คิดถึงกันบ้างเหรอ" ถามเสียงกระเง้ากระงอดจนผมอยากจะหยิกแก้มป่องๆ นั่นสักที ดูเหมือนว่ากลับบ้านยาวรอบนี้จะอ้วนขึ้นนิดหน่อยด้วยหรือเปล่า

            "คิดถึงดิ คิดถึงมาก"

            "แล้วทำเป็นนิ่ง"

            เมื่อกี้ทำเป็นงอนตอนนี้ยังมาจิกกัดผมอีก เป็นคุณหนูที่เดาอารมณ์ไม่ถูกเลยจริงๆ

            "หอมอ่ะ" แล้วต้นสนก็พาเปลี่ยนเรื่อง

            "กินเลยมั้ย"

            "กินเลย หิว"

            "ไปล้างมือก่อนไป"

            "คร้าบคุณพ่อ" ต้นสนตอบรับอย่างกวนประสาทก่อนเดินเบี่ยงตัวไปล้างมือที่อ่าง ตอนเจ้าตัวเดินผ่านผมเลยใช้นิ้วจิ้มหัวด้วยความมันเขี้ยวไปทีหนึ่ง ยิ่งเห็นแก้มป่องๆ ตอนยิ้มแล้วก็นึกอยากจะฟัดให้ช้ำ

            ผมตักข้าวต้มสองถ้วยมาวางบนโต๊ะพอดีกับที่ต้นสนล้างมือเสร็จแล้วกลับมานั่งประจำที่ ข้าวต้มกุ๊ยกับเครื่องเคียงอีกสามอย่าง ประกอบไปด้วยยำไข่เค็ม ผัดผักกาดดองใส่ไข่ แล้วก็ปลาเค็มฝีมือแม่แต่ผมเป็นคนทอด

            "น่ากิน" พูดยังไม่ทันขาดคำต้นสนก็ตักผัดผักกาดดองเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ แล้วทำตาโตใส่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันอร่อยขนาดไหน

            "อร่อยใช่มั้ย"

            "อื้ม" พยักหน้าตอบรับแทนเพราะยังเคี้ยวอยู่เต็มปาก

            ตอนอยู่บ้านที่ต่างจังหวัดเราชอบถ่ายรูปเมนูอาหารและกันดู ของผมเป็นแนวบ้านๆ ส่วนของต้นสนเป็นอาหารไทยทั่วไป หรือไม่ก็อาหารฝรั่งเมนูหรูๆ เวลาเจ้าตัวออกไปทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งที่มาที่ของมื้อเย็นวันนี้มันเกิดจากตอนที่ผมถ่ายรูปข้าวต้มกุ๊ยให้ต้นสนดู เจ้าตัวออกปากว่าอยากกิน สุดท้ายเลยสัญญาไปว่ากลับมากรุงเทพฯ แล้วจะทำให้

            มื้ออาหารดำเนินไปอย่างไม่เร่งรีบ ข้าวต้มยังร้อนเลยต้องคอยเป่า เรากินไปคุยไปตามประสาคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแม้จะติดต่อกันอยู่ทุกวันก็ตาม แต่ครื้นเครงได้ไม่ทันไรคนที่เพิ่งคุยจ้อกลับเงียบลงเหมือนกำลังจดจ่ออยู่กับอะไรบางอย่าง ไม่รู้เพราะอิ่มแล้วหรือเป็นอะไรกันแน่

            "อิ่มแล้วเหรอ" ผมลองถาม ต้นรีบส่ายหน้าตอบ มันก็แน่อยู่แล้วที่จะยังไม่อิ่ม เพราะปกติกินเยอะกว่านี้

            "แค่คิดอะไรนิดหน่อย"

            "เป็นเรื่องที่บอกได้หรือเปล่า"

            "เป็นเรื่องที่อยากบอกแต่ก็กลัว" ต้นสนมองผมแล้วหลุบตาลง สีหน้าแสดงออกว่ากลัวอย่างที่เจ้าตัวบอก แต่มันมีเรื่องอะไรกันที่ต้องกลัว เรื่องอะไรที่อยากจะบอกผม

            ท่าทางหวั่นวิตกของต้นสนพาลให้ผมรู้สึกกังวลไปด้วย มองอาหารบนโต๊ะที่อยู่ๆ ก็รู้สึกไม่อยากกินขึ้นมาดื้อๆ ผมไม่ได้เร่งเร้าหรือคาดคั้น ทำได้เพียงพยายามนึกถึงเรื่องที่ต้นสนกลัวจนไม่กล้าพูด ซึ่งมันเป็นเรื่องที่คิดยังไงก็ไม่น่าใช่เรื่องดีเลย

            "ปลื้ม"

            ผมหันไปมองตามเสียงเรียก ต้นสนยกยิ้มแต่สีหน้ายังดูเป็นกังวล ผมพยักหน้าให้เพื่อเป็นกำลังใจแม้ไม่รู้ว่าเรื่องที่เจ้าตัวกำลังจะบอกจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ผมยินดีรับไว้และเคารพการตัดสินใจนั้นเสมอ

            แต่ยังไงก็ยังภาวนาให้มันออกมาเป็นเรื่องดี

            "ของขวัญน่ะ"

            "..."

            "มั่นใจแล้วนะ"

            "มั่นใจ?"

            "อาจจะเร็วไปหน่อย"

            ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะที่ใจเริ่มเต้นเร็วขึ้น แก้มขาวที่ซับสีเลือดคล้ายกับลางดีที่ทำให้ผมคลายความกังวล ยิ่งได้ฟังประโยคที่ต้นสนเอ่ยออกมานั้นสติผมก็เหมือนจะหลุดลอยออกไปเลย

            ของขวัญพิเศษที่เจ้าตัวเคยบอกว่าจะให้

            "เป็นแฟนกันนะ"

            "..."

            "แล้วก็ย้ายมาอยู่ด้วยกัน"

            "..."

            "นะ"

            "..."

            "อย่าเงียบดิ" ต้นสนขมวดคิ้วใส่เพราะผมไม่ยอมตอบอะไรกลับไป

            ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากตอบ แต่กำลังควบคุมตัวเองไม่ให้ดีใจจนออกนอกหน้าหรือเผลอกระโจนใส่เจ้าตัวเสียก่อน เล่นมาขอเป็นแฟนในเวลาแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง

            แต่แย่ชะมัด ดันโดนพูดตัดหน้าไปเสียได้

            "ตอบมาเร็วๆ ดิ" เร่งด้วยปากไม่พอยังยกมือฟาดแขนผมอีกหนึ่งทีโทษฐานปล่อยให้รอ

            "ตอบคำถามไหนก่อนดี"

            "เล่นตัวเหรอ"

            "ไม่ได้เล่นตัว"

            "งั้นก็ตอบมาเร็วๆ" ต้นสนทำหน้าเหวี่ยงใส่แถมยังเร่งยิกๆ จนผมเกือบหลุดขำ เพราะมันดูน่ารักมากกว่าน่ากลัว

            "ก็คิดว่าที่ผ่านมาเป็นแฟนกันอยู่แล้วซะอีก"

            ได้ฟังคำตอบจากผมต้นสนก็เงียบไป คล้ายกับนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะยิ้มออกมา แก้มป่องๆ ยกขึ้นจนผมอดใจไม่ไหวต้องโฉบเข้าฝังจมูกแรงๆ แล้วย้ำคำตอบให้ฟังอีกครั้งเพื่อความชัดเจน

            "เป็นแฟนกันแล้วนะ"

            "อื้ม"

            จากหอมแก้ม คราวนี้เปลี่ยนเป็นจูบ ต้นสนเป็นฝ่ายเข้าหาซึ่งผมก็ยินดีรับเอาไว้โดยไม่ขัดขืน สัมผัสเบาๆ เพียงเสี้ยววินาทีแค่ภายนอก เพราะมันคงไม่โสภานักหากจะจูบแบบดูดดื่มหลังจากกินปลาเค็มมา

            "ส่วนเรื่องที่จะให้ย้ายมาอยู่ด้วยขอเวลาก่อนนะ เข้าใจใช่มั้ย"

            ต้นสนพยักหน้ารับ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ผมต้องปรึกษาครอบครัวก่อนตัดสินใจ ถ้าถามว่าผมอยากอยู่ที่นี่ไหม แน่นอนว่าคำตอบคืออยากอยู่ด้วยกัน

            "รีบกินให้หมดเลยจะได้ไปทำอย่างอื่น" อารมณ์อยากอาหารผมกลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปไม่กี่นาทีก่อน

            "จะทำอะไร"

            "ล้างจานไง"

            เจอมุกผมเข้าไปต้นสนถึงกับแยกเขี้ยวใส่ แถมยังหันหน้าหนีไปสนใจของกินแทน แต่ในเมื่อมันเป็นมุก ไอ้ที่ว่าล้างจานนั่นคือคำตอบที่ผิด เพราะความจริงแล้วผม...

            "กินให้เสร็จ ล้างจานให้เสร็จ จะได้ไปนั่งเล่นที่โซฟาแล้วก็กอดแฟนเอาไว้แน่นๆ"

            "ก็รีบกินดิ พูดอยู่นั่นแหละ" บอกเองแล้วก็หัวเราะเอง ถ้าไม่เกรงใจกับข้าวบนโต๊ะผมจะลากไปนั่งกอดเป็นตุ๊กตามันซะเดี๋ยวนี้เลย

            แฟนใครทำไมน่ามันเขี้ยวชะมัด

            อ้อ นี่ต้นสน...แฟนผมเอง



TBC

 

ต้นสนไม่ออกตอนเดียวนี่มีแต่คนบ่นคิดถึง

น้องกลับมานะ มาพร้อมของขวัญพิเศษ ในที่สุด!!!

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 09-12-2017 21:02:11
ฮื่อออ น่ารัก นึกว่าจะมีดราม่าอะไรซะแล้วค่ะ หวานกันจังเล้ยยย เหม็นความรักไปหมดแล้ววว  :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 09-12-2017 21:06:30
เป็นแฟนกันแล้วว เย้ อยากฟัดต้นสนอ่ะ 5555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 09-12-2017 21:20:52
เหมือนต้นสนโดนล่อลวงงงงงง
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 09-12-2017 22:29:48
เป็นแฟนกันแล้วววว ฮื่อออออออ :heaven
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-12-2017 22:41:26
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 09-12-2017 22:42:17
เหม็นฟามรักกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 09-12-2017 23:11:04
ทำไมไม่มีฉากบนโซฟาาาากี้ดดดดดดดดด อ่านไปบิดไปกี้ดอัดหมอนนี่เกร็งเท้าจนเป็นตะคริวอะคิดดู!!! น่ารักกันจังเล้ยยย ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึกว่า คนแบบปลื้มต้องคู่กับคนแบบต้นสนคือช่วงแรกๆถ้าต้นสนไม่อ่อยและให้ท่า อีปลื้มมันจะกล้าทำไรเขามั้ย555555 และคนแบบต้นสนก็ต้องคู่กับคนอย่างปลื้ม ก็อย่างที่รู้ต้นสนไม่ดูแลตัวเองก็ต้องมีคนแบบปลื้มมาดูแล อะไรหลายๆอย่างของคู่นี้มันลงล็อคกันพอดีอะ อ่านแล้วยิ้มไม่หุบ อยากเห็นปลื้มคนหลงแฟนจังเลยค่ะะ รอตอนหน้านะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 10-12-2017 06:21:59
หวานกันเข้าไป เหม็นความรักกกก

เวลาต้นส้นอ้อนนี่ใจบางไปหมดทำไมน่ารักขนาดนี้ :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-12-2017 10:41:58
ละลายแล้วจ้า อิจฉามาก ตาลุกเป็นไฟแล้ว
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 21 ★ 09/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Meercorn ที่ 10-12-2017 21:01:33
น่ารักอะ น่ารักคู่เลยย เป็นคู่ที่ลงตัวกันจริงๆ
ปลื้มม ชั้นก็มีอาชีพในฝันเหมือนนายนะ เป็นแม่บ้านอยู่บ้านแล้วมีแฟนที่นิสัยรวยเป็นพิเศษเนี่ย5555555 ชอบบ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 12-12-2017 21:03:55

ตอนที่ 22

            แม้จะบอกว่าขอเวลาปรึกษาทางบ้าน แต่สองอาทิตย์ให้หลังซึ่งตรงสิ้นเดือนพอดีผมก็ออกจากหอและย้ายมาอยู่ห้อง 403 เป็นที่เรียบร้อย เป็นทำเลที่ใกล้ทั้งที่ทำงานและคณะ ค่าห้องไม่ต้องเสีย ค่าน้ำค่าไฟหารครึ่ง ซึ่งในส่วนนี้ผมเลยขอชดเชยด้วยการรับดูแลงานบ้านทั้งหมด จะว่าไปแล้วก็อย่างกับฝันเป็นจริง ได้เป็นพ่อบ้านสมใจก็คราวนี้

            กับทางบ้างตอนที่ผมโทรไปขออนุญาตเรื่องราวไม่ได้ยุ่งยากนัก หลังจากไถ่ถามต้นสายปลายเหตุจนหายข้องใจพ่อแม่ผมก็ยอมอนุมัติให้โดยดี ผมไม่ได้เล่าทุกอย่างว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับต้นสนลึกซึ้งขนาดไหน ท่านรู้เพียงว่าต้นสนคือเพื่อนสนิท และผมถูกชักชวนให้มาอยู่ด้วยเท่านั้น

            คิดย้อนไปถึงเรื่องวันนั้นแล้วก็ตลกดี ความจริงผมตั้งใจจะย้ำชัดในชื่อความสันพันธ์ของเราในวันนั้น ขอต้นสนเป็นแฟน จบเรื่องราวอย่างแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนนิยายรักสักเรื่องหนึ่ง แต่ดันกลายเป็นผมเองที่โดนเซอร์ไพรส์ ถูกขอให้ย้ายมาอยู่ด้วยกัน ถึงแม้จะผิดแผนไปแบบมหากาพย์ ผมว่ามันก็เป็นนิยายเรื่องหนึ่งที่จบลงด้วยดี

            ดีตั้งแต่วันแรกที่ได้อยู่ด้วยกัน คิดย้อนไปถึงวันนั้นแล้วมีความสุขไม่แพ้วันที่เราตกลงเป็นแฟนกันเลย

            ในห้องที่ผมทำได้เพียงแวะเวียนมาหา อยู่ไม่กี่ชั่วโมต้องรีบกลับ แต่วันนี้ห้อง 403 คือส่วนหนึ่งของผม มีข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า พื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางกว่าห้องเช่าแคบๆ หลายเท่า ห้องที่เราได้อยู่ด้วยกัน ถึงผมจะเป็นเพียงผู้อาศัยก็เถอะ

            ข้าวของสัมภาระของผมจากหอเก่ามีไม่เยอะเท่าไร ใช้เวลาจัดของไม่นานก็เสร็จ แต่กว่าจะจัดทุกอย่างให้เข้าที่ได้ฟ้าก็มืดพอดี

            ผมกับต้นสนผลัดกันไปอาบน้ำ ก่อนเจ้าของห้องจะนั่งจดจ่ออยู่ที่โต๊ะทำงานเหมือนอย่างเคย ส่วนผมเป็นฝ่ายวอแวคะยั้นคะยอให้เจ้าตัวเข้านอนเร็วๆ จับจองเก้าอี้ตัวข้างๆ นั่งเฝ้าเหมือนหมารอเจ้าของ

            "ถ้าง่วงไปนอนก่อนก็ได้" ต้นสนหยุดมือที่กำลังร่างภาพหันมายิ้มให้ แล้วใครบอกว่าง่วง ไม่มีสักหน่อย อีกอย่าง...

            "วันนี้เข้าหอต้องนอนพร้อมกันดิ"

            "นอนอย่างเดียวใช่มั้ย"

            "หรืออยากจะทำอย่างอื่นด้วยก็ได้"

            โยนมาแบบนี้มีหรือผมจะไม่เล่นกลับ ต้นสนยิ้ม ไม่ได้พูดอะไร แต่หูแดงๆ บอกให้ผมรู้ว่าเจ้าตัวกำลังเขิน

            เขินบ่อยจริงนะช่วงนี้

            เพราะไม่อยากกวนให้งานมันเสร็จช้าลงผมเลยหยิบสมุดสเก็ตซ์ปกเหลืองมาเปิดดู ไอดารี่ภาพวาดที่ตั้งแต่รู้ว่าผมเห็นมันแล้วต้นสนก็วางมันไว้อย่างเปิดเผย รูปวาดยังมีเพิ่มมาเรื่อยๆ และรูปของเหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นภายในวันนี้

            รูปที่ผมกับต้นสนช่วยกันจัดของอยู่ในห้องนอน

            รอยยิ้มเกิดขึ้นทุกครั้งเมื่อได้เห็นภาพวาดที่เป็นเหมือนไดอารี่บันทึกเรื่องราวระหว่างเรา เป็นความทรงจำที่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ จนผมนึกจินตนาการไปถึงอนาคตข้างหน้า ในสมุดสเก็ตช์เล่มนี้จะมีเรื่องราวอะไรที่ถูกบันทึกเอาไว้อีกบ้าง รวมถึงเรื่องที่ผมไม่คิดว่าหากมันเกิดขึ้นจริงต้นสนจะกล้าวาดมันลงไปหรือเปล่า

            ทั้งที่ไม่อยากจะกวน แต่กลับหยุดความสงสัยเอาไว้ไม่ได้

            "ต้นสน"

            "หืม" ครางรับกลับมาในขณะที่มือยังจับดินสอร่างภาพไม่หยุด

            "ถ้าเรามีอะไรกันจะวาดลงไปด้วยมั้ย"

            คำถามของผมมันอาจจะตรงไปหน่อยจนต้นสนหันมาถลึงตาใส่ แก้มขาวซีดเริ่มซับสีเลือดเปลี่ยนเป็นขาวอมชมพู เห็นแล้วอยากจะฝังจมูกลงไปแรงๆ

            "ถามไม่เกรงใจเลยนะ"

            "ต้องเกรงใจด้วยเหรอ หรือว่าวาดไม่เป็น"

            "เป็นดิ!" โดนดูถูกเข้าหน่อยเจ้าตัวถึงกับเผลอขึ้นเสียง

            "งั้นวาดให้ดูหน่อย" ผมวางสมุดสเก็ตซ์ลงบนโต๊ะ เปิดหน้าถัดไปกางไว้ให้เรียบร้อย หน้ากระดาษเปล่าที่รอการแต่งเติมเรื่องราวลงไป

            "วาดลงในเล่มนี้ได้ที่ไหนเล่า"

            "งั้นต้องทำก่อนใช่มั้ยถึงจะวาดได้"

            จะว่าผมเจ้าเล่ห์ก็ได้แต่ชีวิตมันต้องหาอะไรมาเล่นให้ตื่นเต้นบ้าง หลอกล่อนิดๆ หน่อยๆ สร้างสตอรี่ให้มีสีสัน เพียงเท่านี้มันก็จะกลายเป็นเรื่องราวที่น่าจดจำ

            "ก็คงงั้นแหละ"

            "ถ้างั้น..." ผมเลื่อนเก้าอี้เขยิบเข้าไปจนประชิดตัว ต้นสนเบี่ยงหน้าหลบเล็กน้อยแล้วใช้แขนดันตัวผมไว้

            "เดี๋ยวดิ งานยังไม่เสร็จ"

            "ไม่นานหรอก"

            ผมหมุนเก้าอี้ให้ต้นสนหันมาเผชิญหน้า ดึงกางเกงยางยืดที่เจ้าตัวสวมอยู่จนลงไปกองที่ข้อเท้า ผิวกายกับส่วนอ่อนไหวที่ไร้ปราการป้องกันใดๆ ปรากฏแก่สายตา ผมใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมมันเอาไว้ ส่วนแขนอีกข้างรั้งตัวให้ขยับขึ้นมานั่งตัก ไม่ได้กระหายมากถึงขั้นจะลากเจ้าตัวขึ้นเตียง

            ขอเป็นของขวัญขึ้นบ้านใหม่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอ

            "พี่ปลื้ม นั่งยิ้มอะไรอยู่คนเดียว" เสียงทักจากลูกสาวเจ้าของร้านขายข้าวแกงทำให้ผมหลุดออกจากความคิด ริมฝีปากกลับมาเหยียดตรงหันไปมองน้องตาลที่จ้องกลับมาด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็น

            "เปล่าครับ"

            "ก็เห็นอยู่ว่ายิ้ม คิดถึงแฟนเหรอ" มีโอกาสได้คุยกันทีไรน้องตาลมักจะวกวนเข้าเรื่องนี้เสมอ เธอชอบถามตอนป้านกคลาดสายตา ซักเรื่องแฟน ถามเรื่องคนรัก จี้เหมือนอยากให้ผมหลุดปากบอกเรื่องที่อมพะนำเอาไว้

            "พี่แค่ยิ้มเฉยๆ"

            "เป็นบ้าเหรอถึงได้ยิ้มเฉยๆ"

            "งั้นมั้งครับ"

            "นี่พี่ปลื้มไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้" ทั้งน้ำเสียงและสายตาถามอย่างคาดคั้น

            ผมเบียนหน้าหนีไม่อยากมอง นับวันเด็กสาวที่เคยคิดว่าน่ารักนิสัยยิ่งเปลี่ยน ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาน้องตาลตั้งใจให้ผมเห็นเป็นแบบนั้นหรือความจริงเธอนิสัยน่ารักแต่ดันมาดีแตกตอนเจอผม เธอชอบผมตั้งแต่เมื่อไรนั้นไม่เป็นที่แน่ชัด แต่มันเริ่มหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เมื่อช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นว่าคำแซ็วที่ไอ้ว่านมันชอบหยอกบ่อยๆ ดันเป็นจริง บางทีคงต้องโทษมันด้วยที่พูดมากไม่เข้าเรื่องจนน้องตาลคิดเป็นจริงเป็นจังขึ้น ความหนักใจทั้งหมดทั้งปวงเลยตกมาอยู่ที่ผม

            "จะไม่ตอบคำถามตาลจริงๆ เหรอ" น้องตาลยังเซ้าซี้ไม่เลิก ขยับเข้ามาชิดจนหน้าอกโดนแขนผมเลยต้องถอยหนี แต่ในพื้นที่แคบๆ แบบนี้ถอยแค่ไม่กี่ก้าวก็หมดทางจะไป

            ผมภาวนาอยากให้ลูกค้าเข้าร้านหรือไม่ก็ให้ป้านกที่เดินหายไปตั้งแต่เมื่อครู่กลับมาเห็น แต่โชคร้ายที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดั่งใจ สุดท้ายเลยได้แต่ยืนนิ่งฟังเรื่องที่น้องตาลพยายามพูดแบบหูทวนลม

            "อย่าคิดว่าตาลไม่สังเกตนะ เอากับข้าวกลับไปเยอะกว่าทุกที เลิกงานแล้วเดินกลับคอนโด หอพี่ปลื้มไม่ได้อยู่ตรงนั้นไม่ใช่เหรอ แล้วกลับไปทางนั้นทำไมคะ ไปหาพี่ว่านก็ไม่น่าใช่"

            ผมรับฟังทุกอย่างโดยไม่ตอบโต้ เชื่อว่าความนิ่งเฉยจะช่วยหยุดบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ได้หากแต่ผมคิดผิด

            "ตาลชอบพี่ปลื้มนะรู้ใช่มั้ย ทนทำตัวดีมาตลอดเพื่อให้พี่ปลื้มชอบกลับบ้าง อย่าคิดว่าตาลไม่รู้นะว่าอะไรมันเป็นยังไง เงียบไปก็ไม่ช่วยให้เรื่องจบหรอก"

            "แล้วตาลจะเอายังไง"

            "มาคบกับตาลสิ"

            คำขอแกมบังคับแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ทำให้ผมตกใจนัก แม้ไม่ได้มองหน้าแต่ผมรู้สึกได้ทันทีว่ากำลังโดนจ้องอยู่ น้องตาลต้องการคำตอบ แน่นอนว่าผมตอบตกลงไม่ได้

            "ไม่ได้หรอก"

            "บอกได้มั้ยว่าทำไม"

            ผมหันไปหาเธอหลังจากหลบสายตาอยู่นาน จังหวะนี้เองลูกค้าเข้ามาขัดจังหวะ แต่ในเมื่อมาไกลถึงขั้นนี้แล้วผมก็จะตอบออกไปให้ชัดๆ น้องตาลจะได้เลิกทำตัวก้าวก่ายกันเสียที

            "เพราะพี่คบกับต้นสนอยู่" ตอบให้ฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำผมก็หันไปสนใจลูกค้าโดยไม่คิดจะมองว่าอีกฝ่ายแสดงสีหน้ายังไง ได้ยินเพียงคำพูดหนึ่งแว่วมาเข้าหู คำที่เหมือนน้องเขาพูดกับตัวเอง

            "คิดแล้วเชียว"

 

            กลับมาถึงคอนโดตอนสองทุ่มกว่าผมก็พุ่งลงโซฟานอนเหยียดยาวด้วยความเหนื่อยล้า เหนื่อยงานก็ใช่แต่เหนื่อยใจมากกว่า รู้สึกขี้เกียจไม่อยากทำอะไร ไม่อยากขยับตัวไปไหน จนต้นสนที่นั่งทำงานอยู่ถึงขั้นลุกขึ้นมาหา

            "เป็นอะไร"

            "เหนื่อยนิดหน่อย"

            "อาบน้ำนอนเลยก็ได้นะ" ต้นสนนั่งยองๆ ข้างโซฟา ยกมือช่วยปัดผมที่ปรกหน้าปรกตาให้แล้วมอบรอยยิ้มสดใส เป็นแหล่งพลังงานชั้นเยี่ยมที่ผมได้รับทุกวันกลับจากทำงาน แต่วันนี้ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่อยากขยับตัว

            ปกติกลับมาถึงคอนโดผมจะรีบจัดเตรียมอาหารสำหรับมื้อดึก เจ้ากี้เจ้าการให้คนที่มุ่งมั่นกับงานที่โต๊ะลุกมากินข้าว ล้างจานเสร็จก็นั่งทำงานที่อาจารย์สั่ง วันไหนว่างก็นอนดูทีวีหรือไม่ก็หาเรื่องวุ่นวายต้นสนให้โดนด่าเล่น แต่วันนี้กลับอยากจะดึงคนที่กำลังนั่งยิ้มให้มากอดแล้วหลับไปเลย

            "ไม่กินข้าวเหรอ" ต้นสนเหลือบมองถุงข้าวบนโต๊ะก่อนหันกลับมาเลิกคิ้วใส่ผม

            "เดี๋ยวค่อยกิน หิวแล้วเหรอ"

            "ไม่เท่าไร"

            ต้นสนลุกขึ้นยืนเต็มความสูง มองผมที่นอนเหยียดยาวอย่างขี้เกียจ ก่อนจะย่อตัวลงโบกมือให้ผมขยับตัวหนี

            "ขยับหน่อย"

            ผมขยับตัวลุกขึ้นเพื่อแบ่งพื้นที่ให้ต้นสนนั่ง แต่ยกตัวขึ้นนิดหน่อยต้นสนที่เบียดลงมานั่งได้แล้วก็ดึงให้ผมกลับลงไปนอนอีกครั้ง หนุนตักแข็งๆ หากแต่นุ่นในความรู้สึก

            "เหนื่อยก็พักก่อน"

            ผมพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ซุกหน้าเข้าหาหน้าท้องแบนๆ ยกแขนโอบเอวเล็กๆ นั่นไว้ ได้ยินเสียงท้องร้องเบาๆ จนนึกขำ ไหนว่าหิวไม่เท่าไร แต่ขออยู่แบบนี้อีกสักพักก็แล้วกัน

            สัมผัสเบาๆ ที่กลุ่มผมมันชวนให้เคลิ้มหลับ ต้นสนสอดนิ้วสางผมของผมเล่น บ้างก็เปลี่ยนเป็นลูบ ทำวนสลับอยู่แบบนี้อย่างไม่รู้เบื่อ

            "ลาออกจากงานดีมั้ย" ผมถามเสียงอู้อี้เพราะหน้ายังซุกอยู่ที่เดิม มือที่กำลังลูบผมเล่นชะงักไป

            "จะทิ้งป้านกแล้วเหรอ"

            "ไม่ได้อยากจะทิ้งหรอก อาจจะเลิกทำวันธรรมดา เสาร์อาทิตย์ยังทำเหมือนเดิม แต่ถ้าเหนื่อยมากก็อาจจะหยุดทั้งหมด"

            "งานเยอะขึ้นด้วยนี่เนอะ"

            ผมพลิกตัวกลับมานอนหงายเหมือนเดิม สบตากับต้นสนที่ก้มมองมา เจ้าตัวยิ้มให้ แต่ผมกลับยิ้มไม่ออก อึดอัดในความรู้สึก ใจหนึ่งอยากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นวันนี้ให้ฟังแต่อีกใจก็อยากเก็บไว้คนเดียว กลัวว่าบอกไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่สบายใจ

            "จูบหน่อยดิ"

            "ทำไมอ้อน"

            ต้นสนเลิกคิ้วก่อนจะหัวเราะน้อยๆ กับคำขอแบบกะทันหัน ถึงอย่างนั้นก็ยังยอมก้มลงมาหา แตะริมฝีปากค้างไว้ชั่วครู่ก่อนผละออก

            "เมื่อยอ่ะ"

            "เมื่อยแล้วเหรอ"

            "จูบแบบนี้มันปวดคอ"

            ผมที่กำลังจะลุกขึ้นนั่งเป็นอันต้องทิ้งหัวลงเหมือนเดิม ยกสองมือขึ้นประกอบแก้มนิ่มๆ แล้วถูไปมาอย่างมันเขี้ยว พอเริ่มมีน้ำมีนวลขึ้นไม่ผอมกร่องเหมือนแต่ก่อนเจ้าตัวก็น่าฟัดขึ้นเป็นกอง มาทำตัวน่ารักใส่จนความขี้เกียจที่มีมลายหายไปหมด

            "สงสัยไม่ต้องกินข้าวแล้วมั้งแบบนี้"

            "ทำไมอ่ะ"

            "กินต้นสนแทน"

            "ชอบกินต้นไม้หรอกเหรอ เพิ่งรู้"

            ผมเหยียดยิ้มมุมปาก มองคนที่ทำหน้าเหมือนเป็นผู้ชนะ คิดว่ายอกย้อนแค่นี้ผมจะยอมเหรอ ไม่มีทาง

            ผมคว้ามือต้นสนที่ยังคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ ใบหน้ามาจับไว้ เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อยพยายามขืนแรงเพื่อดึงมือออก แต่สุดท้ายก็ไม่รอดเงื้อมือผมอยู่ดี

            ทันทีที่ดึงมือต้นสนมาชิดริมฝีมือผมก็ฝังเขี้ยวลงไป ขบกัดให้พอหายแสบหายคัน เจ้าตัวพยายามจะรั้งมือออกแบบไม่จริงจังเท่าไรนัก พอไม่สำเร็จเลยยกมือข้างที่ว่างฟาดเข้าที่แขนผมแทน ลงแรงเต็มที่จนรู้สึกเจ็บ เลยต้องยอมปล่อยไปอย่างจำใจ

            "สกปรกอ่ะ" ว่าไม่พอยังเอามือที่เปื้อนน้ำลายมาเช็ดเสื้อผม แต่ไม่เป็นไร น้ำลายตัวเองรับได้อยู่แล้ว

            "อร่อยอยู่นะ"

            "ยังจะเล่นอีก"

            "แต่ตรงอื่นน่าจะอร่อยกว่านี้"

            "ยังไม่ให้กินหรอก"

            "เดี๋ยวก็ได้กินเชื่อเถอะ"

            "ลุกไปขึ้นเลยไป" ต้นสนแกล้งผลักผมจนเกือบกลิ้งตกโซฟา ตั้งหลักได้เลยนั่งจ้องหน้าคาดโทษคนที่เอาแต่หัวเราะคิกคักชอบใจ

            "ที่กัดเมื่อกี้เจ็บมั้ย" เห็นหลังมือเป็นรอยแดงๆ ก็อดห่วงไม่ได้ ผมจับมือที่เพิ่งฝังเขี้ยวลงไปมาดู เห็นเป็นรอยกัดแต่ไม่ชัดเจนนัก เอาเป็นว่าเขี้ยวผมไม่สร้างร่องรอยร้ายแรงเท่าลูกหมาพวกนั้นก็แล้วกัน

            "ไม่เจ็บเท่าหมาที่บ้านหรอก" แล้วก็โดนเอาไปเปรียบเทียบจนได้

            ผมใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากคนปากดีไปหนึ่งทีด้วยอาการมันเขี้ยวไม่เลิก พอได้ลองกัดดูก็ชักเข้าใจอารมณ์ลูกหมาพวกนั้นขึ้นมา มีเจ้านายน่ารักขนาดนี้พวกมันคงอยากเข้าใกล้ มาคลอเคลียมาวุ่นวายด้วย หยอกเย้าด้วยการขบกัดให้เจ็บแล้วอ้อนให้หลุดจากความผิด ทั้งที่ในใจนั้นอยากจะขย้ำเสียมากกว่า

            เล่นโยงความรู้สึกลูกหมาพวกนั้นเข้าทางตัวเองขนาดนี้ จนแล้วจนรอดผมก็ยังมีความสามารถในการมโนภาพอันล้ำเลิศไม่เปลี่ยนแปลงเลยจริงๆ

            "กินข้าวกัน" พูดจบต้นสนก็ลุกขึ้นหยิบถุงกับข้าวที่ผมวางทิ้งไว้ข้างโซฟาเดินเข้าไปในครัว จัดแจงหาจานชามเทแกงกับข้าวเปล่าใส่ เตรียมน้ำเตรียมผลไม้ เรียบร้อยแล้วก็หันมากวักมือเรียกให้ผมไปนั่งประจำที่

            ผมยันตัวลุกขึ้นอย่างขี้เกียจ เดินตรงไปหาต้นสนแล้วกอดแน่นๆ แถมขโมยหอมแก้มอีกหนึ่งที เรียกกำลังใจและพละกำลังให้กลับคืนมา คืนนี้จะได้มีแรงนั่งเฝ้าพ่อศิลปินทำงานยันเที่ยงคืน

            ส่วนไอ้เรื่องที่มันกำลังรบกวนจิตใจอยู่นั้น ผมจะพยายามให้ถึงที่สุดเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นปัญหาระหว่างเรา

 

TBC

 

วันนี้มาเร็วหน่อย เพราะคิดถึงเลยมาหา ฮ่าๆๆ

อยากลงให้จบในภายปีนี้ค่ะ ที่จริงก็เหลืออีกไม่กี่ตอนแล้วแหละ แอบใจหายเล็กๆ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

ป.ล. ชื่อจริงต้นสน สองพยางค์ ขึ้นต้นด้วย ส.เสือ (ยังไม่เลิกเล่นค่ะ อยากให้ทาย ฮ่าๆๆ)



 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 12-12-2017 22:43:22
น้องต้นสนลูกแม่น่ารักไม่เปลี่ยน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 12-12-2017 22:44:48
ลำไยน้องตาลมากๆเลย
ชอบต้นสนไม่เคยหวงตัว อยากให้มีฉากนั้นในสมุดไวๆค่ะ ฮื่ออ น่ารัก ส่วนชื่อต้นสนนี่ขนาดไปเปิดพจนานุกรมยังคิดไม่ออกเลยค่ะ เฉลยที  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 12-12-2017 23:06:11
 :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: runningout ที่ 13-12-2017 00:16:53
  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: shiroinu ที่ 13-12-2017 00:20:44
น้องตาลไม่เอานะคะ ไม่ดื้อ มาเป็นสาววายนะจ๊ะ ขืนไปยุ่งมากๆพี่จะ... o18 :z6: เข้าใจนะลูก ว่าง่ายๆ :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ImInDragon ที่ 13-12-2017 11:25:12
อูยยยยย เพิ่งอ่านค่ะ ฮื่ออออออชอบต้นสนมาก แต่เพิ่งิ่านได้นิดเดียว เห็นบอกปลื้มพระเอกถึงกับแทบกรี๊ด กรี๊ดดดดด ถูกโพสิชั่นแล้ว! นานทีจะถูกโพสิชั่นกับเขาบ้างง :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-12-2017 18:57:21
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 13-12-2017 22:28:45
เป็นแฟนกันแล้ว โหมดมุ้งมิ้งมานิดหน่อย มาม่าอย่าเพิ่งมาเลยนะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: nkl31 ที่ 14-12-2017 01:55:15
ปลื้นจะได้กินต้นสนก่อนจบใช่มั้ยคะ 5555 เห็นแววนกมาแต่ไกลล
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: moosawvans ที่ 14-12-2017 13:34:28
ต้นสน คลน่าร๊ากก  :z10:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 22 ★ 12/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 15-12-2017 11:27:13
ตอนแรกจะหาอ่านนิยายดราม่า
เห็นจั่วหัวมา มันต้องใช่แน่ ๆ
แต่พอเข้ามาอ่านแล้ว
อ้าววววววววววววววววว
ละมุนซะ ติดใจเลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 15-12-2017 19:59:54

ตอนที่ 23

            นาฬิกาแผดเสียงร้องปลุกผมให้ตื่นขึ้นในเช้าวันเสาร์ที่อบอวนไปด้วยความขี้เกียจ แท้จริงแล้วเสียงเพลงนี้เป็นเสียงที่เจ้าของห้องตั้งปลุกไว้ในมือถือ คนที่ยังนอนอุตุไม่ยอมขยับตัวเพราะเมื่อคืนกว่าจะลากตัวมานอนได้นั้นปากเข้าไปเกือบตีสอง นับดูในใจแล้วช่วงเวลาที่ได้หลับพักผ่อนเพิ่งผ่านมาเพียงสี่ชั่วโมงเท่านั้น

            ทุกเช้าวันเสาร์ต้นสนจะขับรถกลับบ้านที่อยู่อีกเขตในกรุงเทพฯ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเมื่อคืนผมดันเผลอรับปากว่าจะลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าไว้รอเจ้าตัวเลยตั้งปลุกไว้ให้ตั้งแต่หกโมง งั้นก็คงถูกต้องแล้วล่ะที่ผมตื่นนอนก่อน

            คว้ามือถือมากดปิดเสียงเพลงผมก็ลุกขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟัน เดินรำลึกถึงเมนูอาหารเช้าระหว่างเดินเข้าครัว หยิบผ้ากันเปื้อนมาใส่ก่อนเริ่มเตรียมวัตถุดิบอุปกรณ์

            เช้านี้ผมจะทำซุปข้าวโพด

            ปกติผมถนัดอาหารไทย แต่อาหารง่ายๆ อย่างซุปข้าวโพดลองอ่านวิธีทำจากอินเตอร์เน็ตแล้วน่าจะทำได้ไม่ยาก

เมนูนี้ผมเคยลองกินที่ร้านสเต็ก ไอ้เจนมันสั่งมาและถูกบังคับให้ลองชิม ผมว่ารสชาติมันติงต๊อง แต่กลายเป็นว่าหลังจากนั้นกลับติดใส่รสชาติจนต้องสั่งทุกครั้งที่ไป

            มื้อเช้าของวันนี้เลยอยากให้ต้นสนลิ้มรสชาติติงต๊องในแบบของผมบ้าง

            ผมเดินกลับเข้าไปในห้องนอนหลังจากจัดเตรียมวัตถุดิบเสร็จ ปลุกเจ้าของห้องให้ลุกไปอาบน้ำ ระหว่างรอต้นสนแต่งตัวจะได้ลงมือทำ ซึ่งคงเสร็จเวลาไล่เลี่ยกันพอดี ได้กินตอนมันร้อนๆ ย่อมอร่อยกว่าตอนเย็นชืด

            ในห้องนอนยังเปิดแอร์เย็นฉ่ำ ต้นสนซุกตัวขดอยู่ใต้ผ้าห่มเห็นเพียงกลุ่มผมสีดำโผล่ออกมา ถ้าเป็นเพื่อนสนิทอย่างไอ้ว่านไอ้เจนเห็นหลับสบายแบบนี้ผมคงนึกอยากปลุกด้วยการแกล้งแรงๆ แต่เพราะเป็นต้นสนเลยทำเพียงค่อยๆ ปืนขึ้นไปบนเตียง เลิกผ้าห่มออกแล้วฝังจมูกลงบนแก้มบวมๆ

            "ตื่นได้แล้วขี้เซา"

            ต้นสนขยับตัวยุกยิกก่อนลืมตาขึ้น พลิกตัวนอนหงายแล้วจ้องกันตาแป๋ว หน้าตาสดใสแบบนี้แสดงว่าตื่นอยู่แล้วสินะ

            "ตื่นแล้วก็ไม่ยอมลุก"

            "ขี้เกียจ"

            "ไปอาบน้ำได้แล้ว" ผมดึงแขนให้ลุกขึ้นต้นสนก็ยอมลุกตามแต่โดยดี ลงจากเตียงแล้วยืนบิดขี้เกียจก่อนไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

            "ทำมื้อเช้าเสร็จแล้วเหรอ"

            จริงสิ ผมลืมถอดผ้ากันเปื้อน แถมยังขึ้นไปคลุกบนเตียงเรียบร้อยแล้วด้วย

            "ใกล้แล้ว"

            "ทำอะไรให้กินอ่ะ"

            "ไม่บอก ไปอาบน้ำได้แล้ว" ผมโบกมือไล่ ต้นสนยู่หน้าแต่ยังยอมทำตามที่บอก หยิบผ้าเช็ดตัวเดินเนิบนาบเข้าห้องน้ำไป

            ก่อนจะกลับไปจัดการมื้อเช้าต่อผมยังมีภารกิจอีกอย่าง เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วไล่มองไปทีละตัว ก่อนหยิบเสื้อแขนยาวกับกางเกงขายาวผ้าหนาออกมา เป็นการป้องกันผิวกายที่ผมหวงแหนจากกรงเขี้ยวกรงเล็บ ถึงมันจะช่วยได้เพียงเล็กน้อยแต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

            ผ่านมาจนถึงตอนนี้ทั้งหมาและแมวตัวแสบของต้นสนยังขยันสร้างร่องรอยให้เจ้าของเสมอ แม้จะไม่มีรอยแผลลึกเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับมาจากบ้านทีไรต้องได้เห็นรอยขีดเล็กๆ น้อยๆ เสมอ เตือนก็แล้วบ่นก็แล้ว เจ้าตัวก็ยังปกป้องลูกน้องทั้งห้าของตัวเองอยู่ดี

            'มันเป็นสัตว์เลี้ยงก็ต้องเล่นกับมันดิ พอโตเดี๋ยวคงหยุดคึกเองแหละ'

            ว่าทีไรก็มักพูดแบบนี้ทุกที

            จัดชุดให้เสร็จเรียบร้อยผมก็เดินออกจากห้องนอน แต่อยู่ๆ ประตูห้องกลับเปิดออก ขาที่กำลังก้าวเดินชะงักค้าง หันไปมองผู้มาเยือนที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน

            ชายในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงสแลคยกยิ้ม เขาตัวสูงและภูมิฐาน ผมสีขาวที่ขึ้นแซมเป็นบางแห่งบ่งบอกถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา ถ้าให้ผมเดาเขาคงอายุสักห้าหรือหกสิบปี หน้าตาจะว่าคุ้นก็คุ้นแต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน ถึงอย่างนั้นสติที่กระเจิดกระเจิงไปก่อนหน้านี้ยังกลับมารวมกันได้ทัน แทบไม่ต้องคิดให้ยุ่งยากก็พอจะเดาออกว่าชายผู้มาเยือนคนนี้เป็นใคร

            "สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมที่สุด ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมาให้ได้

            ชายผู้มาเยือนยังคงยกยิ้มบางๆ ไม่เปลี่ยนก่อนก้าวเข้ามาในห้อง เสียงทุ้มแหบหากแต่มีพลังที่เอ่ยออกมาทำใจผมวูบลงอย่างหาสาเหตุไม่ได้

            "เธอคือปลื้มสินะ"

            "ครับ" ผมขานรับหนักแน่น บรรยากาศในห้องเริ่มชวนอึดอัดเพราะตัวผมเอง ทั้งเกรงและกลัวแม้ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทำอะไรนอกจากยิ้มและเดินตรงเข้ามาหา

            ใครจะไปคิดว่าคุณสาโรจน์พ่อของต้นสนจะโผล่มาในเวลาแบบนี้

 

            นับว่าเป็นการต้อนรับแขกที่ประหม่าที่สุดในชีวิต ผมรวบรวมความกล้าเชิญพ่อของต้นสนไปนั่งที่โซฟา ยกน้ำมาเสิร์ฟแล้วก็ยืนเคว้งคว้างทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วครู่จนท่านเป็นฝ่ายทักขึ้น

            "กำลังทำมื้อเช้าอยู่เหรอ"

            "ครับ เพิ่งเตรียมของเสร็จ"

            "แล้วต้นสนอยู่ไหน"

            "กำลังอาบน้ำครับ"

            คุณสาโรจน์พยักหน้ารับก่อนยกน้ำขึ้นมาจิบ หันมองรอบห้อง มุมปากยกยิ้มคล้ายพอใจ

            จากคำบอกเล่าของต้นสนที่ผมได้ฟังมาไม่บ่อยนักที่พ่อแม่เจ้าตัวจะแวะมาที่นี่ อีกอย่างการมาครั้งนี้ผมไม่รู้ล่วงหน้ามาก่อน ไม่เคยได้ยินต้นสนพูดถึงเรื่องนี้ด้วย ให้เดาคงเป็นการมาแบบกะทันหันที่เจ้าของห้องเองก็ยังไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ถ้าตัดเรื่องผมโดนแกล้งออกไปน่ะนะ

            "ไม่ได้มาเสียนาน ดูมีระเบียบขึ้นนะ"

            "ครับ"

            "เช้านี้ผมยังไม่ทานข้าวมา กะทันหันไปหน่อยแต่คงต้องขอร่วมโต๊ะอาหารด้วย ได้ใช่ไหม"

            "ครับ ได้ครับ" ผมรีบตอบรับ ดูกระตือรือร้นจนน่าตลก แต่จะให้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยในสถานการณ์แบบนี้คงไม่ไหว

            "รบกวนด้วยนะ"

            "ถ้างั้นผมขอตัวก่อนนะครับ"

            "ตามสบายเลย"

            ผมค้อมหัวให้ก่อนผละออกมาอย่างนอบน้อมที่สุด เกร็งจนรู้สึกเหนื่อย อยากทำตัวให้สบายกว่านี้แต่ผมไม่เก่งเรื่องการรับมือกับผู้ใหญ่ที่ไม่สนิทนัก หากต้นสนอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเมื่อไรบรรยากาศคงดีขึ้นกว่านี้

 

            การมาอย่างกะทันหันของพ่อต้นสนทำให้ผมเริ่มหนักใจกับมื้อเช้า แค่ซุปข้าวโพดอย่างเดียวคงไม่อยู่ท้อง ต้องทำอะไรเพิ่มอีกสักเมนู แล้วไอ้ซุปข้าวโพดเนี่ยผมเองก็ไม่รู้ว่ากินกับอะไรถึงจะอร่อย จะให้กินคู่กับสเต็กเหมือนตอนไปกินที่ร้านก็ไม่ได้เสียด้วย

            ผมเปิดตู้มองหาวัตถุดิบที่พอจะเอามาทำอะไรสักอย่างเพื่อทานคู่กับซุปข้าวโพด เจอขนมปังหนึ่งแถวที่ซื้อมาทิ้งไว้เมื่อวันก่อน จำได้ว่ามีเครื่องปิ้งขนมปังที่ไม่เคยเอาออกมาใช้อยู่ด้วย ไข่ไก่ยังเหลืออยู่หลายฟอง ทำแซนวิสกินคู่กันน่าจะพอไหวอยู่

            "พ่อ!!" ได้ยินเสียงต้นสนดังมาจากห้องนั่งเล่น ตะโกนเสียงดังขนาดนี้คงไม่ต้องเดาว่าเจ้าตัวตกใจแค่ไหน

            "พ่อยังไม่แก่ขนาดนั้น เรียกเบาๆ ก็ได้"

            "มาได้ไง"

            "ก็ขับรถมาน่ะสิ"

            "ไม่ใช่ สนหมายถึงพ่อมาทำไม"

            "พ่ออยากมาหาลูกชายบ้างไม่ได้เหรอ"

            "พ่อกวนอ่ะ คือสนจะกลับบ้านอยู่แล้วเนี่ย แล้วจะมาทำไมไม่บอกก่อน"

            "บอกก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ"

            ผมฟังบทสนทนาของสองพ่อลูกอยู่เงียบๆ ในขณะที่กำลังสาละวนกับการเตรียมมื้อเช้า แอบอมยิ้มกับการหยอกล้อกับลูกชายซึ่งขัดกับภาพลักษณ์ที่ผมเห็นเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ไหนจะน้ำเสียงที่ฟังแล้วรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นนั้นอีก

            ตั้งแต่รู้จักกันมาผมพอได้ยินเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของต้นสนมาบ้าง เป็นอั๋นที่เล่าให้ฟังหลังจากรู้ความจริงเรื่องโน้ตสั่งเสีย ส่วนจากปากต้นสนนั้นน้อยครั้งที่เจ้าตัวจะพูดถึง แต่จากที่ได้เผชิญหน้าผมว่าคุณสาโรจน์ไม่ได้ดูเป็นคนน่ากลัวเท่าไรนัก ถึงผมจะกลัวอยู่นิดหน่อยก็เถอะ

            "สรุปพ่อมาทำไมครับ ตอบดีๆ นะ" บทสนทนายังคงดังให้ได้ยิน ต้นสนไม่ยอมจบประเด็นนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมสงสัยอยู่เหมือนกัน

            "พ่อก็อยากมาดูสภาพการเป็นอยู่ของลูกบ้างไง"

            อยู่ๆ ต้นสนก็เงียบไป ทำเอาผมสงสัยจนอยากจะวิ่งออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทิ้งให้ต่อมความรู้อยากเห็นทำงานได้ไม่นานนักต้นสนก็เริ่มพูดต่อ และกลายเป็นผมที่ชะงักแทน

            "มาเพราะอยากเจอปลื้มใช่มั้ย"

            น้ำเสียงที่ถามเรียบนิ่งไม่สื่ออารมณ์นัก ผมไม่ได้ยินเสียงพ่อของต้นสนตอบกลับมา ไม่รู้ด้วยว่าท่านกำลังทำหน้ายังไง และเดาไม่ถูกแม้กระทั่งสีหน้าของแฟนตัวเอง

            "พ่อแค่อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปแค่นั้นเอง" ทิ้งจังหวะอยู่สักพักกว่าจะได้ฟังคำตอบ เพราะชื่อของผมที่ถูกดึงไปเกี่ยวข้องจึงไม่สามารถทำใจให้สงบลงได้

            "แล้วเป็นไงล่ะครับ"

            ความเงียบคือสิ่งที่ได้รับ แม้ผมจะตั้งใจฟังคำตอบนั้นมากกว่าอาหารที่กำลังทำก็ยังไม่ได้ยินเสียงอะไรอยู่ดี มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกกังวล

            และอย่างกับรู้ว่ากำลังถูกแอบฟัง สองพ่อลูกพากันเปลี่ยนประเด็นสนทนาไปเป็นเรื่องอื่น ความเงียบแทนที่ด้วยคำหยอกล้อและเสียงหัวเราะ ความสงสัยทั้งหมดถูกทิ้งไว้ที่ผม

            แม้อยากรู้ใจแทบขาดแต่ผมจำต้องปล่อยวางทุกอย่างแล้วตั้งใจทำมื้อเช้าให้ดีที่สุด ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของต้นสนแบบนั้น คำตอบจากคนเป็นพ่อคงไม่เลวร้ายเท่าไร

            ใช้เวลาไม่นานอาหารก็ใกล้เสร็จเรียบร้อยแล้ว กลิ่นอ่อนๆ ของซุปข้นส่งกลิ่นยั่วน้ำลาย ผมตักมันขึ้นมาชิม รสชาติติงต๊องเป็นที่น่าพอใจ นับว่าฝีมือไม่เลว

            "ทำอะไรหอมจัง" ต้นสนในชุดที่ผมเลือกให้เดินเข้ามาในครัว ทำจมูกฟุดฟิดยิ้มร่าก่อนหยุดยืนอยู่ข้างกัน

            "ซุปข้าวโพดกับแซนวิส"

            "น่ากิน"

            "แบบนี้คุณอาพอจะกินได้มั้ย" ผมถามอย่างเป็นกังวล แต่ต้นสนกลับขำ

            "ทำไมเรียกคุณอา"

            "หรือจะให้เรียกลุง"

            "เรียกพ่อดิ"

            เราเหล่มองกัน ก่อนต้นสนจะกระทุ้งศอกใส่สีข้างผม แค่คุยปกติก็เกร็งจะแย่ แล้วอยู่ๆ ให้ผมไปเรียกพ่อไม่โดนเชือดเลยหรือไง อีกอย่างผมยังไม่รู้เลยว่าคุณสาโรจน์รู้หรือเปล่าว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน

            "ไม่เห็นต้องเขินเลย"

            "ไม่ได้เขิน" ตอบปฏิเสธแล้วผมก็หมุนตัวหนีไปเตรียมถ้วยกับช้อนสำหรับใส่ซุป

            "กลัวเหรอ"

            "ก็คงงั้น" ผมยืดอกยอมรับ แม้จะบอกว่าแค่เกร็งแต่ความหมายของมันไม่ได้ต่างกันนัก

            "ถึงจะดูดุแต่ไม่น่ากลัวขนาดนั้นหรอก"

            "ครับๆ" ผมขานรับพลางตักซุปใส่ถ้วย

            "เหมือนพ่อจะโอเคกับปลื้มอยู่นะ"

            "โอเคยังไง"

            เป็นประโยคบอกเล่าที่ชวนให้สงสัย ผมยกซุปข้าวโพดทั้งสามถ้วยไปวางที่โต๊ะ ก่อนกลับมาจัดแซนวิสใส่จาน

            "พ่อรู้นะว่าเราเป็นแฟนกัน"

            ได้รับรู้อะไรกะทันหันแบบนี้ถ้าผมถือจานแซนวิสอยู่คงปล่อยมันตกพื้นแตกแน่ๆ ต้นสนบอกกับครอบครัวด้วยอย่างนั้นเหรอเรื่องที่เราคบกัน

            ผมควรรู้สึกดีใช่ไหมที่พ่อต้นสนไม่ได้มีท่าทีรังเกียจรังงอนอะไรในตัวผม

            "พ่อยอมรับนะ แต่..."

            ต้นสนเว้นจังหวะไว้ ผมเริ่มใจเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ยอมรับก็ยอมรับสิ ทำไมต้องมีแต่

            "ไม่ได้หมายความว่าจะยอมทำให้"

            "ยังไง"

            "ก็ว่าไปนั่น" พูดแล้วก็หัวเราะ

            สรุปทั้งหมดที่ว่าทั้งหมดคือล้อกันเล่นใช่ไหม เรื่องที่คบกันก็ด้วย

            "ขอโทษนะที่พ่อมากะทันหัน ไม่ยอมบอกด้วยว่าจะมา"

            "ไม่เป็นไรหรอก" ผมไม่มีสิทธิ์ว่าอะไรอยู่แล้ว ห้องของลูกชายก็เหมือนห้องของพ่อแม่ ผมสิเป็นคนนอก

            "มา เดี๋ยวช่วยยก หิวแล้ว" ต้นสนคว้าจานแซนวิสจากมือผมไปวางบนโต๊ะ ยิ้มร่าเริงมาให้ก่อนเดินออกไปที่ห้องนั่งเล่น

            ผมถอดผ้ากันเปื้อนวางพับไว้บนเคาน์เตอร์ในครัว มองสภาพตัวเองที่ยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแล้วอยากจะวิ่งไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่ ทว่ายังไม่ทันขยับไปไหนต้นสนก็เดินนำคุณสาโรจน์เข้ามานั่งประจำที่ ผมเลยต้องเดินไปนั่งที่ว่างที่เหลืออยู่อย่างช่วยไม่ได้

            ควันขาวลอยเอื่อยจากถ้วยซุป ผมไม่อาจละสายตาจากมันไปได้ มองคุณสาโรจน์ที่กำลังจับช้อน แต่แล้วต้องรีบหลบสายเมื่อโดนจ้องกลับมา

            "หน้าตาน่ากินดี"

            "ขอบคุณครับ"

            คำชมที่ได้รับทำให้ผมใจชื้นขึ้นมา คุณสาโรจน์ตักซุปขึ้นมาเป่าแล้วส่งมันเข้าปาก สีหน้าไม่แสดงอาการหรือบ่งบอกรสชาติใดๆ ผิดกับลูกชายที่รีบยกนิ้วให้พลางขมุบขมิบปากบอกว่าอร่อย ก่อนคำถามของคนเป็นพ่อจะดึงความสนใจผมไปจากต้นสน

            "ปกติทำกับข้าวทุกวันหรือเปล่า"

            "เฉพาะวันที่ว่างน่ะครับ"

            คุณสาโรจน์พยักหน้ารับ ตักซุปกินอย่างไม่เร่งรีบ รวมถึงคำถามที่ถูกส่งมาให้ผมตอบเรื่อยๆ ยังดีที่มันไม่ใช่คำถามน่าหนักใจนัก ไม่งั้นผมคงรู้สึกเหมือนนักโทษที่กำลังถูกสอบสวน

            "เธอชอบทำอาหารเหรอ"

            "ก็ไม่เชิงครับ ผมเคยช่วยแม่ทำกับข้าวบ่อยๆ แถมยังทำงานร้านข้าวแกง เลยคุ้นเคยกับการทำอาหาร"

            "ทำงานที่นั่นมานานหรือยัง"

            "ตั้งแต่ขึ้นปีสองครับ"

            "ขยันดีนะ"

            ผมยิ้มรับ ไม่รู้โดนประชดหรือถูกชมจริงๆ แต่ก็ยิ้มไว้ก่อน อาการเกรงกลัวที่มีตั้งแต่เจอหน้าเริ่มลดลงเมื่อได้พูดคุยมากขึ้น แม้ผมจะเป็นฝ่ายโดนซักอยู่คนเดียวก็ตาม

            "วันนี้ก็ไปทำงานด้วยใช่มั้ย"

            "ใช่ครับ"

            "สนเล่าให้ฟังไปหมดแล้ว พ่อถามอะไรเยอะแยะ" ต้นสนที่เงียบฟังมานานขัดขึ้น ซุปในถ้วยเจ้าตัวพร่องไปกว่าครึ่ง ที่เงียบไปคงมัวแต่กินอยู่

            "พ่อก็อยากคุยกับปลื้มบ้างไง"

            "คุยแบบนี้ไม่เอาแล้วนะ ทีหลังจะมาก็บอกก่อน"

            "บอกแล้วไม่สนุก"

            "พ่อสนุกคนเดียวน่ะสิ"

            ผมเห็นด้วยกับต้นสน หลังจากประมวลผลได้ตอนเห็นคุณสาโรจน์เปิดประตูเข้ามาใจผมเต้นแรงมากเพราะอาการตื่นเต้นจนทำตัวไม่ถูก

            บนโต๊ะอาหารบรรยากาศครื้นเครงขึ้นเมื่อสมาชิกเริ่มปรับตัวเข้าหากันได้ คุณสาโรจน์เลิกโยนคำถามใส่ผมเปลี่ยนไปบ่นเรื่องลูกชายแทน เป็นเรื่องที่ฟังแล้วต้องหัวเราะเพราะเหมือนที่ผมชอบบ่นต้นสนไม่มีผิด กลายเป็นว่าเจ้าของห้องโดนถล่มจนเละ ส่วนผมกับคุณสาโรจน์เข้าขากันได้เป็นอย่างดี

            อาหารทุกอย่างบนโต๊ะถูกจัดการจนเกลี้ยงในเวลาอันเร็วรวด ผมเก็บถ้วยของทุกมารวมกันเพื่อยกไปไว้ที่อ่าง ตอนนี้เองที่คำชมที่ผมอยากได้ยินที่สุดออกมาจากปากแขกคนสำคัญ

            "อร่อยดีนะ"

            "ขอบคุณครับ" ผมค้อมหัวให้ ปากยิ้มไม่หุบขณะขนจานไปเก็บ

            คำนี้คำเดียวที่คนทำอาหารอย่างผมอยากได้ยิน คือคำที่คนกินบอกว่าอาหารของเรานั้นมัน 'อร่อย'

 

            เวลาล่วงเลยมาเกือบแปดโมงหลังจากทานมื้อเช้าเสร็จ สองพ่อลูกเตรียมตัวกลับบ้าน ต้นสนหอบงานกลับไปทำอย่างเคย ผมเดินไปส่งทั้งคู่ที่หน้าประตู ยกมือไหว้คุณสาโรจน์อย่างนอบน้อมเพื่อบอกลา

            "สวัสดีครับ"

            "ว่างๆ จะแวะมาใหม่"

            "ครับ" แต่คราวหลังบอกล่วงหน้าหน่อยก็ดี ผมอยากจะพูดต่ออยู่หรอก แต่ก็ทำได้เพียงคิดใจใน

            "กลับก่อนนะ" ต้นสนโบกมือพลางยิ้มแย้มแจ่มใสมาให้

            ผมค้อมหัวให้คุณสาโรจน์อีกครั้ง โบกมือบ๊ายบายให้ต้นสน มองสองพ่อลูกเดินเคียงคู่กันไปจนถึงหน้าลิฟต์ผมถึงกลับเข้ามาในห้องแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก

            การพบกันครั้งแรกนับว่าไม่แย่นัก ผมได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร ได้พูดคุยเลือกเปลี่ยนความคิดแม้จะไม่มากนักก็ตาม คุณสาโรจน์เองก็ไม่ได้มีท่าทีรังเกียจผมเท่าไร ถ้าสิ่งที่แสดงออกมานั้นคือความจริง

            จะว่าไปแล้วมันก็มีเรื่องให้น่าคิด หากตอนนี้ผมกับต้นสนยังเป็นเพื่อนกัน ความสัมพันธ์ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นนี้ตัวผมจะรู้สึกเกรงกลัวกับการเผชิญหน้าขนาดนี้ไหม แต่ลองคิดดูอีกที ถึงแม้ยังไม่ได้เป็นแฟนกัน ความกล้าหาญของผมก็ยังมีเพียงน้อยนิดไม่ต่างจากเดิม

            เพราะถึงแม้ไม่ได้มีคำว่าแฟนกับกำสถานะของความสัมพันธ์ แต่ในความรู้สึกของเรานั้นมันเกินคำว่าเพื่อนธรรมดามานานมากแล้ว

            ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อของแฟน หรือพ่อของคนที่ชอบ เวลาได้เจอมันก็ยังอดตื่นกลัวไม่ได้อยู่ดี

 

TBC

 

จากการทายชื่อต้นสนตอนที่ผ่านมารื่นเริงมาก ฮา แต่ยังมีใครทายถูกเลยค่ะ

นี่ถ้ายังไม่มีใครเดาถูกจนกว่าจะลงเรื่องจบเราจะเอาไปใช้เล่นเกมแจกของละนะ ฮ่าๆๆ

ส่วนตอนนี้น้านนนนน ได้เวลาเปิดตัวคุณพ่อตากันบ้าง น่ารักใช่มั้ย(ใช่เร๊อะ!!)

จากนี้เหลืออีกห้าตอนก็จะจบแล้วน้า เรานับปฏิทินมาแล้ว

ต่อไปนี้จะลงทุกวันอังคารกับศุกร์ บทสุดท้ายจบช่วงปีใหม่พอดี

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

 

ช่วงทายชื่อต้นสน (ยังจะเล่นต่อ ฮา)

คำใบ้

-ขึ้นต้นด้วย ส.เสือ

-สองพยางค์

-มีพยัญชนะสามตัว

ใครว่างๆ ไม่มีอะไรคิดก็มาเล่นกันได้น้า

 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 15-12-2017 21:50:08
พ่อตาก็มา
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-12-2017 22:00:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yanaanay ที่ 15-12-2017 22:33:45
สพล  :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 15-12-2017 22:39:38
ต้นสนน่ารักมากเลยย
ขอเดาว่า "สกล" กับ "สลด" ล่ะกัน  :laugh: :laugh:
ถ้าดีๆก็ขอเดาว่า "สรชา" กับ "สรัล"  :m13: :m13:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Jingjaij ที่ 16-12-2017 00:18:23
ขอเดาว่าสาริน คล้องกะชื่อคุณพ่อดีค่ะ 55555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 16-12-2017 08:34:52
แหมจุ่พ่อตาก็มา อยากมาเห็นลูกเขยก็ไม่บอก ใจตุ้มๆต่อมๆกันไปหมด

ส่วนเรื่องทายขื่อนั้น ยอมแพ้ค่ะรอเฉลย  :laugh:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 16-12-2017 10:09:58
Love หนูต้นสน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 16-12-2017 10:21:17
คุณพ่อแวะมาดูหน้าลูกเขยด้วยยยย  :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 16-12-2017 11:36:16
ถ้าอีกห้าตอนจบคงไม่มีอะไรให้ปวดตับแล้วเนอะก็ในเมื่อครอบครัวสนก็โอเค เหลือแต่ทางปลื้มที่จะบอกเมื่อไหร่แต่ก็คงไม่ดราม่าหรอกมั้ง ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-12-2017 19:24:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: papa_prasy ที่ 16-12-2017 20:57:37
สรัล แปลว่า ต้นสน คิดเอาไว้ว่าใช่ต้องใช่แน่ๆ  :katai4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-12-2017 21:48:39
 :man1:

 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 17-12-2017 10:06:02
ปลื้มนี่พ่อบ้านตัวจริงมากก เรื่องชื่อนี่เดาไม่ถูกจริง ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: SimpleZ ที่ 18-12-2017 03:00:28
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชอบกลิ่นอายมากค่ะน่ารัก ดูละมุนๆเหมือนกินกาแฟนมเพิ่มครีม5555 เป็นกำลังใจให้คนเขียนละน้องปลื้ม5555. หลังจากจบแล้วจะมีตอนพิเศษไหมคะ ถ้ามีก็คงดี
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 18-12-2017 07:12:59
อยากให้อารี่มาเจอกับน้องตาลจังค่ะ น่าจะบันเทิงน่าดู55555 ชอบความสัมพันธ์ที่มันค่อยๆเข้าหากันแบบนี้ มันอบอุ่นและดูต่างฝ่ายต่างมั่นใจกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น มันน่ารักดี :-[ :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 23 ★ 15/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: khungyf ที่ 18-12-2017 11:12:18
แงงงงง ปลื้มโดนแกล้งง 55555

P.s. ชอบจัง เราชอบในความเรื่อยๆ แต่มันละมุนเบอร์แรง
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 19-12-2017 21:10:20

ตอนที่ 24

            'พ่อตามาหา' กลายเป็นหัวข้อที่ไอ้ว่านหยิบมาพูดถึงในวงสนทนาใต้ตึกก่อนขึ้นเรียน เรื่องที่คุณสาโรจน์มาหาแบบปุบปับเมื่อวันเสาร์ผมเล่าให้ไอ้ว่านฟังในคืนวันนั้น ไปขลุกตัวอยู่ที่ห้องมันเพื่อปรับทุกข์สารพัดเรื่อง และข่าวสารเกี่ยวกับผมทั้งหมดก็ถูกส่งต่อให้ไอ้เจนในเวลาต่อมา จนกลายเป็นเรื่องสนุกปากให้พวกมันได้เม้าท์กัน

            ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์แบบนี้มันสองคนไม่เข้าใจหรอก

            "แล้วเป็นไงบ้างวะพ่อต้นสน" ไอ้เจนถามอย่างสนอกสนใจ มันเบิกตาจ้องมาที่ผม อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้น

            "ดูน่ากลัวแต่ก็ไม่น่ากลัวเท่าไร"

            "แสดงว่ากลัวไม่จริง"

            "กูยังไม่ได้บอกสักคำว่ากลัว"

            "ทำเก่งเลยนะมึง"

            ผมไหวไหล่ ก็ต้องทำเก่งแบบนี้แหละพวกมันถึงจะได้เลิกแซวว่าผมกลัวพ่อตา แม้ความจริงจะไม่ได้เก่งอย่างปากก็เถอะ

            "แล้วเรื่องน้องตาลนี่จริงเหรอวะ" ไอ้เจนคือบุคคลที่มีคำถามมากที่สุด มันอยู่ไกล อัพเดทช้า พอมีโอกาสรวมตัวได้ตั้งวงคุยกันยาวๆ เลยสาดทุกความสงสัยใส่ไม่ยั้ง

            เรื่องน้องตาลผมเล่าให้ไอ้ว่านฟังตั้งแต่วันที่มีเรื่อง ส่วนไอ้เจนได้ฟังแบบผ่านๆ จากไอ้ว่านอีกที หลังจากวันนั้นที่น้องเขาและผมต่างยอมรับสารภาพ ระยะห่างระหว่างเราก็เริ่มห่างเหินมากขึ้น ผมลาออกจากงานวันธรรมดา วันเสาร์อาทิตย์ที่ไปทำงานได้เจอหน้าน้องตาลที่บ้านบ้าง แต่ที่ตลาดเธอไม่เคยมาวุ่นวายด้วยเลย เท่ากับว่าผมทำเธออกหัก และจบกันไม่ดีนัก

            "จริงเรื่อง?"

            "ก็ที่เขาบอกรักมึง อย่ามาแอ๊บ เดี๋ยวปั๊ด!" ไอ้เจนง้างมือทำท่าจะต่อยผมจริงๆ แค่ล้อเล่นนิดหน่อยเอง

            "น้องเขาไม่ได้บอกรัก แค่บอกชอบ"

            "มันก็เหมือนกันมั้ยวะ"

            "ไม่เหมือนเว้ย รักมันหนักแน่นกว่า"

            "แบบที่มึงรักต้นสนอ่ะนะ" เจอไอ้ว่านสวนขึ้นมาทำเอาผมสะอึก ถึงจะรักจริงๆ ก็เถอะ แต่พอเพื่อนแซวกันตรงๆ แบบนี้มันชักจะเขินหน่อยๆ

            "เบื่อพวกโลกสีชมพู"

            "พูดอย่างกับมึงไม่มีแฟน" ผมสวนกลับอย่างนึกหมั่นไส้ ไอ้เจนเด็กมันเยอะจะตาย เที่ยวก็เก่ง สองสามเดือนเปลี่ยนคนใหม่ที ล่าสุดได้ข่าวว่ากำลังคั่วเด็กมัธยม

            "กูไม่ได้รักหวานชื่นแบบมึงไง"

            มันรู้ได้ไงว่าผมรักหวานชื่น

            "แล้วย้ายไปอยู่ด้วยกันเป็นไงบ้างวะ" ไอ้ว่านถามสวนขึ้นมาก่อนผมจะได้เถียงไอ้เจน

            ถ้าถามว่าเป็นไง...

            "ก็โอเค" ไม่ใช่แค่โอเค แต่มันดีมากๆ ต่างหาก

            "ในฐานะที่เป็นเพื่อนบ้าน คุณคิดว่าไงครับ" ไอ้เจนทำตัวเป็นนักข่าวยื่นไมค์ไปจ่อปากไอ้ว่าน มันรีบยืดตัวนั่งตรง กระแอมหนึ่งทีก่อนตอบ

            "นั่นสินะครับ เขาแวะมาทักทายผมบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก ยังคิดอยู่ว่าถ้าตอนกลางคืนได้ยินเสียงแปลกๆ จะทำยังไง"

            "เอ เสียงแปลกๆ ที่ว่าคืออะไรเหรอครับ"

            "ก็อย่างเช่น อ้า อื้ม โอ้ย อะไรทำนองนี้น่ะครับ" ทั้งหน้าทั้งเสียงติดเรท 18+ ไอ้เจนยิ้มชอบใจกับความร่วมมือเป็นอย่างดีของไอ้ว่าน ส่วนผมนั่งเครียด

            ต่อให้ผมกับต้นสนมีอะไรกันจริงมันไม่มีทางได้ยินหรอกเสียงพรรค์นั้น อีกอย่าง เสียงแฟนผมน่าฟังกว่านี้เยอะ

            "เสียงอะไรเหรอครับนั่น" ไอ้เจนยังเล่นไม่เลิก

            "ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ อาจจะเป็นเสียงตอนทำกับข้าวก็ได้"

            "ใสกันจังเลยพวกมึง" ผมว่าอย่างสุดทน เบื่อจะฟังพวกมันแล้ว แซวกันเหมือนไม่เคยผ่านเรื่องพวกนี้มาก่อน

            "เออ กูอ่ะใส" ไอ้ว่านยอมรับเต็มปากเต็มคำ แล้วก็โดนไอ้เจนด่ากลับเสียอย่างนั้น

            "ไสจัญแรนอ่ะดิอย่างมึง"

            "อะไรวะ ไสจัญแรน" เจอมุกไอ้เจนไปไอ้ว่านถึงขั้นขมวดคิ้วทำหน้ายุ่ง

            ผมกับไอ้เจนหันมองหน้ากัน ลืมไปว่าไอ้ว่านมันอ่อนเรื่องผวนคำ เล่นมุกอะไรไปไม่เคยเข้าใจ ซึ่งสำหรับครั้งนี้มันไม่เข้าใจก็ดีแล้ว

            "มึงนี่นะ"

            "ไอ้เจนบอกกูก่อน คืออะไรวะ"

            "ไม่อ่ะ"

            "มึงด่ากูใช่ป้ะ"

            "เออ"

            "ไอ้สัดบอกมาเดี๋ยวนี้มันแปลว่าไร"

            "มึงก็ลองผวนดูดิ ผวนคำอ่ะ อย่าโง่"

            "ด่ากูอีกละ"

            เมื่อกี้ยังเข้าขากันอยู่แท้ๆ ตอนนี้แยกเขี้ยวจะกัดกันให้ได้ ผมมองพวกมันเถียงกันโดยไม่ยุไม่ห้ามหรืออะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวมันเบื่อก็เลิกไปเอง

            ระหว่างฟังมันสองคนเถียงกันเพลินๆ มือถือผมที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นถี่ๆ ชื่อต้นสนโชว์หราอยู่หน้าจอ แต่มันเป็นชื่อที่ผมตั้งไว้เรียกในใจคนเดียว ทว่าแรงสั่นเบาๆ นี้กลับทำให้ไอ้ว่านไอ้เจนหยุดเถียงกันแล้วเพ็งเป้ามาที่ผมแทน

            "นายมืดมน ใครวะ" เพราะผมหยิบมือถือหนีไม่ทันพวกมันเลยเห็นกันเต็มๆ ไอ้เจนรีบถามทันที

            "ให้กูเดานะ ต้นสนชัวร์ๆ"

            "มึงนี่แปลกเนอะ พิมพ์ชื่อแฟนว่านายมืดมน หาความหวานไม่เจอ"

            "มันมีที่มาที่ไป ก่อนจะว่ามันมึงต้องคิดนิดนึง" ไอ้เจนโดนไอ้ว่านด่ากลับ มันสองคนก็ตั้งท่าจะเถียงกันอีกรอบ

            ผมเขยิบออกห่างจากพวกมันเล็กน้อยไม่ให้เสียงเข้ามารบกวนก่อนกดรับ

            "ว่าไง ถึงห้องแล้วเหรอ"

            ต้นสนเพิ่งกลับมาจากบ้าน วันนี้เจ้าตัวมีเรียนบ่าย เห็นว่าจะหลับสักตื่นเพราะเมื่อคืนทำงานเพลินจนเกือบเช้า ผมบ่นไปแล้วหนึ่งรอบก่อนต้นสนจะขับรถออกจากบ้าน ยังดีที่เดินทางมาถึงโดยปลอดภัยไม่หลับในแวะนอนข้างทางเสียก่อน

            (ถึงแล้วกำลังจะนอน)

            "โอเคครับ รีบไปนอนเลย"

            (วันนี้ปลื้มเรียนวิชาวิจัยอะไรนี่ป้ะ)

            "ใช่"

            (มีงานวางอยู่บนโต๊ะอะ ต้องส่งวันนี้เปล่า)

            "เวรละ!" ผมคว้ากระเป๋ามาเปิดหางานที่ต้องส่งวันนี้ แน่นอนว่ามันไม่มีเพราะมันยังวางอยู่บนโต๊ะที่คอนโด

            (เราเอาไปให้ได้นะ เรียนสิบโมงใช่มั้ย)

            ผมก้มดูนาฬิกาข้อมือ ยังมีเวลาอีกสิบห้านาที ถ้าผมวิ่งกลับไปเอาน่าจะทันอยู่...ล่ะมั้ง

            (งั้นเดี๋ยวเอาไปให้ที่คณะนะ) ไม่รอให้ผมตอบตกลงต้นสนก็ชิงตัดสายไปก่อนทั้งที่ยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ

            "มีไรป้ะวะ" ไอ้ว่านเอ่ยถามหลังจากพวกมันหยุดเถียงกัน

            "กูลืมเปเปอร์วิจัย"

            "อ้าว"

            "เดี๋ยวต้นสนเอามาให้"

            มันสองคนรีบพยักหน้ารับแถมยังเปะปากใส่

            ผมยกนาฬิกาขึ้นมาดูทุกสิบวินาทีเพราะกลัวว่าต้นสนจะมาไม่ทัน ระยะทางจากคอนโดมาคณะผมไม่ไกลก็จริง แต่ด้วยสภาพเหมือนคนกึ่งหลับกึ่งตื่นของต้นสนจะทำเวลาได้ดีสักเท่าไร

            เหลือเวลาอีกสิบนาที ผมเอาแต่มองถนนหน้าตึกคณะด้วยใจลุ้นระทึก ก่อนจะเห็นต้นสนในชุดลำลองท่าทางเหมือนยังไม่ตื่นเดินมา ผมลุกจากโต๊ะตั้งใจจะเดินไปหา แต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น

            "เหี้ย!" เสียงไอ้เจนอุทานดังลั่นพร้อมใจผมที่กระตุกวูบ  ขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะออกวิ่ง ได้ยินเสียงฝีเท้าของสองเพื่อนรักวิ่งตามมาติดๆ

            ต้นสนนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ริมฟุตบาท นักศึกษาคนอื่นเริ่มขยับเข้าใกล้เพื่อมุงดูเหตุการณ์ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครได้ทันตั้งตัว และไม่มีใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้น

            คนอะไรเอาแต่เดินก้มหน้าก้มตาจนสะดุดล้ม ล้มแบบฟุบลงกับพื้นในท่าหมอบกราบ นอนนิ่งอยู่แบบนั้นจนชักใจคอไม่ค่อยดี

            "ต้นสน" ผมวิ่งไปถึงตัวต้นสนเป็นคนแรก เขย่าตัวคนที่นอนอยู่เบาๆ โชคดีที่เจ้าตัวยอมเงยหน้าขึ้นมา ไม่อย่างนั้นผมได้หิ้วไปโรงพยาบาลเพราะคิดว่าหัวกระแทกพื้นสลบแล้วแน่ๆ

            ต้นสนเงยมองผมตาปรือ หน้าตาทั้งหม่นหมองทั้งงัวเงีย เรียกแล้วก็ยังไม่ยอมลุก ไม่รู้ว่าบาดเจ็บหนักตรงไหนหรือเปล่า

            "ลุกไหวมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"

            ต้นสนส่ายหน้า ไม่รู้ว่าส่ายหน้าให้กับคำถามไหนกันแน่

            "ลุกขึ้นก่อน" ผมพยุงต้นสนให้ลุกขึ้นนั่งดีๆ ช่วยปัดฝุ่นตามเนื้อตัวและสำรวจบาดแผล มีรอยถลอกที่ฝ่ามือกับหัวเข่าเล็กน้อย ดูไม่ร้ายแรงนักแต่น่าจะแสบเอาเรื่องอยู่ ทว่าคำพูดเหมือนกำลังละเมอที่หลุดออกมาจากปากเจ้าตัวทำเอาผมอยากจะอุ้มกลับคอนโดมันเสียตอนนี้

            "ง่วงนอน"

            อย่าบอกนะที่ล้มเมื่อกี้เพราะเดินแล้วหลับ

            "ง่วงมากเลย"

            "แล้วทำไมไม่นอนอยู่ห้อง"

            "ที่นอนเมื่อกี้ก็สบายดี"

            "อย่าบอกนะว่าที่ล้มเพราะหลับ"

            "อืม"

            ถ้าอยู่กันสองต่อสองในห้องผมคงลงโทษด้วยการหอบขึ้นเตียงแล้วกล่อมนอน แต่เพราะอยู่ในที่สาธารณะเลยทำได้เพียงถอนหายใจอย่างปลงๆ ไหนจะเสียงกลั้นขำของไอ้สองเพื่อนรักอีก ถ้าผมไม่เกรงใจว่าเป็นแฟนก็จะขำบ้างเหมือนกัน คนบ้าอะไรสะดุดล้มแล้วหลับ

            "ลุกได้แล้ว" นั่งนานไปกลัวว่าจะหลับอีกรอบ ผมฉุดแขนต้นสนให้ลุกขึ้นพาเดินไปนั่งด้วยกัน กลุ่มนักศึกษาที่มุงดูก่อนหน้านี้ได้สลายตัวไปแล้วเรียบร้อย หวังว่าคงไม่เอาไปเม้าท์จนกลายเป็นข่าวตลกขบขันกันหรอกนะ

            กระเป๋าของต้นสนที่กระเด็นไปตอนเจ้าตัวล้มไอ้ว่านใจดีเก็บมาให้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าต้นสนไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมันสองคนเลยขอตัวขึ้นไปรอบนห้องเลคเชอร์ ทีนี้ก็เหลือแค่ผมกับคนที่ยังทำหน้าสะลึมสะลือไม่เลิก

            "เดินกลับไหวมั้ยเนี่ย"

            "ไหวดิ" ตอบคำถามได้ขัดกับสีหน้าขนาดนี้ผมควรเชื่อดีไหม

            "แล้วขับรถมายังไง สภาพเป็นแบบนี้เดี๋ยวก็ได้หลับในชนข้างทางตายพอดี"

            "ทำไมแช่งอ่ะ"

            "ไม่ได้แช่ง"

            "บ่นอะ"

            "มันน่าบ่นมั้ยเล่า"

            ต้นสนไม่ตอบ ใช้วิธีงอแงเข้าสู้ด้วยการเอนหัวมาซบไหล่ผม แต่ตอนนี้มันใช้ไม่ได้ผลหรอก

            "ไม่ต้องมาอ้อน" ผมผลักหัวต้นสนออก เจ้าตัวหันมองแล้วทำหน้ายุ่งใส่ ถ้าไม่ติดว่าคาบนี้ต้องเข้าเรียนนะผมจะรีบอุ้มกลับคอนโดเลย

            เวลาตอนนี้เหลือไม่มาก มองสภาพคนตรงหน้าแล้วรู้สึกอนาถใจ ทั้งที่อาทิตย์ที่แล้วยังดูสดใสอยู่แท้ๆ กลับบ้านไปสองวันกลายสภาพเป็นซอมบี้ไปเสียอย่างนั้น

            ผมช่วยจัดทรงผมชี้โด่เด่ไม่เป็นทรงให้เข้าที่ จัดเสื้อผ้าปัดเศษฝุ่นตามเนื้อตัวที่ยังตกค้าง ถ้ามีเวลาเหลือมากกว่านี้อีกสักนิดคงดี จะได้พาไปทำแผลที่เจ้าตัวขยันหามาทำลายความงามของผิวขาวๆ นี่เหลือเกิน

            "ไปเรียนแล้วนะ เดินกลับระวังด้วย ถึงห้องก็ทำแผลก่อน เข้าใจมั้ย"

            "สั่งอะ"

            "เข้าใจมั้ย"

            "เข้าใจแล้วครับ"

            ได้รับคำตอบที่น่าพอใจผมก็เปิดกระเป๋าหยิบงานที่ต้นสนอุตส่าห์เสียสละเวลานอนเอามาให้ ก่อนไปอดไม่ได้ต้องมองคาดโทษไว้อีกครั้ง แต่เจ้าตัวกลับยิ้มกว้างแล้วโบกมือลา

            มันก็เป็นซะแบบนี้ ชอบทำตัวแบบนี้ แล้วจะให้เลิกห่วงได้ยังไง

 

TBC

 

ตอนนี้มาแบบสั้นๆ เหมือนพักคั่นเวลา ทีแรกเราตั้งใจจะฉากนี้ไว้เป็นตอนพิเศษค่ะ

แต่ถ้าทำแบบนั้นรู้สึกว่าเรื่องมันจะเร็วเกินไปเลยเอามาแทรกตรงนี้แล้วแปะเนื้อหาเพิ่มอีกนิดแทน

แล้วก็มาถึงช่วงเฉลยชื่อจริงของต้นสน มีคนตอบถูกด้วย เย้ๆๆๆ ปรบมือ(แปะๆๆ)

คำตอบก็คือ......สรัล ค่า

สรัลแปลว่าต้นสน ตรงตัวเลย แต่จริงๆ เราได้ชื่อจริงมาก่อนค่ะ อยากได้ชื่อที่มีความหมายว่าซื่อตรง

แล้วสรัลก็แปลว่าต้นสนพอดีด้วย ก็เลยเอามาเป็นชื่อเล่นซะเลย

ใครตอบถูกยกต้นสนให้ไปนอนกอดหนึ่งคืนค่ะ เก่งมากๆ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน พูดคุย และเล่นสนุกกับเรานะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 19-12-2017 21:51:07
โถ่ ต้นสน น่าเอ็นดู 5555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 19-12-2017 22:19:32
ต้นสนรู้กกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-12-2017 22:28:01
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 19-12-2017 22:55:30
ตลกต้นสนลงไปนอนตรงฟุตบาทก็ได้เหรอลูกกก  :laugh:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 19-12-2017 23:06:38
ต้นสนนนน   ฟุตบาทมันนอนไม่ด้ายยยยย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 20-12-2017 01:39:58
อะไรคือที่นอนเมื่อกี้ก็สบายดี :m20: :m20:
แต่เราตอบถูกแหละคืนนี้ขอพาต้นสนไปนอน(กอด)ด้วยคืนนึงนะปลื้มพอดีเลยยิ่งหนาวๆอยู่ :m12: :m12:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 20-12-2017 17:08:35
ต้นสนนะขยับตัวนิดเดียวยังต้องห่วงเลย  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: plearnly ที่ 20-12-2017 18:19:27
หลงรักต้นสน คนอะไรล้มแล้วหลับไปเลย555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 20-12-2017 21:10:23
ต้นสนลูกกกกกกกก หลับได้ทุกที่ทุกเวลาจริงๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 20-12-2017 23:51:45
 :m4: :m4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 21-12-2017 00:03:26
ต้นสนลูกกกกกก หนูจหลับแบบนี้ไม่ได้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 21-12-2017 00:25:11
เอ็นดูต้นสน หนูจะนอนทุกที่ไม่ได้นะลูกฟุตบาทไม่ใช่ที่นอน :laugh:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-12-2017 00:31:30
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 24 ★ 19/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: jajah_s.amp ที่ 21-12-2017 19:49:48
ต้นสน ลู๊กกก .. หนูจะนอนกลางทางหลังจากล้มแบบนั้นไม่ได้นะลูก .. แต่โอ๊ยยยย .. น่าเอ็นดู
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 22-12-2017 20:09:54

ตอนที่ 25

            เพราะงานที่มากขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้หลังกลับจากมหาวิทยาลัยผมเลยมักไปหมกตัวอยู่ห้องไอ้ว่าน จะได้มีเพื่อนไว้คอยปรึกษาตอนทำงาน ช่วยกันคิดช่วยกันทำจะได้เสร็จเร็วขึ้น ส่วนคนชิลอย่างไอ้เจนนั้นหนีไปเที่ยวเล่นแล้วเรียบร้อย

            "มึง หิวว่ะ" นั่งเงียบตั้งใจทำงานได้ไม่ทันไรไอ้ว่านก็โอดครวญ มันยืดตัวบิดขี้เกียจแล้วจ้องมาที่ผม

            "ก็ไปหาไรกินดิ"

            "ว่าจะไปซื้อข้าวร้านป้านก ไปด้วยกันป้ะ" คล้ายกับว่ามันอยากจะถามลองเชิง แน่นอนว่าผมไม่ไป

            "กูรอกินพร้อมต้นสน"

            "งั้นไม่เผื่อนะ"

            "อืม" ผมพยักหน้ารับ ไอ้ว่านทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนลุกขึ้นไปหยิบกระเป๋าเดินออกไปจากห้อง

            ผมยังนั่งเขียนเปเปอร์ด้วยความรู้สึกเอื่อยเฉื่อยอยู่ในห้องไอ้ว่าน พี่เตยที่เพิ่งเลิกงานกลับมาเมื่อชั่วโมงก่อนนอนหลับอยู่ในห้องเลยไม่รู้สึกเคว้งคว้างในห้องของคนอื่นนัก

            ไอ้ว่านออกไปจากห้องได้ห้านาทีสมองผมก็ถึงขีดจำกัด วางปากกาแล้วหยิบมือถือมาเล่น มีข้อความจากต้นสนส่งมาว่าเลิกเรียนแล้วและกำลังกลับมาห้องเมื่อสิบนาทีก่อน ป่านนี้คงใกล้ถึงตลาดแล้วล่ะมั้ง

            เย็นนี้เราตกลงกันไว้ว่าต้นสนที่เลิกเรียนทีหลังจะเป็นคนแวะซื้อกับข้าว ผมเลยมีเวลามานอนกลิ้งเกลือกทำงานอยู่ที่ห้องไอ้ว่าน รอเจ้าตัวกลับมาเมื่อไรค่อยไปหา กินข้าวด้วยกันเสร็จแล้วก็ย้ายแยกไปทำงานของตัวเอง เป็นช่วงเวลาที่ผมไม่ค่อยชอบเอาซะเลย

            ปกติที่อยู่ด้วยผมมักจะเป็นฝ่ายคอยมองต้นสนทำงาน แต่ตอนนี้เราต่างมีงานต้องเคลียร์ทั้งคู่ เวลาวอแวอีกฝ่ายเลยน้อยลงตามไปด้วย พอได้เวลานอนก็หมดแรงจะทำอะไรต่อมิอะไร ได้แค่จูบๆ หอมๆ แล้วก็นอนกอดกัน

            สงสัยวันนี้ผมต้องรีบทำงานให้เสร็จก่อนต้นสนกลับมาถึงห้อง แต่พอมองหน้ากระดาษที่เขียนค้างไว้ความหวังนั้นมันช่างเลือนลางเต็มที

            ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ มือถือในมือก็สั่น ผมเป็นพวกติดนิสัยชอบปิดเสียงเพราะกลัวมันไปรบกวนคนอื่น ว่าแต่ไอ้ว่านมันโทรมาทำไม

            (มึง! มาที่โรงพยาบาลด่วนเลย)

            "อะไรของมึง" เสียงตื่นตระหนกตกใจของไอ้ว่านทำผมงง อยู่ดีๆ มาบอกให้ไปโรงพยาบาล ใครเป็นอะไร หรือว่ามัน...

            (ต้นสนโดนแกงหกใส่ กูกำลังพาไปโรงพยาบาล มึงรีบตามมานะ)

            "ไปโดนได้ไง"

            (มึงมาก่อนเดี๋ยวกูเล่าให้ฟัง)

            "แกงอะไรวะ แล้วทำไมต้องไปโรง'บาล" คำพูดแบบรวบรัดของไอ้ว่านทำผมงง พยายามนึกภาพตามแต่คิดไม่ออกว่ามันจะเกิดเหตุการณ์ที่มันว่าได้ยังไง

            (หมอแกงจืด)

            "ที่ไหน"

            (ร้านป้านก)

            "เป็นอะไรมากมั้ยวะ" ผมรีบลุกขึ้นยืนทันที ทิ้งงานกองไว้บนโต๊ะเดินไปคว้ากระเป๋าหุนหันออกมาจากห้อง แล้วต้นสนไปโดนต้มจืดหกใส่ได้ยังไง มันไม่ได้ล้อผมเล่นใช่ไหม

            (เอาเรื่องอยู่)

            "ไม่ได้ล้อเล่นใช่ป้ะวะ"

            (กูไม่ว่างขนาดนั้น แค่นี้ก่อนนะมึง รีบตามมา) พูดจบไอ้ว่านก็วางสาย

            ผมมองโทรศัพท์ในมือด้วยความสับสน มีคำถามเต็มไปหมดที่อยากถามไอ้ว่านให้รู้เรื่อง แต่เสียงปลายสายที่ฟังดูเร่งรีบนั้นไม่น่าจะว่างตอบคำถามของผมตอนนี้ได้

            ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกงเดินตรงไปที่ลิฟต์ เก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้แล้วทำใจให้สงบ แค่โดนจ้มจืดหกใส่เองไม่เป็นอะไรมากหรอก

            ต้มจืดร้านป้านกที่ตั้งเตาอุ่นไว้ตลอดเวลา

 

            ผมนั่งแท็กซี่บึ่งมาถึงโรงพยาบาลในสิบนาทีต่อมา ไอ้ว่านนั่งรออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน มันรีบกวักมือเรียกผมทันทีที่เห็น

            "เป็นไงบ้างวะ"

            "อยู่ข้างใน น่าจะทำกำลังแผล"

            "แล้วแผลมัน..."

            "กูกับป้านกช่วยปฐมพยาบาลให้ก่อนมา คิดว่าไม่น่าจะหนักมาก" มันว่าหน้านิ่วคิ้วขมวด ท่าไม่หนักมากทำไมต้องทำหน้าแบบนี้ด้วยวะ

            "เล่าให้กูฟังหน่อย ขอเคลียร์ๆ"

            ไอ้ว่านถอนหายใจยาวพรืดสีหน้ายังเครียดไม่เลิก มันบอกผมให้ทำใจร่มๆ และห้ามขัด ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง

            "กูไปเจอต้นสนที่ตลาดเลยชวนไปร้านป้านกด้วยกัน น้องตาลก็อยู่ที่นั่น เขาถามหามึง กูบอกไปว่าทำงานเลยไม่ว่างลงมา แม่งก็เหมือนจะปกตินะ แต่สายตาน้องเค้ามองต้นสนอย่างกับจะแดกลงไปทั้งตัว กูคอยสังเกตไม่ได้พูดอะไร ต้นสนสั่งต้มจืด ไปยืนอยู่หน้าหม้อ น้องตาลเป็นคนตักให้ กูไม่ได้อยากจะให้ร้ายน้องเขานะแต่มันเห็นเต็มตาว่าน้องตาลเป็นคนดันหม้อให้ตกลงมา กูรีบเข้าไปดึงต้นสนออกแต่เหมือนจะหกโดนเท้าซ้ายเต็มๆ"

            ผมนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดไม่ตอบอะไร ความรู้สึกเริ่มตีกัน ทั้งห่วง โกรธ สงสาร กังวล และเสียใจ

            ผมห่วงต้นสน แผลน้ำร้อนลวกมันทรมานขนาดไหนรู้ดี แค่โดนนิดหน่อยยังเจ็บจะตายแล้วนี่โดนลวกทั้งเท้าเจ้าตัวจะทรมานขนาดไหน

            ผมโกรธ โกรธน้องตาลที่ทำหม้อต้มจืดหกอย่างจงใจ โกรธต้นสนที่ไม่ระวังให้มากกว่านี้ ผมสงสารสนต้นที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะผม กังวลว่าอาการจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน และผมเสียใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น ถ้าก่อนหน้านี้ผมไม่พลั้งปากพูดว่าคบกับต้นสนน้องตาลจะไม่ทำแบบนี้ ไม่มีทางอย่างแน่นอน

            "โอเคมั้ยวะ"

            "ไม่"

            "มึงโกรธน้องตาล?"

            "โกรธดิ"

            "บางทีน้องเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจก็ได้ สิ่งที่กูเห็นมันอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้" ไอ้ว่านพยายามจะแก้ตัวให้ ทั้งที่มันก็รู้ว่าสายไปแล้ว มันเห็นกับตา และผมก็เชื่อในสิ่งที่มันพูดโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

            "กูเข้าใจสถานการณ์ดี มึงไม่ต้องแก้ตัวให้น้องตาลหรอก"

            "มึงจะทำอะไรน้องตาลมั้ยวะ"

            "คงไม่"

            ผมก้มหน้าลง ทอดถอนใจเพื่อสงบสติอารมณ์ โกรธมากก็จริง นึกแค้นอยู่ก็จริง แต่ผมไม่มีความคิดอยากไปเอาคืนหรือทำตัวเป็นพวกแค้นนี้ต้องชำระอะไรแบบนั้น จากนี้คงจบแล้วต่อกัน อย่าได้มาวุ่นวายในชีวิตกันอีกเลย

            "แล้วต้องโทรบอกพ่อแม่ต้นสนป้ะวะ" เรานั่งเงียบกันสักพักไอ้ว่านก็ถามขึ้นมา

            ผมลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเลย ต้นสนเกิดอุบัติเหตุที่ค่อนข้างร้ายแรงครอบครัวมีสิทธิ์ที่จะรู้และตามมาดูอาการ แต่ผมไม่มีช่องทางติดต่อ อีกอย่าง ผมยังไม่กล้าสู้หน้าพ่อแม่ของต้นสนตอนนี้ เพราะต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดนั้นคือผมเอง

            "คงต้องบอกล่ะมั้ง"

            "อะ"

            ไอ้ว่านยื่นมือถือเครื่องหนึ่งมาให้ผม เป็นรุ่นและสีเคสที่ผมจำมันได้แม่น มือถือเครื่องนี้ที่ผมเคยคิดจะขโมยมัน

            "ลืมบอกว่าต้นสนทำตกตอนถูกกูดึงหลบหม้อต้มจืด แล้วกูก็เผลอเก็บใส่กระเป๋ามา มึงเอาไปโทรบอกพ่อแม่เขาแล้วกัน มึงรู้รหัสกันอยู่ใช่มั้ย"

            ผมรับมือถือของต้นสนมา อยากบอกไอ้ว่านเหลือเกินว่าลองสไลด์หน้าจอดูจะพบว่ามันไม่ได้ถูกตั้งรหัสไว้ แถมในเคสยังมีโน้ตบ้าๆ เขียนวิธีการเข้าถึงข้อมูลไว้อีก โน้ตสั่งเสียที่ไม่ยอมเอาออกไปเสียที

            "เดี๋ยวกูมานะ"

            "อืม"

            เพราะเสียงจากห้องฉุกเฉินค่อนข้างวุ่นวายผมเลยลุกออกมาหามุมเงียบเพื่อโทรศัพท์ รวบรวมความกล้าแล้วสไลด์หน้าจอเพื่อปลดล็อค กดดูข้อมูลการโทร เจอชื่อที่บันทึกไว้ว่า 'พระบิดา' เป็นสายที่รับครั้งล่าสุด

            พระบิดาที่ชื่อว่าสาโรจน์ เป็นการบันทึกเบอร์โทรศัพท์ที่ออกจะกวนประสาทอยู่หน่อยๆ

            ผมกดโทรออกหาพระบิดาของต้นสนด้วยใจลุ้นระทึก รออยู่นานกว่าปลายสายจะรับสาย น้ำเสียงที่ตอบกลับมานั้นช่างอบอุ่น คงจะรออยู่ตลอดเวลาเลยสินะสายจากลูกชายคนนี้

            (ว่าไงครับ)

            "สวัสดีครับคุณอาสาโรจน์ ผมปลื้มนะครับ"

            ปลายสายเงียบไปชั่วครู่เมื่อรู้ว่าผมไม่ใช่ลูกชาย ก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมที่ต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

            (ปลื้มหรอกเหรอ ว่ายังไง ทำไมเอามือถือต้นสนมาโทรได้ล่ะ)

            ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เรียบเรียงคำพูดในหัว ตั้งใจกับตัวเองไว้แล้วว่าจะสารภาพทุกอย่าง รวมถึงความผิดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องด้วย

            รู้ว่าเป็นความคิดที่โง่ แต่เพราะรู้สึกผิดเกินกว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ ผมแค่อยากสารภาพและบอกให้รู้ว่าไม่ได้ตั้งใจ

            "ต้นสนถูกน้ำร้อนลวกครับ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล ผมเลยโทรมาแจ้งข่าว"

            ปลายสายเงียบไปอีกครั้งจนผมสังหรณ์ใจไม่ดี ก่อนจะได้ยินคุณสาโรจน์สั่งให้คนเอารถออกแว่วเข้ามาในสาย

            (เล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง)

            คุณสาโรจน์รักและหวงลูกชายมาก แม้จะตีกรอบให้แต่ภายในกรอบนั้นเต็มไปด้วยอิสระ หากไม่ล้ำเส้นออกมาอิสระนั้นก็จะไม่ถูกลิดรอน อิสระที่คุณสาโรจน์ยอมให้ต้นสนวาดรูปและรักคนอย่างผม

            ผมเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่รู้ให้คุณสาโรจน์ฟัง ทั้งเกตุการณ์ที่ได้ฟังจากปากไอ้ว่าน และสาเหตุที่เกิดขึ้นจามตัวผม ปลายสายไม่ได้พูดขัดหรือขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ ทำเพียงรับฟังเงียบๆ ตอบรับบ้างเป็นบางครั้ง และปิดท้ายด้วยประโยคสั้นๆ หลังฟังเรื่องทั้งหมดจบ

            (ฉันคงต้องขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวสักหน่อย)

            เป็นประโยคที่ผมต้องเรียกความกล้าหาญทั้งหมดออกมาเพื่อตอบรับกลับไป

            "ได้ครับ"

 

            การโทรแจ้งข่าวกับคุณสาโรจน์ใช้เวลานานกว่าที่คิด เดินกลับไปที่ห้องฉุกเฉินอีกทีต้นสนก็ทำแผลเสร็จเรียบร้อยแล้ว นั่งบนรถเข็นมีผ้าพันแผลที่เท้าคุยจ้ออยู่กับไอ้ว่าน พอเจ้าตัวเห็นผมจึงหันมายิ้มให้ ทว่าสีหน้าไร้ความสดใสกับขอบตาแดงๆ ทำให้ผมยิ้มไม่ออก

            ผมพยายามยกยิ้มบางๆ ตอบกลับไป อาจจะบางเบามากจนเหมือนไม่ได้ยิ้มเลยก็ได้ เดินไปนั่งข้างไอ้ว่านตรงหน้าต้นสน ยื่นโทรศัพท์คืนให้แล้วสอบถามอาการ

            "เจ็บมั้ย"

            "โดนแค่เท้าเอง แค่นี้สบายมาก"

            "เจ็บมากใช่มั้ย"

            "ไม่งอแงดิ" ต้นสนก้มตัวมาหา มอบรอยยิ้มที่อ่อนโยนแม้สีหน้าตอนนี้จะหม่นหมองก็ตาม

            "ขอโทษนะ"

            "ทำไมต้องขอโทษ ไม่ใช่ความผิดปลื้มสักหน่อย"

            "ต้นสนรู้"

            "เรารู้แค่ว่ามันคืออุบัติเหตุ" ต้นสนจับมือผมไว้แล้วบีบเบาๆ มันช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นก็จริง แต่มันไม่ช่วยให้ผมสบายใจได้เลย

            ผมยิ้มให้พลางบีบมือตอบ อยากดึงเจ้าตัวเข้ามากอดแน่นๆ เพื่อเพิ่มกำลังใจให้ตัวเองอีกสักนิด แต่ตอนนี้คงไม่เหมาะนัก

            "โทรบอกพ่อให้แล้วนะ อีกสักพักคงถึง"

            "บอกด้วยเหรอ โดนบ่นแน่เลยดิแบบนี้"

            "อืม"

            "ไม่ทำหน้าแบบนี้ดิ" ต้นสนปล่อยมือผมเปลี่ยนมาเป็นประกบแก้มทั้งสองข้างแล้วถูไปมา เล่นจนพอใจถึงได้ผละออกแล้วยิ้มอารมณ์ดี

            ผมไม่ได้บอกต้นสนว่าคุยอะไรกับคุณสาโรจน์ไปบ้าง เจ้าตัวคงเข้าใจเพียงว่าผมโทรไปแจ้งว่าลูกชายเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น

            มาลองคิดดูแล้ว หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงไม่หลุดปากอย่างตั้งใจเล่ารายละเอียดทั้งหมด สาเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวอยู่แบบนี้

 

            ครอบครัวของต้นสนมาถึงโรงพยาบาลในครึ่งชั่วโมงต่อมา คุณสาโรจน์ คุณอรวรรณ ต้นกล้า น้องชายที่ยังอยู่ในชุดนักเรียนมัธยม กับชายชุดดำที่ผมเดาว่าเป็นคนขับรถ

            ผมทักทายทุกคนก่อนหลบฉากออกมาปล่อยให้คนในครอบครัวได้แสดงความห่วงใยต่อกัน โดยมีไอ้ว่านที่ยังคอยอยู่เป็นเพื่อน

            จัดการเรื่องค่ารักษาและรับยาเสร็จเรียบร้อยทางครอบครัวก็ขอพาตัวต้นสนกลับไปดูแลที่บ้าน ผมกับไอ้ว่านได้รับคำขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่มันไม่ช่วยลดความกดดันจากสายตาของคุณสาโรจน์ที่มองมาได้เลย

            ก่อนจากกันต้นสนขอเวลาจากครอบครัวชั่วคราว น้องชายเป็นคนเข็นรถมาหาผมก่อนเดินหลบออกไปโดยไม่พูดอะไร ไอ้ว่านเองก็เดินหลบมุมไปนั่งที่อื่นเช่นกัน

            "อยู่คนเดียวไม่เหงาใช่มั้ย"

            "เหงาดิ"

            "ที่บ้านคงไม่ยอมให้ออกจากบ้านจนกว่าจะดีขึ้นแน่ๆ"

            "ดีแล้ว จะได้หายเร็วๆ"

            "มาเยี่ยมกันบ้างนะ" บอกเสียงออดอ้อนทำตัวเหมือนลูกแมวจนอยากลูบหัว แต่ติดที่ว่าครอบครัวเขามองดูอยู่

            "ไปได้ใช่มั้ย"

            "ก็ต้องได้ดิ แล้วก็ต้องมาด้วย"

            "โอเคครับ แล้วจะไปเยี่ยมนะ ถ้าถึงบ้านแล้วโทรมาด้วย"

            "รู้แล้ว"

            เวลาที่มีน้อยทำให้เราพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยได้ไม่มากนัก ผมพาต้นสนไปส่งให้ครอบครัวก่อนน้องชายจะมารับไม้ต่อ บอกลากันอีกครั้งทุกคนก็หันหลังเดินจากไป เหลือเพียงคุณสาโรจน์กับธุระที่ต้องสะสางกับผม เรื่องที่บอกว่าจะขอคุยด้วย

            "เดินไปคุยไปเถอะ"

            ผมเดินตามคุณสาโรจน์เดินออกมาตามทางเดินที่ทอดยาวอย่างเชื่องช้า กลุ่มต้นสนนำอยู่ด้านหน้าไม่ไกลนัก ส่วนไอ้ว่านมันตามผมมาโดยทิ้งระยะมากพอสมควร

            "เธอบอกว่าต้นเหตุอาจเกิดจากเธอใช่มั้ย"

            "ครับ" ไม่ใช่แค่อาจ แต่เรื่องทั้งหมดมันเกิดจากตัวผม

            "ผมจะไม่ถามว่าเธอรู้ได้ยังไงในเมื่อไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่ในเมื่อเธอยอมรับและยืนยันผมเลยไม่คิดว่าต้นสนจะปลอดภัยถ้าอยู่กับเธอ" สิ่งที่คุณสาโรจน์พูดทำให้ผมจุกอยู่ในอก มันอาจจะเป็นบททดสอบหรืออะไรก็ตามแต่

            "มันจะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครับ"

            "เรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเธอผมไม่อยากยุ่งด้วยหรอกนะ แต่เธอต้องรู้ว่าตัวเองควรอยู่ตรงไหน ผมอยากให้ต้นสนเจอคนที่ดีและพร้อมกว่านี้ ฉะนั้นถ้าทำให้ชีวิตลูกผมดีกว่านี้ไม่ได้ก็อย่ามาทำให้แย่ลงจะดีกว่า"

            คำพูดของคุณสาโรจน์ช่างรุนแรงต่อความรู้สึก คำที่ตีความหมายได้ว่าเราไม่เหมาะสมกัน ผมทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับผิด แม้ในใจจะคัดค้านสุดแรงเกิดว่าสิ่งที่คุณสาโรจน์พูดนั้นมันเกินจริง ที่ผ่านมาผมทำให้ชีวิตต้นสนดีขึ้นตั้งเยอะ ขนาดตัวเขาเองยังออกปากชม ทว่าคนเรามักมองความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวสำคัญกว่าความดีที่ทำมาเสมอ

            อยากเถียง แต่ใจไม่ก้าวร้าวพอจะเหิมเกริมกับผู้ใหญ่ได้

            "ผมขอคีย์การ์ดห้องลูกผมคืนแล้วกัน" คุณสาโรจน์หยุดเดินหันมาเผชิญหน้ากับผม แต่ตำขอนี้มันไม่เกินกว่าเหตุไปหน่อยเหรอ

            "ต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอคับ"

            "ผมให้เวลาเก็บของคืนนี้ พรุ่งนี้ผมจะส่งคนมาดู ถ้าเธอยังไม่ยอม ผมจะมาจัดการเอง" พูดจบคุณสาโรจน์ก็หันหลังเดินหนีโดยไม่รอให้ผมคัดค้านใดๆ

            เด็ดขาดและเยือกเย็น

            ตอนนี้ผมเข้าใจประโยคนั้นแล้ว 'ยอมรับแต่ใช่ว่าจะยอมให้ทำ' ที่ต้นสนเคยบอก เข้าใจเป็นอย่างดี

            ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ครอบครัวพาต้นสนกลับไปแล้ว ผมทำทุกอย่างผิดพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย โมโหตัวเองที่ขี้ขลาดเกินกว่าจะรั้ง สมเพชตัวเองที่คิดว่าหากพูดความจริงทั้งหมดจะได้รับการยอมและผ่านเรื่องเลวร้ายนี้ไปได้ แต่ผมคิดผิดทั้งหมด ผิดตั้งแต่ที่คิดจะพูด

            "ไปมึง กลับกัน" มือไอ้ว่านวางบนไหล่ผม มันคือที่พึ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ตอนนี้

            ผมเดินตามไอ้ว่านไปยังป้ายรถเมล์หน้าโรงพยาบาล เอ่ยขอบคุณมันอีกครั้ง และบอกอีกหนึ่งคำขอที่ผมไม่รู้จะพึ่งใครแล้วนอกจากมัน

            "เออว่าน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้กูขอย้ายไปอยู่กับมึงสักพักนะ"

            "ทำไมวะ"

            ไอ้ว่านขมวดคิ้วสงสัย แต่ผมยังไม่ทันได้ตอบมันก็โพล่งออกมาก่อน

            "อ๋อ ต้นสนกลับไปอยู่บ้านแล้วกลัวเหงาอ่ะดิ ไม่เป็นไร จนกว่าต้นสนจะกลับมากูจะดูแลมึงเอง" มันว่าเสียงร่าเริงกระโดดเข้ามากอดคอ

            ผมไม่คิดว่าที่นี่เหมาะจะพูดเลยปล่อยให้ไอ้ว่านเข้าใจไปแบบนั้น อยากลองกลับไปนอนคิดสักคืน ทบทวนเรื่องราวดูใหม่ แล้วผมจะหาทางออกที่มันดีกว่านี้ให้เจอ

 
TBC

 
ก่อนจะจบก็ขออีกสักนี้สสสส เพื่อเป็นพิสูจน์ความรัก แฮ่

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าจ้า

ป.ล. พรุ่งนี้มีภารกิจที่สำคัญด้วยค่ะ มันคือสนามรบ ขอให้ทุกคนที่คิดจะทำการพรุ่งนี้สุขสมหวัง รวมถึงเราด้วยยยยย สาธุ!!

 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 22-12-2017 21:06:05
ถึงกับยึดคีย์การ์ดเลยหรอ :katai1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 22-12-2017 21:07:59
คุณสาโรจน์ ใจร้ายยยย!!!!
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 22-12-2017 21:44:04
ฮืออออออ คุณพ่อต้นสนใจร้ายมาก :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 22-12-2017 22:47:27
ปลื้มสู้สู้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 22-12-2017 23:31:35
 :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 23-12-2017 01:13:54
มาม่าคว่ำแบบไม่รู้ตัว
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: sripaerrr ที่ 23-12-2017 05:23:47
คุณพ่อโหดก็จริง แต่เป็นความจริงขั้นพื้นฐานเลยนะ ที่ว่าถ้าทำให้ดีขึ้นไม่ได้ก็ไม่ควรทำให้มันแย่ลง คงอยากเห็นความพยายามที่จะรักกันคุณพ่อถึงต้องโหด แต่ปลื้มกล้าหาญมากนะ น่าจะได้คะแนนความจริงใจ เราว่าเราควรตามอารี่มาเสริมทัพจริงๆนะ555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 23-12-2017 20:26:13
เข้าใจคุณพ่อนะคะ แต่ก็สงสารปลื้มด้วย แง  :ling3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 25-12-2017 13:35:30
สงสารปลื้มจัง ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 25-12-2017 16:15:21
พระบิดาดุแบบผู้ดีมากอ่ะ
ส่วนน้องตาล :z6: :z6: เอานี้ไปกินซะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: papa_prasy ที่ 25-12-2017 17:22:59
ถ้าต้นสนรู้คุณพ่อสาโรจน์น่าจะโดนลูกชายเหวี่ยงนะ  :hao7: :katai4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-12-2017 12:24:38
โอ้ยยยย โมโหแทน!! ถ้าปลื้มไม่อยากจัดการเราอมุดจอเข้าไปตบนังเด็กตาลเองได้ไหม หมั่นไส้ ผู้ชายเขาไม่รักแล้วยังวอแวอยู่ได้หรือไม่ก็ให้พ่อต้นสนแจ้งตำรวจจับเลยจะได้สำนึกบ้าง  :fire:  :m16:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: HeIsMine ที่ 26-12-2017 12:26:37
มาม่ามาเต็ม
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 25 ★ 22/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: ~ณิมมานรฎี~ ที่ 26-12-2017 16:39:05
อย่าคิดมากนะปลื้มมมม :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 26-12-2017 21:25:50
ตอนที่ 26

 
            "แล้วมึงก็ยอมให้เขายึดคีย์การ์ดไปเนี่ยนะ" ไอ้ว่านโพล่งออกมาเสียงดังหลังจากผมเล่าเรื่องที่คุยกับคุณสาโรจน์ทั้งหมดให้มันฟัง

            ความจริงผมตั้งใจจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ รอหาหอได้ก่อนค่อยย้ายออกจากห้องไอ้ว่านอย่างเงียบเชียบ หาเหตุผลที่พอจะฟังขึ้นอ้างไปเรื่อยๆ มันคงไม่สงสัยอะไรมาก แต่แผนดันมาแตกอย่างรวดเร็วในวันรุ่งขึ้นตอนคุณสาโรจน์ส่งคนมาหาผม ไอ้ว่านได้ยินทุกประโยคที่น่าสงสัย พอเริ่มจับเรื่องราวได้มันก็แทบถีบไล่ผมออกจากห้องอีกคน

            "แล้วมึงจะให้กูทำยังไง"

            "ทำยังไงก็ได้ที่ไม่ใช่แบบนี้เว้ย! ทำไมมึงป๊อดแบบนี้วะ แล้วเป็นห่าอะไรไปเล่าว่าเป็นความผิดตัวเองแบบนั้น มึงคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกหนังหรือไง มึงไม่รักต้นสนแล้วเหรอถึงได้ยอมถอยง่ายๆ ถ้ากูเป็นแฟนมึงนะกูโคตรผิดหวัง" ไอ้ว่านยืนด่ายาวเป็นชุดจนผมสำนึกผิดไม่ทัน มันถอนหายใจใส่ผมหนึ่งทีก่อนกระแทกตัวนั่งลงบนโซฟา

            ผมปล่อยให้มันสงบสติอารมณ์โดยไม่พูดอะไร ระหว่างนี้ก็คิดทบทวนถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปด้วย ข้าวของของผมส่วนใหญ่ขนมาไว้ที่ห้องไอ้ว่านแล้ว คีย์การ์ดก็คืนให้คนของคุณสาโรจน์ไปแล้ว แต่อย่าลืมว่าผมยังไม่ได้เลิกกับต้นสน แม้จะโดนพ่อเจ้าตัวพูดให้เจ็บช้ำน้ำใจมาก็ตาม ยังไงซะผมก็ไม่มีทางยอมเลิกง่ายๆ เด็ดขาด แค่ถอยมาตั้งหลักเท่านั้น

            "แล้วมึงจะทำยังไงต่อ" ไอ้ว่านถามหลังจากอารมณ์เริ่มเย็นลง

            "คงหาหอก่อน"

            "กูหมายถึงเรื่องต้นสน เค้ารู้หรือเปล่าว่ามึงโดนยึดคีย์การ์ดไปแล้ว"

            "เหมือนจะยังไม่รู้"

            เมื่อวานหลังกลับจากโรงพยาบาลผมยังคุยกับต้นสนปกติ เจ้าตัวย้ำแล้วย้ำอีกว่าแผลที่เห็นไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด พูดซ้ำๆ ให้กำลังใจผมว่าอย่าคิดมาก เป็นแบบนี้คงยังไม่รู้แน่นอนว่าเกิดอะไรขึ้นกับผม ไม่รู้ด้วยว่าคุณสาโรจน์มาคุยกับผมเป็นการส่วนตัว

            "แล้วตกลงมึงจะเอายังไงต่อ"

            "กูยังไม่ได้เลิกกับต้นสนนะ กูกับเขายังเข้าใจกันดี"

            "เพราะต้นสนยังไม่รู้ไงว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นแบบนี้เท่ากับโดนกีดกันนะ มึงจะทำตัวเอื่อยเฉื่อยไม่ได้ หรือมึงจะยอมให้เป็นเหมือนแฟนคนก่อนๆ มีปัญหาก็จบด้วยการเลิกกันไป"

            "ไม่ คือกู"

            "มึงรักต้นสนจริงๆ ป้ะวะ"

            ทุกคำพูดของไอ้ว่านเหมือนเอาค้อนมาทุบหัวผม เชือดเฉือนตรงประเด็นประชดประชันแบบไม่เกรงใจ เป็นเพื่อนกันมาเกือบสองปีมันรู้เกี่ยวกับเรื่องราวความรักของผมดี ไอ้ความเอื่อยเฉื่อยคล้ายไม่จริงจังนั่นก็ด้วย แต่กับต้นสนไม่ใช่ ตั้งแต่เกิดเรื่องผมไม่มีความคิดเลยว่าอยากตัดปัญหาด้วยการเลิกลา

            "กูรักต้นสนจริงๆ"

            "งั้นก็ทำอะไรสักอย่างไม่ใช่ยอมให้พ่อเขายึดคีย์การ์ดไล่ออกจากห้อง แล้วบอกว่ามึงเป็นตัวทำให้ชีวิตลูกเขาแย่เพียงเพราะเด็กเมื่อวานซืนขี้อิจฉาที่ชอบมึง ไอ้ควาย!" คำด่าชัดเต็มสองหูมากกว่าทุกคำที่มันพร่ำบ่นมา

            ผมยิ้มขำให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง ยกให้ไอ้ว่านเป็นที่ปรึกษาด้านปัญหาชีวิต ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน หรือแม้แต่เรื่องความรักยังได้มันคอยช่วยเหลือ

            "ขอบใจมึงมากนะ"

            "เออ! แม่ง! หงุดหงิด! หิว!" มันสบถใส่อารมณ์ทุกคำ ทำหน้าเหวี่ยงใส่ผมไม่พอยังลุกหนีเดินเข้าไปในครัว

            กินให้หายอารมณ์เสียนะเพื่อนรัก แล้วช่วยกูคิดต่อด้วยว่าจะเอายังไงกับชีวิตตอนนี้ดี

 

            สามวันแล้วที่ต้นสนหยุดเรียนเพื่อพักรักษาตัวอยู่บ้าน เรายังติดต่อกันทุกวัน คุยเล่นเหมือนปกติ ผมตัดสินใจจะย้ายกลับไปอยู่หอเดิมหากไม่สามารถกลับไปอยู่ด้วยกันได้จริงๆ ที่สำคัญต้นสนยังไม่รู้เลยว่าผมโดนคุณสาโรจน์ยึดคีย์การ์ดไปแล้ว

            ตลอดสามวันที่ได้รับการดูแลอย่างเต็มที่อาการของต้นสนดีขึ้นตามลำดับ แผลน้ำร้อนลวกระดับสองไม่ลึกมากใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ก็หาย แต่มันจะกลายเป็นบาดแผลที่ทำให้ผมรู้สึกผิดไปตลอดนับจากนี้

            เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ผมตัดสินใจลาออกจากงาน ป้านกเองก็รู้สึกผิดไม่น้อย วันที่เกิดเรื่องแม้จะไม่ได้ตามมาที่โรงพยาบาลแต่ป้านกยังติดต่อกลับมาเพื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ส่วนคนต้นเรื่องอย่างน้องตาลนับจากวันนั้นมาผมก็ไม่เห็นหน้าเธออีกเลย

            (ใกล้ถึงหรือยัง)

            "ซอยสิบสองใช่มั้ย"

            (ใช่แล้ว เราให้ลุงพันออกไปรอรับ ปลื้มเคยเจอที่โรงพยาบาลน่ะ จำหน้าแกได้เปล่า)

            ผมมองหาลุงพันคนขับรถของบ้านต้นสนตามที่เจ้าตัวบอก ก่อนจะเห็นผู้ชายชุดดำที่ขับมอเตอร์ไซค์ออกมาพอดี

            วันนี้ผมมาเยี่ยมต้นสนที่บ้าน เสนอตัวมาเองโดยไม่ต้องมีใครชวน คิดถึง อยากมาดูอาการ และคุยเรื่องสำคัญที่ต้องบอกให้รู้ แม้ใจยังเกรงกลัวกับการเผชิญหน้ากับคุณสาโรจน์ แต่ได้ข่าวจากลูกชายมาว่าวันนี้พ่อแม่ไม่อยู่บ้านเพราะติดงานที่บริษัท ความกล้าหาญที่จะบุกมาถึงบ้านจึงเพิ่มขึ้นมาเป็นกอง

            ลุงพันที่มีน้ำใจออกมารับขับรถมาจอดตรงหน้าผม ลุงแกยิ้มโชว์ฟันหน้าล่างที่หายไปหนึ่งซี่

            "คุณปลื้มใช่มั้ยครับ"

            "เจอลุงพันแล้ว แค่นี้ก่อนนะ สวัสดีครับลุง" ผมบอกต้นสนก่อนตัดสาย เก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกงยกมือไหว้ลุงพันที่รีบรับไหว้ทันที

            "ขึ้นมาเลยครับ บ้านอยู่ใกล้ๆ นี้เอง ลุงเลยไม่ได้เอารถยนต์ออกมารับ"

            "แค่มารับก็ขอบคุณมากแล้วครับลุง"

            ผมก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายลุงพันก็ออกรถทันที ขับเข้าไปในซอยที่มีแต่บ้านหลังใหญ่หรูๆ ก่อนเลี้ยวเข้าบ้านหลังหนึ่งที่แบ่งอาคารในพื้นที่บ้านเป็นหลังเล็กใหญ่สองหลัง ความกว้างขวางและหรูหราที่เห็นแล้วต้องทึ่ง

            ต้องรวยขนาดไหนกันผมถึงจะซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้

            เมื่อคนนอกเข้ามาในเขตบ้านก็ได้ยินเสียงหมาก็เห่ากันระงม ลุงพันจอดรถในที่จอดหน้าบ้านชั้นเดียว ข้างกรงหมากรงใหญ่ ฝูงหมาตัวตอของบ้านยังเห่ากันไม่เลิกจนผมชักเกรงใจที่ทำให้พวกมันเสียงดัง กระทั่งลุงพันจอดรถลงไปยืนว่าพวกมันถึงได้เงียบ

            ฝูงหมาที่ผมเคยเห็นจากรูปที่ต้นสนถ่ายมากับตัวจริงไม่สูงใหญ่นัก พวกมันตัวไล่ๆ กัน ยื่นจมูกออกมานอกกรงมองผมด้วยความสนใจ พอผมเดินเข้าไปใกล้มันก็เห่า เลยโดนลุงพันดุอีกรอบ ผมควรจะอยู่ห่างๆ พวกมันดีกว่า

            "ปกติจะปล่อยมันวิ่งเล่นครับ แต่ช่วงนี้ต้องขังมันไว้เพราะคุณต้นสนเจ็บอยู่" ลุงพันบอก ซึ่งผมก็เห็นด้วย หรือไม่ก็ขังพวกมันตอนที่ต้นสนอยู่บ้านไปเลยก็ได้

            "ปกติเล่นกันแรงมั้ยครับ ผมเห็นต้นสนได้แผลกลับไปตลอดเลย"

            "ก็แรงเอาเรื่องครับ พวกมันชอบกระโดดใส่ คุณต้นสนก็ยอมให้มันรุม ได้รอยข่วนมาประจำ"

            "ผมก็ได้บ่นเขาประจำเหมือนกัน"

            ลุงพันหัวเราะชอบใจ ก่อนผายมือไปยังสนามหญ้าเล็กๆ ข้างบ้านสองชั้น ตรงนั้นมีศาลาไม้และน้ำตก ต้นสนนั่งอยู่ในศาลา ชะเง้อมองมาอย่างรอคอย ก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเราสบตากัน

            "คุณต้นสนอยู่ตรงนั้นนะครับ ลุงขอตัวก่อน"

            "ขอบคุณมากครับ"

            ผมยกมือไหว้ลุงพันก่อนเดินตรงไปยังศาลาไม้ นั่งลงตรงข้ามต้นสน วางของเยี่ยมบนโต๊ะที่มีทั้งโน้ตบุ๊ก ชีทเรียน กระดาษและอุปกรณ์วาดรูป

            "ทำงานอยู่เหรอ"

            "การบ้านเยอะมากเลย ไหน ซื้ออะไรมาให้" ต้นสนแทบจะโยนงานที่ทำอยู่ทิ้ง คว้าถุงของฝากที่ผมซื้อให้ไปเปิดดูแล้วยิ้มร่า

            "เค้กช็อคหน้านิ่ม"

            สำหรับผมจะเรียกบ้านหลังนี้ว่าคฤหาสน์คงไม่ผิดนัก ใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคารถึงสองหลัง ซึ่งหลังเล็กชั้นเดียวตรงลานจอดรถนั้นผมเดาว่าน่าจะเป็นเรือนของลูกจ้าง บรรยากาศในสวนก็ร่มรื่น เห็นต้นสนเคยบอกว่ามีสระว่ายน้ำสำหรับสุนัขอยู่หลังบ้านด้วย

            ผมกวาดตามองรอบบ้าน ทั้งที่เป็นวันหยุดแต่บ้านหลังนี้กลับเงียบสงบเหมือนไม่มีคนอยู่ ความจริงผมควรเดินสายทักทายเจ้าของบ้าน แต่ตอนนี้ยังไม่เห็นใครเลยนอกจากลุงพัน

            "ไม่มีใครอยู่บ้านเลยเหรอ"

            "พ่อกับแม่ไปบริษัทไง ส่วนกล้าออกไปเรียนพิเศษ" ต้นสนแกะกล่องเค้กสำเร็จพอดี หยิบช้อนแล้วยื่นมาให้ผมหนึ่งคัน ผมรับมันไว้แล้วถามกลับ

            "งั้นก็อยู่บ้านคนเดียวอ่ะดิ"

            "อยู่กับลุงๆ ป้าๆ น่ะ"

            ผมพยักหน้ารับ สนต้นเริ่มลงมือกินเค้ก ตักเข้าปากพยักหน้าเออออบอกอร่อย ผมเลยลุกขึ้นเดินอ้อมไปนั่งข้างเจ้าตัว ไม่ใช่ว่าอยากแย่งเค้กกิน แต่อยากนั่งใกล้ๆ กันมากกว่า

            "แล้วแผลเป็นไงบ้าง"

            "ดีขึ้นเยอะแล้ว"

            "เจ็บอยู่หรือเปล่า"

            "ไม่เจ็บแล้ว"

            "ขอโทษนะที่..."

            "ไม่เอาดิ อย่าดึงดราม่า อะ อ้าม"

            ขัดผมพูดไม่พอยังตักเค้กมาจ่อปาก ผมเลยต้องหยุดพูดแล้วกินมันเข้าไป เค้กราคาแพงรสชาติอร่อยไม่เลว เป็นร้านดังที่ผมลงทุนซื้อมาฝากต้นสนโดยเฉพาะ

            "อร่อยเนอะ" ต้นสนส่งช้อนที่เพิ่งออกจากปากผมเข้าปากตัวเองคล้ายจะเก็บเนื้อเค้กที่เหลือติดช้อนอยู่กินให้หมด

ทำแบบนี้ตั้งใจยั่วกันชัดๆ

            ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ มองต้นสนดึงช้อนออกจากปากแล้วยกยิ้ม อยากจะจูบหนักๆ สักทีให้หายคิดถึง แต่ริมฝีปากยังไม่ทันสัมผัสกันเสียงของหญิงสูงวัยก็ทำให้ผมต้องผละออกมา

            "ป้าเอาน้ำกับขนมมาให้ค่ะ"

            ผมขยับตัวออกห่างจนอยู่ในระยะปลอดภัยก่อนหันมองตามต้นเสียง คุณป้าท่าทางใจดียืนยิ้มแฉ่ง ในมือถือถาดขนมกับน้ำยกวางไว้ให้บนโต๊ะ

            "นี่ป้าจิต"

            "สวัสดีครับ"

            "ส่วนคนนี้แฟนต้นสนเอง"

            ผมหันขวับไปมองคนพูดตาแทบถลน เล่นแนะนำกันแบบนี้เลยเหรอ

            "แหม ป้ารู้ค่า ตามสบายนะคะคุณปลื้ม ป้าไม่กวนแล้ว" ป้าจิตยิ้มหวานก่อนเดินจากไป แต่ผมยังตกใจไม่หาย แล้วก็ไม่ชินด้วยกับการถูกเรียกว่าคุณ

            "บอกป้าแกด้วยเหรอ"

            "ก็รู้กันทั้งบ้านนั่นแหละ" ต้นสนพูดเหมือนมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร กล้าบอก กล้ายอมรับ ในขณะที่ผมยังไม่กล้าบอกกับที่บ้าน แล้วมันต้องใช้ความกล้าขนาดไหนกันถึงจะพูดเรื่องนี้ออกมาได้

            กำลังนั่งเรื่องเครียดๆ จนคิ้วขมวดต้นสนก็ตักเค้กมาจ่อที่ปากอีกครั้ง สลับกันกินสลับกันป้อนจนหมดแล้วลามไปกินน้ำกับขนมที่ป้าจิตเอามาให้ต่อ ปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ โดยไม่คิดจะยกนาฬิกาขึ้นมาดู จนกระทั่งต้นสนเอ่ยปากชวนขึ้นมา ผมถึงคิดได้ว่าเราควรจะย้ายตัวออกจากศาลานี้ได้แล้ว

            "ไปห้องเรากัน"

            "ไปยังไงอะ เดินไหวใช่มั้ย" ผมมองเท้าที่ยังพันผ้าพันแผลอยู่ จะว่าไปแล้วก็อยากทายาทำแผลให้อยู่เหมือนกัน

            "ไหวดิ แค่เจ็บขา ไม่ได้ขาขาด" ตอบคำถามได้กวนประสาทจนอยากจะหยิกเสียให้ช้ำ

            "แล้วตอนมามายังไง"

            "ก็เดินมานี่แหละ ไม่ต้องมาขมวดคิ้วใส่ ไม่ได้เจ็บปางตายสักหน่อย" ต้นสนว่าแล้วยิ้มล้อ แล้วผมจะเป็นห่วงไม่ได้หรือไง ภาพที่เจ้าตัวนั่งรถเข็นน้ำตาซึมวันนั้นยังติดตา จนไม่อยากให้ฝืนเดินเหินไปไหนถ้าไม่จำเป็น

            "ก็เป็นห่วง กลัวเจ็บ"

            "ถ้างั้นขี่หลังได้มั้ย ไหวเปล่า" ท้าทายทั้งสีหน้าและน้ำเสียง แล้วคิดเหรอว่าคนอย่างผมจะไม่กล้า

            "ให้อุ้มท่าเจ้าหญิงยังไหว"

            เราจดจ้องกันไปมา ยังไม่ทันได้ข้อสรุปต้นสนก็พับเก็บโน้ตบุ๊ก เก็บชีทมารวมกัน เก็บขยะใส่ถุง ก่อนชี้ให้ผมไปนั่งรอ แปลงร่างเป็นม้าเตรียมพาคุณหนูขึ้นห้องนอน

            ผมรับเล่นตามบทโดยไม่อิดออด เดินลงจากศาลาแล้วย่อตัวลง ล็อกแขนขาให้ปลอดภัยหลังจากต้นสนปืนขึ้นหลังเรียบร้อยก็พร้อมออกเดินทาง

            "แล้วกระเป๋าอ่ะ"

            "ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่มีใครขโมยหรอก"

            ผมเริ่มออกเดินหลังจากได้รับคำยืนยันจากเจ้าของบ้าน เห็นตัวผอมบางแบบนี้ก็หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ไม่หนักเกินกำลังของผม แฟนทั้งคนถ้าแบกยังไม่ไหวแล้วจะดูแลทั้งชีวิตได้ยังไง จริงไหม

            เล่นขี่ม้าส่งเมืองกันมาถึงบันไดผมก็วางต้นสนลง ห้องนอนของเจ้าตัวอยู่บนชั้นสอง จะให้แบกเดินขึ้นบันไดนั้นอันตรายเกินไป ผมเลยใช้วิธีช่วยพยุงขึ้นไปแทน

            ห้องที่คอนโดว่ารกแล้วห้องที่บ้านหลังนี้ไม่ได้ต่างกันนัก พื้นที่กว้างมีเตียงคิงไซซ์กับเฟอร์นิเจอร์ครบครัน การตกแต่งเป็นโทนขาวเทาดำ เพิ่มความมืดมนได้อีกเป็นเท่าตัว

            เปิดประตูเข้ามาในห้องได้ผมก็ช้อนต้นสนขึ้นอุ้มในท่าเจ้าหญิง ใช้เท้าดันประตูปิดเดินตรงไปที่เตียงวางเจ้าตัวให้นอนลงแล้วคร่อมเอาไว้

            ในที่สุดก็ได้อยู่ในที่ลับตาคนสักที

            "ทนไม่ไหวแล้วเหรอ" ต้นสนถามกลั้วหัวเราะ ยกแขนขึ้นคล้องดึงให้ผมโน้มลงไปใกล้

            เป็นแบบนี้จะว่าผมฝ่ายเดียวคงไม่ได้ในเมื่ออีกคนยินยอมพร้อมใจ ไม่ได้เจอหน้าไม่ได้สัมผัสกันมาหลายวันมันต้องมีความต้องการกันบ้างล่ะ

            "เอาไงดี ไม่มีใครอยู่บ้านด้วยดิ" ผมแกล้งถาม

            "นั่นดิ เอาไงดี"

            โดนยิ้มยั่วแบบนี้ความอดทนของผมก็หมดลง ก้มลงไปกดจูบหนักๆ อย่างกระหาย สอดมือเข้าใต้เสื้อยืดตัวบางสัมผัสผิวกายที่คิดถึง ริมฝีปากดูดดึงเกลียวลิ้นหยอกล้ออย่างไม่มีใครยอมใคร ผละออกแล้วเข้าหากันใหม่อย่างไม่รู้จักพอ

            "ปากช้ำหมดแล้ว" ต้นสนบ่นหลังจากผมละจากริมฝีปากไปคลอเคลียที่ต้นคอ แล้วใครกันที่สอดมือมากดหัวผมไว้จนจูบแนบชิดได้ขนาดนั้น พูดแบบนี้อยากจะทำให้ปากช้ำยิ่งกว่าเดิม

            ผมฝังจมูกลงที่ต้นคอก่อนขยับขึ้นไปฝังเขี้ยวใต้หู ขบเม้มเบาๆ หวังให้เกิดรอยแข่งกับไอ้หมาบ้าพวกนั้น ถือว่ายังใจดีที่ผมไม่ทำในที่ที่เห็นชัดจนเจ้าตัวต้องลำบากใจ

            แต่ก่อนความใกล้ชิดจะทำให้เกิดแรงอารมณ์ไปมากกว่านี้ผมต้องยับยั้งใจแล้วดันตัวลุกขึ้น ดึงเสื้อที่เลิกขึ้นไปเกือบถึงอกให้กลับมาเรียบร้อยเหมือนเดิม เล่นเอาเจ้าตัวทำหน้าขัดใจ

            "รอให้หายดีก่อนแล้วกัน" ผมยกมือขึ้นยีผมยุ่งของต้นสนจนมันยุ่งกว่าเดิม ตั้งใจมาเยี่ยมไข้ ไม่ได้ตั้งใจมาทำให้อาการหนักกว่าเดิม

            ต้นสนเขยิบตัวหลบให้ผมนอนลงข้างๆ เรากุมมือกันไว้แล้วหลับตาลง ผมอยากหลับสักงีบ อยากให้เวลาหยุดนิ่งอยู่แบบนี้ ไม่อยากกลับไปเผชิญความจริงที่ไม่มีต้นสนอยู่

            "เหงามั้ย" ต้นสนถามพลางขยับมาหนุนแขนแล้วกอดผมเอาไว้

            "เหงาดิ"

            "เดี๋ยวหายกลับไปอยู่ด้วยก็ไม่เหงาแล้ว"

            ได้ฟังประโยคนี้แล้วรู้สึกเศร้าขึ้นมาจับใจ ผมหลับตานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นแล้วพูดสิ่งที่ตั้งใจจะมาบอกออกไป

            "จากนี้คงไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วล่ะ"

            "ทำไมพูดแบบนี้อะ" ต้นสนผงกหัวขึ้นมาจ้องผม ทำปากคว่ำบอกให้รู้ว่าอย่าพูดเล่น

            "โดนคุณอายึดคีย์การ์ดไปแล้วนะ"

            "คืออะไรโดนยึด" คราวนี้ลุกขึ้นนั่งตัวตรงถามเสียงเครียดกว่าเดิม ผมยันตัวลุกขึ้นนั่งตาม รวบรวมสติและคำพูด กระชับเรื่องราวให้คนฟังเข้าใจให้ได้มากที่สุด

            "เราเล่าเรื่องน้องตาลให้คุณอาฟัง เขาบอกว่าเราคือสาเหตุ อยากให้เลิกยุ่งแล้วขอคีย์การ์ดคืน"

            ต้นสนทำหน้านิ่งแล้วเงียบ เป็นไปได้ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจใจบอกอาจจะกระชับจนจับใจความได้ยากเกินจะทำความเข้าใจได้ในทันที

            "เราคืนคีย์การ์ดให้พ่อต้นสนไปแล้วนะ"

            "แล้วปลื้มก็ยอมคืนง่ายๆ น่ะเหรอ" ต้นสนเสียงดังจนคล้ายตะคอก ผิวขาวซับสีเลือดแต่ไม่ใช่อาการเขินอายอย่างทุกที เจ้าตัวกำลังโกรธ และโกรธมากด้วย

            ผมหมดคำแก้ตัวเนื่องจากยอมคืนคีย์การ์ดให้ง่ายๆ โดยไม่มีการคัดค้านหรือตอบโต้ใดๆ เพราะผมทำแบบนั้นไม่ได้ ทั้งความกล้าและเหตุผลหลายๆ อย่าง รวบถึงระดับชั้นทางสังคม ผมมันไม่ต่างจากลูกจ้างต๊อกต๋อย เพียงคุณสาโรจน์สั่งก็พร้อมยอมทำตามทุกอย่างโดยไม่อาจขัดขืน ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้

            ต้นสนโกรธจนหน้าแดง อารมณ์เสียรุนแรงขนาดผมจะยื่นมือไปจับยังเบี่ยงหลบ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความห่วงใยกันอยู่

            "แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน"

            "ห้องไอ้ว่าน"

            "ปลื้มทำไมไม่บอกเราอะ"

            "ก็คิดว่าคุณอาจะบอกแล้ว"

            "อย่าคิดเองดิวะ"

            อารมณ์รุนแรงขึ้นๆ ลงๆ จนผมชักเดาไม่ถูก ต้นสนจ้องกันเขม็ง ผมรู้ว่าตัวเองขี้ขลาด แต่ไม่เคยคิดอยากแยกจากกันเลยจริงๆ

            "แล้วไง ไม่อยากอยู่ด้วยกันแล้วเหรอถึงได้ยอมคืนง่ายๆ"

            "ไม่ใช่แบบนั้น"

            "แล้วแบบไหน"

            ผมพ่นลมหายใจออกมาแล้วก็เงียบ พยายามคิดหาข้อแก้ตัวที่ฟังแล้วดูดี ทว่ากลับเห็นแต่ความขี้ขลาดในตัวเอง

            "ปลื้มกลับไปก่อนไป"

            "เดี๋ยวดิ เรา"

            "กลับไปเหอะ เราอารมณ์ไม่ดีว่ะ ยังไม่อยากทะเลาะ"

            เรายังจ้องตากันไม่เลิก แน่นอนว่าผมไม่มีทางยอมง่ายๆ หากยังคุยไม่รู้เรื่อง แต่ผมว่ามันแปลก อยู่ด้วยกันใช่ว่าไม่เคยทะเลาะกันเลย ทุกครั้งที่ผิดใจกันต้นสนจะพุ่งเข้าชนและเคลียร์ให้มันจบไป ทว่าครั้งนี้กลับไม่ แม้ว่าผมอยากอธิบายให้ดีกว่านี้แต่เพราะน้ำเสียงกับคำขอที่เอ่ยออกมาทำให้ผมยอมถอยออกมาโดยดี

            "กลับไปก่อนเถอะนะ"



----------- ต่อด้านล่าง -----------

 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 26-12-2017 21:26:22
 

            ผมต้องทำอะไรสักอย่าง

            ครอบครัวต้นสนทำธุรกิจร้านอาหาร เจ้าตัวไม่เคยบอกแต่ผมพอจะมีความสนใจใคร่รู้เรื่องของคนรักอยู่บ้าง นามสกุลที่ยาวห้าพยางค์ยังช่วยให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น ทั้งในอินเตอร์เน็ต หรือนิตยสารแวดวงธุรกิจ

            หลังจากที่เอาแต่ทำตัวเป็นเต่าในกระดอง ผมต้องเค้นความกล้าอันน้อยนิดเพื่อเผชิญกับความกลัวดูสักตั้ง

            "ลุงพันครับ"

            "ครับคุณปลื้ม" ลุงพันตอบรับขณะที่สายตายังมองถนนด้านหน้า

            ขากลับออกมาจากบ้านต้นสนให้ลุงพันออกมาส่งผมเหมือนเดิม ต่างตรงที่รอบนี้เป็นรถยนต์ เพราะลุงแกต้องไปรับเจ้านายทั้งสองกลับบ้านพอดี และผมมีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้อง

            "ถ้าผมอยากพบคุณสาโรจน์ต้องทำยังไงบ้างครับ"

            สารถีประจำบ้านเลิกคิ้วแปลกใจเหลือบมามองแวบหนึ่งก่อนจะตอบ

            "ปกติก็ต้องนัดล่วงหน้า คุณปลื้มจะนัดตกลงธุรกิจอะไรหรือครับ" ลุงพันถามแกมหยอก

            ผมหัวเราะแห้ง ทั้งตื่นเต้นทั้งกลัว ใจเต้นรัว เหงื่อเริ่มออกมือแถมยังรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว สีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ขันของผมคงไปสะกิดใจลุงพันเข้า แกถึงได้บอกผมให้ใจเย็นและยังเอ่ยต่อว่า

            "งั้นไปด้วยกันนี่แหละครับ เดี๋ยวลุงพาไปหาคุณสาโรจน์เอง"

 

            ลุงพันจอดรถที่ตึกสูงย่านในเมือง ลุงบอกว่าที่นี่มีสำนักงานใหญ่ของบริษัท คุณสาโรจน์มีนัดประชุมและกำลังจะกลับ ความจริงจะให้ผมรออยู่ที่บ้านก็ได้ แต่เพราะเพิ่งทะเลาะกับต้นสน แถมยังโดนไล่ออกจากบ้านจึงไม่เหมาะนัก ถ้าผมได้พูดคุยกับคุณสาโรจน์เป็นการส่วนตัวน่าจะดีกว่า

            หลังจากรถจอดสนิทผมเดินลงจากรถออกมายืนรอข้างลุงพัน ไม่นานนักคุณสาโรจน์กับคุณอรวรรณก็เดินตรงมาทางนี้ เขาสังเกตเห็นผมทันที ผมยกมือไหว้ขณะที่ถูกมองด้วยสายตาเรียบเฉยไร้แววยินดียินร้ายใดๆ

            "เธอมาทำอะไรที่นี่" เสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยถาม สายตานั้นช่างดูน่ากลัว ไม่ใช่ผมเพียงคนเดียวที่ถูกมอง หากแต่ลุงพันเองก็ถูกตำหนิทางสายตาด้วยเช่นกัน

            "ผมอยากคุยเรื่องต้นสนครับ"

            ผมไม่รู้ว่าใช้คำพูดถูกไหม คนฟังจะพอใจกับประโยคที่ได้ยินหรือเปล่า สำหรับคุณอรวรรณแม่ขอต้นสนนั้นท่านดูไม่มีความเห็นมากนั้น ผิดกับคุณสาโรจน์ที่ตอบสวนกลับมาทันที

            "คุยไปแล้วจะได้อะไร"

            นั่นสิ คุยไปแล้วจะได้อะไรถ้าคนฟังไม่ยินดีที่จะเปิดใจรับ แต่อย่างน้อยผมก็ยังได้พยายาม

            "อยากให้คุณอาฟังครับ แผนในอนาคตของผม"

            รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏที่มุมปากก่อนจะกลับเป็นเรียบนิ่ง คุณสาโรจน์มองผมไม่วางตา ความยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกตัวหดเล็กลงทีละนิดๆ เหมือนมดที่จะถูกบี้ให้ตายเมื่อไรก็ได้ จนเมื่อประโยคถัดไปถูกเอ่ยออกมา มันทำให้ผมพอจะเห็นแสงสว่างที่อยู่ปลายเส้นทางอยู่บ้าง

            "งั้นผมขอฟังแผนของเธอหน่อยแล้วกัน"

 

            สถานนีที่รับฟังแผนในอนาคตของผมอยู่ห่างจากที่ตั้งบริษัทไม่ไกลนัก ที่แห่งนี้คือหนึ่งในสาขาร้านอาหารของครอบครัวต้นสน เป็นร้านอาหารไทยต้นตำรับ ภายในตบแต่งเรียบง่ายหากแต่ดูหรูหราชนิดที่ผมไม่กล้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาคนเดียว ถึงอย่างนั้นราคาอาหารก็ไม่ได้สูงจนเอื้อมไม่ถึงนัก

            บนโต๊ะอาหารมีผม คุณสาโรจน์ และคุณอรวรรณอยู่เพียงสามคน เป็นโต๊ะด้านในสุดที่มีฉากกั้นจนเหมือนห้องส่วนตัว อาหารไทยหน้าตาหน้ากินถูกนำมาเสิร์ฟทันทีเมื่อเรามาถึง บรรยากาศคล้ายจะเป็นกันเอง แต่มือผมกับเย็นเฉียบจนเหมือนถูกแช่แข็งไปเรียบร้อยแล้ว

            ตื่นเต้น...และตื่นกลัว

            "กินไปคุยไปก็แล้วกัน" คุณสาโรจน์ว่า ขณะที่ผมยังไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นหยิบช้อนส้อม และเป็นคุณอรวรรณเองที่ช่วยพูดให้ผมผ่อนคลายได้บ้าง ไม่ใช่เพราะคำพูดเพียงอย่างเดียวแต่เป็นเพราะน้ำเสียงอ่อนโยนน่าฟังนั่น

            "มีอะไรก็พูดได้เลยนะ แม่ยินดีรับฟัง"

            อย่างน้อยคุณอรวรรณก็ยังยอมรับให้ตัวผม ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อนหรือคนรักของลูกชาย

            "ผม...ตั้งใจไว้แล้วครับ แม้ตอนนี้ตัวผมจะไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่สามารถดูแลต้นสนได้ดีเท่าที่ควร สภาพแวดล้อมรอบตัวผมมันอาจจะไม่ได้ดีเลิศ แต่ในอนาคตมันต้องดีกว่านี้ ผมจะดูแลต้นสนให้ดียิ่งกว่านี้"

            "เธอคิดว่าเพียงคำพูดมันจะเชื่อได้อย่างนั้นหรือ"

            คำถามของคุณสาโรจน์เหมือนดั่งกำแพงยักษ์ที่คนธรรมดาไม่สามารถปืนข้ามไปได้ สารภาพว่าผมไม่มั่นใจว่าจะทำให้คุณสาโรจน์เชื่อและยอมรับในตัวตนได้ ด้วยคำพูดลอยๆ ที่ยังมีความน่าจะเป็นอยู่บ้าง

            "คำพูดของผมมีหลักฐานครับ ผมมั่นใจว่าสามารถดูแลต้นสนได้ดี ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ผ่านมาหรือต่อจากนี้ไป"

            ผมเว้นช่วง สีหน้าคุณสาโรจน์ยังเรียบนิ่ง ผิดกับคุณอรวรรณที่อมยิ้มน้อยๆ ผมรู้ว่าทั้งสองเข้าใจว่าสิ่งที่ผมพูดหมายถึงอะไร ครั้งนั้นที่คุณสาโรจน์มาที่คอนโด ผมจำคำนั้นได้แม่น ประโยคที่บอกว่า 'พ่อแค่อยากเห็นหน้าคนที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปแค่นั้นเอง' ซึ่งมันเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น และมันออกจะเขินนิดหน่อยที่ต้องพูดประโยคเหล่านี้ต่อหน้าให้พวกท่านได้ฟัง

            "ผมรักต้นสนครับ เขาคือคนที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและทำอะไรได้บ้าง เราดูแลกัน ช่วยเหลือกัน และคิดว่าคุณอาต้องเห็นว่าลูกชายตัวเองมีความเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างหลังจากที่ต้นสนรู้จักกับผม เพราะงั้นผมถึงไม่คิดว่าตัวเองไร้ประโยชน์หรือไม่คู่ควร"

            คุณสาโรจน์กระแอมออกมาหนึ่งครั้งขัดจังหวะการพูดของผม เขาไม่ได้พูดแทรกทั้งยังโดนคุณอรวรรณมองอย่างตำหนิ

            "พูดต่อสิจ๊ะ" คุณอรวรรณว่า

            "แม้วันนี้ผมจะตัวเปล่า แต่ใช่ว่าอนาคตผมจะไม่มีใช่มั้ยครับ หลังจากเรียนจบผมจะทำงาน สายที่ผมเรียนทำงานได้หลากหลาย ทั้งนักวิชาการ อาจารย์ หรือจะไปสายบันเทิงยังได้ อีกอย่างผมทำอาหารเป็น ถ้าได้เรียนเพิ่มเติมจนฝีมือเก่งกาจมากกว่านี้จะให้ผมมาเป็นเชฟของร้านก็ได้ครับ"

            คนที่ทำหน้านิ่งมาตลอดหลุดยิ้ม คุณสาโรจน์มองผมด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดา ชอบใจหรือไม่ชอบใจนั้นไม่สามารถบอกได้

            "ต้นสนก็บอกแม่เหมือนกันว่าปลื้มทำกับข้าวอร่อย คุณก็เคยกินนี่คะ ตอนนั้นยังชมว่าอร่อยอยู่เลย"

            คำบอกเล่าจากปากคุณอรวรรณทำเอาผมอดยิ้มไม่ได้ อย่างน้อยคุณสาโรจน์ก็ชอบซุปข้าวโพดรสชาติติงต๊องถ้วยนั้น

            "มีแค่นี้เหรอแผนของเธอ"

            ผมอยากจะตอบกลับไปว่า 'ไม่หรอกครับ' ความจริงผมยังมีเรื่องราวเพ้อฝันที่วาดไว้ในใจอีกหลายอย่าง แต่คำพูดเลื่อนลอยไม่ได้ช่วยให้สิ่งที่พูดน่าเชื่อถือเสมอไป ผมจึงเลือกบอกเฉพาะสิ่งที่สามารถทำให้มันเป็นจริงได้ สิ่งที่ผมคิดว่าต้องทำมันได้สำเร็จ

            "จากนี้ผมจะดูแลต้นสนให้ดีเหมือนที่ผ่านมา ไม่สิครับ จะดูแลให้ดีกว่านี้ ดีที่สุดเท่าที่ผมทำได้"

            คุณสาโรจน์ไม่ตอบรับอะไรกลับมาอีก ท่านมองผมแล้วพยักหน้าเบาๆ คล้ายกับยอมรับฟัง ส่วนคุณอรวรรณยังคงยิ้มอ่อนโยน รอยยิ้มที่เหมือนลูกชายคนโตไม่มีผิดเพี้ยน

            "ทานอาหารเถอะ" คำสุดท้ายที่คุณสาโรจน์บอก ก่อนเรื่องแผนในอนาคตของผมจะถูกพับเก็บไว้กลายเป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไปแทน

            บรรยากาศน่าอึดอัดที่รู้สึกในคราแรกเริ่มลดน้อยลง คุณอรวรรณชวนผมคุยเป็นส่วนใหญ่ แถมยังแซวให้ผมไปเรียนทำอาหารแล้วมาเป็นเชฟที่ร้านอีก ส่วนคุณสาโรจน์นั้นนิ่งขรึมยังไงก็ยังคงเป็นอย่างนั้น บุคลิกที่แสดงออกชัดเจนทำให้รู้ว่าต้นสนได้ส่วนผสมจากใครมาบ้างเจ้าตัวถึงได้ดูน่าค้นหาแบบนั้น

            สีโทนสดใสได้แม่ ส่วนโทนขาวดำนั้นได้พ่อ

            มื้ออาหารจบลงในเวลาที่ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้ม ผมบอกลาคุณสาโรจน์กับคุณอรวรรณที่หน้าร้าน ปฏิเสธที่จะติดรถไปด้วยเพราะใช้รถสาธารณะสะดวกกว่า

            ผมเดินทอดน่องอย่างไม่เร่งรีบไปตามฟุตบาทตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้าที่อยู่ไม่ไกล ความหนักอึ้งที่อยู่ในอกเบาลงแม้ยังไม่แน่ใจว่าทางที่เต็มไปด้วยขวากหนามนั้นจะปลอดโปร่งจนเดินได้สะดวกแล้วหรือไม่ ทว่าโล่งใจได้ไม่ทันไรผมก็เพิ่งตระหนักได้ถึงบางอย่าง

            อย่างบางที่สำคัญมาก แต่ผมกลับลืมมันไปเสียอย่างนั้น

            คีย์การ์ดที่โดนยึดไปนั้น ผมลืมขอมันคืน

 

TBC



ตอนนี้ยาวที่สุดเลยเพราะมีเรื่องต้องเคลียร์เยอะ

เงาแค้นน้องตาลมาเต็ม ใจเย็นๆ กันน้า

สำหรับปลื้มแล้วอาจจะไม่ใช่พระเอกสายลุยสายทุ่มมากนัก

เราอยากสื่อให้เห็นถึงความตั้งใจ ความพยายามมีที่ถูกจำกัด

เพราะบางทีคนเราก็มีบางเรื่องที่ได้ทำและไม่ได้ เรื่องที่อาจจะเกินกำลังด้วยเหตุผลต่างๆ นานา

ซึ่งบางทีมันก็ขึ้นอยู่กับโอกาสและวาสนาว่าจะทำได้สำเร็จหรือไม่

และในส่วนของเรื่องนี้นั้น ตอนหน้าก็จบแล้ววววววววว ไม่สิๆ มีบทส่งท้ายอีกตอน

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ เจอกันตอนหน้าค่า

ป.ล. อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยดูสุขภาพกันด้วยน้า เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน วันนี้ฝนตกอีก


 
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-12-2017 22:13:16
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 26-12-2017 22:28:19
ไปง้อต้นสนด้วยนะปลื้มมม
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 26-12-2017 23:10:07
ตอนนี้ปลื้มเท่มากๆเลย o13 ส่วนต้นสนก็ยังน่ารักเหมือนเดิมมม ตอนหน้าจบแล้วหรอใจหายเลย รักนิยายเรื่องนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: vwm666 ที่ 26-12-2017 23:49:40
จะมีรวมเล่มไหมอ่า น่าร้ากมากเรื่องนี้ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 27-12-2017 00:54:53
ปลื้มกล้าพูดแล้วนะ เพราะต้นสนกับว่านเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 27-12-2017 01:00:40
ตอนหน้าขอชื่อตอนว่า ขอให้เรื่องนี้ไม่มีคนชื่อตาล 555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 27-12-2017 01:01:21
ความพยายามของปลื้มต้องมีความหมายสิ
สู้ๆนะปลื้ม เราว่าพ่อน่าจะใจอ่อนแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 27-12-2017 01:32:27
คุณพ่อเปิดทางแล้วว
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 27-12-2017 07:58:15
อ่านถึงต้อนที่ 14

ต้นสน อ่อยเบอร์แรงมากกกกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 27-12-2017 20:02:31
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: utamon ที่ 27-12-2017 21:42:16
คิดว่าคุณพ่อเริ่มเปิดทางให้ปลื้มแล้วแหละ แต่ลองแกล้งแค่นั้น นิสัยคนแก่อ่ะเนอะ 55555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 27-12-2017 21:58:37
ตอนนี้เราสงสารต้นสนมากๆเล แง ลูกแม่  :ling1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 27-12-2017 23:35:12
อ่านตอนนี้แล้วเหมือนเป็นแผนคุณพ่ออะคงอยากจะดูความแน่วแน่ของปลื้มแน่ๆว่าจะจริงจังกับลูกชายตัวเองแค่ไหน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 26 ★ 26/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 29-12-2017 00:56:52
สู้ๆนะปลื้มแต่ต้นสนเวลาโกรธน่ากลัวน่าดู :m26: :m26:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 29-12-2017 19:53:39
ตอนที่ 27

            หลังจากไล่ผมกลับ ทั้งข้อความและโทรศัพท์ต้นสนก็ไม่ตอบผมกลับมาอีกเลย ทำเอาร้อนใจจนอยากจะไปหาที่บ้าน แต่สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่จะเหยียบย่างเข้าไปได้โดยง่ายในความคิดผม มันเหมือนกำแพงขนาดใหญ่เกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาจะปีนข้ามผ่านไป สุดท้ายเลยทำได้เพียงพิมพ์ข้อความทิ้งเอาไว้ว่าผมตัดสินทำอะไรไปบ้าง ได้พูดคุยและยืนยันกับคุณสาโรจน์ไปอย่างไรแม้จะจบด้วยความผิดพลาดก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นทุกข้อความกลับไม่ถูกอ่านอยู่ดี

            เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้หากผมเล่าให้ไอ้ว่านฟังมันคงด่าผมจนเสียหลักอีกรอบ เพราะนอกจากจะยอมให้พ่อแฟนยึดคีย์การ์ดห้องแล้วยังทำให้ต้นสนโกรธ ไหนจะเรื่องที่เข้าไปคุยกับคุณสาโรจน์แต่ลืมพูดถึงเรื่องคีย์การ์ดไปเสียสนิท จนตอนนี้ผมยังโมโหตัวเองอยู่เลย

            "เป็นอะไรมึง ทำหน้าย่นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" ไอ้ว่านเดินมายืนเท้าเอวตรงหน้าผมหลังจากแต่งตัวเสร็จ พวกเรากำลังจะออกไปมหาวิทยาลัยแต่ผมยังมีแค่พันขนหนูผืนเดียวพันอยู่รอบเอว แถมนั่งแหมะบนเตียงไม่กระดิกไปไหนมาร่วมห้านาทีได้แล้ว

            "คิดอะไรนิดหน่อย"

            "จะคิดจนเลิกเรียนเลยมั้ย ลุกไปแต่งตัว" ไอ้ว่านเตะขาผมเป็นการไล่ เลยต้องจำใจลุกไปทำตามที่มันบอกอย่างขี้เกียจ

            ผมหยิบเสื้อกับกางมาใส่ด้วยความเศร้าสร้อย รู้สึกหม่นหมองเหมือนมีเมฆครึมลอยอยู่บนหัวตลอดเวลา ไม่อยากกระดิกตัวทำอะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะเคลียร์ปัญหานี้จบ แต่ผมกลับโง่เขลาและขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง

            "แล้วที่บ้านมึงรู้เรื่องหอหรือยังวะ"

            "ยัง กูอยากเคลียร์ปัญหาเอง อาจจะกลับไปหอเก่ามั้ง"

            "อะไรก็อาจจะ มึงไม่อยากอยู่กับต้นสนแล้วเหรอวะ"

            ผมเงยหน้ามองไอ้ว่าน มันกำลังยัดเสื้อใส่ในกางเกงแล้วหยิบเข็มขัดมาใส่

            "อยากดิ"

            "งั้นก็หาทางกลับไปอยู่ด้วยกัน มึงไม่ต้องหาหอใหม่"

            "พูดเหมือนง่าย"

            "แล้วมันยากตรงไหน แค่ทำคีย์การ์ดใหม่"

            ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มันเข้าใจ อยากอยู่ด้วยกันอีกครั้งแค่ทำคีย์การ์ดใหม่อย่างที่มันว่า แต่ถ้าคุณสาโรจน์รู้ย่อมจบไม่สวยเหมือนเดิม ผมอยากให้ครอบครัวของต้นสนยอมรับ และต้องเป็นการยอมรับที่ยอมให้ทำ

            ที่โรงพยาบาลคำพูดของคุณสาโรจน์ยังฝังใจผมจนถึงทุกวันนี้ ทางเดียวที่ผมพอจะนึกออกคือทำให้ชีวิตที่เป็นอยู่ดีกว่าเดิม ยกระดับฐานะทางสังคมให้สูงขึ้น แต่ผมในตอนนี้ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได แม้จะได้พูดทุกอย่างที่คิดไว้ให้ครอบครัวของต้นสนฟังหมดแล้ว แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าผลจะออกมาเป็นยังไง

            "กูอยากให้ตัวเองถูกยอมรับมากกว่านี้"

            ไอ้ว่านเอียงหัว มันคงอยากเลิกยุ่งเรื่องของผมแล้วเลยคว้าเอาชีทเดินหนีออกจากห้องนอนไป

 

            ผมกับไอ้ว่านเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบเพราะพี่เตยยึดโซฟานอนตั้งแต่เมื่อคืน ปกติพื้นที่ในห้องนั่งเล่นนั้นเป็นของผม มีที่นอนปิคนิค ผ้าห่มกับหมอนอีกหนึ่งใบ แต่เมื่อคืนพี่เตยเมาแอ๋กลับมา น้ำท่าไม่อาบทิ้งตัวลงนอนทันที ไอ้ว่านเลยชวนผมเข้าไปนอนในห้องแทน

            สิ่งที่ทำให้ผมเศร้าเสมอขณะอยู่ที่นี่คือห้อง 403 ที่อยู่ตรงข้าม ผมเคยอยู่ที่นั่นทว่าตอนนี้ทำได้เพียงมองบานประตูที่ปิดสนิท มันกลายเป็นห้องว่างเปล่าไร้เสน่ห์ดึงดูดเมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่ เหมือนกับเขตต้องห้ามที่ผมไม่สามารถเข้าไปได้

            ผมก้มหน้าเดินตามหลังไอ้ว่านไปเงียบๆ แต่ก้าวยังไม่ทันพ้นห้องมันก็หยุดแล้วหันหน้ากลับมา ผมเงยหน้าขึ้นตังใจจะถามมัน ทว่ากลับโดนคนที่กำลังเดินมาทางนี้ดึงความสนใจไปจนหมด

            ต้นสนกำลังเดินตรงมาทางผม เจ้าของห้อง 403 ที่ผมคิดถึง คนที่ไม่ยอมติดต่อกับผมเลยเกือบสองวัน แล้วอยู่ๆ วันนี้กลับโผล่มา ทั้งที่แผลยังไม่น่าจะหายดีเลยด้วยซ้ำ

            ไอ้ว่านรีบหลบทางให้เมื่อต้นสนเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่เจือความหม่นหมองอยู่น้อยนิดเรียบนิ่ง เป็นผมเองยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ตั้งใจจะโผเข้ากอดด้วยความคิดถึงปนห่วง แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ต้นสนกลับยื่นบางอย่างมาตรงหน้าผม

            มันคือคีย์การ์ดของห้อง 403

            "เอาไป" น้ำเสียงชัดเจนว่าคือคำสั่ง

            ผมยื่นมือไปรับคีย์การ์ดไว้ รอยยิ้มค่อยๆ หุบลงเมื่อเจอต้นสนโหมดสงบนิ่งซึ่งแฝงไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก

            "ถ้าคราวหลังยอมให้พ่อง่ายๆ อีกจะจัดการ" คาดโทษเสร็จต้นสนก็เดินผ่านไหล่ผมไป

            ผมกับไอ้ว่านมองตามโดยไม่กล้าหือ กะพริบตาปริบมองต้นสนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วรอยยิ้มก็กลับคืนมาอีกครั้ง

            ผมก้มมองคีย์การ์ดที่อยู่ในมือ มีพวงกุญแจหลักกิโลเมตรหัวหินที่ผมได้มาจากไอ้เจนคล้องอยู่ มันคือคีย์การ์ดของผม อันเดียวกับที่คุณสาโรจน์ยึดไป ต้นสนไม่ได้ไปทำมาใหม่ แต่สามารถเอามันกลับคืนมาจากพ่อได้สำเร็จ

            "กูว่ามึงคงมีเรื่องต้องเคลียร์" ไอ้ว่านบอกอย่างรู้ทัน มันยกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าขอตัวก่อนเดินจากไป เหลือผมคนเดียวที่ยังยืนยิ้มอยู่ตรงนี้

            ยิ้มให้กับความกล้าหาญและความพยายามของคนรักที่มีมากกว่าไม่รู้กี่เท่า

            ผมยังยื่นยันคำเดิมว่าต้นสนน่ะเก่ง เก่งมากจริงๆ

 

            ผมใช้คีย์การ์ดที่เพิ่งได้คืนมาเปิดประตูเข้าไปในห้อง ต้นสนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าผม แผ่นหลังที่ดูเปราะบางนิ่งสงบคล้ายกับกำลังรอคอย และผมเดาว่าต้นสนกำลังรอคอยอ้อมกอดจากผม

            ผมเดินเข้าไปสวมกอด ซุกหน้าลงกับไหล่ของคนในอ้อมแขน บอกคำที่ติดค้างอยู่ในใจ คำที่ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะช่วยทดแทนสิ่งที่คนรักต้องเผชิญได้

            "ขอโทษนะ"

            "เรื่องอะไร"

            "ที่อ่อนแอ"

            "อะไรอีก"

            "ขี้ขลาด"

            "อะไรอีก"

            "โง่"

            "..."

            "เอื่อยเฉื่อย"

            "..."

            "ไม่เด็ดขาด"

            "..."

            "ตัดสินใจเองไม่เป็น"

            "พอแล้ว" ต้นสนขัดขึ้นมา เจ้าตัวก้มหน้าลง เสียดายที่ผมอยู่ด้านเลยไม่เห็นว่ากำลังทำหน้ายังไง แต่ผมยังมีอีกเรื่องที่อยากจะบอก และไม่ใช่เรื่องที่อยากจะขอโทษ

            "ขอบคุณที่มาทำให้รักนะ" ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น กระซิบบอกข้างหู คำที่ผมยังไม่เคยบอกให้ต้นสนฟังเลยสักครั้ง

            "พูดอีกทีสิ"

            ผมปล่อยอ้อมแขนออกจับต้นสนให้หันหน้ามาหา ริมฝีปากเคลือบกลิ่นแอปเปิ้ลที่ผมชอบแย้มยิ้มบางๆ อารมณ์ฉุนเฉียวที่แสดงออกก่อนี้ค่อยๆ หายไป

            "รัก"

            "อะไรอีก"

            "รักมากๆ"

            "อะไรอีก"

            "ปลื้มรักต้นสน"

            "..."

            "ปลื้มรักต้นสนมากๆ"

            "..."

            "รักมากๆๆๆๆๆ"

            "พอแล้ว" ต้นสนยิ้มแก้มแตก ขนาดก้มหน้าหนียังมองเห็นแก้มนูนๆ จนอยากหอมแรงๆ สักที

            ตั้งแต่รู้จักกัน เริ่มมีความรู้สึกดีๆ เริ่มรู้ใจตัวเอง จนกระทั่งตกลงคบกันวันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำว่ารัก แม้ทุกอย่างที่ผ่านมาเราจะรับรู้และยอมรับจากการกระทำ แต่สุดท้ายมันก็ยังมีสิ่งที่ขาดไปอยู่ดี

            คำพูดที่ช่วยยืนยันว่าทุกภาษากายที่แสดงออกมานั้นคือความจริงจากใจ

            "ต้นสนก็รักปลื้มเหมือนกัน"

            กลิ่นหอมของแอปเปิ้ลลอยอบอวลเมื่อต้นสนเป็นฝ่ายรั้งคอผมไปจูบ แนบชิดและหนักหน่วง โหยหาและคิดถึง ชวนฝันและเนิ่นนาน แลกสัมผัสที่ต่างฝ่ายต่างชอบใจ

            กว่าจะผละออกจากกันได้เล่นเสียหอบหายใจถี่ ต้นสนอมยิ้ม แขนยังคล้องคอผมไว้ไม่ยอมปล่อย เช่นเดียวกับอ้อมแขนผมที่ยังรอบเอวตัวเจ้าตัวไว้เช่นกัน

            "สัญญานะ"

            คำบอกเลื่อนลอยเอ่ยออกมาจนผมคิดตามไม่ทัน แต่สำหรับตอนนี้ ต่อให้เป็นสัญญาทาสแบบไหนที่ต้นสนต้องการผมจะยอมทำตามทุกอย่าง

            "สัญญาว่าต่อไปจะไม่ยอมพ่อง่ายๆ แล้วก็ห้ามทิ้งกันแบบคราวนี้อีก"

            "สัญญาครับ ครั้งนี้ผิดไปแล้ว"

            ได้รับคำมั่นสัญญาต้นสนก็ปล่อยแขนที่คล้องคอผมออก ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังติดอยู่ในกรงขังของผมอยู่ดี

            "ไม่รีบไปเรียนเหรอ"

            โดนทักแบบนี้ผมเลยต้องยอมปล่อย จะตอบกลับไปว่าไม่เรียนก็ไม่ได้เสียด้วย วิชานี้แสนโหดหิน ทั้งเนื้อหาวิชาและอาจารย์ผู้สอน

            "แล้วแผลโอเคแล้วเหรอ ตอนเดินไม่เจ็บใช่มั้ย" ถึงจะรีบแต่ยังมีเรื่องที่ผมห่วง เท้าข้างซ้ายที่ยังพันผ้าพันแผลเอาไว้อยู่

            "ดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก"

            "วันนี้จะไปเรียนหรือเปล่า"

            "ไปดิ"

            "งั้นกลับพร้อมกันนะ เดี๋ยวตอนเย็นไปรับ"

            ต้นสนพยักหน้าอมยิ้ม ทำตัวเหมือนกำลังเขินคล้ายกับคู่ที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ หนำซ้ำยังไล่ผมเป็นรอบที่สอง

            "ไปได้แล้ว"

            "อย่าฝืนทำอะไรเกินตัว นั่งเฉยๆ ก็ได้ นอนนิ่งๆ ไปเลยก็ดี"

            "ไม่ได้เป็นง่อย ไปเรียนได้แล้ว" รอบนี้เจ้าตัวถึงขั้นโบกมือไล่

            เรายิ้มให้กันอีกครั้งก่อนผมจะออกจากห้อง มองคีย์การ์ดในมืออย่างนึกสงสัยพลางก้าวยาวๆ ตรงไปยังลิฟต์เพราะเวลาเหลือไม่มากนัก

            ทำยังไงกันนะต้นสนถึงได้คีย์การ์ดของผมกลับมา สิ่งที่ถูกยึดไปพร้อมกับคำพูดแสนโหดร้ายต่อจิตใจผม และการกระทำของผมเมื่อวันนั้นมันมีผลอะไรบ้างไหม เหตุใดคุณสาโรจน์ถึงยอมรับมันได้

            ยอมรับ...และยังยอมให้ทำ

 

            วันนี้ผมว่างตั้งแต่บ่ายเลยไปที่หอสมุดรอเวลาต้นสนเลิกเรียนโดยมีสองเพื่อนรักตามไปด้วย จากที่จะได้อ่านหนังสือหรือทำการบ้านกลายเป็นว่าต้องมานั่งเล่าเรื่องความรักของตัวเองให้เพื่อนฟัง ไอ้ว่านผู้รู้มาก ส่วนไอ้เจนผู้รู้น้อย แต่สุดท้ายผมก็โดนพวกมันด่าไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้นเรื่องราวก็จบลงด้วยดี

            ผมแยกกับมันสองคนที่หน้าหอสมุดเมื่อได้เวลา เดินไปรับต้นสนที่คณะ ได้เจอกับอั๋นที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ เราทักทายและบอกลากันพอเป็นพิธีก่อนอั๋นจะส่งต้นสนให้ผมดูแลต่อ พร้อมคำบ่นที่ทำให้เจ้าตัวยู่หน้าอย่างขัดใจ

            เราเดินตามเส้นทางที่ทอดยาวไปหลังมหาวิทยาลัยด้วยความเร็วไม่มากนัก ต้นสนใส่รองเท้าแตะมีผ้าพันแผลพันไว้รอบเท้าซ้าย ตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังไม่เคยเห็นเลยว่าแผลมันรุนแรงขนาดไหน ได้แต่ฟังจากปากเจ้าตัวว่าไม่เป็นไรสบายดี แต่การต้องไปหาหมอเพื่อทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวันมันไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วสบายใจได้เลย

            "วันนี้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเหรอ"

            "แค่ทายากับปิดแผลไว้ก็พอ"

            ผมพยักหน้ารับแล้วคว้ามือต้นสนมาจับไว้ ใจจริงอยากจะประคองเอวไว้เลยด้วยซ้ำ ครั้นจะหิ้วปีกก็ดูอาการหนักไป

            เราจับมือกันเดินอย่างไม่เร่งรีบจนมาถึงหน้าตลาด ผมจะพาเดินผ่านแต่ต้นสนกระตุกมือไว้เลยต้องเดินตามเข้าไปด้านใน เจ้าตัวบอกเพียงสั้นๆ และไม่เปิดโอกาสให้ผมได้คัดค้าน

            "อยากกินกับข้าวป้านก"

            เพราะถึงยังไงซะผมก็ต้องตามใจคุณหนูอยู่ดี

            ป้านกดูท่าจะตกใจไม่น้อยที่เราสองคนมาที่ร้านวันนี้ แกรีบถามไถ่อาการอย่างเป็นห่วง แสดงความรู้สึกผิดทั้งสีหน้าและสายตา โดยไร้วี่แววของลูกสาวตัวก่อเรื่องที่นับตั้งแต่นั้นน้องตาลก็หายไปจากชีวิตของเราสองคน

            "ต้นสนเท้าเป็นยังไงบ้างลูก อาการดีขึ้นบ้างมั้ย ป้าไม่ได้ไปเยี่ยมเลยต้องขอโทษจริงๆ"

            "แค่นี้สบายมากครับป้า อีกสักพักก็หายดีแล้ว" ต้นสนยิ้มกว้าง ใช้น้ำเสียงร่าเริงเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ

            ผมเข้าใจป้านกนะ แกรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลกับความผิดของลูกสาวครั้งนี้ทั้งหมด ต้องทำงานทุกวัน วันไหนไม่ทำก็ขาดรายได้ ไหนจะขาดผู้ช่วยไปอีกสองคนทั้งผมทั้งน้องตาลถึงมันจะไม่ได้มากมาย แต่ส่วนที่ขาดไปย่อมกินแรงคนที่ต้องทำงานอยู่ดี และความใจดีของป้านกก็ไม่เคยลดลงเลย

            "กินอะไรเลือกได้เลยนะลูกป้าไม่คิดเงิน"

            "ไม่เป็นไรหรอกครับ ของซื้อของขาย งั้นผมเอาเขียวหวานกับยำหมูยอ ข้าวเปล่าสองถุง"

            ป้านกยื่นถุงกับข้าวที่สั่งมาให้ต้นสนก็พยายามยัดเยียดเงินกลับคืนไปอย่างไม่มีใครยอมใคร พอป้านกไม่ยอมรับเจ้าตัวเลยวางเงินทิ้งไว้แล้วพาผมเดินหนีออกมา

            ผมแย่งถุงกับข้าวมาถือไว้ เรายังเดินจับมือช่วยประคับประคองกันจนมาถึงคอนโด คีย์การ์ดที่เพิ่งได้คืนมาถูกใช้งานอีกครั้ง รวมถึงจากนี้ตลอดไป ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปอีก

            ผมพาต้นสนไปนั่งที่โซฟาก่อนไปจัดแจงเทกับข้าวใส่จาน มีคนป่วยหนึ่งอัตราอาสาจะช่วยเลยโดนผมบ่นไปหนึ่งชุดใหญ่ถึงได้ยอมนั่งอยู่นิ่งๆ จัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยก็ทยอยยกมาวางบนโต๊ะหน้าทีวี วันนี้เราจะกินมื้อเย็นกันที่ห้องนั่งเล่น

            "ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานเลยนะเนี่ย" ต้นสนพูดเจื้อยแจ้วพลางตักข้าวเข้าปาก

            "กินไปพูดไปเดี๋ยวก็ติดคอเอาหรอก"

            "เหมือนจะไม่โดนบ่นแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน"

            "ได้ข่าวว่าเมื่อกี้เพิ่งบ่นไป"

            ต้นสนฉีกยิ้มทำหน้าทะเล้น อยู่บ้านเป็นคุณหนูที่ทุกคนตามใจไม่ค่อยโดนบ่น พอมาอยู่กับผมเลยเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่โดนบ่นมันทุกวัน บ่นเพราะเป็นห่วงทั้งนั้น

            "ต้นสน"

            "หืม" คนที่กำลังจ้องภาพยนตร์ในทีวีเหลือบมามอง

            "ขอถามอะไรหน่อย"

            "ถามดีๆ นะ"

            คำสั่งแบบทีเล่นทีจริงทำผมหัวเราะออกจมูก จะว่าเป็นคำถามที่ดีหรือไม่ดีล่ะสิ่งที่ผมอยากรู้นี้

            "ไปเอาคีย์การ์ดคืนมาได้ยังไง"

            ต้นสนละสายตาจากหน้าจอทีวีหันมามองผม ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดที่จะตอบ ซ้ำยังอมยิ้มแล้วใช้ส้อมจิ้มหมูยอขึ้นมากิน

            "ก็เข้าไปคุยแล้วก็ขอตรงๆ เออใช่ ตอนแรกเราอาจจะโมโหนิดหน่อย แต่ก็จบลงด้วยด้วยดี"

            ทำไมฟังดูเหมือนง่าย ทั้งที่ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงให้คุณสาโรจน์ยอมรับตัวตนของผมในตอนนี้ ทั้งต้อยต่ำ ทั้งไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ต้นสนทำยังไงพูดยังไงถึงทำให้ตัวผมยกระดับขึ้นมาจนคุณสาโรจน์พอใจได้กัน

            "ทำไมทำหน้าแบบนั้น"

            "พูดยังไง"

            ต้นสนเอียงคอมองแล้วอมยิ้ม ขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนเฉลยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมอยากได้ยินออกมา

            "แล้วทำไมปลื้มถึงคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีล่ะ โดนพ่อพูดกระทับกระทั่งเสียดสีนิดหน่อยก็ทำจ๋อย ทั้งที่พ่อยอมรับแล้วแท้ๆ ทั้งทำอาหารเป็น ดูแลคนอื่นเป็น ขยันทำงาน เล่นกีฬา เล่นดนตรีก็ได้อีก เรื่องฐานะมันไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยนะ ตอนนี้ไม่มีใช่ว่าอนาคตจะไม่มีเหมือนกันเสียเมื่อไร เราเชื่อว่าปลื้มหาได้ ถึงหาไม่ได้เราก็ไม่แคร์หรอก เรารวย แค่อยู่ดูแลเราก็พอ"

            "มันใช่เวลามาล้อเล่นมั้ย"

            "เราไม่ได้ล้อเล่น แค่อยู่ดูแลเรา...ได้ใช่มั้ย" รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปเป็นความจริงจังเข้ามาแทนที่

            เราสบตากันนิ่ง คำตอบในใจผมมันแน่นอนอยู่แล้วคือ 'ได้' ผมจะอยู่ดูแลคนคนนี้ไปตลอดตราบนานเท่านาน นานจนกว่าจะโดนเบื่อขี้หน้ากันไปเลย

            "อยู่ดูแลตลอดไปยังได้เลย"

            "ดีมาก"

            ต้นสนยิ้มกว้าง หันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางสดใสร่าเริงกว่าเดิม ทว่าทิ้งเวลาไว้ชั่วครู่ก็หันกลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง

            "ที่จริง วันที่เราทะเลาะกันแล้วปลื้มไปหาพ่อก็มีส่วนให้เราคุยง่ายขึ้นด้วยแหละ" แล้วต้นสนก็พูดถึงประเด็นนี้ออกมาในที่สุด สิ่งที่ผมหวังว่ามันจะช่วยให้ปัญหาจบได้เร็วขึ้น สักนิดหน่อยก็ยังดี

            "วันนั้นทำอะไรไม่ถูกจริงๆ เลยขอให้ลุงพันหาไปหาคุณอา แถมใครบางคนยังไม่ยอมคุยด้วยอีก เครียดจนหัวจะระเบิด" ผมตัดเพ้อ วันนั้นกำลังลดเหลือขีดแดง อาการเข้าขั้นโคม่า ยังโชคดีที่รอดพ้นมันมาได้

            "ก็ตอนนั้นยังโกรธอยู่ไงเลยไม่อยากคุย ตอนแม่กลับมาก็บอกนะว่าปลื้มไปหา เอาเข้าจริงเรื่องที่พ่อยึดคีย์การ์ดปลื้มมาไม่มีใครในบ้านรู้เลย จากที่จะหายโกรธกลายเป็นโมโหพ่อไปอีก แต่พอได้คีย์การ์ดก็ยังไม่อยากบอกปลื้มอีกนั่นแหละ อยากสั่งสอนสักหน่อย"

            "โห ร้ายกาจ" ผมไม่รู้จะนิยามคำไหนดีให้คนคนนี้ เก่งและร้ายกาจคงเป็นคำที่เหมาะที่สุด ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรักต้นสนมากอยู่ดี

            คำชมว่าร้ายกาจเหมือนจะถูกใจต้นสนอยู่ไม่น้อยถึงได้ยักคิ้วหลิ่วตายิ้มให้ แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็อุทานออกมาจนผมสะดุ้งตาม ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องอะไรอีก

            "เออใช่!" ว่าแล้วต้นสนก็เอี้ยวตัวไปคว้ากระเป๋า เปิดค้นมันแล้วหยิบบางอย่างยื่นมาให้ผม

            "อะไรอะ"

            "ไปดูเอาเอง แต่ห้ามเปิดตอนนี้ ห้ามเด็ดขาด"

            ผมรับมันมาพลางพยักหน้ารับ ทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาดแต่ต้องจำใจวางมันไว้ไม่เปิดดูตามคำสั่ง

            ซองสีขาวขนาดเท่าซองจดหมายที่ถูกวาดลวดลายด้วยสีน้ำ เป็นลายก้อนเมฆหลากหลายสีสัน อย่างกับเจ้าตัวรู้ว่าถูกผมเปรียบเทียบเป็นก้อนเมฆถึงได้วาดมันออกมา แล้วสิ่งที่อยู่ในซองนั้นคืออะไร

            จดหมายรักงั้นเหรอ

            ก็ว่าไปนั่น


TBC


และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี แต่จะเป็นแผนคุณพ่อตาหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ

รู้แต่ว่ารักต้นสนมากๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิ

ส่วนเรื่องรวมเล่มนั้นมีแน่นอนค่า ไว้เดี๋ยวเราจะแจ้งอีกทีนะคะ

วันหยุดปีใหม่นี้ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพกันทุกผู้ทุกคนน้า ระวังๆ กันด้วยนะคะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้า บทส่งท้ายยยยยยย


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 29-12-2017 20:20:07
ต้นสนน่ารักมากกกกกก ตอนหน้าจบแล้ว แง้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 29-12-2017 21:06:58
จดหมายสีขาว>>>>ซองผ้าป่า  ผ่ามผ๊าม555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 29-12-2017 21:16:49
ต้นสนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 29-12-2017 21:17:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: oki ที่ 29-12-2017 21:19:59
น่ารักอ่ะ จะจบแล้วหรอเนี่ย  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 30-12-2017 00:32:11
จะจบแล้วอ่ะะะ :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 30-12-2017 01:32:18
ร้ายกาจกว่าคุณพ่อก็ต้นสนนี่แหละ :laugh3:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-12-2017 12:45:46
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนที่ 27 ★ 29/12/2560
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 30-12-2017 12:47:16
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 02-01-2018 13:53:16

บทส่งท้าย


            'To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมรักคุณไปแล้ว'

            ผมแกะซองจดหมายลายเมฆในเช้าวันต่อมา ในนั้นมีกระดาษโน้ตใส่เอาไว้ เมื่อกางมันออกก็พบกับข้อความนี้ การจั่วหัวอันเป็นเอกลักษณ์ของคนที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่ข้างผม แต่สำหรับเนื้อหาในโน้ตครั้งนี้มันแตกต่างออกไป

            ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

 

'สวัสดีคนที่เก็บมือถือผมได้ ไม่ใช่สิ คนที่ตั้งใจจะขโมยมันต่างหาก'

           

            แค่เกริ่นนำก็ทำเอามันเขี้ยว ถึงอย่างนั้นผมกลับหุบยิ้มไม่ได้เลย

 

'ขอบคุณนะที่วันนั้นเก็บมันไป ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้พบเจอกับสิ่งดีๆ เช่นคุณ

คนที่ช่วยเข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผม ลองหันมองรอบๆ ดูสิ

ทุกอย่างมันต่างจากครั้งแรกที่คุณเห็นนะ เพราะคุณรู้ตัวไว้ด้วย'

 

            ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างที่ว่า ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองเพราะมันคือความจริง แต่มันเปลี่ยนแปลงได้ด้วยฝีมือของเราทั้งสองคน

            "เพราะเราช่วยกันต่างหาก" ผมบอกคนที่อยู่ใต้ผ้าห่มแล้วยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเบนสายตากลับมาสนใจเนื้อความในโน้ต

 

'คุณมีค่ามากนะสำหรับผม อย่ามองว่าตัวเองต้อยต่ำ อย่าคิดแบบนั้น อย่า!'

 

            อ่านมาถึงตรงนี้ผมเกือบหลุดหัวเราะ ภาพต้นสนตอนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดขี้นิ้วออกคำสั่งลอยเข้ามาในหัว ตามมาหลอกหลอนแม้กระทั่งในรูปแบบตัวหนังสือ

 

'ตั้งแต่วันนั้นมันผ่านมานานเท่าไรแล้วนะ เหมือนจะแป๊บเดียวแต่กลับรู้สึกผูกพันอย่างบอกไม่ถูก

จากนี้อยู่ด้วยกันไปนานๆ นะ นานเท่าที่ยังรู้สึก

ต้นสนรักปลื้ม รักมาก'

 

            อะไรเล่าจะทำให้ผมมีความสุขได้ถึงเพียงนี้ เพียงแค่ข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค เพียงแค่สิ่งที่เขียนออกมาจากใจ เพียงแค่นี้ก็เกินพอ

            ผมพับกระดาษโน้ตเก็บใส่ซองจดหมายลายเมฆไว้เหมือนเดิม วางมันไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนไหลตัวลงนอนซุกเข้าใต้ผ้าห่ม วาดแขนกอดต้นสนให้เต็มรัก อยากนอนอีกสักพักให้เต็มตื่น แต่ผมคงขยับตัวแรงเกินไปถึงได้ปลุกคนที่กำลังหลับสบายให้ตื่นขึ้นมา

            "ตื่นแล้วเหรอ กี่โมงแล้ว" ต้นสนถามเสียงงัวเงีย ปรือตาขึ้นมามองผมชั่วครู่ก่อนหลับตาลงเหมือนเดิน ขยับตัวเข้าหาอ้อมกอดซุกหน้าอยู่ที่อกผม

            "เพิ่งเจ็ดโมงเอง"

            "นอนก่อนนะอย่าเพิ่งลุก" บอกเพียงเท่านี้แล้วก็เงียบไป

            ต้นสนหลับไปอีกรอบ จะขี้เซานอนเยอะขนาดนี้ก็ไม่แปลกนักเพราะเมื่อคืนกว่าจะยอมนอนปาเข้าไปเกือบตีสอง มัวแต่วาดรูปที่ไม่ใช่งานอย่างทุกที อีกอย่างผมเองก็ไม่ได้เร่งให้เจ้าตัวรีบนอนเหมือนกัน

            สมุดสเก็ตซ์ภาพปกสีเหลืองที่ถูกใช้จนถึงหน้าสุดท้าย เมื่อคืนผมนั่งดูต้นสนวาดเรื่องราวของเราลงไปในนั้น ช่วยกันแต่งแต้มมันลงไป อาจไม่สวยหรู ไม่เหมือนเรื่องราวในฝัน แต่มันคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขมากที่สุด

            ผมไม่รู้ว่าหนทางของเราจะยาวไกลแค่ไหน รู้เพียงว่าวันนี้เรื่องราวจะถูกบันทึกลงในสมุดเล่มใหม่ ดำเนินไปจนกว่าจะถึงหน้าสุดท้าย

            และมันจะถูกแต่งแต้มลงสมุดเล่มใหม่ไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ

 
END

 
จบอย่างเป็นทางการแล้ว บทส่งท้ายแบบสั้นมากๆ
เป็นยังไงบ้างกับซองจดหมายของต้นสน ไม่ใช่ซองผ้าป่านะ
เราใช้เวลาอยู่กับเรื่องนี้ตั้งห้าเดือนแหนะ พอมาอ่านบทส่งท้ายซ้ำก็แอบใจหายเบาๆ
จุดเริ่มต้นของเรื่อง To... เป็นสิ่งที่เราไม่คิดว่าจะเอามาเขียนเป็นนิยายได้เลยค่ะ ชั่ววูบมากๆ
แต่พอคิดไปเรื่อยๆ ก็เริ่มสนุก ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะ แบบนี้ล่ะจะเป็นยังไง
เรื่องนี้ก็แซงพล็อตเรื่องอื่นๆ ที่ตั้งใจว่าจะเขียนก่อนขึ้นมาเฉย
มันเหมือนกับว่าต้องเขียนนะ เขียนตอนนี้เลย ความคิดกำลังลื่นไหลสุดๆ
แต่พอเขียนได้สองตอนก็แบบเอาไงต่อดีวะ สมองตันไปเลยค่ะ 55555
คือจะต่อเรื่องยืดเรื่องยังไงให้ไม่เฉลยเร็วเกินไป ให้คนอ่านได้ลุ้นมากกว่านี้
จากที่วางไว้ว่าจะเฉลยตอนที่สี่ก็เลยได้ไปเฉลยตอนที่หกกับเจ็ดแทน
หลังจากเฉลยแล้วก็มาคิดอีกว่าจะทำยังไงให้สองคนนี้ได้เจอได้อยู่ด้วยกันในห้องบ่อยๆ
ตอนแรกเราตั้งใจจะให้ปลื้มย้ายมาอยู่กับต้นสนตั้งแต่ช่วงเฉลยความจริงเลยค่ะ
โดยใช้เรื่องโดนไล่ออกจากหอ บุญคุณ อะไรประมาณนี้ แต่คิดแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไร ง่ายเกิน
สุดท้ายได้ป้านกกับความขี้อ่อยของต้นสนมาช่วยไว้ เลยได้เห็นฉากหวานๆ เยอะมาก สมใจเรามากๆ ด้วย
ตั้งใจว่าอยากได้อะไรที่มันอีโรติกหน่อยๆ อย่างจูบรอยแผลงี้ เป็นฉากที่เราใฝ่ฝันมาก ฮ่าๆๆๆ
อยากได้นายเอกตรงๆ ไม่ขี้อาย พระเอกสายพ่อบ้าน ทำอาหารเก่ง ไม่เอาคนเท่คนคูล
ที่จริงตอนจบเราคิดไว้ดราม่ากว่านี้อีกค่ะ แบบว่าเพ้อเจ้อมาก
มีอุบัติเหตุรถคล่ำ ปลื้มเป็นคนขับ ต้นสนเจ็บหนัก โทษตัวเอง พ่อตากับแยก บลาๆๆๆ
กว่าจะได้มาครองคู่กันอีกทีก็นู้นเลยหลังเรียนจบ ชีวิตดี ปลื้มรวยแล้ว พ่อตายอมรับ
แต่เราว่าจะหนักไปเลยย่อเลยแกงหกใส่เท้าพอ เนอะ เบาๆ เดี๋ยวผิดคอนเซ็ปสายฮีล ฮ่าๆๆ

สุดท้ายนี้(นี่เวิ่นมาเยอะมาก ความยาวจะเท่าบทส่งท้ายละ ฮ่าๆๆ)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและพูดคุยกันนะคะ เวลาอ่านคอมเม้นต์แล้วมีกำลังใจมากๆ
ทุกคนชอบเราก็ดีใจ แถมต้นสนยังได้แม่ยกมาเพียบ กลายเป็นลูกรักของแม่ๆ ไปเลย
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
สำหรับคนที่ถามถึงเรื่องรวมเล่ม
เรื่องนี้ได้ตีพิมพ์กับเอเวอร์วายนะคะ ไม่เดือนกุมภาก็มีนา ประมาณนี้ค่ะ
ส่วนตอนพิเศษเดี๋ยวตามมาลงให้นะคะ

สุดท้ายนี้(สุดท้ายจริงแล้วววว)
ขอฝากนิยายเรื่องให้ของเราด้วยน้า ตอนนี้ลงบทนำไว้ทั้งหมดสองเรื่อง เข้าไปอ่านจิ้มที่ชื่อเรื่องได้เลยค่ะ
อยากให้เธอฝันยามหนุน (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64766.0) จะมาแนวผู้ใหญ่หน่อยค่ะ ทำงานแล้ว ย้อนไปย้อนมาระหว่างปัจจุบันกับอดีต
My Egg (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=64895.0) ใสๆ วัยมัธยม น้องไข่ต้มกับเพื่อนของเขา
ขอบคุณมากค่า

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 02-01-2018 15:18:00
ขอตอนพิเศษ พลีสสส
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 02-01-2018 15:39:28
จบแล้ววววว ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อไปค่าา
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: marisa9397 ที่ 02-01-2018 18:26:20
ชอบมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-01-2018 21:11:02
 :mew1: :mew1: :mew1: :pig4: :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 02-01-2018 21:34:15
งือออ จบซะแล้ว :hao7: :katai1:

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Meercorn ที่ 02-01-2018 21:57:04
สนุกมากเลย ชอบทั้งต้นสนและปลื้มเลย ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ เป็นนิยายสายฮิลจริงๆอ่านแล้วยิ้มตามทั้งเลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: animate ที่ 02-01-2018 22:01:26
ขอบคุณครับ สนุกมากๆเลย จะรอตอนตีพิมพ์นะครับ o13
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 02-01-2018 22:29:10
จบแล้วววว จบได้น่ารักสมเป็นต้นสนจริงๆ บอกตรงๆว่าตอนเข้ามาอ่านเรื่องนี้เพราะเห็นชื่อแล้วนึกว่าดราม่าแต่กลับไม่ใช่ มีแต่ความน่ารักเอาใจใส่ของปลื้มและความขี้อ่อยของต้นสนเต็มไปหมด ขอตอนพิเศษหวานๆด้วยจะดีมากค่ะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-01-2018 00:49:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 03-01-2018 01:25:37
ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้เราได้อ่านนะคะ
เราอ่านเรื่องนี้ตั้งแต่ลงตอนแรกเลย กดเข้ามาเพราะชื่อเรื่อง คิดว่ามันดราม่าแน่ๆ
แต่ความจริงคือน่ารักฟีลกู๊ดดดด ต้นสนคนขี้อ่อย กับคุณปลื้มคนดี
ขอบคุณนะคะที่ไม่แต่งให้ดราม่ากว่านี้ แง แค่ตอนพ่อยึดคีย์การ์ดเราก็ใจบางแล้ว

รอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ เป็นกำลังใจให้ค่า :L1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: a.amyw ที่ 03-01-2018 10:43:28
ขอบคุณที่แต่งนิยายฮีลใจดีๆมาให้อ่านนะคะ ช่วงที่อ่านเรื่องนี้ตรงกับช่วงเตรียมสอบพอดีเลย แต่ละวันทั้งเครียดทั้งกดดัน พอได้มาอ่านแล้วมันช่วยฮีลเราได้เยอะเลย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อ่านแต่มันมีความสุขมาก อ่านแล้วอมยิ้มไม่หยุด ต่อไปคงคิดถึงปลื้มกับต้นสนมากแน่ๆ ไว้สอบเสร็จจะกลับมาอ่านอีกนะะ รอตอนพิเศษค่าาา แอบอยากอ่านตอนโต ตอนปลื้มรวยแล้ว555555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: StarPasO ที่ 03-01-2018 11:37:15
จบแล้ววว ต้นสนยังคงคงามน่ารักไว้ตั้งแต่ต้นยันจบิชอบจดหมายจัง
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Namshine ที่ 03-01-2018 13:30:33
ขอบคุณที่แต่งเรื่องน่ารักน่ารักแบบนี้นะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 03-01-2018 17:35:53
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :L2: :3123: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 03-01-2018 22:10:52
จบซะแล้ว ดราม่าพอกรุบกริบๆ สู้ความหวานไม่ได้ หวานกันจนพ่อยอมแพ้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ บทส่งท้าย ★ 02/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 04-01-2018 01:07:51
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
เราชอบปลื้มและต้นสนมากคือไม่หวือไม่หวาคิดอะไรก็พูดดูเหมือนตัวละครจับต้องได้
จะรอตอนพิเศษนะคะ :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kinsang ที่ 05-01-2018 20:14:32

ตอนพิเศษ
ลับ

            หลายคนที่เล่นทวิตเตอร์มักมีมากกว่าหนึ่งแอคเคาท์ อย่างผมนั้นมีสองแอคเคาท์คือแอคเคาท์หลักกับอีกอันที่เปิดเพื่อติดต่อกับต้นสนตอนเกิดเรื่องใหม่ๆ จนสุดท้ายกลายเป็นอันที่ใช้บ่อยมากกว่าแอคเคาท์หลักเสียอีก

            ทว่าตอนนี้ผมเพิ่งค้นพบอะไรบางอย่าง มันคือแอคเคาท์ลับที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

            ไม่ใช่แอคเคาท์ของผม แต่เป็นของใครบางคนที่กำลังนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

            แอคเคาท์ลับของต้นสน

            เหตุที่ผมบังเอิญเข้าไปเจอนั้นเป็นเพราะความไว้ใจของต้นสนล้วนๆ เจ้าตัวไม่เคยตั้งรหัสล็อกมือถือ แถมยังปล่อยให้ผมเล่นได้ตามใจชอบ และคงไม่คิดว่าผมจะอุตริเปิดดูแอคเคาท์ทั้งหมดที่มีในทวิตเตอร์ เปิดดู และอ่านข้อความที่ถูกทวีตเอาไว้

            แอคเคาท์ที่มีชื่อว่า 'ถึงคนที่ปลื้ม' รูปโปรไฟล์เป็นภาพวาดขาวดำของชายในชุดนักศึกษาซึ่งยืนหันหลัง ช่องข้อมูลส่วนตัวระบุว่า 'เปิดไว้ระบายถึงใครบางคน เมื่อสมหวังแล้วจะเลิกเล่น' และใครบางคนที่ว่าก็แทบไม่ต้องเดาเลยว่าคือใคร

            คนที่นั่งยิ้มแก้มปริอยู่ตรงนี้เอง

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            สมหวังแล้วนะ เป็นแฟนกันแล้ววววว ขอบคุณนะที่อยู่ข้างกันมาตลอด

 

            ทวีตนี้ถูกโพสต์เมื่อสามเดือนก่อน ในวันที่ผมถูกต้นสนขอเป็นแฟน และเป็นทวีตสุดท้ายของแอคเคาท์นี้

            ผมสไลด์หน้าจอขึ้นเพื่ออ่านทวีตถัดไป ทุกข้อความทำให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ และทำให้ผมยิ้มไม่หุบยามเลื่อนสายตาอ่านตัวหนังสือเหล่านั้น

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            พลุกับไฟเย็นสวยมากกกกก สุขสันต์วันปีใหม่นะ

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            กับข้าวบ้านนายน่ากินสุดๆ สัญญาแล้วนะว่ากลับมาจะทำข้ามต้มกุ๊ยให้กิน

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            ปิดเทอมไม่ได้เจอกันหลายวันต้องเหงามากแน่ๆ เดินทางปลอดภัยนะ

 

            ยิ่งไล่อ่านลงมาเรื่อยๆ ยิ่งเหมือนได้ย้อนความหลัง ได้รับรู้ความรู้สึกในมุมมองของต้นสนที่ผมรู้บ้างไม่รู้บ้าง กระทั่งเลื่อนมาถึงทวีตนี้ ทวีตที่ทำให้ผมยิ้มกว้างเหมือนแก้มกำลังจะระเบิด

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            โดนจูบท้องน้อยอะ โดนเห็นสมุดสเก็ตซ์แล้วด้วยยยยยยย โว้ยยยยยย เขินโว้ยยยยย

 

            ผมต้องกลั้นตัวเองไว้สุดพลังเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะ แสดงว่าที่ทำนิ่งๆ ขรึมๆ วันนั้นคือมาระบายลงในนี้หมดงั้นสินะ

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            ให้ตอบแทนบุญคุณด้วยจูบเหรอ คือดี 5555555

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

             น้องตาลๆๆๆ หวังว่าคงจะไม่มีอะไรนะ

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            อีอารี่ อีเพื่อนเวร อีเลว

 

            ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า ต้องพยายามกลั้นขำสุดความสามารถเพราะกลัวคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานจะได้ยินจนเกิดความสงสัยแล้วเข้ามาดู

            วันที่เกิดเหตุของทวีตเหล่านี้ผมจำได้แม่น มันคือวันที่ผมไปช่วยต้นสนขายของที่งาน KFM วันที่เกิดเรื่องต่างๆ มากมาย แต่เจ้าตัวกลับระบายสิ่งเหล่านั้นได้น่าเอ็นดูเหลือเกิน

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            หึงแล้ววววว!!! นายหึง!!! นายหึงเรา!!!

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            เป็นบ้าอะไรวะ โกรธไร้สาระ โมโหโว้ย!!

 

            ดูท่าเหตุการณ์ในวันนี้เครื่องหมายตกใจจะขายดีเป็นพิเศษ ผมหึงต้นสน หึงเจ้าตัวที่อยู่กับอารี่แล้วก็แสดงพฤติกรรมแย่ๆ ออกไป ถึงอย่างนั้นทุกอย่างก็จบลงด้วยดี ดีมากๆ

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            ได้จูบแล้ววววววว เราจูบนาย แต่นายท้าเองนะ นายท้าเอง แล้วเราก็จูบ โอ้ยเขินนนนนน

 

            จูบครั้งแรกของเราผมก็ยังจำได้ดี จูบที่ไม่ได้ตั้งใจ จูบที่มาจากการท้าทาย แต่ผมกลับอยากขอบคุณที่สนต้นกล้ารับคำท้านั้น เพราะมันทำให้อะไรๆ ดูชัดเจนยิ่งขึ้น

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            หน้าตาดี ทำอาหารเป็น เล่นดนตรีได้ เล่นกีฬาก็ได้อีก เพียบพร้อมขนาดนี้จะหาได้อีกที่ไหน มาเป็นของเราเถอะนะ

 

            ขณะอ่านทวีตนี้ถ้าผมกินอะไรอยู่คงสำลัก อ่านจบแล้วต้องรีบยกมือขึ้นมาปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ กับประโยคที่ว่า 'มาเป็นของเราเถอะนะ'  เพียงแค่ผมทำอาหารและเล่นกีตาร์ร้องเพลงถึงกับอยากได้ไปไว้ในครอบครองเชียว แต่ตอนนี้ก็ได้ไปเป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้วนี่นะ

            ผมไล่อ่านทุกข้อความที่ถูกทวีตเอาไว้ ไล่ตามความหลังที่นึกถึงกี่ครั้งก็ยังมีความสุข เรื่องราวและเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยกัน ความรู้สึกที่อีกฝ่ายไม่ได้บอกให้รู้ คำพูดที่ไม่ได้เอ่ยให้ฟัง พฤติกรรมที่ไม่ได้แสดงให้เห็น แต่ผมสัมผัสและจินตนาการถึงมันได้ผ่านจากข้อความที่บ่งบอกความรู้สึกเหล่านี้

            ย้อนกลับไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่งกลับมาถึงข้อความแรกที่เจ้าตัวทวีตเอาไว้ ทวีตที่ถูกเมนชั่นต่อกันไว้หลายข้อความ จนคล้ายกับจดหมายฉบับหนึ่ง

            จดหมายถึงคนที่ปลื้ม

 

            ถึงคนที่ปลื้ม @topurimxx

            เหมือนกับว่ากำลังมีความรู้สึกพิเศษกับใครบางคน

            เหมือนกับว่าเขาจะคิดว่าเรากำลังฆ่าตัวตาย

            เหมือนกับว่าเขาจะโกหกเพื่อให้ได้เข้าใกล้เรา

            เหมือนกับว่าเขาจะเป็นคนดีคนหนึ่งที่อยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

            เหมือนกับว่าเขาจะเป็นคนที่อ่อนโยนมากๆ

            และเหมือนกับว่าเรา...จะเริ่มชอบเขาเข้าแล้วล่ะมั้ง

            ทุกอย่างสิ้นสุดที่ตรงนี้ แต่ถ้าหากใช้นิ้วสไลด์หน้าจอลงมามันก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักของคนคนหนึ่ง ไม่สิ เป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความรักของเราสองคนต่างหาก

            ได้รู้ทุกอย่างจนสมใจอยากผมก็กดสลับแอคเคาท์ไว้อย่างแนบเนียน วางมือถือต้นสนไว้บนโต๊ะอย่างไร้พิรุธโดยที่เจ้าของเครื่องไม่มีโอกาสได้รู้ตัว

            แต่สำหรับผมนั้นได้รู้แล้ว

            ได้รู้แล้วว่าความรักของเราเริ่มต้นที่ตรงไหน


END

 
เอาตอนพิเศษมาให้อ่าน แล้วก็จบอย่างเป็นทางการแล้วนะ
ต่อไปคงไม่ได้ลงเนื้อหาของเรื่องนี้อีก ต้องคิดถึงมากแน่ๆ
คิดถึงต้นสน คิดถึงปลื้ม คิดถึงทุกตัวละคร และคิดถึงคนอ่านทุกคน
ขอบคุณมากๆ เลยนะคะที่ตามมาจนถึงตอนนี้ ดีใจมากๆ เลย
ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ค่ะ ^^

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 05-01-2018 20:35:14
ไม่อยากให้จบเลยค่าาาา ต้นสนน่ารักมากๆ ไม่คิดว่าจะยังได้อีกกกกกก ความหน้านิ่งนี้จริงๆก็เขินสินะ น่ารักมากๆเลย  :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ImInDragon ที่ 05-01-2018 20:59:40
 :hao7: :hao7: :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :-[ :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: :o8: บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยยยย !!! ทำไมอ่ะ ทำไมตึงต้องทำให้เขินขนาดนี้ด้วย ปกติอ่านแนวฟีลกู๊ดไม่ค่อยได้ แต่นี่แบบ อ่านได้ค่ะเรื่องนี้อ่านได้ น่ารักมาก โอ้โห น่ารักจนอยากไถไปกับจอเลย ชอบเวอร์เวอร์ ยิ่งตอนพิเศษยิ่งน่ารัก

แหม
แอบดูกันขนาดนี้
ขอยกใหญ่สักเซ็ทนึงด้วยนะ ใส่ต้นสนเลย
สารภาพหน่อย ตั้งแต่อ่านเรื่องนี้นะ ไม่ค่อยจำชื่อพระเอกได้หรอก เพราะเราชอบต้นสนมาก เราจำได้แต่ ต้นสน ต้นสน โอ้ว้าว ต้นสนของแม่ ต้นสนของแม่ ลูกเอ๋ย ลูกน่ารัก มาตอนนี้ก็เหมือนกัน พระเอกชื่อไรวะ แต่อยากกอดต้นสน ต้นสนน่ารัก ต้นสนเอ๋ย จงมาให้แม่กอดนะ มา นะ มา 555555555

ยังคงคิดเช่นดิมอย่างทุกวันค่ะ
คือ
รอวันที่รูปเล่มออกค่ะ ฮื่อออออออออออออออออ  :hao6:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: yasperjer ที่ 05-01-2018 22:18:55
ต้นสนลูกกกกกกกกกก ตลกตอนบอกมาเป็นของเราเถอะ555555555
ปลื้มรักตายเลย ตอนนี้สมหวังละเนอะต้นสน :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 05-01-2018 22:44:54
 :m1: :m1: :m1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: TAETAEBAE ที่ 05-01-2018 23:19:21
ชอบมากก ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องนึกว่านิยายดราม่า เลยไม่อ่าน ผ่านหน้าผ่านตาอยู่หลายเดือน จนลองอ่าน อ๊าายย มันดีมาก ดีต่อใจ นี่ฉันเข้าใจผิดเหรอเนี่ยย น่ารักๆมากๆ อ่านไปยิ้มไปขำไป งื้ออชอบบ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: baibuabuaz ที่ 06-01-2018 01:32:33
ต้นสน ฮื่อออออออออ เอ็นดู
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: somberness ที่ 06-01-2018 01:59:39
ไม่คิดเลยว่าเบื้องหลังต้นสนจะเป็นคนแบบนี้
ขี้เขิน แถมยังเคยคิดมากเรื่อง(นัง)น้องตาลอีกกก
อยากได้มาครอบครองอะ ทั้งต้นสน ปลื้ม และหนังสืออออ
ขอบคุณสำหรับตอนพิเศษนะคะ  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 06-01-2018 05:39:14
เป็นนิยายที่น่ารัก และดีมากๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 06-01-2018 21:17:01
น่ารักมากก ชอบ ฟีลกู๊ดสุด
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-01-2018 22:02:51
ต้นสนตัวจริงนิ่งๆ ที่แท้แอบมาหวีดในทวิตนี่เอง :pigha2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-01-2018 23:06:07
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 07-01-2018 00:07:43
โอ้ยยยย มันดีย์
ขอบคุณที่แต่งเรื่องน่ารักมาให้เราอ่านในวันที่เราเศร้านะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: รักแรก_ ที่ 07-01-2018 04:11:06
อ่านจบแล้ววววว น่ารักมากกกก ต้นสนขี้อ่อยสุด55555555
ขอบคุณนะคะ

หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Readyaoi ที่ 07-01-2018 08:32:39
ยอมรับว่าเห็นชื่อเรื่องนี้หลายรอบ แต่เลื่อนผ่าน เพราะกลัวดราม่า แต่วันนึงไปเจอกระทู้แนะนำแล้วเออน่าสนใจ เลยลองเข้ามาอ่าน ตอนนั้นก็10กว่าตอน แต่พออ่านแล้วรู้สาเหตุนี่โล่งเลย ไม่ดราม่าโว้ยยย จากนั้นอ่านต่อเรื่อยมา ชอบต้นสนมาก ดูเป็นคาแรคเตอร์ที่ดูมีอะไร ชอบแบบนี้ (ก็ชอบปลื้มด้วยนะ) สุดท้ายนี้ ขอบคุณไรท์ที่แต่งนิยายดีๆมาให้อ่านนะคะ
จะตามอ่านเรื่องต่อๆไป~~ :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: wanirahot ที่ 08-01-2018 00:32:57
อ่านจบแล้ว นิยายน้ำดีเลยค่ะ ไม่ยอมอ่านเรื่องนี้ตั้งนาน เพราะชื่อเรื่องทำให้คิดว่าต้องดราม่าแน่ๆ พอขึ้นจบเลยกะเข้ามาอ่านต้นเรื่องดู ไหนได้อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ สนุกละมุนจิตใจดีค่ะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: darling ที่ 08-01-2018 01:12:00
 :o8:  :-[  :heaven  :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ตุยชิคชิค ที่ 08-01-2018 04:34:46
ตอนเห็นชื่อเรื่องครั้งแรกไม่กล้าอ่าน แต่พอได้จริงๆน่ารักมาก อ่านถึงตอนจบก็ยังเชียร์ให้ต้นสนเมะอยู่นะคะ 555555  :katai1: :impress2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ttke72 ที่ 08-01-2018 23:14:03
จบแล้วว สนุกมากกก ชอบบบ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 09-01-2018 16:08:35
อย่าว่าแต่ปลื้มคิด เราก็คิด .. แต่อ่านชื่อเรื่อง เรานี่กดเข้ามาเลย มีคนตายอน่ ๆ ต้องมีคนตายย  :beat:
แต่.... ไม่เลยจ้าาา feel good ไปอีก 555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ice-cream ที่ 10-01-2018 12:30:21
จบแล้ววววว ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ เรื่องราวน่ารักดีต่อใจสุดๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: animate ที่ 10-01-2018 12:37:37
ตอนพิเศษนี้มันนนนนน น่าร้ากกกกกก ปลื้มหลงต้นสนแย่แล้ว5555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: SWIM ที่ 11-01-2018 00:52:50
ชอบมากกก อ่านเพลินดี อิอิ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 13-01-2018 07:04:15
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง 555 อ่านไปก็ลุ้นไปว่าต้นสนจะตายไหมนี่ ไม่ว่าจะฆ่าตัวตายหรือประมาทจนตายก็เถอะ เป็นคนที่ใช้ชีวิตได้น่ากลัวมากกกก

จริงๆเราไม่มายด์ว่าใครเมะใครเคะนะ แต่พอไม่รู้(ช่วงครึ่งแรกของเรื่อง) มันก็หวีดไม่ถูก ต่อมจิ้นเกิดอาการสับสน 555

แอบคิดว่าจบเร็วไปนิดนึง ยังไม่รู้เลยว่าจะเป็นยังไงต่อ บ้านปลื้มจะรับได้ไหม แล้วปลื้มจะสร้างฐานะได้ไหม เราอยากเห็นปลื้มเป็นพ่อบ้านคอยดูแลศรีภรรยานะ 555 แต่คงยาก พ่อของต้นสนไม่น่าจะยอม
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: megatef4 ที่ 13-01-2018 17:04:58
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องก็ไม่กล้าอ่าน กลัว 55 แต่พออ่านแล้ว ตอนแรกๆก็กลัวอีก โดนต้มจนเปื่อย สรุป นี่คือนิยายฟิลกู๊ดมากๆ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  ชอบมากเลย  :L2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: didididia ที่ 13-01-2018 18:39:42
น่ารักกกก ทำไมน่ารักขนาดนี้้  :hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: cookie8009 ที่ 15-01-2018 11:41:14
สรุปต้นสนควำ่รถขนอ้อยใส่ปลื้มสินะ 55555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mayongc. ที่ 18-01-2018 13:22:11
น่ารักมากเลยค่ะ ฮืออออออ อ่านรวดเดียวจบแบบต้องจิกเท้า เกร็งหน้ากลั้นยิ้มไว้ น้องต้นสนนนน ทำไมหนูแอบชอบเขาก่อน คุณแม่จะตีๆๆ นี่ต้นสนรึต้นอ้อยคะลูก ฉากล้างคำสาปคือพูดไม่ถูกเลยค่ะ หวงลูก แต่ก็กร้าวใจมากเช่นกันนน ฮืออออ ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆมาให้อ่านนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mybear_sr ที่ 20-01-2018 12:04:14
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ เป็นเรื่องที่ดูจะเรื่ยๆเอื่อยๆแต่อ่านแล้วสบายใจดี ต้นสนน่ารักมากกกกกกกกกกก อ่อยเก่งมากเว่อร์ด้วย5555 ปลื้มคงได้เป็นพ่อบ้านสมใจอยากแน่นอนแล้วนะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-01-2018 19:47:09
สารภาพว่าไม่เคยคลิกเข้ามาอ่านเรื่องนี้เลย... เพราะกลัวชื่อเรื่อง ฮา
แต่พอเข้ามาอ่านแล้วกลับพบว่า... เรื่องนี้ฟีลกู้ดกว่าที่คิดนะนี่
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Dark_Evil ที่ 21-01-2018 21:30:47
ยิ่งอ่านยิ่งรักต้นสนขึ้นเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: คุณบี๋ ที่ 22-01-2018 20:45:30
เราหลงรักพี่ปลื้มดูแลและเป็นห่วงคนอื่นได้ดีเหลือเกินต้นสนก็น่ารักมากเลย...// :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 26-01-2018 10:53:23
ขอบคุณค่ะ
ไม่น่าเชื่อเนาะ แค่ To คำเดียว จะมีเรื่องราวมากมายได้ขนาดนี้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkii ที่ 27-01-2018 22:41:24
 :L2: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Maymon ที่ 28-01-2018 02:35:31
ขอบคุณมากๆค่ะ ตอนพิเศษต้นสนน่ารักจังเลยค่ะ
ชอบๆๆๆๆ เริ่มแรกไม่กล้าอ่าน กลัวดราม่า555
แต่ได้อ่านแล้วชอบมากกกก สนุกมากกกก
ขอบคุณอีกครั้งนะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: monsterkim ที่ 22-02-2018 16:45:07
อ่านรวดเดียวจบ ทำไมมันอิ่มในใจอย่างนี้ ดีต่อใจมากเลย ฮือๆๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: pearl9845 ที่ 16-03-2018 07:38:32
ขอบคุณมากนะคับ ชอบอ่านเพลินดีคับ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Pisoi ที่ 21-03-2018 09:21:01
อ่านจบแล้ว เขินตัวแตกเลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: TheGraosiao ที่ 22-03-2018 11:13:24
 :กอด1:

น่ารักที่สุด
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Kantapong ที่ 23-03-2018 17:21:17
อ่านรีวิวใน twitter มาว่าแฮปปี้ ช่วงแรกที่อ่าน โอ้แม่เจ้า ทำไมมันหม่นหมองอะไรเยี่ยงนี้
เราโดนหลอกหรือเปล่าวะเนี่ย แต่ก็อ้ะ...อ่านต่ออีกหน่อย จากที่ไม่รักต้นสนเลย ไอ้นี่มันบุคลิกประหลาดจัง
ใครมันจะบ้าให้หมาแมวข่วนเป็นแผลได้ขนาดนั้น แต่พอนึกดูดี ๆ เพื่อนสนิทเราก็บอบบางเหมือนต้นสนเลย
คือบีบแขนนิดหน่อยก็เขียวช้ำ อะไรขีดข่วนก็เป็นแผล ไป ๆ มา ๆ ก็รู้สึกผูกพันกับตัวละครซะงั้น
ช่วงที่รักกันแล้วกลัวว่าจะงุ้งงิ้งกันจนหวานเลี่ยนแต่ก็ไม่ เนื้อเรื่องอยู่บนพื้นฐานความเป็นไปได้จริง
กลมกล่อมกำลังดี ไม่ได้เว่อร์ ภาษาก็ละมุนอ่านเพลินมาก
ขอบคุณที่แต่งเรื่องดี ๆ มาให้อ่านนะครับ เป็นเรื่องแรกที่อ่านแล้วสมัครสมาชิกเพื่อล็อกอินมาตอบเลยนะเนี่ย
เรื่องจบแฮปปี้ แต่เราหน่วงอะ คิดถึงปลื้ม ต้นสน ไม่อยากให้จบเลย 
:hao5:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Sasiwan ที่ 25-03-2018 12:53:53
อ่านจบแล้ววว ละมุ่นนนนนนนน :-[ :impress2:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: golfycoffee ที่ 25-03-2018 20:22:31
เราก็มีเหมือนกัน ทวิตที่เพ้อถึงแค่ใครบางคน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 27-03-2018 02:42:11
น่ารักมากกกกกกกกก
ตอนแรกเห็นชื่อเรื่องแล้วระแวงดราม่าค่ะ
เลยรอจนจบแล้วค่อยมาอ่านทีเดียว ปรากฎว่าโดนต้มเฉยเลยยย
นี่มันสายฮีลลลลที่แท้ทรูอะ ฮืออออ ต้นสนน่ารักมากกกก
น่ารักทุกตอน ทุกอีพี ทุกจังหวะชีวิตจริงๆค่ะ
ไม่แปลกที่ปลื้มจะรัก จะหลง หัวปักหัวปำขนาดนั้นน5555
ยิ่งมาอ่านตอนพอเศษคือแบบบบ กรีดร้องอยู่ในใจ
ว่าแบบ  น้องงงงงน่ารักมากกก อยากกอดด อยากเอามาบีบบบ
ปลื้มคือพระเอกที่แหวกแนวมากกกร่ะ ไม่คิดว่าพระเอกจะมีความเป็นพ่อศรีเรือนขนาดนี้
แทบจะไม่เคยเจอในนิยายเรื่องไหนเลย ถึงมีก้คงน้อยมากอะค่ะ
ด้วยบุคลิกที่มาเป็นสายพ่อบ้านเต็มตัว อ่อนโยน และไม่เท่เลย 5555555
คือไม่มีความคูลลลลใดๆทั้งสิ้น แต่ความพ่อบ้านใจกล้านี่เต็มเปี่ยม
ช่วงแรกๆก้ดู้ป็นช้างเท้าหน้าดีอยู่หรอกค่ะ
แต่ยิ่งอยู่กันไปนานๆชักเห็นแววว่าน่าจะเข้าสมาคมคนกลัวเมียเรียบร้อยแล้วค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายน่ารักๆปบบนี้นะคะ จะติดตามเรื่องต่อๆไปค่ะ
ปล.อ่านทอล์คแล้วขำตรงที่เปลี้ยนดราม่าจากรถคว่ำเป็นแกงหกใส่ค่ะ
คืออยากจะบอกว่าเป็นการหักมุมที่เรียกได้ว่าดริฟฟ์ยังจะไม่ทันเลยค่ะ555
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nittanid33333 ที่ 28-03-2018 22:07:21
ให้ตายเถอะ ทำไมเขิลลลล :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ppp044 ที่ 29-04-2018 09:16:07
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่องดึงดูดโดยแท้ นึกว่าจะม่า มาก กลายเป็นว่า อ่านไปยิ้มไปเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 03-05-2018 07:30:40
ละมุน จริงๆเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 03-05-2018 21:04:00
ขอบคุณค่ะ เรื่องน่ารัก อบอุ่นมาก ชอบต้นสน เก่ง ฉลาด ไม่ดราม่า
เป็นเรื่องแรกเลยมั้งที่เคยอ่านแล้วพระเอกจน บ้าน ๆ แล้วชอบเป็นพ่อบ้าน ชอบดูแล
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 16-05-2018 23:38:51
บอกตามตรงนะ ชื่อเรื่องมีส่วนสำคัญมากในการดึงดูดใจคนอ่าน เราเป็นคนไม่ชอบดราม่าเลี่ยงได้เป็นเลี่ยง แต่เพราะมีคนกดดันแถมถามทุกวันว่าได้อ่านหรือยังเรื่องนี้น่ะ เลยตัดสินใจได้แล้วก็ต้องร้อง เฮ้ยยยย!!เราเกือบจะพลาดไปได้ยังไงเนี่ย คือสนุกอ่ะ น่ารักอ่ะ ชอบอ่ะ อ่านรวดเดียวเลยไม่ง่วงเลยดีนะที่จบแล้วไม่งั้นได้ค้างแน่ๆ ขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆนะ แล้วจะตามไปอ่านเรื่องก่อนๆนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 04-06-2018 08:28:46
น่ารัก อบอุ่นมากก  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 10-06-2018 07:45:43
สองคนที่เกิดมาคู่กัน เติมเต็มกันและกัน บางทีมันหายากมากนะ เมื่อเจอแล้วถ้าคนรอบตัวเข้าใจ สองคนยังประคับประคองกันไม่ยอมแพ้ย่อมผ่านมันไปได้
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: gemgems ที่ 30-07-2018 16:18:21
เล็งเรื่องนี้ไว้นาน แต่ก็เลื่อนผ่านหลายรอบเพราะชื่อเรื่องจริงๆ 5555555 น่ารักมากเลยค่ะ เหมาะกับเป็นนิยายสายฮีลจริงๆ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Natti ที่ 20-08-2018 21:57:40
ต้นสนน่ารักกกกกกกกกกกกกกกก

กว่าเราจะอ่านเรื่องนี้ได้ ผ่านหูผ่านตาบ่อยมาก ข้ามตลอดเพราะชื่อเรื่อง มันอึมครึมมากอ่ะ แต่หลายคนยืนยันว่าฟิลกู๊ดเลยอ่าน

เปรียบเทียบได้ดีเลย เหมือนน้องมีก้อนเมฆอยู่บนหัว พกความมืดมนตลอดเวลา

พล็อตเรื่อยๆ แต่ไม่เบื่ออ่ะ น่ารักทั้งคู่เลย คนเขียนเล่าเรื่องดีเลยค่ะ

ฉากที่ตรึงเราที่สุดและจำได้แม่นเลยคือต้นสนล้มหน้าคณะปลื้มเพราะหลับอ่ะ งงใจในความมึนเบลอของน้อง ง่วงได้น่าเอ็นดูมากลูก

เป็นกำลังใจให้คนเขียนในผลงานชิ้นต่อไปนะคะ


หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: duckka ที่ 26-08-2018 19:17:34
ปลื้มเลย ตอนแรกอ่านชื่อเรืองคิดว่ามันต้องดราม่าแน่ๆ กว่าจะทำใจเปิดอ่านได้ อ้าวเฮ้ยไม่เหมือนที่คิดไว้ ฮ่าาา :hao7:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 27-08-2018 15:11:12
น่ารัก อ่านแล้วปลื้มแทน
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-08-2018 17:44:36
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: AngPao1932 ที่ 11-09-2018 18:25:22
ต้นสนน่ารักมากอ่ะ เคืองอีตาล ตบมันแม่งเลยยยยยยยยยยยย ตอนแรกคิดว่าจะมีฉากพาไปเปิดตัวกับครอบครัวพระเอกซะอีกอ่าาา แต่ก็ขอบคุณจ้าสำหรับนิยาย คือดี ฟิลกู๊ดมาก  :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 14-09-2018 04:29:06
อ่านฝั่งต้นสนแล้วโง้ยยยย ความเก๊กขรึมของน้องแลกมาด้วยแอคลับแทบระเบิด  :m20:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 08-10-2018 21:48:32
น่ารักมาก ชอบมากๆเลย
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Minty ที่ 24-10-2018 08:19:46
นิยายเรื่องนี้คือนิยายฟิลกู๊ดที่น่ารักมากกกก
ต้นสนขี้อ่อยกับปลื้มที่ติดกับต้นสนแบบไม่รู้ตัว
ขอสารภาพว่าเห็นเรื่องนี้ในเว็บมานานแล้ว
แต่ไม่กล้ากดอ่าน กลัวดราม่า แต่อ่านจบแล้วยิ้มเลย น่ารัก :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 30-10-2018 20:29:12
 :-[
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 07-11-2018 17:27:26
โอ้ยยย น่ารักมาก !!  :-[

ใสๆ สนุก เขินด้วย 555  o13
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: beerby-witch ที่ 12-11-2018 22:21:44
น่ารักมากกกก ต้นสนนายเอกสายอ่อย  :mew1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: ชอบอ่าน ที่ 13-11-2018 22:42:49
มันดีมากกกก เราโดนชื่อเรื่องหลอก กลัวดราม่าไม่กล้าเข้ามาอ่านสักที แต่สุดท้ายอดใจไม่ไหว พออ่านแล้วคือฮาา เราสลับโพจ้า ร้อง 5555555 นายมืดมนเธอทำเราสับสนนะรู้ไหม เนื้อเรื่องน่ารักมาก ปลื้มจอมมโน 555555
ขอบคุณนักเขียน  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 15-11-2018 13:40:07
สนุกดี พระ-นายน่ารักมาก ชอบก็บอกกันตรงๆ แสดงออกชัดเจน ไม่ดราม่า

ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ^^
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: MaidenQueen ที่ 28-11-2018 01:10:35
น่ารักกกกกกกกกกกกก เป็นนิยายที่มีแต่คำว่าาน่ารักและเขินมาก
ชอบทั้งปลื้มทั้งต้นสนเลย ชอบความเป็นพ่อบ้านของปลื้ม อยากจะมีสักคน 555555555555555555555
ขอบคุณคุณไรท์ที่แต่งนิยายน่ารักๆแบบนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Majariga ที่ 04-03-2019 13:59:38
สนุกมากๆเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบ ต้นสนน่ารักสุดๆ

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 12-03-2019 19:29:02
โง้ยยย น่าร้ากกก
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: brookzaa ที่ 14-03-2019 18:08:38
เข้ามาอ่านเพราะชื่อเรื่อง
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Piiiimsen ที่ 16-03-2019 13:37:15
เรื่องนี้น่ารักก เริ่มเรื่องมาก็ลุ้นแทบแย่ว่าจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่า ยิ่งฉากจะตกบันไดยิ่งขวัญเสีย แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ารักมากๆ มีอุปสรรคให้ได้ตื่นเต้น ฉากกุ๊กกิ๊กก็น่าร๊ากก อบความสดใสของต้นสน ชอบความเทคแคร์เก่งของปลื้ม โอ๊ยยยชอบ ขอบคุณมากนะคะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 18-03-2019 23:25:28
อ่านเพลินมากเลย สนุกมากๆค่ะ ชอบบรรยากาศของเรื่องนี้มาก ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 22-03-2019 16:11:47
ปลื้ม-ต้นสน น่ารักมาก ๆ ครับ



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 11-08-2019 02:14:50
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: แมลงมีพิษชนิดหนึ่ง ที่ 02-10-2019 07:50:51
ต้นเรื่องมันเอื่อย ๆ ไปนิดนึง แต่หลัง ๆ ก็แฮปปี้ดี ฟิลกู้ดรูดม่านจ้า

 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 09:01:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: politesseone ที่ 04-08-2020 09:53:03
ชอบความอ่อยเนียนของต้นสน เป็นเรื่องที่ดีมากๆขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: kapook743 ที่ 05-08-2020 15:53:37
ชอบความละมุน ค่อยๆเป็นค่อยๆไปของเนื้อเรื่องมากๆ ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวอบอุ่นให้ได้อ่านคลายเครียดนะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: politesseone ที่ 11-12-2020 21:44:23
นี่คือการเข้ามาอ่านรอบที่สาม รู้สึกว่าอยากได้ตอนพิเศษอีกกกกกกกกกก
จะให้ดีมีต่อภาคสองไปเลยคร้าาาาาา
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: b2friend ที่ 23-04-2022 18:49:21
ชื่อเรื่องทำให้น่าสนใจมากเลย
พออ่านๆ ไป น่ารักทั้งคู่จนวางไม่ลงจริงๆ
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: Sunset and Eeyore ที่ 07-02-2023 23:05:58
น่ารักสุดพลังมากๆค่ะ รักในความอ่อยของต้นสนสุดฤทธิ์
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: January21 ที่ 07-06-2023 21:47:33
ต้นสนน่ารักมากก ต่อไปนี้ไม่ใช่นายมืดมนแล้วนะ55
หัวข้อ: Re: To...คนที่ได้อ่านสิ่งนี้ในวันที่ผมจากไปแล้ว ★ ตอนพิเศษ : ลับ ★ 05/01/2561
เริ่มหัวข้อโดย: sarawutcom ที่ 06-03-2024 17:54:12
หมดเขตสมัคร  30  เมษายน  2567
ดีแทค  ระบบเติมเงิน  #ได้ทุกเบอร์
เน็ตไม่อั้น  (เน็ตอย่างเดียว)
เร็ว  12 Mbps(เม็ก)  ราคา  193  บาท  นาน  7  วัน
*104*841*8488034#
เร็ว  12 Mbps(เม็ก)  ราคา  482  บาท  นาน  30  วัน
*104*842*8488034#
#ไม่ลดความเร็ว  #ห้ามใช้โหลดบิท
ร้านสราวุธคอมพิวเตอร์  สตูล
สาขามะนัง 0826499917
ไลน์  sarawutcomputer
เปิดทุกวัน  09.00 – 20.00  น.
ท่านเต็มใจมา  ร้านฯ  เต็มใจบริการ
https://web.facebook.com/photo/?fbid=885661673572866&set=a.496909265781444 (https://web.facebook.com/photo/?fbid=885661673572866&set=a.496909265781444)