พิมพ์หน้านี้ - ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: noonaaRP ที่ 09-09-2015 22:29:23

หัวข้อ: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-09-2015 22:29:23
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม










***นิยายเรื่องนี้
เรียบเรียงขึ้นมาจากจินตนาการของผู้แต่งเท่านั้น
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น
หากบังเอิญไปตรงกับชื่อผู้ใด คนเขียนขออภัยไว้ ณ ที่นี้
ผู้เขียนตั้งใจรังสรรค์ผลงานด้วยความสุจริตใจ
ไม่มีเจตนาพาดพิงหรือทำให้เสื่อมเสียใดๆ ทั้งสิ้น
ขอบคุณค่ะ****





เปิดเรื่อง
6/09/58

ปิดเรื่อง
-/--/--


 
 :mew1:
สวัสดีคุณผู้อ่านที่น่ารัก
หนูนานะคะ
เขียนนิยายวายมาหลายเรื่อง
และเรื่องนี้อีกเรื่องที่ภูมิใจนำเสนอ
จะพยายามจัดหน้ากระดาษจะทำให้เรียบร้อยอ่านง่ายนะคะ มากี่รอบก็งงทุกรอบ เง้อออ
 

 
 

ปล. ตกแต่งได้ไม่มากนะคะ
คงไม่มีนักอ่านตัดสินใจอ่านนิยายเพราะไม่ตกแต่งหน้าปกเยอะๆ หรอกใช่ไหม
 


เรื่องโดยย่อ
มิน เป็นเด็กที่ขาดความอบอุ่นจากครอบครัว  เมื่อบิดาเสียไปเพราะอุบัติเหตุ เขามักมีปัญหากับปรางคณางผู้เป็นมารดาเสมอ เด็กหนุ่มตัดสินใจหนีออกจากบ้านหลังจากทนไม่ได้ เมื่อรู้ข่าวร้ายว่ามารดาคิดมีสามีใหม่ แต่เคราะห์ซ้ำกำซัด เงินที่มีร่อยหรอลงไป ถูกหลอกให้ขายตัวกับเสี่ยเจ้าของบ่อน
 
มินหนีหัวซุกหัวซุนออกมาได้ พยายามซ่อนตัวแต่ก็ถูกตามรังควาน เหตุเพราะเสี่ยแก่ชอบเขามาก ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มก็เลือกกลับไปตายรัง กลับไปหาเพื่อนสนิทที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน และขายตัวให้กับลุงของเพื่อน
 
โดยที่ไม่รู้เลยว่า เขาคนนั้นคือพ่อเลี้ยงของตัวเอง...
 
อินทัช หรือคุณอ้าย จำมินได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ จึงยอมช่วยเหลือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นการตอกย้ำให้มินเกลียดตนเองขึ้นอย่างทวีคูณ
 


ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม(ชื่อยังไม่ทางการ)

เปลี่ยนเป็น เล่ห์ · รัก · ร้าย แล้วนะคะ จะได้เข้ากับเนื้อเรื่อง

นิยายแนวอบอุ่นสำหรับคนขาดความรัก
[/color]
หัวข้อ: Re: เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-09-2015 22:32:40
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


ยามวิกาลซึ่งความมืดกำลังคืบคลานผ่านอย่างเชื่องช้า รถคันหรูบรรทุกผู้โดยสารร่างสูงนั่งอยู่ด้านหลังเบาะคนขับ นัยน์ตาคมหลุบลงไล่ตามตัวอักษรบนแฟ้มเพื่อฆ่าเวลา หากทว่ายามดึกนี้เขากลับคร่ำเคร่งกับเรื่องหนักอกอยู่หนึ่งอย่างจนแทบข่มตาลงไม่หลับเมื่อถึงยามนอน

อินทัชถอนหายใจรอบที่เท่าไรไม่ทราบ คนขับรถทำได้เพียงชำเลืองตามองผ่านกระจกมองหลัง ทราบว่าเจ้านายกำลังกลุ้มใจจนมิอาจปิดมิด

"คุณอ้ายเป็นกังวลเรื่องคุณปรางค์อยู่เหรอครับ ผมว่านั่นเป็นปัญหาของเธอ คุณอ้ายอย่าเก็บมาคิดให้หนักใจเลย"

อินทัชละสายตาจากแฟ้มบนมือ "ได้เสียที่ไหนล่ะเอก ปรางค์คือคนสำคัญของฉัน ในเมื่อปรางค์กำลังประสบปัญหาแล้วจะให้ฉันเมินเฉยได้ยังไง"

"ลูกชายเขาก็ยังไงกันนะ ทำไมชอบทำร้ายจิตใจแม่ของตัวเอง เขาไม่รู้หรือว่าคุณปรางค์น่ะกำลังจะ..." เอกเงียบเสียงไป หากทว่ายังส่ายหัวระอาเมื่อนึกถึงใบหน้าเด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปด สายตาผยองและเย่อหยิ่ง ปรางคณางมักเดินทางมาปรับทุกข์กับเจ้านายเขาเป็นประจำ เอกเห็นรูปเด็กคนนี้จากปรางคณางที่มักเอามาอวด

ต้นเหตุก็เกิดจากฝีมือเด็กคนนี้ อัศวมินทร์ หรือน้องมินของลุงอ้าย ทั้งๆ ที่ไม่ได้พบกัน เอกก็ไม่อาจทราบว่าคุณอ้ายเรียกเด็กนรกคนนั้นว่าน้องมินได้ลงอย่างไร เด็กอะไรขยันสร้างเรื่องให้คนอ่อนแออย่างปรางคณางปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน

"อย่าไปว่าน้องมินอย่างนั้นเลย ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง สองเดือนแล้วนะที่หายไปไม่ยอมติดต่อปรางค์มาสักครั้ง ฉันสงสารทั้งสองฝ่าย" อินทัชบอก

"แต่ถ้าเด็กนั่นไม่เอาแต่ใจทุกอย่างคงไม่เกิดขึ้น คุณปรางค์เธอตกนรกทั้งเป็นเพราะลูกชายหายไป..."

"เราต้องพยายามตามหาให้มากกว่านี้ และถ้าเขากลับมา ฉันจะจัดการไม่ให้เขาทำให้ปรางค์เจ็บปวดอีกต่อไป" อินทัชมองออกไปยังภายนอก มองตึกสูงระฟ้าพลางนึกถึงใบหน้าของเด็กที่กล่าวถึง

เด็กตัวน้อยที่เคยเรียกเขาซ้ำๆ ว่า "ลุงอ้าย..."

เมื่อระบายและพูดคุยปัญหาหนักใจของตนเองกับเอกแล้ว อินทัชเดินทางถึงบ้านพักก็เกือบสองทุ่ม ครอบครัวเขาเล็กแต่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ ประกอบด้วยครอบครัวน้องชายและหลานๆ ญาติผู้ใหญ่ที่นับถือได้จากโลกนี้ไปแล้ว คงเหลือเพียงพวกเขาเท่านั้น

นอกจากหลานๆ ที่น่ารักแล้วอินทัชก็สนิทสนมกับปรางคณาง ซึ่งเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกันมาก่อนในวัยเด็ก ชายหนุ่มอายุย่างสามสิบแปด มากกว่าปรางคณางอยู่หนึ่งปี จากนั้นก็ไม่ได้พบกันอีกเพราะปรางคณางประสบปัญหา เธอท้องลูกชายคนนี้ทั้งที่ยังเรียนไม่จบ

เมื่อตระเตรียมถือข้าวของลงจากรถแล้วนัยน์ตาคมจึงเหลือบเข้าไปในบ้าน ขณะยื่นสัมภาระให้คนใช้ อินทัชเห็นมาวิน หลานชายจอมเอาใจ เด็กหนุ่มวัยย่างสิบแปดกำลังวิ่งออกมาหาเขาหน้าตาตื่นเต้น ท้ายที่สุดก็หยุดเหนื่อยหอบตรงหน้า "ลุงอ้าย ลุงอ้ายมาก็ดีแล้วครับ"

อินทัชเลิกคิ้วมองเจ้าตัวดี มาวินเป็นเด็กช่างจ้อและคุยเก่ง นิสัยมักฉอเลาะขอโน่นขอนี่เป็นประจำ ซึ่งคาดว่าวันนี้น่าจะต้องการอะไรเป็นพิเศษแน่ "ว่าไงไอ้ตัวดี อยากได้อะไรอีก"

"เปล่าครับลุงอ้าย ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่าผมมีเรื่องจะขอร้องลุงอ้ายสักหน่อย"

"แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะมาวิน" คนเป็นลุงถามเย้า

"โธ่ ฟังผมอธิบายก่อนครับ" มาวินเดินตามลุงเข้าไปในบ้าน เด็กย่างสิบแปดนี่พูดอย่างเต็มปากว่าโตแล้ว เรียกได้ว่าตามมาตรฐานชายไทย  แทบจะสูงไล่เลี่ยเขาอยู่แล้ว แถมเรื่องที่จะเล่ามาก็คงเป็นปัญหาใหญ่ไม่น่าจะเด็กแล้วด้วย อินทัชคงต้องเตรียมใจรอรับเรื่องที่หลานชายก่อไว้แต่เนิ่นๆ แล้วกระมัง

"วันนี้เพื่อนผมมาที่บ้านและกะจะค้างคืนด้วย เขามีปัญหาทางบ้าน ลุงอ้ายจะอนุญาตไหมครับ แบบว่ายังไม่มีกำหนดกลับ..." เด็กหนุ่มลากเสียง กลอกตาไปมาเมื่อเห็นนัยน์ตาดุจเหยี่ยวหันไปสบ "ผมหมายถึง เขาไม่มีที่ไปแล้วจริงๆ ครับลุงอ้าย ลุงอ้ายช่วยอนุญาตรับเลี้ยงเพื่อนผมคนนี้ได้ไหม นะครับ"

อินทัชเดินปั้นหน้าเป็นหลังจากผ่านห้องโถงบ้านมาได้ สีหน้าไม่บ่งบอกความยินดียินร้ายอะไรสักอย่าง ชายหนุ่มยกมือปลดเนคไทออกจากคอไปพลาง ปลดกระดุมเสื้อที่รัดแน่นไปพลาง ต้นแขนก็ถูกมือของเจ้าหลานชายคอยพินอบพิเทานวดคลึงให้อย่างตั้งใจเอาอกเป็นพิเศษ "นะครับลุงอ้าย เพื่อนผมคนนี้หน้าตาดี นิสัยดี รู้จักบุญคุณคนยิ่งกว่าหมาเสียอีก"

"แล้วทำไมลุงต้องต้องรับเลี้ยงเขาด้วย เขาไม่มีพ่อมีแม่หรือไง ถ้าจะขอทุนเรียนก็พอได้ แต่บ้านเราไม่ใช่บ้านเด็กกำพร้าสักหน่อยนี่ที่จะต้องให้มาอยู่"

มาวินได้ฟังดังนั้นก็คล้ายมีอะไรจุกที่คอ "เขาออกจากบ้านมาเพราะมีปัญหา"

"ลุงเกลียดเด็กหนีปัญหาด้วยการหนีออกจากบ้าน เกลียดมากที่สุด" อินทัชหันไปบอกหลานชายในขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง "ลุงว่าเด็กคนนั้นเป็นเด็กที่แย่มาก ไม่สงสารครอบครัวที่ตามหาเหรอ"

"ผมว่าลุงลองไปพบเขาหน่อยไหมครับจะได้เข้าใจใหม่" มาวินผละมือออกจากต้นแขนผู้เป็นลุง เดินนำไปยังทิศที่มีห้องนอนของเขา

ด้วยความแปลกใจ อินทัชจึงเลือกที่จะสาวเท้าเดินตามหลานชายไป มือก็ถอดสูทมาถือไว้พลาง หรือเขาอาจจะอคติกับเด็กที่หนีออกจากบ้านจริงๆ เพราะมาวินหากไม่หนักจริงๆ ก็คงไม่ออกปากขอร้องเขาถึงเพียงนั้น

ครั้นถึง หลานชายเคาะประตูบอกว่าเขามาแล้ว แต่ที่ทำให้อินทัชประหลาดใจไม่ใช่สิ่งที่กำลังจะเผชิญ กลับเป็นชื่อของ 'มิน' ที่มาวินเรียกมากกว่า

นี่มันคงไม่บังเอิญถึงเพียงนั้นหรอก

ประตูถูกเผยกว้างออกตามแรงมาวิน อินทัชเดินเข้าไปด้านใน เห็นเฟอร์นิเจอร์ชุดหนึ่งประกอบด้วยโซฟา โตะเล็กสำหรับวางของจิปาถะ บนเบาะนั่งที่ห่อหุ้มด้วยหนังชั้นดีมีแผ่นหลังของเด็กหนุ่มคนหนึ่งผ่ายผอมซึ่งพิงอยู่ เสื้อที่สวมใส่เก่ามีรอยขาดวิ่นเล็กน้อย ครั้นเห็นแล้วชายหนุ่มจึงสาวเท้าวนไปนั่งตรงกันข้าม เด็กคนนี้คล้ายผ่านอะไรมามากมายหลายอย่างจนแทบไม่น่าเชื่อ

บนเสื้อยืดแขนสั้นสีขาวเปรอะไปด้วยร่องรอยหลายอย่าง ทั้งคราบเลือด คราบดินโคลน อีกทั้งบนร่างกายไม่ว่าจะเป็นบนใบหน้าหรือแขนที่พ้นจากเนื้อผ้า มีร่องรอยการถูกทำร้าย อินทัชได้แต่มุ่นคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น เมื่ออีกฝ่ายเงยขึ้นมาสบตา แม้ใบหน้ากำลังเลอะด้วยรอยแผลและความสกปรก หากทว่าดวงตากลมนั้นยังคงตราตรึงเขาไม่รู้ลืม เด็กน้อยตัวเล็กที่เคยวิ่งมากอดขาเขาอ้อนออเซาะ และร้องเรียกว่าลุงอ้ายย้ำซ้ำๆ

เด็กชายอศวมินทร์ของเขา

แม้เติบโตต่างจากตอนนั้นมาก ครั้งล่าสุดที่พบกันก็คงจะอายุเพียงสามขวบเศษ จากนั้นอินทัชก็บินไปเรียนปริญญาโทที่อังกฤษ ได้ฟังข่าวจากปรางคณางถึงวีรกรรมอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้พบกันสักที จนวันนี้

น้องมิน ในที่สุดโชคชะตาก็ไม่ทำร้ายปรางคณางจนเกินไป ให้ลูกชายคนนี้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

"นี่ลุงอ้ายของกูนะมิน ลุงอ้ายครับ นี่มินครับ" มาวินหันมาบอก อินทัชทำได้เพียงพยักหน้าอือออตอบรับ หากทว่าสายตายังคงจับจ้องอยู่ที่อศวมินทร์

"สวัสดีครับ...ลุงอ้าย"

อินทัชรับไหว้เด๋กตรงหน้าเงียบเชียบ มองคนที่นั่งนิ่งไม่ปริปากเอ่ยอะไรต่ออีก นั่นทำให้มาวินต้องรีบทิ้งกายนั่งลงข้างเพื่อนเพื่อเล่า "มินมันไม่มีเงินใช้ก็เลยหลวมตัวเชื่อเพื่อนไปขอยืมเขามาครับลุงอ้าย ทีนี้ไอ้เสี่ยที่มันไปยืมมาน่ะเป็นเกย์ อยากได้มันก็เลยซื้อกับเพื่อนมันราคาแพงมาก แต่เพื่อนมันน่ะดันเอาเงินไปใช้แล้วชิ่งหนี เอามันไปทิ้งให้เขา..."

มาวินหยุดอยู่เพียงแค่นี้เพราะไม่รู้จะเริ่มไหน เมื่อเห็นปมคิ้วของลุงที่นั่งฟัง "ถูกเพื่อนขายให้กับไอ้เสี่ยนั่น แต่มินมันหนีมาได้..."

"ก็ไม่เชิงหนีได้ มันใช้ผมจนคุ้ม" มินเชยตาขึ้นสบกับผู้ฟัง ในขณะนั้นทุกอย่างเงียบไป มาวินเห็นดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนสถานการณ์ "นั่นแหละครับ แต่ถึงอย่างนั้นไอ้เสี่ยบ้ากามนั่นยังไม่พอใจ จะเอามินไปขายให้กับคนอื่นต่อๆ ไปด้วย มินมันไม่ยอมก็เลยหนีมา นี่เป็นรอยที่มันโดนคนพวกนั้นซ้อมครับลุงอ้าย" มาวินจับแขนเพื่อนยื่นออกไป

"อยากกลับบ้านไหม" อินทัชยื่นข้อเสนอ

"ไม่ครับ ไม่กลับ"

"ทำไม"

"ผมเกลียดบ้าน..." อศวมินทร์ตอบทั้งก้มหน้าลง มือที่เปื้อนเปรอะกุมหน้าอย่างช่วยไม่ได้ น้ำเสียงคล้ายคนอ่อนล้าหากทว่าทิฐิเกินกว่ากำลัง ก่อนจะเงยขึ้นมามองเขา "คุณชอบผมไหม"

อินทัชถึงกับชะงักกับคำถาม ผนวกกับสีหน้าของคนตรงหน้าเล่นเอาหูผึ่งไปในวินาทีนั้น ยิ่งถามต่อหน้ามาวินยิ่งแล้วไปใหญ่ "ถามแบบนั้นทำไม"

"รับเลี้ยงผมไหม"

ผู้ถามเอ่ยไม่เชิงว่าขอร้องไปเสียทีเดียว แววตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าราวกับแฝงเร้นด้วยนัยยะอะไรสักอย่าง โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนี้

"ดูแลผมที ผมจะตอบแทนคุณอย่างไม่มีข้อแม้..."



************************

สวัสดีค่ะ ลองเอาตอนที่หนึ่งมาเรียกน้ำย่อย ลองดูว่าจะมีคนชอบแนวนี้มั้ย

เรื่องนี้น้องมินจะแกล้งลุงอ้ายตลอด เพราะเกลียดที่จากคนเคยมีเซ็กส์กัน กลายมาเป็นพ่อเลี้ยงอย่างไม่ตั้งใจ เกลียดที่ลุงอ้ายไม่ยอมบอกว่าเป็นแฟนใหม่ของแม่ แต่ลุงอ้ายเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน คอยดูว่าจะเอาคืนยังไงบ้าง

ไม่ใช่ดราม่านะคะ แนวโรแมนติกเน้นถึงอารมณ์ มีตลกบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่อยู่ในเรท 18+ นะคะเพราะสะท้อนสังคม ถ้าชอบก็รายงานตัวเลย

ปล. ยังไม่เฉลยปมเน้อว่าทำไมน้องมินถึงเกลียดบ้านและทะเลาะกับแม่
หัวข้อ: Re: เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๒
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 09-09-2015 22:51:02
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


อินทัชเดินทางไปเยี่ยมเยียนปรางคณางหลังจากนั้นสองสามวัน เมื่อเห็นสีหน้าทุกข์ใจของเธอแล้ว ชายหนุ่มเองก็วิตกจริตไม่ต่างกันที่ต้องแบกรับความรู้สึกทั้งสองฝ่าย ปรางคณางอยากพบลูกชาย แต่ลูกชายกลับเกลียดที่จะเผชิญหน้าด้วย

แต่อย่างน้อย ดีกว่าอศวมินทร์หนีไปที่อื่นและไม่มีวันกลับมา อินทัชทำได้เพียงแต่บอกให้เธอสบายใจเท่านั้น ว่าลูกชายเธออยู่ในการดูแลของเขา เพียงแต่ยังไม่พร้อมพบหน้า

ชายหนุ่มให้อศวมินทร์อาศัยในคอนโดส่วนตัวที่อินทัชซื้อทิ้งไว้ แน่นอนว่ายังมีคนคอยราวีเด็กคนนี้ไม่เลิก เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงมาเฟียในย่าน เจ้าของบ่อนที่ใครๆ ก็ทราบถึงกิตติศัพท์ แต่มีหรืออินทัชจะกลัว เขาคิดว่าทั้งหลานชายและเพื่อนฉลาดที่มาขอให้เขาออกโรงปกป้อง แน่นอนว่าคนอย่างอินทัชไม่ใช่ไก่กาที่ไหน เขาเองก็เส้นสายเยอะพอตัวเช่นเดียวกัน หรือมากกว่านั้น

ดูท่าอศวมินทร์จะจำเขาไม่ได้ อีกฝ่ายคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบกัน แต่อินทัชไม่ใช่คนจอมเซ้าซี้ถึงเพียงนั้นย่อมปล่อยให้ผ่านเลยไป

ผู้อาศัยดูแลตัวเองดีขึ้น เช้าวันถัดมาที่เขาไปเยี่ยมเยียนก็ดูสะอาดสะอ้านหล่อเหลา จวบจนครบหนึ่งอาทิตย์ในความดูแลของอินทัช เขายังแวะไปถามไถ่อยู่อย่างไม่รู้สึกเหนื่อยยาก อศวมินทร์ดูดีขึ้น ผมเผ้าที่เคยยาวเฟิ้มบัดนี้ตัดให้อยู่ทรง ร่างกายจัดว่าผ่ายผอมดูเต็มขึ้นกว่าเดิม และร่องรอยการถูกทำร้ายได้จางลง คงเหลือเพียงเด็กหนุ่มหน้าตาผิวพรรณดีคนหนึ่ง

อินทัชเดินไปทรุดกายนั่งบนโซฟาสุดหรู ดวงตาทอดมองออกไปยังกระจกแบบบิ๊วด์อิน มีคนเปิดผ้าม่านออกจนกว้างให้เห็นทัศนียภาพยามค่ำของย่าน เห็นรถรากำลังแล่นเบียดเสียดไม่ยอมกัน ตึกรามบ้านช่องกำลังเปิดแทบทุกอณูเพื่อทำกิจกรรมครอบครัว นัยน์ตาคมเหลือบไปสบกับเด็กที่กำลังเดินเอาแก้วน้ำเย็นมาให้ ครั้นวางลง อศวมินทร์ก็หย่อนก้นนั่งข้างๆ

"ที่ฉันยอมดูแลเธอ เพราะว่าเธอเป็นเพื่อนของมาวิน ไม่ใช่เพราะว่าฉันเป็นเกย์ที่จะต้องการให้เธอทำแบบนี้หรอกนะ" อินทัชหยั่งเชิง

ชายหนุ่มจำได้ดี ในคืนแรกที่พาเพื่อนหลานชายมาที่นี่ เด็กคนนี้ก็ถลาเข้ามากอดเขา จับเขานอนลงบนโซฟาตัวนี้ ฉกฉวยปากของเขาไปจูบอย่างช่ำชอง อินทัชใช้เวลาอยู่นานเพื่อที่จะเอาอิสระคืน แม้จะบอกว่าน้องมินของเขาคือเด็กน้อยผู้น่ารัก แต่แน่นอนว่าอินทัชเองก็ทราบดีว่าอศวมินทร์โตแล้ว และกำลังร่างกายก็มีพอๆ กัน

เขารอดวันนั้นมาได้ ไม่คิดเลยว่าเด็กคนนี้จะผ่านอะไรมาบ้างในวันที่หายไป อินทัชคงมองหน้าปรางคณางไม่ติดแน่หากวันนั้นปล่อยเลยตามเลย ยอมทำตามความต้องการของเด็กคนนี้

รู้เพียงว่าจะมองเขาเป็นเด็กหน้าตาน่ารักตากลมแบบเดิมไม่ได้แล้ว

"ลุงอ้ายรังเกียจผมสินะ" เด็กหนุ่มแสร้งหัวเราะ เรียกให้คนข้างกายหันไปมอง

"ที่ฉันมาวันนี้เพราะเอาชุดนักเรียนมาให้"

อศวมินทร์เงยหน้าขึ้น มองแววตาเรียบนิ่งของอินทัช โครงหน้ายาวส่ายไปมาน้อยๆ "ผมไม่ไป ผมไม่ไป!"

"อย่ามาขึ้นเสียงใส่ฉัน ฉันไม่ใช่คนที่จะทนรองรับอารมณ์ใครได้ ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่อย่าทำนิสัยชอบมีปัญหา"

เด็กหนุ่มตากร้าวและกัดฟันหันไปส่ายหน้าคนเดียว ในเวลานี้อินทัชหน้าชาที่นึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควร ไม่ควรสอนเด็กด้วยวิธีเย็นชาแบบนี้ ถ้าเขาเสียงดังใส่อศวมินทร์ แน่นอนว่าเด็กคนนี้จะตอบมาเสียงดังกว่า และหากเขาอ่อนโยน ผลตอบรับมันก็น่านะเป็นในแบบที่ควรจะเป็น

"มานี่ซิ" บอกพลางจับไหล่อีกฝ่ายให้หันมา อินทัชใช้วิธีใจเย็น มองแววขึงขังเอาแต่ใจที่เด็กทำให้ หากทว่าตนตอบกลับไปด้วยสายตาละไม

"บอกฉันมาซิว่าทำไมไม่อยากไปโรงเรียน ถ้าช่วยได้ฉันก็จะช่วย" ชายหนุ่มเอ่ยถาม ความใจร้อนเพลาลงบ้างแล้ว รอฟังคำตอบของเด็กวัยย่างสิบแปด อศวมินทร์ข่มใจก้มลงมองพื้นขบคิดอยู่ครู่

"ถ้าไปโรงเรียนแม่ก็จะรู้ว่าอยู่ไหน ผมยังไม่อยากเจอหน้า"

"ทำไมถึงไม่อยากเจอ" อินทัชย้อน แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะคิดว่าหากเขาเป็นคนอื่น เด็กมีปัญหาอย่างน้องมินอาจเต็มใจที่จะเล่าให้ฟังเพื่อระบายอะไรที่มันท่วมท้นออกมาบ้าง

ดูเหมือนเขาจะต้องปรับตัวเข้าหาเด็กคนนี้เสียเองซะแล้วกระมัง เมือคิด มือหนาก็เคลื่อนไปวางบนเรือนผมสีดำขลับอย่างอ่อนแผ่ว "พอจะเล่าให้ฉันฟังได้ไหม"

อศวมินทร์เชยตาสบเจ้าของมือที่ลูบผมตนเอง ยกเคลือนไปกุมมือนั้นไว้ "ผมจะเล่าให้ลุงอ้ายฟังทั้งหมด"

อินทัชเบิกตาเมื่อได้ฟังคนกล่าว น้ำเสียงคล้ายไม่รูสึกรู้สา หากทว่าแฝงเร้นไปด้วยความเจ็บปวด หลังมือเขาร้อนรุมมากขึ้นไปอีก เมื่อคนตรงหน้าจับมันลงมาจูบซ้ำๆ ราวกับกำลังอ้อนวอนร้องขออะไรสักอย่าง ใจของอินทัชหลุดวูบ เมื่อนัยน์ตาของเด็กหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกกว่าเขานั้น ได้เชยขึ้นมาสบ

"หลังจากที่ลุงอ้ายเป็นของผม"

เด็กคนนี้ไม่สามารถมองความคิดออกจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ ร้ายกว่าที่อินทัชคิด "มิน เธอหนีคนพวกนั้นมาเพราะเขาสกปรกไม่ใช่เหรอ ไม่คิดว่าทำแบบนี้ฉันจะรังเกียจบ้างหรือไง" ชายหนุ่มว่าพลางชักมือกลับ ทอดถอนใจกับนิสัยกู่ไม่กลับของเด็กนี่

"นั่นสินะ ผมก็แค่...แกล้งลุงอ้ายเล่นเฉยๆ" เด็กข้างกายตอบ สิ้นคำ ราวกับถูกใครเอาไม้มาตีกลางแสกหน้า อินทัชนิ่งมองเด็กที่จ้องตาเขาไม่กะพริบ

เด็กคนนี้ตั้งใจจะลองภูมิเขา

"เธอไม่ไปโรงเรียนสองเดือนแเล้ว ฉันกลัวว่าจะไม่ทันการณ์ เดี๋ยวจะเรียนไม่จบ"

"ก็ช่างสิ"

โอ้...เด็กเอ๋ยเด็ก อินทัชยอมรับตรงนี้ว่าตั้งแต่เกิดมาสามสิบแปดปีไม่เคยเจอะเจอเด็ประเภทเอาใจยากเช่นนี้มาก่อน แม้เขาจะมีหลานๆ อยู่หลายคน แต่เด็กพวกนั้นพูดได้ว่าน่ารัก แม้จะซนตามวัยไปบ้างเล็กน้อย ชายหนุ่มได้แต่พยายามข่มใจตนเองให้สงบ หากไม่ใช่ลูกชายของปรางคณางมีหรือจะต้องทนอย่างนี้

"เอาเป็นว่าลองคิดดูก่อนก็ได้ เรื่องแม่ของเธอฉันจะจัดการไม่ให้เขารู้เอง ถ้าเธอกังวลขนาดนั้น"

"ลุงอ้ายทำได้ด้วยเหรอ" เจ้าตัวดีหันมามอง "ถ้ามีพวกของเสี่ยวิชัยตามผมที่โรงเรียนล่ะ ผมจะทำยังไง ถ้าผมถูกจับตัวกลับไป..."

"ไม่ต้องห่วง ฉันยัดเงินคืนพวกมันไปในจำนวนที่พอใจกันแล้ว ตอนนี้เธอก็เป็นอิสระจากพวกนั้นไปแล้ว" คุณลุงอธิบายพลางหยัดกายลุกขึ้นยืน มือหนาเคลื่อนสอดเข้าไปล้วงกระเป๋ามองวิวยามค่ำคืนของวันนี้ ท่ามกลางสายตาของอศวมินทร์ที่เงยมองแววสนเท่

"พรุ่งนี้ฉันจะมาเอาคำตอบ กรุณาตอบในแบบที่ฉันพอใจด้วย" อินทัชเปรยเสียงเรียบ แต่ในเวลานี้เด็กหนุ่มที่นั่งฟังทำเพียงเงยขึ้นมองใบหน้าคมคายของผู้กล่าว

และครุ่นคิดตั้งแต่ได้ยินประโยคก่อนหน้าที่อินทัชเล่า เงินหลายล้านบาทนั่น อินทัชใช้ซื้อเขากลับมาอย่างไม่ปริปากบ่น หมายความว่ายังไงกันแน่...

หลังจากคุยธุระเสร็จสิ้น อินทัชเดินออกมาจากลิฟท์อย่างไม่สบอารมณ์ โดยมีคนถือคีย์การ์ดตามหลังมา เมื่อประตูกระจกสุดท้ายมาถึง ชายหนุ่มหยุดยืนรอให้เจ้าตัวนำบัตรอิเลกทรอนิกส์มาแนบกับโปรแกรมรักษาความปลอดภัย เสียงติ๊ดบอกว่าประตูปลดล็อกสามารถออกไปได้ มือหนาดันประตูออก หากทว่าเมื่อก้าวไปได้ขาเดียวแขนอีกข้างก็ถูกรั้งไว้

"ลุงอ้าย"

"หยุดทำแบบนี้นะมิน" มือหนาดึงกลับทว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอม "ถ้าขืนยังเธอยังเอาแต่ใจและพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้ฉันจะลอยแพเธอแน่"

อินทัชเหลือบไปเห็นเอกชะเง้อมองจากล้อบบี้ด้านนอก ชายหนุ่มถอนใจสะกดอารมณ์ตัวเอง หันเดินออกมาหน้านอก ดูท่าเอกจะมีแต่ความสงสัยกับท่าทางยามนี้ของเขา อินทัชพยายามสะบัดเหตุการณ์ก่อนหน้าที่จะลงมาออกไปจากศีรษะ

"เด็กนั่นดูท่าจะเอาเรื่องนะครับคุณอ้าย เป็นไงบ้าง" เอกชำเลืองตามองกระจก เห็นเจ้านายนั่งมุ่นคิ้วอยู่ตลอดเวลา อดที่จะถามไม่ได้

"แสบมาก เจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าใครที่ฉันเคยพบเคยเจอ ที่สำคัญเอาแต่ใจและหัวแข็งที่สุด" คนตอบถอนใจ

"สรุปน้องมินยังน่ารักสำหรับคุณอ้ายอยู่ไหมครับ"

อินทัชมองคนถามทั้งผูกปมบนหน้าผาก เขารู้ดีกว่าเพื่อนอย่างเอกเดาใจและท่าทางออกจนหมดสิ้น และที่ถามมานี่เพราะต้องการยั่วและเย้าไปในคราเดียวกัน ยอมรับว่าตัวเขาเองเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจนเกินไป พอพบกับความเป็นจริงแล้วอินทัชผงะไปหลายครั้ง คิดแล้วใบหน้าแสนเดาใจยากของเด็กคนนั้นก็เลยผุดขึ้นมาในโสตประสาท

หากทว่าอยู่ในระยะแค่คืบ หนำซ้ำตัวเขาเองยังถูกดึงรั้งจนซวนเซไปพิงกับแผ่นกระจก ผนังแบบบิวด์อินที่กำลังมองอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ตอนนั้นเขาทำตัวไม่ถูก ได้แต่มองอศวมินทร์ซึ่งสูงพอๆ กันด้วยแววประหลาดแก่ใจ

'ที่ลุงอ้ายทำให้ผมขนาดนี้ เพียงเพราะผมเป็นเพื่อนของมาวินจริงๆ น่ะเหรอ' มินถามอินทัช ทำราวเดาใจเขาออก มันคงจะจริงที่ใครก็คิดได้ว่าเงินมากมายหลายล้านบาทที่เสียไป เหตุใดจึงไม่รู้สึกเสียดายหากของที่ได้มามันคุ้มค่า

แต่ไม่ใช่เพราะลุ่มหลงแน่นอน แม้ใบหน้าท่าทางจะแลดูหล่อเหลาน่ารักก็เถอะ

'ตอนนี้มาวินไม่อยู่แล้ว ผมรู้หรอกว่าลุงอ้ายชอบผมถึงได้จ่ายไม่อั้นขนาดนั้น ไม่ต้องกลัวนะครับ ผมจะไม่บอกหลานลุงหรอก' คนตรงหน้ากระซาบ อินทัชทำได้เพียงเบิกตาโพลงจ้องมอง

'มิน!' ชายหนุ่มตัวชาวาบ ร่างกายราวถูกน้ำแข็งซัดผ่านเมื่อเด็กหนุ่มตะปบมือลงด้านล่าง จมูกรั้นขยับมาคลอเคลียกับจมูกของเขา

'ที่ลุงใจดีกับผมเพราะอยากให้ผมยอมลุงดีๆ ไม่ใช่รึไง อยู่กับผมไม่จำเป็นต้องแสดงเป็นคนเฉยชาก็ได้' เด็กชายอศวมินทร์ที่อินทัชรู้จักหายไปอย่างไม่มีวันกลับมา หลงเหลือเพียงแต่มินคนนี้ที่ยิ้มให้ จองจำเขาไว้ด้วยจูบอันเก่งฉกาจ

หลังจากสัมผัสผ่านเนื้อกางเกงจนพอใจแล้วอศวมินทร์ก็คุกเข่าลง ยกมือพยายามแกะเข็มขัด อินทัชมึนงงกับมือไม้อีกฝ่ายเพียงครู่เดียว นัยน์ตาคมหลุบลงมองเสี้ยวหน้าที่คล้ายปรางคณางพลางสูดลมหายใจเข้าเต็มกำลัง ความคิดตื้อเบลอไปชั่วขณะ

'รักผมได้ไหม ลุงอ้าย ผมรู้หรอกที่ลุงยังไม่แต่งงานจนอายุเท่านี้เพราะอะไร...'

อินทัชเบิกตาโพลง มองคนด้านล่างที่ก้มลงครอบปากปรนเปรอเขาอย่างไม่เชื่อสายตา กายหนุ่มร้อนวาบกับลิ้นสากนั่น กลั้นใจผลักร่างคนกระทำออก 'ฉันมีคนรักอยู่แล้ว แล้วก็อย่าคิดทำแบบนี้อีก ไม่อย่างนั้นฉันจะไล่เธอออกไปจากที่นี่!'

อินทัชจัดแจงเครื่องแต่งกายใหม่ มองคนที่นั่งกับพื้นเงยมาสบ นัยน์ตาชายหยุ่มเผยบอกว่าคราวนี้เขาเอาจริง

'ผมขอโทษ งั้นบอกว่าสิว่าทำไมคุณถึงยอมทำดีกับผม เสียเงินตั้งมากมายขนาดนั้น' อศวมินทร์เงยมองตามแผ่นหลังกว้างในชุดสูทยามเดินละออกไป รีบตะเกียกตะกายลุกมาหยิบคีย์การ์ดก่อน

'คุณมีอะไรปิดบังผมเหรอ'

ยามนั้นอินทัชแม้จะโกรธก็ไม่อาจพูดอะไรออกมาได้ ไม่อาจบอกได้ว่าเพราะอศวมินทร์เป็นลูกชายของปรางคณาง หากบอกแล้วเด็กคนนั้นอาจหนีไปอีกครั้งก็เป็นได้

แต่พอมาคิดดูแล้ว เขาหลวมตัวปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้ยังไงกัน ปล่อยให้น้องมินเข้าถึงได้กระชั้นชิดถึงเพียงนั้น คิดแล้วมือหนาก็ยกขึ้นมากุมหน้าคนเดียวท่ามกลางความเงียบยามรถเคลื่อน

"ก็ยังน่ารักเหมือนเดิมสำหรับฉัน เพียงแต่ต้องขัดเกลาความน่ารักนั่นให้ไปในทางที่ถูกที่ควรสักหน่อย"

อินทัชตอบเอกในขณะเหม่อมองออกไปนอกรถ ภาพสายตารั้นของอศวมินทร์ยามจับจ้องเขาผุดขึ้น แน่นอนว่าเขากำลังคิดในสิ่งที่ตอบเอกไปเมื่อครู่ ว่าเขากำลังจะกระทำตามคำพูดจริงๆ


*********************

เอาตอนที่สองมาฝากค่าาาาา เป็นไงบ้างเอ่ย

ถ้าชอบก็อย่าลืมคอมเม้น+โหวตให้ด้วยนะคะ

ปล. ไม่รู้เป็นไรชอบหลงเรียกลุงอ้ายว่าอาทุกที ยังไงถ้าเห็นก็อย่าลืมเม้นบอกนะคะ ส่วนเนื้อหาอาจไม่เท่ากันบ้าง

ตัวเอกไม่มีใครตัวเล็กกว่านะคะ ให้จิ้นเอาว่าใครเคะเมะ

ปลล. หนูนามีนิยายวายที่เขียนไว้ในไอดีนี้อยู่หลายเรื่อง ที่จบก็มี
-ปิ๊งรัก คุณพ่อลูกติด ตีพิมพ์กับ สนพ. Hermit
-1 Month รักนี้ใครกำหนด รอตีพิมพ์ที่เดียวกัน
ทุกท่านสามารถไปอ่านรอเพื่อฆ่าเวลาได้นะคะ ขอบคุณจ้าาาา



หัวข้อ: Re: ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๑ 9/09/58
เริ่มหัวข้อโดย: in_blu ที่ 09-09-2015 22:56:07
น่าสนใจ รอติดตามคร่าาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๓
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-09-2015 12:49:23
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


อศวมินทร์เดินวนไปมาในห้อง ในความคิดกำลังนึกถึงสีหน้าของมาวินตอนเสนอว่าเขาควรขอความช่วยเหลือจากลุงอินทัช เด็กหนุ่มจำได้ว่าหมอนั่นภาคภูมิใจที่มีชายคนนี้เป็นลุงขนาดไหน อินทัชช่างเป็นคนดี เป็นฮีโร่ของมาวิน ซึ่งนั่นได้ปลุกความรู้สึกบางอย่างของอศวมินทร์ขึ้นมา

อศวมินทร์เป็นคนขี้อิจฉา เขาอยากเห็นคนที่ถูกชมว่าดีนักหนาเปลี่ยนไป เขามันพวกขาดความอบอุ่น อยากลองดูว่าลุงผู้แสนดีที่เพื่อนเล่าให้ฟังนั้น จะดีไปได้สักกี่น้ำ ชีวิตอศวมินทร์นับว่าตาเฒ่าวิชัยคือชายแก่ที่ทุเรศที่สุด น่ารังเกียจที่สุด แต่หากเป็นลุงอินทัชของมาวินแล้วล่ะก้อ เขายอมเสียเวลาเล่นด้วยสักหน่อย มันคงจะสนุกดีพิลึก

แต่ไม่คิดเลยว่าจะยังดูหนุ่มและหล่อเหลาขนาดนี้ แวบแรกที่เห็นนัยน์ตาคมนั่น มินรับรู้ว่าอินทัชใช้สายตาเป็น ในยามมองมาวินกับเขามันรู้สึกแตกต่างกัน แต่ยอมรับว่าอ่อนโยนทีเดียว เด็กหนุ่มรู้สึกสนุกกับการละเล่นครั้งนี้ เขายากลองใจว่าอินทัชจะทนไปถึงเมื่อไร

ยื่งได้รู้ว่าอีกฝ่ายมีคนรักแล้วยิ่งท้าทายมากขึ้นไปอีก

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร การมีเซ็กส์กับผู้ชายด้วยกันมันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาไปแล้ว แต่การได้ลองเอาชนะอินทัชเป็นสิ่งท้าทายที่สุด ร่างกายของคุณลุงยามมีอะไรกันก็เพียงแค่ผลพลอยได้

เสียงออดดังบ่งบอกว่าคุณลุงมาถึงแล้ว วันนี้มาเร็วกว่าทุกวัน อศวมินทร์รีบสาวเท้าไปเอื้อมมือเปิดประตูทันที เห็นว่าอินทัชประหลาดใจที่เขาเปิดเร็วกว่าปกติ เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวให้คุณลุงเดินเข้ามา ลอบมองแผ่นหลังกว้างนั้นในชุดสูทภูมิฐาน ผิวอินทัชติดไปทางน้ำผึ้งเล็กน้อย ใบหน้าสะอ้านได้รับการดูแลอย่างดีจนอ่อนกว่าวัย อันที่จริงในสายตาของเด็กหนุ่มกลับมองว่าชายวัยนี้หล่อที่สุด

"ฉันซื้อของมาฝาก คิดว่าเธอต้องได้ใช้" อินทัชยกกล่องโทรศัพท์ใหม่เอี่ยมวางลงบนโต๊ะหน้าโซฟา เดินวนถือถุงขนมตามเขาเข้ามาในครัว "แล้วก็มีขนมกินเล่น เผื่อเธออยากจะกิน" พูดพลางเปิดตู้เย็นเก็บของในมือเข้าไป

"ลุงอ้ายหายโกรธผมแล้วเหรอ" อศวมินทร์รินน้ำใส่แก้วไปพลางถามไปพลาง

"ไม่เชิงโกรธ เพียงแต่ฉันไม่ชอบเด็กที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลานตัวเองมาทำอะไรเกินวัยแบบนั้น โดยเฉพาะคนที่เป็นถึงเพื่อนของมาวินอย่างเธอ" คนอาวุโสกว่าตอบทั้งถอนใจ มองคนข้างกายที่ก้มลงมองแก้วน้ำในมือคล้ายรู้สึกผิด

"ผมแค่...ไม่รู้จะตอบสนองยังไงดี ผมทำตัวไม่ถูกที่คุณมาทำดีกับผมแบบไม่มีเหตุผล ไม่มีใครทำแบบนี้กับผมมาก่อน ลุงอ้ายเป็นคนแรกเลย"

อินทัชสบตากับเด็กหนุ่มขณะอศวมินทร์เงยขึ้นมา ชายหนุ่มแย้มโอษฐ์ให้เล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น เคลื่อนมือหนาขึ้นไปโยกหัวอีกฝ่ายแผ่วเบา "ที่จริงเธอก็ดูเป็นเด็กดีนะมิน เธอเคยบอกกับฉันไว้ใช่ไหมว่าหากยอมรับมาดูแล เธอจะยอมเชื่อฟังฉันอย่างไม่มีข้อแม้"

มินยกมุมปากขึ้นคล้ายอยากจะยิ้ม ดูท่าคงจะเอาชนะคนข้างกายได้ยากหากไม่ทำให้วางใจเสียก่อน "จะมาเกลี้ยกล่อมให้ผมไปโรงเรียนใช่ไหม ไม่ต้องหรอก ผมตัดสินใจว่าจะไปอยู่แล้วล่ะครับ ลุงอ้ายไม่ต้องห่วง" คนกล่าวหันไปสบเมื่อเห็นแววพึงพอใจฉายจากอินทัช

"งั้นก็ดี"

"แต่ว่าผมมีข้อแม้นะ..." มินหันไปเลียบเคียง เผยยิ้มออกมายามเห็นปมคิ้วของคุณลุง "แต่ไม่ใช่เรื่องทะลึงตึงตังหรอกครับ ผมแค่อยากขอให้ลุงอ้ายมารับไปกลับโรงเรียนแค่นั้นเอง แล้ว ถ้าไม่ขอมากไป ให้มาวินมาค้างกับผมที่นี่อาทิตย์ละสองสามวันได้ไหม ผมไม่อยากอยู่แบบนี้คนเดียว"

อินทัชหันไปสบมองคนขออยู่ครู่ ข้อแรกอาจทำได้เพราะตนเดินทางไปทำงานทุกวันอยู่แล้ว ที่สำคัญไม่ลำบากแน่เพราะเขาไม่ได้ขับรถเอง แต่การอนุญาตให้หลานจอมดื้ออย่างมาวินออกมานอนนอกบ้านนั้น อินทัชคิดว่ายังไม่สมควร จะดูเป็นการชี้โพรงให้กระรอกจนเกินไป ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มไม่ไว้เนื้อเชื่อใจมาวิน แต่เจ้าเด็กที่ยืนข้างข้างเขาตอนนี้ไม่น่าไว้วางใจเลยสักนิดต่างหาก เทียบจากประสบการณ์ที่อินทัชเจอะมากับตัว

"ฉันคิดว่าพ่อแม่ของมาวินอาจจะไม่อนุญาต" อินทัชตอบ สาวเท้าเดินนำออกจากห้องครัวไปทรุดกายนั่งลงบนโซฟา

"งั้นเหรอครับ"

"ถ้าอยู่คนเดียวแล้วเหงา ฉันยืนยันว่าอยากให้กลับไปหาคนที่บ้าน เพราะไม่มีใครเห็นความสำคัญของเธอเท่ากับครอบครัวหรอก" คุณลุงยังหนุ่มหันไปบอก

อินทัชนึกขึ้นได้ว่าวางโทรศัพท์เครื่องใหม่ทิ้งไว้ คิดว่าต้องได้ใช้ติดต่อกับอศวมินทร์อย่างแน่นอน "อ้อ นี่โทรศัพท์ เผื่อได้ติดต่อ จะได้ไม่ลำบากในอนาคต ฉันใส่ซิมแล้วก็เม็มเบอร์ส่วนตัวไว้ให้แล้ว ต้องการอะไรหรือไม่มีเงินใช้ก็โทร. มาบอก" กล่าวพลางยื่นให้ แม้ดวงตาจะเห็นแววไม่พอใจที่เขากล่าวถึงครอบครัวไปเมื่อครู่ ดูจากสีหน้าของอศวมินทร์ที่แสดง

เขาเอาแต่ใจจนมองออก แต่เรื่องอื่นไม่สามารถเดาใจได้

"งั้นเจอกันเช้าวันจันทร์ ฉันจะกลับแล้วล่ะ"

บอกพลางลุกขึ้นยืน เอื้อมมือไปหยืบแก้วน้ำที่เด็กหนุ่มยกมาเสิร์ฟขึ้นจิบพอเป็นพิธี ครั้นเก็บสัมภาระครบถ้วนแล้วอินทัชก็เดินวนออกไปหน้าประตู ไม่ได้รับรู้ว่าคนด้านหลังมีสีหน้าอย่างไร ชายหนุ่มก้มลงมองนาฬิกา ทราบเวลาว่าเพิ่งหกโมงกว่าเท่านั้น ยามนี้รถกลางกรุงก็ติดเสียด้วย

"ลุงอ้าย..."

อินทัชชะงักกึกขณะเอื้อมมือจะปิดประตูออกไปด้านนอก ความร้อนรุมกระจายทั่วแผ่นหลัง เจ้าของดวงตาคมก้มหน้า หลุบลงมองคู่มือหนึ่งที่เกาะรัดกันไว้แน่นกับร่างเขา จะไม่ตกใจเลยหากลมหายใจของคนเกยคางบนบ่าเขานั้น ไม่ได้พ่นรดแก้มอยู่เนืองๆ ตลอดเช่นนี้ ชายหนุ่มเอี้ยวหน้ามอง สายไฟฟ้าแล่นปราดผ่านตัวเมื่อเห็นใบหน้าคนทำแค่คืบ

"มิน ฉันบอกแล้วไง..."

"ผมก็แค่กอด ขอกอดหน่อยไม่ได้หรือไง ลุงมาหาผมทุกวันก็จริงแต่ก็อยู่ไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำ" อศวมินทร์ทำสุ้มเสียงจริงจัง ขยับใบหน้าเข้ามาใกล้ ท้ายที่สุดก็ฝังปากลงบนใบหูคนฟัง

"ถ้าเหงาฉันจะซื้อเกมมาให้เล่น" อินทัชแกะมือที่กุมกอดเขาออก หันไปมองอศวมินทร์ เด็กหนุ่มยืนทำสีหน้าขัดเคืองใจคล้ายคราวแรกที่ได้พบ หากทว่าไม่ได้จะพูดเสียงดังโผงผางเอาแต่ใจเหมือนเคย

นั่นทำให้คนเห็นนึกแปลกใจ

"พรุ่งนี้วันหยุด ฉันจะมาหาใหม่" อินทัชอดทนมองสีหน้าเศร้าสร้อยนั้นไม่ได้ แม้อศวมินทร์จะคอยทำหน้าโกรธขึ้งเรียกร้องเอาแต่ใจ แต่อินทัชเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะต้องการกลบเกลื่อนสีหน้าและท่าทีอย่างอื่น โดยเฉพาะความอ่อนแอ

มือหนายกขึ้นไปแตะเจ้าเรือนไหมสีดำขลับอ่อนแผ่ว จับศีรษะเด็กตรงหน้าโยกซ้ายขวาคล้ายต้องการประโลมใจ

ดวงตาสุกใสเชยขึ้นมองอินทัช วินาทีที่เด็กหน้าบึ้งฉีกยิ้มกว้างออกมาให้เห็นเป็นครั้งแรก ยอมรับเลยว่าได้ทำให้ชายหนุ่มใจเต้นเป็นระส่ำจนแทบควบคุมไม่ได้ ภาพน้องมินตัวน้อยวิ่งมากอดขาเขาเรียกชื่อซ้ำๆ กำลังผุดขึ้นมา จากเลือนรางแทบมองไม่เห็น มันอาจชัดเจนขึ้นได้มากกว่านี้ หากเขาทำถูกวิธี

อินทัชเดินทางกลับบ้าน มาวินก็วิ่งมาถามความคืบหน้าเรื่องอศวมินทร์ยกใหญ่เพราะเขาไม่อนุญาตให้ไปพบ เมื่อทราบว่าเพื่อนร่วมชั้นดีขึ้นก็วางใจเดินจากไปไม่เซ้าซี้ แม้อินทัชจะฉุกคิดได้ว่ามาวินอาจเดาไปในทิศทางเดียวกับน้องมิน คิดว่าชายหนุ่มช่วยเหลืออศวมินทร์จอมรั้นเพราะพิศวาส แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดให้หลานชายเข้าใจ เพราะอยากกระทำให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างมากกว่า

อินทัชช่วยเหลืออย่างบริสุทธิ์ใจ เขาไม่ใช่คนบ้าตัณหากลับ โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชายวัยเดียวกับหลาน

แต่ตลอดทั้งคืน ข้อความที่เขาอ่านกลับมีเพียงผู้ส่งคนเดียวที่ทำได้ เด็กน้อยผู้ร้องขอไออุ่นรักจากเขา พยายามบอกว่าอยากให้คุณลุงไปพบขนาดไหน อินทัชทำได้เพียงยิ้มเมื่ออ่านจบ

แน่นอนว่าเขาตอบกลับข้อความว่าต้องไป ไปแน่นอน


**********************

มาอัพตอนที่สามให้แย้ว สวัสดีคุณผู้อ่านที่น่ารักนะคะ

ตอนนี้น้องมินแสบมาก กำลังหาทางแอ้มลุงอ้าย ซึ่งวันพรุ่งนี้มาคอยดูกันว่าจะทำวิธีไหน
อย่ามาถามนะคะว่าใครรุกใครรับ จิ้นกันเอาเองเน้อ 5555
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๓ ♡ [10/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 10-09-2015 14:47:21
 :mew1: น้องมินเรียกร้องหาความรักตลอด แรกๆอาจไม่คิดตอนหลังจะคิดเปล่านะลุงอ้าย
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๓ ♡ [10/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ❣☾月亮☽❣ ที่ 10-09-2015 15:22:42
 :L2:
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๓ ♡ [10/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-09-2015 16:56:51
เรื่องยังเนิบๆ เพราน้องมินยังไม่ออกสเต็ปร้ายค้าาาา
หัวข้อ: Re: เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๔
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-09-2015 19:31:45
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


สิบเอ็ดโมงแล้ว อศวมินทร์เทียวแต่เดินวนเปิดโทรศัพท์มือถืออย่างพะวง อยากทราบว่าอินทัชจะติดต่อมาเมื่อไรเพราะตนก็รอตั้งแต่เช้า เด็กหนุ่มส่งข้อความหาอีกฝ่ายหลายรอบ คิดว่าอินทัชอาจไม่มาตามคำสัญญา แต่เมื่อโทรศัพท์ดังขึ้น หนุ่มวัยย่างสิบแปดก็รีบไปกดรับสายทันที

อินทัชมาถึงแล้วและรออยู่ที่ล้อบบี้ รอให้อศวมินทร์เดินลงไปรับ คอนโดที่นี่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด บุคคลภายนอกไม่สามารถขึ้นมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้ ประตูทุกชั้นใส่รหัสความปลอดภัย ต้องใช้คีย์การ์ดทั้งหมดจึงจะขึ้นมาด้านบนได้

ถึงห้องพัก เจ้าบ้านดูท่าไม่พอใจเมื่อเห็นเอกติดสอยห้อยตามมาด้วย สองหนุ่มถือถุงอาหารให้พร้อมจัดมาเสิร์ฟเป็นมื้อเที่ยงราวกับวางแผนกันไว้เป็นอย่างดี จากที่ติดว่าจะได้สานสัมพันธ์กับคุณลุงรูปหล่อทั้งวันก็พลันผิดไปจากที่คาด อศวมินทร์แสดงถึงความไม่ชอบใจออกอย่างชัดเเจ้ง โดยเฉพาะรู้ว่าเอกเดาใจเขาออก

รู้ทันว่าเด็กหนุ่มหวังสิ่งใด เอกรู้ว่าเด็กอย่างอศวมินทร์ร้ายเกินกว่าคนมองโลกในแง่ดีอย่างอินทัชจะตามทัน

น้องมินของคุณอ้ายมักทำตัวติดกันกับเจ้านายเสมอ ไหนที่ว่าดื้อกับตนอย่างนั้น

"ลุงอ้าย มาวินเป็นยังไงบ้างครับ ผมไม่มีเบอร์ของมาวินเลย" อศวมินทร์ทรุดกายบนโซฟาถาม ขณะที่เอกกำลังจัดแจงขนมใส่จานในครัว

"อ้าว งั้นเหรอ" อินทัชยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูเบอร์หลานชาย กำลังจะบอกหากเสียงคนในครัวที่เเอบมองก็แทรกขึ้นมาอย่างจงใจขัดว่า "คุณอ้ายครับ ขนมนี่ผมว่าแบ่งจัดดีไหม ของชอบน้องมาวินไม่ใช่เหรอ"

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว เมื่ออินทัชผละไปมองตามเสียงผู้เรียกแทนที่จะตอบคำถามเขา อศวมินทร์กัดฟันเงียบๆ เมื่อท้ายที่สุดคุณลุงยังหล่อก็เลือกลุกเดินไปหาคนในครัว

วันนี้ก้างชิ้นโตกำลังขวางคอ ไม่ว่าจะพยายามกลืนเท่าไรก็ไม่หลุด แต่ในที่สุดอศวมินทร์ก็มีตัวช่วย เสียงโทรศัพท์มือถือของเอกดังขั้นมาขัดจังหวะหนุ่มใหญ่ทั้งสอง เอกแปลกใจและแอบชำเลืองมองแววตาสะใจของคนด้านนอก แต่คนในสายก็สำคัญกว่า

ทราบว่ามาวินที่ไปเรียนพิเศษกำลังมีปัญหารถเสีย และต้องการให้เอกไปรับกลับบ้าน เมื่อรู้เท่านั้น อศวมินทร์ยิ้มหน้าบานโบกมือลาหย็อยๆ ก่อนจะละยิ้มส่งดวงตาที่แฝงไปด้วยความร้ายกาจลับหลังอินทัช

เอกชวนเจ้านายไปด้วยในคราแรก แต่อินทัชปฏิเสธเพราะอศวมินทร์ยื้อไว้ ดังนั้นเขาจึงต้องทิ้งอินทัชไว้กับแมวจอมขโมยแบบไม่ค่อยเต็มใจนัก

อินทัชมองตาเพื่อนก็รู้ใจ ชายหนุ่มทำได้เพียงส่ายหน้าให้อย่างนึกตลก

"ผมไปร้านเช่าหนังมา ลุงอ้ายจะดูไหมครับ" เด็กหนุ่มลุกไปคุ้ยถุงของชูขึ้นให้เห็น ดูท่าจะแค่ถามไปอย่างนั้นเพราะเอาเข้าจริงอินทัชก็มิทันได้ตอบด้วยซ้ำ อศวมินทร์ก็ละมาจัดแจงเองเสร็จสรรพ ท่าทางตั้งใจกับสิ่งที่ตนเองกำลังทำมากจนคนมองนึกเอ็นดู ชายหนุ่มนั่งมองอย่างนั้นจนอีกฝ่ายจัดการเสร็จแล้วลุกมานั่งข้างๆ

"หนังอนิเมชันนะ คนแก่ดูรู้เรื่องรึเปล่า" คนถามยกขาขึ้นขัดสมาธิบนโซฟา

"จะดูถูกกันเกินไปแล้ว"

เด็กข้างกายหันมายิ้ม ลอบมองคุณลุงที่ไม่ได้สวมสูทเช่นทุกวัน ชุดลำลองชุดนี้ล้วนแต่เป็นของแบรนด์ดัง อยู่บนกายสูงใหญ่ของอินทัชแล้วดูเหมาะและภูมิฐานไปอีกแบบ ด้านบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีโทนเย็น ด้านล่างเป็นกางเกงยีนส์ขายาว มองแล้วดูเข้มคมชวนให้สาวๆ มองตามจนคอเคล็ด

ยิ่งแววตาอบอุ่นประกอบกับรอยยิ้มพิมพ์ใจยามมองตา จี้ใจของคนมองตรงนี้จนโลกหยุดชะงักไปหลายครา อศวมินทร์ไม่ได้ดูหนังเลย เขาสนใจเพียงความหล่อเหลาของลุงอ้ายเท่านั้น จนอีกฝ่ายรู้ตัว หันมาสบตา

"หืม มีอะไรรึเปล่า" อีกฝ่ายเลิกคิ้ว

"ปละ เปล่าครับ ลุงอ้ายกินเบียร์ไหม ผมจะไปเอามาให้"

"กลางวันแสกๆ นี่น่ะเหรอ ไม่เอาหรอก" อินทัชละสายตาไปดูหนังตรงหน้า ไม่สนคนข้างกายที่ถอนหายใจเสียงดัง ดื้อดึงลุกเดินไปในครัว เสียงประตูตู้เย็นเปิดออก ในห้องครัวดังกุกกักไม่ขาดสาย อินทัชหาได้สนใจกับสิ่งที่อศวมินทร์กำลังทำอยู่ ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักเบาะมองทีวีอย่างตั้งอกตั้งใจ

ปกติวันนี้เป็นวันพักผ่อนของเขาหลังจากทำงานตลอดทั้งสัปดาห์ ดังนั้นหลังจากทานมื้อเที่ยงแล้วหนังตาก็เริ่มจะหย่อน ผนวกกับผ้าม่านถูกปิดลงจนภายในห้องสลัวอีก อินทัชมุ่นคิ้วหันไปมองเด็กรูปร่างพอๆ กับตัวเองด้วยความสนเท่ "ทำอะไร ปิดม่านทำไม"

"เอ้า ก็ลุงอ้ายบอกว่าจะไม่กินตอนกลางวันแสกๆ นี่ก็มืดแล้วไงครับ เอ้านี่...เบียร์" เด็กแสบยิ้มทั้งเปิดกระป๋องเบียร์ยื่นให้เสร็จสรรพในตอนนั้น ยักคิ้วเป็นต่อ ทำท่าทางทั้งน่าเอ็นดูและน่าหมั่นไส้ไปในคราเดียวกัน

อินทัชจำต้องรับมาถืออย่างเสียไม่ได้ เห็นเด็กอายุยังไม่ถึงสิบแปดกระดกพรวดลงคอราวกับกินน้ำเปล่า ไม่นานก็หมดกระป๋อง หนำซ้ำยังลุกไปหยิบอันใหม่มาเปิดกินอีกต่างหาก ปล่อยให้เขานั่งมองอยู่อย่างนี้ ชายหนุ่มคงต้องพยายามทำใจให้ชินกับสิ่งที่เกิดกับวัยรุ่นชายสมัยนี้แล้วกระมัง ว่าผ่านร้อนผ่านหนาวเร็วกว่าเขามาก อินทัชเห็นอศวมินทร์แล้วปลงเรื่องมาวินไปได้เยอะทีเดียว เพราะสักวันเขาคงได้เห็นภาพมาวินเป็นแบบนี้

"ปกติวันหยุดลุงอ้ายไปเที่ยวที่ไหนครับ" คนข้างกายถามขั้น ขณะที่อินทัชยกเบียร์ขึ้นดื่ม

"ฉันไม่ได้เที่ยวนานแล้ว แต่ก็มีวางแพลนจะไปผ่อนคลายสักที่ คงจะเป็นทะเลที่ไหนสักแห่ง นอนพัก แล้วก็กินลมชมวิวแบบไม่ต้องห่วงอะไร"

อศวมินทร์พยักหน้ารับเงียบๆ หยิบหมอนมากอด ทั้งเอนหลังพิงพนักมองทีวีที่เปล่งแสงมาสาดใบหน้าคนมองทั้งคู่ ในยามสลัวลุงอ้ายดูมีมิติมากจนเกินไป "ลุงอ้ายคงทำงานหนักมากสินะ งั้น...วันหลังพาผมไปด้วยได้ไหม ผมอยากไป ผมเองก็ชอบทะเลเหมือนกันแต่ไม่เคยไปกับคนสำคัญสักครั้ง"

อินทัชหันไปมองคนบอก เห็นเด็กหนุ่มที่กำลังมองทีวี แม้จะเล่าความขมขื่นของชีวิต แต่เหตุใดบนใบหน้าเรียวยาวนั้นกลับประดับไปด้วยรอยยิ้ม

"ลุงอ้ายเป็นคนสำคัญ เป็นคนที่อยากให้ผมได้รับแต่สิ่งที่ดี"

ชายหนุ่มผละมากะพริบตาถี่ๆ กับตนเองในความสลัวของห้อง ไม่รู้ทำไมใจของเขาเต้นดังโครมครามแทบทะลุออกจากอก อศวมินทร์ทำคล้ายกำลังสารภาพรักกับเขา อินทัชข่มใจหันไปมองด้านอื่นด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายจะรู้ว่าใจเขากำลังกระตุก เพราะน้องมินทร์คนนี้กำลังทำตัวน่ารักจนเกินไป

"ผมชอบลุงอ้าย คุณเป็นคนดี" คนบอกคว้ามือเขาไปกุม อินทัชทำได้เพียงหันไปจ้องตาของเด็กที่นั่งข้างกาย "แล้วคุณก็หล่อมาก ยิ่งเวลามองผมแล้วยิ้มแบบใจดีมาให้ ใจผมสั่นตลอด แต่ก็ชอบมองต่อไป คุณคงแปลกใจที่ทุกครั้งหันมาแล้วเห็นผมผละสายตาออกไปทุกที นั่นแหละ...ผมกำลังจ้องคุณอยู่..."

นิ้วชี้เรียวขยับมาจิ้มแก้มของคุณลุงให้คลี่ยิ้มออก อินทัชหันไปมองทีวี พยักหน้าขึ้นลงบอกว่าตนรับรู้แล้ว "ฉันว่าเธอคงอยู่กับคนสกปรกพวกนั้นมากจนเกินไป"

"เปล่า เพราะผมเป็นแบบนี้แหละ แม่ถึง..." อินทัชเลิกคิ้วหันไปมอง เกือบแล้ว เด็กคนนี้เกือบเปิดใจกับเขาแล้ว หากเขาไม่ปิดกั้นตัวเองกับอศวมินทร์ไปเสียก่อน ชายหนุ่มหันไปวางมือลงบนศีรษะคนข้างกายแผ่วเบา "ฉันรับรองว่าฉันจะไม่เปลียนไป ไม่ว่าเธอจะมองฉันไปอีกแบบหนึ่งก็ตาม"

"ผมจูบลุงได้ไหม" อศวมินทร์หันมาโพล่งถาม เมื่อได้ฟังคำนี้ อินทัชถึงกับผงะไปชั่วครู่

ใบหน้าคมคายหันมามองทีวี ในยามนีคนทั้งคู่เงียบกริบไม่ได้พูดโต้ตอบไปมา มีเพียงเสียงทีวีตรงหน้าคั่นกลาง แม้โสตประสาทจะไม่ได้สนใจเนื้อหาของเรื่องเลยก็ตาม

อศวมินทร์ถอนใจ ยอมรับความจริงว่ามันไม่ง่ายเลยกับการเอาชนะใจอินทัช เขาเชื่อแล้วว่าฮีโร่ของมาวินเป็นคนดีจริงๆ หากลุงอ้ายจะทำ ก็คงเพราะหลงตกหลุมพรางที่เขาหลอกล่อแค่นั้น การเล่นครั้งนี้หมดสนุกแล้ว เขาทนใจสั่นเวลาแอบมองอินทัชไม่ไหว เกรงว่าหากนานกว่านี้ตัวเองจะตกหลุมรักคนดีๆ คนนี้เข้าเสียเอง

เนิ่นนานเท่าไรไม่รู้ที่คนทั้งคู่ไม่คุยกัน ในความสลัวของห้องพักมีเพียงแสงทีวีขยับขับเคลื่อน อศวมินทร์ระบายยิ้ม เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของคนข้างกายอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

เด็กหนุ่มหันไปมองใบหน้าคมขณะพ่นลมหายใจสม่ำเสมอ พริ้มตาหลับราวกับเหนื่อยอ่อน ศีรษะเอียงมาทางด้านนี้ อศวมินทร์หมุนตัวช่วยขยับให้เอนตัวนอนบนโซฟาด้วยเกรงจะปวดเมื่อย ลุกไปหยิบผ้านวมมาคลุมให้อย่างอ่อนแผ่ว

ในขณะที่กำลังคุกเข่ากับพื้น ดวงตาก็ยังจับจ้องใบหน้าหล่อเหลายามหลับอย่างไม่ละ เวลานี้ได้สังเกตดีๆ จะเห็นว่าอินทัชหล่อแบบไทยแท้ หน้าคม คิ้วเข้ม ปากกระจับยามปิดสนิทก็สวยได้รูป ที่สำคัญรสชาติดีเกินนึกถึง ครั้นเห็น อศวมินทร์กลืนน้ำลายลงคออย่างชั่งใจ ท้ายที่สุดก็ยกมือไล้เส้นผมของคนหลับ โน้มลงไปขโมยริมฝีปากสีสดด้านหน้ามาชิม

ทั้งอ่อนนุ่ม และหอมหวาน

คนทำผละออกมาเม้มปากละล้าละลัง ฝังลงไปจ้วงชิมใหม่อีกครั้งอย่างเอาแต่ใจ นานเท่าไรไม่ทราบที่เขาลักชิมริมฝีปากคุณลุงยังหล่อ อศวมินทร์พยายามผ่อนลมหายใจยกมือกุมหน้าอก บังคับมิให้ตัวเองตื่นเต้น

รีบลุกเดินหนีไปสูดลมหายใจนอกระเบียง อีกทั้งพยายามยับยั้งชั่งใจตัวเองไม่ให้เอาแต่ใจทำเรื่องผิดต่อคนข้างในไปมากกว่านี้

อินทัชหลับจนเอกโทร. บอกว่ากลับมาแล้ว ทีแรกก็ตกใจตัวเองที่เผลอหลับนานขนาดนั้น ทั้งที่อศวมินทร์ชวนดูหนังด้วยแท้ๆ วันนี้เขาเรียกได้ว่ามาเพียงเกะกะเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อีกฝ่ายคลายเหงาเลยสักนิด แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่เซ้าซี้เหมือนก่อน เพียงแค่เดินลงมาส่งเขาอย่างไม่ปริปากบ่นเท่านั้น

อินทัชคงกำลังแปลกใจกับท่าทีนี้ อศวมินทร์เพียงถอยออกมา เมินเฉยต่ออีกฝ่ายเหมือนเคย ตลอดทั้งคืนเขาไม่ได้ส่งข้อความหาอินทัช โดยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเปิดมือถือตัวเองดูกี่คราแล้ว

รุ่งขึ้น เสียงโทรศัพท์ของอศวมินทร์ดังตั้งแต่เช้าตรู่ เด็กหนุ่มรีบวิ่งลงไปด้านล่างทั้งที่เพิ่งตื่นนอนใหม่ๆ ด้วยความตกใจ เห็นคุณลุงยืนรอหน้าประตูกระจกทั้งยิ้มขันกับสภาพนี้ของเขา อศวมินทร์มองซ้ายแลขวาอย่างผิดวิสัย เห็นแล้วอินทัชก็มองตามกับท่าทีนี้ด้วยความสนเท่

อินทัชมาคนเดียวนี่

"ลุงอ้ายรีบไปไหนตั้งแต่เช้าเหรอครับ"

เด็กหนุ่มเกาหัวยุ่ง ตัวสูงๆ สวมเพียงกางเกงนอนตัวยาวเพียงตัวเดียว เพราะตื่นเต้นมากไปจึงลืมหยิบเสื้อมาสวม แล้วก็มาอยู่ในสภาพเช่นนี้แล อินทัชยกยิ้มเมื่อเห็น ชูกุญแจรถให้อีกฝ่ายดู

"ไปทะเลกัน"


*****************************

เกือบแล้วจ้า เกือบได้กันแล้ว 5555

คอมเม้นเป็นกำลังใจด้วยน้า หนูนารออ่านอยู่
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๓ - ๔ ♡ [10/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-09-2015 22:09:58
รอ
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๓ - ๔ ♡ [10/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 10-09-2015 22:56:57
แนะนำนักเขียนเรื่องนี้นิดหนึ่งค่ะ เด๋วนักเขียนจะโดนพี่โมดุว่าเอา

ตามกฏอ่าจ๊ะ นักเขียนต้องลงกฏของเล้าด้วยนะจ๊ะ แบบนักเขียนท่านอื่นๆอ่ะค่ะ

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๓ - ๔ ♡ [10/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 10-09-2015 23:56:45
แนะนำนักเขียนเรื่องนี้นิดหนึ่งค่ะ เด๋วนักเขียนจะโดนพี่โมดุว่าเอา

ตามกฏอ่าจ๊ะ นักเขียนต้องลงกฏของเล้าด้วยนะจ๊ะ แบบนักเขียนท่านอื่นๆอ่ะค่ะ

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

โอ้ ลืมเลย ขอบคุณจ้
หัวข้อ: Re: เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๕
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-09-2015 00:21:12
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


อินทัชนั่งรออศวมินทร์อาบน้ำแต่งตัวอยู่ครู่ ชายหนุ่มตระเตรียมข้าวของจำเป็นไปด้วยเพราะรู้ว่าทุกอย่างอยู่มุมไหน ไม่ว่าจะเป็นโลชันป้องกันแดด เสื่อสำหรับปูนั่ง หรือหมวก ที่สำคัญคือชุดสำรองและผ้าเช็ดตัว แม้ไม่ได้ค้างคืนแต่คาดว่าต้องได้เล่นน้ำ

นัยน์ตาประกายน้ำตาลเหลือบไปเห็นโทรศัพท์เจ้าของสถานที่กำลังเปร่งแสง เสียงดังครืดบอกว่ากำลังมีคนส่งข้อความมาให้ แต่นั่นไม่ได้สะกดให้ชายหนุ่มนิ่งจ้องเช่นนั้น กลับเป็นภาพตัวเองยามพริ้มตาหลับบนหน้าจอทัชสกรีนนั่นต่างหาก อินทัชหันมากะพริบตาตัวเองถี่รัวด้วยความแปลกใจ อศวมินทร์ตั้งรูปเขาบนหน้าจอหลักไว้อย่างนั้นหรือ

สิ่งที่เด็กหนุ่มพูดไว้เมื่อวานยังคงสะท้อนก้องในโสตประสาท คำสารภาพแสนน่ารักนั่นทำเอาอินทัชใจเต้นตึกตัก

"เสร็จแล้วครับ ลุงอ้าย"  เสียงคนบอกตื่นเต้นจนชายหนุ่มต้องผละไปมอง "อ้อ งั้นไปเถอะเดี๋ยวกลับดึก พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน"

ว่าพลางเดินนำออกไปด้านนอก คนขานรับน้ำเสียงเข้มแข็งและตื่นเต้นไปในคราเดียวกัน 

ทั้งคู่ใช้เวลาบนรถไม่เสียเปล่าขณะเดินทาง พูดคุยกันมากขึ้น อินทัชเห็นว่าเด็กหนุ่มเป็นคนช่างพูด แต่ก็ออกแนวเจ้าเล่ห์จนมองออก หากอธิบายได้อย่างตรงตัวก็คงเป็นเด็กกะล่อนเกินวัย คิดพูดอะไรก็แฝงนัยสองแง่สองง่ามตลอด เพียงแต่แววตาใสซื่อนั่นทำให้ชายหนุ่มโกรธไม่ลง

 อศวมินทร์เล่าให้เขาฟังว่าเคยเที่ยวทะเลกับครอบครัวตั้งแต่บิดายังอยู่ หลังจากเขาจากไปอย่างไม่มีวันกลับมาด้วยอุบัติเหตุแล้ว การไปทะเลของเด็กหนุ่มก็มีเพียงกับเพื่อนๆ เท่านั้น หรือไม่ก็มาทัศนศึกษา

บางมุมอินทัชเห็นความเป็นผู้ใหญ่ของเด็กข้างกาย แต่บางมุมก็คิดว่าอศวมินทร์ตรองน้อยไปหน่อยก่อนจะทำ เช่นการหนีออกจากบ้าน

แต่วันนี้อินทัชจะพยายามลืมเรื่องที่เด็กวัยย่างสิบแปดนี้ทำไปก่อน ชายหนุ่มตั้งใจจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจยามอยู่กับเขา ให้อศวมินทร์รู้สึกผ่อนคลายหากเขาทำตามความต้องการ และไม่ระแวงอีก

เดินทางถึงชลบุรีได้ในเวลาหนึ่งชั่วโมง กำลังมุ่งหน้าสู่พัทยาต่อไป อินทัชบอกกับคนนั่งข้างๆ ว่าเขาเคยมาช่วงต้นปีกับครอบครัว ทะเลพัทยาสะอาด บรรยากาศร่มรื่นดี แต่หากมีเวลากว่านี้เขาอยากพาทัวร์จังหวัดจันทบุรีมากกว่า ที่นั่นมีหาดมากมายหลายแหล่งให้เลือก อาหารถูกปากราคาไม่แพง หน้ำซ้ำมีสวนผลไม้เป็นสวนให้ทานแบบไม่อั้น เพียงแค่เล่าให้ฟังอศวมินทร์ก็กระตือรือร้นอยากจะไปอีก

อินทัชถูกออดอ้อนด้วยการหันมาบีบนวดขาให้ อศวมินทร์ขอให้พามาวินกับเขาไปงวดหน้าในขณะขับรถคนนั่งข้างกายหยิบขนมขบเขี้ยวขึ้นมากินไม่หยุดปาก ทำเอาคนมองหลุดยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู อศวมินทร์คลี่ยิ้มเมื่อรู้ตัว หยิบขนมกับน้ำป้อนคนขับบ้าง

รอยยิ้มนี้ละม้ายปรางคณางเหลือเกิน

ถึงทะเลพัทยา อินทัชเลือกเที่ยวหาดแบบธรรมดาสามัญชน ไม่เข้าโรงแรม พาอศวมินทร์จอดรถบนถนนและเดินลงมายังหาด แวบแรกเห็นชาวต่างชาติมากมายหลายคนนอนผ่อนคลายบนเก้าอี้เอนหลัง ไม่มีคนไทยสักคนทั้งที่เป็นวันอาทิตย์ อินทัชถามว่าต้องการเช่าเต๊นท์แบบนั้นไหม เด็กหนุ่มรีบพยักหน้าตอบทันทีอย่างว่าง่าย

ถึงที่แล้วอศวมินทร์ก็รีบถอดเสื้อผ้า ท่าทางตื่นเต้นอยากจะเล่นน้ำเต็มแก่ สาวๆ แถวนั้นหันมามองเด็กหนุ่มเป็นตาเดียว น้องมินของลุงอ้ายเป็นเด็กหน้าตาตามเทรนด์ ตัวสูง ผิวพรรณไม่ขาวเกินชาย ช่วงที่อยู่คอนโดว่างๆ เขามักจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในฟิตเนส ตอนนี้จากร่างกายผ่ายผอมก็มีกล้ามเนื้อขึ้นมาได้รูป ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ตัวอินทัชเองก็อึ้งเช่นกันที่เห็น

เด็กนี่ซ่อนรูปชัดๆ แล้วลุงแก่ๆ อย่างเขาจะไปสู้ได้ยังไง

"ลุงอ้าย เล่นน้ำกันครับ" อศวมินทร์เดินวนมาฉุดแขนให้เขาลุก หากทว่าคนถูกชวนโคลงศีรษะตอบ "ไปก่อนเถอะเดี๋ยวฉันสั่งอาหารรอ เล่นเสร็จเหนื่อยๆ จะได้มีของกิน"

"ไม่เป็นไรหรอกครับผมกินน้ำเปล่าก็ได้ ดูโน่นสิ เขาขับเจ็ทสกีกันน่าสนุกเชียว นะครับลุงอ้าย นะ..." เด็กหนุ่มดึงแขน ทำเอาคนถูกอ้อนระบายยิ้มอย่างไม่ได้ตั้งใจ "ลุงอ้ายจะอายอะไร คุณหล่อออกขนาดนี้ แถมสัมภาระบนโต๊ะก็ไม่มีอะไรสำคัญ มองจากหาดก็เห็นอยู่"

"แต่...ฉันอยากงีบสักหน่อย ไว้อีกสองชั่วโมงได้ไหม ไว้ค่อยไปเช่าห้องแล้วเอาของเก็บ จะได้เล่นแบบไม่ต้องห่วง"

"ถ้าให้ผมไปเล่นคนเดียวก็ไม่ต่างจากทุกทีที่มาน่ะสิ นะครับ ไปเช่าเจ็ทสกีขับเล่นกัน"

โดนแทงใจดำแบบนี้อินทัชถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว ชายหนุ่มทอดถอนใจพยักหน้ายอมในท้ายที่สุด เมื่อเงยขึ้นมอง เห็นแววดีใจของอศวมินทร์ฉายให้อย่างไม่ปิดกั้น อินทัชถอดเสื้อเหลือเพียงกางเกงยาวเท่าเข่าสีกรมท่า เก็บกุญแจรถซ่อนไว้ใต้เก้าอี้ วันนี้เขาไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์มา มีเพียงเงินสดที่ใส่ไว้ในเก๊ะหน้าคอนโซลรถไม่กี่พัน รถยนต์ก็จอดอยู่ใกล้ๆ

"แค่แป็บเดียวนะ"

อศวมินทร์รีบพยักหน้าตอบ เดินตามหลังคุณลุงด้วยความกระตือรือร้นไปหาคนให้เช่า ครั้นได้มาครอบครอง เด็กหนุ่มรีบสวมเสื้อชูชีพวิ่งไปหามันทันที สร้างรอยยิ้มบนใบหน้าคนมองยามเดินตามไป

อศวมินทร์บังคับขับเจ็ทสกีหน้าตาตื่นเต้น ท่าทางเป็นตัวของตัวเองในสายตาอินทัชนั้นทำให้เขาเอาแต่มองด้วยความเอ็นดู มองเด็กตัวน้อยบัดนี้โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ชายหนุ่มขับตามหลัง วันนี้ท้องฟ้าอากาศเป็นใจ เกลียวคลื่นไม่เล็กไม่ใหญ่จนเกินไป อศวมินทร์โลดแล่นบนผืนน้ำท่วงท่างดงามแข็งแรง

อิทัชระบายยิ้มกับตัวเองเมื่อได้ยินเสียงคนด้านหน้าแหกปากตะโกนระบายอะไรสักอย่างดังออกมา ทว่าเสียงเครื่องเจ็ทสกีที่เขาขับดังมากจนเกินไป อินทัชได้ยินไม่เป็นประโยค รู้เพียงว่าคนขับนำไปก่อนนั้นได้ผ่อนเครื่อง หันมาส่งยิ้มหวานเปี่ยมสุข รอยยิ้มอศวมินทร์ตราตรึงคนมองทางนี้ยิ่งนัก

ภาพเด็กเอาแต่ใจและขาดตวามอบอุ่นยืนปล่อยมือสองข้างบนเจ็ทสกตีตัวนั้น ยามแสงแดดสาดผ่านร่างอศวมินทร์มา แลดูมีมนต์ขลังอะไรสักอย่างให้ชายหนุ่มหยุดมอง อินทัชขับตามเด็กหนุ่มไปควบคู่ เห็นอีกฝ่ายยกมือหนึ่งข้างเสยผมที่เปียกน้ำ ฉีกยิ้ม หัวเราะให้เขา ก่อนบิดคันเร่งไปยังหาดที่ออกห่างจากผู้คน อินทัชแปลกใจเมื่อเจ็ทสกีของเด็กคนนั้นเทียบหาด อศวมินทร์วิ่งลงไปทิ้งตัวนอนแผ่หอบแฮ่ก หัวเราะราวกับตนเส้นตื้น

ชายหนุ่มทรุดกายนั่งข้างๆ คิดว่าเด็กคนนี้คงเก็บอะไรไว้ในใจเยอะแยะ หลังจากที่ตะโกนประโยคหนึ่งออกมา สีหน้าของอศวมินทร์ดูดีขึ้น

มือคนนอนบนพื้นทรายคว้าหมับที่ข้อมือเขา อินทัชจ้องคนนอนหอบหายใจมองท้องฟ้าด้วยความฉงน เมื่อเห็นว่าเด็กคนนี้กำลังยิ้มอย่างคนบ้า แต่มือสั่นจนเขาสัมผัสได้

"มิน..."

"สนุกเป็นบ้า! หมดแรงเลยลุงอ้าย ตัวสั่นเลยเห็นไหม" อศวมินทร์ยิ้ม ดึงกายตัวเองลุกขึ้นนั่งด้วยการขอแรงอินทัช "ผมไม่เคยทำอะไรสุดเหวี่ยงอย่างนี้มาก่อนเลยในชีวิต ตอนแรกผมก็กลัว แต่พอลองทำแล้วมันตื่นเต้นมาก!" คนเล่าเอาแต่ยิ้ม พูดเร็วด้วยความลุกลี้ลุกลน

"ตัวเธอสั่นมาก" อินทัชส่ายหน้า

"เพราะใจผมเต้นเร็วจนเกินไป ผม...ผมสนุกมาก!" อศวมินทร์หันไปสบตาคนนั่งข้างกาย เห็นอินทัชระบายยิ้มออกมาเมื่อได้ฟัง เด็กหนุ่มชะงักรอยยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาคิดว่าความเหนื่อยจากการสู้คลื่นน้ำลดทอนลงแล้ว เหตุใดจึงใจเต้นแรงอยู่อย่างนี้ไม่ยอมหายสักที คิดแล้วก็หันมาปรับอารมณ์ตนเองครู่หนึ่ง

เพราะรอยยิ้มของลุงอ้ายแน่ๆ

"ขอบคุณนะครับลุงอ้าย ที่สนใจคำขอผม" เด็กหนุ่มคลายมือมาเสยผมตัวเอง ยกยิ้มให้อีกฝ่าย แล้วผละมองเกลียวคลื่นด้านหน้า

"ไม่เป็นไร ฉันทำไปเพราะหวังว่าสักวันเธอจะเปิดใจให้เท่านั้นเอง"

อศวมินทร์หันไปสบกับความหมายที่อินทัชตอบ เด็กหนุ่มเห็นรอยยิ้มใจดีที่ส่งมาให้ ใจที่ว่าดีเต้นดังระรัวขึ้นมาไม่หยุดยั้ง ตอนนี้ใบหน้าหล่อเหลาอินทัชเปียกน้ำ ผมที่เคยถูกเซ็ทเป็นทรงตกมาระใบหน้า ทำไมดูแล้วเซ็กซี่จนไม่อาจละสายตาหนีได้เช่นนี้กัน อศวมินทร์เห็นแล้วหน้าร้อนฉ่า

"ผมเปิดตั้งนานแล้ว"

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของคนฟังอีกครั้ง เด็กหนุ่มนั่งสบนัยน์ตาคมคนอาวุโสกว่า วินาทีนั้นเสียงเกลียวคลื่นหรืออะไรต่อมิอะไรก็ไม่สามารถดึงทั้งสองคนออกมาได้ ราวกับตกอยู่มนต์สะกดจากสายตาแต่ละฝ่าย

ใบหน้ารูปหล่อทั้งสองเคลื่อนเข้าหากันราวถูกแม่เหล็กดูดเข้าไป บรรจบริมฝีปากเข้าไว้ด้วยกันอย่างอ่อนแผ่ว ไม่นานก็ผลัดเปลี่ยนมาเป็นความร้อนแรง ลมหายใจทั้งสองแทบขาดห้วงต่างไม่มีใครยอมใคร ดูดดุนเอาความหอมหวานราวขาดมันมานานนับปี ส่งผลให้เกิดเสียงจุบจับแสดงถึงความต้องการแต่ละฝ่าย

อินทัชสมองตื้อ นำจูบคนอ่อนกว่าอย่างเผ็ดร้อนหิวโหย เสียงเกลียวคลื่นไม่สู้ความพอใจในลำคอของอศวมินทร์ มือไม้ต่างแปะป่ายกันและกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้

"ลุงอ้าย" น้องมินของเขาหอบแฮ่ก ทิ้งตัวนอนลงบนผืนทรายซึ่งชายหนุ่มโน้มตามลงไปติดๆ ก้มลงแนบจูบอย่างไม่ยอมขาดแม้แต่วินาที อารมณ์หนุ่มเพิ่มดีกรีขึ้นกับมืออศวมินทร์ที่เคลื่อนไล้บนร่าง เด็กคนนี้ช่างน่ารัก น่าจับทำอะไรต่อมิอะไรจนพอใจ ชายหนุ่มผละริมฝีปากออกอย่างอ้อยอิ่ง ดวงตามองคนนอนใต้ร่างซึ่งกำลังเชยมาสบตาพอดี

"ลุงอ้าย..."

อินทัชลุกขึ้นหันหลังให้ เสียงอศวมินทร์เดินดังสวบสาบมากอดเขาจากด้านหลัง  อินทัชเผลอพ่นลมหายใจ ทำได้เพียงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น นึกต่อว่าตนเองเสียยกใหญ่เมื่อได้ตรองแล้วว่าไม่ควร

"ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ"

มือของคนด้านหลังกระชับกอดเขาแน่นกว่าเดิม "ตั้งใจสิ เมื่อกี้เราจูบกัน ลุงอ้ายจูบผมและผมก็จูบคุณ ไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อยนี่ครับ ทำไมต้องขอโทษ"

อินทัชแกะมือออกหันไปมองเด็กหนุ่มด้านหลัง อศวมินทร์คงไม่ทราบว่าเขาเก็บงำความจริงอะไรเอาไว้ แต่จะใหัเมินเฉยความน่ารักนี้ก็คงยากเกินไปที่จะทำ "ไปเถอะ ฉันห่วงว่าของที่โต๊ะจะหาย"

อินทัชขับนำกลับมายังโต๊ะซึ่งอยู่หาดใกล้ๆ ตรวจทานดูว่าข้าวของยังอยู่ดีหรือเปล่า แล้วเสร็จก็เดินถือของนำไปห้องน้ำล้างตัวและสระผม ชำระน้ำทะเลออกให้หายเหนียว ออกมาเห็นอศวมินทร์นั่งรออยู่โต๊ะแล้ว เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มราวกับลืมเรื่องเมื่อครู่ไป เหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

หลังทานมื้อเที่ยงเวลาย่ำบ่าย พอขึ้นรถโดนแอร์ไม่นานอศวมินทร์ก็หลับปุ๋ย ทั้งที่เพิ่งคุยกันว่าจะพาขับลัดเลาะริมหาดไปเรื่อย เยี่ยมชมบรรยากาศช่วงเย็นเมืองพัทยาแล้วค่อยกลับ แต่ดูท่าจะผิดคาด ช่วงเย็นรถติดแทบจะไม่ได้เขยื้อน อศวมินทร์รู้สึกตัวตื่นก็เทียวแต่ชวนเขาเดินวอคกิ้งสทรีท หากทว่าอินทัชไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง

สองทุ่มเข้าแล้วก็ยังไม่ทันออกจากชลบุรี อินทัชชำเลืองตามองคนนั่งข้างกายที่หันไปมองผ่านกระจกออกไปเงียบๆ บรรยากาศต่างจากขามาลิบลับ อศวมินทร์อาจจะเหนื่อยกระมัง

"จะแวะกินอะไรไหม กลับไปจะได้นอนเลย" ชายหนุ่มถามฝ่าความเงียบ ได้ยินเพียงเสียงขานรับในลำคอ ด้านหน้าเป็นร้านสเต็กพอดี อินทัชจึงหมุนพวงมาลัยบังคับยานพาหนะเคลื่อนเข้าไปจอด

ในขณะกำลังก้มหน้าก้มตาทาน อินทัชมองเด็กหนุ่มวัยกำลังโตตักเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยก็ยิ้มอิ่มแทน เสียงข้อความที่สนทนาผ่านโซเชียลดังขึ้น ปรากฏใบหน้าของอินทัชกำลังหลับบนหน้าจออีกครั้ง ชายหนุ่มผละรอยยิ้มลงทันทีที่เห็น อศวมินทร์รีบยกมาถือต้องการกลบเกลื่อนเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร

ทั้งคู่สบตากันอยู่ครู่ ฝ่ายอศวมินทร์เป็นคนผละออกไป อินทัชแปลกใจ ปกติเด็กคนนี้จะช่างพูดให้เขาคิด แต่คราวนี้กลับเงียบ หรือเพราะจูบเมื่อตอนกลางวันเป็นต้นเหตุ

"ฉันขอโทษ ที่จูบเธอเพราะฉันกำลังคิดถึงใครสักคน"

คนฟังเงยขึ้นมามอง หน้าผิดสีไปเล็กน้อย "งั้นเหรอครับ ไม่ใช่เพราะว่าลุงอยากจะจูบผมสินะ" คนตอบระบายยิ้มจาง นั่นทำให้กระตุกใจตนมองแทบไม่อาจละสายตาหนีไปไหน ต้นเหตุจากยิ้มนั้น อินทัชเห็นว่ามันและดูเฝื่อนเต็มที คนมองทำได้เพียงกะพริบตาถี่หันไปด้านอื่นไม่รู้ว่าจะพูดคำใดต่อ

"จูบเพราะคิดถึงคนอื่น..." อศวมินทร์หัวเราะในลำคอ "ยังไงก็ขอบคุณที่ทำให้ผมหลงรู้สึกดีตั้งนาน"

"เรื่องอื่นฉันไม่ได้แกล้งทำ" อินทัชแทรก มองคนตรงหน้ากดโทรศัพท์แล้ววางลง ใจเขาหลุดวูบเมื่อเห็นหน้าจอทัชสกรีนนั้นว่างเปล่า "มิน ที่จริงเธอเป็นเด็กน่ารัก ฉันรู้ที่เธอทำอะไรลงไปเพราะมีเหตุผล เธอเป็นเพื่อนมาวิน ฉันบอกแล้วไงว่าจะไม่เปลี่ยนไปไม่ว่าเธอจะเป็นยังไง"

"ปล่อยให้ผมอยู่แบบเดิมเถอะ อย่ามายุ่งกับผมอีก"

คนฟังราวกับถูกน้ำเย็นสาดใส่หน้า อินทัชนิ่ง มองเด็กหนุ่มลุกเดินจากไป ก่อนสมองจะประมวลผลว่าไม่ควรนั่งทื่ออยู่เช่นนี้ อินทัชวางแบงค์สีเทาลงบนโต๊ะแล้วหมุนตัววิ่งตามออกมา ไม่สนเด็กเสิร์ฟที่ร้องบอกให้รอรับเงินทอนสักนิด

แต่พอตามมาแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร ตลอดเส้นทางชายหนุ่มทำได้เพียงชำเลืองตามองคนข้างกาย เห็นว่าอศวมินทร์นั่งกอดอกมองไปอีกด้านหนึ่งนิ่ง หากไม่ได้ยินสียงทอดถอนใจอยู่บ่อยครั้ง อินทัชคิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้วเสียอีก เขาเองก็จำต้องถอนใจอย่างช่วยไม่ได้ ผิดเองที่เผลอไผลไปตามอารมณ์ชั่ววูบคราวนั้น

ใช่หรือ...

หากเป็นเพราะชั่ววูบจริง ทำไมเขาต้องใจเสียที่เด็กคนนี้เอารูปตัวเองออกจากหน้าจอโทรศัพท์กันเล่า อินทัชยกมือยีศีรษะตัวเอง มุ่นคิ้วเอาแต่ลอบมองคนข้างกาย ไม่ให้เขายุ่งงั้นหรือ เรื่องนั้นจะทำได้อย่างไรตนก็ตอบไม่ได้ เมื่อคืนเขาเปิดดูโทรศัพท์กี่รอบเพราะรอข้อความจากเด็กคนนี้ และเป็นฝ่ายมาหาอศวมินทร์เองเพราะรู้สึกหงุดหงิดตั้งแต่เช้า

อินทัชอยากบ้า เขาหลอกตัวเองทำไมทั้งที่แคร์ความรู้สึกเด็กข้างกายมากขนาดนี้

เดินทางถึงคอนโดห้าทุ่ม อศวมินทร์อยู่ในช่วงงัวเงียถือข้าวของเดินขึ้นมาพร้อมกัน ครั้นถึงห้อง เก็บของแล้วเสร็จชายหนุ่มก็ตั้งท่าว่าจะกลับเลยทันที "พรุ่งนี้เจ็ดโมงฉันจะมาถึง แต่งตัวรอให้เรียบร้อยนะ" ว่าพลางจะเอื้อมมือไปยีผมอีกฝ่ายด้วยความเคยชิน ทว่าต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงหลบ

ลืมไปว่าเขาทำแต่กับมาวินเท่านั้น ไม่ใช่กับเด็กนี่

อินทัชถอนใจ มองตามเด็กตัวสูงเดินไปยังประตูจะเอื้อมมือเปิดเดินลงไปส่ง บอกว่าจะไล่เขากลายๆ คนมองรีบเดินตามหลังด้วยรับรู้ถึงความรู้สึกอีกฝ่ายดีว่ากำลังมองหน้าเขาไม่ติด ในวินาทีที่เด็กหนุ่มกำลังหมุนประตู มือหนาก็ดึงรั้งกลับให้หันมาสบตา อีกข้างก็ผลักอกอศวมินทร์ให้เอนไปชนประตูจนงับปิดใหม่อีกรอบ

คนถูกทำเบิกตาด้วยความงุนงง กำลังประท้วงก็ถูกครอบครองริมฝีปากไว้ อศวมินทร์มึนงงกับการกระทำนี้ แต่เพียงไม่นานเท่านั้นที่เขาดื้อรั้นผลักออก เสียงกระซาบของอินทัชอยู่ข้างหูในยามเคลียคลอชิดใกล้ ได้ทำให้ความรั้นทั้งหมดหยุดลง แทนด้วยการสนองรับอย่างพร้อมใจ


--ละไว้ในฐานที่เข้าใจค่ะ--


********************************

ง่อววววววววว ได้เสียกันแล้ว 5555 แต่ไม่มีหลุดออกมานะคะ
ใบให้ว่าเขาได้กันตรงหน้าประตูนี่แหละ แล้วก็ไปต่อที่ห้อง เรื่องนี้แบบว่าเผ็ดร้อนมาก
แต่ไม่บอกว่าลุงอ้ายกระซิบอะไรให้มินฟังหรอกนะ

วายเรื่องนี้ตัวเอกทั้งคู่ไม่สาว ไม่ตุ้งติ้ง แมนๆ เข้าฟิตเนสนะคะ จิ้นเองว่าใครเมะใครเคะ
กำลังเร่งอัพให้ทันเวบอื่น ตอนนี้เป็นตอนล่าสุดละค่ะ จากนี้ก็อัพช้าลงแล้ว

คอมเม้นเป็นกำลังใจเค้าด้วยเน้อ รักคนอ่านค่ะ จุ้บบบ



หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๕ ♡ [11/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 11-09-2015 04:58:25
แนวเรื่องแหวกมาก
อ่านชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นเด็กขี้เล่นมาตื้อรักกับรุ่นใหญ่
แต่นี่กลับดาร์คนิดๆ แถมมีปม
น่าติดตามมากครับ
หัวข้อ: Re: ♡ลุงครับ รับเลี้ยงผมไหม ตอนที่ ๕ ♡ [11/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-09-2015 12:56:26
แนวเรื่องแหวกมาก
อ่านชื่อเรื่องนึกว่าจะเป็นเด็กขี้เล่นมาตื้อรักกับรุ่นใหญ่
แต่นี่กลับดาร์คนิดๆ แถมมีปม
น่าติดตามมากครับ

กะว่าจะเปลี่ยนชื่อเรื่องเหมือนกันค่ะ แต่เป็นคนหัวทึบ
ชื่อเรื่องกับตัวละคร คงต้องคิดหนักอีกที ^^
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-09-2015 18:20:45
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


อินทัชสวมเสื้ออยู่ปลายเตียง หางตาเหลือบมองคนนอนใต้ผ้าห่มนวม ภายในห้องนอนแห่งนี้มืดมิดมองไม่ชัดแจ้ง มีเพียงแสงสีส้มนวลจากหน้าต่างลอดผ้าม่านสาดเข้ามา อศวมินทร์คงหลับลงไปแล้ว เหลือเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ยังนั่งตัวแข็งทบทวนในสิ่งที่ตนเพิ่งก่อ

มือหนายกลูบใบหน้าตัวเอง เอี้ยวตัวคลานขึ้นเตียงไปพิศมองคนนอนหลับอย่างเงียบเชียบ พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นมันถูกต้องที่สุดแล้ว เด็กคนนี้ไม่ได้ผลักไสเขาออก ตัวชายหนุ่มเองก็ได้รับความสุข เพียงเท่านี้เป็นพอ ถึงแม้ใครจะว่าเขาเห็นแก่ตัวก็ช่าง เพียงแค่เซ็กส์ ก็แค่เซ็กส์ที่แลกความสุขกันบนเตียงกันเท่านั้น เขามอบกอดให้คนที่โหยหาทั้งรับตอบกลับมาอย่างไม่นึกรังเกียจ แค่นี้เป็นพอ

มองนาฬิกาบอกเวลาว่าตีหนึ่งกว่า อินทัชทอดถอนใจ วันนี้เขาเองก็เหนื่อยเพลียไม่แตกต่างจากคนตรงหน้า อีกทั้งเมื่อยตัวจนแทบขยับไม่ไหว คืนนี้คงไปไหนไม่ได้แล้วนอกจากทิ่งกายลงบนเตียงนอนพักเอาแรง

พอทิ้งตัวนอนได้ แรงกระเพื่อมของเตียงก็ปลุกให้คนข้างๆ หันมากกกอด เครื่องปรับอากาศทำงานอย่างเต็มที่ของมันดีแล้ว อินทัชรู้สึกเย็นปลายเท้าจนต้องหันไปสวมกอดอีกฝ่ายตอบ

"มือลุงอ้ายเย็นมากเลยนะ ไม่สบายรึเปล่า"

เปล่าเลย เขาเป็นคนจำพวกทำผิดไม่ขึ้นต่างหาก อินทัชไม่อาจตอบตามตรงออกไปได้ ดวงตามองตามแขนยาวของอศวมินทร์ที่ลุกขึ้นยกผ้าห่มคลุมให้ "ขอบใจ"

คนด้านบนยิ้มเห็นฟันแทบทุกซี่ ทิ้งตัวลงนอน ขยับแขนกอดดึงให้ชายหนุ่มรับความอบอุ่นกับร่างเปลือยเปล่า

"ขอบคุณที่วันนี้นอนเป็นเพื่อนผมนะ ลุงอ้าย ผมมีความสุขที่สุดเลยนะครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีอะไรกับผู้ชายด้วยกันแล้วไม่รู้สึกสะอิดสะเอียน คุณเป็นเหมือนผมไหม"

อินทัชใจเต้นผิดจังหวะ หากเขาปฏิเสธคงเป็นการโกหกที่ไม่น่าทำที่สุด ถ้าเขารู้สึกสะอิดสะเอียนเด็กคนนี้จริงคงไม่น่าทำต่อจนจบ และคงไม่รู้สึกผิดเช่นนี้

"ฉัน...เอ็นดูเธอ เธอเป็นเด็กแปลก" สิ้นคำ คนฟังหัวเราะตามอย่างชอบใจ "ฉันไม่สามารถห้ามความอยากของตัวเองได้ ใจหนึ่งอยากทำให้เธอรู้สึกดี ใจหนึ่งก็ไม่อยากทำให้หลานอย่างมาวินเสียใจ"

"ผมจะไม่ทำให้คุณอายหลานตัวเองเลย มาวินและคนอื่นจะไม่รู้ ขอให้ลุงอ้ายมาหาผม กอดผม จูบผม ผมจะยอมเชื่อฟังทุกอย่าง ไม่เอาแต่ใจไม่ปริปากบ่นสักคำ ผมสัญญา แค่ยอมให้ผมนอนกับคุณเป็นสิ่งตอบแทน จะเงินหรือของมีค่าอะไรก็ไม่อยากได้"

"มิน" อินทัชตื้อในอก เหตุใดเด็กคนนี้ถึงพูดเรื่องน่าเศร้าได้อย่างมีความสุขเช่นนี้เล่า

"นะครับ มาหาผมทุกวันนะ"

"อืม..."

ชายหนุ่มทำได้เพียงขานรับอย่างสุดจะกลืน เขาไม่ได้ฝืนตัวเพราะไม่ชอบอศวมินทร์ แต่ชายหนุ่มกำลังรู้สึกผิดต่อสิ่งที่ตนเองกำลังกระทำ ใบหน้าปรางคณางลอยเต็มห้วงความคิดของอินทัชยามนี้ "ฉันจะให้ความสุขเธอจนพอใจเลยล่ะ เพราะอย่างนั้นห้ามเบื่อนะ รู้ไหม"

"ไม่มีทางเป็นแบบนั้นหรอก"

อศวมินทร์เคลื่อนขยับเข้ามาแนบปากลงบนแก้ม จูบซ้ำๆ ย้ำคิดย้ำทำให้ชายหนุ่มเข้าใจ แม้จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวัน สองกายที่อิงแอบแนบชิดก็ไม่ยอมหลับนอนพักผ่อนสักที เทียวจูบและกระซาบกระซิบพูดคุยโต้ตอบกันตลอดทั้งคืน รวมถึงจูบรสหวานเองก็เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างมอบให้อย่างไม่รู้สึกเสียเปรียบ

จูบที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเข้าใจกันและกัน




รุ่งเช้าของวันใหม่เดินทางมาถึงอย่างเงียบเชียบ แม้จะนอนดึกดื่นถึงเพียงไหนอินทัชก็ตื่นตามเวลา ชายหนุ่มลุกขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที หมุนตัวเดินเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย หยิบเสื้อผ้าตัวเองในตู้มาสวม เสียงขลุกขลักจากการกระทำนี้ปลุกให้คนยังหลับรู้สึกตัว อันที่จริงตอนนี้ยังเช้ามากเกินกว่าที่เด็กหนุ่มจะตื่น แต่เมื่อคืดว่าอินทัชกำลังจะไปแล้วก็ชวนให้ตาสว่างขึ้นมาทันที

อาหารเช้าถูกทำขึ้นมาง่ายๆ ในขณะที่อศวมินทร์กำลังเข้าห้องน้ำ เด็กหนุ่มทำท่าตื่นเต้นดีใจเสียยกใหญ่ มองไส้กรอกและไข่ดาวหน้าตาน่าทานตรงหน้าแล้วกอดเขา ให้บรรยากาศคล้ายผัวเมียข้าวใหม่ปลามันดีแท้

คุณลุงยังหนุ่มจะไม่กลับไปที่บ้าน มุ่งหน้าไปที่โรงเรียนอศวมินทร์และจะตรงไปสำนักงานเลย หลังจากอินทัชส่งให้ลงหน้าโรงเรียนแล้วอศวมินทร์จึงเดินเข้าไปในอาคาร แวบแรกรู้สึกถึงสายตาที่หันมามอง เด็กหนุ่มพยายามปัดออกไม่อยากใส่ใจ ย่างเดินขึ้นไปยังชั้นเรียนที่ตัวเองอยู่

เขาอยู่ห้องต้นๆ และไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่สิ่งที่ได้พบมาตลอดทั้งปีหลังบิดาเสียเป็นแรงกดดันให้เลือกทำเช่นนั้น มารดาเสียใจเรื่องบิดาได้ไม่นาน จากนั้นมา ผู้ชายคนใหม่ที่ไหนก็ไม่ทราบก็เข้ามาในชีวิต เพียงไม่กี่เดือนปรางคณางก็มาบอกเขาว่าเธอจะมีสามีใหม่ ที่สำคัญจะพาผู้ชายคนนั้นมาอยู่ด้วยกันที่บ้าน

อศวมินทร์ไม่อยากจะเชื่อ เขาแย้งไปว่าไม่ควร แต่ปรางคณางก็ดื้อรั้นจะพาผู้ชายเข้าบ้านให้ได้ เด็กหนุ่มโมโห ดูถูกและต่อว่าไอ้แมงดาตัวนั้นให้เธอฟังเสียยกใหญ่ ปรางคณางตบเขามาฉาดหนึ่ง พูดจาเข้าข้างคนหน้าตัวเมียนั่นโดยไม่นึกถึงจิตใจเขาสักนิด ขนาดยังไม่ทันได้เห็นหน้าก็สร้างปัญหาได้ถึงเพียงนี้

เขาเกลียดผู้ชายคนนั้น คนที่หลบใต้ชายกระโปรงมารดาเขาอย่างไม่ใช่ลูกผู้ชาย คนที่จ้องจะเกาะผู้หญิงรวยๆ เพื่อให้ตัวเองอยู่กินสบาย เขาไม่อยากเป็นลูกเลี้ยงของผู้ชายคนนั้น ไม่ว่าอย่างไรอศวมินทร์จะไม่มีวันยอมรับเด็ดขาด!

ยิ่งคิดย้อนไปแล้วเด็กหนุ่มก็นึกโมโห คาบเรียนวิชาแรกได้เริ่มขึ้นอย่างน่าเบื่อหน่าย หากทว่าอศวมินทร์ก็ทำได้แค่นั่งฟัง เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่นั่งข้างกายปันหนังสือมาให้อ่านด้วยยิ้มเป็นมิตร อาจารย์ประจำวิชาที่เอาแต่ชำเลืองตามามองเขา แม้อึดอัดเด็กหนุ่มก็จำต้องทนนั่งจนจบ เพราะนี่เป็นความต้องการของลุงอ้าย คนที่ส่งเสียเขา

อศวมินทร์ไม่อยากทำให้ลำบากใจ

เสียงเพื่อนหญิงชายในโรงเรียนสนุกสนานกับการหยอกล้อกัน อศวมินทร์คล้ายดินฟ้าอากาศไม่มีตัวตนตรงนั้น ไม่มีใครทัก ไม่มีใครคุยด้วย แต่มีหรือที่คนอย่างเขาจะสน เด็กหนุ่มเอาแต่ก้มหน้าก้มตาส่งข้อความหาอินทัช แม้นานๆ อีกฝ่ายจะตอบกลับมา แต่ถ้อยตำที่ตอบมานั้นน่ารักชวนให้ยิ้มตามเสมอ

ตลอดทั้งวันมาวินกับเพื่อนแวะเวียนมาหาบ้าง อศวมินทร์รู้ถึงความหวังดีของเพื่อนที่สอบถามความเป็นอยู่ แต่มันก็แสดงออกกลายๆ ว่าอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขามากจนเกินไป เด็กหนุ่มตัดบทด้วยการเงียบไม่เล่าอะไรให้ใครฟังทั้งสิ้น เขาเชื่อใจอินทัชและอยากให้อินทัชเชื่อใจตัวเองกลับบ้าง

อศวมินทร์เป็นเด็กดี อินทัชแวะมาหาเขาแทบทุกวัน มาฟังเด็กหนุ่มเล่าเรื่องเพื่อนๆ ให้ฟัง คนเล่านั้นดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเมื่อเห็นคนฟังนั่งยิ้ม ส่งเเววใจดีมาให้

"จากนั้นเขาก็มาชวนผมไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันตลอด ผมพยายามปฏิเสธแล้วนะครับ แต่พวกเขาก็ตื๊อ แล้วก็ชวนเล่นเกมแปลกๆ ตอนกินข้าวด้วย พวกเราเป่ายิงฉุบแลกชามก๊วยเตี๋ยวกัน ผมได้ของเพื่อนผู้หญิงคนนึง เขาติดรสหวานกับเค็มปะแล่ม เรากินรสชาติของคนอื่นไปก็หัวเราะกันไป"

อศวมินทร์ทำตาโตเล่า "มาวินเป็นคนทานไม่เผ็ดลุงอ้ายก็รู้ แต่วันนั้นมันโดนแจ๊คพอตของเพื่อนที่ชอบเผ็ดพอดี มันลนร้องหาน้ำทุกคำที่กินครับ ปากนี่ก็แดงอย่างกับพริก นึกแล้วก็ขำนะ"

อินทัชพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม นั่งกอดอกฟังไม่พูดคั่นกลางคนเล่าให้เสียอารมณ์ ชั่วโมงนี้ชายหนุ่มกำลังปลาบปลื้มกับความสำเร็จของตัวเอง เขาเห็นเด็กคนนี้มีความสุขที่ได้ไปโรงเรียน แค่นี้ก็บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเองแล้ว

"จากนั้นอีกครึ่งชั่วโมง พวกเราก็ผลัดกันวิ่งเข้าห้องน้ำคนละสองสามที พอเห็นใครทำท่าขออนุญาตอาจารย์ไปพวกเราก็หัวเราะรอท่าเลย"

"คงเป็นเพราะไปกินรสชาติแปลกจากเดิมละมั้ง ท้องไส้เลยไม่ชินตามไปด้วย" คนฟังออกความเห็น "ใช่ครับ มาวินตลกที่สุดเลยนะ ปวกเปียกฉิบหาย"

คนฟังตีหน้าดุเมื่อได้ยิน เล่นเอาอศวมินทร์ละรอยยิ้มเก้อ เด็กหนุ่มเกาหัวแกรกมองนัยน์ตาคมทั้งระบายยิ้มแห้งๆ รับรู้ว่าตนเองยังไม่ควรพูดคำหยาบอย่างไม่จำเป็น "ขอโทษครับ"

อินทัชมองคนที่ขยับมานั่งข้างกาย มือก็บีบไหล่แสร้งเอาอกเอาใจแต่สีหน้าทะเล้นยียวน "ไหนที่ว่ารู้สึกผิดกัน คนรู้สึกผิดเข้าทำหน้าแบบนี้เหรอ"

"โธ่...ขอโทษครับคุณลุงสุดหล่อ คุณลุงสุดแสนน่ารักของผม" อศวมินทร์กอดออดอ้อน ทำเอาคนฟังหลุดยิ้มในท้ายที่สุด "พอเลย พอ..."

เด็กหนุ่มยิ้มหวานเมื่อรับรู้ว่าอินทัชยิ้มขันกับคำชม ครั้นเห็นดังนั้นก็ทำได้เพียงมองอย่างนึกมีความสุข ต่างฝ่ายต่างเห็นแววตาของกันและกันในระยะใกล้ ความเงียบบังเกิดขึ้นอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ แต่ภายใต้ดวงตาที่ส่งมอบแก่กันนั้นกลับเป็นตรงกันข้าม มันกำลังร้องตะโกนบางอย่างให้กันเสียงอึกทึกจนใจสั่น ท้ายที่สุดอศวมินทร์ก็เป็นฝ่ายยอมแพ้ เบือนศีรษะหนีไปด้านอื่นด้วยความรู้สึกขัดเขินแปลกๆ

มือหนาเคลื่อนไปโยกหัวของคนตรงข้ามด้วยความเอ็นดู "รู้ไหมมิน การลองแลกก๊วยเตี๋ยวกันกินแบบนี้มันได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน"

เด็กหนุ่มหันไปหาอินทัช "ก็...ได้ชิมรสชาติใหม่ๆ ไง"

"มันก็ใช่...แต่จะไม่มองให้มันลึกลงไปกว่านี้หน่อยเหรอ" อินทัชย้อน

คนฟังกลอกตาคิดตามในสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะสื่อ แค่เพียงเห็นอศวมินทร์กระตือรือร้นจะหาคำตอบเช่นนี้ อินทัชก็นึกเห็นความน่ารักของอีกฝ่าย เคลื่อนใบหน้าคมคายเข้าไปแนบริมฝีปากจูบ แทรกลิ้นเข้าไปพันรัวนัวเนียอยู่ครู่หนึ่งจึงถอนออก

คนถูกทำจ้องกลีบปากสีสดตรงหน้าอย่างนึกเสียดาย พริ้มตารับจมูกโด่งเป็นสันที่เคลื่อนเข้ามาไล้ปลายจมูกรั้นอย่างแผ่วอ่อน อศวมินทร์อยากจะคลั่งตาย เมื่อคนตรงหน้าไม่หยุดยั่วยวนด้วยการกระซิบเสียงหอบพร่าให้ทั้งกายเขาร้อนหวาม "ก็ได้รู้จักตัวตนคนอื่นด้วยลิ้นยังไงเล่า..."

แน่นอนที่สุด "ผมจะทำความรู้จักลุงอ้ายไปทุกที่ ด้วยลิ้น" สิ้นคำ อินทัชถูกผลักให้เอนตัวพิงพนักโซฟาดังผลั่ก! ไม่ทันจะได้ลุกตั้งหลัก ปากหนาก็ถูกบดขยี้จากเด็กเอาแต่ใจที่ลุกขึ้นมาคร่อมทับ ไม่ปล่อยให้ได้ลุกและหายใจสักห้วงวินาที

ภายในห้องมีเพียงเสียงหอบกระหายและเครื่องปรับอากาศ อินทัชเคลื่อนมือกุมประสานกับคนด้านบนที่ยังเอาแต่ใจ นำบทรักด้วยลิ้นสากอย่างช่ำชอง หางตาเหลือบไปเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด บรรยากาศช่วงใกล้ค่ำก็มืดสลัวไม่แตกต่างจากสภาวะจิตใจเขายามนี้ ชายหนุ่มพริ้มตา แต่ไม่อาจปฏิเสธความสุขที่กำลังเผชิญนี่ได้

ปลายจมูกอศวมินทร์ลากไล้รดลมหายใจไปทั่วทั้งตัว อินทัชหอบสั่น กายหนุ่มที่นั่งนิ่งกระตุกวูบด้วยรสสัมผัสจากลิ้นอุ่นหยอกเย้า จมูกโด่งได้รูปพ่นรดลมหายใจให้ร้อนวาบจนต้องเม้มกัดริมฝีปากแน่นอย่างช่วยไม่ได้

วินาทีนั้นสมองชายหนุ่มตือเบลอและขาวโพลน ร่างอินทัชราวล่องลอยกลางอวกาศทั้งเวิ้งว้าง เหน็บหนาว ชายหนุ่มเคลื่อนมือหนาไล้เส้นผมสลวยคนกระทำ ใบหน้าคมคายมิอาจปิดกั้นความจริง ทำได้เพียงเชิดแหงนมองเพดาน เผยอปากสูดลมหายใจราวกับกำลังใจจะขาด

"มิน..."


--ละไว้ในฐานที่เข้าใจ--
 

อินทัชรู้ตัวเอง เขาอาจไม่แตกต่างจากอศวมินทร์เลยสักนิด โหยหาความสุขและเห็นแก่ตัว กอบโกยเข้าสู่ตัวเองอย่างไม่สำนึกถึงผิดชอบชั่วดี

ใครก็รู้ว่าการทำเลวมันง่ายกว่าการทำดีถึงขนาดไหน

มือหนาเคลื่อนกอดเด็กน้อยตรงหน้าหนักแน่น ไม่มีครั้งไหนเขาที่มีเซ็กส์กับอศวมินทร์แล้วไม่รู้สึกผิด แต่ความสุขของเซ็กส์ก็แสนเลว หลอกล่อให้เขาติดหนึบจนไม่สามารถโงหัวขึ้นมาอีกแล้ว!

อินทัชสัมผัสความจริงอย่างสะเทือนใจที่สุดเกินจะยอมรับ อศวมินทร์ทำให้เขามีความสุขกับการร่วมรักกับผู้ชาย อย่างที่เคยถูกถามเมื่อก่อน



อศวมินทร์เดินวนอยู่หน้าโรงเรียนทั้งมองโทรศัพท์เพราะติดต่ออินทัชไม่ได้ เมื่อคืนเขาเอาแต่ใจเล่นงานคุณลุงหนักไปหน่อย ป่านนี้อีกฝ่ายก็คงจะเคืองยังไม่หาย เมื่อเช้าก็บ่นเขายกใหญ่ว่าที่ต้องตื่นสายเพราะอศวมินทร์เป็นต้นเหตุ เด็กหนุ่มหลุดยิ้มกับต้นเหตุจริงๆ ที่ได้ทำเมื่อคืนอย่างช่วยไม่ได้

คนไม่อยากทำเองที่นอนไม่หลับ เขาก็แค่สนองไปตามสมควร

"ฮัลโหล ลุงอ้ายถึงไหนแล้วครับ" เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เด็กหนุ่มใส่อารมณ์กรอกเสียงอย่างลืมตัว "อ๋อ..." แต่ท้ายที่สุดน้ำเสียงแข็งกร้าวก็ยอมอ่อนลงในที่สุด เมื่อได้ฟังเสียงทุ้มอบอุ่นของคนในสาย

"ผมคิดถึงลุงนะ รีบมารับนะครับ" คนกล่าวแอบเกาศีรษะแก้เก้อเขิน รอยยิ้มเจือจางลง บนแก้มทั้งสองข้างระบายเลือดฝาดเมื่อฟังคำตอบรับ

"คิดถึงเหมือนกัน..."

แม้ว่าอินทัชได้วางสายไปแล้วเพราะอยู่ในขณะขับรถ คนฟังยังยืนระบายยิ้มด้วยความเต็มตื้นในอกอย่างไม่อาจเก็บซ่อน เสียงเพื่อนนักเรียนพูดคุยโหวกเหวก เสียงรถเมล์แล่นเคลื่อนผ่าน เสียงลมธรรมชาติพัดใบไม้ริมรั้วกระทบกัน ทุกอย่างที่เขาได้ยินมันเพราะพริ้งน่าฟังไปเสียหมด

อศวมินทร์หมุนตัวไปทั้งรอยยิ้ม หากทว่ารอยยิ้มแสนมีความสุขนั้นอันตรธานหายไปสิ้น เมื่อดวงตาของเขาเงยขึ้นเห็นชายชุดดำยืนอยู่ข้างหลังสีหน้าตึงเคร่ง!

เด็กหนุมหันซ้ายแลขวา ดวงใจที่เพิ่งรื่นรมย์หลุดโหวงเต้นตึกตัก ลมหายใจหอบสั่นร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง ชายชุดดำยืนรุมล้อมทั่วทุกสารทิศ ลำขายาวเลือกจ้ำอ้าวไม่รู้ทิศทาง หูเขาอื้ออึงได้ยินเสียงแตรถดังสนั่น

"ไม่!!!"

เด็กหนุ่มใจหาย มือหนาของชายชุดดำกระชากคอเสื้อกลับเข้ามายืนบนบาทวิถีหวุดหวิด ความตายรอตรงหน้าแต่อศวมินทร์ไม่ทันได้สัมผัสถึง เสียงตะโกนสั่งให้เขาสงบนิ่งดังสะท้อนโสตประสาท เด็กหนุ่มยังไม่ยอมเชื่อ เขาดิ้นสุดแรงเกิดเรียกร้องเอาอิสรภาพคืนกลับอย่างไม่ยินยอม ภาพรอยยิ้มของลุงอ้ายล่องลอยในความทรงจำไม่ขาดหาย

ยอมตายเสียดีกว่าที่จะไม่ได้พบหน้าลุงอ้าย!


****************************

อึมมาก แง้วววววว ใครมาฉุดน้องมินไปเนี่ย!

คือตอนนี้พยายามสื่อว่ามินเป็นเด็กที่ขาดความรักตั้งแต่ไหนแต่ไร
พอได้รับอย่างเต็มที่จากลุงอ้าย นางก็เชื่อมั่น วางใจ มอบให้100%
เพราะตั้งใจปูเรื่องให้รักมาก พอมารู้ทีหลังก็เลยเจ็บมา แค้นมาก

และหลังจากนั้นนางก็จะโขกสับพ่อเลี้ยงแบบไม่หลงเหลือความรักเลย
ซาดิสม์แปป 5555

อย่สงรู้ผลตอบรับค่ะ ยังไงก็คอมเม้นบอกด้วยนะคะว่ามันอึมครึมพอรึยัง




 
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๕ ♡ [11/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 11-09-2015 18:22:36
ดูๆแล้วมินเป็นเด็กที่เอาแต่ใจมากๆเลยนะ เราไม่เข้าใจปัญหาที่ว่าขาดความอบอุ่นของมินเท่าไหร่

คงเป็นเพราะผู้แต่งข้ามมันไปเลยทำให้เราไม่เห็นด้วยกับมินที่ทำให้แม่เสียใจไม่ยอมคุยกันดีๆแล้วมาทำตัวแบบนี้อีก

ส่วนลุงอ้าย คือ ตบะอ่อนไป สุดท้ายเสร็จเด็กจนได้ เฮ้อๆๆๆๆ

สรุปคือตอนนี้ยังไม่ปลื้มทั้งมินและลุงอ้ายเท่าไหร่  :เฮ้อ:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๕ ♡ [11/09/58]
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-09-2015 18:40:59
ดูๆแล้วมินเป็นเด็กที่เอาแต่ใจมากๆเลยนะ เราไม่เข้าใจปัญหาที่ว่าขาดความอบอุ่นของมินเท่าไหร่

คงเป็นเพราะผู้แต่งข้ามมันไปเลยทำให้เราไม่เห็นด้วยกับมินที่ทำให้แม่เสียใจไม่ยอมคุยกันดีๆแล้วมาทำตัวแบบนี้อีก

ส่วนลุงอ้าย คือ ตบะอ่อนไป สุดท้ายเสร็จเด็กจนได้ เฮ้อๆๆๆๆ

สรุปคือตอนนี้ยังไม่ปลื้มทั้งมินและลุงอ้ายเท่าไหร่  :เฮ้อ:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ตอนที่ ๖ มาแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 11-09-2015 19:15:10
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-09-2015 10:43:19
ใครฉุดมินเนี่ย ลุงอ้ายรีบมาช่วยมินเร็วๆ   เฮ้อออ อึดอัดไม่อยากให้ถึงวันที่มินรู้ว่าลุงอ้ายเป็นพ่อเลี้ยงเลย

แล้วแบบนี้จะอยู่กันยังไง แม่ลูกมีคนรักคนเดียวกันเนี่ยนะ เจ็บแปล๊บขึ้นมากลางอกแทนมินยังไงไม่รู้

ที่โดนทรยศหักหลังจากคนที่รักมากและไว้ใจมากที่สุด หึ มินคงได้แค้นหนักแน่งานนี้

จะรอดูว่ามินจะแก้แค้นลุงอ้ายยังไงต่อไป

ปล.รีบมาอัพนะคะ กำลังค้างเลยใครฉุดมินไปเนี่ย

และอยากจะบอกว่าอยากอ่าน พี่ปอกับน้องภีมภาค 2 ต่อไวๆ ด้วยค่ะ
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 12-09-2015 12:20:53
ใครฉุดมินเนี่ย ลุงอ้ายรีบมาช่วยมินเร็วๆ   เฮ้อออ อึดอัดไม่อยากให้ถึงวันที่มินรู้ว่าลุงอ้ายเป็นพ่อเลี้ยงเลย

แล้วแบบนี้จะอยู่กันยังไง แม่ลูกมีคนรักคนเดียวกันเนี่ยนะ เจ็บแปล๊บขึ้นมากลางอกแทนมินยังไงไม่รู้

ที่โดนทรยศหักหลังจากคนที่รักมากและไว้ใจมากที่สุด หึ มินคงได้แค้นหนักแน่งานนี้

จะรอดูว่ามินจะแก้แค้นลุงอ้ายยังไงต่อไป

ปล.รีบมาอัพนะคะ กำลังค้างเลยใครฉุดมินไปเนี่ย

และอยากจะบอกว่าอยากอ่าน พี่ปอกับน้องภีมภาค 2 ต่อไวๆ ด้วยค่ะ

ตอนที่เจ็ดนี่จะมีเรื่องให้มินเกลียดลุงอ้ายมากขึ้น
กำลังปั่นนะคะ

ขอบคุณสำหรับการทวงถามพี่ปอน้องภีมเน้อ
ที่จริงก็เปิดภาค 2 แล้วแต่ยังไม่ได้อัพ เพราะรอภาคหนึ่งออกรูปเล่มอยู่ คิวนานมากเลยค่ะ

กำลังคิดว่าจะอัพเลยดีรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 12-09-2015 13:06:32
ดาร์คมาก  ลุงอ้ายนี่ใจอ่อนไปกับน้องมินได้ไงแล้วรักกับแม่น้องจริงเหรอ สงสารน้องนะแต่ก็ดื้อไปหน่อย
อ่านไปอ่านมาแอบรู้สึกว่าน้องมินน่าจะกอดลุงอ้าย??
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-09-2015 14:21:31
ใครฉุดมินเนี่ย ลุงอ้ายรีบมาช่วยมินเร็วๆ   เฮ้อออ อึดอัดไม่อยากให้ถึงวันที่มินรู้ว่าลุงอ้ายเป็นพ่อเลี้ยงเลย

แล้วแบบนี้จะอยู่กันยังไง แม่ลูกมีคนรักคนเดียวกันเนี่ยนะ เจ็บแปล๊บขึ้นมากลางอกแทนมินยังไงไม่รู้

ที่โดนทรยศหักหลังจากคนที่รักมากและไว้ใจมากที่สุด หึ มินคงได้แค้นหนักแน่งานนี้

จะรอดูว่ามินจะแก้แค้นลุงอ้ายยังไงต่อไป

ปล.รีบมาอัพนะคะ กำลังค้างเลยใครฉุดมินไปเนี่ย

และอยากจะบอกว่าอยากอ่าน พี่ปอกับน้องภีมภาค 2 ต่อไวๆ ด้วยค่ะ

ตอนที่เจ็ดนี่จะมีเรื่องให้มินเกลียดลุงอ้ายมากขึ้น
กำลังปั่นนะคะ

ขอบคุณสำหรับการทวงถามพี่ปอน้องภีมเน้อ
ที่จริงก็เปิดภาค 2 แล้วแต่ยังไม่ได้อัพ เพราะรอภาคหนึ่งออกรูปเล่มอยู่ คิวนานมากเลยค่ะ

กำลังคิดว่าจะอัพเลยดีรึเปล่า

อัพเลยค่ะอัพเลย อยากอ่านมากๆ อยากรู้ว่าพี่ปอกับน้องพีมจะหวานกันแค่ไหนหลังจากห่างกัน 5 ปีเห็นจะได้

หรือว่าจะมีดราม่าเข้ามาแทรกต่อกันแน่นะแต่หวังมาคงไม่มีเน้อ

ปล.รออย่างใจจดใจจ่อค่ะทั้ง 2 เรื่อง
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 12-09-2015 15:40:30
ดาร์คมาก  ลุงอ้ายนี่ใจอ่อนไปกับน้องมินได้ไงแล้วรักกับแม่น้องจริงเหรอ สงสารน้องนะแต่ก็ดื้อไปหน่อย
อ่านไปอ่านมาแอบรู้สึกว่าน้องมินน่าจะกอดลุงอ้าย??

ลองดูยาวๆ ไปค่ะ ไม่แน่อาจสลับกัน  5555
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๖ ♡ [11/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 12-09-2015 18:57:47
รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๗ ♡ [12/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-09-2015 00:05:54
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


"ปล่อยกู!"

ชั่วโมงชุลมุน อศวมินตะโกนสุดเสียงและดิ้นสู้ไม่ยอมหยุดภายในรถยนต์ การ์ดสวมชุดดำมัดเขาไว้ทั้งมือและแขน เสียงโหวกเหวกหายผลุบเข้าไปคั่งค้างในลำคอ เมื่อเทปกาวแบบหนาปิดทับริมฝีปากไว้แนบแน่นจนเหม็นหืน หลงเหลือเพียงคำอู้อี้และแรงหอบหายใจอย่างเหนื่อยกับการสู้รบครั้งนี้

คนถูกจับตัวส่ายตัวกระเสือกกระสน ตามองออกนอกกระจกรถท่าทางลนลานอย่างประหวั่นพรั่นพรึงในอก พยายามมองหาทางหนีทีไล่ซึ่งไม่เห็นสักทาง บอดีการ์ดหุ่นยักษ์ใหญ่สองคนขนาบข้างกักขังเอาไว้ คนหนึ่งจับตัวอีกคนก็จับขาไม่ให้ดิ้น

"ได้ตัวมาแล้วครับ"

หนึ่งในนั่นรายงานผู้ออกคำสั่งครั้งนี้ เด็กหนุ่มหอบหายใจฟึดฟัดชำเลืองตามองถนนสองข้างทาง รู้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของคำสี่งนี้ อศวมินทร์ตะโกนในลำคอสู้สุดแรง "อย่าดิ้น อย่าดื้อได้ไหมครับ!"

ถนนสายนี้เขาเดินทางไปกลับจากโรงเรียนตลอดห้าปีตั้งแต่ช่วงมัธยมต้น มีหรือจำไม่ได้ ผู้ถูกจับใจหวิวโหวงในอกกับสิ่งที่ตนเผชิญ เด็กหนุ่มจำได้ทุกอย่างก้าวของเส้นทางนี้และรับรู้ว่าในอีกไม่นานจะถึงบ้านตัวเอง

วิทยุสื่อสารอีกฟากฝั่งตอบกลับมาว่าได้เปิดประตูรอแล้ว ดวงตาของอศวมินทร์ชำเลืองมองออกไปด้วยใคร่รู้ เห็นรั้วเหล็กเสียดสูงสีทองอร่ามลวดลายวิจิตรตั้งอยู่รอบบ้าน นั่นเป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าสิ้งที่คิดไว้ถูกต้อง อันที่จริงเขารู้ว่าจะมีวันนี้ในอีกไม่ช้า ตั้งแต่ตัดสินใจจะกลับมาเรียนอย่างเดิม คราแรกก็รู้สึกประหลาดใจไม่หายเพราะคิดกังวลว่าจะถูกพบตั้งแต่วันแรก เหตุใดปรางคณางถึงตัดสินใจเอาหนึ่งเดือนให้หลัง มันนานเกินไป

รถเลี้ยวเข้าไปจอดภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ร่มรื่น ยิ่งใหญ่เกินไปเสียจนผู้อยู่อาศัยหนาวเหน็บ สถานที่เเห่งนี้เป็นของบิดาเขามาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่มารดาคิดมีสามีใหม่อศวมินทร์ก็ตั้งท่าจะอยู่รอเป็นมารผจญ หากไม่เกิดเรื่องขึ้นมาเสียก่อน

ที่นี่เป็นทรัพย์สมบัติของบิดา ผู้ชายหน้าไหนอย่าหวังจะได้!

เด็กหนุ่มถูกจับหามเข้าไปในบ้าน วินาทีแรกที่เห็นปรางคณางเธอตกใจสภาพตอนนี้ หากทว่ายิ่งเห็นหน้ามารดาแล้วคนถูกมัดก็ดิ้นพล่าน ภาพยามเธอตบหน้าเขาเต็มแรงฉายซ้ำในโสตชวนโมโห อศวมินทร์จำได้อย่างไม่มีวันลืมว่าเธอไม่ได้รักเขา เห็นความสำคัญแมงดาตัวนั้นมากกว่า

เธอไม่รักลูก ไม่หลงเหลือความเป็นแม่อีกแล้ว!

ดังนั้นเขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกต่อไป อศวมินทร์หนีออกจากบ้านหลังจากวันเกิดเรื่องนั้นอีกหนึ่งอาทิตย์ อยากให้ปรางคณางทบทวนใหม่ว่าเขายังสำคัญกับเธออยู่หรือไม่

เด็กหนุ่มมถูกจับทิ้งลงบนเตียงของตัวเอง ชายตัวสูงนับผ่านตาได้หกคนรุมจับเขา เมื่อเด็กหนุ่มรับรู้ว่าเชือกที่มัดกำลังจะถูกคลายลงในอีกไม่ช้า ครั้นเทปหนาถูกดึงออก อศวมินทร์เว้นระยะสูดลมหายใจเพียงครู่ จากนั้นถ้อยคำหยาบโลนก็ถูกพ่นออกจากปากไม่เว้นวินาทีหายใจ อศวมินทร์โกรธและโมโหทุกคน อยากระบายความเกรี้ยวกราดจากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามความต้องการตัวเอง

"มิน หยุด!"

คนหน้าประตูโพล่งขึ้น นั่นเรียกให้เด็กหนุ่มหันไปมองตามเสียง แม้จะโกรธเคืองก็นิ่งมองคนตัวสูงนั่นไม่วางตา "มึงไม่ต้องมาสั่งกู อย่างมึงมันก็ปลิงเกาะแม่กูเท่านันแหละ แม่กูเป็นพวกหลอกตัวเองเลี้ยงแต่งูเห่า เหลือบริ้น ที่ยังไงก็จ้องจะเอาสมบัติอยู่ดี!"

"พี่เปล่า"

"ไม่ต้องมาใกล้กู มึงเลือกจะทรยศกูก็ทรยศให้ถึงที่สุดสิ ไอ้คิม" มินมองใบหน้าคมคายคนที่พูดด้วย ที่จริงคนตรงหน้ามีอายุที่อาวุโสกว่า เมื่อก่อนเขาเรียกอย่างนับถือมาตลอด

หากแต่มันเปลี่ยนไปแล้วตอนนี้

คิมหันต์หันไปบอกคนที่เหลือให้ออกไปรอข้างนอก ชายหนุ่มทรุดกายลงต่อหน้าแววรู้สึกผิดให้อศวมินทร์เห็น มือขยับแก้เชือกแข็งขึงให้เงียบเชียบไม่อาจตอบโต้กลับ เห็นเช่นนั้นคนมองก็ฉุนขึ้น ปมเชือกหลุดออกตามที่ต้องการแล้วนั้น ลำขายาวก็ยกขึ้นบันดาลโทสะซึ่งอัดอั้นมานาน ถีบยอดยกจนคิมหันต์หงายท้องลงพื้นดังผลั่ก

"ไอ้เหี้ย ไอ้สารเลว!"

เสียงตะคอกดังขึ้นพร้อมเท้าหนักๆ เตะลงช่องท้อง ความร้อนและมวลสารอะไรสักอย่างแล่นพล่านในกาย อศวมินทร์ตาแดงก่ำ ภาพเมื่อก่อนวิ่งสู่สมองให้ตัวของเขาสั่นไหว กระหน่ำบาทาลงไปยังคนบนพื้น

ยิ่งคนตรงหน้าไม่สู้ยิ่งเพิ่มดีกรีของอารมณ์มากไปกว่าเดิม

'นั่นลูกสองคน...'

'เปล่าครับแม่ มินบังคับให้ผมทำ...'

น้ำตาเขาไหล ภาพตัวเองเปลือยเปล่าบนเตียงนอนหัองนี้ฉายราวกับภาพยนต์ชีวิตดราม่าแสนอัปยศ คนสารเลวตีหน้ารู้สึกผิด แสร้งทำตาซื่อพูดความเท็จกับผู้ใหญ่

'มิน เธอเป็นลูกฉันจริงรึเปล่า'

เสียงปรางคณางถามเขาทั้งน้ำตา ยามนั้นสมองเขาตื้อเบลอมองคนที่รักทั้งสองคนร้องไห้ร้องห่ม ซึ่งคนไม่มีน้ำตาบัดนี้กลายเป็นคนผิด หารู้ไม่ว่าหัวใจเขาร้องให้แทบจะทนไม่ไหว ปรางคณางตบเขา ทุบตีเขาทั้งน้ำตาเมื่อเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องสองคนมันแปลเปลี่ยนไปอย่างบัดสี

เขาแค่อยากให้แม่รัก เหลียวมอง หากเป็นพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกันคงเทียบได้บ้าง แม้จะไม่มีสายเลือดเดียวกันเลยก็ตาม ปรางคณางไม่เคยเอะใจเลยสักนิด ที่สองพี่น้องรักกันเมื่อต้นปีทีแล้วอย่างผิดวิสัย

อศวมินทร์มักเอาแต่ใจ ไม่ชอบหน้าหมอนี่มาตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่เมื่อเสียพ่อไปทำให้เขารับรู้ว่าคิมหันต์คือที่พึ่ง จากปิดกั้นก็หันมาเปิดใจ ท้ายที่สุดจากเกลียดผันเป็นรักอย่างง่ายดาย

แต่ความเห็นแก่ตัวของคิมหันต์นั่นเองก็ทำให้เด็กหนุ่มแปรรักมาเป็นชัง

นานเท่าไรไม่รู้ อศวมินทร์ได้ยินเสียงสะอื้นของตัวเองขณะทำร้ายคิมหันต์ กายเขาหนักอึ้งเมื่อท้ายที่สุดร่างบอบบางของมารดาวิ่งเข้ามาห้าม การ์ดสองคนจับกุมเขาไว้ไม่ให้ออกฤทธิ์ใส่ใครได้อีก ใจของอศวมินทร์เจ็บปลาบแม้ภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอด้วยหยดน้ำ ภาพอ้อมกอดปรางคณางกำลังมอบให้คิมหันต์

อ้อมกอดที่เขาโหยหามานาน

เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียงด้วยความโมโห "มึงทำแบบนี้ทำไม ไอ้เหี้ย"

"มิน หยุดทำแบบนี ทำให้แม่สบายใจสักครั้งได้ไหม!" ปรางคณางกอดลูกนอกไส้ที่ยังตัวสั่น คิมหันต์กอดเธอแน่นร้องไห้สะอื้นใหญ่มองน้องชาย

"พี่ขอโทษ พี่รักมิน พี่รักแม่ แต่...มินก็รู้นอกจากแม่ก็ไม่มีใครรักพี่อีกแล้ว พี่ไม่อยากให้แม่เกลียด อยากให้รักพี่ตลอดไป ขอโทษ...พี่ขอโทษ"

"แล้วกูล่ะ คนอย่างกูล่ะ!"

คนที่ไม่เคยถูกรัก คนที่ไม่เคยถูกกอดด้วยความหวงแหนแบบนั้นสักที ลูกที่เพียงออกมาสร้างแต่ปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ลูกที่มองยังไงก็คือตัวร้าย หากมองมาทางนี้บ้างเรื่องราวทั้งหมดมันจะไม่เกิดขึ้นเลย!


ชีวิตอศวมินทร์พบเจอแต่เรื่องน่าเศร้า ไม่เป็นเขาไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกนี้เด็ดขาด คนที่ทั้งชีวิตรอคอยให้สักคนมอบความรัก ร้องขออ้อนวอนอย่างไรใครก็ไม่เหลียวแล บิดาหนึ่งเดียวที่พึ่งพิงใจจากไป ไม่มีใครรู้ว่าจากวันนั้นเขาว้าเหว่ขนาดไหน อยากตื่นตั้งแต่เช้ามารดน้ำต้นไม้พรวนดินพร้อมกัน อยากมีใครสักคนแชร์เรื่องราวแสนพิเศษ ซึ่งวันนี้อศวมินทร์ได้พบเขาคนนั้นแล้ว

"แม่ก็รักมินอยู่แล้วนี่..."

สิ้นคำคิมหันต์ เด็กหนุ่มจ้องคนเลือดเปื้อนหน้าทั้งกัดฟันกรอด รักอยู่แล้วงั้นหรือ เมื่อไรกันที่เขาได้รับความรักจากผู้หญิงคนนี้ อศวมินทร์ไม่เคยสัมผัสถึงแม้แต่สักวินาทีเดียว ดวงตาเอ่อด้วยน้ำตาเลื่อนมองปรางคณางนิ่งงัน ใจเต้นถี่รัวสูบฉีดเร็วขึ้นไปทวีคูณ "ออกไป ออกไปให้พ้น!!!"

"มิน ฟังแม่นะลูก..."

"เห็นผมเป็นลูกแล้วเหรอ!" ปรางคณางสะดุ้ง "แม่ขอโทษ ขอร้องละนะ..."

"ออกไป ออกไปให้หมด!!!" เด็กหนุ่มตากร้าวจ้องหญิงต่อหน้า แม้ร่างกายสั่นเทา ปรางคณางยกมือกุมริมฝีปากมิให้เครือไหวขณะร้องไห้มองลูกชาย เธอพยายามเอื้อมมือแตะร่างตรงหน้าแต่ไม่สามารถทำได้ อศวมินทร์ไม่ยอมให้เธอกอดสักครั้ง

"มาสิ แม่จะกอดลูก" ตอนนี้อยากกอด เธออยากกอดเขาไว้แน่นในอก

"ออกไป!"

เด็กหนุ่มหอบหายใจ วิ่งไปหยิบแจกันมาฟาดลงพื้นบันดาลโทสะ เสียงมารดาหวีดร้องด้วยความตกใจนั่นกรีดลงกลางใจ แต่จะไม่สงบนี่งก็เป็นเพราะทิฐาเต็มกำลัง

หากไม่ตามใจมีหวังลูกชายหัวแหวนได้พังบ้านแน่ ปรางคณางมองเด็กตรงหน้าทั้งน้ำตา มีเพียงอ้อมแขนอุ่นของลูกบุญธรรมช่วยประคองเดินออกจากห้องเท่านั้น

เดินออกมาได้ไม่กี่ก้าวลำขาพลันอ่อนแรงทรุดลงพื้น เลือดกำเดาหล่นเผาะลงบนเสื้อจนคิมหันต์ผวา "แม่ แม่ครับ!"

"ไม่ต้องตกใจลูก ชู่..." นิ้วชี้เรียวแตะริมฝีปากลูกชายคนโตทั้งน้ำตา "อย่าให้น้องรู้นะคิม แม่ขอร้อง"

คิมหันต์เอาแต่ส่ายหน้าจะเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งหากทว่ามือบางผ่ายผอมรั้งไว้ "คิม แม่ขอร้องอย่าบอกเรื่องนี้กับน้อง รับปากสิ รับปากแม่สิ แม่ไม่อยากให้น้องกลัว"

กลัวการจากไปของเธอ

ชายหนุ่มมองคนกล่าว เธอเคลื่อนมือสัมผัสแก้มเขาแผ่วเบา สัมผัสที่เขาเรียกร้องอยากได้ตั้งแต่เด็ก ปรางคณางคือแม่ที่แสนดีของเขา ในขณะที่พ่อเลี้ยงเกลียดชังเข้าไส้ เธอทดแทนจุดนั้นได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องสักนิด แต่ไม่น่าเชื่อ อีกไม่นานเขาจะไม่เห็นรอยยิ้มหวานๆ นี้อีกแล้ว

มันเร็วเกินไป

"แม่เชื่อว่าคิมจะดูแลน้องแทนแม่ได้ ฝากมินด้วยนะ"

คิมหันต์ร้องโฮอย่างไม่อับอายใคร ภาพสองแม่ลูกนั่งกอดกันหน้าประตูมองแล้วการ์ดทั้งหลายหดหู่ใจยิ่งนัก หนุ่งในนั้นสะเทือนใจตามจนหยดน้ำตาลูกผู้ชายรินไหลใจของอศวมินทร์ช่างปิดแน่น แน่นเช่นเดียวกันกับประตูบานนี้ ยากนักจะมีคนขอให้เขาเปิดออกมาอีกสักครั้งอย่างเต็มใจ....






อศวมินทร์นั่งปวดหัวตึบภายในห้อง ผ่านมาหลายชั่วโมงแล้วที่เขาขังตัวไว้ไม่เปิดรับโลกภายนอก เด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่างเหม่อลอย เห็นดวงจันทร์สว่างส่องแสง ความเหงาคืบคลานสู่ห้วงความคิดอีกครั้ง

"สบายดีไหมมิน..."

"สบายดีครับพ่อ" เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มจาง ภาพรอยยิ้มของบิดาส่งมาให้ด้วยความอบอุ่นคล้ายใครสักคนในนั้น ลอยละล่องบนฝืนฟ้าเฝ้ามองเขา นึกอยากจะไปหาอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน

"บนนั้นก็คงสบายใช่ไหม ถึงไม่ยอมกลับมา วันนั้นในโรงพยาบาลผมเรียกให้พ่อตื่นตั้งหลายที คงสบายมากจนพ่อไม่อยากมา ใจจริงก็อยากตามไปอยู่ด้วยนะ..." อศวมินทร์ยิ้มตอบ "แต่ก็คิดถึงคนที่นี่เหมือนกัน..."

อินทัช...เขารักคนๆ นั้น เพราะอยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยตลอดเวลา

อินทัช คิดถึงเหลือเกิน...

เขาพยามยามโทรหา แต่อีกฝ่ายไม่สามารภติดต่อได้ ไม่เข้าใจสักนิดเดียวว่ามันเกิดอะไรขึ้น

"ใคร!"

เจ้าของห้องถามเสียงกร้าว เมื่อได้ยินคนด้านนอกเคาะประตู ภายนอกเงียบไปครู่หนึ่งก่อนปรากฏน้ำเสียงทุ้มนุ่มของใครสักคน "ฉันเอง มิน เปิดประตูให้หน่อย"

อศวมินทร์หูอื้อไปชั่วขณะ เมื่อคิดได้เด็กหนุ่มกุลีกุจอวิ่งไปยังประตูด้วยความดีใจ ความเต็มตื้นในอกมันล้นทะลักออกมายังดวงตา อินทัชเก่ง มีอิทธิพลที่จะทำอะไรก็ได้ เขาคิดอย่างนั้นและไม่ฉุกคิดอะไรเลยสักนิด แค่เพียงได้ยินเสียงของลุงอ้าย ความยินดีที่อยากจะพบหน้ามันบดบังทุกอย่างในหัวไปหมด

ประตูเผยออกให้เห็นโครงหน้ารูปไทยคมเข้มยืนรออยู่ อศวมินทร์ใจเต้นตึกตักด้วยความดีใจ หากมันได้พังทลายไปสิ้น ดวงตาเหลือบไปเห็นร่างบอบบางของมารดากำลังเกาะกุมแขนลุงอ้ายไว้แนบแน่น

สองคนนี้ รู้จักกันด้วยหรือ

"ฉันมีเรื่องจะบอก..."

แววตาอินทัชที่เคยอบอุ่นหายไปแล้ว อศวมินทร์ตัวชา มองคนตรงหน้าสลับกับแววตารู้สึกผิดของมารดานิ่งงัน น้ำตาแห่งความปีติยินดีรินไหลลงอาบแก้ม

มันคงไม่ใช่ความยินดีแล้วสินะ...



*********************************


โอย...เขียนตอนนี้กินยาพาราไปสองรอบ ปวดหัว ปวดใจ

ตอนนี้ก็ใส่เรื่องปมน้องมินแล้วนะคะ แถมเปิดตัวเอกอีกหนึ่งตัว

คิมหันต์เป็นคนรักเก่าที่ทรยศน้องมินค่ะ งื้อออออ นี่ตัวอย่างคนที่ทำให้น้องเจ็บนะ
พี่คิมโดนตื้บ แล้วลุงอ้ายจะโดนอะไร? แฮะๆ ใกล้ได้ฟาดฟันกันแล้ว รอซาดิสม์แปป

หนูนาข้ามมาช่วงลุงอ้ายยอมให้ปรางค์เอาตัวลูกชายมาบ้านเลยนะคะ พรุ่งนี้จะมีเท้าความ อย่าเพิ่งถามเน้อว่าทำไม

ถ้าชอบก็กดแอดเฟบ คอมเม้นโหวตมาเป็นกำลังใจด้วยน้า รักคนอ่านค่า!


หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๗ ♡ [13/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-09-2015 03:21:03
รอลุ้นว่ามินจะเอาคืนลุงอ้ายยังไง รีบมาอัพต่อเร็วๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๗ ♡ [13/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 13-09-2015 10:02:50
 :z3: ลุ้นกันไปแบบหน่วงๆนี่แระ
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๗ ♡ [13/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-09-2015 12:01:11
:z3: ลุ้นกันไปแบบหน่วงๆนี่แระ

ตอนหน้ายังมีอีก หน่วงอีก T T
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๗ ♡ [13/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 13-09-2015 15:39:18
ความเห็นแก่ตัว มันชั่งโหดร้ายเนอะ
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๘ ♡ [13/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-09-2015 23:44:41
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


แสงดวงอาทิตย์ลอยลับลงไปเนิ่นนานแล้ว ไม่อาจทราบว่าความมืดคืบคลานไปที่ใดบ้าง แต่อย่างแน่นอนคือจิตใจของเด็กหนุ่มตรงหน้า มันคงดำมืดแม้รุ่งอรุณเคลื่อนผ่านเป็นหมื่นรอบ

อินทัชไม่อาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้ว่าตนเองกลัวสักแค่ไหน ตลอดระยะเวลากว่าสองเดือนที่ได้พบหน้ากันมันวิเศษ วิเศษเหลือเกิน แต่จะดีกว่านี้หากคนตรงหน้ามิใช่ลูกชายปรางคณาง ชายหนุ่มไม่กล้าแม้จะสรรหาคำแก้ตัวไหนๆ กลั่นออกมาให้อศวมินทร์เข้าใจ ที่ผ่านมาเขารู้มาโดยตลอดว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากไหน ไม่ผิดที่จะโกรธเคืองเมื่อได้รับรู้!

อินทัชคิดว่ามันรวดเร็วเกินไปที่เด็กหนุ่มจะรู้ความจริง ไม่มีเค้าลางบอกเหตุสักนิด ไม่แปลกที่เขาจะเห็นอศวมินทร์ตาค้างมองเขากับมารดาตัวเองเช่นนี้

ปรางคณางใจร้อน หล่อนไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกชายว่าลึกซึ้งกว่าผู้อุปการะและเด็กในการดูแล เขาตกใจที่เธอมาบอกว่าจะพาอศวมินทร์กลับมาอยู่คฤหาสน์เป็นอย่างมาก เพราะอยากใช่เวลาร่วมกับลูกชายให้มากที่สุด เธอขอร้องให้เขาอยู่นิ่งๆ เข้าไว้

แต่คนอย่างอศวมินทร์ไม่พยศก็คงไม่ใช่วิสัย

"มิน แม่.." ปรางคณางเสียงสั่น เชยตามองลูกชายตัวสูงตรงหน้า "แม่อยากให้ลุงอ้ายมาอยู่กับเราที่นี่ ขอโทษนะที่ไม่ได้บอก ลูกรู้จักลุงอ้ายแล้วรู้ใช่ไหมว่าเขาเป็นคนดี"

ใช่...รู้จักดี

อินทัชราวกับถูกมือกร้านหยาบของใครสักคนบีบอกให้รู้สึกปวดหนึบ เมื่อใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าบิดเบี้ยวจากการร้องไห้ เด็กก้าวร้าวเอาแต่ใจที่เขาเคยเจอครั้งแรกเหตุใดจึงอ่อนแอเช่นนี้กันเล่า เขาผิด เขาหลอกลวงทำร้ายอศวมนทร์อย่างเห็นแก่ตัว!

"ฉัน...ขอโทษที่ไม่ได้บอก"

"ไม่ใช่ คุณต้องขอโทษที่โกหก ขอโทษที่เสแสร้งสร้างภาพว่าเป็นคนดี ขอโทษทีหลอกให้คนโง่ๆ วาดหวังอะไรอย่างลมๆ แล้งๆ เห็นผมโง่มากสินะ คงนึกขำอยู่ในใจมาตลอดที่ผมพูดอะไรออกไป ตลกมากสินะ!" อศวมินทร์หอบหายใจ ต้นเหตุจากดวงใจมันเต้นรัวแรงแทบทะลุออกจากอก

"ทำไมพูดแบบนั้นล่ะมิน ลุงเขาหวังดี..."

"ออกไป..." หล่อนชะงัก สุ้มเสียงเด็กหนุ่มเบาโหวงราวไม่มีแรงเอาเสียเลย ปรางคณางมองภาพตรงหน้าอย่างใจหาย จอมพยศยืนสะอื้นไห้ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร จมดิ่งกับบ่อน้ำตาที่ตนขุดนิ่งงันอย่างนั้น "ออกไป!!!"

"มิน..."

"ออกไป ออกไป! น่าขยะแขยงฉิบหาย เห็นหน้าลุงแล้วสะอิดสะเอียน จะไปพลอดรักกันที่ไหนก็ไป!!!" เด็กหนุ่มจ้องตาคมตรงหน้า สะบัดมือหนาออกแสดงตามคำพูดเมื่อครู่ ยิ่งเห็นสีหน้าฝ่ายตรงข้ามยิ่งโมโห รู้สึกผิดทางสีหน้าแต่ภายในไม่ได้เป็นอย่างนั้น ทุกคนหลอกเขา ใส่หน้ากากคนดีหาเขาทั้งสิ้น

อศวมินทร์เข้าใจแล้ว บนโลกใบนี้นอกจากบิดาแท้ๆ ผู้ให้กำเนิดแล้ว ไม่มีใครรักเขาจริงเลยสักคน!

"ออกไป!! ออกไปจากชีวิตผม จะไปตายที่ไหนก็ไป!!!"

"มิน!"

ปรางคณางเข่าอ่อนเมื่อได้ยินประโยคนี้ หล่อนสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้า อินทัชขมวดคิ้วมุ่นกำฝ่ามือแสบของตัวเอง มองโครงหน้ายาวสะบัดไปตามแรงหวัด ปื้นสีแดงฉานผุดขึ้นบนใบหน้าเด็กหนุ่มผสมปนเปกับรอยคราบน้ำตา ชายหนุ่มตกใจเมื่อเห็นสายตากร้าวของเด็กตรงหน้า

"คุณไม่ใช่พ่อ แล้วก็ไม่สามารถเป็นพ่อที่ดีของใครได้ แม้กระทั่งตำแหน่งลุงที่มีอยู่ก็ทำไม่ได้..." คนกล่าวส่ายใบหน้าทั้งจ้องชายหนุ่มไม่ละ

"ฉัน"

"คนมักมากกับคนไร้ค่า จะไปขึ้นเขาลงห้วยที่ไหนกันก็ไป!!!"

อินทัชกำมือแสบจากการตบเมื่อครู่สุดแรงเกิด ปรางคณางร้องห่มร้องไห้เมื่อประตูห้องของลูกชายปิดลงดังปังตามแรงอารมณ์ เขาผิดเองที่ฉุดทุกอย่างดิ่งลงเหวมากขึ้นไปอีก ลุ่มหลงไปกับราคะ มอมเมาอศวมินทร์จนอีกฝ่ายไม่สามารถรับความเป็นจริงได้ เขาผิดเอง ต้นเหตุทั้งหมดคือเขา!

"พี่ขอโทษนะปรางค์"

แม้เธอจะไม่ทราบว่าเหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น แต่อย่างน้อยขอให้เขาได้เอ่ยคำนี้ออกไปเพื่อหลอกตัวเองบ้างสักนิด เผื่อว่าความปวดหนึบที่อกจะบรรเทาเบาบางลง แต่ไม่เลย ใจของเขาราวกับถูกมีดกรีดย้ำซ้ำลงที่เดิม อินทัชยืนนิ่ง เสียงปรางคณางสะท้อนโสตประสาท ภาพรอยยิ้มน่ารักของอศวมินทร์ลอยเด่นในหัว ภาพแล้ว ภาพเล่า ทดแทนด้วยเสียงข้าวของถูกทำลายภายในห้องตรงหน้า และสุ้มเสียงโกรธเกรี้ยวคลุ้มคลั่งราวคนสิ้นสติ

เพราะเขา เพราะเขาที่ทำแบบนั้น "พี่สัญญา พี่จะดูแลให้มินเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีให้ได้ สาบานด้วยชีวิตของพี่..."

"อย่าพูดแบบนั้นซีคะ" ปรางคณางเกรงเหลือเกิน เกรงว่าสิ่งที่คนข้างกายกำลังกล่าวจะเป็นลางบอกเหตุไม่ดี เธอกลัวว่าหากตัวเองไม่อยู่จะเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ตลอดเกือบยี่สิบปีที่ได้รู้จักอินทัชทำให้คิดเช่นนั้น

แต่คงไม่ ตอนนี้เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมแล้ว สิ่งที่อินทัชคิดและตัดสินใจล้วนไตร่ตรองดีทั้งหมด เธอเชื่อใจเขา ปรางคณางวางใจไปเปราะหนึ่งเมื่อทุกวันนี้เธอมีลูกน้องที่ดี ลูกชายที่ดี และคนรักที่ดีเพื่อปกป้องลูกชายคนเล็ก นำพาอศวมินทร์เติบใหญ่ไปสู่ฝั่งฝัน สำเร็จในด้านการเรียนและการงาน

ดวงตาสวยเชยขึ้นสบอินทัชทั้งน้ำตา ก้าวเดินตามแรงพยุงของร่างสูงด้วยความพยายามยิ่ง หล่อนเอาแต่คร่ำครวญเสียใจในวันที่ล่วงรู้ว่าตนเองจะอยู่บนโลกนี้ในอีกไม่นาน ที่ผ่านมาละเลยลูกชายเพราะเห็นว่าสามีนั้นให้อ้อมกอดอบอุ่น เฝ้าอุ้มชูอยู่ไม่ห่างแล้ว เธอสงสารคิมหันต์ที่เฝ้ามองน้องชายกับบิดาหยอกล้อกัน เธอผิดที่เห็นใจลูกเลี้ยงมากกว่าเพราะคิดว่าอศวมินทร์ได้รับรักอย่างพอเพียงแล้ว

หากไม่ถึงเวลานี้ ปรางคณางไม่รู้ตนเองเลยว่าเมินเฉยต่อคนที่รักตนที่สุดมานานเท่าไร เธอผลักไสยามลูกชายเข้าหา ปลอบใจคิมหันต์ที่ร้องขอความรักจากบิดาแต่ไม่ได้ตอบรับ แม้เห็นเป็นเยี่ยงอย่างแล้วกลับยังเขลา เข้าใจคิมหันต์หากทว่าไม่เข้าใจลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง สัญชาตญาณความเป็นแม่ที่ดีไม่มีหลงเหลือให้เด็กคนนี้ภาคภูมิใจ!

ปรางคณางไม่เคยฟังในสิ่งที่ลูกรักต้องการพูดคุย ไม่แยแสถึงความรู้สึกอศวมินทร์ในตอนนั้น ไม่แปลกเลยที่เขาจะดื้อดึงเอาแต่ใจเพื่อให้เธอสนใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าแบบนั้นทุกอย่างจะยิ่งแย่ลง

เธอโง่เอง!

กว่าจะเห็นค่าคนสำคัญก็ในเมื่อวันที่สาย ในวันที่เวลาบอกรัก เวลามอบกอดให้กันได้เร่งเดินหน้าอย่างไม่มีวันถอยกลับ ร้องขอให้เขาเข้าใจก็ไม่มีทางทำได้ เธอเป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งยังเขลามานั่งร้องไห้และคิดกับตัวเองอยู่เสมอ 'ถ้ารู้อย่างนี้...' จะไม่มีวันทำแบบนั้นเด็ดขาด แต่ความจริงช่างโหดร้าย จะจนหรือรวยหากไม่ใช้เวลาให้คุ้มค่ากับคนรัก ในโลกสุดอัปยศและกฏแห่งความจีรังคือ ไม่มีใครรู้เวลาล่วงหน้าว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

เธอชื่นชม ชื่นชมอินทัชที่ทำอะไรอย่างมีเหตุผล ปรางคณางเคยหัวเราะเยาะกับความคิดนั้นเพราะเห็นว่าน่าเบื่อ แต่มาคิดได้ทีหลัง เพราะรู้ว่าที่ตนเคยคิดอย่างเกิดจากความโง่งม

!!!

เสียงกระจกแตกดังสนั่นหวั่นไหวลั่นคฤหาสน์จนสองร่างสะดุ้งตัวชา ความเย็นแล่นสู่ปลายเท้าอินทัชเมื่อถึงถึงหน้าเจ้าของห้องที่เพิ่งจากมา อย่าเลยนะมิน อย่าคิดทำอย่างนั้นเด็ดขาด ลำตัวสูงเอี้ยวตัวไปอีกฝั่งใจเต้นระส่ำ แม้จะหวาดกลัวในใจลึกๆ ก็ซอยเท้าอย่างลืมเหนื่อย "มิน มิน!"

ในห้องเงียบกริบอย่างน่ากลัว มือหนักของอินทัชสั่นไหวทุบประตูร้องเรียกสุดแรง ความปวดหนึบมือไม่น่าสนเท่าร่างที่อยู่ภายใน "มิน เปิดประตู!"

"มิน ลูกแม่ เปิดประตู" ปรางคณางเพิ่งวิ่งตามมาถึงก็ร้องสุดเสียง น้ำตาไหลพรากหวาดกลัวไม่ต่างกัน อินทัชตัวสี่นทุบประตูเร่งเร้า เสียงฝีเท้าลูกน้องรัวขึ้นมาชั้นบนร้องถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"กุญแจสำรอง เปิดประตูไปดูมินที ฉันกลัวลูกจะทำอะไรที่ฉันกลัว..." หล่อนร้องบอกใครก็ได้ คิมหันต์พยุงมารดามองประตูน้องชาย ใจเต้นตึกตักพยายามคิดในแง่ที่ดีที่สุด

ไม่นานลูกน้องก็ได้กุญแจมาไขให้ อินทัชวิ่งเข้าไปด้านในไม่รอช้าเพื่อหาร่างของเด็กหนุ่ม หากทว่ามองไปเห็นเพียงกระจกหน้าต่างแตกไม่เหลือชิ้นดี ข้าวของภายในห้องพักพังเพเสียหายแทบทุกชิ้น ชายหนุ่มตัวชามองภาพผ้าม่านสีอ่อนปลิวสะบัดไปตามแรงลมตรงหน้า น้ำตาในใจไหลเอ่อเมื่อได้ยินปรางคณางร้องโฮจนทรุด

หนีไปแล้ว เด็กคนนี้หนีไปอีกแล้ว...

ปรางคณางสะเทือนใจกับการได้พบลูกชายที่น่าเศร้า อาการหล่อนทรุดลงจนต้องเข้าโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ทุกคนวุ่นวายเกี่ยวกับหล่อนจนไม่ได้เร่งตามหาอศวมินทร์ กระทั่งเธอรู้สึกตัวตื่นก็ร้องเรียกหาแต่ลูกชาย อินทัชเห็นภาพบาดอกก็น้ำตาคลอ

"เรียกทนายมาพบปรางค์หน่อยได้ไหมคะ ปรางค์จะจัดการบางสิ่ง..."

บางสิ่งนั้นคือเรื่องที่ชายหนุ่มทราบดีและปฏิเสธมาโดยตลอด อินทัชไม่อาจขัดคำพูดของคนอ่อนแอตรงหน้า เสียงคลื่นหัวใจของเธอขยับ ลมอุ่นอ่อนแผ่วพ่นรดเครื่องช่วยหายใจแทบจะขาดห้วง

นี่อาจเป็นคำขอครั้งสุดท้าย ที่เขาจะทำให้ปรางคณางก่อนสิ้นใจ




เสียงรถยนต์บีบแตรบนท้องถนนให้ใครก็ไม่ทราบ บัดนี้คนที่เดินไร้จุดหมายไม่อาจรับรู้สิ่งไหนอีก ในอกของเขาชาไม่อาจรับความรู้เจ็บปวดระยำอะไรมาเพิ่ม โครงหน้าหล่อบัดนี้มุมปากมีรอยแผลและเลือดเขรอะ น้ำตายังไม่ทันได้เหือดหายไปจากดวงหน้าแม้ใครมองมาอย่างสมเพช

เขาเกิดมาทำไม อศวมินทร์ถามตัวเองทั้งย่างเท้าเดินไปเบื้องหน้า บนบาทวิถีที่มีผู้คนเดินบ่าชนกัน แต่เหตุใดช่างเหมือนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้

ภาพรอยยิ้มอบอุ่นของใครสักคนลอยขึ้นมายามสบมอง หัวใจของเขาไม่เคยมีภูมิต้านทานต่อคนที่ทำดีด้วยได้ อินทัชอาจเป็นสิ่งนั้น สั่งสอนให้เขาเลือกที่จะปิดกั้นหัวใจ กร้านชาต่อคนทั้งโลกที่เข้ามาทำดี ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งนั้นให้ใครเห็นอีก ต่อไปนี้อย่าคิดว่าจะได้เห็นไอ้มินในมุมนั้นอีกเป็นอันขาด อินทัช!

จากนี้ไป อศวมินทร์คนอ่อนต่อโลกที่ซื่อตรงกับใจตัวเองคนนั้นตายไปแล้ว หลงเหลือเพียงร่างกายไร้จิตวิญญาณเดินเอื่อยเฉื่อยตรงนี้

มือล้วงไปในกระเป๋า มีโทรศัพท์มือถือที่อินทัชซื่อให้ คีย์การ์ดคอนโด กระเป๋าสตางค์ซึ่งภายในพบบัตรเครดิตอยู่หนึ่งใบ อินทัชอีกนั่นแหละที่ให้ทิ้งไว้แทนเงินสดอย่างใจป้ำ โดยที่เขาก็เพิ่งรู้ว่าเงินที่บำเรอตนเองมาจากเงินของครอบครัวตัวเอง น่าตลกสิ้นดี!

คราแรกอศวมินทร์กะจะปาทิ้ง แต่ชะงักมือไว้ได้ทันทั้งหมด เด็กหนุ่มปิดเครื่องโทรศัพท์เดินไปไหนสักที่ แม้ยังสวมชุดนักเรียนก็ยังเดินเข้าไปในร้านเกม ทิ้งโลกความจริง ตั้งหน้าตั้งตาเล่นไม่ดูเดือนดูตะวัน

เดินทางไปกลับจากโรงแรมกับร้านเกมเป็นว่าเล่น ไม่มีใครตามหาเขา เด็กหนุ่มสนุกกับการไม่ได้ไปโรงเรียน ที่อยู่หลักคือร้านเกมและร้านนั่งดื่ม บางครั้งเจอคนถูกใจก็จะหิ้วกลับมานอนด้วย ทุกอย่างวนอยู่อย่างนั้นจวบจนวันนี้

ตัวสูงๆ ทิ้งกายนั่งลงบนเบาะหน้าคอมพิวเตอร์ มือหนึ่งก็กระดกเบียร์กระป๋องไปพลาง คอมพิวเตอร์ปรากฏหน้าจอ ก่อนเล่นเกมเขามักเข้าไปในสังคมเฟชบุ้คดูข่าวคราวก่อนเสมอ แต่วันนี้มันผิดแปลกไปจากทุกวัน ดวงตาโตสะท้อนแสงจากหน้าจอเบื้องหน้า ทว่ามิได้ทำให้เขาแสบตาถึงขนาดน้ำเอ่อ

เขาได้รับข้อความจากคิมหันต์

ภาพปรางคณางนอนนิ่งบนเตียงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ดูเผินๆ อาจคล้ายเธอกำลังนอนหลับอยู่ หากบริเวณหน้าไม่มีสำลีอุดจมูกและหูไว้ก็คงจะเป็นดังเดาไว้ อศวมินทร์ตัวสั่น กะพริบตาถี่รัวไล่หยุดน้ำ ไล่เม้าส์หาอะไรสักอย่างที่เป็นความจริง

ภาพหน้าจอเลิ่อนขึ้นลงอย่างรวกเร็ว ดวงตาคู่นี้จ้องมองภาพเบื้องหน้า รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องแลพหอบสั่น มวลสารทุกอย่างในร่างกายปั่นป่วนจนเหงื่อแต่พลั่ก สิ่งที่เขาเห็นนั้น เด็กหนุ่มได้แต่ย้อนถามตัวเองซ้ำๆ

ตายแล้วเหรอ แม่เขาตายแล้วเหรอ!

ภายในใจเขากรีดร้อง คลุ้มคลั่งราวคนสิ้นสติ แต่ร่างกายมันไม่มีแรงเขาเสียเลยที่จะขยับขึ้นมาเช็ดน้ำตา เด็กหนุ่มส่ายหน้ามองภาพนั้นนิ่งงั้น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ปรางคณางยังดูแข็งแรงดี เธอจะตายจากเขาไปง่ายๆ อย่างนั้นได้อย่างไร ต้องมีคนแกล้งเขา ใครกันระยำสร้างเรื่องสารเลวนี่ขึ้นมา!

แม้จะคิดอย่างนั้น มืออศวมินทร์สั่นไหว ล้วงหยิบโทรศัพท์มาเปิดเครื่อง แค่เพียงไม่นาน เสียงข้อความนับสิบเด้งขึ้นมาบนหน้าจอ ล้วนส่งจากอินทัชทั้งสิ้น

เด็กหนุ่มเปิดข้อความล่าสุดดู เห็นภาพของปรางคณางกำลังสวมเครื่องช่วยหายใจนอนหลับ ตัวอักษรในนั้นขอให้เด็กหนุ่มกลับไป อศวมินทร์ยังมึนงงไม่อยากจะเชื่อ มองมือถือที่ปรากฏเบอร์อินทัชบนหน้าจอทันทีที่เครื่องเปิด เด็กหนุ่มใจหาย มือสั่นยกขึ้นไปแนบหู รวบรวมความกล้าอยู่พักหนึ่งที่จะฟัง

"มิน วันนี้สวดอภิธรรมศพเป็นคืนสุดท้าย มาไหว้แม่หน่อยได้ไหม..."

เขาไม่คิดเลย ว่าเสียงทุ้มอบอุ่นของอินทัชจะพูดเรื่องแสนสะเทือนใจนั่นออกมา ไม่มีคำปลอบโยน ไม่บอกให้เขาทำใจดีๆ ก่อนสักคำ "คุณฆ่าแม่ใช่ไหม คุณอยู่กับแม่แค่เดือนเดียวแม่ก็ต้องมาตาย คุณฆ่าแม่!"

"มิน มันไม่ใช่แบบที่เธอคิด ความจริงฉันกับปรางค์..."

"ไม่ต้องมาบอกว่ารักกันขนาดไหน สมเพช สุดท้ายก็รักที่เงินแม่ผมอยู่ดี อย่าหวังเลย อย่าหวังจะได้สักแดงเดียว!" เด็กหนุ่มตัดสาย มือหนากำโทรศัพท์แน่นทุบลงบนโต๊ะอย่างบ้าคลั่ง เศษกระจกบาดมือจนปวดหนึบเลือดไหล แน่นนอนว่ายังไม่เจ็บปวดเท่าความรู้สึกยามนี้

น้ำตาที่คิดว่าจะไม่มีวันเสียก็รินไหลไม่ยอมหยุด สร้างความแปลกใจแก่คนในร้านให้หันมามอง เขาไม่แคร์ ไม่แคร์อะไรอีกแล้ว...

แม่ต้องไม่ตาย แม่ต้องไม่ปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นได้ในสิ่งที่อยากได้

เขาจะต้องไปอยู่ที่นั่น อยู่ปกป้องทุกอย่าง!


****************************

เกิดเป็นนุ้งมินนี่ลำบากจริงๆ แต่หลังจากนี้หนูจะไม่ลำบากคนเดียวละลูก

ลุงอ้ายก็จะลำบากที่ถูกเอาคืน คนเขียนก็จำลำบากเพราะยิ่งเขียน เรื่องยิ่งยุ่ง คนอ่านก็จะลำบากเพราะลุ้นจนปวดตับ เอาเป็นว่าลำบากกันถ้วนหน้าละงานนี้ 5555

ตอนหน้านางจะไปตาต่อตา ฟันต่อฟันกับอินทัชแล้วน้าาาาา

ขอกำลังใจหน่อยจ้า รักคนอ่านน้า^^







หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๘ ♡ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 14-09-2015 00:22:59
ไม่เข้าใจ อินทัชผิดอะไร ก็แค่ตบะอ่อนไปหน่อยเท่านั้นเอง มินยั่วเค้าเองแท้ๆ คือที่เป็นอยู่นี่ก็เห็นว่ามินทำตัวเองตลอดอะ

คงสติแตกและไม่เคยฟังใครตั้งแต่โดนพี่ชายทำร้าย ในใจมีแต่ความแค้น ความคิดสมเป็นเด็กสมัยนี้จริงๆ เหอๆ

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๘ ♡ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 14-09-2015 09:58:28
ไม่เข้าใจ อินทัชผิดอะไร ก็แค่ตบะอ่อนไปหน่อยเท่านั้นเอง มินยั่วเค้าเองแท้ๆ คือที่เป็นอยู่นี่ก็เห็นว่ามินทำตัวเองตลอดอะ

คงสติแตกและไม่เคยฟังใครตั้งแต่โดนพี่ชายทำร้าย ในใจมีแต่ความแค้น ความคิดสมเป็นเด็กสมัยนี้จริงๆ เหอๆ

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ทุกคนต่างผิด แต่ผิดกันคนละส่วนกันไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๘ ♡ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 14-09-2015 10:46:59
ลุงอ้ายนั่นแหละผิด ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำ

แล้วที่แต่งงานกับแม่มินเนี่ย แต่งแต่ในนามใช่มั้ย ไม่ได้แต่งกันจริงๆ อ่ะ

แต่งเพื่อที่จะให้มีคนมาดูแลมินใช่มั้ย
หัวข้อ: Re: ♡ เล่ห์ · รัก · ร้าย ♡ ตอนที่ ๘ ♡ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 14-09-2015 15:59:55
ลุงอ้ายนั่นแหละผิด ผิดที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วแต่ก็ยังทำ

แล้วที่แต่งงานกับแม่มินเนี่ย แต่งแต่ในนามใช่มั้ย ไม่ได้แต่งกันจริงๆ อ่ะ

แต่งเพื่อที่จะให้มีคนมาดูแลมินใช่มั้ย


จริงๆ ชอบเขียนแนวนี้อยู่แล้ว ก็เขียนไปตามเรื่องที่วางไว้ ส่วนตัวอยากสื่อว่าทุกคนบนโลกไม่ใช่คนดี ล้วนมีด้านมืดเป็นของตัวเอง ถ้าจะผิดก็ผิดทุกฝ่าย แต่จะผิดมากผิดน้อยอยู่หลังจากนี้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๙ |||★ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 14-09-2015 21:44:47
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.


งานฌาปนกิจศพจัดขึ้นสมฐานะตระกูลใหญ่ ข้างโลงศพประกอบด้วยพวงหรีดแสดงถึงความเสียใจจากผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์หลายท่าน ทั้งผู้แทน คุณหญิงคุณนาย ข้าราชการที่รู้จักมักคุ้น แต่ก็เพียงแค่ใส่หน้ากากเข้าหากันในสังคมชั้นสูง ไม่มีใครมาจริงๆ เพียงส่งตัวแทนมาเท่านั้น

เสียงพระสวดใกล้จะถึงจบสุดท้าย เจ้าภาพกลับไม่มีสมาธิจดจ่อกับบทสวดมนต์สักนิด ใจร้อนรุมเทียวแต่กวาดสายตาหาร่างของใครสักคน ครั้งแล้ว ครั้งเล่า

"นั่นไงๆ ลูกชายคนเล็กมาแล้ว ต๊าย...ดูแต่งตัวเข้า"

"ถ้าฉันเป็นคุณปรางค์ก็คงเพลียเหมือนกันที่มีลูกชายแบบนี้"

อินทัชนิ่ง มองตามร่างกายสูงของคนที่ถูกกล่าวถึงกำลังลากเท้าเดินเข้ามา สีหน้าเรียบไม่แสดงถึงความเสียอกเสียใจ หนำซ้ำยังสวมเสื้อผ้าแฟชัน สีสันฉูดฉาดจนเรียกทุกสายตาให้หันไปมองที่นั่นจุดเดียว ชายหนุ่มรีบลุกเดินเข้าไปหาอศวมินทร์ เห็นคิมหันต์กวาดสายตามาเจอะกันพอดี

อินทัชชะงักขา ปล่อยให้เป็นหน้าที่พี่ชายจะดีกว่า คิดแล้วจึงถอยกลับไปนั่งที่เดิม เพียงเฝ้ามองเด็กคนนั้นจากมุมนี้

ชายหนุ่มเชื่อมั่นว่าอศวมินทร์เจ็บปวดจนไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้อีกแล้ว นัยน์ตาคมจับมองไปยังคิมหันต์ แววตายามมองน้องชายนั่งต่อหน้าศพมารดานั้น เล่นเอาเขาอยู่ไม่สุข

ท่าทีอศวมินทร์ไม่ยอมรับพี่ชายตัวเอง นั่นทำให้เขาแปลกใจว่าที่ผ่านมาเกิดเรื่องอะไรต่อจิตใจเด็กคนนี้บ้าง อันเป็นต้นเหตุให้เขากลายเป็นเด็กนิสัยแบบนี้ ชายหนุ่มทอดถอนใจเดินไปทรุดกายนั่งบนผืนพรมข้างๆ

"ไหว้แม่เสียสิ"

มือหนาวางบนบ่าเด็กหนุ่ม ขณะผละขึ้นมาอินทัชเห็นสายตาของคิมหันต์จับมอง นัยน์ตาคมสองคู่สบกันเงียบเชียบในความเศร้าของอศวมินทร์ ชายหนุ่มทราบดีถึงความหมายของเด็กหนุ่มข้างกายอศวมินทร์ มันคือสายตาแห่งความหวงแหน ไม่อยากให้เขาเข้าใกล้น้องชาย

หรือหวงในฐานะอื่น อินทัชไม่อาจคาดเดาไปมากกว่านี้ แต่ที่แน่นอนมันเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านเขา ชายหนุ่มสะบัดไล่ความคิดออก หันหันสบมองเด็กวัยย่างสิบแปดอย่างไม่อยากคิดมาก

"ทำไมไม่ใส่ชุดไว้ทุกข์มา" ชายหนุ่มเอ่ยฝ่าความเงียบ นั่นได้เรียกให้เด็กหนุ่มซึ่งประนมมือขณะไหว้ศพหันมามอง อศวมินทร์หลุบตามองเหล่าควัยเลื่อนลอยออกจากธูปในมือนิ่ง

"ใส่ไม่ใส่แค่ให้ใจรู้สึกมันก็พอแล้วนี่ ผมไม่อยากเป็นเหมือนพวกคุณหญิงคุณนายนั่น ใส่มาแต่ตัวแต่ใจไม่ได้ไว้ทุกข์เลย นี่มันงานศพแม่ผมไม่ใช่งานน่ายินดี แต่นั่นเอาแต่นั่งพูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน แบบนั้นสิเรียกว่าไม่ให้เกียรติ"

อินทัชนิ่ง ชำเลืองตามองคนเหล่านั้น "เธอเป็นเด็กนะ พูดถึงผู้ใหญ่แบบนั้นได้ไง"

"คำก็เด็กสองคำก็เด็ก ผู้ใหญ่จะทำเหี้ยอะไรก็ไม่ผิดใช่ไหม ตัวคุณเองเลิกสอนคนอื่นเถอะไม่อายตัวเองบ้างรึไง" เด็กหนุ่มปักธูป ก้มลงกราบมารดาหนึ่งครั้ง หันไปกราบพระอีกสามหน

อศวมินทร์ลุกเดินออกจากศาลาวัดไปแล้ว คิมหันต์ถอนใจตามออกไปติดๆ คนมองตามทำได้เพียงส่ายหน้าระอาแก่ใจเท่านั้น

แขกเหรื่อฟังพระสวดจบแล้วก็ต่างทยอยเดินมาแสดงความเสียใจ อินทัชทำหน้าที่สามีอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มยืนไหว้ขอบพระคุณด้วยรอยยิ้มสุขุม ส่งให้แต่ละคนขึ้นถึงรถอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย แม้จะคอยชำเลืองตามองหาคิมหันต์และน้องชายก็ตาม

"คุณอ้ายครับผมว่าไปพักก่อนเถอะ ทางนี้เราจะจัดการให้เอง แขกกลับไปหมดแล้วเดี๋ยวทางนี้พวกผมจะทำเอง" ลูกน้องบอกทั้งผายมือให้ อินทัชผ่อนปรนลมหายใจตัวเอง ตบบ่าให้กำลังใจคนบอกและยอมเดินผละออกมานั่งพัก

"เอ่อ คุณอ้ายได้บอกน้องมินรึเปล่าครับว่าหลังจากเผาศพแล้วจะมีการเปิดพินัยกรรมของคุณปรางค์ ให้มารวมตัวกันที่บ้าน"

"ผมลืมไปน่ะ เดี๋ยวจะไปบอกครับ" ชายหนุ่มยกมือนวดขมับตัวเองยิ้มให้ทนายประจำตระกูล ย่างเท้าเดินออกมาด้านนอกเห็นร่างสูงของคิมหันต์กำลังลูบบ่าน้องชายที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองจากตรงนี้ไม่อาจเดาได้ว่าทั้งสองกำลังคุยอะไรกัน อินทัชนิ่ง คิดอยู่นานว่าควรเลือกเดินเข้าไปแทรกแซงระหว่างสองพี่น้องคู่นี้หรือไม่

"อ้าว ยังไม่ไปเหรอครับ" ทนายประจักษ์เดินออกมาเห็น เรียกให้ชายหนุ่มซึ่งยืนครุ่นคิดให้หันไปมอง "อ้อ...ผมยังไม่อยากไปตอนนี้ครับ ดูเหมือนสองพี่น้องเขาจะมีเรื่องพูดกันอยู่เลยไม่อยากเข้าไปขัด"

ชายหนุ่มกอดอก มองแววตาสีหน้าของทั้งสองฝ่ายอยู่เช่นนั้น มองแววตาที่คิมหันต์มองน้องชายขณะพยายามลูบบ่าให้

อศวมินทร์ยอมกลับบ้านไปพร้อมกันโดยไม่ปริปากบ่น กลับไปอยู่ในห้องพักที่ตนเคยอาละวาดทิ้งไว้ บัดนี้ถูกจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เด็กหนุ่มลากเท้าเอื่อยไปยังเตียงด้วยความอ่อนแรง ทิ้งกายนอนแผ่หลามองเพดานด้านหน้านิ่ง ภาพใบหน้าปรางคณางยามร้องไห้ขอกอดเขาผุดขึ้นมาให้เห็น

'จะไปตายที่ไหนก็ไป!'

มือยกขึ้นมากุมใบหน้ารอนรุมของตัวเอง รอยยิ้มสุดท้ายที่เขาเห็นคือยิ้มจากรูปในงานศพเมื่อครู่ใหญ่ที่ผ่านมา ปรางคณางส่งยิ้มมาให้เด็กหนุ่ม รอยยิ้มนั้นสวยหวานจนน้ำตาอุ่นร้อนท่วมเอ่อกลบลูกตา เพดานลวดลายวิจิตรเบื้องหน้าพร่าเบลอไปในทันทีทันใด ต่อหน้าทุกคนเขาคือคนไม่มีความรู้สึก อศวมินทร์นอนร้องไห้อยู่อย่างนั้นอย่างไม่ปิดกั้นตนเองอีกต่อไป

บนหัวเตียงมีภาพครอบครัวตั้งแต่สมัยยังเด็ก บิดาอุ้มเขาขึ้นขี่คอท่าทางแข็งแรงสนุกสนาน ข้างๆ คือปรางคณางกำลังกอดคิมหันต์จากด้านหลังด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุข อศวมินทร์มองรูกในมือทั้งน้ำตา สัมผัสอ่อนแผ่วที่ใบหน้ามารดาซ้ำๆ

จะไม่ได้เจอกันอีกแล้วจริงๆ ใช่ไหม...ตลอดทั้งคืนเขาเพียงแค่ถามตัวเองอย่างนั้นจนรุ่งเช้า

ดูเหมือนอินทัชจะเดาออกว่าอศวมินทร์ไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มเดินวนหน้าประตูอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเคาะเรียก เสียงคนตอบปกติดี อินทัชจึงบอกให้เตรียมตัวออกไปใส่บาตรพร้อมกัน

พิธีเผาเริ่มต้นตั้งแต่สิบเอ็ดโมงเช้า อศวมินทร์สวมชุดที่อินทัชตระเตรียมให้อย่างตัดรำคาญ ตลอดเวลาที่แขกเดินทางเข้ามาเขาก็เอาแต่มองภาพมารดา ไม่รับรู้สิ่งไหนเข้ามาในโสต เด็กหนุ่มนั่งเงียบโดยคนรอบข้างก็ยังเข้าใจ อศวมินทร์ยังคงช็อกและอยู่ในสภาวะซึมเศร้ากับเรื่องที่เกิดขึ้น

คนไร้สามัญสำนึกก็จะคิดตื้นๆ เสมอว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มทำมันไม่สมควร หากทว่าใครที่เคยสูญเสียคนรักไปในวันที่ยังไม่พร้อมนั้นทรมานเพียงไหน จะให้นั่งสวมหน้ากากให้ผู้อื่นก็คงเหนื่อยเกินไป

หากยังเป็นคน ยังมีความรู้สึกก็คงเข้าใจ

ภาพเขม่าควันสีขาวล่องลอยไปสู่ฟากฟ้า บ่งบอกว่าคนที่จากไปกำลังเดินทางไปยังจุดหมาย กลุ่มก้อนควันหยอกล้อกับลายลมคล้ายสุขและทุกข์ปะปนกันอยู่ในที ก่อนจะค่อยๆ สลายไปตามอากาศ อศวมินทร์เฝ้าแหงนมอง มองควันทั้งหมดไม่หลงเหลือออกมาพร้อมกดหน้าอกตัวเองไม่ให้เจ็บหนึบ

ใครสักคนเดินมาแตะบ่าเขา ลูบหัว พูดปลอบปาะโลมใจ แต่สุ้มเสียงที่เด็กหนุ่มได้ยินคือแรงสะอื้นของตัวเอง

ในขณะที่ยานพาหนะขับเคลื่อน ลูกชายคนเล็กนั่งตัวแข็งอยู่กลางระหว่างคิมหันต์และอินทัช ไร้คำพูด ไร้เสียงสนทนาโต้ตอบกัน บนเส้นทางการกลับสู่คฤหาสน์หลงเหลือเพียงบรรยากาศไว้ทุกข์ น่าอดสู...และภาพยามคิมหันต์กอดน้องชาย เฝ้าบอกอศวมินทร์ว่าเรายังมีกันเสมอ ผู้ฟังทำได้แค่นิ่งเงียบและมองทั้งคู่เท่านั้น

เพราะมันถูกอย่างที่คิมหันต์ว่า

อินทัชขอเลื่อนการเปิดพินัยกรรมที่ปรางคณางทำไว้ไปอาทิตย์หน้า เหตุเพราะตอนนี้ความรู้สึกของอศวมินทร์ยังไม่สู้ดี แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ต้องการ เพราะอยากรู้ว่าปลิงที่เกาะปรคณางมาตลอดนั้นได้อะไรไปบ้าง "ผมพร้อมจะฟัง จะได้มีคนรู้สักทีว่าบ้านนี้เขาไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งสิ้น"

อศวมินทร์เสียงแข็ง ทิ้งก้นนั่งเมื่อทุกคนครบองค์ประชุม รวมถึงสักขีพยานซึ่งได้แก่ลูกน้องคนเก่าคนแก่ ลูกชายทนายความ และเอก อินทัชไม่คิดเลยว่าการที่เขาเลือกเลื่อนการเปิดพินัยกรรมนั้น อศวมินทร์จะคิดในแง่ร้ายต่อตนได้ว่าเขากลัวความจริง และยื้อเวลาเพื่อแก่ไขเนื้อหา

คุณประจักษ์เหลือบมองท่าทางเคร่งขรึมของทุกคนแล้วทอดถอนใจ เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มขึ้นมาเปิด สีหน้าดูลำบากใจที่จะกล่าวเมื่อเห็นเนื้อหาคร่าวๆ

"พินัยกรรม ทำวันที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖

ข้าพเจ้านางสาวปรางคณาง ลิ้มวัฒนาโชติ อายุ ๓๗ ปี ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นเพื่อแสดงเจตนาว่า เมื่อข้าพเจ้าถึงแก่กรรมให้ทรัพย์สินของข้าพเจ้าที่มีทั้งหมด ทั้งที่มีอยู่ปัจจุบันและในอนาคต ได้แบ่งสรรปันออกมาสองส่วน

ส่วนที่หนึ่ง เงินในบัญชีชื่อนายคิมหันต์ ลิ้มวัฒนาโชติ จำนวนสิบเก้าล้านบาท บัญชีชื่อนางสาวปรางคณางจำนวนสองร้อยสามสิบหกล้านบาท ที่ดิน ๘๖ ไร่ ตกเป็นของนายคิมหันต์ลิ้มวัฒนาโชติ ทั้งได้รับเงินศึกษาจนจบชั้นปริญาเอกอีกเดือนละห้าหมื่นบาท

ส่วนที่สอง หุ้นบริษัทวัฒนาโชติ จำกัดมหาชน จำนวนเจ็ดสิบเปอร์เซ็น บริษัทปรางคณาง จำกัด อสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด เงินในบัญชีชื่อนายอศวมินทร์ ลิ้มวัฒนาโชติจำนวนหกร้อยสามล้านบาท และบ้านลิ้มวัฒนาโชติตกเป็นของนายอศวมินทร์..."

ใจของผู้ฟังกระตุกด้วยความสะใจ อศวมินทร์เห็นว่าสีหน้าของอินทัชไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไร เมื่อทั้งฉบับมิได้กล่าวถึงชื่อของเขาสักนิด

"อนึ่ง กรณีนายอศวมินทร์ยังไม่บรรลุนิติภาวะจะยังไม่สามารถจัดการในส่วนตนเองได้ จึงให้ทรัพย์สินทั้งหมดตกอยู่ในการดูแลของนายอินทัช อัศวเกศก่อน ในฐานะผู้ปกครอง โดยมีสิทธิ์ขาดเต็มที่ในการดูแลและจัดการทรัพย์สินตามเห็นสมควร จนกว่านายอศวมินทร์ ลิ้มวัฒนาโชติจะอายุยี่สิบเอ็ดปีบริบูรณ์ นอกนั้นให้รับค่าเล่าเรียนเดือนละสองหมื่นห้าพันบาทจนกว่าจะศึกษาจบ

พินัยกรรมนี้ ข้าพเข้าเขียนด้วยลายมือของข้าพเจ้าทั้งฉบับ ขอยืนยันว่าในขณะที่เขียนอยู่นี้ ข้าพเจ้ามีสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ

ลงชื่อ นางสาวปรางคณาง ลิ้มวัฒนาโชติ"

ทุกคนหันหน้ามองคนนั่งใกล้เมื่อทนายประจักษ์อ่านเนื้อหาพินัยกรรมจบ อศวมินทร์ลุกขึ้นยืนคัดค้านทันที "ไม่ ไม่เอาแบบนั้น วรรคสุดท้ายนั่นมันอะไร!"

"เป็นความต้องการของคุณปรางค์เธอครับ ในขณะที่เขียนผมและคุณอ้ายนั่งเป็นประจักษ์พยานว่าเธอเป็นผู้เขียนจริง และไม่ปกปิดเนิ้อหาทั้งหมด"

เด็กหนุ่มรับมาอ่านทั้งลมหายใจหอบถี่ มือกำกระดาษลายมือของปรางคณางแน่นจนสั่นไหว อินทัช เขานั่งอยู่ข้างแม่และยินดีรับมัน! "คุณต้องการอะไรถึงทำแบบนี้ หา!"

อินทัชเบิกตา ร่างกายชาวาบเมื่ออศวมินทร์ดิ่งตรงมาหาด้วยสายตากร้าว เขารู้ดีว่าไม่ใช่ความปีติยินดีแน่อนน เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้จะถลาเข้ามากอดด้วยความดีใจ ดวงตาคมเชยขึ้นมองเมื่อท้ายที่สุดทุกคนก็ร้องปรามลั่นคฤหาสน์ มือแข็งๆ ของคู่กรณีกระชากให้เขาเดินตามมา

"มาคุยกันแบบลูกผู้ชายหน่อยไหม!"

ไม่ดีแน่ ลูกผู้ชายที่อศวมินทร์หมายถึง อินทัชไม่ได้กลัวเกรง เพียงสาวเท้าเดินตามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง หันไปบอกทุกคนด้วยสายตาว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เขาทำใจยอมรับว่าจะต้องเจอความพยศนี่ตังแค่เนิ่นๆ แล้ว...

แต่มันคงยากกว่าคราวแรกพันเท่าเท่านั้นเอง


***************************

เอาแล้วไงทีนี้ งื้อ รอบหน้าลึงอ้ายอาจโดนจัดหนัก
มินพาลุงอ้ายไปไหน ไปจับกดใช่มั้ย! หลอกๆ 5555

เจอกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะค้า
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๙ |||★ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 15-09-2015 19:33:06
รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๐ |||★ [14/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 16-09-2015 14:55:55
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๐

เสียงฝีเท้าตึงตังนั้นไม่ดังเท่าดวงใจของชายหนุ่มซึ่งเต้นโครมครามตรงนี้ อินทัชถูกกระชากแขนราวบังคับทั้งที่ตนเองเต็มใจ ชายหนุ่มคิดว่าอีกฝ่ายมองเขาเป็นคนร้ายกาจไปแล้ว ทุกสิ่งอย่างมันชวนให้คิดเช่นนั้น ความรู้สึกดีสองเดือนที่ผ่านมามันสูญเปล่าไปสิ้น

ร่างสูงถูกผลักเหวี่ยงให้หันมาประจัญหน้า เห็นว่าอีกฝ่ายเดือดดาลถึงขนาดไหน

ในสวนหลังบ้านร่มรื่นน่าอยู่ แต่บัดนี้คุกรุ่นไปด้วยความโกรธขึ้ง สายลมเย็นพัดโบกใส่โครงหน้ารูปหล่อแต่เจ้าตัวกลับเอาแต่ขมวดคิ้วมุ่น "ที่ทำแบบนี้ต้องการอะไร จะแย่งทุกอย่างไปจากผมให้หมดเลยงั้นเหรอ!"

"เอาที่ไหนมาพูด ฉันไม่เคยแย่งของๆ เธอแม้แต่สักอย่างเดียว"

"คุณเกลียดอะไรผมนักหนา!"

เกลียด โอ้...ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเห็นเขาเป็นคนเช่นนั้น เด็กที่ชมว่าเขาเป็นคนดีคนเดิมหายไปไหนเสียแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ... "อะไรทำให้เธอคิดว่าฉันเกลียดเธอกัน ฉันแค่ทำตามความต้องการแม่ของเธอครั้งสุดท้าย ทำในสิ่งที่เธอทำไม่ได้..."

"หน็อย!" อศวมินทร์เงื้อมือและกำหมัดไว้แน่น อีกข้างกระชากคอเสื้อคนตรงหน้าเตรียมรับแรงโทสะ หากทว่าชายตรงหน้าไม่มีทีท่ากลัวเกรง อินทัชรับรู้ถึงมือเด็กหนุ่มที่สั่นไหวยามชะงักค้างอยู่เช่นนั้น "แม่ไม่มีทางคิดอย่างนั้น แม่รู้ว่าผมเกลียดคุณ!"

"ไม่เพียงแค่แม่เธอเท่านั้นที่รู้ ฉันก็รู้ตัวเองดี แต่เพราะเธอเป็นคนแบบนี้ไงปรางค์ถึงตัดสินใจทำแบบนี้ก่อนตาย"

"ทำไม!" อศวมินทร์หอบหายใจตะเบ็งเสียง มองใบหน้าคมตรงหน้าทอดถอนใจหน่าย ทำท่าอเน็จอนาถใจต่อเขา

"จะให้ฉันบอกงั้นเหรอว่าทำไม"

"จะสร้างเรื่องอะไรออกมาอีก จะพูดอะไรให้ตัวเองดูดีขึ้นมาอีก"

"ก็เพราะเธอเป็นคนแบบนี้ไง ปรางค์เขารู้ว่ายังไงคนแบบเธอก็เอาตัวเองไม่รอด ต่อให้มีสมบัติขนาดไหนก็จะผลาญจนหมด เธอยังเด็กแล้วก็เอาตัวเองเป็นศูนย์รวมจักวาล ต้องได้อะไรตามใจไปเสียหมด แต่เรื่องนี้จะเป็นการสอนเธอให้รู้ค่าของเงินก่อนจะได้รับมันไป"

"ไม่ต้องมายุ่งเรื่องของผม ไปเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะไป!" เด็กหนุ่มตรงหน้าผลักเขาออก อินทัชพยายามผ่อนปรนอารมณ์ตัวเอง แต่บางทีก็โมโหเหมือนกันที่สื่อสารกันไม่เข้าใจ

"เธอคิดว่าฉันได้อะไรกับเรื่องนี้บ้างน่ะมิน สมบัติเหรอ ได้ชื่อเสียงเหรอ ไม่มีสักอย่าง สิ่งเดียวที่ฉันได้คือรอยยิ้มของแม่เธอก่อนที่เขาจะหลับตาลงอย่างสงบ"

"แล้วคุณต้องการอะไรถึงจะออกไปจากชีวิตผมได้ ทำให้ผมไม่ต้องเห็นหน้าคุณอีกต่อไป" เด็กหนุ่มเอ่ย สิ้นคำวินาทีนั้นอินทัชชะงักไปชั่วครู่

อศวมินทร์คนก่อนนั้นเอาแต่พร่ำขอให้เขารีบมาพบหน้า ออดอ้อนด้วยรอยยิ้มพราว ครั้นได้พบสีหน้ายามนี้ชายหนุ่มคล้ายจะซวนเซล้มลงกับพื้น อินทัชปรับสีหน้า ผละสายตาไปเห็นคิมหันต์ยืนมองจากระเบียงชั้นสอง "ถ้าเธอไปโรงเรียนทุกวันจนจบฉันจะไม่มาให้เห็น"

"แค่นั้นเหรอ!" เด็กหนุ่มหันไปเตะกระถางต้นไม้เอาแต่ใจ

"ถ้าเธอยังรั้นพูดจาไม่รู้เรื่องหรือทำลายข้าวของในบ้าน ฉันจะหักเงินเดือนเธอออกไปอีก"

"สองหมื่นห้า..."

อศวมินทร์ทวนสิ่งที่คั่งค้างในความทรงจำ ตั้งใจเอ่ยแกมประชดอยู่ในที "เงินแค่สองหมื่นห้าจะไปทำอะไรได้วะ!" ว่าแล้วเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าคมเต็มแรง ดีกรีความฉุนเฉียวเรียกได้ว่าเดือดปุด "อย่ามาทำตัวเป็นพ่อ ในเมื่อเป็นคนดีไม่ได้ก็อย่าหวังว่าใครจะนับถือ อยากเล่นแบบนี้ใช่ไหม ได้..."

นิ้วชี้ชี้หน้าคนล้มลงบนผืนหญ้า "ไอ้มาวินมันคงเสียใจแย่ ถ้าลุงมันไม่ได้เป็นแบบที่คิดไว้ แล้วอย่าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก ไม่งั้นเตรียมตัวไว้เลย!"

อินทัชรู้ว่าเด็กคนนี้ดื้อดึงและรั้นถึงเพียงไหน แต่ไม่เคยรู้เลยว่านิสัยจริงๆ ของอศวมินทร์เป็นคนอย่างไร ชายหนุ่มยืนกุมโหนกแก้มตัวเองเงียบงัน มองตามแผ่นหลังเด็กเจ้าอารมณ์ซึ่งเดินดุ่มกระแทกเท้าออกไปแล้ว หลังจากข่มขู่ถึงหลานชายที่อยู่บ้านหลังโน้นไป อินทัชไม่คิดเลยว่าการตัดสินใจครั้งนั้นมันลุกลามบานปลายมาจนเลวร้ายเช่นนี้

หางตาเหลือบมองอีกฝั่ง บนชั้นที่สองของคฤหาสน์มีเด็กหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยยืนอยู่ ชายหนุ่มทราบดีถึงความจริงจากสายตาผู้ชายเหมือนกัน แววตาของคิมหันต์ที่มองน้องชาย

ที่นี่มันอะไรกัน มือหนายีศีรษะตนเองระบายโทสะที่สั่งการไม่ได้ ลึกๆ ภายในใจของเขามันเหนื่อยที่จะสู้รบ แต่คงจะยอมไม่ได้แล้ว หากอศวมินทร์คิดจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม!





จากนั้นอีกไม่กี่วันอาจารย์ประจำชั้นก็ได้ติดต่อมาที่บ้านเพื่อตามอศวมินทร์ไปเรียน เด็กหนุ่มแปลกใจว่าเขาขาดโรงเรียนอยู่หลายเดือนเช่นนี้ ตนยังมีสืทธิ์กลับไปเรียนอยู่หรือ แต่เมื่อคิดแล้วภาพอินทัชก็ลอยเด่นขึ้นมาบนหัว รายนั้นคงไปอวดเบ่งใส่ใครเอาไว้เป็นแน่

แต่เพราะไม่อยากพบหน้าพ่อเลี้ยงทุกวัน การไปกลับและใช้ชีวิตในโรงเรียนย่อมดีกว่า แต่ก็มีบางครั้งที่ยังเถลไถลแอบลักลอบหนีเที่ยวกับกลุ่มเพื่อน อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นสีสันในช่วงมัธยมปลาย

อินทัชก็ทำตามคำพูดที่เคยบอกไว้ ว่าหากเด็กหนุ่มยอมกลับไปเรียนตนจะพยายามหลบหน้า อศวมินทร์ก็ไม่ได้เห็นอยู่หลายวัน ทราบจากลุงคนขับรถว่าอินทัชจะกลับไปทานข้าวเย็นที่บ้านหลังโน้นแล้วค่อยกลับช่วงสามทุ่ม หรือไม่ก็ทำงานที่บริษัทดึกดื่นค่อนคืนจึงกลับ ได้ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็นึกอะไรดีๆ ออก ระบายรอยยิ้มเผยเล่ห์เหลี่ยมออกมา

อศวมินทร์ยังเป็นเพื่อนกับมาวินอยู่ แม้คราแรกจะตกใจกันทั้งคู่ที่รู้ว่าโลกมันกลมถึงเพียงนี้ เขาแยกแยะเรื่องต่างๆ ออก และสามารถเหมารวมในบางส่วนเข้าด้วยกันได้

"มึง เดี๋ยวพวกกูไปเข้าห้องน้ำก่อน มึงสั่งข้าวรอไปก่อนเลยนะ"

เพื่อนสองคนบอก อศวมินทร์พยักหน้าเออออเดินเข้าโรงอาหารมาพร้อมมาวิน ครั้นได้ของกินครบทั้งคู่ก็หาโต๊ะนั่ง ขณะเดินผ่านผู้คนเข้าไป อศวมินทร์พยายามหักห้ามใจไม่ขุ่นเคืองเพราะหลายสายตาหันมาจับมอง เด็กหนุ่มชำเลืองมองมาวินที่ยังท่าทีปกติเพราะเป็นคนไม่สนโลก เอาอย่างเพื่อนบ้างด้วยการทรุดกายนั่งทำเมิน

"แก แกเห็นปะ" เสียงผู้หญิงคนหนึ่งเริ่มขึ้นในกลุ่มเพื่อนฝูง ขณะอศวมินทร์นั่งตักข้าวทาน

"เห็นอะไรวะ"

"นั่นไง..." คนได้ยินชะงัก พยายามปล่อยผ่านคิดว่าไม่ใช่ตัวเอง เด็กหนุ่มเจ้าอารมณ์ก็จริง แต่จะหารื่องใครแบบไม่มีเหตุผลน่ะไม่เคย

"รู้รึเปล่า ว่าแม่เขาเป็นเอดส์ตาย ตอนมีชีวิตอยู่คนเขาก็ลือกันให้แซดว่าไปหาผู้ชายถึงบ้าน ที่มันหนีไปคงเพราะไม่ถูกกับพ่อเลี้ยงมั้ง มีคนเล่าให้แม่ฉันฟังนะว่าไอ้นั่นไม่มีอะไรติดตัวมาเลย" เสียงซุบซิบนั่นทำเอาคนฟังทานอะไรไม่ลง เด็กหนุ่มนิ่ง มองเอื่อยไปที่อื่นแสร้งไม่ได้ยิน

หากทว่ามือกำช้อนสั่นไหว

"ก็ผัวเก่าตายเป็นปีๆ แล้ว เป็นแก แกก็คงอยากใช่มั้ยล่ะ"

"ติดเอดส์ผัวใหม่เหรอ บ้าแล้ว อะไรจะตายเร็วขนาดนั้น ข่าวแกไม่กรองละมั้ง"

"เขาอาจจะมีหลายคนแล้ว แต่คนนี้ลีลาดีกว่าคนอื่นไง..."

มาวินชะงัก มองเพื่อนที่กำลังนั่งกัดฟันกรอดข่มใจก็ถึงกับกลืนข้าวไม่ลงคอ หางตาเห็นมือของอศวมินทร์สั่นไหวเก็บกลั้นอารมณ์ หากจะโกรธก็คงไม่แปลก เพราะสิ่งที่พวกเธอเหล่านั่นเล่าติดตลกคือมารดาของเพื่อนรัก หนำซ้ำยังใช้วิธีพูดถึงอย่างหมิ่นเกียรติ

"แกว่าดีไหม มีผัวเป็นปลิง"

"แสดงว่าโดนดูดจนตาย"

ปัง!

ไม่ทันจะได้รู้ว่าเสียงใครเป็นคนตบโต๊ะ มาวินอ้าปากค้างอย่างไม่อยากเชื่อว่าอศวมินทร์จะทนไม่ไหว ลุกเดินไปหาเรื่องผู้หญิงถึงที่ "คิดว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะพูดเหี้ยๆ อะไรก็ได้เหรอ!"

นักเรียนหญิงหน้าเหวอ เงยมองด้วยความตกใจ "อะ อะไร เราเปล่านะมิน เราพูดเรื่องดารา"

"มึงพูดเรื่องครอบครัวกู!" เด็กหนุ่มทุบโต๊ะอีกครั้งจนทั้งกลุ่มเงียบกริบ นักเรียนหญิงหน้าถอดสีทันทีเมื่อหลายสายตาในโรงอาหารหันมามองเป็นตาเดียว อศวมินทร์กำหมัดให้เห็น เจ้าหล่อนหลุบตามองอึกอัก

"ทำ...ทำไมพูดแบบนี้กับเราล่ะ เราเป็นผู้หญิงนะ"

"แม่กูก็เป็นผู้หญิงทำไมมึงถึงไม่ให้เกียรติล่ะ ถ้ามึงอยากได้เกียรติก็ให้เกียรติคนอื่นก่อนสิ"

เธออ้าปากค้าง สรรค์หาคำพูดมาเอ่ยไม่ได้ "ไปบอกแม่มึงด้วยว่าอย่าเอาเรื่องมั่วๆ ไปบอกคนอื่นอีก ไม่งั้นกูจะเอาขี้ไปยัดปากแม่มึงถึงบ้านแน่ จะได้ปากเหม็นสมเป็นแม่ลูก!" พูดจบ เสียงหัวเราะในโรงอาหารก็ดังขึ้นระนาว แม้แต่เพื่อนในกลุ่มของหล่อนก็ยังหลุดขำพรืด

เสียงร้องไห้แห่งความอับอายของเด็กสาวดังขึ้นหลังจากเด็กหนุ่มเดินกลับมานั่งที่เดิม เล่นเอามาวินที่นั่งใจแป้วตรงนี้ผ่อนปรนอารมณ์ขึ้น นึกว่าเพื่อนจะเดินไปกระทืบเด็กนักเรียนหญิงคนนั้นเสียอีก

"พวกมึง บ่ายนี้กูขี้เกียจ ออกไปข้างนอกกันไหม"

เพื่อนในกลุ่มเริ่มถาม "กูไปไม่ได้ว่ะ ลุงกูด่าเรื่องคะแนนสอบครั้งที่แล้วฉิบหาย จะหักค่าขนมกูด้วยที่สำคัญ" มาวินตอบคนแรก

"โถ เรื่องปกติเลย มึงกลับไปให้ลุงมึงป้อนนมต่อเถอะพวกูกูไม่ซี เดี๋ยวถ่ายรูปอวดให้อิจฉาน้า" โป้ง เพื่อนจอมค่อนแคะลอยหน้าลอยตากล่าว นั่นทำเอามาวินเถียงไม่ออก ฉายาเขาคือลูกแหง่ หรือไอ้คุณหนูสำหรับเพื่อนกลุ่มนี้ "เออ ไว้คราวหน้าละกัน"

"โอ๋ๆ ไม่ต้องน้อยใจ เดี๋ยวพวกกูพาไอ้มินไปปลอบใจ หาเดินเที่ยวตากแอร์เย็นๆ แทนมึงเต็มที่ไม่ต้องห่วง"

อศวมินทร์ทำได้เพียงยกมุมปากยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าของมาวินยามถูกล้อเลียน ถูกที่อินทัชคือฮีโร่ของมาวิน แต่ผิดที่มาวินเชิดชูผู้ชายคนนั่นเกินจริงไปหน่อยก็เท่านั้นเอง ไม่แปลกที่เพื่อนๆ จะเห็นเป็นเรื่องน่าขัน

ดังนั้น บ่ายวันนี้อศวมินทร์กับกลุ่มเพื่อนจึงโดดเรียนออกเที่ยวเตร่ เหตุเกิดเพราะวันนี้เขาอารมณ์เสียจนไม่อยากเรียน

ที่แรกคือร้านเกม แม้กฏหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดเข้าก่อนบ่ายสอง แต่ก็มีบางที่หละหลวมเรื่องกฏเพราะเห็นมากลุ่มใหญ่ ทั้งหมดใช้เวลาสนุกสนานกับเกมความรุนแรงอยู่สามชั่วโมง รู้สึกหิวจึงชวนกันออกไปหาของกินในห้าง แม้จะถูกจำกัดเรื่องเงินอยู่ก็ยังไม่สนใจ อศวมินทร์เอ่ยปากว่าจะเลี้ยงเพื่อนทุกคนเอง

ในขณะเลือกอาหารอยู่ในร้าน เหลือบมองออกไปนอกกระจก อศวมินทร์ชะงักสายตาเมื่อเห็นร่างสูงซึ่งไม่ได้พบเป็นเดือนๆ สวมชุดสูทเต็มยศแต่งกายเรียบหรู กำลังเดินประสานยิ้มกับหญิงสาวคนสวยคนหนึ่ง

เดาได้จากการคลี่ยิ้มเต็มใบหน้าส่งให้กันนั้น คงรู้จักมักคุ้นกันดี

เสียงเพื่อนคุยปรึกษาเรื่องเมนูอาหารไม่ได้เข้ามาในความคิดอศวมินทร์ เด็กหนุ่มมองตามสองร่างที่เดินผ่านหน้าร้านไปพร้อมกับการ์ดหน้าฝรั่งสองสามคน แต่สิ่งที่สะกดสายตาให้กำหมัดอย่างลืมตัว ก็คงจะเป็นมือขาวๆ ของสตรีคนนั้นกำลังควงแขนอินทัชอย่างแนบแน่นสนิทสนม!

อศวมินทร์กำหมัดจนสั่นไหว แม่เขาเสียไปกี่เดือนกัน เหตุใดจึงเดินควงผู้หญิงได้หน้าตาเฉย ยิ่งเห็น เด็กหนุ่มยิ่งโมโห มันตอกย้ำว่าที่อินทัชเลือกคบหาดูใจกับมารดาเขาเพราะน้ำเงินล้วนๆ!





เวลาสามทุ่มกว่าของวัน เป็นเวลาปกติที่จะต้องเดินทางมาถึงคฤหาสน์หลังนี้ อินทัชยกสัมภาระขึ้นถือด้วยความเมื่อยล้า ก่อนเปิดประตูรถออกมาด้านนอก ชายหนุ่มยืนบิดกายไล่ความเมื่อยอยู่ครู่ เห็นคนรับใช้วิ่งกรูกันมาช่วยยกข้าวของเช่นเคย

"มินกลับมาหรือยังพิน" ชายหนุ่มถามพลางยื่นให้ คนใช้ยิ้มรับ "มาได้ครู่ใหญ่แล้วค่ะคุณอ้าย อยู่ในห้องนอนเล่นคอมพิวเตอร์คุยกับเพื่อนอยู่ อีฉันเพิ่งเข้าเอานมอุ่นไปให้" นางตอบ

อินทัชยิ้มพอใจเมื่อได้ยินแบบนั้น "ดีแล้วล่ะ ฉันวานให้เอาของไปไว้ในห้องทำงานนะ"

ครั้นมอบหมายคำสั่งแล้ว อินทัชเดินลากเท้าเอื่อยในชุดสูทสุภาพเข้ามาด้านใน ห้องโถงเริ่มมีการปิดไฟบางมุมไปแล้ว ที่เปิดไว้ก็คงรอให้เขากลับมาเสียก่อน ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพ้นหน้าอศวมินทร์ไปได้อีกหนึ่งวัน มือหนายกขึ้นปลดสายเนคไทบนคอ ปลดกระดุมข้อมือเดินขึ้นไปชั้นสอง

ในขณะที่ไขกุญแจห้องพัก ชายหนุ่มยกนาฬิกาดูเวลาไปพลาง เมื่อประตูเปิดได้ หลังคอเขาเย็นวาบเมื่อร่างกายซวนเซไปด้านหน้า ตามแรงผลักของใครสักคนที่มาจากด้านหลัง!

อินทัชล้มเข้าในห้องตนเองซึ่งยังมืดสลัว ด้วยความตกใจจากแรงผลักนั้น ครั้นร่างกระทบกับพื้นห้องได้ก็รีบหันหน้าขวับไปมองด้วยความใครรู้ ใครกันที่ผลักเขา

"มิน!"

อินทัชเบิกตา ร่างกายแข็งทื่อเมื่อเห็นเด็กหนุ่มก้าวเดินเข้ามาภายใน ทั้งสีหน้า แววตา ราวกับเขาไปทำเรื่องคอขาดบาดตายให้โกรธเสียอย่างนั้น ยิ่งไปกว่าสายตาที่มองมา คือมือของเจ้าตัวที่ขยับไปปิดประตูห้องพร้อมลงกลอน มันหมายความว่าอย่างไร อินทัชไม่เข้าใจสักนิดเดียว!



**********************************

หมายความว่าลุงอ้ายกำลังจะถูกน้องมินจัดการไงค้า 5555

เอาล่ะสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร เดี๋ยวได้รู้กันตอนหน้า

แอบหมั่นไส้อีพี่คิมเล็กน้อย ฮึ่ย!

คอมเม้นเป็นกำลังใจด้วยน้า
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๐ |||★ [16/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 16-09-2015 17:11:13
อืมมม ไม่รู้ซิเหมือนอ่านแล้วรำคาญคนแบบลุงอ้ายยังไงชอบกล

ให้เหตุผลไม่ได้ว่าไม่ชอบตรงไหนอ่ะ อ่านแล้วพรานหงุดหงิดยังไงไม่รู้

เฮ้ออออ สงสัยคงต้องรอให้อะไรๆ มันดีขึ้นละมั้ง มิมใจเย็นๆ นะลูก อย่าใจร้อน

ฟังเหตุผลจากคนอื่นบ้างนะลูก
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๐ |||★ [16/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 16-09-2015 20:31:10
น้องมินอย่ารุนแรงกับลุงอ้ายมากนักนะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๐ |||★ [16/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 16-09-2015 21:42:42
ว่าจะเม้นท์ตั้งกะตอนที่8 แต่คอมที่ทำงานตอบเม้นท์ไม่ได้ ขัดใจมากกกกกกกกกกกก อยากด่าอิลุงอ้ายนี่มากกกกกก ยังมีคนเห็นว่าแม่งไม่ผิดอีกหรอ สวมคราบผัวแม่แล้วมาทำยังงี้กับลูก จะบอกว่ามินผิดที่ยั่วก่อน? ก็มินไม่รู้นี่ว่าแม่งเป็นใคร แต่คนที่รู้แล้วยังทำนี่สิ สร้างแผลย้ำให้คนที่บอบช้ำอยู่แล้วน่ะ สมควรได้รับการให้อภัยหรอ

อิคนแม่ก็เนาะ อ่านจนตายไปแล้วยังไม่สงสารเลย คร่ำครวญให้ลูกกลับมาเพื่อ? เลี้ยงลูกยังไง กลัวลูกเลี้ยงเสียใจเลยยอมให้ลูกแท้ๆเสียใจแทน? ตรรกะคือ?? พอผัวตายก็เอาผัวใหม่เข้าบ้านลูกไม่ยอมก็ไม่ฟัง ทำขนาดนี้แล้วยังจะเรียกร้องเอาอะไร

ภาวนาให้มินแม่งแค้น เอาคืนอิลุงนี่ให้หนัก ให้แม่งกระอักซักที แต่พออ่านมาถึงตอนที่10 กรรมเวร ไม่อยากจะเดาเลยว่าลากเข้าไปทำอะไร ขออย่าให้เป็นแบบที่คิด ปากบอกแค้นนักแค้นหนา แล้วมายอมง่ายๆนี่หมดเลยนะ  :katai1:

ปล.อาจใช้คำไม่สุภาพเนื่องจากอินจัด เกลียดอิลุงอ้ายมากกกกกกกกกกกกกก โปรดเข้าใจ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๐ |||★ [16/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 17-09-2015 00:50:14
น้องมิน ทำอะไรก็คิดให้รอบครอบก่อนนะ
เสียใจมามากแล้วไม่ใช่เหรอ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๐ |||★ [16/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 17-09-2015 02:42:33
 :katai1:ม่ายยยยยนะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๑ |||★ [16/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-09-2015 15:43:41
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๑

ความมืดเบื้องหน้าทำให้อินทัชมึนงงเล็กน้อย ในขณะที่ร่างขยับจะลุกกลับถูกแรงผลักจากด้านบนให้ล้มลง ชายหนุ่มเบิกตามองตรงหน้าตกใจ ความสลัวของห้องไม่อาจปิดสีหน้าอศวมินทร์จากความทรงจำเมื่อครู่ได้ว่าเป็นอย่างไร เคืองโกรธเพียงไหน  นั่นทำให้อินทัชหายใจไม่ทั่วท้องเอาเสียเลย

ร่างตรงหน้าขยับ แสงหัวเข็มขัดแวววับแสดงให้ชายหนุ่มเข้าใจแจ่มแจ้งว่ากำลังถูกถอด พร้อมเสียงฝีเท้าเด็กหนุ่มตรงหน้าย่างกรายเข้ามา

"จะทำอะไร!" อินทัชปั้นเสียงดุ ดันกายจะลุกก็ถูกกำลังด้านบนกดลง วินาทีที่เห็นอศวมินทร์ถือเข็มขัดในมือ นั่งทับตัวเขาไว้อยู่อย่างนี้ทำเอาใจหายวาบ

"ทำไม คิดว่าผมจะทำอะไรคุณเหรอ" คนด้านบนยียวนชวนขนหัวลุก แม้จะคล้ายทีเล่นทีจริง แต่คนฟังกลับรู้สึกเย็นยะเยือกพูดไม่ออก ในเวลานั้นอินทัชพยายามออกแรงสู้ เมื่อมือทั้งคู่ถูกดึงเข้าไปในตัวเข็มขัดสายยาวแล้วขึงรัด แววตาของเด็กต่อหน้าไม่เหลือเค้าอศวมินทร์คนเดิมที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว  "จะทำอะไร ปล่อยฉัน!"

"คิดว่าผมพิศวาสคุณมากนักเหรอ ตั้งแต่เห็นคุณกับแม่ผมก็ขยะแขยงจะตายอยู่แล้ว!" คนกล่าวหอบหายใจ "แต่ทำไมต้องมาอยู่ในบ้าน มาทำให้ครอบครัวชื่อเสียงพ่อแม่ผมสกปรกตามตัวคุณด้วย ทำไม!"

อินทัชดิ้นสู้ พยายามออกแรงให้เข็มขัดที่รัดขาดออกจากกัน แต่คงไม่เท่าแรงคนที่นั่งทับด้านบน "ฉันไม่เข้าใจ พูดเรื่องอะไรของเธอ"

"วันนี้ไปไหนมา"

"ปล่อย ฉันไปทำงาน!"

อินทัชกัดฟันกรอดออกแรงขืน พยายามพลิกกายให้หลุดพ้น "รักแม่ผมไหม รักไหม!"

"ถามทำไม"

อศวมินทร์เดือดกว่าเดิมหลังถูกย้อนด้วยคำถามนี้ เด็กหนุ่มดึงสายเนคไทคนใต้ร่างสุดแรง อีกข้างก็กดสองแขนของอินทัชไว้ "ถามว่ารักไหม!"

"รัก ฉันรักปรางค์..." อินทัชหอบหายใจ สายเนคไทรัดคอจนแทบหายใจไม่ออก วินาทีนั้นภาพหลายภาพแล่นเข้ามาในหัวชายหนุ่ม เสียงสูดลมหายใจดังฟืดฟาดและลำขายาวกระแทกพื้นขณะขืนสู้ ภาพหญิงสาวคลี่ยิ้ม ภาพน้ำตายามขอร้องเขา ภาพเธอยกมือไหว้น้ำตาไหลทั้งคุกเข่าขอร้อง

"รักแล้วทำไมไม่ตายตามแม่ไป หา!"

ภาพรอยยิ้มของอศวมินทร์ ภาพยามเด็กหนุ่มหัวเราะเสียงดังอยู่ข้างหู อินทัชคิดว่าคงไม่ได้เจอสีหน้าแบบนั้นอีกแล้ว ชายหนุ่มเจ็บหนึบในคอหอย หายใจไม่ออกร่างกายแทบหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น

'ไม่ว่าเธอจะเป็นยังไงฉันจะยังเป็นเหมือนเดิม...'

เขาเคยพูดแบบนี้กับเด็กน้อยตรงหน้าสินะ อินทัชเบิกม่านตามองคนด้านบนอย่างอ่อนแรง เสียงลมหายใจขาดห้วงคือคำตอบตอนนี้ เขาใกล้จะขาดใจทุกที

แรงสั่นไหวกอปรเสียงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงหวีดรัอง สมองอินทัชอื้ออึงดิ้นพล่านสู้แรงด้านบน ความวุ่นวายโกลาหลประเดประดังเข้าหัวให้มึนงงไปชั่วขณะ ประกอบกับประตูถูกเคาะ นาทีนี้ใครก็ได้ที่เรียกเขาช่วยดึงเอาคนด้านบนไปที อินทัชเฝ้าแต่ภาวนาเช่นนั้นซ้ำๆ

"มิน เปิดประตูให้พี่หน่อย มิน!" เสียงคิมหันต์ ขณะที่อศวมินทร์หันไปตามเสียงเรียก ยามอีกฝ่ายเผลออินทัชก็พลิกกายตะเกียกตะกายพยายามลุกขึ้นวิ่ง แต่เพราะมือที่ถูกมัด ทำให้ขยับได้ยากลำบาก อินทัชล้มลุกคลุกคลานไปเปิดประตู แม้อศวมินทร์ตามมาดึงรั้งไว้ได้ อย่างน้อยคิมหันต์ก็เข้ามาได้แล้ว

"ทำไมไม่ตายตามแม่ผมไป หา ทำไม!" อินทัชเข่าทรุดมาหอบเอาแรง

"ทำอะไรน่ะมิน หยุด เลิกคลั่งได้แล้ว"

"ปล่อยกู ปล่อย!"

เสียงเด็กหนุ่มร้องตะโกนใส่ระบายความคลั่ง ขณะคิมหันต์กันท่าไว้ก็ได้ยินเสียงแม่บ้านวิ่งขึ้นมา ชายหนุ่มไม่มีแรงเอาเสียเลย ร่างหนาสั่นเร่าคิดว่าจะได้ตายตามปรางคณางไปแล้วจริงๆ ออกซิเจนที่ขาดไปยามนี้อินทัชสูดเข้าเต็มปอด ปล่อยให้พินแกะเข็มขัดที่รัดข้อมือออกให้

"เป็นอะไรไหมคะคุณอ้าย เจ็บตรงไหนไหม!"

"ไม่ ไม่เป็นไร..." ชายหนุ่มส่ายหน้า ขออยู่คนเดียวสักพัก

แม้อศวมินทร์จะถูกพาตัวออกไปและเหตุการณ์กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว อินทัชยังไม่หายใจเต้นรัวด้วยความตกใจ สุ้มเสียงจากอศวมินทร์ยามถูกพี่ชายดึงออกไปจากห้องยังสะท้อนอยู่ในหัวไม่จางหาย ชายหนุ่มยกมือหนากุมใบหน้าตนเอง แม้ไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นเลยสักนิด แต่แววตาโหดร้ายเอาแต่ใจของผู้กระทำยังตราตรึงอยู่

เหนื่อยเหลือเกิน

มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกง โทรศัพท์ยังคงกรีดรีองบอกว่ามีใครสักคนโทร. มา อินทัชขยับเดินไปทิ้งกายลงบนเตียงด้วยความเหนื่อยอ่อน กดรับสายเมื่อเห็นว่าเป็นคุณประจักษ์ ชายหนุ่มปรับเสียงให้เป็นปกติที่สุดเพื่อตอบรับ แม้ใจจริงแล้วร่างกายสั่นเทาเป็นตรงกันข้าม

"ขอโทษที่โทร.ไปรบกวนเวลาพักผ่อนนะครับคุณอ้าย ผมจะโทรมาขอบคุณคุณแทนน้องมินน่ะครับที่ช่วยรักษาภาพพจน์บริษัทวัฒนาโชติให้ คุณอลิสเธอเป็นลูกสาวคู่ค้ารายใหญ่ของเรา การตายของคุณปรางค์ทำให้บริษัทมีผลกระทบมากทีเดียว"  อินทัชครางรับในลำคอเมื่อได้ฟัง

คุณประจักษ์คงไม่รู้ ว่าคนถือหุ้นส่วนเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทได้มาขอบคุณด้วยการใช้กำลังประทุษร้ายเขาก่อนแล้ว

"ยินดีครับ ถ้าจะทำให้คู่ค้าทั้งหมดมีความเชื่อมั่นในบริษัทเพิ่มขึ้น ให้ได้ประคับประคองต่อไปอีก"

"ขอบคุณมากครับ แล้วนี่เธอต้องการจะไปที่ไหนเพิ่มอีกรึเปล่าครับ"

อินทัชยกมือนวดขมับและลูบใบหน้าที่มันแผล่บ เอ่ยด้วยเสียงล้าเต็มที "เธอบอกว่าต้องการไปเที่ยวพัทยาน่ะครับ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิเสธเพราะเห็นว่าเกี่ยวข้องกับความเชื่อมันของบริษัท พยายามทำให้ทางนั้นพึงพอใจที่สุด"

"ขอบคุณนะครับ คู่ค้าหลายคนคงวางใจถ้าผู้บริหารรักษาการแทนเป็นคุณ งั้นไม่รบกวนแล้วล่ะครับ"

อินทัชทอดถอนใจ วางโทรศัพท์ไว้ข้างกายอย่างต้องการพักผ่อนเต็มกำลัง หลังจากออกแรงสุดชีวิตเพื่อให้มีชีวิตต่อไป ขณะนอนก่ายหน้าผากในความสลัว ภาพของอศวมินทร์ยังไม่ลืมเลือนไปจากความทรงจำ สีหน้าและแววตายามตะเบ็งเสียงใส่เขา บอกได้เป็นอย่างดีว่าต้องการส่งเขาลงนรกไปจริงๆ!

ชายหนุ่มหลับตา เก็บเอาความหวาดหวั่นในใจออกไปพร้อมออกสู้ในวันพรุ่งนี้ข้างหน้า ถ้อยคำที่ได้ให้สัญญาปรางคณางว่าจะดูแลอศวมินทร์ให้เติบใหญ่เป็นคนดี บัดนี้มีแต่หมอกความเกลียดชังจากเจ้าตัวปิดจนมิด หาเส้นทางนั้นไม่เจอเอาเสียเลย



"ปล่อย ปล่อยกู ปล่อย!"

คนถูกลากออกมาตะเบ็งเสียง แขนขาเหวี่ยงไปมาเฉกเช่นเดียวกับอารมณ์ตอนนี้ที่คุกรุ่นไม่ลดลง อศวมินทร์ยื้อกายให้หลุดออกจากมือพี่ชายตามอารมณ์ อยากจะไปจัดการสะสางเรื่องกวนใจให้มันจบ "มึงไม่มีสิทธิ์มาห้าม ได้สมบัติแล้วก็ออกจากบ้านไปสิวะ!"

"พี่ไม่ไป แม่ฝากพี่ดูแลมินแล้วพี่ก็รับปากแล้วด้วย" คิมหันต์ดึงน้องชายมาบอก มือหนาสัมผัสปลายผมคนตรงหน้าอ่อนแผ่ว นึกถึงยามน้องชายยิ้มให้อย่างสดใส แต่วันนี้กลับผันไปไม่เหลือภาพเดิมจนเขาใจหายรับไม่ได้

 "อย่าไปใส่ใจผู้ชายคนนั้นเลย สามปีไม่นานหรอกนะมิน อีกหน่อยก็จะไม่ได้เจอหน้ากันแล้ว ทนหน่อยนะ"

"เลิกเซ้าซี้กูสักทีได้ไหม กูไม่ได้โง่นะ" อศวมินทร์สวนทั้งยกมือจิ้มอกตัวเอง สะบัดมือคนที่เคลื่อนมาไล้เส้นผมอย่างรู้ทัน แม้จะเคยรักมาก แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาสอนให้เขามีภูมิต้านทานมากขึ้น และส่งผลกระทบให้เกลียดอีกฝ่ายมากขึ้นกว่าสิบเท่า

"กูโดนทำแล้วกูจำ กูไม่ใช่ควาย จะไปตายที่ไหนก็ไปไอ้สัตว์ คนหน้าตัวเมียอย่างมึงไปมุดผ้าถุงยายแก่แล้วซ่อนอยู่ในนั้นตลอดชีวิตเถอะ!"

"พี่รักมินเหมือนเดิม แค่ไม่อยากให่แม่ผิดหวังในตัวพี่ก็เท่านั้นเอง มินจะเอาคืนไหม สมบัติอะไรนั่นพี่ไม่อยากได้ ถ้ามินคิดว่าพี่เป็นฝ่ายแย่งมา" คิมหันต์กุมมือคนยืนหันหลังให้

"แม่เสียแล้ว พี่ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนใคร เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้ไหม..."

อศวมินทร์เบิกตาหลังได้ฟัง เด็กหนุ่มหันไปมองเจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งด้านหลังอย่างไม่เชื่อหู ถ้อยคำนี้อศวมินทร์ไม่คิดว่าจะได้ยิน เขาคิดว่ามันไม่มีทางออกมาจากปากคิมหันต์แน่ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะคิมหันต์เป็นคนจำพวกเดินหน้า ไม่เคยถอยหลัง...

ในเวลาที่ทั้งคู่มองหน้ากันเช่นนี้ อศวมินทร์นึกถึงหน้ามารดาขึ้นมาเป็นอันดับแรก จะว่าเกลียดคิมหันต์ก็เกลียด จะว่ายังผูกพันก็คงไม่แปลก คิมหันต์คือคนที่เติบใหญ่พร้อมกันตั้งแต่ยังเด็ก แต่ที่ปฏิเสธไม่ได้คือเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายทีไรเขาก็ปวดหนึบใจในทุกครั้ง ราวกับหนามยอกอกที่ไม่มีวันหาย

"เราเหลือกันอยู่สองคนนะมิน พี่ไม่ทิ้งมินไปอีกคนหรอก" คนบอกทำหน้าจริงจัง

"ไปให้พ้นหน้ากูซะคิม ถ้ากูได้เกลียดใครแล้วก็เกลียดเลย มึงก็รู้ดีนี่"

"แต่มินก็รักพี่ไม่ใช่เหรอ"

คิมหันต์โพล่งขึ้น ทำเอาคนฟังถึงกับชะงักไปในบัดดล เด็กหนุ่มหันตัวสูงไปประจัญหน้าอีกฝ่ายสีหน้าเอาเรื่อง "รักควายๆ แบบนั้น กูลืมไปหมดแล้ว จากนี้กูจะรักแต่ตัวเอง กูจะเห็นแก่ตัว เพราะฉะนั้นมึงเลิกใช้คำว่ารักกับกูได้แล้ว มันไม่มีความหมาย..."

คนบอกยกนิ้วชี้ย้ำเตือนอย่างเอาเรื่อง ก่อนผละเดินจากมา ครั้นกายสูงพ้นขอบประตูห้องนอนตัวเองเท่านั้น เข่าที่เก่งกล้าก็อ่อนเปลี้ยขึ้นมาเสียเฉยๆ เมื่อนึกเห็นสีหน้าของผู้ถูกกระทำ เมื่อเสียงของคิมหันต์สะท้อนอยู่ก้องหู อศวมินนั่งกอดเข่าซุกใบหน้าขี้แพ้ของตัวเองอย่างนั้นไม่อาจให้ใครเห็น อับอายแม้กระทั่งตัวเอง

เหตุใดจึงทำหน้าไม่รู้เรื่องอย่างนั้น เหตุใดจึงตีสองหน้าได้แยบคายจนเขาแทบจะเชื่อ ไม่สิ...เขากำลังจะชื่อว่าอินทัชไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นจริง หากไม่เห็นกับตา

ภายในห้องพักสลัวด้วยแสงจากโคมไฟบนหัวเตียง อศวมินทร์ทิ้งกายลงบนเตียง ขี้เกียจอาบน้ำ ขี้เกียจลุกเดินไปไหน เด็กหนุ่มพลิกซ้ายขยับขวาบังคับตาให้ข่มหลับ แต่ยากเหลือเกินที่จะเป็นไปตามคำสั่งเมื่อยังมีภาพสีหน้าเจ็บปวดของใครสักคนลอยเด่นขึ้นมา

สะใจ...ใช่! เขาควรสะใจ

นานเท่าไรไม่ทราบที่เด็กหนุ่มได้นอนพักผ่อนแบบสนิทตา เสียงนาฬิกาที่ถูกตั้งค่าไว้ก็หวีดร้องปลุก อศวมินทร์ลุกเดินไปอาบน้ำชำระร่างกายอย่างเช่นทุกวัน หนำซ้ำเมื่อคืนเขาก็หลับไปทั้งชุดนักเรียน

เวลาเช้าของทุกวันเมื่อลงมาด้านล่างมักจะได้ทราบว่าอินทัชออกจากบ้านไปแล้ว อศวมินทร์ถือกระเป๋านักเรียนเดินเอื่อยมานั่ง ได้ยินเสียงรถยนต์คุ้นๆ ด้านนอกก็จำได้ว่าเป็นของใคร วันนี้อีกฝ่ายออกไปสายกว่าทุกวัน เด็กหนุ่มปรับสีหน้า ก้มหน้าก้มตามองชามอาหารแต่ไม่รู้สึกหิวอะไรสักอย่าง


เดินทางถึงโรงเรียนตามปกติ มีเพียงสีหน้าที่เพื่อนฝูงเดาออกว่าคงเจอะเจอปัญหาอะไรมาสักอย่าง แม้จะทำทียิ้มแย้มสนุกสนานไปเรื่อยเปื่อย ทว่ายามอยู่คนเดียวรังสีทะมึนมืดจากสีหน้าชวนคนมองใจหวิว ขณะกำลังนั่งเรียนภายในห้องเงียบเชียบ เสียงเคาะประตูเรียกให้นักเรียนทุกคนหลุดจากสมาธิหันไปทางต้นเสียง

"ขออนุญาตค่ะ อศวมินทร์ มาพบอาจารย์ที่ห้องฝ่ายปกครองหน่อยจ้ะ" อาจารย์สาวบอก คราวนี้ทุกสายตาเบนมายังเด็กหนุ่มที่นั่งตรงนี้แทน อศวมินทร์งุนงงกับเรื่องนี้ ร่างสูงลุกขึ้นยืน เห็นแววตาแกมดุของอาจารย์ที่ปรึกษาสาวจึงรีบเก็บชายเสื้อเข้ากางเกงให้เรียบร้อย

ขณะเดินตามหลัง คนที่อยู่ด้านหน้าก็กันมากล่าว "ที่ครูไม่ประกาศเรียกเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่เอิกเริก เธอเองก็ควรมีสติ คิดให้ดีก่อนจะพูดจะทำอะไรในห้องนั้นนะมิน"

อศวมินทร์ก้มหน้ามองพื้น แม้ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างกลับเอ่ยรับ "ขอบคุณครับครู"

"เธอเป็นเด็กมีเหตุผล ฉลาดพอที่จะคิดเองได้ก็จริง แต่สังคมสมัยนี้..." หากพูดไปจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอกไหม อาจารย์สาวเงียบเสียงไป เพราะเธอเองก็ยังระอากับมิติมุมมองของสังคม ความตรงเถรมันดี แต่แน่นอนว่ามันคือผลเสียกับใครหลายคน

สังคมที่เธอยู่นี้ไม่ชอบคนตรงเถร หากใครเลียแข้งเลียขาประจบสอพลอเก่งคือผู้ชนะ สังคมที่มีเพียงแต่หน้ากาก แต่ไม่ควร ไม่ควรบอกให้เด็กอย่างอศวมินทร์โกหก หญิงสาวคิดพลางหันไปส่งยิ้มจางให้นักเรียนในการดูแล "เข้าไปได้แล้วจ้ะ"

อาจารย์ที่ปรึกษาเปิดประตูให้ สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นตรงนี้ทำให้เขาต้องชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปด้านใน ไปยังเก้าอี้ที่อาจารย์ฝ่ายปกครองผายมือบอก ตรงกันข้ามกับเด็กนักเรียนหญิงคนเมื่อวาน บัดนี้พ่วงด้วยมารดาในสภาพชุดคุณนายเชิดคอรอเชือดเขาอยู่!



*******************************

โอ้ยยยยย ลำบากยากเข็ญ เช้าเย็นฝนก็ยังตก ปัจจุบันน้ำท่วมแล้ว

ก็เลยยุ่งๆ กว่าจะได้อัพนิยาย อนาถใจแปป T T

ขอบคุณสำหรับกำลังใจเน้อออ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๑ |||★ [18/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 18-09-2015 16:53:00
สงสารลุงอ้าย เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๑ |||★ [18/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-09-2015 17:56:02
สงสารลุงอ้าย เกือบตายแล้วมั้ยล่ะ

เรื่องนี้เน้น sm เป็นหลักค่ะ โดยเฉพาะฉาก nc 5555
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๑ |||★ [18/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 18-09-2015 21:31:10
เรื่องนี้เราไม่สงสารลุงอ้ายนะ เราสงสารมินมากกว่า มินต้องทำเป็นเข้มแข็งเพราะต้องปกป้องตัวเอง คนเรานะโดนทรยศหักหลังแค่ครั้งเดียวมันก็มากเกินพอแล้วและคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อจะรักษาแผลใจ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๑ |||★ [18/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-09-2015 14:26:16
เรื่องนี้เราไม่สงสารลุงอ้ายนะ เราสงสารมินมากกว่า มินต้องทำเป็นเข้มแข็งเพราะต้องปกป้องตัวเอง คนเรานะโดนทรยศหักหลังแค่ครั้งเดียวมันก็มากเกินพอแล้วและคงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อจะรักษาแผลใจ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่า รออ่านตลอดเลย
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๒ |||★ [21/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-09-2015 12:08:08
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๒

เสียงเครื่องปรับอากาศทำงานก้องสะท้อนใจอศวมินทร์ที่นั่งเป็นจำเลยอยู่มุมนี้ เหล่าอาจารย์นั่งขมวดคิ่วมุ่นตีหน้าขรึม แต่ไม่ได้สร้างความหวั่นหวาดแก่ใจเด็กหนุ่มคนนี้สักนิด เขาอยากทราบเสียจริงว่านักเรียนหญิงคนนี้จะมาเอาผิดอะไรกับเขา เพราะอศวมินทร์ระลึกถึงการกระทำคราวนั้นเสมอ นอกจากต่อว่าให้อับอายตนก็ไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งสิ้น เหตุใดต้องพาผู้ปกครองมาโวยถึงที่นี่กัน

หรือจะอวดเบ่งว่าตนใหญ่คับฟ้าแค่ไหน

"คืออย่างนี้ค่ะครูใหญ่ ปกติลูกสาวฉันเป็นร่าเริงน่ารักสดใส แต่เมื่อวานกลับบ้านไปก็หน้าซึมเอาแต่เก็บตัวเงียบในห้อง ดิฉันถามเท่าไรก็ไม่ยอมบอกสักคำ พอโทรไปถามเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกันถึงได้รู้" คนเล่าชำเลืองตามาทางด้านนี้ ก่อนจะหันไปหาครู่ใหญ่อีกครั้ง "มีคนใช้คำพูดประจานลูกสาวฉัน แล้วดิฉันก็ทราบมาด้วยว่ามีการข่มขู่"

ภายในท้องแอร์เย็นเฉียบ แต่แววตาและคารมณ์ของบางคนร้อนระอุ "ลูกสาวฉันต้องอับอายขนาดไหนที่เดินไปไหนมาไหนคนก็หัวเราะเยาะ น้องเขาพูดเรื่องดาราอยู่ดีๆ ก็มีคนมาหาเรื่อง แถมด่าถึงดิฉันด้วยอย่างเสียๆ หายๆ แบบนี้ดิฉันไม่ยอมนะคะ น้องอับอายและดิฉันรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก!"

ดูท่าอีกฝ่ายพยายามจะเอาเรื่องอศวมินทร์ เด็กหนุ่มมองคู่กรณี มองอาจารย์ชายที่คาดว่าคงระอากับสิ่งที่ต้องเจอตอนนี้ "ครับ ผมเข้าใจครับคุณแม่ แต่...ผมอยากฟังความทั้งสองฝ่าย..."

ได้ฟังนางก็หันขวับไปมอง "นี่ครูใหญ่คิดว่าฉันโกหกเหรอคะ ฉันจะโกหกทำไม ใครจะอยากแส่หาเรื่องวุ่นวายให้ตัวเองกัน อยู่บ้านทำเล็บทำผมสวยๆ มันดีกว่าไม่ใช่เหรอคะ"

"มันเป็นแค่ปัญหาของเด็กเท่านั้นนะครับ"

"แต่นี่เพราะลูกสาวฉันกำลังอยู่ในโรงเรียนอย่างหวาดระแวงเพราะมีคนขู่ จะไม่ให้ฉันทำอะไรหน่อยเหรอคะ ลูกสาวทั้งคนนะคะ!"

อศวมินทร์นั่งฟังทั้งมุ่นคิ้วตัวเองมองฝ่ายที่นั่งตรงข้าม ยิ่งหางตาเชิดนั่นผละมามอง ปั้นสีหน้าหยามเหยียดส่งมาให้ ยิ่งกระตุกใจคนนั่งทางนี้ เด็กหนุ่มทอดถอนใจ หากอาจารย์ประจำชั้นไม่ขอมีหรือจะเป็นฝ่ายนั่งทนฟังได้นานขนาดนั้น บางทีความอดทนเขาอาจสิ้นสุดลงไปในไม่ช้า

"ใจเย็นๆ ก่อนครับ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณแม่เลย เพียงแต่ผมอยากให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย"

"ฉันเองก็แค่จะมาปรับความเข้าใจ ไม่ได้อยากให้เรื่องราวใหญ่โตอะไรสักนิดนะคะครูใหญ่ เด็กคนนี้ใช้คำพูดข่มขู่ลูกสาวฉัน ประกาศโต้งๆ ว่าจะไปทำร้ายถึงที่บ้าน ฉันเพียงแต่อยากได้รับความมั่นใจและคำขอโทษที่ลามปามฉันก็เท่านั้นเอง"

"เพียงแค่คำพูดที่เด็กพูดน่ะหรือครับ"

"แค่คำพูดก็ต้องขอโทษค่ะ!"

"งั้นคุณก็ควรไปกราบศพขอโทษแม่ผมด้วย" อศวมินทร์แทรกขึ้น ในขณะที่อาจารย์ประจำชั้นยกมือกุมขมับอย่างปวดประสาทกับนักเรียนในการดูแล ครั้นได้ยินแล้ว สองแม่ลูกก็หันมามองตามเสียงผู้กล่าวทันที "เรื่องอะไรมิทราบ"

"คุณกับลูกสาวเองก็พูดจาทำร้ายคนอื่นเขาไปทั่วนี่ครับ ผิดเหรอที่จะถูกด่ากลับบ้าง"

"ลูกสาวฉันพูดเรื่องละครเรื่องดารา ไม่เห็นเกี่ยวกับแม่เธอตรงไหนเลยนี่ ไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันว่าแม่เธอถูกเราพูดถึง"

"แล้วคุณมีหลักฐานตอนที่ผมขู่ลูกสาวคุณไหมล่ะ..."

"อศวมินทร์..." อาจารย์ฝ่ายปกครองหันมาสบตาปราม รวมถึงอาจารย์ที่ปรึกษาที่หันมากุมบ่าเด็กหนุ่มให้คุมอารมณ์มากกว่านี้ เห็นเช่นนั้นอศวมินทร์จึงถอนใจ ยักไหล่เอนกายพิงพนักเบาะอย่างช่วยไม่ได้

ดูท่าการวางตัวเช่นนี้จะไม่เข้าตาคุณนายคนนี้เอาเสียเลย หล่อนหันมาชายตามองเด็กหนุ่ม กอปรการวางตัวของอาจารย์เสียเองที่ไม่เป็นกลาง นางจึงส่ายศีรษะหันไปกล่าวกับอาจารย์ฝ่ายปกครองเสียงแข็ง "ดิฉันคิดว่าฝ่ายใครกันแน่คะที่ไม่ยุติธรรม ใครกันแน่ที่ซื้อใจพวกคุณไปเสียหมด"

ครูใหญ่ลอบถอนใจกับปัญหานี้ "ไปกันใหญ่แล้วครับคุณแม่ เรากำลังปราม..."

"แบบนี้แหลค่ะเขาเรียกว่าเข้าข้าง เข้าข้างคนไม่มีสัมมาคารวะ อาจารย์ที่ดูแลเด็กนี่ไม่ได้สั่งสอนบ้างเหรอคะว่าควรวางตัวยังไงต่อหน้าผู้ใหญ่" หางตาเหลือบไปมองอาจารย์สาว แววตาเหน็บส่งไปเป็นนัย

คนฟังหน้าถอดสีเล็กน้อย อศวมินทร์หันไปมองอาจารย์ข้างกายซึ่งถูกตำหนิก็กำหมัด "ครูสอนผมแล้ว!"

"อ้อ...ครูสอน แต่พ่อแม่ไม่สั่งสอนสินะ" หล่อนกล่าว มองเหยียดทั้งกอดอก "ไม่รู้ล่ะ! เด็กนี่ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วยกราบขอโทษที่มาลามปามคนอย่างฉัน"

"ผมว่ามันมากเกินไปนะครับ เด็กเขาเพียงแค่มีปากเสียงกัน..."

"แต่ตอนนี้คุณก็เห็นสิ่งที่เขาพูดเขาทำต่อฉัน แล้วคุณก็ปล่อยให้เขาทำตัวต่ำทรามใส่ฉันด้วย รู้ถึงไหนอายถึงนั่นแน่ที่ครูโรงเรียนนี้เป็นคนยังไง สนใจเงินมากกว่าความถูกต้อง เจ้าตัวก็เหลือเกิน ทำตัวเหมือนพวกพ่อแม่ไม่รัก ไพร่! ไม่มีสมบัติผู้ดี!"

"ผมยอมลาออกเลย!" อศวมินทร์กัดฟันกรอด ลุกขึ้นยืนตบโต๊ะเสียงดัง ในระหว่างที่ทุกคนตกใจแหงนมองคนโพล่งเสียงก้องนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ขยับกายกล่าวต่อ "แต่ขอต่อยปากอีแก่นี่ก่อน!"

"กรี๊ด!"

เสียงของคุณนายผู้สูงสง่าหวีดร้องผวา เมื่อเด็กหนุ่มพุ่งเข้ามาทั้งง้างมือรอไว้แล้ว หล่อนเหวอจนหงายเงิบหล่นจากเก้าอี้ หากทว่าอศวมินทร์คว้าเสื้อไว้ได้ทัน วินาทีที่เหวี่ยงหมัดไปตามแรงโทสะนั้น ยังดีที่อาจารย์ผู้ชายดึงออกได้ทัน ไม่อย่างนั้นคุณนายปากปีจอคงได้บินไปศัลกรรมกรามใหม่ที่เกาหลีเป็นแน่

"ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย!"

เสียงคุณนายหวีดร้องหลบใต้โต๊ะกับอศวมินทร์ขืนแรงคนปรามจะเข้าไปทำร้ายชุลมุนอยู่พักใหญ่ ท้ายที่สุดอาจารย์ที่ปรึกษาก็ต้อนทั้งผู้ปกครองและนักเรียนหญิงผู้เป็นโจทก์หนีออกจากประตูไปได้ ท่ามกลางร่างกายอศวมินทร์ที่ถูกอาจารย์สามคนรุมรั้งกายห้ามปรามไว้

ไม่นาน คนอารมณ์ร้อนก็นั่งสงบนิ่งได้ในที่สุด ท่ามกลางสายตาตำหนิของทั้งครูอาจารย์ภายในห้อง แต่การได้เห็นมนุษย์คุณนายตกอยู่ในสภาพหัวเพิ้งสีหน้าหวาดหวั่นต่างจากขามาลิบลับนั้น อศวมินทร์ก็สะใจแล้ว เด็กหนุ่มกระตุกยิ้มขันในใจ หากเอาโทรศัพท์มาด้วยคงได้อัดวิดีโอไปฝากเพื่อนดูกันแล้ว หากทว่าตอนนี้ ต้องผ่านอาจารย์ประจำชั้นออกไปให้ได้เสียก่อน

"ยังจะมานั่งยิ้มสะใจอยู่อีก เธอนี่นะ ครูบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ใจเย็นๆ" หล่อนทอดถอนใจมองเด็กตรงหน้า "นึกถึงใจคนที่เขารับรู้ในสิ่งที่เธอทำหน่อยสิ ครูอยากให้เธอใจเย็นกว่านี้ กว่าเธอจะได้กลับมาเรียนรู้ไหมมันยากขนาดไหน"

เด็กหนุ่มชะงักไปในทันที ในหัวนึกถึงอินทัชขึ้นมาภาพแรก เขารู้ดีว่าผู้ชายคนนั้นต้องใช้เส้นสาย ใช้น้ำเงินยัดครูอาจารย์ กว่าจะได้กลับมาเรียนมันยากขนาดไหนเขาทราบดีถึงข้อนั้น

"เธอไม่ใช่คนโง่นะมิน เธอเรียนเก่ง เธอรู้ถึงผลที่มันจะตามมา แล้วบอกเลยครูก็รู้ว่าเหตุการณ์นี้จบไม่สวยแน่ ผู้ปกครองคนนี้จะต้องกลับมาเอาเรื่องเธออีก และการที่เธอตัดสินใจทำแบบนั้นมันไม่ถูกเลย มันจะตัดอนาคตเธอ" อาจารย์ที่ปรึกษาถอนหายใจ เธอรับซองสีขาวจากครูใหญ่มาถือแล้ววางไว้ตรงหน้าเด็กหนุ่ม "ครูไม่อยากทำแบบนี้นะ แต่ต้องรายงานพฤติกรรมนี้ให้ผู้ปกครองเธอทราบ เอาจดหมายเชิญผู้ปกครองไปให้พ่อเลี้ยงของเธอเสียนะ เพื่อให้เธอได้เรียนที่นี่ต่อ เราจำเป็นต้องเชิญทั้งสองฝ่ายมาไกล่เกลี่ยกัน"

อศวมินทร์จ้องตาหญิงสาวเบื้องหน้านิ่ง "เขาลำบากวิ่งวุ่นมาเดินเรื่องให้เธอ ยกมือไหว้พวกเราตั้งไม่รู้กี่ครั้งขอให้เธอกลับมาเรียนที่นี่ให้ได้ เพราะเธอมีเพื่อนที่นี่ จะได้ไม่ต้องไปหาเพื่อนใหม่"

คนฟังมองซองขาวตรงหน้านิ่ง ราวถูกไม้มาตีกลางแสกหน้าซ้ำๆ ยามที่อาจารย์ที่ปรึกษาเล่า "อย่าทำให้เขาผิดหวังนะ ครูเองก็อยากเห็นเธอเรียนจบพร้อมเพื่อน"

"ผม...ขอโทษครับ ที่ทำให้ครูโดนด่า"

"ไม่เป็นไรๆ ครูชินแล้ว หน้าที่ส่งพวกเธอถึงฝั่งก็คือหน้าที่ครู และทีสำคัญเรื่องนี้เธอไม่ผิด..." อาจารย์สาวบอก ในตอนนั้นหล่อนเห็นรอยยิ้มสดใสของเด็กเบื้องหน้า ยามเขาเข้าใจว่าเธออยู่เคียงข้างนักเรียนตนเอง "ถ้าไม่อารมณ์ร้อนอย่างนี้น่ะนะ อศวมินทร์"

นัยน์ตาครูสาวจ้องมองเด็กตรงหน้าทั้งระบายยิ้มมีเลศนัย ยามครูใหญ่กำลังง่วนอยู่กับการพูดคุยกับครูเล็กคนอื่น อศวมินทร์เห็นรอยยิ้มของที่ปรึกษา พร้อมนิ้วหัวแม่มือหล่อนที่ชูให้แบบหลบซ่อน เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกับท่าทีของคนตรงหน้า เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์ประจำชั้นกำลังทำอยู่ดี ครูคือหน้าที่สำหรับเธอก็จริง แต่สำหรับพี่สาวคนหนึ่ง เธอเชียร์ให้ต่อยคุณนายคนนั้นจนกรามเบี้ยวอย่างแน่นอน

ภายในห้องผู้ปกครองที่เคลือบแฝงไปด้วยความเคร่งเครียด บัดนี้คนถูกเทศน์ปั้นหน้านั่งฟังอย่างตั้งใจ เฉกเช่นเดียวกับคนที่ทำหน้าที่อบรม ก็ยังทำหน้าที่ตนเองต่อไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ภายใต้สายตาคมเข้มของผู้บังคับบัญชา

อศวมินทร์เดินทางกลับถึงที่พักพร้อมซองสีขาวในมือ เด็กหนุ่มถอนใจ นึกถึงสิ่งที่อาจารย์ที่ปรึกษาเล่าให้ฟัง ภาพยามที่ตนเล่าเรื่องเพื่อนๆ ในโรงเรียนให้ชายคนนั้นรับฟัง ภาพรอยยิ้มของผู้ฟังดูเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ภาพเหตุการณ์ต่อจากนั้นหลั่งไหลเข้ามาในศีรษะราวน้ำหลาก ปั่นป่วน ทำร้ายให้เจ็บลึกจนต้องยกกำปั้นทุบให้เลิกคิด

อินทัชพยายามทำเช่นนั้นเพียงเพราะเรื่องที่เขาเล่าให้ฟัง โดยที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วอศวมินทร์ไม่มีเพื่อนแท้เลยสักคน เหตุการณ์ที่เด็กหนุ่มเล่าไปมันเป็นเพียงแค่เรื่องกุขึ้นมาเท่านั้น ไม่เคยเกิดขึ้นจริง เขาจินตนาการจากการเห็นภาพเพื่อนๆ ที่ทำกัน ซึ่งตอนนั้นเด็กหนุ่มได้เพียงนั่งมองอย่างนึกอิจฉา เขาอยากสัมผัสความรู้สึกนั้นบ้าง

ตอนนั้นเขารู้ดี ว่าการโกหกแล้วเห็นแววตาเปี่ยมสุขของคนฟังนั้น มันคือสิ่งดี ไม่ผิดที่จะกุเรื่องขึ้นมาเรียกร้องให้เขานั่งฟัง เรียกร้องให้อีกฝ่ายอยู่กับตนให้นานที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ โดยไม่รู้เลย ว่าอีกฝ่ายก็โกหกอย่างแยบยลจนเขาเชื่อแบบสนิทใจเช่นกัน

อศวมินทร์ถึงบ้านสี่โมงเย็น ที่จริงเขาคิดว่ายอมถูกไล่ออกจากโรงเรียนดีกว่ายอมเดินไปพูดคุยกับอินทัชดีๆ เด็กหนุ่มมองซองจดหมายสีขาวในมือก่อนวางมันลงบนโต๊ะหน้าคอมพิวเตอร์ เดินไปทิ้งกายแผ่หลาบนเตียงคิดเรื่องเรื่อยเปื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ไม่อาจทราบต้นเหตุอาการร้อนรนในใจของตนเองยามนี้ได้ อศวมินทร์เดินลงไปด้านล่างมองหาแม่บ้าน ครั้นเห็นก็รีบสอบถาม

"มาเฟียบ้านนี้จะกลับมาเวลาเดิมไหม" เด็กหนุ่มเดินเข้าครัว เห็นพวกหล่อนกำลังง่วนอยู่กับการทำมื้อเย็น ต่างหันมางุนงงกับคำถามแกมประชดประชันของเด็กหนุ่ม พินแอบยิ้มหันไปตอบ "ถ้าถามถึงคุณอ้าย คงไม่ได้กลับหรอกค่ะเพราะเก็บผ้าเก็บผ่อนไปแล้ว"

"ไปไหน!"

อศวมินทร์รีบถาม ใจหายกับสิ่งที่นางบอก ถูกเขาข่มขู่แล้วกลัวจนถึงขนาดหอบป้าผ่นหนีถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ไปง่ายๆ อย่างนั้นมันจะไปสนุกอะไร "ไปเรื่องงานค่ะ ป้าก็ไม่ทราบว่าจะกลับมาวันไหน เพราะเห็นหอบหิ้วกระเป๋าไปใบใหญ่ทีเดียว คงไปหลายวันล่ะมังคะ หรือไม่...อาจจะไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้"

"รู้ไหมว่าที่ไหน" คนถามกอดอกทำหน้าจริงจัง นั่นเรียกสายตาแปลกๆ จากแม่บ้านคนอื่นให้หันมอง ใคร่รู้ว่าคุณหนูถามเพราะต้องการอะไร อยากจะเห็นสีหน้ายามถามเสียเหลือเกินว่าอยู่ในอารมณ์ไหน เพราะคราวก่อนได้ยินเสียงตึงตังโวยวายลั่นคฤหาสน์เพราะอยากจะฆ่าเขาอยู่เลยแท้ๆ แต่วันถัดมากลับคิดถึงจนถามหากันเสียแล้ว

อารมณ์เด็กวัยรุ่นนี่หนา...เข้าใจยากเสียจริง

"ป้าก็ไม่ทราบหรอกค่ะ เห็นเก็บของเองไม่ได้บอกให้แม่บ้านทำให้"

ได้ฟังแล้วเด็กหนุ่มก็งุดหน้าลงมองพื้น พยักหน้าบอกว่าเข้าใจอยู่ครู่ก่อนเดินจากมาครุ่นคิดว่าอินทัชไปที่ไหน มือหนาล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถือ เบอร์โทรอีกฝ่ายยังคงอยู่ในเครื่องแม้เปลี่ยนใหม่แล้ว หากทว่าอศวมินทร์ไม่คิดจะกดต่อสายไปสักนิด เขาทราบว่าทางเดียวที่จะรู้พิกัดของอินทัชคืออะไร คิดแล้วก็ยกโทรศัพท์แนบหู ไม่นานปลายสายก็กดรับ "ว่าไงวะมึง"

"เออ มึง...อยู่ไหนวะมาวิน"

"อ๋อ กูมาพัทยากับลุงอ้ายว่ะ มึงมีเรื่องอะไรเร่งด่วนปะวะ" อศวมินทร์นิ่งไปอยู่ครู่ กรอกดวงตานึกสิ่งที่จะตอบเพื่อน เด็กหนุ่มเกาศีรษะไปพลางคิดไปพลาง "เอ่อ...พวกกูว่าจะชวนไปเล่นเกมด้วยกันซักหน่อยพรุ่งนี้น่ะ แต่มึงคงไม่ว่างเพราะตามลุงสินะ"

"มิน มึง...จะไม่บอกกูเรื่องที่ถูกเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครองจริงเหรอ" เพื่อนในสายถาม

นั่นทำเอาอศวมินทร์อึกอัก มาวินบอกว่าไปพัทยากับอินทัช โรงเรียนเลิกได้ไม่นานคงยังนั่งอยู่บนรถด้วยกันตอนนี้ เด็กหนุ่มไม่อยากพูดอะไรให้คนข้างดายมาวินฟัง ทิฐิสูงเกินไปที่จะยอม "ก็เรื่องเมื่อวานไง ที่กูเดินไปหาเรื่องเขาน่ะ"

"แล้วเป็นไง โดนทัณฑ์บนไหมล่ะ" อศวมินทร์ได้ฟังก็เงียบไป ไม่ใช่ว่ามาวินเล่าเรื่องนี้ให้อินทัชฟังไปแล้วหรือ เด็กหนุ่มถอนหายใจ เดินไปยังห้องนอนตนเองอีกครั้งทั้งที่ยังถือโทรศัพท์แนบหู

"บอกลุงมึงมาฟังเองสิถ้าอยากรู้ อย่ามาหลอกถาม ไปบอกให้เขามาหากูที่ห้อง กูจะเล่าให้ฟังจนหมดเปลือกเลย..."

คนพูดเอ่ยจบก็วางสาย นัยน์ตาเด็กหนุ่มมองกระจกสะท้อนแววตาตนเองยามกล่าว มันคมบาดลึกแม้กระทั่งตนเอง มือหนายกปลดกระดุมเสื้อนักเรียนเปลี่ยนชุด เก็บเสือผ้าพอใส่พับลงกระเป๋าขึ้นสะพายทันที

อินทัชคงรู้และเสียวสันหลังไม่หาย หากได้ยินน้ำเสียงตอนเขาบอกมาวิน หากกลัวตายก็คงต้องเลี่ยงที่จะอยู่กับเขาเพียงสองต่อสอง

"ลุง ขอกุญแจรถหน่อย" ว่าพลางยื่นมือจะเอา คนขับรถถึงกับฉงนเมื่อเห็นดังนั้น ชายวัยกลางคนทำได้เพียงส่ายหน้า "คุณมินครับ คุณมินยังอายุไม่ถึงสิบแปดเลยนะ ลุงให้กุญแจไม่ได้หรอก"

"มาเฟียสั่งไว้เหรอ" เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว

"ไม่ต้องสั่งลุงก็ไม่อยากให้นะครับ มันอันตราย"

"ผมไม่ใช่เด็กแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะสิบแปดแล้วลุง เอามาเถอะน่าลุงผมมีธุระด่วนจริงๆ วันนี้วันศุกร์ ผมได้จดหมายเชิญผู้ปกครองวันจันทร์ ต้องรีบไปตามเขาไม่งั้นผมก็จะถูกไล่ออกเชียวนะ" อศวมินทร์ถอนหายใจ

ในตอนนั้นลุงคนขังรถผงะไปชั่วครู่ ตกใจในการแสดงสีหน้าท่าทางของเด็กหนุ่มยามเล่าวีรกรรมตนเองให้คนอื่นฟัง ไม่รู้สึกอะไรสักนิดเลยหรือ แต่ในระหว่างช่วงใจอ่อน ลุงแกหยิบกุญแจในกระเป๋ายื่นให้เพราะเห็นว่าเป็นธุระรีบเร่ง อีกอย่างก็เห็นว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าขับชำนาญพอแล้ว แม้จะกังวลที่ไม่ค่อยได้ขับนักแต่ก็ยินยอมให้โดยง่าย

ในขณะที่เด็กหนุ่มดีอกดีใจ จะเอื้อมมือไปหยิบก็สายเสียแล้ว มือมีมือของใครสักคนแย่งไปถือเสียก่อน!

"แต่ผมไม่ให้..."


*****************************

เขาจะตามไปปะ ฉะ ดะ กันที่พัทยา
ไปดูว่าน้องมินจะได้ให้ซองลุงอ้ายไหม
หรือจะไปทำแสบอะไรอีก

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
ช่วงนี้ฝนชุก ต่อสู้กับปัญหาเนตกากๆ แปป T T
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๒ |||★ [21/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-09-2015 14:41:38
อ้าว ลุงอ้ายหนีไปซะแล้ว เอ๊ะ! หรือว่าติดงานจริงๆ แต่เอาเถอะตอนนี้หนูมินท่าจะแย่

จะรอดมั้ยเนี่ยะหรือว่าจะโดนไล่ออกกันแน่ แล้วนั่นใช่คิมมั้ยที่มาแย่งกุญแจรถอ่ะ เราว่าน่าจะใช่นะ

อืม คงต้องรอตอนต่อไปตอนนี้ลุงอ้ายไม่ได้ออกมาเลย แอบเศร้านิดๆ แหะ เราคาดว่าตอนไหน

ลุงอ้ายออกตอนนั่นลุงอ้ายได้เจ็บตัวเพราะหนูมินแน่ๆ และคงเกือบทุกตอนด้วยใช่มั้ยไรท์(เดาเอาล้วนๆ นะ)
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๒ |||★ [21/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-09-2015 17:44:33
เราคิดว่าลุงอ้ายไม่ได้หนีมินไปหรอก น่าจะพาชะนีคู่ค้าไปเที่ยวพักผ่อนตามที่หล่อนร้องขอรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-09-2015 21:55:02
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๓

"แต่ผมไม่ให้..."

เสียงเจ้าตัวเอ่ยบอกทั้งเก็บกุญแจรถเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกงนักศึกษา อศวมินทร์หันไปมุ่นคิ้วบอกว่าตอนนี้ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ไม่ชอบใจที่คนตรงหน้ามาทำตัวเป็นพี่ชายไม่เข้าเรื่อง

"เอากุญแจกูมา เอามาเดี๋ยวนี้"

"แล้วมินจะไปไหน" พี่ชายหันมากอดอกถามอย่างใจเย็น ดูแล้วท่าทางสุขุมในสายตาลุงขับรถเหลือเกิน หากทว่าสิ่งที่น้องชายเห็นกลับตรงกันข้าม เด็กหนุ่มกำหมัดแน่นยามเห็นท่าทีอวดดีนั้น เขาหมดความนับถือคิมหันต์ไปนานแล้ว "เรื่องของกู มึงไม่เกี่ยว เมื่อไรมึงจะเลิกยุ่งกับกูสักที"

"คงไม่ได้หรอก ให้พี่เลิกสนใจน้องชายตัวเอง คงเป็นพี่ชายที่ดูแย่มาก"

"เหอะ! ฟังดูโคตรเป็นคนดีเลยนะ" คนกล่าวเบ้ปาก ส่ายหน้าทั้งพยายามจะเอื้อมมือคว้าเอากางเกงคนตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ทันอยู่บ้าง คิมหันต์เบี่ยงตัวหลบหากทว่าไม่ทันมืออีกข้างของน้องชายที่ตะปบผลักไหล่ ร่างสูงเสียหลักเล็กน้อย คว้าบ่าน้องชายไว้ทั้งปัดมือปลาหมึกนั้นออกห่างกระเป๋า

คนถูกกันท่าหอบฮึดฮัด "โว้ย! กูบอกให้เอามาไง!"

"ก็บอกพี่มาสิมินว่าจะไปไหน บอกมาพร้อมเหตุผล"

"ไอ้คิม! มึงไม่ใช่พ่อกู" เด็กหนุ่มจ้องตาคนตรงหน้าอย่างหัวเสีย ยิ่งเห็นสีหน้าคล้ายเหนื่อยหน่ายใจของฝ่ายตรงกันข้ามแล้วยิ่งหงุดหงิด "พี่รู้ว่ามินไม่ไว้ใจพี่แล้ว แต่พี่ยังเป็นพี่คนเดิมนั่นแหละ พี่ไม่เคยคิดร้ายกับมิน..."

"เลิกพล่ามได้แล้ว มึงจะเป็นคนยังไงก็ช่างกูไม่สน แต่ตอนนี้กูจะไปตามลุงอ้าย" อศวมินทร์ตัดบทจนผู้ฟังชะงักงัน พี่ชายเบิกตาด้วยความฉงนใจกับสิ่งที่ได้ยินไปเมื่อครู่ ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบอะไรทั้งสิ้น เมื่อเห็นแววตาของน้องชายในขณะย่างเท้ามาประจัญหน้าในระยะใกล้และกล่าวว่า "เพราะงั้นเลิกถ่วงเวลากูได้แล้ว เอากุญแจรถมา!"

แววตาผู้กล่าวที่คิมหันต์เห็นนั้น มันผสมปนเปกันด้วยหลายหลากความรู้สึกจนมั่วไปเสียหมด ยากนักที่ชายหนุ่มจะเดาและเข้าใจไปยามสบมอง เพราะอย่างนั้น คนแบบอศวมินทร์ปล่อยไว้ไม่ได้ หนนั้นก็คิดจะฆ่าอินทัชไปทีแล้ว

"ไปขึ้นรถสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง"

คนอายุมากกว่าล้วงกระเป๋ากางเกงกุมของไว้ในมือ เห็นแววไม่พอใจลึกๆ ของอศวมินทร์ซึ่งฉายมิปิดซ่อน ก่อนเจ้าตัวจะจำใจยอมเดินวนไปรอขึ้นรถในที่สุด ยามนั้นลุงคนขับหันมายิ้มให้คิมหันต์ทั้งส่ายหน้าระอาอยู่ในที เหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่น้องชายเขาได้ก่อและกำลังจะก่อในอีกไม่ช้า ชายหนุ่มตอบรับ รับว่าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีที่สุด แม้จะรู้สึกหงุดหงิดกับจุดหมายปลายทางที่อศวมินทร์กล่าวถึงเพียงใดก็ตาม

ตลอดทางนั้นเงียบสงบจนน่าใจหาย มีเพียงเสียงดวงใจของผู้ขับที่ร้องอึกทึกครึกโครมจนเจ้าตัวหงุดหงิดเสียเอง ต้นเหตุของทั้งหมดทั้งมวลไม่ใช่เพราะความเงียบนี้ แต่เป็นเหตุผลของการไปพัทยาครั้งนี้ต่างหาก "แล้วนี่จะไปหาเขา บอกเขาล่วงหน้าหรือยังล่ะ"

คนขับชำเลืองตามอง เห็นอศวมินทร์กำลังก้มหน้าก้มตาแชทกับใครสักคนอยู่ คิมหันต์ผ่อนลมหายใจ ปัดเอาความไม่พอใจต่างๆ นานาออกจากอกทิ้งเสีย ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยสักนิดสิะบผ่า!

"ไม่จำเป็น"

คนฟังชะงัก ก่อนเคลื่อนใบหน้าก้มลงมองท้องถนนเบื้องหน้าต่อไป คิมหันต์ไม่อาจทราบว่าที่จริงแล้วอศวมินทร์กับอินทัชนั้นอยู่ในสถานะใดแน่แท้ แต่คงไม่ใช่เพียงแค่พ่อเลี้ยงและลูกในอุปการะอย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นผู้ชาย อย่างไรก็ย่อมมองแววตาของผู้ชายด้วยกันออก ยามอินทัชมองอศวมินทร์นั้นมันมีแววอาทรและห่วงใยอยู่ในที และที่สำคัญ มันคือแววเดียวกันกับสิ่งที่เขากำลังมองเด็กหนุ่มในตอนนี้ แววตาซึ่งพยายามปกปิดความรู้สึกบางอย่างมิให้ใครเห็น

คนรัก...

เป็นไปไม่ได้ อินทัชเป็นคนรักของปรางคณาง หนำซ้ำแววตาและท่าทางยามชายคนนั้นมองปรางคณางเต็มเปี่ยมไปด้วยรัก ที่สำคัญความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่นั่นไม่ใช่เพียงแค่ภาพตบตาให้เขาเชื่ออย่างเดียวแน่ อินทัชเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิด...แสนซื่อ และน้องชายเขาเป็นเด็กหนุ่มที่มักใช้ความอยากของตนเองเป็นหลัก อศวมินทร์เคยบอกว่ารักกับเขา เเละคิมหันต์เชื่อว่าคำว่ารักสำหรับอศวมินทร์นั้นถูกปิดผนึกไปเรียบร้อย หลังจากผิดหวังจากเขาแล้ว เขามั่นใจว่าเด็กคนนี้ไม่มีทางเปิดใจรักใครอีกแน่ เขารู้จักน้องชายตัวเองดี

หรือว่า อินทัชจะเป็นอีกคนหนึ่งที่อศวมินทร์เคยวางใจมาก่อน แววตานั่น อาจจะเป็นแววตาแห่งความสำนึกผิดที่เคยทำให้อศวมินทร์ผิดหวัง เฉกเช่นเดียวกับเขา

อินทัชเคยโกหก ชายคนนั้นต้องเคยทำให้น้องชายเขาผิดหวังมากที่สุดแน่ ถึงขนาดเกลียดจนจะฆ่าจะแกงทิ้งขนาดนั้น มันต้องเป็นเรื่องใหญ่มากอย่างแน่นอน แต่ก็ยากที่จะเดาว่าเป็นเรื่องอะไรเช่นกัน

"มิน พี่ขอถามอะไรหน่อยสิ" สารถีหันไปมองคนข้างกาย "มินกับคุณอ้ายช่วงที่อยู่ด้วยกัน สนิทกันมากเลยเหรอ"

สิ้นคำคนถาม มือที่ตั้งใจกำลังพิมพ์ตัวอักษรบนหน้าจอโทรศัพท์ก็ชะงัก ใบหน้าหล่อได้รูปเบือนออกจากแสงสว่างด้านหน้า สบมองสายตาคนถาม หรือคิมหันต์จะรู้เรื่อง เรื่องความสัมพันธ์ลับระหว่างเขากับอินทัชเข้าแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นทั้งคนฉลาดและบื้อในคราเดียวกัน ยามฉลาดก็ฉลาดจนน่าตกใจ ยามโง่เง่าก็เอาไม่อยู่ เด็กหนุ่มหันมากลอกตามองออกไปนอกกระจกหน้าต่างรถอยู่ครู่

"อืม..."

นัยน์ตาคมเหลือบมองท่าทีคนตอบเล็กน้อย ยอมรับอย่างนั้นหรือ ยอมรับว่าสนิทกันอย่างง่ายๆ ทั้งที่เด็กคนนี้มักจะปิดกั้นตัวเองกับทุกคน กว่าจะยอมรับเขาก็เป็นสิบปี ที่สำคัญยอมรับก็เพราะตอนนั้นกำลังอ่อนแอด้านจิตใจอีกต่างหาก

"แล้วทำไมตอนนี้ถึงดูเหมือนเกลียดมากล่ะ ดูแล้วเขาเป็นคนดีไม่ใช่เหรอ"

"อ้อเหรอ..." คนข้างกายครางตอบและย้อนถามอยู่ในคราเดียวกัน แต่นั่นไม่ใช่ต้นเหตุของความเย็นวาบที่ปลายเท้าของคิมหันต์ เป็นเพราะรอยยิ้มเยือกเย็นจากโครงหน้าหล่อนั่นต่างหาก

"ลุงอ้ายเขาเป็นคนดี ไม่เหมือนมึงนี่ที่ไม่มีดีอะไรสักอย่าง ไม่แน่นะ...ความดีของเขาอาจเอาชนะใจกู แล้วกูก็จะหายโกรธเขาในไม่อีกช้า..." อศวมินทร์กระตุกยิ้ม มองทอดออกไปด้านนอกเมื่อในใจก็ทราบถึงการตอบรับทางสีหน้าของคนขับรถดีว่าจะเป็นอย่างไร

"หมายความว่าไง!"

"ทำไมต้องขึ้นเสียงด้วยล่ะ อิจฉาเขาเหรอ หึ..." หางเสียงนั้นผสมหัวเราะจนคนฟังนึกฉุนอยู่ในใจ แน่นอนมันมีทางเป็นไปได้ครึ่งต่อครึ่ง ครึ่งแรกอศวมินทร์ลองได้เกลียดแล้วนั้นคงหายยากและเพียงแค่อยากยียวนกวนใจเขาเท่านั้น ครึ่งที่เหลือคือเด็กคนนี้เป็นคนจำพวกอยากเอาชนะเสียยิ่งกว่าอะไร การให้ความสำคัญกับอินทัชมากกว่าเขานั่นแหละคือสิ่งที่คิมหันต์ยอมไม่ได้!

"แปลว่ามินมั่นใจล่ะสินะ ว่าพี่ยังรักมินอยู่..." เด็กหนุ่มยิ้มค้าง รอยยิ้มเลศนัยเมื่อครู่เจือจางลง หันไปมองคนข้างกายเต็มสองตาว่ากำลังจะกล่าวอะไรต่อไป "พี่ไม่เข้าใจความคิดมินตอนนี้เลยจริงๆ ว่าต้องการอะไร มินเกลียดคนที่เล่นกับความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้กลับทำเองซะอย่างนั้น..."

"หุบปาก! ก็เพราะมึงไง"

"เพราะพี่ทำให้มินรักพี่มากใช่ไหม" คนถามย้อนเสียงเรียบ แต่สร้างความหงุดหงิดใจแก่อศวมินทร์เหลือเกิน เด็กหนุ่มกอดอกกันมองถนนหน้านิ่ว

"ก็แค่เคย จำไว้ แค่เคย!"

คำนั้นราวกับเป็นรีโมทคอนโทรลให้ชายหนุ่มชะงักนิ่ง ไม่อาจต่อกลอนอะไรได้อีกเพราะยิ่งได้ฟัง อศวมินทร์ยิ่งสรรค์หาคมมีดจากคำพูดมาจ้วงแทงเขาให้เจ็บหนึบ ปวดไปถึงกระดูกดำทุกครั้งเมื่อได้ฟัง เพราะอย่างนั้นการเงียบคงเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้ คิมหันต์พาอศวมินทร์ถึงเมืองชลบุรีก็ย่ำมืด กว่าจะถึงพัทยาก็คงสองสามทุ่ม

ตลอดสายที่นั่งมาคู่กันนั้นไม่มีใครปริปากเริ่มบทสนทนาครั้งใหม่แม้แต่น้อย กระทั่งยานพาหนะเริ่มเคลื่อนเข้าใกล้พัทยา คนขับจึงหันไปถามอศวมินทร์ถึงปลายทาง "แล้วคุณอ้ายเขาพักที่ไหน จะได้พาไปถูก"

ได้ยินคนฟังจึงกดโทรศัพท์ยุกยิก ยกขึ้นให้คิมหันต์อ่าน ชายหนุ่มนิ่งไป เมื่อรู้ว่าน้องชายทราบได้อย่างไรว่าอินทัชอยู่ที่ไหน "ว่าแต่ว่า จะไปหาเขาน่ะ ไม่รบกวนเขาเหรอ"

"ช่วยเงียบหน่อยได้ไหม กูรำคาญ"

ดูท่าว่าคนตอบจะทราบว่าที่จริงแล้วเขารู้แต่แสร้งไม่รู้มากกว่า การที่อินทัชพาหลานชายไปด้วยนั้นบอกเป็นนัยยะอยู่แล้วว่าไม่ใช่เรื่องวิชาการจริงจังอะไร แต่ที่ถามไปเพราะเขาอยากยืนยันความรู้สึกจริงๆ ของอศวมินทร์ต่างหาก คิมหันต์กุมพวงมาลัยในมือแน่น พยายามไม่แสดงถึงความขุ่นเคืองใจออกไปให้อีกฝ่ายเห็น

"ก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่หรอก แต่ช่วยบอกอะไรที่มันแน่นอนกว่านี้ไม่ได้เหรอ"

"จะมายุ่งอะไรด้วย มึงเป็นคนอยากมาเองไม่ใช่เหรอ เลิกถามแล้วก็ขับรถไป กูจะนอน" คนตอบกอดอกมองสถานที่รอบกาย มองเมืองพัทยาบัดนี้อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยรถยนต์ยามหัวค่ำ โรงแรมหรูหราห้าดาวตระหง่านสูงอยู่แต่ไกลให้เห็น บอกพิกัดกลายๆ ว่าอินทัชอยู่ส่วนไหนของเมือง อศวมินทร์จึงทำเมินไม่สนใจที่จะพูดคุยด้วย เด็กหนุ่มพริมตาลงพักผ่อนสายตาเงียบๆ คนเดียว

ดูเหมือนอินทัชจะทราบแล้วว่าเขาตามไป ต้นเหตุเกิดจากมาวินทั้งนั้น การที่เขาถามถึงที่อยู่ของโรงแรมและพิกัดที่ตั้งคงบอกใบ้ให้อีกฝ่ายรู้ แน่นอนว่ามาวินคงบอกอินทัชด้วย เพราะมาวินถามโต้งๆ ว่าจะให้จองห้องเผื่อหรือไม่

เดินทางถึงโรงแรมแล้วอีกครึ่งชั่วโมงให้หลังตามที่น้องชายได้บอก คิมหันต์เอี้ยวตัวไปปลุกคนนั่งข้างกายให้ตื่น แต่ตอนนี้อยูในช่วงหลับใหม่ คงปลุกยากกว่าเดิมสิบเท่า ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม ยามนึกถึงน้องชายตัวดีกำลังงัวเงียพลิกกายมากอดเขา จำได้ว่าอศวมินทร์ช่างน่ารักและไม่เหมือนตอนนี้สักนิด กว่าจะคิดได้ คิมหันต์รู้สึกเหมือนโดนเข็มเป็นพันเล่มทิ่มแทง "มิน พี่รักมินนะ"

เมื่อไรจะใจอ่อน ยอมกลับมาน่ารักเช่นเคย นัยน์ตาคมได้แต่จับจ้องไปยังโครงหน้าเดิมที่เคยบูดบึ้งเอาแต่ใจ บัดนี้กำลังเรียบนิ่งไร้อะไรแต่งแต้ม หลายเดือนแล้วที่เขาไม่ได้มองภาพนี้ อยากเก็บเอาไว้ในความทรงจำนานตราบเท่านาน "พี่ขอโทษ พี่ลืมมินไม่ได้..."

ใช่ ตั้งแต่วันที่น้องชายหนีออกไป ความรู้สึกผิดบาปก็สะท้อนสู่อกเขาอย่างไม่ยอมหยุดหย่อน เขาโทษตัวเองสารพัด แต่ท้ายที่สุดก็มิกล้าเอ่ยความจริงกับปรางคณางออกไป เขามันเห็นแก่ตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือความรักที่มีต่ออศวมินทร์ ฝ่ายเขาเอง...ความสัมพันธ์ทั้งหมดนี้เป็นฝ่ายเขาเองที่เริ่มก่อน

มือหนาสัมผัสใบหน้าเนียนของคนหลับอย่างแผ่วอ่อน จับจ้องอยู่นานอย่างหลงใหลในความงดงามรูปหน้า เคลื่อนขยับเข้าไปขโมยริมฝีปากอีกฝ่ายมาจ้วงชิมด้วยอดใจไม่ได้ เขาหิวโหย ห่วงและหวงจนอยากจะตะโกนออกมาใส่หน้าอศวมินทร์ดังๆ แต่ทำไม่ได้ แค่ตอนนี้เท่านั้น ตอนนี้ขอให้เขาซึมซาบและปลดปล่อยความต้องการของตัวเองที่มีต่อน้องชายตัวเองสักนิด

อยากกอด อยากจูบ แต่ทำเพียงมองได้อย่างเดียวเท่านั้น เขาทรมานเหลือเกิน "มิน..."

มือหนาเคลื่อนกอด จูบแก้มเนียนนั้นซ้ำๆ ในความเงียบงัน เคลื่อนมือสัมผัสไปทั้วตัวคนหลับอย่างเอาแต่ใจ สุดท้ายก็ขยับไปแนบปากจูบอย่างไม่อิ่มเอมโดยง่าย ต้องการ ต้องการมากขึ้นไปอีก

คิมหันต์สูดลมเข้าจมูก นานเท่าไรไม่ทราบที่บดปากจูบอย่างเผ็ดร้อนนั้น แต่ยังไม่พอใจสักที ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว ลมหายใจหอบกระชั้นตามมือตนเองยามเคลื่อนไปตามร่างกายอศวมินทร์ จุดจบคือหว่างขาที่มีเพียงผ้ากางเกงกั้น

"อื้อ...!"

ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เจ้าตัวรู้สึกตัวร้องอื้อในลำคอต้องการปฏิเสธ นึกตกใจเมื่อรู้สึกตัวไปกับบทจูบของคิมหันต์ และมือที่พยายามลุกล้ำเข้าไปในกางเกง อศวมินทร์ตื่นเต็มตารีบดันกายคนกระทำออกอย่างไม่เข้าใจสักนิด "ออกไปคิม ออกไป"

"มินยังรักพี่ไหม ตอบพี่สิ" คนถามสวมกอด ออกแรงสู้มืออศวมินทร์ที่ขืนผลักออก

"มึงพูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม!"

"พี่รักมิน พี่เจ็บนะที่มินทำแบบนี้!"

"ออกไป ถ้ามึงอยากมากก็ไปหาเอาแถวข้างทางโน่น" คนบอกผลักไหล่อีกฝ่ายออกสุดแรง ดึงมือที่จับร่างกายตัวเองออกไปจนหมดทั้งหอบหายใจ ไม่อยากจะเชื่อว่าคิมหันต์จะทำอย่างนั้น ไม่คิดว่าคิมหันต์จะเลือกใช้วิธีนี้บอกกับเขา เด็กหนุ่มรีบเปิดประตูออกไปยืนด้านนอก

"มึงกลับบ้านไปเลยก็ได้นะ"

"ไม่อ่ะ พี่จะไม่ทิ้งมิน"

"ไอ้คิม!" เด็กหนุ่มถอนใจ มองคนตัวสูงที่ลุกขึ้นมาสบตานิ่ง เดินมาหยุดตรงหน้าด้วยรอยยิ้มรู้สึกผิด มันเจื่อนอย่างเห็นได้ ไม่ใช่การยิ้มแบบอยากเอาชนะแน่ในสายตาคนมอง "พีไม่ยอมให้มินลำเอียงไปดีเขาแล้วทิ้งให้พี่เป็นหมาหัวเน่าหรอก" ชายหนุ่มกล่าวเสียงจริงจัง เอื้อมมือไปกุมมืออีกฝ่ายไว้อย่างวิงวอน

"พี่รักมินนะ"

"พอ!" คนตรงหน้าดึงมือกลับ ส่ายหน้าระอากับคำพูดของคิมหันต์ เด็กหนุ่มรู้สึกหน่ายและรำคาญ เลือกเดินละเข้าไปด้านในโรงแรมทั้งกดโทรศัพท์ ทราบว่ามาวินส่งมาถามว่าถึงไหนแล้ว ดังนั้นพอไปถึง อศวมินทร์เห็นมาวินที่นั่งรอในล้อบบี้กึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหา "มึงมาจริงด้วย"

"ก็เออ กูจะพูดเล่นทำไม" เด็กหนุ่มตอบเพื่อน เดินนำเข้าไปภายในอย่างไม่รีบร้อน ซึ่งมาวินก็เอี้ยวตัวเดินมาตีคู่ หางตาชำเลืองมองคิมหันต์อยู่บ่อยครั้งด้วยความใคร่รู้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันตั้งแต่เรียนมัธยมปลายปีแรก อศวมินทร์ไม่เคยเล่าให้ฟังว่ามีพี่ชายเลยสักครั้ง พอได้เห็นจึงรู้สึกแปลกใจ

"พี่จะพักด้วยกันไหมครับ พอดีผมจองห้องที่มีเตียงคู่เพราะจะได้นอนกับมินมัน แล้วก็เพื่อนผมอีก แต่พี่มาเพิ่มก็น่าจะยังนอนได้ ห้องมันกว้างจะตาย"

"กูอยากนอนคนเดียว" อศวมินทร์แย้งอย่างหน่ายเหนื่อย

"ไม่เอาน่าๆ นอนคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร เนอะพี่" คิมหันต์ที่ได้ฟังก็ระบายยิ้มรับ มองเพื่อนที่เดินกอดคอน้องชายไปอย่างสนิทสนม ขณะที่กำลังจะขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นที่จองห้องไว้ ในระหว่างที่รอลิฟต์ด้านบนลงมา เมื่อมันเปิดออกก็เผยภาพเบื้องหน้าให้ทุกคนเห็น

ภาพชายตัวสูงในชุดลำลองสบายซึ่งกำลังพูดคุยและแย้มยิ้มกับสตรีคนสวยคนหนึ่ง เสียงหัวเราะนั้นสะท้อนใจคนฟัง ยิ่งได้มองมือขาวๆ ที่กอดแขนกำยำนั้นแนบแน่นผสมกับสายตาทั้งสองที่สบมองกันอย่างไม่เก้อเกิน ทุกคนที่ยืนอยู่ด้านนอกได้แต่ยืนนิ่ง จนคนซึ่งอยู่ภายในละสายตามามองเสียเอง

"อ้าว น้องมาวิน" เจ้าหล่อนหันมาฉีกยิ้ม กอดแขนอินทัชเดินออกมา ซึ่งนัยน์ตาคมของผู้ถูกมองจับจ้องไปยังคนที่ยืนข้างกายหลานชายมากกว่า "พี่กับคุณอ้ายก็ไปแวะไปหาที่ห้อง  เพื่อนก็บอกว่าไม่อยู่ ที่แท้ก็ลงมาซนข้างล่างนี้เอง"

"ผมลงมารับเพื่อนอีกคนน่ะครับพี่อลิส นี่มินเพื่อนผม เขาเป็น..."

"เป็นลูกเลี้ยงลุงอ้ายครับ บอกตรงๆ ก็คือลุงอ้ายเป็นสามีใหม่ของแม่ผมน่ะครับ พีอลิส..." อศวมินทร์ชิงตอบ ดวงตามองอินทัชด้วยท่าทีที่แปลกกว่าเคย ไม่จับจ้องหรือเอาเรื่องเฉกเช่นแต่ก่อน ซึ่งคนที่รับรู้และหวาดวิตกคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากอินทัช ชายหนุ่มจับจ้องไปที่โครงหน้าหล่อของอศวมินทร์นิ่ง ราวกับต้องการหาความจริง กลับพบเพียงยิ้มเย็นประดับไว้อย่างลุ่มลึก

"อ้อ จริงสิ..." อลิสเบิกตา หันไปมองอินทัชก่อนจะยอมคล้ายวงแขนออกจากอีกฝ่าย ต้นเหตุเกิดจากสายตาเด็กทุกคนที่เพ่งมองมา และคำพูดที่เน้นประโยคเจ็บจี๊ดเสียดแทงให้หน้าเธอแตกเป็นเสียง

"ถ้างั้น ก็หมายความว่าน้องมินคือคนที่ถือหุ้นบริษัทเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ที่คุณอ้ายรักษาการแทนน่ะสิคะ แต่ที่น่าแปลก ว่ามาเที่ยวหนนี้คุณอ้ายชวนฉัน ชวนน้องมาวินกับเพื่อน แต่ไหงไม่ชวนน้องมินละคะเนี่ย..." คนถามทำหน้าสงสัย ซึ่งนั่นทำเอาอศวมินทร์ต้องหายใจติดบัดขึ้นมา

"เรื่องนั้น..."

"อ๋อ..." เด็กหนุ่มแทรก เมื่อเห็นทีท่าอินทัช "พอดีผมคิดว่ามันเป็นเรื่องไม่ปกติเท่าไร ที่ลูกเลี้ยงจะถูกจริตกับพ่อเลี้ยงถึงขนาดสนิทสนมกัน และที่สำคัญ ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครเอาเรื่องงานมายกเป็นข้ออ้างอยากจะเทียวกันด้วยน่ะครับพี่อลิส" อศวมินทร์กระชับสายเป้ในมือ เชยตามองอินทัชก่อนจะถอนใจ

"ขอบคุณนะลุงอ้าย ที่ทำตามหน้าที่ที่แม่ผมมอบหมายให้อย่างเต็มความสามารถ" เด็กหนุ่มแสร้งยิ้ม แต่ประโยคที่ว่า 'ทำตามหน้าที่' นั้น ได้ตีลงไปกลางแสกหน้าของอลิสจนแทบหงาย ตอกย้ำว่าที่อินทัชทำดีกับเธอไปทั้งหมดเพียงเพราะหน้าที่ หญิงสาวลอบเข่นเชี้ยว เด็กคนนั้นเป็นเด็กประเภทไหนกัน

อศวมินทร์เดินเข้าไปในลิฟต์พร้อมกับมาวินและคิมหันต์ที่ยืนฟังเงียบๆ เด็กหนุ่มเผยยิ้ม "อ้อ...ถ้าเจียดเวลาได้ ขอผมคุยธุระกับคุณหน่อยนะ เรื่องสำคัญ"

ประตูลิฟต์ปิดลง ปล่อยให้อินทัชยืนมองมันนิ่งอยู่เช่นนั้นพร้อมกันกับหญิงสาว เจ้าหล่อนแหงนมองสีหน้าเจ้าของกายสูงด้วยแววฉงน แต่คงเดาว่าเด็กมินนั่นต้องฤทธิ์เยอะมากเหลือเกิน ดูจากการพบกันครั้งแรก เด็กคนนั้นสรรค์หาประโยคเรียบๆ แต่แทงใจเธอทุกคำออกมากล่าว เล่นเอาเธอถึงกับผงะไปในวินาทีแรก

"ดูเขาเป็นคนดื้อนะคะคุณอ้าย นี่ลูกชายพี่ปรางค์จริงเหรอเนี่ย" หล่อนทอดถอนใจ หากว่าชั่ววินาทีที่สบตากับเด็กที่ชื่อมินนั้น เดาได้ว่าน่าจะเป็นคนจำพวกหัวแข็ง เอาแต่ใจ และขี้หวงมาก เห็นแบบนี้แล้วเธออยสงากจะแกล้งจริงๆ

"เขานิสัยเหมือนพ่อเสียส่วนใหญ่น่ะครับ แต่เวลาน่ารักก็น่ารักนะ ถ้าเอาชนะใจเขาได้"

ถ้าเอาชนะใจได้อย่างั้นหรือ ผู้ฟังย้อนในใจ

"นิสัยแบบนีน่าแกล้งจังเลย" เจ้าหล่อนกล่าวกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ รอยยิ้มบางประดับขึ้นบนใบหน้าสวยจนคนมองรู้สึกประหลาดใจ แต่ความรู้สึกของชายหนุ่มมีแต่ความหวาดหวั่น เพราะการก่อเรื่องเป็นหนึ่งสิ่งที่อลิสทำได้ดีที่สุดตั้งแต่รู้จักกัน และการได้เห็นแววตา บทสนทนาโต้ตอบกันระหว่างคนแสบทั้งคู่นั้นราวกับเป็นชนวนระเบิดครั้งใหม่ ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ชายหนุ่มได้เพียงทอดถอนใจ เมื่ออย่างไรแล้วก็ไม่สามารถลบภาพรอยยิ้มของอศวมินทร์ออกไปได้เลย รอยยิ้มนั้น ไม่ใช่รอยยิ้มของความบริสุทธิ์ใจเหมือนแต่ก่อนอีกแล้ว เด็กคนนั้นคิดทำอะไรอยู่กันแน่...

จู่ๆ ก็มาพูดจาดี มีสติมากขึ้น เขาเชื่อแล้วว่าคลื่นใต้น้ำน่ะมีจริง ยิ่งทะเลสงบ ยิ่งน่ากลัว.


*********************************

เอ้า ๆ น้องมินวางแผนทำอะไร แล้วซองขาวจะได้ให้ลุงอ้ายมั้ย
สงครามเย็นระหว่างคุณอลิสจะเป็นยังไง นางจะแกล้งอะไรน้อง

ต้องรอติดตาม

คำพูดมินแฝงเลศนัยหมดทุกคำนะคะ อ่านแล้ววิเคราะห์เองเน้อ อิอื

เจอกันตอนหน้าจ้า!
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-09-2015 23:42:04
เฮ้อออ  :เฮ้อ: น้องมินเรานี่ร้ายจริงๆ จะรอดูว่าน้องมินเราจะจัดกสารยังไงกับยัยอลิสนี่ต่อไป ส่วนลุงอ้ายคงได้แต่ต้องทำตัวดีๆ ไม่ไปยุให้อารมณ์น้องไม่ดีไปกว่าเดิมนะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: ummax ที่ 29-09-2015 01:23:48
ขอบคุณมากๆ นะครับ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-09-2015 11:28:18
ขอบคุณมากๆ นะครับ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-09-2015 11:29:34
เฮ้อออ  :เฮ้อ: น้องมินเรานี่ร้ายจริงๆ จะรอดูว่าน้องมินเราจะจัดกสารยังไงกับยัยอลิสนี่ต่อไป ส่วนลุงอ้ายคงได้แต่ต้องทำตัวดีๆ ไม่ไปยุให้อารมณ์น้องไม่ดีไปกว่าเดิมนะ

ต้องรอดูอย่างที่ว่าน่ะปหละค่ะ ขอบคุณสำหรับกำลังใจนะคะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 29-09-2015 12:42:59
เป็นเรื่องที่รวมคนมีอาการทางจิตเยอะจริงๆ พวกแกจะมีปมอะไรนักหนา - -"
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-09-2015 14:16:02
เป็นเรื่องที่รวมคนมีอาการทางจิตเยอะจริงๆ พวกแกจะมีปมอะไรนักหนา - -"

5555นั่นสิคะ คนเขียนก็จะเป็นโรคจิตตามไปด้วย
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-09-2015 17:26:18
ลุงอ้ายเข้าใจน้องมินหน่อยนะคะ รักมากก็แค้นมากแถมยังมีชะนีมายั่วให้อารมณ์ขึ้นอีก
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-09-2015 20:05:28
ลุงอ้ายเข้าใจน้องมินหน่อยนะคะ รักมากก็แค้นมากแถมยังมีชะนีมายั่วให้อารมณ์ขึ้นอีก

ประเด็นมันอยู่ตรงนั้นแหละค่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๓ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: ummax ที่ 01-10-2015 12:42:31

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [28/09/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 03-10-2015 13:48:47
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๔

อศวมินทร์เดินตามมาวินไปยังห้องพักซึ่งอยู่ชั้นสิบเอ็ด ระหว่างเดินมาวินก็เล่าให้ฟังว่าเพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันได้ติดสอยห้อยตามมาด้วย ที่สำคัญสิ่งที่อศวมินทร์สงสัยคือเพื่อนเหล่านั้นสนิทถึงขั้นชวนกันเที่ยวแล้วหรือ หรือมาวินเป็นคนอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ไปถึง เขาก็เห็นเด็กหนุ่มสามคนกำลังฟังเพลงและนั่งคุยกันอยู่ ซึ่งดูท่าคนพวกนี้รู้จักเขาจากการเล่าของมาวินแน่

"ไอ้มิน นี่ไอ้อู๋ ไอ้ปอนด์ ไอ้กัน เพื่อนห้องเดียวกับกู พวกมึง นี่ไอ้มินนะ ส่วนนี่พี่ชายมัน..." มาวินหันไปมองคิมหันต์ ซึ่งทางนี้ก็ยิ้มรับรอแล้ว ด้วยวัยวุฒิที่มีมากกว่าในกลุ่มชายหนุ่มจึงคิดว่าควรกล่าวอะไรบ้างสักหน่อย "พี่ชื่อคิมนะ" ว่าพลางยกมือทักทาย

"กูว่าคนมันเยอะไปว่ะ เดี๋ยวกูแยกไปนอนคนเดียวนะ" คนมาใหม่บอกทั้งสำรวจเตียงสองเตียง ซึ่งบัดนี้เพื่อนใหม่ทั้งสามขยับลากมาแนบชิดกัน และใช้นั่งฟังเพลงกันอยู่ในขณะนี้

"เฮ้ย! ถ้ามึงอยากนอนเตียงมึงก็นอนนะ เดี๋ยวพวกกูนอนโซฟาได้" หนุ่มผิวขาวหน้าตี๋โดดเด่น ซึ่งรู้จักในชื่อกันนั้นหันมาบอกพลางลุกขึ้นยืนยิ้มให้ เห็นแล้วคนมองได้แต่มุ่นคิ้ว "ไม่เอาล่ะ พวกมึงคงอยากสนุกกัน กูมาอยู่แล้วคงจะทำให้บรรยากาศน่าเบื่อ" มินตอบ

"ไม่ใช่แบบนั้นหรอกมิน มึงคิดมากว่ะไอ้นี่ มาๆ เอาของมาเก็บแล้วมาเล่นไพ่กับพวกกูเถอะน่า" ปอนด์ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม ตบเบาะแปะๆ ขยับพื้นที่ให้นั่ง อีกทั้งร้องเรียกรุ่นพี่ไปด้วย "พี่คิม มาพี่มา..."

"เอ่อ..." คิมหันยิ้มจืด หันมองน้องชายซึ่งยังตีหน้าเซ็งอยู่คนเดียว "จะไปทำธุระก่อนไหมล่ะ เพราะต้องรีบกลับก่อนถึงวันจันทร์"

"มึงรีบก็กลับไปสิ" อศวมินทร์ยักไหล่ ถอดกระเป๋าสะพายเดินไปทิ้งกายนั่งร่วมวงเพื่อนรุ่นเดียวกัน เห็นอย่างนั้นคิมหันต์จึงถอนใจ ใครจะยอมล่าถอยออกมากันเล่า "งั้นพวกนายก็เล่นกันไปนะ เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อชุดกับของใช้ส่วนตัวก่อน พอดีรีบเลยไม่ได้เตรียมมา" คนกล่าวมองตาน้องชาย บอกกลายๆ ว่าเพราะเจ้าตัวนั่นแลคือต้นเหตุ

"รีบมานะพี่ พวกผมอยากได้ขาเพิ่ม" คนตัวสูงโย่งที่สุดในกลุ่มร้องตาม ใบหน้าคมคายเหลือบมองเพื่อนซึ่งนั่งข้างกาย ก่อนจะฉีกยิ้มเฉลยว่า "ไอ้มาวินมันเล่นไพ่ไม่เป็น"

"ไอ้อู๋ มึงก็ชวนกันเล่นอันที่กูเป็นหน่อยสิ" มาวินผลักบ่าคนนั่งข้างสีหน้าหงุดหงิด เล่นเอาหัวเราะกันทั้งวงกับสีหน้ายามนี้

เพราะใครก็ทราบดีว่าเด็กคนนี้ถูกเลี้ยงแบบไหน เด็กหนุ่มแบบมาวินจึงกลายเป็นสาวน้อยอ้อนแอ้นที่สุดในกลุ่ม อู๋เห็นดังนั้นแล้ว มองหน้าของเพื่อนที่แสดงถึงความไม่ชอบใจก็นึกทั้งอยากแกล้งอยากโอ๋ไปพร้อมกัน หนุ่มตัวสูงยกแขนกอดคอเพื่อนแสดงความเห็นใจ "เออ งั้นมาเล่นโดมิโน่กันไหมละ คนไหนแต้มเยอะสุดต้องแก้ผ้าเต้นนะโว้ย"

"ไอ้อู๋!"

"อะไรคะน้องวิน อายจู๋เล็กๆ เหรอคะ" คนกอดคอหันมาแสร้งจับคางส่ายไปมาอย่างมันเขี้ยวสาวคนสวยของกลุ่ม เล่นเอาเสียคนถูกแกล้งนึกฉุน "มึงเลิกเรียกกูแบบนี้เลย กูไม่ชอบ! กูเป็นผู้ชายนะมึง" ว่าพลางปัดมือคนแกล้งออก

"โอ๋ๆๆ ไม่แกล้งๆ มึงแมนเต็มร้อย แค่มึงถูกเลี้ยงมาแบบลูกคุณหนูสวยๆ แค่นั่นเอง"

"ไอ้อู๋! มึงออกจากห้องไปเลยกูรำคาญ" คนไล่ชี้ไปยังประตู เพื่อนๆ จะทราบดีว่ามาวินเป็นคนที่มักโมโหง่ายยามถูกเย้าเรื่องคุณหนูของตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็เล่นกันแบบเด็กทั่วไป แต่มักจะมีข้อเล็กๆ น้อยๆ ที่เด็กผู้ชายธรรมดามองเห็นว่าการทำแบบนั้นมันดูน่าตลกเกินไป

มาวินมักเป็นคนคิดในกรอบ มักไม่เจอประสบการณ์ดื้อๆ แบบเด็กผู้ชายคนอื่นได้เจอ มักไม่ทันมุกเสี่ยวๆ ยามเพื่อนเล่น นั่นทำให้เขาดูต่างจนน่าตลกในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะอู๋ คนที่มักใช้ถ้อยคำยียวนกวนประสาทแกล้งกันทุกครั้งให้มาวินโมโห

"ถ้ากูไปใครจะคอยถ่ายวิดีโอตอนมึงแก้ผ้าเต้นสวยๆ ละวะ มามาน้องวิน มานั่งนี่" อู๋ยักคิ้วดึงเพื่อนมานั่งข้างๆ สองหนุ่มสู้แรงกันอยู่พักหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสายตาอศวมินทร์ตลอดเวลา เด็กหนุ่มมองสายตาคนทั้งคู่อย่างเงียบเชียบ สำหรับมาวินแล้วไม่มีทางเป็นสาวน้อยตามคำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของเพื่อนแน่

แต่สำหรับคนแกล้ง คงมองเห็นความน่ารักนั้นอยู่จริงกระมัง อศวมินทร์คิดแล้วเพียงยกมุมปากยิ้มน้อยๆ มองแววตาของเพื่อนใหม่ซึ่งกำลังเพ่งมองมาวินด้วยนัยยะบางอย่าง เด็กหนุ่มไม่อยากคาดเดาอะไรทั้งสิ้น เพียงรอแค่ความจริงในนัยน์ตานั้นเผยออกมาเท่านั้นเอง

"มาๆ เพื่อความตื่นเต้น เกมละชิ้นดีกว่า แพ้หนึ่งเกมแก้หนึ่งชิ้นนะ" ปอนด์บอกพลางเรียงโดมิโน่ในมือให้เป็นระเบียบ ส่วนหนุ่มอีกคนก็ส่ายหน้ากับเพื่อน "เฮ้ยพวกมึงเลิกกัดกันได้แล้ว จะเล่นไม่เล่น ไม่เล่นก็ไปสวีทกันมุมโน้น วงนี้มีไว้สำหรับคนใจถึงเท่านั้นโว้ย คนปอดๆ ถอยไปไกลๆ เลยไป มึงเอาไหมมิน"

"เอาๆ กูเล่น" อศวมินทร์ยิ้มกว้างกับเกมพิเรนนี้ ประเด็นไม่ใช่แก้ผ้าแต่เป็นการเต้นต่างหาก ที่นี่มีแต่ผู้ชาย การได้ทำอะไรบ้าๆ ด้วยกันอย่างไม่อายคงรู้สึกดีไม่น้อย คิดแล้วภาพยามใครสักคนแย้มยิ้มก็ผุดขึ้นมาในสมอง ในขณะที่กุมมือกัน

"ไอ้มิน พอชวนเล่นเกมทะลึ่งมึงนี่ชอบจังนะ"

"แน่นนอน เพราะพวกกูจะรวมหัวกันแกล้งให้มึงแก้ผ้าเต้นไง"

"เออ เจ๋ง!" ทุกคนแกล้งเย้ามาวินยกใหญ่ ซึ่งเจ้าตัวถึงกับต้องอ้าปากร้องเหวอ หน้าตาบ่งบอกว่ากำลังตกใจและฉงนไปในคราเดียวกัน "มันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอวะ"

ได้ยินคำถามนี้จากปากเจ้าตัว คนในกลุ่มก็หัวเราะ

เห็นทุกคนเข้ากันได้ดีแล้วคิมหันต์ทำได้เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ จำได้ว่าน้องชายเป็นคนจำพวกมีโลกส่วนตัวสูงจนเข้ากับใครในสังคมมิได้ แต่เอาเข้าจริงแล้วชายหนุ่มหวนมาคิดได้ทีหลังว่า สิ่งที่เขาคิดก็คงเป็นได้เพียงแค่สิ่งที่คิดเองเออเองเท่านั้น เพราะภาพเบื้องหน้าที่เห็นสามารถยืนยันเป็นอย่างดีว่าอศวมินทร์เข้ากับใครก็ได้ยกเว้นเขา ชายหนุ่มส่ายหน้า เลือกหมุนตัวเดินออกมาเปิดประตู

วินาทีนั้นคิมหันต์เบิกตาตกใจ เมื่อบานประตูเผยออกให้เห็นว่าเป็นใครกำลังยืนทำท่าจะเคาะอยู่ด้านนอก ดูเหมือนคนด้านนอกเองก็ตกใจอยู่ไม่แพ้กัน ครั้นใจสงบ สติก็เดินกลับมาสู่ร่างกาย คิมหันต์ชำเลืองตามองภายในห้องซึ่งกำลังหัวเราะกันสนุกสนาน ทุกคนไม่ได้สนที่จะมองมาทางด้านนี้เท่าไรนัก ชายหนุ่มจึงก้าวออกจากประตูแล้วงับมันลง มาเผชิญหน้ากับชายตัวสูงพอๆ กัน

"ฉันได้ยินเสียงหัวเราะข้างใน มินโอเครึเปล่า เข้ากับเพื่อนได้ไหม" คนตรงหน้าถาม  ดวงตาพยายามที่จะชำเลืองเข้าไปด้านในก่อนหน้าจะปิดประตู คิมหันต์เห็นแล้วไม่เข้าใจสักนิดว่าหมายความอย่างไรแน่

"โอเคสิครับ คนแบบมินน่ะถึงไม่โอเคก็ทำให้เราเห็นว่าโอเคได้ เขาเก่งจะตาย" คนตอบมองสีหน้าคนอายุมากกว่า เพราะอินทัชเป็นผู้ใหญ่ที่ดูท่าจะเดาทางยากก็ยาก แต่จะง่ายก็ง่าย นั่นแหละต้นเหตุที่คิมหันต์หาข้อสรุปของคำตอบไม่ได้สักที "แล้วนี่คุณขึ้นมา มาคุยธุระกับมินหรือครับ ทิ้งพี่สาวคนสวยคนนั้นมามันไม่เป็นไรเหรอ"

อินทัชชะงักไปชั่วครู่ เมื่อได้เห็นคนตรงหน้ายกมุมปากยิ้มยามกล่าวถึงอลิส ความรู้สึกแปลกที่มีต่อคิมหันต์เพิ่มพูนความใคร่รู้ขึ้นมาอีกหนึ่งระดับจากเดิม ไหนจะท่าทีคล้ายต้องการกีดกันเขากับอศวมินทร์อีกเล่า "อ้อ ใช่...พอดีฉันนึกขึ้นได้ว่ามาวินยังไม่ได้กินอะไรเย็นน่ะ ก็เลยจะมาถามว่าจะกินอะไรไหม บวกกับจำได้ว่ามินอยากจะคุยธุระด้วยก็เลยขึ้นมา"

"ของแค่นี้โทรมาก็ได้นี่ครับ"

คำตอบระคนหยั่งเชิงของคิมหันต์เล่นเอาเขาจุกไปอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนเด็กหนุ่มตรงหน้าจะแสดงออกต่อเขาแล้วว่าตอนนี้เป็นศัตรู เฉกเช่นเดียวกับน้องชาย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นอินทัชก็ล้าเกินกว่าจะแบกรับ

"อ้อ ขอโทษที ก็บอกแล้วนี่ว่าจะมาคุยธุระกับมินน่ะ ก็อย่างที่บอกว่ามันคือทางผ่านที่จะมาพอดีก็เลยต้องเดินขึ้นมา" อินทัชล้วงกระเป๋ากางเกง เมื่อเห็นคนฟังพยักหน้าบอกว่าพอจะเข้าใจ "แต่เธอไม่ต้องห่วงหรอกนะ เรื่องอลิสน่ะฉันทำในสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว...อย่ากังวลแทนเลย"

อินทัชตอบเสียงเรียบ มองเด็กหนุ่มตรงหน้า เดาได้จากการสังเกตมานานมากแแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าเด็กคนนี้เป็นคนดี ซื่อสัตย์กับความรู้สึกตนเองแต่ไม่มากเท่าอศวมินทร์ รายนั้นซื่อสัตย์มากจนกลายเป็นเอาแต่ใจ ส่วนรายนี้ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน อยู่ในความพอดีอย่างที่คนคนหนึ่งควรจะเป็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาสัมผัสถึงความมากจนเกินไปคือท่าทีหวงน้องชายอย่างออกนอกหน้านี้

"มินบอกว่าช่วงที่อยู่ด้วยกัน คุณกับเขาสนิทกันมาก"

"ไม่ล่ะ ไม่สนิทกันเลย"

อินทัชใจหวิวจนต้องเปลี่ยนมากอดอก ทำเมินสีหน้าแห่งความแปลกใจของคิมหันต์เมื่อได้ยินเขาตอบแบบไม่คาดคิดไป ชายหนุ่มตรองไว้แล้วว่าเขาควรปฏิเสธสิ่งนี้อย่างไม่มีเยื่อใย เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเขาอยากให้คนที่เป็นหัวข้อนี้ลืมความรู้สึกก่อนหน้านั้นเสีย "ฉันกับมินเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย นอกจากการให้เงินไปโรงเรียนทุกวัน เราไม่รู้จักนิสัยจริงๆ กันสักนิด"

ดีแล้ว เขาคือพ่อเลี้ยง อีกฝ่ายคือลูกเลี้ยง จะให้ใครรู้ถึงความสัมพันธ์ลับนั่นไม่ได้ ความรู้สึกอบอวลไปด้วยความสุขตอนนั้นมันไม่มีจริงสักนิด

"แต่มินบอกว่า..."

"เธอก็รู้ว่าเด็กคนนั้นจะพูดจะทำอะไรก็ได้ โดยเฉพาะการกุเรื่องหลอกคน"

ชายหนุ่มกัดฟัน ขบกรามเก็บความจริงไว้อย่างพยายามที่สุด ความจริงที่เขารู้มาโดยตลอด ว่าสิ่งที่อศวมินทร์เล่ามาทั้งหมดที่ผ่านมานั้น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ เขาหมั่นโทรถามอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่บ่อยครั้ง มาวินเองก็คอยเป็นคนดูแลอศวมินทร์ จับตามองอยู่ห่างๆ ทำไมเขาจะไม่ทราบความจริงว่าสิ่งที่ทนนั่งฟังโดยตลอดเป็นเรื่องโกหก

เขาเพียงมีความสุขที่เห็นรอยยิ้มยามเล่าของเด็กคนนั้น...

"ฉัน...คิดว่าปล่อยเด็กๆ เล่นกันดีกว่า เดี๋ยวจะมาใหม่พรุ่งนี้..."

"อย่ามายุ่งกับมินได้ไหม" ในขณะที่อินทัชกำลังจะเอี้ยวตัวเดินออกมา ถ้อยคำนั้นราวกับมัดเอากล้ามเนื้อลำขาของเขาไปด้วย ไม่มีแรงเอาเสียเลย หรือเขาได้ยินผิดเพี้ยนไป อินทัชกลืนน้ำลายหันกลับไปมองใบหน้าจริงจังของคนด้านหลังอีกครั้ง แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยคำถามว่าเหตุใดคิมหันต์จึงพูดเช่นนั้น

"ว่ายังไงนะ"

"ผมพูดว่าช่วยอย่ามายุ่งกับมินได้ไหม คุณอยากจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่ามายุ่งกับเขา ต่างคนต่างอยู่ได้ไหม" คิมหันต์กำหมัด มองสีหน้าของอินทัชที่สนองตอบ

"พูดเหมือนตอนนี้ฉันกำลังพยายามวิ่งตามน้องชายเธออยู่เลยนะ ฉันว่าเธอเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคิมหันต์ ฉันจะบอกให้ ฉันไม่สนใจเขาเลยสักนิดเดียว" อินทัชกัดฟันเล่า จ้องดวงตาที่เบิกกว้างแปลกใจของคนฟัง "สิ่งที่ทำให้ฉันต้องทนแบกรับคือการเป็นพ่อเลี้ยงของเขา ใจจริงๆ ฉันไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักนิด เพราะฉันไม่ได้อะไรเลยนอกจากประสาทเสียที่ต้องรับรู้พฤติกรรมแย่ๆ ของเขา"

"นี่คุณ!" เด็กหนุ่มกระชากคอเสื้อคนกล่าวอย่างทนฟังไม่ได้ "ไม่ได้อยากเกี่ยวข้องก็ดีแล้ว คุณควรทำตามในสิ่งที่ผมบอก"

"ฉันทำ แต่ไม่ได้ทำเพราะเธอบอก ฉันทำเพราะฉันคิดว่าต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว" ชายผู้อาวุโสกว่าเอ่ยเสียงเรียบ แม้มือหนาของเด็กหนุ่มด้านหน้าจะกำคอเสื้อเขาข่มขู่แนบแน่นเพียงไหน "ดูแลน้องชายเธอให้ดีเถอะ อย่าให้เขามาระรานฉันอีก"

ชายหนุ่มสะบัดมืออีกฝ่ายออก จัดคอเสื้อให้เขาที่ก่อนจะเลือกหมุนกายเดินออกมากดลิฟต์ มือหนาสั่นไหวกำหมัดแน่น ครั้นประตูลิฟต์ปิดลงแล้วก็ถึงเวลาที่ชายหนุ่มจะระเบิดตัวเอง มือหนาทิ้งหมัดต่อยผนังรัวเพื่อสั่งสอนตัวเองให้เข้มแข็ง หากเลือกทำอย่างนี้แล้วควรเย็นชาให้มากกว่านี้!

ลำขายาวอ่อนปวกเปียก ดวงใจแสบร้อนไร้เรี่ยวแรงราวถูกมือใครสักคนกำลังบีบแน่น อินทัชยกมือเกาะให้ยืนต่อไปอย่างเข้มแข็ง แม้จะแทบไม่มีแรงยืนตรงเสียด้วยซ้ำยามนี้ แต่แบบนี้น่ะดีที่สุดแล้ว


"ไอ้มิน มายืนอะไรอยู่รงนี้ ไหนว่าจะไปตามพี่มึงกลับเข้ามาไง เนี่ย...พวกกูแบ่งออกมาได้คนละชุด สี่ชุดเลยนะเว้ย ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อเลย" มาวินเดินไปจับไหล่เพื่อนที่ยืนพิงประตูหน้าขรึมก็แปลกใจ เจ้าตัวปัดมือเขาออกก่อนจะส่ายหน้าไม่ยอมตอบอะไร เดินเข้าไปภายในห้องรวมกลุ่มกับเพื่อนอีกครั้ง

"อะไรวะ หน้าหงิกหน้างออย่างกับตะขอแหนะ" อู๋เปรย

อศวมินทร์ถอนใจ หางตาลอบมองไปยังฝั่งประตูอีกครั้ง "พวกมึงเก็บชุดไว้ใช้เถอะ พี่กูไม่ใช้หรอก รบกวนพวกมึงเปล่าๆ"

"มาวิน นี่มึงเอาชุดนอนมาด้วยเหรอ"

เพื่อนจอมแกล้งชูชุดลายตาข่ายสีฟ้าอ่อนขึ้นคล้ายตกใจและนึกขันอยู่ในที สิ่งนี้ได้เรียกความสนใจของเพื่อนให้หันไปมอง ก่อนจะหัวเราะในที่สุด "มานอนแบบนี้กูไม่อยากอาบน้ำนะ ชุดนอนอย่าพูดถึงเลย มีกางเกงในตีวเดียวจบงาน ฮ่าๆๆ"

"ก็กูติดชุดนี้นี่หว่า" มาวินยกชุดตัวเองมาถือ ตบหัวเพื่อนที่แกล้งไปที "ไหนๆ ใครว่าจะเล่นเกม เมื่อกี้ใครแพ้ถอดเลย กูชนะ ใครที่แต้มเยอะกว่ากูถอดเลย" มาวินชี้นิ้วสั่ง ทำหน้าเหนือกว่ายามเห็นเพื่อนทุกคนเอื่อยเฉื่อยกลังจากแพ้เกมแรก

แต่ท้ายที่สุด หลังจากนั้นมาวินก็ไม่ชนะอีกเลย เพื่อนอีกสี่คนต่างไล่เรียงชนะกันคนละตาสองตาจนมาวินเหลือกางเกงบ๊อกเซอร์ตัวเดียว "ไอ้อู๋! มึงชนะสองตารวดแล้ว ขี้โกง!"

มาวินอยากเลิกเล่น ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ที่รวมหัวกันแกล้งแล้วนึกโมโห นั่งงอนอย่างไม่สามารถทำอะไรได้ หากทว่ายิ่งเห็นมาวินแสดงท่าทีอย่างนี้ทุกคนยิ่งชอบใจใหญ่ "เออ มึงเหลือตัวเดียวแล้วใช่ปะ เดี๋ยวกูถอดของกูแทนเองละกัน" คนเพิ่งชนะยกยิ้มพลางถอดเสื้อ ยกมือยีหัวคนกำลังตีหน้ามุ่นข้างกาย

"แหม่ มึงแกล้งมันแล้วมาทำตัวเป็นพระเอกนี่นะไอ้อู๋"

"แค่นี้กูไม่ยกโทษหรอก มึงต้องแกผ้าเต้นด้วย!" มาวินกระโดดตะครุบคนตัวสูงที่สุดในกลุ่ม "จับขามัน กูจะแก้ผ้ามันให้หมด ฮ่าๆๆ"

"ไอ้วิน ไอ้คนอกตัญญู!" คนถูกรุมร้องสุดเสียง เสียงเพื่อนๆ หยอกล้อกันดังก้องห้องพักในโรงแรม เด็กหนุ่มสามสี่คนกึ่งเปลือยกระโดดตะครุบกันไปมาหวังแกล้ง หัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนาน แต่ในความสนุกสนานนั้นเร้นแฝงไปด้วยอะไรบางอย่าง

เห็นแล้ว อศวมินทร์ทำได้เพียงมองอย่างเงียบเชียบเท่านั้น


*******************************

อู๋ชอบมาวิน มาวินกลับไม่ชอบที่ถูกแซวว่าเป็นสาวน้อย หรือถูกแซวว่าเป็นเกย์

เอาไงน้อ... น้องมินได้ยินที่ลุงอ้ายพูดรึเปล่า แล้วต่อไปจะทำอะไรหลังได้ยิน

บอกเลยเกี่ยวกับมาวินนี่แหละค่ะ สปล์อยนิดนึง 5555

หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 03-10-2015 15:47:13
เราว่าน้องได้ยินชัวร์ เจ็บแทนน้องมินเลยตอนที่น้องได้ยินที่ลุงอ้ายพูดกับคิม

ไม่อยากบอกว่าลุงอ้ายตายแน่ๆ คราวนี้ ตายยั่งเขียดแน่ๆ น้องมินเรายอมคนซะที่ไหน

ใครทำเจ็บน้องเอาคืนให้เจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่าแน่ๆ เลยคราวเนี่ย

รอดูตอนต่อไปว่าน้องจะเอาคืนลุงอ้ายหรือเปล่านะคะ แต่จากที่สปอยล์มานิดๆ

น้องคงใช้มาวินในการเอาคืนลุงอ้ายแน่ๆ เลย สงสารมาวินล่วงหน้าที่ต้องมารับกรรมแท้ เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: armize ที่ 03-10-2015 16:50:41
น้องมิน...
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 03-10-2015 19:05:20
 :angry2: ปากหนอปากลุงเอ๊ย
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 03-10-2015 19:18:33
ทำร้ายกันด้วยคำพูดแล้วก็มาเจ็บใจเอง :ling2:
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 03-10-2015 21:02:09
เราว่าน้องได้ยินชัวร์ เจ็บแทนน้องมินเลยตอนที่น้องได้ยินที่ลุงอ้ายพูดกับคิม

ไม่อยากบอกว่าลุงอ้ายตายแน่ๆ คราวนี้ ตายยั่งเขียดแน่ๆ น้องมินเรายอมคนซะที่ไหน

ใครทำเจ็บน้องเอาคืนให้เจ็บกว่าร้อยเท่าพันเท่าแน่ๆ เลยคราวเนี่ย

รอดูตอนต่อไปว่าน้องจะเอาคืนลุงอ้ายหรือเปล่านะคะ แต่จากที่สปอยล์มานิดๆ

น้องคงใช้มาวินในการเอาคืนลุงอ้ายแน่ๆ เลย สงสารมาวินล่วงหน้าที่ต้องมารับกรรมแท้ เฮ้อออ


ตอนหน้าคงหนักค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: ummax ที่ 03-10-2015 21:45:51
ขอยาวๆๆๆๆหน่อยครับ
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๔ |||★ [03/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 03-10-2015 21:54:22
ขอยาวๆๆๆๆหน่อยครับ
ขอบคุณครับ

จะพยายามนะคะ เพราะเขียนทางโทรศัพท์ก็เลยกะหน้าลำบาก
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๕ |||★ [04/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 04-10-2015 16:07:25
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๕

"ฉันไม่ได้อะไรเลยนอกเสียจากต้องทนรับรู้พฤติกรรมแย่ๆ ของเขา!"

เสียงของผู้กล่าวสะท้อนใจผู้ฟังซึ่งอยู่ฝั่งนี้ ดวงตากลมหลุบมองลงบนมือของตนเองนิ่ง ภาพเบื้องหน้าพร่าเบลอสั่นไหวปรากฏเป็นซองสีขาวซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาบอกให้นำมาส่งกับอินทัช เด็กหนุ่มใจเต้นตึกตักทั้งกัดฟันกรอดพยายามเก็บอารมณ์ให้มากที่สุด มือหนาขยำของในมือจนยู่ยับก่อนปาทิ้งลงมุมใดสักมุมหนึ่ง ร่างกายรู้สึกล้าจนต้องทิ้งกายนั่งลงบนโซฟาอย่างเงียบเชียบท่ามกลางเสียงสนุกสนานของเพื่อนร่วมห้อง

ให้ตายสิ อินทัช...อินทัช!!!

ในใจของอศวมินทร์ร่ำร้องตะโกนเพียงชื่ออีกฝ่าย เขาเกลียดคนๆ นี้จนไม่รู้จะพูดว่ายังไงดี คิดแล้วร่างกายก็ขยับ มือเคลื่อนไปหยิบขยะตรงหน้ามาถือด้วยมือที่สั่นไหว ไม่ใช่เพราะเสียใจแน่ เขาโกรธ เขาเกลียดอีกฝ่ายจนอยากระเบิดออกมาดังๆ สุดท้ายทำได้เพียงขยี้ขยำของในมือจนขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีทั้งหอบหายใจ ด้วยอารมณ์ดิบเถื่อนตอนนี้ของเขาคล้ายสัตว์ป่าผู้กระหาย อยากจะขย้ำเหยื่อให้แหลกคาอุ้งมือ

อินทัชก็เช่นกัน จะไม่เหลือชิ้นดีแน่ จากนี้!

อศวมินทร์ผ่อนปรนลมหายใจ ย่างเดินผ่านกลุ่มเพื่อนออกมาด้านนอกระเบียง ภาพเมืองพัทยาคราคร่ำไปด้วยรถยนต์ขับเคลื่อนไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน เจ้าของนัยน์ตากลมทอดมองลงไปด้านล่าง เห็นวิวทะเลยามค่ำคืนกำลังซัดสาดคลื่นมายังชายหาดไม่ขาดสาย อศวมินทร์ยกมือเท้าค้างมองเอื่อยท่ามกลางสายลมที่พัดระกาย ยามมองจากระเบียงของโรงแรมแห่งนี้

เสียงคนเปิดประตูก้าวออกมายืนขนาบข้าง ให้เด็กหนุ่มทราบว่าเป็นใครที่เดินออกมาสูดลมหายใจ อีกฝ่ายหันมายกยิ้ม ยกบุหรี่ขึ้นมาจุดสูดเข้าเต็มปอดเงียบๆ ในสภาพสวมแค่บ๊อกเซอร์เพียงตัวเดียว

"ขอกูสักมวนสิ" เด็กหนุ่มหันมองคนข้างกาย อู๋เองก็เช่นกัน  หันมามองเขาด้วยแววประหลาดใจ ดวงตาอีกฝ่ายงุดลงมองมือเขาก่อนจะยอมยกบุหรี่ให้ในที่สุด อศวมินทร์ทอดถอนใจ คาบบุหรี่แล้วจุดไฟสูดเข้าเต็มปอดอย่างที่คนข้างกายทำบ้าง เพียงแค่ไม่นาน เด็กหนุ่มก็สำลักควัน ไอค่อกแค่กเสียยกใหญ่

"เฮ้ย เป็นอะไรรึเปล่าวะ" อู๋เดินมาลูบหลัง สีหน้ากึ่งตกใจกึ่งขำ ด้วยคิดว่าคนอย่างอศวมินทร์น่าจะเป็นคนกร้านโลก เรื่องบุหรี่ก็น่าจะเคยสูบมาแล้ว "มึงนี่ อยากรู้อยากเห็นเหมือนไอ้วินเลยนะ"

"ไม่เหมือนหรอก กูน่ะ... ยกเว้นเรื่องบุหรี่ก็ลองมาหมดแล้วจริงๆ กูคิดอยสกพึ้งพาของพวกนี้ แต่ไอ้มาวินมันแค่อยากจะรู้ว่าเป็นยังไงเฉยๆ" อศวมินทร์เอ่ย "ตอนนั้นกูผ่านอะไรมาหลายอย่าง สองเดือนนั่นโคตรเหมือนตกนรก..."

"ที่ได้ข่าวว่ามึงหายตัวไปน่ะนะ กูก็คิดว่าแค่เด็กติดยาธรรมดาเสียอีก" อู๋หันมองคนที่ก้มลงมองทิวทัศน์ด้านหน้านิ่ง จริงอยู่ที่อศวมินทร์เป็นเด็กแปลก เป็นคนปิดกั้นตัวเองกับผู้อื่น แต่ดูรวมๆ นับว่าเป็นคนดีและน่าคบคนหนึ่งหากไม่รวมเรื่องที่ชอบถือตัวนี่ เขารู้จักเพื่อนคนนี้จากการพูดถึงของเด็กผู้หญิงในห้อง และมาวิน

อศวมินทร์ขึ้นชื่อถึงความหล่อเหลา ร่ำรวย และเย่อหยิ่ง เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีอันดับต้นๆ ของโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าไปที่แห่งไหนจะต้องมีคนพูดถึงเสมอ ทว่าหากไม่มีเรื่องนิสัยเอาแต่ใจและเจ้าอารมณ์ ป่านนี้คงครองต่ำแหน่งหนุ่มฮอตที่สุดได้ไม่ยากแน่ ทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติมีเต็มที่อย่างครบถ้วนเช่นนี้

"กูเสียใจกับเรื่องแม่มึงด้วยนะ" คนข้างกายบอกพลางสูดบุหรี่ ก่อนพ่นมันออกมาราวได้ระบายความรู้สึก อศวมินทร์ทำได้เพียงพยักหน้าคนเดียวตอบรับ "มันผ่านมานานแล้ว กูทำใจได้แล้วล่ะ"

"พ่อกูก็เพิ่งเสียไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนอยู่ก็พูดเยอะ ทะเลาะกันฉิบหาย แต่พอไม่อยู่ไม่รู้เอาน้ำตามาจากไหน กูร้องไห้ตลอดเวลา มึงรู้ไหม กูซึมจนไอ้วินต้องชวนมาเที่ยวด้วยวันนี้" ทั้งที่ก็ดูเป็นคนร่าเริงอย่างนี้น่ะหรือ อศวมินทร์หน้าชา หันไปมองคนที่เกาะขอบราวระเบียงมองไปข้างหน้า อู๋ตัวสูง เหมือนเขาจะเห็นว่าเคยเป็นนักกีฬาของโรงเรียนด้วย "กูแม่ง... แรกๆ รู้สึกว่าตัวเองโคตรเหี้ยเลย กูทำผิดกับเขาจนถึงวาระสุดท้าย ที่กูยิ้มเพราะได้อยู่กับเพื่อนนะ พวกมันโคตรพยายามเพื่อกูเลย..."

"มึง..." คนฟังหันไปมองอู๋ ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกปวดหนึบราวได้ส่องกระจกดูตัวเอง "กูเห็นนะ"

"หา" อู๋เลิกคิ้ว

อศวมินทร์ถอนใจ เมื่อเห็นอีกฝ่ายย้อนมาหน้าฉงนกับสิ่งที่เขากล่าว บางทีก็เปลี่ยนเรื่องคุยคงจะดีกว่าพูดถึงเรื่องราวขื่นขมที่พานพบ ในเมื่ออยากลืมความเจ็บปวดก็ไม่ควรรำลึกถึงมันอีก เด็กหนุ่มหันไปสบตาคนฟังอยู่ครู่ก่อนเฉลยให้อีกฝ่ายกระจ่างแจ้ง "สายตาที่มึงมองไอ้มาวินน่ะ มึงคิดอะไรกับมันใช่ไหม"

อู๋นิ่งมองคนถาม ก่อนจะฉีกยิ้มในท้ายที่สุด "ก็เออสิ หรือมึงไม่คิด มันออกจะน่ารักขนาดนั้น"

"มึงชอบมันใช่ไหม" อศวมินทร์ตีหน้าจริงจัง "มึงก็รู้ใช่ไหมว่าลุงมันแต่งงานกับแม่กู ถ้านับเป็นญาติ มันก็เหมือนพี่ชายกูคนหนึ่งเลยนะ มึงไม่จริงจังใช่ไหมถึงได้พูดออกมาง่ายๆ ขนาดนั้น"

คนฟังนิ่งไป สูบบุหรี่อยู่เงียบเชียบราวกับคิดตามในสิ่งที่อศวมินทร์กล่าว "กู...ไม่ได้อยากจะครอบครองมันสักหน่อย แค่เห็นว่ามันน่ารักดี" อู๋เบิกตา กลอกไปมาคิดก่อนจะกล่าวต่ออีกว่า "มึงก็รู้ดีนี่ว่าไอ้วินมันนิสัยยังไง ถ้าวันหนึ่งกูอยากครอบครองมันขึ้นมาจริงๆ คงไม่มีทางจบสวยแน่ อยู่แบบนี้ก็ดีแล้ว แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่ว่ากูไม่จริงจังนะ กูแค่...ไม่กล้าหวังมากเกินไปว่ะ"

"มึงมีความสุขที่อยู่แบบนี้เหรอ" อศวมินทร์ไม่เข้าใจเอาเสียเลย มีความรักแต่ไม่ต้องการครอบครองมาไว้เป็นของตัวเอง หากเป็นเขาคงพุ่งชนไม่ว่าจะมีผลตอบรับอย่างไร ยังไงก็จะเผชิญจนกว่าเรื่องทุกอย่างจะคลี่คลาย นั่นคงเป็นการเสี่ยงอย่างเดียว อู๋คงไม่อยากแลกกับความรู้สึกอีกมากมายที่ต้องสูญเสีย

"อืม..."

เสียงของอู๋ยังสะท้อนในหูของเด็กหนุ่มอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงแววตานั้นยามเอ่ยตอบ ทำไมกันหนา ทำไมคนเราจึงยอมทำร้ายจิตใจตนเองด้วยการบอกว่ามีความสุข โกหกแม้กระทั่งตนเองอย่างนั้น ทั้งที่แววตาไม่เห็นด้วยกับคำพูดพวกนั้นเลยสักนิด ทำไมกัน ทำไม... คงเพราะเขาเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะเข้าใจกระมัง ตลอดทั้งคืน อศวมินทร์คิดเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ ผนวกกับเสียงของอินทัชยามกล่าวยังคงดังติดหูไม่ยอมหายสักที กว่าจะหลับก็เกือบรุ่งเช้าแล้ว

เสียงเพื่อนๆ ร่วมห้องต่างกุลีกุจออาบน้ำแต่งตัวกันในช่วงสาย หากทว่าอศวมินทร์ยังไม่ยอมลุกออกจากที่นอนคนเดียว มาวินเห็นดังนั้นจึงเดินไปปลุกเพื่อนด้วยความหวังดี เกรงว่าจะพลาดโอกาสคุยกับลุงของเขา

"มิน ตื่นเร็วเข้า พวกกูจะไปเล่นน้ำกับลุงอ้ายข้างล่าง" มาวินสะกิดคนที่นอนอุตุบนเตียง เมื่อคืนเขากับอศวมินทร์ยึดที่นอน ส่วนคนอื่นก็กระจัดกระจายทั่วห้อง แต่ดูเหมือนคนที่เข้านอนก่อนเพื่อนจะลุกทีหลังเขาเสียได้ "เร็วๆ สิ พวกกูเสร็จกันหมดแล้วนะ มึงไหวไหม"

"ไม่อะ กูรู้สึกไม่ค่อยสบาย มึงไปเล่นกันเถอะกูอยากนอนพักสักหน่อย เดี๋ยวตามลงไปนะ"

"เออได้ พี่คิมครับ! ไปเล่นน้ำกันพี่" มาวินหันไปเรียกรุ่นพี่ที่ยืนจัดแจงสัมภาระอีกฝั่ง คิมหันต์มองน้องชายอยู่ครู่ทั้งเบิกตาฉงนใจ ทั้งๆ ที่ดูเหมือนยังปกติดีแท้ๆ "เอ้า แล้วมินล่ะ"

"มันไม่ค่อยสบายน่ะ ไปเล่นน้ำกับพวกผมนะพี่"

"โห... คงไม่ได้หรอกนะ พี่ต้องอยู่ดูแลมินน่ะ" คิมหันต์ยักไหล่น้อยๆ มองไปยังเตียงด้วยแววห่วงใย หากทว่าคนอ้างว่าป่วยกลับลุกขึ้นนั่งเกาศีรษะ สีหน้ารำคาญอย่างเห็นได้ชัด "นี่มึงบ้าปะวะ กูเป็นผู้ชายกูดูแลตัวเองได้ นี่กูแค่รู้สึกเหนื่อย ลุกเดินเหินได้ปกติไม่ต้องให้ใครมาช่วย เข้าใจไหม มึงมาอยู่ก็ขวางหูขวางตากูเปล่าๆ"

"แต่..." คิมหันต์ลากเสียงอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก ก่อนจะเดินมาทรุดกายนั่งลงจ้องตา ยกมือขึ้นมาอังหน้าผากด้วยความประหลาดแก่ใจ ตัวไม่ร้อน แสดงว่าแค่อยากจะนอนตื่นสายกว่านี้กระมัง ผู้เป็นพี่ชายยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนั้น "งั้นนอนต่อนะ เดี๋ยวอีกสักพักพี่จะเอาของกิน..."

"ถ้ากูหิวเดี๋ยวจะลงไปเอง อย่ามารบกวนเวลากูนอน ไปเถอะไป..."

กลุ่มเพื่อนนั้นล้วนแต่มีคำถามในสิ่งที่อศวมินทร์แสดง เหตุใดจึงตอบสนองความห่วงใยของพี่ชายได้เลวร้ายถึงเพียงนี้เล่า ทั้งที่ดูเหมือนคิมหันต์จะรักและพยายามดูแลอย่างไม่ยอมห่าง ดวงตาของสี่หนุ่มทำได้เพียงเหลือบไปสบมองกันเองอย่างไม่อาจเข้าใจ รับรู้เท่านั้นว่าอศวมินทร์เป็นคนกระด้างเย็นชาเหลือเกิน เกินกว่าจะเข้าใจได้ว่าทำไปอย่างนั้นเพื่ออะไรกัน ทั้งที่พี่ชายก็แสนรักถึงเพียงนั้น

ทั้งหมดลงไปเจอกันข้างล่าง พบอินทัชกับอลิสรออยู่ก่อนแล้วพร้อมโต๊ะอาหารติดชายทะเลบรรยากาศดี อินทัชเตรียมรอไว้ก่อนแล้วเพราะเห็นว่าวันนี้มาวินอยากจะสนุกเต็มที่ จึงตระเตรียมของไว้สำหรับเพิ่มพลังเต็มที่ ในขณะที่ร่วมรับประทานมื้อเช้า คิมหันต์ลอบเสดวงตามองอินทัชอยู่บ่อยครั้ง เพราะปกติอีกฝ่ายจะถามหาอศวมินทร์เป็นคนแรก แต่คราวนี้เมินเฉยจนเขาเองก็นึกฉุน

"ว่าแต่ว่า...น้องมินไม่ลงมาทานข้าวด้วยกันแบบนี้ เป็นอะไรหรือเปล่าคะคุณอ้าย" สาวคนเดียวในกลุ่มเอ่ยถามขึ้น ท่ามกลางเสียงพูดคุยของเด็กๆ มาวินเห็นดังนั้นจึงพยายามคลี่คลายบรรยากาศ "มินมันไม่สบายตัวนิดหน่อยครับพี่อลิส พวกเราเลยปล่อยให้มันนอนพักอยู่ในห้อง"

"อ้าว ไม่ให้น้องเขาทานข้าวทานยาสักหน่อยเหรอคะ" อลิสแสร้งเอ่ยสีหน้าจริงจัง ลอบชำเลืองดูสายตาของชายหนุ่มทั้งหมดจนครบถ้วน "แหม ผู้ชายนี่ยังไงกัน เขาบอกไม่เป็นอะไรก็เชื่องั้นเหรอเนี่ย"

"ผมเชคดูแล้ว ตัวก็ไม่ร้อนนะครับ"

คิมหันต์ตอบเสียงเรียบ ดวงตามองหนุ่มๆ รุ่นน้องอีกสองสามคนกำลังพูดคุยตื่นเต้นเรื่องเครื่องเล่นและเจทสกีที่มีคนขับผ่าน มาวินเองก็เริ่มจะสนใจอยู่เช่นกัน ซึ่งนั่นอยู่ในสายตาผู้เป็นลุงที่นั่งมองอยู่นานแล้ว "ผมว่าเราไปเล่นบานาน่าโบ๊ทกันดีกว่าครับลุงอ้าย อยากลองสักครั้งหนึ่ง ผมอยากถูกเรือนั่นเหวี่ยงแล้วก็เททิ้งลงทะเลแบบพวกเขาบ้าง"

"แต่มันอันตรายนะมาวิน" ผู้เป็นลุงแย้ง เรียกให้หมู่เพื่อนหันมาสบมองคนกล่าวเมื่อได้ฟัง มาวินหน้าร้อนฉ่า อับอายที่ถูกคนคอยประคบประหงมอยู่ตลอดเวลา "ลุงอ้ายชวนผมมาทำไม ถ้าจะให้มานั่งเอาเท้าเขี่ยทรายเล่น ผมเป็นผู้ชายนะครับ ผมดูแลตัวเองได้แล้ว แล้วผมก็ว่ายน้ำเป็นด้วย"

"ใจเย็นสิวิน" อู๋จับบ่าเพื่อน มองผู้เป็นลุงที่ยังนั่งไม่แสดงท่าทีอะไร "ลุงอ้ายครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลมาวินให้ดี ไม่เล่นแผลงๆ ให้มันเจ็บตัวแน่ เพราะอย่างนั้นให้เขาไปเล่นน้ำกับพวกผมได้ไหมครับ" เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ดูท่าแล้วอินทัชเป็นคนใจดีกว่าที่เห็น แม้ท่าทางคล้ายไม่รู้สึกรู้สา แต่แค่มองแววตาก็ทราบได้ว่าชายคนนี้เป็นคนจิตใจดีเพียงไหน

อินทัชทอดถอนใจ มองหลานที่จู่ๆ ก็เอาแต่ใจขึ้นมา "ลุงไม่ได้จะห้ามสักหน่อย แค่เตือนว่ามันตราย เพราะก็รู้อยู่หรอกว่าเด็กผู้ชายห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ แค่ไม่อยากให้เล่นอะไรดื้อๆ ก็แค่นั้น"

มาวินชะงัก "งั้นหรอกเหรอ" ดวงตากวาดมองเพื่อนอย่างละอายแก่ใจ คงเพราะทุกวันมักโดนเย้าเรื่องการอบรมเลี้ยงดูของทางบ้านที่เห็นเขาอ่อนแอ หรือเป็นเด็กไม่รู้จักคิดมาโดยตลอด นั่นทำให้เขารู้สึกอายพื่อนจนระแวงไปเสียหมด "ผะ ผม...ขอโทษครับลุงอ้าย ผมไม่ได้ตั้งใจ..."

"ลุงไม่ชอบเด็กก้าวร้าวเอาแต่ใจ เราก็รู้" ชายหนุ่มถอนใจ หลังจากพยายามอธิบายเหตุผลให้หลานรักฟัง ตั้งแต่รู้จักอศวมินทร์ อินทัชก็ทำความเข้าใจกับตนเองไว้รอท่าแล้ว ว่าสักวันหนึ่งเด็กคนนี้จะต้องมีความคิดเป็นของตัวเอง จะต้องดื้อรั้นเชื่อในความคิดนั้นจนไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ จากเขาอีก นัยน์ตาคมมองไปยังร่างของหลานชายที่เดินมายกมือไหว้อย่างสำนึกผิด ชายหนุ่มทำได้เพียงยกมือลูบศีรษะนั้นอ่อนแผ่วอย่างเข้าใจ

ภาพเด็กๆ กำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานนั้นนับว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้อินทัชมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ ชายหนุ่มยกยิ้ม มองยามเหล่าเด็กหนุ่มทั้งหมดกำลังหยอกล้อ แกล้งเพื่อน เห็นแล้วเขากับอลิสก็พลอยขำขันไปด้วย แต่เพียงไม่นานเท่านั้น อินทัชก็นึกขึ้นมาได้ว่าเกือบจะเที่ยงแล้วและมีอีกคนที่ยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เมื่อคืน จสกการสะกิดของหญิงสาวข้างกาย "เป็นห่วงน้องมินนะคะ ไม่ไปดูเขาหน่อยเหรอ"

นั่นทำให้อินทัชหนักใจ "แต่พี่ชายเขาบอกว่าไม่เป็นอะไรนี่ครับ"

"ฉันขอได้ไหมคะ นี่เป็นยาที่ฉันพกมาด้วยเวลาแพ้อากาศหรือรู้สึกไม่สบาย ช่วยเอาไปให้น้องมินได้ไหมคะคุณอ้าย เพื่อความสบายใจของทั้งฉันและคุณด้วย ฉันรู้หรอกว่าคุณเป็นห่วงเขาน่ะ" หญิงสาวยื่นซองยาใส่มือหนา ฉีกยิ้มให้อย่างเป็นมิตรเช่นเคย หล่อนพยักหน้าให้ความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำเป็นเรื่องที่ดี "น้องเขาต้องมองคุณใหม่ คุณเป็นคนดีจะตาย"

อินทัชไม่สามารถกล่าวอะไรได้ ชายหนุ่มทำได้อย่างเดียวคืองุดลงมองของในมืออย่างช่วยไม่ได้ จนท้ายที่สุดก็ยอมลุกเดินออกไป ท่ามกลางรอยยิ้มของคนมองตามที่นั่งอยู่ตรงนี้ และมาวินที่มองขึ้นไปข้างบน เห็นร่างสูงๆ ของคุณลุงยังหนุ่มกำลังเดินออกไปจากโต๊ะอาหาร แม้จะแปลกใจ หากทว่าความสนุกที่มีก็ปัดเอาความอยากรู้อยากเห็นออกจนหมด

"มาวิน มานี่!" คนตัวสูงดึงเข้าหา มาวินร้องอ๊ากสุดเสียงเมื่อถูกอู๋จับยกขึ้นโยนลงน้ำเสียงดังตูมใหญ่ "ไอ้อู๋ ไหนมึงบอกจะไม่เล่นแผลงๆ ไง!"

"ทำไม จะฟ้องลุงเหรอ ลุงมึงเดินไปโน่นแล้ว" ว่าพลางจะจับโยนอีกรอบ หากทว่าเจ้าตัวเองก็สู้แรงกลับด้วยการกอดคอคนแกล้งไว้แน่น "อย่า ไอ้นี่ น้ำมันแสบตานะมึง!"

"เหรอ ไหน แสบมากไหม" มาวินชะงัก เมื่อไอ้เพื่อนตัวดีดันสำนึกผิดง่ายกว่าที่ควร เด็กหนุ่มผละมืออกจากคนตัวสูงโย่ง ไม่รู้ว่าอู๋พาออกมาไกล ตอนนี้น้ำทะเลสูงถึงคอแล้วหากทว่าบ่ากว้างของเพื่อนจอมแกล้งยังโผล่พ้นน้ำ "เดี๋ยว กูจะจม!"

"เอ้า แล้วปล่อยมือทำไม" มาวินเกาะบ่าคนตรงหน้าหลังจสกอู๋กล่าวคล้ายจะต่อว่าหรือเปรยอยู่ในที เงยตามมือของคนตัวสูงกว่าที่จับเชยขึ้นไปให้ดูว่าลูกตายังอยู่ดีไหม "ไม่ดีเลยว่ะ ตามึงแดงมากเลย กูสักพักคงอักเสบแล้วก็เน่าถ้าไม่หายามาหยอด ถ้าไม่ทันเชื้อโรคคงกัดกินตามึง กูว่าคงอยู่ได้อีกไม่นานว่ะ"

"เฮ้ย..." มาวินหลุดคราง เงยมองหน้าคนตัวสูงกว่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ ข่วงเวลาที่คลื่นแต่ละลูกซัดใส่ทั้งคู่ แรงนั้นทำให้สองร่างขยับแนบชิดกันกว่าเดิม แต่สิ่งที่ทำให้มาวินผละตัวออก คงเป็นรอยยิ้มกวนบาทาของเพื่อนในท้ายที่สุดกระมัง "นี่มึงเชื่ออีกแล้วเหรอเนี่ย โหย...อำโคตรง่ายเลย ฮ่าๆๆ"

"กูไม่ได้เชื่อซักหน่อย"

"เอ้า งอนซะแล้ว มาวิน ไปไหนอะ ไม่เล่นแล้วเหรอ วิน..."

"กูเบื่อมึงโว้ย!" คำพูดกึ่งจริงจังของมาวินดูน่ารักสำหรับคนมองเสมอ หลายครั้งที่เจ้าตัวทำนิสัยโวยวายขี้โมโหใส่เพื่อน แต่ดูท่าจะไม่มีใครเคืองโกรธจริงๆ หนำซ้ำเห็นเป็นเรื่องตลกด้วยซ้ำ เพราะรู้จักดีว่าเด็กคนนี้ดีแค่ไหน "แต่กูไม่เบื่อมึงนะ ไปไหนน่ะ ไปด้วยสิมาวิน"

"มึงไปหาไอ้ปอนด์ไอ้กันโน่น กูจะขึ้นไปกินน้ำ" มาวินดำผุดดำว่ายขึ้นมายังชายหาด ทิ้งกายนั่งบนเก้ากี่เอนหลังของโรงแรมทั้งที่ยังสวมกางเกงตัวเดียว มือหนึ่งยกขวดน้ำขึ้นดื่มส่วนอีกมือก็หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดกายไปพลาง ในขณะที่เนื้อตัวกำลังแห้ง ได้มีเสียงหนึ่งเรียกให้เขาหันไปมองเป้ที่ตระเตรียมมา ในนั้นมีโทรศัพท์ของเขา เด็กหนุ่มยกขึ้นมาตรวจดูข้อความที่เด้งขึ้นบนหน้าจอ

ในขณะที่กำลังยกน้ำดื่มนั้นเอง ด้วยความประหลาดแก่ใจเมื่อเห็นข้อความในโทรศัพท์ เผยว่าอศวมินทร์เป็นคนส่งมา มันหมายความว่าอย่างไรกัน "ลุงอ้ายอยากคุยด้วย" เด็กหนุ่มเปรยกับตนเองสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็ย้อนถามว่าหากอยากจะคุยกันนั้น ทำไมไม่คุยตอนอยู่ด้วยกันตั้งแต่ทีแรก

มาวินส่ายศีรษะสะบัดความคิดออก ลุงอ้ายอาจนึกออกก็เมื่อตอนไปหาอศวมินทร์แล้วก็ได้ สองคนนั้นอาจกำลังคุยธุระที่เกี่ยวกับเรื่องทัณฑ์บนของอศวมินทร์เมื่อวาน เด็กหนุ่มลุกขึ้นสวมรองเท้าแตะ ยกผ้าขนหยูคลุมตัวเดินกลับเข้าไปในโรงแรมทันที

ท่ามกลางสายตาของคิมหันต์ที่มองขึ้นไปจากทะเล "พี่คิม! จะไปไหนอะพี่"

ชายหนุ่มชะงัก หันไปมองปอนด์ที่จับแขนทั้งรอยยิ้ม ท้ายที่สุดก็จำใจยิ้มตอบกลับไปอย่างช่วยไม่ได้ เขาอยากบอกเหลือเกินว่าจะไปไหน แต่ทำได้แค่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แม้สายตาจะหมั่นชำเลืองมองขึ้นไปยังด้านบนแทบทุกนาทีก็ตาม

เกิดอะไรขึ้นกัน มิน... เด็กคนนั้นกำลังคิดจะทำอะไร!

'แม่ทำแบบนี้มินยิ่งจะโกรธนะครับ ได้โปรดเถอะอย่าพาเขาเข้ามาที่บ้านเลย' ภาพในวันหนึ่ง เมื่อครั้งเขาทราบถึงตัวตนของอินทัช ว่าจะต้องมาอยู่ในฐานะพ่อเลี้ยงคนใหม่ แม้จะเห็นอีกฝ่ายแวะเวียนมาเยี่ยมบางครั้งบางคราว ปรางคณางยกย่องเชิดชูว่าเป็นคนดีเหลือเกิน คิมหันต์ไม่ชอบใจเอาเสียเลย นั่นอาจคือความริษยาที่แฝงเร้นมาตลอดก็เป็นได้

'อย่าเกลียดเขา ความจริงแล้วเขาอยู่สูงเกินแม่จะเอื้อมถึง เขาเป็นคนดีที่ยอมสละเพื่อแม่หลายครั้ง มินต้องรักเขาแน่ถ้ารู้ความจริง...'

ความจริง... ความจริงคือเขาไม่มีทางบอกอศวมินทร์เด็ดขาดว่าที่จริงเป็นอย่างไร อินทัชจะต้องถูกน้องชายเขาเกลียด อย่างที่เขากำลังเป็นอยู่ตอนนี้ น่ายกย่องหรือ สูงส่งหรือ น่าขำ! ชายหนุ่มคิดทั้งลากเท้าเดินออกจากลิฟท์คนเดียวเงียบเชียบ ไม่ทันได้มองทางข้างหน้า รู้ตัวก็เมื่อมีใครพุ่งเข้ามาชนเสียแล้ว

"ขะ ขอโทษครับ" อีกฝ่ายเอ่ยเสียงพร่าสั่นจนเรียกให้คิมหันต์ก้มลงมอง ความแปลกใจแล่นเข้าสู่อกเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ร่างที่สวมเพียงกางเกงขาสั้นชันเข่าสิ้นท่า ก้มหน้าลงพื้นเก็บกลั้นความตกใจและน้ำตาตัวเอง "มาวิน เป็นอะไร ทำไมรีบวิ่งออกมา มีอะไรงั้นเหรอ!"

ชายหนุ่มพยุงรุ่นน้องให้ลุกขึ้นยืน หยิบผ้าขนหนูคลุมบ่าให้ ดวงตามองไปยังห้องพักสลับกับมาวินที่ดูคล้ายช็อกหรือตกใจมากจนตัวสั่นเทิ้ม วินาทีนั้นคิมหันต์อยากวิ่งไปยังประตูนั้นที่ถูกเปิดทิ้งไว้เหลือเกิน แต่เขาไม่ทำ เขาไม่อาจตอกย้ำความรู้สึกของมาวินด้วยภาพที่เด็กคนนี้เห็นเมื่อครู่ได้

อินทัช อินทัช!!!




********************************

เอาแล้วไงเอาแล้วไง มาวินนางไปเจออะไรมาน้อ

ให้เก็บเอาไปจิ้นต่อ เอ...หรือว่าไปเห็นเขากำลังขึ้นขี่กันอยู่ ส่วนคิมหันต์ นางฉลาดแต่ก็ร้ายกาจ เป็นคนเลวในคราบคนดี มีคนที่รู้จักนิสัยคิมดีที่สุดก็คือมิน เอาล่ะซี่ นางเก็บความลับอะไรของลุงอ้ายไว้น้า ติดตามตอนหน้า อิอิ อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้า ขอบคุณค่าาาา

หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๕ |||★ [04/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 04-10-2015 21:32:39
เอาแล้วซิ ก้าวแรกของการเริ่มต้นแก้แค้น

ก็ทำให้มาวินน้ำตาตกซะแล้ว

แล้วลุงอ้ายละจะเป็นยังไงอยากรู้จริงๆ เลย

ไรท์มาต่อตอนต่อไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

เค้าอยากรู้แล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ ๑๕ |||★ [04/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 04-10-2015 22:17:17
เอาแล้วซิ ก้าวแรกของการเริ่มต้นแก้แค้น

ก็ทำให้มาวินน้ำตาตกซะแล้ว

แล้วลุงอ้ายละจะเป็นยังไงอยากรู้จริงๆ เลย

ไรท์มาต่อตอนต่อไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

เค้าอยากรู้แล้วว่าจะเป็นยังไงต่อไป


อัพได้เร็วสุดวันเว้นวันนะคะ แค่นร้ก็รู้สึกว่าสกิลการเขียนกากลงเยอะเลย  T T
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 15 |||★ [04/10/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: ummax ที่ 05-10-2015 01:18:47

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 16 |||★ [11/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 11-11-2015 22:47:04
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๖

หนึ่งชั่วโมงก่อน

เสียงบานประตูขยับเขยื้อนออกทีละเล็กน้อยจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด เจ้าของร่างสูงผู้เป็นคนเปิดก้าวเท้าเดินเข้ามาด้านใน ดวงตากวาดมองรอบห้องพัก ยามนี้เที่ยงแล้วทว่าคนในห้องยังปิดม่านไว้สนิท มืดสลัว ใจของเขาเต้นตึกตักครั้นเหลือบไปเห็นใครนอนสงบอยู่บนเตียงนอน ยังไม่รู้สึกตัวสักนิดเดียว อินทัชลอบถอนใจแม้ไม่มีใครเห็นก็ตาม ชายหนุ่มก้มลงมองยาในมือ แค่จะเอามาให้ตามที่อลิสต้องการเท่านั้นเอง ไม่ได้นึกห่วงใยแต่อย่างใด ชายหนุ่มเอาแต่คิดหาคำแก้ตัวในใจทั้งเอาแต่มองคู่กรณีที่ยังหลับ

ร่างสูงทรุดกายนั่งลงขอบเตียงอย่างระแวดระวางท่าที ครั้นแน่ใจแล้วว่าสมควรหรือไม่สมควร มือหนาจึงขยับไปลองอังหน้าผากผู้เจ็บไข้ดูว่าตัวร้อนหรือไม่ เพียงแค่นี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกตัว จากที่นอนตะแคงหันหลังให้ อศวมินทร์ก็สลึมสลือพลิกกายนอนหงายหาที่สบายเนื้อตัว ระหว่างนั้นก็ขยับริมฝีปากบางพึมพำ อินทัชฟังแล้วได้ใจความเล็กน้อยว่า "บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร กลับไปเล่นน้ำไปคิม"

คิม... ผู้ซึ่งได้ยินมองใบหน้าคนหลับนิ่ง ในใจแย้งว่าไม่ใช่ ตนไม่ใช่คิมหันต์สักหน่อย แต่แน่นอนว่าไม่มีทางเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศนี้ คุณลุงคนนี้ชื่นความสงบร่มเย็นมากกว่ารบรากับใคร แต่แน่นอนว่าบางทีก็ระงับจิตใจอีกฝ่ายตามใจตนเองได้ยากนัก

 "อ้าว ไม่ใช่ไอ้คิมหรอกเหรอ" อินทัชชะงัก ในยามที่ดวงตากำลังเลื่อนลอยออกไปด้านอื่น เขาไม่อาจทราบได้ว่าเด็กคนนี้ตื่นเมื่อไร มารู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงและถูกดวงตาเย็นเฉียบคู่นี้จับจ้องเสียแล้ว ชายหนุ่มกระพริบตาตนเองถี่รัวราวกับถูกเด็กคนนี้คาดโทษไว้ล่วงหน้า ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่แสดงท่าทีอะไร ดูเหมือนเขาจะร้อนตัวไปเองเสียมากกว่า แต่เขาจะเป็นอย่างนี้นานไม่ได้ คิดแล้วดังนั้นจึงยกยาในมือขึ้นให้เห็นพร้อมแจงธุระของตน "อลิสเป็นห่วงว่าอาการเธอจะหนักก็เลยให้ฉันเอายามาให้ กินยานี่ซะ"

ในระหว่างที่อินทัชวางของลงบนโต๊ะโคมไฟ เด็กหนุ่มผู้รับฟังเล็งเห็นสายตาของอีกฝ่ายคล้ายกำลังกังวลใจ แต่ไม่เอ่ยถามในตอนนั้น คิดว่านั่นอาจจะเป็นอาการของคนประหม่ากระมัง เขาทั้งคู่ไม่เคยญาติดีกันนับตั้งแต่มารดาเขาเสีย คงรู้สึกแปลกอยู่ทีเดียวหากต้องพูดจาดีต่อกัน อศวมินทร์คิดอยู่ว่าจะเอาคืนอย่างไรให้สาสมและแยบยลที่สุด และการพูดจาดีอย่างไม่โผงผางก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น แม้ใจเอาจะไม่อยากทำก็ตาม

ใช่...มันคือเกม ใครเจ้าเล่ห์อย่างแยบยลที่สุด คือผู้ชนะ

"ที่จริงถ้าไม่เต็มใจมาก็อย่าฝืนเลยลุงอ้าย คุณเองก็รู้ว่าผมจะอารมณ์เสียถ้าเห็นหน้าคุณนานๆ" ดวงตาคมมองไปยังอินทัช เพ่งบนใบหน้าของอีกฝ่ายคล้ายอยากทราบความจริง แค่คิดว่าตนได้แก้เกมและพลิกมาเป็นฝ่ายควบคุมทั้งหมด จู่ๆ รอยยิ้มพราวก็ผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

"เอ...หรือว่าที่จริงแล้วคุณเป็นห่วงผมล่ะ คุณลุง" ว่าพลางขยับตัวลุกขึ้นนั่ง เผชิญหน้ากับชายที่ตนเกลียดที่สุด แน่นอนว่าการทำเช่นนี้เขารู้สึกสนุก รู้สึกดีที่เห็นท่าทางการตอบรับของอินทัชในแบบต่างๆ จะมีอารมณ์หรือไร้อารมณ์ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความท้าทายที่จะต้องทำ ความคิดของอศวมินทร์นั้น เริ่มจะเยือกเย็นขึ้นมาทีละเล็กน้อยแล้ว เขารู้สึกขอบคุณอินทัชอย่างสุดซึ้งที่เสี้ยมสอนให้เป็นเช่นนี้ "ที่จริงเมื่อก่อนเพราะผมเห็นว่าคุณช่างเป็นคนแสนดี ผมถึงได้เปิดใจรับทั้งที่ไม่ควร จะว่าไปแล้วนั่นแหละที่ทำให้ผมจำขึ้นใจ ว่าไม่ควรฝืนทำสิ่งที่ไม่ควรทำตั้งแต่แรก คุณคือคนที่ทำลายความหวังของผมไปหมดทั้งชีวิต"

"มิน"

"แต่ไม่ต้องห่วง ผมหายเจ็บแล้ว ผมโอเคทีเดียว" เด็กหนุ่มกล่าวแววตาประกายผสมรอยยิ้ม มองออกไปยังผ้าม่านสีทึบริมหน้าต่างอยู่นิ่งราวกับหุ่นถูกสตัฟทิ้งไว้หลายร้อยปี เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำและมีมนต์ขลัง ซึ่งแน่นอนว่ากำลังร่ายคำสาปให้คืบคลานเข้ามาสู่ร่างกายอินทัชอย่างหนาวเหน็บ "แต่จำไว้นะ จำไว้ ผมไม่ลืมความเจ็บตอนนั้นแน่ คุณบอกว่าคุณจะกอดผม บอกว่าจะจูบผม คุณหลอกผม ผมจำได้ทุกถ้อยคำที่คุณพูดกับผม ยิ้มให้ผม คุณไม่เข้าใจหรอกว่าวินาทีที่ถูกทำอย่างนั้นมันเป็นยังไง แล้วก็ไม่มีทางเข้าใจด้วย"

ดวงตาเด็กหนุ่มทอดมองออกไป นิ่งเงียบ ราวเวลาหยุดหมุนไปชั่วขณะ อศวมินทร์หันมามองคนฟังที่ยังนั่งนิ่งเงียบ ราวกับได้สำนึกในสิ่งที่กล่าวถึงอย่างรู้หน้าที่ เรียกเจ้าของโครงหน้าหล่อขยับเคลื่อนเข้าไปมองขนาบใกล้ เรียกให้อินทัชถึงกับตกใจกับความแนบชิด ชายหนุ่มเบิกตาประหลาดแก่ใจยิ่งเมื่อเห็นว่ามันเกิดขึ้นไวกว่าการควบคุม

"อะ อะไร..." คุณเป็นลุงย้อน

เด็กหนุ่มหรี่ตา เค้นมองใบหน้าคมของอีกฝ่ายกึ่งใช้อารมณ์ "นี่คุณ คุณตั้งใจจะทำลายความรักของผมให้ไม่เหลือชิ้นดีเลยใช่ไหม สะใจมากใช่ไหมที่ทำลายความรู้สึกผมได้ ยิ่งผมเทิดทูนคุณเท่าไร คุณยิ่งอยากจะเหยียบย่ำ โรคจิตใช่ไหมถึงทำหน้าไม่รู้สึกรู้สาตลอดเวลาแบบนี้!"

"บ้าน่า! เพราะคิดเองเออเองแบบนี้ไง" อินทัชผงะครั้นพ่นคำตอบกลับไปจบแล้ว แต่ยามสติไล่วนคำที่อศวมินทร์กล่าวมาเมื่อครู่ให้เข้าใจ ชายหนุ่มตัวชากับสิ่งที่เพิ่งทราบ ดวงตาคมเบิกโพลงทั้งริมฝีปากอ้าค้างหาคำกล่าวต่อไม่ได้ ราวสมองตื้อเบลอไปฉับพลัน

นั่นหมายความว่าอศวมินทร์รักและเทิดทูนเขามากจริงๆ มากจนผิดหวังและหาอะไรมาเปรียบมิได้ ชายหนุ่มตัวแข็ง ใบหน้าตอนนี้ไม่อาจทราบว่าตนกำลังแสดงตอบกลับไปให้เด็กหนุ่มเห็นอย่างไร อินทัชทำได้เสียงบังคับใบหน้าและศีรษะให้ไปตามต้องการ อีกทั้งประมวลคำที่จะเอ่ย "ฉัน ไม่รู้ว่าเธอ..."

"คุณรู้ คุณถึงได้มีเซ็กส์กับผมทั้งที่รู้ว่าตัวเองเป็นสามีของแม่ผม รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่คุณไม่ยอมรับอะไรเลยแม้กระทั่งตอนนี้ก็ไม่..." อศวมินทร์ลากเสียงกึ่งใช้อารมณ์อีกครั้ง เสียงดังขึ้นจนอินทัชหน้าชาเมื่อเห็นนิ้วชี้เรียวของเด็กหนุ่มจิ้มกลางอกเขาให้คิดทบทวน สีหน้าของอศวมินทร์ดูคล้ายอยากจะระเบิดออกมา ก่อนหันไปด้านอื่นพยายามใจเย็นอย่างที่สุด

"รู้อะไรไหม มันเหนื่อยเหมือนกันนะที่ต้องโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลา"

รู้ซี...แต่จะทำอย่างไรเล่า ต้นเหตุมันเกิดจากเขา

"ฉันคงไม่เห็นแก่ตัวขอให้เธอหายแค้นหรอก แค่หวังว่าสักวันความรู้สึกเธอจะเปลี่ยนไปก็แค่นั้น แต่ฉันยังคงเหมือนเดิม..." ลำเสียงคนกล่าวผลุบหายเข้าในลำคอ พร้อมนัยน์ตาคมเบิกกว้างอย่างไม่ทันตั้งตัว อินทัชทำได้เพียงเบิกตามองอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นเพียงใบหน้าอศวมินทร์แนบชิด รับรู้ว่าตอนนี้เขากำลังถูกอศวมินทร์นำจูบ ซึ่งนั่นส่งความรู้สึกโหยหาได้อย่างน่าสงสาร อินทัชราวถูกปืนจ่อที่ศีรษะทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อกับรสสัมผัสในช่องปาก มีเพียงลูกตาซึ่งเคลื่อนไปตามมือไม้ของอีกฝ่ายที่ขยับมากอดรัด

เกิดอะไรขึ้น อศวมินทร์คนเจ้าอารมณ์หายไปไหน

ชายหนุ่มสมองตื้อชาไร้ความรู้สึก ตรองอยู่ในใจว่าเด็กคนนี้อยู่ในอารมณ์ใด หรือจะสำนึกและเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาได้แล้วจริงๆ หรือนี่จะเป็นการเอาคืน จะเล่นกับความรู้สึกของเขาตอบกลับมาบ้าง เดาจากการเปรียบเปรยของอศวมินทร์ที่พูดก่อนหน้า คิดแล้วอินทัชก็งุนงงสับสันแทบหัวระเบิด ยามได้เห็นแววตาของคนกระทำตรงหน้า ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่พอจะสามารถบอกได้

สีหน้ายามเด็กหนุ่มผละออกมานั้น อินทัชไม่อาจเดาเห็นความจริงอะไร แววตาของอศวมินทร์นั้นทำเพียงหลุบมองริมฝีปากของเขาเชื่องช้าอย่างที่เคยทำ ก่อนจะเชยตามาสบ เพียงแต่คราวนี้ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีคำพูดแสนหวานเหมือนก่อนหน้า "คุณจะไม่ตอบรับก็ได้ ผมแล้วแต่ แต่ถ้าไม่ปฏิเสธออกมาอย่างเด็ดขาดผมก็จะไม่หยุดเหมือนกัน"

อะไรกัน...

เขาเห็นสิ่งหนึ่งที่หลงเหลือในแววตานั้น ความอาลัยอาวรณ์

อินทัชผวา เมื่อถูกผลักให้ล้มตัวลงนอนใต้ร่างคนกล่าวอย่างเอาแต่ใจ คนป่วยลุกขึ้นคร่อมทับมาบดเบียดกาย เฉลยอยู่เป็นนัยว่าไม่ได้เป็นหนักหนาอะไร แต่ยามนี้ใครจะคิดเรื่องขี้ปะติ๋วนี่กัน เขาไม่ได้คิดอะไรเลยต่างหาก สมองมันโล่งและว่างเปล่าไร้ความคิด มึนเบลอราวถูกเวทมนต์สะกด ชายหนุ่มเห็นเพียงผ้าม่านกำลังสะบัดปลิวเบาหวิวไม่ทราบทิศทางลม คล้ายความรู้สึกเขาตอนนี้ที่ไร้คำบรรยาย อีกทั้งความหมายของสายตาเมื่อครู่ที่เขาเห็นนั้นแม้มีเพียงน้อยนิด เขาควรจะเชื่อมั่นหรือไม่...

อินทัชตอบไม่ได้

"เงียบเหรอ แปลว่าอยากสินะคุณลุง" เด็กหนุ่มแสร้งเย้าเสียงพร่าขณะโน้มลงมา มองโครงหน้าหล่อที่ทำเพียงผูกปมคิ้วเบนสายตาไปด้านอื่น แต่ยามนี้ใครจะสนว่าคิดอะไรอยู่ สิ่งนี้คือสิ่งเดียวที่จะเหยียบย่ำอินทัชได้! แม้จะกล้ำกลืนฝืนทน ภาพตอนอินทัชกกกอดปรางคณางอย่างอบอุ่นยังกระจายอยู่เต็มหัว ภาพยามอินทัชมีเซ็กส์กับมารดาเขายังบีบอัดในอก บาปที่รู้ว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น และแม้จะคิดว่าอินทัชน่าจะฉลาดพอที่จะปฏิเสธ แต่เด็กหนุ่มไม่สน อดทนมองสีหน้าตรมตรอมของอีกฝ่ายด้วยความสะใจ

ให้อีกฝ่ายทั้งสุข ทั้งทุกข์ในเวลาดียวกัน!

"เรามาลงนรกด้วยกันเถอะ..."


-ละไว้ในฐานที่เข้าใจ-


กี่โมงกี่ยามแล้วหนอ นานเท่าไรที่เขายังนอนนิ่งบนเตียงเช่นนี้ นอนมองร่างสูงของเพื่อนหลานชายที่อยู่ห่างออกไปอยากให้เป็นแค่เพื่อนหลานชายเหลือเกิน อินทัชครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบเชียบ มองแผ่นหลังกว้างนั้น ช่างห่างไกลนัก อินทัชทิ้งกายนิ่งมองอีกฝ่ายที่ยังดูแข็งแรงดีกว่าคนไม่ป่วยเสียด้วยซ้ำ อศวมินทร์ลุกไปอาบน้ำอาบท่าแต่งตัวจนลืมด้วยว่าเขาอยู่ที่นี่ อินทัชรีบขยับกายลุกขึ้นบีบขมับตนเอง หยิบเสื้อผ้ามาสวมเงียบๆ ราวกับสิ่งที่เพิ่งทำกันนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดีเหมือนกัน เขาเองก็อยากลืมมันไป

"เสร็จแล้วผมอยากไปที่ที่หนึ่ง คุณมีแรงพอจะพาผมไปไหม" อศวมินทร์เอี้ยวตัวถาม เห็นอีกฝ่ายยังดูปกติดี ไม่แสดงท่าทีอะไรอย่างที่คิดไว้ นั่นแหละดีแล้ว จงแข็งแกร่งและอย่าอ่อนแอให้เขาเห็นเด็ดขาด ไม่อยากนั้นเขาจะย้ำจุดนั้นซ้ำๆ ไม่ให้ลุกขึ้นมาได้เลย

"ได้สิ จะไปไหนล่ะ"




ชั่วโมงถัดมา

เสียงเกลียวคลื่นสาดซัดขึ้นมาบนชายหาดสีขาวสะอ้านสะท้อนแสงแดดจนเกิดประกายระยับ ร่องรอยฝีเท้ามนุษย์สองคู่ประทับไว้อยู่ริมหาดยาวไปจนสุดสายตา หยุดอยู่ที่คนคู่หนึ่งซึ่งกำลังย่างเดินเอื่อยอย่างไร้จุดหมาย เสียงลมพัดโกรกเข้าหูดังผึบผับไม่ได้เรียกเด็กหนุ่มให้เงยขึ้นมาคุยสักที จนคนตัวสูงกว่าถึงกับร้อนใจ อยากจะพูดคุยไถ่ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น

มาวินยกผ้าขนหนูขึ้นพาดบ่า มองออกไปเบื้องหน้าเห็นเป็นโรงแรมที่เขาและคิมหันต์เลือกเดินออกมาก่อนหน้า กลุ่มคนกำลังเล่นน้ำกับคนพิเศษอย่างสนุกสนานอยู่ไม่ไกลนัก หากทว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคนนี้ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย

"ตกลงจะบอกได้รึยังว่านายไปเจออะไรมา นายเห็นมินทำอะไร บอกพี่ได้นะมาวิน"

คิมหันต์ก้มลงมองคนซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเอาแต่ก้มลงมองเท้าตนเองยามย่างเดิน ดูคล้ายใจเย็น แตกต่างกับอารมณ์ของเขาตอนนี้อย่างสิ้นเชิง มันปะทุเดือดดาลอยากจะวิ่งไปเค้นถามเอาความจริงกับน้องชายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่แน่นอนว่าเค้นอย่างไรอศวมินทร์ก็ไม่มีทางบอก ไม่อย่างนั้นคิมหันต์ไม่ทนรอฟังกับเด็กคนนี้อย่างที่ทำอยู่หรอก ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ มองดวงตารุ่นน้องที่เงยมาสบอย่างนึกหวั่นว่าควรพูดหรือไม่ มาวินมองออกไปเบื้องหน้า ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเองก็คงอึดอัดไม่น้อยตั้งแต่ได้เห็น อยากจะระบายออกมาอยู่เหมือนกัน

"พี่คิม พี่อยู่กับไอ้มินมาตั้งแต่เด็ก..." มาวินเปรย ดวงตาพยายามมองทางเบื้องหน้าไม่หันมาสบตากับผู้ฟัง หากแต่คิมหันต์เห็นว่าอีกฝ่ายดูหายใจติดขัด ดวงตากลอกไปมานั้นแสดงออกว่ากำลังหวาดวิตกหรือหนักใจอยู่ เขาก็รู้ทันทีว่านั่นอาจไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวเขา ชายหนุ่มทำเพียงขานรับในลำคอ ฟังว่ามาวินจะกล่าวอะไรต่อ "พี่เป็นพี่ชายมัน โตมากับมัน พี่...เอ่อ พี่พอจะรู้เรื่องที่มันชอบ...ชอบผู้ชาย ไหมครับ"

คิมหันต์ชะงักเท้า มองเด็กที่เดินข้างกายซึ่งเดินนำหน้าไปเพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดหันมาสบมอง แน่นอนว่ามาวินดูลุกลี้ลุกลนเมื่อได้กล่าว "ผม...ผมแค่อยากรู้น่ะพี่ ตอนนั้นผมไม่คิดว่ามันเป็นเกย์ คิดว่ามันถูกเขาบังคับให้ทำ เห็นใจมันก็เลยเสนอ...เอ่อ ช่างมันเถอะ..."

"นายไปเห็นอะไรไม่ดีมาใช่ไหม"

"หา...ปละ เปล่าพี่ ผม..." มาวินยกยิ้มกลบเกลื่อน ยื้อแขนกลับเมื่อเห็นแววตาซึ่งเคยอบอุ่นของพี่ชาย 'อดีต' เพื่อนแปรเปลี่ยนมาดุกร้าว แต่เพียงไม่นาน เมื่อเห็นว่ามาวินพยายามยื้อต้นแขนกลับเพื่อต่อต้าน คิมหันต์ปรับอารมณ์พลางปล่อยให้รุ่นน้องเป็นอิสระอย่างที่ต้องการ เพียงแค่คิด อารมณ์เขาก็ทะยานขึ้นอย่างไม่สามารถห้ามได้ ชายหนุ่มระบายลมหายใจ มองมาวินซึ่งอยู่ในเวลาประหม่าและสับสน "ช่างมันเถอะพี่ เอาเป็นว่าผมคิดผิดละกัน ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วงความรู้สึกผม"

"พี่ไม่ได้ห่วงความรู้สึกนายว่ะ ที่พี่ทำ ทำเพื่อความรู้สึกตัวเอง" คิมหันต์ส่ายหน้า เมื่อท้ายที่สุดก็พากันเดินมาถึงประตูรั้วหินสูงของโรงแรม ด้านหน้าเป็นบันไดสำหรับเดินจากชายหาดขึ้นไป ชายหนุ่มเลือกที่จะขยับลำขาเดินนำ "บอกตรงๆ นะ พี่แค่อยากจะรักษาความรู้สึกตัวเองก็เลยทำแบบนี้ นายไม่ต้องมาขอบคุณหรอก พี่พอจะเดาสถานการณ์ออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ไปล่ะ"

"หมายความว่าไง แปลว่าพี่รู้มาโดยตลอดเลยใช่ไหม พี่คิม" มาวินเดินตาม ขณะสาวเท้าขึ้นบนบันไดหินสี่ห้าขั้นก็เงยมองพี่ชายข้างกายไปด้วยความฉงน "ไอ้มินมันคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วเรื่องที่บ้านพี่เกิดอะไรขึ้น มีมากกว่าเรื่องลุงอ้ายใช่ไหม ผมไม่เชื่อหรอกว่าที่มันมีปัญหามากขนาดนี้เพราะว่าไม่ยอมรับลุงผมเป็นพ่อเลี้ยงอย่างเดียว มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นสิ"

"ไม่มีอะไรหรอก ก็เหมือนที่นายไม่อยากเล่าเรื่องวันนี้ให้ฉันฟังไง"

"ทำไมพี่ต้องย้อนผมแบบนี้ด้วยวะ" มาวินเกาศีรษะ เรียกให้คิมหันต์ต้องเหลียวมอง ชายหนุ่มเงียบคิดไปอยู่ครู่ ซึ่งนั่นยิ่งสร้างความไม่พอใจให้คนรอเป็นอย่างมาก "ผมว่าเราสองคนต่างควรรู้ทั้งสองอย่าง"

"ทำไมคิดงั้น"

"ผม...ยอมรับก็ได้" มาวินเปรยเป็นรอบที่สอง มือที่ไม่อาจวางไว้ตรงไหนขยับกอดอก มองทอดไปยังเบื้องหน้า เห็นว่าทั้งคู่กำลังจะขึ้นลิฟท์มุ่งหน้าไปยังห้องพัก หลังจากพากันเดินหนีออกมาได้นานพอควร เกรงว่าจะมีคนเป็นห่วง เด็กหนุ่มนึกถึงภาพที่ตนเห็น ถ้อยคำที่ตนได้ฟังแล้วใจเบาหวิว กลั้นลมเอ่ยต่อไปอีก "ผมยอมรับ ว่าที่ทำไปทั้งหมดนี่ก็เพื่อตัวเองเหมือนกัน ผมไม่อยากรู้สึกผิดหวัง ไม่อยากเสียความรู้สึก ถ้าผมได้รู้อะไรสักอย่างมากขึ้นอีก คิดว่าคงรับมือได้กว่าที่เป็นอยู่นี่ แน่นอนว่าการที่ผมรู้เรื่องไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่ผมจะดีขึ้นถ้าไม่ตกใจกับมัน"

คิมหันต์เองก็เช่นกัน ชายหนุ่มก้มลงมองพื้นขณะกล่องสี่เหลี่ยมที่โดยสารเคลื่อนขึ้นไปยังชั้นด้านบน แต่แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่ใจเขาจะตรงกับมาวิน ทุกอย่างไม่มีทางเหมือนกันทุกระเบียดนิ้วได้ นัยน์ตาคมชำเลืองมองเด็กหนุ่มข้างกาย บัดนี้กำลังครุ่นคิดอยู่ในโลกส่วนตัว ได้เงยขึ้นมาสบตาทันทีที่เขาเอ่ยออกไปว่า

"งั้น เราสองคนมาแลกเปลี่ยนกันไหม..."

เสียงสัญญาณลิฟท์เปิดมิได้ทำเด็กหนุ่มผู้กำลังเลือกเดินนำออกไปสนใจ ยามนี้ดวงตาได้จับไปที่อีกฝ่ายซึ่งได้เอ่ยถ้อยคำเรียกให้มาวินนึกคิด เมื่อท้ายที่สุดคิมหันต์ก็เป็นฝ่ายเดินนำออกไปก่อน สร้างความฉงนแก่ใจเขาไม่น้อย คำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบแบบจริงๆ จังๆ หรอกหรือ หรือรุ่นพี่คนนี้ทราบคำตอบอยู่ในใจแล้ว มาวินเร่งสาวเท้าตามเพื่อค้นหาคำตอบตัวเองมากกว่า "ก็ได้ พี่ต้องบอกในสิ่งที่ผมอยากรู้ แล้วผมเองก็จะบอกในสิ่งที่พี่อยากรู้เหมือนกัน โอเคไหม"

สิ้นคำ คิมหันต์ชะงักเท้าแทบจะทันที หันไปสบตามาวินอยู่ครู่ก่อนจะยอมเผยรอยยิ้ม ตอบกลับใบหน้าแสนมุ่งมั่นไม่เข้าท่าของอีกฝ่ายอย่างขบขัน ยิ่งเจ้าตัวแสดงทำเป็นยื่นมือขอกระชับสัมพันธไมตรีด้วยแล้ว ยิ่งสร้างรอยยิ้มให้กับชายหนุ่ม ราวกับคนทั้งคู่กำลังสมคบคิดเพื่อทำเรื่องอะไรแผลงๆ ในอนาคต เขารู้ รู้ดีว่ามาวินยังเด็กขนาดไหน เด็กพอที่จะไม่รู้ทันเขา

มาวินแยกไปเข้าห้องพักก่อนเพื่อชำระร่างกาย คราแรกก็เห็นกลุ่มเพื่อนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพอดี เด็กหนุ่มกวาดสายตามองหาอศวมินทร์ทว่าไม่เห็น ในตอนแรกเขาฉุกคิดคำถามขึ้นมาในใจว่าหายไปไหน แต่เพราะสวมเพียงกางเกงว่ายน้ำและเดินตากลมอยู่นาน ทำเอาเขาคัดจมูก หนำซ้ำเพื่อนยังเทียวไล่ให้ไปจัดการตัวเอง แทนที่จะตอบคำถามที่เขาถามไป มาวินจึงจำต้องละไว้ก่อน กระทั่งเสร็จธุระ เด็กหนุ่มทั้งหมดเอื่อยเฉื่อยกันในห้องพักอยู่สองสามชั่วโมง อศวมินทร์ก็กลับมา

แน่นอนว่าคิมหันต์คือคนแรกที่ถามว่าไปไหนมา อศวมินทร์ทำเมินกับคำถามของพี่ชายอย่างเช่นทุกครั้ง เดินไปถอดเสื้อผ้าและเข้าห้องน้ำ ทำราวกับว่าคิมหันต์เป็นอากาศธาตุไป มาวินเห็นแล้วทำได้เพียงอย่างเดียวคือส่ายหน้า ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เขาเหนื่อย ปวดหัว อยากนอนพักผ่อนสักนิด แต่เพียงล้มตัวลงนอนและหลับตา ภาพของอศวมินทร์และผู้เป็นลุงยังฉายเด่นอยู่ในหัว สองคนนั้นกำลังทำและพูดอะไร มันไม่ตกหล่นแม้แต่ห้วงวินาที เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจ พยายามสะบัดความโสมมนั่นออกไปจากความคิดอยู่หลายหน พร้อมกับตั้งคำถามว่าเหตุใดอศวมินทร์จึงต้องทำเช่นนี้ ตั้งใจให้เขารู้เรื่องนี้ทำไม...

ไม่รู้นานเท่าไรในห้วงความคิดนั้น มาวินทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า จนสุดท้ายเป็นการขับกล่อมให้เขามัวเมาในความฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าตนหลับไปนานเท่าไร ได้ยินเสียงของอลิสเคาะประตูห้อง เพื่อนๆ บ่นอะไรสักอย่าง และมือของใครสักคนกำลังสัมผัสแผ่วอ่อนบนเส้นผม ในยามนี้อาจดีที่จะหลับต่อไป ปลายนิ้วอุ่นที่แผ่กระจายบนหน้าผากชวนให้เขาไม่อยากลุกจากเตียงนอน นิ้วมือของลุงอ้าย เขาจำได้ ในยามเด็กเขามักให้คุณลุงกล่อมเขานอนด้วยวิธีนี้

"มาวิน..."

เสียงเรียกกึ่งรีบเร่งไม่ได้ปลุกเขาให้ตื่น เป็นเพราะกำมือหนาที่เทียวเขย่าไหล่จนสะเทือนไปทั้งร่าง มาวินลืมตามองคนด้านบน เป็นอู๋ที่ก้มลงมาปลุกด้วยความกระด้างอย่างเคย คนเพิ่งตื่นมุ่นคิ้วที่เห็นเป็นเจ้าโย่งคนนี้ แทนที่จะเป็นลุงอินทัช เด็กหนุ่มลุกขึ้นนั่งขยี้ตา "อะไรวะมึง ปลุกกูทำไม"

"ไปโรงพยาบาล ไปหาลุงอ้าย"

มาวินเบิกตา "ลุงอ้ายเหรอ ลุงอ้ายเป็นอะไร"

"พี่อลิสบอกว่าลุงอ้ายหายไปตั้งแต่ตอนเที่ยง โทรศัพท์ก็ทิ้งไว้ที่ห้อง นี่เพิ่งจะติดต่อมาจากโรงพยาบาล กูเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง" อู๋ตอบทั้งรีบสวมเสื้อแจ๊คเกตทับเสื้อยืด เดินไปหยิบสัมภาระตัวเองอีกมุม

"แต่เมื่อกี้ลุงอ้ายยังมาลูบหัวกูอยู่เลยนะ" เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเล่า เรียกให้เพื่อนตัวสูงถึงกับชะงักขา เก็บโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์สอดในกระเป๋ากางเกงอยู่เงียบๆ "สงสัยกูคงฝันไปว่ะ แล้วนี่พวกไอ้มินลงไปก่อนแล้วใช่ไหม"

"นี่มันสองทุ่มแล้ว ไอ้กันกับไอ้ปอนด์มันเลยลงไปกินข้าวข้างล่าง ส่วนไอ้มินกับพี่มันกลับไปตั้งแต่อาบน้ำเสร็จแล้วว่ะ มึงหลับไปก่อนเลยไม่รู้ กูไม่อยากปลุกด้วย"

"เหรอ..." เด็กหนุ่มทำได้เพียงย้อนถามเช่นนี้จริงๆ เมื่อสมองประมวลผลออกมาให้เขาตระหนักเห็นอะไรบางอย่าง คนสุดท้ายที่อยู่กับอินทัชคืออศวมินทร์ หมอนั่นหายไปในช่วงเวลาที่อินทัชหายไปพอดี มาวินหน้าชา ความร้อนวูบวาบแล่นขึ้นมาบนใบหน้าเมื่อได้ฟังเช่นนั้น แม้ไม่อยากคิดในแง่ร้าย แต่สถานการณ์ของอินทัชทุกอย่างที่เขาประติดประต่อได้ ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับอศวมินทร์ทั้งสิ้น มาวินเชื่อว่าต้นเหตุการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้ของลุงอินทัช

เป็นเพราะอศวมินทร์แน่!



****************************************************
หายไปนานมาก จนคนอ่านคิดว่าหายสาบสูญ

เพราะว่ามัวแต่ไปติดซีรี่ส์ ดูหนังที่เตรียมไว้ อ่านนิยายที่อยู่ในไหอ่านที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ แล้วก็ยาวไปเรื่องอื่นอีกหลายอย่างค่ะ มีทุกเหตุผลที่ทำให้คนเถลไถล เง้ออออ กลับมาแล้ว ออกมาจากหลุมแล้วค่ะ เค้าขอโทษที่ทำให้รอนาน

เจอกันใหม่ตอนหน้าจ้า











หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 16 |||★ [11/1/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 12-11-2015 14:19:59
ที่แล้วๆ มา ลุงอ้ายนอนกับมินนี่จะบอกว่าอารมณ์ชั่ววูบยังงั้นใช่มั้ย ลุงอ้ายแม่งไม่มีความรับผิดชอบเลย

ไม่รักก็อย่ามานอนกับมินซิ ถึงมินจะยั่วก็มีวิธีหนีตั้งเยอะ แม่งเกลียดลุงอ้ายว่ะตอนนี้
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 16 |||★ [11/1/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 13-11-2015 01:49:44
รอตอนต่อไปนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 16 |||★ [11/1/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-11-2015 05:50:34
เรื่องเข้มข้นมากครับ
ไม่ชอบพี่คิมเอาเลยจริงๆ เห็นแก่ตัว
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 17 |||★ [13/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 13-11-2015 15:47:35
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
๑๗

เสียงโทรศัพท์หวีดร้องเป็นทำนองคุ้นหู สะท้อนโสตประสาทผู้ที่ทิ้งกายนอนแผ่หลาบนเตียงนอนภายในห้องพัก มันเงียบเชียบ มืดสนิท มีเพียงแสงอันริบรี่จากหน้าจอเครื่องมือติดต่อสื่อสารกะพริบสว่างวาบ สั่นครืดอยู่อย่างเรียกร้องให้เจ้าของมันหันมากดรับ แต่ไม่เลย เด็กหนุ่มเพ่งมองภาพเพดานเบื้องหน้า เลื่อนลอยไปห่างไกลจากห้องนอนตัวเองเหลือเกิน ในหัวของเขา มีแต่ภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้เต็มไปหมด

“ผมรู้ว่าคุณไม่เคยแคร์ที่เรานอนด้วยกัน มันง่ายที่คุณจะยอม เพราะเราต่างก็เป็นผู้ชาย”

อศวมินทร์เอ่ยทั้งหันไปสบมองคนที่กำลังบังคับรถ สีหน้าเรียบปรกตินั้นยียวนใจเขาอยู่เล็กน้อย เด็กหนุ่มเบนสายตาไปมองเบื้องหน้านิดหนึ่ง รอฟังในสิ่งที่คุณลุงพูด ซึ่งอินทัชเองก็คล้ายอยากที่จะเอ่ยออกมาบ้างอยู่เช่นกัน

“ใช่ ฉันไม่เคยแคร์” ชายหนุ่มตอบ หักพวงมาลัยไปยังสถานที่หนึ่งที่ซึ่งเคยมาแล้ว ความเงียบกลืนกินคนทั้งคู่อยู่พักหนึ่ง แน่นอนว่าต้นเหตุคือคำตอบของอินทัชอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มดึงเบรกมือ พ่นลมหายใจกับความอึดอัดนี้ “แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าจะทำร้ายให้เธอเจ็บหรอกนะมิน ฉันยังหวังดีกับเธอเหมือนเดิม ฉันรู้ว่าการกระทำครั้งนี้ยิ่งทำให้เธอแย่ลง แต่...”

“แต่ก็ทำ”

“ใช่...” อินทัชพยักหน้า หันไปมองคนนั่งข้างกายนิ่ง “ฉันคิดว่าฉันเองก็ควรบอกเธอเหมือนกัน ว่าการที่ฉันอยู่กับเธอ ฉันไม่เคยรู้สึกแย่ ฉันรู้ว่าฉันเลว และก็เลวมากขึ้นไปอีกเมื่อรู้ว่าตัวเองควรถอยออกมา รู้ว่าควรทำยังไงแต่ก็ไม่ทำ เพราะเป็นเธอ เธอไง...” ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ หันมองเบื้องหน้า “พอกันที ฉันรู้ว่ามันยากที่จะทำให้เธอเข้าใจความเห็นแก่ตัวนี่ได้ เอ่อ...ช่างเถอะฉันแก่แล้ว คงบ่นมากไป”

ชายหนุ่มดับเครื่อง หันไปมาหาสัมภาระหากทว่าไม่มีสักอย่างเพราะไม่ใช่รถของตนเอง ในระหว่างนั้นความร้อนของอะไรสักอย่างสัมผัสหลังมือเขา เรียกให้อินทัชชะงักกึก หันกลับไปมอง วินาทีนั้นความประหลาดแก่ใจวิ่งพล่านในโสต เมื่อเหลือบไปเห็นว่าเป็นฝ่ามือของคนนั่งข้างกาย “คุณพูดเหมือนจะบอกว่าคุณรักผมเลย ลุงอ้าย”

คนฟังนิ่ง งุดตาลงมองฝ่ามือที่ได้ประสานนิ้วกับเด็กหนุ่มตรงหน้า “ลงไปได้แล้ว”

“รักผมเหรอ”

อีกครั้งที่คำถามถูกยิงเข้ากลางจุด วินาทีนี้อินทัชราวกับถูกจับขึงด้วยโซ่และถูกแส้ฟาดลงกลางอก คำถามจี้จุดถูกยิงเข้ามาอย่างเน้นย้ำชวนให้หายใจติดขัด ยิ่งยามเด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ นัยน์ตาโตคู่เดิมที่เคยมองแววออดอ้อนเขาสบมองอยู่นาน คล้ายพอใจ ชอบใจที่เห็นทีท่าเขาตอบกลับไปเช่นนี้ อินทัชทราบดีว่าสีหน้าเขาคงตลกมากจนอศวมินทร์เห็นแล้วชอบใจขนาดนั้น เด็กหนุ่มยกยิ้ม สบตาเขาก่อนจะเอ่ย “จนถึงตอนนี้ ผมไม่ให้รักหรอก ผมไม่ต้องการความรักคุณหรอกลุงอ้าย สิ่งนั้นมันไม่สำคัญกับผมอีกต่อไปแล้ว คุณก็รู้นี่ เพราะงั้นขอร้องว่ากรุณาเลิกพยายามบอกว่าคุณรักผม มันไม่มีความหมายหรอก”

อินทัชนิ่งไปชั่วครู่กับคำที่อศวมินทร์เอ่ยบอก แน่นอนว่าเรื่องราวที่เขาได้ก่อขึ้นทำให้เด็กคนนี้ต้องพูดคำพวกนี้ออกมา มันคือความจริงที่เขาไม่มีหนทางปฏิเสธ ชายหนุ่มแทบสะอึกกับความจริงนี้ ความจริงที่ว่าในตอนนี้ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออศวมินทร์นั้น มันไม่มี ‘ความหมาย’

ชายหนุ่มกลอกตาไปอีกทิศหนึ่ง เคลื่อนมือออกจากอุ้งแสนอบอุ่นของอีกฝ่ายเพื่อเว้นระยะห่าง อย่างน้อยก็ดีกว่าเมื่อก่อน เด็กคนนี้ยอมบอกเขาตรงๆ ไม่กระด้างรุนแรงเฉกเช่นแรกๆ ที่ได้เผชิญหน้ากัน แต่ยอมรับว่าช่างน่ากลัวที่จะรับฟังและได้เห็นสีหน้า แววตาคู่นี้ยามไม่รู้สึกรู้สา เขาเหมือนถูกอศวมินทร์ตบฉาดใหญ่แล้วเอาน้ำเย็นมาสาดใส่หน้าซ้ำไปซ้ำมาจนชา

อศวมินทร์เดินนำลงไปก่อนเขา ที่นี่เป็นชายหาดซึ่งทั้งคู่เคยมาด้วยกันเมื่อก่อน ก่อนที่จะเกิดเรื่อง อินทัชมองตามแผ่นหลังนั้นอยู่ครู่ พ่นลมหายใจเอาเรี่ยวแรงก่อนจะเดินตามลงไป อศวมินทร์สั่งอาหารเต็มโต๊ะ มอบรอยยิ้มแก่เขา อินทัชรู้สึกวางใจมากขึ้นกับท่าทีเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ทำเองก็รู้สึกดีเช่นกัน แต่จากอะไรนั้นคงบอกใครไม่ได้ เด็กหนุ่มจำบทสนทนาของทั้งคู่ได้ เขาชวนอินทัชคุยเรื่องงานของบริษัท การไปเที่ยวพักผ่อนที่จันทบุรี ซึ่งอินทัชเคยรับปากว่าจะพาไปแต่ยังไม่ทำตามสัญญา และจากนั้น

อินทัชก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ...

อศวมินทร์จำแววตาของคุณลุงได้ ในตอนที่เขาสัมผัสมือของอีกฝ่ายด้วยความแผ่วเบา แต่กลับพูดสิ่งที่ทำร้ายอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนละมุนนั้น เขาสามารถฆ่าอินทัชได้เลยทีเดียว ชายคนนั้นหน้าถอดสีไปเล็กน้อย ก่อนจะปรับสีหน้าปกปิดความรู้สึก และขยับออกเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างทั้งคู่ใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าตอนนั้นสะใจจนแทบจะหัวเราะออกมาดังๆ แต่มันก็คั่งค้างในโสตจนสะบัดไม่ออก ภาพแววตานั้นของอินทัชเกาะติดเขาจนไม่สามารถไปทำอะไรได้

เสียงโทรศัพท์ยังคงร่ำร้องเรียกให้เขารับ หากทว่าดวงตาของเด็กหนุ่มกลับเบนไปยังประตูห้อง เห็นเป็นคิมหันต์ที่ถือวิสาสะเดินเข้ามา ทรุดกายนั่งลงที่ปลายเตียง อีกฝ่ายนั่งเงียบ ชำเลืองตามองไปที่โทรศัพท์มือถือของอศวมินทร์อยู่บ่อยครั้ง “จะไม่รับหน่อยเหรอ พี่ว่าเขาคงมีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ถึงได้โทรมาไม่ยอมพักขนาดนั้น”

คนนอนบนเตียงนิ่ง พ่นลมหายใจ “กูรู้ว่าเขาโทรมาเรื่องอะไร”

“มินยังไม่ตอบพี่เลยนะว่าได้คุยกับคุณอ้ายเรื่องโรงเรียนรึยัง”

“ยัง แล้วก็จะไม่คุยด้วย ในเมื่อเขาไม่อยากรับรู้ในสิ่งที่กูก่อ แล้วกูจะเสนอหน้าไปบอกเขาให้เขารำคาญใจทำไม” เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ มองไปยังเบื้องหน้าตนเองไม่สบตาพี่ชาย “กูเอาใบเชิญผู้ปกครองทิ้งไปแล้ว...”

“อะไรนะ ทำไมทำแบบนี้วะมิน พี่โคตรไม่เข้าใจเลยที่จู่ๆ ก็ให้พาตามลุงอ้ายไปถึงพัทยา แล้วจู่ๆ ขอให้พากลับบ้านมา ทำไมถึงเป็นคนไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” คิมหันต์ขยับไปเขย่าไหล่น้องชายที่นอนนิ่งบนเตียง ดวงตาคมเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ เป็นเบอร์ของมาวินที่ยังกระหน่ำโทร.มาไม่ยอมหยุด หรือต้นเหตุทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะอินทัช ที่ทำให้อศวมินทร์ต้องรีบกลับบ้านเพราะผู้ชายคนนั้น

คิมหันต์เอื้อมมือไปกดรับโทรศัพท์ วินาทีแรกที่รับ อศวมินทร์เบิกตามองด้วยความโกรธขึ้ง แต่ก็ดูคล้ายว่าต้องการรู้อยู่เช่นกันว่าปลายสายจะพูดว่าอย่างไรบ้าง เจ้าตัวไม่ได้ต่อว่าคิมหันต์ตรงๆ อย่างที่มักทำ แต่ชายหนุ่มมึนงงไปเล็กน้อย เพราะปลายสายใช้น้ำเสียงราวกับมีใครกำลังถูกฆ่าตายหลังเขากดรับ “ไอ้มิน ทำไมมึงถึงทำแบบนี้วะหา มึงโกรธอะไรลุงอ้ายนักหนา มึงรู้ไหมว่าลุงอ้ายไม่ได้พกเงินไปสักบาท ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไป มึงทิ้งให้เขารับผิดชอบอะไรที่มึงทำไว้คนเดียว ทำไมมึงเหี้ยแบบนี้วะ!”

คิมหันต์กลืนน้ำลาย ดวงตาคมเคลื่อนไปมองน้องชายนิ่งงัน “วิน เกิด...อะไรขึ้น”

“ลุงอ้ายโดนซ้อมเกือบตายที่ไม่มีเงินจ่ายของที่มันสั่งไว้ ทำไมมันใจดำทิ้งลุงอ้ายไว้ที่นั่นได้ลงคอ พี่คิม...ลุงอ้ายไม่รู้จะเป็นยังไงบ้างถ้าไม่มีคนเห็นแล้วช่วยเขาไว้ เขานอนตากแดดอยู่ข้างถนน ตัวก็มีเลือดเต็มไปหมด เพราะไอ้มินไง เพราะมันไง!” เสียงมาวินตะคอกจากปลายสายให้คิมหันต์รู้สึกถึงความโกรธเกรี้ยว ชายหนุ่มตัวชา มองไปยังอศวมินทร์ที่เงยขึ้นมาสบตา ดูเหมือนว่าน้องชายเขาเองก็อยากจะทราบในสิ่งที่เขารับฟัง ชายหนุ่มกะพริบตาถี่รัว

“คุณอ้ายถูกเจ้าของร้านอะไรนั่นซ้อม ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาล”

“อะไร ซ้อมเรื่องอะไร!” อศวมินทร์มุ่นคิ้วย้อนถาม

“เขาไม่ได้พกกระเป๋าสตางค์ไป ในตัวไม่มีของมีค่าสักบาท โทรศัพท์ก็ไม่ได้พก”

หลังจากคิมหันต์กล่าวจบแล้ว อศวมินทร์นิ่งไปอยู่ครู่กับข่าวที่เพิ่งได้รับรู้ จริงอยู่ว่าต้องการแกล้งทิ้งอินทัชไว้ที่ชายหาดนั่น แต่เขาไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อนว่าอินทัชจะไม่พกกระเป๋าสตางค์ไปไหนมาไหน หรืออย่างน้อยก็ต้องถือโทรศัพท์ติดมือไปบ้าง โดยลืมไปว่าอินทัชมาที่ห้องพักเขาแล้วออกไปพร้อมกันเลย เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น จะว่าสะใจมันก็ถูก แต่ในจิตใต้สำนึกก็บอกว่าเรื่องนี้เขาสะเพร่าจนเกินไป หากอินทัชตายแล้วจะมีความหมายอะไรกัน

“เราจะกลับไปหาเขาไหม” คิมหันต์ถามขึ้นในความมืดมิดของห้อง ได้ยินเสียงลมหายใจของน้องได้เป็นอย่างดี จากที่ได้ตกลงกับมาวินไว้ว่าจะแลกเปลี่ยนสิ่งที่รู้กัน เขาว่าต้องรีบเร่งกว่านี้ ก่อนที่อศวมินทร์จะตัดสินใจทำอะไรร้ายแรงลงไปอีก “พี่ว่าเราควร...”

“ไม่ ไม่ใช่ความผิดกูนี่”

“มิน กลับไปมินจะได้พูดเรื่องโรงเรียนด้วยไง นะ...” คิมหันต์เขย่าไหล่คะยั้นคะยออีกครั้ง หากทว่าน้องชายเอาแต่ทิ้งกายนอนบนเตียง “เลิกเซ้าซี้กูได้แล้ว เป็นแบบนี้มันก็ดีไม่ใช่รึไง”

ถูกแล้ว การที่อศวมินทร์ไม่ได้ญาติดีกับอินทัชเป็นความประสงค์ของคิมหันต์อย่างแท้จริง แต่หากอินทัชตายไปแล้วน้องชายเขาติดคุก ชายหนุ่มไม่รู้จะมองหน้ามารดาบนสวรรค์ได้อย่างไร เมื่อคิดแล้ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี คิมหันต์ยอมเดินออกจากห้องพักอศวมินทร์โดยง่าย ด้วยรู้อยู่แล้วว่าบางทีอศวมินทร์อาจกำลังรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ ก็เป็นได้ ปล่อยให้อยู่คนเดียวเพื่อทบทวนความผิดของตัวเองก็คงจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในตอนนี้

รุ่งเช้าวันอาทิตย์ อศวมินทร์ตื่นสายอย่างเช่นทุกสัปดาห์ เด็กหนุ่มลงไปด้านล่างในช่วงเที่ยงของวัน เห็นแม่บ้านกำลังง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนเองอย่างขะมักเขม้นเฉกเช่นทุกที เด็กหนุ่มตัวสูงเดินไปยังห้องออกกำลังกาย ที่ที่เขามักอุดอู้อยู่ได้อย่างไม่รู้เบื่อตั้งแต่กลับมา เป็นที่ที่เดียวยามอยู่บ้านแล้วจะไม่ได้พบหน้ากับอินทัช แต่วันนี้จิตใจเขาไม่ได้อยู่ที่การออกกำลังเลยสักนิด มือหนายกผ้าขนหนูซับเหงื่อ เบี่ยงกายไปหยิบขวดน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มแก้กระหาย ไม่รู้ทำไมต้องเทียวมองยังประตูด้วย

อศวมินทร์ถอนหายใจ เดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปชำระร่างกายในห้องพัก หากทว่าย่างเท้าขึ้นบันไดไปแล้ว พบกลุ่มคนกลุ่มอยู่หน้าห้องพักของอินทัช เด็กหนุ่มตัวสูงชะงัก เห็นเป็นเอกที่กำลังช่วยพยุงคนเจ็บเข้าไปในห้อง มาวินเองก็ขนาบอีกข้าง และเหล่าแม่บ้านซึ่งยืนอออยู่หน้าประตูรอขนสัมภาระเข้าไปเก็บด้านใน เห็นดังนั้นแล้วอศวมินทร์ไม่สน สาวเท้าเดินต่อไป ยิ่งเห็นว่าแม่บ้านตกใจเมื่อพบว่าเขากำลังเดินไปนั้น อศวมินทร์รู้สึกพอใจ

“น้องมิน” พวกเธอหันมาสบตา เรียกให้กลุ่มคนที่อยู่ห้องพักเอี้ยวตัวมามอง

อศวมินทร์หยุดยืนนิ่งที่หน้าประตู เมื่อหันไปเห็นสภาพของอินทัชยามหันมาสบตากับเขา เห็นแววคาดโทษของมาวินอย่างชัดแจ้ง หลายคนคงหวังว่าจะเห็นเขาสำนึกผิดอะไรบ้าง แต่ไม่ เขาคิดว่าตนได้ทำถูกแล้ว อศวมินทร์เมินสีหน้าของทุกคน ย่างเท้าเดินต่อไปอย่างแน่วแน่และไม่หันหลังกลับ แม้ภาพของอินทัชจะเลวร้ายกว่าที่คาดไว้ก็ตาม เด็กหนุ่มปิดประตูห้องพัก ถอดเสื้อผ้าออกทุกชิ้น แล้วเดินไปเปิดฝักบัวในห้องน้ำรดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างใจเย็นและมั่นคง แม้ยามนี้มันแกว่งไกวราวกับมีใครกำลังพาเขานั่งอยู่บนชิงช้าที่แรงที่สุดในชีวิต!

สะบัดไม่ออกเลย แววตาสิ้นหวังนั้นของอินทัช
 
อศวมินทร์เดินเมินไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายกับว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตนเองเลยแม้แต่น้อย อินทัชหันมองสภาพร่างกายตนเอง นึกถึงสถานการณ์เมื่อวานแล้วได้แต่ด่าทอตัวเอง โทษสมองที่โง่เง่า ทั้งที่อศวมินทร์แสดงให้เห็นอยู่ว่าไม่มีทางยกโทษให้เขาได้แน่ แต่ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายยังหลงเหลือความรู้สึกดีๆ ให้ตนอยู่ ช่างหลอกลวงตัวเองเก่งเหลือเกิน เด็กน้อยแสนซื่อของเขาหายไปตั้งแต่วันที่รับรู้ความจริงว่าเขาคือพ่อเลี้ยง

“จะด่าจะว่ายังไงมันก็ไม่มีจิตใต้สำนึก เพราะไม่มีใครสั่งสอนมันตั้งแต่เด็ก” มาวินมุ่นคิ้วมองออกไปด้านนอก “ผมจะไปคุยกับมัน จะจัดการทุกอย่างให้เคลียร์วันนี้”

“วิน...” อินทัชขัดขึ้น เรียกให้หลานชายชะงักความคิดและการกระทำไปครู่หนึ่ง “ทำไมครับ ก็ไอ้มินมันทำลุงขนาดนี้ ลุงอ้ายไม่โกรธมันสักนิด้ลยเหรอ!”

“วิน บอกแล้วไงว่าอย่าขึ้นเสียง ที่สำคัญมันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แกกลับบ้านไปก่อน”

“ทำไม ผมกับไอ้มินก็อายุเท่ากัน ทำไมลุงอ้ายต้องทำเหมือนไอ้มินมันอายุมากกว่าผมด้วย”

“น้องวิน” เอกส่ายหน้าปราม

“ก็มันจริงนี่ เอะอะลุงอ้ายก็ให้อิสระความคิดของมันแต่บังคับผมคนเดียว ผมโตแล้วนะ ผมคิดอะไรได้หลายอย่างแล้ว ที่สำคัญ บางอย่างผมคิดได้ดีกว่าลุงด้วยซ้ำว่าอันไหนควรทำหรือไม่ควรทำ!” มาวินจ้องตาผู้เป็นลุงเขม็ง เมื่อท้ายที่สุดก็เผลอพ่นบางอย่างซึ่งโกรธขึ้งในใจออกไป เด็กหนุ่มเห็นสีหน้าของคุณลุงเปลี่ยนไป จากโกรธเคืองที่เห็นเขาก้าวร้าวใส่ก็แปรเปลี่ยนมาแปลกใจ สุดท้ายก็ยอมละสายตาหนีไปราวกำลังหมดสิ้นหวังอะไรสักอย่าง

“ก็จริงของแก...” อินทัชตอบเสียงเรียบ

“คือ...” มาวินใจหาย ก้มลงมองสีหน้าคุณลุงที่นั่งอยู่ปลายเตียงอย่างไม่ได้ตั้งใจจะทำลายความรู้สึก เด็กหนุ่มอยากจะอธิบายว่าที่พูดไปเมื่อครู่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ หากทว่าเอกก็ขัดขึ้นเสียก่อน เพราะเห็นว่าอินทัชดูเหนื่อยเกินไปที่จะต้องพบปัญหา “พี่ว่าน้องวินกลับบ้านก่อนดีกว่านะครับ ให้คุณอ้ายพักผ่อนก่อน เขายังเจ็บแผลอยู่นะ อีกอย่าง...ป่านนี้คุณอิทธิรอบ่นแย่แล้ว ถ้ากลับช้าคงบ่นยาวแน่เลย ไปกันครับพี่จะไปส่ง”

หลังจากมาวินยอมออกไป อินทัชขยับกายนั่งให้สบายขึ้น เหล่าแม่บ้านที่นำข้าวของมาเก็บต่างพากันทยอยเดินออกไปจนหมด ท้ายที่สุดประตูถูกปิดลงเหลือเพียงความเงียบสงบ ชายหนุ่มทิ้งลงนอนด้วยความล้า อะไรต่างประดังประเดเข้ามาในหัวไม่ยอมหยุดหย่อน สิ่งหนึ่งคือรอยยิ้มหวานหยดของใครสักคนที่มอบให้ ก่อนทำร้ายให้เขารู้สึกแย่กับการถูกทอดทิ้งนี้ อศวมินทร์กำลังสั่งสอนเขาว่าการถูกทิ้งมันน่ากลัว แน่นอนว่าในยามนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ รับรู้ว่าสิ่งที่เด็กคนนั้นเคยเผชิญนั้นเจ็บปวดถึงเพียงไหน ไม่ใช่เพียงร่างกาย แต่ทางความรู้สึกมากกว่า โดยเฉพาะถูกหลอกหล่อให้รู้สึกดีก่อนที่จะโดนหักหลังอย่างแยบยล แบบที่เขาเคยกระทำไว้เมื่อก่อน

ตอนนั้นเขานั่งรออศวมินทร์กลับมาอยู่หลายชั่วโมงหลังจากแยกไปเข้าห้องน้ำ เชื่อว่าเด็กคนนั้นจะต้องกลับมา ไม่มีทางทอดทิ้งเขาไว้เช่นนี้แน่ แต่เปล่าเลย ทุกอย่างผิดคาด นักท่องเที่ยวคนอื่นเริ่มกลับ เจ้าของร้านต้องการปิดร้านและคิดเงิน อินทัชใจหวิว บนตัวเขาไม่มีเงินสักบาท ดูเหมือนเจ้าของร้านจะเดือดดาลเมื่อรู้เช่นนั้น ชายหนุ่มพยายามอธิบายว่าจะไปเอาเงินที่โรงแรม เขาถูกต่อว่า ถูกกล่าวหาว่าหลอกลวง และถูกทำร้ายร่างกายจากภรรยาเจ้าของร้านเพียงแค่ต้องการลุกขึ้นยืนอธิบาย

จากนั้นก็เกิดการเข้าใจผิด ชายเจ้าของร้านเองก็หันมาทำร้ายเขาด้วยเช่นกัน ไม้หน้าสามถูกฟาดมาใส่เขาไม่ยั้ง เขารับรู้ถึงเลือดอุ่นที่รินไหล อินทัชถูกไล่ออกมา ชายหนุ่มไม่คิดเลยว่าเงินเพียงไม่ถึงสองพันจะทำให้เรื่องราวใหญ่โตถึงเพียงนี้ เขาเดินอยู่ริมถนนอยู่นานเพื่อที่จะกลับไปยังโรงแรม ชายหนุ่มรู้สึกวิงเวียน ร่างกายระบมปวดเมื่อยจนต้องนั่งพัก กระทั่งมีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งเดินมาถามว่ายังไหวหรือเปล่า

เหมือนเขาพบหนทางสว่าง ชายหนุ่มขาเปลี้ยไปเสียเฉยๆ จากนั้นก็ไม่มีสติอีกเลย จนมาตื่นที่โรงพยาบาล ทราบว่าชาวต่างชาติกลุ่มนั้นเป็นคนพาเขามา ชายหนุ่มไม่มีอะไรให้นอนจากขอบคุณซ้ำๆ ก่อนจากไปพวกเขาให้ยืมโทรศัพท์ติดต่อคนทางโรงแรม ชายหนุ่มคิดเสมอว่าในความโชคร้ายร้ายยังมีความโชคดีอยู่ แต่สิ่งที่เกิดแน่นอนไม่ได้เกิดขึ้นจากโชค มันมีเหตุผล ซึ่งเหตุนั้นเกิดจากฝีมือเขาเอง

เขาควรตระหนักได้แล้วว่าไม่มีทางได้น้องมินคนเดิมกลับมา อินทัชหลับตา ไล่ความรู้สึกทั้งหมดออกจากหัวเพื่อพยายามพักผ่อนเอาแรง ถ้าอย่างนั้นจากนี้ไปจะไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้อีกแล้ว หากอศวมินทร์ไม่ต้องการความรู้สึกเขา อินทัชก็จะไม่แสดงให้อีกฝ่ายเห็นอีกต่อไป

วันเวลาผ่านไปเท่าไรไม่ทราบ อินทัชถูกเคาะประตูเรียกให้ตื่นจากความฝันอันว่างเปล่า ชายหนุ่มพยายามขยับกายลุกขึ้นนั่ง ใบหน้าบิดเบี้ยวจากความเจ็บที่ถูกทำร้าย ศีรษะเขายามนี้ถูกพันด้วยผ้า ใบหน้าบอบช้ำจนเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ บริเวณลำตัวด้วยก็เช่นกัน ในส่วนนิ้วมือหักจนต้องใส่เฝือกอ่อนไว้ กระดูกลำแขนร้าว ถูกเข้าเฝือกแข็งและห้ามขยับอยู่หลายวัน วินาทีแรกที่ลืมตาขึ้นมา ภาพต่างๆ พร่าจนเขาตกใจ ชายหนุ่มขยี้ตาก่อนจะเห็นเป็นพินที่ถือถาดอาหารมาให้

“อาหารเช้าค่ะ วันนี้คุณอ้ายพักสักวันนะคะ ให้แผลหายดีก่อน” พินวางถาดไว้ตรงหน้า มองดูว่าเจ้านายบาดเจ็บที่แขนซ้าย มือขวาคงมีแรงพอจะช่วยเหลือตนเองได้

“เช้าแล้วเหรอ เมื่อวานฉันคงสลบไปเลยสินะ”

“เมื่อวานคุณเอกแวะมาเยี่ยมตอนเย็น เลยเช็ดตัวให้รอบหนึ่ง ดิฉันจะปลุกให้ทานยาสักหน่อยคุณเอกก็ปราม ก็ดีเหมือนกัน วันนี้คุณดูสดชื่นกว่าเมื่อวานมากเลยค่ะ” พินยิ้ม ก่อนจะชะงัก เมื่อเห็นว่าอินทัชหันไปสนใจโทรศัพท์ที่วางไว้อีกมุมหนึ่งมากกว่า มันหวีดร้องเรียกให้คนรับสาย ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมทำทีจะขยับไป “ไม่เอาค่ะไม่ขยับ เดี๋ยวอิฉันจะเอามาให้” นางไม่ว่าเปล่า รีบเดินวนไปยังหัวเตียงเพื่อหยิบให้

อินทัชรับมาถือ มุ่นคิ้วประหลาดแก่ใจเมื่อเห็นว่าเป็นเลขหมายของใคร ชายหนุ่มนิ่งไปอยู่ครู่ ก่อนจะยอมกดรับสายในที่สุด “สวัสดีครับ”

“สวัสดีค่ะคุณอ้าย ดิฉันประภัสสร อาจารย์ที่ปรึกษาของอศวมินทร์นะคะ”

อินทัชนิ่งเงียบ ก่อนจะยอมขานรับในที่สุด “ครับ มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“เอ่อ...ตอนนี้คุณพอจะว่างหรือเปล่าคะ ดิฉันคิดว่าคุณอาจลืม เรื่องจดหมายเชิญผู้ปกครองที่ฝากอศวมินทร์ไปให้ ก็เลยจะโทร.ไปเตือน หากคุณไม่มาคงจะเกิดเรื่องใหญ่กับเขาแน่ค่ะ” หญิงสาวในสายบอก อินทัชนิ่ง มองนาฬิกาบอกเวลาเจ็ดโมงเช้าของวันจันทร์

“ผมยังไม่ได้รับจดหมายที่ว่านั่นเลยครับ”

“จริงหรือคะ ทั้งๆ ที่เขารับปากฉันแท้ๆ ว่ายังไงเสียก็จะเอาให้คุณให้ได้ อศวมินทร์ ทำไมเธอถึงทำแบบนี้กันล่ะ...” อินทัชนิ่งฟัง เมื่อรับรู้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่กับลูกชายในนามของเขา ซึ่งเป็นตัวต้นเหตุให้เขาได้พบความวิบัติที่สุดในชีวิต เขาโกรธ แต่จะให้ตาต่อตาก็คงไม่สมควร อีกฝ่ายเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้นเอง ชายหนุ่มได้ยินหล่อนต่อว่าอศวมินทร์อยู่ครู่หนึ่ง จนถึงประโยคที่ว่า หากเขาไม่ไปพบกับผู้ปกครองคู่กรณีเพื่อไกล่เกลี่ยปัญหา อศวมินทร์อาจต้องถูกไล่ออก

ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจ นึกถึงยามแรกที่ตนประหลาดใจ สงสัยว่าเหตุใดอศวมินทร์ต้องตามเขาไปถึงพัทยา หรืออาจเพราะจดหมายนี่ แล้วทำไมเด็กคนนั้นถึงไม่ยอมเอาให้เขา อินทัชคิดอย่างหนัก ไม่อาจหาคำตอบด้วยการเพียงแค่คิดอยู่ฝ่ายเดียวได้

“คุณอ้ายคะ...”

“ครับ ผมจะไป”

แม้น้ำเสียงดูเหน็ดเหนื่อยเพียงไหน มีเพียงพินเท่านั้นที่รู้ว่าสีหน้าที่อินทัชแสดงออกนั้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ายิ่งกว่า นางเดินไปจัดเตรียมเสื้อผ้าเมื่อได้ยิน แม้นึกเป็นห่วง แต่จำต้องปล่อยให้เจ้านายจัดการกับอาหารเช้าไปด้วยสีหน้าระทมทุกข์เช่นนั้นอย่างไม่สามารถช่วยอะไรเลย นอกจากลอบมองอยู่ห่างๆ ในฐานะคนใช้คนหนึ่งเท่านั้น


**************************************
สวัสดีค่าาา เอานิยายมาอัพแล้ว เยๆๆ
ต่อไปนี้จะได้ไม่ต้องรอนานแล้ว พร้อมกับออปชั่นใหม่ จัดหน้านิยายอ่านง่าย สบายตา และเนื้อหาที่ยาวกว่าเดิม แฮ่ 55555 เพราะว่าเพิ่งได้คอมที่ซ่อมกลับมาค่ะ อิอิ

จากนี้ไป เรื่องราวของลุงอ้ายก็จะเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆ จะพบกับการล้างแค้น และความรักที่บั่นทอนความรู้สึกคนอ่านมากขึ้นไปอีก แต่ก็ยังคงมีอะไรสักอย่างแทรกเข้ามาเรื่อยๆ ให้คนอ่านลุ้นอยู่เสมอ ว่าจุดจบของแต่ละคนจะเป็นยังไง ไม่ได้มีแต่เศร้า โกรธหรอก อะไรฟินๆ ก็มีนะ แต่อาจจะช้าหน่อย อิอิ เจอกันตอนหน้าจ้า










หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 17 |||★ [13/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 13-11-2015 17:38:21
เฮ้ออ จะบอกว่าสาสมกับที่ลุงอ้ายหลอกลวงมินดี หรือว่าจะสงสารลุงอ้ายดี

อยากจะบอกว่าก็สงสารลุงอ้ายนะ แต่เราสงสารมินมากกว่าอ่ะ

ลุงอ้ายรู้ทุกอย่างแต่ก็ยังทำตัวลุงอ้ายน่าจะรู้นะว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงเมื่อทำไปแล้ว แล้วน้องมินรู้ความจริงอ่ะ

จะว่าเลือดเย็นได้มั้ย เราว่าแค่นี้ยังน้อยไปกับความรู้สึกของหนูมินที่ได้เสียไป
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 18 |||★ [15/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 15-11-2015 18:43:57
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๘
 
เหล่านักเรียนในชั้นเรียนต่างๆ กำลังง่วนอยู่กับการเรียนการสอน ทั้งอาคารเงียบกริบ ไปจนถึงห้องกว้างซึ่งไม่เพียงสงบเงียบเท่านั้น ยามนี้ยังครุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศตึงเครียด ดวงตาของชายวัยห้าสิบเศษละเลียดไปมองผู้ปกครองฝ่ายผู้ผิดเล็กน้อย ลอบถอนหายใจอย่างนึกอเนจอนาถใจแทน ที่อินทัชมีลูกเลี้ยงจอมก่อเรื่องอย่างอศวมินทร์ อาจารย์ฝ่ายปกครองจำเป็นต้องข่มใจกล่าวอะไรสักอย่างเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ให้ดียิ่งขึ้น

“เอาล่ะครับ ก็อย่างที่จดหมายได้แจ้งไปว่าลูกชายของคุณประพฤติตัวไม่ดีเอามากๆ ทางเราก็เลยอยากให้คุณมารับทราบ แล้วก็พูดคุยกับผู้ปกครองของคู่กรณีก่อน”

อินทัชในยามนี้แต่งกายเต็มยศ สวมสูท ผูกไท แม้สภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวยก็ยังเดินทางมาในที่สุด ชายหนุ่มชำเลืองไปมอง ‘ลูกชาย’ ที่ฝ่ายปกครองกล่าวถึง กำลังนั่งกอดอกสีหน้าไม่รู้สึกรู้สากับความผิดที่ตนได้ก่อเลยแม้แต่น้อย เห็นเช่นนั้นพ่อเลี้ยงในนามทำได้เพียงพยักหน้ารับไปก่อน รับฟังในสิ่งที่ทุกคนกล่าวอย่างไม่มีอคติ

หลังจากนั่งฟังกว่าสิบนาที จากการเล่าของฝ่ายปกครองประกอบกับคู่กรณีที่เทียวสอดแทรกเข้ามา อินทัชสรุปได้ในใจว่าทุกอย่างเกิดจากความก้าวร้าวของอศวมินทร์ และนิสัยที่ไม่เคยมีความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ผลสุดท้ายทุกอย่างดูแย่ลง ชายหนุ่มใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงชี้แจง ไกล่เกลี่ยกับอีกฝ่ายด้วยการกล่าวขอโทษแทนอศวมินทร์ซ้ำๆ อย่างสุภาพอ่อนน้อม แม้ท่าทีฝ่ายตรงข้ามจะดูไม่ค่อยชอบใจนัก แต่ยิ่งเห็นท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของอินทัชแล้วใจร้อนๆ ก็ยอมอ่อนลง ท้ายที่สุดอศวมินทร์เพียงแค่ถูกตักเตือนและทำทัณฑ์บนไว้ หากทำอักครั้งจะถูกไล่ออก อินทัชเองก็เฝ้าภาวนาว่าเจ้าตัวจะไม่ตัดอนาคตของตัวเองทำซ้ำอีกครั้ง

หลังจากพูดคุยกันจบเรื่องแล้ว อินทัชก็ขอลากลับทันที ขณะลุกขึ้นจัดแจงเสื้อผ้าให้เรียบร้อยนั้น ดวงตาคมก็ได้ผละไปมองเด็กหนุ่มซึ่งนั่งข้างกัน อศวมินทร์คล้ายรู้สึกตัว หันมาสบตาอยู่ครู่หนึ่ง วินาทีนี้อินทัชรู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิเคืองอศวมินทร์ แต่ก็ห้ามใจไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเรื่องทิ้งเขาไว้ที่ชายหาดนั่น หรือเรื่องการเชิญผู้ปกครองนี้

“ขอบคุณมากนะคะที่เสียเวลามา ทั้งที่กำลังป่วยอยู่แท้ๆ” ประภัสสรเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อน ยกมือแตะบ่านักเรียนในการดูแล เห็นดังนั้นแล้วอศวมินทร์นิ่ง มองยิ้มของอินทัชที่ตอบรับอาจารย์ที่ปรึกษาของเขา ก่อนอีกฝ่ายจะเดินออกไปอย่างที่บอกไว้ว่าจะกลับไปพักผ่อน ที่จริงอินทัชควรอธิบายบ้างว่าเหตุใดต้องลำบากถ่อสังขารมาด้วย ทั้งที่เขาทำร้ายให้เจ็บแสบถึงเพียงนั้น

แต่อินทัชไม่พูดอะไรเลย

เด็กหนุ่มนิ่งมองอีกฝ่ายเดินออกจากห้องไป ท่ามกลางสายตาของประภัสสรที่มองอย่างยกย่องนับถือ ก่อนหล่อนจะหันกลับมา “ไปส่งเขาสิ มัวยืนบื้ออะไรอยู่”

อศวมินทร์ชะงัก ก่อนจะยอมพยักหน้าในที่สุดอย่างเสียไม่ได้ เด็กหนุ่มรีบเดินตามไปประกบข้างกายคุณลุงอย่างแนบเนียน ภายในสายตาอาจารย์ที่ปรึกษาที่ยังจับมองอย่างไม่ยอมละโดยง่าย ทีแรกอินทัชคล้ายประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ถาม ชายหนุ่มเพียงแค่เดินต่อไปเงียบๆ ในขณะที่อศวมินทร์ยังเดินอยู่ข้างกาย “ส่งแค่นี้แหละ กลับไปเรียนเถอะ”

“คุณมาทำไม”

อินทัชละความเร็วของลำขาลง ใบหน้าคมคายหันไปมองเด็กหนุ่มที่หยุดเดินอยู่ก่อน ชายหนุ่มรู้ก่อนแล้วว่าอศวมินทร์จะต้องตั้งคำถามขึ้นมา ว่าเหตุใดเขาต้องยอมมาช่วย ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายทำให้เขาเจ็บเสียแสบทรวงขนาดนั้น ชายหนุ่มคิดไว้แล้วว่าจะตอบคำถามนี้ว่าอย่างไร เมื่อได้ยิน อินทัชไม่อาจจะแสดงสีหน้าอื่นใดได้นอกจากเรียบเฉย ตอบอศวมินทร์ไปว่า “มันเป็นหน้าที่ ฉันรับปากแม่เธอว่าจะดูแลเธอจนกว่าจะเรียนจบ”

“หน้าที่...” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว “แม่ตายแล้ว ไม่ต้องทำอย่างที่รับปากก็ได้ถ้าเกลียดผมมาก ผมรู้หรอกว่าใจจริงคุณแม่งไม่ได้อยากมาเลย!” เด็กหนุ่มกำหมัด มองท่าทีของคนตรงหน้าแล้วอารมณ์ฉุน

“เพราะอย่างนั้นเลยไม่เอาจดหมายให้ฉันสินะ”

“ก็คุณเป็นคนพูดเองว่าไม่อยากรับรู้เรื่องแย่ๆ ของผม ผมจำเป็นด้วยเหรอที่จะต้องเสนอหน้าไปบอกว่าทำอะไรไว้ ยังไงคุณก็ไม่ใช่พ่อผม คุณไม่มีทางบอกได้หรอกว่าตัวเองไม่ขายขี้หน้าที่ผมก่อเรื่องพวกนี้ ผมไม่ใช่หลานที่แสนดีอยู่ในกะละที่คุณเตรียมไว้ ไม่น่าภูมิใจเท่า!” อศวมินทร์เกือบจะตะเบ็งเต็มเสียง มือหนากำไว้แน่นจนสั่นไหว เมื่อท้ายที่สุดแล้วท่าทีของอินทัชดูไม่เดือดเนื้อร้อนใจในสิ่งที่เขาตั้งใจจะหาเรื่อง

“แน่นอน เป็นอย่างที่เธอคิดทุกอย่าง...” อินทัชพยักหน้ารับ มองตาเด็กหนุ่มที่ยังจับจ้องราวกับเคืองโกรธมานับสิบปี แต่ช่างมัน เขาไม่สนว่าอศวมินทร์จะโกรธหรือเกลียดเขากี่ปีกี่ชาติ แค่สามปีเท่านั้น ไม่นานหรอก “เพราะอย่างนั้น หวังว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้รับรู้เรื่องแย่ๆ ของเธอ”

อศวมินทร์จ้องนัยน์ตาของชายตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ นัยหนึ่งก็คิดว่าตนยังสงสารทั้งที่อีกฝ่ายทำตัวไม่น่าสงสารอย่างนี้ทำไม อีกนัยหนึ่งก็คิดว่าอินทัชเองก็กำลังสร้างเกราะกำบังตนเองด้วยท่าทีเหล่านี้ เขาจะคอยดูว่าอินทัชจะเมินเฉยหรือทำตัวเป็นหุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไร

“ได้...จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม” อศวมินทร์กำหมัดไว้จนสั่นไหว พยักหน้าตอบรับเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวเดินจากมา

ถูกแล้ว สงครามมันได้เริ่มต้นมาตั้งแต่อินทัชเลือกจะหลอกลวง หักหลังเขา หากจะเอาอย่างนี้แล้วล่ะก้อ อินทัชเอ๋ย คอยดูก็แล้วกัน เขาจะรีดเอาน้ำตาของชายคนนั้นให้ไหลออกมาตั้งตัว ด้วยน้ำมือที่สั่นไหวคู่นี้

คอยดูเถิดคุณลุง

อศวมินทร์กลับเข้าห้องเรียนหลังจากแยกกับอินทัช แม้เคืองขุ่นหลังจากคุยกันไม่กี่คำ เด็กหนุ่มก็รู้จักผ่อนปรนอารมณ์ตนอยู่ แต่ดูเหมือนทั้งสายตาคนในห้องเรียน และเพื่อนในกลุ่มของมาวินจะเปลี่ยนไป แน่นอน สิ่งที่เขาทำกับมาวินมันหนักหนาเอาการ อีกฝ่ายจะเคืองก็ไม่แปลก แม้มาวินพยายามจะมีท่าทีเหมือนก่อน หากอศวมินทร์กลับรู้สึกว่าสิ่งที่มาวินกำลังทำนั้น คล้ายจ้องจะจับผิดเสียมากกว่า

“เดี๋ยว...” อศวมินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่กลุ่มเพื่อนทั้งหมดกำลังเดินออกไป หลงเหลือเพียงมาวินที่เดินตามให้หลัง หลังจากใช้เวลาร่วมกันในมื้อเที่ยง อศวมินทร์ตรองในใจแล้วว่าเขาควรคุยกับมาวินให้รู้เรื่อง เหตุเพราะไม่ชอบที่จะตกอยู่ในสภาพแบบนี้เอาเสียเลย

เพื่อนทั้งกลุ่มหันมาที่เขา ทุกคนเงียบกริบพร้อมแววฉงนในสิ่งที่เขาโพล่งขึ้น อศวมินทร์นิ่งไป เด็กหนุ่มส่ายหน้าอธิบายไปว่า “กูหมายถึงไอ้วิน”

มาวินได้ยินดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มคิดในใจว่าอศวมินทร์คงกระวนกระวายใจแน่ หากรู้ตัวว่าเขาแอบไปเห็นในสิ่งที่ได้ทำกับคุณลุงของเขา หรือไม่ อีกฝ่ายก็คงต้องการเคลียร์สิ่งที่มันยังคาราคาซังให้จบ เด็กหนุ่มหันไปส่งยิ้มให้เพื่อน บอกเป็นนัยว่าต้องการพูดคุยกับอศวมินทร์เพียงสองคนเท่านั้น ก่อนเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ จนถึงระเบียงอาคารเรียน หน้าห้องของใครสักคนหนึ่ง

อศวมินทร์ทิ้งก้นนั่งลงบนที่นั่ง ส่งสายตาบอกให้เพื่อนทำตาม มาวินเห็นดังนั้นจึงทิ้งกายลงอย่างเงียบเชียบ รอฟังว่าคนข้างกายจะเปิดประเด็นว่าอย่างไร

“คือ...”

อศวมินทร์ลากเสียง มองไปยังประตูห้องเรียนซึ่งยังมีคนอยู่ภายในห้อง ทั้งที่เป็นเวลาพักเที่ยงแล้วก็ตาม เด็กหนุ่มถอนหายใจ “คือ มึงก็รู้ใช่ไหม ว่าที่มึงขึ้นไปบนห้องวันนั้นไม่ใช่ความบังเอิญ กูเป็นคนเรียกมึงไป” อศวมินทร์เอนหลังพิงพนัก ก้มตาลงมองมือของมาวินตอนนี้ กำลังกุมกันไว้แน่นคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ “กูตั้งใจทำแบบนั้นนะ กูอยากสารภาพตรงๆ ก็เลยเลือกที่จะบอก มึง...”

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่เงียบไปอีกครั้ง แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับง่ายๆ อศวมินทร์ทราบดี

“กูนึกว่ามึงไม่ได้เป็นเกย์ ไม่งั้นกูไม่เสนอให้ลุงอ้ายรับเลี้ยงมึงหรอก” มาวินหันไปมอง สีหน้าบ่งบอกว่ายังไม่ชอบใจและผิดหวังกับสิ่งที่ได้รู้ “แล้วกูก็ไม่รู้หรอกว่ามึงทำแบบนี้ทำไม อยากให้กูรู้สึกยังไง อยากให้ลุงอ้ายรู้สึกยังไง ที่สำคัญ...กูโคตรอยากรู้เลยว่ามึงต้องการอะไร...”

อศวมินทร์นั่งฟัง ยอมรับด้วยความเงียบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นประเด็นใหม่หากทว่าเกี่ยวโยงกับเรื่องที่ตนต้องการจะสะสาง “กูรู้นะ มึงเป็นคนบอกลุงอ้ายทั้งหมด เรื่องในโรงเรียน” อศวมินทร์มองเพื่อนนิ่ง ในขณะมาวินเองก็ต้องหันขวับมาสบตา

“กูหวังดีกับมึง...”

“แต่กูไม่ต้องการว่ะ กูอยากอยู่แบบอิสระ มึงเข้าใจใช่ไหม”

เด็กหนุ่มไม่สามารถอธิบายอะไรหลังจากสิ่งที่ศวมินทร์เปรยออกมานั้น ได้แทงใจเขาเป็นที่เรียบร้อย และมันเป็นความจริงอย่างเลี่ยงไม่ได้ มาวินเห็นสายตาของคนข้างกาย บอกว่าสิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นเจ้าตัวเองก็ไม่ชอบใจเช่นกัน เด็กหนุ่มทำได้เพียงนั่งฟังในสิ่งที่อศวมินทร์จะพูดต่อ “ถ้ามึงเลิกเอาเรื่องของกูไปรายงานกับลุงมึง กูก็จะเลิกยุ่งกับมึง ต่อไปนี้มึงเลิกทำเป็นว่าไม่ได้โกรธกูซักทีเถอะ กูดูออกว่ามึงโกรธแล้วก็เกลียดกูมาก อย่าฝืนเลย”

มาวินหน้าชา สรรหาคำจะเอ่ยไม่ได้ ใช่...เขารู้สึกอย่างที่เพื่อนกล่าวทุกอย่าง แต่... “กู...”

แต่ก็ยังมีบางส่วนที่รู้สึกดีต่อเพื่อนคนนี้

อศวมินทร์ลุกขึ้นยืนหลังพูดจบ เตรียมตัวจะละเดินจากไป หากทวามาวินไม่เข้าใจ หากอศวมินทร์รู้ว่าเขาโกรธตนเอง แล้วทำไมต้องเมินเฉยท่าทางของเขาด้วย ทำกับไม่รู้ไม่เห็นทั้งๆ ที่รู้สึกได้ตั้งนานแล้ว เด็กคนนี้ช่างเข้าใจยากเหลือเกิน “เออ! กูโกรธมึง ก็มึงมาทำตัวเหี้ยใส่ลุงกูก่อนทำไม มึงไม่เล่าอะไรให้กูฟัง แล้วกูจะเข้าใจมึงได้ยังไง!”

“กูไม่ต้องการให้มึงเข้าใจกูหรอก ที่สำคัญ ถ้ามึงอยากเข้าใจกู ไม่ว่ากูจะทำอะไรมึงก็เข้าใจเอง ไม่ต้องรอให้กูเดินเข้ามาอธิบายหรอก มึงน่ะ อ คติไปก่อนแล้วไง” อศวมินทร์เอ่ย ก่อนจะยอมหมุนตัวเดินกลับไปยังห้องเรียนของตนเอง ปล่อยให้มาวินนั่งฉงนอยู่อย่างนี้ เด็กหนุ่มกำหมัด ลุกขึ้นยืนมองตามแผ่นหลังกว้างของอศวมินทร์ คนที่เขาเคยคิดอยากตัดความเป็นเพื่อนทิ้งไปคนนั้น มองด้วยความไม่เข้าใจ

“มิน เพื่อนกันเขาไม่ทำแบบนี้หรอก!”

เพื่อนกัน...

อศวมินทร์รู้สึกราวมาวินได้เหวี่ยงเข็มใส่ใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เด็กหนุ่มไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ว่าเขาเสียใจขนาดไหน ทำได้เพียงเลือกเดินออกมาเงียบๆ รับรู้ว่าอย่างไรเสียมาวินจะต้องโกรธ “มึงทำแบบนั้นหมายความว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับกูแล้วใช่ไหม มิน!”

มาวินยังร้องไล่หลัง แม้จะรู้สึกราวมีอะไรสะกิดใจอยู่บ้าง แต่เด็กหนุ่มยังตระหนักกับตนอยู่เสมอว่าหากเลือกเดินทางหนึ่งแล้ว ตนจำต้องสละอีกทางหนึ่งทิ้งเสีย “เพราะเป็นเพื่อนไง...”

ถึงใจอ่อน ไม่เด็ดขาดสักที

“เออ! ถ้างั้นมึงกับกูไม่ใช่เพื่อนกัน!”

 
หลังจากไปพบกับฝ่ายปกครองของอศวมินทร์ที่โรงเรียนแล้ว อินทัชตัดสินใจเดินทางเข้าสำนักงานของตนเองแทนการกลับบ้านไปพักผ่อน ชายหนุ่มเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าสมองเกินกว่าจะพูดคุยกับใคร ครั้นถึงห้องทำงาน สิ่งเดียวที่อินทัชทำคือทิ้งกายนั่งลงบนเก้าอี้ เอนหลังแนบพิงพนัก มือหนึ่งยกขึ้นคลึงขมับอยู่เช่นนั้นพร้อมดวงตาที่เหม่อลอยออกไปจากห้อง ด้านหลังเป็นกระจกบิ้วท์อิน มองทะลุลงไปเห็นทิวทัศน์ของเมือง ถนนแต่ละสายมีรถราแล่นอยู่อย่างไม่ขาด

ภาพสีหน้าขุ่นเคืองของลูกเลี้ยงผุดขึ้นมาในหัว แต่ละคำพูด แต่ละท่าทางที่แสดงต่อเขานั้นทำเอาอินทัชถึงกับตรอมใจ นึกถึงยามที่ปรางคณางเดินทางมาหา สีหน้ากลัดกลุ้มกังวลใจอย่างหนักเกี่ยวกับลูกชายคนเดียวของเธอ ยามนี้เขาเชื่อแล้วว่าใครก็แล้วแต่ที่ดูแลอศวมินทร์จะต้องเครียดและตรอมใจอย่างไม่มีข้อแม้ คิดแล้วชายหนุ่มก็อนาถใจตนเอง นี่หรือสิ่งที่ตอบกลับมาจากความทุ่มเทของเขา

ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ ถูกเด็กอายุน้อยกว่าดูถูกย่ำยีศักดิ์ศรี ถูกผู้คนมองว่าเป็นคนเลวแสนเลว

หากเขาไม่นึกถึงคำสัญญาที่มีต่อปรางคณางในวันที่เธอจะสิ้นใจ อินทัชรับปากได้เลยว่าจะไม่ทนอยู่เช่นนี้ แต่เมื่อปรางคณางเอาชีวิตตนเองเป็นเดิมพัน เขาเป็นลูกผู้ชายพอที่จะทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้

อินทัชใช้เวลาในสำนักงานหลายชั่วโมง ก่อนจะขนหนังสือและแฟ้มรายงานต่างๆ ให้ผู้ช่วยถือไปส่งที่รถ เดินทางกลับไปยังบ้านพักในช่วงเย็นของวัน หากจิตใจเขาว้าวุ่น ไขว้เขวในสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ การทำงานคือหนทางที่ดีที่สุด เพื่อให้ตัวเองดูยุ่งตลอดเวลาจนไม่มีสมาธิไปคิดออกนอกลู่นอกทาง ดังนั้น เมื่อถึงบ้านพักแล้ว รายงานทุกเล่มได้นำไปวางในห้องนอนของเขา เตรียมเพื่อจะอ่านให้ไม่มีเวลาพักพอที่จะคิดฟุ้งซ่าน

เขากับอศวมินทร์ต่างคนต่างอยู่อย่างนี้มาก็นาน เขาอยากอยู่แบบนั้นอีกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบสามปี จนกว่าอศวมินทร์จะมีสิทธิ์ในสมบัติตัวเอง อินทัชภาวนาขอให้มันเป็นเช่นนั้น แม้จะเห็นเค้าลางไม่ดีก็ตาม

ระหว่างที่ชายหนุ่มย่างเท้าขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อเข้าห้องพัก อินทัชรับรู้ว่ามีใครเดินตามหลังมา ชายหนุ่มหันไปตามเสียงด้วยสัญชาติญาณ แม้ในใจเกรงว่าจะเป็นอศวมินทร์ เขายังไม่พร้อมจะต่อกร พูดคุย หรือโต้เถียงอะไรกันตอนนี้ หากทว่าโชคเข้าข้างหรือจะกลั่นแกล้งไม่ทราบ เป็นคิมหันต์ที่กำลังขึ้นบันไดมา อีกฝ่ายมีสีหน้าประหลาดแก่ใจเมื่อเห็นเขาหันไปสบมอง ท้ายที่สุดก็เดินต่อมาหยุดตรงหน้า

“คุณดีขึ้นแล้วนี่” อีกฝ่ายกล่าว ดวงตาที่อินทัชไม่ชอบเท่าไรนักกำลังมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า แน่นอนว่าไม่ใช่สายตาของเด็กที่มองคนอาวุโสกว่าอย่างยกย่องนับถือ เขารับรู้ได้ว่าคิมหันต์ตีตนเป็นอริกับเขาตั้งแต่แรกเห็น แต่ยังสงบเสงี่ยมท่าทีไว้อยู่เช่นกัน การกระทำแบบนี้เขายอมรับว่าคิมหันต์เป็นคนที่รับมือยากพอควร

ชายหนุ่มผ่อนปรนอารมณ์ตนเอง “ใช่ ถึงไม่หายก็ต้องพยายามหาย”

“พูดแบบนี้ แสดงว่ากำลังพาดพิงไปถึงมินอยู่สินะครับ”

“หืม...” อินทัชย้อนด้วยความฉงน ยิ่งรอยยิ้มยียวนของอีกฝ่ายที่แสดงออกเป็นนัยยะอะไรสักอย่างนั้น สร้างความงุนงงแก่เขามากขึ้นไปอีก อาจจะมีอารมณ์ขุ่นมัวเล็กๆ แม้จะรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าต้องการปั่นประสาทเขา ถึงรู้แต่ก็ยังควบคุมไม่ได้ เขาไม่ชอบที่คิมหันต์ยิ้มเหยียดนี่มาให้สักนิด “ไม่จำเป็นต้องโยงมินมาเกี่ยวด้วยทุกครั้งหรอก ฉันแค่หมายความว่าต้องแข็งแกร่งเพราะต้องมีงานที่จะทำอีกหลายอย่าง”

คิมหันต์แสร้งพยักหน้าเข้าใจ แม้สีหน้ายังแสดงออกว่าไม่ค่อยเชื่อก็ตาม “ผมได้ยินจากป้าพินว่าคุณไปโรงเรียน ไปคุยเรื่องที่มินก่อไว้นี่ คุณไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้หรอกเหรอครับ”

“ฉันมีเรื่องที่ต้องคิดมากกว่าเรื่องไร้สาระพวกนี้”

อินทัชหน้านิ่ว ไม่ชอบท่าทีของคิมหันต์เอาเสียจริง ชายหนุ่มเดินไปยังหน้าประตูห้องพักของคนเองเพื่อจะเข้าไปพักผ่อน หากทว่ายังได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายตามหลังมา “คิดได้แบบนั้นก็ดี ผมหวังว่าคุณจะไม่สนใจในตัวน้องผมไปมากกว่านี้”

“เธอใช่ไหมที่ห้ามไม่ให้เขาเอาจดหมายมาให้ฉัน” อินทัชขบกรามตัวเองอย่างสุดทน มือข้างที่แข็งแรงดีอยู่เกาะกุมลูกบิดไว้ หากทว่าลำตัวหันไปสบกับคิมหันต์ที่ยืนหน้านิ่วอยู่ด้านหลัง หากเป็นสมรภูมิรบ แค่เพียงสายตาที่สามารถฟาดฟันอีกฝ่ายให้ตายได้ คาดว่าไม่มีใครยอมใครแน่ อาจจะตายได้ทั้งสองฝ่ายเลยทีเดียว

เมื่อถูกยิงคำถาม คิมหันต์กลับกระตุกยิ้ม “ขอบโทษนะครับ ผมนึกว่าคุณรู้จักมินดีเสียอีก ไม่รู้เหรอครับว่าไม่มีใครสั่งการอะไรเขาได้”

“ใช่...แต่ก็มีบางคนใช้วิธีชักจูงได้เก่งนี่” อินทัชส่ายหน้า

“สิ่งที่ชักจูงมินได้ดีที่สุดคือหูกับตาของมันเอง ไม่คิดบ้างเหรอครับ ว่ามันอาจได้ยินมากับหูมันเองก็ได้ ว่าคุณไม่อยากจะรับรู้เรื่องที่มันทำ มันเลยตัดสินใจทำแบบนั้น คุณน่ะ อาจจะจำเองไม่ได้มากกว่าว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง แล้วคำไหนทำร้ายใครบ้าง” สิ้นคำ อินทัชถึงกับชะงักไปชั่วครู่ สร้างรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่าราวกับว่าเป็นผู้ชนะ

อินทัชนิ่ง มองคิมหันต์ที่ยังยืนกอดอกในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยหนึ่ง ชายหนุ่มไม่สนว่ายามนี้คิมหันต์มองเขาด้วยสายตาไหน มีเพียงความคิดเท่านั้นที่กำลังโลดแล่นอย่างหนักหน่วง ภาพยามที่เขาพูดคุยกับคิมหันต์ที่ห้องพักโรงแรม เสียงถ้อยคำของเขาที่กล่าวกับคนตรงหน้าก้องทั่วโสต ไหนจะประโยคที่มาวินพูดกับเขา ไหนจะคำพูดของอศวมินทร์ที่บอกว่าความรู้สึกเขาไม่มีความหมาย ชายหนุ่มยกมือกุมศีรษะตนเองเมื่อความปวดแล่นตุบเข้ามาไม่ยั้ง

“เธอต้องการอะไร” อินทัชสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ยกมือกุมศีรษะของตัวเองแน่น

“ผมบอกให้คุณเลิกยุ่งกับมินใช่ไหม”

“แล้วยังไง”

“คุณรู้หรือเปล่าวว่ามาวินขึ้นไปหาคุณที่โรงแรมวันนั้น” คิมหันต์กดเสียงต่ำ มองอินทัชที่สบตาเขานิ่ง ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าอินทัชดูตกใจในสิ่งที่เขาได้บอกไปเมื่อครู่ ท่าทางดูคล้ายเก็บอารมณ์ สีหน้าแม้จะดูปรกติหากทว่ามันปกติเกินไปที่เขาจะเข้าใจ คิมหันต์ทำได้เพียงลอบสังเกตเงียบๆ

“อะไรนะ...” อินทัชมองตาของคนบอก ชายหนุ่มหน้าชาไปในตอนนั้นเมื่อได้ยิน แสดงว่าสิ่งที่มาวินกล่าวกับเขาคือความรู้สึกที่เด็กคนนั้นอัดอั้นมานาน มาวินเห็นความจริงหมดแล้วว่าเขาทำอะไรลงไป

“คือ...หลังจากที่คุณขึ้นไปหามิน มาวินมันก็เดินตามหลังคุณไป นี่คุณไม่รู้สึกตัวสักนิดเลยงั้นเหรอ” คิมหันต์กอดอก มองนัยน์ตาของอินทัชที่แสดงออกว่ากำลังหวั่นใจ ชายหนุ่มไม่ทราบว่ามาวินสำคัญต่ออินทัชมากน้อยเพียงไหน แต่ในแง่ความเชื่อมั่น มาวินเห็นอินทัชเป็นฮีโร่ผู้น่ายกย่องตลอดเวลา และอินทัชเองก็ตั้งความหวังไว้กับหลานชายคนนี้สูงมาก จนไม่อยากทำตัวไม่น่านับถือต่อหน้ามาวินให้รู้สึกผิดหวัง

อินทัชนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะปรับสีหน้า “เขาอาจจะมาได้ยินความจริงที่ฉันพูดกับมินก็ได้”

ความจริง

สิ่งนี้ทำเอาคนที่คิดว่าตนเหนือกว่าถึงกับต้องกลืนรอยยิ้มหายไป ชายหนุ่มจ้องอินทัชเขม็งอย่างไม่อยากจะเชื่อ แม้ทุกครั้งอินทัชจะตกเป็นรอง อ่อนด้อยกว่าใครทุกครั้ง ชายคนนี้ยังร้ายกาจพอที่จะชูเอาหนามเล็กๆ อาบยาพิษมาฆ่าคู่ต่อสู้ได้ คิมหันต์กลืนน้ำลาย สีหน้าจากที่คิดว่าเหนือชั้นแปรเปลี่ยนมาขึงขังราวกับเป็นคนละคน “หมายความว่ายังไง คุณบอกไปแล้วเหรอ!”

“จะบอกตอนไหน ช้าหรือเร็วมันก็เป็นสิทธิ์ของฉันนี่” อินทัชตอบ แม้จะกำชัยชนะ แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ยิ่งคิด เรื่องราวก็ยิ่งพันกันมั่วไปหมด เขาไม่มีทางรู้สึกสนุกสนานชอบใจแน่ ชายหนุ่มลอบถอนใจหน่ายเหนื่อย หันไปมองคนฟังเล็กน้อยขณะกล่าว “ขอบใจที่มาเตือนแล้วกัน ต่อไปฉันจะระวังคำพูด จะไม่พูดจาทำร้ายจิตใจน้องชายเธออีก ถ้าเป็นไปได้น่ะนะ...”

พูดเหมือนกับว่าอศวมินทร์สนใจคำพูดของเจ้าตัวมากขนาดนั้น คิมหันต์ขบกรามแน่น มองตามร่างสูงของชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดของบ้าน กำลังเปิดประตูเข้าไปด้านใน คิดแล้วชายหนุ่มก็กำหมัดแน่น หมอนั่นคิดได้อย่างไรว่าน้องชายเขาเอาใจใส่และสนคำพูดของตัวเอง ช่างเป็นความคิดที่จองหองนัก!

“จะเข้าข้างตัวเองไปหน่อยไหม”

อินทัชชะงัก หันใบหน้ามาเพียงเสี้ยวหนึ่งขณะย่างเดินเข้าไป “มันจะไม่ถูกเรียกว่าเข้าข้างตัวเองเลย และมินจะไม่โกรธหรือเกลียดฉัน เขาจะยิ่งรัก เทิดทูนฉันมาขึ้นกว่าไปเดิมอีก ถ้าได้รู้ว่าฉันไม่ได้มีความลึกซึ้งอะไรกับแม่เขาแม้แต่นิดเดียว...”

ประตูห้องพักปิดลงพร้อมกับความรู้สึกของคิมหันต์ที่ระเบิดเต็มที่ ชายหนุ่มหันไปทุบผนังระรัวด้วยความบ้าคลั่ง ความจริงหนึ่งเดียวที่เขาปิดไว้มิดชิด ไม่ยอมบอกน้องชาย และคิดว่าคนอย่างอินทัชไม่มีทางปริปากพูดให้เสียศักดิ์ศรี ชายหนุ่มคิดว่าคงตั้งศักดิ์ศรีของอินทัชสูงเกินไป รายนั้นขอเพียงให้ตัวเองรอดและดูดีในสายตาคนอื่น จะใช้วิธีไหนก็ได้อย่างนั้นซีนะ

อินทัชยกมือกุมใบหน้าหลังจากประตูปิด ชายหนุ่มเข่าทรุด ไม่มีแรงที่จะหยัดยืนพอหลังจากพูดเรื่องนั้น พูดความจริงที่ว่าอินทัชไม่มีความเกี่ยวข้องกับปรางคณาง นอกจากคน ‘เคยรัก’ มากที่สุดคนหนึ่ง

รัก อย่างที่เคยบอกอศวมินทร์ไปในวันนั้น ไม่โกหกเลยแม้แต่น้อย...



********************************************

งื้มมมมม ความจริงอีกหนึ่งก็คลายออกมาแล้ว

เรื่องดำเนินมาถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ยังอีกยาวไกล

อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจนะคะ หนูนาจะขยันอัพ พาทุกคนไปถึงตอนจบอย่างเต็มกำลัง

มาสู้ไปพร้อมกันน้า ขอเพียงกำลังใจ^^
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 18 |||★ [15/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 15-11-2015 19:29:32
เป็นสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนดีแท้
ความโง่เขลาในอดีตของพ่อแม่
สร้างปมที่แก้ไขไม่ได้ให้ลูกหลานตัวเองแม้จะตายจากกันแล้ว
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 18 |||★ [15/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 15-11-2015 23:15:37
เดาถูกแหะว่าลุงอ้ายแต่งแค่ในนาม แต่เรื่องที่หลอกหนูมินเนี่ยมันเสียความรู้สึกจริงๆ นะเนี่ย ไม่รู้ว่าหนูมินถ้ารู้เรื่องนี้จะรู้สึกยังไงดีใจ หรือเสียใจที่ทำไม่ดีกับลุงอ้ายแต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ เพราะลุงอ้ายไม่บอกเหตุผลไม่รู้ว่าเพราะสัญญาเอาไว้กับแม่มินหรือเปล่า แต่ยังไงลุงอ้ายก็ผิดอยู่ดีนั่นแหล่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 19 |||★ [18/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 18-11-2015 21:00:28
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๑๙

วันเวลาเคลื่อนผ่านเร็วในยามที่ทุกคนเร่งรีบเสมอ แต่ในทางกลับกันแล้ว คนที่ยังจับเจ่าอยู่ที่เดิมกลับรู้สึกคล้ายยาวนานนับปี วันนี้อินทัชเดินทางถึงบ้านพักเร็วกว่าทุกวัน ชายหนุ่มดิ่งไปยังห้องทำงานเพื่อจัดการกับเอกสารที่ยังคงค้างคาในช่วงไม่สบายให้เสร็จ หากทว่าเมื่อไปถึง ชายหนุ่มพบเข้ากับซองสีขาวแผ่นหนึ่งที่ถูกวางทิ้งไว้ ระบุชื่อผู้ส่งคือฝ่ายปกครองของทางโรงเรียน

“อะไรอีกล่ะนี่”

อินทัชยกขึ้นมาพินิจอยู่ครู่ ก่อนจะหย่อนก้นลงนั่งบนเบาะนวมชั้นดีและเลือกที่จะเปิดมัน เพื่อขยายความข้องใจหลายอย่างว่าเหตุใดเจ้านี่จึงมาอยู่ที่ห้องทำงานเขาได้ นัยน์ตาคมงุดลงมองเอกสารในมือ รู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าในนั้นไม่ได้รายงานถึงพฤติกรรมของอศวมินทร์อย่างที่กังวล เป็นเพียงหนังสือขอความร่วมมือการประชุมผู้ปกครองก็เท่านั้น เพราะไม่กี่วันจะเริ่มสอบปลายภาค ทางคณะกรรมการโรงเรียนคงมีอะไรชี้แจงเกี่ยวกับกฏเกณฑ์และกำหนดการต่างๆ นานาให้ทราบโดยตรง มากกว่าบอกผ่านนักเรียนให้มาเล่าอีกที

อย่างน้อย จดหมายนี่ก็ไม่ได้ถูกกลืนหายไปอย่างฉบับก่อน

อินทัชเก็บจดหมายใส่ไว้ในลิ้นชักเมื่ออ่านจบแล้ว ได้ความว่าอีกสองวันเขาจะต้องไปร่วมประชุม รับทราบกำหนดการณ์ที่จะเกิดขึ้นในภาคเรียนต่อไปสำหรับเด็กในการปกครอง ชายหนุ่มอ่านหมายเหตุในหนังสือที่ส่งมานี้ ระบุว่าการไปรับทราบกำหนดการณ์ของทางโรงเรียนด้วยตัวเองนั้น เพื่อให้ผู้ปกครองทั้งหลายมั่นใจว่าแต่ละกิจกรรมที่เด็กจะได้ทำนั้นถูกระบุอย่างชัดเจน หากมีนอกเหนือจากที่ลงไว้ในหนังสือกำหนดจะไม่มีทางเกิดขึ้น

นั่นทำให้ผู้ปกครองทั้งหลายได้ทราบถึงข้อเท็จจริง และลูกหลานจะได้ไม่หาข้ออ้างที่จะโดดเรียนหรือออกนอกลู่นอกทาง เกิดความมั่นใจที่จะฝากนักเรียนไว้กับคณะครูอาจารย์ได้ตลอดทั้งเทอม

อินทัชใช้เวลากับการทำงานจนมืดค่ำ หลังจากทนหลังขดหลังแข็งทวนอ่านเอกสารจนครบ ชายหนุ่มเอนกายพิงพนังเก้าอี้ผ่อนคลาย หลับตานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นยามไม่ได้ง่วนอยู่กับการคิดสิ่งใด ภาพยามที่เขาพูดคุยกับคิมหันต์ก็ได้เริ่มปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มสะบัดออกจากหัวแต่ไม่สามารถทำได้อย่างต้องการ

อศวมินทร์ไม่รู้เรื่องนี้  สำหรับเขาแล้วเด็กคนนั้นไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง เขาไม่ใช่คนทำดีเอาหน้า ปิดทองหลังพระมาก็นาน เพียงเพราะเด็กคนนั้นไม่ยอมรับไม่ทำให้เขาอยากบอกความจริง ชายหนุ่มเคยคิดวามันคงรู้สึกดี หากอศวมินทร์รู้ความจริงว่าเขาเป็นพ่อเลี้ยงเพียงในนาม เขาคงรู้สึกโล่งใจ แต่แล้วอย่างไรล่ะ อศวมินทร์ยังเด็กนัก เด็กคนนั้นรู้สึกดีต่อเขาก็จริง แต่เรื่องของอนาคตใครจะไปรู้ เขาอยากให้เด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี แต่งงาน มีครอบครัวอย่างผู้ชายทั่วไป

เขายอมถูกเกลียด ให้เด็กคนนั้นเกลียดเขาแล้วไปมีอนาคตที่สดใส เขายอมพูดจาร้ายๆ เพื่อให้ตัวเองดูแย่ ก็เพื่อเว้นระยะห่าง ให้อศวมินทร์โกรธและเกลียดชังเขามากเข้าไว้ แม้นั่นทำให้รู้สึกไม่ดีกับตนเองไปบ้าง แต่เขาก็ภาวนาว่าสามปีที่จะต้องเจอ ให้มันจบลงไปไวๆ และเรียบร้อยที่สุด

ชายหนุ่มยกมือกุมขมับนิ่ง เขาควรไปขนเอาเอกสารหรืองานที่บริษัทมารไว้ที่บ้านเยอะกว่านี้ ชายหนุ่มทอดถอนใจ ดวงตาคมเพ่งมองไปที่ประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะจากใครด้านนอก ชายหนุ่มขานรับเป็นเชิงอนุญาต ก่อนมันถูกเปิดออกเผยให้ทราบว่าเป็นพิน แม่บ้านใหญ่ประจำคฤหาสน์หลังนี้ นางส่งยิ้มน้อยๆ บอกกับเจ้านายว่า “อาหารเย็นพร้อมแล้วค่ะคุณอ้าย”

“ขอบใจ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ” อินทัชขานรับเสียงเรียบ ชายหนุ่มปรับสีหน้าตัวเองอยู่ครู่หนึ่งมิให้แสดงถึงความกังวลมากไป ย้ำเตือนตนเองว่าห้ามแสดงท่าทีนี้ให้ใครเห็นโดยเด็ดขาด คิดได้แล้วนั้นอินทัชจึงลุกขึ้นยืนเต็มความสูง จัดแจงเสื้อผ้าแล้วเดินออกไปด้านนอก

คนรับใช้กำลังจัดแจงจานชามให้ ก่อนจะเดินไปอยู่มุมหนึ่งรอให้เขาไปทรุดกายนั่ง อาหารเย็นเป็นมื้อเดียวที่อินทัชมีคนร่วมโต๊ะอาหารในบ้าน ซึ่งนั่นก็คือคิมหันต์และอศวมินทร์ หรือไม่บางวันจะกลับดึกเพราะตารางงาน หรือแวะไปทานอีกบ้านหนึ่งร่วมกับครอบครัว ชายหนุ่มชำเลืองไปพบคิมหันต์กำลังเดินลงมา พร้อมกันกับอศวมินทร์ ดูคล้ายสองคนกำลังพูดคุยเรื่องใดเรื่องหนึ่งสีหน้าจริงจัง ชายอาวุโสของบ้านภาวนาว่าสายตาของเด็กหนุ่มที่มองลงมานั้น คงไม่ใช่กำลังพูดเรื่องของเขาอยู่

ช่วงเวลาของมื้อเย็นดำเนินไปอย่างเงียบเชียบเฉกเช่นทุกวัน คงเพราะอศวมินทร์ไม่โมโหโทโสเหมือนเมื่อก่อน อินทัชจึงวางใจที่จะเผชิญหน้ากันมากขึ้น เขารู้สึกสบายใจหากอยู่แบบต่างคนต่างอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ระรานหรือคุกคามอีกฝ่าย หากทว่าวันนี้ชายหนุ่มรู้สึกแปลก เนื่องด้วยต้นเหตุนั้นเกิดจากสายตาของเด็กที่นั่งถัดไปจากคิมหันต์ เขาคงไม่ได้รู้สึกไปเองแน่ สายตาของอศวมินทร์มองมาทางนี้อยู่บ่อยครั้งนัก สร้างความแปลกใจให้แก่อินทัช

ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ อินทัชวางช้อนลงหลังจากทานได้ไม่กี่คำ บรรยากาศดูเงียบและอึมครึมเกินไปที่จะทน ชายหนุ่มยกผ้าขึ้นซับริมฝีปากหลังจากดื่มน้ำ เรียกให้อศวมินทร์ผละมาสบอีกครั้ง อินทัชไม่ได้คิดไปเอง เมื่อเขาหันไปมอง เด็กหนุ่มไม่คิดจะผละสายตาหลบไปจากเขาเลยสักนิด ทำอย่างกับต้องการบอกอยู่ว่ากำลังจับจ้องเขา ให้อินทัชรู้สึกกังวลกับสายตานั้น

เด็กคนนี้ร้ายกาจ เขารู้ดี

“คุณอ้ายทานน้อยไปหรือเปล่าคะ เพิ่งหายป่วยควรทานเยอะๆ ดีกว่านะ”

“ไม่ล่ะพิน ฉันจะขึ้นไปอาบน้ำหน่อย อีกสักพักให้เด็กเอากาแฟไปส่งที่ห้องด้วยนะ” อินทัชตอบเสียงเรียบพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ให้คนอายุน้อยกว่าทั้งคู่เงยมองตาม

“คุณกังวลอะไรอยู่หรือเปล่า ดูเหมือนกังวลจนทานอะไรไม่ลงเลยนะ” เสียงของชายหนุ่มถัดไปจากเขากล่าวขึ้น อินทัชถึงกับต้องชะงักกับประโยคนั้น เขาพยายามที่จะเก็บสีหน้า แต่คงไม่มากพอเท่ากับสายตาเฉียบคมของอีกฝ่ายกระมัง คิมหันต์เป็นเด็กหลักแหลม คิดวะเคราะห์เก่ง คล้ายกับรู้ดีถึงสถานะเขาตอนนี้

“ขอบใจที่เป็นห่วง” อินทัชตอบเสียงเรียบ ไม่อธิบายอะไรให้เด็กตรงหน้าทั้งคู่เข้าใจสักนิด ชายหนุ่มเลือกผละเดินจากมา เพราะรู้ดีว่าหากต่อกลอนพูดคุยตอบโต้คิมหันต์ไป อาจสร้างความไม่พอใจให้อศวมินทร์ก็ได้ ชายหนุ่มแอบเห็นสายตาของลูกเลี้ยงในนามคนนั้นเงยขึ้นมาสบมอง สีหน้าและแววตาแสดงถึงความไม่พอใจเล็กๆ ออกมา

ชายหนุ่มถอนใจขณะก้าวเดินบนขั้นบันไดเพื่อมุ่งหน้าไปยังห้องพักของตนเอง หากทว่าได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ในระยะใกล้ ไม่หันได้หันไปมองว่าเจ้าของมันคือใคร ข้อมือก็ถูกกระชากเข้าเต็มแรง พร้อมเจ้าของได้พาให้เขาเร่งความเร็วในการสาวเท้าขึ้นไปด้านบน อินทัชหน้าชาไปในวินาทีนั้น เมื่อรับรู้ว่าเป็นใครที่กำลังดึงเขาให้รีบเดินตาม ชายหนุ่มงุนงง ก้มลงมองที่ข้อมือตนเองในอาณัติอศวมินทร์อย่างไม่ค่อยชอบใจ “เดี๋ยว เธอจะทำอะไร!”

“เงียบ...”

อินทัชเบิกตา เมื่อคำตอบคือเสียงที่เย็นเยียบจากอีกฝ่าย ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลาย มองแผ่นหลังกว้างและต้นคอที่โผล่พ้นปกเสื้อนักเรียน ไม่เห็นสีหน้าของคนเดินนำตอนนี้ ชายหนุ่มยื้อแขนมือเด็กหนุ่มด้านหน้าพาเดินเลยห้องพักเขาไป มีลางไม่ดีบอกให้อินทัชเลือกทำแบบนั้น ยิ่งยื้อแขน ยิ่งดึงรั้งให้หลุด อุ้งมือนั้นยิ่งเพิ่มความรุนแรงเพื่อที่จะจับเขาให้อยู่หมัดยิ่งเพิ่มขึ้น

“เธอไม่มีสิทธิ์ทำแบบนี้นะมิน ถ้าจะคุยกันก็คุยอยู่ตรงนี้” อินทัชยื้อ เรียกให้เด็กหนุ่มชะงักขาเป็นการตอบรับ อศวมินทร์ขวับมาสบตา แน่อนว่าเป็นสีหน้าขุ่นเคืองและโกรธขึ้งอย่างที่รู้อยู่แล้ว แต่อินทัชเพียงไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ต้นเหตุเกิดจากเขางั้นหรือ

“เธอมีอะไรก็พูดมา” ชายหนุ่มเริ่ม มือก็สะบัดเอาอิสระให้ตน “แต่จะคุยตรงนี้เท่านั้น”

“ทำไม กลัวผมฆ่าคุณเหรอ คุณไปทำอะไรผิดมาอีกล่ะถึงระแวงขนาดนี้”  อศวมินทร์จ้องตา นั่นทำให้ชายหนุ่มฉุกคิดได้ หรือเขาทำอะไรพลาดไปและทำให้เด็กตรงหน้าโกรธ หรือพูดอะไรที่ทำร้ายอศวมินทร์ไปอีก อินทัชปรับสีหน้า นึกคิดหาสิ่งที่ตนทำลงไป สมองก็ประมวลถึงจดหมายจากโรงเรียนที่ได้อ่านเมื่อตอนเย็น

“เรื่องประชุมผู้ปกครองฉันจะต้องไป ฉันไม่ได้รู้สึกลำบากใจที่เป็นพ่อเลี้ยงเธอ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกอาย...”

“พูดเรื่องอะไร!” เด็กหนุ่มย้อน

อินทัชนิ่งไปเมื่อสิ่งที่คิดไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มประหลาดใจ เมื่อมือหนาของคนตรงหน้าเอื้อมมากระชากให้เขาเดินต่อไป หากไม่ใช่เรื่องนี้ที่เคยทะเลาะกันเมื่ออาทิตย์นั้นแล้วจะเป็นเรื่องอะไร เขาไม่ค่อยเข้าใจ ชายหนุ่มมองแผ่นหลังกว้างของเด็กตรงหน้า ความรู้สึกอึดอัดหายไปเมื่ออศวมินทร์พาเดินเลยห้องพักเจ้าตัวไปอีก จะว่าโล่งใจก็คงถูกที่จุดจบไม่ใช่ห้องพักของอศวมินทร์

ท้ายที่สุดอินทัชถูกพาเดินออกไปยังระเบียงชั้นสองของบ้าน ชายหนุ่มทั้งรู้สึกโล่งอกและประหม่าในเวลาเดียวกัน ดวงตาคมมองทอดออกไป เห็นสนามหน้าของสวนหลังบ้านด้านล่าง มีแปลงดอกไม้จัดไว้สวยงาม เก้าอี้เหล็กตัวสีขาวลวดลายวิจิตรตั้งอยู่ อินทัชไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงที่มองมัน ชายหนุ่มงุดลงมองข้อมือของตน เงยสบตากับเด็กหนุ่มข้างกายอยู่ครู่ “ถ้าไม่ใช่เรื่องประชุมแล้วมีอะไร ฉันว่าเราคุยพอแล้วนี่”

“คิดว่าเท่มากนักสิที่ใช้คำพูดคำจาหรือแสดงท่าทางพวกนี้” อศวมินทร์เปรย ผละมือออกหลังจากกล่าวจบ นั่นได้สร้างปมคิ้วของอินทัชเป็นอย่างดี “พูดเรื่องอะไร ฉันจะพูดจะทำท่าทางยังไงมันก็เรื่องของฉัน ถ้าจะมาหาเรื่องกันด้วยไอ้เรื่องแค่นี้ฉันไปล่ะ”

“คุณอย่ามาทำไขสือได้ไหม ผมรู้หมดแล้ว!”

อินทัชชะงักลำขา เสียงตะเบ็งกร้าวของอศวมินทร์สะท้อนในหูคนฟัง ประโยคนี้จะว่าน่ากลัวก็ใช่ คงเพราะความหมายของมันกระมัง มันหมายความได้หลายรูปแบบ ชายหนุ่มหวังไว้เป็นอย่างยิ่งว่าคงไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องที่เขาไม่อาจเอ่ยบอกใคร และคิดว่าคิมหันต์เองก็คงไม่บอกน้องชายตรงๆ แน่ เพราะเจ้าตัวหวงแหนอศวมินทร์กว่าสิ่งไหน การที่น้องชายหันมาให้ความสนใจคนอื่นมากกว่าคงจะสร้างความโมโหไม่น้อย คิมหันต์คงไม่ยอมบอกง่ายๆ

“ผมรู้แล้ว ว่าคุณกับแม่วางแผนทำอะไร” อศวมินทร์จ้องตา นั่นทำเอาอินทัชพูดไม่ออก ชายหนุ่มกะพริบตาตัวเองถี่รัวเมื่อรู้ว่าเด็กตรงหน้าทราบ สิ่งที่ทำให้ใจของเขาโหวงมากขึ้นไปอีกนั้น คงจะเป็นเพราะความคิดของตนเองตอนนี้ ที่คิดได้ว่าหากอศวมินทร์รู้ความจริงแล้ว แล้วเหตุใดสีหน้าท่าทางยังแลดูไร้เยื่อใย และท่าทางยังคงแข็งกร้าวเช่นนี้กันเล่า ไหนกันเด็กดีที่เขาอยากพบ

อินทัชราวถูกค้อนทุบเข้ากะโหลกซ้ำๆ มึนงงไปในบัดดล เขาคงคิดในแง่ที่เข้าข้างตัวเองเกินไป

“ผมจะบอกให้ ว่าคุณมันไม่ได้ดูดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว!” นิ้วชี้ของเด็กตรงหน้าจ่ออยู่ที่อกเขา จิ้มลงซ้ำๆ ราวกับต้องการตอกย้ำ อินทัชนิ่งไป ก่อนจะทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ส่วนของระเบียงที่ตั้งไว้ “งั้นเหรอ...” ชายหนุ่มทำได้เพียงแค่ย้อนถามด้วยประโยคนี้

“ใช่...” อศวมินทร์พยักหน้ารับ เดินมาหยุดตรงหน้าเขา เรียกให้ชายหนุ่มต้องเงยขึ้นไปสบมอง สีหน้าและแววตาจริงจังนั้น “ผมไม่มีความภาคภูมิใจที่คุณทำแบบนี้สักนิด เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่าคนๆ นั้นคือคุณไง คนขี้โกหก คนลวงโลกที่ชอบใช้ความรู้สึกคนอื่น...”

“พูดจบรึยัง ถ้าพอใจแล้วฉันจะได้ไป” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน

“คุณรับไม่ได้เหรอที่ผมไม่รู้สึกดีใจที่คุณกับแม่ไม่ได้เป็นอะไรกัน คุณรู้สึกดีกับผมนี่ คุณคิดใช่ไหมล่ะว่าผมจะหันมารักคุณได้เหมือนเดิม ถ้าผมได้รู้ว่าคุณกับแม่ผมไม่ได้เป็นผัวเมียกัน”

“เปล่าเลย เพราะฉันรู้ไงว่าเธอนิสัยแบบนี้ ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องคิดแบบนี้ เธอแย่มาก...ฉันรู้ว่าเธอไม่มีทางสำนึกบุญคุณใครได้หรอก” ชายหนุ่มกลั้นใจกล่าว เห็นว่าเด็กตรงหน้าเริ่มตึงขึ้นเมื่อได้ฟังคำตอบผิดจากที่คาด อินทัชยื้อแขนเมื่อฝ่ามืออีกฝ่ายเอื้อมมากุมแน่น

ทั้งคู่จ้องตากันนิ่งเงียบ นานเท่าไรไม่ทราบ กระทั่งเกิดเสียงหนึ่งขึ้นมาขัดจังหวะ เป็นฝ่ายอศวมินทร์เองที่สะบัดมือออก ดวงตางุดลงมองที่ประเป๋ากางเกงของเขา อินทัชลอบผ่อนปรนลมหายใจ ล้วงหยิบโทรศัพท์ที่เคยนึกรำคาญขึ้นมาอย่างขอบคุณที่มีมันอยู่บนโลกใบนี้ หากไม่ได้มัน เขาไม่รู้ว่าศึกครั้งนี้จะสงบลงได้อย่างไร ชายหนุ่มชำเลืองตามองคู่กรณีเล็กน้อยก่อนกดรับสาย

“ว่ายังไงเอก” ชายหนุ่มปรับน้ำเสียงให้ดูเรียบขึ้น อศวมินทร์มุ่นคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสีหน้าของอินทัชเปลี่ยนไป จากสุขุมเมื่อครู่แปรเปลี่ยนมาระบายยิ้มจาง เขารู้ว่าอินทัชไม่รู้ตัวเองเลยด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มยามได้คุยกับผู้ชายคนอื่น “อ้อ จะย้ายไปวันเสาร์เหรอ ก็พรุ่งนี้น่ะสิ ฉุกละหุกเกินไปรึเปล่า”

เอกที่พูดถึง ก็คือผู้ช่วยคนนั้น ผู้ชายรุ่นเดียวกันที่คอยไปรับไปส่งอินทัชสินะ

“ฉันว่างวันอาทิตย์ล่ะ เดี๋ยวจะไปหา นายจะย้ายทั้งทีฉันจะต้องไปดูความเป็นอยู่ของนายหน่อยซีว่าโอเคหรือเปล่า ไม่เป็นไร ฉันจะขับรถไปเอง...” อินทัชตอบ น้ำเสียงนั้นดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ เด็กหนุ่มเคยเคยได้ยินบ่อยเหลือเกิน เสียงทุ้มนุ่มประสมความอ่อนละมุนนี้

สองคนนี้เป็นอะไรกัน หลังจากไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา

อศวมินทร์ขบกรามแน่นนิ่งฟัง เด็กหนุ่มคิดว่าเขาไม่ควรยืนทื่อเป็นตอไม่เช่นนี้ ยืนฟังอินทัชพูดคุยเสียงหวานกับใครโดยที่ไม่สนว่าเขาจะยืนอยู่ข้างๆ เด็กหนุ่มกระชากแขนอีกฝ่ายฝ่ายให้หันมา นั่นได้ทำให้อินทัชประหลาดใจจนเขารู้สึกได้ สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป

“เอก เดี๋ยวฉันจะโทรหานายอีกครั้งนะ” ไม่ทันจะได้พูดต่อ โทรศัพท์ในมือถูกดึงออกไปกดวางสาย ก่อนจะลอยละลิ่วลงไปยังสวนด้านล่างอย่างรวดเร็ว นั่นได้สร้างความโมโหแก่อินทัชเป็นอย่างมาก อศวมินทร์ทราบดี แต่ยิ่งเขายั่วยวนกวนอารมณ์อีกฝ่ายให้เลือดขึ้นหน้าเท่าใด อินทัชก็ยิ่งดูสงบมากขึ้นเท่านั้น และเป็นฝ่ายเขาเองต่างหากที่ต้องร้อนรน ไม่พอใจขึ้นมาเสียทุกที

“แค่นี้ใช่ไหมที่จะพูด ถ้าแค่นี้ฉันจะได้ไป”

อินทัชกล่าวเสียงเรียบ ดูท่ากำลังเก็บอารมณ์ และอศวมินทร์ทราบดีว่าอีกฝ่ายเก็บได้ดีเสียด้วย เด็กหนุ่มกำหมัด ทำได้เพียงมองแผ่นหลังกว้างนั้นย่างสามขุมออกไปอย่างรวดเร็ว บางทีก็เกือบจะได้เห็นสีหน้าระทมเจ็บนั้น แต่บางทีอินทัชก็ปิดมิดชิดจนเกินไป เขาจะไม่พอแค่นี้!

แม้อินทัชจะทำทุกอย่างเพราะสัญญาที่มีต่อปรางคณางก็ตาม เพราะท่าที่หยิ่งยโสนั่น มันทำให้เขาอยากเห็นสีหน้าเจ็บปวดของอินทัช แค่เพียงสักครั้ง ให้เท่ากับการหลอกลวงให้เขาเสียใจ ร้องไห้ สิ้นหวัง เขาอยากเห็นอินทัชตกนรกทั้งเป็นเหมือนตัวเองบ้าง แม้ทุกครั้ง มันจะสะท้อนมาหาตัวอศวมินทร์เองก็ตาม เด็กหนุ่มคิด มือหนากำราวระเบียงแน่น เมื่อมองลงไปด้านล่าง เห็นเจ้าของร่างซึ่งเป็นต้นเหตุอารมณ์แปรปรวนนี้กำลังก้มลงเก็บโทรศัพท์ขึ้น แล้วเดินจากไป...

อินทัช คอยดูเถิด!
 
เช้าวันหยุดเดินทางมาถึงอย่างรวดเร็ว อินทัชตื่นตั้งแต่เช้า เขานัดกับเอกว่าจะไปช่วยจัดบ้านที่จะต้องย้ายไปอยู่ใหม่ อินทัชขับรถออกไปจากคฤหาสน์ในช่วงสายของวัน เดิมทีก็ทราบว่าอยู่ตรงไหน จึงไม่ยากนักที่จะไปถึงที่นั่นโดยไม่รบกวนเจ้าบ้าน ชายหนุ่มแวะซื้ออาหารสำหรับทานเองและฝากคนในครอบครัวเอกด้วย เมื่อไปถึง ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการช่วยกันจัดเรียงของและทำความสะอาดพอดี แม้เป็นเจ้านาย แต่เพราะรุ่นราวคราวเดียวกัน ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ทักทายผู้อาวุโสกว่าด้วยความนอบน้อม

“พ่อ แม่ นี่คุณอ้าย เจ้านายฉัน” เอกแนะนำ อินทัชส่งยิ้มให้ทั้งยกมือไหว้อีกครั้ง “ผมซื้อของมาฝากครับ”

“โอ้ ใจดีจังเลยจ้ะ เอก...พาเจ้านายแกไปนั่งที่ห้องรับแขกก่อน”

“อ้อ ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมมาช่วย” อินทัชส่ายมือปฏิเสธระคนเสียงหัวเราะ หันไปมองเพื่อนสนิทที่ยืนขำอยู่ข้างๆ ราวกับต้องการบอกอะไรบางอย่าง เอกเห็นดังนั้นจึงรีบพูดต่อให้ “แม่กับพ่อไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรกับคุณอ้ายหรอก เขาเป็นคนเรียบง่ายจะตาย”

“อ้อ งั้นเหรอ”

อินทัชยกยิ้ม เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสสองคนดูผ่อนคลายลง ทั้งวันชายหนุ่มเห็นและได้ยินเพียงคำชมและเยินยอถึงความเรียบง่ายของตัวเอง และอีกอย่างคือทั้งสองคนดูจะเอ็นดูเขาเฉกเช่นลูกชายคนหนึ่งไปแล้ว อินทัชกับเอกสวมผ้ากันเปื้อนจัดเรียงหนังสือใส่ชั้น ปัดหยากไย่และฝุ่น ที่จริงบ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่า เพราะจะย้ายไปเมืองนอกเจ้าของคนเก่าเลยขายให้ มันไม่เล็กไม่ใหญ่ ดูอบอุ่นกว่าคฤหาสน์ที่เขาอยู่เป็นไหนๆ

ดูเหมือนไม่ว่าเขาจะก้าวไปทำอะไร คุณแม่ของเอกตามให้กำลังใจอย่างเต็มที่ นางชอบเขาเป็นพิเศษ คอยเช็ดเหงื่อหรือยกน้ำมาให้แก้กระหาย ทำเอาพ่อและลูกชายอีกมุมแอบยิ้มกันด้วยความหมั่นไส้ อินทัชทำได้เพียงแค่ระบายยิ้มกับคำแซวของสองหนุ่มอีกฝั่งอย่างช่วยไม่ได้ เพียงแค่มาเหยียบที่นี่ครึ่งวัน เขาสัมผัสถึงความอบอุ่นของครอบครัวมากกว่าการอยู่ร่วมกับคนในคฤหาสน์นับปี

กว่าจะทำความสะอาดเสร็จก็ย่ำบ่าย อินทัชแก้ผ้ากันเปื้อนและผ้าปิดหน้าออกก่อนจะเดินไปล้างมือในห้องครัว เห็นมารดาของเอกกำลังเช็ดจานชามพร้อมส่งยิ้มใจดีมาให้ “เหนื่อยไหมจ้ะ หิวรึเปล่า แม่กำลังจะยกข้าวไปให้”

อินทัชระบายยิ้ม “นิดหน่อยครับแม่ แค่รู้สึก คันๆ กับฝุ่น”

“ตายจริง คอคุณ...” นางชี้นิ้วแล้วรีบเช็ดมือตัวเองเดินมาจับผิวระหว่างคอกับหน้าอกที่โผล่พ้นผ้ากันเปื้อนด้วยความตกใจ “มันแดงเป็นปื้นๆ เลย สงสัยจะโดนฝุ่นที่นี่เล่นงานแล้วล่ะจ้ะ ออกไปรอที่เย็นๆ ข้างนอกนะ เดี๋ยวแม่เอายาออกไปทาให้”

อินทัชแตะที่คอตัวเองด้วยความฉงน ชายหนุ่มทำตามคำสั่งนางอย่างว่าง่าย เดินไปทรุดกายนั่งข้างเอกกับบิดา ซึ่งกำลังจ่ออยู่หน้าพัดลมเอาความเย็น “คอคุณแดงมากเลยนะ ผมมีผ้าเย็น เอามาเช็ดหน้ากับคอหน่อยก็ดี”

“ฉันไม่เป็นอะไร...”

“แพ้ขนาดนั้นยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก ทำความสะอาดแล้วต้องทายาให้มันยุบลงหน่อยนะจ้ะ ตายจริง ฉันรู้สึกผิดนะเนี่ยที่คุณต้องเป็นแบบนี้ ถึงคุณจะชอบแบบเรียบง่าย แต่ผิวคุณคงไม่ชอบด้วย ดูสิ ผิวพรรณผู้ดีผิดกับผิวแกมากเลยนะเอก ผิวแกกร้านแถมหยาบตั้งแต่เด็กอีกต่างหาก” นางกล่าว มือก็รับผ้าเย็นจากลูกชายมาซับใบหน้าคมคายให้ราวกับดูแลลูกชายคนเล็กของบ้าน อินทัชเงอะงะจะรับผ้าไปทำเอง แต่ดูเหมือนเขาจะไม่มีโอกาส

“แล้วฉันผิดอะไรเล่าแม่ ก็ฉันโตจากบ้านนอกนี่”

อินทัชยิ้มขัน ยกมือไปปิดปากเพื่อนเมื่อเห็นเอกย้อนมารดา เขาชอบบรรยากาศนี้ มารดาเขาเสียไปหลายปีแล้ว การได้ถูกดูแลจากใครสักคนที่ยังมองว่าเขาเด็กเสมอนั้น สร้างความรู้สึกที่ดีต่ออินทัช ชายหนุ่มสัญญากับตัวเองว่าจะหมั่นมาที่นี่ เขาเหมือนเด็กน้อยเล่นซน แล้วก็ต้องมานั่งฟังมารดาบ่นกับสิ่งที่ตัวเองก่อ ชายหนุ่มทำได้เพียงยิ้มอย่างเดียวจริงๆ

ฟ้ามืดเร็วกว่าที่ชายหนุ่มคิด เวลามักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับกลั่นแกล้งเมื่อเห็นว่าเขามีความสุข อินทัชรู้สึกไม่อยากกลับ อยากให้วันอาทิตย์ยาวนานกว่านี้ “ไว้ผมจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะครับ คุณพ่อ คุณแม่” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ทั้งสาม

“ถ้ามีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือต้องการให้ช่วยอะไร บอกผมนะครับคุณอ้าย ไม่ต้องเกรงใจ” เอกกล่าว มองเจ้านายนิ่ง “ผมคงแย่ถ้าไม่ได้เจอคุณ ผมจะไม่ลืมบุญคุณคุณเลย ขอบคุณนะครับ”

“พูดอะไรอย่างนั้นกัน ไม่เอาน่า” อินทัชไม่อาจบอกไปได้ว่าครอบครัวของเขาไม่วิเศษเท่าครอบครัวของเอก มันคงผิดที่นำมาเปรียบเทียบกัน ชายหนุ่มไม่อยากเอ่ยลาเอกราวกับว่าทั้งชีวิตจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว เขาทั้งคู่เป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง เป็นผู้แบ่งปันความคิดและประสบการณ์มาด้วยกันนานหลายปี เพียงแค่เอกไม่ได้ทำงานให้กับเขา เขาไม่จำเป็นต้องตัดเพื่อนคนนี้ออกจากชีวิต

อินทัชกลับไปยังบ้านพักตัวเองแทนที่จะเป็นคฤหาสน์ คงเพราะดึกแล้ว และเขารู้สึกคันเกินกว่าจะขับรถต่อไปได้ ชายหนุ่มขึ้นไปอาบน้ำชำระร่างกาย ทายาและทาแป้งให้ผิวแห้ง ที่จริงความดึกไม่ใช่ประเด็นหลักที่เขาจะพักที่นี่ เขาเพียงแค่คิดว่าพักผ่อนที่บ้านนั้นหรือกลับคฤหาสน์ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะกลับไปหรือไม่

คงไม่มีใครตั้งตารอเขา...
 

อศวมินทร์มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดทิ้งไว้ หลังคุยกับเพื่อนเสร็จเขาก็นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นได้นานครู่ใหญ่แล้ว ดวงตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง รั้วบ้านยังปิดสนิท ไม่มีรถคันไหนวิ่งเข้ามาสักคัน เด็กหนุ่มถอนใจเอาแรงอยู่หนึ่งครั้ง ก่อนจะปิดคอมพิวเตอร์แล้วลากขาไปทิ้งกายลงนอนบนเตียง มองเพดานเบื้องหน้าเพื่อบังคับให้ตัวเองหลับตาลง เด็กหนุ่มทราบดีว่ามันยาก ไม่รู้ทำไมเขาต้องจดจ่อกับเรื่องอื่นนอกจากต้องนอนหลับพักผ่อนด้วย

เพียงแค่วันนี้อินทัชจะไม่กลับมา

เขาไม่ได้รู้สึกแย่ทุกวินาทีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยอมรับว่าความจริงที่คิมหันต์บอกทำให้เขาเหมือนคลานออกมาจากขุมนรก มันโล่งใจ เหมือนออกจากฝันร้าย มันหาที่เปรียบไม่ได้ แต่คิด เขาก็พลันนึกถึงความใจร้ายของอินทัช หลอกให้เขาหมกมุ่นกับความรู้สึกผิดบาปนั่นมาเกือบปี แต่...

เขาก็ใจร้ายเหมือนกัน

ที่ผ่านมา เขาทำร้ายอินทัชไปตั้งเท่าไรตัวเองรู้ดีที่สุด อศวมินทร์หลับตาลง นี่ไม่ใช่ความใจอ่อนอย่างแน่นอน เพราะจิตใต้สำนึกของเขามันเป็นพวกคนอ่อนแอต่างหาก เขาอยากฟังกับหูตัวเองอีกครั้ง สิ่งที่อินทัชตั้งใจจะบอกกับเขาในรถวันนั้น คำนั้นมันอาจหยุดความโมโหของเขาลงได้ หากอินทัชยอมคุกเข่าบอกกับเขาด้วยความรู้สึกผิด ขอร้องให้เขายกโทษให้!

วันใหม่เดินทางมาถึงอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว อศวมินทร์แต่งตัวเตรียมไปสอบวันแรก พร้อมกับต้องรออินทัชที่จะเดินทางไปโรงเรียนพร้อมกัน เด็กหนุ่มสวมร้องเท้าแล้วเดินขึ้นไปนั่งบนรถ แม้ภายในนั้นจะเย็นสบายแต่เขากลับใจร้อน รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ต้องรอ กระทั่งรถยนต์คันคุ้นเคลื่อนเข้ามาจอดในโรงรถข้างๆ กัน อศวมินทร์มุ่นคิ้วรออยู่ก่อนแล้ว แสดงให้คนที่เดินมาเปิดประตูนั่งข้างกันได้เห็นความไม่พอใจ “มาช้า ผมต้องสอบนะ”

อินทัชหันมองคนนั่งข้าง “ฉันรู้สึกเพลียนิดหน่อยน่ะ” สีหน้าเด็กหนุ่มบอกบุญไม่รับ อินทัชลอบถอนใจ ชายหนุ่มดูพยายามปล่อยผ่านการหาเรื่องนี้ไป ซึ่งอศวมินทร์พอได้หันมาด้านนี้แล้ว ไม่รู้ทำไมอารมณ์ถึงได้เดือดขึ้นมากกว่าเดิม “ผมไม่ไปแล้ว คุณเองก็ไม่ต้องไป!”

อศวมินทร์กำหมัด มองท่าทีไม่รู้สึกรู้สาของคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา นัยน์ตาคมเหลือบมองลำคอของคนข้างกายเขม็ง บนลำคอและรอยจูบนั่น...

“แม่งสกปรก!”

ที่หายไปทั้งคืนก็เพราะแบบนี้นี่เอง เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างอินทัชก็คงจะสกปรกเช่นเดิม น่ารังเกียจเช่นเดิม เจ้านายมีเซ็กส์กับลูกน้องที่ใช้เงินเดือนตัวเอง มันคงชวนท้าทายดีพิลึกสินะ อศวมินทร์กำหมัดไว้แน่นจนสั่นไหว แล้วเรื่องที่เขาคิดเมื่อคืนนี้เล่า มันเสียเวลาเปล่าสินะ เด็กหนุ่มกลั้นใจ พยายามผ่อนลมหายใจตัวเองไม่ให้โมโห “ผมอายที่ใครๆ เขาจะเข้าใจว่าคุณเป็นพ่อผม ออกไป!”

อินทัชเบิกตาไม่เข้าใจ “มิน เธอหมายถึงอะไร...”

“ออกไป!” เด็กหนุ่มตะเบ็งเต็มเสียง มองใบหน้าของชายตรงหน้าอย่างไม่ละ มือหนาเอื้อมไปผลักร่างของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อเลี้ยง “ออกไป ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณ ขยะแขยง ออกไป!”

เด็กหนุ่มยกมือกุมหน้าผากเก็บกลั้นอารมณ์ หลังจากผลักตัวอินทัชออกไปจากรถได้แล้ว ไม่รู้ทำไม เพียงแค่เห็นรอยนั่นบนคอของอีกฝ่าย อารมณ์เขาก็ปะทุขึ้นมาเองอย่างอัตโนมัติ หนำซ้ำภาพตอนที่อินทัชถูกกอดก่าย ถูกผู้ชายคนอื่นประทับตรานั่นก็ผุดขึ้นมา อศวมินทร์เกลียดความรู้สึกตอนนี้เหลือเกิน

เขาไม่สามารถบังคับตัวเองได้เลย...

**********************************************

นางหึงแบบมโนได้ยอดเยี่ยมมาก 55555 หึงแบบตามนิสัยของนาง  หลังจากได้รู้ความจริง

ช่วงนี้เป็นช่วงที่น้องมินจะขึ้นๆ ลงๆ เพราะด้วยความสับสนที่ได้รู้ว่าลุงอ้ายบริสุทธิ์ใจ แต่ก็ยังโกรธแล้วก็ปากแข็ง อารมณ์ประกอบด้วยอะไรหลายๆ อย่าง แต่จะร้ายเป็นพิเศษ เอะอะพาลใส่ไว้ก่อน

เพราะปกติเป็นคนอารมณ์ร้าย ผีเข้าผีออก ลุงอ้ายน่าสงสาร ไม่เคยตามความรู้สึกน้องทันซ้ากกกที

เอาล่ะ มาดูตอนหน้าว่าลุงอ้ายจะทำยังไง แล้วมินไปก่อเรื่องอะไรอีก ขอกำลังใจด้วยจ้า

เจอกันตอนหน้าน้า^^

หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 19 |||★ [18/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-11-2015 21:10:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 18 |||★ [15/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-11-2015 00:25:05
เดาถูกแหะว่าลุงอ้ายแต่งแค่ในนาม แต่เรื่องที่หลอกหนูมินเนี่ยมันเสียความรู้สึกจริงๆ นะเนี่ย ไม่รู้ว่าหนูมินถ้ารู้เรื่องนี้จะรู้สึกยังไงดีใจ หรือเสียใจที่ทำไม่ดีกับลุงอ้ายแต่ก็ว่าไม่ได้หรอกนะ เพราะลุงอ้ายไม่บอกเหตุผลไม่รู้ว่าเพราะสัญญาเอาไว้กับแม่มินหรือเปล่า แต่ยังไงลุงอ้ายก็ผิดอยู่ดีนั่นแหล่ะ

มินรู้เรื่องแล้วจ้า
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 19 |||★ [18/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 19-11-2015 03:35:38
ลุงอ้ายกับน้องมินคงจะไม่เข้าใจกันอีกนาน บางทีก็อยากจะวาปไปอ่านถึงตอนที่เค้าสองคนเข้าใจกันแล้ว คุยกันดีดีอะไรเงี้ย
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 19 |||★ [18/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 19-11-2015 06:48:21
ลุงอ้ายกับน้องมินคงจะไม่เข้าใจกันอีกนาน บางทีก็อยากจะวาปไปอ่านถึงตอนที่เค้าสองคนเข้าใจกันแล้ว คุยกันดีดีอะไรเงี้ย
สปอยว่าต่อๆไปจะเริ่มมีแล้วจ้า เพราะน้องรู้ความจริงแล้วว่าลุงอ้ายไม่ได้ทำผิด อยู่ในช่วงปากแข็งแต่ใจเริ่มอ่อนลงแล้ว เริ่มหึง เริ่มหวง เริ่มเรียกร้องความสนใจมากขึ้น ^^
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 19 |||★ [18/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 19-11-2015 14:04:07
ในที่สุดมินก็รู้เรื่องแล้ว รอตอนต่อไปว่าลุงอ้ายจะรับมือกับอารมณ์ของมินยังไง
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 20 |||★ [21/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-11-2015 00:05:41
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๐

อศวมินทร์ให้คนขับรถจอดระหว่างทาง แม้จะถูกเตือนว่าจะต้องไปโรงเรียนด้วยความห่วงใยของคุณลุงคนขับก็ตาม เด็กหนุ่มไม่ยอมฟัง เชื่อว่าแกไม่มีทางเตือนเพราะห่วงใยโดยแท้จริง เพราะห่วงว่าตัวเองจะถูกตำหนิจากเจ้านายและมีผลกระทบกับเงินเดือนต่างหาก เขาเดินลงมาโดยที่ไม่เชื่อคำทัดทานของใคร ไม่เกรงว่าผลจะตามมาอย่างไรหากไม่ไปสอบวันนี้ อศวมินทร์คิดว่าหากไปก็คงเหมือนเดิม เขาคิดอะไรไม่ออก เขาอารมณ์เสียเกินกว่าจะนั่งอยู่เงียบๆ รวบรวมสมาธิได้

เด็กหนุ่มเตร็ดเตร่เดินแล่นในถนนที่มีชื่อเสียง แหล่งรวมแฟชั่นและเด็กวัยรุ่นเดียวกัน ตรอกมากผู้คนท่ามกลางชุดนักเรียนนั้น ในระหว่างกำลังก้มลงมองโทรศัพท์เห็นเบอร์ของอินทัชโชว์หรา เด็กหนุ่มส่ายหน้า ได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องจากมุมใดมุมหนึ่งขอความช่วยเหลือ อศวมินทร์มุ่นคิ้วเล็กน้อย ไม่อยากไปยุ่งวุ่นวายอะไรนัก ลำพังเรื่องของตัวเองก็ยังเอาไม่รอด จะมีหน้าไปช่วยใครได้กัน แต่เสียงร้องไห้ของเธอและคำขอร้องนั้นก็ยังไม่เงียบลง ไม่มีใครคิดช่วยเธอเลยสักคนงั้นหรือ

เด็กหนุ่มถอนใจ ย่างสามขุมไปตามเสียง ลำขายาวหยุดยืนดูสถานการณ์อยู่ครู่หนึ่ง ซอยนี้คนเดินสวนเสไปมาไม่มากนัก ที่หน้าร้านไอศกรีมเจ้าเก่าที่เขากับเพื่อนมักมานั่งเหล่สาวๆ เห็นเด็กผู้ชายสวมเครื่องแบบโรงเรียนเดียวกันกับเขากำลังรุมกระทืบเด็กต่างโรงเรียนสักคน พร้อมเด็กผู้หญิงวัยรุ่นกำลังร้องตะโกนเรียกคนช่วย

“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยพี่ฉันด้วย!”

“มึงเงียบไปเลย พี่มึงเสือกเปรี้ยวเอง คราวที่แล้วไปกระทืบน้องกูถึงหน้าโรงเรียน!” อศวมินทร์ถอนใจ วางกระเป๋านักเรียน มือหนากำหมัดแน่นเมื่อเห็นหนึ่งในนั้นเดินไปผลักเด็กสาวคนนั้นล้มลงกระแทกพื้น ชี้หน้าบอกให้เงียบ มันดูไม่เข้าตาสักเท่าไร เขาไม่ใช่สุภาพบุรุษ แต่เขาก็พูดได้เต็มปากว่าจะไม่ทำแบบนั้น ยกเว้นอดทนแล้วจริงๆ

“เฮ่ย! พวกมึงทำอะไร” อศวมินทร์เดินไปหยุด มองเด็กชายกลุ่มนั้น น่าจะเป็นรุ่นน้องเขาสักหนึ่งปีเห็นจะได้ กำลังยืนมองมาด้านนี้ สายตาที่ส่งมากวาดลงตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เขาเกลียดสายตาแบบนี้ที่สุด

“มึงเสือกอะไร หล่อเหรอ หา!”

“อีนี่เมียมึงเหรอ หรือว่าน้องคนละพ่อ หรืออีตัวที่มึงเอาคืนที่แล้ว” อีกคนโพล่งถาม ชี้นิ้วไปยังผู้หญิงคนที่นั่งกับพื้นหน้าซีด อศวมินทร์นิ่ง ยอมรับว่าตัวเองแส่หาเรื่องชัดๆ ที่เดินเข้ามา ทั้งที่ตัวคนเดียว ฝ่ายตรงข้ามมีถึงสามคน นัยน์ตาคมหลุบไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกรุมซ้อม น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับตน แต่มันมีแรงพอจะลุกขึ้นมาซัดพวกนี้ช่วยเขาหรือเปล่า

ช่างมันสิ เขาอยากโดนใครก็ได้กระทืบแรงๆ ให้จมธรณี อยากมีเรื่อง อยากซัดคนให้ฟันร่วงสมกับที่อัดอั้นมานานเหมือนกัน จะกี่คนก็ช่าง ขอแค่ได้ระบายสักหน่อยก็พอ อศวมินทร์กัดฟัน จ้องคนที่ยืนค้ำเอวส่งสายตายียวนประประสาทมาให้ ขบกรามข่มลมหายใจเอ่ยไปว่า“ต่อยกับกูไหม...”

เด็กหนุ่มตรงหน้าชะงัก ก้มลงมองหมัดที่ถูกกำจนสั่นของอศวมินทร์ด้วยความแปลกใจ จำได้ว่าชื่อบนเสื้อนักเรียนนี้ตนได้ยินฝ่ายปกครองประกาศเรียกอย่างเอิกเกริกอยู่บ่อยครั้ง ก็แค่พวกชอบสร้างปัญหาคนหนึ่ง “มึงดังนี่ แต่ไม่เท่ว่ะ พ่อพระเหรอ วันนั้นยังเห็นกัดกับพ่อเลี้ยงเหมือนหมาอยู่เลย”

“เขาไม่เกี่ยว”

“ทำไม! เก่งเหรอหา ไปแดกขี้กับพ่อหมาๆ มึงโน่น!”

อศวมินทร์สูดลมหายใจ ดวงตาเหลือบไปเห็นอิฐอยู่ก้อนหนึ่ง พยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้ถึงที่สุดท่ามกลางเสียงหัวเราะของคนที่เหลือ แบบนั้นมันรุนแรงเกินไป เขาจะไม่ฆ่ามัน ถึงแม้ว่ามันจะสมควรตายขนาดไหนก็ตาม เด็กหนุ่มจ้องตาคนตรงหน้าเขม็ง เมื่อมือหยาบกร้านเอื้อมมากำคอเสื้อเขาแน่นด้วยสีหน้าราวกับเหนือกว่า “นี่...ถ้าจะมาช่วยคนอื่น มึงดูสภาพตัวเองก่อน กลับไปเคลียร์ปัญหาทางบ้านมึงให้เสร็จก่อนไหม ถุย...!”

“ไอ้สัตว์ มีสามคนแล้วกูจะกลัวเหรอ!”

เด็กสาวที่นั่งกับพื้นหวีดร้องด้วยความตกใจ ภาพเบื้องหน้าที่เธอเห็นนั้นไม่สามารถมองดูได้อีกต่อไป เด็กสาวผวา มือหนาของพี่ชายกุมข้อมือเธอแน่น กระซิบให้วิ่งหนีไปจากที่นี่อย่างเร็วที่สุด เธอตัวสั่น มองเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้มาช่วยกำลังบันดาลโทสะกับคู่กรณีอย่างบ้าคลั่ง แม้ตัวเองจะถูกสวนกลับด้วยก็ตาม เธอขยับขาไม่ออก ได้ยินเสียงพี่ชายบอกว่ามีคนกำลังแจ้งตำรวจ ทั้งสองควรหนีไปจากที่นี่

“ไปสินัท เราต้องหนีแล้ว!”

“พี่นิค พี่จะทิ้งเขาเหรอ...”

“ไปเถอะน่า ไม่มีเวลาแล้ว อยากให้แม่รู้เรื่องที่เราโดดเรียนวันนี้รึไง!” พี่ชายดึงแขนและกุมมือเธอแน่น ในขณะที่วิ่งหนี เธอมองเขาคนนั้นอย่างเต็มตาด้วยความเข้าใจ สีหน้า แววตานั้นเหมือนว่ากำลังแบกรับอะไรไว้ภายในมากมาย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งนอกจากโครงหน้าที่มีเสน่ห์นั้น ทำให้เธอไม่อาจละสายตาไปจากเขาได้เลย

เขาเป็นใครกัน
 

อินทัชเดินวนไปมาด้วยความกลัดกลุ้มใจ เขาเดินทางมาโรงเรียนเองโดยแท็กซี่ แต่มาถึงแล้วอาจารย์ที่ปรึกษากลับบอกว่าลูกเลี้ยงของเขาไม่ได้มาที่โรงเรียนเสียนี่ ชายหนุ่มยกมือกุมศีรษะ ครุ่นคิดว่าตัวเองทำอะไรให้เด็กคนนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น มือหนึ่งกุมหัว อีกมือก็พยายามโทรหาอศวมินทร์ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะรับสายสักนิด ชายหนุ่มทุบผนังตรงหน้าระบาย เขาอยากจะบ้า วันๆ ไม่มีเรื่องให้สบายใจเลยสิพับผ่า

อินทัชโทรหาคนขับรถ สอบถามและตักเตือนไปว่าเหตุใดจึงยอมปล่อยอศวมินทร์ลงข้างทางด้วย ถึงจะเข้าใจชะตากรรมของลูกจ้างอยู่สักเล็กน้อย เพราะทราบดีว่านิสัยของลูกเลี้ยงตัวเองเป็นอย่างไร จะโทษคนขับรถไปทีเดียวก็คงไม่ถูกนัก ชายหนุ่มทรุดกายนั่งลงบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนใต้อาคารเรียน เบื้องหน้าเป็นห้องประชุมที่ผู้ปกครองคนอื่นเข้าไปนั่งฟังกับได้สักพักใหญ่ ไม่สิ...ที่จริงสองชั่วโมงแล้วต่างหาก ชายหนุ่มทอดถอนใจ ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมยังนั่งเอ้อระเหยอยู่ตรงนี้ คงเพราะคิดว่าบางทีเด็กจอมแสบนั่นอาจจะเปลี่ยนใจกลับเข้ามาสอบก็ได้ อินทัชนิ่ง ก้มลงมองโทรศัพท์ในมือหวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมัน

“คุณอ้ายคะ!” อินทัชสะดุ้ง ยกมือกุมอกด้วยความตกใจหันไปมองคนเรียก เป็นประภัสสร อาจารย์ประจำชั้นของอศวมินทร์หยุดยืนหอบอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจกับท่าทีนี้ “มีอะไรหรือเปล่าครับ ดูเหมือนจะเร่งด่วนด้วย...”

“ค่ะ เร่งด่วนมาก” เธอกลั้นใจตอบ ยกมือกุมอกตัวเองให้ใจเย็นลงบ้าง “คือ...มีตำรวจโทร.หาฉันค่ะ บอกว่านักเรียนโรงเรียนนี้ทำร้ายร่างกายกันจนสาหัส แล้วหนึ่งในนั้นก็คืออศวมินทร์ เขาไม่ยอมให้คุณตำรวจโทร.หาคุณที่เป็นผู้ปกครอง คุณตำรวจเลยโทรมาเบอร์โรงเรียนแทนค่ะ!” ประภัสสรพูดผ่านแรงหอบเหนื่อย มองสีหน้าของชายตรงหน้าอย่างรู้ดีว่ารู้สึกอย่างไร

อินทัชรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเฉียบพลันหลังได้ยิน ชายหนุ่มยกมือเกาะพนักพิงของโต๊ะขอเรี่ยวแรง นัยน์ตาคมหลุบมองไปที่ไหนสักที่ครุ่นคิด คิดว่าเมื่อไรทุกอย่างจะจบสักที เขารับปากปรางคณางว่าจะส่งอศวมินทร์ให้ถึงฝั่งอย่างดีที่สุด แล้วดูสิ่งที่มันเกิดขึ้นซี มันกำลังจะพังทลาย พังแบบที่เขาไม่เข้าใจสักนิดเลยด้วยซ้ำ ในตอนนี้เขาเหนื่อยที่จะต้องเผชิญปัญหาเหลือเกิน

หลังจากได้รับข่าวจากอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว อินทัชก็เดินทางไปโรงพักพร้อมกับประภัสสรในตอนนั้น ทันทีที่เดินทางไปถึง ได้พบเห็นอศวมินทร์กำลังนั่งหมดอาลัยตายอยาก รวมกับพวกนักเลงหรืออาชญากรคนอื่นในตาราง ชายหนุ่มใจหาย เป็นภาพที่ไม่สมควรเกิดขึ้นเลยจริงๆ เขาไม่กล้าสู้หน้าปรางคณางบนสวรรค์ถึงการเอาใจใส่เด็กคนนี้ ยังดูแลได้ไม่ดีพอสมกับที่รับปากไว้

หากจินตนาการถึงมาวินอยู่ในสภาพเช่นนี้บ้าง เขาคงคลั่งตาย

อินทัชหยุดยืนมองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ภายในนั้น สภาพเนื้อตัวเปื้อนไปด้วยคราบเลือดและดิน ใบหน้าบวมช้ำจากการถูกทำร้าย เหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน ดวงตาเขามองอศวมินทร์นิ่ง ตอนนี้ยิ่งกว่ารู้สึกผิด ยิ่งเห็นแววตาของเด็กตรงหน้าชำเลืองมามองก่อนจะเบือนหนีไป ใจเขาราวถูกเพื่อนรักและปรางคณางบีบไว้ให้แหลกละเอียด

เลวร้าย ไม่ว่ายิ่งทำอย่างไรทุกอย่างก็เลวร้ายลงไป...

ชายหนุ่มพยายามใจเย็น มองเด็กน้อยคนเดิมกำลังนั่งนิ่งบนรถไม่เอ่ยอะไรกับเขาสักคำขณะเดินทางกลับบ้าน อินทัชทราบดีว่าเจ้าตัวคิดอยู่ในใจเสมอ หากทว่าไม่พูดออกมาตรงๆ เท่านั้นเอง บรรยากาศภายในรถทำให้เขากระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย ใจจริงอยากถามว่าทำไมอศวมินทร์จึงทำเช่นนั้น แต่เกรงว่าหากถามไปแล้วเจ้าตัวจะรู้สึกว่าเขาตอกย้ำความผิด ทางตำรวจบอกว่าเป็นแค่การทะเลาะวิวาท แต่เด็กหนุ่มคู่อริคนหนึ่งถูกอศวมินทร์กระหน่ำต่อยซ้ำๆ บาดเจ็บสาหัสจนแน่นิ่งไป อะไรทำให้โกรธถึงขนาดจะฆ่าจะแกงขนาดนั้น เด็กคนนี้คิดอะไรอยู่กัน

“มิน...”

อินทัชมองคนที่นั่งนิ่งข้างกาย มองสีหน้าเรียบเฉยที่หันมาสบตาหลังจากได้ยินเรียกชื่อ ชายหนุ่มถอนใจเล็กน้อยกล่าว “ฉันขอโทษถ้าทำอะไรให้เธอโกรธ ฉันรู้ว่าบางทีอาจจะทำหรือพูดอะไรให้เธอไม่พอใจโดยที่ไม่รู้ตัว แต่ฉันไม่อยากรู้สึกแบบนี้ คราวหน้าถ้าฉันทำผิดอะไรก็บอกฉันมาตรงๆ ได้ไหม”

คนฟังนิ่งหลังจากละสายตาออกไป ส่ายหน้าเล็กน้อย “เรื่องของผม”

“จะเรื่องของเธอได้ยังไงกันล่ะมิน ตอนนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเธอแล้วนะ เธอทำร้ายลูกเขา ถ้าเขาเอาเรื่องเธอขึ้นมาจะว่ายังไง แถมวันนี้ก็ไม่ไปสอบอีกต่างหาก มันแย่มากนะรู้ไหม ทางโรงเรียนไม่รู้จะเล่นงานเธอกี่กระทง จะถูกไล่ออกหรือเปล่าก็ไม่รู้...”

“ไล่ก็ไล่สิ! ไม่ไปเรียนก็มีตังค์ใช้ บ้านผมรวย พอใจรึยัง!”

อินทัชชะงัก เมื่อคนข้างกายหันมาตัดรำคาญด้วยประโยคนี้ หลังจากรถหยุดในบ้านแล้วนั้น อีกฝ่ายก็หุนหันเปิดประตูออกไปด้วยอารมณ์ ชายหนุ่มทอดถอนใจ เดินตามลงไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยกับแต่ละปัญหา แต่ตอนนี้ต่างคนต่างกำลังใจร้อน เขาว่าควรแยกกันไปก่อนจะดีกว่า อีกอย่าง...ตอนนี้ตามเนื้อตัวของเขาเริ่มคันคะเยอขึ้นมาอีกแล้ว คงต้องไปอาบน้ำและทายาเพิ่มอีกสักหน่อย แถมลุกลามมาที่แขนด้วยอีกต่างหาก

อินทัชวางสัมภาระลงบนเตียง ปลดเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจากร่างด้วยความรีบร้อน แต่ในขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชายหนุ่มชะงักลำขาที่จะก้าวไปยังห้องน้ำเมื่อเห็นว่าเป็นเลขหมายของประภัสสร ทางนั้นคงมีความคืบหน้าจากทางโรงเรียนมาบอกเขาแน่ อินทัชหยิบผ้าขนหนูพันเอว กดรับสายแล้วทิ้งก้นนั่งลงปลายเตียงเพื่อรอรับฟัง

“สวัสดีครับ อาจารย์ประภัสสร ได้เรื่องว่ายังไงบ้างครับ”

“ค่ะ ดูเหมือนจะลำบากทีเดียว...” เสียงในสายเปรยประสมการถอนหายใจ อินทัชทำได้เพียงยกมือนวดคลึงขมับตนเอง จำต้องระบายด้วยการทอดถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มเงียบฟังปลายสายกล่าวต่ออีกว่า “เพราะว่าเด็กคนนั้นขยันสร้างเรื่องจริงๆ แต่ละเรื่องก็หนักเสียด้วย คุณก็รู้ว่ามันรุนแรง ข้อหาพยายามฆ่านะคะ ล่าสุดผู้ปกครองฝ่ายนั้นก็จะเอาเรื่องอีกต่างหาก ทางโรงเรียนคงต้องรับผิดชอบ...”

“ด้วยการไล่ออกเหรอครับ”

ชายหนุ่มส่ายหน้า เขาทำใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะผิดที่อศวมินทร์ก่อไว้มันร้ายแรงเกินกว่าทางโรงเรียนจะให้อยู่ต่อ “ฉันพยายามช่วยที่สุดแล้วนะคะ คือ...เอาอย่างนี้จะดีกว่า เป็นหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้เขาไม่หมดอนาคต...”

“ยังไงครับ”

อินทัชเงี่ยหูฟังในสิ่งที่ประภัสสรเสนอแนะอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้จะผิดพลาดจากที่หวังไว้ แต่เป็นหนทางใหม่ที่จะเลือกให้เด็กคนนั้นเดินไปก่อน มันก็คงไม่เสียหลาย แต่...เขาจะต้องใจเย็นและเข้าใจอศวมินทร์ให้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้ เหมือนเขาและเด็กคนนั้นอยู่คนละขั้ว คุยกันคนละภาษา สื่อสารอะไรไปไม่เคยเข้าใจกันเลย เมื่อคิดได้แล้วนั้น อินทัชก็ผละไปชำระร่างกาย เพราะหลังจากนั้นเขาจะไปหาอศวมินทร์เพื่อคุยอะไรบางอย่าง

แต่จนแล้วจนรอด อินทัชได้แต่นั่งจับเจ่ามองกล่องปฐมพยาบาลบนโต๊ะตรงหน้านิ่ง ระเบียงชั้นสองในช่วงบ่ายของวันมีลมพัดโกรกเข้ามาชวนให้ผ่อนคลาย แต่ชายหนุ่มไม่รู้อย่างนั้นเลย เขาได้แค่ครุ่นคิดว่าจะพูดอย่างไรให้อศวมินทร์เข้าใจในสิ่งที่ต้องการจะสื่อดี

เขาคงแก่มากไป ไม่เข้าใจเด็กวัยนั้นมากพอ

อินทัชส่ายหัว ลุกขึ้นเดินไปยังห้องพักของคนซึ่งเป็นหัวข้อในความคิดยามนี้ มือหนากำไว้แน่น ก่อนจะกลั้นใจยอมขยับขึ้นไปเคาะในที่สุด ชายหนุ่มยืนรออยู่ครู่กับความเงียบที่ตอบกลับมา ลำขายาวก็ย่างเดินวนไปสักพักก็เดินวนกลับมา ทำไมถึงไม่ตอบรับอะไรสักนิด หรือจะหนีออกจากบ้านไปแล้ว อินทัชเบิกตา ยกมือเคาะประตูอีกครั้งเพื่อความแน่ใจในสิ่งที่ตนคิด “มิน เปิดประตู มิน!”

อินทัชระรัวเคาะ หากเด็กคนนั้นหนีไปอีกมีหวังเส้นเลือดในสมองของเขาแตกเพราะคิดมากแน่ เขาภาวนาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิด “มิน อยู่ในห้องไหม เปิดประตู มิน!”

“เรียกทำไมนักหนา!”

ประตูถูกเปิดออกพร้อมเจ้าของโผล่หน้ามาตะเบ็งเสียงใส่ อินทัชชะงัก มองสีหน้าของอศวมินทร์ก็รู้ว่ากำลังรำคาญ เขาคงคิดมากไป แต่ถ้าหากคิดน้อยไปก็คงไม่ดีต่อเด็กคนนี้เช่นกัน กลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งจะเป็นโรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ คุณลุงยังหนุ่มส่ายหน้าแม้จะรู้สึกโล่งอกลึกๆ “ทีหลังฉันเรียกเธอก็ควรขานสิ รู้ไหมการที่เธอเงียบทำให้ใครเขาคิดมากกันไปหมด ใครจะไปเดาใจเธอออกกันว่ากำลังคิดทำอะไร”

“จะเลิกบ่นได้รึยัง ผมจะนอน” เด็กหนุ่มตรงหน้าเกาศีรษะ

“นอนด้วยสภาพแบบนี้เหรอ” อินทัชกล่าวทั้งกวาดสายตามองร่างกายตรงหน้า เขาเตรียมผ้าเย็นไว้ประคบแผลด้วย “มานี่สิ มาทำแผลก่อน อีกอย่างฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

อศวิมนทร์มุ่นคิ้ว มองลำคอของคนพูดตรงหน้าอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ยิ่งสวมชุดลำลองยิ่งเห็นชัดขึ้น หากจะให้เขานั่งคุยแล้วมองเจ้านี่ตลอดก็คงเป็นไปได้ยาก อีกอย่าง เขาไม่มีทางยอมรับได้แน่ว่าสิ่งที่อินทัชทำกับเอกนั้นเป็นเรื่องที่รับได้ รวมถึงเรื่องที่ทำกับเขาด้วย เพราะอินทัชเป็นพวกสกปรกยังไงเล่า “ไม่ เราไม่มีอะไรจะคุย”

“มีสิ เรื่องปัญหาโรงเรียนของเธอ ฉันอยากคุย” มือหนาของคนตรงข้ามคว้าหมับที่ข้อมือเขา ดึงให้เดินออกจากห้องพัก อศวมินทร์มุ่นคิ้วก้มลงมองอย่างมิชอบใจ ในคราแรกอยากจะปฏิเสธ หากไม่เหลือบไปเห็นปื้นแดงบนลำแขนส่วนที่โผล่จากเนื้อผ้าอีกฝ่ายเสียก่อน เด็กหนุ่มกลืนถ้อยคำต่างๆ นานาที่คิดจะกล่าวลงคอ ตรองอยู่ในใจว่าสิ่งที่เห็นหมายความว่าอย่างไรแน่ มิใช่รอยจูบหรอกหรือ

ไม่ได้ไปนอนกับลูกน้องคนนั้นหรอกหรือ

อศวมินทร์ทำได้เพียงงุดลงพินิจรอยปื้นแดงบนลำแขนของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบ ขณะก้าวเดินไปยังระเบียงที่เคยมาก่อนหน้า ความรู้สึกทั้งผ่อนปรนและยุ่งเหยิงประทุขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้เงยขึ้นไปมองลำคอที่โผล่พ้นผ้าของคุณลุง หมายความว่าเขาคิดไปเองน่ะหรือ ร่องรอยคล้ายตราประทับนั้นเป็นเพียงความคิดของเขาเท่านั้น แต่...ถึงไม่ใช่รอยจูบ ยังไม่มีอะไรยืนยันว่าสองคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน เด็กหนุ่มครุ่นคิด มองคนตรงหน้ากำลังแกะผ้าเย็นขยับมาซับบนใบหน้าให้

คนเจ็บนิ่ง นานแค่ไหนที่ไม่เห็นลุงอ้ายในระยะใกล้แบบนี้ นัยน์ตาคม ใบหน้าใสสะอาด คิ้วดกดำ ขนตายาวมักทิ่มแก้มเขายามแนบจูบ มันจักจี้และรู้สึกดีในเวลาเดียวกัน และโครงหน้าแบบชายไทยแสนมีเสน่ห์ที่เขาเคยชอบ บนเปลือกตาอีกฝ่ายมีไฝเม็ดเล็กๆ เขาเห็นมันในคืนหนึ่งหลังจากนอนด้วยกัน ระหว่างอินทัชหลับ เขากลับทำได้เพียงนอนพิศใบหน้าแสนเพอร์เฟคนั้นอย่างทำอะไรมิได้

ทุกอย่างที่กล่าวมานี้คืออินทัช

นัยน์ตาคมกะพริบปริบจับจ้องคนข้างกายซึ่งหันมาทำความสะอาดใบหน้าให้ ก่อนจะประคบแผลด้วยความเย็นของผ้า วินาทีนั้นความเจ็บแล่นปราดมาได้ยังไงไม่ทราบ ก่อนหน้านี้อศวมินทร์รู้สึกเพียงสะใจเท่านั้นในขณะที่กระทำ “เบาๆ สิ ผมเจ็บ”

“เจ็บมากๆ น่ะดี จะได้ไม่ไปทำอีก” คนตรงหน้าตอบ

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคุณจะโอ๋ผมใช่ไหม คุณจะจูบตรงที่ผมเจ็บ แล้วภาวนาให้มันหายไวๆ” เด็กหนุ่มมองใบหน้าของอินทัชนิ่งเมื่อนึกถึงภาพยามเก่าก่อน แต่เพราะอินทัชมีคนอื่น จึงลืมความทรงจำนี่ไปแล้ว “คุณเสียใจที่ผมปฏิเสธคุณก็เลยมีคนอื่นใช่ไหม เพราะคุณมีคนอื่น คุณเลยเมินผมได้ใช่ไหม”

“พูดเรื่องอะไร” อินทัชเลิกคิ้ว มองเด็กหนุ่มที่จ้องเขาเขม็งอย่างไม่วางตา ชายหนุ่มพ่นลมหายใจ ใจเย็นเพื่อที่จะรับฟังความเห็นของเด็กตรงหน้า ในขณะที่หยิบผ้าชุบน้ำเช็ดลำแขนให้ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะดื้อดึงผละออกไป เหมือนว่าความพยายามของเขาจะไม่มีความหมาย

แต่ในขณะที่สิ้นหวัง ความอุ่นร้อนก็แผ่ซ่านบนฝ่ามือของชายหนุ่มอีกครั้ง เป็นนิ้วมือเรียวยาวของเด็กตรงหน้าเคลื่อนขยับเข้ามาสอดประสาน อินทัชงุดลงมองหลังมือที่มีรอยแตกและถลอกนี้แล้วใจหาย แม้ไม่อยากจะเงยขึ้นไปสบสายตาของผู้กระทำ แต่หากไม่เงยขึ้นไปคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่ อินทัชคิดว่าเด็กคนนี้คงกำลังอยากบอกอะไรบางอย่าง เขาไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไร ควรมีระยะห่างไหม

ไม่สำคัญ ความรู้สึกของเขาไม่สำคัญกับอศวมินทร์ ความรักที่มีให้ก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน

ลมหายใจอุ่นร้อนสัมผัสใบหน้าเขา โครงหน้ารูปหล่อเขยื้อนเข้ามาในระยะกระชั้นจนเห็นถึงรู้ขุมขน ใบหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาสะกดให้อินทัชเผลอไผลไปชั่วครู่ แต่แล้วก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าไม่ควร ไม่ควรทำลายระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเช่นนี้

คุณลุงยังหนุ่มผละมือออกจากอีกฝ่ายรวดเร็ว ในขณะที่ปลายจมูกสัมผัสกัน ความร้อนนั้นดึงรั้งให้อินทัชคิดได้ว่าไม่ควรตอบรับการกระทำนี้ อศวมินทร์คงไม่คิดจะจูบเขาเพราะนึกพิศวาส เพียงแค่อยากจะยั่วโทสะเหมือนเคย อินทัชปรับสีหน้า ใช้มือที่เพิ่งถูกกุมประสานนั้นผลักอีกฝ่ายออกห่างจากตัว สมองก็พลันนึกประเด็นที่อยากจะพูดได้ราวต้องการเปลี่ยนเรื่อง “ฉันอยากจะคุยกับเธอเรื่องทางโรงเรียนสักหน่อย”

คนกล่าวขยับไปนั่งอีกฝั่ง ลอบกลืนน้ำลายหายใจหายคอติดขัดกับสิ่งที่เกิดขึ้น “เธอจะไม่ถูกไล่ออก ฉันขอร้องว่าให้ทำเรื่องย้ายแทน แต่เธอต้องหยุดเรียนเทอมนี้ ไปเริ่มเรียนใหม่ปีหน้า” อินทัชบอก เขาหวังว่าอศวมินทร์จะไม่รั้น ชายหนุ่มเงยขึ้นสบมองร่างตรงหน้าหลังจากกล่าวจบ เห็นสีหน้าของคนฟังเรียบนิ่ง แต่จับจ้องเขาอยู่

“อืม...”

ยอมรับงั้นหรือ อินทัชมองคนตรงหน้าอย่างไม่ค่อยเชื่อหูตัวเองเท่าใดนัก ชายหนุ่มแปลกใจและรู้สึกฉงนน้อยๆ ที่อศวมินทร์เลือกจะไม่แสดงอารมณ์ กลับเอาแต่มองเขา แต่ในแววตาไม่ปรากฏความไม่พอใจขึ้นมาสักเล็กน้อย ชายหนุ่มรู้สึกควบคุมสถานการณ์ได้ไม่ดีเท่าไรนัก จึงทำเป็นเมินท่าทีนี้ไป “งั้นก็ดีแล้ว ฉันจะหาโรงเรียนที่รับเธอเอง ไม่ต้องห่วงนะ”

“แค่จูบก็ไม่ได้เหรอ” เด็กตรงหน้าโพล่งขึ้น ทำเอาอินทัชถึงกับตัวชา ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าที่ถามขึ้นมาด้วยหน้าตาเฉยอย่างนั้น เขาไม่อาจทราบจุดมุ่งหมายของคำตอบที่อศวมินทร์อยากได้เสียเท่าไร ชายหนุ่มจึงเลือกส่ายหน้า “มันไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ฉันจะคุยกับเธอตรงไหนเลย”

“เพราะคุณอิ่มหนำสำราญกับคนอื่นมาแล้ว”

“พูดเรื่องอะไร ฉันขอย้ำกับเธอนะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีก” อินทัชมุ่นคิ้ว คิดว่าเพราะอศวมินทร์อยากจะยั่วโมโหและชวนทะเลาะอย่างเคย ชายหนุ่มเปิดกล่องปฐมพยาบาลหยิบสำลีชุบแอลกอฮอล์เอื้อมไปทำความสะอาดแผลบนคิ้ว ไม่อยากคุยหรือโต้เถียงอะไรให้ปวดหัว เห็นว่าสีหน้าของเจ้าตัวไม่ค่อยชอบใจนักยามมองใบหน้าเขา มันค่อนข้างเก้ๆ กังๆ เมื่อขยับมานั่งตรงกันข้ามแล้วต้องเอื้อมแขนไป อินทัชลอบถอนใจขยับมือ “คุณจะฆ่าผมเหรอ มันเจ็บนะ”

มือถลอกๆ ยกขึ้นมากุมมืออินทัชอีกครั้ง ชายหนุ่มชะงัก จะดึงมือกลับมาตั้งหลัก แต่สายตาคมของเด็กตรงหน้านี่ซี “คุณเริ่มจะทำให้ผมโมโหแล้วนะลุงอ้าย ทำไมต้องไปนั่งไกลขนาดนั้น ตกลงจะทำแผลไหม”

“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรนั่งนิ่งๆ สิ” อินทัชตอบ ชายหนุ่มลอบพ่นลมหายใจ ส่ายหน้ากับท่าทีของอศวมินทร์ก่อนจะยอมลุกขึ้นกลับมานั่งที่เดิม “อยู่เฉยๆ ห้ามขยุกขยิก เธอก็รู้ว่าฉันเป็นผู้ชาย มือต้องหนักอยู่แล้ว”

ชายหนุ่มมองแผลของเด็กหนุ่มตรงหน้าพร้อมทำความสะอาดด้วยการเช็ดแผล อศวมินทร์ทำตามคำสั่งอย่างว่าง่าย ที่จริงมิใช่เพราะคำสั่งนั่น หรือเพราะกลัวเจ็บอะไรทั้งนั้น นัยน์ตาของเขาสะท้อนภาพเบื้องหน้าที่กำลังจับจ้อง เป็นโครงหน้ารูปงามของคนทำแผลซึ่งกำลังตั้งใจบรรจงด้วยความเบามือ เขาไม่รู้สึกเจ็บสักนิด รู้สึกเพียงว่าอินทัชเปลี่ยนไปมากกว่าที่คิด ตาดูลึกลง และซูบไปเยอะที่เดียว

หลายเดือนที่ผ่านมา อินทัชคงมีเรื่องให้คิดมากมาย

แต่ยังดูหล่อเหลาจนใครแทบมองไม่เห็นที่ติเหมือนเคย หากทว่าอศวมินทร์รู้สึกชอบอินทัชแบบเดิมมากกว่า อินทัชตรงหน้าคือหุ่นยนต์ไม่มีความรู้สึก เขาอยากทำลายหุ่นยนต์ตัวนี้

“ลุงอ้าย...”

“หืม” คนตรงหน้าขานรับ แม้ดวงตากำลังจับจ้องเพียงแผลบนใบหน้า อศวมินทร์มองแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตั้งใจนั้น เคลื่อนมือไปกอดเอวคนข้างกายไว้แนบแน่น ซุกใบหน้าลงบนบ่ากว้างคล้ายอ่อนแรง กระซาบเสียงพร่าด้วยความเหน็ดเหนื่อยและโหยหา “ไปห้องผมไหม...”

อินทัชนิ่ง ฟังเสียงของอศวมินทร์ยามเชิญชวนแล้วภาพวันนั้นในโรงแรมที่พัทยาก็ผุดขึ้นมาบนหัว เด็กคนนี้ใช้น้ำเสียง ท่าทางแตกต่างกับตอนนั้นทีเดียว ในตอนนั้นอศวมินทร์หยาบโลน กระด้าง และใช้วาจาเหยียบย่ำเขาอยู่หลายประโยค ซึ่งรวมถึงประโยคที่เตือนสติเขาอยู่เสมอว่า ไม่ว่าเขาจะมีเซ็กส์กับเด็กคนนี้กี่ครั้ง เขาก็ไม่มีทางสำคัญไปกว่าคู่นอน หรือเบี้ยล่างที่เป็นได้เพียงสิ่งระบายอารมณ์ดิบเถื่อนนั่น

อศวมินทร์พรมจูบลงบนแก้มเขา เคลื่อนไปยังหลังหูกระซาบกระซิบผ่านลมอุ่นร้อนนั้น “ผมอยากกอดคุณ ผมอยากจูบคุณ ผมอยาก...อยากจูบทุกที่บนตัวคุณ ผมอยากทำให้คุณสะอาดหมดจด”

นิ้วมือเรียวขยับเข้ามาประสานทั้งสองมือ ราวกับเด็กหนุ่มรู้ว่าอินทัชจะปฏิเสธ พร้อมริมฝีปากอุ่นแนบจูบอย่างไม่ยอมให้เอ่ยอะไรทั้งสิ้น อินทัชมึนงงกับการกระทำนี้อยู่ครู่หนึ่ง แน่นอนว่าเขาผละปากออกไม่ยอมตอบรับ ด้วยรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งคู่ไม่ควรทำอะไรทั้งสิ้น หากใครมาเห็นเข้ามันคงไม่ดีแน่ “เธอคงเข้าใจอะไรผิดไป ที่ฉันทำดีกับเธอวันนี้เพราะรู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ที่ทำให้เธอเจ็บตัว ไม่ได้หมายความว่าที่ทำไปเพราะฉันยังรักเธออยู่ และไม่ได้หมายความว่านี่จะเป็นการเบิกทางให้เธอสามารถนอนกับฉันได้ อย่าดูถูกฉัน อย่าทำแบบนี้กับฉันอีก!”

“ลุงอ้าย”

อินทัชส่ายหน้า ลุกขึ้นยื้อแขนที่ถูกดึงรั้งไว้ออก แม้จะเห็นสีหน้าของอศวมินทร์ว่าประหลาดใจ ชายหนุ่มไม่อาจทนอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปได้อีก ร่างสูงกัดฟัน หมุนกายเดินออกมาตั้งหลัก หากทว่าสายตาของเขาเหลือบไปด้านหน้าแล้วนั้น ลำขาชาวาบไปจนถึงหลายเท้าจนแทบจะเสียหลักแทน เมื่อเห็นว่าคิมหันต์ยืนสงบนิ่งจ้องระหว่างเขาทั้งคู่ไม่วางตา สีหน้าบ่งว่าบอกตกใจเมื่อเห็นมัน

อินทัชนิ่งอยู่อย่างนั้นราวถูกสาป ชีวิตของเขาคงจบแล้ว หมดแล้วทั้งหมดนี้...

ในที่สุด ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ !!

****************************************

เอาล่ะซี เอาล่ะซี คิมเห็นแล้วว่าลุงอ้ายกับมินทำอะไร และเป็นอะไรกันมาก่อน

น้องมินก็เริ่มอยู่ในช่วงสับสน จะรัก หรือจะร้าย จะหึง หรือจะเรียกร้องความสนใจ

ตอนต่อไป โม้เม้นลุงอ้ายกับมินก็จะมีเยอะขึ้น หลังจากมินรู้ความจริง ทุกอย่างจะดูซอฟต์บ้าง ไม่ซอฟต์บ้าง ปะปนกันไปค่ะ ขอแค่กำลังใจนะคะ คอมเม้นกันคนละหนึ่งครั้งหลังอ่าน รักคนอ่านน้าาา เจอกันตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 20 |||★ [21/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 21-11-2015 01:23:49
ตอนนี้รู้สึกถึงอารมณ์ที่กำลังสับสนของน้องมินเลย จะรักหรือจะเกลียดดีน่าน้องมิน คิมรู้ความสัมพันธ์ของลุงอ้ายกับน้องมินแล้วจะทำยังไงต่อไปจะสู้ต่อหรือจะยอมลุงอ้ายน้าาา รอลุ้นต่อไป
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 20 |||★ [21/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 21-11-2015 06:54:15
คิมรู้ก็ดีนะ จะได้ไม่ทำข่มลุงอ้าย ทำเหมือนตัวเองรู้จักมินดีที่สุด
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 20 |||★ [21/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 21-11-2015 11:37:41
คิมรู้ก็ดีนะ จะได้ไม่ทำข่มลุงอ้าย ทำเหมือนตัวเองรู้จักมินดีที่สุด
นางรักของนางค่ะ รอดูตอนหน้าว่าคิมจะทำอะไร
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 26-11-2015 23:48:19
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.

๒๑

อินทัชนิ่งอยู่อย่างนั้นราวถูกสาป ชีวิตของเขาคงจบแล้ว หมดแล้วชีวิตนี้...

ในที่สุด ความลับก็ไม่มีในโลกจริงๆ

ในขณะที่ร่างกายของอินทัชเย็นยะเยือกและแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เขาเห็นว่าแววตาของคิมหันต์เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธขึ้ง โมโห อยากจะฆ่าเขาให้ตายคามือ แน่ล่ะซี คนที่เขาทำร้ายคือน้องชายที่อีกฝ่ายสุดแสนหวงแหน ไม่โกรธคงแปลก เขาทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ตัวเองให้มากที่สุด จากความไม่พอใจที่อศวมินทร์ทำแบบนี้ และจากความอัปยศของสิ่งที่ตัวเองเคยก่อ ชายหนุ่มยืนนิ่งราวรอให้โลกทั้งใบและทุกคนรุมประณามความเลวของตัวเอง

“คุณ กับมิน...” คิมหันต์ลากเสียง มือหนากำไว้แนบแน่นเมื่อนึกถึงสีหน้าของอินทัชที่แล้วมา เสแสร้งว่าตัวเองไม่มีความเกี่ยวข้องกับน้องชายเขาได้อย่างแนบเนียน มิน่าล่ะ อศวมินทร์ถึงได้โกรธและเกลียดมากมายขนาดนั้นในวันที่รู้ความจริง เพราะอย่างนี้นี่เอง

“ไอ้สารเลว!”

ชายหนุ่มพุ่งเข้ากระชากคอเสื้อของคนตรงหน้าไว้แน่น หวังจะเหวี่ยงหมัดซัดให้เต็มแรงสมกับความผิดที่ที่อีกฝ่ายได้ทำ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คาด ข้อมือคนโกรธถูกดึงรั้งไว้ เป็นอศวมินทร์ที่แสดงถึงความไม่พอใจเมื่อเขาคิดจะทำแบบนั้น “ออกไป นี่มันเรื่องของกูกับลุงอ้ายแค่สองคน มึงอย่ามายุ่ง”

“มินทำแบบนี้ได้ไง ปล่อยพี่ พี่จะฆ่ามัน!”

“พอ!” อศวมินทร์ตะโกนเต็มเสียงอย่างสุดทน มือหนาผลักร่างของพี่ชายออกสุดแรง ทำเอาคนถูกปรามถึงกับกำหมัดไว้แน่น “ทำไมต้องปกป้องมันด้วย ถึงมันจะไม่มีอะไรกับแม่แต่มันทำมินขนาดนี้...”

“แล้วยังไง”

“มันสารเลวทั้งที่รู้ว่ามินเป็นใครแต่ยังจะทำ”

“มึงก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาหรอก เพราะมึงไงชีวิตกูถึงต้องเป็นแบบนี้ เลิกยุ่งเรื่องของกูกับลุงอ้ายอีกเข้าใจไหม!”

“ไม่! พี่จะเอามินคืนมา ไหนบอกว่ารักพี่คนเดียวไง!” คิมหันต์กัดฟันกรอดมองน้องชายตัวเอง รับไม่ได้ที่ทุกอย่างพลิกผันไปอย่างไม่น่าเชื่อ ดวงตาสองคู่จับจ้องกันเขม็ง พร้อมลมหายใจรุนแรงของทั้งสองฝ่ายกับอารมณ์ที่ประทุขึ้นอย่างดุเดือด

“กูบอกมึงกี่ครั้งแล้วว่ามันจบไปแล้ว” ฝ่ายน้องชายตอบและย้อนถามไปในประโยคเดียวกัน ซึ่งนั่นได้สร้างความไม่พอใจแก่คิมหันต์ ชายหนุ่มปรายตามองอินทัชอย่างไม่เก็บซ่อนความรู้สึกอีกต่อไป ทั้งโกรธและแค้นอย่างไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนมอง

“แล้วสำหรับมันล่ะ จบหรือยัง...”

ในขณะที่กล่าวกับอศวมินทร์ ดวงตาของคิมหันต์ยังไม่ละจากคู่กรณี ชายหนุ่มได้เห็นว่าสีหน้าของอินทัชเปลี่ยนไปเมื่อน้องชายเขาถูกย้อนถามเช่นนั้น

แน่แล้ว อินทัชไม่เข้าใจทุกอย่างที่สองคนตรงหน้าได้โต้ตอบกัน ชายหนุ่มนิ่งมองสลับไปมาระหว่างอศวมินทร์และคิมหันต์ ก่อนจะชะงักเมื่อมือหนาของลูกเลี้ยงคนเล็กเลือกที่จะคว้าหมับข้อมือเขา อศวมินทร์พาอินทัชเดินละออกมาแทนการตอบคำถาม ชายหนุ่มงุนงง จากที่ตกใจ โมโห และอารมณ์อีกหลายอย่างในสมองนั้นต่างผสมปนเปกันไปหมด กลายเป็นว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกนอกจากสาวเท้าเดินตามเด็กหนุ่มตรงหน้า

“หมายความว่ายังไง เธอกับคิมหันต์...” อินทัชยื้อแขนในขณะสาวเท้าตามหลัง เห็นว่าเด็กที่เป็นฝ่ายชักจูงกำลังกระแทกเท้าตามอารมณ์ ตอนนี้เหมือนเขาเป็นฝ่ายถูกโมโหเองเสียนี่ เขาตามไม่ทัน อินทัชค่อนข้างไม่เข้าใจอารมณ์เด็กสมัยนี้เสียเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาแค่กังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากคิมหันต์ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขาอศวมินทร์แล้ว หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร

แต่สิ่งที่คิมหันต์กล่าวมันไม่จางหายไปจากหัวเลยสักนิด “นี่ ที่พี่ชายเธอพูดน่ะ”

“ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้ เงียบไปซะ”

“ได้ งั้นปล่อยแขนฉัน เราแยกกันตรงนี้แหละ” อินทัชดึงแขน ทั้งคู่หยุดอยู่หน้าประตูห้องหนึ่งภายในชั้นสองของบ้าน เมื่อได้รับอิสระแล้ว อินทัชตั้งใจจะเดินออกไปที่ไหนสักแห่งอย่างที่ได้พูด แต่ในขณะที่จะเดินไปนั้น ชายหนุ่มจำต้องชะงักขาตัวเอง ดวงตางุดลงมองมือหนาที่กุมกันไว้แน่นบนหน้าท้อง ใจเต้นระทึกยามอีกฝ่ายมอบกอดให้แก่เขาจากด้านหลัง อินทัชนิ่ง ปรับสีหน้าอยู่ครู่เพื่อมิให้อศวมินทร์เห็น

“ทำแบบนี้ทำไม”

ชายหนุ่มแกะมือนั้นออก แต่ดูเหมือนเด็กน้อยด้านหลังจะไม่ค่อยยินยอมเท่าไรนัก เขาพยายามที่จะแก้มัดแรงมนุษย์สุดกำลัง ครั้นมันหลุดออก อินทัชหันไปสบตาคนเอาแต่ใจด้านหลังอย่างนึกพาลกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย ทำให้เขาเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายอย่างเต็มตาว่ามัวหมองถึงเพียงไหน

แต่เขาเองก็ต้องทำ ต้องปกป้องความรู้สึกตัวเองให้มากกว่านี้ ชายหนุ่มส่ายหน้า “อย่าทำแบบนี้อีกเลยนะมิน เธอก็รู้ว่าฉันจะไม่มีทางหลงไปกับวิธีอะไรต่างๆ นานา ของเธออีกต่อไปแล้ว มันไม่ได้ผลหรอก ฉันไม่โง่ซ้ำสอง ฉันไม่เชื่อเธออีกต่อไปแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวเสียงเบา จ้องตาอศวมินทร์เพื่ออธิบายความจริงที่รู้สึกตอนนี้

“อย่าพยายามคิดทำให้ฉันเจ็บปวดอีกเลย พอ...” เขาเหนื่อย เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะเจออะไรอีกต่อไปในอนาคต ในตอนนี้ชายหนุ่มมีแต่ความหวาดกลัว หวาดระแวง อีกฝ่ายอาจทำด้วยใจจริงหรือทำด้วยเล่ห์ก็ต่างมีโอกาสทั้งสองทาง เขาไม่อยากหลงเชื่อกับการกระทำของอศวมินทร์ เพราะคนที่จะต้องเจ็บปวดก็คือตัวเอง ชายหนุ่มมองสีหน้าของผู้รับฟังซึ่งเปลี่ยนไปหลังได้ยินประโยคนี้

อศวมินทร์นิ่ง จ้องตาเขาอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังประหลาดใจ ตกใจ สิ้นหวัง หรืออะไรเทือกนั้น

แต่เขาก่อกำแพงได้สำเร็จแล้ว การไม่ตอบรับคือสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้

“ลุงอ้าย คุณ...ร้องไห้ทำไม”

อินทัชชะงัก ความร้อนวูบวิ่งพล่านบนใบหน้าแทบทันที ชายหนุ่มปรับสีหน้าเมื่อคนบอกจ้องเขาตาไม่กะพริบ ยืนตัวแข็งมองอยู่อย่างนั้นไม่วางตา เขาจะบอกอย่างไรว่าตัวเองไม่ได้ร้องไห้ เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ชายหนุ่มแตะสิ่งเย็นเยียบที่ปลายคางตนเอง เป็นหยดน้ำที่รินไหลอาบลงมาจากดวงตา วินาทีที่เห็นหลักฐานบนปลายนิ้วมือเขาอึกอัก แน่นิ่งไปครู่หนึ่ง พูดไม่ออกว่ารู้สึกยังไง รู้เพียงแค่อยากอธิบายให้อศวมินทร์เข้าใจว่าเขาไม่ได้เจ็บปวด เขาไม่ได้กลัว เขาไม่ได้กำลังจะระเบิดหรือคลั่งอย่างคนบ้า แต่เพราะความจริงมันถูกทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาพูดออกไปไม่ได้ยังไงเล่า

“ฉัน...”

ไม่อาจบอกใครได้ว่าภายในก้นบึ้งของหัวใจเขานั้น ไม่อยากพูดประโยคใดๆ ทำร้ายจิตใจใคร ไม่อยากเป็นผู้ร้าย ไม่อยากเป็นคนไร้ความรู้สึก ตั้งแต่วันที่ถูกคนรักทรยศหักหลัง การที่เขาเป็นดีและอ่อนแอก็ไม่มีความหมาย เขาเปลี่ยนตัวเอง เป็นคนเงียบขรึมและพูดจริงทำจริง เป็นคนที่มีเมตตาและเด็ดเดี่ยวในเวลาเดียวกัน รับรู้เสมอว่าการทำแบบนี้มันยาก แต่หากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมันก็ช่วยไม่ได้

เขาจำต้องทำเป็นว่าเข้มแข็ง ทำเป็นไม่เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังจากรับรู้ว่าคนรักและเพื่อนรักของเขามีลูกด้วยกันทั้งๆ ที่ยังไม่ทันเลิกกับเขา และลูกคนนั้นที่เติบโตมาได้ยืนอยู่ตรงหน้า เอื้อมมือมาปาดน้ำตาให้เขาตอนนี้

อินทัชรักปรางคณาง รักมากที่สุด เขาตอบความจริงในวันที่อศวมินทร์เค้นถาม อินทัชรักหล่อน ปรางคณางคือผู้หญิงคนเดียวที่เขาเคยรัก เขาจึงไม่สามารถปฏิเสธที่จะช่วยเธอได้ เพราะว่ารักยังไงเล่า...เขารัก และห่วงใยความรู้สึกของเธอ ถึงยอมให้อศวมินทร์ทำอะไรกับตัวเขาก็ได้

ชายหนุ่มไม่อยากเจ็บปวดซ้ำสอง อศวมินทร์ในวัยสองขวบเรียกเขาว่าลุงอ้ายด้วยเสียงน่ารัก อดีตคนรักและเพื่อนรักอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ชายหนุ่มเหมือนถูกมีดแทงกลางอกซ้ำๆ ยามเห็นแววตาไร้เดียงสาของเด็กน้อย เลือกบินหนีความจริงไปเรียนต่อเมืองนอก หายไปจากชีวิตปรางคณางอยู่หลายปี จนทำใจได้ และมีรักครั้งใหม่ แต่ดูเหมือนจะไปได้ไม่ดีพอเท่าที่ควรนัก เขาจึงเลือกหนีปัญหาด้วยการกลับมาที่นี่อีกครั้ง และไม่รักใครอีกเลย...

จนได้พบเด็กคนนี้ คนที่เขาคิดว่าไม่น่าเลย

อินทัชสูดลมหายใจเอาพลังคืนสู่ร่าง ปัดเอาภาพในอดีตของตัวเองออกไป มองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่มองเขาด้วยแววใดแววหนึ่ง ตลก หรือสะใจ ชายหนุ่มระบายหัวเราะขำตัวเองเช่นกัน มองสีหน้าประหลาดใจของคนตรงหน้าก่อนจะถอยร่างออกห่าง “...ฉันแค่กลัวและตกใจ ในที่สุดก็มีคนรู้เรื่องฉันกับเธอ”

“ลุงอ้าย” เด็กตรงหน้ามุ่นคิ้วเอื้อมมือมาจับแขนเขา ชายหนุ่มหันกายมาผ่อนปรนลมหายใจที่จู่ๆ ก็ติดขัดขึ้นมา ไม่ให้อศวมินทร์เห็นสีหน้ายามนี้เด็ดขาด เขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ

“คุณกลัวคนเขารู้เรื่องเรามากขนาดนั้นเลยเหรอ ทำไม! คุณอายเหรอ!”

อินทัชรู้สึกมึนหัวขึ้นมา ชายหนุ่มหันหลังให้คนที่กำลังกุมแขนเขาไว้แน่นจนเจ็บปลาบ มือหนาของอศวมินทร์เขย่าร่างเขาให้หันไปตอบ ชายหนุ่มไม่อาจหันไปบอกความรู้สึกจริงๆ อันเป็นการเบิกทางให้อีกฝ่ายโจมตีโดยง่าย เขาพอแล้ว...“เลิกยุ่งกับฉัน ถ้ารู้อย่างนั้นแล้วก็เลิกยุ่งกับฉัน ออกไป!”

“ลุงอ้าย เป็นอะไรอีกวะ!”

อินทัชเข่าทรุด ผลักมือของอีกฝ่ายออกจากร่างกายตนเอง ภาพเบื้องหน้าเกิดพร่าเลือนไปในฉับพลันหลังจากเข่าทั้งสองข้างกระทบกับพื้น ร่างกายล้มลงนอนนิ่งอย่างไม่สามารถบังคับได้ สมองเขาราวถูกคนบีบไว้แน่น หยุดอยู่เพียงแค่นั้น แค่ภาพของอศวมินทร์ที่กำลังกุมใบหน้า ร้องเรียกสติให้เขาลุกขึ้นตื่นยังฉายอยู่ แต่ไม่เลย อินทัชควบคุมร่างกายไม่ได้ ทุกอย่างเริ่มเลือนราง ทั้งภาพใบหน้าหล่อเหลา และน้ำเสียงตื่นตระหนกนั้นจางหายไปอย่างเนิบช้า...

มีเพียงความมืดมิดโอบล้อม
 

เสียงหยาดน้ำไหลตกจากผืนผ้าสีขาวสะอ้านยามถูกบิดตกกระทบลงอ่างดังเปาะแปะ ครู่ใหญ่แล้วที่คนเฝ้าพยายามหันรีหันขวางหยิบโน่นหยิบนี่มาทำ ขณะนี้มือหนากำลังง่วนแก่การบิดผ้าให้หมาด ก่อนจะหยิบขึ้นไปวางบนหน้าผากผู้ป่วยด้วยหวังให้หายดี อินทัชเป็นลมไปครู่ใหญ่แล้ว อศวมินทร์มุ่นคิ้ว ตอนนี้ไม่ใช่ว่าไม่สบายเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องลดอุณหภูมิร่างกายลงสักนิด แต่อศวมินทร์ทำอะไรให้ใครไม่เป็นสักอย่าง นอกจากนั่งมอง

“นี่ยาดมค่ะ น้องมินช่วยคุณอ้ายหน่อย เดี๋ยวป้าจะไปต้มข้าวต้มร้อนๆ มาไว้ให้ พักนี้เธอไม่ได้เจริญอาหารก็เลยดูเพลียหน่อย” พินยื่นให้พร้อมแจง ซึ่งผู้รับมาถือก็เพียงเงียบฟังและเอื้อมไปขยับใกล้จมูกไปมาอย่างรู้อยู่บ้าง

“หลังจากนี้ก็อย่าดื้อให้มากนักนะคะ เห็นใจคุณอ้ายเธอหน่อย”

“ผมเปล่านะ เขาไม่จำเป็นต้องมาเดือดร้อนอะไรกับผมนี่” เด็กหนุ่มหันไปย้อน

“เฮ้อ ป้าไม่อยากจะเถียงกับน้องมินหรอก แต่คุณอ้ายเธออุตส่าห์ประคับประคองทั้งหมดมาให้ ป้าเห็นเธอเครียดทุกวันกับงานก็มาก ไหนจะเรื่องอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายทำให้ถึงกับทานข้าวไม่ลง พักผ่อนไม่ได้ โดยเฉพาะช่วงนี้หนักเหลือเกิน เธอไม่ใช่หุ่นยนต์นะคะที่จะทนได้ทุกสถานการณ์” พินอดที่จะบอกไม่ได้ นางจำได้ว่าตนมองอินทัชอยู่หลายครั้งกับสีหน้าแห่งความทุกข์ระทมนั้น

หุ่นยนต์หรือ...

พินเดินจากไปแล้วหลังจากกล่าวจบ หลงเหลือเพียงแค่ความจริงที่นางบอกไว้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ในสิ่งที่เขาคิด อินทัชไม่ใช่หุ่นยนต์ แล้วอะไรที่ทำให้จิตใจของอินทัชด้านชาถึงเพียงนั้น อะไร...

เด็กหนุ่มหันไปสบมองคนป่วยที่เรียบสนิทไร้การแต่งแต้มสีหน้า เคลื่อนอีกมือไปสัมผัสเส้นผมและผิวแก้มอย่างเชื่องช้า ไม่ทราบว่านานเท่าใดที่อศวมินทร์ใช้สายตาละเลียดมองความผิดแปลกของชายตรงหน้า แม้จะยังดูหล่อเหลา แม้จะยังดูสมบูรณ์แบบราวรูปปั้นที่จิตกรตั้งใจสร้างที่สุด แต่ขาดอยู่สิ่งหนึ่งคือความมีชีวิตชีวาที่เขาเคยเห็น เด็กหนุ่มเพิ่งหวนมานึกได้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันหายไป บนสีหน้าของชายคนนี้ไม่มีสิ่งนั้นหลงเหลืออยู่เลย

อศวมินทร์ถอนหายใจเต็มปอดที่มี หันไปกุมหน้าและทุบศีรษะตัวเองให้เลิกครุ่นคิดเกี่ยวกับอินทัชสักที ร่างกายสูงใหญ่ลุกขึ้นไปเดินวนรอบเตียงนอนภายในห้องพักผู้ป่วยเรียกสมาธิ สั่งการตัวเองให้เดินออกจากที่นี่ไปเสีย หากไม่กวาดตาไปพบกับสิ่งหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะโคมไฟ อศวมินทร์ดิ่งไปหยิบขึ้นมาพิศ ไล่อ่านตามหลอดยาอะไรสักอย่างเพื่อดูสรรพคุณ

ความรู้สึกต่างๆ นานา วิ่งเข้าสมองของเขาราวกับค้อนปอนด์ทุบลงย้ำซ้ำหลายครั้ง เมื่อทราบในที่สุดว่ามันคือยาทาสำหรับคนที่แพ้ฝุ่น ดวงตาเขาเหลือบไปมองร่างบนเตียงอีกครั้งและอีกครั้ง ทานความต้องการของตัวเองที่อยากขยับเข้าไปใกล้ไม่ไหว ท้ายสุดจำต้องเดินไปทรุดนั่งร่วมเตียงกับคนไร้สติที่เดิมอีกครั้ง จ้องมองใบหน้าอีกฝ่ายนิ่ง

“บ้าเอ๊ย...” อดที่จะสบถไม่ได้

บริสุทธิ์ใจจริงๆ ใช่ไหมลุงอ้าย เด็กหนุ่มเพียรถามอย่างนั้นกับตัวเองอย่างซ้ำๆ ราวต้องการให้อีกฝ่ายตื่นมาพยักหน้ารับ อศวมินทร์ทราบดีอยู่แล้วว่าคงเป็นไปได้ยาก แต่ยามนี้ดีแล้วที่ปล่อยให้อินทัชได้พักผ่อน แม้มือไม้ตัวเองเทียวรบกวนด้วยการแตะตรงนั้นทีตรงนี้ทีบนร่างกายอีกฝ่าย เขาห้ามตัวเองไม่ได้ เด็กหนุ่มครุ่นคิดทั้งเคลื่อนมือไปสัมผัสปลายจมูกคนป่วย ขยับไล้ขนคิ้วดกดำตรงหน้า และโน้มลงไปแนบจูบกับริมฝีปากแห้งผากนั้นอย่างอ่อนแผ่ว

เด็กหนุ่มซึมซาบรสจูบนั้นอยู่นานด้วยคิดว่าจะรบกวนเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจะปล่อยให้พักผ่อน เพียงแต่จะเอาให้หนำใจกับการขอครั้งที่แล้วและคนตรงหน้าไม่ยอมเท่านั้น ซึ่งหลังจากผละมาสบมองใบหน้าชวนหลงใหลในระยะที่พึงพอใจ แน่นอนว่าเขาเลือกที่จะฝังริมฝีปากลงไปซ้ำอีกครั้ง บดคลึงเค้นเอาความหอมหวานมาให้ตัวเองอย่างเอาแต่ใจ เนิ่นนานเสียจนอิ่มเอม อศวมินทร์ผละมาค้ำมือกับพื้นเตียงพิศมองอยู่เช่นนั้นหลายนาที

หากเขาไม่ไปจากที่นี่ตั้งแต่ตอนนี้ คงอดใจไม่ไหวแน่

อศวมินทร์ส่ายหน้า สัมผัสที่ริมฝีปากคุณลุงด้วยปลายนิ้วหัวแม่มืออย่างอ่อนแผ่ว มันนุ่ม อินทัชเป็นคนที่มีรูปปากสวย หลอกล่อให้ใครต่อใครอยากจะจุมพิตลิ้มลองกับความงามตรงหน้า คงมีหลายคนที่ได้พูดคุยด้วยแต่มักมองคนๆ นี้ที่ริมฝีปากแทนที่จะเป็นดวงตา อย่างเขา

คนมองก้มลงไปแนบปากอีกครั้ง จาบจ้วงเอาความพึงพอใจอย่างร้อนแรงเอาแต่ใจราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะตื่นมาขัดขืน แต่เมื่อคิดว่าไม่มีทาง ความรุนแรงก็ลดลง หลงเหลือเพียงความอ่อนโยนที่เจ้าตัวไม่อาจได้รับในยามมีสติ มือหนาเคลื่อนไล้เรือนผมคนตรงหน้าหลังจากผละมาสบมอง กี่ครั้งแล้วที่จูบอินทัชไป เขาไม่สนใจ เด็กหนุ่มกลั้นใจลุกขึ้นยืน หมุนกายย่างเท้าไปยังประตูเพื่อให้อินทัชได้พักผ่อนสักที

ในขณะที่กำลังเปิดประตูจะออกไปด้านนอกแล้วแท้ๆ ในหัวของอศวมินทร์กลับอื้ออึงไปด้วยประโยคที่ว่า ‘ขอครั้งสุดท้ายเถอะน่า แล้วจะไปจริงๆ’ เด็กหนุ่มยกมือกุมขมับ หันไปมองคนนอนหลับตาทั้งถอนใจ พ่ายแพ้กับความต้องการอีกที

“ครั้งสุดท้ายจริงๆ”

ไม่รู้อะไรดลใจให้เขาย้ำตัวเองเช่นนั้น แต่เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปทรุดกายบนเตียงข้างคนป่วยอย่างรู้จุดหมายตัวเองแน่วแน่ ช่างเป็นจุดหมายที่ชวนอับอายเสียยิ่งกว่าอะไร เกินกว่าใครจะเห็นได้ อศวมินทร์เพ่งมองใบหน้าเรียบนิ่งอยู่ครู่ ซึมซับความอยากของตัวเองก้มลงจูบอีกฝ่ายอีกครั้ง...

มันทำให้เด็กหนุ่มรู้อะไรหลายๆ อย่าง หากเขาอยากเห็นอินทัชแสดงความรู้สึกอีกครั้ง อศวมินทร์ไม่จำเป็นต้องพูดจารุนแรง ข่มขู่ หรือทำร้ายอีกฝ่ายให้เจ็บปวด ยังมีหนทางอื่นอีกมากมาย เพราะนอกจากความสะใจแล้วเขาก็ไม่ได้อะไรตอบกลับมาเลย

เพียงเล็กน้อย เขากลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังโตขึ้นมากับความเจ็บปวด เขาจะทำลายชีวิตตัวเองเพียงเพราะโกรธแค้นใครไปทำไม เพราะคนที่จะไม่มีที่ไป ถูกใครต่อใครเหยียบย่ำศักดิ์ศรีในท้ายที่สุดก็คือ ‘เขาเอง...’

เด็กหนุ่มเข้าไปในห้องพักตัวเองหลังจากคิดได้ มือหนาเอื้อมไปเปิดผ้าม่านที่ปิดสนิทมานานนับปีให้แสงสว่างสาดถึง ภาพครอบครัวที่ถูกคว่ำทิ้งไว้ถูกยกขึ้นตั้ง ปรากฏรอยยิ้มของบิดามารดาที่ส่งให้ราวกับพวกเขารับรู้ ว่าตอนนี้ลูกชายคนนี้กำลังจะเดินไปในทิศทางใด อศวมินทร์ส่งยิ้มให้ทั้งสองอยู่ครู่ด้วยความเต็มตื้นในอก รอยยิ้มที่นานมาแล้วที่มันเหือดหายไป ยิ้มที่ไร้ความฝืน เด็กหนุ่มเดินออกไปยังหน้าต่าง เปิดรับลมและนิ่งมองภาพเบื้องหน้าตนเองอยู่อย่างนั้น

เขานึกถึงความผิดพลาดที่ตัวเองก่อ และควรคิดว่าโตพอที่จะเลิกทำแบบนั้นกับอินทัชสักที ควรเปลี่ยนได้แล้ว...


******************************

นุ้งมิน หนูยังไหวอยู่รึเปล่าคะลูก ชักจะสับสนมาก

แต่ความหื่นไม่ลดลงเลยนะคะลูก ไม่ว่าจะปกติรึไม่ก็ตาม 5555 นางสูบลุงอ้ายไปเยอะ

นอกจากตอนนี้ไป ตอนหน้าก็จะไม่มีความเครียดแล้ว โมเม้นอะไรสักอย่างก็เพิ่มขึ้น พร้อมกับความก้าวหน้าของน้องตอนตัดสินใจ มาก้าวเดินไปพร้อมกันนะคะ มาดูความสำเร็จของนางกับความสำเร็จของหนูนาด้วย อิอิ

เรื่องคิมหันต์ก็อาจจะมีมาบางตอนให้ปวดตับบ้าง แต่ไม่มาก หลังๆ จะผ่อนคลายเสียส่วนใหญ่ค่ะ
 
 
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-11-2015 02:50:16
มินทร์เลิกดื้อซะทีก็ดี สงสารลุงอ้าย ส่วนคิมหันต์เอานางไปทิ้งทะเลเลยได้มั้ย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 27-11-2015 08:33:04
จะว่าอะไรมั้ยถ้าเราบอกว่าเราสงสารคิมหันต์แต่ก็อย่างว่าแหล่ะทำตัวเองนี่ก็ต้องรับกรรมไปเพราะความขี้ขลาดของตัวเองที่ไม่ยอมรับตั้งแต่ตอนแรกเลยทำให้เรื่องเป็นแบบนี้
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-11-2015 09:26:04
 :L2: :3123: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 27-11-2015 13:12:34
หลงมาอ่านเล่นเอาดราม่าปวดตับปวดไตกันไปทีเดียว แต่เลิกอ่านไม่ได้อยากรู้ต่อไปเรื่อยๆ
คนแต่งวางยาเราแน่ๆ ปกติเราไม่ชอบดราม่าเท่าไหร่ โฮฮฮฮฮฮฮฮ
รออ่านต่อไปจ้าอยากรู้บทสรุปของเรื่องราว
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 27-11-2015 18:03:14
จะว่าอะไรมั้ยถ้าเราบอกว่าเราสงสารคิมหันต์แต่ก็อย่างว่าแหล่ะทำตัวเองนี่ก็ต้องรับกรรมไปเพราะความขี้ขลาดของตัวเองที่ไม่ยอมรับตั้งแต่ตอนแรกเลยทำให้เรื่องเป็นแบบนี้
ถ้าทำความเข้าใจ ตัวละครทุกตัวมีที่มาและมีหลายมิตินะคะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 21 |||★ [26/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 27-11-2015 18:05:51
หลงมาอ่านเล่นเอาดราม่าปวดตับปวดไตกันไปทีเดียว แต่เลิกอ่านไม่ได้อยากรู้ต่อไปเรื่อยๆ
คนแต่งวางยาเราแน่ๆ ปกติเราไม่ชอบดราม่าเท่าไหร่ โฮฮฮฮฮฮฮฮ
รออ่านต่อไปจ้าอยากรู้บทสรุปของเรื่องราว
ดราม่าก็จริง แต่ไม่ bad end เน้อออ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 22 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-11-2015 01:00:43
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๒

แสงจากดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าสาดผ่านหน้าต่างเป็นสีส้มแสดชวนให้แสบตา ภายในห้องพักของผู้ป่วยอยู่ในโทนขาวสะอ้านบัดนี้ร้อนระอุแปรเปลี่ยนมาเป็นสีแดงส้ม เจ้าของนัยน์ตาซึ่งหลับสนิทเบี่ยงกายนอนตะแคงยามรู้สึกตัว ความรู้สึกแรกคือปวดเมื่อยตามสรรพางค์จากการนอนอยู่ท่าเดียว ชายหนุ่มมุ่นคิ้วยกลำแขนมาพาดหน้าผากราวกับความคิดในตอนนี้หนักอึ้งเมื่อได้สติ

เรื่องก่อนหน้ามันเกิดขึ้นเร็วมาก ทั้งเรื่องที่คิมหันต์รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอศวมินทร์ ทั้งเรื่องที่ตัวเองอ่อนแอต่อหน้าเด็กคนนั้น ชายหนุ่มรู้สึกผิดหวังกับตนเองเสียจริง

เขาได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง เสียงนาฬิกาเดิน เสียงเครื่องปรับอากาศกำลังทำงานของมัน นอกจากนั้นก็เป็นเสียงคนเคาะแล้วเปิดประตู อินทัชหันไปมองด้วยใคร่ทราบว่าเป็นใครทั้งๆ ที่ยังนอนติดเตียงเช่นนั้น และรู้สึกอุ่นใจที่เห็นว่าเป็นพิน

“โอ้ ดีใจจริงคุณฟื้นขึ้นมาแล้ว หลับไปนานเลยค่ะ” พินยกยิ้มพลางเดินเข้ามา “อิฉันทำข้าวต้มร้อนๆ มาให้ทาน จะได้มีแรง ทานสักหน่อยนะคะคุณอ้าย”

นางไม่ได้เล่าว่าใครเป็นคนพาอินทัชเข้าไปมาในห้องพัก ไม่ได้บอกว่าอศวมินทร์เป็นคนคอยช่วยนางดูแลคนป่วยขณะไม่มีสติสัมปชัญญะ เจ้าตัวก็ไม่ได้ตั้งหน้าจะถามไถ่ บางทีอินทัชทราบแล้วอยู่ในใจแต่ไม่อยากกล่าวถึงก็อาจเป็นได้ ใครก็ไม่สามารถเดาใจของเจ้านายคนนี้ได้ทั้งนั้น

ดูเหมือนอินทัชจะเป็นคนจำพวกปากแข็งแต่ใจอ่อน พูดจริงทำจริง และเป็นคนที่ค่อนข้างคิดอยู่ในใจมากกว่าการพูดออกมาอย่างซื่อตรงกับความรู้สึก คงคิดว่าไม่จำเป็นที่จะพูดมากกว่ากระมัง พินทอดถอนใจขณะมองเจ้านายทานเมื้อเย็น สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เอร็ดอร่อยอย่างที่ควร นางจะทำอย่างไรดีกับอาการเบื่ออาหารของเจ้านายตอนนี้ จะมีวิธีแก้อย่างไร

พินปิดประตูหลังจากเดินออกมา ส่ายหน้าอย่างไม่ไหว ในขณะนั้นหางตาเหลือบไปพบเข้ากับอศวมินทร์พอดี เด็กหนุ่มเห็นสีหน้าของแม่บ้านเก่าแก่ที่ดูกังวลและไม่ค่อยสู้ดีนัก “มีอะไรหรือเปล่าป้าพิน ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” คนเห็นสอบถาม ทั้งดวงตาชำเลืองไปยังประตูแม้รู้ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถมองทะลุเข้าไปข้างในได้

“ก็คุณอ้ายน่ะสิคะไม่ยอมทานอีกแล้ว ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงแย่แน่” พินก้มลงมองชามข้าวต้มในมืออย่างหนักใจกับสิ่งที่ครุ่นคิด นึกเป็นห่วงเจ้านาย ไม่ทันได้เห็นสีหน้าของคนรับฟังในขณะนั้นยามหันไปมองประตูห้องของคนถูกกล่าวถึง สีหน้าที่ยากนักที่จะแสดงออกมา
 

อินทัชนอนลืมตาอยู่อย่างนั้นหลังจากทานอาหารเข้าไปได้เพียงน้อยนิด นัยน์ตาคมว่างเปล่า ไม่มีจุดเพ่งมองเป็นพิเศษไปที่ใดสักที่รอบห้องพัก ภายในหัวของชายหนุ่มอื้ออึงไปด้วยประโยควนซ้ำของใครสักคนอยู่อย่างนั้น ขณะที่นาฬิกาตัวเดิมกำลังเดิน เสียงของมันยังแทรกเข้ามาได้ในความคิด บอกให้ชายหนุ่มทราบดีว่าแม้ตนกำลังจมอยู่กับอะไรสักอย่างนั้น เวลามันไม่เคยคอยท่าเขาเลยสักนิด อินทัชพ่นลมหายใจแหงนมองเจ้านาฬิกาตัวนั้นซึ่งแขวนอยู่บนผนังอย่างนึกขอบคุณ

ขอบคุณที่สอนสั่งเขา เรียกให้เขาได้กลับมาที่ตนเองอีกครั้ง

ระหว่างที่กำลังนอนก่ายหน้าผากจมกับความคิดสักอย่าง เสียงประตูเปิดโดยไร้การเคาะก็ดังขึ้นมา แม้เขาจะย้ำเตือนแม่บ้านอยู่เสมอว่าควรทำอย่างไร ชายหนุ่มมุ่นคิ้วกะจะต่อว่าเสียให้หลาบจำ แต่ตนกลับต้องเบิกตาเพราะมิใช่อย่างที่คิดไว้

“ตื่นแล้วเหรอ” คนถามย่างเท้าเดินเข้ามาเรื่อยพร้อมสีหน้าเรียบปกติ อินทัชรีบลุกขึ้นนั่ง ค่อนข้างไม่เข้าใจ เมื่อชายคนนั้นทรุดกายนั่งบนเตียงเดียวกันพร้อมวางถาดอาหารเมื่อครู่ลงอยู่ใกล้ “ป้าพินบอกว่าคุณดื้อมาก อย่างกับเด็กสองสามขวบไม่ยอมกินข้าวแหนะ”

อีกฝ่ายเปรยพลางจับช้อนคนอาหารในชามข้าวซึ่งมีไออุ่นลอยขึ้นส่งกลิ่นหอม แต่อินทัชยังไม่รู้สึกอยากอยู่ดี ชายหนุ่มก้มลงมองมือหนาบัดนี้มีร่องรอยถลอกจากการกระแทก กำลังตักข้าวต้มขึ้นแล้วเป่าอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมาให้อย่างไม่บอกไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น อินทัชนิ่ง มองหน้าอศวมินทร์ด้วยความไม่เข้าใจนัยยะของอีกฝ่าย ต้องการอะไรจึงทำอย่างนี้ต่อเขากัน ชายหนุ่มครุ่นคิด

“เอ้านี่ กินสิ” เด็กหนุ่มบอกพลางทิ่มปลายช้อนแนบไปกับริมฝีปากผู้ป่วยต้องการเย้า ดูเหมือนจะขึ้นเสียด้วย อินทัชมุ่นคิ้วมองอย่างไม่เข้าใจ สนเท่ห์และแสดงความไม่ชอบใจอยู่ในที ช่วงวินาทีหนึ่งรอยยิ้มได้ปรากฏบนใบหน้าคนแกล้งอย่างอดไม่ไหว คนป่วยส่ายหน้าน้อยๆ ดันมือของอศวมินทร์ออกห่าง “ฉันกินแล้ว ตอนนี้อยากจะพัก”

“ไม่ได้ ต้องกินให้หมดชามนี้ผมถึงจะอนุญาตให้นอนได้”

“พอเถอะน่ามิน” อินทัชส่ายศีรษะอีกครั้งราวกับเหน็ดเหนื่อยที่จะโต้เถียงหรือรบราด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจหันหน้าหนี ซึ่งในขณะนั้นอีกฝ่ายราวกับไม่สนสักนิดว่าเขาจะรู้สึกยังไง จับใบหน้าชายหนุ่มไว้แน่นและจ่อช้อนที่ริมฝีปากบอกว่า “ผมไม่ได้พูดเล่นนะ อ้าปาก...”

“ฉันไม่...” ยามจะพูดโต้กลับกลับเป็นช้อนที่ยัดเข้ามาแทนที่ อินทัชผงะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกทั้งผะอืดผะอมอยู่ในที เมื่อเห็นสีหน้าของคนทำราวต้องการขู่บังคับให้ยอมรับสิ่งนี้ ชายหนุ่มถอนใจจำต้องยอมแต่โดยดี บาดแผลการสู้รบครั้งนี้จบด้วยรอยยิ้มพอใจของคนป้อน ยามมองเขาเคี้ยวอาหารในปากด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก

เด็กหนุ่มต้องการอะไรจากเขากัน “ฉันก็อยากจะพูดจริงๆ เหมือนกันนะว่าไม่ พอแล้วมิน...”

“เงียบแล้วกินไปเลย คุณก็อายุจนป่านนี้แล้วทำไมถึงยังพูดไม่รู้เรื่องกัน” คนบอกยื่นมือมาป้อนอีกครั้ง อินทัชทำได้เพียงมองสีหน้าของคนกล่าวในยามกระทำ หรือก้มหน้าก้มตากำลังบ่นเขาอย่างจริงจัง อศวมินทร์ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำในเวลานี้ ราวกับคนแก่กำลังสอนลูกชายตัวเองที่กำลังดื้อ อินทัชทำได้เพียงอ้าปากรับอย่างเงียบเชียบ

อศวมินทร์ดูแปลกไป

“ผมจะไม่กวนคุณเลยถ้ากินอย่างนี้ไปเงียบๆ ไม่ดื้อหรือเรื่องมาก กินจนหมดแล้วผมจะให้นอนต่อ”

“ฉันรู้น่า” อินทัชตอบ เอื้อมมือไปหยิบช้อนในมืออีกฝ่ายทั้งมุ่นคิ้ว ทำราวกับตัวเองเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจคนหนึ่ง อศวมินทร์มองทั้งเบี่ยงหลบไม่ให้อีกฝ่ายทำตามความต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าอินทัชจะไม่พอใจ ชายหนุ่มจิปากอย่างนึกรำคาญ “ทำอะไรน่ะมิน ก็เอาช้อนมาซีฉันจะได้ตักกิน ฉันไม่ใช่เด็กแล้ว กินเองได้ไม่ต้องการให้ใครป้อน”

“ถ้าผมไม่ป้อน คุณคงกินแบบไม่อร่อยให้ผมเห็น” เด็กหนุ่มย้อน

“แบบไหนมันก็เหมือนกัน แค่กินให้หมดไม่ใช่หรือไง”

“คุณนิสัยเด็กกว่าที่ผมคิดนะลุงอ้าย” คนกล่าวระบายยิ้มหลังจากเอ่ยประโยคนั้นออกมา ทำราวชอบใจกับสิ่งที่กำลังได้พบ ได้เห็นอินทัชที่กำลังเอาแต่ใจ เด็กหนุ่มไม่ทราบว่าเหตุใดมันจึงดูไม่น่ารำคาญ ไม่น่าเบื่อ กลับทำให้รู้สึกอยากที่จะก่อกวนและสนุกมากกว่าเมื่อก่อน คงเพราะเขาพบเห็นอินทัชที่เป็นหุ่นยนต์มานาน ปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ ครอบงำดวงตาจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นใดที่เป็นความจริง

มือหนาเคลื่อนไปปาดมุมปากซึ่งเปรอะไปด้วยร่องรอยการกลั่นแกล้งของตัวเอง มองดวงตาที่แสดงถึงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัดของอินทัชแล้วนิ่งเงียบ ไม่เฉลยใดๆ ทั้งสิ้น ซึ่งนั่นสร้างความประหลาดแก่ใจอินทัชมากยิ่งขึ้นไปอีก ชายหนุ่มหลุบตาลงมองพื้นเตียง ยอมอ้าปากรับสิ่งที่อีกฝ่ายหมั่นตักมาให้ทานอย่างไม่ปริปากบ่น แม้จะรู้สึกอึดอัดและไม่เข้าใจกับการกระทำของอีกฝ่ายก็ตาม

“ต่อไปผมจะมาป้อนคุณทุกเวลา”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันจะกินให้หมดเอง” ชายหนุ่มรีบตอบ ยกมือดันมือที่ถือช้อนหลังจากทนไม่ไหว “พอแล้ว ฉันไม่ได้พูดเข้าใจยากหรอกนะ แต่กระเพาะมันเต็มจนรับไม่ไหวจริงๆ” ชายหนุ่มเบี่ยงใบหน้าหลบทั้งแจงในคราเดียวกัน ซึ่งประโยคแสนร้อนตัวนั้นทำเอาอศวมินทร์ต้องกลั้นยิ้ม ตีหน้าเข้มวางช้อนลงในชามแล้วเอื้อมไปเก็บบนโต๊ะโคมไฟ

ในขณะนั้นเหลือบไปเห็นอ่างน้ำและผ้าขนหนูพาดบนขอบอ่างก็นึกอะไรออก เด็กหนุ่มตีหน้าเข้มหันไปกล่าวอีก “ทีนี้ก็เช็ดตัวก่อน ค่อยนอน จะได้รู้สึกสบายตัวขึ้น”

อินทัชถอนใจลากเสียงย้อน “อะไรของเธออีกเล่ามิน ไม่เอาน่า...”

“เร็วสิ ปลดประดุมเสื้อ” เด็กหนุ่มเอ่ยขัดแกมบังคับแม้น้ำเสียงและสีหน้าของคุณลุงจะชวนยิ้มถึงเพียงไหน แสร้งทำหน้าขรึมเอื้อมไปปลดให้ราวต้องการบอกเป็นนัยว่าควรเร่งรีบกว่านี้ ซึ่งเจ้าตัวเห็นแล้วก็ถึงกับถลึงตาใส่ ผลักมืออศวมินทร์ออกให้ห่างจากเสื้อของเขายามนี้ เด็กหนุ่มรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเว้นระยะห่างอย่างเป็นไปเอง เพราะจากที่เขาเคยก่อ และจากที่อินทัชบอกทั้งน้ำตาเมื่อครู่ใหญ่ว่าไม่มีทางยอมหลงกลอีกแล้ว

“ฉันกะว่าจะลุกไปอาบน้ำเอง ไม่ต้องเช็ดตัวหรอก” คนป่วยบอก

“ได้ยังไงกันล่ะ เกิดหน้ามืดเป็นลมหัวฟาดพื้นขึ้นมาจะทำยังไง อยากตายนักเหรอหา”

“ฉันโอเคขึ้นแล้วน่า”

“ลุงอ้าย คุณนี่มันยังไง ปากก็บอกว่าผมมันรั้นมันดื้อแต่ตัวดูตัวเองทำตัวสิ คิดว่าตัวเองอายุกี่ขวบกัน หืม...” คนตรงหน้าบ่นอีกครั้ง มือก็เอื้อมไปชุบหน้าขึ้นมาบิดด้วยสีหน้าจริงจังนั้น อินทัชถึงกับนิ่งไปเมื่อถูกย้อนมาเช่นนี้ ชายหนุ่มทำได้เพียงกลืนน้ำลายเมื่อท้ายที่สุดแล้วตนไม่สามารถถกเถียงเด็กตรงหน้าชนะได้ คงเพราะเขายังมึนงงกับอาการป่วยของตัวเองกระมัง ชายหนุ่มจึงผละความคิดที่จะต่อต้านอีกฝ่ายออกในที่สุด

ความเงียบปกคลุมคนทั้งคู่ขึ้นมาทันที ในระหว่างที่อศวมินทร์เอื้อมมาช่วยเช็ดตามร่างกายให้ มีเพียงความคิดที่ทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกัน เขาควรจะทำอย่างไรเมื่อศวมินทร์ใช้วิธีนี้เข้าหาเขา ไม่ใช่การข่มขู่รุนแรงอะไร แทนที่จะวางใจ เขากลับรู้สึกหวาดระแวงแทนเสียอย่างนั้น

แต่ก็ภาวนาว่าสิ่งที่อศวมินทร์ทำจะบริสุทธิ์ใจจริงๆ ไม่เหมือนที่แล้วมา เขาเองก็เหนื่อยเกินที่จะพบเจอแล้ว

หลังจากวันนั้น อินทัชหายป่วยได้เร็วกว่าที่คิด แต่อศวมินทร์ก็ยังไม่กลับไปเป็นคนก่อนหน้าและเจ้าตัวก็ไม่แจงอะไรให้ใครฟังถึงเหตุผล แม้จะไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาร่าเริงแจ่มใสอย่างเมื่อก่อน ยามไม่ได้พูดกับใครก็ยังคงมีสีหน้าเข้มขรึมอย่างเก่า แต่ยามมาพบเขา ชายหนุ่มไม่ได้คิดเองว่าตนเห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้นมากขึ้น กลับเป็นตัวอินทัชเองที่รู้สึกกังวลและจิตตก

เวลาเลยผ่านไปกี่วันแล้วไม่ทราบ อินทัชทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่ออศวมินทร์ก่อนหน้าอย่างไม่ย่อท้อ เดินทางไปหาโรงเรียนที่รับเด็กหนุ่มเข้าเรียนได้ ดูเหมือนจะง่ายหากเป็นโรงเรียนอาชีวะ อินทัชได้โรงเรียนที่เป็นทางผ่านบริษัทซึ่งยอมเปิดรับนักเรียนและให้โอกาสสำหรับคนพลาด ซึ่งภาคเรียนใหม่จะเริ่มในอีกเดือนข้างหน้า

หลังจากนั้นชายหนุ่มพาลูกเลี้ยงเดินทางไปสมัครอย่างเป็นทางการ ซึ่งดูจากสีหน้าแล้วอศวมินทร์จะชอบที่นี่อยู่ไม่น้อย แม้เขาจะไม่ชอบพวกนักเรียนช่างเกเรตามนิสัยคนเจ้าระเบียบบ้าง แต่เห็นว่าอศวมินทร์พอใจก็ดีแล้ว หวังว่าอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเด็กคนนี้

อศวมินทร์เลือกเรียนสายบริหารอย่างที่ตั้งใจไว้ แม้จะต้องซ้ำชั้นหรือเรียนกับคนอายุน้อยกว่าก็ไม่มีปัญหา วันแรกที่ได้ชุดนักเรียนมา เขาดูเห่อไม่น้อยที่ต้องสวมชุดนักศึกษาเร็วกว่าที่ควร ด้วยเพราะเป็นคนตัวสูงจึงดูหน้าแก่ไปในบัดดล อศวมินทร์สวมชุดนั้นถ่ายรูปและส่งไปให้เพื่อนๆ ในกลุ่มแชทได้ดู ข้อความตอบกลับมามีอยู่หลากหลายแง่ และฉายาใหม่ที่มาของคำว่า ‘ไอ้แก่’ ก็บังเกิด

เด็กหนุ่มนอนแผ่หลาบนเตียง คลี่ยิ้มยามมองหน้าจอทัชสกรีนตรงหน้ากับคำแซวของเพื่อน ก่อนจะละลงไปเมื่อเห็นชื่อของมาวินแสดงความคิดเห็นว่า ‘ก็ดูดีนี่ เท่ดีออก’

‘เออ กูลืมบอกไปว่ามีผู้หญิงมายืนรอมึงอยู่หน้าโรงเรียนเป็นอาทิตย์แล้ว โคตรน่ารักเลยว่ะ’ เพื่อนในกลุ่มบอก

‘ใช่ ตอนแรกมาถามถึงคนชื่ออศวมินทร์ กูไม่คิดว่าเป็นมึงว่ะ เพราะมึงคงไม่ได้ม่อเขาแน่ ใช่ไหมวะ’

‘พอบอกว่าอศวมินทร์ที่มีเรื่องกับเด็กโรงเรียนเดียวกัน พวกกูถึงกับร้องอ้อเลยทีเดียว’

‘มันเกิดอะไรขึ้นวะมิน มึงพูดได้นะกับพวกกู’ คนสุดท้ายเป็นมาวินที่ถามด้วยประโยคคล้ายห่วงใย ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องเมื่อก่อน กลับเป็นตัวอศวมินทร์เองที่ไม่อาจทนมองอยู่ได้ เด็กหนุ่มคิดว่าดีแล้วที่ไม่กลับไปพูดคุยกับอีกฝ่าย เพราะอย่างน้อยเรื่องของอินทัชก็หนักหนา อย่างไรเสียเขาไม่มีทางฝืนยิ้มให้มาวินได้อยู่แล้ว จึงเลือกที่จะไม่ยิ้มให้เลยจะดีกว่า

‘ไม่มีอะไรหรอก กูยังไม่รู้เลยว่าใคร ช่างมันเถอะ’

นอกจากนั้นอศวมินทร์ยังเลือกที่จะเดินทางตามอินทัชไปที่บริษัทเพื่อศึกษางาน อีกฝ่ายมีสีหน้าตกใจเอาเสียมากเมื่อได้ยินว่าเขาอยากจะไปด้วย อศวมินทร์คิดไว้ว่าไม่อยากให้อีกสองปีที่เหลือมันสูญเปล่า หากอินทัชไม่ได้อยู่ด้วยแล้วเขาควรดูแลตัวเองได้อย่างที่ปรางคณางหวัง ก่อนนอนทุกคืนเขามองที่รูปข้างหัวนอนทุกครั้ง มองรอยยิ้มแห่งความสุขของหล่อนพร้อมให้คำสัตย์ว่าจะพยายามให้ถึงที่สุด

เพียงรอยยิ้มบนรูปนั้น ก็ผลักดันให้อศวมินทร์ก้าวหน้าต่อไป ทุกวันดำเนินไปได้อย่างรวดเร็วอย่างที่หวัง ดูเหมือนไม่นานที่เด็กหนุ่มเข้าใจการบริหารจากคำแนะนำของอินทัชได้ดี และทัศนคติที่ดีของผู้บริหารที่ตนได้รับรู้จากหนังสือซึ่งเปิดอ่านก่อนได้เรียนจริง

เขาเป็นคนมุ่งมั่น ไม่มีอะไรหยุดอศวมินทร์ได้ ยิ่งได้อ่านหนังสือยิ่งทำให้เขาได้ค้นพบแล้วว่าการบริหารที่ตัวเองได้เผชิญนั้น มันมีมากกว่าการนั่งอยู่บนเก้าอี้ อ่านเอกสารและเซ็นอะไรสักอย่างบนแฟ้มที่เลขานำมาให้ เขาต้องเรียนรู้และค้นคว้าอะไรอีกตั้งหลายอย่าง ซึ่งทำให้เด็กหนุ่มตื่นเต้นเมื่อวันเปิดภาคเรียนมาถึง

เพราะเอกเพื่อนคนสนิทของอินทัชได้ออกจากงานไปแล้ว อินทัชจึงต้องเดินทางพร้อมไปอศวมินทร์ทุกเช้าและเดินทางกลับพร้อมกันทุกเย็นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ซึ่งในวันนี้ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มอึดอัดอีกต่อไปแล้ว มีเพียงความอุ่นใจที่ได้เห็นท่าทีกระตือรือร้นของอีกฝ่าย ยามมองออกไปนอกรถ ตอนนี้อศวมินทร์เหมือนเด็กอายุสิบแปดจริงๆ เสียที ไม่มีความโกรธขึ้ง ไม่มีสีหน้าระทมอมทุกข์ใดๆ

ชวนให้คนมองสดใสตามไปด้วย ยามเห็นแววตามุ่งมั่นนั้น
 

เสียงเหล่าเด็กหนุ่มเด็กสาวพูดคุยทักทายกันดังอยู่รอบกายคนที่ยังยืนบนบาทวิถีตรงนี้ นานมาแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสถึงความรู้สึกของโรงเรียน มือหนาถือสายเป้ซึ่งพาดไว้บนบ่ากระชับขึ้น มองเด็กคนอื่นต่างกำลังแสดงถึงความตื่นเต้นที่จะได้กลับมาพบเพื่อน มองเหล่าผู้ปกครองคนอื่นกำลังแย้มยิ้มยามโบกมือลาบุตรหลาน แสงอาทิตย์ยามเช้าอุ่นกว่าที่อศวมินทร์คิด เขาทำได้เพียงหยุดยืนมองและเก็บภาพบรรยากาศนี้ไว้

มันสวยงาม ภาพเบื้องหน้าเขามันสวยงามกว่าที่คิด เด็กหนุ่มทำได้เพียงหยุดมองพร้อมระบายรอยยิ้มออกมาอย่างพอใจ

หลังจากนั้นเสียงเพลงประจำโรงเรียนก็ดังขึ้นเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่ากำลังจะต้องเข้าแถว อศวมินทร์คล้ายจะขาแข็งเพราะไม่ทราบว่าตนจะต้องไปยืนตรงไหน ผู้คนหลายพันคนภายในโรงเรียนกำลังเริ่มกรูไป ระหว่างกำลังคิดว่าจะก้าวหรือไม่ก้าวดี จู่ๆ ลำแขนหนักอึ้งของใครก็ไม่ทราบถูกทิ้งลงมากอดคอเขาเต็มแรงจนเด็กหนุ่มทรุดตัวลงต่ำ “เฮ้ย เด็กใหม่ห้องเราว่ะ ไปๆ เดี่ยวเข้าไม่ทันคนอื่นจะโดนทำโทษทั้งแถว ลำบากพวกกูอีก”

นัยน์ตาคมหันขวับไปมองด้วยความประหลาดใจ เป็นเด็กหนุ่มตัวสูงระดับคอของเขา ใบหน้าค่อนข้างจะเป็นมิตรและฉีกยิ้มอยู่ตลอดเวลา กำลังอ่านชื่อบนป้ายที่มีรหัสห้องรวมอยู่ด้วย ที่นี่เขาเข้าหาคนแบบนี้หรอกหรือ

อศวมินทร์กวาดตามองโดยรอบ เป็นกลุ่มชายสวมชุดนักศึกษาแบบเดียวกันกับเขาอยู่สิบกว่าคนเดินมาพร้อมกัน ทุกคนไม่ได้สะพายกระเป๋า แต่ใช้มือถือหนังสือแล้วเหน็บอุปกรณ์เครื่องเขียนไว้ในกระเป๋าเสื้อ การแต่งตัวบางส่วนไม่ตรงตามที่โรงเรียนกำหนด คล้ายนักศึกษาในวัยมหาวิทยาลัย บ้างก็สวมเสื้อยีนส์ทับ บ้างก็ใส่กางเกงขาเดฟรัดติ้ว ไม่ใส่ร้องเท้าคัชชูแต่สวมผ้าไบตามเทรนด์ เสื้อนักศึกษาเลือกได้ว่าจะแขนสั้นหรือยาว เด็กหนุ่มดูจืดขึ้นไปถนัดตากับชุดนี้

“นี่ ปีสามอยู่ทางนี้ สาวๆ ห้องเราสวยนะโว้ย แต่แค่สวยไม่เท่าห้องอื่นเท่านั้นเอง” คนกอดคอยักคิ้วเหล่โดยรอบ “ถึงแม้ว่าสาวบริหารจะน้อยก็เหอะ แต่ก็ดีว่าไปยืนกับพวกช่างเป็นไหนๆ”

อศวมินทร์เริ่มจะรำคาญไอ้เด็กคนนี้เสียแล้วซี เด็กหนุ่มลอบถอนใจเข้าไปในแถวไม่พูดหรือเสวนากับใครนอกจากเงียบมองรอบกาย แม้รู้สึกแปลกไปบ้างที่หลายสายตาหันมาจับมอง เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงโดดเด่น ด้วยเป็นคนที่มีหน้าตาไม่ตกสมัยนิยม มีผิวพรรณขาวสะอ้านและเกลี้ยงเกลา จึงเรียกให้ใครสะดุดตาจนต้องชะงักมองได้ในชั่ววินาทีที่พบเจอ อศวมินทร์คงไม่รู้ตัวสักนิดว่าตนเองรูปหล่อเป็นที่สนใจของสาวๆ ขนาดไหน คงเพราะโรงเรียนเก่าเป็นโรงเรียนชั้นสูงและหรูหรา เด็กหน้าตาดีมีอยู่เกลื่อนกลาดจนไม่มีใครสนใจกระมัง

แต่เมื่อก่อนเรื่องหน้าตาเขาก็อยู่ระดับต้นๆ ของโรงเรียน หากไม่ติดที่ว่าเจ้าตัวไม่เคยสนใจ และเป็นคนใจร้อนก็คงฮอตในหมู่สาวๆ ได้ไม่ยากเย็นนัก ดังนั้นที่นี่อศวมินทร์จะโดดเด่นกว่าใครก็คงไม่แปลก

“ว่าแต่มึงชื่ออะไร กูชื่อซันนะ พ่อกูเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกผลไม้สดกับแห้งที่จันทบุรี กูมาอยู่นี่กับเพื่อนสองคน” ว่าพลางมองไปยังด้านหลัง อศวมินทร์พยักหน้ารับเมื่อเห็นเด็กหนุ่มอีกสองคนในแถวส่งยิ้มให้ “นั่นไอ้กอล์ฟกับไอ้บอล มันมีพ่อคนเดียวกันแต่คนละแม่ว่ะ เสือกเกิดปีเดียวกันอีก”

อศวมินทร์มุ่นคิ้วหันไปมองคนเล่าที่ใช้น้ำเสียงขบขันกล่าวให้เขาฟัง โดยไม่นึกถึงความรู้สึกของเพื่อนทั้งสองคนว่าจะเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มเสตาไปมองสองคนด้านหลัง แม้เจ้าตัวจะไม่ได้เอ่ยอะไรมาแทรก แต่เขาทราบถึงความรู้สึกของคนที่ถูกล้อปมดีว่าเป็นอย่างไร สังคมปัจจุบันนี้เสื่อมทรามและสกปรกกว่าที่อศวมินทร์คิด “กู...ชื่อมิน”

“บ้านมึงอยู่แถวไหนเหรอ”

“แถวนี้แหละ” เด็กหนุ่มลอบถอนใจแล้วหันใบหน้ากลับมา หากเป็นช่วงวินาทีหนึ่งเขากวาดไปเห็นไปใบหน้าของใครสักคน กำลังจับมองเขาอยู่ อศวมินทร์ชะงักเพราะจำได้ ใบหน้ากลมที่มีดวงตาโตเป็นเอกลักษณ์นั้น

“แล้ว เด็กผู้หญิงคนนั้นใครน่ะ” อศวมินทร์หันไปถามซันซึ่งอยู่ด้านหลัง พยักเพยิดไปทางเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งหันกลับไปมองหน้าเสาธงแล้ว เห็นเช่นนั้นเพื่อนใหม่ก็ร้อง “อ้อ มึงนี่ตาแหลมไม่หยอกเลยนะ นั่นน่ะแรร์ไอเทมของห้องเราที่สามารถสู้ได้กับห้องอื่นเชียวนะ ชื่อไอ้นัท น่ารัก นมใหญ่ มึงชอบมันเหรอ”

“เปล่า เคยเจอกันครั้งหนึ่ง”

“น่า เจอกันอะไรยังไง ได้กันยังวะ มันไม่เคยมีข่าวคบใครเลยนะตั้งแต่มาเรียนที่นี่ โคตรอยากรู้เลยว่ายังซิงอยู่ไหม บอกกูมาเหอะน่า” เพื่อนใหม่หน้าทะเล้นชี้นิ้วเย้า นั่นไม่ได้สร้างรอยยิ้มให้เขาเลยสักนิด อศวมินทร์ส่ายหน้า “กูไม่รู้จักเขา แค่เคยเห็นหน้า เขาจะเอากับใครจะสดจะซิงกูไม่รู้ด้วย”

“อันแน่ แต่มึงก็สนใจใช่ไหมล่า”

“พวกมึงหยุดพูดกันซิ...” เพื่อนที่ยืนอยู่ก่อนหน้าอศวมินทร์หันมากระซาบราวกับเกรงอาจารย์เดินมาดุ นั่นได้สร้างความสนใจให้แก่อศวมินทร์และซันมากขึ้นไปอีก ทั้งคู่เห็นสีหน้าไม่ค่อยสู้ดีของเพื่อนร่วมแถวยามหันมาพร้อมใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยเหงื่อ หน้าเซียวเล็กน้อยพร้อมกับชำเลืองตาไปยังคนที่ยืนถัดไปจากเจ้าตัว ซันและกลุ่มเพื่อนผงะ เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าบูดบึ้งคนหนึ่งในแถวกำลังหันมาขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์มองพวกเขาอยู่

“จะหยุดพูดถึงน้องกูได้รึยัง” เด็กหนุ่มซึ่งใบหน้ายังมีรอยแผลให้เห็นกล่าวขึ้น เป็นคนที่มีเรื่องได้ทุกวัน ต่อยตีกับใครก็ได้เมื่อต้องการจนคนในโรงเรียนขยาด

“ฉิบหาย...ไอ้นิคมันมาด้วยเหรอวะวันนี้”

ในระหว่างที่เพื่อนคนอื่นเงียบเชียบกับสายตาขึ้งโกรธเด็กหนุ่มคนนี้ กลับเป็นอศวมินทร์คนเดียวที่ไม่ได้หลบสายตาไป ท่ามกลางความวุ่นวายในยามเช้าของภาคเรียนแรก ดวงตาคมเข้มทั้งสองคู่สบมองกันนิ่งเงียบราวกับกำลังส่งอะไรไปให้กัน ซึ่งดูเหมือนกลับเป็นจอมหาเรื่องอีกคนที่รู้สึกเย็นเยียบที่ปลายเท้าแทนเสีย เมื่อเห็นว่าโจทย์คนเก่ามายืนอยู่ตรงหน้า

ด้วยสายตาที่ตนไม่อาจทราบว่ากำลังคิดอะไร เด็กหนุ่มแปลกหน้าที่เดินเข้ามาช่วยเขากับน้องสาวในวันนั้น!


***************************************

ง่อววววว ได้เจอนิคกับนัทแล้วเย้!

แล้วต่อๆ ไป ความสัมพันธ์ระหว่างมินกับลุงอ้ายก็จะเพิ่มขึ้น แน่นขึ้น

และเรื่องราวของสองพี่น้องนี่ก็เริ่มเข้ามาในเรื่อง แต่ช่วงนี้เป็นเวลาดีหน่อย สองคนเริ่มจะหันหน้าเข้าหากัน

พูดคุยกันมากขึ้นแล้ว ยิ่งตอนหน้ายิ่งจะเห็นได้ชัด อาจเรียกได้ว่าฟินเพราะน้องมินคนแสบคนเดิมกลับมาแล้ว เจอกันตอนหน้าจ้า

อย่าลืมคอมเม้นเป็นกำลังใจนะ จุ๊บ
 
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 22 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-11-2015 15:52:33
ได้เจอนิคกับนัทแล้ว หวังว่าคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะน้องมิน ส่วนลุงอ้ายคงต้องใช้เวลาในการเชื่อมสัมพันธ์ให้ดีขึ้น
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 22 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-11-2015 21:02:37
ได้เจอนิคกับนัทแล้ว หวังว่าคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้นะน้องมิน ส่วนลุงอ้ายคงต้องใช้เวลาในการเชื่อมสัมพันธ์ให้ดีขึ้น
บอกได้แค่ว่าต้องรอดูต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 22 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 28-11-2015 21:26:50
นัทจะชอบมินรึเปล่าอ่ะ ไม่ให้ชอบนะเพราะมินเป็นของลุงอ้าย
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 22 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-11-2015 22:23:02
นัทจะชอบมินรึเปล่าอ่ะ ไม่ให้ชอบนะเพราะมินเป็นของลุงอ้าย

ชอบค่ะ แต่มินไม่ได้ชอบผู้หญิง
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-11-2015 23:04:45
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๓

หลังจากได้เข้าเรียนจนถึงเวลากลับบ้าน ดูเหมือนอศวมินทร์จะได้พบเจอเรื่องใหม่ๆ ได้เรียนรู้อยู่เสมอ เขาได้พบพี่น้องสองคนนั้นซึ่งบังเอิญได้อยู่ห้องเดียวกัน หลังจากแนะนำตัวกับเพื่อนร่วมห้อง การต้อนรับจากทุกคนดูเหมือนจะอบอุ่นกว่าที่เดิม ทุกคนเห็นตัวตนของเขา แม้ตัวอศวมินทร์เองจะดูประหม่าไปบ้าง

อินทัชเองก็รู้สึกอุ่นใจ เมื่อไปรับวันแรกเขาเห็นเพื่อนกลุ่มใหญ่ยืนรุมล้อมอศวมินทร์บนบาทวิถี ชายหนุ่มลงจากรถเดินเข้าไปทักทายเด็กๆ ซึ่งกำลังพูดคุยกันฮาเฮโหวกเหวกตามประสาวัยรุ่น บอกว่ากำลังจะรับลูกชายในนามกลับบ้านแล้ว

“โห มิน บ้านมึงมีคนขับรถมารับมาส่งด้วยเหรอ เท่ว่ะ!” ซันตาโต

“พวกมึง นี่...ลุงอ้าย พ่อเลี้ยงกู...” มินลากเสียงเอ่ยแนะนำอย่างไม่ค่อยเต็มปากเป็นคำเท่าใดนัก สีหน้าดูเรียบนิ่งลำบากใจขณะเดินไปยืนขนาบคุณลุง ซึ่งกำลังยกมือทักทายกลุ่มเพื่อนของตน ลิงๆ ทั้งหลายยกมื้อไหว้ไม่พอ ยังมีคำแซวตบท้ายมาด้วยว่า “คุณลุงยังหล่ออยู่เลยนะครับ เหมือนดาราแหน่ะ ว่างๆ ผมไปเที่ยวที่บ้านได้ไหมครับ”

“ไม่ได้...” อศวมินทร์แย้งทันที

“อะไรว้า นี่กูขอพ่อมึงอยู่นะ”

“บ้านกู ไม่ใช่บ้านเขานี่หว่า” อศวมินทร์ตอบไม่เชิงจริงจังเท่าไรนัก ก่อนจะถอนใจเอ่ยตัดคำราญเพื่อนๆ ไปว่า “งั้นกูไปล่ะ เจอกันพรุ่งนี้แล้วกัน”

“หวัดดีครับลุงอ้าย” เด็กๆ ยกมือไหว้อีกครั้งทั้งยกมือโบกลาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม อินทัชทำได้เพียงยิ้มรับอย่างรู้สึกอุ่นใจหากอศวมินทร์จะมีเพื่อนให้คลายอารมณ์เศร้าแบบนี้ แต่ก่อนเขาเอาแต่ฟังคำเล่าของเด็กหนุ่มเพียงอย่างเดียว ไม่เคยได้สัมผัสจริงๆ ว่าการที่เจ้าตัวมีเพื่อนในวัยเดียวกันแล้วเป็นอย่างไร นี่คือครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้เห็นมัน ได้เห็นยามกลุ่มเพื่อนรุมล้อมเด็กคนนี้

ตลอดทาง อศวมินทร์มีเรื่องเล่าให้อินทัชฟังมากมายเกี่ยวกับประสบการณ์ใหม่ที่เจ้าตัวไม่เคยได้พบที่โรงเรียนเดิม อินทัชทำได้อย่างเดียวคือครางในคอบอกว่ากำลังรับฟัง และมองสีหน้าของคนเล่าที่เริ่มจะฉายความรู้สึกจริงๆ ออกมาทางดวงตาเสียที และจากนั้นทุกวัน หน้าที่ของชายหนุ่มก็เพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่งคือคอยรับฟังเรื่องที่เด็กหนุ่มจะเล่า ออกความเห็นบ้างตามความเหมาะสม

อศวมินทร์เล่าให้ฟังว่านักเรียนมีอยู่หลายกลุ่ม ทั้งเด็กที่รักการเรียนจนเคร่งเครียด เด็กไม่เรียนและเกเรเลยก็มี หรือมีทั้งเด็กเกเรแต่การเรียนดี หรือเด็กที่ตั้งใจเรียนมากแต่การเรียนย่ำแย่ หนำซ้ำเจ้าตัวยังจัดหมวดตนเองไว้อย่างเสร็จสรรพว่าตั้งใจและการเรียนดีอีกด้วย

ทุกวันเสาร์ แทนการไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนนั้นอศวมินทร์กลับเลือกตามอินทัชไปที่บริษัท ศึกษางาน ผู้ใหญ่ในนั้นดูรักและเอ็นดูเด็กหนุ่มจนอินทัชรู้สึกไว้วางใจที่จะให้เขาช่วยตัดสินใจงานใหญ่ หรือตามไปพบปะกับคู่ค้ารายใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อความคุ้นชิน อศวมินทร์เป็นเด็กที่มีศิลปะการพูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจึงสามารถทำมันไปได้ดี อีกไม่นานเด็กคนนี้จะกลายเป็นม้ามืดในวงการธุรกิจไทย

อินทัชไม่อยากจินตนาการถึงอีกสองปีข้างหน้า นั่นคงมีผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงคนหนึ่งที่น่าจับตามองแห่งวงการ ภาพอศวมินทร์พูดคุยทักทายกับผู้คนในบริษัทอย่างเป็นมิตร สีหน้าตึงเคร่งดูผ่อนปรน แต่ในยามทำงานก็จริงจังเข้มงวด มีลูกล้อลูกชนยามพูดคุยกับหุ้นส่วนคนอื่นอย่างแพรวพราว เล่ห์เหลี่ยมและชั้นเชิงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็เก่งกาจ ใครกันจะสู้เด็กคนนี้ได้!

เขาได้แต่ยืนกอดอกมองความสำเร็จตัวเองอีกขั้นหนึ่ง บอกกับปรางคณางว่าไม่ต้องห่วงเด็กคนนี้อีกต่อไปแล้ว ถึงแม้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยก็ตาม ตัวของเด็กคนนั้นเป็นคนเริ่มเองโดยทั้งหมด อินทัชรู้...เด็กคนนี้เก่งโดยสายเลือด พ่อแม่ต่างแต่งงานกันตั้งแต่วัยรุ่น ทั้งสองอาศัยประสบการณ์และความตั้งใจดูแลบริษัทจนเติบใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าแม้ปรางคณางจะห่วงว่ามันจะล่มหากทิ้งเพียงสมบัติให้ให้ลูกชาย

แต่หล่อนคงไม่ทราบเลย ว่าลูกชายได้สายเลือดนักสู้จากตัวเองมาเต็มๆ

วันอาทิตย์เป็นวันหยุดวันเดียวที่อศวมินทร์มี แต่เพราะได้อ่านหนังสือก่อนเปิดเทอมอยู่เป็นเดือนๆ แล้ว ทำให้เขาเข้าใจบทเรียนเร็วกว่าคนอื่น งานที่อาจารย์สั่งมาเขาก็ทำได้สำเร็จเร็วกว่าใครจนได้รับขนานนามว่าเป็นเด็กเรียน และรับหน้าที่เป็นหัวหน้าห้องพ่วงมาอีกตำแหน่ง เขาไม่อยากเชื่อตัวเอง จากเด็กเกเรไม่อยากไปโรงเรียน เพราะมีหน้าที่และบทบาทที่นั่นทำให้เด็กหนุ่มกระตือรือร้นจากจะไปทุกวัน

อินทัชทิ้งกายนั่งพิงโซฟาผ่อนปรนอารมณ์หลังจากทานมื้อเช้า หากทว่าเสียงประตูเปิดเรียกให้เขาต้องหันขวับไปมอง เป็นเด็กหนุ่มถือหนังสือเดินเข้ามาหาเขา ในขณะที่ชายหนุ่มกะว่าจะเอนกายพักผ่อนสักครู่

“ลุงอ้าย...” คนขานชื่อเขาทรุดกายนั่งข้างจนเบาะยวบลง อินทัชเพิ่งสังเกตว่าอศวมินทร์ดูตัวโตขึ้น เจ้าตัวมักออกไปแตะบอลที่สนามกับเพื่อนทุกเย็น ตอนนี้ก็เริ่มสูงกว่าเขาแล้ว และเพราะเรียนสายอาชีวะ ต้องสวมชุดนักศึกษา ไม่ได้สวมชุดนักเรียนมัธยมปลายเหมือนเมื่อก่อนแล้วจึงดูเป็นผู้ใหญ่กว่าเดิมมากทีเดียว

“ผมมีอะไรจะให้”

“หืม...” ชายหนุ่มย้อนด้วยความแปลกใจ อินทัชคิดว่าเจ้าตัวจะเดินมาขอคำชี้แนะเรื่องบทเรียนเสียอีก นัยน์ตาคมงุดลงมองมือเด็กข้างกายที่กำลังควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นเป็นกล่องของขวัญขนาดเหมาะมือชูขึ้น

“อะไรน่ะ” อินทัชนิ่งมอง ย้อนด้วยความฉงน

“เอ้า ก็ของขวัญไง พอดีเมื่อวานผมไปเที่ยวกับเพื่อนมา เห็นว่าอันนี้มันสวยดีก็เลยซื้อมาให้เป็นของขวัญ” อศวมินทร์อธิบายพร้อมยื่นให้ ในยามเห็นแววประหลาดใจของคุณลุง เด็กหนุ่มหลุดยิ้มเมื่อนึกออก “อ้อ นี่อย่าบอกนะว่าคุณลืมวันเกิดตัวเองน่ะลุงอ้าย ไม่อยากจะเชื่อเลย”

“เปล่า แต่วันเกิดฉันมันอาทิตย์หน้าไม่ใช่เหรอ” อินทัชรับมาถือทั้งบอก ดวงตามองของในมือทั้งแกะมันออกมาดู ชายหนุ่มนิ่ง มองเนคไทสีเงินลายคลื่นน้ำแปลกตาอยู่ในนั้น ได้ยินเสียงเด็กหนุ่มข้างกายอธิบายให้ฟังว่า “ผมว่าคุณควรคิดได้ว่านี่เป็นของขวัญวันเกิดตัวเองตั้งแต่เห็นมันแล้วนะ เป็นผม ผมจำได้ตั้งแต่เข้าเดือนเกิดตัวเองหรือเดือนเกิดของคนที่ผมรักแล้วแหละ และจะจดจ่อรอให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เพราะวันพิเศษของเขา ก็เหมือนวันพิเศษของผม...”

อินทัชนิ่งไป ก่อนจะงุดตาลงพยักหน้ารับ “แต่มันยังไม่ถึงเลยนะ”

“อาทิตย์หน้านี้โรงเรียนเขาจัดออกค่าย ผมต้องไปทำกิจกรรมด้วยก็เลยให้ไว้ตั้งแต่ตอนนี้ไง ชอบไหมครับ...”

“สีเงิน” อินทัชลากเสียง ผละสายตาไปสบอีกคนแววฉงน

“ใช่ ผมรู้ว่าคุณชอบใส่เนคไทสีนี้ สังเกตว่าคุณใส่แต่สีนี้ทุกวัน ก็เลยเลือกลายแปลกๆ มาให้ ถ้าชอบก็ขอบคุณผมด้วยนะ” เจ้าตัวระบายยิ้มมีเลศนัย เรียกความร้อนแล่นเข้าสู่ใบหน้าคนฟังได้ไม่ยาก

“ผมอุตส่าห์จำวันเกิดคุณได้ คุณไม่ให้รางวัลเป็นการขอบคุณหน่อยเหรอ”

“อะไร...” อินทัชย้อน ชายหนุ่มเบิกตากึ่งตกใจกึ่งระแวงเมื่อเห็นคนถามขยับตัวเข้ามานั่งเบียดและสบตา เจ้าตัวก็ทราบดีว่าเขาพยายามจะเว้นระยะห่างเพื่อตัวเอง แต่ก็ชอบทำแบบนี้ให้เขาลำบากใจและวางตนไม่ถูกอยู่ร่ำไป ที่จริงเขาดีใจ ตกใจที่อศวมินทร์ทำแบบนี้ให้เขา ไม่อยากเชื่อว่ายังนึกถึงเขาอยู่เสมอ ในที่สุดเด็กคนนี้กลับมาเป็นคนน่ารักอย่างเต็มตัวแล้วสินะ

“กอดผมสิ ขอกอดหน่อยได้ไหม”

อินทัชนิ่งไปชั่วครู่ มองใบหน้าคนกล่าวเองก็จ้องตาเขาส่งแววบอกว่าต้องการสิ่งที่ขอนั้นอย่างจริงจัง อินทัชคล้ายมีประจุไฟแล่นปราดไปทั่วร่างกาย เขาขยับไม่ได้ หลายเดือนมาแล้วที่ไม่ได้แตะต้องตัวใครนอกจากทำงาน ในยามที่เด็กน้อยตรงหน้าขยับเข้ามากอด ซุกใบหน้าลงในอ้อมอกราวกับกำลังผ่อนปรนอยู่ในนี้ อินทัชคล้ายตัวเองได้ถูกเปลวเพลิงหลอมละลายน้ำแข็งในอก

มือหนาเคลื่อนขยับสัมผัสอ่อนแผ่วที่ปลายผมเด็กน้อยอย่างเชื่องช้า ฟังเสียงลมหายใจตนเองและอีกฝ่ายนิ่ง ปลอบโยนคนอ่อนแอในอก ด้วยจุมพิตที่ฝังลงบนเรือนผมอศวมินทร์ซ้ำอยู่อย่างนั้น

“ขอบใจนะ มิน”

อศวมินทร์กอดตัวเขาไว้ด้วยทั้งสองแขน แนบใบหน้าฝังลงบนอกของคุณลุงอยู่นาน ก่อนจะเงยขึ้นไปสบมองอีกฝ่ายในระยะใกล้ คุณลุงเห็นแววเจ้าเล่ห์ในนัยน์ตาระยับนั้น เจ้าตัวคลี่ยิ้มหวานหยดขณะสบตา เคลื่อนขึ้นมาขโมยจูบคางอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว วินาทีนั้นอินทัชถลึงตาใส่ต่อว่าอยู่ในท่าทีนั้น แต่ก็อ่อนใจเมื่อเห็นคนตรงหน้าหลุดหัวเราะราวกับบอกเป็นนัยว่าชนะ ทิ้งกายนอนลงเต็มตัวบนโซฟาและพาดศีรษะไว้บนตักเขาอย่างไม่ขออนุญาตเสียก่อน

เด็กหนุ่มระบายยิ้มยามเงยขึ้นมาสบตาอีกครั้ง และอีกครั้ง เคลื่อนมือไปประสานนิ้วกับเจ้าของตักที่ตนถือวิสาสะหนุนนอน “ขอนอนตรงนี้ครู่หนึ่งนะลุงอ้าย ผมอ่านหนังสือมานานแล้วรู้สึกปวดตา”

“ตรงนั้นมีเตียง”

“ตรงนี้สบายกว่า” เจ้าตัวเงยมาเถียง เขยิบนอนให้อยู่ในท่าสบายทั้งเงยขึ้นมาสบตาอยู่เรื่อย ทั้งที่บอกว่าจะพักผ่อนสายตา ยามนี้คนถูกยึดตักไม่อาจตีหน้าเข้มขรึมให้เด็กเอาแต่ใจตรงหน้าเห็นได้อีกแล้ว ชายหนุ่มหลุดยิ้มในที่สุด ฉุดให้คนมองเผลอไผลจับจ้องอยู่นานกับภาพนี้

นี่คืออินทัช...อินทัชคนนั้น เขาทำให้อินทัชคนนั้นกลับมาสำเร็จแล้ว อศวมินทร์รู้สึกราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนชั่วขณะยามได้เห็น

“ลุงอ้าย วันเกิดผมคุณต้องซื้อรถมอเตอร์ไซต์...”

“ไม่ล่ะ มันอันตราย” เจ้าตัวเอ่ยขัด

“นะ ผมอยากได้ ผมอุตส่าห์จำวันเกิดแล้วก็ซื้อของขวัญให้ เงินเดือนผมก็แค่สองหมื่นห้าเองนะ” เด็กน้อยเงยขึ้นมาสบตา มือดึงมือหนาของคุณลุงขึ้นไปกุมออดอ้อน เรียกให้อินทัชงุดลงมองทั้งส่ายหน้า “นี่ตกลงวางแผนซื้อของขวัญให้ฉันเพราะอยากได้ของขวัญตัวเองใช่ไหม”

“ก็ได้ ถ้าคุณไม่ซื้อรถให้ผม งั้นผมขอของขวัญวันเกิดเป็นตัวคุณก็แล้วกัน” อศวมินทร์เอ่ยทั้งพริ้มตาหลับหลังกล่าวจบ อินทัชนิ่งไปอยู่ครู่หนึ่งกับประโยคนี้ หมายความว่ายังไงกัน เด็กคนนี้ยิ่งชอบใช้คำพูดแบบสองแง่สองง่ามกับเขาอยู่ด้วย ชายหนุ่มทอดถอนใจทั้งส่ายหน้าแต่เจ้าตัวแทรกขึ้นมาก่อนว่า “ห้ามปฏิเสธนะ คุณต้องทำตามที่เคยสัญญากับผมไว้เมื่อก่อนว่าจะพาไปเที่ยวสวนผลไม้ที่เมืองจันท์ บ้านเพื่อนผมอยู่นั่นพอดี คุณต้องพาผมกับเพื่อนๆ ไปเที่ยว เข้าใจไหม”

คนหลับตาบ่นอู้อี้ขณะนอนกุมมือเขาไว้เช่นนั้น เฉลยอยู่เป็นนัยว่าไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าที่บอกจริงๆ อินทัชนิ่ง มองใบหน้าของผู้หลับ มองนิ้วมือเรียวยาวนั้นยามประสานไว้กับเขาแนบแน่น ภายในห้องจากที่มีเสียงคนโต้ตอบกันไปมากลับเงียบลง ชายหนุ่มเอนหลังพ่นลมหายใจอยากผ่อนคลาย มือหนึ่งไล้เส้นผมคนนอน ดวงตาทอดมองออกไปยังนอกหน้าต่างอย่างรู้สึกปล่อยวางและอุ่นใจมากขึ้น

“ก็ได้ ถ้าฉันว่างนะ”

“ต้องว่างสิ ทำเพื่อผมไม่ได้เหรอ หืม...” คนหลับตาครางบอก คล้ายเหน็ดเหนื่อยกับเรื่องที่ผ่านมาจนล้าเกินทน สุ้มเสียงแหบพร่า ทิ้งกายนอนหลับบนตักของเขาราวกับต้องการขอกำลังใจ ขอพลังเพิ่มขึ้นอีก อินทัชนิ่งไป ทำได้แค่มอบพลังให้เด็กน้อยตรงหน้าอย่างไม่ปริปากบ่น

ที่ผ่านมาเขาคงตั้งแง่กับเด็กคนนี้มากเกินไปกระมัง
 

การย้ายมาเรียนคนละสายจากเดิมทำให้ชั้นปีสุดท้ายของอศวมินทร์ต้องเรียนสามเทอม คือช่วงฤดูร้อนจะต้องมาซัมเมอร์ทุกวันเพื่อเพิ่มวิชาที่ยังไม่ได้เรียน เขาเป็นเด็กกิจกรรมจนได้รับฉายาต่างๆ นานา เด็กหนุ่มไม่ได้พูดคุยกับใครมากนักนอกจากเพื่อนร่วมกลุ่ม ไม่มีใครรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบผู้หญิง และเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ร้อนรนที่จะบอกใครเป็นพิเศษ แม้ว่าจะมีสาวๆ เทียวไล้เทียวขื่อ วนเวียนเข้ามาในชีวิตก็ตาม

จนหนึ่งเทอมผ่านไป

อศวมินทร์ไม่ได้พูดคุยกับเด็กหนุ่มสาวสองคนนั้นเลยสักครั้ง เพราะเจ้าตัวดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มเด็กเกเรไม่สนใจการเรียน ส่วนคนเป็นน้องสาวก็ออกเป็นคนเงียบ ไม่เข้าหาใคร คนเป็นพี่ชายน้อยครั้งนักจะเห็นเข้ามานั่งอยู่ในห้องเรียน ซันเล่าว่าเด็กหนุ่มคนนั้นชื่อนิค หรือณัชชา เรียนซ้ำชั้นมาสองปีแล้ว พูดตามตรงคืออายุมากกว่าพวกเขาอยู่สองปี อายุย่างยี่สิบเอ็ดแต่ยังเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้ายเพราะคอยตามดูแลน้องสาว ซึ่งคือเด็กคนที่ชื่อนัทคนนั้น

เพื่อนๆ เองก็ทราบว่าอศวมินทร์อายุมากกว่าหนึ่งปี แต่เพราะชาชินกับเพื่อนนักเรียนคนอื่นซึ่งยังมีผสมอยู่บ้าง และไม่ได้ถามไถ่เรื่องส่วนตัวว่าเหตุใดจึงต้องเรียนช้า อศวมินทร์จึงรู้สึกสบายใจ
 

ในระหว่างเดินทางกลับบ้าน ช่วงเย็นเป็นเวลารถติด อศวมินทร์แก้เซ็งด้วยการก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในมือถือไปพลาง ก่อนจะชะงัก เมื่อได้ยินเสียงลุงคนขับรถบ่นอย่างอารมณ์เสีย “แค่รถติดก็พอแรงอยู่แล้ว ไอ้เด็กพวกนี้นี่ก็ปัญหาสังคมจริงๆ เอาแต่หาเรื่องตีฝ่ายตรงข้ามไม่รู้จักร่ำเรียน”

ภาพตรงหน้าเป็นเด็กนักเรียนช่างกำลังถือมีดดาบ ไม้ไล่ฟาดฟันอย่างกลางถนนหลายสอบชีวิต ไม่กี่นาทีต่างฝ่ายต่างตะลุมบอนกัน ท้ายที่สุดดูเหมือนจะมีตำรวจไล่กวาดต้อน ทุกอย่างแตกกระเจิง เด็กนักเรียนเหล่านั้นต่างวิ่งแยกย้ายไปคนละทาง อศวมินทร์ได้แต่กวาดตามองตามแต่ละคน จนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงคนวิ่งชนกับกระจกจนเจ้าตัวฟุบลงกองกับพื้น คล้ายจะบาดเจ็บหนัก อศวมินทร์เห็นอินทัชผวาขยับไปมอง รู้ว่าคุณลุงรู้สึกอย่างไร

เด็กหนุ่มรั้งคุณลุงไม่อยากให้ยุ่ง แต่ดูเหมือนอินทัชจะเป็นคนใจดีเกินไป เพราะเคยเห็นอศวมินทร์นอนอยู่ในตารางมาแล้วครั้งหนึ่ง เขาไม่อยากให้ผู้ปกครองของเด็กคนนี้ต้องรู้สึกเช่นเดียวกันกับเขาตอนนั้น มือหนาเปิดประตู ดึงเด็กหนุ่มที่นอนฟุบกับพื้นขึ้นมานั่งข้างกัน “เป็นอะไรรึเปล่า”

“อย่ามายุ่ง!” คนเจ็บหอบสุดแรงทั้งสะบัดมือของชายหนุ่มออก ทำท่าหันรีหันขวางจะออกจากรถ “มันไม่ดีหรอกที่จะมาช่วย ปล่อยผมออกไป คุณจะลำบากเพราะผมเปล่าๆ!”

“ไปโรงพยาบาล”

“บอกว่าอย่ามายุ่ง...”

“คนเขาช่วยก็หัดสำนึกบุญคุณซะบ้าง!” อศวมินทร์แทรกขึ้นอย่างสุดทนกับท่าทีของเด็กหนุ่มตรงหน้า คนแสนจองหองทั้งที่ถูกช่วยไว้ถึงสองครั้งสองครา แต่กลับทำท่ายโสเหมือนตัวเก่งกาจทั้งที่ยังไม่สามารถเอาตัวเองรอดได้เลย เด็กหนุ่มเห็นแล้วรู้สึกทั้งโมโหถึงเรื่องเก่าเรื่องใหม่ผสมกัน “เห็นไหมว่าตำรวจกำลังวิ่งตามจับอยู่ อยากโดนจับเหรอ เคยไปนอนในตารางไหม!”

ดูเหมือนเจ้าตัวจะตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นรถที่อศวมินทร์อยู่ในนี้ด้วย แต่ไม่นานเท่านั้น อินทัชก็รีบพยุงคนเจ็บให้นั่งและกล่าวขึ้นมาเสียงดังว่า “ไปโรงพยาบาลเร็วเข้า เลือดไหลเยอะแล้ว เธอถูกแทงรึเปล่า ลุงมิ่งขับเร็วกว่านี้ได้ไหม”

“รีบที่สุดแล้วครับคุณอ้าย”

ณัชชานอนนิ่งหอบหายใจ ก้มมองมือหนาของชายผู้แปลกหน้าเอื้อมมากดแผลห้ามเลือดให้ แม้ตนกำลังสวมชุดสูทหรูหราราคาแพง ชายหนุ่มไม่อยากคิดว่าเขาคนนี้จะเป็นคนดีเด่อะไร นอกเสียจากต้องการสร้างภาพให้ตัวเองดูดี เขาเจอมาจนชินแล้ว! ณัชชาคิดเช่นนั้น แม้ดวงตาไม่อาจละไปจากมือหน้าของชายผู้ประคองร่างตน มือที่แปดเปื้อนแต่อีกฝ่ายไม่รู้สึกรังเกียจให้เขาเห็นแม้แต่น้อย

อศวมินทร์ทำได้เพียงนั่งนิ่งแม้ตนเองจะโมโหโทโสถึงเพียงไหนกับความใจดีไม่เข้าเรื่องของคุณลุง แต่ด้วยเพราะรู้ว่าอินทัชเป็นคนอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร ใจอ่อนเห็นใจคนอื่นไปทั่ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลยก็เท่านั้น ไม่ขัดใจให้สุขภาพจิตตัวเองเสียเปล่าๆ ยอมตามไปนั่งรอเป็นเพื่อนอินทัชที่โรงพยาบาลอย่างไม่บ่นอะไรทั้งสิ้น ในระหว่างที่เด็กหนุ่มก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือไม่สนโลก หูเขาได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่วิ่งกรูมาหยุดหน้าห้อง เด็กหนุ่มจึงเงยขึ้นไปมองด้วยความใคร่ทราบ

เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งอศวมินทร์ ให้ต้องกลับมาประสบพบเจอกับเจ้ากรรมนายเวรอีกครั้งอย่างไม่อาจเลี่ยงได้ คุณนายชไมพร คู่กรณีเก่าที่เขาเกือบจะซัดหน้าหงายไปคราวนั้นยืนอยู่ตรงหน้าเขา วินาทีแรกที่เงยไปสบตา นางดูเหมือนจะตกใจ แต่แววตาเปลี่ยนมาเคืองโกรธอย่างทนไม่ได้ เดินดิ่งมาหยุดตรงหน้าเขา

“เธออีกแล้วเหรอ!”

เสียงดังเพียะสะท้อนก้องหูของผู้กระทำยามฝ่ามือนั้นฟาดลงบนใบหน้า ทำเอาผู้ที่ยืนมองถึงกับต้องตกใจกันเป็นแถบ อินทัชถลาไปกอดบ่าเด็กหนุ่ม ต้องการปลอบให้อารมณ์เย็นลงอยู่ในทีเพราะเกรงว่าอศวมินทร์จะเลือดร้อน อศวมินทร์ยกมือกุมใบหน้าที่เจ็บแปลบตนเอง มึนงง เมื่อสายตากวาดไปเห็นเด็กสาวชื่อนัทคนนั้น และเด็กสาวที่เคยมีเรื่องมีราวกับเขายืนอยู่ด้นหลัง

ไม่อยากจะเชื่อ ณัชชา ไอ้คนมีปัญหาไม่เว้นแต่ละวันเป็นลูกชายของคุณนายลมบ้าหมูคนนี้!

******************************************

เอาล่ะซี่ เอาละซี่ 555555 ในขณะที่ความสัมพันธ์อันดีของลุงอ้ายกับน้องกำลังเริ่มต้น

อิคุณป้ามหาภัยมาอีกแล้ว ซึ่งต่อไปก็จะได้เจอนางอีก

แต่เรื่องใกล้จะถึงบทสรุปแล้ว จะมีก็แต่ปัญหาของคิมหันต์กับสองพี่น้องนี่รออยู่ มาร่วมเดินทางไปพร้อมกันนะคะ ว่าบทสรุปความรักและชีวิตของมินจะจบยังไง

เจอกันตอนหน้าจ้า
 
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 28-11-2015 23:47:18
เฮ้อออ :เฮ้อ:  รู้สึกถึงความยุ่งยากขึ้นมาทันทีที่เจอยัยป้านี่
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [28/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 28-11-2015 23:57:22
เฮ้อออ :เฮ้อ:  รู้สึกถึงความยุ่งยากขึ้นมาทันทีที่เจอยัยป้านี่
ก็จริงนะคะ แต่ตอนหน้าอาจไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [29/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 29-11-2015 03:28:38
ถ้าอีป้านี่รู้ว่าลุงอ้ายกับมินช่วยพาลูกตัวเองมาส่งโรงพยาบาล ไอ้ที่ตบไปแล้วป้าจะขอโทษมั้ย แก่กระโหลกกะลาจริงๆ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [29/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 29-11-2015 07:11:44
ป้า ทำร้ายร่างกายนี่โทษเป็นอาญานะป้า ไม่ได้เป็นทะเลาะวิวาท

ปรับหมื่นนึงนะป้า
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [29/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-11-2015 07:17:59
ป้า ทำร้ายร่างกายนี่โทษเป็นอาญานะป้า ไม่ได้เป็นทะเลาะวิวาท

ปรับหมื่นนึงนะป้า
ฮ่าๆๆๆ แลดูทุกคนโกรธแค้นนางนะคะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [29/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 29-11-2015 14:25:39
คุณป้าคะ ช่วยดูให้ดีเถอะค่ะ คู่กรณีที่ไหนจะพาคนเจ็บมาส่งโรงบาลรอตำรวจ
อยากจะมุดคอมไปตบแทนน้องมิน
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [29/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 29-11-2015 15:10:07
คุณป้าคะ ช่วยดูให้ดีเถอะค่ะ คู่กรณีที่ไหนจะพาคนเจ็บมาส่งโรงบาลรอตำรวจ
อยากจะมุดคอมไปตบแทนน้องมิน

คุณชไมพรรู้สึกจะโจทย์เยอะ 55555
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 23 |||★ [29/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 29-11-2015 19:35:19
มีคนเลี้ยงแบบนี้นี่เองเด็กถึงได้มีปัญหา

สมควรเอาเรื่องให้ถึงที่สุด  ที่ทำร้ายร่างกายคนอื่นแบบนี้
แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน จริงๆเลยกรณีนี้
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 30-11-2015 16:39:21
เล่ห์ · รัก · ร้าย
.
.
.
๒๔

ราวกับโชคชะตาต้องการลองใจเด็กหนุ่ม ให้เขาหวนกลับมาพบเจอกับปัญหาใหญ่เพื่อแก้อีกครั้ง

หลังจากเสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าของอศวมินทร์ดังขึ้น ทุกอย่างในบริเวณโดยรอบราวหยุดชะงักและหลุดเข้าไปในห้วงของสนามรบอีกครั้ง แม้อ้อมกอดของอินทัชจะแนบแน่นปรามไว้เพียงไหน แต่แววตาร้อนระอุยามสบมองผู้กระทำต่ออศวมินทร์นั้นไม่ได้ลดทอนลง อินทัชเห็นท่าไม่ดี จึงหันไปหาคุณนายอีกฝั่งชี้แจงถึงความจริง “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะครับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา”

“ฉันไม่เชื่อ คุณก็ทำทุกอย่างได้เพื่อเข้าข้างเขานั่นแหละ” คุณนายชไมพรยกนิ้วชี้ชี้หน้าของคนอายุอ่อนกว่าอย่างไม่สงวนท่าที แม้ลูกสาวทั้งสองจะเกาะแขนห้ามด้วยความขายหน้าถึงเพียงไหน หล่อนยังไม่ยอมเลิกที่จะกล่าวโทษเด็กหนุ่มตรงหน้า “เด็กนี่มันตัวปัญหา! โดนไล่ออกแล้วยังไม่สำนึก”

“นี่คุณ!”

“แม่คะ ใจเย็นๆ ก่อน” นัท หรือณิชชาเอื้อมมือกุมต้นแขนมารดากล่าวเมื่อเห็นว่าอศวมินทร์เริ่มเคือง เรียกให้คนถูกปรามเพิ่มดีกรีความร้อนมากขึ้นไปอีก “เขาจะฆ่าพี่ชายแกแกยังใจเย็นอยู่ได้อีกเหรอ ไอ้เด็กคนนี้มันฆาตกร คนที่แล้วก็ทำเขาเข้าห้องไอซียูจนตัวเองต้องระเห็ดออกจากโรงเรียนนี่ไง ฉันไม่ยอมเหมือนผู้ปกครองคนนั้นเพียงเพราะคุณเอาเงินไปฟาดหัวเขาหรอกนะ” ประโยคสุดท้ายนางหันไปว่ากับอินทัช

“ครั้งนั้นเขาทำเพราะช่วยพี่นิคไงคะ!”

คล้ายทุกอย่างถูกรีโมทคอนโทรล ทุกอย่างชะงักเงียบกริบในบัดดล ด้วยในระหว่างที่มารดาชี้หน้าเอาเรื่องอินทัชอย่างไม่ฟังใครอยู่นั้น เด็กสาวผู้เก็บงำความรู้สึกผิดไว้กับตัวเองก็โพล่งขึ้นอย่างสุดทน แต่ขณะเดียวกัน กลับเป็นอศวมินทร์ที่หันมองอินทัชอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ว่าอินทัชใช้น้ำเงินรับผิดชอบกับครอบครัวของเด็กคนนั้น แต่ทำได้เพียงมองคุณลุงอย่างนึกเคืองใจเท่านั้น เพราะแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อเด็กสาวชี้นิ้วมายังเขากล่าวต่อว่า

“แม่ยังไม่รู้ใช่ไหม ก็เพราะพี่นิคไงถึงทำให้เขาหมดอนาคต ต้องไม่ได้เรียนต่อที่เก่า แม่เลิกโทษว่าเป็นความผิดคนอื่นสักที เพราะแม่นั่นแหละ!”

ชไมพรนิ่ง “แกว่าอะไรนะ...”

“วันนั้นหนูถูกนักเรียนคนนั้นลวนลาม แล้วพี่นิคก็ถูกพวกมันซ้อมเพราะไปทำร้ายคนของมัน แม่ต้องขอบคุณเขาสิถึงจะถูก ถ้าไม่ได้เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนูบ้าง พี่นิคอาจตาย หรือหนูอาจโดนลากไปข่มขืนก็ได้” เธอระบายความรู้สึกทั้งจ้องตามารดา นี่ไม่ใช่การก้าวร้าวหรือกำลังเถียงผู้ใหญ่ เธอแค่อยากจะบอกว่าเธอรู้สึกผิดกับอศวมินทร์เหลือเกินที่ทิ้งเขาไว้แบบนั้น

เธอเห็นชื่อเขาบนเสื้อนักเรียน ท่องจำมันจนขึ้นใจ ตัดสินใจไปรอพบอีกฝ่ายเป็นอาทิตย์ มันแย่มากเมื่อได้รับรู้จากเด็กนักเรียนโรงเรียนเดียวกันนั้นบอกว่าอศวมินทร์ถูกไล่ออกไปแล้ว เธอเสียใจเหลือเกินที่เป็นต้นเหตุทั้งหมด

“แม่เลิกมองข้ามความผิดตัวเองแล้วเอาแต่โทษคนอื่นได้ไหม เพราะแม่ไง แม่สนแต่สายตาคนอื่นไม่เอาใจใส่พวกหนูเลย...” หางเสียงของเด็กสาวเครือไหวจนไม่สามารถกล่าวต่อได้ ดวงตากลบไปด้วยน้ำมองมารดา เธออยากรีบเอ่ยในขณะที่ตนเองยังพอมีเวลา ให้มารดาได้ฟังในสิ่งที่เธอต้องการสื่อ “แม่คะ ช่วยฟังในสิ่งที่คนอื่นจะพูดกับแม่หน่อยได้ไหม วินาทีเดียวก็ได้...”

“นัท...” คุณนายชไมพรนิ่งมองลูกสาวตนอยู่เช่นนั้น เพียงไม่กี่ประโยคที่ลูกสาวกล่าวราวสาปให้หล่อนหยุดดิ้นเหยงๆ ไปในตอนนั้น เพราะนางรู้ดีว่าว่าณิชชาเป็นคนนิสัยยังไง ลูกสาวคนนี้พูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลร่วง นางบอกให้ทำอะไรก็เชื่อฟัง พยักหน้ารับอย่างว่าง่ายทุกครั้ง

“แม่ก็รู้ว่าพี่นิคเกเรเพราะอะไร ทั้งที่รู้เหตุผล แต่แม่กลับแก้ที่ปลายเหตุ”

นางคงปล่อยให้ณิชชาอยู่กับพี่ชายมากจนเกินไป “แกมันจะไปรู้อะไร เดี๋ยวนี้ชักก้าวร้าวเหมือนนิคไปทุกที!”

“แล้วถ้าลูกชายคุณตายขึ้นมาจะว่ายังไง ถึงตอนนั้นแล้วคุณค่อยคิดได้ใช่ไหม ผมไม่ได้ว่าคุณเป็นฝ่ายผิดหรอกนะครับเพราะตัวผมเองก็ไม่ได้เก่งไปกว่าคุณ ผมเองก็ยังสั่งสอนใครไม่ได้ แต่...ผมเข้าใจทั้งคุณและลูกชายคุณ เขาอาจแค่อยากถูกตำรวจจับ แล้วพบคุณที่สถานีตำรวจเท่านั้นก็ได้ เขาเอาตัวรอดเก่งกว่าที่คุณคิด” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น ยามเห็นแววฉงนของผู้ฟังทั้งหลายฉายออกมาในดวงตานั้น

แต่อินทัชคงไม่อาจอธิบายอะไรได้ให้พวกเขาฟัง

เขารู้สึกไปเอง ที่เด็กคนนั้นไม่ยอมให้เขาช่วยคงเพราะอยากถูกตำรวจจับบ้าง ไม่อยากหนีอีกแล้ว เพราะรู้ว่ามารดาเป็นคนแคร์สายตาสังคมมากกว่าสิ่งไหน หากลูกชายโดนจับ นางจะได้รู้สึกอับอายและนึกถึงความรู้สึกลูกๆ เสียบ้าง

คุณนายชไมพรเป็นคนรวยประเภทขึ้นชื่อด้านภาพลักษณ์ที่ดูดีในสายตาสังคมมาตลอด แม้ไม่ได้ร่ำรวยหรูหราเท่าไฮโซโบว์ใหญ่หลายคน แต่เมื่อมีงานกุศลหรืองานเพื่อสาธารณะต่างๆ ก็มักจะมีชื่อของหล่อนอยู่อันดับต้นๆ เสมอ นั่นกระมัง คือปมที่เด็กหนุ่มคนนั้นเกลียด เกลียดการสร้างภาพ

“เขาแค่อยากให้คุณมองเขาบ้าง วันนี้ผมกับมินทำเขาผิดแผนที่ต้องการ ดันช่วยเพราะเห็นเขาเจ็บมาก”

“ที่จริงก็ไม่ได้อยากช่วยเท่าไร” อศวมินทร์แทรกขึ้นทั้งกอดอก เลือกที่จะเก็บข้าวข้องบนเก้าอี้ตั้งท่าว่าจะกลับบ้าน เด็กหนุ่มหยุดหันไปสบมองคุณนายอยู่ครู่ แม้รู้สึกได้ถึงสายตาคมแววเอ็ดเป็นนัยของคุณลุงส่งให้ ช่างมัน เด็กหนุ่มแสร้งเมินมองไม่เห็น กล่าวกับนางชไมพรว่า “ไม่ต้องบอกว่าจะไม่ขอโทษผมหรอก เพราะผมไม่ต้องการอยู่แล้ว ผมรู้ว่าคุณไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่ากำลังทำอะไร ไม่งั้นลูกชายคงไม่เป็นแบบนี้หรอก”

“มิน...” อินทัชปรามเสียงระอา

เด็กหนุ่มสะบัดมือหนาคุณลุงออกจากบ่า ยังไม่หายเคืองเรื่องใหม่ที่ตนเองได้รู้ ไม่ฟังว่าคนอื่นเขากำลังพูดคุยอะไรกันให้เสียเวลา หากผู้ปกครองของณัชชามาแล้วก็ควรจะกลับเสียที แม้จะหงุดหงิดเสียอารมณ์ที่อีกฝ่ายจะงี่เง่าคิดเองเออเองว่าเขาเป็นฝ่ายผิดก็ตาม อศวมินทร์เปิดประตูเข้าไประงับอารมณ์ภายในรถยนต์ที่ติดเครื่องรอ แม้แอร์จะเย็นฉ่ำถึงเพียงไหนกลับเป็นใจของเขาที่ร้อนรุมไปเอง เมื่อเห็นว่าอินทัชไม่ได้เร่งรีบเดินตามมาอธิบายอย่างที่คิด

โธ่...นายณัชชานั่นสมควรจะเป็นเด็กมีปัญหาอยู่หรอก มีแม่แบบนั้น คิดแล้วเด็กหนุ่มก็ทิ้งกายนอนลงบนเบาะอย่างนึกปล่อยวาง จะมุ่งเข้าไปทำร้ายคืนทำไม แค่นี้ยายคุณนายนั่นก็หน้าเหวออับอายพออยู่แล้ว เด็กหนุ่มถอนใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าคนอื่นน่าสงสารกว่าตัวเอง

หวนมาคิดดูแล้ว เขาผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไรนะ เพราะอินทัช อินทัชคือเสาหลักของบ้านที่ดี ไม่แปลกใจที่หลานชายอย่างมาวินจะเทิดทูน ดูเหมือนการที่อินทัชเป็นเกย์จะไม่ส่งผลอะไรต่อมาวินเท่าไร แค่รู้สึกตกใจ แต่มาวินกลับรักลุงตัวเองมากขึ้นไปอีก

เพราะมาวินเป็นเด็กดี เพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดีจึงทำให้เป็นเช่นนั้น

“คนยังไงบ้างครับน้องมิน” ลุงมิ่ง คนขับรถเอ่ยถามความคืบหน้า แม้จะเห็นว่าเด็กหนุ่มดูอารมณ์หงุดหงิดกว่าทุกวันก็ไม่สน ด้วยรู้อยู่แก่ใจว่าอศวมินททร์เป็นคนอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร แม้พักนี้จะดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากก็ตาม เสียงเบาะขยับดังเอี๊ยดอ๊าดตามเสียงคนขยับตัวด้านหลังยามหันมาบอกอธิบายได้อย่างดี ว่าอศวมินทร์ไม่ได้โกรธจนไม่สนโลก

“ผมออกมาซะก่อน เพราะแม่ของมันไม่ค่อยถูกกับผมเท่าไร”

“หืม...”

ยังไม่ทันได้ถาม เสียงประตูยานพาหนะเปิดก็ดังขึ้นขัดจังหวะทั้งคู่เสียก่อน อศวมินทร์แหงนมอง เห็นเป็นร่างสูงของคุณลุงที่ยืนอยู่หน้าประตู มือหนึ่งถือเสื้อสูท บนเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอ้านภายในเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดแดงฉาน ทรุดกายมาจับศีรษะเขายกขึ้นและนั่งลง ไม่พูดจาหรือร้อนรนจะปรับความเข้าใจกับเด็กหนุ่ม แต่ที่ไม่ทำให้อศวมินทร์ใจร้อนมากขึ้นไปอีก คงเป็นเพราะอินทัชที่วางศีรษะเขาลงบนตักเจ้าตัวแทนการบอกให้ลุกขึ้นไปนั่งดีๆ นั้น

เด็กหนุ่มพลิกกายนอนตะแคงบนตักอุ่นนั้น ไม่ได้เริ่มหาเรื่องในทันที แม้จะรู้ว่าคุณลุงเองก็รู้สึกตัวว่าเขากำลังเคืองโกรธ อีกฝ่ายก็เว้นระยะห่างไม่เซ้าซี้ให้รำคาญใจ

อศวมินทร์ไม่เข้าใจสักนิด ว่าทำไมอินทัชต้องตามเก็บกวาดสิ่งที่เขาทำทิ้งไว้ด้วยอำนาจน้ำเงิน เด็กหนุ่มเคยฟังมาหลายแง่จนนับไม่ถ้วนแล้ว สิ่งที่เขาได้ก่อไว้นั้นทำให้ใครต่างดูถูกครอบครัวว่าร่ำรวยและสามารถใช้เงินลบความผิดได้ เขาอยากรู้สึกผิดด้วยตัวเอง อศวมินทร์แค่อยากให้อินทัชมาพูดกับเขาเช่นนั้นบ้าง ปรับความเข้าใจ มาอธิบายเพื่อให้เขาเข้าใจด้วยตัวเอง มิใช่ใช้เงินลบล้างทุกอย่างให้หายไปโดยง่าย

แบบนั้นเขาคงทำอะไรไปโดยไม่รู้สึกผิดตลอดชีวิต

เมื่อเดินทางถึงคฤหาสน์อันเป็นที่พักพิงอาศัยของทั้งคู่ อศวมินทร์เดินตามหลังผู้อาวุโสกว่าอย่างเงียบเชียบ ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนไปของเขาจะได้สร้างความประหลาดใจแก่อินทัชน่าดู แน่ล่ะ เขาเลิกแล้วไอ้นิสัยเห็นอะไรแล้วจับฟาดทำลายทิ้ง เลิกแล้วนิสัยพาลเวลาโมโห เด็กหนุ่มแค่อยากจะถามเจ้าตัวให้เข้าใจเป็นอันดับแรก เพราะเขาทราบแล้วว่านอกจากสะใจก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยหากทำอย่างข้างต้น

“ลุงอ้าย ผมมีเรื่องจะถาม”

เด็กหนุ่มเริ่ม มือหนากุมต้นแขนคนเดินนำให้หยุดชะงักอยู่หน้าประตูห้องพักของผู้เป็นลุง วินาทีที่อินทัชหันมาเลิกคิ้วย้อนนั้น แม้จะเห็นว่าคนตรงหน้าแลดูเหนื่อยหรืออิดโรยเพียงไหน อศวมินทร์ก็อยากจะถาม เพราะไม่อยากคิดเอาเองเพียงคนเดียวอย่างที่ผ่านมา “ผมอยากรู้ ทำไมคุณไม่บอกผมว่าไอ้เด็กคนนั้นมันเข้าห้องไอซียู ทำไมคุณเลือกที่จะใช้เงินมากกว่าจะมาพูดให้ผมเข้าใจ ทำไมคุณไม่มาเรียกให้ผมไปพบครอบครัวเขา ไปขอโทษเขา”

คนฟังนิ่ง เมื่อเห็นอศวมินทร์ถามด้วยสสีหน้าจริงจัง อันดับแรกชายหนุ่มไม่อยากเชื่อว่าเด็กน้อยตรงหน้าจะอ่อนไหวด้วยเรื่องพวกนี้มากขนาดนี้ อินทัชแปลกใจไม่น้อย เขาปรับสีหน้าเดินเข้าไปใกล้อศวมินทร์มากขึ้นและอธิบายว่า “มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิดนะมิน เพราะเมื่อก่อนเธอไม่ใช่แบบนี้ เธอไม่ใจเย็นแบบนี้ เธอไม่พูดเข้าใจง่ายแบบนี้ ฉันเลยคิดว่ามันยากที่จะเข้าไปพูดกับเธอ”

เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่งหลังได้ฟังคำตอบ ก่อนพยักหน้ารับรู้ คงใช่ที่ว่าเมื่อก่อนเขาแย่มาก ไม่สนคำพูดของใครหากต้องการอะไรก็ต้องให้ได้ตามที่ตัวเองหวัง บางทีเขาก็คิดว่าตัวเองนิสัยไม่ต่างจากคุณนายชไมพรอะไรนั่นเสียเท่าไร

“ฉันอยากจะบอกกับเธอ อยากจะคุยกับเธอ แต่ตอนนั้นฉันก็เหนื่อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าจะคุยอะไรกับเธอไป ดูเหมือนฉันจะผิดไปหมดเสียทุกอย่าง” อินทัชเล่า

แววตาที่อศวมินทร์เห็นจากคุณลุงนั้นคล้ายกำลังตัดพ้ออยู่ในที เด็กหนุ่มทำได้เพียงกำหมัดไว้แน่นจนสั่นไหว ความรู้สึกตีรวนขึ้นมาในอก มันสั่นเฉกเช่นเดียวกันกับกำปั้นหนาของเขา นานอยู่ที่ทั้งคู่ต่างเงียบไปเพื่อเว้นระยะห่างแก่ฝ่ายตรงข้าม แต่ท้ายที่สุดเด็กหนุ่มได้เงยขึ้นสบนัยน์ตาอ่อนล้าของชายตรงหน้า หลังจากได้ขบคิด เขาขบกรามแน่นโกรธและรังเกียจตัวเองที่เอาแต่สร้างปัญหา “ผมแม่งโคตรเหี้ยเลย!”

“มิน...มิน!”

อศวมินทร์หมุนตัวเดินลงไปด้านล่างด้วยความรวดเร็ว แม้ว่าอินทัชจะพยายามร้องเรียกก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มหนุ่มที่ยืนมองตามส่ายใบหน้าไปมาด้วยความไม่เข้าใจว่าเด็กคนนั้นต้องการทำอะไร ในระหว่างที่ยกมือกุมหน้าผาก อินทัชใจหายเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์ของบ้านสตาร์ทเครื่อง ชายหนุ่มวิ่งไปเกาะราวระเบียงมองลงด้านล่าง พบลุงมิ่งกำลังวิ่งตามรถคันนั้น ด้วยความสะเพร่าที่วางกุญแจไว้ใกล้มือ ทำให้อศวมินทร์หยิบไปได้อย่างง่าย

ภาพรถยนต์ของบ้านแล่นออกไปด้วยความรวดเร็วนั้นบาดอกคนมองตรงนี้ อินทัชตัวแข็งทื่อ ไหนว่ารู้สึกผิด ไหนว่าตัวเองแย่ที่ทำให้คนอื่นลำบาก เมื่อครู่ยังต่อว่าตนเองที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอยู่เลย แล้วทำไมต้องทำให้เขาห่วงแบบนี้ด้วยเล่า
 

ไปไหน ไปไหนหนอเด็กดื้อ!

อินทัชเดินวนไปมาที่ระเบียงด้วยสภาพนั้นกว่าชั่วโมงแล้ว ท้องฟ้ามืดลงเรื่อยๆ สุดท้ายแสงสว่างจากหลอดนีออนหน้าบ้านก็สาดมาทดแทน ชายหนุ่มเทียวถอนหายใจเหลียวมองไปยังหน้าบ้านรอให้รถคันเดิมแล่นกลับมา ไม่ไปอาบน้ำอาบท่าให้เสียเวลา ชายหนุ่มอยากรอพูดคุยกับอศวมินทร์ให้เข้าใจ หากเสียเวลาแม้แต่นาที เด็กคนนั้นอาจหนีเข้าห้องพักไม่ยอมคุยด้วยก็ได้ อินทัชถอนหายใจ ทรุดกายลงบนโซฟาอย่างเหนื่อยอ่อนมองหน้าจอโทรศัพท์ ไม่ว่าจะโทรไปกี่ครั้งเจ้าตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะกดรับ

ทำไมต้องทำแบบนี้ จะทำให้เขาเป็นโรคประสาทตายหรือไง นัยน์ตาคมแหงนมองท้องฟ้าบัดนี้มืดสนิทจับจ้องอยู่นานโข ดื่มด่ำเอาความเงียบสงัดนั้น นานเท่าไรไม่ทราบที่เขาแหงนมองบรรยากาศเบื้องหน้า มันดูดเข้าเข้าสู่วังวนแห่งความผิดที่ไม่น่าให้อภัย

เสียงครืดๆ ต้นเหตุเกิดจากโทรศัพท์ดังขึ้นเรียกให้อินทัชรีบผละมามอง ด้วยคิดว่าลูกชายในนามจอมแสบจะติดต่อกลับมา ชายหนุ่มกุลีกุจอลุกขึ้นนั่งตัวตรง หยิบเอาเครื่องมือสื่อสารซึ่งหน้าจอกำลังส่งแสงสว่างบอกว่ามีคนติดต่อมาดู แต่ครั้นเห็นเลขหมายปลายทาง อินทัชนิ่งไปยะระหนึ่งราวเห็นผี นัยน์ตาคมทำได้เพียงจับจ้องตัวเลขและชื่อที่ตนบันทึกไว้อย่างเคร่งขรึม

“ฮัลโหล...” หลังจากกดรับและยกมาแนบหู อินทัชทักทายอีกฝ่ายด้วยอย่างไม่เป็นทางการ แววตาอิดโรยเต็มทีมองอดออกยังเบื้องหน้ารับฟังคนในปลายสาย แม้อินทัชจะรู้สึกลำบากใจ

“คุณเป็นยังไงบ้าง”

ประโยคนี้คนฟังราวกับถูกคนถามบีบหัวใจ อินทัชพ่นลมหายใจเล็กน้อยหลังจากได้ยิน น้ำเสียงอีกฝ่ายไม่ไร้ความรู้สึกเหมือนเคย รับรู้ว่าปลายสายไม่ได้กำลังเคร่งเครียดหรือรู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างเขา ชายหนุ่มนิ่ง ก่อนจะยอมเอ่ยตอบในที่สุด “ผมสบายดี ก็เหมือนทุกๆ วัน”

“แต่เสียงคุณดูเหนื่อยนะอ้าย” อีกฝ่ายรีบเปรย แม้จะดูไม่อารมณ์เสียหรือโมโหอยู่ก็ถอนใจเสียเสียงดังมาจนถึงทางนี้ “เฮ้อ...อยู่ที่นี่ไม่มีคุณผมเหงามากเลยล่ะ ถึงไม่ได้เห็นหน้าคุณว่ากำลังเหนื่อยขนาดไหน ผมรู้สึกไม่ดีนะที่ได้ยินเสียงแบบนั้นของคุณ”

“คุณมีอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยขัด

“อ้าย...” อินทัชยกมือลูบใบหน้าตนเองขณะฟัง ภาพใบหน้าของคนในสายยามลากเสียงละล้าละลังนั้นคล้ายในยามที่อีกฝ่ายกล่าวตอนนั้น ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายยอมเดินจากมา “ผมขอโทษที่ขอให้เราห่างกัน ผมขอโทษที่เอาแต่ใส่อารมณ์ รำคาญคุณ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยู่คนเดียวไม่ได้ ผมต้องการให้คุณกลับมา ผมผิดไปแล้ว คุณอภัยให้ผมได้ไหมกับเรื่องที่ผ่านมา ผมสำนึกแล้วจริงๆ นะ”

“ผมจะไม่ไปที่นั่นแล้วคริส” ภาพของชายในสายยามใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวตะคอกใส่เขา ภาพยามอีกฝ่ายขว้างปาข้าวของเสียหายเมื่ออะไรไม่ได้ดังใจ ภาพยามมือที่เคยมอบกอดให้ผลักเขาออกห่างยามโมโหอะไรสักอย่าง แม้ในยามสดใส แม้ในยามที่ไม่มีอะไรตะขิดตะขวงใจนั้นจะเป็นคนน่ารัก แต่อินทัชไม่อยากกลับไปตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น

คริสตอฟมักแสดงท่าทีรำคาญยามเขาเอาใจใส่ อีกฝ่ายมักจะไม่เห็นค่าเวลาเขาแสดงความห่วงใย นี่เป็นครั้งที่เท่าไรที่เขายอม สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่เคยปรับตัวเพื่อเขา

“ผมรักคุณนะอ้าย ผมคิดถึงคุณ ผมแค่อยากถามว่าพอจะมีโอกาสสักนิดไหม”

“ผมจะไม่กลับไปหาคุณอีกแล้วจริงๆ ขอโทษนะคริส ผมไม่อยากอยู่ในวังวน” อินทัชกดวางสาย คงเป็นเวรกรรมของอินทัชที่ทำให้เขาต้องพบเจอแต่เรื่องร้ายๆ ไม่เคยได้พบรักดีๆ กับตัวเลยสักครั้งในชีวิต ชายหนุ่มพ่นลมหายใจกะพริบตาถี่รัวไล่อารมณ์ แม้จะคิดว่าตนเองเข้มแข็งพอแล้วก็ยังเจ็บหนึบที่อกไม่หาย แค่ได้ยินเสียงของคนที่ตนเคยรัก คนที่เคยทำร้ายจิตใจ แค่นั้นความเข็มแข็งที่ก่อมาเป็นภูมิคุ้มกันก็มลายลงไปในพริบตา

เขาทำบาปทำกรรมอะไรไว้หนอ ทำไมจึงพบแต่คนคอยทำร้าย ชายหนุ่มมองนาฬิกาบ่งบอกเวลาสามทุ่มของวัน ไม่รู้ว่าอศวมินทร์จะกลับมาเมื่อไร ขืนนั่งตากยุงอยู่อย่างนี้มีหวังป่วยแน่ อินทัชพ่นลมหายใจลุกขึ้นยืนคิดว่าจะไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นเสียหน่อย แม้จะยังวางใจเรื่องของอศวมินทร์ไม่ได้ แต่หากยังรออยู่อย่างนั้นก็คงไม่ช่วยอะไร

หวังแค่ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ทำอะไรพลาดลงไปอีก

เสียงแตรรถหน้าบ้านหยุดฝีเท้าอินทัช นั่นคงเป็นรถที่อศวมินทร์ขับออกไปเมื่อตอนเย็นแน่ อินทัชเปลี่ยนจุดมุ่งหมายเป็นการเดินลงบันไดไปด้านล่างแทน ด้วยอยากสอบถามว่าไปไหนมา หากทว่าลำขายาวชะงักเมื่อคิดได้ หากเขาใจร้อนแล้วเอาแต่บังคับถามอศวมินทร์ คำตอบที่ได้มาคงเป็นความว่างเปล่าอย่างเช่นทุกครั้ง ชายหนุ่มยืนอยู่ครู่ มองออกไปยังประตูว่ามีคนเดินเข้ามาหรือยัง

เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งใกล้เข้ามา ปรากฏร่างกายสูงใหญ่ซึ่งสวมชุดนักศึกษาโผล่เข้ามาภายในประตูบานกว้าง อินทัชโล่งใจเมื่อเห็นว่าคนตรงนั้นไม่มีร่องรอยชกต่อยหรือทะเลาะกับใคร ชายหนุ่มรีบเดินไปหยุดตรงหน้า มองแววตาของอศวมินทร์

“เธอจะทำให้ฉันห่วงไปถึงไหน ไหนบอกว่าโตแล้วไง!” เขาไม่ได้สอบถาม ไม่ได้เค้นหาเอาคำตอบให้ตนเองเข้าใจ กลับพ่นคำที่อัดอั้นในใจออกไปให้อีกฝ่ายรับทราบ “อยากให้ฉันบ้าใช่ไหม!”

อศวมินทร์นิ่ง ก้มลงมองตามร่างกายของคุณลุงเบื้องหน้าอย่างถี่ถ้วน อินทัชยังสวมเสื้อผ้าชุดเดิม หรือจะเป็นห่วงเขาจนไม่เป็นอันทำอะไร เด็กหนุ่มนิ่ง สีหน้าเรียบนั้นยิ่งดูจืดชืดมากขึ้นไปอีกด้วยโกรธตัวเองที่ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด เขาไม่ได้ตรองไว้ล่วงหน้าว่าอินทัชจะเป็นห่วงและวิตกจริตเรื่องเขาได้ขนาดนี้ อศวมินทร์ขยับกายเข้าไปยืนตรงหน้าคุณลุง แม้รู้สึกหนักอึ้งเท่าไรก็ตาม

“ขอโทษครับ”

คนฟังยิ่งได้ยินยิ่งเพิ่มความโมโห “ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะรู้ไหม ฉันเป็นห่วงจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว”

“ขอโทษ ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ” อินทัชชะงัก เมื่อร่างตรงหน้าก้าวเข้ามาด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความรู้สึกผิดโดยแท้จริง และร่างกายซึ่งแนบชิด กอดเขาไว้แน่นราวต้องการการอภัยให้อย่างเว้าวอนสำนึกผิด นั่นทำให้คนถูกกระทำตัวแข็งทื่อ ความโมโหฉุนเฉียวเมื่อครู่หล่นวูบหายไป ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจของเด็กหนุ่มซึ่งเกยคางอยู่บนบ่า กระซาบกระซิบอธิบายว่า “ผมไปบ้านของเด็กนั่นมา แล้วก็รู้ความจริงทุกอย่างจากแม่เขาหมดแล้ว ผมขอโทษนะ”

อศวมินทร์หลับตาเอ่ยด้วยเสียงพร่าไหว ไม่ยอมปล่อยคนในอ้อมกอดออกห่าง

ที่จู่ๆ เขาวิ่งออกไปเพราะอยากเห็นกับตาว่าคู่กรณีคนนั้นเป็นอย่างไร เด็กหนุ่มติดต่อหาอาจารย์ที่ปรึกษา ขอความเห็นใจจากเธอเพราะต้องการทราบที่อยู่ของเด็กคนนั้น จากนั้นก็เดินทางไปพบครอบครัว เมื่อไปถึงทำให้อศวมินทร์ทราบว่าที่จริงแล้วทางนั้นเป็นฝ่ายไม่ติดใจเอาความเอง เพราะทราบดีว่าฝ่ายลูกของตนมักไปหาเรื่องชกตีกับผู้อื่นบ่อยๆ เป็นเด็กเกเรมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

ผู้ปกครองของเด็กคนนั้นเล่าว่าอินทัชแวะเวียนไปเยี่ยมไข้แทนอศวมินทร์เสมอ อาสารับผิดชอบค่ารักษาพยายาลเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เงินฟาดหน้ามากมายอย่างที่ใครเขาคิดกัน

ความเงียบกลืนกินทั้งคู่ขณะสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นบนของบ้านพัก เด็กหนุ่มชำเลืองตามองคนข้างกายเล็กน้อยขณะก้าวเดิน เมื่อเห็นว่าถึงหน้าห้องพักของอินทัช คนลอบมองก็รู้สึกร้อนใจจนแทบจะพูดออกมาไม่เป็นภาษา เพียงแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเอ่ยออกไป

แต่ไม่ได้ คืนนี้เขาจะพูดให้มันชัดเจนสักที

ในระหว่างที่อินทัชกำลังจะเปิดประตู เสียงลูกบิดขยับเล็กน้อยนั้นไม่ได้เข้าไปในโสตประสาทของชายหนุ่ม ขณะนั้นเขาประหลาดใจ เมื่อรู้สึกถึงมือหนาของคนด้านหลังซึ่งได้เอื้อมมากุมรั้งไว้ อินทัชหันไปมองคนกระทำ ซึ่งมีสีหน้าไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองเท่าที่ควร “ผม...ขอคุยด้วยได้ไหม”

หากตอบว่าไม่ก็คงจะไม่ได้อยู่แล้ว หากอศวมินทร์ต้องการ อินทัชจึงเลือกหันมาเต็มกาย “ว่ามาสิ” สบตาคนยืนตรงหน้า

พร้อมกันนั้นมือคนรั้งก็เคลื่อนลงไปประสานนิ้วกัน อินทัชก้มลงมองอย่างไม่อาจเข้าใจ เมื่อได้เห็นว่าอศวมินทร์ดูเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า ในตอนที่เด็กหนุ่มยังไม่เป็นตัวเองนั้นคนมองก็เช่นเดียวกัน รู้สึกประหม่าและหวาดระแวงกับประโยคที่กำลังจะได้ยินจนใจหาย และเมื่ออศวมินทร์เชยตาขึ้นมาสบ ดวงใจของชายหนุ่มก็วูบหายไปเสียเฉยๆ กับแววตานั้น

“คุณอยากลองดูอีกสักครั้งไหมลุงอ้าย”

ลอง อินทัชมุ่นคิ้วฉงนมองคนกล่าวตรงหน้า “หมายความว่าไง”

“ไม่ใช่ฐานะคนรับเลี้ยง แต่ในฐานะคนรัก ผมรักลุงอ้ายมากเลยนะ ถ้ารักแล้วผมจริงจังนะ” อศวมินทร์ขยับเข้ามากุมมือของคนฟังทั้งสองข้าง “ผมจะไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา จะพูดตรงๆ ให้คุณเข้าใจความรู้สึกจริงของตัวเอง แล้วคุณล่ะ คุณรักผมไหม”

รักงั้นหรือ

อินทัชกลืนน้ำลายไม่อาจสบตาของคนตรงหน้าอีกต่อไป ความรู้สึกนั้นตนเองไม่อยากยกให้ใครง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ประสบพบเจอมาหลายต่อหลายครั้งทำให้ชายหนุ่มกระด้างเย็นชา โดยเฉพาะต่ออศวมินทร์นั้นยิ่งไปกันใหญ่ เขาไม่อาจบอกความรู้สึกตัวเองได้เหมือนวันนั้น “ฉันจะรักหรือไม่รัก มันก็ไม่เห็นจะสำคัญอะไรตรงไหนเลยนี่ เธอเองก็เคยบอกฉันแบบนั้น”

คนฟังสะท้านไปทั้งกาย เมื่อประโยคที่ตนกล่าวทำร้ายชายตรงหน้าย้อนกลับมาตีกลางแสกหน้า เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายแห้งผากในลำคอ “ผม...ขอโทษ เรามาเริ่มใหม่กันได้ไหมลุงอ้าย ผมจะไม่ทำแบบนั้นกับคุณอีกแล้วสาบานได้”

“มิน...”

“เรากลับเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้ไหม นะลุงอ้าย ผมอยากกอดคุณเมื่อไรก็ได้ อยากจูบคุณเมื่อไรก็ได้ ผมไม่อยากเอาแต่คอยขออนุญาตทั้งที่ตัวเองไม่มีสิทธิ์ ทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้รับมันไหม จะให้ผมทำยังไงผมยอมทุกอย่างแล้ว” ร่างสูงขยับเข้าไปดึงอินทัชมากอด จูบลงบนหลังคอซ้ำเว้าวอนกับคนฟังที่ยังนิ่ง

“มิน นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ฉัน”

เด็กหนุ่มกอดอินทัชไว้แนบแน่น ในขณะที่เจ้าตัวเองเลือกที่จะปัดป้องความรู้สึกของตัวเองมากกว่า อินทัชแกะมือของเด็กตรงหน้าออกมาสบตา แววเว้าวอนขอร้องยังไม่จางหายไปจากนัยน์ตาคมเบื้องหน้า เขาอยากยกโทษ อยากปลอบประโลมอศวมินทร์เหลือเกิน แต่อีกด้านของความรู้สึกก็ตระหนักถึงความเจ็บปวดของตัวเองเมื่อก่อน ราวชนักที่ปักหลังไว้ตลอดเวลา มันยากนักที่จะลืม “เธอก็รู้ว่าฉันหักหลังแม่เธอไม่ได้...”

อินทัชผละมือออก มองแววตาเศร้าสร้อยของเด็กหนุ่มตรงหน้ายามได้สบตา เขารู้และเห็นว่าอศวมินทร์กำลังรู้สึกผิดที่ทำร้ายเขามาโดยตลอด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่จะลบล้างความรู้สึกของชายหนุ่มออกไปได้ในชั่วโมงนั้น

“ฉันคงทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ”

หลังจากได้ฟัง อศวมินทร์นิ่งอยู่หน้าห้องนั้นราวถูกสาป แม้เจ้าของห้องจะเปิดเข้าไปข้างในนานโขแล้วก็ตาม เขาไม่อยากเชื่อว่าอินทัชจะเจ็บปวดและใจแข็งได้ถึงขนาดนั้น จะทำยังไง ความรู้สึกของคนที่ต้องการขอความรักนั้นเอ่อล้นจนควบคุมไม่ได้ แล้วไม่ได้รับสิ่งนั้นตอบกลับมา

ทำอย่างไร มารู้ตัวอีกที ภายในสมองของเขาก็มีแต่ภาพของอินทัช จะโกรธจะแค้น จะเสียใจ ภาพใบหน้าของอินทัชเท่านั้นที่ลอยว่อนอยู่ในสมอง มารู้ตัวอีกที ความรู้สึกตัวเองที่มีต่ออีกฝ่ายนั้นก็สายเกินกว่าจะมอบให้และได้รับกลับมา อศวมินทร์ยกมือกุมหน้าผากตนเอง ยืนมองประตูนั้นอย่างหาคำตอบให้แก่ตนเองไม่ได้

มันสายไปแล้วใช่ไหมลุงอ้าย ที่จะรัก
 
***********************************************

ทำใจหน่อยลูก ลุงอ้ายเจอมาเยอะเจ็บมาเยอะ นางปฏิเสธทุกคน ตอนจบนางได้กับอู๋ค่ะ 5555 ล้อเล่น

ถ้ารักก็ตามง้อสิคะ จับขึ้นเตียงค่ะ งานมโนก็ต้องมา

แล้วตอนหน้า มาดูค่ะว่าน้องมินจะทำยังไงให้ลุงอ้ายยอมคืนดีด้วย คอมเม้นกันเยอะๆ น้า^^
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: Jibbubu ที่ 30-11-2015 17:33:04
หนูมินถ้าอยากให้ลุงอ้ายกับมาคบด้วย ต้องเป็นเด็กดีให้ลุงอ้ายเห็นนะจ๊ะ

ต้องตั้งใจเรียน อย่ามีเรื่องชกต่อย และที่สำคัญคือต้องง้อลุงอ้ายและต้องขยันตื้อด้วยนะ
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 30-11-2015 17:48:02
ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก น้องมินสู้สู้
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: noonaaRP ที่ 30-11-2015 19:27:11
หนูมินถ้าอยากให้ลุงอ้ายกับมาคบด้วย ต้องเป็นเด็กดีให้ลุงอ้ายเห็นนะจ๊ะ

ต้องตั้งใจเรียน อย่ามีเรื่องชกต่อย และที่สำคัญคือต้องง้อลุงอ้ายและต้องขยันตื้อด้วยนะ
ใช่แล้ว ลุงอ้ายชอบแบบนั้นค่ะ เขาชอบเด็กดี
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 02-12-2015 15:41:16
ความจริงใจจ๊ะน้องมิน และเสมอต้นเสมอปลาย ท่องไว้ลูกตื๊อเท่านั้นที่ครองโลก
หัวข้อ: Re: ★||| เล่ห์ · รัก · ร้าย ตอนที่ 24 |||★ [30/11/58] ลุงอ้าย-มิน
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 10-07-2018 15:12:12
รอจ้า  :mew1: