ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0
ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้ ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ
4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ
5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).
9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ
10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป
11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว
บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป
12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด
13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ
14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ
15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข
17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................
วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17
เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
--------------------------------------------------
►Nitrogen ไนโตรเจน◄
คู่เพื่อนจาก Oxygen ออกซิเจน อ่านแยกได้ แค่ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน
"ไม่รักไม่ผิดเพราะพี่ไม่เคยให้ความหวังผม"
"..."
"แต่ผมจะทำให้พี่รักให้ได้ และถ้าวันไหนพี่รักผมขึ้นมา บอกไว้เลย..."
"จะเอาคืน?"
"บอกไว้เลยว่าผมไม่เล่นตัวแน่นอน!"
Fan Page: Chesshire. (https://www.facebook.com/Chesshire04/)
Twitter: @Chesshire04 (https://twitter.com/Chesshire04)
.
.
นิยายของเรา
Oxygen ออกซิเจน #โซโล่กีล์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56726.0)
Nitrogen ไนโตรเจน #คุณภูชายเก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.0)
ANAKIN อนาคิน #ภามเจได (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66695.0)
3KINGS ตอน จักรพรรดิ #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)
3KINGS ตอน ประมุข #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68472.0)
.
.
สารบัญ
=0= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3625454#msg3625454) =1= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3626676#msg3626676) =2= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3632174#msg3632174) =3= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3634320#msg3634320) =4= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3636235#msg3636235) =5= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3638265#msg3638265)
=6= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3640846#msg3640846) =7= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3644368#msg3644368) =8= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3645356#msg3645356) =9= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3647799#msg3647799) =10= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3650225#msg3650225) =11= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3653939#msg3653939) =12= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3656420#msg3656420)
=13= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3659921#msg3659921) =14= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3662275#msg3662275) =15= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3663108#msg3663108) =16= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3665246#msg3665246) =17= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3667367#msg3667367) =18= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3671012#msg3671012) =19= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3674370#msg3674370) =20= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3678223#msg3678223)
=21= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3681458#msg3681458) =22= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3684144#msg3684144) =23= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3687294#msg3687294) =24= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3691284#msg3691284) =25= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3694808#msg3694808)
=26= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3698307#msg3698307) =27= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3701833#msg3701833) =28= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3705002#msg3705002) =29= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3708340#msg3708340) =30= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3711969#msg3711969) =31= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3715640#msg3715640) =32= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3719924#msg3719924) =33= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3724178#msg3724178) =34= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3728015#msg3728015) =35= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3730391#msg3730391)
=36= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3734376#msg3734376) =37= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3739073#msg3739073) =38= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3743700#msg3743700) =39= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3746743#msg3746743) =40[จบ]= (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.msg3750151#msg3750151)
-0-
ถ้าความรักของ ‘เขา’ คือการมีชีวิต
.
.
อากาศและการหายใจคือหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์คงอยู่
ภายในอากาศประกอบไปด้วยองค์ประกอบหลายชนิด
Nitrogen เป็นก๊าซที่มีปริมาณมากเป็นอันดับหนึ่งขององค์ประกอบทั้งหมด
มนุษย์จำเป็นต้องใช้ไนโตรเจนในการลดความเข้มข้นของออกซิเจนเพื่อมีชีวิตอยู่
สำหรับเขา ‘มัน’ ก็เป็นเหมือนไนโตรเจน
วนเวียนอยู่รอบกาย ไม่เคยคิดว่าสำคัญ ไม่เคยคิดว่าต้องการ
แต่…
‘จำเป็นต้องมี’
รักครั้งแรกของผมเป็นผู้ชายตัวสูง หน้าคม ผิวขาว ทำผมทรงอันเดอร์คัตที่มักจะเซตอย่างดีเสมอ เครื่องหน้าทุกอย่างประกอบกันอย่างลงตัวจนน่าอิจฉา และที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตาดุๆ สีเทาคู่นั้นที่บ่งบอกให้รู้ว่าไม่ใช่คนไทยแท้
ตอนเจอกันครั้งแรกที่ห้างผมมองผ่านๆ แค่เห็นเป็นคนหน้าตาดีมากคนหนึ่ง เราเดินสวนกัน เป็นเพียงคนสองคนบนโลกที่โคจรมาเจอกันและไม่มีความสำคัญใดๆ
เจอกันครั้งที่สองผมมองแบบเบื่อๆ เพราะไม่ว่าใครก็หันไปมองคนๆ นั้นกันหมด ผมไม่ได้อิจฉา แค่รำคาญเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นทุกครั้งที่เดินผ่าน
และตอนเจอกันครั้งที่สาม...
.
.
ผมเริ่มชอบเขา
วันนั้นฝนตก...
ผมเดินออกมาจากร้านเครื่องดนตรีที่มาซื้อสายไปเปลี่ยนให้กีตาร์ตัวโปรด ตอนแรกก็คิดว่าจะแวะไม่นานแต่กลายเป็นคุยเพลินจนลากยาวมาถึงสองทุ่ม
เพราะไม่มีร่มเลยทำได้เพียงมองถนนที่เงียบสงัด รวมถึงคนที่แทบไม่มีด้วยสายตาเบื่อหน่าย
อะไรก็น่าเบื่อไปหมด...ถ้าเปิดเทอมแล้วได้เล่นดนตรีเป็นวงคงดี
"แกๆ นั่นไงคนนั้นๆ"
"ใช่จริงด้วย"
ผมหันไปมองตามเสียงของกลุ่มผู้หญิงสามสี่คนที่ยืนห่างไปไม่ไกลนัก แล้วก็พบว่าพวกนั้นกำลังมองไปที่อีกฝั่งของถนนที่มีผู้ชายคนหนึ่งถือร่มกำลังเดินข้ามมาฝั่งนี้
อีกแล้วเหรอ…
นอกจากจะรู้สึกเซ็งกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอีก ผมถอนหายใจก่อนจะละสายตาออกมาจากคนๆ นั้นอย่างไม่คิดใส่ใจ
รอให้ฝนเบาลงกว่านี้อีกสักหน่อยแล้วค่อยวิ่งฝ่าไปขึ้นรถเมล์อีกฝั่งน่าจะดีกว่า…
"เดินมาแล้วอ่ะ ทำไงดี"
"เอางี้ เดี๋ยวฉันผลักแกก็เซไปหาเลยนะ"
"จะบ้าเหรอแก!"
"แล้วจะปล่อยให้โอกาสหลุดมือเหรอยะ!"
โคตรละคร…
ผมได้แต่กลอกตาเหนื่อยหน่ายกับประโยคสนทนาของผู้หญิงกลุ่มนั้น
แต่จะว่าไปแล้วในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรทำแบบนี้ละครที่กำลังจะเกิดขึ้นก็แลดูน่าสนใจอยู่เหมือนกัน
คิดซะว่าฆ่าเวลา
ผู้ชายคนนั้นเดินมาแล้วและกำลังจะผ่านหน้าพวกผู้หญิงที่กำลังซุบซิบกันอยู่ไป ผมมองดวงตาคมดุที่ไม่ปรายมองอะไรทั้งสิ้นนอกจากทางด้านหน้าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก
ได้เห็นใกล้ๆ ก็วันนี้ ขนาดมีฝนตกบดบังสายตาไปบ้างยังรู้เลยว่ามันดุขนาดไหน
ละครเริ่มแล้ว…
ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่น่าจะรับบทเป็นนางเอกละครโดนเพื่อนของเธอผลักเข้าหาผู้ชายคนนั้นด้วยความรวดเร็ว ผมมองตามด้วยความสนใจ ยอมรับว่าอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไง
ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปก็น่าจะรับไว้ต่อให้ต้องทิ้งร่ม
"ว๊าย!"
ผมเบิกตากว้าง ความรู้สึกประหลาดก่อเกิดขึ้นมาในใจเมื่อเห็นภาพคนถือร่มใช้ด้ามจับร่มกระแทกผู้หญิงคนนั้นกลับไปหาเพื่อนของเธอโดยไม่เสียเวลาคิด
โอ้โห…
คนแบบนี้...
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ไอดอลว่ะ!
เงาร่างของคนหน้าดุหายไปจากสายตาผมแล้ว รู้ตัวอีกทีสองเท้าก็ก้าวออกมาจากที่หลบฝนเล็กๆ หน้าร้านดนตรีแล้วออกวิ่งไปตามทางโดยไร้จุดหมาย
ไม่ดิ…ไม่ได้ไร้จุดหมาย จุดหมายที่ว่าก็แผ่นหลังกว้างที่เห็นอยู่ไกลๆ นั่นไง
ผมวิ่งฝ่าสายฝนแล้วเลี้ยวเข้าซอยตามทางที่เห็นคนๆ นั้นเดินเข้าไป รู้แค่ว่าอยากตามให้ทัน…แต่ไม่รู้หรอกว่าทันแล้วจะทำอะไร
เอาไว้ค่อยคิด
“ดะ!…” ผมหยุดคำพูดแทบไม่ทัน รีบพุ่งตัวเข้าไปหลบตรงถังขยะข้างๆ เสาไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุด
คนที่ผมกำลังวิ่งตามยืนอยู่กับผู้ชายอีกสามคน ท่าทางไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องกัน เสียงฝนที่ดังสนั่นทำให้ผมไม่ได้ยินว่าพวกนั้นกำลังคุยอะไรกัน แต่ดูจากท่าทางแล้วไม่น่าใช่เรื่องดีแน่นอน
เอาเลยเหรอวะ…
ผมมองภาพคนตีกันสดๆ ด้วยใจตุ้มๆ ต่อมๆ มือกำถังขยะใบเล็กข้างๆ ไว้แน่น
สามต่อหนึ่ง…แม่งหมาหมู่นี่หว่า
การต่อยตีที่ควรจะเสียเปรียบกลับกลายเป็นสูสีเมื่อคนตาดุนั่นโยนร่มทิ้งแล้วสู้กลับเหมือนคนมีประสบการณ์ ใช้เวลาไม่นานก็มีพวกหมาหมู่ล้มไปกองกับพื้นแล้วหนึ่งคน
ไอดอลโคตรเท่อ่ะ!
ผมเบิกตากว้าง ถึงจะไม่ได้ยินว่าพวกนั้นคุยอะไรกันแต่แสงสะท้อนของโลหะที่หนึ่งในพวกหมาหมู่มันหยิบออกมานั่นกระทบตาเข้าเต็มๆ
“หมาหมู่แล้วยังโกงอีกนะพวกห่านี่!” ผมตะโกนด้วยความหงุดหงิด ขาก้าวออกจากที่ซ่อนพร้อมถังขยะที่จับไว้แต่แรก
จังหวะเดียวกับที่ไอ้เวรนั่นจะพุ่งเข้าหาผู้ชายตาดุพร้อมมีด ผมปาถังขยะในมืออัดหัวมันอย่างจัง คิดว่าต่อให้ไม่สลบก็ต้องมึนบ้างแหละวะ ผมอาศัยจังหวะที่ไอ้พวกนั้นชะงักวิ่งเข้าไปคว้าแขนเป้าหมายแล้วดึงให้วิ่งตามอย่างรวดเร็ว
“ใครเสือกวะ!” เสียงไอ้พวกหมาหมู่ดังตัดมากับสายฝน
“พ่อมึงมั้ง!” ผมตะโกนกลับไปพร้อมกับชูนิ้วกลางให้โดยไม่หันไปมอง
ถามอะไรโง่ๆ ก็เห็นอยู่ว่าไม่รู้จักกัน บอกชื่อไปอย่างกับพวกมึงจะรู้จัก
“ไอ้เวร! อย่าให้กูจับได้นะมึง!”
“จับให้ได้ก่อนมึงค่อยพูด กูรำคาญ!” ผมตะโกนรัวเร็ว เพิ่มความไวในการวิ่งมากขึ้นกว่าเดิม ต้องขอบคุณที่คุณพี่หน้าดุที่ผมลากอยู่ยอมวิ่งตามแต่โดยดี
ผมเลี้ยวซ้ายขวาเข้าซอยอย่างคล่องแคล่ว พอรู้ว่าจะได้มาเรียนที่มหา’ลัยแถวนี้ผมก็เตรียมการอย่างดีโดยการไปสำรวจและจดจำเส้นทางทั้งหมดไว้ ตอนนั้นคิดแค่ว่าเผื่อตัวเองมีเรื่องแล้วจะได้มีทางหนี แต่กลายเป็นว่าย้ายเข้าหอได้ไม่กี่วันก็ได้ใช้ประโยชน์เสียแล้ว
ผมดันร่างคนที่ลากมาแถมยังตัวใหญ่กว่าเข้าไปในซอยเล็กๆ ข้างทางโดยใช้แรงเกือบทั้งหมด หลังจากนั้นก็ดันร่างตัวเองตามเข้าไป เราหลบอยู่เงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ได้ยินเสียงฝีเท้าของไอ้พวกที่ตามมาวิ่งอยู่ไม่ไกลซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอกเพราะดูเหมือนสมาธิจะจดจ่ออยู่กับคนในซอกตึกนี่มากกว่า
เสียดายว่ะ…
เสียดายที่พี่แกสูงกว่า ระดับสายตาผมดันอยู่ตรงปากเขาพอดีเลยอดจ้องตาดุๆ นั่นเลย เงยหน้าก็ไม่ถนัดเพราะซอยมันแคบแถมยังมืดจนมองแทบไม่เห็นกันอีก
ผมโผล่หัวออกไปดู นอกจากฝนที่ซาลงจนแทบจะหยุดแล้วก็ไม่เห็นเงาร่างของสิ่งมีชีวิตสักตัว ผมก้าวเท้านำออกมาจากซอยที่ใช้หลบเมื่อครู่ก่อนจะหันไปมองคนที่เดินตามออกมาเงียบๆ
ยิ่งอยู่ใกล้แบบนี้ก็ยิ่งรู้ว่าหน้าตาดีขนาดไหน…
“พี่…” ผมเรียก ขยับเข้าไปใกล้ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นรัวแรงขึ้นเรื่อยๆ “คือ…”
“ใครพี่มึง”
“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ ถึงจะมั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดแต่ถามเอาชัวร์อีกรอบน่าจะดีกว่า
“กูบอกว่าใครพี่มึง”
ผมตาโต ได้ยินชัดเจนสองรูหู
ทำไม…
ทำไมใจเต้นแรงงี้วะ!
คนพูดปรายตาดุๆ มองวูบเดียวแล้วหมุนตัวเดินกลับไปตามทางเดิมที่เราเพิ่งวิ่งกันมา
“เดี๋ยว!” ผมรีบตะโกน รู้สึกว่าถ้าช้ากว่านี้แล้วไม่มีโอกาสได้พูดคงเสียใจไปตลอดชีวิต “พี่...คุณ!”
“…” คนที่ถูกเรียกเดินต่ออย่างไม่ใส่ใจ
ดี….ไม่ใส่ใจก็ดี
“ผมชอบคุณอ่ะ!”
ผมตะโกนเสียงดัง รู้สึกได้ว่าคนที่กำลังเดินชะงักไปวูบหนึ่ง เขาหันมามองผม จ้องมองมาด้วยดวงตาดุๆ ที่น่าจะทำให้ใครๆ หวาดกลัวจนตัวสั่น
แต่แน่นอนว่าไม่ใช่กับคุณอชิราคนนี้
“ไปไกลๆ”
“เดี๋ยวดิ…คุณไม่เอากระเป๋าตังค์คืนเหรอ”ผมยกยิ้ม ชูกระเป๋าตังค์ราคาแพงที่หยิบมา ‘โดยบังเอิญ’ ให้คนตาดุดู
ใครใช้ให้เขาเอากระเป๋าตังค์ใส่ไว้ในเสื้อตัวนอกกัน ตอนอยู่ในซอกตึกนั่นผมเห็นพอดีเลยหยิบมาง่ายๆ เลย
“มึง!” คิ้วเข้มขมวดแน่น ดวงตาสีเทาดุที่ดูน่ากลัวอยู่แล้วทวีความน่ากลัวกว่าเดิม
“ไม่ต้องโกรธหรอก ผมคืนให้” ผมว่าแล้วโยนกระเป๋าตังค์คืนให้เขา คนๆ นั้นไม่แม้แต่จะเปิดเช็คด้านในแต่เลือกที่จะหันหลังแล้วเดินจากไปทันที “ผมเช็คแล้วว่าไม่มีรูป…แสดงว่าคุณยังไม่มีใครใช่ปะ”
ผมยิ้มเมื่อคนที่กำลังเดินชะงักไปอีกรอบ คราวนี้เขาหันมามองผมด้วยสายตาแปลกๆ
หึ…จ๋าบอกว่าพวกมีแฟน มีคนที่ชอบมักจะเก็บรูปเอาไว้ในกระเป๋าตังค์ เพราะงั้นแสดงว่าผู้ชายคนนี้ยังไม่มีใครแน่นอน
“แล้วเจอกันนะคุณ!”
ผมตะโกนตามหลังคนที่เดินจากไป โบกไม้โบกมือให้ถึงแม้อีกฝ่ายจะไม่เห็น
ที่ผมบอกว่าตอนเจอกันครั้งแรกกับครั้งที่สองไม่ได้สนใจเขาท่าจะไม่จริง บางทีผมอาจจะสนใจเขาแต่แรกแล้วก็ได้ ถ้าไม่สนใจจริงๆ คงไม่เห็นอยู่ในสายตาหรือรู้ว่ามีตัวตนด้วยซ้ำ
แบบนี้นี่เอง…
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออกหาสุดสวย
[โหล]
“จ๋า”
[เรียกนำหน้าว่าแม่หน่อยจะได้ไหมยะ]
“ก็เรียกแบบนี้มาตั้งแต่อนุบาลสามแล้วปะ”
แม่ผมชื่อจ๋า จริงๆ ตอนเล็กๆ ก็จำได้ว่าเรียกแม่จ๋าๆ อยู่ แต่พอโดนเพื่อนล้อตอนอนุบาลสามจนเตะเข้าโรง’บาลไปสองคน ผมเลยเปลี่ยนไปเรียกจ๋าตั้งแต่ตอนนั้น
แน่นอนว่าคนอย่างจ๋าย่อมไม่ถือสา เพราะจ๋าเป็นคนสวยที่ใจดีและวัยรุ่นสุดๆ
[ว่าแต่โทรมามีอะไรคะ ปกติไม่เคยแม้แต่จะคิดถึงไม่ใช่เหรอ]
“เราจะโทรมารายงานจ๋า”
[รายงานอะไร]
“จ๋าจำที่บอกเราว่าเจอคนถูกใจให้ดูเป๋าตังค์ได้ปะ”
[จำได้…เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าคุณอชิราเจอใครคนนั้นแล้ว]
“หึหึ” ผมหัวเราะ คิดถึงคนตาดุที่หายไปจากสายตาสักพักแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมา “เราเปิดดูเป๋าตังค์เขาแล้ว ว่างชัวร์”
[ใครกันเป็นผู้โชคร้าย…]
“จ๋า!” ผมตะโกน หน้าบึ้งตึง “เราออกจะดีเลิศไปทุกด้าน โชคร้ายตรงไหนไม่ทราบ”
ผมไม่ได้โกหกแต่อย่างใด เพราะไม่ว่าจะเรื่องเรียน เรื่องดนตรี เรื่องกีฬา หรืออะไรผมก็ทำได้ดีหมด ตั้งแต่อนุบาลยันจบม.ปลายผมโดนชมไม่ขาดสายว่าเป็นเด็กเก่ง
ดังนั้นคนที่ทำให้ผมชอบได้เป็นคนแรกแบบเขาต้องดีใจถึงจะถูก!
[ค่ะ ขอโทษค่ะ ว่าแต่เธอคนนั้นเป็นใครกันคะ สวยไหม]
“เรายังไม่รู้ชื่อเขาอะ ส่วนเรื่องสวยนี่ไม่สวยหรอก…”
[อ้าว! แล้วเจอที่มหา’ลัยเหรอ]
“ไม่ใช่ เจอตามทางนี่ล่ะ เรียนไหนไม่รู้”
[นี่คุณอชิราหลงรักคนแปลกหน้าเหรอ]
“จ๋า เรายังพูดไม่จบ”
[ว่าไงคะ]
“เราจะบอกว่าไม่สวย…เพราะหล่อ ดูดี และดึงดูดมาก ตาดุมากเลยเราชอบ สักวันเราจะพาไปหาจ๋านะ แค่นี้แหละบาย”
[ไอ้เก้า‼‼‼‼‼]
-------------------------------
TALK : เรื่องนี้เป็นเรื่องของเพื่อนโซโล่จากเรื่อง Oxygen นะคะ อ่านแยกได้ แค่ตัวละครมีความสัมพันธ์กัน
ติดแฮชแท็ก #คุณภูชายเก้า
Fan Page : Chesshire. Twitter : @Chesshire04
-4-
ช่วงพักกลางวันเป็นเวลาที่บนเวทีไม่มีเสียงเพลง ทุกคนเดินไปเดินมาตามบูธเพื่อหาของกินเป็นส่วนใหญ่ ผมยืนกอดอกอยู่หน้าบูธ มองเวทีที่พวกดุริยางค์กำลังเตรียมตัวลงไปพักอย่างรอคอย แล้วพี่วินก็ไม่ทำให้ผมผิดหวัง พี่แกวิ่งขึ้นไปด้านบนก่อนจะกระซิบอะไรสักอย่างกับไอ้เต๊ะที่เป็นนักร้องบนเวทีคนล่าสุด ผ่านไปสักพักมันก็พยักหน้าแล้วหันมามองผมตามนิ้วที่พี่วินชี้ และอยู่ๆ พวกมันก็หัวเราะกันจนผมชักอยากจะหากระจกมาส่องหน้าตัวเอง
“ทุกท่านครับ” เต๊ะพูดออกไมค์เสียงดังจนสายตาของคนที่เดินไปเดินมาหันไปมองมัน “เนื่องจากช่วงพักเที่ยงบนเวทีจะไม่มีดนตรี ดังนั้นถ้าใครสนใจฟังดนตรีสดจากอดีตเดือนมหา’ลัยกับนักร้องอันดับหนึ่งของเรา อย่าลืมไปเยี่ยมชมบูธD01นะครับผม”
ผมชูนิ้วโป้งให้ไอ้เต๊ะจากนั้นก็ผงกหัวขอบคุณพี่วินก่อนจะหันกลับเข้ามาในบูธ และมันเป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้เพื่อนหน้านิ่งเดินถือกีตาร์โปร่งเข้ามาหาพอดี
“ใช้งานกูอีกละ” โซบ่นแล้วหาวเสียงดัง แต่มันก็ยังเดินเข้าไปทักพี่ภูที่นั่งขมวดคิ้วอยู่แต่โดยดี
ผมให้ไอ้โซนั่งเก้าอี้ที่อยู่ข้างพี่ภู ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ข้างๆ พอเสียงกีตาร์เริ่มดังขึ้นคนที่มุงอยู่ด้านนอกก็เริ่มเข้ามาด้านใน…นั่นรวมถึงพวกที่ถือใบประเมินด้วย
“บูธนี้ไม่น่ากลัวนะ” ผมพูดแล้วยกยิ้ม พวกผู้หญิงที่หันมามองก็หัวเราะกันคิกคัก ไม่ตลกหน้าผมก็คงหน้าพี่ภูนั่นล่ะ
“คือว่า...ภาพพวกนี้ขายหรือเปล่าคะ” ผู้หญิงที่ติดเข็มมหา’ลัยอื่นคนหนึ่งเดินเข้ามาถาม ผมเลยหันไปมองพี่ภู พอเห็นว่าเขาพยักหน้าเลยหันมาตอบให้
“ขายครับ”
“ขายเท่าไหร่เหรอคะ”
คราวนี้พี่ภูพยักเพยิดไปที่กล่องสี่เหลี่ยมที่แขวนอยู่ด้านข้างซึ่งผมเองก็เพิ่งเห็นเหมือนกัน
“ตามกำลังศรัทธาเลยครับ” ผมยิ้มการค้าแล้วชี้ไปที่กล่อง ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า หยิบแบงค์ร้อยหย่อนใส่กล่องและหยิบภาพสีน้ำขนาดเท่าเอสี่กลับไป
พอเริ่มมีคนนำแล้วก็มีคนตามเองโดยอัตโนมัติ ผมไม่ต้องคอยตอบคำถามอะไรอีกคนก็เริ่มตามเข้ามากันเรื่อยๆ
เสียงกีตาร์เรียบเรื่อยของโซเปลี่ยนเป็นทำนองคุ้นหู ผมเดินไปอยู่ตรงกลางระหว่างมันกับพี่ภูที่ยังนั่งลงสีภาพอยู่แล้วเริ่มร้องเพลงไปตามจังหวะ
“อยากบอกกับเธอว่าฉันรู้สึกต่างไปแน่นอนจากวินาทีก่อน…”
“วิ้ดวิ้ววว”
ผมค้อมหัวเล็กน้อยให้เสียงปรบมือกับเสียงกรีดร้องเบาๆ ของพวกผู้หญิง แต่เสียงแซวไม่พึงประสงค์ของไอ้พวกดุริยางค์ที่เดินมาดูขอข้ามไปแล้วกัน
“อยากบอกว่ารักมันก็เท่านั้น
ก็เพราะว่าฉันรักเธอมากมาย
แต่ไม่ได้หวังหรือว่าต้องการอะไร
อะไรจากเธอ”
“อย่าลืมอยู่ดูดนตรีตอนเย็นนะค้าบบบ”
ผมได้แต่ส่ายหน้าให้ไอ้พวกที่ยืนโหวกเหวกอยู่หน้าบูธ แต่ก็ดีที่พวกมันช่วยร้องเพลงคลอจนคนหันมาสนใจมากขึ้น
“แต่ไม่ได้หวัง…” ผมหยุดชะงักกะทันหันเมื่อถึงท่อนสุดท้าย สายตาหันไปมองพี่ภูโดยอัตโนมัติ
[อยากบอกว่ารัก : Sin]
“หยุดทำไม” โซมันเงยหน้าถาม
“แค่คิดต่างจากเพลงนิดหน่อยว่ะ”
“ตรงไหน”
“บอกรักแล้วก็ต้องหวังสิวะ ถ้าไม่หวัง ไม่ต้องการอะไรแล้วจะบอกทำไม” ผมตอบคำถามโซแต่หันไปทางพี่ภู เขาเองก็เงยหน้ามอง ถึงจะไม่ได้แสดงอะไรออกมาแต่ผมก็รู้ว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการบอก
แค่นั้นก็พอแล้ว...สำหรับตอนนี้นะ
รูปภาพที่แขวนไว้ทั่วถูกขายจนหมดในเวลาหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง ส่วนพวกดุริยางค์เองก็กลับไปหลังเวทีกันหมดแล้ว ตอนนี้เลยเหลือแค่ผมกับพี่ภูที่ยังอยู่ที่เดิม
“พี่กลับเลยป่ะ”
“รอเช็คชื่อเลิกงาน” พี่ภูตอบสั้นๆ แล้วเก็บของต่อ
“งั้นพี่ก็อยู่ดูผมขึ้นเวทีได้อ่ะดิ” ผมพูดด้วยความตื่นเต้นแล้วรีบเข้าไปช่วยเขายกของ
พี่ภูเดินนำออกไปด้านนอก เขาหยุดยืนอยู่ที่ตู้บริจาคซึ่งตั้งอยู่หน้างานพอดีก่อนจะเทเงินที่ได้ทั้งหมดลงไปในตู้ จากนั้นก็เดินต่อไปที่ลานจอดรถ ผมมองแผ่นหลังกว้างของคนใจดีด้วยความรู้สึกหลากหลาย จนเมื่อเดินมาถึงรถคันหรูแล้วเขาก็วางของที่ถือลงก่อนจะหันมาคว้าของจากมือผมไปใส่หลังรถ
“พี่ภู…”
“ว่าแล้วว่ามึงต้องเป็นตัวน่ารำคาญ”
“เดี๋ยวดิ” ผมหน้าเหวอ สงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อคนที่ปิดหลังรถแล้วก็หมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าเสียก่อน
“ไอ้กระต่ายน่ารำคาญ” สิ้นคำที่เหมือนจะด่า นิ้วชี้เปื้อนสีที่แห้งไปแล้วก็กดลงมาบนหน้าผากผมแรงๆ เหมือนจะตอกย้ำคำพูดว่ากระต่ายที่ว่าหมายถึงใคร ผมได้แต่เอามือกุมหน้าผากตัวเองแล้วมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินล้วงกระเป๋ากลับไปทางเดิมเงียบๆ
ใจเต้นอีกแล้วว่ะ...ดาเมจแรงฉิบหาย
ผมยื่นหน้าไปส่องกระจกข้างของรถพี่ภู แล้วก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมใครๆ ถึงได้หัวเราะ ตอนโดนวาดหน้าก็มัวแต่เหวอ ไม่ได้สนใจเลยว่าจะโดนทำอะไรบนใบหน้าบ้าง ผมยกมือแตะขีดดำๆ บนแก้มแบบเดียวกับที่ผมวาดให้พี่ภูเบาๆ พอรวมกับจุดสีชมพูบนจมูกเลยดูเหมือนสัตว์อะไรสักอย่าง
ดูจากคำพูดแล้วคนทำคงอยากให้เป็นกระต่าย…
แต่แม่ง…
ทำไมต้องกระต่ายวะ
ไอ้สิ่งมีชีวิตก้อนๆ ขนๆ นั่นอ่ะ...
ผมโคตรเกลียดเลยเหอะ
“มาอยู่แถวนี้นี่เอง โทรศัพท์ก็ไม่รับ มาเตรียมตัวได้แล้วโว้ย!” เสียงพี่วินดังมาจากด้านหลัง ผมรีบหันไปหาทั้งที่ยังงงๆ อยู่ แต่แทนที่จะเจอหน้าโหดๆ กลับกลายเป็นโดนหัวเราะใส่อีกรอบ “มองไกลๆ กูก็ว่าตลกแล้วนะ มาเจอใกล้ๆ หนักกว่าเดิมอีกว่ะ ฮ่าๆ”
“ตลกตรงไหนวะ” ผมถามเสียงบูด นี่ถ้าไม่ใช่รุ่นพี่นะ...
“โอ๋ๆ มานี่มา...สรุปเป็นตัวไร แมว หมา กระต่าย หรือตัวเหี้ย”
“ตัวเหี้ยบ้านพี่มีหนวดเหรอ”
“ก็บอกกูดิตัวไรแน่ กระต่ายเหรอ” พี่วินหัวเราะจนนนตัวงอ ส่วนผมได้แต่ยืนกระดิกเท้าหงุดหงิดเพราะอยากเตะคน…ที่พี่แกพูดถูกก็ไม่ใช่ว่าตั้งใจอะไรนะ มันแค่รู้ว่าผมไม่ชอบกระต่ายก็เลยพูดต่างหาก
“อย่าทำหน้าบูดดิ แมวก็ได้ โอเคยัง” พี่วินว่าแล้วลูบหัวผมเหมือนจะปลอบ แต่จะดีกว่านี้มากเลยถ้ามันไม่ได้ลูบไปตบไปจนหัวชา “มึงแม่งเหมือนแมวเลยว่ะ ขึ้นเวทีไม่ต้องลบนะ ตลกดี”
“กระต่าย”
“หา…”
“เนี่ย…” ผมชี้หน้าตัวเอง “กระต่าย”
“เอาจริงดิ” พี่วินทำตาโต ท่าทางตกใจโอเวอร์จนน่าถีบ “มึงไม่ชอบกระต่ายไม่ใช่เหรอวะ ไอ้โซเคยบอกกูอ่ะ”
ไม่ต้องสืบละว่าพี่วินรู้ได้ไง
“ก็ไม่ชอบนั่นล่ะ...แต่เขาเรียก”
“อะไรนะ”
“ถึงเวลาเตรียมตัวแล้วไม่ใช่เหรอ” ผมตัดบทแล้วรีบดึงแขนเสื้อพี่วินให้เดินตามก่อนจะโดนถามอะไรต่อ ดูเหมือนพี่แกจะเพิ่งนึกออกเหมือนกันถึงได้รีบร้อนลากผมวิ่งเป็นการใหญ่
หายไปไหนแล้ววะ…
ผมหันซ้ายหันขวา พยายามมองหาคนที่เดินนำมาก่อนในระหว่างที่กำลังวิ่ง แต่มองยังไงก็ไม่เจอพี่ภู บูธของเขาที่เก็บของหมดแล้วก็ไม่มีใครอยู่ จนผมโดนพี่วินทิ้งไว้หลังเวทีแล้วก็ยังมองหาพี่ภูไม่เจออยู่ดี
“พี่เก้า ผมรอดูหน้าเวทีนะพี่” ไอ้เปรมวิ่งเข้ามาหาหน้าตาดี๊ดา ด้านหลังมันมีพวกที่ขึ้นเวทีไปแล้วยืนอยู่ด้วย
“ร้องเพี้ยนนะมึงอ่ะ”
“พี่ฟังด้วยเหรอ!” มันทำตาโต ท่าทางตกอกตกใจจริงจังจนน่าขำ ผมเลยหัวเราะใส่โดยไม่ได้ตอบอะไรไป ไอ้ได้ยินมันก็ได้ยินอยู่หรอกเพราะบูธก็อยู่แถวนี้ แต่ไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไหร่เลยไม่อยากพูดเยอะ
“ไปหาที่หน้าเวทีไป” ผมออกปากไล่ เปรมมันเลยพยักหน้าหงึกหงักอย่างเชื่อฟังโดยไม่เซ้าซี้ต่อ
“เต็มที่นะมึง” รุ่นพี่ปีสามที่กอดคอไอ้เปรมอยู่โบกมือ พอผมพยักหน้าแล้วพวกนั้นก็พากันเดินออกไปทางหน้าเวที
ผมยืนรอเวลาอยู่ข้างเวทีอย่างสงบเสงี่ยม โชคดีที่ตอนนี้ไม่มีแดดแล้วพวกที่อยู่หน้าเวทีเลยมารวมตัวกันมากกว่าเดิม ถึงจะยังมีบางส่วนเดินไปเดินมาอยู่ตรงบูธ แต่พอเริ่มงานเมื่อไหร่ก็คงมารวมตัวกันเยอะกว่านี้แน่
อย่าลืมว่าเวทีนี้มีอดีตเดือนมหา’ลัยคนดังอยู่ด้วย
“ยอมกลับมาแล้วเหรอ” น้ำเสียงนิ่งๆ ตามสไตล์ของเดือนที่ว่าดังมาจากด้านหลัง แต่ผมรู้ดีว่าภายใต้เสียงนิ่งๆ ของมันนั้นแฝงความกวนตีนเอาไว้มากมายมหาศาล “ทำไมยังไม่ลบหน้า”
“ไม่อยากลบ”
“ไอ้หน้าแมว...”
“กระต่าย”
“แมว”
“กูบอกว่ากระต่ายไง” ผมย้ำ
“อย่างงี้ก็ได้เหรอ” ไอ้โซทำหน้าเหม็นเบื่อ มันกลอกตาก่อนจะยกมือทาบหน้าผากผมเหมือนจะวัดไข้ “ไหวไหม”
“อะไรของมึง”
“มึงใช่เก้าเหรอ”
“ใช่สิวะ”
“ได้ข่าวว่าเกลียดกระต่าย” มันเลิกคิ้วแล้วหรี่ตาลงเป็นเชิงจับผิด
“พี่ภูเรียก”
“หืม”
ผมชักสีหน้าก่อนจะมองเพื่อนด้วยควาามหงุดหงิด ไม่ใช่ว่ามันไม่เข้าใจที่ผมบอก มองจากรอยยิ้มนิดๆ บนหน้าก็รู้แล้วว่ามันเข้าใจ แต่มันกำลังกวนตีนผมอยู่ต่างหาก
“เออใช่...มึงรู้ป่ะ” ไอ้โซทำหน้าตื่นเต้นนิดๆ แล้วเก็บอาการอย่างรวดเร็ว ส่วนผมได้แต่ขมวดคิ้วมองมันกลับไปด้วยความสงสัย
“อะไร”
“ภูชอบกระต่าย”
“อะไรนะ!” ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ มือเขย่าไหล่เพื่อนไม่หยุด “มึงพูดใหม่อีกที”
“กูบอกว่าภูชอบกระต่าย”
ไม่ใช่แค่เห็นว่าวาดออกมาแล้วเหมือนกระต่ายเฉยๆ...แต่เพราะชอบกระต่ายเลยเหรอ
ทำไมต้องกระต่ายวะ…
“กูเกลียดกระต่าย” ผมครวญคราง อยากจะเตะนั่นเตะนี่ทำลายข้าวของให้หายหงุดหงิดโคตรๆ
“แล้วมึงเป็นตัวอะไร”
“เป็นกระต่าย” ผมตอบทันควัน พร้อมกับที่ได้ยินเสียงไอ้โซหัวเราะโดยที่มันไม่คิดปิด ถ้าเป็นปกติผมคงเปิดวอร์ไปแล้ว แต่นี่คือไม่มีอารมณ์
“เพื่อนกูพัฒนาจากคนไปเป็นกระต่ายเฉย”
“แค่เปรียบเปรยเว้ย!”
“เออ แค่เปรียบเปรยแล้วมึงจะซีเรียสทำไม”
“มึงเคยไม่ชอบอะไรมากๆ ป่ะ ไม่ชอบแบบไม่อยากพูดถึงอ่ะ” ผมหันไปถามมันแล้วทำหน้าตาจริงจัง
“เคย”
“เออ เข้าใจกูยัง”
“เข้าใจ แล้วสรุปมึงเป็นตัวอะไรนะ”
“กระต่าย”
“หึหึ”
“...”
ให้ตายเหอะ…ความรักทำให้คนตาบอดจริงๆ ว่ะ และดูเหมือนผมจะบอดสองข้างด้วยดิ
“ถึงเวลาแล้ว” ไอ้โซเตือน มันดันไหล่ผมให้เดินนำไปด้านหน้า “กลับไปเป็นไอ้เก้าคนเดิมก่อน เดี๋ยวค่อยเป็นกระต่ายต่อ”
“เหี้ย”
“นั่นมึง”
“กูเป็นกระต่าย” ผมกอดคอมันให้เดินขึ้นไปพร้อมกัน “กระต่ายเป็นเพื่อนเหี้ย ไม่รู้เหรอ”
“กูเป็นหมา” มันกระซิบบอกผม
แหม...แค่เมียตัวเองบอกว่าเหมือนฮัสกี้หน่อยยอมเป็นหมาเลยว่ะ
“แมวมาว่ะเฮ้ยยยย”
“กรี๊ดดดดดด”
ผมถลึงตาใส่ไอ้พวกเพื่อนที่ยืนอออยู่หน้าเวทีทั้งที่ยังยิ้มอยู่ ส่วนคนที่เดินอยู่รอบๆ พอเห็นว่าใครขึ้นเวทีมาก็เริ่มมุงเข้ามาหน้าเวทีมากขึ้น ตอนนี้เลยดูเหมือนจะกลายเป็นมินิคอนเสิร์ตไปแล้ว
“สวัสดีครับ” ผมกรอกเสียงลงไมค์ ได้ยินทั้งเสียงกรี๊ดและเสียงหัวเราะดังมาจากด้านล่าง “ใครที่อยู่แถวๆ นี้ ถ้าเดินจนไม่มีอะไรจะเดินแล้ว มาร่วมปิดงานแบบสนุกๆ ไปด้วยกันนะครับผม”
“ไอ้ห่า! มึงเป็นแค่ส่วนประกอบเล็กๆ ของงานไม่ใช่เหรอวะ!” รุ่นพี่คนหนึ่งตะโกนมาจากด้านล่าง เรียกเสียงหัวเราะจากคนรอบข้างเป็นแถบ
“ไปบอกให้เขาเลิกเดินมาดูมึงอีก ไอ้นี่!” รุ่นพี่อีกคนตะโกนสำทับ
“เผื่อจะมีใครมาหาไอ้มือกลองกับไอ้มือเบสบ้างไง” ผมพูดแล้วชี้ไปที่เพื่อนสองตำแหน่งที่ว่า “สาวๆ...งานนี้ไม่ได้มีแต่มือกีตาร์นะรู้ยัง”
“กรี๊ดดดดด”
แหม...พูดให้คิด ไม่ได้พูดให้กรี๊ดมันหนักกว่าเดิม
“ขอแนะนำทีมก่อนแล้วกันนะ ผมเก้าครับ นักร้องนำ” ผมตัดบทเสียงกรี๊ดด้วยการเริ่มแนะนำตัว จากนั้นก็ปล่อยให้พวกที่เหลือแนะนำเอง ไอ้โซมันมองผมตาขวาง ผมรู้ดีว่ามันไม่อยากพูดออกไมค์ ปกติก็จะแนะนำให้อยู่หรอก แต่ครั้งนี้ปล่อยมันพูดเองด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ
ผมใช้เวลาที่เพื่อนกำลังแนะนำตัวกวาดมองด้านล่างเวทีอย่างรวดเร็ว นอกจากน้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ ดุริยางค์ที่ตามมาดูกันแล้วก็เป็นคนจากคณะอื่น พวกมหา’ลัยอื่นก็ยังอยู่กัน แต่ในบรรดาคนเหล่านั้นกลับไม่มีแม้แต่เงาของคนที่ผมมองหา
สงสัยจะไม่มาดูจริงๆ
ถึงจะเฟลอยู่หน่อยๆ แต่งานก็ต้องเป็นงานล่ะนะ
“ไอ้แมว! เหม่อไรมึง” เสียงไอ้แซมมือกลองที่ถามออกไมค์เรียกสติผมให้กลับคืนมาอีกครั้ง ในนขณะที่พวกด้านล่างเวทีหัวเราะแล้วชี้ไม้ชี้มือเรียกแมวกันใหญ่ และในวินาทีที่ผมกำลังจะปล่อยผ่านไปแล้วเริ่มร้องเพลง สายตาก็สบเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
พี่ภู! พี่ภูยืนกอดอกอยู่ตรงเสาไกลๆ นั่นไง!
ผมขยับยิ้มกว้างด้วยความอารมณ์ดี อยากกระโดดลงจากเวทีแต่ห้ามตัวเองไว้ทัน สุดท้ายเลยได้แต่กลับมาจับไมค์อีกครั้งด้วยอารมณ์ที่ต่างไปจากเดิม
“ก่อนอื่นเลย...ผมเป็นกระต่ายนะไม่ใช่แมว”
เกลียดไม่เกลียดเอาไว้ก่อน แต่ถ้าเขาชอบกูยอมเป็นก็ได้วะ แมนๆ อยู่แล้ว
“น่ารักอ่ะ!”
“น้องเก้าน่ารักจัง”
“ครับ รู้ตัวอยู่” ผมโบกมือให้คนด้านล่างที่ตะโกนขึ้นมา แต่ก่อนจะได้พูดอะไรต่อไอ้พวกที่เล่นเครื่องดนตรีอยู่ด้านหลังก็เริ่มเคาะดนตรีเทสเสียงกันเป็นจังหวะเบาๆ อย่างพร้อมเพรียง เหมือนมันจะทนไม่ได้ที่ผมพูดความจริง
“เบื่อพวกรับความจริงไม่ได้อ่ะ” ผมกรอกเสียงลงไมค์ ได้รับทั้งเสียงโห่และเสียงหัวเราะจากคนด้านล่าง
“ไอ้เก้า…”
ผมหันไปด้านหลังแล้วก็เห็นไอ้เบสที่เล่นเบสพยักเพยิดไปทางคนดู พอมองตามไปเลยพบว่าตรงนั้นมีน้องผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังชูป้ายกระดาษที่เขียนไว้ว่า ‘ขอเพลงสุดท้ายที่ร้องในงานเปิดภาคปีก่อนหน่อยค่ะ’
“เดี๋ยวดิ จะขอเพลงมันต้องรอช่วงขอก่อนไม่ใช่เหรอ นี่พวกผมยังไม่ได้ร้องสักเพลงเลยนะ” ผมพูดขำๆ แล้วมองไปที่ผู้หญิงกลุ่มนั้นที่กำลังกรี๊ดกร๊าดเพราะผมตอบพวกเธอ “แต่จะปฏิเสธก็ยังไงอยู่…”
ผมหันไปมองทีมเป็นเชิงถาม พอพวกนั้นพยักหน้าแล้วก็หันกลับมาพูดต่อ
“สำหรับใครที่ไม่ได้อยู่จนจบงานเปิดภาคปีที่แล้วหรือน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มาร่วมฟังไปพร้อมๆ กันอีกครั้งนะครับ” ผมยิ้มก่อนจะกวาดสายตาไปรอบๆ และสุดท้ายก็ไปหยุดอยู่ที่คนที่ยืนพิงเสาอยู่ “ผมขอมอบเพลงนี้ให้คนที่กำลังไขว่คว้าหาความรักและคนที่กำลังได้รับความรัก”
เมื่อปีก่อนผมร้องเพลงนี้ในงานเปิดภาคเรียน มันเป็นเพลงที่ผมร้องเพื่อใครหลายๆ คนแต่ไม่ใช่ตัวเอง แต่มาวันนี้ผมจะร้องเพลงนี้เพื่อใครอีกหลายๆ คนที่ยังไม่ได้ฟัง…
รวมถึงเพื่อตัวเองด้วย
“มันคงเป็นความรักที่ทำให้ตัวฉันยังยืนอยู่ตรงนี้…”
ผมมองพี่ภูนิ่งงัน มีบ้างที่หันมาสนใจคนหน้าเวที แต่ผ่านไปครู่เดียวก็ต้องหันกลับไปมองคนๆ เดิมเพราะกลัวเขาจะหายไปจากสายตา
“จะให้เธอจนกว่าเธอจะรับ บอกรักเธอจนกว่าเธอนั้นจะยอม…”
จ๋าเคยบอกผมว่า เวลาเราทำอะไรก็ตาม ถ้าเราอินไปกับมัน เราจะทำได้ดีกว่าปกติ
ในช่วงชีวิตที่มีแต่คำว่าชนะ มีแต่คำว่าที่หนึ่ง ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่าการมีความรู้สึกร่วมไปกับมันมันดีกว่าปกติยังไง ไม่ว่าจะทำอะไร ขอแค่อยากทำผมก็ทำได้ดีไปหมด ผมมีความสุขเวลาร้องเพลง รู้สึกดีที่ได้จับไมค์ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าการร้องเพลงที่มีความหมายตรงกับความรู้สึกของตัวเองให้ใครสักคนที่ชอบมันรู้สึกแบบไหน…
แต่วันนี้ผมรู้แล้ว
“ถ้ารอให้ฉันหยุดหัวใจ
ถ้ารอให้ฉันหันหลังเดินลับหายไป
ได้ยินไหม…”
เสียงดนตรีทั้งหมดเงียบลงอย่างเป็นใจ ผมละสายตาจากคนที่อยู่หน้าเวที หันไปมองคนๆ เดิมที่ยังไม่หายไปไหน
“คงต้องรอให้โลกหยุดหมุนไปก่อน”
[มันคงเป็นความรัก : แสตมป์]
วันนี้เสียงของผมอาจจะยังเข้าไปไม่ถึงใจพี่ ทำได้แค่พัดผ่านแล้วสลายหายไป แต่ผมเชื่อว่าวันหนึ่ง...ถ้าผมยังพยายามอยู่ เสียงของผมจะต้องเข้าไปถึงใจพี่ได้แน่นอน
พองานจบพี่บริหารปีสี่หลายคนก็รีบเข้ามาหาเรา ขอโทษขอโพยยกใหญ่ที่ไม่ทำตามขั้นตอน ดีที่พวกผมมันสายชิวกันอยู่แล้วเลยไม่มีใครว่าอะไร แถมฝั่งเขายังบอกว่าถ้าจะให้ช่วยอะไรจะช่วยเต็มที่ด้วย เรื่องปัญหาอะไรต่างๆ เลยจบไป
“พวกมึงกลับไปพักเหอะ อยู่มาตั้งแต่เช้า เดี๋ยวพวกกูจัดการของเอง” พวกดุริยางค์ที่ตามมาดูเฉยๆ เดินเข้ามาบอก พวกผมที่เพิ่งเล่นเสร็จมองหน้ากัน สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วยกหน้าที่ให้พวกมันไป
“มึงจะให้กูไปส่งหรือเปล่า” ไอ้โซหันมาถามผม
“ไม่ต้องอ่ะ มึงกลับก่อนเลย” พอคุยกันรู้เรื่องแล้วผมก็หันไปลาคนอื่นก่อนจะวิ่งออกมาเป็นคนแรก ดีที่พวกมันกำลังวุ่นวายกันอยู่เลยไม่มีใครสนใจถามว่าทำไมผมวิ่งไปทางที่ตรงข้ามกับหอ
จุดหมายแรกที่วิ่งไปคือจุดที่เห็นพี่ภูยืนดูผมร้องเพลง ผมไม่แน่ใจว่าเขาหายไปตอนไหน แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเขายืนอยู่จนถึงเพลงสุดท้าย ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่หันไปมอง ดวงตาสีเทาดุๆ คู่นั้นก็ยังคงจับจ้องมาที่เวทีเสมอ แม้จะไม่รู้ว่าพี่ภูมองผมหรือเปล่า…แต่แค่เขายืนอยู่ตรงนั้นตามที่ผมขอมันก็ดีมากแล้ว
หายไปไหนแล้ว…
ผมหันซ้ายหันขวา พยายามมองหาเงาร่างของคนที่นึกถึง แต่มองยังไงก็หาไม่เจอ ไม่รู้ว่าเขาเดินไปทางไหน
ครั้งนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเอง...ไม่น่าละสายตาเลยว่ะ
ผมออกตัววิ่งอีกครั้ง มุ่งหน้าไปยังที่ที่รถพี่ภูจอดอยู่ ได้ยินเสียงเพื่อนต่างคณะทักทายอยู่หลายเสียง แต่เพราะกำลังรีบเลยไม่มีเวลาตอบพวกมัน ได้แต่ยกมือโบกไปมาเป็นเชิงขอโทษแล้ววิ่งต่อ
รถยังอยู่…
“พี่ภู!” ผมเรียกเสียงดังด้วยอารมณ์หงุดหงิด เพราะขี้เกียจหันหัวไปมาเพื่อมองหาเหมือนตอนแรก แค่วิ่งมาถึงนี่หลังจากแสดงเสร็จได้ก็เต็มกลืนแล้ว
“หนวกหู”
“โทษที” ผมหันไปยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหาคนที่โผล่มาจากด้านหลัง มือเขาถือกุญแจรถเอาไว้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังจะกลับแล้ว “ขอบคุณมากนะพี่ที่มาดูผมอ่ะ”
“ฆ่าเวลารอเช็คชื่อ” พี่ภูพูดหน้าตายแล้วเดินไปที่ประตูรถ
“จริงๆ พี่ทำเพราะจะขอบคุณผมใช่ไหม” คำถามของผมทำให้พี่ภูชะงักไป เขาเปิดประตูรถทิ้งไว้แต่ไม่ได้เข้าไปนั่ง “ผมแค่รู้สึกว่าพี่เป็นคนแบบนั้น”
“แบบไหน” เขาถามแล้วหันมาเผชิญหน้ากับผมเต็มตัว
“ไม่ชอบติดหนี้ใคร...แล้วก็ใจดี”
ดวงตาคมปรากฏวี่แววของความแปลกใจอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อกะพริบตามันก็หายไป
“กูไม่ชอบติดหนี้ใคร” พี่ภูก้าวเท้าเข้ามาหาผมก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราเกือบชนกัน “แต่ไม่ได้ใจดี”
“อาจจะไม่ได้ใจดี...” ผมพยักหน้าเห็นด้วยแล้วจ้องกลับด้วยสายตาสงบนิ่ง “แต่ผมว่าพี่ไม่ใช่คนแบบที่ใครๆ เขาพูดกัน”
“ไร้สาระ”
“เออใช่ พวกนั้นแม่งไร้สาระ” ผมโยนขี้หน้าตาย ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเขาหมายถึงตัวเอง แต่เวลาพูดอะไรโง่ๆ แล้วได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของพี่ภูแล้วมันคุ้มว่ะ อย่างตอนนี้ก็สีหน้าเอือมระอานี่ไง
อยากถ่ายรูปเก็บไว้จัง
พี่ภูเข้าไปนั่งในรถโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมเองก็ไม่ได้ห้ามเพราะคิดว่าวันนี้ควรจะพอได้แล้ว แต่ก่อนที่เขาจะปิดประตูรถผมก็ใช้มือรั้งเอาไว้เพื่อถามคำถามที่คาใจเสียก่อน
“ผมมีอะไรจะถามพี่”
เหตุผลที่ผมต้องวิ่งตามหาขนาดนี้…
“อะไร” พี่ภูขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนจะบอกว่าถ้าพูดอะไรไร้สาระออกมาเขาพร้อมจะปิดประตูหนีบนิ้วผมทันที
“พี่ชอบกระต่ายเหรอ”
“...”
“ผมจริงจังนะ พี่ชอบกระต่ายเหรอ” ผมพยายามปั้นหน้าจริงจัง บอกตรงๆ ว่าคำพูดไอ้โซมันไม่ค่อยน่าไว้ใจหรอก ตอนนั้นยังตกใจอยู่เลยไม่ทันคิด แต่พอได้สติแล้วผมก็เห็นอะไรแปลกๆ อยู่หลายอย่าง อย่างเช่นการที่มันแอบยิ้มเยาะตอนผมเซ็งเรื่องกระต่าย...อย่าคิดว่ากูไม่เห็น “ไอ้โซบอกผมว่าพี่ชอบกระต่าย”
“…” พี่ภูถอนหายใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมเหมือนคนไม่รู้จะพูดอะไร
“พี่ชอบจริงๆ เหรอ...ไอ้ตัวปุกปุยก้อนๆ นั่นอ่ะ” ผมกัดปากรอคำตอบด้วยความกังวลใจ ที่มาถามเขาไม่ใช่ว่าอยากให้ตอบว่าใช่นะ แต่โคตรจะอยากให้ตอบว่าไม่ใช่เลยเหอะ
“ทำไม”
“พี่เปลี่ยนเป็นตัวอื่นดีกว่า ไอ้ก้อนนั่นไม่เห็นน่ารักเลย” ถ้าคนมองแมลงสาบหรือจิ้งจกแล้วรู้สึกขยะแขยง เวลาผมมองไอ้ก้อนเดินได้นั่นมันก็เหมือนกัน ตัวบ้าอะไรยุกยิกๆ กลมๆ ดูแล้วเป็นก้อนๆ ยุบยับ แค่นึกถึงก็ขนลุกแล้ว
“...”
“เอาเป็นหมาแมวหรืออะไรอย่างอื่นก็ได้...”
“ก้อน…”
“อะไรนะ”
“หึ...ไอ้ก้อนงี่เง่า” สิ้นคำที่เหมือนจะด่า พี่ภูแกะมือผมออกจากประตูรถ ผมได้แต่มองเขาปิดประตูแล้วขับรถจากไปเงียบๆ โดยที่พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว และจนถึงตอนนี้ก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่
เมื่อกี้…
เหมือนจะเห็นคนหน้าดุยิ้มขำว่ะ
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง มือกดเลือกรายชื่อของคนที่ผมต้องการที่สุดในเวลานี้อย่างรวดเร็ว
[อะไรอีกอ่ะ]
“จ๋า!”
[เสียงดังหาอะไรคะ]
“จ๋าตั้งใจฟังดีๆ นะ...อันนี้เราจริงจัง”
[ค่ะ ว่าไง]
ผมสูดสายใจเข้าจนเต็มปอด แค่นึกถึงรอยยิ้มนิดๆ ที่เห็นเมื่อครู่ ไอ้ความรังเกียจขยะแขยงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ากระต่ายก็หายไปจนหมดสิ้น
“เราจะเปิดฟาร์มกระต่าย!”
[...]
“เอาเยอะๆ เลยนะจ๋า!”
[คุณคะ มาคุยกับคนแปลกหน้าที ดิฉันปวดหัว]
นอกจากพี่ภูจะทำให้ผมตาบอดแล้ว...เขายังทำให้ผมก้าวข้ามความเกลียดได้ด้วยว่ะ
โคตรคูล!
-------------------------
-4-
“พี่ชอบกระต่ายเหรอ”
“...”
“ผมจริงจังนะ พี่ชอบกระต่ายเหรอ” ผมพยายามปั้นหน้าจริงจัง บอกตรงๆ ว่าคำพูดไอ้โซมันไม่ค่อยน่าไว้ใจหรอก ตอนนั้นยังตกใจอยู่เลยไม่ทันคิด แต่พอได้สติแล้วผมก็เห็นอะไรแปลกๆ อยู่หลายอย่าง อย่างเช่นการที่มันแอบยิ้มเยาะตอนผมเซ็งเรื่องกระต่าย...อย่าคิดว่ากูไม่เห็น “ไอ้โซบอกผมว่าพี่ชอบกระต่าย”
“…” พี่ภูถอนหายใจ มือข้างหนึ่งยกขึ้นเสยผมเหมือนคนไม่รู้จะพูดอะไร
“พี่ชอบจริงๆ เหรอ...ไอ้ตัวปุกปุยก้อนๆ นั่นอ่ะ” ผมกัดปากรอคำตอบด้วยความกังวลใจ ที่มาถามเขาไม่ใช่ว่าอยากให้ตอบว่าใช่นะ แต่โคตรจะอยากให้ตอบว่าไม่ใช่เลยเหอะ
“ทำไม”
“พี่เปลี่ยนเป็นตัวอื่นดีกว่า ไอ้ก้อนนั่นไม่เห็นน่ารักเลย”
“...”
-------------------------
ขนาดนั้นเลยหรอเก้า
-29-
พี่ภูไม่รู้ว่าผมจะไปหาเขาที่บริษัทในวันนี้ ผมหลอกถามไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ได้ใจความว่าวันนี้เขาไม่ได้ออกไปไหน งานไม่น่ายุ่งเท่าไหร่ คงอยู่แต่ในห้องทำงานทั้งวัน พี่ภูคงรู้สึกผิดสังเกตอยู่บ้างที่อยู่ๆ ผมก็ถาม แต่โชคดีที่ตอนนั้นมีโทรศัพท์เข้าพอดีผมเลยหนีไปนอนโดยไม่ต้องคิดหาข้ออ้างต่อ
ตื่นมาตอนเช้าคนข้างกายก็หายไปเหมือนเคย…เหลือเพียงผมกับภามที่นอนอยู่บนเตียงเสริมแค่สองคน ภามตื่นไปเรียนกับแม่เฮเลนตั้งแต่เช้า เขาดูกระตือรือร้นมากกว่าผมที่เป็นคนชวนเสียอีก นอกจากนั้นยังตั้งอกตั้งใจเสียจนแม่เฮเลนยิ้มไม่หุบ เสียงหัวเราะของท่านดังออกมาจากห้องนั่งเล่น ส่งตรงมาถึงผมกับป้าเจนที่ช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว
ผมใช้เวลาในขณะที่ป้าเจนเตรียมอาหารให้เราเพื่อทำข้าวกล่องให้พี่ภู ถึงเมื่อวานจะตกลงกันไว้ว่าผมจะเริ่มทำข้าวให้เขาในวันถัดไป แต่เจ้าตัวคงไม่รู้แน่ว่าผมจะเอาไปให้เขาตั้งแต่วันนี้ แค่คิดก็อารมณ์ดีจนต้องฮัมเพลงในลำคอ
“คุณเก้าทำอาหารเก่งนะคะเนี่ย” ป้าเจนชมไม่หยุด ก่อนจะหัวเราะคิกคักเมื่อยื่นหน้ามามองข้าวกล่องของผม ซึ่งผมก็ไม่ปฏิเสธว่าชอบคำเยินยอนั้นเหลือเกิน
สองปีที่ไม่ได้เจอกันผมเตรียมตัวมาหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือการทำอาหาร ผมรู้ดีว่าพี่ภูทำอาหารเก่งขนาดไหน แต่ก็คิดไว้แล้วว่าเขาคงไม่มีเวลาทำแน่ๆ เพราะงั้นเลยศึกษาข้อมูลรวมถึงทดลองปฏิบัติมานับครั้งไม่ถ้วน ไข่เจียวคือเมนูแรกที่ผมใช้เวลาฝึกนานที่สุดอย่างที่เคยบอก หลังจากนั้นพอได้กลับบ้านช่วงปลายปีหรือหยุดยาวก็มีโอกาสได้เรียนรู้แบบจริงจังจากที่บ้านโดยตรง…ไม่ใช่จากจ๋านะ รายนั้นห่วยแตกพอๆ กับผม แต่คนที่สอนคือนมสายซึ่งเป็นแม่นมสุดที่รักของผมต่างหาก
“ป้าว่าพี่ภูจะชอบไหมครับ” ผมยกกล่องข้าวที่เสร็จสมบูรณ์แล้วขึ้นมองอย่างภูมิใจ ไม่ลืมยื่นไปให้ป้าเจนดูใกล้ๆ อีกรอบ
“คุณเก้าทำอะไร คุณเดรคเธอก็ชอบหมดแหละค่ะ”
“พูดแบบนี้อยากได้อะไรบอกเลยครับ เก้าพร้อมเปย์” ว่าแล้วเราก็หัวเราะออกมาพร้อมกันจนคนที่อยู่อีกห้องน่าจะได้ยิน และในไม่ช้าภามกับแม่เฮเลนก็เดินเข้ามาด้านในด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
“ขำอะไรกันจ๊ะ…ตายแล้ว น่ารักจังเลย” แม่เฮเลนอุทานแล้วยิ้มกว้างขณะมองกล่องข้าวของผม ภามที่เดินตามมามองก็ยิ้มเหมือนกัน ต่างกันแค่ภามไม่ได้ยิ้มเพราะว่ามันน่ารัก แต่เขายิ้มเหมือนจะขำมากกว่า เล่นเอาผมต้องปิดกล่องอย่างรวดเร็วเพราะกลัวเสียเซลฟ์
“อย่าลืมแวะซื้อเสื้อผ้าเพิ่มด้วยนะคะ ดูสิ คุณเก้าใส่เสื้อโคตของคุณหนูแล้วดูไม่พอดีตัวเลย”
ผมก็เข้าใจนะว่าป้าเจนหวังดี แต่พอได้ยินแล้วมันรู้สึกอึนๆ ยังไงไม่รู้ ป้าครับ…ผมไม่ได้ตัวเล็กเลยนะ คุณหนูกับคุณเดรคของป้าตัวโตเองต่างหาก…ต้องย้ำอีกกี่ทีวะเนี่ย
“เดินทางปลอดภัยนะจ๊ะ” แม่เฮเลนลูบหลังผมกับภามคนละทีเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันไปฝากฝังพวกเรากับลุงอดัมเสียยืดยาว
ผมมีโอกาสได้เจอลุงอดัมอยู่ไม่กี่ครั้งเพราะท่านเป็นคนขับรถให้พี่ภู พอไปส่งเสร็จก็ได้รับอนุญาตให้กลับไปที่บ้านของท่านในเมืองหรือไปที่อื่นๆ ตามใจระหว่างรอรับพี่ภูกลับหลังเลิกงาน แต่วันนี้ผมให้ป้าเจนช่วยติดต่อไว้ให้ ท่านเลยกลับมารับพวกเราอีกที
“พร้อมยัง” พอหันไปถามแล้วตบไหล่คนข้างตัวเบาๆ ก็ได้รับการพยักหน้าตอบกลับมา ภามถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะยักคิ้วกวนให้ผมเพื่อบอกว่าพร้อม ถือว่าเขาเตรียมใจมาดีพอควร เพราะผมได้ข่าวว่าภามไม่ได้ออกจากบ้านไปเจอผู้คนเยอะๆ มานานแล้ว บางทีอาจจะตั้งแต่ที่เขาเคยโดนพวกนักเลงซ้อมจนโดนพาตัวกลับอังกฤษ
ได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้นในวันนี้…
เรามาถึงที่ทำงานของพี่ภูในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ผมหันไปขอบคุณลุงอดัม ก่อนจะเดินลงมาจากรถพร้อมภาม ตึกสูงใหญ่หรูหราเบื้องหน้าคือบริษัทของพี่ภูที่ดูจะใหญ่กว่าที่ผมคาดไว้พอควร ขนาดภามที่เป็นน้องชายเจ้าของยังมองด้วยสายตาแปลกใจหน่อยๆ เลย
“ภาม กูมีอะไรจะถาม” ผมหยุดเท้าเมื่อกำลังจะเดินเข้าประตู ซึ่งคนที่เดินอยู่ข้างๆ ก็หยุดตาม ก่อนจะหันมามองด้วยความไม่เข้าใจ “เราจะขึ้นไปยังไงโดยไม่ให้พี่ภูรู้วะ”
ทันใดนั้นสีหน้าว่างเปล่าของคนที่มองผมอยู่ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าขบคิดอย่างหนัก…เห็นได้ชัดว่าลืมคิดมาทั้งคู่
‘บอกพนักงานไหม’
“ถ้าบอกเขาก็ต้องติดต่อไปหาพี่ภูดิวะ” ผมบอกแล้วทำหน้าเครียด ไม่รู้ลืมคิดเรื่องสำคัญไปได้ยังไง “เอาหน้ามึงยื่นให้ดูก็ไม่ได้อีก ไม่ว่าทางไหนพี่ภูก็ต้องรู้ตัว”
แบบนั้นก็ไม่เซอร์ไพรส์ดิ
‘เข้าไปแล้วค่อยคิด ตัวนายสั่นหมดแล้ว’ ภามบอกแล้วดันตัวผมเข้าไปด้านใน มารู้ตัวว่าหนาวก็ตอนที่เขาเตือนเหมือนกัน เวลาคิดอะไรติดพันผมชอบลืมสิ่งรอบข้างทุกที เป็นนิสัยเสียๆ แบบเดียวกับที่ชอบคิดอะไรชั่วร้ายจนพี่ภูสังเกตเห็นแต่ดันไม่รู้สึกตัวนั่นล่ะ
“เราจะโดนไล่ออกไปไหม” ผมหันไปกระซิบกับคนข้างๆ ขำๆ
จะว่ายังไงดี…บริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่ดูหรูหราขนาดนี้ ไม่ใช่สถานที่ที่ใครๆ ก็สามารถเข้าออกได้ตามสบายอยู่แล้ว เพราะงั้นเพียงแค่ก้าวเข้ามาก็โดนจับจ้องเป็นจุดสนใจอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสภาพของผมกับภาม…จะบอกว่าแต่งตัวปอนๆ ก็พูดได้ ท่ามกลางคนในชุดสูทเรียบร้อยดูดีที่อยู่ๆ ก็มีเด็กสองคนเดินเข้ามา ไม่ต้องถามก็น่าจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ” นับว่ายังดีที่พนักงานมีมารยาท ไม่ได้เดินมาไล่กันออกไปแบบที่คิด
“คือพวกผมอยากจะขึ้นไปชั้นบนสุด” ผมบอกความต้องการอย่างตรงไปตรงมา แต่เล่นเอาคนแถวนั้นที่ได้ยินมองมาอย่างตกใจกันเป็นแถบ
“ไม่มีใครขึ้นไปด้านบนได้นะคะนอกจากท่านประธาน ถ้ามารอใคร รบกวนรอบริเวณที่รับแขกนะคะ” เธอยิ้มใจดี ก่อนจะผายมือไปยังโซฟารับแขกที่ตั้งอยู่อีกมุมหนึ่ง ผมพยักหน้าขอบคุณแล้วลากภามที่อยู่ข้างๆ ให้เดินตามไปนั่งโดยไม่ปฏิเสธอะไร
‘แล้วจะทำไงต่อ’ ภามถามยิ้มๆ
“ขอคิดก่อน” นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แถมคนยังเยอะเหลือเกิน แม้แต่หน้าลิฟต์ยังมีพนักงานยืนอยู่ แบบนี้คงหมดหวังที่จะขึ้นไปโดยที่พี่ภูไม่รู้ตัวแน่
ในขณะที่ผมกำลังคิดหาแผนการเพื่อขึ้นไปด้านบน อยู่ๆ เสียงพูดคุยที่เบามากอยู่แล้วจากรอบด้านก็เงียบสนิทจนผิดปกติ ผมที่กำลังจมอยู่กับความคิดตัวเองถึงกับต้องเงยหน้า แต่ยังไม่ทันได้หันไปมองต้นเหตุ เสียงเรียกหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ภาม!” เป็นการเรียกที่โคตรจะไม่ชัดของชาวต่างชาติคนหนึ่งที่รีบวิ่งเข้ามากอดภาม “มาได้ยังไงลูก”
เพียงเท่านั้นผมก็รู้ในทันทีว่าชายสูงอายุตรงหน้าคือใคร…คุณออสติน พ่อพี่ภูกับภาม ท่านเอาแต่จับลูกตัวเองพลิกซ้ายพลิกขวาจนไม่ทันได้สังเกตผม ซึ่งมันก็เป็นโอกาสอันดีที่ทำให้ผมได้มีเวลาพิจารณาใบหน้าของว่าที่พ่อคนใหม่ ถึงจะดูอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังเป็นผู้ชายที่ดูดีมากไม่ต่างจากแม่เฮเลน อีกทั้งยังดูสุขภาพดีและแข็งแรงกว่าภามเสียอีก
“หรือว่ามาหาพ่อ” ว่าแล้วก็ยิ้มดีใจในขณะที่ลูกชายตัวเองยังทำหน้าตาย ภามจ้องมองมาที่ผมเหมือนกำลังขอความช่วยเหลือเมื่อโดนกอดแน่นจนแทบแบน แล้วถามว่าผมจะช่วยไหม…แน่นอนว่าไม่
ผ่านไปสักพัก คนที่นิ่งมาตลอดก็หยุดพ่อตัวเองด้วยการ…
เพียะ!
ตีเข้าเต็มแรงที่แขนแข็งแกร่งซึ่งอยู่ภายใต้ชุดสูท เล่นเอาคนที่กำลังดี๊ด๊าทำท่าซึมเซาแล้วทรุดลงนั่งข้างๆ แทบไม่ทัน และเพราะเหตุนั้นเองที่ทำให้ท่านสังเกตเห็นผมเสียที
“หืม…” ดวงตาสีเทาที่เหมือนกันกับของลูกชายคนโตมองผมด้วยความสนใจ
“สวัสดีครับ ผมชื่อเก้า” ผมเริ่มแนะนำตัวก่อนเมื่อเห็นว่ายังโดนจ้องไม่หยุด “เป็น…”
“ไม่ต้องอธิบายหรอก พ่อรู้จากเฮเลนหมดแล้ว” ท่านยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะส่งมือมาให้จับ “เรียกพ่อว่าพ่อเถอะนะ ขอบคุณที่มาที่นี่นะลูก”
แววตาที่แสดงถึงความดีใจทำให้ผมต้องยิ้มตามอย่างอดไม่ได้ เพียงแค่มองก็เข้าใจว่าท่านดีใจจริงๆ ที่ผมมาที่นี่ และคงไม่มีอะไรดีเท่าการที่ผู้ใหญ่ของคนสำคัญยอมรับเราอีกแล้ว
“แล้วนี่พวกลูกมาทำอะไรกัน มาหาภูเหรอ” พอได้ยินพ่อออสตินพูดแบบนั้นผมก็นึกขึ้นได้ สายตาเบนไปสบกับภามโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะสะกิดเรียกพ่อตัวเองอย่างรู้หน้าที่
‘พาพวกผมไปหาพี่หน่อย อย่าให้รู้ตัวนะ’
“ที่แท้ก็มาเซอร์ไพรส์ภูกันหรอกเหรอ คิดว่ามาหาพ่อเสียอีก” ท่านว่าด้วยน้ำเสียงน้อยอกน้อยใจ แต่เมื่อโดนภามตีมืออีกทีก็ยอมลุกขึ้น “ว่าแต่ทำไมไม่ขึ้นไปแต่แรกล่ะ”
ภามเงียบไปเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี ส่วนผมเองก็ไม่อยากพูดแทรก พ่อออสตินเลยหรี่ตาลงแล้วมองไปรอบๆ ด้วยสายตาสงสัย
“หรือว่าใครไม่ให้ขึ้น” น้ำเสียงราบเรียบสมกับเป็นอดีตประธานทำเอาเสียงสูดหายใจจากคนรอบด้านดังขึ้นแทบจะทันที
“จริงๆ พวกพี่เขาทำตามหน้าที่ครับ แล้วก็พูดจากับเราดีมากด้วย พวกผมเลยมานั่งรออยู่ตรงนี้แทน” ผมอธิบายแทนเพราะกลัวจะเกิดความเข้าใจผิด ได้เห็นสายตาขอบคุณจากคนที่ยืนอยู่รอบข้างแล้วก็ต้องยิ้มรับไว้ตามมารยาท ลองถ้าพนักงานมาพูดจาไม่ดีใส่ผมคงไม่ช่วยหรอก แต่เพราะเขาพูดจาดีก็เลยยอมเถียงให้ อีกอย่าง…ผูกมิตรไว้ก็ไม่เสียหาย หึๆ
“งั้นก็แล้วไป…ต่อไปจำไว้ว่าถ้าสองคนนี้มา ฉันกับภูอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้โดยไม่ต้องขออนุญาต”
“ค่ะท่าน”
พ่อออสตินพาผมกับภามเดินไปขึ้นลิฟต์ด้วยท่าทางดี๊ด๊า มือขยับชี้โน่นชี้นี่ให้ดูตลอดเวลา ภามอาจไม่สนใจเท่าไหร่เพราะเอาแต่มองไปด้านข้าง แต่ผมจดจำรายละเอียดที่พ่อบอกไว้อย่างแม่นยำเผื่อจะได้ใช้งานในวันหน้า
“เออใช่ พ่อซื้อของมาให้ภามด้วยนะ ลงไปเอากับพ่อก่อนไหมลูก” พ่อออสตินหันไปถามภามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เหมือนเป็นการบีบบังคับกลายๆ ว่าให้ไปด้วยเพราะท่านอยากอวด สุดท้ายเด็กหน้าตายก็พยักหน้าให้พ่อตัวเองแต่โดยดี “เก้าลงไปกับพ่อไหม หรือจะไปหาภูก่อนเลย”
“งั้นผมไปหาพี่ภูก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวเลยเวลาพักแล้วจะไม่ยอมกินข้าวอีก” ผมชูถุงที่ถืออยู่ให้ท่านดู ก่อนจะเดินแยกออกมาเมื่อลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดแล้ว
ชั้นบนสุดคือที่ทำงานของประธานบริษัท นอกจากปลายทางซึ่งเป็นประตูห้องของพี่ภู บนชั้นนี้ก็แทบไม่มีอะไรอยู่เลย จะมีก็แค่ห้องใสด้านหน้าซึ่งน่าจะเป็นโต๊ะเลขาฯ ที่มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งนั่งอยู่
“คุณเก้าใช่ไหมคะ” เธอเดินมาทักในทันทีที่เห็นผม พอได้รับคำตอบแล้วก็รีบอธิบายต่อ “ดิฉันเป็นเลขาฯ ของคุณออสตินค่ะ มาช่วยงานคุณเดรคชั่วคราวในระหว่างหาเลขาฯ ใหม่”
“แล้วเลขาฯ พี่ภูไม่อยู่เหรอครับ”
“โดนไล่ออกไปสามสี่คนแล้วค่ะ” เธอยิ้มอ่อนใจก่อนจะพูดต่อ “งานคุณเดรคค่อนข้างยุ่ง บุคลากรต้องมีความสามารถ แต่ส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็ใช้เส้นสายผ่านทางคุณออสตินทั้งนั้น ดิฉันก็เพิ่งเริ่มมาช่วยเมื่อสองสามวันก่อนนี่เองค่ะ”
“เหนื่อยหน่อยนะครับ” ผมยิ้มเป็นมิตรให้ ก่อนจะครุ่นคิดในใจเงียบๆ เธอพูดจาดูเป็นมืออาชีพก็จริง แต่รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่เอามาพูดให้ผมฟังเสียละเอียด
“คุณออสตินบอกดิฉันเรื่องคุณเก้าแล้ว เชิญด้านในได้เลยค่ะ”
ดูเหมือนพ่อคนใหม่ของผมจะต้องการอะไรบางอย่างหรือเปล่านะ ถึงได้บอกให้เลขาฯ ตัวเองมาบอกผมแบบนี้…ผมสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดนั้นออกไปจากหัว ณ เวลานี้สิ่งที่ควรทำคือการเอาข้าวไปให้พี่ภูกินต่างหาก
เสียงเปิดประตูเบาๆ ไม่ได้ทำให้คนที่นั่งขีดเขียนเอกสารอยู่บนโต๊ะรู้สึกตัว ผมคิดว่าเขาคงนึกว่าเป็นคุณเลขาฯ ถึงได้นิ่งขนาดนั้น ผมใช้เวลาชั่วครู่ในการกวาดสายตาสำรวจ แล้วก็พบว่าห้องทำงานของพี่ภูเป็นห้องกว้างขวางครบครันมาก จะใช้กินนอนเหมือนเป็นบ้านก็ยังได้ แต่มองแค่ครั้งเดียวก็รับรู้ได้ในทันทีว่าคนบนโต๊ะคงไม่ได้ใช้งานส่วนอื่นๆ มากนัก
เดินเข้าใกล้ก็แล้ว คนที่ขมวดคิ้วน้อยๆ ก็ยังไม่ยอมเงยหน้ามอง จนผมตัดสินใจเดินเข้าไปหาจนติดเก้าอี้อีกฝ่ายถึงยอมมีปฏิกิริยา แต่เขายังไม่ทันได้เงยหน้า ผมก็วางถุงที่ถือไว้ลงบนโต๊ะแล้วโถมเข้ากอดคนหน้าดุจากด้านข้างอย่างรวดเร็ว ชั่ววินาทีหนึ่งรู้สึกอยากแกล้ง แต่เมื่อได้กอดไว้แล้วกลับไม่อยากปล่อย
และด้วยความไวพอๆ กัน…มือของคนที่นั่งอยู่จับแขนผมที่คล้องผ่านหน้าเขาไว้แล้วกระชากอย่างแรง สายตาคมดุดันมองผมอย่างน่ากลัว แต่เมื่อเราสบตากันท่าทางนั้นก็หายไป ใบหน้าพี่ภูปรากฏความงุนงงอยู่แวบหนึ่งก่อนเขาจะคลายแรงที่บีบแขนผมลง
“มาได้ยังไง”
“ตกใจไหม” ผมถามแล้วยิ้มแฉ่ง ความปวดที่แขนทำให้ต้องใช้มืออีกข้างลูบบริเวณที่ปวดเบาๆ พลางคิดว่าไม่น่าแกล้งเลย
“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” พี่ภูขมวดคิ้ว ก่อนจะยอมวางปากกาลงแล้วดึงแขนผมไปดู
“ก็พี่ไม่สนใจผมนี่นา”
“กูไม่รู้ว่าเป็นมึง” พูดเองชะงักเอง ถึงอย่างนั้นคนพูดก็ไม่ได้คิดแก้ไขแต่อย่างใด เล่นเอาผมยิ้มกริ่มลืมความปวดไปชั่วขณะ
“หมายความว่าถ้าเป็นผมพี่จะสนใจใช่ไหม”
“คิดเองเออเอง” ถึงปากจะว่าแบบนั้น แต่แววตาอ่อนโยนที่ส่งมาบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่ผมพูดคงไม่ผิดสักเท่าไหร่
“เออใช่ ผมเอาของมาให้พี่ด้วย” ผมหัวเราะฮี่ๆ เมื่อนึกได้ว่าเอาอะไรมา มือข้างหนึ่งยื่นไปหยิบถุงที่วางอยู่มาถือไว้ ในขณะที่มืออีกข้างขยับกวาดเอกสารตรงหน้าเขาออกไปอีกทางอย่างไม่คิดใส่ใจ “ผมรู้ว่าพี่ยังไม่ได้กินข้าว”
พี่ภูเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมยันตัวขึ้นนั่งบนโต๊ะแล้วหันหน้าเข้าหาเขา เพื่อปิดโอกาสไม่ให้มือนั้นเอื้อมไปหยิบเอกสารมาทำต่อ ผมยกกล่องข้าวออกมาเปิดฝาแล้ววางมันลงบนตัก ก่อนจะมองด้วยความภาคภูมิใจ
“น่ากินใช่เปล่า”
“ข้าวผัด?”
“ข้าวผัดแบบฉบับคุณอชิราต้องมีสามช่อง” ผมชี้นิ้วไปตามช่องแล้วค่อยๆ อธิบาย “ช่องแรกใส่ข้าวผัดหมู ไก่ ปลา ราดทับด้วยซอสมะเขือเทศลายหัวใจ ช่องที่สองใส่ไส้กรอก ต้องผ่าเป็นแฉกๆ เหมือนปลาหมึกด้วยนะ เนี่ยพี่ดู…ผมเอามีดแคะให้มันมีตาด้วยเห็นเปล่า แล้วก็ช่องที่สามใส่ผัก ผมไม่ชอบกินแตงกวาเลยไม่ใส่มา อันนี้กะหล่ำผัดน้ำปลา เจ๋งสุดเลยใช่ไหม”
“สรุปทำให้กูกินหรือกินเอง”
“ทำให้พี่กินไง แต่เลือกจากของที่ผมชอบ”
“…” คนที่ก้มลงมองกล่องข้าวในมือผมเงียบสนิทไม่ตอบอะไรสักคำ ทำเอาความมั่นใจที่มีเริ่มหดหาย รอยยิ้มแฉ่งเมื่อครู่เริ่มเหี่ยวลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นยิ้มแหย
“พี่ไม่ชอบเหรอ” ผมตั้งใจทำมากเลยนะ…กะว่าเห็นแล้วต้องยิ้มแน่ๆ แต่ทำไมนิ่งไปเฉยเลย
“คิดไปเอง” คนหน้าดุยื่นหน้ามาจนชิดกล่องข้าว ก่อนจะยิ้มมุมปาก “แค่ตกใจที่เห็นมึงทำอาหารแล้วหน้าตาดูดีผิดปกติ”
“บอกแล้วว่าผมเก่ง” อารมณ์หงอยๆ หายสนิทเมื่อเห็นรอยยิ้มของคนตรงหน้า ผมขยับตัวลุกโดยแอบหยิบปากกาของพี่ภูติดมือมาด้วย ไม่ใช่ว่าจะแกล้งเขาหรอก แต่เป็นการป้องกันไม่ให้เขากลับไปตั้งหน้าตั้งตาทำงานอีกต่างหาก “พี่นั่งเฉยๆ เลย ผมเอาข้าวไปอุ่นก่อน”
ในห้องพี่ภูมีมุมที่เป็นครัวเล็กๆ อยู่ด้วย ผมรีบเอาอาหารเข้าไปเวฟแล้วหันกลับไปจ้องเจ้าของห้อง พอเห็นเขาทำท่าจะเปิดลิ้นชักโต๊ะผมก็ขมวดคิ้วมองโดยไม่พูดอะไร รอจนเขายอมกลับไปนั่งนิ่งๆ เหมือนเดิมแล้วถึงยอมละสายตากลับมาสนใจของที่เวฟอยู่ คนแบบนี้เผลอไม่ได้หรอก…นิดๆ หน่อยๆ ก็ยังหยิบงานมาทำได้ ไม่รู้จักห่วงตัวเองบ้างเลย
“เวฟแล้วซอสเละเลย” ผมบ่นเบาๆ เมื่อเห็นว่าซอสที่บรรจงเทเป็นรูปหัวใจกระจัดกระจายไปทั่ว รู้งี้ยกขวดมาเทที่นี่ดีกว่า
“โต๊ะกูเป็นที่นั่งมึงไปแล้วเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามหลังจากที่ผมนั่งลงบนโต๊ะด้านหน้าเหมือนเดิม ซึ่งผมก็พยักหน้ารับโดยไม่ปฏิเสธ
“ที่ประจำผม…เอาไว้นั่งเวลาจะบังคับให้คุณเดรคกินข้าว แต่ผมนั่งได้คนเดียวนะ”
“หึ” สีหน้าผ่อนคลายของพี่ภูทำให้ผมยิ้มตาม ยิ่งเห็นเขาหยิบช้อนจากมือผมไปตักข้าวเข้าปาก รอยยิ้มที่มีก็ยิ่งกว้างกว่าเดิม “มึงชอบกินข้าวผัดกับซอสเหรอ”
“ผมชอบกินทุกอย่างกับซอส” วุ้นเส้น ไข่ มาม่า ทุกอย่างกินกับซอสอร่อยหมด
“ผิดปกติแม่งทุกอย่าง”
“พี่ว่าอะไรนะ”
“อร่อยดี”
“ใช่ไหมล่ะ” บอกแล้วว่าอร่อย “กินให้หมดนะครับ”
ผมทำหน้าที่ถือกล่องข้าวให้พี่ภู ทำตัวเหมือนเป็นโต๊ะให้เขาเพราะนั่งแทนที่มันอยู่ ซึ่งคนกินข้าวก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาแค่ตักข้าวที่วางอยู่บนตักผมกินเรื่อยๆ ยิ่งเห็นว่ามันเหลือน้อยลงเท่าไหร่ผมก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น
“กินอีกๆ เอาให้อ้วนๆ”
“อ้วนแบบมึงเหรอ” คนที่กำลังเคี้ยวข้าวว่าหน้าตาย เล่นเอาผมสะดุ้งแรงเผลอจับพุงตามสัญชาตญาณ แล้วก็ได้รับรอยยิ้มขันของเขาตอบกลับมาแทบจะทันที
“พี่แกล้งผม”
“ยังไม่ชินอีกเหรอ”
นั่นไง!
“พี่ปล่อยให้ผมคิดว่าตัวเองอ้วนมาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วนะ”
“เหรอ…”
ก๊อก ก๊อก
เป็นการขัดจังหวะที่น่าขัดใจที่สุดในแปดโลก…ผมหันหน้าไปมองแขกที่เปิดประตูเข้ามาทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากพี่ภู แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าผู้ที่เดินเข้ามาเป็นผู้หญิงสวยที่ผมไม่รู้จัก มองจากลักษณะภายนอกแล้วน่าจะเป็นคนเรียบร้อยนุ่มนวลในระดับหนึ่ง ว่าแต่เธอมีสิทธิ์อะไรถึงได้เปิดประตูเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
“คุณ…” น้ำเสียงอ่อนหวานเอ่ยเรียกด้วยความแปลกใจเมื่อสบตาเข้ากับผม เธอคงมองไม่เห็นพี่ภูเพราะมีผมนั่งบังอยู่บนโต๊ะอย่างถือวิสาสะ “มิลินมาหาคุณเดรคค่ะ”
อ๋อ…ที่แท้แม่สาวสวยคนนี้ก็คือคุณหนูมิลินที่พี่ภูเคยเล่าให้ฟังนี่เอง จำได้ว่าเมื่อปีก่อนเขาบอกผมว่าเคยมีลูกสาวท่านทูตคนหนึ่งมาทำงานเป็นเลขาฯ แต่เพราะทำอะไรไม่ได้เรื่องแถมยังชอบยุ่งเรื่องภาม เขาเลยไม่พอใจ พอสบโอกาสก็ไล่ออกในทันที แต่ดูเหมือนพี่ภูจะลืมบอกผมไปอย่างหนึ่ง…เขาลืมบอกผมว่า นอกจากจะอยากเป็นเลขาฯ แล้วเธอยังอยากเป็นอย่างอื่นด้วย
ผมขยับตัวลุกขึ้นแล้วเดินไปยืนข้างๆ พี่ภูเพื่อให้พวกเขาได้มองเห็นกัน ตาคมของคนที่นั่งอยู่หรี่ลงอย่างไม่พอใจยามมองไปที่ผู้มาเยือน
“ใครอนุญาตให้ขึ้นมา” น้ำเสียงเรียบเย็นเป็นปกติยามพูดกับคนนอกทำให้ผมต้องร้องหืมอยู่ในใจเงียบๆ เห็นแบบนี้แล้วค่อยวางใจหน่อย
“คือ…คุณลุงบอกให้มิลินขึ้นมาได้เลย” เธอว่าเสียงสั่นหน่อยๆ ในขณะที่พี่ภูถอนหายใจยาวราวกับไม่ชอบใจในคำตอบที่ได้รับ
“อย่ามายุ่งกับผมอีก”
“ทำไมคุณเดรคพูดแบบนี้ล่ะคะ…” มิลินก้าวเท้ามาจนติดโต๊ะทำงาน เธอมองหน้าพี่ภูนิ่งงันและทำราวกับผมเป็นอากาศธาตุที่ไร้ตัวตน “ทั้งที่คุณพ่อของพวกเราคุยกันไว้แล้วแท้ๆ”
เป็นละครที่น่าสนใจมาก…แต่ผมไม่นึกอยากให้มันดำเนินไปนานกว่านี้ ถ้าให้ดีข้ามไปตอนจบเลยจะดีกว่า ก่อนที่ความสดใสที่สะสมมาจะกลายเป็นความหัวร้อนแทน
“แล้วผู้ชายคนนี้เป็นใครกันคะ” ดวงตากลมโตเบนมามองผมเมื่อไม่ได้รับคำตอบจากคนที่กำลังทำหน้ารำคาญใจ ถึงน้ำเสียงจะอ่อนหวานเป็นปกติ แต่ผมคิดว่าภาพความใกล้ชิดของตัวเองกับพี่ภูเมื่อครู่คงทำให้เธอตั้งตัวเป็นศัตรูไปแล้วเรียบร้อย
“สวัสดีครับ” ผมยิ้มให้อย่างมีมารยาท เล่นเอาสาวสวยที่น่าจะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีปรับสีหน้าแทบไม่ทัน
“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อมิลิน…” เธอยื่นมือมาตรงหน้า ก่อนตาหวานๆ จะมองผมอย่างไม่ยอมแพ้ “เป็นว่าที่คู่หมั้นของคุณเดรค”
เสียงถอนหายใจของพี่ภูไม่ได้ทำให้รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าของมิลิน ผมไม่แน่ใจว่าเธอทำเป็นไม่ได้ยินหรืออะไร ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งยิ้มกลับและยื่นมือไปจับตามมารยาท
“ผมชื่อเก้า…” ใบหน้าสวยนิ่วลงเล็กน้อย เมื่อผมบีบมือเธอกลับด้วยความแรงระดับเดียวกันกับที่เธอส่งมา “เป็นกระต่ายของพี่ภูครับ”
“กระต่าย?…”
“ครับ กระต่าย…‘ของพี่ภู’ ” เมื่อได้ยินการพูดย้ำ คนที่กำลังงุนงงก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นตกใจ แต่ก็เพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะแววตาของเธอยังบ่งบอกชัดเจนว่าไม่ยอมแพ้
“คำพูดของคุณจะทำให้คนเข้าใจผิดนะคะ”
“มิลิน” คนที่เงียบไปนานพูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะยืนขึ้นช้าๆ พี่ภูจ้องหน้ามิลินนิ่งงัน ใบหน้าของเขาไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ แม้จะเห็นว่าเธอเริ่มน้ำตาคลอ “ผมพูดชัดแล้ว”
“แต่…แต่ว่ามิลินชอบคุณ”
“แต่ผมไม่ได้ชอบคุณ” ถ้อยคำเรียบง่ายทำร้ายจิตใจคนฟังจนผมเริ่มสงสารนิดๆ แค่คิดว่าถ้าเป็นตัวเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ปวดใจจนแทบทนไม่ไหว และดูเหมือนคนข้างๆ จะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ เขาถึงได้ใช้แขนโอบเอวผมให้ขยับเข้าไปแนบชิดโดยไม่สนใจสายตาของใครอีกคน
“นี่คุณ…” มิลินเบิกตากว้าง ยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะส่ายหน้าอย่างรับไม่ได้ “ไม่จริง มิลินไม่เข้าใจ…ทำไมล่ะคะ…ทำไมคุณถึงได้…”
“โลกเรามันไม่ได้แคบแบบที่คุณเห็น…แต่เหตุผลที่คุณไม่เข้าใจ…อาจเป็นเพราะคุณไม่เคยมองโลกให้กว้างเลยก็ได้” ประโยคคุ้นเคยที่ดังออกมาจากปากพี่ภูทำให้ผมหันไปมองเขาอย่างแปลกใจ ก่อนจะได้รับรอยยิ้มน้อยๆ ตอบกลับมา ทำเอาเสียงสะอื้นจากหญิงสาวหนึ่งเดียวในห้องดังยิ่งขึ้นไปอีก “นอกจากครอบครัว…คนที่ผมจะยอมให้อยู่เคียงข้างมีแค่กระต่ายตัวนี้เท่านั้น”
เป็นการปฏิเสธที่ชัดเจนและทำลายหัวใจคู่สนทนาอย่างเลือดเย็น แต่ผมกลับรู้สึกอบอุ่นยามได้สบตากับคนพูด นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้กลับมาเจอกันที่เขายอมพูดย้ำสถานะระหว่างเราให้ผมฟัง และมันทำให้ดีใจจนลืมเลือนได้แม้กระทั่งผู้หญิงที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงหน้า
“ขอ…ขอตัวก่อนนะคะ”
มิลินเป็นคนดี…พี่ภูเคยบอกผมแบบนั้น พอวันนี้ได้มาเจอตัวจริงผมเองก็มองออกแต่แรกว่าเธอเป็นคนดี เพียงแต่…เรื่องของความรักมันไม่ได้เกี่ยวข้องว่าใครจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้เกี่ยวว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน มันก็แค่…รักหรือไม่รัก…ง่ายๆ เท่านั้นเอง
“นั่นลูกทูตเลยนะ” ผมทำลายความเงียบด้วยการหันไปหาคนที่ยังเกี่ยวเอวผมไว้ไม่ปล่อย “จะไม่เป็นไรเหรอ”
“แล้วไงล่ะ” พี่ภูยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ เขากระชับแขนที่โอบผมไว้แน่นจนตัวเราแนบชิดติดกัน จากนั้นก็พูดต่อหน้าตาเฉย “กูก็มีลูกพ่อค้าเพชรอยู่ตรงนี้แล้วไง”
เพียงเท่านั้นความร้อนก็พุ่งกระจายไปทั่วใบหน้าจนผมไม่อาจสู้สายตาไหว ต้องก้มหน้าหลบแล้วแอบเนียนกอดคนตัวสูงไว้ พร้อมกับซ่อนใบหน้าไว้ที่อกอุ่นๆ ของคนที่กำลังหัวเราะไม่หยุด
“แล้วดูท่าทางพ่อจะโหดมากด้วย…น่ากลัวกว่าท่านทูตตั้งเยอะ”
ยัง…ยังไม่หยุดพูดอีก
“ใบ้แดกเลยว่ะ” คนขี้แกล้งยังหัวเราะเยาะผมไม่หยุด ยังดีที่มือข้างที่ไม่ได้กอดเอวผมไว้ยังช่วยลูบหัวให้อยู่ ไม่งั้นได้มีเรื่องกันหลังผมสงบอารมณ์ได้แล้วแน่ “ไหนดูหน้าหน่อย”
“ไม่เอา” ผมรีบปฏิเสธแล้วกอดพี่ภูแน่นเป็นลูกลิงไม่ให้เขาแงะหน้าออกมาได้ แต่ดูเหมือนจะออกแรงมากไปหน่อย เราเลยเอนล้มลงไปบนเก้าอี้ด้วยกันทั้งคู่ พอได้ท่าที่ถนัดแล้วผมก็ยังซุกหน้ากอดเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ตัวก็ไม่ได้เบาเลยนะ” คนที่โดนนั่งทับบ่นเบาๆ ทั้งที่ยังลูบหัวลูบหลังผมไม่หยุด ถึงตอนนี้พี่ภูคงรู้แล้วว่าไม่ใช่แค่เพราะเขินผมถึงไม่ยอมปล่อยเขาเสียที…
หลังจากได้กอดเขาในวันแรกตอนที่เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง ผมกับพี่ภูแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันตามลำพังเลย เวลานอนก็ไม่เคยพร้อมกันเพราะเขาต้องทำงาน เวลาตื่นยิ่งแล้วใหญ่เพราะเขาต้องตื่นก่อน มาช่วงหลังเราก็ยังย้ายไปนอนห้องภามด้วยกันทั้งคู่ พอได้มากอดแบบนี้แล้วผมถึงได้รู้ว่าตัวเองโหยหาเขาแค่ไหน…
มันคือความคิดถึงมากมายที่เก็บสะสมมาตลอดสองปี…และคงไม่อาจทดแทนได้ด้วยเวลาแค่ไม่กี่สัปดาห์
“อยากกอดแบบนี้ไปนานๆ”
“ไม่ต้องรีบหรอก…” เขากระชับอ้อมแขนที่กอดผมไว้ให้แน่นกว่าเดิม ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาข้างใบหูด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยทว่ามั่นคง “ยังมีเวลาอีกทั้งชีวิต”
ผมเงยหน้ามองคนพูดอย่างรวดเร็วเพื่อหาวี่แววล้อเล่นบนใบหน้านั้น แต่สิ่งที่ได้รับมีเพียงสายตาจริงจังที่ส่งผ่านกลับมา
“พูดแล้วห้ามคืนคำนะ…พี่ให้เวลาที่เหลือกับผมแล้ว”
“อืม…” เขากดหัวผมให้ซุกลงที่อกเหมือนเดิม ก่อนจะใช้สองแขนกอดกันไว้แน่นราวกับจะย้ำคำพูดสุดท้าย “ให้ทั้งหมดเลย”
-------------------------
TALK : ฝากนิยายเรื่องใหม่ไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ เรื่องของสามพี่น้องที่เคยโผล่ในออกซิเจนมาก่อนค่ะ มีสามคู่นะ ไม่ใช่สามพี ฮา
3KINGS (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)
'ได้แต่ขอดูแลรักเธอแค่เพียงไกลๆ และยังเก็บอยู่ในใจตลอดมา..."