-
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
**************************************************
สารบัญ
บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2158271#msg2158271), 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2159470#msg2159470), 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2162461#msg2162461), 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2193283#msg2193283), 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2198692#msg2198692), 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2200675#msg2200675), 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2207848#msg2207848), 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2214500#msg2214500), 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2219626#msg2219626), 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2225137#msg2225137), 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2226800#msg2226800), 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2232217#msg2232217), 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2234497#msg2234497), 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2244093#msg2244093), 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2252429#msg2252429), 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2254304#msg2254304), 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2258726#msg2258726), 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2261368#msg2261368), 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2264609#msg2264609), 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2268196#msg2268196), บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2276990#msg2276990)
---------------
-
ปฏิญญารัตติกาล
บทนำ
จงเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่ข้า และข้าจะมอบคำสัญญานั้นแก่เจ้า
หากแม้นข้าเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่เจ้า คำสัญญาจะเป็นจริงจนถึงเมื่อใด
ตราบจนกว่าเจ้าจะสิ้นลมหายใจ ตราบจนกว่าชีวิตข้าจะสูญสิ้นไป
ถ้อยคำนั้นสำคัญนักหรือ แสงสว่างที่ไม่เคยพบเห็นมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ไม่อาจดื่มกินรสอันหวานหอมที่แสนรักได้อีกเลยก็ตาม
แม้จะต้องแลกด้วยสิ่งใดในโลกนี้ ข้าก็พร้อมจะยอมสละสิ้น เพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าแสงสว่างใด ๆ ที่เจ้าหรือข้าเคยรู้จัก
สิ่งนั้นคือสิ่งใดกัน
สิ่งนั้นอยู่ใกล้ตัวเจ้ายิ่งนัก
หากสำคัญต่อเจ้าถึงเพียงนั้น ข้าก็จะมอบให้เจ้า
ต่อแต่นี้ไป เจ้าจะสามารถปรากฏกายท่ามกลางแสงตะวัน ทอดกายบนผืนหญ้าเขียวชอุ่ม และราตรีจะเป็นเพียงอีกฟากหนึ่งของทิวา มิใช่ความมืดที่ครอบงำเจ้าอีกต่อไป ขอให้ทุกสิ่งจงเป็นไปดังคำของข้า ให้เจ้าผู้ต้องสาปได้อยู่ร่วมกับผู้ที่ได้รับพรแห่งพระเจ้าอีกครั้ง
ข้าจะเป็นดังถ้อยคำนั้น และนี่...คือคำสัญญาของข้า ที่จะมอบให้เจ้าเพียงผู้เดียว...
--------------------------------
เปลวไฟสีแดงฉานลามเลียทุกสรรพสิ่งที่มันสามารถกระพือไปถึงได้ เสียงไม้ที่ถูกแผดเผาแตกกระจายในความเงียบของราตรี สะเก็ดและเขม่าควันล่องลอยไปกับสายลมที่พัดผ่านมา บดบังแสงจันทร์กระจ่างอันเยียบเย็นที่จ้องมองลงมาจากบนผืนฟ้าสีดำสนิทไร้เมฆหมอก
ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าสถานที่ที่เคยเป็นสิ่งสร้างเล็ก ๆ อันอบอุ่น ที่ซึ่งเขาจะได้เห็นรอยยิ้มของนางผู้นั้นท่ามกลางแสงตะวันอันสดใส
บัดนี้มันกำลังถูกทำลายลง...
ข้าทำตามคำสัญญาไม่ได้...
ความอ่อนแอซึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยนกับพรแห่งแสงสว่างนั้นได้พรากนางไปจากเขา หากเพียงแต่เขาซุกซ่อนในความมืดของรัตติกาล รักษาความแข็งแกร่งของสายเลือดแห่งคำสาปอันเข้มข้นนั้นไว้ เหตุการณ์ในวันนี้คงไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นได้
ทว่า...ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงที่กำลังกลืนกินทุกสรรพสิ่งอย่างเย็นชานั้น กลับแว่วเสียงอันเล็กจ้อยและอ่อนแอของสิ่งมีชีวิตซึ่งพยายามดิ้นรนที่จะอยู่รอดจากความตายที่คืบคลานเข้ามาอย่างเชื่องช้าและทรมาน เสียงนั้นเปรียบประดุจแสงสว่างดวงน้อยที่ปรากฏขึ้นบนหนทางอันมืดมน ทว่าแสงนั้นแสนจะริบหรี่อย่างน่าใจหาย แต่มันได้ชักจูงให้เขาเดินเข้าไปหาอย่างไร้ความลังเล และที่นั่น ท่ามกลางเปลวไฟร้อนระอุและเนื้อไม้ที่ถูกเผาไหม้ เขาได้เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งในที่ซ่อนเล็ก ๆ กำลังร้องไห้เพราะเปลวไฟสัมผัสต้องผิวเนื้อบอบบาง
เมื่อเขาอุ้มออกมา เด็กชายตัวน้อยยังคงร้องไห้ไม่ยอมหยุดด้วยความเจ็บปวด กระนั้นเสียงร่ำร้องของเด็กคนนี้ก็บ่งบอกถึงพลังแห่งชีวิตที่ยังไม่ดับสูญ บ่งบอกถึงความต้องการดิ้นรนที่จะมีชีวิตแม้ต้องก้าวผ่านความเจ็บปวดนี้ไปและรอยบาดแผลที่ไม่มีวันจางหาย
ชายหนุ่มจ้องมองเด็กชายผู้ไร้นามด้วยประกายตาคล้ายกับความหวังที่กลับคืนมาอีกครั้ง
คำสัญญาของเรายังไม่จางหายไป....
และครั้งนี้...ข้าจะไม่ผิดพลาดอีก...
TBC
มาแบบสั้นๆก่อนนะคะ ไม่ได้เขียนแนวแฟนตาซีนาน มันฝืดๆ.... :'D
-
เปิดเรื่องมาอย่างอลังการ :mc4: :mc4: :mc4:
-
อ้ายยยยยยยยยยยยยยยยย ชอบนิยายที่พี่เซียร์เขียนทุกเรื่องเลยค่า
หลงรักมาตั้งแต่เรื่องสัตยาธิษฐาน
รออ่านเรื่องนี้ ♥ แนวแฟนตาซี
-
รออ่านตอนต่อไปค่ะ
น่าอ่านมากเลย
-
เข้ามาเพราะทั้งชื่อเรื่องและชื่อคนเขียน :mc4:
ชอบอ่านแฟนตาซีมากๆ รอมาอัพค่า
-
เย่
นิยายคุณเซียมาอีกแล้ว
พลาดไม่ได้
ติดตามนะคะ
-
:mc4:
-
เย๊ อลังการ
เข้ามารอรับเรื่องใหม่
แนวนี้ชอบมาก :mc4:
-
มาตามชื่อคนแต่งค่ะ
น่าสนุก
-
บทที่ 1 เหล่าผู้ต้องสาป
ความเงียบสงบสร้างความเบื่อหน่ายให้กับเด็กชายที่วันนี้ถูกสั่งให้อยู่แต่ในบ้านทั้งที่วันอื่น ๆ เขาจะได้ออกไปช่วยคุณตาทำงาน ซึ่งทุกครั้งที่ออกไปเขาก็จะวิ่งเล่นกับเด็กในวัยเดียวกันเป็นส่วนใหญ่ เป็นความสุขเล็ก ๆ ของเขาในแต่ละวัน แต่ในวันนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตาของเขาจึงบอกให้อยู่บ้านกับคุณยายซึ่งทำอาชีพรับซ่อมแซมเสื้อผ้าและห้ามออกไปเล่นซนที่ไหนโดยเด็ดขาด
คุณยายของเขาแม้จะเป็นคนใจดีแต่ก็พูดไม่ค่อยเก่ง ทำให้เขาไม่มีแม้แต่เพื่อนคุย ได้แต่นั่งมองกองผ้าบนพื้นสลับกับภาพนอกหน้าต่างที่มีแต่ต้นไม้ ไม่รู้ว่าทำไมตากับยายของเขาจึงย้ายมาอยู่ชายป่าแบบนี้ ทั้งที่ได้ยินว่าสมัยก่อนก็อยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ ตลาดนั่นเอง
“เบื่อหรือจ๊ะ” ยายของเขาเงยหน้าจากงานขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ข้าอยากออกไปเล่นข้างนอก ทำไมวันนี้ถึงไปไม่ได้ล่ะครับ?” เด็กชายเดินเข้ามานั่งแหมะข้างยายของตนแล้วประท้วงสิทธิที่ตนควรจะได้
“เรื่องนั้น....เพราะเดี๋ยวจะมีคนสำคัญมาน่ะสิจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนชะงักไปเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเธอฉายแววแปลกประหลาดที่ผสมความหวั่นเกรงเอาไว้หลายส่วน “จะว่าไป หลานก็อยู่กับเรานานแล้วสินะ ห้าปีมาแล้วนับจากที่หลานมาอยู่ที่นี่ อีกหน่อยยายกับตาต้องเหงามากแน่ ๆ” แล้วจู่ ๆ เธอก็พูดออกมาเป็นประโยคยาวจนผิดปกติทั้งที่นาน ๆ ครั้งจะได้ยิน ซ้ำรูปประโยคยังแปลกหูแม้แต่สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ
“แต่ข้าไม่ได้จะไปไหนนี่” เด็กชายจ้องมองยายของตนเองด้วยดวงตาใสซื่อ
ฝ่ามือที่เริ่มมีร่องรอยของวัยยกขึ้นลูบหัวเด็กชายช้า ๆ อย่างอ่อนโยนโดยไม่พูดอะไร
“แล้ว...คนสำคัญคนนั้น ข้าต้องเจอด้วยหรือครับ?” เพราะความสงสัยเขาจึงถามต่อ คนสำคัญคนนั้นเป็นใครกันนะ? ตาจึงต้องให้เขาเฝ้าบ้านกับยาย ปกติแล้วบ้านนี้ก็แทบไม่มีแขกมาเยี่ยมอยู่แล้ว นอกเสียจากชาวบ้านที่เอาเสื้อผ้ามาให้ยายช่วยซ่อมแซมให้ บ้างก็เอาของกินของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากเป็นสินน้ำใจ แม้แต่เพื่อน ๆ ของเขาในหมู่บ้านก็ยังไม่เคยมาที่นี่สักครั้ง
“ต้องเจอสิจ๊ะ....เขามาเพื่อพบหลานนี่นา”
“พบข้า?” เขากะพริบตาปริบ ๆ แต่แล้วก็เหมือนมีความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในความทรงจำ “วันนี้วันเกิดข้านี่นา! เพื่อน ๆ จะมาเที่ยวที่นี่ใช่ไหมครับ? จะมากับคุณตาสินะผมถึงออกไปด้วยไม่ได้” เด็กชายกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ งานวันเกิดปีนี้เขาจะมีคนฉลองด้วยมากมายเป็นแน่
ฝ่ายยาย เมื่อเห็นหลานดีใจถึงเพียงนั้นจึงไม่กล้าทักท้วงให้เสียความรู้สึก เธอก้มหน้าลง ค่อย ๆ เย็บปักเส้นด้ายลงบนผืนผ้าอย่างข้า ๆ เสมือนใจลอยไปคิดเรื่องอื่นซึ่งไม่เกี่ยวกับการงานตรงหน้า
ใจของเธอนึกย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว....
วันนั้นอากาศแห้งแล้งเพราะเป็นกลางฤดูร้อน แสงแดดแผดจ้าอยู่เหนือศีรษะแม้จะบ่ายคล้อยจนใกล้เย็นย่ำ สามีของเธอออกไปทำงานตามปกติ เขาลงทุนเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้ากับเพื่อนเพราะเกรงว่าอายุมากขึ้นจะทำงานตัดไม้ล่าสัตว์ต่อไปไม่ไหวและลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็หายตัวไปนานแล้ว ส่วนเธอเองก็อาศัยอาชีพซ่อมแซมเสื้อผ้าช่วยจุนเจือครอบครัวและเป็นการฆ่าเวลานอกเหนือจากภาระงานบ้านที่ไม่ได้มากมายนักในบ้านหลังเล็ก ๆ
กระนั้นด้วยอากาศอันแห้งแล้งชวนให้หายใจลำบาก เธอจึงรู้สึกอึกอัดจนต้องเดินออกไปรับลมอันน้อยนิดที่หน้าบ้าน
เธอนั่งเพลินจนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ ในสมองก็คิดเรื่องจิปาถะไปเรื่อยเปื่อย เมื่อเธอรู้ตัวอีกครั้งก็ปรากฏร่างสูงโปร่งของชายคนหนึ่งในผ้าคลุมมิดชิดมายืนอยู่ตรงหน้า บรรยากาศของเขาดูลึกลับและสูงส่งแม้ว่าเธอจะเห็นเพียงแค่ครึ่งหน้าล่างเพราะด้านบนถูกปกปิดเอาไว้ก็ตาม
“อีกนานหรือไม่กว่าสามีของเจ้าจะกลับมา”
น้ำเสียงของชายคนนั้นทุ้มนุ่มแต่กังวานเปี่ยมไปด้วยอำนาจ คงจะเป็นผู้สูงศักดิ์วัยหนุ่มจากที่ไหนสักแห่ง เธอซึ่งไม่เคยพบเจอบุคคลระดับสูงมาก่อนจึงออกอาการเงอะงะ
“คิดว่า...อีกไม่นานจะกลับ...เจ้าค่ะ...” เธอตอบออกไปโดยไม่รู้ว่าตนเองควรจะลงเสียงอย่างไรจึงจะเหมาะสม
“เช่นนั้นข้าจะรอ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินไปที่ประตู “เปิดให้ข้าเข้าไปสิ”
“...ค่ะ ค่ะ” เพราะจู่ ๆ ก็ถูกสั่งเธอจึงไม่ทันได้คิดอะไรและเดินไปเปิดประตูให้ชายหนุ่มแปลกหน้าทันที แต่เมื่อตั้งสติดี ๆ แล้ว การมาออกคำสั่งแบบนี้ช่างเสียมารยาทจริง ๆ กระนั้นคงเพราะความเป็นคนชั้นสูงกระมังจึงติดนิสัยเอาแต่ใจและเจ้ากี้เจ้าการ
ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้าไปในบ้านราวกับตนเองเป็นเจ้าของ และนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งโดยไม่พูดอะไรอีก เธอยกน้ำมาเสิร์ฟ เจ้าตัวก็จิบเพียงเล็กน้อย
จนกระทั่งสามีของเธอกลับมาถึงบ้าน
“นั่นใครกัน?” เขาถามทันทีที่เห็นคนแปลกหน้าในบ้านของตนเอง ซ้ำยังไม่ยอมเลิกผ้าคลุมออกแม้จะอยู่ในที่ร่มและตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว
“อ้าว ไม่รู้จักหรือ? ก็เขามาถามหาเจ้าอยู่ตั้งแต่เย็น”
“จะไปรู้จักได้ยังไงกัน แล้วนี่หน้าตาก็ไม่เห็นเลยหรือ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามอย่างเคร่งเครียด หากอีกฝ่ายเป็นโจรเข้ามาพวกเขาสองคนจะทำยังไง
“แต่ว่า...ตั้งแต่มาที่นี่เขาก็นั่งอยู่แต่ตรงนั้น ไม่ขยับไปไหนเลย” เธอหันมองชายหนุ่มในผ้าคลุมอย่างหวาดระแวง หรือว่าจะรอพวกเขาสองคนพร้อมหน้าจะได้จัดการพร้อมกัน?
ระหว่างที่พวกเขาปรึกษากันหน้าบ้านว่าจะเอาอย่างไรดีนั้น เจ้าของร่างสูงโปร่งในผ้าคลุมมิดชิดก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกมา เธอรีบถอยไปด้านหลังโดยสามีของเธอถลันขึ้นมาตั้งท่าป้องกันตัวเต็มที่ แต่แล้ว...ชายหนุ่มคนนั้นกลับเดินผ่านพวกเขาออกไปข้างนอกชานราวกับว่าไม่เห็นพวกเขาที่กำลังทำท่าทางแปลก ๆ อยู่เลย กระนั้นคำพูดของฝ่ายนั้นก็ทำให้รู้ว่าพวกตนยังมีตัวตนอยู่ไม่ได้เลือนหายไปไหน
“ตามมาสิ”
ตามไป?
แค่มีคนแปลกหน้ามาที่บ้านโดยไม่รู้จักกันก็น่ากลัวพอแล้ว นี่ยังจะให้ตามไปไหนก็ไม่รู้อีกหรือ?
ในขณะที่พวกเขากำลังลังเล อีกฝ่ายก็ไม่เดินไปก่อน กลับยืนนิ่งสงบเฝ้ารออย่างใจเย็น ความนิ่งเงียบราวกับกลายเป็นรูปปั้นนั้นเสมือนกำลังกดดันให้พวกเขาทำตามคำสั่งโดยไม่อาจละเลยเพิกเฉยได้
“เอาอย่างนี้ ข้าจะไปเอาขวานมาเจ้าก็เอามีดทำครัวซ่อนไว้ใต้ผ้ากันเปื้อน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็ลงมือเลย” ฝ่ายสามีว่าจบก็เดินอ้อมไปหลังบ้านซึ่งมีขวานผ่าฟืนเก็บไว้อยู่ แม้ไม่ได้ใช้มาสักพักหนึ่งแล้วก็ยังคมพอจะป้องกันตัวได้ ส่วนภรรยาก็เข้าครัวไปหยิบมีดสำหรับแล่ปลามาซุกไว้ใต้ผ้ากันเปื้อนที่สวมใส่เป็นประจำ เมื่อพร้อมจึงออกมารวมกันที่หน้าบ้าน ชายคนนั้นที่ยังคงยืนรออยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวไปไหนก็เริ่มออกเดินราวกับรู้ว่าพวกเขาพร้อมที่จะไปด้วยแล้วแม้ไม่ได้ยินเสียงตอบรับเลยก็ตาม
พวกเขาถูกพาเดินไปทางชายป่า และเพราะเป็นเวลาค่ำแล้วคนอื่น ๆ จึงเก็บตัวอยู่ในบ้านไม่ออกมาเดินท่อม ๆ ข้างนอก พวกเขาจึงไม่ถูกมองด้วยสายตาสงสัยว่ากำลังติดตามใครไปที่ใด
เมื่อถึงชายป่า ก็ปรากฏบ้านขนาดเล็กหลังหนึ่งซึ่งไม่ต่างจากบ้านที่พวกเขาอยู่กันมากนัก
ชายหนุ่มในผ้าคลุมเดินเข้าไปในบ้านหลังนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร ทั้งสองจึงได้แต่ยืนอยู่ข้างนอกไม่กล้าตามเข้าไปเพราะอาจเป็นกับดักก็ได้
แต่แล้วก็กลับมีเสียงแว่วของเด็กทารกดังออกมาจากข้างใน
หรือว่าจะมีการลักพาตัวเด็ก!
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดในตอนนั้น ฝ่ายสามีผลุนผลันเข้าไปข้างในพร้อมขวานในมือ ส่วนเธอเมื่อตั้งสติได้ก็รีบหยิบมีดออกมาแล้ววิ่งตามเข้าไปในบ้าน แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นภาพที่น่าแปลก เพราะชายคนนั้นไม่ได้ทำอะไรเด็กที่กำลังร้องไห้งอแงอยู่เลย กลับเพียงแค่อุ้มไว้ในวงแขนและยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าพวกเขาที่ตามเข้ามาเท่านั้น และก่อนที่พวกเขาจะได้พูดอะไร เด็กคนนั้นก็ถูกส่งมาตรงหน้า
“จงดูแลเด็กคนนี้ให้ดี”
หมายความว่ายังไงกัน?
เธอยื่นมือไปรับเด็กคนนั้นอย่างเงอะ ๆ งะ ๆ
คน ๆ นี้เอาเด็กมาให้พวกเขาเลี้ยงอย่างนั้นหรือ? แล้วทำไมจึงต้องทำตัวลึกลับพามาถึงที่นี่ด้วย?
“แล้วก็ย้ายมาอยู่ที่นี่เสีย”
“อะไรนะ?” สามีของเธอร้องขึ้น “จะบ้าหรือเปล่า ที่นี่เดินทางไปทำงานก็ไกล ข้าไม่ได้มีกินถึงขนาดนั่ง ๆ นอน ๆ ก็เลี้ยงคนในบ้านได้หรอกนะ”
“นั่นสิ...อยู่ห่างจากชุมชนแบบนี้คงทำงานลำบาก” เธอเองก็เห็นด้วย
“ข้าไม่ต้องการให้เขาใกล้ชิดกับมนุษย์มากเกินไป”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราคงดูแลไม่ได้หรอก เอาเด็กคืนไปเถอะ” สามีของเธอรีบปฏิเสธแล้วพยักพเยิดให้ส่งเด็กคืนไป ทว่าฝ่ายนั้นกลับไม่ยอมรับคืน และเดินออกไปทางประตูเสียเฉย ๆ
“พวกเจ้าเหมาะสมกับงานนี้ที่สุด หากตกลงก็จงย้ายสิ่งที่จำเป็นมาที่นี่ในวันพรุ่งนี้ แล้วพวกเจ้าจะได้รับรางวัลอย่างงาม”
“แล้วถ้าพวกเราปฏิเสธ?”
ชายในผ้าคลุมที่กำลังจะเดินออกไปชะงักเท้าของตนเองไว้หลังประโยคนั้นก่อนจะค่อย ๆ หันกลับมาและเลิกผ้าคลุมศีรษะขึ้น
ทันใดที่พวกเขาเห็นหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจนก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปกับพื้น
โดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดสิ่งใดกันอีก ชายคนนั้นก็เดินออกไปจากบ้านและหายลับเข้าแนวป่าไป
พวกเขามองหน้ากันด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพบเจอมา
“พ...พวกเราจะทำยังไงดี....” เธอเอ่ยถามสามีด้วยเสียงสั่นเทา
“เราคงจะต้อง....ทำตามที่เขาต้องการ”
ไม่มีทางเลือก...
“ถ้าเราขัดขืนผู้ต้องสาปล่ะก็...อาจจะถูกฆ่าก็ได้ ไม่น่าเลย ทำไมต้องมาเจอแบบนี้นะ” ทั้งที่พวกเขาอยู่อย่างสงบไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักครั้ง แล้วทำไมพวกเขาจึงต้องมาเจอเรื่องอัปมงคลกับชีวิตแบบนี้ “เดี๋ยวสิ แล้วเด็กคนนี้เป็นใครกัน?”
ตามที่พวกเขารู้จากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา ผู้ต้องสาปไม่อาจให้กำเนิดทายาทได้ ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสาปได้อย่างไรกัน?
ด้วยความกังขา เขาจึงเข้าไปตรวจดูเด็กชายอย่างละเอียดและพบว่าร่างกายเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปจึงค่อยโล่งอก
ในที่สุดพวกเขาจึงตกลงใจทำตามความต้องการของผู้ต้องสาปคนนั้น โดยย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่ห่างไกลจากชุมชน แม้ว่าจะเดินทางไกลขึ้นแต่ก็ไม่ได้ลำบากมากมายนัก เพียงแต่การงานของเธอหลายครั้งต้องฝากสามีนำไปส่งให้ในตลาดและนำงานใหม่กลับมาให้ในตอนค่ำ กระนั้นเมื่อเวลาผ่านไปคนในหมู่บ้านบางส่วนก็นำมาให้ด้วยตัวเองเพราะเห็นว่าไม่ได้ไกลจากตัวชุมชนมากนักและยังเป็นทางผ่านเข้าไปเก็บของในป่าด้วย
ส่วนรางวัลที่ฝ่ายผู้ต้องสาปสัญญาไว้นั้นก็ไม่อาจพูดได้อย่างเป็นรูปธรรมนัก เพราะเมื่อพวกเขามาถึงบ้านก็ยังคงเป็นบ้านไม้ที่ไม่มีอะไรเลยเหมือนเดิม พวกเขาที่ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้วจึงไม่แปลกใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไปร้านของฝ่ายสามีก็มีลูกค้าจากต่างเมืองเดินทางมาใช้บริการมากมาย บางครั้งยังมีโอกาสได้ตัดเย็บเสื้อผ้าให้พวกชนชั้นสูงในเมืองสวมใส่ทำให้กิจการเป็นไปด้วยดีอย่างน่าใจหาย
จนกระทั่งถึงวันนี้ ก็ผ่านมาได้ 5 ปีแล้วที่รายรับรายจ่ายของบ้านอยู่ในสภาพคล่องไม่เคยขาดแคลน งานที่ร้านตัดเย็บแม้จะมากแต่ก็เพราะขยับขยายตัวได้จึงมีลูกมือเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ทำกับเพื่อนเพียงสองคน ส่วนเด็กชายคนนั้นก็เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงไม่มีโรคภัย เป็นเด็กดีร่าเริงและเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านเป็นอย่างมาก เสียดายก็แต่...เพราะถูกกำชับไว้ว่าไม่อยากให้ใกล้ชิดกับมนุษย์จนเกินไป พวกเขาจึงไม่เคยอนุญาตให้พาเพื่อน ๆ มาเที่ยวเล่นที่บ้านแม้สักครั้งทั้งที่มีบริเวณให้เด็กวิ่งเล่นอยู่มากมาย
ตลอด 5 ปีมานี้ พวกเขาก็ผูกพันกับเด็กชายอย่างลึกซึ้งราวกับเป็นลูกแท้ ๆ ไม่เคยคิดถึงวันที่จะต้องพรากจากกันมาก่อนเลย
ทว่าเมื่อ 3 วันก่อน กลับมาจดหมายฉบับหนึ่งมาถึงที่บ้าน
จดหมายฉบับนั้นมีใจความว่าอีกฝ่ายต้องการจะมารับตัวเด็กชายในวันนี้
พวกเขาต่างก็ใจหายกับสิ่งที่ได้รับรู้ เด็กน้อยที่กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากำลังจะถูกพลัดพรากไปจากอกใครเล่าจะทนทำใจนิ่งเฉยได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะไปทักท้วง
หญิงสูงวัยทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานและปล่อยให้เวลาค่อย ๆ ผ่านพ้นไปอย่างช้า ๆ โดยมีหลานตัวน้อยนั่งเล่นอยู่ข้าง ๆ อย่างไม่รู้เรื่องราว
วันนี้อากาศอบอ้าวเหมือนในวันที่ได้พบกัน แต่เธอกลับไม่อยากออกไปนั่งตากลมแม้แต่น้อย
แต่แล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น พาให้เธอสะดุ้งจนเข็มหลุดมือ
“ข้าเปิดเอง!” เด็กชายร้องเสียงใสแล้ววิ่งไปที่ประตูไม้ซึ่งเสียงเคาะเงียบไปแล้ว เมื่อเขาเปิดมันออกก็พบชายคนหนึ่งในชุดคลุมยาวสีเข้มที่ปิดลงมาจนเกือบไม่เห็นใบหน้า
“ได้เวลาแล้ว ไปกันเถอะ” เขากล่าวกับเด็กชายแล้วหันหลังเดินนำออกมา
“เดี๋ยวสิคะ!” ผู้เป็นยายรีบวิ่งออกไปจับตัวหลานชายเอาไว้ “เด็กคนนี้ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ อย่าเพิ่งพาเขาไปเลย รอให้โตอีกหน่อยไม่ได้หรือ?” เธออ้อนวอนพลางบีบไหล่เด็กชายแน่น เมื่ออยู่ด้วยกันความผูกพันก็เกิดขึ้น และมันยิ่งผูกมัดพวกเขาเมื่อเวลาผ่านไป เธอไม่อาจทำใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้หลานชายฟังได้ คิดว่าเมื่อถึงเวลาก็อยากจะให้เด็กชายจดจำไว้ว่าตนเองคือยายแท้ ๆ
“จะไปไหนกัน? ข้าไม่ได้จะไปจากยายเสียหน่อย” เด็กชายโผเข้ากอดยายของตนอย่างซื่อ ๆ แต่ดูเหมือนการกระทำเหล่านั้นกำลังสร้างความไม่พอใจให้กับชายหนุ่มผู้มาเยือน แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นและเฝ้ามองสองยายหลานที่ปลอบโยนกันและกัน
หัวใจที่เย็นชาของเขาไม่อาจเข้าใจความผูกพันเช่นนั้นได้...
“ปล่อยเขาไปเถอะ”
เสียงของชายสูงวัยแทรกเข้ามาระหว่างความเงียบ
“ยังไงก็ไม่ใช่หลานเรามาแต่ต้น” เขาเพิ่งกลับมาจากการทำงานและเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี
“พูดอย่างนั้นได้ยังไงกัน! หลานอยู่กับเรามาตั้งหลายปี อยู่ดี ๆ ก็จะเอาตัวไปอย่างนี้น่ะหรือ!?” เป็นยายประท้วงพร้อมกอดหลานชายแน่น
“เข้ามาข้างในหน่อย” ผู้เป็นสามีดึงมือภรรยาเข้าไปด้านในโดยปล่อยหลานชายไว้ข้างนอก กระนั้นชายผู้ซึ่งที่ถูกเรียกว่าผู้ต้องสาปก็ไม่ได้ดึงตัวเด็กชายไปแต่อย่างใด เขายืนเงียบ ๆ และรอเวลาในขณะที่เด็กชายก็มองสำรวจอย่างไม่ไว้ใจ
“ท่าน...เป็นคนสำคัญที่ว่าหรือ? ทำไมถึงต้องพาข้าไปด้วย?”
“.....” ชายหนุ่มไม่ได้ตอบ แค่เพียงเหลือบนัยน์ตามองเด็กชายที่ช่างสงสัยแต่ก็ระวังตัวแจจนน่าขัน กระนั้นเขาก็ขำไม่ออกเพราะสำหรับเขาแล้ว บุคลิกเช่นนี้ค่อนข้างจะน่ารำคาญ
แต่อย่างไรก็เป็นลูกของเธอคนนั้น....
เขาถึงต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้....
“ข้าไม่ไปกับท่านหรอกนะ ข้าจะอยู่กับตากับยายที่นี่” เด็กชายขมวดคิ้วแล้วกอดอก แสดงเจตจำนงว่าจะไม่ยอมไปไหนตามใจอีกฝ่ายอย่างเด็ดขาด
“คิดว่าเจ้ามีสิทธิเลือกหรือ วาลเซอิค” น้ำเสียงทุ้มเย็นเยียบบ่งบอกว่าเจ้าตัวอารมณ์ไม่ดีนัก
“ทำไม...รู้ชื่อข้าด้วย?” เด็กชายเบิกตาแล้วถอยหลัง รู้สึกกลัวผู้ชายตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก หากเขาต้องไปกับผู้ชายคนนี้จริง ๆ ....ไม่ เขาไม่อยากไป เขาคิดเช่นนั้นแล้วหันหลังจะเข้าบ้าน แต่กลับชนเข้ากับตาที่เดินสวนออกมาพอดี ส่วนยายไม่ได้ออกมาด้วย
ชายสูงวัยจูงมือเด็กชายให้เดินออกมาข้างนอกโดยไม่พูดอะไรก่อนจะบังคับให้ยืนตรงหน้าผู้ต้องสาปที่มารับตัว เด็กชายได้แต่สงสัยว่าทำไมวันนี้ตาของเขาเย็นชาถึงเพียงนี้ ทั้งที่ปกติแม้จะดุบ้างแต่ก็ใจดีกับเขาเป็นส่วนใหญ่
“พวกเราไม่ใช่ครอบครัวจริง ๆ ของหลาน....” ผู้เป็นตาพูดออกมาอย่างยากเย็น “คน ๆ นี้ต่างหากที่เป็นคนพาหลานมาให้ หลานเคยถามถึงพ่อกับแม่ไม่ใช่หรือ? เขาต้องรู้แน่ ๆ ว่าสองคนนั้นอยู่ที่ไหน”
“แต่ข้าไม่อยากเจอแล้ว....” เด็กชายอ้อนวอน
“ในเมื่อเขามารับตัวหลานก็ต้องไป” ชายสูงวัยปล่อยมือแล้วเดินถอยหลัง
“ไม่เอานะ ตาอย่าทิ้งข้า ข้าทำอะไรไม่ดีหรือ?” แม้ว่าเด็กน้อยจะอ้อนวอนและวิ่งเข้าไปจับชายเสื้ออย่างสิ้นไร้หนทาง ก็กลับถูกสะบัดชายเสื้อออกอย่างไม่ใยดี
“รีบไปซะ” เขากล่าวเช่นนั้นก่อนจะรีบเดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันมามองอีก
เด็กน้อยกำชายเสื้อตัวเองร้องไห้สะอึกสะอื้น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่เมื่อวานนี้ทั้งสองคนก็ยังรักเขา แต่วันนี้กลับทำเหมือนไม่ต้องการเขาอีกแล้วและต้องการให้ไปกับคนอื่น
“ไปกันได้แล้ว” ชายหนุ่มหันหลังเดินนำไปทางป่า
เด็กชายที่ไม่รู้ว่าตนเองควรจะไปที่ใดจึงรีบวิ่งตามไปแม้จะรู้สึกกลัว สำหรับเด็กตัวเล็ก ๆ แล้ว การถูกไล่ครั้งหนึ่งก็เหมือนการที่ไม่อาจกลับไปหาคน ๆ นั้นได้อีก เมื่อมีที่พึ่งพิงอยู่ใกล้ ๆ จึงจำต้องเลือกอย่างช่วยไม่ได้
------------------>
เมื่อทั้งสองจากไปแล้ว ภายในบ้านกลับยังมีเสียงสะอื้นแผ่วเบาจากโต๊ะซึ่งปกติจะใช้ทำงานปะชุนเสื้อผ้า ผู้เป็นสามีเดินเข้าไปโอบบ่าภรรยาของตนแล้วนั่งลงข้าง ๆ และฟังเสียงพึมพำระคนสะอื้น
“ผู้ชายคนนั้นเป็นผู้ต้องสาปนะ เด็กคนนั้นจะต้องกลายเป็นอาหาร...”
“ไม่หรอก...เจ้าไม่เห็นหรือว่าผู้ชายคนนั้นเดินกลางแสงแดดได้”
“หมายความว่ายังไงกัน?”
“...เขาเป็นผู้ต้องสาปที่ได้รับถ้อยคำจากมนุษย์ เขาจะเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้แต่ไม่อาจดื่มกินเลือดของมนุษย์ได้”
“ถ้าอย่างนั้น....เขาจะต้องการเด็กคนนั้นไปทำไมกัน?”
“เรื่องนั้น...เราไม่มีทางรู้ได้หรอก....คิดเสียว่าพวกเรามีโอกาสได้เลี้ยงดูเขาเพียงแค่นี้ เรากลับบ้านเก่าพวกเรากันเถอะนะ พออยู่ท่ามกลางผู้คน เดี๋ยวก็คงลืมเรื่องพวกนี้ไปได้เอง...”
หญิงสูงวัยทำได้เพียงตอบรับความต้องการของสามี แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่อาจจะลืมเลือนได้ง่าย ๆ เลย...
------------------------>
-
ลึกเข้าไปในป่า ชายหนุ่มเดินนำไปด้วยความเร็วเช่นเดิมไม่เพิ่มหรือลดแม้แต่น้อย แต่ด้วยความยาวก้าวของเด็กวัยห้าขวบทำให้ต้องวิ่งบ้างเดินบ้างไปเป็นช่วง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็เดินมาไกลแล้วและเข้าไปในป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบจะมองไม่เห็นแสงอาทิตย์ด้านบนที่กำลังมืดลงทุกที
“จะไปอีกไกลแค่ไหน....” เด็กน้อยเริ่มเหนื่อยและเดินช้าลง เสียงร้องไห้เงียบหายไปนานแล้วเพราะเขาเหนื่อยล้ากับการเดินมากเกินกว่าจะเอาเรี่ยวแรงมาร้องห่มร้องไห้ได้
“อีกไม่ไกล” เสียงที่ตอบกลับมาไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นสักนิด
วาลเซอิคทรุดลงนั่งกับพื้นเพราะความเหนื่อยอ่อน
“ข้าจะกลับไปหาตากับยาย ข้าไม่ไปด้วยแล้ว” เขาเริ่มงอแงตามประสาเด็กอีกครั้ง ตั้งแต่จำความได้ ตากับยายไม่เคยให้เขาทำงานหนักเลย แล้วทำไมเขาถึงต้องมาเดินตามคนแปลกหน้าจนหมดเรี่ยวแรงขนาดนี้ด้วย ตอนนี้ทั้งสองคนคงหายโกรธเกลียดเขาแล้วแน่ ๆ
“ถ้าคิดว่ากลับได้ก็ตามแต่ใจเจ้า” อีกฝ่ายไม่อนาทรกับคำพูดนั้นแล้วเดินต่อไปราวกับคนที่ตามหลังเป็นแค่สิ่งของที่จะทิ้งขว้างเมื่อไหร่ก็ได้
ในคราวแรกเด็กชายก็คิดจะดื้อแพ่งจึงไม่ยอมลุกขยับไปไหน แต่ชายหนุ่มในผ้าคลุมก็ไม่ได้สนใจกลับเดินต่อจนถูกความมืดของผืนป่ากลืนหายไปจนหมด ตอนนี้เด็กชายจึงเสมือนอยู่เพียงคนเดียวในป่าอันกว้างใหญ่และมืดมิด ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วความกลัวก็เข้าเกาะกุมจิตใจที่ยังไร้เดียงสาและช่างจินตนาการ เขาอดคิดไม่ได้ว่าหลังต้นไม้ต้นนั้นจะมีอะไรอยู่ หรือในเงาของแมกไม้เบื้องบนจะปรากฏสิ่งใดขึ้น เสียงแสกสากที่ดังใกล้บ้างไกลบ้างให้ความรู้สึกเหมือนอาจจะมีอสูรกายกระโจนออกมาเมื่อใดก็ได้
เมื่อถูกโอบล้อมด้วยความมืดและความเงียบสงัด ความหวาดกลัวก็พุ่งถึงจุดที่ไม่อาจทนนั่งเฉยได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นและออกวิ่งไปทางที่เห็นคน ๆ นั้นครั้งสุดท้าย
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน! รอข้าด้วย!” เขาวิ่งไปตะโกนไปแม้ว่าจะไม่เห็นเงาของคนข้างหน้าเลยก็ตาม
นี่อีกฝ่ายคิดจะทิ้งเขาเอาไว้จริง ๆ หรือ? เขาจะถูกทิ้งในที่แบบนี้หรือ? กลับไปหาตากับยายก็ไม่ได้ ไปที่ไหนก็ไม่ได้ เขาจะต้องตายในป่านี้แน่ ๆ
“ไม่เอานะ อย่าทิ้งข้าไว้แบบ....”
ผลั่ก!
“หากเจ้ายังตะโกนอยู่อย่างนี้อาจจะได้ตายจริง ๆ”
วาลเซอิคเงยหน้ามองคนที่เขาเพิ่งวิ่งชนจนตัวเองล้มลงไปบนพื้น จากมุมนี้เขาเห็นดวงตาสีแดงน่ากลัวที่ซุกซ่อนไว้ใต้ผ้าคลุม
“หวา!!!” เด็กชายร้องเสียงหลงตะกายถอยไปจนติดต้นไม้ “ท...ท่านเป็นอะไรกันแน่.....” ถึงแม้จะเป็นเด็ก แต่เมื่อเห็นประกายดวงตาสีแดงนั้น สัญชาตญาณก็ร้องเตือนโดยทันทีว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดา เสมือนการยืนอยู่ต่อหน้านักล่าและตนเองเป็นเหยื่อ
“...ผู้ต้องสาป พวกมนุษย์เรียกเราเช่นนั้น” ชายหนุ่มเอ่ยตอบแล้วโน้มตัวดึงเด็กชายขึ้นมาจากพื้นก่อนเดินต่อ “รีบตามมา ข้าไม่ชอบรอใคร”
“ผู้ต้องสาป?” เขาไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่ทำอะไร ความกลัวจึงจางหายไปบ้างและลุกเดินตามหลัง ถึงอย่างนั้นเพราะเมื่อครู่รีบวิ่งตามมาสุดแรงเกิดและล้มกะทันหันข้อเท้าจึงแพลง เมื่อเขาลุกเดินไม่กี่ก้าวก็ร้องออกมาเพราะไม่อาจหยั่งเท้าข้างหนึ่งอย่างเต็มน้ำหนักได้
ชายหนุ่มหันกลับมามองด้วยสายตาที่ไม่ได้ฉายอารมณ์ใดเป็นพิเศษ ก่อนจะอุ้มเด็กชายขึ้นเพื่อจะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้
วาลเซอิครู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายใจดีกับตนมากกว่าที่คิดไว้ เขาคิดว่าตนเองจะถูกทิ้งเอาไว้เสียอีก ทั้งที่ทำเย็นชาแต่ความจริงกลับรอเขาอยู่ พอเห็นเขาเจ็บตัวก็ยังอุ้มไปด้วยกัน บางที...ผู้ชายคนนี้อาจไม่ได้น่ากลัวก็เป็นได้ ก็แค่มีดวงตาสีแปลกจากปกติเท่านั้นเอง ทำไมเขาถึงได้นึกกลัวได้นะ...
“เอ่อ....ข้าถามอะไรได้หรือเปล่า....” เขาเอ่ยเสียงแผ่วเพราะยังรู้สึกเกรงอยู่ไม่น้อย
“ว่ามาสิ”
“ท่าน...ชื่ออะไรหรือ?”
“เซเอล ไลโคริส ลาห์โคเวีย” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่อิดเอื้อน
“ท่าน...เอ่อ...เซเอล ทำไมถึงรู้จักชื่อข้าได้ล่ะ?”
“....”
แต่คำถามนี้ เด็กชายกลับได้ความเงียบเป็นคำตอบ กระนั้นเขาก็รู้ดีว่าการคะยั้นคะยอผู้ชายคนนี้คงไม่ได้ผลเหมือนที่เขาทำกับตาและยาย
“ข้าเป็นคนตั้งให้เจ้าเอง” ทว่าในวินาทีต่อมา คำตอบที่ไม่น่าจะได้รับก็ปรากฏขึ้น เป็นคำตอบที่น่าแปลกสำหรับวาลเซอิคที่ไม่เคยพบเห็นคน ๆ นี้มาก่อน แล้วจะเป็นคนตั้งชื่อให้เขาได้อย่างไรกัน? หรือจะเป็นเรื่องจริงที่ว่าผู้ชายคนนี้รู้จักพ่อกับแม่ของเขา แปลว่าเขากำลังจะได้เจอพ่อกับแม่หรือเปล่านะ?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดกับตนเองนั้น เบื้องหน้าก็ปรากฏปราสาทสูงดำทะมึนขึ้นจากความมืดมิดของผืนป่า เมื่อมองจากตรงจุดนี้ พวกเขาเหมือนแมลงเล็กจ้อยที่กำลังแหงนหน้ามองความโอฬารของสิ่งสร้างสูงตระหง่านทว่าทึบทึมจนน่าอึดอัด ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่เช่นนี้จะมีผู้คนอยู่อาศัย หากบอกว่าเป็นปราสาทผีสิงยังจะเข้าท่าเสียกว่า พ่อกับแม่ของเขาจะอยู่ในสถานที่แบบนี้จริง ๆ น่ะหรือ? เด็กชายได้แต่แหงนหน้ามองสิ่งปลูกสร้างแปลกประหลาดนั้นด้วยใจที่มีข้อกังขาอยู่มากมาย
เซเอลเดินตรงไปยังประตูบานใหญ่ซึ่งเป็นประตูหน้าของปราสาท แค่เพียงเจ้าตัวเดินเข้าไปใกล้ มันก็เปิดออกโดยไม่ต้องมีใครสัมผัสราวกับรู้ว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้คือเจ้าของของมันที่กลับมาถึงบ้านแล้วในที่สุด
ชายหนุ่มวางเด็กชายในอ้อมแขนลงเมื่อเข้ามาข้างในแล้ว และประตูบานหนาหนักก็ค่อย ๆ หับปิดลงด้วยตนเองเช่นเดิม
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าท่านจะพาเขามาที่นี่จริง ๆ” จู่ ๆ เสียงหญิงสาวคนหนึ่งก็ดังกังวานขึ้นอย่างไร้ทิศทางในโถงกว้าง เด็กชายที่ไม่เคยอยู่ในที่กว้างและสะท้อนเสียงไปมาได้อย่างนี้จึงรีบถอยกรูดไปหาที่พึ่งพิงหนึ่งเดียวที่ตนมีทันทีแม้จะไม่รู้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของใครก็ตาม
“เจ้ามีอะไรขัดข้องหรือ?” เซเอลกล่าวพลางเงยหน้าไปทางบันได ซึ่งด้านบนนั้นมีหญิงสาวผมแดงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ขั้นบนสุดและกำลังเดินลงมาด้วยท่าทีที่ไม่พึงใจนัก
“หากท่านคิดจะทำแล้ว ข้าจะขัดข้องอะไรได้”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มไม่แสดงอาการทุกข์ร้อนกับสภาพอารมณ์ของหญิงสาวก่อนจะเลิกผ้าคลุมขึ้น เรือนผมสีเงินแปลกตาจึงปรากฏให้เด็กชายเห็น เขาเผลอจ้องมองอย่างลืมตัวเพราะไม่เคยเห็นสีผมเช่นนี้มาก่อนแต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองกลับมา จึงหลบตาวูบอย่างเขินอาย เซเอลไม่ได้คิดอะไรกับท่าทางเช่นนั้นและหันไปพูดกับหญิงสาวต่อ “แล้วคัลดิช กับ คัลมาร์ ไปไหนเสีย?”
“กำลังทำเรื่องไร้สาระอยู่น่ะสิ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีแดงเพลิงกอดอกพลางทำหน้างอก่อนเหลือบตามองเด็กชายที่ทำตัวลีบเบียดเข้าไปหาเซเอลอย่างกับเธอเป็นยักษ์เป็นมาร “ข้าจะพาเขาไปดูห้องเอง ท่านไปพักผ่อนก่อนเถอะ อาหารวางรอที่ห้องนานแล้วเดี๋ยวจะเสียรสหมด”
“เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย วาลเซอิค เจ้าไปกับอาร์วิน่า นางจะพาเจ้าไปห้องพักของเจ้า” เซเอลกล่าวจบก็เดินเลี่ยงขึ้นบันไดไปด้านบน แม้วาลเซอิคจะอยากให้อีกฝ่ายไปด้วยกันเพราะเริ่มคุ้นเคยด้วยแล้วแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดเอาแต่ใจออกไป
“เจ้า...วาลเซอิคสินะ ตามข้ามาทางนี้” อาร์วิน่ากวักมือให้เด็กชายเดินตามมาด้วยกันแล้วยัดเทียนที่จุดแล้วให้ถือไว้ในมือ พวกเขาเดินขึ้นชั้นบนและเลี้ยวเข้าสู่ปีกซ้ายของปราสาทซึ่งมีห้องพักอยู่มากมาย แต่กลับไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่เลย ราวกับว่าที่นี่มีแต่เพียงพวกเขาเท่านั้น ไม่สิ...จะต้องมีอีกสองคนที่เซเอลเอ่ยชื่อถึงก่อนหน้านี้ด้วย พวกเขาจะเป็นคนแบบไหนกันนะ จะน่ากลัวหรือเปล่า?
อาร์วิน่าเดินนำมาจนกระทั่งถึงห้องหนึ่งและเปิดประตูห้องออก
“เข้าไปดูสิว่าเจ้าชอบหรือเปล่า”
วาลเซอิคมองผ่านประตูเข้าไป เห็นห้องนอนที่ดูหรูหราแปลกตาก็รู้สึกตื่นเต้น ยิ่งเมื่อได้รับคำอนุญาตแล้วจึงเดินดุ่มเข้าไปโดยไม่ได้คิดระแวดระวัง ทันใดนั้นเอง ก็มีลมวูบหนึ่งพัดเทียนที่วาลเซอิคถือมาก็ดับพรึ่บ ทุกสรรพสิ่งตกอยู่ในความมืดในบัดดล เด็กชายขวัญหนีดีฝ่อปล่อยเทียนหลุดมือพร้อมถลาถอยหลังออกมานอกห้อง แต่ขาของเขากลับถูกบางสิ่งบางอย่างจับเอาไว้แน่น
“หวา!!! ม...ไม่เอานะ ข้าจะกลับบ้าน!!!” เด็กชายกรีดร้องลั่นจะผวาไปหาอาร์วิน่าที่รอด้านนอก แต่กลับมามืออีกคู่ล็อคเขาจากด้านหลังแล้วปิดปากดึงเข้าไปในห้อง
เขาทั้งดิ้นทั้งร้องอู้อี้ หัวใจเต้นตึกตักเป็นรัวกลอง
หรือว่าจะถูกหลอกพามาเป็นอาหารในบ้านผีสิง!
ไม่เอานะ! ไม่เอา!
วาลเซอิคกลัวจนร้องไห้ออกมาทั้งที่กำลังโดนลากเข้าไปในห้องที่มืดมิด ทว่าก่อนที่จะมีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น แสงไฟจากเทียนเล่มหนึ่งก็สว่างวูบขึ้น จึงปรากฏให้เห็นชายหนุ่มสองคนที่เหมือนกับราวกับภาพสะท้อนในกระจกกำลังช่วยกันจับเด็กน้อยที่ดิ้นรนขัดขืนอยู่
“นายเจ้าคิดว่ากำลังเล่นอะไรกันอยู่น่ะ” อาร์วิน่านั่นเองที่เข้ามาช่วยไว้ทันเวลา เธอถือเทียนที่วาลเซอิคเผลอทำหลุดมือมาด้วย และก้มลงมองผู้ชายสองคนที่กำลังรุมรังแกเด็กห้าขวบด้วยสายตาเหนื่อยอกเหนื่อยใจ
“อาร์วิน่า เจ้าทำให้เรื่องเซอร์ไพรซ์หมดรสชาตินะ” แฝดคนหนึ่งพูดขึ้นเมื่อพบว่างานกร่อยเสียแล้ว
“ทั้งที่อุตส่าห์วางแผนอย่างดี อ้าว ร้องไห้เสียแล้วสิ” แฝดอีกคนพูดพลางลูบหัวปลอบเด็กชายที่นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความกลัวสุดขีดจนขาอ่อนปวกเปียก จะหนีก็หนีไม่ไหว ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียยังมาเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก พร่ำพูดแต่ว่าอยากจะกลับบ้าน
“ไหนเจ้าว่าพอทำแบบนี้แล้วเด็ก ๆ จะดีใจไง” แฝดคนแรกกลอกตา เขาไม่ชอบเสียงร้องไห้ของเด็ก ๆ เอาเสียเลย
“ก็ถ้าพามาถึงเตียงแล้วจุดเทียนทุกเล่มพร้อมกัน มันก็สวยดีไม่ใช่หรือ เด็ก ๆ ส่วนใหญ่ชอบเรื่องตื่นตาตื่นใจกันนี่?” แฝดที่กำลังพยายามปลอบเด็กหันมาตอบและรู้สึกเสียดายไม่น้อยที่อะไร ๆ ไม่เป็นไปตามมโนภาพที่วางเอาไว้ คิดว่าจะให้ความประทับใจแรกเริ่มกลายเป็นทำให้ฝังใจแต่แรกเริ่มเสียแทน
อาร์วิน่ากุมขมับอย่างเหนื่อยหน่ายกับแฝดคู่นี้
“พวกเจ้าออกไปทั้งคู่นั่นแหละ เดี๋ยวข้าจัดการที่เหลือเอง” เธอไล่ทั้งสองออกไป ชายหนุ่มฝาแฝดจึงต้องยอมทำตามเพราะตอนนี้พวกเขาคงทำอะไรไม่ได้แล้ว เมื่อประตูปิดลง เธอจึงเดินไปวางเชิงเทียนไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วอุ้มเด็กชายที่ยังขวัญเสียขึ้นไปนั่งบนเตียงนุ่ม “เจ้าตัวป่วนพวกนั้นออกไปแล้ว หยุดร้องเสียทีเถอะ”
“....ข้า....อยากกลับบ้านแล้ว...” วาลเซอิคป้ายน้ำตาป้อย ๆ
“เจ้าพูดอย่างกับว่าพูดแล้วจะกลับได้ทันทีอย่างนั้นแหละ ยังไงก็นอนไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน” อาร์วิน่าพูดกึ่งรำคาญแล้วไปหยิบเสื้อผ้าในตู้มาให้เปลี่ยน “ห้องน้ำอยู่ทางนั้น เจ้าไปล้างตาล้างตาก่อนแล้วค่อนนอนก็ได้ แต่ยังไงก็อย่าออกไปเดินข้างนอกตอนค่ำ ๆ มืด ๆ แบบนี้แล้วกัน ไม่อย่างนั้นก็อย่ามาหาว่าข้าไม่เตือน” หลังจากขู่สำทับเสร็จจนเด็กน้อยหน้าซีดเป็นไก่ต้มแล้ว หญิงสาวก็พลิ้วกายออกไปโดยทิ้งเทียนไว้ให้ในห้อง
ความเงียบสงัดปกคลุมลงมารอบกายของเด็กชายที่เพิ่งจะถูกพามาในสถานที่แปลกประหลาดและกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก
เขาจะต้องอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน....
เขาได้แต่คิดกับตัวเองวนเวียนเช่นนั้นจนกระทั่งผล็อยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
TBC
ปล. เรื่องนี้ไม่โชตะนะคะ 5555 /รู้นะว่ามีคนแอบหวัง
-
:mc4: :mc4:
:mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4: :mc4:
:mc4: :mc4:
-
งืมมม รออ่านค่ะ สงสารเด็กน้อยจริง
-
อุ่ย...ลืมเปลี่ยนหัวทอปปิกว่าอัพแล้ว
-
ว้าาา
น่าสงสารจัง เป็นเด็กเล็กๆต้องมาเจออะไรแบบนี้
รออ่านต่อนะคะ
ป.ล. ไม่โชะตะก็แสดงว่าเด็กน้อยคนนี้จะโดตสินะ ฮ่าๆ
-
ไม่หวังโชตะแม้แต่น้อยเพราะเราชอบโอจิ แอร๊ย~
นิยายแฟนตาซีล่ะ~~~ :m1: ชอบจังเลย~~~ ท่านผู้ต้องสาปสวยสง่าจังคะ หลง~~~
-
นึกว่าจะพรากผู้เยาว์ซะแล้ว 5 ขวบเองนะนั่น 555
ชอบทุกคนในปราสาทเลยอ่ะ แต่ละคนบุคลิกแตกต่างกันดี ปลื้มเป็นพิเศษคืิฝาแฝด ขี้แกล้งอ่ะ นิสัยไม่ดี กร๊าาาาาาากกกก (?)
คุณพระเอกทำคะแนนหน่อยนะ เด็กน้อยดูจะไม่ค่อยปลื้ม หุหุหุ
-
รอตอนต่อไปค่ะ เขี่ย ๆ ที่ปูเสื่อ ^^
-
รอดูกันต่อไป
-
good story !!!
+ duck
-
บทที่ 2 แดนไร้ทิวากาล
วาลเซอิคลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนที่ไม่คุ้นเคย เทียนเล่มนั้นดับไปนานแล้ว ทำให้ความมืดสลัวปกคลุมภายในห้องซึ่งอาจเป็นเพราะม่านหน้าต่างที่ปิดสนิทด้วยกระมัง แต่เมื่อเขาพยายามเขม้นมองออกไป กลับพบว่าตนเองไม่พบเจอแสงสว่างอย่างที่ยามเช้าควรจะเป็น หรือว่าตอนนี้ยังไม่เช้ากันแน่?
“เจ้าเด็กขี้เซา ตื่นได้แล้ว จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงเมื่อไหร่!” ประตูถูกดันเปิดออกพร้อมเสียงแหลมของหญิงสาวเจ้าของนามอาร์วิน่า
“แต่ว่ามันยังมืดอยู่เลย.....” วาลเซอิคงัวเงียและเพราะความอ่อนล้าทำให้เขาไม่สามารถบังคับตัวเองให้ตื่นเต็มตาได้ในทันที แม้จนถึงตอนนี้เขายังเพลียไม่หาย
“ที่นี่ก็มืดอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ หากเจ้ารอให้สว่างแล้วค่อยตื่นเจ้าคงได้นอนยันตาย” อาร์วิน่าตลบผ้าห่มออกเพื่อให้เด็กชายลุกขึ้น “ให้ตายสิเจ้านอนไปได้ยังไงกันนะ ทั้งตัวเลอะฝุ่นแบบนั้น” เธอบ่นพลางมองเตียงนอนและผ้าห่มที่ตอนนี้มีแต่ฝุ่นดินทราย
“ก็....มันน่ากลัว....” เด็กน้อยสารภาพตามจริงว่าตนเองกลัวเกินกว่าจะลุกจากเตียงไปไหนได้ ซ้ำยังเหนื่อยเสียจนไม่อยากขยับตัว
อาร์วิน่าไหวไหล่แล้วพยุงตัววาลเซอิคลงมา
“ช่างเถอะ เดี๋ยวมันก็เป็นเหมือนเดิมเอง” เธอพูดราวกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ในตอนแรกวาลเซอิคคิดว่าคงเพราะปราสาทหลังนี้มีคนรับใช้อยู่มากมายจึงไม่ได้คิดมากอะไร
หญิงสาวพาวาลเซอิคเข้าไปในห้องน้ำพร้อมกับเทียนเล่มหนึ่งและค่อย ๆ ไล่จุดตามเชิงเทียนทีละเล่ม ทำให้เขาได้เห็นห้องน้ำกว้างขวาง ประกอบไปด้วยอ่างอาบน้ำที่บรรจุน้ำอยู่เต็ม และผนังที่ทำจากหินอ่อนเป็นเงามัน สำหรับเด็กชายที่เติบโตในบ้านเล็ก ๆ การได้เห็นสิ่งที่แตกต่างทำให้เกิดความไม่คุ้นเคย ดังนั้นเมื่ออาร์วิน่ากำลังจะเดินออกไป เขาก็รีบเดินไปเกาะชายกระโปรงแน่น
“ข้า...ไม่อยากอยู่คนเดียว อยู่เป็นเพื่อนได้ไหม?” วาลเซอิคช้อนตามองอย่างน่าสงสาร
อาร์วิน่าถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย เธอรู้สึกว่าตัวเองช่างมีสัญชาตญาณความเป็นแม่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาแต่ไหนแต่ไร พอถูกอ้อนจึงเกิดความรู้สึกรำคาญแต่ก็ไม่อาจปล่อยปละละเลยได้ เพราะเดี๋ยวเจ้าเด็กนี้ก็คงร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก ถึงตอนนั้นใครจะมานั่งปลอบ
แต่อย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิง แม้อีกฝ่ายจะเป็นแค่เด็กผู้ชายก็เถอะ
“เอาอย่างนี้ เจ้ารอตรงนี้ก่อนแล้วเดี๋ยวข้ากลับมา” หลังพูดจบเธอก็จะเดินออกไปแต่วาลเซอิคกลับไม่ยอมปล่อยชายกระโปรง
“แต่ว่า...”
“ถ้าเจ้ายังมีแต่อะไรอีกข้าจะขังเจ้าไว้ในนี้เสียเลย!” อาร์วิน่าแผดเสียงด้วยความรำคาญใจ แต่พอเห็นหน้าเบะเหมือนจะร้องไห้เธอก็พบว่าตนเองพลาดเสียแล้ว “เดี๋ยว! หยุด! ห้ามร้องเลยนะ! รู้แล้ว ๆ ข้าไม่ไปไหนก็ได้ อยากจะเปลือยกายล่อนจ้อนให้ข้าเห็นก็สบายสบายเจ้าเลย เอ้า!” เธอรีบชิงตัดบทก่อนที่เด็กชายจะร้องออกมา แล้วกอดอกหันหลังให้ด้วยอารมณ์หงุดหงิด นึกถามตัวเองว่าทำไมเธอถึงต้องรับหน้าที่ดูแลเจ้าเด็กคนนี้ด้วย
ซึ่งหากย้อนกลับไปก่อนหน้านี้สัก 3 ชั่วโมง ในเวลานั้นทุกคนในปราสาทอันประกอบด้วย เซเอล คัลดิช คัลมาร์ และตัวเธอเองกำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดว่าพวกเขาซึ่งเป็นผู้ต้องสาป มีชีวิตผิดแผกจากมนุษย์ปกตินั้นจะเลี้ยงดูลูกมนุษย์อย่างไร
“เรื่องอาหารคงไม่มีปัญหา ในเมื่อปกติพวกเราก็กินเลือดสัตว์อยู่แล้ว” คัลดิชพูดแล้วไหวไหล่ ซึ่งก็จริงอย่างเจ้าตัวว่า พวกเขาดื่มเลือดสัตว์แทนเลือดมนุษย์มานานแล้ว แต่ก่อนนี้ก็เข้าไปล่ามนุษย์ แม้ไม่เคยถึงชีวิตแต่ก็ทำให้เกิดความหวาดกลัวทำให้พวกเขาต้องล่ามนุษย์เพียงนาน ๆ ครั้งทั้งที่เลือดมนุษย์คืออาหารอันโอชะ ทว่าหลังจากที่เจ้านายของพวกเขา เซเอล ตัดสินใจที่จะทำบางอย่างลงไป การดื่มกินเลือดมนุษย์จึงกลายเป็นเรื่องต้องห้าม พวกเขาที่เป็นผู้อาศัยในปราสาทจึงต้องยอมอดไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้
และจากประเด็นนี้ พวกเขาจึงคิดว่าแทนที่จะดื่มแต่เลือดก็ล่าทั้งตัวมาเป็นอาหารให้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ด้วยเสียเลย ส่วนการทำให้อาหารสุกนั้น...คงไม่ใช่เรื่องยากเกินตัวของ “ปราสาท” หลังนี้
เรื่องอาหารการกินเป็นประเด็นที่เริ่มและได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็ว
เรื่องถัดมาที่เป็นปัญหาของเธอก็คือ การดูแลวาลเซอิคและคอยสอนเรื่องการดำรงชีวิตในปราสาทหลังนี้ ซึ่งนับเป็นภาระหน้าที่สำคัญ เพราะหากไม่มีใครรับหน้าที่นี้ วาลเซอิคอาจจะอยู่อย่างยากลำบากและไม่สามารถความแตกต่างระหว่างพวกเขาและตนเองได้
ซึ่งพอมีการยกประเด็นนี้ขึ้นมา ทุกสายตาก็หันมามองเธอเป็นจุดเดียว
“จะบ้าหรือเปล่า! ข้าไม่ทำเรื่องอะไรแบบนั้นแน่!”
“แต่ในจำนวนพวกเรา เจ้าเป็นผู้หญิงคนเดียว” คัลมาร์ให้เหตุผล “ข้าเคยได้ยินว่าเด็ก ๆ มักต้องการความรักจากแม่ไม่ใช่หรือ?”
“แต่...”
“เมื่อคืนก็เป็นเจ้าที่ทำให้เจ้าเด็กนั่นหยุดร้องแล้วยอมนอนได้ คงไม่มีใครเหมาะเท่าเจ้าอีกแล้ว” คัลดิชรีบเสริมก่อนที่เธอจะได้ชี้แจ้ง
“แต่ว่า...”
“เช่นนั้น....” และก่อนเธอจะได้โอกาสพูดคัดค้าน เสียงจากหัวโต๊ะก็ทำให้ทุกเสียงที่ถกเถียงหยุดชะงัก เซเอลจ้องมองมาด้วยดวงตาเรียบเฉย “....เจ้าคงจะเหมาะสมที่สุดในหมู่พวกเรา ข้าฝากเจ้าดูแลเขาด้วยก็แล้วกัน”
เมื่อเซเอลตัดสินลงไปแล้วทุกอย่างก็เป็นอันสิ้นสุด อาร์วิน่าทำได้แค่ยอมรับมันอย่างเสียไม่ได้
และเพราะเหตุทั้งหมดทั้งปวงนั้น ทำให้เธอต้องมาอยู่ที่นี่ตอนนี้และพยายามระงับสติอารมณ์ไม่กระโดดขย้ำคอเด็กชายขี้แยตรงหน้า
ถ้าหากเพียงแค่คัลมาร์ไม่พูดเรื่องที่เธอเป็นผู้หญิงขึ้นมาล่ะก็...
มันน่าโมโหเสียจริง!
“เจ้าดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะ” แต่แล้วเสียงของคนที่กำลังคิดถึงก็แทรกเข้ามาในโสตประสาท คัลมาร์ยืนอิงวงกบประตูด้วยท่าสบาย ๆ
“จงใจมายั่วอารมณ์ข้าหรือยังไงกัน” อาร์วิน่าตวัดเสียงใส่อย่างไม่สบอารมณ์
“เปล่า ๆ ขอโทษที” ชายหนุ่มรีบโบกมือด้วยเกรงว่าจะถูกอาละวาดใส่ “ข้ามาช่วยผลัดเวรเท่านั้นเอง เมื่อตอนประชุมพวกข้าแค่แกล้งเจ้าเล่น แต่อย่างไรพวกเราก็ต้องช่วยกันดูแลเด็กคนนี้อยู่แล้ว หากเจ้าดูแลคนเดียวมีหวังเผลอกินเข้าไปสักวันแน่” แม้จะพูดทีเล่นทีจริง แต่เขาก็รู้นิสัยเพื่อนสาวผู้นี้ดีว่าอารมณ์ร้ายแค่ไหน หากให้ดูแลจริง ๆ อาจจะเผลอกินเข้าไปอย่างที่พูดก็ได้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จัดการต่อด้วยแล้วกัน” อาร์วิน่าคร้านจะต่อล้อต่อเถียงจึงสะบัดตัวเดินออกไปทิ้งให้ดัลมาร์ดูแลที่เหลือต่อ
แต่...
อาจเป็นเพราะความฝังใจจากการพบกันครั้งแรก แทนที่การจากไปของอาร์วิน่าจะทำให้เด็กชายสบายใจและกลับทำให้รู้สึกผวากว่าเดิมเมื่อพบว่าตนเองต้องอยู่ตามลำพังกับคัลมาร์ ผู้ชายหนึ่งในสองคนที่ทำให้เจ้าตัวเกือบหัวใจวายตายเมื่อคืนนี้
และด้วยเหตุนั้น วาลเซอิคจึงทำตัวลีบติดกำแพงเมื่อคัลมาร์เดินเข้ามาใกล้เพื่อช่วยจัดการเรื่องเสื้อผ้า
ชายหนุ่มมองความหวาดกลัวนั้นแล้วหัวเราะ แต่สายตาของเขากลับเลื่อนไปพบรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ที่กินบริเวณหัวไหล่ขวาจนถึงต้นแขน เขาหยุดหัวเราะแล้วเลื่อนสายตากลับมาที่ใบหน้าเด็กชายโดยไม่แสดงท่าทีแปลกประหลาดใจใด ๆ ออกมา
“ข้าไม่กัดเจ้าหรอก ความจริงแล้วข้าควรจะต้องขอโทษเจ้าเรื่องเมื่อคืน ที่นี่ไม่มีแขกมานานแล้วโดยเฉพาะเด็ก ๆ อย่างเจ้า” คัลมาร์ยิ้มให้อย่างอารี “เจ้าคงลำบากแย่ที่ที่นี่มืดมิดแทบตลอดเวลา ถึงจะมีเชิงเทียนตั้งอยู่ทั่วแต่พวกข้าก็ชินกับความมืดจนไม่จำเป็นต้องใช้ แต่เจ้าคงต้องใช้เวลาสักหน่อย”
“....แล้วถึงตอนนั้น....ข้าจะ.....” เพราะคัลมาร์ชวนคุยได้ดีหรืออย่างไรไม่ทราบ วาลเซอิคจึงเริ่มยอมพูดออกมาแม้จะยังเบียดตัวเองอยู่กับผนังก็ตามที คัลมาร์ที่ได้ยินคำพูดแผ่วเบานั้นจึงหันมองด้วยสายตาฉงนพลางยิ้มขำเด็กชายที่กระมิดกระเมี้ยนอย่างน่าเอ็นดู
“อยากถามอะไรก็ถามข้าได้ ข้าไม่ดุเจ้าแน่” เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง
“....ข้าจะ.....มีตาสีแดงเหมือนพวกท่านหรือเปล่า?”
คำถามของวาลเซอิคทำให้เสียงหัวเราะและรอยยิ้มเลือนหายไปในทันที ดวงตาของคัลมาร์ฉายแววแปลกประหลาดออกมาชั่วครู่ก่อนยกมือขึ้นสัมผัสเปลือกตาตนเองเพื่อปกปิดความรู้สึกเหล่านั้น
“อันนี้มันค่อนข้างจะพิเศษอยู่สักหน่อย ตาของเจ้าก็เป็นสีเขียวสวยดีอยู่แล้ว ข้ายังอิจฉาเลย” คัลมาร์ยีผมเด็กชายแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน “เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะไปเอาชุดใหม่มาให้ระหว่างที่เจ้าอาบน้ำ ตู้อยู่ข้างนอกนี้เองแล้วก็เปิดประตูไว้ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ตะโกนดัง ๆ แล้วกัน แล้วข้าจะรีบเข้ามา” ว่าจบเขาก็ลุกขึ้นแล้วเก็บเสื้อผ้าที่วาลเซอิคถอดไว้แล้วขึ้นมาพาดบนแขนและสามารถเดินออกไปจากห้องน้ำได้โดยที่เด็กชายไม่ยึดตัวไว้
วาลเซอิคที่ถูกกล่อมให้รู้สึกวางใจแม้จะระแวงอยู่บ้างแต่ก็เห็นเงาตะคุ่มของอีกฝ่ายที่นอกประตูจึงใจชื้นอยู่บ้างแม้จะอยู่คนเดียวในห้องน้ำกว้าง
-------------------->
หลังจากอาบน้ำเสร็จ คัลมาร์ก็พาวาลเซอิคลงมาที่ห้องทานอาหาร ซึ่งมีโต๊ะยาวสามารถนั่งได้หลายคนตั้งอยู่ กระนั้นกลับมีอาหารวางเพียงชุดเดียว
“อาหารมื้อแรกของเจ้าจะเป็นอะไรกันนะ” คัลมาร์ดูจะตื่นเต้นไปด้วยทั้งที่ตนเองไม่ใช่เจ้าของอาหารชุดนั้น เขาอุ้มวาลเซอิคให้นั่งบนเก้าอี้แล้วเปิดฝาครอบเงาวับขึ้น จึงเห็นเนื้อกระต่ายอบหมักกับเครื่องเทศหอมกรุ่นวางเรียงบนจานอย่างสวยงาม
“อันนี้ของข้าหรือ?” วาลเซอิคไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นของที่เตรียมไว้สำหรับเขาเพราะความหรูหราของมัน สำหรับชาวบ้านแบบเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มากเกินไปจนไม่กล้าแตะต้อง
“แน่นอน ของเจ้าสิ” คัลมาร์ตอบโดยไม่คิดมาก เพราะหากไม่ใช่ของเด็กคนนี้คงเป็นของใครอื่นไปไม่ได้ สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ห่างไกลจากความเป็นจริง กลิ่นอันหอมหวานของเครื่องเทศไม่ได้กระตุ้นความอยากอาหาร และรสชาติอันโอชาของมนุษย์ก็เสมือนเม็ดทรายบนปลายลิ้น แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาหิวโหยนั้น....คือเลือดเนื้ออันอ่อนนุ่มและหอมหวนของเด็กมนุษย์ตรงหน้านี้ต่างหาก...
เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอาร์วิน่าจึงไม่ชื่นชอบการอยู่ใกล้วาลเซอิคสักเท่าไหร่....
“ข้านั่งด้วยแบบนี้ทำให้เจ้าเกร็งหรือเปล่า? ถ้าเจ้าอยากกินคนเดียวข้าจะออกไปก่อนก็ได้” ยังไงก็คงจะดีต่อทั้งเขาและอีกฝ่าย จากที่พวกเขาคุยกันไว้ หากอยู่ใกล้เด็กคนนี้นานเกินไปมีแต่จะทำให้กระหายจนทนไม่ไหวจึงต้องคอยสลับเวรกันมาดูแลแล้วอีกหน่อยคงจะคุ้นชินกันไปเอง แต่วาลเซอิคกลับส่ายศีรษะ
“ที่นี่น่ากลัว....”
คัลมาร์ถอนหายใจ ยังไงคัลดิชคงไม่ใจดีมาสลับกับเขาตอนนี้แน่ ๆ ช่างเป็นเวรกรรมของเขาจริง ๆ ที่ไปแกล้งหลอกให้ตกใจตั้งแต่วันแรก จากที่กลัวอยู่แล้วเลยยิ่งหวาดผวากว่าเดิม สำหรับวาลเซอิค สถานที่นี้คงไม่ต่างกับปราสาทผีสิงไปแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็รีบกินเถอะเดี๋ยวมันจะเย็นหมด” เขาตัดบทอย่างปลงตก
เมื่อได้รับคำอนุญาต วาลเซอิคจึงหยิบมีดและส้อมขึ้นมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ เก้าอี้ค่อยข้างจะต่ำเกินไปสำหรับเด็กอายุห้าขวบแบบเขาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทันได้นึกถึง
“มื้อต่อไปคงต้องหาเบาะมารองเพิ่มเสียล่ะมั้ง...” คัลมาร์มองท่าทางการกินอันยากลำบากนั้นโดยไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง แต่แล้วก็มีเสียงเปิดประตูห้องอาหารเขาจึงหันไปมองเพราะคิดว่าคัลดิชมาผลัดแล้ว ทว่าคนที่เขาเห็นกลับเหนือความคาดหมาย “นายท่าน?”
“เจ้าไปเถอะ ข้าจัดการที่เหลือเอง”
ด้วยโทนเสียงที่คุ้นเคยเรียกให้วาลเซอิคหันไปมองเช่นกัน และได้พบกับชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินซึ่งเป็นคนพาตนมาที่นี่
“เช่นนั้นเจ้าอยู่กับ....ท่านเซเอลก็แล้วกัน นายท่านไม่น่ากลัวหรอกไม่ต้องห่วง” คัลมาร์พูดจบก็เดินเลี่ยงออกไปโดยเซเอลเดินสวนเข้ามานั่งแทนที่
“ไม่สะดวกหรือ?” เขาสังเกตได้ในทันทีว่าเด็กชายนั่งต่ำเกินไปจนทำอะไรไม่ถนัด
วาลเซอิครีบส่ายศีรษะและพยายามจะจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าด้วยตนเอง เขาไม่กล้าที่จะยื่นมือไปขอความช่วยเหลือจากคนเหล่านี้มากเกินไปเพราะยังไม่คุ้นเคยกันนัก สำหรับเด็กแล้วความเชื่อใจแต่แรกพบเป็นสิ่งสำคัญและคนเหล่านี้ทำให้เด็กชายรู้สึกกลัวมากกว่าเชื่อใจ ด้วยเหตุนั้น นอกจากการเอ่ยปากขอให้อยู่เป็นเพื่อนแล้ว เขาก็ไม่กล้าออกปากขอสิ่งใดอีก
ตัวเซเอลเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมาก่อน เมื่อตัวเด็กไม่พูดอะไรเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
ในที่สุดเขาจึงลุกขึ้นแล้วเลื่อนเก้าอี้ของวาลเซอิคออก อุ้มเด็กชายลงวางบนพื้นและขึ้นไปนั่งแทน
วาลเซอิคมองการกระทำนั้นอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งชายหนุ่มเอ่ยปาก
“ขึ้นมาสิ”
เด็กชายเบิกตามองอย่างไม่เชื่อหู นี่ผู้ชายคนนี้อนุญาตให้เขาขึ้นไปนั่งซ้อนบนตักหรือ? แต่ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายเขาก็ยังไม่กล้ากระทำเรื่องแบบนั้นกับคนที่ไม่ไว้ใจเต็มร้อยอยู่ดี วาลเซอิคจึงยืนลังเลใจซึ่งในสายตาผู้ใหญ่แล้วจะดูเหมือนเด็กกำลังยืนกระมิดกระเมี้ยนเขินอายอยู่นั่นเอง
เซเอลเห็นดังนั้นจึงก้มลงไปอุ้มขึ้นมานั่งตักด้วยตนเอง
“สบายกว่าหรือไม่?”
วาลเซอิคพยักหน้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ รู้สึกเกร็งจนไม่รู้จะทำอย่างไร ยิ่งบุคลิกของเซเอลนั้นดูสูงส่งยากจะเอื้อมถึงในหมู่ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ด้วยแล้ว หากทำอะไรผิดพลาดไปเขาอาจจะถูกดุด่าเอาก็ได้ จากที่ควรจะกินได้สะดวกขึ้นจึงกลายเป็นทำได้ลำบากยิ่งกว่าเดิม กระนั้นเซเอลก็คล้ายจะมีความอดทนสูงพอตัว ถึงแม้วาลเซอิคจะทำอะไรชักช้าเขาก็ไม่ได้พูดเร่งแม้แต่คำเดียว กลับกัน เขากำลังคิดอยู่ว่าจะหาเรื่องใดมาพูดคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดที่ตนเองสร้างขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
“เจ้าเคยถามใช่หรือไม่ว่าข้ารู้ชื่อของเจ้าได้อย่างไร”
เด็กชายเอี้ยวคอมองอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า
ดวงตาสีแดงเลือดสะท้อนความอ่อนโยนออกมาชั่วขณะหนึ่ง
“ในชื่อของเจ้ามีข้าอยู่ นางเป็นคนบอกกับข้าว่าหากเจ้าเกิดจะตั้งชื่อนี้ให้” เขาหวนกลับไปคิดถึงความทรงจำในช่วงเวลานั้น หญิงสาวที่ทำให้หัวใจอันเย็นชาสั่นไหวด้วยความรู้สึกที่แสนแปลกประหลาด “และนางก็ไม่ทันได้คิดชื่ออื่นไว้ข้าจึงตั้งชื่อนี้ให้เมื่อพบเจ้าในกองไฟ”
กองไฟ?
วาลเซอิคคิดทวนคำในใจ
“....ข้ามีแผลเป็นแปลก ๆ อยู่ ตากับยายบอกว่าข้าเคยตกลงไปในกองไฟสมัยจำความไม่ได้” เพราะรอยแผลเป็นนั้นทำให้เขาไม่เคยถอดเสื้อให้ใครเห็นเลยเพราะตากับยายกลัวว่าเขาจะถูกพวกเพื่อน ๆ ล้อเลียน “ท่าน....เป็นคนช่วยข้าไว้หรือ?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด” เซเอลตอบ เขาไม่แปลกใจที่เด็กคนนี้จะมีแผลเป็นเพราะในตอนนั้นเปลวไฟไหม้ลามจนลุกไหม้ผิวเนื้อ ด้วยฐานะทางบ้านของสองตายายคงไม่สามารถให้การรักษาพยาบาลจนกระทั่งไม่มีบาดแผลใด ๆ หลงเหลืออยู่ได้
“แล้วตอนนั้น...พ่อกับแม่...”
“.....พวกเขาไม่อยู่”
ดวงตาของวาลเซอิคหมองลงเล็กน้อย ด้วยจิตใจของเด็ก ย่อมอยากจะรู้จักพ่อแม่ของตนเอง เมื่อเขาเห็นคนอื่นมีพ่อแม่ก็รู้สึกอิจฉาและกลับมาถามตากับยายทุกครั้ง แต่ทั้งสองก็ตอบเลี่ยง ๆ เหมือนไม่อยากจะพูดถึงมัน ความจริง...เขาคงจะเป็นเด็กที่ถูกพ่อแม่ทิ้งแน่ ๆ
ท่าทางหดหู่ของวาลเซอิคทำให้เซเอลถอนหายใจออกมา
“รีบกินให้หมดเสีย แล้วข้าจะพาไปดูส่วนอื่น ๆ ของปราสาท” เขาตัดสินใจหยุดพูดเรื่องนั้นแล้วปล่อยให้เด็กชายได้กินอาหารเงียบ ๆ
----------------------->
-
ปราสาทหลังกว้างที่ไม่มีแสงสว่างจากภายนอกลอดผ่านเข้ามาทำให้วาลเซอิคต้องถือเชิงเทียนติดมือไว้เสมอ เซเอลเดินนำเด็กชายไปที่ห้องต่าง ๆ ในส่วนที่เจ้าตัวน่าจะมีโอกาสได้ใช้งาน อย่างเช่นห้องหนังสือ ทางเดินลงไปที่สวนด้านล่าง และห้องนั่นเล่นซึ่งคัลดิช คัลมาร์ กับอาร์วิน่ากำลังพักผ่อนสนทนากันอยู่ เมื่อวาลเซอิคเดินเข้าไป เสียงของการพูดคุยก็ชะงักกะทันหัน
“พวกเจ้าอยู่พร้อมหน้าก็ดีแล้ว” เซเอลเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง “จะได้แนะนำตัวกันเสียที”
“นั่นสินะ จะว่าไปพวกเรายังไม่ได้แนะนำตัวให้รู้จักเลย” คัลมาร์เดินไปจูงวาลเซอิคมานั่งบนโซฟายาวที่ตนเองนั่งอยู่เมื่อครู่ “ข้าคัลมาร์ ส่วนนี่ฝาแฝดข้าชื่อคัลดิช ปกติพวกเราจะมีหน้าที่ออกไปล่าสัตว์ดังนั้นเจ้าอาจจะไม่เจอพวกเราในบางเวลา”
“กระต่ายที่เจ้าเพิ่งกินไปก็ฝีมือพวกเราจับนั่นแหละ” คัลดิชเสริมแล้วไหวไหล่ เจ้าตัวมีบุคลิกที่ห่างเหินกว่าคัลมาร์แต่ก็ไม่ได้ดูมีพิษภัยมากนัก วาลเซอิคสามารถแยกทั้งสองออกจากกันได้ในทันทีด้วยบุคลิกที่ต่างกันจนเห็นได้ชัดนี้แม้จะมีใบหน้าเหมือนกันมากก็ตาม
“ส่วนอาร์วิน่ากับนายท่านเจ้าคงรู้จักแล้ว”
วาลเซอิคมองไปทางหญิงสาวผมแดงที่ใบหน้าบอกบุญไม่รับแทบตลอดเวลาก่อนเลื่อนสายตาไปทางชายหนุ่มผมเงินที่นำทางคนมาถึงที่นี่
“ข้ามีหน้าที่คอยดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่นี่ ดังนั้นถ้าเจ้ามีปัญหาอะไรก็บอกข้าได้ทุกเรื่อง” อาร์วิน่าแนะนำหน้าที่ตัวเอง ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นหน้าที่ของผู้หญิงธรรมดาแต่ในความเป็นจริงแล้วเธอมีหน้าที่คอยดูแลบริเวณรอบ ๆ อาณาเขตปราสาทว่ามีมนุษย์กล้ำกรายเข้ามาหรือไม่ กระนั้นสถานที่นี้ก็เป็นที่รู้กันว่าเป็นแดนต้องสาปทำให้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มานานแสนนานแล้ว
“แล้วข้า...?”
“เจ้ารอโตกว่านี้อีกสักหน่อยก็แล้วกัน” เซเอลตอบ เด็กมนุษย์นั้นอ่อนแอเกินกว่าจะใช้งานได้แต่แรกเริ่ม “ระหว่างนี้เจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่จนกว่าจะถึงเวลานั้น”
ข้อกำหนดที่วาลเซอิคอยู่ที่นี่นั้นข้อสำคัญที่สุดคือพวกเขาไม่ต้องการให้เด็กคนนี้ข้องเกี่ยวกับมนุษย์อีก ด้วยเหตุนี้ วาลเซอิคจึงเสมือนถูกกักขังไว้ในปราสาท
แต่การอยู่อาศัยของวาลเซอิคก็ไม่ได้ยากลำบากอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก อาจเพราะยังเด็กจึงสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งต่าง ๆ ได้ง่าย เพียงไม่นาน จากความกลัวก็ค่อย ๆ กลายเป็นความคุ้นเคย โดยเฉพาะกับฝาแฝดคัลดิชและคัลมาร์ที่เป็นผู้ชายด้วยกันและมีนิสัยซุกซนอยู่แล้วจึงหาเรื่องละเล่นแปลก ๆ อยู่เสมอ คนที่มีปัญหากับเรื่องนี้ที่สุดเห็นจะเป็นอาร์วิน่าที่เป็นเป้าหมายการเล่นซนของทั้งสามคน ถึงแม้เธอจะอาละวาดรุนแรงแค่ไหน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานไปนิสัยขี้โวยวายและโมโหง่ายของเธอก็กลับกลายเป็นเรื่องสนุกมากกว่าน่ากลัว
ส่วนเซเอล...ซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในที่นี้และเป็นคนเดียวที่ไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย มักจะมองดูทุกสิ่งอยู่ห่าง ๆ โดยไม่เอาตนเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น หลาย ๆ ครั้งที่เขาเฝ้ามองวาลเซอิคด้วยสายตาซึ่งแอบแฝงความรู้สึกอันลึกซึ้งต่อเค้าลางบางอย่างที่เขาเห็นบนใบหน้าของเด็กคนนี้
และสายตานั้นก็ปรากฏให้วาลเซอิคเห็นอยู่เนือง ๆ ในเวลาที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว
ความรู้สึกพิเศษที่ถ่ายทอดผ่านดวงตาคู่นั้นเสมือนดึงดูดให้เด็กชายพาตนเองเข้าไปหาอีกฝ่ายโดยไม่รู้เหตุผล แต่เมื่อรู้ตัวกันอีกครั้ง วาลเซอิคก็กลายเป็นคนที่ใกล้ชิดเซเอลที่สุดในหมู่ผู้อาศัยในปราสาทไปเสียแล้ว
------------------------------>
แต่เด็กมนุษย์ก็ย่อมเติบโตตามกาลเวลา พออายุได้สิบปีเซเอลก็ให้คัลดิชและคัลมาร์พาออกไปฝึกล่าสัตว์เพื่อหาอาหารให้ตนเอง ในช่วงเวลานั้นวาลเซอิคไม่ได้นึกสงสัยเลยว่าเหตุใดตนจึงเป็นผู้เดียวที่กินของเหล่านี้ส่วนคนอื่น ๆ ต้องการเพียงเลือดของสัตว์ที่ล่าได้
ปัญหาที่แท้จริงนั้นเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อวาลเซอิคอายุสิบสามปี....
เมื่อในวันหนึ่งเจ้าตัวไม่ยอมลุกจากเตียงไม่ว่าใครจะเข้าไปปลุกก็ตาม
“เริ่มเข้าวัยต่อต้านหรือยังไงกันนะ” อาร์วิน่าบ่นอุบเพราะเธอเป็นคนแรกที่เข้าไปและวาลเซอิคก็ซุกตัวเข้าไปใต้ผ้าห่ม ปฏิเสธไม่ยอมออกมาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“แต่เมื่อวานก็ยังปกติดีอยู่นี่?” ดัลดิชว่า เมื่อวานนี้เจ้าตัวก็ออกไปด้วยกันกับพวกเขาตามปกติไม่ได้แสดงอาการแปลก ๆ อะไรออกมาเลย
“มนุษย์นี่เดี๋ยว ๆ ก็เปลี่ยนแปลงกันง่ายจริง พวกเราเริ่มจะตามไม่ทันแล้วสิ” คัลมาร์แสดงสีหน้าหนักใจขณะเดินออกมาเมื่อความพยายามอีกครั้งล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง วาลเซอิคไม่ยอมพูดกับเขาสักคำ ไม่ยอมแม้แต่จะโผล่หน้าออกมาจากผ้าห่มให้เขาเห็น
“ยังไงก็ต้องลากออกมาให้ได้นั่นแหละ ก่อนที่นายท่านจะ.....” อาร์วิน่าพูดยังไม่ทับจบประโยคริมฝีปากของเธอก็อ้าค้างอยู่อย่างนั้นเมื่อสายตาเลื่อนไปเห็นเซเอลที่มายืนอยู่ด้านหลังคัลดิชตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบได้
“ข้าทำไมหรือ?”
หญิงสาวหันไปมองหน้าสองแฝดเหมือนผลักภาระให้พูดแทนทันที ซึ่งทั้งสองก็มองหน้ากันไปมาก่อนที่คัลดิชจะตัดสินใจเป็นคนพูด
“วาลเซอิค...ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พวกเราเข้าไปเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมลุกจากเตียง พวกเราเลยกำลังปรึกษากันว่าจะเอายังไงดี”
เซเอลฟังแล้วก็มองเข้าไปในห้อง เห็นเด็กชายที่ขดตัวนิ่งใต้ผ้าห่มเหมือนกำลังพยายามซุกซ่อนตัวเองจากบุคคลอื่น
“เมื่อวานนี้มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”
ทั้งสามมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจส่ายศีรษะ สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกว่าต่างก็ไม่รู้สาเหตุและไม่มีกระทั่งเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้รู้สึกเอะใจ เซเอลจึงสรุปในใจว่าถึงจะถามทั้งสามต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องด้วยตนเองโดยมีคัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่ามองสังเกตการณ์อยู่ข้างนอกเพื่อดูว่าเจ้านายของพวกเขาจะทำได้สำเร็จหรือไม่
เสียงฝีเท้าที่คืบเข้าใกล้เตียงทำให้ร่างใต้ผ้าห่มเกิดการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก่อนจะสงบนิ่งเช่นเดิม เซเอลค่อย ๆ แตะมือลงบนบริเวณที่น่าจะเป็นไหล่ ทันใดนั้นร่างข้างใต้ก็ผวาเฮือกและขยับตัวหนีทั้งที่ไม่ยอมปล่อยผ้าห่มผืนหนา กลับกัน วาลเซอิคยิ่งดึงมันแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“เจ้าเป็นอะไรไป?” เซเอลเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว “เจ้าจงใจหลบหน้าอย่างนี้คิดว่าจะซ่อนตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มได้จนถึงเมื่อไหร่กัน”
....
ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากร่างบนเตียง
“ตามใจเจ้าก็แล้วกัน” ว่าแล้ว เซเอลก็หย่อนตัวนั่งลงบนเตียง ซึ่งเป็นเสมือนการแข่งความอดทนระหว่างเขาและวางเซอิคกลาย ๆ ว่าใครจะหมดความอดทนยอมล่าถอยก่อนกัน ซึ่งหากเทียบกันแล้ว เซเอลถือว่าเป็นคนที่มีความอดทนสูงมากกับการอยู่นิ่ง ๆ เขาสามารถนั่งอยู่เฉย ๆ ได้เป็นชั่วโมงโดยไม่ขยับไปไหนเลย ในขณะที่วาลเซอิคอยู่ในสถานภาพที่เสียเปรียบเพราะซุกใต้ผ้าห่มจึงแทบไม่มีอากาศหายใจ และเจ้าตัวก็เริ่มหิวแล้ว ทำให้การแข่งขันความอดทนของทั้งสองใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมง วาลเซอิคก็พูดเสียงแผ่วให้เพียงตนเองและอีกฝ่ายได้ยิน
“ถ้าท่าน...สัญญาว่าจะไม่บอกใคร....”
เซเอลกลอกตาเล็กน้อยก่อนจะเปล่งเสียงรับคำในคอ
“อย่าหัวเราะด้วย...”
เขาส่งเสียงในคออีกครั้งแล้วทำสัญญาณมือให้ทั้งสามคนด้านนอกไปทำธุระของตัวเอง แม้ว่าอาร์วิน่าและฝาแฝดจะสงสัยว่าวาลเซอิคเป็นอะไร แต่เมื่อเซเอลสั่งให้ออกไปแปลว่าเด็กคนนั้นคงไม่อยากให้พวกเขารับรู้ด้วย จึงปิดประตูลงและแยกย้ายไปหาอะไรทำ
“ว่ามาสิ ข้ากำลังฟัง” เซเอลกระตุ้นให้อีกฝ่ายยอมพูดออกมาหลังจากห้องนี้เหลือแต่พวกเขาแค่สองคน
วาลเซอิคค่อย ๆ เลื่อนผ้าห่มให้พ้นใบหน้า แก้มของเขาแดงเรื่อไปด้วยเลือดฝาดซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะร้อนและกลั้นหายใจใต้ผ้าห่มเป็นแน่
“ข้า.....ฝันถึงใครบางคน....”
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เซเอลคิดในใจ สมองคนเราคิดถึงคนได้มากมาย บางครั้งก็เก็บเอามาฝันได้ มันดูไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายอยากหลบหน้าคนอื่นถึงขนาดนี้
“แล้วก็มีบางอย่างเกิดขึ้น....” วาลเซอิคเล่าความตะกุกตะกัก ดูไม่ปะติดปะต่อสักเท่าไหร่ “แล้ว....แล้วข้าก็ตื่นขึ้นมา...”
“เจ้าฝันร้ายหรือ?”
วาลเซอิคส่ายศีรษะแรง
“ก็....ไม่เชิง...” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น ริ้วแดงที่แก้มก็ลากไปถึงใบหู
“แล้วมันยังไงกัน?” เซเอลมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย เพราะพูดวนไปวนมาแล้วเขาก็ยังจับใจความไม่ได้ว่าเหตุใดวาลเซอิคจึงต้องซุกตัวเองใต้ผ้าห่มไม่ยอมให้ใครเห็นหน้า
“ค...คือว่า......” สีหน้าวาลเซอิคเหมือนกำลังอับอายอย่างมาก แต่เมื่อเป็นเซเอล...คงจะทำความเข้าใจเขาอย่างเงียบ ๆ และไม่หัวเราะเยาะ พอคิดแบบนั้นวาลเซอิคจึงกลั้นใจตลบผ้าห่มออก เปิดเผยสิ่งที่ตนเองซ่อนเร้นเอาไว้ให้อีกฝ่ายได้เห็นโดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความอีก
เมื่อผ้าห่มถูกตลบออกไป เซเอลก็มองทั่วตัวอีกฝ่ายก่อนจะสะดุดตากับบางสิ่งบางอย่าง
รอยจ้ำชื้นปรากฏอย่างชัดเจนที่เป้ากางเกงนอนสีขาว....
------------------>
“ฝันเปียก?” คัลดิชและคัลมาร์ทวนคำพร้อมกันเมื่อเซเอลนำเรื่องทั้งหมดมาเล่าให้ฟัง
“จะว่าไปมันก็เคยมีเรื่องแบบนั้นอยู่สินะ” คัลมาร์หันไปมองแฝดตนเอง แต่เพราะพวกเขาห่างไกลจากช่วงเวลาที่เคยเป็นมนุษย์มานานแล้ว เรื่องเหล่านี้จึงดูจะเกินจินตนาการไปสักหน่อย “แล้ววาลเซอิคเป็นยังไงบ้าง? เขาคงจะตกใจน่าดู”
“หลังจากอาบน้ำเสร็จก็ออกไปในป่าโดยไม่มองหน้าข้าเลย” เซเอลถอนหายใจ
“หวังว่าคงไม่ใช่อาร์วิน่าหรอกนะ” คัลดิชตีสีหน้าเคร่งเครียด หากพูดตรง ๆ มันค่อนไปทางหวาดกลัวเสียมากกว่า
“ทำไมหรือ?” คัลมาร์เลิกคิ้ว
“ก็....ตอนฝันเปียกจะฝันถึงใครบางคนไม่ใช่หรือ? แล้วในพวกเราทั้งหมด อาร์วิน่าเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เจ้าเด็กนั่นรู้จักมักคุ้น”
หลังฟังเหตุผล สีหน้าคัลมาร์ก็ไม่ต่างจากแฝดของตนเองมากนัก
“หวังว่านางจะไม่รู้นะ....”
ในขณะที่กำลังรำพึงเช่นนั้น อาร์วิน่าก็เปิดประตูเข้ามาพอดี ทำให้สองฝาแฝดสะดุ้งเฮือกแบบคนมีชนักติดหลังและต่างคนต่างก็หลบตาหญิงสาวเป็นพัลวันจนผิดสังเกต กระนั้นอาร์วิน่าก็ไม่อยู่ในอารมณ์มานั่งจับผิดทั้งสองคนในเวลานี้
“เด็กของท่านท่าทางจะมีปัญหาจริง ๆ นั่นแหละ” เธอว่าแล้วกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกตัวที่เหลืออยู่ “ข้าอุตส่าห์ตามไปถามว่ามีอะไร เจ้าเด็กบ้าก็เอาแต่พูดว่าไม่มี ๆ แล้วทำเป็นเดินตามสัตว์ป่า ดูยังไงก็เหมือนหนีหน้าข้าอยู่ชัด ๆ”
สองแฝดมองหน้ากันและหันไปมองเซเอลที่ยังคงตีหน้าสงบนิ่งอย่างแนบเนียน แต่ในใจของแต่ละคนก็คงกำลังคิดเหมือนกันว่าเรื่องที่คุยกันเมื่อครู่ไม่ควรเข้าหูอาร์วิน่าอย่างยิ่ง หากอยากให้วาลเซอิคมีชีวิตอยู่จนแก่ตายอย่างสงบในปราสาทหลังนี้
แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เหมือนเซเอลคิดอะไรออก
“บางทีวันนี้วาลเซอิคอาจจะกลับมาค่ำ ๆ พอเขากลับมากินอาหารเรียบร้อยแล้วก็บอกให้มาหาข้าด้วย”
“ท่านคิดจะทำอะไรหรือ?” อาร์วิน่าเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว บนใบหน้าของชายหนุ่มฝาแฝดก็มีคำถามแบบเดียวกันปรากฏอยู่
“เอาเถอะ ข้ามีวิธีก็แล้วกัน”
TBC
-
คนในฝันอาจจะเป็นเซเอลก็ได้นะ
-
แต่ละคนดูวุ่นวาย
และน่ารักแบบแปลกๆ
5555
-
เซเอลจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไรนะ
o13 o13
-
ฮ่าๆ
คือแบบ ไม่รู้จะบรรยายว่ายังไง
แต่น่ารักมากเลยค่ะ ฮ่าๆ
รอมาต่อนะคะ
-
เรื่องนี้น่ารักจังเลย เรื่อยๆเพลินๆ วาลเซอิคก็น่าฟัด (/me โดนเซเอลกัดคอ)
เซเอลจะแก้ปัญหาอย่างไรหนอ ลุ้นๆ
ว่าแต่ว่าวาลเซอิคเป็นลูกชายของผู้หญิงที่เซเอลหลงรักใช่ม่ะ ดังนั้นความรู้สึกของเซเอลต่อวาลเซอิคก็อาจจะเป็นเพราะคิดถึงผู้หญิงคนรนั้นก็ได้ล่ะมั้ง ก็ต้องลุ้นกันต่อไป
มาอัพไวมากเลย ขอบคุณค่า ^^
ปอลิง ชอบเจ๊อาร์วิน่ามากๆอ่ะ แต่โดนผู้ชายรุมแกล้งแอบเห็นใจเบาๆ :laugh:
-
ดีใจค่าที่ไม่โชตะ
แสดงว่ามีภาคต้นภาคปลาย อุ๊ อู๊ว
เราว่าฝันถึงเซเอลมากก่านะคิคิ
เอ๊รึอาจจะไม่ ตอนนี้ยังแค่13เองนะ น่าจะยังไม่รู้ คิคิ
-
his first time !!!
+ duck
-
วาลเซอิคจะช่วยยังไงล่ะ อิอิ :z1:
-
ฝันถึงเซเอลก็บอกมาเถอะ หนุ่มน้อย
-
แล้ว ใคร เป็น พ่อ
แล้ว จะ แก้ ยังไง นะ หุหุหุ :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
ต่อๆๆ
-
ฮา!!!น่าสงสารจังคะเจ้าหนูน้อย!!!!กร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก :pigha2:
ว่าแต่ท่านเซเอลจะทำอะไรคะ จะกินเด็กเหรอ ไม่ดีม๊างงงงงงงงงงงงงง ให้เด็กกินดีกว่าน่า! :-[
-
ฝันถึงใครเอ่ย หนูวาล
-
ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป เซียร์จะติดงานงานหนังสือ ดังนั้นคงจะไม่ได้อัพจนกว่าจะจบงานนะคะ ;w;
-
รับทราบค่ะ
-
บทที่ 3 หลังม่านหมอก
วาลเซอิคกลับมาถึงปราสาทก็พบบรรยากาศแปลกประหลาดซึ่งถ่ายทอดมาจากทุกคนรอบตัวเขาราวกับว่าแต่ละคนมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในใจแต่ไม่ยอมพูดออกมา ซึ่งก็อาจจะดีกับตัวเขาเองซึ่งในตอนนี้ไม่อยากจะมองหน้าใครนัก ความรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เขาสบายใจมากกว่าเมื่อไม่มีใครจ้องมอง
เด็กหนุ่มพาตัวเองเข้าไปในห้องอาหารที่ไร้วี่แววผู้คนเหมือนทุกวัน เมื่อเขาโตขึ้น คนในปราสาทก็ไม่ได้ประคบประหงมเขาอย่างเคยจึงเริ่มคุ้นชินกับการกินอาหารคนเดียว ในขณะที่คนอื่น ๆ ดื่มกินเลือดของสัตว์ที่เขาได้มา ซึ่งหลาย ๆ ครั้งความแปลกประหลาดนี้ได้ชักจูงให้เกิดความสงสัย แต่เพราะเป็นภาพที่เจนตามาแต่เล็กแต่น้อยในที่สุดเขาก็มองว่ามันเป็นเรื่องปกติไป กลับกัน ตัวเขากลายเป็นความแปลกประหลาดเสียเองเพราะเป็นเพียงบุคคลเดียวที่ต้องกินสิ่งที่เรียกกันว่าอาหาร
หลังจากอิ่มเอมกับมื้อเย็นแล้ว วางเซอิคก็คิดจะไปพักผ่อน ทว่าคัลดิชกลับเดินเข้ามาขวางเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ไม่ถูก
“นายท่านเรียกเจ้าให้ไปพบ”
วาลเซอิคมุ่นคิ้ว การเรียกครั้งนี้ดูเป็นทางการกว่าปกติจนน่าสงสัย เพราะเซเอลไม่เคยเรียกหาเขาเป็นการส่วนตัวแบบนี้มาก่อน แต่ก็สามารถพบได้เกือบทุกเวลาที่ต้องการ
“ตอนนี้เลยหรือ?”
ชายหนุ่มกลอกตาสีแดงเลือดของตนพลางไหวไหล่เหมือนจะตอบรับคำนั้นอยู่กลาย ๆ โดยไม่ได้พูดออกมา แต่วาลเซอิคก็พอจะเข้าใจความหมายของท่าทางนั้นได้ จึงกล่าวขอบคุณคัลดิชแล้วผละเดินตรงไปยังห้องที่เซเอลมักใช้พำนักอยู่เป็นประจำ นั่นคือห้องอ่านหนังสือ
เมื่อไปถึง ยังไม่ทันจะยกมือเคาะ ประตูบานใหญ่นั้นก็เปิดออกต้อนรับราวกับมีคนที่มองไม่เห็นตัวคอยเปิดปิดประตูให้อยู่
เซเอลนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง แสงเทียนดวงเล็ก ๆ โบกไหวเมื่อประตูเปิดออกและกลับยืนตรงนิ่งเช่นเดิมเมื่อประตูปิดลง เจ้าของห้องเงยหน้าขึ้นมองผู้มาเยือนด้วยสายตาที่ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ เขาวางหนังสือลงก่อนประสานมือบนหน้าตัก
“เป็นเช่นไรบ้าง?” คล้ายจะเป็นคำถามทั่วไป แต่สำหรับวาลเซอิคนั้นเป็นคำถามที่ค่อนข้างเจาะจง
“ก็....ไม่แตกต่างจากเดิมเท่าไหร่...” วาลเซอิคตอบพลางเกาท้ายทอยด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่ใช่ประหม่าตัวเซเอล แต่เป็นความประหม่าต่อความรู้สึกอื่น
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เจ้าคงจะไปเดินเล่นกับข้าได้”
เดินเล่น?
ร้อยวันพันปีเซเอลไม่เคยพูดคำนี้ออกมาจากปากสักครั้ง มีแต่เขาคนเดียวที่เพียรพยายามชวนเซเอลออกไปข้างนอกบ้างแต่เจ้าตัวก็ตอบปฏิเสธแล้วเรียกคนอื่นมาพาเขาออกไปแทนเสมอ
แต่เซเอลก็ไม่ได้รอคำตอบรับ เจ้าตัวลุกขึ้นยืนและหยิบเสื้อคลุมมาปกปิดเรือนผมสีเงินของตนเอง อีกทั้งเงาของฮูดยังปิดถึงเกือบครึ่งหน้าจนมองไม่เห็นดวงตาสีแดงเลือดน่าสะพรึงกลัวคู่นั้น ก่อนที่จะเดินสวนกับวาลเซอิคออกมาข้างนอก ทำให้ผู้ถูกชักชวนต้องรีบสาวเท้าตามไปแม้ใจจะยังสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรกันแน่ กระนั้นเซเอลก็ไม่ใช่คนช่างพูดมากนัก ถึงเขาจะถามก็ใช่จะได้รับคำตอบ มีทางเดียวที่วาลเซอิคสามารถเลือกได้คือต้องไปหาคำตอบที่ต้องการเอาดาบหน้า
อาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ ยืนมองทั้งสองจากหน้าต่างบานหนึ่งบนปราสาท ต่างก็คาดเดาได้เลา ๆ ว่าเซเอลคิดจะทำอะไร แม้ไม่ใช่ความคิดที่ดีในความเห็นของพวกเขา แต่ก็คงจะเป็นทางเดียวกระมังสำหรับเด็กชาวมนุษย์คนนั้น เพราะอย่างไร...ผู้ต้องสาปอย่างพวกเขาก็ไม่อาจตอบสนองทุกความต้องการของมนุษย์ได้
“ไม่นึกเลยนะว่าวันหนึ่งจะมีปัญหายุ่งยากแบบนี้เกิดขึ้นมาได้” คัลมาร์ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะ
“แต่ข้าคิดว่านายท่านเคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน” อาร์วิน่ามีความเห็นเป็นอีกอย่าง สีหน้าของเธอดูไม่พอใจกับการตัดสินใจนี้นักแต่ไม่อาจคัดค้านได้ “มนุษย์นั้นมีแรงผลักดันต่ออารมณ์ความรู้สึกมากกว่าพวกเรา ยังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นในสักวัน เพราะมันเป็นสัญชาตญาณในการสืบเผ่าพันธุ์ตามธรรมชาติ ถ้าหากว่าเรื่องนี้จบแค่นั้นมันก็คงจะดีอยู่หรอก” หญิงสาวมีความกังวลอื่นอยู่ในใจ มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานแต่ก็ใช่จะไม่มีทางเกิดขึ้น กระนั้นความเป็นหญิงของเธอก็ยังคงร้องเตือนถึงมันอย่างแผ่วเบา
ในขณะที่อาร์วิน่าและคัลมาร์แลกเปลี่ยนความเห็นกัน คัลดิชกลับไม่พูดอะไรและหมุนตัวเดินห่างออกมาจากหน้าต่างเงียบ ๆ
“นั่นเจ้าจะไปไหน?” อาร์วิน่าเรียกอีกฝ่ายไว้ด้วยคำถาม
“แทนที่จะคุยกันอยู่แบบนี้ ข้าว่าตามไปดูเองเลยดีกว่า” คัลดิชว่า “นายท่านก็ไม่ได้ห้ามอยู่แล้วด้วย”
คัลมาร์เห็นด้วยกับฝาแฝดตนเองทันที เพราะเจ้าตัวก็รู้สึกเป็นห่วงทั้งสองอยู่ไม่น้อย ข้อแรกวาลเซอิคยังเด็กเกินไป และข้อสอง เจ้านายของพวกเขาอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากก็เป็นได้
เซเอลเป็นเจ้าเหนือปราสาทแห่งนี้ หากสิ้นเซเอลสถานที่นี้ก็จะสูญสิ้นไปด้วย เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงมีหน้าที่ปกป้อง กระนั้นครั้งนี้เจ้าตัวกลับยืนยันว่าจะพาวาลเซอิคไปด้วยตัวเองซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่มีเพียงคัลดิชที่กล้าออกความเห็นเช่นนี้
“ถึงนายท่านจะไม่ได้ห้ามก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ออกปากอนุญาต ตามปกติเจ้าไม่ใช่คนที่มองหาช่องว่างในคำสั่งแบบนั้นนี่?” อาร์วิน่าตั้งข้อสังเกตขณะเดินตามหลังออกมาจากห้อง
“เลี้ยงเด็กมาก ๆ คงจะติดนิสัยเด็กมาเสียล่ะมั้ง” คัลมาร์เปรยพลางหัวเราะโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ทันใดนั้นหน้าของคัลดิชก็มีริ้วแดงเกิดขึ้น
“พูดบ้า ๆ”
-------------------------->
วาลเซอิคเดินตามหลังเซเอลเข้าสู่ผืนป่าที่ห้อมล้อมด้วยต้นไม้สูงใหญ่ ความคุ้นเคยบังเกิดขึ้นในความทรงจำ ทั้งกลิ่นชื้นแฉะของผืนดิน กลิ่นของต้นไม้ เสียงแสกสากที่ดังจากรอบด้านโดยไม่ปรากฏเงาสิ่งใด เงาของต้นไม้ที่ทาบลงมาบนพื้นดินจนแทบไม่เห็นแสงจันทร์ที่สาดส่องจากเบื้องบน
มันเป็นเพียงความคุ้นเคยจากความทรงจำอันเลืองรางที่แทบจะลืมเลือนไปหมดแล้ว
แต่เมื่อเดินไกลออกมาจากปราสาทมากขึ้น ความหนาทึบของผืนป่าก็น้อยลงจนกระทั่งถึงบริเวณที่มีต้นไม้เพียงหยิบมือ จากตรงนี้เป็นเนินทำให้มองเห็นเบื้องล่างว่าเป็นหมู่บ้าน
“นั่นมัน.....”
นานแสนนานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้คิดถึงเลยว่าเขาเคยอยู่ในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยผู้คนมาก่อน แต่ตอนนี้ภาพของหมู่บ้านกลับดูแปลกตาไปจากที่เคยจำได้ เพราะมันเงียบเชียบอย่างไม่น่าเชื่อ
“ตามข้ามาสิ” เซเอลเดินนำไปก่อน โดยอ้อมไปอีกด้านหนึ่งซึ่งมองเห็นอีกมุมของหมู่บ้านที่แตกต่างจากมุมที่เงียบงันในตอนแรก เพราะในมุมนี้มีจุดหนึ่งที่อยู่ท้ายหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยแสงไฟและผู้คน ดูเป็นขอบเขตที่แตกต่างจากตัวหมู่บ้านราวกับเป็นส่วนเกิน
พวกเขาพากันตรงไปที่จุดนั้นโดยที่วาลเซอิคไม่รู้ว่าเป็นสถานที่แบบใด
เสียงเพลงดังออกมาจากร้านรวงที่มีแสงไฟสว่างจ้า ด้านหน้าร้านบางร้านมีหญิงสาวสวมชุดเปิดเนินอกส่งสายตาเชิญชวนชายหนุ่มที่เดินผ่านไปผ่านมาพร้อมแอ่นองค์เอวให้อีกฝ่ายทัศนา บ้างก็เดินเข้าไปเกาะเกี่ยวแขนบดเบียดเนินอกอิ่มและพยายามดึงเข้าไปในร้าน เป็นบรรยากาศแบบที่วาลเซอิคไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนแม้กระทั่งในความทรงจำวัยเด็กอันห่างไกล เขาไม่เคยรู้เลยว่ามีสถานที่แบบนี้ในหมู่บ้านด้วย
พวกเขาเดินผ่านร้านที่มีผู้ชายตัวใหญ่หึ่งกลิ่นเหล้าเดินออกมาพร้อมหญิงสาวหน้าตาสะสวย ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายอย่างอารมณ์ดีแต่ไม่ค่อยเป็นภาษาผสมไปกับเสียงหัวเราะคิกคักของฝ่ายหญิง นับว่าเป็นภาพที่แปลกตาอยู่ไม่ใช่น้อย
เซเอลเลี้ยวเข้าไปในร้านหนึ่งซึ่งมีหญิงสาวหลายคนนั่งอยู่ด้านหน้า พวกเธอล้วนแต่สวมใส่เสื้อผ้าที่เปิดเผยช่วงไหล่จนถึงเนินอก รัดเอวจนเล็กและเน้นสะโพกผายน่ามอง สายตาของพวกเธอมองมาอย่างยั่วยวนแต่ให้อารมณ์เหมือนสายตาของจิ้งจอกยามจับจ้องเหยื่อ วาลเซอิคไม่กล้าสบดวงตาเหล่านั้น และรีบวิ่งตามไปเกาะด้านหลังเซเอลโดยไม่กลัวเสียมาดแม้แต่น้อย
ภาพของเด็กชายอายุสิบสามเกาะชายผ้าคลุมชายหนุ่มทำให้สาว ๆ หัวเราะคิกคักอย่างเอ็นดู พวกเธอไม่ค่อยได้พบเจอเด็ก ๆ ในสถานที่แบบนี้นัก ปฏิกิริยาของวาลเซอิคจึงน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง กระนั้นเสียงหัวเราะของพวกเธอทำให้เด็กหนุ่มอยากกลับไปที่ปราสาทอันแสนสงบ
แต่ความประหม่าของวาลเซอิคไม่ได้ทำให้เซเอลเปลี่ยนใจจากสิ่งที่กำลังจะทำแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มเดินเข้าหาหญิงสาวสูงวัยที่ยังแต่งตัวสวยงามดึงอายุตัวเองให้ดูน้อยกว่าความเป็นจริง กระนั้นบุคลิกของเธอก็กรีดกรายราวกับนางพญา ทำให้มองดูก็รู้ได้ทันทีว่าเธอคือแม่เล้า และเมื่อเธอเห็นแขกที่ไม่ยอมเปิดเผยใบหน้า เธอก็ยิ้มต้อนรับพลางยกยาสูบขึ้นจรดริมฝีปากก่อนเป่าควันสีขาวออกมา
“มีอะไรให้รับใช้หรือ?” เธอเอ่ยถาม
“ข้าต้องการหญิงสาวที่ดีที่สุดของเจ้า” เซเอลตอบตามตรงโดยไม่อ้อมค้อม แต่แม่เล้ากลับมองกลับมาด้วยดวงตาที่เคลือบไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
“ผู้หญิงที่นี่ส่วนมากมีแขกประจำกันทั้งนั้น สำหรับแขกที่ไม่ยอมเปิดเผยกระทั่งหน้าตา....” ไม่ทันจบประโยคดี เหรียญทองจำนวนมากก็ถูกวางลงบนเคาท์เตอร์ด้านหลัง นัยน์ตาของแม่เล้าเป็นประกายระยับเมื่อต้องกับทรัพย์สินสูงค่าอย่างหาได้ยาก
“สำหรับข้าไม่จำเป็น แต่ข้าต้องการให้เด็กคนนี้” เซเอลวาดมือไปด้านหลังและรุนวาลเซอิคให้มายืนข้างหน้า
หญิงวัยกลางคนผู้เป็นแม่เล้ามองพิจารณาเด็กหนุ่มอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจหันไปเรียก
“เอลยา”
“คะ?” หญิงสาวยังรุ่น ๆ เดินแทรกผู้คนออกมาจากมุมหนึ่งของร้าน เธอขานตอบด้วยเสียงหวานใสและใบหน้ายิ้มแย้ม
“ช่วยดูแลเด็กคนนี้ให้หน่อยสิ เขาเพิ่งเคยมาที่นี่ คงต้องการคำแนะนำหลายอย่าง” แม่เล้าผายมือไปทางวาลเซอิค เอลยาจึงยิ้มกว้างขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา
“ตามข้ามาทางนี้สิ ข้ามีอะไรดี ๆ ให้เจ้าดูด้วยนะ” เอลยาเอ่ยชวนด้วยสีหน้าที่ปั้นแต่งให้เหมือนพี่สาวใจดี วาลเซอิคหันไปขอความคิดเห็นจากเซเอลและเมื่อเห็นการพยักหน้าตอบรับจึงยอมเดินตามหญิงสาวไปแต่โดยดี แต่ก็ยังหันมองเซเอลเป็นระยะจนกระทั่งลับหัวบันไดไปทางชั้นสอง
ชายหนุ่มผละจากเคาท์เตอร์ทันทีหลังจากวาลเซอิคจากไป เขาเดินออกไปด้านนอกโดยเดินผ่านผู้คนซึ่งจ้องมองมายังตัวเขาด้วยสายตาแตกต่างกัน แต่เจ้าตัวไม่ได้นึกสนใจ เขาเดินออกไปที่ถนนซึ่งผู้คนมากหน้าหลายตาต่างสรวลเสเฮฮากับสุราและนารี ก่อนหันมองไปยังทิศทางหนึ่ง ที่ปลายสายตาของเขาคือหอระฆังของหมู่บ้านซึ่งสร้างไว้สูงมากพอจะส่งเสียงกังวานของมันไปทั่ว จุดที่หอระฆังแห่งนี้ตั้งอยู่เป็นจุดกึ่งกลางระหว่างหมู่บ้านที่เป็นเขตที่อยู่อาศัยและตรงจุดที่เป็นเมืองกลางคืน หากมองจากบนนั้นจะสามารถเห็นได้ทั่วทั้งหมู่บ้าน
เซเอลมุ่งตรงไปยังหอระฆังด้วยฝีเท้าที่รวดเร็วแต่เงียบเชียบ ท่ามกลางเสียงจอกแจกจอแจของผู้คน ตัวเขาจึงเปรียบเสมือนเงาที่แอบแฝงตนเองไว้อย่างเงียบงันและเคลื่อนผ่านผู้คนเหล่านั้นไปโดยที่ไม่มีใครคิดจะสังเกต ผ้าคลุมสีเข้มสะบัดพลิ้วไปตามแรงลมที่พัดสวนกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย แต่เขาก็คอยระมัดระวังผ้าคลุมศีรษะเป็นอย่างมากไม่ให้มันหลุดออก
เพียงไม่นาน ชายหนุ่มก็มายืนใต้หอระฆัง ซึ่งแสงจันทร์สาดส่องทาบเงาของมันลงมาบนตัวเขาพอดี
บริเวณนี้ค่อนข้างเงียบเมื่อเทียบกับอีกจุดหนึ่งที่เขาอยู่เมื่อครู่ ในขณะที่มองซ้ายขวาแล้วไม่มีใครผ่านมาอย่างแน่นอน เซเอลก็ย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนจะถีบตนเองพุ่งขึ้นไปบนอากาศ ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีหยั่งเท้าลงบนส่วนที่ยื่นออกมาของหอและส่งแรงผลักอีกครั้ง หลังจากทำเช่นนี้ เซเอลก็สามารถขึ้นมายืนอยู่บนขอบของชั้นระฆังได้อย่างไม่ยากเย็นและไม่เสียเหงื่อแม้แต่น้อย
กระนั้นการกระทำของเขาก็ใช่จะหลุดรอดสายตาของบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งตอนนี้ทั้งสามยืนรออยู่ข้างระฆังใบใหญ่ที่ทิ้งตัวนิ่งสงบภายในบรรยากาศยามราตรี
“ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่?” เซเอลมองพลางเอ่ยถาม
ทั้งสามมองหน้ากัน เหมือนผลักภาระให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ
“พวกเรามีหน้าที่ปกป้องท่าน จะให้พวกเรารออยู่แต่ในปราสาทคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่” อาร์วิน่าที่ถูกสองแฝดผลักหน้าที่มาให้จำต้องเป็นคนตอบอย่างไม่อาจขัดขืนได้ “อีกอย่าง วาลเซอิคก็เป็นเด็กในปกครองของพวกเราทุกคน หากจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาก็ควรจะอยู่ในสายตาพวกเราด้วย”
เซเอลเงียบไปครู่หนึ่งขณะเดินเข้ามาด้านในและมองออกไปยังสถานที่ที่วาลเซอิคอยู่ในตอนนี้
“ตอนนี้พวกเจ้าคงบังคับให้เขาอยู่ในสายตาไม่ได้หรอก” ถ้อยคำนั้นแฝงความนัยบางอย่างเอาไว้
“แบบนี้จะดีหรือ? ท่านไม่ต้องการให้เขาคลุกคลีกับมนุษย์มากเกินไปไม่ใช่หรือ?” อาร์วิน่าตั้งข้อสงสัย “เพราท่านกลัวว่าเขาจะมีจุดจบเหมือนกับ....”
“อาร์วิน่า!” คัลมาร์กระซิบเตือนเสียงเครียด
“ช่างเถอะ” เซเอลโบกมือ “ที่อาร์วิน่าพูดก็ไม่ผิด ข้าไม่อยากให้เขาใกล้ชิดมนุษย์มากเกินไปเพราะมนุษย์นั้นมีจิตใจที่สุดจะหยั่งถึง ข้าสัญญากับนางไว้ว่าข้าจะปกป้องเขาให้ดีที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่อาจกันเขาออกจากมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้หรอก”
“แล้วหากวันหนึ่งเขาโหยหาจะอยู่กับมนุษย์ด้วยกันขึ้นมา....?”
“......”
เซเอลไม่ได้ตอบคำถามนั้น สายตาของเขามองออกไปไกลอย่างไร้จุดหมาย กระนั้นในใจของเขาก็คล้ายจะมีคำตอบอยู่แล้ว....
เพราะเมื่อถึงเวลานั้น...ที่สุดตัวเขาก็ไม่มีอำนาจจะทำอะไรได้อยู่ดี
-------------------->
-
แสงเทียนที่ถูกดับไปกลับถูกจุดขึ้นอีกครั้ง ส่องให้เห็นภายในห้องที่เป็นระเบียบเรียบร้อยยกเว้นแต่เพียงบนเตียงซึ่งมีสองร่างเปลือยเปล่าเอนอยู่ด้วยกัน เครื่องนอนที่ยับย่น หมอนที่ถูกปัดตกลงมาด้านล่าง และเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกถอดกระจายไปทั่วอย่างไร้ระเบียบ บ่งบอกได้ดีถึงกิจกรรมที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อครู่นี้
“นี่ เจ้าฝันถึงใครหรือ?” เอลยาเอ่ยถามพลางพลิกตัวคว่ำ ผ้าห่มผืนบางเลื่อนไหลไปกับส่วนโค้งเว้าของร่างกาย
“.......อ....อะไรนะ?” วาลเซอิคสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกถามเข้าอย่างนี้โดยไม่ทันตั้งตัว เขาชะงักจากการเอื้อมมือไปหากางเกงแล้วหันกลับมาถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
เอลยาหรี่ตานิด ๆ ทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกายดูสวยงามและมีเสน่ห์แบบลึกลับ ดวงตาที่ทำให้เขาคิดถึงใครบางคนที่มักจะไม่แสดงออกทางสีหน้า ทว่าในแววตากลับมีความรู้สึกบางอย่างอยู่เสมอเมื่อจ้องมองมาทางเขา เมื่อคิดเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงวาบขึ้นมาจนแม้อยู่ใต้แสงเทียนสลัวก็สามารถสังเกตเห็นได้
“อย่ามาปิดบังข้าหน่อยเลย” เอลยาพาตนเองขึ้นไปเกยบนตักเด็กหนุ่ม อกอวบอิ่มบดเบียดกับหน้าขาโดยไม่มีสิ่งใดกางกั้น ริมฝีปากสีเรื่อของหญิงสาวยังคงแย้มยิ้มพลางกล่าวต่อไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่ง “เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่เป็ฯที่แบบไหน เด็กแบบเจ้าใช่ว่าข้าเพิ่งเคยเจอเสียเมื่อไหร่ ว่ากันว่า...เมื่อเด็กชายมีครั้งแรกมักจะฝันถึงใครบางคน จริงหรือเปล่า?” ในขณะที่ถามเช่นนั้น เรียวนิ้วก็ไต่ไปบนท่อนขา
“ก็คงจะ...ประมาณนั้น....” วาลเซอิคตอบไม่เต็มคำก่อนยกมือขึ้นปิดปากอาย ๆ แล้วมองไปทางอื่น
“ไม่ต้องบอกชื่อก็ได้ เด็กส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้จักชื่อคนในฝันหรอก” หญิงสาวหัวเราะ “รูปร่างหน้าตาเจ้าจำได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มแสดงความลังเลด้วยสีหน้าและท่าทางอย่างโจ่งแจ้ง แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว ที่นี่ก็ไม่มีใครได้ยินนอกจากเอลยาและตัวเขาเอง ดังนั้น...ถึงพูดไปคน ๆ นั้นก็คงไม่รู้
“เป็น....ผู้ชาย.....”
เอลยาเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะยิ้มหวานเช่นเดิม
“ไม่น่าแปลกหรอก บางคนก็ฝันถึงผู้ชายบ้าง”
วาลเซอิคเงียบไปอีกครั้ง เหมือนพยายามจะพูดแต่ก็ไม่กล้าพูดจึงได้แต่อ้าปากและหุบกลับไปก่อนกวาดสายตาไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีหนักใจอยู่ไม่น้อย กระนั้นเขาก็ค่อย ๆ เปล่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินบทสนทนานี้เข้า
“....เขามี...ผมสีเงินยาว แล้วก็...ดูลึกลับ”
“เห.......?”
คราวนี้เอลยาเปล่งเสียงสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจอย่างมาก
“มีอะไรหรือ?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว
“คน ๆ นั้นแต่งกายเหมือนชนชั้นสูงด้วยหรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้วาลเซอิคหยุดคิดไปชั่วครู่ เพราะเครื่องแต่งกายของเซเอลนั้นเขาเห็นจนเจนตาจึงไม่รู้ว่าจัดอยู่ในระดับไหน แต่หากเทียบกับคนในหมู่บ้านที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ ก็คงจะดูมีราคากว่าและเรียบร้อยเป็นระเบียบแบบแผนมากกว่า แบบนั้นคงเรียกว่าเครื่องแต่งกายของชนชั้นสูงได้กระมัง?
วาลเซอิคพยักหน้าหลังจากได้ข้อสรุปในใจ
“ตายจริง...” เอลยาอุทานแล้วลูบอกตัวเอง “ดีแล้วที่เจ้าพบเขาแต่ในความฝัน”
“ทำไมกัน?”
“เจ้าไม่เคยได้ยินหรอกหรือ? ตำนานของท้องที่แถบนี้น่ะ” หญิงสาวขยับตัวขึ้นนั่งแล้วคว้าหมอนใกล้มือมาอิงกับหัวเตียง รวบผมยาวไปพากที่บ่าข้างหนึ่ง ปล่อยให้ผ้าห่มเลื่อนไหลจากเนินอกลงไปกองบริเวณเอวโดยไม่รู้สึกสะเทิ้นอาย “เกี่ยวกับผู้ต้องสาป....”
ผู้ต้องสาป?
ในวินาทีแรกวาลเซอิคเกือบจะตอบรับออกไป ทว่าใจของเขากระหวัดนึกไปถึงคัลดิชและคัลมาร์ที่มักพูดอยู่เสมอว่าเรื่องที่พวกเขาเป็นผู้ต้องสาปนั้นเป็นความลับสำหรับโลกภายนอก เพราะอย่างนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงยังคงอยู่อย่างสงบสุข แม้ว่าเซเอลจะไม่ได้กำชับกับเขาเรื่องนี้ แต่การที่อีกฝ่ายสวมเครื่องแต่งกายมิดชิดไม่ยอมเปิดเผยหน้าตาก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
เขาเลือกที่จะส่ายศีรษะแทนคำตอบ
“ก็น่าแปลกที่เจ้าไม่เคยได้ยินแต่ฝันถึงเขาได้” เอลยาขยับขาขึ้นมาคู้แล้วเกยคางกับหัวเข่า “ที่แถบนี้น่ะมีเรื่องเล่าเหมือน ๆ กันว่า ในอดีตเคยมีผู้ครองที่ดินอยู่ตระกูลหนึ่งซึ่งอยู่ในปราสาทหลังงาม มีบริวารเพียบพร้อม แต่กลับมีใจหยาบช้าจึงถูกสาปให้กลายเป็นอมนุษย์ต้องมีชีวิตอยู่ในความมืดและดื่มกินแต่เพียงโลหิตไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ถึงอย่างนั้นคำสาปก็ครอบคลุมถึงผู้ที่อาศัยในปราสาททั้งหมดด้วย ทำให้ผู้คนค่อย ๆ ล้มตายลงจากความกระหายของคนในปราสาท ในที่สุดคนที่ยังเหลือรอดก็ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อสังหารสายเลือดต้องสาปนั้นให้หมดสิ้นไป แต่เพราะความกลัวยังคงอยู่ ในที่สุดคนที่เหลือจึงถอยร่นออกจากปราสาทนั้นและปล่อยรกร้างให้กลายเป็นป่ากว้างใหญ่ไป”
วาลเซอิคกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเรื่องเล่า เพราะปราสาทของเซเอลก็อยู่ในป่านั้น และพวกคนที่อยู่ที่นั่นก็อาศัยในความมืดและดื่มกินแต่เลือดสัตว์เท่านั้น
“แต่ว่า...พวกเขาก็ตายไปหมดแล้ว?”
“ก็ควรจะเป็นแบบนั้นนะ” เอลยากลอกตา “แต่ก็ไม่เชิง เพราะยังมีเรื่องเล่าต่อกันมาว่า ผู้ต้องสาปที่เหลืออยู่แลกเปลี่ยนสัญญากับมนุษย์ว่าจะไม่กล้ำกรายสร้างความเสียหายให้กับมนุษย์อีก จึงยังคงอาศัยอยู่ในปราสาทหลังนั้น นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกคนปล่อยสถานที่แห่งนั้นให้รกร้างก็ได้”
และอาจเป็นเพราะเหตุนั้น...พวกเขาจึงดื่มกินแต่เลือดของสัตว์ที่อยู่ในป่า...
วาลเซอิคคิดในใจ
แต่ถึงอย่างนั้นอาหารหลักแต่เดิมก็คือเลือดของมนุษย์ ถ้าอย่างนั้นตัวเขาล่ะ?
นั่นคือข้อสงสัยที่เพิ่มขึ้นมา เพราะเขาคือมนุษย์คนเดียวในปราสาทหลังนั้น เป็นเหมือนจานอาหารที่ลอยไปลอยมาตรงหน้าและสามารถขย้ำกินเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วทำไม...คนพวกนั้นถึงไม่กินเขา?
“แล้วซ......คนผมเงินที่ว่า?” เขาเกือบเผลอออกชื่อออกไปแต่ก็ชะงักไว้ทันโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้สังเกต
“ก็เป็นตำนานอีกนั่นล่ะนะ แต่ดูมีตัวตนมากกว่าเรื่องเล่าที่ว่ามาต้น ๆ” เอลยาโคลงหัวพลางนึก “หลาย ๆ ครั้งที่มีคนพบเห็นชายหนุ่มผมสีเงินที่มีดวงตาแดงเลือดปรากฏตัวออกมาต่อหน้ามนุษย์ เป็นคนที่รูปงามจนน่าหลงใหลแต่ก็มีกลิ่นอายที่ลึกลับและอันตราย ถึงแม้ว่าจะไม่เคยมีใครเล่าว่าถูกเขาทำร้ายแต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่กินเลือดมนุษย์อย่างเรา ๆ เป็นอาหารก็คงจะอดกลัวไม่ได้อยู่ดี”
รูปลักษณ์ที่เอลยาว่ามานั้นตรงกับเซเอลทุกประการ แต่กลับไม่ได้พูดถึงคัลดิช คัลมาร์ หรืออาร์วิน่าด้วย แปลว่าทั้งสามคนอยู่แต่ในปราสาทไม่เคยออกมาภายนอกเลย
และคนที่พาเขาไปอยู่ที่นั่นก็คือเซเอล....
ทำไมกันนะ?
เขาไม่เคยนึกสงสัยเรื่องนี้เลยจนกระทั่งวันนี้ ทำไมเซเอลจึงได้พาเขามาจากมนุษย์และเลี้ยงให้เติบโตท่ามกลางผู้ต้องสาปโดยไม่ได้ทำอันตรายเขา ซ้ำยังให้อีกสามคนคอยฝึกสอนเรื่องต่าง ๆ ให้อีก หรือว่า....อีกฝ่ายคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อกรกับมนุษย์ด้วยกัน?
วาลเซอิครีบส่ายศีรษะ
เขาไม่ควรคิดเรื่องแบบนี้ออกมาเลย
“เป็นอะไรไปหรือ?”
“เปล่า” วาลเซอิคปฏิเสธทันที “ข้าแค่กำลังคิดว่าข้าอาจจะเคยได้ยินจากที่ไหนสักแห่งถึงได้ฝันถึง”
หญิงสาวหัวเราะเสียงใส
“ถ้าเจ้าเคยพบกับเขาจริง ข้าเองก็อยากถามเหมือนกันว่าเขารูปงามอย่างที่เล่ากันหรือไม่”
วาลเซอิคนึกตอบอยู่ในใจกับคำถามข้อนั้น เพราะสำหรับเขาที่เป็นผู้ชายก็ยังคิดว่าเซเอลเป็นคนรูปงามคนหนึ่ง ซึ่งแม้หญิงสาวตรงหน้าเขาจะสวยงามเพียงใดก็ยังไม่อาจเทียบกับเซเอลได้ อาจเพราะฝ่ายนั้นมีเสน่ห์ที่ดึงดูดใจด้วยกระมัง....หากได้มองเพียงสักครั้งก็อยากจะละสายตา
“ว่าแต่ เจ้ามาจากที่ไหนหรือ?” เอลยาวนเข้าหาหัวข้อปกติธรรมดาบ้าง
“ก็....ไกลอยู่” เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร เพราะนอกจากปราสาทหลังนั้นเขาก็ไม่เคยไปที่ไหนอีกเลย “อาจจะไม่ไกลเท่าไหร่”
“เป็นความลับสินะ” หญิงสาวถอนใจ “เอาเถอะ ไว้เจ้ามาเยี่ยมข้าอีกสิ ข้าน่ะถึงจะมีแขกประจำแต่ก็ไม่ค่อยมีใครสุภาพเหมือนเจ้าเลย” เธอขยับตัวไปกอดพลางลูบมือไปบนแผ่นอก แม้อายุจะยังน้อยแต่ก็มีรูปร่างสมส่วนไม่มากหรือน้อยเกินไป ทำให้เธอรู้สึกเพลิดเพลินกับลอนกล้ามเนื้อเหล่านั้น
“แล้ว...ข้ากลับได้หรือยัง?” เพราะไม่เคยมาในสถานที่แบบนี้ วาลเซอิคจึงไม่รู้ว่าตนควรจะปลีกตัวออกไปเมื่อใดหรือทำอะไรต่อ
“แหม....จะรีบหนีข้าไปแล้วหรือ? ข้ามีเสน่ห์ไม่พอสำหรับเจ้าหรือยังไงกัน?”
“ม...ไม่ใช่นะ!” วาลเซอิคโบกไม้โบกมือ “แต่ว่าข้าต้องรีบกลับนะ เดี๋ยวคนที่มาด้วยจะรอนาน” เขาอ้างไปถึงเซเอลที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังรอเขาอยู่หรือไม่ ด้วยเหตุนั้นเอลยาจึงยอมปล่อยวาลเซอิคด้วยสีหน้า
กระเง้ากระงอดและช่วยสวมเสื้อผ้าก่อนพาลงมาข้างล่างซึ่งเซเอลไม่ได้รออยู่ที่นั่น.... เด็กหนุ่มใจหายวาบ รีบก้าวฉับ ๆ ออกมาข้างนอกเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะทิ้งตนเองเอาไว้ที่นี่ แต่แล้วเสียงของเซเอลก็ดังขึ้นจากทิศหนึ่งทำให้ความรู้สึกโล่งใจผุดซ่านขึ้นมาแทนที่ความกังวลเมื่อครู่
“เสร็จธุระแล้วก็กลับกันเถอะ” เซเอลกล่าวเพียงสั้น ๆ ไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เต็มไปด้วยข้อกังขาเกี่ยวกับตัวตนของตนเองของวาลเซอิคแม้แต่น้อย
“ท่านไปไหนมา?” เด็กหนุ่มเร่งฝีเท้าขึ้นมาเทียบข้างแล้วเอ่ยถาม
“แถว ๆ นี้ ไม่ได้ไกลมากหรอก” คำตอบค่อนข้างกำกวม ทำให้วาลเซอิคต้องเพ่งมองที่ริมฝีปากอีกฝ่ายว่ามีรอยเลือดติดอยู่หรือไม่ เขากำลังสงสัยว่าเซเอลแอบไปดื่มเลือดใครมาหรือเปล่าถึงได้ถือโอกาสพาเขาเข้ามาในหมู่บ้านและปล่อยให้เขาอยู่กับผู้หญิง
“เซเอล....”
“มีอะไร?”
“......” วาลเซอิคลังเลว่าตนเองควรจะถามหรือไม่เกี่ยวกับเรื่องของผู้ต้องสาป ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ผ่านมานานแล้วและอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา บางทีมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คนอื่นเข้าใจก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น หากว่าเป็นอย่างที่เล่ากันมาจริง ๆ ก็หมายความว่าเซเอลเองก็เคยเป็นมนุษย์และต้องคำสาปนั้น หรือไม่...เซเอลเองนั่นแหละคือเจ้าของที่ดินที่ใจคอโหดเหี้ยมจนถูกสาป...
จนแล้วจนรอด วาลเซอิคก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตามองแล้วพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
“ถ้าเจ้าไม่ถามออกมา ข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอก” เซเอลกล่าว
วาลเซอิคเหลือบตามองเจ้าของร่างสูงโปร่ง บรรยากาศรอบกายของคน ๆ นี้อบอวลไปด้วยความลึกลับที่เขาคุ้นชินราวกับเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ ที่นี่แล้ว เซเอลก็คือคนที่แตกต่างมากเสียจนไม่อาจกลมกลืนไปกับมนุษย์ทั่วไปได้จริง ๆ
เพียงแต่เพราะเขาอยู่กับเซเอลมานานจึงไม่ทันได้สังเกต...
“ปกติแล้ว ท่านดื่มได้แต่เลือดใช่หรือเปล่า?” ในที่สุดวาลเซอิคก็ถามเรื่องพื้น ๆ ที่สุด
“ใช่ ทั้งข้าและพวกนั้นด้วย”
“แล้ว....วันหนึ่งท่านจะกินเลือดข้าด้วยหรือ?” ในขณะที่ถามเช่นนั้น วาลเซอิคก็กลืนน้ำลาย ถ้าหากเขาเป็นแค่อาหารที่รอการกิน เขาจะทำอะไรได้?
เซเอลหยุดเดิน และหมุนตัวมามองวาลเซอิคและนิ่งเงียบ....
ดวงตาสีเลือดที่เปล่งประกายอยู่ภายใต้ผ้าคลุมคล้ายจะฉายแววบางอย่างออกมา ก่อนที่เซเอลจะเอ่ยตอบ
“....ถึงข้าจะอยากหรือไม่...ข้าก็แตะเลือดของเจ้าไม่ได้”
“หมายความว่ายังไง....”
เซเอลไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับหมุนตัวและออกเดินต่อทำให้วาลเซอิคต้องรีบสาวเท้าตาม ทว่ายังไม่ทันถึงตัวอีกฝ่าย เขาก็ถูกจู่โจมจากด้านหลังด้วยความรวดเร็ว
“สบายตัวดีไหมล่ะเจ้าหนูน้อย” อาร์วิน่านั่นเองที่เข้ามาล็อคคอเขาและแสยะยิ้มถาม การแสดงออกนั้นบ่งบอกว่าเธอรู้อะไร ๆ อยู่หลายส่วน ทำให้วาลเซอิคหน้าแดงวาบ
“ประสบการณ์ครั้งแรกที่น่าจดจำสินะ จากนี้ไปนายคงไม่ใช่เด็กน้อยแล้วสิ” คัลดิชกอดอกแล้วพูดขณะเดินมาหยุดข้าง ๆ
“คงต้องจดลงในสมุดบันทึกการเจริญเติบโตของวาลเซอิคเสียแล้ว” คัลมาร์เสริมด้วยรอยยิ้มที่เจ้าตัวปั้นแต่งให้เหมือนคุณพ่อที่เฝ้าดูการเติบโตของลูกชายตัวน้อย
“บันทึกอะไรนั่นมันมีเสียที่ไหนกันล่ะ!” วาลเซอิคโวยวายหน้าแดง “ข้าไม่ใช่เด็กมาตั้งนานแล้วนะ พวกเจ้าเลิกทำเหมือนข้าเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ เสียทีสิ”
อาร์วิน่าและคัลมาร์หัวเราะร่า ในขณะที่คัลดิชแค่เพียงยิ้มมุมปากน้อย ๆ
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจพรืด คนพวกนี้ได้ทีก็แกล้งเขาตลอด แต่เมื่อคิดดี ๆ เมื่อถึงคราวตัวเองก็ไม่พลาดโอกาสจะเป็นฝ่ายแกล้งเหมือนกัน โดยเฉพาะอาร์วิน่าที่โดนเขากับคัลดิชและคัลมาร์แกล้งเอาบ่อยที่สุด มาถึงตอนนี้ไม่แปลกเลยที่เจ้าตัวจะสนุกกับการเอาคืน
ตัวเขาสนิทสนมกับคนเหล่านี้จนเหมือนครอบครัวตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครเลยที่คิดทำร้ายเขา แต่แค่เพียงเรื่องเล่าจากปากคน ๆ หนึ่งทำให้เขาคิดระแวงคนเหล่านี้ได้ยังไงกันนะ...
ถึงจะเป็นผู้ต้องสาป...แต่กลับเลี้ยงดูเขาอย่างดี ดังนั้นเขาเองก็ควรจะปล่อยทิ้งเรื่องเหล่านั้นไปเสียและพยายามเลิกที่จะสนใจมัน....อย่างนั้นสินะ....
TBC
---------------
โฮ พอทำพาร์ทไทม์โรงแรมแล้วไม่มีเวลาเลย ;{};
-
โอ้วว ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
เรื่องยังน่าติดตามเหมือนเดิมเลย
อยากรู้จริงๆว่าจะเป็นยังไงต่อ
-
ง่ะ ทำไมต้องให้ไปสถานที่แบบนั้นด้วยอ่ะ
ประสบการณ์ครั้งแรกของเขา เฮ้อ T^T
-
พาไปหาคนอื่นซะงั้น 555
-
บู ก็นึกว่าจะกินกันเอง
อย่างนี้ก็แปลว่านายตายด้าน(หมดสมรรถภาพ)นะสิ?
-
นึกว่าเซเอลจะ.................. สอยวิชาสุขศึกษาด้วยตัวเองเสียอีก
-
แล้วจะยังไงต่อนิ
+ เป็ดจ้า
-
มาต่อๆๆๆๆ จะอ่าน แง้. . .
-
บ๊ะ!!!! ครั้งแรกของหนูน้อย o22 ทำม๊ายยยยยยยยยยยยยย
ชอบบรรยากาศเวลาวาลเซอิคอยู่กับอาร์วิน่า คัลดิช คัลมาร์ อารมณ์แบบพี่น้องหยอกล้อกันสนุกสนาน ส่วนเซเอลก็เป็นคุณพ่อที่ติดจะเข้มงวด :laugh:
แอบชอบเอลยานิดๆแฮะ ^^
รอตอนหน้านะคะ
-
บทที่ 4 เงาที่คืบคลาน
ในตอนแรก สิ่งที่วาลเซอิคพูดออกมานั้นค่อนข้างจะสร้างความวิตกให้กับเซเอลอยู่ไม่น้อย เหมือนจะเป็นสัญญาณเตือนถึงความหวาดระแวงที่มีต่อสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่พวกเดียวกับตน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวาลเซอิครู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฐานะของอาหาร และคนอื่น ๆ คือผู้ล่า และถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยมองวาลเซอิคในฐานะอาหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลาย ๆ ครั้งที่เด็กหนุ่มคนนี้ปลุกเร้าความกระหายของพวกเขา เมื่อวาลเซอิคได้รับบาดแผลมาจากกิจกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงแผลใหญ่จากการฝึกฝน การทำแผลดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาเมื่อกลิ่นอันหอมหวานของเลือดมนุษย์กำจายเข้าสู่ประสาทการรับรู้
ทว่าความกังวลของเขาก็เหมือนจะกลายเป็นสิ่งเปลืองเปล่าไป เพราะหลังจากครั้งนั้น วาลเซอิคก็ไม่เคยพูดเรื่องเดิมออกมาอีกเลย
และเมื่อหลายปีผ่านมา.......
“เซเอล” เสียงขานชื่ออย่างอารมณ์ดีดังขึ้นพร้อมประตูที่เปิดออก ร่างสูงของเด็กหนุ่มโตเต็มวัยก้าวเข้ามาในห้องโดยไม่ต้องรอคำอนุญาตและสวมกอดเข้าที่เอวของเจ้าของห้องอย่างถือวิสาสะ “ข้ากลับมาแล้ว เหนื่อยจังเลย...ท่านไม่คิดหรือว่าเราควรจะเลี้ยงสุนัขล่าเนื้อไว้สัก 2-3 ตัว จะได้ไว้ต้อนเหยื่อแทนที่ข้าจะต้องวิ่งไล่พวกมันด้วยตัวเอง”
เมื่อหลายปีผ่านไป....วาลเซอิคก็เหมือนจะปรับตัวเข้ากับสถานที่ได้ดีกว่าที่คาดไว้ จากเด็กน้อยขี้อายก็กลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ความขี้เล่นก็ยังเหมือนเดิมไม่มีผิด หรืออาจจะมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ และดูเหมือนความสัมพันธ์กับพวกเขาก็จะใกล้ชิดขึ้น โดยเฉพาะ....กับเขา...
เซเอลเอี้ยวคอไปมองอีกฝ่ายที่เข้ามาสวมกอดตนจากด้านหลัง วาลเซอิคมักจะทำอย่างนี้อยู่บ่อยครั้งในช่วงหลัง ๆ มานี้ ซึ่งเขาก็คิดว่าคงจะพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจากพ่อแม่ในตอนเด็ก ๆ
“ข้าเคยเลี้ยงเมื่อนานมาแล้ว แต่พวกมันก็ตายไปหมดแล้ว”
“แล้วท่านไม่คิดจะเลี้ยงอีกหรือ?” วาลเซอิคออดอ้อนพลางวางคางลงบนบ่าชายหนุ่มที่ตอนนี้ตัวเล็กกว่าตนเล็กน้อย
“ข้าจะไปหาพันธุ์มาจากไหนกัน” เซเอลมุ่นคิ้ว
“ถ้าท่านอนุญาต ข้าสามารถหามาให้ได้” เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง “แต่เป็นลูกสุนัข คงต้องเลี้ยงไว้สักปีสองปีถึงเริ่มออกล่าได้”
“เจ้าพูดแบบนี้แปลว่าวางแผนจะเลี้ยงอยู่แล้ว แค่รอข้าอนุญาตเท่านั้นเองหรือ?” ชายหนุ่มเหลือบดวงตาสีเลือดมองอีกฝ่ายเหมือนกำลังรู้ทัน ทำให้วาลเซอิคยิ้มเผล่ออกมา “แล้วหากข้าไม่อนุญาต เจ้าคิดจะทำยังไงต่อ? ออดอ้อนให้ข้ายอมหรือ?”
“อย่าใจร้ายกับข้าอย่างนั้นสิ ข้ารู้ว่าท่านยอมตามใจข้าอยู่แล้ว” เด็กหนุ่มพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ เพราะถึงแม้เซเอลจะดูเย็นชาที่ภายนอก แต่ก็ไม่เคยขัดใจเขาจริง ๆ จัง ๆ สักครั้ง กลับเป็นคนที่ตามใจเขามากที่สุดเสียด้วยซ้ำ และคงเพราะเหตุนั้นทำให้วาลเซอิคมักจะเข้าหาเซเอลโดยตรงเมื่อต้องการจะร้องขออะไรบางอย่างโดยไม่นึกกริ่งเกรง เพราะหากขอกับอาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ ทั้งสามก็ต้องมาขอจากเซเอลอีกทอดอยู่ดี
หากให้สามคนนั้นขอ จะมีโอกาสได้ผลน้อยกว่าเขาขอเองด้วย...
เซเอลที่รู้แกวได้แต่ถอนหายใจ รู้สึกว่าตนเองตามใจอีกฝ่ายมากเกินไปเสียแล้ว แต่กระนั้นเขาก็กำลังหาเหตุผลมาขัดใจเด็กคนนี้ให้ได้สักครั้ง
“แล้วเจ้าจะเลี้ยงยังไงกัน? แบ่งส่วนอาหารของเจ้าไปให้พวกมันน่ะหรือ? แล้วยังต้องปล่อยให้เดินเล่นบ้าง เจอแดดเจอลมบ้าง” ว่ากันตามตรงแล้ว เซเอลไม่ค่อยเห็นด้วยว่าปราสาทแห่งนี้เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตปกติ แต่ที่เขาพาวาลเซอิคมาเลี้ยงดูก็เพราะสิ่งที่เคยสัญญาไว้กับผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดที่จะพาเด็กมนุษย์มาอยู่ในสถานที่แบบนี้
“ยังไงข้าก็ต้องออกไปเดินรับแดดทุกเช้าอยู่แล้ว ข้าพาไปเอง” วาลเซอิคว่าพลางยิ้มกว้างขึ้น เพราะเมื่อเซเอลเริ่มหาเหตุผลมาง้างกับเขาแปลว่าเจ้าตัวกำลังจะอนุญาตแต่หาข้ออ้างที่จะไม่ทำเช่นนั้น “อาหารก็ไม่น่าเป็นปัญหา ข้าก็แค่ล่าให้มากขึ้นสักนิดหน่อยก็พอแล้ว พวกท่านเองก็ดื่มเลือดทุกวันนี่นา”
“ช่วงแรกที่พวกมันยังทำอะไรเองไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงปากท้องเพิ่มอีก 2-3 ชีวิตเชียวนะ”
“ข้าไม่ได้ทำคนเดียวเสียหน่อย คัลดิชกับคัลมาร์ก็ช่วยข้าอยู่ด้วย”
เซเอลส่ายศีรษะน้อย ๆ
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะไปขอมาจากที่ไหน? ใครจะยกลูกสุนัขพันธุ์ดีให้คนไม่รู้หัวนอนปลายเท้ากัน” สุนัขล่าเนื้อนับเป็นสมบัติของพรานที่ไม่ใช่จะหามาครอบครองได้ง่าย ๆ หากเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมาะสมก็ยากจะฝึกให้ทำงานได้ จริงอยู่ว่าในปราสาทมีเงินทองมากมายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร แต่หมู่บ้านรอบ ๆ นี้ก็ไม่มีที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูงที่เลี้ยงหรือเพาะพันธุ์สุนัขล่าเนื้อไว้จำนวนมาก ๆ เสียด้วย
“ข้ามีหนทางแล้วแน่นอน แต่ข้าต้องใช้เงินมากหน่อย” พอพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของวาลเซอิคก็ดูลำบากใจขึ้นมา เพราะถึงแม้เงินทองในปราสาทจะไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมานานแล้ว เซเอลจึงให้วาลเซอิคหยิบไปใช้ตามสะดวก แต่การหยิบของมีค่าไปใช้อย่างฟุ่มเฟือยทั้งที่ไม่ใช่ของตนเองก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเกรงใจอยู่ไม่น้อย
“เจ้าเอาไปเถอะ หากว่าจำเป็น” สำหรับเซเอลแล้ว ของเหล่านั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย ในเมื่อตัวเขาไม่อาจนำมันไปใช้ได้ สู้ยกให้คนที่จำเป็นต้องใช้ไปเสียดีกว่า “แล้วหากเจ้าจะนำไปใช้กับพวกผู้หญิง ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่จำเป็นต้องมาบอกข้าทุกครั้งหรอก” ที่เซเอลต้องพูดออกมาแบบนี้ เพราะในบางครั้งวาลเซอิคก็จะเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าประหม่าและบอกว่าจะขอเข้าไปในเมือง เขาดูท่าทางก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะไปที่ไหนจึงหยิบเหรียญทองให้ไปแม้วาลเซอิคจะไม่ได้เอ่ยปากขอ ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ทำแบบนี้มาหลายปี จะว่าดีก็ดี ที่อีกฝ่ายไม่ข้ามหน้าข้ามตาเขาไปทำไรตามใจชอบ แต่เขาเองก็เคยบอกแล้วว่าหากเป็นเรื่องนั้นเขาอนุญาตตามสบาย แต่วาลเซอิคก็ยังทำแบบเดิมไม่เคยเปลี่ยน แค่ช่วงปีหลัง ๆ ท่าทางประหม่าหายไปเท่านั้น
“ครั้งนี้ข้าแค่จะไปเอาสุนัข ไม่ได้ไปหาใครหรอก” วาลเซอิคหัวเราะออกมา “หรือว่าท่านหึงข้า?”
เซเอลมุ่นคิ้วเข้าหากันทันที
“ไร้สาระ”
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขารู้สึกอยู่นิดหน่อย ซึ่งน่าจะใกล้เคียงความหวงมากกว่าความหึงอย่างที่วาลเซอิคว่า และตัวเขาเองก็ไม่นึกแปลกใจที่ตนเองรู้สึกเช่นนั้น เพราะวาลเซอิคเป็นเด็กที่เขาเลี้ยงดูมา หากไม่หวงเลยสิจึงจะน่าแปลกกว่า
วาลเซอิคจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแฝงนัยบางอย่าง
ตัวเขานั้นมีความสงสัยในบางสิ่งบางอย่างมานานแล้ว สายตาที่เซเอลมักจะใช้มองเขานั้นเป็นสายตาที่ใช้มองใครบางคนอยู่หรือเปล่า? เพราะบางครั้งเหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังมองดูใครบางคนที่อยู่ในตัวของเขามากกว่าตัวเขาเองที่ยืนอยู่ตรงนี้
และที่น่าสงสัยยิ่งกว่าคือ ทำไมเซเอลจึงได้พาเขามาเลี้ยงดูโดยไม่ใช้เป็นอาหาร
เพราะเจ้าตัวเคยช่วยเขาไว้จากกองไฟน่ะหรือ?
หรือเพราะเขาไม่มีพ่อแม่?
เซเอลไม่ใช่คนใจบุญถึงขนาดนั้นเป็นแน่ บางทีคงจะเป็นเหตุผลเกี่ยวกับสิ่งที่ปรากฏบนร่างกายของเขา ใบหน้าของเขา...
กระนั้นหลาย ๆ ครั้ง วาลเซอิคก็คาดหวังว่าเซเอลจะรู้สึกอะไรบางอย่างกับตนเองนอกเหนือจากเด็กในปกครองและตัวแทนของใครบางคน ทุก ๆ ครั้งที่รู้สึกเช่นนั้น วาลเซอิคจะต้องออกไปข้างนอก....ไปหาใครบางคนที่จะตอบสนองเขาได้ เพื่อให้ตัวเขาเองรู้สึกว่าตนมีความสำคัญ....
“ท่านจะหวงข้าสักหน่อยก็ได้นี่นา...” วาลเซอิคกระซิบกับตัวเอง
“อะไรหรือ?” เสียงที่กระซิบอยู่ข้างหูเรียกให้เซเอลเลิกคิ้วด้วยความสงสัย กระนั้นวาลเซอิคก็เพียงยิ้มกว้างแทนคำตอบก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนแก้มของเขา
“เช่นนั้นข้าไปก่อนดีกว่า หากมืดกว่านี้เดี๋ยวท่านจะคิดว่าข้าไปแอบทำอะไรไม่ดีไม่งาม” เด็กหนุ่มตัดบทอย่างรวดเร็ว
“แล้วเงิน...”
“ข้าจำได้ว่าท่านเก็บไว้ที่ไหน ข้านำติดตัวไปไม่มากหรอก” ว่าจบ วาลเซอิคก็เดินจากไป ทำให้เซเอลต้องมุ่นคิ้วด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าตนพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ด้วยปกติวาลเซอิคจะรอจนกว่าเขาจะเดินไปหยิบเงินให้ด้วยตัวเอง แต่ครั้งนี้...เรียกว่าเป็นพัฒนาการหรือความผิดปกติเขาเองก็ไม่แน่ใจ
-------------------------->
ท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีเหลืองส้มสลับกับสีอ่อนของริ้วเมฆ วาลเซอิคเงยหน้ามองสีสันเหล่านั้นขณะพาตัวเองออกจากแนวชายป่าและมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน สำหรับเขาแล้ว สีสันของท้องฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าพิศวงเป็นสิ่งที่แสนรื่นรมย์ เพราะเมื่อเขากลับเข้าสู่เขตปราสาท เขาก็จะพบแต่เพียงบรรยากาศอันมืดมิดที่แสงสว่างจากเบื้องบนส่องลงมาไม่ถึง อาจจะเป็นเพราะเมฆหมอกหนาที่ลอยปกคลุมเหนือปราสาทนั้นกระมัง
ตัวเขาเองก็เพิ่งจะได้เห็นท้องฟ้ากว้างอย่างนี้เป็นครั้งแรกในตอนที่ขอเซเอลออกมาที่หมู่บ้านอีกครั้งหลังจากพบกับเอลยา โดยปกติแล้วเขาจะอยู่แต่เพียงในป่า และสัมผัสแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านกิ่งไม้ใบไม้ลงมา ส่วนคัลดิชและคัลมาร์ไม่เคยสนใจจะออกมาในสถานที่ที่แสงสว่างส่องถึงเลย สองคนนั้นจะออกมาก็เมื่อฟ้าเริ่มมืดแล้วเท่านั้น
และเหตุผลที่เขามักจะขอออกมาบ่อย ๆ หลังจากนั้นคงเป็นเพราะจะได้สัมผัสท้องฟ้าและสายลมเหล่านี้กระมัง แต่ในวันนี้ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เป้าหมายของเขา
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในหมู่บ้านอย่างคุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นตา โดยปกติแล้วเขาจะมาเมื่อค่ำกว่านี้และพวกชาวบ้านจะกลับเข้าที่พักอาศัยไปจนหมด ในเวลาเย็นอย่างนี้ร้านรวงข้างทางจะอยู่ในช่วงกำลังเก็บข้าวของ ทำให้เขามีโอกาสได้เห็นอะไรมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งเครื่องประดับที่ดูไม่หรูหราอะไรเมื่อเทียบกับสิ่งของในปราสาทแต่ก็สวยงามแบบเรียบ ๆ เสื้อผ้าที่ไม่ได้เป็นผ้าเนื้อดีและตัดเย็บอย่างเรียบง่าย ข้าวของเครื่องใช้ที่ทำจากไม้และโลหะผสมเป็นหลักต่างกับในปราสาทที่เป็นเครื่องทองเหลือง และเครื่องเงินทั้งสิ้น ถึงอย่างนั้นข้าวของมีคมก็ดูจะไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ ต่างก็เพียงความประณีตในการตกแต่ง
ระหว่างที่วาลเซอิคเดินไปตามถนน ผู้คนรอบข้างก็มองมายังเขาด้วยสายตาต่าง ๆ กัน ส่วนใหญ่เป็นความสงสัย อาจเพราะเขาค่อนข้างเป็นเสมือนคนแปลกหน้าสำหรับคนเหล่านี้ และเครื่องแต่งกายของเขาก็ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไปเอาเสียเลย
แต่งกายแบบชนชั้นสูง...
นั่นคงเป็นคำนิยามการแต่งกายของเขาในเวลานี้ ซึ่งหากเป็นสมัยก่อนเขาคงไม่เข้าใจความแตกต่าง แต่เมื่อได้เข้าออกหมู่บ้านบ่อยขึ้นเขาก็เข้าถึงคำนี้ได้มากขึ้น ถึงอย่างนั้นหากเอาการแต่งกายของเขาไปเทียบกับเซเอล เขาก็คงจะดูเหมือนชาวบ้านไปในทันที เพราะเซเอลนั้นเหมือนกับชนชั้นสูงทั้งเครื่องแต่งกาย รูปลักษณ์ และการวางตัว กระนั้นเมื่อออกมาข้างนอกเซเอลก็จะอยู่ในชุดคลุมมิดชิดเสมอ
วาลเซอิคเดินทะลุหมู่บ้านมาจนเกือบถึงหอระฆัง เขาเลี้ยวจากจุดนั้นไปเล็กน้อยโดยไม่ได้เดินไปถึงด้านหลังของหมู่บ้านที่เป็นเขตสำหรับอาชีพกลางคืนซึ่งตอนนี้เริ่มจะมีคนเดินเข้าออกกันบ้างแล้ว
เด็กหนุ่มเดินตรงไปยังบ้านหลังหนึ่งซึ่งมีขนาดพอเหมาะสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ บริเวณหน้าบ้านมีเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เขายิ้มให้เด็กสองคนนั้นซึ่งมองมาด้วยสายตาสงสัย
“เอลยาอยู่ไหม?”
“พี่อยู่ข้างในค่ะ” เด็กผู้หญิงกล่าวตอบแล้วชี้ไปที่ประตู
วาลเซอิคเดินเข้าไปตามคำบอก และพบหญิงสาวในเครื่องแต่งกายที่แตกต่างไปจากยามปกติที่พบเจอกัน เอลยาอยู่ในชุดสาวชาวบ้านธรรมดา เสื้อแขนพองปิดถึงข้อศอก กระโปรงยาว ผ้ากันเปื้อน และใบหน้าที่ไร้เครื่องเติมแต่ง แต่ดูเหมือนเธอกำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ผ้ากันเปื้อนจึงถูกปลดไปแล้วครึ่งทาง
“ข้าคิดว่าเจ้าจะขออาเจ้าไม่สำเร็จเสียอีก” เอลยาหัวเราะ
วาลเซอิคไม่ค่อยได้พูดถึงครอบครัวตัวเองมากนักกับคนอื่น ๆ เพราะถูกกำชับไว้หลังจากที่เขาออกมาจากปราสาทบ่อย ๆ ด้วยเหตุนั้นจึงมักจะอ้างกับเอลยาว่า ต้องขออนุญาต ‘อา’ จึงสามารถมาเที่ยวได้ และเรื่องครั้งนี้ก็ต้องผ่านการอนุญาตจาก ‘อา’ เช่นกัน
เอลยาตลบผ้ากันเปื้อนไปวางบนโต๊ะแล้วพาวาลเซอิคเดินออกไปทางประตูหลังบ้านซึ่งมีสวนเล็ก ๆ ที่ปลูกผักสวนครัว 2-3 ชนิดอยู่ก่อนจะถึงรั้วกั้นของบ้านอีกหลัง ในสวนนั้นมีกรงสำหรับเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่พอประมาณตั้งอยู่ติดประตู และในกรงมีลูกสุนัขในวัยน่าเอ็นดูอยู่สองตัว
“ถ้าเจ้าไม่มารับวันนี้ข้าก็ไม่รู้จะเอาอะไรเลี้ยงแล้วล่ะนะ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ
ตัวเอลยาเองแม้จะเป็นผู้หญิงกลางคืนแต่ก็ค่อนข้างมีระดับจึงได้พบปะกับคนที่เดินทางผ่านหมู่บ้านนี้บ่อยครั้ง และหลาย ๆ คนก็รู้จักมักจี่กับคนที่มีฐานะดี ถึงอย่างนั้นก็ต้องอ้อนแล้วอ้อนอีกกว่าจะได้ลูกสุนัขสองตัวนี้มา เพราะวาลเซอิคบอกว่าอยากได้นักหนา เจ้าตัวรับรองเป็นมั่นเหมาะว่าราคาไหนก็จ่ายได้แน่ แต่เห็นท่าทางแล้วเธอก็เดาได้ทันทีเลยว่าเจ้าตัวกะเวลากระชั้นชิดแล้วค่อยขอคุณอาที่อ้างถึงบ่อย ๆ ซึ่งถึงอยากจะปฏิเสธก็คงปฏิเสธไม่ทัน ช่างไม่คิดถึงตัวเธอที่ต้องเป็นคนดูแลเจ้าตัวซนสองตัวนี้บ้างเลย
“ข้าสัญญาแล้วข้าต้องมารับสิ” วาลเซอิคยื่นหน้าไปหอมแก้มเอลยาแล้ววางถุงเงินให้ในมือก่อนเดินไปนั่งยอง ๆ ข้างกรง มองลูกสุนัขสองตัวที่นั่งจุ้มปุ๊กมองกลับมาด้วยสายตาระแวดระวัง
หญิงสาวส่ายศีรษะ มองเด็กหนุ่มที่คิดว่าจะเป็นลูกค้าชั่วข้ามคืน แต่ที่ไหนได้กลับมาติดพันกับเธอราวกับกลายเป็นน้องชายอีกคนหนึ่ง แต่ตัวเธอเองก็มีน้องอยู่หลายคนจึงไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่มีเด็กผู้ชายตัวโต ๆ มาคอยอ้อนเพิ่มอีก นอกจากนี้...คงเพราะวาลเซอิคมีบางส่วนคล้ายกับคนที่เธอเคยรู้จักในสมัยเด็กกระมัง แต่เธอเองก็จำคน ๆ นั้นไม่ค่อยได้แล้ว
“เจ้าจะพูดคุยทำความรู้จักกับพวกมันไปก่อนก็ได้ ข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” เอลยาแซวก่อนเดินกลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งให้วาลเซอิคนั่งจ้องตากับลูกสุนัขที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่และไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้า
“นี่ เจ้าน่ะ”
วาลเซอิคสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงดังขึ้นจากเบื้องหลัง เขาหันไปมองและเจอชายหนุ่มที่เหมือนอายุและรูปร่างไล่เลี่ยกับตนเองยืนกอดอกมองมาด้วยสายตาไม่สบอารมณ์
ไม่ต้องเดาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นน้องชายของเอลยาแน่นอน เธอเคยเล่าให้เขาฟังอยู่บ่อย ๆ ว่ามีน้องชายคนหนึ่งที่อายุมากกว่าเขานิดหน่อยแต่นิสัยเจ้ากี้เจ้าการไปเสียทุกเรื่องอยู่คนหนึ่ง พอดูจากลักษณะแล้วก็เห็นจะเป็นอย่างที่เอลยาว่า เพราะใบหน้าที่เหมือนไม่พอใจทุกอย่างรอบตัวนั้นบ่งบอกอุปนิสัยได้เป็นอย่างดี
“มายุ่งอะไรในบ้านคนอื่นเขา หา?” อีกฝ่ายถามพลางขมวดคิ้วทำให้หน้าดูขึงขังกว่าเดิม “เจ้าคงเป็นวา....อะไรนั่นที่เอลยาพูดถึงสินะ? คิดว่าสนิทกับพี่ข้าแล้วจะเดินเข้าบ้านตามใจชอบได้หรือยังไง?”
วาลเซอิคนึกอยากเถียงออกไปทันทีแต่ก็ตัดสินใจว่าเงียบไว้จะดีกว่า เด็กหนุ่มลุกขึ้น ปัดฝุ่นจากกางเกงแล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเป็นมิตร
“ข้าชื่อวาลเซอิค เจ้าคงเป็น อัลเรส น้องของเอลยาแน่ ๆ”
“พี่ข้าเล่าเรื่องแบบนั้นให้เจ้าฟังด้วย? ให้ตายสิ ไม่ระวังตัวเอาซะเลย” เจ้าของชื่ออัลเรสบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แต่ก็บอกระดับความหวงและห่วงที่เจ้าตัวมีต่อพี่สาวได้หลายส่วน วาลเซอิคได้แต่ขำอยู่ในใจเพราะไม่ผิดจากที่เอลยาเคยพูดเอาไว้เลย ทั้งที่ตอนแรกเขาคิดว่าหญิงสาวแค่พูดเกินจริงไปเท่านั้น
“ข้าแค่เข้ามาเอาลูกสุนัขพวกนี้ เดี๋ยวก็จะไปแล้ว” เขาว่าพลางหันกลับไปหิ้วกรงขึ้นมาถือ
“รีบ ๆ กลับไปเลย เดี๋ยวเอลยาจะต้องไปทำงานแล้ว” อัลเรสออกปากไล่อย่างไม่สนใจมารยาท แต่วาลเซอิคก็ยังได้ยินอีกฝ่ายบ่นอุบอิบกับตัวเองต่อว่า “เมื่อไหร่จะเลิกทำงานประเภทนั้นนะ”
ตอนที่วาลเซอิคเดินเข้ามาถึงกลางบ้าน เอลยาก็เดินออกมาจากห้องพอดี ตอนนี้เครื่องแต่งกายของเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด กลายเป็นชุดที่ค่อนข้างเปิดเผยเนื้อหนังและเน้นสัดส่วนมากขึ้นให้เข้ากับลักษณะงาน แต่ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ยังไม่ลืมผ้าคลุมไหล่สำหรับปกปิดบางส่วนของร่างกายที่พ้นร่มผ้าออกมา เมื่อเอลยาเดินเข้ามาใกล้ น้ำหอมมีราคาก็โชยเข้าจมูก
“พอข้าไปแล้วเจ้าก็พาแอนน์กับอเลนเข้านอนด้วยล่ะ” เธอกล่าวกับอัลเรสซึ่งตอนนี้เหมือนกลายเป็นผู้ดูแลบ้านกลาย ๆ หลังจากพ่อกับแม่พากันจากไปด้วยโรคติดต่อเมื่อหลายปีก่อน
“ไม่ต้องบอกข้าก็รู้อยู่แล้วน่า” อัลเรสมุ่นคิ้ว “เจ้าเองก็ระวังตัวด้วย ระยะนี้ยิ่งมีแต่เรื่องแปลก ๆ อยู่”
“เรื่องแปลก ๆ ?” วาลเซอิคอดไม่ได้ที่จะสอดปากขึ้นมา
ในตอนแรกอัลเรสก็ดูจะไม่พอใจที่วาลเซอิคอยู่ ๆ ก็ทำตัวมีตัวตนในบ้านนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็คิดว่าอีกฝ่ายควรจะรู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย
“เจ้ามา ๆ ไป ๆ ไม่รู้ก็ไม่แปลก แต่ช่วงหลัง ๆ นี่น่ะมีข่าวว่ามีคนถูกสัตว์ป่าขย้ำเอาบ่อยขึ้น แถมแต่ละศพก็ไม่ได้น่าดูซะด้วย ไม่รู้ว่ามีเสือหรือหมาป่าหลุดมาจากไหน” อัลเรสว่าแล้วหันไปมองพี่สาวตัวเองอีกครั้ง “เจ้าอย่าไปไหนมาไหนในที่ปลอดคนก็แล้วกัน แต่....ในที่คนเยอะก็ไม่ดี” ชายหนุ่มดูจะสับสนไม่รู้ว่าควรให้พี่สาวตนเองอยู่ในจุดไหน เพราะที่ไม่มีคนก็อันตราย ที่ที่มีคนมากก็อันตรายจากคนอยู่ดี
-
“น่าแปลก”
“หืม?” เอลยาและอัลเรสหันมามองวาลเซอิคพร้อมกัน
“ก็...หากมีสัตว์ป่าอาละวาด ทำไมจึงไม่มีใครคิดจะจัดการอะไร ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นหรอกหรือ?” เด็กหนุ่มตั้งข้อสังเกต เพราะหากเป็นเขาเมื่อมีคนใกล้ชิดถูกทำร้ายเขาคงไม่อยู่เฉยและตามล่าคนที่ทำแน่ แต่ดูเหมือนพวกคนในหมู่บ้านจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย
“เกิดมาได้ 4-5 ปีแล้วต่างหาก ตอนแรกก็ห่าง ๆ เลยไม่มีใครสังเกต แต่ปีสองปีที่แล้วมันเริ่มจะถี่ขึ้นจนสังเกตได้” เอลยาว่าพลางถอนหายใจ “แต่ถึงจะถี่รายวันก็ไม่มีใครสนใจหรอก”
“ก็แหงสิ พวกคนในเมืองจะมาสนใจอะไรแถวนี้” อัลเรสพูดพลางพยักเพยิดไปทางหนึ่ง ซึ่งวาลเซอิคก็เข้าใจได้ในทันที
เขตด้านหลังของหมู่บ้านนั้นเรียกว่าเป็นสถานที่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นก็ว่าได้ เพราะเป็นแหล่งของอาชีพที่ไม่โสภาทั้งหลายซึ่งจะเปิดบริการเฉพาะเวลากลางคืน ซึ่งอาชญากรรมก็มีเกิดขึ้นรายวันเป็นปกติวิสัย ถึงจะมีการตายเกิดขึ้นก็ไม่มีใครนึกแปลกใจอะไร เผลอ ๆ จะไม่คิดสนใจเลยด้วยซ้ำ คงเพราะเหตุนั้นกระมัง เขาจึงไม่รู้สึกถึงสัญญาณความระแวดระวังจากคนในหมู่บ้านเลย เพราะทุกคนต่างมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวที่ไม่เกี่ยวกับตนเอง ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่ข้ามพ้นเขตของหอระฆังมา....ก็จะไม่มีใครนึกตื่นตัวกับมัน
“เช่นนั้นข้าไปส่งก็แล้วกัน” วาลเซอิคอาสา เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ได้เร่งรีบเท่าไหร่นัก
“รบกวนเจ้าเปล่า ๆ เดี๋ยวอาของเจ้าจะเป็นห่วง” เอลยารีบปฏิเสธ “ข้าเดินเข้าออกแถวนี้บ่อยไป แล้วช่วงนี้คนก็กำลังมากด้วย แต่หากข้าไปช้ากว่านี้คนเดินเข้าออกจะเริ่มซาแล้ว”
“รีบ ๆ ไปเถอะน่า คุยแบบนี้เดี๋ยวก็มืดเอาจริง ๆ” อัลเรสโบกมือไล่ด้วยท่าทางรำคาญ เอลยาจึงต้องรีบบอกลาทั้งเสียงหัวเราะแล้วเดินออกมาจากบ้าน ถึงอย่างนั้นวาลเซอิคกังถือกรงสุนัขเดินตามหลังมาไม่ห่าง
“เจ้านี่ก็มีมุมดื้อดึงอยู่นะ” เอลยาแซวพลางยิ้มน้อย ๆ
“ใคร ๆ ก็ว่าอย่างนั้น ข้ายังดื้อกว่านี้ได้อีกนะ” วาลเซอิคพูดไปก็พยายามถือกรงสุนัขให้นิ่งที่สุดเท่าที่ทำได้ เพราะเกรงลูกสุนัขตัวน้อย ๆ จะเวียนหัวตายเสียก่อนได้เลี้ยง
ในที่สุดวาลเซอิคก็พาเอลยามาส่งถึงร้านจนได้ และท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงทุกขณะ เขาเอ่ยลาหญิงสาวที่ตนเองพามาส่งถึงที่เรียบร้อยแล้วเดินทางกลับปราสาท แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้จึงเดินไปทางหอระฆังและปีนขึ้นไปด้านบน แต่การถือกรงใหญ่ ๆ ปีนบันไดดูจะไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัย เจ้าตัวจึงวางแอบกรงไว้ข้างล่างแล้วปีนขึ้นไปด้านบนที่เห็นช่องเปิดขนาดพอที่คน ๆ หนึ่งจะลอดได้
เงาของหอระฆังทอดตัวนิ่งอยู่ใต้แสงจันทร์ ทำให้ภายในมืดมิดแทบจะไร้แสง ถึงอย่างนั้นวาลเซอิคที่คุ้นเคยกับความมืดในปราสาทก็ไม่เห็นว่ามันเป็นอุปสรรคแต่อย่างใด
เขาผลิยิ้มให้กับร่างเงาร่างหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่หลังเสาค้ำเพื่ออาศัยเงามืดให้กลืนตนเองหายไป แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาวาลเซอิคที่ฝึกฝนล่าสัตว์ในความมืดอยู่เป็นประจำได้
“ท่านซ่อนยังไงก็ไม่พ้นข้าหรอก” เขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ
“ข้าก็ไม่ได้คิดจะซ่อน” เซเอลว่าโดยไม่ขยับตัวออกจากจุดเดิม วาลเซอิคจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาและเลิกผ้าคลุมศีรษะออก เรือนผมสีเงินที่คุ้นตาสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกาย
“เพราะท่านชอบออกมาอย่างนี้บ่อย ๆ สินะ ถึงมีคนเล่าลือว่าเคยเห็นผู้ต้องสาปอยู่เป็นระยะ”
“ก็ใช่ว่าข้าชอบปรากฏตัวให้มนุษย์เห็น” ชายหนุ่มมุ่นคิ้ว “แต่พวกเขาก็อยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อพบเห็นข้าโดยบังเอิญก็เอาไปเล่าลือกันเสียน่ากลัว”
“ไม่ใช่ว่าระยะหลังท่านแอบตามออกมาดูแลข้าหรอกหรือ?” วาลเซอิคหัวเราะขณะพูดเช่นนั้น เพราะหากออกมาเดินเล่นตามปกติ ทำไมจึงไม่บอกเขาว่าจะออกมาแล้วจะได้เข้าหมู่บ้านด้วยกัน “เพราะข่าวลือแปลก ๆ นั่นหรือเปล่า? ที่ว่ามีสัตว์ป่าออกมาทำร้ายคน?”
“เจ้าได้ข่าวด้วยหรือ?”
“วันนี้น้องชายของเอลยาเพิ่งจะบอกกับข้า แต่ทำไมท่านถึงรู้ได้ล่ะ?”
เซเอลเงียบไปครู่หนึ่งพลางเบือนหน้าออกไปมองด้านนอกหอระฆัง สายตาของเขาจับจ้องไปยังเขตที่เริ่มจะครึกครื้นด้วยเสียงดนตรีและแสงไฟ
“กลับกันเถอะ” แต่แล้วเจ้าตัวก็ตัดบทเปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น เหมือนกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะนำมาสนทนาในเวลาอย่างนี้ วาลเซอิคเองก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการเปลี่ยนประเด็นครั้งนี้เพราะเขาไม่ได้เอะใจสงสัยในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากนัก ตัวเขาเองค่อนข้างเห็นด้วยกับอัลเรสที่ว่ามีสัตว์ป่าเข้ามาป้วนเปี้ยน และแถวละแวกที่เกิดเรื่องก็มีคนรวมตัวกันมากในเวลากลางคืน พ้องกับวิถีชีวิตของสัตว์ล่าเนื้อบางชนิดที่มักจะออกมาหากินเมื่อถึงเวลากลางคืนเท่านั้น
วาลเซอิคผละจากเซเอลมาปีนบันไดลงไปรับลูกสุนัขที่ตนเองทิ้งไว้ข้างล่าง โดยมีเซเอลยืนรออยู่ข้างบน
แต่ทว่า เมื่อวาลเซอิคลงมาเกือบถึงพื้นนั้น เขากลับได้ยินเสียงขู่เล็ก ๆ สองเสียงของลูกสุนัขสองตัว เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจจึงมองลงไปข้างล่างพลางคิดว่าอาจจะมีสัตว์เจ้าถิ่นมายุ่งแถวกรง แต่สิ่งที่เขาเห็นนั้นกลับผิดจากที่คิดไปไกลโข เพราะมันดูเหมือนเงาคนในผ้าคลุมที่ปกปิดร่างกายมิดชิดกำลังทำอะไรบางอย่างกับกรงสุนัขมากกว่า
“นั่นใครน่ะ!”
ลูกสุนัขทั้งสองเป็นพันธุ์ดีที่มีราคาแพง วาลเซอิคเกรงว่าจะเป็นขโมยจึงร้องตะโกนออกไปแล้วรีบกระโจนพรวดเดียวถึงพื้น แต่เพราะจุดที่กระโจนลงมานั้นยังค่อนข้างสูง ทำให้เขาต้องตั้งหลักครู่หนึ่งถึงจะสามารถทรงตัวขึ้นมาพร้อมก้าวต่อได้ ซึ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นเพียงชายผ้าคลุมปลิวผ่านทางออกของหอระฆังไปเสียแล้ว แต่อย่างน้อยเสียงเห่าและขู่ของลูกสุนัขทั้งสองก็ทำให้เขามั่นใจได้ว่าพวกมันไม่ถูกขโมยไป
เซเอลพาตนเองตามลงมาจากด้านบนอย่างไม่ยากเย็น
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถามเพราะได้ยินเสียงตะโกนของอีกฝ่าย
“แค่ขโมยล่ะมั้ง?” วาลเซอิคไหวไหล่แล้วเดินไปหากรงที่เขาวางหลบไว้ เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเมื่อเห็นประตูกรงมีร่องรอยเหมือนถูกงัดแต่โชคดีที่ไม่เปิดออกมา
ถ้าคิดจะขโมยจริงทำไมถึงไม่อุ้มกรงไปเลย?
ลูกสุนัขทั้งสองดูเสียขวัญ พวกมันถอยไปติดกรงด้านหลังและแยกเขี้ยวขู่อยู่ตลอดเวลาแม้เมื่อเขาพยายามปลอบให้พวกมันสงบ
เซเอลรู้สึกได้ในทันทีว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ เพราะสัตว์นั้นจะมีสัญชาตญาณบางอย่างอยู่ โดยพวกมันจะแสดงความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อหน้าผู้ล่าเท่านั้น นั่นแสดงว่าพวกมันรู้สึกถึงภัยคุกคามต่อตนเองเมื่อบางสิ่งที่วาลเซอิคไล่ไปนั้นเข้ามาใกล้
ฝ่ายวาลเซอิคที่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงได้แต่หิ้วกรงด้านบนเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองโดนพวกมันข่วนเข้าแล้วหันมาหาเซเอล
“น่าจะไม่มีอะไรแล้ว พวกมันปลอดภัยดี” เขายิ้มกว้างแล้วมองลงไปที่กรง
“ข้าก็หวังอย่างนั้น เพราะเจ้าคงเสียผู้ช่วยในอนาคตหากพวกมันถูกขโมยไป” เซเอลพูดเหมือนคล้อยตามความเห็นของวาลเซอิคว่าคนในชุดคลุมนั้นเป็นแค่โจรขโมยสุนัขธรรมดา แต่จมูกของเขากลับกระสากลิ่นคาวเลือดจนน่าแปลกใจ เป็นกลิ่นคาวที่ตกค้างจากการมาเยือนของใครบางคน แต่ก็บางเบาจนแทบจะจับเค้าไม่ได้หากไม่เพ่งพินิจอย่างถี่ถ้วน ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุนั้นวาลเซอิคจึงไม่รู้สึกอะไร
เซเอลหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้แม้เมื่อพวกเขากลับเข้ามาในป่า ชายหนุ่มจึงไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียวตลอดทาง ท่าทางนั้นทำให้วาลเซอิคอดสงสัยไม่ได้
“ท่านดูกังวล?”
“ก็ไม่เชิง ข้าคงจะคิดมากเกินไป”
“เรื่องโจรขโมยสุนัขน่ะหรือ? ข้าเองก็สงสัยเหมือนกันว่าหากจะขโมยก็น่าจะหิ้วไปทั้งกรงได้ ไม่น่าจะพยายามเปิดขนาดนี้” วางเซอิคลองพูดออกมาแม้ใจจริงแล้วเขาจะไม่ได้ติดใจกับเรื่องนี้มากมายถึงขนาดนั้น แต่เมื่อพูดแล้วเขาก็มีข้อสงสัยเพิ่มอีกเรื่อง “แล้วไม่รู้ว่าใช้อะไรงัดด้วยสิ กลอนของกรงก็เป็นแบบล็อคธรรมดาแท้ ๆ”
เซเอลเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มเล็กน้อย
“คนบ้ากระมัง” เขาสรุปในที่สุดเพื่อตัดจบเรื่องนี้ เพราะบางสิ่งบางอย่างภายในใจเขารู้สึกว่ามันอาจจะเกี่ยวพันกับการตายอย่างต่อเนื่องของมนุษย์ในหมู่บ้าน และเขาไม่อยากให้วาลเซอิคพาตัวเองเข้าไปยุ่งกับเรื่องอันตรายแบบนี้ เพราะอย่างไรวาลเซอิคก็ยังเป็นพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง
หากว่า...
สิ่งนั้นเป็น....
ถึงแม้มันจะผ่านมานานแสนนานแล้วที่เขาไม่ได้พบเจอเลย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางมีอยู่ได้
และเขาก็เคยเห็นมาก่อน...
ความคลุ้มคลั่งและจิตวิญญาณที่โดนกลืนกินนั้น...
เซเอลเก็บสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจโดยไม่ได้พูดออกมาให้เด็กหนุ่มฟัง แต่สีหน้ากังวลใจอย่างที่น้อยครั้งจะปรากฏให้เห็นก็ทำให้วาลเซอิคจับสังเกตถึงความผิดปกติได้ หากไม่ใช่เรื่องใหญ่มีหรือที่เซเอลจะแสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา แต่จะว่าไปแล้ว ระยะหลัง ๆ นี้เซเอลก็เหมือนจะคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวบ่อยครั้ง มีบางสิ่งบางอย่างที่รบกวนใจอีกฝ่ายอยู่แต่กลับไม่เคยพูดออกมาเลย
ท่ามกลางความเงียบและเสียงของความคิด ลูกสุนัขทั้งสองที่อยู่ในกรงก็สงบลงจากความกลัวแล้วและพากันขดตัวหลับซุกอยู่ด้วยกัน
มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนจากเสียงการย่ำพื้นดินเป็นพื้นหินของปราสาท เส้นทางทอดไปยังประตูบานใหญ่ที่ใช้เข้าออกจนเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นระยะหลังนี้มันก็เริ่มจะส่งเสียงครวญครางออกมาเหมือนบานประตูเริ่มฝืดและมีสนิมเกาะ แม้จะเป็นเพียงเสียงเบา ๆ แต่วาลเซอิคก็รู้สึกแปลกใจ เพราะเมื่อเขามาแรก ๆ นั้นปราสาทหลังนี้ดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้านราวกับได้รับการดูแลอย่างดีในทุก ๆ วัน
เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ ที่รู้สึกว่าปราสาทหลังนี้กำลังเก่าโทรมลง...
TBC
-
ง่า
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกันนะ
อยากรู้จัง
ขอบคุณที่มาต่อให้นะคะ
-
ชวนลุ้นขึ้นจริง วาลเซอิ อ้อนขึ้นมาเยอะเลย อร๊าย><
-
สนุกมากๆเลยค่ะ ><
เนื้อเรื่องดูลึกลับ น่าสนใจ น่าติดตามเป็นอย่างมาก
-
แนะไปหอมอีก
-
BE CAREFUL
+ PED JAA
-
:-[ ใครจะเป็นเมะ เคะ นี่ :o8:
สนุกจัง o13
-
บทที่ 5 สายใยผูกพัน
แรกทีเดียวที่นำลูกสุนัขสองตัวเข้ามาในบ้าน อาร์วิน่าถึงกับบิดริมฝีปากและแสดงอาการต่อต้านอย่างออกหน้าออกตา ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครฟังเสียงของเธอเพราะทั้งคัลดิชและคัลมาร์ต่างก็เห็นด้วยกับวาลเซอิคที่ควรจะเลี้ยงพวกมันไว้ช่วยล่าสัตว์
“ถ้าพวกมันมาทำชุดข้าขาดล่ะก็ ข้าจะเอาไปปล่อยแน่” อาร์วิน่าประกาศก่อนจะกระแทกส้นเท้าตึงตังออกไป
“นางไม่ชอบสุนัขหรือ?” วาลเซอิคกระซิบถาม
“ใครว่า นางชอบพวกมันจะตายไป” คัลดิชโบกมือเหมือนจะส่งสัญญาณว่าอย่าไปสนอกสนใจมากเลย
“แล้วทำไมนางจะต้องอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วย?” เด็กหนุ่มยังคงไม่เข้าใจ แม้อาร์วิน่าจะเป็นคนฉุนเฉียวแทบตลอดเวลาจนขาสงสัยว่าไม่เหนื่อยบ้างหรือยังไง แต่หากเป็นสิ่งที่ชอบก็น่าจะดีใจไม่ใช่หรือ? แต่ท่าทางที่หญิงสาวแสดงออกน่าจะห่างไกลจากคำว่าชอบไปโข
“มันก็อธิบายยากอยู่นะ” คัลมาร์ไหวไหล่ขณะอุ้มลูกสุนัขตัวหนึ่งขึ้นมาเกาขนเล่น “สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้วพวกเราก็เคยเลี้ยงสุนัข พวกมันซื่อสัตย์และภักดี แต่เมื่อไม่อาจหาคู่ผสมพันธุ์ได้พวกมันก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งตัวสุดท้ายตายจากไป เมื่อยิ่งรักมาก การสูญเสียก็ยิ่งเจ็บปวด อาร์วิน่าคือคนที่เสียใจกับเรื่องนั้นมากที่สุด นางไม่ออกมาจากห้องเลยตลอดหนึ่งอาทิตย์”
วาลเซอิครับฟังคำอธิบายด้วยความเข้าใจเพียงครึ่งเดียว เพราะเขาไม่เคยสูญเสียสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกลึกล้ำถึงเพียงนั้น แต่เขาก็รู้สึกสงสารอาร์วิน่าขึ้นมา
“พวกเจ้าเอาพวกมันไปเข้ากรงก่อนเถอะ” เซเอลโบกมือให้คนรับใช้ทั้งสอง คัลดิชและคัลมาร์โค้งรับคำสั่งก่อนจะพากันอุ้มลูกสุนัขออกไปจากห้อง
วาลเซอิคขยับเข้าไปใกล้เซเอลที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง อีกฝ่ายดูไม่ยินดียินร้ายนักกับสิ่งที่คัลมาร์เล่า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าตัวจับจ้องออกไปยังจุดหนึ่งข้างนอกนั่นอย่างมีความหมาย
“ท่านกำลังมองอะไรอยู่?”
“สิ่งที่ข้าเคยรัก”
“เคยรัก?” เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว เคยรักนั้นหมายถึงตอนนี้ไม่รักแล้วอย่างนั้นหรือ? เขาคิดขณะมองตามออกไป ซึ่งข้างนอกก็มีแต่พื้นหินที่ปูยาวออกไป และต้นไม้ที่เหี่ยวแห้งแต่ก็ยังไม่ร่วงโรยราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างฉุดยื้อชีวิตที่โรยราของมันเอาไว้ให้ยืนอยู่บนขอบเหวของความตาย
เขารู้สึกว่า...พวกมันกำลังเหนื่อยอ่อน
ใบไม้ใบหนึ่งร่วงลงมาจากกิ่ง....
สายตาของเซเอลก็กำลังมองไปยังปลายทางของใบไม้ใบนั้นเช่นกัน
“ข้าเคยมีสุนัขตัวหนึ่ง ชื่ออุลด์ มันเติบโตมากับข้า เหมือนกับเป็นเพื่อนคนหนึ่งของข้า” เขาเริ่มเล่าถึงอดีตที่เขาไม่ได้นึกถึงมานานแล้ว “แต่ช่วงชีวิตของข้ากับมันต่างกันมากเกินไป ตัวข้า...ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มันกลับค่อย ๆ แก่ชราลง จากที่เคยป้วนเปี้ยนรอบตัวข้าทั้งกลางวันกลางคืน จนถึงวันหนึ่งมันก็เดินแทบจะไม่ไหว ได้แต่นอนซุกอยู่ที่เท้าของข้าเวลาที่ข้านั่งลงอ่านหนังสือ และขึ้นไปนอนที่ปลายเท้าข้าบนเตียงเวลาเข้านอน แต่หลังจากนั้นแม้แต่ปีนขึ้นเตียงมันยังทำไม่ได้ อาหารก็กินได้น้อยลงและต้องเป็นเนื้อบดหรืออาหารเหลวเท่านั้น และจนกระทั่งในที่สุด....เมื่อร่างกายของมันทนไม่ไหวอีกต่อไป...มันก็ไม่เคยตื่นขึ้นมาทักทายข้าอีกเลย”
สรรพเสียงเงียบสงัดลงอย่างกะทันหัน ดวงตาของเซเอลที่จับจ้องไปยังพื้นดินไหวระริก ใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาจากต้นยังคงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น และข้างใต้...ก็มีร่างของสิ่งที่เขาเคยรักนอนอยู่ บางทีตอนนี้แม้แต่ซากก็คงไม่เหลือ มีแต่เพียงโครงกระดูกของสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นั่น
ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วหลับตาลง ทันใดนั้นร่างของเขาก็ถูกแขนข้างหนึ่งดึงเข้าไปกอดแนบ ริมฝีปากอุ่นประทับลงบนหน้าผากของเขาอย่างอ่อนโยน
“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ”
เซเอลยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้พูดอะไร
คำพูดของวาลเซอิคเป็นเพียงการปลอมประโลมที่เขารู้ดีแก่ใจว่ามันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะวันหนึ่งเด็กคนนี้ก็จะค่อย ๆ แก่ชราลง ในที่สุดจุดจบก็จะไม่แตกต่างกับอุลด์ หรือ....เธอคนนั้น...ซึ่งต่างก็ทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพังในความมืดมิดชั่วนิรันดร์
วาลเซอิคได้แต่จ้องมองใบหน้าสงบนิ่งที่แอบแฝงความเศร้าอันลึกล้ำนั้น ราวกับว่าตัวเขาไม่อาจแทรกผ่านเข้าไปในกำแพงบาง ๆ ที่อีกฝ่ายตั้งเอาไว้ได้เลย
“เซเอล...ข้าน่ะ.....” ขณะที่พูดเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็เลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้
ลมหายใจอุ่นเป่ารดลงมาเรียกให้เซเอลเลื่อนสายตากลับมามองคนตรงหน้าและได้เห็นดวงตาสีเขียวที่มีประกายความคาดหวังอยู่ภายใน ทั้งที่ดูคล้าย ๆ กันแต่ก็ให้ความรู้สึกแตกต่าง เธอคนนั้นมักจะมองเขาด้วยดวงตาอันสดใสราวกับว่าทุกหนแห่งมีแต่แสงอาทิตย์ส่องสว่าง ตัวเขาที่ไม่รู้จักแสงอันอบอุ่นนั้นมานานแสนนานได้สัมผัสมันอีกครั้งก็เพราะเธอ หากเพียงได้พบเธออีกครั้ง สัมผัสเธออีกครั้ง...
เขาจะยอมแลกทุกสิ่งทุกอย่าง....
ริมฝีปากแตะสัมผัสอย่างนุ่มนวล เซเอลหลุบสายตาลงปล่อยให้ความอุ่นของร่างกายอีกฝ่ายซึมซาบเข้ามาอย่างช้า ๆ
“...เซเอล...”
เสียงทุ้มต่ำที่แตกต่างจากภาพในจินตนาการเรียกให้ชายหนุ่มรู้สึกตัว
เขาลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสนชั่วขณะก่อนจะเบี่ยงหน้าหลบริมฝีปากที่อ้อยอิ่งอยู่บนริมฝีปากตนเอง
ท่าทางที่บ่งบอกถึงการปฏิเสธตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับการสมยอมเมื่อนาทีก่อนหน้านี้
วาลเซอิคขบริมฝีปากตนเองอย่างอดกลั้น
ในบางครั้งมันก็เหมือนกับว่าเซเอลรู้สึกพิเศษกับเขา ถึงได้มองดูเขาอยู่เสมอ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เข้าใกล้มากเกินไป เขาก็จะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ขวางกั้นพวกเขาทั้งสองเอาไว้
“เซเอล ท่านเคยกลัวที่จะเสียข้าไปบ้างหรือเปล่า?”
คำถามนั้นทำให้เซเอลต้องหันกลับมา
“เหมือนกับอุลด์ที่คลอเคลียท่านอยู่เสมอ หากวันหนึ่งที่ข้าไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว ท่านจะยังคงรำลึกถึงข้าด้วยสีหน้าแบบนั้นไหม?” วาลเซอิคเอ่ยถามพลางยิ้มฝืน ๆ แค่มองก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคาดหวังคำตอบแบบไหน แต่วาลเซอิคไม่ใช่สุนัข เซเอลไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบคำถามนี้แบบใดจึงจะเหมาะสม
“ไร้สาระ เจ้าจะ....”
“ข้าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ผู้ต้องสาป เรื่องนี้ข้ารู้ด้วยตัวเองมาตั้งนานแล้ว” ทั้งความแตกต่างระหว่างเขาและคนอื่น ๆ ในปราสาท ทั้งการเปลี่ยนแปลงที่เขามีแต่คนอื่น ๆ ไม่มี เหมือนกับว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่เวลายังคงเดินไปข้างหน้าแต่คนอื่น ๆ เวลาหยุดนิ่งอยู่กับที่ แม้จะโง่เง่าแค่ไหนแต่เรื่องแค่นี้น่าจะรู้สึกได้ไม่ยาก “วันหนึ่งข้าเองก็ต้องตายเหมือนกัน บางทีที่ท่านไม่ยอมเล่าเรื่องพ่อแม่ข้าให้ฟังก็คงเพราะพวกเขา....”
“หยุดได้แล้ว” น้ำเสียงเฉียบขาดดุดันเปล่งออกมาขัดจังหวะการตั้งข้อสงสัยสารพัดของวาลเซอิคที่ตอนนี้มันเริ่มจะลุกลามเป็นเรื่องอื่น
เซเอลขืนตัวออกจากอ้อมแขนของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเย็นชา
“ออกไป”
....
วาลเซอิคยืนมองเซเอลอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้ว่าตนเองไม่สามารถพูดอะไรได้อีก จึงทำได้เพียงยอมเดินออกไปจากห้องแต่โดยดี
เซเอลทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้พลางยกมือขึ้นกุมใบหน้าตนเอง
เด็กคนนั้นไม่ใช่ตัวแทนของใคร...เขาพยายามคิดอย่างนั้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ไม่ว่าจะห้ามตัวเองอย่างไรก็ยังคงอดคิดไม่ได้ว่าวาลเซอิคช่างเหมือนเธอคนนั้นเสียเหลือเกิน แค่เพียงสายตาที่วาลเซอิคมองกลับมายังเขานั้นแฝงนัยบางอย่างไว้ ต่างกับดวงตาซื่อตรงของเธอที่เขาเคยรัก
แต่ถึงอย่างนั้น....เขาก็ยังอดคล้อยตามไม่ได้.....
เขาใจอ่อนเกินไปหรือเปล่า?
------------------------------->
คัลดิชและคัลมาร์พาลูกสุนัขสองตัวเข้าไปอยู่ในกรงกว้างขวางผิดกับขนาดของผู้อาศัยอย่างสิ้นเชิง เพราะในสมัยก่อนที่นี่เลี้ยงไว้หลายตัวทำให้กรงต้องกว้างพอที่พวกมันจะอยู่ร่วมกันได้และมีพื้นที่พอให้เดินเล่นเพื่อที่พวกมันจะไม่เครียดมากเกินไป แต่เมื่อสุนัขตัวสุดท้ายตายลง กรงก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ว่าง ๆ ไม่ได้นำมาใช้งานอย่างอื่น แต่ถึงอย่างนั้น ‘ปราสาท’ ก็ยังดูแลรักษากรงไว้อย่างดี ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เคยใช้งานครั้งสุดท้ายเลยแม้แต่น้อย ทำให้ทั้งสองไม่ต้องทำความสะอาดกรงเพื่อรับน้องใหม่
ลูกสุนัขทั้งสองที่ยังไม่มีชื่อเมื่อหลุดจากมือได้ก็พากันวิ่งไปมุมกรงด้านในสุดทันที เป็นเหมือนสัญชาตญาณการป้องกันตัวของพวกมันจากคนแปลกหน้าและแปลกถิ่น ซึ่งสำหรับลูกสุนัขทั้งสองแล้ว ทุกคนในปราสาทหลังนี้คงจะไม่ต่างกับเจ้าถิ่นตัวใหญ่ที่ไม่รู้เจตนาว่าดีหรือร้าย
“เชื่องยากแบบนี้จะเลี้ยงไหวหรือ?” คัลมาร์เท้าเอวพลางถอนหายใจ
“น่าจะบอกว่าขี้ขลาดแบบนี้จะใช้งานได้จริงหรือ?” คัลดิชแก้คำให้แล้วมองไปยังมุมกรงที่เจ้าตัวเล็กสองตัวขดเข้าหากันจนกลมปุ๊กลุก ถึงแม้ว่ากรงจะมืดแต่สำหรับสายตาของพวกเขา ความมืดไม่ได้ช่วยให้ร่างเล็ก ๆ สองร่างนั้นหายไปจากสายตาเลย
“อย่างน้อยก็คงจะหย่านมแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องอาหารการกิน”
“มีปัญหาคือพวกเราต้องทำงานมากขึ้นเพื่อเลี้ยงพวกมันจนกว่าจะใช้งานได้น่ะสิ”
“อะไรกัน เจ้าไม่คิดว่าเหมือนตอนเลี้ยงวาลเซอิคหรอกหรือ?” คัลมาร์พูดแล้วก็หัวเราะออกมา เพราะวาลเซอิคยังเด็ก คัลดิชก็เคยบ่นแบบนี้ออกมาเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็แค่บ่นไปอย่างนั้น
“ก็ใกล้เคียงอยู่ ดีก็แต่เจ้าพวกนี้โตไวกว่ามนุษย์ อีกไม่นานก็เอามาฝึกได้แล้ว” คัลดิชพูดจบก็คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง “แล้วใครจะพาพวกมันไปเดินเล่นกัน? สัตว์พวกนี้ถ้าไม่เจอแสงแดดเลยมีหวังเฉาตายกันพอดี วาลเซอิคน่ะนายท่านเป็นคนพาไปแรก ๆ ให้คุ้นทางแล้วค่อยปล่อยให้ออกไปเดินเล่นเองก็จริง แต่เจ้าตัวเล็กพวกนี้นายท่านคงไม่ทำถึงขนาดนั้น ส่วนพวกเราเองก็....”
ฝาแฝดทั้งสองเงียบไป เพราะพวกเขาต่างก็สัมผัสแสงอาทิตย์ไม่ได้จึงต้องอยู่แต่ในความมืด เรื่องพาสัตว์ออกไปวิ่งเล่นกลางแสงแดดนั้นลืมไปได้เลย
“ข้าจัดการเอง” วาลเซอิคได้ยินบทสนทนาพอดีจึงโผล่หน้าเข้ามาในกรง “ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าหรอกไม่ต้องห่วง ข้าตกลงกับเซเอลแต่แรกแล้วด้วย” เขาหัวเราะแล้วเดินเข้ามาสมทบในกรงที่สูงพอที่จะยืดเต็มตัวได้
“ถ้าเจ้าจะจัดการก็ตามใจ แต่เจ้าจะล่ามพวกมันยังไง?”
เพราะที่นี่ไม่ได้เลี้ยงสุนัขมานานแล้ว ทั้งปลอกคอและโซ่ล่ามก็ทิ้งไปหมดเพราะอาร์วิน่าไม่อยากเก็บไว้ให้ชอกช้ำใจ คัลดิชจึงยังคงอดสงสัยข้อนี้ไม่ได้ ซ้ำปลอกคอยังต้องเปลี่ยนตามขนาดตัวไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยก็จนกว่าพวกมันจะคุ้นชินกับที่นี่และมั่นใจว่าจะไม่หนีไปไหนตอนเผลอ
ระหว่างที่พวกเขากำลังคิดเรื่องนี้กันไม่ตก ก็มีสายโซ่และปลอกคอขนาดเล็กโยนเข้ามาในกรงและตกลงที่ปลายเท้าพอดี
ทั้งสามมองสิ่งที่นอนนิ่งที่ปลายเท้าก่อนมองออกไปที่ต้นทาง
อาร์วิน่ายืนกอดอกมองกลับมาด้วยสีหน้าไม่พอใจเช่นเดิม
“ข้าบังเอิญเจอในกล่องเก็บของเก่า ใช้แก้ขัดไปก่อนก็แล้วกัน” เธอว่าพลางสะบัดหน้าไปทางอื่น กระนั้นลอนผมที่ดูยุ่งเล็กน้อยของเธอก็บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวตั้งอกตั้งใจค้นหาของชิ้นนี้มากแค่ไหน ซึ่งในตอนที่ทิ้งอุปกรณ์เกี่ยวกับสุนัขไปนั้น อาร์วิน่าคงจะทำใจไม่ได้แล้วแอบเก็บเอาไว้จึงมีเธอคนเดียวที่รู้ว่าในปราสาทยังมีของแบบนี้อยู่ด้วย และเป็นเหตุผลที่รีบกระแทกเท้าปึงปังออกไปจากห้องก่อนนั่นเอง
วาลเซอิคกลั้นหัวเราะจนตัวสั่นกับอาการปากไม่ตรงกับใจของพี่สาวปากร้ายใจดีคนนี้ ก่อนก้มลงไปเก็บปลอกคอและโซ่ล่ามขึ้นมา
“เช่นนั้นข้าขอยืมใช้ไปก่อนเจ้าคงไม่ว่านะ”
“ตามสบายเถอะ ยังไงก็จะทิ้งอยู่แล้ว แค่มันมาหลงอยู่ในกล่องเก็บของเท่านั้นแหละ” อาร์วิน่าพ่นลมหายใจพรืดแล้วเดินมายืนที่หน้าประตูกรง “เอ้า รีบ ๆ ไปสวมเสียสิ จะได้ไปทำอย่างอื่นกันเสียที หรือพวกเจ้าจะเฝ้ากรงกันแบบนี้จนกว่าพวกมันจะคิดว่าพวกเจ้าเป็นแม่ใหม่กัน”
“เจ้าก็พูดเกินไป” คัลมาร์หัวเราะแล้วหันไปส่งสัญญาณกับคัลดิชให้ช่วยกันจับลูกสุนัขสองตัวไม่ให้วิ่งหนี
ฝาแฝดสองคนเดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็กสองตัวที่หูหางตั้งทันทีที่รู้สึกถึงการถูกคุกคาม พวกมันเห่าด้วยเสียงเล็ก ๆ และพยายามจะวิ่งหนี แต่มีหรือจะว่องไวเท่าคนที่ต้องจับสัตว์เล็กสัตว์น้อยมาดื่มกินเลือดเกือบทุกวัน แค่ขยับตัวไม่กี่ก้าว พวกเขาก็จับพวกมันขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนอย่างง่ายดาย และเพราะเขี้ยวเล็บยังไม่คมนัก กอปรกับพวกเขาสวมเสื้อแขนยาวและเนื้อผ้าค่อนข้างหนา การกัดข่วนจึงไม่มีผลสักเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรนะ แค่เดี๋ยวเดียวก็เสร็จแล้ว” วาลเซอิคค่อย ๆ เข้าไปสวมปลอกคอทีละตัวพลางปลอบโยนพวกมันไปด้วยแม้รู้ว่าพวกมันฟังไม่ออกก็ตาม
พอสวมปลอกคอเรียบร้อยแล้ว คัลดิชและคัลมาร์ก็ปล่อยลูกสุนัขทั้งสองเป็นอิสระ ซึ่งพวกมันก็ไปซุกมุมกรงเหมือนเดิม
“ออกไปกันเถอะ พวกมันจะได้สำรวจบ้านใหม่” คัลมาร์รุนหลังอีกสองคนออกไปด้วยกันแล้วจัดการปิดกรงเรียบร้อย
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอไปพักก่อนก็แล้วกัน พวกเจ้าจะทำอะไรก็ตามสบาย” พอเริ่มใกล้เช้า ร่างกายของผู้ต้องสาปก็จะเตือนว่าถึงเวลาเข้านอนซึ่งผิดปกติมนุษย์มนาเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาก็เคยชินกับมันจนไม่รู้สึกแปลกใจ ซ้ำในอาณาบริเวณปราสาทแห่งนี้ก็ไม่เคยมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอยู่แล้ว จะกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่ต่างกันสักเท่าไหร่ คัลดิชเป็นคนแรกที่ขอแยกวงไปพักผ่อน เจ้าตัวชูแขนขึ้นสูงแล้วหาวหวอดขณะเดินจากไป คัลมาร์จึงหันมาบอกลาบ้างแล้วเดินไปทางเดียวกันกับฝาแฝดของตน
“งั้นข้าก็....”
-
“เดี๋ยวก่อน”
ก่อนที่อาร์วิน่าจะได้บอกลาบ้าง เจ้าตัวก็ถูกดึงแขนเอาไว้โดยวาลเซอิคและโดยไม่พูดพล่ามทำเพลง วาลเซอิคก็ลากหญิงสาวไปที่มุมหนึ่งข้างปราสาทราวกับว่ากลัวใครเห็นเข้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แปลกประหลาดมากเพราะในปราสาทนี้ก็มีแต่พวกเขา 5 คน และแต่ละคนก็ไม่ได้มีนิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น
เมื่อมาถึงมุมที่ดูอับสายตาที่สุด วาลเซอิคก็ยอมปล่อยแขน
“อะไรของเจ้ากันน่ะ?” อาร์วิน่ามุ่นคิ้วถาม
“ข้ามีเรื่องอยากถามเจ้า” เด็กหนุ่มกระซิบ
“มีอะไรก็ว่ามาสิ มาอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ แบบนี้ข้าจะเข้าใจเจ้าได้ยังไง” หญิงสาวเริ่มติดจะรำคาญ นาฬิการ่างกายของเธอกำลังบอกให้ไปนอนได้แล้ว แต่กลับต้องมายืนฟังเด็กคนหนึ่งกระมิดกระเมี้ยนปิด ๆ บัง ๆ
“....เซเอล....เคยมีคนรักหรือเปล่า?”
อาร์วิน่ามุ่นคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม
“อยู่ ๆ เจ้าถามอะไรน่ะ?”
“ข้าก็แค่อยากรู้...ว่าเซเอลเคยมีคนรักมาก่อนหรือเปล่า”
“ทำไมเจ้าถึงไม่ถามนายท่านเอาเอง”
“....ข้าไม่คิดว่าเซเอลจะยอมตอบ” วาลเซอิคเดาได้เลยว่าฝ่ายนั้นจะต้องเบือนหน้าหนีเขาและบอกว่าเขาพูดเรื่องไร้สาระอีกแน่ เพราะเมื่อเขาถามถึงเรื่องของเซเอลครั้งใด เจ้าตัวจะหลบเลี่ยงทุกครั้ง เหมือนกับว่าไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ตัวตนไปมากกว่านี้
ทำไมกัน?
เขาไม่เคยเข้าใจเลย ทั้งที่ตัวเขาเองอยากจะอยู่ใกล้ ๆ อยากจะฟังเรื่องราว และเข้าใจเซเอลมากกว่านี้ อยากจะแทรกเข้าไปในช่องว่างอันว้าเหว่นั้น และ....ให้ฝ่ายนั้นหันมามองเขาที่เป็นตัวตนของเขาจริง ๆ บ้าง...
“ฟังนะวาลเซอิค เจ้าคงรู้ว่าพวกเราอายุ....ยืนกว่ามนุษย์ทั่ว ๆ ไป การอยู่ด้วยกันนานวันเข้าทำให้พวกเราต่างก็ต้องการความเป็นส่วนตัวที่มากขึ้น” อาร์วิน่ากลอกตาครั้งหนึ่งเหมือนกำลังคิดว่าต่อไปควรจะพูดอย่างไร “พวกเราจึงไม่คิดจะก้าวก่ายความคิดหรือเรื่องราวส่วนตัวของกันและกัน ถึงนายท่านจะเป็นเจ้าของปราสาทแต่ก็อย่างที่เจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้มีสิทธิอะไรกับชีวิตพวกเรามากนัก”
“อย่างนั้นหรือ?” วาลเซอิคถอนหายใจ
หญิงสาวมองเด็กในปกครองพลางหรี่ตาลง
“วาลเซอิค หรือว่าเจ้า.....”
“ข้าทำไมหรือ?”
เมื่อถูกถามสวนกลับมาในทันที อาร์วิน่าก็ชะงักเล็กน้อยและคิดทบทวนในใจว่าตนเองควรพูดออกไปดีหรือไม่ แต่แล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะเงียบไว้ เพราะบางทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องที่เธอคิดมากไปเอง
“ช่างเถอะ ข้าไปนอนก่อนล่ะ” เธอตัดบทแล้วเดินจากไป
วาลเซอิคได้แต่มองตามแผ่นหลังหญิงสาวและเลื่อนสายตาไปทางหน้าต่างห้องห้องหนึ่งในปราสาท จากตรงนี้เขามองไม่เห็นเลยว่าข้างในนั้นมีใครอยู่หรือไม่ แต่เซเอลก็คงจะยังคงอยู่ในห้องนั้นเพียงลำพังตามเคย หรือไม่ก็คงจะกลับห้องนอนไปแล้ว....
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะเพื่อสลัดความรู้สึกหม่นหมองทิ้งไปแล้วเดินกลับห้องของตนเอง
-------------------------->
“เอลยา เจ้าจะกลับแล้วหรือ?” หญิงสาวผู้เป็นแม่เล้าเอ่ยถามเมื่อเห็นเอลยาลงมาจากข้างบนและกำลังขยับผ้าคลุมไหล่ให้เรียบร้อย
“ข้าคิดว่าจะกลับไปพักผ่อนเร็วหน่อย แม่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือคะ?”
“ก็ไม่มีหรอก ข้างล่างนี่เดี๋ยวพวกเด็ก ๆ เก็บกันเองได้” แม่เล้าโบกไม้โบกมือ “เจ้ากลับตอนนี้ก็ระวังแล้วกัน เดี๋ยวจะโดนสัตว์ป่าทำร้ายเอา”
“ตอนนี้คงไม่มีอะไรนักหรอก พวกผู้ชายกำลังทยอยกลับบ้านกลับช่องกันก่อนภรรยาตื่นน่ะค่ะ” เอลยาหัวเราะคิกคัก “ข้าเองก็ต้องกลับก่อนพวกเด็ก ๆ ตื่นด้วย เดี๋ยวพวกเขาจะอดถามไม่ได้ว่าพี่สาวไปไหนมา ถึงตอนนั้นข้าคงต้องหาเรื่องโกหกไปอีก”
เพราะอาชีพของเธอไม่ใช่เรื่องที่น่าโพนทะนาหรือยกย่องสรรเสริญ เธอจึงไม่อยากให้น้องสาวและน้องชายที่ยังเล็กอยู่ต้องรับรู้เรื่องเหล่านี้ มีเพียงอัลเรสคนเดียวที่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งแม้เจ้าตัวจะไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่มีอำนาจคัดค้านเพราะน้องยังดูแลตัวเองไม่ได้และรายได้ของอัลเรสที่ไปรับจ้างทำงานให้คนในตลาดก็ไม่เพียงพอที่จะดูแลคนสี่คนในบ้านหลังเดียว
เอลยาได้แต่หวังว่าน้องทั้งสองจะโตพอที่จะดูแลตัวเองในเร็ววัน เพื่อที่เธอจะได้เลิกอาชีพนี้และกลับไปรับจ้างทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านก็พอ
ถึงอย่างไรเธอก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปิดบังกับน้องสาวและน้องชายได้นานอยู่แล้ว เพราะแขกที่เข้ามาก็เป็นคนในหมู่บ้านเสียส่วนใหญ่ ที่พวกเขาไม่พูดอะไรก็เพราะเกรงใจอัลเรสเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน เจ้าเป็นหน้าเป็นตาของที่นี่นะ” แม่เล้าหยอกเย้าแล้วหันไปสั่งงานเด็ก ๆ ในร้านต่อ
เอลยาเดินออกมาข้างนอกพลางยกผ้าคลุมขึ้นคลุมศีรษะ แสงอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าทำให้บรรยากาศยังคงสลัวราง มีแสงมีส้มทองกระพริบอยู่ที่ปลายฟ้าด้านตะวันออก แต่เหนือศีรษะดวงจันทร์ยังปรากฏกายในรูปวงเสี้ยวสีขาวเคียงคู่กับดวงดาวที่เปล่งประกายเพียงดวงเดียวในยามเช้า
สายลมพัดวูบมาทำให้หญิงสาวดึงผ้าคลุมตัวให้มิดชิดขึ้น
ตอนนี้ผู้คนดูบางตา มีผู้ชายบางคนกำลังออกมาจากร้านรวงรอบข้าง
หญิงสาวเดินตามกลุ่มคนนั้นไปพลางมองท้องฟ้าที่มีแสงเพียงเรืองเรื่อ อาจเพราะเธอทำงานแบบนี้กระมัง ท้องฟ้ายามเช้าจึงเปรียบเสมือนรางวัลของความเหนื่อยยาก ทุก ๆ วันเมื่อเลิกงาน เธอจะได้รับการทักทายด้วยแสงสีอันน่าอัศจรรย์ใจ แต่ก็ใช่จะเป็นแบบนี้ทุกฤดูกาล เพราะในฤดูหนาวท้องฟ้าจะสว่างช้ากว่าฤดูอื่น ๆ ทำให้เมื่อเลิกงานท้องฟ้าก็ยังคงมืดมิดเหมือนยามราตรี
ในขณะที่กำลังเดินไปตามทางเรื่อย ๆ นั้น พลันสายตาของเธอก็เหลือบไปเห็นร่างหนึ่งในผ้าคลุมยืนแอบอยู่มุมร้านร้านหนึ่งโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
ร่างนั้นดูลึกลับและให้บรรยากาศเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่น่าพิสมัย แต่กลับมีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างอวลอยู่ในอก เรียกให้หญิงสาวเดินเข้าไปหา
เอลยาหยุดเดินและปล่อยให้ผู้คนที่เหนื่อยอ่อนผ่านตนเองไป สายตาของเธอจับจ้องไปยังร่างนั้นอย่างแน่วนิ่ง พยายามนึกอยู่ในใจว่าเหตุใดเธอจึงคิดว่าคน ๆ นั้นน่าจะเป็นคนที่เธอรู้จัก เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนไหวพลิ้วออกมาจากผ้าคลุมศีรษะ รูปร่างภายในผ้าสีขะมุกขะมอมนั้นดูเล็กและบอบบาง รวมถึงส่วนสูงที่ไม่มากนัก จึงพอคาดเดาได้ว่าคงจะเป็นผู้หญิง
ในที่สุดเธอจึงค่อย ๆ สาวเท้าเข้าไปหาร่างนั้น ทว่าก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ร่างภายในผ้าคลุมก็หันมามองเธอทำให้เอลยาเผลอชะงักจังหวะ
และแค่เพียงวินาทีเดียวเท่านั้น ร่างนั้นก็หมุนตัวหลบเร้นเข้าไปในเงามืดระหว่างกำแพงร้านที่เป็นซอกเล็ก ๆ พอให้คนลอดผ่านได้เพียงคนเดียว
เอลยาสะดุ้งรู้สึกตัวรีบก้าวเท้าไล่ตามไป แต่เมื่อไปถึงซอกนั้น เธอก็เห็นแต่เพียงความมืด....
ซอกนี้ไม่ได้ลึกมากนัก เพราะอีกด้านหนึ่งติดกับกำแพงด้านหลังของร้านฝั่งตรงข้าม ถึงจะมืดแค่ไหนแค่ไม่นานเมื่อสายตาคุ้นชินก็สามารถมองเข้าไปจนสุดทางได้ โดยส่วนใหญ่ที่นี่จะมีคนเมาแอบมานอนบ้าง หรือไม่ก็ทิ้งขยะทำให้เจ้าของร้านต้องคอยดูแลอยู่เสมอ ซึ่งวันนี้ก็ไม่ต่างจากวันอื่น ๆ เพราะด้านในมีขวดแก้วถูกโยนทิ้งไว้อย่างไม่ใส่ใจรวมถึงเศษแก้วแตก ๆ ประปราย แต่ถึงอย่างนั้น เธอกลับไม่พบร่างเงาประหลาดนั้นเลย
หนีไปทางอื่น?
นั่นย่อมเป็นไปได้ยาก เพราะร้านสองร้านที่ขนาบซอกนี้มีความสูงสองชั้น ส่วนร้านด้านหลังสูงกว่าเล็กน้อย อีกทั้งยังเป็นกำแพงเรียบ ๆ ไม่มีจุดให้ปีนป่ายขึ้นไปด้านบน
ไม่สิ...ถึงจะมี แต่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะสามารถทำเช่นนั้นได้หรือ?
ระยะทางแค่เพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้นจากจุดที่เธอยืนอยู่มาจนถึงตรงนี้ ไม่มีทางเลยที่จะหนีพ้นสายตาไปได้ แต่ไม่ว่าเอลยาจะสำรวจที่มุมไหน เธอก็ไม่เห็นว่าจะมีคนหลบซ่อนอยู่เลย
ตาฝาด?
เอลยาคิดพลางนวดหว่างคิ้วตัวเอง
บางทีวันนี้เธออาจจะเหนื่อยจากงานมากเกินไปกอปรกับนอนผิดเวลามนุษย์ปกติมาหลายปี ร่างกายจึงเริ่มเล่นตลกกระมัง?
ในตอนที่หญิงสาวสรุปกับตนเองว่ามันอาจจะเป็นเพียงภาพลวงตาที่สมองสร้างขึ้นเพราะเห็นซอกมืด ๆ นั้นเอง สายตาของเธอกลับเห็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่ใช่ขยะทั่ว ๆ ไป
แสงอาทิตย์รำไรที่ส่องลงมาบนพื้นสะท้อนบางสิ่งบางอย่างที่นอนสงบนิ่งอยู่ตรงปลายเท้าของเธอ มันส่องประกายแวววาวราวกับเรียกร้องให้สัมผัส และด้วยใจสงสัย เอลยาจึงก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามันคือสร้อยเส้นหนึ่งที่ทำจากทองคำและจี้เล็ก ๆ ซึ่งทำจากวัสดุเดียวกัน บนจี้มีสัญลักษณ์เหมือนตราตระกูลที่ประกอบด้วยดวงจันทร์เสี้ยวกับนกที่มีหางยาวดูแปลกตา เป็นตราตระกูลที่เธอไม่เคยผ่านมามาก่อนเลยในชีวิต อีกทั้งเครื่องประทับที่ทำจากทองคำนั้นก็หาได้ยากในหมู่บ้านอย่างนี้ เธอจึงคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ทองแท้ก็เป็นได้ แต่ตราที่ปรากฏบนจี้ก็ประณีตเกินกว่าจะเป็นของที่ทำขึ้นมาเล่น ๆ
หญิงสาวพลิกไปด้านหลัง และพบกับภาษาโบราณที่เธออ่านไม่ออก แม้จะมีความคล้ายคลึงกับภาษาที่ใช้กันอยู่แต่รูปแบบการเขียนและขนาดอักษรที่เล็กมากก็ยากต่อการทำความเข้าใจ
เป็นของที่ใครแถวนี้ทำตกไว้?
ไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะสิ่งนี้เป็นเครื่องประดับของหญิงสูงศักดิ์ ซึ่งในสถานที่แบบนี้คงไม่มีผู้หญิงที่น่าจะเป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้มาเดินอยู่ได้
หรือจะเป็นของร่างเงาประหลาดนั้น?
หากว่าเป็นภาพลวงตาก็ไม่น่าจะทำอะไรตกไว้ได้ไม่ใช่หรือ?
ซึ่งหากสร้อยเส้นนี้เป็นของหญิงสาวในผ้าคลุมคนนั้น ก็หมายความว่าสิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภาพหลอกที่สมองสร้างขึ้น แต่มีใครบางคนเคยยืนอยู่ ณ จุดนี้จริง ๆ และได้หายตัวไปแล้ว
ฟังดูอาจจะแปลก...แต่นั่นคือสิ่งเดียวที่เอลยาอนุมานได้ และเพราะไม่รู้ว่าจะหาความจริงอย่างไร เอลยาจึงตัดสินใจเก็บสร้อยเส้นนั้นไว้กับตัวไปก่อน หากมันเป็นของสำคัญ หญิงสาวที่แปลกประหลาดคนนั้นคงจะมาหาเธอเพื่อขอมันคืนไปอย่างแน่นอน
“เอลยา”
ระหว่างที่เธอกำลังจะหมุนตัวออกมานั้น ก็มีเสียงหนึ่งเรียกชื่อของเธอ หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองและเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสาวเท้าเข้ามาหาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“อัลเรส เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” น้องชายของเธอนั่นเอง เอลยาได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจเพราะร้อยวันพันปีอัลเรสไม่เคยย่างเท้าเข้ามาในเขตนี้เลย
“ก็มารับเจ้าน่ะสิ ข้าบอกแล้วว่าให้ระวังตัวไม่ใช่หรือไง? แล้วเจ้าคิดจะยืนตรงนี้จนถึงเมื่อไหร่?” อัลเรสดุพี่สาวตนเองด้วยสีหน้าถมึงทึง แต่เอลยากลับหัวเราะออกมา
“ข้าขอโทษอัลเรส เรากลับกันเถอะ” ในตอนแรกเอลยาคิดว่าตนเองควรจะเล่าเรื่องที่ประสบเมื่อครู่ให้อัลเรสฟังหรือไม่ แต่เมื่อเห็นท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายแล้วเธอก็ไม่อยากจะเพิ่มความกังวลให้เขาอีก เพราะหากเธอเล่า อัลเรสคงเรียกร้องจะเอาสร้อยไปเก็บไว้เองและมาสังเกตการณ์สืบหาตัวหญิงสาวปริศนาคนนั้นเป็นแน่ เอลยาจึงตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเพียงคนเดียวโดยหวังว่าเธอจะมีโอกาสได้คืนสร้อยเส้นนี้ให้กับเจ้าของผู้ลึกลับคนนั้น
TBC
-
ดูหนังหลายเรื่อง ที่ตัวร้ายต้องการจะมีชีวิตป็นอมตะ พออ่านตอนนี้แล้วเศร้านะ กับเวลาของตัวเองที่หยุดนิ่ง แต่ของคนที่รักกลับไหลไปเรื่อยๆ :o12: สงสารทุกคนเลย
ย่อหน้าสุดท้ายนึกว่าเอลยาจะเจอสัตว์ร้ายทำร้ายซะแล้ว โชคดีๆๆ (ชอบอัลเรสแฮะ น่ารักดี หวงห่วงพี่สาว ขอบทเพิ่มได้มั๊ยเนี่ย :-[ )
อ่านมาตั้งแต่ตอนแรก นึกว่าเซเอลจะกินเด็ก ที่ไหนได้ท่าทางจะโดนเด็กกินแทนแล้วล่ะนี่ 5555
รอตอนหน้าจ้าตัวเอง :กอด1:
-
เห็นด้วยกับความเห็นข้างบน
อิอิ
-
WHO ' S THAT GIRL ???
+ PED JAA
-
ผู้หญิงคนนั้นมีอะไรเกี่ยวข้องกับวาลเซอิครึป่าวนี่
ยังไงก็อย่าพรากวาลเซอิคไปละกัน
แล้วเรื่องที่ปราสาทดูเก่าลงอีก จะเกี่ยวกับอายุขัยที่จะหมดลงรึป่าวนี่
โอ๊ยมีแต่เรื่องให้งง
-
มีตัวละครลึกลับมาและ
เห้นด้วยกับรีบน(โน่น)
สนุกมากๆลยคะ รอตอนต่อไป
-
ตอนที่ 6 เพียงฉากหนึ่งในความคิดคำนึง
กริ๊ง..
เสียงกระจ่างใสของวัตถุชิ้นเล็กน้ำหนักเบากระทบบนพื้นเรียกให้ชายหนุ่มหันไปมองด้วยความสนเท่ห์ใจ เนื่องจากตนไม่เคยเห็นสิ่งนี้มาก่อน ถึงอย่างนั้นมันกลับตกลงมาจากเสื้อผ้าที่เตรียมซักของพี่สาวซึ่งตอนนี้กำลังนอนพักอยู่ข้างบน
หรือว่าจะเป็นของขวัญจากแขก?
อัลเรสคิดพลางก้มลงเก็บเครื่องประดับชิ้นนั้นขึ้นมา
เอลยาค่อนข้างจะเป็นที่นิยมชมชอบของแขกที่มีอันจะกิน หลาย ๆ ครั้งเธอจึงได้รับเครื่องประดับสวยงามเป็นของขวัญ แต่เอลยาก็ไม่เคยเก็บไว้กับตัวเลย ทุกครั้งที่ได้มาเธอจะนำมาหยิบยื่นให้เขาเพื่อนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินมาดูแลเรื่องในบ้าน กระนั้นมีเพียงของชิ้นนี้ที่เอลยาลืมทิ้งไว้ในเสื้อผ้าโดยไม่ได้บอกให้เขารู้ ซ้ำยังเป็นของที่ดูมีราคาค่างวดที่สุดเท่าที่เคยได้รับมา
หรือว่าจะได้รับจากคนสำคัญ?
ตัวเขาเองก็ไม่คิดจะก้าวก่ายเรื่องของพี่สาว แต่อย่างไรเอลยาก็เป็นผู้หญิงซึ่งทำให้เขาอดห่วงไม่ได้ ซ้ำการงานของฝ่ายนั้นก็เสี่ยงอันตรายอยู่มาก มีหรือที่ใจเขาจะสงบ
อัลเรสถอนหายใจแล้ววางเครื่องประดับชิ้นนั้นไว้บนโต๊ะ ก่อนเก็บเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ถูกถอดไว้ในถังไปเตรียมซัก ทุก ๆ วันเขาจะต้องทำงานบ้านก่อนแล้วจึงจะออกไปทำงานได้ และนายจ้างของเขาก็เข้าใจจุดนี้จึงไม่มีปัญหาอะไรหากเขาจะไปสายเล็กน้อย
เครื่องประดับสีทองแวววาวสะท้อนแสงแดดที่ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างเป็นประกายสวยงามแปลกตาอย่างน่าประหลาด ตราสัญลักษณ์แบบนูนต่ำบนจี้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตมองคล้ายจะมีชีวิตชีวาขึ้นมา ทว่าสุดท้ายแล้วมันก็เป็นเพียงเครื่องประดับชิ้นหนึ่งซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่บนโต๊ะไม้เก่า ๆ เฝ้ารอให้ใครบางคนมาหยิบมันไปสวมใส่ หรือไม่...มันก็คงกำลังเฝ้ารอเจ้าของของมันมารับคืนไป...
---------------------------->
ถึงแม้ภายนอกจะเป็นยามเช้าอันสดใส ทว่าภายในอาณาเขตของผู้ต้องสาปก็ยังคงปกคลุมด้วยเมฆหมอกสีเทาทะมึน กระนั้นผู้ที่อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ทุกคนล้วนแต่คุ้นชินกับความมืดมิดทุกชั่วยามเพราะความสว่างไม่เคยมีความสำคัญต่อพวกเขา ในทางกลับกัน มันเป็นโทษเสียมากกว่า ด้วยเหตุนั้นร่างกายของผู้ต้องสาปจึงหลับนอนกันในยามกลางวันและตื่นในยามกลางคืน
แต่สำหรับมนุษย์แล้ว....แสงสว่างยังคงมีความจำเป็นต่อชีวิต และนาฬิกาของร่างกายก็ทำงานของมันอย่างเที่ยงตรง
วาลเซอิคตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาหนึ่งที่ตนเองไม่รู้ว่าเป็นเวลาเท่าใดแล้วเพราะท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างไม่เคยบอกเวลากับเขา และนาฬิกาของปราสาทก็ไม่เคยเดินไปจากเวลาเดิมของมัน สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือเขาเป็นคนเดียวที่ตื่นอยู่ในเวลานี้อย่างเคย
หลังจากกินอาหารมื้อแรกของวันเรียบร้อย เขาก็เดินไปที่กรงสุนัขและพบว่าข้างในนั้นมีอาหารอยู่เรียบร้อยแล้วโดยไม่รู้ว่าใครนำมาให้ตอนไหน บางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าปราสาทหลังนี้มีใครที่เขาไม่รู้จักอยู่หรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้มันเป็นข้อสงสัยต่อไปจนในที่สุดเขาก็คุ้นชินกับมันจนเหมือนเป็นเรื่องปกติที่อะไร ๆ จะกลับเป็นเหมือนเดิมเมื่อคล้อยหลังไปไม่นาน หรือมีอาหารโผล่ออกมาในเวลาที่หิวโหย ขอเพียงมีวัตถุดิบเพียงพอปราสาทหลังนี้ก็สามารถเนรมิตสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตได้ อาจเรียกอย่างง่าย ๆ ว่าปราสาทสารพัดนึก แต่กระนั้นเขากลับรู้สึกว่าปราสาทหลังนี้กำลังเหนื่อยล้าลงทุกขณะ
วาลเซอิคส่ายศีรษะเมื่อคิดเช่นนั้น
ปราสาทจะเหนื่อยล้าได้ยังไงกัน? แต่หากไม่คิดแบบนี้เขาก็หาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมปราสาทจึงเริ่มเก่าลง แม้แต่กรงสุนัขก็มีสนิมเกาะอยู่เล็กน้อย
ลูกสุนัขสองตัวดูมีความสุขกับเนื้อเพราะกำลังหิวได้ที่ หางเล็ก ๆ กวัดแกว่งไปมาขณะโน้มไปแทะทึ้งเนื้อสัตว์ด้วยฟันที่ยังไม่คมมากนัก
เมื่อพวกมันอิ่มกันดีและดูร่าเริงพร้อมออกกำลังแล้ว วาลเซอิคก็คว้าสายจูงที่แขวนอยู่มุมกรงแล้วเปิดประตูเดินเข้าไปข้างในกรง แรกทีเดียว ลูกสุนัขทั้งสองก็ตกใจกลัวผู้บุกรุก แต่เมื่อวาลเซอิคไม่ได้แสดงท่าทางคุกคามและใช้เวลาเฝ้ารอจนพวกมันเลิกระแวง การจับสวมสายจูงจึงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง
“เอาล่ะ ถึงฟ้าจะยังไม่สว่างแต่พวกเจ้าคงรู้ว่าถึงเวลาออกกำลังแล้ว” เขาพูดกับลูกสุนัขทั้งสองที่ดูจะไม่ได้เข้าใจสิ่งที่เขาพูดแม้แต่น้อย พวกมันกลิ้งไปมาและกัดสายจูงเหมือนลับเขี้ยวไปในตัว
วาลเซอิคก้มลงไปจับพวกมันขึ้นมาอุ้มไว้ในแขน แน่นอนว่าเขาได้รับการประท้วงเป็นการดิ้นรนเพื่อลงไปหาพื้น แต่เด็กหนุ่มก็ไม่นึกสนใจ แต่เดินออกมาข้างนอกแล้วจึงวางพวกมันลงก่อนหันไปปิดกรง ไม่ทันไรเจ้าลูกสุนัขทั้งสองก็ออกลายด้วยการวิ่งนำไปก่อน แต่เพราะติดสายจูงพวกมันจึงได้แต่วิ่งวนไปรอบ ๆ ตัวเขาเท่านั้น ลูกสุนัขตัวกลมป้อมออกอาการหงุดหงิดที่ถูกบังคับแต่เมื่อวาลเซอิคยอมเดินตาม พวกมันก็ส่ายหางระริกระรี้อย่างยินดีและวิ่งกันออกไปโดยที่ไม่รู้ทิศทาง
“มาทางนี้สิพวกเจ้า นั่นมันหลังปราสาทถึงจะเดินไปก็ไม่เจออะไรหรอก” เท่าที่วาลเซอิคจำได้ ด้านหลังปราสาทบรรยากาศไม่ต่างกับนิยายสยองขวัญที่มีต้นไม้แห้งเหี่ยวหงิกงอเรียงรายกันเหมือนกับว่ามันเคยเป็นสวนสีเขียวที่สวยงามแต่ตอนนี้เหลือเพียงความแห้งผากไร้ชีวิตชีวา แต่น่าแปลกที่น้ำพุหินที่ตั้งในสวนนั้นยังมีน้ำไหลเอื่อย ๆ ออกมาจากตาด้านบนและไหลลงมายังฐานรองก่อนจะลับหายไปข้างใต้นั้น
เด็กหนุ่มลากจูงลูกสุนัขแสนซนทั้งสองออกมาจนถึงด้านหน้าปราสาทที่มีประตูเหล็กสูงใหญ่ตั้งอยู่ ประตูบานนี้ไม่เคยปิดเลยสักครั้ง ราวกับการบอกว่าไม่เคยคิดจะกักขังใครไว้ที่นี่ แต่ทุกคนก็ไม่เคยคิดที่จะออกไปจากที่นี่เช่นกัน บนบานประตูมีไม้เลื้อยแห้ง ๆ เกาะเกี่ยวอยู่ พวกมันก็เช่นเดียวกับต้นไม้อื่น ๆ ในปราสาทที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย คล้ายจะไร้ชีวิตแต่ก็ไม่สิ้นสลาย
เมื่อนึกไปแล้ว วาลเซอิคก็นึกถึงใบไม้ที่ร่วงหล่นเมื่อคืนนี้...
ทำไมใบไม้จึงได้ร่วงจากต้นทั้งที่ไม่เคยร่วงมาก่อน...เพราะปราสาทหลังนี้หรือ?
ในช่วงเวลานั้น สายตาของเซเอลที่มองออกมาฉายแววของความอาลัย จะใช่แค่เพียงคิดถึงสุนัขตัวโปรดแน่หรือ? หรือว่ามีความว่างเปล่าอันลึกล้ำแอบแฝงเอาไว้ด้วย?
แม้วาลเซอิคจะตกในภวังค์ แต่ความซุกซนของสองลูกสุนัขก็ไม่ยอมให้เวลาเขาเท่าไหร่นัก พวกมันช่วยกันดึงสายจูงจนเด็กหนุ่มรู้สึกตัว
“รู้แล้ว ๆ รอเดี๋ยวสิ” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ นึกอยู่ว่าทำไมลูกสุนัขที่ได้ซุกซนได้เพียงนี้ ตอนแรกที่เขาเห็นคิดว่าพวกมันจะเรียบร้อยเสียอีก นี่หากไม่มีสายจูงรั้งเอาไว้ พวกมันคงเตลิดไปไหนต่อไหนแล้ว
แต่เมื่อเขาเดินตามลูกสุนัขออกมาได้เพียงไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเบื้องหน้าของเขามีใครบางคนยืนอยู่....
“เซเอล?”
ถึงบางครั้งเขาจะเห็นเซเอลตื่นขึ้นมาในเวลาที่คนอื่น ๆ ยังไม่ตื่นก็ตาม แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายออกมายืนข้างนอกปราสาทอย่างนี้
เซเอลเลื่อนนัยน์ตาสีเลือดมองลูกสุนัขทั้งสองก่อนจะมองคนที่ขานชื่อตนออกมา
“ข้าคิดว่าเจ้าจะออกมาเร็วกว่านี้เสียอีก”
.....?
วาลเซอิคไม่ได้อยากจะนึกเข้าข้างตัวเอง แต่คำพูดนั้นเหมือนกำลังสื่อเป็นนัย ๆ ว่าอีกฝ่ายมายืนรอเขาอยู่ตรงนี้นานแล้ว
“เจ้าสองตัวนี้เพิ่งจะอิ่มข้าก็เลย....” เพราะพฤติกรรมที่เขาคาดคิดไม่ถึง ทำให้วาลเซอิคพูดไม่ออกชั่วขณะ และระหว่างที่เว้นช่วงคำไปนั้น เซเอลก็พยักหน้ารับว่าเข้าใจโดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อ
“เจ้ายังไม่ได้ตั้งชื่อหรือ?”
“ข้ายังไม่ได้คิดเลย” เด็กหนุ่มไหวไหล่ “ตอนแรกข้าคิดว่าจะลองถามความเห็นของคัลดิชกับคัลมาร์ แต่พวกเขาก็ยังไม่ตื่นกัน”
“ไม่มีชื่ออยู่ในใจหรอกหรือ?” เซเอลกล่าวถามแล้วหมุนตัวเดินนำไปด้านหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายเดินตาม แต่สิ่งที่วิ่งขึ้นมาเทียบเขากลับเป็นสิ่งมีชีวิตตัวกลม ๆ สองตัวที่อยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็น พวกมันวิ่งเข้ามาดม ๆ ชายเสื้อคลุมตัวยาวของเขาไปพลางวิ่งไปพลางด้วยขาสั้น ๆ ทั้งสี่ ซึ่งทำให้เขาอดคิดถึงพวกที่เคยเลี้ยงดูมาไม่ได้ ครั้งหนึ่งพวกมันก็เคยตัวเล็กแค่นี้แล้วก็เติบใหญ่ขึ้นและจากไปทีละรุ่นเป็นวัฏจักร
หากไม่ใช่เพราะวาลเซอิคอยากเลี้ยงหนักหนา เขาคงไม่คิดจะเลี้ยงอีก
“เซราฟ กับ วอเรน” วาลเซอิคลองพูดสองชื่อที่อยู่ในใจออกมา
เซเอลมุ่นคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าอ่านนิยายในห้องหนังสือหรือ?” ที่เขาถามเช่นนี้เพราะสองชื่อที่อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมานั้นคุ้นหูและสะดุดใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันคือตัวเอกสองพี่น้องจากหนังสือนิยายผจญภัยเล่มโปรดของเขาซึ่งเขาเคยบอกวาลเซอิคเพียงครั้งเดียวว่าเขาชอบเล่มนี้เป็นพิเศษ
เด็กหนุ่มเกาท้ายทอยพลางยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ท่านไม่ชอบหรือ?”
“ข้าก็ไม่ได้นึกขัดข้องกับการเลือกของเจ้า ข้าแค่สงสัยว่าทำไมเจ้าถึงเลือกสองชื่อนี้ก็เท่านั้น” เซเอลโคลงศีรษะ “คงไม่ใช่ว่าบังเอิญ....”
“ข้าอยากให้ท่านรู้สึกดีกับพวกมัน”
คำตอบของวาลเซอิคค่อนข้างจะเกินความคาดหมายของผู้ถาม
เด็กหนุ่มพาตนเองเดินขึ้นมาเทียบข้างและมองเสี้ยวหน้าของเซเอลก่อนพูดต่อ
“ท่านเคยผ่านประสบการณ์การสูญเสียสิ่งที่รักไป การที่ข้าพาพวกมันมาคงทำให้ท่านรู้สึกไม่ดีนัก ข้าจึงคิดว่ามันอาจจะดี....หากว่าท่านสามารถเปิดใจให้พวกมันได้ ในฐานะสองพี่น้องที่กำลังจะพากันไปผจญภัยในดินแดนที่ลึกลับซับซ้อน และสร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ที่น่าตื่นเต้นรอบ ๆ ตัวท่าน และมีความทรงจำเกิดขึ้นมากมายก่อนที่นิยายเรื่องนี้จะเดินทางถึงจุดจบ”
นัยน์ตาสีเลือดหลุบลงต่ำขณะฟังเสียงทุ้มกระซิบข้างหู
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ เมื่อครั้งที่เจ้ายังเด็ก ข้าก็เคยพาเจ้าออกมาเดินเล่นแบบนี้”
“แน่นอน ข้าจำได้” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเบี่ยงประเด็น วาลเซอิคก็ใจฝ่อไปนิดหน่อย “ที่นี่น่ากลัวสำหรับข้าเมื่อตอนนั้น แต่เพราะท่านจับมือข้าอยู่ตลอด.....ข้าจึง....” ว่าแล้วเขาก็ขยับมือไปหาอีกฝ่าย แต่ก็สัมผัสได้เพียงชุดคลุมสีหม่นเท่านั้น
“การผจญภัยในดินแดนที่ลึกลับของเจ้าคงเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น” เซเอลเอี้ยวหน้ามองเด็กหนุ่มข้างตัว “เจ้าสนุกกับมันหรือไม่?”
วาลเซอิคเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะโคลงศีรษะคิดถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กคนโต ซึ่งหากนับแล้วก็กินเวลาหลายปีดีดักที่เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทแห่งนี้ ในตอนแรกนั้น เขาไม่เคยรู้สึกผิดปกติอะไรกับความเป็นอยู่ของผู้ต้องสาปเพราะความไม่รู้เดียงสา แต่เมื่อเขาโตขึ้นเรื่อย ๆ เขาก็เริ่มสังเกตว่าคนรอบตัวเขาและทุก ๆ อย่างไม่มีความเปลี่ยนแปลง เขาคิดว่าเป็นตัวเขาเองที่ผิดปกติจากคนอื่น ๆ ทว่าเมื่อเซเอลพาเขาไปรู้จักโลกภายนอก ได้รู้จักมนุษย์ที่เหมือนกับตนเองเขาจึงได้รู้ว่าความจริงแล้วผู้ต้องสาปต่างหากที่ผิดแปลกออกไป
แต่ทุกสิ่งอย่างนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับผู้ต้องสาปเลยแม้แต่น้อย แม้ในใจจะมีความสงสัยในหลาย ๆ อย่างแต่เพราะอยู่ด้วยกันมานานปีเขาจึงพอทำความเข้าใจได้ในมุมมองของมนุษย์คนหนึ่ง ซึ่งในอนาคตเขาเองก็จะโรยราลงไปเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน
การผจญภัยของเขามีจุดเริ่มต้นนับแต่วันที่เซเอลนำเขามายังสถานที่แห่งนี้ มองเห็นโลกที่แตกต่าง และใช้ชีวิตแบบนั้นไปพร้อม ๆ กับการเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
และเขาก็รู้ว่ามันจะต้องจบลงในสักวัน....
เหมือนนิยายเรื่องหนึ่งที่อยู่บนชั้นหนังสือ แค่เริ่มเรื่องและจบเรื่อง ถ่ายทอดเรื่องราวอันน่าประทับใจและควรค่าแก่การจดจำให้กับผู้อ่าน เฝ้ารอ...จนกว่าคน ๆ นั้นจะคิดถึงและหยิบขึ้นมาเปิดอีกครั้ง...
เซเอลจะเปิดอ่านเรื่องของเขาบ่อยๆ หรือเปล่านะ?
“แล้วท่านสนุกหรือเปล่า?”
“ทำไมเจ้าถึงย้อนกลับมาถามข้า?”
วาลเซอิคหัวเราะออกมา
“ก็ถ้าข้าเป็นตัวละครในนิยายที่กำลังผจญภัย ท่านก็เป็นคนอ่านเรื่องของเขาไม่ใช่หรือ?” รอยยิ้มของเด็กหนุ่มกว้างขึ้น “ถ้าเรื่องของข้าไม่ทำให้ท่านเบื่อ ในอนาคตท่านอาจจะปัดฝุ่นเรื่องของข้าอยู่บ่อย ๆ ก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็เหมือนเราอยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยใช่หรือเปล่า?”
เรียวคิ้วสีเงินมุ่นเข้าหากัน
“เจ้าก็พูดจาเลื่อนเปื้อนไปเรื่อย” ถึงแม้เซเอลจะพูดแบบนั้น แต่วาลเซอิคก็รู้สึกว่าเขาเห็นริ้วแดงจาง ๆ บนแก้ม บางทีอีกฝ่ายคงจะเขินอยู่กระมัง เพราะเหมือนว่านอกจากเขาแล้วจะไม่เคยมีเด็กในปราสาทหลังนี้มาก่อนเลย พอเขาพูดแบบนี้จึงเหมือนเด็กตัวน้อย ๆ ที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่ที่สนิทสนมกัน แต่เซเอลจะรู้หรือไม่...ว่าเขาเองอยากจะมีสถานะที่มากกว่าเด็กในปกครอง....
“ถ้าอย่างนั้น....เรื่องชื่อของเจ้าสองตัวนี้ล่ะ?” เมื่อประเด็นเก่าติดขัด วาลเซอิคก็หวนกลับมาหัวข้อเดิมที่ค้างกันเอาไว้ “ถ้าสองชื่อนั้นไม่ดี....”
“ข้าไม่ได้ว่าอะไร หากเจ้าอยากตั้งแบบนั้นก็ตั้งไปเถอะ”
วาลเซอิคขยับเข้าไปอ้อนอีกฝ่ายพลางกอดเอวทั้งที่มือหนึ่งถือสายจูงอยู่
“ข้าไม่อยากให้ท่านไม่สบายใจนะเซเอล”
“ข้าไม่ใช่ไม่สบายใจ เพียงแต่คำพูดของเจ้าทำให้ข้านึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้” เซเอลกล่าวพลางดึงฮูดให้คลุมปิดมาถึงดวงตา “เจ้าเองก็เหมือนกับพวกมัน สักวันหนึ่งเจ้าเองก็ต้องจากข้าไป ข้าจึงไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ที่ปล่อยให้เจ้าเข้ามาใกล้ชิดถึงขนาดนี้”
เซเอลรู้ดีว่าการเปรียบเทียบชีวิตประหนึ่งนิยายเป็นเพียงคำพูดสวยหรูเพื่อปลอบใจ เพราะชีวิตนั้นไม่มีสิ่งใดให้จับต้องได้เหมือนอย่างนิยาย และเป็นจริงมากกว่านิยาย เมื่อผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความคิดคำนึงและความทรงจำที่เลือนรางลงในทุก ๆ วัน แต่ความรู้สึกยังคงตกค้างอยู่ข้างใน ถึงแม้วันหนึ่งเขาอาจจะจดจำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แต่สิ่งที่เคยรู้สึกนั้นจะกลายเป็นตะกอนที่นอนนิ่งรอพื้นน้ำไหวกระเพื่อมอีกครั้ง
“ข้ากำลังถูกไล่เป็นนัย ๆ หรือเปล่า?”
ทันทีที่วาลเซอิคถามเช่นนั้น เซเอลก็มีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาครู่หนึ่ง
“หากเจ้าจะคิดเช่นนั้นข้าคงพูดอะไรไม่ได้” ว่าจบ เซเอลก็ผละจากมือวาลเซอิคและเดินเร็ว ๆ นำหน้าไปหลายก้าว
“เดี๋ยวสิ ท่านโกรธข้าทำไมน่ะ ข้าแค่พูดเล่นเท่านั้นเอง” วาลเซอิครีบรุดเข้าไปดึงอีกฝ่ายไว้
“เพราะเจ้าทำตัวแปลกในระยะหลัง ๆ น่ะสิ” คำตอบของอีกฝ่ายทำให้วาลเซอิคกระพริบตาปริบ ๆ “ทั้งที่ชอบเข้ามาออดอ้อนข้า และบางครั้งก็ทำท่าเหมือนข้าไม่เอาใจใส่เจ้า ข้าดูแลเจ้าบกพร่องตรงไหนกัน?”
“...ข้าสิต้องเป็นฝ่ายถามแบบนั้น” วาลเซอิคแกล้งทำหน้ามุ่ยก่อนถือโอกาสรวบเซเอลเข้ามากอดทั้งตัว เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเดินหนีไปดื้อ ๆ “จำไม่ได้หรือ เมื่อคืนนี้ท่านเพิ่งจะไล่ข้าออกมาจากห้อง ข้ากลัวว่าท่านจะยังโกรธข้าอยู่และข้าอาจจะพูดผิดหูท่านก็ได้”
“ข้าไม่ได้......” เซเอลกำลังจะปฏิเสธว่าตนเองไม่ได้ทำร้ายจิตใจขนาดนั้น แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว เมื่อคืนเขาก็ไล่วาลเซอิคออกมาจากห้องจริง ๆ แต่นั่นก็เพราะ...เขารู้สึกว่าวาลเซอิคกำลังล้ำเส้นที่เขาวางเอาไว้ “....ก็ได้ ข้าไล่เจ้าออกจากห้อง แต่ข้าไม่ได้โกรธเกลียดเจ้า”
“จริงหรือ?”
“ช้าจะโกหกเจ้าไปทำไม” เซเอลตอบพลางเสหลบดวงตาที่มีประกายระริกระรี้ของเด็กหนุ่ม “พาเด็ก ๆ ของเจ้าไปเดินเล่นต่อได้แล้ว”
วาลเซอิคยิ้มกว้างแล้วลักหอมแก้มเซเอลไปฟอดใหญ่ก่อนจะรีบปล่อยมือแล้วผละออกมายิ้มเผล่เมื่อเซเอลหันกลับมามองด้วยสีหน้าเหมือนกำลังดุเด็กที่เล่นพิเรนทร์ ถึงอย่างนั้นเซเอลก็ไม่ได้ออกปากต่อว่าอะไร แค่ยกมือแตะแก้มตนเองด้วยท่าทางเหมือนกำลังกระดากอายอยู่เล็กน้อยแล้วหันกลับไปเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ท่าทีของเซเอลจะยังคงเว้นระยะห่างจากเขา แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่รังเกียจที่เขาเข้าหาแบบนี้ วาลเซอิคก็รู้สึกว่าตัวเองพอจะมีความหวังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
-
ลูกสุนัขทั้งสองยังคงมีความสุขในแบบของมันเองโดยไม่ได้รู้สึกอะไรกับบรรยากาศข้างหลัง
แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านยอดไม้ตกลงบนพื้นเป็นจุด ๆ กลายเป็นของเล่นใหม่ของเซราฟและวอเรนซึ่งพยายามตะปบจุดแสงเหล่านั้นที่ไม่มีตัวตน
มองไปแล้ว จะเหมือนเขาหรือเปล่านะ? ที่พยายามเอื้อมคว้าบางสิ่งบางอย่างที่รู้ดีว่าไม่มีวันจับต้องได้ แต่ขอเพียงได้มองเห็นและพยายามเอื้อมไปหาก็มีความสุขแล้ว
ไม่สิ...เขารู้ดีว่าตัวเองมีความโลภมากกว่านั้น...
หากเขาเป็นลูกสุนัขสองตัวนั้น เขาคงจะคาดหวังให้จุดแสงเล็ก ๆ บนพื้นขยับเต้นไปตามเขาบ้าง
เซเอล...ท่านจะเปิดใจให้ข้าได้บ้างหรือเปล่า...
-------------------------->
เอลยาตื่นขึ้นมาในตอนบ่ายแก่ เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเครื่องประดับไว้ในชุดที่สวมใส่เมื่อคืนจึงรีบรุดลงมาดูข้างล่างก่อนพบว่าเสื้อผ้าถูกนำไปซักตากเสียแล้ว อัลเรสจะต้องเห็นแน่ ๆ ว่าเธอซุกซ่อนอะไรเอาไว้ ก่อนออกไปทำงานเธอเดาได้เลยว่าพ่อน้องชายสุดหวงจะต้องมาถามเกี่ยวกับมัน
กริ๊ง...
เสียงของโลหะน้ำหนักเบากระทบพื้นดังขึ้นตอนที่หญิงสาวกำลังหันซ้ายหันขวามองหาว่าอัลเรสวางเครื่องประดับชิ้นนั้นไว้ที่ไหน
“อเลนอย่ายึดไว้คนเดียวสิ แอนน์ก็อยากลองบ้างนี่นา”
เอลยาหันไปตามเสียง และเห็นน้องชายน้องสาวของเธอกำลังแย่งยื้อบางสิ่งกันอยู่บนพื้น และเมื่อเธอเพ่งมองดี ๆ แล้ว ก็พบว่ามันคือของที่เธอกำลังหาอยู่นั่นเอง ซ้ำแอนน์กำลังดึงยื้อส่วนสายสร้อยที่บอบบางกับอเลนอยู่เสียด้วย หญิงสาวรีบปรี่เข้าไปหาน้องทั้งสองทันที
“แอนน์ อเลน ปล่อยของนั่นทั้งคู่เลยนะ” เธอทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกับเด็ก ๆ แล้วจับมือทั้งคู่ไว้ ก่อนใครคนหนึ่งจะออกแรงดึงจนสายสร้อยขาดออกจากกัน
“แต่ว่าอเลนแย่งของแอนน์ไปนี่” เด็กหญิงตัวน้อยร้องประท้วงด้วยสีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ที่ปลายหางตามีหยดน้ำปริ่ม ๆ อยู่จนดูน่าสงสาร
“เปล่านะ แอนน์จะเอาไปเล่นคนเดียวต่างหาก” เด็กชายแก้ต่างให้ตนเองบ้างด้วยหน้าตาบึ้งตึงไม่ยอมความ ทำให้เอลยาต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ การเลี้ยงเด็กเล็ก ๆ สองคนที่วัยไล่เลี่ยกันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด ถึงอย่างนั้นอัลเรสที่ดูอารมณ์ร้อนกลับสามารถเลี้ยงดูน้องทั้งสองได้อย่างดีในช่วงหลายปีที่เธอแทบไม่มีเวลาเพราะอาชีพการงาน มาตอนนี้อัลเรสก็เริ่มออกไปหางานทำเพื่อค้ำจุนรายจ่ายในบ้าน เธอจึงต้องตื่นมาดูแลน้อง ๆ บ้างและได้รู้ว่าแม้น้องทั้งสองจะเติบโตขึ้นแต่ก็ยังเอาแต่เล่นกันบ้างทะเลาะกันบ้างเหมือนเดิม
“พวกเจ้านี่นะ ของนี่ไม่ว่าใครก็เล่นไม่ได้ทั้งนั้น เอาคืนมาให้ข้าได้แล้ว” เอลยาแบมือรอเด็กทั้งสองยอมคืนของให้แก่เธอ
แอนน์ขบริมฝีปากแล้วยอมตัดใจปล่อยมือจากของที่ถูกใจในที่สุด ส่วนอเลนทำตัวดื้อแพ่งในนาทีแรก แต่เมื่อเอลยายื่นมือหาก็ยอมวางคืนแต่โดยดี
“ดีมาก ทีนี้พวกเจ้าไปเปิดประตูหน่อยสิว่าใครมาหา” เพราะได้ยินเสียงคนเคาะประตูอยู่หน้าบ้าน เอลยาจึงใช้มันเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็ก ๆ ซึ่งทั้งสองก็แข่งกันวิ่งไปให้ถึงประตูแล้วเขย่งเปิดให้แขก
“เอลยาอยู่ไหม?” วาลเซอิคยื่นหน้าเข้ามาในบ้านแล้วเอ่ยถามเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้มกว้าง
“วาลเซอิค เจ้ามาบ่อยแบบนี้อาเจ้าไม่ต่อว่าเอาหรือ?” เอลยาเอ่ยถามเมื่อเห็นแขกผู้มาเยือน เธอหยิบเสื้อคลุมมาคลุมตัวขณะเดินออกมาหาเพราะเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยังไม่ได้ผลัดเปลี่ยนชุดนอน
“ถ้าข้าไม่มาสิจะโดนต่อว่า” เด็กหนุ่มทำวางมาดเป็นทางการ “เพราะข้าต้องเอาของตอบแทนมาให้เจ้าแทนการขอบคุณ อาของข้าชอบพวกมันมากทีเดียว” เขายื่นเนื้อสัตว์ที่เพิ่งล่าได้ในวันนี้ให้โดยอ้างชื่อเซเอลไปในตัว ทั้งที่ความจริงแล้วเซเอลรู้แค่เพียงว่าวาลเซอิคอยากจะนำของมาตอบแทนแก่คนที่หาลูกสุนัขมาให้ และเพียงออกคำอนุญาตโดยไม่ได้เป็นคนต้นคิดเรื่องนี้
“คงไม่ใช่แค่นั้นกระมัง?” เอลยาเลิกคิ้วมองเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามาในบ้านของเธอพร้อมเนื้อสัตว์ที่เป็นของฝาก หญิงสาวรับของนั้นยื่นให้กับอเลนและแอนน์ “พวกเอาไปไว้ในครัวก่อนนะ พออัลเรสกลับมาก็บอกให้พี่เขาปรุงเป็นอาหารเย็น”
“ข้าไม่ได้คิดเรื่องงานของเจ้าหรอกนะ” วาลเซอิครีบโบกมือแก้ตัว เพราะจริง ๆ แล้วระยะหลังเขาแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์กับเอลยาบนเตียงเลย เมื่อพบกันแต่ละครั้งก็เหมือนจะเป็นการพูดคุยเรื่องต่าง ๆ กันมากกว่า มีเพียงบางครั้งเท่านั้นที่จะมีความสัมพันธ์ทางกายเกิดขึ้น
“ข้ารู้แล้วน่า” เอลยาหัวเราะ “มานั่งก่อนสิ วันนี้ข้ามีเวลาเยอะเพราะตื่นเร็วกว่าปกติ”
เมื่อได้รับคำเชิญ วาลเซอิคก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ
“ถ้าอัลเรสกลับมาเขาจะต้องบ่นเรื่องเจ้าเป็นหมีกินผึ้งอีกแน่” แก้วน้ำใบหนึ่งถูกวางลงตรงหน้าก่อนเอลยาจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้มหวาน “แต่เอาเถอะ เจ้าเองก็เหมือนน้องชายข้าคนหนึ่ง แล้ววัยเจ้าก็ไม่ใช่น้อย ๆ แล้ว จะมีเรื่องเดือดร้อนใจก็ไม่แปลก”
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกันน่ะ” วาลเซอิคหัวเราะ
“แหม...จะอะไรเสียอีก แค่มองก็รู้แล้ว จริง ๆ ข้าก็พอมองเจ้าออกนานแล้วล่ะนะ แต่ข้ารอเจ้าพูดเองไม่ไหวน่ะสิ” หญิงสาวโคลงศีรษะ “สาวที่เจ้าหลงรักไม่ชายตามองเจ้าหรือ?”
!!!
วาลเซอิคสำลักน้ำทันที ต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าอาการกระอักไอหลังจากสำลักจะหายไป ซึ่งระหว่างนั้นเอลยาก็หัวเราะออกมาเหมือนสมใจที่คาดเดาได้ถูกต้อง เพราะหากเดาผิดวาลเซอิคคงไม่ตกอกตกใจออกอาการถึงขนาดนี้ อย่างว่า....ผู้หญิงมักมีสัญชาตญาณด้านนี้มากเป็นพิเศษ
“ว่าอย่างไร ข้าเดาถูกใช่หรือไม่” รอยยิ้มบนเรียวปากหญิงสาวผลิกว้างออก “ข้าไม่ถามเจ้าหรอกว่านางเป็นใครมาจากไหน แต่เห็นท่าทางเจ้าเหมือนคนเตรียมใจผิดหวังเลยออกมาเที่ยวข้างนอกย้อมใจตัวเองแบบนี้แล้วข้าก็อดสงสารเจ้าไม่ได้ บางทีข้าน่าจะช่วยแนะนำเจ้าได้นะ”
....
“เจ้ามองออกถึงขนาดนั้นเลยหรือ?” วาลเซอิคไม่คิดจะแก้ต่างเรื่องเพศของคนที่เขามีใจให้ ปล่อยให้อีกฝ่ายเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปดีกว่า
“ก็ไม่ได้มองยากถึงขนาดนั้นนี่นา เจ้าชอบมาเที่ยวเขตกลางคืนอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่ไม่ได้ติดพันหญิงคนไหน กับข้าเจ้าก็แค่มองเป็นพี่สาวคนหนึ่ง ดังนั้นเหตุผลเดียวที่เดาได้ก็คือ เจ้าคงจะมีความหลงใหลในตัวหญิงสาวสักนางแต่เจ้าเข้าใกล้ไม่ได้ก็เลยต้องทำอะไรบางอย่างให้ตัวเองลืมความรู้สึกห่างเหิน” เอลยาไหวไหล่พลางชี้แจ้งเสมือนตนเองเป็นกูรูด้านหัวใจชายหญิง
เด็กหนุ่มฟังแล้วขำอยู่ในคอ
“แต่เจ้าตัวไม่เห็นรู้เลย”
จะว่าน่าน้อยใจก็คงได้ เพราะเซเอลไม่มีทีท่าจะรู้เลยว่าเขารู้สึกยังไงกับตัวเอง การกระทำของเขาไม่ว่าในเวลาไหนก็คงเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ที่คอยเรียกร้องความรักความเอาใจใส่จากผู้ใหญ่อยู่ร่ำไป สำหรับเซเอลแล้วเขาคงจะไม่มีวันเป็นผู้ใหญ่พอไปจนตลอดชีวิตนั่นแหละ...
“เจ้าไม่ได้แสดงออกหรือเปล่า? หรือว่า....”
“หรือว่า?”
เอลยาดูอิดออดอยู่เล็กน้อยก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบ
“นางจะมีคนที่รักอยู่แล้ว?”
“เป็นไปไม่ได้หรอก” วาลเซอิครีบตอบทันควัน ไม่ใช่เพราะเขาร้อนตัวไม่อยากให้ข้อสันนิษฐานเป็นจริง ไม่สิ...ส่วนหนึ่งในใจของเขาก็ไม่อยากให้ข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง แต่เหตุผลที่เขาตอบได้ในทันทีเพราะตลอดเวลาที่อยู่กับเซเอลมาเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายข้องแวะกับหญิงสาว...หรือชายหนุ่มคนไหน กระทั่งเข้าใกล้มนุษย์ยังไม่เคยมี ในฐานะผู้ต้องสาปและรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเป็นที่จดจำง่ายทำให้เซเอลเคร่งครัดกับการซุกซ่อนตัวตนมากกว่าใคร คนที่รู้จักกันดีถึงขั้นมีความรู้สึกพิเศษต่อกันได้มีเพียงเขา คัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าเท่านั้น ซึ่งสามคนนอกจากเขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกพิเศษใด ๆ กับเซเอลเลยนอกจากความเป็นนายและบ่าวที่มีสถานะใกล้เคียงกันมากเท่านั้น
แต่....มันก็มีความเป็นไปได้...
วาลเซอิคนึกแย้งตัวเองขึ้นมาในใจ
เซเอลมักจะเข้ามาในหมู่บ้านบ่อย ๆ ด้วยเหตุผลที่เขาไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งคงเพราะห่วงเขาแต่ก่อนที่เขาจะมาอยู่ด้วย เซเอลก็เข้าออกหมู่บ้านนี้และถูกมนุษย์เห็นบ้างจนกลายเป็นข่าวลือมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ไม่ใช่หรือที่เซเอลจะหลงรักหญิงสาวสักคนที่บังเอิญผ่านสายตาแล้วต้องใจ....
เอลยาเห็นคู่สนทนาเงียบไปก็พอเข้าใจว่าเริ่มลังเลกับคำตอบของตนเองขึ้นมา เธอเองก็ไม่แปลกใจนักเพราะการที่คน ๆ หนึ่งจะรักชอบใคร บางครั้งก็ไม่มีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ เธอเองก็เจอมามากที่คนทำอาชีพเดียวกับเธอหลงชอบแขกที่มาพักด้วยเพียงชั่วข้ามคืน หรือกระทั่งแขกที่หลงรักหญิงงามเมืองอย่างไม่ลืมหูลืมตาก็มี ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่วาลเซอิคจะมั่นใจได้ว่าคนที่ตนเองมีใจให้นั้นจะไม่ได้มีใจให้ใครอื่น นอกจากว่าเธอคนนั้นจะเป็นนกในกรงทองที่ไม่เคยพบเจอผู้คนมาก่อนเลย
“เฮ้อ....” อยู่ ๆ วาลเซอิคก็ถอนหายใจออกมาแล้วฟุบหน้ากับโต๊ะ “อาจจะเป็นอย่างเจ้าว่าก็ได้” เขายอมแพ้ต่อความกังวลในใจในที่สุด
“เช่นนั้นก็ต้องเป็นคนที่เจ้าไม่รู้จัก” เพราะหากรู้จักกันก็คงต้องเห็นท่าทีที่ผิดสังเกตบ้าง เอลยาคิดในใจเช่นนั้น “ข้าได้ยินว่าชนชั้นสูงมีงานสังคมบ่อยครั้ง ก็ไม่แปลกหากนางจะได้พบเจอใครหลาย ๆ คนที่เจ้าไม่เคยพบมาก่อน หรืออาจจะเป็นการพบกันอย่างลับ ๆ ก็ได้”
เซเอลไม่มีงานสังคมหรอก...
วาลเซอิคเถียงอยู่ในใจ ถึงอย่างนั้นเซเอลก็มีช่องทางที่จะได้พบเห็นคนอื่นมากมายเสียยิ่งกว่างานสังคมเสียอีก คิดไปแล้วก็นึกอยากให้ประตูปราสาทหลังนั้นปิดตายเสียจริง...เขาจะได้มั่นใจได้ว่าเซเอลจะไม่ได้พบเจอใครอย่างที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
“ข้าว่าเจ้าน่าจะลองถามนางดูนะ วาลเซอิค หากนางอิดออดไม่ตอบคำก็แปลว่านางมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจแน่นอน” เอลยายืดอกอย่างมาดมั่นในคำแนะนำของตนเอง “เอาล่ะ ข้าไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนดีกว่า พออัลเรสกลับมาข้าจะได้ออกไปตอนฟ้ายังสว่าง” หญิงสาวว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ซึ่งตอนนั้นเอง เครื่องประดับชิ้นเล็กที่เธอถือติดมือเพราะชุดนอนไม่มีกระเป๋าก็ร่วงหล่นลงพื้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
วาลเซอิคที่เห็นอีกฝ่ายทำของตกก็ก้มลงไปเก็บขึ้นมาให้ แต่รูปนูนบนจี้ก็ทำให้เขาชะงักไปชั่วครู่
ดวงจันทร์....กับนกที่ดูแปลกตา....
สัญลักษณ์แบบนี้เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อน....
“มีอะไรหรือ?” เอลยาเอ่ยถามเมื่อเห็นวาลเซอิคจ้องสร้อยคอเส้นนั้นเขม็ง “หรือว่าเจ้ารู้จักเจ้าของ?”
ที่จริงแล้ว เอลยาตั้งใจจะถามว่าวาลเซอิครู้จักหญิงสาวที่เป็นเจ้าของสร้อยเส้นนี้หรือไม่ แต่วาลเซอิคกลับตีความเป็นว่าตนเองรู้จักเจ้าของตราผู้นำสร้อยนี้มามอบให้เธอหรือไม่
“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกว่าแปลกตาดี” เขาส่งสร้อยคืนพลางยิ้มกลบเกลื่อนอาการเมื่อครู่ ซึ่งเอลยาก็ไม่คิดติดใจสงสัยอะไร เธอรับสร้อยคืนมาแล้วเดินขึ้นห้องไปโดยมีวาลเซอิคมองตามแผ่นหลังไม่วางตา เพราะตราบนจี้นั้นคุ้นตาเขาอย่างไม่น่าเชื่อ....
จันทร์เสี้ยวและนกจากต่างถิ่น
เพราะมันคือตราประจำตระกูลลาห์โคเวีย ซึ่งไม่อาจจะพบเจอได้แล้วในทุกวันนี้
ตราประจำตระกูลของเซเอล....
ซึ่งอยู่ในมือของเอลยา....
TBC
-
ง่ะ
แล้วมันมาอยู่กับเอลยาได้ยังไงกันล่ะเนี่ย
-
แงว สงกะสัยเชเอลจะรักแม่ของเวลเซอิคแน่เลย
แต่เวลเซอิคก็เป็นลูกที่หน้าเหมือนแม่สินะ เลยไม่รู้ว่ารักแบบคนรักรึป่าว
ผู้หญิงที่เอาสร้อยมาทิ้งไว้เป็นศัตรูของเซเอลรึป่าวนะ :z3:
งง มาต่อเร็วๆน้าา :z13:
-
แสดงว่าผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องกับเซเอลสินะ - -
ว่าแต่ ตอนนี้ก็น่ารักอีกแล้ว >< บรรยายถึงน้องหมาได้น่าเลี้ยงมากเลยค่ะ
ชอบเวลาวาลเซอิคกับเซเอลอยู่ด้วยกัน อืมมมมม อยู่มาน๊านนาน แต่เซเอลก็ใสซื่อเหมือนกันนะ ขณะที่น้องวาลเซอิคก็ดูจะเจนโลกกว่านะ 555
ชอบบรรยากาศแบบนี้ ^________^ รอตอนหน้าจ้า
-
ผู้หญิงคนที่ทำสร้อยตกไว้จะเกี่ยวกะไรกับเซเอลป่าวเนี่ย
-
รู้สึกว่าเรื่องนี้จะซับซ้อนขึ้นนะ รักข้างเดียวก็ทรมานแบบนี้แหละ แต่ก็ดีกว่าได้ครอบครองแต่ไม่ได้ใจเขาละนะ
-
ลืมบอกไป...ถ้าใครอ่านตอนนี้แล้วรู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันกระโดดข้ามฉาก ลองกลับไปอ่านตอนที่ 5 ดูนะคะ เพราะตอนโพสต์เซียร์ลืมเปลี่ยนหัวกระทู้ อาจจะมีบางคนไม่รู้ว่าเซียร์อัพแล้วเลยอ่านข้ามตอนมา :'D
-
ขออย่าให้ เอลยาตายนะ
วาลเซอิก ก็แอบน่าสงสาร รัก แต่ อีกฝ่ายกลับ เห็นเป็นภาพซ้อนอีก
ต่อๆ
-
ผู้หญิงคนนั้น เป็น ใคร??
ต่อๆๆๆ
-
ชอบอ่ะ-.,-
น้องวาลนี่เป็นรุกรึ0.0
เรานึกว่าคุณเซเอลจะเป็นรุกซะอีก 55
แต่ใครจะเป็นอะไรยังไงก็ได้ยังไงเราก็อ่านเหมือนเดิม ตั้งแต่เราอ่านมาเราว่าคุณเซเอลชอบมี๊ของน้องวาลซึ่งกำลังเอามี๊ของน้องวาลมาซ้อนทับน้องวาลจนต้องหวั่นไหวไปบ่อยๆถึงบ่อยมาก แต่ก็อยากให้คุณเซเอลมองน้องวาลอย่างที่น้องวาลเป็นได้เร็วๆ-.-
-
เมื่อไหร่เซเอลจะรู้ถึความรู้สึกซักที :z3:
-
ชอบอ่ะ
มีเรื่องใหม่ให้แปลกใจอีกแล้ว
-
ตอนที่ 7 รอยยิ้มในแสงจันทร์
ตรารูปดวงจันทร์และนกหางยาวจากต่างถิ่นประดับอยู่บนประตูเหล็กหน้าปราสาท เพราะมันไม่เคยปิดทำให้ตราถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ถึงอย่างนั้นวาลเซอิคก็รู้จักตรานี้เป็นอย่างดีจนแม้จะเห็นเพียงอย่างละครึ่งก็รู้ได้ว่าเป็นตราแบบใด เพราะนอกจากบนประตูบานนี้แล้ว ตรานี้ยังมีประดับอยู่ทั่วปราสาท ทั้งประตูทางเข้าตัวปราสาท เฟอร์นิเจอร์บางชิ้น และเครื่องแต่งกายของเซเอล
ทั้งที่เป็นตราประจำตระกูลซึ่งกลายเป็นผู้ต้องสาป และไม่น่าจะหาพบได้จากที่อื่นใดอีกแล้ว กลับมีมนุษย์คนหนึ่งที่ถือครองสิ่งซึ่งมีตรานี้ประทับอยู่....
จะให้เขาคิดเป็นอื่นได้ยังไง?
“ทำอะไรอยู่?” เสียงถามดังมาจากด้านหลัง วาลเซอิคจึงหันไปมองโดยรู้ได้จากเสียงทันทีว่าเป็นใคร
“ท่านออกไปข้างนอกมาหรือ?” เขาเลิกคิ้วท่าทางแปลกใจที่เห็นเซเอลไม่ได้อยู่ในปราสาท
“นิดหน่อย” เซเอลไม่ได้ปฏิเสธ
“ในหมู่บ้าน?”
ชายหนุ่มเริ่มมุ่นคิ้ว
“อยู่ ๆ ทำไมเจ้าอยากซอกแซกเรื่องของข้าขึ้นมา” เขารู้สึกว่าระยะหลัง ๆ นี้ วาลเซอิคคล้ายจะมีความสนใจกับเรื่องส่วนตัวของเขามากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่เหมือนจะพยายามแทรกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในเรื่องส่วนตัวของเขาจึงอยากรู้อยู่เสมอว่าเขาทำอะไรเมื่อไหร่
“เปล่านี่ หากท่านไม่อยากตอบข้าก็.....” วาลเซอิคเว้นช่วงจังหวะก่อนเลี่ยงสายตาไปทางอื่น แต่เจ้าตัวคงไม่รู้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังตีสีหน้าไม่พอใจอยู่ ซ้ำมันยังชัดเจนเสียจนไม่จำเป็นต้องมองตาก็รู้ถึงความรู้สึกด้านลบที่แผ่ออกมาอย่างเจือจางนั้น
เซเอลพรูลมหายใจออกมา
“ข้าออกไปที่หมู่บ้าน แต่ข้าเห็นว่าเจ้าไปเยี่ยมเพื่อนข้าจึงไม่ได้ไปทักทาย” เซเอลเข้าใจว่าวาลเซอิคคงไม่พอใจที่เขาเข้าไปที่หมู่บ้านโดยไม่ยอมบอกกล่าวและไม่แวะไปหา
“ท่านปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์ไม่ได้อยู่แล้ว” เด็กหนุ่มไหวไหล่และคิดว่าตนเองช่างงี่เง่าจึงมาทำท่าปั่นปึ่งใส่อีกฝ่ายอยู่อย่างนี้ แต่พอคิดถึงสร้อยของเอลยาเขาก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้ เรื่องนี้เซเอลไม่คิดจะบอกเขาบ้างเลยหรือ? อย่างน้อย.....ก็ให้เขารู้ว่ามีคนที่รู้สึกพิเศษอยู่แล้ว...เขาจะได้....
“ก็ไม่เชิง ข้าแค่พยายามจะไม่เปิดเผยตัวตน”
“แล้ว....ท่านเคยเปิดเผยตัวตนให้มนุษย์คนใดรู้หรือไม่?”
เซเอลหยุดคิดไปเล็กน้อยเพื่อคิดถึงช่วงที่ผ่านมาในชีวิต
“เท่าที่เราจำได้ก็มีอยู่ 5 คน....” เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “...เฉพาะที่เราจงใจ ส่วนที่พบเห็นเราโดยบังเอิญนั้นเราคงไม่รู้จะนับอย่างไร”
“แล้ว....ท่านเคยมอบของส่วนตัวให้ 1 ใน 5 นั้นหรือไม่ ไม่สิ ไม่รวมข้าน่ะ” วาลเซอิคลองเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามเมื่อมีช่องให้ตนเองพอถามได้ แต่เซเอลเม้มปากเล็กน้อยเหมือนไม่ใคร่อยากจะตอบคำถามนี้ กระนั้นเมื่อชั่งใจอยู่นานเขาก็ยอมตอบออกมาอย่างกำกวม
“หากจำไม่ผิด ก็คงเคย”
“อ......” เมื่อคิดจะถามว่าเป็นอะไร วาลเซอิคก็กลืนคำพูดลงคอไปโดยหลุดออกมาครึ่งพยางค์ “....ท่านคงจะมีความรู้สึกดี ๆ กับเขามากทีเดียวถึงยอมให้ของส่วนตัวแบบนั้น” เพราะโดยปกติแล้วเซเอลจะไม่ค่อยหยิบยื่นสิ่งของให้ใครโดยง่าย นอกจากเงินทองที่มีมากมายในปราสาท เซเอลก็ไม่เคยนำของสิ่งอื่นออกมาให้เขาเลย กระทั่งให้เห็นก็ยังไม่เคย เขาจึงไม่รู้เลยว่าเซเอลมีสิ่งของแบบใดติดตัวบ้างนอกจากเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ทุกวันนี้และหนังสือมากมายในห้องหนังสือของเจ้าตัว
ดวงตาสีเลือดกลอกเลี่ยงไปด้านข้าง
“....เข้าข้างในเถอะ” เซเอลกล่าวก่อนเดินผ่านวาลเซอิคเข้าไปในเขตปราสาท ทำให้วาลเซอิคไม่สามารถไถ่ถามเอาความจริงต่อได้ กระนั้นเขาก็สรุปได้ในใจแล้วว่า...เซเอลได้เคยมอบของส่วนตัวชิ้นหนึ่งให้กับคนที่ตนเองมีใจให้อย่างแน่นอน แต่กลับหลบเลี่ยงไม่ยอมบอกเขา....ก็เท่านั้น...
--------------------->
ยามค่ำคืนคืนนี้ จันทร์เต็มดวงลอยเด่นบนผืนฟ้ากว้างสีเข้ม ทำให้ทั่วทุกแห่งสว่างไสวกว่าคืนก่อน ๆ กระนั้นแสงจันทร์ก็ยังไม่อาจสู้แสงไฟจากชุมชนราตรีได้ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ดูมีจำนวนมากกว่าทุก ๆ คืนและคึกคักยิ่งกว่าคืนไหน ๆ ดังที่ว่ากันว่าแสงจันทร์มีผลต่ออารมณ์ของผู้คน ด้วยเหตุนั้นกระมัง ในคืนจันทร์เต็มดวงจึงมักเกิดเรื่อยพิเศษ ๆ อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในด้านดีและไม่ดี
เอลยาออกมายืนส่งแขกตามปกติเมื่อแขกใช้บริการเสร็จแล้วและกำลังจะกลับ แขกในคืนนี้ของเธอแค่เพียงต้องการความสำราญใจจึงมาพูดคุยและแตะต้องเนื้อตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หญิงสาวจึงลงมาอยู่ข้างล่างเพื่อเฝ้ารอแขกคนต่อไปของเธอ
“วันนี้แขกกลับเร็ว แปลว่าเขาไม่เห็นเสน่ห์ของเจ้าหรือเปล่านะ” ระหว่างที่เธอกำลังจะกลับเข้าร้านนั้น ก็มีชายหนุ่มปากมอมคนหนึ่งเอ่ยหยอกเย้าตามประสาผู้ชาย
หญิงสาวหันกลับมายิ้มให้พลางปรายตายั่วเย้า
“แล้วเจ้าเห็นเสน่ห์ของข้าหรือเปล่าล่ะ?”
เมื่อเห็นหญิงงามเมืองผู้เป็นที่นิยมอันดับต้น ๆ ของหมู่บ้านสนใจทำท่าตน เจ้าหนุ่มก็ได้ใจทำผิวปากหวือแล้วเอ่ยเล่นลิ้น
“สงสัยจะหลบในเพราะข้าไม่ค่อยจะเห็นสักเท่าไหร่”
พร้อมกับคำกล่าวนั้น ทั้งหญิงชายรอบ ๆ ที่ได้ยินก็พากันหัวเราะเฮฮา แม้จะเป็นคำพูดที่ดูไร้มารยาทสำหรับคนเพิ่งเคยพบหน้ากัน ทว่าสำหรับหญิงที่ทำอาชีพเช่นนี้คงยากที่จะได้รับการให้เกียรติจากผู้คนทั่วไป จึงมักจะได้พบการใช้วาจาจาบจ้วงล่วงเกินจนเกินงามหลาย ๆ ครั้ง บางคนก็ตอบโต้กลับไปทันทีด้วยอารมณ์ บางคนก็เดินหนีไปดื้อ ๆ แต่เอลยาที่ทำงานอย่างนี้มาหลายปีมีวิธีที่ดีกว่านั้น
เธอยิ้มตอบด้วยดวงตาเป็นประกายนึกสนุก และแย้มริมฝีปากเคลือบสีชาดตอบกลับไปอย่างนิ่มนวล
“เช่นนั้นเสน่ห์ของข้าคงไม่ต้องรสนิยมของเจ้า เพราะแขกของข้าล้วนแต่รสนิยมสูงกันทั้งนั้น”
โดนตอกกลับมาอย่างนี้เจ้าหนุ่มก็ถึงกับสะอึก พาให้คนรอบข้างหัวเราะขึ้นมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้ตัวเขาเองกลายเป็นตัวตลก ไม่ใช่หญิงสาวที่ตนเองเผลอปากแซวในตอนแรก
การเห็นท่าทางที่หงอลงถนัดตาของอีกฝ่ายทำให้เอลยารู้ว่าเจ้าหนุ่มคนนี้ยังอ่อนเดียงสาเพิ่งจะเคยหัดจีบสาว แค่นี้คงพอหอมปากหอมคอแล้ว เธอจึงเลิกให้ความสนใจ ทว่าก่อนที่เธอจะหันกลับเข้าไปในร้านนั้นเอง หางตาของเธอก็สะดุดกับร่างหนึ่งในชุดคลุมยาวจึงรีบหันไปมอง
ร่างในชุดคลุมนั้นปกปิดตั้งแต่ศีรษะจนเกือบถึงปลายเท้า ท่าทางการเดินอย่างช้า ๆ นั้นดูไม่เข้ากับสถานที่สักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจร่างนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะในสถานที่แบบนี้ จะมีคนแปลก ๆ เดินไปเดินมาก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร
แต่สิ่งนั้นกลับเรียกความสนใจจากเธอได้....
เพราะหญิงสาวจำได้ดี ถึงร่างเงาอันแปลกตาซึ่งทิ้งสิ่งของชิ้นหนึ่งไว้ก่อนหายตัวไป
เอลยาหยุดปลายเท้าตนเองและหมุนตัวกลับออกมาข้างนอกอีกครั้ง สร้างความแปลกใจให้กับคนที่สนทนกันอยู่หน้าร้านแต่เธอก็ไม่นึกสนใจ กลับก้าวเดินผ่านทุกคนออกไปโดยไม่ตอบคำถามที่มีคนถามว่าเธอจะไปที่ไหน แต่หันกลับมาบอกกับสาวรุ่นน้องคนหนึ่งว่า
“ข้าจะหาพบคนรู้จักสักครู่ เดี๋ยวข้ากลับมา”
เมื่อสาวรุ่นน้องรับคำ เอลยาก็เดินออกไปด้วยท่าทางรีบเร่ง เพราะร่างในผ้าคลุมนั้นเกือบจะลับสายตาของเธอและหายไปในฝูงชนแล้ว
ในตอนแรกเธอคิดจะเรียกอีกฝ่ายไว้ แต่เพราะไม่รู้ชื่อ และท่าทางฝ่ายนั้นไม่น่าจะได้ยิน หญิงสาวจึงสาวเท้าตามไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ถึงตัว กระนั้นก็น่าแปลก การเดินตามผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งมันยากเย็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งที่เธอเองก็มั่นใจว่าตัวเองขายาวและเป็นคนเดินเร็ว แม้มีคนขวางทางบ้างแต่เธอก็เพิ่มความเร็วเท่าที่ทำได้แล้วโดยไม่ออกวิ่ง แต่ร่างนั้นที่นำหน้าเธออยู่กลับไม่ได้ร่นระยะเข้ามาเลย กลับกัน ร่างนั้นคล้ายกับถูกฝูงชนผลักดันให้ห่างออกไปเรื่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ลดหรือเพิ่มความเร็วแม้แต่น้อย
เพราะคิดแต่ว่าอยากจะคืนของให้ เพราะบางทีฝ่ายนั้นคงตามหาของอยู่จึงได้เดินไปข้างหน้าไม่หยุดอย่างนั้น เธอจึงไม่ทันรู้สึกถึงความผิดปกติเหล่านี้
พอรู้ตัวอีกครั้ง ผู้คนก็ซาลง และไม่มีร้านรวงที่เปิดไฟสว่างไสวแล้ว เอลยามองไปรอบตัวพบว่าตอนนี้ตนเองออกมาท้ายถึงหมู่บ้านซึ่งมีแนวป่าอยู่ไม่ไกล
คน ๆ นั้นจะออกมาที่นี่จริง ๆ หรือ?
บางทีอาจจะคลาดกันในหมู่คนก็เป็นได้
ป่าด้านหน้านั้นมีสัตว์ป่าอยู่มาก โดยเฉพาะเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลาออกล่านั้นยิ่งไม่ควรที่จะเหยียบย่างเข้าไป เวลานี้ข่าวการถูกสัตว์ทำร้ายแถว ๆ นี้ก็เริ่มหนาหู เอลยาจึงคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะเดินเข้าไปในป่า นั่นหมายความว่ายังคงวนเวียนอยู่ในเขตที่เธอเพิ่งผ่านมา
เธอหันหลังกลับเพื่อเข้าไปหาดูในหมู่บ้านดี ๆ อีกครั้ง ทว่ากลับต้องชะงักพร้อมเบิกตากว้างด้วยความตกใจจนเกือบกรีดร้องออกมา
ร่างที่เธอตามหาอยู่นั้น มายืนอยู่ข้างหลังเธอตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้!
หัวใจของเธอเต้นเป็นรัวกลอง เหงื่อพรั่งพรูออกมาจนเย็บเยียบไปทั่วร่าง ก่อนที่หญิงสาวจะสงบจิตใจได้และตั้งสติเห็นว่าอีกฝ่ายเพียงยืนนิ่ง ๆ และเงียบจนน่าแปลกเท่านั้น
ร่างในผ้าคลุมตัวเล็กกว่าเธอเพียงเล็กน้อย ทำให้ยิ่งมั่นใจว่าต้องเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน ฝ่ายนั้นยืนก้มหน้านิ่งทำให้ผ้าคลุมศีรษะปิดลงมาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ แต่ปอยผมสีน้ำตาลอ่อนก็ร่วงหล่นออกมานอกผ้าคลุม เอลยาจึงแน่ใจได้ว่าคน ๆ นี้คือคนเดียวกับที่ทำของตกไว้
“อ....เอ่อ......” เอลยาเริ่มเปล่งเสียงออกมา แต่เธอพบว่าเสียงตนเองแหบแห้งจึงกลืนน้ำลายและกระแอมครั้งหนึ่งก่อนพูดต่อ “คือว่า...เจ้าทำของตกเอาไว้ใช่หรือเปล่า? บางทีเจ้าคงตามหามันอยู่ นี่ไง ไม่ต้องห่วงข้าไม่เรียกร้องอะไรตอบแทนหรอก เจ้าเอาคืนไปเถอะ” ว่าพลาง เธอก็ดึงสร้อยสีทองออกมาจากเสื้อ สีของมันสะท้อนแวววาวกับแสงจันทร์เต็มดวง
ร่างนั้นยกมือขึ้นมา ทำให้เอลยาได้เห็นเรียวแขนผอมเล็กขาวเนียน
เอลยายื่นสร้อยส่งไปให้
มือข้างนั้นยื่นเข้ามาใกล้...ทว่ากลับไม่ได้รับสร้อยจากเธอ...
มือขาวซีดแตะลงบนแขนก่อนขยับเปลี่ยนหมุนเป็นการคว้าจับ มือของเธอคนนั้นเย็นเฉียบอย่างน่าใจหายและขาวเสียจนน่ากลัว
“เจ้าอุ่นเหลือเกิน....” ร่างนั้นเปล่งเสียงออกมา เสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “...ช่างอบอุ่น....เหมือนคน ๆ นั้นของข้า....”
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน...นี่ เจ้าเมาหรือเป.....อึก....!” ในตอนแรกเอลยาคิดว่าอีกฝ่ายคงไปดื่มมาจากร้านไหนสักร้านจนเมามาย ทว่าเรี่ยงแรงที่ฝ่ายนั้นเกร็งกำลงบนแขนของเธอไม่ใช่น้อยเลย ไม่ใช่ทั้งแรงของคนเมาจนไร้สติและไม่น่าจะใช่แรงของผู้หญิงเจ้าของแขนที่บอบบางนี้
“พวกเขาอยู่ที่ไหน.....คืนพวกเขามาให้ข้าเถอะ....” เสียงแหบแผ่วของหญิงสาวลึกลับกึ่งเว้าวอนกึ่งคาดคั้น พร้อมกันนั้นก็เคลื่อนกายเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นจนเอลยาต้องขยับถอยหลัง แต่เพราะมือที่จับยึด ทำให้ไม่อาจก้าวไปไกล ๆ ได้ แรงที่ดึงแขนของเธอไว้ มากมายเสียยิ่งกว่าเวลาพวกแขกที่มานอนกับเธออารมณ์ไม่ดีเสียอีก
“เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน ข้าไม่รู้เรื่องคนที่เจ้าหาอยู่เลยนะ” หญิงสาวเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา หากเป็นคนเมาก็ว่าไปอย่าง แต่เธอคนนี้อาจจะเสียสติก็เป็นได้ คนบ้าที่ควบคุมตัวเองไม่ได้นั้นอันตรายพอ ๆ กับสัตว์ร้าย เพราะอาจจะทำอะไรขึ้นมาก็ได้
เดี๋ยวสิ....
พอ ๆ กับสัตว์ร้าย?
ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้หรือเปล่า....ที่เธอคนนี้จะเป็นคนฆ่าคนอื่น ๆ ที่ตายอย่างเป็นปริศนา?
พอคิดแบบนั้นเอลยาก็หน้าซีดทันที เพราะนั่นหมายความว่าเธอกำลังจะกลายเป็นเหยื่อคนต่อไป แต่ว่า...มนุษย์ธรรมดาจะฉีกกระชากร่างกายของคนอื่นเหมือนสัตว์ป่าได้ยังไงกัน ในเมื่อมนุษย์นั้นไม่ได้มีกรงเล็บและเขี้ยวที่แข็งแรงเหมือนกับสัตว์ล่าเนื้อ...
“โอ๊ย!”
ทันใดที่ความสงสัยเกิดขึ้น แขนของเธอที่ถูกจับยึดก็เจ็บแปลบเหมือนถูกของมีคมจิกลงไป เอลยาเขม้นมองไปยังจุดนั้นก่อนจะเผลอกลั้นหายใจ
ปลายนิ้วเรียวสวย...มีเล็บงอกยาวออกมา ทั้งที่มันน่าจะเป็นเรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไปที่ไว้เล็บ แต่เล็บนั้นกลับแหลมคมผิดปกติและกำลังจิกลงบนเนื้อของเธอ
“หยุดนะ! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!” เอลยาสะบัดแขนอย่างแรง แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มือข้างนั้นยิ่งจับยึดแน่นก่อนมืออีกข้างจะพุ่งเข้าจับที่คอของเธอและดันทั้งร่างให้ล้มลงบนพื้นหญ้าชื้นน้ำค้าง
สะโพกที่ถูกกระแทกเจ็บแปลบแต่หญิงสาวไม่อาจพลิกหนีหรือทรงตัวลุกขึ้นได้ เพราะร่างในผ้าคลุมนั้นตามขึ้นมากดคร่อมบนร่างกายของเธอ มือข้างหนึ่งถูกตรึงไว้บนพื้น ส่วนอีกข้างกำลังพยายามดึงมือที่กุมคอของเธออยู่ก็เรี่ยวแรงกลับสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย
“พวกเจ้าพรากพวกเขาไปจากข้า.......” เสียงงึมงำเหมือนการกล่าวโทษโดยที่ผู้ฟังไม่ทันจะได้รู้เรื่องราว กระนั้นผู้กล่าวโทษก็ตัดสินความผิดของเธอไปเรียบร้อยแล้ว “....ข้าจะ....พรากชีวิตเจ้าไปเช่นกัน....” ทันใดที่เอ่ยคำนั้น ริมฝีปากที่เพิ่งหยุดคำพูดไปก็อ้ากว้างขึ้น ทำให้เอลยาเห็นเขี้ยวคมเต็มสองตา
ความคิดของเธอก่อนนี้ถูกต้องทุกประการ
เธอคนนี้....คือคนที่เป็นสัตว์ร้าย.....!!
“.......!!!!” เอลยาตกใจกลัวจนร้องไม่ออก ถึงจะพยายามหวีดเสียงอย่างไรทุกอย่างก็อยู่แต่เพียงในคอ ได้แต่มองใบหน้าของอีกฝ่ายที่เลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ปอยผมสีน้ำตาลตกลงละบนหน้าของเธอกระนั้นก็ยังเห็นเขี้ยวขาวน่ากลัวอย่างชัดเจน
หญิงสาวปิดตาแน่น ก่อนกลั้นใจรวบรวมพลังทั้งหมดที่มีเปล่งเสียงร้องออกมา
“ปล่อยข้านะ!!!”
-
และ....มันก็คล้ายจะได้ผล เพราะอีกฝ่ายชะงักไปอย่างทันที
หญิงสาวในผ้าคลุมนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่เขี้ยวจะฝังลงบนคอระหงและผละออกเพียงเล็กน้อยโดยไม่ได้ลุกออกไปหรือปล่อยมือที่ตรึงพื้นเอาไว้
เอลยาไม่รู้สึกว่าตนถูกทำร้ายจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมอง และพบว่าอีกฝ่ายกำลังก้มลงมองไปยังจุดขึ้น เพราะไม่เห็นสายตาจึงไม่รู้ว่ามองไปที่ใด แต่มือที่กุมลำคอของเธอนั้นได้คลายออกและเลื่อนลงไปยังหน้าท้องก่อนแตะและลูบช้า ๆ อย่างอ่อนโยน
“....เจ้าอยู่ที่นี่เองหรือ....” น้ำเสียงแผ่วเบานั้นเจือความปิติยินดีอยู่อย่างเจือจาง “ดูสิ...เด็กคนนั้นกลับมาหาข้า” ว่าแล้ว หญิงประหลาดก็เงยหน้าขึ้นและยื่นเข้ามาใกล้
เป็นครั้งแรกที่เอลยาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย...
เธอเป็นหญิงสาวอายุน้อยที่ดวงตาเลื่อนลอยคล้ายมองบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ห่างไกล และนัยน์ตาคู่นั้น...เป็นสีแดงเลือด...
นั่นไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เอลยาตกใจ เพราะใบหน้านั้นคุ้นตาเธอเหลือเกิน
ใช่แล้ว....ครั้งหนึ่งเธอเคยรู้จักเจ้าของใบหน้านี้
ในความทรงจำอันพร่ามัว ปรากฏภาพของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเคยสนิทสนมกันเมื่อยังเด็ก ทั้งที่ในบรรยากาศซึ่งเป็นอันตรายต่อชีวิตไม่น่าจะคิดเรื่องแบบนั้นออกมาได้ แต่คงเพราะคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างความเป็นและความตายทำให้ความทรงจำถูกกระตุ้นขึ้นอย่างง่ายดาย
“....เขาเป็นของข้า” เธอคนนั้นกล่าวต่อไปก่อนยิ้มกว้าง “ดังนั้น.......”
อา....เจ้าคือ..........
---------------------------->
ในวันต่อมา ก็มีข่าวกระจายไปทั่วเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างเป็นปริศนาของเอลยา แน่นอนว่าทุก ๆ คนรู้จักเธอดีด้วยเป็นหญิงงามของหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็อยากไปใช้บริการ แค่ได้พูดคุยด้วยก็ถือเป็นเรื่องน่ายินดี การหายไปของเธอจึงกลายเป็นข่าวใหญ่ในเวลาเพียงครึ่งวัน
คนที่รู้เรื่องนี้เป็นคนแรกเป็นใครไปไม่ได้นอกจากอัลเรส น้องชายซึ่งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่าพี่สาวของตนยังไม่กลับมาที่บ้าน
เขาดูแลจัดการน้อง ๆ ทั้งสองอย่างรวดเร็วก่อนจะออกจากบ้านเพื่อมายังเขตนี้ที่คนแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เหลือแต่เพียงแขกที่ค้างคืน เหล่าหญิงสาวที่เพิ่งเลิกงาน รวมถึงร้านรวงที่กำลังทำความสะอาดเก็บข้าวเก็บของ อัลเรสเข้าไปหาในร้านที่เอลยาทำงานก่อน แต่กลับได้รับคำตอบกลับมาว่า
“เห็นออกไปกลางดึกแล้วก็ไม่กลับมาเลย ข้าเองก็ห่วงอยู่เหมือนกัน”
หญิงเจ้าของร้านถอนหายใจด้วยความหงุดหงิดระคนเป็นห่วง เบอร์หนึ่งของร้านหายตัวไปทำให้เธอต้องแก้ตัวกับแขกเป็นพัลวัน คิดว่าหากกลับมาจะต่อว่าเสียให้เข็ด แต่แล้วเอลยากลับไม่ได้กลับมาที่ร้านอีกเลยจนกระทั่งเวลานี้ ไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปที่ไหน ครั้นคิดว่าคงจะเหนื่อยกลับบ้านไปก่อนก็ช่วยให้ความห่วงน้อยลง แต่อัลเรสกลับบอกว่าเอลยาไม่ได้กลับบ้านเลย ทำให้เธอร้อนอกร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง
“กำลังหาพี่เอลยาอยู่หรือคะ?” ในระหว่างที่ทั้งสองกำลังเคร่งเครียดนั้น หญิงสาวอายุน้อยก็เอ่ยถามขึ้น ดูจากท่าทางแล้วคงกำลังจะกลับบ้าน
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าอยู่ไหน?” แม่เล้าหันมาถามทันที
“ตอนเห็นพี่ครั้งสุดท้าย บอกว่าจะไปหาคนรู้จักแล้วก็เดินไปทางท้ายหมู่บ้านน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบ และโดยไม่ฟังคำอธิบายใด ๆ ต่อ อัลเรสก็พุ่งตัวออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว
เขาเดินผ่านเขตที่กำลังจะร้างคนในยามเช้าโดยไม่สนใจคนที่เดินสวนตัวเองไป ซึ่งในเวลานี้ก็ไม่มีใครสนใจเขาเช่นกันเพราะต่างคนต่างก็แยกย้ายกลับบ้านด้วยความอ่อนเพลีย กระนั้นท่าทางการเดินจ้ำอ้าวและหน้าถมึงทึงก็ทำให้บางคนนึกผิดแปลกอยู่
อัลเรสสอดส่ายสายตาเข้าทุกซอกมุมเพื่อตามหาคนที่น่าจะเป็นพี่สาวของตนเอง แต่ก็ไม่พบใครที่เหมือนเธอเลย จนกระทั่งเขาเดินออกมาถึงท้ายหมู่บ้าน...
ไม่มีใครอยู่...
ไม่ใช่เรื่องแปลก...เพราะบริเวณนี้ปกติก็ไม่ค่อยจะมีคนอยู่แล้ว เอลยาเล่าว่านาน ๆ ครั้งจะมีแขกนิสัยพิลึกชวนสาว ๆ ออกมาพลอดรักกันบ้าง แต่โดยปกติก็จะไม่มีคนเดินผ่าน อัลเรสมองไปรอบ ๆ เผื่อว่าเอลยาจะเป็นหนึ่งในกรณีที่ว่า ซึ่งเขายินดีให้เป็นแบบนั้นมากกว่าหายไปอย่างไร้ร่องรอย
แต่โชคก็ไม่เข้าข้าง รอบบริเวณเงียบกริบไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
พลันนั้นที่สายตาของเขาถูกบางสิ่งบางอย่างสะท้อนแสงอาทิตย์เข้ามาที่ดวงตา ประกายแสงแวววาวจากโลหะชิ้นเล็ก ๆ ที่อยู่กลางพงหญ้ารก หากไม่สะท้อนแสงแล้วคงไม่มีใครทันสังเกตเห็น
อัลเรสสาวเท้าเข้าไปหาต้นกำเนิดแสงสะท้อน และเขาก็พบว่ามันคือสร้อยคอของผู้หญิงเส้นหนึ่งจึงก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา ซึ่งสิ่งที่เขาเห็นทำให้เจ้าตัวต้องมุ่นคิ้วด้วยความเคร่งเครียด
สร้อยทองเจ้าปัญหาที่เอลยานำกลับมาเมื่อวานนี้....
เมื่อมันตกอยู่ที่นี่ก็แปลว่า....
“เอลยา!” อัลเรสตะโกนออกไปแล้วมองไปรอบตัวอีกครั้งอย่างร้อนใจ แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมามีเพียงสายลมวูบหนึ่งและความเงียบ เขาตะโกนอีกครั้ง ผลตอบรับก็ยังคงเหมือนเดิม
อัลเรสหันกลับไปยังหมู่บ้าน และออกปากถามเรื่องพี่สาวของตนเองกับทุกคนที่พบเห็น แต่ก็ไม่ได้เรื่องราวมากนักเพราะบางคนก็ไม่อยากให้ความร่วมมือด้วยอยู่ต่อหน้าภรรยา แต่บางคนก็บอกเขาว่าเห็นเอลยาแวบ ๆ เหมือนเดินตามใครบางคนไปท้ายหมู่บ้าน ซึ่งตรงกับที่หญิงสาวในร้านบอก นั่นแปลว่าเอลยาไปหาใครบางคนที่ท้ายหมู่บ้านแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย
อย่างไรก็ตาม การสอบถามไปทั่วของอัลเรสก็ทำให้ทั้งหมู่บ้านรู้ว่าเอลยาหายตัวไป และข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
นับเป็นเรื่องแปลก เพราะไม่เคยมีใครหายตัวไปอย่างปริศนามาก่อน มีก็เพียงถูกฆ่าตายอย่างไร้สาเหตุ กรณีของเอลยาจึงทำให้คนทั้งหมู่บ้านหันมาสนใจเรื่องนี้ แต่...ความสนใจเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะไม่มีใครเลยที่จะมีเบาะแสชี้นำ อีกทั้งสร้อยที่อัลเรสพบก็ไม่มีใครเคยพบเห็นตราแบบนี้มาก่อน ทำให้การตามหาเอลยาต้องพบกับทางตันโดยที่ยังไม่ได้เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ
“ในป่านั้นต้องมีอะไรอยู่แน่ ข้ามั่นใจ” อัลเรสว่า ถึงแม้ผืนป่าจะเป็นที่ทำมาหากินของเกือบทุกคนในหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่เคยมีใครเข้าไปลึกมากพอ อาณาบริเวณที่รกชัฏของป่าจึงเปรียบเสมือนดินแดนลับแลสำหรับพวกเขา แต่อัลเรสกลับยกเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะบางทีเอลยาอาจจะถูกลากเข้าป่าไปก็ได้
“พูดบ้า ๆ น่า พวกเราก็เข้าป่ากันทุกวัน วันนี้พวกที่ไปล่าสัตว์ตอนเช้าก็ไม่เจออะไรเลยแม้แต่เศษผ้าสักชิ้น” พวกเขาอ้างเช่นนั้นและไม่สนใจจะเข้าไปหาในผืนป่ากว้างใหญ่อันลึกลับนั่น ส่วนหนึ่งคงเพราะตำนานที่เล่าขานกันมาแต่เก่าก่อนว่ามีผู้ต้องสาปอาศัยอยู่ในป่า แม้ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่รู้จักก็เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ปุถุชน พวกเขาตีความตำนานนี้ว่าในป่าลึกนั้นเป็นเขตแดนอันตรายไม่สมควรจะรุกล้ำเข้าไป จึงไม่มีใครอยากจะขัดขืนคำเตือนนั้น
อัลเรสต้องพบกับความผิดหวังเมื่อไม่มีใครยอมให้ความร่วมมือ และค้นหากันแค่เพียงรอบ ๆ หมู่บ้านและชายป่าใกล้ ๆ
“พี่เอลยาไปไหนเหรอคะ?” แอนน์ถามกับเขาเมื่อกลับมาถึงบ้าน
“พี่ก็ไม่รู้” อัลเรสถอนหายใจแล้วนั่งลงลูบศีรษะน้องสาว
“คนอื่น ๆ พูดกันว่าพี่เอลยาหายตัวไป จริงหรือเปล่า?” อเลนที่โตกว่าแอนน์และมีความคิดความอ่านมากกว่าเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
“พี่เอลยาหายตัวไป? หายไปไหนเหรอคะ? พี่เอลยาเล่นซ่อนแอบอยู่เหรอ?” เพราะแอนน์ยังเด็กและไม่รู้เดียงสา คำถามของเธอจึงออกมาอย่างใสซื่อ
“อย่าพูดบ้า ๆ นะ พี่ไม่ใช่เด็กอย่างเธอเสียหน่อย!” อเลนตะคอกแล้วหยิกน้องสาวอย่างแรง ทำให้แอนน์ร้องไห้ออกมาเพราะถูกทำร้าย
“หยุดเดี๋ยวนี้! พี่บอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าลงไม้ลงมือกับน้องน่ะ!” ทั้งที่เครียดเรื่องเอลยาอยู่ แต่น้องทั้งสองก็ยังหาเรื่องทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน โดยเฉพาะอเลนที่มักลงไม้ลงมือกับแอนน์เป็นประจำเพราะคิดว่าน้องได้รับความเอาใจใส่มากกว่า
“พี่ก็เข้าข้างแอนน์เสมอนั่นแหละ” อเลนโดนตะคอกเข้าก็ตีหน้าปั้งปึ่ง
“อเลน! ....”
ก๊อก ๆ
อัลเรสตั้งท่าจะต่อว่าอีกคำรบก็หยุดชะงักกระทะหันเพราะเสียงเคาะประตู เขารีบวางแอนน์ลงกับพื้นและผลุนผลันออกไปหน้าบ้านด้วยคิดว่าคงจะมีคนเจอเอลยาแล้ว แต่เมื่อเปิดประตูออกไปเขาก็ต้องอารมณ์ขุ่นมัวยิ่งกว่าเดิมกับผู้มาเยือนที่ไม่สมควรต่อเวลาเป็นอย่างยิ่ง
“ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ?” วาลเซอิคเลิกคิ้วมองอีกฝ่ายงง ๆ
“เจ้านี่มันไม่รู้เรื่องอะไรซะบ้างเลยนะ ตอนนี้ไม่มีใครมีอารมณ์อยากคุยกับเจ้าหรอก รีบกลับไปเลยไปเจ้าลูกแหง่” ปกติอัลเรสก็ไม่ใคร่ชอบหน้าวาลเซอิคอยู่แล้ว เพราะมาเทียวไล้เทียวขื่อกับพี่สาวตนเองบ่อยครั้ง ยิ่งมาเจอกันตอนอารมณ์ไม่ดี เจ้าตัวก็ยิ่งเดือดกว่าเดิมและออกปากไล่โดยไม่สนใจใด ๆ ทั้งสิ้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้รู้เห็นต่อการหายตัวไปของเอลยาเลยก็ตาม
“อยู่ ๆ เจ้ามาโกรธเคืองอะไรข้าน่ะ?” วาลเซอิคมุ่นคิ้วงงงวย “แล้วเอลยาไม่อยู่หรือ? นี่ยังหัววันไม่น่าจะออกไปทำงานนี่?”
“นางหายตัวไป!” ชายหนุ่มตวัดเสียงอย่างขุ่นเคือง “เข้าใจหรือยัง ทีนี้ก็รีบ ๆ ไสหัวออกไปจากบ้านข้าได้แล้ว! ไม่อย่างนั้นข้าไล่เจ้าออกไปเอง!”
เมื่ออัลเรสบอกเหตุผลออกมา วาลเซอิคก็เข้าใจถึงเหตุผลที่เจ้าตัวอารมณ์เสียถึงขนาดนี้ แต่ข่าวนี้ก็ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกันจนไม่ได้สนใจระดับอารมณ์ของอีกฝ่ายสักนิด
“เอลยาหายตัวไป? ได้ยังไง? เมื่อไหร่?” เพราะเขานับถือเอลยาเหมือนเป็นพี่สาวคนหนึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาวเขาย่อมอยู่เฉยไม่ได้อยู่แล้ว ซ้ำระยะนี้ก็ลือกันว่าการตายปริศนาเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเอลยาต้องออกไปทำงานเร็วกว่าเดิมเพื่อจะได้ถึงร้านก่อนค่ำมืด และได้ยินจากเอลยาว่าอัลเรสไปรับก็เบาใจลง แต่แล้ววันนี้อัลเรสกลับบอกเขาว่าเอลยาหายตัวไป....
ได้ยังไงกัน?
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง ตอนเช้าก็ไม่เจอตัวแล้ว” อัลเรสขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิดใจ “บอกกันแต่ว่าออกไปจากร้านกลางดึก ไปทางท้ายหมู่บ้าน แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย”
“ท้ายหมู่บ้าน?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว “นั่นมันก็เป็นชายป่าไม่ใช่หรือ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“แล้วทำไมถึงไม่รวบรวมคนลองเข้าไปหาดู? บางที.....” เด็กหนุ่มกลืนคำพูดในแง่ร้ายลงคอไป “ข้าคิดว่าน่าจะลองดู อาจจะพบอะไรบ้าง”
“เหอะ! เจ้ามาจากไหนข้าไม่รู้หรอกนะ เข้าคนลึกลับเดี๋ยวไปเดี๋ยวมาแบบเจ้าคงไม่รู้ล่ะสิว่าคนในหมู่บ้านน่ะ กลัวป่าผืนนั้นกันจนตัวสั่น” อัลเรสอดประชดออกมาไม่ได้ ทั้งที่เป็นผู้ชายตัวใหญ่ ๆ เรี่ยวแรงไม่น้อยกันทั้งนั้น แต่กลับกลัวที่จะเข้าไปในป่าลึกกัน
วาลเซอิคนึกถึงเรื่องที่เอลยาเคยเล่าขึ้นมา...
ผู้ต้องสาปซึ่งอาศัยอยู่ใจกลางป่า ซึ่งทำให้มนุษย์ลุกขึ้นต่อต้านและแยกกันต่างคนต่างอยู่ในที่สุด
เป็นเรื่องเล่าที่นานแสนนานจนเขาจำแทบไม่ได้แล้ว เพราะในตอนนั้นเขาเป็นเด็กคนหนึ่งซึ่งกำลังตื่นตาตื่นใจกับแสงสีในถิ่นราตรี อีกทั้งเขาอาศัยอยู่กับผู้ต้องสาปที่ว่าแต่คนเหล่านั้นกลับไม่เคยสนใจจะตอบคำถามเกี่ยวกับตัวตนของพวกตนเองเลย ตัวเขาเองก็ไม่อยากให้เซเอลไม่พอใจกับการเซ้าซี้ ในที่สุด เขาเองก็ทำเป็นลืมเรื่องเหล่านี้ไปเพราะรู้ว่าเซเอลและคนอื่น ๆ ไม่อยากพูดถึง
ตำนานนั้นยังคงสร้างความกลัวให้กับผู้คน แม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่เพราะตำนานกอปรกับอำนาจของเซเอลทำให้ปราสาทแห่งนั้นยังคงสงบสุขไม่โดยมนุษย์รุกราน
แต่ทำไมมนุษย์ถึงกลัวผู้ต้องสาปกันนะ?
เพราะ...ผู้ต้องสาปดื่มกินเลือดของมนุษย์เป็นอาหาร...
หากคิดแบบนั้นก็เข้าทีไม่ใช่หรือ? แม้ในตอนนี้ผู้ต้องสาปจะหลีกเลี่ยงการโจมตีมนุษย์ด้วยการดื่มกินเลือดของสัตว์ แต่หากไม่ได้ทำอย่างนั้นทุกคนล่ะ?
เซเอลเองก็มักจะเข้ามาในหมู่บ้านบ่อย ๆ ...
อีกทั้งยังมีคนถูกฆ่าตายถี่ขึ้น...
และเอลยาซึ่งไม่ได้ถูกฆ่าแต่หายตัวไปเฉย ๆ คือคนที่เซเอลพึงพอใจ....
เหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ประกอบกันอย่างพอดิบพอดี หัวใจของวาลเซอิคสั่นระรัว เขาไม่อยากจะกล่าวโทษเซเอลแต่ก็ยากที่จะคิดเป็นอื่น
“เฮ้ เจ้าเป็นอะไรไป” อัลเรสเรียกแล้วโบกมือไปมาตรงหน้าเมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปนาน
“เปล่า ไม่มีอะไร....แล้ว...มีเบาะแสอะไรบ้างหรือเปล่า?” วาลเซอิคพยายามตั้งสติกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่แสดงพิรุธให้เห็น
“จะว่าไป...ข้าเจอไอ้นี่ตกอยู่ตรงที่มีคนเห็นเอลยาครั้งสุดท้าย” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น สร้อยที่ดูคุ้นตาก็ถูกดึงออกมาจากกระเป๋ากางเกงของอัลเรส ดวงตาของวาลเซอิคเบิกกว้างชั่ววินาทีพร้อมแววตาที่สื่อความคิดว่าตนเองรู้อะไรบางอย่างออกมา และมันไม่ได้รอดพ้นสายตาของอัลเรส...เพราะเจ้าตัวเองก็สงสัยในตัววาลเซอิคอยู่ไม่น้อยว่าอาจจะรู้เรื่องเหล่านี้บ้างก็เป็นได้ “เจ้ารู้อะไรหรือไง?” เขาลองหยั่งเชิงถาม เพราะเชื่อว่าวาลเซอิคต้องแสดงพิรุธออกมาอีกอย่างแน่นอน
“ไม่...ข้าไม่รู้อะไรเลย” วาลเซอิคปฎิเสธ “ยังไง...ข้าจะลองถามคนรู้จักของข้าให้ บางทีเขาน่าจะรู้มากกว่าข้า” เมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาจึงรีบปลีกตัวออกมาด้วยการบอกลาและจากไปอย่างรวดเร็ว
แต่อัลเรสมั่นใจแล้วว่าวาลเซอิคมีส่วนในเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย และนั่น...ก็คือเบาะแสเพื่อที่จะตามหาตัวพี่สาวของเขา
TBC
-
หึงออกนอกหน้ามากอ่ะวาลเซอิค 55
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ทำไมทำร้ายเอลยา แล้วเอามือจับท้องเอลยา หรือว่าเอลยาจะท้อง???
อ่านไปอ่านมาเนื้อเรื่องก็พันกันไปพันกันมา รอตอนหน้านะคะ ^^
-
ไม่รู้ว่าเอลย่าจะเป็นอะไรไปหรือเปล่านะ :monkeysad:
-
อ้าววววว
ไหงงั้น
วาเซอิคเข้าใจผิดไปเองหรือเปล่า
-
ตื่นเต้นดีจัง o13
-
อ่านจบแล้วอุทานเบา
อ้าว
[/size]
-
ตอนที่ 8 ผู้บุกรุก
วาลเซอิคคือคนที่ลึกลับสำหรับเขา
วาลเซอิคไม่ได้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านนี้
วาลเซอิคมักจะเดินทางมาบ่อยครั้งแต่ก็เน้นเจาะจงเฉพาะตอนเย็นหรือค่ำ
หลังจากปรากฏตัวแล้ว วาลเซอิคก็จะออกจากหมู่บ้านไป ไม่ว่าเวลานั้นจะเป็นย่ำรุ่งหรือกลางดึกเจ้าตัวก็จะเดินออกไปราวกับเป็นเวลาปกติที่ไม่มีสิ่งใดน่ากังวล
วาลเซอิคจะปรากฏตัวพร้อมเสื้อผ้ามีราคาและเงินทองราวกับเป็นขุนนางร่ำรวย แต่กลับไม่เคยเห็นเจ้าตัวมีรถม้าหรือกระทั่งม้าส่วนตัว ผู้ติดตามก็ไม่เคยเจอแม้แต่ครั้งเดียว
วาลเซอิค...คือคนที่อยู่ ๆ ก็มีตัวตนขึ้นมาโดยไม่มีปี่ขลุ่ย
.....แน่หรือ?
ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกแบบนั้นไปเสียทั้งหมด...เหมือนกับว่าช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตที่ผ่านมาเขาเคยรู้จักเด็กชื่อนี้มาก่อนแล้ว
วาลเซอิค...ไม่ใช่ชื่อที่ได้ยินจากคน ๆ นี้เป็นครั้งแรกหรอกหรือ? ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงได้ลืมเด็กคนนั้นไปได้? แล้วจะบังเอิญเกินไปหรือเปล่าที่มีคนชื่อเดียวกันโผล่ออกมาทั้งที่ไม่ใช่ชื่อโหลหรือมีความหมาย ซ้ำอายุของเด็กคนนั้นตอนนี้คงไม่ต่างจากวาลเซอิคคนนี้มานัก
วาลเซอิคคือปริศนา...ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านก็เป็นได้
แต่เรื่องนี้ใครจะเชื่อ มันเป็นเพียงข้อสันนิษฐานเลื่อนลอยที่เกิดจากลางสังหรณ์ของเขาเอง
และเหตุที่เขายิ่งรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับวาลเซอิคมากขึ้น ก็เพราะหลังจากอีกฝ่ายมาพบเขาก็แสดงพิรุธบางอย่างออกมาก่อนจะรีบจากไป ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะแอบตามออกไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อดูว่าเจ้าตัวคิดจะไปที่ใด แต่สิ่งที่เขาพบนั้นแปลกประหลาดอย่างเหลือเชื่อ เพราะวาลเซอิคเดินออกไปที่ชายป่า ที่นั่นไม่มีบ้านคนอยู่ มีแต่กระท่อมของพวกที่ล่าสัตว์หรือหาของป่าเท่านั้น ไม่มีม้าหรือรถม้า ไม่มีคนรออยู่ วาลเซอิคหยุดยืนครู่หนึ่ง มองซ้ายขวาเหมือนหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่จะเดินเข้าป่าไป
แน่นอนว่าเขาไม่ได้หยุดแค่นั้น เขาตามอีกฝ่ายเข้าไปในป่า แต่น่าแปลกที่วาลเซอิคไม่หยุดเดินเลย และท่าทางการเดินเหมือนคุ้นเคยที่ทางในป่าเป็นอย่างดี และจนกระทั่งมาถึงเขตรกชัฏซึ่งไม่มีใครมาหักร้างถางพก ไม่มีทางเกวียน มีแต่ต้นไม้และหญ้าชื้นแฉะ วาลเซอิคก็เดินหายเข้าไปในความมืดของผืนป่านั้น...
สถานที่ซึ่งไม่มีใครกล้าเหยียบย่าง....
สถานที่ซึ่งมนุษย์ทุกคนต่างหวาดกลัว...
สถานที่...ซึ่งถูกสาปให้ตกอยู่ในความมืดมิดและโดดเดี่ยว...
ตำนานนั้นอาจเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไร้สาระ แต่นับเป็นเวลาสามร้อยปีแล้วที่ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนคำเตือนของเรื่องเล่าเก่าแก่นั้น แต่วาลเซอิคกลับเดินเข้าไปในสถานที่นั้นโดยไร้ความหวาดหวั่น มนุษย์ปกติธรรมดาที่ไหนจะกล้าเดินเข้าป่าพกรกเรื้อเพียงลำพังโดยไม่พกพาของมีคมและไม่มีท่าทางการระแวดระวังภัย
มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือ....เจ้าตัวอาศัยอยู่ที่นั่น
แปลว่าในแดนต้องสาปมีคนอาศัยอยู่หรือ?
ไม่ใช่แค่คนธรรมดา...แต่เป็นผู้มีอันจะกินด้วย ไม่อย่างนั้นมีหรือจะมีเงินทองมาป้อนที่พี่สาวเขาเรื่อย ๆ ซ้ำเครื่องแต่งกายก็ไม่เหมือนชาวบ้านธรรมดาสักนิด
เรื่องนี้...เขาคงต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองเสียแล้ว...
--------------------->
วาลเซอิคกำลังเดินวนไปวนมาในห้องหนังสือ เขามารอเซเอลที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืนแต่เซเอลก็ไม่อยู่ จนกระทั่งถึงตอนเช้าที่ทุกคนหลับนอนกันหมดเขาก็ออกไปล่าสัตว์และพาเซราฟกับวอเรนไปเดินเล่น จนเย็นย่ำเขาจึงกลับมาที่ปราสาทอีกครั้งซึ่งทุกคนตื่นกันหมดแล้ว เขาก็ยังคงไม่พบเซเอล เกิดอะไรขึ้น? เซเอลหายไปไหนในเวลาอย่างนี้? เซเอลกับปราสาทหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน มีหรือที่อีกฝ่ายจะทิ้งปราสาทแล้วหายตัวไปดื้อ ๆ อย่างนี้ คนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวหายไปไหน
“เจ้าน่าจะไปนอนพักนะ เดี๋ยวนายท่านกลับมาข้าค่อยไปปลุกก็ได้” อาร์วิน่าเห็นวาลเซอิคอดตาหลับขับตานอนรอเซเอลก็นึกสงสัยอยู่ในใจว่าเจ้าตัวมีธุระสำคัญอะไร โดยปกติแล้ววาลเซอิคก็ดูสนิทกับเซเอลมากกว่าพวกเธอเสียอีก ไม่น่าจะมีเรื่องรีบเร่งขนาดนี้ได้
“ข้ายังไม่ง่วง...” ความคิดต่าง ๆ รบกวนใจของเขาจนนอนไม่หลับ
“แล้วไม่ออกไปกับคัลดิชคัลมาร์หรือไง? สองคนนั้นบอกว่าระยะนี้เจ้าดูเครียด ๆ ชวนไปหาอะไรทำในป่าก็ไม่ไป” หญิงสาวมุ่นคิ้วพลางเท้าเอว “ข้าก็เห็นด้วยกับพวกเขานะ เจ้าน่ะระยะนี้ทำตัวแปลก ๆ หรือเปล่า จะไปสนิทสนมกับพวกมนุษย์ข้าก็ไม่มีปัญหาหรอก แต่ปัญหาของพวกมนุษย์ ผู้ต้องสาปอย่างพวกเราคงช่วยเจ้าไม่ได้มาก ถึงอย่างนั้นถ้าเจ้าพูดออกมาอาจจะแนะนำได้นิดหน่อย ว่าไงล่ะ?”
วาลเซอิคมองอาร์วิน่าที่เสนอตัวช่วยด้วยท่าทางของพี่สาวสุดเฮี้ยบตามปกติของเจ้าตัวก่อนถอนหายใจแล้วยิ้มให้
“ไม่ใช่เรื่องอะไรเกี่ยวกับมนุษย์หรอก”
“งั้นก็เรื่องเกี่ยวกับพวกเรา?” การที่วาลเซอิคจะสงสัยอะไรเกี่ยวกับเรื่องของผู้ต้องสาปไม่ใช่เรื่องผิดแปลก เพราะยิ่งวัน ความแตกต่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นจนกลายเป็นช่องว่างที่ยากจะก้าวข้ามไปได้ ถึงอย่างนั้นทุกคนก็แค่ทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้และดำเนินชีวิตไปตามปกติ
แต่อาร์วิน่าก็ไม่คิดว่าวาลเซอิคจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของพวกเขา ส่วนที่เจ้าตัวควรรู้ ก็น่าจะรู้ไปหมดแล้วตลอดช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกัน
วาลเซอิคมีท่าทางลำบากใจอยู่นิดหน่อยก่อนจะพูดออกมา
“ที่หมู่บ้านพูดกันถึงตำนานผู้ต้องสาป...ข้าก็คิดว่าเป็นพวกเจ้าแน่นอน และ....เล่ากันว่าผู้ต้องสาปไม่กินเลือดมนุษย์เพราะข้อตกลงเพื่อที่ต่างคนจะได้ต่างอยู่อย่างสงบ” อาร์วิน่าเงียบฟังสิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ “ถึงเรื่องพวกนั้นจะเป็นเรื่องเล่า แต่พวกเจ้าก็ไม่ดื่มกินเลือดมนุษย์กันจริง ๆ แสดงว่ามันน่าจะมีส่วนที่เป็นเรื่องจริงอยู่ไม่มากก็น้อย”
“ก็ราว ๆ นั้น” อาร์วิน่าไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบรับ
“แล้วจะเป็นไปได้หรือเปล่า...ที่พวกเจ้าจะ...”
“หมายถึงพวกข้าคนหนึ่งจะแหกกฎตามนิยายของพวกมนุษย์ไปไล่ดูดเลือดคนในหมู่บ้านหรือเปล่าน่ะหรือ?” หญิงสาวเลิกคิ้วพลางส่งเสียง ‘เหอะ’ ในคอ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าสงสัยใครกัน ในปราสาทนี้ไม่มีคนที่เจ้าไม่รู้จักอยู่หรอก” เธอว่าแล้วก็ผายมือออกให้วาลเซอิคลองพูดสิ่งที่ตัวเองคาดเดาเอาไว้ออกมา
“ข้า...” แต่วาลเซอิคกลับไม่กล้าพูด เขาเริ่มต้น และเงียบไป...
“นายท่านใช่หรือเปล่า?”
นัยน์ตาสีเขียวเลื่อนหลบอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
อาร์วิน่าพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอกแล้วส่ายศีรษะ
“หากเจ้าสงสัยข้าหรือเจ้าแฝดสองคนนั้นยังจะเข้าเค้าเสียกว่า เพราะนายท่านคือผู้ที่เป็นไปได้น้อยที่สุด” เธอว่าด้วยสีหน้าจริงจัง
วาลเซอิคมุ่นคิ้ว
“เจ้าหมายความว่ายังไงกัน?”
อาร์วิน่าถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“เจ้าอยู่กับพวกเรามาก็นานแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแต่ความสงสัยไม่สิ้นสุด ตอนเจ้าเด็ก ๆ เจ้าเคยตั้งคำถามกับนายท่านว่าอะไรเจ้าจำได้หรือเปล่า?” เธอเว้นช่วงแล้วมองวาลเซอิคซึ่งกำลังพยายามนึกถึงตนเองในวัยเด็ก แต่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนั้น เด็กอายุเพียงสิบสามปีคงลืมมันไปแล้ว เธอจึงกล่าวต่อ “เจ้าถามว่า วันหนึ่งนายท่านจะดื่มกินเลือดของเจ้าด้วยหรือไม่”
“ตอนนั้นเอง...” วาลเซอิคนึกขึ้นมาได้ในที่สุด
“นายท่านตอบเจ้าว่า ถึงจะอยากดื่มเลือดของเจ้าก็แตะต้องไม่ได้”
“ใช่ ข้าจำได้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะดื่มของคนอื่นไม่ได้”
“....เปล่า นายท่านหมายความอย่างนั้น” อาร์วิน่าจ้องมองวาลเซอิคด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านคือผู้ต้องสาปคนเดียวในปราสาทหลังนี้ ที่ถึงแม้จะหิวกระหายเลือดของมนุษย์มากแค่ไหนก็ไม่อาจแตะต้องได้ ตราบใดที่เขายัง....” อยู่ ๆ อาร์วิน่าก็หยุดพูดไปเพราะรู้สึกว่าตนเองพูดเกินความจำเป็นไปแล้ว
วาลเซอิคมุ่นคิ้ว
“ตราบใดที่?”
“ข้าไม่แน่ใจว่านายท่านพร้อมจะให้เจ้ารับฟังเรื่องนี้หรือยัง”
อย่างที่อาร์วิน่าเคยบอกไว้ ผู้ต้องสาปในปราสาทนี้ต่างก็ต้องการความเป็นส่วนตัวเพื่อให้มีพื้นที่เก็บเรื่องของตนเองเอาไว้อย่างเงียบ ๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครสอดปากเข้ามาพูดเรื่องของคนอื่นมากเกินความจำเป็น ไม่ว่าจะรู้จริงหรือไม่ และนั่นเป็นเสมือนเส้นบาง ๆ ที่ทำให้พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างปกติสุขโดยไม่ก้าวก่ายกันและกัน ต่างคนต่างก็มีพื้นที่ที่จะเก็บเรื่องราวเบื้องหลังของตนเองเอาไว้และไม่มีใครสนใจเข้าไปขุดคุ้ย แต่เส้นบาง ๆ นั้นเริ่มถูกสั่นคลอนเมื่อวาลเซอิคต้องการคำตอบสำหรับข้อสงสัยในใจของตัวเอง
สำหรับมนุษย์แล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะไม่ตั้งคำถาม...
“ข้าคงต้องถามเอาจากเซเอลเอง” วาลเซอิคสรุปออกมา เพราะอาร์วิน่าไม่น่าจะยอมพูดอะไรมากกว่านี้ แต่ในตอนที่เขาตัดใจคิดจะกลับไปรอที่ห้องนอนนั้นเอง สายตาอาร์วิน่าก็มองออกไปที่หน้าต่างด้วยแววตาแข็งกร้าวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน “เกิดอะไรขึ้น?”
“ผู้บุกรุก” เธอตอบเพียงสั้น ๆ ก่อนสาวเท้าไปยังหน้าต่างและเปิดมันออก ก่อนที่วาลเซอิคจะถามต่อ อาร์วิน่าก็พุ่งตัวออกไปนอกหน้าต่างเสียแล้ว
เด็กหนุ่มวิ่งไปที่หน้าต่าง และเห็นหญิงสาวในชุดสีแดงลงไปยืนอยู่บนพื้นด้านหน้าปราสาท และในวินาทีต่อมา เธอก็พุ่งตัวเข้าป่าไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ
แม้ผู้ต้องสาปจะมีหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างกับมนุษย์ ทั้งกำลังกาย ความเร็ว และอายุขัย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วาลเซอิคได้เห็นพฤติกรรมที่แสดงออกถึงขีดจำกัดที่เหนือมนุษย์อย่างชัดเจนถึงขนาดนี้ ด้วยปกติแล้ว ทั้งอาร์วิน่า คัลดิช คัลมาร์ และเซเอลจะพยายามใช้ชีวิตปกติไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไปให้มากที่สุดต่อหน้าเขา หากผู้ต้องสาปทุกคนมีความสามารถที่เหนือมนุษย์ถึงขนาดนี้แล้ว...การฉีกกระชากร่างเนื้อจะยากสักแค่ไหนกัน...
ไม่สิ นี่ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องแบบนั้น...
อาร์วิน่าบอกว่ามีผู้บุกรุก...แปลว่ามีคนเข้ามาในเขตของผู้ต้องสาปหรือ?
ท่าทางของอาร์วิน่าตอนพุ่งออกไปนั้นไม่ได้มีวี่แววของการรอมชอมหรือการเจรจาแม้แต่น้อย อีกทั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยมีมนุษย์รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต มนุษย์ที่บุกรุกเข้ามาจะต้องพบเจอการตอบโต้แบบไหนกัน เมื่อคิดถึงผลที่ตามมาแล้วเขาเองก็คงอยู่เฉยอย่างนี้ไม่ได้
วาลเซอิครีบร้อนวิ่งลงไปข้างล่างและออกประตูปราสาท และด้วยความรีบร้อนนั้นทำให้เขาไม่ทันสังเกตความผิดปกติบางอย่าง....ประตูของปราสาทที่ส่งเสียงครางตอนขยับ รอยแตกร้าวเล็ก ๆ บนบานประตู และสนิมที่เริ่มเกาะกินประตูหน้า...
------------------------>
“ดูเหมือนวันนี้จะมีสัตว์แปลก ๆ หลงเข้ามานะ” เงาร่างหนึ่งบนต้นไม้กล่าวพลางจับจ้องไปยังสิ่งมีชีวิตซึ่งค่อย ๆ ย่างก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง ในมือข้างหนึ่งถือคบไฟ อีกข้างถือมีดพร้าถางพง สายตาสอดส่ายไปรอบข้างอย่างระแวงต่อสถานที่ที่ตนไม่คุ้นเคย “เจ้าว่าเลือดของมันจะอร่อยหรือไม่คัลมาร์?”
“เป็นสัตว์ที่คุ้นตาไม่ใช่น้อย แค่คิดกลิ่นเลือดก็กระสาเข้าจมูกแล้ว” คัลมาร์ตอบกลับพลางหัวเราะหยอกล้อกับแฝดของตนเอง เพียงแต่คงไม่ใช่เรื่องตลกนักสำหรับผู้เป็นหัวข้อสนทนา
“ร่างกายใหญ่โตแบบนั้น เลือดคงไหลเวียนเต็มทั้งร่าง” คัลดิชเลียริมฝีปาก นานแสนนานแล้วที่พวกเขาไม่ได้ดื่มกินเลือดของมนุษย์ด้วยเซเอลได้ทำสัญญาแลกเปลี่ยนถ้อยคำกับมนุษย์คนหนึ่ง แม้ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคำสัญญานั้น แต่เพราะเซเอลเป็นเจ้าของปราสาท พวกเขาซึ่งอยู่ในฐานะต่ำกว่าจึงต้องยินยอมละเว้นสิ่งที่เจ้าอาณาเขตไม่ปรารถนาไปด้วย ทำให้พวกเขาไม่ได้ลิ้มรสเลือดอันหอมหวานอีกเลย
ถึงอย่างนั้น...การที่มีผู้เหยียบย่างรุกล้ำเข้ามาพวกเขาย่อมมีสิทธิจัดการอย่างไรก็ได้...
เพราะแต่เดิมมันก็เป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะจัดการมนุษย์ที่บุกรุกอาณาเขตอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
“เช่นนั้นพวกเราควรจะลงไปต้อนรับเสียหน่อย ว่าไหม?” และโดยไม่ต้องรอคำตอบ ทั้งคัลดิชและคัลมาร์ก็ทิ้งตัวลงจากต้นไม้ซึ่งใช้ซุกซ่อนตัวตนอยู่ถึงเมื่อครู่ และยืดตัวยืนขวางทางชายหนุ่มร่างสูงซึ่งกำลังมุ่งหน้าแหวกทางเข้าใกล้เขตของปราสาทมากขึ้นเรื่อย ๆ
แน่นอนว่าการปรากฏตัวอย่างกะทันหันสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มรีบตั้งสติยกคบไฟและมีดจ่อมาข้างหน้าในท่าพร้อมตอบโต้ ในใจนึกสงสัยไปต่าง ๆ นานาว่าสองคนตรงนี้เป็นใคร โผล่ออกมาจากไหน และมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แต่คำถามทั้งหมดนั้นก็อยู่แค่เพียงในความคิด ไม่ได้ออกมาจากปากแต่อย่างใด ทำให้ชายหนุ่มปริศนาทั้งสองยังคงยิ้มกลับมาให้อย่างเงียบงัน
แต่ไม่รู้ว่าทำไม...เขาจึงรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกจ้องมองด้วยสายตาของนักล่าที่จับจ้องเหยื่อซึ่งไร้ทางสู้ และความนิ่งเงียบนั้นคงจะเป็นการสังเกตปฏิกิริยาของเขา
“....พวกเจ้าเป็นใคร....” เขาสูดหายใจลึก ระงับความตื่นตระหนกและตีสีหน้าเคร่งเครียดปกปิดความหวาดหวั่นที่บังเกิดขึ้น เสียงของเขามีวี่แววสั่นเครือเล็กน้อย เหงื่อเย็นเยียบผุดออกมาจนรู้สึกชื้น บางที...มันอาจจะเป็นคำเตือนว่าเขาไม่ควรเผชิญหน้ากับสิ่งนี้....ทั้งที่มองภายนอกก็เป็นผู้ชายรูปร่างผอมบางธรรมดาแท้ ๆ แต่สายตาของพวกนั้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไต่ขึ้นมาตามแผ่นหลัง ซ้ำดวงตาสีแดงราวกับเลือดนั่น....หรือว่า....สองคนนี้จะเป็นสิ่งที่เรียกกันว่าผู้ต้องสาป...
เรื่องนั้นมันควรจะเป็นแค่เรื่องเล่าไม่ใช่หรือ?
แค่เรื่องเล่าปรัมปราของคนเก่าคนแก่เท่านั้น...
ฝาแฝดสองคนมองหน้ากันพลางกลอกตา เหมือนกำลังคิดว่าตนเองจำเป็นต้องตอบคำถามนั้นหรือไม่
“ผู้ล่าไม่จำเป็นต้องขานนามกับเหยื่อกระมัง?” คัลดิชเอ่ยขึ้นมา
ผู้ล่า?
เหยื่อ?
ชายหนุ่มกลืนน้ำลายหนืดลงคอ เหยื่อที่พูดออกมานั้นหมายถึงเขาไม่ผิดแน่ ถ้าหากสองคนนี้คือผู้ต้องสาปที่ว่ามาจริง ๆ เลือดมนุษย์ก็คืออาหารชั้นเยี่ยม
เดี๋ยวสิ เลือดมนุษย์หรือ?
หากผู้ต้องสาปมีตัวตนอยู่จริงแล้ว...เหตุการณ์การตายในหมู่บ้านอาจจะมาจากคนพวกนี้ก็เป็นได้...
สมองของเขาประมวลผลออกมาอย่างรวดเร็ว เขาตามวาลเซอิคเข้ามาในป่านี้โดยคิดว่าอาจจะมีสถานที่ที่ตนเองไม่รู้จักอยู่ ทว่ากลับเจอผู้ชายสองคนที่คล้ายจะไม่ใช่มนุษย์ปุถุชนซึ่งสอดคล้องกับการตายอย่างปริศนาของผู้คนในหมู่บ้านตลอดช่วงที่ผ่าน คนเหล่านั้นต่างถูกฉีกกระชากร่างกายอย่างน่าสยดสยองราวกับเขี้ยวและกรงเล็บของสัตว์ป่า แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นแม้แต่เงาของสัตว์ป่าที่ว่านั่น แล้วเขาจะคิดเป็นอื่นได้ยังไงกัน?
วาลเซอิค...คือเหยื่อล่อของผู้ต้องสาปที่หลบเร้นกายเหล่านี้!
“บัดซบ” ชายหนุ่มกัดฟันกรอด “ไอ้ลูกหมานั่น....”
“ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจพวกเราเลยนะ” คัลมาร์พูดกับแฝดของตนเอง
“อาจจะกลัวจนสติแตกไปแล้วก็ได้ เลือดคนบ้าจะแตกต่างจากคนปกติแค่ไหนข้าก็ไม่รู้ด้วยสิ” คัลดิชไหวไหล่ก่อนจะเห็นบางสิ่งจากหางตาและดีดตัวหลบไปด้านหลัง มีดพร้าสำหรับถางกอหญ้าวาดผ่านหน้าเขาและคัลมาร์อย่างฉิวเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด และยังไม่ทันจะตั้งตัวได้ติด มีดเล่มนั้นก็ถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง คัลดิชเห็นว่ามันกำลังจะสับลงมาทางตน จึงยกขาเตะบริเวณข้อมืออีกฝ่ายทันที
แรงปะทะที่เกินกว่าผู้ชายรูปร่างเล็กคนหนึ่งจะทำได้ ทำให้ชายหนุ่มปล่อยมีดหลุดมือไปและทรุดลงกุมข้อมือตนเอง
-
นี่มันเรี่ยวแรงอะไรกัน...
“ให้ตายสิ เป็นเหยื่อที่ใช้เขี้ยวเล็บอย่างขาดสติจริง ๆ”
“คำก็เหยื่อสองคำก็เหยื่อ...ข้าไม่ใช่เหยื่อของพวกเจ้า!” ชายหนุ่มตะโกนตอบโต้ทันที “พี่สาวของข้าอยู่ที่ไหน เอลยาอยู่ไหน!”
“เจ้าต่างหากที่อย่ามาพูดอะไรพล่อย ๆ” แม้อีกฝ่ายจะตะโกนเสียงกร้าวดูน่ากลัวสำหรับมนุษย์ทั่วไป แต่ผู้ต้องสาปอย่างพวกเขากลับฟังแล้วคล้ายเสียงคำรามของสัตว์ป่าที่ไร้ทางสู้เสียมากกว่า คัลดิชแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาเมื่อเห็นว่าเหยื่อของตนกำลังพูดเรื่องที่พวกเขาไม่เข้าใจ “เจ้าจะมาตามหาใครไม่ใช่เรื่องของพวกเรา แต่ในเมื่อเจ้ารุกล้ำเข้ามาในเขตของเราแล้วเจ้าก็คือเหยื่อ เรื่องมันก็มีแค่นั้น”
อัลเรสตวัดสายตาขึ้นจ้องมองผู้ที่ตอบโต้ตนด้วยสายตาโกรธแค้น เขาปักใจเชื่ออย่างเต็มอกว่าคนพวกนี้ต้องเป็นคนที่ลักพาตัวพี่สาวของตนเองอย่างแน่นอน
“พวกเจ้ากำลังทำผิดข้อตกลงอยู่นะ” เขาพูดขึ้นโดยพยายามนึกถึงเรื่องเล่าที่พูดต่อ ๆ กันมาอย่างไร้มูล แต่คนพวกนี้ก็ไม่เหมือนสิ่งที่มีตัวตนจริงอยู่แล้วแต่กลับมายืนต่อหน้าเขาได้ ดังนั้นเรื่องเล่านั่นก็น่าจะเป็นความจริงอยู่บ้าง “พวกเจ้าดื่มเลือดมนุษย์ทั้งที่ให้สัตว์สาบานว่าจะไม่ทำ แต่พวกเจ้ากลับมาฆ่าคนในหมู่บ้านของเราซ้ำยังพาตัวพี่สาวข้าไปอีก อยากให้เกิดการต่อสู้อีกหรือไง!”
เมื่ออัลเรสพูดออกมาแบบนั้นแทนที่สองแฝดจะออกอาการตกตะลึงหรือสำนึกผิด กลับทำหน้าเหรอหราเหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดภาษาที่ตนไม่รู้จัก
“ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องพรรค์นั้น” คัลมาร์พูดกับคัลดิชซึ่งกำลังตีสีหน้าแบบเดียวกัน
“ข้าก็ด้วย พวกมนุษย์เคยลุกฮือขึ้นต่อต้านเราตอนไหนกัน?” คัลดิชมุ่นคิ้วเหมือนพยายามทบทวนความทรงจำตนเอง
“...ว่ายังไงนะ?” อัลเรสเบิกตากว้าง นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?
“ดูเหมือนพวกมนุษย์จะมีเรื่องเล่าน่าสนุกอยู่น่ะสิ” เสียงหญิงสาวดังขึ้นจากเงามืดใต้พงไม้ ก่อนร่างที่ห่มคลุมด้วยอาภรณ์สีแดงจะก้าวออกมาและหยุดยืนโดยเว้นระยะห่างจากอัลเรสเล็กน้อยแล้วยกสองมือขึ้นกอดอก “ว่ากันว่าเหล่าผู้ต้องสาปถูกลุกขึ้นต่อต้านจนต้องออกมาทำข้อสัญญากับมนุษย์ว่าจะไม่ดื่มกินเลือดของมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งข้าเองก็เพิ่งเคยได้ยินจากวาลเซอิควันนี้”
ใช่ เขาเองก็ได้ยินมาอย่างนั้น แต่ปฏิกิริยาของสามคนที่ล้อมรอบเขาอยู่นี้ไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเรื่องเล่านั้นมีมูลความจริงอยู่
เสียงหัวเราะของแฝดชายสองคนเรียกให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมอง
“พวกเขาคิดอะไรตลก ๆ มาเล่าสู่กันฟังได้เสมอเลยนะ”
“พวกเราน่ะหรือจะถูกต่อต้านจนต้องทำข้อตกลงกับมนุษย์?”
“เป็นพวกมนุษย์เองแท้ ๆ ที่ถูกความหวาดกลัวครอบงำจนจับจิตที่ต้องตกอยู่ภายใต้เงามืดที่ไร้แสงตะวันและดินแดนที่ต้องสาป ถึงได้พากันถอยหนีออกไปจนกลายเป็นป่ารกแบบนี้”
“พวกเราจึงได้ยื่นข้อเสนอว่าหากจะออกไปจากดินแดนนี้ย่อมทำได้ แต่พวกเขาจะไม่สามารถเหยียบย่างกลับมาได้อีก เพราะดินแดนนี้จะเป็นของผู้ต้องสาปโดยสมบูรณ์”
เดี๋ยวสิ...นั่นมันกลับตาลปัตรกับเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาเลยไม่ใช่หรือ!?
“ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้...”
“เพราะพวกเราไม่จำเป็นต้องฆ่ามนุษย์เพื่อดื่มเลือดน่ะสิ มนุษย์มีเลือดมากมายไหลเวียนทั่วร่าง เราดื่มแค่พอแก้กระหาย และใช้เล่ห์กลเล็กน้อยในการหลอกล่อให้มนุษย์พวกนั้นไม่ทันเอะใจเกี่ยวกับตัวตนของพวกเรา เพราะอย่างนั้นพวกเจ้าจึงมีแต่ตำนานเรื่องเล่าแต่ไม่เคยมีใครพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องสาปมีอยู่จริง” อาร์วิน่าเฉลยพลางไหวไหล่ “แต่ก็มีเหตุผลบางอย่างทำให้พวกเราเลิกดื่มเลือดมนุษย์ไปอย่างถาวร ซึ่งเจ้าไม่มีความจำเป็นต้องรู้”
“อย่ามาพูดบ้า ๆ ในหมู่บ้านข้ามีคนตายไปเท่าไหร่แล้ว!”
“เจ้าต่างหากที่กำลังพูดบ้า ๆ อย่าเอาเรื่องของพวกเจ้ามาโยนเป็นความผิดพวกเราเสียหมดสิ หรือมนุษย์คิดทำอย่างอื่นไม่เป็นนอกจากโยนความผิดให้คนอื่น?” คัลดิชเริ่มรำคาญกับการต่อปากต่อคำ “แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ถึงอาร์วิน่าจะเพิ่งบอกว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องฆ่ามนุษย์ แต่การรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตนี้ก็ยังมีโทษถึงตายอยู่ดี เพราะฉะนั้นถึงเจ้าจะรู้อะไรไปมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์”
“พวกเจ้าแก้ตัวแบบนั้นทั้งที่เอามนุษย์คนหนึ่งมาเป็นพวกแล้วสั่งให้ไปล่อเหยื่อมาให้น่ะหรือ!?” อัลเรสหยิบคบไฟที่ตนเองทิ้งบนพื้นขึ้นมาแล้วลุกยืนตั้งท่าจ่อคบไฟไปด้านหน้าเพื่อปกป้องตัวเอง คนพวกนี้อยู่แต่ในความมืด แปลว่าดวงตาน่าจะไม่ถูกกับแสง ซึ่งเขาก็คิดถูกเมื่อเห็นผู้ต้องสาปพากันหรี่ตาลงกับแสงไฟ
“นั่นเจ้ากำลังพูดถึงวาลเซอิคอยู่หรือเปล่า?” อาร์วิน่าเลิกคิ้ว “เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ฉลาดขนาดเอามาใช้เป็นเหยื่อล่อใครได้หรอก”
“ข้าไม่เชื่อ! ถ้าอย่างนั้นเอลยาจะหายไปเฉย ๆ ได้ยังไง เขามาหาพี่สาวข้าแทบทุกวัน!” อัลเรสยังคงยืนยันความมั่นใจของตนเอง “เจ้านั่นอยู่ไหน ให้มันออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
“เขา...”
“ข้าอยู่นี่....” โดยที่ไม่มีใครทันคาดคิด เจ้าของชื่อก็ขานตอบพร้อมเสียงหอบหายใจจากการวิ่งสุดแรงตามหลังอาร์วิน่ามา ทั้งที่เจ้าตัววิ่งเต็มความเร็วที่ทำได้แล้วแต่แผ่นหลังของอาร์วิน่าก็ยังไกลออกไปเรื่อย ๆ จนเกือบจะคลาดกัน โชคดีที่เขาตามมาถูกทาง “อัลเรส เจ้าต้องออกไปจากที่นี่นะ”
“อย่ามาสั่งข้า! เอลยาอยู่ที่ไหน!” เมื่อวาลเซอิคโผล่มา ความประหวั่นที่บังเกิดจากผู้ต้องสาปก็มลายหายไปสิ้นเพราะความห่วงที่มีต่อพี่สาวซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“ข้าไม่รู้! และข้าก็ห่วงนางไม่ต่างกับเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าต้องกลับออกไป ไม่เห็นหรือยังไงว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของมนุษย์ทั่ว ๆ ไปน่ะ!” วาลเซอิคก้าวเข้าไปหาอัลเรส ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้คัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าพุ่งเข้าจู่โจมอัลเรสได้ แต่เจ้าตัวกลับมองเห็นการปกป้องของเขาเป็นการคุกคาม คบไฟวาดมาข้างหน้าจ่อห่างจากเขาเพียงฟุตเดียวเท่านั้น “เจ้าไม่รู้ตัวหรอกหรือว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน...”
วาลเซอิคพูดยังไม่ทันขาดคำ เงาร่างหนึ่งก็ปรากฏเบื้องหลังอัลเรสอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย กรงเล็บคมตวัดลงอย่างรวดเร็วทำให้วาลเซอิคต้องรีบตัดสินใจปัดคบไฟออกจากตรงหน้าตัวเองและดึงให้อัลเรสเสียหลักถลามาข้างหน้า กรงเล็บจึงเพียงถากแผ่นหลังกว้างเป็นรอยยาวเรียกหยดเลือดให้ผุดออกมาเป็นบางจุดเท่านั้น
เจ้าของกรงเล็บก้มลงมองผลงานด้วยความขัดใจ
“เจ้าคิดจะทำอะไรวาลเซอิค” คัลมาร์เอ่ยถามพลางเลียเลือดสีแดงที่ติดอยู่เล็กน้อยบนปลายเล็บ
“อัลเรสเป็นเพื่อนข้า เจ้าจะฆ่าเขาไม่ได้” วาลเซอิคตอบโดยไม่ลังเล
“อย่ามาทำเป็นคนดีหน่อยเลย เจ้าก็ไม่ต่างจากพวกนี้หรอก!” ถึงจะรู้ว่าตนถูกช่วยชีวิตไว้แต่อารมณ์ก็ไม่ได้ทำให้มีเหตุผลมากขึ้น เขาปัดมือวาลเซอิคออก แม้แผลบนหลังจะทำให้รู้สึกเจ็บแต่จะให้ยอมนอนนิ่งเป็นอาหารจานโปรด...ไม่มีวันเสียล่ะ!
“เจ้าอย่าเพิ่งทะเลาะกับข้าตอนนี้ได้ไหม!” วาลเซอิคหันไปโต้ตอบ
“ข้าก็ว่าพวกเจ้าไม่ควรทะเลาะกันตอนนี้ เพราะพวกเจ้ามีสอง เรามีสาม ซ้ำกำลังพวกเราก็ได้เปรียบ ไม่คิดหรือว่าการเอาแต่ตะโกนแบบนั้นรังแต่จะลดทอนกำลังตัวเอง” ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่คัลมาร์มายืนอยู่ข้างพวกเขาทั้งสองพลางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มประหนึ่งกำลังเล่นเกมกับเด็ก ๆ “แต่ว่านะวาลเซอิค ถึงเจ้าจะเป็นเด็กคนโปรดของพวกเราก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการออมมือเมื่ออยู่ในการต่อสู้” กล่าวจบกรงเล็บก็พุ่งมายังเจ้าของชื่อแต่กลับไม่ไร้ความปรานีอย่างที่เจ้าตัวว่า เพราะมันเล็งไปที่แขนไม่ใช่ลำคอหรือหัวใจ แม้วาลเซอิคจะเอี้ยวตัวหลบทันเพราะได้รับการเตือนแต่ต้นแขนขวาก็ปรากฏรอยเลือดที่แผ่ตัวออกบนรอยขาดของเสื้อ กระนั้นก็ใช่ว่ามีการโจมตีเพียงครั้งเดียว อาร์วิน่าเข้าประชิดด้านหลังซึ่งอัลเรสระวังอยู่ ดาบเล่มงามตวัดลงตัดคบไฟที่ทำจากไม้ซึ่งอัลเรสยกขึ้นป้องกันตัวเองขาดเป็นสองท่อน
นี่คือสิ่งหนึ่งที่วาลเซอิคไม่รู้เกี่ยวกับอาร์วิน่า....ว่าเธอคือนักดาบชั้นยอด ซึ่งเพราะเกิดเป็นหญิงจึงไม่ได้รับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ถึงอย่างนั้นหน้าที่ของเธอก็คือการควบคุมดูแลการบุกรุกอาณาเขต จึงไม่มีข้อกังขาใด ๆ เกี่ยวกับฝีมือของเธอแม้แต่น้อย
“ปีศาจชัด ๆ” อัลเรสคำรามในคอพลางมองคบไฟที่หักเป็นสองท่อนบนพื้น มนุษย์ธรรมดาที่ไหนจะฟันขาดเป็นรอยเรียบกริบได้แบบนี้
“ข้าถึงบอกให้หนีไปแต่แรกไง” วาลเซอิคดุใส่โดยไม่ได้หันไปมอง เพราะตรงหน้าเขามีคัลดิชและคัลมาร์ยืนอยู่ สองคนนี้เองถึงจะมือเปล่าก็ใช่ว่าจะจัดการโดยง่าย
“อย่ามาสอนข้านะ!”
“นี่เจ้ายังจะ.....ก้มลง!” ก่อนจะได้เถียงกันต่อ วาลเซอิคก็รีบตะโกนเตือนแล้วดึงอัลเรสให้โน้มตัวลงต่ำ ขาข้างหนึ่งเตะวาดผ่านศีรษะไปเพียงปลายเส้นผม ท่าทางแบบนี้เห็นจะแย่ เพราะเขาสองคนจะชนะหนึ่งในนี้เพียงคนเดียวก็ยากจะเป็นไปได้แล้ว แต่นี่มีถึงสาม เมื่อคิดสรตะแล้ววาลเซอิคก็ออกแรงฉุดแขนอัลเรสให้เลี่ยงออกมาด้านหนึ่งเพื่อเปิดทางหนีให้ตัวเองและอัลเรส แต่คัลมาร์ก็ดักรออยู่แล้ว ถึงคัลดิชจะหมุนตัวกลับมาไม่ทันคัลมาร์ก็ทำหน้าที่แทนได้อย่างดี ทั้งสองมีการประสานการเคลื่อนไหวที่สมบูรณ์แบบไร้ช่องว่าง
คัลมาร์จงใจปล่อยให้วาลเซอิคผ่านตัวเองไปและเล็งอัลเรสซึ่งตามหลังมา
กรงเล็บตวัดไปยังทรวงอกทำให้อัลเรสรีบกลั้นหายใจเบรกตนเองอย่างกะทันหันก่อนที่มันจะมาถึงตัว เสื้อของชายหนุ่มฉีกขาดเป็นแนว และปลายเล็บของคัลมาร์ยังเกี่ยวเอากระเป๋าเสื้อขาดไปด้วย ทำให้มีของสิ่งหนึ่งปรากฏออกมาจากรอยขาดและเกี่ยวติดกรงเล็บไปตกอยู่ในจุดซึ่งห่างออกไปไม่มาก
ของสิ่งนั้นทำให้ทุกการเคลื่อนไหวหยุดนิ่ง...
เครื่องประดับสีทองนั้น....หยุดทุกสายตาที่จับจ้องไปที่มัน
ของสิ่งนั้นพวกเขารู้จักเป็นอย่างดี แต่...
“ทำไมมันถึงอยู่กับเจ้าได้” คัลดิชเป็นคนแรกที่เอ่ยถาม เขาหมุนตัวกลับมาและลดสายตาลงมองอัลเรส รังสีกดดันที่แผ่ออกมาทำให้รอบข้างคล้ายถูกปกคลุมด้วยบางสิ่งที่หนักอึ้ง ดวงตาสีแดงเลือดเปล่งประกายอย่างน่าขนลุกไม่มีวี่แววการละเล่นหลงเหลืออยู่เลย
“...นั่นเป็นของของพี่สาวข้า” อัลเรสรู้สึกคล้ายหายใจลำบาก สิ่งที่กดทับบนตัวเขาอย่างกะทันหันนั้นเป็นบรรยากาศที่อึดอัดและพาให้รู้สึกคลื่นเหียน
“อย่ามาพูดจาโง่ ๆ ชาวบ้านอย่างเจ้าจะมีของมีค่าแบบนั้นได้ยังไง” คัลดิชยกเท้าขึ้นเหยียบลงบนบ่ากว้างและทิ้งน้ำหนักวูบพาให้อัลเรสเสียหลักล้มลงไปนอนบนพื้น “ข้าจะถามอีกครั้ง ของสิ่งนั้นมาอยู่กับเจ้าได้ยังไง หากเจ้าไม่ตอบความจริงข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ เสียตรงนี้”
“....ข้า...พูดเรื่องจริง จะไม่เชื่อก็ตามใจเจ้า แต่พี่สาวของข้าได้มาแต่ไม่เคยบอกข้าเลยว่าได้มาจากไหน” อัลเรสจับข้อเท้าอีกฝ่ายและพยายามดึงออกจากบ่าตนเองแต่ก็ไร้ผล “เป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าไม่ใช่หรือไง...ที่เป็นคนให้กับพี่สาวของข้าน่ะ!”
ทั้งคัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าต่างพากันหันมองวาลเซอิคเป็นตาเดียว ก่อนทั้งสามจะส่ายศีรษะ เพราะต่างก็รู้ว่าวาลเซอิคไม่มีทางทำเช่นนั้นได้
สร้อยคอเส้นนั้น...คือสมบัติที่เจ้าตระกูลลาห์โคเวียคนสุดท้ายมอบให้แก่หญิงสาวคนหนึ่ง และหญิงสาวคนนั้น...ไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว...
คัลดิชยกเท้าออกจากบ่ากว้างพลางเพ่งมองไปยังสร้อยคอเจ้าปัญหานั้นด้วยสายตาที่มีความหมาย แต่แล้วในกรอบสายตาของเขาก็ปรากฏมือข้างหนึ่งเอื้อมลงไปเก็บสร้อยเส้นนั้นขึ้นมา
เซเอล...
“ผู้บุกรุกคนเดียวทำให้พวกเจ้าตึงมือถึงขนาดนี้เลยหรือ?” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินยวงเอ่ยถามพลางเลื่อนสายตามองแต่ละคน
“เซเอล...อัลเรสแค่ต้องการตามหาพี่สาวของเขาเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะบุกรุกที่ของท่าน” วาลเซอิครีบแก้ต่างให้ทันที
“จะด้วยเหตุผลใดบุกรุกก็คือบุกรุก จัดการให้เรียบร้อย ข้าไม่ชอบเรื่องวุ่นวาย” เซเอลทำราวกับว่ากำลังสั่งให้คนหนึ่งเดินไปหยิบของชิ้นหนึ่งไปทิ้งเท่านั้น เขาก้าวผ่านกลุ่มคนที่ยืนรวมกันอยู่ไปทางปราสาทโดยไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ อีก แต่เมื่อผ่านมาได้ไม่กี่ก้าว เสื้อคลุมของเขาก็ถูกดึงรั้งเอาไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
“...ได้โปรด...”
นานมาแล้วที่วาลเซอิคไม่ได้พูดคำนี้ออกมา เพราะไม่ว่าเขาจะร้องขอสิ่งใดเซเอลก็มอบให้เสมอ น้อยครั้งที่จะขัดใจ หรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องจริงจังถึงขนาดต้องพูดคำนี้ออกมา
เซเอลเหลือบตามองสายตาอ้อนวอนของเด็กหนุ่มที่ตนเลี้ยงดูมา
ทำไม....เขาถึงต้องใจอ่อนอยู่เรื่อย...
“หากเขาไม่แพร่งพรายเรื่องที่พบเจอในวันนี้ ข้าจะทำเป็นมองไม่เห็นก็แล้วกัน”
“อะไรนะ?” คัลดิช คัลมาร์ และอาร์วิน่าร้องถามพร้อมกัน แต่เซเอลไม่ได้ให้ความสนใจที่จะตอบคำถาม เขาหันไปทางอัลเรสและมองดูด้วยดวงตาไร้ความรู้สึก
“หากวันใดที่เจ้าเล่าถึงเรื่องที่เจ้าพบที่นี่ ไม่ว่าด้วยปากของเจ้า มือของเจ้า หรือท่าทางของเจ้า เจ้าจะไม่มีโอกาสได้เห็นดวงตะวันอีกต่อไป”
วาลเซอิคส่งสัญญาณให้อัลเรสตอบรับ เจ้าตัวจึงพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ ถึงอย่างนั้นอัลเรสก็ไม่ได้มีเป้าหมายในการสืบหาความจริงเกี่ยวกับผู้ต้องสาปแต่ต้น แค่ต้องการตามหาเอลยาเท่านั้น
“พาเขาออกไปได้แล้ว”
“เดี๋ยวสิ! แล้วเอลยา....”
“ไม่มีมนุษย์คนอื่นนอกจากวาลเซอิคอยู่ที่นี่ เห็นทีเจ้าต้องไปตามหาที่อื่นแล้ว” คัลมาร์พูดแล้วดึงให้อัลเรสยืนขึ้น “เจ้าควรรีบตามข้ามาก่อนนายท่านจะเปลี่ยนใจ” พร้อมกับที่คัลมาร์ว่าเช่นนั้น คัลดิชก็เดินขึ้นมาขนาบข้างเป็นการบังคับให้ตามไปกลาย ๆ อัลเรสจึงต้องยินยอมอย่างช่วยไม่ได้ เพราะเขาประจักษ์แล้วว่าตนเองไม่มีกำลังมากพอจะต่อต้านคนเหล่านี้ได้เลย
เซเอลหมุนตัวกลับไปยังทางเดิมของตนเอง แต่ไม่ได้ก้าวเดิน...เขาก้มลงมองสร้อยคอบนมือ
การที่สร้อยคอเส้นนี้ปรากฏขึ้น....ก็หมายความว่า....
“คัลดิช” เขาเอ่ยเรียกหนึ่งในฝาแฝด “เมื่อเจ้ากลับมา เรามีเรื่องต้องคุยกัน” ว่าจบ เซเอลก็เดินจากไปโดยไม่รอการตอบรับ วาลเซอิคมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งสงสัย ทั้งคลางแคลงใจ และเหนือสิ่งอื่นใด...เขารู้สึกว่าเจ้าของแผ่นหลังนั้นกำลังออกห่างเขามากขึ้นทุกที....
TBC
-
โอ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันนี่
วุ่นวายไปหมดเลย
-
ผู้หญิงเป็นตัวก่อชนวนอะไรๆทุกครั้งเลยยย
-
แลดูเรื่องจะยุ่งเหยิง
-
งงอ่า =[]=! สร้อยมาอยู่กับผู้สาวคนนั้นได้อย่างไร
ตอนนี้น้องวาลเท่มากมาย ^^ เซเอลก็ยังใจอ่อนเหมือนเดิม
รอตอนหน้าจ้า o13
-
สนุกมากกกกก. พี่แต่งเก่งมากๆเลย >.<. ชอบทุกตัวละครมากๆ. มีมิติทุกคนน. รอต่อไป สู้ๆนะคะ
-
ซับซ้อนจัง อ่านแล้วปวดหัวนิดๆ
-
อ๊ากๆๆ :z3:
มาต่อเร็วๆนะ รออยู่ๆ :L2:
แล้วเอลยาหายไปไหนนี่ไปอยู่กับผีหรอ ที่บอกว่าลูบท้องเอลยาท้องแล้วหรอ
ใครกันหรือวาลเซอิค :3125: ไม่เดาละรอตอนต่อไปดีกว่า
-
ตอนที่ 9 วันวานที่ผ่านพ้น
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว นานแสนนาน....จนไม่มีใครจดจำได้ เคยมีดินแดนแห่งหนึ่งซึ่งถูกปกครองโดยขุนนางเจ้าที่ดินผู้มั่งคั่ง ภรรยาผู้งดงาม และบุตรชายผู้เป็นที่รัก บริวารแวดล้อมล้วนแต่จงรักภักดี ผืนดินแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มีผลผลิตมากมายแทบตลอดทั้งปี พวกเขามีทุกสิ่งอย่างที่ใจปรารถนาไม่เคยขาดตกบกพร่อง มีชีวิต...ราวกับนิยายที่เปิดฉากด้วยรอยยิ้ม
จนกระทั่งวันหนึ่ง...เงามืดก็เข้าครอบคลุมทุกความสุขที่เคยมี
เมื่อหญิงสาวผู้เป็นที่รักของทุกคนล้มป่วยลงด้วยโรคที่ไม่มีทางรักษา
ขุนนางเจ้าของที่ดินตกอยู่ในความทุกข์เศร้า เช่นเดียวกับทุก ๆ คนซึ่งรับรู้ข่าวนี้ มันแพร่กระจายไปจากคนในปราสาทจนถึงคนงานในที่ดิน ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีเสียงหัวเราะ เงาของความเศร้าเกาะกุมอยู่ในอกและฟุ้งกระจายในบรรยากาศ นายหญิงผู้อ่อนโยนกำลังก้าวเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกขณะโดยไม่มีทางช่วยเหลือเยียวยาได้ ทำได้เพียงบรรเทาความเจ็บปวดไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
นับแต่นั้น ขุนนางเจ้าที่ดินก็เปลี่ยนไป...
เขาเก็บตัวหมกมุ่นกับบางสิ่งบางอย่าง มีเพียงที่ปรึกษาใกล้ชิดและหมอยาเท่านั้นที่เข้าพบได้ บรรยากาศในปราสาทเริ่มไม่ชอบมาพากล แต่สถานการณ์ก็ดำเนินไปเช่นนั้นจากเดือนเป็นปี ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง นายหญิงยังคงอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ และขุนนางผู้นั้นก็ยังคงเก็บตัวเงียบในปราสาท
สิ่งผิดปกติเริ่มปรากฏเค้าลางขึ้น...
ปราสาทประกาศรับสมัครคนทำงาน ทำให้คนงานในไร่และนอกกำแพงที่หวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้นพากันก้าวเข้าสู่ปราสาทนั้นพร้อมความฝันอันสวยงาม
แต่ไม่มีใครส่งข่าวคราวกลับมาอีกเลย...
กระนั้นก็ไม่มีใครนึกสนใจ เพราะหลังจากนายหญิงล้มป่วยลง ปราสาทก็คล้ายกับจะตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่แล้ว
คงไม่มีใครรู้ว่าภายในปราสาทแห่งนั้น ขุนนางเจ้าของที่ดินค้นพบตัวยาบางอย่างจากการศึกษาศาสตร์มากมายเพื่อรักษาอาการของภรรยาแสนรัก เขาจึงได้ลงมือทดลองยาหลายขนานด้วยความช่วยเหลือจากหมอยาและนักคิดค้นของปราสาท
ยามากมาย...แต่ละมื้อ...แต่ละวัน ล่วงผ่านลำคออันแห้งผากของนายหญิงซึ่งบัดนี้แทบจะไม่หลงเหลือความงดงามสดใสอย่างที่เคยเป็น ราวกับดอกไม้เหี่ยวแห้งที่ใกล้โรยรา แม้จะรดน้ำลงไปเท่าใดก็ไม่อาจช่วยให้กลีบดอกเหล่านั้นฟื้นกลับมาเบ่งบานได้อีก กระนั้นขุนนางเจ้าของที่ดินก็คาดหวังว่าสักวันหนึ่ง...สักตัวยาหนึ่งจะได้ผล และภรรยาของตนจะหายดีดังเดิม
บุตรชายซึ่งโตพอจะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ แล้วได้แต่มองดูบิดาซึ่งปล่อยตัวเองให้จมลงไปกับความโง่เขลาเพราะปรารถนาจะยื้อชีวิตที่ใกล้จะหลุดลอยเอาไว้
แม้ว่า...จะเห็นหลายชีวิตต้องถูกสังเวยเพื่อตัวยาหลายขนานนั้น เขาก็ได้แต่มองดูด้วยไม่อาจทำสิ่งใดได้
บางทีเสี้ยวหนึ่งในใจของเขา....ก็คงปรารถนาเช่นเดียวกับผู้เป็นบิดา บิดเบี้ยว...และถูกครอบงำด้วยความต้องการที่ไม่อาจเป็นจริง
ผู้คนจากภายนอกหลั่งไหลเข้ามา และค่อย ๆ หายตัวไปทีละคน...ทีละคน
กลิ่นอายของจิตใจที่ผิดเพี้ยนโชยคลุ้งไปทั่วปราสาทซึ่งเคยสงบสวยงาม
เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนั้นอยู่นานโดยต่างคนต่างก็เฝ้ามองในจุดของตนเอง
ซากศพถมกองในหลุมดินที่ขุดไว้จนลึก คล้ายหลุมฝังขยะมากกว่าหลุมศพ....
อีกาบินวนอยู่เหนือปราสาทให้รู้สึกวังเวง สรรพสีสันจางหายไปจากปราสาทแห่งนี้จนหมดสิ้น และเริ่มมีข่าวลือแปลกประหลาดแพร่ออกไปภายนอก ซึ่งก็ไม่น่าแปลก...คนหายตัวไปมากมายขนาดนี้แล้ว หากไม่สังเกตเลยจะน่าประหลาดใจเสียกว่า
แต่ข่าวลือก็ไม่ได้ทำให้สิ่งใดเปลี่ยนแปลง ยังคงมีคนเดินทางเข้ามาในปราสาทคนแล้วคนเล่า รวมถึง...สิ่งนั้น...ซึ่งทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปตลอดกาล...
-------------------------->
เซเอลทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้จับจ้องที่จุดใด แค่เพียงทอดสายตาออกไปอย่างไร้จุดหมาย ปลายนิ้วของเขาลูบคลึงจี้สีทองซึ่งร้อยอยู่กับสายสร้อยเส้นเล็ก รอยนูนทำให้รู้สึกสะดุดเวลาที่ลูบผ่านไป แต่มันกลับไม่อาจเรียกสติที่หลุดลอยของเซเอลคืนมาได้
“เจ้าทำอะไรอยู่ตรงนี้?” เสียงหญิงสาวคนหนึ่งทำให้เด็กหนุ่มผู้เฝ้ามองภาพนั้นสะดุ้งและหันกลับมา
“เซเอลไม่ยอมให้ข้าเข้าไปในนั้น” วาลเซอิคตอบแล้วถอนหายใจ “ข้าไม่รู้ว่าทำไม....ข้าไม่รู้อะไรเลย แต่เขาเองก็ไม่ต้องการบอกอะไรข้าเช่นกัน”
อาร์วิน่าหรี่ตามองเด็กหนุ่มก่อนจะเลื่อนไปทางประตูซึ่งเปิดแง้มอยู่เล็กน้อย เธอคิดว่าตัวเองเข้าใจว่าทำไมเซเอลจึงไม่ปริปากพูดอะไรสักคำ คงจะเป็น....ภาพในอดีตที่ซ้อนทับปัจจุบัน การสูญเสียคนที่รักและไม่อาจยุดยื้อเอาไว้ได้ การต้องเผชิญกับเหตุการณ์แบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หัวใจค่อย ๆ ผุพังอย่างไร้ทางเยียวยา การไม่พูดถึงมันและลืมเลือนมันเสียอาจจะเป็นทางที่ดีที่สุดสำหรับเซเอล...และพวกเขาทุกคนที่ล้วนแต่เคยพานพบประสบการณ์เช่นนั้น ตลอดช่วงชีวิตอันยาวนาน...หัวใจของพวกเขาถูกกัดกินจนแตกสลาย....
“เจ้าเองก็สงสัยนายท่านเรื่องผู้หญิงที่มนุษย์คนนั้นตามหาใช่หรือเปล่า?”
วาลเซอิคสะดุ้ง ก่อนจะพยักหน้ารับ
“สร้อยนั่นมีตราของตระกูลลาห์โคเวีย จะให้ข้าคิดอะไรได้อีก”
“นั่นสินะ เรื่องนั้นข้าเองก็สงสัยเหมือนกัน” หญิงสาวกลอกตา “แต่ข้าไม่ได้สงสัยในประเด็นเดียวกับเจ้าหรอก วาลเซอิค เพราะสร้อยเส้นนั้นไม่เคยกลับมาหานายท่านเลยนับแต่เขาให้มันกับคน ๆ หนึ่งไป เมื่อมันปรากฏขึ้นอีกครั้ง...ข้าเองก็ยังนึกเหตุผลที่เหมาะสมไม่ออก”
“เคยให้กับ...คน ๆ หนึ่ง?”
ใครกัน?
แล้วคน ๆ นั้นเกี่ยวข้องกับเอลยายังไง? เกี่ยวข้องกับเซเอลยังไง?
“ตอนนี้มีคนเดียวที่รู้คำตอบนั้นกระมัง...” พร้อมกับที่กล่าวเช่นนั้น อาร์วิน่าก็เลื่อนสายตาไปยังทางเดินซึ่งปรากฏร่างของคัลดิชที่กำลังก้าวเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ สีหน้าของเจ้าตัวไม่สู้ดีนัก เหมือนกับมีความไม่พึงพอใจฉาบอยู่กับความกังวล และโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา คัลดิชก็เลี้ยวเข้าห้องก่อนปิดประตูเหมือนกับว่าไม่ต้องการให้คนนอกคนใดรู้เรื่องที่พวกเขาจะสนทนากันต่อจากนี้ไป
คัลดิชรู้อะไรบางอย่างหรือ?
จะว่าไป...ตอนที่สร้อยนี้หลุดจากกระเป๋าเสื้อของอัลเรส คัลดิชเป็นคนที่มีปฏิกิริยามากที่สุดและชัดเจนที่สุด เจ้าตัวดูเหมือนจะมีความขุ่นเคืองต่อบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวกับสร้อยเส้นนี้
แล้วเซเอลล่ะ? รู้สึกยังไงเมื่อมันปรากฏขึ้น...
ความเงียบเฉยและเย็นชานั้นเป็นสัญญาณว่ามีบางสิ่งบางอย่างกระทบลงบนจิตใจของอีกฝ่าย
ทางเดียวที่เขาจะรู้ได้....คงเป็นการเฝ้ารอ...อยู่ตรงนี้
--------------------------------->
ประตูถูกหับปิดลง ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างก็ยังคงนิ่งไม่ไหวติง
คัลดิชสาวเท้าเข้าไปใกล้ และยืนนิ่งรอจนกระทั่งเซเอลเอ่ยขึ้นโดยไม่หันกลับมา
“เจ้าบอกข้าว่านางตายแล้ว”
คัลดิชตอบกลับด้วยความเงียบ ดวงตาสีแดงกลอกไปทางหนึ่ง
“เจ้าบอกข้าว่านางตายแล้ว คัลดิช และข้าก็เชื่อเจ้า” เซเอลหมุนตัวกลับมาหา ดวงตาคู่นั้นทอประกายแข็งกร้าว “ของชิ้นนี้เป็นของขวัญที่ข้ามอบให้นางเพียงผู้เดียว หากนางตายไปแล้วมันจะปรากฏออกมาได้ยังไง หรือข้าเป็นแค่คนโง่เขลาที่ถูกเจ้าตบตามาโดยตลอด”
“....นางตายแล้ว” ชายหนุ่มยืนยันคำเดิม เหมือนที่เคยพูดไว้เมื่อ 18 ปีที่แล้ว
ทันใดนั้นก็บังเกิดลมกระแทกบานหน้าต่างเปิดอ้าและปะทะกับบรรยากาศภายในห้องเกิดเป็นสายลมรุนแรงหมุนวนอยู่ครู่หนึ่งก่อนสลายตัวไป เซเอลยืนนิ่ง ดวงตาสีเลือดเปล่งประกายเรืองรองในความมืด
“ข้าให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง คัลดิช ในวันนั้น...นางได้ตายในกองเพลิงหรือไม่?”
กับคำถามนั้น คัลดิชกลับผุดรอยยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มเย้ยหยันประสมกับสังเวชใจ
“ไม่ใช่....ในฐานะมนุษย์”
ปึง!
ฝ่ามือกระแทกลงบนโต๊ะก่อให้เกิดเสียงสั้น ๆ แต่ก้องกังวาน
“เกิดอะไรขึ้น บอกข้ามาให้หมด” น้ำเสียงของเซเอลไม่ได้สุขุมเยือกเย็นอย่างเคย
คัลดิชเห็นว่าถึงขั้นนี้แล้วจะปิดบังไปก็เปล่าประโยชน์ จึงได้แต่ถอนหายใจและนึกย้อนกลับไปในวันนั้น...วันที่สงบเหมือนอย่างทุก ๆ วัน
ทว่า....ในวันอันสงบเงียบนั้น ทิศหนึ่งของป่ากลับมีควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาเป็นหมอกครึ้มหนาราวกับเกิดไฟป่า มันคงจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไรหากที่บริเวณนั้นไม่ใช่จุดที่มีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้าน...ที่ถูกสร้างขึ้นสำหรับครอบครัวเล็ก ๆ ครอบครัวหนึ่ง ผู้ชาย ผู้หญิง และลูกซึ่งเพิ่งจะเกิดได้ไม่นาน
พวกเขาเร่งรุดไปยังบ้านหลังนั้น แต่กลับพบว่าไฟได้แผดเผาไปทั่วทุกแห่งและไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใด ๆ เซเอลออกคำสั่งให้เขา คัลมาร์ และอาร์วิน่าแยกย้ายกันไปตามหารอบบริเวณ
คงเป็นโชคร้ายของเขาเองที่ไปถูกทิศ....
สถานที่ที่เขาไปถึงและพบว่าผิดสังเกตคือกระท่อมหลังหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นอย่างลวก ๆ ตรงชายป่า มนุษย์ที่เข้าป่าล่าสัตว์บางครั้งจะมาแวะพักที่นี่ แต่ไม่ใช่...กลุ่มมนุษย์แบบนี้...
กลุ่มคนจำนวนมากมุงกันนอกกระท่อม และข้างในก็มีแสงไฟลอดออกมาจากร่องระหว่างซี่ไม้ที่หดตัวไปตามกาลเวลา เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ คนเหล่านั้นก็ตัดสินว่าเขาเป็นศัตรูทันทีด้วยการก้าวเข้ามาพร้อมอาวุธ คงหมายปิดปากเขาอยู่กระมัง? น่าเสียดายที่เลือกคู่ต่อสู้ผิดคน แค่ออกกำลังเล็กน้อย มนุษย์ที่อาวุธพร้อมมือก็ล้มลงไปราวกับใบไม้ร่วง ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่ขวางทางเขาเอาไว้ได้
เสียงเอะอะข้างนอกคงจะดังเข้าไปถึงข้างใน จึงมีคนถืออาวุธออกมาอีก แต่คราวนี้บางคนสวมเสื้อผ้าไม่ค่อยจะเรียบร้อยนัก
เขาเองไม่ได้นึกใส่ใจในตอนแรก แค่เพียงจัดการมนุษย์ที่บังอาจหันดาบมาทางเขาเท่านั้น ใช้เวลาเพียงไม่นานเขาก็ไปถึงประตูกระท่อมที่เปิดอ้า และทันทีที่มองเข้าไปข้างใน เขาก็ได้เห็นร่างของชายคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ ไม่ต้องเดาก็รู้ได้โดยทันทีว่าร่างนั้นสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคืออีกมุมหนึ่ง หญิงสาว...ที่ดูคุ้นตานอนราบอยู่ และบนร่างนั้นมีผู้ชายร่างเปลือยเปล่าทาบทับ รอบข้างมีผู้ชายอีกหลายคนที่อยู่ในสภาพเดียวกัน พวกเขาต่างไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมยกดาบขึ้นสู้แม้แต่น้อย
ตัวเขาไม่ได้นึกสนใจคนพวกนี้ที่พากันถอยไปที่ผนังเพราะเห็นสิ่งที่เขาทำเอาไว้ข้างนอก คนเหล่านั้นคงรู้ได้โดนสัญชาตญาณว่าเขาไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาและไม่ควรต่อกร
ก็ถือว่ายังมีสมองอยู่บ้าง...
ผู้ชายที่ทาบทับบนร่างของหญิงสาวถอยออกมาทั้งที่ยังไม่เสร็จสมอารมณ์หมาย ในสายตาของเขาแล้วมันช่างน่าสมเพชเสียจริง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะรอดชีวิตไปได้นาน เพราะหญิงสาวที่พวกเขาทำร้ายนั้นมีความหมายมากกว่าที่คิดเอาไว้ แต่อย่างไรมันก็ไม่ใช่ธุระของเขา หน้าที่ของเขามีเพียงการตามหาผู้หญิงคนนี้....ที่นายท่านมอบความรู้สึกพิเศษให้ กับสามีของเธอ....ซึ่งตอนนี้นอนจมกองเลือดอยู่อีกฝากหนึ่ง
แล้วเขาควรทำยังไง?
มันช่างน่ารำคาญใจเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ก่อนอื่นควรจะนำหญิงสาวกลับไปก่อนกระมัง? ซึ่งเขาคิดและทำตามนั้น ด้วยการเดินไปหาร่างบอบบางซึ่งนอนแน่นิ่งไร้อาภรณ์ปกปิด ดวงตาคู่นั้นเลื่อนลอยไร้สติ
ไม่น่าแปลก...
การที่ต้องสูญเสียทั้งลูกและสามี อีกทั้งยังถูกย่ำยีอย่างนี้ ใครเล่าจะคงสติเอาไว้ได้
ในช่วงที่เขากำลังจะก้มลงไปพยุงร่างนั้นขึ้นมา ก็มีดาบเล่มหนึ่งวาดลงจากเหนือศีรษะ ในจังหวะที่เขาหันกลับมาเพื่อป้องกันตัวนั้นเอง กลับเกิดเหตุการณ์ที่เขาไม่ทันได้คาดหมาย
หญิงสาวที่ควรจะสูญสิ้นสติสัมปชัญญะกลับลุกพรวดขึ้นมา คว้าแขนของเขาไว้ก่อนขย้ำฟันลงบนหลังมือ!
เขี้ยวทื่อ ๆ ของมนุษย์คงไม่น่ากลัวนัก หากว่ามันไม่ได้ขย้ำลงมาสุดแรงเกิดอย่างไร้สติอย่างนี้ เนื้อส่วนหนึ่งถูกกระชากออกพร้อมเลือดสีแดงสดที่พุ่งออกมา ทุกสรรพสิ่งหยุดความเคลื่อนไหว ทุกสายตามองมาด้วยความตกตะลึงแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังอดตกใจไม่ได้
เธอดื่มกินเลือดของเขาราวกับสัตว์ป่าโดยที่เขาไม่อาจห้ามได้ทัน
และทันใดนั้น...ร่างกายของเธอก็เกิดการเปลี่ยนแปลง เธอทรุดฮวบลงไปบนพื้นราวกับว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบหายไปอย่างกะทันหัน ลมหายใจหอบถี่กระชั้นอย่างทรมาน ภายในร่างกายของเธอคงกำลังเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนถูกทิ่มแทงและฉีกกระชาก ทำไมเขาถึงรู้น่ะหรือ....
...เพราะว่าเขา....เคยผ่านมันมาก่อนน่ะสิ
ในตอนที่ร่างกายที่เคยเป็นเยี่ยงมนุษย์ทั่วไป....ได้เปลี่ยนกลายเป็นร่างกายของปีศาจที่มีเลือดเนื้อ...
หญิงสาวแน่นิ่งไปอีกครั้ง ไม่ไหวติง ไม่มีสัญญาณของชีวิต
คงเพราะทุกอย่างนิ่งสงบเกินไป กลุ่มมนุษย์เดนตายนั้นจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งด้วยการตวัดดาบเข้าใส่เขา และเพราะเขายังตะลึงกับเรื่องเมื่อครู่จึงปัดป้องด้วยการหลบฉากไปอีกทางหนึ่ง เปิดโอกาสให้คนเหล่านั้นบุกเข้าใกล้ตัวหญิงสาวที่แน่นิ่งไปนั้น ทว่า....พวกนั้นคงไม่รู้ว่าคิดผิด
เพราะทันใดที่มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะบนร่างนั้น ดวงตาที่ปิดลงก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมประกายสีแดงราวกับสีเลือด
และหลังจากนั้น....ระบำโลหิตก็บังเกิดขึ้น....
-
เพียงไม่กี่นาที ผู้ชายนับสิบที่ออกันอยู่ในกระท่อมก็เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ คบไฟที่ถูกวางพิงไว้ข้างผนังล้มลงมาตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจรู้ได้ และเปลวไฟนั้นก็เริ่มลามแผดเผาไปตามแนวของไม้ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ภาพของหญิงสาวที่แสยะยิ้มด้วยดวงตาเลื่อนลอยท่ามกลางเปลวเพลิงและเลือดที่สาดกระเซ็นยังติดตรึงในความทรงจำของเขา ก่อนที่เธอจะพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาตามออกมา เธอก็หายไปกับความมืดเสียแล้ว
กระท่อมหลังนั้นถูกไฟลามเลียและพังทลายลงพร้อมกับซากศพที่อยู่ภายในนั้น เขาไม่เห็นว่าตนเองจะทำอะไรได้อีกจึงได้แต่โยนศพทั้งหมดเข้ากองไฟและกลับไปหาเซเอล
บาดแผลของเขาสมานตัวอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีใครนึกสงสัยในสิ่งที่เขาพูด...ที่ว่าเขาไปช้าเกิน และเธอคนนั้นได้ตายในกองไฟไปแล้ว อีกทั้งเธอคนนั้นไม่ได้รับการสอนสั่งให้มีชีวิตในฐานะผู้ต้องสาป อีกไม่นานเธอก็คงตายไปเองไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เขาจึงไม่เคยคิดว่าเรื่องจะแดงขึ้นมา
จนกระทั่งในวันนี้...
ทันใดที่เขาเล่าจบ กรงเล็บข้างหนึ่งก็พุ่งเข้าที่คอของเขาก่อนออกแรงบีบจนแน่น ดวงตาสีแดงเลือดเปล่งประกายโทสะออกมาอย่างชัดแจ้ง
“ทำไมเจ้า....ถึงไม่บอกความจริงกับข้า!” เซเอลเค้นเสียงตะคอกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
“...เพื่ออะไรกันล่ะ?” คัลดิชย้อนถามราวกับว่าตนเองไม่ได้ทำสิ่งใดผิด “เพื่อให้ท่านออกตามหานางและใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนในนิยายประโลมโลกน่ะหรือ?”
“อย่ามายอกย้อนข้านะ”
“ท่านจะสละอีกเท่าไหร่เพื่อความรักไร้ค่านั่น!” คัลดิชขึ้นเสียงพร้อมตวัดมือปัดแขนเซเอลออกไป “นางไม่ได้มองท่านเสียด้วยซ้ำ แล้วคิดดูสิว่าท่านเสียอะไรไป ท่านสละพลังอำนาจ ความเป็นอมตะ การดื่มกินเลือดมนุษย์ก็เพื่อนาง จนถึงตอนนี้ท่านเหลืออะไรอยู่บ้าง? อีกอย่าง ที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะความผิดของท่าน เพราะท่านเคยบอกกับนางว่าเลือดของเราคือเครื่องมือที่นำคำสาปไปสู่ชีวิตอื่นได้! แล้วเมื่อพบกันอีกครั้งท่านจะทำยังไง? พยายามเข้าไปในหัวใจของนางที่เสียสติไปแล้วน่ะหรือ?”
“ข้าช่วยนางได้” เซเอลตอบในทันที
“ยังไงล่ะ? อีกไม่นานท่านก็จะ.....” แม้จะอยากพูดแต่เขาก็เบรกตัวเองเอาไว้แล้วกลืนคำเหล่านั้นลงคอไป “...ท่านคิดว่าตัวเองมีเวลาเหลืออีกเท่าไหร่ มองดูปราสาทหลังนี้สิ ท่านน่าจะได้สติได้แล้ว!”
กับคำพูดนี้ เซเอลไม่อาจตอบโต้อะไรได้ ปราสาทหลังนี้กำลังทรุดโทรมลง...แน่นอนว่าสรรพสิ่งไม่อาจอยู่ยืนยง ทว่าไม่ใช่ผู้ต้องสาปเช่นพวกเขา ปราสาทหลังนี้...อยู่ได้ด้วยพลังอำนาจของเขา แต่ตอนนี้มันกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอและโรยรา...
“ข้าไม่เห็นด้วยตั้งแต่ท่านรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงแล้ว ถึงจะเป็นลูกของนางก็ใช่ว่าท่านจำเป็นต้องรับผิดชอบ แต่เหตุผลที่ท่านนำเขามาเลี้ยง...ก็เพราะเขาคือตัวแทนของนาง...”
“คัล....”
“ข้าคือตัวแทนของใคร?”
เสียงของบุคคลที่สามซึ่งไม่ควรมีอยู่แทรกระหว่างบทสนทนาของทั้งสอง เซเอลและคัลดิชตวัดสายตาไปยังประตูก่อนพบว่าวาลเซอิคยืนอยู่ที่นั่น
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ข้าจำได้ว่าไม่ได้อนุญาตให้เจ้าเข้ามาที่นี่” เซเอลตอบปัดและพูดเหมือนพยายามจะกันอีกฝ่ายออกจากบทสนทนาตรงหน้า
“พวกท่านกำลังพูดเรื่องของข้าอยู่....หรือไม่จริง?” วาลเซอิคกวาดสายตาไปทางคัลดิชซึ่งกำลังตีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกก่อนจะกวาดกลับมาทางเซเอล “เรื่องราวของข้าที่ท่านปิดบังมาโดยตลอด ทำไมกัน? ข้าเคยเชื่อว่าท่านมีเหตุผลถึงได้ไม่เคยถามเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้ข้าไม่เข้าใจท่านเลยสักนิด ท่านไม่แยแสมนุษย์ ท่านไม่สนใจด้วยซ้ำหากว่าอัลเรสจะถูกฆ่าที่นั่น แล้วทำไมถึงมีเพียงข้าที่ท่านรับมาอุ้มชู?”
ไม่ใช่อาหาร...
ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง...
แต่เลี้ยงดูเฉกเช่นที่มนุษย์ทั่วไปเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งเท่าที่พวกเขาจะทำได้
ทำไม...จึงต้องทำถึงขนาดนั้นเพื่อเด็กคนหนึ่งที่สูญเสียพ่อแม่ของตนเองไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เพราะเขากำพร้าหรือ? หรือเพราะข้าโชคร้าย แต่ในโลกนี้ก็มีคนที่โชคร้ายกว่าเขาอยู่มากมาย คนที่สูญเสียพ่อแม่ สูญสิ้นญาติมิตร ไร้ซึ่งผู้ปกป้องคุ้มครอง
หรือเพราะเขา...เหมือนกับใครบางคน...
“ท่านควรจะพูดความจริงได้แล้วกระมัง ไม่คิดหรือว่าท่านได้แบกความลับนั้นไว้นานเกินไปแล้ว” อาร์วิน่าก้าวมายืนข้างวาลเซอิค “อย่างน้อยตอนนี้ท่านก็ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับหญิงคนนั้น ไม่คิดหรือว่าวาลเซอิคควรได้รู้ความจริงเกี่ยวกับครอบครัวของเขาด้วย”
“ครอบครัวข้า?” วาลเซอิคมุ่นคิ้วมองอาร์วิน่าสลับกับเซเอลด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
ชายหนุ่มผมเงินถอนหายใจ น้อยครั้งที่จะได้เห็นกริยาเช่นนี้ปรากฏออกมา เป็นท่าทางของความเหนื่อยใจและกังวลจนสังเกตได้
“พวกเจ้าออกไปให้หมด” เขาออกคำสั่ง “ยกเว้นเจ้า วาลเซอิค”
คัลดิชไม่ได้เสียเวลาลังเลกับคำสั่งเลย เขาสบตาอาร์วิน่าและเดินออกไปเป็นคนแรกตามด้วยหญิงสาวที่ตามเข้ามาสมทบตอนหลัง
แค่ไม่ถึงนาที ภายในห้องก็เหลือแค่เซเอล วาลเซอิค และบานประตูที่ปิดสนิท
เสียงฝีเท้าของบุคคลทั้งสองห่างออกไปเรื่อย ๆ แน่นอน...เช่นที่อาร์วิน่าเคยบอก ในปราสาทหลังนี้ไม่มีใครอยากจะก้าวก่ายเรื่องของผู้อื่น และไม่มีใครอยากให้ผู้อื่นมาก้าวก่ายเรื่องของตนเอง
เซเอลโบกมือวูบ หน้าต่างที่ถูกลมภายนอกกระแทกเปิดก็หับปิดลง เขาหมุนตัวเดินไปยังเก้าอี้ที่ใช้นั่งเป็นประจำก่อนทิ้งตัวนั่งและใช้สีหน้าครุ่นคิดกับตนเอง วาลเซอิคได้แต่มองอยู่เงียบ ๆ เพื่อเฝ้ารอให้อีกฝ่ายพูดอะไรบางอย่างออกมา เขาไม่ต้องการเป็นฝ่ายเริ่ม เพราะความสงสัยต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดแน่นในตัวของเขาคงจะพรั่งพรูออกมาไม่ต่างกับน้ำหลากเป็นแน่
“บางครั้ง ข้าก็ชอบไปเดินในหมู่บ้านอย่างที่เจ้ารู้ สมัยก่อนพวกเรายังดื่มกินเลือดมนุษย์เป็นอาหารหลักจึงมักจะเข้าไปที่นั่นเป็นประจำโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น แต่ถึงอย่างนั้นรูปลักษณ์ของข้าก็ดูโดดเด่นจนยากจะปิดบังตัวตนได้ตลอดเวลา และหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ คนที่พบเห็นข้าโดยบังเอิญนั้น....นางมีชื่อว่า ริเรีย” ในขณะที่เอ่ยชื่อนั้นออกมา สายตาของเซเอลก็ทอประกายอย่างอ่อนโยน “นางไม่ใช่คนสวยจนสะดุดตา แต่ถึงอย่างนั้นข้ากลับติดใจนางเป็นพิเศษ”
ไม่ว่าในยุคสมัยของเขาหรือตอนนี้ ภาพที่ไม่แตกต่างกันเลยก็คือภาพของผู้หญิงในอุดมคติซึ่งต้องสวยงามราวกับดอกไม้ เรียบร้อยและนอบน้อม แต่ริเรียกลับไม่ใช่เช่นนั้น เธอเป็นคนที่จัดว่าน่ามองแต่ไม่ถึงกับสวยงามไปทุกกริยา แม้จะมีอุปนิสัยเรียบร้อยแต่ก็ไม่ใช่คนที่ยอมอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร เธอฉลาดและรักอิสระ ด้วยเหตุนั้นจึงมักพบเธอมีปากเสียงกับพ่อแม่เรื่องชีวิตของเธอเองอยู่เสมอ แม้ว่าไม่เคยเรียนหนังสือเป็นกิจจะลักษณะแต่ริเรียก็รักการอ่าน เธอมักจะแอบไปขอเรียนกับผู้นำทางจิตวิญญาณของหมู่บ้าน และทำงานเพื่อหาเงินมาซื้อหนังสือเก็บไว้ ทำให้เธอมีความคิดความอ่านมากกว่าหญิงสาวคนอื่น ๆ
เรื่องนี้ทำให้พ่อแม่ของเธอไม่พอใจนักเพราะผู้หญิงที่รู้มากเกินไปมักไม่ต้องตาผู้ชาย พวกเขามองว่าผู้หญิงเหล่านี้จะไม่อยู่ในโอวาทและเป็นอุปสรรคต่อการเป็นเสาหลักของบ้านของพวกเขา
ทว่าในสายตาของเซเอล...เธอมีความแตกต่างนี้เป็นเสน่ห์ที่ไม่อาจละสายตา
เมื่อเธอมีปากเสียงกับผู้ชายในหมู่บ้าน การพูดจาของเธอมักจะเป็นเหตุเป็นผลและถ่ายทอดออกไปด้วยความมั่นใจทำให้ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวให้เธอเป็นอย่างที่พวกเขาต้องการได้
“ข้ามักจะมองดูนางอยู่ห่าง ๆ โดยไม่ได้เข้าไปใกล้ ถึงอย่างนั้นนางก็รับรู้ได้ถึงการมีตัวตนของข้า เพราะนางมักจะมองออกมานอกหน้าต่างในตอนกลางคืนและทิ้งจดหมายเอาไว้ด้านนอกก่อนเข้านอน วพกเราจึงเริ่มติดต่อกันด้วยจดหมายและประโยคสั้น ๆ ตั้งแต่ตอนนั้น”
ทีละฉบับ ทีละข้อความ ที่พวกเขาถ่ายทอดให้แก่กันและกันเสมือนการเชื่อมสายโซ่เล็ก ๆ ทีละข้อ เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เซเอลก็พบว่าตนเองกำลังเฝ้ารอจดหมายของรีเรียอย่างใจจดใจจ่อในทุก ๆ วัน
“จนกระทั่งวันหนึ่ง...ก็มีชายอีกคนปรากฏตัวขึ้น” เซเอลหรี่ตาลงแต่ไม่ได้มีวี่แววความไม่พอใจ “เขาโซซัดโซเซมาที่ป่าของข้า เนื้อตัวมีแต่บาดแผลและความอิดโรย ในสายตาของข้าเขาคืออาหารที่มาป้อนถึงปาก แต่ข้ากลับไม่สามารถดื่มเลือดของเขาได้ เพราะข้ารู้สึก...ถึงบางสิ่งที่คุ้นเคย”
“บางสิ่งที่คุ้นเคย?” วาลเซอิคทวนคำในคอ
“เจ้าอาจจะไม่รู้แต่โดยระบบขุนนางมักจะมีการแต่งงานทางการเมืองบ่อยครั้ง ครอบครัวข้าเองก็อยู่ในวังวนนั้น ใช่...เขาคือญาติห่าง ๆ ของข้า ถึงแม้จะผ่านมาหลายชั่วอายุคนและข้าไม่เคยรู้จักเขาหรือต้นตระกูลของเขามาก่อน แต่สายเลือดของลาห์โคเวียก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเขา” ดวงตาสีเลือดกลอกไปนอกหน้าต่าง ที่ซึ่งมีแต่ความมืดและความแห้งแล้งโรยรา “อย่างไรข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เขาตายไปตามยะถากรรมได้ จึงได้พาเขาไปที่บ้านของนาง...เพื่อให้นางช่วยดูแลรักษาเขาจนกว่าจะหายดี”
แต่ชายหญิงเมื่ออยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ใกล้ชิดกัน ก็ย่อมมีใจปฏิพัทธ์ต่อกัน
คนทั้งสองมีใจให้กันโดยที่ไม่มีใครทันได้สังเกต แม้กระทั่งจดหมายที่ริเรียเขียนถึงเซเอลก็มีชายหนุ่มคนนั้นเป็นหัวข้อด้วยในทุกฉบับ ซ้ำยังมีจดหมายของชายหนุ่มแนบแถมมาด้วยราวกับเป็นของคู่กันที่ไม่อาจแยกจากกันได้ ในตอนนั้น เขารู้สึก...หงุดหงิดอยู่ในใจแต่ก็ละเลยความรู้สึกเหล่านั้นไป
“อย่างที่เจ้าน่าจะเดาได้ พวกเขาตกหลุมรักกันและกัน แต่เรื่องก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะแท้จริงแล้วชายคนนั้นหนีจากภัยการเมืองมายังที่แห่งนี้และมีคนตามล่าตัวเขาอยู่ เมื่อริเรียรู้ความจริงจึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านพร้อมเขาเพื่อให้พ่อแม่ไม่ต้องเข้ามาพัวพันด้วย ข้าได้ให้ที่อยู่แก่พวกเขา เป็นบ้านพักร้างในป่าซึ่งอยู่ก้ำกึ่งเส้นเขตแดนของข้า ในตอนนั้น....นางก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว”
หญิงสาวแสนจะยินดีเมื่อพบว่าตนเองมีอีกชีวิตถือกำเนิดขึ้นในร่างกาย แต่อันตรายก็ย่างกรายเข้ามาเช่นกัน
“นางได้ยื่นข้อเสนอกับข้า....”
ข้อเสนอซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา แต่เขากลับยินดีที่ได้รับโอกาสนั้น
โอกาส....ที่จะยืนเคียงข้างเธอคนนั้นภายใต้แสงตะวันอันสดใส อย่างน้อยให้เธอจดจำเขาเอาไว้ในแบบของมนุษย์คนหนึ่งซึ่งพร้อมจะปกป้องเธอเสมอไป
“เพื่อที่ข้าจะมีชีวิตในแสงสว่างได้ นางจะมอบถ้อยคำซึ่งล้างคำสาปส่วนหนึ่งของข้าเพื่อแลกกับการปกป้องนางและครอบครัวของนาง แต่ข้าจะไม่อาจดื่มกินเลือดมนุษย์ได้อีก” และนั่น...ทำให้เซเอลต่างจากผู้ต้องสาปคนอื่น ๆ “บางทีนางอาจจะรู้ถ้อยคำนั้นมาจากหนังสือสักเล่มเพราะข้าไม่เคยบอกนางเลย แต่ตั้งแต่นั้นข้าก็ทำตามคำสัญญา ข้าดูแลปกป้องเขตแดนของข้าไปพร้อม ๆ กับที่อยู่ของนาง”
ทว่า...ความสุขก็อยู่ไม่ยืนยง...
เซเอลที่ได้รับการล้างคำสาปบางส่วนออกไปนั้นต้องพบกับการแลกเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่คือพลังอำนาจและอายุขัย เขาอ่อนแอลง...และสัมผัสไม่เฉียบคมอย่างเคย
“แต่ข้าพลาด”
ในวันนั้น...เขาพลาด....
“ข้าไม่อาจปกป้องนางและชายคนรักได้ ตอนที่ข้าไปถึง บ้านหลังนั้นกำลังถูกไฟครอกจนเกือบจะถล่มลงมา ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเลยแม้แต่คนเดียว แต่ตอนนั้นเอง...ที่ข้าได้ยินเสียงร้องของเด็กคนหนึ่ง...” เซเอลเหลือบสายตากลับมามองเด็กหนุ่มตรงหน้า “เด็กคนนั้น...ซึ่งเป็นลูกของนาง....และเขา”
TBC
-
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
น่าสงสารจังนะ
แล้วแบบนี้จะทำยังไงกันต่อไปล่ะ
-
สุดท้ายวาลเซอิคก็รู้ความจริงแบบไม่ได้ตั้งใจจนได้ -*-
สงสารเซเอลอ่า เสียสละมากมาย หรือว่าจะเป็นเพราะความแสดงออกไม่เก่งทำให้ผู้สาวนางนั้นโดนผู้ชายคนอื่นคว้าไป T-T
เรื่องอดีตนี่ช่างมาม่า โดยเฉพาะริเรียที่ท่าทางจะโดนหนักที่สุด แล้วตอนนี้กลับมาต้องการจะทำอะไรกันแน่
รอตอนต่อไปนะ
-
เนื้อเรื่องเข้มข้นมาก สู้ๆนคะ รออ่าน :P
-
ตอนที่ 10 เงาลวงตา
‘เจ้าปรารถนาพลังอำนาจใช่หรือไม่?’
‘พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เจ้าเอื้อมไม่ถึง’
มันคือข้อเสนออันหวานหอมรัญจวนใจจนยากจะปฏิเสธ
สิ่งนั้น...ที่เข้ามาในปราสาทพร้อมชาวบ้านที่คาดหวังการงานที่มั่นคง ได้หยิบยื่นของขวัญให้แก่เจ้าของปราสาทผู้กำลังตกอยู่ในห้วงของความทุกข์ระทม สิ่งนั้นซึ่งไม่มีที่มาและที่ไป เพียงแค่ย่างก้าวเข้ามาในสถานที่แห่งนี้และปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าขุนนางเจ้าของที่ดิน
นายหญิงผู้อ่อนแรงจนบัดนี้แทบจะไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตนอนหลับอยู่บนเตียง ร่างกายที่เคยสวยงามกลับผ่ายผอมราวกับกิ่งไม้แห้ง ใบหน้างดงามซูบตอบลึกโหล ผ่านมากว่าปีแล้วที่มีความพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อพยุงชีวิตอันบอบบางนี้ให้ถึงที่สุด ทว่าในใจของทุกคนรู้ดีว่ามันเป็นแค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่อาจเป็นจริงไปได้ และเงาของความตายได้คืบคลานเข้ามาในทุกขณะ
สิ่งนั้นที่ปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาอย่างนี้ มีภาพลักษณ์ราวกับมัจจุราชผู้ใจดีที่พร้อมจะมอบโอกาสในการมีชีวิตให้อีกครั้ง
ด้วยพลังอำนาจที่จะได้มานั้น พวกเขาจะมีชีวิตอันเป็นอมตะไม่รู้แก่และตาย กาลเวลาของพวกเขาจะหยุดนิ่งรวมถึงปราสาทหลังนี้ซึ่งจะเกี่ยวพันกับพลังของผู้เป็นเจ้าเหนืออาณาเขต
ไม่รู้แก่ไม่รู้ตาย...
แม้แต่มนุษย์ปุถุชนที่ไม่ป่วยไข้ก็ยังปรารถนาพรข้อนี้
ขุนนางผู้ไร้ซึ่งหนทางจะฉุดยื้อชีวิตหญิงสาวผู้เป็นที่รักจึงได้ตอบตกลงในทันที แม้ไม่รู้ว่าจำเป็นจริงหรือไม่ หรือต้องแลกด้วยอะไร เขาก็พร้อมยินยอมทุกอย่าง ขอเพียงสามารถทำให้ภรรยาผู้เป็นดังดวงใจของเขาได้กลับมายืนอยู่เคียงข้างดังเดิม
พลันนั้นก็บังเกิดลมกรรโชกรุนแรงและเสียงหัวเราะน่าพรั่นพรึงของสิ่งนั้นที่แปรเปลี่ยนจากรูปกายประดุจมนุษย์ปุถุชนกลายเป็นร่างในผ้าคลุมดำที่แผ่สยายออกราวกับปีกพญายม ก่อนจะแตกกระจายออกกลายเป็นนกสีดำสนิทนับร้อยนับพันบินกรูออกไปทางหน้าต่างที่ถูกลมกระแทกเปิดออกพร้อมเสียงหัวเราะที่ค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อยแต่ยังทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้ก่อนจากลา
‘พรที่เจ้าปรารถนาจะเริ่มขึ้นเมื่อชีวิตของนางสิ้นสุดลง’
และแล้ว....ความหวังที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนเป็นแสงสว่างจุดเล็ก ๆ ก็ดับวูบหายไปในพริบตา....
----------------------->
เซเอลและวาลเซอิคมองหน้ากันผ่านความเงียบงัน
เด็กที่เคยพบในกองไฟคนนั้น คือลูกของริเรียและชายหนุ่มคนรัก เด็กน้อยซึ่งถูกอุ้มชูดูแลแทนคำสัญญาที่ไม่อาจรักษาเอาไว้ได้
“ข้าคือเด็กคนนั้น....” วาลเซอิคเปล่งเสียงแหบพร่า ในคอของเขาแห้งผาก
“ใช่ นั่นแหละคือครอบครัวของเจ้า ซึ่งข้า...ปกป้องไว้ไม่ได้” เซเอลหลับตาลงแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ “หากเจ้าจะโกรธแค้นข้า ข้าก็จะไม่นึกโทษเจ้าเลย”
แต่ว่า...เรื่องที่ริเรียกลายเป็นผู้ต้องสาปไปนั้น...เขาจะโทษใครได้....
ในห้วงความคิดของเขามีเสียงฝีเท้าแว่วใกล้เข้ามาทีละก้าว และหยุดลงตรงหน้า วาลเซอิคคิดจะทำอะไรหรือ? จะใช้กำลังกับเขาเพราะความโกรธ หรือจะต่อว่าด่าทอ ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน เซเอลก็รู้ดีว่าตนเองสมควรจะได้รับทั้งสิ้น เขาจึงหลับตานิ่งอยู่อย่างนั้นและไม่ได้นึกตอบโต้ ทว่าร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขากลับหยุดนิ่งอย่างนั้นและเท้าแขนคร่อมลงโดยยันไว้กับพนักด้านหลัง
“ถ้าอย่างนั้น ข้าคือใครกัน?”
เซเอลเปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความสงสัย
“ข้าไม่ได้บอกเจ้าไปแล้วหรือว่าเจ้าคือ....”
“ในสายตาของท่าน” วาลเซอิคพูดขัดขึ้นมาแล้วจ้องมองเซเอลด้วยสายตาที่แฝงความหมายบางอย่างเอาไว้ ทั้งผิดหวังและเจ็บปวด “ในสายตาท่าน ข้าเป็นใคร เป็นข้าหรือว่าแม่ของข้า”
ดวงตาสีแดงเลื่อนหลบไปทางหนึ่งและหรี่ลงเล็กน้อย
ถึงอยากจะพูดว่าเขาไม่ได้มองวาลเซอิคเป็นตัวแทนของใครก็ไม่อาจพูดได้เต็มปาก เพราะแม้จะอยากปฏิเสธมากแค่ไหน เขาก็รู้ตัวเองดีว่าความพยายามที่จะมองเด็กหนุ่มคนนี้โดยไม่มีภาพเงาของริเรียมาซ้อนทับนั้นเป็นเรื่องที่แสนยากเย็น
และเขา...ก็ไม่เคยทำสำเร็จ
ทุกครั้งที่มองดูวาลเซอิค เขามักจะอดมองหาส่วนที่คล้ายคลึงกับหญิงสาวคนนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะดวงตาสีเขียวสดใสนั้นที่ถอดแบบมาจากผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยน ราวกับว่าริเรียยังคงมีตัวตนอยู่เบื้องหน้าเขาและแอบแฝงอยู่ภายในร่างของวาลเซอิค เพราะอย่างนั้นหรือเปล่า...เขาจึงมักใจอ่อนกับอีกฝ่าย และโดนโน้มน้าวใจได้ง่ายเพียงแค่ถูกโอบกอดและจ้องมองด้วยดวงตาคู่นั้น
ในสายตาของวาลเซอิคมีความรู้สึกอันลึกล้ำ ผิดจากริเรียที่มองมายังเขาด้วยสายตาของหญิงสาวที่มองเพื่อนต่างเพศของตนเอง เป็นสายตาแบบที่เขาคาดหวังให้ริเรียมองเขามาตลอด เพราะเหตุนั้น เขาจึงได้โอนอ่อนตามไปอย่างช่วยไม่ได้....
เซเอลไม่สามารถตอบคำถามของวาลเซอิคอย่างตรงไปตรงมาได้ เขาจึงได้แต่จมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองและให้ความเงียบดำรงอยู่แทนคำตอบ
“....เข้าใจแล้ว....” อยู่ ๆ เสียงแผ่วเบาของวาลเซอิคก็ทำให้บรรยากาศที่เงียบงันเกิดการสั่นไหวเป็นคลื่นเล็ก ๆ ที่แผ่ออกทีละน้อย “ข้าไม่ได้เป็นอะไรสำหรับท่านเลย นอกจากกระจกที่สะท้อนภาพแม่ของข้าเท่านั้น ในสายตาของท่าน ข้าไม่เคยมีตัวตน...”
“วาล....”
“ทั้งที่ข้าอยู่ตรงนี้” เด็กหนุ่มละมือข้างหนึ่งจากพนักเก้าอี้มาจับคางเซเอลให้หันกลับมามองตนตรง ๆ “มองข้าสิเซเอล ให้ข้าได้มีตัวตนของตัวเองในสายตาของท่านบ้าง!”
“เจ้าพูดจาเลอะเทอะใหญ่แล้วนะวาลเซอิค ตอนนี้เจ้าควรจะคิดว่าแม่ของเจ้าอยู่ที่ไหนมากกว่า” เซเอลหลบเลี่ยงด้วยการเอ่ยอ้างถึงริเรียซึ่งยังเป็นปริศนาว่าหายตัวไปไหนหลังจากนั้น จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ แต่นับเป็นข้ออ้างที่ผิดพลาดสำหรับเวลานี้ที่วาลเซอิคกำลังเรียกร้องตัวตนให้กับตนเอง การกล่าวถึงริเรียว่ามีความสำคัญมากกว่าเปรียบเสมือนการปฏิเสธอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
วาลเซอิคกัดฟันอย่างขมขื่น
“แต่ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่ อยู่ตรงหน้าท่าน!” กล่าวจบ วาลเซอิคก็ไม่ทิ้งจังหวะให้เซเอลพูดอะไรต่ออีก เขากระชากอีกฝ่ายให้เอนเข้าหาตัวก่อนประกบริมฝีปากจูบเม้มอย่างรุนแรง เซเอลที่ไม่ทันได้ตั้งตัวจึงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงด้วยไม่คิดว่าวาลเซอิคจะทำเรื่องแบบนี้ได้
เซเอลพยายามจะเบี่ยงใบหน้าตนเองหนี ทว่ากลับถูกยึดตรึงเอาไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่มากกว่า
“ทำไมถึงไม่ตอบโต้ข้าล่ะเซเอล? พลังอำนาจของท่านคงสามารถฆ่าข้าได้ในชั่ววินาที” วาลเซอิคกระซิบขณะยังคลอเคลียริมฝีปากที่เย็นชืด ดวงตาสีเขียวสดจ้องสบกับดวงตาสีเลือดที่ฉายแววตื่นตระหนกอยู่ข้างใน “หรือว่า...เพราะท่านทำไม่ได้กันแน่”
ใช่...เขาได้ยินการสนทนาทั้งหมดนั่น และถ้าเขาคาดเดาไม่ผิด สิ่งที่ทำให้เซเอลสามารถเดินกลางแสงแดดได้นั้นทำให้พลังลดน้อยถอยลงไปด้วย
นั่นหมายความว่า...ตอนนี้เซเอลไม่ต่างจากคนปกติอย่างเขาเลย และเมื่อเทียบรูปกายกันแล้ว...
“ตอนนี้ข้าตัวใหญ่กว่าท่าน มีพละกำลังมากกว่าท่าน” พร้อมกับที่พูดเช่นนั้น วาลเซอิคก็กดเซเอลลงกับเก้าอี้และกระชากผ้าพันคออีกฝ่ายออก “แล้วท่านจะขัดขืนข้ายังไง?”
หากจะให้ขัดขืน....ก็ใช่จะไม่มีทางทำได้....
แม้พลังของเขาจะน้อยลง แต่ก็ยังสามารถบงการปราสาทหลังนี้ได้ กระนั้นเขากลับไม่กล้าพอที่จะทำเช่นนั้น...ไม่กล้าที่จะผลักไสวาลเซอิคอีกครั้งในภาวะอารมณ์เช่นนี้...
เสื้อนอกถูกกระชากออกพร้อมกับตัวเสื้อด้านใน ทำให้ผิวกายขาวซีดสัมผัสอากาศเย็นยะเยือกอันเป็นปกติของปราสาทหลังนี้ที่ดวงอาทิตย์ไม่สาดส่อง
“หยุดนะ วาลเซอิค” เซเอลยกมือขึ้นผลักอกกว้างโดยไม่ได้ออกแรงดันออก
“ไม่ ข้าจะไม่หยุดอีกแล้ว” วาลเซอิคปฏิเสธก่อนดึงมืออีกฝ่ายตรึงไว้เหนือศีรษะ “ต่อจากนี้ไปข้าจะทำตามใจของข้าบ้าง” ฝ่ามือกร้านไล้ไปบนผิวเนื้อขาวที่เย็นเยียบ เซเอลสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อปลายนิ้วสะกิดไปบนยอดอกก่อนเลื่อนต่ำลงไปยังหน้าท้องแบนราบที่สะท้อนขึ้นลงอย่างช้า ๆ ปลายลิ้นอุ่นลากไปบนคอก่อนขบเม้มปลายคาง ในตอนแรกเซเอลคิดว่าหากปล่อยให้ทำตามใจอีกเดี๋ยววาลเซอิคคงเลิกไปเอง ทว่าเขาก็คิดผิดอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่ากางเกงของตนถูกปลดออก ตอนนั้นเองเขาจึงมีปฏิกิริยาขึ้น
ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ว่างยื้อข้อมืออีกฝ่ายไว้ด้วยสีหน้าตกตื่น
“อย่า...อื้อ!!!” แค่เปล่งเสียงห้ามออกมาไม่ถึงคำดี ริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาอีกครั้งเพราะไม่ต้องการจะได้ยินคำปฏิเสธ และเมื่อเซเอลเริ่มพยายามดิ้นรนหนีจากมือของเขา วาลเซอิคก็บีบกำข้อมืออย่างแรงจนอีกฝ่ายนิ่วหน้า มือของเซเอลที่ยังเป็นอิสระถูกรวบขึ้นไปตรึงไว้เช่นกันทำให้หมดทางหนีโดยสิ้นเชิง
กางเกงถูกดึงรูดออกไปแม้เซเอลจะพยายามหยุดยื้อเอาไว้ด้วยขาทั้งสองข้าง ทว่าเรี่ยงแรงของวาลเซอิคที่ใกล้จะโตเต็มวัยก็มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้
ท่อนล่างที่เปลือยเปล่าถูกกอบกุมด้วยฝ่ามืออุ่นตัดกับอากาศเย็นโดยรอบ มันปลุกความปรารถนาในร่างกายของเขาที่ไม่ได้รับการปลดปล่อยมานานแสนนาน
“หยุดนะ...วาลเซอิค....” เซเอลเค้นเสียงจากในคออย่างยากลำบาก ร่างกายของเขากำลังถูกปลดเปลื้องอย่างชำนิชำนาญและตัวเขาไม่อาจขัดขืนมันได้ เลือดฝาดที่มีอยู่ไม่มากพากันเคลื่อนสู่ใบหน้าจนเกิดริ้วแดงของความสะเทิ้นอายและแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เพียงแค่ถูกสัมผัสสัดส่วนอันอ่อนไหว เซเอลก็อับอายจนไม่กล้ามองหน้า แต่วาลเซอิคใช่จะยอมหยุดเพียงแค่นั้น
!!!
ทั้งร่างของเซเอลสะดุ้งเฮือกเมื่อปลายนิ้วของเด็กหนุ่มผละจากความตื่นตัวของเขาลงไปยังปากทางอ่อนนุ่มและเสือกเข้าไปในร่างโดยไม่ผ่อนปรน
“....วาล....หยุด.....” ความเจ็บแล่นผวาขึ้นมาจากเบื้องล่างผสานกับริ้วรอยของอารมณ์หวามไหวซึ่งถูกปลุกปั่นเอาไว้ก่อนหน้า แต่คำพูดของเขาแทบจะไร้ความหมาย เพราะวาลเซอิคไม่ได้นึกสนใจแม้แต่น้อย เมื่อเขาร้องห้าม การรุกรานก็ยิ่งลึกล้ำขึ้นและรุนแรงขึ้น สิ่งที่เคลื่อนไหวภายในร่างกายของเขาปลุกกระตุ้นให้ใจสั่นไหวไปกับรสโลกีย์ที่เคยละทิ้งไปพร้อมกับความเป็นมนุษย์ในอดีต
ลมหายใจอุ่นเป่ารดลงบนใบหน้า วาลเซอิคป้อนรสจูบให้แก่เขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งบดขยี้และขบเม้มราวกับกำลังลงโทษด้วยความพิศวาส
ลงโทษ...ในข้อหาอะไรกัน...
กลีบปากถูกบดเบียดจนแดงช้ำแต่ก็ยังไม่สาแก่ใจ วาลเซอิคกวาดปลายลิ้นไปในโพรงปาก เก็บเกี่ยวลมหายใจหอบแผ่วที่เจือกระแสการต่อต้านไว้อย่างเบาบาง
จนกระทั่งในที่สุดวาลเซอิคก็ผละออกและปล่อยเซเอลเป็นอิสระ
มันคงจะจบลงแล้ว...
อารมณ์ที่ยังคั่งค้างพาให้ชายหนุ่มไม่กล้าขยับตัว เขาแค่เพียงพยายามพยุงตัวเองในท่ากึ่งนั่งด้วยเรียวขาที่สั่นเทา วาลเซอิคยืนมองอยู่ชั่วครู่ด้วยสายตาเยือกเย็นผิดกับการกระทำเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง เด็กหนุ่มโน้มตัวลงเล็กน้อยโดยที่เซเอลไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร และไม่ทันได้เอ่ยปากถาม แขนแกร่งทั้งสองข้างก็ช้อนใต้ขาของเขาก่อนยกขึ้นสูงเปิดทางให้วาลเซอิคเห็นผลงานที่ตนเองทำไว้
“....อย่า....” เพราะรู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น เซเอลจึงร้องห้ามเสียงแผ่ว
วาลเซอิคเคลื่อนกายเข้ามาอยู่ระหว่างขาทั้งสองที่เปิดอ้า พรมจูบลงบนต้นขาขาวเนียนจนเป็นรอยแดง และโดยที่ไม่ฟังคำ เขาก็ฝังกายตนเองเข้าสู่ร่างโปร่งซึ่งไม่อาจใช้กำลังต่อต้านเขาได้
เสียงครางต่ำเปล่งจากลำคอพร้อมกับจังหวะที่ถูกโอบล้อมด้วยเนื้อนุ่มที่บีบรัดจนแน่น
เซเอลปิดเปลือกตาลงเพื่อหลบหนีจากสิ่งที่ตนกำลังเผชิญ ทว่ากลับถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจนต้องสะดุ้งผวา
“มองข้าสิเซเอล” วาลเซอิคคำรามเสียงต่ำกึ่งบังคับกึ่งอ้อนวอน “มองข้าสิ....ข้าที่อยู่ตรงหน้าท่านตอนนี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่ท่านหลงรัก....”
ได้โปรด....มองตัวตนของข้า....
ไม่ใช่ภาพลวงตาที่ท่านสร้างขึ้น....
เซเอลกลอกนัยน์ตาขึ้นมองใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยการเรียกร้องหาการตอบสนอง ดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจที่ถูกแช่แข็งสั่นสะท้าน และความหวั่นไหวนั้นดึงให้เขาหลบสายตาอีกครั้ง
วาลเซอิคขบริมฝีปากก่อนจะดึงตัวออกและอุ้มเซเอลไปที่บานหน้าต่าง เขาผลักเซเอลให้พยุงตัวกับวงกบก่อนเข้าซ้อนด้านหลัง
“จำได้หรือเปล่า....ที่ข้าเคยขอจูบท่านตรงนี้....”
....
เซเอลพยักหน้าช้า ๆ
“ตอนนี้ข้าจะรักท่านที่นี่” เด็กหนุ่มกล่าวก่อนจะเคลื่อนกายสู่ภายในผนังอ่อนนุ่มบอบบางโดยไม่มีคำเตือนใด ๆ เซเอลเปล่งเสียงคล้ายพยายามปฏิเสธแต่ก็กลับกลายเป็นการกลั้นเสียงร้องไว้ในคอทั้งอย่างนั้น ร่างกายของเขาถูกป้อนความปรารถนาอันรุนแรงซ้ำแล้วซ้ำอีก พร้อมกับถูกโอบรัดด้วยอ้อมแขนแข็งแรงของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ใช่ท่อนแขนบอบบางของหญิงสาวอย่างที่เขาเคยจินตนาการ อารมณ์ที่ไม่ต่างกับลมพายุของวาลเซอิคห่างไกลจากคำว่าหวานละมุนรัญจวนใจไปไกลโข กระนั้นกลับปลุกปั่นเขาจนแทบคลุ้มคลั่ง เงาสะท้อนของวาลเซอิคบนกระจกหน้าต่างจ้องมองมายังเขาและเขาก็จ้องตอบ....แค่เพียงภาพเงาที่กำลังประสานสายตา แต่ก็ถ่ายทอดความรู้สึกอันลึกซึ้งออกมาอย่างชัดเจนและหนักแน่น
อย่ามองข้าแบบนั้น....
เพราะข้า.....จะ....
.....
....อย่ารัก...ข้า.....
----------------------------->
-
ความมืดทอดกายอย่างเงียบสงบในราตรี มีเพียงเสียงลมหายใจที่บ่งบอกว่าที่นี่มีสิ่งมีชีวิตอยู่
วาลเซอิคพิงหลังกับกำแพงเย็นเยียบ ทอดสายตาออกไปในความมืดที่ปกคลุมอยู่รอบห้อง ข้างกายมีร่างหนึ่งนอนตะแคงอยู่อย่างเงียบ ๆ ท่อนบนห่มด้วยเสื้อสีขาวบาง ท่อนล่างเปลือยเปล่าเผยเห็นผิวเนื้อขาวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบราคะ เสมือนการละเลงความโสมมลงบนผืนผ้าสีขาวสะอาด
เขาไม่ได้กำลังถามว่าตัวเองทำอะไรลงไป...
ไม่ได้กำลังคิดว่าตัวเองจะทำอะไรต่อไป...
ก่อนที่จะลงมือทำเรื่องนี้ เขาได้คิดคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้แล้ว และมันไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย มันก็แค่...การฝากคำพูดที่เขาไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น....
“เซเอล...ข้า....”
“....ข้าหนื่อยแล้ว...” เซเอลพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา แต่เพราะความเงียบจึงสามารถได้ยินได้อย่างชัดเจน วาลเซอิคมองแผ่นหลังที่ดูบอบบางสิ้นไร้เรี่ยวแรงด้วยสายตาอาวรณ์ เขายังจำได้ว่าในสมัยเด็กเขาเคยได้แต่เดินตามแผ่นหลังนี้โดยคิดว่ามันช่างกว้างใหญ่และอบอุ่น เป็นดังหลักพึ่งพิงซึ่งไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ ในป่าลึกที่มืดมิด แผ่นหลังนี้คือสิ่งที่นำทางเขาไปสู่ปราสาทและรูปแบบชีวิตที่ผิดแผกจากมนุษย์ปุถุชน กระนั้นเขาก็ยังก้าวตามต่อไป ไขว่คว้าหาอย่างสุดเอื้อมโดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถเอื้อมสัมผัสได้ด้วยมือคู่นี้
ไหล่ของเซเอลไหล่สะท้านน้อย ๆ เมื่อมือใหญ่วางลงบนต้นแขนและกุมไว้นิ่ง ความอุ่นถ่ายทอดออกมาและซึมซาบสู่ร่างกายเย็นชืด
...รัก...
เป็นคำที่เขาทำได้เพียงพูดกับตัวเองในใจ
วาลเซอิคจัดแต่งเครื่องแต่งกายตนเองอย่างลวก ๆ ก่อนลุกขึ้นและหยิบเสื้อนอกของเซเอลมาคลุมให้กับเจ้าของอีกชั้น จากนั้นจึงอุ้มอีกฝ่ายขึ้นและพาเดินออกไปข้างนอก
ตอนนี้บนระเบียงทางเดินของปราสาทไม่มีวี่แววใครแม้สักคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เพราะถึงแม้จะไม่มีใครถาม แต่สายตาที่จ้องมองมาอย่างมีความหมายก็ยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...สำหรับเซเอล
ห้องนอนของเซเอลอยู่อีกฝากหนึ่งของปราสาท เขาไม่เคยได้ไปที่นั่นแต่ก็รู้ว่าตั้งอยู่ทิศไหน
บนส่วนนี้คงจะเป็นห้องพักของขุนนางและญาติ ๆ แต่ละห้องไม่มีวี่แววของผู้คน ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพียงแต่เขาสงสัยว่าเซเอลอาศัยอยู่ในบริเวณที่โดดเดี่ยวถึงขนาดนี้เชียวหรือ เพียงแค่เดินผ่านก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ว่างเปล่าและเย็นเยียบ การต้องเผชิญกับความอ้างว้างในทุก ๆ วันอย่างนี้...เซเอลยังทนอยู่ได้อย่างไร
“ห้องของข้าอยู่สุดทางเดินนั่น” เซเอลพูดขึ้นแล้วปิดปากเงียบอีกครั้ง
เด็กหนุ่มก้าวไว ๆ ไปถึงประตูบานที่ว่า เมื่อเปิดเข้าไป เขาก็พบห้องนอนกว้างที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างดี เครื่องเรือนแต่ละชิ้นบ่งบอกถึงมูลค่าที่มากกว่าในห้องของเขาหลายเท่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีแต่ความเงียบงัน สิ่งที่ลอยอวลอยู่ภายในห้องนี้เป็นบรรยากาศแปลกประหลาดยากจะบรรยายออกมาได้ ทั้งลึกลับและยากจะเข้าถึง ราวกับจ้องมองฉากหนึ่งในหนังสือภาพขาวดำที่ไร้ชีวิตชีวา
ร่างโปร่งถูกวางลงบนเตียงหลังกว้าง เตียงนุ่มยุบตัวลงโอบรับร่างนั้นเช่นที่เคยเป็นมาหลายร้อยปี
เมื่อศีรษะวางลงถึงหมอน เซเอลก็หลับตาลงช้า ๆ ลมหายใจทอดยาวสม่ำเสมอ วาลเซอิคเห็นดังนั้นจึงดึงเสื้อนอกและเสื้อขาวข้างในออกมาก่อนนำผ้าห่มมาคลุมให้แทน จากนั้นเขาก็มองอีกฝ่ายอยู่อย่างเงียบ ๆ และยาวนาน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใดจึงเริ่มขยับตัวอีกครั้งโดยหมุนตัวและก้าวออกไปจากห้องโดยไม่ได้ทิ้งคำพูดใด ๆ ให้แก่ร่างซึ่งหลับใหลบนเตียงนั้น
วาลเซอิคกลับไปที่ห้องของตนเอง เก็บข้าวของใส่ในเป้ใบหนึ่งเท่าที่จำเป็น ในระห่างที่เขาง่วนอยู่กับการเก็บของนั้น ก็มีใครบางคนนั่งลงบนเตียงโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว จนกระทั่งคน ๆ นั้นกระแอมขึ้น เขาจึงได้รู้ว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องเพียงลำพัง
“อย่าหาว่าข้าสอดรู้เลยนะ แต่เจ้าจะรีบร้อนไปไหนหรือ?” คัลมาร์นั่นเอง เจ้าตัวนั่งเท้าคางมองเขาจากบนเตียงอย่างสบายอารมณ์ รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้ายังเหมือนพี่ชายใจดีคนเดิม ราวกับว่าเรื่องขัดหูขัดตาที่เขาทำไปเมื่อตอนช่วงเย็นนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน “ที่นี่เรามีเรื่องขัดแย้งกันเป็นปกติ แค่การที่เจ้าทำให้ข้าอดของหวานไม่ได้แปลว่าเจ้าต้องหนีไปไหนหรอกนะ”
ดวงตาสีเขียวเลื่อนหลุบลงบนพื้น
“ถึงไม่มีเรื่องแบบนั้นเกิดข้าก็ต้องไปอยู่ดี” วาลเซอิคยัดเสื้อลงไปในเป้
“อยากเล่าไหม?”
ความเงียบของเด็กหนุ่มแทนคำตอบว่าไม่ หรือไม่ก็เป็นท่าทางลังเลว่าจะเล่าหรือไม่เล่าดีกว่ากัน
“หรือเกี่ยวกับเรื่องที่คัลดิชรู้?”
“เจ้าก็รู้หรือ?” ประเด็นนี้ทำให้วาลเซอิคพูดออกมาอีกครั้ง เขาเงยหน้ามองคัลมาร์ที่กำลังกลอกตาคิดว่าตนเองควรตอบอย่างไร
“ก็ไม่เชิง เจ้าก็รู้ว่าข้ากับเขาเป็นฝาแฝดกัน เมื่อเทียบกับรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งหมดที่สิ่งมีชีวิตรู้จัก ก็นับว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุด ดังนั้นถึงเขาจะไม่พูดออกมา ข้าก็รู้ว่าเขาปิดบังอะไรบางอย่าง ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าเกี่ยวกับเรื่องของริเรีย แม่ของเจ้า” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อย “เจ้าคงจำไม่ได้แต่ช่วงแรกที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ เขาเป็นคนที่ไม่พอใจมากที่สุด แต่อาร์วิน่าแสดงออกมากกว่าเจ้าจึงคิดว่านางไม่ชอบเจ้า ถึงอย่างนั้นพอเจ้ามาอยู่ไม่นานเขาก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไรอีก”
“แล้วเจ้าคิดยังไง?”
“หืม?” คัลมาร์เลิกคิ้วเมื่อถูกถามความคิดเห็นที่ไม่รู้ว่าจะตอบในแง่ไหน
“คัลดิชบอกว่า...เซเอลมองข้าเป็นตัวแทนของร....ของแม่มาตลอด” วาลเซอิคถอนหายใจเฮือกทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ในทันทีว่าเด็กคนนี้กำลังกลัดกลุ้มใจเรื่องใด
“ถ้าถามข้า ข้ามองว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ” ชายหนุ่มลูบคางแล้วกลอกตาขึ้นมองด้านบน “สำหรับผู้ต้องสาปแบบพวกเรา ความรักเป็นเรื่องห่างไกลตัวมากเกินไป การที่นายท่านรู้สึกพิเศษกับแม่ของเจ้าอาจจะเป็นความรักหรือความชื่นชมประทับใจก็ได้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าคนที่อยู่ข้างเขาตลอดช่วงหลายปีมานี้คือเจ้าไม่ใช่นาง ดังนั้นหากพูดถึงความผูกพัน นายท่านย่อมผูกพันกับเจ้ามากกว่า การที่เขามองเจ้าโดยมีเงาภาพของริเรียทับอยู่อาจเป็นเพียงเสี้ยวความทรงจำที่เห็นได้ผ่านเจ้า แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเจ้าจะกลายเป็นนางได้ ซึ่งเขาก็รู้ดี”
น้อยครั้งที่จะมีใครได้ยินคัลมาร์แสดงความคิดเห็นออกมาในแง่นี้ เพราะโดยปกติคัลดิชและคัลมาร์จะทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นไม่รู้จักโตเสียมากกว่า ในขณะที่อาร์วิน่าจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากที่สุด กระนั้นในความเป็นจริงแล้วทุกคนในปราสาทนี้ต่างก็ผ่านโลกมานานนับศตวรรษ จึงไม่น่าแปลกหากจะมีความคิดเห็นในมุมกว้างและเผื่อเลือกความเป็นไปได้ไว้หลายเส้นทาง
“ถ้าเป็นแบบที่เจ้าว่าก็คงดี” วาลเซอิคยิ้มบางก่อนรูดเชือกปิดปากเป้แล้วเหวี่ยงขึ้นหลัง “นาน ๆ ครั้งข้าได้คุยกับเจ้าแบบนี้ก็ดีนะ”
สีหน้าคัลมาร์แสดงให้เห็นความแปลกใจที่วาลเซอิคยังคงยืนยันที่จะไปจากที่นี่
“เจ้ามีเรื่องกลุ้มใจมากกว่านั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มหัวเราะ
“บางทีข้าคงเพิ่งรู้สึกตัวว่า...มนุษย์ก็ควรอยู่กับมนุษย์ด้วยกัน”
แม้มันจะดูเหมือนข้ออ้างมากกว่าเหตุผลที่แท้จริง แต่คัลมาร์ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาพยักหน้าน้อย ๆ แล้วยิ้มกว้าง
“ว่าง ๆ อย่าลืมกลับมาเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน”
หลังจากร่ำลาคัลมาร์แล้วเขาก็เดินออกมาจากห้องและพบอาร์วิน่ายืนอยู่ข้างนอก หญิงสาวแค่ยืมมองเงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรเขาจึงแค่หัวเราะเก้อ ๆ แล้วเดินผ่านมา
ด้านนอกปราสาทยังคงมืดมิดอย่างเคย ต้นไม้แห้งโบกกิ่งลู่กับลมราวกับกำลังโบกมือให้เขา แต่ก่อนที่จะได้เดินออกไปนั้นเสียงเห่าของลูกสุนัขสองตัวเรียกให้เด็กหนุ่มต้องหยุดเท้าและหมุนตัวไปยังกรงสุนัขซึ่งตอนนี้กลายเป็นที่พำนักของเซราฟและวอเรนอย่างถาวร
“ไง...ข้าลืมลาพวกเจ้าเลยนะ”
วาลเซอิคนั่งยอง ๆ ลงหน้ากรง มองลูกสุนัขสองตัวที่วิ่งดุ๊กดิ๊กมาเกาะกรงเห่าแสดงความยินดีที่ได้พบเขา ดูเหมือนพวกมันเริ่มคุ้นชินกับปราสาทหลังนี้แล้ว และคุ้นเคยกับผู้คนมากขึ้น
“หลังจากนี้พวกเจ้าคงต้องอ้อนคนอื่นแทนแล้วล่ะ ส่วนข้าคงต้องไปทำธุระนานเลย” วาลเซอิคยื่นมือผ่านลูกกรงเข้าไปลูบหัวทีละตัว
คงจะไม่มีใครให้เขาลาแล้วกระมัง?
เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นขณะมองขึ้นไปยังห้องหนังสือของเซเอลที่เจ้าตัวมักจะมองผ่านหน้าต่างลงมา เพียงแต่ในวันนี้เขารู้ว่าเซเอลไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เพียงชั่ววินาทีที่สายตาของวาลเซอิคเปลี่ยนจากความอาลัยกลายเป็นสายตาของคนที่ตัดสินใจอย่างหนักแน่นที่จะทำบางอย่าง
ใช่....เขามีสิ่งที่ต้องทำ...
เขาจึงต้องไปจากที่นี่ ไม่ใช่เพื่อหนีจากใครหรือความรู้สึกของตัวเอง เพราะสิ่งที่เขามีให้เซเอลนั้นเขาไม่คิดที่จะถอยแม้สักก้าว แต่ว่า...เพราะยังมีสิ่งที่คั่นกลางระหว่างพวกเขาทั้งสองอยู่ มันคือกำแพงสูงใหญ่ที่เขาจะต้องหาทางข้ามมันไปให้ได้
สิ่งนั้นก็คือ...การมีอยู่ของหญิงสาวที่ชื่อริเรีย
เขาต้องไปเพื่อพิสูจน์ว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และหากยังอยู่...เซเอลจะยังคงปรารถนาให้เขาอยู่เคียงข้างอีกหรือไม่...
นอกจากนี้...ยังมีเรื่องการหายตัวไปของเอลยา บางทีอาจจะไม่ใช่ฝีมือสัตว์ป่า เพราะสัตว์ป่าย่อมไม่ลักพาตัวคน และคนก็ไม่สามารถฉีกกระชากร่างกายของมนุษย์อย่างน่าสยดสยองอย่างนั้นได้ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือข้อสันนิษฐานเดียว นั่นคือ...อาจเป็นฝีมือของผู้ต้องสาปที่พวกเซเอลไม่รู้จัก หากเลือดของผู้ต้องสาปสามารถสืบทอดคำสาปได้จริงอย่างที่คัลดิชว่า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ต้องสาปอื่นนอกจากคนในปราสาทนี้ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น เอลยาก็อาจตกอยู่ในอันตราย...
--------------------------->
“เขาไปแล้ว” ร่างเงาหนึ่งมองเด็กหนุ่มเดินออกจากบริเวณปราสาทจากบนหน้าต่าง ก่อนจะหันกลับมามองอีกคนหนึ่งด้านในซึ่งนั่งเอนอยู่บนเตียง “ท่านคงไม่ได้เรียกข้ามาที่นี่เพราะอยากสะสางปัญหาหรอกนะ เพราะข้าก็พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว”
“ไม่มีประโยชน์ที่จะทำอย่างนั้น อีกอย่าง ข้าเป็นคนอนุโลมกับพวกเจ้าเองว่าการอาศัยในปราสาทนี้ไม่จำเป็นต้องบอกทุกอย่างกับข้า” นั่นเพราะในฐานะผู้ต้องสาป ฐานันดรศักดิ์เป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง พวกเขาจึงอยู่ร่วมกันในฐานะผู้ร่วมอาศัยโดยมีเขาเป็นเจ้าของบ้านเท่านั้น และเจ้าของบ้าน...ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปแทรกแซงความลับของลูกบ้าน
เขาไม่คิดว่าวันหนึ่งจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น....
ดังนั้นก็ถือว่าเป็นความผิดของเขาส่วนหนึ่ง
คัลดิชหรี่ตาลงด้วยความสงสัย
“ท่านคาดเดาเอาไว้หรือเปล่าว่าวันหนึ่งวาลเซอิคจะจากไป”
“เรื่องนั้นพวกเราต่างคาดการณ์ไว้เหมือน ๆ กัน หรือเจ้าจะปฏิเสธ?”
เรื่องนี้คัลดิชไม่สามารถเถียงได้ เพราะเป็นจริงอย่างที่เซเอลว่า พวกเขาทุกคนต่างรู้ว่าตนเองไม่มีความเหมาะสมที่จะเลี้ยงดูลูกมนุษย์เลยสักนิด อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่สมควรทำเช่นนั้นเสียด้วยซ้ำ ดังนั้น...หากวันหนึ่งวาลเซอิคจะจากไปเพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์ที่เหมือน ๆ กันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร
“ถ้าอย่างนั้นท่านเรียกข้ามาที่นี่เพื่อให้ติดตามดูแลเขา?”
เซเอลส่ายศีรษะ
“จริงอยู่ว่าข้ายังคงเป็นห่วงเขา แต่ถึงอย่างนั้น....มันก็เป็นทางเลือกของเขาเอง ข้าไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้ การส่งเจ้าไปจับตาดูรังแต่จะทำให้เขาเกลียดชังพวกเรามากขึ้น”
คัลดิชกลอกตาเล็กน้อยด้วยท่าทางไม่เห็นด้วย ท่าทางของวาลเซอิคบ่งบอกชัดเจนถึงขนาดนั้นว่ามีความผูกพันกับเซเอลมากเพียงใด ทำไมเจ้าตัวถึงยังหลอกตัวเองว่าเด็กคนนั้นจากไปเพราะความรังเกียจ หรือเพราะเจ้าตัวกลัวที่จะคาดหวัง?
“บอกธุระของท่านมาตามตรงดีกว่า” เพราะเขาไม่อยากจะปล่อยให้เรื่องวกไปวนมามากเกินไป จึงตัดสินใจถามตรงเข้าประเด็น
“ข้ายังสงสัยเรื่องการตายกับการหายตัวไปของมนุษย์พวกนั้น”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเราไม่ใช่หรือ?”
“ไม่แน่นัก...เพราะบางทีอาจจะเป็นฝีมือของผู้ต้องสาปก็เป็นได้” ถึงจะเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน แต่สายตาของเซเอลบ่งบอกว่าเจ้าตัวมั่นใจค่อนข้างมากกับข้อสันนิษฐานนี้ “เจ้าอาจจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ข้ารู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น ดังนั้นนี่คืองานของเจ้าคัลดิช เจ้าจงไปติดตามจับตาดูมนุษย์ที่ชื่ออัลเรส หากพี่สาวของเขาเป็นคนเดียวที่ถูกพาตัวไปแสดงว่านางคือกุญแจสำคัญที่จะนำเราไปสู่บทสรุป”
TBC
-
โธ่ วาล เห้อออ สงสารใครดี พี่แต่งเก่งมากจริงๆ สุ้ๆนะคะ
-
อ๊ากดีใจๆ มาต่อแล้ว จริงๆนั่งรอทั้งวันแต่มันไม่เห็นอ่ะ :L2:
แล้วคนอื่นไม่ได้ยินเสียงรึไงปราสาทเงียบขนาดนั้นหรือที่เซเอลปิดหน้าต่างนี่กันเสียงด้วยหว่า :z3:
วาลออกเดินทางไปตามหาแม่ละ 55 ยังกะหนังเดอะลอดไปทำลายแหวน (คิดได้นะ)
-
อะนะ กำลังเข้มข้นเลย
-
ตอนที่ 11 ลำนำแห่งราตรี
ในที่สุด...หนทางที่จะเยียวยาหญิงสาวผู้ตกอยู่ในห้วงของความเป็นความตายก็หมดไปอย่างสิ้นเชิง แม้จะสังเวยชีวิตผู้คนไปมากมายเพียงใดอาการของเธอก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะทรุดลงทุก ๆ วัน และด้านนอกของปราสาทนั้น ความสงสัยของผู้คนต่อการหายตัวไปของญาติมิตรของเขาได้ก่อตัวใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นความหวาดระแวง กลิ่นของความตายโชยออกมาจากภายในกำแพงจนยากจะปิดบังต่อไปได้
ความกดดันเริ่มทบทวีทั้งภายในและภายนอกกำแพง
คนงานหยุดทำงานของตนเองในไร่นาเพื่อประท้วงให้ขุนนางเจ้าของที่ดินเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับครอบครัวของพวกเขา ผู้คนมาชุมนุมนอกประตูทุก ๆ วัน ร้องตะโกนและสาปแช่งเมื่อไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่ออกมาให้ความกระจ่างเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
แต่ความโกรธนั้นก็ไม่อาจส่งไปถึงขุนนางผู้ตกเป็นเป้าหมายได้ เขาตกอยู่ในความเศร้าโศกและสิ้นหวังจนถึงขีดสุด แม้กระทั่งยอมขายวิญญาณให้แก่ปีศาจเขาก็ไม่อาจจะได้ภรรยาที่รักคืนมา ทำได้เพียงเฝ้ามองเธอจากไปอย่างเงียบงันอย่างนี้
แม้ว่าเขาจะช่วยเหลือเธอไม่ได้เลย แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นจากการหลับใหลก็มักจะยิ้มให้แก่เขา แม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ในแต่ละวัน แค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนเธอจะสิ้นเรี่ยวแรงและหลับไปอีกครั้ง แต่มันก็เป็นประดุจแสงเทียนริบหรี่ที่ส่องให้เขายังคงมีกำลังใจว่าเธอผู้เป็นที่รักของเขายังมีชีวิตอยู่ ทำให้เขายังหวนนึกถึงเสียงหัวเราะอันสดใสในวันวานภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น ที่มีเขา เธอ และบุตรชาย รวมถึงธารกำนัลทั้งหลายที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขไม่เคยนึกทุกข์ร้อนใด ๆ กับอนาคต
เมื่อเธอบีบมือของเขาด้วยมืออันอ่อนแรงของเธอ แหวนวงเกลี้ยงบนนิ้วเรียวที่แห้งจนเหมือนกิ่งไม้กระตุ้นให้เขาคิดถึงคำสัญญาว่าจะปกป้องดูแลเธอไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
และจนถึงวันนี้เขาก็ไม่เคยผิดสัญญา เขายังคงปกป้องดูแลเธอแม้ว่าเธอใกล้สิ้นลม
ทำไม...เขาถึงไม่นึกถึงมันมาก่อนหน้านี้นะ...
ทำไมเขาจึงหลงลืมช่วงเวลาแห่งความสุขและเอาแต่จมอยู่ในความทุกข์และความบ้าคลั่งเพราะกลัวที่จะสูญเสียสิ่งเดียวที่เป็นที่รักไป
และในเวลานี้เขาก็ไม่มีที่ให้ถอยกลับไปอีกแล้ว...
กลอนประตูหน้าที่ทำจากโลหะถูกพังออก ทหารยามไม่อาจต้านคลื่นความโกรธแค้นของผู้คนได้อีกต่อไป พวกเขาเข้ามาพร้อมจอบ เสียม คราด และทุกอย่างที่แรงงานธรรมดาในไร่นาจะสามารถหามาได้ เสียงร้องตะโกนแว่วดังขึ้นมาถึงห้องนอนที่นายหญิงของปราสาทพักผ่อน
‘นั่นเสียงอะไรกัน?’ เธอตื่นขึ้นและเอ่ยถามด้วยเสียงอันแผ่วเบาแหบแห้ง
‘ไม่มีอะไร แค่เสียงนกร้องในยามเช้าเหมือนทุก ๆ วัน’ ขุนนางตอบภรรยาของตนพลางยิ้ม หูตาของเธอพร่าเลือนฝ้าฟาง เสียงตะโกนสาปแช่งเหล่านั้นคงไม่ต่างกับเสียงนกน้อยร้องระงมรับแสงอาทิตย์ยามเช้า
‘นั่นสินะ...ข้าไม่ได้ยินเสียงนกร้องมานานแล้ว ยามเช้าวันนี้ช่างสดใสเหลือเกิน....’
และเป็นยามเช้าที่แสนมืดมน ท้องฟ้าภายนอกยังไม่มีแสงอาทิตย์ มีเพียงแสงสว่างรำไรจับอยู่บนขอบฟ้าด้านทิศตะวันออก ทั้งที่ควรจะเป็นยามเช้าที่สวยงามเหมือนในทุก ๆ วัน แต่ในวันนี้เขากลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเช้านี้จะไม่เหมือนวันอื่น ๆ และจะไม่มีวันเหมือนอีกต่อไป
ลมหายใจของหญิงสาวแผ่วเบาและอ่อนระโหย ชีวิตของเธอกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ทั้งเธอและเขารู้สึกถึงมันได้
ความตาย...ที่คืบคลานเข้ามา
ชาวบ้านที่บุกถึงภายในกำแพงปราสาทได้ค้นพบหลุมฝังศพที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าโชยไปทั่วบริเวณ ความโกรธได้แปรเปลี่ยนเป็นความคั่งแค้น พวกเขาทุบทำลายทุกอย่างที่สามารถทำได้ รูปปั้นหิน น้ำพุ และเครื่องประดับสวน ทุกอย่างกลายเป็นเป้าหมายแม้กระทั่งคนรับใช้และยามที่อยู่ภายในบริเวณนั้น ความวุ่นวายก่อขึ้นจากจุดเล็ก ๆ กลายเป็นการจลาจล คนรับใช้ต่างหนีเข้าปราสาทและปิดประตูเพื่อกันชาวบ้านที่คลุ้มคลั่งไว้ภายนอก ทหารยามที่พยายามผลักดันชาวบ้านออกไปก็ถูกรุมทำร้ายจนต้องทิ้งอาวุธและวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ที่สุดแล้วประตูก็แพ้พ่ายต่อกำลังคน คลื่นฝูงชนโถมทะลักเข้าสู่โถงหน้าพร้อมอาวุธครบมือ
อำนาจการปกครองและสายใยระหว่างขุนนางกับประชาชนได้ขาดสะบั้น
บุตรชายเจ้าของปราสาทเห็นการดังนั้นจึงเตรียมหาทางหนีทีไล่ด้วยการรวบรวมคนที่ไว้ใจได้ไว้ข้างกายก่อนรุดไปยังห้องที่ผู้เป็นมารดาพำนักอยู่
เมื่อเขาเปิดประตูเข้าไป เขาก็ได้เห็น....บิดาของตนเองกำลังนั่งก้มหน้าเหนือร่างไร้วิญญาณของหญิงผู้เป็นดังดวงใจ
และแล้ว ขุนนางผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนโดยอุ้มร่างผอมแห้งของภรรยาขึ้นมาด้วยแขนทั้งสองอย่างทะนุถนอม
ยิ้ม....ให้แก่บุตรชาย
รอยยิ้มที่บ่งบอกความหมายมากมายเกินคณานับ ทั้งคำขอโทษ ความปิติยินดี ความเศร้าโศก ความสุข และ...การจากลา
‘เราไปดูพระอาทิตย์ยามเช้าด้วยกันอีกครั้งเถอะนะ’
นั่นเป็นคำสุดท้ายก่อนที่ขุนนางผู้นั้นจะเดินไปที่หน้าต่าง บุตรชายทำได้เพียงเอื้อมมือออกไปทั้งที่รู้ว่าไม่มีทางเอื้อมถึงเมื่อร่างทั้งสองพากันร่วงหล่นสู่พื้นเบื้องล่าง...
‘ดูนั่นสิที่รักของข้า...นั่นคือดวงอาทิตย์ของเจ้า....’
ในวินาทีอันยาวนานนั้น ดวงอาทิตย์ก็เปล่งแสงเรืองรองจากขอบฟ้าพาให้แสงสว่างอาบไปทั่วทั้งบริเวณ ภาพอันสวยงาม บริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งใดเจือปนปรากฏต่อสายตาทุกคน เป็นยามเช้าที่สวยงามเกินคำบรรยาย ราวกับของขวัญชิ้นสุดท้ายจากความเมตตาของสรวงสวรรค์แด่ผู้ที่ต้องคำสาปและต้องตกอยู่ในความมืดไปชั่วนิรันดร์ และทันใดที่แสงอาทิตย์สาดส่องมาถึงร่างทั้งสองที่ร่วงหล่นลงมา ก็บังเกิดเปลวไฟขึ้นแผดเผาร่างนั้นจนค่อย ๆ แตกสลายกลายเป็นฝุ่นผงก่อนจะตกถึงพื้นดิน
ประหนึ่งฝุ่นทรายที่ไร้ค่า....เพียงแค่แตกสลายและปลิวลอยไปกับสายลมเย็นยะเยือก...
ภาพอันน่าตกตะลึงเกิดขึ้นเพียงชั่วเสี้ยวนาทีแต่เหมือนกับการหยุดเวลาไว้ชั่วกัลป์ จากฟากฟ้าทิศตะวันออก เมฆใหญ่หนาทึบลอยเข้าบดบังดวงอาทิตย์ราวกับเกิดอาเพศ เสียงฟ้าครั่นครืนดังสนั่น เกิดฟ้าแลบแปลบปลาบลงมาเหนือยอดปราสาท และเหล่าผู้คนในปราสาทก็เกิดอาการที่ผิดปกติ พวกเขาล้มลง หอบหายใจและกรีดร้องด้วยความทรมาน ความผิดปกติเหล่านั้นคือสัญญาณเตือนให้ชาวบ้านผู้บุกรุกพากันถอยหนีออกไปด้วยความหวาดกลัว และจนกระทั่งในที่สุด...ปราสาทแห่งนั้นก็ตกอยู่ในความมืดมิด
นับจากเวลานั้น....กาลเวลาที่ไร้จุดจบของผู้ต้องสาปก็ได้เริ่มต้นขึ้น
และไม่เคยมีแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังปราสาทหลังนั้นอีกเลย....
....วิญญาณของพวกเขาต้องถูกจองจำในร่างกายของปีศาจไปชั่วนิรันดร์....
-------------------------->
เส้นทางมืดมิดที่ทอดยาวออกไปเบื้องหน้าเป็นเส้นทางที่เขาใช้สัญจรอยู่เป็นประจำเมื่อต้องการออกไปจากป่า ซึ่งตามเส้นทางนี้มันจะนำไปสู่ชายป่าใกล้ทางเข้าออกของหมู่บ้าน
วาลเซอิคจดจำมันได้ดี เขาเดินตามเซเอลเข้าออกที่นี่ในช่วงแรก และต่อ ๆ มาเขาก็ใช้มันเดินทางด้วยตัวเองเพียงลำพัง ความมืดของผืนป่าเหมือนกับเพื่อนที่อยู่ข้างกายเขา ความเงียบสงัดของผืนป่าคือสิ่งที่เขาคุ้นเคย ทว่า...เมื่อเขานึกย้อนกลับไป เขาก็จำได้อย่างเลือนรางถึงเส้นทางอีกเส้นหนึ่งซึ่งทอดไปสู่อีกสถานที่หนึ่งซึ่งเขาไม่เคยได้กลับไปเยี่ยมเยียนเลยนับแต่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของปราสาท
เส้นทางนั้นในความทรงจำของเขาทั้งน่าหวาดกลัวและยาวไกล
ในสมัยเด็กเขาคิดว่าเป็นเส้นทางเดียวกัน เพราะไม่ว่าทิศทางใดก็มีแต่ความมืดและต้นไม้หนาทึบ ทว่าเมื่อเขาโตขึ้นและรู้จักที่นี่มากขึ้น เขาพบว่าผืนป่าแห่งนี้กว้างใหญ่และมีหลานส่วนอยู่นอกอาณาเขตของผู้ต้องสาป เพียงแต่มนุษย์ไม่รู้จึงไม่กล้าบุกรุก
เช่นบ้านของพ่อแม่เขาที่เซเอลเล่าให้ฟังก็เป็นส่วนหนึ่ง...
แต่บ้านหลังนั้นมอดไหม้ไปแล้ว...
ถ้าอย่างนั้นบ้านที่อยู่ในความทรงจำของเขานี้คืออะไรกัน? เขามีภาพเลืองรางในหัวถึงชายหญิงชราสองคนที่คอยดูแลเขาภายในบ้านหลังเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านแต่ใกล้กับชายป่า จำได้ว่าตนเองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ป่ามากเกินไปและไม่เคยพาเพื่อนมาที่บ้านได้
หากอยู่นอกเขตป่าก็หมายความว่าอยู่นอกอาณาเขตของเซเอลแน่นอน
และโดยที่ไม่ได้คิดถึงเหตุผลใด ๆ มากกว่านั้น วาลเซอิคก็เริ่มออกเดินไปบนเส้นทางมืดมิดที่ชื้นแฉะ เขาไม่มีเหตุผลใดพิเศษที่จะตามหาสถานที่ในความทรงจำ เพียงแค่....เขาอยากจะรู้ว่าตนเองยังมีที่อื่นให้สามารถพักพิงได้ในโลกภายนอกนั่น เพราะนอกจากปราสาทหลังนี้แล้วเขาไม่สามารถจะไปที่ใดได้อีก การพบสถานที่ของตนเองอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสามารถดึงตัวเองออกมาจากโลกของเซเอลได้ก็เป็นได้
ทีละก้าว ความทรงจำเก่า ๆ ก็ย้อนกลับมาทีละน้อย
ช่วงเวลานั้นที่เขาเดินตามหลังเซเอลต้อย ๆ โดยที่อีกฝ่ายไม่หันกลับมามองเขาเลย ในตอนนั้นเซเอลคือคนที่แสนเย็นชาและน่ากลัว เมื่อไหร่กันนะที่เขาเริ่มรู้สึกอยู่ใกล้ฝ่ายนั้น ตอนที่ฝันถึงครั้งแรกหรือเปล่า....ที่เขาฝันถึงเรือนร่างขาวซีดในความมืด ทอดกายบนผ้าปูเตียงสีเข้ม เชิญชวนให้เขาสัมผัสและโอบกอด หรือว่าจะเป็นก่อนหน้านั้น...ที่เขารู้สึกว่าเซเอลมีเสน่ห์ลึกลับอย่างน่าประหลาด จึงได้เริ่มปรารถนา...
วาลเซอิคยกมือปิดปากตัวเองแล้วหน้าแดงวาบ
ใช่สิ เขาทำเรื่องแบบนั้นลงไปจริง ๆ แล้วเมื่อครู่ หากพูดตรง ๆ คือเขารู้สึกยินดีปรีดาจนห้ามตัวเองไม่ได้ที่ได้ครอบครองร่างนั้น แต่ก็ยังปวดใจอยู่ลึก ๆ ที่รู้ว่าอย่างไรสำหรับเซเอล เขาก็ยังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่วิ่งไล่ตามแผ่นหลังของตนเองอยู่วันยันค่ำ
เซเอลจะเกลียดเขามากไหมนะ?
ถ้าหากได้พบกันอีกครั้ง เซเอลจะรังเกียจเขาหรือเปล่า...
ในตอนนั้นเขาอาจจะกลับไปพร้อมกับแม่ เซเอลอาจจะมีความสุขที่ได้พบหญิงคนรัก ส่วนเขาอาจจะกลายเป็นแค่คนนอกก็ได้ เพราะตัดสินใจว่าจะตามหาแม่ของตนเอง จึงได้มีความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมา ทั้งหึงหวงและอยากเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อย่างน้อยครั้งหนึ่งก็ขอให้เซเอลมองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่งบ้าง....
แต่ถ้าไม่พบแม่ของเขา....หรือเธอตายไปแล้ว เขาจะทำยังไงนะ?
เขาไม่ได้คิดเผื่อจุดนี้ไว้เสียด้วย
แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็คงพยายามเอาชนะใจเซเอลให้ได้เหมือนเดิม ดังนั้นตอนนี้มีแต่เขาต้องเดินหน้าไปพิสูจน์เอาความจริงเท่านั้น เมื่อทุกอย่างกระจ่างแล้ว เซเอลก็จะได้ไม่มีข้ออ้างเดินหนีเขาไปได้อีก
วาลเซอิคคิดไปขณะเดินอกมาตามทางที่ตนเองไม่เคยคุ้นแต่พอจะจำได้บ้างว่าควรจะไปในทิศทางใด และเมื่อรู่ตัวอีกครั้ง เขาก็พบว่าตนเองมายืนอยู่ในบริเวณว่างโล่งตรงชายป่า ข้างหน้านั้นมีบ้านไม้หลังเล็กอยู่หลังหนึ่งที่ทับซ้อนอย่างพอดิบพอดีกับภาพในความทรงจำอันห่างไกล
รอบ ๆ บ้านเงียบสนิทเหมือนไม่มีคนอยู่ เด็กหนุ่มพาตัวเองเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้น ไม่มีแสงไฟจากข้างในแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางคืน คาดเดาได้สองอย่างคือ...บ้านหลงนี้ร้างคนอาศัย หรือไม่ก็คงเข้านอนกันหมดแล้ว แต่ไม่ว่าข้อไหนเขาก็ต้องลองพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่ดี วาลเซอิคจึงเดินไปที่ประตูและลองแตะดู
ไม่มีฝุ่น...
บานประตูไม้ยังใหม่เหมือนเพิ่งจะเปลี่ยนไปในเร็ว ๆ นี้ ซ้ำยังไม่มีคราบฝุ่นจับ แสดงว่าบ้านหลังนี้ยังมีคนอาศัยอยู่อย่างแน่นอน
ถ้าอย่างนั้น...ก็คงเข้านอนกันหมด...
เขาคงไม่ควรจะรบกวนเจ้าของบ้านในเวลานี้ วาลเซอิคถอนหายใจแล้วเดินถอยหลังออกมา แต่เขาก็ต้องชะงักเท้าเมื่อรู้สึกเย็นวูบบนสันหลัง ด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัว เด็กหนุ่มรีบหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ข้างหลังของตนเองทันที
ร่างที่อยู่ตรงนั้น....คือร่างในผ้าคลุมที่ยาวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ถ้าเขาจำไม่ผิด....เขาเคยเห็นมาก่อน
เป็นคน ๆ เดียวกับที่เขาเห็นตอนไปที่หอนาฬิกาแน่นอน เขามั่นใจในลางสังหรณ์ของตนเอง
วาลเซอิคเลื่อนมือไปจับที่เอวของตนเอง ก่อนพบว่าเขาสะเพร่าเกินไปจนลืมพกพาอาวุธออกมาด้วย เขาตัดสินใจทิ้งเป้ลงบนพื้น อย่างน้อยจะได้ป้องกันตัวได้สะดวก
แต่ในวินาทีที่เป้หล่นลงบนพื้นนั้น เขายังไม่ทันจะได้ตั้งการ์ด ร่างในผ้าคลุมก็พุ่งวูบเข้าใส่ด้วยเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีแดงที่ซุกซ่อนใต้ผ้าคลุมเปล่งประกายกระหายเลือด อุ้งมือทั้งสองยื่นมาข้างหน้าและข่วนเข้ากับแขนของเขาที่ยกขึ้นป้องกันตัวอย่างฉิวเฉียด
กลิ่นเลือดกำจายออกมา...
มันได้กระตุ้นให้อีกฝ่ายยิ่งโจมตีรุนแรงด้วยเล็บคมที่ตะปบเข้ากับต้นแขน
วาลเซอิคถูกดันชิดบานประตูโดยไม่มีทางหนี ครั้นจะเบี่ยงออกข้างก็คล้ายจะไม่สามารถหลบทันความเร็วระดับนี้ได้
เขามีประสบการณ์การเผชิญหน้ากับผู้ต้องสาปมาแล้วสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อหัวค่ำที่ผ่านมา แม้คัลดิชและคัลมาร์จะจงใจออมมือให้เขาเล็กน้อยโดยพุ่งเป้าไปที่อัลเรส แต่มันก็ทำให้รู้ซึ่งถึงขีดจำกัดระหว่างร่างกายของมนุษย์และผู้ต้องสาปได้เป็นอย่างดี
พลังกายแบบนี้ กรงเล็บแหลมคม และดวงตาสีเลือด คนตรงหน้าเขาคือผู้ต้องสาปอย่างแน่นอน
ทั้งที่หลบเร้นจากสายตาเซเอลมาได้ตลอด ทำไมในเวลานี้เขาถึงพบอีกฝ่ายได้ง่ายดายนัก? และทำไมอีกฝ่ายจึงเข้าโจมตีเขาทั้งที่คราวก่อนหลบหนีไปเฉย ๆ ?
หรือว่า....บ้านหลังนี้?
บางทีผู้ต้องสาปตรงหน้าเขาอาจจะอาศัยอยู่ที่นี่ก็เป็นได้ เพื่อหลบซ่อนจากสายตาของมนุษย์และสายตาของเซเอล ที่นี่อยู่นอกอาณาเขตและไม่ได้อยู่ใกล้หมู่บ้านมากนัก แล้วที่นี่จะมีผู้ต้องสาปอื่นอยู่อีกหรือเปล่า? ไม่ใช่ว่าเขาพาตนเองมาเป็นอาหารโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?
“อึ่ก!” วาลเซอิคกลั้นเสียงร้องเมื่อบาดแผลบนต้นแขนของเขาเปิดกว้าง กรงเล็บคมถูกเงื้อขึ้นอีกครั้ง หมายจะเผด็จศึกเหยื่อในครั้งเดียว
วาลเซอิคหลับตาลงคิดว่าตนเองอาจจะไม่รอดก็เป็นได้
แต่แล้ว....อยู่ ๆ ผู้ต้องสาปก็หยุดชะงักการกระทำของตนเอง....
.....
เด็กหนุ่มที่เตรียมใจครึ่งหนึ่งว่าอาจจะไม่รอดจากสถานการณ์นี้ลืมตาขึ้นด้วยความสงสัย
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อเขาลืมตา สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าคือร่างนั้นที่คลุมผ้าสีหม่นไม่ได้เปลี่ยนแปลง ทว่า....ใบหน้าที่กระหายเลือดเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังมองเขาด้วยสายตาตกตะลึงก่อนที่ริมฝีปากจะค่อย ๆ แย้มรอยยิ้ม และมือที่กางกรงเล็บก็ลดลงมาสวมกอดเขา วาลเซอิคงงงันกับเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรอย่างกะทันหัน ได้แต่ปล่อยให้ตนเองถูกอีกฝ่ายกอดนิ่งอย่างนั้น
อะไร? ทำไม?
เขาได้แต่ถามตัวเองในใจขณะที่หญิงสาวซบใบหน้าลงกับอกของเขาราวกับเป็นคนรักกัน
“เจ้ากลับมาแล้ว....วาเลซ”
.....วาเลซ?
---------------------------->
-
ถึงแม้จะดูเหมือนเป็นเรื่องจำเป็นก็ตาม แต่คัลดิชก็ยังสงสัยว่าเหตุใดเซเอลจึงต้องให้เขาไปคอยติดตามจับตาดูมนุษย์ที่ชื่ออัลเรสด้วย และหลังจากรับคำสั่งแล้ว ชายหนุ่มก็กลับมาที่ห้องของตัวเองพร้อมกับความสงสัย เพราะหากคิดจะสืบดูเรื่องผู้ต้องสาปอื่นจริง ๆ แล้ว แค่คอยไปเฝ้าตรงที่เกิดเหตุบ่อย ๆ น่าจะเข้าท่าเสียกว่า ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องไปคลุกคลีกับมนุษย์เพื่อเฝ้ารอคำตอบที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่สักนิด
เรื่องที่ผู้เคราะห์ร้ายคือพี่สาวของมนุษย์คนนั้นก็เป็นเหตุผลที่เข้าที แต่สาเหตุที่หายตัวไป อาจจะเป็นไปได้ว่าถูกพาไปกินที่อื่นก็เป็นได้ไม่ใช่หรือ?
แล้วยังเรื่องผู้ต้องสาปคนอื่นนอกจากพวกเขาอีก...
นอกจากพวกเขาแล้ว คนที่เป็นไปได้ก็คงจะเหลือแค่....ริเรีย
เพราะเธอกลายเป็นผู้ต้องสาปไปด้วยเลือดของเขาเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่เธอจะแพร่คำสาปออกไป
ช่างเป็นผู้หญิงที่นำความเดือดร้อนมาให้จริง ๆ ...
คัลดิชพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด ทั้งที่ความจริงแล้วข้างนอกนั่นจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาแท้ ๆ การที่พวกเขารวมตัวกันที่ปราสาทนี้ก็เพราะที่นี่คือดินแดนที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อผู้ต้องสาปที่ถูกปฏิเสธจากโลกนี้เท่านั้น มันคืออาณาเขตที่พวกเขาต้องปกป้องดูแล ส่วนมนุษย์ข้างนอกนั่น....ที่ปฏิเสธการมีอยู่ของพวกเขาและเลือกจะจากที่นี่ไปอย่างถาวรเพราะหวาดกลัวต่อสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ทำไมพวกเขาจะต้องไปเป็นเดือดเป็นร้อนด้วย และถึงข้างนอกจะมีผู้ต้องสาปคนอื่น มันก็เป็นทางเลือกของคน ๆ นั้นเองที่จะอยู่ในหมู่มนุษย์และออกล่าในฐานะนักล่าตามที่คำสาปกำหนดมา เขาไม่เข้าใจเลยว่าเซเอลกำลังคิดอะไรอยู่
เป็นห่วงวาลเซอิค....หรือตัดใจจากริเรียไม่ได้...
ถ้าหากเขาไม่พูดออกไปว่าริเรียไม่ได้ตายในวันนั้น เซเอลจะออกคำสั่งแบบนี้กับเขาอยู่หรือเปล่า? แล้วจะปล่อยให้วาลเซอิคจากไปแบบนี้หรือเปล่า?
เจ้าเด็กนั่นก็ช่างน่าสงสารจริง ๆ ...
“เจ้าถอนหายใจจนเสียงออกไปถึงข้างนอกแล้วนะ” คัลมาร์เปิดประตูพร้อมโผล่หน้าเข้ามา “นายท่านเป็นยังไงบ้าง? แปลกนะที่เรียกเจ้าไปหาที่ห้อง”
“ก็ยังสบายดี พวกเราไม่ป่วยไข้กันอยู่แล้วเจ้าก็น่าจะรู้”
“ก็ใช่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าวาลเซอิคจากไปแล้ว” ชายหนุ่มผู้เป็นฝาแฝดถือวิสาสะเข้ามาในห้องและเดินผ่านไปที่หน้าต่าง
“ข้ารู้ นายท่านก็ด้วย” คัลดิชไหวไหล่ “เจ้าว่าเขาจะกลับมาหรือไม่?”
“ก็อาจจะ ความจริงข้าก็รู้สึกมานานแล้วว่าวาลเซอิคเหมือนจะรู้สึกพิเศษกับนายท่านอยู่ แต่อาร์วิน่าก็บอกข้าเสมอว่าข้าแค่คิดไปเอง” คัลมาร์รู้สึกขบขันหญิงสาวที่เหมือนจะรู้อยู่แก่ใจแต่ก็ยังปฏิเสธเพราะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ ถึงอย่างนั้นตอนนี้อาร์วิน่าคงปฏิเสธไม่ลงอีกต่อไปแล้ว “ดังนั้นข้าจึงคิดว่า หากเขามีความหวังเขาก็คงจะกลับมา แต่เรื่องของแม่ก็กวนใจเขาอยู่”
“บางทีช่วงเวลาหลังจากนี้อาจจะเริ่มน่าเบื่อก็เป็นได้” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางมองไปยังแผ่นหลังของฝาแฝดและผ่านออกไปนอกหน้าต่างสู่ความเวิ้งว้างอันมืดมิด ชีวิตของพวกเขาตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ซ้ำ ๆ เดิม ๆ อยู่กับการดื่มกินเลือดของผู้อื่น มองดูกาลเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปโดยที่ตนเองไม่ได้อยู่ในกระแสกาลนั้น ไม่มีสิ่งใดพิเศษเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขามานานแล้ว จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีเด็กชายตัวน้อยเดินทางมายังสถานที่นี้ ทำให้กิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนไปไม่เคยซ้ำซากจำเจ
มนุษย์....เปลี่ยนแปลงไปในทุก ๆ วัน
ต่างกับพวกเขาที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา...กระทั่งจิตวิญญาณ
เด็กคนนั้นทำให้เกิดสีสันในความมืดมิด เป็นช่วงเวลากว่าทศวรรษที่ช่วยทดแทนความว่างเปล่าที่ดำเนินมาแสนนาน
วาลเซอิคอาจจะไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ว่าสำหรับพวกเขาแล้ว เจ้าตัวเป็นเสมือนดวงไฟเล็ก ๆ ในความมืดที่ทำให้พวกเขาได้รู้สึกถึงการมีชีวิตอยู่อีกครั้ง บางทีนี่คงเป็นความรู้สึกของเซเอลเมื่อได้พบกับริเรียกระมัง? เพราะอย่างนั้นจึงได้หลงรักหญิงสาวคนนั้นที่ตนเองไม่มีวันได้ครอบครอง
ต่างกันเพียงสำหรับพวกเขาแล้ววาลเซอิคเป็นเสมือนน้องชาย
แล้วสำหรับเซเอล วาลเซอิคเป็นเพียงตัวแทนของริเรียเท่านั้นเองหรือ?
“เจ้านี่ใจดีผิดกับภายนอกนะคัลดิช” คัลมาร์กล่าวขึ้นพลางหัวเราะเมื่อเห็นฝาแฝดของตนเองกำลังเหม่อลอยออกไปไกล กระนั้นเขาก็คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
“อย่าเดาใจข้าตามใจชอบสิ” บางครั้งการเป็นฝาแฝดที่ใกล้ชิดเกินไปก็น่ารำคาญนิดหน่อย เพราะคัลมาร์ไม่เคยเดาใจเขาพลาดเหมือนกับที่เขาไม่เคยเดาเจ้าตัวพลาด
“ไหน ๆ เจ้าก็ต้องออกไปจากป่าอยู่แล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันสักหน่อยดีหรือไม่?”
“การเดินเล่นของเจ้าไม่ใช่เรื่องปกติแน่” ถึงปากจะว่าอย่างนั้น คัลดิชก็ยอมลุกขึ้นและเดินตามไปที่หน้าต่าง “อาร์วิน่าล่ะ?”
“นางไม่ค่อยชอบสถานที่ที่เราจะไปสักเท่าไหร่” คัลมาร์โคลงศีรษะแล้วกระโดดลงจากหน้าต่างไปก่อน
ทั้งสองมุ่งหน้าออกจากป่าไปทางย่านเริงรมย์ของหมู่บ้าน แน่นอนว่าเป็นบริเวณเดียวในตอนนี้ที่คึกคักมีชีวิตชีวา พวกเขาจึงไม่ได้เข้าไปข้างใน เพียงแค่เดินวนด้านนอกไปจนถึงด้านหลังและหยุดอยู่บริเวณที่ต่อกับชายป่า สถานที่เดียวกับที่อัลเรสพบสร้อยคอของริเรีย
“คิดยังไงถึงพาข้ามาที่นี่? หรือเจ้าคิดว่าจะพบศพหญิงมนุษย์คนนั้น?”
คัลมาร์ยิ้มน้อย ๆ แล้วมองไปรอบตัว
“เจ้าคิดว่าทำไมถึงมีการตายแต่ที่แบบนี้?”
“ตอนพวกเรามาล่าก็มาในที่แบบนี้ไม่ใช่หรือไง ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” คัลดิชมุ่นคิ้ว เพราะย่านเริงรมย์เป็นสถานที่ซึ่งมนุษย์พลุกพล่านในช่วงกลางคืน พวกเขาสามารถแฝงตัวเข้าไปในหมู่มนุษย์ที่กำลังเมามายและรื่นเริงกับแสงสีโดยง่าย แค่เพียงหลอกล่อสักคนไปทำให้หมดสติและดื่มกินเลือดจนพออิ่ม คนเหล่านั้นแทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เรียกว่าเป็นวิธีที่ง่ายดาย สะดวก และปลอดภัยกว่าการไปล่อลวงมนุษย์ที่กำลังหลับใหลออกมาจากบ้านเป็นไหน ๆ
“แต่หากมีผู้ต้องสาปที่อยู่ภายนอกตอนนี้ ก็ต้องเป็นพวกรุ่นหลัง ๆ ที่ไม่ได้รับคำสาปโดยตรงแบบพวกเรา แปลว่าพวกเขาไม่เคยถูกสอนเรื่องการล่ามาก่อน เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือที่พวกเขาลองผิดลองถูกได้อย่างแนบเนียนไม่มีข่าวคราวเรื่องการอาละวาดของปีศาจดูดเลือดเลยตลอดเวลาที่ผ่านมา”
ข้อสันนิษฐานของคัลมาร์ก็มีเหตุผล
“ก็ยังไม่ได้ฟันธงว่าเป็นผู้ต้องสาป เพียงแค่นายท่านค่อนข้างมั่นใจเท่านั้น”
“ไม่หรอก นายท่านเดาถูกแล้ว หากเป็นสัตว์ป่าแม้จะต้องการเก็บเหยื่อไว้ยังไงเขี้ยวเล็บของพวกมันก็ทำให้เกิดบาดแผล แต่แถวนี้ไม่มีกลิ่นเลือดเลยสักนิด”
ก็จริง...
คัลดิชตอบในใจ
“แล้วเจ้าคิดยังไงถึงพาข้ามาคุยเรื่องนี้ที่นี่ หรือว่าเจ้าอยากเล่นเกมนักสืบ?”
“เปล่าหรอก เพียงแต่ข้าอยากถามเจ้า”
“ถาม?” คัลดิชมุ่นคิ้ว นาน ๆ ครั้งพวกเขาจึงจะพูดคำนี้ออกมาเพราะโดยส่วนใหญ่จะเดาความคิดอีกฝ่ายไว้อยู่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอะไรอีก
“เจ้าคิดว่านี่คือฝีมือของริเรียใช่หรือเปล่า?”
อะไรกัน....ก็เดาเอาไว้อยู่แล้วนี่
แน่นอนว่าคัลมาร์พูดถูกอย่างเคย แต่จะให้เดาเป็นคนอื่นได้หรือ แม้เขาจะพยายามคิดว่าริเรียอาจแพร่คำสาปออกไป แต่ในความเป็นจริงแล้วมันเป็นเรื่องยากมากที่มนุษย์จะคิดอยากดื่มเลือดของคนอื่น อย่างกรณีของริเรียนั้นมันคือความคลุ้มคลั่งและจนตรอก ซึ่งหากไม่ได้อยู่ในสถานการณ์นั้น เขาก็ไม่คิดว่าอยู่ ๆ เธอจะอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นอย่างพวกเขา
“หากนางยังไม่ตายก็คงใช่” เขาตัดสินใจตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ใจจริงแล้วเขาไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เพราะวี่แววความยุ่งยากมักโผล่ขึ้นมาในหัวเขาพร้อมกับชื่อของเธอทุกครั้งไป...
“เช่นนั้นข้าจะลองสมมติอะไรบางอย่างขึ้นมาสักหน่อยก็แล้วกัน” คัลมาร์มุ่นคิ้วขณะเดินวนไปรอบ ๆ “ก่อนหน้านี้ แม้ว่าริเรียจะเปลี่ยนไปด้วยเลือดของเจ้า แต่กลับไม่มีข่าวเรื่องปีศาจในหมู่บ้าน หรือกระทั่งมนุษย์ที่ตายอย่าปริศนา แล้วนางที่คลุ้มคลั่งไปแล้วคงไม่มีทางกลับมาเป็นปกติได้ ดังนั้นนางไม่น่ามีสติมากพอจะหลบซ่อนอย่างพวกเรา ทำได้เพียงทำตามสัญชาตญาณเท่านั้น”
“ใช่ ข้าเองก็คิดอย่างนั้น บางทีที่ไม่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์คนเพราะนางแฝงตัวในป่านอกเขตของนายท่านและกินเลือดของสัตว์ก็เป็นได้”
“หรือไม่ก็มีคนช่วยเหลือ”
สายตาของคัลดิชฉายแววคลางแคลงใจออกมา
“ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก” เขาส่ายหัวทันทีเมื่อลองคิดตริตรองแล้ว “มนุษย์ขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมช่วยเหลือพวกเรายกเว้นว่าจะเกี่ยวพันถึงชีวิต อย่างเช่นข้าขู่ว่าหากไม่ช่วยเหลือข้า จะสังหารคนที่พวกมันรักให้หมด แต่เจ้าคิดหรือว่าริเรียจะทำเช่นนั้นได้?”
“เรื่องนั้นพักเอาไว้ก่อนเถอะ ถึงเถียงกันไปก็คงไม่ได้บทสรุป” คัลมาร์โบกไม้โบกมือ “จุดที่ข้าสงสัยคือทำไมนางจึงหายไปนานกว่าจะกลับมาอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ระหว่างนั้นนางหายไปไหน? และทำไมจึงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งและเลือกที่นี่เป็นลานล่า”
ข้อสงสัยของคัลมาร์นั้น หากสามารถไขออกได้ทุก ๆ อย่างคงกระจ่างขึ้น แต่ใครเล่าจะรู้คำตอบนี้นอกจากตัวริเรียเอง...
และหากว่าสิ่งที่ก่อความวุ่นวายตอนนี้คือริเรีย....เธอที่ซุกซ่อนตัวมาตลอดจะปรากฏตัวออกมาเพื่ออะไร และเกี่ยวกับวาลเซอิคหรือไม่....
บางที่นั่นอาจจะเป็นคำตอบที่เซเอลต้องการจริง ๆ ก็เป็นได้...
TBC
-
วาลเซอิคเจอแม่แล้วสินะ
แล้วแบบนี้มันจะเป็นยังไงต่อล่ะเนี่ย
-
ข้อสงสัยของคัลมาร์น่าคิดนะ มันน่าสงสัยจริงๆ
-
ปวดหัวแทน วาล 555
-
ตอนที่ 10 บางทีเราก็ชอบอ่านฉากจึ๊กๆๆอ่ะนะ แต่ตอนนี้เป็นฉากที่อ่านแล้วปวดหัวใจสุดๆ สงสารทั้งเซเอล ทั้งวาลเซอิคอ่ะ เรารู้สึกว่ารักแรกอ่ะ ลืมไม่ลงอยู่แล้ว ยิ่งมีน้องวาลที่คล้ายกับคนที่เคยรักมาอยู่ข้างๆ ก็อาจจะตีกันผสมปนเปกันไป (แต่ไงๆก็ไม่ใช่คนเดียวกันอยู่แล้ว) ส่วนน้องวาลก็ยังวัยสะรุ่นเด็กน้อย อารมณ์ก็เป็นไปตามประสา น้องวาลเองก็เจ็บ ส่วนเซเอลก็ดูจะจำยอมแบบไม่มีทางเลือกอ่ะ มันเลยหน่วงได้ซะขนาดนี้ :o12:
ตอนที่ 11 ริเรียอาจจะเห็นภาพสามีซ้อนทับกับลูกชายตัวเองก็ได้นะ แต่สิ่งที่คัลมาร์สงสัยอ่ะ ถ้าไขกระจ่างได้ ทุดอย่างก็เฉลยหมด ประเด็นคืออ่านตอนนี้แล้วยังเดาไม่ได้นี่สิ มันถึงค้างคา :sad4: แล้วเอลยาไปไหนเนี่ย ริเรียก็อยู่นี่แล้ว อย่าเป็นอะไรนะๆๆๆ
รอตอนหน้าค่า
-
:L2:
:L2:
:L2:
-
สวัสดีค่ะคุณนักเขียน
มาติดตาม และติดใจอ่านครั้งแรก
อ่านตอนแรกๆ พูดได้คำเดียวว่างงมากๆ ค่ะ
แต่พออ่านไป อ่านไป ทีนี้กลายเป็นหยุดไม่อยู่ 55
มาต่อไปไวไวนะคะ
ติดตามๆ
-
โอ้ น่าติดตามมากเลยค่ะ^^
-
ปวดหัว ซับช้อนจังน๊า เฮ้อ เดาไม่ถูกเลย
-
ปวดหัว ซับช้อนจังน๊า เฮ้อ เดาไม่ถูกเลย
-
ตอนที่ 12 ผู้มาเยือนที่ไม่คาดฝัน
“แหม ตายจริง หลานคงตกใจแย่เลยสินะที่อยู่ ๆ ก็เจอเรื่องแบบนี้” หญิงชราท่าทางใจดียิ้มแย้มขณะยกอาหารมาให้เขา กลิ่นซุปร้อน ๆ โชยแตะจมูก เด็กหนุ่มกวาดสายตาไปรอบตัวและรู้สึกคุ้นเคยกับสถานที่นี้พร้อม ๆ กับความแปลกตาแปลกใจ ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานถึงกลายเป็นแบบนี้ได้นั้น คงต้องย้อนกลับไปราว ๆ ชั่วโมงหนึ่ง
จากที่เขากำลังถูกโจมตีด้วยแรงอาฆาตมาดร้าย อยู่ ๆ หญิงสาวในชุดคลุมก็โผเข้ากอดเขาก่อนเรียกชื่อของคน ๆ หนึ่งออกมา
“วาเลซ”
วาเลซ?
“เดี๋ยวก่อน...ข้าไม่ใช่....” เขาพยายามจะอธิบายว่าตนเองไม่ใช่คนที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง ทว่าเสียงของเขาก็เหมือนถูกละเลย หญิงสาวเลื่อนมือขึ้นสัมผัสใบหน้าด้วยสายตาห่วงหาอาทร ภายในดวงตาสีแดงเลื่อนลอยนั้นปรากฏประกายแห่งความห่วงใยและคิดคำนึง
ถ้าอย่างนั้นวาเลซคือใครกัน? คนรักของเธออย่างนั้นหรือ?
และคน ๆ นั้นอาจจะมีใบหน้าเหมือนกับเขา?
บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลเดียวที่เธอไม่คิดจะฆ่าเขาแล้วก็เป็นได้ ดังนั้นเพื่อยื้อชีวิตตนเองเอาไว้ เขาจึงตัดสินใจที่จะปล่อยให้หญิงสาวทำตามความต้องการจนกว่าจะคิดออกว่าตนเองจะใช้หนทางใดออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้านี้ได้บ้าง
แต่แล้ว หูของเขาก็แว่วเสียงปลดกลอนประตูจากด้านใน
คนในบ้านตื่นแล้วหรือ?
ในสภาพนี้เขาไม่อาจขยับตัวหันมองอะไรได้เลยนอกจากพยายามเงี่ยหูฟังบทสนทนาที่ไม่ได้ศัพท์ด้านหลังประตูไม้บานนี้
และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ประตูไม้ก็ถูกดึงเปิดออกทำให้ทั้งเขาและหญิงสาวคนดังกล่าวเซถลา ตัวเขาถูกน้ำหนักผลักให้หงายหลังล้มตึงลงไปบนพื้นโดยมีเธอทับอยู่ด้านบน
สายตาของเขากวาดมองขึ้นไป และพบกับใบหน้าตกตื่นของหญิงชายชราสองคน ในมือของพวกเขาถือมีดและขวานอยู่ ซึ่งคงพร้อมสับลงมาบนร่างเขาหากว่าไม่มีหญิงสาวอีกคนนอนทับอยู่
“พ่อคะ แม่คะ วาเลซกลับมาแล้ว” ผู้ต้องสาปเงยหน้าขึ้นและพูดกับเจ้าของบ้านผู้ชราคู่นั้น
สายตาสองคู่ต่างฉายแววคลางแคลงและหันมองเขาอย่างพิจารณา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้คิดแบบที่หญิงสาวกล่าว เพียงแต่คำพูดของเธอก็ทำให้พวกเขายอมลดอาวุธลงในที่สุด แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจไม่ใช่เรื่องนั้น...แต่เป็นการที่ผู้ต้องสาปคนนี้เรียกทั้งสองว่าพ่อแม่ต่างหาก มันหมายความว่ายังไงกัน? ผู้ต้องสาปมีพ่อแม่เป็นมนุษย์อย่างนั้นหรือ? นั่นแปลว่าเธอคนนี้ไม่ได้เป็นผู้ต้องสาปมาแต่แรก เพียงแต่...ได้รับคำสาปผ่านทางสายเลือดของผู้ต้องสาปคนอื่นเท่านั้น และคนที่มีโอกาสที่จะเป็นเช่นนั้นได้....
“ลุกขึ้นก่อนเถอะริเรีย เขาตกใจจะแย่แล้วเห็นไหม?” ชายชรากล่าวกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและค่อย ๆ พยุงเธอขึ้น
แต่...ชื่อของเธอนั้นสะดุดหูของเขา...
ริเรีย....
จริง ๆ สินะ...
ผู้หญิงคนนี้คือแม่ของเขา!?
ชายชราเจ้าของบ้านจูงบุตรสายไปให้ภรรยาดูแลส่วนตนเองก็เดินกลับมาที่เขาซึ่งกำลังพยุงตัวเองขึ้นจากพื้น สายตาเคลือบแคลงที่ส่งมายังเขานั้นบ่งบอกได้ดีว่าตัวเขาไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
“แกเป็นใคร” พร้อมกับคำถาม ขวานเล็กก็ถูกยื่นมาตรงหน้า หากเขาพูดจามีพิรุธ แทนที่จะตายเพราะผู้ต้องสาปอาจกลายเป็นถูกฆ่าโดยมนุษย์ธรรมดาก็เป็นได้...
แต่เขาจะตอบยังไงได้ล่ะ?
แค่คนผ่านมาหรือ? หรือว่าคนที่เพิ่งออกมาจากป่าจึงไม่มีที่ไป?
มันจะยิ่งดูน่าสงสัยกว่าเดิมเสียมากกว่า....
“...ข้าชื่อวาลเซอิค” เขาตัดสินใจตอบแค่เพียงชื่อ ทว่าชื่อของเขากลับมีอิทธิพลมากกว่าที่คิดเพราะทั้งชายชราและหญิงชราที่ยืนห่างออกไปต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงระคนอัศจรรย์ใจออกมา โดยเฉพาะชายชราที่ยื่นหน้าเข้ามาพินิจพิจารณาใบหน้าของเขาอย่างขะมักเขม้น
“วาลเซอิคจริง ๆ น่ะหรือ?”
สองคนนี้รู้จักเขาด้วยหรือ?
และใช่...เขารู้ในเวลาต่อมาว่าทั้งสองรู้จักเขา เพียงแต่ไม่ใช่ในแบบที่เขาคาดคิด เพราะในตอนแรกเขาคิดว่าทั้งสองรู้จักเขาในฐานะลูกชายที่ตายในกองเพลิงของริเรีย ทว่าทั้งสองกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นเลย ความสัมพันธ์ของเขากับผู้ชราทั้งสองความจริงแล้วคือเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาฝากเลี้ยงกับผู้ปกครองจำเป็น....
เมื่อ 13 ปีก่อน...คนเหล่านี้คือตาและยายบุญธรรมของเขา....
พวกเขา...คือคนที่แสนเลือนรางในความทรงจำวัยเด็กนั้นเอง...
และทำให้ตอนนี้เขากลายเป็นแขกสำคัญของบ้านหลังนี้ และทั้งที่ยังกลางดึกกลางดื่น หญิงชราก็ยังไปทำซุปมาให้เขาด้วยความอารี
“หลานหายไปไหนมาเสียนาน ไปอยู่กับ.....คนพวกนั้นสุขสบายดีหรือเปล่า?”
คนพวกนั้นคงหมายถึงพวกเซเอล...
สำหรับคุณยายผู้ชรา หลานชายที่โดนพาตัวไปโดยผู้ต้องสาปก็เสมือนคนที่ตายไปแล้ว เพราะอย่างไรก็ต้องกลายเป็นอาหาร การที่พบว่าวาลเซอิคโตขึ้นถึงขนาดนี้นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างเหนือความคาดหมาย แต่เธอก็ยังไม่อยากจะยอมรับว่าผู้ต้องสาปเหล่านั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักคำว่าความรักและความเมตตา บางทีมันอาจจะเป็นความโชคดีของวาลเซอิคเอง...
“พวกเขาก็....เลี้ยงดูข้าอย่างดี มีอาหารให้กินทุกวันและยังสอนข้าเรื่องต่าง ๆ ด้วย” วาลเซอิคตอบไปตามความจริงก่อนตัดซุปขึ้นชิม ซุปของยายแม้จะไม่อร่อยล้ำเหมือนอาหารที่ปราสาท แต่ก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยและคิดถึงวันเก่า ๆ ที่เขาลืมเลือนไปแล้ว
“...ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว” หญิงชรายกมือทาบอกแล้วถอนหายใจ
“แล้ว เอ่อ....ริเรีย....”
วาลเซอิคไม่ได้เปิดเผยออกไปว่าตนเองอาจจะมีความเกี่ยวข้องแบบใดกับลูกสาวคนเดียวของคุณตาและคุณยาย แต่หากว่าริเรียคนนี้คือแม่ของเขาจริง ๆ ซึ่งมีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเช่นนั้น เขากับตาและยายคู่นี้ก็เป็นครอบครัวเดียวกันจริง ๆ
หรือว่านั่นจะเป็นเหตุผล...ที่เซเอลนำเขามาให้ทั้งสองเลี้ยงดูในวัยเด็ก...
เพื่อให้เขาได้อยู่กับครอบครัวที่แท้จริง....
“วาเลซ อย่านั่งนิ่งอย่างนั้นสิคะ” เสียงของริเรียทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งน้อย ๆ และเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ข้างตัวเขานี้เอง หญิงสาวยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก นอกจากดวงตาสีแดงเลือดนั้นแล้ว...สิ่งอื่น ๆ ของเธอก็ไม่ต่างจากมนุษย์ทั่วไป กระนั้นเขากลับรู้สึกถึงสัมผัสของนักล่าจากตัวเธอ อาจเป็นเพราะเขาคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ต้องสาปมาตลอดชีวิตจึงรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนกว่าคนอื่นก็เป็นได้
นั่นแปลว่า....ริเรีย...อาจจะเป็นคนที่ฆ่าคนในหมู่บ้านและลักพาตัวเอลยา....
ไม่....เขาไม่ควรคิดแบบนั้น...
บางทีอาจจะมีผู้ต้องสาปคนอื่นอยู่ก็เป็นได้ เขาไม่ควรจะด่วนสรุป ก่อนอื่นเขาคงต้องทำให้ตนเองมั่นใจก่อนว่าเธอคนนี้คือริเรีย แม่ของเขาจริง ๆ
แต่เขาจะทำยังไงดีนะ....
------------------------>
เช้าแล้วหรือ....
อัลเรสยกมือขึ้นป้องแสงที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง แม้จะเป็นเพียงแสงอ่อนเรื่อของยามเช้าแต่ก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเขานอนพักผ่อนไม่พอในคืนที่ผ่านมานั้นเอง
เขาถูกผู้ต้องสาปสองคนหิ้วมาส่งถึงบ้าน และไม่ทันจะได้พูดอะไรทั้งสองก็หายตัวไปเสียแล้ว
ถึงอย่างนั้นสิ่งที่เขาพบเห็นเมื่อคืนที่ผ่านมาก็รบกวนใจเสียจนนอนหลับเต็มตา แค่ปิดเปลือกตาลง ดวงตาสีแดงเลือดก็ตามมาหลอกหลอน และเมื่อจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา ภาพของพี่สาวที่ถูกฉีกกระชากจนเลือดไหลนองเปรอะไปทั่วก็ปรากฏในความฝันจนต้องสะดุ้งตื่นพร้อมหัวใจที่สั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว
บางทีนั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่คนแก่คนเฒ่าหวาดกลัวต่อตำนานที่แทบไม่มีมูล เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับผู้ต้องสาปเขาจึงเข้าใจ
สิ่งมีชีวิตแบบนั้นไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้อีกแล้ว เป็นได้เพียงปีศาจ....ที่มีรูปกายเหมือนมนุษย์ พละกำลังมหาศาล อำนาจการควบคุม ร่างกายที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นผู้ล่าที่สมบูรณ์แบบ ราวกับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารแทนที่มนุษย์
เมื่อคิดว่าวาลเซอิค มนุษย์ที่อยู่ร่วมกับผู้ต้องสาปมาวนเวียนกับพี่สาวเขานานหลายปี เขาก็รู้สึกคลื่นไส้จนต้องฝืนลุกขึ้นจากเตียงเพื่อสลัดภาพที่ติดตรึงในความทรงจำออกไป ความกลัวที่เกาะกุมเขาเมื่อเผชิญหน้ากับความตายนั้นได้ฝังภาพชั่วนาทีเหล่านั้นลงในสมองเขาจนยากจะขจัดให้หายไป แต่บางที...เมื่อเขาได้สัมผัสชีวิตปกติในยามเช้าเหมือนทุก ๆ วัน มันอาจจะเยี่ยวยาได้บ้าง...
อัลเรสเดินออกมาจากห้องอย่างอิดโรย ผ่านห้องของเอลยาไปทางห้องของน้องทั้งสองคน
ภารกิจยามเช้าของเขาคือการปลุกน้อง ๆ ขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัว ทำงานบ้านและออกไปรับจ้างทำงานให้คนในหมู่บ้าน
เด็กทั้งสองนอนอุตุอย่างมีความสุข ไม่รู้เลยว่าคืนที่ผ่านมานั้นเกิดสิ่งใดขึ้นกับพี่ชายของตนเอง อัลเรสรู้สึกอิจฉาเด็ก ๆ ขึ้นมา เพราะสมัยเขายังเด็ก เขาเองก็มีชีวิตอยู่ในโลกอันสวยงาม ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับโลกภายนอกที่วุ่นวายไปกับกระแสชีวิตของพวกผู้ใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบชีวิตคนในบ้านของตน
“ตื่นได้แล้วอเลน แอนน์” เขาเขย่าตัวปลุกน้องทั้งสองพร้อมเดินไปเลิกม่านออกให้แสงยามเช้าส่องเข้ามาในห้อง เด็ก ๆ ที่ได้ยินเสียงปลุกก็พากันลุกขึ้นโดยไม่ร้องงอแง
“พี่อัลเรสคะ เมื่อคืนมีคุณเทวดามาหาแอนน์กับอเลนด้วยค่ะ”
“หา?” อยู่ๆ น้องสาวก็พูดอะไรประหลาดขึ้นมา
คุณเทวดา?
“ใช่คุณเทวดาที่ไหนกัน เป็นเทพผู้พิทักษ์ต่างหาก” อเลนแย้ง
“ต้องเป็นคุณเทวดาสิ ก็เข้ามาทางหน้าต่างแสดงว่าบินได้ด้วยนี่นา แถมยังใจดีมาก ๆ ด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยยืนยันในความคิดของตนเองขณะพับผ้าห่ม
“เทพผู้พิทักษ์ต่างหากที่บินได้ ที่ใจดีเพราะมีหน้าที่ปกป้องเด็ก ๆ ไงล่ะ” เด็กชายเถียงกับน้องสาวอย่างไม่มีใครยอมใคร ส่วนอัสเรสทำได้เพียงฟังบทสนทนาเหล่านั้นโดยไม่เข้าใจว่าทั้งสองพยายามจะสื่ออะไร และเมื่อคืนนี้ทั้งสองบังเอิญฝันเรื่องเดียวกันหรือ?
“เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว ไป ๆ ไปอาบน้ำอาบท่า” อัลเรสตัดสินใจคั่นการถกเถียงที่หาสาระไม่ได้แล้วพาน้องทั้งสองลงไปข้างล่าง
ส่วนล่างของบ้านจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องครัว และห้องน้ำ โดยประตูหลังที่เดินออกไปแปลงสวนครัวได้จะอยู่ถัดจากห้องครัว ก่อนขึ้นนอนประตูหน้าต่างทั้งหมดจะถูกลงกลอนเพื่อป้องกันขโมยและสัตว์ที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้ด้านล่างมืดสนิทไม่มีแสงลอดผ่านเข้ามาจนกว่าจะเปิดหน้าต่าง แต่ทั้งที่มืดถึงขนาดนี้ หูของอัลเรสกลับแว่วเสียงการสนทนาของบุคคลสองคนจากด้านล่าง
เดี๋ยวก่อน...
บ้านหลังนี้มีแค่เอลยา เขา อเลน และแอนน์ พ่อกับแม่ต่างเสียชีวิตไปแล้ว เอลยาก็หายตัวไป แอนน์กับอเลนอยู่ข้างหลังเขาด้านบนบันได ถ้าอย่างนั้น....ใครกันที่อยู่ข้างล่างนั่น?
อัลเรสหันไปบอกให้น้องทั้งสองเงียบ ส่วนตนเองที่หาอาวุธป้องกันตัวไม่ได้ก็ค่อย ๆ ก้าวลงจากบันไดทีละขั้นอย่างช้า ๆ จากที่ฟังเสียง สองคนนั้นอยู่ในห้องนั่งเล่นไม่ผิดแน่ และกำลังพูดคุยกันอย่างสบายใจไม่ได้สังเกตถึงการเคลื่อนไหวจากบันไดแม้แต่น้อย
ชายหนุ่มพยายามหรี่ตามให้ชินกับความมืด ทำให้เห็นร่างสองร่างที่นั่งหันหลังให้เขาอยู่ตรงโต๊ะอาหาร
ทั้งสองไม่ได้ระวังตัวเลยสักนิด...
ขโมยงั้นหรือ?
บางทีสองคนนี้คงจะเข้ามาทางประตูไม่ได้จึงปีนห้องอเลนและแอนน์ หลอกเด็ก ๆ ว่าเป็นเทวดาหรือเทพอะไรก็ตามทีแล้วก็เข้ามาในบ้าน ถ้าอย่างนั้นก็น่าแปลกใจ ทำไมจึงไม่ฆ่าปิดปากเด็ก หรือหยิบจับของที่ต้องการแล้วออกไป รอจนเขาตื่นแบบนี้เป็นขโมยประสาอะไรกัน...
แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัวในตัวมนุษย์ด้วยกันอีกแล้ว กะอีแค่คนไม่มีเขี้ยวเล็บ...ลองได้ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้ต้องสาปสักครั้ง คนพวกนี้ก็หมดความน่ากลัวไปโดยปริยาย
อย่างมากก็ทำให้เขาเจ็บตัวได้เท่านั้นแหละ!
พอคิดได้เช่นนั้น อัลเรสก็พุ่งตัวไปยังขโมยคนหนึ่งเพื่อความได้เปรียบ อย่างน้อยก็ล้มได้หนึ่งคนและทำให้อีกคนไม่มีสติพอตอบโต้เขาด้วยความตกใจ
-
ทว่า...
ตุบ!
แค่เสียงสั้น ๆ จากร่างสูงใหญ่ที่ล้มกระแทกพื้น อัลเรสรู้สึกเหมือนตนเองถูกเรี่ยวแรงเพียงเล็กน้อยพลิกร่างของเขาให้ลงมากองในท่านอนหงาย
เกิดอะไรขึ้น!?
“ระวังหน่อยสิ พื้นมันลื่นรู้หรือเปล่า?”
“ยังทะเล่อทะล่าพุ่งใส่เหมือนเดิม คนอย่างเจ้ารอดชีวิตมาจนป่านนี้ได้ยังไงกันนะ?”
อัลเรสมองขึ้นไป เห็นสองเงาร่างที่กำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์ แต่เงาทั้งสองนั้นเมื่อมองใกล้ ๆ ก็รู้สึกคุ้นตาจนน่าขนลุก
“พ...พวกเจ้า.....!!”
“คุณเทวดา!”
“คุณเทพพิทักษ์!”
สองเสียงเล็ก ๆ กลบเสียงของอัลเรสไปสิ้น เด็กน้อยทั้งสองวิ่งเข้าไปหาคุณเทวดาหรือคุณเทพผู้พิทักษ์ของตนเองอย่างร่าเริงและตื่นเต้น
“อย่ามาแตะน้องข้านะเจ้าพวกปีศาจ!” อัลเรสลุกขึ้นมาอุ้มน้อง ๆ ถอยออกห่างทันที และยังจงใจถอยไปทางหน้าต่างเพราะแสงสว่างไล่คนพวกนี้ไปได้แน่ แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสบานหน้าต่าง มือเล็ก ๆ ของแอนน์ก็ต้านดันปิดเอาไว้ไม่ให้เปิดออก
“ไม่ได้นะคะ! คุณเทวดาบอกว่าถ้ามีแสงสว่างคุณเทวดาจะกลายเป็นละอองแสงกลับไปบนท้องฟ้า แอนน์ยังไม่อยากให้คุณเทวดาจากไปนี่คะ”
อะไรนะ!?
นี่เจ้าพวกนี้หลอกต้มน้อง ๆ ของเขาหรือ!?
“ถ้าอยากให้พวกข้าอยู่นาน ๆ พวกเจ้าก็ต้องระวังอย่าให้พวกข้าโดนแสงนะ” คัลมาร์กล่าวกับเด็ก ๆ ที่รับคำอย่างพร้อมเพรียง
“แต่พี่ชายของพวกเจ้าไม่อยากต้อนรับพวกเรานี่สิ” คัลดิชโคลงหัว
“พี่อัลเรสจะไล่คุณเทพพิทักษ์ไปไม่ได้นะ”
“ใช่ค่ะ แอนน์ยากเล่นกับคุณเทวดาอีกเยอะ ๆ”
“แต่เจ้าพวกนี้มันไม่ใช่....!”
“อย่าทำลายความฝันเด็ก ๆ เลยน่า คุณพี่ชาย” ก่อนที่อัลเรสจะได้พูดความจริงออกมา คัลดิชก็ชิงพุ่งตัวเข้าไปและปิดปากอีกฝ่ายเสียก่อน เขายกนิ้วจุ๊ย์ปากราวกับกำลังพูดเรื่องล้อเล่น แต่สายตาบ่งบอกว่าหากพลั้งปากออกมา เขาจะไม่รับรองความปลอดภัยในชีวิต ซึ่งนั่นอาจหมายรวมถึงชีวิตของอเลนและแอนน์ที่ได้รับรู้ความจริงด้วย อัลเรสจะยอมเอาชีวิตน้อง ๆ มาเสี่ยงเพื่อเปิดเผยความจริงหรือ?
“ยังไงก็ต้องมาอยู่ด้วยกันชั่วคราว พวกเราน่าจะมาตกลงอะไรกันนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่คิดอย่างนั้นหรือ? คุณพี่อัลเรส” คัลมาร์เข้ามาเสริมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“...อยู่ด้วยกัน?”
หมายถึง...สองคนนี้จะมาอยู่กับเขา!?
ในบ้านเดียวกัน!?
“อ้อ ข้าไม่ได้แนะนำตัวสินะ ข้าคัลมาร์ และนี่คัลดิช” คัลมาร์ผายมือไปทางแฝดตนเอง “ความจริงแล้วคนที่จะมาอยู่กับเจ้าคือคัลดิชคนเดียว ส่วนข้าจะแวะมาหาบ้างเป็นบางที” เพราะการที่คัลดิชจะเดินไปทางกลับระหว่างปราสาทและที่นี่บ่อย ๆ อาจไม่สะดวกนักเพราะต้องคอยกำกับและสืบสาวเรื่องจากอัลเรสที่สามารถออกไปสอบถามเรื่องราวจากชาวบ้านได้โดยสะดวก เขาจึงตัดสินใจเป็นคนทำหน้าที่นี้เสียเอง พูดง่าย ๆ คือรับหน้าที่ผู้ส่งสารระหว่างเซเอลและคัลดิชที่อยู่คนละสถานที่กัน
“ข้าไม่ได้อยากรู้ชื่อพวกเจ้า” อัลเรสตัดไมตรี เขาไม่ต้องการจะเป็นเพื่อนกับปีศาจพวกนี้ที่ใช้น้อง ๆ ของเขาเป็นเครื่องมือ
“แต่เจ้าก็รู้ไปแล้ว มาถึงเรื่องที่เราจะตกลงกันดีกว่า” คัลดิชแสยะยิ้มก่อนเหลือสายตามองเด็กทั้งสองเป็นสัญญาณว่าไม่ต้องการให้สองคนนี้ได้ยิน
“พวกเจ้า ไปอาบน้ำกันก่อน ข้าจะคุยกับ....คุณเทพเทวดาของพวกเจ้านิดหน่อย” ชายหนุ่มต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามข้อเสนอของผู้ต้องสาปที่รุกล้ำบ้านของเขา อเลนและแอนน์ปั้นสีหน้าไม่พอใจที่ถูกกันออก แต่ก็ยอมพากันไปอาบน้ำแต่โดยดี “จะเอายังไงก็ว่ามา แต่อย่ามาแตะน้องของข้า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
คำขู่ของอัลเรสเป็นเสมือนลมปากสำหรับพวกเขา แต่คัลดิชและคัลมาร์ก็ไม่ได้สนใจจะทำอะไรเด็ก ๆ อยู่แล้วจึงปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไปตามใจอยาก
“เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าถึงพวกเราจะดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร แต่จริง ๆ พวกเราก็ไม่ได้แตะต้องมันมานานแล้วด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่ว่า....” คัลมาร์เว้นจังหวะเล็กน้อย
“แต่ไหน ๆ งานนี้ก็ไม่ใช่งานประจำของพวกข้า แต่เป็นคำสั่งพิเศษที่ให้มาช่วยเหลือเรื่องพี่สาวของเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องการสิ่งตอบแทนเล็ก ๆ น้อย ๆ” คัลดิชพูดต่อ คำสั่งของเซเอลทำให้เขาต้องลงมาอยู่กับมนุษย์ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่พึงปรารถนาสักเท่าไหร่ จะให้ทำงานฟรี ๆ มันก็กระไรอยู่ นอกจากนี้ การที่เขาจะดื่มเลือดของเจ้าหนุ่มตรงหน้าเป็นอาหารก็ไม่ใช่เรื่องข้ามหน้าข้ามตาเซเอลแต่อย่างใด เพราะถือเป็นค่าตอบแทนการทำงานซึ่งพวกเขาตกลงกับเหยื่อโดยตรง และเขาก็เปรยเรื่องนี้กับเซเอลแต่ต้นแล้ว อีกฝ่ายตอบกลับมาเพียงว่า หากมนุษย์คนนี้อนุญาตก็ให้ทำตามใจได้ซึ่งมันก็สมเหตุสมผลดี
“ค่าตอบแทนที่ข้าต้องจ่ายอย่างนั้นหรือ?” อัลเรสมุ่นคิ้วเคร่งเครียด
พวกเขาไม่มีความจำเป็นจะต้องแจกแจงให้ฟังว่าอีกฝ่ายมีสิทธิที่จะปฏิเสธได้
ดังนั้น ปล่อยให้คิดแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเจรจาให้เปลืองเปล่า
“ไม่ต้องห่วง คำเล่าลือของพวกมนุษย์ไม่เป็นจริงทั้งหมดหรอก ข้อแรก พวกเราไม่มีความจำเป็นต้องฆ่ามนุษย์เพียงเพราะอยากดื่มเลือด และข้อสอง พวกเราไม่จำเป็นต้องดื่มเลือดของเจ้าทุกวัน เพราะจริง ๆ แล้วพวกเราดื่มเลือดของสัตว์แทนได้” คัลมาร์ช่วยแจงความเป็นจริงให้อีกฝ่ายคลายกังวล “สำหรับเลือดของเจ้า แค่สัปดาห์ละครั้งหรือสองครั้งเพื่อดับความกระหาย ไม่ได้มากมายเลยไม่ใช่หรือ?”
“อย่างไรคัลมาร์ก็ต้องเทียวไปเทียวมาบ่อย ๆ และวาลเซอิคก็ไม่อยู่แล้ว อาจจะมีของติดไม้ติดมือเป็นสัตว์ป่าเล็ก ๆ ให้น้องของเจ้าได้อื่มท้องฟรี ๆ ด้วย ไม่คิดว่าคุ้มค่าหรือไง?”
ถึงแม้วาลเซอิคจะไม่อยู่แต่พวกเขาก็ยังอาศัยเลือดของสัตว์ดำรงชีพ ไม่ว่าจะสัตว์ใหญ่หรือเล็กเมื่อล่าได้พวกเขาก็ต้องการแค่เลือด และการล่าโดยพยายามไม่เอาชีวิตสัตว์ตัวนั้น ๆ ก็เป็นเรื่องยุ่งยากเพราะสัตว์ใช่จะหลอกล่อได้แบบมนุษย์ น้อยครั้งที่จะหลีกเลี่ยงการฆ่าได้ สมัยก่อนพวกเขาจึงจำต้องทิ้งซากเอาไว้ให้เป็นอาหารสัตว์อื่นไป จนเมื่อวาลเซอิคมาพวกเขาจึงมีวิธีทำให้ซากสัตว์เหล่านั้นไม่สูญเปล่า และตอนนี้ก็ยังสามารถนำมาต่อรองกับอัลเรสได้ด้วย เพราะสำหรับมนุษย์แล้ว จะเป็นเนื้อ หนัง ขน หรือเขี้ยวเล็บของสัตว์ก็ล้วนแต่มีค่าราคา สิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการก็คือเลือดของพวกมัน ซึ่งตรงข้ามกับพวกเขาจึงถือว่าผลประโยชน์ไม่ขัดแย้งกัน
อัลเรสนิ่งคิดไป เขาเองก็ไม่ใช่คนมั่งมี ต้องเหนื่อยสายตัวแทบขาดกว่าจะได้เงินพอซื้อขนมปังมาเลี้ยงครอบครัวสักก้อน เมื่อขาดเอลยาไปการเงินก็ยิ่งฝืดเคือง อย่างน้อย...หากสองคนนี้เอื้อเฟื้ออย่างปากว่า น้อง ๆ ของเขาคงจะได้กินอยู่อย่างอิ่มท้องจนกว่าเอลยาจะกลับมา
ถึงอย่างนั้น...
“ข้าจะไม่กลายเป็นแบบพวกเจ้าใช่ไหม?”
นั่นคือสิ่งที่เขากลัว เขาไม่อยากจะกลายเป็นปีศาจแบบนั้น...
คิลดิชและคัลมาร์หรี่ตาลงก่อนมองหน้ากัน
“ไม่ต้องห่วง คำสาปนี้สืบทอดด้วยเลือดของพวกเรา ไม่เกี่ยวกับเลือดของเจ้า” คัลดิชเป็นคนตอบ “ตราบใดที่เจ้าไม่เผลอสัมผัสสัมผัสเลือดของเราก็ไม่มีปัญหา”
ได้ยินดังนั้น อัลเรสก็ค่อยวางใจได้
“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลง พวกเจ้าอย่าผิดสัญญาก็แล้วกัน เรื่อง...พี่สาวของข้าด้วย”
อย่างไรนั่นก็เป็นประเด็นหลักที่คัลดิชถูกสั่งให้มาที่นี่ เขาย่อมไม่มีทางละเลยมันไปได้ ผู้ต้องสาปทั้งสองพยักหน้ารับโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะหากคิดดี ๆ แล้วสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนกับคนเหล่านี้ก็เป็นเพียงผลพลอยได้ ส่วนเลือดของอัลเรสนั้นนับว่าเป็นค่าตอบแทนที่ยิ่งกว่าคุ้มสำหรับพวกเขาที่ต้องทนกดสัญชาตญาณของตนเองตลอดช่วงเวลาที่เลี้ยงดูวาลเซอิคมา เพียงแค่คิดถึงเลือดสีแดงสดจากร่างกายของมนุษย์ ความหิวกระหายก็ตีขึ้นมาจากภายในส่วนลึกของความปรารถนา
จะเลิศรสสักเพียงใดกันนะ...
รสเลือดที่ไม่ได้ลิ้มลองมาแสนนานนั้น...
ความกระหายที่สื่อออกมาทางสายตาทำให้อัลเรสเผลอถอยหลัง นึกหวาดหวั่นในใจว่าตนเองจะถูกขย้ำเสียตรงนี้หรือไม่ แต่คัลดิชและคัลมาร์กลับพากันหันหลังกลับไปนั่งที่และจิบชาที่ชงกันเองต่อ นับเป็นปฏิกิริยาที่ผิดความคาดหมายของชายหนุ่มไปไกล
คนพวกนี้....กำลังอดทนอยู่หรือ?
------------------->
เสียงของความเงียบเป็นอย่างไร....เธอก็เพิ่งเคยรู้จักในวันนี้ มันเงียบ....และสงัด มีเพียงกระแสของอากาศไหลผ่านไปอย่างบางเบา แสงสว่างลอดผ่านเข้ามาเพียงเล็กน้อย เสียงนกร้องในตอนเช้าห่างไกลออกไปจนแทบไม่ได้ยิน ช่องเล็ก ๆ ที่เป็นทางเข้าของแสงนั้นเป็นเสมือนสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อเธอกับโลกภายนอก ถึงอย่างนั้น แม้แต่จะยื่นมือออกไปเพื่อสัมผัสความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ก็ยังทำไม่ได้
ความชื้นของยามราตรียังคงตกค้างอยู่ภายในห้องแคบ ๆ ที่ไม่มีใครอยู่เลยเว้นแต่เธอเพียงคนเดียว แม้แต่สัตว์เล็ก ๆ อย่างหนูก็ยังไม่มี...
ทำไม...เธอถึงต้องมาอยู่ที่นี่...
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...
หญิงสาวกอดตนเองอยู่ในมุมมืด ทุกอย่างรอบตัวช่างน่ากลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร การถูกขังอยู่ในห้องมืด แคบ และเงียบงันอย่างนี้ ทำให้ทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไปช่างยาวนาน ความเหงาและเปล่าเปลี่ยว ไม่มีใครแม้สักคนอยู่เคียงข้าง ไม่มีใครเลยที่จะปลอบโยนให้คลายจากความกลัวที่เกาะกุมในทุกค่ำคืน...
เสียงกลอนจากภายนอกเป็นเสมือนสัญญาณของเวลา
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและมองไปทางประตูที่มีอยู่เพียงบานเดียว เป็นประตูเล็ก ๆ เตี้ย ๆ ที่ต้องก้มศีรษะจึงสามารถลอดผ่านเข้ามาได้
เมื่อประตูไม้บานนั้นแง้มเปิดออก ก็มีร่างของผู้ชายคนหนึ่งผ่านเข้ามา ในมือของชายคนนั้นมีถาดอาหารอยู่ ซึ่งบรรจุซุป ขนมปัง และเนื้อสัตว์ปรุงสุก เป็นอาหารที่ดีเกินกว่าจะเป็นของสำหรับนักโทษหรือคนที่ถูกลักพาตัว นอกจากนี้ยังมีถังบรรจุน้ำสำหรับทำความสะอาดร่างกายด้วย
“กินซะ” เสียงแหบพร่าของวัยเปล่งคล้ายเป็นคำสั่ง ก่อนจะวางถาดอาหารลงตรงหน้า “และนี่ น้ำสะอาด อีกเดี๋ยวจะมีคนเอาชุดมาให้เปลี่ยน”
“ข้าไม่ต้องการของพวกนี้ ได้โปรด ปล่อยข้าไปเถอะ”
คนที่ถูกลักพาตัวทุกคนมักจะพูดเช่นนั้น และแน่นอนว่า...มันไม่เคยได้ผล
ผู้ชายคนนั้นเดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ประตูถูกปิดลงอีกครั้งและลงกลอนจากด้านนอก ดูเหมือนจะเป็นกิจวัตรที่ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ แค่เพียงเข้ามาในเวลาอาหารเพื่อทำให้หญิงสาวอิ่มท้องและมีชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย ทั้งน้ำและเสื้อผ้าก็เตรียมให้พร้อมสรรพ ขาดเพียงสิ่งเดียว....เธอไม่สามารถอ้อนวอนขออิสรภาพได้ ไม่อาจก้าวออกไปจากห้องนี้ได้แม้แต่ก้าวเดียว
นี่มันเรื่องอะไรกัน...
ทำไมกัน...
คำถามเหล่านั้นมลายหายไปกับความเงียบงัน มันไม่เคยได้รับคำตอบกลับมา...
TBC
-
อ้าว
แล้วนี่เอลยาโดนจับตัวมาทำอะไรกันเนี่ย
-
รอติดตามแบบ งงๆ 555
-
เอลย่าถูกขังไว้ที่ไหนหันนะ แล้วสองตายายมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือเปล่าเนี่ย
-
อะนะ ชักจะวุ่นวาย อัสเรสแลกด้วยเลือดตั้งสองตน ตายก่อนได้เจอพี่สาวพอดี ส่วนพี่สาวโดนขังไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เฮ้อหน่วง
-
อะนะ ชักจะวุ่นวาย อัสเรสแลกด้วยเลือดตั้งสองตน ตายก่อนได้เจอพี่สาวพอดี ส่วนพี่สาวโดนขังไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เฮ้อหน่วง
-
สงสัยว่าทำไมเอลยาถึงโดนขัง หรือเป็นเพราะริเรียเคยเห็นวาลเซอิคอยู่กับเอลยา เลยหึงกันแน่หว่า? (เดาๆๆๆ)
แต่ซวยสุดๆเห็นจะไม่พ้นอัลเรสแล้วล่ะ เสียเลือดรายอาทิตย์ ซีดแหงๆ ต้องกินอาหารบำรุงเลือดด่วน 555
ส่วนวาลเซอิคเองตอนนี้ก็ตกกระไดพลอยโจนไปซะแล้ว แต่ดีใจจังที่คุณตาคุณยายยังอยุ่ ^^
รอตอนหน้านะค้า
-
ริเรีย ยังสาวอยู่หรอนึกว่าแก่แล้วซะอีก
แล้วคนแก่ที่จับเอลยาไปละใครกัน แล้วจะเลี้ยงเอลยาไว้ทำไมนี่ ไม่ใช่ว่าท้องจิงๆนะ :z3:
อยากให้แฝดคู่กันจัง :-[ อิอิแต่ดูไม่ค่อยเห็นแววเลย :z3:
-
ว้าวววว เค้าจึ้กกันแล้ววว :o8:
สงสารวาลเซอิคจัง เจอเรื่องริเรียเข้าไป นั่นก็แม่ นี่ก็เมีย เอิ้กๆ แต่ก็รักเซเอลนะ อึนๆ น่ารักอ่ะ :-[
แอบจิ้น อัลเรส คัลดิช คัลมาร์ :impress2:
มาต่อเวยๆนะ เค้ารออยู่ :z2:
-
ตอนที่ 13 ตัวแทน
เมื่อมาอาศัยอยู่กับสองตายาย วาลเซอิคก็ต้องปรับตัวมากกับการดำรงชีวิต เพราะแต่เดิมเขาไม่เคยต้องลงมือทำงานอะไรเลยนอกจากล่าสัตว์ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นการเล่นสนุกระหว่างเขากับสองฝาแฝด เพียงแค่นี้ก็มีอาหารดี ๆ กินสามเวลา มีเสื้อผ้าสวย ๆ สวมใส่ อยากเล่นสนุกก็มีเพื่อนเล่น เวลาอยากอ่านหนังสือก็มีให้อ่าน เรียกว่าชีวิตของเขาสมบูรณ์พร้อมสรรพในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ด้วยความที่ตาและยายต่างก็ชรามากแล้ว จะปล่อยให้ทำงานเลี้ยงดูเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ได้ ทั้งผ่าฟืน ทั้งเก็บพืชสวนครัว และช่วยยายทำงานบ้านระหว่างที่ตาออกไปทำงานในหมู่บ้าน ซึ่งตอนเด็ก ๆ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตาเปิดร้านขายของอยู่กับเพื่อน จนถึงตอนนี้กิจการก็ยังไปได้ดี ทั้งตาและยายผู้ชราจึงไม่ขัดสนเรื่องเงินทองมากนัก
ส่วนริเรีย....ส่วนหนึ่งอาจเพราะเธอเป็นผู้ต้องสาปจึงไม่สามารถพึ่งพาได้มากนักในการดำรงชีวิต ทุก ๆ วันเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น หญิงสาวก็จะเข้าห้องนอนไปและไม่ออกมาเลยจนกระทั่งฟ้ามืดลงซึ่งสองตายายจะเตรียมเลือดเอาไว้ให้แล้ว เป็นเลือดจากสัตว์ที่ได้จากร้านขายเนื้อในหมู่บ้านบ้าง หรือจากสัตว์เล็ก ๆ ที่แอบเข้ามากินพืชผักในสวนบ้าง เป็นกิจวัตรของผู้ต้องสาปตามปกติ แต่วาลเซอิคก็รู้สึกได้ว่าริเรียไม่ได้มีความปกติตามแบบของผู้ต้องสาปเพียงอย่างเดียว เธอคล้ายกับ....คนที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ตลอดเวลา
มันเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก....เพราะเธอไม่เหมือนคนเดิมที่เขาพบครั้งแรกเลยสักนิด สายตาของนักล่าที่กราดเกรี้ยวและกลิ่นอายของความตายยังคงติดตรึงในใจของเขา กระนั้นริเรียคนนี้กลับเอาแต่จ้องมองเขาด้วยดวงตาเสมือนอยู่ในความฝัน
และสำหรับริเรียแล้ว เขาคือผู้ชายอีกคนหนึ่ง....
บางทีเขาอาจจะใช้ภาพเงาของวาเลซในตัวเขาให้เป็นประโยชน์ได้ เพราะริเรียจะไม่ระแวงเขามากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ต้องแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้ตาและยายของเขารู้สึกผิดสังเกตที่อยู่ ๆ เขาก็ยินยอมเป็นคนรักปลอมให้แก่หญิงสาว
“จะว่าไป มองดี ๆ แล้วหลานก็คล้ายผู้ชายคนนั้นจริง ๆ” ตอนเตรียมอาหารค่ำอยู่ ๆ หญิงชราก็กล่าวขึ้นมาลอย ๆ วาลเซอิคที่กำลังเป็นลูกมือที่ดีจึงนิ่งฟังด้วยความสงสัย “ชื่อวาเลซใช่ไหม น่าจะใช่นะ ความจริงยายก็แทบจะลืมหน้าคนแบบนั้นไปแล้ว” น้ำเสียงช่วงหลังของเธอเจือด้วยความขุ่นเคืองใจ
“ใครหรือ?”
เมื่อวาลเซอิคถามออกไป หญิงชรากลับส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่คนสำคัญอะไรหรอก”
“แต่เหมือนริเรียจะรู้จักเขา....”
“ใช่...รู้จักดีด้วย วาเลซเป็นผู้ชายที่ดูไม่เอาอ่าวเอาเสียเลย ตอนที่มาที่นี่ครั้งแรก เขาบาดเจ็บและหมดสติอยู่หน้าบ้านของเรา คงจะถูกพวกโจรทำร้ายเอาล่ะมั้ง” ยายผู้ชราเริ่มเล่าทั้งที่ไม่อยากจะเล่า แต่บางครั้งเธอก็อยากระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา “เขาว่าตัวเองไม่มีที่ไป ยายกับตาก็เลยให้เขาพักที่บ้านจนกว่าจะหาที่ทางได้ แต่ว่าเจ้าหนุ่มนั่นมือเท้าอ่อนปวกเปียกไปหมด หยิบจับทำงานอะไรก็ไม่เป็น ทั้งที่ตัวก็ใหญ่แรงก็เยอะแต่กลับจับมีดทำครัวเหมือนเด็กทารกหัดถือช้อน งานเดียวที่พอจะทำได้ดีก็มีแต่ผ่าฟืนกับแบกหามนั่นแหละมั้ง”
แต่ละถ้อยคำที่ผู้เป็นยายต่อว่าต่อขานออกมาทำเอาเด็กหนุ่มสะดุ้งไปหลายเฮือก เพราะตอนนี้เขาเองก็กำลังจับมีดเหมือนเด็กทารกหัดถือช้อน และสิ่งที่ทำได้ดีก็มีแต่งานที่ต้องออกแรง หรือเพราะแบบนั้นเขาถึงดูเหมือนผู้ชายที่ชื่อวาเลซกันนะ?
“แต่ทั้งที่ไม่เอาอ่าวแบบนั้นแต่ริเรียก็ตกหลุมรักเขาจนได้ ข้ากับตาน่ะเป็นกังวลมาตลอดว่าเจ้าหนุ่มนั่นจะทำมาหากินเลี้ยงลูกสาวของพวกเรายังไง”
ดูเหมือนความกังวลของสองตายายก็เหมือนความกังวลของพ่อแม่ทั่ว ๆ ไป ที่กลัวลูกสาวที่ตนเองเลี้ยงดูฟูมฟักจะต้องตกระกำลำบากเมื่อพวกเขาไม่อยู่แล้ว ในสายตาของคนชราทั้งสอง ริเรียควรจะตบแต่งกับคนในหมู่บ้านมากกว่า เพราะมีชายหนุ่มหลายคนที่ขยันขันแข็งและนิสัยก็ไม่ได้ย่ำแย่มาเทียวไล้เทียวขื่อริเรียอยู่เรื่อย ๆ หากแต่งงานไปกับหนึ่งในคนเหล่านั้นอย่างน้อยก็ใกล้หูใกล้ตาและมีคนเลี้ยงดู
วาลเซอิคตัดสินใจฟังอย่างเงียบ ๆ ต่อไปเพราะไม่อยากขัดจังหวะการย้อนความทรงจำของหญิงชราที่กำลังนึกถึงเรื่องเก่า ๆ ซึ่งผ่านมานานมากแล้ว
“แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้กีดกันอะไรมากมาย” เสียงถอนหายใจดังแผ่วหลังจบประโยค “ริเรียเป็นคนหัวดื้อ ข้ากับตาทะเลาะกับนางอยู่บ่อยครั้งเรื่องทัศนคติ พวกเราจึงรู้ว่าถึงจะพูดยังไงริเรียก็ต้องทำตามความคิดของตนเองอยู่ดี แต่...เรื่องแบบนั้นก็เกิดขึ้นจนได้” อยู่ ๆ เสียงของหญิงชราก็สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นกุมหน้าและพยายามสูดหายใจลึก วาลเซอิคผละจากโต๊ะแล้วเดินเข้าไปกอดยายของตนเอง
“ไม่เป็นไร...ยายไม่จำเป็นต้องเล่าให้ข้าฟังก็ได้”
“ขอโทษนะ ยายไม่น่าพูดเรื่องแย่ ๆ ให้หลานฟังเลย” หญิงชราสูดหายใจอีกครั้งก่อนหันกลับไปหาเตา “ไปจัดโต๊ะเถอะ เดี๋ยวตากลับมาคงหิวพอดี”
เด็กหนุ่มรับคำสั้น ๆ แล้วเดินออกไปจากห้องครัว ดูเหมือนการสนทนาครั้งนี้จะไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรมากมายนัก ซ้ำยังทำให้ยายของเขานึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีอีกด้วย
บางที...เขาคงไม่ควรขุดคุ้ยเรื่องของริเรียกระมัง?
ถ้าเขาทำเป็นลืม ๆ ไปเสียว่าหญิงสาวคนนั้นอาจจะเป็นแม่ของเขา และเชื่อที่คัลดิชบอกว่าแม่ที่แท้จริงของเขาอาจตายไปแล้ว มันอาจเป็นหนทางที่ดีกว่ากับทุก ๆ ฝ่ายก็ได้
วาลเซอิควางจานลงบนโต๊ะ หลังจากมาอยู่ที่นี่ได้อาทิตย์หนึ่ง เขาก็เริ่มชินกับการจัดโต๊ะอาหารและการร่วมโต๊ะอาหารกับคนอื่น คนพวกนี้จะต้องแปลกใจแน่หากเขาบอกความจริงว่าสมัยเขาอยู่ในปราสาทของเซเอลมีเขาคนเดียวบนโต๊ะอาหารทุก ๆ มื้อ แต่ในอีกแง่พวกเขาอาจมองว่าเป็นเรื่องปกติก็ได้ เพราะริเรียเองก็ไม่เคยร่วมโต๊ะกับคนอื่น ๆ เหมือนกัน คงเป็นธรรมชาติของผู้ต้องสาปกระมัง พวกผู้ต้องสาปคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องรินเลือดใส่แก้วและนั่งจิบแทนเครื่องดื่มในวงสนทนา
ระหว่างที่วางช้อนส้อม ยายผู้ชราก็ยกถ้วยซุปออกมาจากในครัว เป็นซุปมันฝรั่งกับแครอทและตามด้วยขนมปังกับเนื้อกระต่ายย่างแล่บาง คงเป็นเจ้ากระต่ายโชคร้ายที่เข้ามาในสวนเมื่อคืนแน่
เมื่อจัดโต๊ะเสร็จเรียบร้อย เสียงประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น
คุณตากลับมาตรงเวลาเสมอ
วาลเซอิคออกไปรับข้าวของที่ชายชราถือติดมือกลับมา เจ้าตัวยิ้มให้เขาด้วยหน้าเคร่งขรึมอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร
กิจวัตรยามเย็นที่แสนเป็นธรรมชาติแบบมนุษย์ธรรมดา...สิ่งที่วาลเซอิคไม่เคยได้สัมผัสเลยตลอดเวลาที่อยู่ในปราสาทหลังนั้น
แต่กิจวัตรในวันนี้ก็มีสิ่งหนึ่งแปลกไปจากทุกวัน....ริเรียเดินออกมาจากห้องนอนและนั่งลงข้างวาลเซอิค เธอไม่ได้สนใจอาหารแม้กลิ่นของมันจะหอมกรุ่นแตะจมูก สิ่งที่เธอให้ความสนใจคือแก้วบรรจุเลือดสีคล้ำที่ถูกตั้งเอาไว้รอเธอเพียงคนเดียว ใช่...หญิงสาวไม่เคยออกมาร่วมมื้อค่ำ แม้แก้วบรรจุเลือดจะถูกตั้งเอาไว้ทุกวันแต่เธอจะตื่นมาดื่มต่อเมื่อทุกคนเสร็จสิ้นจากมื้ออาหารแล้ว
ดูเหมือนวันนี้ริเรียจะตื่นเร็วกว่าปกติ....แต่หญิงสาวก็ไม่ได้แสดงอาการหงุดหงิดเหมือนคนที่นอนไม่พอ กลับกัน สีหน้าของเธอยังคงเหมือนตกอยู่ในภวังค์และไม่ได้ตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความจริง
การร่วมโต๊ะกับริเรียนับเป็นประสบการณ์ที่น่าอึดอัดไม่ใช่น้อย...
วาลเซอิคเหลือบมองคนข้างตัวที่จิบเลือดจากแก้วอย่างเลื่อนลอย
“อ้อนี่ หลานอยากไปเดินในหมู่บ้านบ้างไหม ไม่ได้ไปนานแล้วนี่นา” คงเพราะเห็นท่าทางความอึดอัดใจ หญิงชราจึงชวนคุยขึ้นมา “จำได้หรือเปล่า ตอนเด็ก ๆ หลานชอบไปเล่นในหมู่บ้านบ่อย ๆ ตามตาเขาไปทุกเช้าเลยแล้วก็เรียกร้องจะพาเพื่อนมาเล่นที่บ้านเราบ้าง”
“คิดว่าจำได้นิดหน่อย...แต่ตอนนี้เพื่อน ๆ ข้าคงโตหมดแล้ว” วาลเซอิคหัวเราะ “อาจจะแต่งงานไปหมดแล้วด้วย ไม่น่าจะจำข้าได้หรอก” ใจหนึ่งเขาก็อยากจะรู้ว่าเพื่อนสมัยเด็กแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้าง เพราะแม้เขาจะเดินผ่านหมู่บ้านในตอนค่ำเป็นบางครั้งแต่ก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นตาคุ้นใจกับใครเป็นพิเศษเลย ชีวิตในวัยเด็กของเขาเป็นเรื่องที่ห่างไกลเกินไปจนไม่อาจย้อนความทรงจำได้ทั้งหมด แต่ถึงอย่างนั้นตัวเขาเองก็ไม่อยากจะเข้าไปเดินในหมู่บ้านบ่อยนัก เพราะแต่เดิมเขาเข้าไปท่องเที่ยวตามแบบเด็กหนุ่มเจ้าสำราญจากสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก หากเข้าออกบ่อยเกินไปจนทุกคนรู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่นี่ ภาพลักษณ์ที่เขาสร้างขึ้นอาจถูกขุดคุ้ยไปจนถึงเรื่องของเซเอลได้
จริงอยู่ว่าคนในหมู่บ้านอาจไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น...แต่กันเอาไว้ย่อมดีกว่า
“จะว่าไปสมัยนั้นมีเจ้าหนุ่มที่เป็นหัวโจกด้วยนี่ ที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วก็คุมพวกเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเสียอยู่หมัดนั่นน่ะ” ฝ่ายตาพูดขึ้นเมื่อนึกได้
“อ้อ คนที่ทำให้วาลเซอิคมีแผลกลับมาเกือบทุกวันน่ะหรือ?”
“ชื่ออัลเรสใช่หรือเปล่านะ?”
อัลเรส?
“หลานคงจำไม่ได้แล้วล่ะมั้ง” ยายว่าก่อนหัวเราะ “พวกเราเองก็ไม่ได้เจอนานแล้วนะ ป่านนี้คงมีลูกเต้าไปแล้ว จำได้ว่ามีพี่สาวชื่อเอลยาใช่ไหม? สมัยก่อนนี้เด็กที่ชื่อเอลยาน่ะติดริเรียแจเชียวล่ะ แต่พอครอบครัวนั้นย้ายไปอยู่ท้ายหมู่บ้านก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ถึงจะเป็นเรื่องภายในหมู่บ้าน แต่หมู่บ้านก็มีขนาดหลายครัวเรือน การที่ชาวบ้านจะไม่ได้ติดตามความเป็นอยู่ของคนที่เคยรู้จักกันเลยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ยิ่งตากับยายของเขาย้ายออกมาอยู่ถึงนอกเขตหมู่บ้านอย่างนี้ด้วยแล้ว การที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในคงจะไม่น่าประหลาดใจนัก
แต่....เด็กที่ชื่ออัลเรส มีพี่สาวชื่อเอลยา....
จะมีความบังเอิญแบบนี้สักกี่คนกัน?
นั่นแปลว่า...ริเรียคนนี้เคยรู้จักกับเอลยามาก่อน ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไปได้ไหม....ถ้าหากว่าเอลยาจะพลาดท่าเพราะว่าเป็นคนรู้จักกัน....
ถึงไม่อยากจะคิดในแง่ร้าย แต่วาลเซอิคก็อดคิดแบบนั้นขึ้นมาไม่ได้
เขาเลื่อนสายตาไปมองหญิงสาวข้างตัวและบังเอิญว่าเธอหันมาพอดี ริเรียยิ้มให้เขาราวกับไม่ได้รู้เรื่องการสนทนาที่อยู่ต่อหน้าตนเองนี้เลย
“อัลเรสนั่น...ข้าคิดว่าข้ารู้จัก” เด็กหนุ่มตัดสินใจพูดออกมา
“หืม? จริงหรือ?” ทั้งตาและยายต่างก็แปลกใจ
“จริง ๆ แล้วข้าได้ออกมาเดินในหมู่บ้านอยู่บ้าง แล้วข้าก็มีโอกาสได้พบกับเอลยาและอัลเรสแต่พวกเขาและข้าต่างก็จำเรื่องตอนเด็กไม่ได้แล้วก็เลยไม่รู้มาก่อนว่าเคยรู้จักกัน”
“แล้วตอนนี้ยังสุขสบายกันดีอยู่หรือเปล่า?”
วาลเซอิคจงใจเงียบไปครู่หนึ่ง
“เอลยาหายตัวไป”
หญิงชรายกมือทาบอก ส่วนชายชราทำหน้าเคร่งเครียด
“ตายจริง...ในหมู่บ้านมีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรือ?” ยายหันไปถามตาด้วยสีหน้าตกตื่น
“ข้าเองก็ได้ยินข่าวลืออยู่เหมือนกันเรื่องที่มีคนตายแปลก ๆ ที่ด้านหลังนู่น แถมเมื่อไม่นานนี้ก็มีผู้หญิงหายตัวไป คือเอลยาเองหรอกหรือ” ตาส่ายศีรษะ
“จนถึงตอนนี้อัลเรสน้องชายของนางก็ยัง...” วาลเซอิคพูดต่อยังไม่ทันจบประโยค มือเย็นเฉียบของริเรียก็เอื้อมมาแตะมือเขาทำให้เด็กหนุ่มต้องหันไปหาอีกฝ่ายด้วยความสงสัย หญิงสาวยิ้มตอบกลับมาด้วยดวงตาเลื่อนลอยอย่างเก่าและลุกขึ้น
“ออกไปข้างนอกกันเถอะวาเลซ”
“เอ๋ แต่ว่าข้า...”
“ไปเถอะ” หญิงชราเอียงมากระซิบทำให้เขาต้องยอมลุกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้อาหารที่ยังกินไม่หมดก็ต้องปล่อยไว้อย่างนั้นก่อน ความจริงเขาก็พอเดาได้ว่าทำไมจึงผู้เป็นยายจึงต้องบอกให้เขาทำตามความต้องการของบุตรสาว เพราะริเรียนั้นนอกจากจะดูเลื่อนลอยไร้สตินึกคิดอย่างคนปกติทั่วไปแล้ว เธอยังมีพฤติกรรมการเอาแต่ใจตัวที่เหมือนเด็ก ๆ เมื่ออยากทำอะไรยังไงก็จะทำอย่างทันที ถึงคนอื่นจะห้ามปรามก็เหมือนกับว่าเสียงเหล่านั้นไปไม่ถึงจิตใจของเธอเลยแม้แต่คำเดียว
ริเรียจูงเขาออกมาถึงหน้าบ้าน ที่ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเวลากลางคืนที่มีดวงจันทร์แหว่งเว้ากับดวงดาวเต็มท้องฟ้า ราตรีนี้งดงามจนยากจะละสายตา มันอาจเป็นเหตุผลที่ริเรียไม่อยากอุดอู้อยู่ข้างในก็เป็นได้
หญิงสาวดูร่าเริงเมื่ออยู่ในที่กว้าง เธอเดินนำไปด้วยเท้าเปล่าเปลือย อ้าแขนออกราวกับต้องการโอบอุ้มท้องฟ้าทั้งผืนนั้นไว้ในอ้อมแขน
“สวยหรือเปล่าวาเลซ” เธอเอ่ยถามขณะหมุนตัวช้า ๆ “ข้าชอบท้องฟ้าตอนกลางคืนแบบนี้ ทำให้คิดถึงคืนที่ข้าพบเจ้า”
วาลเซอิคยิ้มบาง
“ยังจำเรื่องสมัยก่อนได้หรือ?” เขารับสมอ้างไปตามน้ำ
ริเรียหัวเราะคิก
“ทำไมถึงคิดว่าข้าจำไม่ได้?”
“ถ้าอย่างนั้น....เจ้าจำเรื่องที่เก่ากว่านั้นได้หรือเปล่า?” วาลเซอิคนั่งลงบนพื้นพลางมองหญิงสาวหมุนตัวเล่นไปเรื่อย ๆ
“เรื่องไหนหรือ?”
“เด็กหญิงที่เจ้าเคยรู้จัก”
ริเรียหันมองเขาพลางเอียงคอสงสัย
“เจ้าพบนางมาหรือ?”
“ก็ประมาณนั้น” เด็กหนุ่มไหวไหล่ “ความจริงแล้วข้า....พบน้องชายของนาง เขาบอกว่านางหายตัวไป”
“อ้อ” หญิงสาวรับคำสั้น ๆ แล้วเลิกใส่ใจเรื่องนั้นไปอย่างสิ้นเชิง ปฏิกิริยาของริเรียไม่ได้มีอะไรพิเศษ เหมือนกับว่าเธอไม่เคยรู้จักมักจี่คนที่เขาพูดถึงอยู่ด้วยซ้ำไป หรือไม่ก็อาจจะรู้จักแต่ไม่ใช่คนที่ใกล้ชิดถึงขนาดจะรู้สึกอะไรด้วยได้ แต่จากที่สองตายายเล่ามาพวกเธอน่าจะสนิทสนมกันพอสมควร
กระนั้น...โดยสภาพจิตใจของริเรีย คงไม่น่าแปลกกระมัง...
“แล้ว....เจ้ารู้จัก...เซเอลหรือเปล่า?”
ครั้งนี้ริเรียหยุดชะงักและให้ความสนใจกับชื่อเป็นพิเศษ
“เซเอลเป็นเพื่อนข้า เจ้าจำไม่ได้หรอกหรือ?” เธอหัวเราะเหมือนเขากำลังล้อเธอเล่นไปอย่างนั้น “เดี๋ยวเขาก็มา เดี๋ยวเขาก็ไป เป็นปกติอย่างนี้ทุกครั้ง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เขาคิดไปเองหรือเปล่านะ...ริเรียพูดเหมือนกับว่าเธอเพิ่งพบกับเซเอลเมื่อไม่นานมานี้และได้พบกันอยู่บ่อย ๆ ทั้งที่เซเอลเพิ่งรู้เมื่อไม่กี่วันก่อนว่าผู้หญิงที่ชื่อริเรียยังมีชีวิตอยู่ ความทรงจำของเธอ....บิดเบือนอย่างนั้นหรือ?
อย่างไรก็ตาม...เขาก็ได้ข้อสรุปแล้วว่าริเรียคนนี้คือแม่ของเขาไม่ผิดแน่
ถ้าอย่างนั้น...
-
“เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะ” ริเรียพูดขึ้นมาก่อนเดินมาหยุดยืนข้างตัวเขาแล้วยิ้มกว้าง “วาเลซ เจ้าอยากเจอลูกของเราหรือเปล่า?”
ลูก!?
หมายถึงตัวเขาหรือ?
วาลเซอิคเลิกคิ้วด้วยความงุนงง ริเรียหมายถึงอะไรกัน? หมายถึงว่าเธอมีเด็กอีกคนงั้นหรือ? แต่วาเลซ...พ่อของเขาตายไปนานแล้ว และผู้ต้องสาปก็ไม่อาจให้กำเนิดบุตรได้ไม่ใช่หรือ?
“....ก็ดีสิ” คำตอบของคำถามในใจนั้นคงมีทางเดียวที่จะได้มา นั่นคือตอบรับคำเชิญชวนของหญิงสาวตรงหน้าที่เป็นต้นตอของความกังขาทั้งมวล
ริเรียหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขพลางก้มลงมาดึงมือของเขาเพื่อให้ลุกขึ้น
แม้ใจจะนึกหวั่น วาลเซอิคก็ยอมที่จะทำตามความต้องการของหญิงสาวผู้เป็นแม่ ถึงแม้ว่าในใจของเธอ เขาจะไม่ได้อยู่ในฐานะลูกก็ตาม
วาเลซ....พ่อที่เขาไม่มีโอกาสจะได้รู้จัก....
พ่อผู้ได้ทิ้งลักษณ์ไว้ในตัวเขา และทำให้ริเรียสำคัญว่าเขาคือชายคนนั้น และตอนนี้....ราวกับว่าเธอกำลังพยายามทำให้ครอบครัวที่สูญเสียไปกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ประกอบด้วยตัวเธอ...วาเลซ และเลือดเนื้อเชื้อไขของเธอกับสามีอันเป็นที่รัก
อาจเป็นอดีตอันแสนสุขนั้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เธอหลงติดอยู่ในความฝันและไม่ยอมที่จะตื่นขึ้นมาเพื่อยอมรับความจริงว่าเธอไม่เหลือใครอีกแล้ว
ไม่สิ....เขายังอยู่ที่นี่...
ถึงแม้ริเรียจะไม่ได้มองเขาในฐานะที่เขาเป็น แต่เขาซึ่งรู้ตัวดีในฐานะลูกก็ควรจะทำให้แม่ของตนมีความสุขไม่ใช่หรือ? แล้วก็ยังมี...เซเอล ที่พร้อมจะรักผู้หญิงที่ชื่อริเรีย ไม่ว่าเธอจะมีสภาพเป็นอย่างไร
วาลเซอิครู้สึกว่าตนเองพ่ายแพ้แก่หญิงสาวคนนี้อย่างราบคาบ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจดูดายความทุกข์ทรมาณของเธอได้
เอาเถอะ...ก็แค่เขากลายเป็นที่พึ่งทางใจแทนพ่อ และมีเด็กอีกคนมาแทนที่เขาเท่านั้นเอง
วาลเซอิคพยายามปลอบใจตนเองอย่างนั้น
ริเรียจูงมือเขาไปยังห้องเก็บของเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านหลังของตัวบ้าน ความจริงแล้วจะนับเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้านก็ได้ เพราะผนังของบ้านและห้องเก็บของเชื่อมติดกันโดยห้องนี้ยื่นออกมาจากตัวบ้านเล็กน้อย หากเปิดประตูบานเล็กจากในบ้านก็จะเจอบันไดสองสามขั้นเพราะพื้นบ้านยกสูงจากพื้นดินในขณะที่พื้นของห้องเก็บอยู่ต่ำกว่า แต่เมื่อเปิดประตูจากฝั่งด้านนอกนี้เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าพื้นของห้องเก็บของยกสูงขึ้นมาขั้นหนึ่งทั้งที่ปกติแล้วมันควรจะแนบสนิทกับพื้นดินพอดี
“มาทางนี้สิ” ริเรียจูงมือเขาผ่านข้าวของที่แขวนระเกะระกะเข้าไปด้านใน ประตูเล็กที่เชื่อมกับตัวบ้านปรากฏอยู่ข้างหน้าแต่ริเรียกลับไม่ได้พาเขาไปที่นั่น
เธอทรุดตัวลงที่จุดหนึ่งบนพื้น กวาดมืออยู่ครู่หนึ่งก็ตลบผ้าเก่า ๆ ออกไป
น่าแปลก...ทั้งที่ในห้องเก็บของฝุ่นเยอะเป็นปกติ แต่ผ้าเก่าที่ถูกตลบนั้นกลับไม่มีฝุ่นฟุ้งขึ้นมาเลย
หลังจากผ้าเก่าถูกตลบออกไปแล้ว วาลเซอิคก็เห็นห่วงโลหะขนาดพอมือจับอยู่บนพื้น ใกล้ ๆ กันนั้นมีรอยต่อระหว่างแผ่นไม้เป็นเส้นตรง ใครมาเห็นแบบนี้เข้าก็คงไม่ต้องคาดเดา เพราะลักษณะของมันบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นประตูบานหนึ่งซึ่งเอาไว้ลงไปใต้ดิน
ที่นี่มีห้องใต้ดินด้วยหรือ?
เหมือนว่าเขาจะไม่เคยรู้มาก่อน อาจจะเป็นเพราะในห้องเก็บของมีแต่ของอันตราย ตาจึงไม่ยอมให้เขาเข้ามาวิ่งเล่นในนี้ก็เป็นได้
ห่วงมือจับถูกยกดึงอย่างง่ายดายด้วยเรี่ยวแรงของผู้ต้องสาป ประตูไม้ที่ปกติจะต้องออกแรงเพื่อยกมันขึ้นกลับถูกเปิดออกราวกับเป็นแผ่นไม้บาง ๆ
ข้างใต้นั้นมืดสนิท ไม่มีแสงไฟแม้แต่น้อย แต่ริเรียก็นำทางด้วยการหย่อนขาลงไปที่บันไดและไต่ลงไปข้างล่าง วาลเซอิคจึงทำตามที่จุดเดียวกัน แต่เขาก็ต้องคอยระวังว่าขาตนเองจะก้าวพลาดเพราะข้างล่างนี้มืดถึงขนาดที่มือของเขาที่จับซี่บันไดอยู่ข้างหน้าตนเองก็ยังไม่อาจมองเห็นได้ กระนั้นมันกลับไม่เป็นปัญหาต่อสายตาของริเรียผู้ซึ่งความมืดได้กลายเป็นที่ที่น่าอยู่มากกว่าใต้แสงสว่าง
เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้น วาลเซอิคก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ริเรียกลับตัวครั้งหนึ่งและแตะมือบนบานประตูขนาดเล็ก ดูเหมือนมันจะถูกลงกลอนหญิงสาวจึงลดมือลงและขยับกลอนโดยไม่ต้องออกแรงแม้สักนิด และเมื่อประตูถูกเปิดออก....ข้างในนั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้างนอกสักเท่าไหร่ เพราะยังคงมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใดเช่นเดิม กระนั้นวาลเซอิคก็สังเกตเห็นช่องเล็ก ๆ ที่มีแสงจันทร์ลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอกของห้องเก็บของ น่าเสียดายที่มันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก
ความเงียบของห้องใต้ดินทำให้เด็กหนุ่มได้ยินเสียงของเนื้อผ้าเสียดสีกันเมื่อใครบางคนที่มุมห้องขยับตัว เขาพยายามเขม่นมองไปยังจุดนั้นขณะที่ริเรียดึงมือเขาเข้าไปด้านใน
หญิงสาวนั่งลงตรงหน้าร่างที่ถดตัวจนชิดกำแพง
“ลูกจ๋า แม่พาคุณพ่อมาหาแล้วนะ” พร้อมกับคำพูดนั้น วาลเซอิคก็ได้ยินเสียงสูดหายใจเฮือกจากร่างเงาในความมืด เขาขยับเข้าไปใกล้หมายจะมองให้แน่ใจว่าเป็นใครและทำไมจึงมาอยู่ในห้องมืด ๆ แบบนี้ แต่ไม่ทันจะหย่อนตัวได้ท่าริเรียก็ดึงมือเขาเข้าไปหาร่างนั้น “ลองสัมผัสสิวาเลซ เจ้ารู้สึกหรือไม่?” วาลเซอิครู้สึกได้ว่ามือของตนเองถูกพาไปยังส่วนหน้าท้องของร่างนั้น มันอบอุ่น นุ่มนิ่ม และถูกปกคลุมด้วยผ้าเนื้อสาก เขาไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเป็นพิเศษจากจุดที่ตนสัมผัสอยู่ แต่ถ้าร่างตรงหน้านี้เป็นผู้หญิง เธอก็อาจจะกำลังตั้งครรภ์....
เดี๋ยวสิ....ผู้หญิงกำลังท้องทำไมถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ได้?
ที่ที่แม้แต่คนปกติยังไม่อยากจะอยู่....
“.....ได้โปรด.....”
เสียงสั่นเครือจากร่างตรงหน้าช่างคุ้นหูอย่างน่าประหลาดใจ....
“เอลยา?”
“....” ร่างนั้นชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงเขาเรียกชื่อก่อนขานตอบอย่างระมัดระวัง “...วาลเซอิค?”
“เอลยา!? ทำไมเจ้าถึงได้....” ขณะที่วาลเซอิคตั้งใจจะคว้าตัวหญิงสาวที่ตนคิดว่าหายตัวไป มือเย็ยเฉียบก็กุมแน่นที่ข้อมือของเขาเตือนให้รู้ว่ายังมีอีกบุคคลหนึ่งอยู่ในห้องนี้ด้วย ดวงตาสีแดงของริเรียเปล่งแสงในความมืด เสมือนการตักเตือนว่าเขากำลังจะกระทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมและทำให้เธอไม่พอใจอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มจำต้องลดมือลงและลูบบนไหล่บางของริเรีย
“ริเรีย...เจ้าพาตัวนางมาที่นี่ทำไมกัน?”
“นางจะนำลูกของเราคืนมาได้ เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ?”
นำลูกคืนมา?
วาลเซอิคมุ่นคิ้ว อย่าบอกนะว่าเอลยากำลังท้องอยู่จริง ๆ และริเรียเก็บตัวเธอเอาไว้เพราะต้องการลูกในท้องของเธอ!?
เดี๋ยวสิ...ถ้าเอลยาอยู่ที่นี่....แปลว่าคนที่ลักพาตัวเอลยาและอาจจะเป็นคนที่ฆ่าคนในหมู่บ้านก็คือ....
“ลงมาทำอะไรกัน!”
!!!
เสียงดุดันของชายชราที่ลงมาพร้อมกับแสงสว่างของตะเกียงพาให้วาลเซอิคสะดุ้งเฮือกพร้อมเหงื่อกาฬแตกพลั่กราวกับว่าตนเองหลงเข้าไปอยู่ในนิยายสยองขวัญสักเรื่องหนึ่ง เขาหันกลับไปและพบกับใบหน้าเคร่งขรึมดุดันของผู้เป็นตาซึ่งมองมายังเขาด้วยสีหน้าตกใจระคนกระอักกระอ่วนเหมือนเขาได้ทำลายกลอนที่ปิดกล่องแห่งความลับและเปิดเผยสิ่งซึ่งไม่ควรเปิดเผยออกมา
“ขึ้นไปข้างบน” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างก่อนจะเดินเข้ามาดึงวาลเซอิคออกจากหญิงสาวผู้อ่อนแรงที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
“เดี๋ยว...วาลเซอิค อย่าทิ้งข้าไว้แบบนี้...” เอลยาคว้าจับแขนของที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวที่ตนมี
เด็กหนุ่มทำได้เพียงบีบมือของเธอแน่นเพื่อเป็นสัญญาณอย่างเงียบ ๆ ว่าเขาจะไม่ทิ้งเธอไปอย่างแน่นอน แต่ว่าเขาไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในสถานการณ์อย่างนี้ ริเรียและตากำลังมองเขาอยู่และเขาจำต้องจากไปอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้ทั้งสองเกิดความสงสัยในตัวเขา
วาลเซอิคกลับขึ้นมาด้านบน รู้สึกถึงอากาศอันปลอดโปร่งอีกครั้งหลังจากที่ต้องลงไปอุดอู้ข้างล่างนั่น
เอลยาอยู่ที่นั่นมากี่วันแล้ว....
เธอคงจะอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจแต่เขากลับช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย
ริเรียไม่ยอมละสายตาไปจากเขาและจับมือของเขาแน่น เธอคงรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาที่เขามีต่อเอลยา หากผลีผลามทำอะไรลงไป...ริเรียอาจจะฆ่าเอลยาก็ได้...
แล้วเขาควรจะทำยังไงดี....
------------------------------->
เสียงครึกครื้นของดนตรี การร่ายรำ และงานรื่นเริงดังอยู่รอบตัว แม้คืนนี้จะไม่ได้สว่างมากมายอะไรแต่แสงไฟจากร้านรวงก็ยังส่องสว่างเหมือนทุก ๆ คืน
ชายหนุ่มสองคนเดินเคียงข้างกันไปบนถนนของเขตเริมรมย์ คนหนึ่งมองซ้ายขวาด้วยความสนอกสนใจ เพียงแต่สิ่งที่เขาสนใจนั้นไม่ใช่เรือนร่างของหญิงสาวหรือแสงสีสวยงาม แต่เป็นสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของมนุษย์ทุกคนในที่นี้ ส่วนชายหนุ่มอีกคนหนึ่งกำลังปั้นหน้าหงิกงอเหมือนว่ากำลังถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ตนเองไม่เต็มใจจะทำ กระนั้นก็ไม่อาจขัดความต้องการของอีกฝ่ายได้
“เจ้ามาที่นี่ทำไมกัน?”
“เพราะเจ้าเล่าให้พวกข้าฟังถึงประเด็นแปลก ๆ ที่เจ้าไม่ได้บอกเอาไว้เมื่อคราวก่อน” คัลดิชโคลงศีรษะ “เจ้าว่ามีคนเริ่มตายอย่างผิดแปลกเมื่อราว ๆ สิบปีที่แล้ว แต่มนุษย์อย่างพวกเจ้ากลับความรู้สึกช้าเกินกว่าจะนึกสังเกตและไพล่โทษว่าเป็นความผิดของสัตว์ป่าบ้าง ของพวกเราที่พวกเจ้าไม่รู้จักตัวตนบ้าง” ถ้อยคำของคัลดิชทำให้อัลเรสหน้าบอกบุญไม่รับยิ่งกว่าเดิม
“ข้าบอกว่ามันไม่ได้เกิดบ่อยจนผิดปกติพวกจึงไม่ได้สนใจต่างหาก”
“ถึงอย่างนั้นก็ตายอย่างผิดธรรมชาติ”
“ก็อาจจะเป็นสัตว์ป่าก็ได้” อัลเรสพยายามแก้ต่างในคำพูดดูถูกดูแคลนของคู่สนทนา ถึงเขาจะคิดว่าพวกชาวบ้านงี่เง่าที่ไม่ยอมตื่นตัวกับเรื่องแบบนี้จริง ๆ แต่การถูกสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์มาต่อว่าเอาอย่างนี้ เขาเองก็รู้สึกไม่พอใจอยู่เหมือนกัน
“ช่างเถอะ แล้วยังไงต่อ? เกิดเหตุแต่ในสถานที่แบบนี้เจ้าไม่คิดว่าแปลกบ้างหรือไงกัน?” คัลดิชมองไปยังสถานที่ซึ่งพลุกพล่านไปด้วยผู้คน จริงอยู่ว่าพวกเขาเองก็หากินที่นี่เพราะมีมนุษย์อยู่จำนวนมากและหลอกล่อง่าย ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้คิดจะฆ่าใคร หากเป้าหมายคือการฆ่า มันน่าจะง่ายกว่าที่ลงมือในที่เงียบและปลอดคนอย่างในเขตที่อยู่อาศัยตอนกลางคืน
“เพราะที่นี่เกิดอาชญากรรมบ่อยอยู่แล้วล่ะมั้ง” ในสายตาของอัลเรสกลับไม่รู้สึกผิดแปลก ที่นี่มีทั้งขโมย ขี้เมา โสเภณี แมงดา เรียกว่ามีแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม เหตุตีกันก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าถ้าจะเกิดอะไรร้ายแรงก็ไม่ใช่สิ่งที่เกินคำว่าปกติธรรมดา
“แล้วทำไมพวกเจ้าถึงคิดว่าสัตว์ป่าจะออกมาหากินในถิ่นที่มนุษย์อยู่รวมกัน มีเสียงดัง และมีแต่แสงสว่างแบบนี้?”
ถึงจะเป็นชาวบ้านทั่วไปก็ควรจะรู้เรื่องสามัญของสัตว์ป่าที่หากินตอนกลางคืนดี พวกมันจะออกล่าในความเงียบและซุกซ่อนในความมืด เน้นสัตว์ที่ล่าง่ายและไม่ระมัดระวังตัว ในขณะที่มนุษย์ที่นี่อยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ ส่งเสียงเอ็ดตะโร ตีขวดตีแก้วกันโป๊งเป๊ง ซ้ำยังจุดแสงสว่างไปตลอดแนวของถนน สัตว์ไม่มีคำว่าโง่หรือฉลาดแบบมนุษย์ พวกมันทำตามสัญชาตญาณและจะไม่ฝืนธรรมชาติตัวเอง
ย่านเริงรมย์นี้....ไม่เหมาะแก่การล่ามากที่สุดสำหรับพวกมัน...
“ถ้าเจ้าฉลาดนักทำไมถึงไม่บอกข้ามาเสียทีว่าพี่สาวข้าอยู่ที่ไหน?” ชายหนุ่มร่างสูงเริ่มหงุดหงิดที่อีกฝ่ายเอาแต่แสดงภูมิกับเขาแต่ไม่ยอมบอกอะไรที่เป็นประโยชน์เสียที
“คงเป็นโชคร้ายของเจ้าที่นายท่านส่งข้ามาแทนที่จะเป็นคัลมาร์ ถึงบางทีข้าจะนึกอิจฉาแต่คัลมาร์ฉลาดกว่าข้าในเรื่องการแก้ปริศนาแบบนี้”
อัลเรสกลอกตา เขาคาดหวังอะไรกับคนพวกนี้นะ...
ในขณะที่อัลเรสคิดหงุดหงิดอยู่ในใจ คัลดิชกลับกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ เขายังคงนึกกังขาไม่หายว่าทำไมจึงต้องเป็นที่นี่ และระยะเวลานั้นเกี่ยวข้องกันหรือไม่ คนที่ตายไปแต่ละคนดูเหมือนจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันและไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับอดีตของริเรียเลย และตัวริเรียเองก็ไม่เคยมาที่แบบนี้ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น ถ้าอย่างนั้นสิ่งใดกันที่พาเธอมาที่นี่และเริ่มออกล่ามนุษย์ที่ตัวเธอเองยังไม่รู้จัก
“อัลเรส ได้ข่าวพี่สาวของเจ้าบ้างหรือไม่?” หูของเขาแว่วเสียงหญิงวัยกลางคนตะโกนจากร้านข้าง ๆ มายังทิศทางของพวกเขา อัลเรสหันไปหาต้นเสียงนั้นก่อนพบว่าเป็นเจ้าของร้านที่เอลยาทำงานอยู่นั่นเอง
“ไม่เลย ข้ามาที่นี่หวังว่าจะได้เรื่องราวอะไรเพิ่มเติม”
แม่เล้าพรูลมหายใจอย่างวิตก
“ข้าหวังว่าเจ้าจะโชคดี” เธอว่าแล้วหันกลับไปรับแขกในร้านอีกครั้ง ครึ่งหนึ่งในใจเธอเชื่อว่าเอลยาอาจจะตายไปแล้วท่าทางของเธอจึงไม่แสดงถึงความคาดหวังอะไรมากนัก ผิดกับอัลเรสที่พอเห็นการตอบรับเช่นนั้นก็ขุ่นเคืองใจ เพราะมันเหมือนการบอกเขาเป็นนัย ๆ ว่าให้เลิกคาดหวังเสียที
“อัลเรส นางสนิทกับพี่สาวเจ้ามากหรือ?”
“ไม่เชิง นางเป็นเจ้าของร้าน”
“ข้าไม่ได้ถามถึงเรื่องนั้น” คัลดิชกอดอกครุ่นคิด ผู้ต้องสาปอย่างพวกเขาจะมีประสาทสัมผัสที่เฉียบคม และบางสิ่งบางอย่างที่กรุ่นออกมาจากร่างกายของหญิงคนนั้นบ่งบอกเขาว่าเธอมีความใกล้ชิดกับพี่สาวของอัลเรส เพราะตัวอัลเรสเองก็มีสิ่งนั้นอยู่เช่นกัน มันติดอยู่บนร่างกาย บนเสื้อผ้าอาภรณ์ และอารมณ์การแสดงออกเมื่อกล่าวถึงบุคคลนั้นโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว
เดี๋ยวสิ....บางทีอาจจะเป็นสิ่งนี้ก็ได้!
สิ่งที่ชักนำริเรียมายังสถานที่นี้!
TBC
-
ง่าา
ที่แท้คนจับตัวเอลยามาก็คือริเรีย
ทำแบบนี้ทำไมเนี่ย ดูน่ากลัวจัง
-
อะนะ กำลังจะคลี่คลายแล้ว
-
ซ่อนเงื่อนมากเกินไปแล้วววว
-
ท่าทางตาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดนะ ไม่รู้ว่ายายเป็นด้วยหรือเปล่า แต่ว่าเพื่อลูกสาวสุดที่รักยอมทำได้ทุกอย่างเลยเหรอ
-
เริ่มหลอน =_=
-
มันคืออะไรนี่
เดาไม่ออกอ่ะ
มาต่อเร็วๆน้า o13
-
อย่าบอกนะว่าเหมือนข่าวนั้นน่ะ
ที่ชายแก่จับตัวหญิงสาวไปข่มขืนแล้วขังไว้ในห้องใต้ดิน
แต่อันนั้นเป็นพ่อกับลูกสาวของตัวเองเลยนะ
+ เป็ดจ้า
-
ตอนที่ 14 เธอผู้หลงทาง
ถึงแม้ว่ายามเช้าจะย่างกรายมาถึง แต่บรรยากาศภายในบ้านก็ยังคงมืดมนและน่าอึดอัดราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างกดทับอยู่ตลอดเวลา วาลเซอิคนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารโดยมีสองตายายนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งสองมองมายังเขาด้วยสายตาที่มีความรู้สึกหลากหลาย ทั้งเศร้าสร้อย หวาดระแวง และไร้ทางออก ส่วนริเรียกลับเข้าไปนอนแล้วโดยที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ
พวกเขาสามคนนั่งเผชิญหน้ากันโดยไม่มีแม้กระทั่งเครื่องดื่มให้จิบแก้กระหาย
วาลเซอิคขยับตัวอย่างเมื่อยขบและทันใดนั้นเสียงสูดหายใจของสองผู้ชราก็ดังขึ้นจนรู้สึกได้ในห้องที่เงียบกริบไร้ซึ่งสรรพเสียง
“โถ่ ไม่น่าเลย...ไม่น่าเลย....” อยู่ ๆ ยายก็รำพึงรำพันขึ้นมาอย่างแผ่วเบาก่อนซบใบหน้าลงกับฝ่ามือตนเอง “ถ้าเพียงแต่ไม่มีสิ่งเหล่านั้น...” เสียงของเธอเบาลงเรื่อย ๆ จนวาลเซอิคได้ยินไม่เป็นคำ และเมื่อเขาหันไปมองฝั่งตา ชายชราก็ก้มหน้าลงด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
“เธอ.....” เมื่อเขาเป็นฝ่ายเริ่มพูด ทั้งสองก็ตวัดสายตามองเขาเป็นจุดเดียวทำให้การเค้นคำพูดนั้นลำบากมากขึ้น “.....เธอที่อยู่ใต้ดิน...ทำไมถึง....” ทางที่ดี เขาไม่ควรจะบอกว่าตนเองรู้จักกับอีกฝ่าย เด็กหนุ่มตัดสินใจเช่นนั้นจึงทำราวกับว่าเอลยาเป็นคนไกลตัวเพื่อที่ตนเองจะไม่ถูกมองว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนในบ้านนี้ แม้ว่าเขาจะยังไม่เข้าใจการกระทำเหล่านี้สักนิดก็ตาม
แต่เพื่อชีวิตของเอลยาเอง....
และอาจจะหมายถึงชีวิตของเขาด้วย....
“...หลังจากหลานไปจากที่นี่ไม่นาน....ริเรียก็ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านของเรา...” ดูเหมือนสิ่งที่ชายชราพูดออกมาจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยของเขาแม้แต่น้อย แต่เด็กหนุ่มก็ยอมนิ่งฟังโดยไม่แย้ง “พวกเราจำเธอได้อย่างทันที เพราะริเรียไม่ได้แตกต่างจากวันที่หายตัวไปสักนิด นอกจาก...สภาพของเธอที่เหมือนกับสัตว์ปา เหมือนสัตว์ป่าที่กระหายเลือด...สายตาสีแดงฉานของเธอจับจ้องมายังพวกเรา ปากก็บ่นพึมพำแต่ว่าลูกน้อยของเธออยู่ที่ไหน ถึงเราจะไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเลยสักนิด แต่ว่า....เพราะความเป็นพ่อแม่พวกเราจึงรู้ได้ทันทีว่าเธอได้สูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว สูญเสียกระทั่งความเป็นมนุษย์....”
หลังจากเขา...จากที่นี่ไปอย่างนั้นหรือ?
น่าจะเป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อน...
หมายความว่าเซเอลพาตัวเขาไปทำให้คลาดกับแม่? มันคือความจงใจหรือบังเอิญกันแน่ในเมื่อเซเอลไม่รู้ว่าแม่ของเขายังมีชีวิตอยู่
“มันน่าแปลกใจที่ริเรียไม่ทำร้ายพวกเรา เหมือนกับว่าเธอจดจำพวกเราได้ในสติที่เลอะเลือน แน่นอนว่าพวกเรากลัวเธอมากในช่วงแรก แต่ว่า....เพราะเธอเป็นลูก ถึงจะเป็นผู้ต้องสาปเราก็ปล่อยเธอไปไม่ได้”
“แต่ริเรียไม่เคยทำร้ายใครนะ! เธอ...เธอเป็นเด็กดี เธอไม่มีทางทำร้ายใครแน่...” ระหว่างที่คุณตากำลังเล่าความ ยายก็แทรกขึ้นมาด้วยเสียงตะโกนที่สั่นเครือ เธอเริ่มสะอื้นและร้องไห้ออกมา
วาลเซอิครู้สึกผิดที่ทำให้ทั้งสองต้องเป็นทุกข์ และต้องขุดคุ้ยความทุกข์เก่า ๆ ขึ้นมาตีกวนให้ผืนน้ำที่ใสสะอาดต้องขุ่นข้นด้วยตะกอนแห่งความเศร้าโศก แต่ถึงอย่างนั้น...การปล่อยให้สิ่งที่พบเห็นผ่านไปเฉย ๆ และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงเป็นไปไม่ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเอลย่ากำลังท้องอยู่จริง สภาพความเป็นอยู่ของเธอตอนนี้ถือว่าอันตรายอย่างมากทั้งกับสภาพจิตใจและร่างกาย
“คุณยาย...ขึ้นไปพักก่อนไหมครับ?” แต่ถึงอย่างนั้น น้ำตาของหญิงชราที่อุ้มชูเขามาก็ทำให้ใจอ่อน เธอพยักหน้ารับและเดินขึ้นไปอย่างอ่อนแรง
“คุณตา...ริเรีย...อยู่ที่นี่แบบไหนหรือ? ผู้ต้องสาปต้องกินเลือด...”
“เคยได้ยินเรื่องถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาหรือเปล่า....วาลเซอิค”
เด็กหนุ่มส่ายศีรษะ เขาไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย หากมันเกี่ยวกับผู้ต้องสาปเขาก็น่าจะได้ยินจากเซเอลหรือพวกคัลดิชและคัลมาร์บ้าง
“มันเป็นเรื่องเก่าแก่...ที่ริเรียบังเอิญอ่านพบในหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับตำนานของผู้ต้องสาป ถึงแม้จะเป็นยุคสมัยที่คิดว่ามันเป็นแค่นิทานแค่ริเรียกลับเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังว่าสิ่งที่บันทึกอยู่นั้นเป็นความจริง ในหนังสือเล่มนั้นกล่าวถึงผู้ต้องสาปในแง่มุมที่เราไม่รู้จัก ผู้ต้องสาปที่ไม่สังหารมนุษย์ อาศัยในอาณาเขตซึ่งถูกสร้างขึ้นและปกคลุมด้วยท้องฟ้ามืดมิดตลอดกาล” น้ำเสียงของชายชราดูไม่เชื่อเรื่องนี้นัก มนุษย์ทุกคนต่างจินตนาการว่าผู้ต้องสาปเป็นอสุรกายที่น่าพรั่นพรึง เป็นผลผลิตของปีศาจ สัญลักษณ์ของความชั่วร้ายสุดพรรณนา บันทึกซึ่งกล่าวราวกับว่าผู้ต้องสาปก็เป็นสิ่งมีชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งจึงไม่มีน้ำหนักในความคิดของใครนัก
เรื่องนี้วาลเซอิคอยากจะถกเถียงแต่ก็จำต้องเงียบไว้เพราะไม่อยากดึงเรื่องให้ไกลเกินไปนัก
“ในหนังสือเล่มนั้นมีบทหนึ่งกล่าวถึงถ้อยคำแห่งพันธะสัญญา คล้ายกับคาถาซึ่งมีไว้เพื่อช่วยเหลือเหล่าผู้ต้องสาป หากมนุษย์เป็นผู้กล่าวถ้อยคำนี้แก่ผู้ต้องสาปคนใด ผู้ต้องสาปคนนั้นจะได้รับโอกาสที่จะเดินภายใต้แสงตะวันอีกครั้ง แลกกับการห้ามดื่มกินเลือดมนุษย์อีกตลอดอายุขัย และพลังที่อ่อนแอลงตามกาลเวลา”
ทำให้ผู้ต้องสาปเดินท่ามกลางแสงอาทิตย์ได้?
หรือว่าเซเอลเองก็....
“พวกเราไม่เคยเชื่อเรื่องนี้เลยจนกระทั่งหลานถูกพาตัวมาที่นี่โดยผู้ต้องสาปคนหนึ่ง เขามีดวงตาสีแดงฉานราวกับสีเลือด บรรยากาศที่ลึกลับเหมือนกับว่าพวกเรากำลังมองเข้าไปในความมืดมิดไร้ก้นบึ้ง มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาไม่เหมือนผู้ต้องสาปในตำนานก็คือ....เขาเดินกลางแสงแดดได้โดยไม่ถูกแผดเผา เขามอบเด็กคนหนึ่งให้แก่เรา ซึ่งก็คือเจ้า วาลเซอิค เจ้าคือมนุษย์คนเดียวที่ถูกเลี้ยงโดยผู้ต้องสาป”
“แล้วเรื่องของริเรีย....?” ถึงแม้เรื่องของเขาจำสำคัญต่อความรู้สึก แต่อย่างไรวาลเซอิคก็ไม่อาจปล่อยให้ตนเองโอนเอนไปตามอารมณ์ได้
“อา ใช่” เหมือนกับถูกดึงกลับสู่ความเป็นจริง ชายชราจึงหลุบตาลงต่ำอีกครั้ง “พวกเราได้ลองใช้มัน....ถ้อยคำแห่งพันธะสัญญานั้นกับริเรีย ทำให้เธอสามารถอยู่ได้อย่างมนุษย์ปกติตลอดหลายปี ฉันเองก็รู้จักกับเจ้าแก่ร้ายขายเนื้อมานานเลยขอเลือดมาทุกวันอ้างว่าจะเอามาให้ยายแกกินบำรุงร่างกาย แต่ถึงยังไงริเรียก็กลับไปในสังคมปกติไม่ได้พวกเราจึงอยู่ที่นี่โดยไม่ย้ายกลับไปในหมู่บ้าน แต่...”
แต่?
“เมื่อ 5 ปีก่อน มีบางอย่างผิดแปลกไป...อยู่ ๆ ริเรียก็ออกไปจากบ้านในตอนค่ำและเมื่อเธอกลับมาอีกครั้งพร้อมเลือดที่เลอะเต็มตัว เธอก็สัมผัสแสงอาทิตย์ไม่ได้อีกแล้ว” ดวงตาที่อ่อนล้าของชายชราฉายแววของความหวาดกลัวออกมาชั่วขณะหนึ่ง “พละกำลังของปีศาจ คำสาปของปีศาจ หวนกลับมาอีกครั้ง ริเรียไม่ต้องการถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาอีก การล่าของเธอเหมือนการดับกระหาย แค่นาน ๆ ครั้ง แต่มันกลับค่อย ๆ ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ จนพวกเราไม่สามารถทำอะไรได้...ในฐานะพ่อแม่แล้วพวกเราทำอะไรไม่ได้เลย....”
วาลเซอิคมุ่นคิ้วเมื่อได้รับฟังเรื่องราวเหล่านั้น
5 ปีก่อน....การออกล่านาน ๆ ครั้งแต่ค่อย ๆ เพิ่มความถี่มากขึ้นและมากขึ้น...
นั่นมัน...พ้องกับการตายอย่างปริศนาของพวกคนในหมู่บ้านเลยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า....ริเรีย...แม่ของเขาเป็นฆาตกรจริง ๆ น่ะสิ!?
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปิดปากด้วยความรู้สึกพะอืดพะอมในลำคอ เขาเผลอคิดขึ้นมาว่าเธอฆ่าคนเหล่านั้นด้วยสีหน้าแบบไหน....คงจะแย้มยิ้มอย่างไร้เดียงสาและฉีกกระชากร่างเนื้อเหมือนกับฉีกชิ้นขนมปัง ปล่อยให้เลือดสาดกระจายอาบทั่วร่างจนแดงฉาน เธอคงจะหัวเราะอย่างสนุกสนานเหมือนเด็กตัวเล็ก ๆ ซึ่งพบของเล่นที่ถูกใจ และเมื่ออิ่มหนำดีแล้ว....เธอก็ปล่อยให้ร่างนั้นนอนจมกองเลือดเหมือนตุ๊กตาพัง ๆ ตัวหนึ่ง....
นั่นมัน.....น่าขยะแขยงเหลือเกิน.....
เขาอดคิดแบบนั้นไม่ได้
แม่ของเขา...มีชีวิตอยู่ด้วยการสังหารผู้คนมาตลอด 5 ปี ทำไม....ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
นั่นมันไม่เหมือนผู้หญิงที่เซเอลสามารถหลงรักได้เลยสักนิด...
“นั่นแหละคือเหตุผลที่เราสร้างห้องใต้ดินขึ้นมา ยกมันให้สูงกว่าพื้นดินเพื่อให้มีช่องระบายอากาศ ริเรีย...ชอบอยู่ที่นั่นมากกว่าห้องอื่น ถึงแม้ภายหลังเราจะตอกปิดหน้าต่างในห้องหนึ่งให้เธอแต่เธอก็ยังชอบห้องใต้ดิน”
“แล้วทำไม....ตอนนี้...” แต่ตอนนี้ริเรียไม่ได้อยู่ที่นั่น...เอลยาต่างหาก....
“ริเรียพาผู้หญิงคนนั้นกลับมาเมื่อไม่กี่วันก่อน พร่ำเพ้อแต่ว่าลูกของเธออยู่ที่นั่น พวกเราพยาบาลเธอและคิดจะปล่อยตัวกลับไปแต่ว่า.....เมื่อเธอตื่นมาก็ลนลานพูดถึงเรื่องของริเรีย พวกเราจึงต้องขังเธอเอาไว้ไม่อย่างนั้นพวกในหมู่บ้านอาจจะฆ่าริเรียก็ได้” ถึงตอนนี้ดวงตาของชายชราแสดงความแน่วแน่ที่ไม่ต้องการให้เรื่องนั้นเกิดขึ้น เขาลุกจากเก้าอี้ และโน้มตัวข้ามโต๊ะคว้าแขนวาลเซอิคก่อนบีบแน่นด้วยแรงทั้งหมดที่มี “หลานต้องสัญญา....สัญญามาสิว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป และจะไม่เข้าไปที่นั่นอีก!”
วาลเซอิคเงยหน้ามองอีกฝ่าย ความคลุ้มคลั่งที่สัมผัสได้ผ่านบรรยากาศบ่งบอกวาลเซอิคว่าตอนนี้ชายชราตรงหน้าเขากำลังถูกครอบงำด้วยความรู้สึกผิดอันแรงกล้าและความรับผิดชอบในฐานะพ่อ ถึงแม้ศีลธรรมในฐานะมนุษย์จะกำลังต่อต้านแต่เพราะไม่อาจหักหลังลูกสาวของตนเองได้พวกเขาจึงได้จมอยู่ในปลักโคลน ทำได้แค่โอบกอดกันในขณะที่จมลงไปเรื่อย ๆ ไม่สามารถตะเกียกตะกายขึ้นมาโดยทิ้งริเรียไว้เบื้องหลังได้....
คนเหล่านี้กำลังถูกครอบงำ....ด้วยจิตใจที่บิดเบี้ยว....
---------------------->
ในขณะเดียวกันนั้นที่บ้านของอัลเรส...
เจ้าตัวเองก็กำลังถูกครอบงำด้วยความสงสัยที่ต้องการคำตอบจนไม่อาจอยู่เฉยได้
หลังจากที่เขาทักทายกับแม่เล้าเจ้าของร้านซึ่งเป็นเจ้านายของเอลยา คัลดิชก็แสดงท่าทีแปลก ๆ ออกมาเหมือนกับว่าคิดอะไรออกในที่สุด แต่จนแล้วจนรอดเจ้าตัวก็ไม่ยอมพูดอะไรแม้สักคำ และเมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็เผ่นขึ้นไปนอนเสียอย่างนั้น!
ห้องนอนของอัลเรสกลายเป็นกรรมสิทธิ์ของคัลดิชในตอนกลางวัน เพราะเจ้าตัวใช้นอนแต่ตอนกลางคืน แต่ยังไงเจ้าของห้องก็ยังรู้สึกแปลกที่มีคนอื่นเข้ามานอนในห้องตัวเองอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเวลาแบบนี้ที่ควรจะคุยกันให้รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงทำตัวผิดแปลกและเก็บงำไว้คนเดียว ทั้งที่นี่เป็นเรื่องของพี่สาวของเขา!
อัลเรสจัดการกับน้อง ๆ ด้วยความรวดเร็วกว่าวันอื่น ๆ และปล่อยให้เด็ก ๆ ออกไปเล่นนอกบ้านได้โดยไม่บังคับให้อยู่แต่ในระยะสายตาเหมือนทุก ๆ วัน
“อเลน วันนี้เจ้าไปหาตาลุงแนซแล้วบอกเขาด้วยว่าข้าขอหยุดงานเพราะรู้สึกไม่ค่อยสบาย” ชายหนุ่มกำชับกับน้องชายซึ่งเป็นการเป็นงานกว่าน้องสาวที่ยังเด็กเกินไป “แล้วก็เอาเงินนี่ไปซื้อขนมกินกับน้องซะ ตอนกลางวันค่อยกลับมา ข้าจะทำอาหารเตรียมไว้ให้”
อเลนรับเงินและคำสั่งโดยพยักหน้าตอบรับและดึงมือแอนน์ให้รีบวิ่งตามออกไปก่อนพี่ชายจะเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา เพราะระยะนี้เจ้าตัวอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ จนน้องตามกันไม่ทัน
เมื่อส่งน้องออกไปนอกบ้านสำเร็จ คราวนี้ก็ถึงเวลารบกวนเวลาอันสงบสุขของเจ้าคนขี้เซาบ้าง เพราะหากน้อง ๆ อยู่คงไปเข้าข้างเจ้า....เทวดาผู้พิทักษ์จอมปลอมนั่นแน่
ชายหนุ่มจัดการปิดประตูบ้านเรียบร้อยแล้วจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องนอนซึ่งตอนนี้มีอีกบุคคลใช้หลับนอนอยู่
เสียงเปิดประตูห้องไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายตื่น คัลดิชหลับอยู่บนเตียงในสภาพเหมือนคนตายไม่มีผิด ทั้งนิ่งสนิท...และมีลมหายใจอันแผ่วเบาจนแทบไม่รู้สึกถึง การนอนหลับแบบนี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อบุคคลนั้นเหนื่อยมากจนหลับสนิทไม่รู้ตัว หรือไม่...มันคงเป็นเรื่องสามัญของพวกผู้ต้องสาป...หรือมันจะเป็นจุดอ่อนที่ทำให้ผู้ต้องสาปถูกมนุษย์ฆ่าเอาได้นะ? อัลเรสเกิดสงสัยขึ้นมาตงิด ๆ ก่อนส่ายศีรษะสลัดเรื่องไร้สาระออกไป
“เฮ้! นี่เจ้า......!”
หมับ!
เมื่ออัลเรสเอ่ยเรียกและยื่นมือออกไปเท่านั้น ร่างที่นิ่งสนิทก็กลับยกมือขึ้นมาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขาก่อนลืมตาสีเลือดขึ้นและจ้องมาด้วยความมาดร้ายชั่วขณะ ถึงอย่างนั้นไม่นานมันก็กลับเป็นปกติ...สายตาที่ง่วงซึมและโหยหาการนอนหลับ
ดูท่าการนอนคงไม่ใช่จุดอ่อน....เพราะหากผู้ต้องสาปสามารถตื่นเต็มตาได้ทันทีที่รู้สึกถึงอันตราย มนุษย์ที่หาญกล้าเข้าไปรบกวนต่างหากที่จะตายเสียเอง...
อัลเรสคิดเช่นนั้นเบ้หน้าเพราะข้อมือที่โดนบีบรู้สึกเจ็บขึ้นมา
“....เจ้าไม่รู้จักคำว่ามารยาทบ้างหรือไง...” คัลดิชมุ่นคิ้วแล้วหลับตาลงอีกครั้ง การถูกรบกวนเวลานอนไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเลยสำหรับผู้ต้องสาปแบบพวกเขาที่นาฬิการ่างกายตรงต่อเวลาเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าสิไม่รู้จักมารยาท ปล่อยข้าได้แล้ว!” ชายหนุ่มทำเสียงข่มขู่ คัลดิชจึงยอมปล่อยมือในที่สุดและลดมือลงเพื่อนอนหลับต่อ ถึงอย่างนั้นความพยายามในการรบกวนเวลานอนของอัลเรสก็ไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนต่อได้ เขาฉุดเจ้าตัวให้ลุกขึ้นนั่งโดยไม่ถามความต้องการแม้แต่น้อย คัลดิชที่ถูกรบกวนจึงเริ่มอารมณ์เสียแต่ก็เหนื่อยหน่ายเกินกว่าจะตอบโต้ จึงทำเพียงแต่หลับตามุ่นคิ้วและทำเป็นไม่สนใจไปเสียด้วยความหวังว่าอัลเรสอาจจะหมดความพยายามไปเองในไม่กี่นาที
แต่เขาก็คิดผิดมหันต์....
“นี่ เจ้าปีศาจ! ตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ! ข้าต้องการคุยกับเจ้าได้ยินไหม!” อัลเรสเขย่าอีกฝ่ายด้วยเรี่ยวแรงที่ตัวเองมีโดยไม่ต้องกลัวว่าจะช้ำชอก ทั้งยังตะโกนจนลั่นห้องและทำให้คัลดิชรู้สึกว่าหูตนเองกำลังถูก
ประทุษร้ายจนใกล้แตกเป็นเสี่ยง ๆ
“หุบปากได้แล้ว!” คัลดิชยกมือดันหน้าอัลเรสออกไปไกล ๆ ด้วยความรำคาญและหงุดหงิดอย่างที่สุด “รอตอนเย็นไม่ได้หรือไงกัน หรือเจ้าคิดจะตายวันตายพรุ่งเลยกลัวไม่ทันมีชีวิตอยู่รอข้าตื่น!”
“เจ้าบ้านี่! ข้าบอกแล้วว่าถ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับพี่สาวข้าเมื่อไหร่ก็ต้องบอกข้าด้วย เจ้าจะปิดบังไปเพื่ออะไรกัน!”
“ข้าไม่ได้ปิดบัง แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับพี่สาวเจ้า มันเกี่ยวกับวาลเซอิคต่างหาก” คัลดิชตอบก่อนออกแรงกระชากอัลเรสลงนอนบนเตียงส่วนตนเองตวัดตัวขึ้นคร่อมด้านบน “ความจริงข้าไม่อยากเสียพลังงานทำเรื่องแบบนี้กับเจ้าหรอกนะ แต่ในเมื่อเจ้ารบกวนไม่ยอมหยุด...”
“น...นั่นเจ้าคิดจะทำอะไร...” อัลเรสมองขึ้นไปด้านบน เห็นดวงตาสีเลือดที่เปล่งประกายขึ้นมา อย่าบอกนะว่าเจ้านี่คิดจะสูบเลือดเขาจนหมดตัว!
“ก็แค่...คล้ายๆสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์นิดหน่อย พวกข้าใช้ตอนล่าเห...” เสียงของคัลดิชที่ได้ยินผ่านหูของอัลเรสค่อย ๆ แผ่วเบาลงเรื่อย ๆ เหมือนกับมีหมอกหนาบดบังสติสัมปชัญญะทำให้ทุกอย่างเลือนรางและพร่ามัว และเพียงไม่นาน ประสาทสัมผัสทุกอย่างก็ถูกปิดกั้น เขาไม่ได้ยินเสียง มองไม่เห็น และไม่รู้สึกใด ๆ ในที่สุด....เขาก็จมลงสู่ห้วงนิทรา...อย่างจำใจ
ชายหนุ่มผู้ต้องสาปถอนหายใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายหมดสติไปแล้ว มันเป็นเสมือนการสะกดจิตอย่างหนึ่งซึ่งพวกเขาใช้เมื่อล่อเหยื่อออกมายังที่ปลอดคนได้แล้ว มันทำให้เหยื่อจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตื่น ซึ่งช่วยให้การมีอยู่ของพวกเขายังคงเป็นความลับดำมืด ถึงอย่างนั้น เมื่อพวกเขาเลิกดื่มเลือดมนุษย์ ความสามารถนี้ก็ไร้ประโยชน์จนไม่ได้ใช้งานอีก แต่คัลดิชก็พบว่ามันยังคงใช้ได้ดีเพราะอัลเรสหลับไปในเวลาเพียงไม่นาน กระนั้นการใช้ความสามารถแบบนี้ในช่วงเวลาเช่นนี้ก็เป็นการฝืนร่างกายตัวเองใช่เล่น...
ง่วงจริง ๆ ให้ตายสิ...
-
คัลดิชไม่ได้สนใจจะขยับตัวอีก เขาทิ้งตัวเองลงนอนทับบนร่างของอัลเรสทั้งอย่างนั้นและหลับไปอย่างรวดเร็วโดยคิดว่าเมื่อคัลมาร์มาถึงในคืนนี้คงจะปลุกเขาเอง
น่าเสียดายที่ความหวังจะนอนหลับอย่างสงบของเจ้าตัวไม่สัมฤทธิ์ผล เมื่อเด็ก ๆ กลับมาในตอนกลางวันพร้อมพกความหิวโซมาเต็มท้องแต่พี่ชายก็ยังไม่ได้ทำอาหารเตรียมไว้ให้ ทั้งอเลนและแอนน์จึงถือวิสาสะบุกห้องของพี่ชายเพื่อเรียกร้องให้ปากท้องของตนเอง
“พี่อัลเรส! ตื่นเร็วเข้า พี่ลืมอาหารของพวกเรานะ!” เสียงเล็กแหลมของอเลนเสียดแทงรูหูของคัลดิชเป็นอย่างยิ่ง และการขยับตัวของอัลเรสก็รบกวนการนอนของเขาเช่นเดียวกัน
“พี่คะ แอนน์หิวแล้ว คุณเทวดาปล่อยพี่เถอะนะคะ” เด็กสาวตัวน้อยหันมาเขย่าตัวเขาที่พยายามจะไม่สนเสียงเจื้อยแจ้วเหล่านั้น และเพราการคะยั้นคะยอจากน้อง ๆ ทำให้อัลเรสตื่นขึ้นและพบว่าตนเองอยู่ในสภาพที่ชวนเข้าใจผิดอย่างมากจึงโวยวายเสียงดังลั่นจนเหมือนห้องใกล้ถล่ม
“นี่เจ้าคิดจะทำอะไรข้าเนี่ย! ลุกออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าบ้า!” เสียงเอ็ดตะโรของอัลเรสเหมือนเสียงกัมปนาทของภูเขาไฟตอนระเบิดไม่มีผิด นอกจากนี้ฝ่ายนั้นยังโยนเขาออกจากตัวแล้วตกลงบนเตียงดังอั่ก ดัลดิชคว้าหมอนได้ก็กดลงบนศีรษะปิดหูปิดตาจากการรับรู้สภาพแวดล้อมทั้งหมดทั้งมวลทันที
แต่น่าเสียดาย...ที่อีกสามคนในห้องไม่ได้ให้ความร่วมมือด้วยเลย
อเลนและแอนน์แข่งกันเรียกร้องอาหารเหมือนลูกนกกำลังอ้าปากร้องหาพ่อแม่ที่จะคาบอาหารมาป้อนถึงรัง ส่วนคนที่ทำหน้าที่เป็นพ่อแม่ก็กำลังอาละวาดกับเรื่องไม่เป็นเรื่องและสบถก่นด่าอย่างจับใจความไม่ได้ คัลดิชปวดหัวจนแทบระเบิด เส้นเลือดในขมับของเขาเต้นตุบ ๆ เป็นจังหวะรัวแรง หากไม่ติดว่าตอนนี้เป็นตอนกลางวันเขาคงจะกระโจนออกหน้าต่างไปหาที่สงบ แต่ตอนนี้เขาต้องอดทน....และอดทนจนกว่าครอบครัวหรรษาสามคนนี้จะพากันออกไปจากห้องเพื่อที่ความเงียบจะกลับมาเยือนอีกครั้ง
“พี่ ผมหิวนะ!”
“พี่คะ ทำอะไรกับคุณเทวดาคะ?”
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นแหละ! เลิกโวยวายได้แล้วน่า!”
.....
ในที่สุดความอดทนของคัลดิชก็ขาดผึง เขาลุกพรวดก่อนโยนหมอนลงพื้น
“ออกไปให้หมดเดี๋ยวนี้....” ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยโทสะผสมกับความง่วงที่ไม่อาจได้รับการตอบสนอง น้ำเสียงเย็นเยียบแอบแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความมาดร้ายพุ่งตรงไปยังทั้งสามที่ยังทู่ซี้รบกวนเขามานานสองนาน การกระทำนั้นทำให้ทั้งหมดชะงักและมองหน้ากัน ทันใดนั้น ก่อนที่แอนน์จะอ้าปากถามอะไรต่ออีก อัลเรสก็รีบปิดปากน้องสาวและกระเตงน้องชายเผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะท่าทีของคัลดิชตอนนี้ชักเริ่มจะมั่นใจไม่ได้ว่าเจ้าตัวจะทำตามสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเด็ก ๆ ได้หรือไม่
ไอ้พวกบ้า...
คัลดิชสบถในใจก่อนเอนทิ้งตัวลงบนเตียงอีกครั้ง มนุษย์พวกนี้น่ารำคาญกว่าสมัยที่วาลเซอิคไปอยู่ที่ปราสาทแรก ๆ เสียอีก
คืนนี้....รอคืนนี้ก่อนเถอะ เขาจะเอาประเด็นที่ค้นพบให้คัลมาร์ไปรายงาน และจะได้ไปจากบ้านหลังนี้เสียที ไม่อย่างนั้น....เขาจะได้จับพวกนี้กินหมดแน่ ๆ
-------------------------------->
และในที่สุดยามค่ำก็มาถึง อาร์วิน่าตื่นขึ้นในห้องของตนเองเหมือนเช่นเคย เธอมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากความมืดมิดอนธการชั่วนิรันดร์ หญิงสาวลุกขึ้น อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และตรงไปยังห้องหนังสือของเซเอล...
นับแต่วาลเซอิคจากไป ชายหนุ่มผู้เป็นนายแห่งปราสาทก็เก็บตัวอยู่แต่ที่นั่น นอกจากเวลานอนแล้วเจ้าตัวก็ไม่เคยย่างก้าวออกมาเลย
“นั่นเจ้ากำลังจะไปไหนน่ะคัลมาร์” เธอพบชายหนุ่มผู้ถูกแยกจากฝาแฝดตนเองโดยบังเอิญที่ทางเดินในปราสาท ดูเหมือนเจ้าตัวกำลังจะออกไปข้างนอกจึงสวมเสื้อคลุมและหมวกพร้อมพกดาบเล่มหนึ่ง และเมื่อฝ่ายนั้นได้ยินเสียงของเธอก็หันมายิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“ข้ากำลังจะไปหาคัลดิช แต่คิดว่าไม่นานก็คงจะกลับ”
“ไปหาคัลดิชหรือไปหาเลือดของมนุษย์กันแน่” อาร์วิน่ากอดอกและมองอย่างรู้ทัน คัลมาร์หัวเราะออกมานิดหน่อยโดยไม่ตอบอะไร
“วันนี้อาจมีข่าวดีก็ได้” เขาว่าอย่างนั้นก่อนเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
หญิงสาวผมแดงส่ายศีรษะระอาใจ ฝาแฝดคู่นี้เหมือนกันจริง ๆ เรื่องที่ชอบจุ้นจ้านไม่เป็นเรื่อง ความจริงเรื่องนี้คัลมาร์ไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวเลย เพราะที่เซเอลสั่งให้คัลดิชฝืนใจไปทำสิ่งที่ไม่ชอบนั้นก็เหมือนการลงโทษที่เจ้าตัวปิดบังเรื่องสำคัญ ถือว่าเป็นการลงโทษเบา ๆ เสียด้วยซ้ำเมื่อเทียบกับความโกรธของเซเอลเมื่อรับรู้ความจริง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น...คงเป็นเพราะวาลเซอิคส่วนหนึ่ง...
วาลเซอิค...
เด็กคนนั้นเริ่มมีอิทธิพลกับคนอื่น ๆ ตอนไหนกันนะ?
เธอคิดไปพลางก็สาวเท้าไปถึงห้องที่ต้องการ เมื่อยกมือขึ้นเคาะประตูห้องเพียงสองครั้งก็ได้ยินเสียงอนุญาตจากข้างในจึงเปิดเข้าไป
เซเอลนั่งอยู่ในห้องหนังสือดังที่คาด ชุดน้ำชาถูกจัดเตรียมไว้ข้างตัวตามปกติ ในมือของชายหนุ่มมีหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการผจญภัยของสองพี่น้องที่ชื่อเซราฟและวอเรน ได้ยินมาว่าเป็นหนังสือเล่มโปรดของเซเอลแต่เพราะเธอไม่เคยอ่านจึงไม่รู้เนื้อหาข้างใน กระนั้นสิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าไม่ใช่หนังสือเล่มนั้นแต่เป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่นอนหมอบที่เท้าของเซเอล ลูกสุนัขสองตัวที่วาลเซอิคนำกลับมาด้วย...ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่เซเอลนึกเอ็นดูพวกมันทั้งที่เจ้าตัวไม่ยอมแสดงความสนิทชิดเชื้อสิ่งมีชีวิตอื่นมานานแล้ว
อาร์วิน่ากวาดสายตาไปทางหนึ่ง และพบว่าบนโต๊ะใกล้ตัวเซเอลนั้นยังคงวางสร้อยเส้นนั้นเอาไว้ สร้อยที่เคยมอบให้กับหญิงสาวที่ตนหลงรัก....
“เจ้ามีอะไรหรือเปล่า?” เมื่อเห็นว่าอาร์วิน่าเอาแต่เงียบ เซเอลจึงเอ่ยปากถามโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือในมือ
“ท่านอยู่แต่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว”
“มันไม่ใช่ธุระของเจ้า”
“ท่านจำได้หรือเปล่าว่าในตอนที่ท่านคิดว่าริเรียตายไปแล้ว ท่านเองก็เอาแต่หมกตัวในห้องแบบนี้เหมือนกัน” อาร์วิน่าเตือนถึงเรื่องเก่า ๆ และเดินเข้ามาใกล้ “แต่วาลเซอิคยังไม่ตาย...”
“ริเรียก็ด้วย”
“แต่นางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว”
“และนั่นคือความผิดพลาดของข้า” คำตอบของเซเอลทำให้อาร์วิน่ามุ่นคิ้วก่อนจะถอนหายใจเฮือก
“ในตอนนี้สิ่งที่เกาะกุมใจท่านมีแต่ความรู้สึกผิดต่อนางเท่านั้นไม่ใช่หรือ? ตัวตนของหญิงที่ท่านรักได้ตายจากไปแล้วพร้อมกับความรักของท่าน เพราะหาก...ท่านยังคงมีเยื่อใยต่อนาง...เป็นนายท่านคนเดิมเมื่อวันนั้น ท่านคงออกไปตามหานางด้วยตัวเองแล้ว หรือข้าพูดอะไรผิดไป?”
นั่นสินะ...
เซเอลหลุบตาลงเล็กน้อย
อาจจะเป็นอย่างที่อาร์วิน่าว่า หากเป็นเขาในวันเก่าก่อนเขาคงจะออกไปจากปราสาทและตามหาเธอเพื่อจะได้จับมือเธอที่หลงทางให้กลับมาเป็นคนเดิม ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใด....เขาก็คงจะตามไปอย่างไม่ลังเล ทว่า...ตอนนี้เขากลับทำเช่นนั้นไม่ได้ ริเรียเหลือเพียงเงาที่ติดอยู่ในความทรงจำ เป็นบาดแผลที่ตกสะเก็ด ยังคงเจ็บ....แต่ไม่ปวดร้าวเมื่อคิดถึง แต่เพราะเขาเป็นคนที่ทำให้เธอต้องอยู่ต่อไปอย่างทุกข์ทรมาน มันจึงกลายเป็นตราบาปที่ติดตรึงเสียยิ่งกว่าบาดแผลที่เกิดจากความรู้สึกรัก
เขาอยาก...จะชดใช้....
อย่างน้อยเพื่อให้เธอได้หลับตาลงอย่างสงบเสียที....
แล้วทำไมเขาถึงยังคงอยู่ที่นี่...ปราสาทนี้....เขาเฝ้ารออะไรอยู่กันแน่....
อาจจะเป็น...การกลับมาของใครบางคน...
“อาร์วิน่า....” เซเอลเอ่ยชื่อหญิงสาวโดยที่ดวงตายังคงจับจ้องบนหน้าหนังสือหน้าเดิม...หน้าที่เขาไม่ได้พลิกมันไปไหนเลย แต่เพียงเปิดขึ้นมาและจ้องมองอยู่อย่างนั้น “ในฐานะที่เจ้าเป็นหญิง เจ้าอาจจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าข้าก็ได้ เจ้าคิดจะแนะนำข้ายังไง?”
“ท่านน่าจะ....ซื่อตรงกับตัวเองบ้าง เราไม่ได้อยู่ในยุคสมัยที่ท่านเป็นขุนนางผู้ทรงเกียรติอีกแล้ว ไม่มีใครสนใจหรอกว่าท่านจะแสดงออกยังไง บรรทัดฐานที่ผูกมัดว่าผู้สูงศักดิ์ควรปฏิบัติตัวเช่นไรไม่สามารถกักขังท่านไว้ได้อีกแล้ว ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรือ?”
ผู้สูงศักดิ์ต้องประพฤติตัวเป็นตัวอย่างแก่ผู้น้อย...ต้องสงวนท่าที...ต้องให้เกียรติ...เป็นสุภาพบุรุษ...รู้จักบทบาทฐานะของตนเอง...วางตัวอย่างเหมาะสมในทุกสถานะ...เป็นบุคคลที่สมบูรณ์แบบ มันคือสายโซ่ที่ทำให้เซเอลไม่สามารถก้าวเข้าไปหาริเรียได้นอกเหนือจากเหตุผลว่าตนเองเป็นผู้ต้องสาป นอกจากจะไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้แล้ว...ยังไม่สามารถผูกพันกับหญิงสามัญชนได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอรับรักชายอีกคนหนึ่ง...ตนเองก็ต้องยอมรับอย่างสุภาพบุรุษว่าเป็นผู้แพ้และสงวนความรู้สึกของตนเองไว้แต่เพียงภายใน
เซเอลวางหนังสือลงและลุกเดินไปที่หน้าต่าง เขาไขว้แขนไว้ด้านหลังพลางมองออกไปด้านนอก
“ท่านจะทำยังไงหากผู้ต้องสาปข้างนอกนั้นคือริเรียจริง ๆ” อาร์วิน่าเพียงแค่ถามเพื่อให้เซเอลคิดเท่านั้น โดยไม่คาดหวังว่าตนเองจะได้คำตอบใด ๆ กลับมา ทว่า...
“ข้าคิดเอาไว้แล้ว”
.....?
นั่นเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายไปมากโข ก่อนหน้านี้เซเอลยังไม่มั่นใจอยู่เลยไม่ใช่หรือว่านั่นคือริเรียจริงหรือไม่ และการให้คัลดิชออกไปจากที่นี่ก็เพื่อหาคำตอบนั้นไม่ใช่หรือ?
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าทำไมข้าจึงตัดสินใจพาวาลเซอิคมาที่นี่”
“เพราะท่านไม่ต้องการให้เขาใกล้ชิดมนุษย์คนอื่น? หรือไม่ท่านก็กลัวว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายและท่านช่วยเหลือไม่ได้”
เซเอลมองลงไปข้างล่าง จุดที่ต้นไม้ต้นนั้นยืนอยู่อย่างอ่อนแรง
“ข้ารู้สึกมาโดยตลอด....ว่ามีบางสิ่งติดตามเขาอยู่ ข้ารู้สึก....แต่ไม่อาจจับสัมผัสได้ว่าเป็นใครเพราะข้าอ่อนแอลงทุกวัน จนกระทั่งข้าพาเขามาที่นี่ สิ่งที่ติดตามเขาก็หายไป และเมื่อเขากลับไปในหมู่บ้านอีกครั้ง...เพื่อฆ่าเวลาตามประสามนุษย์วัยหนุ่มสิ่งนั้นก็กลับมาในความรู้สึกของข้า เมื่อข้าติดตามเขาออกไปในทุก ๆ คืนที่เขาเข้าหมู่บ้าน ข้ารู้สึกได้...และยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่เพราะข้าเชื่อมาโดยตลอดว่าริเรียตายไปแล้วข้าจึงไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งคัลดิชบอกข้า...ว่านางยังมีชีวิตอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านถึง....”
“ข้าส่งคัลดิชออกไปเพื่อที่ข้าจะได้แน่ใจ....ว่านางไม่ได้จากไปไหนและเฝ้ารอวาลเซอิคอยู่ที่นั่น...ในหมู่บ้านแห่งนั้นซึ่งเป็นลานล่าของนาง”
“แล้วจากนั้นล่ะ?” อาร์วิน่าคาดเดา
“ตอนนี้คัลดิชยังไม่รู้สึกถึงตัวตนของริเรีย แปลว่านางอาจจะไม่ได้ปักหลักในหมู่บ้านนั้น แต่ก็ไม่ใช่ในป่าซึ่งเป็นอาณาเขตของข้าเช่นกัน” เซเอลหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง “อาร์วิน่า ข้าต้องการความแน่ใจบางอย่าง ดังนั้นนี่คือคำสั่งจากข้า....” ชายหนุ่มกล่าวถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งทั้งเขาและอาร์วิน่าต่างรู้จัก เธอค่อนข้างแปลกใจในตอนแรกก่อนจะรับคำสั่งและจากไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
บางที...เมื่ออาร์วิน่าและคัลมาร์กลับมาที่นี่ อาจถึงเวลาที่เขาต้องตัดสินใจลงมือทำในสิ่งที่คิดเอาไว้ วาลเซอิค...อาจจะไม่ยกโทษให้เขาก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเด็กคนนั้นจะกลับมาหรือไม่ หรือว่า...จะกลับมาในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า....
เซเอลไล้มือไปบนกรอบหน้าต่างที่ปรากฏรอยแตกของเนื้อไม้ ข้างนอกนั่น...ใบไม้ที่ไม่ร่วงหล่นแม้แห้งกรอบก็เริ่มโรยลงบนพื้นดิน ด้วยการแลกเปลี่ยนกับช่วงเวลาสั้น ๆ ของแสงสว่างอันอบอุ่น ค่าตอบแทนของมันกำลังกวักมือเรียกเขาจากสถานที่อันแสนไกล
น่าจะ...ซื่อตรงกับตนเองอย่างนั้นหรือ...
เขาจะมีเวลาถึงขนาดนั้น....หรือเปล่านะ....
TBC
ขอโทษที่ช้านะคะ ช่วงปลายเดือนที่แล้ววุ่นวายมาก :'D
-
เม้นกันไม่ถูก อ่านไปรู้สึกสงสารวาลเซอิยังไงไม่รู้
-
เฮ้ออ
ต่างคนก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง
ไม่รู้ควรจะสงสารใครดี
-
น่าสงสารอะ
-
ตอนที่ 15 ยามเมฆหมอกเคลื่อนคล้อยผ่าน
“ไงเด็ก ๆ ข้ามีของมาฝากด้วยนะ” คัลมาร์โผล่หน้าเข้ามาในบ้านโดยไม่ต้องรอคำอนุญาตจากใคร พร้อมคำทักทายและรอยยิ้มพิมพ์ใจที่ดึงให้เด็กทั้งสองวิ่งไปต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มวางกระต่ายสองตัวลงบนโต๊ะแล้วอุ้มเด็กชายหญิงขึ้นมาในอ้อมแขนด้วยกำลังที่ดูไม่สมกับร่างกายเลยแม้แต่น้อย “วันนี้คุณเทวดาอีกคนไปไหนเสียล่ะ? พี่ชายของพวกเจ้าด้วย”
“พี่ออกไปข้างนอกค่ะ ท่าทางโมโหมาก ๆ เลย” แอนน์รีบตอบก่อนตามประสาเด็กที่ชอบแย่งชิงการเป็นที่เอ็นดูรักใคร่
“คุณเทพผู้พิทักษ์ยังนอนอยู่เลยครับ แถมไม่ยอมให้ใครเข้าไปรบกวนด้วย” อเลนพูดขึ้นมาบ้างก่อนที่น้องสาวตัวเองจะแย่งตอบเสียหมด
“อย่างนั้นเอง เช่นนั้นเอาอย่างนี้ บังเอิญข้าพบลูกกระต่ายตัวหนึ่งบาดเจ็บอยู่เลยนำกลับมาด้วย” ว่าแล้วคัลมาร์ก็วางเด็ก ๆ ลงก่อนช้อนกระต่ายตัวเล็กกว่าฝ่ามือออกมาจากใต้อกเสื้อ “ทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาอาบกับอาหารให้มันเสียหน่อย และหาที่นอนอุ่น ๆ ให้มันล่ะ?”
ทั้งอเลนและแอนน์ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์มาก่อนจึงตื่นเต้นดีใจมากที่มีสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า
“เบามือกับมันหน่อย มันยังอ่อนแอ” ชายหนุ่มหัวเราะเมื่อเห็นเด็ก ๆ มองมันตาวาวเป็นประกาย เขาส่งลูกกระต่ายในมือให้อเลนประคองด้วยฝ่ามือทั้งสองข้าง “ไปกันได้แล้ว ข้าจะไปดูคุณเทวดาเสียหน่อย”
เด็กทั้งสองรับคำก่อนพากันวิ่งไปทางด้านหลังบ้าน คัลมาร์ไหวไหล่นึกขำเด็กมนุษย์และอดคิดถึงสมัยวาลเซอิคยังเล็กไม่ได้ ถึงอย่างนั้นตอนนี้เด็กคนที่ว่าก็ตัวโตเหมือนกับหมีไปแล้ว ชายหนุ่มเลิกคิดเรื่องอดีตและเดินขึ้นไปหาฝาแฝดของตนเองที่ควรจะตื่นได้แล้ว
“คัลดิช เจ้านอนท่าแปลกขึ้นหรือเปล่า?” ตอนเขาไปถึงห้องและเปิดเข้าไปเห็นอีกฝ่ายกำลังนอนคุดคู้เอาหมอนปิดศีรษะแล้วคลุมโปงจนมิดนั้น เขาก็เกือบจะขำพรวดออกมาแต่ก็รีบยังเอาไว้และเดินเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงปกติของตนเอง
“พูดมากจริง...” คัลดิชเปิดหมอนขึ้นมาด้วยสภาพเหมือนคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ แต่เจ้าตัวก็ยอมสลัดผ้าห่มและลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับที่คัลมาร์หย่อนตัวลงข้าง ๆ “ช้าคิดว่า...บางทีข้าอาจจะรู้แล้วก็ได้ ว่าทำไมนางจึงเลือกที่นั่นเป็นลานล่า”
“เร็วกว่าที่ข้าคิดเสียอีก เจ้าเจอนางหรือเหยื่อของนางโดยบังเอิญหรือ?” คัลมาร์เลิกคิ้ว
“เปล่าเลย แต่ว่า....” คัลดิชมองไปรอบห้อง “จริงสิ เมื่อตอนกลางวันข้าถูกรบกวนจนนอนแทบไม่ได้”
“มิน่าล่ะเจ้าถึงได้ดูเพลียนัก” ฝ่ายแฝดที่ได้นอนอย่างเพียงพอแล้วหัวเราะออกมาก่อนจะเงียบไปครู่หนึ่งและกวาดสายตาไปรอบตัวเหมือนกำลังจับสัมผัสบางสิ่งอยู่ “เจ้าโดนเด็ก ๆ รบกวนสินะ? น่าแปลก ปกติแล้วเด็กสองคนนั้นจะไม่มาที่ห้องนี้ไม่ใช่หรือ?” คัลมาร์ทักเพราะรู้สึกถึงกลิ่นอายอย่างบางเบาของเด็กสองคนที่ตนเพิ่งพบเมื่อครู่ปะปนอยู่กับกลิ่นอายของอัลเรสผู้เป็นเจ้าของ แต่ก็เจือจางจนแทบจับไม่ได้เพราะเป็นการมาเยือนเพียงครั้งเดียวและชั่วครู่เดียวเท่านั้น หากข้ามคืนนี้ไปก็คงไม่หลงเหลือหลักฐานใด ๆ แล้ว
“จริง ๆ แล้วเจ้ามนุษย์ยักษ์ต่างหากที่รบกวนข้ามากที่สุด แต่ทำไมเจ้าถึงรู้ได้ล่ะว่าเด็กสองคนนั้นมาที่ห้องนี้ก่อนเจ้าจะมา”
“ไม่เห็นแปลกไม่ใช่หรือ ก็....” ก่อนคัลมาร์จะตอบจบประโยคก็ชะงักไป และไม่นานก็หัวเราะออกมา “ว่ากันว่าดวงตาไม่เห็นสิ่งที่อยู่ปลายจมูกคงจะจริง”
“เพราะมันเป็นธรรมชาติของพวกเราที่อยู่กับมันจนเหมือนส่วนหนึ่งของชีวิตจึงไม่ทันได้สังเกต” คัลดิชยกนิ้วแตะบนปลายจมูก มันอาจจะไม่ได้รู้สึกด้วยต่อมรับกลิ่นโดยตรงเพราะสัมผัสของพวกเขานั้นคล้ายสัตว์เสียมากกว่า จึงเรียกได้อีกอย่างว่าเป็นสัญชาตญาณ “ประสาทสัมผัสที่รู้สึกถึงกระทั่งรูปแบบอารมณ์ กลิ่นอายเฉพาะของผู้คน และที่นั่น....ก่อนหน้านี้มีกลิ่นอายของวาลเซอิคอยู่เต็มไปหมด ถึงตอนนี้จะจางหายไปแล้วก็ตาม แต่ตอนที่วาลเซอิคเข้าไปในที่นั่น....ริเรียก็ตามเขาไปเช่นกันและทำร้ายคนที่มีกลิ่นกายของเขาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง....”
คัลมาร์มองหน้าฝาแฝดตนเองอยู่ชั่วครู่ พลางสงสัยว่าเซเอลจะคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ระยะนี้นายของพวกเขาทำตัวแปลกพอสมควร เหมือนจะสนใจแต่ก็ไม่ได้สนใจ เหมือนว่าฝ่ายนั้นกำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่เสียมากกว่า คำตอบที่คัลดิชค้นพบ...จะใช่สิ่งที่เฝ้ารออยู่หรือไม่นะ?
“แล้วอัลเรสไปไหนเสียล่ะ? ปกติพอตกค่ำก็จะกลับมายึดห้องคืนทุกครั้งนี่?”
“เจ้ามนุษย์นั่นคิดว่าข้าปิดบังเรื่องเกี่ยวกับพี่สาวตัวเอง หลังจากออกจากห้องไปข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเขาไปไหนอีก แต่ถ้าให้เดา ตอนนี้คงอยู่ในย่านเริงรมย์ล่ะมั้ง?”
“ที่เขาคิดก็ไม่ได้ผิดนักไม่ใช่หรือ? พี่สาวของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่อาจเกี่ยวกับริเรีย เจ้าน่าจะบอกเขานะ” คัลมาร์แนะนำอย่างไม่จริงจังนัก
“เสียเวลาเปล่า เป็นแค่มนุษย์ถึงจะรู้เรื่องพวกนี้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ประสาทสัมผัสก็ทื่อเสียขนาดนั้น นักล่ามาจ่อคมเขี้ยวอยู่ข้างคอยังไม่รู้สึกตัวเลย”
“แปลว่าเจ้าจ่อคมเขี้ยวข้างคอเขาบ่อยงั้นสิ?”
คัลดิชฟังแล้วพ่นลมหายใจพรืด
“การอยู่ใกล้มนุษย์ตลอดเวลามันห้ามใจง่ายเสียที่ไหน” เขาพยายามจะไม่เข้าใกล้พวกเด็ก ๆ เพื่อรักษาสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเด็กพวกนั้น แน่นอนว่ามันไม่ได้แตกต่างจากสมัยที่วาลเซอิคมาอยู่ที่ปราสาทใหม่ ๆ ที่พวกเขาต้องหักห้ามใจจะไม่ทำตามสัญชาตญาณ แต่สำหรับอัลเรสค่อนข้างต่างกัน เพราะถึงเขาจะพยายามอยู่ห่าง ๆ มนุษย์คนนั้น แต่เจ้านั่นก็ยังชอบมาตามเกาะเขาเหมือนกับปลิงตัวยักษ์เพราะกลัวเขาจะไปทำอะไรนอกสายตาเข้า แบบนี้มันจงใจยั่วให้ตบะแตกเพราะความกระหายชัด ๆ
“เอาเถอะ ข้าเข้าใจ” คัลมาร์ยิ้มขำ “ข้าหวังว่าเจ้าจะได้กลับปราสาทเร็ว ๆ นี้”
“ข้าก็ด้วย”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ บางทีถ้าโชคดี งานของเจ้าคงจบแค่นี้” หลังจากกล่าวลา คัลมาร์ก็โผออกไปทางหน้าต่างทิ้งให้คัลดิชนั่งอยู่เพียงลำพัง
-------------------------------->
ทางด้านอาร์วิน่าที่ถูกสั่งให้มุ่งตรงไปยังสถานที่อีกแห่งนั้น เธอมาถึงจุดหมายด้วยเวลาอันรวดเร็วและต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าสถานที่ซึ่งควรถูกทิ้งให้ร้างกลับมีการปลูกพืชสวนและตกแต่งบ้านให้ดูใหม่ แปลว่ายังมีคนอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้นอย่างแน่นอน
หญิงสาวหลบอยู่หลังแนวต้นไม้ที่ไกล ๆ จนไม่มีใครน่าจะทันสังเกต เพราะหากริเรียซ่อนตัวอยู่ที่นี่ การที่เธอเข้าไปใกล้เกินไปอาจทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวได้ อย่างไรตอนนี้เธอคนนั้นก็กลายเป็นผู้ต้องสาปเหมือนพวกเขาไปแล้ว แม้จะเสียสติแต่ก็มีสัญชาตญาณเป็นเกราะป้องกันตัว หากเธอถูกพบเข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่เสียเปล่า ๆ ซ้ำเรื่องนี้เซเอลก็ออกปากเองว่าจะจัดการด้วยตนเอง เธอไม่มีสิทธิไปก้าวก่าย ทำได้เพียงสังเกตการณ์เท่านั้น
แต่ว่า....มองดูห่าง ๆ อย่างนี้ อีกฝ่ายจะปรากฏตัวออกมาให้เห็นหรือเปล่านะ...
ในขณะที่คิดเช่นนั้น พลันประตูบ้านก็เปิดออก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูนั้นพร้อมกับเทียนเล่มหนึ่ง ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ต้องการให้ใครพลเห็นจึงได้ย่างออกมาด้วยวามระมัดระวัง แต่เดี๋ยวก่อน....รูปร่างนั้นคุ้นตาอยู่ไม่ใช่น้อยเลย....
อาร์วิน่าเพ่งสายตาไปยังเป้าหมาย ยิ่งมองก็ยิ่งใช่....
วาลเซอิค?
เธอคิดว่าเด็กคนนี้จะไปไกลจากที่นี่แล้วเสียอีก ไปตามหาแม่ หรือไม่ก็ไปเริ่มต้นชีวิตของตนเอง แต่ทำไมจึงยังวนเวียนอยู่แถวนี้ ซ้ำยัง...ในบ้านหลังนี้....บ้านที่เซเอลให้ตาแก่ยายแก่สองคนมาอยู่เพื่อเลี้ยงดูในสมัยเด็ก จะเป็นเพราะมีคนมาอาศัยที่นี่แล้วบังเอิญวาลเซอิคมาพบจึงได้ขออาศัยด้วยชั่วคราว หรือวาลเซอิคคือคนที่พบบ้านหลังนี้ว่างอยู่จึงเข้าอาศัยโดยยึดเป็นบ้านของตนเองกันแน่?
แต่หากอยู่คนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนไม่ใช่หรือ?
ท่าทางของวาลเซอิคที่เธอเห็นนั้นไม่ต่างกับคนที่กำลังเกรงว่าจะถูกพบตัว การใช้มือบังแสงเทียนให้ส่องแต่วงแคบ การโค้งตัวต่ำและค่อย ๆ ย่องอย่างช้า ๆ
ทว่า...อยู่ ๆ เด็กหนุ่มคนนั้นก็สะดุ้งตัวตรงก่อนจะหันหลังกลับมาทางประตูบ้านที่ตนเพิ่งออกมา
ที่ตรงนั้น....มีหญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น
ริเรีย?
อาร์วิน่าเบิกตากว้าง ริเรีย...อยู่ที่นี่จริง ๆ หรือ? ซ้ำยังอยู่กับวาลเซอิค เป็นสถานการณ์ที่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดขึ้น คงเพราะก่อนหน้านี้ตัวเธอเองก็ยังไม่แน่ใจกระมัง ว่าริเรียจะยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ แต่หลักฐานที่อยู่ตรงหน้านั้นแน่นหนาเกินกว่าจะปฏิเสธ ถ้าอย่างนั้น...เรื่องที่ผู้หญิงคนนี้คือคนที่ฆ่าพวกมนุษย์ก็อาจจะเป็นความจริงด้วย วาลเซอิค...จะคิดแบบนั้นหรือเปล่านะ หรือเด็กคนนั้นจะไม่รู้จึงได้ยังอยู่ที่นี่และคิดว่าตัวเองได้พบแม่แล้วในที่สุด หรือว่า...จะหนีไปไม่ได้?
เหตุที่อาร์วิน่าคิดข้อหลังขึ้นมานั้นเพราะท่าทางที่วาลเซอิคแสดงออกต่อหน้าริเรีย
เขาดูหวั่นเกรงและพยายามต่อต้านเมื่อริเรียเดินเข้าไปใกล้
....
หญิงสาวผมแดงมุ่นคิ้วทันทีเมื่อภาพที่เธอเห็นเปลี่ยนบรรยากาศไปอย่างกะทันหัน
ริเรีย...เดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นที่ทำท่าลับ ๆ ล่อ ๆ ในตอนแรกเหมือนวาลเซอิคจะพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนาเสียด้วยซ้ำไป แต่เมื่อริเรียมาถึงตัว เจ้าเด็กคนนั้นกลับกอดอีกฝ่ายและลูบผมเหมือนกำลังปลอบโยน นั่นมัน....เป็นกิริยาที่ลูกแสดงต่อแม่แน่หรือ?
เธออาจจะห่างไกลความเป็นมนุษย์มานานแล้ว แต่ว่าเท่าที่จำได้ ท่วงท่ากิริยาแบบนั้นน่าเป็นการแสดงออกของคนรักเสียมากกว่า...
มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่....
แต่อย่างไรก็ตาม...เธอก็รู้แน่แล้วว่าที่นี่คือที่อาศัยของริเรีย ที่ ๆ ริเรียซ่อนตัวจากสายตาของเซเอลมาโดยตลอด บางทีเธอคนนั้นคงรู้ว่าพลังของเซเอลกำลังอ่อนแอลงและไม่มีทางพบตนเองได้แม้จะอยู่ใกล้อาณาเขตเสียขนาดนี้ อาจจะเหมือนการหักหน้า...แต่ในอีกแง่หนึ่ง ริเรียอาจจะเพียงแค่ทำตามสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดเท่านั้น เพราะเธอไม่สามารถเข้าไปอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ เข้าไปในป่าซึ่งเป็นที่ของเซเอลก็ไม่ได้ ที่นี่จึงเป็นสถานที่เดียวที่ริเรียจะอยู่ได้โดยไม่มีใครพบเห็น สถานที่ซึ่งมีกลิ่นอายของลูกชายอันเป็นที่รัก ที่ ๆ เธอเคยเฝ้าดูลูกชายตัวน้อยค่อย ๆ เจริญเติบโตขึ้นด้วยการอุ้มชูของบุคคลอื่น....
หญิงสาวผละตัวจากแนวต้นไม้ที่ซ่อนกาย
เธอเห็นมากพอแล้ว...และดูเหมือนวาลเซอิคจะไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต ดังนั้นเธอเองก็ต้องทำตามหน้าที่ของตนเช่นกัน
อาร์วิน่าค่อย ๆ ถอยห่างออกมาอย่างช้า ๆ เพื่อที่จะไม่มีใครบังเอิญสังเกตถึงการมีอยู่ของเธอ และค่อย ๆ กลืนร่างกายหายไปกับความมืดของยามราตรี
นายท่านกำลังเฝ้ารอคำตอบของเธออยู่...
----------------------------->
-
เอลยาจะเป็นยังไงบ้างนะ?
วาลเซอิคอดเป็นห่วงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อตกค่ำอากาศก็จะเย็นชื้น เอลยาอยู่ในห้องใต้ดินซึ่งมีแต่เสื้อผ้าเนื้อบางห่อหุ้มร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้น...เขาก็คงจะออกไปหาเธออย่างเปิดเผยไม่ได้ เพราะตาของเขาดูจะหวาดระแวงในเรื่องนี้มาก เมื่อกลางวัน เขาถูกบังคับให้เอ่ยคำสัญญาว่าจะไม่พูดถึงเรื่องที่ตนเองรู้เกี่ยวกับริเรียและเอลยา รวมถึงไม่ลงไปที่ห้องใต้ดินด้วย
‘ผมจะ...ทำให้ดีที่สุด’
เขาจำได้ว่าตนเองพูดไปอย่างนั้นเพื่อให้ชายชราเบาใจลง แต่ว่า....เอลยาจะไม่เป็นอะไรแน่หรือ? คุณตา...ไม่ได้บอกเลยสักคำว่าจะปล่อยเอลยาไปเมื่อไหร่ บางที....อาจจะขังเอาไว้อย่างนั้นตลอดชีวิตก็ได้ เพราะเอลยารู้เรื่องของริเรียแล้ว...
บ้าจริง....
วาลเซอิคนอนไม่หลับและเอาแต่พลิกไปมาบนเตียงอย่างร้อนใจ
ไม่คิดเลยว่าการได้พบแม่จะนำไปสู่เรื่องที่เหนือความคาดหมายถึงขนาดนี้ ทั้งที่ตอนแรก...เขาแค่วางแผนเอาไว้ว่าเมื่อพบแม่ก็จะพากลับไปหาเซเอล...ก็เท่านั้น แค่อยากจะให้เซเอลมีความสุขและเห็นว่าเขาเองก็มีค่า และอย่างน้อย...เขาก็ได้พบกับครอบครัว แต่ว่า...ทุกอย่างก็ผิดแผนไปหมด แม่ของเขากลายเป็นลูกของตากับยายที่เลี้ยงเขามาซ้ำยังแอบซ่อนตัวอยู่ที่นี่นานมาแล้ว และ....เป็นฆาตกร...ฆาตกรที่ฆ่าพวกคนในหมู่บ้านอย่างเลือดเย็น แล้วยังลักพาตัวเอลยา มาที่นี่เพื่อ...
เพื่ออะไรกันล่ะ...
เอลยากำลังท้องอยู่จริง ๆ หรือ?
ถ้าอย่างนั้นแม่ของเขาก็กำลังเข้าใจผิดว่าสิ่งที่อยู่ในท้องของเอลยาคือตัวเขาหรือเปล่า? คิดว่า...เด็กน้อยคนนั้นจะเกิดมาเป็นลูกของตนเองอีกครั้ง...ในครรภ์ของหญิงคนอื่น...
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เอลยายังมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ถูกฆ่าเหมือนกับคนอื่น ๆ แต่นั่นก็หมายความว่าเอลยาจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันที่เด็กคนนั้นเกิด...หลังจากนั้นแม่ของเขาคงไม่เก็บเธอไว้อีกต่อไป และเอลยาก็จะถูกฆ่า....
วาลเซอิคทึ้งผมตัวเองเมื่อคิดเรื่องเลวร้ายออกมา
ไม่...เอลยายังมีทางรอดอยู่ เขาอยู่ที่นี่แล้วและต้องหาทางช่วยเธอให้ได้ เพราะเซเอลเคยพูดกับเขาครั้งหนึ่งว่า โชคชะตาเป็นเพียงเส้นทางมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเรามีหน้าที่ที่จะต้องเลือกเดินไป และบนเส้นทางเหล่านั้น...มันจะมอบบททดสอบให้แก่เรา ตอนนี้เขาได้เลือกเดินมาที่นี่และมีทางเลือกว่าจะปล่อยไปเฉย ๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น หรือว่า...พยายามที่จะช่วยเอลยาออกมา และนั่นคือบททดสอบ...
ดวงตาสีเขียวของเด็กหนุ่มมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงจันทร์คืนนี้หม่นมัวเหลือเพียงเสี้ยวเล็ก ๆ ที่กำลังจะถูกกลืนหายไป
เอลยาที่ต้องตกอยู่ในความมืด....ต้องกลัวมากแน่ ๆ
เพราะไม่อาจนิ่งดูดายต่อไปได้วาลเซอิคจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและคว้าเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากลิ้นชักใกล้ ๆ เชิงเทียนวางอยู่ไม่ไกลมือนัก รวมถึงไม้ขีดจุดไฟด้วย
วาลเซอิคเปิดตู้หยิบเอาผ้าห่มออกมา ความจริงแล้วมันถูกเตรียมไว้ให้เขาผลัดเผลี่ยนเมื่ออากาศเย็นลงกว่าปกติ แต่คืนนี้เอลยาคงต้องการมันมากกว่าเขา
เมื่อทุกอย่างพร้อมในมือ วาลเซอิคก็ย่องออกจากห้องเพื่อไม่ให้ตากับยายได้ยินเสียงและตื่นขึ้นมา เขาลงไปข้างล่างซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ริเรียซึ่งกลายเป็นผู้ต้องสาปเมื่อตกค่ำมักจะออกไปเดินเล่นข้างนอกหลังจากกินเลือดที่ถูกเตรียมเป็นมื้อเย็นเรียบร้อย
เด็กหนุ่มจุดเทียนอย่างระมัดระวังและหย่อนไม้ขีดลงในกระเป๋ากางเกงรวมถึงเศษไม้ขีดที่ใช้แล้วเพื่อไม่ให้เหลือเป็นหลักฐาน ก่อนจะค่อย ๆ ย่องออกมาจากบ้านด้วยความเงียบ ลมเย็นพัดวูบผ่านไปทำให้รู้สึกสะท้าน เขารีบยกมือป้องแสงเทียนด้วยเกรงว่ามันจะถูกพัดลม แต่ลมก็พัดเพียงวูบเดียวก่อนจะสงบอีกครั้ง ค่ำคืนนี้เงียบสนิทจนน่ากลัวแต่มันกลับทำให้เขานึกถึงบรรยากาศในปราสาทที่มักจะมืดมิดและเงียบงันแทบตลอดเวลา ไม่มีเสียงสิ่งมีชีวิตอื่นใดนอกจากพวกเขาเท่านั้น
เขาสลัดความคิดนั้นออกไปชั่วคราว การไปหาเอลยาสำคัญกว่า และต้องทำอย่างรวดเร็วก่อนที่ริเรียจะกลับมาจากการเดินเล่น
ทว่า....
“วาเลซ”
วาลเซอิคสะดุ้งเฮือกก่อนยืดตัวตรงหันกลับไปมองต้นเสียงที่มาจากด้านหลังของตนเอง
ริเรีย.....แม่!?
“กำลังจะไปไหนหรือ?” ริเรียเอ่ยถามแล้วค่อย ๆ เดินเข้ามาหา เท้าของเธอเปลือยเปล่าเหมือนว่าเพิ่งออกมาจากบ้านเมื่อครู่นี้
“ข้ากำลังจะ....เอ่อ.....แถว ๆ นี้.....” เด็กหนุ่มมองไปรอบตัว ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างยังไงมาตอบได้ และริเรียก็กำลังสาวเท้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เธอเหลือบสายตามองผ้าในมือของเขาและมองเทียนในมืออีกข้าง ดวงตาของเธอที่จ้องมองมา....บ่งบอกว่าเขาไม่อาจโกหกได้...
“วาเลซ...เจ้าเกลียดข้าหรือ?”
“เอ๋....ไม่ ไม่เลย ข้าไม่ได้เกลียด...”
“ถ้าอย่างนั้น...ทำไมถึงถอยหนีข้า?”
เพราะริเรียทักอย่างนั้นวาลเซอิคจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองถอยหลังไปทีละน้อยตั้งแต่เมื่อครู่ อาจจะเป็นเพราะสิ่งที่ตาเล่าให้ฟัง...เขาจึงรู้สึกว่า...เขากลัว กลัวจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร เพราะถึงจะรู้สึกกลัว แต่ในใจของเขาก็ยังรู้สึกสงสารในชะตากรรมของผู้หญิงคนนี้ รวมถึงความผูกพันในฐานะลูก หนีไม่ได้...แต่ก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้จนเกินควร เพราะอย่างนั้นมันจึงแสดงออกมาด้วยท่าทางจนริเรียรู้สึกผิดสังเกต
“ข้าแค่....” ในเวลาอย่างนี้เขาควรจะพูดยังไงดีนะ....
ในขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้น หญิงสาวก็ก้าวเข้ามาถึงตัวแล้ว
วาลเซอิครู้สึกว่าถึงตนเองจะแก้ตัวอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ มีแต่จะแสดงพิรุธมากขึ้นเท่านั้น เด็กหนุ่มจึงสูดหายใจเฮือกแล้วดึงริเรียเข้ามากอดในอ้อมแขน เท่าที่เขาสังเกตมา ริเรียจะมีความสุขเมื่ออยู่ใกล้เขา และได้สัมผัสกัน โดยปกติริเรียจะกอดเขาอยู่ฝ่ายเดียว ครั้งนี้จึงต้องสลับหน้าที่บ้างเพื่อที่หญิงสาวจะลืมเรื่องที่กำลังจับผิดเขาอยู่เมื่อครู่นี้ และดูเหมือนว่า...มันจะได้ผล
ริเรียไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และซบบนอกเขาอยู่เงียบ ๆ เมื่อเขาก้มลงไปมอง เขาก็เห็นว่าเธอกำลังหลับตาและยิ้มอย่างมีความสุข
วาลเซอิคเม้มริมฝีปากเข้าหากัน...ในฐานะวาเลซของเขา สิ่งที่เขาทำอยู่นี้คงจะเป็นเสมือนการมอบความฝันที่ดีให้กับเธอกระมัง...
แต่ว่า...เขาคงไม่สามารถเป็นแค่ความฝันให้กับริเรียไปเรื่อย ๆ แบบนี้ได้
“ริเรีย...”
“อะไรหรือ?”
“ข้าอยาก...เห็นลูกของเราอีกสักครั้งได้ไหม?”
หญิงสาวเงยหน้ามองเขาด้วยดวงตาว่างเปล่าก่อนยิ้มออกมา
“ได้สิ” หลังจากตอบรับ ริเรียก็ผละจากอ้อมแขนและดึงมือวาลเซอิคไปทางด้านหลังทันที ท่าทางของเธอเหมือนกำลังดีใจและมีความสุขเป็นอย่างมาก วาลเซอิคได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่อีกฝ่ายไม่ได้เกิดสงสัยอะไรขึ้นมา ในตอนแรกเขาคิดว่าอยากจะไปโดยไม่ให้ริเรียรู้ แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นอย่างนี้ไปแล้วก็มีแต่จะต้องพาริเรียไปด้วยกันเท่านั้นเพื่อที่จะไม่เกิดปัญหาตามมาทีหลัง
พวกเขามาที่ห้องเก็บของด้านหลังโดยมีเทียนเล่มเดียวนำทาง ริเรียดูเหมือนจะไม่ต้องอาศัยแสงสว่างเพราะดวงตาของเธอก็เหมือนดวงตาของพวกเซเอลที่มองเห็นชัดเจนในความมืดอย่างนี้
ตอนที่ลงไปใต้ดิน ไม่มีเสียงอะไรอยู่ข้างล่างนั่นเลยจนกระทั่งพวกเขาเปิดประตูเข้าไป หูของวาลเซอิคก็แว่วเสียงลมหายใจของคน ๆ หนึ่ง ทำให้เขารู้สึกเบาใจได้ว่าเอลยายังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ถูกกำจัดทิ้งไปหลังจากที่เขามาพบเข้า และแสงเทียนก็ส่องให้เห็นว่าเธอยังคงอยู่ดีแม้สีหน้าของเธอจะซีดเผือดด้วยความกลัวและผมเผ้าไม่ได้ถูกรวบเก็บอย่างสวยงามอย่างเคย
เอลยามองมายังวาลเซอิคเช่นกัน ดวงตาของเธอฉายแววของความหวังขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังพลางดูท่าทีของริเรียไปด้วย เขาลูบบนท้องของเธออย่างที่ริเรียเคยทำเพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขามาที่นี่เพื่อสิ่งที่อยู่ตรงนี้จริง ๆ ก่อนจะหยิบผ้าห่มที่นำมาด้วยขึ้นมาตลบคลุมลงไปบนร่างกายของเอลยาที่ซุกตัวด้วยความหนาว
“ทำแบบนี้เด็กจะได้เกิดมาแข็งแรง ดีไหม?” เขาไม่ลืมหันไปถามริเรีย
“นั่นสินะ ถ้าลูกเกิดมาไม่แข็งแรงคงจะแย่” หญิงสาวยิ้มให้เขาโดยไม่มีความรู้สึกขัดอกขัดใจหรือไม่พึงพอใจแอบแฝงอยู่แต่อย่างใด
“แล้วอาหารของเธอล่ะ?”
ริเรียทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่สักครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบ
“คุณพ่อกับคุณแม่เป็นคนเอามาให้ พวกเขาบอกว่าเป็นอาหารที่ดี เหมาะสมกับคนกำลังตั้งครรภ์”
คำตอบที่ได้รับค่อนข้างน่าพอใจ วาลเซอิคจึงพยักหน้าและบีบมือเอลยาใต้ผ้าห่มแทนการให้สัญญาว่าจะหาทางช่วยเหลือ ซึ่งเอลยาก็บีบตอบกลับมาก่อนค่อย ๆ ปรือตาลงและหลับไปในที่สุด หลายคืนที่ผ่านมา เธอแทบจะข่มตาหลับไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง แต่อย่างน้อยตอนนี้...ตอนที่วาลเซอิคยังอยู่ที่นี่ เธอก็คงจะปลอดภัย เพราะเขาไม่ยอมปล่อยให้เธอเป็นอันตรายแน่นอน
เมื่อเห็นว่าเอลยาหลับไปแล้ว วาลเซอิคจึงลุกขึ้นและหมุนตัวกลับมาหาแม่ของตน เขาจับมือเธอเพื่อให้ริเรียรู้สึกว่าเขาใส่ใจเธอมากกว่าอีกคนหนึ่ง
“ข้าเริ่มง่วงแล้วสิ พวกเรากลับเข้าบ้านกันเถอะ”
ริเรียยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร...
ในที่สุดภารกิจในการนำผ้าห่มไปให้เอลยาก็ลุล่วง วาลเซอิคปล่อยริเรียไว้ข้างล่างและทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยใจที่สบายขึ้นหนึ่งเปราะ
จากการสอบถามริเรีย ดูเหมือนว่าตาและยายจะดูแลเอลยาอย่างดีกว่าที่คิดไว้ ทั้งให้อาหารที่ดีที่สุดและให้สามเวลา นำเสื้อผ้าไปให้ผลัดเปลี่ยนทุกวัน ทั้งยังมีน้ำให้อาบและทำธุระส่วนตัวเสมอ เรียกว่านอกจากอิสระแล้วเอลยาไม่มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องในด้านกายภาพเลยในตอนนี้
กระนั้นจิตใจของเธอที่ต้องผจญกับความหวาดกลัวและการกักขังก็ทำให้ร่างกายของเธออ่อนแอลง เขาเห็นได้จากร่างกายที่ซูบผอมของเธอทั้งที่ผ่านมาเพียงไม่กี่วันนับจากพบกันครั้งสุดท้าย ใบหน้าของเอลยามีแต่ความอ่อนล้าและสิ้นหวัง
อยู่ ๆ เขาก็คิดถึงเซเอลขึ้นมา...
ในสถานการณ์นี้หากมีเซเอลอยู่ด้วยอาจจะทำอะไรได้มากกว่านี้ เพราะเซเอลมีกำลังมากกว่าเขา เป็นที่ยำเกรงและบุคลิกที่ทรงอำนาจ
นอกจากนี้ยังมีอาร์วิน่า คับดิชและคัลมาร์เป็นผู้ช่วย สามคนนั้นมีฝีมือมากด้านการต่อสู้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ไม่เคยหวาดหวั่น
แต่ว่า....การที่ทำอะไรไม่ได้แล้ววิ่งโร่กลับไปหาเซเอลแบบนั้น เขาเองก็จะเหมือนเด็กที่ไม่ยอมโตเสียที ทั้งที่ตัดสินใจออกมาเผชิญโลกด้วยตัวเองแล้ว จะให้ย้อนกลับไปขอความช่วยเหลือเหมือนครั้งเดิม ๆ ได้หรือ? กลับไปมือเปล่าซ้ำยังนำปัญหาไปให้....แบบนั้นคงไม่มีหน้าพบเซเอลอีกแน่
แต่...ก็อยากพบเหลือเกิน...
คนที่เคยเจอหน้ากันทุกวัน อยู่ด้วยกันทุกวัน อยู่ ๆ ก็ต้องห่างกันไปไกลและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบอีกครั้ง ทั้งที่อยู่ใกล้กันเพียงแค่นี้แท้ ๆ แต่ก็ไปพบไม่ได้
เซเอล...จะคิดถึงเขาบ้างไหมนะ?
-------------------------------------->
อาร์วิน่าและคัลมาร์กลับมาถึงปราสาทแทบจะพร้อมกัน พวกเขาพบกันด้านหน้าก่อนที่จะถึงทางเข้า คัลมาร์มองอาร์วิน่าด้วยความสงสัยว่าอีกฝ่ายไปที่ใดมาแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม ชายหนุ่มละสายตาจากเพื่อนสาวก่อนมองขึ้นไปเหนือประตูบานใหญ่
“เก่าลงอีกแล้วนะ...” เขาเปรยออกมา
“อย่างกับว่าไม่มีคนบำรุมาเป็นร้อยปีได้ล่ะมั้ง” อาร์วิน่าตอบ
“เจ้าว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน....”
หญิงสาวผมแดงมองเพื่อนตนเองก่อนจะเดินเข้าประตูไปก่อน
“คงขึ้นกับนายท่านเองนั่นแหละ”
จากประตูบานนั้น เหนือขึ้นไปมีหน้าต่างอีกบานหนึ่งซึ่งปรากฏภาพของชายหนุ่มเจ้าของปราสาททาบเงาอยู่กับบานกระจก สายตาของเขากำลังทอดออกไปไกล แน่นอนว่าการกลับมาของสองผู้รับใช้นั้นเขารับรู้แล้วซึ่งคำตอบคงจะไม่ไกลไปกว่าที่เขาคิดไว้นัก
ริเรีย...
พวกเรามาจบเรื่องนี้กันเถอะ...
TBC
-
นั่นสิ
อย่าให้มันคาราคาซังอยู่แบบนี้เลย
-
ไม่จริงใช่ไหม
วาลเซอิค จะกลับไม่ทัน เซเอลเหรอออ
TTT___TTT
-
ขอให้เรื่องจบลงด้วยดีนะ
-
เซเวลใกล้ตายแล้วหรอ ไม่น้า :sad4:
ริเรียทำยังไงกลับเป็นเหมือนเดิมล่ะ ทำให้เซเวลบ้างสิจะได้อยู่กะวาลเซอิคนานนาน
แล้วแม่เล้านั่นเกี่ยวอะไรด้ววยนี่ รอตอนต่อไปมาเฉลยดีกว่า :L1:
-
เศร้า
-
เศร้าอ่า เซเอลอย่าเป็นอะไรนะ :sad4:
-
สงสารทุกคนเลยอ่ะ T^T ทั้งเอลยา อัลเรส เซเอล วาลเซอิค คุณตาคุณยายด้วย
สงสัยว่าเอลยาท้องกับใคร วาลเซอิคเหรอ? แล้วเซเอลคิดจะกำจัดริเรียด้วยรึเปล่า (มีแววๆ)
หวังว่าจะไม่จบเศร้านะ เซเอลแลดูเวลาเหลือไม่มาก แต่ก็ดูเหนื่อยกับชีวิตพอสมควร อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ที่ร่างกายค่อยๆเสื่อม เพราะรู้สึกเหมือนเป็นมนุษย์มากขึ้น แต่ก่อนอื่นขอ Happy Living Together ก่อนน้า~
ปอลิง ฮาอัลเรสกับคัลดิช 555 ชอบเวลาอยู่ด้วยกันจัง
-
ขอให้เซเอลไม่เป็นอะไรด้วยเถิดนะ
-
สงสารกันเป้นห่วงโซ่
-
ตอนที่ 16 ดังภาพฝันอันเลือนราง
ดูเหมือนว่าริเรียจะไม่ได้บอกตากับยายเรื่องที่เขาลงไปหาเอลยามาเมื่อคืนนี้ เพราะเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ทั้งสองก็ไม่ได้แสดงอาการที่ผิดแปลกแบบวันก่อนอีกแล้ว กลับกัน มันปกติสุขอย่างไม่น่าเชื่อราวกับว่าเรื่องทุกอย่าง...ทั้งที่เขารู้เรื่องของเอลยา และเรื่องที่ริเรียเป็นฆาตกรไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย ยายลุกขึ้นมาทำอาหาร ตาตื่นมาจัดของก่อนไปทำงาน ริเรยเข้านอนโดยไม่พูดอะไร และเมื่อเสร็จมื้ออาหารเช้า ตาก็ออกไปทำงานในหมู่บ้าน ยายไปทำงานบ้านโดยมีเขาเป็นลูกมือ
ทุกอย่าง....ปกติจนน่าใจหาย....
ราวกับว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน แต่วาลเซอิครู้ดีว่ามันไม่ใช่ ภาพทุกอย่างที่ปรากฏตรงหน้าเขาชัดเจนและสัมผัสได้เกินกว่าจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น....
“วาลเซอิค เหม่ออะไรอยู่น่ะ?” คงเพราะเขาจมจ่อมอยู่กับความคิดมากเกินไป ยายจึงเอ่ยทักด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยและเดินเข้ามาแตะหน้าผาก “ไม่สบายหรือเปล่า? เมื่อคืนค่อนข้างหนาวเสียด้วยสิ” น้ำเสียงและท่าทางนั้นออกมาจากใจจริงอย่างไม่ปิดบัง หญิงชราคนนี้ยังคงเป็นห่วงเขาในฐานะหลานโดยไม่ได้สนใจว่าเขาไปรู้ความลับอะไรเข้า หรือไม่...เธอก็คงทำเป็นไม่สนใจ...
ตอนเช้าหลังมื้ออาหาร ตากับยายมักจะหายไปด้วยกันก่อนที่ตาจะออกไปทำงาน คงจะเอาอาหารไปให้เอลยาที่ห้องใต้ดิน ถ้าอย่างนั้นทั้งสองก็น่าจะเห็น....ผ้าห่มที่เขานำไปให้เอลยาแล้ว แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย และนั่นทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลมากกว่า
“ข้ากำลังคิดว่า...จะออกไปหาสัตว์ใหญ่อื่น ๆ นอกจากกระต่าย กระรอกบ้าง ยายเคยกินเนื้อกวางหรือเปล่า อร่อยไม่ใช่น้อยเลย”
เพราะไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร เขาจึงชวนคุยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับความกังวลของตนเอง
“สมัยที่ตาของหลานยังหนุ่ม ๆ น่ะ ก็ชอบเข้าป่าล่าสัตว์เหมือนกันนะ รู้หรือเปล่า แล้วก็มีของติดไม้ติดมือกลับมาทุกครั้งที่ล่าได้ด้วย” หญิงชราหัวเราะเมื่อคิดถึงสมัยที่ทั้งตนและสามียังแข็งแรง “แต่พออายุมากขึ้นอะไร ๆ มันก็ลำบาก ถ้าพวกเรามีลูกชายด้วยก็คงจะสบายกว่านี้ แต่พวกเราก็ไม่เสียใจหรอกนะที่มีริเรีย”
หรือไม่...ก็มีหลานชายดูแล...
ทั้งสองตอนเลี้ยงเขามาเคยคิดไหมนะว่าพอโตขึ้นจะฝากฝังตัวเองกับหลานคนนี้ มนุษย์ค่อย ๆ แก่ตัวลงทุกวันต่างจากผู้ต้องสาปที่คงเดิมอยู่ตลอดกาล ถ้าหากว่าเขาและริเรียไปอยู่กับเซเอล...ตากับยายก็ต้องอยู่เพียงลำพัง อีกไม่กี่ปีหลังจากนี้....ทั้งสองก็คงจะแทบขยับตัวไม่ไหวแล้ว...ถึงตอนนั้นใครล่ะจะมาดูแล บางทีมันอาจจะดีกว่าก็ได้ถ้าเขาจะพาริเรียกลับไปหาเซเอล และตัวเขาเป็นคนที่อยู่ที่นี่เอง
แบบนั้น...เซเอลก็คงจะมีความสุขด้วย ฝ่ายนั้นคงไม่ถือสาอยู่แล้วว่าแม่ของเขาผ่านอะไรมาบ้าง และเคยฆ่าใครมาบ้าง
เมื่อริเรียไปอยู่กับเซเอลแล้ว เอลยาก็จะปลอดภัยด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรที่เอลยาต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก และตากับยายก็จะปล่อยเธอไป
ก็จะมีความสุข...ด้วยกันทุกฝ่ายสินะ...
วาลเซอิคคิดเช่นนั้นด้วยความขมขื่นในใจลึก ๆ
“ถ้าอยากจะเข้าป่าก็เอาเครื่องมือของตาไปด้วยสิ ไปมือเปล่าหลานคงล้มหมีไม่ได้หรอกนะจ๊ะ” เพราะวาลเซอิคเงียบไปและจมกับความคิดตนเองอีกครั้ง หญิงชราจึงชวนคุยต่อ
“นั่นสินะครับ” วาลเซอิคหัวเราะแหะ ๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไป.....”
ห้องเก็บของ.....
ก่อนที่เด็กหนุ่มจะทันได้พูดคำนั้นออกมา หญิงชราก็คว้ามือของเขาไว้แน่น
“เดี๋ยวยายไปหยิบให้เองดีกว่าจ้ะ” เธอว่าอย่างนั้นก่อนเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเดินผ่านวาลเซอิคไปทางหลังบ้าน
เด็กหนุ่มมองตามหลังอีกฝ่ายไป และก่อนที่เธอจะลับตานั้นเขาก็ตะโกนเรียก
“คุณยาย ถ้า...ถ้าเกิดว่า...” เมื่อหญิงชราหันมาเขาก็อึกอักไปชั่วขณะด้วยความไม่แน่ใจ “ถ้าเกิดว่าข้า...จะอยู่ที่นี่กับตายายตลอดไป....จะดีหรือเปล่า?”
ความเงียบเกิดขึ้นชั่วครู่ระหว่างพวกเขา ก่อนที่หญิงชราและยิ้มกว้างจนตาหยี
“ถ้าหลานอยากอยู่ พวกเราก็จะยินดีมากเลยจ้ะ” หลังกล่าวจบ เธอก็เดินลับตาไปเพื่อไปหยิบอุปกรณ์สำหรับเข้าป่ามาให้แก่หลานชาย
แบบนี้ดีแล้วสินะ...
วาลเซอิคถอนหายใจออกมาหลังจากพูดสิ่งที่เพิ่งคิดเพียงชั่วครู่ออกไป มันอาจจะเหมือนการคิดที่ไม่รอบคอบเพราะเขาแทบไม่เสียเวลาพิจารณามันเลย ถึงอย่างนั้นเมื่อคิดดี ๆ แล้ว เขาก็ยังคงคิดว่ามันคือหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายอยู่ดี
เซเอลได้อยู่กับริเรีย...ซึ่งสักวันคงจะตื่นขึ้นเสียที....
เอลยาได้กลับบ้านและมีชีวิตอยู่อย่างสงบ
ตากับยายที่แก่ชราลงก็จะมีคนดูแล
แล้วหลังจากนั้น.....หลังจากตากับยายจากไปแล้ว เขาจะเป็นยังไงต่อไปนะ คงจะได้พบกับผู้หญิงสักคนที่ทำให้เขาลืมเซเอลได้ แต่งงาน อยู่กินด้วยกัน และแก่ตายแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
วาลเซอิครู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ตนเองคิดเรื่องแบบนั้นออกมา เพราะช่วงที่อยู่กับเซเอลเขาไม่เคยพะวงเรื่องของอนาคตเลยแม้แต่ครั้งเดียว ราวกับว่ากาลเวลาของเขานั้นจะคงอยู่ตลอดไปเหมือนกับผู้ต้องสาปคนอื่น ๆ เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยนึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์ แต่ตอนนี้....เขาก็ตระหนักอย่างชัดเจนถึงความเป็นมนุษย์ที่จะต้องเริ่มคิดถึงช่วงชีวิตในอนาคตของตนเอง
เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้ากว้าง
ช่วงเวลาแห่งความเยาว์วัยของเขา....ได้จบลงแล้วสินะ...
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การก้าวเข้าสู่วัยของผู้ใหญ่จะทำให้รู้สึกเจ็บปวดถึงขนาดนี้....
------------------------------------>
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคิดมากเกินไปหรือเปล่า แต่ในวันนี้วาลเซอิครู้สึกเหนื่อยล้าและอยากพักผ่อนเร็วกว่าปกติ หลังกลับจากป่ามือเปล่าเพราะมัวแต่คิดเรื่อยเปื่อยจนไม่ได้ล่าอะไร เขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีโดยอาหารเย็นฝีมือคุณยายที่มีคุณตากลับมาร่วมโต๊ะเหมือนทุก ๆ วัน
ริเรียตื่นขึ้นมาหลังจากที่เก็บโต๊ะอาหารแล้ว และเหลือแต่แก้วใส่เลือด
“ตื่นแล้วหรือ?” วาลเซอิคเอ่ยทักหญิงสาวตามปกติ และเธอก็ยิ้มรับก่อนเดินไปหาแก้วใส่เลือดและยกจิบราวกับกำลังดื่มน้ำหวาน แต่เพราะรู้ว่าเป็นเลือด....เขาจึงอดรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่ได้ เพราะถึงแม้จะอยู่กับผู้ต้องสาปมานานปี แต่คนในปราสาทก็ไม่เคยดื่มเลือดให้เขาเห็นเลย แต่หลังจากมาอยู่ที่นี่เขาก็เห็นภาพเดิม ๆ ทุกวันก่อนนอน และพยายามทำใจให้ชินในสักวัน
“เจ้าอยากไปเดินเล่นกับข้าหรือเปล่า?” หลังจากดื่มเลือดเสร็จ อยู่ ๆ ริเรียก็เดินเข้ามาเอ่ยชวนเขาทั้งที่ปกติไม่เคยทำ
น่าเสียดายที่วาลเซอิคไม่มีอารมณ์ในวันนี้...
“ขอโทษนะ ข้ารู้สึกไม่ค่อยสบายน่ะ” หลังตอบปัด เด็กหนุ่มคิดว่าตนจะได้เห็นสีหน้าผิดหวังของหญิงสาวผู้เป็นแม่ แต่เธอกลับไม่ได้ทีสีหน้าอย่างนั้น ริเรียเพียงแค่มองเขาด้วยความสงสัยและเลื่อนลอยเหมือนเดิมก่อนที่จะเอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“อย่างนั้นหรือ...”
“แต่ว่า วันหลังข้าจะออกไปด้วย” เพราะไม่อยากให้ริเรียรู้สึกไม่ดีกับการปฏิเสธ เขาจึงสัญญาถึงอนาคตเป็นการทดแทน
ทันใดนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“สัญญานะ วาเลซ”
“.....อืม....ข้าสัญญา....” อย่างไรทั้งเขาและริเรียก็จะต้องอยู่ที่นี่ด้วยกันอีกสักระยะหนึ่ง จะพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ คงมีสักวันที่จะได้ทำตามคำสัญญานั้น วาลเซอิคจึงไม่รู้สึกอะไรกับการออกปากรับคำ เพราะเขามั่นใจว่าตนเองสามารถทำได้แน่นอน
เซเอลเคยพูดกับเขาว่า....คำสัญญาคือตราประทับ เป็นสิ่งที่เมื่อกล่าวแล้วก็จะต้องทำ และเขาก็จดจำคำนั้นขึ้นใจมาโดยตลอด
ตอนนี้เขาก็สัญญากับริเรียแล้ว...ดังนั้นพรุ่งนี้คงต้องพยายามทำใจให้สบายและชวนเธอออกไปเดินเล่นยามค่ำคืนบ้างกระมัง
พอส่งริเรียออกไปเรียบร้อย ก็ถึงเวลาได้พักผ่อน วาลเซอิคบอกราตรีสวัสดิ์ตากับยายที่จ้องมองมายังเขาด้วยสีหน้าแปลกใจระคนห่วงใยเพราะเขาไม่เคยขึ้นนอนก่อนทั้งสองมาก่อนเลย เมื่อคนทั้งสองเอ่ยปากถามไถ่เรื่องสุขภาพ วาลเซอิคก็บอกแค่ว่าตนเองรู้สึกเหนื่อยเท่านั้น โดยอ้างเรื่องที่เข้าไปในป่าแล้วหักโหมกว่าปกติทั้งที่ความจริงแล้วเขาแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้แรงเทียบกับตอนที่เล่นกับคัลดิชและคัลมาร์ไม่ได้ด้วยซ้ำไป แต่ตากับยายก็เชื่อคำของเขาและปล่อยให้ขึ้นนอนโดยไม่ถามอะไรอีก
วาลเซอิคทิ้งตัวลงเตียงพลางถอนหายใจเฮือก
คงเพราะไม่เคยจมอยู่กับความคิดหนักหน่วงมาก่อนกระมัง....จึงได้รู้สึกว่าการคิดอะไรล่วงหน้าไปไกลนั้นเป็นเรื่องที่เหนื่อยเสียยิ่งกว่าการออกกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันไม่ใช่ความคิดที่ทำให้มีความสุข ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ตนเองเหนื่อยใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอีกครั้งก่อนหลับตาลง และปล่อยให้กระแสความคิดไหลผ่านไปกับความเงียบ ถ้าหลับสักตื่นก็คงจะสบายใจขึ้นกระมัง
แต่....การนอนหลับโดยมีเรื่องในหัวไม่ใช่เรื่องง่าย
วาลเซอิคพลิกตัวด้วยความรู้สึกเหมือนที่นอนไม่สบายเหมือนปกติ หมอนก็ทำให้รำคาญ กระทั่งเส้นผมของตัวเองก็ยังรบกวนอารมณ์ได้ ครั้นถีบผ้าห่มออกไปก็หนาว พอห่มก็ไม่สบายตัว กระนั้นบางช่วงเวลาก็ยังเคลิ้ม ๆ อยู่บ้างแต่ก็หลับไม่สนิท และโดยที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้ว หูของเขาก็แว่วเสียงบานหน้าต่างเปิดออก สติที่ล่องลอยทำให้เขาไม่มั่นใจนักว่าเป็นความจริงหรือเพียงคิดไปเอง วาลเซอิคจึงยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ขยับตัวลุกขึ้นมองว่ามีใครเข้ามาจริงหรือไม่
เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่ได้นึกสนใจ เขายังหมกมุ่นอยู่กับความพยายามที่จะข่มตาหลับให้จงได้
จนกระทั่งรู้สึกถึงมือเย็นที่ทาบบนแก้ม....วาลเซอิคจึงปรือตาขึ้นอย่างงุนงงกึ่งหลับกึ่งตื่น
ความมืดและภาพเบลอ ๆ ตรงหน้าทำให้เขาต้องหรี่ตาลงเพื่อเพ่งมองอีกฝ่ายให้ชัด ร่างที่ยืนอยู่ข้างเตียงเขาสวมเสื้อคลุมยาวทำให้ไม่แน่ใจรูปร่างนัก เรือนผมสีอ่อนที่มองเห็นไม่ชัดเจนถูกผูกรวบไปด้านหลัง แสงจันทร์ที่สาดเข้ามาในห้องไม่มากพอที่จะตัดสินอะไรได้สักอย่างเดียว เพราะเสี้ยวของมันกำลังถูกกลืนหายไปเรื่อย ๆ ในแต่ละคืน กระนั้นในสติที่เลือนรางของเขาก็กำลังกระซิบบอกชื่อบุคคลหนึ่ง...
เซเอล....
วาลเซอิคเผลอแค่นยิ้มกับตนเอง
เซเอลน่ะหรือจะมาหาเขา? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก....
“วาลเซอิค”
กระนั้นเสียงเรียบอันเป็นเอกลักษณ์ก็ปลุกให้เจ้าของชื่อมีสติขึ้นมาอีกเล็กน้อย และพยายามลืมตาขึ้นมองคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสติทั้งหมดที่มี
“เซเอล...ทำไม...?”
“ข้าจะมาจะไปที่ไหนจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”
วาลเซอิครีบพยุงตัวลุกขึ้น แม้จะโงนเงนไปบ้างเพราะความง่วงแต่เขาก็ขึ้นมานั่งได้ในที่สุด ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง คราวนี้กลับปรากฏภาพที่ไม่น่าเชื่อขึ้นมาแทนที่ เป็นภาพที่ทำให้เขาเริ่มไม่มั่นใจว่าตนเองตื่นอยู่หรือว่ากำลังนอนหลับลึกเสียจนไม่รู้ว่าฝันกันแน่
เซเอลกำลังปลดผ้าคลุมตนเองออกไป และเมื่อผ้าคลุมไหลเลื่อนลงบนพื้นแล้ว เสื้อนอกก็ถูกดึงออกตามไปด้วย นั่นไม่ใช่วิสัยปกติ เซเอลเป็นคนมีระเบียบวินัยจนน่าอึดอัดในบางครั้ง ดังนั้นเสื้อคลุมจะไม่มีวันถูกถอดกองบนพื้นอย่างนี้เป็นอันขาด
คงเพราะความเคยชินอะไรบางอย่าง วาลเซอิคจึงขยับตัวก้มลงไปเก็บเสื้อคลุมนั้น แต่เขาก็ถูกหยุดด้วยมือของเซเอลที่ยื่นมาจับบ่าไว้
ตอนที่เขามองขึ้นไป....เซเอลกำลังจ้องตอบกลับมาด้วยดวงตาสีเลือดที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมาชัดเจน แต่มันได้ปลุกความหวังอันริบหรี่ในตัวของเขา ราวกับว่าบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ ในดวงตาคู่นั้นกำลังพยายามสื่อสารถ้อยคำบางอย่างกับเขาอยู่....
“นอนลงสิ” เหมือนว่าจะเป็นคำสั่ง....แต่ก็ไม่ใช่ เพราะเซเอลพูดเช่นนั้นพร้อมกับหลุบตาลงคล้ายไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองเพิ่งพูดออกมา
ท่าทางนั้นปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ ร่างโปร่งก็เคลื่อนมายังเตียงและกดให้เด็กหนุ่มนอนราบลงไปด้วยกำลังเพียงเล็กน้อย วาลเซอิคเอนตัวด้วยใจสนเท่ห์ สติของเขาเหมือนจะตื่นขึ้นมาหลายส่วนจนแทบไม่เหลือความง่วงงุนให้เห็น มีแต่เพียงความสงสัยและไม่อาจออกปากถามได้ ด้วยเกรงว่าเมื่อเอ่ยปากแล้วภาพตรงหน้านี้อาจจะมลายหายไปโดยไม่อาจหวนคืน
ปลายนิ้วเย็นแตะบนใบหน้า ตามด้วยริมฝีปากที่เคล้าเคลียอย่างแผ่วเบา วาลเซอิคมองขึ้นไป เห็นดวงตาของเซเอลที่ซ่อนอยู่ใต้แพขนตายาวกำลังแสดงความสะเทิ้นอายออกมา เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมสีเงินที่ปรกลงมาก่อนลูบไปบนพวงแก้มและแนวสันกราม ไม่รู้ว่าเป็นธรรมชาติของผู้ต้องสาปหรือไม่ที่มักมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด แต่สำหรับเซเอล....วาลเซอิครู้สึกถึงมันอย่างชัดเจน และเขาก็ไม่อาจขัดขืนมันได้เลย จากวัยเด็กจนกระทั่งวันนี้...เขายังคงหลงอยู่ในบ่วงที่ไร้ทางออก
ลมหายใจแผ่วเบาพรูจากปลายจมูกประสานกับลมหายใจของอีกคนหนึ่ง ก่อนที่ลมหายใจนั้นจะถูกดูดกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านการจุมพิตที่ค่อย ๆ หนักหน่วงขึ้นทีละน้อย
ทำไม...
เกิดอะไรขึ้น...
คำถามที่วนเวียนอยู่ในใจถูกกลบทับด้วยภาพที่เฝ้าฝันปรารถนามาตลอดชีวิต แม้มันจะเป็นเพียงภาพมายา...ก็ยังคงเต็มใจจะถูกลวงด้วยมายา....
-
กระดุมถูกปลดออก เผยผิวเนื้อขาวซีดที่ชวนให้ทะนุถนอม ร่องรอยที่วาลเซอิคเคยฝากไว้เลือนหายไปหมดแล้ว แต่ก็ปรากฏขึ้นใหม่เมื่อเด็กหนุ่มพรมจูบลงไปทีละจุด
เสื้อขาวเลื่อนไหลจากหัวไหล่ลงไปถึงข้อมือ เซเอลลังเลเล็กน้อยที่จะสลัดมันออกไปแต่เขาก็ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณานานนักเมื่อวาลเซอิคเป็นคนดึงมันออกไปเอง
ไม่บ่อยนักที่เซเอลต้องเปลือยกายต่อหน้าผู้อื่น อาการขัดเขินจึงปรากฏออกมาหลังจากที่เสื้อตัวสุดท้ายหลุดจากร่าง แต่เขาก็ถูกห่มคลุมอีกครั้งด้วยอ้อมแขนแข็งแรงที่มีไออุ่นของมนุษย์ เด็กหนุ่มโอบกอดอีกฝ่ายพร้อมทั้งดึงให้นอนราบลงไปบนเตียงแทนตนและป้อนรสจูบให้อีกครั้งอย่างดูดดื่ม เสื้อของวาลเซอิคถูกถอดออกโดยเจ้าของและลงไปกองบนพื้นเช่นเดียวกับอาภรณ์ชิ้นอื่น ๆ ที่ไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในเวลานี้
ผิวกายร้อนรุ่มเสียดสีจนทำให้ลืมความหนาวเย็นของราตรีไปอย่างสนิทใจ
วาลเซอิคทอดสายตามองไป ก็เห็นริ้วแดงบนผิวแก้มของเซเอลซึ่งชวนให้น่าเอ็นดูจนใจสั่น เขาจูบบนริ้วแดงนั้นและเลื่อนมาบนปลายจมูกพร้อมกับการปลดอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายที่ปกปิดร่างกายของเซเอลจากการสัมผัสของเขา การรุกล้ำลงไปเบื้องล่างทำให้เจ้าของร่างต่อต้านขึ้นมา แม้ไม่ใช่การต่อต้านที่รุนแรงและบ่งบอกถึงการปฏิเสธ แต่วาลเซอิคก็ยังหยุดมือก่อนลูบไล้เรือนกายปลอบโยน
ใช่...เขารู้ว่าครั้งก่อนนี้ไม่ใช่เรื่องน่าจดจำเอาเสียเลย...
แต่ครั้งนี้เขาอยากจะให้เซเอลมีความสุขไปด้วยกัน เด็กหนุ่มจึงยอมระงับอารมณ์ของตนเองและปฏิบัติอย่างอ่อนโยนเท่าที่จะทำได้
ในที่สุดร่างกายของเซเอลก็ผ่อนคลายลง ทำให้วาลเซอิคเริ่มขั้นตอนต่อไป
การปลุกเร้าอย่างเอาใจใส่พาให้อารมณ์ค่อย ๆ ถูกพัดเตลิด ไม่นานเสียงครางแผ่วเบาก็เล็ดรอดจากริมฝีปากที่เพียรจะปิดกลั้นไว้ ภายในร่างกายของเซเอลกำลังตอดรัดเรียกร้องโดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ แต่สิ่งที่วาลเซอิคสัมผัสได้ก็ซื่อตรงยิ่งกว่าคำพูดใด ๆ
“เซเอล...ข้าต้องการท่าน....”
ถ้อยคำบ่งบอกความปรารถนาที่ไม่อาจหักห้ามได้อีกต่อไป เสมือนการเปิดเผยความต้องการออกมาโดยไร้สิ่งใดแฝงเร้นปิดบัง และนั่นเรียกเลือดฝาดบางส่วนขึ้นมาระบายใบหน้าเซเอลจนกลายเป็นสีแดงเรื่อไปถึงใบหู วาลเซอิคไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เห็นสีหน้าแบบนี้จากเซเอลผู้เย็นชา
แต่การที่เซเอลไม่ปฏิเสธ....ก็เป็นการตอบรับ วาลเซอิคจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เขาปลดเปลื้องร่างกายของเซเอลจนเปลือยเปล่าก่อนใช้ร่างกายของตนทาบทับบนเรือนกายขาวซีด และรุกล้ำเข้าไปภายในอย่างช้า ๆ โดยสังเกตอาการของอีกฝ่ายไปด้วย
รอยจุมพิตที่ป้อนให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดช่วงเวลาอันยาวนานที่กกกอดพาให้เคลิ้มฝันจนคล้ายล่องลอย เสียงครวญครางสะท้อนก้องอยู่ข้างใบหูยิ่งกระตุ้นให้อารมณ์โหมแรงไม่ต่างกับไฟที่ราดด้วยน้ำมันดินชั้นดี วาลเซอิคกดอรัดอ้อมแขนไม่ยอมปล่อยเซเอลเลยตลอดเวลาที่ร่างกายเชื่อมต่อถึงกัน ในส่วนลึกในใจของเขายังคงหวาดกลัวว่าหากปล่อยมือแล้วเซเอลก็จะจากไปอีกครั้ง จึงได้เอาแต่พร่ำเรียกชื่อของฝ่ายนั้นซ้ำไปซ้ำมาและครอบครองร่างกายนั้นด้วยอารมณ์หวงแหน
เมื่อความร้อนรุ่มที่ถูกกักขังในร่างกายถูกปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น วาลเซอิคก็คลายอ้อมแขนปล่อยให้เซเอลทิ้งตัวนอนบนเตียงด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
ปอยผมสีเงินแนบกับใบหน้าชื้นเหงื่อถูกไล้ออกไปอย่างเบามือ
สายตาเซเอลที่มองตอบกลับมาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เปลือกตาก็ปิดลงเสียก่อนทำให้วาลเซอิคยอมเอนตัวลงนอนด้วยกัน เขาขยับให้อีกฝ่ายนอนสบายบนเตียงแคบ ๆ และกอดเอาไว้เช่นนั้นตลอดคืน
เขารู้สึกว่า...ตัวเองได้หลับไปเพียงไม่นาน ก็เกิดการเคลื่อนไหวจากคนข้างตัวจนต้องลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง
เซเอลกำลังขยับลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ และพยายามจะไม่ให้การขยับของตนเองไปปลุกอีกคนหนึ่งเข้า
“จะไปแล้วหรือ?” ใจของวาลเซอิครู้ดีว่าเซเอลไม่ได้มาที่นี่เพื่ออยู่กับเขา... แต่เหตุผลจะเป็นอะไรนั้นเขาก็ไม่ได้คิดเอาไว้
“ข้ามีธุระต้องไปทำ” ชายหนุ่มแต่งตัวพลางตอบคำถามโดยไม่ได้หันมองอีกฝ่าย
“.....อย่างนั้นเอง...” วาลเซอิคยอมรับว่าเขากำลังรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ไม่สามารถแสดงความเอาแต่ใจออกมาได้ “แล้ว....เราจะได้พบกันอีกหรือเปล่า?”
“บางที อาจจะ...” เซเอลตลบเสื้อนอกขึ้นคลุมแล้วก้มลงหยิบเสื้อคลุมยาวขึ้นมา
ยิ่งเห็นว่าอีกฝ่ายใกล้จะไป วาลเซอิคก็ยิ่งใจไม่ดี เขาลุกขึ้นคว้ามือเซเอลเอาไว้แล้วมองด้วยสายตาเหมือนเด็กที่กำลังจะถูกทิ้งขว้าง
“ข้าไปที่ปราสาทได้ไหม?”
ดวงตาสีเลือดเบือนสบเจ้าของคำถามครู่หนึ่งก่อนจะเลื่อนไปทางอื่น
“มันจะดีกับเจ้ามากกว่าหากไม่กลับไปที่นั่นอีก” คำพูดของเซเอลเป็นมากกว่าการปฏิเสธ แต่เหมือนการห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้เขากลับไป วาลเซอิคได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความสับสน ไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าทำไมจึงมาที่นี่ มาหาเขา...เหมือนให้ความหวังแล้วก็จากไปโดยไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลย แม้แต่เศษเสี้ยวของความคาดหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ยังไม่ยอมให้เขาเก็บเอาไว้
เซเอลดึงมือตนเองออกจากการครอบครองของวาลเซอิค แต่กลับถูกจับแน่นขึ้นอย่างกะทันหัน
“มีอะไรอีกหรือ?”
เด็กหนุ่มเม้มปากอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“ริเรีย....ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
แบบนี้ดีแล้วสินะ....เซเอลคงแค่อยากให้เขาตัดใจได้จึงทำสิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นมันคงจะดีแล้ว...ที่เขาจะมอบสิ่งที่เซเอลต้องการด้วยเหมือนกัน....
“บางที....คงจะเดินเล่นอยู่แถว ๆ นี้ ถ้าท่านรออีกสักพักก็น่าจะพบกัน”
“อืม...”
เอ๋?
วาลเซอิคเงยหน้ามองเซเอลที่ตอบรับเพียงสั้น ๆ และไม่มีอารมณ์ใดในน้ำเสียง ราวกับว่าเซเอลไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยสักนิดเดียวหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาไว้อยู่แล้วจึงไม่แสดงความแปลกใจออกมา
ในที่สุด เขาก็จำต้องปล่อยให้เซเอลดึงมือออกมาเพราะไม่สามารถหาอะไรมารั้งได้อีก แต่คงเป็นเพราะท่าทางผิดหวังอย่างรุนแรงของเขา เซเอลจึงเดินเข้ามาหาอีกครั้งก่อนก้มลงจูบบนหน้าผากและถอยห่างไปทางหน้าต่างที่ยังปิดสนิทอยู่
“ลาก่อน”
นั่นเป็นคำลา....ตลอดกาลหรือเปล่า?
วาลเซอิคได้แต่คิดในใจโดยไม่ได้ถามออกไปเช่นเดียวกับคำถามอื่น ๆ ตลอดค่ำคืนนั้น
------------------------------>
ดวงจันทร์เสี้ยวบางเหมือนเสี้ยวของคมดาบประดับบนฟ้าที่เต็มไปด้วยแสงดาว ถึงแม้จะสวยงามแต่สำหรับคนที่ได้เห็นมันอยู่ตลอดช่วงหลายร้อยปีมันก็เป็นภาพเก่า ๆ ที่วนกลับมาในทุก ๆ เดือนจนไม่เหลืออะไรให้อัศจรรย์ใจไปมากกว่าที่เห็นได้อีก
คัลดิชถอนหายใจเฮือกขณะมองภาพนั้น...
หลังจากรายงานไปแล้ว คัลมาร์ก็หายไปเลยโดยไม่มีคำสั่งเรียกตัวกลับมาถึงเขา มันแปลว่านั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เซเอลต้องการหรือเปล่านะ?
ระหว่างที่กำลังขัดอกขัดใจอยู่นั้น ก็มีถ้วยใส่น้ำใบหนึ่งยื่นมาจากด้านหลัง ดัลดิชหันมองถ้วยน้ำที่ทำจากไม้ เนื้อสากเป็นวัสดุที่พวกชาวบ้านใช้ใส่เครื่องดื่มแต่ไม่ใช่สิ่งที่น่าพิสมัยสำหรับคนอย่างเขา เพราะนอกจากจะระคายปากตอนดื่มแล้ว ขนาดยังไม่เหมาะมืออีกต่างหาก ถึงอย่างนั้นเขาก็จำต้องใช้มันตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่เพราะฐานะของอัลเรสไม่ได้ดีถึงขนาดจะซื้อภาชนะทองเหลืองได้ และดูเหมือนว่า...แก้วใบนี้จะเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยถาวรเพราะใช้บรรจุเลือดจนล้างกลิ่นไม่ออก
ชายหนุ่มหันไปรับจากมือของเจ้าของบ้านก่อนก้มมองของเหลวสีแดงคล้ำในนั้น
วันนี้เขาไม่ได้ออกไปล่าตัวอะไรเป็นอาหาร ซ้ำคัลมาร์ก็ไม่ได้มาเยี่ยม แล้วอัลเรสเอาเลือดจากไหนมาให้เขาดื่มกันนะ?
“ไม่ใช่เลือดของข้าหรอกน่า” อัลเรสรีบบอกแล้วนั่งลงข้าง ๆ “ไม่ใช่ของแอนน์กับอเลนด้วย”
“แล้วเป็นน้ำมะเขือเทศหรือยังไงกัน”
ชายหนุ่มร่างใหญ่หน้าหงิกใส่ทันที
“ไก่ต่างหาก บ้านที่ข้าไปทำงานให้มาเป็นสินน้ำใจ”
คัลดิชพยักหน้ารับแล้วดื่มเลือดเข้าไปโดยไม่อิดออด เลือดไก่ก็นับว่าแปลกลิ้นไปอีกแบบ เพราะปกติพวกเขาอาศัยหากินในป่า สัตว์เลี้ยงจำพวกหมู เป็ด ไก่ แมว หมา จึงไม่ได้อยู่ในลิสต์รายการอาหาร แต่ถึงอย่างนั้นเลือดมนุษย์ก็ยังอร่อยลิ้นกว่าอยู่ดี
“วันนี้เจ้าซึมผิดปกตินะ กินอะไรผิดสำแดงเข้าไปหรือไง?” หลังจากคัลดิชดื่มเลือดเสร็จแล้ว อัลเรสก็รับถ้วยกลับมาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใกล้เคียงกับความห่วงใยแม้แต่น้อย
“ถ้าผิดสำแดงคงเป็นเรื่องที่เจ้าเอาเลือดมาให้ข้าเองมากกว่า” ปกติแล้วเขาจะเป็นคนออกไปหาหรือไม่คัลมาร์ก็นำมาให้ เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่อัลเรสเป็นคนนำเลือดมาถึงที่
“เดี๋ยวก็ใส่ยาพิษให้กินจริง ๆ เสียหรอก” อัลเรสแยกเขี้ยวขู่
“แล้วเจ้าเอาเด็กขึ้นนอนหมดแล้วหรือคุณพ่อลูกอ่อน?” เพราะอัลเรสเป็นคนอารมณ์ร้อนเวลาถูกหยอกเย้ามักจะโมโหหงุดหงิดและโวยวายออกมา ทำให้คัลดิชเริ่มติดนิสัยเสียที่จะเย้าอีกฝ่ายเมื่อมีเวลาว่างหรือตอนที่ตนเองอารมณ์ไม่ดี ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองมักทำให้เขารู้สึกสนุกสมใจ
คงคล้าย ๆ กับการหยอกอาร์วิน่ากระมัง?
คัลดิชคิดเปรียบเทียบคนตรงหน้าตนเองกับหญิงสาวที่เป็นเพื่อนกันมานาน
“พวกนั้นนอนหมดแล้ว และข้าก็ไม่ใช่พ่อด้วย” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กอดอกพลางพ่นลมหายใจแรง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงอยากได้ห้องคืนแล้ว” แต่ในบางครั้ง การเล่นสนุกก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่ คัลดิชลุกขึ้นเตรียมจะสงบศึกและออกไปจากห้องนอนที่ผลัดกันใช้คนละเวลามาหลายวัน อย่างไรถึงนั่งในห้องนี้ต่อก็ทำให้หดหู่เสียเปล่า ๆ ออกไปเดินรับลมข้างนอกคงทำให้เขาปลอดโปร่งขึ้น คัลดิชคิดว่าการที่รู้สึกเหนื่อยหน่ายนี้อาจจะเป็นเพราะการอุดอู้อยู่แต่ในบ้านหรือไม่ก็ออกไปโดยมีอัลเรสคอยคุมแจทุกฝีก้าว ทั้งที่แต่เดิมเขามักจะมีอิสระในการไปไหนมาไหนก็ได้ในอาณาเขตของเซเอล
อัลเรสไม่ได้ห้ามปรามอะไร เพราะเจ้าตัวเองก็อยากจะพักอยู่ แต่เพราะถ้วยใส่เลือดที่หากวางทิ้งไว้จะเหม็นคาวไม่หายทำให้เขาต้องเดินออกมาด้วยกันเพื่อเอาถ้วยไปล้างให้เรียบร้อยเสียก่อน
ทั้งสองเดินลงมาข้างล่างด้วยกันและกำลังจะแยกไปคนละทาง คัลดิชก็กลับมองไปยังประตูหน้านิ่งเหมือนสัมผัสบางอย่างข้างนอกนั้นได้
“เป็นไปไม่ได้น่า...”
“อะไรน่ะ? มีใครมาข้างนอกหรือไง?” อัลเรสถามเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูเลยสักครั้งเดียว แต่เมื่อเขากำลังจะเดินไปดู คัลดิชก็ยกแขนกั้น
“ข้าไปเองดีกว่า” หลังจากพูดออกไปเช่นนั้น เขาก็เดินไปที่ประตูก่อนเปิดออกจึงปรากฏให้เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ด้านนอกวงกบ ซึ่งสวมชุดคลุมยาวอย่างขุนนางชั้นสูงและเรือนผมสีเงินแปลกตา แต่อัลเรสก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างจากคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง และแตกต่างจากคัลดิชหรือคัลมาร์ด้วย หากจะให้อธิบาย...คงเป็นบรรยากาศที่สูงส่งสง่างามกระมัง?
อัลเรสรู้สึกว่าตนเองคงไม่ควรถามอะไรออกไปจึงเดินเข้าไปข้างหลังเพื่อล้างถ้วยอย่างเงียบ ๆ
“นายท่านมาทำอะไรที่นี่?” คัลดิชเอ่ยถามด้วยความสงสัย ไม่นึกว่าคนอย่างเซเอลจะมาหาถึงที่ แต่ท่าทางของเซเอลดูเหนื่อยล้าจนบอกไม่ถูก ซ้ำยัง.....กลิ่นของวาลเซอิค....
“ข้าต้องมาแถวนี้อยู่แล้วจึงแวะมาพบเจ้าเลย” เซเอลกล่าวโดยไม่ได้ก้าวเข้าไปในบ้าน “ที่ผ่านมาเจ้าทำได้ดี และหากเจ้าต้องการ เจ้าจะกลับปราสาทตอนนี้เลยก็ได้ หรือเจ้าอยากได้เวลาเตรียมตัวก่อนข้าก็ไม่ว่าอะไร”
อ้อ...เรื่องนี้เอง...
ใจของคัลดิชแช่มชื่นขึ้น ในที่สุดเขาก็จะได้ไปจากสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นของมนุษย์ที่ยั่วให้น้ำลายสอนี่เสียที และไม่ต้องสู้รบปรบมือกับเสียงเอ็ดตะโรในตอนกลางวันด้วย
“เดี๋ยวก่อน!” คัลดิชชะงักเพราะเสียงห้าม เขาหันไปก็พบอัลเรสกำลังมองมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ “เจ้ายังไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ตามที่ตกลงกันเจ้าต้องหาพี่สาวข้าให้พบก่อนไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เอลยายังไม่กลับมา เจ้าก็ห้ามไปจากที่นี่เด็ดขาด!” พร้อมกับที่พูดจบประโยค อัลเรสก็ก้าวฉับ ๆ เข้ามาคว้าแขนคัลดิชแน่นถึงจะรู้แก่ใจว่าหากอีกฝ่ายออกแรงสักหน่อยเขาก็ต้านไม่อยู่อยู่แล้ว
“เดี๋ยวสิ นั่นข้า...”
เซเอลหรี่ตาลงมองคัลดิชที่หันไปเถียงกับมนุษย์ร่างใหญ่ซึ่งตนเคยพบในป่า
“เจ้าบอกเขาอย่างนั้นหรือ?”
“นายท่าน ข้า....!”
“ใช่! เจ้านี่บอกข้าว่าจะช่วยเรื่องพี่สาวของข้าแลกกับการดื่มเลือดของข้า!” อัลเรสตะโกนขัดโดยไม่สนใจมารยาท ในเมื่อคน ๆ นี้คิดจะผิดสัญญากับเขา เขาก็ต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวเอง คิดว่าเขาต้องเสียเลือดไปกี่แก้วกันเพื่อเจ้าฝาแฝดปีศาจสองคนนี่น่ะ!
“อ้อ....ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงจะยังไปไม่ได้” เซเอลรับคำอย่างเยือกเย็นพลางหันไปมองคัลดิช “หากหญิงมนุษย์คนนั้นกลับมาเมื่อไหร่ เจ้าค่อยไปก็แล้วกัน” อย่างที่รู้กันทุกคนว่าเซเอลไม่เคยพูดอะไรพล่อย ๆ เพราะเป็นคนที่จริงจังกับคำพูดเป็นอย่างมาก ดังนั้น...การที่คัลดิชออกปากสัญญากับอัลเรสไป แม้ไม่ได้จริงจังแต่สำหรับเซเอลแล้วมันคือการให้คำสัญญา
“แต่ว่าถ้าให้ข้าไปช่วย...” คัลดิชพยายามต่อรอง อย่างไรเขาก็มีประโยชน์ในหลาย ๆ ด้านที่นอกเหนือจากการนั่งเฝ้าพวกมนุษย์ไปวัน ๆ
“ข้ามีอาร์วิน่าและคัลมาร์แล้ว เจ้าคอยดูทางนี้เถอะ” หลังจากเซเอลตัดสินใจแล้ว ใครก็คงทำให้เปลี่ยนใจได้ยาก ชายหนุ่มผินหลังจากไปหลังกล่าวจบ ทำให้คัลดิชกัดฟันกรอดและหันไปแยกเขี้ยวใส่เจ้าตัวการทันที
“ข้าจะสูบเลือดเจ้าให้หมดตัว!”
“ฝันไปเถอะ ข้าไม่ให้เจ้าหนีก่อนที่ข้าจะได้พบพี่สาวข้าแน่!”
เสียงโวยวายของมนุษย์และผู้ต้องสาปดังลั่นมาถึงเซเอลที่เดินออกมาได้ไม่ไกลนัก เขาหันไปมองสองคนนั้นชั่วขณะก่อนจะพึมพำออกมา
“ไม่นานนักหรอก...”
TBC
-
โอ้
เซเอลจะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย
น่าเป็นห่วงจัง
-
อยากรู้จังว่าเซเอลคิดอะไรอยู่ อย่าให้เป็นเรื่องร้ายเลยนะ ไม่อยากเศร้าอะ
-
ตอนที่ 17 ความหวาดระแวง
มีความสุขเหลือเกิน....มีความสุขอะไรอย่างนี้...
หญิงสาวหมุนตัวกลางแสงจันทร์พลางร้องเพลงที่เคยได้ยินในวัยเด็ก ปลายเท้าพาร่างกายเคลื่อนไปในแนวป่าที่มีต้นไม้สูงสลับกับพุ่มไม้เตี้ยตลอดทางเดิน แนวป่าซึ่งไร้ผู้คนผ่านไปมานี้คือสถานที่ของเธอ ที่ซึ่งใช้หลบซ่อนตัวตน หากิน และพักผ่อนใจมาแสนนาน เสียงหวีดหวิวในยามค่ำคืนกับสายลมเย็นพัดผ่านใบหน้าพาเรือนผมสีทองปลิวไสวทำให้จิตใจที่หมองมัวกลับแช่มชื่น เสียงหรีดหริ่งเรไรสะท้อนก้องวิเวกวังเวงกลับทำให้ใจสงบอย่างประหลาด และในความสงบนั้น จิตใจของเธอก็กำลังพองโต
สามีที่เสียไป....ลูกรักที่เสียไป...
เธอกำลังจะได้มันคืนมาทั้งหมด...
วาเลซอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ข้างกายของเธอ ชายคนรักที่ถูกพรากจากไปโดยคนเหล่านั้นได้หวนกลับมาแล้วราวกับทุกอย่างเป็นเพียงฝันร้าย และยังลูกของเธอ ลูกชายที่รักประหนึ่งแก้วตาดวงใจซึ่งไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูก็กำลังจะกลับมาสู่อ้อนกอดของเธอเช่นกัน
ริเรียโอบแขนเข้าหาตัวพลางจินตนาการถึงวันที่จะได้โอบอุ้มเด็กคนนั้นอีกครั้ง ในวันนั้นทุกอย่างจะสมบูรณ์แบบ...วันที่เธอได้ครอบครัวอันเป็นที่รักกลับคืนมา
จะไม่ยอมอีกแล้ว...
จะไม่ยอมให้ใครพรากไปอีกแล้ว...
เธอเงยหน้าขึ้น แย้มรอยยิ้มให้กับจันทร์เสี้ยวและดวงดาวพร่างพราย ถ้าหากว่าคืนที่ลูกของเธอเกิดมา ท้องฟ้าสว่างสวยงามได้อย่างนี้ก็คงจะดี แล้วจากนั้น...เธอก็จะเลี้ยงเขาให้เติบโต ก่อนที่จะทำให้คนทั้งสองได้อยู่กับเธอไปตลอดกาล....
เพียงเท่านี้ก็จะไม่มีใครพรากพวกเขาไปได้อีก
ค่อนคืนแล้วที่ริเรียมีความสุขในภวังค์ของตนเองโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้นึกรู้เลยว่ามีใครบางคนเข้าไปในบ้านของเธอโดยไม่ได้รับอนุญาต
จนกระทั่งใกล้รุ่งสาง ริเรียจึงรู้สึกตัวว่าต้องกลับแล้ว แม้เธอจะรู้สึกเศร้าที่ไม่อาจอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับวาเลซได้ แต่เธอก็ไม่อาจขัดขืนธรรมชาติของสิ่งที่ตนเองเป็นได้
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก...
ในเมื่อเธอได้พบกับเขาทุก ๆ วัน ก่อนนอน หลังตื่นนอน เพียงแค่นั้นก็มีมากพอแล้วเมื่อเทียบกับช่วงเวลาอันยาวนานที่ต้องห่างไกลกัน
หญิงสาวยิ้มให้กับตนเองก่อนหมุนตัวไปยังทิศทางกลับบ้าน ขณะก้าวเท้าเดินกลับ เสียงฮัมเพลงอย่างมีความสุขก็ดังแว่วไปตลอดทาง
ทว่า....
มีบางสิ่งบางอย่างกระทบประสาทสัมผัสของเธออย่างไม่คาดคิด เป็นกลิ่นอายของบุคคลอื่นนอกเหนือจากพ่อ แม่ และวาเลซ ไม่ใช่กลิ่นอายของผู้หญิงที่มีลูกของเธออยู่ด้วย แม้จะทำให้นึกถึงใครบางคนในความทรงจำแต่เธอก็ไม่สนใจเพราะมันเป็นสิ่งแปลกปลอมซึ่งเธอไม่ต้องการให้เข้ามาก้าวก่ายชีวิตครอบครัวและคนที่เธอรัก เจ้าของคือใครกัน...ใครที่รุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตซึ่งเป็นของเธอ...
ริเรียเดินตรงไปยังบ้านซึ่งเงียบสนิทไม่มีวี่แววของใครอื่นเลย แต่เธอก็มั่นใจ...มีใครบางคนมาที่นี่และกลับออกไปแล้ว คน ๆ นั้นได้ทิ้งกลิ่นกายอันเข้มข้นไว้ราวกับจงใจให้รู้สึกถึงได้ ซ้ำกลิ่นนั้นยังเข้มข้นมากที่สุดในจุดที่อยู่เหนือศีรษะนี้เอง....
ดวงตาสีเลือดเหลือบมองขึ้นไปอย่างช้า ๆ
หน้าต่างบานหนึ่งอยู่ตรงนั้น ปิดสนิท...ไม่มีแสงไฟจากข้างใน ไม่มีการเคลื่อนไหวของใครบนบานหน้าต่างหรือแม้กระทั่งเงาของเจ้าของห้อง
แต่...นั่นคือห้องของวาเลซ....
แสงอาทิตย์ปรากฏที่ขอบฟ้า เป็นการเตือนให้หญิงสาวรีบกลับสู่การนิทรา
เธอเปิดประตูเข้าไปในบ้านเพื่อหลบหนีแสงที่ทำให้เธอรู้สึกทรมานราวกับถูกแผดเผาจากข้างในร่างกาย เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พ่อของเธอตื่นนอนแล้วและเพิ่งลงมาชั้นล่าง
“กลับมาแล้วหรือ ริเรีย” ชายชรายิ้มทักทายบุตรสาว
“กลับมาแล้วค่ะ คุณพ่อ” ริเรียตอบกลับแล้วยิ้มรับ “วาเลซล่ะคะ?”
“ดูเหมือนจะยังไม่ตื่นนะ แต่อีกสักพักก็ตื่นแล้ว” ผู้เป็นพ่อรู้สึกสงสัยที่ลูกสาวถามถึงวาลเ.อิคเอาเวลาอย่างนี้ ทั้งที่วาลเซอิคจะตื่นช้ากว่าเขาเล็กน้อยเป็นปกติ ซึ่งก็เป็นเวลาก่อนที่ริเรียจะเข้านอนเช่นกัน หรือว่าเธอออกไปพบบางอย่างและอยากจะเล่าอะไรให้ฟังกันนะ?
“ถ้าอย่างนั้น ข้าจะขึ้นไปปลุกเขานะคะ” หญิงสาวไม่ได้สนใจความสงสัยบนใบหน้าของคู่สนทนา เธอเดินผ่านชายชราไปด้วยท่าทางรีบเร่งจนผิดสังเกต และเพียงไม่กี่วินาที เธอก็มาถึงหน้าห้องของวาลเซอิค ประตูไม้ที่ยังดูใหม่ขวางกั้นระหว่างเธอกับคนข้างในไว้อย่างเงียบงัน
ไม่มีเสียงเคาะประตู...
ริเรียเปิดเข้าไปโดยไม่ได้ให้สัญญาณเลยสักครั้งเดียว และภายในห้องนั้นก็ยังมืดสลัว มีร่างของชายคนหนึ่งนอนราบอยู่บนเตียง แต่สิ่งที่น่าแปลกคือเสื้อผ้าของเขากองอยู่ด้านล่าง และบนร่างนั้นก็มีแต่เพียงผ้าห่มคลุมอยู่อย่างหมิ่นเหม่ หากเป็นหญิงสาวทั่วไปเห็นภาพนี้คงหัวใจเต้นระรัวด้วยความเขินอาย แต่ริเรียกลับไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนั้นอยู่แม้แต่น้อย เธอเดินเข้าไปที่เตียง และนั่งลงข้าง ๆ สำรวจกลิ่นอายของใครคนนั้นที่เข้ามาตอนเธอไม่อยู่
“อืม....” วาลเซอิคขยับตัวเพราะรู้สึกว่ามีคนเข้ามานั่งใกล้ ๆ เขาปรือตาขึ้นมองผ่านแสงสลัวรางของยามเช้าตรู่และง่วงงุน
“วาเลซ เมื่อคืนนี้ใครมาหรือ?”
“เอ๋?.....” ถึงแม้จะง่วง แต่เขาก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วเมื่อพบว่าริเรียมาอยู่ข้าง ๆ และถามคำถามที่เขาไม่ควรตอบตามความจริง “ก็ไม่มีนี่”
“เมื่อคืนอากาศเย็น ทำไมถึงถอดเสื้อผ้าอย่างนี้ล่ะ?” เธอถามต่อแล้วหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน เป็นท่าทางเหมือนภรรยาที่เข้ามาเก็บของที่สามีวางทิ้งเรี่ยราดตามปกติ เพียงแต่ปกติแล้ว...ริเรียไม่เคยทำอย่างนี้ ไม่เคยขึ้นมาที่ห้องนี้ด้วยซ้ำไป “แล้ว.....แผลนั่น....” เธอมองไปยังแนวบ่าด้านขวาซึ่งเปื้อยรอยแผลเป็นวงใหญ่คล้ายกับว่าครั้งหนึ่งร่างกายตรงจุดนี้เคยเกิดบาดแผลร้ายแรงขึ้น
วาเลซไม่มีแผลตรงนี้...
ใครเป็นคนทำ.....
“ไม่มีอะไรหรอก แค่...เอ่อ....ก่อนหน้านี้ข้าถูกน้ำร้อนลวกเอา” วาลเซอิคพยายามตอบให้เป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่ทำได้และมองแผลเป็นที่เกิดมาก่อนตนเองจะจำความได้ “แต่ตอนนี้ข้าหายดีแล้วเห็นไหม” เขายกแขนขึ้นลงให้อีกฝ่ายดูว่าบาดแผลนี้ไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตในปัจจุบันขงเขาเลยแม้แต่น้อยเพื่อให้ริเรียเลิกใส่ใจมัน
แต่แทนที่อีกฝ่ายจะเลิกสนใจตามคาด เธอกลับขยับเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้นก่อนเอนตัวลงซุกใบหน้ากับแผงอกกว้างที่มีกล้ามเนื้ออยู่เล็กน้อยตามแบบของเด็กหนุ่มที่กำลังโต อ้อมแขนบอบบางปล่อยจากเสื้อผ้ามาโอบกอดรอบตัววาลเซอิคหลวม ๆ
“ม...มีอะไรหรือ?” ด้วยเกรงว่าริเรียจะระแคะระคายอะไรเข้า วาลเซอิคจึงเอ่ยถามพลางลูบผมเบา ๆ เมื่อเขาทำเช่นนี้หญิงสาวมักจะเลิกจับผิดเขาไปโดยปริยาย
“วาเลซ เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปใช่ไหม?”
“พูดเรื่องอะไรน่ะ ทำไมข้าจะต้องทำแบบนั้นด้วย?”
“สัญญาสิวาเลซ” ริเรียช้อนตาขึ้นมอง ในดวงตาของเธอมีประกายของความหวาดกลัวแอบซ่อนอยู่อย่างลึกล้ำ “เจ้าจะไม่ทิ้งข้าไปไหนอีก จะไม่ไปที่ไหนกับใครทั้งนั้น”
“ริเรีย...” เด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มของอีกฝ่ายด้วยปลายนิ้ว “ข้าไม่ไปที่ไหนหรอก ตอนนี้ใกล้เช้าแล้วเจ้าไปพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวแสงแดดส่องเข้ามาเจ้าจะลำบากเอา” เขาพยายามพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนโดยไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่าทอะไรที่ทำให้หญิงสาวผู้เป็นแม่ของเขากังวลใจถึงขนาดนี้ ราวกับว่าการกระทำบางอย่างของเขาได้ไปรบกวนจิตใจของเธอ และทำให้ตะกอนซึ่งนอนจมอยู่ลอยฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง ริเรียสัมผัสอะไรได้อย่างนั้นหรือ? เขาซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาคงไม่อาจรู้คำตอบนั้นได้
ริเรียยังคงซบอิงอยู่นานจนกระทั่งแสงแดดไล่เลียเข้ามาทางหน้าต่างเธอจึงผละออกและกอบเสื้อผ้าไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง เธอลุกขึ้น และเดินถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ
“เดี๋ยว....”
แต่วาลเซอิคกลับเป็นฝ่ายรั้งเอาไว้
หญิงสาวหันกลับมาพลางเอียงศีรษะเล็กน้อยคล้ายจะถามว่าต้องการอะไรอีก
“คืนนี้....ไปเดินเล่นด้วยกันไหม?”
เธอยิ้มให้เขาอย่างดีอกดีใจ
“ได้สิ”
เมื่อริเรียตอบแล้วเธอก็เดินออกไปจากห้อง ตอนนั้นแสงแดดก็สาดเข้ามาทำให้ภายในห้องสว่างจนเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนมากขึ้น รวมถึงวี่แววของความลำบากใจบนใบหน้าของวาลเซอิค...
เขารู้ดีว่าตนเองไม่สามารถอยู่กับแม่ได้ตลอดไปจึงไม่กล้าเอ่ยปากสัญญา เซเอลรู้แล้วว่าริเรียอยู่ที่นี่และสักวันเมื่อเจ้าตัวพร้อมคงจะมาเพื่อนำริเรียไปอยู่ด้วยกัน ส่วนเขา....ก็จะอยู่ดูแลตากับยายแทนในฐานะหลานที่ไม่เคยได้ทำมาตลอดหลายปี
----------------------->
ริเรียถือเสื้อผ้าของวาลเซอิคลงไปวางข้างล่างโดยเก็บของสิ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมดติดตัวเอาไว้และไปยังห้องของตนเองด้วย และเมื่อถึงห้อง เธอจึงหยิบมันขึ้นมา....
สร้อยคอประดับจี้ที่แสนคุ้นตา
ของสำคัญ...จากเพื่อนคนสำคัญ ซึ่งเธอทำหายไป....
ตอนนี้มันกลับมาพร้อมกับกลิ่นอายของคนที่คิดจะพรากวาเลซไป คน ๆ นั้น...จะไม่มีวันได้สิ่งที่ต้องการ เธอจะไม่มีวันให้เขาได้สิ่งที่ต้องการอย่างแน่นอน...
---------------------------->
-
“อัลเรส มาเก็บตรงนี้เสร็จก็กลับบ้านได้แล้วล่ะนะ” ชายร่างใหญ่พูดพร้อมกับยกของเข้าในบ้าน ชายหนุ่มซึ่งเป็นลูกมือจึงรีบจัดแจงเก็บตามที่บอกพลางมองท้องฟ้าที่ใกล้จะค่ำลงทุกที ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่า แต่ระยะหลัง ๆ ชีวิตของเขาเหมือนจะเกี่ยวกันกับกลางคืนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งที่ปกติเป็นเวลาพักผ่อนหลับนอนของมนุษย์แท้ ๆ แต่พอตกค่ำก็จะถึงเวลาตื่นของผู้ต้องสาป ทำให้เขาต้องคอยตามดูว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรนอกลู่นอกทางจึงเข้านอนได้ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกล้าขึ้นมาจากการพักผ่อนที่น้อยลง
“กำลังเหม่อคิดถึงสาวอยู่หรือจ๊ะ?” ภรรยาเจ้าของร้านเดินเข้ามาถามไถ่ เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างท้วมแต่หน้าตาใจดีทำให้เขานึกถึงแม่ทุกครั้งที่มองดู
“เปล่าครับ ข้าแค่กำลังคิดว่าน้อง ๆ จะซนกันหรือเปล่า” อัลเรสรีบตอบปฏิเสธ
“นั่นสินะ เอลยาไม่อยู่อย่างนี้เจ้าคงลำบาก” หญิงสูงวัยส่ายศีรษะอย่างเวทนาชะตากรรมของครอบครัวนี้ พี่สาวคนโตที่เป็นเหมือนแม่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับจนบัดนี้ยังไม่มีใครได้ข่าวคราว น้องสองคนก็ยังเล็กเกินกว่าจะดูแลตัวเองลำพังได้ “คงจะดีนะอัลเรส ถ้าเจ้าจะเริ่มมองหาผู้หญิงสักคน อายุอานามเจ้าก็เริ่มมากแล้ว หน้าตาเจ้าเองก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ซ้ำยังขยันขันแข็ง พวกเด็กสาวในหมู่บ้านชื่นชอบเจ้าพอดูเลยนะ”
พอพูดถึงเรื่องการหาคู่ครอง อัลเรสก็มีสีหน้าเจื่อนลงทันที เขาไม่ค่อยถูกกับเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่เพราะไม่ใช่คนอ่อนโยนหรือโรแมนติก ไม่รู้วิธีปฏิบัติกับผู้หญิงคนอื่นนอกจากพี่สาวกับน้องสาว การจะให้ไปจีบผู้หญิงจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการลากซุงไปรอบหมู่บ้านเสียอีก
“ถ้าลูกข้าไม่แต่งงานไปแล้วข้าคงจะอยากยกให้เจ้าแน่ สนใจหลานข้าแทนไหมล่ะ” เจ้าของร้านที่เดินออกมาสมทบพูดจบก็หัวเราะร่า ทั้งที่ลูกสาวของเจ้าตัวก็แก่กว่าอัลเรสหลายปี ส่วนหลานสาวก็อายุพอ ๆ กับอเลนตอนนี้ ทำให้อัลเรสได้แต่ยิ้มตอบแหย ๆ แล้วรีบยกของชิ้นสุดท้ายเข้าไปเก็บข้างใน
“วันนี้ข้าต้องรีบกลับก่อนนะครับ เดี๋ยวพวกน้อง ๆ จะหิวแย่” เมื่ออัลเรสบอกลา ชายหญิงทั้งสองก็เข้าใจความจำเป็นและไม่ได้รั้งตัวไว้ พวกเขาจ่ายค่าแรงรายวันตามปกติก่อนที่อัลเรสจะรีบเร่งกลับบ้านไปเหมือนทุก ๆ วันไม่ต่างจากวันที่เอลยายังอยู่ดีเลย
ที่บ้าน แอนน์และอเลนกำลังรอคอยอาหารเย็นอย่างใจจดใจจ่อโดยที่คัลดิชยังไม่ตื่นเหมือนเดิม อัลเรสจึงรีบจัดการเข้าครัวก่อนที่เด็กทั้งสองจะเริ่มงอแง
พอท้องฟ้ามืดลง คัลดิชก็ตื่นพอดี
ชายหนุ่มเดินลงมาระหว่างที่คนทั้งสามกำลังจัดการกับอาหารเย็นซึ่งเป็นปกติเหมือนทุกวัน เขาเดินออกไปจากบ้านโดยไม่ได้บอกกล่าวกับใครแต่ก็เป็นอันรู้กันกับอัลเรสว่าเจ้าตัวจะไปหาอาหารนั่นเอง ในตอนแรก ๆ ที่แอนน์และอัลเลนถามเรื่องนี้ เขาได้แต่โกหกไปว่าคุณเทวดาผู้พิทักษ์อะไรนั่นต้องออกไปอาบแสงจันทร์รับพลังงาน นับเป็นการโกหกไร้หัวคิดไปหน่อยแต่เด็ก ๆ ก็ยังเชื่อ....
หลังอาหารเย็น อัลเรสก็เอาน้อง ๆ ขึ้นนอนก่อนที่คัลดิชจะกลับมา แต่ก่อนที่เขาจะเก็บของขึ้นนอนอีกคนนั้นเอง ประตูบ้านก็เปิดออกโดยไม่มีคำขออนุญาตใด ๆ คนที่เปิดเข้ามาไม่ใช่คัลดิช แต่เป็นชายหนุ่มผมเงินในเสื้อคลุมยาวคนเดียวกับที่มาเมื่อวานนี้
“โทษทีนะ ตอนนี้เจ้านั่นไม่อยู่หรอก” เขารีบบอกเพื่อเชิญแขกไม่พึงประสงค์ออกไป
“อย่างนั้นหรือ เอาเถอะ ข้าจะรอก็แล้วกัน” แต่แทนที่เซเอลจะถอยออกไปโดยดี เขากลับเดินมานั่งที่โต๊ะด้วยท่าทางสูงสง่าแบบขุนน้ำขุนนางโดยไม่เกรงอกเกรงใจเจ้าของบ้านแม้แต่น้อย อัลเรสที่ไม่รู้จะพูดอะไรอีกจึงได้แต่พ่นลมหายใจออกมาแบบหงุดหงิดที่พวกผู้ต้องสาปไม่รู้จักมารยาทกันเลยสักคน แต่หลังจากนั้นไม่นานคัลดิชก็กลับมาพร้อมสัตว์ที่ตายแล้วอย่างเคย ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนมาเยือนบ้านหลังนี้อีกครั้งแต่อัลเรสก็ไม่บอกอะไรนอกจากทำท่าบุ้ยใบ้ให้ไปคุยกันเอง
“นายท่าน เกิดอะไรขึ้นอีกหรือ?” คัลดิชเดินเข้าไปหาและเอ่ยถาม
“คืนนี้ข้ามีงานให้เจ้าทำ เจ้าจะพามนุษย์ที่อยู่ตรงนั้นไปด้วยก็ได้” เซเอลเหลือบสายตาไปทางอัลเรสแวบหนึ่ง “อย่างไรเขาก็คงยินดีอยู่แล้ว”
“เรื่องนั้นคงขึ้นกับว่าเกี่ยวกับคนของเขาหรือไม่” อย่างที่รู้กันดีว่าอัลเรสห่วงแต่เรื่องพี่สาวของตนเองเท่านั้น หากเป็นเรื่องของคนอื่นเจ้าตัวคงอาละวาดอีก
“เจ้ากะเวลาไว้ก่อนรุ่งสางเล็กน้อย จงพาเขาไปที่บ้านเก่าของวาลเซอิค แล้วเจ้าจะรู้เองว่าควรทำอย่างไรต่อไป” ว่าแล้ว เซเอลก็ลุกขึ้น “จำไว้แค่ว่า อย่าไปเร็วเกินไปก็พอ” และโดยไม่รอคำตอบรับ เซเอลก็หมุนตัวเดินไปทางประตูโดยไม่ได้ให้ความสนใจอัลเรสที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เลย และเมื่อชายหนุ่มจากไป อัลเรสจึงหันไปทางคัลดิชซึ่งเป็นผู้รับคำสั่งอันกำกวมมาโดยตรง
“นั่นหมายความว่ายังไง?”
คัลดิชกลอกตาไม่รู้ว่าตนเองควรจะอธิบายอย่างไรเพราะเขาก็ได้ยินเท่าที่อีกฝ่ายได้ยิน
“หมายความว่าเจ้าควรไปนอนพักเสียตอนนี้ เพราะอีกไม่กี่ชั่วยามเจ้าจะต้องไปทำงานกับข้าน่ะสิ”
----------------------------->
วาลเซอิคเตรียมตัวจะออกไปข้างนอกตั้งแต่หัวค่ำ ตากับยายต่างแปลกใจเมื่อเขาบอกว่าจะออกไปเดินเล่นกับริเรียแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรและพากันขึ้นนอน ผิดกับริเรียที่ดูตื่นเต้นและสุขใจกว่าวันอื่น ๆ เธอสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ยายเพิ่งตัดเย็บให้อย่างสวยงาม แต่งผมให้ดูดีกว่าทุกวัน และเฝ้ารอวาลเซอิคเตรียมตัวอย่างใจเย็น ตลอดช่วงเวลานั้นเธอเอาแต่มองไปที่ท้องฟ้าและยิ้มกับตนเองราวกับว่าลืมเลือนบางสิ่งบางอย่างที่น่าสงสัยซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น และคิดแต่เรื่องของปัจจุบันเท่านั้น
“ไปกันเถอะ” วาลเซอิคออกมาจากบ้านแล้วจับมือริเรียไว้ก่อนเอ่ยชวน หญิงสาวจึงยิ้มรับแล้วดึงมืออีกฝ่ายให้เดินตามเข้าไปในแนวป่าซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเดินเล่นของเธอ
“วาเลซ เจ้าจะคิดยังไงหากข้าจะตั้งชื่อลูกของเราว่าวาลเซอิค”
เจ้าของชื่อเลิกคิ้ว
“ทำไมหรือ?”
พอถูกถาม ริเรียก็หัวเราะคิกคักเหมือนเด็ก ๆ
“เจ้าจำเซเอลได้หรือเปล่า เขาเป็นเพื่อนคนสำคัญของข้าเลยนะ” พอพูดแบบนี้ขึ้นมา วาลเซอิคนึกถึงเรื่องที่เซเอลเคยพูดกับตนเองครั้งหนึ่งในสมัยเด็ก เป็นสิ่งที่เขาแทบจะจำไม่ได้แล้ว “ข้าอยากจะให้มีชื่อของเขาในชื่อลูกของเราด้วย วาลเซอิค ชื่อของคนสำคัญของข้าทั้งสองคน”
วาเลซ....กับเซเอล....
ชื่อของเขามีที่มาอย่างนี้เองหรือ? แสดงว่าแม่ของเขาคงจะรักคนทั้งสองมากทีเดียว ความรักที่มีต่อวาเลซพ่อของเขานั้น ตลอดเวลาที่อยู่ที่บ้านของตากับยาย ริเรียก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนจนไร้ข้อกังขา ส่วนความรักที่ริเรียมีต่อเซเอล....คือเพื่อนที่นึกถึงอยู่เสมอไม่ว่าเมื่อใด มันได้ถูกฝังเอาไว้ภายในชื่อของเขา...ชื่อซึ่งเขาไม่เคยเข้าใจว่ามันมีความสำคัญอย่างไร
แต่นั่น...มันน่าเศร้ามาก...ไม่ใช่หรือ...
สุดท้ายแล้ว แม้จะเป็นคนสำคัญมากเพียงใดก็ไม่อาจปกป้องเธอเอาไว้ได้เลยแม้แต่คนเดียว และเธอก็ไม่อาจปกป้องใครได้เลย
เพราะอย่างนั้น...ริเรียจึงมีชีวิตอยู่ในความฝัน และพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ความฝันของตนเองสมบูรณ์ และไม่มีสิ่งใดทำลายได้อีก
วาลเซอิคบีบมือแม่ของตนแล้วเสมองไปทางอื่นเพื่อปกปิดความรู้สึกเจ็บปวด
ทั้งเซเอลและแม่ของเขาต่างก็อยู่กับฝันร้ายมานานเกินไปแล้ว...มันควรจะยุติลงเสียที...
“ดูสิวาเลซ ที่นี่สงบดีใช่ไหม?” เมื่อมาถึงจุดหนึ่งของแนวป่า ริเรียก็หยุดแล้วดึงให้อีกฝ่ายมองไปรอบ ๆ ที่มีแต่ต้นไม้อยู่ทั่วไปแต่ไม่หนาตามากนัก เสียงของแมลงกลางคืนดังแว่วจากทุกทิศทาง จะว่าสงบ...ในมุมมองของมนุษย์แบบเขาน่าจะใกล้เคียงคำว่าวังเวงมากกว่า ซ้ำในสถานที่แบบนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายขึ้นมาเมื่อไหร่ ถ้าตอนนี้เซเอลอยู่ข้าง ๆ แทนริเรีย เขาคงจะคิดถึงตอนเด็กขึ้นมาอีกแน่
ช่วงหลัง ๆ นี้เขามักจะย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องอดีตอยู่บ่อยครั้ง คงเพราะทุก ๆ อย่างชักชวนให้นึกเปรียบเทียบตัวตนของเขาในปัจจุบันกระมัง....
วาลเซอิคนั่งลงท่ามกลางหมู่ต้นไม้แล้วเอนพิงต้นหนึ่งซึ่งใหญ่และแข็งแรงที่สุดในละแวกนั้น
“เจ้ามาที่นี่ทุกวันเลยหรือ?” เขาหันไปถามหญิงสาว
“ใช่ ข้าชอบที่นี่ ทุก ๆ วันถึงจะเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่ก็ทำให้ข้าสงบใจ” ริเรียยิ้มให้กับเขา “ที่นี่ไม่มีใครมาเลยตลอดหลายปี มีแต่ข้าคนเดียวซ้ำไปซ้ำมา แค่ข้าคนเดียวที่อยู่ที่นี่ในทุก ๆ คืน กับความเงียบ....กับความมืด...ข้าได้แต่เฝ้ารอให้เจ้ากลับมา” ว่าจบ หญิงสาวก็ทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ วาลเซอิคพลางเอนศีรษะซบบนบ่ากว้างและลูบมือบนจุดที่เธอเห็นรอยแผลเป็นเปื้อนอยู่เมื่อเช้านี้ เธอไม่รู้เลยว่าคนที่อยู่ข้างตัวตอนนี้ไม่ใช่คนรักที่เฝ้ารอ แต่เป็นลูกชายของเธอเองที่รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์โดยความช่วยเหลือของเซเอล
วาลเซอิคเลื่อนมือขึ้นไปแตะบนบ่าตนเองซึ่งริเรียสัมผัสอยู่อย่างแผ่วเบา มันจางหายไปมากหากเทียบกับตอนที่เขายังเด็กและเริ่มสงสัยว่ารอยตรงนี้เกิดมาได้อย่างไร มันคือรอยตำหนิที่เตือนให้รู้อยู่เสมอว่าชีวิตของเขาถูกดึงขึ้นมาจากความตายด้วยมือของใคร...
แต่สำหรับริเรียแล้วมันกลายเป็นจุดที่ทำให้เขาแตกต่างจากพ่อไปเสีย
บางที....เธออาจจะเริ่มรู้ตัวแล้วก็ได้....
“ข้า...เจอกับเซเอลด้วยนะ วันนี้” เพื่อให้ริเรียเลิกสนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เขาปกปิดไม่ได้ วาลเซอิคจึงเอ่ยถึงบุคคลที่สามขึ้นมา
“จริงหรือ? เขาว่ายังไงบ้าง คงจะทำหน้าบึ้งใส่เจ้าเหมือนเคยใช่หรือเปล่า?” ริเรียพูดพลางหัวเราะ แสดงว่าความสัมพันธ์ของเซเอลกับวาเลซคงไม่ค่อยราบรื่นนัก
“....เซเอลอยากให้เจ้าไปอยู่ด้วยกัน”
เมื่อวาลเซอิคพูดประโยคนั้นจบ เสียงหัวเราะก็ชะงักไป สีหน้าของริเรียปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาพร้อมกับการเกร็งมือบีบแขนของเขาจนแน่น
“แล้วเจ้าจะไปที่ไหน?”
“เอ๋ ข้าก็....
“จะไม่ไปจากข้าอีกใช่ไหม?” ดวงตาสีแดงที่เรืองแสงวาบทำให้วาลเซอิคเสียวสันหลังหมือนกำลังถูกจ้องด้วยสายตาของปีศาจจากที่อันมืดมิด คำว่าจากลาสำหรับริเรียแล้วคงเป็นคำต้องห้าม...มันกระทบความรู้สึกของเธออย่างรุนแรงและเธอไม่อาจยอมรับมันได้
วาลเซอิคกลั้นหายใจเฮือก พยายามที่จะไม่แสดงความกลัวและยกมือขึ้นบีบไหล่บอบบางของหญิงสาวแทนการเตือนสติ
“ข้าไม่ไปไหนหรอก...” ถึงจะพูดอย่างนั้นออกไป แต่ก็ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าที่ริเรียจะสงบลง
และเมื่อเธอสงบลงแล้ว หญิงสาวก็ไม่พูดอะไรอีก แค่นั่งซบอิงอยู่เฉย ๆ ราวกับว่าอยากให้เวลาเช่นนี้ดำรงอยู่ตลอดไป
และเมื่อผ่านไปค่อนคืน วาลเซอิคก็เริ่มรู้สึกง่วง บางทีคงเพราะดึกดื่นมากแล้วและเขาเองก็เริ่มชินกับช่วงเวลาของมนุษย์ปกติแล้ว
“กลับกันเถอะ” เขาเอ่ยชวน
“ตอนนี้น่ะหรือ?” ริเรียจ้องเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ และในวินาทีต่อมาเหมือนเธอจะคิดออกว่าเขากับเธอมีบางอย่างที่แตกต่างกันอยู่จึงพยักหน้ารับ
วาลเซอิคจูงมือริเรียกลับมาที่บ้านโดยไม่ได้พูดอะไรกันสักคำเดียว ปกติพวกเขาก็แทบไม่ได้พูดคุยกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ความเงียบที่คั่นกลางพวกเขามาหลายชั่งโมงจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ริเรียดูจะไม่ใช่คนช่างพูดมากนัก เธอคล้ายว่าจะชอบคิดอะไรอยู่คนเดียวเสียมากกว่า และนั่นก็ทำให้วาลเซอิคกลัวขึ้นมาเป็นบางครั้งเพราะไม่อาจเข้าใจความคิดของเธอได้
ไม่เหมือนกับริเรียที่เซเอลเล่าให้ฟังสักนิดเดียว...
เพราะริเรียที่อยู่ในความทรงจำของเซเอลคือหญิงสาวที่ร่าเริง ฉลาดเฉลียว และมีความมั่นใจในตัวเอง
บางครั้งเขาก็ยังคิดสงสัยว่าเซเอลจะรักริเรียคนนี้อยู่จริง ๆ หรือเปล่า มันเหมือนกับการให้ความหวังตัวเองอยู่กลาย ๆ แต่วาลเซอิคก็พบว่าตนเองเสียใจที่คิดแบบนั้นออกมา เพราะเหมือนกับการพยายามทำให้ตัวเองมีความสุขบนความทุกข์ของคนเป็นแม่
อย่างวันนี้...ที่พูดเรื่องเซเอลออกไป คงเพราะส่วนหนึ่งในใจของเขาอยากรู้ว่าแม่มีเยื่อใยให้ฝ่ายนั้นมากแค่ไหน มันเป็นเรื่องที่แย่จริง ๆ ...
เฮ้อ...
“มีอะไรหรือ?”
วาลเซอิคสะดุ้งตอนที่ถูกถาม ก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองเพิ่งถอนหายใจออกมา
“ข้าแค่ง่วงก็เลยคิดถึงเตียงขึ้นมาน่ะ” หลังคำตอบ เด็กหนุ่มก็หัวเราะกลบเกลื่อนก่อนจะชะงักเมื่อเห็นว่าริเรียไม่ได้กำลังฟังเขาอยู่เลย เธอหยุดยืนนิ่งไม่ยอมก้าวเดิน จับแขนของเขาแน่น และตั้งสมาธิกับบางสิ่งบางอย่างที่สายตามองไม่เห็น “เกิดอะไรขึ้น?” วาลเซอิคแตะมือเธอเบา ๆ แต่หญิงสาวก็ไม่รู้สึกตัว ไม่ไหวติง ยังคงขึงสายตาแน่นิ่งกับปลายเท้าของตัวเอง
วาลเซอิคเริ่มมองไปรอบตัว ผู้ต้องสาปล้วนแต่มีประสาทสัมผัสดีเลิศ ซึ่งบางที...ริเรียคงสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เข้ามาในรัศมีรอบตัวพวกเขา
มนุษย์? หรือว่าผู้ต้องสาป?
เซเอลหรือเปล่า?
จะว่าไป เซเอลรู้แล้วว่าริเรียอยู่ที่นี่ คงจะมาดูกระมังว่าเขาพูดจริงหรือแค่หลอกให้ดีใจเล่น แต่ท่าทางของริเรียนั้นเหมือนกำลังสัมผัสได้ถึงศัตรูมากกว่า เหมือนพบคนแปลกหน้าเข้ามาในอาณาเขตแบบเดียวกับที่เขาเคยมาที่บ้านโดยไม่ได้ตั้งใจในวันแรก
“วาเลซ...เจ้าเข้าบ้านก่อนเถอะนะ” อยู่ ๆ ริเรียก็ผ่อนคลายท่าทีแข็งกร้าวลงก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยนและปล่อยแขนให้เป็นอิสระ
“แล้วเจ้า....?”
“เดี๋ยวข้าก็กลับมา ไม่นานหรอกนะ” หญิงสาวแตะใบหน้าของเขาและลูบบนแก้มเบา ๆ “แล้ว...เราก็จะอยู่ด้วยกัน...นะ วาเลซ”
โดยที่วาลเซอิคยังไม่ทันเข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ริเรียก็จากไปอย่างรวดเร็วด้วยการเคลื่อนไหวแบบผู้ต้องสาป การเคลื่อนไหวแบบเดียวกับที่เขาเคยถูกโจมตี และแบบเดียวกับที่เคยเห็นอาร์วิน่าทำเมื่อครั้งที่อัลเรสรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขตของเซเอล
แบบนี้มันไม่ปกติเลยไม่ใช่หรือ?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่? และเขาควรจะตามไปหรือเปล่า ถึงแม่ของเขาจะเป็นผู้ต้องสาปแล้วแต่ก็ใช่ว่าไม่สามารถบาดเจ็บได้ ซ้ำเวลานี้อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเช้าแล้ว ถ้าริเรียอยู่ข้างนอกจนกระทั่งแสงแดดสาดลงมาต้องร่างกาย เธอก็จะ....สลายกลายเป็นฝุ่นผง!
TBC
-
งานเข้าแล้วไง
-
เซเอลต้องวางแผนไว้แน่ๆเลย
:sad4: กำลังจะมันแล้วมาต่อเร็วๆน้า
รอจ้า รอ
-
เป็นตอนที่อ่านแล้วสงสารริเรียอย่างแรง โกรธไม่ลง เกลียดไม่ลง ถึงริเรียจะทำเรื่องร้ายๆมามากแล้วก็เถอะ
เรื่องชื่อนี่อ่านแล้วสะเทือนใจอ่ะ รู้สึกหดหู่แทนน้องวาลเลย ถึงริเรียจะคิดว่าเซเอลเป็นเพื่อน แต่ก็สำคัญถึงขั้นอยากจะนึกถึงตลอดเวลา เซเอลก็ปกป้องริเรียไว้ไม่ได้ แถมมีแววว่าต้องฆ่าผู้หญิงที่ตัวเองรักด้วย ส่วนน้องวาลก็พยายามเต็มที่ให้คนที่ตัวเองรักทุกคนมีความสุขให้ได้ นี่มันโศกนาฏกรรมชัดๆอ่ะ!
ว่าแต่เซเอลใช่ไหมที่เข้ามาหาวาลเซอิค แล้วน้องวาลเราไม่รู้ตัวเลยเรอะ!
รอตอนหน้า T^T
-
เอาแล้วไง
-
ทำไมยิ่งอ่านมันยิ่งเศร้าอ่า
-
ตอนที่ 18 ใต้แสงดาว
เมื่อไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร วาลเซอิคจึงตัดสินใจวิ่งกลับไปที่บ้าน ซึ่งหากเขาจำไม่ผิด...มีดพกสำหรับล่าสัตว์ของตายังเก็บไว้บนห้องของเขา อย่างน้อยมันน่าจะช่วยอะไรได้บ้างหากมีอันตรายเกิดขึ้น หรืออย่างน้อย...หากริเรียไปทำร้ายใครเข้า เขาก็อาจต้องใช้กำลังหยุดเอาไว้
เมื่อเหน็บมีดไว้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็รีบออกจากบ้านโดนพยายามทำทุกอย่างด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ตากับยายตื่นขึ้นมา
แต่....เขาจะตามริเรียไปได้ยังไงกัน?
มองไปรอบด้านแล้วดูไม่รู้เลยว่าหญิงสาวหน้าจะไปทางไหน หากเป็นอาณาเขตของเซเอลเขายังเดาได้ว่ามนุษย์น่าจะเผลอรุกล้ำเข้ามาจากทางที่เชื่อมกับหมู่บ้าน แต่ของริเรีย....ดูไม่มีทิศทางชัดเจนและไม่รู้ว่าทางทิศใดจะมีใครเข้ามาได้บ้าง เพราะบ้านหลังนี้ด้านหนึ่งติดชายป่า อีกด้านหนึ่งก็ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก ด้านที่ติดกับชายป่าอาจจะมีพวกพรานเดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
ถึงอย่างนั้น...เวลากลางคืนอย่างนี้พรานที่ไหนจะยังเดินดุ่ม ๆ ไปทั่ว
วาลเซอิครู้ว่าตนเองไม่มีเวลาให้พิจารณาสถานการณ์มากนัก เขาจึงตัดสินใจที่จะลองวิ่งหารอบ ๆ ดูก่อน เพราะริเรียน่าจะไปไม่ไกลจากที่นี่ซึ่งเป็นที่อยู่ของเธอ
ทว่า...
“วาลเซอิค!”
เสียงที่รั้งเขาเอาไว้เป็นของคนที่ไม่น่าจะอยู่ที่นี่....
วาลเซอิคหันไปในทิศทางที่ได้ยิน และที่นั่น เขาเห็นคัลดิชกับอัลเรสยืนอยู่ด้วยกัน ท่าทางของทั้งสองดูเหมือนจะไม่ได้มาที่นี่โดยบังเอิญ
หรือว่าเซเอล?
เซเอลบอกทั้งสองคนเรื่องเขาหรือ?
“ขอโทษทีนะ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีเวลา” เพราะกำลังเร่งรีบ วาลเซอิคจึงลืมเรื่องเอลยาไปเสียสนิท ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่เรื่องของริเรียและสิ่งที่กระตุ้นให้อีกฝ่ายไล่ตามไป ท่าทางของเด็กหนุ่มทำให้ทั้งอัลเรสและคัลดิชรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่เซเอลให้พวกเขามาที่นี่ ไม่ใช่แค่มาเพื่อพบวาลเซอิคแต่น่าจะเป็นอะไรที่มากกว่านั้น
“เดี๋ยวก่อน นายท่านบอกให้ข้ามาพบเจ้า” คัลดิชดึงรั้งเด็กหนุ่มไว้
“เซเอล?” วาลเซอิคมุ่นคิ้ว “หมายความว่ายังไง เซเอลคิดจะทำอะไรกับแม่ของข้า!?”
“แม่ของเจ้า? เดี๋ยว นี่มันเรื่องอะไรกัน?” อัลเรสที่จับต้นชนปลายไม่ถูกได้แต่มองทั้งสองคนสลับกันไปมา “อย่าบอกนะวาลเซอิค ว่าแม่ของเจ้าเกี่ยวกับการหายตัวไปของพี่สาวข้าด้วย!”
“....เรื่องนั้น....” เมื่อถูกคาดคั้นจากอัลเรส วาลเซอิคก็เกิดอาการอึกอัก หากพูดความจริงออกไป....อัลเรสจะต้องทำอะไรรุนแรงแน่ และตอนนี้เขาก็ไม่อยากจะให้ตากับยายตื่นขึ้นมารู้เรื่อง ซึ่งเขาไม่ควรจะให้สองคนนี้มาตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่หน้าบ้าน
ไม่สิ...นี่อาจจะเป็นโอกาสดีก็ได้
เมื่อริเรียไม่อยู่...ก็เป็นโอกาสที่จะปล่อยเอลยาออกมา
ในที่สุดวาลเซอิคก็ถูกปลุกจากความตื่นตระหนกและนึกได้ว่าเอลยายังคงเฝ้ารอความช่วยเหลือซึ่งเขาได้มอบความหวังเอาไว้ให้
ซ้ำตอนนี้เขายังไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้นอกจากวิ่งพล่านไปทั่วชายป่าโดยไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ดังนั้น หากเขาช่วยเอลยาออกมาเรียบร้อยแล้ว คัลดิชก็อาจจะสามารถช่วยเขาหาตัวแม่ของเขาเป็นการแลกเปลี่ยน ถึงแม้วาลเซอิคจะไม่เข้าใจเลยก็ตามว่าทำไมคัลดิชจึงมาช่วยเหลืออัลเรสกับเอลยา แต่ในตอนนี้เขาไม่มีเวลาที่จะคิดมาก ทำอะไรได้ก็ควรทำไปก่อน
“นี่เจ้า......!” เพราะเห็นวาลเซอิคเงียบไปนาน อัลเรสจึงเกิดมีน้ำโห ในใจของเขาเชื่อมั่นว่านายของคัลดิชได้นำทางเขามาพบกับเงื่อนงำของเอลยาแล้ว แต่ตอนนี้เจ้าเด็กนี่กลับเอาแต่อ้ำอึ้ง ซึ่งคิดได้อย่างเดียวว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำของใครก็ตามที่ทำเรื่องนี้ ถึงอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะโวยวายอะไรออกมา วาลเซอิคก็รีบโถมตัวเข้ามาปิดปากเขาจนแน่นและยกมืออีกข้างขึ้นจุ๊ย์ปากเป็นสัญญาณให้เงียบ
ชายหนุ่มถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความกังขาในจุดประสงค์และท่าทีที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และพอจะดึงมือวาลเซอิคออกเจ้าตัวก็กระซิบขึ้นมา
“เงียบหน่อย ข้าไม่อยากให้คนข้างในตื่น”
“อย่ามาอุบายกับข้านะ!” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่อัลเรสก็ลดระดับเสียงลงมากในขณะที่คัลดิชเพ่งมองไปยังบ้านซึ่งเขารับรู้ได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่นอกจากพวกเขา
“ข้าคิดว่าควรจะฟังวาลเซอิคดีกว่า อย่างน้อยก็ช่วยให้หูข้าสบายขึ้น” เจ้าตัวกล่าวเตือนกึ่งเล่นกึ่งจริงจังก่อนหันไปทางเด็กหนุ่ม “ทีนี้บอกข้ามาได้แล้ว ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่ ในสถานที่ที่มีกลิ่นของผู้ต้องสาปผสมกับมนุษย์คละคลุ้งแบบนี้ และนายท่านต้องการให้ข้ามาหาอะไร”
วาลเซอิคเหลือบมองไปที่บ้านเล็กน้อยก่อนจะทำสัญญาณมือ
“ตามข้ามาสิ เงียบ ๆ ด้วยล่ะ”
คัลดิชหันไปมองอัลเรสโดยส่งสายตาปรามไม่ให้อาละวาดออกมาก่อนจะเดินตามวาลเซอิคไปโดยไม่พูดอะไร อัลเรสจึงต้องยอมทำตามเพราะดูท่าเรื่องที่มีคนอื่นในบ้านคงจะจริง
วาลเซอิคพาทั้งสองคนอ้อมไปข้างหลังตัวบ้านซึ่งพวกเขาก็พบห้องเก็บของห้องหนึ่ง แต่กลับมีสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย....
มันถูกคล้องด้วยโซ่และแม่กุญแจ...
อะไรกัน? ก่อนหน้านี้มันยังไม่มีเลยนี่!
เด็กหนุ่มเดินเข้าไปดึงโซ่ด้วยความโมโห ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าบางทีตากับยายคงรู้ว่าเขาลงมาที่นี่เพราะผ้าห่มบนตัวเอลยา จึงได้ล็อคประตูเอาไว้ไม่ให้เขาแอบมาได้อีก
“นี่เจ้าหลอกให้ข้าเสียเวลาเล่นหรือไง!” อัลเรสคำรามออกมาอีกครั้งหลังจากพบว่าตนเองถูกพามายืนหน้าประตูที่ถูกปิดอย่างแน่นหนา ซ้ำยังเป็นแค่ห้องเก็บของแคบ ๆ ที่ไม่มีอะไรอยู่เลย
“ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาที่นี่แต่แรกแล้วนะ เจ้าต่างหากที่บังคับให้ข้าต้องพามา!” ในสมองก็มีเรื่องอยู่มากพอแล้ว อัลเรสยังมาโทษว่าเป็นความผิดของเขาไปเสียทุกอย่าง ในที่สุดวาลเซอิคจึงสุดทนและตวาดสวนกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ต่างกัน
“ข้างในนี้มีของที่นายท่านต้องการอยู่สินะ?” คนที่เยือกเย็นที่สุดในเวลานี้กลับเป็นคัลดิช เขามองพิจารณาโซ่และแม่กุญแจที่ยังใหม่เอี่ยม ไม่เหมือนกับของที่ท้าลมฝนอยู่ตรงนี้มานานพอ ๆ กับบานประตูเลย บางทีมันคงจะเพิ่งถูกนำมาใส่ไว้เพื่อปิดบังอะไรบางอย่าง แต่ปัญหาคือพวกเขาไม่มีกุญแจ และเขาเองก็ไม่ได้พกดาบมา สิ่งที่มีก็แค่มีดพกของวาลเซอิคซึ่งดูจะไร้ประโยชน์ หากตัดลงไปบนโซ่ก็มีแต่จะบิ่นเอาเท่านั้น “พวกเจ้าถอยออกไปหน่อย” อยู่ ๆ คัลดิชก็พูดออกมาแบบนั้นและเดินไปในระยะช่วงขาถึงประตู
วาลเซอิคและอัลเรสถอยออกไปไกลจากระยะนั้นอีกช่วงหนึ่งก่อนที่คัลดิชจะตั้งท่าหยั่งขาข้างหนึ่งไว้บนพื้นจนมั่นคงดี และ...
โครม!
ด้วยแรงถีบเพียงครั้งเดียว ข้อต่อระหว่างประตูและกรอบไม้ก็ถูกกระแทกหลุดออกทำให้บานประตูห้อยร่องแร่งโดยมีโซ่เหล็กเส้นเดียวพยุงเอาไว้กับกรอบอีกด้านหนึ่ง
“เข้าไปกันเถอะ” โดยไม่สนใจสายตาตกตะลึงของอัลเรส คัลดิชก็เดินนำเข้าไปข้างในตามด้วยวาลเซอิคที่คุ้นชินกับพลังเหนือมนุษย์ของพวกผู้ต้องสาปมานานแล้ว
ในห้องเก็บของมืด ๆ วาลเซอิคคลำทางด้วยการเตะเท้าไปบนพื้นจนกระทั่งเจอพรมผืนหนึ่ง ทันใดนั้นเด็กหนุ่มก็ทรุดตัวลงนั่งและตลบผ้าออกพร้อมทั้งควานมือหาที่จับสำหรับเปิดประตูห้องใต้ดิน คัลดิชที่สายตามองเห็นในความมืดชัดเจนจึงดึงวาลเซอิคออกมาและจัดการเปิดด้วยตัวเอง
พวกเขาเดินตามกันลงไปข้างล่างโดยคัลดิชเป็นคนนำเพราะมองเห็นทาง ส่วนอัลเรสปิดท้ายเพราะไม่ไว้ใจวาลเซอิคที่อาจขังพวกเขาไว้ข้างล่างตอนเผลอ
สายตาของอัลเรสชินกับความมืดมากขึ้นตอนที่ลงมาถึงพื้น เขาได้ยินเสียงใครบางคนกำลังขยับกลอนประตูอีกบานที่อยู่ใกล้ ๆ จึงหันไปมองและเห็นเลือนรางว่าเป็นประตูบานเตี้ย ๆ ที่เขาต้องก้มตัวลงจึงสามารถลอดผ่านเข้าไปได้ เมื่อมันเปิดออก คัลดิชก็เข้าไปก่อนโดยไม่มีท่าทีหวาดกลัวอะไรเช่นเคย ไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาความกล้ามาจากไหนหรือเป็นคนที่เดินหน้าแบบไม่คิดอะไรมาแต่แรกแล้ว
“วาล...เซอิค?” จากในห้องนั้น มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเปล่งเรียกขานชื่ออีกบุคคลหนึ่งขึ้นมาอย่างแผ่วเบาและไม่แน่ใจ แต่อัลเรสสามารถจดจำเสียงนั้นได้ทันที
“เอลยา!”
“.....อ....อัลเรส....?” เอลยาได้ยินเสียงของน้องชายตนเองก็เกิดความรู้สึกหลากหลายขึ้นมาในใจ เสียงของเธอสั่นเทาและมีการขยับตัวเกิดขึ้น “อัลเรส อัลเรส!” หญิงสาวตะโกนจากมุมห้องด้วยควาหมวาดกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปจากตรงนี้ เธอพยายามผุดลุกขึ้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี แต่แข้งขาของเธอก็ไร้เรี่ยวแรงเพราะไม่ได้ขยับตัวมานานเสียจนแทบจะเดินไม่ได้
อัลเรสแหวกสองคนที่ขวางทางเข้าไปหาพี่สาวและอุ้มเธอขึ้นมา
“เอลยา ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? เจ้าบ้านี่ทำอะไรเจ้า?” คำถามที่เจ้าตัวถามเอลยาเหมือนจะไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะหญิงสาวยังไม่ทันตอบ อัลเรสก็หันไปทางวาลเซอิค “เจ้าทำอะไรกับเอลยา!”
“ข้าไม่ได้ทำอะไร เลิกโทษข้าไปทุกเรื่องเสียทีได้ไหม!?” วาลเซอิคปฏิเสธข้อกล่าวหาด้วยความหงุดหงิดใจ “ตอนนี้รีบพาเอลยาออกไปจากที่นี่....”
“ระวัง!” คัลดิชขัดจังหวะการพูดของวาลเซอิคด้วยการดึงอีกฝ่ายให้พ้นรัศมีประตูก่อนที่ขวานเล่มหนึ่งจะถูกจามลงมาปักห่างจากปลายเท้าไปไม่กี่เซนติเมตร
เด็กหนุ่มถึงกับหน้าซีดเผือดไม่ต่างกับคนที่เหลือซึ่งเห็นเหตุการณ์ เพราะหากคัลดิชดึงเขาออกมาช้ากว่านี้เพียงเสี้ยววินาที กะโหลกของเขาคงจะแยกออกเป็นสองเสี่ยง....
วาลเซอิคไล่สายตาจากขวานขึ้นไปจนถึงผู้ถือ และนั่น...
ค...คุณตา!?
โดยไม่พูดพล่ามทำเพลง ชายชราก็ยกขวานเล่มนั้นขึ้นอีกครั้งและหันมองวาลเซอิคด้วยสายตาเหมือนกับการมองหนูตัวใหญ่ซึ่งเข้ามาทำลายข้าวของก่อนกวาดสายตาไปยังอัลเรสและเอลยา หญิงสาวขดตัวสั่นในอ้อมแขนของน้องชายด้วยความหวาดกลัว พวกเขากลายเป็นเป้าหมาย...เพราะสิ่งที่ชายชราต้องการคือเอลยา คนที่มีสิ่งที่ลูกสาวของตนสูญเสียไป...
เขาก้าวย่างเข้าไปหาอัลเรสและเอลยาพร้อมขวานในมือโดยไม่ได้ให้ความสนใจกับวาลเซอิคและคัลดิชอีก ฝ่ายอัลเรส...เขาก็ไม่มีแม้กระทั่งมือจะยกป้องกันตัว เมื่อถอยหลังไป หลังของชายหนุ่มก็ชนเข้ากับกำแพงเย็นเฉียบ คมของขวานถูกเงื้อขึ้นสูง...
“ข้าเป็นคนทำเอง”
....
ทุกอย่างหยุดชะงักด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียวของคัลดิชที่ผลักวาลเซอิคให้ถอยไปทางประตู ชายชราหันมาทางผู้ต้องสาปเพียงคนเดียวในห้องอีกครั้ง ดวงตาคู่นั้นเบิกโพลงเหมือนคนที่สูญสิ้นความคิดดีชอบ แต่ก็เพียงมอง...โดยไม่ทำอะไรเหมือนกำลังรอว่าคนที่เริ่มประโยคไว้คิดจะพูดอะไรต่อ ในช่วงนาทีนั้นหากมีสิ่งใดขยับเคลื่อนไหวหรือเสียงใดเกิดขึ้น ขวานคงถูกจามลงทันที เพราะเหตุนั้นทุกคนจึงพากันนิ่งเงียบ ไม่กล้าขยับขา...ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ แม้อัลเรสจะเห็นว่าอีกฝ่ายมองไปทางอื่น แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเพราะเอลยาอยู่ในแขนของเขา
มีเพียงคัลดิชที่วางตัวสบาย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนกับความกดดันที่ชวนให้หายใจลำบาก เขาเดินก้าวออกมาอีกก้าวและอยู่ไม่ไกลจากระยะขวานมากนัก
“เลือดของข้าคือสิ่งที่เปลี่ยนริเรียให้กลายเป็นปีศาจ”
เอ๋...
เดี๋ยวสิ ถ้าบอกความจริงไปแบบนั้น...
วาลเซอิคคิดจะอ้าปากเตือน แต่แล้วกลับบังเกิดเสียงแผดร้องกึกก้องจนความคิดและการกระทำทั้งหมดถูกปิดกั้นชั่วขณะเพราะความตกตื่น และเมื่อรู้ตัวอีกครั้ง เขาก็เห็นขวานเล่มนั้นที่เคยจดจ้องไปทางอัลเรสและเอลยาเบี่ยงกลับมาทางคัลดิช ชายชราโถมแรงทั้งหมดที่มีเข้าใส่หวังจะสังหารคนตรงหน้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทว่า...คัลดิชไม่ได้สละตนเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นโดยไม่ได้คิดอะไรเอาไว้ มันไม่ใช่นิสัยของเขาอยู่แล้วที่จะเป็นผู้เสียสละ และเมื่อทุกกอย่างเป็นไปตามที่คาดไว้ ชายหนุ่มก็ย่อตัวลงและกางกรงเล็บรอ
ข้าจะควักหัวใจในครั้งเดียวเจ้าจะได้ไม่ต้องทรมาน....
อีกเพียงนิดเดียวเป้าหมายก็จะเข้าถึงระยะ...
“อย่า!!” วาลเซอิคตะโกนขัด เป็นวินาทีเดียวกับที่ชายชราพุ่งเข้ามาถึงตัว ทำให้คัลดิชเสียจังหวะที่ตนเองหวังเอาไว้และหลบพ้นคมขวานอย่างฉิวเฉียด “นั่นเป็นตาของข้า อย่าฆ่าเขานะ!” ทั้งที่กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน วาลเซอิคก็ยังคงคิดว่ามันไม่สมควรเลยที่จะฆ่าแกงกัน และความคิดเช่นนั้นทำให้คัลดิชหงุดหงิดใจขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำได้เพียงสบถเบา ๆ และยกขาเตะขวานให้หลุดจากมืออีกฝ่าย
“แก....ไอ้ปีศาจ....ไอ้ปีศาจ! อั่ก!” เสียงแผดร้องก่นด่าของชายชราหยุดชะงักเมื่ออุ้งมือของผู้ต้องสาปคว้าเข้าที่ลำคอและยกขึ้นกระแทกกับผนัง
“ปีศาจน่ะ ไม่ใจดีแบบข้าหรอกนะ” รอยยิ้มเหยียดหยันปรากฏบนใบหน้าก่อนที่ดวงตาสีแดงเลือดจะเปล่งแสงเรืองรองในความมืด มนตร์สะกดของผู้ต้องสาปกลืนกินสติของชายชราผู้คลุ้มคลั่งและพยายามดิ้นรนให้พ้นจากพันธนาการ ทว่าเขาก็ไม่อาจขัดขืนสิ่งที่เหนือกว่าโดยธรรมชาติได้และแน่นิ่งไปในที่สุด
ร่างที่หมดสติถูกทิ้งลงบนพื้น วาลเซอิครีบวิ่งเข้ามาดูอาการของผู้เป็นตาด้วยความเป็นห่วง
“แค่หลับไปเท่านั้นแหละ ออกไปก่อนที่เขาจะตื่นดีกว่า” ชายหนุ่มผู้ต้องสาปว่าแล้วเตะขวานที่ตกอยู่แถวนั้นไปไกล ๆ
วาลเซอิคจำต้องผละจากร่างของตาและตามอีกสามคนขึ้นไปข้างบน เขาขอให้อัลเรสอย่าปิดประตูห้องใต้ดิน เพราะตาคงจะออกมาเองไม่ได้แน่ และมนตร์ของคัลดิชก็ใช่ว่าจะคลายในไม่กี่นาที ถึงปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก็ไม่น่าเป็นอะไร เพราะพวกเขาคงจะไปไกลแล้ว
อัลเรสวางเอลยาลงบนพื้น หญิงสาวยังคงเสียขวัญจึงไม่ยอมปล่อยมือจากน้องชายของตนเลย
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวกลับล่ะนะ” คัลดิชเตรียมจะปลีกตัวจากไป เพราะภารกิจที่เซเอลมอบให้ก็จบแล้ว และเขาก็ไม่ติดค้างอัลเรสแล้ว ดังนั้นตอนนี้เขาควรจะกลับปราสาทได้เสียที แต่พอหันหลัง วาลเซอิคก็เรียกเอาไว้และรี่มาคว้าข้อมือไม่ให้หนีไปก่อน
“พาข้าไปหาแม่ที”
หา!?
“เพื่อให้นางกลับมาขังเอลยาอีกหรือไง!” อัลเรสดูจะไม่พอใจที่สุดที่วาลเซอิคคิดจะไปหาริเรีย
“ไม่ใช่นะ! แต่ว่า...ป่านนี้นางยังไม่กลับมา อาจจะเจอเรื่องอันตรายก็ได้” หากนับจากตอนที่ริเรียรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างและรีบรุดจากไป นี่ก็ผ่านมากว่าชั่วโมงแล้ว ริเรียไม่น่าจะไปนานขนาดนี้ หากเป็นเรื่องเล็กน้อยเธอก็น่าจะกลับมาแล้ว หรือว่าจะเจอคนทำร้ายเข้าจริง ๆ ....
คัลดิชกลอกตา เอาเถอะ...กลิ่นของริเรียยังไม่จางหายไป แค่นำทางไปแล้วกลับปราสาทก็คงพอกระมัง
“เจ้ารีบพาพี่สาวเจ้ากลับไปก่อนนางกลับมาก็แล้วกัน” เขาแนะนำก่อนหันมาทางวาลเซอิค “ไปกันเถอะ ก่อนที่จะเช้า” ว่าแล้วคัลดิชก็เงยหน้ามองฟ้า อีกไม่กี่ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว ถึงตอนนั้นทั้งเขาและริเรียคงจะลำบากด้วยกันทั้งคู่
ก่อนจะก้าวออกไป ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงบางสิ่งปรกลงบนศีรษะ เขามองผืนผ้าห่มกว้างที่คลุมจากศีราะจรดปลายเท้าและหันไปมองคนด้านหลังพลางเลิกคิ้ว
“ข้าเจอข้างล่างน่ะ” อัลเรสพูดแค่นั้นแล้วหันไปอุ้มเอลยาขึ้นมา
คัลดิชหัวเราะหึในคอ
“ถ้ามีมนุษย์แบบเจ้าเยอะ ๆ โลกคงน่าอยู่พิลึก” เขาตลบผ้าไว้บนแขนเพราะมันค่อนข้างเกะกะ แต่ตอนพระอาทิตย์ขึ้นมันคงช่วยปกป้องร่างกายเขาเอาไว้ได้มากกว่าร่มของต้นไม้ คัลดิชจึงยินดีรับมันเอาไว้และเดินนำวาลเซอิคออกไปข้างนอก “ตามข้าให้ทันล่ะ วาลเซอิค” ว่าจบ เจ้าตัวก็พุ่งตัวเข้าชายป่าไปอย่างรวดเร็วโดยมีวาลเซอิครีบเร่งตามไปข้างหลัง
------------------------------->
-
สายลมพัดเย็นเยือกบนที่โล่งในค่ำคืนหนาวเย็น ดวงตาสีเลือดคู่หนึ่งทอดมองไปบนท้องฟ้าและกำลังเฝ้ารอใครบางคนซึ่งกำลังมุ่งมาทางนี้ ใครบางคน...ซึ่งเขาได้หลอกล่อให้ติดตามมาอย่างกระชั้นชิด และฝ่ายนั้นก็ติดตามมาโดยไม่มีการคิดหน้าคิดหลังเลยสัดนิดเดียว นั่นแสดงถึงการตัดสินใจที่บกพร่อง มีเพียงผู้ที่ผิดปกติทางด้านการคิดวิเคราะห์เท่านั้นจึงแสดงพฤติกรรมเช่นนี้ออกมา เพราะมันเกิดจากสัญชาตญาณเหมือนกับสัตว์ป่าที่ไล่ตามผู้รุกล้ำอาณาเขตของมันเพื่อขับไล่สิ่งนั้นออกไป
กระนั้น...จุดประสงค์ของคนที่ตามเขามาคงไม่เรียบง่ายถึงขนาดนั้น เพราะความต้องการฆ่าจากอีกฝ่ายทิ่มแทงลงบนร่างกายของเขาตลอดเวลาที่อยู่ในระยะสายตา
นั่น...คือความอาฆาตและความปรารถนาที่รุนแรง และเป็นสิ่งที่ผลักดันให้เธอ...ตามเขามาจนถึงที่นี่
“ใช่หรือไม่ ริเรีย...” ดวงตาสีเลือดไล่จากท้องฟ้าลงมาถึงร่างบอบบางของหญิงสาวซึ่งทิ้งระยะห่างจากเขาไปหลายช่วง
เธอเงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายและว่างเปล่า ราวกับว่าข้างในนั้นมีหลายสิ่งหลายอย่างอยู่พร้อม ๆ กับที่ไม่มีอะไรเลย แต่สิ่งที่เซเอลรู้สึกได้อย่างชัดเจนก็คือ...เธอจดจำเขาไม่ได้เลยสักนิดเดียว ในสายตาของริเรีย เขาเป็นเพียงคนอีกคนหนึ่งที่เข้าใกล้ครอบครัวของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ชายที่เธอแสนหวงแหนและรักใคร่
“คนของข้า....ข้าไม่ให้เอาไปหรอก...” เสียงพึมพำลอดผ่านริมฝีปากอิ่มสวยที่เป็นสีแดงราวกับเลือด ริเรียแย้มรอยยิ้มเลื่อนลอยและค่อย ๆ ก้าวเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ “ลูกของข้า....สามีของข้า...จะไม่ให้ใครแตะต้องทั้งนั้น...” พร้อมกับการร่นระยะห่าง มือของเธอก็ปรากฏกรงเล็บแหลมคมดูน่ากลัว ริมฝีปากที่แย้มออกเห็นเขี้ยวขาวตัดกับสีแดงสดของริมฝีปาก
ถึงอย่างนั้น...เซเอลก็ยังสังเกตเห็นที่คอของเธอ สายสร้อยเส้นนั้นที่เขาจงใจทิ้งเอาไว้ ริเรียยังคงเก็บกลับมาแสดงว่าหญิงสาวไม่ได้ลืมเขา เพียงแต่ว่า...ตัวตนของเขาในความทรงจำของเธอไม่ใช่คนที่ยืนอยู่ที่นี่
ในช่วงจังหวะที่เซเอลมองดูสิ่งของแห่งความทรงจำนั้นเอง ริเรียก็พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วพร้อมกรงเล็บที่เล็งเป้าหมายมายังลำคอ แต่เซเอลก็ยังไหวตัวทันและขยับตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้เกิดแต่เพียงรอยถากสีแดงบนผิวขาวซีด เพียงการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในไม่กี่วินาที ชายหนุ่มก็รู้ตัวได้ในทันทีว่าตนเองนั้นร่วงโรยไปมากเต็มทีแล้ว...ทั้งการขยับตัว ทั้งประสาทสัมผัส ความว่องไว การป้องกันตัว ทุก ๆ อย่างตอบสนองอย่างเชื่องช้าไม่ต่างจากมนุษย์ปกติ อย่างดีก็เหมือนมนุษย์ที่ฝึกการต่อสู้มาเท่านั้น
จะถ่วงเวลาไว้ได้แค่ไหนกันนะ...
เซเอลคิดพลางเริ่มตอบโต้กลับไปบ้าง แต่ก็เป็นตามที่คิดไว้ พลังอำนาจของเขาแทบจะไม่ใช่ของผู้ต้องสาปอีกต่อไปแล้ว ริเรียแทบจะไม่ต้องหลบหลีกเสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ เธอยังเหลือบสายตามองเขาราวกับเห็นลูกหนูที่พยายามต่อกรกับพญาราชสีห์
ไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะตกต่ำถึงเพียงนี้ได้.....
ร่างกายของเขาใกล้จะถึงขีดสุดแล้วจริง ๆ หรือ....
ปลายเล็บคมที่ถากผ่านแผ่นอกเฉือนเสื้อของเขาจนเกือบขาด เซเอลจำต้องทิ้งระยะห่างออกมาเพื่อป้องกันตัวไปด้วย
ตัวเขาในตอนนี้....คงไม่สามารถแม้แต่จะทำให้อีกฝ่ายมีบาดแผลสาหัสได้ กระทั่งการสัมผัสตัวหญิงสาวก็ยังแสนยากเย็น
แต่ริเรียไม่ยอมให้ผู้บุกรุกถอยหนี เธอพุ่งตัวตามไปโดยไม่เว้นจังหวะให้หายใจ เสียงหัวเราะแว่วกังวานเมื่ออุ้งมือตะปบเข้าที่ลำคอของอีกฝ่ายก่อนโถมให้เสียหลักล้มลงไปบนพื้น เซเอลหอบหายใจ เลื่อนสายตาขึ้นมองหญิงสาวที่กุมชีวิตตนเองเอาไว้ จี้ห้อยคอร่วงตกลงมาจากคอเสื้อและเคลียอยู่บนใบหน้าของเขา ของขวัญที่เขามอบให้...ริเรียยังจำได้หรือเปล่า...
“ริเรีย...ทำไมเจ้าต้องทำแบบนี้....”
ไม่มีคำตอบ....
ริเรียเพียงแย้มรอยยิ้มตอบกลับมาเหมือนกับว่าในคำถามนั้นไม่มิถ้อยคำไหนเลยที่เข้าไปถึงใจของเธอได้ หญิงสาวไม่ได้ยิน....ไม่เห็น...ไม่เข้าใจในสิ่งใด ๆ แค่เพียงต้องการทำลายคนที่คิดจะพรากคนที่รักของเธอไปเท่านั้น และคน ๆ นี้ก็จะต้องถูกทำลาย
แรงบีบรัดรอบคอเริ่มมากขึ้น ปลายเล็บจิกจนเกิดบาดแผลบนผิวเนื้อ ในวินาทีที่เธอคิดว่าลมหายใจอีกฝ่ายจะปลิดปลิวนั้น กลับมีบางสิ่งเสียดแทงเข้ามาในร่างของเธอ...
“อ๊า!!!!” หญิงสาวกรีดร้องและผละหนีออกไปไกลหลายก้าว สีข้างของริเรียปรากฏรอยเลือดที่ซึมผ่านเนื้อผ้าออกมาเป็นสีเข้ม เธอกดบาดแผลตรงนั้นไว้ด้วยความเจ็บปวด ถึงแม้ร่างกายของผู้ต้องสาปจะรักษาบาดแผลได้รวดเร็ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังมีเหมือนกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป
เซเอลยันตัวลุกขึ้น ในมือปรากฏคมของมีดพกเล่มหนึ่งและรอยเลือดที่ไหลหยดลงสู่พื้น เขาสะบัดครั้งหนึ่ง เลือดที่เปื้อนบนคมมีดก็ถูกสลัดออกไปจนหมด เหลือเพียงมีดสีเงินวาวที่คมกริบและเนียนเรียบเปล่งประกายความสูงค่าของมันในความมืดมิด
“ข้าไม่เคยลดเกียรติของตนเอง....ด้วยการใช้อาวุธกับผู้ที่ไร้อาวุธ....” ชายหนุ่มกล่าว “แต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นข้าจะไม่ออมมือ”
แม้จะพูดเช่นนั้น แต่เซเอลก็มีอยู่เพียงมีดพกเล่มเล็ก ๆ ที่ถูกตกแต่งสลักเสลาอย่างสวยงาม เป็นประหนึ่งเครื่องประดับยศและป้องกันตัวมากกว่าอาวุธที่ใช้ต่อสู้โดยตรง ที่เป็นอย่างนี้เพราะเขาไม่ได้คาดคิดว่าความร่วงโรยของตนจะส่งผลชัดเจน จึงไม่ได้พกพาอาวุธอื่นใดออกมา รวมถึงไม่ได้บอกให้ใครติดตามมาด้วย ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะเขาต้องการจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง และอีกส่วน...หากเลือกได้ เขาก็ไม่อยากจะใช้อาวุธกับอีกฝ่าย...
แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีทางเลือกถึงขนาดนั้น
ริเรียแสดงความตกใจออกมาเพียงครู่เดียวเมื่อเห็นว่าตนถูกทำร้าย แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ไม่ทันทีเซเอลจะคิดโจมตีซ้ำ หญิงสาวก็ยืดตัวขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะในคอ บาดแผลที่เกิดจากมีดปลายแหลมขนาดเล็กและไม่ยาวมากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานมันก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวจนไม่รู้สึกอะไรอีก เลือดที่ซึมเปื้อนออกมาก็หยุดไหล ปากแผลของริเรียคงปิดสนิทไปแล้ว...ส่วนบาดแผลของเซเอล....กลับสมานตัวช้ากว่าที่ควรจะเป็น กระทั่งรอยเล็บถากข้างคอก็ยังเหลือรอยแดงจางประดับอยู่
เมื่อริเรียพาตนเองเข้ามาอีกครั้ง เซเอลก็สะบัดผ้าคลุมออกเพื่อปิดกั้นการมองเห็นของฝ่ายตรงข้าม และกรงเล็บที่พุ่งเข้ามาก็พลาดเป้าจากตัวเขาไปไม่กี่เซนติเมตร เป็นจังหวะให้เซเอลสามารถตอบได้บ้าง เขาเหวี่ยงขาเตะสีข้างตรงจุดเดียวกับที่ถูกแทงเมื่อครู่ และมันกระเทือนให้แผลที่เพิ่งสมานตัวเจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง แน่นอน...เขารู้จักร่างกายของผู้ต้องสาปดี รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใดบาดแผลฉกรรจ์จึงจะหาย และเมื่อรวมกับสติที่ครบถ้วน นั่นอาจจะเป็นจุดได้เปรียบเดียวที่ชายหนุ่มมี
การกระทำของเขาหยุดการเคลื่อนไหวของริเรียได้สำเร็จ หญิงสาวดูสับสนและมึนงงเมื่อความเจ็บแล่นกลับมาอีกครั้ง ก่อนจะถามด้วยความโกรธเกรี้ยวที่มากกว่าเดิม
เสียงคำรามจากในลำคอไม่ต่างจากสัตว์ป่า ริเรียกางกรงเล็บจากมือทั้งสองข้าง เพียงพริบตาเดียวก็ก้าวเข้าประชิดตัวเซเอล เป็นความเร็วที่แตกต่างจากตอนต้น หมายความว่าช่วงเวลาอันแสนสนุกของการหยอกล้อเหยื่อจบลงแล้ว และนี่คือการล่าอย่างแท้จริง
เซเอลที่ถูกบังคับให้ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างเพื่อป้องกันตัวจากการบาดเจ็บจึงยกมีดแทงลงไปที่ข้อมืออีกฝ่ายแต่ก็ยังหลบไม่พ้นมืออีกข้าง แขนที่เขายกขึ้นมาป้องกันใบหน้าถูกข่วนลงไปลึกจนเลือดสีแดงเข้มไหลทะลักออกมาเปรอะฉ่ำแขนเสื้อ
แม้จะต้องสละแขนไปคนละข้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น เพราะริเรียใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถขยับมือข้างนั้นได้อีกครั้ง ส่วนเขา...
แขนขวาเจ็บจนชาเสียจนไม่อาจฝืนขยับได้ นานเท่าไหร่แล้ว...ที่ไม่เคยพบเผชิญความเจ็บปวดแบบนี้...แม้กระทั่งตอนเป็นมนุษย์ ลูกชายของขุนนางแบบเขาก็ยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเลยแม้แต่ครั้งเดียว เซเอลกัดฟันเปลี่ยนมีดมาถือด้วยมือข้างซ้าย เขารู้สึกได้ถึงพลังที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายพยายามที่จะกำจัดบาดแผลออกไป แต่มันก็อ่อนแรงเสียเหลือเกิน...
ความกลัว...แทรกซึมเข้ามา...
ความรู้สึกหวาดกลัวต่อความตายและสิ่งที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า...
ความรู้สึกในแบบของมนุษย์ซึ่งเขาแทบจะหลงลืมไปแล้ว
น่าสมเพชตัวเองเสียเหลือเกิน เซเอลคิดขณะมองมือของตนเองที่สั่นเทา แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่อาจหนีไปได้ ถึงแม้คิดจะหนีจริง ๆ แค่หันหลังเขาก็คงถูกฆ่าแล้ว และทั้งหมดนี้...ก็เพื่อแก้ไขความผิดพลาดของตนเองซึ่งเขาจะไม่เบือนหน้าหนีมันอีกต่อไป
ครั้งนี้ริเรียก็ไม่ออมมือเช่นกัน เธอก้าวเข้าหาและเมื่อเซเอลตวัดมีดออกไป หญิงสาวก็ก้มศีรษะหลบ จากด้านล่างเซเอลที่สามารถเคลื่อนไหวแขนได้เพียงข้างเดียวจะไร้การป้องกัน ริเรียจึงตวัดกรงเล็บจากจุดนั้นและเสยขึ้น โชคยังดีที่เซเอลคุ้นเคยกับการต่อสู้ที่เป็นระบบแบบนี้จึงสามารถเอี้ยวตัวหลบได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะทำได้สำเร็จ เขาดึงมีดกลับมาและทิ้งปลายมีดลง มันทำได้แค่เพียงเฉี่ยวเส้นผมของหญิงสาวไปเท่านั้น
และโดยไม่ทันตั้งตัว เซเอลก็ถูกกระแทกจากด้านข้างด้วยเรี่ยงแรงมหาศาล เขากระเด็นไปหลายก้าวก่อนล้มลงบนพื้น แต่ก็ไม่มีเวลาแม้แต่จะพาตนเองลุกขึ้น เพราะกรงเล็บพุ่งลงมาจากด้านบน ชายหนุ่มกลิ้งตัวหลบและเห็นมันปักลงบนพื้นตรงจุดที่เคยเป็นหัวใจของตนเองพอดิบพอดี
เขาโซเซลุกขึ้นด้วยแรงที่พอมีเหลือ ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ กำลังกายก็ค่อย ๆ ถดถอยเหมือนกับมนุษย์ปกติที่มีเหนื่อยมีล้า การหายใจเริ่มติดขัดและยากลำบาก การก้าวขาในแต่ละครั้งก็แทบจะไม่สามารถพาร่างกายไปยีงจุดที่ต้องการได้ เพียงแค่หลบหลีกก็เต็มกลืนแล้ว...
ร่างกายของเขายังพอมีพลังเหลือ...บาดแผลบนแขนตื้นขึ้นทำให้เลือดไหลน้อยลง ถึงแม้มันจะช่วยเขาได้ไม่มากนักในเวลานี้แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลย
เซเอลเบิกตากว้างเมื่อเห็นริเรียผ่านวาบไปตรงหางตา และในวินาทีต่อมาเธอก็ยืนขวางหน้าเขาพร้อมกับร่างกายที่สมบูรณ์พร้อมราวกับไม่ได้ผ่านการต่อสู้มาเลยสักครั้งเดียว
อีกนานแค่ไหนกันนะ....
ชายหนุ่มกัดฟันมองไปยังขอบฟ้า ด้วยฝีมือของตนเองอย่างไรก็เอาชนะริเรียไม่ได้อยู่แล้ว วิธีที่จะฆ่าผู้ต้องสาปมีอยู่เพียงไม่กี่วิธี...และเขากำลังรอ...วิธีที่ทำได้ง่ายที่สุดในตอนนี้ แต่ก็เป็นวิธีที่เสี่ยงมากที่สุดเช่นกัน เพราะเขาทำได้เพียงเฝ้ารอเวลา และริเรียก็ไม่มีทางปล่อยให้รออยู่เฉย ๆ
แต่ว่า...
“ริเรีย...”
ขอแค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนจากกัน...
“...ให้ข้าได้พบเจ้าคนเดิมอีกครั้ง...ไม่ได้เลยหรือ...”
ไม่...
นั่นอาจจะเป็นคำตอบ เพราะคำถามของเขาได้รับการตอบด้วยบาดแผลอีกรอยหนึ่งบนใบหน้า
เหนื่อยเหลือเกิน...
เซเอลรำพึงกับตนเองอย่างอ่อนล้าทั้งร่างกายและจิตใจ นานหลายปีแล้วที่เขาได้แต่เจ็บปวดกับการสูญเสียคนที่สำคัญยิ่งกว่าใคร หลายร้อยปีแล้วที่เขาต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่างและทนทุกข์ทรมานกับชีวิตที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของผู้ใด และในตอนนี้ เขายังต้องทำลายคนสำคัญคนนั้นด้วยมือของเขาเอง ทั้งที่อยากให้มันจบลงไปโดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะไม่ต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้
เป็นอีกครั้งที่เซเอลล้มลง เขาไม่เหลือแรงที่จะทำอะไรอีกแล้วและเงาของความตายก็คืบคลานมาในร่างของหญิงสาวที่ตนเคยรัก
เขาเริ่มถามตัวเองด้วยคำถามที่ไม่ได้ยินจากตนเองมานานแล้ว
ทำไม...
ทำไมเขาถึงต้องพบเจอกับเรื่องอย่างนี้อยู่เรื่อยไป
“....ได้โปรด....”
ได้โปรด....ให้มันจบลงเสียที....
ทันใดนั้น...ราวกับเป็นครั้งแรกที่สวรรค์หันกลับมามองวิญญาณที่ถูกทอดทิ้งเช่นเขาอีกครั้ง และที่ขอบฟ้า....ก็ปรากฏแสงสีทองอันงดงาม....
TBC
-
:sad11: so sad :sad11:
-
แต๋ว! ตัดฉับเลย
-
เงิ่บ
-
เออะ
ฮืออออ เซเอลอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ
-
:a5: ค้างมาก
:z3:
-
ตอนที่ 19 แสงสีแห่งอรุณรุ่ง
“แม่ของข้ามาทางนี้แน่หรือ?” วาลเซอิคตะโกนถามคัลดิชที่ทิ้งระยะห่างออกไปไม่มากนัก แต่การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเป็นระยะเวลาต่อเนื่องกันก็ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยและเหมือนว่ามันไกลเกินกว่าจะเป็นไปได้ พวกเขาน่าจะออกจากอาณาเขตของริเรียมาสักพักหนึ่งได้แล้ว
“เจ้าคิดว่าข้ากำลังหลงทางหรือไง?” คัลดิชตะโกนกลับไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“แต่ว่านี่มันไม่น่าจะ....”
“เจ้าบอกว่าแม่ของเจ้าตามอะไรบางอย่างไปใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่น่าแปลกที่นางจะถูกสิ่งนั้นล่อออกไปนอกเขตของตัวนางเอง” โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อริเรียทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยสัญชาตญาณและสภาพอารมณ์เป็นหลัก เธอคงไม่มีเวลาคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลว่าตนเองกำลังถูกชักนำไปทางใดและไกลแค่ไหนแล้ว แต่คัชดิชก็ยังรู้สึกแปลกใจเพราะกลิ่นที่เคียงคู่กับริเรียนั้นคือกลิ่นของเซเอล...
มันแปลว่าเจ้านายของเขาคือคนที่ปรากฏตัวออกมาล่อหลอกหญิงสาวคนนั้นหรือ? หรือว่ามันเป็นความบังเอิญที่ฝ่ายนั้นรู้สึกตัวตอนเจ้านายของเขาอยู่แถวนั้นกันแน่
มีความเป็นไปได้ว่า นี่คือความตั้งใจของเซเอลเพื่อพาริเรียไปจากที่นั่น แต่เพื่ออะไรล่ะ? เพื่อช่วยหญิงมนุษย์ที่ตนเองไม่รู้จักน่ะหรือ? ไม่หรอก พวกเขา...โดยเฉพาะเซเอล เย็นชาต่อชีวิตของผู้อื่นมานานแล้ว หากไม่ใช่คนที่รู้จักใกล้ชิดแบบวาลเซอิค ถึงจะตายไปสักเท่าไหร่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย ดังนั้นไม่มีทางเลยที่จะยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยให้เอลยาหลุดพ้นจากการกักขัง
เซเอล...คิดจะทำอะไรกับริเรีย...
คงไม่ใช่ว่า...
“ของแบบนั้นแค่บอกให้ข้าหรือคนอื่นไปทำก็ได้ไม่ใช่หรือไงกัน” คัลดิชกระซิบพึมพำกับตนเอง ตัวเขาที่อยู่กับเซเอลมานานมีหรือจะไม่รู้ว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังอ่อนแอแค่ไหน ถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาของมนุษย์ได้ดึงเอาสิ่งที่ได้มาเพราะคำสาปไปทีละน้อยในแต่ละวัน แต่ละนาที ในตอนนี้เซเอลเข้าใกล้ความเป็นมนุษย์มากขึ้นและมากขึ้น เป็นมนุษย์...ที่ก้าวเข้าสู่ความตาย เพราะอย่างไรผู้ต้องสาปก็ไม่มีวันกลับเป็นมนุษย์ปกติได้ ถ้อยคำนั้นเพียงแค่ช่วยให้พวกเขาไม่ถูกแผดเผาในแสงตะวัน แต่ต้องมีอายุขัยที่แสนสั้นยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป และเมื่อตายลง...ร่างกายจะไม่สูญสลายเป็นฝุ่นผง และจะสามารถเอนกายลงสู่พื้นดินได้ดังมนุษย์ปุถุชน
ด้วยถ้อยคำนั้น พวกเขาจะได้คืนเป็นมนุษย์อีกครั้งก็เมื่อสิ้นลมหายใจ...
เหลือเพียงแค่ร่างกายที่กลับสู่ผืนดิน...
“คัลดิช นี่ใกล้จะเช้าแล้วนะ” วาลเซอิคมองท้องฟ้าด้วยความกังวล จริงอยู่ว่ามันยังมืดมิดและไม่มีแสงสว่างทอเรืองเรื่อง แต่จากการกะเวลาแล้ว อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็คงจะปรากฏบนขอบฟ้า ด้วยระยะทางตอนนี้เขาไม่แน่ใจว่าตอนพบริเรียเขาจะสามารถพาอีกฝ่ายและคัลดิชหาที่หลบเร้นจากแสงสว่างได้ทัน “ถ้าเช้าแล้วจะเป็นยังไง? ที่ว่ากันว่าพวกเจ้าจะถูกเผาจริงหรือเปล่า?”
“ก็ตามนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น....!”
“เลิกโวยวายได้แล้ว ข้าไม่มีสมาธิ” กลิ่นอายที่โฉบผ่านเพียงครั้งเดียวนั้นเจือจางจนยากจะติดตามหากไม่สังเกตอย่างตั้งใจ และเส้นทางนี้ก็ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกใช้บ่อยนักทั้งโดยมนุษย์และผู้ต้องสาปเอง ชายหนุ่มกอดผ้าห่มผ้ากว้างในมือด้วยความหวังว่ามันจะช่วยปกป้องเขาได้ดีพอเพราะจากที่นี่เขาอาจจะกลับไปปราสาทไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้น แต่อย่างน้อยหากเป็นเขตรกครึ้มของป่าก็ยังดี
คัลดิชเหลือบสายตากลับไปมองเด็กหนุ่มที่ห่วงพะวงแต่เรื่องของแม่ อีกฝ่ายจะตื่นตระหนักร้อนอกร้อนใจกว่านี้หรือไม่ หากเขาบอกความจริงว่าคนที่อยู่กับแม่ของเจ้าตัวคือเซเอล
แต่ก่อนจะห่วงเรื่องคนอื่น...เขาก็ต้องห่วงตัวเองด้วยเหมือนกันสินะ ในสถานการณ์แบบนี้....
-------------------------->
แสงสีทองทาบทาเหนือแนวป่า ริเรียตระหนักรู้ด้วยสัญชาตญาณทันทีว่าถึงเวลาที่ตนเองต้องหลบซ่อนแล้ว มันไม่ใช่ความรักชีวิตแต่เป็นเพียงสิ่งที่ถูกสั่งการจากภายใน ทำให้เซเอลไม่ได้อยู่ในสายตาของเธออีกต่อไป ในเวลาที่เธอต้องการมีเพียงที่หลบซ่อนซึ่งมืดมิด อับแสง และสามารถหลับนอนได้โดยไม่มีใครพบเห็น กรงเล็บที่เงื้อง่าถูกลดลง เธอหันมองท้องฟ้าก่อนจะถอยออกจากเหยื่อที่นอนหมดเรี่ยงแรงไร้ทางสู้บนพื้น เธอเดินผ่านเซเอลไปราวกับไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น
แต่จะปล่อยไปอย่างนี้หรือ?
เซเอลมองเท้าเล็กที่เคลื่อนผ่านสายตาตนเอง
ตอนนี้คือเวลาที่รอคอยแล้ว แค่อีกเพียงเฮือกเดียว...แล้วเขาก็จะ...ไม่มีอะไรติดค้างอีก
ชายหนุ่มสูดหายใจเฮือกก่อนพลิกตัวคว้าข้อเท้าบอบบางนั้นไว้ก่อนดึงกระชากให้อีกฝ่ายล้มลง ริเรียเสียหลักโดยทันทีและเป็นจังหวะให้เซเอลขึ้นกดจากด้านบน ด้วยแรงที่เขามีอาจไม่สามารถรั้งไว้ได้นานนัก แต่ช่วงเวลากลางวันซึ่งเป็นเวลาพักผ่อนคือช่วงเวลาที่ผู้ต้องสาปจะอ่อนแอที่สุด
“ปล่อยข้า!” ริเรียกรีดเสียงร้องและจิกข่วนเป็นพัลวัน แสงที่ไล่มาตามแนวป่ากำลังบ่งบอกยามรุ่งที่ผู้ต้องสาปเช่นเธอไม่อาจสัมผัสได้ แต่ละแผลที่หญิงสาวกรีดลงไปฝังรอยบนแขนฉีกกระชากผิวเนื้อให้ขาดวิ่นจนแขนเสื้อสีขาวชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงฉาน ถึงอย่างนั้นเซเอลก็ยังไม่ปล่อยมือ
“ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าอีก ริเรีย” อีกไม่นานทุกอย่างจะจบลงแล้ว....
แสงสว่างกำลังใกล้เข้ามา แสงยามเช้าที่สวยงามเหมือนกับวันที่พ่อและแม่ของเขาจบชีวิตลง เขาได้แต่หวังว่ามันจะไม่ทรมานนัก...
การดิ้นรนเอาชีวิตรอดของริเรียก็เกินมือเซเอลไปมาก ถึงจะใช้กำลังทั้งหมดยุดยื้อไว้แต่ร่างกายของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเสียจนไม่อาจฟื้นฟูได้ดังเดิม ทว่า หากปล่อยรืเรียไปในตอนนี้ ก็จะไม่มีโอกาสอีกแล้ว เวลาของเขาเองก็เหลือน้อยลงทุกทีจนไม่รู้ว่าจะอยู่ได้จนถึงเมื่อไหร่ เพราะคิดอย่างนั้นเซเอลจึงฝืนทนรับความเจ็บปวดด้วยความเงียบ และยอมให้ริเรียประทุษร้ายโดยไม่ปริปาก
แต่แล้ว...
สวบ!
เซเอลเบิกตากว้าง มือของหญิงสาวคว้านเข้าไปในอกของเขาและกอบกุมหัวใจซึ่งแทบจะหยุดเต้นเพราะความตกตะลึง เลือดสีคล้ำไหลทะลักจากบาดแผลเปรอะเปื้อนไปทั่วและไหลฉาบผิวเนื้อสีขาวของริเรียจนแทบไม่เหลือที่ว่าง หากเธอออกแรงเพียงครั้งเดียวเขาก็จะหมดลมหายใจ...
ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงหยุด?
ริเรียที่กุมจุดอ่อนชิ้นสำคัญก็ดูแปลกใจตนเองที่ไม่ยอมกระชากมือกลับทั้งที่เป็นโอกาสของเธอ ราวกับว่าลึก ๆ ในสติสัมปชัญญะที่เหลือเพียงน้อยนิดกำลังรั้งมือของเธอเอาไว้ไม่ให้ทำอย่างที่ใจคิดได้ ทั้งที่อยู่ในช่วงเวลาคับขัน...แสงอาทิตย์ไล่มาจนเกือบจะถึงปลายเท้า เจ็บปวด...มันคือความรู้สึกที่เกิดขึ้นข้างในอก เจ็บเสียยิ่งกว่าความกลัวว่าจะถูกแผดเผาด้วยแสงของรุ่งอรุณ
ไม่รู้ว่าทำไม....เซเอลจึงละมือจากการเกาะกุมขึ้นมาสัมผัสที่หน้าอกบริเวณหัวใจตนเองที่บัดนี้กลายเป็นแผลเหวอะหวะและมีมือข้างหนึ่งคว้านอยู่ข้างใน
“จงเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่ข้า และข้าจะมอบคำสัญญานั้นแก่เจ้า” เขากล่าวอย่างแผ่วเบาและลมหายใจรวยระรินอ่อนแรง และทำให้เห็น....ปฏิกิริยาตอบรับของริเรีย ดวงตาสีแดงเลือดที่สับสนงุนงงเงยขึ้นสบกับเขาด้วยความรู้สึกอันหลากหลายที่ไม่อาจเข้าใจได้ว่าเป็นอะไรกันแน่ แต่ประโยคที่ได้ยินมันกระทบไปถึงบางส่วนในใจของเธอ ทำให้นึกถึงภาพในอดีตที่สวยงาม
‘หากแม้นข้าเอ่ยถ้อยคำนั้นแก่เจ้า คำสัญญาจะเป็นจริงจนถึงเมื่อใด’
ในค่ำคืนหนึ่ง....เคยมีบทสนทนาเช่นนี้เกิดขึ้น....เมื่อนานแสนนานมาแล้ว....
“ตราบจนกว่าเจ้าจะสิ้นลมหายใจ.....ตราบจนกว่าชีวิตข้าจะสูญสิ้นไป” เซเอลทอดมองหญิงสาวด้วยดวงตาอ่อนโยน แบบเดียวกับที่เขาเคยจ้องมองเมื่อครั้งที่เขากล่าวประโยคเหล่านี้ ถ้อยคำ...ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไป สิ่งที่ริเรียมอบไว้ให้ประหนึ่งของขวัญอันล้ำค่า
‘ถ้อยคำนั้นสำคัญนักหรือ แสงสว่างที่ไม่เคยพบเห็นมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้ว่าสิ่งนั้นจะทำให้ไม่อาจดื่มกินรสอันหวานหอมที่แสนรักได้อีกเลยก็ตาม’
สำคัญสิ...สำคัญเพราะว่าแสงสว่างนั้น...ไม่ได้อยู่บนฟากฟ้า...
“แม้จะต้องแลก.....ด้วยสิ่งใดในโลกนี้ ข้าก็พร้อมจะยอมสละสิ้น...” เซเอลแย้มยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างที่เขาไม่ได้ทำมานานแล้ว “เพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า....แสงสว่างใด ๆ ที่เจ้าหรือข้าเคยรู้จัก”
เฮือกหนึ่งที่ริเรียกลั้นหายใจเพราะแสงสว่างที่สัมผัสหลายเท้า มันไม่ได้อุ่น...หรืออ่อนโยน แต่มันได้สร้างความเจ็บปวดให้เธอเหมือนการหยั่งเท้าลงในน้ำมันที่เดือดพล่าน ทั้งที่เป็นอย่างนั้น...ในจิตใจของเธอกลับสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำที่ไร้คลื่นลม เป็นความสงบที่บังเกิดขึ้นหลังจากที่จมอยู่ในพายุอันคลุ้มคลั่งจนไม่รู้วันเวลา ไม่รู้ว่าผ่านมานานเท่าใดที่ทุกอย่างมืดมิดและเลือนราง และราวกับว่าในที่สุด พายุคลุ้มคลั่งมืดมัวนั้นก็ผ่านไปจนสามารถพานพบแสงสว่างได้อีกครั้งหนึ่ง
“....สิ่งนั้นคือ....สิ่งใดกัน” ริมฝีปากสีสดเอ่ยถามด้วยเสียงแผ่วเบาและแหบแห้ง มือที่กุมหัวใจเริ่มคลายออกแต่ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใด ๆ มากไปกว่านั้น แต่ก็ทำให้เซเอลชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง....ชั่วขณะที่ภาพเก่าในวันวานหวนกลับมาอีกครั้ง
วันที่สายลมโชยพัดฉ่ำเย็นพากิ่งไม้เสียดสีแกรกกราก ดวงจันทร์สีเงินลอยเด่นบนผืนฟ้ากว้างสีดำที่พร่างพรายด้วยแสงดาวนับแสนล้านดวง
คำถาม....ที่เขาไม่ได้ตอบ.....
“สิ่งนั้น.....” เสียงของชายหนุ่มสั่นเครือ “....คือเจ้า ริเรีย....เป็นเจ้ามาตลอด....และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป....”
หยดน้ำใสปริ่มจากหางตาก่อนหยดไหลไปตามพวงแก้มตกลงสู่พื้นดิน ริเรียกะพริบตาครั้งหนึ่งเมื่อในดวงตาของเธอเอ่อคลอจนภาพข้างหน้าเลือนรางไปด้วยหยดน้ำ
“ข้าเรียกหาเจ้า...เรียกชื่อของเจ้า ทำไมเจ้าถึงไม่มา เซเอล...”
“ข้าขอโทษ...” ชายหนุ่มไล้ปลายนิ้วไปบนใบหน้าของริเรีย “...ขอโทษที่ปกป้องเจ้าไม่ได้”
เปลวไฟลุกแผดเผาร่างของหญิงสาวจากปลายเท้าไล่ขึ้นมา ก่อนจุดที่ถูกเผาจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง ริเรียยิ้มบางทั้งน้ำตา เหมือนกับว่าจะไม่มีสิ่งใดติดค้างในใจของเธอแล้ว แต่ก็ยังมีอีกสิ่งที่ยังไม่อาจปล่อยวางได้ เด็กคนนั้น....ใช่...เธอจำได้ เด็กชายที่อยู่ในความทรงจำ ภาพที่เด่นชัดที่สุดในม่านหมอกพร่ามัว
“ลูกของข้า....”
“แม่!” ไม่รู้ว่าเพราะบุญพาวาสนาส่งหรือกรรมผลักดันกันแน่ วาลเซอิคจึงมาถึงในตอนนั้นพอดีและได้เห็นแม่ของตนกำลังลุกไหม้และสลายไปต่อหน้าต่อตาโดยมีเซเอลอยู่ข้าง ๆ
ริเรียหันมองลูกชายที่รู้สึกไม่เหมือนกับว่าได้พบกันเป็นครั้งแรก แต่เพียงได้ยินเสียงเรียกตนเองความปิติยินดีก็เอ่อล้นขึ้นมาจากในอกกลั่นเป็นหยดน้ำตา....แค่เวลาชั่วนาทีก่อนที่ร่างกายของเธอจะสลายกลายเป็นผุยผงและปลิวไปตามสายลมที่พัดวูบผ่านมา...
“....ลาก่อนริเรีย...” เซเอลกำเศษซากจากร่างกายของริเรียในมือก่อนจะปล่อยให้มันถูกพัดปลิวจากไป
ในที่สุดเธอก็ได้พักผ่อนอย่างสงบเสียที....
วาลเซอิคเอื้อมมือไปหมายจะสัมผัสถึงหญิงสาวผู้แหลกสลาย ทว่ามือของเขาก็ไม่อาจแตะต้องสิ่งใดได้เลยนอกจากความว่างเปล่า
เซเอลกุมหน้าอกตนเองที่เลือดไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย เขายังคงรู้สึกถึงความพยายามที่จะฟื้นฟูตัวเองของร่างกาย แต่แผลใหญ่นี้ก็ทำให้เขาหน้ามืดจนแทบยืนไม่ขึ้น ชายหนุ่มกัดฟันยันตัวเองให้ยืนก่อนเซถลาไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งใกล้ ๆ อย่างไร....การมาตายเอาตรงนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายของตัวเขานัก เพียงแต่ว่า เขาไม่ได้คิดว่าคนที่เห็นการตายของเขาจะเป็นวาลเซอิค...
เด็กคนนั้นต้องเจ็บปวดมากแน่ที่เห็นแม่หายไปต่อหน้าแล้วยังเขาอีก....
“เซเอล....แผลนั่น....!” ในที่สุดวาลเซอิคก็ตั้งสติได้ และเมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็พบว่าทั้งตัวชายหนุ่มชุ่มโชกไปด้วยเลือด ยิ่งมองเห็นใต้แสงสว่างอย่างนี้ ภาพนั้นยิ่งดูน่ากลัวเสียจนทำให้สติถูกแช่แข็งไปชั่วครู่
เซเอลคล้ายพยายามทรงตัวให้ได้แม้อยู่ในสภาพโชกเลือดไปทั้งตัว และในตอนนั้นเองที่มีเงาร่างหนึ่งวิ่งผ่านหน้าวาลเซอิคไปโดยไม่มีใครทันสังเกต ร่างเล็ก ๆ นั้นตรงไปยังเซเอลพร้อมกับเงาสะท้อนวาววับของมีดในมือ มันเสือกแทงเข้าไปในร่างของเซเอลซึ่งไม่สามารถป้องกันตัวได้ทัน ร่างโปร่งทรุดฮวบลงไปบนพื้นเพราะแข้งขาไม่อาจพยุงต่อไปได้อีก ดวงตาของเซเอลสะท้อนภาพหญิงชรากำลังมองเขาด้วยความคั่งแค้น
“คุณยาย อย่านะ!” วาลเซอิควิ่งเข้าไปดึงหญิงชราออกมา แต่กลับถูกตอบโต้ด้วยมีดคมที่ตวัดกรีดแผ่นอกเขาเป็นแนวยาวและถูกผลักล้มเพื่อไม่ให้เข้ามาขวาง เธอกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและไม่เป็นศัพท์พร้อมกระหน่ำปลายมีดใส่ร่างของเซเอลที่ไม่สามารถตอบได้เลย
วาลเซอิครีบตะเกียกตะกายเข้าไปโอบหญิงชราจากด้านหลังเพื่อรั้งไม่ให้ทำอะไรไปมากกว่านี้ สภาพยับเยินของเซเอลแสดงถึงขีดจำกัดที่ไม่อาจรับการกระทบกระเทือนได้อีก หากยายของเขายังทำแบบนั้นต่อไป เซเอลจะต้องตายจริง ๆ แน่!
“ปล่อยข้านะ! ข้าจะฆ่าไอ้ปีศาจนี่!” หญิงชราร้องพร้อมสะบัดตัวจากแขนของเด็กหนุ่ม แต่วาลเซอิคทุ่มแรงทั้งหมดที่มีเพื่อหยุดอีกฝ่ายไว้ ที่สุดเธอจึงทำได้เพียงการตะโกนร้องด้วยหัวใจที่แตกสลาย “เอาลูกข้าคืนมา เอาลูกสาวข้าคืนมา!” เสียงร้องของยายเหมือนการเตือนให้วาลเซอิครับรู้ความจริงอีกครั้งว่าริเรีย...แม่ของเขาได้ตายไปแล้ว ตายไปต่อหน้าโดยที่เขาไม่อาจแก้ไขอะไรได้เลย และเพราะอย่างนั้น เขาจึงได้กลัว....กลัวว่าจะเสียเซเอลไปอีกคนหนึ่ง ถึงเซเอลจะฆ่าแม่ของเขา แต่ว่า....
แต่ว่า....
สวบ!
ในช่วงที่วาลเซอิคกำลังขัดแย้งกับตัวเองอย่างยากลำบาก มีดก็แทงลงบนขาจนมิดด้าม เด็กหนุ่มร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนเผลอปล่อยมือจากอีกฝ่ายเมื่อถูกกระแทกซ้ำที่ลิ้นปี่อย่างแรง
คมมีดเงื้อง่าเข้าใส่เซเอลอีกครั้งเมื่อหญิงชราเป็นอิสระ ทว่ากลับไปไม่ถึงตัวของเซเอล เพราะเพียงเธอก้าวเข้าไปไม่กี่ก้าว ก็ปรากฏร่างชายหนุ่มคนหนึ่งในผ้าผืนใหญ่ที่คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าขึ้นขวางระหว่างกลางทั้งสองคน ทันใดที่เธอหมายจะทำร้ายคนที่คิดขวางทาง มือข้างหนึ่งก็โผล่พรวดจากในร่มผ้าและตรงเข้าบีบที่คอของเธออย่างแรงพร้อมกับดวงตาสีเลือดเปล่งแสงเรืองรอง
“มดปลวกอย่างเจ้าอย่าบังอาจหันคมอาวุธใส่ข้าหรือนายของข้า” สิ้นคำ ชายหนุ่มก็ตวัดแขนโยนร่างท้วมเตี้ยของหญิงชราปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ดังผลั่ก เขาเหลือบสายตามองวาลเซอิคชั่วครู่และหมุนตัวหันหลังอุ้มเซเอลขึ้นมาโดยไม่พูดอะไร
“พา...ข้ากลับ...” เซเอลกระซิบบอกก่อนปิดเปลือกตาลง
“เดี๋ยว! คัลดิช...” วาลเซอิคร้องเรียกฝ่ายนั้นเพราะต้องการจะเข้าไปดูอาการเซเอลที่บาดเจ็บจนไม่อาจขยับตัวได้ ทั้งที่ผู้ต้องสาปมีร่างกายที่เป็นอมตะ แต่ทำไม....ทำไมเซเอลจึงถูกทำร้ายถึงขนาดนั้น หรือว่าเพราะถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาที่แม่ของเขาเคยทำไว้!?
“ข้าไม่มีเวลาคุยกับเจ้าหรอกนะวาลเซอิค” คัลดิชปฏิเสธที่จะประวิงเวลา เขาพาผู้บาดเจ็บจากไปอย่างรวดเร็วโดยที่วาลเซอิคไม่อาจติดตามไปได้ทัน เด็กหนุ่มละล้าละลังไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไรต่อไป ทั้งเรื่องที่แม่ถูกฆ่า ทั้งเรื่องที่เซเอลบาดเจ็บสาหัส มันทำให้สมองของเขาสับสนไปหมดและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก
เสียงครางจากหญิงชราเรียกให้วาลเซอิคหันไปมอง
จริงสิ...ยายของเขาเองก็....
เด็กหนุ่มรีบวิ่งไปดูอาการและดึงมีดโยนทิ้งไปไกล ๆ ซึ่งก็สามารถดึงออกมาได้อย่างง่ายดายกว่าที่คาด และเมื่อเขาหันกลับมาอีกครั้งเขาก็พบว่า....ยายกำลังร้องไห้ หญิงชราก้มหน้าสะอึกสะอื้นฟูมฟายเหมือนกับว่าโลกทั้งใบได้แตกสลายลงไปแล้ว เธอโถมตัวใส่วาลเซอิคจะทุบตีแทนการระบายอารมณ์ที่พลุ่งพล่านออกมาจากภายใน เป็นอารมณ์ที่สับสนวุ่นวายและอัดอั้นมานานอย่างไร้ทางออก ใจของเธอรู้มานานแล้วว่าจะไม่มีวันได้ลูกสาวคนเดิมคืนมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังหลอกตัวเองมาหลายต่อหลายปี...จนกระทั่งความฝันได้จบลงด้วยการถูกกระชากให้ตื่นอย่างโหดร้าย
วาลเซอิคกอดยายของเขาด้วยความรู้สึกเศร้าใจและเจ็บปวดร่วมไปกับเธอ เขากุมแผลบนอกตนเองพลางเบ้หน้าและค่อย ๆ พยุงหญิงชราขึ้น
“ข้าจะพายายไปส่งที่บ้านนะ...”
แล้วจากนั้น...เขาจะรีบไปหาเซเอลทันที...
--------------------------->
-
อาร์วิน่าตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเห็นสภาพของเซเอลตอนกลับมาถึงปราสาท เลือดที่ชุ่มโชกจนเสื้อสีขาวถูกย้อมเป็นสีแดง ซ้ำบาดแผลบนร่างกายกลับไม่ยอมหายสนิท เธอไม่ยอมนอนมาจนถึงตอนนี้เพราะความไม่สบายใจแปลก ๆ ที่รบกวนมาตั้งแต่ตอนค่ำ แต่ไม่คิดว่าลางสังหรณ์ตัวเองจะแม่นยำกับเรื่องแบบนี้ได้ พวกเขารีบพาเซเอลไปที่ห้องนอนโดยคัลมาร์ยกเอาเครื่องมือทำแผลตามไป
เครื่องมือทำแผล....สิ่งที่พวกเขาเริ่มใช้มันอีกครั้งเมื่อวาลเซอิคมาอยู่ที่ปราสาท และเด็กมนุษย์ก็ไม่สามารถรักษาตัวได้อย่างพวกเขา ใครจะทันคิด...ว่าวันหนึ่งนายแห่งปราสาทที่ถูกสาปจะได้ใช้มันด้วย...
จะนับว่าเป็นโชคดีอีกข้อก็ได้ที่เคยเลี้ยงวาลเซอิคมาก่อน ทำให้คัลมาร์คุ้นเคยดีกับการรักษาแผล แต่...ไม่ใช่แผลฉกรรจ์ขนาดนี้..... ถึงแม้เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่อาการของเซเอลก็คล้ายจะไม่ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผลบนแผ่นอกที่เป็นรูกว้าง หากเป็นมนุษย์ปกติ ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าคงไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว แต่เพราะคำสาป...มันจึงพยุงชีวิตของเซเอลไว้ได้ แต่ก็คงจะอีกไม่นาน...
คัลมาร์เดินออกมาจากห้องของเซเอลพลางถอนหายใจต่อหน้าอาร์วิน่าและคัลดิชซึ่งเฝ้ารออยู่ข้างนอก ท่าทางของอีกฝ่ายแปลว่าสถานการณ์ย่ำแย่อย่างที่สุด
“นายท่านบอกว่าให้พวกเราไปจากที่นี่”
อาร์วิน่ามุ่นคิ้ว
“หมายความว่ายังไง?”
“เจ้าน่าจะรู้แก่ใจอยู่แล้ว ปราสาทหลังนี้อยู่ได้ด้วยพลังของนาย ดังนั้นเมื่อนายท่าน...ตาย...ปราสาทหลังนี้ก็จะหมดอายุขัยไปด้วย” คัลมาร์อธิบายด้วยสีหน้าลำบากใจ พวกเขาอยู่ที่นี่และคอยดูแลทุก ๆ อย่าง ปราสาทหลังนี้ก็เป็นเสมือนบ้านของครอบครัวที่เหลืออยู่แค่เพียงพวกเขาสี่คน แต่ตอนนี้...บ้านหลังนี้กำลังจะแตกซ่านกระเซ็น เพราะนายท่านผู้เป็นประหนึ่งเสาหลักของบ้านกำลังก้าวเข้าสู่จุดสุดท้ายของชีวิต และพวกเขาก็จะต้องแยกย้ายกันไปโดยไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยวไว้ได้อีก
“เอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ!” หญิงสาวผมแดงทุบโต๊ะดังปัง “นี่คิดว่าพวกข้าอยู่ที่นี่ ไม่ออกไปตามคนอื่น ๆ เพราะอะไรกัน ไม่ใช่เพราะพวกเรากลัวตายเมื่อต้องไปอยู่กับพวกมนุษย์ แต่เพราะพวกเราเกิดที่นี่ เติบโตที่นี่ เขาไม่มีสิทธิไล่ข้าไปไหนทั้งนั้น!”
“แต่เมื่อนายท่านไม่อยู่แล้ว ปราสาทก็คงจะพังทลาย พวกเราไม่มีทางเลือกมากนักหรอก” คัลดิชไหวไหล่แบบยอมรับความจริง ปราสาทหลังนี้แสดงอาการมานานแล้วว่ามันจะสูญสิ้นพร้อมกับเจ้านายของมัน ทั้งรั้วเหล็ก กรอบหน้าต่าง และต้นไม้ในสวน...พวกมันคร่ำครวญอย่างอ่อนล้าและร่วงโรยลงไปพร้อมกับเซเอล
คำตอบของคัลดิชขัดอกขัดใจอาร์วิน่าไม่ใช่น้อย หญิงสาวกระทืบเท้าแล้วกอดอกหันไปทางอื่นด้วยความหงุดหงิด
“นอกจากนี้....” คัลมาร์ขัดจังหวะขึ้นมาอีกคำหนึ่ง “นายท่านยังฝากข้อความถึงวาลเซอิคด้วย”
“ถึงวาลเซอิค?” อาร์วิน่ามุ่นคิ้ว
“นายท่านบอกว่า....”
-------------------------->
“กลับไปซะ และอย่ามาที่นี่อีก”
....
วาลเซอิคฟังคำต้อนรับจากอาร์วิน่าหลังจากที่ไม่ได้มาเหยียบปราสาทนี้เสียเกือบเดือน แต่คำต้อนรับนั้นไม่ได้ทำให้เขาดีใจเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออาร์วิน่าบอกเขาว่าเป็นข้อความฝากของเซเอล
ทำไม....ทำไมกันล่ะ?
ทำไมเซเอลต้องไล่เขาด้วย...
เด็กหนุ่มไม่อาจหาเหตุผลอะไรมาปลอบใจตัวเองได้เลย ในใจของเขามแต่คำถามและความไม่เข้าใจต่อคนที่เลี้ยงดูตนเองมา
ความตกตะลึงของวาลเซอิคทำให้อาร์วิน่าอ่อนใจ เธอไม่อยากเป็นคนส่งสารนี้เลยสักนิดแต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะฝาแฝดสองคนนั้นปฏิเสธหนักแน่น
“ยังไงก็เถอะ...เจ้าเข้ามาทำแผลก่อนก็แล้วกัน” หญิงสาวกล่าวหลังจากพิจารณาบาดแผลบนอกที่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจ กับต้นขาที่ถูกพันผ้าไว้ลวก ๆ ยังไงวาลเซอิคก็เป็นมนุษย์ธรรมดา หากปล่อยไว้คงติดเชื้อจนเน่าเข้าพอดี ซึ่งเธอไม่ได้คาดหวังว่าเด็กที่ดูแลมาตลดจะมีจุดจบน่าอเน็จอนาถแบบนั้น
“แล้วเซเอล...เซเอลเป็นยังไงบ้าง?” วาลเซอิคคว้ามืออาร์วิน่าแล้วละล่ำละลักถาม เป็นคำถามที่หญิงสาวเบือนหน้าไปทางอื่นด้วยความรู้สึกว่าตนเองไม่อยากจะพูดเรื่องแย่ ๆ อีกแล้ว ด้วยการตอบรับเช่นนั้น ทำให้วาลเซอิคอนุมานได้ทันทีว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี “ข้าจะขึ้นไปดู” เขาพูดแค่นั้นแล้ววิ่งเข้าไปในปราสาทโดยไม่ฟังคำทัดทานของอาร์วิน่าที่ตะโกนห้ามไล่หลังมา
คัลดิชและคัลมาร์อยู่ระหว่างทางเดินไปยังห้องของเซเอล แต่ทั้งสองก็ไม่ได้ห้ามเขา...
“เซเอล!” เขาตะโกนเรียกอีกฝ่ายพร้อมกับเปิดประตูห้องด้วยความร้อนใจ
ในความมืดนั้น เป็นการยากที่เขาจะมองเห็นสิ่งใดได้ชัดเจน แต่เขาก็เห็นเงาร่างของเซเอลที่ขยับเคลื่อนไหวเพราะการมาเยือนของเขา
วาลเซอิคสาวเท้าไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว และเอื้อมมือไปหมายจะสัมผัสอีกฝ่าย แต่กลับถูกรั้งไว้
“เจ้าไม่ควรมาที่นี่” เซเอลกล่าวเสียงแผ่ว และเพราะความมืด วาลเซอิคจึงไม่รู้เลยว่าเจ้าตัวทำสีหน้าเช่นไรอยู่ “กลับไปซะ...”
“แต่ท่านบาดเจ็บ...”
“ข้าเป็นคนฆ่าแม่ของเจ้า วาลเซอิค ข้า....ไม่ใช่คนดีแบบที่เจ้าคาดหวังหรอก” ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกทางหนึ่งก่อนพูดต่อ “ที่ข้ารับเจ้ามา...ก็เพราะคำสัญญาที่ข้าให้ไว้กับริเรีย ที่ข้าดูแลใกล้ชิดเจ้าก็เพราะเจ้ามีดวงตาคล้ายกับนาง เจ้าไม่มีอะไรติดค้างข้าทั้งนั้น”
“....ถ้าอย่างนั้น...ทำไมถึงต้องทำให้ตัวเองบาดเจ็บแบบนี้...” วาลเซอิคค่อย ๆ ลดมือลงสัมผัสท่อนแขนอีกฝ่ายและเลื่อนไปบนผ้าพันแผลที่ปกปิดแทบทั้งตัว “หากท่านแค่อยากจะฆ่าแม่ข้า ท่านแค่สั่งให้ใครสักคนทำแทนก็ได้ เซเอล...เพราะท่านรักนางถึงได้อยากจะชดใช้ใช่หรือเปล่า คิดว่าตลอดเวลาที่ข้าอยู่กับนางข้าจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของนางเลยหรือ?”
เซเอลไม่ได้ตอบ....เขานอนนิ่งไม่ไหวติง...
“เซเอล...ทำไมต้องขับไล่ข้าด้วย ข้าทำอะไรไม่ดี....เพราะข้ารักท่านใช่ไหม? เพราะท่านรักแม่ข้าถึงได้ไม่ยอมตอบรับความรู้สึกของข้า” เด็กหนุ่มดึงมือเซเอลขึ้นมากุมแน่นจนเขารู้สึกได้ถึงความร้อนที่ถ่ายทอดเข้ามา มือของวาลเซอิคชื้นไปด้วยเหงื่อและกำลังสั่น... “ม...มันไม่เป็นไรเลย...ข้าก็แค่...อยากจะอยู่กับท่าน อยากจะอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม จะทำเหมือนข้ายังเป็นแค่เด็กก็ได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้...แต่ข้า...”
คำพูดของวาลเซอิคชะงักเมื่อเซเอลวางมือข้างหนึ่งบนศีรษะของเขา
“ตอนนั้นเจ้าเป็นแค่เด็ก...ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้เจ้าโตมากพอแล้ว ได้เวลาเป็นผู้ใหญ่แล้ว และข้า...ก็อยู่ดูแลเจ้าไม่ได้อีกแล้ว” จากนั้น เซเอลก็ลดมือบงวางบนอกตนเอง การเลื่อนไหวเพียงเล้กน้อยกลับสร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างมาก “....ถ้าเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด....ก็ออกไปจากที่นี่ซะ ที่นี่ไม่ใช่ที่อยู่ของมนุษย์แบบเจ้า และไม่มีวันที่จะเป็นเช่นนั้นได้”
“....เซเอล....”
“ออกไป...”
....
วาลเซอิครู้ว่าตนเองไม่สามารถเปลี่ยนใจอีกฝ่ายได้ สิ่งที่เซเอลตัดสินใจลงไปแล้วมักยากจะเปลี่ยนแปลง เด็กหนุ่มวางมืออีกฝ่ายลงบนเตียงอย่างเบามือที่สุดและค่อย ๆ ถอยออกมา
ด้านนอก อาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์กำลังมองมาที่เขาเป็นตาเดียว แต่ทั้งสามก็ไม่ได้ถามอะไร...
“ไปทำแผลกัน” คัลมาร์เป็นคนทำลายบรรยากาศเงียบงันที่น่าอึดอัด และจูงมือวาลเซอิคไปยังห้องนั่งเล่น เขาจุดเทียนเพื่อให้วาลเซอิคมองเห็นสิ่งต่างๆได้สะดวกก่อนจะลงมือทำแผลอย่างชำนิชำนาญ อย่างน้อยบาดแผลของวาลเซอิคก็ไม่น่าปวดหัวเท่ากับของเซเอล...
ตลอดเวลานั้น วาลเซอิคไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คำเดียว เขาเอาแต่นั่งนิ่งและก้มหน้าลงต่ำเหมือนคนที่กำลังคิดอะไรบางอย่างและคิดไม่ตกเสียที ทั้งที่โดนเย็บแผลสด ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ร้องสักแอะราวกับว่ามีสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดได้ยิ่งกว่านี้อยู่ข้างใน
“พอเดินไหวแล้วก็ค่อยกลับแล้วกัน อย่าลืมไปทักทายเซราฟกับวอเรนด้วยล่ะ พวกมันคิดถึงเจ้าเอาการเลย” คัลมาร์เก็บของแล้วลุกขึ้น “เอาล่ะ ข้าก็จะไปนอนพักเสียที...” พอคิดจะทำอย่างที่พูด เขาก็ถูกดึงเอาไว้ไม่ให้เดินจากไปแต่โดยดี
“...มีทางไหน...ที่จะช่วยเซเอลได้บ้าง?”
คัลมาร์เหลือบสายตาไปมองผู้ชมอีกสองคนที่ต่างก็ไม่มีความเห็น แต่คัลดิชก็ทำสีหน้าคล้ายจะบอกว่า บอกความจริงไปเสียให้จบ ๆ ดีกว่า
“ก็มีอยู่ แต่ข้าไม่รู้ว่านายท่านจะยอมหรือเปล่า” ชายหนุ่มโครงศีรษะเล็กน้อย “นั่นคือต้องทำให้นายท่านกลับเป็นผู้ต้องสาปเต็มตัวดังเดิม....ก่อนที่จะตาย”
“เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วเซเอลจะไม่ตายใช่ไหม?”
“ก็จะเป็นเหมือนพวกเรา ดื่มกินเลือดมนุษย์ได้ แต่อยู่กลางแสงแดดไม่ได้ และเป็นอมตะ....แน่นอนว่าบาดแผลจะสมานตัวอย่างรวดเร็ว และมีพละกำลังเหมือนเดิม”
นั่น....ก็จะทำให้เซเอลกลับเป็นผู้ต้องสาปเหมือนเดิม เป็นเหมือนกับตัวเซเอลก่อนจะเจอกับแม่ของเขา...
ถ้ามันทำให้เซเอลมีชีวิตอยู่....
“ข้าต้องทำยังไง?”
อาร์วิน่าและคัลดิชมองหน้ากัน ความตั้งใจของวาลเซอิคดูขัดแย้งกับความต้องการของเซเอลอย่างสิ้นเชิง และเมื่ออย่างไรก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้อยู่แล้ว ทำไมวาลเซอิคจึงยังต้องการช่วยเซเอลอีก?
“ข้อห้ามของการถูกผูกมัดด้วยถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาคือเลือดของมนุษย์”
เด็กหนุ่มไม่พูดพล่ามทำเพลง เดินไปหยิบแก้วไวน์ออกมาจากตู้เก็บแก้วและหยิบมีดที่วางในลิ้นชักออกมากรีดลงบนแขนตนเอง เพราะเมื่อได้ยินอย่างนั้นเขาจึงเข้าใจทุกอย่าง แม่ของเขาเอง....ก็หลุดพ้นจากพันธะของถ้อยคำนั้นด้วยการหันกลับไปฆ่าคนและดื่มกินเลือดของมนุษย์เช่นกัน เลือดมนุษย์ไม่ใช่ยาพิษ...แต่มันคือสิ่งที่ปัดเป่าแสงสว่างออกไปและทำให้คำสาปครอบงำร่างกายนั้นอีกครั้งหนึ่ง...
“พอได้แล้ว! แค่นั้นก็พอแล้วเจ้าเด็กโง่นี่!” อาร์วิน่ากำข้อมือวาลเซอิคเพื่อปิดปากแผลหลังจากที่เห็นอีกฝ่ายเอาแต่ยืนจดจ้องแก้วที่บรรจุเลือดตนเองและปล่อยให้มันไหลไปเรื่อย ๆ ไม่ยอมหยุดเสียที
“...นั่นสินะ....” วาลเซอิคใจลอยไปเล็กน้อยและกลับไปเงียบอีกครั้งตอนที่คัลมาร์เข้ามาพันแผล “...ถ้าอย่างนั้น...ข้าไปล่ะ เซเอลคงจะไม่อยากให้ข้าอยู่นานกว่านี้....” ประโยคหลังของเจ้าตัวดูเหมือนกำลังน้อยใจคนที่ไล่ตนเองออกไปทั้งที่เป็นห่วงจนลืมนึกกระทั่งเรื่องของตัวเอง ถึงแม้คัลมาร์จะบอกให้พักที่นี่ไปก่อนวาลเซอิคก็ไม่สนใจ เขากลั้นความรู้สึกปวดร้าวเอาไว้และรีบเดินออกไปจากปราสาทอย่างรวดเร็วเท่าที่จะทำได้
มันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม....
เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาไว้...เซเอลยังคงเลือกแม่ของเขา และปรารถนาที่จะตายตามไปเมื่อริเรียไม่ได้อยู่ที่นี่อีกแล้ว ส่วนตัวเขาที่ไม่เป็นที่ต้องการ...ก็ควรจะจากไป...เพราะไม่อาจแทนที่แม่ได้
เพราะเขาเป็นมนุษย์...จึงต้องจากไป
เพราะเป็นมนุษย์จึงได้เติบโต...เป็นผู้ใหญ่
เพราะเขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว....เพราะเขาไม่ใช่เด็กที่เซเอลต้องปกป้องดูแลอีกต่อไป....
แต่ทำไม....ไม่มีใครเคยบอกเขาเลยว่าการโตเป็นผู้ใหญ่จะต้องเจ็บปวดถึงขนาดนี้....
การเติบโต...ช่างโหดร้ายเหลือเกิน...
---------------------->
บางทีวาลเซอิคคงไปแล้ว...โดนไล่เสียขนาดนั้น....
เซเอลมองออกไปที่หน้าต่างด้วยสายตาว่างเปล่า เขาไม่อยากขยับตัว...ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น...ไม่อยาก....กระทั่งคิดอีกแล้ว...
แต่มันก็ยังคงอดคิดไม่ได้...ถึงเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่วิ่งตามเขาต้อย ๆ ไปทั่ว เหมือนกับว่าหากวันใดไม่ได้พบเขาวันนั้นจะไม่สามารถอยู่ได้ นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้สัมผัสถึงการเป็นที่ต้องการของใครสักคนถึงขนาดนี้ ที่มีคนเห็นว่าเขามีค่าและควรแก่การเป็นที่รัก....
“นายท่าน” อาร์วิน่าเปิดประตูเข้ามาพร้อมแก้วใบหนึ่งในมือโดยไม่เคาะประตูและไม่ขออนุญาต
“ข้าไม่อยากพบใครตอนนี้”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็ทำเหมือนข้าไม่อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน” ในบางเวลาที่อาร์วิน่าเกิดอยากดื้อแพ่งขึ้นมา ใครก็เถียงเธอไม่ขึ้น เซเอลที่ไม่มีแรงจะถกเถียงอยู่แล้วจึงเงียบไปและทอดสายตาไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ในขณะที่หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้และวางแก้วในมือบนบนโต๊ะเล็กข้างเตียง “วาลเซอิคเพิ่งไปเมื่อครู่ บาดแผลของเขาลึกพอดูแต่ก็พาตัวเองมาหาท่านก่อนโดยไม่ยอมทำแผลตัวเองสักนิด พอทำแผลเสร็จก็ไปทันทีไม่ร่ำไม่ลาเลย บางทีคงเพราะถูกทำร้ายจิตใจกระมัง ท่านเคยโอ๋เขาเสียขนาดนั้นนี่”
ตลอดเวลาที่อาร์วิน่าพูด คล้ายว่าเซเอลไม่ได้ฟังเลยสักนิด แต่ความจริงเจ้าตัวได้ยินทุกถ้อยทุกคำอย่างครบถ้วนแต่ไม่รู้ว่าควรจะตอบอะไร
จะบอกว่า...เพราะเขาไม่ต้องการวาลเซอิคแล้วอย่างนั้นหรือ?
หากเขาพูดอย่างนั้น...มันก็เป็นคำโกหก...
“แต่ก่อนไปเขาฝากของขวัญไว้ให้ท่านด้วย ข้ารู้ว่าท่านไม่ต้องการจะกลับเป็นเหมือนเดิมเพราะความอ่อนแอนี้เป็นสิ่งสุดท้ายที่ริเรียทิ้งเอาไว้ให้แม้มันจะนำท่านไปสู่ความตายก็ตาม” หญิงสาวผมแดงถอนหายใจ “แต่ท่านน่ามองรอบตัวบ้างนะ คนที่ต้องการท่านไม่ได้มีแต่ริเรียเสียหน่อย ความทุกข์ทรมานของนาง...ท่านเองก็ชดใช้มามากเกินพอแล้ว และท่านก็เป็นคนทำให้นางได้หลับอย่างสงบในที่สุด และตอนนี้มีคนที่ต้องการท่านมากกว่านางอยู่ ข้าไม่ใช่คนชอบพูดอะไรน้ำเน่าแต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ ....เด็กคนนั้น...แค่ต้องการให้ท่านมีความสุข ถึงแม้จะถูกท่านจะไสส่งแต่เขาก็ยังคงอยากให้ท่านมีชีวิตอยู่แม้ไม่มีเขา”
อาร์วิน่าพูดสิ่งที่อยากพูดไปจนหมดแล้ว ครึ่งหนึ่งก็เป็นการระบายของเธอเอง ส่วนอีกครึ่งเป็นส่วนของวาลเซอิคในฐานะพี่สาวคนหนึ่ง พอคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรพูดอีกแล้วเธอจึงหมุนตัวเดินไปที่ประตู แต่เมื่อกำลังจะออกไปหูก็แว่วเสียงการขยับตัวของเซเอล....
“.....ท่านเคยขอให้ข้าแนะนำ ข้าก็ยังยืนยันจะแนะนำท่านอย่างเดิม” เพราะปฏิกิริยาของเซเอล อาร์วิน่าจึงทิ้งประโยคสุดท้ายไว้อีกประยคหนึ่งก่อนเดินออกไป
‘ท่านน่าจะซื่อตรงกับตัวเองบ้าง’
เสียงของอาร์วิน่าก้องอยู่ในหู...
เซเอลยันตัวลุกขึ้นด้วยความยากลำยาก เพื่อมองดู ‘ของขวัญ’ จากวาลเซอิค....สิ่งที่จะคืนทุก ๆ อย่างให้แก่เชา ชีวิตอมตะ พลังอำนาจ และความว่างเปล่า....
เด็กคนนั้น....จากไปแล้วจริง ๆ
วาลเซอิค....
ลำคอของเขาแห้งผากเมื่อพยายามจะเอ่ยชื่อนั้นออกมา ข้างในอกมีบางสิ่งเคลื่อนไหวจนรู้สึกอึดอัด และก่อนที่เขาจะรู้ตัว....ก็มีหยดน้ำหยดลงบนมือของตัวเขาเอง....
น้ำตา?
ทั้งที่มันไม่เคยไหลเลยนับแต่วันแรกที่เขาต้องกลายเป็นผู้ต้องสาป ราวกับว่ามันได้แห้งเหือดหายไปพร้อมกับหัวใจของเขาที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ แม้แต่ในวันที่เขาต้องสูญเสียริเรียไปทั้งสองครั้ง มันก็ไม่เคยไหลออกมา แล้วทำไม....เมื่อเขาคิดถึงเด็กคนนั้น....ทำไมมันถึง....
“....วาลเซอิค...”
วาลเซอิค...
วาลเซอิค...
(เล่นมุกจบแล้วอีกไำด้ไหมคะ /โดนตบ)
TBC
-
ฮึก.. ซึ้งและเศร้าจนน้ำตาซึม สงสารวาลเซอิค
ปกติบรรยากาศรอบตัวเซเอลจะหม่นๆ แต่ตอนนี้หม่นกว่าทุกที
คงเพราะพลังชีวิตใกล้หมด ฉะนั้น..ก็รีบๆ กระเดือกเลือดในแก้วลงไปซะ
แล้วไปตามวาลเซอิคกลับมาอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างแฮปปี้
รอตอนต่อไปค่ะ (รีบๆ มาต่อเร็วๆ นะ มีคนรออยู่)
ปล.แอบจิ้นอัลเรสกับคัลดิชนะนี่
-
โอยย
เศร้าจัง
ไม่อยากให้เซเอลตายเลย
-
โอ้วววววว์........ :o12: :o12: :o12:
เหตุการณ์ไม่ได้เหนือคาดหมาย
แต่เค้นอารมณ์ได้สุดแสนจะบรรยาย
o22 o22 o22 o22
-
โอ่ยยยย ใกล้จาจบแล้วอ่าสิ
-
อย่ามาเล่นมุข จบแล้ว นะ! กำลังเศร้าๆอยู่ เดี๋ยวหัวใจวายทำไง
ที่จริงจะเม้น18แล้วล่ะ พออ่านเสร็จ อ้าว อัพ 19 แล้วเหรอ -*- ก็เลยต้องมาเม้นรวบ (อีกแล้ว)
จากตอน18-19 เนี่ย แปลว่าเรื่องนี้ใกล้จบแล้วสิเนี่ย (ม่ายยยยยยยยยยยยยย) เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมาก ยกเว้นเวลาอัลเรสกับคัลดิชออกมา มันมีออร่าอะไรสักอย่างวิ้งๆให้ชื่นนนนนนใจ 555 (อรั๊ยยยย อยากอยู่ในเหตุการณ์ผ้าห่มคลุมหัว มันฟินนาเร่มากมาย ><)
บทสรุปของริเรีย เราอ่านแล้วสะเทือนใจมาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่จะเป็นได้ อย่างน้อยริเรียก็ตายในขณะที่ตัวเองเป็นริเรีย ไม่ใช่ปิศาจร้าย
(ตอนควักหัวใจเซเอลเนี่ย อย่างเครียด T^T) คุณตาคุณยายก็น่าสงสาร มันเป็นเรื่องปกติของพ่อแม่อยู่แล้วที่รักลูก และจะปกป้องลูกไม่ว่าลูกตัวจะเป็นคนผิดก็เถอะ
ส่วนเซเอลกับวาลนี่ เจ็บหนักกันทั้งคู่เลย เซเอลปากหนักมาก ที่จริงที่ไม่อยากให้วาลอยู่คงเพราะฆ่าแม่วาล และก็คงไม่อยากให้อยู่เห็นวาระสุดท้ายของตัวเองสินะ ใจจริงก็คงรักริเรียอยู่ แต่กับวาลจะไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ น้องวาลก็ยังคิดว่าเซเอลไม่สนใจตัวเอง (แหงล่ะ ปากหนักขนาดนั้น) สุดท้ายก็ทิ้งเลือดไว้ให้ แล้วก็จากไปพร้อมใจที่เจ็บช้ำ T^T
ตอนหน้าเราคิดว่าเซเอลคงเลือกที่จะดื่มเลือดแหละ แต่จะเป็นไงต่อจากนั้น คงต้องรอท่านZiarตอนหน้าล่ะ
ขอบคุณค่า ^^
-
เซเอลสู้ๆนะ กินเลือดนั่นสะแล้วก็ไปอบู่กะวาลเซอิค
วาลเซอิค กลับมาดูแลเซเอลเร็วเข้า
ทำไมยอมแพ้ง่ายแบบนี้ ฮือ ๆ ต้องอยู่ต่อไปน้าเซเอล
-
ตอน 20 อยู่หนายยยย
-
อยากให้เซเอลรอดดดด.
ฮือออออ ซื่อตรงกับตัวเองบ้างเถอะนะ เซเอล
-
แปะในเพจแล้วมาแปะที่นี่บ้าง
ระหว่างเซียร์กำลังอู้(?) ลองมาทายกันเล่นๆฆ่าเวลานะคะว่าภาพต่อไปนี้ใครเป็นใครบ้าง XD
(http://i.imgur.com/8WNYLOb.jpg)
ปล. แลดูทายไม่ยาก แต่ละคนมีเอกลักษณ์มาก 5555
-
:call: :call: :call: :call:
-
บทส่งท้าย ราตรีนิรันดร
“วาลเซอิค มาช่วยทางนี้หน่อยสิ” หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังอุ้มท้องอ่อน ๆ ตะโกนเรียกชายหนุ่มที่กำลังง่วนงานอยู่ใกล้ ๆ ทั้งเธอและเขาต่างก็ถือจานชามเต็มมือ แต่ลูกจ้างคนอื่น ๆ ก็ไม่ว่างเช่นกัน ดูเหมือนหญิงสาวจะถูกลูกค้ารบเร้าชวนคุย ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวไปทางไหนได้ วาลเซอิครีบเดินเข้าไปรับจานในมือของเธอและเดินเข้าหลังบ้านไป ที่ข้างหลังนั้น พนักงานเก็บล้างก็ยุ่งใช่น้อย...
“วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษเลยนะ เพราะใกล้งานเทศกาลแน่ ๆ” พนักงานเก็บล้างเป็นชายร่างอ้วนท้วมท่าทางอารมณ์ดี เขาไม่เคยบ่นเรื่องงานเยอะเลยสักครั้งนอกจากทักทายคนที่เดินเข้าเดินออกเก็บของหยิบของในทำนองนั้น “แต่อีกเดี๋ยวก็ปิดร้านแล้วล่ะนะ”
“จริง ๆ แล้วข้าก็ไม่เคยเห็นลูกค้าน้อยเลยสักวัน” วาลเซอิคตอบแล้วหัวเราะก่อนรีบกลับไปบริการลูกค้าเพราะคนที่เหลือกำลังหัวหมุน
ร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งนี้อยู่ในเมืองใหญ่และเป็นที่ติดอกติดใจของคนในชุมชนซึ่งมาเยือนอย่างเนืองแน่นทุก ๆ วัน ทำให้งานในร้านวุ่นวายสม่ำเสมอไม่เคยว่างเว้น ยิ่งในช่วงที่ในเมืองใกล้จะมีงานอะไรบางอย่างก็จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นจำนวนมาก ทำให้ร้านยิ่งวุ่นวายไปด้วยจำนวนลูกค้าและความจู้จี้จุกจิกเพื่อการบริการที่ถูกใจ แม้จะจ้างลูกจ้างให้พอดีกับจำนวนผู้มาใช้บริการในเวลาปกติ แต่ในช่วงเวลาพิเศษก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี
เมื่อตกดึก ลูกค้าในร้านก็บางตาลง เหลืออยู่เพียงไม่กี่โต๊ะที่คุยติดลมทำให้ไม่ยอมลุกจนกระทั่งเห็นพนักงานเก็บโต๊ะกันจะเสร็จแล้วจึงค่อย ๆ พากันลุกออกไป
การปิดร้านในแต่ละคืนไม่ใช่เรื่องยากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อย
วาลเซอิคปลีกตัวไปอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพักผ่อนเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน แต่ก็ถูกหญิงสาวเจ้าของร้านเรียกลงมาข้างล่างเพื่อชิมอาหารสูตรใหม่ของเธอ
“เป็นยังไงบ้าง? เจ้าชอบมันหรือเปล่า?” หญิงสาวมองเขาด้วยความคาดหวัง
“เจ้าน่าจะใส่เครื่องเทศอีกหน่อยเพราะข้าคิดว่ามันยังจืดไปนิด” วาลเซอิคว่าแต่ก็กินไปเรื่อย ๆ
“อะไรกัน กล้าวิจารณ์ข้าแล้วหรือ?” เธอหัวเราะเบา ๆ
“อย่าไปแกล้งวาลเซอิคเขาสิ เจ้านี่ก็....” จากบทสนทนาของคนสองคน ก็ปรากฏหญิงวัยกลางคนอีกคนหนึ่งเข้ามาร่วมด้วย
“แหม แม่คะ ก็วาลเซอิคชอบทำหน้าซึมตอนอยู่คนเดียว ข้าก็ต้องแกล้งหยอกบ่อย ๆ น่ะสิ” หญิงสาวทำหน้าบูดใส่แม่ของตนเองก่อนหันกลับมาหาวาลเซอิค “แต่ตอนนี้เจ้าก็ยิ้มเก่งขึ้นแล้วนะ เมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนที่เจ้าเพิ่งมาที่นี่ใหม่ ๆ หน้าเจ้าอย่างกับคนไน้วิญญาณแหน่ะ”
“พอแล้วน่า มีร่า คนอื่นเขาก็ต้องมีเรื่องอะไรในใจกันบ้างสิ” หญิงวัยกลางคนเดินเข้ามานั่งข้าง ๆ ลูกสาวแล้วยิ้มให้วาลเซอิคอย่างอ่อนโยน
เด็กหนุ่ม....ที่เติบโตกลายเป็นชายหนุ่มแล้วได้แต่หัวเราะเป็นการตอบโดยไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
นั่นสินะ....เขามาอยู่ที่นี่ได้ 5 ปีแล้ว...
นับแต่วันนั้น....เขาก็พาตากับยายออกมาจากหมู่บ้านเพื่อที่จะลบเลือนเรื่องน่าเศร้าทุกอย่างที่เกิดขึ้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตากับยายบอกเขาว่าน้องชายคนหนึ่งของตามาเปิดร้านอาหารอยู่ในเมือง แต่เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าน้องชายของตาจะเสียชีวิตไปแล้ว ถึงอย่างนั้นลูกสาวและหลานสาวก็ยังยินดีต้อนรับญาติห่าง ๆ ซึ่งไม่เคยพบพานกันมานานให้พำนักอาศัยอยู่ด้วยโดยไม่ไถ่ถามอะไรเลย
ตากับยายจนอยู่ในความทุกข์ทำให้เขาต้องพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ทั้งสองดีขึ้น แต่...เขาก็ไม่สังเกตเลยว่าตนเองก็แสดงความเศร้าออกมาเช่นกัน...
“แม่คะ แม่บอกว่ามีอะไรบางอย่างจะบอกวาลเซอิคไม่ใช่หรือ? ถึงบอกให้ข้าเรียกเขาลงมาก่อน” มีร่าสะกิดเตือนความจำทำให้หญิงสูงวัยร้องอ้อแล้วพยักหน้าก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋ากระโปรงและหยิบซองกระดาษที่ข้างในใส่บางสิ่งหนาเป็นปึกออกมา
“นี่เป็นเงินค่าทำงานของเจ้าตลอด 5 ปี และ...ถึงแม้เจ้าจะเคยบอกข้าแล้วว่าไม่ต้องการ...” เธอรีบพูดขัดและยกมือปรามก่อนวาลเซอิคจะปฏิเสธ “...แต่ข้ากับมีเรียก็เก็บรวบรวมไว้ให้ เพราะมีเจ้าอยู่พวกข้าถึงสบายขึ้น ลูกเขยข้าต้องเดินทางบ่อย ๆ ไม่ค่อยอยู่บ้าน เจ้าทำให้เราอยู่ได้อย่างอุ่นใจ และเจ้าก็ทำงานหนักและคอยดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างโดยไม่ปริปากบ่นเลยสักครั้ง ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะให้รางวัลตัวเองบ้าง และนี่คือค่าตอบแทนที่พวกข้าพอจะให้ได้ ไหน ๆ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานเทศกาลแล้ว เพลิดเพลินให้เต็มที่ ถือเสียว่าวันนั้นเป็นวันพักผ่อนพิเศษ”
วาลเซอิคมองปึกกระดาษบนโต๊ะด้วยความตื้นตันใจจนไม่รู้ว่าจะกล่าวขอบคุณยังไง รับแต่ตากับยายตรอมใจและจากไปหลังจากมาถึงที่นี่เพียงครึ่งปี เขาก็เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร เหลือเพียงญาติห่าง ๆ ที่ไม่เคยรู้จักและที่ซุกหัวนอนไปวัน ๆ แค่ความกรุณาที่ทั้งสองมีให้เขาก็ซาบซึ้งใจมากพอแล้ว จึงไม่เคยกล้ารับเงินค่าทำงานของตนเองเลย แต่ครั้งนี้หากเขาปฏิเสธมันคงจะเป็นการเสียมารยาทและทำร้ายน้ำใจของแม่ลูกคู่นี้เป็นแน่
“ขอบคุณ...มากครับ...” เขารับเงินมาและโค้งศีรษะให้
“ไม่ต้องทำแบบนั้นหรอก นี่ ถึงพวกเราจะเหมือนคนไม่รู้จัก แต่จริง ๆ ก็เป็นพี่น้องกันนะ” มีร่าพูดพลางลูบท้องตัวเอง “อีกอย่าง มีน้องชายหน้าตาหล่อเหลาแบบเจ้าก็เป็นบุญของข้าอยู่ไม่น้อย รู้หรือเปล่าว่าตั้งแต่เจ้ามาทำงานที่นี่ มีลูกค้าผู้หญิงเพิ่มขึ้นมามากทีเดียว”
“จะว่าไป เจ้าก็อายุเยอะแล้วนะวาลเซอิค เจ้าน่าจะถือโอกาสนี้เลือกดูหญิงสาวสักคนที่เจ้าถูกใจไปงานด้วยกันดีหรือไม่?” ผู้เป็นแม่เสริมขึ้นมาหลังจากลูกสาวของเธอพูดถึงพวกลูกค้าผู้หญิงที่มาใช้บริการร้านเพื่อมองวาลเซอิคเป็นอาหารตา
วาลเซอิคเองก็ใช่ว่าไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้
หญิงสาวในตัวเมืองล้วนแต่แตกต่างจากหญิงสาวในหมู่บ้านของเขา พวกเธอแต่งตัวสวยงามประชันโฉมอย่างไม่อายสายตาใคร เหมือนกับดอกไม้ที่แข่งขันกันเบ่งบานในทุก ๆ วัน พวกเธอส่วนมากแทบจะไม่เคยทำงานหนักและมีความเฉลียวฉลาดทัดเทียมกับผู้ชาย
มันทำให้เขาคิดถึงแม่....ตากับยาย...และเซเอลก็เคยบอกว่าแม่ของเขาเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและมั่นใจในตัวเอง เธอมีบุคลิกที่ไม่เหมือนผู้หญิงคนใดในหมู่บ้าน
การใกล้ชิดพวกเธอมีแต่จะทำให้เขาเปรียบเทียบกับเรื่องที่เกิดในอดีต...
นอกจากนี้....เขาก็ยังลืมเซเอลไม่ได้...
5 ปีมาแล้วที่เขายังคิดถึงคน ๆ นั้นและถามตัวเองว่า...เขาทำให้เซเอลยินยอมที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า...หรือว่า...มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย
“ว่าแต่....วิคเตอร์จะกลับมาเมื่อไหร่ครับ?” วาลเซอิคพยายามปัดประเด็นหาคู่ให้พ้นตัวจังเอ่ยถามถึงพี่เขยซึ่งปกติจะกลับมาบ้านในช่วงเวลานี้ของทุกปีและอีกสามเดือนจึงจะออกเดินทางอีกครั้ง
“จากจดหมายที่ส่งมาเห็นว่าน่าจะมาถึงพรุ่งนี้ก่อนงานเทศกาลเริ่มพอดี แต่ข้าคงไม่ออกไปเบียดเสียดผู้คนหรอก กลัวจะล้มลุกคลุกคลานไปเสียเปล่า ๆ” มีร่าโบกไม้โบกมือพลางลูบหน้าท้องที่นูนขึ้นมาจนเริ่มเห็นชัด แม้จะอายุครรภ์ไม่กี่เดือนแต่เธอก็สวมเสื้อยาวปล่อยชายทำให้ทุกคนมองออกได้ทันทีว่ามีอีกชีวิตหนึ่งกำลังถือกำเนิดในตัวของเธอ แต่ถึงอย่างนั้นท้องของเธอก็ยังไม่ทำให้ลำบากในเวลางานนักในตอนนี้ “แต่เห็นว่าครั้งนี้จะอยู่ยาวคงไม่ไปไหนแล้วเพราะถึงตอนนั้นข้าคงใกล้คลอด ข้าเองก็อยากให้เขาทำงานที่นี่เสียมากกว่า เดินทางไปไกล ๆ ข้าก็อดห่วงไม่ได้ ระยะนี้โจรผู้ร้ายยิ่งชุกชุมอยู่ด้วย”
“วิคเตอร์กลัวว่าจะหาเลี้ยงไม่พอกินน่ะสิ ไหนจะค่าจ้างลูกจ้าง ค่าวัตถุดิบในแต่ละวัน แล้วอีกหน่อยก็ต้องเลี้ยงลูกอีก” ฝ่ายแม่แจกแจงเหตุผลพลางถอนหายใจ “แต่หากขยับขยายร้านสักหน่อย รับลูกค้าให้ได้มากกว่านี้ ก็คงจะทำให้มีรายได้เข้ามากขึ้นกระมัง” เธอพูดเช่นนั้นพลางมองไปรอบ ๆ
“เช่นนั้นข้าคงต้องเตรียมตัวเหนื่อยยากเสียแล้ว” วาลเซอิคหัวเราะ “นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน ราตรีสวัสดิ์ครับคุณป้า มีร่า” หลังกล่าวลาเรียบร้อย วาลเซอิคก็กลับขึ้นไปพักผ่อนข้างบน สองแม่ลูกก็สนทนาต่ออีกเล็กน้อยก่อนแยกย้ายกันไปนอนเพราะตอนเช้าต้องตื่นมาดักพวกพ่อค้าขายเนื้อและผักเพื่อให้ได้ของที่สดสะอาดที่สุดก่อนที่จะเปิดร้าน
คืนนั้นเขาฝัน....
ฝันถึงวันที่เซเอลมาหาเขาที่บ้านของตากับยาย วันที่เซเอลแสดงความต้องการในตัวเขาก่อนที่จะเข้าใจในวันถัดมาว่ามันเป็นแค่แผนการที่จะล่อลวงแม่ของเขาให้ตามไปเท่านั้นเอง...
วาลเซอิคไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตัวเองจึงยังฝันถึงคืนนั้นทั้งที่ผ่านมานานถึง 5 ปี ทั้งที่มันจะดีกับเขามากกว่าหากลืมมันไปเสีย แต่สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้ความฝันดำเนินไปอย่างนั้นโดยไม่พยายามที่จะฝืนมัน และเมื่อฝันจบลง...เขาก็จะได้พักผ่อนเสียที
-------------------------->
วันถัดมา จนถึงบ่ายคล้อยก็ยังไม่มีวี่แววของวิคเตอร์ มีร่าและแม่ของเธอเริ่มกระสับกระส่ายใจไม่อยู่กับงานเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ปกติแล้ววิคเตอร์จะมาถึงก่อนเวลาที่กะไว้เสมอ ดังนั้นวันนี้เขาควรจะมาถึงตอนเช้าหรือสายหน่อย ไม่ใช่ตกบ่ายแล้วก็ยังไม่เห็นเงาอย่างนี้ ตอนเย็นงานเทศกาลก็จะเริ่มแล้วผู้คนจึงคับคั่งเต็มท้องถนนและร้านรวงใกล้จตุรัสกลางเมือง ก็ยิ่งน่าหวั่นใจว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
“เป็นอะไรไปหรือเปล่านะ ทำไมถึงยังไม่มาอีก” มีร่าพึมพำออกมาขณะถือถาดเข้าไปหลังบ้าน
“ข้าจะลองออกไปดูหน่อยก็แล้วกัน บางทีเขาอาจจะเข้าเมืองมาแล้วแต่รถม้าฝ่าฝูงคนมาไม่ได้” วาลเซอิคอาสาและวางมือจากงานก่อนรีบเดินออกไปจากร้าน เขาเข้าใจความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยคนที่รักดี และความร้อนอกร้อนใจนั้นจะไม่มีวันหายไปโดยง่ายตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าคน ๆ นั้นปลอดภัย
บนถนนเต็มไปด้วยคลื่นมนุษย์และเครื่องมือจัดร้านแผงลอยดังที่คาดไว้ เป็นช่วงเวลาที่รื่นเริงและครื้นเครง มีไฟประดับประดาทั่วทั้งถนนทั้งที่ยังไม่ค่ำมืด รถม้าไม่มีผ่านมาแถวนี้สักคันเพราะคงรู้ดีว่าไม่อาจฝ่าฝูงชนบนถนนเส้นเล็ก ๆ ได้จึงเลือกไปวิ่งบนถนนสายหลักที่ใหญ่กว่าหมด
วาลเซอิคเดินจากร้านมาทางหน้าเมืองที่กลุ่มคนบางตาลงเนื่องจากไปชุมนุมกลางเมืองกันหมด แต่ก็มีคนเข้าออกสม่ำเสมอโดยมีคนเข้ามากกว่าออกเพราะนักท่องเที่ยวบางคนก็เพิ่งจะมาถึงเอาตอนนี้ ซึ่ง...คงจะหาที่พักยากเอาการตามปกติของช่วงเทศกาลประจำปี
แต่วิคเตอร์อยู่ที่ไหนกันนะ?
หรือว่าจะวนหาทางเข้าร้านอยู่ในเมือง?
เขามองหารถเทียมม้าของอีกฝ่ายไม่พบเลย หรือไม่ก็คงเพราะรถม้าอยู่รอบตัวเขาทำให้ไม่อาจแยกแยะได้ว่าของใครเป็นของใคร
แล้วเขาจะหาพี่เขยพบได้ยังไงนะ?
“วาลเซอิค! นั่นวาลเซอิคสินะ!” อยู่ ๆ ก็มีเสียงของบุคคลหนึ่งตะโกนเรียกเขาจากที่ไกลตา ชายหนุ่มหันมองกวาดไปมาหลายครั้งก็ไม่พบคนเรียกตนเองจนกระทั่งคน ๆ นั้นวิ่งเข้ามาถึงตัว “พอดีเลย ข้ากำลังกังวลว่ามีร่าจะเป็นห่วง แสดงว่านางคงอยู่ไม่ติดแล้วเจ้าถึงได้ออกมาตามหาสินะ?” วิคเตอร์นั่นเอง ชายหนุ่มที่อายุมากกว่าเขากำลังหัวเราะอย่างโล่งอกที่พบตัวเขาในที่สุด และเขาเองก็โล่งอกเช่นกัน
“เจ้ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่?” วาลเซอิคมองท่าทางของวิคเตอร์ที่ไม่เหมือนคนที่เพิ่งถึงเมืองเลย เหมือนว่ามาถึงสักพักใหญ่แล้วและกำลังพักผ่อน
“โอ๊ย ข้ามาถึงแต่เช้าแล้ว แต่มีปัญหานิดหน่อยเลยต้องติดอยู่ที่นี่” เขาชี้ไปที่รถม้าของตนเอง
“ปัญหา? รถเสียหรือ?” แต่วาลเซอิคกลับรู้สึกว่ารถม้าก็ปกติดี ม้าเองก็ยังสุขภาพดี “หรือเพราะเข้าเมืองไม่ได้เพราะคนเยอะเกินไป?”
“มันไม่ใช่อะไรแบบนั้นหรอก” วิคเตอร์โบกไม้โบกมือ “แต่ระหว่างทางที่ข้ากลับมา ข้าผ่านหมู่บ้านใหญ่ที่หนึ่งที่ข้าไปค้าขายบ่อย ๆ แล้วบังเอิญว่ามีคนขอโดยสารมาด้วย เขาไม่บอกข้าว่าจะไปที่ไหนแต่ท่าทางจะสุขภาพไม่ค่อยดีข้าก็เลยสงสาร บางทีคงจะอยากมาหาญาติแต่เดินทางคนเดียวไม่ไหวก็ได้ ข้าคิดว่าพามาที่เมืองแล้วอาจจะพอรู้เรื่องอะไรบ้าง แต่จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้เลยว่าเขาต้องการอะไร” ชายหนุ่มว่าจบก็ไหวไหล่พลางยกมือเกาศีรษะอย่างจนปัญญา ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อ
“แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ถามเขาดูล่ะ?”
“เพราะข้าถามไม่ได้น่ะสิ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเขาป่วยเป็นอะไรแต่เขาไม่พูดอะไรกับข้าเลย กินก็น้อยนิด และไม่ยอมโดนแสงแดดอย่างเด็ดขาด ตอนกลางวันก็เอาแต่นอนจะตื่นก็แต่ตอนที่ตะวันลับขอบฟ้าแล้วเท่านั้น แต่ก็มีข้อดีนะที่เขาช่วยดูแลรถม้ากับสินค้าตอนกลางคืนข้าก็เลยนอนกลางทางได้อย่างสบายใจ”
วาลเซอิคฟังคำของวิคเตอร์แล้วมุ่นคิ้ว เพราะพฤติกรรมที่อีกฝ่ายว่ามานั้นมันเป็นพฤติกรรมที่เขาคุ้นเคยดี สิ่งมีชีวิตที่นอนตอนกลางวันและตื่นตอนกลางคืน ไม่ยอมสัมผัสกับแสงแดด....นั้นคือ...ผู้ต้องสาป? แต่ทำไมคน ๆ นี้จึงไม่กินเลือดของวิคเตอร์และยึดรถเป็นของตัวเองเสียเลยล่ะ?
“อ้อ อีกอย่าง ข้าเห็นว่าเขาพกขวดยาแปลก ที่ข้างในมียาสีแดงสดดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” วิคเตอร์ว่าต่อ “ตอนกลางคืนเขาจะหายไปสักพักแล้วถึงกลับมา เสร็จแล้วก็ดื่มยาที่ว่านั่นแหละ”
นั่นคงจะเป็นเลือด?
วาลเซอิคมองไปยังรถม้า...ที่มีผู้ต้องสาปกำลังพักผ่อนอยู่ข้างใน เขาพอจะเดาเหตุผลของวิคเตอร์ได้แล้ว...เจ้าตัวคงรอให้อีกฝ่ายตื่นเพื่อที่จะสอบถามว่าจะไปที่ไหน และที่ไม่ยอมพาไปที่บ้านเพราะอันตรายเกินไปที่จะให้คนแปลกหน้ารู้จักบ้านช่องและอยู่กับผู้หญิงในบ้านของตัวเอง
“แต่ตอนค่ำเจ้าจะเข้าบ้านลำบากน่ะสิ ตอนนี้ถนนหน้าบ้านมีแต่คนเต็มไปหมด”
“ก็นั่นแหละ ข้าถึงคิดไม่ตกอยู่นี่ไง” วิคเตอร์กุมขมับทำท่าเหมือนปวดหัว
“ถ้าอย่างนั้นข้าจะเข้าไปดูเอง” วาลเซอิคไม่อยากให้พวกเขาต้องลำบากในภายหลังเมื่อคนเต็มท้องถนน ถึงตอนนั้นพวกเขาอาจจะต้องแบกรถกับรถเข้าไปก็ได้ เขาจึงเดินไปที่รถม้าด้วยความระมัดระวัง ผู้ต้องสาปล้วนแต่มีกำลังกายมหาศาลแต่ตราบใดที่ดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดิน หากหนีออกมาข้างนอกได้ทันก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่ผู้คนที่นี่ล้วนแต่ไม่เชื่อเรื่องที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยหลักเหตุผลเช่นเรื่องคำสาปของปีศาจ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะพูดเรื่องแบบนั้นให้วิคเตอร์ฟังเพราะเจ้าตัวคงคิดว่าเขาล้อเล่น
วาลเซอิคเปิดผ้าคลุมโดยระวังไม่ให้แสงแดดส่องเข้าไปข้างใน ในแสงสลัวนั้นเขาเห็นร่างหนึ่งในห่อผ้านอนซุกตัวในมุมที่มืดที่สุด และเมื่อเขาเอื้อมมือเข้าไป ก็เกิดการเคลื่อนไหวจากร่างนั้นทำให้ต้องชะงักมือ
“ข้า...บอกเจ้าไว้ก่อนนะ...” วาลเซอิคกลืนน้ำลายก่อนชิงพูดขึ้นเพราะเห็นฝ่ายนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นมา “ถ้าเจ้าคิดจะมาทำร้ายใครที่เมืองนี้ ข้าจะลากเจ้าออกไปให้แสงแดดแผดเผาเจ้าเสียเลย”
“....เจ้าคิดจะทำอย่างนั้นกับข้าจริง ๆ หรือ?”
เอ๋!?
เสียงที่เขาได้ยินตอบกลับมานอกจากจะไม่มีความเกรงกลัวต่อคำขู่แล้วยังไม่มีวี่แววคุกคามด้วย แต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่งเสมือนกำลังอยู่ต่อหน้าบางสิ่งบางอย่างซึ่งสูงค่าและยากจะแตะต้อง แค่คำถามประโยคเดียวกลับทำให้เขาไม่กล้าสัมผัสกระทั่งชายผ้าอีกฝ่าย ความรู้สึกแบบนี้....เขาคุ้นเคยกับมัน...
ผืนผ้าสีหม่นค่อย ๆ เลื่อนออกเมื่อผู้ต้องสาปคนนั้นเลิกมันด้วยตัวเอง ทำให้เขาได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายในแสงสลัวราง.....
------------------------------>
-
“โธ่เอ๊ย เรื่องเป็นแบบนี้เอง เจ้าก็น่าจะฝากใครสักคนมาบอกบ้างนะ ปล่อยให้ข้าเป็นห่วงอยู่ได้!”
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงบ้านโดยพาคนแปลกหน้าคนนั้นมาด้วย แน่นอนว่าวิคเตอร์โดนมีร่าสวดยาวเป็นหางว่าวอยู่หลังบ้านส่วนหน้าร้านวาลเซอิคก็ดูแลไปพลาง ๆ จนกว่ามีร่าจะสวดสามีตนเองจบ
ส่วนคนแปลกหน้าที่ว่าน่ะหรือ....
“ทำไมถึงปล่อยให้แขกรอในรถม้าอย่างนั้นล่ะ?” แม่ของมีร่าเดินออกมาถามเขา เพราะวิคเตอร์บอกว่าตนเองพาคนมาด้วยและดูเหมือนจะเป็นคนรู้จักของวาลเซอิค
ใช่...เป็นคนรู้จักของเขา
“เขาบอกว่าไม่อยากจะทำให้พวกเราลำบากใจน่ะครับ”
“ลำบากใจอะไรกัน เป็นเพื่อนของเจ้าทั้งที ไปเชิญเขาเข้ามาเถอะ”
วาลเซอิคมองท้องฟ้าที่มืดลงแล้วก่อนเดินออกไปที่รถม้าตามความต้องการของหญิงสูงวัย เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งและเลิกผ้าคลุมขึ้น ข้างในนั้น....ผู้มาเยือนตื่นแล้วและกำลังดื่มยาสีแดงที่วิคเตอร์เล่าไว้ เขาได้แต่นิ่งมองขณะอีกฝ่ายกำลังกินอาหาร ไล่ไปยังเรือนผมสีเงิน และไม่นานหลังจากนั้นดวงตาสีเลือดก็เบือนมาสบกับตาของเขาก่อนเบือนไปทางอื่น
“ท่านน่าจะ...เข้าไปข้างใน”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบอยู่ท่ามกลางมนุษย์” เจ้าของเรือนผมสีเงินตอบโดยไม่ขยับตัว
“ถ้าอย่างนั้นท่านมาที่นี่ทำไม เซเอล?”
....
อยู่ ๆ เซเอลก็ไม่ยอมตอบอะไรและลุกขึ้นก่อนเดินออกมาจากรถ เขาขยับผ้าคลุมให้ปิดเส้นผมกับดวงตาของตนเองจนเรียบร้อยดีแล้วก็ยืนรอเหมือนการบอกให้วาลเซอิคนำทางเข้าบ้านอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าคำถามทำให้ไม่พอใจหรือไม่ วาลเซอิคจึงไม่ได้พูดอะไรต่อเช่นกันและพาเซเอลเข้าไปในร้านโดยเข้าทางประตูหลังเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายต้องฝ่าสายตาและเสียงเอ็ดตะโรวุ่นวายภายในร้าน
“วานหาอะไรให้เขากินหน่อยนะวาลเซอิค ข้างหน้าไม่ว่างเลย” มีร่าเข้ามากระซิบแล้วรีบหันไปหยิบอาหารที่ทำเสร็จแล้ว
“ข้าออกไปช่วยไม่ดีกว่าหรือ?”
“ไม่ได้ นี่วันพักผ่อนเจ้านะ อย่างที่คุยกันไง เจ้าต้องออกไปเที่ยวจำได้ไหม?” หญิงสาวขยิบตาแล้วหันไปทักทายเซเอลเพียงสั้น ๆ ก่อนพลิ้วตัวหายออกไปหน้าร้านเพื่อรับลูกค้า วิคเตอร์ซึ่งเพิ่งจะกลับมาไม่ทันได้พักก็ต้องออกไปช่วยเช่นกัน แน่นอนว่าเจ้าตัวบ่นกระปอดกระแปดอยู่นิดหน่อย และตอนนี้หลังบ้านก็เหลือแต่เขา เซเอล พ่อครัว และคนล้างจาน ซึ่งพนักงานหลังบ้านต่างก็พากันจับจ้องเซเอลด้วยความสนเท่ห์และอยากรู้อยากเห็น
“แขกของเจ้าไม่ค่อยพูดเลยนะ” แม่ของมีร่าเดินเข้ามาหาเขาระหว่างกำลังจะนำจานไปเก็บ
“เขาไม่ค่อยชินกับการโดนคนอื่นจ้องมองน่ะครับ” วาลเซอิคไม่รู้ว่าควรจะแก้ตัวให้เซเอลอย่างไร แต่ในที่สุดเขาก็นึกอะไรออก “จะเป็นอะไรไหมถ้าข้าจะพาเขาออกไปงานเทศกาลด้วยกัน เขาอาจจะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น”
แม่ของมีร่าดูจะไม่ค่อยเห็นด้วยในทีแรกเพราะตั้งใจจะให้วาลเซอิคถือโอกาสนี้มองหาผู้หญิงที่ถูกใจ แต่เมื่อคิดอีกที วาลเซอิคก็พูดถูก พาแขกมาถึงบ้านแต่ไม่มีเวลารับรองก็ถือว่าเสียมารยาทมากพอแล้ว การมีคนนำทางไปชมงานเทศกาลอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
“เอาสิ เอากุญแจบ้านไปด้วยล่ะ”
เมืองใหญ่ไม่เหมือนกับหมู่บ้านที่เขาเคยอยู่ มีทั้งขโมยและโจรชุกชุมไปตามความเจริญของชุมชน ด้วยเหตุนั้นเมื่อตกค่ำและเข้านอนแล้ว บ้านจะต้องปิดล็อคประตูกันทุกหลัง
วาลเซอิคเดินไปหยิบกุญแจบ้าน เสื้อนอก แล้วสะกิดเซเอลให้ตามออกไปด้วยกัน
และตอนนี้...พวกเขาก็มายืนอยู่บนถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปยังจตุรัสรวมถึงคนที่หยุดยืนซื้อของตามข้างทาง
วาลเซอิคก้มมองคนข้างตัวที่เอาแต่เงียบมาตั้งแต่ลงจากรถม้า เพราะผ้าคลุมศีรษะอยู่เขาจึงไม่อาจรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอยู่หรือไม่
“...บางที..ท่านคงไม่ชอบงานเทศกาล แต่เมืองนี้มีเทศกาลใหญ่ ๆ แบบนี้ก็แค่ปีละครั้ง ก็บังเอิญดีที่ท่านมาในจังหวะที่วุ่นวายแบบนี้” เขาเริ่มชวนคุยและเดินนำหน้าไป เมื่อเห็นว่าเซเอลเดินตามมาข้าง ๆ ก็เบาใจลง “ข้า...จับมือท่านได้หรือเปล่า ถ้าเดินกันแบบนี้ท่านอาจจะพลัดหลงก็ได้” ขออนุญาตจบ วาลเซอิคก็เอื้อมมือไปจับอีกฝ่ายทันทีเพราะเจ้าตัวกำลังจะถูกชนจากด้านข้าง ตอนนั้นเขารู้สึกว่าท่าทางของเซเอลดูเหม่อลอยชอบกล โดยปกติเซเอลคงไม่ถูกชนเอาง่าย ๆ แบบนั้นแน่
“วาลเซอิค...เจ้าโตขึ้นมาเลยนะ”
“เอ๋?”
“ข้าแทบจะลืมไปแล้วว่ามนุษย์โตเร็วแค่ไหน”
ชายหนุ่มมองผู้ที่เคยเลี้ยงดูตนเองด้วยดวงตาแสดงความสงสัยในประโยคที่เจ้าตัวเปรยออกมา เขาบีบมืออีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนโคลงศีรษะ
“ส่วนท่านก็ยังเหมือนเดิม...ดูสุขสบายดี”
“ก็เพราะเจ้าไม่ใช่หรือ...” เซเอลหลุบตาเล็กน้อยพลางคิดถึงตัวเองในตอนนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเขาจึงตัดสินใจที่จะดื่มเลือดของวาลเซอิคเพื่อที่จะหลุดพ้นจากความตาย มันก็แค่....อยู่ๆ เขาก็รู้สึกกลัวความเดียวดายหลังจากนั้น การที่เขาจะต้องตายไปเพียงลำพังโดยไม่มีใครเลย “วาลเซอิค เจ้ามีความสุขดีหรือไม่?”
“ในตอนนี้ข้าก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่องอะไร คงเว้นแต่เรื่องคนรักล่ะมั้ง ทั้งมีร่าและคุณป้าต่างก็เป็นห่วงว่าข้าจะไม่แต่งงาน จริง ๆ พวกนางคงไม่รู้ว่าข้าเองก็มีคนที่มอง ๆ อยู่เหมือนกัน” ชายหนุ่มเกาศีรษะตนเองพลางหัวเราะเสียงสดใส ในตอนแรกที่เขาพูดแบบนี้ก็เพื่อให้เซเอลไม่ต้องมาเป็นกังวลหรืออึดอัดใจกับความรู้สึกของเขา ทว่าเมื่อพูดออกไปแล้วเขากลับพบว่าเซเอลมีปฏิกิริยาที่ผิดคาด เจ้าตัวคล้ายจะเกร็งมือเล็กน้อยและพยายามดึงกลับชั่วขณะก่อนผ่อนแรงเช่นเดิมในเวลาต่อมาและเบือนหน้าหนีไปทางอื่นแทน
นั่นมัน....อะไรกันน่ะ....
“บางที...พรุ่งนี้ข้าคงไปต่อ ข้าไม่อยากอยู่รบกวนเจ้านาน”
“ท่านเพิ่งจะมาถึงเองนะ แล้วยังไม่ยอมบอกข้าเลยว่าท่านเดินทางไกลแบบนี้ทำไม หรือว่าที่ปราสาทจะมีเรื่อง?” วาลเซอิคลองเดาประเด็นอื่นก่อนที่จะเผลอให้ความหวังตัวเอง เพราะนี่มันก็ 5 ปีมาแล้ว....อะไร ๆ ก็คงไม่เหมือนเดิม ที่เซเอลมาที่นี่ก็อาจจะเป็นแค่ความบังเอิญเช่นกัน
“ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ อาร์วิน่า คัลดิช กับคัลมาร์ ดูแลปราสาทเป็นอย่างดี” เซเอลตอบตามจริง เขายังคงไว้ใจให้ทั้งสามดูแลปราสาทของเขา และทั้งสามคนก็ยืนยันว่าจะไม่ยอมไปจากที่นั่น “ข้าแค่...คิดว่าตัวเองควรจะเห็นโลกกว้างเสียบ้าง และบังเอิญญาติของเจ้าผ่านมาพอดี...”
“แล้วท่านจะกลับมางานแต่งของข้าหรือเปล่า?”
ชั่ววินาทีหนึ่งหลังประโยคนั้น เซเอลแสดงอาการขัดขืนออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาหยุดเดินไปจังหวะหนึ่งและเหมือนจะพยายามขืนตัวพราะความไม่พอใจ
“ข้าเหนื่อยแล้ว ที่นี่คนมากเกินไป” เจ้าตัวแสดงความต้องการที่จะกลับไปพักผ่อนก่อนหมุนตัวไปทางที่เพิ่งเดินผ่านมาแต่วาลเซอิคกลับไม่ยอมปล่อยมือ และเพราะเซเอลไม่ได้ตั้งใจจะออกแรงมากมายอยู่แล้ว จึงเป็นเรื่องง่ายที่วาลเซอิคจะลากจูงไปยังทิศทางตรงข้าม และการกระทำอุกอาจเช่นนั้นทำให้เซเอลยิ่งไม่พอใจมากขึ้น “วาลเซอิค อย่าให้ข้าต้องบังคับใช้กำลังกับเจ้านะ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านก็อย่าเดินหนีสิ ซ้ำตอนนี้เราอยู่กลางจัตุรัสของเมือง หากท่านทำอะไรขึ้นมาทุกคนก็จะรู้ถึงตัวจริงของท่านกันหมด” ทั้งที่ถูกเซเอลขู่อย่างนี้เป็นครั้งแรก แต่วาลเวอิคก็ไม่ได้รู้สึกกลัวเกรงแต่อย่างใด เพราะในเวลานี้ ต่อหน้ามนุษย์ทั้งหลาย เขาย่อมเป็นต่ออยู่หลายขุมเพราะเซเอลไม่สามารถแสดงตนต่อหน้าใครได้หากอยากให้เรื่องของตนยังคงเป็นความลับกับโลกภายนอก
เซเอลมองไปรอบตัวซึ่งมีแต่มนุษย์เดินอยู่ยั้วเยี้ยยิ่งกว่าฝูงมด เป็นอย่างที่วาลเซอิคว่า...เขาไม่สามารถทำอะไรตรงนี้ได้เลย
“ปล่อยมือข้า”
“ไม่เอา”
“วาลเซอิค เจ้าเลิกทำตัวเป็นเด็ก......!!” เซเอลอ้าปากต่อว่าไม่ทันจบประโยคก็กลับถูกอีกฝ่ายดึงเข้าหาโดยไม่ทันตั้งตัวและประกบริมฝีปากลงมาอย่างรวดเร็ว ในจังหวะที่เซเอลกำลังตกตะลึงอยู่นั้น วาลเซอิคก็ฉวยโอกาสล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อคลุมยาว โอบเอวสอบให้เบียดตัวเข้าแนบชิดโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้างว่ากำลังมองมาหรือไม่ ริมฝีปากอุ่นบดจูบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนานหลายนาทีก่อนผละออกเมื่อเซเอลตั้งสติได้และเริ่มผลักตัวออก
การได้เห็น...ใบหน้าของเซเอลที่กำลังมีสีเรื่อน้อย ๆ นั้นนับว่าเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง วาลเซอิคยิ้มเจ้าเล่ห์พลางขยับผ้าคลุมศีรษะของอีกฝ่ายที่เลิกไปเล็กน้อย
“จริงอย่างที่ท่านว่า ข้าไม่ใช่เด็กอีกแล้ว...เพราะอย่างนั้นข้าถึงรู้ว่าท่านกำลังทำหน้าผิดหวังในตอนที่ข้าพูดถึงผู้หญิง”
เซเอลเถียงไม่ออก ปกติเขาก็ไม่เคยทำให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องแก้ต่างอยู่แล้ว ครั้งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งก็ว่าได้ที่เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกไล่ต้อนและกำลังเสียเปรียบ
“คนอื่นอาจจะมองอยู่ก็ได้...” เขาว่าเหมือนตำหนิก่อนดึงผ้าคลุมศีรษะให้ปิดมิดชิดมากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นแปลว่าท่านอยากอยู่ในที่รโหฐานกับข้าเพียงสองคนใช่หรือเปล่า?”
“.....” ครั้งนี้เซเอลไม่ยอมตอบแต่ก้มหน้าลงต่ำหลบเลี่ยงสายตา
“นี่ เซเอล....” วาลเซอิคลูบมือไปที่แก้มอีกฝ่ายอย่างเบามือ “...บอกข้าหน่อยสิว่าที่ท่านจากปราสาทมาเพื่อตามหาข้าหรือเปล่า?”
หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง...เซเอลก็ค่อย ๆ พยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น...ท่านจะอยู่ที่นี่กับข้าไหม?” ชายหนุ่มอ้ำอึ้งไปนิดหน่อยหลังตัวเองพูดออกมาทำนองเหมือนกำลังขอแต่งงาน “ข้าหมายถึง...แค่อยู่เป็นเพื่อนข้าจนกว่าข้าจะแก่และ...เอ่อ...สำหรับท่านมันคงจะไม่นานเท่าไหร่ หรือหากท่านต้องการ...ข้าจะมอบถ้อยคำแห่งพันธะสัญญาให้ท่านอีกครั้ง แล้วเราสองคนก็จะ....ค่อย ๆ ร่วงโรยไปด้วยกัน” ตลอดเวลาที่พูดนั้น วาลเซอิคจับมือเซเอลไว้และบีบเบา ๆ ให้เข้าใจถึงความตั้งใจจริงของเขาที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด
“ข้าทำไม่ได้”
“....อย่างนั้นหรือ....”
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิด วาลเซอิค” เพราะเสียงของอีกฝ่ายดูผิดหวังและเจือปนความเจ็บปวดอยู่ด้วย ไม่ต่างกับ 5 ปีก่อนที่ถูกเขาผลักไสสักนิด เซเอลจึงรีบอธิบายต่อ “ข้าไม่เคยรังเกียจเจ้าหรือรำคาญเจ้า แต่ข้าเคยทำให้พวกเขาผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว ทั้งอาร์วิน่า คัลดิชและคัลมาร์ต่างก็อยู่ภายใต้อาณาเขตของข้า พวกเขาดูแลปกป้องปราสาทอย่างซื่อสัตย์และภักดี แต่เพราะริเรียข้าจึงตัดสินใจที่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งคนที่ใกล้ชิดข้าและไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง หากครั้งนี้ข้าเลือกเจ้า...ข้ารู้ว่าข้าจะต้องตายไปกับเจ้าอย่างแน่นอน เพราะข้าไม่อาจทนรับความเจ็บปวดจากการสูญเสียสิ่งที่สำคัญต่อข้าได้อีกแล้ว...”
วาลเซอิคถอนหายใจออกมาก่อนยิ้มกว้าง
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้ข้าเป็นเหมือนท่านสิ”
“พูดอะไรโง่ ๆ เจ้าก็รู้จักพวกเรามาตลอด การเป็นผู้ต้องสาปไม่ใช่ชีวิตที่สวยงามนักหรอก....” แม้แต่ตัวเซเอลเองก็ไม่เคยรู้สึกมีความสุขที่ตนเองเป็นอย่างนี้เลยสักครั้ง...
“ไม่เห็นเป็นไรเลย” วาลเซอิคยกมือคนตรงหน้าขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากตนเอง “ท่านเองยังเคยยอมเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองเพื่อแม่ของข้ามาแล้ว ดังนั้น...ครั้งนี้ข้าจะเป็นฝ่ายเปลี่ยนให้ท่านบ้าง ตัวข้าเองก็ไม่เหลือใครแล้ว ตากับยายก็เสียไปแล้วทั้งคู่พวกมีร่าก็เป็นญาติห่าง ๆ ที่ข้าเพิ่งรู้จักเมื่อ 5 ปีก่อน ครอบครัวที่แท้จริงของข้าเหลือแค่ท่าน...กับพวกอาร์วิน่า...”
“...เซราฟกับวอเรนด้วย...”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อสุนัขสองตัวที่ตนเองนำไปที่ปราสาท การที่เซเอลพูดถึงพวกมันขึ้นมาแปลว่าพวกมันยังอยู่ดีสินะ...
“แล้วท่านจะอนุญาตหรือเปล่าถ้าข้าจะกลับไป....”
เซเอลเหลือบสายตามองคู่สนทนาเล็กน้อยก่อนพรูลมหายใจช้า ๆ
“ถ้าเจ้าคิดดีแล้ว....” หากไม่นับตอนที่เขาตัดสินใจผลักไสวาลเซอิคออกมา เจ้าตัวก็แทบจะไม่เคยถูกขัดใจเลย ดังนั้นก็คงจะเดาผลลัพธ์ครั้งนี้ได้ไม่ยากนัก ทั้งที่ใจจริงเซเอลไม่เคยนึกอยากจะทำให้ใครเป็นอย่างตนเอง แต่เขาก็รู้ว่าตนเองไม่อาจขัดความตั้งใจของวาลเซอิคได้ ถึงเขาจะไม่ยอม อย่างไรเด็กคนนี้ก็คงจะหาทางขโมยเลือดจากเขาด้วยวิธีต่าง ๆ ที่นึกออกเป็นแน่
วาลเซอิคยิ้มขำแล้วลดมือลงกุมไว้หลวม ๆ เช่นเดิม แต่ก่อนจะพาออกเดินต่อ ชายหนุ่มก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้คนข้างตัวและกระซิบ
“อีกสัก 2 ชั่วโมงคนที่บ้านก็จะขึ้นนอนกันหมด ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยกลับก็แล้วกัน คืนนี้...ท่านนอนกับข้านะ เซเอล”
คำพูดนั้นทำให้ผู้ฟังเข้าใจจุดประสงค์ได้อย่างไม่ยากเย็น
“....เจ้าเด็กลามก”
แม้จะถูกเรียกแบบนั้น วาลเซอิคก็ทำแค่หัวเราะรับคำอย่างไม่สะทกสะท้าน เขากำลังหัวใจพองโตอย่างมีความสุขหลังจากจมอยู่กับอดีตมาถึง 5 ปีโดยที่ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าได้ แต่ตอนนี้คงไม่เป็นไรแล้ว...เพราะถึงแม้ทางข้างหน้าจะเป็นความมืดมิดชั่วนิรันดร์ แต่เขาจะมีเซเอลเป็นแสงนำทางตลอดไป...
END
ไม่รู้ทำไม ทั้งที่จบแฮปปี้แต่เซียร์น้ำตาไหลพรากๆ orz
สำหรับรวมเล่ม...เซียร์จะเปิดหลังจากทำปกเสร็จนะคะ ตอนนี้ไม่มีปกเลย :'D
และมีคำถาม...ตอนพิเศษเอายังไงดี 55555 /โดนนักอ่านตบ
และเผื่อว่านิยายจะถูกย้ายไปห้องจบแล้ว คนที่สนใจฉบับรวมเล่มสามารถติดตามข่าวเป็นระยะได้จากเพจ http://www.facebook.com/ZiarNovel นะคะ
-
ขอบคุณครับ ยังอ่านไม่จบครับ เดี๋ยวมาเม้นท์ใหม่
-
happy :L1:
อยากอ่านต่อจัง ขอตอนพิเศษด้วยนะ
-
เป็นการง้อกันและกันที่น่ารักจังเลย อยากอ่านตอนพิเศษจังไม่รู้ว่าจะได้อ่านหรือเปล่านะ
-
แอร๊ยยย
จบแล้วอะ ขอบคุณสำหรับตอนจบดีๆนะคะ
ชอบมากเลย มีความสุข อิอิ
แล้วจะรอตอนพิเศษนะคะ
ขอบคุณคุณเซียร์มากค่าา
-
ขอบคุณค่ะที่แต่งนิยายดีๆ ให้ได้อ่านกัน
ตอนจบน่ารักมาก
จะรอตอนพิเศษนะคะ
-
ตอนพิเศษษษษ
-
โอยยยยยตายล่ะ น้ำตาแทบไหลเหมือนกันค่ะ ยิ้มแก้มปริทั้งตอนเลย เป็นตอนที่น่ารักที่สุดในเรื่องแล้วล่ะค่ะเนี่ย เซเอลดูเป็นสาวน้อยมาก ขณะที่วาลเซอิคก็โตขึ้นมาก จนเหมือนจะแก่กว่าเซเอลซะแล้วสิ แถมยังจะหื่นอีกต่างหาก เซเอลก็ตอบซะน่าร้ากกกกก โอ๊ย มันมดขึ้นอ่ะ ><
ชอบที่บอกว่า "แล้วเราจะร่วงโรยไปด้วยกัน" มันเป็นคำบอกรักที่ตรึงใจมาก พูดเหมือนกับว่าเราจะรักกันร่วมทุกข์ร่วมสุขกันตราบสิ้นลมหายใจ กร๊าซซซซซซซซ เขิน(?) (<<อินี้บ้าไปแหล่ว)
ว่าแต่ตอนจบก็จริงแต่ไม่พูดถึงเอลยามั่งเหรอคะ ท้องอยู่นี่นะ เอ๊ะ หรือจะเป็นตอนพิเศษ? รอตอนพิเศษนะจ๊ะ ^^
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ ^^
-
:L2: ดีใจ :monkeysad:
จบแว้ววว รักคนเขียนจัง :กอด1:
อยากได้ตอนพิเศษอ่ะ :3123:
-
ไอย๊า จบไปแล้ว แง๊วๆ
/////////////////////////
ประทับใจมาก ขบได้ลงตัวและอบอุ่นสุดๆ
//////////////////////////
อยากได้ตอนพิเศาจัดหนักคืนหวานๆอง2คนนั้น ///เขิลแท้
-
นึกว่าอัลเรสกะคัลดิชจะคู่กันซะอีก
จิ้นไปไกล
-
ขอตอนพิเศษนะ เป็นนิยายที่ดีอ่ะ เราชอบมาก อ่ะ o13 o13 o13 :L2:
-
สะงั้น ขอตอนพิเศษหน่อย คนอ่านก็...มกนะ หึหึ
-
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ สนุกมากเลย
ในที่สุดเซเอลก็ยอมใจอ่อนรับรักวาลเซอิคซักที
ทั้งลุ้นทั้งสงสารพ่อหนุ่มตัวโตเลยค่ะ
แต่เรารำคาญอัลเรสมากมาย
แหกปากเถียงตะคอกโวยวายอยู่ได้
จนพอมีฉากอัลเรสพูด เราอ่านข้ามๆเลยค่ะ
ขอบคุณคุณZiarที่แต่งนิยายมาให้อ่านนะคะ
ขอตอนพิเศษเซเอลกับวาลเซอิคมาให้อ่านด้วยน้า~
อ่ะ ให้ดวงใจไปเลยค่ะ :L1: :3123:
-
อ่านจบแล้วคับ แต่ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ สนุกมากคับ
-
อั๊ยยยยยยยยยยยยย น่ารักอ่ะ สนุกมากเลยค่ะ รอตอนพิเศษนะ^^
-
สนุกมากค่ะ o13
อ่านกันสะใจมาก แต่ละตอนยาวสุดๆ
+1 ไปเลย
-
ขอบคุณค่ะ สนุกมาก ๆ เลย ^^
รอตอนพิเศษนะคะ :D
ป.ล. แอบจิ้นอัลเรสกับแฝด (3P กันเลยทีเดียว) อิอิ
:กอด1:
-
สนุกดี เราชอบแนวลึกลับแบบนี้อยู่พอดี
ขอบคุณมากค่ะ :pig4:
-
ในที่สุด ก็รักกันสมความปรารถนา อิอิ
อยากอ่านตอนพิเศษจังเลยค่ะ คุณนักเขียน
-
ระยะเวลาการจอง 7 กุมภาพันธ์ 2556 - 31 มีนาคม 2556
ปฏิญญารัตติกาล
ภาพปก
(http://i.imgur.com/q0k2QrF.jpg)
ที่คั่น
(http://i.imgur.com/TUJ7qPd.jpg)
ตอนพิเศษตอนนี้คิดไว้ 2 ตอน ไปใจเต้นตึกตักกันในเล่มนะคะ~
สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=35177.msg2158271#msg2158271")<<<
ข้อมูลหนังสือ
ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 400 บาท/เล่ม (รวมค่าส่งแบบลงทะเบียนแล้วค่ะ) สำหรับผู้ที่ต้องการใส่กล่อง เพิ่มอีก 10 บาทนะคะ
และเนื่องจากระยะหลัง เซียร์จะมีการวางร้านหลังจากปิดจองด้วย ดังนั้นเซียร์จึงทำของแถมพิเศษขึ้นมาสำหรับคนที่จองกับเซียร์โดยตรงค่ะ
ที่คั่นขนาด 3x4 นิ้ว (ขนาดพอๆกับไพ่ได้ค่ะ) ของคาแรกเตอร์หลักในเรื่อง ฝีมือ...เซียร์เอง(อีกนั่นแล 555)
(http://i.imgur.com/Huha3tJ.jpg)
---------------------------------------
-ปิดจองแล้วค่ะ-
------------------------------------------
สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ
-
:pig4: สนุกมากค่ะ :กอด1:
-
tsuki_himeอย่าแสดงเมลบนบอร์ด.com
hotmail ปะค๊ะ??
-
เพิ่งอ่านจบ
อ่านแบบนอนสต๊อป
โอยตาลาย :really2:
ลุ้นอยู่ขอรับว่าจะจบอย่างไร
ตอนแรกนึกว่าพ่อหนุ่มผมเงินจะเป็นพระเอก......
ที่ไหนได้ :o8:
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆที่แบ่งปันขอรับ :pig4:
-
ฮอทเมลค่ะ เซียร์ลืมตลอดว่าที่นี่มันเซนเซอร์ orz
-
สนุกดีค่ะ ในที่สุดก้จะอยู่ด้วยกัน เซเอลไม่เหงาแล้วนะ
ขอบคุณค่ะ
-
ยังดีที่จบแบบมีความสุข แต่ให้รอ 5 ปีเนี่ย ใจร้ายไปหน่อยมั้ยอ่ะ ^^
-
อัพเดทที่คั่นหนังสือแล้วค่ะ
-
สนุกมากเลยค่ะ :mc4: o13
ขอตอนพิเศษอีกได้ป่าวค่ะ :call:
แบบว่าอยากให้อัลเรสคู่กับคัลดิชอ่ะค่ะ :กอด1: :กอด1:
นร้าๆๆๆๆๆ ขอตอนพิเศษหน่อย :monkeysad:
-
สนุกดีค่ะ
อยากอ่านตอนพิเศษจัง
ชอบตอนที่วาลเซอิคอ้อนอ่ะ
น่ารักมากๆเลย
จะรอติดตามเรื่องต่อไปน้า
-
น่ารักมากเลย ชอบเซเอลมากๆ ซึนจริงๆ
-
อีก 2 สัปดาห์จะหมดเวลาการจองแล้วนะคะ
เริ่มเคาท์ดาวน์แล้วค่ะ ^ ^
-
:pig4: สำหรับเรื่องดีๆ
-
ชอบมว๊ากกกกกก
ลุ้นตลอดเวลาว่าจะเป็นยังไงต่อ
แต่แอบงงนิดนึงว่า ตกลงเอลล่าท้องรึป่าว
หรือว่าริเรียคิดไปเองเฉยๆ
แต่โดยรวม ชอบเรื่องนี้มากกก
-
คุณพระ!!
ทำไมนิยายดีๆแบบนี้เราถึงมองข้ามไปได้ตั้งนานนะ
:ling1:
เรื่องนี้เด็ดมากเลยค่ะ ซึ้ง อิ่มเอม หวานๆ
ขอบคุณนะคะที่เขียนนิยายดีๆแบบนี้มาให้เราอ่าน
รอเรื่องต่อปอยู่เสมอนะคะ
:heaven
-
ขอโทษที่มาตอบช้านะคะ เอลล่าท้องจริงค่ะแต่ไม่มีลูกของวาลเซอิค /ส่วนเป็นลูกใคร เจ้าตัวไม่ได้เปิดเผยค่ะ ^ ^
-
เรื่องนี้ดีมากๆเลย เราชอบมากโดยเฉพาะเซเอล
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆจ้า
:pig4:
-
อ่านรวดเดียวจบ สนุกมากกกก พลาดเรื่องนี้ได้ไงไท่รู้ :katai1:
-
สนุกดีค่ะ เสียดายตอนจบไม่พูดถึงอัลเรสกับเอลยาเลย แอบลุ้นอัลเรสกับหนุ่มแฝด ฮี่ๆ
-
เรื่องสนุกน่าสนใจมาก ชอบที่ตัวละครมีที่มาที่ไป เกี่ยวโยงกันได้ดี
เพียงแต่ 1 เอยยา ท้องได้ยังไง ท้องกับใคร 2 ตายาย รู้หรือยังว่า
วาลเซอิคเป็นหลานแท้ๆ
-
สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อยากอ่านตอนพิเศษอ่ะ ขอสักตอนเถอะ
:mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
-
สนุกมากค่ะ อ่านแล้วอินสุดๆ ชอบลุคหนุ่มเย็นชา ผิวขาวๆ เอวบางๆของเซเลนมากค่ะ
ขอตอนพิเศษได้มั้ยคะ :mew2: :mew2: :mew2:
ตอนแรกที่อ่านส่วนที่เกี่ยวกับอัลเรส นึกว่าจะ 3P กับหนุ่มแฝดซะอีก
.
.
.
ว่าแต่จะไม่มีตอนพิเศษจริงๆหรือคะ :impress2:
-
:jul1:
-
สนุกมากค่าาา อ่านเพลินเลย o13 :pig4: //อยากได้ตอนพิเศษอ่ะ รู้สึกว่ายังจบแบบค้างคานิดๆ อยากเห็นเรื่องราวหลังจากนี้อ่ะ :monkeysad:
-
o13
-
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆค่ะ มีครบรสเลยสนุกลุ้นหน่วงน้อยๆแต่สุดท้ายก็แฮปปี้ :pig4:
-
โอ้ยยยย คือชอบแนวนี้มากกกก ติดตามคุณเซียมาตลอดดดด อิอิอิ
แอบเสียดายอยากอ่านตอนหลังจากนี้อีกนิดนึงงง
แล้วก็อัลเรสด้วยยยย คิดถึงงง แอนกับอเลนน่าจะโตแล้ววว 5555
-
สนุกมาก
ชอบบุคลิคของเซเอล
อยากอ่านตอนพิเศษจัง
-
แฝดกับอัส มีแวว3P นะคะ
-
o13
-
จัดว่าเด็ด โอ๊ย ดีกับใจ จบแบบนี้แฮปปี้ เปลี่ยนให้เป็นพวกตัวเอง มันกร๊าวใจรักเลย
-
แฮปปี้แล้ววว :impress2:
-
จบแว้ววววว
-
สนุกมากกกก
-
ชอบมากเลยครับเรื่องนี้ :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
-
ชอบมากค่ะ สนุกมาก ชอบบบบบบบบบบ :katai2-1:
-
:impress2:
-
o13 เรื่องนี้มีปมเยอะ ชวนให้น่าติดตาม แต่เศร้าตลอดทั้งเรื่องเลย :sad11: อ่านมาเรื่อยก็ทำให้อยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่ตัดสินใจอย่างไร ตอนจบแล้วก็แฮปปี้ดีค่ะไม่ทำให้ผิดหวัง :mew1: