พิมพ์หน้านี้ - Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: kranwa ที่ 28-12-2009 20:32:21

หัวข้อ: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 28-12-2009 20:32:21
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้ 

1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียนก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
6.อย่าพูดคุย ทักทาย นักเขียน คนอ่่านโดยรีพลายดังกล่าวไม่เกี่ยวพันกับนิยายให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรคอมเม้นต์สักคอมเม้นต์เีดียวก็เพียงพอแล้ว ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และทำลิงค์โยงมายังนิยาย และให้นักเขียนทุกคนทำลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยเกี่ยวกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วย เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0





---------------------------------------------------



สวัสดีครับ ฝากตัวด้วยนะครับ เพิ่งลงครั้งแรกครับ  :3123:







Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น


1

เมื่อถึงจุดหนึ่งที่คนเรานั้นเมาถึงขีดสุด – ไม่เกี่ยงนะว่าเมาด้วยอะไร จะด้วยแอลกอฮอล์เป็นลิตร ๆ ที่กระดกเข้าปากไม่ยั้ง หรือจะด้วยเสียงเพลงของบริทนีย์ สเปียร์ที่ดังกระหึ่มอยู่ท่ามกลางคนนับร้อยนับพันในสถานที่แคบ ๆ จนเบียดเสียดแน่นแออัดจนแทบจะมีอะไรกันได้อยู่รอมร่อ หรือบางทีก็อาจจะเมาด้วยแสงไฟวูบวาบจัดจ้านบวกกับละอองแป้งที่ปลิวว่อน และก็คงมีไม่น้อยที่เมาไปตามสถานการณ์ความบ้า ๆ บอ ๆ ไร้สติของชายฉกรรจ์นับพันที่พร้อมกับหลุดโลกกลายร่างผิดเพี้ยนเป็นแม่เสือสาวลีลาเด็ดบนบาร์เหล้า ยิ่งถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าเกย์ เหมารวมหมดไม่ว่าจะแมน จะสาว หรือจะแอ๊บ ใด ๆ ก็ตาม ขอเพียงแค่หลงใหลในเพศผู้ – เวลาเมาขนาดนี้ไม่มีใครต้องการสิ่งใดไปมากกว่าการสบตากับใครสักคน ปล่อยให้ฟีโรโมนทำงาน ก่อนจะลากไปได้กันให้สุดเหวี่ยงเมามันให้เหมือนไปเยือนอยู่ในปลายสุดของสายรุ้ง
   
         
         บางครั้งค่าของความเมาวัดกันตรงนี้ ในเวลาตีเกือบจะตีสอง กวินไม่ได้สนใจสิ่งใดในบาร์เกย์แห่งนี้อีกแล้ว นอกจากสิ่งสารพันอันกล่าวไปก่อนหน้า ดื่มไปเหมือนฆ่าเวลา ข่มใจที่จะไม่สนใจชายฉกรรจ์หลายคู่ที่สปาร์คกันได้อย่างรวดเร็วแล้วก่ายกอดลูบไล้เขี่ยกันอย่างเพลินใจ บางคู่จูงมือหายกันไปในห้องน้ำ ไม่ก็เงามืดด้านนอก พยายามไม่สนใจ นั่งดื่มต่อไปอย่างสงบ แม้ว่าใจจริงจะนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย คนพวกนั้นหลุดพ้นจากภาวะไร้ค่าของคืนนี้แล้ว ในขณะที่กวินยังไม่
   
       
         คิดแล้วอดสมเพชไม่ได้ ใครมาได้ยินคงตกใจและคงจะพากันรังเกียจ เผลอ ๆ อาจจะประณามที่เขาตัดสินความไร้ค่าหรือไม่ไร้ค่าของมนุษย์อย่างง่ายดายเพียงแค่เรื่องนี้ เรื่องที่ว่าคืนนี้จะหาคนมีอะไรด้วยได้หรือไม่แค่นั้นเอง ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
   
         
         รินเหล้าเพิ่ม รินลงไปเกือบค่อนแก้วถึงจะผสมโซดา จิบเข้าไปทีแทบจะบาดคอจนเป็นแผล มันช่างเข้มจนแสนจะกระเดือกได้ยากเย็น แต่เวลาเช่นนี้ กวินไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เหมือนอย่างที่ไม่สนใจว่าใครจะมาต่อว่าหรือค่อนขอดความคิดอันแสนจะวิปริตผิดธรรมดา กวินรู้แก่ใจและภูมิใจเสียนักหนากับการที่ตัวเองไม่ใช่พวกมือถือสาก ปากถือศีล เอาเป็นว่าตอนนี้เมา และมากไปด้วยความรู้สึกอยาก ถ้าไม่สามารถหาใครสักคนได้ในคืนนี้ จะเท่ากับว่าไร้ค่า
   
         
         ไร้ค่า
   
         
         ดื่มเหล้าเข้มไปจนหมดแก้วอย่างรวดเร็ว ความเมาพุ่งทะยานไปอีกขั้น ในขณะที่ความคิดยังหมุนคว้างในหัว
   
         
         ..หนังสือหลายเล่มบอกว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต ซ้ำซาก แต่ก็น่าฟัง เราเกิดมาอย่างมีค่า  อยู่อย่างมีค่า และใช้ชีวิตให้หมดไปอย่างมีค่า ในโลกอันแสนจะสวยงามใบนี้ เราทั้งหลายแบ่งปันคุณค่ากันและกันในฐานะพี่น้อง  แม้ว่าตกเย็น คุณอาจจะรู้สึกไร้ค่า แต่ภายในคืนเดียวกัน คุณก็อาจจะได้เจอใครสักคนที่จะเข้ามาทำให้เวลาของเรากลับมามีความหมาย...
   
         
         “หวัดดีครับ” เสียงเรียกแผ่วเบาดังอยู่ข้าง ๆ หลังจากนั้นกวินถึงได้รู้มีใครคนหนึ่งเข้ามาประชิดตัว “มาคนเดียวหรือครับ”
   
       
         จะด้วยความมืด ความเมา หรือความวุ่นวายของทั้งภายนอกและภายในของจิตใจ กวินเห็นหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ไม่ชัด แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก มองเผิน ๆ เขามีรูปร่างที่ดูดี แต่งตัวไม่เลว และที่สำคัญ แววตาและน้ำเสียงคุกกรุ่นไปด้วยความหื่นกระหายในเรื่องอย่างว่าเช่นกัน แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่กวินจะยิ้มออก
   
         
         “ชื่ออะไรครับ” เขาถาม
             
         
         “พัทครับ” ตอบไปอัตโนมัติ เป็นชื่อปลอมที่เขาใช้บ่อย “คุณล่ะ”
   
         
         “แมนครับ” เป็นชื่อปลอมที่ได้ยินบ่อยเช่นกัน
   
         
         ไม่ได้พูดพร่ำอะไรกันมาก พูดตอบถามไถ่กันไปคำสองคำ โลกรอบข้างของกวินคล้ายกับจะเบ่งบานและเบิกบาน ในที่สุดคืนนี้ก็ไม่ไร้ค่านัก จังหวะหนึ่งที่คนรอบข้างเบียดเสียดเข้ามาจนทำให้ร่างสองร่างแนบชิดกัน แม้จะเป็นสถานการณ์ แต่ต่างฝ่ายต่างก็ฉวยโอกาสเอาไว้อย่างทันท่วงทีที่จะลุกลามกันและกัน ชายหนุ่มปริศนาที่กวินจำชื่อไม่ได้ ค่อย ๆ กระซิบลงที่หู
   
         
         “เดี๋ยวไปต่อไหนครับ”
   
       
         “ไม่แล้วครับ” กวินตอบด้วยน้ำเสียงและจริตที่ปั้นแต่งอย่างดี “คงกลับห้อง”
   
         
         “หรือครับ”
   
         
         “ไปด้วยกันไหมล่ะครับ”
   
         
         ไม่มีคำตอบกลับมาแล้ว มีแต่รอยจูบที่บุกรุกเข้ามาอย่างทันทีทันใด รอยจูบนั้นมันยืดยาวและเร่าร้อนจนทำเอากวินถึงกับจำเหตุการณ์ต่อมาไม่ได้อีกเลย คล้ายกับวีดีโอที่กรอไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว รู้ตัวอีกทีก็คืออยู่ในห้องนอน แก้ผ้าออกหมด ถูกผลักลงบนเตียง แล้วร่างสูงใหญ่ที่เปลือยเปล่าของชายหนุ่มตรงหน้าก็ล้มตัวนอนลงทับ พร้อมกับรุกล้ำเข้าไปในทันทีทันใด ไม่ต้องเสียเวลาบรรเลงเพลงรักอะไรมากมายอีกแล้ว   
   
         
         ในที่สุดก็ผ่านคืนนี้ไปอย่างไม่ไร้ค่า
   
         
         ..หนังสือหลายเล่มบอกว่า คนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต ซ้ำซาก แต่ก็น่าฟัง เราเกิดมาอย่างมีค่า  อยู่อย่างมีค่า และใช้ชีวิตให้หมดไปอย่างมีค่า ในโลกอันแสนจะสวยงามใบนี้ เราทั้งหลายแบ่งปันคุณค่ากันและกันในฐานะพี่น้อง  แม้ว่าตกเย็น คุณอาจจะรู้สึกไร้ค่า แต่ภายในคืนเดียวกัน คุณก็อาจจะได้เจอใครสักคนที่จะเข้ามาทำให้เวลาของเรากลับมามีความหมาย...
   
         
         ด้วยจังหวะจะโคนของความหื่นกระหายที่ดุเดือดและเร่าร้อน จึงใช้เวลาไม่นานเลยที่ภูเขาไฟแห่วความปรารถนาของทั้งคู่จะระเบิดออก เหมือนอย่างทุกครั้ง กวินสุขสมอย่างรุนแรงในขั้นสุดท้าย ก่อนจะทุกอย่างจะจางหายไปเหลือเพียงควันบาง ๆ
   
         
         เมื่ออีกฝ่ายหมดแรงล้มตัวนอนลงข้าง ๆ กวินใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายในการคว้าทิชชู่ข้าง ๆ ตัวมาเช็ดความสกปรกทั้งหลาย แม้เช็ดอย่างไรก็เช็ดออกไปได้ไม่หมดก็ตาม อีกฝ่ายพูดอะไรออกมาสองสามคำแต่กวินไม่ใส่ใจจะฟัง จากนั้นเขาก็ลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่กวินก็หาได้ใส่ใจเขาอีกไม่ คว้ากางเกงในขึ้นมาสวม พยายามลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง แล้วหลับสนิทไปในที่สุดด้วยความเมา
   
         
         ...ในโลกอันสวยงาม คนเราเกิดมามีคุณค่า และแบ่งปันคุณค่าให้กันและกันเสมอ...

         
         มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่เชื่อ  สำหรับกวินแล้ว คนเรามันก็ไร้ค่ากันทั้งปีทั้งชาติ !
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: Sameejaejung ที่ 28-12-2009 20:50:20
คนแรกปะเนี่ย?
.
.
.
.
คนแรกด้วย

ว้าวววววววววววววววว

ยินดีต้องรับเรื่องใหม่นะคะ

เนื้อเรื่องน่าสนใจดีค่ะ

สู้ต่อไปนะคะ

ไฟติ้ง!!
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 28-12-2009 21:00:40
ไม่ว่าจะเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็เป็นมุมมองชีวิตที่น่าสนใจนะครับ

มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตตามคุณค่าอะไรหรอก เพียงแค่ใช้ชีวิตตามปรารถนาเท่านั้นเอง

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: JJHJJH ที่ 28-12-2009 21:23:06
งืมมม เรื่องใหม่ออกตัวแร๊งงงง

กด + ประเดิมเป็นกำลังใจให้ไร้ท์เตอร์และกวินค่ะ

รออ่านมุมมองและเรื่องราวต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 29-12-2009 04:15:03
ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ

ออกตัวไว้ก่อนว่าเรื่องนี้เป็น "เรื่องแต่ง" ล้วน ๆ ครับ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง เป็นแนว ๆ โรแมนติก คอเมดี้ด้วย ไม่จริงจังอะไรมากครับ แต่ด้วยความที่ตัวเอกมันเป็นคนแรง ๆ ก็เลยอาจจะทำให้บางจุดของเรื่องมันดูบูด ๆ เบี้ยว ๆ ไปบ้าง คิดเห็นยังไงก็คอมเม้นมาได้นะครับ

ขอฝากไว้ด้วยครับผม


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


2
 
          กวินลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการแฮงค์เล็กน้อย รู้สึกปวดขมับอยู่นิดหน่อย แสงสว่างลอดออกมาจากประตูกระจกติดระเบียงทำให้ตาสว่างมากขึ้นไปกว่าเดิม สายตาของชายหนุ่มมองเหม่อขึ้นเพดานเหมือนกำลังนึกถึงว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ไม่ทันที่ภาพเบลอ ๆ ของการกระทำไร้สติจะปรากฏชัด ชายหนุ่มแปลกหน้าก็พลิกตัวมากอด กวินตกใจในแวบแรก ก่อนพยายามจะนึกว่าเขาคือใคร ใบหน้าของชายหนุ่มที่นอนข้าง ๆ จมอยู่กับผ้าห่ม และกวินก็จำหน้าเขาไม่ได้

           จำได้แค่ว่าใช้ชื่อปลอมอันแสนจะดาดดื่นว่า “แมน”
   
         
         สงสัยกลัวคนจะรู้ว่าไม่ “แมน”
   
         
         รูปร่างของแมนดูสูงใหญ่มากพอที่จะทำให้กวินรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา พยายามจะขยับตัวเองให้หลุดออก ในจังหวะนั้นเองที่กวินได้มีโอกาสหันไปมองหน้าชัด ๆ พอได้เห็นก็เหมือนจะตกใจและตาสว่างมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
   

         ไม่ใช่ว่าเพราะแมนหน้าตาประหลาดหรือน่ากลัวอันใด แต่สิ่งที่น่าตกใจอยู่ที่ใบหน้านั้นช่างดูอ่อนวัยเสียเหลือเกิน เนียนใสปราศจากริ้วรอย แถมยังผมสั้นเกรียนเหมือนอย่างกับเป็นเด็กนักเรียน เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อคืนถึงสวมหมวกไว้ตลอดเวลา กวินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นสิวเม็ดเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมาเม็ดสองเม็ดบนหน้าผาก มองออกว่านี่คือสิวหนุ่ม ย้ำชัดในอายุของอีกฝ่าย

   
         ไม่รอช้า กวินคว้ากางเกงของแมนตรงปลายเตียงแล้วหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาดู ค้นจนเจอบัตรนักเรียนที่ยืนยันในอายุอานาม กวินถอนใจอย่างเซ็ง ๆ รู้สึกอึดอัดและขยะแขยงอย่างไรก็บอกไม่ถูก ทิ้งตัวนอนลงเหมือนกับหมดแรง ไม่อยากจะนึกภาพเลยว่าเมื่อคืนทำอะไรกับเด็กหัวเกรียน ๆ คนนี้
   

         แมนกอดกวินแน่นขึ้นอีก ทำเอากวินอึดอัดมากกว่าเดิม สะบัดแขนแมนออก ลุกขึ้นอย่างไร้เยื่อใย คว้าบุหรี่จากหัวเตียงแล้วลุกออกไป ในขณะที่แมนค่อย ๆ งัวเงียตื่นขึ้นมา แต่สุดท้ายก็ล้มตัวนอนลงไปต่อ
   

         กวินเดินออกมาที่ระเบียง เผลอเหยียบจานข้าวที่วางอยู่ตรงพื้นอย่างไร้ระเบียบ แมวตัวเล็ก ๆ ดูจรจัดวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องหาอาหาร กวินใช้เท้าเขี่ยมันกระเด็นออกไปพร้อม ๆ กับจานข้าวที่วางใกล้ ๆ เจ้าแมวจรจัดร้องเสียงดังอย่างเจ็บปวด

   
         กวินทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างแรง โดยที่ไม่กลัวเลยว่าเก้าอี้มันจะหัก รู้สึกหงุดหงิดว้าวุ่นบอกไม่ถูก จุดบุหรี่สูบ แต่ไฟแช็กเจ้ากรรมก็ดันจุดไม่ติด จุดมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นก็จุดไม่ติดสักทีจนหงุดหงิด 
   

         “โอ๊ย ไอ้บ้า!” สบถออกมาอย่างอดไม่อยู่ สายตามองตรงไปที่ขอบระเบียง เห็นเถาหญ้าเลื้อยระเกะระกะอยู่ที่รั้วระเบียงราวกับเป็นการบุกรุก กวินถอนใจอย่างหงุดหงิดกับความไม่เป็นระเบียบต่าง ๆ นา ๆ ที่ได้เห็น
   

         จากนั้น นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินมาเกาะที่ระเบียง กวินจ้องมองมันอยู่อย่างนั้น ดูเหมือนว่านกก็คล้ายจะมองกวินกลับอยู่เหมือนกัน กวินมองนกตัวนั้นอยู่นานพอสมควร จนกระทั่งได้จังหวะ ก็ขว้างไฟแช็กไล่นกให้บินหนีไป หัวเราะในลำคอ อย่างสะใจ แล้วกับรีบเดินเข้าไปดึงเถาตำลึงและเถาหญ้าที่เลื้อยบุกรุกขึ้นมาพันอยู่บนระเบียงให้หลุดออก ดึงอย่างเร็วและรุนแรง จนกระทั่งไม่เหลือ จึงโยนเศษซากมันทิ้งลงไปข้างล่าง จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้อง
   

         เลื่อนประตูปิดอย่างแรง ๆ พร้อมกับเปิดไฟห้องให้สว่างอย่างรวดเร็ว พบว่าแมนตื่นแล้ว แถมยังถือวิสาสะเปิดทีวีดูอีกด้วย กวินจ้องมองทีวีอย่างอัตโนมัติ เป็นเวลาของรายการสัมภาษณ์ยามเช้า แขกรับเชิญในวันนี้คือนักเขียนคนหนึ่งที่เขารู้จักดี.... รู้จักในฐานะที่เป็นคนในวงการเดียวกัน
   

         “อย่างที่รู้ ๆ กันนะครับว่าวงการวรรณกรรมในบ้านเราเนี่ย เรียกได้ว่าค่อนข้างซบเซา” พิธีกรชื่อดังพูดเกริ่นเข้ารายการด้วยสไตล์ซ้ำซากอย่างที่เห็นในทุก ๆ วัน “นักเขียนน้อยคนที่จะประสบความสำเร็จและมีผลงานออกมาเป็นที่ยอมรับของคนโดยมาก...”

   
         จากนั้นภาพก็ตัดไปให้เห็นแขกรับเชิญ ซึ่งมีลักษณะเป็นหญิงสาววัยกลางคน ร่างท้วม และเป็นเจ้าของใบหน้ายิ้มแย้ม แลดูมากไปด้วยความโอบอ้อมอารีจนกวินรู้สึกผะอืดผะอม ในขณะที่เสียงของพิธีกรยังพูดไปอย่างต่อเนื่อง
   

         “...แต่หนึ่งในนั้นที่เรียกได้ว่าเป็นนักเขียนที่ประสบความสำเร็จ ก็คือแขกรับเชิญของเรานี่เองครับ เธอเป็นผู้ที่มีปลายปากกาอันบริสุทธิ์ ทรงพลัง และมากไปด้วยแรงบันดาลใจ วันนี้เราจะมาคุยกับเธอครับ สวัสดีครับคุณวรรณี.....”
   

         พิธีกรและแขกรับเชิญยกมือไหว้และพูดจาปราศรัย อวยกันไปอวยกันมา จนกวินไม่อยากที่จะฟังอีกแล้ว ไม่รู้จะชมอะไรกันนักหนา กะอีแค่นักเขียนคนหนึ่งที่เขียนงานเพ้อฝันไร้สาระ เดินไปปิดทีวี พร้อมกับหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มที่ยังนั่งแช่อยู่บนเตียง รู้สึกหมั่นไส้กับหน้าตายียวนกวนโทสะ และหัวเกรียน ๆ ไม่ค่อยจะมีผม

   
         คล้ายกับว่าอีกฝ่ายก็คงจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยที่ถูกกวินมองแบบนั้น จึงเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ

   
         “สวัสดี”

   
         “ถามจริง อายุเท่าไหร่” กวินถามไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

   
         “สิบเก้าครับ”

   
         “โกหก” กวินพูดเบา ๆ พร้อมกับพ่นลมทางจมูกอย่างหงุดหงิด เดินเลี่ยงไปนั่งอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งเหมือนกำลังคิดว่าจะทำอะไรดี มองเข้าไปในกระจก ภาพที่สะท้อนกลับมาจากกระจกเป็นภาพใบหน้าคมเข้มหมดจดที่มากไปด้วยแววแห่งความหงุดหงิดงุ่นง่าน และดวงตาคมกริบที่ฉายประกายดื้อรั้นและเกรี้ยวกราดอยู่ตลอดเวลา ผมสีน้ำตาลจากการทำสีก็แห้งเสียยุ่งเหยิงจนดูไม่ค่อยเป็นทรง ร่าวสูงเพรียวไม่ค่อยจะมีเนื้อหนังส่วนเกินเท่าที่ควรจนดูผอมไปสักเล็กน้อย อันที่จริง กวินไม่ชอบรูปร่างหน้าตาตัวเองเท่าไร เพราะรู้สึกว่ามันน่าเกลียด หัวหยิกตัวดำยังกับคนังในเรื่องเงาะป่า – อันที่จริง กวินก็ยอมรับว่ามองตัวเองในแง่ร้ายเกินไป
   

         สายตาชำเลืองมองไปยังเด็กหนุ่มวัยกระเตาะเล็กน้อย มองอย่างคาดคั้นจนเด็กหนุ่มต้องตอบออกมาในที่สุด
   

         “สิบหกครับ”
   

         “อะไรนะ” กวินกรีดร้องออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
   

         “อีกสองเดือนจะสิบหกแล้ว”
   

         กวินชะงักไปอย่างตกใจ ให้ตายเถิด... เมื่อคืนเขาทำอะไรลงไป ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะดื่มหนักขนาดทำอะไรน่ารังเกียจแบบนี้ลงไปได้ มีอะไรกับเด็กเกรียน ๆ อายุสิบหก แล้วยังเป็นฝ่ายรับ ! ช่างน่าขยะแขยงเสียจริง เด็กบ้านี่ก็อะไร ตัวโตอย่างกับยักษ์ ดูไม่เห็นจะเหมือนเด็กเลยสักนิด แล้วเป็นเด็กใจแตกประเภทไหนกันนะที่ออกมาแรดเที่ยวกลางคืนตั้งแต่อายุสิบหก !

   
         “ตกใจล่ะสิ ฮ่า ๆ เพราะของ ๆ ผมเหมือนโตกว่านั้นไปเยอะเลยใช่ม้า” เด็กหนุ่มพูดออกพร้อมกับหัวเราะดังลั่นอย่างสะใจและมากไปด้วยความขบขัน น้ำเสียงที่ใช้ก็แทบไม่ต่างอะไรก็เสียงของพวกเด็กมัธยมตามร้านเกมเลยสักนิด “อย่าคิดลึก ๆ หมายถึงรูปร่างโดยรวมต่างหาก”
   

         กวินรู้สึกคันคะเยอมากกว่าเดิมกับคำพูดต่าง ๆ นา ๆ ของอีกฝ่าย     คว้าไดร์เป่าผมขึ้นมาเป่าที่หัว เป่าอย่างแรงให้ทั่วทั้งหัว แล้วจากนั้นก็เป่าลามมาที่คอ แล้วเป่าลามมาที่ร่าง ลงไปที่ขา เป่าไปทั่วทั้งตัวเหมือนจะไล่อะไรบางอย่างให้ออกไปจากกาย

   
         เด็กหนุ่มมองกวินอย่างงง ๆ รู้สึกเจื่อนเล็กน้อย เลียริมฝีปากแก้เก้อ แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินมาหากวิน วางมือลงบนไหล่กวินแล้วค่อย ๆ กดนวด คล้ายกับอยากจะมีปฏิสัมพันธ์ พอได้อยู่ในระยะประชิด กวินก็รู้สึกได้ชัดมากขึ้นว่าเด็กหนุ่มตัวใหญ่กว่าเขาเยอะมาก กวินนั่งนิ่ง เหมือนรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ต่ออะไรสักอย่าง ไม่ขยับไดร์แล้ว แต่ก็ยังไม่ปิดสวิตซ์ ปล่อยให้ลมมันเป่าออกมาเรื่อย ๆ
   

         เด็กหนุ่มพยายามจะจ้องตากวินผ่านกระจก แต่กวินก้มหน้าหนี เด็กหนุ่มค่อย ๆ เลื่อนมือขึ้นมาที่หัว เหมือนจะเซ็ตผมให้ ยังไม่ละความพยายามที่จะปฏิสัมพันธ์
   

         “ผมหนาจัง”
   

         กวินนั่งนิ่ง ไม่ตอบโต้
   

         “แต่จมูกสวยอ่ะ หน้าก็เนียนดี ทำมาป่ะเนี่ย”
   

         กวินถอนใจดัง แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมหยุดพูด
   

         “นี่ใส่คอนแทคเลนส์อยู่หรือเปล่า ทำตาสีออกน้ำตาล ๆ”
   

         เมื่อนั้นเอง ความอดทนก็หมดลง กวินขยับตัวหนีอย่างแรง ทำเอาเด็กหนุ่มชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
     

         “ขอโทษนะน้อง” เสียงห้วนจนดูเหมือนตะคอก “พี่ไม่ชอบให้เด็กเล่นหัว”   
   

         ดูเหมือนว่าคำพูดของกวินจะทำเอาเด็กหนุ่มโกรธไปเลยทีเดียว ฮัดฮัดอยู่สักพัก แล้วก็เดินไปสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กวินเป่าผมต่อไปอย่างไม่แยแส

   
         ในจังหวะที่กำลังสวมกางเกงอยู่นั้น สายตาของเด็กหนุ่มก็เหลือบไปเห็นซองถุงยางแกะแล้วที่ตกอยู่บนพื้นปลายเตียง ยิ้มอย่างพอใจ เหมือนหาวิธีแก้เผ็ดกวินได้ พอแต่งตัวเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินไปที่ประตู จังหวะที่กำลังจะเปิดประตูก้าวออกไปด้านนอก เด็กหนุ่มก็หันกลับมาพูดกับกวินด้วยน้ำเสียงท้าทาย
   

         “ขอบคุณที่ให้.... นะพี่” เสียงของเด็กหนุ่มกังวานลั่นอย่างคึกคะนอง “หลวมหน่อย แต่ก็เพลินดี!”
   

         พูดจบก็ปิดประตูอย่างแรง กวินรู้สึกโกรธจัด นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายมันจะเกรียนขนาดนี้ เจ็บใจจนเลือดขึ้นหน้า รู้สึกว่าจะยอมให้เด็กมาเล่นหัวแบบนี้ไม่ได้
   

         ไวกว่าความคิด กวินเดินไปเปิดประตู พบว่าเด็กหนุ่มยืนรอลิฟต์อยู่ไม่ไกล ด้วยความคึกคะนองและท้าทายไม่แพ้กัน กวินเดินออกไปหาอีกฝ่าย แม้ว่าตอนนั้นจะสวมบ็อกเซอร์อยู่แค่ตัวเดียวก็ตาม พอไปถึงก็ยกมือแตะไหล่อีกฝ่าย แล้วเอ่ยกระซิบข้าง ๆ หูของอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
   

         “ถ้าภูมิใจมากนัก ก็เอาไปโม้ให้แม่ฟังสิ เผื่อเค้าจะปลาบปลื้ม แล้วจะได้เพิ่มค่าขนมให้ไง” แม้เป็นการพูดกระซิบ แต่นัยน์ตาของกวินก็วาวโรจน์ไปด้วยความอยากจะเอาชนะ ใช้ฝ่ามือตบลงเบา ๆ บนเป้ากางเกงของเด็กหนุ่ม พร้อมกับยิ้มเยาะ “เข็มน่ะ ต่อให้ไปเสียบมุ้งลวดมันก็ยังต้องหลวมอยู่ดี”
   

         เด็กหนุ่มเถียงอะไรไม่ออก ได้แต่มองกวินอย่างอึ้ง ๆ ลิฟต์มาพอดี กวินจึงผลักเด็กหนุ่มเข้าไปในลิฟต์ แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างหัวเสีย อดไม่ได้ที่จะสบถออกมาอีกรอบ
   

         “ไอ้เด็กบ้า!”

   
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 29-12-2009 04:32:01
 :mc4: :mc4: :mc4:
มาเจิมเรื่องใหม่ +1 ให้เลยน๊า อิๆ
ลายการเขียน ภาษาที่ใช้อ่านแล้วเหมือนอ่านงานชิงรางวัล 555+
เป็นภาษาที่คงขัดและเกลาจากการสั่งสมการอ่านมาเยอะชัวๆ ชอบมาก
เนื้อเรื่องน่าตื่นเต้นดี ลุ้นๆว่าจะทำไงต่อไปกับนายแมน
รักเด็กผู้ชายจริงๆ แล้วจะรออ่านต่อ ขอเป็นแฟนคลับน้องแมนนะ
นิว(เบิกบาน)
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 29-12-2009 17:55:19
เหอ ๆ แรงได้สะใจคนแก่จริง ๆ

อย่างน้อยก็เด็กหนุ่มที่ป้า ๆ หลายคนในเล้าฝันมั่งล่ะนะ

 :z1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: gypsy ที่ 29-12-2009 19:12:17
ฉลองเรื่องใหม่  :mc4:

แรงได้ใจจริงๆ

ชอบมากเลยคับ

เด็กอายุ 16  :m25: อ่านแล้วน้ำลายไหล
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 04-01-2010 21:27:42
สวัสดีปีใหม่ครับ ทุก ๆ คน

ขอโทษที่หายไปนานนะครับ พอช่วงปีใหม่ไม่ค่อยได้เล่นอ่ะครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ เรื่องนี้อาจจะยังไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่ คิดเห็นอย่างไรก็คอมเม้นได้นะครับ ยินดีรับฟังครับ



3
    

          กวินใช้เวลาจัดการกับตัวเองในตอนเช้าเกือบถึงสองชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงหมดไปกับการอาบน้ำ ตามมาด้วยการจัดการกับใบหน้าด้วยสารพัดวิธี ทามอยส์เจอไรซ์ ครีมกันแดด และอาจจะตามด้วยแป้งและรองพื้นแล้วแต่โอกาส กวินให้ความสำคัญกับสิ่งพวกนี้มาก มนุษย์เพศชายหลายคนอาจจะดูดีและมีเสน่ห์เสียต็มประดาโดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเครื่องประทินโฉมที่ลดทอนความเป็นผู้ชายให้น่าสมเพช แต่สำหรับกวิน แนวคิดพรรค์นั้นค่อนข้างไร้สาระ เขาไม่ใช่มนุษย์ผู้โชคดี ดังนั้น แม้การจะทำตัวเองให้ดูดีก็ยังต้องพยายาม
    
          สิ่งที่ยากและเปลืองเวลาอีกต่อมาก็คือการจัดการกับผม เป็นปัญหาใหญ่สำหรับกวินที่จะพยายามทำให้ผมหยิกหนาให้ดูเป็นทรงที่สุดเท่าที่จะทำได้ หมดเวลาเกือบชั่วโมงกับสารพัดวิธีทั้งหวี เป่า และหนีบด้วยความร้อน ทำไปนานเท่าไรก็ดูจะไม่มีมาตรฐานเลยสักวัน บางครั้งก็รู้สึกอิจฉาหลาย ๆ คนที่ผมเป็นทรงทุกเช้าค่ำไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ เอาเถิด... ทำไงได้ เกิดมาโชคร้าย
    
          กว่าจะออกจากห้องได้ก็ปาเข้าไปเกือบจะสิบโมง ไม่ลืมที่จะให้อาหารแมว มันเป็นแมวขี้เรื้อนจรจัดสีดำตัวเล็กที่หลงทางมาจากไหนก็ไม่รู้ หน้าตาก็น่าเกลียดน่ากลัว ไม่ได้มีความน่ารักอันใดเลยสักนิด แวบแรกที่เห็นก็รู้สึกสงสารเลยให้ข้าวมันกิน เท่านั้นแหละ กวินจึงได้รับบทเรียนว่าไม่ควรจะให้อาหารสัตว์จรจัดอีก เพราะพอให้มันไปครั้งหนึ่ง ทีนี้มันก็ตามเกาะแจ ไม่ยอมไปไหน ไล่ก็ไม่ไป บางครั้งใจร้ายใช้มืดฟาดมันเต็มแรงให้มันกลัวก็แล้ว มันก็ไม่ยอมไปอยู่นั่นแหละ แล้วพอได้ฟังเสียงมันร้องโหยหาและมองมาด้วยแววตาหิวโหย ก็สงสารมันอีกอยู่ดี ให้ข้าวมันกินต่อจนได้ นานเข้าก็เลยต้องอยู่ในภาวะเหมือนเลี้ยงมันไว้ในที่สุด แต่ถ้าหมั่นไส้หรือโมโหเมื่อไหร่ก็ต้องถือโอกาสฟาดมันจนได้ อย่างเช้านี้ พอให้ข้าวมันกินเสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะตบหน้ามันไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้
    
          คว้ากระเป๋าสะพายพร้อมกับดึงตั๊มป์ไดรฟ์ซึ่งบรรจุต้นฉบับงานเขียนจากคอมพิวเตอร์มาไว้ในมือ แล้วเดินออกจากห้องมาบริเวณทางเดิน ตั้งหน้าเดินตรงไปยังลิฟต์    ผู้หญิงซุ่มซ่ามคนหนึ่งออกมาจากห้องด้านในสุด พร้อมกับของพะรุงพะรัง หล่อนปิดประตูอย่างทุลักทุเลจนของร่วง กวินหันไปมองด้วยสายตาเรียบเฉย ไม่คิดจะเข้าไปช่วยแต่อย่างใด
    
          เดินต่อไปจนถึงลิฟต์ กดลิฟต์เปิดแล้วรีบเข้าเดินเข้าไปในด้านในอย่างรวดเร็ว มีเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาพร้อมกับส่งเสียงบอกให้รอด้วย แต่กวินกดปิดประตูลิฟต์ทันที ผู้หญิงที่ถือของพะรุงพะรังจึงวิ่งมาไม่ทัน วิ่งชนกับประตูลิฟต์ซึ่งปิดลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ ข้าวของของเธอร่วงพื้นอีกครั้ง กระจัดกระจาย ผู้ชายอีกคนที่วิ่งตามมาไม่ทัน ทุบประตูลิฟต์อย่างโมโห
    
          “ไอ้คนไม่มีน้ำใจ”
    
          กวินชะงักเล็กน้อยกับเสียงก่นด่าที่ลอยผ่านเข้ามาให้ได้ยิน แต่ก็พยายามที่จะไม่ใส่ใจ ช่วยไม่ได้ เขากำลังรีบ แล้วที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยเห็นจะได้รับน้ำใจจากใครเลยสักคนคตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ เหตุไฉน เขาจึงจำเป็นจะต้องมีน้ำใจให้คนอื่นด้วยเล่า แล้วมันก็หาได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ไม่ทันลิฟต์ตัวนี้ ลิฟต์ต่อมาก็ไม่ได้จะช้าอะไรนักหนา ไม่รู้จะโวยวายทำไม
    
          ผ่านมาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง กวินพาตัวเองมายืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ เวลาสายเช่นนี้คนค่อนข้างแน่นขนัด รออยู่นานรถก็ยังไม่มา ตัดสินใจจุดบุหรี่สูบทั้ง ๆ ที่มีป้ายห้าม ทุกคนหันมามองกวินด้วยสายตาตำหนิ คนแก่บางคนปิดจมูกลุกหนี แม่คนหนึ่งอุ้มลูกเดินหนีออกไป แต่กวินไม่แคร์ สูบบุหรี่ต่อไปจนเกือบจะหมดมวน     
    
          รถเมล์วิ่งเข้ามาในเวลาเกือบห้านาทีต่อมา กวินทิ้งบุหรี่ลงพื้น เดินแซงหน้าทุกคนขึ้นรถเป็นคนแรก โลกใบนี้เป็นโลกของการแข่งขัน ถ้ามัวชักช้าก็จะมีแต่พลาดและพลาด เมื่อก่อนตอนเป็นเด็ก กวินเคยโดนคนเบียดจนแทบจะตกรถเพียงเพราะมัวแต่ชักช้ารอให้คนอื่นขึ้นก่อน พอขึ้นไปบนรถได้แล้ว ก็ต้องรีบหาที่นั่งอย่างรวดเร็ว วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไรเพราะยังปวดหัวจากอาการแฮงค์ กวินจึงไม่อยากยืน
    
          คนอื่น ๆ กรูตามขึ้นมา ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมายืนโหนอยู่ข้าง ๆ หล่อนมองกวินด้วยสายตาออดอ้อนคล้ายกับจะขอที่นั่ง แต่กวินไม่สนใจ คิดในใจว่าเรื่องอะไรที่จะต้องเสียสละให้ผู้หญิงคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ดูแล้วก็มีสองมือสองเท้าเช่นกัน แถมยังอยู่ในวัยเดียวกันเสียด้วย ไม่เชื่อหรอกว่าเรี่ยวแรงจะไม่มี กวินเชื่ออย่างหมดใจว่าที่จริงแล้วผู้หญิงก็ไม่ใช่เพศที่อ่อนแอขนาดนั้น ความอ่อนแอของผู้หญิงก็แค่เครื่องมือเพื่อผลประโยชน์เสียเท่านั้นเอง กะอีแค่โหนรถเมล์ กวินมั่นใจว่าถ้าไม่ป่วย ไม่แก่ ไม่ท้อง ผู้หญิงโหนรถเมล์ได้อย่างสบายมาก แต่แค่ไม่อยากทำก็เท่านั้นเองล่ะไม่ว่า
    
          พอเห็นว่ากวินไม่มีทีท่าจะลุกให้นั่ง เจ้าหล่อนก็เมินหน้าหนีอย่างหัวเสีย
    
          ทันใดนั้นเอง ความหวังที่จะได้นั่งอย่างสบายของกวินก็เป็นอันต้องพังทลายลง เมื่อพระสงฆ์รูปหนึ่งขึ้นรถเมล์มาพอดี กวินซึ่งนั่งอยู่ในที่สำรองเลยต้องจำใจลุกขึ้นให้พระนั่ง ผู้หญิงที่กวินไม่ยอมลุกให้ยิ้มเยาะใส่เขา ต่อมาไม่นาน ผู้ชายมาดแมนคนหนึ่งก็ลุกจากเก้าอี้เสียสละให้เจ้าหล่อน หล่อนจึงเดินไปนั่ง พร้อมกับมองผู้ชายที่ลุกให้ด้วยสายตาขอบคุณปะปนกับยั่วล้อ จากนั้นหล่อนก็มองกวินอย่างผู้ชนะคล้ายกับจะเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีของดีเช่นหล่อนก็เลยต้องทนยืน
    
          กวินถอนใจอย่างหงุดหงิด ตวัดสายตามองไปยังพระที่นั่งแทนตัวเอง พบว่าพระสงฆ์คนนั้นกำลังหยิบไอพอดมาสวมฟังอย่างสบายใจ    
    
          โลกช่างไม่ยุติธรรม !
    
          รถเมล์วิ่งอย่างทุลักทุเลและเบียดเสียด กว่าจะหลุดพ้นจากความเมื่อยล้าก็ปาเข้าไปเกือบจะเที่ยง ยังปวดหัวไม่หาย บวกกับรู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อยเพราะยังไม่มีอาหารตกถึงท้อง แต่ก็ไม่มีเวลาจะกิน ความไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวทั้งหลายแหล่ส่งผลให้กวินอารมณ์ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไรนักในตอนนี้
    
          กวินเดินเข้ามาในอาคารที่ตั้งของสำนักพิมพ์ ไม่สบตากับใครทั้งสิ้น เดินชนพนักงานออฟฟิศหนึ่งคนจนเอกสารของเจ้าหล่อนหล่นพื้นระเนระนาด ชายหนุ่มแค่พูดขอโทษคำเดียวแล้วก็ไม่สนใจอะไรอีก รีบเดินไปที่ลิฟต์ กลัวว่าจะเข้าไม่ทันเพราะเห็นคนอื่น ๆ กำลังเดินกรูกันเข้าไปในลิฟต์ที่เพิ่งจะเปิดออกราวกับทุกคนต่างกลัวว่าจะลิฟต์จะเต็มและต้องเสียเวลา ด้วยความที่ตัวบางและค่อนข้างคล่อง กวินสามารถแทรกตัวไปได้อย่างทันท่วงที แถมยืนอยู่ใกล้ปุ่มกดพอดี
    
          “รอด้วย ๆ” เสียงหนึ่งดังแว่วมาทันท่วงที กวินตวัดสายตาไปตามเสียง พบขจรวิ่งตุตะมาแต่ไกล ร้องเรียกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้รอ กวินถอนใจอย่างหงุดหงิด ขจรเป็นเพื่อนของเขาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แล้วพอเรียนจบก็ยังโชคร้ายได้มาเจอกันบ่อย ๆ อีก เพราะขจรทำงานเป็นนักพิสูจน์อักษรให้กับสำนักพิมพ์ ในบรรดาคนรู้จักมากมายที่กวินมีความรู้สึกค่อนไปทางเกลียด ขจรถูกจัดไว้ในอันดับต้น ๆ ขจรมีบุคลิกเหมือนพวกโอตาคุ สวมแว่นหนา ใส่เสื้อเชิร์ตลายหมากรุกกับกางเกงเอวสูง ร่างอ้วนเล็กน้อย หัวหยิกฟูไม่เป็นทรงและไม่มีความพยายามใด ๆ ที่จะให้มันเป็นทรง ด้วยความเร่งรีบ ขจรวิ่งสะดุดขาตัวเองจนล้มคว่ำลงกับพื้น กวินยิ้มมุมปาก กว่าจะรอให้ขจรลุกก็คงเนิ่นนานเอาการ จึงรีบกดลิฟต์ปิดอย่างรวดเร็ว ไม่รออีกแล้ว
    
          ทันใดนั้น หญิงสาวผู้มีน้ำใจคนหนึ่งก็กดเปิดลิฟต์ออกเพื่อที่จะรอขจร พร้อมกับมองกวินด้วยสายตาตำหนิ กวินเบือนหน้าหนีพร้อมกับถอนใจอย่างหงุดหงิด ขจรวิ่งเหงื่อตกตัวเหม็นเข้าในลิฟต์จนได้ พยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณให้แก่หญิงสาวมากน้ำใจผู้นั้น แล้วก็กดปุ่มลิฟต์ปิด
    
          “สวัสดี” ขจรเอ่ยเสียงเข้ม พร้อมกับชำเลืองมองกวินแล้วก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย พยายามจะถือปึกกระดาษในมือให้มันเด่นพอที่กวินจะมองเห็น ขจรกระแอมหนึ่งครั้งคล้ายจะเรียกร้องความสนใจ แต่กวินก็ยังคงทำท่าเป็นว่าไม่สนใจอยู่ดี ขจรเลยเอ่ยขึ้นอีกจนได้
    
          “เอาต้นฉบับแก้ใหม่มาให้พี่พรรณหรือ”
    
          “เออ” กวินตอบไปห้วน ๆ
    
          “ทำไมไม่ส่งอีเมล”
    
          “อย่ายุ่งน่า ก็พี่พรรณบอกว่ามีธุระจะคุยด้วย เลยต้องถ่อมา”
    
          ขจรมองกวินด้วยสายตาดูถูก แล้วพูดต่ออีกยืดยาว
    
          “โอ๊ย ! รู้เลยว่างานมึงจะมาไม้ไหน ก็คงเป็นพิษเป็นภัยเหมือนเคย ตอนจบคนดีคงตายโหง ส่วนคนชั่วได้ดี หึ ! รู้ไว้เลยนะไอ้กวิน มึงน่ะกำลังพายเรือในอ่าง”
    
          เกินจะทน อดไม่ได้เสียจริง ๆ ที่กวินจะต้องสวนกลับไป แม้จะรู้ดีว่าการเถียงกับขจรก็เหมือนกับเอาทองแลกเกลือ
    
          “บางทีมึงก็ยังไม่ได้อ่าน อย่ามาทำเป็นรู้ดี ยังไม่รู้เรื่องอะไรก็หุบปากเสีย เหม็นขี้ฟัน”
    
          ขจรหาได้ฟังไม่ พูดต่ออีกยาวแถมยังมากไปด้วยอารมณ์แห่งการวิพากษ์วิจารณ์
    
          “งานของมึงแม่งโคตรซ้ำซาก ไม่ต้องอ่านก็เดาได้ว่าจะมาไม้ไหน ตัวละครเลวทรามฟอนเฟะกับแอคชั่นอุบาทว์ ๆ เอาแต่ร้องแรกแหกกระเชิง ด่าความดีงามเหมือนคนบ้า สาดอัตลักษณ์ใส่คนอ่าน แล้วสร้างมายาคติผิด ๆ”
    
          “โอ้โห” กวินร้องประชด พยายามที่จะอดกลั้นความรู้สึกรังเกียจไม่ให้แสดงออกมามากเกินไป “นี่มึงคิดคำพวกนี้ออกมาได้ไงวะ เออ ! ฉลาด ๆ แต่รู้อะไรไหม มึงน่าจะเก็บความฉลาดของมึงไปทำหน้าที่ให้ดีนะ กูจะได้มั่นใจว่าหนังสือเล่มใหม่ของกูจะสะกดถูกต้องทุกคำ”
    
          คล้ายกับว่าขจรจะหัวเสียขึ้นมาทันทีทันใด แต่ก็ยังพยายามที่จะยกตัวเองขึ้นมาเพื่อข่มกวินกลับ
    
          “ฟังกูให้ดีนะอีกวิน ต่อไปนี้ จะไม่มีขจรนักพิสูจน์อักษรกระจอกงอกง่อยอีกแล้วโว้ย” ขจรกระชับต้นฉบับของเขาไว้แน่นขึ้น และยืดอกขึ้นอย่างภูมิใจ “จะมีแต่ขจร หัวมังกรแห่งบรรณพิภพ
    
          ด้วยความหมั่นไส้ กวินถือวิสาสะคว้าปึกต้นฉบับจากมือของขจรมาดูในทันที
    
          “นี่มึงเขียนงานด้วยลายมือหรือวะ”
    
          “แน่นอน” ขจรร้องอย่างภาคภูมิใจเสียเต็มประดา “นักเขียนมืออาชีพตัวจริงเสียงเขาก็เขียนด้วยมือทั้งนั้นแหละ”
    
          “ควาย” กวินลากเสียงเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเยาะ มองดูปกก็อดที่จะขำกับชื่อเรื่องไม่ได้ แล้วพอเปิดมองผ่าน ๆ อย่างรวดเร็ว ก็สัมผัสได้ถึงความตลกจนอดไม่ไหวที่จะต้องล้อเลียน
    
          “เรื่องแสงดาวแห่งศรัทธา” เสียงของกวินดังลั่นด้วยสำเนียงขบขัน “กูกล้าพูดเลยว่ามึงเขียนอะไรมา”
    
          กวินสุ่มเปิดขึ้นมาหน้าหนึ่ง แล้วพยายามแกะลายมือของขจร อ่านออกมาดัง ๆ กะจะเอาให้อายกันไปข้าง
    
          “...ด้วยอำนาจแห่งพลังความคิดอันบริสุทธ์ของพวกเราชาวกรรมาชีพ เราจะต่อสู้เพื่อแสงสว่างนั่น เรามั่นใจว่าหมู่ดาวจะส่องแสงนำทางเรา นำเราไปสู่ดินแดนอันปราศจากการกดขี่ข่มเหง ดวงวิญญาณแห่งบรรพบุรุษของความเหนื่อยยากเอ๋ย จงเป็นพลังให้เราต่อกรกับพวกมัน พวกชนชั้นหน้าเลือด... โอ๊ย !” กวินทนอ่านต่อไปไม่ได้อีกต่อไป “มึงเขียนเหี้ยอะไรมาเนี่ย”
    
          คนในลิฟต์บางคนพยายามกลั้นขำ ในขณะที่บางคนขำออกมาอย่างเปิดเผย ขจรรู้สึกอายเล็กน้อย รีบดึงต้นฉบับกลับคืนมา ลิฟต์เปิดในชั้นสำนักพิมพ์พอดี กวินเดินหนีออกมาอย่างรวดเร็ว ขจรเดินตามมาติด ๆ หวังจะเอาชนะกวินให้ได้ แต่พอดีว่ากวินตัวสูงกว่าเลยก้าวได้ยาว แต่ขจรที่มีขาสั้นกว่า ก็พยายามซอยเท้าถี่เพื่อเดินตามให้ทัน
     
          “คนอย่างมึงมันหยาบกระด้างและมืดบอด เข้าไม่ถึงแก่นสารของงานดี ๆ หรอก” ขจรก่นด่า พร้อมกับเดินมายืนขวางหน้ากวินไว้ “แต่คอยดูเถอะ มันจะกลายเป็นสิ่งทรงพลังแห่งยุคสมัย”
    
          “ถุย !” ถ้าสามารถถ่มน้ำลายใส่คนตรงหน้าได้จริง ก็อยากจะทำ แต่มันติดตรงที่คงจะไม่เหมาะกับสถานที่ “อะไรที่ทำให้มึงกล้าพูดออกมาขนาดนี้วะขจร มึงคิดว่ามึงเป็นโรแมง การีกลับชาติมาเกิดหรือไง แล้วนี่มึงคิดว่ามึงอยู่ใน พ.ศ.ไหน มึงจะต่อสู้กับศักดินาห่ะอะไรอีก แล้วมึงใช้ภาษาบ้าบ้ออะไรเนี่ย อ่านไม่เห็นรู้เรื่อง สนุกไหม ก็ไม่ แถมลายมือก็ยังกะตีนเขี่ย กูว่านะ มึงเอาเวลาไปหมกมุ่นกับตัวสะกดต่อเหอะ อย่าเสร่อเขียนอะไรออกมาอีกเลย”
    พูดจบก็ผลักตัวขจรให้ออกไปพ้นทาง พร้อมกับเดินหนี ในขณะที่ขจรก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เดินตามต้อย ๆ แล้วก็ตะโกนเถียงปาว ๆ จนคนรอบข้างหันมามองก็ยังไม่แคร์
    “กูเขียนงานด้วยสายตาของคนที่มองออกไปในโลกกว้าง มองเห็นความไม่เป็นธรรม และเห็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ กูก็เลยเขียนงานด้วยความคิดที่จะช่วยยกระดับสังคม ในขณะที่มึงแม่งก็ได้แต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง แล้วก็ชักว่าวออกมาเป็นงาน”
    แม้ตั้งว่าจะไม่ต่อล้อต่อเถียงอีก แต่มันก็สบช่องที่จะต้องด่ากลับจนได้
    “รู้ไหม” กวินหยุดเดิน แล้วหันไปเถียงกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่เบากว่า ทว่า ชัดถ้อยชัดคำแบบที่กะจะเอาให้เจ็บในทุกตัวอักษร “งานมึงก็ทำให้กูนึกถึงเด็กประถมแก่แดดที่พยายามจะชักว่าวครั้งแรก แล้วไม่สำเร็จ ออกมาแต่ลม”
    “สัตว์ !” ขจรผรุสวาทเสียงลั่น มองกวินอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ “นี่มึงคิดว่ามึงเจ๋งนักใช่ไหม”
    “เปล่าเลย” กวินสวนทันทีทันใด “กูไม่เคยคิดว่าตัวเองเจ๋ง กูแค่เขียนในสิ่งที่เชื่อ ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่ต่างจากมึง แต่ความต่างคือ.... กูมีหนังสือออกมาแล้วห้าเล่ม และนี่จะเป็นเล่มที่หก ส่วนมึงนะ ไปตรวจตัวสะกดตลอดชาติเหอะ พยายามไปก็ไร้ค่า”
    ในช่วงเวลาที่พูดจนจบประโยค กวินรู้สึกได้ถึงชัยชนะในสงครามฝีปากครั้งนี้ เกิดความพอใจแก่ตัวเองเล็กน้อย เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง ปากสั่น ด่าอะไรไม่ออก ยิ้มเยาะให้หนึ่งครั้ง แล้วหันหลังเดินหนี แต่ไม่ทันไร ขจรก็ร้องด่าขึ้นมาอีกจนได้
    “ปากดีนักนะอีตุ๊ด”
    ไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะจนมุมและพาลขนาดนี้ หันกลับไปถามอย่างตกใจเล็กน้อย
    “นี่มึงจริงจังหรือเปล่าเนี่ยขจร”
    “เออ ! กูจริงจัง” ขจรประกาศเสียงกร้าว พร้อมกับมองกวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ด้วยสายตาดูถูก “ความจริงนะ มึงแม่งก็น่าขยะแขยงพอ ๆ กับหนังสือของมึงนั่นแหละ ตรวจเลือดบ้างนะ เอดส์แดกเมื่อไหร่กูจะเปิดแชมเปญปลอบใจ อีตุ๊ด! อ้าว... พี่รส หวัดดีครับ”
    ด้วยความที่โดนด่าอย่างหยาบคายน่าเกลียดเแบบที่ไม่นึกว่าจะโดน ทำให้กวินถึงกับงุนงงจนเถียงอะไรไม่ออก บวกกับขจรเองก็เดินหนีไปอย่างรวดเร็ว ทำให้กว่าที่สติของกวินจะกลับมา ก็ไม่สามารถที่จะด่าขจรกลับได้อีกแล้ว จากผู้ชนะแปรเปลี่ยนเป็นผู้แพ้ไปโดยปริยาย
    มองตามขจรไป เห็นว่าขจรกำลังเดินไปหามธุรส ผู้ซึ่งเป็นบรรณนาธิการบริหารของสำนักพิมพ์ มธุรสดูเป็นสาวใหญ่มาดทอมบอย ซอยผมสั้น และไม่เคยสวมกระโปรง หล่อนดูท่าว่าจะยุ่งกับการตรวจงานอาร์ตเวิคซึ่งไม่ได้น่าแปลกแก่ตาแต่อย่างใดกับคุณลักษณะจู้จี้และละเอียดยิบต่องานทุกงาน ขจรพยายามจะยื่นต้นฉบับให้มธุรส แต่หล่อนก็หาได้จะสนใจไม่
    ในใจกวินยังคงเจ็บแค้นกับขจรเสียนักหนา ตั้งใจไว้ว่าได้โอกาสเมื่อไรเห็นทีจะต้องเอาคืน
    ให้ตายสิ จะเอาเรื่องอะไรมาด่าก็ไม่เอา มาวกเอาเรื่องเอดส์ บ้าจริง นี่มันไม่รู้บ้างหรือยังไงว่าเรื่องแบบนี้เขาห้ามเอามาเล่น
    ไอ้บ้าขจร !
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 04-01-2010 21:47:02
วรรณกรรมจำเป็น เพราะคำนี้ จึงลองอ่านดู อยากรู้ว่าจำเป็นยังไง แต่ปะทะแรง และเข้มดีจัง
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 05/01/2010
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 05-01-2010 20:26:09
ยิ่งอ่านเหมือนยิ่งเห็นเงามืดในหัวใจตัวเอง

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 05/01/2010
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 09-01-2010 02:07:57
4
    
       ต้นฉบับของกวินถูกปราดตามองอย่างรวดเร็วโดยอรพรรณ ด้วยความที่คุ้นเคยกับมันมาบ้างแล้วก่อนหน้า จึงทำให้ใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด บรรณนาธิการหญิงเงยหน้าขึ้นจากกองกระดาษ ถอนใจยาว สบตากับกวินที่ยั่งลุ้นอยู่ตรงข้ามโต๊ะ อรพรรณเป็นบรรณนาธิการเล่มซึ่งดูแลรับผิดชอบหนังสือประเภทนวนิยายของสำนักพิมพ์ ชีวิตของกวินในเส้นทางการเป็นนักเขียนจึงค่อนข้างจะผูกพันกับอรพรรณมาตั้งแต่ต้น
   
         
         ตอนนั้นอรพรรณยังเป็นเพียงผู้ช่วยบรรณนาธิการ หล่อนแนะนำต้นฉบับชิ้นแรกของกวินให้กับกองบรรณนาธิการในขณะนั้น และหลังจากนั้นมา กวินก็กลายเป็นนักเขียนที่มีผลงานออกกับสำนักพิมพ์ต่อเนื่องมาโดยตลอดด้วยแนวงานที่ชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์ เรียกได้ว่า ความดีงาม ความรัก ความสดใส หรือการมองโลกในแบบบริสุทธิ์ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือของกวิน ตรงกันข้าม หนังสือของกวินจะเต็มไปด้วยความแสบสันต์ของมนุษย์ กิเลสตัณหา ความน่ารังเกียจ รวมไปถึงความรุนแรงต่าง ๆ นา ๆ ทางความคิดและพฤติกรรม จนบางครั้งค่อนไปในทางล่อแหลมต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีของประเทศ 
   
         
         อันที่จริง กวินก็ไม่ทราบนักว่าต้นฉบับของเขามันดีเด่นอะไรตรงไหน ทางสำนักพิมพ์ถึงได้เห็นดีเห็นงามไปกับมัน เป็นไปได้ตรงที่มันผาดโผน ตรงไปตรงมา และค่อนข้างจะแหวกจริตมากพอสมควร มากพอที่จะก่อให้เกิดกระแส และกระแสที่ว่านี้ก็นำมาด้วยการขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีอยู่เล่มหนึ่ง งานของกวินกลายเป็นประเด็นใหญโตเพราะพาดพิงศาสนา เกิดกระแสถกเถียงอย่างครึกโครมจนแทบโดนสั่งเผา ยังดีที่ว่ามิติของมันยังพอจะมีความน่าสนใจมากพอที่จะเรียกกระแสปกป้องจากเหล่านักวิจารณ์และนักอ่านหัวใหม่อยู่บ้าง งานชิ้นนั้นเลยไม่ถึงกับจมดินลงไปพร้อมกับคำก่นด่าจากพวกหัวอนุรักษ์ แต่สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ผลประโยชน์จากหนังสือเล่มนั้นก็แทบจะมากมายมหาศาล เพราะยิ่งโดนกระแสต่อต้านจากพวกหัวเก่าสักเท่าไร คนก็แห่ซื้อกันเป็นเทน้ำเทท่า นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลก็ได้ที่สำนักพิมพ์เลี้ยงกวินเอาไว้
   
         “ไม่ได้แก้ตอนจบนี่” อรพรรณเอ่ยขึ้นในที่สุด หลังจากทราบว่าสิ่งที่ติติงไปยังคงอยู่เช่นเดิม แต่กระนั้น ถ้าเป็น บก.คนอื่นอย่างเช่นมธุรส คงจะต้องมีการโมโหขัดเคืองและไม่พอใจออกมาแล้วกับความหัวดื้อของนักเขียน แต่อรพรรณกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น หล่อนยังคงมีสายตาแห่งการครุ่นคิดและพร้อมจะเข้าอกเข้าใจ อันที่จริง กวินรู้จักกับอรพรรณมานานแล้วตั้งแต่สมัยเรียน หล่อนเป็นสายรหัสของเขา ความสนิทสนมและความรักใคร่ที่มีให้กันมานานเป็นเหตุให้บางครั้งการทำงานก็เต็มด้วยความอะลุ้มอล่วยและเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน
   
         “ผมพยายามแล้วพี่ แต่...  มันไม่ได้จริง ๆ อ่ะพี่ มันยากมากนะพี่ ที่จะบังคับให้...”
   

         “สรุปว่าแกก็ยังยืนยันที่จะให้คนดี ๆ อย่างพระเอกต้องกดดันกับชีวิตของตัวเองจนถึงกับฆ่าตัวตาย”
   
         
         “ก็เขามองโลกในแง่ดีเกินไป จนจัดการอะไรกับชีวิตไม่ได้”
   
         
         “ส่วนนางเอก ทั้ง ๆ ที่หักหลังพระเอกโดยการมีชู้ แต่ก็ยังจะทอดทิ้งพระเอก ไปเป็นเมียน้อยของคนเลว เพียงเพื่อแลกกับเงินทองและความสุขสบาย และใช้ชีวิตเอาเปรียบคนอื่นต่อไป”
   
         
         “เห็นได้ชัดว่าเธอฉลาดที่จะใช้ชีวิตบนโลก ลองดูให้ดี ๆ นะพี่ นางเอกแต่งงานกับพระเอกก็จริง แต่พระเอกก็ไม่เคยทำให้หล่อนมีความสุขเลย เพราะมัวแต่ไปยึดมั่นถือมั่นแต่กับคุณธรรมของตนเอง เรื่องอะไรที่หล่อนจะต้อง...”
   
         
         อรพรรณยกมือขึ้นตัดบท ราวกับบอกให้รู้ว่าไม่จำเป็นที่กวินจะต้องอธิบายอะไรให้มันยืดยาวมาก
   
         
         “แกยังคงแนวคิดของการดูถูกความรักและดูถูกชีวิตอยู่เหมือนเดิมสินะ”
   
         
         กวินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจ แม้ว่าเอกลักษณ์ของงานเขียนแหวกจริตจะโด่งดังและสร้างกระแส แต่กระนั้น ด้วยความที่กวินเขียนงานพรรค์นี้ออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกินไป ผลที่ตามมาก็คือกลายเป็นความเบื่อหน่อยของนักวิจารณ์ จากที่เคยเป็นของแปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจ ก็กลายเป็นความซ้ำซาก ไม่มีอะไรใหม่และพายเรือในอ่าง หลัง ๆ เข้ากวินโดนวิจารณ์อย่างเจ็บแสบว่าเขียนงานแบบ “ไม่รู้จักโต” และนอกจากนั้น ตลาดงานก็เริ่มเปลี่ยนไป ในสถานการณ์ของบ้านเมืองที่กำลังเดือดร้อนและวุ่นวาย ชีวิตรอบข้างมีแต่ความตึงเครียด รวมเข้าด้วยกับสโลแกนของรัฐบาลที่โหมกระหน่ำค่านิยมแบบเรียบง่ายสดใสเพื่อบดบังปัญหาที่กองอยู่ตรงหน้า ดังนั้น จึงแทบไม่มีนักอ่านคนไหนในช่วงเวลานี้จะนึกนิยมชมชอบการอ่านงานไสตล์ชีวิตหม่นโลกมืดอีกแล้ว ผู้คนต้องการเพียงแต่แสงสว่างและกำลังใจ งานเขียนของกวินจึงเริ่มจะขายไม่ออก รวม ๆ กันเข้าก็กลายเป็นสาเหตุที่ร้อนถึงกองบรรณนาธิการ ที่เริ่มมีนโยบายจะเคี่ยวเข็ญให้กวินลองปล่อยงานที่เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองบ้าง เพื่อคงระดับชื่อเสียงอันจะนำไปสู่ผลดีทางการตลาดต่อไป

         
         แต่สำหรับกวินในฐานะนักเขียน การทำอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่ของง่ายเลย
   
         
         “พี่พรรณ ผมไม่ได้มีอีโก้นะครับพี่ แต่มันแค่...” กวินพยายามที่จะแก้ตัว “ผมสาบานว่าผมพยายามแล้ว แต่... มันยากนะครับพี่ กับการที่เราจะเขียนในสิ่งที่เราไม่เคยเชื่อแล้วโกหกว่ามันเป็นความจริง”
   
         
         อรพรรณถอนใจยาว ก่อนจะสบตากับกวินอีกครั้ง คล้ายกับสำรวจลึกลงไปในห้วงความคิด ก่อนที่เจ้าหล่อนจะสรุปออกมาในที่สุด
     
         
         “เอาละ พี่จะนำเสนอพี่รสอีกที”
   
         
         “พี่ว่าจะผ่านไหมพี่” กวินอดจะถามไม่ได้
   
         
         “ถ้าคิดเอาจากมุมของพี่รส ชื่อกวินก็อาจจะยังพอขายได้ แต่ถ้าคิดแค่ในมุมของพี่” อรพรรณยิ้มอย่างมากไมตรี “ฉลุย !”
   
         กวินพยักหน้ารับ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่โล่งไปหมดเสียทีเดียว เพราะถึงอย่างไรต้นฉยัยก็ต้องผ่านมธุรสอีกที ซึ่งอย่างที่รู้ด้วยตัวเองว่ารายนั้นเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเจ้าแม่ของที่นี่เลยทีเดียว และก็ “เข้ม” มากกว่าอรพรรณหลายเท่านัก ในขณะที่ความคิดโบยบินไปไกล สายตาของกวินเหลือบไปเห็นหนังสือปกสวย ๆ สองสามเล่มบนโต๊ะของอรพรรณ นามปากกาของผู้เขียนโดดเด่นอยู่บนปกให้เห็นชัดว่าเป็นงานของ “วรรณี วรรณรัตน์” ในขณะที่ปกแต่ละเล่มมีการคาดกระดาษไว้อีกว่าเป็น “หนังสือเสริมกำลังใจ”
   
         เรียกได้ว่าฮาร์ดเซลล์แบบสุดฤทธิ์
   
         ไวกว่าความคิด กวินหยิบหนังสือเหล่านั้นขึ้นมา
   
         “นี่จะพิมพ์ซ้ำหรือพี่”
   
         อรพรรณพยักหน้า “ใช่ แต่ต้องปรูฟเพิ่มนิดหน่อย คนอ่านเคยติมาน่ะว่ามีหลุดไปสองสามแห่ง”
   
         “หึ... ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า คนอ่านกันทั้งบ้านทั้งเมือง พี่รสแกคงแฮปปี้น่าดู” กวินเอ่ยออกไปโดยอัตโนมัติ ไม่อน่ใจแก่ตัวเองเหมือนกันว่าเอ่ยไปด้วยความรู้สึกเช่นไร จะว่าเยาะเย้ยก็ไม่ใช่ หรือจะว่าอิจฉาก็ไม่เชิง “เป็นเครื่องยืนยันนะว่าต่อให้โลกมันจะทรามแค่ไหน แทนที่คนจะเข้มแข็ง แต่คนโดยมากก็ยังยินดีที่จะทำตัวอ่อนแอ หนีความจริง เสพแต่งานโหยหากำลังใจ พวกชนชั้นกลาง !”


         "แหม... เท่จังเลยนะยะ เอะอะก็ค่อนขอดชนชั้นกลาง" อรพรรณแหวออกมาอย่างอดไม่ได้ "โธ่เอ๊ย... แกอย่ามากระแดะลืมกำพืดหน่อยเลย มีใครแถวนี้ไม่ใช่ชนชั้นกลางบ้างไหม หรือแกจะบอกว่าแกไม่ใช่ อย่าลืมว่าไอ้ที่มีกินมีใช้อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะชนชั้นกลางทั้งนั้น แฟนหนังสือแกอีกล่ะ ก็ชนชั้นกลางอีกนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่าซื้อหนังสืออ่านฉันขอเหมาเลยว่าชนชั้นกลางทั้งนั้น อย่ามาด่ากันเองนักเลย เชิดชูกันเข้าไว้ ชนชั้นกลางจงเจริญ"


         "ก็แค่พูดเล่น" กวินแย้งเสียงอ่อย "จริงจังทำไมเนี่ย"
   
         “ก็ฉันหมั่นไส้แก ทำมาเป็นว่าเขา องุ่นเปรี้ยวละสิไม่ว่า ทำไมไม่ลองเขียนอย่างเขาบ้างล่ะ จะได้ขายดีบ้างไง” อรพรรณเอ่ยขึ้นมาราวกับว่าได้ที


         "ไม่ต้องวกมาเรื่องนี้เลยนะ" กวินตอบโต้ไปทันที ในขณะที่อรพรรณก็คล้ายจะรบเร้าต่อ


         “เอาน่า คิดสิว่าท้าทายตัวเอง”
   
         “ไม่ได้หรอกพี่ ผมพยายามแล้ว” ชายหนุ่มตอบกลับอย่างพยายามจะใจเย็น “ก็บอกแล้วไง มันยากนะ ที่จะเขียนอะไรจอมปลอมแบบนั้นออกมา ผมเป็นพวกหลอกตัวเองไม่เป็น”
   
         “กวิน” อรพรรณเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงจริงจัง มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่คล้ายกับว่ารู้จักตัวตนของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี “พี่เข้าใจในจุดยืนของแกนะ แต่แกน่ะยังเด็กนัก โลกนี้ยังมีอะไรให้แกเรียนรู้อีกเยอะ”
   
         กวินนิ่งไปอย่างทันทีหลังจากที่อรพรรณพูดจบ คราวแรกคิดว่ารุ่นพี่ของตนพูดเล่น เลยตั้งท่าจะเอ่ยแซว แต่พอครั้นได้เห็นแววตาของอีกฝ่ายที่ยังจริงจังไม่เลิกรา ก็ทำให้คำพูดนั้นของอรพรรณดังซ้ำในสมองของกวินอยู่หลายรอบ และมันก็ส่งผลให้เขาร็สึกตีบตันขึ้นมาเล็กน้อยในความรู้สึกก่อนที่จะพยายามสลัดมันออกไป พยายามจะเอ่ยอะไรออกไปสักอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก เลยได้แต่หัวเราะออกมาเบา ๆ แก้เจื่อน
   
         “อย่าปิดกั้นตัวเอง เชื่อพี่ แล้วมันจะดีกับแก” อรพรรณพูดซ้ำด้วยสำเนียงที่ยังคงจริงจังไม่ต่างจากเดิม
   
         ทันใดนั้น ก่อนที่กวินจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ แล้วจากนั้นบานประตูก็ถูกเปิดออกอย่างนุ่มนวล สายตาของอรพรรณและกวินตวัดไปมองผู้มาเยือน พบหญิงสาวร่างสูงเพรียวค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า คล้ายกับพกความประหม่าและตื่นเต้นมาเล็กน้อย แต่กระนั้น แววตาของเจ้าหล่อนก็ยังคงมีประกายระริกบ่งบอกบุคลิกของเจ้าตัวที่น่าจะเป็นคนรักสนุกและมากอารมณ์ขัน
   
         “สวัสดีค่ะ พี่พรรณ” หล่อนยกมือไหว้ผู้อาวุโสสุดในห้อง ก่อนจะค่อย ๆ เสยผมยาวสีน้ำตาลที่ปรกหน้าให้ปัดออกไปด้านหลัง ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วคล้ายกับเลื่อนสายตามามองกวิน
   
         “พี่พรรณมีแขก” ราวกับได้ที กวินรีบลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว ราวกับหวาดกลัวที่จะต้องคุยในประเด็นก่อนหน้ากับอรพรรณอีก “ผมขอตัวนะครับ”
   
         “เดี๋ยวก่อนสิกวิน” อรพรรณเรียกไว้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่กวินกำลังเดินปรี่ไปที่ประตู “จะรีบไปไหน ลืมไปแล้วหรือว่าพี่ยังไม่ได้คุยธุระกับแกเลย”
   
         “นั่นสิ” กวินนึกขึ้นได้พอดี ก่อนจะยิ้มเจื่อน ๆ รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่อาจจะหนีจากอรพรรณได้ในเวลานี้ ในขณะที่หญิงสาวแขกของอรพรรณก็ยังคงสบตามองเขาอยู่ไม่เลิก อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่าเจ้าหล่อนผู้นี้จะมีส่วนเกี่ยวพันอะไรกับธุระที่อรพรรณอยากจพูดกับเขาหรือเปล่า
   
         “นี่คุณพิม” อรพรรณเริ่มแนะนำ “หลานสาวของคุณวรรณี”
   
         “วรรณี?” กวินทวนคำ งุนงงในแวบแรก ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นหนังสือปกสวย ๆ บนโต๊ะทำงานของอรพรรณ แต่กระนั้นก็ยังไม่แน่ใจ “วรรณี วรรณรัตน์น่ะหรือ”
   
         “ใช่ค่ะ” พิมเอ่ยตอบอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยิ้มกว้าง ในขณะที่กวินก็ยังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก หญิงสาวคว้านามบัตรในกระเป๋าสตางค์ส่งให้กวินอย่างทันท่วงที กวินรับมาแล้วมองผาด ๆ จำไม่ได้เลยว่ารายละเอียดในบัตรเป็นอย่างไร สมองครุ่นคิดถึงแต่ความน่าประหลาดใจที่วันนี้ชีวิตของเขาเหมือนจะได้พบเจออะไร ๆ อันเกี่ยวเนื่องกับวรรณี วรรณรัตน์เสียมากมาย ตั้งแต่รายการทีวีตอนเช้า หนังสือบนโต๊ะอรพรรณ แล้วยังจะหลานสาวอีก ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ดี ๆ นักเขียนเก่าเก็บในความทรงจำที่เขาเองก็แทบจะหลงลืมไปนานแล้วถึงได้กลับมาปรากฏย้ำในวันนี้
   
         “วรรณี วรรณรัตน์เป็นนามปากกาของคุณป้าดิฉันเอง” พิมพูดต่อ
   
         อรพรรณสังเกตเห็นความงุนงงบนใบหน้าของกวิน จึงพยายามที่จะอธิบาย
   
         “คือว่าคุณพิมเขามีเรื่องอยากให้แกช่วยน่ะกวิน”
   
         “ช่วยอะไร”
   
         หญิงสาวผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะเอ่ยมาอย่างทันทีทันใดไม่อ้อมค้อม
   
         “ฉันอยากให้คุณเป็นโกสต์ไรเตอร์ให้กับคุณป้าของฉัน”
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 05/01/2010
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 09-01-2010 02:12:57
5
    
         โกสต์ไรเตอร์ !!!!  
         หลังได้รับคำขอความช่วยเหลืออันแสนพิลึกพิลั่นนั้น กวินยอมรับว่าตกใจในแวบแรกและคิดว่าจะต้องเป็นการอำกันอย่างสุดแสบ แต่พอเมื่อได้รับรู้ถึงความจริงจังของอีกฝ่าย กวินก็แทบอยากจะกรีดร้อง    
         จะบ้าหรือ ! จะให้เขาเป็นโกสต์ไรเตอร์ให้กับนักเขียนอย่างวรรณี วรรณรัตน์น่ะหรือ? ไม่มีทาง ! เป็นไปไม่ได้แน่นอน ใคร ๆ ต่างก็ต้องรู้ วรรณีกับกวินแทบจะเป็นเหรียญคนละด้าน ถ้าอีกฝ่ายเป็นขาว อีกฝ่ายก็ต้องเป็นดำ ทุกวันนี้ลำพังแค่ว่ากวินได้หยิบงานของวรรณีมาอ่านผ่าน ๆ ตา เขาก็แทบจะวิงเวียนและอยากจะอาเจียนกับความสวยงามของชีวิตทั้งหลายแหล่อันถูกตวัดออกมาจากปลายปากกาของเจ้าหล่อน มันเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เขา – นักเขียนผู้ซึ่งประกาศกร้าวแต่เพียงเรื่องราวเลวร้ายและหม่นหมองของโลกบูด ๆ เบี้ยว ๆ – จะไปทำหน้าที่ให้กำลังใจผู้คนแบบอย่างที่วรรณี วรรณรัตน์ทำมาตลอด ขืนไปทำก็เหมือนเอาปลาไปอยู่บนบก เอาจิ้งจกไปจมในน้ำ มันก็คงมีแต่ตายกับตาย  
         อะไรกันที่ทำให้ยายผู้หญิงผอมแห้งผู้นี้ที่อ้างว่าเป็นหลานของวรรณีมาวานให้เขาทำให้อะไรที่พิลึกกึกกือเช่นนี้ อยากจะถามออกไปจริง ๆ ว่าสติดีอยู่หรือเปล่า อรพรรณก็อีกคน กวินไม่เข้าใจเจ้าหล่อนเอาเสียเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เหมือนจะทำท่าเออออห่อหมกไปด้วย เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันมาแท้ ๆ ทำไมถึงทำเหมือนกับว่าไม่รู้จักกันดีพอ  
         “ไม่มีทาง ไม่มีทาง และไม่มีทาง”  
         กวินพูดซ้ำซากออกไปแค่นั้น พร้อมกับเดินหนีออกมาจากห้องของอรพรรณอย่างทันทีทันใด ซึ่งดูท่าว่าอรพรรณเองก็คงจะคาดการณ์เอาไว้แล้วว่ากวินจะต้องมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เจ้าหล่อนจึงหาได้ตกใจหรือแปลกใจไม่ หนำซ้ำ ยังเดินตามกวินพร้อมกับสติที่ครบถ้วน พยายามที่จะโน้มน้าวให้กวินลองใตร่ตรองดู ในขณะที่พิมหลานสาวของวรรณีก็เดินตามมา พูดอะไรออกมาเรื่อย ๆ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจจะฟังอีกต่อไป  
         “กวิน...” อรพรรณร้องเรียกพร้อมกับคว้ามือชายหนุ่มไว้ “อย่าใจร้อนสิ ฟังก่อน”  
         “ไม่ฟัง !” กวินประกาศกร้าวเสียงลั่นจนคนในออฟฟิศแทบจะหันมามอง “เข้าใจไหมพี่ ไม่ฟัง ไม่ฟัง ไม่ – ฟัง !”  
         กวินพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด โกสต์ไรเตอร์..... โกสต์ไรเตอร์งั้นหรือ? น่ารังเกียจที่สุด! ใจของกวินเต้นเร่าราวกับกลองศึก ถึงแม้เขาจะไม่ใช่นักเขียนร้อยล้าน หรือไม่ได้เป็นเจ้าของฉายาปากกาฝังเพชร และอาจจะยังไม่เคยและอาจจะไม่มีโอกาสไปแตะต้องรางวัลซีไรต์ซีเหลวอะไรกับใครเขา แต่ถึงอย่างไร ตัวเขาเองก็ไม่ได้ถึงขนาดโนเนมกระจอกงอกง่อย กวินรู้ดีว่าเขาเองก็พอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง รวมถึงยังมีพื้นที่และมีแนวทางผลงานที่เป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจนและก็มีกลุ่มผู้อ่านจำนวนพอสมควรที่ติดตาม อะไรกันที่จะต้องเป็นสาเหตุให้เขาต้องลดตัวลงไปเป็นปากการับใช้ใครด้วยเล่า ยิ่งโดยเฉพาะคน ๆ นั้นเป็นวรรณี วรรณรัตน์ ผู้ซึ่งเทียบกับเขาแล้ว แทบจะเรียกได้ว่าอยู่กันคนละฝากฝั่งของบรรณพิภพเลยทีเดียว  
         บ้าที่สุด ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด  
         “โอ๊ย! ใจเย็น ๆ สิกวิน” อรพรรณร้องแว้ดกลับมา “มันมีเหตุผลนะที่คุณพิมเขาต้องขอให้แกช่วย”  
         “เหตุผล!” กวินร้องลั่น รู้สึกเดือดจนควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ ลักษณะนิสัยและความเคยชินทำให้กวินพรั่งพรูคำพูดและอารมณ์ออกมาอย่างไม่คิดจะเกรงใจ “เหตุผลอะไร เหตุผลที่ว่านักเขียนแก่คนนึง จมไม่ลง แม้ว่าสังขารจะไม่ให้แต่ใจยังรัก เลยต้องพึ่งมือคนอื่นเขียนให้ตัวเอง นี่ใช่ไหมเหตุผล”    
         “นี่คุณไม่มีสิทธิ์ว่าป้าฉันแบบนี้นะคะ” พิมเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์โมโหไม่แพ้กัน  
         “ไม่ได้ว่า แค่พูดตามตรง” กวินสวน “เออ ! แล้วนี่ทำไมป้าคุณเขาไม่มาติดต่อเองเลยล่ะ ใช้ให้คุณมาทำไม”    
         พิมทำท่าจะขยับปากตอบ แต่กวินไวกว่า พูดแทรกขึ้นมาก่อนด้วยสีหน้าและน้ำเสียงแดกดันอย่างสุดพลัง  
         “อ๋อ ! ไม่ได้สิ มาเองไม่ได้ เพราะเดี๋ยวจะเสียมาดบรมครู” กวินหัวเราะเหยียดหยาม “ถามจริงเหอะ เก้าสิบเก้าเล่มนี่มันก็มากแล้วนะ ป้าคุณเขายังไม่พออีกหรือ สงสัยต้องเอาให้มันครบร้อย ให้เลขมันสวยละมั้ง แล้วถึงจะได้นอนตายตาหลับ....โอ๊ย !!”  
         พิมเผลอตบหน้ากวินอย่างลืมตัว กวินเอามือจับแก้มตรงรอยตบ รู้สึกปวดแสบขึ้นมาจนสามารถนึกภาพเห็นรอยแดงรูปฝ่ามือที่น่าจะกำลังปรากฏบนใบหน้า    
         เจ็บ... เจ็บมาก !  
         หน็อย..ยัยก้าง ! เห็นตัวเล็กแต่มือหนักเป็นบ้า กวินคิดในใจอย่างเดือดดาล ความโกรธมากทวีคูณในความรู้สึก แต่ชายหนุ่มก็ทำอะไรไม่ถูก ด้วยความที่เคยถนัดแต่การใช้ปากเห่า พอคราวนี้เจอของจริงกวินก็เลยไปไม่เป็น นอกจากอ้าปากค้างอย่างตกใจ  แต่ถึงอย่างไร ตัวคนตบเองก็คล้ายตกใจในการกระทำตัวเองเช่นกัน  
         “ฉันขอโทษ” พิมเอ่ยเสียงอ่อย อารมณ์โมโหของเจ้าหล่อนดูจะหายวับไปทันที ในขณะอรพรรณถอนใจยาว  
         “พี่พรรณ ดูสิ” กวินร้องโวยวายหาบรรณนาธิการรุ่นพี่ งอแงกระทืบเท้าด้วยท่าทางคล้ายกับเด็กโดนแกล้งที่ต้องวิ่งโร่ฟ้องผู้ใหญ่    
         “แกพูดขนาดนี้พี่ก็เข้าข้างแกไม่ลงจริง ๆ ว่ะกวิน”  
         “อะไรวะเนี่ย” เป็นไปได้ กวินอยากจะพูดอะไรออกไปอีก อาจจะเป็นคำด่า หรืออาจจะเป็นคำพูดเสียดแสง อะไรก็ได้ให้มันสมกับความเจ็บปวดที่ตัวเองได้รับ แต่ราวกับคำพูดเหล่านั้นมันติดอยู่ที่ลำคอ ไม่อาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้ ทั้งสามเงียบกันไปเนิ่นนาน ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ในขณะที่พนักงานของสำนักพิมพ์เองก็เงียบไปทั้งออฟฟิศ เหมือนทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น  
         “พี่รสครับ พี่รสต้องลองอ่านจริง ๆ นะครับ”  
         เสียงของขจรดังแว่วขัดเข้ามา พร้อมกับการเคลื่อนไหวแรกก็เกิดขึ้นจากประตูห้องทำงานของมธุรสที่ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการก้าวออกมาของมธุรสและขจร มธุรสก้าวฉับ ๆ ไปหาฝ่ายอาร์ตเวิร์คพร้อมกับยื่นแผ่นเพลตให้ พร้อมกับพูดคอมเม้นต์เล็กน้อย ในขณะที่ขจรก็พยายามที่จะตื๊อให้มธุรสให้สนใจต้นฉบับของตนให้ได้ จังหวะนั้นเองที่เหมือนทุกคนจะได้สติ พนักงานทั้งหลายรีบกลับไปก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ แต่กวินเองก็ยังคงพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี    
         “ผมอยากให้พี่รสลองอ่านจริง ๆ นะครับพี่ พี่รสลองนึกดูนะครับ งานเขียนหนึ่งชิ้นที่จะถูกกล่าวถึงไปตลอดยุคสมัย มัน... มันแสดงออกถึงอุดมการณ์ของยุคโพสต์ ๆ ๆ ๆ โมเดิร์น มัน... มันจะพิพากษาความอยุติธรรมทั้งปวง นี่มัน... มัน... มันยิ่งใหญ่มากเลยนะพี่... มัน...”  
         “อ้าว ! กวิน” มธุรสร้องเรียกกวิน พร้อมกับเดินมาหากวิน เป็นไปได้ว่าหล่อนอาจจะใช้กวินเป็นเครื่องมือในการที่จะหลีกหนีจากขจร “พี่อยากเจอเธออยู่พอดีเชียว”    
         ขจรพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ในขณะที่กวินและพิมยกมือไหว้มธุรส  
         “พี่รสครับ คือว่างานชิ้นนี้มันเป็นเรื่องราวของ...” ขจรยังพยายามที่จะขายงานต่อ แต่มธุรสไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว “...ของการต่อสู้ระหว่าง เอ่อ...”    
         “อ้าว ! หนูพิม” มธุรสเพิ่งจะมองเห็นหญิงสาว จึงเอ่ยทักด้วยเสียงที่ดังจนกลบเสียงของขจรไปจนหมด “ไม่ได้เจอกันนานเลย ผอมลงนะเรา นี่ไปยังไงมายังไงจ๊ะเนี่ย มีธุระอะไรที่นี่หรือ เออ...ใช่... ได้ข่าวว่าป้าเธอไม่ค่อยสบายนี่”    
         ไม่ทันที่พิมจะได้พูดตอบอะไร มธุรสก็พูดต่อเองอย่างรวดเร็ว เป็นบุคลิกอีกอย่างหนึ่งของบรรณนาธิการผู้นี้ คือเจ้าหล่อนจะพูดเร็วและถามเองตอบเองโดยแทบจะไม่เปิดโอกาสให้ใครพูด  “ฝากบอกคุณวรรณีด้วยนะจ๊ะว่าพี่เป็นห่วง ขอให้หายเร็ว ๆ แล้วออกงานใหม่ให้ทันปีนี้นะจ๊ะ ไม่งั้นปีหน้า ป้าเธอจะต้องเขียนเรื่องสั้นแล้วละ ไม่ใช่นิยาย”  
         “งานชิ้นนี้ของผมก็เป็นนิยายครับ” ขจรพูดแหลมออกมา “เป็นนิยายที่น่าสนใจในแง่ของ...”  
         “เป็นไงบ้างล่ะกวิน” มธุรสพูดกลบขจรอีกครั้ง พร้อมกับหันเหความสนใจจากพิมมาที่กวินแทน “แก้มเป็นอะไร”  
         กวินพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด พร้อมกับเหล่มองพิมด้วยสายตาคาดโทษ อรพรรณเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตอบออกมาแทน    
         “กวินมันเดินชนขอบประตูน่ะสิพี่รส” อรพรรณยิ้มกว้าง พร้อมกับแอบหยิกกวินเล็กน้อยให้เงียบเสียง “ซุ่มซ่าม”    
         มธุรสหัวเราะเบา ๆ เล็กน้อย คล้ายกับไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ก่อนจะพูดต่อ  
         “พี่ล่ะอยากจะคุยกับเธออยู่พอดีเลยกวิน เรื่องงานเล่มใหม่”  
         “ต้นฉบับอยู่กับพี่พรรณเรียบร้อยแล้วครับ” กวินตอบออกไป พยายามที่ระงับความหงุดหงิดที่ยังหายไปไม่หมด “เดี๋ยวพี่รสคงได้อ่าน”  
         “จริง ๆ พี่อ่านไปบ้างแล้วล่ะจ้ะ ผ่านตา ดาร์คไซต์มาก ! ชื่ออะไรนะ คาวความรัก โอย... แค่เห็นชื่อเรื่องพี่ก็แทบจะเป็นลม” มธุรสพูดยืดยาว พร้อมทำท่าราวกับจะเป็นลมเอาเสียให้ได้ หน้าซีดสมจริงจนแทบจะเป็นนักแสดงรางวัลสุพรรณหงส์แห่งเมืองไทยได้ง่าย ๆ เลยทีเดียว แต่กระนั้น สาวใหญ่มาดหญิงแกร่งก็ถอนใจยาวหนึ่งคำรบแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับกวินด้วยน้ำเสียงจริงจัง “กวินจ๊ะ ไม่คิดบ้างหรือว่าบางทีเธออาจจะต้องลองอะไรใหม่ ๆ”  
         “อะไรหม่ายหม่าย.... ตายละ !” กวินอดที่จะประชดออกไปไม่ได้ ไม่ค่อยจะอยากโผล่หน้ามาที่สำนักพิมพ์นักก็ด้วยเหตุนี้ มาทีไรก็ต้องเจอบรรณนาธิการจอมจู้จี้ที่มักจะพูดแต่อะไรพรรค์นี้ กวินเดาได้เลยว่าต่อไปมธุรสจะพูดอะไรต่อ “อะไรบ้างล่ะ ที่ใหม่สำหรับพี่รส”  
         “อ่า... ก็อย่างเช่น” บรรณนาธิการสาวใหญ่ตีสีหน้าชวนฝันเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ลองนึกถึงความละมุนละไมของชีวิต ความสดใสสวยงามของโลกมนุษย์ หรืออะไรบางอย่างที่สะท้อนความหมายแห่งการดำรงชีวิตและดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง อา...”  
         “นั่นมันไม่ใช่ของใหม่เลยพี่ เก่า เก่ามาก เชยสะบัด” กวินพูดแทรก ขัดอารมณ์ชวนฝันของมธุรสจนชะงัก รู้สึกคันยิ่งนักจนไม่อาจจะฟังต่อไปได้ “แล้วอีกอย่าง พี่เองก็มีงานแนวนี้ของคุณวรรณีพิมพ์ไปตั้งเยอะแล้วนี่”  
         “ในโลกนี้ไม่มีอะไรออริจินัลหรอกจ้ะ” มธุรสพูดอย่างอดทน “จริงอยู่ว่าคุณวรรณีเธอขึ้นหิ้งไปแล้ว แต่พี่น่ะ อยากเห็นงานใหม่ จากคนรุ่นใหม่ ๆ”    
         “ในสไตล์งานแบบเก่า !” กวินพูดขัด    
         “พูดก็พูดเถอะกวิน” มธุรสเอ่ยสิ่งที่ติดอยู่ในใจของเจ้าหล่อนออกมาในที่สุด “เธอลองมองดูรางวัล...ปีหลัง ๆ ที่ผ่าน มาสิ มันน่าคิดนะว่าเธอต้องเขียนยังไง ต้องเขียนแนวไหน มันถึงจะได้รางวัล... มันชัดเจนมาก มาก ๆ ๆ เลยทีเดียว กวิน พี่จะสอนให้ เธอน่ะต้องพาตัวเองไปหารางวัล...นะจ๊ะ  ไม่ใช่ว่าอยู่เฉย ๆ แล้วรอให้กรรมการมาเปิดกะลาเจอเธอเองน่ะ มันไม่ได้”  
         “ผมเข้าใจครับ” กวินตอบไปอย่างระอิดระอา “รางวัล...น่ะมันเนื้อเกรดเอ กินทั้งชาติก็ไม่หมด ได้มาทีนึง ต่อไปแค่เขี่ยหมึกเล่นก็ยังขายงานได้ แต่...” กวินถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ “...ผมทำไม่ได้จริง ๆ ครับพี่”  
         “โธ่... กวิน” มธุรสยังคงไม่หมดความพยายาม “เธอเคยลองแล้วหรือถึงรู้ว่าทำไม่ได้”  
         “พี่รสครับ” กวินอธิบายอย่างอดทน “ประเด็นอยู่ที่ว่า ตอนนี้ผมกำลังจะขายนามปากกาตัวเองในไสตล์อะไร คนจะอ่านงานกวิน เขาน่าจะคาดหวังว่ากวินจะต้องหนักแน่นและเสียดแทง งานเล่มใหม่ที่ออกมาต้องพัฒนาในด้านความแรงและล่อแหลมให้มันมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ก็มาเพ้อฝันฝักใฝ่ความดีงาม ถามจริง ๆ นะครับพี่รส พี่ว่ามันไม่เป็นการเสียเวลาหรือ และมันไม่เสี่ยงเลยหรือกับการที่ผมต้องไปเสียเวลาเขียนงานจับฉ่าย ถ้าเกิดมันออกมาแย่ นักอ่านใหม่ก็ไม่ต้อนรับ นักอ่านเก่าก็หมดศรัทธา แล้วอย่างนี้สิ่งที่ผมสร้างขึ้นมาก่อนหน้าไม่พังไปหมดหรือพี่ แล้วเดี๋ยวพองานผมขายไม่ออก พี่ก็จะพาลไม่แฮปปี้กับผมอีก”  
         “เพชรแท้น่ะเขาไม่กลัวอะไรแบบนี้หรอกโว้ย” ขจรบ่นพึมพำออกมาเบา ๆ คล้ายกับจงใจยั่วโมโห “มึงมันเพชรเก๊”  
         “หุบปากไปเลยขจร กูไม่มีอารมณ์จะเล่นกับมึงตอนนี้” กวินร้องด่า พอขจรเห็นกวินจริงจังก็เลยเงียบไป แต่ก็ปากยังขมุบขมิบเบา ๆ ในขณะที่กวินหันกลับมาคุยกับมธุรสต่อ
         “แล้วอีกอย่างนะพี่รส ซึ่งสำคัญมาก และมากที่สุด ผมไม่เก่งพอที่จะเขียนงานโกหกใครได้ มันไม่ใช่ทางของ..”      
         “งั้นคุณก็ลองเริ่มจากการช่วยฉันสิคะ” จู่ ๆ พิมก็พูดแทรกขึ้นมาหลังจากที่เงียบไปนาน  
           “อะไรนะ”กวินชะงัก หันไปหาพิม ในขณะที่มธุรสและขจรขมวดคิ้วอย่างงุนงง    
         “ก็หมายความว่า” พิมเอ่ยอย่างเชื่องช้า ทว่า ชัดเจนและแฝงด้วยความวิงวอน “คุณสามารถใช้โอกาสนี้ในการทดลองไงคะ คุณจะได้ค่าตอบแทนจากฉัน เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่การเสียเวลาเปล่า ไม่มีการพิมพ์การเผยแพร่ เพราะฉะนั้น ถ้าเขียนออกมาแล้วคุณไม่ชอบ นามปากกาของคุณก็ไม่เสียหายอะไร  ลองดูเถอะนะคะ คุณจะได้ท้าทายตัวเองด้วยไงนะคะ ช่วยป้าของฉันเถอะนะ”  
         พิมมองกวินอย่างอ้อนวอน เชื่อว่าถ้าบอกให้กราบเท้า หล่อนก็คงจะทำอย่างไม่ต้องสงสัย ท่าทางของพิมทำเอากวินถึงกับพูดอะไรไม่ออก มธุรสและขจรดูงงกับสิ่งที่พิมพูด ในขณะที่อรพรรณก็มองหน้ากวินคล้ายกับรอคำตอบ    
         “พอกันทีสำหรับวันนี้ ลาก่อนทุกคน” กวินถอนใจดังแล้วเดินหนีไปทันที    
         “นี่พูดเรื่องอะไรกันจ๊ะ” มธุรสเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย  
         “อ่อ... คือว่า...” พิมตั้งท่าจะตอบ  
         “หนูพิมจ๊ะ” อรพรรณบีบแขนพิมอย่างรุนแรงเพื่อห้ามไม่ให้พูด หัวเราะกลบเกลื่อนเล็กน้อย แล้วลากพิมเดินออกไป แต่กระนั้น สีหน้าของอรพรรณก็ปล่อยพิรุธออกมาอย่างชัดแจ้ง “ไปเถอะจ้ะ พี่หิ๊วหิว... กวิน รอพี่ด้วย แหม พี่รู้หรอกจ้ะว่าหิว ไม่ต้องรีบ”  
         ทั้งสามเดินออกไปจากสำนักพิมพ์ ทิ้งให้ขจรและมธุรสมองหน้ากันงง ๆ  
         “พี่รสสนใจจะอ่านต้นฉบับของผมหรือยังครับ คือมันเป็นงานเกี่ยวกับ...”  
         “ซื้อกาแฟให้พี่แก้วนึงนะขจร จำได้ใช่ไหม กาแฟดำไม่ต้องใส่น้ำตาล เทไซรัปมาสักค่อนแก้วก็พอ ขอเข้ม ๆ” มธุรสพูดสั่งแล้วเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว  
         “จัดไปครับ” ขจรยิ้มให้มธุรสที่เดินหนีเข้าห้องไป แล้วจากนั้นก็เบือนสายตาผ่านประตูกระจกไปยังลิฟต์ของตึก เห็นว่ากวิน อรพรรณและพิมกำลังเดินเข้าลิฟต์ไปพร้อม ๆ กัน กวินยังคงดูมีท่าทางหงุดหงิดงอแงไม่เลิก ส่วนพิมก็ดูจะพยายามขอโทษกวินอยู่อย่างนั้น โดยมีอรพรรณเป็นตัวไกล่เกลี่ย    
         ขจรมองตามทั้งสามไปด้วยสายตาคมกริบ คล้ายกับมั่นใจว่าทั้งสามจะต้องมีความลับอะไรสักอย่างอยู่แน่ และถ้าเป็นเช่นนั้น ก็นับว่าเป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเปิดโปงให้ได้ !

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 09-01-2010 15:55:05
เป็นเรือ่งที่แปลกแหวกแนวมากๆ ด้านความคิด ทัศนคติ มุมมองแล้วก็ภาษาอ่ะนะคะ
แรงได้ใจจริงๆ สุดยอดดดดดดดดดดดดดด
กวินนี่โคดจะเป็นมนุษย์จริงๆคนนึงเลยนะ ไม่สนใจใคร ไม่หยิบยื่น
ไม่ทำในสิ่งที่สังคมเรียกว่า ต้องพึ่งกระทำ แหมมันแรงเข็ดฟันจริงๆ
“เป็นเครื่องยืนยันนะว่าต่อให้โลกมันระยำแค่ไหน แทนที่คนจะเข้มแข็ง
แต่คนโดยมากก็ยังยินดีที่จะทำตัวอ่อนแอ หนีความจริง เสพแต่งานโหยหากำลังใจ”

>> สุดยอดดดดดดดดดด เหมือนในยุคนึงที่มีแต่ละครเพ้อฝัน มอมเมาให้ชาวบ้านได้ดู
เพื่อให้ลืมเลือนสถานการณ์บ้านเมืองที่โหดร้าย ป่าเถื่อน
คนพวกนั้นหลุดพ้นจากภาวะไร้ค่าของคืนนี้แล้ว ในขณะที่กวินยังไม่
>>ภาวะไร้ค่าของกวินเนี่ย .......นิยามมันช่างแรงขาดใจจริงๆถึงว่า ขจรมันถึงได้ไล่ให้ไปตรวจเอดส์
สองคนนี่ปากคอจัดจ้านจริงๆ ด่ากันไปยัง คำสุภาพแต่แสบไปยันกระดูก
"เขาไม่ใช่มนุษย์ผู้โชคดี ดังนั้น แม้การจะทำตัวเองให้ดูดีก็ยังต้องพยายาม"
>> เอิ๊ก อันนี้เจ๋งอ่ะคะ ชอบๆๆๆ ต้องพยายามแม้กระทั้งให้ดูดี
"สาดอัตลักษณ์ใส่คนอ่าน แล้วสร้างมายาคติผิด ๆ”
>>คำศัพท์โคดสวยหรูแต่ แหลกไม่ได้ สมองต้องสังเคราะห์กี่รอบฟ่ะเนี่ย

หนูพิมกล้าตรบคุณกวินแบบนี้อ่ะ แรงเกินไปหน่อยรึป่าว มาขอให้เค้าช่วย
แต่ก็มาตรบเค้าซะงั้นถึงกวินมันจะปากเสียจาบจ้วงผู้หลักผู้ใหญ่ก็เหอะนะ
แล้วนี่จะทำงานกันได้มั๊ยเนี่ย
ปล. +1 จัดให้คะ แปลกแหวกแนว ภาษาเริ่ดดดดดดด อ่านแล้วคัน เจ็บๆแสบๆแต่จริงใจอ่ะ
พระเอกยังไม่มารึคะ ใครกันจะมาปราบกวินได้ อยากรู้ว่าจะปราบเด็กดื้อยังไง
ทัศนคติในการมองโลกก็นะ จะดำไปไหน  :เฮ้อ:
ขอถามนิดนะคะ โกสต์ไรเตอร์ !!!! คือไรอ่ะคะ มันออกแนว นักเขียนเงารึป่าว
มันแปลตรงตัวมั๊ย  :m23:

สู้ๆคะ  o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 09-01-2010 16:20:35
ตอบคุณ mecon ครับ


โกสต์ไรเตอร์ก็เรียกกันตรงตัวเลยครับ ว่านักเขียนผี แหะ ๆ ๆ


ก็คือนักเขียนตัวจริงที่เขียนเรื่องแทนอีกคนน่ะครับ อย่างเช่นหนังสือบางเล่มของดาราบางคนที่บอกว่าเขียนเอง ๆ บางทีเค้าอาจจะไม่ได้เขียนเองครับ แต่จ้างให้โกสต์ไรเตอร์เขียนให้ ประมาณนั้นครับ


ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 09-01-2010 16:23:04
อ้า เข้าใจกระจ่างแจ้งก็วันนี้คะ  :m23:
ขอบคุณคะ เป็นกำลังใจให้  o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
เริ่มหัวข้อโดย: zolof26 ที่ 09-01-2010 16:41:04
เอา...... โล่ห์พระราชทานไปเลย.....
สำนวนสวยมั่กๆ
เวอร์จริงจัง 
น่าติดตามมมม
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
เริ่มหัวข้อโดย: k[1mE]:D ที่ 09-01-2010 18:17:55
ภาษาดีมากกๆเลย  อ่านเพลิน แต่จุกทุกคำเลย

สะท้อนใจคนในยุคปัจจุยันเลยทีเดียววว

นายเอกแรงได้ใจ จะมีเพิ่งดีกรีความแรงกว่านี้อีกไหมเนี้ยย

รู้สึกก็ได้ว่ามองโลกในมุมกลับมากๆ ทำให้เห็นถึงความเห็นแก่ตัวในบุคคลต่างๆ

อยากเห็นพระเอกว่าจะเป็นเช่นไรที่จะมาปราบได้สำเร็จ

อ่านๆไปคงติดแน่ๆเลย

 :L1: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 09/01/2010 ลงแล้ว 5 ต$
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 10-01-2010 00:47:41
เกริ่นมาอย่างแนบเนียน และดูเหมือนว่าเรื่องกำลังจะเข้าสู่ประเด็นแล้ว

ความดื้อรั้นที่มีอยู่ในใจนั้น ไม่รู้ว่าวันไหนจะเสื่อมคลาย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 19/01/2010 ลงแล้ว 6 ต&#
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 19-01-2010 00:44:13
ขอโทษที่หายไปนานครับ ต่อไปจะพยายามลงให้เร็วขึ้นครับ

------------------------------------

6
    

    “คุณป้าป่วยอยู่ได้สักพักแล้วล่ะ”

    พิมเอ่ยขึ้ยด้วยเสียงสั่นเครือ คล้ายกับพยายามอย่างยิ่งที่จะเค้นเอาคำพูดต่าง    ๆ นา ๆ ออกมา

    ภายในโถงทางเดินอันเงียบสงัดและฉุนไปด้วยกลิ่นยา กวินมองผ่านกระจกเล็ก ๆ ของบานประตูจ้องเข้าไปยังภายในห้องแคบ ๆ อรพรรณและพิมยืนอยู่ข้าง ๆ มองเข้าไปด้านในเช่นกัน มองเห็นวรรณีในสภาพที่แทบจะตรงกันข้ามไปกับภาพที่เห็นบนทีวีเมื่อเช้าราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ กวินจำได้ว่าวรรณีในรายการสัมภาษณ์ดูเป็นหญิงกลางคนที่แลดูอวบอิ่ม เป็นเจ้าของใบหน้าและรอยยิ้มอันแสนหวานชวนให้ผู้พบเห็นรู้สึกสดชื่นและสบายใจ แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมแสนสวยมากด้วยสง่าราศี แต่ภาพที่เห็นตอนนี้กลับเป็นหญิงแก่ที่แลดูมากไปด้วยความทุกข์ ซูบผอม และปราศจากรอยยิ้ม อยู่ในชุดคนไข้ซึ่งนั่งอยู่บนเตียง หล่อนกำลังจดจ่อกับการเขียนงานบนกระดาษ เขียนแล้วก็ขยำมันทิ้งอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจสิ่งใดรอบข้าง เหล่าพยาบาลพยายามจะให้ทานยาแต่หล่อนก็ดื้อ เกรี้ยวกราดใส่พวกหล่อนอย่างกับคุมสติไม่อยู่

    “มันเริ่มมาจากการที่วันนึงคุณป้าคิดจะเขียนงานชิ้นสุดท้าย” พิมเล่าต่อ พยายามที่จะระงับการสะอึดสะอื้น “ป้าดูมุ่งมันกับมันมาก บอกอยู่เสมอว่ายุคสมัยของแกกำลังจบ เลยอยากทิ้งทวนชีวิตนักเขียนด้วยงานชิ้นสุดท้ายที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่ฉันเห็นคือคุณป้าดูจะไม่ไหวเอาเสียแล้ว ป้าหมกมุ่นอยู่กับการจะเขียนงาน ซึ่งดูเหมือนจะไม่โลดแล่นเท่าที่ควร วัน ๆ นึงป้าจะทำได้แค่จับปากกานั่งนิ่งอยู่กับโต๊ะ เขียนอะไรไม่ออก บางคราวก็เอาแต่นั่งเหม่อออกไปที่หน้าต่าง ฉันเอาอาหารมาให้ก็ไม่สนใจ”

    พิมถอนใจยาว อรพรรณเดินไปบีบมือหล่อนเพื่อให้กำลังใจ ก่อนจะเล่าต่อ

    “บางทีอาจจะเพราะป้าแกแก่มากแล้ว แกบ่นเสมอค่ะว่าสมองคนแก่ช่างเชื่องช้า ไม่โลดแล่นผาดโผนเหมือนพวกหนุ่มสาว แต่ในขณะเดียวกัน คุณป้าก็แพ้ภัยตัวเอง บางคราวแกบอกฉันว่า แกอยากจะให้งานชิ้นสุดท้ายของแกเป็นงานที่จริงจังและจริงใจที่สุด แต่ในบางคราว แกก็กังวลกับกรอบและมาตรฐานบางอย่าง แกบอกว่าแกเป็นคนมีชื่อเสียง ถึงยังไงแกก็จมไม่ลง ไม่อยากจะเขียนงานชุ่ย ๆ ออกมาให้โดนวิจารณ์ทางลบ รู้ไหมว่าบางวันแกก็ได้แต่เขียนงานแล้วขยำกระดาษทิ้งเป็นว่าเล่น บางทีก็เดินงุ่นง่านไปมา ฉันว่าป้าสับสน กดดัน และเครียดเอามาก ๆ ฉันอยากให้ป้าเลิกเขียนงานนี่เสีย แต่ป้าก็มุ่งมั่นจนฉันไม่กล้าพูดอะไร”

    พิมเบือนหน้าหนีเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่หยุดเล่าเรื่อง

    “จนวันหนึ่ง เมื่อสักสองเดือนก่อน ป้าก็ปลุกฉันตั้งแต่เช้ามืด ท่าทางของป้าเหมือนเสียสติ แกถามหาว่าต้นฉบับของแกหายไปไหน ฉันเดินไปที่ห้องทำงาน ก็เห็นว่าต้นฉบับของป้าวางอยู่บนโต๊ะ ฉันหยิบให้แก ปรากฏว่าแกก็คลั่งขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฉีกต้นฉบับพวกนั้นทิ้งหมด แกบอกว่าแกไม่มีทางเขียนอะไรงี่เง่าพรรค์นั้นออกมาแน่” คราวนี้เองที่พิมเริ่มจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว “แต่นั่นน่ะมันต้นฉบับของป้าจริง ๆ นะ ฉันสาบานได้ ฉันว่าป้าของฉันเครียดจนสติไม่อยู่กับร่องกับรอย ฉันเลยให้ยานอนหลับ พอวันต่อมาป้าก็เป็นปกติ ลืมทุกอย่าง กลับมาเริ่มต้นเขียนงานใหม่”

    “ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาก” กวินถามออกไปอย่างสงสัย “แล้วทำไมถึงกลายมาเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ”

    “ประเด็นคือว่า” พิมพยายามจะอธิบาย “พอวันต่อมา ป้าก็จำเรื่องราวในวันก่อนไม่ได้ หมอบอกว่าคุณป้า...”

    พิมชะงักไปเล็กน้อยเหมือนสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่งกับสิ่งที่กำลังจะพูด ในขณะที่กวินจ้องตาพิมอย่างคาดคั้นรอคอยคำตอบ

    “คุณป้าอาจจะเป็นอัลไซเมอร์...” พิมถอนหายใจหนักหน่วง “ความทรงจำระยะสั้นของป้ามีปัญญา คุณป้าจะลืมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไปหมด แต่ปัญหาคือถึงแม้ความจำจะเลอะเลือน แต่ป้าไม่ลืมเรื่องการเขียนงานชิ้นสุดท้ายเลย แถมความมุ่งมั่นในการเขียนงานสุดท้ายของป้ามันก็ไม่เคยจะลดลง ในทุก ๆ วัน... ป้าจะตื่นขึ้นมาแล้วเริ่มเขียนงานใหม่ตั้งแต่ต้น และพอวันต่อมา ป้าก็จะลืมว่าเมื่อวานตัวเองเขียนอะไรไป พอเอาให้อ่าน ป้าก็ไม่เชื่อว่านั่นคือสิ่งที่ตัวเองเขียน ป้าก็เลยเริ่มเขียนใหม่อีก เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกือบเดือน ป้าเข้าใจไปเองว่างานของแกไม่คืบหน้า ในขณะที่เวลาล่วงไปเยอะแล้ว ป้าเริ่มเครียด และกดดันมากขึ้น บางคราวก็โวยวายอาละวาด น่ากลัวมาก ป้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย ตั้งแต่เด็กจนโต ป้าไม่เคยเกรี้ยวกราดใส่ฉันมาก่อน จนวันนึง... ไม่ว่าใครก็เอาไม่อยู่...”

    พอหญิงสาวร่างผอมพูดจบ นักเขียนดังในห้องผู้ป่วยก็เริ่มอาละวาดหนักขึ้นเพราะเหมือนจะรู้ตัวว่ากำลังจะโดนจับฉีดยา หล่อนกำกระดาษและปากกาไว้แน่นในมือ ราวกับหวงแหนมันนักหนา วรรณีคลุ้มคลั่งจนพวกพยาบาลและหมอต้องกรูกันเข้าไปช่วยเพื่อฉีดยาให้ได้ พิมพูดต่อไม่ได้อีกแล้วเพราะร้องไห้ อรพรรณเข้าไปโอบพิมไว้ แล้วพูดต่อแทน         

    “หนูพิมเลยอยากให้แกช่วยไง คุณวรรณีปฏิเสธงานเขียนของตัวเอง เพราะฉะนั้นบางที ถ้าแกเขียนงานให้ คุณวรรณีเธออาจจะดีขึ้นก็ได้”

    “ผมไม่เข้าใจ” กวินพูดสวนไปโดยอัตโนมัติ “มันจะดีขึ้นได้ยังไง”

    “อ้าว...” อรพรรณร้อง “ก็บางทีถ้าคุณวรรณีแกอาจจะเชื่อก็ได้นี่ว่างานที่แกเขียนน่ะคืองานของเขา”

    “บ้าหรือพี่” กวินโวยวายออกไปอย่างไม่เข้าใจ “มัน.... มันเป็นไปไม่ได้ ผมกับคุณวรรณีเนี่ยนะ ไม่มีทางเลย ต่างกันแทบจะเป็นเมฆกับโคลน”

    กวินผ่อนลมหายใจ พยายามที่จะประคับประคองสติ แล้วหันไปพูดกับพิมอย่างใจเย็น

    “ทำไมคุณไม่ลองหาคนอื่นล่ะ มีนักเขียนเยอะแยะที่เดินรอยตามป้าของคุณ อย่างเช่น..”

    “รู้อะไรไหมคะ” พิมแทรก “ตอนช่วงที่ป้ายังปกติ ป้าอ่านงานของคุณทุกเล่ม”

    “อะไรนะ”

    “ป้าบอกว่าคุณน่ะเขียนดี แม้ว่าบางครั้งดูจะเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจไปหน่อย ฉันก็ไม่คิดอะไรมาก แต่พอช่วงที่ป้าเริ่มจำอะไรไม่ได้ รู้ไหมคะ...หนังสือบางเล่มของป้า ปกก็แปะชื่อป้าอยู่ทนโท่ ป้ายังบอกว่าไม่ได้เขียน แต่กับหนังสือของคุณ ป้าบอกว่าป้าเป็นคนเขียนเอง แต่ใช้คนละนามปากกา ดูสิ ป้าเข้าใจผิดไปได้ถึงขนาดนั้น”

    “นี่ไม่ได้เล่นมุกใช่ไหม”

    “จนทุกวันนี้ป้าก็ยังเชื่ออยู่ว่าหนังสือห้าเล่มของคุณเป็นผลงานของแก” หลานสาวของนักเขียนดังยืนยันและยืนกราน “แปลกนะคะ ขนาดงานที่ตัวเองเขียนกับมือเมื่อวาน แกยังขยำทิ้ง แต่กับงานคุณ.....” 
 
    พิมนิ่งไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “นี่ทำให้ฉันเชื่อค่ะ ว่าคุณน่าจะช่วยป้าฉันได้”

    “แต่ผมก็ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนอยู่ดี”

    “ป้าจดไอเดียคร่าว ๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ไว้ในไดอารี่ คุณเริ่มจากตรงนั้นได้ค่ะ”

    กวินถอนใจ พูดอะไรไม่ออก มองเข้าในห้องของวรรณี เริ่มรู้สึกสงสารและสะท้อนใจขึ้นมาอย่างประหลาด อะไรกันหนอที่ทำให้คน ๆ หนึ่งเขียนงานคนกลายเป็นแบบนี้ หรืออาจจะเพราะการที่นักเขียนอยู่กับโลกส่วนตัวมากเกินไปจะส่งผลเสียในระยะยาวแบบนี้น่ะหรือ ไม่น่าเลย ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย สาเหตุอะไรกันหนอที่ทำให้คนปรกติคนหนึ่งซึ่งเขียนงานออกมาเป็นร้อยเล่มต้องมีสภาวะแบบนี้ในบั้นปลาย

    น่ากลัวอะไรเช่นนี้

    “เอาจริง ๆ ผมสะเทือนใจนะ ผู้หญิงคนหนึ่งเขียนงานจนเป็นบ้า บางทีผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวผมเองก็อาจจะกลายเป็นแบบคุณป้าคุณเข้าสักวันหนึ่งก็ได้ แต่..”.

    กวินเงียบเสียงของตัวเองลง ตอนนี้วรรณีเริ่มสงบแล้ว แต่ในมือของหล่อนยังกำปากกาไว้แน่น ในหัวเตียงของหล่อนมีหนังสือของกวินทั้งห้าเล่มวางอยู่ กวินนิ่งมองอยู่นานเหมือนคิดว่าจะเอายังไงดี จนสุดท้ายก็ตัดสินใจ

     “ผมช่วยไม่ได้จริง ๆ” กวินตอบไปอย่างเด็ดเดี่ยว “มันยากไป ผมไม่เก่งขนาดนั้น”

     ดูเหมือนพิมผิดหวังกับคำตอบของกวินอย่างเห็นได้ชัด กวินเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตากับหล่อน ราวกับกลัวที่จะมองเห็นสายตาของความสิ้นหวัง เขาทนไม่ได้ เพิ่งจะรู้ตัวเดี๋ยวนั้นนั่นเองว่าเขาเป็นคนที่ไม่อาจจะทนอะไรแบบนี้ได้ เมื่อโสตประสาทได้ยินเสียงถอนใจที่ผสมกับสำเนีนงสะอื้นไห้ดังจากพิม กวินก็ทนไม่ได้ ตัดสินใจเดินหนีไปทันที

    “กวิน เดี๋ยวสิ !” อรพรรณร้องเรียกไว้

    “อ่อ... แล้วอีกอย่าง” กวินหันกลับมาพูด “ผมเขียนงานด้วยไมโครซอฟต์เวิร์ด ไม่เคยจับปากกา ดังนั้น ผมจึงไม่สามารถปลอมลายมือของป้าคุณได้แน่นอน”

    เมื่อกวินเดินจากไปในลักษณะที่มั่นใจได้ว่าจะไม่เดินหวนกลับมา อรพรรณกับพิมสบตากัน จากนั้น หญิงสาวร่างผอมก็ใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเรียกร้องความเห็นใจจากผู้หญิงอีกคนที่สูงวัยกว่า

    “ช่วยพูดกับเขาให้ฉันหน่อยเถอะนะคะพี่พรรณ นะคะ”

    “พี่ขอโทษจริง ๆ ค่ะ ถ้าเจ้าตัวยืนกรานแบบนี้ พี่ก็คงช่วยไม่ได้จริง ๆ” อรพรรณถอนใจ ไม่พูดอะไรต่อ ได้แต่มองหน้าพิมเป็นเชิงขอโทษ แล้วเดินตามกวินไป เหลือพิมยืนอยู่คนเดียว พิมกอดอก ยกมือกุมขมับ มองเข้าไปในห้องของวรรณี เหมือนกำลังเครียดกับหนทางข้างหน้าว่าจะเอายังไง จากนั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง

    “ไอ้กวินมันเกรียน” ขจรว่าด้วยเสียงดังลั่น พร้อม ๆ กับเดินเข้ามาหา “ก็ไม่เห็นต้องปลอมลายมือเลย ก็แค่คุณโกหกป้าคุณว่า คุณเอาต้นฉบับลายมือของป้าไปพิมพ์ให้ ถ้าป้าคุณจะเชื่อเสียอย่าง ยังไงก็เชื่อ”

    พิมหันไปมองตามเสียง เห็นขจรเดินออกมาจากมุมทางเดินใกล้ ๆ คล้ายกับว่าเขาได้ยืนแอบฟังมาตั้งแต่ต้น ในขณะที่พิมยังงุนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก ขจรเดินมาประชิดตัว ยักคิ้วหลิ่วตาให้ราวกับสนิทสนมกันเสียเต็มประดา

    “...เนอะ คุณเพ็ญ”

    “พิมค่ะ” หญิงสาวพูดแก้

    “อ่อครับ...” ขจรแสยะยิ้มให้ “คุณพิม”

    ขจรกดมือถือโทรออก ยังคงไม่เลิกแสยะยิ้มให้พิม พร้อมกับที่นัยน์ตาตวัดมองเข้าไปในห้องวรรณี ยิ้มมุมปากอย่างสาแก่ใจ ไม่สนใจว่ากำลังถูกหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงข้ามมองมาอย่างงง ๆ

    “สวัสดีครับพี่รส” ขจรเดินหนี พร้อมกับกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ ด้วยเสียงที่ดังลั่นก้องกังวานไปทั่วโถงทางเดินของโรงพยาบาล ไม่สนใจว่าจะมีคนหันมามอง

    “ผมมีเรื่องที่อยากจะบอกให้พี่รสรู้ครับ สำคัญสิครับ สำคัญมาก”
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless - UPDATE 19/01/2010 ลงแล้ว 6 ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 19-01-2010 00:58:43
ขจร....นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารังเกียจจริงๆ

ส่วนโรคอัลไซเมอร์........อีกหน่อยคุณป้าของพิมอ่ะ
ทำจำไม่ได้แม้กระทั่งว่า...จะจับปากกายังไง เฮ้อเรื่องโรคร้ายนี่น่ากลัว
แต่จะให้กวินฝืนใจทำเพราะสงสาร..มันก็ไมใช่ตัวตนของเค้าอีก
จะเอาความสงสารมาแลกกับจิตวิญญาณของเค้า เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา
ในการตัดสินใจอ่ะนะ ต่อให้มีคนตื้อเข้ามากๆก็เหอะ ...

สู้ๆคะ +1
ปล.บอกวันอัพเดท แก้ไขในทู้แรก หน้าแรกเท่านั้นนะคะ  อิอิสู้ๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/10 ลงแล้ว 7 ต$
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 21-01-2010 15:34:25
7

ความจริงไม่น่าจะเป็นเรื่องยากที่กวินจะใช้ชีวิตไปให้หมดแต่ละวัน ๆ ด้วยอะไรที่ซ้ำซาก ดูจะเคยชินด้วยเสียซ้ำ โดยเฉพาะในเวลาเช่นนี้ที่เพิ่งจะลุล่วงงานไปได้หนึ่งชิ้น กวินมีเวลาเหลือเฟือที่จะใช้ชีวิตแกน ๆ โดยไม่ต้องมีอะไรมาให้รกสมอง ดูหนังคนเดียว เดินเล่นอย่างไร้จุดหมายในศูนย์การค้าที่เต็มไปด้วยผู้คนที่พูดคุยด้วยไม่ได้เลยสักคน ออกกำลังกายในฟิตเนสอย่างบ้าคลั่งด้วยความลุ่มหลงว่าร่างกายของตนเองยังคงดูดีไม่น่าเกลียด และสุดท้าย ก็ไม่พ้นที่จะจบวันด้วยมีอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับชายหนุ่มในห้องซาวน่าในเวลาและโอกาสอันพอเหมาะพอเจาะและลงตัว ประเภทที่ว่าสุขสมกันอย่างลับ ๆ และรีบ ๆ แล้วจากนั้นก็ไม่ต้องมองหน้า แล้วพูดจาอะไรกันอีก

    นี่คือชีวิตแกน ๆ ของกวินที่ดำเนินไปอย่างแกน ๆ บางคราวมันอดจะที่น่าสมเพชไม่ได้กับตัวเองที่จะต้องหัวเราะร้องไห้คนเดียวในโรงหนังเหมือนคนบ้า พบหนังจบก็รีบปรับอารมณ์ให้ราบเรียบแล้วเดินดุ่ย ๆ ออกจากโรง ต้องถามตัวเองว่าเสื้อแบบไหนเหมาะหรือไม่เหมาะกับตัวเองเพราะไม่มีใครให้ถาม ซึ่งเอาเข้าจริงก็ตอบตัวเองไม่เคยจะได้ เสื้อผ้าบางตัวซื้อมาก็ไม่กล้าใส่ หรือบางตัวลองใส่ได้ครั้งเดียวแล้วพอเจอสายตาขบขันของคนอื่น ๆ ก็พานใส่ไม่ลง กวินไม่อยากจะยอมรับนักหรอกว่าเสียเซลฟ์ง่ายนักหนากับเรื่องพวกนี้ แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธยาก

    ที่อัปลักษณ์ที่สุดคงเป็นเรื่องหลัง การมีอะไรกับคนแปลกหน้าและแปลกที่ ความจริงเรื่องแบบนี้มันคงสวยงามและน่าลิ้มลองก็ต่อเมื่อได้ปรากฏอยู่ในเซ็กซ์สตอรี่ก็เท่านั้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกวินเลี่ยนกับมันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เอาเข้าจริง ถ้าใครได้มาประสบจะรู้ว่าความน่าเมามันในกามารมณ์ทั้งหลายทั้งแหล่ที่เกย์ร่ำร้องกันนั้น มันก็เพียงแค่ความใฝ่ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อันไร้เดียงสาที่ไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวกะโปโลเพ้อถึงรักแรก นอกเหนือไปจากนั้น การมีอะไรกับคนแปลกหน้าก็ไม่ได้นำไปสู่อะไรที่ยิ่งใหญ่หรือดีกว่าเลยสักนิด เซ็กซ์ก็คือเซ็กซ์วันยังค่ำ มีแต่เด็กอายุสิบสองเท่านั้นแหละที่ควรจะเชื่อว่าเซ็กซ์กับใครสักคนอาจจะกลายเป็นรัก ประเภทว่าลองกันสักครั้งแล้วติดใจจนกลายเป็นรักแรกพบแบบนิยายทั้งหลายแหล่ เพ้อเจ้อ ! กวินผ่านความโง่เขลาเช่นนั้นมาแล้ว จึงรู้ตัวว่าการมีอะไรกับใครสักคนนั้นก็ไม่ได้จะมีแก่นสารไปมากกว่าการปลดปล่อยความใคร่ให้เสร็จสรรพไปอย่างแกน ๆ เหมือนการช่วยตัวเองที่โลดโผนพิสดารไปอีกขั้นก็เท่านั้น

    เป็นชีวิตแกน ๆ ที่แสนจะอัปลักษณ์และน่ารังเกียจ แต่ทั้งหมดนี้ก็ล้วนเป็นภาวะจำยอมในฐานะมนุษย์เดินดินทั้งสิ้น กวินจึงทำใจให้ยอมรับกับมันไปอย่างโดยง่าย ไม่คิดจะหวังอะไรไปมากกว่านี้ ในโลกอันโหดร้ายและบูดเบี้ยว การหวังต่อสิ่งใดมาก ๆ นั้นถือเป็นวิสัยของคนโง่ และกวินก็เข็ดขยาดเสียนักกับความผิดหวัง

    แต่วันนี้กลับต่างออกไป ชีวิตแกน ๆ ของกวินถูกรบกวนด้วยสิ่งแปลกใหม่ที่เขาเองไม่ใคร่จะอยากครุ่นคิดถึงมันเลยสักนิด ไม่เข้าใจด้วยว่าเหตุใดมันถึงได้กลับมารบกวนห้วงความคิดของเขาอยู่ได้ กวินอยากจะให้ความมั่นใจแก่ตัวเองว่าวรรณี วรรณรัตน์หาได้สมควรจะมามีความสำคัญและมามีความเกี่ยวข้องอันใดกับชีวิตของเขาไม่ ยายพิมผู้ผอมเก้งก้างคนนั้นก็เช่นกัน ไม่ใช่แก่นสารอันใดที่เขาจะต้องไปใส่ใจ เพราะไม่ได้อยู่ในฐานที่กวินจะทำอะไรได้ด้วย การที่นักเขียนแก่คนหนึ่งเป็นอัลไซเมอร์และใกล้จะเป็นโรคประสาท ที่ถึงแม้คนใกล้ตัวจะเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ ว่ากวินสามารถเป็นฮีโร่ช่วยหล่อนได้ แต่ในพื้นของความจริง... กวินทำอะไรได้เช่นนั้นหรือ?

    ไม่ได้... เขาทำอะไรไม่ได้เลย

    แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงสลัดมันไม่หลุด ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเรื่องราวต่าง ๆ นา ๆ จึงยังดังซ้ำซากในไปมาในหัวสมอง ทำไมถึงมัวแต่เห็นภาพความคลุ้มคลั่งอันน่าสมเพชของหญิงกลางคนผู้นั้นและอดจะหดหู่ไปด้วยไม่ได้ และที่สำคัญที่สุดคือไม่เข้าใจว่าทำไมชะตากรรมถึงยังเล่นตลก ให้เขาพบเจอแต่ใบหน้าของวรรณี วรรณรัตน์เสียตลอดทั้งวัน ทั้งจากโปสเตอร์ขนาดใหญ่จากร้านหนังสือ รายการเมื่อเช้า แล้วไหนจะยังพบคนอ่านหนังสือของเจ้าหล่อนมากมายนับได้ถึงเกือบจะสิบคน !

    เรื่องบ้าบอโดยแท้

    กวินกลับมาถึงตอนโดตอนเกือบจะสี่ทุ่ม เดินอย่างเหนื่อยล้าเข้ามาในลอบบี้แล้วกดลิฟต์รอ คิดในใจว่าเรื่องบ้าบอทั้งหลายจะต้องจบลงในไม่ช้านี้ กวินเชื่อหมดใจว่าถ้าได้อาบน้ำแล้วนอนพักผ่อนยาวนานจนถึงรุ่งสาง ทุกสิ่งอันเกี่ยวเนื่องกับวรรณี วรรณรัตน์จะหลุดกระเด็นออกไปจากหัว เชื่อว่าตัวเองคงจะไม่เผลอไผลหมกมุ่นกับเรื่องนี้อีกแล้วในวันข้างหน้า กวินเชื่อเช่นนั้นโดยที่ไม่ระแวงในชะตากรรมเลยสักนิด

     “หวัดดีคับพี่” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นข้าง ๆ หู ทว่า มันดูเป็นความคุ้นเคยอันน่าหวาดผวา ก่อนที่กวินจะได้หวาดผวาเอาจริง ๆ เมื่อหันไปมองว่าเสียงใคร

    ระหว่างที่ลิฟต์ยังมาไม่ถึงเสียที เจ้าเด็กหนุ่มที่ตื่นจากเตียงของกวินเมื่อเช้าก็เดินตรงมาถึงลิฟต์เสียก่อน มองหน้ากวินด้วยสายตาจริงจังจนกวินอดที่จะรู้สึกระแวงไม่ได้

    “มีอะไรหรือ” กวินถามออกไปอย่างหวาด ๆ

    เด็กหนุ่มถอนใจ ไม่ตอบ กวินพยายามยิ่งนักจะผ่อนคลายความอึดอัด

    “โอเค ถ้าเมื่อเช้าทำให้โกรธก็ขอโทษนะ แต่...”

    “รู้ป่ะ...” เด็กหนุ่มวัยสิบหกเอ่ยแทรกขึ้นมาทันท่วงที ทั้ง ๆ ที่กวินยังพูดไม่จบ “จริง ๆ ผมก็แค่อยากรู้จักพี่”

    เงียบ

    “ผมเห็นพี่ไปเที่ยวคนเดียวตลอด นั่งที่เดิมแทบจะทุกวัน ผมแอบมองพี่มานานแล้ว แต่....ไม่กล้าไปคุย”

    กวินชะงักไปอย่างจริงจัง ยิ่งโดยเฉพาะมองเห็นแววตาแปลกประหลาดที่ไม่คาดคิดมาก่อนจากดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า ชะงักไปชั่วคราว ก่อนจะร้องถามออกไปด้วยเสียงราบเรียบ       

    “แล้วไง?”

    ราวกับทุกอย่างพังทลาย เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจอย่างขุ่นเคือง

    “ก็ไม่แล้วไงหรอก จะบอกว่าถ้าพี่ไม่อยากคุยกับผมก็ไม่เป็นไร ผมไม่อยากคุยกับพี่แล้วก็ได้”

    “ดี !”

    ลิฟต์เปิดพอดี กวินตั้งท่าจะเดินเข้าลิฟต์ แต่เด็กหนุ่มร่างใหญ่คว้ามือเขาไว้ก่อน

    “แต่มีคน ๆ นึงที่ยังอยากคุยกับพี่ แล้วพี่ก็จำเป็นต้องคุยกับเขาด้วย”

    กวินมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างุนงง ไม่เข้าใจในรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ถูกส่งมา ไม่ทันให้กวินได้ตั้งตัว เด็กหนุ่มหันหน้าไปด้านนอก แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง

    “แม่ !”

    กวินเบิกตาอย่างตกใจ แต่ไม่ทันจะได้ทำอะไร ผู้หญิงวัยกลางคนท่าทางโทรม ๆ  ก็หันมาตามเสียงเรียก หล่อนรีบขานรับ ทิ้งบุหรี่ในมือ แล้วเดินบิดเข้ามาอย่างทันทีทันใด เซเล็กน้อยเหมือนพวกขี้เหล้า หล่อนแต่งกายด้วยเสื้อสายเดี่ยว กางเกงขาสั้น ไม่ค่อยสมกับวัยและรูปร่างสักเท่าไร แต่งหน้าจัดมาก กวินทั้งงงและตกใจ และอดที่จะตัดสินไม่ได้ว่าลักษณะท่าทางของหญิงสาวที่เด็กหนุ่มเรียกว่าแม่นี่มันช่าง... โสเภณีชัด ๆ

    “ผมก็ทำตามอย่างที่พี่บอกไง” เด็กหนุ่มยิ้มยียวนจนน่าหมั่นไส้ “เอาไปบอกแม่ทุกอย่างเลย แต่แม่ผมไม่เห็นจะเพิ่มค่าขนมให้เลยอ่ะ แถมยังด่าผมเสีย ๆ หาย ๆ อีก”

    “มึง...” เป็นอีกครั้งของวันนี้ที่กวินรู้สึกจุกและชาจนคิดคำด่าไม่ออก ผิดกับอีกคน ผู้ซึ่งเดินเข้ามาประชิดกวินอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นมาอย่างทันท่วงทีราวกับได้ซักซ้อมเอาไว้แล้วอย่างไรอย่างนั้น

    “คุณไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันรู้หมดแล้วว่าคุณทำอะไรลูกฉัน”

    กวินพยายามจะอธิบายแต่ไร้ซึ่งการรับฟัง

    “โธ่ ! เขาเพิ่งจะอายุสิบหก ทำไมคุณทำลงคอ”

    “แต่ว่า...” กวินพยายามอีกครั้งที่จะไกล่เกลี่ย แต่สุดท้ายก็ต้องล้มเหลว เมื่ออีกฝ่ายโต้มาอย่างฉับพลัน

    “ห้าหมื่น ! ภายในสามวัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด”

    เด็กหนุ่มยิ้มอย่างสะใจ ในขณะที่กวินถึงกับหน้าถอดสี



หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 21-01-2010 23:08:30
*** **** **** ***** *****

    ราวกับถูกดูดพลังออกไปจากตัวจนไม่เหลือสิ่งใด กวินรู้สึกว่านี่เป็นความซวยอีกครั้งหนึ่งของชีวิตที่ชะตากรรมอันเน่าหนอนชักจูงมันมาให้เขาได้พบเจอ

    ห่วยสิ้นดี !

    กวินเดินเข้ามาในห้องอย่างอ่อนล้า เปิดไฟ โยนของทิ้งลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจและไม่สนใจ ล้มตัวนอนลงเตียงอย่างเหนื่อยอ่อน เหม่อมองเพดาน ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปวดหัวตุบ ๆ เหมือนมีใครเอาค้อนมาทุบ รู้สึกเครียดและสมเพชตัวเองอย่างถึงที่สุด

    ครุ่นคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์

    ลุกขึ้นเปิดลิ้นชักข้างเตียง หยิบสมุดบัญชีออกมาเปิดดู มีเงินเหลืออยู่ในบัญชีแค่หมื่นเดียว แต่สองคนแม่ลูกนั่นเรียกตั้งห้าหมื่น ชายหนุ่มถอนใจ ล้มตัวนอน อดไม่ได้ที่จะเอามือก่ายหน้าผากให้สมกับความเครียด รู้สึกเหมือนมีอะไรค้างคาอยู่ในกระเป๋า ลองหยิบขึ้นมาดู พบว่าเป็นนามบัตรของพิมที่ยับยู่ยี่อย่างน่าเกลียด กวินถอนใจยาว ก่อนจะโยนมันทิ้งลงพื้น

    ครุ่นคิดต่อไปว่าจะต้องทำอย่างไร

    จะหาเงินมาจากไหนได้บ้างในเวลานี้ หรือจะไม่จ่าย..... ไม่ได้ ! ไม่จ่ายไม่ได้ ถ้าเกิดฝ่ายนั้นเอาจริงขึ้นมาก็มีแต่ว่าคนที่เจ็บหนักก็คือกวินอยู่ฝ่ายเดียว อย่างไรก็ไม่ได้ การจ่ายเงินไปเสียคือวิธีที่ดีที่สุด แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าจะหาจากไหนนี่ต่างหาก

    ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาอรพรรณ เสียงจากปลายสายดังตอบกลับมาอย่างทันท่วงที

    “สวัสดีค่ะ อรพรรณค่ะ....”

    “พี่พรรณ” กวินเอ่ยแทรกไปอย่างรัวเร็ว ด้วยความที่ลิงโลดเมื่อได้พบเจอที่พึ่ง “มีเรื่องเดือดร้อนนิดหน่อยว่ะพี่ คือว่าผมอยากจะขอเบิกเงินล่วงหน้า...”

    พูดไปได้แค่นั้น กวินก็ต้องเงียบเสียงตัวเองลง เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติ

    เสียงของอรพรรณดังจากปลายสายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพอฟังดี ๆ ก็รู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่าหาได้เป็นเสียงสด ๆ ไม่

     “...ตอนนี้เดี๊ยนไม่ว่างรับสาย และก็คงไม่ว่างไปเจ็ดวัน ขอโทษนะคะ.... พักร้อนค่ะ ! ไม่รับสายใด ๆ ทั้งสิ้น ! ไม่ต้องโทรมาเลยนะยะ ! ฮือ ๆ ๆ ๆ ฉันไม่มีอารมณ์คุย ฮือ ๆ ๆ ๆ โลกนี้มันแย่สิ้นดี !”

    สายตัดไปแค่นั้น แล้วตามด้วยสัญญาณฝากข้อความ กวินโทรลองซ้ำ เสียงของอรพรรณก็ดังตอบมาอย่างทันท่วงทีอีกครั้ง

    “สวัสดีค่ะ อรพรรณค่ะ..... ตอนนี้เดี๊ยนไม่ว่างรับสาย และก็คงไม่ว่างไปเจ็ดวัน ขอโทษนะคะ.... พักร้อนค่ะ ! ไม่รับสายใด ๆ ทั้งสิ้น ! ไม่ต้องโทรมาเลยนะยะ ! ฮือ ๆ ๆ ๆ ฉันไม่มีอารมณ์คุย ฮือ ๆ ๆ ๆ โลกนี้มันแย่สิ้นดี !”

    นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน ! กวินคิดในใจอย่างหงุดหงิด ผ่อนลมหายใจยาว ล้มตัวนอนอย่างหมดแรง ยกมือก่ายหน้าผาก ครุ่นคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับอรพรรณ...

    ...และครุ่นคิดต่อไปว่าเขาจะต้องแก้ปัญหาอย่างไร !


*** **** **** ***** *****


   “เกิดอะไรขึ้นกับพี่พรรณครับ”

   กวินร้องถามเสียงลั่นทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปในห้องทำงานมธุรส บรรณนาธิการบริหารสาวใหญ่ แม้จะไม่ได้เข้ามาบ่อยนัก แต่กวินก็พอจะคาดเดาและจดจำได้ถึงรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหลายของห้องนี้ จำได้ในฐานที่มันแปลกประหลาดและตลกสิ้นดี ห้องแคบ ๆ ที่กว้างเพียงไม่กี่ตารางเมตรประกอบไปด้วยโต๊ะทำงานเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงริมหน้าต่าง ในขณะที่ผนังด้านหนึ่งถูกใช้เป็นที่ตั้งตู้ปลาขนาดใหญ่ หนูแฮมสเตอร์วิ่งร่อนอยู่ในกรงวกไปวนมาอย่างน่าปวดหัวบนโต๊ะมุมห้อง โหลปลากัดจีนสามโหลตั้งอยู่ข้างเคียง ในขณะที่ผนังอีกด้านถูกวางเป็นชั้นไม้ที่เต็มไปด้วยกระถางกระบองเพชร เรียกได้ว่าเข้ามาห้องนี้ทีไร กวินก็เป็นอันต้องรู้สึกพิลึกพิลั่นเมื่อนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ในวันนี้ สิ่งที่พิลึกพิลั่นที่สุดหาได้เกิดจากบรรดาสิงสาราสัตว์และพืชพรรณในห้องของมธุรสไม่ แต่มันเกิดมาจากการที่พบว่ามีขจรอยู่ในห้องนั้นด้วยต่างหาก

   พอกวินเอ่ยถามออกไปเสร็จ มธุรสกับขจรก็มองหน้ากัน พาให้กวินรู้สึกงงยิ่งนักกับท่าทางของคนทั้งคู่ จากนั้น มธุรสก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วเอ่ยตอบขึ้นมาจนได้

    “คือเรื่องมันอย่างนี้จ้ะกวิน พี่รู้สึกว่าระยะหลัง ๆ พรรณอาจจะต้องรับผิดชอบอะไรหลาย ๆ อย่าง พี่ก็เลยจำเป็นจะต้องหาคนมาช่วยเขา”

    ในขณะที่กวินยังงง มธุรสก็หยุดพูด พร้อมกับปิดแฟ้มงานแล้วยื่นให้ขจร ก่อนจะสั่งการกับขจรอย่างทันท่วงที

    “เอาเป็นว่าพี่ผ่านนะ  เอาให้ฝ่ายอาร์ตทำงานได้เลย”

    “ครับพี่รส” ขจรรับแฟ้มจากมธุรสแล้วก็หันมามองกวินแบบเยาะ ๆ กวินตกใจเมื่อพอจะทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ได้บ้าง เพราะไอ้การทำอะไรแบบนี้ไม่น่าจะใช่หน้าที่ของขจรเลย หากแต่ควรจะเป็นหน้าที่ของอรพรรณต่างหาก หมายความว่ามธุรสเลื่อนตำแหน่งขจรให้เป็นบรรณนาธิการแทนอรพรรณเช่นนั้นหรือ

    “นี่พี่รสทำแบบนี้กับพี่พรรณได้ไง”

    “พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่จ๊ะ” มธุรสรีบเอ่ยแย้งอย่างรวดเร็ว “พี่ก็แค่ให้ขจรเขาช่วยพรรณเฉย ๆ แต่พรรณเขาน้อยใจหนีไปพักร้อนเอง ขจรเลยต้องทำงานแทนพรรณเขาหมดเลย”

    “พี่พรรณหนีพักร้อนหรือ”

    “ใช่จ้ะ”

    “แล้วพี่ได้ห้ามพี่พรรณหรือเปล่า”

    มธุรสกับขจรมองหน้ากัน แล้วทั้งคู่ยักไหล่ด้วยความรู้สึกไม่แยแส กวินโกรธจัด กระแทกเท้าเดินออกจากห้องไป ปิดประตูใส่ทั้งคู่อย่างแรง

    แต่แล้วแค่ประมาณสามวินาทีต่อมา กวินก็เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยท่าทางหงอย ๆ ยิ้มให้มธุรสอย่างเจื่อน ๆ ก่อนจะเรียบเรียงคำพูดอย่างยากเย็น

    “อันที่จริงผมว่าระยะหลัง ๆ พี่พรรณแกก็เบลอ ๆ ได้คนช่วยก็ดี ส่วนขจร เราว่านายก็... พอมีความสามารถ”

    มธุรสมองกวินแบบไม่เชื่อในสิ่งที่กวินพูด ในขณะที่ขจรยิ้มเยาะ ทำเอากวินยิ่งรู้สึกเจื่อนไปกันใหญ่ ถ้าเลือกได้ กวินจะไม่มีทางยอมยืนอยู่อย่างนี้ แต่คราวนี้มันช่วยไม่ได้ สถานการณ์มันบีบคั้นจริง ๆ

    “คือว่าผมอยากจะขอเบิก....”

    “เออ นายมาก็ดีแล้ว” ขจรพูดแทรกโดยที่ไม่สนใจว่ากวินยังพูดไม่จบ “เพราะอันที่จริงฉันก็คงต้องโทรหานายพอดี เรื่องต้นฉบับของนายน่ะ ฉันกับพี่รสปรึกษากันแล้ว...”

    “อ่าฮะ”     

   “พี่คงต้องขอปัดงานนี้ไปก่อนแล้วกันนะจ๊ะ”

    “หมายความว่าไงครับพี่”

    “กวินต้องเข้าใจพี่นะ” มธุรสพยายามอธิบาย “ตอนนี้เศรษฐกิจแย่ เพราะฉะนั้นมันจึงมีปัจจัยหลายข้อที่เราต้องคิด แล้วเราก็แค่สำนักพิมพ์เล็ก ๆ ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังที่จะ...”

    “แต่พี่พรรณให้ผ่านแล้วนี่นา”

    มธุรสถอนใจ

    “พรรณพักร้อนอยู่จ้ะ”

    พอสิ้นคำประกาศิคของบรรณนาธิการบริหาร ห้องทั้งห้องมีแต่ความเงียบ กวินสบตากับขจรและมธุรส ทั้งคู่ไม่พูดอะไรได้แต่ทำสีหน้าเย็นชา ทำเอากวินโกรธจัดถึงขีดสุด เดินกระทืบเท้าออกจากห้อง กระแทกประตูปิดอย่างแรง

    “เดี๋ยวมันก็กลับมา” ขจรพูดอย่างมั่นใจ

    หากทว่า ประตูปิดอยู่อย่างนั้น ไร้วี่แววของกวิน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 21-01-2010 23:57:47
 :a5: o22
ไอ่เด็กนั่นแสบโคตรๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ :fire: :m31: พูดง่ายๆคือ
ฟันกวินแล้วยังจะเอาเงินกวินอีก  :z6: :z6: ส่วนนังแม่ก็นะน่า :beat: :beat:
โหยยยยยยยย เงินก็ไม่มี ศักดิ์ศรีก็ค้ำคอ  :serius2: แล้วนี่พี่พรรณยังโดน
อิขจรกลั่นแกล้งอีก....สงสัยโกรธเรื่องคุณพิม อะไรนั่นรึป่าว โดนอิขจรเป่าหูแน่ๆเลยอ่ะ
ม่ายยยยยยยแล้วคราวนี้กวินจะหาเงินมาให้นังแม่ลุกนั้นได้ยังไงกันอ่ะ
จะไปขอ..คุณพิมทำเรอะ.... :serius2: คงต้องทำใจ นั่งคิดนอนคิดและกลืนน้ำลาย
ตัวเองลงคอก่อนอ่ะนะ  :เฮ้อ: สงสารกวิน
+1 คะสู้ๆๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 29-01-2010 12:58:38
เหอ ๆ

ปวงผลอันชั่วดี ล้วนก่อเกิดแต่เหตุกรรม

Miss
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
เริ่มหัวข้อโดย: korn_ken ที่ 29-01-2010 20:04:06
เข้ามารอ

หวังว่าเรื่องร้ายจะค่อยๆเบาลง

 :seng2ped: :seng2ped:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 29-01-2010 22:46:04
ขอบคุณ คุณ mecon คุณ thomaskung คุณ korn_ken และผู้อ่านคนอื่น ๆ ทุกท่านด้วยครับที่ติดตาม

ขอโทษที่หายไปนาน (อีกแล้วครับ แหะ ๆ)

ตอนนี้ยาวนิดนึงนะครับ ^ ^




8

    หนังสือพิมพ์หัวสีขนาดใหญ่ที่พาดข่าวเด่นหรา “นักเขียนเกย์วิปริต ชำเราเด็กสิบหก” ฉบับวันนี้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนทั้งหลายต่างซื้อและสนใจประเด็นนี้กันเป็นทิวแถว ทำเอากวินถึงกับประสาทเสีย นี่ยังไม่รวมที่ว่ารูปใบหน้าของเขาที่แปะเด่นอยู่ใต้กรอบ ท่ามกลางเรื่องราวที่กำลังบานปลายใหญ่โต ขณะนี้ กวินกำลังกลายเป็นผู้ต้องหาผู้ถูกประกาศจับในฐานะอาชญากรอันเลวทราม

     ท่ามเสียงวิพากษ์หนาหู กวินพยายามจะดันแว่นกันแดดให้ปิดตาจนสนิท พร้อมกับกระชับเสื้อโค้ตตัวใหญ่ให้มิดชิดมากขึ้น ราวกับประสงค์จะซ่อนตัวเองจากสายตาสำรวจตรวจตราของผู้คนทั้งหลายแหล่ที่พยายามจะเทียบใบหน้าในรูปข่าวกับใบหน้าของเขา และเมื่อสัมผัสได้ถึงความเคลือบแคลงสงสัยจากสายตาทุกคู่อันมากขึ้นเป็นทวีคูณ กวินก็รู้สึกว่าตนเองคงจะอยู่นิ่งไม่ได้อีกแล้ว

    จากที่ตอนแรกก็แค่เดินหนี แต่ความหวาดกลัวต่อสายตาตัดสินต่าง ๆ นา ๆ ทำเอากวินรู้สึกว่าแค่การเดินอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการหลบหนีอย่างเร็วไว ตัดสินใจวิ่ง...วิ่งออกไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทันใดนั้น โสตประสาทของชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ด้านหลัง ไม่ทันได้หันกลับไปมองว่าใครเป็นใคร กวินก็ถูกตะครุบร่างจนล้มกลิ้งไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงน้ำหนักอันกดทับจากร่างสูงใหญ่ที่กำยำแข็งแรง แล้วจากนั้น ข้อมือทั้งสองข้างของกวินก็ถูกรวบแล้วใส่กุญแจมืออย่างเสร็จสรรพ

    เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและสับสน ภาพทุกภาพปรากฏอย่างงุนงงและเวียนหัว รู้อีกที กวินก็พบว่าตัวเองอยู่ในชุดนักโทษ ถูกผลักเข้าไปในห้องขังแคบ ๆ มืด ๆ ที่มีกลิ่นอับชวนให้รู้สึกคลื่นเหียน รู้สึกได้ถึงอิสรภาพที่ถูกริดลอนภายใต้ลูกกรงแน่นหนา แต่ก็กวินก็ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเขย่าประตูเหล็กราวกับหวังว่ามันจะพังทลายลงไป แล้วสิ่งที่ตามมาจะกลายเป็นอิสรภาพ...

    ...ความหวังเลื่อนลอยที่ไม่มีวันเป็นจริง

    เสียงฝีเท้าดังกรูเข้ามาใกล้พร้อมกับเสียงแกรกกรากของโซ่ตรวน และเสียงหัวเราะแผ่วเบาจากด้านหลัง รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักกับเสียงอันน่าสยดสยองทั้งหมด ทำใจอยู่นานกว่าจะตัดสินใจหันไปมอง แล้วพอหันไปมองก็ยิ่งแล้วใหญ่ ภาพที่เห็นน่ากลัวกว่าเสียงที่ได้ยินนับร้อยนับล้านเท่า

    ภาพของนักโทษฉกรรจ์นับสิบที่กรูเข้ามาอย่างหื่นกระหายปรากฏแก่จักษุ ไม่ทันจะได้หายกลัวกับภาพที่เห็น นักโทษคนแรกก็กระโดดตระครุบร่างของกวินอย่างรวดเร็วและรุนแรง ไม่ทันจะได้เปล่งเสียงร้อง มันก็กดกวินแนบลงกับพื้น ฉีกเสื้อผ้าที่ห่อหุ้มร่างออกไปอย่างดิบเถื่อน ประสาทสัมผัสทั้งหลายแยกแยะอะไรไม่ได้อีกต่อไปนอกเหนือไปจากฝ่ามือหยาบ ๆ ของนักโทษนับสิบนับร้อยที่ขยุ้มร่างของเขาราวกับกำหนัดเสียเต็มประดา

    “ม่ายยยยยยยยยย !”  กวินกรีดร้องออกไปอย่างบ้าคลั่ง

    ลืมตาโพลงขึ้นมากลางดึก หอบหายใจถี่ เหงื่อแตกพลั่ก ใจยังเต้นระรัวอยู่ไม่หาย เมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาสู่โลกแห่งความจริง ภาพอันน่าหวาดกลัวแห่งความฝันนั้นยังตามมาหลอกหลอน แต่ในส่วนลึก ก็รู้สึกโล่งใจอยู่ไม่เบาที่ความน่าสยดสยองนั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน ใช่...เป็นแค่ความฝัน โชคดีอะไรเช่นนี้

    แต่....

    ถึงตอนนี้มันจะเป็นแค่ฝัน แต่วันหน้า มันอาจจะกลายเป็นความจริงก็ได้ ถ้าเพียงแค่เขาไม่สามารถหาเงินไปให้ไอ้เด็กนั่นได้ ถ้าเกิดมีการดำเนินคดีเกิดขึ้น ก็นับว่ามีโอกาสอยู่สูงเหมือนกันที่เขาจะต้องมีสภาพดังเช่นในฝัน

    กวินรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ภาพและเสียงอันน่าสยดสยองนั่นบังคับให้สติของกวินตื่นตัวและครุ่นคิดอย่างฉับพลันถึงอะไรสักอย่างที่ต้องทำ ไม่อาจจะปล่อยให้สถานการณ์วันหน้าดำดิ่งลงไปในทางร้ายได้โดยเด็ดขาด ทำอย่างไรดี ทำอย่างไรดี... จะหวังเงินล่วงหน้าจากหนังสือเล่มใหม่ก็ทำไม่ได้ มธุรสกับขจรปฏิเสธที่จะพิมพ์งานนั้นไปแล้ว

    จะหาเงินจากไหนได้บ้างนะ... จะมีรายได้จากไหนได้บ้างในเวลานี้...

    มีอยู่ทางเดียว !

    หัวสมองของกวินประมวลความคิดอย่างรวดเร็วฉับไว มือนั้นไวยิ่งกว่า เอื้อมไปเปิดไฟ เปิดลิ้นชักข้างเตียงเป็นอันดับแรก พยายามที่จะค้นหาอะไรสักอย่าง แต่ก็หาไม่เจอ

    “อยู่ไหนวะ”

    หัวเสียเล็กน้อย แต่ในภาวะที่ความคิดโลดแล่นเช่นนี้ ไม่นานเท่าไรกวินก็นึกออก

     รีบเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียง ก้มดูใต้เตียงอย่างทันทีทันใด สิ่งที่ต้องการพบปรากฏแก่สายตา รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย กวินพยายามอย่างสุดความสามารถจะเอื้อมมือหยิบนามบัตรของพิมที่เขาโยนทิ้งไว้เมื่อวันก่อน แต่คล้ายกับจะเอื้อมไปไม่ถึง โชคชะตาช่างสรรหาอุปสรรคมาให้แก่ชีวิตเขาจริง ๆ ขนาดเรื่องเล็กเรื่องน้อยก็ยังไม่วาย ตัดสินใจเปลี่ยนเป็นใช้ขาเขี่ย แต่ยืดขาไปไกลเท่าไรก็ยังไม่ถึง ทุลักทุเลยิ่งนัก เปลี่ยนใจไปใช้ไม้แขวนเสื้อ แต่เอื้อมเขี่ยเท่าไรก็ยังไม่ถึงอยู่ดี จนต้องตัดสินใจมุดเข้าไปทั้งตัว จามออกมาหนึ่งครั้งเมื่อเศษฝุ่นลอยล่องเข้าโพรงจมูก พยายามอยู่พอสมควร หัวโขกอยู่สามสี่ครั้ง กว่าจะได้นามบัตรออกมาจนได้ เศษฝุ่นเศษหยากไย่ก็เกาะตามเนื้อตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า

    รีบกดโทรออกไปหาตามเบอร์ที่ปรากฏบนบัตร ผ่านไปสักพัก หญิงสาวผู้หนึ่งก็รับสายทั้ง ๆ ท่ามกลางปาร์ตี้ในบ้านที่มีเสียงเพลงดังคลออย่างสนุกสนาน และเสียงของเจ้าหล่อนก็ดูคล้ายจะเมาได้ที่

    “ฮาย เดอะ เดส เพอะ เรส ไรเตอร์”

    กวินขมวดคิ้วอย่างงุนงงกับเสียงที่ได้รับ ทั้งเสียงเพลง เสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างสุดเหวี่ยงของคนอื่น ๆ รวมไปถึงเสียงของผู้พูดที่คล้ายจะร่าเริงอย่างถึงที่สุด

    ...ไม่น่าจะเป็นเบอร์ของยายพิมนั่นแน่ ๆ

    “เอ่อ...ขอโทษครับ โทรผิด”

    วางสายทันที ปักใจเชื่อว่าโทรผิด เขาคงจะลนลานมากเกินไปจนกดเบอร์ไม่ตรงกับบัตร ตวัดสายมองนามบัตรเพื่อจะเช็คเบอร์อีกครั้ง เทียบกับในโทรศัพท์ก็ปรากฏว่าตรง ไม่ได้มีตัวเลขไหนบิดเบือนไปเลย รู้สึกงุนงงเล็กน้อย กวินตั้งใจจะโทรหาพิมผู้ซึ่งน่าจะมีความทุกข์อยู่กับสถานการณ์ที่วรรณี วรรณรัตน์กำลังป่วยทางจิตมิใช่หรือ เสียงที่เขาได้รับควรจะเป็นเสียงอมทุกข์ของพิมที่พูดขึ้นในโรงพยาบาลอันสงบเงียบ นี่คือเสียงที่กวินคาดหวังจะได้ยินจากปลายสาย แล้วทำไมถึงกลับได้ยินเสียงขอบสาวเสียสติคนหนี่งที่กำลังคล้ายจะสนุกสนานอยู่กับปาร์ตี้

    หรือยายพิมมันจะพิมพ์เบอร์ในนามบัตรผิด? กวินครุ่นคิดอย่างมากมาย ไม่ทันได้ทำอะไรต่อ ทันใดนั้น เบอร์ที่เพิ่งโทรออกไปก็โทรกลับมาอย่างรวดเร็ว กวินถึงกับสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ก่อนจะกดรับ

    “โทรผิดบ้าอะไรล่ะ” เสียงแว้ดขึ้นทันทีทั้ง ๆ ที่กวินยังไม่ทันจะได้พูดอะไร “ยูจะคอลหาพิม หลานสาวสุดสวยของคุณวรรณี…ไรท์ ?”

    “เอ่อ...”

    “อิทส มี !” เมื่อนั้นเองที่กวินถึงจะมั่นใจว่าคนที่กำลังพูดคุยอยู่ด้วยคือพิม หลานสาวของวรรณีจริง ๆ “วาย ยู ฟอร์เก็ท มี หา !”

    “นี่...ได้ข่าวว่าป้าป่วยอยู่ไม่ใช่หรือ” ถามไปอย่างงุนงง

    “ใช่น่ะสิ” เสียงที่ตอบกลับมาคล้ายจะเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย แต่ดูเป็นความเคร่งเครียดที่ผสมความมึนเมาเอาไว้พอสมควร “ฉันนะเป็นห๊วง เป็นห่วง”

    “อืม...ห่วงป้า แต่เหมือนว่ากำลังมีปาร์ตี้”

    “โอ้ว !” ปลายสายร้องกลับมา “ชีวิตจริงนะจ๊ะ ไม่ใช่นิยาย ไม่มีความจำเป็นที่คนเราจะต้องจมอยู่กับความรู้สึกเดียวไปตลอดเวลา ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน เมื่อเช้าฉันร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือด แต่ตอนนี้ไม่ได้ละ ฉันจะต้องแฮปปี้ !”

    “เออ เชื่อเลยละ ว่าหล่อนกำลังแฮปปี้” กวินประชดไปโดยอัตโนมัติ

    จากนั้น ต่างคนต่างเงียบกันสักไปเล็กน้อย ก่อนที่พิมจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นก่อนราวกับรู้ทัน

    “เปลี่ยนใจแล้วใช่ม้า”

    “อืม”

    “โอ้ว... อิทส เกรท”

    “แต่ต้องเป็นความลับนะ ไม่มีการตีพิมพ์ ไม่มีการเผยแพร่ผลงาน และ...” กวินรีบพูดออกไปอย่างรวดเร็ว “ขอเงินค่าจ้างครึ่งนึงพรุ่งนี้เลยนะ โอเคเปล่า”

    เงียบ... ไร้เสียงตอบกลับจากพิมที่เป็นคำพูดคำจา กวินได้ยินแต่เสียงครางเบา ๆ ที่ดังสอดแทรกพร้อมกับเสียงดนตรี

    “เห้ย !  นี่รู้เรื่องป่ะเนี่ย” ถามย้ำไปอีกครั้ง

    “โอเค.... อา...” พิมตอบมาด้วยเสียงกระเส่า “ไอเก็ทแล้วจ้ะ... เลิฟยู โซ มัชชช น้า เดส เพอะ เรท ไรเต้อออ... โอ้วส์...”

    พิมจ๊วบปากเสียงลั่นใส่โทรศัพท์ แล้วกดวางสายอย่างทันทีทันใด

    “อะไรวะอีนี่”

    กวินถอนใจเบา ๆ ไม่มั่นใจว่าการพูดคุยธุระสำคัญกับคนที่กำลังเมาจะได้ประสิทธิผลเต็มที่สักเท่าไร ดูสิ โชคชะตาเล่นตลกอีกแล้ว ขนาดตัดสินใจแล้วแท้ ๆ เชียว ทำไมยายพิมถึงได้เสี้ยนจะมีปาร์ตี้ในเวลาที่เขาอยากจะจริงจังด้วยนะ กวินโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างเซ็ง ๆ ล้มตัวนอนต่อ ภายในใจนั้นเหมือนจะเครียดยิ่งกว่าเดิม

    แมวจรจัดสีดำผอมโซที่กวินเลี้ยงไว้กระโดดขึ้นมานอนบนหน้าอกของกวิน คล้ายกับต้องการจะทำหน้าที่ปลอบใจให้หายเครียด กวินลูบหัวมันอย่างอ่อนโยนอยู่สักพักคล้ายกับลืมตัว เจ้าแมวเองก็นอนเอาหัวอิงแอบกับอกของกวินคล้ายกับจะประสงค์ที่จะแบ่งปันความอบอุ่นให้กันและกัน

    แต่พอผ่านไปสักพัก เมื่อตระหนักขึ้นมาได้ กวินก็รีบปัดมันกระเด็นออกไปอย่างไม่ไยดี ไม่สนใจเสียงร้องอันเจ็บปวดของเจ้าแมวเมื่อร่างของมันกระแทกพื้น กวินคว้าผ้าห่มมาคลุมโปง ในขณะที่เจ้าแมวเดินคอตกไปนอนอยู่มุมห้องอย่างหงอยเหงา
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 29-01-2010 22:49:56
*** *** *** *** *** ***

    การเจรจากันตอนเมาไม่ได้แย่นักอย่างที่คิด เพราะในวันต่อมา พิมก็โทรกลับมาหากวินด้วยสติที่ครบถ้วน หลังจากที่พยายามพูดเสียงเจื่อน ๆ บอกให้เขาลืมการกระทำและคำพูดของหล่อนคืนนั้นไปให้หมด สีหน้าและน้ำเสียงของพิมดูจะอับอายเสียเต็มประดากับวีรกรรมในคืนนั้น แต่นอกเหนือไปจากเรื่องนั้นแล้ว พิมก็คล้ายกับจะดีใจอยู่ใม่น้อยกับการเปลี่ยนใจให้ความช่วยเหลือของกวิน

    หญิงสาวนำไดอารี่ของวรรณี วรรณรัตน์มาให้แก่กวินเผื่อที่ว่าเขาจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน หลังจากที่จัดการเรื่องเงินทองและปัญหาเฉพาะหน้าเสร็จสรรพ โล่งใจได้ไม่นานกับความราบรื่นของชีวิต กวินก็ต้องพานพบกับภาระอันหนักอึ้งจากหน้าที่ที่จะต้องทำ

    การเขียนงานให้กับวรรณี วรรณรัตน์

    หนักหนาเสียเหลือเกินจนแทบจะเริ่มไม่ถูก ไดอารี่ของวรรณีที่ได้มาจากพิมไม่ได้ช่วยอะไรเลย แทบจะนับตัวอักษรในนั้นได้ เพราะส่วนใหญ่จะมีแต่รอยขีด ๆ เขียน ๆ ที่ไร้ความหมาย และรูปวาดง่อย ๆ ที่ดูจะไม่ได้สื่ออะไรเลยนอกเหนือไปจากเป็นการระบายความเซ็งและความตีบตันทางความคิดของเจ้าของไดอารี่เสียมากกว่า และถึงแม้จะมีข้อความไอเดียประปรายอยู่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้มากพอที่จะจับต้องกับมันได้มากมายนักเลย มีแต่ประโยคประเภท....

    “..ความดีงามในความเลวร้าย..”  - กวินอ่านแล้วรู้สึกถึงความย้อนแย้งแบบประหลาด พานนึกไปถึงปรัชญาที่ไร้คำตอบ ความเลวร้ายจะมีความดีงามได้อย่างไร นอกเหนือไปจากจะแค่พูดเอาพล่อย ๆ แบบนกแก้วนกขุนทอง

    “..ความสุขในความทุกข์..” – อันนี้ก็เหมือนกัน ดูเป็นคำสอนหลอกลวงเสียเหลือเกิน ทุกข์ก็คือทุกข์ สุขก็คือสุข คนเราเวลามีทุกข์แล้วยังบอกว่าในทุกข์นั้นคือสุข สำหรับกวินแล้ว นั่นคือภาสะองุ่นเปรี้ยวและหลอกตัวเอง

    “..ความสวยงามในความอัปลักษณ์..”  - นี่ก็อีก อะไรกัน คำสอนปลอบใจคนหน้าตาไม่ดี ?

    “..แรงบันดาลใจจากความล้มเหลว..” – เอาไว้ปลอบใจผู้แพ้สินะ ปลอบยังไงวะ ต้องล้มเหลวก่อนใช่ไหม แล้วถึงจะมีแรงบันดาลใจ งุนงงชะมัด วาทกรรมจากผู้ชนะชัด ๆ   

    “..การพ่ายแพ้ของความโหดร้าย..” – โอย... เอาเถอะ... วรรณี วรรณรัตน์ !

    นามธรรมสิ้นดี ! มีแต่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ทั้งสิ้นในไดอารี่ของนักเขียนดัง อะไรที่ควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของกวินล่ะทีนี้ กวินรู้สึกเหมือนตนเองจะต้องสร้างบ้านจากแบบอันเป็นอุดมคติ ส่วนที่ว่าจะต้องหาวัสดุจากไหนมาทำ หรือจะต้องเริ่มกระบวนการสร้างอย่างไร กวินแทบจะต้องคิดเองใหม่ทั้งหมด แล้วทีนี้ ความเป็นวรรณีจะเกิดขึ้นจากตรงไหน?

    กวินพยายามเปิดหนังสือของวรรณีเล่มแล้วเล่มเล่า บางเล่มเคยอ่านแล้วตอนเด็ก ๆ บางเล่มเคยอ่านไปได้สองหน้าก็วาง แต่ในช่วงเวลาเช่นนี้ กวินถึงกับอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน อ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับต้องการจะซึมซับเอารูปแบบบางอย่างเพื่อที่จะได้ทำการคัดลอก ถ้าในเมื่อไม่มีวัสดุใหม่ ๆ ให้ ก็เห็นทีว่าเขาคงจะต้องเอารื้อวัสดุเก่า ๆ มาสร้างเสียเลย

    ได้ผลอยู่เล็กน้อย เขียนไปได้สามหน้า สุดท้ายก็ไปต่อไม่ได้อีก

    ไม่รู้ว่าติดอยู่กับอะไร

    เวลาผ่านไปเกือบสามวันกับความคืบหน้าอันน้อยนิด กวินรู้สึกเครียดและบีบคั้น จะไม่ทำก็ไม่ได้ เงินรับมาแล้ว แถมยังใช้ไปแล้วอีกต่างหาก

     หยิบไดอารี่ของวรรณีมาเปิดอีกครั้ง เจอกระดาษแผ่นเล็ก ๆ สอดแทรกเอาไว้ เป็นข้อความที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เขียนไว้ว่า

    “...ความหวังที่แท้จริง จะต้องไม่นำไปสู่ความสิ้นหวัง...” 

    กวินถึงกับเครียดมากกว่าเดิม อยากจะบ้าตายกับวาทกรรมของวรรณี วรรณรัตน์เอาเสียจริง !


***** ****** ****** ********

   กวินยืนจุดบุหรี่ที่ระเบียง เหม่อมองบรรยากาศรอบกรุงเทพยามค่ำคืน สายตาเหม่อลอย สมองครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด รู้สึกว่าเหนื่อยล้าราวกับจะไปต่อไม่ค่อยไหว ในใจรู้สึกเหงาและสับสนอย่างบอกไม่ถูก เหมือนอยากจะพูดคุยกับใครสักคน แต่ก็คิดไม่ออกว่าควรจะคุยกับใคร

    เขาไม่มีเพื่อนมากนัก

    ยกมือถือขึ้นมา กดไล่ดูเบอร์ไปทีละเบอร์ ชั่วขณะหนึ่ง กวินเลื่อนลงมาที่เบอร์ของแม่ รู้สึกว่าไม่ได้คุยกับครอบครัวมานานมากแล้ว แวบหนึ่งนั้นทำท่าเหมือนจะกดโทรหา แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ การพูดคุยกับครอบครัวไม่น่าช่วยอะไรหรอก กวินรู้ดีว่าตนเองไม่สนิทกับครอบครัวมากขนาดนั้น

    บางคราวสถานภาพทางเพศก็เป็นตัวกำหนด การเกิดและเติบโตในครอบครัวปรกติธรรมดา มันก็อดไม่ได้ที่กวินจะรู้สึกไปเองว่าคนไม่ปรกติเช่นเขาคงไม่สามารถจะเป็นลูกชายที่ดีตามมาตรฐานของพ่อแม่และสังคมรอบข้างของพ่อแม่ได้ นานวันเข้า กวินเอาตัวออกห่างจากครอบครัวมากขึ้นทุกขณะ   

    กดเลื่อนไปเบอร์ต่อไป เพื่อนบางคนก็พอจะพูดคุยกันบ่อย แต่ก็ไม่สนิทใจที่จะระบายอะไรให้ฟัง เลื่อนไปเรื่อย ๆ บางทีก็เป็นเบอร์ของคนไม่รู้จัก กดไล่ไปเรื่อย ๆ จนมาถึงเบอร์ของอรพรรณ หล่อนเป็นคนเดียวที่กวินรู้สึกว่าการพูดคุยจะมีประโยชน์มากที่สุด แต่นั่นแหละ อรพรรณกำลังเสียใจ ไม่รู้ว่าจะเปิดเครื่องหรือยัง

    แต่ไม่ว่าอย่างไร กวินก็ตัดสินใจโทรหาอรพรรณอยู่ดี โดยไม่คาดคิด อรพรรณรับสายอย่างรวดเร็ว

    “งาย... กวิน”

    “ตอนนี้อยู่ไหนเนี่ยพี่พรรณ” กวินถามอย่างกระตือรือร้น ดีใจอย่างมากที่สามารถติดต่อกับเจ้าหล่อนได้

    “พี่อยู่เกาะช้างจ้ะ มากับครอบครัว” เสียงของอรพรรณดูร่าเริงกว่าที่คิด “รู้ไหม พี่กินกุ้งทุกวันจนขี้จะขึ้นไปอยู่บนหัวอยู่แล้ว”

    “นี่พี่โอเคแล้วใช่ไหม กับเรื่องทั้งหมด”

    อรพรรณถอนใจยาว ก่อนจะตอบออกมา

    “ใช่...ตอนนี้โอเคแล้ว แต่ตอนแรกนะ ยอมรับว่าพี่ไม่โอเคเลย แล้วก็โกรธมากด้วย กล้าดียังไง พี่รสถึงทำกับพี่แบบนี้ แถมยังเอาคนอย่างนายขจรมาแทรกแซงพี่ พี่ยิ่งรับไม่ได้” เสียงของอรพรรณขาดห้วงไปเล็กน้อย “แต่ก็เถอะนะ... นี่แหละนะชีวิต บางทีเราจะมัวเอาแต่ตัวเองเป็นศูนย์กลางอย่างเดียวไม่ได้หรอกเนอะ พอปล่อยวางบ้างอะไรบ้าง ทุกอย่างมันก็โอเคขึ้นจนได้”

    “ดีจังที่พี่ทำได้” กวินแค่นหัวเราะเล็กน้อย

    “แล้วแกล่ะเป็นไง” อรพรรณถาม “มีปัญหาอะไรงั้นหรือ”

    “พี่รสปฏิเสธงานผมว่ะพี่ และ... ผมก็ยังทำใจให้โอเคกับมันไม่ได้”

    “ต้องพยายามว่ะ” อรพรรณแนะ “เชื่อพี่ แกต้องพยายามปล่อยวางมันไปให้ได้ ลองถอยออกมาหนึ่งก้าว แล้วมองอะไรให้รอบ มองอย่างสงบนะ อย่าใช้อารมณ์ อาจจะช่วยให้แกเข้าใจอะไร ๆ ได้มากขึ้นก็ได้นะกวิน”

    กวินไม่ได้สนใจจะคิดตามสิ่งที่อรพรรณพูดเท่าไรนัก เพราะในหัวมัวแต่หมกมุ่นกับปัญหา

    “ตอนนี้ผมรับปากเขียนงานให้คุณวรรณีแล้วนะพี่”

    “งั้นหรือ” เสียงของอรพรรณดูจะลิงโลดเล็กน้อย “ดี ๆ ลองดู”

    “แต่เขียนไปได้สามหน้าเอง ไปต่อไม่ไหวแล้วว่ะพี่ เขียนงานมา ผมไม่เคยถูกให้โจทย์ พอมาเจอโจทย์ ก็ดันเป็นโจทย์ยาก”

    “ยังไง”

    กวินถอนใจยาวก่อนจะอธิบายอย่างยากลำบาก

    “รู้สึกว่าคุณวรรณีแกอยากจะเขียนเกี่ยวกับความหวังอันแท้จริง เหมือนประมาณว่า ความหวังของชีวิตที่จะไม่นำไปสู่ความสิ้นหวังทางจิตวิญญาณ... อะไรก็ไม่รู้”

    “พี่เชื่อว่าแกสามารถทำความเข้าใจและตอบมันได้นะกวิน”

    “ผมตอบไม่ได้อ่ะพี่” กวินยืนกราน “เพราะมันเป็นโจทย์ที่มีคนตรวจ ผมถูกโรคกับอะไรแบบนี้เสียที่ไหน ขนาดทำข้อสอบผมยังไม่เคยได้เอเลยสักครั้ง” 

    “นั่นเพราะแกตอบไม่ได้หรือเพราะแกไม่อยากตอบ” อรพรรณถามอย่างรู้ทัน

    กวินนิ่งไปเล็กน้อย เหมือนจะลองครุ่นคิดและถามตัวเองอย่างจริง ๆ จัง ๆ

    “โอเค เผิน ๆ แล้วเหมือนผมไม่ค่อยอยากตอบ แต่มาคิดดูดี ๆ แบบเอาจริง ๆ เลยนะ” กวินผ่อนลมหายใจอีกครั้ง “ผมตอบไม่ได้ต่างหาก”

    “แกมันชอบทำตัวขวาง” อรพรรณว่า “รู้ไหมกวิน พี่ว่าแกเป็นฉลาด แล้วก็ไม่ใช่คนใจแคบ พี่เชื่อว่าคนอย่างแกน่ะมีคำตอบมากมายอยู่ในใจ และไม่ว่าแกจะเจอโจทย์แบบไหน หรือคนตรวจประเภทไหน แกจะสามารถเลือกเอาคำตอบในใจมาตอบได้ถูกทางเสมอ แกอย่ายึดติดเอาแต่ว่าจะต้องตอบให้ถูกสิ ลองเปลี่ยนมาเป็นตอบให้เหมาะดู เอาคำตอบเหมาะ ๆ ที่ซ่อนอยู่ออกมาให้ได้สิกวิน เชื่อพี่เถอะว่ามันมี”

    “โธ่พี่... ผมไม่ใช่พวกกั๊กคำตอบหรอกนะ” กวินพยายามจะอธิบาย “ถ้ามันมีคำตอบจริง ๆ ผมก็ใช้ไปแล้ว ประเด็นคือผมหาคำตอบไม่ได้จริง ๆ เอาเถอะ บางทีผมอาจจะคิดมากไป”

    กวินเพิ่งมารู้ตัวในตอนนั้นว่าตนเองกำลังจริงจังกับการเขียนงานชิ้นนี้แทบจะประหนึ่งเป็นงานตัวเอง นี่กระมังที่เป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมด

    “นั่นสิ คิดเยอะไปทำไมวะ งานเราก็ไม่ใช่ ก็แค่งานที่เขาจ้างให้เขียนแทนคนอื่น เผยแพร่หรือเปล่าก็ไม่ ผมคิดเยอะเกินไปจริง ๆ ผมคงต้องพยายามให้มากกว่านี้ คงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องยอมรับ แล้วเริ่มหลอกตัวเองให้ได้สักที โอเค ต่อไปนี้ผมจะคิดน้อย ๆ” 

    อรพรรณแค่นหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “อย่าพยายามเลย ยอมรับเถอะว่าแกมีจิตวิญญาณ แกจริงจังและให้ความสำคัญกับสิ่งที่ทำเสมอ พี่รู้...แกหลอกตัวเองให้หยาบ คิดอะไรน้อย ๆ ไม่ได้หรอก พี่ไม่เห็นคุณสมบัติข้อนี้ในตัวแกเลยสักนิดเดียว นี่ไม่ใช่คำชมนะ แค่บอกเฉย ๆ ว่าแกเป็นคนยังไง”
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 29-01-2010 22:58:11
 ***** ****** ****** ********

    เวลาหัวค่ำ กวินเปิดประตูเดินเข้าไปในห้องเล็ก ๆ อันเงียบสงัด ใจของกวินยังคงจดจ่อและหมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่างแบบที่ไม่อาจจะสลัดมันหลุดออกไปได้ง่าย ๆ เดินก้าวเข้าไปในห้อง สายตาจับจ้องไปยังเตียงนอนที่โยงระยางสายน้ำเกลือที่ตั้งอยู่มุมห้อง ร่างของหญิงชรานอนหลับสนิทอยู่บนเตียง

    กวินเดินไปจนชิดกับเตียง สายตาเพ่งมองไปยังหญิงชราที่ดูเหมือนกำลังมีความสุขในห้วงนิทรา วรรณี วรรณรัตน์ในยามนี้ดูคล้ายจะกลับมาเป็นคนเดิมอย่างที่เห็นในโทรทัศน์และในสื่อต่าง ๆ ทั่วไป ต่างจากตอนเมื่อหลายวันก่อนอย่างลิบลับ ตอนที่เจ้าหล่อนเกรี้ยวกราดอาละวาดกับนางพยาบาลอย่างกับไร้สติ แทบจะเป็นคนละคนเลยทีเดียว

    ในยามหลับ หญิงชรากลับมามีเค้าของความอบอุ่น เปี่ยมเมตตา และมากไปด้วยแววแห่งการมีความสุขกับชีวิตอย่างล้นเหลือ สิ่งที่ยืนยันได้ก็คือรอยยิ้มน้อย ๆ ที่ระบายออกมาตลอดเวลา ราวกับในโลกแห่งความฝัน เจ้าหล่อนคงกำลังเจอแต่เรื่องดี และมีแต่ความสุขสมหวัง

    คนผู้นี้คือวรรณี วรรณรัตน์ ผู้ซึ่งใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างสรรค์ผลงาน เขียนงานมาทั้งชีวิตโดยที่ไม่เคยทำอะไรอื่น นักอ่านมากหน้าหลายตาจากรุ่นสู่รุ่นล้วนอ่านงานของเธอ และคงมีไม่น้อยที่ได้รับความหวัง ความฝัน พลังใจ และความหมายดี ๆ ของชีวิตจากปลายปากกาของเจ้าหล่อน... ไม่มากก็น้อย

    กวินผ่อนลมหายใจอย่างหนักหน่วง ใครหนอจะรู้บ้างว่าหญิงชราผู้เป็นนักจุดประกายความฝันชั้นเยี่ยมกำลังมีสภาพน่าอดสูเช่นไรในยามนี้ กวินตวัดสายตาที่หัวเตียง กระดาษเอสี่สามแผ่นที่บรรจุตัวอักษรมากมายอยู่ในนั้นเด่นชัดอยู่ในตำแหน่งที่คล้ายกับจะให้หญิงชราหยิบง่ายที่สุด และดูจากร่องรอยก็พบว่าเจ้าหล่อนคงหยิบมาดูอยู่บ่อยครั้ง กวินถอนใจอีกคำรบ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ 

   “ผมตัดสินใจเขียนงานให้คุณก็เพราะความจำเป็นบังคับ ตอนแรกผมกะจะไม่คิดมาก จะไม่ทุ่มเท คิดว่าเขียนไปมั่ว ๆ เอาแค่ให้เสร็จ รับเงินแล้วก็จบ แต่...” กวินรู้สึกติดขัดในคำพูด “แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรเกิดขึ้นกับผม อยู่ดี ๆ ผมก็รู้สึกว่าต้องครุ่นคิดจริงจังกับความเชื่อของคุณเสียอย่างนั้น ต้องสวมบทบาทเป็นคุณ ต้องเชื่อให้ได้อย่างคุณ ไม่อย่างนั้นจะเขียนไม่ได้ ผมมันบ้าฉิบหายเลย”

    วรรณียังคงไม่รู้สึกตัว กวินจึงพูดต่อไป พูดช้า ๆ เหมือนอยากจะให้เข้าไปในโสตประสาทของวรรณีในทุกถ้อยทุกคำ

    “ถึงจุดนี้ผมถอยกลับไม่ได้แล้ว ยอมรับว่าผมเป็นคนคิดมาก แล้วเวลาจะคิดอะไรก็อยากจะคิดให้ออก เอาจริง ๆ นะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ผมก็คงเป็นผมต่อไป คงไม่ต้องหาเรื่องใส่ตัวมาคิดอะไรยุ่งยากแบบนี้ เพราะฉะนั้นคุณต้องรับผิดชอบ คุณต้องชี้ทางให้ผม ทำให้ผมเข้าใจคุณให้ได้ คุณเชื่ออะไรของคุณ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้คุณเชื่อแบบนี้” กวินเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ความหวังของคุณกับของผมไม่เหมือนกัน ผมเชื่อว่าชัยชนะคือความหวังที่จะไม่นำไปสู่ความสิ้นหวังใด ๆ อีก แต่คุณคงคิดไปอีกแบบ ผมเชื่อว่าการหลอกตัวเองด้วยอุดมคติ บิดเบือนความเลวร้ายต่าง ๆ ด้วยสายตาของการมองโลกในแง่ดีมันเป็นอะไรที่สิ้นหวังมาก มันไม่อยู่กับความจริงและไม่นำไปสู่ความหวังอะไรเลย แต่คุณคล้ายกับจะบอกกลาย ๆ อยู่เสมอว่าการไร้ซึ่งอุดมคติต่างหากที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง ระหว่างคุณกับผม งานของใครให้ความหวังหรืองานของใครที่สิ้นหวัง คุณเชื่อเสมอว่าความดีงามจะชนะความหยาบกระด้าง แต่ผมไม่เชื่อเด็ดขาด อะไรคือเหตุผลของคุณ... บอกผมที ไม่เอาแบบกำปั้นทุบดินนะ ผมไม่ชอบ”

    วรรณีหลับสนิท กวินไม่แน่ใจนักว่าคำพูดของเขาได้เข้าไปสู่ความนึกคิดของเจ้าหล่อนบ้างไหม หรือแค่ลอยไปมาอย่างไรแก่นสารแล้วสลายหายไป

    “หรือว่าความจริงคุณก็แค่เขียนไปงั้น ๆ เห็นว่าเขียนอะไรแบบนี้แล้วขายดีก็เลยเขียน หรือว่าคุณก็แค่เขียนไปมั่วซั่ว ไม่ได้จริงจังกับความเชื่อ หรือคิดมากกับสิ่งที่เขียนเท่าไหร่ ไม่เคยพิสูจน์ ไม่เคยให้ความสำคัญกับมันเลย” กวินมองหญิงชราอย่างคาดคั้น ก่อนจะผ่อนลมหายใจยาว “ไม่หรอกมั้ง คุณไม่น่าจะเป็นแบบนั้น... ใช่ไหม โธ่...ลุกขึ้นมาบอกผมทีว่าผมควรจะทำยังไง”

    พิมเปิดประตูเข้ามา ขัดจังหวะการพูดของกวิน หล่อนยิ้มให้ชายหนุ่ม ก่อนจะเดินมายืนข้าง ๆ

    “คุณป้าเชื่อสนิทใจเลยค่ะ ว่างานที่คุณเขียนเป็นของแก เห็นไหมคะ มันน่าจะสำเร็จได้ด้วยดี”

    “แค่สามหน้านะครับ ห่างจากคำว่าสำเร็จอยู่ไกล พูดตรง ๆ นะ ผมไม่มั่นใจเลย” เสียของกวินแผ่วเบาลงโดยที่ไม่รู้ตัว “บางที ผมอาจจะทำต่อไม่ได้ก็ได้

    “อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ” พิมพยายามที่จะให้ความหวัง

    “คุณต้องเข้าใจนะว่ามันยาก” กวินพยายามจะอธิบายถึงสถาวะบีบคั้น “เอาจริง ๆ ผมไม่สามารถเป็นแบบป้าของคุณได้หรอก”

    “ฉันก็ไม่ได้บอกให้คุณเป็นแบบคุณป้านี่นา”

    กวินถอนหายใจ รู้สึกเครียดมากกว่าเดิม พิมทำท่าจะพูดอะไรอีกสักอย่าง แต่แล้วก็เงียบไป เหมือนหญิงสาวจะจับความรู้สึกของกวินได้ หลังจากนิ่งไปสักพัก พิมก็เอ่ยแนะนำขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “เดินทางสิคะ”

    “หือ?” กวินขมวดคิ้วแน่น งงว่าพิมพูดคำนี้ออกมาทำไม

    “ก็ฉันเห็นพวกนักเขียนชอบทำ เวลาที่เขียนไม่ออก”

    “นักเขียนที่ไหน”

    “อ้าว... แล้วเวลาเขียนไม่ออกคุณทำไง” พิมเริ่มจะขมวดคิ้วบ้าง

    “ก็... อยู่เฉย ๆ”

    “ไม่เดินทาง?”

    “ผมไม่อินดี้”

    “เออเนอะ อันที่จริง ฉันก็ไม่เคยเห็นป้าของฉันเดินทางเหมือนกัน แกก็นั่งอยู่แต่กับบ้าน” พิมหัวเราะเจื่อน ๆ ก่อนจะโน้มน้าวขึ้นมาอีก “แต่ฉันว่ามันช่วยนะ อย่างน้อยคุณน่าจะลอง”

    “ผมไม่รู้จะไปไหน”

    พิมทำท่าครุ่นคิด

    “ขึ้นเหนือไหมล่ะ เออ ! คุณไปที่บ้านพักของคุณป้าที่แม่ฮ่องสอนสิ ป้าชอบไปที่นั่นบ่อย อากาศดีนะ ธรรมชาติก็สวย”

    กวินส่ายหน้าโดยอัตโนมัติ แต่พิมเองก็คล้ายว่าจะไม่ยอมแพ้

    “เอาน่า ลองเปลี่ยนบรรยากาศ เผื่ออะไร ๆ จะดีขึ้น”

    “ผมคงไปไม่ถูก” กวินแก้ตัวไปแบบกำปั้นทุบดิน “ผมเดินทางไม่เก่งด้วย”

    “เดี๋ยวพาไปค่ะ”

    “ไม่เอา”

    “ไปเถอะ ฟรีนะ”

    “ไม่”

    “น่านะ”

    “เออ ก็ได้ ถ้าฟรี”

    “ดีมาก น่ารักที่สุด”

    อันที่จริง กวินก็สนใจอยู่ไม่น้อยหรอก แต่ด้วยความเคยชินที่ไม่ค่อยชอบจะทำตามคำแนะนำของใครเท่าไร จึงได้ตั้งท่าปฏิเสธไปเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร พิมก็ดูจะไม่เหน็ดเหนื่อยเอาเสียเลยกับการโน้มน้าว แววตาเซ้าซี้อันมากพลังของเจ้าหล่อนที่มองมานี่เองที่ทำให้กวินยอมตกลงได้ในที่สุด ไม่เกี่ยวกับว่าฟรีไม่ฟรี !
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ต&#
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 29-01-2010 23:04:59
***** ****** ****** ********

    “เสร็จหรือยัง!”

    เสียงของพิมเร่งเร้าผ่านปลายสาย ในสองวันต่อมาซึ่งได้นัดหมายเอาไว้ว่าจะเป็นวันเดินทาง “รถจะไปถึงหน้าคอนโดเธอแล้วนะ”

    “เสร็จแล้ว เดี๋ยวลงไปรอ” กวินตอบอย่างลน ๆ ก่อนจะรีบวางสาย จัดการให้อาหารแมว แล้วทิ้งถุงอาหารไว้ข้าง ๆ หวังว่าความฉลาดในหารเอาตัวรอดของเจ้าแมวจรจัดจะมีมากพอที่มันจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เพียงลำพังในระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในห้อง กระเป๋ายังปิดไม่สนิทดีนัก กวินรีบคว้าข้าวของบางชิ้นใส่ลงไปในกระเป๋าอย่างลนลาน ทำทุกอย่างแบบรีบ ๆ แต่กระเป๋าเจ้ากรรมก็ปิดยากเหลือเกิน กว่าจะเรียบร้อยแล้วเสร็จ เวลาก็ผ่านไปแบบปาไปเกือบสิบห้านาที ก่อนจะออกจากห้อง มันก็อดไม่ได้ที่กวินจะต้องสำรวจตัวเองในกระจกอีกครั้ง พยายามเอามือปัดผมให้เป็นทรง พร้อมกับจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง แต่ก็รู้สึกว่ามันเข้าที่เข้าทางยากเหลือเกิน แถมผมก็ยังยุ่งไร้ระเบียบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน หาความดูดีในตัวเองไม่ได้เลย

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เหมือนจะดังอย่างเกรี้ยวกราด กวินลนจัดมากยิ่งขึ้น คว้ากระเป๋าวิ่งออกจากห้อง วิ่งไปกดลิฟต์ก่อนแล้วจึงรับโทรศัพท์

     “โอเค ๆ เสร็จแล้ว” ไม่รอให้อีกฝ่ายพูด รีบแก้ตัวอย่างรวดเร็ว “กำลังจะลงไป เสร็จแล้วจริง ๆ เอาน่า ไม่เกินห้านาทีจริง ๆ”

    “เร็ว ๆ สิ ช้ามากแล้วนะ” พิมโวยวายกลับมา

    สามนาทีต่อมา กวินเดินกึ่งวิ่งออกจากลิฟต์ตรงล็อบบี้ ในมือยังคงถือโทรศัพท์ ทุลักทุเลและไม่ค่อยจะถนัดนักเพราะกระเป๋าพะรุงพะรังไปหมด แถมไม่ทันไรก็รู้สึกว่าเหงื่อเริ่มจะโทรมกายเอาเสียแล้ว

     “ลงมาแล้ว รถจอดอยู่ไหนนะ”

    “ด้านหน้าเลย แคมรี่สีดำ”

    “โอเค ๆ งั้นวางแล้วนะ”

    กวินเดินออกมาด้านหน้า หันซ้ายหันขวามองหารถของพิม เห็นแคมรี่สีดำคันใหม่เอี่ยมจอดอยู่ริมถนน กวินเดินปรี่ไปอย่างรวดเร็ว ในใจคิดสรรหาคำที่จะแก้ตัวต่อหญิงสาว

    ดูเหมือนว่ารถของพิมจะติดฟิล์มกรองแสงเสียจนเข้มมาก มองไม่เห็นด้านในเลยแม้แต่น้อย กวินกำลังจะเอื้อมมือเปิดประตู แต่แล้วฝากระโปรงด้านหลังก็เปิดออกอย่างทันทีทันใด กวินจึงเดินอ้อมเอากระเป๋าไปไว้หลังรถ แล้วจากนั้นก็เดินกลับมาเปิดประตูแล้วขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว ด้วยความรีบและลนลานบวกกับรู้สึกผิดที่ตัวเองชักช้า ทำให้กวินไม่ได้สังเกตอะไรทั้งสิ้น รีบเปิดประตูแล้วนั่งลงบนเบาะอย่างรวดเร็ว ปิดประตูเสร็จสรรพ ไม่กล้าจะมองหน้าคนขับเพราะกลัวสายตาโวยวายของเจ้าหล่อน รีบพรั่งพรูคำพูดออกมาก่อนอย่างรวดเร็ว

     “ขอโทษจริง ๆ ที่สาย.. คือแบบว่า..... เห้ย !

    กวินตกใจอย่างสุดขีด เมื่อหันไปหาแล้วพบว่าคนขับไม่ใช่พิม ไม่ใช่หญิงสาวผอมแห้งไฮเปอร์น่าหัวเราะผู้นั้น แต่กลับกลายเป็นชายหนุ่มร่างสูง เห็นหน้าไม่ชัด เพราะเจ้าตัวสวมแว่นกันแดด สัมผัสได้แต่โครงหน้าที่ค่อนข้างจะชัด แก้มตอบ ผมสั้นสีดำสนิทที่ผ่านการเซ็ตมาเป็นอย่างดี นอกจากแว่นกันแดดที่เสริมบุคลิกแล้ว รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มผู้นี้ดูจะโดดเด่นด้วยรูปร่างสมส่วน รวมถึงผิวที่ขาวมากตัดกับรอยสักสีดำบนแขนซ้ายที่โผล่ออกมาให้เห็นจากแขนเสื้อโปโล บวกกับต่างหูเท่ ๆ และสร้อยคอแฟชั่นแบบผู้ชาย

    ชายหนุ่มหันมามองกวินผ่านแว่นกันแดดอันปกปิดแววตา กวินเดาเอาว่าตาของเขาคงจะมีแววสงสัยมากมายพอดู ในขณะที่กวินรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า และอยากจะเอาหน้ามุดดินลงไปเป็นอย่างยิ่ง หรือถ้าหายตัวไปได้ตอนนี้เลยยิ่งดี

    นี่ไม่ใช่รถของพิม? เขาขึ้นผิดคัน?

    บ้าบอคอแตกที่สุด เซ่อซ่าอะไรอย่างนี้ !

    “เอ่อ...” กวินรีบหลบสายตา รู้สึกเก้อและอับอายอย่างถึงที่สุด “ขอโทษครับ พอดีขึ้นผิดคัน”

    ตั้งท่าจะเปิดประตู อยากจะลงจากรถอย่างรวดเร็ว อาจจะด้วยความอับอายขายขี้หน้าอย่างมากที่สุดในชีวิต มือของกวินสั่นเทาเล็กน้อยจนเอื้อมไปแตะประตูได้อย่างยากเย็น ทันใดนั้น...

    กริ๊ก !

    คนขับหนุ่มกดล็อกประตูอย่างทันทีทันใด ทำเอากวินงงเป็นไก่ตาแตก ไม่ทันที่กวินจะตั้งตัว คนขับก็เข้าเกียร์พุ่งรถออกไปทันที หลังของกวินกระแทกเบาะอย่างแรง แคมรี่สีดำขับออกถนนไปอย่างรวดเร็ว

    “ขอโทษทีครับ” คนขับหนุ่มพูดประโยคแรกออกมาในที่สุด “พอดีแยกด้านหลังดูท่าจะไฟเขียวพอดี รถเยอะเสียด้วย ถ้าไม่รีบออก คงต้องรอนานกว่าจะแทรกได้ แล้วนี่ก็เลทมากแล้วด้วย”

    กวินงงจนพูดอะไรไม่ออก คนขับหนุ่มหันมามองอีกครั้ง กวินยังไม่อาจจะมองเห็นแววตาเขาได้อยู่ดี แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ยิ้มให้เล็กน้อย บ่งบอกถึงความเป็นมิตร 

    “ผมวิษณุครับ เป็นลูกพี่ลูกน้องของพิม อ่อ ! ผมรู้จักคุณแล้วละ” เสียงของชายหนุ่มขาดห้วงไปเล็กน้อย “คุณกวิน”

    กวินพูดไม่ออก ยังคงปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ค่อยได้

     นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?           

    กวินพยายามข่มอารมณ์ กดโทรศัพท์โทรออกหาพิม อยากจะถามให้รู้เรื่องว่านี่มันบ้าอะไรกัน แต่เสียงที่ตอบกลับมาคือ “…หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”

   กวินอยากจะกรีดร้อง หน็อย...ยายพิม ยายตัวแสบ !

    ยกมือกุมขมับ อยากจะบอกคนขับรูปหล่อว่าให้หยุดรถเดี๋ยวนี้ แต่ก็พูดไม่ออก ในขณะที่วิษณุเหยียบคันเร่งมากขึ้นไปอีก ระบายยิ้มให้กวินอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยซ้ำออกมา

    “หวังว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดีต่อกันนะครับ อ้าว...รัดเข็มขัดด้วยสิคุณ !”


--------------------------------------------

โปรดติดตามนะครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 29-01-2010 23:26:49
ยาวมาก อ่านแล้วสะใจมากๆ สนุกมากๆเช่นกันค่ะ

ว่าไปแล้วเจ้าเด็กเกรียนคนนั้นหายไปไหนแล้วเนี่ย นึกว่าพระเอกเสียอีก 555+
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 21/01/2010 ลงแล้ว 7 ตอ
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 30-01-2010 23:44:30
ยาวมาก อ่านแล้วสะใจมากๆ สนุกมากๆเช่นกันค่ะ

ว่าไปแล้วเจ้าเด็กเกรียนคนนั้นหายไปไหนแล้วเนี่ย นึกว่าพระเอกเสียอีก 555+


ก็รู้สึกว่าคงจะมีคนเข้าใจผิดอยู่หลายคนเหมือนกันแหละครับ แหะ ๆ แต่เอาจริง ๆ เด็นมันจะไปสู้ผู้ใหญ่ได้ยังไง อิอิ


ขอบคุณที่ติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 29/01/2010 ลงแล้ว8ตอ&
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 31-01-2010 08:42:03
โอ้ว กว่าพระเอกจะออกมา

เรารึก็หลงกลไปกับเด็กเกรียน

เหอ ๆ

จะบอกว่าเห็นยาว ๆ แล้วขี้เกียจอ่าน เพราะพระเอกมะโผล่ซะที

แต่พอพระเอกโผล่มาปุ๊บ

แทบจะบอกว่า "รีบ Break ไปทำมายยยยยยยยยยยยยยยยย"

 :z13:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 29/01/2010 ลงแล้ว8ตอ&
เริ่มหัวข้อโดย: gypsy ที่ 31-01-2010 10:18:16
+1 ให้กับไรเตอร์เลยคับ
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ ทั้งนิสัยของกวิน
และความคิดที่ดูจะ dark side มากๆ

ตอนแรกเราก็เดาไปเรื่อยว่า เด็กเกรียน ไอ้ขจร น้องพิม พี่พรรณ และพี่รส ร่วมมือกันหลอกกวินให้หมดทางเลือกหรือเปล่า
เพราะมันเป็นเรื่องที่โครตบังเอิญมาก
ที่กวินต้องใช้เงิน พี่พรรณโดนพักงาน และงานของกวินไม่ผ่าน
ทำให้กวินหมดหนทางต้องมารับงานเขียนเพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าแบล็คเมล์

แต่แหม ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ไม่ใช่นิยายสิเนอะ
ชอบคุณคนขับรถมากคับ มีรอยสักโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อโปโล
ท่าจะเถื่อนได้ใจจริงๆ หวังว่าการไปหาแรงบันดาลใจของกวินครั้งนี้
จะทำให้กวินสามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อของตัวเองไปได้นะคับ

 :กอด1: กอดขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆคับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 29/01/2010 ลงแล้ว8ตอ&
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 31-01-2010 13:32:08
ชอบเด็นเกรียนๆอะค่ะคุณกรันวา(ชื่ออ่านแบบนี้หรือเปล่า?) อยากได้เด็กมาทำสามีสักคน 555+
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 01-02-2010 12:50:13
กรี้ดพระเอกโผล่แล้วรึป่าว?ขำคุณพิมเมาแล้วโคดรั่ว55ภาษาคุณคนแต่งนี่เลิศเลอมากคะค.คิดของกวินขาวคือขาวดำคือดำแต่ของคุณป้าของพิมมองลึกล้ำซับซ้อนอุดมคติที่กวินมองว่ามันช่างน่าขำแต่เพราะไอ้คำว่าจิตวิญญาณนี่แหละนักเขียนเงาคงมะมีอีกต่อไปค.ตั้งใจที่น่ายกย่องปล.สู้ต่อไปนะคะฝีมือคุณเยี่ยมเจงๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 29/01/2010 ลงแล้ว8ตอ&
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 06-02-2010 01:32:36
โอ้ว กว่าพระเอกจะออกมา

เรารึก็หลงกลไปกับเด็กเกรียน

เหอ ๆ

จะบอกว่าเห็นยาว ๆ แล้วขี้เกียจอ่าน เพราะพระเอกมะโผล่ซะที

แต่พอพระเอกโผล่มาปุ๊บ

แทบจะบอกว่า "รีบ Break ไปทำมายยยยยยยยยยยยยยยยย"

 :z13:


- คนเขียนเองก็เหนื่อยเหมือนกันครับ รู้สึกเหมือนกันว่าเขียนช่วงแรกยาวเกินไป พยายามจะกระชับ ๆ มันอยู่เหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ยาวจนได้ แหะ ๆ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ


+1 ให้กับไรเตอร์เลยคับ
ยิ่งอ่านยิ่งชอบ ทั้งนิสัยของกวิน
และความคิดที่ดูจะ dark side มากๆ

ตอนแรกเราก็เดาไปเรื่อยว่า เด็กเกรียน ไอ้ขจร น้องพิม พี่พรรณ และพี่รส ร่วมมือกันหลอกกวินให้หมดทางเลือกหรือเปล่า
เพราะมันเป็นเรื่องที่โครตบังเอิญมาก
ที่กวินต้องใช้เงิน พี่พรรณโดนพักงาน และงานของกวินไม่ผ่าน
ทำให้กวินหมดหนทางต้องมารับงานเขียนเพื่อเอาเงินไปจ่ายค่าแบล็คเมล์

แต่แหม ถ้ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ไม่ใช่นิยายสิเนอะ
ชอบคุณคนขับรถมากคับ มีรอยสักโผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อโปโล
ท่าจะเถื่อนได้ใจจริงๆ หวังว่าการไปหาแรงบันดาลใจของกวินครั้งนี้
จะทำให้กวินสามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อของตัวเองไปได้นะคับ

 :กอด1: กอดขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆคับ

- ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ มันก็บยังเอิญจริง ๆ แหละครับ แหะ ๆ แค่รู้สึกว่าอยาดจะหาจุดที่ทำให้กวินต้องตัดสินใจจริง ๆ น่ะครับ ^ ^


ชอบเด็นเกรียนๆอะค่ะคุณกรันวา(ชื่ออ่านแบบนี้หรือเปล่า?) อยากได้เด็กมาทำสามีสักคน 555+

- ชอบเด็ก ร.ร. ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ อิอิ

กรี้ดพระเอกโผล่แล้วรึป่าว?ขำคุณพิมเมาแล้วโคดรั่ว55ภาษาคุณคนแต่งนี่เลิศเลอมากคะค.คิดของกวินขาวคือขาวดำคือดำแต่ของคุณป้าของพิมมองลึกล้ำซับซ้อนอุดมคติที่กวินมองว่ามันช่างน่าขำแต่เพราะไอ้คำว่าจิตวิญญาณนี่แหละนักเขียนเงาคงมะมีอีกต่อไปค.ตั้งใจที่น่ายกย่องปล.สู้ต่อไปนะคะฝีมือคุณเยี่ยมเจงๆ

- ฝีมือผมไม่ได้เยี่ยมอะไรหรอกค้าบ ความจริงกะจะเขียนเรื่องนี้ให้มันสนุก ๆ เฉย ๆ แต่ผมยังว่ามันไม่ค่อยสนุกเลยด้วยซ้ำคับ แต่ถึงยังไงก็ขอบคุณจริง ๆ ครับที่ติดตามมาโดยตลอด ^ ^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless -UPDATE 29/01/2010 ลงแล้ว8ต$
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 06-02-2010 02:03:13
9

     “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย”

    กวินตะคอกใส่โทรศัทพ์อย่างทันทีเมื่ออีกฝ่ายรับสายพร้อมกับทักทายมาด้วยสำเนียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว กวินถึงกับบันดาลโทสะยิ่งนัก ถ้าอารมณ์โกรธของกวินแผ่ออกมาเป็นไฟ เชื่อได้ว่าสถานที่อันเต็มไปด้วยวัตถุไวไฟเช่นที่นี่จะต้องได้เกิดระเบิดอย่างรุนแรงจนได้ลงข่าวหน้าหนึ่งไปตาม ๆ กัน

    “ไม่ต้องมาทำเสียงครางโง่ ๆ แบบนั้นเลยนะ รีบตอบมาเดี๋ยวนี้”

    กวินอดกลั้นมานานมาก นึกอยากจะบีบคอบุคคลปลายสายยิ่งนัก แต่โอกาสมันไม่มี หรือจะแค่ว่าโทรด่าให้สะใจสักสองคำ ก็ยังทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตลอดเกือบชั่วโมงที่ต้องนั่งอยู่ในรถคันเดียวกับชายหนุ่มแปลกหน้า กวินทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่นั่งนิ่งเหมือนกับคนที่ถูกวางยาชาอย่างไรอย่างนั้น โวยวายไม่ออก เกรี้ยวกราดไม่ถูก แค่จะลองหันไปพูดจากับคนขับ ก็เป็นอันต้องรีบเบือนสายตาหนีเมื่อนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร

    ดังนั้น เมื่อรถขับออกมาถึงนอกเมือง วิษณุจอดเติมน้ำมันที่ปั๊ม พร้อมกับแวะเดินเข้าไปซื้อของในมินิมาร์ท พอได้อยู่ลำพัง กวินจึงกลับมาเป็นตัวของตัวเอง ไม่รอช้า รีบกดโทรศัพท์หาพิม ในใจคุกรุ่นไว้ด้วยความโกรธ และมันยิ่งทวีขึ้นเมื่ออีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างยียวนกวนโทสะ

    “ให้ตอบไร”

    ดูสิ... ยังจะมีหน้า

    “อย่ามาทำแบบนี้นะ” กวินพยายามที่จะข่มอารมณ์ไว้ ท่องนะโมไว้ในใจ แต่สุดท้ายก็เผลอตวาดออกไปอยู่ดี “พูดให้รู้เรื่องนะเว้ย”

    “โอเค ๆ” พิมกระวีกระวาดขึ้นมาทันใดเมื่อกวินตั้งท่าจะวีน “ฉันขอโทษ คือ... คือว่าฉัน... ฉันไม่ค่อยสบาย”

    กวินอยากจะกรีดร้อง มีหน้ามาพูดได้อย่างไรว่าไม่สบาย ฟังเสียงก็รู้ว่าโกหกหน้าด้าน ๆ และกระนั้น ถ้าหากว่าพิมหน้าด้านอย่างที่กวินว่าจริง พิมก็คงจะหน้าด้านได้มากกว่าที่กวินคิดอีก เพราะเจ้าหล่อนมิได้มีท่าทีของการสำนึกผิดอย่างใดไม่ หนำซ้ำ ยังอวดสรรพคุณของสถานการณ์นี้เสียอีก

    “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พี่ณุเขาใจดี เขาพาคุณไปได้”

    ไม่อยากจะเอาพิมเสนแลกเกลือ กวินอยากจะพูดด้วยดี ๆ เพื่อที่สถานการณ์จะไม่แย่ไปมากกว่าเดิม

    “แล้วเรื่องโทรศัพท์เมื่อเช้าล่ะ หมายความว่าไง” เรื่องนี้มันค้างคาแก่ใจกวินจริง ๆ พิมโทรมาหาเหมือนรออยู่ในรถ ถ้ามองว่านี่คือแผนที่วางไว้ ก็ช่างเป็นแผนที่เกรียนเอามาก ๆ หรืออีกนัยหนึ่งคือเขาก็โง่เอามาก ๆ ที่โดนหลอกง่ายโดนแผนเกรียน ๆ แบบนี้

    “คุณจงใจหลอกผมงั้นหรือ”

    “เปล่านะ ฉันก็แค่...” ดูว่าปลายสายคงจะกำลังพยายามเรียบเรียงคำพูด แต่กวินไม่มีใจจะรอ ตวาดซ้ำไปอีก

    “แค่อะไร!”

    พิมครางด้วยเสียงหวาดกลัวยิ่งนัก ก่อนจะรีบตอบออกมาอย่างเร็วรี่

    “ก็... ก็พี่ณุเขารอคุณตั้งนานแล้ว เขาไม่มีเบอร์คุณ ฉันก็อาสาโทรตามให้”

    “แล้วทำไมคุณไม่บอกล่ะวะ ว่าคุณไม่ได้มาด้วย”

    “ก็คุณไม่ได้ถามนี่นา”

    โอย... นังบ้า !

    “คุณพิม” กวินกัดฟันแน่น ก่อนจะยื่นคำขาดไปอย่างชัดถ้อยชัดคำ “คุณต้องมาหาผมเดี๋ยวนี้ !”

    “ว้าย ! ฉันไข้ขึ้น แค่นี้ก่อนนะ” วางสายไปเสียดื้อ ๆ

    “เห้ย !”

    ถ้าไม่เกรงใจสภาพรอบด้านที่เต็มไปด้วยคนมากมาย กวินคงจะอยากรีดร้องพร้อมกับดิ้นพล่านให้สมกับความโกรธเกรี้ยว พยายามจะติดต่อพิมอีกครั้ง แต่เหมือนอีกฝ่ายจะปิดเครื่องหนีไปเสียแล้ว สมองของกวินตีรวนไปหมด ไม่เข้าใจว่าเรื่องทั้งหมดคืออะไร เป็นแผนการของพิมอย่างนั้นหรือ? แล้วทำแบบนี้ไปทำไม? ทำไมต้องให้เขาเดินทางกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้?

    มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล ! กวินรู้สึกได้ พยายามจะคิดว่าความไม่ชอบพากลนี่จะนำพาไปสู่อะไร แต่ขบคิดเท่าไรก็คิดได้ไม่ออกว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไร สัญชาตญาณบางอย่างบอกว่าสถานการณ์ที่เกิดนี้ไม่ได้นำไปสู่สิ่งที่ดีแน่ ๆ จะไปดีได้อย่างไร เดินทางกับผู้ชายแปลกหน้าที่หล่อ... บ้า ! ไม่สิ ! ไม่เกี่ยวกับหล่อ !

    กวินพยายามจะเรียบเรียงความคิดใหม่

    เป็นความจริงว่าที่ผ่านมาไม่ค่อยจะมีเพื่อนเป็นผู้ชายแท้ ๆ มากนัก เพราะฉะนั้นการเดินทางกับผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยมันจึงน่าจะอึดอัดเอามาก ๆ แถมผู้ชายที่ว่านั่นยังมีแววตาและบุคลิกที่น่ากลัวอยู่ไม่น้อย ใช่สิ มีรอยสักเสียด้วย สภาพยังกะผู้ชายคลั่งกล้ามเนื้อ ที่ดูแล้วน่าบ้าความเป็นชายอยู่ไม่น้อย รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ให้ตายยังไงสัญชาตญาณของกวินก็ร้องบอกว่านี่ไม่ใช่การนำไปสู่อะไรที่ดีได้

    กวินเชื่อในสัญชาตญาณเสมอ  

    ทันใดนั้นเอง วิษณุเดินออกจากมินิมาร์ทพอดี ซื้อของกินมาเยอะไปหมด ชายหนุ่มเดินไปเปิดประตูรถ โยนห่อของกินเข้าไปด้านใน ในขณะที่ในมือถือแก้วกาแฟร้อนไว้ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถามกวินที่ยืนอยู่อีกฝั่งของประตูรถ

    “ไม่ซื้ออะไรหรือคุณ”

    “ไม่ล่ะ เปิดฝาหลังรถหน่อยสิ” กวินออกคำสั่งด้วยท่าทางที่ชวนให้รู้สึกเคลือบแคลงยิ่งนัก “เอ้า ! ไม่ได้ยินหรือไงคุณ”

    แม้จะยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อโดนรบเร้า วิษณุก็ต้องกดเปิดให้ในที่สุด หากแต่ว่าสายตาก็ยังจับตามองผู้ออกคำสั่งด้วยความสงสัยอย่างที่ไม่อาจจะอดได้

    กวินถอนหายใจแรง เดินไปหยิบบรรดากระเป๋าหลายใบของตัวเองออกมาจากที่ใส่สัมภาระ ใช้เวลาอยู่นานพอควรว่าจะจัดการให้หอบทุกอย่างได้อย่างไม่ทุลักทุเล ก่อนจะตั้งท่าจะเดินออกไปที่ถนน ทำเอาวิษณุต้องรีบเดินตามอย่างงุนงง

    “จะทำอะไรน่ะคุณ”

    “กลับ” ตอบอย่างชัดเจนและชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาชายหนุ่มที่กำลังเดิมตามถึงกับงุนงงไปมากกว่าเดิม

    “ทำไมล่ะ ทำไมต้องกลับ มีอะไรหรือคุณ”

    ในที่สุด กวินก็ทนไม่ไหว

    “นี่คุณไม่รู้สึกแปลกอะไรบ้างหรือ”

    ชายหนุ่มร่างใหญ่นิ่งไปสักพัก สบตากับกวินด้วยสายตาที่ทำเอากวินต้องถึงกับรีบเบือนสายตาตัวเองหนีออกอย่างทันทีทันใด

    “รู้สึกสิ...” วิษณุพูดพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “รู้สึกแปลกมาก ๆ ด้วย ผมรู้มาว่าคุณต้องเดินทางไปกับผม เพื่อที่จะเขียนงานแทนคุณป้าให้ได้ แล้วทำไมอยู่ ๆ คุณถึงจะกลับเอาเสียดื้อ ๆ”

    นั่นไม่ใช่ประเด็นเลย ! กวินร่ำร้องอยู่ในใจ จะเถียงออกไปก็เหมือนจะมีอะไรติดขัดอยู่ที่ปาก นานพอสมควรกว่าที่กวินจะตั้งสติ แล้วกล่าวออกไปเป็นเชิงตำหนิต่อท่าทางที่ราวกับทองไม่รู้ร้อนของอีกฝ่าย

    “นี่เราไม่ได้รู้จักกันนะ”

    “แล้วไง” วิษณุยักไหล่อย่างถือดี “ผมเดินทางกับคนไม่รู้จักออกจะบ่อย คุณไม่เคยโบกรถหรือ แล้วอีกอย่าง คุณกับพิมก็เจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทำไมถึงตกลงจะไปกับพิมได้ล่ะ”

    “ก็...” นานพอสมควรกว่าที่กวินจะคิดเหตุผลออก แม้ว่ามันจะกำปั้นทุบดินเอามาก ๆ เลยก็ตามที “ก็มันไม่เหมือนกัน”

    “ไม่เหมือนยังไง”

    “ก็... ยังไงไม่เหมือน”

    “เอ้า ! ก็บอกมาสิว่าไม่เหมือนยังไง อยากรู้”

    “โอย... ไม่รู้” กวินเผลอตะคอกไปในที่สุด ไม่อยากจะตอบไปตามตรงว่าไม่เหมือนเพราะรายนั้นเป็นผู้หญิง แต่รายนี้เป็นผู้ชาย.... สุดท้ายก็เลยทำเฉไป “คิดเหตุผลไม่ออก แต่เอาเป็นว่าไม่เหมือนก็คือไม่เหมือน อย่าเสียเวลาคุยกันเลยคุณ ผมจะกลับแล้ว”

   ทันทีที่กวินหันหลังเดินออกไปได้สักสามก้าว วิษณุก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นราวกับจะใช้มันเจาะทะลวงลงไปในโสตประสาทของกวินอย่างไรอย่างนั้น

    “คุณกลัวผมหรือ?”

    กวินชะงัก หันกลับไปมองอีกฝ่าย ภาพที่เห็นคือวิษณุกำลังมองเขากลับมาด้วยสายตาเรียบเฉย เมื่อรวมเข้ากับบุคลิกและรูปร่างหน้าตาที่ค่อนข้างจะเพอร์เฟ็คแล้ว ยิ่งขับเน้นแววแห่งการถือดีและหยิ่งยโสของเจ้าตัวมากขึ้นไปกว่าเดิม นอกจากนั้นแล้ว มันเป็นแววตาตัดสินที่มองกวินเหมือนกับเป็นเพียงลูกแกะตัวน้อย ๆ ที่ไร้ความหมายยิ่งนักต่อชีวิตของเขา

    เอาเป็นว่า กวินไม่ชอบสายตาแบบนี้เอาเสียเลย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวลีบลงอย่างบอกไม่ถูก

    เหมือนอยากจะเถียง แต่ก็ไม่เถียง เพราะคิดคำเถียงไม่ออก ทำได้แต่การพยายามจะปั้นแววตาดูแคลน แล้วมองกลับไป แต่ก็เป็นการดูแคลนที่ไร้แก่นสารยิ่งนัก เพราะเอาเข้าจริง กวินก็นึกเหตุผลไม่ออกหรอกว่าจะไปดูแคลนอะไรกับชายหนุ่มตรงหน้านี้ได้ แต่แค่ไม่อยากยอมแพ้เลยแกล้งทำไปเช่นนั้นเอง มองไปสักพัก เมื่อยังคงรู้สึกถึงได้ความมั่นคงเป็นก้อนหินที่ไร้ร้อยปริแตกจากอีกฝ่าย กวินก็แค่นหัวเราะเบา ๆ แล้วรีบเดินจากไปอีกครั้ง พร้อมกับหลอกตัวเองว่าไม่ได้พ่ายแพ้

    คราวนี้วิษณุไม่เดินตาม แต่เอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นมากกว่าเดิม

    “ผมไม่รู้นะว่าคุณป้าไปเห็นอะไรในตัวของคุณ แต่เอาจริง ๆ นะ ผมว่าคุณเขียนงานแทนคุณป้าไม่ได้หรอก” เสียงของวิษณุขาดห้วงไปเล็กน้อย ก่อนจะดังซ้ำอย่างชัดเจน “คุณน่ะผ่านโลกน้อยมาก แถมยังอ่อนแอ ขี้กลัว และไม่กล้าเผชิญหน้ากับอะไรเลย”

    กวินรู้สึกเหมือนถูกจี้ที่กลางใจ แม้จะเดินมาไกลแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปเถียง

    “อย่าพูดอะไรมาก ถ้าคุณยังไม่รู้จักผม”

    “ผมอ่านงานคุณทุกเล่ม” วิษณุพูดสวนมาอย่างทันท่วงที “เพราะฉะนั้น ผมรู้จักคุณดีพอ”

    พูดจบก็เดินจากไป ในขณะที่กวินยืนค้างนิ่ง รู้สึกเหมือนถูกชกด้วยหมัดแรง ๆ


***** ****** ******* ******* ******* *******

    พิมกดวางสายพร้อมกับกดปิดเครื่องอย่างทันที ไม่ทันจะได้ถอนหายใจ เสียงของหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลก็ถามขึ้นมาเสียก่อน

    “ใครโทรมาหรือ”

    พิมตวัดสายตาไปทางด้านซ้าย พบว่าผู้ถามไม่ได้มีมีทีท่าว่าอยากรู้แสดงออกมาจนเกินงามมากนัก แต่อย่างไรก็ดี ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก็พอจะจับเค้าได้ว่าแฝงแววว่าใคร่รู้พอสมควร

    “กวินค่ะ” ตอบพร้อมกับถอนใจ ปล่อยตัวเอนหลังลงบนเตียงเล็ก ๆ ตามเดิม รับความสบายจากการนวดฝ่าเท้าต่อไป โดยหวังว่าจะลดความขุ่นมัวที่ส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์มาได้บ้าง เมื่อนั้นเอง มธุรสที่นอนนวดอยู่เตียงข้าง ๆ ก็ยิงคำถามซ้ำขึ้นมาอีก

    “โทรมาโวยวายงั้นหรือ”

    “ค่ะ” พิมตอบ “โวยหนักเลยทีเดียว”

    “เป็นอย่างนี้แหละ ถ้าไม่โวยวายก็ไม่ใช่กวิน อย่าไปถือสาเลยนะจ๊ะ” มธุรสยิ้มปลอบ ก่อนจะถามคำถามสำคัญ “ว่าแต่ว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหม”

    มีแววลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้าย พิมก็ตอบออกมา

    “เรียบร้อยค่ะ”

    สองสาวยิ้มให้กันเล็กน้อย แต่คล้ายกับว่ามธุรสนั้นจะยิ้มกว้างกว่า

    “ดีมากจ้ะ” มธุรสผ่อนลมหายใจอย่างสบายอารมณ์ “เชื่อพี่เถอะว่ามันจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด”


***** ****** ****** ****** *******

    วิษณุเปิดก๊อกล้างมือ ก่อนจะค่อย ๆ วักน้ำขึ้นมาล้างหน้า ขจัดความง่วงซึมและเพิ่มความกระปี้กระเปร่า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อใบหน้าสัมผัสกับน้ำเย็น ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าถึงห้าหกครั้ง ก่อนจะบิดก๊อกปิด คว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับหน้าเบา ๆ ในขณะที่นัยน์ตามองสำรวจเข้าไปในกระจก

    ภาพที่สะท้อนกลับมาคือภาพใบหน้าขาวตอบที่พราวไปด้วยหยดน้ำ ผมสั้น ๆ บาง ๆ ซึ่งเปียกพอสมควรลู่ไปตามแนวของผ้าเช็ดหน้าที่เช็ดเสยขึ้นไป แววตาสีน้ำตาลคมกริบในกระขก จ้องกลับออกมาด้วยแววที่ค่อนข้างสงบนิ่ง  หากแต่คุกรุ่นด้วยประกายแห่งความมุ่งมั่นและรอบรู้ซึ่งถูกเก็บซ่อนไว้ภายในอย่างลึกลับ ลมหายใจยาว ๆ ถูกพ่นออกมาจากปลายจมูกซึ่งโด่งเป็นสัน ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดหยดน้ำน้อย ๆ ที่เกาะพราวอยู่บนไรหนวดบาง ๆ เหนือริมฝีปาก

    จัดเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อยอีกครั้ง สมองครุ่นคิดถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นและอาจจะเกิดขึ้นต่อ รู้สึกมึนงงอยู่พอสมควรคล้ายกับยังปะติดปะต่ออะไรไม่ค่อยถูก ตั้งแต่เย็นวานจนถึงวันนี้รู้สึกมีอะไรแปลก ๆ เข้ามาในชีวิตเยอะเหลือเกิน จู่ ๆ ก็ต้องรับเพื่อนร่วมทางจากคำขอร้องของลูกพี่ลูกน้อง ที่ขอร้องแกมบังคับโดยยกเอาป้ามาอ้างจนทำให้ไม่อาจจะปฏิเสธได้ แล้วอยู่ดี ๆ เพื่อนร่วมทางคนนั้นก็กลับมีปฏิกิริยาแปลก ๆ แล้วตอนนี้ก็เชิดหนีไปเสียแล้ว

    เอาเถิด

    ถึงอย่างไร ถ้าถามเอาจากใจที่คิดจริง ๆ ชายหนุ่มก็ไม่เคยจะเห็นด้วยนักกับวิธีนี้นักอยู่แล้ว และไม่เชื่อสักเท่าไรว่าการใช้กวินเป็นโกสต์ไรเตอร์จะช่วยให้วรรณี วรรณรัตน์ ป้าของเขามีอาการที่ดีขึ้นมาได้ แต่พอพิมตัดสินใจเช่นนั้น เขาก็ไม่อยากจะขัดขวาง คิดเสียว่าอย่างน้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่พอหลังจากเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เห็นทีว่าเขาคงจะต้องโทรบอกข่าวความล้มเหลวแก่พิมว่านักเขียนตัวดีคนนั้นได้เตลิดหายไปเสียแล้ว และขอให้เชื่อเถิดว่าคนพรรค์นี้ไม่น่าจะช่วยเหลือได้สำเร็จแน่นอน  

          ถอนหายใจยาวอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำ รู้สึกตกใจพอสมควรที่เห็นนักเขียนตัวปัญหายืนกอดอกรออยู่ที่หน้ารถ สัมภาระกองเกลื่อนอยู่ที่ฝ่าเท้า
    อะไรวะ... ไหนบอกว่าจะกลับ?
    ระหว่างที่กำลังงุนงงอยู่ว่าจะมาไม้ไหน ชายหนุ่มร่างใหญ่ค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ไม่ทันจะขยับปากถาม ชายหนุ่มร่างเล็กกว่าก็รีบชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
    “เปิดหลังหน่อยสิ”
    แม้จะยังเคลือบแคลงอยู่ แต่วิษณุก็ยอมทำตามบอกอย่างทันท่วงที กดรีโมทเปิดหลังในขณะที่จับจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา จอมบงการรีบยกกระเป๋าไปวางตรงท้ายรถ ทุกลักทุเลพอสมควร จนวิษณุอดที่จะเข้าไปช่วยไว้ไม่ได้ด้วยความรู้สึกเวทนา พอเอาของอันมากมายไว้หลังรถเสร็จแล้ว กวินก็รีบเดินเข้าไปนั่งในรถ ไม่ยอมพูดไม่ยอมจาใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อนั้นเองที่วิษณุเริ่มจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
    เจ้าของรถแค่นยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินตามเข้าไปนั่งในที่คนขับ ไม่ทันที่จะได้ทำอะไรหรือพูดอะไร กวินก็รีบพูดขึ้นมาก่อนอย่างรวดเร็ว ราวกับคิดเอาไว้เป็นอย่างดี
    “ผมมั่นใจว่าผมผ่านโลกมามาก อาจจะมากกว่าคุณด้วย” กวินพยายามจะหันมาสบตากับวิษณุ แต่สุดท้ายก็เป็นผลเช่นเดิม สู้สายตาเขาไม่ได้นาน ต้องยอมแพ้เบือนหนีไปอีกจนได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงพ่ายแพ้แก่สายตาคมกริบเรียบนิ่งคู่นั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ปากก็ยังสามารถจะพูดต่อไปได้
    “แล้วผมก็มั่นใจว่าผมไม่ใช่พวกอ่อนแอ ปวกเปียก และไม่เคยกลัวอะไรทั้งนั้น คุณไม่รู้จักผมดีพอ แล้วก็... ” ความจริงอยากจะพูดอีก แต่คิดไม่ออกแล้วว่าจะพูดอะไร ไม่รู้ว่าทำไมความปราดเปรียวในการต่อล้อต่อเถียงถึงได้ลดน้อยลงไปเมื่อได้อยู่ที่ตรงนี้ ถอนใจแรงหนึ่งครั้ง อดไม่ได้ที่จะทำเป็นเก่ง ออกคำสั่งเป็นครั้งสุดท้ายอย่างมากมาด “คุณออกรถเถอะ ช้าแล้ว”
    ไม่มีการโต้เถียงใด ๆ จากอีกฝ่าย มีแต่เสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ จากนั้น วิษณุก็เข้าเกียร์เหยียบคันเร่งไปอย่างทันท่วงที ไม่ลืมที่จะคว้าแว่นกันแดดขึ้นมาสวมเพื่อถนอมสายตา
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: εїзป่วงน้อยεїз™ ที่ 06-02-2010 03:09:40
เนื้อเรื่องโดนใจมากๆเลยค่า อ่านแล้วแอบชอบกวินนิดๆ ดูเป็น bad boy ดีแต้ๆ  :-[

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^Y
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: gypsy ที่ 06-02-2010 09:41:14
ทั้งสองคนโดนหลอกให้มาด้วยกัน

พิมกับพี่รสมีแผนอะไรน้อ เดาไม่ถูกเลย

+1 เป็นกำลังใจให้คับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอ
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 06-02-2010 11:35:34
แว็กกกกกกกกวินหนีไปไหนแล้วล่ะเนี่ย อิตาวิษณุนี่ปากตรงกับใจจริงๆนะ
กวินไม่ได้กัววิษณุไปมากกว่ากัวใจตัวเองไม่ให้ปล้ำผู้ชายหน้าตาดีข้างๆชิมิจ๊ะ :m20:
อยู่กับสาวพิม วีนเท่าไหร่ก็ได้แสดงออกมาหมดแต่พอกับหนุ่มหล่อเนี่ยปั้นคำไม่ถูกเลยนะคะ
ทั้งๆที่วิษณุปากก็ร้ายพูดซะจี้ใจดำจังๆยังไม่โดนตอกกลับสักแอะ  :เฮ้อ: แล้วงี้จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ
อย่างที่พิมเค้าอยากให้ทำรึป่าวล่ะนั่น ...ค้นหาแรงบันดาลใจ เปิดมุมมองทางความคิด เอิ๊กซ์กลับไปให้อาหารแมวอนาถาอีกตามเคย
ที่ห้องเน่าๆรึป่าวนะ
+1 คะสู้ๆๆๆๆ เหมือนลงไม่ครบป่าวคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 06-02-2010 16:26:14
ขอโทษคนอ่านด้วยนะครับ คือผมรูสึกว่าข้อความที่โพสตอนล่าสุดดูท่าว่าจะขาดไปน่ะครับ ตอนลงใหม่ ๆ ก็ครบนะ แต่พอมาเช็คอีกทีปรากฏว่าตอนช่วงท้าย ๆ หายไปหลายย่อหน้าเหมือนกัน เป็นไปได้ว่าข้อความคงยาวไป เพราะเคาะเว้นบรรทัดเยอะ แต่ตอนนี้แก้ลงใหม่แล้วครับ คิดว่าไม่น่าจะหายไปแล้ว รบกวนคนอ่านลองเช็คดูอีกรอบด้วยนะครับว่าได้อ่านตอนล่าสุดจนครบหรือเปล่า ^ ^


เนื้อเรื่องโดนใจมากๆเลยค่า อ่านแล้วแอบชอบกวินนิดๆ ดูเป็น bad boy ดีแต้ๆ  :-[

เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^Y

ขอบคุณมากครับ ดีใจที่ชอบครับ

ทั้งสองคนโดนหลอกให้มาด้วยกัน

พิมกับพี่รสมีแผนอะไรน้อ เดาไม่ถูกเลย

+1 เป็นกำลังใจให้คับ

- แผนของพี่รสก็แค่ให้ทั้งคู่ไปด้วยกันนี่แหละครับ อิอิ ขอบคุณที่ติดตามนะครับ

แว็กกกกกกกกวินหนีไปไหนแล้วล่ะเนี่ย อิตาวิษณุนี่ปากตรงกับใจจริงๆนะ
กวินไม่ได้กัววิษณุไปมากกว่ากัวใจตัวเองไม่ให้ปล้ำผู้ชายหน้าตาดีข้างๆชิมิจ๊ะ :m20:
อยู่กับสาวพิม วีนเท่าไหร่ก็ได้แสดงออกมาหมดแต่พอกับหนุ่มหล่อเนี่ยปั้นคำไม่ถูกเลยนะคะ
ทั้งๆที่วิษณุปากก็ร้ายพูดซะจี้ใจดำจังๆยังไม่โดนตอกกลับสักแอะ  :เฮ้อ: แล้วงี้จะได้เปลี่ยนบรรยากาศ
อย่างที่พิมเค้าอยากให้ทำรึป่าวล่ะนั่น ...ค้นหาแรงบันดาลใจ เปิดมุมมองทางความคิด เอิ๊กซ์กลับไปให้อาหารแมวอนาถาอีกตามเคย
ที่ห้องเน่าๆรึป่าวนะ
+1 คะสู้ๆๆๆๆ เหมือนลงไม่ครบป่าวคะ

ข้อความมันขาดไปน่ะครับ รบกวนคุณ mecon กลับมาอ่านอีกทีนะครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 06-02-2010 16:58:44
 :m20: ในที่สุดก็แพ้ใจตัวเองจนได้ ก็นะคุณกวินไม่ได้
อ่อนแอขี้แพ้สักหน่อยเพียงแค่รู้สึกไม่เซลฟ์ก็เท่านั้นชิมิเคอะ
อีกอย่างคนแปลกหน้าข้างๆปากก็ร้ายเอาการถ้าจะหนีตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไรก็ไม่ใช่กวินผู้
มองโลกทะลุทะลวงนะสิ แต่คนที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครอ่ะเวลาจะต่อปากต่อคำกับคนอื่น
ยิ่งฝ่ายตรงข้างไม่มีท่าทีจะมุ่งร้ายด้วยแล้ว จะพูดจะเถียงอะไรก็ติดอยู่ตรงที่ริมฝีปากอ่ะนะ
ขำจริงๆปกตินี่ แรงมาแรงไปเชียว

สู้ๆคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 07-02-2010 18:26:06
สงครามพึ่งเริม ก็เห็นแววว่าพ่อนักเขียนจอมดื้อของเราจะแพ้ซะแล้ว

แหมน่าลุ้นไม่ใช่น้อย

เนื้อเรื่องยังมีปมให้ลุ้นอีกไม่น้อย

 :z10:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 08-02-2010 15:49:41
เรื่องแปลกดีนะครับ การเดินทางครั้งนี้ของกวินจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้านะ มาติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 08-02-2010 16:37:53
เดาไม่ออกจริงๆเรื่องนี้ คุณณุจะทำอะไรต่อไปนะ ตามลุ้นค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 10-02-2010 00:00:49
:m20: ในที่สุดก็แพ้ใจตัวเองจนได้ ก็นะคุณกวินไม่ได้
อ่อนแอขี้แพ้สักหน่อยเพียงแค่รู้สึกไม่เซลฟ์ก็เท่านั้นชิมิเคอะ
อีกอย่างคนแปลกหน้าข้างๆปากก็ร้ายเอาการถ้าจะหนีตั้งแต่ยังไม่เริ่มทำอะไรก็ไม่ใช่กวินผู้
มองโลกทะลุทะลวงนะสิ แต่คนที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับใครอ่ะเวลาจะต่อปากต่อคำกับคนอื่น
ยิ่งฝ่ายตรงข้างไม่มีท่าทีจะมุ่งร้ายด้วยแล้ว จะพูดจะเถียงอะไรก็ติดอยู่ตรงที่ริมฝีปากอ่ะนะ
ขำจริงๆปกตินี่ แรงมาแรงไปเชียว

สู้ๆคะ

- เอาจริง ๆ กวินก็เขินแหละคับ ^ ^


สงครามพึ่งเริม ก็เห็นแววว่าพ่อนักเขียนจอมดื้อของเราจะแพ้ซะแล้ว

แหมน่าลุ้นไม่ใช่น้อย

เนื้อเรื่องยังมีปมให้ลุ้นอีกไม่น้อย

 :z10:

- ขอบคุณที่ติดตามคับผม ^ ^

เรื่องแปลกดีนะครับ การเดินทางครั้งนี้ของกวินจะมีอะไรรออยู่ข้างหน้านะ มาติดตามครับ

- ตอนแรกก็ไม่ได้กะจะให้แปลกหรอกคับ พอเขียน ๆ ไปแล้วมันก็แปลกของมันเอง ขอบคุณที่เข้ามาอ่านคับ

เดาไม่ออกจริงๆเรื่องนี้ คุณณุจะทำอะไรต่อไปนะ ตามลุ้นค่ะ

- ขอบคุณที่เข้ามาลุ้นครับ คุณ TONG


ตอนหน้าขอเวลาอีกสักแป๊บนะคับ ตอนนี้ยุ่งนิดหน่อยคับ แหะ ๆ ๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 10-02-2010 00:37:07
รับแซ่บคะจะรอกวินต่อไป  :z2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: [N]€ẃÿ{k}uñĢ ที่ 10-02-2010 02:29:33
 o13
ยอมรับเลยตรงๆอ่านแล้วตื่นเต้นมากสนุกกว่าที่เคยๆอ่านมา
มันแบบไม่ได้อะไรนักหนาแต่เล่นกับความคิดของคนมั้งเลยกระตุ้นให้อยากอ่านต่อ
แล้วจะรออ่านเป็นกำลังใจให้งานแบบนี้เสมอ
นิว(รออยู่น๊า)
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 10-02-2010 22:05:59
ขอให้งานสำเร็จตามประสงค์ครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 16-02-2010 20:05:37
รับแซ่บคะจะรอกวินต่อไป  :z2:

มาต่อให้แล้วนะครับ ^ ^


o13
ยอมรับเลยตรงๆอ่านแล้วตื่นเต้นมากสนุกกว่าที่เคยๆอ่านมา
มันแบบไม่ได้อะไรนักหนาแต่เล่นกับความคิดของคนมั้งเลยกระตุ้นให้อยากอ่านต่อ
แล้วจะรออ่านเป็นกำลังใจให้งานแบบนี้เสมอ
นิว(รออยู่น๊า)

ดีใจที่อ่านแล้วสนุกนะครับ ขอโทษที่ให้รอนานครับผม
ขอให้งานสำเร็จตามประสงค์ครับ

สาธุครับ สมพรปากนะค้าบ แหะ ๆ ๆ ขอบคุณมากสำหรับคำอวยพรครับ



ขอโทษผู้อ่านทุกท่านด้วยครับที่หายไปนาน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/02/2010ลงแล้ว 9ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 16-02-2010 20:06:40
10
    
สำหรับกวิน มันช่างอึดอัดยิ่งนักสำหรับการเดินทางสองต่อสองกับผู้ชายอินดี้ !

    ผ่านมาเกือบห้าชั่วโมงที่แคมรี่วิ่งแล่นไปตามทางหลวงมุ่งขึ้นสู่ภาคเหนือ กวินนับคำพูดของตัวเองได้ว่าแทบจะเป็นศูนย์ ตรงกันข้ามกับความเดือดดาลและไม่สงบในห้วงความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่อย่างไม่จบสิ้น เชื้อไฟที่มันเคยถูกจุดขึ้นมาก่อนหน้าสมควรแก่เวลาที่ดับไปหรือก็ไม่ หนำซ้ำ อะไร ๆ มันก็ช่างน่าหงุดหงิดไปเสียทุกอย่าง เหมือนคนพาล ลองได้เริ่มต้นอย่างเลวร้ายแล้ว อย่าได้หวังว่าทุกสิ่งมันจะเปลี่ยนเป็นดีได้โดยง่าย ลองพินิจตัวเองดูดี ๆ กวินจะพบว่าสิ่งใดรอบข้างไม่ได้ชวนหงุดหงิดขนาดนั้น ถ้าลองพยายามปล่อยวางและปลดปลงอะไร ๆ มันก็จะสงบแล้วเข้าที่เข้าทางไปเอง แต่ด้วยทิฐิบางอย่าง กวินยอมรับอย่างภาคภูมิว่าการใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนเราไม่น่าจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตด้วยความพยายามขนาดนั้น

    ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร แต่ที่แน่ ๆ ความรู้สึกที่คล้ายกับความหงุดหงิดผสมกับความโกรธเกรี้ยวที่มีต่อชายหนุ่มแปลกหน้าคนนี้มันเหมือนจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีก

    จนกลายเป็นความรู้สึกใหม่ กวินรู้แก่ใจว่าเขารู้สึกหมั่นไส้วิษณุยิ่งนัก

    คำพูดต่าง ๆ นา ๆ ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ คำพูดเชือดเฉือนที่เหมือนทิ่มลงจัง ๆ ที่กลางใจ หรือแม้แต่แววตาตัดสินที่มองมาอย่างเหนือกว่า มันยังติดตราและตรึงอยู่ในความคิดของกวินไม่จบไม่สิ้น และเชิญชวนให้เกิดความรู้สึกสารพันที่อธิบายออกมาไม่ได้ แต่ที่แน่ ๆ คือมันทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ ทุกสิ่งทุกอย่างจากตัวของวิษณุล้วนเป็นแต่อาวุธร้ายกาจที่สามารถทำให้กวินผู้ที่เคยมั่นใจในความแกร่งของตัวเองต้องอ่อนยวบลงอย่างไม่เป็นท่า

    น่าหงุดหงิดยิ่งนัก ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงได้พ่ายแพ้ต่อบุคลิกผึ่งผายที่แฝงเจือไว้ด้วยความหยิ่งผยอง พ่ายแพ้แก่ใบหน้าหมดจด สะอาดสะอ้านอันประกอบไปด้วยแววตาสงบนิ่งลึกลับและริมฝีปากที่สามารถขยับรอยยิ้มเยาะเย้ยได้อย่างเจ็บแสบ... พ่ายแพ้แก่กลิ่นน้ำหองจาง ๆ ที่สดชื่นติดจมูก พ่ายแพ้แก่เส้นผมที่ตัดซอยมาอย่างดูดี พ่ายแพ้แก่รอยสักเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โผล่ออกมาจากแขนเสื้อ... พ่ายแพ้แก่...

    “มองอะไรคุณ” เสียงเข้ม ๆ ของวิษณุตัดห้วงความคิดของกวินให้ขาดสะบั้นลง กวินเบือนหน้าหนีมองออกข้างทาง ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามองไปทางชายหนุ่มตั้งแต่เมื่อไร “ตัวผมมีอะไรผิดปรกติงั้นหรือ”

    น้ำเสียงของวิษณุแฝงแววเยาะเย้ยชัดเจน ราวกับรู้ทันถึงความรู้สึกของกวินอย่างไรอย่างนั้น กวินไม่ตอบ ได้แต่นั่งนิ่งและเผลอกัดฟันเล็กน้อย แอบชำเลืองมองไปยังอีกฝ่าย ไม่อาจรู้ได้ว่าแววตาเป็นเช่นไร เพราะถูกซ่อนอยู่ใต้แว่นกันแดด แต่ที่แน่ ๆ คือเห็นรอยยิ้มมุมปากและบุคลิกท่าทางที่เรียบเฉยเสียจนน่าขนลุก ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาครามครันกับท่าทีเก๊กจัด

    คนหลงตัวเอง!  

    ในขณะที่กวินยังคิดหาเรื่องอยู่ในใจ ทันใดนั้นเอง กวินก็ต้องได้ตกใจมากขึ้นเมื่อจู่ ๆ คนขับตัวดีก็ปิดแอร์ พร้อมกับเลื่อนกระจกลงเมื่อรถแล่นฉิวไปบนถนนเลนกว้างที่ขนานไปด้วยทุ่งนาที่รวงข้าวเหลืองสะพรั่งโยกไหวไปตามสายลมที่พัดผ่าน มองเห็นฝูงนกบินเลาะไปมาอยู่เหนือยอดต้นตาลที่ปลูกยาวเป็นทิวแถวตามแนวคันนา คล้ายกับว่าคนขับมีจุดประสงค์ที่จะเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติอย่างเต็มที่

    กวินรู้สึกเหมือนถูกลมตีแสกหน้า แล้วแทรกลงมาทิ่มที่กลางใจ มันช่างน่ารำคาญและคันคะเยอไปเสียทั้งหมดกับความเป็นธรรมชาติรอบข้างยิ่งนัก ถ้าเป็นเพื่อนฝูงหรือคนสนิททำแบบนี้ คงจะได้มีการด่าอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ไม่เข้าใจเสียจริงว่าคนประเภทไหนกันนะมันถึงจะอินดี้ได้น่าหมั่นไส้ขนาดนี้ !

    ด้วยความอยากจะเอาชนะ กวินจึงวางฟอร์มไว้ชัดเจนว่าจะไม่ไยดีกับภาพใด ๆ ข้างทางทั้งสิ้น แม้ว่าบางครั้งจะอดมองไม่ได้ เช่นว่าเมื่อผ่านกังหันลมขนาดใหญ่ที่หาดูได้ยาก หรือบางคราวที่ผ่านทุ่งดอกทานตะวัน แต่กวินก็จะต้องกลับมาสู่คาแรคเตอร์เดิม ๆ ให้ได้คือจะต้องทำเมินเฉยไว้มากที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งคือถ้าอีกฝ่ายชอบทำตัวชื่นชมธรรมชาตินัก กวินก็จะต้องรังเกียจธรรมชาติให้ได้ เหมือนจะวัดใจกันเงียบ ๆ อย่างไรอย่างนั้น

    อันที่จริง กวินเชื่อว่าก็คงไม่ใช่แค่ตัวเขาคนเดียวหรอกที่อยากจะเอาชนะ มองอย่างไรก็ดูออกว่าอีกฝ่ายนั้นก็คงนึกสนุกอยากจะเล่นกับกวินด้วยเช่นกัน และก็น่าจะอยากเอาชนะกวินพอสมควรด้วย เพราะเมื่อถึงจุดชมวิวที่สวย ๆ จู่ ๆ วิษณุก็ตัดสินใจจอดรถเสียอย่างนั้น ก่อนจะเดินลงไปชมวิวอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนต่อสายตาคาดโทษจากกวิน

    “นี่ไม่คิดว่ามันจะเสียเวลาหรือ” กวินถามไปอย่างเหลืออด ในขณะที่อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่สนใจ

    “ก็ผมไม่รีบ”  

    สุดท้าย กวินได้แต่มองอย่างเซ็ง ๆ วิษณุยืนนิ่งชมวิวอย่างกับศิลปินบิลด์อารมณ์อย่างไรอย่างนั้น เสร็จแล้วก็เอากล้องไปถ่ายรูป เดินหามุมกล้องอยู่เนิ่นนาน ปรับโฟกัสกล้องไปมาอยู่อย่างนั้นแบบที่ไม่สนใจในเวลาที่กำลังเลื่อนไหลไปเรื่อย ๆ บางทีก็ทำตัวเพื่อสังคมเดินเก็บขยะที่มีนักท่องเที่ยวมาทิ้งไว้ ช่างน่าขบขันเสียจริง ! กวินตัดสินใจที่จะเอาชนะบ้างโดยการจุดบุหรี่สูบเสีย ท้าทายความสวยงามของธรรมชาติทั้งหลายแหล่

    ได้ผล... วิษณุถอนแว่นกันแดดออกทันที พร้อมกับมองกวินอย่างตำหนิ เป็นครั้งแรกที่กวินได้เห็นแววตาของวิษณุแบบจริง ๆ จัง ๆ ทำให้รู้สึกสุขสมอย่างประหลาด และไม่ว่าอย่างไรกวินก็ไม่แคร์กับการตำหนิใด ๆ ทั้งสิ้น

     เวลาล่วงไปเกือบสี่โมงเย็น รถล่วงเข้าสู่เขตภาคเหนือ วิษณุแวะจอดกินอาหารที่ร้านข้างทาง เป็นเพิ่งเล็ก ๆ น่ารักที่มีสวนผักปลูกอยู่ข้าง ๆ ป้ายหน้าร้านติดชัดเจนว่าใช้ผักสดปลูกเองปรุงอาหาร ไร้สารพิษ กวินไม่รู้สึกติดใจอะไรนัก เพราะความจริงก็รู้สึกหิวอยู่บ้าง

    เดินเข้าไปในร้าน ต่างฝ่ายต่างสั่งอาหาร ด้วยที่ขวดน้ำอยู่ใกล้มือ วิษณุจึงจะเป็นฝ่ายรินน้ำให้ แต่กวินกลับคว้าขวดน้ำจากวิษณุมารินเอง แสดงชัดถึงจุดยืนว่าจะไม่จะรับไมตรีใด ๆ ทั้งสิ้น ก้มหน้าก้มตากินอย่างไม่สนใจอะไร

    วิษณุหัวเราะ

    “หัวเราะอะไร” กวินถามไปอย่างไม่พอใจเล็กน้อย คิดเอาเองอย่างคนมีชนักว่าอีกฝ่ายน่าจะกำลังขำกับฟอร์มของตัวเอง แต่วิษณุกลับตอบคำถามด้วยการย้อนถาม

    “ทำไม อยากหัวเราะด้วยไหมล่ะ”

    กวินถอนใจอย่างหงุดหงิด ตัดสินใจไม่พูดอะไรอีก

    พอกินเสร็จ วิษณุทำท่าจะจ่าย แต่กวินไวกว่า รีบจ่ายบริกรด้วยแบงค์ที่ทอนง่ายกว่า วิษณุเลยต้องชะงักมือกลับไป พอเด็กเสิร์ฟเอาเงินทอนมาให้ซึ่งล้วนแต่เป็นเศษเหรียญ กวินกวาดคืนไปหมด ไม่เหลือเป็นทิปเลยสักบาท กวินมีนิสัยที่ไม่ชอบให้ทิปมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพราะเชื่อว่าราคาอาหารที่กินก็บวกค่าบริการไว้แล้วเสร็จสรรพ จึงไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเพิ่มอีก แต่เหมือนว่าวิษณุจะไม่คิดเช่นนั้น ชายหนุ่มเรียกบริกรกลับมา แล้วควักเหรียญของตัวเองส่งให้

    วิษณุอาจจะไม่คิดอะไร แต่สำหรับกวิน นี่ไม่ต่างอะไรจากการหักหน้า

    “พวกเด็กเสิร์ฟคงนินทากันสนุกว่าผมงก ในขณะที่คุณคงโดนชมว่าใจกว้างเป็นแม่น้ำ นี่คุณอยากให้เกิดการเปรียบเทียบงั้นหรือถึงทำอะไรแบบนี้”

    อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะผ่อนลมหายใจ

    “พูดเล่นใช่ไหม”

    “ไม่ พูดจริง”

    “ถ้ามันทำให้คิดมากก็ขอโทษแล้วกัน”

    วิษณุลุกขึ้นแล้วตั้งท่าจะเดินออกไป แต่เจ้าของร้านออกเดินมาขอบคุณเล็กน้อย ด้วยวิสัยของคนมากไมตรี ชายหนุ่มจึงคล้ายจะหาเรื่องมาคุยกับเจ้าของร้านเพิ่มขึ้นอีก มีเหตุการณ์ที่น่าขบขันเกิดขึ้นเมื่อมีเด็กเสิร์ฟผู้หญิงคนหนึ่งมาขอถ่ายรูปกับวิษณุ ช่างน่าขบขัน ! ขบขันตรงที่ว่าจะถ่ายทำไม ดาราก็ไม่ใช่ ขบขันในความทะเล่อทะล่าของเด็กหญิงบ้านนอก และขบขันในตัววิษณุที่ยิ้มสู้กล้องยอมถ่ายเสียอย่างนั้น

    ตลกสิ้นดี ! กวินยืนรอด้านนอกพร้อมกับจุดบุหรี่สูบรอ

     ความอินดี้อันน่าขบขันของวิษณุไม่หมดแค่นั้น ตลอดการเดินทาง วิษณุมีการกระทำที่น่าขบขันประจักษ์แก่สายตาของกวินอยู่เรื่อย ๆ เช่นว่าถ้าเจอคนเดือดร้อนอยู่ข้างถนน ไม่ว่าจะรถเสีย หรือหลงทางจอดมองแผนที่ วิษณุจะต้องลงไปถามไถ่อย่างทันที และเหมือนจะพร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างจริงใจ ตลอดสามสี่ครั้งที่มีการช่วยเหลือรายทางแบบนี้ กวินได้แต่มองอย่างขบขัน ที่ว่าขบขันก็เพราะจะขบขันเพื่อจะให้มันแทนที่กับความเซ็งและความหมั่นไส้ วิษณุทำตัวน่ารำคาญตรงที่ขับรถมาทั้งวันแล้วยังเดินทางไม่ถึงไหน การช่วยเหลือคนอื่นของเขาทำให้กวินเดือดร้อน บางคราวก็เหมือนอยากจะทำดีเพื่อให้กลายเป็นคนดีไปแค่นั้น แต่นั่นแหละ พอจะโกรธไปมันก็คงจะดูไม่เข้าที กวินจึงตัดสินใจเปลี่ยนอารมณ์และมองมันให้กลายเป็นความขบขันเสีย และไม่ว่าอย่างไร กวินจะไม่มีทางเอาตัวเองลงไปเกี่ยวข้องด้วยกับความน่าขบขันเช่นนี้  

    แต่สุดท้ายชะตากรรมก็พาให้กวินต้องไปเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นคนดีอันน่าขบขันจนได้ ช่วงเวลาที่ตะวันกำลังลับขอบฟ้า บรรยากาศรอบข้างเริ่มมืด รถกระบะคันหนึ่งตกหล่มอยู่บนเส้นทางที่ชำรุด และดูเหมือนจะไม่มีวี่แววว่ากระบะคันนั้นจะช่วยเหลือตนเองได้เสียที วิษณุจอดรถทันทีแล้วลงไปช่วยเข็น แต่สุดท้ายก็ยังไม่สำเร็จ ไม่วายที่กวินจะต้องลงไปช่วยเข็นจนได้ แม้จะไม่เต็มใจ แต่ถ้าไม่ลงไปก็คงจะน่าเกลียดเกิน

    พอมีแรงเพิ่ม ในที่สุด รถกระบะคุนเก่าก็สามารถขึ้นจากหล่มได้ พร้อมกับที่ล้อรถสะบัดโคลนมาใส่กวินอย่างแรง จนเลอะเทอะไปทั้งตัวและลามมาถึงหน้าด้วย รู้สึกขยะแขยงยิ่งนัก สะบัดออกไปเท่าไรก็สะบัดไม่หมด รู้สึกเหมือนทำคุณบูชาโทษ สิ่งที่ได้มาจากการทำตัวน่าขบขันก็คือรอยโคลนที่เลอะไปทั้งตัว กวินกลับขึ้นรถไปอย่างหัวเสีย

    เจ้าของรถบอกขอบคุณอย่างมากมาย พร้อมกับพยายามจะยื่นให้เงินวิษณุเป็นการตอบแทน แต่วิษณุก็ไม่รับแบบหัวชนฝา กวินถอนใจอย่างหงุดหงิด เริ่มจะขบขันไม่ออกเสียแล้ว รู้สึกคันยิ่งนักกับรอยโคลนบนเนื้อตัว

    วิษณุเปิดประตูเข้ามานั่งที่คนขับ ในขณะที่กวินเบือนหน้าหนี รู้สึกไม่อยากมองหน้าอีกฝ่ายแบบจริง ๆ จัง ๆ นึกโกรธที่ร่างของเขายังใสสะอาด ไม่มีรอยเปื้อนโคลนเลยสักหยด

    “เดี๋ยวถึงปั๊มจะแวะให้ล้าง ทนนิดนึงนะ”

    ทำเป็นพูดดี ! กวินนึกค่อนขอดอยู่ในใจ ในขณะที่รู้สึกว่ากำลังถูกอีกฝ่ายสะกิดไหล่เบา ๆ

    “เช็ดหน้าหน่อยสิคุณ โคลนเลอะหน้าอ่ะ ตรงปลายจมูกด้วย เดี๋ยวสิวขึ้นนะ” ชายหนุ่มยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ พร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย

    “ไม่เอา” กวินปฏิเสธไปโดยอัตโนมัติ “รีบออกรถเถอะ”

    “นี่ ! ผ้าผมสะอาดหรอกน่า เช็ดก่อนสิ แป๊บเดียว”

    “บอกแล้วไงว่าไม่เอา ขี้เกียจ”

    อย่างที่ไม่คาดคิด ไม่รู้ด้วยว่าเพราะจะเอาชนะหรือด้วยเพราะอะไร วิษณุขยับตัวเข้ามาใกล้ พร้อมกับตั้งท่าจะเอาผ้าผืนนั้นเช็ดหน้าให้กวินด้วยมือของตัวเอง กวินรีบถอยหนีด้วยอารามตกใจ

     “จะทำอะไร”

    “ก็ถ้าคุณขี้เกียจ ผมก็จะเช็ดให้ เร็ว ! ยื่นหน้ามา”

    “ไม่ต้อง !” กวินตวาด พร้อมกับคว้าผ้าเช็ดหน้าจากมือวิษณุมาไว้ในมือตัวเอง “เช็ดเองก็ได้”

    “ก็แค่นั้น”

    วิษณุแค่นหัวเราะเบา ๆ พร้อมกับสตาร์ทรถแล้วขับออกไป กวินมารู้ได้ด้วยตัวเองในตอนนั้นว่าวิษณุเป็นคนประเภทที่อยากจะเอาชนะอย่างร้ายกาจ !

***** ***** ***** ***** *****

    ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปในที่สุด ในขณะที่รถยนต์ของวิษณุแล่นไปตามถนนท่ามกลางความมืดจนกระทั่งดึกดื่นค่อนคืน ใจของกวินนึกขวางอยู่ไม่น้อยสำหรับความล่าช้าของการเดินทาง ถ้าอีกฝ่ายไม่มัวแต่ทำตัวเป็นฮีโร่หรือศิลปินรายทาง ป่านนี้อาจจะถึงจุดหมายไปแล้วก็ได้ พ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่มองออกไปด้านนอก มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากต้นไม้รกครึ้มสองข้างทางที่เกี่ยวกระหวัดไปมาอย่างน่ากลัว ท่าว่าคืนนี้จะเป็นคืนเดือนมืด บรรยากาศรอบข้างจึงมืดมิดไร้แสงจันทร์  ถนนเลนเล็ก ๆ ทอดยาวขึ้นไปตามแนวเขาที่อยู่เบื้องหน้า ดูเปลี่ยวพอสมควรเพราะแทบจะไม่มีรถผ่านเลยสักคัน หนทางดูคล้ายอย่างกับว่ายังยาวไกลนัก  

    วิษณุค่อย ๆ ชะลอรถ แล้วจอดข้างทาง ทำเอากวินงงเป็นไก่ตาแตก

    “จอดทำไมอ่ะคุณ”

    “ไม่ไหวแล้ว ตาจะปิด” คนขับหนุ่มพูด พลางหาว “เดี๋ยวพออีกสักสามชั่วโมง คุณช่วยปลุกผมด้วยนะ”

    “นี่... คุณจะนอนงั้นหรือ” กวินถามด้วยเสียงสูงที่สุดในชีวิต

    “แล้วคุณขับรถเป็นหรือ” เป็นอีกครั้งที่วิษณุตอบคำถามด้วยคำถาม ช่างเป็นการกระทำที่สร้างความหงุดหงิดให้แก่กวินยิ่งนัก ไม่นับกับสีหน้าและแววตาเรียบนิ่งที่เจือไว้ด้วยความยียวนอย่างร้ายกาจ “ว่าไง ขับรถเป็นหรือเปล่า ขอโทษที ลืมถามก่อน”

    “ไม่เป็น” กวินตอบห้วน ๆ

    “นั่นสิ ผมก็ว่าผมดูคนไม่ผิดนะ” วิษณุพูดพลางหัวเราะ พร้อมกับปรับเบาะให้เอนลง ทำเอากวินแทบอยากจะกรีดร้อง

   “เห้ย ! ถามจริง นี่คุณบ้าหรือเปล่าเนี่ย”

    “อะไร” วิษณุถามอย่างไขสือ พร้อมกับทิ้งตัวเอนลงอย่างสบายเต็มที่ ทำเอากวินรู้สึกเดือดดาลมากขึ้นไปอีกขั้น โวยวายออกมาอย่างทันใด

    “ก็วันทั้งวัน คุณจอดรถข้างทางทุกครั้งเมื่อเจอคนขอความช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่อาจจะโดนคนพวกนั้นอาจจะทำร้ายแล้วก็ขโมยรถ พอเจอรถจอดคุณก็เที่ยวไปถามเขาเสนอตัวจะให้ความช่วยเหลือทั้ง ๆ ที่คุณอาจจะโดนเขาหาว่าเสือกก็ได้ พอเจอคนโบกรถ คุณก็ให้ขึ้นทั้ง ๆ ที่อาจจะพวกมันโดนจี้ โอเค... เรื่องทำเป็นรวยให้ทิปเด็กเสิร์ฟ ไม่พูดถึงก็ได้” กวินพักหายใจเล็กน้อย แล้วก็โวยต่อ “เอาจริง ๆ คุณจะทำตัวเป็นคนดีหรือจะอินดี้แค่ไหนก็ตามใจเถอะ ผมไม่แคร์อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนดีอย่างคุณ แต่... ตอนนี้คุณไม่ได้เดินทางคนเดียวนะ โอเคป่ะ”  

    วิษณุยักไหล่อย่างไม่เห็นสำคัญเลยแม้แต่น้อย

    “ก็เพราะว่าผมไม่ได้เดินทางคนเดียวน่ะสิ ผมถึงกล้าทำอะไรอย่างนี้”

    กวินรู้สึกอยากจะบ้าไปให้รู้แล้วรู้รอด ยิ่งได้เห็นแววตาและสีหน้าแบบทองไม่รู้ร้อนของอีกฝ่าย กวินก็ยิ่งคิดหาคำพูดไม่ออกไปมากกว่าเดิม

    “คุณมองในแง่ดีเกินไป” กวินพูดไปอย่างจริงจัง

    “คุณต่างหากมองโลกในแง่ร้ายไป” อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาอย่างจริงจังเช่นกัน

    “ขอร้อง ออกรถเดี๋ยวนี้” กวินพูดอย่างอดทน ถ้าอีกฝ่ายอยากจะเอาชนะ เขาจะเป็นฝ่ายยอมแพ้ก็ได้ เพราะนี่มันเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ กับการจอดรถนอนตรงตีนเขาแบบนี้ “มันไม่เกี่ยวกับการมองโลก ประเด็นอยู่ที่ว่าตรงนี้มันน่ากลัวเกินไป คุณจะจอดนอนตรงนี้ไม่ได้”

    วิษณุจ้องมองกวินอยู่สักพักด้วยสายตาแน่นิ่ง ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะตอบออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร

    “ก็ให้มันรู้ไปสิ ว่างีบตรงนี้สักสองสามชั่วโมง กับขับรถหลับในตกเขา อะไรจะน่ากลัวกว่ากัน”

    จากนั้น วิษณุไม่สนใจกวินอีก ไม่สนว่ากวินจะตั้งท่าโวยวายหรือทำสีหน้าเหยเกอยากจะกรีดร้องสักเพียงไหน ชายหนุ่มทิ้งตัวนอนลงบนเบาะแล้วหลับตาไปอย่างรวดเร็ว คล้ายกับแสดงชัดว่าต่อให้กวินจะพูดพล่ามอะไร เขาก็ไม่ลืมตาขึ้นมาโต้ตอบอีกแล้ว  

    เห็นเช่นนั้น กวินก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากถอนใจอย่างหงุดหงิดงุ่นง่าน

    บรรยากาศรอบข้างวังเวงกว่าที่คิด ไม่เข้าใจเอาจริง ๆ ว่าทำไมผู้ร่วมเดินทางถึงเป็นคนแปลกพิสดารขนาดนี้ ไม่กลัวอะไรบ้างหรือไง

    กวินตัดสินใจคว้าคอมพิวเตอร์โน๊คบุ๊คขึ้นมาเปิด พยายามจะเขียนงานเพื่อที่ว่าอย่างน้อยเวลาจะได้ผ่านไปอย่างไม่ไร้ค่า แต่สุดท้ายก็เขียนไม่ออก ซึ่งก็ไม่แปลกนักหรอก กับบรรยากาศและสถานที่อันน่าอึดอัดแบบนี้ ใครหน้าไหนมันจะไปทำงานได้ รู้สึกเครียดขึ้นมาเล็กน้อย หันไปมองข้าง ๆ ก็พบว่าวิษณุนั้นดูเหมือนจะหลับสนิทแล้ว

    คนบ้า !

    ปิดคอมพิวเตอร์ เดินลงจากรถ ทำท่าจะจุดบุหรี่สูบ แต่อดที่จะรู้สึกระแวงกับบรรยากาศไม่ได้อยู่ดี มันน่ากลัวไปหมดทุกอย่าง ได้ยินเสียงนกอะไรสักอย่างดังอยู่ไม่ไกล ดังมาพร้อม ๆ กับเสียงของจิ้งหรีดและเสียงสวบสาบของกิ่งไม้ที่ไหวกระทบกันเมื่อต้องแรงลม ชวนให้คิดและจินตนาการยิ่งนักว่าภายใต้สุมทุมพุ่มไม้ที่ลึกลับมืดมิดเหล่านั้น มีอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า

    เกิดการสั่นไหวอย่างทันทีทันใดจนกวินรู้สึกตกใจ ควบคู่ไปกับการที่อีกาสองตัวบินออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่มพร้อมกับส่งเสียงดังลั่น กวินถึงกับสะดุ้งโหยง ทำบุหรี่ตกพื้นโดยที่ไม่คิดจะก้มเก็บ รีบกระโดดเข้าไปในรถอย่างทันทีทันใด อาจจะด้วยอารามตกใจและหวาดกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็น กวินแนบร่างกายเข้าชิดวิษณุตามสัญชาตญาณของคนหาที่พึ่ง มือคว้าแขนของชายหนุ่มผู้หลับสนิทไว้แน่น พร้อมกับกระตุกแรง ๆ เพื่อหวังจะปลุกให้ตื่น

    ทุกอย่างกลับมาสู่ความเงียบสงบภายในไม่กี่วินาที พร้อมกับที่ความกลัวอันเกินจริงของกวินก็ค่อย ๆ จางหาย อีกาสองตัวนั้นบินหายลับไปแล้ว ในขณะที่เจ้าตัวสาเหตุของพุ่มไม้ไหวก็ปรากฏกายออกมาเป็นหมาขี้เรือนหนึ่งตัวที่วิ่งหางตกหายไปในความมืด กวินผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะรู้ตัวว่าตอนนี้แทบจะนอนกอดวิษณุอยู่เลยทีเดียว รีบดีดตัวลุกขึ้นอย่างทันใด สะบัดความเก้อเขินต่าง ๆ นา ๆ ออกไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่เมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ตื่นขึ้นมา ไม่อย่างนั้นก็คงได้มีอายแน่ ๆ

    ผ่อนลมหายใจเบา ๆ สายตาจ้องมองใบหน้าหมดจดที่หลับสนิทไปแล้วด้วยสายตาโกรธ ๆ นึกในใจอย่างขวาง ๆ ว่าคนอะไร นอกจากจะชอบทำตัวอันดี้แล้วยังจะหลับง่ายดายแถมหลับลึกตื่นยากขนาดนี้เสียอีก เกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ จะรู้ตัวไหม? จะหนีทันไหม?

    คิดขวาง ๆ ไปได้สักพัก ก็อดจะคิดแผลง ๆ ไปอีกไม่ได้ตามประสาของความทะลึ่งที่ยังพอมีอยู่ในตัว

    แล้วถ้าโดนลักหลับขึ้นมาล่ะ จะรู้ตัวไหมเนี่ย ?
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 16-02-2010 20:36:19
กีซซซซซซซซซซซ
เรียกวิษณุว่าอินดีแล้วคุณล่ะคะกวินจะนิยามว่าไงดีเอ่ย
หงุดหงิดก็ที่หนึ่ง ขี้โมโห ขี้วีนนี่ไม่เคยเกินใคร มองโลกในแง่ร้ายๆอีก
แถมเหมือนเด็กชอบเอาชนะคระครามกับสิ่งที่มองไม่เห็น หงุดหงิดกับคนปากเสีย
ที่พูดอะไรแทงใจดำตัวซะประหนึ่งอาชญากรข้ามชาติให้อภัยไม่ได้ยังไงยังงั้น :jul3: :m20:
ตลกเป็นทีุ่สุด อิคุณวิษณุมีคนยุขึ้นใกล้ๆตัวแบบนี้ก็สนุกอ่ะดิ ทำมันทุกอย่างที่
กวินไม่ชอบ จะรอเวลาให้มันดึกดื่นรึยังกันนะ อิอิ มีแผนรึป่าว :m12:
แต่บทจะอ่อนโยนก็นะน่ารักเชียว เด็กขี้หงุดหงิดแบบกวินจะเห็นมุมน่ารักแบบนั้นบ้างมั๊ยนะ
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อหมดจดแค่นั้นอ่ะ  :o8: :-[
ก่อนงานเขียนจะเส็ด เอาสะใภ้ไปฝากคุณป้าได้แล้วหนึ่งคนนะ คุณวิษณุ  :jul3:

+1 คะ สู้ๆๆๆรักษาสุขภาพด้วยเน้อ.........
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-02-2010 11:29:08
กีซซซซซซซซซซซ
เรียกวิษณุว่าอินดีแล้วคุณล่ะคะกวินจะนิยามว่าไงดีเอ่ย
หงุดหงิดก็ที่หนึ่ง ขี้โมโห ขี้วีนนี่ไม่เคยเกินใคร มองโลกในแง่ร้ายๆอีก
แถมเหมือนเด็กชอบเอาชนะคระครามกับสิ่งที่มองไม่เห็น หงุดหงิดกับคนปากเสีย
ที่พูดอะไรแทงใจดำตัวซะประหนึ่งอาชญากรข้ามชาติให้อภัยไม่ได้ยังไงยังงั้น :jul3: :m20:
ตลกเป็นทีุ่สุด อิคุณวิษณุมีคนยุขึ้นใกล้ๆตัวแบบนี้ก็สนุกอ่ะดิ ทำมันทุกอย่างที่
กวินไม่ชอบ จะรอเวลาให้มันดึกดื่นรึยังกันนะ อิอิ มีแผนรึป่าว :m12:
แต่บทจะอ่อนโยนก็นะน่ารักเชียว เด็กขี้หงุดหงิดแบบกวินจะเห็นมุมน่ารักแบบนั้นบ้างมั๊ยนะ
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่หล่อหมดจดแค่นั้นอ่ะ  :o8: :-[
ก่อนงานเขียนจะเส็ด เอาสะใภ้ไปฝากคุณป้าได้แล้วหนึ่งคนนะ คุณวิษณุ  :jul3:

+1 คะ สู้ๆๆๆรักษาสุขภาพด้วยเน้อ.........


เอาจริง ๆ กวินก็มันอินดี้พอกันแหละครับ คนอินดี้มาเจอคนอินดี้ ฮ่า ๆ ๆ ดีใจที่ยังติดตามครับนะครับ คุณ mecon  ^ ^

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 17-02-2010 16:07:37
จริงอย่างที่ณุพูด กวินมองโลกในแง่ร้ายเกินไป
ทั้งยังยึดติดกันทิฐิ ยึดติดกับความคิดทางลบต่างๆนานา
กระนั้นแล้ว ไม่เห็นกวินจะมีความสุขเลยสักนิด
ไม่ยิ้มแย้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ

หวังว่าผู้ชายอินดี้ที่เข้ามาในชีวิตกวินคนนี้
จะช่วยให้ชีวิตของกวินมีความสุขขึ้นนะคะ
จะรอดูค่ะ o13

ขอบคุณคุณkranwaด้วยค่ะ
ได้คิดอะไรเยอะแยะเลยระหว่างการอ่าน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 19-02-2010 19:12:18
กรี๊ดดดดดด ๆ
จะรีบตัดจบไปไหน

มาต่อก่อนสักสิบบรรทัด

แง่ง ๆ

 :z13:

ปล. อ่านตอนนี้แล้วนึกถึงเพลงทฤษฎีสีชมพู ของ แสตมป์
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 22-02-2010 13:55:28
วิษณุตกอยู่ในอันตรายเสียแล้ว จะโดนลักหลับไหมเนี่ย 555+
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: zeazaiz ที่ 23-02-2010 00:16:40
 :z2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE16/02/2010ลงแล้ว10ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 26-02-2010 23:38:02
ขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะค้าบบบ ขอโทษที่คราวนี้ไม่ได้ตอบเป็นคน ๆ นะครับ พอดีว่าเวลาค่อนข้างกระชั้น


ขอโทษที่อาจจะหายไปนานอีกแล้วนะครับ ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามครับผม ^ ^

-------------------------------------


11

    แสงอ่อน ๆ จากดวงตะวันลอดผ่านแมกไม้เบื้องบนสาดผ่านฟิล์มกรองแสงกระทบเข้ากับนัยน์ตาของชายหนุ่มที่เบิกโพลงขึ้นมาอย่างทันทีทันใด พร้อมกับลักษณะอาการสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล รู้สึกปวดเมื่อยตามตัวเล็กน้อยจากการที่กล้ามเนื้อไม่ได้ผ่อนคลายอย่างสบายสักเท่าไร แต่ความความไม่สบายทางกายไม่เทียบเท่ากับเมื่อไม่กี่วินาทีต่อมา ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความไม่สบายใจบางอย่างที่โผล่แวบขึ้นมาอย่างทันท่วงทีที่ตื่นได้เต็มตา และเรียกสติกลับมาได้อย่างครบบริบูรณ์

    ตั้งใจจะนอนเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่ไป ๆ มา ๆ ทำไมถึงหลับยาวถึงเช้าขนาดนี้ก็ไม่รู้ ทางรอบด้านก็เปลี่ยวเสียด้วย จำได้ว่าบอกให้ตัวยุ่งที่เดินทางมาด้วยปลุก ก็วางใจแล้วว่าเห็นท่าทางพารานอยด์ออกเสียขนาดนั้น คงไม่ปล่อยให้เขาได้หลับยาวแน่ แต่แล้วทำไม....

    วิษณุหันสายตาไปเบาะข้าง ๆ อย่างทันท่วงที ก่อนจะรู้สึกใจหายขึ้นมาในชั่วแล่น เมื่อพบว่าเบาะที่นั่งนั้นว่างเปล่า มีเพียงคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ควางไว้ แต่ไร้ร่องรอยของคนที่น่าจะยังคงนั่งกระฟัดกระเฟียดหน้างอซึ่งเป็นมาตลอดการเดินทาง

    เกิดอะไรขึ้น?

    คำตอบเฉลยออกมาได้อย่างงายดายเพียงแค่วิษณุหันไปทางเบาะหลังตามสัญชาติญาณ รู้สึกโล่งใจขึ้นมาครามครัน ถอนใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าเจ้าตัวปัญหานอนเหยียดยาวอยู่ที่เบาะหลัง กอดหมอนใบเล็ก ๆ ไว้แน่น ท่าว่าจะหลับสนิท และหลับสบายเสียด้วย อยากจะรู้นักว่าเมื่อคืนกลัวเสียขนาดไหนถึงได้หลับไปเสียขนาดนี้

    วิษณุถอนใจอีกคำรบ เปิดกระจกพร้อมกับคว้าขวดน้ำข้าง ๆ ขึ้นมาล้างหน้า รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย ติดเครื่องยนต์พร้อมจะเดินทางต่อ เห็นว่าขวดน้ำเหลือน้ำอยู่นิดหน่อย อดที่จะหันหลังกลับไปมองที่เบาะหลังอีกครั้งไม่ได้

    “คุณ”

    ไร้การตอบโต้ ยืนยันถึงภวังค์นิทราของอีกฝ่ายที่ท่าว่าจะลึกลับพอสมควร

    วิษณุเปิดขวดน้ำ เทลงบนฝ่ามือ ค่อย   ๆ สะบัดใส่ใบหน้าที่ยังคงแน่นิ่งไม่ไหวติงไม่เปลี่ยนแปลง คาดว่าน้ำเย็น ๆ คงจะทำให้ตื่นขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็เปล่า

    คนอะไรขี้เซาขนาดนี้... วิษณุอดจะรู้สึกขันไม่ได้ เมื่อเทียบกับเมื่อคืนที่อีกฝ่ายทำทีว่าตื่นตูมเสียนักหนากับอันตรายรอบด้าน แล้วดูสิ ขนาดโดนน้ำสาดใส่หน้าแล้วก็ยังไม่ตื่น หรือว่าน้ำมันน้อยไป?

    เหลือน้ำอยู่เล็กน้อยเอามาก ๆ วิษณุตัดสินใจ สาดน้ำที่เหลืออยู่ก้นขวดใส่หน้าของกวินแบบไม่ยั้ง ปรากฏเสียงครวญครางเบา ๆ คล้ายกับเด็กไม่พอใจเวลาที่ถูกแหย่ แต่นัยน์ตาก็หาว่าจะได้ลืมขึ้นมาไม่ สุดท้าย ก็ยังคงหลับอยู่เช่นเดิม

    วิษณุเอื้อมมือไปยีหัวของกวินเบา ๆ ไม่แน่ใจนักว่าอะไรที่สั่งการให้ทำแบบนี้ รู้แต่ว่าขนาดโดนสัมผัสตัวขนาดนี้ คนขี้เซาก็ยังไม่มีทีท่าจะตื่น อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเป็นสถานการณ์ที่เจ้าตัวยังมีสติ ทั้งโดนสาดน้ำใส่ ทั้งโดนเล่นหัวแบบนี้ มีหวังคงได้แผลงฤทธิ์จนทำให้น่ารำคาญกันไปข้าง

    ชายหนุ่มเข้าเกียร์ เหยียบคันเร่งพารถขับเคลื่อนออกไปในที่สุด

    ปล่อยให้หลับแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สงบดี !

*** **** ***** **** ***

    รู้สึกเหมือนได้ยินใครสักคนกระซิบบอกถึงความไม่น่าไว้วางใจของสถานที่ แล้วกวินก็ตระหนักขึ้นได้อย่างทันท่วงทีว่ารอบด้านที่รถจอดอยู่นี้เป็นถนนที่เปลี่ยวยิ่งนัก เต็มไปด้วยอันตรายและความไม่น่าไว้ใจ !

    “นี่คุณ ! สองชั่วโมงแล้วมั้ง ตื่นแล้วเดินทางต่อได้แล้ว” โวยวายออกมาไม่ค่อยจะเป็นศัพท์นัก ในขณะที่ร่างกายดีดตัวลุกขึ้นอย่างทันที มือเกาะเบาะด้านหน้าไว้แน่น หอบหายใจถี่ราวกับเหนื่อยเสียนักหนา จนทำเอาคนขับถึงกับตกใจไปเล็กน้อย

    “เป็นอะไร เข้าทรงหรือไงคุณ”

    “ก็.... คุณบอกว่าจะหลับแค่สอง.... เอ่อ...” เมื่อนั้นเองที่สติถึงจะกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ได้พินิจถึงสิ่งที่เป็นไปรอบ ๆ ด้าน และค้นพบถึงความน่าละอายของตัวเองที่คราวนี้นับว่ามากล้นจนถึงขั้นว่าอยากจะมุดดินลงหนี ยิ่งได้เห็นสายตาตัดสินแบบเยาะเย้ยของชายหนุ่มผู้ร่วมทางที่มองผ่านกระจกแล้วด้วย ยิ่งทำให้อยากจะเปิดประตูรถแล้วกระโดดให้หัวทิ่มลงไปเสีย

    “ไง หลับสบายไหมคุณ” วิษณุถามด้วยเสียงที่กวินรู้สึกว่ามันช่างยียวนยิ่งนัก

    กวินพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่อยากจะโต้เถียงกับอีกฝ่ายมากนัก รู้สึกว่าร่างกายยังไม่กระปรี้กระเปล่าพอ แต่ในใจก็อดที่จะคิดแค้นเคืองไม่ได้ สาเหตุทั้งจากสายตาและวาจาแดกดันที่เหมือนวิษณุจะจงใจเตรียมไว้ให้เป็นอาหารเช้าอย่างไรอย่างนั้น

    วิษณุหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ไม่สนใจสายตาขวาง ๆ ที่ถูกส่งมาจากเบาะหลัง พารถเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางเลียบแนวเขา จนมองเห็นบ้านไม้หลังย่อม ๆ ปลูกอยู่ตรงหน้า มีพื้นที่จอดรถกว้างขวางจนดูเหมือนจะถูกใช้เป็นสำนักงานที่มีผู้มาติดต่อมากกว่าจะเป็นที่พักอาศัยธรรมดา มีระบบรักษาความปลอดภัยที่มั่นคงพอสมควร วิษณุขับผ่านป้อมยาม ซึ่งต้องรอให้พนักงานเลื่อนเปิดทางให้ ชายหนุ่มชะลอความเร็วลงเมื่อรถเคลื่อนไปบนพื้นคอนกรีตที่จัดไว้เป็นลานจอดรถ ในขณะที่กวินกวาดสายตามองรอบด้านอย่างสังเกตสังกา

    “นี่ถึงแล้วหรือ” กวินร้องถามออกไป

    ไม่มีคำตอบออกมาเป็นคำพูด วิษณุจอดรถอย่างนิ่วนวล ก่อนจะดับเครื่องยนต์ หันมาสบตากับกวินอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกับจะสื่อสารว่าได้ตอบคำถามของกวินแล้ว ก่อนจะที่ชายหนุ่มจะเปิดประตูรถแล้วก้าวเท้าลงไป

    กวินถอนใจ เดินตามลงไปอย่างหงุดหงิดกับท่าทางมากมาดของอีกฝ่าย

    วิษณุยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่กระโปรงหลังเพื่อเปิดเอาสัมภาระ เอ่ยขึ้นเล็กน้อยด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ก็คล้ายว่าจะจริงจังเพื่อให้กวินได้ยิน

    “เดี๋ยวเราต้องเดินขึ้นไปนิดนึงนะ”

    “เดินขึ้น? ขึ้นเขาอ่ะนะ?” กวินส่งเสียงร้อง ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ อยากจะถามอะไรต่ออีกยืดยาว แต่ก็เหมือนจะคิดคำพูดไม่ออก สติยังกลับมาไม่สมบูรณ์นักในยามเช้าเช่นนี้ วิษณุคว้ากระเป๋าสัมภาระของกวินขึ้นมาจากช่องเก็บของ พร้อมกับส่งสายตามาให้ กวินจึงไม่มีโอกาสจะได้พูดอะไรอีก รีบเดินไปคว้าข้าวของอันมากมายของตัวเองไว้ทันที
 
   วิษณุคว้าย่ามเพียงเบาเดียวของเขาขึ้นสะพาย พร้อมกับปิดฝาหลัง กดรีโมตล๊อคประตู ในขณะที่พนักงานรักษาความปลอดภัยเดินเข้ามาทักทาย

    “สวัสดีครับคุณหมอ คราวนี้ไปนานนะครับ”

    กวินชะงักไปเล็กน้อย ในขณะที่วิษณุพูดตอบกลับไปอย่างแกน ๆ ในขณะที่ก้าวเท้าไปข้างหน้า

    “อือ... คุณป้าอาการหนักน่ะ”

    “เดี๋ยว... อะไรนะ” กวินร้องถาม พร้อมกับพยายามเร่งฝีเท้าให้ทันชายหนุ่ม แต่ก็ยากเสียเหลือเกินเพราะความทุลักทุเลในการขนสัมภาระ “หมอ?”

    วิษณุหันมามองหน้ากวินเล็กน้อย ถอนใจเบา ๆ แล้วเดินรุดหน้านำออกไปอีก พนักงานรักษาความปลอดภัยยิ้มให้กับกวินเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย ในขณะที่กวินไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ได้แต่พยายามจะเดินตามวิษณุไปให้ทัน ก่อนจะร้องถามซ้ำออกไปอีก

    “คุณเป็นหมอหรือ”

    “เปล่า”

    วิษณุตอบห้วน ๆ ในขณะที่เดินหน้าต่อไป ในขณะที่กวินรู้สึกงงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


*** **** ***** **** ***

    ถ้ามีใครสักคนถามว่าระหว่างภูเขากับทะเล ชอบอะไรมากกว่ากัน ในยามปกติอาจจะลังเล แต่ในเวลานี้ที่กวินรู้สึกเหนื่อยล้ากับทางสูงชันและข้อเท้าระบมไปกับแง่งหินและเถาไม้ต่าง ๆ กวินคงจะตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่าเขาเกลียดภูเขาเอาเสียจริง ๆ

    “ชอบปีนเขาหรือคุณ” อันที่จริงกวินถามประชด เพราะรู้สึกว่าเดินมาเนิ่นนานเหลือเกินแต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดหมาย เหงื่อโทรมกายและเมื่อยล้าไปหมดทั้งตัว แต่ชายหนุ่มตัวดีกลับเดินขึ้นอย่างคล่องแคล่วราวกับสวมวิญญาณของลิงค่างอย่างไรอย่างนั้น และเหนือสิ่งอื่นใดทางมันชันและไม่ได้มีลักษณะเป็นถนนเลยสักนิด ดินก็เป็นดินร่วนที่พร้อมจะพาให้ลื่นตกลงไปได้ทุกเมื่อ ต้องใช้เท้ายึดไว้กับแง่งหินเล็ก ๆ ตามทางให้มันทิ่มเท้าจนเจ็บ ในขณะที่มือก็ต้องคอยเกาะเกี่ยวต้นไม้เถาวัลย์เพื่อเป็นตัวช่วยพยุงร่าง ไม่อยากจะนับรอยแผลว่าโดนกิ่งไม้เกี่ยวตามตัวไม่เยอะแยะสักแค่ไหน แถมสัมภาระอันมากมายทั้งหลายเท่านี้อีก ทำให้กวินรู้สึกทุลักทุเลมากไปกว่าเดิม “แล้วถามจริง ไม่มีถนนหรือไง”

    “อยากไปเดินที่ถนนหรือ” วิษณุถาม

    “เออ” กวินตอบอย่างรวดเร็วจนไม่ทันจะได้คิด “ก็มันจะเดินง่ายกว่านี้หรือเปล่าล่ะ”

    “ก็ได้นะ งั้นเดินกลับลงไป แล้วผมจะพาไปเดินที่ถนน ซึ่งระยะทางจะไกลกว่าตรงนี้ประมาณสามเท่า”

    “โกหก”

    “เพ้อเจ้อน่ะคุณ” วิษณุว่า “ผมจะโกหกทำไม ผมก็เดินเหนื่อยเหมือนคุณนั่นแหละ ตรงนี้มันเป็นทางลัด เชื่อเถอะว่าสะดวกและเร็วที่สุดแล้ว”

    “แล้วไม่ทราบว่าจะลัดไปจนถึงยอดเขาเลยหรือเปล่า” กวินอดที่จะยียวนกลับไปไม่ได้ โดยเฉพาะในเวลาที่รู้สึกเหนื่อยและคันเนื้อคันตัวไปหมดแบบนี้

    “ไม่หรอก” วิษณุหัวเราะเบา ๆ ในขณะที่เดินตัวเบาหวิวนำหน้าไปอย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ไม่วายจะหันกลับมามองดูกวินเป็นระยะ ๆ “เดินข้ามเขาไปอีกลูกเลยต่างหาก เอ้า ! เดินระวัง ๆ สิคุณ เกาะให้ดี ๆ นั่น ! ลื่นเลยเห็นไหม”

     ต้องเรียกว่ากลิ้งถึงจะถูก ไม่ใช่แค่ลื่น แต่กลิ้ง... ร่างของกวินลื่นล้มแถมกลิ้งหลุน ๆ ลงไปด้านล่างจนกระทั่งใช้มือคว้ากิ่งไม้ไว้ได้ในที่สุด แต่ก็เหมือนกระเด็นกลับไปห้าก้าวอย่างไรอย่างนั้น เศษดินเปรอะเปื้อนตัวและข้าวของจนแทบไม่เหลือท่า แล้วพอเศษดินเศาหินและเศษใบไม้แห้งมารวมเข้ากับเหงื่อตามเนื้อตัว ก็ยิ่งทำให้เกิดภาวะคันคะเยออย่างมหันต์ กวินอยากจะกรีดร้องยิ่งนัก

    “บ้าเอ๊ย”

    อันที่จริงเพราะกระเป๋าสะพายอันหนักหน่วงเลื่อนหลุดจากบ่าในจังหวะที่กำลังก้าว ทำให้เสียการทรงตัวเล็กน้อย กวินใช้มือข้างหนึ่งประคองกระเป๋าไว้ไม่ให้ร่วงทำให้มือไม่ว่างจะไปยึดเกาะต้นไม้ พอดีกับที่เท้าก้าวพลาดไปเหยียบกับก้อนหินที่เล็กเสียจนไม่อาจจะยึดเท้าไว้ได้ รวมเข้ากับสติสัมปชัญญะในการแก้ปัญหาก็ต่ำ ทำให้สุดท้ายกวินต้องมาอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชเช่นนี้

    วิษณุที่เดินกลับมาอย่างคล่องแคล่วเช่นเดิม กวินไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ประคองตัวเองได้ดีเช่นนี้ ชายหนุ่มพยายามจะส่งมือมาช่วยเพื่อจะดึงให้ลุกขึ้น แต่กวินก็เมิน  รีบประคองตัวเองลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจจะรับความช่วยเหลือใด ๆ ทั้งสิ้น

    การเดินทางดูจะไม่จบสิ้นง่าย ๆ กวินนับครั้งไม่ได้ว่าล้มลงไปกับพื้นที่ครั้ง จำได้แค่เพียงว่ามากมายเหลือเกิน สามสี่ครั้งแรก วิษณุจะเดินกลับยื่นมือมาช่วยเสมอ แต่กวินก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมกวินถึงทำแบบนั้น เหมือนมีอะไรในใจสั่งการว่าไม่ควรจะรับความช่วยเหลือจากชายหนุ่มคนนี้เพราะนั่นคือสัญญาณของความอับอายพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ลำพังแค่คล่องแคล่วได้ไม่เท่าและลื่นล้มลงบ่อยขนาดนี้ก็นับได้ว่าแพ้แล้ว ขืนรับความช่วยเหลือก็ต้องมีหวังได้ถูกมองอย่างตัดสินจากอีกฝ่ายว่าเป็นคนอ่อนแอปวกเปียกและไร้สมรรถภาพ กวินไม่ยอมให้ตัวเองถูกตัดสินเช่นนั้น โดยเฉพาะถ้าเป็นการตัดสินจากวิษณุ

    จนนานไป วิษณุเองก็เริ่มจะหงุดหงิดกับความหยิ่งผยองของกวิน จึงตัดสินใจไม่ให้ความช่วยเหลือเสียเลย เดินรุดหน้าไปอย่างคล่องแคล่วและไม่แยแสคนข้างหลังเลยแม้แต่น้อย ยิ่งพอตอนไหนที่กวินเริ่มจะแสดงท่าว่าเหนื่อยและเดินไม่ไหว แต่วิษณุก็ได้แต่หันมามอง ไม่สนใจจะช่วยเหลือ แถมยังแอบยิ้มด้วยซ้ำเมื่อเห็นกวินสะดุดล้มครั้งแล้วครั้งเล่า

    รู้สึกราวกับโดนดูถูก รอยยิ้มและแววตาแบบนั้นที่มองมา เหมือนแววตาของผู้ชนะมองผู้แพ้ กวินรู้สึกเจ็บใจยิ่งนัก จึงพยายามกัดฟันสู้ พยายามจะเดินต่อไป ทั้ง ๆ ที่ร่างกายแทบจะไม่ไหว กล้ามเนื้ออ่อนล้าไปทุกส่วน ในขณะที่คอแห้งผาก ทว่าน้ำในขวดไม่เหลือเลยสักหยดเพราได้ถูกดื่มไปก่อนหน้านี้แล้วตลอดการเดินทาง ไหนจะสัมภาระหนักหน่วงพวกนี้ที่เหมือนเป็นตัวฉุดรั้งและเป็นอุปสรรคที่มากมายยิ่ง

    ในที่สุดก็ไม่ไหว ทิ้งตัวนั่งลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ไม่อาจจะทนฝืนเดินได้อีกแล้ว แม้ใจจะยังไม่อยากยอมแพ้ แต่กายก็ไปไม่ไหว กวินหอบหายใจถี่ ก้มหน้ากับพื้น สำลักอากาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า หน้าซีดปากซีดและหายใจติดขัดเหมือนอ๊อกซิเจนไม่พอ

    วิษณุเดินกลับมายืนอยู่ข้าง ๆ พร้อมกับถอนหายใจ กวินกัดฟันแน่น รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอ และร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นเลย ถ้ามองขึ้นไปแล้วต้องพบกับสายตาเหนือกว่า อาจเป็นไปได้ว่าคงไม่อาจจะกลั้นความเสียใจไว้ได้แน่ ไม่อยากจะเห็นเลยว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังมองลงมาด้วยสายตาที่สมเพชและเวทนาสักเพียงไร ใช่สิ เขาคงกำลังนึกดูถูกว่าเป็นผู้ชายประเภทไหนกันถึงได้ปวกเปียกแบบนี้ พวกผู้ชายมักเป็นเช่นนี้ ชอบดูถูกความอ่อนแอของเพศเดียวกัน แต่จะชื่นชมและทนุถนอมยิ่งนักถ้าความอ่อนแอนั้นไปเกิดแก่เพศตรงข้าม ยิ่งโดยเฉพาะถ้าวิษณุเป็นชายแท้ – ใช่... วิษณุน่าจะเป็นผู้ชายแท้ ๆ เพราะกวินจะไม่นึกเข้าข้างตัวเองให้มันเพ้อเจ้อเด็ดขาดว่าผู้ชายเช่นวิษณุนั้นจะเป็นแบบเดียวกับเขาไปได้ ลองนึกอย่างเป็นกลางโดยไม่มัวเมาแบบอย่างพวกนิยายเพ้อเจ้อ ในโลกความจริง มันมีความเป็นไปได้น้อยนักที่ผู้ชายมาดแมนสักคนจะเป็นเกย์ไปได้ นอกจากจะหลับตาอยู่ในโลกความฝัน – วิษณุคงกำลังมองเขาอย่างเหยียดหยามเหลือกำลัง อาจจะไม่ใช่แค่เหยียดหยามเพียงเพราะความอ่อนแอ แต่หากถ้าว่าความอ่อนแอนี้มันทำให้เปิดเผยออกมาถึงเพศสภาพที่แท้จริง ก็ย่อมเป็นไปได้ที่กวินจะต้องคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าวิษณุนั้นกำลังเหยียดหยามตนเองในฐานที่เป็นผู้ชายที่แมนไม่เต็มร้อยอีกด้วย ใช่สิ พวกผู้ชายแมน ๆ โดยมากก็มักชอบเหยียดหยามเกย์อยู่แล้ว อย่าปฏิเสธเลยว่าไม่จริง 

    จู่ ๆ ใจของกวินนั้นรู้สึกหดหู่และอยากจะร้องไห้ยิ่งนัก ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้เกิดมาเป็นคนอ่อนแอเช่นนี้....

    ทำไมนะ... ถึงได้อ่อนแอเอาเสียจริง ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ดูคล้ายจะแข็งแรงจนน่าอิจฉา

    “ดื่มน้ำก่อนสิคุณ” วิษณุพูดพร้อมกับส่งขวดน้ำของเขามาให้ แวบแรกนั้นไม่อยากรับ แต่ด้วยความกระหายเหลือกำลัง กวินจึงจำใจรับไปพร้อมกับดื่มอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ส่งคืน พร้อมกับก้มหน้าก้มตาต่อไป อย่างที่บอกว่าไม่อยากจะเห็นสายตาดูถูกจากอีกฝ่าย

    “เก็บไว้เหอะ ผมไม่ดื่มแล้ว” วิษณุถอนใจ พร้อมกับถือวิสาสะคว้ากระเป๋าของกวินไปหนึ่งไป ถ้าจำไม่ผิด ใบนั้นท่าจะใบที่หนักที่สุดเสียด้วย วิษณุแบกกระเป๋าของกวินอย่างง่ายดาย ก่อนจะเดินนำออกไปก่อนด้วยท่าทียังคงคล่องแคล่วเช่นเคย

    คนอ่อนแอนั่งนิ่งอยู่สักพักให้หายเหนื่อย ความเหนื่อยนั้นหายง่าย แต่ความหม่นหมองทางอารมณ์นี่สิที่เหมือนจะฝังแน่น มันน่าหงุดหงิดแก่ตัวเองว่าทำไมถึงเกิดมาร่างกายอ่อนแอเสียขนาดหนักอย่างกับไม่ใช่ผู้ชาย ข้อนี้เป็นปมของกวินมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยเฉพาะในวิชาพละศึกษา วิชาที่เขาเป็นได้แค่ตัวตลกในชั้น ไม่ว่าจะบาส วอลเล่ย์ หรือฟุตบอล กวินก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ซ้ำยังทำแล้วก็มักจะงก ๆ เงิ่น ๆ จนน่าหัวร่อไปหมด กวินจำเสียงหัวเราะเยาะของเพื่อน ๆ ได้แม่น นอกจากจะไม่เคยทำได้ตามมาตรฐานแล้ว บางคราวยังต้องเจ็บตัวอยู่บ่อยครั้งด้วยกับความไม่คล่องแคล่วทั้งหลาย บางคราวโดนแกล้งก็ยังมี

    แม้กระเป๋าจะหายไปหนึ่งใบ แต่กวินก็ต้องฝืนเดินต่อไปอย่างเหนื่อยล้า เดินแต่ละก้าวอย่างเชื่องช้า พยายามเหนี่ยวตัวเองไว้กับกิ่งไม้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม พยายามเดินมาเรื่อย ๆ จนมาถึงจุดที่ทางเดินเริ่มกว้างและเรียบขึ้น เห็นว่าวิษณุยืนรอชิล ๆ อยู่ที่หน้าผา คล้ายกับว่ารอกวินอยู่นานแล้ว

    เสียงเครื่องยนต์ดังแว่วมาแต่ไกล ก่อนที่มอเตอร์ไซค์สองคันขับลงมาจากถนนลูกรังที่ทอดยาวจากด้านบนแล้วมาจอดตรงจุดที่วิษณุยืน กวินเพิ่งสังเกตได้ในตอนนั้นเองเดินมาถึงถนนแล้ว

    “มาดูตรงนี้สิคุณ” วิษณุหันมาพูดกับกวิน “วิวสวยนะ”

    กวินแทบจะอยากเป็นลมล้มลงไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด !
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NUKWUN ที่ 26-02-2010 23:52:03
เป็นอะไรที่รู้สึกเจ็บใจเเทนกวินมากเลย

รออ่านอยู่นะ สนุกดี

 :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 27-02-2010 01:02:01
 :m20: วิธีการปลุกคนที่พึ่งรู้จักกัน........ดีดน้ำใส่เนี่ยนะ  o22  :laugh:
ฮาไม่ไหวจะเคลียร์กระเซ็นนิดๆหน่อยยังไม่พอใจ นี่ถ้ามีน้ำเยอะกว่านี้พี่แกคงราดใส่
หน้านุ้งกวินแน่ๆ  :pigha2: อิคุณวิษณุจะแมนไปไหนเคอะ ชิส์!! แหม...เอ็นดูเค้าก็บอกมาเหอะ
ทำเป็นเก็กอยู่ได้ มีการมายีหัวด้วยนิ นี่ถ้าเจ้าตัวไม่ขี้เซาอ่ะนะ เจอโดนแยกเขี้ยวแน่ๆ

บุคลิกอยากนุ้งกวินที่ดูจะขี้หงุดหงิดไม่สนใจโลกอ่ะนะแต่จริงๆแล้วหน้าบางโคดๆ 55
เสียอะไรก็เสียได้แต่อย่ามาเสียฟอร์ม เล่นนอนไม่ตื่นแบบนี้อิอิ อายดิ  :m13:
เจอคนมารอเย้ยถึงที่ด้วยอ่ะ....แหมบริการหลังการปลุกนี่ดีจริงๆนะคุณวิษณุขาาาา

เดินขึ้นเขานี่แกล้งกันหรือว่า.........ทางถนนมันไกลห๊ะ
แง่งคนกำลังจะตาย...ยังจะมาให้ดูวิว น่าเชือดจริงๆ
เด็กในเมืองวันๆอยู่แต่ในกล่องสี่เหลี่ยมเจอหญ้า กิ่งไม้ เถาวัลย์
โน้นนี่เกี่ยวเนื้อตัวคงมอมแมมได้ที่ อีกอย่างต้องมาเล่นสงครามประสาท
กับคนบางคนด้วย.......ความหงุดหงิดเพิ่มเป็นพันเท่า 555 ทั้งร้อน
ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ทั้งคัน..........ทั้งอยากตื้บคน  :m16: :m31:
55 เห็นใจนุ้งกวินที่ซู้ดดดดดดดดดด

เออ...แต่ว่าอิคุณวิษณุนั่นเป็นหมอจริงอ่ะ.........หมออะไรเคอะ
หมอผีรึ  :jul3:

+1 คะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: samsoon@doll ที่ 27-02-2010 03:59:38
 :กอด1:คนเขียน

กวินนี้ดูแล้วแสบจริงๆ

เรื่องนี้จะเริ่มโรแมนติกตรงช่วงไหนคะ อิอิ ดูแล้วอีตากวินนี้แร๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงอย่างเดียวเชียว

เนื่องเรื่องสนุกดีค่ะ ตอนแรกเเอบคิดว่าพระเอกจะเป็นเด็กบ้านั้นอีก เลวจริงๆเชียว นึกแล้วพลานเกลียดเด็กขึ้นมาตะงิดๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 27-02-2010 04:04:22
น่าสงสารกวินนะครับ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก ขอบคุณที่มาต่อครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 27-02-2010 06:50:47
เพิ่งอ่านครั้งแรกค่ะ แนวนี้ที่เป็นแบบนี้(งงไหม?) แนวนี้หาอ่านแบบนี้ไม่ค่อยเจอหรอกนะ งานที่คุณเขียนก็ออกมาดี ภาษาสวย รื่นไหล ไม่ติดขัด แทบหาคำผิดไม่เจอด้วย

เอาเป็นว่าประทับใจมากๆ  o13  ไออ่านตอนแรกๆก็เครียดซะ(เป็นพวกอินน่ะค่ะ) แต่ก็อยากอ่านต่อ

กวินเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายจริงๆนั่นแหละ แต่ก็บอกได้เลยว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจัง แต่ไม่รู้จักการใช้ชีวิต แบบใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ ไม่กล้าเผชิญหน้า โลกกระทัดแคบ ไม่ไว้ใจใคร รวมๆกันจึงกลายเป็นคนแบบนี้  ตอนแรกไอไม่ชอบกวินเอาซะเลย คนอาไร้ใจดำได้ขนาดนี้ แต่ถ้าให้มองจริงๆก็มีคนแบบนี้อยู่จริงนั่นแหละ แถมในยุคปัจจุบันก็เยอะซะด้วย แต่กวินก็เป็นคนที่มีความสามารถในการเขียน งานของเขาทำให้ผู้คนรู้จักโลกในอีกมุมมองหนึ่ง ก็นะ....

อืมมม ... บอกตรงๆว่าไม่ชอบขจรเอามากๆจริงๆ(ออกแนวรำคาญมากกว่า) ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันทำอะไรถึงมาอยู่ตำแหน่งพี่พรรณได้

ส่วนพี่พรรณก็เป็นพี่ที่ดีล่ะนะ พี่รสก็เป็นบรรณาธิการชั้นยอดคนหนึ่งเลย รู้จักถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อที่จะลุยต่อไปอีกหลายๆก้าว รู้จักชักจูงคน(นักเขียน) อ่ะนะ....

ไอตลกพิมพ์ตอนเมาด้วย speak eng. ซะงั้น เคยอยู่นอกมานานเหรอ?

ส่วนนายวิษณุนี่ก็เป็นคนชิวๆน่าดูนะ อินดี้จริงๆนั่นแหละ ใช้ชีวิตคุ้มค่าซะเหลือเกิน แต่ก็ต้องยอมถอยเพื่อกวินบ้างนะ (ไม่งั้นจะมีวันรักกันไหมล่ะ?)

อ๊ะ! อีกอย่างนะ ไอ้เด็กอายุ16 ที่ออกมาในตอนแรก ไอไม่ได้คิดว่ามันเป็นพระเอกอยู่แล้วดิ มองยังไงก็เข้ากับกวินที่เป็นนายเอกไม่ได้เพราะฉะนั้นไม่ใช่พระเอกแน่นอน
แต่ก็รอๆดูว่าเมื่อไหร่จะออกมาเหมือนกัน พอนายวิษณุโผล่ออกมา แล้วพอถึงฉากที่คุยกันครั้งแรก ตกใจนิดหน่อยตรง"คุณกลัวผมหรือ?" เหมือนมองกวินออกไงงั้น แต่พอถึงตรง"คุณน่ะผ่านโลกน้อยมาก...." ไอก็คิดเลยว่ามันแน่ๆที่เป็นพระเอก

เอออออ ... แต่ก็อยากรู้จริงๆนะว่าป้าวรรณี เห็นอะไรในตัวกวิน ?  ขนาดคิดว่าเป็นงานตัวเองทั้งๆที่แนวการเขียนมันคนละแนวอย่างที่กวินว่านั่นแหละ หรือว่าภายในใจป้าไม่ได้มีแต่สิ่งอ่อนโยนที่ต้องการปลอบประโลมคนอย่างงานเขียนที่ออกมา ?  ก็ไม่รู้สินะ...... ก็ประมาณนี้แหละ



เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 27-02-2010 18:43:35
น่าสงสารกวินจังหมดท่าไปเลย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 27-02-2010 19:36:09
คิดแล้วอยากบีบคอตาวิษณุแทนนู๋วิน

ชิส์

ปล. ไหนว่าลักหลับอะคนเขียน ข้ามไปไหน T^T

 :z13:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 02-03-2010 20:03:43
เป็นอะไรที่รู้สึกเจ็บใจเเทนกวินมากเลย

รออ่านอยู่นะ สนุกดี

 :call:

- ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ ดีใจที่บอกว่าสนุกครับผม

:m20: วิธีการปลุกคนที่พึ่งรู้จักกัน........ดีดน้ำใส่เนี่ยนะ  o22  :laugh:
ฮาไม่ไหวจะเคลียร์กระเซ็นนิดๆหน่อยยังไม่พอใจ นี่ถ้ามีน้ำเยอะกว่านี้พี่แกคงราดใส่
หน้านุ้งกวินแน่ๆ  :pigha2: อิคุณวิษณุจะแมนไปไหนเคอะ ชิส์!! แหม...เอ็นดูเค้าก็บอกมาเหอะ
ทำเป็นเก็กอยู่ได้ มีการมายีหัวด้วยนิ นี่ถ้าเจ้าตัวไม่ขี้เซาอ่ะนะ เจอโดนแยกเขี้ยวแน่ๆ

บุคลิกอยากนุ้งกวินที่ดูจะขี้หงุดหงิดไม่สนใจโลกอ่ะนะแต่จริงๆแล้วหน้าบางโคดๆ 55
เสียอะไรก็เสียได้แต่อย่ามาเสียฟอร์ม เล่นนอนไม่ตื่นแบบนี้อิอิ อายดิ  :m13:
เจอคนมารอเย้ยถึงที่ด้วยอ่ะ....แหมบริการหลังการปลุกนี่ดีจริงๆนะคุณวิษณุขาาาา

เดินขึ้นเขานี่แกล้งกันหรือว่า.........ทางถนนมันไกลห๊ะ
แง่งคนกำลังจะตาย...ยังจะมาให้ดูวิว น่าเชือดจริงๆ
เด็กในเมืองวันๆอยู่แต่ในกล่องสี่เหลี่ยมเจอหญ้า กิ่งไม้ เถาวัลย์
โน้นนี่เกี่ยวเนื้อตัวคงมอมแมมได้ที่ อีกอย่างต้องมาเล่นสงครามประสาท
กับคนบางคนด้วย.......ความหงุดหงิดเพิ่มเป็นพันเท่า 555 ทั้งร้อน
ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ทั้งคัน..........ทั้งอยากตื้บคน  :m16: :m31:
55 เห็นใจนุ้งกวินที่ซู้ดดดดดดดดดด

เออ...แต่ว่าอิคุณวิษณุนั่นเป็นหมอจริงอ่ะ.........หมออะไรเคอะ
หมอผีรึ  :jul3:

+1 คะ

- ต้องคอยติดตามครับว่าหมออะไร แต่ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นหมอผีจริง ๆ ^ ^
:กอด1:คนเขียน

กวินนี้ดูแล้วแสบจริงๆ

เรื่องนี้จะเริ่มโรแมนติกตรงช่วงไหนคะ อิอิ ดูแล้วอีตากวินนี้แร๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงอย่างเดียวเชียว

เนื่องเรื่องสนุกดีค่ะ ตอนแรกเเอบคิดว่าพระเอกจะเป็นเด็กบ้านั้นอีก เลวจริงๆเชียว นึกแล้วพลานเกลียดเด็กขึ้นมาตะงิดๆ

- นั่นสิ คิดไปคิดมา เรื่องนี้ก็ชักจะไม่โรแมนติกสักเท่าไหร่เลยแฮะ อาจจะเพราะคาแรคเตอร์มันจริงจังด้วยแหละมั้งครับ แต่ยังไงก็จะพยายามให้มันพอมีความโรแมนติก(เท่าที่สถานการณ์และตัวละครจะเป็นไปได้นะครับผม) ขอบคุณที่เข้ามาติดตามครับ
น่าสงสารกวินนะครับ แต่ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นอีก ขอบคุณที่มาต่อครับ
-ขอบคุณที่มาอ่านเช่นกันครับ

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 02-03-2010 20:08:37
เพิ่งอ่านครั้งแรกค่ะ แนวนี้ที่เป็นแบบนี้(งงไหม?) แนวนี้หาอ่านแบบนี้ไม่ค่อยเจอหรอกนะ งานที่คุณเขียนก็ออกมาดี ภาษาสวย รื่นไหล ไม่ติดขัด แทบหาคำผิดไม่เจอด้วย

เอาเป็นว่าประทับใจมากๆ  o13  ไออ่านตอนแรกๆก็เครียดซะ(เป็นพวกอินน่ะค่ะ) แต่ก็อยากอ่านต่อ

กวินเป็นคนมองโลกในแง่ร้ายจริงๆนั่นแหละ แต่ก็บอกได้เลยว่าเป็นคนที่ค่อนข้างจะจริงจัง แต่ไม่รู้จักการใช้ชีวิต แบบใช้ชีวิตได้ไม่คุ้มค่าสักเท่าไหร่ ไม่กล้าเผชิญหน้า โลกกระทัดแคบ ไม่ไว้ใจใคร รวมๆกันจึงกลายเป็นคนแบบนี้  ตอนแรกไอไม่ชอบกวินเอาซะเลย คนอาไร้ใจดำได้ขนาดนี้ แต่ถ้าให้มองจริงๆก็มีคนแบบนี้อยู่จริงนั่นแหละ แถมในยุคปัจจุบันก็เยอะซะด้วย แต่กวินก็เป็นคนที่มีความสามารถในการเขียน งานของเขาทำให้ผู้คนรู้จักโลกในอีกมุมมองหนึ่ง ก็นะ....

อืมมม ... บอกตรงๆว่าไม่ชอบขจรเอามากๆจริงๆ(ออกแนวรำคาญมากกว่า) ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันทำอะไรถึงมาอยู่ตำแหน่งพี่พรรณได้

ส่วนพี่พรรณก็เป็นพี่ที่ดีล่ะนะ พี่รสก็เป็นบรรณาธิการชั้นยอดคนหนึ่งเลย รู้จักถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อที่จะลุยต่อไปอีกหลายๆก้าว รู้จักชักจูงคน(นักเขียน) อ่ะนะ....

ไอตลกพิมพ์ตอนเมาด้วย speak eng. ซะงั้น เคยอยู่นอกมานานเหรอ?

ส่วนนายวิษณุนี่ก็เป็นคนชิวๆน่าดูนะ อินดี้จริงๆนั่นแหละ ใช้ชีวิตคุ้มค่าซะเหลือเกิน แต่ก็ต้องยอมถอยเพื่อกวินบ้างนะ (ไม่งั้นจะมีวันรักกันไหมล่ะ?)

อ๊ะ! อีกอย่างนะ ไอ้เด็กอายุ16 ที่ออกมาในตอนแรก ไอไม่ได้คิดว่ามันเป็นพระเอกอยู่แล้วดิ มองยังไงก็เข้ากับกวินที่เป็นนายเอกไม่ได้เพราะฉะนั้นไม่ใช่พระเอกแน่นอน
แต่ก็รอๆดูว่าเมื่อไหร่จะออกมาเหมือนกัน พอนายวิษณุโผล่ออกมา แล้วพอถึงฉากที่คุยกันครั้งแรก ตกใจนิดหน่อยตรง"คุณกลัวผมหรือ?" เหมือนมองกวินออกไงงั้น แต่พอถึงตรง"คุณน่ะผ่านโลกน้อยมาก...." ไอก็คิดเลยว่ามันแน่ๆที่เป็นพระเอก

เอออออ ... แต่ก็อยากรู้จริงๆนะว่าป้าวรรณี เห็นอะไรในตัวกวิน ?  ขนาดคิดว่าเป็นงานตัวเองทั้งๆที่แนวการเขียนมันคนละแนวอย่างที่กวินว่านั่นแหละ หรือว่าภายในใจป้าไม่ได้มีแต่สิ่งอ่อนโยนที่ต้องการปลอบประโลมคนอย่างงานเขียนที่ออกมา ?  ก็ไม่รู้สินะ...... ก็ประมาณนี้แหละ



เป็นกำลังใจให้นะคะ  :L2:

- โอ... ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ ดีใจที่ได้อ่านคอมเม้นยาว ๆ แบบนี้ ฮ่า ๆ ประเด็นที่ว่าขจรมาอยู่ในตำแหน่ง บก ได้ไง อันนี้ความจริงก็แค่มธุรสเริ่มไม่ไว้ใจอรพรรณฐานที่ทำ สนพ เสียผลประโยชน์ เลยให้ขจรมาถ่วงอำนาจน่ะครับ เพราะขจรเอาเรื่องวรรณีไปรายงาน ส่วนประเด็นที่ว่าสุดท้ายแล้ววรรณีเห็นอะไรในตัวกวิน อันนี้อาจจะต้องติดตามต่อไปครับ แต่ก็ไม่แน่ว่าสิ่งที่คุณคิดก็อาจจะถือว่าถูกแล้วก็ได้ครับ ^ ^ ขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ครับ

น่าสงสารกวินจังหมดท่าไปเลย

- ขอบคุณครับผม

คิดแล้วอยากบีบคอตาวิษณุแทนนู๋วิน

ชิส์

ปล. ไหนว่าลักหลับอะคนเขียน ข้ามไปไหน T^T

 :z13:

- ต้องขอข้ามจริง ๆ ครับ เพราะการลักหลับมันไม่เกิดขึ้น แหะ ๆ ๆ แล้วอีกอย่าง ถ้าเกิดขึ้นก็เกรงว่าคนเขียน คงเขียนอะไรแบบนี้ได้ไม่ค่อยถนัดจริง ๆ ครับ ^ ^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 03-03-2010 20:16:28
กำลังจะมาต่อใช่มะ หุหุ

มาพอดีเยย

^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 03-03-2010 20:28:18
กำลังจะมาต่อใช่มะ หุหุ

มาพอดีเยย

^^


- ยังครับ แหะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ (หายแว้บบบ)
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 06-03-2010 10:05:49
แว่บปายหนาย

สองวันละน้าาาาาาาาาา

กลับมาซะดี ๆ :z13:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 09-03-2010 17:38:45
ลงต่อเซ่~~  :z3:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 10-03-2010 04:24:34
12

    มอเตอร์ไซค์สองคันขับเคลื่อนไปตามถนนลูกรังลดเลี้ยวขึ้นตามแนวเขาได้อย่างคล่องตัวกว่าที่คิด กวินซ้อนท้ายอยู่ในคันหนึ่งที่มีชายหนุ่มร่างผมเก้งก้างทำหน้าที่เป็นคนขับ วิษณุซ้อนอยู่คันหน้าที่เหมือนจะขับนำอยู่ไม่ไกล กวินมองอะไรได้ไม่ถนัดนัก นอกจากรู้สึกได้ถึงลมที่พัดปะทะใบหน้า และกระเป๋าสัมภาระที่คล้ายจะถูกหน่วงเล็กน้อยเมื่อเกี่ยวกับกิ่งไม้ข้างทาง แต่สายตาของกวินมองอะไรได้น้อยมากเพราะแทบจะหลับตาอยู่ตลอดทาง ส่วนหนึ่งเพราะลมและแดดที่พาให้สายตาทำงานได้ไม่เต็มที่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะความจงใจที่จะปิดกั้นตัวเองจากการรับรู้ในภาพที่น่าหวาดเสียวต่าง ๆ นา ๆ โดยเฉพาะเมื่อยามที่มอเตอร์ไซค์คันเก่งแทบจะเหินเวหาเมื่อสะดุดเข้ากับลูกคลื่นบนพื้นถนนที่พาให้รถเหาะขึ้นเล็กน้อยก่อนที่คนขับจะบิดแฮนด์อย่างทันท่วงทีเมื่อมีทีท่าว่ารถจะเหินตกเขาเพราะด้านหน้าเป็นโค้งหักศอก

    กวินสัมผัสถึงความสมบุกสมบันอยู่นานนม นึกสงสัยอยู่ครามครันในสวัสดิภาพ บวกกับบางคราวก็ไม่แน่ใจในเลือดเนื้อของตัวเองนักว่าที่ยังรู้สึกจับต้องได้นี่ยังเป็นความจริงอยู่หรือไม่ อดคิดไม่ได้ว่าเผลอ ๆ ความจริงเขาอาจจะตกเขาคอหักตายไปแล้วก็ได้ ที่เป็นอยู่นี้คือวิญญาณ

    เสียงหัวเราะชอบใจหยอกล้อของหนุ่มคนขับดังแว่วมาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะเมื่อได้ผ่านจุดหวาดเสียวต่าง ๆ พาให้กวินนึกขวางอยู่ได้ไม่น้อย ไม่เข้าใจว่านี่กำลังคิดว่าตัวเองกำลังแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากอยู่หรืออย่างไร และถ้าไม่ได้คิดเอง กวินรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงของวิษณุหัวเราะร่วมวงไปด้วย

    ไม่อยากจะนึกหงุดหงิดให้มันปวดสมอง ก็แค่ความความสนุกงี่เง่าแบบพวกผู้ชาย แต่ขอว่าอย่าได้มีอุบัติเหตุใด ๆ เกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกวินก็คิดไว้แล้วว่าคงจะไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น

    เวลาผ่านไปสักระยะ รู้สึกได้ถึงความเรียบรื่นของเส้นทางจนพาให้รู้สึกผิดปรกติ มอเตอร์ไซค์แล่นฉิวตรงไปอย่างราบรื่น พร้อมกับที่คนขับเหยียบเข้าเกียร์ที่ผ่อนคลายขึ้น เมื่อนั้นเองกวินจึงค่อย ๆ ลืมตา ก่อนจะโล่งใจขึ้นมาอย่างครามครันเมื่อพบว่าถนนที่ทอดยาวตรงไปนี้ ดูจะเป็นที่ราบ ไม่สมบุกสมบันเหมือนเส้นทางที่ผ่านมาแล้ว

    เปิดสายตามองบรรยากาศรอบข้างได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

    มอเตอร์ไซค์ทั้งสองขับเคลื่นลอดซุ้มประตูไม้เข้าไปสู่เขตพื้นที่ ๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล คล้ายว่าจะได้รับการดูแลอย่างดี ต้นไม้ทั้งหลายในพื้นที่ดูเป็นระเบียบและสดชื่น สนามหญ้าสีเขียวสดดูสบายตาไม่แห้งแล้ง แปลงดอกไม้ปลูกไว้อย่างเป็นระเบียบยาวออกไปไกล ส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้ที่ปลูกง่าย อาทิ ดาวเรือง บานชื่น บานไม่รู้โรย ฯลฯ แซมด้วยไม้ประดับที่ตัดแต่งอย่างเป็นระเบียบสวยงาม รับกับทิวทิศน์เบื้องหลังที่เป็นแนวเขาปกคลุมทอดยาวเป็นฉาก สัมผัสได้ถึงความสงบและรื่นรมย์อย่างอธิบายได้ไม่หมด

    รถขับเข้าไปอย่างเชื่องช้า คล้ายกับคนขับจงใจชะลอความเร็ว กวินมองเห็นคนประมาณเกือบยี่สิบคนในพื้นที่ที่กำลังช่วยกันตกแต่งสวน มองไกลออกไปเห็นโรงเรือนหลังเล็ก ๆ ที่เหมือนจะเลี้ยงไก่ไว้ด้านใน มีคนสองสามคนเดินเข้าออกพร้อมกับหิ้วถังอาหารสัตว์ คนส่วนใหญ่แทบทุกคนยิ้มกว้างเมื่อเห็นวิษณุ โบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร ในขณะที่มีอยู่หลายคนที่มองกวินอย่างสนอกสนใจ

    โดยอัตโนมัติ กวินหลบตาจากคนพวกนั้นเสีย

    มอเตอร์ไซค์ขับเข้าไปยังบริเวณด้านในสุด ด้านหน้าเรือนไม้ปลูกติดกันอยู่หลายหลัง เห็นผู้คนประมาณห้าหกคนกำลังช่วยกันทำความสะอาดพร้อมกับส่งเสียงพูดคุยบวกกับร้องเพลงอย่างครึกครื้น มอเตอร์ไซค์ทั้งสองคันจอดตรงด้านหน้าเรือนหลังที่ใหญ่ที่สุด

    วิษณุลงจากรถพร้อมกับกล่าวขอบคุณคนขับรถทั้งสองคน กวินลงตามอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ เพราะติดสัมภาระที่ค่อนข้างจะมากมาย ในขณะที่พวกคนขับพยักหน้ารับคำขอบคุณจากวิษณุแล้วขับรถออกไปทันที ไม่วายที่ขับแกล้งเบียดกันไปมาพร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน

    “นี่น่ะหรือ บ้านพักของคุณวรรณี” กวินกวาดสายตามองโดยรอบ ในขณะที่โสตประสาทยังสดับถึงเสียงพูดคุยจอแจ อดไม่ได้ที่จะถามออกไป “ทำไมคนถึงเยอะจัง”

    “ตอนแรก ๆ คุณป้าอยู่ที่นี่คนเดียว แต่พอระยะหลังซื้อที่ดินแถวนี้ได้มากขึ้น คุณป้าก็เลยก่อตั้งที่นี่ให้เป็นศูนย์ช่วยเหลือตนเอง สำหรับคนที่มีปัญหา” วิษณุตอบอย่างคล่องแคล่ว ในขณะที่ยืดเส้นยืดสายให้พ้นจากอาการปวดเมื่อย ในขณะที่กวินร็สึกสะดุดกับคำตอบจากปากของชายหนุ่มอยู่เล็กน้อย

    “คุณหมายความว่าที่นี่คือสถานบำบัดงั้นหรือ” ถามซ้ำ พลางขมวดคิ้ว “แล้วพวกคนเหล่านี้คือ... คนไข้... ใช่ไหม”

    วิษณุผ่อนลมหายใจยืดยาว ก่อนจะตอบออกมาอีก

    “ไม่ใช่หรอก ไม่ถึงกับว่าเป็นคนไข้ พวกเขาก็คนธรรมดา และที่นี่ก็ไม่ใช่สถานบำบัดด้วย”

    แม้จะยังคลางแคลงอยู่บ้าง แต่ก็กวินก็ตัดสินใจไม่ตอบโต้อะไรอีก กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ไม่ได้สนใจในบรรยากาศอันสงบและร่มรื่นเป็นธรรมชาติ หากแต่พุ่งความสนใจไปยังกลุ่มคนทั้งหลายในที่แห่งนี้ เริ่มจากมองไปยังกลุ่มคนที่ยังคงช่วยกันถอนหญ้าและรดน้ำต้นไม้ โอเค คนพวกนี้ก็ดูปรกติ มองเข้าไปในเรือนไม้หลาย ๆ หลังที่มีคนหลายคนกำลังช่วยเหลือกันทำความสะอาด คนพวกนี้ดูพูดมากแถมยังร้องเพลงกันอย่างเอะอะมะเทิ่ง แต่ก็เอาเถิด ถ้าจะว่าปรกติก็ยังพอเชื่อ แต่กระนั้น ก็มีกลุ่มคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้อยู่รวมกลุ่มกับที่มองเห็นได้ในก่อนหน้า คนพวกนี้ไม่ได้ทำงานในสวน ไม่ได้ทำงานในโรงเลี้ยงสัตว์ ไม่ได้ช่วยทำความสะอาด มีกันอยู่ประมาณสามสี่คนที่นั่งซึมไม่พูดไม่จา บางคนก็เดินไปมาอย่างช้า ๆ บนระเบียง เลื่อนลอยเหมือนกำลังหดหู่อ้างว้างอย่างไรอย่างนั้น คนพวกนี้นี่ละที่ไม่ปรกติ ถึงอย่างไรก็ยังคงนึกสงสัยในคำพูดของวิษณุอยู่ดี จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าคนเหล่านี้จะไม่ใช่คนไข้ ในเมื่อพฤติกรรมมันก็ฟ้องอยู่ทนโท่ เหมือนวิษณุจะจับความรู้สึกของกวินได้ ชายหนุ่มจึงพยายามจะอธิบายออกมาอีก

    “คนพวกนี้ก็เหมือนอย่างเรา ๆ นั่นแหละ จริงอยู่บางคนอาจจะกำลังมีปัญหาและอาจจะกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่รับมือกับมันไม่ได้ จึงอาจจะดูซึม ๆ ไปบ้างอย่างที่เห็น แต่เชื่อเถอะว่าไม่แน่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าเขาก็จะดีขึ้นแล้วล่ะ หรือต่อให้ตอนนี้ไปคุยกับเขาเลย เขาก็ยังคุยรู้เรื่อง เขายังควบคุมตัวเองได้ คนพวกนี้ต่างจากคนไข้ในสถานบำบัดตรงที่ว่าพวกเขารู้ดีว่าตนเองกำลังมีปัญหา พวกเขาหลายคนจึงมาอยู่ด้วยกันที่นี่ ในสถานที่แห่งนี้ที่คุณป้าตั้งใจจะให้เป็นสถานที่ ๆ พวกเราจะช่วยเหลือบำบัดกันเอง”

    “บำบัดกันเอง” กวินร้องถามออกไปอีก “ไม่มีหมอเลยว่างั้น”

    “เอาจริง ๆ ทุกคนที่นี่ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องถูกดูแลโดยจิตแพทย์” วิษณุว่า ก่อนจะยักไหล่เล็กน้อย “แต่เราก็มีจิตแพทย์แวะมาที่นี่อยู่ประจำนั่นแหละ”

    กวินเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก มองไปรอบ ๆ อีกครั้ง ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกไม่คุ้นเคยและแปลกแยกอย่างบอกไม่ถูก คาดไม่ถึงว่านี่คือสถานที่ ๆ เขาจะต้องมาใช่ชีวิตอยู่เป็นเดือน ๆ เพื่อจะเขียนงาน ตอนแรกที่ตกลงปลงใจจะมาก็วาดหวังไว้ว่าบ้านของวรรณี วรรณรัตน์ คงจะเป็นบ้านตากอากาศน่ารัก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบบนเขาตามประสาที่พักของเศรษฐีนีผู้ร่ำรวยจากการเขียนงาน จริงอยู่ว่าสภาพแวดล้อมของสถานที่มันก็ไม่ได้ต่างจากที่จินตภาพคิดไว้แต่แรกนัก มันก็ยังพอดูร่มรื่น สวยงาม และห้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ มองไปก็เห็นทิวเขาเป็นแนวทอดยาวสลับไปมาอยู่เบื้องหน้าท้องฟ้ากระจ่างใสคละด้วยแผ่นเมฆบาง ๆ ผสมกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดโชยต่อเนื่องพาความชุ่มชื่นจากป่าเขามาต้องสรรพางค์พาให้รู้สึกสดชื่น

    แต่นั่นแหละ กวินไม่คาดคิด และไม่เคยคิดว่าจะต้องคาดคิด.... บ้านพักของวรรณี วรรณรัตน์ที่เขาถูกล่อลวงให้มาอยู่ กลับกลายเป็นสถานที่ที่สภาพกึ่งจะเป็นสภานบำบัด เต็มไปด้วยผู้คนที่มีแนวโน้มว่าจะมีปัญหาทางจิต ! 

    “อ้าว... มาถึงแล้วหรือคะ หมอณุ” เสียงเรียกจากด้านบน เรียกสติและความคิดของกวินให้กลับคืนมา ตวัดสายตาไปทางต้นเสียง มองเห็นหญิงร่างอ้วนคนหนึ่งโผล่ตัวออกมาจากระเบียง พร้อมกับตั้งท่าจะเดินลงมาหา ในขณะที่วิษณุกลับกลายเป็นฝ่ายชิงที่จะเดินขึ้นไปหาเข้าหล่อนเสียเอง กวินงุนงงอยู่กับสถานการณ์อยู่สักพัก ก่อนจะเดินตามชายหนุ่มขึ้นไปด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยจะมั่นใจเท่าไรนัก

    “เพิ่งมาถึงเองครับ... อ่อ... คุณรตีครับ นี่คุณกวิน เขาจะมาอยู่กับเราที่นี่สักพัก” วิษณุหันมาแนะนำกวินให้แก่หญิงแปลกหน้า พร้อมกับแนะนำอีกฝ่ายให้แก่กวินด้วย “นี่คุณรตี เป็นผู้ดูแลที่นี่”

    เมื่อนั้นเองที่กวินได้พินิจถึงท่าทางของหญิงสาวผู้นี้อย่างเต็มตา รู้สึกได้ถึงความสูงวัย หากแต่ฉาบไว้ด้วยบุคลิกแบบเป็นกันเอง เจ้าหล่อนยิ้มกว้างพร้อมกับมองกวินด้วยสายตาอันมากไปด้วยประกายแห่งมิตรไมตรี ต่อให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้ายสักเพียงไหน แต่กวินก็รู้สึกได้ขึ้นมาอย่างทันทีว่าหญิงสาวผู้นี้คงจะเป็นคนที่มากไปด้วยความเอื้ออารีอย่างเห็นได้ชัด ใช้เวลาไม่นานนักในการสำรวจรูปร่างพร้อมกับตีความ หล่อนมีร่างท้วมเล็กน้อยรับกับผมหยิกเป็นลอนที่เหมือนจะไม่ได้ใส่ใจจะทำให้มันเป็นทรงเท่าไรนัก เช่นเดียวกับรอยกระนิด ๆ หน่อย ๆ บนใบหน้า พาให้กวินรู้สึกได้มากขึ้นไปอีกถึงความเป็นคนอารมณ์ดีของเจ้าหล่อนที่ฉายแววออกมาอย่างชัดเจน

    “ยินดีต้อนรับค่ะ” รตียิ้มกว้างมากขึ้นไปอีกเมื่อในขณะที่ยกมือรับไหว้กวิน พูดต่อไปด้วยสำเนียงที่กระจ่างใส “รับรองว่าอยู่ที่นี่คุณจะสบายใจขึ้น เผลอๆ อาจจะติดใจ ไม่อยากกลับไปอีกเลยด้วยซ้ำ เหมือนอย่างดิฉัน”

    กวินไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ อันที่จริงอาจจะรู้สึกขยะแขยงในคำพูดที่เพิ่งได้ยินเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าผู้พูดเป็นคนที่มีบุคลิกเอื้อเฟื้อเสียจนคิดอกุศลได้ไม่ลง ลองเปลี่ยนให้คำพูดที่ว่านั่นถูกพูดขึ้นมาจากปากของชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างกันนี่สิ กวินคงได้นึกค่อนขอดในใจไปแล้วแน่ ๆ ว่าสถานที่พิลึกพิลั่นแบบนี้น่ะหรือที่จะทำให้เขาติดอกติดใจไม่อยากกลับไปกรุงเทพฯ ละเมอเสียแล้วกระมัง

    “คุณรตีครับ” วิษณุเอ่ยขึ้น พร้อมกับลากรตีเข้าไปด้านในเหมือนอยากจะคุยเรื่องส่วนตัว ทิ้งกวินไว้ตามลำพังด้านนอก กวินมองตามคนทั้งคู่ไปเล็กร้อยพลางถอนใจเบา ๆ ยังคงรู้สึกแปลกแยกอยู่มากโขกับสถานที่แห่งนี้ ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับตอนเข้าค่ายลูกเสือเมื่อครั้งสมัยเรียน กวินนั้นเกลียดการเข้าค่ายยิ่งนัก เกลียดการกินอยู่แบบไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เกลียดกิจกรรมสันทนาการแบบห่าม ๆ หยาบโลนของครูฝึก เกลียดกิจกรรมรอบกองไฟ ให้ตายเถิด นึกอย่างไรการเข้าค่ายก็ไม่เคยทำให้เกิดความทรงจำที่ดีเลยสักนิด แล้วสถานที่แห่งนี้ยังมีกลิ่นอายที่ทำให้กวินคิดถึงการเข้าค่ายเข้าไปอีก

    จำได้ว่าตอนเข้าค่ายครั้งแรก น่าจะตอนอยู่ประถมปีที่หนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเพราะโดนเพื่อนแกล้งด้วยหรือไม่ แต่ตอนกลางคืนเมื่อทุกคนหลับสนิทอยู่ในเต๊นท์ กวินแอบร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ด้วยความคิดถึงบ้าน

    ถอนใจยาว สลัดภาพอดีตออกไปจากหัว กวินยังคงยืนอยู่บนระเบียง พร้อมกับกวาดตามองไปรอบ ๆ ด้านในสุดของระเบียงมีหญิงแก่คนหนึ่งนั่งถักนิตติ้งอยู่บนเก้าอี้โยก หล่อนสบตากับกวินพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย กวินหยักหน้ารับอย่างเก้อ ๆ พร้อมกับยิ้มตอบจนกระทั่งรู้สึกเจื่อน จึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พร้อมกับพาตัวเองเดินขึ้นไปในตัวบ้าน ได้ยินเสียงพูดคุยระหว่างวิษณุและรตีดังแว่วออกมาจากข้างใน

    “ผมใจคอไม่ดีเลยตอนที่คุณโทรหาเมื่อวาน เกิดปัญหาอะไรกับเธอหรือครับ”

    รตีถอนใจหนักหน่วงพอควร จนกวินสามารถจะได้ยิน กวินชะงักตัวเองอยู่หน้าบ้าน ความเคร่งเครียดจริงจังที่สัมผัสได้จากบทสนทนาทำให้กวินไม่กล้าที่จะเดินเข้าไป ได้แต่ใช้สายตาจ้องมองผ่านช่องประตูเข้ามายังคนทั้งคู่ที่ดูจะมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่พอสมควร

    “ไม่ค่อยดีเลยค่ะ ไม่ดีเลย” รตีตอบอย่างกล้ำกลืน “ยิ่งสองสามวันมานี้พอคุณหายไป แกก็เริ่มกลับมาจม และเหมือนจะจมไปมากกว่าเดิมด้วย พูดจาก็ไม่ค่อยจะได้ พูดทีไร จะก็ต้องร้องไห้ทันที โถ่... เมื่อวานนี้แกร้องไห้ทั้งวันเลยทีเดียวล่ะค่ะ”

    วิษณุดูเครียดมากขึ้นกับคำตอบจากรตี

    เสียงดังตุ้บเบา ๆ จากริมสุดของระเบียง ดีงความสนใจของกวินให้ออกจากการแอบฟังบมสนทนานั้นได้ชั่วครู่ หันไปทางที่มาของเสียง พบว่าก้อนไหมพรมจากมือของหญิงแก่ร่วงลงบนพื้น พร้อมกับกลิ้งมาแตะที่เท้าของกวิน ลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่กวินจะล้มลงเก็บ พร้อมกับค่อย ๆ เดินไปยื่นให้ ในขณะที่โสตประสาทก็รับฟังการพูดคุยระหว่างวิษณุและรตีไปเรื่อย ๆ

    “หรือบางทีเราก็ไม่ควรจะรั้งแกไว้อีกแล้ว ส่งแกไปเถอะค่ะ”

    “คุณคิดว่ามันจะช่วยให้เธอดีขึ้นหรือ” คล้ายกับว่าน้ำเสียงของวิษณุจะเจ็บปวดพอสมควร “อยู่ในสภาพแวดล้อมแย่ ๆ กินยา ชอตไฟฟ้า คุณคิดว่านั้นจะทำให้เธอดีขึ้นงั้นหรือ”

    “ยอมรับว่าฉันกำลังหมดความหวัง” เสียงของรตีดังตอบอย่างแผ่วเบา เคล้าไปด้วยเสียงสะอื้นเล็กน้อย “ถ้าคุณได้เห็นสภาพของเธอเมื่อวาน คุณก็อาจจะคิดอย่างฉัน แต่ก็นั่นแหละ บางที พอคุณกลับมา แกอาจจะดีขึ้นก็ได้”

    กวินค่อย ๆ ยื่นก้อนไหมพรมให้แก่หญิงชรา ด้วยความที่โฟกัสตัวเองอยู่กับการแอบฟังบทสนทนามากกว่า ทำให้กวินยื่นไหมพรมผิดทิศ จนแทบจะชนใบหน้าของหญิงแก่เอาเสียแล้ว

    “ตอนนี้เธออยู่ไหน” วิษณุถาม

    “แกออกจากห้องไม่ได้มาสามวันแล้วค่ะ” รตีถอนใจอีกคำรบ “พอแกได้เจอคนเยอะ ๆ เมื่อไร แกจะร้องไห้ทันทีอ่อ... แล้วที่สำคัญ แกเริ่มกลับมาหมกมุ่นกับ... ความตายอีกแล้ว”

     ทันใดนั้น ! เสียงดังโครมดังลั่นขึ้นมาจากด้านบน กวินตกใจ ปล่อยไหมพรมหลุดมือกลิ้งตกพื้นลงบันไดไปไกล หญิงแก่ผุดลุกขึ้นอย่างฉับพลัน พร้อมกับวิ่งไปเก็บไหมพรมอย่างที่เห็นแล้วอดสะดุ้งไม่ได้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่กวินไม่ได้สนใจนัก เพราะสายตามองเข้าไปยังด้านใน นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่วิษณุและรตีทำท่าตกใจไม่แพ้กัน เสียงเอียดอาดดังขึ้นอีกเป็นระรอก วิษณุและรตีรีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กวินลังเลอยู่สักพัก ก่อนจะวิ่งตามขึ้นไปด้วยความสงสัยใคร่รู้

    ในขณะที่กวินวิ่งขึ้นบันไปได้เพียงสองสามขั้น เสียงกรีดร้องของรตีก็ดังขึ้นอย่างน่าขนลุก !

    “เกิดอะไรขึ้นน่ะครับ” กวินวิ่งขึ้นมายังชั้นบนอย่างรวดเร็วทันกับเสียงกรีดร้องของรตีขาดห้วงไปพอดี หญิงกลางคนร่างท้วมยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูห้อง ๆ หนึ่ง กวินรีบพาตัวเองเข้าไปหาเจ้าหล่อนที่ยังคงยืนนิ่งไม่ไหว หน้าซีดเซียว นัยน์ตาแข็งทื่อจ้องมองเข้าไปในในประตู ยกมือขึ้นป้องปากเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสติของหล่อนจะโบยบินออกไปไกลจากห้วงความคิดเสียแล้ว

    กวินมองตามสายตาของรตีเข้าไปในห้อง เกบือบจะกรีดร้องตามอีกคน แต่ยั้งไว้ได้ทัน ภาพที่เห็นทำเอากวินรู้สึกลำคอเหือดแห้งอย่างฉับพลัน สรรพางค์กายสั่นยะเยือกอย่างทันที เข้าใจในตอนนั้นเองว่าทำไมรตีถึงได้มีทีท่าตกใจและหวาดกลัวได้ขนาดนั้น

    เสี้ยววินาทีที่กวินรู้สึกขนลุกเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างเล็ก ๆ ของเด็กสาววัยรุ่นที่กระตุกไปมาอย่างน่าหวาดผวาบนเส้นเชือกแข็ง ๆ ที่ห้อยลงมาจากพัดลมเพดาน สีหน้าซีดเซียวของเด็กสาวแสดงชัดถึงอาการอึดอัดและโหยหาอากาศหายใจ นัยน์ตาเหลือกกว้างคล้ายกับจะถลนออกมาจากเบ้า ผ่าเท้าสองข้างที่ลอยอยู่กลางอากาศตวัดไปมาคล้ายกับดิ้นรนตามสัญชาติญาณ

    แค่เสี้ยววินาที หากแต่เหมือนจะเป็นเสี้ยววินาทีที่สามารถจะสร้างภาพอันน่าสยดสยองจดจำให้แก่กวินได้อย่างมหัศจรรย์ แม้จะไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่อาการที่ใกล้ถึงแก่ความตายของเด็กสาวผู้นี้ก็ทำให้กวินรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างประหลาด ด้วยความรวดเร็วปานจรวด วิษณุคว้าเก้าอี้มาตั้ง พร้อมกับปีนไปอย่างรวดเร็ว ใช้ร่างกายกำยำของตนเองอุ้มร่างของเด็กสาวขึ้น ก่อนจะค่อย ๆ ดึงเชือกออกอย่างทันทีทันใด ในขณะที่รตีและกวินยังคงงุนงงทำอะไรไม่ถูก วิษณุวางร่างของเด็กสาวให้นอนราบลงกับพื้น เสียงสำลักอากาศของเด็กสาวเรียกสติของรตีให้กลับมาคืนมา แต่เหมือนว่าเจ้าหล่อนก็ยังเหมือนจะทำอะไรไม่ค่อยถูกอยู่ดี

    “โธ่... ญดา... ทำไมถึงคิดทำอะไรแบบนี้” รตีเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเครือ ในขณะที่กวินแทบไม่อยากจะมองเข้าไปด้านในอีกแล้ว

    ใบหน้าของผู้คิดสั้นที่เพิ่งจะรอดชีวิตซีดเซียวไม่ต่างอะไรจากซากศพ !

*** **** ***** **** ***

    “ตามสบายนะคะ” รตีเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเองเมื่อพากวินเดินเข้าในห้องนอนขนาดกะทัดรัดที่คล้ายจะถูกจัดเตรียมและทำความสะอาดไว้อย่างดีเพื่อต้อนรับผู้มาเยือน กวินวางกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดลงบนเตียงนิ่ม ๆ ใช้เวลาไม่นานในการสำรวจรอบ ๆ ห้อง ในขณะที่รตีเดินไปเปิดม่านออก เห็นเป็นประตูกระจกที่เชื่อมกับระเบียงด้านนอกที่หันหน้าสู่แปลงดอกไม้ พร้อมกับยังไม่หยุดเอ่ยแนะนำแก่ผู้มาใหม่

    “ห้องนี้อยู่ทิศตะวันออก ตอนเช้าแดดจะส่องมาทางระเบียง ถ้าตื่นทันก็จะเห็นอาทิตย์ขึ้นนะคะ สวยมาก ตอนกลางคินก็เย็นพอดู รับรองว่าอยู่สบายค่ะ มีผ้าขนหนูอยู่ในตู้นะคะ ส่วนข้าวของเครื่องใช้อื่น ๆ ก็...”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมเตรียมมาหมดแล้ว”

    “ค่ะ” รตียิ้มรับ กวินอดสงสัยในใจไม่ได้ว่าทำไมเจ้าหล่อนถึงได้ยิ้มเก่งแบบนี้ “ส่วนห้องน้ำอยู่ทางนี้นะคะ ใช้ร่วมกับห้องของหมอณุ”

    “ใช้ร่วม” กวินทวนคำ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกติดขัดขึ้นมาอย่างประหลาด ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจยากนักเลยสักนิด

    “ห้องของหมอนุอยู่ข้าง ๆ นี่เองค่ะ ต้องใช้ห้องร่วมกัน”

    “ครับ” กวินยิ้มรับ พยายามจะไม่ใส่ใจในเรื่องไร้สาระ หากแต่สิ่งที่สงสัยอยู่ในใจต่างหากที่ผลักดันให้ถามขึ้นในประเด็นที่อยากรู้เป็นอย่างยิ่ง “เมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

    รตีถอนใจยาว ก่อนจะค่อย ๆ ตอบคำถามอย่างใจเย็น

    “ญดาเธอค่อนข้างมีปัญหาน่ะค่ะ แต่อันที่จริงพวกเราทุกคนที่นี่ก็มีปัญหากันทั้งนั้น” หญิงร่างท้วมทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง ก่อนจะเอ่ยต่อไปเรื่อย ๆ สีหน้าของเจ้าหล่อนดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพูดในเรื่องนี้ “แต่ญดาเธอค่อนข้างวูบไหวมากพอสมควร คือแกผ่านเรื่องร้ายแรงมา และบางครั้งแกจมไปกับมัน สลัดมันไม่หลุด”

    “เรื่องร้าย?” กวินขมวดคิ้วเล็กน้อย

    “แกประสบอุบัติครั้งใหญ่น่ะค่ะ ปีที่แล้วนั่งรถบัสไปเที่ยวกับครอบครัว แต่โชคร้ายที่รถคว่ำตกเขา ผู้โดยสารเสียชีวิตทุกคน รวมทั้งครอบครัวด้วย แต่แกเป็นคนเดียวที่รอด”

    “โชคดีมาก ๆ เลยนะนั่น” กวินว่าไปตามความรู้สึก

    “แต่นั่นก็ทำให้แกครุ่นคิดถึงแต่เรื่องความตาย แล้วก็พาลทำให้เธอรู้สึกหดหู่และหมองเศร้าไปกับมัน พูดง่าย ๆ คือเหมือนแกจะรู้สึกผิดที่ตัวเองเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต” รตีถอนใจยาวอีกคำรบ “แกพยายามจะฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้งจนญาติต้องพามาอยู่ที่นี่ โดยหวังว่าแกจะดีขึ้น”

    กวินกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย คล้ายกับหวาดหวั่นพอสมควรจากการตีความในสิ่งที่รตีเล่า ยิ่งมารวมกับภาพที่ตนเองได้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้อีก แต่รตีก็เหมือนจะจับความรู้สึกของกวินได้ จึงชิงพูดออกมาดักไว้

    “แต่ปรกติแล้วแกน่ารักค่ะ ก็เป็นเด็กวัยรุ่นธรรมดา ๆ นี่เอง ช่างพูด ช่างคุย และเป็นเด็กมีอารมณ์ขันเสียด้วย  เพียงแต่ว่าบางคราวเธอแค่ยังหลุดพ้นจากบางสิ่งในจิตใต้สำนึกไม่ได้” รตีนิ่งไปอีกสักพัก ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย “เราไม่อยากให้แกไปอยู่โรงพยาบาล จริงอยู่ว่าการชอตไฟฟ้าและกระบวนการที่นั่น อาจจะทำให้แกเลิกพยายามฆ่าตัวตาย แต่มันก็อาจจะเป็นการทำให้แกด้อยศักยภาพในการอยู่บนโลกเช่นกัน ฉันเชื่อนะ ว่าบางทีคนเราก็ควรที่จะมีโอกาสที่จะจัดการกับตัวเอง เรียนรู้และควบคุมความคิดและรู้สึก เยียวยา จัดการกับมันด้วยศักยภาพตัวเอง โดยที่ไม่ต้องสูญเสียตัวตน และไม่ต้องสูญเสียการใช้ชีวิตในโลก คือฉันรู้สึกว่าการอยู่ที่นี่จะทำให้พวกเรากลับไปอยู่โลกภายนอกได้มากกว่าการรักษาที่โรงพยาบาล”

     กวินนิ่งไปพักหนึ่ง ในขณะที่รตีสบตากลับมาเหมือนจะคาดหวังให้เขาพูดอะไรสักอย่าง กวินอึกอักอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกไปอย่างติดขัดพอสมควร แต่กระนั้นก็ยังพูดออกไปตามที่ใจคิด ซึ่งเห็นตรงข้ามจากรตีอย่างสิ้นเชิง

    “ยอมรับว่าผมฟังคุณไม่ค่อยเข้าใจ แต่ผมเชื่อว่าโลกนี้มันเป็นโลกสำหรับคนเข้มแข็ง คนอ่อนแอมักจะไร้ศักยภาพที่จะเยียวยาตัวเอง” กวินผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ลังเลอยู่สักพักว่าจะพูดออกไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจพูด “ผมว่าคุณน่าจะส่งเธอไปโรงพยาบาลดีกว่า คนที่คิดจะฆ่าตัวเองด้วยเหตุผลงี่เง่าพรรค์นั้น ไม่เหมาะกับโลกภายนอกหรอก ขอโทษนะครับ ที่อาจจะพูดให้คุณไม่พอใจ”

    “ไม่เป็นไรค่ะ ที่คุณพูดก็มีเหตุผล” รตีพูดอย่างจริงใจ กวินโล่งใจเล็กน้อยที่รตีไม่ได้แสดงอาการโกรธเคือง แต่กระนั้น กวินก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบอยู่นิดหน่อยเมื่อรู้ว่าตัวเองอาจจะพูดกระทบจิตใจกับคนที่มีอัธยาศัยดีเช่นรตี แปลก พอมาคิดให้ดี ๆ กวินไม่อยากจะยอมรับกับตัวเองว่าที่จริงนั้นเขามักจะแคร์ความรู้สึกของคนอื่นอยู่ตลอดเวลาโดยที่ไม่รู้ตัว และรู้สึกผิดตามหลังอยู่เสมอถ้าพูดจาหรือทำอะไรกระทบใจใคร อย่างน้อยในคราวนี้มันก็ชัดที่สุดเพราะรตีก็ดูแสนดีออกแบบนี้

    รตีผ่อนลมหายใจอีกหนึ่งจังหวะก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายออกมา

    “ฉันเองก็อยู่ที่นี่มาห้าปีแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรจากการตัดขาดจากโลกภายนอกเหมือนกัน”

    รตียิ้มให้ พร้อมกับเดินจากไป ทิ้งกวินไว้ในห้องเพียงลำพัง


*** **** ***** **** ***

      ผู้รอดชีวิตค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่เห็นคือใบหน้าของวิษณุซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างกาย นัยน์ตาสองคู่สบกันอยู่สักพัก เด็กสาวก็ตั้งท่าเหมือนจะร้องไห้ออกมาอีก วิษณุส่ายหน้าเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ ยกมือของเด็กสาวมากุมไว้หลวม ๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

    “อยากถามอะไรหรือเปล่า”

    “คุณคงเบื่อที่จะตอบ” ญดาตอบอย่างตื้นตัน พร้อมมองวิษณุด้วยสายตาที่รวมความรู้สึกหลากหลาย ทั้งรู้สึกผิด ทั้งเศร้าสร้อย และทุกข์ใจอย่างหาใดเปรียบ “ใช่ไหมคะ คุณคงเบื่อเต็มทีแล้ว”

    “ผมไม่เคยเบื่อ”

    ญดายิ้มออกมาทั้งน้ำตา ในขณะที่วิษณุก้มลงจูบเบา ๆ ที่หน้าผาก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE26/02/2010ลงแล้ว11ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 10-03-2010 04:27:10
แว่บปายหนาย

สองวันละน้าาาาาาาาาา

กลับมาซะดี ๆ :z13:

- แหะ ๆ ไม่ใช่แค่สองวันละคับ ผมแว่บหายไปถึงสองอาทิตย์เลยทีเดียว ขอโทษค้าบบบบ ผมดีช่วงนี้ผมวุ่นวาย ๆ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณที่ติดตามคับ

ลงต่อเซ่~~  :z3:



-ลงแล้วค้าบ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: TONG ที่ 10-03-2010 07:19:51
นึกว่าจะไม่ได้อ่านต่อซะแล้ว ยิ่งมาเรื่องยิ่งซับซ้อนจนเดาทางไม่ถูกแล้วนะ สุดท้ายจะแต่งหนังสือได้หรือเปล่าตามลุ้นค่า
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NUKWUN ที่ 10-03-2010 10:47:27
รู้สึกว่าอยากอ่านต่ออ่า มาต่อเร็วนะ

รู้สึกว่าการใช้ภาษาดีมากๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 10-03-2010 11:54:45
 :เฮ้อ:  เครียดดดดดดดดดดดด~


แล้วยัยคนนี้เป็นอะไรกะวิษณุอ่ะ

แล้วถ้าไม่อยากให้คนเขาเบื่อก็อย่าทำตัวแบบนี้เซ่~


ไอว่าเหตุผลของรตีกะกวินถูกอย่างละครึ่งล่ะนะ คงไม่มีใครอยากอยู่รพ.หรอกถ้าปรับตัวกับที่นี่ได้ก็ออกไปใช้ชีวิตยังโลกภายนอกได้ดีกว่า
แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ก็อย่างที่กวินว่านั่นแหละ ถ้าอ่อนแอขนาดนั้นก็ควรส่งไปอยู่รพ. การทำแบบนี้คนอื่นจะเดือดร้อนไปด้วย


 :serius2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 10-03-2010 12:58:52
 :a5: ต้อนรับกวินด้วยภาพระทึกขวัญ
กวินเอ้ยปกติก็เป็นคนเมืองไม่สนใจใครอยู่แล้วอ่ะนะ คราวนี้ต้องมาอยู่
ในที่ๆไม่สามารถหนี หรือหลบเลี่ยงไปไหนได้ จะทำเป็นไม่รับรู้ก็ยิ่งทำไมไ่ด้ใหญ่
กร๊าก..แล้วแบบนี้นี่ คุณพิมพ์คิดได้ไงให้กวินมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
เอ..หรือว่าจะเอากวินมาเป็นคนไข้เพิ่มเรอะ  :laugh:
มาอยู่ในที่แบบนี้ กวินจะปรับตัวได้รึป่าวนะหรือว่าก็เป็นกวินแบบอย่างเก่า คือไม่สนใจโลก
มาอยู่ในบรรยากาศใหม่ๆ ผู้คนแปลกๆทั้งทีก็นะจะกลัวไปไย ถ้าไม่ไปสัมผัสด้วยตัวเองออกจากโลก
ของตัวเองไปสัมผัสโลกของคนอื่นบ้าง ไอ่ที่เรากลัวและตีความไปเองมันอาจจะไมไ่ด้น่ากลัวอะไรแบบนั้นก็ได้นะ

ญดาเป็นอะไรกับวิษณุรึป่าวนั่น หรือว่าเอ็นดูเหมือนน้องสาวเฉยๆ เฮ้อออ
คิดแล้วก็น่าสงสารอ่ะเนอะ ...

+1 คะ สู้ๆ  o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 10-03-2010 14:47:39
การเหลืออยู่ของความเศร้า
มันไม่ได้ทำให้เราอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้หรอกนะ
แต่เราต่างหาก ที่เดินไปกับมัน ไหว หรือ ไม่ไหว ต่างหาก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 12-03-2010 23:45:45
อยากให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อชดเชยในส่วนของผู้ล่วงลับ
อย่าได้แบกความเศร้าหมองไว้เลย
ความตายนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมมาถึง
จะรีบร้อนไปทำไม
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-03-2010 02:24:50
13

    ถ้าคิดอย่างไม่มีอคติ กวินยอมรับห้องนอนห้องนี้ปลอดโปร่งและโล่งสบายกว่าห้องนอนในคอนโดแคบ ๆ ของเขาในกรุงเทพอยู่มากโข สมกับที่จะถูกเรียกว่าเป็นสถานที่ตากอากาศโดยแท้ แสงสว่างสาดส่องผ่านเข้ามาอย่างทั่วถึงในลักษณะของอากาศที่ถ่ายเทสะดวก มองผ่านระเบียงกว้างออกไปเห็นเป็นทิวทัศน์อันงดงามของแปลงดอกไม้และทิวเขาที่ระบายอยู่ด้านหลังซ้อนทับด้วยแผ่นฟ้าสีสดใสแซมด้วยปุยเมฆบางเบาที่เคล้าไปกับสายลมอ่อน ๆ ที่พัดโชย แต่กระนั้น ไม่ว่าอย่างไร ใจของกวินจะซาบซึ้งไปกับบรรยากาศอันสบายนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็หาไม่ ทำให้รู้ว่าที่แท้แล้ว บรรยากาศรอบข้างมีผลเพียงส่วนเดียวในการที่จะทำให้ใครสักคนมีอารมณ์ปลอดโปร่ง เพราะสุดท้ายแล้ว ความขุ่นมัวอันเกิดจากจิตใจของใคร จะลบเลือนไปได้ก็ด้วยจากจิตใจของคน ๆ นั้นเป็นหลัก

    เช่นกันในตอนนี้ที่กวินยังคงรู้สึกเคร่งเครียดและกดดันอยู่นั่นเองในส่วนของความรู้สึกโดยรวม แม้จะไม่ปฏิเสธว่าความสวยงามและผ่อนคลายของสถานที่จะช่วยลบความหม่นหมองไปได้บ้างแต่มันก็ไม่ทั้งหมด สิ่งที่ตระหนักอยู่ตลอดเวลาคือภาระและหน้าที่... หน้าที่ที่เขาจะต้องเขียนงานของวรรณี วรรณรัตน์ให้ลุล่วงให้ได้ พอคิดถึงเป้าหมายที่ต้องทำแต่ยังไร้ซึ่งวิถีทาง ความมืดดำหดหู่ก็ลุกลามแผ่ขยายกลบความสวยงามสดใสของบรรยากาศไปเสียหมดสิ้น

    กวินถอนใจยาว แม้จะยังตัดความคิดในภาระออกไปไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังพอจะควบคุมสติไว้ได้ ตัดสินใจที่จะทำอะไรให้มันเรียบร้อยไปทีลพอย่างน่าจะดีกว่า คิดได้เช่นนั้นก็ลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับเปิดกระเป๋าสัมภาระออก กวินพกของมามากมายซึ่งเอาเข้าจริงก็ล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิตทั้งสิ้น เครื่องสำอาง ครีมบำรุง ไดร์เป่าผม และอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ ที่ค่อนข้างจะมากชิ้น จัดวางไว้ให้เหมาะสมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในที่ใหม่เป็นเวลาชั่วระยะ ก่อนจะคว้าบรรดาเสื้อผ้าออกมาตั้งใจจะใส่เข้าไปในตู้ ก่อนจะพบว่าตู้เสื้อผ้าถูกล๊อคเอาไว้ ไม่สามารถเปิดได้

    กวินร็สึกไม่ได้ดั่งใจขึ้นมาดื้อ ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมตู้ถึงล๊อค !

    บางทีการจะทำอะไรไม่ได้อย่างใจคิดก็มักจะเป็นเพราะอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ เสมอ และไม่แน่ว่าบางทีไอ้เจ้าอุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่เองที่สามารถจะทำให้เกิดปัญหาบานปลายใหญ่โตประเภทที่ว่าเด็ดดอดไม้สะเทือนถึงดวงดาวเลยทีเดียว ใครจะไปรู้ว่าไอ้แค่การเปิดตู้ออกมาไม่ได้จนไม่สามารถจัดข้าวของให้เรียบร้อย อาจจะทำให้เกิดความขุ่นมัวในใจของกวินได้มากขึ้น ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนกันหรือไม่ แต่สำหรับกวิน การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่เรียบร้อยมักจะพาลให้ทำสิ่งอื่น ๆ ภายหลังไม่ลุล่วงไปด้วย เพราะใจของกวินจะจดจ่ออยู่แต่กับสิ่งที่ยังไม่สะสาง

    พูดเอาให้ง่ายก็คือถ้าตราบใดที่ยังเปิดตู้ไม่ได้ และจัดเสื้อผ้าไม่เรียบร้อย กวินเชื่อว่าตนเองจะไม่มีกะใจจะเขียนงาน !

    เปิดประตูห้องนอนแล้วเดินออกไป หมายว่าจะต้องเจอใครสักคนที่จัดการเรื่องตู้ให้ได้ แวบแรกนั้นมองหารตี แต่ก็ไม่รู้แน่แก่ใจว่าเจ้าหล่อนจะยังอยู่แถวนี้หรือไม่หรือว่าหายไปไหนแล้ว แต่ไม่ทันที่จะได้คิดมองหาไปที่ไหน โสตประสาทของกวินก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่ดึงความสนใจออกไปได้อยู่ไม่น้อย

    เสียงกีตาร์โปร่งดังแว่วมาอย่างนุ่มนวล คลอด้วยเสียงร้องแหบพร่าที่ฟังแล้วอบอุ่นใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “...ในยามที่ท้อแท้ ขอเพียงแค่คนหนึ่ง จะคิดถึงและคอยห่วงใย ในยามที่ชีวิต หม่นหมองร้องไห้ ขอเพียงมีใคร เข้าใจสักคน...”

    ช่วงเวลาที่เหมือนจะโดนสะกดไปด้วยเสียงเพลงเรียบง่ายในเพลงที่เคยฟังอยู่ซ้ำซากไม่รู้เบื่อ ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไรในน้ำเสียงแหบพร่านุ่มนวลที่พาให้กวินรู้สึกวูบไหวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่แน่ว่าอาจจะเพราะความหดหู่หม่นหมองของความรู้สึกส่วนลึกที่ฝังแน่นอยู่ในใจก็ได้ ที่ตอบสนองต่อเสียงเพลงและเนื้อหาของมัน โดยไม่รู้ตัว กวินเผลอตัวพาตัวเองเดินแนบกำแพงไปเรื่อยโดยหมายจะหาที่มาของต้นเสียง   

    “กำลังใจ... จากใครหนอ ขอเป็นทาน ให้ฝันให้ใฝ่ ให้ชีวิต ได้มีแรงใจ ให้ดวงใจลุกโชนความหวัง...”

    รู้แจ้งขึ้นมาในตอนนั้นเองว่าเสียงทั้งหมดดังมาจากห้องนอนของเด็กสาวที่เพิ่งรอดชีวิตจากการฆ่าตัวตาย เสียงร้องอันนุ่มนวลยังคงขับกล่อมต่อไปพร้อมกับเสียงใส ๆ ของกีตาร์ที่ดังแว่วมาควบคุมกับสายลมแผ่วเบาที่พัดผ่านให้รู้สึกเย็นใจขึ้นมาอย่างประหลาด

    กวินค่อย ๆ เยี่ยมหน้ามองผ่านบานประตูที่เปิดค้างไว้เล็กน้อย ที่ว่าเสียงทำให้ร็สึกซาบซ่านและวูบไหวแล้ว ภาพที่เห็นกลับสร้างความรู้สึกนั้นได้มากขึ้นเป็นเท่าตัว แม้จะรู้ดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างหยาบกระด้างและไม่สนในใยดีอะไรในสถานการณ์น่ารัก ๆ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้อยู่ดีว่าภาพที่เห็นนี้ทำให้กวินรู้สึกสะท้านขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ภาพชายหนุ่มเจ้าของบุคลิกอันอบอุ่นชวนฝัน นั่งดีดกีตาร์อย่างคล่องแคล่วบนปลายเตียงของเด็กสาวไร้เดียงสาที่นอนฟังอย่างมีความสุข สีหน้าของชายหนุ่มดูอ่อนโยนอย่างเหลือกำลังทั้งจากแววตาดำขลับอันเปล่งประกายออกมาเป็นจังหวะเดียวกับเนื้อเสียงที่เปล่งออกมาจากอย่างเรียบง่ายแต่มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมารวมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นของเจ้าตัวก็ยิ่งพาให้รู้สึกวูบไหวไปกันใหญ่ ในขณะที่เด็กสาวตัวน้อย ๆ ก็ดูจะสุขใจเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเจ้าหล่อนดูสดใสขึ้นมาผิดหูผิดตาจนไม่น่าเชื่อว่าเป็นคนเดียวกันกับคนอมทุกข์ที่ตัดสินใจแขวนคอตัวเองเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า

    “กำลังใจ...จากใครหนอ ขอเป็นทานให้ฉันได้ไหม... ดั่งหยาดฝน บนฟากฟ้าไกล ที่หยาดริน สู่พื้นดินแห้งผาก”

    ราวกับทั้งคู่ต่างมีโลกส่วนตัวที่อยู่กันสองคน ไม่ต้อนรับและไม่สนใจต่อผู้ใดทั้งสิ้น

    กวินแอบมองคนทั้งคู่อยู่นาน พอ ๆ กับห้วงความรู้สึกไม่รู้ว่าโบยบินไปที่ใด จนกระทั่งลืมตัวเผลอให้ตัวเองเหม่อไปในแบบที่ไม่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเวลา จนกระทั่งเสียงกีตาร์ขาดห้วงลง

    “มีอะไรหรือเปล่าคุณ” เสียงเรียกของวิษณุดึงสติของกวินให้กลับคืนมา ก่อนจะพบว่านัยน์ตาของคนทั้งคู่กำลังจ้องกลับมาอย่างสงสัย

    “เอ่อ... ตู้มันล๊อค” กวินอธิบายปิย่างตะกุกตะกัก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าแค่คำพูดง่าย ๆ ทำไมถึงพูดออกไปไม่ค่อยจะออก

    “กุญแจอยู่ในกระเป๋าผม” วิษณุพูดพร้อมกัยตั้งท่าจะวางกีตาร์แล้วไปหยิบกุญแจให้ แต่กวินกลับขัดขึ้นไปโดยที่ไม่รู้ตัว

    “ไม่เป็นไรหรอกคุณ ไม่ต้องรีบ ไม่สำคัญหรอก”

    กวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ในขณะที่วิษณุขมวดคิ้วเล็กน้อย กวินเอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนจะหันหลังเดินกลับ

    “ตามสบายนะ”


*** **** ***** **** ***

    ตู้ยังคงเปิดไม่ได้ ในขณะที่กวินพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะเริ่มทำงานต่อไปให้ได้

    ในยามปกติ การเขียนหนังสือสำหรับกวินไม่ต่างอะไรกับศิลปินที่ตวัดพู่กันไปตามอารมณ์ที่ปล่อยให้ไหลลื่นเหมือนตกอยู่ในภวังค์และความคิดของตัวเองโดยที่แทบไม่ต้องพึ่งพากระบวนการใด ๆ ทั้งสิ้น แม้สุดท้ายผลงานอาจจะไม่ถึงกับลงตัวเหมาะเจาะหรือสมบูรณ์แบบอะไรนักหนา แต่พลังที่แฝงอยู่นั้นก็เต็มเปี่ยมอยู่แทบจะทุกคำทุกตัวอักษร ในขณะที่นักเขียนหลายคนอาจจะต้องมีแผนและมีโครงสร้างต่าง ๆ ในการคิดค้น แต่กวินกลับไม่ต้องพึ่งพาอะไรแบบนั้นเลย การเขียนงานของเขาแทบไม่ต่างอะไรกับการด้นสดที่แทบจะสามารถตื่นเต้นไปได้ในทุกตัวอักษรที่ขยายเหตุการณ์และเรื่องราวที่ยืดยาวออกไปอย่างที่ชวนเพลิดเพลิน จึงไม่ต้องแปลกใจที่ในบางคราวกวินสามารถจดจ่ออยู่กับการเขียนงานได้ทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่จำเป็นต้องปลีกตัวเองออกไปที่ไหน ราวกับทุกคำที่พรั่งพรูออกมาจากสมองนั้นสามารถเรียงร้อยออกมาเป็นโลกส่วนตัวของเขาได้ แม้ว่าโลกใบนั้นจะไม่ได้งดงามสวยหรูอะไรแบบโลกของคนอื่น แต่มันก็มักจะมีจุดอันเติมเต็มความใฝ่ฝันของเขาได้อยู่เสมอ

    ต่างออกไปจากสิ้นเชิงกับการเขียนงานชิ้นนี้

    กวินใช้วิธีการสารพัด ทำทั้งเขียนโน้ต สร้างแม็ปปิ้ง ใช้เคล็ดลับต่าง ๆ นา ๆ เพื่อจะเค้นบางอย่างออกมาให้กลายเป็นเรื่องราว แต่สุดท้ายก็เหลว ไปได้ไม่เป็นรูปเป็นร่าง และไม่สมกับโจทย์เอาเสียเลย ยิ่งถ้าคิดในแง่ที่ว่าโจทย์นั้นคือการเขียนงานในรูปแบบของวรรณี วรรณรัตน์แล้วล่ะก็ สิ่งที่ตามออกมามีแต่ความฝืดเคืองทางไอเดีย

    บางทีการทำอะไรโดยที่ไร้ความเชื่อมันก็ลำบาก กวินยังไม่ได้เป็นมืออาชีพที่ถึงขั้นว่าให้เขียนอะไรก็เขียนได้ ความเชื่อมันมีความสำคัญในแง่ที่มันมักผสมความใฝ่ฝันอยู่ในนั้นด้วย นักเขียนคนหนึ่งที่เขียนถึงสิ่งที่เชื่อจึงไม่ต่างอะไรกับการระบายความอัดอั้นบางอย่างออกไปและเติมเต็มตัวเองจากสิ่งชวนฝันที่เป็นผลพลอยได้จากความเชื่ออันนั้น แต่สำหรับงานชิ้นนี้ที่กวินกำลังจะเขียนมันไม่ใช่แบบนั้นเลย ด้วยโจทย์ที่ถูกหยิบยื่นทำให้กวินต้องเขียนในสิ่งที่แสนจะไกลจากความเชื่อ แถมยังไร้ซึ่งสิ่งชวนฝันอันใดสำหรับตัวเขา แน่นอนว่าความฝันของแต่ละคนต่างกัน เป็นต้นว่า โลกฝันของคนบางคนอาจจะสดใสเป็นสีอ่อน ๆ เต็มไปด้วยสิ่งของน่ารัก ๆ แต่ความฝันของคนบางคนอาจจะมืดดำและเทาอยู่นิด ๆ แต่ก็อาจจะเต็มไปด้วยสิ่งของสวย ๆ งาม ๆ ที่แปลกแตกต่างออกไปก็ได้ ความฝันเป็นเรื่องของรสนิยมอันถูกกำหนดขึ้นมาอีกทีจากความเชื่อ ซึ่งแน่นอนว่าความใฝ่ฝันของวรรณีและกวินคงจะตรงกันข้ามเสียสุดขั้ว ดังนั้น จึงไม่แปลกที่เหมือนจะพยายามเท่าไรก็ไปไม่ได้ไกลอยู่วันยังค่ำ

    ตะวันกำลังตกดิน ฟ้าเริ่มมืด ในขณะที่มันสมองของกวินนั้นดับมืดราวกับถูกปิดสวิตซ์ไฟไปนานเสียแล้ว

    ปิดคอมพิวเตอร์ลงเพื่อให้เครื่องได้พัก บิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อสลัดความปวดเมื่อย แต่สุดท้ายแล้วถึงอย่างไรก็ไม่อาจจะสลัดความอึมครึมจากภาวะบีบคั้นที่งานไม่คืบหน้าให้ออกไปไม่ได้อยู่ดี ภาวะแบบนี้ทำให้อะไรรอบข้างดูหม่นหมองไปหมด รู้สึกเหมือนโดนกดทับจากสิ่งที่มองไม่เห็น บางทีทำให้ไม่อยากจะเคลื่อนที่ไปไหนเลย อยากจะหยุดนิ่ง หยุดกาลเวลาเอาไว้กับที่ เหมือนกลัวอนาคตข้างหน้าว่าสุดท้ายแล้วเขาจะยังคงทำอะไรไม่ได้อยู่เช่นเดิม

    แต่สุดท้ายแล้ว คนเราก็ต้องใช้ชีวิตให้ดำเนินต่อไปตามกาลเวลาอยู่ดี ถึงจะขี้เกียจและทอดอาลัยเบื่อหน่ายสักแค่ไหน แต่ก็ไม่มีสิทธิ์เลือก เหมือนกาลเวลาที่ยังคงล่วงไป จนกระทั่งตะวันตกดิน ความมืดเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุม รู้สึกง่วงซึมอยู่เล็กน้อย แต่เวลาที่เพิ่งจะผ่านพ้นหกโมงเย็นมาได้แค่ไม่กี่นาทีก็ไม่ใช่เวลาที่จะนอน

     เดินกลับเข้ามาในห้อง ก่อนจะเดินก้มหน้าเข้าไปในห้องน้ำ เปิดก๊อกน้ำที่อ่างพร้อมกับวักขึ้นมาล้างหน้า หวังว่าความสดชื่นจากสายน้ำจะช่วยปลิดความง่วงซึมให้ผ่านพ้นไปได้ ถอนใจเบา ๆ เมื่อใบหน้าเปียกโชกไปด้วยหยดน้ำ สบตากับตัวเองในกระจกอยู่สักพัก มองเห็นใบหน้าคมเข้มของตัวเองที่สะท้อนกลับมา อดรู้สึกไม่ได้ว่าการเดินทางอันยาวนานพาให้ใบหน้าดูหมองและโทรมไปได้พอสมควร แต่ก็ไม่อยากจะคิดมาใส่ใจให้มากมายนัก หาเรื่องเครียดเพิ่มไปเปล่า ๆ กวินถอนใจยาว ใช้มือเช็ดหยดน้ำบนใบหน้าให้แห้งขึ้นมาเล็กน้อย ในขณะที่สายตาก็เหลือบไปเห็นประตูอีกบานที่อยู่ตรงอีกด้านหนึ่งของห้องน้ำ

    เมื่อนั้นเองที่คำพูดของรตีดังแว่วกลับเข้ามาในความทรงจำ ที่บอกว่าห้องน้ำห้องนี้จะต้องใช้ร่วมกับวิษณุ

    แสดงว่าประตูนั่นต้องเชื่อมต่อกับห้องของวิษณุแน่ ๆ

    ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในความคิด ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วกวินไม่น่าจะต้องติดใจหรือสนใจอะไรมากมาย แต่นั่นแหละ ความซับซ้อนบางอย่างของความรู้สึกสั่งการให้กวินค่อย ๆ ย่องเดินไปที่ประตูบานนั้น ก่อนจะค่อย ๆ บิดลูกบิด แล้วพบว่าประตูไม่ได้ล๊อค

    เห็นทีว่าความซับซ้อนหรือความต้องการบางอย่างจากจิตใต้สำนึกส่วนลึกอันอธิบายได้ยากจะยังไม่หยุดทำงานแค่นั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำไปทำไม แต่จู่ ๆ ก็กวินค่อย ๆ เปิดประตูออก ค่อย ๆ ยื่นหน้าเข้าไปในห้องนั้นราวกับสำรวจว่ามีใครอยู่ในห้องหรือไม่ ก่อนจะมองสำรวจรอบ ๆ ห้องโดยละเอียด

    ห้องนอนขนาดไม่กว้างไปกว่าห้องของกวินเท่าไรนัก จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่ดูเหมือนจะมีข้าวของมากกว่าซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตู้หนังสือและโต๊ะทำงาน ไม่มีระเบียง แต่หน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่อีกด้านก็ทำให้บรรยากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่แพ้กัน

    กวินรีบปิดประตู ทำท่าจะเดินกลับไปในห้องตัวเอง แต่แล้วความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นก็เกิดขึ้นมาอีก คราวนี้เหมือนจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและหนักหน่วงกว่าเดิมหลายเท่า กวินเปิดประตูอีกครั้ง แถมคราวนี้ค่อย ๆ แอบย่องเข้าไปในห้องอีกด้วย

    สะอาดอย่างเหลือเชื่อ กวินรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่พอสมควร ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าห้องนอนของผู้ชายจะดูสะอาดและเป็นระเบียบได้ขนาดนี้ ยิ่งถ้ามาเทียบกับห้องนอนของกวินที่กรุงเทพแล้วล่ะก็ จะเห็นได้ว่าห้องนี้คงเอาไปใช้ผ่าตัดได้เลยทีเดียว ในขณะที่ห้องกวินคงเปรียบได้แค่ห้องครัวของร้านอาหารราคาถูก

    เดินไปที่เตียงซึ่งขึงไว้อย่างเรียบตึงประเภทที่ว่าถ้าลองโยนเหรียญลงไป เหรียญคงกระเด้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะที่ผ้าห่มและหมอนก็พับเก็บอย่างแสนจะเป็นระเบียบ สะท้อนถึงวินัยหลังตื่นนอนของเจ้าของห้อง หรือไม่ถ้าคิดอีกแง่ แม่บ้านของที่นี่ก็คงทำงานได้ดีเสียเหลือเกิน

    มองไปยังโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียง เห็นกรอบรูปขนาดกะทัดรัดที่บรรจุภาพไว้สองภาพ หยิบขึ้นมาดูอย่างถือวิสาสะ ภาพแรกเป็นภาพของวิษณุที่ถ่ายคู่กับพิม สองพี่น้องกอดคอกันกลม วิษณุยิ้มอบอุ่นในขณะที่จมูกของพิมแทบจะชนกับแก้มของชายหนุ่ม ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องก็คงมีหวังว่ากวินจะได้ตีความว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันแน่ ๆ ฉากหลังของภาพคือหอนาฬิกาบิ๊กเบนที่กรุงลอนดอน สะท้อนให้เห็นถึงความสนิทสนมของพี่น้องคู่นี้และน่าจะสะท้อนถึงวิถีชีวิตที่หรูหราสุขสบาย ดูจะตรงกันข้ามกับชีวิตของกวินเสียสิ้นเชิง ตั้งแต่เกิดมามากวินยังไม่เคยไปสถานที่แบบนั้นเลยสักครั้ง และถ้ามาคิดดูดี ๆ กวินยังไม่เคยขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศเลยสักหนเดียว

    ส่วนอีกภาพที่เป็นภาพเก่าที่ถ่ายมานานมากแล้ว สีของรูปซีดเซียวไปตามกาลเวลา เป็นรูปของหญิงสาววัยกลางคน แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมและไว้ทรงผมตามสมัยนิยมตอนนั้น น่าจะสักยี่สิบกว่าปีที่แล้วได้ อ้อมแขนของเจ้าหล่อนโอบกอดเด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่แต่งกายอย่างดีเหมือนปรกติสำหรับลูกของคนมีสตางค์ ใบหน้าของเด็กชายยิ้มแย้มและเริงร่าอย่างถึงที่สุด ไม่แน่ใจว่ากำลังเริงร่ากับขนมสายไหมสีจัดจ้านที่ถือเล่นไว้ในมือ หรือเริงร่ากับเจ้ายีราฟในกรงที่ปรากฏอยู่เบื้องหลังก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ พิจารณาจากสายตาและรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าเด็กชายตัวน้อยคนนี้ก็คงจะมีความสุขอยู่กับอ้อมกอดของสตรีในรูปด้วยอย่างแน่นอน

    ไม่ต้องใช้เวลามากกวินก็พอเดาได้ว่าใครเป็นใครในรูป ซึ่งอาจจะเป็นการสัณนิษฐานจากเซ้นท์และโครงหน้า กวินมั่นใจว่าบุคลในรูปหรือวรรณีตอนที่ยังสาว ถ่ายกับเด็กชายวิษณุสมัยที่ยังเป็นเด็กน้อยไร้เดียงสา

    กวินวางกรอบรูปไว้ที่เดิม ความวิสาสะก้าวข้ามขึ้นไปอีก ถึงขั้นจะลองเปิดลิ้นชักดู โชคดีที่ปรากฏว่ามันล๊อค ความเป็นส่วนตัวของวิษณุจึงรอดมือของกวินไปเสียหนึ่งสิ่ง

     ในเวลานั้นดูเหมือนจะไม่มีอะไรมาหยุดกวินได้อีกแล้ว ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้หนังสือ มีหนังสืออัดแน่นอยู่ในนั้นเยอะมาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาอังกฤษ กวินไม่ใส่ใจเสียเท่าไหร่ ในขณะที่ชั้นบนสุดมีงานของวรรณีแทบทุกเล่มอยู่ในชั้นนั้น กวินลองหยิบมาเปิดดูสองสามเล่ม ไม่ได้ใส่ใจอะไรเท่าไรนักเหมือนกับทำฆ่าเวลาไปเสียเท่านั้นเอง แต่ทันใดนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็ประจักษ์ สายตาของกวินเหลือบไปยังด้านในสุดของชั้น เห็นหนังสือของเขาแทบทุกเล่มเบียดเสียดอยู่ในนั้น กวินวางหนังสือของวรรณีลงที่เดิมแล้วหยิบหนังสือผลงานของเขามาเปิดดู พบว่ามันน่าจะมีร่องรอยการถูกอ่านมาเยอะพอสมควร ปกยับเหมือนไม่ได้รับการทนุถนอม ในขณะที่ด้านในมีรอยดินสอขีดไว้เต็มไปหมดตามประโยคต่าง ๆ

    วิษณุอ่านหนังสือของเขาอย่างจริงจังถึงขนาดนี้เชียวหรือ.... กวินรู้สึกอับอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เหมือนทุกครั้งที่ได้พบปะกับแฟน ๆ นักอ่าน กวินมักจะหลบเลี่ยงและตอบคำถามสั้น ๆ ก่อนจะขอตัวหลีกหนีอย่างรวดเร็วเสมอ กวินเป็นนักเขียนประเภทที่หวาดกลัวผู้อ่านยิ่งนัก ไม่ชอบตอบคำถาม ไม่ชอบแสดงตน เหมือนว่าทุกครั้งในการเขียนงานจนจบเล่ม แม้จะภูมิใจเพียงไหน แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ตามมาก็มักจะมีความอับอายเล็ก ๆ แฝงอยู่ในทีเสมอ คราวนี้ก็เหมือนกัน พอมาลองนึกภาพผู้ชายแบบวิษณุที่อ่านหนังสือของเขาอย่างจริงจัง กวินอดที่จะรู้สึกอายไม่ได้ เหมือนกับไม่แน่ใจในความรู้สึกของวิษณุเมื่อได้อ่าน ไม่แน่ว่าเขาอาจจะหัวเราะ อาจจะเห็นงานของกวินเป็นสิ่งชวนขบขัน แหงล่ะ ยิ่งถ้าเทียบว่าวรรณีผู้เป็นป้าคือบุคคลประเสริฐของเขาแล้วล่ะก็ กวินผู้ซึ่งเหมือนจะตรงกันข้ามก็น่าจะต้องถูกขบขันเป็นธรรมดา

    ไม่ทันที่ความคิดของกวินจะฟุ้งซ่านไปไกลกว่านี้ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นจากด้านนอก กวินตกใจ เมื่อนั้นเองที่ความรู้สึกอยากรู้อยากเห็นภายใต้จิตสำนึกส่วนลึกมลายหายไปกับตา แทนที่ด้วยความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่พาให้รู้สึกละอาย นี่เขากำลังทำลงไป.... ทำไมถึงได้มายุ่มย่ามในที่ส่วนตัวของคนอื่นขนาดนี้ ถ้าโดนจับได้จะแก้ตัวว่าอย่างไรได้บ้างล่ะนี่

    อีกนัยหนึ่งอาจจะเป็นเพราะกลัวความผิดที่อาจจะโดนคาดโทษเอาได้อย่างที่ไม่มีหนทางแก้ตัว กวินรีบโยนหนังสือเข้าตู้ ตั้งท่าจะรีบวิ่งไปที่ประตูห้องน้ำ แต่เสียงฝีเท้ากลับใกล้เข้ามาทุกที พร้อมกับเสียงลูกบิดประตูที่กำลังหมุนออก กวินอยากจะกรีดร้องยิ่งนัก รู้สึกว่าถ้าวิ่งไปที่ห้องน้ำก็คงจะไม่ทันแน่ จึงตัดสินใจวกกลับมาซ่อนหลังตู้หนังสือ

    แย่แล้ว.... กวินร่ำร้องอยู่ในใจ ในขณะที่หัวสมองคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถ้าโดนจับได้จะต้องแก้ตัวว่าอย่างไร... จะต้องอ้างอย่างไรให้ฟังขึ้น

    วิษณุเปิดประตูเข้ามา ดูเหมือนจะไม่รู้สึกสงสัยอะไรทั้งสิ้น ชายหนุ่มเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ในขณะที่กวินแนบสายตาชำเลืองมองอย่างอัตโนมัติ ใจเต้นรัวอย่างกับกลอง ในขณะที่สมองยังคงประมวลหาคำแก้ตัวต่อไป อาจจะต้องอ้างว่าเข้าห้องผิด... บ้าหรือ ไม่ได้ ๆ จะเข้าห้องผิดได้อย่างไรในเมื่อประตูหน้าน่าจะลงกลอน วิษณุรู้ทันอยู่แล้วว่าเขาคงเข้ามาทางห้องน้ำ หรือจะยังไงดี ผ้าขนหนู... เข้ามาหาผ้าขนหนูเพราะตู้มันล๊อค... ก็อาจจะเข้าทีอยู่ โอ๊ย... แต่ก็ยังถือว่าฟังไม่ขึ้นอยู่ดี อยากจะบ้าตาย.... กวินรู้สึกลนลานขึ้นมาอย่างถึงที่สุด ห้วงความคิดแปรปรวนไปหมดเหมือนอาการของคนสมองตันที่พยายามจะเค้นหาวิธีการให้ออก แต่สิ่งที่คิดได้ก็ไร้ประโยชน์ยิ่ง สุดท้ายกวินก็เปลี่ยนเป็นภาวนาขออย่าให้วิษณุจับได้ก็แล้วกัน แม้จะเป็นไปได้ยากก็ตาม แต่ก่อนที่ความคิดอันสะเปะสะปะจะวกวนมากขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นจากเจ้าของห้องก็ทำเอากวินชะงักไปอย่างสิ้นเชิงในที่สุด

    โดยที่ไม่มีทีท่าของการระแวงสงสัยใด ๆ เลย แต่การกระทำอันเกิดขึ้นจากความที่ไม่ระแวงสงสัยของวิษณุนี่แหละที่ทำเอากวินถึงกับสติเตลิด วิษณุค่อย ๆ ถอดเสื้อออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กวินตวัดสายตากลับด้วยความตกใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจแรง ต้องรีบยกมือปิดจมูกไว้เพื่อไม่ให้โดนจับได้ กลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ แนบสายตาแอบมองอีกรอบ เห็นจังหวะที่วิษณุเอี้ยวตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อย เหมือนต้องการจะยืดเส้นยืดสายคลายความปวดเมื่อย เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สมส่วนน่ามองไปเสียทั้งหมด โดยที่ไม่รู้ตัว กวินเผลอสังเกตรูปร่างของเขาอย่างละเอียดและเผลอไผลไปอย่างลืมตัว เหมือนกับถูกสะกดไปด้วยมัดกล้ามในทุก ๆ ส่วนตั้งแต่แขน หัวไหล่ หน้าอกและหน้าท้อง มันแลดูไม่มากไปและไม่น้อยไป ทว่าสมส่วนอย่างพอดิบพอดี ไม่ใหญ่เป็นก้ามปูน่าเกลียดแบบพวกนักกล้าม แต่ก็ไม่ผอมแห้งมีแต่กระดูกแบบพวกไม่ออกกำลังกาย นอกไปจากนั้น รอยสักสีดำสนิทบนแขนที่พาดยาวไปถึงช่วงไหล่ดูเด่นชัดมากขึ้นเมื่อปรากฏเต็ม ๆ บนกล้ามเนื้อที่ขาวเนียนไปทั่วร่าง ไม่รู้ว่ากำลังหน้ามืดไปหรือไม่ กวินรู้สึกว่าวิษณุเหมือนจะดูหล่อมากขึ้นเมื่อถอดเสื้อ

    ไม่ได้... ไม่ได้... ทำแบบนี้ไม่ได้ กวินเรียกสติของตัวเองกลับมาในขณะที่ยืนตัวแข็งอยู่หลังตู้หนังสือ พยายามจะทำตัวเองให้สงบที่สุด จะเผลอไผลไปกับอะไรแบบนี้ไม่ได้ เพราะการเผลอไผลจะทำให้โดนจับได้ และเมื่อนั้นคงได้อายกันไปข้างถ้าโดนสอบสวนว่าเข้ามาทำอะไรในห้องของคนอื่น 

    อดไม่ได้ที่จะแนบสายตาไปอีกรอบ แต่คราวนี้พยายามข่มใจให้สงบขึ้น เพื่อจะดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายว่าเป็นเช่นไร จะได้คิดทางหนีทีไล่ได้ทัน ในใจหวังว่าชายหนุ่มคงเข้ามาแค่เปลี่ยนเสื้อ พอเปลี่ยนเสร็จก็คงจะเดินออกไป แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดและไม่อยากจะคาดคิดก็เกิดขึ้น วิษณุปลดตะขอกางเกง ก่อนจะถอดกางเกงออก กวินแทบจะสิ้นลมหายใจ นัยน์ตาเบลอไปชั่วขณะ เหมือนกาลเวลาหยุดนิ่งไปชั่วคราว ก่อนกระทั่งผ่านไปสักไม่กี่วินาทีเมื่อสติกลับมาครบถ้วนสมบูรณ์ ภาพที่เบลอไปชั่วครูกลับมากระจ่างชัดในเวลาอันรวดเร็ว จึงได้รู้ว่าวิษณุไม่ได้ถอดเฉพาะแค่กางเกงนอกเท่านั้น หากแต่ดึงกางเกงในลงไปด้วย !

    จะเป็นลม !
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-03-2010 02:26:01
(ต่อ)

   กวินรีบหันหน้ากลับมาทันใด เห็นเพียงแวบเดียวเวลาที่กางเกงและกางเกงในถูกดึงออกจากขา ว่าร่างกายทุกส่วนสัดของชายหนุ่มเจ้าของห้องมีลักษณะคร่าว ๆ เช่นไร เห็นเพียงบั้นท้ายที่กลมกลึงไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวพรรณที่ขาวเนียนไปทั้งตัว แล้วก็เห็นมัดกล้ามทั่วร่างที่มองผาด ๆ แล้วสมส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่กวินสาบานว่าตนไม่ได้เห็นอะไรหรือเห็นสิ่งใดที่เป็นรายละเอียดลึกซึ้งและสำคัญไปกว่านั้นเลย เพราะวิษณุหันหลังให้ไม่ใช่หันหน้า ไม่มีเวลามากพอจะมองอย่างพินิจและควาญหาด้วย เพราะตอนนี้กวินก็แทบจะหลับตาปี๋ ไม่กล้าที่จะหันไปมองอีกแล้ว ไม่แน่ใจว่ากลัวอะไรเหมือนกัน ภาวนาเพียงว่าขอให้วิษณุรีบเอากางเกงตัวใหม่มาสวมเร็ว ๆ เพื่อเขาจะได้หันไปสังเกตการณ์ต่อได้เสียที 

    เป็นดังคาด วิษณุคว้ากางเกงขาสั้นจากตู้เสื้อผ้า ทำท่าจะสวมอย่างทันที แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดต่างหาก ที่ทำให้สิ่งที่คาดบิดเบือดผิดผันไปหมด กวินแทบอยากจะกรีดร้องเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือของวิษณุดังขึ้น แล้วกวินก็แทบอยากจะกรีดร้องซ้ำให้ดังกว่าเดิมอีกเมื่อชำเลืองมองออกไปแล้วเห็นว่าวิษณุเลือกที่จะโยนกางเกงกลับเข้าตู้ แล้วรับโทรศัพท์ก่อน

    กวินรู้สึกอยากจะบ้าตายยิ่งนัก... วิษณุให้ความสำคัญกับการรับโทรศัพท์มากกว่าการใส่เสื้อผ้า !

    “ว่าไงพิม”

    วิษณุกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ พร้อม ๆ กับที่หันหน้ามาทางตู้หนังสือ กวินตวัดสายตากลับแทบไม่ทัน กลืนน้ำลายลงคอ ใจนั้นร่วงลงไปถึงตาตุ่ม จากจังหวะเมื่อสักครู่นี้ กวินไม่อาจจะปฏิเสธได้อีกแล้วว่าไม่เห็นอะไร ตรงกันข้ามเลย... กวินเห็นเต็มตา... เห็นอย่างชัดเจนแบบที่ว่าไม่มีถูกปิดบังแต่อย่างใด... เจ้าวิษณุน้อย – ที่เอาจริง ๆ ก็ไม่น้อยเท่าไรนัก – ที่เพิ่งประจักษ์แก่ตากำลังทำให้กวินฟุ้งซ่านและเตลิดไปไกลจนแทบจะควบคุมสติไม่ได้ แต่เขาก็ยังพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะข่มจิตข่มใจ ทำอารมณ์ให้สงบ มิฉะนั้นถ้าเกิดฟุ้งซ่านแล้วแสดงพิรุธออกไป ถูกจับได้ขึ้นมา มิต้องถูกมองหรือว่าแอบเข้าห้องเขาเพื่อที่จะดูเขาแก้ผ้า!

    บ้าจริง ๆ

     “ใช่... มาถึงตั้งแต่บ่ายแล้วล่ะ” วิษณุเดินแก้ผ้าคุยโทรศัพท์รอบห้องอย่างชิล ๆ ทำให้กวินยิ่งไม่ชิลไปมากกว่าเดิม“ป้าเป็นยังไงบ้าง”

     ยายพิมบ้า... โทรมาทำบ้าอะไรเวลานี้ ไอ้บ้านี่ก็อีกคน ทำไมเดินแก้ผ้าคุยโทรศัพท์วะ ไม่อายบ้างหรือไง แต่นั่นแหละ พอมาคิดอีกที นึกย้อนดูตัวเอง ตอนอยู่ที่ห้องคนเดียว กวินก็แก้ผ้าทำอะไรต่ออะไรบ่อยอยู่เหมือนกัน คนอยู่คนเดียวมักไม่คิดอะไรมากมาย วิษณุในตอนนี้ก็ไม่ต่าง ช่างไว้ใจในความเป็นส่วนตัวของตัวเองเสียจริง อยากจะบ้าตาย หรือคิดอีกที ก็อดเอะใจไม่ได้ กวินรู้สึกว่าผู้ชายแก้ผ้ามันก็ไม่ใช่ของใหม่สำหรับตัวเองสักเท่าไร เจอมาก็นักต่อนัก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องตื้นเต้นตกใจเสียนักหนากับแค่ร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายคนนี้ ทำตัวเป็นเกย์มัธยมเวอร์จิ้นไปเสียได้ ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเพราะ...

    ...ผู้ชายคนนี้งั้นหรือ    

    “อืม... ดูแลป้าดี ๆ ล่ะ”

    วิษณุกดวางสาย ถอนใจชั่วคราวแล้วสวมกางเกง ตามมาด้วยการคว้าเสื้อกล้ามมาสวม กวินถอนใจอย่างโล่งอก อาจจะด้วยความสบายใจจนเกินไปที่อีกฝ่ายหยุดโป๊เสียที เลยทำเอาเสียงหายใจของกวินนั่นพ่นออกไปดังพอสมควร วิษณุสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปรกติบางอย่าง หันมาทางตู้หนังสือเหมือนรู้สึกว่ากำลังมีใครแอบอยู่ กวินรีบทำตัวลีบที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลุ้นอยู่ในใจว่าจะต้องตกม้าตายตอนจบหรือไม่ จนกระทั่งสุดท้าย วิษณุก็เดินออกจากห้องไป

    วิษณุที่สวมเสื้อผ้าเดินจากไปแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่าวิษณุที่ไร้อาภรณ์น่าจะยังติดตรึงหลอกหลอนอยู่ในห้วงความคิดของกวินในแบบที่พยายามสลัดเท่าไรก็สลัดไม่หลุด


*** **** ***** **** ***

    ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยหมู่ดาวที่สกาวอยู่เต็มฟ้าทั้ง ๆ ที่เวลายังไม่ดึกมากนัก หลังจากทานมื้อค่ำร่วมกับทุก ๆ คนเสร็จ กวินขี้เกียจกับการที่จะต้องพูดคุยกับคนหลากหลาย ที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยเท่าไรนัก คนหลายคนพอเห็นว่ากวินมาอยู่ใหม่ก็พยายามจะเข้ามาสนิทสนม แต่ด้วยวิสัยของการปิดกั้นตัวเอง กวินจึงปลีกตัวออกห่าง ในขณะที่คนที่กวินรู้สึกสนิทที่สุดก็คงไม่พ้นวิษณุ ซึ่งรายนั้นกวินไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้า คงจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น หรืออีกส่วนหนึ่งอาจจะเป็นความอับอาย อับอายในแง่ที่ว่าต่อให้อีกฝ่ายกำลังสวมเสื้อผ้าอย่างมิดชิด แต่กวินก็พาลจะเห็นภาพหลอนว่าเขากำลังเปลือยเปล่าอยู่ร่ำไป

    ดังนั้น พอถึงเวลาที่สามารถหลีกเลี่ยงการสมาคมมาได้อย่างไม่น่าเกลียด กวินจึงตัดสินใจปลีกตัวเองมาที่ห้อง แม้รตีจะเชิญชวนให้อยู่สนุกสนานกันก่อน เพราะคืนนี้จะมีหมอจากด้านล่างขึ้นมาเยี่ยมเยียน แต่กวินก็ปฏิเสธ พาตัวเองมานั่งเอื่อยเฉื่อยอยู่บนระเบียง เคร่งเครียดกับงานที่เขียนไม่ค่อยได้ หน้าจอคอมพิวเตอร์เปิดค้างไว้เนิ่นนานโดยที่ยังไม่มีอะไรคืบหน้า สายตาอดมองลงไปด้านล่างไม่ได้ เมื่อเสียงของความครื้นเครงดัวแว่วมาอยู่เป็นระยะ ๆ เห็นวิษณุดื่มเหล้ากับรตีและผู้ชายอีกสองสามคน เสียงหัวเราะของพวกเขาดังแว่วมาอย่างสนุกสนาน กวินถอนใจเบา ๆ กลับมาก้มหน้าเขียนงานต่อ แต่เขียนไปได้สักประโยคสองประโยค แล้วก็ต้องกดลบ รู้สึกตีบตันไปมากกว่า คว้ากล่องบุหรี่จะมาสูบ แต่บุหรี่ก็หมด

    อยากจะบ้าตาย !

    กวินยีหัวจนยุ่ง ถอนหายใจออกมาดัง ๆ ในขณะที่เสียงหัวเราะร้องเพลงจากวงเหล้าด้านล่างก็แว่วมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ กวินเอามือกุมขมับ สายตามองเข้าไปในจอคอมพิวเตอร์ นิ้วชี้เคาะแป้นซ้ำ ๆ แบบไร้จุดหมาย ความง่วงซึมและอ่อนเพลียก็เข้ามาปกคลุมอย่างรวดเร็ว กวินเผลอหลับตาไปในที่สุด

    ทันใดนั้นเอง ภาพของวิษณุก็ผุดเข้ามาในหัว กวินพยายามสะบัดมันออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จ หนำซ้ำ ภาพของวิษณุก็เริ่มจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสื้อผ้าของเขาที่หลุดไปทีละชิ้น เห็นทุกส่วนสัดของร่างกายที่น่าหลงใหลยิ่ง...

    กวินสะบัดภาพเหล่านั้นออกไปอย่างเด็ดขาด ลืมตาตื่นขึ้น สะบัดความงัวเงียออกไป แต่ก็ไม่สำเร็จนัก ถอนใจยาว ปิดคอมพิวเตอร์ เห็นที่ว่าคืนนี้คงต้องยอมแพ้ กวินเดินเข้าไปในห้อง หมายว่าจะอาบน้ำแล้วนอนเสีย เผื่อว่าพรุ่งนี้จะได้เริ่มเขียนงานต่อ

    กวินถอดเสื้อผ้าออก คว้าผ้าขนหนูจากกระเป๋าขึ้นมาพันกาย รู้สึกเหมือนตัวเองล่องลอยอย่างบอกไม่ถูก ภาพรอบข้างก็บูด ๆ เบี้ยว ๆ อาจจะเป็นได้ว่ากำลังอ่อนเพลียขนาดหนัก เพราะเอาเข้าจริง ตั้งแต่เดินทางมาก็พักผ่อนได้ไม่เต็มที่เท่าไร

    กวินเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะชะงักและตกใจอย่างถึงที่สุด เมื่อพบวิษณุยืนนิ่งอยู่ภายในนั้น พร้อมกับจ้องมองกลับมาด้วยสายตาแปลก ๆ ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า รู้ได้เลยว่าคงจะดื่มมาเยอะพอสมควร

    แวบแรกนั้นกวินค่อนข้างงง ก็เขากำลังนั่งอยู่ในวงเหล้าด้านล่างไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงขึ้นมาบนนี้เร็วจัง แต่อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกที่ตามมาก็คือความอับอายอย่างที่ถูกพาดทับด้วยร่างเปลือยเปล่าของเขานั่นเอง กวินรีบตั้งท่าจะหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว พร้อมกับที่เอ่ยออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาไม่ค่อยจะเป็นศัพท์นัก

    “ขอโทษที ไม่คิดว่าคุณกำลังใช้อยู่”

    กวินคว้าลูกบิดจะเปิดกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง แต่ชายหนุ่มอีกคนกลับเดินเข้ามาประชิดตัว แล้วเข้ามาขวางไว้ไม่ให้กวินออกไป

    “คุณจะทำอะไรของคุณน่ะ” กวินร้องถามอย่างตกใจ..... และตื่นเต้น

    วิษณุแค่นยิ้มเล็กน้อย มองกวินทั่วร่างด้วยสายตาอันแสนจะพิลึกพิลั่น ก่อนจะพูดกระซิบออกมาอย่างแผ่วเบา ทว่า ชัดเจนในโสตประสาทของกวินอย่างเหลือกำลัง 

    “อย่าเห็นแก่ตัว คุณเห็นของผมแล้ว... เพราะฉะนั้น คุณก็ต้องให้ผมเห็นของคุณบ้างสิ”
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-03-2010 02:33:58
นึกว่าจะไม่ได้อ่านต่อซะแล้ว ยิ่งมาเรื่องยิ่งซับซ้อนจนเดาทางไม่ถูกแล้วนะ สุดท้ายจะแต่งหนังสือได้หรือเปล่าตามลุ้นค่า

- อันที่จริง ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้อ่านต่อหรอกครับ อาจจะช้าบ้าง แต่ผมเขียนจนจบแน่นอนครับ ไม่ต้องห่วง ขอบคุณที่ติดตามมาตลอดนะครับ

รู้สึกว่าอยากอ่านต่ออ่า มาต่อเร็วนะ

รู้สึกว่าการใช้ภาษาดีมากๆ



- ขอโทษที่อาจจะไม่ได้มาเขียนมาลงเร็วสักเท่าไรนักครับ เพราะช่วงนี้ผมก็มีเรื่องวุ่น ๆ อยู่เยอะพอสมควร ต้องทำโปรเจคจบน่ะครับ แต่สัญญาครับว่าจะยังเขียนต่อแน่นอนครับ ^ ^

:เฮ้อ:  เครียดดดดดดดดดดดด~


แล้วยัยคนนี้เป็นอะไรกะวิษณุอ่ะ

แล้วถ้าไม่อยากให้คนเขาเบื่อก็อย่าทำตัวแบบนี้เซ่~


ไอว่าเหตุผลของรตีกะกวินถูกอย่างละครึ่งล่ะนะ คงไม่มีใครอยากอยู่รพ.หรอกถ้าปรับตัวกับที่นี่ได้ก็ออกไปใช้ชีวิตยังโลกภายนอกได้ดีกว่า
แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ก็อย่างที่กวินว่านั่นแหละ ถ้าอ่อนแอขนาดนั้นก็ควรส่งไปอยู่รพ. การทำแบบนี้คนอื่นจะเดือดร้อนไปด้วย


 :serius2:

- ก็เป็นสิ่งที่กวินคิดนั่นแหละครับ ว่าคนแบบนี้ควรส่งโรงพยาบาล แต่เหมือนวิษณุเขาก็ไม่อยากให้ไปน่ะครับ ขอบคุณที่ติดตามครับผม

การเหลืออยู่ของความเศร้า
มันไม่ได้ทำให้เราอยู่บนโลกใบนี้ไม่ได้หรอกนะ
แต่เราต่างหาก ที่เดินไปกับมัน ไหว หรือ ไม่ไหว ต่างหาก

 :pig4:

อยากให้เธอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เพื่อชดเชยในส่วนของผู้ล่วงลับ
อย่าได้แบกความเศร้าหมองไว้เลย
ความตายนั้นไม่ช้าก็เร็วย่อมมาถึง
จะรีบร้อนไปทำไม

- วิษณุก็คิดเช่นนั้ครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE10/03/2010ลงแล้ว12ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-03-2010 02:36:07
:a5: ต้อนรับกวินด้วยภาพระทึกขวัญ
กวินเอ้ยปกติก็เป็นคนเมืองไม่สนใจใครอยู่แล้วอ่ะนะ คราวนี้ต้องมาอยู่
ในที่ๆไม่สามารถหนี หรือหลบเลี่ยงไปไหนได้ จะทำเป็นไม่รับรู้ก็ยิ่งทำไมไ่ด้ใหญ่
กร๊าก..แล้วแบบนี้นี่ คุณพิมพ์คิดได้ไงให้กวินมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
เอ..หรือว่าจะเอากวินมาเป็นคนไข้เพิ่มเรอะ  :laugh:
มาอยู่ในที่แบบนี้ กวินจะปรับตัวได้รึป่าวนะหรือว่าก็เป็นกวินแบบอย่างเก่า คือไม่สนใจโลก
มาอยู่ในบรรยากาศใหม่ๆ ผู้คนแปลกๆทั้งทีก็นะจะกลัวไปไย ถ้าไม่ไปสัมผัสด้วยตัวเองออกจากโลก
ของตัวเองไปสัมผัสโลกของคนอื่นบ้าง ไอ่ที่เรากลัวและตีความไปเองมันอาจจะไมไ่ด้น่ากลัวอะไรแบบนั้นก็ได้นะ

ญดาเป็นอะไรกับวิษณุรึป่าวนั่น หรือว่าเอ็นดูเหมือนน้องสาวเฉยๆ เฮ้อออ
คิดแล้วก็น่าสงสารอ่ะเนอะ ...

+1 คะ สู้ๆ  o13


- ขอบคุณครับคุณ mecon ที่ติดตาม ส่วนญดาจะเป็นอะไรกับวิษณุหรือเปล่า ลองติดตามดูครับผม


----------------------------------------------------------

ขอบคุณที่คนที่ติดตามครับผม
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 17-03-2010 09:38:00
กิ้วๆโดนจับได้ว่าแอบดูหนอนไม่น้อยของคุณวิษณุบุกรุกถ้ำเสือดีนะไม่เจอพ่อเสือดัดหลังจ๊ะเอ๋ให้ได้อายไรงี้อิตาวิษณุเปนแฟนพันแท้งานเขียนorโดนคุงป้าบังคังเคอะหุหุรู้สึกป้าหลานคู่นี้ผูกพันกันมากๆป้าชอบแบบไหนหลานชอบแบบนั้นรึป่าวไม่น่าแปลกที่ยอมลากนักเขียนติสแตกมาอยู่ในที่ส่วนตัวแบบนี้ส่วนเรื่องงานเขียนถ้ากวินต้องเขียนงานที่ไม่ใช่ตัวเองเอาซะเลยทำไมไม่ลองเขียนจากสิ่งรอบตัวล่ะที่ใหม่ๆคนแปลกๆลองเขียนจากสิ่งที่เหนเผื่องานกับตัวกวินจะได้ไม่เหี่ยวเฉาอะนะผีดิบห้องเช่าปฏิวัติตัวได้แล้วเน้อกวินกร๊ากปล.จุใจแบบนี้คนอ่านปลื้ม
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 17-03-2010 11:07:07
ปลล.ลืมแซวคะเพลงคุงวิษณุวัยรุ่นมากๆสร้างวิมานสีชมพูกับสาวน้อยชิส์น่าหมั่นไส้5555
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 17-03-2010 21:30:17
 :serius2: ตัดจบกันแบบนี้ มา :z6:กันดีกว่า 555+

สนุกมากค่ะ น่าติดตามตลอดเลย อยากรู้วิธีปราบพยศพ่อคนใจดำคนนี้จริงๆเลยว่าจะเป็นยังไง :pig4:
หัวข้อ: Re:
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 19-03-2010 00:03:56
กิ้วๆโดนจับได้ว่าแอบดูหนอนไม่น้อยของคุณวิษณุบุกรุกถ้ำเสือดีนะไม่เจอพ่อเสือดัดหลังจ๊ะเอ๋ให้ได้อายไรงี้อิตาวิษณุเปนแฟนพันแท้งานเขียนorโดนคุงป้าบังคังเคอะหุหุรู้สึกป้าหลานคู่นี้ผูกพันกันมากๆป้าชอบแบบไหนหลานชอบแบบนั้นรึป่าวไม่น่าแปลกที่ยอมลากนักเขียนติสแตกมาอยู่ในที่ส่วนตัวแบบนี้ส่วนเรื่องงานเขียนถ้ากวินต้องเขียนงานที่ไม่ใช่ตัวเองเอาซะเลยทำไมไม่ลองเขียนจากสิ่งรอบตัวล่ะที่ใหม่ๆคนแปลกๆลองเขียนจากสิ่งที่เหนเผื่องานกับตัวกวินจะได้ไม่เหี่ยวเฉาอะนะผีดิบห้องเช่าปฏิวัติตัวได้แล้วเน้อกวินกร๊ากปล.จุใจแบบนี้คนอ่านปลื้ม

ขอบคุณค้าบบบ คุณ mecon คนอ่านปลื้ม คนเขียนก็ปลื้มคับผม ^ ^\\

:serius2: ตัดจบกันแบบนี้ มา :z6:กันดีกว่า 555+

สนุกมากค่ะ น่าติดตามตลอดเลย อยากรู้วิธีปราบพยศพ่อคนใจดำคนนี้จริงๆเลยว่าจะเป็นยังไง :pig4:

อดใจรออีกดนิดนะครับ ผมจะลงต่อไม่นานนีเครับ สัญญา ๆ ขอบคุณที่ชมว่าสนุกครับ ดีใจครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 19-03-2010 00:22:47
อ่าวววววว มาลงตอนไหนเนี่ย.... มิเห็น รอแป๊ปๆ เด๋วไอไปอ่านก่อนนะ เด๋วมาเมนท์   :oni1:

Ps.มาต่อได้ยาวจุใจไปเลย  o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 19-03-2010 11:59:06
ตามอ่านมานานแล้วเเต่เพิ่งได้มาเม้นต์

ชอบเรื่องนี้ครับ ^^ ทั้งภาษาการบรรยายแล้วก็คาเเรคเตอร์เลย
มันดูสมเหตุสมผลดียังไงไม่รู้สิแบบค่อยเป็นค่อยไป คือไม่ใช่แบบที่จู่ๆก็ผลุบมาแล้วก็พุ่งพรวดไปเลย

จะตามอ่านต่อไปเรื่อยๆครับผม ยิ่งอ่านเหมือนยิ่งได้ดูการเติบโต(??)ของกวินพิกล
อยากจะรู้จริงๆว่าตอนหน้าจะโดนทำอะไร  :impress2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: NUKWUN ที่ 19-03-2010 12:18:12
ไรเตอร์ใจร้าย ทิ้งให้ค้างเเบบนี้ได้ไงอ่า

มาต่อด่วน  :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 20-03-2010 16:43:31
เขิน >.<

ความเมาทำให้คุณณุกล้าขึ้น

หรือว่าปกติก็กล้าอยู่แล้วนะ

กรี๊ด ๆ ไปไม่ไหวแล้ว เขินแทนนู๋วิน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 25-03-2010 13:24:30
 o18 :m15:
รอนุ้งกวิน...........
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Ottomechan ที่ 27-03-2010 00:52:07
เพิ่งเข้ามาอ่าน




กวินมีมุมมองที่ออกแง่ลบ


แต่ดูจากความคิด ก็ไม่ผิดที่เขาจะคิดอย่างนั้น




ให้มุมมองที่แตกต่างไปจากเดิมมม








รออ่านตอนต่อไปนะคะ

วิษณุรู็้ได้ไงว่ากวินแอบดูหนอนน้อย

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 28-03-2010 20:26:08
สิบวันแล้วนา คนแต่งเป็นตายร้ายดีประการใดช่วยแจ้งด้วย

 :a5:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 01-04-2010 22:53:25
 :z13: o18 :z4: รอยคอต่อไป  :z2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 02-04-2010 01:03:50
เข้ามารอครับ .... :o12:


อยากอ่านตอนต่อไปแล้วน้าาา  :call:  :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 03-04-2010 10:28:14
 :sleep2:  รอนานจนหลับแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 04-04-2010 04:19:55
สนุกดีค่ะ เพิ่งได้มาอ่าน ชอบการใช้ภาษาในเรื่องค่ะ ยิ่งอ่านก็ยิ่งน่าติดตาม
ตอนนี้ชอบกวิน แต่เฉยๆกับนุ อาจจะเป็นเพราะเราอ่านผ่านมุมมองของกวิน
แต่ตอนล่าสุดนี่ กำลังคิดว่ากวินละเมอรึป่าว หลังจากได้เห็นภาพสยิวกิ้ว รึไง?  :z1:
ว่าแต่ทางมาบ้านพักโหดขนาดนี้ ตอนป้าแกมาคงไม่ได้ใช้ทางเดียวกันใช่มั้ย = =''

เป็นกำลังใจให้นะคะ แล้วจะรออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 08-04-2010 23:40:03
ฮึ้บ!!!

เข้ามารออ่าน ยังรออยู่เสมอนะครับ  :call:  :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 18-04-2010 00:00:33
อ่านรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุด

อ่านเพลินๆกับภาษาสวยๆ และก็อ่านง่ายมาก

แต่มาขัดใจตรงที่มาตัดฉับตรงนี้ได้ไงคะเนี่ย

งวดนี้คนแต่งหายไปนานกว่าทุกครั้งเลยมั้งคะเนี่ย ร่วมเดือนแล้ว

ยังไงถ้ากลับมาจากสงกรานต์รีบคลอดตอนใหม่เร็วๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 25-04-2010 02:25:03
เรียนผู้อ่านทุกท่าน


ต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ ที่คราวนี้หายไปนาน แบบนานจริง ๆ


และต้องขอโทษซ้ำสองที่จะบอกว่า กลับมาคราวนี้ก็ยังไม่ได้มีตอนต่อมาให้อ่าน แหะ ๆ ๆ ๆ


คือช่วงนี้ชีวิตยุ่งเหยิงพอสมควรครับ ด้วยติดภาระสำคัญคืองานโปรเจคชิ้นสุดท้ายของชีวิตการเรียนมหาลัย  :jul1:

สัญญาว่าจะยังเขียนต่อนะครับ และจะเขียนให้จบ แต่ขอให้ผมเอาชีวิตรอดและสามารถเรียนจบให้ทันในปีนี้ก่อนนะค้าบ แหะ ๆ ๆ


ขอบคุณผู้อ่านทุกท่าน และขอกราบขอโทษจริง ๆ ครับ ^ ^'
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 25-04-2010 11:05:47
ไม่ลงต่อก็ไม่เป็นไรหรอก

กลับมาส่งข่าวบ้าง

เป็นตายร้ายดียังไง

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 25-04-2010 11:16:57
เข้ามาอ่านตอนแรก ๆ เสื่อมกับนายเอกมากมาย :เฮ้อ:  
แต่ก็อ่านต่อเพราะอยากรู้ว่าคนที่มองโลกแบบนี้จะใช้ชีวิตปกติแบบไหน  อ่านไปเรื่อย ๆ  ก็เห็นพัฒนาการทางด้านการมองโลกในแง่บวกจากนายเอกมากขึ้น  ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องชมไรท์เตอร์ที่ตั้งใจเขียน  และภาษาก็สวย
สารภาพเลยว่าคลิกเข้ามาอ่านนิยายเรื่องไหนแล้วไม่มีอะไรน่าสนใจก็กดกากบาทสีแดงปิดแล้วไม่เฉียดอีกเลย  นิยายของไรท์เตอร์เองก็เกือบเป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น  แต่ในความดำมืดของจิตใจตัวละครมันกลับมีสเน่ห์ให้ค้นหาอย่างน่าประหลาด
จะรอดูว่าวิษณุจะแสดงส่วนดำมืดในจิตใจตอนเมายังไง...จะมีฉากเรียกเลือดในตอนหน้า(ถ้าไรท์เตอร์รอดจากการทำ
โปรเจกต์ชิ้นสุดท้าย...อีนี่ไปแช่งเค้า!!!!!)รึเปล่า?
 :pig4: และเป็นกำลังใจให้ค่ะ...
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 25-04-2010 11:48:06
ขอบคุณที่ยังเข้ามาแจ้งข่าวคราวกันครับผม  :กอด1:


จะยังรอต่อไปฮ่าๆ ขอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 25-04-2010 14:56:30
 :L2: เป็นกำลังใจให้ค่ะ ยังไงก้อสู้ๆละกันนะคะ

 
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_ness ที่ 25-04-2010 16:46:11
สนุกมากกกกกกก

ถึงจะรู้สึกว่ากวินจะองโลกในแง่ร้ายมากไป แต่บางครั้งสิ่งที่กวินคิดมันก็ดูจะเป็นจริงอย่างที่ว่าเลย

แนวนี้เพิ่งเคยอ่านแปลกดี แต่ก้ชอบมากเลยค่ะ ติดตามต่อไปนะค่ะ

ว่าแต่จะมาต่อเมื่อไหร่อ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 30-04-2010 18:51:07
เราเพิ่งจะเข้ามาอ่านค่ะ เรื่องนี้มันช่างดูมืดมิด 555+

กวินนี่มองโลกในแง่ร้ายจัง เหมือนจะยึดติดด้วย แต่ก็ดูจะไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย

ฮึ่มๆๆ อยากอ่านต่ออ่ะ ไรท์เตอร์ Where are U!!!!!!

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 04-05-2010 21:06:07
ชอบบุคลิคของกวินจัง
คือมองอะไรในแง่ของความเป็นจริง(ติดจะออกไปทางลบ)
แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่พวกเพ้อฝัน
โดยส่วนตัวเราคิดว่านี่แหละแบบที่หาอ่านมานาน อิอิ
ชอบมากๆเลยค่า ทั้งสำนวนและบุคลิคของตัวละคร
สู้ๆนะคะ จะรออ่านต่อค่า ^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 09-05-2010 15:03:48
ยังรอครับผม


ขอให้รอดชีวิตกลับมาได้นะครับ ฮ่าๆ  :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: chocolate_ness ที่ 10-05-2010 18:26:06
รอค่ะรอ

มาต่อเถอะนะค่ะ :call: :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 14-05-2010 01:48:11

เขียนดี  อ่านสนุก

ตรวจตัวสะกดหน่อยนะ

ยังพิมพ์พลาดอยุ่เยอะเทียว

แต่ถ้าจะรวมเล่มเมื่อไหร่ กะว่าจะอุดหนุนสักเล่ม อิอิ


เจ้สอง  :bye2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 14-05-2010 09:10:07
พึ่งอ่านไปได้แค่หนึ่งหน้า เป็นนิยายออนไลน์ที่ภาษาสวยมาก

มันไม่ใช่ว่าเป็นนิยายเพ้อฝันที่แบบว่า นายเอกเจอพระเอกแล้วรักกันแบบรักแรกพบประมาณนั้น คนอย่างกวินมีจริงบนโลกใบนี้จากที่ได้อ่าน

มองโลกได้อย่างตรงไปตรงมา ตอนจบของนิยาย มันไม่สมบูรณ์เสมอไปหรอกจริงไหม
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 14-05-2010 10:17:03

อย่างที่กวินบอกแหละว่าคนเค่มแข็งถึงจะอยู่บนโลกใบนี้ได้
ชอบคนมีน้ำใจนะ แต่ก็โลกส่วนตัวสูงเหมือนกัน

เป็นกำลังใจให้เรียนจบเร็วๆ

จะรออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 17-05-2010 02:58:41
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ทำกับหนูแบบนี้ได้ไง
ตัดฉึบเหมือนโดนตัดขั้วหัวจายยย~ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก

สนุกอ่ะ คือไม่เคยอ่านแนวนี้เลย แปลกดี ชอบมุมมองของกวิน
มันดูขวางหูขวางตา เราว่าทุกคนอาจจะมีมุมมองเหมือนกวินแหละ แต่ว่าไม่เยอะเท่ากวิน
ขวางโลกมาก บอกว่าซ้าย ฉันจะไปขวา จริงๆก็จะไปซ้ายอ่ะ แต่ไม่อยากไปแระ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบ หวังว่าเร็วๆนี้จะได้อ่านต่อนะ (กดดันเต็มที่ ๕๕๕)
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-05-2010 05:22:50
ผู้เขียนมารายงานตัวว่ายังมีชีวิตอยู่นะครับ แหะ ๆ ๆ


และตอนนี้ก็ยังคงทำงานโปรเจคจบอยู่เหมือนเดิม และยังไม่มีตอนใหม่มาให้


ขอโทษผู้อ่านทุกท่านด้วยนะค้าบ ที่ทำให้รอ เอ๊ะ ยังรอกันอยู่ป่าวหว่า ฮ่า ๆ ๆ ๆ


สัญญาครับ จะมาต่อแน่นอนค้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 17-05-2010 08:19:25
ยังรอค่ะ ยังไงอ่านแล้วไม่ทิ้งแน่ๆ แต่คนเขียนอย่าทิ้งคนอ่านแล้วกันนะคะ :t3:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 17-05-2010 16:23:53
 :L2:   รออยู่นะค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 17-05-2010 19:05:33
รอซิคะ ยังไงก็รอ ถึงจะนานแต่ถ้าสัญญาว่าจะมาแน่นอนก็โอเคค่ะ

ไม่ว่ากัน แต่เรียนให้จบนะคะ 555+     :laugh: :laugh: :laugh:   

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE17/03/2010ลงแล้ว13ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 18-05-2010 05:46:51
สวัสดีผู้อ่านทุกท่านครับ

ผมยังเรียนไม่จบนะครับ และงานไฟนอลก็ยังไม่เสร็จอยู่ดี

คงต้องรอสิ้นเดือนโน่น ถึงจะสิ้นสุด


แต่.....


เอาตอนใหม่มาให้อ่านแล้วล่ะครับ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ขอโทษที่อาจจะทำให้รอนานนะครับผม ^ ^


---------------------------------------------------------------------------------


14

    
ชั่วเวลาขณะหนึ่งที่กวินรู้สึกว่าตัวตนว่างเปล่าดุจดังอากาศ ในขณะที่วิษณุยังคงส่งยิ้มกรุ้มกริ่มมาอย่างวาบหวำ ซึ่งสุดท้ายแล้วภาพใบหน้าของเขาก็พร่าเลือนไปพร้อมกับอนุสติที่ขาดห้วงเหมือนโทรทัศน์ที่ถูกรบกวนสัญญาณ ในความรู้สึกนั้นต้านทานโจมตีกันไปมาโดยอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ถึงการพองโตอย่างประหลาดในความรู้สึกประเภทหนึ่งที่ไวต่อประสบการณ์อันระทึก แต่เหนือสิ่งอื่นใด สัญชาตญาณของการวางมาดผลักไสความรู้สึกนั้นก่อนจะบังคับบัญชาให้การแสดงออกเป็นไปราวกับถูกวางบทบาทเอาไว้อย่างดีเยี่ยมจากจิตใต้สำนึกที่พะวงกับกรอบบางอย่าง

    ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าพอมาสำรวจดูจริง ๆ กวินยังมีความรู้สึกเช่นนี้เหลืออยู่ในตัวมากมายกว่าที่จะเคยคาดคิด

    “ปล่อย” กวินร้องว่า พร้อมกับพยายามจะใช้มือแกะการเกาะก่ายของวิษณุเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากพันธนาการทางกาย ในขณะที่อีกฝ่ายตรงกันข้าม เหมือนว่าวิษณุนั้นพยายามจะกระชับให้แน่นมากขึ้น พร้อมกับดึงร่างของกวินให้เข้าไปหา พร้อมส่งยิ้มยั่ว

    “แน่ใจนะว่าอยากให้ปล่อย”

    “เออสิ” กวินร้องลั่น แต่รู้สึกว่าเหมือนเสียงจะแหบแห้งอยู่แค่ในลำคอ เหมือนมีอะไรร้อนผ่าวถูกกลืนลงไป ซ้ำร้ายเข้าไปอีกเมื่อได้สบตากับแววตาอันกรุ้มกริ่มที่ประดับอยู่บนเครื่องหน้าที่คมคายหล่อเหลาชวนให้เคลิ้มเมาราวกับซาตานมาดเท่ห์ในความฝัน แถมด้วยสัมผัสอันแสนจะหนักแน่นถลำลึกและหยาบคายชวนให้รู้สึกหวิววาบจากฝ่ามือที่บีบแน่นจนสะท้อนไปถึงกล้ามเนื้อทุกส่วนสัดบนรูปร่างอันเหมาะเจาะลงตัวยิ่งคล้ายจะพาให้ความรู้สึกของกวินนั้นเตลิดเปิดเปิงไปมากกว่าเก่าจนแทบจะทะลักออกมารอมร่อ

    ไม่ได้... กวินพร่ำบอกตัวเองเช่นนั้น จะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้ มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ต่างอะไรกับกะหรี่ร่าน ๆ ที่พร้อมจะถูกกินไม่เลือกหน้า ให้ตายเถิด... กวินจะยอมให้ตนเองถูกว่าเช่นนั้นไม่ได้ แม้ว่าแววตาและสัมผัสของวิษณุจะกระตุ้นให้กวินรู้สึกคะนองที่จะอยากรับบทบาทเช่นนั้นก็ตามที แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายเมื่อการตัดสินใจเกิดขึ้น กวินเลือกที่จะใช้แรงเฮือกสุดท้ายผลักร่างของชายหนุ่มออกไปจนพ้น ก่อนจะเปิดประตูกลับไปยังห้องนอนของตนตามเดิม

    ใจยังคงเต้นไม่เป็นส่ำ ในขณะที่ดันประตูปิดสนิท หน้าผากชนกับประตูราวกับหมดแรง ทิ้งเวลาไว้สักพักเหมือนจะผ่อนคลายความตื่นเต้นของตัวเองพร้อมกับพาสติที่กระเจิดกระเจิงไปให้ค่อย ๆ กลับคืนมา

    ไม่หายดีนัก แต่ร่างกายไปก็ไม่ไวไปกว่าความคิด กวินถอนใจแรงจนเหมือนจงใจจะทำให้ห้องทั้งห้องสั่นสะเทือนก่อนจะหันหลังผละออกจากประตู ไม่แน่ใจนักว่าจะต้องทำอะไร หรือควรทำอะไรต่อไป แต่เร็วเกินกว่าจะคิดได้ และไม่มีเวลาแม้แต่จะให้คิด ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแปลกใจ... ไม่รู้ว่าวิษณุมายืนรออยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไร เพราะทันทีที่กวินหันหน้าออกจากประตู ภาพแรกที่ได้เห็นก็คือภาพใบหน้าของวิษณุที่ยิ้มกระย่องอย่างมากเล่ห์เพทุบาย แล้วร่างทั้งร่างของกวินก็ถูกรวบเข้าไปในอ้อมกอดอันหื่นกระหายของเขา เมื่อร่างทั้งร่างสัมผัสได้ถึงกล้ามเนื้อที่เบียดชิด สติของกวินก็กระเจิดกระเจิงไปอีกครั้ง และคราวนี้เหมือนจะไปไกลอย่างที่กู่ไม่กลับเฉกเช่นเดียวกับอีกฝ่ายก็คล้ายจะไม่ปล่อยให้กวินได้มีเวลาครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีกแล้ว เมื่อริมฝีปากกระกบกันพร้อมกับลิ้นที่พัวพันไปมา กวินรู้สึกว่าอารมณ์ของตนพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างทันท่วงที

    อย่างผาดโผนและลุ้นระทึกที่สุดในโลก... วิษณุช้อนร่างของกวินไว้อย่างง่ายดายพร้อมกับโยนลงไปบนเตียงก่อนจะโถมตัวลงมาทับ ราวกับวิษณุนั้นมีเวทมนตร์ ชั่ววูบที่ล้มนอนลงบนเตียงกวินแทบจะจำไม่ได้เลยว่าผ้าขนหนูของเขาหลุดออกไปเมื่อไร อีกฝ่ายก็เช่นกัน เสื้อผ้าหายไปหมดแล้ว กวินรู้สึกได้ว่าทั้งเขาและเขาเหลือเพียงเนื้อตัวล้อนจ้อนในลูบไล้ถูไถกันไปมาอย่างหื่นกระหายและเมามัน เสียงลมเสียดสีกับใบไม้สวบสาบและเสียงของจิ้งหรีดแมลงสารพันรวมเข้าทั้งความชื้นจากแนวป่ารอบด้านยิ่งปลุกระดมให้เกิดเป็นจินตภาพว่าต่างฝ่ายกำลังสวมบทบาทเป็นสิงห์ดุร้ายสองตัวที่หนีจากฝูงลักลอบมาจู่โจมปลุกปล้ำกันท่ามกลางความมืด ผลัดกันคร่อม ผลัดกันทับ ไม่มีแววของการเคอะเขินหรือเหนียงอาย ไร้แม้แต่ความล่าช้าอันน่าหมั่นไส้ของความอ่อนโยนแบบบางตามประสาของความอยากแบบเคลือบยางตามจริต

    นี่เป็นความต้องการแบบตรงไปตรงมา ไม่มีอะไรแฝงเร้นนอกไปเสียจากความหื่นกระหายที่อัดอั้นมานานได้กำลังปะทุออก และทั้งหมดทั้งมวลที่เริ่มไปก็เป็นเพียงแค่การเตรียมพร้อม วินาทีแห่งความสมจริงสมจังกำลังเกิดขึ้นเมื่อกวินเปิดทางให้กล้ามเนื้ออันชวนหฤหรรษ์ของอีกฝ่ายได้แทรกเข้ามาในร่าง ถึงจุดนั้นกวินถึงกับลืมสิ้นทุกสิ่ง ผลักทิ้งทุกอย่าง เหลือแค่เพียงความสะใจอย่างสุดเหวี่ยงที่สบถออกมาเป็นสุ้มเสียงครางสนั่น รวมถึงกิริยาของฝ่ามือที่รวบบั้นท้ายของอีกฝ่ายเพื่อดันให้เข้ามาอีกอย่างสุดแรงเกิด ราวกับที่เข้ามาเพียงนั้นมันยังไม่มากพอเท่ากับที่ใจนึก

    ...ช่างสะใจอะไรเช่นนี้... สุ้มเสียงแห่งความคิดฝันดังก้องไปมาในหัวในขณะที่กิจกรรมพิสวาศกำลังเข้า ๆ ออก ๆ ไปอย่างต่อเนื่องแบบที่เครื่องกำลังติด ช่างสะใจอะไรเช่นนี้... ด้วยสรรพสำเนียงของความดิบเถื่อนในป่ากว้างอันห่างไกลจากโลกรอบด้าน กวินอยากจะร้องดัง ๆ ว่าการที่ผู้ชายเช่นเขาได้กลายเป็นเมียของวิษณุนี่มันแสนจะมหัศจรรย์พันลึก !

    อา... ไม่ไหวแล้ว... ก่อนที่ทุกอย่างจะจบลงอย่างท้วมท้นเหมือนลาวาที่ปะทุจากปล่องภูเขาไฟ กวินอยากจะขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ช่วยดีไซน์ให้สิ่งมีชีวิตเพศชายสามารถเอากันเองได้...    

    ขอบคุณ !

    ลืมตาตื่นขึ้นมาเต็มมาแล้วพบว่าภาพทุกภาพหายไปในชั่วเวลาอันสั้น... หายไปโดยที่ไร้ซึ่งความต่อเนื่องอันใดของภาพและความรู้สึก ไม่แปลกใจ ไม่งุนงง แม้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ายังหลงเหลือเศษซากแห่งความคิดฝันทั้งหมดทั้งมวลอยู่เล็กน้อยในห้วงความและกล้ามเนื้อบางส่วน สมองชาคล้ายกับเพิ่งถูกกดทับมานานและพาให้รู้สึกมึนงงร้อนหนาวราวกับอยู่ในที่ ๆ อุณหภูมิแปรเปลี่ยนฉับพลัน ตามมาด้วยความรู้สึกคลื่นเหียน เหมือนคนที่เผลอตัวหลับไปในเวลาที่ไม่เหมาะสม แล้วถูกกระชากออกจากภวังค์นิทราอย่างไม่ปราณีปราศรัย

    ใช้เวลาอยู่พอสมควรว่าที่สติจะกลับมาอย่างสมบูรณ์ แม้ความไม่สบายของกายทั้งหลายแหล่จะยังไม่จางหายไปไหนนัก แต่การรับรู้โดยรอบก็เริ่มจะทำงานได้ดี กวินยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้บนระเบียงกว้างท่ามกลางแนวเขารอบด้าน เบื้องหน้าคือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คคู่กายที่เปิดหน้าจอทิ้งไว้เป็นไมโครซอฟเวิร์ดที่ปรากฏตัวอักษรเพียงไม่กี่บรรทัด ประจานซึ่งความเฉื่อยชาในความคืบหน้าต่องานที่ตัวเองกำลังทำ ในขณะที่ลมหนาว ๆ พัดผ่านใบไม้ไหวเอนสวบสาบชำแรกเข้ามาสู่เนื้อพาให้รู้สึกเย็นยะเยือกเล็กน้อย กระนั้น แว่วเสียงจากกลุ่มคนด้านล่างที่พูดคุยสลับกับร้องเพลงก็ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ

    ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร และก็ยังไม่เข้าใจตัวเองนักว่าเผลอหลับไปได้อย่างไร ไม่รู้ตัวเลยสักนิด อาจจะเป็นไปด้วยทั้งความเหนื่อยล้า และบรรยากาศที่สงบสงัดเสียจนเป็นยากล่อมประสาทชั้นดี

    ถอนใจเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเดินไปเกาะขอบระเบียง แล้วชะเง้อมองลงไปด้านล่าง

    ไม่ว่าในภาพฝันจะเป็นเช่นไร แต่ในความเป็นจริง วิษณุมิได้มีท่าทีของการมึนเมาแบบลืมเนื้อลืมตัวเลยแม้แต่น้อย แถมโดยรวมวงเหล้าที่ว่านั้นก็ดำเนินไปอย่างสุภาพ ซึ่งอันที่จริงพอมาสังเกตดูดี ๆ พวกเขาแค่จิบเบียร์กันเล็กน้อยเพื่อผสมผสานกับการพูดคุยเท่านั้นเอง ไม่น่าจะเรียกว่าเป็นวงเหล้าได้เลยด้วยซ้ำ มีเบียร์วางอยู่เพียงสามสี่ขวดท่ามกลางคนถึงหกคน รตีดื่มน้ำเปล่า มีเพียงวิษณุกับหมออีกสองคนเท่านั้นที่ดื่ม ในขณะที่อีกคนพ่นควันบุหรี่ออกมาอย่างต่อเนื่อง กวินไม่แน่ใจนักว่าความพร่ามัวอันใดของนัยน์ตาหรือการตีความที่ทำให้เข้าใจผิดไปได้ว่าด้านล่างกำลังตั้งวงเหล้าอย่างครื้นเครง แถมการพูดคุยทั้งหลายนั้นก็เป็นไปในทำนองสงบเสงี่ยม การดีดกีตาร์ร้องเพลงก็เป็นไปอย่างแผ่วเบาไร้ความอึกทึกอันใดที่จะสะท้อนถึงความไร้สติที่กวินวางภาพไว้เลยแม้แต่น้อย

    เนิ่นนานพอสมควรที่สายตาของกวินจับจ้องลงไปยังวิษณุ ที่ขณะนี้เหมือนใบหน้าจะแดงก่ำเล็กน้อยสะท้อนออกมาชัดเจนว่าเจ้าตัวคงจะคออ่อน สังเกตได้ว่าจิบเบียร์เพียงไม่กี่แก้ว แต่ใบหน้าก็แดงซ่านได้ขนาดนี้ แต่ทั้งทั้งนั้น ท่าทีในความเป็นจริงที่สะท้อนความมึนเมาของวิษณุนั้นก็คือความเงียบขรึม ตลอดเวลาเกือบห้านาทีที่จ้องมอง วิษณุแทบจะไม่ได้พูดจาอะไรเลย คล้ายกับนั่งเหม่อด้วยซ้ำ พาให้อดขำอยู่ในใจไม่ได้ คนอย่างวิษณุดูไม่น่าจะเป็นคนที่เมาแล้วซ่าทำอะไรไปอย่างในภาพความฝันเช่นนั้นเลย ตรงกันข้าม เวลาเมาดูคล้ายจะฤทธิ์อ่อนลงด้วยซ้ำไป

    ไม่รู้ว่าเอาอะไรไปฝัน

    พอนึกถึงภาพความฝันขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ก็คล้ายกับว่ากวินได้เล่นงานตัวเองเสียแล้ว เมื่อนั้นเองที่ไม่กล้าจะลักลอบมองหน้าวิษณุได้อีก ยิ่งภาพมันชัดเจนออกเสียขนาดนั้นว่ากวินยืมใบหน้าและรูปร่างของวิษณุไปกระทำย่ำยีเช่นใดในความฝัน มันก็อดที่ทำให้รู้สึกเกิดความอับอายแก่ตนเองไม่ได้ ความหมกมุ่นครุ่นคิดอันใดหนอ ที่กักเก็บเอาไว้ทำให้กวินเอาไปนึกฝันได้เตลิดเปิดเปิงเช่นนั้น

    ทันใดนั้นเอง ข้อเท็จจริงอีกหนึ่งอย่างก็แล่นฉายเข้าในหัวสมอง กับภาพของความจริงเมื่อตอนเย็นที่กวินแอบลักลอบเข้าไปในห้องนอนของวิษณุแล้วได้เห็นอะไร ๆ หลายอย่างจากความเผลอไผลของอีกฝ่าย คิดแล้วก็อดให้นึกแสลงไม่ได้ นี่น่ะหรือ สาเหตุของความฝัน คิดให้ถึงแล้วก็ออกจะคันคะเยอสิ้นดี ให้ตายเถิด เห็นของ ๆ คนอื่นเขาแล้วหน้ามืดเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ ทุเรศเสียจริง กวินไม่อยากจะยอมรับในข้อหาแบบนี้เลย แต่ก็นั่นแหละ ช่วยอะไรไรได้ กวินไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย มันเป็นอุบัติเหตุ แล้วคนเราควบคุมความฝันได้ที่ไหนกันเล่า

    สูดลมหายใจลึกหนึ่งครั้งพร้อมกับสะบัดหน้าเล็กน้อยเพื่อพยายามจะสลัดความฟุ้งซ่านออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง ความอ่อนเพลียยังคงอยู่ วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ทั้งจากการเดินทางขึ้นเขาอย่างทุลักทุเลแล้วยังจะการเปลี่ยนสถานที่ ๆ มีส่วนทำให้สภาพจิตใจอ่อนแรงอีก เป็นไปได้คงอยากจะล้มตัวลงนอนเสียตอนนี้ แต่อีกดด้านมันก็รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวเอาเสียเลย มีอะไรมากมายหมักหมมอยู่ในทั้งร่างกายและทั้งในความรู้สึก ทำให้รู้สึกว่าคงหลับไม่สบายถ้าไม่ได้ขจัดมันออกไปเสียก่อน

    ถอดเสื้อผ้าโยนลงบนเตียงตามความเคยชิน จะด้วยความมึนงงจากการเพิ่งได้หลับไปชั่วครู่หรืออะไรก็ตามแต่ที่คล้ายกับเป็นแมลงตัวเล็ก ๆ ที่เข้ามารบกวนอยู่ในห้วงความรู้สึก ทำให้ลืมนึกถึงผ้าขนหนูไปเสียสนิท เดินเข้าห้องน้ำตัวเปล่าพร้อมกับโผไปที่ฝักบัวก่อนจะเปิดน้ำให้ชโลมลงทั่วร่าง  

    สายน้ำที่ชำแรกเข้าสรรพางค์ทำสติของกวินให้ตื่นตัวขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อนั้นเองที่ถึงจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้หยิบเอาผ้าขนหนูเข้ามาด้วย แต่ถึงอย่างไรกวินก็ไม่ได้สนใจมากนัก คิดในใจว่าเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จก็ค่อยออกไปเช็ดเอาก็ได้ ไม่น่าจะต้องกังวลอะไรนักหนา ปกติอยู่คอนโดก็เป็นแบบนี้บ่อย

    เนิ่นนานพอสมควรที่กวินปล่อยให้ตัวเองอยู่ยืนนิ่งท่ามกลางสายน้ำที่ไหลจากฝังบัวอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะให้สายนั้นชำระมลทินต่าง ๆ นา ๆ ที่หมักหมมอยู่ในตัวให้สะอาดหมดจด ความมึนงงต่าง ๆ นา ๆ ที่เกิดขึ้นจากการงีบหลับผิดเวลาค่อย ๆ จางหายไปในห้วงความรู้สึก แทนที่ด้วยความสดชื่นแจ่มใส แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จะบอกว่าสายน้ำจากฝักบัวกำลังชำระให้ภาพในความฝันมลายหายไปจากห้วงความคิดนั้นก็หาได้ไม่ หนำซ้ำ มันยังกระจ่างชัดและเชื่อมโยงกับภาพความจริงที่ได้พบเจอมาเมื่อเย็นราวกับเป็นภาพซ้อนที่สะท้อนให้เห็นถึงการหมักหมมของอารมณ์และความรู้สึกที่ยังไม่ได้รับการชำระ

    ไม่นานเท่าไร เศษซากของความฝันก็ไหลรวมไปกระจุกอยู่ ณ ตำแหน่งเดียวของร่างกาย และกวินก็คงจะต้องจัดการกับมันเพื่อให้ความรู้สึกทั้งหลายแหล่งกลับมาปลอดโปร่งอย่างแท้จริง

    กวินค่อย ๆ หมุนก๊อกฝักบัวเพื่อเบากระแสน้ำ หลับตา และความคิดทั้งหลายก็คล้ายกับเข้าสู่ภวังค์ที่ล้อมรอบไปด้วยเสียงน้ำตกที่ซู่ซ่าไหลเย็น ค่อย ๆ ประคองส่วนที่กักเก็บพิษของอารมณ์ไว้ในฝ่ามือ ก่อนจะขยับเคลื่อนเป็นจังหวะต่อเนื่องเหมือนเครื่องจักรที่วางโปรแกรมไว้อย่างสมบูรณ์ไร้ที่ติ ในขณะที่กล้ามเนื้อแทบทุกส่วนเกร็งแน่นเหมือนลวดที่ถูกขด ใช้เวลาไม่นานที่น้ำตกเล็ก ๆ ในภวังค์แปรขยายออกจนกลายเป็นกระแสน้ำมหึมาที่หลั่งจากทั่วสารทิศพร้อมกับเสียงครืนครางและสัมผัสถึงการสั่นสะเทือนของทุกสรรพสิ่งบนโลกเพื่อที่จะพังทุกอย่างให้สิ้นซากหลงเหลือไว้แต่เพียงความว่างที่เบาหวิว

    ทันใดนั้นเอง บานประตูก็ถูกเปิดออกอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พอ ๆ กับที่ภวังค์ของกวินทลายลงทันทีเหมือนถูกกระชากสวิตช์ ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับผู้ที่ปีนเขาถึงยอด แล้วแทนที่จะค่อย ๆ ลงจากเขาอย่างนุ่มนวล แต่ตรงกันข้ามกลับกลายเป็นกระโดดจากหน้าผาลงมาคอหักตาย ตกใจยิ่งกว่าเมื่อพบว่าประตูที่เปิดออกนั้นหาใช่ประตูจากห้องนอนของตนเองไม่ แต่กลับเป็นประตูของอีกห้อง

    กวินรู้สึกชาไปทั้งร่าง ไม่มีปัญญาแม้แต่จะอุทาน

    ต่างฝ่ายต่างชะงัก ใบหน้าของวิษณุดูคล้ายจะช๊อคพอสมควรกับภาพที่เห็น ใบหน้าของเขาแดงก่ำ ไม่แน่ใจว่าแดงเพราะเมาหรือเพราะอะไร แต่คล้ายกับว่าความแดงมันเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไรอย่างนั้น ท่ามกลางความงุนงงและตกใจกับการผิดที่ผิดจังหวะอย่างร้ายกาจของคนทั้งคู่ ตามปรกติแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือกวินน่าจะต้องรีบเอาผ้าขนหนูมาคลุมกาย แต่เขาไม่มีผ้าขนหนู !  ดังนั้น วิษณุต่างหากที่ควรจะรีบปิดประตูเสีย แต่ปฏิกิริยาของวิษณุกลับยืนนิ่ง ตกใจ และไม่ทำอะไรเลย ให้ตายเถิด ดูเหมือนเขากำลังถูกสตั๊ฟฟ์ไว้เลยด้วยซ้ำ กวินกล้ายืนยันในตอนนั้นว่านอกจากวิษณุจะเป็นคนคออ่อนอย่างร้ายแล้ว เวลาเมายังเงอะเงอะโง่เง่าได้อย่างสุดจะประมาณอีกด้วย

    กวินรู้สึกอยากจะละลายตัวเองลงไปกับน้ำแล้วมุดลงท่อระบายลงไปเสียให้สาสมกับความอับอาย ที่ว่ากวินได้เคยเห็นของเขา บัดนี้เขาได้เห็นของกวินกลับหมดแล้ว นี่ยังไม่รวมที่ว่า... เขาเปิดประตูมาในจังหวะที่ได้ทันเห็นในสิ่งที่ไม่ควรจะเห็นอีกด้วย

    “เอ่อ... ขอโทษ” วิษณุเพิ่งจะพูดประโยคแรกออกมาอย่างตะกุกตะกัก แต่กระนั้น ท่าทางของเขาก็ยังเงอะ ๆ งะ ๆ นัยน์ตายังคงเลื่อนลอย และที่สำคัญ เขายังไม่ปิดประตู !

    “ปิดประตูแล้วออกไป... เดี๋ยวนี้” กวินร้อง แต่เหมือนว่ามันจะไม่ได้เขาไปในโสตประสาทของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย วิษณุพูดแทรกขึ้นมาอย่างทันท่วงที

    “นี่คุณ... กำลัง...” วิษณุกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงโง่เง่าอย่างที่ไม่อาจจะให้อภัยได้ “คุณกำลังชักว่าวอยู่หรือ”

    “บ้า” กวินหน้าแดงจัดด้วยความอาย อาจจะอายน้อยกว่านี้ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้พูดและตีสีหน้าเสียอย่างกับว่าเป็นเรื่องจริงจังเสียเต็มประดา “ไม่ได้ทำอะไรอย่างนั้นโว้ย”

    มันน่าสมเพชตรงที่หน้าด้านปฏิเสธเสียงแข็งออกไปทั้ง ๆ ที่กล้ามเนื้อส่วนนั้นยังคงผงาดและยังมีเศษซากหลักฐานเหนอะอยู่ตามพื้นให้เห็นอยู่ทนโท่

    เมื่อนั้นเองที่เหมือนวิษณุจะเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังมองในสิ่งที่ไม่ควรมอง เขาชะงักสะดุ้งไปเล็กน้อยราวกับผีออกจากร่างแล้วก้มหน้าเบือนหนีหลบออก ในขณะที่กวินนั้นนึกอยากจะรีบวิ่งออกจากห้องน้ำไปเสีย แต่ร่างกายกลับแข็งทื่อขยับเขยื้อนไม่ได้ ทำได้แค่ยกมือมาบังจุดนั้นไว้ก็เท่านั้น

    “ขอโทษ” วิษณุเอ่ยลิ้นระรัว “ขอโทษจริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ ทำไมไม่ล๊อคประตูวะ”

    ก็ลืมน่ะสิโว้ย... กวินคิดในใจอย่างเดือดดาล ...ก็ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจก็รีบปิดประตูออกไปสิ

    “คือ... คุณไม่มีผ้าขนหนูใช้สินะ เพราะตู้มันล๊อค โอเค เดี๋ยวผมไปเปิดตู้ให้” วิษณุพูดอ้อมแอ้มชวนงง ก่อนจะค่อย ๆ ปิดประตูลงไปอย่างงก ๆ เงิ่น ๆ ในขณะที่กวินยังคงใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แม้จะโล่งใจไปได้มากพอสมควรแล้วก็ตามว่าอีกฝ่ายนั้นออกจากห้องไปแล้ว

    น่าอายสิ้นดี... วิษณุเห็นหมดแล้วว่าเขากำลังกระทำน่าเกลียดอันใดในห้องน้ำที่ใช้ร่วมกัน

    กวินเดินไปล๊อคประตู แล้วกลับมายืนอยู่ใต้ฝักบัวตามเดิม เปิดน้ำอย่างแรง ราวกับหวังจะให้สายน้ำชำระความอับอายทั้งหลายให้หมดไป แม้จะช่วยไม่ได้เลยก็ตามที

    ทันใดนั้น ! ประตูบานเดิมถูกเปิดออกอีกรอบ คราวนี้เหมือนจะใช้กุญแจไขเข้ามาเลยทีเดียว

    “เห้ย อะไรอีก” กวินร้องอย่างตกใจ ในขณะที่รีบยกมือมากุมปิดไว้ตามเดิม ส่วนวิษณุนั้นยังคงมีท่าทีมึนงงและมึนเมาเงอะงะไม่เสื่อมคลาย

    “ก็คุณล๊อคประตูห้อง ผมเลยเปิดเข้าไปไม่ได้” วิษณุพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนเสียงแมวเชื่อง ๆ ในขณะที่สายตาของเขาก็ก้มพิจารณาพวงกุญแจในมืออย่างจริงจังและจริงใจ “ผมจำไม่ได้ว่าอันไหนกุญแจห้องคุณ ผมลองหลายดอกแล้วมันก็ไขไม่ออก ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน”

    ก็แหงสิ... กวินคิดในใจ ...เมาห่วยแบบนี้จะไปทำอะไรได้ คงมึนหากุญแจไม่เจอสิท่า

    เมื่อนั้นเองวิษณุก็เงยหน้าขึ้น คล้ายกับจ้องมาที่ร่างเปลือยเปล่าของกวิน

    “มองอะไร”

    “ความจริงผมเข้าจากทางนี้ก็ได้นี่หว่า”

    “อะไรนะ”

    พูดจบ วิษณุก็เดินปรี่เข้ามาในห้องน้ำ กวินตกใจในแวบแรกในขณะที่วิษณุมิได้มีท่าทีว่าเดือดร้อนใจอันใด เดินเฉียดร่างเปล่าเปลือยของกวินเหมือนเดินผ่านเสาหินเสาปูน ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนอนของกวินแล้วปิดประตูคืนให้

    กวินอยากจะเอาหัวตัวเองโขกผนังห้องน้ำใจตายลงไปเสียเดี๋ยวนั้น

    
*** **** ***** **** ***


    เวลาผ่านไปนานจนถึงขั้นที่ว่าอาบน้ำไปจนตัวซีด กวินถึงมั่นใจว่าวิษณุน่าจะจัดการเรื่องตู้ให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่กระนั้น กว่าจะรวบรวมใจให้เปิดประตูเข้าห้องได้นั้นก็แสนจะลำบาก ทำให้รู้ความจริงว่าตัวเองนั้นหน้าบางกว่าที่คิด โดยเฉพาะในตอนนี้ที่รู้สึกว่ามีคดีกับวิษณุเสียมากมายหลายเรื่อง ตั้งแต่ว่าเรื่องต่อล้อต่อเถียงไม่ลงรอยนั้นแทบจะไร้ความสำคัญ เมื่อมาเจอกับการได้เห็นตัวตนของเขาอย่างทะลุปรุโปร่งซ้ำยังเก็บเอาไปฝัน และที่เลวร้ายที่สุดก็คือเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้น คงไม่ต้องอธิบายอีกแล้วว่ามันน่าอับอายขายขี้หน้าสักเพียงไหน

    เอาเถิด... มันคงไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น กวินพยายามจะกดความผิดบาปที่สร้างขึ้นมาเองให้จมหายไปในความรู้สึกโดยรวม โดยแสร้งทำเป็นว่าไม่แคร์ต่อทุกสิ่ง ก่อนจะรีบเปิดประตูกลับเข้าห้องไปในทันที

    แต่ทันใดนั้นเอง เมื่อได้ยื่นหน้ากลับเข้าไปในห้อง กวินถึงกับต้องรีบปิดประตูกลับเข้ามาในห้องน้ำตามเดิม

    บ้าที่สุด !

    เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง กวินอยากจะกรีดร้องออกมายิ่งนัก การพยายามจะจำกัดความอับอายพังทลายลงมาไม่เป็นท่าเมื่อพบว่าวิษณุยังอยู่ในห้อง

    ใช่... วิษณุยังอยู่ในห้อง แถมยังอยู่ในลักษณะที่.... บ้าที่สุด

    กวินพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ก่อนจะค่อย ๆ เปิดประตูเดินกลับเข้าไปอีกรอบ ร่างเปลือยเปล่าของกวินค่อย ๆ ย่องเข้าไปในขณะที่ใช้มืออีกข้างพยายามจะปิดบังส่วนสำคัญของร่างเอาไว้อย่างทุลักทุเล ในขณะที่คนเจ้าปัญหานั่นนอนแผ่อยู่ที่เตียง ใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์เบียร์ ตาทั้งสองข้างปิดสนิท กวินได้ยินเสียงกรนเบา ๆ แว่วมาควบคู่กับเสียงลมพัดจากด้านนอก

    คนบ้า ! ก็เห็นอยู่ว่ากินไปแค่นิดเดียว ถึงกับเมาฟุบไม่เป็นท่า ทำไมคออ่อนขนาดนี้ น่าสมเพชเสียจริง

    กวินไม่อยากจะใส่ใจมากนัก วางใจไปได้หนึ่งเปลาะว่าถ้าอีกฝ่ายหลับก็ดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องมาเห็นว่าตอนนี้เขากำลังเปลือยกายอยู่อย่างน่าอายเพียงไหน แต่นั่นก็เถิด ยังไว้ใจไม่ได้ ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญที่สุดก็คือต้องหาเสื้อผ้ามาใส่ก่อน

    แต่...

    ไอ้คนบ้า... บ้า บ้า บ้า บ้า !

    กวินแทบอยากจะกรีดร้องเมื่อได้เห็นวีรกรรมของวิษณุชัดเจนมากขึ้น ไม่เพียงแต่ว่าเขากำลังเมาหลับพาดอยู่บนเตียงของกวินอย่างไร้มารยาทเท่านั้น ร่างของเขายังทับเสื้อและกางเกงของกวินที่ถูกโยนกองเอาไว้บนเตียงอย่างพอเหมาะพอเจาะ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังจะเอากระเป๋าเสื้อผ้าของกวินไปกอดเอาไว้อีก

    โธ่เอ๊ย ! ไม่รู้จะด่าว่ายังไงดี... กวินคิดอย่างเดือดดาล ในขณะที่ความเขินอายก็ยังมีอยู่ล้นเหลือ พยายามจะดึงเสื้อและกางเกงออกจากร่างของวิษณุ แต่ก็เหมือนจะจนหนทาง เพราะถ้าดึง ก็หมายความว่าวิษณุต้องตื่น ไม่ได้... วิษณุจะตื่นไม่ได้ กวินไม่อยากจะต้องรู้สึกอับอายขายหน้าต่อชายหนุ่มอวดดีผู้นี้อีกแล้ว

    กระเป๋าเป็นทางเลือกที่สอง กวินพยายามจะดึงมันออกมาจากอ้อมกอดของวิษณุ แต่ก็ไร้ผล วิษณุส่งเสียงอ้อมแอ้มเหมือนคนขี้เซาที่ไม่ยอมให้ใครขัดจังหวะนิทรา แถมยังกระชับกอดกระเป๋าของกวินแน่นมากขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าถ้ากวินสามารถดึงออกมาได้ นั่นก็คือการปลุกเขาให้ตื่นอยู่นั่นเอง

    ไม่ได้... เขาจะตื่นไม่ได้

    บ้าที่สุด ! กวินสบถอยู่ในใจพร้อมกับครุ่นคิด... วิษณุบอกเองว่าจะเข้ามาเปิดตู้ให้ และในตู้ก็ต้องมีผ้าขนหนู กวินค่อยวางใจ คิดว่าอย่างน้อยถ้าได้ผ้าขนหนูมาพันกายแล้ว ทีนี้จะได้ปลุกไอ้คนขี้เซาเจ้าปัญหานี่ แล้วไล่ออกกจากห้องไปเสีย

    คิดได้แล้วก็รีบย่องไปที่ตู้เสื้อผ้า พยายามเปิดออกสุดแรง แต่ก็ปรากฏว่ามันก็ยังเปิดไม่ได้ และยังล๊อคอยู่ตามเคย มีความเป็นไปได้สูงที่วิษณุจะหลับไปก่อน เลยไม่ได้เปิดตู้ให้อย่างที่ปากพูด

    หันกลับไปมองอีกรอบ พวงกุญแจถูกกำแน่นไว้ในฝ่ามือข้างหนึ่งที่ถูกกระเป๋าเสื้อผ้าทับไว้อีกทีให้แนบสนิทอยู่กับฟูก ดูแล้วไม่มีหนทางจะดึงออกมาได้เลย

    อยากจะกรีดร้องให้ดังที่สุด แต่จะทำแบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะไม่งั้นเขาก็จะตื่น แต่ในใจนั้นกลับเดือดดาลอย่างสุดขีด

   ไอ้บ้าวิษณุ !
    
      
      
        
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 18-05-2010 10:56:07
 :m20: :m20:
ฝันว่าโดนเข้าปล้ำแบบสมยอมก็หนึ่งน่าอับอายเสียนี่กระไร
เอาสิ่งที่เห็นมาจิ้นได้ทุกสัดส่วนกร๊ากกกกกกกกกกก
การเดินทางและปัญหายุ่งๆทับให้กวินมะได้ผ่อนคลายสินะ
55 เลยจัดการซะในฝันซะอย่างนั้น กร๊ากพ่อแก้วแม่แก้วขายขี้หน้าเหลือเกิน
ไอ่ที่ว่าตัวเองรู้สึกสำนึกผิดตะหงิดๆว่าทำอะไรหรือถูกคุณวิษณุทำอะไรในฝันก็น่าสมเพชพอแล้ว
นี่ยังมาถูกจัดได้เห็นๆจะๆคาตาคามือพร้อมหลักฐานว่ากำลังทำอะไรอยู่
อิคุณวิษณะแกเมาแล้วถ้าสร่างคงลืมทุกอย่างเหมือนดีลีทไฟล์ได้ชิมิ 555 หรือจะจำได้แม่นกว่าเก่าฟ่ะ กร๊าก
ยังมีหน้ามาถามหน้ามึนๆว่า...หรือ กร๊ากกกกกกกกกกินข้าวอยู่มั้งไอ่บ้า 555
นุ้งกวินอิป้าโป๊ให้เค้าเห็นก็แล้ว โชว์ให้เค้าดูก็แล้ว จะเหลืออะไรไว้บนบ่บนหน้าล่ะลูก หมดกันๆๆๆ
คิดค่าเสียหายก็ไมไ่ด้เพราะเราเองก็ดันลืมติดจะงัวเงียเลยลืมทุกสิ่ง
คืนนี้จะนอนยังไงล่ะนั่้น อิตาหมอเพี้ยนๆนอนกอดกระเป๋าทับเสื้อผ้าแบบนั้นอ่ะนะ

สำนวนยังเผ็ดร้อนเหมือนเดิมนะคะ 555 ดุเด็ดเผ็ดมันส์มวกๆ ถึงจะในฝันก็เหอะ กร๊ากแต่
มันช่างตรงไปตรงมาเสียนี่กระไร  :-[ :o8:
กวินอยากจะขอบคุณทุกสรรพสิ่งที่ช่วยดีไซน์ให้สิ่งมีชีวิตเพศชายสามารถเอากันเอง ได้...     
>> :impress2: กร๊ากสำลักน้ำลายเคอะ
"ส่วนที่กักเก็บพิษของอารมณ์ไว้ในฝ่ามือ "
>>  :pighaun: ไม่ต้องอธิบายอะไรมวก ประดิษฐ์คำได้เหมาะเจาะ เก่งจริงๆคะ 555

 o13 o13 o13 ฝีมือยังเยี่ยมคือเก่านะคะ  สู้ๆ เน้อ +1
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 18-05-2010 11:17:37
ก่อนอื่นขอฮาก่อนเลย  :laugh: :laugh:

วิษณุแกล้งกวินหรือเปล่านเนี่ย

ไหนจะเมาหลับทับเสื้อผ้าไ่ม่พอยังกำกุญแจ+กระเป๋าไว้อีก  o18
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 18-05-2010 14:08:29
ไม่รู้ขำ หรือ สงสารกวินดี :laugh:
มันเหนื่อยอะเนาะ แล้วก็ผิดที่ผิดทางเลยเก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะ
กำลังจะกำจัดพิษออกจากร่างกายก็มีคนมาขัดจังหวะอีก
แถมเหมือนแกล้งให้ไม่มีเสื้อผ้าใส่ โป้ๆอยู่อีก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 18-05-2010 15:24:33
 :laugh: นุเมาแล้วรั่ว แต่ถือเป็นการเอาคืนกวินได้มั้ย(เอาคืนทั้งๆที่เจ้าตัวก้อไม่ได้รู้ว่าต้องเอาคืนเรื่องอะไร ฮ่าๆๆ)
อ่านตอนนี้แล้วฮามาก สองคนนี้มีสีสันมากกว่าที่คิดอีก กร๊ากกกกก

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 18-05-2010 19:45:09
แลกกันไงกวิน เราเห็นเขาเขาเห็นเรา แต่แบบอะไรมันจะพอเหมาะพอเจาะได้อย่างนี้
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ArgèntaR๛ ที่ 18-05-2010 21:07:10
ใจหนึ่งก็โคตรสงสาร
ใจหนึ่งก็โคตรฮา 
ฮาถึงฮามาก แต่แอบสงสัยว่าคุณหมอเขาแกล้งหรือว่าหลับจริงกัน?

อันนี้ยังคงเป็นความลับแต่ตอนต่อไปคงมองหน้ากันไม่ติดเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Badmiffy ที่ 20-05-2010 12:36:17
55555555555555+  ตอนที่ 14 นี่ฮามาเลย 555+

วิษณุนี่เมาจริงหรือแกล้งเมาเนี่ย กลายเป็นเด็กเอ๋อไปแล้ว 555+

กวินเองก็เหมือนจะรั่วขึ้น(รึป่าว?) สนุกมากมาย

อยากอ่านตอนที่ 15 แล้วววววววว 555+ ไม่ต้องรีบเน้อ แค่บอกไว้ก่อน กร๊ากกกกกกกกกกกก!!
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-05-2010 18:24:16

ตอนล่าสุดสนุกดีจังเลย

แต่ก็อ่านสะดุดหลายครั้ง เช่น น่าจะใช้คำว่า โสเภณี มากกว่า เป็นต้น

อิอิ

เจ้สองคนงาม   :bye2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 20-05-2010 18:33:33
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากเลย :impress2:
ชอบกวินอ่ะ ดื้อๆยังไงไม่รู้ แบบมันน่าหมั่นไส้พร้อมกับน่ารักด้วยในเวลาเดียวกัน :laugh:
+1 ขอบคุณนะคะ รออ่านตอนต่อไปค่าาา :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 28-05-2010 16:38:26
โอ้ยยย ฝันไปหรือนี่ คิดว่าเรื่องจริง ๕๕๕
จังหวะช่างเหมาะเจาะ กวินไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกที่ไหนก็เอาไปซุกอกวิษณุก็ได้นะ
กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

แล้วไอ่การที่เอาเสื้อผ้ากระเป๋าคนอื่นไปกอดแบบนี้ เมาก็ไม่น่าให้อภัย อ่านแล้วอดหน้าแดงแทนไม่ได้
กวินเจอของจริงซะแล้ว สนุกอ่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ไรเตอร์สู้ๆเรื่องโปรเจคนะ
เราเพิ่งสอบไฟนอลของซัมเมอร์ไปเมื่อวาน ในที่สุดก็จบแล้ววววว เรารอมายินดีกับไรเตอร์อยู่
และรอตอนใหม่ด้วย (อันนี้คือประเด็น) ฮะ ฮะ ฮ่า
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 02-06-2010 22:41:30
กวินนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน :m11:
คิดถึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 06-06-2010 22:24:58
15

       ในระยะแรก แอลกอฮอล์มีส่วนทำให้หมดเรี่ยวแรง รวมถึงหมดสติและเผลอหลับไปได้ง่าย ๆ แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก ผลที่เกิดขึ้นจากของมึนเมาเพียงเล็กน้อยในเวลาที่ถัดมาสักสี่ห้าชั่วโมง มันกลับปลุกสติให้ตื่นขึ้นมาอย่างง่ายดาย ไม่แน่ใจว่าผลข้างเคียงดังกล่างนี้เกิดขึ้นแก่ทุกคนหรือไม่ แต่สำหรับวิษณุ มันเป็นจริงเช่นนั้นเสมอมา รวมทั้งครั้งนี้

    หลังจากเผลอไผลไปในห้วงนิทรา ก่อนที่จะบังเกิดเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหันจากการตื่นตัวของประสาทในส่วนลึก ส่งผลทำให้วิษณุลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงด้วยอารามของความรู้สึกผิดที่ผิดทาง ก่อนจะตระหนักได้ถึงความเป็นจริงเฉกเช่นนั้น แสงอ่อน ๆ ยามเช้าสาดเข้ามาจากหน้าต่างกระจกทำให้บรรยากาศรอบข้างสว่างไสวปราศจากความอึมครึม ลามเข้ามาถึงอนุสติของชายหนุ่มที่กลับมากระจ่างชัดเฉกเช่นอรุณรุ่งของวัน เหตุการณ์ทั้งหลายฉายซ้ำเข้ามากระตุ้นเตือน

    ไม่เฉพาะเพียงแค่สติที่สามารถรำลึกได้ว่าเหตุการณ์ของความมึนเมาเมื่อคืนดังกล่าวจบลงเช่นไร พอมองสำรวจร่างกายตนเอง ก็เหมือนเป็นการตอกย้ำด้วยสารรูปที่ประจักษ์ชัดได้อีกว่าเขาคงเผลอหลับไปในสภาพที่ยังไม่ได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แถมพอมองสำรวจรอบด้าน ก็ย้ำเข้าไปอีกว่านี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา

    เหตุการณ์เมื่อคืน....

    วิษณุสะบัดศีรษะไปไปมาอยู่สองสามรอบเพื่อหวังจะขับไล่ความมึนงงและง่วงซึม ก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ กับความผิดพลาดเผลอไผลของตัวเองที่เพิ่งตระหนักขึ้นมาได้ จะพูดว่าเพิ่งตระหนักได้ก็อาจจะไม่ถูกต้องนัก เพราะความจริงมันไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่การรับรู้มันค่อนข้างจะต่างกันระหว่างเหตุที่เกิดตอนที่สติเอนเอียงไปกับแอลกอฮอล์และการรำลึกถึงมันในภายหลังที่สติปลอดโปร่ง พอมานึกย้อนทวนดู ก็จำได้ว่าเขากะจะมาเปิดตู้ให้กับแขกที่มาพัก แต่ด้วยความมึนเมา รู้สึกเพลียและคลื่นเหียนอยู่พอควรจนไม่อาจทรงตัวได้ จึงล้มตัวนอนลงบนเตียง กะว่านอนนิ่งสักพัก เพื่อให้อาการดังกล่าวจะหายไป

    ที่ไหนได้... เผลอหลับสนิทยาวมาจนฟ้าสาง

    พวงกุญแจยังคงกำไว้ในฝ่ามือตอกย้ำถึงภารกิจที่ล้มเหลว ก่อนจะได้พบกับความผิดพลาดเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างคือกระเป๋าเดินทางของคนแปลกหน้าที่กองอยู่บนหน้าตัก อันนี้ชักจะจำไม่ค่อยได้แล้วว่าเผลอไปลากมากอดตั้งแต่เมื่อไร... ชะงักไปชั่วครู่กับความผิดพลาดดังกล่าว ก่อนจะประมวลเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ย้อนไปตั้งแต่เหตุการณ์ก่อนหน้านี้อีก ยิ่งฉายชัดถึงความเปิ่นทั้งหลายแหล่ที่ได้เกิดขึ้นเมื่อคืน ทั้งจากตัวเขาเอง... และจากอีกคน

    ไม่ได้มีฉากไหนหรือภาพไหนที่เขาจะลืมไปเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำ ยังจำได้ติดตา และมีทีท่าว่าคงจะจำไปอีกนาน ไม่สามารถจะลบไปได้ง่าย ๆ แน่

    ...ทะลึ่งจริง ๆ

    วิษณุหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ใจนั้นไม่ได้ครุ่นคิดให้ซับซ้อนว่าเหตุใดถึงหัวเราะออกมา ไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าการได้รำลึกถึงความเปิ่นเฉิ่มในเหตุการณ์เมื่อคืนมันจะทำให้เกิดอารมณ์ขันขึ้นมาได้อย่างไร แม้จะไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่ามันทำให้รู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    ตวัดสายตาไปยังมุมห้อง จ้องมองชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายซึ่งปกติในยามตื่นจะวางท่าเหมือนตัวเองตัวใหญ่เสียนักหนา แต่บัดนี้เมื่อยามหลับถึงได้สะท้อนออกมาจริง ๆ ว่าเป็นเพียงหนุ่มน้อยตัวเล็ก ๆ ที่แทบจะไม่มีพิษสงอันใดให้รู้สึกกลัวเลยสักนิด กวินนั่งห่อตัวแน่นอยู่ในผืนผ้านวม พิงผงกอยู่มุมห้อง ด้วยท่าทีระแวดระวังอย่างล้นพ้น ดูคล้ายเจ้าตัวจะพยายามปกปิดร่างกายของตัวเองให้มิดชิดด้วยผ้านวมผืนหนาที่กว้างยาวไม่สักจะเท่าไร แม้จะขดตัวให้ลีบเล็กสักเพียงใด ก็ใช่ว่าจะปิดได้มิดหมด ยิ่งเผลอหลับไปด้วยแล้ว ร่างกายก็มีเผลอไผลปล่อยบางส่วนให้พ้นออกมาจากผ้าได้อยู่ดี และซ้ำร้าย ด้วยความหมั่นไส้อย่างเหลือกำลัง อดไม่ได้ที่วิษณุจะรู้สึกอยากแกล้งขึ้นมาเสียอย่างนั้น...

    ...หลับเป็นตายแบบนี้มันน่าจะแกล้งดึงผ้าให้หลุดออกมาจนหมดเสีย อยากจะรู้นักว่าถึงตอนนั้นจะใช้อะไรปิด

    วิษณุจ้องมองอีกฝ่ายอยู่สักระยะด้วยอาการหมั่นเขี้ยวแบบไม่ทราบสาเหตุ ใจหนึ่งนั้นนึกอยากจะแกล้งอย่างที่คิดไว้ขึ้นมาจริง ๆ จัง ๆ แต่สุดท้ายพอมาคิดอีกที ก็เห็นว่าคงไม่เหมาะ และก็ไม่เห็นถึงความจำเป็นว่าจะต้องแกล้งคน ๆ นี้ไปเพื่ออะไร เพราะสุดท้ายก็เป็นแค่คนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้แค่วันสองวัน

    ชายหนุ่มลุกขึ้นจากเตียงพร้อมกับบิดขี้เกียจ เดินไปไขกุญแจเปิดตู้ ในขณะที่ฝ่ายทำท่างึมงัมเหมือนจะได้สติ แต่สุดท้ายก็แน่นิ่งไปอีกครั้ง แสดงชัดว่าเจ้าตัวคงจะละเมอมากกว่าตั้งท่าจะตื่น เป็นไปได้ว่าอาจจะหนาว เพราะอากาศที่นี่ก็เย็นใช่ย่อย ดันมาขดตัวนอนอยู่บนพื้นไม้ สบายตัวหรือเปล่าก็ไม่ แถมยัง.... ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอีก

    วิษณุเปิดตู้ค้างไว้ เพื่อรอให้ผู้ที่ยังนิทราได้ตื่นมาเห็น ก่อนจะเดินกลับไปที่เตียง คว้าผ้านวมอีกผืนซึ่งหนากว่าและใหญ่กว่า หมายว่าจะใช้เพื่อช่วยให้อีกฝ่ายรู้สึกอุ่นขึ้นมาได้บ้าง

    ถ้าตัวเล็กกว่านี้คงจะอุ้มมานอนบนเตียง แต่นี่เป็นผู้ชายเหมือนกัน แถมวัยก็ไล่เลี่ยกันอีก แม้อีกฝ่ายจะตัวเล็กกว่า แต่ก็ไม่เล็กไปกว่ากันเท่าไร ใครจะไปอุ้มกันไหว ทำได้ก็แค่นี้เท่านั้นแหละ

    แต่ก็อดจะครุ่นคิดถึงอีกฝ่ายไม่ได้... คนอะไร ช่างพิลึกแท้

    ความรู้สึกหมั่นเขี้ยวแบบไม่ทราบสาเหตุเกิดขึ้นอีกครั้ง บงการให้ชายหนุ่มเหวี่ยงผ้านวมลงคลุมร่างของกวินด้วยลักษณะคล้ายกับทอดแห ผ้านวมผืนหนาคลุมร่างของกวินมิดชิดตั้งแต่หัวจรดเท้า เสียงร้องงึมงัมโวยวายดังขึ้นพร้อมกับอาการตะเกียกตะกายของกวินที่พยายามจะดันผ้านวมออกเหมือนคนที่ขาดอากาศหายใจ

    วิษณุสังเกตุการณ์อยู่สักพัก จะรอดูว่าอีกฝ่ายจะกล้าอาละวาดอะไรหรือไม่ ในสภาพเช่นนี้ แต่พอเวลาผ่านไปสักระยะ เมื่อกวินสามารถเอาหัวโผล่ขึ้นมาได้ หายใจถี่ ๆ สองสามครั้ง ทุกอย่างก็กลับมาสงบ... อย่างไม่น่าเชื่อ

    กวินหลับสนิทต่อไป ในขณะที่วิษณุหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้อง
  

*** **** ***** **** ***


    จากที่กวินเคยคิดเอาไว้ว่าการได้มาอยู่ที่นี่มันคงเป็นอะไรที่เข้าใกล้กับคำว่าอยู่ในนรก พอในวันนี้นี่เอง ความรู้สึกก็เริ่มเปลี่ยนไป....

    ...คำว่านรกมันยังจะน้อยไปด้วยซ้ำ !

     เมื่อระยะเวลาของการได้ใช้ชีวิตที่นี่อย่างจริง ๆ จัง ๆ เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมาในตอนสายแล้วพบว่าตัวเองนอนขดเปลือยกายอยู่ที่มุมห้อง พร้อมกับความทรงจำและประสบการณ์อันน่าอับอายประเภทที่ว่าสายลมยามเช้า...  แสงแดดเบา ๆ ยามสาย... ยอดใบไม้ที่ไหวเอน... หรือหมู่เมฆบนท้องฟ้ากระจ่างใสก็ไม่อาจจะช่วยเยียวยามันได้เลย กวินไม่แน่ใจนักว่าวิษณุออกจากห้องไปเมื่อไรและเขาจะจำเหตุการณ์เมื่อคืนได้หรือไม่ – แม่ว้าถ้าคิดแบบตามข้อเท็จจริง...  การที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับเปิดตู้ให้เสร็จสรรพ ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะยืนยันว่ามันเป็นไปได้น้อยมากที่วิษณุจะปัญญาอ่อนทึกทักว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นความฝัน – กวินไม่แน่ใจนักว่าการที่เผลอหลับไปแล้วปล่อยให้วิษณุตื่นก่อนนั้น ถือเป็นเรื่องดีหรือร้าย จะว่าดีก็ดีในแง่ที่ว่าไม่ต้องมีการมาเผชิญหน้ากันแบบซึ่งหน้า แต่จะว่าร้ายก็ร้ายตรงที่ทุกอย่างมันเลยคลุมเครือไม่มีความชัดเจน เหมือนมีความสงสัยตามมาหลอกหลอนกวินว่าสุดท้ายแล้ว วิษณุมีกิริยาเช่นไรเมื่อตื่น? จำความได้หรือไม่? รู้สึกขบขันและรังเกียจเขาไปมากขนาดไหน? กวินคิดไปสารพัด คิดไปในแบบที่ไม่อาจจะขานไขข้อสงสัยดังกล่าวให้กับตัวเองได้เลย ก็แน่ล่ะว่ามันจะขานไขได้อย่างไร ไม่มีวิธีใดจะทำให้มันกระจ่างได้ นอกเสียจากจะต้องไปคาดคั้นเอาจากปากวิษณุ ซึ่งแน่นอน ใครจะบ้าไปทำเช่นนั้น

    แค่ลำพังลงมาเจอหน้ากันก็แทบไม่กล้าจะสบตาแล้ว จังหวะแรกที่เจอกันในโต๊ะกินข้าว ขนาดได้สบตากันแวบเดียวโดยบังเอิญกวินก็แทบอยากจะมุดดินหนี ไม่มีทางแน่นอนที่กวินจะกล้าไปถามเขาว่า... จำได้ไหมว่าเมื่อคืนคุณเปิดประตูห้องน้ำมาแล้วเจออะไร เพื่อจะหวังคำตอบแบบไร้เดียงสาจากวิษณุว่า.. เอ... เห็นอะไรน้า.. อ๋อ.. ก็เห็นคุณกำลังขัดราวผ้าเช็ดตัวอยู่ใช่ไหม ขอโทษจริง ๆ ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ...

    ไม่มีทางเสียละ ! ก็มันเห็นกันอยู่จะจะ เด็กประถมมันยังรู้เลยว่ากวินกำลังทำอะไร เดาได้เลยว่าถ้าลองเข้าไปถามล่ะก็ วิษณุคงจะต้องได้เยาะเย้ยถากถางแบบซึ่งหน้าขึ้นมาแน่ ๆ เพราะฉะนั้นการเข้าไปถามมีแต่เสียกับเสีย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พอมันไม่เคลียร์ ความอึดอัดในใจก็ทบทวี ยิ่งได้เห็นแววตาของวิษณุที่มองมาไม่ว่าจะจงใจหรือไม่จงใจก็ยิ่งทำให้กวินแทบอยากจะบ้า แม้ว่าแววตานั้นจะราบเรียบสักเพียงไหน ก็ทำกวินประสาทกินได้เสมอ เพราะไม่รู้เลยว่าแววตานั้นมันแฝงอะไรไว้ กำลังเยาะเย้ย? หรือกำลังสมเพชเวทนาหรือไม่? วันสันหลังหวะ เห็นอะไรมันก็สะดุ้งได้อยู่ตลอด

    ให้ตายเถิด การอยู่ที่นี่มีแต่ความทุกข์... ทุกข์อย่างฉกาจฉกรรจ์ พอจะพยายามละสายตาจากวิษณุเพื่อหาสิ่งอื่นผ่อนคลายความวิตกจริตให้ทุเลาลงก็ยิ่งจะทำให้ทุกอย่างแย่ไปกว่าเดิม ไม่มีอะไรให้ดูให้เห็นนอกจากบรรดาผู้คนที่ไร้ความน่าสนใจอย่างสิ้นเชิง ผู้คนที่เหมือนจะพูดจาด้วยภาษาพิสดาร ยิ้มแย้มแจ่มใสจนน่าขนลุก ไม่รู้ว่าจะพยายามปั้นไมตรีกันสักแค่ไหน ราวกับจะใช้ปกปิดซ่อนบังความผิดปรกติของตนเองอย่างไรก็อย่างนั้น กวินรู้สึกคันคะเยอนักหนาเมื่อคนพวกนี้พยายามจะเข้ามาทักทายและพูดคุยกับกวินด้วยหัวข้อเรื่องที่ฟังแล้วก็เป็นอันต้องหงายหลัง อาทิ หลักธรรมคำสอน.. ปรัชญาพุทธ... ชีวิตอันสมถะ... แค่ได้ฟังก็ลมจะใส่ ! ยังไม่นับที่ว่าคนพวกนี้พยายามยิ่งที่จะเข้าถึงเนื้อตัวของกวินในแบบที่สยดสยอง เดี๋ยวก็พยายามจะตักอาหารให้ เดี๋ยวก็พยายามจะบริการโน่นนี่ราวกับกวินเป็นแขกพิเศษ โธ่เอ๊ย... คนพวกนี้ไม่เข้าใจกันเลยหรืออย่างไรว่าการทำแบบนี้มันน่าขนลุกขนพองสักแค่ไหนสำหรับคนอย่างกวิน

    นี่ยังไม่นับกับกิจกรรมทั้งหลายที่ชวนให้รู้สึกกระอักกระอ่วนยิ่ง ปลูกผัก... ตัดแต่งต้นไม้... พรวนดินแปลงดอกไม้... ให้อาการสัตว์... ให้ตายเถิด นี่มันคือการออกค่ายอาสาชัด ๆ กวินไม่เคยนึกชอบอะไรแบบนี้เลย เขาเกลียดสัตว์ ขนาดหมาแมวที่ใครต่อใครเขาว่ามันน่ารักน่าชัง กวินยังรู้สึกกระดากผิวเวลามันมาคลอเคลีย แล้วนี่จะนับประสาอะไรกับสัตว์สกปรกของที่นี่ประเภทไก่บ้านที่พาลให้รู้สึกขยะแขยงเวลามองเห็นจังหวะย่องการเดินของพวกมัน นกแก้วนกขุนทองที่ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวน่ารำคาญจนร็สึกว่าน่าจะวางยาเบื่อเสียให้หมด จะได้สงบปากสงบคำ อันที่จริงกวินไม่ใคร่จะชอบสัตว์ปีกนักเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนเด็ก ๆ กลัวเลยด้วยซ้ำ แต่พอโตขึ้นก็เปลี่ยนความกลัวให้เป็นความเกลียด

    ต้นไม้และดอกไม้ไม่ได้ทำให้รู้สึกแย่เท่าไรนัก อย่างน้อยมันก็ยังเป็นของสวย ๆ งาม ๆ แต่กวินจะชอบมากกว่าถ้าดอกไม้เหล่านี้ไปปรากฏอยู่บนแจกันใบใหญ่หรือถูกจัดไว้เป็นช่อ หรืออย่างเลวก็เป็นกระถางเล็ก ๆ ที่แลดูสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบ ไม่ใช่ผุดขึ้นมาอย่างดิบ ๆ บนพื้นดินที่สกปรกร่วนซุย ที่จะต้องคอยไถคอยพรวนให้เนื้อตัวมันมอมแมมไปหมด ยิ่งเวลารดน้ำมันจนชุ่ม ดินที่เท้าก็แฉะ พาให้รองเท้าผ้าใบเลอะเทะจนแทบอยากจะโยนทิ้ง

    บ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายกวินก็ทำแทบทุกอย่าง ขนาดไม่มีใครบังคับเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างที่ว่า มันเห็นด้วยตากันจะจะว่าแทบทุกคนที่นี่ล้วนทำในสิ่งเหล่านี้ทั้งสิ้น แม้แต่วิษณุ รตี หรือญดาที่เพิ่งรอดตายมาเมื่อวาน แม้ใจหนึ่งจะทำเป็นคะนองอยากจะไม่แคร์ ขึ้นไปบนบ้านวางตัวเป็นแขกพิเศษ นั่ง ๆ นอน ๆ เขียนงานโดยไม่ต้องแยแสคนรอบข้าง เชิดเป็นนางพญาบนหอคอยที่ไม่คิดจะดูดำดูดีใคร ๆ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้า เพราะนี่ขนาดทำอยู่งก ๆ แต่สายตาของวิษณุที่มองมาก็ยังดูไม่น่าไว้วางใจอยู่ดี

    ให้ตายเถิด... ไม่เข้าใจเลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะอะไรนักหนา

    ท่ามกลางทุก ๆ คนที่ล้วนสนใจในตัวกวิน และพยายามจะหาเรื่องเข้ามาพูดคุย ญดาแสดงออกชัดเจนที่สุด แต่ปฏิกิริยาที่หล่อนได้รับกลับไปก็ไม่ต่างจากคนอื่น ถามมาคำ กวินก็ตอบไปคำ ถามต่อมาอีก คำตอบจากกวินก็ลดเหลือไปครึ่งคำ พอถามกลับมาอีกรอบ คราวนี้กวินก็ไม่ตอบเสียเลย

    ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าคนที่นี่แทบจะเป็นพิมพ์เดียวกันไปหมด แล้วญดาก็เป็นหนึ่งในพิมพ์นั้นไปด้วย นั่นคือปฏิกิริยาที่ตอบกลับมาในทุกครั้งจะมีแต่รอยยิ้ม แม้ในบางคราวนั้น การไม่ตอบโต้ของกวินสามารถตีความได้ชัดเจนเลยว่ารุนแรงถึงขั้นกวนประสาท แต่ญดาก็ยิ้ม... แล้วเดินจากไปอย่างเป็นมิตร

    กวินไม่แน่ใจในความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อที่นี่ ต่อคนที่นี่ หรือแม้แต่กับเด็กสาววัยแรกรุ่นที่ชื่อญดานี้นัก และไม่แน่ใจด้วยว่าเหตุใดถึงได้มีอารมณ์ขุ่นมัวต่อทุกสิ่ง และหาญกล้าถึงขั้นแสดงออกว่าไม่อยากจะคบค้าสมาคมใด ๆ ต่อใครเลยขนาดนี้ โดยเฉพาะกับญดา กวินรู้สึกไม่ใคร่จะชอบหน้าเท่าไรนัก ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร เป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานอาจมีส่วน กวินอาจจะรู้สึกหมั่นไส้ในความเปราะบางทั้งหลายแหล่ของเจ้าหล่อน ถึงขั้นคิดจะฆ่าตัวเองให้ตาย แต่วันนี้กลับตีสีหน้ายิ้มแย้ม เหมือนตัวเองเป็นนางฟ้าผู้ปราณี คนอะไรช่างซับซ้อนเสียจริง คิดอยากจะตายก็จะตายเอาง่าย ๆ พอติดจะยิ้ม ก็ยิ้มเอาง่าย ๆ อีก กวินนึกภาพตัวเองเป็นเช่นญดาไม่ออกเสียจริง ว่าเขาจะเป็นไปได้เช่นไร ถ้าเมื่อวานเครียดหนักถึงขั้นฆ่าตัวตาย แล้ววันต่อมาก็ยิ้มแย้มได้ปรกติ

    ทำไมได้... ทำยังไงก็ทำไม่ได้ และมันก็คงไม่มีวันเกิดขึ้น คนอย่างกวินแล้ว ถ้าสถานการณ์มันบีบบังคับให้ถึงกับต้องฆ่าตัวตาย  - ซึ่งเอาจริง ๆ ก็คงไม่มีวันที่เขาจะทำเช่นนั้นได้ลงหรอก – ถ้ามันเป็นไปถึงขั้นนั้น ก็จะต่อเมื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะต้องรุนแรงและเลวร้ายจริง ๆ เลวร้ายแบบฝังลึกจนแก้ไม่ได้ง่าย ๆ เพียงวันเดียวแน่ ๆ

    นี่อาจจะเป็นไปได้ถึงสาเหตุทั้งหมดทั้งมวลของความหงุดหงิดไม่ชอบใจ ทั้งหมดมันอาจจะเริ่มต้นมาจากการที่กวินไม่เข้าใจในความนึกคิดของคนพวกนี้ เช่นว่าทำไมต้องยิ้มทั้ง ๆ ที่ในใจเต็มไปด้วยปัญหา ทำไมอารมณ์ของคนพวกนี้ถึงไม่มั่นคงกับการแสดงออก

    และที่สำคัญที่สุด กวินไม่เข้าใจญดาว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองยังอ่อนแอ แล้วจะกระแดะลงมาทำมางานหนักทำไม ความรู้สึกหลังนี้เกิดขึ้นเมื่อมองเห็นญดากำลังทำท่าจะเป็นลม หลังจากที่แย่งเสียมของรตีไปพรวนดินไปสองสามครั้ง เล่นเอาคนรอบข้างต้องมาดูแลกันจ้าล่ะหวั่น รวมถึงวิษณุด้วยที่ถึงขั้นวิ่งมาแต่ไกล มาอุ้มเจ้าหล่อนไปเองอย่างกับคนหวงของ

    หมั่นไส้...

    กวินคิดในใจพร้อมกับทิ่มเสียมลงบนดินอย่างแรงจนลืมตัว และถี่มากขึ้นเหมือนกับระบายออกในอารมณ์อึดอัด คิดไปคิดมา วิษณุกับญดาก็ดูเหมาะกันดี เพี้ยนพอกันทั้งคู่ ไม่แน่ใจว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นไปในทางไหน แต่แค่มองเห็นก็รู้แล้ว... เป็นห่วงเป็นใยกันเสียขนาดนี้ กวินอยากจะยืนตรงสดุดียิ่งนัก กับคู่รักแห่งปี

    หงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เพิ่งมาคิดได้ในตอนนั้นเองว่าอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของการไม่ชอบใจนั้นก็คงมาจากตัววิษณุนั่นเอง หึ... ทีกับญดาล่ะก็ ดูเหมือนจะทำตัวเป็นผู้ชายอ่อนโยนเสียจริง ทั้ง ๆ ที่กับตัวเขานั้น ทั้งปากร้าย ทั้งชวนโมโห ยียวนและตัดสินสารพัด สันดานผู้ชาย... เป็นแบบนี้เสมอ การแสดงออกมักจะต่างกันอย่างน่าเกลียดระหว่างผู้หญิงกับเกย์

    อดคิดขึ้นมาไมได้ ถ้ากวินเกิดมาเป็นผู้หญิง แล้วอ่อนแอบอบบางแบบยายญดาบ้าง เชื่อได้เลยว่าเมื่อวานวิษณุคงได้อุ้มเขาขึ้นเขามาแน่นอน ไม่ปล่อยให้มีสภาพที่เดินขึ้นอย่างน่าทุเรศเหมือนเมื่อวานชัวร์ ๆ

    สันดานผู้ชาย !

    เผลอตัวกดเสียมลงบนดินจนเกือบมิดด้าม จังหวะที่จะดึงออกจึงเหมือนจะยากลำบาก ด้วยความที่อารมณ์ยังคุกกรุ่น กวินใช้แรงทั้งหมดที่มีงัดเสียมออกมาอย่างแรง เศษดินพุ่งขึ้นมาเปรอะเปื้อนใบหน้าพร้อมกับที่ร่างที่นั่งทรงตัวไม่ค่อยดีก็ถลันล้มลงกับดิน

    “บ้าเอ๊ย !” กวินคำรามเบา ๆ อย่างเดือดดาล รู้สึกหงุดหงิดเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ เลอะไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว แถมยังมีเศษดินเข้าปากอีกต่างหาก

    “คุณกวินคะ” รตีร้องเรียก พร้อมกับเดินมาส่งผ้าเช็ดหน้าให้ “เช็ดหน้าหน่อยค่ะ เลอะหมดแล้ว”

    “ขอบคุณครับ” กวินรับผ้าผืนนั้นพร้อมกับคว้ามาปัดเศษดินบนใบหน้าออก ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร ในขณะที่รตีคว้าเสียมของกวินขึ้นมาไว้ในมือ เหมือนตั้งท่าจะช่วยเอาไปเก็บให้ที่โรงอุปกรณ์ ก่อนจะพูดกำชับส่งท้ายเอาไว้

    “ใช้เสร็จแล้วเอาไปคืนหมอณุด้วยนะคะ”

    “อะไรนะ” กวินชะงักไปในทันที

    รตีไม่ตอบ หากแต่เดินออกไปไกล เป็นไปได้ว่าคงไม่ได้ยิน

    กวินตวัดสายตายังไปตัวบ้าน วิษณุยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ในขณะที่กวินเหมือนจะถูกสตั๊ฟฟ์เอาไว้กับที่ สาบานแก่ตนเองว่านั่นคือรอยยิ้มแรกที่วิษณุยิ้มให้

    ไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มที่เขายิ้มให้กับญดานัก แค่ระยะเวลาสั้นกว่าก็เท่านั้น


หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 06-06-2010 22:25:14
*** **** ***** **** ***


    กองไฟลุกโชติช่วงจากด้านล่างส่องประกายขึ้นมาถึงบนระเบียง คลอด้วยเสียงหัวเราะต่อกระซิกและเสียงร้องเพลงอันแสนจะอบอุ่น ฉายให้เห็นถึงกิจกรรมสันทนาการของผู้คนที่นี่ที่คล้ายกับจะเป็นกิจกรรมที่ทุกคนต่างสนุกร่วมกัน กวินนั่งอยู่ด้านบน ร่วมกิจกรรมอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็หนีขึ้นมา ไม่มีอารมณ์จะสนุกสนาน ตัดสินใจพาตัวเองมาจมอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ หวังจะเขียนอะไรลงไปให้ได้สักที แต่เค้นยังไงก็ยังเขียนอะไรไม่ออก

    รู้สึกว่าหัวสมองล้าอย่างบอกไม่ถูก

    ทันใดนั้น บานประตูเปิดออก พร้อมกับการปรากฏตัวของวิษณุ กวินตวัดสายตาไปมอง ส่วนชายหนุ่มนั้นก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาหา เลียริมฝีปากเล็กน้อยคล้ายกับประหม่า ในขณะที่กวินได้แต่มองที่ไหล่ของเขา ราวกับไม่กล้ามองขึ้นไปสบตาอย่างไรอย่างนั้น

    เงียบกันไปสักพักว่าที่วิษณุจะเป็นฝ่ายพูดเอ่ยออกมาคนแรก

    “ไม่ลงข้างล่างหรือ”

    กวินส่ายหน้า วิษณุคล้ายกับจะอึกอักอีกคำรบ

    “แล้วคุณ... เขียนถึงไหนแล้ว”

    “ไม่ถึงไหนเลย” กวินตอบด้วยสำเนียงที่พยายามจะทำให้ราบเรียบที่สุด

    “ผมว่าคุณเครียดกับมันมากไป” วิษณุว่า “แต่.. เอาเถอะ ผมก็ไม่รู้เรื่องเขียนงานอะไรหรอก อย่าถือสาอะไรผมเลย”

    จากนั้น ก็เหมือนต่างฝ่ายต่างจะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกันอีก วิษณุเดินกลับไปที่ประตู แต่ก็ยังไม่วายหันมาถามกวินอีก

    “จะไม่ลงไปจริง ๆ หรือ”

     “อยากให้ลงไปหรือ”

     “ก็...” วิษณุเงียริมฝีปาก “ก็แล้วแต่คุณ”

    “ผมเหนื่อย” กวินตอบห้วน ๆ

    “งั้นคืนนี้ผมมานอนด้วยนะ”

    กวินชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่วิษณุรีบอธิบายอย่างเร็วรี่

    "ก็... มีหมอขึ้นมาอีกสองคนน่ะ ผมเลยต้องให้ห้องเขานอน”

    ประตูถูกเปิดออกอีกครั้ง ญดาเดินเข้ามา ในขณะที่กวินถอนใจอย่างลืมตัว พร้อมกับเบือนหน้าหนี

    “พี่ณุคะ คนถามหากันเยอะแล้วค่ะ” ญดาบอกแก่วิษณุ

    ชายหนุ่มยิ้มให้เด็กสาว ก่อนจะเดินหายลงไป ในขณะที่ญดาตั้งท่าจะเดินตาม แต่แล้วก็ชะงัก หันมามองกวิน ลังเลอยู่สักพัก แล้วตัดสินใจเดินเข้ามาหา

    “สวัสดีค่ะ”

    กวินหันมาพยักหน้าให้ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก กลับไปเอามือจิ้มคอมแบบเลื่อนลอยเหมือนเดิม ญดาเดินมานั่งลงข้าง ๆ เหมือนอยากจะคุยด้วย แต่กวินก็ไม่สนใจ ปล่อยให้บรรยากาศอยู่ในความเงียบอยู่สักพัก

     “พี่ณุบอกว่าคุณเป็นนักเขียน” เห็นได้ชัดว่าญดาต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งในการที่จะเริ่มต้นบนสนทนา “คุณเขียนอะไรหรือคะ”

    “เขียนหนังสือ” กวินตอบอย่างร้ายกาจ ทำเอาญดาชะงักไปอีกครั้ง แต่ก็เหมือนจะยังไม่ยอมแพ้

    “แสดงว่าคุณน่าจะต้องผ่านอะไรมาเยอะสินะคะ”

     กวินถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะโต้ตอบพูดคุยกับเด็กสาวผู้นี้เลย แต่สายตาของเจ้าหล่อนที่มองมาก็คาดคั้นเอาคำตอบเสียเหลือเกิน

    “ก็น่าจะ... มั้ง ความจริงไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกันตรงไหน”

    “ฉันอยากคุยกับคุณนะคะ”

    คำพูดตรงไปตรงมาของเด็กสาวพุ่งชนไปยังจิตสำนึกของกวินอย่างรุนแรง นิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์ขึ้นมามองเด็กสาวด้วยสายตาตั้งคำถาม ในขณะที่ญดาพยายามที่จะคิดหาคำพูดมาอธิบายในสิ่งที่หล่อนคิด

    “ไม่รู้สิคะ... บางที คุณอาจจะให้คำตอบอะไรบางอย่างกับฉันได้”

    คำตอบจากญดาสะกิดใจกวินยิ่งนัก

    “คุณคิดว่าผมจะให้คำตอบอะไรกับคุณได้งั้นหรือ”

    “ไม่รู้เหมือนกัน” ญดาพูดอย่างสับสน แต่ก็ยังพยายามรวบรวมความคิดต่อไป “คือฉันรู้สึกว่าตอนนี้ฉันกำลังสงสัยในบางสิ่งบางอย่าง แต่ฉันก็ยังไม่มั่นใจว่าฉันกำลังสงสัยเรื่องอะไร”

    กวินถอนใจ ก่อนจะพูดออกไปอย่างเย็นชา

    “ก่อนจะคาดหวังคำตอบจากคนอื่น คุณควรจะรู้ตัวเองให้แน่ใจก่อนนะ ว่าอยากจะถามอะไร ไม่งั้นจะเสียเวลากันทั้งสองฝ่าย”    

    “ถึงมีแต่พี่ณุไงคะ ที่คุยกับฉันได้” คำตอบของญดาทำเอากวินชะงักไปอีกครั้ง “เพราะพี่ณุจะพูดอยู่เรื่อย ๆ เขาไม่เหนื่อยกับการพูดเลย เหมือนจะรอให้ฉันเจอคำตอบในคำพูดของเขา”

    “แล้วเจอไหม” กวินถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงแววเย้ยหยัน

    คำตอบจากญดาคือการส่ายหน้า ก่อนที่จะอธิบายต่อ

    “แต่ก็ต้องยอมรับว่าฉันก็มีความสุขนะที่ได้ยินเขาพูด ถึงยังไม่ได้เจอคำตอบ แต่การได้ฟังพี่ณุพูดไปเรื่อย ๆ ก็เหมือนได้ต่อลมหายใจ รู้ไหมคะ ในตอนนี้ ที่ฉันรู้สึกสับสนและหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ ฉันมีพี่พึ่งอยู่สองอย่าง ถ้าไม่ได้พูดกับพี่ณุ ฉันก็ชอบไปที่น้ำตก คุณต้องลองไปนะคะ คุณจะต้องไม่เชื่อ แต่การได้ฟังเสียงน้ำตกที่นี่ มันจะทำให้คุณสบายใจอย่างประหลาด เพราะว่าน้ำตกที่นี่มัน...”

    เมื่อนั่นเองที่กวินรู้สึกทนไม่ได้ พูดแทรกออกไปอย่างทันควัน

     “นี่เธอกำลังบอกว่าตอนนี้เธอต่อลมหายใจของเธอ ด้วยน้ำตกกับลมปากของคนอื่นอย่างงั้นหรือ แค่สองอย่างนี้น่ะหรือที่ทำให้เธออยากมีชีวิต”

    ญดามองกวินอย่างหวาดกลัวเล็กน้อย กับแววตาแข็งกระด้างของชายหนุ่ม

     “ฉัน... ฉันมีปัญหาที่แก้ไม่ได้ และฉันก็จนปัญญา...”

    คำพูดของญดามีแต่รังจะทำให้กวินรู้สึกไม่พอใจมากขึ้น จึงพูดแทรกออกไปอีก

    “ไม่มีใครในโลกไม่มีปัญหา และก็ไม่มีใครฉลาดมาตั้งแต่เกิด พูดตามตรงนะ ฉันรู้สึกว่าเธอให้ค่าลมหายใจของเธอต่ำฉิบหายเลย” กวินผ่อนลมหายใจแรง ก่อนจะพูดตัดบท “ขอโทษ ฉันปากหมา และก็พูดให้กำลังใจใครไม่เก่ง ขอโทษจริง ๆ”

    ญดาอึ้งไปกับคำพูดของกวิน ในขณะที่กวินก็ก้มหน้าก้มตามองจอคอมพิวเตอร์อย่างเอาเป็นเอาตาย ญดาถอนหายใจ เหม่อมองออกไปไกลคล้ายกับจะร้องไห้ ก่อนหันมามองกวินคล้ายกับอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็พูดไม่ออก เด็กสาวกัดริมฝีปากแน่น ในขณะที่กวินเมินหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายกับไม่กล้าสบตากับเจ้าหล่อน

     “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ขอโทษค่ะ แล้วต่อไปจะไม่รบกวนอีก”

    ญดาพูดอย่างกระชับและชัดเจน ก่อนจะลุกเข้าไปในห้อง กวินได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ แว่วมาจากด้านหลัง เหมือนญดาจะร้องไห้ทันทีเมื่อก้าวพ้นจากระเบียง

    กวินปิดคอมลงอย่างแรง ยกมือกุมขมับ เหมือนจะปวดหัว ถอนหายใจเบา ๆ พยายามจะไม่ครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังเข้ามารบกวนสมอง ค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปขอบระเบียง สายตาเหม่อมองลงไปด้านล่าง กองไฟเริ่มมอดลงไปบ้าง แต่ความสนุกสนานของคนทั้งหลายยังไม่หมดไปนัก

    เสียงปรบมือดังกึกก้อง ในขณะที่กีตาร์โปร่งถูกส่งไปอยู่ในอ้อมแขนของวิษณุ

    เมื่อเสียงบทเพลงดังแผ่วเบาสะกดใจใครหล่อย ๆ คน กวินรู้สึกได้หลายสิ่งหลายอย่างที่กำลังตามมาหลอกหลอนห้วงความคิดของตนเองให้รู้สึกสะพรึงขึ้นมาประหลาด

    “...ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย   ใจในร่างกายกลับไม่เจอ  ทุกข์ที่เกิดซ้ำ  เพราะใจนำพร่ำเพ้อ หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข...”

    กวินพยายามจะหนีความภาพอันน่าสะพรึงเหล่านั้น ตัดสินใจเหม่อมองขึ้นไปบนฟ้า สบตากับดวงจันทร์กลมโต ที่กำลังฉายแสงริบหรี่อยู่อย่างเดียวดายบนท้องฟ้ามืดสนิท

    “...คืนนั้นคืนไหนใจเพ้อฝัน  คืนและวันฝันไปไกลริบโลก  ดังนกน้อยลิ่วล่องลอย  แรงลมโบก  พออับโชคตกลงกลาง...  ทะเลใจ” 

    ทนไม่ได้อีกต่อไป น้ำตาของกวินไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว


*** **** ***** **** ***


     คล้ายกับว่ากองไฟจากด้านล่างจะมอดดับลงอย่างถาวร พร้อมกับการเลิกราของความสนุกสนานในเวลาเกือบเที่ยงคืน บรรยากาศรอบด้านแปรเปลี่ยนเป็นความสงบ ความมืดปกคลุมเช่นเดียวกับความเงียบสงัด แต่ถึงหระนั้นก็ตาม ห้วงใจอันสั่นไหวของกวินคล้ายจะยังไม่สงบลงง่าย ๆ หนำซ้ำ ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงภายในห้องนอนมืด ๆ ยังคงรับเอาความมืดทึบของบรรยากาศโดยรอบให้แทรกซึมเข้าไปปั่นป่วนความรู้สึกให้วูบไหวเปราะบางได้ตลอด

    ราวกับจิตวิญญาณยังคงจมดิ่งลงไปในห้วงเหวแห่งความหวาดกลัวต่ออดีต ไม่เคยมีครั้งไหนที่กวินจะรู้สึกจมไปได้มากมายและเนิ่นนานถึงเพียงนี้ เป็นไปได้ว่าสภาพรอบด้านกำลังส่งผล เคยได้ยินใครต่อใครพูดกันมามาก เกี่ยวกับความลึกลับของป่าเขาที่มีพลังในการก่อกวนห้วงใจอันอ่อนแอของมนุษย์บาปหนา ให้สำลักกับความผิดบาปของตนเองจนปางตาย กวินได้มาสัมผัสกับตัวเองก็คราวนี้

    ภาพอดีตอันเลวร้ายตามหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    แม้เวลาจะผ่านมาแล้วเนิ่นนาน แต่กวินก็ยังไม่ได้หลับ ในขณะที่น้ำตายังคลอหน่วง

    ประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ คล้ายกับคนเปิดจงใจจะให้การเข้ามานั้นเงียบงันที่สุดและมีมารยาทที่สุด แม้จะไม่ได้หันไปมอง แต่กวินก็เดาได้ความรู้สึกว่าคงจะเป็นวิษณุ จำได้ว่าชายหนุ่มบอกเอาไว้ว่าคืนนี้จะมานอนด้วย เสียงฝีเท้าย่องเข้ามาใกล้อย่างแผ่วเบาคงไว้ซึ่งความเกรงอกเกรงใจ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม กวินหลับตาลงทันที จงใจจะแสร้งทำเป็นหลับ พร้อมกับพยายามค่อย ๆ ซุกหน้าลงบนหมอนให้มากที่สุด ราวกับจะเก็บซ่อนหยดน้ำตา

    วิษณุเดินเข้าใกล้ ๆ เตียง ถอดเสื้อนอกออก เหลือแต่เสื้อกล้าม ก่อนจะค่อย ๆ ล้มลงนอนหงาย แม้จะแสร้งหลับตาปี๋ แต่กวินก็รู้ดีว่าสภาพจิตใจปั่นป่วนเช่นนี้ เขาคงไม่มีทางจะหลับลงไปได้ง่าย ๆ เผลอ ๆ วิษณุนั่นแหละ อาจจะหลับไปก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดี อย่างที่ไม่ทราบในสาเหตุ กวินรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาพอสมควรตั้งแต่วิษณุเดินเข้ามาในห้อง คล้ายกับชายหนุ่มมีเวทมนตร์ในการช่วยเยียวยาความหวาดกลัวให้มลายหายไปได้อย่างน่าอัศจรรย์

    วิษณุพลิกตัวหันมามองกวินเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้ามองเพดานต่อ พร้อมกับถอนใจ

     “คุณ....” วิษณุเอ่ยเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา พร้อมกับขยับตัวเล็กน้อย “หลับยัง?”

    ไม่ทันที่กวินจะได้ตอบอะไร หรือครุ่นคิดว่าควรจะแสดงปฏิกิรยาตอบกลับไปแบบไหน จะแสร้างหลับต่อหรือลืมตาขานรับ ไม่ได้มีเวลาให้คิด และไม่จำเป็นต้องคิด สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาหาได้มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงด้วยไม่

    ประตูห้องนอนเปิดออกอย่างเร่งรีบ พร้อมกับรตีที่วิ่งหอบเข้ามาในห้องด้วยท่าทางรีบร้อน

    “แย่แล้วค่ะหมอ”

    อาการเร่งรีบอันน่าตระหนกของรตีทำเอาวิษณุถึงกับผุดลุกขึ้นจากเตียง เช่นเดียวกับกวินที่รู้สึกได้ว่าไม่ควรจะแสร้งหลับอีกต่อไป

    รตีถอนหายใจแรงราวกับเหนื่อยเสียนักหนา ก่อนจะพูดต่อออกมาด้วยเสียงรัวเร็ว

    “ญดาหายตัวไปค่ะ”
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE18/05/2010ลงแล้ว14ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 06-06-2010 22:27:55
ลงตอนใหม่ให้แล้วนะครับ


อาจจะช้าไปเช่นเคย ตอนหน้าจะพยายามมาให้เร็วกว่านี้ครับผม


ขอบคุณผู้อ่านทุกคนอ่านเลยนะครับ ที่ติดตามและคอมเม้นให้กำลังใจ ขอโทษที่ไม่ได้ตอบเม้นต์แบบรายคนนะครับ เพราะเน็ตมันไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่


ขอบคุณอีกครั้งครับ  :3123:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 07-06-2010 00:14:08
อย่าบอกนะว่า กวินเป็นสาเหตทำให้ญดาหนีไปอ่ะ
กวินคงเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ของญดาล่ะมั้ง เลยอยากถาม อยากคุย อยากทำความรู้จัก
ด้วยความเป็นตัวเองอ่ะนะ พี่วิษณุรับได้เสมอมา แต่กับแขกวีไอพีนี่ เฮ้อ คนละสปีชี่ย์กันเลย
น่าจะติดป้ายนะ "ระวังคนดุ" กร๊ากกกก อารมณ์ซับซ้อนแต่ก็โคตรตรงไปตรงมา เป็นคนเมืองโคดๆ
มาป่าเขามาขัดเกลาจิตใจก็นะ ความอ่อนแอที่ลึกสุดใจก็พรั่งพรูออกมา..ไม่รู้ว่าน้ำตามันมาจากสาเหตอะไรกันหนอ

หมอวิษณุอย่าเย็นชากับเค้ามากนักสิ เค้าเป็นแขกนะถึงพฤติกรรมจะกระชากคอคนมากัดได้ทุกเมื่อ
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะดำมืดสุดขั้วนี่นา กิริยาห่มผ้าให้แขกโป๊เนี่ย อ่อนโยนอีกแล้ว คนอ่านจะ้บ้่า :laugh: :m20:
+1 คะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 07-06-2010 00:18:59
งานจะเข้ากวินซะแล้วมั้ง  :เฮ้อ:

แต่ตอนต้นๆ หมอนุน่ารักดีนะ ชอบท่าเหวี่ยงผ้าห่ม 555+

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 07-06-2010 01:23:02
คิดว่าในส่วนลึกของจิตใจแล้ว กวินก็ต้องการความอบอุ่น และเหงาอยู่ลึกๆแต่ปิดตัวเอง
ทำว่า ฉันเก่ง ฉันอยู่ได้ คนเรามันมีอารมณ์อ่อนไหวไม่มากก็น้อยละน่า
ที่คนพวกนั้นเข้ามาชวนพูดคุย หรือมีไมตรีให้มันเป็นสิ่งดีแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจด้วยซ้ำ แต่คนโรคส่วนตัวสูง หรือ e-go สูงอย่างกวินอาจไม่ชอบ
เราเองก็ไม่ชอบ แต่รู้ว่าพวกเขาจริงใจและอยากมีปติสัมพันท์กับเรา
เรื่องสัตว์ เราไม่ชอบเหมือนกันเลยโดยเฉพาะ สุนัขทุกชนิด ฝังใจกับมัน

อย่าบอกนะว่าที่ญดาหายไปเพราะกวิน นี่ถ้าหล่อนไปฆ่าตัวตายวินไม่ได้รู้สึกผิดไปตลอดชีวิตหรือเนี่ย
ส่วนวิษนุ ก็อบอุ่นมั้งกับคนอื่น
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 07-06-2010 17:04:32
โอ่ยยยยย  อ่านสองตอนรวด
ภาษาสวยเหมือนเดิมค่ะ
กวินยังคงความแรงเหมือนเดิม...แต่ดีกรีความแข็งกระด้างลดลงมาพอสมควร
วิษณุ...จะรักกันยังไงอ่ะ  มองไม่เห็นปลายทางแฮะ
ไรท์เตอร์...ไฟท์ติ้งค่ะ!!!!!
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 07-06-2010 21:25:46
อ่านแล้วก็คิดว่าอาจจะพูดแรงกับญดาเกินไปมั้ย

แต่ด้วยลักษณะและความคิดอารมร์ความรู้สึกหรืออะไรหลายๆอย่างของกวินเป็นคนดาร์ค

ก็ไม่น่าจะแปลกที่กวินจะพูดแบบนั้นออกมา หุหุ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: a_tapha ที่ 08-06-2010 12:01:04
 :pig4:

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 08-06-2010 14:47:04
แม้รู้ดีว่านี่คือรุปแบบการเขียนของคุณ

แต่ฉันก็ยังอดนึกรำคาญไม่ได้ ที่ต้องอ่านการบรรยายที่บางครั้งอาจจะค่อยข้างเยิ่นเย้อในบางจุด

แต่อย่างไรก็ตามที  ฉันก็ยังอดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า  ฉันนี้  คงจะต้องเป็นคนที่คอยตามอ่านนิยายเรื่องนี้ของคุณอีกต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้  เพราะมันสนุก  ภาษาสวย  แต่บางท่อนบางตอนก็เหมือนสาวงามที่นุ่งชุดกรุยกราย จนชายผ้าพันท่วมใบหน้างดงาม

ตามนั้น

ฉันเอง(<---- ใครวะ ?) ฮาๆ

เจ้สองคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 09-06-2010 04:54:10
555

ผมโดนจับไต๋เข้าอย่างแรง


เพิ่งรู้ตัวเอาตอนนี้เลยจริง ๆ ว่ามีความเคยชินกับสำนวนแบบนี้ และใช้สำนวนแบบนี้หากินอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเขียนอะไรไม่ออกเมื่อไหร่ ผมจะเผลอตัววกเข้ามารูปประโยคแบบนี้ทันที

สงสัยคงต้องเพลา ๆ ลงบ้างแล้วล่ะ

555


ขอบคุณผู้อ่านทุกคนด้วยครับ ขอบคุณสำหรับกำลังใจ และคอมเม้น และการติดตามครับผม

เดี๋ยวจะลงตอนใหม่ครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 09-06-2010 04:57:16
16

   เหตุการณ์ผ่านไปแบบสับสนและงุนงง ระคนกับความหวาดหวั่นที่คุกรุ่นอยู่ในใจแล้วกระจายออกไปสมทบกับอาการตื่นกลัวของคนอื่น ๆ ก่อนจะก่อร่างออกเป็นอาการวิตกจริตหมู่ที่ทรงอิทธิพลเป็นอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาแห่งความวุ่นวายน่าหวาดหวั่นนี้ กวินแทบจะไม่มีสติในการที่จะช่วยเหลือแก้ปัญหาใด ๆ เลย นอกเสียจากใช้ร่องรอยของความนึกคิดที่ยังพอหลงเหลือ ติดตามสถานการณ์อย่างมึนงงและทุลักทุเล ไม่ทราบชัดนักว่าเหตุใดอนุสติถึงได้รู้สึกชาด้านมากถึงขนาดนี้ อาจจะเป็นไปได้ทั้งหมดทั้งมวลของความรู้สึก ถูกก่อตัวขึ้นมาจากความรู้สึกผิดที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ

    ทันทีที่ข่าวคราวแพร่ขยาย หลังจากอากัปกิริยาตกใจและงุนงง... ทุกคนทราบดีถึงการจะต้องเปลี่ยนแปลงกิจวัตรอย่างฉุกละหุกของราตรีนี้ แม้จะไม่มีใครที่จะไม่ยินดีให้ความช่วยเหลือ และทุกคนต่างพร้อมใจกันลุยหน้าเข้าสู่ป่าอันมืดมิดน่ากลัวเพื่อออกไปตามหาญดา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ทุกคนก็ล้วนภาวนาให้กิจกรรมอันน่าแตกตื่นเช่นนี้จบลงอย่างเหลว ๆ เช่นว่า แท้จริงแล้วญดาอาจจะอยู่ที่บ้านดังเดิม หรืออาจจะเป็นความมึนงงของพวกเขาที่เกิดร่วมกันว่าจู่ ๆ ก็ตาฝ้าฟางมองไม่เห็นญดาเอาเสียดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ญดากำลังนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง ฯลฯ

    ทุกคนภาวนาให้เป็นเช่นนั้น ภาวนาให้ผลที่ออกมาเป็นไปในทางที่ราบเรียบและปรกติ โดยไม่สนด้วยซ้ำว่าความวิตกจริตครั้งนี้จะเป็นการสูญเสียกำลังเปล่า ๆ ปลี้ ๆ เพราะไม่ว่าอย่างไร นั่นก็ย่อมดีกว่าการคิดไปในอีกแง่...

    แง่ที่ว่าอาจจะเกิดอันตรายแก่ญดาขึ้นจริง ๆ

    ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่กวินรู้สึกได้ว่าตนเองได้กลายเป็นส่วนหนึ่งทางความรู้สึกต่อผู้คนที่นี่อย่างแท้จริง โดยที่ไม่มีการแปลกแยกออกมาแต่อย่างใด กวินกำลังกังวลในเรื่องเดียวกับพวกเขา... ภาวนาในเรื่องเดียวกับพวกเขา... และกระทำในสิ่งเดียวกันกับพวกเขา...  คือการออกย่ำเท้าไปในป่ามืด ปากก็ตะโกรร้องเรียกหาญดา ก่อนที่จะมีการแยกย้ายกันไปตามจุดต่าง ๆ

    “ใจเย็น ๆ นะหมอ” รตีพยายามปลอบ ในขณะที่ใบหน้าของวิษณุในขณะนั้นฉายแววของความตึงเครียดออกมาชัดเจนแม้จะอยู่ในความมืด กวินแทบไม่กล้าจะมองหน้าของเขาเลย เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดเพราะความรู้สึกผิด แม้จะไม่แน่ใจนักว่าความจริงเป็นเช่นไร แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิด มันก็ทำให้กวินอดคิดมากไปไม่ได้ว่าตนเองนั้นอาจจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ญดาเตลิดเปิดเปิงไป

    ให้ตายเถิด... เขาไม่ตั้งใจให้เหตุการณ์ต้องมาลงเลยแบบนี้เลย ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าญดากำลังคิดอะไร ถึงได้ทำในสิ่งโง่เง่าเช่นนี้

    แต่เอาเถอะ มันอาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้ กวินยังหวังเช่นเดียวกับทุกคนว่าสุดท้ายเหตุการณ์อาจจะลงเอยด้วยว่าผู้คนทั้งหมดต่างตื่นตระหนกกันไปเอง โดยที่ความจริงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นเลย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น กวินจะนับถือในตัวญดาบ้างว่าไม่ใช่คนคิดอะไรโง่ ๆ

    “เดี๋ยวผมจะเดินไปหาทางโน้น” วิษณุพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ก่อนจะหันมาหารตี “คุณรตีพาคุณกวินกลับไปที่พักก่อนเถอะ”

    “ไม่เป็นไร” กวินแย้งออกไปโดยอัตโนมัติ โดยที่ยังคงไม่กล้ามองหน้าวิษณุ “ผมไปด้วยก็ได้”

    วิษณุถอนใจอย่างเห็นได้ชัด

    “เดี๋ยวพวกเราจะเดินแยกย้ายกันหา คุณน่ะไม่รู้จักป่านี้ดี เดี๋ยวจะหลงได้ กลับไปเถอะ”

    วิษณุพูดแล้วเดินแยกไปทันที ไม่เปิดโอกาสให้กวินได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรอีก รู้สึกเหมือนโดนดุ อดไม่ได้ที่กวินจะต้องพ่ายแพ้แก่ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอีกครั้ง หัวสมองคิดกระหวัดไปเพียงว่าญดากำลังเป็นตายร้ายดีเช่นไร จนแสดงชัดออกมาเป็นอาการเคร่งขรึม กระทั่งรตีแตะมือกวินเบา ๆ มองหน้าเป็นสัญญาณยืนยันถึงความถูกควรในคำพูดของวิษณุ ตั้งท่าจะพากวินกลับ แต่เหมือนว่าเจ้าหล่อนจะยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความหวาดหวั่นต่อเหตุการณ์อันเกี่ยวเนื่องกับจินตนการภาพร้าย ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา 

     “ขออย่าให้เธอคิดจะฆ่าตัวตายเลย” รตีบ่นพึมพำตลอดทางที่เดินกลับ ในขณะที่กวินก็ยังคงครุ่นคิดถึงญดาอยู่ไม่ขาด

    ทันใดนั้นเอง โสตประสาทของกวินก็ได้ยินเสียงบางอย่างแว่วเข้ามา รู้สึกสะกิดใจเล็กน้อย ก่อนจะแน่แก่ใจว่าคงจะเป็นเสียงของน้ำตก

    ราวกับคำพูดทุกคำของญดาได้หวนกลับคืนมาสู่ห้วงความทรงจำ แล้วขานไขออกมาเป็นคำตอบที่น่าพึงพอใจยิ่ง

    “คุณรตี” กวินคว้ามือของหญิงสาวไว้ด้วยท่าทีลนลาน “น้ำตกอยู่ไหน เราต้องไปที่น้ำตก”

    รตีมีท่าทีมึนงงในช่วงแรก แต่ด้วยสายตาคาดคั้นจึงชี้มือไปทางทิศหนึ่งเพื่อเป็นการให้คำตอบ ในขณะที่กวินรีบวิ่งไปทันทีเมื่อทราบถึงทิศทาง

    เนิ่นนานพอสมควรกว่าที่รตีจะตั้งสติได้แล้ววิ่งตามไป


*** **** ***** **** ***


    ท่ามกลางความมืดมิดอันวังเวงของบรรยากาศ ต้นไม้รกครึ้มแผ่คลุมรอบด้านจนแทบจะแน่ใจไม่ได้ว่ามีอันตรายใด ๆ ซุกซ่อนตัวอยู่ตรงมุมไหน เสียงสายน้ำไหลครืนครางบาดหูรับจังหวะกับความรุนแรงของกระแสน้ำที่ทอดไหลกระแทกกับโขดหินก้อนแล้วก้อนเล่าก่อนจะพุ่งตัวลงหน้าผาด้านล่างที่มองไม่เห็นว่าสูงชันลงไปสักเพียงใด รวมเข้ากับเสียงร้องครืนครางของนกฮูกและเหล่าแมลงที่ชวนให้รู้สึกหวาดผวาเป็นอย่างยิ่ง

    ท่ามกลางบรรยากาศเช่นนี้ เด็กสาวแรกรุ่นผู้หนึ่งดูคล้ายจะไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดยืนนิ่งอยู่เหนือน้ำตก สงบนิ่งเสียจนไม่น่าเชื่อว่าหล่อนยังมีสติ ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าของเด็กสาวเหยียบอยู่บนน้ำระดับตาตุ่ม ในขณะที่เบื้องหน้าคือหน้าผาเตี้ย ๆ ที่ปล่อยให้น้ำไหลลงสู่แอ่งด้านล่าง สายตาของเจ้าหล่อนเหม่อมองไปยังที่ใดก็ไม่อาจรู้ได้

    ภาพที่ได้ปรากฏในดวงตา ย้ำชัดว่ากวินคาดได้ถูกต้องครบร้อยเปอร์เซ็นต์

    “ญดา !” รตีร้องเสียงหลง เมื่อสายตาสามารถมองฝ่าความมืดไปจนมั่นใจว่าเด็กสาวที่เห็นอยู่ไกล ๆ เป็นคนเดียวกับที่หล่อนคิด ในขณะที่กวินยังคงอ้ำอึ้งและพูดอะไรไม่ออก “มาทำอะไรที่นี่”

    ราวกับอาการแตกตื่นของรตีจะทำให้ญดาเรียกสติคืนมาได้เล็กน้อย แต่หล่อนก็หาได้มีปฏิกิริยาไปในทำนองเดียวกับความแตกตื่นของรตีไม่ ตรงกันข้าม สีหน้าและแววตาของญดาเรียบเฉยเสียจนเหมือนไม่เห็นถึงความสำคัญหรือความแปลกแตกต่างอย่างไรในสถานการณ์ หล่อนยิ้ม และตอบด้วยเสียงใสแจ้ว

    “หนูไม่มีเรื่องไม่สบายใจนิดหน่อยค่ะ แต่ตอนนี้โอเคแล้ว”

    “โธ่ ! เขาตามหาเธอกันให้วุ่น” สุ้มเสียงของรตียังคงเคลือบความกังวลไว้เช่นเดิม ในขณะที่หล่อนพยายามจะพาร่างตุ๊ต๊ะของตนเองก้าวลงน้ำแล้วค่อย ๆ เดินไปหาญดาอย่างยากลำบาก กวินจำได้ว่าจริง ๆ แล้วรตีสายตาสั้นและสวมแว่น แต่คราวนี้ด้วยอารามรีบหล่อนก็เลยอาจจะไม่ได้หยิบแว่นมาด้วย นี่คงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้รตีไม่สามารถจะพาตัวเองเข้าใกล้ญดาไปได้มากกว่านี้ เพราะถ้าก้าวพลาด ก็เป็นไปได้ที่จะพลั้งตกลงไปยังแอ่งด้านล่างแน่ ๆ

    ในขณะที่ญดาก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

    “หนูขอโทษค่ะ... หนูรู้ตัวดีว่ากำลังสร้างปัญหา แต่... หนูสับสนจริง ๆ พี่รตีคะ หนูยังหาคำตอบไม่ได้ หนูแค่อยากจะมาที่นี่เพื่อให้รู้สึกสงบขึ้น”

    “ใจเย็น ๆ นะญดา” รตีพยายามขอร้อง “เอาอย่างนี้ เดินกลับเข้ามาก่อน พี่เดินไปหาหนูไม่ได้ ค่อย ๆ เดินเข้ามานะ ระวังด้วย มันอันตราย”

    “ขอหนูอยู่ต่ออีกสักพักเถอะนะคะ แล้วเดี๋ยวจะกลับไปเอง”

    “พี่ปล่อยให้เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอกญดา” รตีเริ่มจะพูดอะไรไม่ออก และยังคงท่าทีตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด “เธอก็รู้นี่ว่าปัญหาของเธอคืออะไร เธอพร้อมจะลืมตัวได้ทุกเมื่อ แล้วตรงที่ยืนอยู่ก็... โธ่ ! พี่ขอร้อง กลับมาก่อนเถอะ”

    ญดาหาได้ฟังรตีไม่ หล่อนเบือนหน้าหนี และยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

    เมื่อนั้นเอง กวินก็รู้สึกทนไม่ไหวอีกแล้ว ญดากล้าดียังไงถึงได้ทำกิริยาแบบนี้ คิดว่าตัวเองยังสร้างปัญหาไม่พออีกอย่างนั้นหรือ ท่ามกลางกระแสโกรธเกรี้ยวทางความรู้สึกภายใน กวินตัดสินใจแสดงออกถึงความโกรธนั้นโดยการเป็นฝ่ายเดินไปหาญดาแทนรตี ในขณะที่ปากก็เผลอพูดออกไปโดยอัตโนมัติ

    “ฉันไม่เข้าใจเธอจริง ๆ เลยนะ เธอเป็นบ้าอะไรของเธอ” กวินตะโกนลั่น ถ้อยคำต่าง ๆ พรั่งพรูออกมาจากจิตใต้สำนึก ในขณะที่รตีและญดาถึงกับชะงักไปเล็กน้อยกับท่าทีของกวิน    “เธอสงสัยอะไรกับชีวิตนักหนา ฉันจะบอกให้ก็ได้ โลกนี้มันไม่มีความยุติธรรมอยู่แล้ว เธอมีชีวิตรอต ในขณะที่คนอื่นตาย มันไม่ใช่อะไรที่ต้องคิดมากเลย มันก็แค่เธอรอด...”

    กวินหมายจะเดินไปหาญดาและตั้งใจว่าจะพาญดากลับมา แต่เหมือนว่าจะเดินต่อไปไม่ได้ เพราะน้ำไหลแรงมาก ในขณะที่พื้นหินด้านหน้าเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ถ้าเหยียบลงไปมีหวังได้ลื่นล้มตกลงไปกับสายน้ำเป็นแน่ ตอนนี้ก็มืดเกินกว่าจะมองเห็นว่าจุดไหนที่ไม่มีตะไคร่ จุดไหนที่สามารถวางเท้าเพื่อเดินต่อได้ และบวกกับว่ากวินในตอนนี้เองก็กำลังใจร้อนและไร้สติเกินกว่าที่จะค่อย ๆ หาทางเดินไปได้ จึงตัดสินใจยืนนิ่งเสียอยู่ตรงด้านหน้ารตี พร้อมกับปากที่ยังคงพรั่งพรูต่อไป

    “...รู้ไหม ! ฉันโคตรจะอิจฉาเธอเลยที่ว่าอย่างน้อยเธอก็ยังเคยได้โชคดีขนาดนั้น ในขณะที่ฉันไม่เคยจะโชคดีได้เสี้ยวหนึ่งของเธอเลยด้วยซ้ำ เลิกทำตัวงี่เง่าได้แล้ว เธอจะต้องเอาชีวิตตัวเองไปฝากกับคนอื่นอีกนานสักแค่ไหน ต้องให้คนคอยพูด คอยปลอบ คอยดูแลไปอีกนานแค่ไหนถึงจะพอใจ ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองบ้าง ทำไมไม่พยายามหาคำตอบงี่เง่าพรรค์นั้นด้วยตัวเอง”

    “คุณกวิน” รตีรีบร้องห้าม “คุณต้องหยุดพูดเดี๋ยวนี้”

    แต่ในตอนนั้นกวินรู้สึกโกรธเกินกว่าจะฟังอีกแล้ว ท่าทีและท่าทางรวมไปถึงการกระทำและเหตุผลงี่เง่าของญดาได้เข้าไปสะกิดกับบาดแผลใหญ่ ๆ ในใจของกวินจนทำให้รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรุนแรง ต้องสะสางออกไปให้หมดจด

    “ถามจริงเหอะ เธอเคยรักตัวเองบ้างไหม มีชีวิตอยู่เพื่อตัวเองน่ะ เคยทำไหม” กวินกัดฟันพูด แต่เสียงก็ยังคงดังลั่นไปทั่วบริเวณป่าที่เคยเงียบสงัด ราวกับเป็นเสียงคำรามของสัตว์หนึ่งตัวที่กำลังเกรี้ยวกราด “ถ้าฉันเป็นเธอนะ ลองให้มีคนตายเป็นร้อย ในขณะที่ฉันรอด ฉันจะไม่แคร์ แล้วฉันจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างภูมิใจด้วย เพราะฉันจะถือว่าสวรรค์เข้าข้าง !”

    พยายามจะหาจุดที่ก้าวต่อไปอยู่นานนม แต่หายังไง เท้าก็เหยียบลงแต่จุดที่มีแต่ตะไคร่ กวินถอนใจอย่างอึดอัด ในขณะที่แววตาวูบไหวของญดายังคงทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้เช่นเดิม

    ตัดสินใจยืนนิ่ง สูดลมหายใจลึก ๆ คิดในใจว่าถ้าเดินต่อไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องเดินไปแล้ว ให้ญดาคิดได้แล้วเดินกลับมาเองดีกว่า แต่กระนั้น ปากก็ยังพูดต่อไป พูดประโยคสุดท้ายที่เป็นความรู้สึกอันแท้จริงที่มีต่อเด็กสาวผู้อ่อนแอจนน่าสมเพชผู้นี้

    “เอาจริง ๆ นะ เธอไม่คู่ควรเลย... ฉันว่าสวรรค์คิดผิดที่เลือกให้เธอมีชีวิตรอดแทนที่จะเป็นคนอื่นที่เข้มแข็งกว่านี้ เธอไม่สมควรจะรอดชีวิตอยู่เลยจริง ๆ

    พูดจบกวินก็หันหลังแล้วเดินกลับไปอย่างโกรธจัด ทันใดนั้น รตีก็กรีดร้องลั่น ตามมาด้วยเสียงน้ำกระแทก กวินตกใจหันกลับไป…

    ...ญดาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมแล้ว !


*** **** ***** **** ***


    กวินกลับเข้ามาในห้อง พร้อม ๆ กับที่รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังกลายเป็นคนเสียสูญ หัวสมองอื้ออึงไปด้วยความวุ่นวายที่พาให้ประสาทเสีย รู้สึกหนาวสลับร้อนเหมือนอยู่บนดาวพุธ อากาศที่หายใจเข้าไปก็คล้ายจะเต็มไปด้วยพิษร้ายที่ชวนให้รู้สึกพะอืดพะอมอยากจะอาเจียน กล้ามเนื้อทุกส่วนชาด้านจนแทบจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร ราวกับเป็นศพที่กำลังถูกมัดตราสังข์และถูกอุดทวารทุกส่วนของร่าง

    น่ากลัวอะไรเช่นนี้....

    ตัวสั่นเทิ้มอย่างไร้เหตุผล ในขณะที่ภาพความน่าสยดสยองกลับมาเยือนในห้วงความคิด เกินกว่าจะทานทนไหว กวินโผเข้าไปในห้องน้ำด้วยสภาพของคนที่ไร้ซึ่งสมรรถภาพในการทรงตัว เดินกึ่งคลานเข้าไปอย่างทุลักทุเลและน่าสมเพช ก่อนจะอาเจียนออกมาในที่สุด

    รู้สึกแสบไปทั่วท้อง พร้อม ๆ กับปวดขมับและคันคะเยอไปทั่วร่าง มือไขว่คว้าเปิดฝักบัวให้ราดรดทั้งตัว ก่อนจะเซล้มลงกับพื้นอย่างน่าสมเพชเพราะไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะทรงตัวไว้ พร้อม ๆ กับภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นกำลังฉายซ้ำในมโนสำนึก เหมือนวีดีโอที่กรอกลับไปมาไม่รู้จบ ตามหลอกหลอนกวินให้เสียสติ

    ในขณะที่ร่างของญดาเคลื่อนไหลไปตามกระแสน้ำตรงแอ่งด้านล่าง พร้อมกับความพยายามอย่างถึงที่สุดของเด็กสาวที่พยายามจะยื้อตัวเองไม่ให้ร่วงตกหน้าผาที่อยู่ไกลออกไปไม่เท่าไร ขณะนั้น... รตีก็พยายามจะร้องเรียกให้คนมาช่วยเหลืออย่างเสียสติ กวินรู้สึกว่ารอช้าไม่ได้ ตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยอย่างรวดเร็ว เห็นชัดว่าญดากำลังดำผุดดำว่ายอยู่ด้านหน้า น้ำลึกและเชี่ยวกรากอย่างไม่น่าเชื่อ กวินพยายามสุดความสามารถที่จะว่ายน้ำเข้าไปช่วย แต่ก็ไร้ผล ปรากฏว่าญดาก็โดนน้ำพัดออกไปอีกจนได้ หล่อนเกือบจะตกหน้าผาอีกชั้นซึ่งสูงชันมาก ถ้าร่วงลงไปก็คงไม่เหลือแม้แต่ลมหายใจ โชคดีที่เด็กสาวคว้าก้อนหินไว้ได้ทัน น้ำแรงเสียกวินเองก็ไม่อาจจะต้านทาน ถ้าว่ายไปก็มีหวังว่าคงจะต้องโดนพัดจนตกหน้าผาไปอีกคน

    ชั่ววินาทีที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ญดาก็เหมือนจะไม่มีแรงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว มือของเด็กสาวหลุดออกจากก้อนหิน ก่อนจะโดนน้ำพัดห่างออกไปอีก แต่เดชะบุญว่าคว้าแง่งหินอีกอันไว้ได้ทัน คราวนี้ขาของหล่อนยื่นแตะขอบผา ดูน่าหวาดเสียวว่าจะตกแหล่มิตกแหล่ น้ำทะลักสาดท่วมใบหน้า หล่อนอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนจะพยายามหาอากาศหายใจอย่างน่าสมเพช

    ในขณะที่กวินในตอนนั้น ทำอะไรไม่ถูกอีกต่อไป ตกใจกลัวจนหน้าซีด วิษณุและผู้ชายอีกหลายคนกระโดดน้ำลงมาช่วยพอดี พวกเขาจับมือกันเป็นทอด ๆ แล้วคว้าตัวญดาไว้ได้ วิษณุอุ้มญดาขึ้นไปบนฝัง หล่อนหมดสติไปแล้ว หน้าซีดเซียวเหมือนไม่ใช่มนุษย์ ทุกคนพยายามรุมจะปฐมพยายามบาล วิษณุพยายามผายปอด อีกคนช่วยกันปั๊มหัวใจ ใบหน้าของญดาตอนนั้นเหมือนศพ ดูซีดเซียวและไร้สัญญาณของการมีชีวิตอย่างสิ้นเชิง

    กวินขึ้นจากน้ำมาอย่างทุลักทุเล เห็นสภาพของญดาแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองต่างหากที่กำลังจะไร้ซึ่งชีวิต

    ความตาย...

    ...น่ากลัวอะไรเช่นนี้

    น้ำจากฝักบัวรินไหลมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจจะชำระจิตใจและบาดแผล ๆ สด ๆ ร้อน ๆ ของกวินให้จางหายไปได้เลย หนำซ้ำ ราวกับน้ำมีสภาพเหมือนเหล้า ราดลงมาแล้วทำให้บาดแผลรู้สึกแสบร้อนไปมากกว่าเก่าเดิม ได้แต่ทำให้ดิ้นทุรนทุรายและก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

    ภาพเหล่านั้นยังคงตามมาหลอกหลอน ภาพของการไร้ซึ่งชีวิต... ไร้ซึ่งลมหายใจ... ระยะเวลาเพียงไม่กี่วินาที ขณะหนึ่งที่เด็กสาวคนหนึ่งยังมีลมหายใจ ยังมีเรี่ยวแรงที่จะพูดคุย ยังมีเรี่ยวแรงที่จะยิ้มและซึมเศร้า แต่ต่อในขณะหนึ่งต่อมาเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นกลับถูกพรากออกไปให้กลายเป็นเพียงร่างอันว่างเปล่า ไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย ทั้งความคิดและความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าใจหรือดีใจ ความตายไม่เหลือโอกาสใด ๆ ให้เลย

    เพียงชั่ววินาทีที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง วินาทีเหล่านั้นประจักษ์แก่สายตาของกวินอย่างครบถ้วนเมื่อเวลาไม่นานมานี้ ประทับแน่นอยู่ในห้วงความคิดอย่างที่ไม่อาจจะสลัดมันออกไปได้ง่าย ๆ แถมยังกลายพันธุ์เป็นประสิตที่ชอนไชให้ร้ายแก่จิตวิญญาณอีกด้วย

    ทันทีที่ภาพหลอนนั้นกำลังจะให้เขากลายเป็นบ้า โดยที่ไม่รู้ตัวว่าถูกขับเคลื่อนด้วยความรู้สึกประเภทไหน กวินถลาลุกขึ้น พร้อมกับเสยหมัดลงไปอย่างรุนแรงบนกระจกเงาตรงอ่างล้างหน้า บานกระจกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ พร้อมกับของเหลวสีแดงสดที่ไหลริน ก่อนจะตามมาด้วยความเจ็บปวดอย่างสุดประมาณ

    หวังว่าความเจ็บปวดและบาดแผลที่เกิดขึ้นจะช่วยแก้ปัญหาให้อะไร ๆ มันดีขึ้นมาบ้าง

    แต่ก็เปล่าประโยชน์ ต่อให้ชกซ้ำไปอีกสักกี่ครั้ง หรือต้อให้กวินสิ้นลมหายใจไปเสียตอนนี้ มันก็คงช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

    กรีดร้องลั่นออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่

    ความตาย....

    ...โหดร้ายและน่ากลัวอะไรเช่นนี้

    ครั้งแรกที่ได้เห็นแบบจะจะ ทำเอากวินถึงกับเกือบจะไร้สติ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 09-06-2010 04:59:58
*** **** ***** **** ***


    บานประตูเปิดออกอย่างช้า ๆ และเปิดค้างไว้ บ่งบอกถึงความเย็นชาอย่างถึงที่สุดของผู้ที่เปิดมันออกมา วิษณุค่อย ๆ ก้าวเข้าในห้องมืด ๆ สายตาที่พร่าไปด้วยหยดน้ำที่แห้งเหือดไปแล้วมองผ่านความมืดเห็นเป็นสภาพห้องที่เละเทะไร้ซึ่งระเบียบ บ่งบอกถึงสภาพความผิดปรกติอย่างเห็นได้ชัดของผู้ที่เข้ามาก่อนหน้า

    วิษณุกัดฟันแน่น คล้ายจะพยายามจะระงับความรู้สึกภานในจิตใจที่ย้อนแย้งโจมตีกันอย่างประหลาด ไม่แน่แก่ใจนักว่าสงครามความรู้สึกครั้งนี้เป็นการต่อสู่ของความรู้สึกอะไรกับอะไร หากแต่รับรู้ได้เพียงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายบางอย่างในห้วงของจิตใจที่คุกกรุ่นวุ่นวายและยังไม่มีทีท่าว่าจะตกตะกอนออกมาให้เห็นแบบชัดเจน

    ชายหนุ่มค่อย ๆ ก้าวออกมาที่ระเบียง เห็นร่างของชายหนุ่มอีกคนผู้กำลังเปราะบางทั้งกายและใจยืนนิ่งอยู่ในเงามืดของพระจันทร์ที่หายลับไปในหมู่เมฆทะมึน ความรู้สึกในใจของวิษณุกลับมาพลุ่งพล่านอีกคำรบ การโจมตีกันของความรู้สึกสองด้านเริ่มจะรุนแรงขึ้น และในเวลานี้ ฟากหนึ่งก็แสดงแสนยานุภาพออกมาก่อน

    “คุณคิดว่าคุณทำบ้าอะไรของคุณ” วิษณุคำรามเสียงเข้ม กัดริมฝีปากแน่นอย่างโกรธจัด ในขณะที่ตัวปัญหายังคงหลบเร้นอยู่ในมุมมืด คล้ายกับจะใช้มันเป็นเกราะกำบังความผิดบาปที่ได้สร้างขึ้น

    เมื่อไร้ซึ่งคำตอบ ความรู้สึกของวิษณุก็ยิ่งโจมตีกันหนักขึ้น ความรู้สึกด้านหนึ่งกำลังพุ่งทะยานไปสู่จุดสูงสุด ข่มอีกความรู้สึกไว้อย่างอยู่หมัด ระงับความโกรธไว้ไม่ได้อีกแล้ว ตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้กวินอย่างกับคนหาเรื่อง ก่อนจะเปล่งน้ำเสียงออกมาอย่างโกรธจัด พร้อมจะทำลายล้างทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า รวมไปถึงอยากจะบีบคนตรงหน้าให้แหลกละเอียดลงไปยิ่งนัก

    คนอวดดีคนนี้ !

     “ผมไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากว่า...”

    วิษณุหายใจฝืดฝาด ก่อนจะผรุสวาทออกมาเหมือนเสือดุร้ายที่คำรามขู่เหยื่อ

    “คุณแม่งโคตรเหี้ย !”         

    เมื่อนั้นเองที่กวินเหมือนจะทนไม่ได้ ตัดสินใจเดินหนี วิษณุคว้ามือไว้อย่างแรง ไม่รู้ว่าด้วยเหตุบังเอิญอันใด มือที่ถูกคว้าไว้เป็นมือข้างที่กวินใช้ชกกระจกพอดี ความเจ็บปวดทำให้ชายหนุ่มเผลอส่งเสียงร้องออกมาปนกับเสียงสะอื้นอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมได้

    “จะไปไหน คิดว่าจะหนีความผิดไปได้งั้นหรือ”

    กวินเบือนหน้าหนี พูดอะไรไม่ออก วิษณุบีบมือแรงขึ้นจนร็สึกเจ็บปวด แต่ก็ทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องไห้ ในขณะที่ดวงจันทร์ค่อย ๆ หลุดพ้นออกจากเมฆหนา ส่งแสงบางเบาลงมากระทบกับหยดน้ำตาที่ไหลอาบน้ำ และหยดเลือดที่ไหลอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงฉายชัดถึงแววของความเจ็บปวดทั้งหลายแหล่ที่ปรากฏออกมา เสียงสะอื้นเริ่มจะดังเข้าไปในโสตประสาทของอีกฝ่าย

    “คุณ...” วิษณุเอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่อ่อนโยนลงอย่างทันทีทันใด ราวกับในที่สุด การพลิกผันทางความรู้สึกก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดขึ้น รวมไปถึงได้เห็นสภาพที่เปราะบางอย่างสุดประมาณ “ไปทำอะไร ถึงเลือดออกแบบนี้”

   พูดอะไรไม่ออก พยายามจะกลั้นน้ำตาแต่ทำไม่ได้ กวินร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่อีกต่อไป

    เมื่อนั้นเอง... ความรู้สึกอีกฟากของวิษณุก็เริ่มแสดงบทบาทขึ้นมาอย่างชัดเจน หักล้างความรู้สึกก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น ก่อนจะกำชัยและกลายเป็นฝ่ายชนะไปในที่สุด เมื่อนั้นเอง.... วิษณุไม่อาจจะฝืนความรู้สึกตัวเองไว้ได้อีกต่อไป ความรู้สึกที่สั่งสมมานานพอสมควร และมันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ความรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่เคยจะกล้าแสดงออกมาเลยสักครั้ง ตรงกันข้าม สิ่งแสดงออกไปไม่เคยตรงกับใจ ด้วยลักษณะนิสัยของตัวเองและอีกฝ่าย รวมไปถึงเขาเองก็ไม่เคยมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะยินดีรับความรู้สึกแบบนี้ไว้หรือไม่ 

    แต่ในคราวนี้ วิษณุไม่ตั้งคำถามเช่นนั้นอีกแล้ว ตัดสินใจคว้ากวินมากอดไว้แน่น ราวกับหวังจะบรรเทาความทุกข์โศกของอีกฝ่ายที่เหมือนจะมากมายมหาศาลจนตอนนี้ไม่เหลือเค้าของความอวดดีอีกต่อไป

    กวินสะอื้นหนักขึ้น เมื่อวิษณุกอดแน่นขึ้นไปอีก พร้อมกับเปล่งถ้อยคำปลอบประโลม

    “ทุกอย่างโอเคแล้ว ญดาปลอดภัยแล้ว เลิกร้องไห้เถอะนะ”


*** **** ***** **** ***


    วิษณุเก็บอุปกรณ์ทำแผลลงกล่อง แล้ววางโยนลงข้างเตียง ลุกไปปิดไฟพร้อมกับถอดเสื้อนอกออก กวินล้มตัวนอนลงบนเตียงอย่างสงบ ไม่พูดไม่จาอะไร นัยน์ตายังคงเปิดค้าง ไม่ได้หลับแต่อย่างใด ความเจ็บปวดที่ฝ่ามือทุเลาลงแล้วแต่ก็ยังไม่หายไปเสียทีเดียว วิษณุถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ

    กวินนอนตะแคง ในขณะที่วิษณุนอนหงายมองเพดาน บรรยากาศภายในห้องเงียบงันอยู่สักระยะ ก่อนที่วิษณุจะเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมาก่อน

    “ขอโทษนะ ผมไม่ควรว่าคุณแรงแบบนั้น”

   “ไม่เป็นไร”

    เงียบไปอีกระยะหนึ่ง กวินยังคงไม่หลับ และเชื่อว่าวิษณุก็ยังไม่น่าจะหลับเช่นกัน

    “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” วิษณุถามขึ้นเบา ๆ

    “อืม... ทนได้” กวินตอบออกไปทันทีแม้จะไม่ตรงคำถามนัก

     “แล้วทนมานานยัง”

    ไม่มีคำตอบจากกวิน บรรยากาศกลับมาสู่ความเงียบดังเดิม วิษณุถอนหายใจเบา ๆ ตั้งท่าจะพูดก็แต่เปลี่ยนใจคล้ายกับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร ตัดสินใจค่อย ๆ ปิดเปลือกตา ในขณะที่กวินยังคงลืมตาโพลงอยู่เช่นเดิม แม้ภายนอกจะดูสงบและราบเรียบ แต่ภายในใจกลับตรงกันข้ามรู้สึกย้อนแย้งสับสนอย่างบอกไม่ถูก ลังเลอยู่เนิ่นนานกว่าจะตัดสินใจพูดเปิดใจออกมา

   “ตั้งแต่วันที่ผมรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายมาตลอดชีวิต แถมไม่เคยมีใครสนใจใยดีว่าผมจะโชคร้ายแค่ไหน เมื่อผมรู้ตัวว่าผมต้องใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยความหวาดกลัวว่าต่อไปผมจะต้องโชคร้ายอะไรอีกบ้าง  ผมตั้งใจกับตัวเองว่าผมจะไม่ยอมให้อะไรมาเอาชนะผมได้ ผมจะไม่ยอมให้ตัวเองเป็นเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งใจว่าจะท้าทายแม่งทุกอย่าง เพื่อจะทำให้ผมมั่นใจได้ต่อไปผมจะต้องไม่กลัวอะไรอีกแล้ว แต่....” กวินเริ่มรู้สึกติดขัดในคำพูดของตัวเอง ในขณะที่ความรู้สึกเริ่มล้นทะลัก “ตอนนี้ผมกลัว... กลัวมาก... ยอมรับว่าไม่เคยเจออะไรน่ากลัวขนาดนี้มาก่อนเลย แต่ผมก็ไม่รู้ว่าผมกำลังกลัวอะไรอยู่กันแน่”

    วิษณุค่อย ๆ ลืมตา ถอนใจเบา ๆ ก่อนจะตอบคำถามของกวินราวกับผู้ที่รู้ดีในปัญหา

    “คุณกลัวว่าคุณจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ญดาต้องตาย คุณกลัวความรู้สึกผิดบาป คุณกลัวการที่จะต้องกลายเป็นคนชั่วช้าและหยาบกระด้างอย่างแท้จริง เพราะจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนดี”

    แม้จะรู้สึกดีในตอนแรก แต่ในตอนท้ายของประโยค ทำเอากวินรู้สึกแปลกแยกอย่างไรพิกล

    “ไม่จริงเลย”

    “แน่ใจ”

    กวินถอนหายใจ ยอมรับแก่ตัวเองว่าพอมาคิดมาตั้งสติไตร่ตรองให้ดี ก็พบว่าสิ่งที่วิษณุพูดนั้นก็จริงอยู่ไม่น้อย ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าตนเองจะมีความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนไปได้ถึงเพียงนี้

    “ไม่อยากจะเชื่อเลยนะ... ถ้าไม่เจอกับตัวก็คงไม่รู้ คนเราจะหยาบกระด้างได้สักแค่ไหน ถ้าเห็นความน่าเกลียดน่ากลัวที่แท้จริงมาเกิดขึ้นต่อหน้า ความตายไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ พอ ๆ กับที่ความโหดร้ายเลวทรามก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเอามาพูดกันอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าเรื่อยเปื่อย เอาจริง ๆ นะ... ป้าคุณคิดถูก”

    “ไม่มีใครถูกไม่มีใครผิดหรอก และในความเป็นจริง ป้าผมไม่ต่างจากคุณ” วิษณุว่า “มีแต่ความทุกข์ แล้วก็เป็นพวกชอบใช้ความทุกข์ให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างงาน แต่ต่างกันตรงที่ว่า คุณน่ะใช้ความทุกข์เขียนงานออกมาด้วยความน้อยใจ แม้งานคุณจะดูหยาบกระด้างและร้ายกาจ แต่ลึก ๆ แล้วคุณกำลังเรียกร้องให้คนอื่นเห็นใจอยู่ต่างหาก ส่วนป้าผมน่ะ แกใช้ความทุกข์มาสร้างงานบำบัดทุกข์ให้คนอื่นอีกที แกไม่ต้องการความเห็นใจจากใครเลย เพราะแกตั้งใจว่าจะเป็นคนมอบสิ่งนั้นให้คนอื่นแทน เอาจริงๆ นะ ผมว่าป้าผมร้ายกว่าคุณเยอะเลย”

     กวินยิ้มเล็กน้อย รู้สึกเชื่อคล้อยตามวิษณุไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาได้ พอ ๆ กับที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในเวลานี้ ความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ค่อยคุ้มเคยเริ่มจะก่อร่างขึ้นมาในจิตใจที่แสร้งทำแข็งกระด้าง แต่สุดท้ายก็รีบสลัดมันออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะคิดเอาเองว่ามันคงไม่เหมาะไม่ควรเท่าไร

    “ขอชมบ้างได้ป่ะ คุณก็เป็นคนดีนะ....” กวินพูดออกไปจากใจจริง “...มาก ๆ ด้วย”

    วิษณุแค่นหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอากวินถึงกับงงไปเล็กน้อย

    “ผมเคยทะเลาะกับพ่อแล้วต่อยหน้าพ่อจนเลือดกลบปากและผมก็ไม่เคยรู้สึกผิด แต่ถ้าคุณอยากจะมอบตำแหน่งคนดีให้ล่ะก็... ผมก็ยินดีรับ ผมไม่ฟอร์มจัดเหมือนคุณหรอก”

    “จริงหรือ” กวินพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่นอนข้าง ๆ จะทำในสิ่งที่พูดลงไปได้ “คุณทะเลาะกับพ่อเรื่องอะไร ทำไมรุนแรงขนาดนั้น”

    วิษณุนิ่งเงียบไปพร้อมกับค่อย ๆ หลับตาลง ในขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นของกวินเพิ่มทวีคูณ

    “ตกลงเรื่องอะไร... บอกได้ป่ะ”

    วิษณุผ่อนลมหายใจยาว ในขณะที่ตายังปิดสนิท

    “ได้... มั้ง”

    “เรื่องไรล่ะ”

    “เรื่องที่ผมเป็นเกย์”

    “อะไรนะ!” กวินชะงักพร้อมกับหันหน้ามาหาอีกฝ่าย วิษณุนอนนิ่ง ไม่ไหวติง เป็นไปได้ว่าพอพูดจบแล้ว เจ้าตัวคงจะหลับสนิททันที...

    ...ตรงกันข้ามกับกวินที่ตาสว่างอย่างไม่รู้สาเหตุ
    


------------------------------------------------------

โปรดติดตามครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 6/06/2010ลงแล้ว15ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 09-06-2010 10:25:10
ว้าว

ตอนนี้เธอทำได้ดีทีเดียว

ทั้งประโยคสวยงาม และมีความสำคัญ  อ่านแล้วรู้เลยว่าใส่ประโยคนี้เข้ามาในทำไม

ทุกตัวอักษรได้แสดงออกและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน

ชิ้นส่วนที่กรุกราย เยิ่นเย่อ  หายไปหมดสิ้น

ฉันชอบประโยคนี้นะ  ที่ว่า...อากาศที่หายใจเข้าไปก็คล้ายจะเต็มไปด้วยพิษร้ายที่ชวนให้รู้สึกพะอืดพะอม อยากจะอาเจียน

อ่านแล้วเห็นภาพมากมาย ว่ากวินรุ้สึกอย่างไรในตอนนี้

แต่เจ้าประโยคนี้ -->   “คุณแม่งโคตรเหี้ย !” 

มันไม่น่าจะปรากฏขึ้นมาในงานของเธอเลย  เหมือนพลอยเก๊ ราคาถูก ที่ไปติดอยุ่ที่ชายกระโปรงไหม ตัดเย็บปราณีต ราคาแพง เลยจริงๆ (อย่างน้อยก็ในสายตาฉัน)

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

ขอให้เธอรักษาความสามารถอันดีข้อนี้ของเธอเอาไว้ด้วยนะ  และจงหยิบมันออกมาใช้เรื่อยๆ ในเวลาที่เธอต้องการ

อย่างทิ้งมันไปเสียล่ะ

เจ้สอง

ปล. อีตาหมอ มันไปรัก กวินตอนไหน ยังหาไม่เห็น  มีก็แค่ รุ้สึกหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงนึกขันหากย้อนไปคิดถึงเรื่องเปิ่นๆ ที่ตัวเองและกวินทำไว้ รุ้สึกว่ารวบรัดไปนิดหนึ่งน้า

ปลล. อันนี้ --> “แน่ใจ”   เธอลืมใส่เครื่องหมายคำถามอ๊ะเปล่า ?

ปลลล. คุณนี้ ใส่ความกลับไปกลับมา (ฉันพิมพ์ภาษาอังกฤษไม่ถูก อิอิ) ในธรรมชาติของตัวละครได้เก่งจริงๆ  อ่านแล้วดูเหมือนงานคุณมันมีอะไรมากไปกว่าความบันเทิง 

ชอบนะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: beybeybeymylove ที่ 09-06-2010 14:03:56
ตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกว่าคนที่มีปัณหาที่่สุดคือกวิน
ลักษณะที่สื่อออกมาคือคนเก็บกด ขาดความอบอุ่น 
โดนกลั่นแกล้ง  จนปิดตัวเอง คิดว่าจากเรื่องราววัยเด็ก
ทำให้ปิดกั้นตัวเองและยึดถือแนวคิด มองโลกในแง่ร้าย

ได้แต่หวังว่า คุณนุ จะเยียวยาคนไข้ที่น่ารักคนนี้ได้ :เฮ้อ: :impress3:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 09-06-2010 20:38:04
โหยยย ตอนแรกนึกว่าจะช่วยไว้ไม่ทัน  :เฮ้อ:

ชอบมากค้า อิอิ   :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: pattybluet ที่ 09-06-2010 21:31:53
วินาทีแห่งความเป็นความตาย เขียนได้น่ากลัวมากค่ะ แบบว่า..ภาพมาเป็นฉากๆเลย  o13
อ้างถึง
“ตกลงเรื่องอะไร... บอกได้ป่ะ”    วิษณุผ่อนลมหายใจยาว ในขณะที่ตายังปิดสนิท
    “ได้... มั้ง”
    “เรื่องไรล่ะ”
    “เรื่อง ที่ผมเป็นเกย์”
    “อะไรนะ!” กวินชะงักพร้อมกับหันหน้ามาหาอีกฝ่าย วิษณุนอนนิ่ง ไม่ไหวติง เป็นไปได้ว่าพอพูดจบแล้ว เจ้าตัวคงจะหลับสนิททันที...
    ...ตรงกันข้ามกับกวินที่ตาสว่าง อย่างไม่รู้สาเหตุ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะ  :impress2:
เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 10-06-2010 12:38:09
เฮ้อ บีบจิตมาก นึกว่าจะช่วยไม่ทันซะแล้ว
แต่ญดานี่อ่อนแอจริงๆนะ
คือเราว่าเราก็คิดเหมือนที่กวินพูดไปน่ะ
แต่จะว่ากวินถูกซะทีเดียวก็ไม่ได้
เพราะกวินไม่น่าพูดตอนนั้น ในตอนที่ญดากำลังอ่อนแอแบบนั้น
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 10-06-2010 15:19:58
อ่านตอนนี้ทำให้เห็นว่า ทุกคนต่างมีปมในใจ  มีด้านมืดของตนเองทั้งนั้น
แต่ว่า แต่ละคนจะแสดงออก ทางด้านไหน ก็สุดแต่คน คนนั้นจะเป็นไป

ทั้งกวินและวิษณุจะเป็นยังไงต่อไป  น่าติดตามมากๆว่าทั้ง 2 คนจะเยียวยากันยังไง
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 10-06-2010 17:24:02
 :เฮ้อ:ลุ้นกำลังมันส์จบตอนซะงั้น
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 10-06-2010 19:07:06
เหนือความคาดหมายแหะ แต่โชคดีจังที่สวรรค์ให้โอกาสญดาได้มีชีวิตอีกครั้ง
คนเราถ้าได้ลองพยายามด้วยตัวเอง ฝืนและหนีความตายมาได้คงคิดได้แล้วสินะว่า
ชีวิตนี้ของตัวเองโคดจะมีค่ีาโดยไม่ต้องให้คนอื่น พูดหรือป้อยออะไร

ส่วนนุ้งกวิน โธ่ๆน่าสงสารตอนแรกคิดว่าจะไปซะแล้วแต่ก็นะ คนเราไม่มีใครที่มัน
จะใจแข็งใจร้ายใจดำได้แบบเกินค.เป็นมนุษย์หรอก เพราะจิตสำนึกและจิตวิญญาใฝ่ดีมันชนะ
สีดำเทาของก้นบึ้งจิตใจอ่ะนะ กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
นึกว่าจะโดนซาตานในคราบคุณหมอผู้ใจดีฆ่าเข้าให้ซะแล้ว เฮ้อ โล่งอกจริงๆ
ณ จุดๆหนึ่งใจได้มีไออุ่นๆแทรกเข้ามาได้บ้างอ่ะนะกวิน งี๊ดดดดดดดดดด :-[ :o8: วิ้งไปขวยเขิน

+1 คร่า.
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 11-06-2010 01:38:59
..เออนะ

จริงๆสิ่งที่กวิน พูดใส่ ญดา ก็เป็นเรื่องที่เคยๆคิดว่าจะเอาไปตะโกนใส่หน้าคนที่จะฆ่าตัวตายเหมือนกัน
แต่ก็อย่างว่า ผลมันก็เหมือนกับเหรียญสองด้าน

นิยายสนุกมากคับ
ขอบคุณ
สวัสดี
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 11-06-2010 02:10:17
555 ยังไม่มีตอนใหม่นะครับ ขอตอบเม้นไปพลาง ๆ ก่อน แหะ ๆ ๆ (แก้ตัวมากก)




ว้าว

ตอนนี้เธอทำได้ดีทีเดียว

ทั้งประโยคสวยงาม และมีความสำคัญ  อ่านแล้วรู้เลยว่าใส่ประโยคนี้เข้ามาในทำไม

ทุกตัวอักษรได้แสดงออกและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน

ชิ้นส่วนที่กรุกราย เยิ่นเย่อ  หายไปหมดสิ้น

ฉันชอบประโยคนี้นะ  ที่ว่า...อากาศที่หายใจเข้าไปก็คล้ายจะเต็มไปด้วยพิษร้ายที่ชวนให้รู้สึกพะอืดพะอม อยากจะอาเจียน

อ่านแล้วเห็นภาพมากมาย ว่ากวินรุ้สึกอย่างไรในตอนนี้

แต่เจ้าประโยคนี้ -->   “คุณแม่งโคตรเหี้ย !” 

มันไม่น่าจะปรากฏขึ้นมาในงานของเธอเลย  เหมือนพลอยเก๊ ราคาถูก ที่ไปติดอยุ่ที่ชายกระโปรงไหม ตัดเย็บปราณีต ราคาแพง เลยจริงๆ (อย่างน้อยก็ในสายตาฉัน)

แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ

ขอให้เธอรักษาความสามารถอันดีข้อนี้ของเธอเอาไว้ด้วยนะ  และจงหยิบมันออกมาใช้เรื่อยๆ ในเวลาที่เธอต้องการ

อย่างทิ้งมันไปเสียล่ะ

เจ้สอง

ปล. อีตาหมอ มันไปรัก กวินตอนไหน ยังหาไม่เห็น  มีก็แค่ รุ้สึกหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงนึกขันหากย้อนไปคิดถึงเรื่องเปิ่นๆ ที่ตัวเองและกวินทำไว้ รุ้สึกว่ารวบรัดไปนิดหนึ่งน้า

ปลล. อันนี้ --> “แน่ใจ”   เธอลืมใส่เครื่องหมายคำถามอ๊ะเปล่า ?

ปลลล. คุณนี้ ใส่ความกลับไปกลับมา (ฉันพิมพ์ภาษาอังกฤษไม่ถูก อิอิ) ในธรรมชาติของตัวละครได้เก่งจริงๆ  อ่านแล้วดูเหมือนงานคุณมันมีอะไรมากไปกว่าความบันเทิง 

ชอบนะ


- ขอบคุณเจ้สองมากครับ สำหรับการติดตามอ่านและคำคอมเม้น งานชิ้นนี้แรก ๆ ก็ตั้งใจว่าเขียนเอาสนุก ๆ น่ะครับ แบบว่ากะจะให้บันเทิงทั้งคนเขียนคนอ่าน แต่ไป ๆ มา ๆ มันก็เหมือนจะเริ่มจริงจังขึ้นมาเองซะยังงั้น ส่วนตัวไม่ได้ตั้งใจอยากจะให้งานนี้มันออกมาเป็นชุดราคาแพงเลิศเลออะไรนักหรอกครับ อยากให้เป็นชุดใส่สบาย ๆ ง่าย ๆ มากกว่า ยังไง ๆ ถ้าอ่านไปแล้วสะดุดกับอะไร คอมเม้นได้เต็มที่เลยครับผม



ตั้งแต่ต้นจนจบ รู้สึกว่าคนที่มีปัณหาที่่สุดคือกวิน
ลักษณะที่สื่อออกมาคือคนเก็บกด ขาดความอบอุ่น 
โดนกลั่นแกล้ง  จนปิดตัวเอง คิดว่าจากเรื่องราววัยเด็ก
ทำให้ปิดกั้นตัวเองและยึดถือแนวคิด มองโลกในแง่ร้าย

ได้แต่หวังว่า คุณนุ จะเยียวยาคนไข้ที่น่ารักคนนี้ได้ :เฮ้อ: :impress3:


- เห็นด้วยครับ ว่ากวินเป็นคนเก็บกดและขาดความอบอุ่นพอสมควร และก็หวังเช่นกันครับว่าวิษณุจะช่วยเยียวยาได้บ้าง (หรือเปล่า คงต้องติดตาม 555)


โหยยย ตอนแรกนึกว่าจะช่วยไว้ไม่ทัน  :เฮ้อ:

ชอบมากค้า อิอิ   :pig4:


- ยอมรับว่าผู้เขียนใจร้ายกับญดาไม่ลงอ่ะครับ ^ ^



วินาทีแห่งความเป็นความตาย เขียนได้น่ากลัวมากค่ะ แบบว่า..ภาพมาเป็นฉากๆเลย  o13
อ้างถึง
“ตกลงเรื่องอะไร... บอกได้ป่ะ”    วิษณุผ่อนลมหายใจยาว ในขณะที่ตายังปิดสนิท
    “ได้... มั้ง”
    “เรื่องไรล่ะ”
    “เรื่อง ที่ผมเป็นเกย์”
    “อะไรนะ!” กวินชะงักพร้อมกับหันหน้ามาหาอีกฝ่าย วิษณุนอนนิ่ง ไม่ไหวติง เป็นไปได้ว่าพอพูดจบแล้ว เจ้าตัวคงจะหลับสนิททันที...
    ...ตรงกันข้ามกับกวินที่ตาสว่าง อย่างไม่รู้สาเหตุ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้วค่ะ  :impress2:
เป็นกำลังใจให้นะคะ


- ถ้าผู้อ่านให้กำลังใจ ผู้เขียนก็ขอรับไว้อย่างดี และจะเก็บรักษาไว้ให้ดียิ่งกว่าเดิมครับผม



เฮ้อ บีบจิตมาก นึกว่าจะช่วยไม่ทันซะแล้ว
แต่ญดานี่อ่อนแอจริงๆนะ
คือเราว่าเราก็คิดเหมือนที่กวินพูดไปน่ะ
แต่จะว่ากวินถูกซะทีเดียวก็ไม่ได้
เพราะกวินไม่น่าพูดตอนนั้น ในตอนที่ญดากำลังอ่อนแอแบบนั้น

- ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับผม จริง ๆ ผมว่ากวิพูดผิดครับ ผิดกาลเทศะ ^ ^




อ่านตอนนี้ทำให้เห็นว่า ทุกคนต่างมีปมในใจ  มีด้านมืดของตนเองทั้งนั้น
แต่ว่า แต่ละคนจะแสดงออก ทางด้านไหน ก็สุดแต่คน คนนั้นจะเป็นไป

ทั้งกวินและวิษณุจะเป็นยังไงต่อไป  น่าติดตามมากๆว่าทั้ง 2 คนจะเยียวยากันยังไง

- ขอบคุณที่ติดตามครับ


 :เฮ้อ:ลุ้นกำลังมันส์จบตอนซะงั้น

- ตอนหน้ามาลุ้นใหม่นะครับ อิอิ


เหนือความคาดหมายแหะ แต่โชคดีจังที่สวรรค์ให้โอกาสญดาได้มีชีวิตอีกครั้ง
คนเราถ้าได้ลองพยายามด้วยตัวเอง ฝืนและหนีความตายมาได้คงคิดได้แล้วสินะว่า
ชีวิตนี้ของตัวเองโคดจะมีค่ีาโดยไม่ต้องให้คนอื่น พูดหรือป้อยออะไร

ส่วนนุ้งกวิน โธ่ๆน่าสงสารตอนแรกคิดว่าจะไปซะแล้วแต่ก็นะ คนเราไม่มีใครที่มัน
จะใจแข็งใจร้ายใจดำได้แบบเกินค.เป็นมนุษย์หรอก เพราะจิตสำนึกและจิตวิญญาใฝ่ดีมันชนะ
สีดำเทาของก้นบึ้งจิตใจอ่ะนะ กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ
นึกว่าจะโดนซาตานในคราบคุณหมอผู้ใจดีฆ่าเข้าให้ซะแล้ว เฮ้อ โล่งอกจริงๆ
ณ จุดๆหนึ่งใจได้มีไออุ่นๆแทรกเข้ามาได้บ้างอ่ะนะกวิน งี๊ดดดดดดดดดด :-[ :o8: วิ้งไปขวยเขิน

+1 คร่า.


- ขอบคุณที่ยังติดตามมาโดยตลอดครับคุณ mecon ดีใจที่ได้อ่านคอมเม้นขอบคุณครับ


..เออนะ

จริงๆสิ่งที่กวิน พูดใส่ ญดา ก็เป็นเรื่องที่เคยๆคิดว่าจะเอาไปตะโกนใส่หน้าคนที่จะฆ่าตัวตายเหมือนกัน
แต่ก็อย่างว่า ผลมันก็เหมือนกับเหรียญสองด้าน

นิยายสนุกมากคับ
ขอบคุณ
สวัสดี


- ขอบคุณเช่นกันครับ ที่สละเวลาเข้ามาอ่าน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 11-06-2010 12:48:17
นึกว่าจะลงตอนใหม่ เลยรีบเข้ามาดู  อิอิ

จะรอน้า
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: jira ที่ 11-06-2010 14:04:20
ขอบคุณที่ญดาไม่ตาย
ขอบคุณที่กวินรู้สึกผิด
และ....ขอบคุณที่วิษณุเป็นเกย์
ขอบคุณไรท์เตอร์ค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 11-06-2010 17:41:46
เธอกำลังคิดอะไรอยู่ญดา! เธอกำลังทำใหหหห้คนอ่านอย่างฉันสติแตก (เว่อร์ไป)
ทำไมเล่า เขาเป็นห่วงยังมาทำแบบนี้อีก ทำไมไม่ตายๆไปซะ แต่ชีวิตของคนเรามีฆ่านะ เกิดมาน่าจะลองใช้ให้มันคุ้มค่าหน่อย อยากทำอะไรทำ อยากไปไหนไป แล้วค่อยตาย
แต่อย่าคิดโง่ๆด้วยการฆ่าตัวตาย กำลังคิดถึงว่า คนที่เขาอยากฆ่าตัวตายแท้ที่จริงแล้วเขาไม่ได้อยากตายแต่อาจจะพยายามไม่ฆ่าแต่ทำไม่ได้

ตอนสุดท้ายแอบอึ้ง !! รออ่านคะ
บอกตามตรงว่าอ่านนิยายเรื่องนี้ แล้วรู้สึกกดดัน มันมาเองโดยที่เราก็ไม่เข้าใจแต่กดดันแบบอยากอ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 11-06-2010 22:08:19
ไม่รู้ว่ามาต่อแล้วหลายตอน มาอ่านทีเดียวยาวๆเลยมีหลากอารมณ์จริงๆ อ่านนิยายของคุณแล้วก็ชอบค่ะ
ภาษาอาจจะมากมายแต่ก็ให้ความรู้สึกของตัวละครได้ชัดเจน จนนึกว่าคนเขียนช่างหาคำจังเลย
จำได้ว่าความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นตอนอ่านเรื่องลับแลแก่งคอย
ถึงแม้จะอึดอัดในบางตอน แต่รวมๆก็ยังชอบอยู่ค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 12-06-2010 22:11:48
55+ นั่้นสิ กวินผิดกาลเทศะ

เข้ามารอตอนใหม่และเป็นกำลังใจให้ค่า ^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 13-06-2010 19:41:20
 :m7: รอ ร้อ รอ ตอนใหม่
 
o11 มามะ มามะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: 4life ที่ 15-06-2010 05:38:06
รอๆๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 16-06-2010 02:47:05
โอ้ยยย มาต่อตอนไหนไม่เห็นอ่ะ เสียใจ กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกก

อ่านสองตอนรวดคงรู้สึกดีกว่าตอนอ่านทีละตอนมั้ง ฮ่า ฮ่า ฮ่า
ไม่งั้นคงอกแตกตาย ภาษางดงามเช่นเคย แต่ตอน ๑๕ แอบจิตหลุด ด้วยว่าบทบรรยายเยอะ
ดังเจ้สองว่าน่ะค่ะ (ณ ทีนี้ กดบวกเจ้สองด้วย ถูกใจมาก แต่ก็กดไรเตอร์ด้วยนะ ๕๕๕)

ตอนแรกคิดว่าจะออกแนวนิยายน้ำเน่า กวินไปพูดแล้วญดาเปลี่ยน หรือคิดได้เล็กน้อยถึงปานกลาง
หันมากุมมือกวินแล้วบอกด้วยสายตาขอบคุณอย่างสุดซึ้ง "ขอบคุณคุณกวินที่ช่วยเตือนสติฉัน"
ยอดเยี่ยมจริงๆ ที่ญดาลงน้ำตกไปอย่างสวยงาม
(ตามท้องเรื่องนิยายนะคะ ไม่อยากให้มีเรื่องจริงแบบนี้หรอก ๕๕)

จะว่ากวินขวางโลกก็ไม่ใช่ ก็คนมองโลกอย่างตรงไปตรงมาล่ะมั้ง ๕๕
ชอบกวินมากๆอ่ะ ไม่ค่อยเจอตัวละครแบบนี้ ยกนิ้วให้ไรเตอร์ค่ะ
แล้วจะรอตอนต่อไปอย่างงดงาม


หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 20-06-2010 23:52:19

ดันคะ

ตามนั้น

อิอิ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 22-06-2010 22:37:24
 :m22: แวะมาดู

 :call: แวะมาเรียก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 28-06-2010 02:56:16
17

        บางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยเกิด...

    ในฐานะที่ทำมาหากินกับการเขียน นี่เป็นครั้งแรกที่กวินค่อนข้างจนมุมเป็นอย่างยิ่งในการจะสรรหาคำมาอธิบายว่าไอ้สิ่งที่ไม่เคยเกิดนี้มันคืออะไรและมีคุณสมบัติอันใดให้ออกมาเป็นภาษาพูด ก็ด้วยความที่มันไม่เคยเกิด แล้วครั้นพอมันเกิด การเกิดของมันก็เป็นไปอย่างเรียบง่ายและราบรื่นเสียจนแทบจะไร้ซึ่งความหวือหวาผาดโผนอันใดให้จับต้องได้ชัดที่จะนำมากล่าว แต่อย่างไรก็ตาม... ในช่วงหลายวันมานี้ กวินรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าบางสิ่งที่ไม่เคยเกิด มันได้เกิดขึ้นแล้วโดยไม่ทันตั้งตัว

    เหมือนดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ที่ผุดขึ้นมากลางลำต้นที่แห้งเหี่ยวโรยรา หรืออาจจะคล้ายกับหยดน้ำเบา ๆ ที่หยาดรินลงในพื้นดินอันแตกระแหง หรือเปรียบได้กับดวงไฟน้อยนิดที่จุดประกายขึ้นมาท่ามกลางลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำ หลายสิ่งหลายอย่างในสถานการณ์ที่ไม่ชวนให้ใครคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้ รวมถึงว่าสิ่งที่เกิดนั้นก็เล็กน้อยจนเกินกว่าจะเป็นที่สังเกต ท่ามกลางโลกอันอับเฉาและมืดทึบ กวินลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองเคยรอคอยให้สิ่งแบบนี้มันเกิดขึ้นมานานสักเพียงไหน

    ...และเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันมักจะดำเนินต่อไปอย่างเรียบง่ายและมีแบบแผน เหมือนถ้าดอกไม้ช่อเล็ก ๆ ได้ผุดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่าอะไรก็คงจะห้ามมันไม่ให้เบ่งบานมิได้ เช่นเดียวกันกับกวิน ขณะนี้ เรื่องราวมากมายปรากฏผ่านตัวอักษรบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างล้นทะลัก เพิ่มเติมต่อไปอย่างรวดเร็วราบรื่นและก้าวหน้าไม่มีหยุด ไม่น่าเชื่อเลยว่าก่อนหน้านี้กวินเคยติดขัดกับมันมาอย่างมากมายสักเพียงไหน

    สิ่งที่ไม่เคยเกิด... จู่ ๆ มันก็เกิด...

    กวินสูดลมหายใจเต็มปอด ในขณะที่สมองยังคงตื่นตัวกับงานที่ทำ แต่กระนั้นก็ปฏิเสธความเหนื่อยล้าไม่ได้ กวินจมจ่อมอยู่กับคอมพิวเตอร์มาหลายวัน วันละหลายชั่วโมง ตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายในคืนนั้นคลี่คลาย ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างรวดเร็วและคล่องแคล่ว กวินเขียนงานอย่างเป็นบ้าเป็นหลังจนถึงกับลืมกิจวัตรแทบทุกสิ่งอย่าง บางวันถึงกับลืมกินลืมนอน ไม่มีงานเขียนชิ้นไหนที่ทำให้กวินหมกมุ่นได้เท่านี้เลย เวลาที่เขียนแทบไร้ซึ่งอาการหันเหไปสู่สิ่งอื่น ลืมความหิว ลืมความเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งร่างกายไม่ไหวถึงขีดสุดแล้วนั่นแหละ ถึงจะได้รู้ตัว

    เอาจริง ๆ ก็เกือบจะถึงขั้นหมดแรงตายไปเหมือนกันเมื่อสองสามวันก่อน วันที่กวินนั่งเขียนงานติดกันนานถึงสิบกว่าชั่วโมง คิดขึ้นมาแล้วก็อดที่บางอย่างในห้วงใจจะพองโตขึ้นมาไม่ได้ ถ้าวันนั้นไม่มี “เขา” กวินจะเป็นเช่นไร คงได้มีหวังเป็นลมเป็นแล้ว สลบไสลไปคาคอมพิวเตอร์แล้วแน่ ๆ

    “เขา” ที่ฉุดดึงกวินให้ขึ้นมาจากหุบเหวของความรู้สึกผิดบาป พร้อมช่วยสมานบาดแผลทั้งหมดทั้งมวลให้หายดี

    “เขา” ที่เอาใจใส่ แม้จะไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่กวินก็รู้สึกได้

    “เขา” ที่ปรากฏใบหน้ามาให้เห็นอยู่เสมอ แม้ว่าบางคราวจะไม่ได้มีคำพูดคำจาใด ๆ ออกมาให้ได้ยินมากมายนัก แต่แววตาของเขา ก็ทำให้กวินรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

    ภาพควรมทรงจำเกี่ยวกับตัว “เขา” หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว

    “เชื่อเถอะว่าคุณจะต้องกินบ้าง”

    “นมเนี่ยนะ ขอร้อง” กวินพูดพร้อมกับแสร้งหัวเราะ แต่จำได้ว่าตอนนั้นก็ยังไม่หยุดตัวเองจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่พอถูกกระตุ้น ก็ถึงจำความได้ว่ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่บ่าย รู้สึกปวดแสบขึ้นมาครามครัน

    “ดึกป่านนี้แล้วนี่นา ให้ไปกินข้าวก็ไม่ยอมลงไปกิน ดื่มนมไปก่อนเถอะ มีประโยชน์นะ แคลเซียมสูง กินแล้วจะได้โตเร็ว ๆ”

    “บ้า” กวินอดจะขำในวาจาอีกฝ่ายไม่ได้ “ป่านนี้แล้วยังจะโตอะไรอีก”

    “กินเข้าไปเถอะ โตเร็วกับตายเร็วเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องคุณจะเลือกอะไร”

    “ปากเสีย” กวินร้องว่า พร้อมกับคว้านมที่วิษณุนำมาวางไว้ข้างตัวขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังล้มตัวนอนลงบนเตียงด้วยท่าทางที่สบายอกสบายใจนักหนา ตัดสินใจถามขึ้นมา

    “ญดาเป็นยังไงบ้าง”

    “ดีขึ้นแล้วล่ะ”

    “งั้นหรือ” กวินถอนหายใจ “ที่ว่าดีขึ้นนี่ร่างกายหรือจิตใจ”

    “ร่างกาย”

    กวินถอนใจหนักขึ้น ไม่กล้าถามคำถามต่อไป แต่เหมือนว่าวิษณุจะรู้อะไรในใจบางอย่าง จึงพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “ญดาบอกว่าหินแถวนั้นตะไคร่น้ำเยอะมากและลื่นมาก ไม่ควรไปเดินสุ่มสี่สุ่มห้าตอนกลางคืนอีก”

    “อะไรนะ” กวินขมวดคิ้ว จนวิษณุต้องพูดขึ้นอีกรอบ

    “ญดาบอกว่าตะไคร่น้ำมันลื่นมาก อะไรแค่นี้ คุณฟังไม่เข้าใจหรือไง”

    “เข้าใจน่า ก็แค่ไม่ได้ยิน” กวินร้องตอบโต้ออกตามสัญชาตญาณ ราวกับยอมไม่ได้ถ้ามีใครมารวน แม้ในห้วงความรู้สึกที่แท้จริงกำลังครุ่นคิดในเรื่องอื่นอยู่ก็ตาม “แล้วนี่คุณยังจะต้องมานอนห้องนี้อยู่อีกหรือ ก็แขกของคุณกลับไปหมดแล้วนี่ ทำไมไม่กลับไปนอนห้องตัวเอง”

    ไร้คำตอบ... ราวกับวิษณุได้หลับสนิทไปแล้ว

    .....

    สายลมพัดมาอีกระลอกใหญ่ ปลุกสติของกวินให้กลับมาคืนมาอยู่ในปัจจุบันพร้อมกับอาการที่ปวดเมื่อยไปทั้งตัว กวินค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนหวังว่าการยืดเส้นยืดสายสักเล็กน้อยจะช่วยให้อาการปวดเมื่อยของสัมปชัญญะให้ผ่อนคลายลงมาได้บ้าง

    สายลมบางเบาพัดผ่านอย่างต่อเนื่องส่งเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงดนตรี พร้อมกับพากิ่งไม้ให้ไหวเอนเป็นจังหวะพริ้วไหวคล้ายกับเริงระบำ ก่อนจะสะบัดใบบางส่วนหลุดจากขั้วปลิวกระจายไปกลางอากาศอย่างอิสระเสรี กวินซึมซับกับบรรยกาศรอบข้างละเอียดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เหมือนกับสายตาเพิ่มศักยภาพในการเก็บเกี่ยวภาพทุกภาพและทำการปรับแก้ภาพแต่ละภาพให้สวยงามขึ้นแทบทุกวินาทีของการเคลื่อนไหว ไม่น่าเชื่อและไม่ทราบว่าด้วยเหตุอันใดที่ทำให้กวินสามารถทำอะไรได้เช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่โลกของเขามืดทึบมานานมาก จนไม่อาจจะรำลึกได้เลยว่าความสวยงามของสรรพสิ่งรอบข้างถูกพรากออกไปจากการมองเห็นตั้งแต่ตอนไหน

     “คุณ” เสียงร้องเรียกที่ดังพร้อมกับเสียงครืดคราดของประตูกระจกที่ถูกเลื่อนออก เข้ามาขัดจังหวะภวังค์ของกวิน ในขณะที่ใบหน้าของผู้เรียกที่กวินหันกลับไปมองก็เหมือนจะเข้ามาส่งผลกระทบให้ห้วงความรู้สึกบางอย่างหวั่นไหวไปได้อีกเล็กน้อย

    วิษณุยืนนิ่งอยู่สักพัก คล้ายกับมีความปั่นป่วนในใจเล็กน้อยไม่ต่างอะไรกับกวินเท่าไรนัก ต่างตรงที่ว่าเหมือนชายหนุ่มจะตั้งตัวได้ดีกว่า ในขณะที่กวินยังงุนงงอยู่เช่นเดิม ไม่แน่ใจว่าวิษณุมีธุระอันใด เห็นแต่เพียงแก้วกาแฟในมือของเขา ที่ถูกวางไว้ข้าง ๆ คอมพิวเตอร์ในเวลาต่อมา

    “ผมเอากาแฟมาให้”

    “อะ.. อะไรนะ”

    “คุณไม่ง่วงหรือ”

    “ไม่นี่”

    “คุณจมอยู่แต่กับคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืนมาตั้งหลายวัน”

    “ผมก็เห็นคุณพูดแบบนี้ทุกวันเหมือนกัน” กวินพูดพลางหัวเราะแก้เก้อ “แล้วผมก็ต้องตอบคุณไปซ้ำ ๆ ว่า... ผมกำลังทำงานครับ”

    “กาแฟช่วยได้นะ” วิษณุตั้งท่าจะแจกแจงต่อไป ในขณะที่กวินจิกปลายเท้าแน่นกับพื้น รู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายมันบิดเกลียวไปหมด ไม่อาจจะทนฝืนสบแววตาอันมากประกายของอีกฝ่ายได้นาน “ผมหมายถึง... เวลาที่คุณ... เบื่อ ๆ ล้า ๆ”

    “เวลาที่งานราบรื่น ผมไม่รู้สึกเบื่อหรอก” กวินตอบไปตามสัญชาตญาณ ไม่แน่ใจนักว่าสัญชาตญานบ้าบออะไร แถมลิ้นก็พันไปเสียหมด “จริง ๆ นะ คุณไม่เคยเป็นหรือ เวลาที่กำลังทำงานอะไรที่คืบหน้าไปได้ดี คือมันก็เหนื่อยนะ แต่ว่ามันไม่...”

    “ผมเข้าใจ” อีกฝ่ายตัดบทขึ้นทันที ทำเอากวินชะงักไปเล็กน้อย และรู้สึกได้ถึงความเก้อเขินบางอย่างที่เป็นร่องรอยมาจากวาจาวกวนเมื่อครู่

    วิษณุก้มหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเงยขึ้นมาถามในเวลาอันสั้น

    “แล้วปกติคุณดื่มกาแฟหรือเปล่า”

    “อะไรนะ”

    “คุณดื่มกาแฟหรือเปล่า” อีกฝ่ายถามย้ำ

    “ดื่ม”

    “ก็แค่นั้น” วิษณุแสดงสีหน้าขบขันเล็กน้อย “งั้นก็ดื่มเสียสิ เดี๋ยวมันจะชืดเสียก่อน”

    “อ่อ..” ราวกับว่ากวินเพิ่งจะเข้าใจสถานการณ์ได้ก็ในตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าความมึนงงอะไรที่มาทำให้สับสนในเหตุการณ์ง่าย ๆ แบบนี้ “ขอบคุณนะ”

    วิษณุระบายยิ้มเล็กน้อย ในขณะที่กวินหันมาคว้าแก้วกาแฟขึ้นจิบ

    “รสชาติโอเคไหม หวานไปหรือเปล่า”

    “โอเค” กวินรีบตอบ ห้วงสติกลับมาลนลานอีกเล็กน้อย ในขณะที่สมองมัวครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นโดยที่ลืมเรื่องรสชาติที่สัมผัสบนลิ้นไปเสียสิ้น แต่ก็ด้วยมาดของความพยายามจะกลบเกลื่อนก็ทำให้รีบตอบออกไปโดยไม่คิด “แบบนี้โอเคแล้ว ผมไม่ชอบดื่มกาแฟแก่ หวาน ๆ แบบนี้แหละ โอเค”

    วิษณุขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ

    “ชอบจริง ๆ หรือ”

    “อื้ม”

    “แต่ผมไม่ได้ใส่น้ำตาลลงไปเลยนะ”

    วิษณุหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปที่ประตูห้อง ในขณะที่กวินยังคงงุนงงกับท่าทีของเขา จนกระทั่งในจังหวะสุดท้ายที่วิษณุหันกลับมาพูดด้วยรอยยิ้มชนิดที่ทำเอากวินรู้สึกปั่นป่วนในใจอย่างบอกไม่ถูก

    “ไม่รู้เหมือนกันว่ามันหวานมาได้ยังไง”

    ไม่ทันที่กวินจะประมวลผลออกมาเป็นคำพูดได้ว่าคำพูดอันแปลกประหลาดของวิษณุได้เข้าไปก่อให้เกิดความรู้สึกเช่นไรแก่ใจของกวิน คนพูดก็เปิดประตูหนีออกไปเสียแล้ว ในขณะที่กวินชะงักค้างไปอยู่อีกชั่วครู่ ราวกับว่าไม่อาจจะสลัดความงุนงงและความไม่เป็นตัวของตัวเองต่าง ๆ นา ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อตอนที่อีกฝ่ายอยู่ด้วยให้หมดสิ้นลงไปได้เสียที

    ยกกาแฟขึ้นมาจิบอีกรอบ ในขณะที่ใจยังคงเต้นไม่ค่อยจะเป็นจังหวะนัก

    กินยังไงก็หวาน.... แล้วจะบอกไม่ใส่น้ำตาลได้ยังไง... กวินหัวเราะเบา ๆ ออกมาอย่างไม่มีเหตุผล คนบ้า... พูดจามั่วซั่ว

    บางสิ่งที่ไม่เคยเกิด...

    ...บัดนี้ มันเกิดขึ้นอย่างชัดเจนโดยที่มิต้องเคลือบแคลงสงสัย

    ในชั่ววินาทีหนึ่งที่เหมือนจะคิดอะไรไปไกล กวินรีบตัดขาดความคิดพรรค์นั้นให้ขาดสะบั้นลงไปอย่างรวดเร็ว ถอนใจหายเล็กน้อย คาเฟอีนเริ่มทำให้สมองตื่นตัว ห้วงความคิดยังคงพยายามให้มันจดจ่ออยู่กับการทำงาน ในขณะที่สายตายังคงกวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อเก็บกวาดเอาแรงบันดาลใจ แต่ห้วงความรู้สึกอันซับซ้อนที่ยังไม่ได้จะมลายหายหมดไปเสียเลยทีเดียว

    แสงแดดยามบ่ายสาดส่องลงมาจับประกายกับหยดน้ำจากสปริงเกอร์ที่เกาะติดอยู่ตามกลีบดอกไม้ที่เบ่งบานสดชื่นอยู่บนสวนด้านล่าง เกิดเป็นประกายของแสงสีสวยงาม ก่อนที่เมฆก้อนใหญ่จะเคลื่อนที่เข้ามาบดบัง แสงอาทิตย์ค่อย ๆ ถูกกลืนหายลงไปจนหมดสิ้น

    กวินค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออก ความรู้สึกลิงโลดเกินพอดีค่อย ๆ ผ่อนปรนลงเล็กน้อย แม้จะได้กลับมาพบเจอในสิ่งที่ขาดหาย แต่ชีวิตที่ผ่านมาก็สั่งสอนกวินให้จดจำความจริงแท้อันหนึ่งไว้อยู่เสมอ นั่นก็คือความไม่ยั่งยืนของสิ่งรอบข้าง รวมไปถึงคุณสมบัติอันฉาบฉวยของความสวยงาม ที่ส่วนใหญ่แล้วมันมักไม่มีอยู่จริง หากแต่เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกคิดฝันไปเองก็เท่านั้น

    ความคิดฝันที่พร้อมจะแปรปรวนและเปลี่ยนแปรไปได้อยู่ตลอด

    พยายามทำใจให้สงบ วรรณี วรรณรัตน์เคยกล่าวไว้ในงานเขียนสักชิ้นว่าใจที่สงบมักจะนำพาซึ่งชัยชนะอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์อันร้ายดีสักเพียงไหนก็ตาม สถานการณ์ร้ายฟื้นฟูขึ้นได้ด้วยจิตใจที่มั่นคงฉันใด ตรงกันข้าม สถานการณ์ที่ดีอาจจะกลับตารปัตรพลิกผันไปสู่ทางเลวได้ภายในเสี้ยวเวลาเพียงเพราะใจที่ว้าวุ่นก็ฉันนั้น

    กวินอดตั้งคำถามแก่ตัวเองไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าชีวิตที่ผ่านมานั้น ตนเองจมอยู่กับความว้าวุ่นของห้วงใจยาวนานสักเพียงไหน

    สายตาจับจ้องกลับไปในหน้าจอคอมพิวเตอร์ ถ้อยอักษรร้อยพันปรากฏอยู่บนนั้น ต่างจากเมื่อหลายวันก่อนที่ว่างเปล่า มีเพียงเค้าโครงของการตีบตันและมืดมิด การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว... แถมเกิดขึ้นพร้อมกับความเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างที่คลี่คลายออกอย่างง่ายดายราวกับการแก้เงื่อนที่ถูกจุด ปมทั้งหลายที่มัดเอาไว้อย่างยุ่งเหยิงสามารถกระตุกพรวดได้รวดเดียวแล้วคลายออกมาได้อย่างสิ้นเชิง

    ขอบคุณเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น ที่ทำให้กวินได้พบกับคำตอบ

    “..ความดีงามในความเลวร้าย..”

    “..ความสุขในความทุกข์..”

    “..ความสวยงามในความอัปลักษณ์..”

    ถ้าทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการประจักษ์เห็น ความย้อนแย้งดังกล่าวไม่ใช่ข้อที่น่ากังขาเลย ถ้านัยน์ตาของคนยังถูกสร้างไว้ให้มีถึงสองดวง นั่นไม่ใช่นัยนะอันน่าสนใจของธรรมชาติหรอกหรือ ว่ามนุษย์สามารถ “เลือก” ที่จะมองได้ ถ้าปิดตาขวา ก็จะเห็นภาพจากมุมของตาซ้าย ปิดตาซ้าย ก็ได้ภาพของอีกข้าง ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน ภาพทั้งสองก็ผสมผสานกันจนลงตัว

    อดตั้งคำถามแก่ตัวเองไม่ได้อีกนั่นแหละ ที่ผ่านมาทำตัวเป็นคนตาบอดหนึ่งข้างอยู่เนิ่นนานสักเพียงไหน 

   “..แรงบันดาลใจจากความล้มเหลว..”

    “..การพ่ายแพ้ของความโหดร้าย..”


    แล้วถ้าหากว่ามันเกี่ยวข้องกับการดำรงอยู่ หลังจากความสิ้นหวัง เพียงใครสักคนเลือกที่จะหายใจต่อไปเพียงอึดใจหนึ่ง ถ้อยคำแบบนี้จะไม่ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดของคนผู้นั้นเห็นจะไม่ได้เลย กวินเองก็เป็นไปเช่นนั้น แรงบันดาลใจของแต่ละคนย่อมต่างกัน ความโหดร้ายก็เช่นนั้น ไม่มีทางเหมือนกันได้ แต่ในทุกลมหายใจของทุกคน แม้จะเป็นลมหายใจที่ทอดถอน ก็ล้วนเก็บซ่อนแรงบันดาลใจไว้อยู่เสมอ และความพ่ายแพ้ของความโหดร้ายนั่นก็ล้วนเป็นเป้าประสงค์อันแสนจะจีรังที่สุดของมนุษย์ทุกคนกันทั้งนั้น ทุกคนเลือกที่จะดำรงอยู่ เลือกที่จะสานต่อแรงบันดาลใจ ก็เพื่อความหวังในการจะขจัดความโหดร้ายน่ากลัวของชีวิตให้หมดไปทั้งสิ้น กวินเองก็เช่นกัน เพียงแต่โมหะบางอย่างมันบดบังความจริงอันแสนเรียบง่ายนี้ไปจนหมด 

    จิบกาแฟจนเกือบหมดแก้ว ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาขานไขความสงสัยให้กระจ่างออกมาเป็นตัวอักษร สร้างเหตุการณ์ร้อยเหตุการณ์ที่ตั้งคำถามจนนำไปสู่คำตอบ

    ...ความหวังที่แท้จริง จะต้องไม่นำไปสู่ความสิ้นหวัง...


    ถ้อยคำง่าย ๆ ที่เข้าใจได้ไม่เห็นจะยาก ไม่ว่าจะกวิน วรรณี หรือใครต่อใครที่ไหน ก็เข้าใจตรงกันได้อย่างไม่ยากเย็น
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 9/06/2010ลงแล้ว16ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 28-06-2010 02:58:51
*** **** ***** **** ***

    ในห้วงเวลาแห่งความอึดอัดลังเล กวินค่อย ๆ รวบรวมความรู้สึกให้กลับมาเป็นปึกแผ่นสมบูรณ์ ในขณะที่ยังลังเลอยู่มากมาย แม้หันไปมองอีกด้าน จะเห็นถึงสายตาและการพยักหน้าของวิษณุที่พยายามย้ำเตือนให้กวินยึดมั่นกับสิ่งที่ควรจะทำต่อไป

    ขณะนั้น กวินรู้สึกเหมือนกำลังยืนโดดเดี่ยวอยู่บนโขดหินเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรกว้าง กำลังลังเลว่าควรจะยืนอยู่ที่เดิมแล้วหมดอาลัยตายอยากกับการไร้ทิศทางจะไป หรือควรจะโดดลงน้ำแล้วเสี่ยงดวงว่าจะตายก่อนว่ายไปถึงฝั่งหรือไม่ ซึ่งเอาจริง ๆ มันก็ควรอยู่ ที่ความรู้สึกลังเลจะเข้ามามีบทบาทได้ง่ายในสถานการณ์เช่นนี้

      หายใจเฮือกสุดท้าย ก่อนจะตัดสินใจกระโจนตัวเองลงไปอย่างกล้าหาญ

    บานประตูเปิดออก ในขณะที่กวินค่อย ๆ ก้าวเข้าไปด้านใน พบญดาที่กำลังนั่งสงบเงียบอยู่ตรงริมหน้าต่างที่มีลำแสงบางเบาสาดส่องกระทบกับหน้ากระดาษหนังสือที่ถูกประคองอย่างไว้หลวม ๆ บนตักของเด็กสาว ใบหน้าและท่าทีของญดาช่างดูสงบและเรียบนิ่ง ในขณะที่กวินนั้นแทบจะตรงกันข้าม ความสงบหาได้มีอยู่ในตัวของกวินไม่ ทั้งกายและใจของเขามีแต่ความอึกอักและตะกุกตะกักอย่างบอกไม่ถูก และราวกับมันจะมากขึ้นเมื่อได้เห็นความสงบเงียบอย่างเกินพอดีของอีกฝ่าย

    เดิมนั้นคิดว่าตนเองควรจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดอะไรสักอย่างออกไปก่อน แต่ปัจจุบันกลับยังคิดไม่ออกว่าควรจะพูดอะไรออกดี เพราะถึงแม้จะซักซ้อมคำพูดต่าง ๆ นา ๆ ไว้มากมายสักเพียงใด แต่พอในสถานการณ์จริงที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ถ้อยคำในหัวมันปั่นป่วนเลอะเลือนไปหมด พูดอะไรไม่ออกนอกจากส่งเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ออกไปอย่างเงอะงะ

    ญดาค่อย ๆ ละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านแล้วเงยหน้าขึ้นมองกวิน ยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะตัดสินใจเป็นฝ่ายเริ่มพูด

    “กลับแล้วหรือคะ”

    ราวกับคำพูดของเด็กสาวที่เริ่มเอ่ยจะเป็นกระแสไฟฟ้าชั้นดีที่กำลังพุ่งเข้าไหลเวียนสู่ร่างของกวิน ทำเอากวินสะดุ้งและสั่นวาบไปทั้งสรรพางค์ ในขณะที่สติก็ยังไม่ค่อยกลับมา จึงคิดไม่ออกว่าจะตอบอะไร นอกจากพยักหน้าไปเล็กน้อยแก้เก้อ

    อีกฝ่ายเองก็ไม่ยอมพูดอะไรนอกจากยิ้ม แต่ก็เป็นยิ้มที่ทำให้กวินรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาได้อย่างประหลาด ความลนลานลุกลี้ลุกลนค่อย ๆ จางหายไป ราวกับความสงบเงียบได้ถูกแบ่งปันมาจากอีกฝ่ายแล้ว กวินผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะตัดสินใจพูดประโยคที่สำคัญที่สุด โดยไม่ใยดีกับประโยคยาวยืดทั้งหลายที่ได้เคยซักซ้อมเอาไว้

    “ผมขอโทษ”

    ท่าทางชะงักงันอันเล็กน้อยจากอีกฝ่ายที่กวินมองเห็นได้ด้วยสายตาอันคมกริบ ทำเอาความรู้สึกแปรปรวนที่หายได้วกกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง กวินทำท่าจะพูดออกมาอีกสักประโยคสองประโยคเพื่อหวังว่ามันมันจะช่วยให้สถานการณ์ดูดีขึ้นมาอีกสักนิด แต่สุดท้ายพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเจื่อน ๆ นิดหน่อย จากนั้นก็หันหลัง ก่อนจะตั้งท่าเดินออกไปหมายว่าจะหนีให้พ้นจากสถานการณ์เช่นนี้ จังหวะเดียวกับที่เสียงใส ๆ ของอีกฝ่ายสะท้อนกลับมาอย่างทันท่วงที

    “ขอบคุณมากนะคะ”

    กวินชะงักเล็กน้อย หันกลับไปมอง พบรอยยิ้มจริงใจที่ถูกส่งมาจากอีกฝ่าย

    “ขอบคุณจริง ๆ ค่ะ”

    กวินยิ้มตอบ

    “ขอบคุณเหมือนกัน”

    ท่ามกลางรอยยิ้มของคนทั้งสอง อีกรอยยิ้มหนึ่งค่อย ๆ ระบายขึ้นมาเล็กน้อยจากหน้าห้อง ก่อนที่กวินจะหันมาเห็นได้ไม่นาน วิษณุขยิบตาให้เล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าด้านใน นั่งลงคุกเข่าลงคุยซุบซิบอะไรบางอย่างกับญดา โดยที่กวินฟังไม่ได้ยิน แต่ในตอนนั้น มันก็หาใช่สาระสำคัญที่กวินจะต้องไปใส่ใจไม่ ห้วงความคิดของกวินยังอบอวลไปด้วยกระแสแห่งคำขอบคุณ

    ...ขอบคุณทุกสิ่งอย่าง

    วิษณุคงพูดอะไรสักอย่างที่ทำให้ญดาหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วพี่ชายน้องสาวจะหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างอารมณ์ดี แล้วปิดท้ายด้วยการหอมแก้ม ราวกับเป็นสัญญาณให้กวินได้รับรู้ถึงเวลาของการเดินทาง วิษณุยืดตัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับมองมายังกวินด้วยสายตาที่ถามถึงความพร้อม

    กวินพยักหน้า

    เหนือสิ่งอื่นใด... เขาผู้นี้คือคนสำคัญที่สุดที่กวินอยากจะบอกขอบคุณ

    ...วิษณุ



*** **** ***** **** ***


    “เออ ทำไมคราวนี้ ถึงไม่เห็นต้องปีนเขาลงมาเหมือนคราวที่แล้ว” กวินร้องถามขึ้นในขณะที่วีออสสีดำบึ่งไปตามถนนเลียบแนวเขา หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่าคราวนี้มอเตอร์ไซค์สามารถขับลงมาส่งถึงลานจอดรถตีนเขา โดยที่ไม่ต้องทุลักทุเลเหมือนอย่างตอนขามา

    วิษณุนิ่งไปเล็กน้อย แต่พอเห็นสายตาคาดคั้นของกวิน ก็จำใจต้องพูดอะไรออกมาสักอย่างเพื่อกลบพิรุธ

    “ทำไม... อยากปีนลงมาหรือ เอ้า... แล้วทำไมถึงไม่รีบบอก”

    “ช่วยตอบคำถามด้วยครับ คุณหมอ”

    วิษณุถอนหายใจอย่างรุนแรง ก่อนจะสวนมาอย่างรวดเร็ว

    “ขอร้องเถอะ แค่คนที่นั่นก็มากพอแล้ว คุณอย่าเรียกผมแบบนั้นเพิ่มอีกคนจะได้ไหม ต้องให้ย้ำกี่ครั้งว่าผมไม่ใช่หมอ !” วิษณุประกาศกร้าวด้วยท่าทีที่ทำให้เอากวินอดที่จะรู้สึกขบขันไม่ได้

    “คุณหมอ”

    “ถ้าได้ยินอีกครั้งเดียว สาบานเลยว่าผมจะวกรถกลับ แล้วพาคุณปีนขึ้นปีนลงอีกรอบ คราวนี้ผมจะหาโอกาสผลักคุณให้กลิ้งลงเขาไปเลยคอยดู”

    “งั้นหมายความว่า ถ้าผมเลิกเรียก เหตุการณ์แบบนั้นก็จะไม่เกิดขึ้น เพราะจริง ๆ มันไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทางสมบุกสมบันตรงนั้นเลยใช่ไหม” กวินพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “แหงสิ... ถนนดี ๆ ก็มี จะปีนลงทางนั้นไปให้ลำบากทำไมล่ะ เห้ย นี่คุณทำอะไร เจ็บนะ”

    กวินฟาดกำปั้นใส่วิษณุอีกครั้ง แต่คราวนี้อีกฝ่ายหลบทัน

    “เห้ย ! หยุดเลยนะ ถ้ารถเสียหลักขึ้นมาจะทำไง เล่นอะไรไม่รู้เรื่อง”

    “งั้นพูดให้เคลียร์หน่อยสิ” กวินแสร้งทำเป็นโวยวาย “ตอนนั้นคุณอ้างว่าอะไรนะ ที่ต้องพาผมขึ้นปีนขึ้นไปตามทางที่ทุลักทุเลแบบนั้น อะไรนะ... ถนนมันพัง... แล้วตอนนี้คือมีเทวดามาซ่อมถนนให้เสร็จแล้วงั้นสิ”

    “อ๋อ... เรื่องนั้นน่ะหรือ” วิษณุยิ้มยั่ว “ผมโกหกคุณน่ะ ทางมันไม่ได้พังหรอก ถนนราบรื่นมาตลอดตั้งผมเกิดแล้วล่ะมั้ง แต่ตอนนั้นผมหมั่นไส้คุณน่ะ เลยอยากจะหาเรื่องแกล้งเฉย ๆ ให้ตายเถอะ นึกสภาพคุณตอนนั้นแล้วยังขำอยู่เลย”

    วิษณุหัวเราะลั่น พร้อมกับคว้าแว่นกันแดดมาสวมด้วยมาดอันแสนจะน่าหมั่นไส้ ในขณะที่กวินอยากขว้างกระเป๋าใส่ยิ่งนัก

    ไอ้คนอินดี้ !

    “แล้วคราวนี้จะแวะชมวิวตามทางหรือเปล่า” กวินถามประชด

    “ทำไม คุณอยากแวะหรือ”

    “เออ !”

    “เกรงว่าจะไม่มีเวลา” วิษณุพูดอย่างไม่ยี่หระ

    “ตามสบายแล้วกันครับ” กวินตั้งท่าแดกดันอย่างต่อเนื่อง “เออนี่... เจอคนตามทางก็รับ ๆ ขึ้นมาด้วยแล้วนะ ให้สมกับว่ารถคันนี้ชอบสงเคราะห์คนอื่น”

    “นี่คุณจะประชดผมทำไมวะ หรือคุณอยากให้รถคันนี้สงเคราะห์คุณคนเดียวหรือไง เอาไหมล่ะ จัดให้ได้นะ ยินดี”

    กวินเลี่ยงไปสู่ประเด็นอื่น

    “กินข้าวก็ให้ทิปเด็กเสิร์ฟมันเยอะ ๆ ด้วยล่ะ รวยแล้วก็แบ่งปันรายได้ให้คนอื่นบ้าง”

    “นี่คุณยังไม่โกรธผมในประเด็นนี้อีกหรือ พอเถอะน่า อวดรวยบ้าบออะไร ตอนนั้นผมก็แค่ไม่อยากเก็บเหรียญไว้เยอะ ๆ มันหนัก”

    “โอ๊ย... ถ้าแค่นั้นคุณให้ผมเก็บให้เสียก็สิ้นเรื่อง”

    “เห็นแก่เงิน”

    “เห็นแก่คุณต่างหาก” กวินพูดออกไปโดยที่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะใจกล้าหน้าด้านพูดอะไรเป็นเชิงอ่อยเช่นนั้นออกไปได้ แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ดูท่าว่าวิษณุจะไม่ได้ยินประโยคดังกล่าว เพราะมีสิ่งอื่นมาฉวยเอาความสนใจของชายหนุ่มไปเสียก่อน

    รถกระบะคันหนึ่งจอดแอ้งแม้งอยู่ข้างทาง ในลักษณะที่ฝากระโปรงเปิด ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งกำลังพยายามโบกรถตามทางให้จอดราวกับขอความช่วยเหลือ

    วิษณุค่อย ๆ ชะรอรถ ในขณะที่กวินรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายฉกรรจ์อีกสองคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูเครื่องยนตร์พร้อมกับสูบยาเส้น แล้วถ่มน้ำลายลงพื้น ก่อนจะชำเลืองไปเห็นผู้หญิงอีกหนึ่งคนที่นั่งให้นมลูกอยู่บนกระบะด้านหลัง สายตาของเจ้าหล่อนชำเลืองมองรถที่ผ่านไปแต่ละคันด้วยสายตาแน่นิ่งแบบแปลก ๆ

    ไม่มีรถคันไหนจอด ทำเอาชายฉกรรจ์ผู้ที่พยายามโบกรถตีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

    วิษณุมองกลุ่มคนเหล่านั้นอย่างให้ควาสนใจ ในขณะที่กวินอดที่จะพูดออกไปไม่ได้

    “เอาจริง ๆ นะ ให้ตายยังไงผมก็ยังยืนยันความรู้สึกเดิมว่าคนพวกนี้ไม่น่าไว้วางใจ”

    “พวกเขาก็แค่ต้องการความช่วยเหลือ” วิษณุสวนขึ้นทันควัน พร้อมกับดับเครื่องยนตร์แล้วเดินลงจากรถไป ทิ้งให้กวินนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย

   คนอินดี้ก็ยังอินดี้อยู่วันยังค่ำ !
      


--------------------------------------------------------------

เอาตอนใหม่มาลงครับ ขอโทษอีกครั้งที่หายไปนาน แหะ ๆ (รู้สึกว่าพูดประโยคนี้บ่อยมากเหมือนเกิน)

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนครับ  ^ ^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 28-06-2010 07:23:58
 :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 28-06-2010 14:14:25
กวินกำลังดีขึ้น มองโลกได้กว้างขึ้นเมื่อมีวิษณุมาช่วยเปิดประตูชีวิตให้

อ่านถึงตอนท้ายๆหวั่นใจว่า คนพวกนั้นจะไม่ใช่คนดี คนอินดี้อย่างวิษณุก็น่าจะละเว้นบ้าง  ไม่ใช่ช่วยดะ  ระวังจะเหลือแต่ตัว
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 28-06-2010 14:42:00
โอ๊ะ โอ อย่าให้เป็นเหมือนที่คิดนะ
ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นพวกทุจริตชนน่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Ryze ที่ 28-06-2010 14:57:50

..มันต้องมีอะไรแน่ๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆ มันต้องมีอะไรแน่ๆ (เอคโค่อยู่ในหัว...)


 :z3:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 28-06-2010 16:30:51
 :sad4: จะโดนโจรปล้นมั๊ยนะ  o18

เหตการณ์เลวร้ายเพียงเหตการณ์เดียวช่วยชีวิต ทั้งคนเป็นและคนเกือบตายได้
กวินได้มุมมองชีวิตและมุมมองสิ่งรอบตัวใหม่ๆ ไม่มัวแต่คิดอคติและมองโลกในแง่ดำมืดสุดขั้ว
แบบแต่ก่อนแล้ว ออร่าคนมีค.รักมันสีชมพูแปร๋นมาแต่ไกลเชียว ต่างคนต่างเขินฮิ้ววว
ถึงปากอิคุณวิษณุยังเป็นเหมือนกันแต่ก็คงค.ละมุนอยู่บ้างมะกัดแหลกแบบแต่ก่อน
ครึๆ ต่อไปไม่ได้เจอหน้ากันทุกวันแล้ว จะจีบก็รีบจีบเน้อ ตีเหล็กต้องตีตอนร้อน เอิ๊ก

อ่านเรื่องนี้อีกครั้งกี่หนก็ได้อะไรตลอดๆเลยนะคะ เราชอบตอนที่พูดถึงตาของมนุษย์อ่ะ
เข้าใจอธิบายดี
ถ้านัยน์ตาของคนยังถูกสร้างไว้ให้มีถึงสองดวง นั่นไม่ใช่นัยนะอันน่าสนใจของธรรมชาติหรอกหรือ ว่ามนุษย์สามารถ “เลือก” ที่จะมองได้ ถ้าปิดตาขวา ก็จะเห็นภาพจากมุมของตาซ้าย ปิดตาซ้าย ก็ได้ภาพของอีกข้าง ลืมตาขึ้นมาพร้อมกัน ภาพทั้งสองก็ผสมผสานกันจนลงตัว
>> o13 o13

แล้วก็อีกอัน
จิตใจที่สงบมักจะนำพาซึ่งชัยชนะอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์อันร้ายดีสักเพียง ไหนก็ตาม สถานการณ์ร้ายฟื้นฟูขึ้นได้ด้วยจิตใจที่มั่นคงฉันใด ตรงกันข้าม สถานการณ์ที่ดีอาจจะกลับตาลปัตรพลิกผันไปสู่ทางเลวได้ภายในเสี้ยวเวลาเพียง เพราะใจที่ว้าวุ่นก็ฉันนั้น
>>ชอบอ่ะ จดยิกๆ

ความไม่ยั่งยืนของสิ่งรอบข้าง รวมไปถึงคุณสมบัติอันฉาบฉวยของความสวยงาม ที่ส่วนใหญ่แล้วมันมักไม่มีอยู่จริง หากแต่เกิดขึ้นเพราะความรู้สึกคิดฝันไปเองก็เท่านั้น
ความคิดฝันที่พร้อมจะแปรปรวนและเปลี่ยนแปรไปได้อยู่ตลอด

>> มุมมอง ความคิด และภาษา  o13


เป็นกำัลังใจให้นะคะ + 1 คะ


หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 28-06-2010 17:20:37
โอ๊ะ โอ อย่าให้เป็นเหมือนที่คิดนะ
ว่าคนกลุ่มนั้นเป็นพวกทุจริตชนน่ะ


คิดเหมือนกันเลย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 28-06-2010 18:40:12
ขอบคุณค้า  :L2:

อิอิ กาแฟหวานนนนนนนนนนนนน  :-[


ขอให้เหมือนขามา  :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 28-06-2010 19:42:18
เมื่อความรักมาเยือนหัวใจ หลายๆอย่างมักจะดีขึ้น 55+  :-[
แอบระแวงเหมือนกวินนะ หวังว่าคงไม่โดนปล้นหรือทำร้ายเอาน๊า  :serius2:

เป็นกำลังใจให้เช่นเคยค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 01-07-2010 02:43:33
มาเงียบๆอีกแล้วววววววว เขียนสนุกเกินไปแล้ว ๕๕๕


กวินนี่ต้องเรียกว่าเป็นพวกตอบสนองต่อสิ่งภายนอกได้ดีป่ะ?
จากลักษณะที่เห็นก็แลดูไม่ใช่คนดีแล้ว อาจจะมีประเด็นเกิดขึ้น

ชอบตอนกาแฟนะ มาแบบนิ่งๆ ชะมัด

รอจ้ารอ....
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 03-07-2010 21:22:32
18


        รถเก๋งสีดำค่อย ๆ ชะลอความเร็วลงบริเวณถนนกลางเมืองที่เริ่มเงียบกริบในเวลาดึกดื่นค่อนคืน ขณะที่บรรยากาศภายในรถเองนั้นก็เงียบกริบพอกัน แม้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาจะเต็มไปด้วยบทสนทนาและสีสันมากมายสักเพียงไหน แต่ทันทีที่รถเคลื่อนขึ้นทางด่วนอันเป็นสัญญาณว่าใกล้จะถึงปลายทาง น่าแปลกที่อะไร ๆ หลายอย่างกลับเงียบงันลงไปอย่างง่ายดาย

    ก่อนที่รถยนต์จะจอดสนิท กวินรู้สึกเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก น่าแปลกตรงที่อีกฝ่ายเองก็ไม่ยอมพูดอะไรเช่นกัน พอมานึกย้อนดู ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา วิษณุก็แทบจะไม่พูดอะไรอยู่แล้ว กวินต่างหาก ที่เป็นคนเริ่มทำลายความเงียบต่าง ๆ นา ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายแค่เพียงขานรับนิดหน่อยก็เท่านั้น

    นั่นสิ... ที่ผ่านมามันเป็นแบบนั้น

    กวินถอนหายใจ ในจังหวะเดียวกับที่รถจอดสนิท บอกไม่ได้เหมือนกันว่ากำลังรู้สึกเช่นไร มันคลับคล้ายคลับคลากับความรู้สึกตอนเวลาดูหนังที่กำลังใกล้จะจบแล้วยังไม่อยากลุกจากจอไปไหน ในขณะที่อีกห้วงความรู้สึกหนึ่ง ก็เป็นไปในทำนองที่คาดหวังอะไรสักอย่างจากอีกฝ่ายโดยที่เคลือบแฝงไว้ด้วยความละอายในความคาดหวังนั้นผสมอยู่ด้วย

    ให้ตายเถิด ! กวินรู้สึกใจหายอย่างประหลาด และรู้สึกเสียดายอย่างบอกไม่ถูกถ้าทุกอย่างมันจะจบลงเพียงเท่านี้ เพียงแค่ถูกปล่อยลงตรงหน้าคอนโด แล้วจากนั้นรถเก๋งคันนี้ก็เคลื่อนหายจากไป เหลือไว้แต่เพียงร่องรอยอันจับต้องไม่ได้ของความทรงจำ ที่พอปล่อยไว้นานวันมันก็เลือนรางจนไม่ต่างอะไรกับจินตนาการที่ไม่มีจริง ความน่าใจหายมันอยู่ตรงที่ว่า ยังไม่มีทีท่าอันใดจากวิษณุที่จะทำให้กวินรู้สึกได้ว่าตนกำลังคิดผิด !  

    วันพรุ่งนี้... ทุกอย่างก็คงจะมลายหายไปเหมือนเพียงความฝันตื่นหนึ่ง

    กวินเกลียดความฝัน โดยเฉพาะฝันดีนั้นน่ากลัวกว่าฝันร้ายหลายเท่านัก ถ้าเลือกได้กวินขอหลีกเลี่ยงความฝัน หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้ ก็ขอยอมหวาดผวากับฝันร้ายไปทุกคืนทุกวันยังจะดีเสียกว่า อย่างน้อย ฝันร้ายก็ยังทำให้รู้สึกดีเมื่อตื่น สามารถปลอบประโลมตัวเองได้ว่าโลกแห่งความจริงไม่เลวร้ายเช่นนั้น ตรงกับข้ามกับฝันดี ฝันดีคือความหลอกลวงอย่างร้ายกาจหาใดเปรียบ ยิ่งถ้าว่าฝันดีนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ปรารถนา มันพาให้ช้ำใจได้เสมอเหมือนถูกตอกย้ำว่าสิ่งเหล่านั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้นในโลกแห่งความจริงหลังการตื่นจากนิทรา

    ถอนใจอีกคำรบ ในขณะที่หัวสมองยังรู้สึกมึน ๆ ตึง ๆ อยู่เล็กน้อย ค่อย ๆ เดินลงไปหยิบกระเป๋า พยายามที่จะไม่มองหน้าอีกฝ่าย และพยายามที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดูราบเรียบและนิ่งเฉยที่สุด ตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง วิษณุเดินเข้าไปช่วยยกของ แต่ก็ดูเป็นความช่วยเหลือที่แห้งแล้งและเย็นชายิ่งนักเมื่อคิดจากมุมความรู้สึกของกวิน ปฏิเสธไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้ว กวินก็ยังคาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากเขาอยู่ดี จะเป็นการพูดคุย การเชิญชวน หรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้อะไร ๆ มันจะไม่จบเพียงเท่านี้

    ไม่เลย... ไม่มีทีท่าอันใดที่แสดงออกมาจากเขา ราวกับเป็นการสื่อให้กวินรับรู้ทางอ้อมว่ามันไม่ควรและไม่น่าจะมีอะไรต่อเนื่องไปจากนี้อีก วิษณุไม่พูดอะไร แม้ในจังหวะที่กวินตั้งท่าจะเดินเข้าไปในคอนโด เขาก็ยังคงไม่พูดอะไรอยู่ดี นอกจากส่งเสียงเบา ๆ ในลำคอที่พอจะตีความได้ว่านั่นคือการบอกลา

    เกินกว่าที่จะทนได้ไหว กวินไม่อาจจะบังคับควบคุมความทรนงไว้ได้อีกแล้ว ตัดสินใจทำตามความรู้สึกที่ไม่อยากจะให้มันจบลงง่าย ๆ หันหลังกลับไปประจัญหน้ากับวิษณุ พยายามจะเอ่ยปากในสิ่งที่ใจกำลังคิด แต่ก็ดูคล้ายว่าจะเป็นไปได้ยากพอสมควร

     “คุณ !” กวินร้องเรียก และพยายามจะพูดต่อ แต่แววตาของอีกฝ่ายที่จ้องกลับมาทำให้ความปราดเปรียวในการคิดหาคำพูดลดลงไปอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อคำพูดติดขัด จึงจำเป็นจะต้องใช้ท่าทางเข้าช่วย กวินเลียริมฝีปากเพื่อลดอาการประหม่า ทำมือเป็นมือเป็นโทรศัพท์แล้วค่อย ๆ ยกมาแนบหู ก่อนจะเอ่ยไปอย่างติด ๆ ขัด ๆ “ผมขอ...”

    วิษณุทำท่าเหมือนไม่เห็นท่าทางเช่นนั้น และไม่ได้ยินในสิ่งที่กวินพูด ชายหนุ่มเปิดประตูรถ แล้วรีบพูดแทรกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

   “ผมขอตัวก่อนนะ ดึกแล้ว ง่วงมาก”

    กวินหน้าเจื่อนไปอย่างเห็นได้ชัด อาจจะชัดพอจนทำให้วิษณุรู้สึกได้ ชายหนุ่มถอนใจเบา ๆ อีกหนึ่งครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงแกน ๆ

    “เดี๋ยวโทรหา”

    กวินพยักหน้าโดยอัตโนมัติ ในขณะที่รู้สึกใจสลายอย่างบอกไม่ถูก แต่อีกห้วงหนึ่งของความรู้สึกก็ยังพอใจชื้นได้อยู่บ้างโดยปลอบโลมว่าวิษณุอาจจะพูดจริง แต่ก็นั่นแหละ กวินไม่ไร้เดียงสาถึงขนาดจะดูไม่ออกว่าวิษณุคงแค่พูดเพื่อให้การจากลาดูไม่น่าเกลียดเกินไปก็เท่านั้น

    เอาเถิด... กวินไม่อยากจะคิดมากและเครียดกับอะไรให้มันเกินไปอีกแล้ว พยายามจะยิ้มขึ้นมาให้ได้ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่รู้ว่าวิษณุจะทำตามที่ว่าหรือไม่ แต่ถ้าทำจริง กวินก็คงจะดีใจไม่น้อยที่ทุกอย่างจะไม่จบลงแค่นี้

    วิษณุขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กวินก็ยังยืนยันได้ว่าตนเองรู้สึกใจหายและเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

    เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทันที ทำเอากวินถึงกับใจพองโตในจังหวะแรก รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว ใจนั้นคาดหวังไปก่อนหน้าว่าใครเป็นผู้โทรมา..

    ...แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก

    “ว่าไงพิม” กวินกดรับสาย พร้อมกับผ่อนลมหายใจ “ใช่.. มาถึงแล้ว คุณณุเขาเพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้นี่เอง”

    เสียงสั่นเครือจากปลายสายตอบกลับมา บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้กวินรู้สึกสะท้านเยือกอย่างถึงที่สุด    


*** **** ***** **** ***


     ท่ามกลางบรรยากาศของความเงียบเชียบอย่างหดหู่ของผู้คนทั้งหลายโดยรอบ   กวินได้แต่ยืนนิ่ง บอกไม่ได้แน่ชัดว่ากำลังรู้สึกเช่นไร จะว่าเสียใจก็ไม่เชิง เพราะความรู้สึกเช่นนั้นน่าจะเกิดขึ้นแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบกับการสูญเสียครั้งนี้โดยตรงมากกว่า กวินไม่น่าจะมีผลพลอยอะไรถึงขั้นนั้น แต่ครั้นจะบอกว่ารู้สึกเฉย ๆ ไปเลยก็เห็นทีว่าจะไม่จริง มันเป็นความรู้สึกที่เยือกเย็นอยู่ในห้วงใจ ที่ก่อร่างปกคลุมอยู่ในห้วงความรู้สึกของกวินมาสามวันติดต่อกัน และดูคล้ายว่ามันจะมากทวีขึ้นมาในวันนี้

    ขบวนแห่เสร็จสิ้นจากการวนรอบสุดท้าย พิธีกรรมยังคงดำเนินต่อไป ย้ำชัดว่ากลไกของร่างกายของใครคนหนึ่งได้หยุดนิ่งลงไปแล้วอย่างถาวร และดูเหมือนในชั่ววินาทีนั้น จิตวิญญาณของใครบางคนก็อาจจะสูญสิ้นไปด้วยในระยะเวลาชั่วคราว

    พิมร้องไห้ออกมาอย่างขาดสติในเวลานั้น เมื่อโลงศพถูกเปิดออกเป็นครั้งสุดท้าย ราวกับหล่อนได้อัดอั้นความเสียใจอย่างใหญ่หลวงเอาไว้มาตลอดเจ็ดวัน ในบัดนั้นเอง พิธีกรรมและแขกเหรื่อที่ต้องดูแลจัดการไม่อาจจะขวางกั้นหล่อนมิให้เข้าสู่ภาวะอันเปราะบางทางอารมณ์ที่จำเป็นต้องแสดงออกอย่างเหลือล้นได้อีกต่อไป

    ตรงกับข้ามกับพิม... กวินยังไม่เห็นการแสดงออกอย่างเกินงามจากวิษณุเลยสักครั้งเดียว เขายังคงเงียบสงบเหมือนเคยเฉกเช่นเสาหินที่มั่นคงแข็งแรง พิมที่กำลังร้องไห้ฟูมฟายโผกอดเขาราวกับใช้เป็นหลักยึด และเขาก็ยังคงแสดงออกอย่างเข้มแข็งสมกับความเป็นพี่ชายได้อย่างสมบูรณ์แบบ

    กวินไม่ได้พูดคุยกับเขามากมายนักตั้งแต่กลับมาจากบ้านพัก นอกจากทักทายเล็กน้อยและถามไถ่กันคำสองคำตามสถานะของคนรู้จัก กวินนึกไม่ออกว่าควรจะพูดคุยอะไรกับเขา แล้วสถานการณ์ดูไม่เอื้ออำนวยเสียเท่าไร ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่กวินเห็นว่าเขาต้องแบกรับอะไรบ้างกับงานศพทำให้กวินไม่กล้าจะเข้าไปพูดไปคุย แม้บางทีจะอดรู้สึกไม่ได้ว่าท่ามกลางความนิ่งสงบอันฉาบเอาไว้อยู่เบื้องนอกนั้น เป็นไปได้หรือที่ภายในเขาจะไม่ได้รู้สึกเปราะบางและอ่อนไหวไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าแท้จริงแล้วเขากับวรรณีนั้นก็สนิทสนมและรักใคร่กัน รวมไปถึงอะไรหลางอย่างที่พิสูจน์ได้เช่นกันว่าเขาคือหลานชายที่เคารพคุณป้าของเขาเสียอย่างกับอะไร กวินรู้ดีและมีบางช่วงเวลาที่อยากจะเข้าไปปลอบโยนและช่วยเยียวยาตัวเขาบ้างไม่มากก็น้อย แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงความคิด ไร้ซึ่งการกระทำ ราวกับเอาเข้าจริง กวินก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองจะไปช่วยอะไรได้หรือไม่และไม่แน่ใจด้วยว่าอีกฝ่ายจะต้องการมันมากแค่ไหน และกวินเองก็ไม่มีความมั่นใจในการทำอะไรเช่นนั้นเสียด้วย

    “ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นสัญญาณของความเลวร้ายไปได้ยังไง” พิมเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์คืนก่อนที่กวินจะกลับมากรุงเทพ ตอนนั้นเป็นวันสวดอภิธรรมวันแรก “จู่ ๆ ก็เหมือนว่าคุณป้าจะกลับมามีสติ ท่านจำอะไรต่ออะไรได้มากขึ้น ไม่โวยวายอาละวาด แกตื่นขึ้นมาตอนบ่าย เสร็จแล้วก็เรียกหาฉันยกใหญ่ พูดคุยรู้เรื่อง และก็ไม่เอ่ยถึงงานเขียนอะไรอีกต่อไปเลย เหมือนปาฏิหาริย์ อาการของแกดีขึ้นอย่างเหลือเชื่อ นี่มันไม่ใช่สัญญาณร้ายเลย ให้ตายยังไงฉันก็ไม่มีทางจะคิดว่ามันจะนำไปสู่อะไรที่ไม่คาดฝันแบบนี้ได้ จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ทางโรงพยาบาลก็โทรมาบอกว่าคุณป้าเสียชีวิต”

    กวินรู้สึกสะท้อนขึ้นมาในหักอก เมื่อนึกถึงถ้อยคำและสีหน้าของพิมในตอนนั้น เห็นได้ชัดความหล่อนเป็นหญิงสาวที่สามารถควบคุมอารมณ์และความโศกเศร้าได้เป็นอย่างดี

    “หัวใจล้มเหลว” พิมบอกถึงสาเหตุ “โชคชะตามันเป็นอะไรที่เราคาดเดาไม่ได้เลยสักนิดเดียว”

    กวินเชื่ออย่างสุดใจว่าพิมพูดถูก

    วรรณี วรรณรัตน์จากไปแล้ว... สตรีที่มีชีวิตอยู่กับการเขียนงาน... กวินไม่แน่ใจว่าในโลกของความจริง ชีวิตของนักเขียนชั้นครูผู้นี้เป็นเช่นไร แต่ในโลกของหล่อนที่ปรากฏผ่านออกมาบนหน้าหนังสือ มันกลับเป็นโลกที่คุกกรุ่นด้วยกระแสแห่งชีวิต ตัวอักษรทุกตัวบนหนังสือเก้าสิบเก้าเล่มกรุ่นไว้ด้วยกลิ่นของลมหายใจอันเข้มแข็งที่ผู้อ่านสามารถสูดรับไว้และเยียวยาผู้คนมิให้รู้สึดหมดอาลัยตายอยากไปความหดหู่หม่นหมอง

     วรรณี วรรณรัตน์เป็นคนเช่นไร มีชีวิตอย่างไร และมีตัวตนอันจริงแท้แบบไหน สิ่งเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา และกวินก็คงไม่อาจจะพิสูจน์ความสงสัยเหล่านี้ได้อีกต่อไป เมื่อโชคชะตาได้เจ้าหล่อนให้จากไปเสียแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ยังคงอยู่ต่อไป ก็คือผลิตผลของลมหายใจที่ได้ถูกถ่ายทอดเอาไว้

    ในหลายชั่วขณะของการทอดถอน ลมหายใจของมนุษย์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาล้วนเป็นเพียงสายลมบางเบาที่ไร้ประโยชน์ มันเต็มไว้ด้วยผลผลิตของความเหน็ดเหนื่อย สับสน และอ่อนล้า กวินเองก็ไม่ได้ต่างจากคนอื่นมากมาย แม้ท่วงทีจะต่างกัน แต่สุดท้ายมนุษย์เกือบทุกคนก็ล้วนถอนหายใจออกมาเป็นกระแสแห่งความทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น

    ไม่มีใครรู้หรอกว่าตอนมีชีวิต วรรณี วรรณรัตน์จะถอนหายใจสักกี่มากน้อย จะมีความทุกข์ยากมากมายเพียงไหน ชีวิตของวรรณีไม่อาจถูกพิสูจน์อีกต่อไป แต่สิ่งที่ยืนยาวกว่าชีวิตนั้น ย่อมพิสูจน์ตัวเองได้มิรู้จบ เก้าสิบเก้าเล่มที่ยังคงอยู่ บ่งบอกไว้ชัดเจนว่าคงจะมีหลายต่อหลายครั้งที่วรรณี วรรณรัตน์ถอนหายใจออกเป็นสายลมแห่งความหวังที่แบ่งปันให้ผู้คนทั้งหลายฉวยเอาไปใช้ได้เพื่อช่วยให้จิตใจของคนทุกผู้ได้เบ่งบานออกมาเป็นดอกใบแห่งความคิดความหวัง

    กวินเดินแทรกผู้คนเข้ามาในส่วนที่อยู่ชิดกับโลงศพ ยื่นหน้าเข้ามองกับลำตัวซีดเซียวของผู้ตาย ก่อนจะค่อย ๆ วางต้นฉบับงานที่เพิ่งพิมพ์ออกมาสด ๆ ร้อน ๆ ลงไปบนร่าง ในขณะที่ภายในใจนั้นคารวะต่อหล่อนอย่างจริงใจ

    หันกลับมาสบตากับวิษณุที่เดินเข้ามาใกล้ รู้สึกได้ประกายวูบไหวบนนัยน์ตาคู่นั้นที่ชวนให้กวินรู้สึกเจ็บแปลบยิ่ง แต่ก็ไม่กล้าจะทำอะไรสักอย่างนอกจากยิ้มให้เล็กน้อย ใจนั้นคาดหวังว่าวิษณุจะทำอะไรสักอย่างที่ช่วยให้กวินรู้สึกเบาใจและกล้าที่ปลอบโยนเขา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่เกิดขึ้น วิษณุยิ้มตอบเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ วางดอกจันทน์ลงบนฝ่ามือของวรรณี โดยรวมแล้วท่าทีของเขายังคงสงบนิ่งเช่นเคย

    กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่ง ศพถูกเลื่อนเข้าไปในภายในเชิงตะกอน เป็นสัญญาณสุดท้ายที่ชัดเจนและแจ่มแจ้งว่าวรรณี วรรณรัตน์จากไปแล้วอย่างถาวร     

    ควันไฟลอยออกจากปล่องเมรุอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ สลายหายไปในบรรยากาศ ในขณะที่เปลวเพลิงด้านล่างยังคงคุกกรุ่นอย่างโศกเศร้า เสียงพลุที่กรีดเสียงแทรกขึ้นมาบีบคั้นให้จิตใจอันบอบช้ำของคนโดยรอบให้แหลกสลายลงไปในคราวเดียว ก่อนที่บรรยากาศโดยรอบจะกลับมาเงียบงันอย่างเหลือประมาณ เค้าคลอด้วยเสียงสะอื้นไห้บางเบาที่คล้ายกับจะเลื่อนลอยออกไปพร้อมกับหมู่ควันที่ค่อย ๆ จางหายไปหลอมรวมกับความว่างเปล่าของฟากฟ้า


*** **** ***** **** ***


    กวินเดินเข้าไปในสำนักพิมพ์หลังจากที่ไม่ได้กลับมานาน ไม่แน่ใจว่ามธุรสมีธุระอันใดถึงได้เรียกเขาเข้ามาพบ จะคุยกันทางโทรศัพท์ก็ไม่ยอม สำหรับกวินแล้ว การทำงานของผู้คนในเมืองยังคงวุ่นวายและชวนให้เหนื่อยล้าเช่นเดิมไม่เคยเปลี่ยนแปลง แย่งกันขึ้นรถเมล์ แย่งกันขึ้นลิฟต์ ท่ามกลางแดดจ้าและเขม่ามลพิษ ยังไม่รวมถึงสวัสดิภาพต่าง ๆ ที่แลดูคล้ายจะบางเบาเสียเหลือเกิน

    มธุรสยังคงเป็นเช่นเดิม เดินวุ่นวายสั่งตรวจงานแก้งานไม่หยุดหย่อน โดบไม่แยแสว่าจะการประทำแบบนี้จะก้าวล้ำความคิดหรือแทรกแซงงานฝ่ายใดบ้าง สิ่งเดียวที่หล่อนคิดคือทุกอย่างจะต้องสมบูรณ์ในนามของตัวเอง เสียงของขจรดังแว่วมาอย่างต่อเนื่อง ร่างตุ้ยนุ้ยของขจรกำลังสาวเท้าเดินตามมธุรสอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับพรั่งพรูคำพูดตัวเองจนเหงื่อตก ตรงกันข้าม มธุรสเหมือนจะเดินหนีขจรอย่างเป็นเอาตาย และไม่มีท่าทียี่หระอันใดต่อการตามติดของขจรเลยแม้แต่น้อย

    “พี่รสครับ” ขจรยังไม่เหนื่อยกับการตามตื๊อ “ผมยังยืนยันนะพี่ ว่ามันจะเป็นงานที่มีคุณค่ามากที่สุดในรอบปี พี่รสดูสถานการณ์การเมืองที่เพิ่งเกิดสิครับ งานของผมมันตอบสนองอุดมการณ์ตรงนี้เลยนะ โธ่ ! พี่รส ถ้าพี่ไม่พิมพ์งานนี้ ผมบอกได้เลยว่าพี่จะเสียใจ”

     มธุรสทำเป็นไม่สนใจ หันไปคุยงานกับพนักงานคนอื่น ขจรงุ่นง่านยิ่งกว่าเดิม พอมธุรสคุยเสร็จก็เดินหนี ขจรก็ยังเดินตามติด ๆ

    “พี่รส ! ผมขอแค่ให้พี่ลองอ่านก็ได้เอ้า พี่ยังไม่เคยแม้แต่จะเปิดดูเลยนะครับ แล้วพี่จะรู้ได้ยังว่ามันดีไม่ดี”

    มธุรสยังคงไม่แยแส ทำเอาขจรเริ่มจะแสดงอาการน้อยใจอย่างเห็นได้ชัด    

    “นี่ผมทำงานให้พี่มาตั้งเยอะ ช่วยพี่เรื่องสำคัญ ๆ ด้วย แค่ตีพิมพ์งานให้แค่นี้ พี่ให้ผมไม่ได้เลยหรือ”

    ราวกับคำพูดดังกล่าวนั้นหยาบคายไม่เป็นจริง หรือไม่มันก็อาจจะตรงกับความจริงจนเกินไปนั่นเอง แต่ที่แน่ ๆ มันก็ทำเอามธุรสถึงกับไม่อาจจะทนเมินเฉยได้อีกต่อไป เป็นครั้งแรกตั้งแต่เดินเข้ามาในสำนักพิมพ์ ที่กวินเห็นว่ามธุรสหันกลับไปพูดกับขจรอย่างเอาจริงเอาจัง

    “ขอโทษนะจ๊ะขจร” มธุรสพูดด้วยเสียงเย็นชาชนิดที่กวินฟังแล้วยังรู้สึกขนลุก “พี่ชอบคนที่คุยกันด้วยฝีมือ พี่ไม่ชอบระบบบุญคุณ”

    “แต่ว่า...” ขจรพยายามจะเถียง แต่ด้วยสายตาเยียบเย็นที่มองมาก็ทำเอาพูดอะไรไม่ออก มธุรสปรายตามองต้นฉบับในมือของขจรอย่างดูแคลน

    “เก็บงานของเธอไปเสีย พี่ไม่ได้ตัดสินนะว่ามันดีหรือไม่ดี แต่แค่พี่ไม่ชอบ เท่านั้นแหละจ้ะ  อ่อ ! แล้วก็ไม่ต้องพูดเรื่องทำงานกับพี่อีกแล้ว ตอนแรกพี่กะจะบอกพรุ่งนี้ แต่พี่บอกตอนนี้เลยดีกว่า...” มธุรสผ่อนลมหายใจด้วยท่าทีเรียบเฉย ก่อนจะพูดต่อออกมาอย่างเด็ดขาดด้วยน้ำเสียงและท่าทีอันสงบนิ่งจนน่ากลัว “เธอไม่ผ่านการทดลองงาน...ไปเก็บของเสียนะ คือพี่น่ะก็ไม่อะไรมาก แต่ทางสำนักพิมพ์ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่จ้างเธอต่อ”

    มธุรสเดินหนีจะเข้าห้อง แต่หันหน้ามาเห็นกวินก่อน

    “ไม่เคยจะตรงเวลาเหมือนเดิม” มธุรสเริ่มต้นการทักทายด้วยการติเตียน ทำเอากวินรู้สึกเจื่อนไปเล็กน้อย “เดี๋ยวเข้ามาคุยกับพี่ในห้องแล้วกัน”

    มธุรสเดินเข้าห้องไป ในขณะที่ขจรยังยืนนิ่ง ทุกคนต่างเริ่มซุบซิบถึงเรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้น ไม่รู้ว่าด้วยความรู้สึกเวทนาระดับไหน พาให้กวินค่อย ๆ เดินเข้าไปหาขจร พบว่าขจรหน้าซีดมาก กัดฟันแน่น และเหมือนจะมีน้ำตาคลอ กวินถอนใจ มองขจรอย่างสงสาร เพราะเอาเข้าจริงก็รู้จักกับขจรมานานน่าจะสี่หรือห้าปีเป็นอย่างน้อย เห็นความล้มลุกคลุกคลานอย่าน่าสมเพชมาตลอด ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ขจรเป็นประเภทที่ทำอะไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง ความแปลกทางบุคลิกและระบบความคิดบางอย่างกีดกันขจรออกจากการถูกยอมรับของคนรอบข้าง ทำอะไรก็ไม่มีใครสนับสนุน ไม่มีฝักฝ่ายไหนจะคอยเข้าข้าง โดดเดี่ยวอยู่ตลอดเวลา และก็ยังไม่เคยมีใครให้โอกาสมันเลยสักครั้งเดียว  

    “ใจเย็นเถอะมึง” กวินพยายามจะคิดหาคำปลอบโยน คิดเสียว่าถึงจะกระแทกแดกดันมามากขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ยังเป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมา ได้เห็นชะตากรรมกันแบบนี้ก็อดจะสงสารไม่ได้ “ถึงกูจะชอบด่างานมึง แต่ถ้าให้พูดกันจริง ๆ มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก”

     ขจรเงียบ คล้ายกับพูดอะไรไม่ออก กวินจึงตัดสินใจพูดต่อ

    “เอาจริง ๆ ที่กูเคยด่าว่างานมึงเชยและผิดยุค กูขอโทษนะ กูโง่เข้าใจผิดไปเอง ดูไปดูมา ไอ้การกดขี่ทางชนชั้นมันก็ยังไม่เชยไปจากเมืองไทยเสียทีเดียวอย่างที่มึงว่านั่นแหละ งานมึงเอ่ยถึงเรื่องนี้มันก็ดีตรงที่ว่ามันจะได้กระตุ้นให้คนไม่หลงลืมไปว่านอกจากพวกนายทุนและกระแสโลกาภิวัฒน์แล้ว ก็ยังมีชนชั้นและค่านิยมศักดินาอีกประเภทที่ยังคงกดขี่คนจนอยู่ไม่เลิก แต่ก็นั่นแหละ กูว่างานมึงมันไร้เดียงสาไป มึงเหมาเอาง่าย ๆ แค่ว่าโครงสร้างทางสังคมมันเหลื่อมล้ำ แต่มิติอะไรต่าง ๆ ของมึงกลับแบนไปหมด ความน่าสนใจมันจะไปเกิดได้ยังไง กูว่ามันควรจะซับซ้อนกว่านี้ อย่างเช่น...”

    “พูดพอหรือยัง” ขจรพูดแทรกขึ้นมาด้วยเสียงสั่นเทา “ที่มึงพล่ามเหี้ยอะไรอยู่ได้เนี่ย มึงว่ามึงจะพูดอีกนานไหม”

    “เห้ย... ขจร เอา ๆ จริงเถอะ มึงไปลองดูแล้วปรับแก้ดู ใส่ใจในประเด็นที่กูบอก มึงอาจจะเห็นอะไร ๆ มากขึ้นก็ได้”

    “เอาจริง ๆ เหมือนกัน” ขจรขบฟันแน่น “มึงจะทำตัวเป็นกูรูรู้ดีเสนอหน้าวิจารณ์ใครก็เรื่องของมึง  แต่ไม่ต้องมาเสือกกับกู !”

    ขจรเดินกระแทกหนีไปอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง ในขณะที่กวินได้แต่ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย


-----------------------------------------------------------

มาลงตอนใหม่ครับ

ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับผม
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 03-07-2010 22:05:46
วิษณุอะไรยังไงเนี่ยยย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 28/06/2010ลงแล้ว17ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 03-07-2010 23:03:53
คุณวิษณุคะ รอให้จีบไ่ม่จีบถ้ารุกขึ้นมาอย่าหาว่ากวินทำตัวไม่งาม
ไม่ได้นะคะ ทำเฉยเมย แย่ที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ส่วนการเสียชีวิตของคุณป้า เฮ้อออออออออออออออออออออออ
คุณวิษณุต้องเสียใจอย่างสุดซึ้งในอกล่ะ แต่เป็นลูกผุ้ชายจะแสดงค.อ่อนแอได้ยังไงเนาะ
ยังไงต้องเป็นหลักให้น้องสาวก่อนนั่นล่ะ
 
ส่วนกวิน เหมือนคนที่พึ่งกลับมาจากฝึกอะไรสักอย่างดูมองอะไรๆได้ปลงดีจัง
เฮ้อ คุณวิษณุแกจะเป็นฝันดี หรือ ฝันร้าย หรือฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงของกวินกันแน่ ชิส์
ส่วนขจร ขำมันแต่ก็สงสาร แหะ ส่งพี่รสจะเอาอะไรอีกล่ะคะนั่น เฮ้อออออออออออ

+1 คะ แหะๆ หัวเรื่องมะแก้เราเลยเข้ามาอย่างมึนแล้วได้อ่าน ดีใจจัง
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 05-07-2010 00:51:46

ได้อ่านสองตอนรวดเลย ดีใจจัง

ปล. มีคนใช้คำว่า พรรค์ เหมือนเราอีกคนแล้ว
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 05-07-2010 01:19:53
เย้ๆ มาอีกแล้ว

เหมือนกวินจะเปลี่ยนไป.....อีกนิด

+1 ค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 05-07-2010 01:52:23
อ่านรวดสองตอน ดีใจมากมายค่ะ
มุมมองและอะไรหลายๆอย่างของกวินก็เปลี่ยนไปด้วยเนอะ แต่วิศนุเย็นชาไปป้ะ เหมือนจะเป็นคนเก็บกฏ หรือไม่ก็ไม่แสดงออกทางอารมณ์ ระวังจะเป็นโรคจิตชนิดหนึ่นะ
เตือนมาด้วยเป็นห่วง55+
ส่วนขจรนั้น ถ้ามีคนลองแง้มเปิดโอกาสให้เขาคงมีคนสนใจ เปลี่ยนทัศณคติใหม่ๆให้ตัวเอง เลิกทำตัวงี่เง่าไปวันๆอ่ะคะ ถามว่าสงสารมั้ย มันก็สงสารนะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 07-07-2010 00:05:24
เริ่มออกมาจาก มุมมืด แล้วววววววว

เมื่อไหร่จะมาเจอกันอีกนะ

ขอบคุณค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: hephzibah ที่ 07-07-2010 09:20:04
ยากนะที่จะพูด
นิยายของขจรก็คงเป็นนิยายแบบที่เราไม่แตะเหมือนกัน
แต่อ่านนิยายของตัวเอกมากๆเข้าก็คงเอียนไม่แพ้กัน

มันเป็นอะไรแบบนั้นแหละ นิยายที่แบนไปด้านเดียวน่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-07-2010 10:20:13
 :L1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 07-07-2010 22:19:49
ดีใจจังเลย

ไม่ได้มาอ่านเสียนาน

คนอ่านมากขึ้นเยอะเลย

Cheerrrrrrrrrrrr
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 18-07-2010 22:08:08
19

   ท่าทีของมธุรสเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อหล่อนได้กลับเข้ามาในห้องทำงานขนาดกะทัดรัดอันดูเหมือนจะถูกสร้างไว้เป็นอาณาจักรเล็ก ๆ ของหล่อนเสียเอง หญิงสาววัยกลางคนร่างทะมัดทะแมงยืนชื่นชมเหล่ากระถางกระบองเพชรขนาดจ้อยที่ตั้งเรียงรายไว้ตรงบริเวณริมหน้าต่าง ถัดจากตู้ปลาขนาดย่อมที่จัดแต่งอย่างวิจิตร กวินค่อย ๆ เดินเข้ามาอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ ก่อนที่จะสบายใจขึ้นเมื่อมธุรสหันมายิ้มกว้างให้ ผกผันกับอารมณ์ก่อนหน้าที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง แต่อย่างไรก็ตามกวินยังทำตัวได้ไม่ค่อยจะถูกเท่าไรนัก เพราะถึงอย่างไรก็ยังเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีอารมณ์เช่นไร และมีธุระปะปังอันใด

    “พี่อ่านเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ รวดเดียวจบเลยล่ะ” มธุรสพูดขึ้นราวกับเปิดประเด็น ซึ่งทำให้กวินงุนงงมากกว่าเดิมเพราะไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องนี้ “ให้ตายสิ พี่ไม่เคยเห็นงานไหนของกวินจะลงตัวเท่านี้มาก่อนเลย มันสมบูรณ์แบบมาก”

    กวินขมวดคิ้ว ในขณะที่มธุรสวางกระถางกระบองเพชรลงที่เดิมแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ กวินร้องถามขึ้นทันทีเมื่อสติเริ่มกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว

    “นี่พิมให้พี่อ่านหรือครับ”

    มธุรสยิ้มเล็กน้อย ยังไม่ยอมตอบคำถามของกวิน หล่อนหันหน้าไปมองจอคอมพิวเตอร์ เอนหลังลงกับพนักพิงอย่างสบายอารมณ์ เปิดเกมไพ่ขึ้นมาเล่นราวกับกำลังรื่นรมย์เสียเต็มประดา ท่าทางเช่นนี้ทำให้กวินตระหนักรู้ถึงความคิดของเจ้าหล่อนอย่างทันทีและนั่นทำให้เกิดความไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด

    “ไม่มีทางนะครับพี่” กวินพูดเน้นคำ “ผมเคยบอกแล้วไงครับว่างานชิ้นนี้จะไม่ตีพิมพ์เด็ดขาด”

    “โธ่ ! กวินจ๊ะ” มธุรสพูดแทรกขึ้นมาอย่างทันท่วงที “ไม่เอาน่า งานดีแบบนี้เราจะเก็บเอาไว้กับตัวทำไม ให้คนอ่านได้อ่านจะดีกว่า”

    “แต่ว่า...” กวินพยายามจะเถียง แต่สุดท้ายก็เถียงไม่ออก อันที่จริงก็ไม่แน่ใจนักว่าต้องการจะห้ามปรามมธุรสไปเพื่ออะไรกันแน่ ถามว่าตอนนี้ยังคงตั้งแง่รังเกียจงานชิ้นนี้เหมือนเช่นเมื่อก่อนไหม ก็เปล่า ทั้งหมดอาจจะเป็นเพียงเพราะความไม่มั่นใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เสียก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้กวินจึงคิดหาเหตุผลอย่างหนักแน่นได้ไม่ออก สบช่องให้มธุรสรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    “เอาอย่างนี้นะกวิน ก่อนเธอจะพูดอะไร พี่อยากให้เธอรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเงินหลายแสนที่อาจจะได้จากงานเล่มนี้”

    เงียบไปนานพอสมควร นานพอที่กวินจะค่อย ๆ นึกไตร่ตรองก่อนจะพบคำตอบว่าเอาเข้าจริง มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะตีพิมพ์งานนี้ แถมมันอาจจะมีแต่ข้อดีด้วยซ้ำ มธุรสคงจะโปรโมตว่าเป็นงานที่เขียนอุทิศแก่วรรณี วรรณรัตน์ ซึ่งกลุ่มผู้อ่านคงจะกว้างขึ้น และสิ่งที่ตามมาก็คือยอดขายของเขาที่อาจจะเพิ่มพูนขึ้นไปอีกขั้น แต่กระนั้น ความไม่มั่นใจก็ยังไม่ได้จะหายไปเสียทีเดียว

    “พี่ว่ามันโอเคจริงหรือครับ”

    ดูเผิน ๆ อาจจเหมือนว่ากวินยอมจำนนขึ้นมาเสียดื้อ ๆ แต่ความจริงนั้นกวินไม่อาจจะปฏิเสธแก่ตัวเองได้ว่าทั้งหมดที่แสดงออกไปนั้นเป็นเพราะความไม่มั่นใจหาใช่การไม่พอใจไม่ ถ้าหากว่ามธุรสสามารถให้ความมั่นใจได้ว่างานของเขาไม่ได้แย่ กวินก็ไม่ได้จะรังเกียจในโอกาสที่จะได้รับ

    “โอเคสิจ๊ะ พี่รับรองว่ามันจะขายดี” มธุรสให้คำมั่น “นามปากกาวรรณีไม่เคยทำให้พี่ผิดหวัง ยิ่งโดยเฉพาะในฐานะเล่มสุดท้าย พี่ตั้งเป้าไว้เลยว่าสองหมื่นเล่ม แหม ! นี่ถ้ามีแชมเปญอยู่แถวนี้นะ พี่จะเปิดฉลองกับเธอเสียเลย”

    “เดี๋ยวนะพี่...” กวินแย้งขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ว่ามีอะไรแปร่ง ๆ อยู่ในคำพูดนั้น “ผมไม่เข้าใจ เกี่ยวอะไรกับนามปากกาของคุณวรรณี”

    กวินมองหน้ามธุรสอย่างไม่เข้าใจและแฝงด้วยท่าทีแบบที่คาดคั้นเอาคำตอบ แม้ว่าในใจนั้นพอจะเริ่มคาดเดาได้แล้วก็ตามว่าความคิดของมธุรสนั้นคืออะไร และทันใดนั้น กวินก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างประหลาด จิกนิ้วเท้าลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่อาการชาดิกจะเริ่มแผ่ไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย ให้ตายเถิด... กวินรู้สึกใจคอไม่ดีกับคำตอบที่อาจจะออกมาจากปากของมธุรสเสียเหลือเกิน ในขณะที่มธุรสนั้นก็ชะงักไปเล็กน้อยราวกับไม่ได้คิดมาก่อนว่าจะถูกถามเช่นนี้

    “กวิน...” บรรณาธิการสาวใหญ่นิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะถอนใจอย่างยืดยาว ทำเอากวินมั่นใจมากกว่าเดิมถึงแผนการของเจ้าหล่อน แล้วเขาก็รู้สึกรับไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ตั้งท่าจะร้องโวยวายออกไป แต่ก็ไม่ทันอีกฝ่ายที่ชิงพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วราวกับได้เตรียมการเอาไว้มาพอสมควร “เราก็โต ๆ กันแล้ว พี่จะขอพูดตรง ๆ เลยแล้วกัน เธอไม่คิดหรือว่ามันจะดีกับเราทั้งคู่มากกว่าถ้าเราจะพิมพ์งานนี้ในนามปากกาของคุณวรรณี ไม่ใช่กวิน”

    “ไม่จริง” กวินสวนไปอย่างทันท่วงที รู้สึกเหมือนโดนตบหน้า มธุรสกล้าดีอย่างไรถึงพูดออกมาเช่นนี้ “มันดีกับพี่ฝ่ายเดียวต่างหาก ไม่ได้ดีกับผมเลยสักนิด”

    “อย่าพูดเหมือนกับพี่เป็นคนเห็นแก่ตัวสิกวิน” มธุรสพยายามจะอธิบายอย่างใจเย็นและอดทน

    “ผมไม่ได้บอกว่าพี่เห็นแก่ตัว” กวินร้องโวย “พี่ก็แค่กำลังจะเอางานที่ผมทุ่มเทแทบเป็นแทบตายไปหาผลประโยชน์”  

    “ผลประโยชน์ของพี่ฝ่ายเดียวหรือ มันผลประโยชน์ของเธอเหมือนกันนั่นแหละ” มธุรสสวนมาอย่างไม่ยอมแพ้ “คำนวณดูให้ดีสิกวิน การที่ทำแบบนี้พี่ได้ฝ่ายเดียวหรือเธอก็ได้ด้วย จะเถียงไหมล่ะว่าเธอจะได้แค่ไม่กี่หมื่นเท่านั้นแหละ ถ้างานนี้เป็นชื่อเธอ ตั้งแต่พิมพ์งานให้เธอมาไม่เคยมีเล่มไหนของเธอที่จะขายได้เกินสามพันเล่ม ตรงกันข้าม คุณวรรณีมีคนอ่านเป็นหมื่น ๆ ให้ตายสิ เธออาจจะได้เป็นล้านเลยด้วยซ้ำ ถ้าพิมพ์งานนี้เป็นชื่อของคุณวรรณี เธอจะใจกล้าทิ้งเงินขนาดนี้ไปได้ลงคอเชียวหรือ”

    มธุรสนิ่งเงียบไปอีกสักครู่ ราวกับจะรอให้คำพูดของตนเองเข้าไปตกตะกอนในห้วงความคิดของกวิน ก่อนจะที่จะเอ่ยซ้ำขึ้นมาอีก หมายจะย้ำให้กวินคล้อยตามให้ได้

    “พี่เข้าใจ เธออาจจะรู้สึกเหมือนถูกพรากความภูมิใจและพรากความนับถือจากคนอ่าน แต่เชื่อพี่เถอะ งานชิ้นนี้ไม่ใช่งานที่เธอสมควรจะไปภูมิใจอะไรกับมันนักหนาหรอก เพราะมันไม่ใช่ตัวตนของเธอเลยแม้แต่นิดเดียว”

    ไม่จริงเลยสักนิด... กวินร้องค้านอยู่ในใจ แม้จะยังคงเหลือความย้อนแย้งบางอย่างในจิตใจอยู่บ้าง อาทิ เช่นจุดยืนแบบเก่า ๆ ที่อยู่ดี ๆ มธุรสก็กลับมาพูดสนับสนุนทำให้แอบรู้สึกหัวใจพองโตอยู่นิดหน่อย แต่พอมาพิจารณาที่รายละเอียดในส่วนของความรู้สึก ก็ปรากฏพบว่ามันมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยกับกล่าวหาเช่นนั้นของอีกฝ่าย  

    “พี่รสครับ ไม่ว่าพี่จะเชื่อหรือไม่ แต่ตอนเขียนเรื่องนี้ ผมไม่ได้เสแสร้งเลยนะพี่” กวินพยายามจะอธิบาย “ถึงแม้มันจะต่างจากเล่มก่อน ๆ อย่างสิ้นเชิง และผมก็จะไม่บอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปหรืออะไรยังไง แต่ที่แน่ ๆ งานเล่มนี้มันก็คือตัวตนของผมเหมือนกันนั่นแหละพี่”

     “คือพี่จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันไม่สำคัญหรอกจ้ะกวิน” มธุรสว่าต่อไปอย่างไม่ลดละ “คนอ่านต่างหากที่สำคัญ เธอพูดได้อ้างได้ว่าเธอเขียนมันขึ้นด้วยความรู้สึกนึดคิดอันใดก็ตามแต่ สำคัญที่ว่าแล้วจะมีใครเชื่อล่ะ ลองคิดดูเยอะ ๆ สิกวิน แฟนหนังสือของเธอจะรู้สึกยังไง ถ้าพบว่างานเล่มนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิด จะมีใครเขาเชื่อหรือว่าจู่ ๆ กวินจะพูดถึงชีวิตและความรักในสำเนียงที่ผิดไปขนาดนี้ โธ่ ! ร้อยทั้งร้อยเขาก็ต้องคิดว่าเธอเสแสร้งทั้งนั้น เอาจริง ๆ พี่ว่าเขาจะคิดว่าเธอกำลังหลงทางด้วยซ้ำไป และพี่เองก็คิดเช่นเดียวกับพวกเขา เธอกำลังหลงทางแน่ ๆ เลยล่ะกวิน”

    กวินทำท่าจะเถียง หัวสมองเต้นตุบ ๆ ราวกับร้องค้านในสิ่งที่มธุรสพูด แต่พอครั้นจะขยับปาก ก็กลับพูดไม่ออก คล้ายกับเจ้าบรรดาก้อนความคิดทำได้แค่กระจุกตัวอยู่ในสมอง มิอาจแปรเปลี่ยนเป็นภาษาได้ เห็นดังนั้น มธุรสจึงชิงพูดออกมาก่อน ราวกับจะไม่เปิดเวลาให้กวินได้คิดหาคำพูดมาโต้แย้ง

    “พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเธอไปเจออะไรที่บ้านหลังนั้นมาบ้าง แน่นอน สิ่งพวกนั้นมันก็ดีต่อเธอสำหรับการที่จะเขียนงานเล่มนี้ แต่... เธอจะปล่อยให้มันมาครอบงำแล้วหลงใหลไปกับมันตลอดไปไม่ได้หรอกนะ พอเขียนงานนี้จบแล้ว รับเงินเสร็จ เธอก็ควรจะลืมมันไปให้ได้ ทำในแบบที่มืออาชีพเขาทำกันยังไงล่ะ” มธุรสพูดเน้นเสียงอย่างมากมายจนทำให้กวินรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พร้อม ๆ กับที่ความรู้สึกบางอย่างก็เริ่มก่อเค้าในห้วงจิตใจ แม้จะยังบอกไม่ถูกนักว่าเป็นความรู้สึกเช่นไรก็ตามที “เรื่องราวที่นั่นน่ะมันไร้สาระทั้งเพ พี่เคยไปมาแล้วถึงได้รู้ เห็นชัดเลยว่าคุณวรรณีแกสร้างอาณาจักรของตัวเอง เพื่อให้กลายเป็นสถานที่ที่บรรดาคนอ่อนแอทั้งหลายจะไปอยู่เพื่อที่จะหลอกตัวเอง หึ... หลอกตัวเองแล้วก็หลอกคนอื่นต่อไปเป็นทอด ๆ คนที่นั่นน่ะหลอกเก่งจะตายไป เขาจะพูดโกหกสารพัดเพื่อให้เธองมงายไปกับพวกเขา โดยเฉพาะตาวิษณุน่ะตัวดี”

     ราวกับมีกระแสไฟฟ้าชอตขึ้นมาที่กลางลำตัวอย่างไรก็อย่างนั้น กวินสะดุ้งขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยเมื่อมธุรสเอ่ยมาถึงตรงจุดนี้

    “อะไรนะครับ”

    “เขาเก่งนะ ตาวิษณุน่ะ” ราวกับมธุรสรู้ดีว่ากวินกำลังรู้สึกเช่นไร หล่อนยิ้มเบา ๆ ไม่พูดทวนซ้ำ หรือพูดให้ง่ายคือ แม้กวินจะแสร้งทำทีเป็นได้ยินไม่ชัด แต่มธุรสกลับรู้ทันว่าความจริงนั้นไม่ใช่ หล่อนจึงพูดต่อไปอย่างราบรื่นโดยที่ไม่ปล่อยให้ท่าทางของกวินมาขวางกั้น “เขาได้รับมรดกจากคุณวรรณีไปเยอะมากเลยทีเดียว พูดให้กำลังใจคนเก่ง มีความสามารถทำให้คนรู้สึกดี แล้วที่สำคัญ... เขามีเสน่ห์ ! พี่เลยเชื่อว่าการได้อยู่กับเขาจะทำให้เธอเขียนงานได้”

    ความรู้สึกที่ก่อเค้ามาตั้งแต่ต้น เริ่มแสดงชึดมาในตอนนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก แม้ยังไม่มาก แต่มันก็เหมือนจะค่อย ๆ ลามไปทีละน้อย

    “หมายความว่าไงน่ะพี่รส”

    “โอย... ไม่อยากพูดเลย พี่กลัวเธอโกรธ” มธุรสพูดทำนองเหมือนรู้สึกผิด แต่สีหน้าและน้ำเสียงกลับเป็นไปในทำนองขบขันและสนุกกับความคิดตัวเองอย่างบอกไม่ถูก “คือตอนแรกน่ะ พิมเขาจะเดินทางไปด้วย พอพี่รู้พี่ก็เลยห้ามไว้”

    “พี่รส...” กวินแทบอยากจะบ้า เกิดความรู้สึกชั่ววูบที่ว่ารู้สึกรังเกียจผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก คนอะไรทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่แน่ใจด้วยว่าควรจะนึกโกรธหรือนึกสมเพชดีกับการพยายามจะวางแผนไปเสียทุกอย่างแม้แต่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง แต่ความรู้สึกเช่นนั้นก็มีบทบาทอยู่ได้ไม่นานนัก มันมาแค่เพียงวูบเดียวแล้วก็หายไป เพราะห้วงความรู้สึกที่ปกคลุมเอาไว้ก่อนหน้ามันมีบทบาทและทรงพลังมากกว่า และตอนนี้มันก็ขยายตัวเองใหญ่ขึ้น ครอบงำความคิดของกวินให้หมกมุ่นอยู่กับมัน จนเกิดเป็นความเจ็บปวดแบบไม่คิดฝัน พาลให้ถึงกับพูดอะไรไม่ออก

    “เอาน่า อย่ามองพี่แบบนั้นสิ” มธุรสถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดต่อ สาบานได้ว่าหล่อนคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ตัวเองกำลังพูดเลยแม้แต่น้อย “มันก็โรแมนติกออกไม่ใช่หรือ เดินทางกับผู้ชายสองต่อสอง แถมยังเป็นคนอบอุ่นชวนฝันขนาดนั้น แต่คนอย่างเธอคงไม่ได้ไปคิดจริงจังกับอะไรโง่ ๆ แบบนั้นหรอกใช่ไหม”

    ความรู้สึกเจ็บปวดยังไม่ทันจะหาย แถมถูกสาดซ้ำเข้ามาอีกระลอก คราวนี้กวินรู้สึกทั้งเจ็บและชาไปในคราวเดียวกัน เพราะจำได้แม่นว่าคำพูดพรรค์นั้นเขาล้วนเคยพูดออกมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น รู้สึกเหมือนกำลังตายด้วยปลายดาบของตัวเอง กวินมึนงงจนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรหรือพูดอะไรออกไปอีกดี

    “ว่าไง พี่พูดถูกใช่ไหม”

    “ครับ พี่พูดถูก ผมไม่ได้เชื่ออะไรพรรค์นั้นอยู่แล้ว” ที่กวินพูดออกไปเช่นนี้ก็เพราะคิดมาได้ในตอนนั้นว่าพูดแล้วคงจะทำให้ตัวเองสบายใจขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่

    “ดีแล้วล่ะจ้ะ” มธุรสว่า “เธอไม่ทำให้พี่ผิดหวังจริง ๆ เลยกวิน พี่ชอบเธอก็ตรงนี้ เอาจริง ๆ นะ หล่อน่ะไม่เถียง แต่พี่ว่าตาวิษณุน่ะเห่ยออกจะตาย คิดดูสิ เรียนก็ไม่จบ แทนที่จะได้จบออกมาเป็นหมอ ทำงานโกยเงิน ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน แล้วแทนที่จะหาโอกาสเรียนต่อ กลับขี้เกียจ อยู่บ้านนอก ทำตัวสบาย ๆ ไปวัน ๆ ถ้าจะดีก็ดีตรงที่เขารักป้าของเขามาก  พูดก็พูดเถอะ เขาอาจจะแค่ทำทุกทางให้เธอเขียนงานของป้าเขาเสร็จน่ะ”

    “พูดเว่อร์ไปหรือเปล่าพี่”

    “เอ้า ! คนเรามันก็ยังงี้แหละ มาหาว่าพี่เวอร์เสียอย่างนั้น” ในที่สุด มธุรสก็ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อ ๆ “อ่อนี่ ไปเขียนคำนำหนังสือเล่มใหม่ด้วยนะ พี่มาอ่าน ๆ ดูอีกรอบ พี่รู้สึกผิดยังไงก็ไม่รู้ที่คราวก่อนปล่อยผ่านไป ไม่น่าโดนนายขจรเป่าหูเลย”

    “พี่จะพิมพ์งานนั้นให้ผมหรือครับ”

    “จ้ะ! คาวความรักของเธอนั่นยังไง กะจะออกพร้อมกับงานคุณวรรณีเล่มนี้แหละ แหม... รวยเลยนะจ๊ะเราน่ะ มีรายได้จากหลายทางพร้อม ๆ กันเลย”

    มธุรสพูดพร้อมกับมองกวินด้วยสายตาที่คาดหวังจะเห็นความดีใจอย่างเต็มเปี่ยม ในขณะที่กวินยังคงรู้สึกย้อนแย้งอยู่ไม่หาย แม้ใจหนึ่งจะเห็นภาพถึงสิ่งที่น่าอภิรมย์มากองอยู่เบื้องหน้า เงินในบัญชีคงจะเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างนึกไม่ถึง อาจจะพอให้ชีวิตมีสีสันและมีสิ่งที่น่าสนใจหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นได้ ใช่สิ... นี่เป็นสิ่งที่ควรจะดีใจ และถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อสักหลายเดือนก่อน แน่นอนว่ากวินคงจะกระโดดหอมแก้มมธุรสไปแล้ว แต่ในวันนี้ เขาทำได้เพียงนั่งนิ่ง และตั้งคำถามต่อความรู้สึกดีใจที่เกิดขึ้นอย่างแห้งแล้งเต็มทน

    “ก็ดีครับ...” สายตาคาดคั้นของมธุรสทำให้กวินต้องจำพูดออกไปในสิ่งที่หล่อนคาดหวัง แม้ว่าลึก ๆ จะรู้อยู่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับหล่อนเลยก็ตาม “ดี... ผมดีใจมาก แต่ผมขอตัวก่อนนะครับ”

    รู้สึกว่าไม่อาจจะทนนั่งอยู่ที่เดิมได้อีกต่อไป กวินรีบลุกขึ้นตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    “อยากเลี้ยงข้าวพี่เมื่อไหร่ก็โทรมานะจ๊ะ” เสียงของมธุรสดังแว่วมาจากด้านหลัง แต่กวินไม่มีความรู้สึกจะสนใจใยดีอะไรอีกต่อไป รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าอย่างบอกไม่ถูก แสบร้อนตรงนัยน์ตาจนเหมือนจะมีน้ำใส ๆ คลอหน่วงอยู่เล็กน้อย แต่ก็พยายามจะไม่ใส่ใจ รีบเปิดประตูออกไป สวนกับอรพรรณที่เดินเข้ามาพอดี หล่อนร้องทักอย่างเริงร่า ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันนาน

    “ฮาย... กวิน”

    “หวัดดีพี่” กวินตอบรับอย่างกระชับ ก่อนจะเดินก้มหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว อรพรรณเจื่อนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่คาดคิดว่าจะได้ปฏิกิริยาเช่นนี้จากรุ่นน้องคนสนิท รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างผิดปรกติ หันมามองมธุรสเหมือนประสงค์จะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่มธุรสก็ได้แต่ยักไหล่ ไม่ตอบคำถามอันใด



*** **** ***** **** ***


    คนเราตื่นจากฝันเพื่อที่จะมาอยู่ในจุดเดิม... กวินพูดแก่ตัวเองอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ในขณะหนึ่งที่พูด จะตั้งใจว่าให้มันเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจะไม่ย้ำคิดย้ำทำในประเด็นนี้อีก แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยความหมกมุ่นอันใดที่ทำให้ต้องกลับมาคิดอีกรอบจนได้ และสุดท้ายก็ต้องพูดให้ตัวเองฟังอีกรอบว่าคนเราตื่นจากฝันเพื่อที่จะมาอยู่ในจุดเดิม

    ความอึกทึกเบียดเสียดครึกโครมที่เป็นบรรยากาศโดยรอบ หาได้มีอิทธิพลอันใดกับกวินในเวลานั้นไม่ นัยน์ตาของกวินจดจ้องไปที่ยังโทรศัพท์มือถือที่ควงเล่นอยู่ในฝ่ามือ ราวกับรอคอยให้มันส่งเสียง แต่เนิ่นนานมาแล้ว มันก็ยังเงียบสงบอยู่เช่นนั้น

    ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างยืดยาว เมื่อสติเริ่มรางเลือนและความทรงจำก็เริ่มจะเลือนรางว่าบัดนี้ดื่มไปเป็นจำนวนกี่แก้วแล้ว กวินมิได้ครุ่นคิดถึงสิ่งใดอีกเลย หรืออีกนัยหนึ่ง กวินพยายามจะสร้างความเชื่อมั่นอันจอมปลอมแก่ตนเองว่าไม่ได้คิดอะไร หรือถ้าจะมีแวบหนึ่งที่คิด เขาก็มิได้คิดอะไรที่ซับซ้อนไปกว่าความรู้สึกที่เหมือนตื่นขึ้นจากฝันแล้วโซซัดโซเซมาอยู่ที่จุดเดิม จุดที่เป็นที่ทางของตัวเองอย่างจริงแท้

    แสงไฟวูบวาบที่สอดรับกับดนตรีอันครื้นเครงเป็นฉากหลังอันดีเยี่ยมที่เสริมให้มนุษย์เพศผู้ทั้งหลายแหล่ดูน่าสนใจและเย้ายวนอย่างประหลาด พฤติกรรมที่ทั้งน่าสนใจและน่าสมเพชทั้งหลายก็เช่นกัน มันปลุกความรื่มรมย์ให้เกิดขึ้นได้เสมอในค่ำคืนอันแสนจะลักลั่น

    “ดื่มหนักจังเลยนะครับ” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นข้าง ๆ ท่ามกลางเสียงครึกโครมที่กังจากลำโพงโดยรอบ ผู้พูดเป็นชายหนุ่มร่างโปร่งที่ปิดบังใบหน้าไว้ภายใต้ความสลัวของแสงไฟ และพูดก็พูดเถิด กวินมิได้จะใส่ใจเลยว่าถ้าสาดไฟใส่ขึ้นมาแล้วมนุษย์ผู้นี้จะเผยโฉมออกมาเป็นอะไรกันแน่ กวินแทบไม่ได้จะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำไป

    “มาคนเดียวหรือครับ” ยังคงถามซ้ำด้วยน้ำเสียงออดอ้อน แสดงออกถึงความมึนเมาของผู้พูดอย่างเห็นได้ชัด กวินไม่มีอารมณ์จะตอบ นอกเสียจากพยักหน้าไปส่ง ๆ

    “ท่าทางแบบนี้ อกหักมาหรือเปล่าครับ” อีกฝ่ายยังคงเย้า ทำเอากวินแทบจะสำลักโซดา

    “แล้วถ้าใช่จะทำไมหรือครับ” กวินพูดออกไปส่งเดช

    “ก็ทำไมหรอกครับ” หนุ่มนิรนามหัวเราะ “รู้ดีว่าคนหน้าตาอย่างคุณน่ะอกหักไม่นานหรอก”

     ตอแหลสิ้นดี... เกย์กะล่อน ๆ มักจะพูดตอแหลเช่นนี้เสมอกับคนที่อยากได้ในคืนนั้น พะอืดพะอมจะฟัง กวินคิดอย่างคะนองพร้อมแสดงท่าว่ายิ้มอย่างเหยียดเยาะ แต่ให้ตายเถอะ ยามใดที่กวินยิ้มเหยียด ยามนั้นก็มักจะเป็นเวลาที่มนุษย์เมามายละแวกนี้อยากจับกวินกดลงบนเตียงมากที่สุด และในทุกครา กวินมักจะภูมิใจในคุณสมบัติแบบนี้ แต่ในคราวนี้กลับรู้สึกย้อนแย้งอย่างบอกไม่ถูก

    “ผับปิดแล้วจะไปต่อไหนหรือเปล่าครับ”

    “ไม่รู้สิ” กวินตอบไปจากใจจริง แต่ก็คงเปล่าประโยชน์ อีกฝ่ายคงตีความไปแล้วว่าเป็นการเล่นตัวอย่างชวนหัวร่อ

    “แล้วคืนนี้อยากทำอะไรหรือเปล่าล่ะ”

    “ไม่รู้เหมือนกัน ยังไม่ได้คิดเลย”

    “งั้นผมคิดให้เอาป่ะ”

    “อืม” กวินตอบไปอย่างแกน ๆ พร้อมกับรินเหล้าเพิ่มแล้วคว้ามาดื่มอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มเบียดร่างเข้ามาใกล้ วางมือไว้ที่ต้นขาแล้วค่อย ๆ ลูบ แต่กวินก็ยังคงทีท่าเหมือนไม่แยแสว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป ช่างเถิด... ทุกอย่างมันก็แค่กลับมาสู่จุดเดิม... ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะมีอะไรตื่นเต้นมากขึ้นเมื่ออีกฝ่ายดูคล้ายจะใจถึงพอสมควร

    “ไปที่รถผมไหมครับ”

    “...”

    อีกฝ่ายเริ่มซนมากขึ้น มือเลื่อนมาใกล้ส่วนสำคัญในขณะที่กวินยังไม่มีทีท่าอันใด ก่อนที่ชายหนุ่มนิรนามจะเอ่ยถามเสียงกระเส่า

    “คุณเคยลองบนรถป่ะ”

    “ไม่เคยหรอก”

    อันที่จริง กวินรู้อยู่แก่ใจว่าถึงยังไงก็หาได้แยแสต่อใครหรือสิ่งใดอยู่ดี และก็รู้แก่ใจเช่นกันว่าความพยายามจะแยแสมันล้มเหลวมาหลายครั้งหลายครา กวินจะหลอกตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับมาเป็นเช่นเดิม ณ จุดเดิมได้เช่นไร ในเมื่อเวลาผ่านเลยมาขนาดนี้ ความกระเหี้ยนกระหือรือต่อความมีค่าในยามราตรีที่มักจะต้องเกิด กลับยังไม่มีทีท่าว่าจะเกิด และกวินก็ยังไร้กะจิตกะใจที่จะพยายามทำอะไรสักอย่างให้ลุล่วงเหมือนอย่างที่ผ่าน ๆ มา ราวกับสิ่งที่ต้องการในยามนี้มิใช่อะไรอื่น นอกเสียจากนั่งอยู่คนเดียวแล้วดื่มมันไปเรื่อย ๆ ดื่มไปแบบที่ไม่รู้และไม่สนใจว่าปลายทางของความมึนเมาจะนำไปสู่อะไร...

    ...เหมือนอยากจะเมาให้หลับแล้วกลับไปฝันเหมือนเดิมอย่างไรอย่างนั้น

    โทรศัพท์มือถือของเขายังเงียบสนิท จนน่าจะจับมันโยนทิ้งไปเสียรู้แล้วรู้รอด ในขณะที่ห้วงความคิดกำลังบริภาษถึงใครสักคนที่ไร้หัวใจเสียเหลือเกิน !  


หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 18-07-2010 22:09:55
20

   บานประตูถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงหอบหายใจเล็กน้อย การใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทำให้วิษณุรู้สึกเหนื่อยได้ทุกครั้ง ยังไม่นับที่ว่าความเหนื่อยล้าจากวันที่ผ่าน ๆ มายังคงสั่งสมอยู่เล็กน้อย ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินเข้าในบ้าน วางถุงข้าวของมากมายลงบนโต๊ะ ก่อนจะค่อย ๆ ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา หยิบถุงใบแรกขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ แล้วค่อย ๆ ดึงของด้านในออกมา

    ที่ผ่านมามัวแต่ยุ่งกับงานศพ เลยไม่ได้มีเวลาจัดการในเรื่องที่น่าจะสำคัญเช่นนี้ วิษณุแกะมือถือเครื่องใหม่ออก พร้อมกับคว้าซิมการ์ดขึ้นมาใส่ ขณะเดียวกับที่สายตาเหลือบไปเห็นโบรชัวร์พีอาร์งานเปิดตัวหนังสือใหม่ของวรรณี วรรณรัตน์ที่เด่นหราอยู่บนโต๊ะ ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างฉงน ในขณะที่ฝ่ามือค่อย ๆ หยิบมันขึ้นมาดู

    “นี่คืออะไร” วิษณุร้องถามออกไป เมื่อเห็นว่าพิมกำลังเดินเข้ามาจากในครัว แม้ชายหนุ่มจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันคือใบปลิวพีอาร์งานเปิดตัวหนังสือของคุณป้า ความจริงเหมือนจะเป็นการถามที่แฝงนัยยะอื่นมากกว่า เขารู้ดีว่างานเขียนเล่มนี้เป็นงานของกวิน

    พิมไม่ตอบคำถามทันที อันที่จริงหล่อนแทบจะไม่ได้ใส่ใจ หรือถ้ามากกว่านั้น ก็คือว่าหล่อนไม่ได้ยินคำถามเลยด้วยซ้ำไป หญิงสาวร่างผอมหยิบขนมเข้าปากหนึ่งชิ้น แล้วกดรีโมตเกิดทีวี จนกระทั่งวิษณุถอนหายใจแรงขึ้นมานั่นแหละ หล่อนถึงตอบออกมาอย่างอ้อมแอ้ม

    “พี่รสส่งมาให้”

     วิษณุขมวดคิ้วหนักขึ้น แต่ภายในใจกลับพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บางอย่าง รู้สึกใจคอไม่ดีเท่าไรนัก

    มือถือของพิมดังขึ้น เจ้าหล่อนกดรับอย่างเริงร่า ทว่า วิษณุไวกว่า แย่งมือถือของน้องสาว กดตัดสาย พร้อมกับกดไล่หารายชื่อในนั้น

    “เฮ้... วอท เดอะ ฟัค อาร์ ยู ดู อิ่ง” พิมตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับพยายามจะแย่งมือถือคืน แต่วิษณุเบี่ยงตัวหลบ

    “ยืมแป๊บน่า”

    “ไม่มีมารยาท ไม่เห็นหรือว่ามีคนโทรหา”  

    วิษณุลุกหนี พร้อมกับกดคัดลอกเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่งจากเครื่องของพิม โยนโทรศัพท์คืนให้พิมอย่างไม่แยแสแล้วกดโทรออกไปเบอร์นั้นทันที

    ...คล้ายว่าปลายสายจะปิดเครื่อง

    

*** **** ***** **** ****



    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง เดินออกจากลิฟต์ พร้อมกับก้าวยาวไปตามทางเดินแคบ ๆ ของอาคารสำนักงาน ใจมุ่งตรงไปยังห้องแคบ ๆ ที่อยู่มุมสุดของทางเดิน ก่อนจะประจัญหน้ากับหญิงสาวร่างเล็กตัวป้อม ๆ ที่เดินมาจากอีกฝั่ง ทั้งคู่ยืนนิ่งกันอยู่ที่หน้าประตู

   “คุณวิษณุ?” ฝ่ายหญิงเริ่มพูดขึ้นมาก่อน ด้วยท่าทางที่ไม่แน่ใจนักในนามของอีกฝ่าย

    “คุณอรพรรณ?” ชายหนุ่มทำซ้ำ ราวกับเลียนแบบ แต่นั่นเป็นไปโดยไม่ตั้งใจทั้งสิ้น อรพรรณถอนใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มฝืน ๆ ออกมา

    “มาคุยกับพี่รสหรือคะ”

    “ครับ”

    “เสียใจนะคะ ดิฉันต้องคุยก่อน”

    อรพรรณยิ้มกว้าง พร้อมกับตั้งท่าจะคว้าลูกบิดประตู แต่วิษณุคว้ามือไว้อย่างรวดเร็ว

    “แต่ผมต้องคุยเรื่องสำคัญมาก” วิษณุยิ้มให้เจ้าหล่อนเช่นหัน “และแน่นอนว่ารอไม่ได้”

     “ฉันก็สำคัญค่ะ และสำคัญกว่าคุณแน่ แล้วก็รอไม่ได้เช่นกัน”

    อรพรรณบิดลูกบิดประตูอย่างรวดเร็ว ในขณะที่วิษณุเองก็ใช่ว่าจะช้า ทั้งคู่กระโจนเข้าไปในห้องอย่างพร้อมเพรียงกัน ยืนท้าทายอยู่หน้าโต๊ะทำงานของมธุรส บรรณาธิการสาวใหญ่งุนงงเล็กน้อยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นจากต้นฉบับ ค่อย ๆ ถอดแว่นออก มองอรพรรณสลับกับวิษณุด้วยสายตาที่เหมือนจะว่างเปล่าด้วยความรู้สึก

    “พี่รสคะ” อรพรรณเป็นฝ่ายชิงพูดขึ้นมาก่อน “เราต้องคุยกันในเรื่องของกวิน”

    “ใช่” วิษณุเสริมอย่างรวดเร็ว “พี่ทำแบบนี้กับกวินไม่ได้”

    มธุรสมองหน้าทั้งคู่อย่างงง ๆ ในขณะที่วิษณุและอรพรรณก็มองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

    “นี่เธอสองคนนัดกันมาหรือเปล่า”

    “เปล่า” ผู้ร้องอุทธรณ์ในเรื่องเดียวกันทั้งสองต่างพูดออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

    “แล้วเธอกำลังพูดถึงเรื่องเดียวกันหรือเปล่า” มธุรสถามย้ำ ทำเอาอรพรรณกับวิษณุถอนหายใจพร้อมกันอีกหนึ่งครั้ง ก่อนที่วิษณุจะเอ่ยออกมาอย่างพยายามจะอดทน

     “ผมแต่สงสัยว่าทำไมงานเล่มนี้ถึงเป็นนามปากกาของคุณป้า ทั้ง ๆ ที่ไปถามเด็กอกมือที่ไหนมันยังบอกได้ว่าคุณป้าไม่ได้เขียนแม้แต่จุดสักจุดบนหนังสือเล่มนี้ด้วยซ้ำไป”

   มธุรสลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน ถอนใจยืดยาวอย่างผ่อนคลาย ดูก็ออกว่าเจ้าหล่อนกำลังพยายามระงับไว้ซึ่งความพลุ่งพล่านโดยการหยิบกระบอกฉีดน้ำไปฉีดเหล่าต้นกระบองเพชรที่ตกแต่งอยู่ตรงมุมห้อง

    “มันไม่มีเหตุผลอะไร นอกเหนือไปจากว่ามันเป็นข้อตกลงระหว่างพี่กับกวิน”

    “ข้อตกลงหรือข้อบังคับ” วิษณุสวนไปอย่างไม่ลดละ กระบองเพชรเจ้ากรรมถูกน้ำฉีดใส่เสียชุ่มจนน่ากลัวว่ามันจะเฉาตาย มธุรสถอนใจอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

    “ข้อตกลง พี่ไม่เคยบังคับอะไรใคร กวินตกลงด้วยความสมัครใจต่างหาก”

    “แต่กวินไม่โอเคกับเรื่องนี้เลยนะคะพี่รส” อรพรรณแย้งขึ้นมาอย่างกลัว ๆ กล้า ๆ และดูเหมือนว่าจะความกลัวจะมากกว่าความกล้าอยู่เยอะ เพราะยังไม่ทันจะพูดจบ เพียงมธุรสหันขวับมาหา อรพรรณก็ถึงกับพูดต่อไม่ถูก

    “เธอเอาอะไรมาพูด หือ.. พรรณ เธอไปตรัสรู้จากไหนว่านายกวินมันไม่พอใจ”

    “ตอนนี้กวินเตลิดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แถมยังปิดโทรศัพท์อีก” อรพรรณพูดเสียงอ่อย ในขณะที่วิษณุผ่อนลมหายใจคล้ายกับส่งเสริม เขายืนยันความจริงข้อนี้ได้ เพราะโทรหาเป็นล้านรอบแล้วก็ยังไม่รับ แถมเมื่อเช้าบุกไปหาถึงคอนโด ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อให้ ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับ คล้ายกับบนห้องไม่มีใครอยู่ ให้ตายเถอะ... ยืนรออยู่ที่ลอบบี้เป็นสองสามชั่วโมงหวังว่าจะได้เจอโดยบังเอิญ ก็เปล่า ถ้าเจอตัวคงอยากจะจับเอามาลงโทษเสียให้เข็ด ไม่รู้บ้างหรือไงว่าทำตัวแบบนี้มันทำให้เป็นห่วงมากแค่ไหน

    แต่ก็นั่นแหละ ไม่รู้ได้อยู่ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าตัว ขอเพียงอย่าให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ประเภทไม่คาดฝันก็พอ ไม่รู้ว่าจะเสียใจเตลิดไปถึงไหน ยิ่งบุคลิกนิสัยเป็นแบบนั้นอยู่ด้วย คิดมาถึงจุดนี้ วิษณุก็รู้สึกกระวนกระวายอย่างประหลาด พอหันไปมองอรพรรณก็สัมผัสได้ว่าเจ้าหล่อนก็คงไม่ต่างอะไรกับเขา มีเพียงมธุรสเท่านั้นที่ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

    “เธออย่ามาทำเป็นไม่รู้จักเด็กคนนี้หน่อยเลย อรพรรณ” มธุรสพูดเรื่อยเจื้อยอย่างไม่มีสะดุด “เธอก็น่าจะเข้าใจนะ การที่กวินมันจะเตลิดเปิดเปิงไปไหนต่อไหนน่ะ มันไม่มีทางเกี่ยวกับเรื่องนี้แน่ ๆ คนอย่างนายกวินน่ะรึ มันเป็นของมันแบบนี้มาโดยสันดาน ต่อให้ชีวิตมันราบรื่นมากกว่านี้ มันก็หาทางเหลวแหลกของมันไปได้อยู่ดี มันไม่คิดอะไรมากหรอก แค่ได้เงินไปเที่ยว กินเหล้า มั่วผู้ชาย แค่นั้นมันก็แฮปปี้แล้ว”

     “ผมว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของพี่ที่จะวิจารณ์ว่าคนนู้นคนนี้เป็นยังไง” วิษณุกระชากเสียงขึ้นมาเล็กน้อยด้วยความโกรธ“ตอนนี้ที่พี่ต้องทำก็คือแก้ไขงานทุกอย่าง ให้งานชิ้นนี้เป็นนามปากกาของกวินอย่างที่มันควรจะเป็น”

     “เธออย่ามาทำตลกน่ะวิษณุ ตอนนี้พี่ไม่มีอารมณ์”

    มธุรสกระแทกกระบอกฉีดน้ำลงกับโต๊ะวางกระถางกระบองเพชร พร้อมกับเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน สวมแว่น แล้วแสร้งทำเป็นอ่านต้นฉบับต่อ เห็นได้ชัดว่าความพยายามจะประคับประคองอารมณ์ของเจ้าหล่อนได้พังไปอย่างไม่เป็นท่าแล้ว วิษณุได้ที เดินเข้าไปเท้าโต๊ะทำงาน พร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งเป็นเชิงท้าทาย ในขณะที่อรพรรณมองดูเหตุการณ์อย่างใจคอไม่ดีเท่าไรนัก

    “พี่มีเวลาอีกสี่วัน จัดการแก้ไขปกหนังสือเสีย ในงานเปิดตัวอีกสี่วันนี้ กวินจะต้องได้ขึ้นไปพูดในฐานะที่เป็นคนเขียน” วิษณุสั่งการอย่างชัดถ้อยชัดคำ ในขณะที่มธุรสสวนมาอย่างไม่ยอมแพ้แก่ผู้ด้อยอาวุโสกว่า

    “แล้วถ้าพี่ไม่ทำล่ะ”

    วิษณุทุบโต๊ะเบา ๆ เป็นเชิงขู่ แต่อันที่จริง กระบวนการควบคุมอารมณ์ของเขาก็พังไปแล้วเหมือนกันต่างหาก

    “พี่ไม่ทำก็เรื่องของพี่ แต่ผมก็จะประกาศแม่งกลางงานนั่นแหละ ว่าสำนักพิมพ์ของพี่น่ะหลอกลวงคนอ่าน ใช้นามปากกาของคุณป้าหาผลประโยชน์ เอาให้แม่งเสียเครดิตกันไปข้างเลย”

    มธุรสหัวเราะเบา ๆ กับคำพูดงอแงของชายหนุ่ม

    “เธอไม่กล้าหรอก”

    มธุรสกับวิษณุมองตากันอย่างท้าทาย แต่เหมือนมธุรสจะแพ้ หล่อนเลียริมฝีปาก กระพริบตา และเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อน

     “ถ้าเธอทำแบบนั้น ก็ไม่ได้มีแต่พี่นะที่เสีย กวินก็เสีย แล้วป้าของเธอก็อาจจะเสียด้วย ซึ่งรวม ๆ ออกมาแล้วจะเห็นได้เลยว่าผลเสียก็จะพุ่งไปที่เธอเหมือนกัน”

   “ครับ” วิษณุยิ้มอย่างไม่ยี่หระ มองอีกฝ่ายอย่างท้าทาย “ผมกล้าแลก ว่าแต่พี่รสเถอะ กล้าหรือเปล่าล่ะครับ”

    มธุรสยังไม่ตอบคำถาม หากแต่กัดริมฝีปากเล็กน้อย



*** **** ***** **** ***



   วิษณุยืนอยู่คนเดียวตรงบันไดตึก สายตามองผ่านกระจกออกไปด้านนอก ใจยังคงว้าวุ่นอย่างประหลาด ยกโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรออกหากวินอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังโทรไม่ติดอยู่ดี กดวางสายพร้อมกับถอนใจ ปล่อยแขนเท้าหน้าต่าง ในขณะที่โสตประสาทได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง หันกลับไปพบอรพรรณที่ค่อย ๆ เดินมาหา

    “ติดต่อกวินได้หรือยังคะ” หญิงสาวถามด้วยเสียงแผ่วเบา

    วิษณุส่ายหน้า  ในขณะที่อรพรรณถอนใจ

    “กวินมันนิสัยเสีย แก้ไม่หาย ทำอะไรชอบเอาแต่อารมณ์ ไม่รู้จักโตเสียที พูดตรง ๆ นะคะ ฉันเป็นห่วงมันมาก”

    “คุณรู้หรือเปล่าครับ ว่าเขาไปไหน”

    อรพรรณผ่อนลมหายใจ มองหน้าวิษณุอีกครั้ง แล้วยื่นมือถือให้

    “เมื่อคืนน่ะค่ะ มันปิดเครื่องก็จริง แต่ก็ส่งข้อความเสียงมาให้ตลอด สงสัยมันคงจะเหงาน่ะค่ะ แต่พอโทรกลับไป มันก็ปิดเครื่องหนี เด็กบ้าเอ๊ย... ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบทำตัวขวางโลกนักก็ไม่รู้” อรพรรณถอนใจยาว ก่อนจะหันมาสบตากับวิษณุ “คุณอ่านงานของกวินมันหรือยังคะ หมายถึงเล่มที่เขียนให้ป้าคุณน่ะค่ะ”

    วิษณุส่ายหน้าช้า อรพรรณยิ้มกว้าง

    “กวินมันบรรยายตัวคุณได้ดีจริง ๆ เหมือนทุกกระเบียดเลย”

    “อะไรนะครับ”

    “ดิฉันหมายถึงว่ามันมีตัวคุณอยู่ในนั้นค่ะ สาบานได้ว่ามันคือคุณจริง ๆ รูปร่างหน้าตา บุคลิกถอดมาเลย แม้แต่คำพูดก็ยังเหมือน ให้ตายสิ ฉันอยากจะรู้นักเชียวว่ามันจะแอบมองคุณบ่อยแค่ไหนกันเวลาเขียน”

    วิษณุใจคอไม่ดีไปมากกว่าเดิม

    “คุณไม่รู้จริง ๆ หรือว่าเขาไปไหน”

    อรพรรณผ่อนลมหายใจยาว แล้วส่งโทรศัพท์มือถือให้วิษณุ

    “ลองฟังข้อความดูสิคะ”

    วิษณุรับมือถือมา มองหน้าอรพรรณสักครู่ แล้วค่อย ๆ กดฟัง เสียงคลื่นรบกวนดังสะท้านจนบาดแก้วหู ในขณะที่เสียงของกวินฟังดูอู้อี้จนแทบจะฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง

    “เฮ้...พี่พรรณ ได้ยินไรไหม ฟังไม่ออกอ่ะเดะ บอกให้ก็ได้ ทะเลไงล่ะพี่... ทะเล ฮ่า ๆ อิจฉาอ่ะเด้” ให้ตายเถิด ฟังยังไงก็รู้ว่าเป็นสำเนียงที่ตรงข้ามกับความรู้สึกอย่างชัดเจน “ตอนนี้ผมอยู่พงันนะ มาคนเดียวด้วยแหละ เดาเอาเองล่ะกันว่ามันจะสนุกสุดเหวี่ยงขนาดไหน คิดดูดิ ผู้ชายแก้ผ้าเดินร่อนกลางหาดขาว ๆ เบื้องหน้าคือทะเลสวย ๆ แล้วกลางคืนก็.... ปาร์ตี้ ! ฮ่า ๆ ๆ ทำงานไปนะพี่ ผมจะเที่ยวเผื่อ นี่ถ้าตอนนี้ใครมาถามชอบทะเลหรือภูเขามากกว่ากัน จะตอบได้อย่างมั่นใจเลยว่าทะเล ! ภูเขาน่ะแม่งเห่ย ! โคตรเห่ย !”

    ข้อความจบลง วิษณุกดฟังข้อความต่อมาทันที

    “พี่พานนน” เสียงที่บันทึกไว้เต็มไปด้วยเสียงดนตรีอึกทึก และสำเสียงของผู้พูดก็ดูเหมือนจะดื่มหนักอย่างเห็นได้ชัด “สนุกโคตรอ่ะพี่ เสียดายว่ะพี่ไม่ได้มา ตอนนี้พี่ก็คงกำลังอยู่ที่สำนักพิมพ์สินะ พี่รสคงเร่งงานจะออกให้ทัน หึ ! ฝากบอกพี่รสด้วยนะพี่ ว่าผมขอให้ไอ้หนังสือระยำนั่นขายดี แล้วผมจะได้เอาเงินมาแดกเหล้าให้แม่งเมากันไปข้าง ฮ่า ๆ ๆ”

   ข้อความจบลงอีก วิษณุรู้สึกเปราะบางขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใจคอก็กระวนกระวายมากกว่าเดิม ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ห้วงความรู้สึกมันพลุ่งพล่านไปหมด คล้ายจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ไปเสียอย่างนั้น ให้ตายเถิด... ไม่เคยมีใครทำให้เขารู้สึกไม่สงบได้ขนาดนี้มาก่อนเลย เพราะคนเพียงคนเดียวแท้ ๆ คนบ้า... บ้าจริง ๆ วิษณุคิดอย่างเดือดดาล เป็นไปได้ว่าเจอตัวเมื่อไรคงอยากจะจับลงโทษเสียให้สาสม ทำไมถึงได้ทำตัวแบบนี้

    กดดูข้อความสุดท้าย เหมือนจะไม่มีเสียงใดเลย นอกไปจากเสียงความเงียบเชียบของบรรยากาศ เคล้ากับเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ ที่แว่วมาพร้อมกับถ้อยคำที่ฟังไม่ค่อยเป็นภาษา

    “พี่พรรณ” เสียงพูดออกมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไปนาน ตรงกันข้ามกับเสียงสะอื้นที่เหมือนจะมากขึ้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นการปล่อยโฮอย่างเสียสติ ตรงกันข้าม... มันดัง ๆ หยุด ๆ อยู่เช่นนั้น เหมือนกับผู้พูดพยายามจะฝืนตัวเองให้หยุดร้องไห้ให้ได้ เสียงขาดห้วงไปสักระยะ คล้ายกับผู้พูดลังเลว่าจะพูดต่อดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็พูด  “เขาบอกว่าจะโทร แต่เขาไม่เห็นโทรมาเลยอ่ะพี่”

    ข้อความตัดไปอย่างรวดเร็ว เมื่อผู้พูดรู้ตัวว่าไม่อาจระงับตัวเองไม่ให้ร้องไห้ได้ วิษณุนั้นก็รู้สึกเหมือนนัยน์ตาร้อนผ่าว ห้วงความคิดแปรปรวนไปด้วยอารมณ์ที่หลายหลาก ค่อย ๆ มือถือคืนให้อรพรรณ ในขณะที่ร่างกายค่อย ๆ สั่นเทิ้มออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    “ความจริงไอ้การทำตัวเสียสติแบบนี้น่ะ มันเป็นของธรรมดา” อรพรรณพูดพลางถอนใจอีกคำรบ “แต่ไอ้การเมาเกรอะกรังแล้วโทรศัพท์มาฟูมฟายเนี่ย มันไม่เคยเกิดขึ้นมานานแล้วค่ะ มันทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เขายังเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ที่เดินงง ๆ ตาใสปิ๊งมาที่คณะในวันแรกของการรับน้อง ให้ตายสิ ตอนนั้นนะมันทั้งเซ่อซ่า พารานอยด์ แล้วก็ขี้แยเหลือเกิน คุณคงนึกไม่ออกหรอกค่ะ ไม่มีใครนึกออกหรอกว่ากวินมันเคยเป็นยังไง ถ้าไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเอง”

    “ไม่จริงหรอก” วิษณุพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ทำเอาอรพรรณงงไปเล็กน้อย ทั้งคู่สบตากันสักพัก ก่อนที่วิษณุจะบอกลาแล้วพยายามจะเดินจากไปอย่างสงบ แม้ว่าภายในใจนั้นจะครึกโครมราวกับพายุหมุนก็ตามที

    แต่ถึงอย่างไร ภายใต้ความครึกโครมเหล่านั้น บางสิ่งได้ตกผลึกให้วิษณุได้เห็นและเริ่มมั่นใจได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่ชัดเจนขึ้นในทุกขณะ  



หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 18-07-2010 22:11:48
สวัสดีครับ ขอโทษที่หายไปนาน พอดีตอนนี้ไม่มีเนตใช้น่ะครับ ต้องมาลงที่ร้าน



ลงไปสองตอนรวดเลยนะครับ


ขอบคุณผู้อ่านทุกคนครับผม
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 18-07-2010 23:34:49
โอ๊ะๆๆๆ คิดว่าตาฝาดดดดดดดดด 55555

ได้อ่าน 2 ตอนเลย ขอบคุณค่ะ  :L2:

 :m15: กวินอยู่หนายยยยยยยยยยยยยยย

ไงหล่ะ โทรช้า เตลิดไปเลย เหอะ ๆ

หัวข้อไม่ได้แก้รึเปล่าคะ มันยังเป็นตอนที่ 18 อยู่เลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 18-07-2010 23:52:18
อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว พึ่งรู้ว่ากวินก็เปลาะบางมากเลยทีเดียว ซึ่งทุกคนก็มีอยู่แล้วเพียงแต่ไม่เคยสังเกตเท่านั้นเอง
มีบางมุมที่ซ่อนอยู่ในห้วงความคิด เหมือนว่าเขามองโลกโหดร้าย
แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นกวินเริ่มแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาแล้ว
รู้สึก ว่ายายรสเนี่ยจะเห็นแก่ประโยชน์ของ สนพ. เอ๊ะหรือว่าผลประโยชน์ของตัวเองกันแน่

แล้ววิษณุ ถ้าเจอกวิน จะทำไมกับเค้าเหรอ ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อยนิ ถ้าเจอแล้วจะไปทำอะไรกับชีวิตเค้าล่ะ555555+

แสดงว่าเริ่ม เป็นห่วง เริ่มที่จะมีความรู้สึกว่าเกือบรักหรือความรู้สึกดีๆกับเค้าแล้วใช่ป้ะละ

PS. ลืมแก้หัวเรื่องหรือเปล่าคะมันยังเป็น 18 ตอนอยู่เลย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 19-07-2010 07:05:05
เกลียดอีรสว่ะเห็นแก่ตัวฉิบหายผู้หญิงอะไร   สงสารกวินแค่อารมณ์ตัวเองก็จะเอาไม่ใหวแล้วยังมาเจอผู้หญิงแบบนี้เอาความรู้สึกคนอื่นมาเล่นอีก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 19-07-2010 22:48:03
พี่รสแม่ง (ขอแม่งหน่อย) เข้าใจนะว่าะธุรกิจคือธุรกิจ
แต่นี่มันจะดูถูกคนทำมากไปหน่อยรึป่าว งานเขียนนะเว้ยมาจากสมองและ
สติปัญญาคนล้วนๆ ทำแบบนี้เอาเท้ามาแนบหน้ากวินเลยดีกว่ามั๊ย ทั้งๆทีก็เป็นลููกน้องตัวเองแท้ๆ
นิสัย!! คือแบบพูดหว่านล้อมเอาซะให้ได้อ่ะนะ กวินมันคงอึ้งอยู่เลยไม่รู้จะปั้นคำพูดยังไง
ทั้งคงงงและคงหมดหวังแปลกๆ เฮ้อออออ ทำแบบนี้อ่ะน่านับถือมากๆเลยเนอะ ฮ้วย

เฮ้อนี่คงทั้งเสียใจและผิดหวังในหลายๆเรื่องอ่ะนะเป็นไงล่ะคุณวิษณุ
ได้ยินทั้งเสียงพูดเสียงสะอื้นสะใจมั๊ยล่ะแล้วแบบนี้จะหาเดะดื้อน่าลงโทษจากไหนกัน
บอกว่าอยู่ทะเลๆนี่ทะเลจิงป่าวเนี่ย ไม่ใช่โดนไอ่หนุ่มที่ไหนลากไปนะ เฮ้อ
ไอ่คำตัดพ้อต่อว่าถากถางเรื่องงานเขียนตัวเองเอยอะไรเอยคงไม่ร ู้สึกสะเืทือนใจได้เท่า
คำตัดพ้อไอ่คนที่ว่ามันจะโทรมาแต่ก็ไม่มีสักกริ๊ง คนเราอ่ะนะต่อให้ยุ่งแค่ไหน
แต่ก็อย่าเอาคำว่าไม่มีเวลามาเปนข้ออ้างเลยว้า
กวินไปพักซะให้พอนะ ทั้งตัวและใจผ่อนคลายแล้ว ค่อยกลับมาเผชิญโลกค.จริงที่โคตรเลวร้าย
เพราะมนุษย์ใหม่เน้อ

 o13 o13 เป็นกำลังใจให้คะ +1
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 03/07/2010ลงแล้ว18ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 19-07-2010 23:51:06
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ชอบสองตอนล่าสุดที่ลงมากๆ มันมีอารมณ์เยอะดี

ในโลกธุรกิจมีคนอย่างพี่รสก็เยอะ


ขอความรักจงสถิตที่กวินและวิษณุที กร๊ากกกก
แอบชอบสองตอนนี้จริงๆ มันให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด ๕๕๕๕
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 19-07-2010 23:57:00
กวินเอ้ย

เด็กน้อยที่หลงทาง

I do miss you.
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 20-07-2010 15:20:08
ยัยมธุรส นี่บ้าหรือเปล่า  คนเรามันก็ต้องมีหลายแง่ หลายมุมดิ ใครมามีแต่มุมมืดอย่างเดียวละเว้ย อิป้านี่

กวินผู้อ่อนแอ ผู้ที่สร้างเกราะของความก้าวร้าวมาป้องกันตัวเอง ถึงกะสติแตกไปเลย วิษณุรีบไปหากวินเลย ไปปรับความเข้าใจกันซะ  ให้ไวๆๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 20-07-2010 22:23:21
โอ๊ะๆๆๆ คิดว่าตาฝาดดดดดดดดด 55555

ได้อ่าน 2 ตอนเลย ขอบคุณค่ะ  :L2:

 :m15: กวินอยู่หนายยยยยยยยยยยยยยย

ไงหล่ะ โทรช้า เตลิดไปเลย เหอะ ๆ

หัวข้อไม่ได้แก้รึเปล่าคะ มันยังเป็นตอนที่ 18 อยู่เลยอ่ะ

ครับ ลืมแก้ครับ ตอนนี้แก้เีรียบร้อยแล้ว ขอบคุณมาก ๆ ที่เตือนครับผม

อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว พึ่งรู้ว่ากวินก็เปลาะบางมากเลยทีเดียว ซึ่งทุกคนก็มีอยู่แล้วเพียงแต่ไม่เคยสังเกตเท่านั้นเอง
มีบางมุมที่ซ่อนอยู่ในห้วงความคิด เหมือนว่าเขามองโลกโหดร้าย
แต่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นกวินเริ่มแสดงความอ่อนแอของตัวเองออกมาแล้ว
รู้สึก ว่ายายรสเนี่ยจะเห็นแก่ประโยชน์ของ สนพ. เอ๊ะหรือว่าผลประโยชน์ของตัวเองกันแน่

แล้ววิษณุ ถ้าเจอกวิน จะทำไมกับเค้าเหรอ ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อยนิ ถ้าเจอแล้วจะไปทำอะไรกับชีวิตเค้าล่ะ555555+

แสดงว่าเริ่ม เป็นห่วง เริ่มที่จะมีความรู้สึกว่าเกือบรักหรือความรู้สึกดีๆกับเค้าแล้วใช่ป้ะละ

PS. ลืมแก้หัวเรื่องหรือเปล่าคะมันยังเป็น 18 ตอนอยู่เลย

ขอบคุณมรายังติดตามกันครับ ส่วนวิษณุถ้าเจอกวินแล้วจะทำอะไร โปรดติดตามตอนหน้าครับผม  :3123:

เกลียดอีรสว่ะเห็นแก่ตัวฉิบหายผู้หญิงอะไร   สงสารกวินแค่อารมณ์ตัวเองก็จะเอาไม่ใหวแล้วยังมาเจอผู้หญิงแบบนี้เอาความรู้สึกคนอื่นมาเล่นอีก

555 อย่าไปเกลียดมธุรสเลยครับ แกอาจจะหวังดีก็ได้ อยากให้กวินได้เงินเยอะ ๆ ขอบคุณที่ติดตามครับผม

พี่รสแม่ง (ขอแม่งหน่อย) เข้าใจนะว่าะธุรกิจคือธุรกิจ
แต่นี่มันจะดูถูกคนทำมากไปหน่อยรึป่าว งานเขียนนะเว้ยมาจากสมองและ
สติปัญญาคนล้วนๆ ทำแบบนี้เอาเท้ามาแนบหน้ากวินเลยดีกว่ามั๊ย ทั้งๆทีก็เป็นลููกน้องตัวเองแท้ๆ
นิสัย!! คือแบบพูดหว่านล้อมเอาซะให้ได้อ่ะนะ กวินมันคงอึ้งอยู่เลยไม่รู้จะปั้นคำพูดยังไง
ทั้งคงงงและคงหมดหวังแปลกๆ เฮ้อออออ ทำแบบนี้อ่ะน่านับถือมากๆเลยเนอะ ฮ้วย

เฮ้อนี่คงทั้งเสียใจและผิดหวังในหลายๆเรื่องอ่ะนะเป็นไงล่ะคุณวิษณุ
ได้ยินทั้งเสียงพูดเสียงสะอื้นสะใจมั๊ยล่ะแล้วแบบนี้จะหาเดะดื้อน่าลงโทษจากไหนกัน
บอกว่าอยู่ทะเลๆนี่ทะเลจิงป่าวเนี่ย ไม่ใช่โดนไอ่หนุ่มที่ไหนลากไปนะ เฮ้อ
ไอ่คำตัดพ้อต่อว่าถากถางเรื่องงานเขียนตัวเองเอยอะไรเอยคงไม่ร ู้สึกสะเืทือนใจได้เท่า
คำตัดพ้อไอ่คนที่ว่ามันจะโทรมาแต่ก็ไม่มีสักกริ๊ง คนเราอ่ะนะต่อให้ยุ่งแค่ไหน
แต่ก็อย่าเอาคำว่าไม่มีเวลามาเปนข้ออ้างเลยว้า
กวินไปพักซะให้พอนะ ทั้งตัวและใจผ่อนคลายแล้ว ค่อยกลับมาเผชิญโลกค.จริงที่โคตรเลวร้าย
เพราะมนุษย์ใหม่เน้อ

 o13 o13 เป็นกำลังใจให้คะ +1


ขอบคุณที่ติดตามครับ  :man1:

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ชอบสองตอนล่าสุดที่ลงมากๆ มันมีอารมณ์เยอะดี

ในโลกธุรกิจมีคนอย่างพี่รสก็เยอะ


ขอความรักจงสถิตที่กวินและวิษณุที กร๊ากกกก
แอบชอบสองตอนนี้จริงๆ มันให้ความรู้สึกดีอย่างประหลาด ๕๕๕๕

ดีใจที่ชอบครับ  :pig4:

กวินเอ้ย

เด็กน้อยที่หลงทาง

I do miss you.

ครับ หลงทางไปไกลอยู่ อันที่จริง คนเขียนก็หลงทางอยู่ประจำเช่นกัน 555 ขอบคุณที่ติดตามครับ

ยัยมธุรส นี่บ้าหรือเปล่า  คนเรามันก็ต้องมีหลายแง่ หลายมุมดิ ใครมามีแต่มุมมืดอย่างเดียวละเว้ย อิป้านี่

กวินผู้อ่อนแอ ผู้ที่สร้างเกราะของความก้าวร้าวมาป้องกันตัวเอง ถึงกะสติแตกไปเลย วิษณุรีบไปหากวินเลย ไปปรับความเข้าใจกันซะ  ให้ไวๆๆ

ขอบคุณที่ติดตามครับผม


-----------------------------------

ตอนหน้าเดี๋ยวจะเอามาลงเร็ว ๆ นี้นะครับ อีกไม่กี่ตอนก็จะจบแล้วล่ะครับ แหะ ๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 21-07-2010 19:38:05
อีกไม่กี่ตอนก็จบหรือว้า  :a5:

ตอนจบขอกุ๊กกิ๊กบ้างได้เปล่าอ่ะคะ  :impress2: อิอิ

ขอบคุณมากค้าที่แต่งเรื่องดีๆ ให้อ่าน  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: @24 ที่ 24-07-2010 00:16:38
ชอบเรื่องนี้จังเลยครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 28-07-2010 19:00:52

กดบวกด้วยความพึงพอใจ  อิอิ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 03-08-2010 15:05:21
ตอนใหม่ครับผม


--------------------------------------


21


รถญี่ปุ่นสีดำสนิทแล่นฉิวไปอย่างสายฟ้าแลบบนถนนที่ทอดยาวไปด้านหน้า ในขณะที่ภายในห้วงใจของคนขับก็พุ่งทะยานออกไปไกลไม่ต่างกัน หน้าปัดคันเร่งขยับสูงขึ้นเรื่อง สะท้อนถึงความกระวนกระวายไม่สงบนิ่งของชายหนุ่มที่กำพวงมาลัยแน่นราวกับจะเป็นการกระทำที่เจ้าตัวหมายมั่นเอาเองว่าจะช่วยผ่อนคลายการขมวดตึงขอเส้นประสาทให้คลายตัวลงได้ แต่ตราบใดที่จิตใจยังพะว้าพะวงเช่นนี้ การกระทำดังกล่าวก็ไม่พ้นเป็นเพียงการหลอกตัวเอง

    ผ่านโค้งโดยไม่ยอมผ่อนคันเร่ง พบรถพ่วงคันโตปรากฏเด่นอยู่เบื้องหน้าไม่กี่เมตร วิษณุเหยียบเบรกตัวโยน เสี่ยงนักหนาว่ากันชนจะทิ่มเอากับล้อหลังของรถพ่วง ใจของวิษณุกระตุกวูบ ก่อนจะหักพวงมาลัยหลบเล็กน้อย ชะลอความเร็วลง ใจหายวูบแล้วเปลี่ยนกลับเป็นปลอดโปร่งโล่งอก เมื่อสถานการณ์กลับเข้าสู่ความปลอดภัยเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด

    ถอนหายใจยาว มิอาจปฏิเสธได้ว่าจิตใจนั้นว้าวุ่นนักหนา ความว้าวุ่นส่งอิทธิพลมิให้ร่างกายหยุดนิ่ง หากแต่ต้องทำอะไรสักอย่าง แถมทำไปในลักษณะที่วูบวายผาดโผนเสียด้วย ถึงขั้นที่ชีวิตอาจจะถูกปลิดไปได้อยู่รอมร่อ

    วิษณุผ่อนลมหายใจยาวเข้าออกอย่างเชื่องช้า พยายามจะระงับสติให้เรียบนิ่ง ตระหนักได้อันตรายที่จะเกิดหากยังทำอะไรวู่วามเช่นนี้ แต่ก็นั่นแหละ ไม่แน่ใจว่าความพยายามนี้จะสูญค่าอยู่ดีหรือไม่ เพราะห้วงใจก็ยังถูกรบกวนจากใบหน้าของคนเดิม ๆ รวมไปถึงน้ำเสียงของคนเดิม ๆ ที่พอนึกขึ้นมาได้เมื่อไรก็มีแต่จะพาให้จิตใจโบยบินไปหาพายุหมุนก็เสียเท่านั้น

    คน ๆ หนึ่งที่อยู่ดี ๆ ก็มีอิทธิพลกับเขามากเสียขนาดนี้ มากไม่มากไม่รู้ รู้แต่ว่าอย่างน้อยก็ทำให้เขาระเห็จจากกรุงเทพลงใต้มาไกลเกือบห้าร้อยกิโลเมตรในเวลาแค่ไม่ถึงสามชั่วโมงนี้ก็แล้วกัน แล้วก็คงจะมีอิทธิพลพาเขาไปไกลกว่าเดิมอย่างแน่นอน

    ให้ตายเถิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนวิษณุคงได้แคลงใจยิ่งกับความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง รวมไปถึงอาจจะไม่แน่ใจด้วยว่าความรู้สึกประเภทไหนที่ขับเคลื่อนให้เกิดการกระทำเช่นนี้ น่ากลัวที่ ณ เวลานี้นั้นไม่ใช่อีกแล้ว ตรงกันข้าม ทุกสิ่งทุกอย่างมันชัดเจนเสียจนไม่อาจจะโกหกใจตัวเองได้ วิษณุแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าตัวเองกำลังทำอะไรและทำไปเพื่ออะไร

    ถอนหายใจคำรบสุดท้าย ก่อนจะเหยียบคันเร่งไปอีกรอบ พารถยนต์มุ่งหน้าไปตามถนนที่ทอดยาวไปสู่จุดมุ่งหมาย



*** **** ***** **** ***



     เสียงดนตรีอึกอึกดังสอดรับกับเสียงคลื่นที่แลดูคล้ายจะแผ่วเบาลงไปถนัดหู เมื่อเทียบเคียงกับเสียงอันเริงร่าของเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่แออัดเบียดเสียดอยู่บนพื้นทรายที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าผืนทะเลสีดำ แสงสีต่าง ๆ นา ๆ วิบวับระยิบระยับเข้ากับจังหวะเพลง สอดรับกันจนเป็นลวดลายสีสันอันยวนใจ ชวนให้ใครต่อใครต่างหลงใหลพร้อมใจพาตัวเองหลุดเข้าไปสู่ภวังค์อันมหัศจรรย์พันลึก โดยมีอบายมุขทั้งหลายเป็นประตูนำทาง

    แม้จะอยู่ในบรรยากาศของความชุลมุนวุ่นวายและสนุกสุดเหวี่ยง แต่ถึงกระนั้น กวินก็มิพ้นที่จะรู้สึกแปลกแยกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวในจักรวาลอันว่างโล่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายอย่างไรได้ กวินไม่เคยเป็นเช่นนี้ หรืออย่างน้อยก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้มานานมาก ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดที่เป็นตัวส่งเสริมให้เกิดภาวะอารมณ์อันขุ่นมัวแปลกแยก กวินมิอาจจะสืบทราบไปถึงสาเหตุ หรืออีกนัยหนึ่ง กวินก็ไม่อยากทำ เพราะถ้าทำแล้วล่ะก็ คำตอบที่ได้ก็คงจะยิ่งพาให้จมดิ่งลงเหวไปมากกว่าเดิม

    น่าขันนัก... ทั้ง ๆ ที่พยายามพาตัวเองหนีมาไกลถึงขนาดนี้ มาอยู่ท่ามกลางความผาดโผนพิสดารต่าง ๆ โดยหวังว่าจะช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากสภาพอันน่าสมเพชนี้ แต่สุดท้ายมันก็ไม่ช่วยอะไรเลย กวินยังคงรู้สึกว่าตัวเองยังถูกกักอยู่ในภวังค์มืดอันร้างเงียบ ภวังค์ที่มีแต่กลิ่นหืนเหียนของความไร้ค่าไร้ราคา มันส่งผลให้จิตใจหดหู่อย่างประหลาด รวมไปถึงร่างกายก็เช่นกัน กวินรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว คันคะเยออย่างประหลาดอยู่ในกล้ามเนื้อ เกาเท่าไรก็ไม่หาย รวมออกมาเป็นความรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดอันมิอาจจะช่วยให้มันบรรเทาลงไปได้ง่าย ๆ เลย

    ความรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดนี้ส่งผลให้กวินรู้สึกหงุดหงิดและผิดที่ผิดทางอยู่ตลอด เช่นว่าถ้ากำลังอยู่ตอนกลางวันก็จะพาลนึกอยากให้มันเป็นกลางคืนเร็ว ๆ พอตกกลางคืนก็กลับเบื่อ อยากจะให้มันรีบเช้า หรือเช่นว่าพออยู่คนเดียวก็เปลี่ยวเหงา อยากจะเข้าไปอยู่ในหมู่คน แต่พอมาอยู่ท่ามกลางคนมากมาย กวินก็นึกรำคาญความวุ่นวาย อยากจะอยู่คนเดียวเงียบ

    ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่ได้ดั่งใจไปเสียหมดอย่างไรอย่างนั้น

    “เฮ้...” เสียงทุ้ม ๆ ดังขึ้นจากด้านข้าง แม้จะไม่ได้หันไปมองเต็มมา แต่กวินก็พอจะดูออกว่าผู้พูดเป็นชายต่างชาติร่างสูงใหญ่ แต่ก็ไม่สนใจจะหันไปพินิจพิจารณาว่าเป็นคนชาติใดและมีหน้าตาหล่อเหลาเสียขนาดไหน อันที่จริง กวินไม่ได้แยแสต่ออะไรเลย “Can I sit here?”

    กวินมิได้ตอบออกมาเป็นคำพูด ไม่ได้หันไปมองหน้าด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่าได้พยักหน้าไปหรือเปล่า ไม่ว่าอย่างไรก็ดี ชายต่างชาติผู้นั้นก็นั่งลงข้าง ๆ กวินในที่สุด และถ้าไม่ได้คิดไปเอง ชายผู้นั้นยิ้มแถมมองมาด้วยสายตาที่กวินคุ้นเคยดีท่ามกลางความรู้สึกมึนเมาในแสงสลัวและเสียงดนตรีอึกทึก

    “Do you come alone?” หนุ่มต่างชาติถามอีกครั้งด้วยสำเนียงอู้อี้ ในขณะที่กวินถอนใจ เอื้อมหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มจนหมด เมื่อนั้นเองที่พอจะหันไปสังเกตคนที่นั่งข้าง ๆ เขาดูอ่อนเยาว์กว่าที่คิด ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ผมสีน้ำตาล ตาสีฟ้า อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบ “I’m James. And you?”     

     “Sorry” กวินตอบอย่างไร้เยื่อใย “I can’t speak British English”

    พูดจบ กวินก็ฟุบหน้าลงกับเคาน์เตอร์ราวกับว่าน้ำหนักของศีรษะตนเองได้เพิ่มสูงขึ้นจนมิอาจต้านทานไหว มิได้หันไปสนใจว่าชายหนุ่มข้าง ๆ กำลังขมวดคิ้วมุ่นอย่างฉงนสักเพียงใดต่อคำตอบโต้ที่ชวนให้งงและชวนให้ขบขันของกวิน

    อย่างที่บอก กวินไม่ได้แยแสและมิได้ยี่หระต่อสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย

    ยกเว้นก็แต่เขา... คนที่เป็นสาเหตุทั้งหมดของความรู้สึกแปลกแยกแตกต่างเช่นนี้ เขา...ที่ทำให้กวินว้าวุ่นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก เขา... ที่ยังคงเข้ามาปั่นป่วนโจมตีจิตใจของกวินให้บอบช้ำอยู่ทุกวินาที

    วิษณุ...

    กวินยังคงคิดถึงเขา... คิดถึงอย่างรุนแรงแบบที่มิอาจจะต้านทานหรือหักห้ามได้เลย   

    

*** **** ***** **** ***



    ท่ามกลางชายหาดที่คราคร่ำไปด้วยผู้คนที่สนุกสุดเหวี่ยงกับเหล้ายาปลาปิ้ง วิษณุรู้สึกแปลกแยกอย่างบอกไม่ถูก อันที่จริงสติสัมปชัญญะของเขาก็หาได้จดจ่ออยู่กับความครื้นเครงรอบข้างไม่ ตรงกันข้าม ชายหนุ่มกำลังหมกมุ่นอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไร้ความเกี่ยวพันกับบรรยากาศ สมองของเขาครุ่นคิดเพียงสิ่งที่ต้องทำให้ลุล่วง นัยน์ตาของชายหนุ่มพยายามจะจ้องมองผ่านความขวักไขว่รอบด้านเพื่อมองหาในสิ่งที่ไม่แน่ใจถึงการมีอยู่

    เขากำลังมองหากวิน มองไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง

    คิดแล้วก็อดพะวงไม่ได้ว่าการบึ่งรถด้วยความเร็วสูงจากกรุงเทพจนเสี่ยงว่าจะตายอยู่ข้างถนนหลายครั้งเป็นเวลาเกือบวันเต็ม ๆ จะเป็นการกระทำที่คว้าน้ำเหลว การสืบเสาะต่อสิ่งใดสักสิ่งที่นี่โดยไร้เบาะแสแทบไม่ต่างอะไรกับพยายามมองหาความเงียบสงบในความอึกทึก เป็นความหวังที่บางเบาแต่ก็ขาดมันเสียไม่ได้ เช่นเดียวกับความคิดของชายหนุ่มต่อสิ่งที่เกิดขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าอาจจะทำไปแล้วไม่ได้อะไร แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้ตัดสินใจทำ เพราะไม่อย่างนั้นจิตใจของเขาก็คงว้าวุ่นไม่เลิกรา

    ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าคมคายมีเสน่ห์พยายามเดินแทรกเบียดร่างของผู้คนหลากหลาย กวาดสายตามองหาชายหนุ่มอีกคนที่เป็นสาเหตุของความว้าวุ่นทางจิตใจตลอดหลายชั่วโมงมานี้ แต่ก็นั่นแหละ เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร ยากยิ่งกว่ายาก มันคงหาไม่เจอได้ง่ายนัก

    แต่โอกาสของมันก็ใช่ว่าจะไม่มี !

    บางครั้งบางคราว สิ่งยาก ๆ มักคลี่คลายลงง่ายดายเพียงเพราะโชคชะตา วิษณุไม่ได้ครุ่นคิดอะไรถึงมันหรอก อันที่จริง ทุกสิ่งทุกอย่างง่ายดายกว่านั้นเยอะ หาได้ซับซ้อนลึกซึ้ง เพียงว่าพอเดินล่วงจากผับริมหาดแห่งหนึ่งมายังผับแห่งใหม่ที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ สายตาของเขาได้สบกับนัยน์ตาคมกริบคู่หนึ่งที่จ้องมาจากด้านหนึ่งของเคาน์เตอร์เหล้าที่อยู่ไกลออกไปเล็กน้อย นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจ้องกลับมาเหมือนตกใจเล็กน้อย ราวกับไม่คาดคิด

    ให้ตายเถิด ต่อให้ไกลกว่านี้หรือมืดกว่านี้ วิษณุก็มั่นใจว่านั่นคือกวิน และให้ตายอีกที วิษณุครุ่นคิดถึงใบหน้านั้นอยู่แทบตลอดเวลา ไม่มีทางเลยที่ความทรงจำเกี่ยวกับลักษณะของกวินจะรางเลือนไปได้ง่าย ๆ

    เมื่อได้พบกับคนที่ต้องการพบ วิษณุไม่สนใจที่จะร่ำร้องขอบคุณโชคชะตาเลยแม้แต่น้อย หากแต่ชายหนุ่มพยายามจะรีบเดินฝ่าเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว แต่ก็นั่นแหละ อะไรที่เหมือนง่ายกลับกลายเป็นยากได้อยู่เสมอในช่วงเวลาเสี้ยววินาที อยู่ดี ๆ ก็กลับกลายเป็นว่ามีอุปสรรคมากมายมาขวางกั้นในช่วงเวลาที่น่าจะราบรื่น วิษณุไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ ผู้คนละแวกนี้ถึงแออัดมากขึ้นเสียอย่างนั้น หนุ่มสาวทั้งหลายเริ่มออกท่าทางสุดเหวี่ยงมากขึ้นเมื่อเสียงเพลงใหม่ ดังแว่วมาพร้อมกับเสียงโห่ร้องอันคึกคะนองของดีเจ วิษณุโดนเบียดเล็กน้อยจนเสียการควบคุม เกือบจะเซล้ม ดีที่คว้าร่างของคนข้าง ๆ ไว้ พอตั้งหลักได้ ยืนตรงตามเดิม มองไปเบื้องหน้าก็พบว่าตำแหน่งของบุคคลที่เฝ้าตามหาได้หายไปเสียแล้ว

    ชายหนุ่มมองไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย ไร้วี่แววของกวินอย่างสิ้นเชิง

    

*** **** ***** **** ***

 

    กวินใช้ความพยายามพอสมควรกับการเดินอยู่คนเดียวบนชายหาดมืด ๆ มารู้ตัวว่าดื่มไปหนักพอสมควรก็เมื่อพบว่าตัวเองเดินไม่ค่อยจะตรงเท่าไร เหมือนจุดศูนย์ถ่วงของร่างกายแกว่งไปแกว่งมาไม่คงทน รู้เพียงว่าที่พักยังอยู่อีกไกล แต่อันที่จริงเขาไม่อยากจะกลับที่พักเลยแม้แต่นิด เรื่องอะไรที่จะต้องกลับไปนอนในเวลาที่ยังไม่ถึงครึ่งของราตรี แต่ก็นั่นแหละ พอนึกถึงใบหน้าของคนที่เพิ่งได้บังเอิญเจอก็พาให้รู้สึกขุ่นมัวยิ่ง ไม่เข้าใจโชคชะตาเลยสักนิดว่าทำไมถึงเล่นตลกแบบนี้

    กวินไม่อยากเจอหน้าเขา... มันเป็นความรู้สึกที่ย้อนแย้งอย่างประหลาด กวินรู้ดีแก่ใจว่ากำลังมีการโกหกตัวเองเกิดขึ้น ยิ่งต่อเมื่อมาพิจารณาดูแล้วก็พบว่ามันมีความจริงและไม่จริงอยู่คนละครึ่งและมันก็สลับสับสนจนบอกไม่ถูก กวินไม่แน่ใจนักถึงสาเหตุที่ต้องรีบเดินหนีออกมาทั้ง ๆ ที่ร่างกายหาได้พร้อมจะเดินออกมาเพียงลำพังแบบนี้ไม่ อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นเพราะความกลัว

    ใช่... ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อได้พบเขา เมื่อได้เห็นใบหน้าคมคายนั้นส่งสายตามาให้ ถ้าจะพิจารณาให้ดี เริ่มแรกนั้นความรู้สึกของกวินพองโตอย่างอัตโนมัติ หัวใจนั้นเล่าก็เต้นเร่าราวกับกลองศึก มิอาจปฏิเสธได้เลยว่านั่นคือความรู้สึกที่เข้าข่ายยินดีอย่างออกนอกหน้า กวินแทบจะกระโดดไปกอดเขาแล้วด้วยซ้ำ แต่พอจังหวะต่อมา ความรู้สึกอีกด้านกลับเข้ามาครอบงำ เป็นความรู้สึกประเภทที่ถูกขับเคลื่อนออกมาจากทิฐิบางอย่าง มันร่ำร้องบอกกวินว่าวิษณุได้ทำสิ่งใดบ้างที่ทำให้กวินต้องเจ็บช้ำและเสียใจ และวิษณุเองก็หาได้จะแยแสในข้อนั้นไม่ ใช่... ประสบการณ์เลวร้ายที่เคยประสบทำให้กวินขยาดนักกับการต้องเป็นคนโง่ เรื่องอะไรที่กวินจะต้องลดตัวให้ตนเองไปรับบทบาทเช่นนั้นอีก ในเมื่อทางเลือกที่จะฉลาดก็ยังมีอยู่

    กวินได้เลือกแล้วว่าจะเลิกคิดอะไรทำนองนี้ให้ไปในทางเข้าข้างตัวเองอีกอย่างเด็ดขาด เพราะนั่นไม่ใช่วิถีของคนฉลาด เห็นกันชัด ๆ ว่าวิษณุมิได้สนใจไยดีตัวเขาแม้แต่น้อย ง่ายที่สุดก็คือแค่จะโทรหามาหาสักครั้งตามสัญญาก็ยังไม่ทำ รวมไปถึงที่ว่าถ้าหากการเจอกันครั้งนี้เป็นความบังเอิญ แน่ใจหรือว่าวิษณุจะอยากเจอกับเขาจริง ๆ เขาอาจจะแค่เผลอมาสบตาโดยมิได้ตั้งใจก็ได้ กวินไม่อยากจะจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าทำเป็นดีใจเข้าไปทักแล้วปรากฏว่าวิษณุแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วเดินหนีไป นั่นมิเท่ากับว่ากวินมิต้องเจ็บปวดมากขึ้นหรอกหรือ ความคิดคร่าว ๆ เช่นนี้เองที่สั่งการให้กวินเดินหนีออกมา พร้อมกับพยายามทึกทักเอาเองอย่างมักง่ายว่าวิษณุไม่ได้ปรากฏกายอยู่ที่นั่น หากเป็นแค่เพียงภาพลวงตาจากอาการเมาเสียก็เท่านั้น ควรจะลืมๆ มันไปเสีย    

    รู้สึกปวดขมับขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ก็พยายามจะฝืนเดินต่อไปเพื่อให้ถึงที่พัก แม้ว่าร่างกายนั้นแทบอยากจะโผลงไปสลบอยู่บนพื้นทรายมากเท่าไรก็ตาม บรรยากาศโดยรอบมืดสนิทและเงียบสงัด บริเวณนี้ไม่มีผับ ในขณะที่บังกะโลที่พักอยู่เบื้องหน้าไกลออกไปราวร้อยเมตร

    ไม่แน่ใจว่าแอลกอฮอล์ทำให้ประสาทหลอนหรือไม่ กวินรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากด้านหลัง มิทันได้ประมวลผลว่าเป็นเสียงจริงหรือเสียงหลอก หรือมิทันได้หันกลับไปมองว่าเป็นอะไร กวินกลับรู้สึกเหมือนมีร่างสูงร่างหนึ่งเข้ามาประชิดตัว โอบรัดจากด้านหลัง ตกใจในแวบแรก ยังคงมองไม่ชัดว่าเป็นใคร ในขณะที่ร่างหนา ๆ จากด้านหลังพยายามรัดกวินให้แน่นขึ้น พร้อมกับซุกใบหน้าลงมาตามลำคอ ในขณะที่มือใหญ่ก็ลูบไล้ไปทั่ว

    กวินพยายามจะสะบัดมันออก แต่ก็ไร้ผล รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นกายและผัวสัมผัสจากคนด้านหลังส่อให้กวินรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามันไม่ใช่คนไทย... แน่นอน.. กวินมั่นใจขึ้นมาในเวลานั้น มันต้องเป็นไอ้ฝรั่งสำเนียงอังกฤษคนที่มานั่งข้าง ๆ เมื่อครู่

    ยิ่งมั่นใจขึ้นมามากขึ้นเมื่อหันกลับไปมองได้สำเร็จ กวินรู้สึกย้อนแย้งในตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ใจหนึ่งนั้นวูบไหวและวาบหวิวไปกับสัมผัสของคนตรงหน้าที่บุกรุกจู่โจมอย่างดุดันบนบรรยากาศอันเปล่าเปลือยเงียบสงบของผืนทรายอันมืดมิดที่คลอเคล้าด้วยเสียงคลื่นจากทะเลสีดำที่สะท้อนจากแสงจันทร์ริบหรี่ และหนักเข้าก็คือยิ่งเมื่อได้จินตนาการถึงตรอกซอกหินและสุมทุมพุ่มไม้รอบด้านที่กำลังขยุกขยิกไปพร้อมกับกิจกรรมหฤหรรษ์ทั้งหลายแหล่ของมนุษย์เพศผู้ที่จับคู่กันนุ่งลมห่มฟ้าหาประสบการณ์อันเริงใจ

(มีต่อ)
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 18/07/2010ลงแล้ว20ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 03-08-2010 15:05:44
(ต่อ)

     แต่ในอีกด้าน... กวินกลับรู้สึกรังเกียจอย่างบอกไม่ถูก รังเกียจกับร่างอันใหญ่ยักษ์ ผิวสาก ๆ และกลิ่นกายที่แสนจะไม่คุ้นเคย รังเกียจกับความแปลกแตกต่างของร่างกายที่บ่งมาจากสัญชาติและความคนละเผ่าคนละพันธุ์ มันชวนให้นึกสยดสยองอยู่เล็กน้อยเมื่อจินตนาการถึงสัตว์เพศผู้สองตัวที่อยู่กันคนละโพ้นทะเล มีชีวิตคนละแบบ มีคติกันคนละอย่าง มีเส้นทางของชีวิตที่ไม่น่าจะมาบรรจบกัน เรียกได้ว่าคนละชาติคนละศาสนา แต่กลับมาได้กันโดยบังเอิญก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกย้ายกันไปตามทางโดยไม่มีวันได้พบเจอและรู้จักกันอีก ลักษณะของความเป็นชายต่างชาติขยายความรู้สึกแบบนี้ให้กวินจับต้องได้ชัดเจน โดยที่ผ่านมาไม่เคยชัดเจนเท่านี้มาก่อน ความคิดดังกล่าวนี้ทำให้กวินรู้สึกขยะแขยงตัวเองขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พยายามจะผลักร่างสูงออกไป แต่มันก็ยังจะเหมือนกลับมากอดรัดและลูบไล้ตัวกวินอย่างหื่นกระหาย กวินใช้แรงกำลังเท่าที่มีผลักมันออกแล้วเดินหนี ด้วยความเมาทำให้เดินได้ไม่เร็วนัก เซเล็กน้อยจนกระทั่งโดนกระชากกลับเข้าไปในที่สุด

    ร่างสูงใหญ่ของมนุษย์คนละเผ่าจับกวินกดลงกับพื้นทราย พร้อมกับพยายามจะฉีกเสื้อผ้าของกวินออกเป็นชิ้น ๆ ราวกับจะประกาศแจ้งว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะบังเกิดขึ้นตรงนี้ ตรงผืนทรายโล่ง ๆ เบื้องหน้าเกลี่ยวคลื่นที่โหมเข้าฝั่งอย่างเป็นจังหวะจะโคน มิต้องอาศัยมุมมืดให้อึดอัดคับข้อง กวินพยายามจะขัดขืนเสียให้ได้ แต่ก็เหมือนจะไม่ได้ผล ความเมาทำให้เรี่ยวแรงน้อยลงอย่างน่าเหลือเชื่อ

    ทันใดนั้น ก่อนที่กวินจะอ่อนเปลี้ยจนยอมให้ทุกอย่างดำเนินไป ร่างสูงก็ถูกดึงออกไปอย่างรวดเร็ว เทียบกันแล้ววิษณุตัวเล็กกว่าเล็กน้อย แต่เรี่ยวแรวของเขาก็คล้าย ๆ จะพอกัน วิษณุกระชากแล้วผลักมันออกไปจากกวิน ไม่ได้สื่อสารอะไรออกมาเป็นคำพูด แต่จากการกระทำก็แสดงออกมาชัดว่าจะบอกอะไรกับชายต่างชาติผู้นั้น

    จากความมืด กวินรู้สึกได้ว่าแววตาของวิษณุนั้นมองคู่กรณีอย่างหาเรื่องและโมโห ในขณะที่ชายต่างเผ่าคนนั้นสบตากับวิษณุสลับกับมองกวินที่นั่งอยู่บนพื้นทราย คล้ายจะปะติดปะต่อเรื่องราวของตัวเองแล้วจากนั้นก็ยักไหล่เดินจากไป วิษณุถอนใจ หันไปมองกวินที่สภาพดูไม่ค่อยจะได้ เสื่อผ้าหลุดรุ่ย ตาปรือ พยายามจะลุกขึ้นแต่ไม่มีแรง

    วิษณุหันมามองกวิน ก่อนจะพยายามยื่นมือช่วยดึงกวินให้ลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล กวินบอกไม่ได้แน่ชัดนักว่ากำลังรู้สึกเช่นไรในขณะนั้น รู้แต่ว่ามันต้านทานโจมตีกันเต็มไปหมด พอยืนขึ้นได้ กวินก็สะบัดมือของวิษณุออกโดยไม่รู้ตัว แล้วเดินต่อไปแบบไม่ค่อยจะตรง ยกมือขึ้นกุมขมับเหมือนปวดหัว ในขณะที่วิษณุเดินตามอย่างเป็นห่วง

    “โอเคป่าวหรือเนี่ยคุณ”

    กวินยกมือส่ายบอกว่าไม่เป็นไร ก่อนจะเดินต่อ ไม่ได้หันมามองคนถาม วิษณุนิ่งอึ้งไปนิดหน่อยกับท่าทีเหมือนไม่ไยดีจากอีกฝ่าย ปฏิเสธไม่ได้ว่ารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็ยังเดินตามต่อไป พร้อมกับพูดขึ้นมาอีกราวกับหวังว่ามันจะช่วยทำให้กวินสนใจเขาขึ้นมาบ้าง

    “พี่รสเปลี่ยนแผนเรื่องหนังสือแล้วนะ เขาจะให้มันเป็นงานของคุณ” กวินยังคงเดินต่อไป ไม่ยอมหันมา “ซึ่งผมว่ามันก็ดีแล้ว”

    “ตรงไหนวะ” กวินเอ่ยประชดออกโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้แม้กระทั่งด้วยว่าความรู้สึกประเภทไหนขับเคลื่อนการประชดดังกล่าวออกไป ในขณะที่วิษณุก็ยังคงไม่ลดความพยายาม

    “ผมอยากให้คุณกลับไปเปิดตัวหนังสือ” ความเย็นชาจากกวินจะทำให้วิษณุรู้สึกหัวใจเบาหวิวขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ก็ในส่วนเสี้ยวของจิตใจ ชายหนุ่มก็ยังหวังว่าจะทำทุกวิถีทางที่จะได้เห็นรอยยิ้มหรือความดีใจจากอีกฝ่ายให้ได้ “มันเป็นความสำเร็จของคุณ เป็นสิ่งที่คุณควรจะไปภูมิใจกับมันด้วยตัวเอง โอเคนะ พรุ่งนี้คุณกลับไปกับผม แล้วเราจะได้...”

    เกินกว่าจะทนได้อีกต่อ กวินหันไปตะคอกใส่วิษณุอย่างทันที ไม่ปล่อยให้เขาพูดจบ

    “ขอโทษนะ ! คุณมาเสือกเรื่องของผมทำไม”

    วิษณุชะงักไปเล็กน้อย ในขณะที่กวินหายใจแรงอย่างอึดอับคับข้อง หัวใจเต้นโครมครามพาลให้สรรพางค์กายสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ

    “บ้าหรือเปล่า อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา แล้วก็มาทำเป็นสั่งการกับชีวิตผม” ให้ตายเถิด... ยิ่งพอหันมามองหน้าคมคายหล่อเหลาและบวกกับถ้อยคำสู่รู้ทั้งหลายที่เขาพรั่งพรูมาเมื่อสักครู่ ยิ่งโหมพัดความโกรธเกรี้ยวให้ลุกโชนในจิตใจของกวินจนแทบอยากจะแผดเผาทุกสิ่งรอบด้านให้วอดวาย ทั้ง ๆ ที่จริง กวินก็ยังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าตนเองกำลังโกรธในเรื่องอะไรอยู่กันแน่ รู้แต่ว่าสัญชาตญาณบางอย่างมันเรียกร้องการหาเรื่อง ใช่... กวินอยากจะหาเรื่องคนตรงหน้า “แล้วผลงานอะไรหรือที่ผมจะต้องไปภูมิใจ ไร้สาระน่ะ คุณนี่พูดจาเหมือนเด็กปัญญาอ่อน”

    หัวคิ้วของวิษณุเริ่มขมวดมุ่นราวกับไม่พอใจ แต่กวินก็หาได้แยแส พูดต่ออย่างสะใจ โดยที่ไม่ได้สนใจอะไรกับความรู้สึกอันจริงแท้ของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว

    “แล้วนี่อีกสองวันจะฟูลมูนปาร์ตี้ คุณจะให้ผมทิ้งปาร์ตี้ไปเพื่อไอ้หนังสือบ้า ๆ เล่มนั้นน่ะหรือ หึ... คุณละเมอแล้วล่ะ ที่นี่ต่างหากคือตัวตนของผม ไม่ใช่ไอ้หนังสือดัดจริตนั่น”

    วิษณุถอนหายใจยาว แม้จะรู้สึกโกรธเช่นกันกับวาจาท่าทางหาเรื่องไม่มีเหตุผลของอีกฝ่าย แต่ก็พยายามจะไม่เอามาใส่ใจ เดินเข้าไปหาพร้อมตั้งท่าจะคว้าข้อมือเพื่อช่วยพยุง

    “ผมว่าคุณเมาแล้วล่ะ ไปนอนเหอะ”

    “ไม่ !” กวินชักมือหลบ พร้อมกับตะโกนลั่น “ผมจะสนุกต่อ อย่ามายุ่ง”

    “เห้ย !” เมื่อนั้นเองที่ความอดทนของชายหนุ่มร่างสูงกว่าเริ่มจะหมดลง วิษณุตะคอกกลับไปเช่นกัน “นี่ผมเป็นห่วงคุณนะ รู้หรือเปล่า”

    มันเป็นถ้อยคำที่ฟังยังไงก็น่าจะทำให้รู้สึกดีแท้ ๆ เพราะความห่วงใยจากอีกฝ่ายมิใช่สิ่งที่กวินเรียกร้องอยู่ลึก ๆ หรอกหรือ เกิดความย้อนแย้งบางอย่างในห้วงใจของกวินอีกครั้ง แต่การกระทำที่แสดงออกไปอย่างไร้สติกลับกลายเป็นกิริยาอันโกรธเกรี้ยวที่เพิ่มระดับ โทสะบางอย่างทำให้กวินหน้ามืดตามัว มิได้สนใจจะพิจารณาไตร่ตรองอันใดอีกแล้วว่าควรหรือไม่ควรทำสิ่งใด ยิ่งรวมเข้ากับความมึนเมาและนิสัยส่วนตัวที่ชอบหาเรื่อง ถ้อยคำของวิษณุเมื่อครู่ยิ่งเหมือนกับเชื้อเพลิงอย่างดี  

    “โอ๊ย... ฟังแล้วจะเป็นลม นี่คุณกำลังคิดเล่นละครน้ำเน่ากับผมงั้นหรือ ถึงมาปากดีพูดอะไรน่าขยะแขยงพรรค์นั้น” กวินพูดเสียงเยียบเย็นจนวิษณุฟังแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย แววตากร้าวของอีกฝ่ายที่สะท้อนมาจากความมืดทำให้วิษณุแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะอยากเอาชนะคะคานเขาถึงเพียงนี้ วิษณุถึงกับพูดอะไรไม่ออก ตรงกันข้ามกับอีกคนที่พรั่งพรูถ้อยคำออกมาอย่างไร้สติ

    “เราไม่ใช่พระเอกนางเอกนะคุณ แต่เราเป็นเกย์ เข้าใจป่ะว่าเราเป็นเกย์ ! เป็นผู้ชายที่เอากันเอง พูดแล้วก็ขนลุก อุบาทว์จริง ๆ” กวินพูดพลางกัดริมฝีปากแน่น ฝืนแสร้งหัวเราะ ในขณะที่นัยน์ตาร้อนผ่าว คล้ายจะมีน้ำใส ๆ ทะลักออกมาถ้าไม่ขืนเอาไว้ “แล้วสรุปว่าคุณยังต้องการอะไรจากผมงั้นหรือ ถึงต้องมายุ่งกับชีวิตผมนักหนา งานของป้าคุณผมก็เขียนให้เสร็จแล้ว คุณยังอยากได้อะไรจากผมอีก พูดมาตรง ๆ เลยนะ ไม่ต้องอ้อมค้อม”

    จู่ ๆ กวินก็หยุดพูด ชะงักไปเล็กน้อย พร้อมกับทำหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้

    “อ๋อ.... เข้าใจแล้ว....” กวินกับวิษณุมองหน้ากันสักพัก ตาคู่หนึ่งวาวโรจน์ไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ในขณะที่อีกคู่นั้นแน่นิ่งคล้ายกับทอดถอน กวินยิ้มมุมปากอย่างเสแสร้ง พร้อมกับเดินเข้ามาประชิดร่างกำยำของวิษณุอย่างรวดเร็ว

    “คุณเสียดายที่เรายังไม่ได้เอากันใช่ไหมล่ะ”

    วิษณุชะงักนิ่งราวกับไม่เชื่อหู เหมือนถูกทุบด้วยค้อนแรง ๆ จนวิงเวียนแทบจะทรงตัวไม่ได้ ในขณะที่กวินจู่โจมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ถอดเสื้อของตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแนบตัวเข้ากับแผงอกของวิษณุ พร้อมกับพยายามล้วงมือเข้าไปในกางเกง ท่ามกลางกระแสของอารมณ์ที่กำลังขับเคลื่อนไปอย่างผาดโผนและพิลึกพิลั่น วิษณุยังตั้งสติเพื่อประมวลเหตุการณ์และความรู้สึกของตัวเองแทบไม่ได้ บอกไม่ได้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นสิ่งที่ตัวเขาต้องการหรือไม่ มันมีความก้ำกึ่งอยู่ในนั้น แต่ดูคล้ายว่ากวินจะไม่ยอมครุ่นคิดถึงสิ่งใดเลย กอดรัดร่างหนาของวิษณุไว้แน่น ซุกไซร้ใบหน้าที่ลำคอแข็งแกร่ง เลื่อนลงไล้มาเรื่อย ๆ ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ดำเนินไปอย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นเพียงสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ผ่านพ้นเป็นกิจวัตร

    เมื่อนั้นเองที่วิษณุให้คำตอบแก่ใจตนเองได้ ถอนใจแรง กัดฟันเล็กน้อย ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดผลักร่างของกวินออกไปจนกระเด็นลงไปกองกับพื้นทราย ความมึนเมาทำให้กวินทรงตัวไม่ได้ ล้มตัวนอนลงไปบนพื้นทรายอย่างน่าสมเพช ฝ่ามือสองข้างกำเศษทรายไว้แน่น ความรู้สึกโกรธเกรี้ยวมากขึ้นเป็นทวีคูณ การผลักไสของวิษณุเมื่อครู่แทบไม่ต่างอะไรกับการหยามเหยียด คนอวดดี... เป็นไปได้อยากจะเอาทรายขว้างใส่หน้าหล่อเหลานั่นนักให้สมกับความจองหอง แต่สุดท้ายก็ทำไม่ลง ได้แต่ตะโกนปาว ๆ ออกไปอย่างหมดค่า น้ำตาไหลออกมาแต่ก็เบือนหลบไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

    “ไปให้พ้น ! อย่ามายุ่งกับผม !”

    วิษณุหลับตาเล็กน้อย สูดลมหายใจลึก ๆ ตั้งสติ ก่อนจะพูดออกมา

    “ผมตามอ่านงานของคุณทุกเล่ม เพราะอ่านแล้วมันรู้สึกว่ามันตลกดี  คุณแม่งบ้าบอ จิตตก แล้วก็เหมือนจะเป็นโรคประสาท ผมเคยคิดว่าถ้าได้เจอตัวเป็น ๆ ของคุณสักครั้ง คงพิลึกดี” ถ้อยคำของวิษณุดูจะเพิ่มระดับขึ้นไปเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวเองก็เริ่มจะควบคุมอารมณ์โกรธไม่ค่อยจะอยู่แล้วเช่นกัน ชายหนุ่มขบฟันแน่น ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงที่เริ่มเจือด้วยความกราดเกรี้ยว “แล้วก็จริง ! พอได้เจอคุณนะ... คุณแม่งโคตรตัวปัญหา ! พารานอย ! พูดมาก ! น่ารำคาญ ! แล้วก็...”

    เสียงของวิษณุคล้ายจะหายไปในลำคอ

    “..น่ารัก”

    กวินชะงักไปอย่างทันทีราวกับได้ยินไม่ชัด แต่ก็ไม่คิดจะถามว่าวิษณุพูดบ้าอะไรออกมาในคำสุดท้าย ในขณะที่เจ้าของคำสูดลมหายใจลึก พยายามจะระงับความโกรธแต่ก็เหมือนจะไม่สำเร็จ วิษณุตัดสินใจปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดออกมาด้วยประโยคสุดท้าย

    “ใช่ ! ฟังไม่ผิดหรอก คุณน่ารัก... รู้ไว้ซะ ! แล้วผมก็ชอบคุณมากด้วย”

    อาจจะด้วยเพราะกลัวอารมณ์ตนเอง วิษณุจึงตัดสินใจหันหลังเดินหนี ปล่อยให้กวินค้างนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ก็ไม่วายหันกลับมาพูดอีกรอบเมื่อเดินห่างไปสักสามก้าว

    “คุณโกรธที่ผมไม่โทรหาคุณ ผมมานี่ก็เพื่อจะขอโทษและยอมรับกับคุณตามตรงว่าผมทำโทรศัพท์หาย” วิษณุพูดด้วยเสียงที่คล้ายจะสงบความโกรธลงมาแล้ว แต่กลับแฝงความเย็นชาไว้มากขึ้น “ขากลับตอนที่แวะช่วยพวกรถเสีย คุณบอกเองว่าพวกนั้นไม่น่าไว้ใจ แต่ผมก็ไม่เชื่อ ไอ้พวกเหี้ยนั่นแหละที่ขโมยมือถือผมไป ผมเงียบปากไว้ตลอดทาง ไม่อยากบอกเพราะกลัวว่าคุณจะหัวเราะเยาะ เอาจริง ๆ คุณพูดถูกนะ ผมมันมองโลกในแง่ดีเกินไป”

    พูดจบแล้ว วิษณุก็เดินจากไปราวกับไม่ไยดี ในขณะที่กวินค่อย ๆ ลุกขึ้นจากทราย มองตามหลังวิษณุอยู่สักพัก ความรู้สึกหลากหลายต้านทานโจมตีกันอย่างวุ่นวาย แต่กวินก็ไม่มีสติพอจะแยะแยะกลั่นกรองว่าอันไหนเป็นความรู้สึกที่แท้อันไหนเป็นความรู้สึกที่ลวง แต่สิ่งที่คล้ายจะมีอยู่แน่ ๆ ก็คือความคุกรุ่นของอารมณ์อันพลุ่งพล่านที่วูบไหวอึมครึมคล้ายกับบรรยากาศของท้องทะเลอันมืดมิดรอบด้าน

    กวินหันหลับเดินไปอีกด้าน ถ่มน้ำลายลงพื้นเพื่อขับไล่เศษทรายที่ปนเข้ามาในปาก รู้สึกเจ็บใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่หันหลังเดินไปอีกด้าน

    คนปากดี !      



หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mecon ที่ 03-08-2010 15:43:49
 :m4: :m11:
ไปว่าเค้าว่า คนปากดี...ปากดีแล้ว..รักมั๊ยล่ะ  :-[ :impress2: กีซซซซซซซซซซซซซซซซ

คุณวิษณุคะ จะเอาอะไรกับคนเมาแ้ล้วก็คนบ้าล่ะคะนั่น
นุ้งกวินก้แค่อยากระบายค.อึดอัดเก็บกดที่มีในใจ ก็เลยแสดงกิริยาเหมือนคนไร้หัวใจ
ยังไงอย่างงั้นออกไปก็เท่านั้นเอง...อั๊ย อย่าพึ่งทอดใจสิคะ ตามมาง้อกันก่อนถึงจะเป็นมนุษย์เกย์ๆ
แต่ก็มีหัวใจบอบบางนะคะ.................กวินไม่ใ่ช่สาวน้อยคงไม่ต้องง้อนานหรอกน่า
รอให้สร่างเมาก็เป็นพอ กีซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซซ

อุตส่าห์หนีมาไกลโพ้นแล้วแต่ก็ยังหนีใจตัวเองไม่พ้นอ่ะนะกวินเอ้ย
แล้วแบบนี้ยังมาปากแข็งอีก ตัวเองนั่นล่ะปากดีไม่ใช่น้อยเลย แคร์เค้า น้อยใจเค้า
นี่เค้าก็ถ่อสังขารมาอธิบายแล้วไง หงะ ถ้าสร่างเมาแล้วอย่าลืมไปหาคนปากดีนะ
ปุนนี้แล้วงอนเป็นเดะๆไม่น่ารักนะ อิอิ

รู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก กลิ่นกายและผัวสัมผัส
จากคนด้านหลังส่อให้กวินรับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่ามัน ไม่ใช่คนไทย... แน่นอน

>> o22 คำว่า "ผิว" เน้อ ไม่ใช่ "ผัว" :laugh: :laugh:

 o13 o13 วิทยายุทธ์ยังเยี่ยมยอดเหมือนเดิมเลยนะคะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Shock_n2n ที่ 03-08-2010 17:11:46
อิอิ
ได้อ่านแล้ว ชื่น ใจ จริงๆ *v*
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 03-08-2010 18:58:20
กวินบ้าเหมือนที่เขาว่าจริงอ่ะแหละ เก็บกดอะไรหนักหนา มองโลกในแง่ร้ายเกินไปหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: salapaw ที่ 03-08-2010 20:42:55
กวิน เคยเป็นคนมองดลกในแง่ดี มาก่อน แต่เพราะเหตุใดจิึงเปลี่ยนเป็นคนละคน

เวลาทำให้คนเปลี่ยนแปลง ใจก้เปลี่ยน  แต่ทำไม คุณรส ถึงไม่ยอมเปลี่ยน เหอๆๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 03-08-2010 23:01:27
อ่านมาเครียด เครียด เครียด


มาอ๊ายยยยยยยยยยย ตรงคำว่า แต่ น่ารักเนี้ยแหล่ะ  :o8:

 :laugh:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 04-08-2010 00:22:27

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

อีนังกวิน

เอาไป 10 10 10 เลยคะเท้อออออออออออออออออออออออออออออออออ

อรั๊ยส์ !!!
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: wowhaha ที่ 04-08-2010 01:00:05
แล้วมาต่อไวๆนะครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 04-08-2010 13:47:23
ได้ใจจัง อย่างนี้สิดูเป็นเกย์น้ำดี
ให้คะแนนเต็มทั้งกวิน ทั้งวิษณุเลยจ้า 
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 04-08-2010 14:30:33
วิษณุอย่าเพิ่งไป๊ มาเอากวินกลับที่พักก่อน เดี๋ยวฝรั่งแถวนี้ก็ปู้ยี่ปู้ยำเละหรอก

แล้วอยู่ปรับความเข้าใจกันก่อนตอนนี้กวินยังประมวลผลไม่ได้
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mixmix ที่ 04-08-2010 22:19:43
เมื่อจะเข้าใจตรงกันแล้ว แต่ทำไมหันหลังเดินไปกันคนล่ะทางแบบนี้เนี่ย  :serius2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: hephzibah ที่ 05-08-2010 20:12:27
เข้าใจทั้งวิษณุ แล้วก็กวินนั่นแหละ

เป็นพวกประเภท ทำร้ายคนที่ตัวเองรักด้วยกันทั้งคู่
ต่างคนก็ต่างเข้าใจธรรมชาติอีกฝ่ายดีแท้ๆ แต่กลับดันมีน้ำโหใส่กันซะได้

เอาน่ะ สำหรับตอนนี้แบบนี้คงจะดีกว่า..จะได้เป็นหนทางให้ทั้งคู่ปรับตัวเข้าหากัน
ถ้าตอนนี้มีใครสักคน รั้งอีกฝ่ายไว้ บางทีอีกฝ่ายนั่นอาจจะไม่พยายามปรับตัวเองก็ได้ -  -''
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: bluebird ที่ 06-08-2010 00:05:42
เพิ่งมาอ่านครั้งแรกค่ะ รวดเดียว 21 ตอนเลย >.<
ประทับใจมากๆ เป็นงานเขียนที่อ่านแล้วแบบชอบมากๆ
ภาษาสวยมากกกกกก ตีพิมพ์ได้เลยนะเนี่ย
แล้วก็ชอบไอ้อาการเสียดสีประชดประชันในเนื้อเรื่องด้วย
ชอบกวินจัง เป้นตัวละครที่ทั้งมั่วทั้งเลวจิตตกบลาๆๆ 55+
แต่ว่าอ่านแล้วรู้สึกว่ารักตัวละครตัวนี้จริงๆเลยนะ ^^
พล็อตก็แบบว่าเยี่ยมมากๆ โอ๊ย ไม่รู้จะชมอะไรแล้วอะค่ะ
เพราะรู้สึกว่ามันดีมากจริงๆ : ) ขอบคุณที่เอามาโพสให้อ่านกันนะคะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ รอตอนต่อไป !!
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 06-08-2010 01:21:59
อย่างนี้ต้อง +๑ เท่านั้น เป็นอื่นไม่ได้จริงๆ

อ้างถึง
“แล้วก็จริง ! พอได้เจอคุณนะ... คุณแม่งโคตรตัวปัญหา ! พารานอย ! พูดมาก ! น่ารำคาญ ! แล้วก็...”

    เสียงของวิษณุคล้ายจะหายไปในลำคอ

    “..น่ารัก”

จุดนี้ แอร๊ยยยมากค่ะะะะะ เป็นคำสารภาพ...ที่สุดยอดอ่ะ ๕๕๕

กวินใจเย็นเด้~! วุ้ยยยย สนุก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 06-08-2010 22:34:54
"คุณน่ารักเหรอ?????" จริงดิเรายังไม่เคยมองว่ากวินน่ารักเลย55
เดี๋ยวคงต้องลองมองใหม่ แต่หามุมน่ารักของเธอไม่เจอจริงๆนะกวิน
อดีตกวินเคยมองโลกสดใส สวยงามใช่ป้ะ? ทำไมถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ละคะ?
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Lady-Rabbit ที่ 07-08-2010 14:26:55
สนุกมากค่ะ
ภาษีดีด้วย
ติดตามอยู่นะคะ

ส่วนตัวรู้สึกเหมือนจะเข้าใจแนวคิดของกวินเลย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 10-08-2010 03:43:45
 :call: :call:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 10-08-2010 14:04:38

ยังรอต่อไป ณ จุดนี้
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 18-08-2010 11:33:00
ดัน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Wr@iTh ที่ 18-08-2010 16:47:23
อ้าวๆๆๆ แล้วมันจะจบลงเช่นไร.... :m28:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 26-08-2010 02:24:34
เข้ามา +๑ ด้วยจิตพิศวาสส่วนตัว
แล้วรอตอน ๒๒ ต่อไป ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 01-09-2010 15:37:41
ดันรอค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 01-09-2010 16:50:35

เข้ามาช่วยรีบนดันเคอะ

ตามนั้น

 :bye2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 01-09-2010 20:48:25
ดันช่วยด้วยอีกแรงจ้า
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 02-09-2010 17:28:26
มีคนการันตีว่าเรื่องนี้สนุกมากกกก เลยต้องลองอ่านซะหน่อย


แล้วก็สนุกจริงๆด้วย  o13
แต่เพิ่งอ่านถึงตอนที่ 12  ไว้อ่านทันแล้วจะมาเม้นท์อีกทีนะคะ
ตอนนี้ตกหลุมรักพ่อหนุ่มอินดี้ไปแล้วอ่ะ  :-[



หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: littleFiNgeR ที่ 02-09-2010 18:03:32
โห กำลังอ่านหนุกๆเลย หมดตอนให้อ่านซะงั้น ค้างกันดื้อๆเลยทีเดียว 55

สวัสดีค่า เพิ่งจะเข้ามาอ่านครั้งแรก พอได้อ่านรวดเดียว แล้วพอถึงตอนปัจจุบัน มันเลยแบบ... เหอๆ แต่ชอบค่ะ ชอบมากด้วย ไรท์เตอร์แต่งสนุกดี ภาษาสวยด้วย รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 02-09-2010 20:03:40
เข้ามาดูอย่างเร็วลืมดูเดือน
3 เดือนที่แล้วนี้น่า มะช่ายจะ 3 เดือนนี้ 55555

 :z2: ดันๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 05-09-2010 13:08:00
 :pig4: ผู้แต่งมาก ที่เขียนงานดีๆอย่างนี้มาแบ่งปันผู้อ่านอย่างเรา
รู้สึกเหมือนอ่านนิยายที่ตีพิมพ์เป็นเล่ม มากกว่าอ่านนิยายในเนท
คือไม่ได้ว่านิยายในเนทไม่ดีนะ (ตอนนี้ก็อ่านอยู่ทุกวัน)
แต่สำนวน ความคิดที่ถ่ายทอดออกมา ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นนิยายที่พิมพ์เป็นเล่มแล้วอ่ะ  o13

ยังรออ่านตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อนะคะ
อยากรู้่ว่าอย่างกวินเนี่ยจะมีการพัฒนาตัวเองไปในทางไหน
ยังจำนิสัยเกรียนๆ ใจดำ ไม่มีน้ำใจได้นะ 5555

ส่วนคุณวิษณุนี่ก็ใช่ย่อย ไม่เรียนต่อซะงั้น เท่ากับทิ้งอนาคตตัวเองไปหรือเปล่า?????
แถมยังต่อยพ่อของตัวเองอีก  o22 อืม....แรว๊งงงงมากกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: Shock_n2n ที่ 05-09-2010 14:33:29
 :L2: :L2: :L2:
มาส่งดอกไม้ค่ะ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 08-09-2010 10:50:42
ขอโทษผู้อ่านจริง ๆ ครับ ที่หายไปนานอีกแล้ว

คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คหายครับ ทำให้เขียนงานต่อไม่สะดวก บวกกับหมดกำลังใจไปอีกหลายวันพอสมควร ฮ่า ๆ ๆ ๆ


แต่ยังจะเขียนต่อนะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะหาโอกาสลงยากจริง ๆ เพราะไม่มีคอมส่วนตัวแล้ว ไม่รู้จะมีเงินเก็บพอซื้ออีกเมื่อไหร่

เอาเป็นว่าจะหาโอกาสแอบใช้คอมของออฟฟิศเขียนและลงต่อให้จบนะครับ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: honeymic ที่ 08-09-2010 17:00:45
เสียใจด้วยนะค่ะ

แล้วก็ขอบคุณที่ยังตั้งใจจะมาต่อผลงานให้เราได้ติดตาม

ขอบคุณค่ะ

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 10-09-2010 15:06:38
เสียใจด้วยนะคะ  :monkeysad:
ยังไงก็เป็นกำลังใจให้สำหรับการเขียนเรื่องต่อนะ
โชคร้ายที่โน๊ตบุคโดนโขมย แต่อาจมีโชคดีเรื่องอื่นเข้ามาก็ได้นะ
สู้ๆค่า  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: mahmeow ที่ 10-09-2010 19:18:48
หง่ะ..แล้วจะไปเจอกันที่งานเปิดตัวหนังสือใช่มั้ยคะ...
ถึงตอนนั้นค่อยสารภาพว่าชอบอีกทีได้ไหม...
ให้โรแมนติกว่านี้นิดนึงก็ยังดีอะค่า....T^T
นี่ทำเค้าร้องไห้แล้วมาบอกว่าชอบทีหลัง...บรรยากาศเลยหดหู่บอกไม่ถูกเลย...TOT

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 11-09-2010 18:00:21
มาอ่านต่อดูกวินอ่อนไหวกว่าที่คิดนะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-09-2010 01:38:59
22

    แสงแดดจัดจ้าส่องกระทบกับผิวน้ำสีครามใสก่อประกายระยิบระยับจนแลดูคล้ายจะเป็นริ้วลำแสงที่แซมอยู่บนเกลียวคลื่นชวนมอง มองจากกลางทะเลบนเรือที่แล่นช้า ชายหาดของเกาะดูสวยงามสงบเงียบจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นที่เดียวกับที่จัดงานของบรรดาปาร์ตี้อันสุดเหวี่ยงหวือหวายามราตรี แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนนิ่งอยู่บนระเบียงเรือข้ามฟากขนาดกลางที่กำลังค่อย ๆ ถอยออกจากเกาะอย่างช้า ๆ ก็หาได้จะรับเอาความสวยงามรื่นรมณ์รอบข้างเข้าสู่มโนสำนึกอย่างเต็มเปี่ยมไม่ อันที่จริง ห้วงความคิดของวิษณุค่อนข้างจะเรียบเฉยเสียด้วยซ้ำ หัวสมองยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สับสนวนเวียนในความรู้สึก และคล้ายจะไม่มีทางสลัดมันหลุดไปได้ง่าย ๆ

    ถอนหายใจยาวหนึ่งคำรบ หวังจะให้สายลมอุ่น ๆ ที่ทอดยาวจากปลายจมูกนั้นนำพาเอาความหมกมุ่นครุ่นคิดที่ไม่สบายอกไม่สบายใจทั้งหลายให้ออกจากหัว แล้วจางหายไปกับบรรยากาศสดใสโดยรอบ แม้จะรู้ตัวว่าไม่ใคร่จะได้ผลเท่าไรนักก็ตาม การจะห้ามความคิดในเวลานี้นับว่ายากยิ่งนัก

    วิษณุยังคงคิดถึงเหตุการณ์อันมากมายที่เกิดขึ้นเมื่อวาน กับเวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบชั่วโมงก่อนหน้า เขาขับรถอย่างบ้าคลั่งจากกรุงเทพมาถึงที่นี่ มาด้วยเป้าประสงค์เพื่อที่จะตามหาใครสักคนที่ทำให้จิตใจเขาว้าวุ่นทั้ง ๆ ที่แทบไร้ซึ่งเบาะแสของคนผู้นั้นนอกไปเสียจากข้อความเสียงสั้น ๆ ในโทรศัพท์ นับเป็นการกระทำที่แทบไม่ต่างอะไรกับการพนันที่หวังเอาแต้มที่เป็นไปได้ยาก จริงอยู่ แม้ว่าเขาจะได้เจอกับกวิน แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย เหมือนกับเวลาที่ไพ่ใบแรกจะออกมาให้รู้สึกว่าชวนลุ้น แล้วใบที่สองก็ตามมาอย่างเข้าทีจนรู้สึกว่าคุ้มแน่ ๆ กับการเทหมดหน้าตัก แต่ความหวังก็พังครืนลงไปเมื่อไพ่ใบที่สามออกมาแล้วทำลายความเป็นไปได้ของไพ่สองใบแรกจนหมดสิ้น อย่างไรก็อย่างนั้นเลย สุดท้ายทุกสิ่งก็ลงเอยด้วยความล้มเหลวและเปล่าประโยชน์

    คิดมาถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงอีกคนที่ยังคงอยู่บนเกาะนั่นไม่ได้ – และก็ไม่รู้ว่าจะเจ้าคนตัวดีนั่นอยู่เริงร่าที่นั่นไปอีกเนิ่นนานสักเท่าไร - ใจของเกิดวิษณุแบ่งออกเป็นสองฟาก ฟากหนึ่งนั้นพยายามจะสั่งการให้ตนเองผ่อนคลายจากความวิตกกังวลและเลิกคิดมาก โดยให้ยึดประสบการณ์ที่ผ่านมาซึ่งสอนให้รู้ว่าการคาดหวังกับพฤติกรรมของใครสักคนเป็นสิ่งที่มักจะไร้ประโยชน์อยู่เสมอ แม้ถ้าหากว่าเลือกได้ชายหนุ่มจะไม่อยากให้เรื่องราวระหว่างเขากับกวินต้องลงเอยเช่นนี้ก็ตาม เพราะในเวลาที่รู้สึกดี ๆ กับใครสักคน ก็จะไม่มีใครคนไหนอยากให้มันจบเสียแต่ยังไม่ได้เริ่มหรอก วิษณุเองก็ไม่ต่าง แต่ในเมื่อถึงสิ่งที่เกิดขึ้นมันลงเอยมาแบบนี้แล้ว... ลงเอยไปในทางล้มเหลว วิษณุก็มิอาจจะไปต้านทานอะไรได้ นอกไปจากปลอบโยนตนเองว่าเขาก็ได้ทำดีที่สุดแล้ว คน ๆ เดียวหาได้มีสิทธิ์จะกำหนดความเป็นไปของความสัมพันธ์ไม่ ของอย่างนี้มันต้องทั้งสองคนต่างหากที่ร่วมกัน ในเมื่อกวินปฏิเสธ เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ทำอะไรอีกนอกจากทำใจยอมรับ

    แต่ในขณะเดียวกัน อีกฟากของใจก็ยังคงมีบทบาทต้านทานโจมตีกันได้อยู่ตลอด ฟากนั้นของจิตใจกำลังร้องอุทธรณ์ว่าเขานั้นเหลาะแหละเกินไป มีหรือว่าอะไร ๆ มันจะลงเอยแบบเหลว ๆ เช่นนี้ถ้าเขารู้จักใช้ความพยายามให้มากขึ้น ไม่ใช่ว่าอุตส่าห์พยายามขับรถทางไกลมาแทบเป็นแทบตาย แต่พอเจออีกฝ่ายงี่เง่าใส่เข้าหน่อยก็ถอดใจทำเมินเดินหนี และที่สำคัญ มันถูกต้องแล้วหรือที่ตัดสินใจกระโดดขึ้นเรือกลับฝั่งเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ ทั้งที่ความจริงสามารถจะไปพูดคุยกับกวินได้อีกครั้งมิใช่หรือ เพราะจะแน่ใจได้อย่างไรว่าที่ทุกอย่างมันเป็นไปแบบผิดที่ผิดทางนั้นไม่ใช่เพราะสติของกวินที่บิดเบี้ยวไปด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ก็นั่นแหละ ทุกสิ่งทุกอย่างมันผ่านมาแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายวิษณุจะรู้สึกแบบไหน ไม่ว่าฟากใดของจิตใจจะได้รับชัยชนะในการกำหนดความรู้สึก แต่ความจริงก็คือความจริง ความจริงที่ว่าเมื่อคืนนี้เขาและกวินได้เดินแยกกันไปคนละทาง และใครจะไปรู้ บางทีการแยกทางครั้งนี้อาจจะเป็นสัญญะที่บ่งบอกก็ได้ว่าเขาทั้งสองจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว…

    เป็นการยากที่จะยอมรับแบบนั้น แต่มันก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์มันผ่านมาแล้ว เรือแล่นห่างจากเกาะมาเกินกว่าจะเปลี่ยนใจได้แล้ว

    วิษณุถอนใจอีกเฮือกใหญ่ ก่อนจะเสตามองรอบ ๆ เปิดสัมผัสทั้งหลายได้รองรับกับบรรยากาศรอบด้านเพื่อจะทำสมองให้ปลอดโปร่ง แน่นอน เขาไม่ใช่คนคิดมาก อย่างน้อยก็พยายามทำให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอด ชายหนุ่มคิดใคร่ครวญถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสติอยู่เสมอ แม้ว่าขณะเผชิญหน้าจะมีบ้างที่ไขว้เขวไปตามอารมณ์ที่ถูกผลักดันโดยสถานการณ์ แต่ว่าในสุดท้ายแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป วิษณุก็จะไม่ยอมให้สิ่งเหล่านั้นมามีความสำคัญต่อตัวเองอย่างเกินงาม เขาเป็นคนเช่นนี้ น้อยคนนักจะมองออกว่าชั่วขณะหนึ่งนั้นเขากำลังคิดอะไร หรือกังวลอะไรอยู่ ใบหน้าที่เรียบเฉยและบุคลิกที่มั่นคงเข้มแข็งไม่มีช่องว่างให้เกิดการแสดงออกของความเปราะบางใด ๆ เลย

    ช่างตรงข้ามกับคนบางคนที่วิษณุรู้จักอย่างสิ้นเชิง...

    ....คนบางคนที่ยังมาปั่นป่วนห้วงความคิดของชายหนุ่มอยู่ไม่เลิก

    ถอนใจยาวอีกรอบโดยอัตโนมัติเมื่อรู้ทันความคิดตนเอง ก่อนจะตัดขาดห้วงความคิดนั้นเสียโดยเร็ว ไร้ประโยชน์จะไปนึกถึง ...ไม่ว่าอย่างไรก็คิดถึงเขาผู้นั้นอยู่จนแล้วจนรอดสินะ

    “ยืนหมิ่นขนาดนั้นเดี๋ยวก็ร่วงลงไปหรอกคุณ” เสียงอันคุ้นเคยอย่างประหลาดที่ดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลทำเอาวิษณุถึงกับขมวดคิ้วมุ่น และหันไปหาต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยอาการนิ่วหน้าอย่างงุนงงเมื่อประจักษ์แก่สายตาว่าชายหนุ่มเจ้าปัญหาที่ปั่นป่วนความรู้สึกของเขากำลังยืนทำหน้าตายอยู่บนเรือข้ามฟากลำเดียวกันโดยที่หารู้ไม่ว่าขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน และคล้ายกับว่าอีกฝ่ายก็จงใจจะไม่ใส่ใจต่อประเด็นนี้อย่างสิ้นเชิง “ผมไม่ลงไปช่วยหรอกนะ พอดีว่าว่ายน้ำไม่เป็น”

    วิษณุยังคงหน้านิ่ว และยังไม่ยอมตอบโต้อะไร ได้แต่เขม่นมองอีกฝ่ายไม่วางตา ในขณะที่เจ้าตัวปัญหากลับทำแสร้งเสมองไปทางอื่นพร้อมกับทำทางไม่ยี่หระอย่างน่าหมั่นเขี้ยว แวบแรกวิษณุนั้นงุนงงและประหลาดใจ นอกไปจากนั้นก็มิอาจปฏิเสธแก่ตนเองได้ว่ามีความรู้สึกปรีดาแฝงอยู่ไม่น้อยเมื่อได้พบเจอกับอีกฝ่าย แต่ไป ๆ มา ๆ พอนานเข้า ด้วยอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ก็บังเกิดมีความรู้สึกคล้ายอยากจะแกล้งขึ้นมาด้วยอย่างทันที เพราะแค่มองก็รู้อีกฝ่ายคงประหม่าและรู้สึกผิดอยู่พอสมควร เห็นดังนั้นวิษณุก็เข้าทาง ยิ่งวางท่าเป็นหน้าตึงมากเข้าไปอีก

    “หายเมาแล้วหรือ”

    สำเร็จ... เจ้าคนตัวปัญหาหน้าแดงเสียอย่างกับตำลึงสุก ร้องโต้ออกไปอย่างทันที ในขณะที่สายตายังเบนหนีไป

    “นี่คุณอย่าพูดถึงมันได้ไหม”

    วิษณุพยายามอย่างยิ่งที่กลั้นยิ้ม ซึ่งทำได้ดีพอสมควร เพราะในมุมของอีกฝ่าย กวินมีความลังเลต่ออารมณ์ความคิดของชายหนุ่มไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะไม่อาจจะเดาได้ว่าใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น อีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ไม่แน่ใจว่าวิษณุโกรธตนเองหรือไม่ จะพูดอย่างไรทำอย่างไรก็ดูเหมือนจะติดขัดไปหมดด้วยชนักที่ติดหลังจากวีรกรรมเมื่อคืน กวินออกจะเจ็บใจตัวเองนัก ไม่น่าปล่อยให้ความมึนเมาทำให้ตัวเองบ้าบอไปถึงพรรค์นั้น คิดมาถึงตรงนี้ความทรงจำอันรางเลือนก็ค่อย ๆ กระจ่างชัด ความทรงจำที่กวินออกจะละอายแก่ใจนัก ไม่น่าเชื่อว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะทำให้เขาเกิดความปั่นป่วน มึนเมาจนงี่เง่าแสดงออกด้วยอารมณ์เกินหญิงไปเสียขนาดนั้น ให้ตายเถิด.... ต่อให้พวกตัวละครเกย์สาวเพ้อเจ้อตามนิยายใต้ดินยังไม่ก่อดราม่าเท่ากับสิ่งที่เขาทำไปเมื่อคืนเลย

    วิษณุยังคงตีสีหน้าเรียบเฉย ทำเป็นเบือนหน้าหนีคล้ายกับแสดงออกถึงความมึนตึงและโกรธเคือง ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามปั้นให้เย็นชา

   “ได้... ถ้าคุณไม่อยากฟัง งั้นผมไม่พูดกับคุณแล้วก็ได้”

    เมื่อนั้น กวินก็เป็นฝ่ายต้องขมวดคิ้วบ้าง

    “คุณหาเรื่อง”

    “เปล่าสักหน่อย” วิษณุแกล้งยั่ว “ผมหาเรื่องยังไงไม่ทราบ”

    กวินร้องตอบออกไปทันที

    “คุณเฉไฉ ผมบอกคุณอย่าง แต่คุณกลับพูดวกไปอีกอย่าง เหมือนคุณกำลังประชด”

    วิษณุหันมามองกวินด้วยสายตาอันแพรวพราวมากไปด้วยเลศ ก่อนจะสวนขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้

    “ทั้งหมดนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณทำกับผมเมื่อคืนหรอกหรือ เฉไฉ บอกอย่างแต่พูดวกไปอย่าง ประชดประชัน และที่สำคัญที่สุดคือหาเรื่อง แล้วยังจะ...”

    “พอสักทีเถอะน่า” กวินร้องโวยวาย หน้าแดงไปถึงใบหู “ผมขอโทษก็ได้ถ้าคุณโกรธ โธ่เอ๋ย...  ก็ผมเมาอ่ะ”

    ในใจของกวินแอบนึกขวางต่อชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้านัก ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไรแต่ก็ยังย้ำถามอยู่นั่น จะให้เขาอายมากไปขนาดไหนกันนะ นี่ไม่ได้คิดออกบ้างเลยหรือที่การที่เขามาปรากฏตัวอยู่แบบนี้มันก็คือการเป็นฝ่ายยอมมาง้อแล้วแท้ ๆ ทั้งที่ความจริงจะหาเรื่องโกรธต่อไปก็ยังได้ มีอย่างที่ไหน รู้ก็รู้ว่าเมื่อคืนเขาเมาจนแทบไม่มีสติ แต่คนตรงข้ามก็ยังเอาจริงเอาจังกับคำพูดของเขาแล้วเดินหนีไปเสียดื้อ ๆ อย่างนั้น คนอะไร... ไม่รู้จักผ่อนปรนต่อสถานการณ์เสียบ้างเลย นี่ที่ยอมเป็นฝ่ายแพ้ก็เพราะไม่อยากจะให้อะไร ๆ มันจบไปหรอกนะ ดูสิ ยังจะมาหาเรื่องกลับอีก

    กวินสะบัดหน้าหนีไปเล็กน้อยตามความขุ่นมัวของอารมณ์ที่บังเกิดขึ้น แต่ก็ไม่วายจะพึมพำออกมาโดยหวังจะให้อีกฝ่ายได้ยิน

    “ไม่เหมือนคุณหรอก คนอะไร ใจร้ายชะมัด”

    เกินกว่าที่วิษณุจะกลั้นยิ้มเอาไว้ได้ ท่าทางของคนตรงหน้าทำให้เขารู้สึกอยากจะคว้าตัวมาทำโทษยิ่งนัก แม้จะยังคิดไม่ออกว่าควรจะลงโทษแค่ไหนดี 

    “อะไร... ผมใจร้ายตรงไหน จริง ๆ ผมก็แค่ถามว่าคุณหายเมาแล้วหรือยัง คุณนั่นแหละที่เฉไฉอยู่ไม่เลิก ก็ตอบมาตรง ๆ เสียก็สิ้นเรื่อง”

    “เออ” กวินร้องอย่างขัดเขิน หมั่นไส้แววตาคมกริบมากประกายของอีกฝ่ายอย่างบอกไม่ถูก ฐานที่มันทำให้ใจของเขาปั่นป่วนอยู่ได้ไม่เลิก “หายแล้ว ปรกติแล้ว พอใจหรือยังล่ะ”

    “ยัง” วิษณุตอบอย่างยียวน ทำเอาอีกฝ่ายเริ่มจะพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดกับรอยยิ้มมากเสน่ห์เช่นนั้น ในเวลาเช่นนี้ กวินมิอาจปฏิเสธใจตัวเองได้อีกแล้วว่าเขาอยากจะครอบครองรอยยิ้ม แววตา และรวมไปถึงทุกส่วนของชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้านี้มากแค่ไหน แต่ในอีกส่วนของใจก็ไม่กล้าจะคิดอะไรไปไกลมาก ในขณะที่วิษณุก็ยังคงยียวนอยู่ไม่เลิกรา

    “แล้วนี่คุณขึ้นมาบนเรือทำไม”

    “ทำไมล่ะ” กวินร้องออกไปด้วยสำเนียงน้อยใจที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ “คุณไม่อยากให้ผมขึ้นมาหรือ”

    “เฉไฉอีกแล้ว” วิษณุว่า โดยที่ไม่ได้มองตัวเองนักว่าเฉไฉได้ไม่น้อยไปกว่าอีกฝ่ายเท่าไรเลย แต่ถึงอย่างไร กวินก็ยังคงปั่นป่วนหวั่นไหวกับมาดอันเหนือกว่าของเขาอยู่เช่นเดิม

    “ก็คุณบอกผมเองนี่ว่าคุณจะอยู่ปาร์ตี้คืนนี้”

    กวินถอนใจเล็กน้อย เลิกคิดจะต่อปากต่อคำ ตัดสินใจถามในเรื่องสำคัญทันที

    “งานเปิดตัวมันกี่โมงนะ”

    “ทุ่มนึงมั้ง ถ้าจำไม่ผิด” วิษณุตอบ ก่อนจะร้องถามออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คุณจะไปใช่ไหม”

    “ผมยังไม่มั่นใจ”

    “แล้วต้องทำไงคุณถึงจะมั่นใจเสียที” วิษณุพูด ก่อนจะชะงักเล็กน้อย ราวกับคิดว่ารุกหนักเกินไป แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจ “เอาเถอะ ผมไม่บังคับคุณดีกว่า แล้วแต่คุณนะว่าจะตัดสินใจยังไง แต่จากใจของผม ผมอยากให้คุณไป เพราะมันคืองานของคุณ”

    “คุณจะไปกับผมไหมล่ะ” กวินตัดสินใจถามออกมาตรง ๆ ใจเต้นสั่นราวกับไม่มั่นใจในคำตอบ ในขณะที่วิษณุชะงักไปอย่างทันที ทำเอากวินรู้สึกใจแป้วอย่างบอกไม่ถูก

    “ไม่เป็นไรก็ได้นะ ถ้าคุณไม่ว่าง”

    “คุณพูดอะไรของคุณ” วิษณุถามด้วยเสียงเข้ม ในขณะที่กวินเบือนหน้าหนีไปทางอื่นราวกับหวาดกลัวในสิ่งที่ชายหนุ่มตรงหน้ากำลังพูด “ถึงขนาดนี้คุณยังต้องถามอีกหรือว่าผมจะไปกับคุณหรือเปล่า”

    ไม่มีคำตอบจากปากของกวิน ต่างฝ่ายเงียบกันไปสักระยะ ราวกับปล่อยให้สายลมและเกลี่ยวคลื่นเข้ามามีบทบาท ก่อนที่กวินจะหันหน้ามาถาม

    “เราจะไปทันหรือ”

    วิษณุยิ้มเล็กน้อยกับการตัดสินใจของคนตรงหน้า ก่อนจะให้ความมั่นใจ

    “ทุกคนจะรอคุณ”




*** **** ***** **** ***


   “กวิน... ถึงไหนแล้ว”

    อรพรรณกรอกเสียงลงบนโทรศัพท์อย่างร้อนรน ในขณะที่บรรยากาศรอบด้านของศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิต์ค่อนข้างจะวุ่นวาย ผู้คนเริ่มเดินพลุกพล่านเบียดเสียดกันตรงบริเวณบูธขายหนังสือจนแทบจะไม่มีอากาศหายใจ ในขณะที่บริเวณฮอลล์ด้านหน้าซึ่งจะใช้จัดเป็นการเปิดตัวก็ยังไม่มีทีท่าของความเรียบร้อย แม้จะมีผู้ฟังหลายคนจับจองที่นั่งด้านหน้าแล้วก็ตาม ดูเหมือนว่าป้ายเวทีที่ติดตัวอักษรใหญ่โตว่า ‘งานเขียนที่อุทิศแด่ วรรณี วรรณรัตน์’ จะเรียกให้นักอ่านทั้งหลายมาร่วมฟังได้อยู่เยอะโข แต่ถึงอย่างไร เวทีเสวนาก็ยังคงไร้ซึ่งระเบียบ ไมโครโฟนยังตั้งค่าระบบเสียงไม่เรียบร้อย พิธีกรของงานก็เพิ่งจะมา ทุกสิ่งอย่างดูเหมือนจะยังไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะสำคัญที่สุด เจ้าของผลงานก็ยังคงไม่โผล่หัว 

    “รถติดมากเลยอ่ะพี่” กวินตอบกลับมาด้วยเสียงที่ร้อนอกร้อนใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มพยายามชะเง้อมองผ่านกระจกรถไปทางถนนด้านหน้า รถยนต์แต่ละคันยังไม่มีวี่แววจะขยับ ชายหนุ่มอีกคนที่ประคองพวงมาลัยอยู่ก็คล้ายกับจะร้อนรนในใจไม่แพ้กัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

    “ตายแล้ว... ยังไงดีล่ะ เลทมาสิบนาทีแล้วนะ คนรอฟังเยอะมากเลย” อรพรรณกล่าวซ้ำ รู้สึกร้อนรนมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่ามธุรสกำลังมองมาด้วยสายตาตำหนิ ตั้งแต่เกิดเรื่องในวันนั้น มธุรสก็แลดูจะมีท่าทีเย็นชาต่องานชิ้นนี้ขึ้นมาอย่างทันที ไม่ว่าจะประสานงานต่าง ๆ เรื่องปกเรื่องปรูฟจนกระทั่งแม้แต่การจัดงาน มธุรสเฉยชาไปเสียทุกเรื่อง พาให้อรพรรณรู้สึกกดดันตัวเองอยู่ตลอด นี่อุตส่าห์ใจชื้นไปแล้วเชียวเมื่อวิษณุโทรมายืนยันตอนเช้าว่ากำลังจะพากวินกลับมางานเปิดตัว แต่ไป ๆ มา ๆ ก็มีลางว่าจะมาไม่ทันเสียนี่ อรพรรณกลุ้มใจนัก นักอ่านหลายคนมาลงทะเบียนรับฟังอยู่เรื่อย ๆ ในขณะที่บางคนที่มานั่งรอนานแล้วก็เริ่มจะมองนาฬิกาพร้อมกับทำท่ากระสับกระส่าย พิธีกรขึ้นไปรออยู่บนเวทีแล้ว ในขณะที่เจ้าของผลงานก็ยังไม่โผล่หน้ามา

   ทางด้านกวิน แม้สัญญาณไฟจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว แต่รถก็ยังไม่มีการขยับอยู่ดี วิษณุพยายามบีบแตร แต่ก็คล้ายจะเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์

    “กวิน” เสียงของอรพรรณคล้ายจะร้องไห้เอาเสียให้ได้ “พี่รสตั้งท่าจะด่าฉันแล้วนะ”

    สถานการณ์คล้ายจะบีบคั้น แต่การจราจรก็ยังไม่อำนวย เมื่อนั้นเอง กวินจึงตัดสินใจโดยเร่งด่วน

    “โอเคพี่ จะไปถึงอีกไม่เกินสิบนาที”

    กวินคว้ากระเป๋า ทำท่าจะเปิดประตูรถออกไป แต่ก็ไม่ไวไปกว่าอีกฝ่ายที่รีบคว้าข้อมือของเขาไว้

    “จะทำอะไร”

    “ดูท่าแล้วไม่ทันแน่ เดี๋ยวนั่งมอไซค์รับจ้างไปดีกว่า แล้วเดี๋ยวคุณค่อยตามไปนะ” ท่าทางของกวินแสดงออกชัดว่ารีบอย่างถึงที่สุด แต่อีกฝ่ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะรั้งไว้ รู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก

    “จะเอาอย่างนั้นหรือ มันจะไม่อันตรายเกินไปใช่ไหม”

    ให้ตายเถิด... กวินอดที่จะร่ำร้องอยู่ในใจไม่ได้ ...เป็นคุณชายมาจากไหนเนี่ย ถึงได้กลัวการนั่งมอเตอร์ไซค์ขนาดนี้... แปลกที่ว่าถ้าเป็นปรกติ ใครมาพูดอะไรทำนองนี้กวินก็คงจะได้หาเรื่องเหน็บเอาให้ได้ แต่ในคราวนี้เขากลับกลืนถ้อยคำเหล่านั้นลงไปได้อย่างง่ายดาย

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า คุณเถอะ รีบตามไปแล้วกันนะ อย่าไปแวะหาใครที่ไหนล่ะ”

    พูดจบก็รีบผลุนผลันลงจากรถทันที ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วปานจรวด ไม่กี่วินาทีต่อมา กวินก็นั่งซ้อนอยู่บนเบาะของมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ขับฉวัดเฉวียนลัดเลาะไปตามถนนด้วยจังหวะที่น่าหวาดเสียว อันที่จริงกวินไม่ค่อยจะชอบเท่าไรนัก แต่ความกลัวที่จะไปไม่ทันก็มีมากจนสามารถจะหลงลืมความกลัวไปก่อนได้ชั่วคราว

    ไม่นาน กวินก็มาถึงศูนย์การประชุม เนื่องด้วยผู้คนที่แน่นขนัด ทำให้กว่าจะพาตัวเองเบียดผู้คนที่กำลังกรูเข้างานจนมาถึงบริเวณที่ใช้จัดงานเปิดตัวได้ก็ทำให้เสียเวลาไปมากโข ไม่ทราบว่าด้วยความรีบหรือความตื่นเต้นจนหูตาพร่าลาย พอจังหวะที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาอรพรรณที่โบกมือเรียกอยู่ไม่ไกล กวินก็รู้สึกเหมือนชนเข้าอย่างจังกับร่างเตี้ย ๆ ของใครสักคนที่พุ่งเข้ามาหาด้วยอารามลุกลี้ลุกลน ชนแรงเสียจนต่างฝ่างต่างล้มกันไปทั้งคู่ ปึกกระดาษแผ่นหนึ่งร่วงหลุดจากมือของชายหนุ่มร่างเตี้ยหลังจากที่เขาล้มลง กวินเอื้อมมือไปเก็บให้โดยอัตโนมัติด้วยเพราะกระดาษปึกนั้นมันตกมาอยู่ใกล้ร่างของเขามากกว่า เอะใจเล็กน้อยเมื่อพบว่าปึกกระดาษเหล่านั้นคือใบลงทะเบียนการเข้ารับฟังการเปิดตัวหนังสือของกวินนั่นเอง

   เมื่อตั้งสติได้ รีบเงยหน้าหันไปมองคู่กรณี ไม่ทันจะได้เอ่ยคำขอโทษหรือพูดจาอะไรกัน เพียงได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายจนชัด กวินก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย พูดอะไรไม่ออกนอกจากขานชื่อของอีกฝ่าย

    “ขจร”

    ดูเหมือนอีกฝ่ายก็อึ้งไปเช่นกัน ปึกกระดาษที่ร่วงหล่นจากมือของขจรยังคงถูกกำแน่นอยู่บนมือของกวิน กวินก้มมองดูอีกครั้ง พบว่ามันเป็นใบลงทะเบียนจริง ๆ มีรายชื่อของผู้คนที่เข้ารับฟัง รวมถึงมีรายละเอียดของคนเหล่านั้น บางคนเขียนเบอร์โทรศัพท์และมีอีเมลพร้อมสรรพ

    ไม่ทันที่กวินจะประมวลความสงสัยทั้งหลายแหล่ที่จู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวให้ออกมาชัดเจนเป็นรูปธรรม ขจรใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากใบลงทะเบียนจากมือของกวินอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนสามารถแย่งมันจากมือของกวินไปได้สำเร็จ ก่อนที่จะรีบวิ่งหนีไปทันที

    “เฮ้ย... เดี๋ยวก่อนสิขจร” กวินทำท่าจะวิ่งตาม ความสงสัยระคนหวาดระแวงปรากฏชัดในชั่ววินาทีนั้นเองที่เห็นท่าทางหลุกหลิกลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ทันจะได้ตามไปสืบถามให้ได้เรื่อง อรพรรณกลับวิ่งมาคว้าข้อมือกวินไว้ได้อย่างทันท่วงที

   “กวิน ! มัวยืนทำอะไรอยู่ แล้วนี่จะไปไหน ไม่ใช่เวลาแล้วนะ ไปเร็ว ขึ้นเวทีได้แล้ว !”

    กวินปล่อยตัวเองให้เดินตามแรงจับจูงของอรพรรณ ในขณะที่ความสงสัยทั้งหมดทั้งมวลยังพุ่งไปที่ขจรอยู่เช่นเดิม ด้วยเวลาอันกระชั้นชิด กวินไม่อาจจะเชื่อมโยงความคิดได้เลยว่าขจรมาเกี่ยวข้องอะไรกับใบลงทะเบียน !

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-09-2010 01:43:43
23

เมื่อทุกอย่างดำเนินเข้าสู่ความพร้อมหลังจากที่ล่าช้าไปจากกำหนดเดิมถึงเกือบครึ่งชั่วโมง ผู้ทำหน้าที่พิธีกรที่กวินออกจะคุ้นว่าคลับคล้ายคลับคราว่าน่าจะเป็นนักวิจารณ์วรรณกรรมผู้หนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เช่นกัน เจ้าหล่อนเอ่ยทักทายผู้รับฟังด้วยเสียงอ่อนหวาน ในขณะที่เสียงปรบมือก็เกรียวขึ้นมาจนทำให้กวินอดที่จะประหม่าไม่ได้ เขาไม่เคยพูดกลางที่สาธารณะท่ามกลางคนเยอะเช่นนี้มาก่อน ไม่ต้องสงสัยว่านี่คงจะเป็นผลพลอยมาจากบารมีของวรรณี วรรณรัตน์โดยแท้

    “...นับว่าเป็นที่น่าเสียใจนะคะที่เมื่อไม่นานมานี้พวกเราต้องเสียบุคคลในวงการวรรณกรรมที่เรียกได้ว่าเป็นบรมครูคนหนึ่งแห่งบรรณพิภพไป” พิธีกรเอ่ยเข้าเรื่องทันทีเมื่อเสียงปรบมือระลอกแรกค่อย ๆ ซาลง “แต่ไม่ว่าอย่างไรค่ะ ถึงแม้ว่าคุณวรรณีจะจากไปแล้วและนำความโศกเศร้ามาสู่แฟนนักอ่านทุกคน  แต่ในความเศร้าโศกก็ยังเรียกได้ว่ามีความน่ายินดีอยู่นะคะ เพราะมีนักเขียนรุ่นใหม่คนหนึ่งค่ะ เขาได้เขียนงานชิ้นหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นงานที่เขียนขึ้นมาตามรอยของนักเขียนรุ่นพี่ รวมถึงได้อุทิศงานชิ้นนี้ให้กับคุณวรรณีในฐานะที่เป็นครูวรรณกรรมซึ่งสร้างแรงบันดาลให้กับใครหลายคนด้วยค่ะ สำหรับนักอ่านหลายท่านที่อาจจะรู้จักนักเขียนที่ดิฉันกำลังพูดถึงอยู่แล้ว ก็จะรู้ว่างานชิ้นล่าสุดของเขาชิ้นนี้ฉีกแนวจากที่เคยเขียนเลยทีเดียว แต่ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้จักก็ไม่เป็นไรค่ะ เพราะในวันนี้และจากงานชิ้นนี้ ดิฉันเชื่อว่าคุณผู้อ่านทุกคนน่าจะได้รู้จักนักเขียนผู้นี้เพิ่มขึ้นแน่นอน ขอเชิญพบกับ... กวิน... เจ้าของผลงาน ‘ความหวังนิรันดร์’ ค่ะ”

    เสียงปรบมือดังกึกก้องอีกคำรบ ในขณะที่ภายในใจของกวินก็เต้นรัวอย่างกับกลองศึก ชายหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นด้วยท่วงท่าที่ช้าเนิบ แต่กระนั้นก็ยังหน้ามืด เหมือนจะวิงเวียนศีรษะอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจต่อสิ่งที่กำลังจะเกิด จนอรพรรณกับมธุรสต้องส่งสายตาบังคับให้กวินรีบขึ้นไปบนเวทีอย่างรวดเร็วเมื่อเสียงปรบมือเงียบลงจนเกิดเป็นภวังค์ความเงียบอันชวนอึดอัด แต่กวินก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ราวกับไม่อาจจะขยับขาก้าวขึ้นไปได้อย่างไรอย่างนั้น

    วิษณุเดินเข้ามาในงานพอดีในจังหวะนั้น แต่คล้ายจะยังเดินเข้ามาใกล้ไม่ได้เพราะติดแน่นอยู่กับกลุ่มคนที่กำลังเบียดเสียดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย กวินเหลือบไปเห็นโดยบังเอิญ รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างฉับพลันเมื่อมองเห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ถูกส่งมา กวินยิ้มตอบกลับไป ก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปบนเวทีด้วยท่าทางที่มั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาเพื่อคุยกับพิธีกรที่ตั้งท่าจะรอยิงคำถาม แม้ว่าสายตาของกวินจะจดจ้องอยู่แค่เพียงใบหน้าคมคายที่ส่งยิ้มน่าเอ็นดูมาให้จากมุมไกล ๆ ที่เต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัด



*** **** ***** **** ***

    

    ตรงบริเวณด้านนอกที่อยู่ไกลออกไป ขจรมองกวินที่นั่งอยู่บนเวทีอย่างเจ็บใจระคนกับอิจฉาริษยาอย่างที่ไม่อาจจะหักห้ามได้ มือสั่นเทากำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น ก่อนจะค่อย ๆ ยกมันขึ้นมาดูพร้อมกับกดปุ่มให้คลิปวีดีโอที่ถูกบันทึกไว้ให้ฉายออกมาอีกรอบเพื่อตรวจสอบ

    นิ้วมืออวบอ้วนค่อย ๆ กดปุ่มลดเสียงลงเพื่อจะไม่ให้คนที่เดินผ่านไปมารับรู้และสงสัย ในขณะที่ภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอสี่เหลี่ยมเล็กของโทรศัพท์มือถือก็แสดงชัดให้เห็นถึงกิจกรรมอันผาดโผนของมนุษย์เพศผู้จำนวนพอประมาณที่ปล่อยตัวเองให้เปลือยเปล่าล่อนจ้อนท่ามกลางแพกว้างที่ล่องไปตามแม่น้ำ อาจจะด้วยว่าเป็นการถ่ายที่ไม่ได้จริงจังและเป็นไปได้ว่าคนถ่ายก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น ภาพที่ได้จึงค่อนข้างสั่นไหว แต่กระนั้นก็ยังเห็นชัดในทุกกิริยาของแต่ละคนที่กลัดมันเหลือประมาณจนแทบจะรุมแลกเปลี่ยนความกำหนัดใคร่ให้แก่กันและกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน มือไม้ของแต่ละคนเกาะก่ายกันมั่วไปหมด และไม่อาจจะแยกได้ว่าใครกำลังเป็นส่วนหนึ่งของใคร ความอีรุงตุงนังดำเนินต่อไปชั่วครู่ ก่อนที่ภาพจะจับให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งอย่างชัดเจน คล้ายกับผู้ถ่ายจงใจจะแช่ภาพไว้ที่ใบหน้าของบุคคลผู้นี้ และเก็บบันทึกปฏิกิริยาต่าง ๆ อันร้อนแรงและกระหายใคร่เอาไว้อย่างชัดเจนทุกส่วนสัด

    ใจของขจรเต้นรัว มือไม้ก็พาลจะเย็นเฉียบขึ้นมาเสียอย่างนั้น รู้สึกมือสั่นปากสั่นขึ้นมาอย่างทันทีทันใดเมื่อห้วงความคิดกำลังถูกกระตุ้นให้รับรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องทำในสิ่งที่วางแผนเอาไว้มาหลายวัน ชายหนุ่มร่างเตี้ยค่อย ๆ เงยหน้ากลับไปมองบนเวทีอีกครั้งด้วยดวงตาที่แดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังพูดพล่ามอยู่บนเวทีเป็นใบหน้าเดียวกับที่ปรากฏอยู่ในคลิปไม่ผิดเพี้ยน

    ยิ่งเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายคงจะต้องเสียท่าให้แก่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย ห้วงความคิดของขจรก็แปรปรวนโหมกระหน่ำราวกับพายุคลั่งจนที่สติและปัญญามิอาจจะเข้าไปมีบทบาทในการควบคุมมันได้อีกแล้ว แม้จะมีการต้านทานโจมตีกันของกระแสสำนึก ตั้งคำถามต่อตนเองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ควรทำจริงหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วอารมณ์ความแค้นก็อยู่เหนือเหตุผล ยิ่งเมื่อมาคิดถึงความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของตัวเองก็ยิ่งทำให้รู้สึกคลั่ง บางคราวคนเราก็จำเป็นต้องทำเลวอะไรสักอย่างเวลาแพ้ เพียงเพราะจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองแพ้มากจนเกินไป ห้วงความคิดของขจรในยามนี้ก็เป็นไปในฉันนั้น โกรธเกลียดไปเสียหมดทุกคน ไล่มาตั้งแต่กวินที่กำลังกลายเป็นคนประสบความสำเร็จ ในขณะที่เขาไปไม่ถึงฝั่งฝันทั้ง ๆ ที่ความพยายามก็เท่ากันและเผลอ ๆ เขาอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ อยุติธรรมยิ่งนักที่คนเย่อหยิ่งจองหองอย่างกวินได้ดิบได้ดีมีผู้สนับสนุนในขณะที่เขาซึ่งอดทนกว่า เจียมตัวกว่าและพากเพียรกว่ากลับล้มเหลวและไม่มีใครไยดี เกลียดอรพรรณและนักอ่านทุกคนที่กำลังชื่นชมยินดีในความสำเร็จของมันซึ่งตัวเขาเองใฝ่ฝันและไม่มีวันเดินฝ่าไปถึง และที่สำคัญ เขาเกลียดมธุรสที่ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงไอ้บ้าโง่ ๆ ที่ถูกหลอกใช้ พอหมดค่าก็โดนเขี่ยทิ้ง

    แค่เหล่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้วที่ขจรจะสุมไฟแค้นในอกจนสามารถวางแผนจะทำลายทุกอย่างให้พังกันไปข้างในวันนี้

     ชายหนุ่มร่างอ้วนเตี้ยค่อย ๆ คว้าขวดเหล้าที่ซ่อนไว้ในกระเป๋าสะพายขึ้นมากระดกจิบเพียว ๆ จนเกือบจะหมดขวด รสเหล้าขมปร่าร้อนแรงกระตุ้นให้ความรุ่มร้อนในกายยิ่งโหมทวี  ขจรเปิดดูเบอร์โทรศัพท์ของคนที่มาลงทะเบียนบนกระดาษลงทะเบียนที่แอบขโมยมา แม้จะรู้ดีว่าคงไม่ได้ผลร้อยเปอร์เซ็นต์ บางคนไม่ได้ลงเบอร์โทรศัพท์ หรือบางคนอาจจะไม่สามารถรับข้อมูลได้ แต่อย่างน้อยถ้าขอแค่หนึ่งในห้าของจำนวนคนเหล่านี้สามารถได้เห็นความอักลักษณ์น่าเกลียดเหล่านี้ได้ แค่นั้นก็นับว่าแผนการของเขาก็ลุล่วงแล้ว

    ขจรกดไล่ส่งคลิปไปตามเบอร์ที่เขียนไว้ทีละเบอร์ ในขณะที่ความแค้นคลั่งโหมกระพือจนแทบไม่เหลือสติใด ๆ ไว้อีกเลย



*** **** ***** **** ***



   “หมายความว่ายังไงคะ ความหวังของชีวิตที่จะไม่นำไปสู่ความสิ้นหวังทางจิตวิญญาณ”

    พิธีกรสาวยิงคำถามหลังจากที่กวินได้เอ่ยถึงคอนเส็ปต์คร่าว ๆ ของงานที่ดูเป็นถ้อยคำที่ชวนให้เกิดความสงสัย

    “คือ... มันก็อาจจะต้องตามแต่ความคิดของผู้อ่านนะครับ ว่าจะตีความหรือเข้าใจมันไปยังไง ยอมรับตามตรงก็คือ ผมได้ประโยคนี้มาจากคุณวรรณี ซึ่งพอมาเขียนเรื่องนี้ผมก็เข้าใจประโยคนี้ไปทำนองที่ว่า...” กวินนิ่งไปสักพักราวกับพยายามจะประมวลความคิด ก่อนจะค่อย ๆ พูดออกมาอย่างเชื่องช้าและตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว แทบจะตรงกับข้ามกับการเขียน ทักษะการพูดของเขาติดลบเสมอโดยเฉพาะเวลาจะพูดในสิ่งที่สำคัญ  “คือบางครั้งชีวิตของเราเมื่อพ้นจากวัยเด็ก เราก็ได้พบกับความผิดหวังและพ่ายแพ้ที่โจมตีเราจนเราแย่ เราก็มีกลไกที่จะหล่อเลี้ยงตัวเราให้มีชีวิตต่อไปได้ด้วยความหวังถึงวันข้างหน้าที่ดีกว่า เราอาจจะอยากเป็นผู้ชนะ เราอยากมีค่า เราอยากรวย อยากได้สิ่งนั้น อยากได้สิ่งนี้ คือเหมือนเรากำลังพยายามเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเองด้วยวิธีการหลากหลายและกดดันตัวเองว่าจะต้องทำให้ได้ ต้องเป็นให้ได้ เราพาตัวเองสู่สนามแข่งและพยายามปรับตัวเองให้แกร่งขึ้นโดยไม่รู้ตัว   สิ่งเหล่านี้มีประโยชน์ในฐานะที่ทำให้เรามุ่งมั่นที่จะที่มีชีวิตและใช้ชีวิต แต่โดยไม่รู้ตัว เราก็เอาแต่หมกมุ่นอยู่กับมัน เราเลิกที่จะเชื่อในสิ่งที่ไม่ช่วยทำให้เราสมหวัง แต่เราจะศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตาเพียงแต่ในสิ่งที่เรามั่นใจว่าจะทำให้เราสมหวังเท่านั้น เราหยาบขึ้น... จนอาจจะลืมไปเลยว่าสิ่งเหล่านั้นกำลังเป็นตัวบ่อนทำลายบางสิ่งบางอย่างจากตัวตนเราไปเช่นกัน”

    กวินนิ่งไปอีกสักพัก อดไม่ได้ที่จะสังเกตปฏิกิริยาจากผู้ฟัง ก่อนจะพูดต่อ “มันทำให้เราลืมที่จะมองย้อนไปหาสิ่งอันเป็นคุณค่าพื้นฐานของเรา เหมือนกับว่าสุดท้ายแล้ว ถึงเราจะสมหวังในสิ่งเหล่านั้น แต่เราก็จะลืมไปเสียแล้วว่าความหวังลึก ๆ อันจริงแท้ของเราเป็นยังไง คุณค่าอันแท้จริงของเราเป็นยังไง โลกมันซับซ้อน และคนเราก็อ่อนแอ มันทำให้เราสับสนและหลงทางจนอาจจะไม่มีวันหามันได้เจออีกถ้าขาดสติ ผมว่านี่แหละครับ ที่เรียกได้ว่าเป็นความสิ้นหวังทางวิญญาณ”

    “อันนี้เป็นลักษณะของแนวคิดต่อต้านสังคมเมืองหรือเปล่าคะ”

    “ไม่เลยครับ ไม่เลย” กวินรีบปฏิเสธ “ความจริงถ้าใครรู้จักผมดี จะรู้เลยว่าผมไม่มีทางเขียนงานต่อต้านสังคมเมืองแน่นอน แต่... เรียกว่าผมอยากให้ทุกคนมีสติกับหลายสิ่งหลายอย่างมากขึ้นดีกว่าครับ มันจะช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นจากภายใน ไม่ใช่ฉาบความเข้มแข็งไว้เป็นเปลือก…”

    ระหว่างที่กวินกำลังพูดอยู่นั้น ชายหนุ่มสังเกตได้ถึงความผิดปรกติของบรรดาคนที่นั่งฟัง ที่ต่างเริ่มกดดูโทรศัพท์มือถือราวกับได้เห็นในสิ่งที่น่าสนใจ จนน้อยคนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งที่กวินพูด แม้แต่พิธีกรเองก็สังเกตได้จนหล่อนรู้สึกลังเลที่จะดำเนินรายการต่อ สีหน้าของกลุ่มคนล้วนออกไปในทางตกใจและตะลึงงัน บางคนเงยหน้าขึ้นมองกวินสลับกับก้มมองภาพในมือถือราวกับจะเปรียบเทียบความเหมือนความต่าง มีเสียงฮือฮาเล็กน้อยเมื่อการแบ่งปันกันดูเริ่มเกิดขึ้น คนบางคนรีบเดินลุกหนีไปทันที ในขณะที่บางคนหัวเราะออกมาอย่างขบขับ อรพรรณกับมธุรสเองก็ได้คลิบนั้นเหมือนกัน กวินหันไปมองแล้วพบว่าคู่ตกใจจนเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก

    กวินและพิธีกรเริ่มรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ บนเวทีมีแต่ความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย

    วิษณุรีบคว้าโทรศัพท์ของผู้ฟังคนหนึ่งขึ้นมาดู นิ่วหน้าอย่างตกใจเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในนั้น เงยหน้ามองกวินบนเวที ต่างฝ่ายต่างสบตากัน กวินนึกเอะใจจึงหยิบมือถือของตนเองขึ้นมาดูบ้าง เนื่องจากกดปิดเสียงไว้จึงไม่รู้ตัวว่าได้รับข้อความมัลติมีเดียจากใครสักคนที่ไม่รู้จัก จนกระทั่งลองเปิดดู ภาพที่เห็นทำเอาถึงกับพูดอะไรไม่ออก ไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นภาพของตัวเองในการกระทำที่เกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเคยทำลงไป ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกตัวชาไปทั่วร่าง มั่นใจว่าทุกคนด้านล่างก็คงได้เห็นภาพเหล่านี้เช่นกัน ไม่แปลกใจเลยที่บางคนจะลุกเดินหนีไป โดยไม่รู้ตัว กวินหันไปสบตากับวิษณุเป็นคนแรก ในขณะที่อีกฝ่ายก็จ้องกลับมาด้วยสายตาว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก กวินรู้สึกเหมือนมีอะไรสักอย่างเสียดแทงลงไปกลางใจ   

    “สุดยอดเลยไหมครับ นักเขียนที่หน้าด้านกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นนักเขียนรุ่นใหม่ผู้เดินรอยตามคุณวรรณี ถุย !” ขจรเดินเข้ามาด้วยท่าทางสะใจจนไร้สติในจังหวะที่ทุกคนกำลังอึ้ง เดินเซเล็กน้อยเหมือนคนเมา “ดูสิครับทุกคน คนวิปริตผิดเพศใช้ชีวิตโสมมแบบนี้น่ะหรือที่มีสิทธิ์มาร้องแรกแหกกระเชอเขียนงานสอนคนเรื่องคุณค่า เรื่องความหวัง ถามจริง ๆ พวกคุณยังจะอ่านกันลงอีกหรือ”

    คนแก่ ๆ สองสามคนส่ายหน้าก่อนจะลุกหนีไป ในขณะที่กวินยังคงตกใจอย่างคาดไม่ถึงว่าขจรจะทำอะไรถึงขนาดนี้ ได้แต่ยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ขจรพล่ามต่อไปด้วยน้ำเสียงที่ดังมากขึ้น   

    “สำหรับใครบางคนที่เคยอ่านงานเน่า ๆ ของมันมาแล้วนะ ก็อาจจะพอรู้ว่าคนอย่างมันน่ะเป็นยังไง สกปรกแค่ไหน แต่ความจริงน่ะมันมากกว่านั้นเยอะ มันมั่วมีอะไรกับคนอื่นเต็มไปหมด เด็กอายุสิบหกมันก็เอา แม้แต่กับพระกับเณรมันยังเคยเอามาแล้วเลยมั้ง”

    เสียงฮือฮาดังขึ้นมาอีกระลอก หลายคนเริ่มรับไม่ได้ ในขณะที่กวินถึงกับทนไม่ไหว เดินลงมาจากเวที พร้อมกับใช้แรงทั้งหมดลากขจรไปที่ข้างเวที อรพรรณกับมธุรสรีบเดินมาสมทบอย่างเร่งด่วน

    “ขจร... นี่มึงคิดว่ามึงกำลังอะไรอยู่”

    “กูทนไม่ได้โว้ย ที่จะให้คนอย่างมึงมาตอแหลทำตัวเป็นดี หลอกคนอ่านทุกคน”

    คำตอบของขจรทำเอากวินถึงกับจุกที่อก ไม่กล้าสบตากับวิษณุที่เพิ่งจะเดินเข้ามาใกล้ รู้สึกโกรธขจรจนตัวสั่นที่ทำลายเขาถึงขนาดนี้ แต่ก็พูดอะไรไม่ออก รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอพร้อม ๆ กับร้อนผ่าวที่นัยน์ตาคล้ายกับอยากจะร้องไห้

    “มึงโกรธกูจนเป็นบ้าไปถึงขนาดทำอะไรสกปรกแบบนี้เลยหรือไงวะ”   

   “หุบปากเลยนะไอ้สัตว์” ขจรสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ก่อนจะด่าอะไรกูมึงดูตัวเองเถอะ ใครกันแน่สกปรก ทุกอย่างที่กูพูดมันเป็นความจริง หรือมึงจะตอแหลว่าไอ้คนในคลิปมันไม่ใช่มึง หรือมึงจะโกหกว่ามึงน่ะไม่สำส่อน ไม่ได้มั่วกับใครต่อใครไปทั่ว มึงจะโทษกูได้ไงในเมื่อตัวมึงมันก็สกปรกอย่างที่กูพูดจริง ๆ”

    “แต่ถึงกูจะเหี้ยยังไง มันก็ไม่ใช่กงการอะไรของมึงที่จะต้องมาพูดแบบนี้”

    “ก็กูจะพูด มึงจะทำไม” ขจรลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาใด ๆ ทั้งสิ้น “กูจะประจานมึงต่อไปไม่หยุดด้วย เพราะกูถือว่ากูพูดความจริง ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายเว้ย”

    กวินกัดฟันอย่างโกรธจัด

    “ใช่... ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย... มึงแน่ใจนะว่าจะพูดคำนี้ แสดงว่ามึงจะอยากจะให้กูพูดความจริงของมึงบ้างใช่ไหม” กวินกำหมัดแน่น ในใจยังลังเลว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป แต่ด้วยอาการไม่สำนึกของขจรก็ผลักดันให้กวินตัดสินใจที่จะรุกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มเม้มปากแน่นก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงเบาคล้ายกระซิบ แต่ก็ดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยิน

    “เอาจริง ๆ นะ กูไม่ได้แปลกใจเลยที่มึงจะมีคลิปนี้ เพราะมึงน่ะหาโอกาสที่จะดูกูเอากับทุกคน ทุกที่... ทุกเวลา... ถ้ามึงแอบถ่ายเองไม่ได้ มึงก็จะต้องจ้างคนอื่น เหมือนอย่างอันนี้ มึงก็คงจะจ้างให้สักคนถ่ายไว้ คิดว่ากูไม่รู้หรือไง มึงน่ะปีนห้องน้ำแอบดูกูแก้ผ้าตลอดตั้งแต่สมัยเรียน แล้วมึงก็ไม่เคยพลาดที่จะต้องคอยขุดหาเรื่องราวว่ากูไปเอากับใครมาบ้างหรือไปมีอะไรพิลึกพิสดารจากไหน เพราะมึงก็จะได้เอาไปนึกภาพเวลาว่าว เถียงสิว่ามันไม่ใช่ความจริง ความจริงมันเป็นสิ่งไม่ตาย และความจริงของมึงน่ะกูก็รู้หมด แต่กูแค่ไม่พูด เพราะกูไม่อยากให้มึงอายไงล่ะ ! ไอ้สัตว์ !”

   “ไม่จริงเว้ยไอ้เหี้ย อย่ามาตอแหล” ขจรหน้าแดงก่ำถึงใบหู โกรธจัดจนใบหน้าบิดเบี้ยว รีบร้องปฏิเสธออกมาด้วยเสียงดังลั่น ในขณะที่กวินไม่สนใจ พูดต่อไปด้วยท่าทีที่โกรธจัดไม่แพ้กัน

   “มึงน่ะมันพวกชอบโกหกตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างในการกระทำของกูที่มึงทำท่ารังเกียจนักหนาน่ะ มึงอยากทำทั้งนั้นแต่ไม่มีปัญญา และที่มึงมาคอยแว้งกัดกูตลอดเนี่ย เอาจริง ๆ จุดเริ่มมันก็แค่ว่าลึก ๆ แล้วมึงอยากเอากับกูแต่ก็ไม่มีโอกาสเท่านั้นแหละวะ เพราะมึงมันห่วย !”

    ทุกอย่างดำเนินไปถึงจุดแตกหัก ขจรยิงหมัดใส่หน้าหน้ากวินอย่างแรงจนแทบจะเซล้ม ขจรบ้าคลั่งมากขึ้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ ตั้งท่าจะโผเข้ามากระทืบกวินซ้ำ อรพรรณกับมธุรสพยายามห้าม วิษณุกับพวกยามก็รีบเข้ามาดึงตัวขจรออกไป

    “ไม่จริง... มึงอย่าทำเป็นรู้ดี ไอ้ที่มึงพูดน่ะมันไม่จริง มึงถอนคำพูดเลยนะอีตุ๊ดระยำ มึงจะเป็นตุ๊ดมึงก็ตุ๊ดไปคนเดียวสิวะ กูไม่ได้เป็น ที่มึงพูดน่ะมันไม่จริงเลยเว้ย ไม่จริง !” ขจรโดนยามลากออกไปจากงานทั้ง ๆ ที่ยังร้องอาละวาดไม่เลิก

    เมื่อเรื่องราวบานปลายใหญ่โต ทุกคนในงานต่างก็หันมามองกวินเป็นจุดเดียวพร้อมกับซุบซิบนินทากันอย่างโจ่งแจ้ง แขกที่นั่งฟังอยู่หลายคนลุกออกจากที่นั่งพร้อมกับส่ายหน้าใส่กวินอย่างรังเกียจ กวินกลืนน้ำลายลงคอ กัดริมฝีปากแน่น ความรู้สึกหวาดกลัวต่อการตัดสินจากใคร ๆ ก็ไม่เทียบได้กับการตัดสินจากคนเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ให้ตายเถิด... กวินแทบไม่กล้าจะอยู่สู้หน้าเขาด้วยซ้ำ ไม่แน่ใจว่าวิษณุจะรังเกียจเขามากไปถึงแค่ไหนเมื่อได้เห็นตัวตนจนหมดเปลือกแบบนี้

    ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไร กวินเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว

    วิษณุมองตามพร้อมกับทอดถอนลมหายใจ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-09-2010 01:44:10

*** **** ***** **** ***



   กวินเดินเข้ามาในห้องน้ำ ยืนนิ่งที่อ่าง รู้สึกเจ็บปวดที่ริมฝีปากจากแรงหมัดของขจรที่ทำเอาเลือดไหลออกมาซิบ ๆ รู้สึกได้ถึงความเค็มปร่าของเลือดพร้อม ๆ กับที่ร่างกายชาด้านไปทั่วทุกภาคส่วน น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่อาจอธิบายได้ว่ากำลังรู้สึกเช่นไร เปิดน้ำล้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง พยายามจะล้างเลือดออกจากริมฝีปากและพยายามจะกลบคราบน้ำตาที่กำลังหลั่งริน จากนั้นก็ยกมือขึ้นกุมขมับเหมือนอยากจะบีบมันให้แหลกไปให้เสียรู้แล้วรู้รอด ในขณะที่มืออีกข้างเท้าที่เคาน์เตอร์ ราวกับคนหมดแรง

    วิษณุเดินเข้ามา ก่อนจะคว้าทิชชู่ตรงข้าง ๆ อ่างล้างหน้า แล้วเดินเข้าไปหากวิน ในขณะที่กวินหันหน้าหนี

    “ขอร้อง... คุณออกไปเหอะ”

    วิษณุยื่นทิชชู่ให้ กวินรับมาเช็ดเลือดที่ปาก แล้วหลังหนีอีกรอบ ไม่กล้าที่จะมองหน้าของอีกฝ่าย ราวกับกลัวในสิ่งที่จะเห็นจากใบหน้าของเขา กลัวสายตาตัดสินและประเมิณค่า แม้จะรู้ดีว่าทุกอย่างจะต้องจบลง ก็ขอให้มันจบไปง่าย ๆ เลยจะดีกว่าจะต้องมารับรู้และมาเห็นท่าทีให้มันเจ็บปวดไปมากกว่าเดิม

    “หมายความว่ายังไงที่บอกให้ผมออกไป” วิษณุเอ่ยถาม ในขณะที่กวินรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก พยายามจะซ่อนน้ำตาไม่ให้อีกฝ่ายเห็น

   “ก็หมายความว่าคุณได้เห็นความน่ารังเกียจของผมไปหมดไส้หมดพุงแล้ว และผมก็ไม่มีสิทธิ์โกหกเสียด้วย ก็มันเล่นชัดเสียขนาดนั้น ผม... คือ... เอาเถอะ ไม่รู้เหมือนกัน... พูดไม่ถูก แต่ที่แน่ ๆ คุณออกไปเถอะนะ สัญญาว่าผมจะไม่โกรธคุณหรอก แล้วก็อย่าพูดอะไรให้ผมได้ยินอีกเลย ถ้าคุณยังสงสารผมอยู่”

    วิษณุผ่อนลมหายใจเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นในเรื่องที่กวินไม่คาดคิด

     “คุณมีเซ็กซ์ครั้งแรกเมื่อไหร่ กับใคร”

    “หา?”

    กวินขมวดคิ้วมุ่น ชะงักเล็กน้อย หันหน้าไปมองอีกฝ่ายเป็นครั้งแรก ในขณะที่วิษณุตีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดอะไรกับสิ่งที่ตนเองพูด

    “ถามก็ตอบมาสิ”

    “สิบแปด กับคนที่รู้จักในอินเตอร์เน็ต น่าเกลียดไหมล่ะ แทนที่จะเก็บไว้รอคนที่รัก แต่ผมก็แพ้ความอยาก ยอมมีครั้งแรกกับคนที่ตอนนี้ยังแทบจำชื่อเขาไม่ได้ และให้ตายเถอะ มันไม่น่าจดจำเลย”

    วิษณุคลี่ยิ้มให้เล็กน้อย ในขณะที่กวินยังคงสงสัยนระคนกับน้อยใจว่าจู่ ๆ เขาถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม จะตอกย้ำซ้ำเติมเขาให้หนักกว่าเดิมงั้นหรือว่าเป็นคนมักมากในเรื่องทางกาม สำส่อนและน่ารังเกียจ อดน้อยใจอีกฝ่ายไม่ได้ว่าทำไมถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ ในขณะที่วิษณุนิ่งเงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแต่ก็แฝงไว้ด้วยแววแห่งความจริงใจ

    “ผมมีครั้งแรกตั้งแต่ตอนม.หนึ่ง อายุสิบสองเองนะนั่นน่ะ รู้ไหม ในขณะที่เพื่อนคนอื่น ๆ มันยังไม่เลิกเล่นวิ่งไล่จับกันเลย แต่ผมก้ได้เอากับครูฝึกสอนไปเสียแล้ว ไม่ได้โดนหลอก ไม่ได้โดนข่มขืน ผมเป็นฝ่ายชวนเองเลยเพราะอยากลอง ทำกันบนโต๊ะทำงานของเขาเลยทีเดียว แถมยังเปรอะสมุดการบ้านของเพื่อนอีกต่างหาก”

    กวินกลินน้ำลายลงคอ ชะงักไปเล็กน้อยในสิ่งที่อีกฝ่ายเล่า

    “จริงเปล่าเนี่ย”

    “ผมจะโกหกทำไม นั่นครั้งแรกของผมเลยนะ เร็วกว่าคุณตั้งหกปีแน่ะ แล้วมันก็เหมือนกับครั้งแรกคุณตรงที่ว่าผมก็ไม่ได้มีกับแฟน แล้วตอนนี้ผมก็จำชื่อเขาไม่ได้แล้วด้วยเหมือนกัน แต่ก็ต่างกับคุณตรงที่ว่าสำหรับผมแล้ว มันเป็นครั้งแรกที่ผมประทับใจ ในเมื่อเซ็กซ์ครั้งแรกมันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และมันก็ทำให้เราได้รู้ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครหรือดีแย่แค่ไหน แต่ครั้งแรกมันก็คือครั้งแรก มันน่าจดจำเสมอแหละเชื่อผมสิ คุณอย่าไปตั้งแง่รังเกียจครั้งแรกของตัวเองเลย”

    “แล้วไอ้ที่เปรอะสมุดการบ้านเพื่อนน่ะ จริงหรือเปล่า”

    “ก็ผมต้องมานั่งเช็ดเอาเองกับมือ”

    “ทุเรศว่ะ“

    วิษณุผ่อนลมหายใจเล็กน้อย หัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเล่าต่อ

   “แล้วตอนเรียนมหาลัย เครียดจัด ผมก็เลยชวนเพื่อนเอากันที่บันไดตึกเรียนตอนดึก วางแผนไว้ด้วยนะ ไม่ใช่เพราะสถานการณ์พาไป คิดแค่ว่ามันก็คงสนุกดี ทำไปตั้งสองครั้งไม่ยักมีใครจับได้ จนครั้งที่สามนี่แหละ หึ ! โดนจับได้เสียงั้น รู้ป่ะ ยามแม่งสาดไฟฉายมาตอนที่กำลังเสร็จเลย เพื่อนผมน่ะมันหันหลังพอดี พอเจอไฟมันก็กระโดดหนีขึ้นไปตามจับไม่ได้ ผมก็เลยโดนจับคนเดียว โคตรอาย อายจนแทบจะเรียนต่อไม่ได้”

    “ไม่น่าเชื่อเลยนะ นี่คุณจริง ๆ หรือ”

    “แล้ววันที่ทะเล คุณจำฝรั่งคนนั้นได้ไหม ที่มันจะเอาคุณ”

    “อืม” กวินพยักหน้า

    “พอแยกจากคุณ เขาก็มาชวนผมไปที่ห้อง”

    “แล้วคุณไป?”

    “ตอนแรกจะไม่ แต่....”

    “แต่อะไร” กวินเสียงเขียวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในขณะที่อีกฝ่ายหน้าแดงถึงใบหู

    “ก็พอเริ่มหายโกรธ มันก็เลยรับรู้ความรู้สึกได้ว่าคุณน่ะทำให้ผมอยาก ผมก็คนนะคุณ แล้วผมก็เป็นเกย์เสียด้วย มันจะเหลือหรือ แต่พอที่ไปห้องนะ ไอ้นั่นเสือกพาเพื่อนมาอีก รวมแล้วเป็นหกคน เอาจริง ๆ ผมไม่ชอบเลยนะ ไม่ชอบเลยจริง ๆ แต่ไปถึงขั้นนั้นแล้ว มันก็ต้องต้องเลยตามเลย”

    “คุณเซ็กซ์หมู่หกคน !” กวินร้องออกมาอย่างตกใจ

    “พอเหอะ อย่าพูดอีกเลย ไม่ไหวแล้ว อายว่ะ”

    กวินหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าความหนักอึ้งทั้งหลายแหล่ในหัวสมองค่อย ๆ คลายออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่วิษณุยังคงหน้าแดงจัดราวกับลูกตำลึงสุก วิษณุผ่อนลมหายใจระงับความเขิน ก่อนจะเดินไปที่ประตูห้องน้ำ ตั้งท่าจะออกไปข้างออก แต่ก็ไม่วายหันมาพูดกับกวิน

    “ถ้าจะตัดสินกันน่ะนะ คนเรามันก็เหี้ยด้วยกันทั้งนั้นแหละคุณ ผมก็เหี้ย คุณก็เหี้ย แต่ผมว่าคุณเป็นคนดีนะ เพราะผมชอบคุณ คุณเองก็ควรจะคิดว่าผมเป็นคนดีด้วยเหมือนกัน แล้วก็ควรจะชอบผมด้วย ไม่งั้นก็คงจะคบกันไม่ได้ ใช่ไหม”

    นี่เป็นถือคำสารภาพรักหรือเปล่า... เนียนนะเนี่ย... กวินคิดอยู่ในใจ อดขบขันไม่ได้กับท่าทางของอีกคน ที่ดูเหมือนจะประหม่าอยู่ไม่น้อยเลย 

    “ล้อเล่นนะ อย่าคิดมาก”

    วิษณุพูดออกมาแก้เจื่อน ตั้งท่าจะออกไปอีก แต่ก็หันกลับมาพูดอีกรอบราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ในเรื่องที่สำคัญ   

    “อ่อ... ป้าผมเป็นเมียน้อยท่านรัฐมนตรีคนหนึ่ง นี่ความลับสุดยอดเลยละ”

    ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กัน แล้ววิษณุก็เดินออกไป ในขณะที่กวินยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม...

    ...ท่ามกลางทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างที่คล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี



*** **** ***** **** ***



   ที่เวทีฮอลล์ ไม่มีใครเหลือนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกเลย ทุกคนเดินออกไปหมด มธุรสกับอรพรรณนั่งกันอยู่สองคน มธุรสยกมือกุมขมับราวกับวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อเรื่องที่เกิดขึ้น อรพรรณกุมมือมธุรสอย่างให้กำลังใจ มธุรสพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับยิ้มให้ ไม่ได้มีท่าทีเย็นชาหมางเมินเหมือนทุก ๆ ครั้ง ราวกับทั้งคู่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันแล้ว

    กวินเดินกลับที่เวทีอย่างรวดเร็ว อรพรรณและมธุรสตกใจมาก แต่ในความตกใจนั้นก็แฝงความดีใจอยู่ไม่น้อย กวินคว้าไมค์ขึ้น สูมลมหายใจเข้าเต็ใปอด ก่อนจะกรอกเสียงลงไปอย่างมั่นใจ

    “ผมรู้ว่าไม่มีใครนั่งอยู่แล้ว แต่ที่แน่ ๆ คือผมอยากให้คนที่เดินอยู่รอบนอกกลับเข้ามาฟังผมอีกรอบ” กวินเลียริมฝีปากเพื่อระงับความประหม่า พร้อมกับกวาดตามองผู้คนทั้งหลายที่เริ่มจะหันกลับมามองเขาเป็นตาเดียว กวินเรียกความมั่นใจให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ “ผมคือเจ้าของงานเขียน ‘ความหวังนิรันดร์’ ซึ่งผมขออุทิศงานนี้ให้กับคุณวรรณี วรรณรัตน์ ในฐานะที่ท่านเป็นนักเขียนที่ผมนับถือมากคนหนึ่ง ถ้าใครที่ได้ฟังช่วงตอนต้น ก็คงจะทราบแล้วว่างานชิ้นนี้ของผมเกี่ยวกับอะไร แต่ถ้ายังมีใครสงสัยว่าคนอย่างผมน่ะหรือที่จะสามารถเขียนงานพรรค์นี้ได้ ผมก็จะขอพูดอย่างมั่นใจเลยว่าเลิกสงสัยเถอะ จริงอยู่ว่าผมไม่ใช่คนที่ดีพร้อมสมบูรณ์แบบมาจากไหน ผมก็แค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่เรียนรู้ชีวิตไปแต่ละวันอย่างพยายามจะมีสติมากขึ้น ผมภูมิใจกับงานเล่มนี้มากเหมือนกับงานทุก ๆ เล่มที่ผมเขียน เพราะมันคือตัวตนของผมในปัจจุบัน เป็นความคิดของผมในขณะนี้ เวลานี้ แม้มันจะไม่เหมือนกับอดีตหรืออาจจะไม่เหมือนอนาคต แต่ผมก็ไม่แคร์ ทุกบท ทุกย่อหน้า ทุกตัวอักษร... ขอร้องว่าอย่าได้แคลงใจ มันคือตัวตนของผมจริง ๆ ผมไม่เคยเสแสร้งกับงานเขียน  ผม.... ผม... ผม...”

    กวินรู้สึกตีบตันในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก ตัดสินใจรวบยอดทุกอย่างออกมาเป็นคำพูดประโยคสุดท้าย

    “ฝากงานชิ้นนี้ของผมด้วย ผมพูดไม่รู้จะพูดอะไรแล้วละครับ ขอบคุณ”

    กวินลดไมค์ลง พร้อมกับมองไปรอบ ๆ พบว่าคนโดยรอบ ๆ หันมาฟังกวินแทบทุกคน บางคนส่ายหน้าแล้วเดินหนีไปเมื่อเขาพูดจบ แต่ก็มีไม่น้อยที่ฟังแล้วพยักหน้าเห็นด้วย อรพรรณกับมธุรสยิ้มให้กัน พร้อมกับกุมมือกัน บีบไว้แน่น มองกันและกันด้วยสายตาหวานซึ้ง

    วิษณุเป็นคนแรกที่ปรบมือให้กวิน พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนหวานที่กวินไม่เคยได้รับจากใครมาก่อนเลยในชีวิต
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-09-2010 01:48:38
บทส่งท้าย


    ...คงไม่เชยเกินไปที่คงจะต้องบอกเหมือนกับที่หนังสือหลายเล่มบอก ว่าความจริงคนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต,,,
      

    “...และเราก็จะแบ่งปันคุณค่าให้กันและกัน” เสียงอ่านออกเสียงที่ดังกระซิบอยู่ข้าง ๆ หูพร้อมกับอ้อมแขนที่กอดรัดเข้ามาโดยไม่รู้ตัวทำเอากวินถึงกับชะงักเล็กน้อย ในขณะที่อีกฝ่ายจ้องมองตัวอักษรในคอมพิวเตอร์ตาแป๋ว พร้อมกับแนบจมูกลงบนแก้มอย่างซุกซน ทำเอากวินอดที่จะรู้สึกเขินไม่ได้จนต้องทำทีเป็นวางมาดขรึม

    “บอกแล้วไงว่ากำลังเขียนงาน อย่ามายุ่ง”

    “ก็เขียนจบแล้วไม่ใช่หรือ” วิษณุยังคงลอยหน้าลอยตาและยังไม่หยุดที่จะฉวยโอกาส กวินพยายามจะดิ้นเล็กน้อยเพราะอึดอัด แต่ก็กลับถูกอีกฝ่ายรั้งให้เข้าไปแนบกับอกกว้างนั้นมากขึ้น

    “ยังไม่จบสักหน่อย”

    “งั้นก็เขียนให้จบสิ จะรออ่าน”

    กวินรีบพับหน้าจอปิดทันที พร้อมกับสะบัดตัวเองออกจากอ้อมแขนอบอุ่นวาบหวามนั่น

    “เรื่องอะไร ไม่ให้อ่านฟรี ๆ หรอก จะอ่านก็ไปซื้อเอาสิ”

    แต่ทันทีที่จะก้าวลุกออกไป วิษณุกลับดึงร่างของเขาให้ลมลงมาบนโซฟาตามเดิมพร้อมกับใช้กำลังที่เหนือกว่ารวบตัวของกวินให้แนบชิด พร้อมกับมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มที่ชวนให้กวินรู้สึกหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก

    “หวงหรือ”

    “เออ”

    “พูดไม่เพราะอีกแล้วนะเราน่ะ”

    กวินแสร้งยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ หวังจะยั่วให้อีกฝ่ายโมโหเล่น

    “บอกแล้วไงว่าเกลียดท่าแบบนี้”

    “มีปัญหาหรือครับคุณหมอ”

    “อย่าเรียกแบบนั้นนะ ก็รู้อยู่นี่ว่าไม่ชอบ เรียนไม่จบ มันฝังใจ เข้าใจไหม”

    “คุณหมอ”

    ดูท่าว่าคนตัวดีจะจงใจยั่วให้เขาโกรธเสียให้ได้ วิษณุผลักร่างของอีกฝ่ายให้ราบลงกับโซฟาก่อนจะกดทับตัวเองลงเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายขยับตัวได้อีก ก่อนจะประทับจูบดุเดือดลงบนริมฝีปากอวดดีนั่น ทำเอากวินถึงกับมือไม้อ่อนไปหมด

    ได้ผล... เพียงกระตุ้นนิดหน่อย คนตัวแสบก็สิ้นฤทธิ์ วิษณุใช้ไม้ตายเช่นนี้ปราบเสมอเวลาที่อีกฝ่ายทำตัวงอแงกวนโมโห  

    “แหม... คนบางคนแถวนี้ก็แปลก ทีกับงานเขียนน่ะหวงนัก ไม่ยอมให้อ่าน แต่ทีกับตัวละไม่เห็นหวงบ้างเลย ทำอะไรก็ยอมไปหมด”

    “บ้า” กวินหน้าแดงจัด ผลักอกอีกฝ่ายออกอย่างแรงก่อนจะลุกเดินหนีไปอย่างหัวเสีย ในขณะที่วิษณุหัวเราะร่าอย่างอารมณ์ดี

    กวินเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง ก่อนจะหยิบไดร์ขึ้นมาเป่าผมที่หยิกพองฟูให้กลับมาเป็นทรง แต่เหมือนทำให้ตายยังไงก็ไม่สำเร็จได้ง่าย ๆ ในขณะที่วิษณุมองเห็นหนังสือ “ความหวังนิรันดร์” นับสิบกว่าเล่มซึ่งกองอยู่ในถุงกระดาษที่วางอยู่ข้าง ๆ โซฟา ก่อนจะหยิบขึ้นมาดูหนึ่งเล่มแล้วร้องถามอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน

    “นี่เหมามาอีกแล้วหรือ”

    “แน่นอน” กวินตอบติดตลก “ก็เห็นมันติดป้ายลดตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ถูกแบบนี้ใครไม่เหมาก็โง่แล้ว”

    วิษณุผ่อนลมหายใจเบา ๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายทำทีว่าไม่ได้ทุกข์ใจอะไรมากมาย แต่เขาก็ทราบด้วยตัวเองว่าลึก ๆ แล้วกวินก็คงผิดหวังอยู่เหมือนกันที่หนังสือเล่มนี้ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสียเท่าไร ขายได้ไม่เกินครึ่งเลยด้วยซ้ำ ร้านหนังสือตีกลับมาเป็นพัน ๆ เล่มเห็นจะได้

    กวินยังคงไม่เลิกรากับการพยายามจัดการกับทรงผมของตัวเอง ในขณะที่วิษณุเดินเข้าไปใกล้พร้อมสวมกอดจากด้านหลัง พร้อมกับซุกหน้าลงบนไหล่บาง ๆ ของอีกฝ่าย หวังจะใช้สัมผัสในการปลอบโยนอีกคนให้รู้หายรู้สึกแย่

    “ผมยาวแล้วน่าเกลียดเนอะ” กวินพูดพร้อมกับย่นจมูก ไม่ค่อยจะพอใจตัวเองในกระจกเท่าไรนัก “ไม่ยอมเป็นทรงสักที”

    “ก็น่ารักดีออก” วิษณุพูด พร้อมกับยังฉวยโอกาสหอมลงที่ซอกคอของอีกคน

    “ไม่ต้องมาทำเป็นชมเลยนะ” กวินค่อนขอดไปทันที

    “อ้าว...” วิษณุว่ากลับ “ก็ถ้าไม่ชมแฟนแล้วจะให้ไปชมใครล่ะครับ”

    “นี่... เลิกซนได้แล้ว เดี๋ยวต้องออกไปข้างนอก”

    “คอยดูก็แล้วกันว่าเดี๋ยวใครกันแน่จะไม่อยากให้เลิก ต่อให้เดินออกจากห้องไปสิบก้าวเลยเอ้า”

    “ทะลึ่ง”

    “แล้วนี่จะออกไปไหน”

    “นัดกับพี่พรรณไว้”

    “เรื่องหนังสือหรือ”

   “ก็ใช่น่ะสิ” กวินว่าพร้อมกับเดินผละไปยังตู้เสื้อผ้า “ตั้งแต่ได้เลื่อนตำแหน่งมาทำแทนพี่รสนี่ นับวันก็ชักจะทำตัวเหมือนพี่รสไปทุกที คราวนี้สงสัยเราก็คงต้องโดนด่าอีกตามเคยว่าไม่ยอมเขียนอะไรใหม่ ๆ เห้อ... ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะให้เราใหม่ไปอีกสักแค่ไหน นี่ก็เขียนมาจะครบทุกแนวอยู่แล้ว”

    “ก็ลองเขียนนิยายรักดูสิ ไม่เคยเขียนไม่ใช่หรือ”

    “ตลกละ เขียนไปตั้งหลายเรื่อง”

    “ไม่เคยเห็น”

    “เขียนไปแล้ว”

    กวินถอนใจ ก่อนจะยืนกรานต่อไปซ้ำ ๆ ซาก ๆ ไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังล้อเล่นอะไรหรือจะมาไม้ไหน เพราะคน ๆ นี้นี่นับวันชักจะเจ้าเล่ห์มากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดึงร่างของกวินเข้าไปแนบกับอกหนา ๆ ของเขาอีกรอบ

    “เขียนไปแล้วตั้งหลายเรื่อง ก็อ่านอยู่ไม่ใช่หรือ จำไม่ได้หรือไง”

    “นิยายรักน่ะนะ”

    “ก็เออสิ อย่างเรื่องที่พระเอกกับนางเอกเจอกันที่....”

    กวินไม่อาจจะพูดต่อไปได้จากการประทับจูบเบา ๆ อย่างไม่ปล่อยให้ทันได้ตั้งตัวจากอีกฝ่าย

    “ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ได้หมายถึงนิยายรักแบบนั้น” วิษณุพูด ในขณะที่กวินขมวดคิ้วมุ่น

    “แล้วนิยายรักแบบไหน”

    “ก็...”

    วิษณุทำตาวิบวับราวกับภูมิใจนักหนาในสิ่งที่ตัวเองพูด แต่พอกวินได้ฟังแล้วกลับอึ้ง ถึงกับหาปฏิกิริยาตอบกลับไม่ถูกเลยทีเดียว

    “พูดอีกรอบสิ นิยายรักแบบไหนนะ”

    กวินถามย้ำ ในขณะที่อีกฝ่ายก็แสร้งทำเป็นพาซื่อ พูดออกมาอีกรอบอย่างชัดถ้อยพร้อมกับอมยิ้ม



    ...คงไม่เชยเกินไปที่คงจะต้องบอกเหมือนกับที่หนังสือหลายเล่มบอก ว่าความจริงคนเราเกิดมาพร้อมกับคุณค่าของชีวิต และเราก็จะแบ่งปันคุณค่าให้กันและกัน

    แต่ในความจริง เราอาจจะพบว่าโลกที่เราอยู่โหดร้ายกับเรา เราเจอปัญหามากมาย จนทำเราเริ่มที่จะไม่เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองหรือคุณค่าของใคร แต่สักวันหนึ่ง เราจะรู้เองว่าปัญหาพวกนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อย่างที่คิดเลย เรารับมือกับมันได้

    หรือไม่... ก็มีคนที่พร้อมจะช่วยเราเสมอ...    

   …

    ถ้าเราไม่สิ้นหวังกับตัวเองเสียก่อน


    

    กวินยังนึกขันอยู่ไม่หายกับคำพูดของแฟนหนุ่ม

    “ก็นิยายรักแบบที่ไม่ต้องมีนางเอก มีแค่พระเอกสองคน”

    โอย.... คิดแล้วขนลุก !









จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless-UPDATE 3/08/2010ลงแล้ว21ตอน
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 17-09-2010 01:50:24
เนื่องด้วยเวลาในการจะลงไม่ค่อยมี บวกกับผมเองก็เขียนไว้จนจบแล้ว ดังนั้น ผมขอลงรวดเดียวจนถึงตอนจบเลยนะครับ


ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับที่ติดตามมาตลอด อยากจะพิมพ์อะไรให้ยาวกว่านี้ แต่ดึกแล้ว สมองไม่แล่น ฮ่า ๆ ๆ ๆ


เอาเป็นว่า เดี๋ยวจะลงตอนจบแล้วนะครับ แล้วจะกลับมาขอบคุณคนอ่านอย่างเป็นทางการอีกรอบนะคร้าบบบ


ขอบคุณจริงๆ ครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ปลาทองสีชมพู ที่ 17-09-2010 02:52:13
กรี๊ดดด ลงรวดก็อ่านรวดเหมือนกัน
ความรู้สึกเหมือนดูวงออเครสต้าบรรเลงซิมโฟนี่ นัมเบอร์ เซเว่นจบด้วยความประทับใจ
แล้วลุกขึ้นตะโกน "บราโว่~!" ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ (นี่เราดูโนดาเมะมากไป)
หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนดูบอล แล้วทีมที่เราเชียร์ทำประตูขึ้นนำได้ในนาทีสุดท้ายก่อนกรรมการเป่านกหวีด
(กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ยิ่งใหญ่)

เราชอบเรื่องนี้ที่สุดเลย~ ภาษา การดำเนินเรื่อง ไม่มีสะดุด อ่านสบาย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เราจะมีโอกาสได้อ่านงานเขียนของไรเตอร์อีกไหมเนี่ย?

และ +๑ ให้กับวรรณกรรมจำเป็นที่สุดแสนน่าประทับใจ โช่บม๊วกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 17-09-2010 09:09:15
เฮ้ย! O_o จบแล้ว?!  ไอยังอ่านไม่ถึงไหนเลยนะ....... เด๋วปั้มไว้ก่อนละกัน~
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: sukie_moo ที่ 17-09-2010 15:33:50
คนเรามีด้านมืด ด้านสว่าง ด้วยกันทุกคน แล้วแต่ใครจะแสดงด้านไหนออกมาให้คนอื่นรู้เท่านั้น

ดีใจกับกวินที่ได้มีความสุขจริงๆซักที

ขอบคุณวิษณุที่ดึงกวินออกจากหลุมลึกที่มืดบอดของจิตใจซักที

ปล.รับรู้ความรู้ข้อสุดท้ายของวิษณู อิฉันจะกรี้ด  6 คนทำไปได้นะย่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: thomaskung ที่ 17-09-2010 19:29:01
ในที่สุดก็สำเร็จตามปรารถนา ^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mahmeow ที่ 17-09-2010 20:01:58
ชอบตอนจบจังเลยค่า...^ ^....แต่เสียดายที่หนังสือขายได้ไม่ค่อยดีเลยเนอะ...
แต่นับวันกวินจะยิ่งน่ารัก...55+...น่ารักทั้งคู่เลยคะ..ชอบๆ..
ตอนที่แฉขจรก็อ่านแล้วตลกมากๆเลยอะคะ....
แต่งานก็กร่อยไปเลย..น่าเสียดาย....แต่ก็โชคดีที่มีคนปลอบใจน้า...^__^
ว่าแต่เดี๋ยวนี้พูดไม่เพราะก็ไม่ได้หรอเนี่ย...คุณวิษณุจะให้หวานไปไหนคะ...>.<
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: berlyn ที่ 17-09-2010 20:24:16
ชอบคำอธิบายความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวของคุณจังเลยค่ะ ดูมีชีวิตชีวาอย่างเช่นตัวร้ายอย่างขจร
ไม่ใช่ว่า เลว ร้าย อย่างไม่มีเหตุผล มันรู้สึกได้เลยว่า ทำไม เขาถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้และถึงแม้ว่ากำลังจะทำลงไปสำนึกส่วนดีก็ยังทำงานอยู่  แต่สุดท้ายมันก็มีอะไรๆที่เลวร้ายจนคนอ่านอย่างเราเกลียดขจรไปเลย
---------------------------------------------

ส่วนนึงก็สงสารกวิน ขจรไม่น่าที่จะไปทำกับกวินอย่างนั้นเลยอ่ะ อิจฉาเค้าที่มีอะไรที่เหนือกว่าก็อย่างนี้ละนะ

พออ่านตอนที่เขาสองคนหวานใส่กัน ถึงแม้จะเพียงนิดเราเขินนนนน นั่งอมยิ้มคนเดียว มีความสุข นั่งอ่านรวดเดียวเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับ นิยายดีๆ ที่ผู้เขียนนำมาให้อ่านค่ะ

THANK MakMy

PS. เราหวังว่าจะได้อ่านนิยายจากคุณอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: Lady-Rabbit ที่ 17-09-2010 21:38:43
จบแล้วววววววววววววววว !!!

เป็นเรื่องที่ติดตามมาตลอดเลยค่ะ
ใช้ภาษาได้ดีมาก แล้วก็มีแง่มุมให้คิดหลากหลาย

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆแบบนี้นะคะ

ปล. อยากอ่านฉากเซอร์วิสสองคนนี้บางจังเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 18-09-2010 07:28:10
 :L1:เรื่องราวดีๆจบซะแล้ว
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: zombi ที่ 18-09-2010 14:09:05
ขอบคุณมากสำหรับนิยายดีๆ

อ่านแล้วมีกำลังใจสู้มากขึ้น  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: monoo ที่ 18-09-2010 23:15:12
เฮ้อ เป็นนิยายที่อิงชีวิตจริง จริงๆ

แม้ตอนจบก็ยังมีอุปสรรค เฮ้อ ขจรนะขจร คิดว่าจะคิดได้บ้างอะไรบ้าง
แต่ก็นะ มันก็เป็นความรู้สึกของคนจริงๆ อ่ะนะ

มาพูดเรื่องนายเอก กะพระเอกดีกว่า

ดุเด็ดเผ็ดมันกันทั้ง 2 คนเลย 55555
หมู่ซะ 6 คน นายเอกดูเด็กๆ ไปเลยนะเนี้ย  :laugh:


ขอบคุณมากๆ ค้าสำหรับเรื่องราว ดีๆ นะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: littleFiNgeR ที่ 19-09-2010 04:12:54
เย้!จบแล้ว(แบบมึนๆ ฮา...) ตีมือๆ แปะๆๆ อิอิ เข้ามาอ่านอีกรอบยันจบก็ชอบอยู่ดี ทุกอย่างมันช่างลงตัว ภาษา ตัวละคร การใช้ภาษา แบบว่าเริ่ดมาก เอิ๊กๆ สุดท้ายก็อยากบอกว่า รักไรท์เตอร์จ้า...
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: taem2love ที่ 19-09-2010 14:04:25
เพิ่งยอมทำใจอ่านเรื่องนี้ได้จบก็เกือบแย่ เพราะส่วนตัวไม่ค่อยอ่านแนวมืดมนเท่าไรนัก

แต่ภาษาที่เขียนนั้นสวยจนต้องยอมอ่านก็ไม่ผิดหวังริงๆ แต่เรื่องราวมันดูเครียดเกินไปไหมอ่ะ

มารู้เรื่องของวิษณุตอนท้ายก็ช๊อคไปเหมือนกัน(เจ้ไม่ได้คาดคิด) รู้ว่าสังคนปัจจุบันเรื่องราวแบบนี้มันปกติไปแล้ว

แต่ก็อดที่จะสะเทือนอารมณ์ไม่ได้ แต่ขอชื่นชมนักเขียนจริงๆค่ะ เขียนออกมาได้ดีมาก ถ้าเป็นไปได้อยากอ่านงานเขียน

ของ Kranwan ในแบบสบายๆบ้าง เพราะบางทีเรื่องราวที่เราเจอในชิวิตประจำวันก็เครียดพอแล้ว
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: วิหคท่องนภา ที่ 19-09-2010 15:08:03
 :laugh:ถูกใจพระเอกเรื่องนี้มากเลยค่ะ 

แล้วก็ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ด้วย

ไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้วค่ะ  มันลงตัวไปหมดเลย >__<

อ่านแล้วรู้สึกว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ 55 

ดีนะที่มาเจอตอนจบแล้วพอดี  ไม่งั้นตอนนี้ไม่อ่านหนังสือสอบแล้วค่ะ 



ชอบจริงๆค่ะ  พูดได้เต็มปากว่าเป็น"วรรณกรรม" จริงๆ  จากใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: nightingale ที่ 19-09-2010 20:42:38
สนุกมากจริงๆครับ
ธรรมดานิสัยไม่ค่อยดี อ่านแล้วไม่เม้น แต่เรื่องขอเขียนหน่อย ชอบจริงๆครับ

ถ้าได้อ่านแบบยังเขียนไม่จบ  มีการลงแดงกันได้เลยทีเดียว  :m31:

อ่านแล้วไม่เหมือนใคร  ดูลงตัว
รู้สึกเหมือนกับอ่านนิยายที่วางขายแพงๆเลยครับ

รอเรื่องต่อไปนะครับ  :-[
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: ordkrub ที่ 19-09-2010 21:14:53
วันนี้ได้มีโอกาศมาพบเรื่องนี้ ต้องตลุยอ่านรวดเดียวจบ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอย่างนี้ ชีวิตคนทุกคน อาจมีอดีตอันขื่นขม แต่ถ้านำมันมาเป็นบทเรียน เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป ก็นับว่าไม่ใช่ความสูญเปล่า
เป็นกำลังใจให้ผลิตผลงานดีๆมาให้พวกเราต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: mumoo ที่ 20-09-2010 04:34:16
เพิ่งได้อ่านครั้งแรกแต่ก้ออ่านจนจบ เพราะสนุกจนต้องม้วนเดียวเลยค่ะ
เปิดเรื่องตอนแรก รู้สึกถึงความดาร์คมากมาย แต่ก้อแอบมีขำๆแทรกบ้างพอให้ไม่รู้สึกหนักๆเกินไป
พออ่านๆมาเรื่อย เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับกวินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อ่านจนจบไม่มีอะไรจะพูด....นอกจาก เรื่องนี้สุดยอดมากค่ะ!!!
การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร มันดูมีมิติมากๆ คุณเก่งอ่ะ(ไม่ได้ยอ จากจิตใต้สำนึกล้วนๆ)
หวังว่าจะมีโอกาสอ่านผลงานเรื่องต่อๆไปของคุณอีกนะ
ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งเรื่องดีๆที่เราประทับใจค่ะ^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: กระต่ายชมจันทร์ ที่ 20-09-2010 16:53:44
*ปรบมือ*

ว้าว ชอบจังเลยค่ะ

ต่ายชอบงานเขียนที่มีมิติ แอบประชดสังคมแบบนี้แหละ~ (คนแต่งบอกโรแมนติกคอมเมดี้นิ ใช่มั้ยคะ?)

รู้สึกว่าคาแรคเตอร์ตัวละครเด่นชัดสมจริงดีค่ะ แบบ จะยอมรับ ไม่ยอมรับ พูดไปตอนแรกก็ไม่ได้คิดแต่ก็มาเสียใจทีหลังอะไรแบบนี้

บางครั้งคนเราทำไปก็ไม่ได้ต้องการเหตุผลมารองรับนักแต่สุดท้ายทุกอย่างก็ยังคงมีเหตุผลในตัวมันเอง...

จะรออ่านผลงานชิ้นต่อไปนะคะ :L2:

ยังมีบางจุดที่เขียนผิดแต่ต่ายอ่านรวดเดียวจบเลยไม่ได้ก็อปมา ><

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: fOnfOn :D ที่ 21-09-2010 00:23:22
 o13 o13 o13


ง่ายคำเดียวนะค่ะ "ชอบเรื่องนี้มากค่ะ"


ภาษาสวย เนื้อเรื่องยี่ยม แถมตัวละครมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกก


ทุกตัวละครมีเหตุมีผลในการกระทำของตัวเอง ดูเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ในชีวิตจริง ไม่ได้เพ้อฝันจนเกินไป ประมาณนี้แหละมั๊งค่ะ


สรุปแล้วคือชอบแหละค่ะ =]


ปอลิง คำสารภาพของวิษณุตอนท้ายนี้แอบทำเราช๊อกไปเลยอ่ะ จริงๆนะ  :a5:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 21-09-2010 06:12:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 21-09-2010 16:21:04

สนุกจัง  อิอิ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: erikaajang ที่ 21-09-2010 18:49:44
ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ  เพิ่งอ่านจบค่ะ ปวดตาเลยค่ะ เขียนได้ใจมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้สำหรับเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: vanny ที่ 21-09-2010 21:43:16
บอกได้คำเดียวว่า....แปลกแหวกแนวไม่ซ้ำใครจริงๆ
จากชื่อเรื่องไม่น่าเชื่อว่าจะสนุกได้ขนาดนี้
พระเอกนายเอก...เค้าแรงสมกันจริงๆ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 22-09-2010 00:00:49
จบแล้วว o22
มาดันไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านยาวๆอีกทีค่ะ :really2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: devilmlb ที่ 23-09-2010 00:27:23
วรรณกรรม ที่ทรงคุณค่าอีกเรื่อง โฮะๆๆ เว้อไปเป่าเนี้ย..

ถ้าเป็นเรื่องยาวกว่นนี้ จาสนุกกว่านี้อีกหรือเปล่าเนี้ย...

สรุปแล้วหนังสือขายไม่ได้เลยหรือ โธ่ๆๆ ที่ณุแกเล่นเหมามาคนเดียวแบบนี้แล้ว คนอื่นจะได้อ่านเปล่าเนี้ย สู่เอาเงินที่ไปเหมา มาให้คนเขียนเลยจะไม่ดีกว่าหรือ..

อยากให้พระเอกนายเอก กัดกันต่ออีกจัง ไม่อยากให้จบเลยอ่าาา
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 23-09-2010 05:54:35
กรี๊ดดด ลงรวดก็อ่านรวดเหมือนกัน
ความรู้สึกเหมือนดูวงออเครสต้าบรรเลงซิมโฟนี่ นัมเบอร์ เซเว่นจบด้วยความประทับใจ
แล้วลุกขึ้นตะโกน "บราโว่~!" ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ (นี่เราดูโนดาเมะมากไป)
หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนดูบอล แล้วทีมที่เราเชียร์ทำประตูขึ้นนำได้ในนาทีสุดท้ายก่อนกรรมการเป่านกหวีด
(กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก ยิ่งใหญ่)


เราชอบเรื่องนี้ที่สุดเลย~ ภาษา การดำเนินเรื่อง ไม่มีสะดุด อ่านสบาย
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

เราจะมีโอกาสได้อ่านงานเขียนของไรเตอร์อีกไหมเนี่ย?

และ +๑ ให้กับวรรณกรรมจำเป็นที่สุดแสนน่าประทับใจ โช่บม๊วกกกกกกกกกกกกกกกกกก
 o13

- ขอบคุณมากๆ เลยครับที่ติดตามมาโดยตลอด ดีใจที่ชอบตอนจบครับ ส่วนจะมีผลงานในนี้อีกไหม ตอนนี้ยังตอบไม่ได้อ่ะครับ แหะ ๆ แต่ถ้าเมื่อไรที่เขียน จะนำมาลงที่นี่อยู่แล้วครับผม



เฮ้ย! O_o จบแล้ว?!  ไอยังอ่านไม่ถึงไหนเลยนะ....... เด๋วปั้มไว้ก่อนละกัน~

- หายไปนานเลยนะครับ อิอิ ขอให้อ่านให้สนุกนะค้าบ

คนเรามีด้านมืด ด้านสว่าง ด้วยกันทุกคน แล้วแต่ใครจะแสดงด้านไหนออกมาให้คนอื่นรู้เท่านั้น

ดีใจกับกวินที่ได้มีความสุขจริงๆซักที

ขอบคุณวิษณุที่ดึงกวินออกจากหลุมลึกที่มืดบอดของจิตใจซักที

ปล.รับรู้ความรู้ข้อสุดท้ายของวิษณู อิฉันจะกรี้ด  6 คนทำไปได้นะย่ะ

- ขอบคุณที่เข้ามาติดตามครับ ดีใจที่ได้อ่านเม้นต์ครับ ^ ^



ในที่สุดก็สำเร็จตามปรารถนา ^^

- ขอบคุณมากๆ ครับ ^ ^

ชอบตอนจบจังเลยค่า...^ ^....แต่เสียดายที่หนังสือขายได้ไม่ค่อยดีเลยเนอะ...
แต่นับวันกวินจะยิ่งน่ารัก...55+...น่ารักทั้งคู่เลยคะ..ชอบๆ..
ตอนที่แฉขจรก็อ่านแล้วตลกมากๆเลยอะคะ....
แต่งานก็กร่อยไปเลย..น่าเสียดาย....แต่ก็โชคดีที่มีคนปลอบใจน้า...^__^
ว่าแต่เดี๋ยวนี้พูดไม่เพราะก็ไม่ได้หรอเนี่ย...คุณวิษณุจะให้หวานไปไหนคะ...>.<

- ขอบคุณครับที่เข้ามาอ่าน ดีใจที่ชอบครับ ตอนจบทั้งทีเลยขอหวานเอาใจคนอ่านนิดนึง อิอิ

ชอบคำอธิบายความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวของคุณจังเลยค่ะ ดูมีชีวิตชีวาอย่างเช่นตัวร้ายอย่างขจร
ไม่ใช่ว่า เลว ร้าย อย่างไม่มีเหตุผล มันรู้สึกได้เลยว่า ทำไม เขาถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้และถึงแม้ว่ากำลังจะทำลงไปสำนึกส่วนดีก็ยังทำงานอยู่  แต่สุดท้ายมันก็มีอะไรๆที่เลวร้ายจนคนอ่านอย่างเราเกลียดขจรไปเลย
---------------------------------------------

ส่วนนึงก็สงสารกวิน ขจรไม่น่าที่จะไปทำกับกวินอย่างนั้นเลยอ่ะ อิจฉาเค้าที่มีอะไรที่เหนือกว่าก็อย่างนี้ละนะ

พออ่านตอนที่เขาสองคนหวานใส่กัน ถึงแม้จะเพียงนิดเราเขินนนนน นั่งอมยิ้มคนเดียว มีความสุข นั่งอ่านรวดเดียวเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับ นิยายดีๆ ที่ผู้เขียนนำมาให้อ่านค่ะ

THANK MakMy

PS. เราหวังว่าจะได้อ่านนิยายจากคุณอีกนะคะ


- ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอด ผู้เขียนก็หวังเช่นกันว่าจะมีผลงานมาให้คุณได้อ่านอีก อิอิ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 23-09-2010 06:01:53
มาขอบคุณสำหรับงานเขียนดีๆ
เป็นกำลังใจให้คะ

- ขอบคุณมาก ๆ ครับผม


จบแล้วววววววววววววววว !!!

เป็นเรื่องที่ติดตามมาตลอดเลยค่ะ
ใช้ภาษาได้ดีมาก แล้วก็มีแง่มุมให้คิดหลากหลาย

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆแบบนี้นะคะ

ปล. อยากอ่านฉากเซอร์วิสสองคนนี้บางจังเลยค่ะ

- ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดครับ ดีใจที่ชอบครับ ^ ^

:L1:เรื่องราวดีๆจบซะแล้ว

- ขอบคุณที่เข้ามาติดตามนนะครับ

ขอบคุณมากสำหรับนิยายดีๆ

อ่านแล้วมีกำลังใจสู้มากขึ้น  :L2:

- ขอบคุณที่เข้ามาอ่านเช่นกันครับ เห็นเม้นต์ของคนอ่าน คนเขียนก็มีกำลังใจครับ

เฮ้อ เป็นนิยายที่อิงชีวิตจริง จริงๆ

แม้ตอนจบก็ยังมีอุปสรรค เฮ้อ ขจรนะขจร คิดว่าจะคิดได้บ้างอะไรบ้าง
แต่ก็นะ มันก็เป็นความรู้สึกของคนจริงๆ อ่ะนะ

มาพูดเรื่องนายเอก กะพระเอกดีกว่า

ดุเด็ดเผ็ดมันกันทั้ง 2 คนเลย 55555
หมู่ซะ 6 คน นายเอกดูเด็กๆ ไปเลยนะเนี้ย  :laugh:


ขอบคุณมากๆ ค้าสำหรับเรื่องราว ดีๆ นะคะ  :L2:


- คนเขียนก็ต้องขอบคุณคนอ่านเช่นกันค้าบบ สำหรับการติดตามมาโดยตลอด อิอิ

เย้!จบแล้ว(แบบมึนๆ ฮา...) ตีมือๆ แปะๆๆ อิอิ เข้ามาอ่านอีกรอบยันจบก็ชอบอยู่ดี ทุกอย่างมันช่างลงตัว ภาษา ตัวละคร การใช้ภาษา แบบว่าเริ่ดมาก เอิ๊กๆ สุดท้ายก็อยากบอกว่า รักไรท์เตอร์จ้า...

- รักคนอ่านเช่นกันครับ

เพิ่งยอมทำใจอ่านเรื่องนี้ได้จบก็เกือบแย่ เพราะส่วนตัวไม่ค่อยอ่านแนวมืดมนเท่าไรนัก

แต่ภาษาที่เขียนนั้นสวยจนต้องยอมอ่านก็ไม่ผิดหวังริงๆ แต่เรื่องราวมันดูเครียดเกินไปไหมอ่ะ

มารู้เรื่องของวิษณุตอนท้ายก็ช๊อคไปเหมือนกัน(เจ้ไม่ได้คาดคิด) รู้ว่าสังคนปัจจุบันเรื่องราวแบบนี้มันปกติไปแล้ว

แต่ก็อดที่จะสะเทือนอารมณ์ไม่ได้ แต่ขอชื่นชมนักเขียนจริงๆค่ะ เขียนออกมาได้ดีมาก ถ้าเป็นไปได้อยากอ่านงานเขียน

ของ Kranwan ในแบบสบายๆบ้าง เพราะบางทีเรื่องราวที่เราเจอในชิวิตประจำวันก็เครียดพอแล้ว

- ขอบคุณที่เข้ามาติดตามครับ ส่วนตัวผมเขียนเรื่องนี้ ยอมรับว่าผมก็เขียนไปด้วยอารมณ์สบาย ๆ แล้วนะครับ แหะ ๆ แต่ก็เป็นไปได้ว่า weight ของความหนักความสบายของแต่ละคนอาจไม่เท่ากัน แต่ยังกง็ขอบคุณจริง ๆ ที่เข้ามาอ่านครับผม ส่วนเรื่องหน้าผมก็ยังไม่อาจรับปากได้นะครับว่าจะนำมาลงเมื่อไหร่ และจะสบายกว่านี้ไหม ฮา

:laugh:ถูกใจพระเอกเรื่องนี้มากเลยค่ะ 

แล้วก็ชอบทุกอย่างในเรื่องนี้ด้วย

ไม่รู้จะบรรยายยังไงแล้วค่ะ  มันลงตัวไปหมดเลย >__<

อ่านแล้วรู้สึกว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ 55 

ดีนะที่มาเจอตอนจบแล้วพอดี  ไม่งั้นตอนนี้ไม่อ่านหนังสือสอบแล้วค่ะ 



ชอบจริงๆค่ะ  พูดได้เต็มปากว่าเป็น"วรรณกรรม" จริงๆ  จากใจค่ะ

- ดีใจครับที่ชอบพระเอก เรื่องนี้ส่วนใหญ่คนจะชอบกวินแฮะ คนที่ชอบวิษณุน้อยมาก ดีใจที่เข้ามาอ่านนะครับผม

สนุกมากจริงๆครับ
ธรรมดานิสัยไม่ค่อยดี อ่านแล้วไม่เม้น แต่เรื่องขอเขียนหน่อย ชอบจริงๆครับ

ถ้าได้อ่านแบบยังเขียนไม่จบ  มีการลงแดงกันได้เลยทีเดียว  :m31:

อ่านแล้วไม่เหมือนใคร  ดูลงตัว
รู้สึกเหมือนกับอ่านนิยายที่วางขายแพงๆเลยครับ

รอเรื่องต่อไปนะครับ  :-[

- โอ้ ดีใจมาก ๆ ครับ คุณเม้นต์ให้เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก (รึป่าว) ฮา ขอบคุณสำหรับการติดตามและคำคอมเม้นครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 23-09-2010 06:08:30
วันนี้ได้มีโอกาศมาพบเรื่องนี้ ต้องตลุยอ่านรวดเดียวจบ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอย่างนี้ ชีวิตคนทุกคน อาจมีอดีตอันขื่นขม แต่ถ้านำมันมาเป็นบทเรียน เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตต่อไป ก็นับว่าไม่ใช่ความสูญเปล่า
เป็นกำลังใจให้ผลิตผลงานดีๆมาให้พวกเราต่อไปครับ

- ขอบคุณมาก ๆ ครับที่ข้ามาอ่าน คนเขียนมีกำลังใจเวลาที่ได้เห็นคอมเม้นของคนอ่านใหม่ ๆ ครับ ขอบคุณมาก ๆ ครับ


เพิ่งได้อ่านครั้งแรกแต่ก้ออ่านจนจบ เพราะสนุกจนต้องม้วนเดียวเลยค่ะ
เปิดเรื่องตอนแรก รู้สึกถึงความดาร์คมากมาย แต่ก้อแอบมีขำๆแทรกบ้างพอให้ไม่รู้สึกหนักๆเกินไป
พออ่านๆมาเรื่อย เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับกวินอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อ่านจนจบไม่มีอะไรจะพูด....นอกจาก เรื่องนี้สุดยอดมากค่ะ!!!
การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร มันดูมีมิติมากๆ คุณเก่งอ่ะ(ไม่ได้ยอ จากจิตใต้สำนึกล้วนๆ)
หวังว่าจะมีโอกาสอ่านผลงานเรื่องต่อๆไปของคุณอีกนะ
ขอบคุณสำหรับอีกหนึ่งเรื่องดีๆที่เราประทับใจค่ะ^^

- ผู้เขียนก็ต้องขอบคุณคนอ่านเหมือนกันครับ ที่สละเวลาเข้ามาอ่านและคอมเม้นต์ครับ ดีใจที่ชอบครับ

*ปรบมือ*

ว้าว ชอบจังเลยค่ะ

ต่ายชอบงานเขียนที่มีมิติ แอบประชดสังคมแบบนี้แหละ~ (คนแต่งบอกโรแมนติกคอมเมดี้นิ ใช่มั้ยคะ?)

รู้สึกว่าคาแรคเตอร์ตัวละครเด่นชัดสมจริงดีค่ะ แบบ จะยอมรับ ไม่ยอมรับ พูดไปตอนแรกก็ไม่ได้คิดแต่ก็มาเสียใจทีหลังอะไรแบบนี้

บางครั้งคนเราทำไปก็ไม่ได้ต้องการเหตุผลมารองรับนักแต่สุดท้ายทุกอย่างก็ยังคงมีเหตุผลในตัวมันเอง...

จะรออ่านผลงานชิ้นต่อไปนะคะ :L2:

ยังมีบางจุดที่เขียนผิดแต่ต่ายอ่านรวดเดียวจบเลยไม่ได้ก็อปมา ><



- ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ คำผิดยอมรับว่าเยอะจริง เดี๋ยวจะค่อย ๆ ทยอยแก้ครับ ดีใจที่ได้อ่านคอมเม้นนะครับ ^ ^
o13 o13 o13


ง่ายคำเดียวนะค่ะ "ชอบเรื่องนี้มากค่ะ"


ภาษาสวย เนื้อเรื่องยี่ยม แถมตัวละครมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกก


ทุกตัวละครมีเหตุมีผลในการกระทำของตัวเอง ดูเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ในชีวิตจริง ไม่ได้เพ้อฝันจนเกินไป ประมาณนี้แหละมั๊งค่ะ


สรุปแล้วคือชอบแหละค่ะ =]


ปอลิง คำสารภาพของวิษณุตอนท้ายนี้แอบทำเราช๊อกไปเลยอ่ะ จริงๆนะ  :a5:


- ขอบคุณมากๆ ครับ ดีใจมาก ๆ ที่คุณชอบครับ

:pig4: :pig4: :pig4:

- ขอบคุณมาก ๆ ครับ

สนุกจัง  อิอิ

- ขอบคุณครับ อิอิ แหม ทำไมมาคราวนี้สั้นจัง ^ ^

ขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ  เพิ่งอ่านจบค่ะ ปวดตาเลยค่ะ เขียนได้ใจมากเลยค่ะ เป็นกำลังใจให้สำหรับเรื่องต่อไปนะคะ

- ขอบคุณสำหรับคำคอมเม้นต์ดี ๆ เช่นกันครับ

บอกได้คำเดียวว่า....แปลกแหวกแนวไม่ซ้ำใครจริงๆ
จากชื่อเรื่องไม่น่าเชื่อว่าจะสนุกได้ขนาดนี้
พระเอกนายเอก...เค้าแรงสมกันจริงๆ
 :L2:

- ขอบคุณมาก ๆ ครับ ดีใจที่เข้ามาอ่านครับผม

จบแล้วว o22
มาดันไว้ก่อนเดี๋ยวมาอ่านยาวๆอีกทีค่ะ :really2:

- อ่านให้สนุกนะครับ อิอิ

วรรณกรรม ที่ทรงคุณค่าอีกเรื่อง โฮะๆๆ เว้อไปเป่าเนี้ย..

ถ้าเป็นเรื่องยาวกว่นนี้ จาสนุกกว่านี้อีกหรือเปล่าเนี้ย...

สรุปแล้วหนังสือขายไม่ได้เลยหรือ โธ่ๆๆ ที่ณุแกเล่นเหมามาคนเดียวแบบนี้แล้ว คนอื่นจะได้อ่านเปล่าเนี้ย สู่เอาเงินที่ไปเหมา มาให้คนเขียนเลยจะไม่ดีกว่าหรือ..

อยากให้พระเอกนายเอก กัดกันต่ออีกจัง ไม่อยากให้จบเลยอ่าาา

- ต้องจบแล้วครับ คนเขียนไม่มีเรื่องจะไปต่อแล้ว อิอิ ขอบคุณที่เข้ามาอ้านครับ แต่คนที่เหมาหนังสือไม่ใช่วิษณุนะครับ กวินเหมามาเองครับ ^ ^

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 23-09-2010 06:09:21
ขอบคุณผู้อ่านทุก ๆ คนจริง ๆ ครับ


ตกหล่นเม้นต์ไหนไปขออภัยด้วยนะครับ อย่าโกรธกันนะครับ อิอิ ถึงยังไงก็รักคนอ่านทุกคนค้าบบ


ไปทำงานละครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 23-09-2010 08:04:59
เ้วลานั่งหน้าคอมเหลือน้อย จำเป็นต้องปริ้นเก็บไว้อ่านเวลาว่าง
สนุกมากค่ะ จัดทำหนังสือ จะอุดหนุนซักเล่ม
ขอบคุณนะคะ + 1กำลังใจค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 23-09-2010 18:28:08
สนุกมากค่ะ แถมตอนท้ายหวานมาก ทั้งที่เล่นเอาชนะกันมาตลอด บรรยายไม่ถูกว่าชอบตรงไหน
ขอบอกแค่ว่าจะรอผลงานดีๆแบบนี้อีกนะคะ ยังไงก็เขียนต่อไปเพื่อนคนอ่านตาดำๆนะคะ
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: woodoo ที่ 23-09-2010 18:32:11
สนุกมากเลยคร้าบบบบบ



อ่านทีเดียวจบรวดเลย     เนื้อหาสนุก   ภาษาที่ใช้ก้อสวยงาม  ถึงจะมีผิดไปบ้างแต่ก้อไม่ทำให้รุ้สึกติดใจเลยอ่ะ

เพราะมันสนุกจนมองข้ามไปเลย  อิอิ



ขอบคุณนะครับ  ที่แต่งเรื่องราวดีๆๆแบบนี้ให้อ่าน    แล้วจะรอเรื่องต่อไปนะครับ


เป็นกำลังใจให้   ต่อไป   ^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: pidoma ที่ 23-09-2010 22:15:07
 o13 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 23-09-2010 22:18:43
ตอนแรกที่มงผ่านเรื่องนี้ไปเพราะชื่อเรื่องที่บอกว่าชื่อ วรรณกรรมจำเป็น นึกว่าชื่อนี้เพราะถูกคุณครูบังคับให้เขียนนิยายเลยเอามาลง555 แต่พออ่านแล้วสนุกมากเลย คารมการเล่นสำนวนจิกกัดดีสุดๆ
ชอบค่ะ
จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: pppp ที่ 24-09-2010 00:32:29
ขอบคุณมาก สำหรับทุกตัวอักษรเลย
ชอบชื่อเรื่อง มันสรุปประเด็นของเรื่องนี้ได้ดีจริงๆ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: tomodaging ที่ 24-09-2010 04:51:10
หลายคนชื่นชอบนิยายเรื่องหนึ่งเพราะลึกๆใฝ่ฝันอยากได้อยากเป็นเหมือนที่ถ้อยคำในนิยายได้พรรณนาไว้
สำหรับตัวผม นั่นก็ใช่ แต่อีกด้านผมก็ชื่นชอบที่อะไรที่เป็นความจริง
ความเหี้ยในชีวิตคนคนนึงที่เป็นที่เคารพ หรือคนดีๆที่สร้างความเลวไว้เพื่อการอยู่รอดในสังคม
ผมสงสัยเหลือเกินว่าผู้เขียนรู้จักตัวผมหรือไม่ กวินช่างมีความคิดที่เหมือนผมยิ่งกว่าอะไรในโลกนี้ที่ผมเคยพบเจอ
จะต่างกันก็แค่ผมยังไม่เจอเคยพบอะไรที่คล้ายกับวิษณุ และผมก็คงจะยังแสร้งดำเนินชีวิตเหี้ยๆต่อไป
คิดว่าหากเรื่องนี้ยังดำเนินต่อเป็นเรื่องยาว กวินคงต้องเผยอีกหลายๆสิ่งที่ทำให้ผมอึ้งว่านั่นใคร ทำไมเหมือนผมจังวะ
หลายครั้งที่ต้องหาอะไรให้แมวเกรอะกรังกิน หลังจากเตะมันแทบทั้งวัน แล้วมันก็ยังโง่มาพันแข้งขาให้ผมทำร้ายมันทุกครั้ง
หลายครั้งที่ผมออกไปมีเซ็กส์แล้วกลับมาด้วยความรู้สึกขยะแขยงตัวเองเกินทน  แต่มันก็ยังมีครั้งหน้าเสมอ
หลายครั้งที่ไปอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย เพียงเพราะยังอยากจะคิดว่า ผมจะมีตัวตนกับใครสักคนในที่นั้น
ผมอ่านนิยายและฟุ้งเฟ้อกับความฝันเหลือเกิน แต่เมื่อเจอกวิน ความฝันผมก็กลายเป็นสวะไป สวะที่เป็นตัวตนที่ผมเป็นอยู่
.......................................................................
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณหนูไฉไล ที่ 24-09-2010 08:31:18
ความจริงที่มาแตกโพล๊ะตอนใกล้จบนี่ .. เล่นเอาหนาวแฮะ

ชีวิตคนเรามันก็แค่ฉากหน้าอะนะ ลึก ๆ ไปแล้วอะไรยังไงเราไม่มีทางรู้ ถ้าเจ้าตัวไม่เปิดเผย (ด้วยวาจาหรือให้จับได้)

.
.

คนอย่างกวิน เพราะเป็นนิยายเลยมีทางลงที่สวยหรู แต่สำหรับเรื่องจริง ชีวิตจริง มันคงไม่ง่ายที่จะจบลงง่าย ๆ ก็เป็นกำลังใจให้ละกันนะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: kongkilmania ที่ 24-09-2010 16:01:52
เป็นวรรณกรรมจำเป็นที่ให้ความบันเทิงอย่างมากจริงๆ
ขอบคุณผู้แต่งที่เขียนเรื่องสนุกแบบนี้มาแบ่งปันนะคะ  :pig4:

อ่านแล้วได้ข้อคิดดีๆหลายอย่าง
คนเรามองแต่เปลือกนอกไม่ได้จริงๆ เจออดีตของวิษณุเข้าไป ภาพพระเอกในฝันกระจายไปในอากาศเลย
แต่ทุกๆคนก็มีอดีตทั้งนั้น ถ้าประสบการณ์ในอดีตจะเป็นบทเรียนให้กับปัจจุบัน
ทำทุกวันให้ดี ถึงจะลบอดีตไม่ได้
แต่วันหน้า สิ่งดีๆที่ทำในวันนี้ก็จะกลายเป็นอดีตที่มีคุณค่าให้จดจำ

เขียนไปเขียนมาชักงงๆ 5555++
หวังว่าจะได้อ่านผลงานของคุณkranwaอีกนะคะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 25-09-2010 03:16:46
เพิ่งมีโอกาสได้อ่านค่ะ
ชอบพระเอกมากๆเลย คุณวิษณุ!!!
กวินมองโลกร้ายไปเยอะเลยนะ ... แต่ใสความร้าย มันก็มีอะไรดีดีใช่มั้ยล่ะ
^^

ขอบคุณมากนะคะ สำหรับผลงานดีดี
แอบเสียดายที่หยังสือ ของกวิน ขายได้ไม่ดี ..
อยากให้มันขายดีอ้ะ ^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: dekba428 ที่ 25-09-2010 23:10:06
บอกได้คำเดียวว่าชอบมากครับ

เป็นนิยายที่แตกต่างจากเรื่องอื่นๆ

เหมือนกับชื่อเรื่องเลยครับ วรรณกรรมจำเป็น

ชอบมากๆๆ :-[
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: vascular ที่ 26-09-2010 00:33:47
เป็นอีกเรื่องที่อ่านรวดเดียวจบ ภาษาสวย น่าติดติม เนื้อเรื่องสนุกครับ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น -UPDATE 17/09/2010ลงแล้ว24ตอน [จบ]
เริ่มหัวข้อโดย: treerat002 ที่ 26-09-2010 20:25:33
อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ

ชอบเรื่องนี้มากมาย

ภาษาสวยมากกกกกกกกกกก

เนื้อเรื่องให้ข้อคิดดี

เป็นกำลังใจให้ค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: akanae ที่ 27-09-2010 00:14:45
อ่านจบรวดเดียวเลยค่ะ แล้วก็พบว่า คนเรา มีสองด้านจริงๆ ด้วย
อยากถามว่าคุณคนแต่งคะคิดได้อย่างไรกันคะ เยี่ยมยอดมากๆ ค่ะ
ชอบที่บรรยายในลักษณะของคนพูดจริงๆ จะบอกยังไงดีคือเป็นคำ
ที่คนเราใช้กันทุกวัน พูดกันจริงๆ น่ะค่ะ มันทำให้ได้อรรถรสเพิ่มโขเลย
มุมมองของกวินตอนที่บรรยายก็รู้สึกได้ ว่าต้องมีปมในวัยเด็กค่อนข้างเยอะ
เพราะคิดแต่ละอย่างได้แจ่มจริงๆ ^^ กลับมาที่ฝ่ายพระเอกแล้ว คุณวิษณุ
อยากให้มีเบื้องหลังจังเลย เหมือนว่าก่อนจะมาเจอนายเอกนี่ เป็นคนร้ายกาจ
ใช่ย่อยเลยทีเดียวค่ะ มีหลายสิ่งที่คาดไม่ถึงมากๆ เลยนะคะ พระเอกเรื่องนี้
ชอบค่ะเรื่องนี้ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ที่แต่งมาให้ได้อ่าน นะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: coffin ที่ 30-09-2010 23:19:57
เรื่องนี้สุดยอดมากอะ  ชอบมากมาย .
ขอบคุนคนแต่งนะคะ
 o13 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: MyTeaMeJive ที่ 01-10-2010 14:28:10
อ่านรวดเดียว! ผมก็ทำได้ไม่อยากเชื่อเลย!
ไม่แสบตา เมื่อยไหล่ หรือหิวข้าว

ขอบคุณครับสำหรับงานเขียนสุดยอดเรื่องนี้

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: ohseungor* ที่ 03-10-2010 18:16:07
 :-[

กี๊สสสสส ชอบจัง
ทั้งภาษา แนวคิด โครงเรื่อง ตัวละคร
ดูหนักแน่น จริงจังเหมือนอ่านหนังสือที่ได้รับการตีพิมพ์แล้วจริงๆด้วย

รอเรื่องต่อไป  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: Rina ที่ 03-10-2010 21:09:17
สนุกมากเลยค่ะ กวินน่ารักมากเลยค่ะแต่วิษณุนี่ตอนแรกมมาดดีมาตลอด
มาตกม้าตายตอนที่สารภาพความจริงให้กวินฟัง
แต่มันก้ชีวิตจริงของคนที่คนเรราไม่ได้ดีพร้อมตั้งแต่เกิดนี่คะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเป็น
เริ่มหัวข้อโดย: n_pom_s8 ที่ 07-10-2010 12:47:38
ต้องขอบอกว่าได้ทั้งความสนุก สาระ ความประทับใจ  ที่สำคัญความจริงที่เกิดขึ้นของโลกสัจจะที่แท้จริง  ขอเป็นกำลังใจในงานเขียนเรื่องต่อไปอีกนะครับ  หวังว่าจะได้อ่านเร็วนี้
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: อนันตกาล ที่ 12-10-2010 08:28:33
 พึ่งเข้ามาอ่านและอ่านรวดเดียวจนจบ

ชอบคำพูดที่ว่า
  “ถ้าจะตัดสินกันน่ะนะ คนเรามันก็เหี้ยด้วยกันทั้งนั้นแหละคุณ ผมก็เหี้ย คุณก็เหี้ย แต่ผมว่าคุณเป็นคนดีนะ เพราะผมชอบคุณ คุณเองก็ควรจะคิดว่าผมเป็นคนดีด้วยเหมือนกัน แล้วก็ควรจะชอบผมด้วย ไม่งั้นก็คงจะคบกันไม่ได้ ใช่ไหม”

อ่านแล้วรู้สึกว่าจริงคนทุกคนมีสองด้าน

แล้วนิยายเรื่องนี้มีกลิ่นอายหลายๆที่สะท้อนถึงความคิดของคนปัจจุบันที่เกิดขึ้นจริงไม่ว่าเรื่องจะเล้กน้อยแค่ไหน  แม้เรื่องกดลิฟ ที่ผู้แต่งนำมาเสนอ แม้จะเป็นแง่มุมเล็กๆ แต่เราเองก็เคย
รีบกดปิดลิฟทั้งที่มีคนกำลังมา สาเหตุนะเหรอ เราขี้เกียจรอนะสิ
รวมทั้งภาษาที่อ่านเข้าใจง่ายและขอบอกเลยว่าภาาาของคุณสวยมาก 
เป็นงานเขียนที่ให้ข้อคิดอะไรหลายๆ อย่าง อยากบอกว่าเมื่อวานทั้งวันอ่านเรื่องโน้ตปิดเรื่องนี้ เรื่องไหนที่ว่าสนุกก็ลองเข้าไปอ่านแล้วก็เบื่อจนปิดไป
จนมาเจอเรื่องนี้อ่านสักพักว่าจะนอนไปๆมาๆ ยาวถึงตี3  คืออ่านจบแล้วถึงปิด
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: inspirer_bear ที่ 12-10-2010 10:13:25
สนุกค่ะ

มันสอนการดำเนินชีวิตด้วยล่ะ

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: anajulia ที่ 12-10-2010 10:19:20
ประทับใจที่สุด

รู้สึกเหมือนกำลังอ่านเรื่องสั้นในพ๊อคเก็ตบุ๊คจั่วหัวนามปากกาของคอลัมนิสต์หัวก้าวหน้าคนใดคนหนึ่ง
แบบที่ตั้งใจออกแบบให้นามปากกาผู้เขียนตัวใหญ่กว่าชื่อเรื่องเลยค่ะ

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 19-10-2010 17:57:26
พลาดเรื่องนี้ไปได้ยังไงเนี่ย

อ่านเรื่องนี้แล้ว รู้สึกว่ามันสะท้อนชีวิตจริงในหลายๆด้านเลยหละค่ะ

เป็นเรื่องที่ดีมากเลย ได้ข้อคิดอะไรเยอะแยะ ขอบคุณมากเลยนะคะที่เขียนเรื่องดีดีแบบนี้มาให้ได้อ่าน

เป็นกำลังใจให้ในเรื่องต่อๆไปค่ะ สู้ๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: KM ที่ 19-10-2010 23:47:45
เพิ่งตามอ่าน ซู่ซ่ามาก
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: kick_za ที่ 20-10-2010 00:38:54
ปกติไม่เคยจะเม้น ...แต่เรื่องนี้ไม่ทนจริงๆ !!

ตามอ่านอยู่ประมาน 3 วัน 
ใช้เวลาอ่านตอนกลางคืนหลังเลิกงาน 555

ชอบมากๆค่ะ  ภาษาสวย การบรรยายหรือเปรียบเทียบมันสุดยอดมากๆ
เหมือนอ่านงานวรรณกรรมดีๆสักเล่มเลย
ตัวกวินตอนแรก ยอมรับว่ามันเป็นคนที่สะใจดีจริงๆ 555+
เป็นมนุษที่น่ารู้จัก น่าศึกษา ...แต่ไม่น่าคบ !!! (ฮาาา)
และบางครั้งความคิดของกวินมันก็ทำเราจุกจริงๆ
เพราะบางอย่างนี่คือแบบ ....ความคิดกรูชัดๆ !!

รู้สึกได้ถึงความตั้งใจเขียนและภาษาที่เค้นออกมาก็งามจริงๆ
แค่อ่านภาษาเขียนเรื่องนี้ เราว่าก็คุ้มแล้วอ่ะ


ขอบคุณสำหรับงานดีๆค่ะ
จะตามอ่านเรื่อยๆนะ

 :กอด1: :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: AciLiS ที่ 20-10-2010 15:04:51
ปกติเป็นพวกนักอ่านเงา(แอบตามหลืบตามซอก) ไม่ค่อยชอบเม้นต์ แต่ว่าเรื่องนี้ขอสักนิดเถอะ

ประทับใจจริงๆค่ะ นานๆทีจะเจอเรื่องดีๆแบบนี้สักที

ภาษาอ่านลื่นไม่มีสะดุดเลยค่ะ การเขียนการเปรียบเทียบการยกตัวอย่างสุดๆไปเลย

เอาแค่เรื่องที่แต่งภาษาดีๆอย่างนี้ก็หาอยากเต็มกลืนแล้ว แต่เรื่องนี้ยังสะท้อนมุมหลายๆอย่างออกมาได้ตรงจนกระอักเลยค่ะ

อ่านแล้วก็แอบรู้สึกสะใจในหลายๆเรื่อง อย่างตอนเหตุการณ์กดลิฟท์หรือบนรถเมล์ ความคิดแต่ละอย่างของกวินมันใช่เลย

การกระทำหรือความคิดของกวินบางอย่าง ไม่สิ หลายๆอย่างเราก็ทำ และบางคนที่ประนามผู้อื่นหนักหนาก็ใช่ว่าตัวเองไม่เคยทำ

เป็นเรื่องที่สะท้อนความคิดและตัวตนออกมาได้อย่างแสบสันถึงทรวงในดีค่ะ


อีกเรื่องที่ประทับใจมากๆคือ การดำเนินเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป

อ่านแล้วไม่รู้สึกติดขัดในใจเหมือนที่เป็นตอนอ่านเรื่องอื่นๆ มันค่อยๆดำเนินไป ค่อยๆเป็นไป

อ่านแล้วไม่รู้สึกว่ารีบเร่งให้ถึงไคล์แมกหรืออะไร

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ ดีใจที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้

เป็นกำลังใจให้ค่ะ








หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: CanonDNattari ที่ 20-10-2010 16:25:31
ขอสารภาพว่าติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้นแต่ไม่ได้ comment อะไร อ่านได้ประมาณ 5 ตอนแล้วไม่ได้อ่านต่อด้วยภารกิจงานประจำวันที่เครียดมากถึงมากที่สุด เลยต้องหาอ่านเรื่องทีี่คลายเครียด ทำให้หลงลืมเรื่องนี้ไป มานึกได้ตอนโหวตรางวัลภาษาไทยดีเด่นทำให้คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเรื่องแรก และมีโอกาสกลับมาอ่านอีกครั้ง(ตบตีแย่งชิงคอมกับคนที่ห้องจนได้) อ่านเพลินด้วยภาษาคงไม่วิจารณ์ส่วนอื่นเพราะเห็นหลาย ๆ comment กล่าวมาแล้วเราก็ไม่เห็นต่างกัน (โหมดขี้เกียจพิมพ์  :jul3:)

ขอบคุณสำหรับงานเขียนดี ๆ เรื่องหนึ่ง และ  +1 พร้อม  :L2: ให้ด้วยจ๊ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: qq_oo ที่ 27-10-2010 18:25:43

+1

ได้แง่คิดดีค่ะ ในบางเรื่อง
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: i_lost in.. ที่ 13-11-2010 01:44:38
 o13

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: i_ang ที่ 13-11-2010 22:23:05
สนุกมากเลยค่ะ
อ่านรวดเดียวจบเลยย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: neronel ที่ 22-03-2011 06:21:04
นานๆทีจะได้อ่านเรื่องแบบนี้ ^^
อ่านรวดเดียวจบ ไม่เป็นอันทำงานทำการเลย 55+

ชีวิตคนหนึ่งคนนี่มันลึกลับ ซับซ้อน และเต็มไปด้วยความลับมากมมายจริงๆ
อย่างที่เค้าว่า..ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ ^^
ก็นะถ้าแสดงอะไรตามจริงหมด ก็ยากที่จะอยู่ร่วมกับชาวบ้านเค้า

ไม่มีใครถูกออกแบบมาให้เหี้ย พอๆกับไม่มีใครถูกออกแบบมาให้ประเสริฐ
เราเหี้ยและเราประเสริฐด้วยตัวเราเอง และนั่นก็เป็นเพียงภาวะหนึ่งของเราเท่านั้น
เราไม่มีความเสถียรหรอก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้้าย

เพิ่งดูการ์ตูนมา ได้มาคำพูดนึง น่าคิดมาก
"ที่ใดมีเงา ที่นั่นย่อมมีแสงเสมอ"
ถ้าคิดอย่างนี้ ก็จะไม่มีราตรีอันเป็นนิรันดร์
เรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่องกล่องแพนโดราเลย

ดีใจที่อย่างน้อยเรื่องนี้ก็มีการปรุงแต่ง
ถ้ามาอย่างจริงๆ แบบเพียวๆนี่ คนอ่านตายเหอะ

ปล. ชอบคำว่า "ย้อนแย้ง" ดีใจที่ได้เจอคำนี้นอกจากห้องเรียน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: coon_all ที่ 24-03-2011 01:51:30
เพิ่งได้มาอ่านเรื่องนี้
สนุกมากๆค่ะ คืออ่านรวดเดียวจบไม่มีอะไรขั้นเวลาเลย
ยอมรับว่าตอนแรกกะจะไม่เม้นต์ ง่วงอ่านตอนตีหนึ่งแล้ว
แต่พออ่านจบ ไม่เม้นต์ไม่ได้จริงๆ
ชอบตัวละครในเรื่องนี้มากๆค่ะ สะท้อนความเป็นตัวตน มุมมองความคิด
ที่สื่ออกมาถึงความเป็นคนจริงๆ ตรงไปตรงมา สื่อสารอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่ตัวเองเป็น แสดงออกถึงความดิบของความเป็นมนุษย์โดยแท้ๆ
ในเรื่อง ชอบกวินมากนะ อ่อนแอแต่สร้างเปลือกหุ้มตัวเองไว้นานจนลืมไปแล้วว่าที่จริงตัวเองเป็นอย่างไร เหมือนๆจะขวางโลกแต่ก็เปล่ากวินแค่พยายามยืนหยัดได้ในโลกที่วุ่นวายเเท่นั้นเอง
อีกตัวละครเล็กๆที่ไม่รู้ว่ามีใครสนใจรึเปล่าแต่เราสนใจคือ "รตี" ตอนที่พูดว่าอยู่ที่นี่มาห้าปีแล้วรู้สึกเหมือนถูกขังมันสะท้อนให้เห็นอะไรหลายๆอย่างมาก
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วชวนให้คิดตาม เป็นวรรณกรรมจริงๆค่ะ
ขอบคุณผู้เขียนมากๆที่เขียนงานดีๆให้อ่าน
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: kungfoopungpon ที่ 26-03-2011 21:23:23
ประทับใจที่สุด
ได้รู้อะไรๆกับชีวิตมากมายเพราะชีวิตคนเราไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด
ขอแค่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการแค่นี้ก็สุขมากละ
ถึงจะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใดก็ตาม

 :L2:ขอบคุณมากครับ :bye2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: kranwa ที่ 26-03-2011 23:35:44
ไม่ได้เข้ามาที่นี่นานมาก ตั้งแต่เขียนจบ


เพราะเห็นว่าเวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควร ไม่คิดว่าจะมีคนเข้ามาอ่านและเม้นต์อยู่


ขอบคุณผู้อ่านทุดท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ ดีใจมากที่ทุกท่านชอบงานชิ้นนี้ของผมนะครับ


อันที่จริง Hopeful&Hopeless วรรณกรรมจำเป็น ตีพิมพ์เป็นรูปแบบพ๊อกเกตบุ๊คแล้วนะครับ โดย สนพ.ทูบีเลิฟ โดยเปลี่ยนชื่อภาษาไทยนิดหน่อยเป็น วรรณกรรม(รัก)จำเป็น - ด้วยเหตุผลทางการตลาดของ สนพ. ครับ - หนังสือมีวางจำหน่ายในงานหนังสืิอรอบนี้นะครับ และคงมีตามแผงหนังสือทั่วไป ฝากด้วยนะครับ


ดีใจจริง ๆ ครับที่ยังมีคนอ่านเรื่อย ๆ  :impress3:


 




[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: mach201 ที่ 27-03-2011 03:38:07
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วได้คิดหลายๆเรื่อง
งานหนังสือถ้าได้ไปจะแวะไปอุดหนุนนะคะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: Pumpkin ที่ 27-03-2011 21:35:13
ใช้เวลา4วันกับการอ่านเรื่องนี้ เป็นอะไรที่ยาวนานมากมายเพราะมันแค่20กว่าตอน ปกติวันเดียวจบ

ประทับใจมากค่ะ เพราะมันเป็นอะไรที่แตกต่างตั้งแต่ภาษา โครงเรื่อง หรือแม้กระทั่งcharacterของตัวละคร เอาเป็นว่ามันอินดี้สุดๆแล้วกัน

ทุกๆตัวอักษรได้บอกเล่าถึงสิ่งที่อยากจะสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ ซึ่งมันสื่อได้ดีมาก สภาพของมุมมุมหนึ่งในสังคมที่โสมม ความเหลวแหลกของผู้คนที่ว่าได้ดิบได้ดีมีหน้ามีตา จิตใจที่แสนจะชั่วช้าของใครบางคน การจะเป็นคนดี-คนเลวใครเป็นคนกำหนดไว้ล่ะ? ชีวิตที่เลือกไม่ได้แต่ก็มีความสุขที่ได้อยู่กับมัน ทุกๆอย่างที่บอกเล่าผ่านตัวอักษรมันทำให้เราได้ซึ้งแล้วกับความเป็นจริงของสังคมมนุษย์


Ps. จะมีงานเขียนออกมาอีกไหมคะ?
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: bleach_pa ที่ 27-03-2011 22:23:10
พี่กวินไม่มีใครซื้อหนูจะไปช่วยเหมาหมดแผงเลย  :monkeysad: (ชักอิน)
ชอบเรื่องนี้มาก อ่านรวดเดียวจบตาแฉะกันไปเลย
สนุกมากๆค่ะ ชอบคำบรรยาย ทั้งโครงเรื่อง
เหมือนได้มองจากมุมอื่นๆ มุมของกวิน
กวินก็มองโลกในแง่ร้ายมากเกินไป
ถึงแม้ว่าบางทีสมัยนี้มันอาจจะเป็นแบบนั้น
โลกมันมีหลายมุมหลายแบบ
ต่างคนต่างความคิด อยู่ที่ว่าเราเลือกจะมองจากมุมไหน

ขอบคุณสำหรับผลงานดีๆนะค่ะ จะติดตามเรื่องต่อไปค่ะ  :impress2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: tatar* ที่ 29-03-2011 04:48:34
อ่านจบรวดเมื่อวันก่อน แต่พึ่งมาเม้น เนื่องจาก = = ปวดตามากก

ประทับใจเรื่องนี้มากๆ

สื่อถึงแง่มุมในสังคมของคนสองคนที่โคตรแตกต่าง

พึ่งรู้ว่าทำเป็นรูปเล่มแล้ว จะไปหาซื้อมาไว้ในครอบครองเดี๋ยวนี้แหละค่ะ

ชอบเรื่องนี้มากค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 12-04-2011 07:51:57
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: O[]OVampire ที่ 12-04-2011 22:08:44
เยี่ยมที่สุดแม้ในความโชคร้ายอย่างน้อยก็มีสิ่งดีเกิดขึ้น
จนทำให้ยืนหยัดขึ้นมาได้
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: ♥Täsinä→l3€LL♥ ที่ 17-04-2011 15:26:50
ขอบคุณสำหรับนิยายค่ะ  :L2:

ชอบมากๆๆเลย       :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: jincool ที่ 25-05-2011 11:54:36
ซึ้งใจกับคำว่า  ชีวิตของคนเรามีหลากหลายด้าน
เมื่อมีความสุข สิ่งที่อยู่ไม่ไกลคือความทุกข์
แต่จะทำยังไงให้ความสุขอยู่กับเราได้นานที่สุด  และความทุกข์อยู่กับเราแค่ช่วงลมหายใจออก

ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจเราจริงๆ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีดี  ภาษาสวยๆ และข้อคิดดีดีอย่างนี้นะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: gumrai3 ที่ 01-06-2011 20:35:07
กวิน เสร้ามาหลายตอนเลย ดีเเล้วที่จบเเบบนี้

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: tartar ที่ 02-06-2011 20:45:09
หนุกหนาน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: jimmyFG ที่ 21-11-2011 12:43:23
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย o13
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: K2KARN ที่ 05-02-2012 21:45:52
มาอ่านอีกรอบ ยังสนุกมากๆและภาษาเยี่ยมเหมือนเดิม 
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: yumiko ที่ 06-02-2012 22:54:30
ดีใจที่ได้อ่านเรื่องนี้มากเลยค่ะ ชอบมากกกกก กก จนไม่รู้ว่าจะคอมเมนท์อะไรดี
เมื่อคืนเริ่มอ่านตอนตีสอง ติดต้องทำงาน เลิกงานมาแล้วเลนมาอ่านต่อรวดเดียวจนจบเลย! ติดมากค่ะ
เอาจริงๆยังไม่อยากให้จบเลยอ่าาา ฮ่าๆๆ
เห็นบอกว่ารวมเป็นพอกเกตบุคแล้ว ลด 80% ด้วยปะคะ จะได้ไปช่วยพี่กวินเหมา ๕๕๕ ๕๕
ในรวมเล่มมีตอนพิเศษหรือเปล่าคะเนี่ย (ยังมะเลิก ฮา) แต่เราว่ามันจบสมบูรณ์มากๆเลยค่ะ
เนื้อเรื่องก็สมจริง แต่ละคนไม่ได้ดีเว่อร์ หรือร้ายจนเลยเถิด ไม่นิย้ายย นิยาย
แอบอึ้งมากว่าพ่อวิษณุจะมีอดีตร้อนแรง แล้วยังไปต่อกะฝรั่งคืนนั้นที่พงันด้วยนะ ร้ายมากอ้ะ กิกิ

ไม่ทราบว่านักเขียนแต่งเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าคะ เรายังอ่านนิยายในนี้ไม่ค่อยเยอะ
อยากติดตามผลงานไปตลอดเลย

ขอบคุณสำหรับนิยายมากค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 12-02-2012 01:03:18
โอ้ชอบมากค่ะเรื่องนี้ โดนจายมากๆ o13
จริงๆอยากบอกว่านิสัยนายเอกและอะไรหลายๆอยากคล้ายกับตัวเองมาก
แต่เรื่องนี้ก็ชอบพระเอกมากๆอยู่ค่ะ ดูเป็นคนที่อ่อนโยนและจิตใจดีมากเลย
แต่ที่พระเอกเล่นกับฝรั่งหกคนเนี่ย??? ยังไงคะ เป็นรับให้ฝรั่งเหรอเนี่ย :-[ :-[ :-[
ชอบพระเอกที่ดูธรรมชาติดีค่ะ ไม่ต้องสมบูรณ์แบบแต่เป็นคนที่เรายอมรับได้
ส่วนขจร  :m16: :m31: :fire: :angry2:เกลียดมากค่ะ
ดูโรคจิตมากมาย อยากจะ :beat: :z6:เลยทีเดียว

เรื่าองนี้สอนอะไรได้หลายอย่างค่ะ ทั้งสังคมปัจจุบัน เวลาคนเราเกิดการผิดพลาด
อะไร คนทั่วไปจะไม่ให้อภัยและซ้ำเติมค่ะ  ซึ่งบางทีมันไม่เกี่ยวกับความสามารถ
หรืออะไรหลายๆอย่างของคนๆนั้นที่สามารถสร้างประโยชน์ได้
เกลียดจริงๆมนุษย์ในแบบนี้

โดยภาพรวมแล้วเรื่องนี้ภาษาโอเคค่ะ แต่อ่านบางส่วนแอบนั่งมึนไม่เข้าใจเล็กน้อย
แต่เนื้อเรื่องเข้มข้นมากๆค่ะ การดำเนินเรื่องและอารมณ์แสดงได้ถึงใจดี
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: little_nok ที่ 22-02-2012 01:05:18
สำนวนภาษาดีมากเลยค่ะ
เหมือนมืออาชีพจริงๆ
อ่านแรกๆ ก็แอบเครียดนะคะ
และรู้สึกใช้คำฟุ่มเฟือยเหมือนกัน แต่ก็พอรับได้
หลังๆ ไม่นึกว่าพระเอกนายเอกมันจะแรงกันขนาดนี้
แต่ก็นี่แหละ ความจริงของชีวิต คนจริงที่ไม่ใช่ละคร
ขอบคุณนะคะ
และดีใจด้วยที่ได้ตีพิมพ์ ค่ะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: kboom ที่ 25-02-2012 16:18:36
พึ่งได่เข้ามาอ่านเรื่องนี้ครับ
สนุกมาก
บอกบ่งส่องสะท้อน
เคลือบแคลงตัวตนของความเป็นคนได้อย่างชัดเจนมากครับ
อ่านเเล้วมองเห็นถึงคนจริง ๆ เลยครับ
ขอบคุณครับที่นำมาแบ่งปันกัน
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: wongwikkarn ที่ 28-02-2012 11:34:11
อ่านรอบเดียวจบเลย สนุกดี
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: express_men ที่ 28-02-2012 21:13:54
เพิ่งเริ่มอ่าน แต่ขอเมนต์เลย คิดว่าเรื่องนี้ต้องสนุกแน่

ชอบ การสรรคำ มาใช้มากๆ

เช่น อัตลักษณ์ มายาคติ และอื่นอีกมากๆ

ใช้ความรู้สึกได้ดี และ ยังเป็นการใช้คำที่ไม่เห็นได้บ่อยนักอีกด้วย ชื่นชมมากๆครับ

เนื้อเรื่องไม่ยาวเกิน เขียนได้ดีเกือบทุกตอนเลยนะครับ ผมชอบมาก ให้ความสมจริง มีเหตุผลรองรับ
คุมโทนเรื่องได้ดีนะครับผมว่า เหตุการณ์ต่างๆไม่น่ารำคาญ มีที่มาที่ไปของมันเอง

บางประโยคมีทะแม่งๆบ้าง และมีบางคำที่ใช้บ่อย เช่น ย้อนแยง อาจจะถี่ไปนิด
และพบ คำที่สะกดผิดพลาด หลายคำครับ

แต่แหม หมู่ 6 คนเลยหรอ คิคิ เค้ายังมะเคย น่าลองมั่ง
(ถ้าเราเป็นนางเอก คงอึ้งน่าดู แสดงออกว่า ชอบเราแล้ว รักเราแล้ว แต่ยังไปหมู่ 6 เวร !!!
ภาพลักษณ์คุณ ณุ ติดลบ ทันที ถ้าแค่เล่าเรื่องอดีตของฮี ยังไม่เท่าไร อย่างน้อยแสดงให้เห็นว่าปัจจุบันเริ่มมั่นคง
เพราะนางเอกเองก็ไม่ได้มีบทบาทว่าไปเอากับใครอีกอย่างชัดเจน หลังจากที่ชี ได้รู้ใจตัวเอง)

ตอนจบไม่รุ่งโรจน์มาก มีการหักมุมหน่อยๆ แต่ก็จบด้วยความสุข ของสองชีวิต ที่อาจจะได้ใช้ร่วมทางกัน
เข้าใจว่า กวิน ต้องย้อนรอยตัวเองกลับไปเป้นนักเขียนเริ่มใหม่อีกอีกครั้ง
แต่ก็ ดีมาก แสดงว่าตัวละครมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้ แม้จะอับอายขนาดนั้น
ผมเชื่อว่าถ้าหลายๆคนเจอเหตุการณืแบบนี้คงเปลี่ยนเส้นทางเดินเลย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: 2pmui ที่ 05-04-2012 13:00:05
ตามเรื่องนี้มาจากที่คั่นหนังสือ ฟังไม่ผิด ซื้อหนังสือของทูบีเลิฟจากงานสัปดาห์หนังสือเมื่อปีที่แล้ว เจ๊คนขายให้ที่คั่นมาเพียบ
เกือบปี ไม่เคยสนใจมันจริงจัง พึ่งหยิบมาดูเอาเมื่อวาน แล้วก็สะดุดตากับภาพและชื่อเรื่อง คุ้นๆเหมือนเคยเห็นในเล้า ค้นๆแล้วก็เจอจริงๆ
เข้ามาอ่านฟรี แล้วก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้หยิบเรื่องนี้มาวันนั้น ถ้าเจออีกจะซื้อเก็บสักเล่ม อ่านในคอม ปวดตา(แต่ก็อ่านจนจบ ฮ่าๆ)

เป็นอีกเรื่องที่ชอบ หลงรักนายเอกเรื่องนี้เต็มๆ
นิสัยแบบเด็กชอบขวางโลก กร้านๆ ปากจัด ขี้โมโห ดื้อรั้น ช่างประชดประชัน ชอบเอาชนะ มองโลกในแง่ร้าย
แต่ทั้งหมดก็ต้องยอมรับแบบเดียวกับพระเอกว่านาง น่ารัก และก็น่าขันในเวลาเดียวกัน
นางแค่พยายามสร้างเกราะมาปกปิดความอ่อนแอของตัวเอง แล้วก็ปกป้องตัวเอง ก็แค่นั้น 
ตัวละครในเรื่องนี้ทุกตัวเป็นสีเทา ไม่มีขาวสะอาด และดำสนิท
แม้แต่คุณวรรณีที่เหมือนจะขาวสะอาด เอาเข้าจริงก็มีสิ่งดำมืดเก็บซ่อนไว้เหมือนกัน... ชอบนะตัวละครดูมีมิติดี
อีกคนที่ต้องพูดถึง ขจร เห็นใจสงสารและสมเพส แต่ไม่สามารถเกลียดมันลง
คนแบบขจรมีอยู่จริงๆในสังคมที่หลายครั้งเราต้องเหยียบหัวคนอื่นขึ้นไปเพื่อตัวเอง

ตอนจบ แอบอึ้งกับอีตาพระเอก มาง้อหนุ่มอยู่ดีๆ  ไปฟัดกับฝรั่งทั้งขโยงซะงั้น = =

มีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่าคนเขียน ถ้าเข้ามาอ่าน ก็มาโฆษณาหน่อยนะจ๊ะ รองานเขียนใหม่ๆของคุณอยู่นะ เป็นกำลังใจให้เขียนต่อไปเรื่อยๆ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 28-04-2012 13:21:32
ภาษาสวยนะคะ o13
เขียนให้ตัวละครทุกตัวแสดงด้านมืดออกมา
ไม่เว้นแม้แต่พี่รส :เฮ้อ:
จะติดตามเรื่องต่อไปน้า
ขอบคุนนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: phoenixa ที่ 28-04-2012 18:29:12
อ่านรวดเดียวจบไปเลยค่ะ
ชอบมาก เขียนได้น่าติดตามมากๆ
ชอบตัวละครทุกตัวในเรื่องเลยล่ะค่ะ
ไม่มีตัวละครสิ้นเปลืองเลย ต่างส่งเหตุส่งผลให้กันและกันเป็นอย่างดี
ทุกคนต่างก็มีชีวิต มีเหตุผล มีการกระทำเป็นของตัวเอง
คือไม่มีใครดีไปซะหมด และแน่นอนว่าไม่มีใช่ชั่วไปซะหมดหรอก
เพียงแต่บางทีเราเห็นเขาแค่มุมๆ เดียวไง
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 29-04-2012 11:55:36
555+แต่เราว่ากวินน่าจะลอเขียนดูนะ รับรอง ขายดี
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: IaminLove ที่ 17-10-2012 12:07:51
เพิ่งได้เข้ามาอ่านแบบรวดเดียวจบ
เราว่าภาษาของเรื่องนี้มันมากกว่านิยายปกติในเล้าทั่วไป ออกแนวเป็นวรรณกรรมเลยก็ว่าได้
เราชอบประโยคๆ นึงมาก ที่บอกว่า

อ้างถึง
การพ่ายแพ้ ไม่ได้หมายความว่าสิ้นหวัง
แต่คนที่ไร้ซึ่งอุดมคติต่างหาก คือ คนที่สิ้นหวังอย่างแท้จริง

(อาจจะพิมพ์ประโยคได้ไม่เหมือนซะทีเดียวนะคะ เราสรุปมาตามความเข้าใจของตัวเอง)
ประโยคนี้อ่านทวนหลายๆ รอบแล้วกินใจมาก

เป็นอีกหนึ่งวรรณกรรมที่ประทับใจเลยค่ะ ^^

 :L2:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: เมฆาสีน้ำเงิน ที่ 14-02-2013 23:12:22
เป็นอีกเรื่องที่ชอบ ไม่อาจหยุดอ่านได้ (ดีที่เข้ามาอ่านตอนจบแล้ว)
หลายๆอย่างไม่ลงตัวแต่มันตอบสนองความต้องการลึกๆในใจ
ชอบตรงที่นำเสนอแง่มุมแปลกแยกของแต่ละตัวละครแบบตรงไปตรงมา
พร้อมกับความสับสนเล็กๆในความแปลกแยกนั้นๆ จนเกิดคำถามหลายครั้งว่า
ทำไมคนเราถึงต้องพยายามแสดงความเป็นตัวตนออกไป
พร้อมๆกับพยายามปิดบังตัวตน
อีกอย่างคือเกิดอารมณ์ร่วมกับหลายๆฉากอย่างไม่น่าเชื่อ
โดยเฉพาะฉากหมอนุ ตั้งแต่เปลื้องผ้า sex ครั้งแรกกับครูฝึกสอน กับเพื่อน
ตลอดจน sex หมู่กับฝรั่ง 6 คน เล่นเอารีบอ่านจนจบไม่ทัน (หอบ)
เกิดความรู้สึกสงสารกวินตอนโดนแฉแบบจับใจ มันไปต่อไม่ถูกจริงๆ
ในชีวิตจริงอาจไม่ได้มีพระเอกแบบหมอนุก็เป็นได้
และก็รังเกียจขจรจากส่วนลึก ขยะแขยงรูปร่าง ความคิดวิปริต
แต่ก็เข้าใจความอิจฉาซึ่งเป็นที่มาอีกเหมือนกัน
.
.
.
ยังไงก็ตามขอบคุณมากครับ วันใดวันนึงหากชีวิตหมดหวัง
ผมจะนึกถึงนิยายเรื่องนี้ นึกถึงสิ่งที่ตัวละครแบกรับ
เผื่อผมจะมีหวังขึ้นมาบ้าง สักนิดก็พอแล้ว
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: infinitez123 ที่ 29-03-2013 02:58:58
ขอบคุณนิยายดีๆมากเลย
เรื่องราวนี้ทำให้เห็นคนๆนึงแล้วย้อนมองดูตัวเองได้ดี
สุดยอดมากเลย จากมุมมองของกวิน คุณมันเจ๋งสุดๆ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: babara2004 ที่ 10-05-2013 15:28:35
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: iammz ที่ 12-05-2013 22:36:54
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมาก รู้สึกถึงอารมณ์ดิบของคน
นำเสนอออกมาในแง่นี้ น่าสนใจมากค่ะ ~^^
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: wargroup ที่ 04-12-2013 19:28:47
ชอบมากค่ะ ประทับใจภาษาและตัวนายเอกที่สุด และความเทาๆของตัวละครอื่นๆด้วย
ชอบกวิน เพราะโลกไม่สวยได้ถูกใจดี เป็นคนปรกติที่มีปมอยู่บ้าง อย่างเป็นธรรมชาติ 555
ชำแหละโลกสวยและโลกไม่สวยได้สะใจ โดยเฉพาะผ่านอาชีพนักเขียนและหนังสือเบสท์เซลเลอร์ โดนมากค่ะ
หลายมุมมอง+แนวคิดของกวิน ตรงกับสิ่งที่คนอ่านเป็นและรู้สึกจริง (แต่ไม่สุดโต่งและอาจหาญเท่า)
เลยยิ่งอิน เหมือนได้เข้าไปแจมสถานการณ์ด้วย มันส์มาก ...กับญดา รู้สึกแบบกวิน แต่คงไม่กล้าทำแบบกวิน อิอิ
จะติดตามอ่านเรื่องอื่นต่อไปนะคะ ขอบคุณ คุณ kranwa

หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 05-12-2013 13:06:16
ประทับใจสำนวนการเขียนมากค่ะ สนุกมากค่ะ ขอบคุณค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 20-10-2014 10:05:25
อ่านจบแลัวเย่ สนุกอ่ะ บรรยายทีนี่เห็นทุกภาพเป็นภาพๆเลย

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 27-01-2015 20:26:44
ขอบคุณนะคะ นิยายมีมุมมองและแง่คิดหลากหลายดีค่ะ
มันสะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ชอบค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: Nbear ที่ 23-02-2015 19:44:06
 :-[ ประทับใจมากค่าา สนุกด้วย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-02-2015 23:48:49
สนุกมาก
ไหลลื่น
ไม่สะดุด
เเต่..



สงสัย ทำไมวิษณุไม่จบหมอ?????
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 01-04-2015 19:50:13
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: fernfabled ที่ 16-04-2015 01:47:27
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: naizoza ที่ 03-01-2016 14:47:30
สนุกมากอ่านไหลลื่นภาษาสวย
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 04-01-2016 00:29:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: Aunttk ที่ 28-01-2016 21:00:25
ยอมรับว่าครั้งแรกจะไม่อ่านเรื่องนี้แล้ว แต่เหมือนอะไรสักอย่างทำให้กดเข้ามาอ่าน อ่านอินโทรตอนแรกชอบสำนวนมาก
ซึ่งไม่ผิดหวังจริงๆเป็นแนวที่ตามมาหามานานมาก ไม่ใช่นิยายแต่งเพื่อเอาใจนักอ่านแต่เป็นนิยายที่สื่อถึงช่วงชีวิตของคน
ไม่ใช่นิยายที่แบบนายเอกต้องใสๆไม่กร้านโลกพระเอกต้องเป็นคนดี
แต่เป็นนิยายที่สื่อให้เห็นในชีวิตประจำวัน ว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้มีดีก็ต้องมีเลวปะปนกันไป
ชอบค่ะ ภาษาเขียนออกมาดี เนื้อเรื่องไม่ได้ใสจนเกินไปและไม่ได้กร้านโลกจนเกินไป
สนับสนุนและขอบคุณผลงานดีๆจากคุณนักเขียนจ้าา
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: Hopeful & Hopeless วรรณกรรมจำเ
เริ่มหัวข้อโดย: b02290 ที่ 10-12-2016 16:05:34
 :pig4: :pig4: :pig4: