พิมพ์หน้านี้ - 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ตีสี่ ที่ 01-02-2017 22:06:51

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-02-2017 22:06:51
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม



นิยายเรื่องนี้แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่ หรือเหตุการณ์จริงใดๆทั้งสิ้น
อาจมีเนื้อหาหรือรูปแบบการนำเสนอที่ไม่เหมาะสมกับผู้อ่านที่เป็นเยาวชน
ดังนั้น ผู้อ่านที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญาณในการอ่านหรือควรได้รับการแนะนำจากผู้ใหญ่

春に雪が降っている。
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย

เรื่องย่อ

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ดังนั้น เมื่อเขาสอบชิงทุนการศึกษาเพื่อการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยได้ เขาจึงตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเสียใหม่ด้วยการพยายามหาเพื่อนใหม่ในมหาวิทยาลัยให้ได้ ขณะที่เขากำลังเผชิญปัญหาเดิมๆที่เคยเจอเสมอมา เขาก็ได้พบนาคามูระ เรย์ หนุ่มรุ่นพี่นักศึกษาชั้นปีที่สาม เจ้าของรางวัลชนะเลิศการถ่ายภาพระดับประเทศ และเขาก็ตกหลุมหลงรักเรย์ตั้งแต่แรกพบ

ตัวละคร
มิอุระ ฮารุโตะ : เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ไร้เพื่อนสนิท เขาเข้าเรียนต่อด้วยมหาวิทยาลัยด้วยทุนการศึกษาจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
นาคามูระ เรย์ : ชายหนุ่มรุ่นพี่นักศึกษาปีที่สามคนดังของมหาวิทยาลัย ประธานชมรมถ่ายภาพที่ฮารุโตะตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
อาโอกิ นาโอโตะ : หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนใจดีที่มักจะเข้ามาช่วยเหลืออยากที่ฮารุโตะลำบากอยู่เสมอ เขาเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพที่มีอำนาจมากกว่าประธานชมรม เพราะนอกจากนาโอโตะจะเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพแล้ว ยังเป็นคนรักของเรย์อีกด้วย
โมริ เอคิจิ : หนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเรย์และนาโอโตะ เขาเคยเข้าไปช่วยเหลือฮารุโตะก่อนที่จะได้มาเจอฮารุโตะอีกครั้งในชมรมถ่ายภาพ นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ฮายาชิ เรียวตะ : ชายหนุ่มลูกเจ้าของเรียวกัง อีกหนึ่งหนุ่มผู้ซึ่งเพื่อนสนิทกับเรย์ ด้วยความที่มีนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายจึงสนิทสนมกับฮารุโตะได้อย่างรวดเร็ว
ชิมิซึ ซากิ : ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเย็นชาผู้เป็นสมาชิกอีกหนึ่งคนในกลุ่มของเรย์ ด้วยความหล่อเหลาและดีกรีนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ทำให้เขากลายเป็นเสือร้ายที่มีผู้คนมาติดพันหลงใหลในตัวเขามากมาย แต่ทว่า เป้าหมายต่อไปของเขากลับเป็นฮารุโตะ
ซากุราอิ ชุน : เด็กหนุ่มอันธพาลผู้คอยตามกลั่นแกล้งฮารุโตะมาตั้งแต่สมัยมัธยม และเขาก็ตามมาเรียนที่เดียวกับฮารุโตะด้วย
อาคาริ มิสะ และซุซูกิ จิเอะ : สองหญิงสาวเพื่อนร่วมคณะกับฮารุโตะ
นากายาม่า ไดกิ และ โอตะ อาคิฟุมิ: พนักงานร้านสะดวกซื้อที่ฮารุโตะทำงานพิเศษอยู่

หัวข้อ: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-02-2017 22:12:04
春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 1





ฮารุโตะเงยหน้ามองหมู่อาคารเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ปีนี้เขามีอายุครบสิบแปดปีบริบูรณ์ ถึงกำหนดระยะเวลาที่เด็กกำพร้าเช่นเขาจะต้องออกจากบ้านอุปถัมภ์ เมื่อปีก่อนเขายังนึกหวั่นกลัวต่ออนาคตในภายภาคหน้า อนาคตที่ไม่อาจคาดเดา แต่กระนั้นเมื่อเขาสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัยได้ ความหวังที่แสนรำไรของเขาก็เรืองรองขึ้น

เด็กหนุ่มเหมือนเด็กกำพร้าคนอื่นๆ เขาวาดหวังว่าสักวันเขาคงจะมีบ้านหลังเล็กๆสักหลัง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงินเก็บมีเงินใช้สอย มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวยๆหรือของที่อยากได้ และในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางที่ทำให้ความฝันของเขาสำเร็จเป็นจริงได้

เขาอดที่จะยกยิ้มไม่ได้

มิอุระ ฮารุโตะก้าวเท้าไปตามทางเดิน พลางสอดส่ายสายตามองไปรอบๆตัวด้วยความตื่นเต้น สถานที่ที่แสนกว้างใหญ่ให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวตนของเขากำลังหดเล็กลง ทั้งตื่นเต้นและแสนประหม่ายามยืนอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย

ฮารุโตะล้วงกระดาษแผ่นเล็กออกจากกระเป๋ากางเกงตัวเก่า อ่านรายละเอียดภายในกระดาษที่เขาจดจำได้ขึ้นใจซ้ำอีกครั้ง สูดลมหายใจเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะเก็บกระดาษแผ่นนั้นลงกระเป๋าและก้าวเดินต่อไป

สำหรับพิธีเปิดการศึกษาในวันนี้ ถูกจัดขึ้นที่โถงหอประชุมใหญ่ซึ่งคลาคล่ำไปด้วยนักศึกษาหลากหลายสาขาวิชา เก้าอี้นั่งบางแถวถูกจับจองจนเต็ม ฮารุโตะกวาดสายตามองหาที่นั่งด้วยความประหม่าเช่นเดิม เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นเสียงเรียกก็ดังขึ้นข้างตัว

"เรียนคณะอะไรครับ"

ฮารุโตะหันไปหา เขาสบตากับอีกฝ่ายเพียงแค่ชั่ววินาทีก็ต้องก้มหน้าหลบสายตาด้วยความประดักประเดิดขัดเขิน แม้จะเห็นอีกฝ่ายแค่เสี้ยววินาที แต่ฮารุโตะกลับเห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของตนกับร่างเพรียวสมส่วนตรงหน้า ผิวขาวสะอาด ชุดสูทเข้ารูปที่ยังดูใหม่เอี่ยม นั่นทำให้ฮารุโตะกระหวัดถึงเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ เสื้อตัวนี้แม้จะถูกซักรีดอย่างสะอาด แต่ก็เป็นเสื้อผ้าเก่าที่มีผู้ใจดีบริจาคให้บ้านอุปถัมภ์

"ค...คณะวิทยาศาสตร์ครับ"

"คณะวิทยาศาสตร์อยู่แถวบีนะครับ เก้าอี้แถวที่สามถึงห้ายังว่างอยู่"

ฮารุโตะเหลือบตามองตามปลายมือที่ชี้ไปยังทิศทางดังกล่าว ก่อนจะก้มศีรษะให้อีกฝ่ายซ้ำๆและรีบเดินจากมา เดินมาถึงแถวเก้าอี้ที่นั่ง เด็กหนุ่มยังละล้าละลัง เก้าอี้นั่งที่ว่างมีมากก็จริง แต่ในใจของฮารุโตะเขาไม่อยากนั่งคนเดียว ถ้าคิดหาเพื่อนที่จะใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยร่วมกันมันก็ควรเริ่มตั้งแต่ตอนนี้

เด็กหนุ่มมองไปยังเก้าอี้ที่มีนักศึกษาคนอื่นๆจับจองอยู่แล้ว มือของเขาชื้นเหงื่อ สองขายังแข็งนิ่งอยู่กับที่ขณะที่สายตาก็จับจ้องอยู่กับกลุ่มนักศึกษาที่ยังคงจับกลุ่มคุยกันรอเวลาที่พิธีเปิดการศึกษากำลังจะเริ่ม

ในที่สุดฮารุโตะก็หันหลังกลับเดินตรงไปยังเก้าอี้ว่างและนั่งลงอย่างโดดเดี่ยว เขาก้มหน้าลงมองมือที่วางอยู่บนตัก สองไหล่ลู่ลงจนดูเหมือนร่างกายของเขาจะหดเล็กลงกว่าเดิม

พิธีเปิดการศึกษาผ่านไปโดยที่ฮารุโตะไม่รู้เรื่องมากนัก ความหดหู่ครอบงำจิตใจจนอยากก้าวไปให้พ้นสถานที่แห่งนี้ เขาก้มหน้าก้มตาก้าวเท้าตามฝูงชนออกไปด้านนอก ถูกชนถูกผลักดันจนเซล้มและยังถูกเหยียบซ้ำ ผู้กระทำได้แต่กล่าวขอโทษอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะก้าวเท้าจากไป ฮารุโตะจึงได้แต่พยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น เดินเลี่ยงไปหาที่นั่งข้างทาง กางเกงแสลคสีดำที่เขาตั้งใจรีดจนเรียบเมื่อคืนปรากฏเป็นรอยรองเท้าชัดเจน เด็กหนุ่มพยายามปัดรอยเลอะนั้นออก หัวตาร้อนขึ้นพร้อมกับรู้สึกถึงน้ำตาที่รื้นอยู่ขอบตา ฮารุโตะนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นครู่ใหญ่ นานพอที่อารมณ์หม่นหมองซึ่งยึดอยู่เต็มพื้นที่ในหัวใจเบาบางลง เขายกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู จึงได้เห็นว่าเวลาล่วงเลยมาจนอาจจะทำให้เขาเข้าร่วมพิธีปฐมนิเทศของคณะสาย

ฮารุโตะมาถึงห้องเรียนด้วยอาการกระหืดกระหอบ เมื่อเขาเลื่อนประตูเปิดเข้าไป นักศึกษาเกือบทั้งชั้นเรียนก็หันมามองเขาเป็นตาเดียว เด็กหนุ่มถึงกับนิ่งงันไปด้วยอาการทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมีเสียงเรียกให้เขาไปรับเอกสาร ได้เอกสารแนะแนวการเรียนแล้ว เขาจึงเดินเลียบผนังห้องฝั่งประตูทางเข้าไปถึงโต๊ะที่อยู่ค่อนมาด้านหลัง พอเห็นว่ามีที่ว่างเหลืออยู่จึงนั่งลง เสียงพูดคุยรอบตัวดังขึ้นเบาๆ และหลังจากนั้นไม่นาน เมื่ออาจารย์เดินเข้ามาในห้อง ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

อาจารย์ที่แนะแนวกล่าวถึงรายละเอียดในเอกสารและวิชาบังคับสำหรับนักศึกษา ฮารุโตะเลือกเรียนในคณะวิทยาศาสตร์ ภาคการศึกษานี้เขาต้องลงเรียนวิชาปฏิบัติการหนึ่งตัว และวิชาที่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เลือกอีกสองตัวเป็นวิชาบังคับ นอกจากนั้นเป็นวิชาบังคับเลือก แต่ในวิชาบังคับเลือกก็มีวิชาที่นักศึกษาปีหนึ่งต้องลงอีกสี่ตัว นั่นเท่ากับว่าปีนี้เขาต้องเรียนอย่างน้อยก็เจ็ดวิชาแล้ว จำนวนหน่วยกิตยังเหลือให้เขาลงเพิ่ม เขาจึงเปิดดูวิชาที่ต้องเรียนในปีสอง เห็นมีวิชาปฏิบัติการที่ต้องลงเรียนสามตัว วินาทีนั้น เขาอยากจะลงทะเบียนเรียนวิชาทฤษฎีเสียให้ครบ แต่มานึกลังเลตรงที่ เขาจะต้องทำงานพิเศษไปด้วย

ฮารุโตะคิดอย่างลังเลแม้ว่าชั่วโมงปฐมนิเทศเพื่อแนะแนวการศึกษาได้จบลงแล้วก็ตาม อันที่จริงแล้วยังมีเวลาเหลืออีกสองสามวันก่อนชั่วโมงของแต่ละวิชาจะเริ่ม แต่เขาตั้งใจว่าจะลงทะเบียนเรียนให้เสร็จภายในวันนี้ ฮารุโตะเพิ่งย้ายมาจากจังหวัดอื่น แม้ว่าจะหาห้องเช่าได้แล้วแต่ก็มีของอื่นอีกมากที่ต้องซื้อ หลังจากคิดวนเวียนด้วยความลังเลอยู่นาน เขาจึงตัดสินใจยึดเรื่องเรียนเป็นหลัก เรื่องงานพิเศษไว้คิดทีหลังแล้วกัน เด็กหนุ่มคิด



วิชาแรกสำหรับการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของฮารุโตะเริ่มด้วยวิชาปฏิบัติการ ‘การทดลองพื้นฐาน’ ซึ่งถูกกำหนดให้มีการเรียนการสอนตอนคาบเช้าวันจันทร์ คณะวิทยาศาสตร์มีหลายสาขาวิชาก็จริง แต่วิชาที่เป็นวิชาเอกของคณะจะถูกคณะบังคับกลายๆให้รวมกลุ่มเรียนเฉพาะสาขานั้นๆ ซึ่งเด็กหนุ่มไม่เดือดร้อนกับการบังคับเช่นนี้ เพราะเขายังหาเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัยไม่ได้สักคน

"สวัสดีครับ นักศึกษาทุกคน"หลังกล่าวทักทาย อาจารย์หนุ่มผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำวิชาพูดถึงรายละเอียดเนื้อหาที่จะมีการเรียนการสอน วิธีการทำรายงาน การส่งงานรวมถึงการสอบ

"รายชื่อสมาชิกของแต่ละกลุ่มถูกติดไว้บนบอร์ดหน้าห้องเรียน สำหรับใครที่เข้าเรียนสายจะถูกตัดคะแนนรายงานแล็ปคนละสองคะแนน" เมื่อพูดถึงตรงนี้เสียงพูดคุยก็ดังฮือฮาขึ้นทันที

"คะแนนรายงานครั้งละห้าคะแนน ถ้าโดนหักสองคะแนนนี่แทบจะไม่เหลืออะไรเลยนะ โหดว่ะ" ฮารุโตะพยักหน้าเห็นด้วย แม้ว่าคนพูดจะไม่ได้พูดกับตนก็ตาม

"สำหรับวันนี้จะยังไม่มีการเรียนการสอน และอาทิตย์หน้าก่อนเริ่มเรียนจะมีพรีเทสต์[1]ขอให้นักศึกษาอ่านทำความเข้าใจการทดลองที่หนึ่งในหนังสือมาด้วย วันนี้เลิกคลาสได้"

สิ้นเสียงอาจารย์ประจำวิชา นักศึกษาแต่ละคนต่างก็ทยอยเดินออกจากห้อง ปกติชั่วโมงเรียนวิชาการทดลองพื้นฐานจะเริ่มตั้งแต่เก้าโมงเช้ายาวไปถึงเที่ยง แต่เนื่องจากวันนี้เป็นคาบแรกของการเรียนที่กว่าจะเริ่มคลาสก็ตอนสิบโมง กระนั้นฮารุโตะยังมีเวลาว่างร่วมสองชั่วโมงกว่าจะถึงวิชาเรียนคาบบ่าย เด็กหนุ่มรอจนคนที่เดินออกจากห้องเริ่มซา จึงได้เดินไปดูบอร์ดประกาศที่หน้าห้องบ้าง

"นี่นายอยู่กลุ่มไหนหรือ"เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดที่ไหล่ทำให้ฮารุโตะหันไปมอง สบสายตาสองสาวที่ยืนตรงหน้าเพียงชั่ววินาที เขาก็หลุบสายตามองพื้น ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า

"ก..กลุ่มสิบห้า"

"กลุ่มเดียวกันเลย ฉันชื่ออาคาริ มิสะ ส่วนนี่ ซูซุกิ จิเอะจัง"

ฮารุโตะเงยหน้ามองเธอทั้งสองคน ยิ้มออกมาด้วยความดีใจ ...เพื่อน เขากำลังจะมีเพื่อน

"ผม...มิอุระ ฮารุโตะครับ"รอยยิ้มยินดียังคงเกลื่อนอยู่บนใบหน้า ในหัวใจของฮารุโตะพองโตอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกราวกับว่าพลังในร่างกายท่วมท้นขึ้นมาอย่างประหลาด ความยินดีในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ กลับทำให้เรื่องหม่นหมองที่เขาต้องเผชิญในช่วงหลายวันมานี้มลายหายไปอย่างน่าประหลาด

"นี่มิอุระซังจะไปไหนอีกหรือเปล่า เราสองคนว่าจะไปกินข้าวอยู่พอดี ไปด้วยกันไหม"

ฮารุโตะผงกศีรษะตอบรับอย่างไม่ต้องคิด เขาเดินตามหญิงสาวสองคนที่ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องคุยกันไม่หยุดหย่อน บางครั้งเธอทั้งสองก็หันมาถามเขาบ้างชวนเขาคุยบ้าง นั่นยิ่งทำให้ฮารุโตะรู้สึกมีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกสักร้อยเท่า

ที่โรงอาหารคนข้างน้อยบางตา ทำให้ทั้งสามคนสามารถเลือกที่นั่งได้อย่างถูกใจ
"ผมนำข้าวกล่องมา เดี๋ยวจะนั่งรอที่โต๊ะนะครับ"ฮารุโตะพูด หญิงสาวสองคนมองหน้าเขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับและเดินไปซื้ออาหารของตน

ฮารุโตะปลดเป้ออกจากบ่า เปิดกระเป๋าหยิบกล่องข้าวที่ตื่นมาทำเมื่อตอนเช้าออกมา นั่งรออยู่ชั่วครู่ ทั้งมิสะและจิเอะก็เดินกลับมา พอทั้งสองคนนั่งลงและลงมือทาน ฮารุโตะถึงได้เริ่มทานของตัวเองบ้าง

"ข้าวกล่องนี่ใครทำให้เหรอ"มิสะเอ่ยถามเชิงชวนคุย

"ไม่มีครับ ผมทำเอง"ฮารุโตะตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ

"อ่อ หน้าตาน่าทานดีนะ"เธอพูดชม

"เอ่อ ล... ลองทานดูไหมครับ" ฮารุโตะออกปากชวนด้วยความกล้าๆกลัวๆ เขาไม่เคยสนิทกับใครถึงขั้นร่วมโต๊ะทานข้าวด้วยกัน จึงไม่แน่ใจนักกับการกระทำของตนเอง แต่กระนั้น เขายังอยากจะพยายามเพื่อให้ตนสนิทสนมกับอีกฝ่ายมากขึ้น

"ไม่ดีกว่าเกรงใจน่ะ"เธอกล่าวปฏิเสธด้วยรอยยิ้ม พลางเอ่ยปากถามอีกสองสามประโยคก่อนจะหันไปสนใจอาหารตรงหน้าของตน ระหว่างทานมิสะกับจิเอะได้หยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุยกันตลอดเวลา ซึ่งในหลายๆหัวข้อสนทนาเหล่านั้น บางเรื่องเป็นเรื่องที่ฮารุโตะไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน บางเรื่องฮารุโตะไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเธอทั้งสองพูดถึงสิ่งใด เด็กหนุ่มจึงได้แต่นั่งฟังและทานอาหารไปเงียบๆ ถึงกระนั้นเขายังคงรู้สึกยินดีที่อย่างน้อยตนได้ทานอาหารร่วมโต๊ะกับคนที่ต่อไปเขาคงเรียกพวกเธอว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปาก


หลังจากที่รู้ผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย มิอุระ ฮารุโตะได้หาห้องเช่าเล็กๆที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนักเป็นที่อยู่อาศัย เพราะรู้ตัวอยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งต้องออกมาใช้ชีวิตอยู่เพียงตัวคนเดียว เขาจึงพยายามเก็บเงินไว้ก้อนหนึ่งเพื่อเป็นกองทุนสำหรับตั้งต้นชีวิต อันที่จริงใช่ว่าทุกคนเมื่ออายุสิบแปดปีแล้วจะต้องออกจากบ้านอุปถัมภ์ในทันทีทันใด บางคนยังคงอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่าจะขยับขยายได้โดยแลกเปลี่ยนกับเงินเล็กๆน้อยๆจำนวนหนึ่ง บ้างก็อยู่ทำงานที่นั่นเพื่อดูเด็กเล็กรุ่นต่อๆไป แต่สำหรับฮารุโตะแล้ว เขาไม่ได้มีความทรงจำที่ดีต่อบ้านอุปถัมภ์มากนัก ดังนั้นเมื่อมีสิทธิ์ก้าวเท้าสู่โลกภายนอกเขาจึงเริ่มทำทันที

แม้จะได้รับทุนการศึกษา แต่ทุนดังกล่าวก็ครอบคลุมแค่เพียงค่าหน่วยกิต หนังสือเรียนและกิจกรรมของทางมหาวิทยาลัยเท่านั้น ฮารุโตะจึงต้องหางานทำเพื่อหารายได้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากทำงานพิเศษในร้านอาหาร นั่นเป็นสิ่งที่ฮารุโตะคิด เพราะนอกจากจะได้เงินจากการทำงานแล้ว ถ้าเจ้าของร้านใจดี เขาอาจจะได้รับการปันอาหารที่เหลือจากการขายด้วย

ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มเคยทำงานในร้านอาหารมาบ้างแล้ว หน้าที่ความรับผิดชอบมีตั้งแต่รับออเดอร์ เสิร์ฟ ล้างจาน ทำความสะอาด ทิ้งขยะและอีกจิปาถะที่แล้วแต่ใครจะใช้ การทำงานหนักไม่ใช่ปัญหาสำหรับฮารุโตะ แม้ว่าเขาจะโดนตำหนิจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง เพราะความเชื่องช้าซุ่มซ่ามแต่เขายังพยายามทำงานอย่างอดทน จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขากำลังนำถาดอาหารไปเสิร์ฟแล้วเกิดเหตุการณ์สะดุดเท้าตัวเอง ด้วยความที่พยายามจะคว้าหลักพยุงตัว มันจึงกลายเป็นดึงโต๊ะที่ลูกค้านั่งอยู่ให้ล้มระเนระนาดไปแทน สุดท้ายเขาจึงโดนไล่ออก โดยที่เขาไม่รู้เลยว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันมาจากความคึกคะนองของคนบางคนที่จงใจจะกลั่นแกล้งให้ฮารุโตะต้องเดือดร้อน

แต่นั่นก็เป็นเรื่องของเมื่อก่อน และถึงแม้จะมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ก็ต้องรีบหางานใหม่ เด็กหนุ่มบอกตัวเองเช่นนั้น หลังหมดชั่วโมงเรียนฮารุโตะจึงเดินเรื่อยเปื่อยไปภายในเมือง สายตามองหาป้ายประกาศรับสมัครงาน ก่อนจะแวะเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของสดไปทำอาหาร  หลังจากหยิบตะกร้ามาถือก็เดินตรงดิ่งไปยังโซนอาหารลดราคา ฮารุโตะเลือกผักและเนื้อสัตว์สองสามอย่างใส่ตระกร้าแล้วจึงเดินไปชำระเงิน

เมื่อเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ต เขายังคงสอดส่ายสายตาหาป้ายรับสมัครงานไปเรื่อยๆ และอีกสิบนาทีหลังจากนั้นฮารุโตะได้พบแผ่นประกาศรับสมัครพนักงานขนาดเท่าแผ่นเอสี่ติดอยู่บนผนังกระจกของร้านสะดวกซื้อ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเข้าไปในร้าน พลันนึกถึงถุงใส่อาหารสดในมือขึ้นมาได้เสียก่อน เด็กหนุ่มจึงเปลี่ยนใจเดินกลับไปห้องพักเพื่อเก็บของที่ซื้อมา และเดินกลับมายังร้านสะดวกซื้ออีกครั้ง

การสัมภาษณ์งานในช่วงต้นเป็นไปอย่างราบรื่น เนื่องด้วยฮารุโตะเคยทำงานพิเศษมาบ้างแล้ว นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังเป็นนักเรียนทุน จึงเป็นการยืนยันความประพฤติได้ในระดับหนึ่ง ทว่าคำถามพื้นฐานบางคำถามกลับทำให้เด็กหนุ่มนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่นาน

"มีอะไรหรือเปล่า"

"เอ่อ..."

"ไม่ต้องคิดมากหรอกนะ แค่พูดมาตามตรงเท่านั้น"ผู้จัดการร้านเห็นว่าเด็กหนุ่มเอาแต่เงียบจึงได้ถามย้ำ ฮารุโตะได้แต่ทำสีหน้าลำบากใจก่อนจะพูดออกไปตามตรง ด้วยจนหนทางในการหาคำพูดโกหก

"ผ... ผมโดนไล่ออกเพราะไปทำอาหารหกใส่ลูกค้าครับ" เสียงสั่นเครือได้แต่อ้อมแอ้มกล่าวออกไป เขาไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาอีกฝ่ายยามที่พูดประโยคนั้น เพราะรู้ว่าตนคงต้องผิดหวังจากการสมัครงานครั้งนี้ หัวตาของเด็กหนุ่มจึงร้อนผ่าว

"ก็เป็นเรื่องที่แย่จริงๆล่ะนะ"

น้ำตาหยดแหมะลงหลังมือที่วางอยู่บนตัก ฮารุโตะจึงได้แต่ก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม ไม่กล้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เพราะกลัวว่าผู้สูงวัยกว่าจะรู้ว่าตนร้องไห้

"แต่ว่าร้านสะดวกซื้อมีงานหลายอย่างที่ไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าโดยตรง หรือถึงจะเป็นแคชเชียร์ ก็ใช้แค่ความละเอียดรอบคอบและอ่อนน้อมต่อลูกค้า ถึงจะซุ่มซ่ามไปบ้างก็คงไม่เป็นอะไรหรอกนะ เธอคิดว่าพอจะทำได้ไหมล่ะ"

หลังจากทำความเข้าใจกับความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ชั่วครู่ เด็กหนุ่มก็ผงกศีรษะรับอย่างรวดเร็ว ยกยิ้มกว้างอย่างดีใจ แล้วบอกออกไปว่าตนจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด

คืนนั้นเด็กหนุ่มนอนหลับสนิท ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองฝันดีมากๆ แม้ว่าตอนตื่นขึ้นมาในรุ่งเช้าอีกวันจะจำไม่ได้ก็ตาม ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ตอนที่เปิดประตูออกไปภายนอกห้อง ท้องฟ้าที่เขาเห็นเป็นสีฟ้าครามใส จนรู้สึกว่าวันนี้ต้องมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ฮารุโตะค่อนข้างจะชอบอากาศในฤดูใบไม้ผลิมากกว่าฤดูอื่น เพราะกำลังเย็นสบายไม่หนาวเกินไปอย่างฤดูหนาว หรือร้อนมากอย่างในฤดูร้อน เป็นฤดูที่ไม่ต้องพึ่งทั้งเครื่องปรับอากาศหรือเครื่องทำความร้อน เด็กหนุ่มจึงเดินทอดน่องเรื่อยๆชมนกชมไม้ไปตามทางเดินของมหาวิทยาลัย

“อารมณ์ดีจริงนะ”

ทั้งที่เป็นวันดีๆแท้ๆ ฮารุโตะได้แต่บ่นในใจ สองเท้าหยุดชะงักเมื่อร่างสูงใหญ่ของเจ้ากรรมนายเวรตลอดกาลยืนขวางอยู่ตรงหน้า ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยลูกกะจ๊อกตัวโตที่ยืนเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อย

“ไม่มีอะไรนี่”ฮารุโตะตอบเสียงเบา

“ไม่มีอะไรได้อย่างไรกัน ก็เห็นอยู่ว่านายกำลังอารมณ์ดี ไหนๆดูสิว่ามีน่าตื่นเต้นบ้าง”อีกฝ่ายเดินเข้ามากอดคออย่างถือสนิทก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายรื้อดูสิ่งของด้านในอย่างไม่คิดที่จะขออนุญาตเจ้าของสักคำ

“โอ๊ะ ข้าวกล่อง พอดีเลยเมื่อเช้าฉันไม่ได้กินข้าวมา ขอละกัน”ฝ่ามือใหญ่หยิบข้าวกล่องที่ว่าโยนไปให้ลูกกะจ๊อกคนหนึ่งถือหน้าตาเฉย และเจ้าคนนั้นก็หัวเราะอย่างชอบใจด้วยซ้ำ

“จะว่าไปตอนเที่ยงฉันก็ยังไม่มีเงินกินข้าวด้วย ไหนเอากระเป๋า’ตังค์มาสิ”ไม่แค่พูดเท่านั้น อีกฝ่ายยังล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของเขาและหยิบกระเป๋าเงินออกมาหน้าตาเฉย

ฮารุโตะรีบคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้

“อย่าเอาไปเลยนะ”เด็กหนุ่มร้องขอ “ซากุราอิซังเอาข้าวกล่องสำหรับกลางวันของผมไปแล้ว ถ้ายังเอาเงินไปอีกกลางวันนี้ผมจะทานอะไรล่ะ”

“ก็ไปขอคนอื่นสิ”คู่กรณีตอบกลับมาอย่างมักง่าย วงแขนที่เคยพาดวางอยู่บนบ่าเริ่มจะรัดคอแน่นขึ้น เมื่อฮารุโตะดิ้นรนพยายามยื้อแย้งกระเป๋าเงินกลับคืนมาคนที่มีร่างกายสูงใหญ่กว่าจึงยกกระเป๋าหนังเทียมเก่าๆสีดำขึ้นสูง เปิดดูจำนวนเงินข้างใน

“อะไรกันมีแค่พันเยนเองเหรอ”

“อืมน้อยจะตาย ซากุราอิซังเอาไปซื้ออะไรกินไม่อิ่มหรอก” ฮารุโตะพยายามพูดผสมโรงเผื่ออีกฝ่ายจะรู้สึกว่ามันไม่มีค่าขึ้นมาบ้าง

“นั่นสินะ”ฝ่ายนั้นหันมายิ้มให้จนฮารุโตะใจชื้น ก่อนจะถูกผลักจนล้มลงกับพื้นตามด้วยกระเป๋าเงินที่ลอยมากระทบศีรษะ เด็กหนุ่มรีบความมันขึ้นมาเปิดดูข้างใน แบงก์พันเยนหายไปแล้ว

“แต่พอดีฉันชอบแย่งของของคนอื่นด้วยสิ ขอบใจนะทีเลี้ยงข้าว” ซากุราอิ ชุนพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไป ฮารุโตะได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างด้วยความคับแค้น เขาคิดว่าการย้ายมาเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ จะไม่ต้องเจออีกฝ่ายแล้วแท้ๆ ทำไมคนอย่างนั้นถึงได้มาเข้าเรียนที่นี่ได้นะ ในหัวของฮารุโตะตอนนี้มีแต่ความไม่เข้าใจ เขาถอนหายใจออกมาเพื่อกดความรู้สึกที่ตีตื้นขึ้นมาอยู่ที่ขอบตา ก่อนจะพยายามลุกขึ้นยืน แต่ต้องล้มทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้ง ความเจ็บปวดที่ข้อเท้าแล่นริ้วเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว บีบรัดเพิ่มความหน่วงหนักจนน้ำร้อนๆที่อุตส่าห์ข่มกลืนเมื่อสักครู่ล้นขอบตาอีกครั้ง ฉับพลันฮารุโตะก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ เจ้าของเสียงฝีเท้านั้นย่อตัวลงนั่งไม่ห่างนัก เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าให้ต่ำยิ่งกว่าเดิม

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะพยายามเต็มที่ที่จะไม่ร้องไห้ออกมา เขายกหลังมือขึ้นปาดกึ่งปากกึ่งจมูก และออกปากตอบกลับไปว่า

“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณที่เป็นห่วง”พลางเงยหน้ายกยิ้มอย่างขอบคุณให้อีกฝ่าย เด็กหนุ่มเก็บรวบรวมข้าวของใส่กระเป๋า ลุกขึ้นยืนโดยมีฝ่ามือของผู้ใจดีคนดังกล่าวช่วยพยุง

“บาดเจ็บหรือ ไปห้องพยาบาลไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ข้อเท้าพลิก นั่งพักสักครู่ก็คงหาย”

“แต่ถ้าไปห้องพยาบาล นวดยาแล้วพันผ้าไว้ก็จะหายเร็วขึ้นนะ”

ฮารุโตะยังคงเงียบไม่ตอบรับ จนอีกคนต้องถามต่อ “มีเรียนกี่โมงล่ะ”

“เก้าโมงเช้าครับ”

“ยังเหลือเวลาอีกเยอะ ไปเถอะ เดี๋ยวฉันพาไป”เจ้าของคำพูดกล่าวออกมาหลังจากก้มมองนาฬิกา เห็นว่าเป็นเวลาแค่แปดโมงกว่าๆ เขาดึงกระเป๋าของฮารุโตะมาถือไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างจับต้นแขนของเด็กหนุ่ม พยุงร่างที่สูงแค่ปลายคางตรงไปยังห้องพยาบาล

อันที่จริงจะเรียกว่าห้องพยาบาลก็ไม่ถูกนัก น่าจะเรียกว่าห้องพักอาจารย์จึงจะถูกต้องมากกว่า คงเพราะเห็นว่าอาการของฮารุโตะไม่ได้หนักหนาอย่างที่เจ้าตัวว่า ถ้าจะให้พาไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งคงต้องเดินกันเหงื่อตก กรณีที่เจ็บป่วยเล็กน้อย นักศึกษาส่วนใหญ่จึงใช้บริการชุดพยาบาลที่มีประจำอยู่ในห้องพักอาจารย์เสียแทน

“ขอรบกวนหน่อยนะครับ”ทันทีเยี่ยมหน้าเข้าไป อาจารย์ประจำเวรช่วงเช้าก็เดินเข้ามาหา

“เป็นอะไรมาหรือจ๊ะ”

“รุ่นน้องเขาขาพลิกนะครับ ผมจะขอยานวดกับผ้าเทปนะครับ”

“ให้ครูทำให้ไหม”

“อ่อ ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”

มาถึงตอนนี้ ฮารุโตะจึงพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มถูกพามานั่งบนเก้าอี้ที่วางอยู่ติดกับประตู รุ่นพี่หนุ่มคนนั้นหันไปช่วยรับกล่องปฐมพยาบาลซึ่งอาจารย์หยิบออกมาจากตู้ แล้วเดินตรงเข้ามาหา ฮารุโตะมองคนที่ย่อตัวลงนั่งตรงหน้าด้วยความสงสัย พอเห็นฝ่ายนั้นจับข้อของตนจึงร้อนรนชักเท้ากลับ พลางเอ่ยปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอกครับ ผมทำเองได้”ฮารุโตะนึกเกรงใจที่คนไม่สนิทกันต้องมาทำให้ถึงขนาดนี้

“นวดข้อเท้าเองน่ะมันไม่ถนัดหรอกนะ ให้คนอื่นทำให้น่ะสะดวกกว่าอยู่แล้ว และฉันก็ไม่ถือด้วย หรือว่านายเท้าเหม็นมากจนไม่กล้าถอดถุงเท้า”

“ไม่...”กำลังจะตอบปฏิเสธแต่นึกขึ้นได้เสียก่อนว่าไม่เคยมีใครบอกว่าเท้าของเขาเหม็นหรือไม่ จึงได้ลังเลเปลี่ยนเป็นคำตอบอื่น “ไม่รู้เหมือนกันครับ ไม่เคยมีใครบอก” พอดีกับชายหนุ่มรุ่นพี่ช่วยถอดรองเท้าของเขาเสร็จ

“อา เท้าเหม็นจริงด้วย”อีกฝ่ายทำหน้าแหยงแล้วหันหนี ฮารุโตะจึงลนลานขึ้นมาอีกครั้ง

“อ๊ะจริงหรือครับ ถ้าอย่างนั้นผมทำเองดีกว่า”ว่าพลางจะชักเท้ากลับแต่มืออบอุ่นนั้นกลับยึดข้อเท้าของเขาไว้เสียแน่น

“ล้อเล่นน่า เชื่อคนง่ายนะเนี่ย”

ฮารุโตะเฝ้ามองหนุ่มรุ่นพี่ที่บรรจงนวดเท้าให้เขาอย่างเบามือ บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบ แว่วเสียงรถราและเสียงพูดคุยดังมาจากที่ไกลๆ เด็กหนุ่มนึกอยากจะหยิบยกหัวข้อสนทนาขึ้นมาพูดคุย แต่จนปัญญาที่จะคิด กระนั้นก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ว่า วันดีๆเช่นนี้ไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดแม้จะเจอเรื่องให้ขุ่นข้องอย่างเมื่อเช้าก็ตาม

รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกบอกให้ลองลุกขึ้นยืนเสียแล้ว

“รุ่นพี่เก่งจังครับ ไม่รู้สึกเจ็บเลย”เขาบอกไปเมื่อได้ลองขยับเท้าและก้าวเดิน

“ก็นะ เป็นนักกีฬาเรื่องแบบนี้ต้องเรียนรู้เป็นพื้นฐานอยู่แล้วน่ะ เอ่อ.. ฉันต้องไปแล้วนะ แล้วไว้เจอ”

ยังไม่ทันได้ตอบรับอีกฝ่ายก็วิ่งหายไปเสียแล้ว เด็กหนุ่มรู้สึกงุนงง... ยังไม่ได้ขอบคุณเลยนั่นคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิด และการที่ได้เจอรุ่นพี่คนนี้ทำให้วันดีๆที่ถูกซากุราอิทำลายไปไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก

กระนั้นในเมื่อหมดคาบเรียนช่วงเช้าจึงทำให้ฮารุโตะนึกถึงสิ่งสำคัญขึ้นมาได้ ซากุราอิ ชุนไม่ได้แค่ทำลายการเริ่มต้นวันด้วยบรรยากาศดีๆของเขาเท่านั้น แต่ยังนำข้าวกล่องสำหรับมื้อกลางวันกับเงินค่าใช้จ่ายของวันนี้ไปด้วย

“มิอุระคุงไปกินข้าวกันเถอะ”ทั้งที่อาคาริซังอุตส่าห์ชวนแท้ๆ ฮารุโตะได้แต่คิดในใจ

“ขอโทษนะ พอดีวันนี้มีธุระนิดหน่อย พวกเธอสองคนไปกินกันได้เลย”เด็กหนุ่มออกปากปฏิเสธคำชวนของอาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะ

“เอาอย่างนั้นหรือ”

“อืม ต้องขอโทษด้วยนะ”

“ไม่เป็นไร อย่างไรถ้าเสร็จธุระแล้วจะตามมาก็ได้นะ”

“อือ”ฮารุโตะโบกมือให้หญิงสาวทั้งสองคนพลางยกยิ้มให้บางๆ แต่พอคิดได้ว่านี่เป็นเวลาอาหารแล้ว ท้องก็ร้องขึ้นมาทันที ทำอย่างไรดีนะ เด็กหนุ่มได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ แม้สมัยมัธยมจะโดนชุน กลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้งแต่เขาไม่เคยเดือดร้อนเรื่องอาหารกลางวัน เพราะทางโรงเรียนเป็นผู้จัดเตรียมไว้ให้ อย่างมากก็แค่โดนแย่งกับข้าวแต่ไม่ถึงขั้นกับอดทั้งมื้ออย่างนี้

เมื่อเดินผ่านก๊อกน้ำสาธารณะ เด็กหนุ่มจึงแวะดื่มน้ำเพื่อประทังความหิวซึ่งนั่นทำให้เสียงท้องซึ่งร้องครวญครางอยู่เงียบสงบลงได้ อดแค่มื้อเดียวมันไม่เป็นอะไรหรอก ฮารุโตะคิดเช่นนั้นในใจ พอนึกย้อนกลับไปฮารุโตะจึงคิดว่าตนเองช่างโชคดีจริงๆที่ได้อยู่บ้านอุปถัมภ์ ถึงจะไม่ได้เที่ยวเล่นแบบเด็กคนอื่นๆ มีแต่เสื้อผ้าเก่าๆที่รับบริจาคมา และถึงตัวเขาจะไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก แต่ก็ไม่เคยต้องอดข้าวเลย การออกมาอยู่คนเดียวแบบนี้ยังเป็นเรื่องที่ลำบากกว่าเสียอีก เพราะต้องพยายามหาเงินเองเพื่อใช้สำหรับค่าห้องพักและค่าอาหารการกิน ไหนจะยังค่าเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้อีก

เด็กหนุ่มถอนหายใจ การใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-02-2017 22:17:03

ฮารุโตะตื่นเต้นกับการเริ่มต้นทำงานวันแรกเป็นอย่างมาก ถึงจะเคยทำงานพาร์ทไทม์มาก่อนแล้วก็ตาม แต่ความรู้สึกตื่นเต้นยามที่ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆยังคงมีอยู่เสมอ ความตื่นเต้นนั้นทำให้เรื่องหม่นหมองในความคิดจางหายไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปยังรายละเอียดเนื้อหางานตรงหน้า เด็กหนุ่มรู้ตัวดีกว่าตนเป็นคนหัวช้า จึงได้ทดแทนส่วนที่ขาดหายไปด้วยความพยายามที่มากขึ้น

“วันนี้ตั้งใจทำงานดีมากนะ”

“ขอบคุณมากครับ”ฮารุโตะตอบรับอย่างกระตือรือร้นเมื่อได้รับคำชมจากผู้จัดการร้าน

“งานร้านสะดวกซื้อค่อนข้างจะมีรายละเอียดเยอะ เรามีพนักงานแค่ไม่กี่คนประจำร้านซึ่งเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เราจึงไม่มีการแบ่งว่าหน้าที่ใครหน้าที่มัน ทุกคนต้องดูแลร้านได้เหมือนกัน หวังว่าเธอจะพยายามและอดทนทำงานนี้นานๆนะ”

“ครับ แน่นอนครับ”เด็กหนุ่มตอบรับอย่างหนักแน่น หัวใจพองฟูขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกรู้สึกถึงเรี่ยวแรงมากมายมหาศาลภายในร่างกาย ความเมื่อยล้าจากการยืนตลอดหลายชั่วโมงในการทำงานอันตรธานไปสิ้น

ในค่ำคืนนั้นฮารุโตะนอนหลับอย่างมีความสุขและตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอารมณ์แจ่มใส หลังจากจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยเด็กหนุ่มจึงหันมาจัดเตรียมอาหารเช้าและอาหารกลางวันสำหรับวันนี้ เมื่อวานหลังเลิกงานเขาได้รับชุดอาหารสำเร็จรูปที่ขายไม่หมดมาเล็กน้อยแต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับตัวเขาซึ่งใช้ชีวิตอาศัยอยู่เพียงลำพัง ข้าวของเครื่องใช้ในห้องก็มีแต่สิ่งของที่จำเป็นอย่างเช่นตู้เย็นขนาดเล็ก เตาแก๊ส หม้อหุงข้าว กระทะก้นตื้นและหม้อใบย่อมอย่างละใบ จานชามสองสามใบ พัดลมตัวเล็กสำหรับหน้าร้อนและฮีทเตอร์ซึ่งเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่างล้วนแต่เป็นของมือสองที่เด็กหนุ่มตระเวนเดินหาอยู่หลายต่อหลายเที่ยว

เด็กหนุ่มนำอาหารใส่ถ้วยปิดฝาก่อนวางลงในหม้อที่ใส่น้ำไว้เล็กน้อยเปิดไฟเพื่ออุ่นอาหารแล้วหันมาแกะข้าวห่อสาหร่ายใส่เข้าปาก กว่าจะกินข้าวปั้นหมดก็ครู่ใหญ่ น้ำในหม้อเดือดพล่านจนเห็นไอน้ำลอยออกมาจากรูระบายอากาศบนฝาหม้อ ฮารุโตะแกะฟิล์มพลาสติกที่ห่อถาดกุ้งเทมปุระออกแล้วหันไปยกหม้อลงจากเตา ตั้งกระทะเทน้ำมันพืชลงไปขณะรอให้น้ำมันร้อนก็หันไปเปิดฝาหม้อที่เพิ่งยกลงไปเมื่อสักครู่ ไอร้อนสีขาวพวยพุ่งออกมาแทบทันที จากนั้นจึงหันกลับมาจับตะเกียบคีบตัวกุ้งลงอุ่นบนเตา เสียงน้ำมันร้อนดังฉ่าๆ เพราะอาหารนั้นสุกอยู่แล้วเขาจึงใช้ตะเกียบพลิกกลับอาหารบ่อยๆแค่ให้ความร้อนกระจายทั่วทั้งชิ้นก่อนจะยกขึ้นพักไว้บนจาน จากนั้นจึงจัดอาหารลงกล่อง หน้าตาของอาหารกลางวันนี้น่าทานเสียจนเขารู้สึกว่าอยากจะให้ถึงช่วงเวลาพักเร็วๆ

อากาศช่วงเดือนเมษายนนับว่ากำลังเย็นสบาย ต้นพลัมกำลังผลิใบอ่อนในขณะที่ต้นซากุระซึ่งปลูกอยู่ทั่วมหาวิทยาลัยยังคงชูดอกชูช่อบานสวย ฮารุโตะชะงักเท้ากะทันหันเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เด็กหนุ่มร่างเล็กบางหันซ้ายแลขวาอย่างระแวดระวังอยู่บริเวณหน้ามหาวิทยาลัย เขาไม่รู้ว่าชุนเรียนอยู่คณะไหนเพราะฉะนั้นจึงเดาไม่ออกว่าเช้านี้จะมีโอกาสได้เจออีกฝ่ายหรือไม่ ขณะที่ยืนลังเลอยู่ตรงนั้นพลันรู้สึกถึงฝ่ามือที่มาสัมผัสบริเวณไหล่ให้สะดุ้งเฮือก

“ขอโทษทีไม่คิดว่านายจะตกใจขนาดนั้น”

ฮารุโตะหันไปมองเมื่อเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ผู้ใจดีคนที่พบเมื่อวานจึงลอบถอนหายใจด้วยความเบาใจก่อนจะเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

“สวัสดีครับ”

“อืม หวัดดี ว่าแต่มายืนทำอะไรตรงนี้ละฉันเห็นนายยืนอยู่ตั้งนานแล้ว”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธเสียงค่อย“ป…เปล่าครับ”

“อย่างนั้นเดินไปด้วยกันไหม”

“ครับ”เขาพยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น คาดเดาได้ว่าต่อให้เจอซากุราอิซังจริงๆอีกฝ่ายคงไม่กล้าเข้ามาระรานเขาแน่ๆ

“ฉันโมริ เอคิจินายชื่ออะไรล่ะ”

“เอ่อ… มิอุระ ฮารุโตะครับ”

“อยู่คณะอะไรล่ะ”

“วิทยาศาสตร์ครับ”

แม้ลักษณะการสนทนาจะเป็นไปในรูปแบบของการถามตอบที่ผู้ตั้งคำถามนั้นเป็นเอคิจิเสียส่วนใหญ่ แต่บรรยากาศการสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก อาจเพราะเอคิจิเป็นบุคคลจำพวกมนุษยสัมพันธ์ดีก็เป็นได้

การเรียนในวันนั้นของฮารุโตะเป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องเพราะเพิ่งเริ่มการศึกษาใหม่ ทั้งวิชาต่างๆยังคงเป็นวิชาพื้นฐานที่เคยเรียนมาตั้งแต่สมัยมัธยม รวมถึงการที่เขาได้รู้จักคบหากับอาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะในฐานะเพื่อน ฮารุโตะจึงค่อยผ่อนคลายความตึงเครียดและความประหม่าลง

“วันนี้ไปหาหนังสือทำรายงานกันที่ห้องสมุดไหม”เด็กหนุ่มเอ่ยชวน ในคาบเรียนช่วงบ่ายของวันนี้อาจารย์ประจำวิชาได้กำหนดหัวข้อให้นักศึกษาทำรายงานกลุ่มโดยแบ่งกลุ่มละสามคนซึ่งลงตัวกับพวกเขาพอดี

“ขอโทษนะวันนี้อาคารินัดกับแฟนไว้คงไปไม่ได้ มิอุระซังเองก็ไม่ต้องรีบหรอกกว่าจะส่งก็ตั้งอาทิตย์หน้า”มิสะพูดก่อนที่จิเอะจะเอ่ยขึ้นมาบ้างว่า

“จิเอะก็ต้องไปทำงานพิเศษ ขอโทษนะไว้วันอื่นละกันเนอะ”ก่อนที่ทั้งสองจะกล่าวลาอย่างรีบร้อนด้วยเหตุผลข้างต้นเด็กหนุ่มจึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

กว่าจะถึงเวลาเริ่มงานพิเศษของฮารุโตะตอนหกโมงเย็นยังเป็นเวลาอีกนาน เขาจึงคิดว่าน่าจะแวะไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือเสียหน่อยแม้สมาชิกกลุ่มทั้งสองคนจะไม่ว่างก็ตาม

อาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารรูปตัวแอลขนาดใหญ่ โครงสร้างภายนอกแต่ละชั้นเหลื่อมเป็นขั้นคล้ายบันไดอัฒจันทร์ ตัวอาคารเป็นสีน้ำตาลค้ำยันด้วยเสาปูนสีขาวชั้นล่างเป็นโถงกว้างที่มีชุดโต๊ะและเก้าอี้ซึ่งทำจากไม้สีน้ำตาลวางเรียงรายอยู่เต็มพื้นที่

ท่าทางของเขาคงเงอะงะมากจนมีคนเดินเข้ามาทัก

“มีอะไรให้ช่วยไหมครับ”

เมื่อหันกลับไปมองตามเสียงนั้น ฮารุโตะก็ต้องผงะอย่างตกตะลึง บุคคลตรงหน้าแม้จะเป็นผู้ชายแต่ด้วยใบหน้าได้รูป ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสันและปากบางเฉียบสีชมพูระเรื่อ เด็กหนุ่มจึงรู้สึกว่าอีกฝ่ายสวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก

ฮารุโตะจึงก้มหน้าลงด้วยความประหม่าเก้อเขิน อาการนี้เป็นนิสัยที่เขามักจะกระทำโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หน้าตาของฮารุโตะมักจะมอมแมมอยู่เสมอ ไม่ก็มีรอยช้ำรอยกระแทกหรือไม่ก็ผมเผ้าที่กระเดิดไม่เป็นทรงด้วยฝีมือของผู้เป็นบิดา เพราะไม่อยากถูกมองด้วยสายตาล้อเลียนเขาจึงมักก้มหน้าหลบสายตาผู้อื่นจนเป็นนิสัย

“ม…ไม่เป็นไรครับ”เพราะความประหม่าตะลึงจึงทำให้เขาเอ่ยปฏิเสธไปอย่างไม่ทันคิด กระนั้นอีกฝ่ายกลับใจดีเกินกว่าจะผละไปเสียดื้อๆ

“อยู่ปีหนึ่งหรือเปล่าครับ พี่เห็นเราดูงงกับหอสมุดของที่นี่ถึงได้เดินเข้ามาถาม ตอนที่พี่เขามาเรียนแรกๆก็งงเหมือนกันนะ ก็ห้องสมุดสมัยเรียนมัธยมไม่ใหญ่ขนาดนี้จริงไหม”

เพราะคำพูดชวนคุยของคู่สนทนา จึงทำให้ฮารุโตะพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย คล้อยตามจนลืมอาการประหม่าที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่

“น้องกำลังหาหนังสืออะไรอยู่หรือครับ”

“การเมืองการปกครองครับ”เด็กหนุ่มเอ่ยถึงประเภทของหนังสือที่จะนำไปอ้างอิงในการทำรายงานในวิชาบังคับเลือก

“อืม…อย่างนั้นตามพี่มาทางนี้นะ”หนุ่มรุ่นพี่เดินนำฮารุโตะไปยังมุมหนึ่งของโถงชั้นล่างที่มีคอมพิวเตอร์วางอยู่เรียงราย ก่อนจะแนะนำวิธีการใช้ระบบค้นหาทั้งยังพาขึ้นไปยังชั้นที่มีหนังสือเล่มที่ต้องการเก็บอยู่ สอนวิธีการดูรหัสตู้หนังสือจนกระทั่งหาหนังสือเล่มที่ต้องการพบ

“ขอบคุณมากนะครับ”ฮารุโตะกล่าวอย่างจริงใจ

“จะว่าไปปีหนึ่งก็จะมีเรียนวิชาเทคโนโลยีและสารสนเทศที่จะสอนวิธีการใช้ห้องสมุดเหมือนกันนะแต่ดูท่าว่าเราจะมาใช้งานเร็วไปหน่อยคงยังไม่ได้เรียนวิชานี้ใช่ไหม ตอนที่พี่อยู่ปีหนึ่งก็เหมือนกันล่ะ มาเดินสำรวจห้องสมุดตั้งแต่วันแรกๆเลย”

รุ่นพี่ปีสามที่แนะนำตัวว่าชื่ออาโอกิ นาโอโตะกล่าวด้วยรอยยิ้มจนฮารุโตะยังต้องยิ้มตาม คุยกันอีกครู่หนึ่งต่างคนจึงต่างแยกย้าย

เด็กหนุ่มกลับไปที่ห้องพักเพื่อเก็บหนังสือและทานอาหารเย็นก่อนจะออกไปทำงานพิเศษ ระหว่างนั้นจึงลองเปิดตารางเรียนดูอีกครั้ง จึงเห็นว่าชั่วโมงเรียนวิชาเทคโนโลยีและสารสนเทศที่นาโอโตะพูดถึงอยู่คาบบ่ายของวันศุกร์ ชั่วโมงเรียนมีแค่สองชั่วโมงหลังจากนั้นก็ว่าง ฮารุโตะรู้สึกว่าคนที่จัดเวลาเรียนช่างเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกของเด็กวัยรุ่นดีเหลือเกิน วันศุกร์ก่อนหยุดพักผ่อนก็มีแต่วิชาสบายๆไม่ต้องเคร่งเครียด


หลังจากหมดชั่วโมงเรียนในวันศุกร์ฮารุโตะจึงลองชวนเพื่อนร่วมกลุ่มรายงานทั้งสองไปช่วยหาหนังสือทำรายงานอีกครั้งเพราะไหนๆทั้งเขาและพวกเธอก็อยู่ที่หอสมุดอยู่แล้ว จากนั้นต่างคนต่างก็ได้หนังสืออ้างอิงสำหรับทำรายงานคนละเล่มสองเล่มเพื่อนๆร่วมชั้นปีคนอื่นๆก็ทำคล้ายกัน

“น่าจะพอแล้วล่ะ”จิเอะกล่าว “แล้วทำอย่างไรต่อดีล่ะ”

“ก็ต่างคนต่างอ่านและสรุปเนื้อหาที่ต้องใช้กันมา แล้วค่อยมาสรุปรวมกันอีกครั้งวันจันทร์นะดีไหม”มิสะเสนอความคิดเห็นเมื่อไม่มีใครคัดค้านจึงตกลงกันตามนี้ก่อนจะแยกย้ายกันไป

เสาร์อาทิตย์ฮารุโตะจึงใช้เวลาในการทบทวนหนังสือ อ่านหนังสือและทำสรุปคร่าวๆที่ใช้ในรายงานที่ห้องพักของตนในช่วงกลางวันและออกไปทำงานพิเศษตอนเย็นตามปกติ

ในความคิดแรกๆ ฮารุโตะอยากจะทำงานพิเศษช่วงวันเสาร์อาทิตย์เต็มวันเหมือนกันแต่เมื่อผ่านหนึ่งสัปดาห์ของการเรียนและการทำงานมาแล้วคิดว่าควรจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดกับการทบทวนบทเรียนเสียดีกว่า การทำงานพิเศษในแต่ละวันกว่าจะถึงเวลาเลิกงานก็เที่ยงคืน แต่กว่าจะได้ออกจากที่ทำงานกว่าจะกลับถึงห้องพักและอาบน้ำนอนก็ราวๆตีหนึ่ง ตอนเช้าเขาต้องตื่นไปเรียนแต่เช้า เวลาในการทบทวนบทเรียนในแต่ละวันจึงค่อนข้างน้อย ฮารุโตะอยากจะรักษาระดับผลการเรียนเพื่อให้ได้ทุนทุกปีจึงต้องตั้งใจและพยายามมากกว่าปกติ

เช้าวันจันทร์ในสัปดาห์ใหม่ฮารุโตะจึงพร้อมเต็มที่สำหรับการเรียน เขาทำข้อสอบพรีเทสต์ได้คะแนนในระดับที่น่าพอใจ การทำการทดลองในวันนี้ก็เป็นไปอย่างราบรื่นและสามารถเขียนสรุปรายงานพร้อมส่งได้ตามเวลา ดังนั้นตอนเที่ยงหลังจากที่พวกเขาทานอาหารกลางวันกันเสร็จฮารุโตะจึงนำสรุปรายงานที่จะต้องส่งวันพุธออกมาวางบนโต๊ะ

“อุ๊ย!!! เห็นสรุปของมิอุระซังแล้วนึกขึ้นได้ เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมาอาคาริต้องไปทำธุระกับที่บ้านน่ะไม่มีเวลาได้อ่านหนังสือเลย ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้จะรีบนำมาให้ดูนะ”

“ดีเหมือนกันที่เป็นพรุ่งนี้ ของจิเอะก็ยังไม่เสร็จเลย ยากมากอ่านไม่ค่อยเข้าใจเลยล่ะ”

เมื่อทั้งคู่บอกเช่นนั้นฮารุโตะจึงไม่รู้ว่าควรจะกล่าวต่อเช่นไร

“มิอุระซังทำเสร็จแล้วหรือขอดูหน่อยนะ”

ฮารุโตะผงกศีรษะรับก่อนจะส่งเอกสารในมือไปให้

“อืมดีเลย อย่างนั้นมิอุระซังเอาไปพิมพ์ไว้ก่อนนะ ไว้ของอาคาริกับจิเอะก็จะพิมพ์มาให้แล้วเอารวมเล่มกันวันพุธเนอะ”

“ให้เราพิมพ์? เราไม่มีคอมพิวเตอร์แถมยังพิมพ์ไม่เก่งด้วย”ฮารุโตะบอกเสียงเบา ถ้าให้เขาพิมพ์ทั้งหมดของเนื้อหาที่ทำมาจริงๆไม่รู้กี่วันกว่าที่เขาจะพิมพ์เสร็จ ถ้าเป็นอย่างนั้นสู้เขียนด้วยลายมือยังจะง่ายเสียกว่า

“ที่หอสมุดก็มีคอมให้ใช้ ไปใช้ที่นั่นก็ได้นี่นา มิอุระซังไปลองทำดูก่อนนะ”

เมื่อไร้หนทางปฏิเสธเด็กหนุ่มจึงต้องพยักหน้ารับอย่างจำยอม

ดังนั้นหลังจากหมดคาบเรียนตอนบ่ายฮารุโตะจึงไปเข้าใช้บริการห้องคอมพิวเตอร์ของหอสมุดแม้ว่าในสมัยเรียนมัธยมจะมีวิชาเรียนคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้เก่งถึงขนาดจะใช้ได้คล่องแคล่ว นอกจากนี้เขาก็เป็นพวกที่ไม่ได้ฝักใฝ่ในเทคโนโลยีเสียเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้กว่าจะพิมพ์ได้แต่ละตัวเขาต้องงมหาตัวอักษรบนแป้นแล้วจิ้มทีละตัวทีละตัว จวนใกล้เวลาเข้าทำงานพิเศษฮารุโตะก็ยังคงพิมพ์ไม่ถึงหน้าด้วยซ้ำ

คืนนั้นฮารุโตะจึงต้องไปนั่งพิมพ์งานโต้รุ่งอยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่หลังเวลาเลิกงานและพยายามอย่างต่อเนื่องอีกหนึ่งวันรายงานในส่วนของฮารุโตะก็เสร็จทันเช้าวันพุธพอดี

เด็กหนุ่มเดินเข้ามหาวิทยาลัยด้วยอาการสะลึมสะลืออ้าปากหาวนอนอยู่บ่อยครั้ง ใต้ขอบตาดำคล้ำและใบหน้าโทรมเซียวเพราะการอดนอนถึงสองคืน แต่อย่างไรงานที่ต้องส่งวันนี้ก็เสร็จ กระนั้นความเบาใจดังกล่าวคงอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากรายงานในส่วนของเพื่อนอีกสองคนยังไม่ไปถึงไหน

“ไม่ต้องกังวลหรอกนะเดี๋ยวอาคาริกับจิเอะจะโดดเรียนคาบเช้าไปทำมาให้”อาคาริพูด ท่าทางของเธอดูไร้กังวลอย่างที่กล่าวแต่ฮารุโตะยังอดที่จะห่วงไม่ได้

พอเที่ยงตรงเด็กสาวทั้งสองก็กลับมาหาเขาอีกครั้งพร้อมแฟลชไดรฟ์ในมือ

“ฝากมิอุระซังรวมเล่มแล้วก็ปริ้นให้ด้วยนะ เดี๋ยวเราสองคนไปกินข้าวก่อน”มิสะกล่าวด้วยรอยยิ้มไร้กังวลเช่นเดิมจนฮารุโตะพอจะเบาใจขึ้นมาบ้าง

เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายบนบ่าและเดินตรงไปยังหอสมุดเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้บริการคอมพิวเตอร์หลังจากขลุกอยู่กับมันอยู่สองคืนเขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มที่จะจิ้มดีดได้คล่องขึ้นกว่าเดิมมาก

ข้อมูลในแฟลชไดรฟ์ของมิสะมีเยอะจนเด็กหนุ่มตาลาย เขาไล่สายตาวนหาอยู่หลายรอบ จนแล้วจนเล่าก็ยังคงไม่เจอไฟล์ที่น่าจะเกี่ยวข้อง เวลาค่อยๆเดินผ่านไปเรื่อยๆ ฮารุโตะไม่มีโทรศัพท์มือถือ ตอนนี้นึกอยากจะโทรหาเพื่อนทั้งสองก็ไม่สามารถทำได้เพราะฉะนั้นจึงได้แต่ลองเปิดหาดูทีละไฟล์จนมาถึงไฟล์ที่ชื่อว่า ‘ปลาใหญ่’ จึงจะพบข้อมูลที่มิสะกับจิเอะทำไว้แต่ที่ทั้งสองคนทำไว้กลับมีเนื้อหาเพียงหน้าเดียวซ้ำยังเหมือนกับว่าลอกจากหนังสือมาทั้งดุ้นอีกด้วย

“ไง ทำอะไรอยู่หรือดูเคร่งเครียดจัง”นาโอโตะเอ่ยปากทักไปเช่นนั้นแม้ว่าในความเป็นจริงฮารุโตะกำลังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ก็ตาม

“รุ่นพี่อาโอกิ”ฮารุโตะทักเสียงแผ่วก่อนจะหลุบตาลงอย่างเงื่องหงอย

“ไม่มีอะไรหรอกครับผมกำลังทำรายงานอยู่ พอดีผมไม่ค่อยเก่งคอมพิวเตอร์เลยค่อนข้างจะงงๆอยู่นิดหน่อย”

“มีอะไรให้พี่ช่วยไหมล่ะ พี่แนะนำได้นะ”

การที่อีกฝ่ายออกปากอาสาช่วยเหลือทำให้ฮารุโตะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง กระนั้นเขาก็ออกปากปฏิเสธไป

“ไม่เป็นไรหรอกครับเหลืออีกนิดหน่อยมันก็จะเสร็จแล้ว ผมไม่รบกวนรุ่นพี่ดีกว่าครับ”

“เถอะน่าเดี๋ยวพี่ช่วย”นาโอโตะถือวิสาสะนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างไม่ยอมฟังคำปฏิเสธของอีกฝ่าย ขยับเบียดฝ่ายนั้นให้ตนสามารถเห็นบทความบนคอมพิวเตอร์ได้ถนัดแล้วจับเมาส์มาไว้ในมือ

นาโอโตะขมวดคิ้วเมื่ออ่านเนื้อหาจบ สกอร์ลเมาส์[2]ขึ้นลงก็เห็นว่าไฟล์นั้นมีอยู่หน้าเดียว

“มีหน้าเดียวหรือ”อดที่จะออกปากถามไม่ได้

“มีส่วนของผมอยู่ในแฟลชไดรฟ์”ฮารุโตะชูแฟลชไดรฟ์ในมือให้ดู นาโอโตะจึงรับมาเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์เปิดหน้าต่างแสดงข้อมูลในไดรฟ์ขึ้น พื้นที่ว่างโล่งบรรจุข้อมูลในรูปของเวิร์ดไฟล์อยู่ไฟล์เดียว หนุ่มรุ่นพี่จึงไม่ต้องหันไปถามรุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของให้เสียเวลา เอกสารดังกล่าวประกอบด้วยข้อมูลเนื้อหาร่วมสามสิบหน้า

“ส่งวันไหนล่ะ”

“บ่ายนี้ครับ”

นาโอโตะหันไปมองหน้ารุ่นน้องปีหนึ่งแล้วส่งเสียงหัวเราะแปลกๆ เขาคงไม่ต้องพูดต้องบอกอะไรมากมายเพราะเมื่อมองหน้าอีกฝ่ายก็พออนุมานได้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องคงจะพยายามหน้าดู

“เอาอย่างนี้เดี๋ยวหาเพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตแล้วกัน เร็วและง่ายดี”เขาว่าเช่นนั้นก่อนจะเปิดเว็บเบราว์เซอร์ซึ่งหน้าต่างที่แสดงขึ้นมาเป็นเว็บค้นหาชื่อดังก่อนจะอธิบายคร่าวๆถึงวิธีการค้นหาการดูและดึงข้อมูลมาใช้

นาโอโตะทั้งจัดหน้าทำรูปเล่มและสั่งพิมพ์ให้จนเสร็จเรียบร้อย ตอนที่รับเล่มรายงานมา ฮารุโตะจึงก้มศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง นอกจากนี้ยังเหลือเวลาอีกร่วมสิบนาทีให้เขาได้ทานอาหารกลางวัน

หลังจากแยกย้ายกับรุ่นพี่ผู้แสนใจดี ฮารุโตะเดินออกประตูทางด้านหลังของหอสมุดซึ่งบริเวณนั้นมีม้านั่งยาววางอยู่ประปรายภายใต้เงาไม้เถาที่ถูกจัดแต่งให้เลื้อยคลุมคานไม้จนกลายเป็นชายคา บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบไร้ผู้คนกระนั้นเด็กหนุ่มกลับไม่ได้นึกเอะใจสิ่งใด เขานั่งลงบนม้านั่งตัวหนึ่งปลดเป้สะพายหลังเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบข้าวกล่องสำหรับทานอาหารกลาง แต่พอเห็นเล่มรายงานที่นอนนิ่งอยู่ภายในก็ยกยิ้มขึ้นมา นึกคิดในหัวว่าต้องหาของไปตอบแทนรุ่นพี่ผู้แสนใจดีให้ได้

เพิ่งทานข้าวไปไม่กี่คำกลับมีมารมาผจญถึงที่ ฮารุโตะถูกตบศีรษะอย่างแรงจนเกือบหน้าคะมำ โชคดีที่บังเอิญว่าเขาถือกล่องข้าวไว้มั่น มันจึงยังคงสภาพเดิมอยู่ในมือ

“ไงกินข้าวทั้งทีไม่รู้จักเรียกเพื่อนฝูงเลยนะ”

ฮารุโตะหันไปมองเจ้าของคำพูดอย่างขุ่นเคือง พบว่าเป็นคู่อริที่เขาเคยนึกค่อนขอดในใจว่าชาติที่แล้วตนคงไปเหยียบตาปลาอีกฝ่ายไว้กระมังถึงได้ตามจองล้างจองผลาญเขาหนักหนา

คงเพราะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจจึงทำให้โดนตบศีรษะอีกครั้ง

“มองอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรวะ!!! จะแข็งข้อหรือไง”ทั้งยังตบซ้ำๆจนฮารุโตะมโนภาพขึ้นมาว่าหัวสมองกำลังสั่น วินาทีนั้นเด็กหนุ่มจึงฮึดสู้ขึ้นมา เบี่ยงตัวหลบฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายและหันไปใช้มือข้างที่ว่างผลักร่างสูงใหญ่ของซากุราอิ ชุนก่อนจะหันมาหยิบกระเป๋าสะพายก้าวเท้าเพื่อวิ่งหนีส่วนมืออีกข้างยังถือข้าวกล่องไว้แน่น

อันที่จริงแรงผลักของฮารุโตะนั้นน้อยนิดเหมือนแรงมดในความคิดของชุน แต่ที่เขานิ่งไปเพราะอารามตกใจในการกระทำของอีกฝ่าย ใช่ว่าฮารุโตะจะไม่เคยต่อต้านหรือขัดขืนแต่ชุนคิดว่าตนอยู่เหนือกว่าเสมอ จึงไม่ค่อยใส่ใจกับการต่อต้านเล็กน้อยแบบนั้น ฉะนั้นเมื่อตั้งสติได้จึงยื่นแขนไปคว้าคอเสื้อของเด็กหนุ่มร่างเล็กได้ทันท่วงที แรงกระชากนั้นแทบจะทำให้ฮารุโตะหงายหลังติดตรงที่ว่าชุนสามารถล็อกคอของเขาไว้ได้ก่อน

“กล้าดีนักนะ”

ฝ่ามือแข็งแรงของชุนบีบคางของฮารุโตะไว้จนเจ็บร้าวก่อนจะถูกผลักอย่างแรงจนล้มคว่ำลงไปกับพื้น ยังไม่ทันที่จะได้ลุกยืนก็ถูกเหยียบซ้ำที่กลางหลังอีกรอบ เขารู้สึกราวกับถูกทับด้วยภูเขาทั้งลูกไม่ต้องพูดถึงการส่งเสียงร้องแม้แต่หายใจเด็กหนุ่มยังรู้สึกว่าทำได้ลำบาก ทว่า ผู้กระทำกลับยังไม่นึกปรานีกระชากศีรษะของเขาให้เชิดขึ้นมา

“เป็นแค่ไอ้อ่อนก็อย่าทำตัวซ่าให้มากนักไม่อย่างนั้นจะเจ็บหนักเข้าใจไหม”

เมื่อน้ำหนักบนหลังหายไปฮารุโตะจึงยันตัวลุกขึ้นนั่ง เขาไอเพราะสำลักอากาศ จะเรียกว่าชาชินคงไม่ผิดนักจึงไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้ร่างกายจุกเจ็บและมีแผลถลอกแต่ฮารุโตะได้แต่ทำใจยอมรับมัน เด็กหนุ่มใช้มือปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าพยายามทำให้มันดูดีที่สุด กระนั้นยังดูมอมแมมแบบที่มองปราดครั้งเดียวก็รู้ว่าเขาไปมีเรื่องมา

ฮารุโตะเก็บกระเป๋าขึ้นมาสะพายเก็บกวาดเศษอาหารที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาหารกลางวันที่เขาตั้งตารอทุกวัน ซึ่งหกเรี่ยราดบนพื้นลงถังขยะไม่มีเวลาให้ถอดถอนใจมากนัก เขาเร่งก้าวเท้าเพื่อให้ทันคาบเรียนตอนบ่าย

ฮารุโตะเข้าเรียนสายนิดหน่อยเขากวาดสายตามองหามิสะและจิเอะ เห็นทั้งสองคนนั่งอยู่ค่อนไปแถวหลังห้องจึงเดินเข้าไปหาเห็นมีที่ว่างข้างๆ เพื่อนทั้งสองจึงตั้งใจจะเข้าไปนั่งแต่จิเอะกลับเอากระเป๋ามาวางขวางเสียก่อน

“ขอโทษทีนะพอดีเดี๋ยวมีคนมานั่งน่ะ”ฮารุโตะพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเจื่อนๆ

“เอ้อ…รายงานล่ะเอามาสิเดี๋ยวพวกเราเอาไปส่งให้เอง”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะเปิดกระเป๋าหยิบเล่มรายงานส่งให้แต่โดยดี เขาเดินถัดไปอีกแถวซึ่งยังคงมีที่ว่างแต่ก็โดนไล่อย่างเย็นชาว่าให้ไปนั่งที่อื่น ดังนั้นเขาจึงไปทรุดตัวลงนั่งยังที่ว่างซึ่งทั้งแถวยังไม่มีใครจับจองและนั่นยิ่งทำให้ฮารุโตะรู้สึกตัวว่าตนเองคงเป็นที่รังเกียจเพราะแม้จะมีคนที่เข้าสายกว่าเขา แต่ไม่มีใครสักคนที่เลือกที่นั่งบริเวณที่เขานั่งอยู่เลย

บางครั้งเขาก็เกิดคำถามตัวเขามีอะไรให้น่ารังเกียจนักหนาแค่วันนั้นเสื้อผ้าของเขาสกปรกเพราะโดนทำร้ายเท่านั้น ท่าทีรังเกียจที่มีต่อตัวเขาจะต้องยืนยาวขนาดนั้นเชียวหรือ

ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาเดินเข้าชั้นเรียนเดินผ่านมิสะและจิเอะซึ่งที่ว่างข้างๆตัวของพวกเธอมักจะมีคนนั่งเสมอและเดินเลยไปยังที่นั่งซึ่งห่างจากเพื่อนนักศึกษาคนอื่น คงมีแค่วิชาของสาขากับวิชาของคณะเท่านั้นที่พื้นที่ห้องเรียนจำกัดลงจนต้องนั่งรวมกันฮารุโตะได้แต่พยายามทำใจยอมรับแม้จะรู้สึกอึดอัดกับสายตาของคนรอบข้างที่มองมา ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าตาเรียนและบอกตัวเองว่า ‘ไม่เป็นไร’

“ได้ยินเรื่องที่รุ่นพี่ศิลปศาสตร์ชนะรางวัลภาพถ่ายหรือยัง”

“หมายถึงรุ่นพี่นาคามูระ เรย์ใช่ไหม”

“อืมตอนนี้เขามีจัดแสดงที่นิทัศน์ศิลป์ด้วย หมดคาบเรียนตอนบ่ายแล้วไปดูกันไหม”

เสียงสนทนาค่อนข้างชัดเจนในระยะห่างจากที่ฮารุโตะนั่งอยู่ เรียกความสนใจทั้งหมดของเด็กหนุ่ม ที่จับกลุ่มคุยกันอยู่เป็นหญิงสาวราวสี่ถึงห้าคน

“แหมดูภาพหรือดูอย่างอื่น”

“หรือเธอไม่อยากดู”อีกเสียงย้อนทันควัน

“อยากสิจ๊ะ ดังเสียขนาดนั้น”

ฮารุโตะก็นึกสงสัยว่าภาพนั้นมีชื่อเสียงมากขนาดนั้นเชียวหรือ

“แต่จะมีโอกาสได้เจอหรือ”

“ไปมันทุกวันไม่เจอบ้างก็ให้มันรู้ไป”

แต่สำหรับฮารุโตะเขาสงสัยว่า ทำไมถึงจะไม่เจอในเมื่อพวกเธอบอกว่าภาพนั้นถูกจัดแสดงที่หอนิทัศน์ศิลป์

หอนิทัศน์ศิลป์เป็นชื่อย่อของอาคารจัดแสดงผลงานนักศึกษาของคณะศิลปศาสตร์ นอกจากจะเป็นอาคารแสดงผลงานยังเป็นอาคารเรียนและลานกิจกรรมในร่ม ด้วยลักษณะการออกแบบของอาคารที่ทำให้ชั้นสองและชั้นสามเป็นชั้นลอยล้อมรอบพื้นที่ชั้นหนึ่ง

และคงเพราะมีนิทรรศการจัดแสดงผลงานของนักศึกษาอยู่ นักศึกษาของคณะอื่นที่มาชมงานจึงค่อนข้างพลุกพล่าน

ฮารุโตะจับสายสะพายกระเป๋าแน่นด้วยความประหม่ารู้สึกเหมือนตนเองกำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง

“ขอโทษครับ ขอทางหน่อย”

เด็กหนุ่มสะดุ้งด้วยความตกใจลนลานก้าวเท้าหลบก้มหน้าจนคางชิดอก เหลือบตาขึ้นมองก็เห็นแค่แผ่นหลังที่เดินผ่านไปก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา หลังจากกลั้นหายใจด้วยความตื่นกลัวอยู่นาน เขามองผู้คนซึ่งเดินขวักไขว่อยู่เบื้องหน้าอีกครั้งและหมุนตัวเดินกลับออกมา บางครั้ง… ฮารุโตะเริ่มคิดในใจถ้าเขามีเพื่อนมาด้วยสักคนเขาคงไม่รู้สึกว่าตนเองอยู่ผิดที่ผิดทางขนาดนี้

หัวข้อ: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 01-02-2017 22:19:09
แม้จะพยายามทำเป็นนิ่งเฉยแต่สีหน้าของฮารุโตะยังแสดงความหดหู่หม่นหมองออกมา จนวันหนึ่งผู้จัดการร้านเรียกเขาไปตักเตือนเรื่องสีหน้าตอนทำงาน แม้จะบอกว่าไม่ต้องถึงขนาดยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลาแต่ก็ไม่ควรทำหน้าอมทุกข์ถึงขนาดนั้น ฮารุโตะจึงได้ก้มหัวรับปากว่าจะปรับปรุง กระนั้นอีกสองสามวันต่อมากลับมีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้น แม้ว่าพนักงานคนดังกล่าวจะถูกจัดเวรให้คาบเกี่ยวระหว่างห้าโมงถึงสี่ทุ่มก็ตาม

“ผมพิจารณาแล้วเห็นว่าช่วงตั้งแต่สี่โมงครึ่งถึงสี่ทุ่มค่อนข้างจะมีลูกค้าเยอะ จึงหาพนักงานมาเสริมอีกคน มิอุระซังในฐานะที่ทำงานมาก่อน ช่วยแนะนำและสอนงานโอตะซังด้วยล่ะ”

“ครับ”ฮารุโตะตอบรับมองหน้าโอตะ อาคิฟุมิที่ยิ้มแย้มให้แล้วจึงยิ้มบางๆตอบกลับแม้ในใจจะค่อนข้างกังวลก็ตาม เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าเขาเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดีมากนัก

“ผมเทรน[3]ครบห้าวันแล้วครับ มาเทรนช่วงกลางวัน”อาคิฟุมิตอบเมื่อเขาถามว่าผ่านการเทรนงานหรือยัง ตอนเขาเริ่มงานช่วงห้าวันแรกจะเป็นการฝึกปฏิบัติงานจริง ผู้จัดการจะประกบคู่สอนการคิดเงินค่าสินค้าอยู่หน้าเคาน์เตอร์เนื่องจากแต่ละคนจะมีรหัสผู้ใช้งานในการขายสินค้าของแต่ละคนและต้องรับผิดชอบเงินในเคาน์เตอร์กันเอง ขั้นตอนการทำงานนี้จึงต้องมีการฝึกปฏิบัติอย่างเข้มงวด

“ถ… ถ้าอย่างนั้นมีอะไรสงสัยก็ถามแล้วกันนะ”

“ครับ”

ฮารุโตะบอกเช่นนั้นก่อนจะหันไปประจำหน้าเคาน์เตอร์เมื่อมีลูกค้าเดินมาชำระเงิน

ช่วงเย็นที่เป็นกะทำงานของเขา ลูกค้ามักจะเยอะเสมออย่างที่ผู้จัดการว่า ช่วงแรกๆที่เขาทำงานมักจะมีลูกค้าต่อแถวยาวจนผู้จัดการต้องเปิดอีกเคาน์เตอร์เพื่อช่วยเขา ที่เขาเคยรับรู้มา ผู้จัดการจะสลับเวลาทำงานเพื่อตรวจสอบความประพฤติเวลาทำงานของพนักงานทุกคน เนื่องจากพนักงานแต่ละคนจะมีช่วงเวลาสะดวกในการทำงานที่ต่างกัน

รุ่นพี่ที่อยู่กะกลางวันเป็นผู้หญิงที่แต่งงานมีลูกแล้วแม้สามีจะเป็นเสาหลักที่ทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่เธออยากจะช่วยหาเงินเพิ่มเติมจึงหางานที่ทำเฉพาะกลางวันช่วงที่ลูกไปโรงเรียนและเป็นงานที่ไม่มีโอทีอย่างแน่นอน ส่วนผู้ชายอีกคนที่ทำงานในกะต่อจากเขาก็เป็นนักศึกษาเหมือนกับเขา แต่เป็นพวกที่ไม่ชอบตื่นเช้าและตาสว่างตอนกลางคืนมีวิชาเรียนเฉพาะตอนบ่าย ฮารุโตะเคยได้คุยด้วยครั้งหนึ่งเป็นคนเฮฮาที่มีความเป็นตัวเองสูงมาก

หลังจากที่เขาเข้ามาทำงานผู้จัดการก็เข้างานช่วงเวลาเดียวกับเขาเป็นประจำ ฮารุโตะรู้ตัวว่าตนเองไม่เก่งเท่าคนอื่นทำอะไรก็ช้า เรื่องบางเรื่องเขาต้องทวนซ้ำหลายต่อหลายรอบกว่าจะจำหรือทำได้ เขาจึงได้แต่ทดแทนด้วยความพยายามที่มากกว่าคนอื่นแม้จะโดนตำหนิอยู่บ้างแต่เขาจะพยายามตั้งใจทำงานต่อไป

“รุ่นพี่ผมไปกดอะไรไม่รู้”อาคิฟุมิร้องเรียกเขาจากเคาน์เตอร์ข้างๆ ฮารุโตะจึงเงยหน้าจากของในมือที่กำลังคิดเงินและนำใส่ถุงให้ลูกค้า เขาหันไปมองและบอกให้อีกฝ่ายรอสักครู่ ก่อนจะหันมาเร่งคิดเงินค่าสินค้าของลูกค้า เสร็จแล้วจึงหันไปดูหน้าจอของอาคิฟุมิ เมื่อสอนวิธีแก้เรียบร้อยจึงกลับมาที่เคาน์เตอร์ของตนเอง แถวของลูกค้าเริ่มยาวขึ้น ระหว่างนั้น อาคิฟุมิยังร้องเรียกให้เขาไปช่วยเหลืออยู่เรื่อยๆ

“อ๊ะ รุ่นพี่ผมยิงบาร์ผิดไปแล้ว”

ฮารุโตะหันไปมองด้วยความร้อนรนเนื่องจากตนก็ยังติดลูกค้าอยู่ ปกติแล้วถ้าแสกนบาร์โค้ดผิดจะต้องเรียกผู้จัดการมาทำให้ซึ่งเด็กหนุ่มไม่แน่ใจว่าผู้จัดการยังอยู่ที่ร้านหรือไม่ ยังไม่ทันที่ฮารุโตะจะคิดทำสิ่งใดต่อไปผู้จัดการร้านก็เดินออกมาจากประตูที่เชื่อมกับด้านหลังร้านมาหยุดยืนข้างโอตะ อาคิฟุมิพร้อมกับลงมือจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

พอลูกค้าเริ่มซา ฮารุโตะจึงแว่วได้ยินคำดุของผู้จัดการร้านที่มีต่ออาคิฟุมิ นั่นทำให้เขาอดนึกถึงช่วงเวลาที่เขาโดนดุอยู่เป็นประจำไม่ได้

รู้สึกว่าวันนี้จะค่อนข้างวุ่นวายอยู่ไม่น้อยในความคิดของเด็กหนุ่ม และความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันก็ทำให้ฮารุโตะผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วเมื่อหลังได้สัมผัสกับฟูกนอน

รุ่งเช้าวันต่อมาเป็นวันเสาร์ที่ถึงแม้จะเป็นวันหยุดแต่ฮารุโตะยังคงตื่นแต่เช้าเช่นทุกวัน อากาศเริ่มร้อนขึ้นจนเด็กหนุ่มไม่อาจทนอยู่ในห้องพักซึ่งอบอ้าวอย่างมากในช่วงกลางวันได้ เขาจึงย้ายตัวเองไปนั่งทบทวนบทเรียนอยู่ที่หอสมุดของมหาวิทยาลัยนอกจากอากาศจะเย็นสบายเพราะเครื่องปรับอากาศแล้ว ยังมีหนังสืออีกมากมายให้เขาเลือกอ่านยามที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ฮารุโตะพักการอ่านหนังสือช่วงประมาณบ่ายโมงมาทานข้าวกล่องซึ่งตนเตรียมมาที่สวนหย่อมข้างหอสมุดเช่นเดิม แม้จะลังเลใจกลัวที่ต้องเจอซากุราอิ ชุนอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นว่ามีนักศึกษาคนอื่นนั่งอยู่ประปรายก็พอเบาใจทานอาหารเสร็จจึงรีบกลับไปตากเครื่องปรับอากาศเย็นๆในหอสมุดต่อ รู้ตัวอีกทีเสียงสัญญาณเตือนเวลาปิดหอสมุดก็ดังขึ้นมาเสียแล้ว

ฮารุโตะชะงักเท้าหลังจากที่ก้าวออกมาจากห้องสมุดไปไม่ไกลนัก เขานึกถึงงานนิทรรศการแสดงผลงานนักศึกษาที่อาคารนิทัศน์ศิลป์ แม้ไม่รู้ว่างานแสดงดังกล่าวสิ้นสุดไปหรือยัง แต่เขายังคงก้าวเท้าเปลี่ยนทิศมุ่งหน้าไปยังตึกอาคารในคณะศิลปศาสตร์

ป้ายประกาศหน้างานบอกเวลาปิดตึกตอนหกโมงครึ่งนับว่าเป็นโชคดีของเขา วันนี้เป็นวันเสาร์หอสมุดปิดตอนห้าโมง ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูจึงพบว่ายังพอมีเวลาอยู่นิดหน่อยก่อนถึงเวลาปิด ภายในตึกวันนี้ร้างผู้คน ฮารุโตะอมยิ้มกับตัวเองที่เหตุการณ์ทุกสิ่งราวกับเป็นใจ

เด็กหนุ่มเดินดูงานศิลปะซึ่งถูกจัดแสดงไว้อย่างเชื่องช้า พื้นที่ชั้นหนึ่งส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดที่มีทั้งวิวทิวทัศน์ทั่วไป ภาพคนหรือภาพที่ฮารุโตะรู้สึกว่าคนวาดน่าจะแค่สีมาป้ายไปป้ายมาซึ่งไม่ว่าเขาจะเอียงซ้ายเอียงขวามองอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ชั้นสองค่อนข้างจะแสดงผลงานที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นงานปั้น ภาพวาดหรือภาพถ่ายเขารู้สึกค่อนข้างจะชื่นชอบภาพถ่ายเป็นพิเศษเพราะอย่างน้อยยังดูออกว่ามันคือภาพอะไร จนมาถึงภาพสุดท้ายที่เป็นภาพถ่ายซึ่งได้รับรางวัล ที่ข้างๆภาพนั้นมีป้ายบ่งบอกรายละเอียดงานประกวดภาพถ่ายและชื่อเจ้าของภาพไว้อย่างชัดเจน

“นาคามูระ เรย์”เขาพึมพำอ่านชื่อเจ้าของภาพหลังโดนมนต์สะกดของภาพตรึงสายตาไว้เนิ่นนาน

“ไอ้หนู”เสียงเรียกทำให้ฮารุโตะสะดุ้งหลุดจากภวังค์

“ตึกจะปิดแล้วนะ”

“อะ..ครับ ผมกำลังจะกลับแล้วครับ”ฮารุโตะหันไปมองภาพนั้นอีกครั้งก่อนหมุนตัวกลับ



วันอาทิตย์ฮารุโตะมาถึงอาคารนิทัศน์ศิลป์แต่เช้า แต่วันนี้กลับมีคนเดินเข้าออกตึกอย่างคึกคักซ้ำยังถือเฟรมภาพขาตั้งงานปั้นหรือของอื่นๆออกมาด้วย เห็นดังนั้นฮารุโตะจึงหันไปมองป้ายหน้างานอีกครั้ง งานแสดงจัดถึงเมื่อวาน มิน่าที่วันนี้คนพลุกพล่านคงเพราะต่างคนต่างมาเก็บของ

ฮารุโตะมองด้วยความเสียดายมาถึงตอนนี้เด็กหนุ่มนึกอยากได้โทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งก่อนตอนทำรายงานก็ด้วย เพราะไม่มีโทรศัพท์มือถือจะโทรหามิสะหรือจิเอะก็ไม่สามารถทำได้ มาถึงคราวนี้ถ้าเขามีโทรศัพท์ก็คงถ่ายภาพภาพนั้นไว้ในโทรศัพท์มือถือได้

“แล้วภาพของรุ่นพี่นาคามูระนี่เอาอย่างไรน่ะ”

“เดี๋ยวพี่เขามาเก็บไปเอง เห็นว่าถ่ายงานของชมรมอยู่ในสวน”

คำสนทนาดังกล่าวเรียกความสนใจของฮารุโตะได้เป็นอย่างดี เขายืนลังเลหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เดินขึ้นไปบนตึก ภาพนั้นยังอยู่ที่เดิมบนชั้นสอง

กลีบดอกของซากุระราวกับกำลังเคลื่อนไหวร่วงหล่น รอยยิ้มของผู้คนในภาพก็ทำให้ฮารุโตะรู้สึกเหมือนว่าตนได้ยินเสียงหัวเราะขึ้นมาจริงๆ แสงเงาอันนุ่มนวลของภาพตรงหน้ายิ่งทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเย็นสบายของฤดูใบไม้ผลิ

“ขอโทษนะครับ แต่ผมคงต้องขอเก็บภาพนี้ไปแล้ว”

ฮารุโตะสะดุ้งด้วยความตกใจและทันทีที่เขาได้เห็นใบหน้าผู้เป็นเจ้าของคำพูดนั้นเขาก็ตกหลุมรักอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 02-02-2017 01:38:20
เอาใจช่วยฮารุโตะอย่างยิ่งเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 02-02-2017 05:49:07
ชีวิตต้องสู้จริงๆ เกิดมาก็ไม่มีพ่อแม่
อยู่ในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้า :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ฮารุโตะ ต้องสู้ ต้องพยายามขนาดไหนกันนะ
ถึงจะเข้ากับสังคมได้
ถึงจะอยู่ร่วมกับเพื่อนที่เห็นแก่ตัว ชอบเอาเปรียบ
ถึงจะสู้กับพวกที่ชอบรังแก ทำร้ายคนอ่อนแอได้
ทั้งทีอีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรให้เลย
อยากเห็นฮารุโตะ มีการพัฒนา และชีวิตที่ดีขึ้น
แล้วก็อยากเห็นพวกอันธพาล ถูกลงโทษ  :z6: :z6: :z6:
พวกเห็นแก่ตัว เอาเปรียบเพื่อน
ถูกเอาเปรียบบ้าง จะได้ยุติธรรมกับฮารุโตะ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: praewp ที่ 02-02-2017 07:31:27
สนุกจังค่ะ เขียนลื่นมาก เอาใจช่วยน้องฮารุโตะอยู่นะ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 1 : 1/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: The Empress ที่ 02-02-2017 09:56:51
บรรยากาศเรื่อยๆ อ่านเพลินดีค่ะ ชอบนิยานสไตล์นี้ ติดตามนะคะ
หัวข้อ: 春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-02-2017 16:35:28
Chapter 2


การหาข้อมูลส่วนตัวของนาคามูระ เรย์เป็นเรื่องง่ายมาก ฮารุโตะไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากถามเรื่องของรุ่นพี่ปีสามคณะศิลปศาสตร์กับใคร บทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับเจ้าตัวก็ลอยเจ้าหูเขาอยู่เนืองๆ เพราะหลังจากที่อีกฝ่ายได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดภาพถ่ายมาแล้วความดังของชายหนุ่มจึงเพิ่มขึ้นเป็นอีกเท่าตัว

นาคามูระ เรย์เป็นผู้ชายคนแรกที่ทำให้ความกล้าในตัวของฮารุโตะเพิ่มขึ้นพรวดพราด แม้ยังไม่ถึงขนาดกล้าเดินเข้าไปสารภาพรักแต่อย่างน้อยเขาก็กล้าเดินเข้าไปขอสมัครเข้าชมรมทั้งที่เป็นช่วงปลายเทอมเช่นนี้

เด็กหนุ่มรู้สึกตกประหม่าขึ้นมาทันทีเมื่อเสียงพูดคุยภายในห้องกว้างของชมรมถ่ายภาพเงียบกริบ ทำให้เขายิ่งก้มหน้าลงต่ำ

“น้องบอกว่าไม่มีกล้อง แล้วจะเข้าชมรมถ่ายภาพมาเพื่ออะไรละครับ”เรย์เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ตั้งแต่หลังจากข่าวที่เขาชนะเลิศงานประกวดภาพถ่ายแพร่ออกไปก็มีพวกเด็กปีหนึ่งมาสมัครเข้าชมรมมากขึ้น ทีแรกเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องดีเพราะอย่างน้อยก็มีแรงงานมากขึ้น แต่หลายคนจงใจมาสมัครเข้าชมรมเพื่อที่จะมาจีบเขา การที่ต้องมาโดนใครก็ไม่รู้มาตามตื้อหรือก้อร่อก้อติดมากๆ มันทำให้เขาหงุดหงิดและเขาเพิ่งไล่ตะเพิดไปคนหนึ่งเมื่อไม่ถึงชั่วโมงที่ผ่านมา ชายหนุ่มจึงไม่มีความอดทนมากพอที่จะฟังคำตอบติดอ่างของรุ่นน้องคนไหนอีก

“ข… ขอโทษค…ครับ”ฮารุโตะอยากหมุนตัวกลับ ก้าวเดินออกจากห้องแต่ขาทั้งสองข้างแข็งเกร็งจนก้าวเท้าไม่ออก ความกล้าหาญในตอนที่ก้าวเท้าเข้ามาฟ่อฟีบและแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วละก็…”ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบ มีเสียงหนึ่งจากประตูแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“กลับมาแล้ว อะไรกันน่ะ”

“น้องเขามาสมัครเข้าชมรมนะ แต่เรย์มันกำลังเหวี่ยงได้ที่”เสียงใครคนหนึ่งในชมรมตะโกนตอบ

“ไม่ได้เหวี่ยงโว้ยแต่แม่งไม่รู้เรื่องกล้องจะสมัครเข้ามาทำห่าอะไร”

ฮารุโตะสะอึกกับคำพูดนั้น นั่นสินะเข้ามาอยู่ในชมรมแล้วจะทำอะไรได้

“ขอตัวนะครับ”ฮารุโตะพูดเสียงเบา โดนว่าขนาดนี้ต่อให้ก้าวขาไม่ออกแต่เขาคงไม่หน้าด้านยืนอยู่ต่อไปแล้ว

“ไหนช่วงก่อนรับแหลกแล้ว จู่ๆจะมาเลือกอะไรป่านนี้ ...อ่ะฮารุโตะหรือเปล่า”

เพราะโดนเรียกชื่อเขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง

“รุ่นพี่อาโอกิ”

“อ่า ใช่จริงๆด้วยไม่เจอกันนานเลยนะ”

“ครับ” ฮารุโตะตอบรับสั้นๆ แม้จะมีคำถามที่อยากจะถามต่อแต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขาได้แต่หุบปากเงียบเอาไว้

“ตกลงว่าคนนี้รับละกันนะ”นาโอโตะพูดง่ายๆ

“ไม่รับโว้ยท่าทางหงิมๆแบบนี้ ทำอะไรก็ไม่เป็นจะมาสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพทำไม นอกจากมาอ่อยผู้ชาย”คำพูดของเรย์ทำให้สะดุ้งกันเป็นแถวๆ

“ไอ้เรย์ ไอ้บ้า ไอ้ปากหมา พูดจาน่าเกลียด อย่างฮารุโตะน่ะไม่ทำแบบนั้นหรอก เอาอย่างนี้ไหนนายลองบอกเหตุผลมาซิว่าทำไมถึงมาสมัครเข้าชมรม”หลังจากด่าเรย์จบ นาโอโตะก็หันมาถามหนุ่มรุ่นน้อง

เด็กหนุ่มตัวสั่นไม่กล้าบอกเหตุผลจริงๆ ทั้งห้องเงียบกริบรอฟังคำตอบของเขา  กระนั้นเมื่อเขาเหลือบสายตาขึ้นมองรุ่นพี่หนุ่มผู้แสนใจดีตรงหน้าอีกครั้ง คำพูดก็ไหลบ่าออกมาราวกับก็อกประปาแตก

“พอดีผมไปดูงานแสดงเมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมานะครับ แล้วชอบภาพถ่ายมากเลยเลยสงสัยว่า ภาพถ่ายพวกนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร” ไม่ถึงกับโกหกทุกคำแต่ฮารุโตะก็บอกไม่หมดพอเห็นหน้ารุ่นพี่อาโอกิแล้วเขาไม่กล้าทำให้อีกฝ่ายผิดหวัง

“คำตอบสมกับเป็นเด็กวิทย์จริงๆ เห็นไหมเรย์ ฮารุจังน่ารักจะตาย”พลางยกมือขึ้นลูบศีรษะของรุ่นน้องตัวเล็กอย่างเอ็นดู

เรย์ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ถ้าถูกใจนาโอโตะขนาดนี้แล้วละก็ต่อให้ค้านไปอีกฝ่ายคงไม่ยอมง่ายๆ

“ตามใจ ดูแลกันเอาเองละกันนะ”

“แน่นอนอยู่แล้วเรย์ไม่ต้องมายุ่งหรอก”



รุ่นพี่อาโอกิเป็นคนดีจริงๆ ในหัวของฮารุโตะมีแต่คำนี้ผุดขึ้นมาตั้งแต่วันที่เขาไปสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพ รุ่งอีกวันรุ่นพี่ก็มารับเขาถึงคณะ

“กลัวนายจะไม่กล้ามาเพราะคำพูดหมาๆของเรย์เมื่อวานนะซิ”

จริงอย่างที่รุ่นพี่ว่า  โดนว่าถึงขนาดนั้น เขาไม่กล้าไปเหยียบห้องชมรมอีกหรอก แม้ไม่ได้ตั้งใจจะไปอ่อยรุ่นพี่นาคามูระจริงๆแต่เป้าหมายของเขาไม่พ้นการได้เห็นหน้าหนุ่มรุ่นพี่ทุกวัน

“อย่าไปคิดมากเลย เรย์น่ะถึงจะปากร้ายแต่ปกติเป็นคนใจดีนะ”

“ครับ” ฮารุโตะตอบรับง่ายๆ “รุ่นพี่รู้จักกับรุ่นพี่นาคามูระมานานแล้วหรือครับ”ไม่รู้ด้วยสาเหตุใดกันแน่แต่เมื่อฮารุโตะอยู่ใกล้กับนาโอโตะ เขารู้สึกได้ว่าตนเองกล้าพูดกล้าคุยมากขึ้น คงเพราะรุ่นพี่เป็นคนดีนั่นล่ะความคิดนี้ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

“ตั้งแต่จำความได้เลยละบ้านอยู่ข้างกันด้วย พ่อแม่ก็เป็นเพื่อนกัน”

“ดีจัง”ฮารุโตะพูดออกไปด้วยความรู้สึกอิจฉา ไม่ใช่แค่เรื่องที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิอยู่ข้างบ้านของรุ่นพี่นาคามูระเท่านั้นที่ทำให้เขาอิจฉาแต่การที่คนทั้งคู่สามารถเรียกอีกฝ่ายว่าเพื่อนสนิทได้อย่างเต็มปากนั่นต่างหากที่ทำให้เขารู้สึกอิจฉาอย่างที่สุดเพราะคนอย่างเขาแค่เพื่อนก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ ฮารุโตะวนกลับไปคิดเรื่องมิสะกับจิเอะด้วยความรู้สึกหม่นหมอง จนป่านนี้สองคนนั้นก็ยังไม่ยอมคุยกับเขาดีๆเสียที

“ดีซะที่ไหนหมอนั่นอ่ะงี่เง่าที่สุด”หลังจากนั้นรุ่นพี่อาโอกิก็พล่ามวีรกรรมของรุ่นพี่นาคามูระให้ฟังไม่หยุด ถึงแม้คำพูดที่รุ่นพี่อาโอกิใช้ ฟังดูจิกกัดบุคคลในหัวขัอสนทนาอยู่บ้างแต่ไม่ว่าอย่างไรเขายังคงสัมผัสได้ถึงความผูกพันของคนทั้งสองในน้ำเสียงนั้น

ฮารุโตะไม่อยากโดนว่าเสียๆหายๆหรือโดนรุ่นพี่นาคามูระรังเกียจเขาจึงไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับอีกฝ่ายมากนัก ขอแค่ได้แอบมองชายหนุ่มร่างสูงตามที่ตั้งใจไว้ก็พอ

“เราจะแบ่งเวรรับงานกันคร่าวๆประมาณนี้” โชคดีที่เขารู้จักกับรุ่นพี่อาโอกิมาก่อนไม่อย่างนั้นการเข้าชมรมตอนปลายเทอมคงทำให้เขากลายเป็นหมาหัวเน่า

“ตอนนี้ฮารุจังก็ช่วยงานเล็กๆน้อยๆไปก่อนนะ ถึงอย่างไรก็ต้องฝึกอะไรอีกหลายอย่างและเทอมหน้าจะมีแบ่งเวรกันใหม่อีกทีหรือว่าอยากฝึกถ่ายภาพด้วยละ”

“ได้ด้วยหรือครับผมยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเองด้วย”

“ได้ดิเรื่องกล้องไว้เดี๋ยวยืมของคนอื่นก็ได้”

อาจจะมีคนให้ยืมก็จริงแต่ฮารุโตะคิดว่าคงไม่มีใครให้ยืมอย่างเต็มใจนักหรอก กล้องตัวหนึ่งไม่ใช่แค่สองสามหมื่นเยนกระมัง

“กล้องถ่ายภาพที่พวกรุ่นพี่ใช้อยู่นะราคาตัวละเท่าไหร่หรือครับ”

“ก็แล้วแต่รุ่นละนะสำหรับมือใหม่อ่ะสี่ถึงห้าหมื่นเยนซื้อได้แล้ว”นาโอโตะตอบพร้อมรอยยิ้มไม่อยากให้รุ่นน้องกังวลเรื่องราคาอุปกรณ์จนเกินไปนัก

“กล้องที่รุ่นพี่นาคามูระใช้อยู่ราคาเท่าไหร่หรือครับ”ฮารุโตะชี้นิ้วไปทางรุ่นพี่ร่างสูงซึ่งกำลังจ่อกล้องกับกล่องอาหารเสริมเห็นว่าจะต้องถ่ายไปทำป้ายโฆษณา

“เอ่อ… รุ่นนั้นค่อนข้างแพงนิดนึง Canon EOS 1D รู้สึกว่าเพิ่งจะได้มาใหม่น่ะ”นาโอโตะพยายามเลี่ยงไม่อยากบอกราคา ขนาดตัวเขาที่คลุกคลีอยู่ในชมรมมานานยังรู้สึกเลยว่าราคามันสูงไปสักหน่อย

“แล้ว… ราคาเท่าไหร่หรือครับ”

“ประมาณสี่แสนเยน”

ฮารุโตะคิดอยู่แล้วละว่าเขาคงไม่มีปัญญาซื้อของพวกนี้

“แล้วที่รุ่นพี่โมริถืออยู่ละครับ”คราวนี้เขาชี้ไปยังเอคิจิที่กำลังถ่ายภาพหน้าตรงให้รุ่นพี่คนหนึ่งที่จะนำรูปภาพไปสมัครงานดูบ้าง

“เอ่อ… รุ่นนั้นประมาณสองแสนเยน”

“แพงจัง”ฮารุโตะโคลงศีรษะพลางบ่นพึมพำแล้วพูดกับนาโอโตะที่นั่งอยู่ตรงหน้าว่า “ผมคงไม่หัดถ่ายภาพหรอกครับ จะให้ยืมของพวกรุ่นพี่ก็เกรงใจ เอาไว้ถ้าผมเก็บเงินจนสามารถซื้อกล้องได้ค่อยว่ากันอีกทีดีกว่า”หรือต่อให้เก็บเงินได้จริงๆฮารุโตะก็ตัดใจซื้อของพวกนี้ไม่ลง

“เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมากหรอก”นาโอโตะวางมือบนศีรษะของฮารุโตะและกล่าวปลอบใจ ฮารุโตะจึงยกยิ้มให้ในทำนองว่าเขาเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก

“รุ่นพี่เดี๋ยวผมต้องไปทำงานพิเศษแล้วครับ”ฮารุโตะบอกเมื่อเห็นนาฬิกาบอกเวลาห้าโมงครึ่งเขากล่าวลารุ่นพี่ที่อยู่ในชมรมก่อนเดินออกมา


เช้าวันจันทร์เวียนมาถึงอีกครั้งและเมื่อตั้งใจนับเวลาดูแล้วเหลือเวลาเรียนอีกเพียงแค่สองสัปดาห์การสอบปลายภาคก็จะมาถึง ฮารุโตะจึงเริ่มวางแผนถึงตารางการอ่านหนังสือสอบสำหรับปลายภาคไว้ในหัว อาจเป็นเพราะเขามัวแต่ใจลอยกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เดินชนร่างถมึงทึงที่ยืนขวางทางอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

“ไง”

ฮารุโตะลอบถอนหายใจก่อนจะหยิบข้าวกล่องออกจากกระเป๋าส่งให้ เขาไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากเจ็บตัวและต่อให้พยายามสู้เขาก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้

“แสนรู้ดีนี่”ซากุราอิชุนรับข้าวกล่องไปถือเปิดฝากล่องพบว่าอาหารข้างในจัดไว้อย่างน่าทานก่อนจะคว่ำลงบนศีรษะของคนตรงหน้า เขายกยิ้มอย่างถูกใจที่อีกฝ่ายเอาแต่หลับตาหนีไม่กล้าสู้

“แต่พอดีฉันไม่อยากได้แล้วว่ะ ไอ้ตูบที่ฉันเอาข้าวของแกไปเลี้ยงมันยังเมินหนี ท่าทางกับข้าวของแกคงห่วยน่าดูเอากระเป๋าเงินมาดิ”

ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาและหยิบกระเป๋าให้คนตรงหน้า ถึงจะเริ่มเบื่อรูปแบบการกระทำปัญญาอ่อนที่อีกฝ่ายใช้กลั่นแกล้งเขา ฮารุโตะก็ได้แต่กัดฟันทนและแม้จะมีนักศึกษาคนอื่นอยู่บ้างแต่ก็ไม่มีใครสักคนที่คิดเข้ามาช่วยเหลือ

“อะไรว่ะกระเป๋าไม่มีเงินสักเยนพกมาทำไมว่ะเนี่ย” คนพูดกล่าวด้วยน้ำเสียงติดโมโหก่อนจะปากระเป๋าหนังเทียมมาโดนหน้าเขาอย่างจัง

มือใหญ่วางลงบนกล่องข้าวที่ยังคว่ำอยู่บนศีรษะของเขาและออกแรงกดขยี้ให้ซากอาหารเละมาขึ้นกว่าเดิม

“พอดีว่าวันนี้ฉันอารมณ์ดีดังนั้นจะปล่อยแกไปสักวันแล้วกัน”

ฮารุโตะยกมือขึ้นหยิบกล่องข้าวออกจากศีรษะ กวาดเอาเศษอาหารลงใส่กล่องแล้วนำเศษอาหารไปทิ้งลงถังขยะจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำล้างเศษอาหารบางส่วนที่ยังคงติดเส้นผมอยู่ออก เพราะอยากจะประหยัดเงินค่าตัดผม ตอนนี้ผมของฮารุโตะจึงยาวระบ่าเมื่อโดนน้ำจึงเปียกชุ่มเขาไม่เคยคิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จึงไม่เคยติดผ้าขนหนูหรือเสื้ออีกตัวใส่กระเป๋ามาด้วย หันรีหันขวางอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดีก่อนจะหันไปเห็นเครื่องเป่ามือ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามบีบน้ำในผมให้หมาดที่สุดและเดินไปใช้เครื่องเป่ามือเป่าผมของตนต่อ

เมื่อเวลาเริ่มเรียนใกล้เข้ามาเขาจำเป็นต้องผละออกมาแค่นั้น แม้เส้นผมจะไม่ได้แห้งสนิทแต่ก็ไม่มีหยดน้ำหยดลงเสื้อให้น่ารำคาญ

“มิอุระซังตื่นสายหรือ”มิสะถามขึ้นทันทีที่เขาทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้

“เปล่าหรอก”ฮารุโตะส่ายศีรษะพลางยกยิ้มให้

“ผมก็ยังเปียกอยู่เลยสระผมตอนเช้าหรือ ถึงจะไม่ใช่หน้าหนาวก็ควรจะเช็ดให้แห้งนะเดี๋ยวจะเป็นหวัดไปเสียก่อน”

คำพูดในเชิงเป็นห่วงของมิสะทำให้เขารู้สึกดีใจและคาดหวัง บางทีเธออาจจะหายโกรธเคืองเขาแล้วก็เป็นได้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้สาเหตุที่เธอแสดงออกว่าไม่ชอบใจเขาก็ตาม

“ขอบคุณนะ”

“ขอบคุณอะไรอาคาริยังไม่ได้ทำอะไรเลย”

“ที่เป็นห่วง”

“เรื่องแค่นี้เองพวกเราเป็นเพื่อนกันนะ”

ฮารุโตะยกยิ้มอย่างดีใจ  คำว่า ‘เราเป็นเพื่อนกัน’ของมิสะก้องไปทั้งหัวใจของเขา

“มิอุระซังถ้าไม่ว่าอะไรอาคาริกับจิเอะจังมีเรื่องอยากจะให้ช่วยได้ไหม”

“ได้สิ”ฮารุโตะพยักหน้ารับอย่างยินดี

“คะแนนสอบขอบเราสองคนไม่ค่อยดีเลย อย่างกลางภาคที่ผ่านมาก็ผ่านมีนมาอย่างล่อแล่ ถ้าอย่างไรวิชาไหนมีเทสย่อยเราสองคนจะขอลอกได้ไหม”

เมื่อได้ยินคำขอร้อแบบนั้นเด็กหนุ่มจึงรู้สึกลังเล เขาไม่เคยให้ใครลอกข้อสอบและไม่เคยลอกข้อสอบจากใคร เท่าที่ฮารุโตะรู้กรณีแบบนี้ถ้าโดนจับได้มักจะโดนตัดสิทธิ์ทันที

“นะถือว่าช่วยกัน”

“แต่…” ยังไม่ทันที่จะได้กล่าวอะไรต่ออาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามาพร้อมกับข้อสอบพรีเทสต์ที่ถูกแจกจ่ายไปยังนักศึกษาแต่ละคน

ฮารุโตะเขียนชื่อของตนเองบนหัวกระดาษด้วยใจตุ๋มๆต๋อมๆ ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรจะทำอย่างไรดี อาคาริมิสะก็สะกิดให้เขาบอกคำตอบแก่เธอบ้าง ให้สารภาพตามตรงตอนนี้สมาธิของเขากระเจิงไปหมดจนอ่านข้อสอบไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

“นักศึกษาให้ก้มหน้าทำข้อสอบไม่ใช่ชะโงกมองเพื่อนนะคะ”

เสียงของอาจารย์ผู้ช่วยดังขึ้นทำให้ฮารุโตะสะดุ้งเฮือก เขาก้มหน้าจดจ่อกับข้อสอบตามคำสั่ง ต้องอ่านทวนโจทย์คำถามอยู่หลายครัังกว่าจะเข้าใจและนึกคำตอบออก เวลาทำข้อสอบพรีเทสต์มีแค่ห้านาทีแต่ฮารุโตะไม่เคยเขียนคำตอบได้ทันเวลาเลยสักครั้งซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะแย่กว่าครั้งอื่นๆ

“มิอุระซังก็บอกแล้วว่าขอลอกคำตอบบ้างทำไมถึงไม่ส่งมาให้ดู”มิสะต่อว่าทันทีที่ได้รวมกลุ่มทำการทดลอง

“ม…”ฮารุโตะลังเลไม่รู้ว่าควรจะพูดเช่นใดจึงจะเป็นผลดี

“เอาเถอะน่าอาคาริผ่านไปแล้วก็เอาไว้ก่อนตอนนี้ทำแล็บก่อนดีกว่าตอนสรุปผลมิอุระซังช่วยพวกเราเขียนด้วยนะ”

วิชานี้แม้จะรวมกลุ่มร่วมกันทำการทดลองแต่เวลาเขียนรายงานต่างคนต่างต้องเขียนของตัวเองและนำส่งที่ห้องพักอาจารย์ในวันรุ่งขึ้น สำหรับกลุ่มอื่นฮารุโตะไม่รู้ว่าทำอย่างไรกันบ้าง แต่กลุ่มของพวกเขาจะสรุปผลกันคร่าวๆเพื่อจะได้พักกลางวันนานขึ้น นอกจากนี้ในกลุ่มก็มีแต่เขาคนเดียวที่เมื่อทำการทดลองจะต้องจดรายละเอียดตามไปด้วย

“อืมได้ ส่วนเรื่องคะแนนสอบผมว่าพวกเรามาเริ่มทบทวนหนังสือเตรียมสอบแต่เนิ่นๆผลคะแนนก็ไม่น่าจะมีปัญหา”

“จิเอะไม่ว่างน่ะ”

“อาคาริก็ไม่ค่อยว่างเหมือนกัน”ทั้งสองคนตอบปฏิเสธทันควันเมื่อเจอคำตอบเช่นนี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่เงียบไม่กล้าเซ้าซี้ ส่วนเรื่องประเด็นลอกข้อสอบ เขาตั้งใจจะเงียบไว้ไม่รื้อฟื้นขึ้นมาอีกโดยหวังว่าทั้งสองคนจะลืมเช่นเดียวกัน

หมดเวลาคาบเรียนช่วงเช้า มิสะกับจิเอะรีบเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เขาเก็บอุปกรณ์การทดลองของวันนี้อยู่คนเดียว ฮารุโตะหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายเดินออกจากห้องเรียนปฏิบัติการมุ่งหน้ากลับหอพัก โดยปกติเขาใช้เวลาเดินจะหอพักมามหาวิทยาลัยประมาณสิบห้านาทีฉะนั้นเวลาโดยรวมไปกลับเท่ากับสามสิบนาทีมีเวลาอีกเหลือเฟือในการทานข้าวกลางวันที่ห้อง วันนี้เขามีข้าวปั้นอยู่ในตู้เย็นมันจึงยิ่งไม่มีปัญหากับเวลาเรียนคาบบ่าย ฮารุโตะหงุดหงิดไม่น้อยกับการกระทำของชุน มันทั้งน่าเบื่อและน่ารำคาญแต่เขาไม่กล้าต่อต้านให้เจ็บตัวเพิ่มขึ้น เขาเสียดายเงินที่ถูกรีดไถเอาไปจึงตัดใจไม่พกเงินติดตัวอีก ในกระเป๋าของเขาจึงมีแค่บัตรประจำตัวเท่านั้น ส่วนข้าวกล่องเนื่องจากบางวันเป็นของฟรีที่เขาได้รับมา ซึ่งเป็นของเหลือจากการขายในร้านสะดวกซื้อที่เขาทำงานอยู่ เขาจึงไม่นึกเสียดาย หากต้องทำบุญทำทานให้หมามันกินตามที่อีกฝ่ายกล่าวอ้างแต่ถึงขนาดที่ถูกละเลงเละบนศีรษะแบบนี้สู้ไม่เอามาเสียดีกว่า ฮารุโตะจึงตัดสินใจที่จะเดินกลับไปทานข้าวกลางวันที่ห้องพักทุกวันเสียแทน
หมดคาบเรียนช่วงบ่ายเด็กหนุ่มมุ่งตรงไปยังห้องชมรมถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้นสามของอาคารในคณะศิลปศาสตร์ เมื่อเปิดประตูเข้าไปเขาพบรุ่นพี่ชิมิซึ ซากินั่งอยู่บนโซฟาอยู่แล้วจึงเอ่ยทักทายตามมารยาทซึ่งอีกฝ่ายไม่แม้จะเหลือบแลสายตามองเขาด้วยซ้ำ เขาจึงเลี่ยงพาตัวเองไปนั่งที่โต๊ะยาวริมหน้าต่างแทน เขาหยิบกระดาษเขียนรายงานการทดลองขึ้นมาทำไปพลางๆขณะรอสมาชิกของชมรมคนอื่นๆ

ฮารุโตะไม่เคยคุยกับรุ่นพี่ชิมิซึ หนุ่มรุ่นพี่เงียบขรึมน่ากลัวจนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ คนในชมรมที่เขากล้าพูดคุยอย่างสนิทด้วยมีแค่รุ่นพี่อาโอกิ รุ่นพี่โมริ เอคิจิที่นับว่าเขาบังเอิญพาตัวเองมาเข้าถูกชมรมพอดีและรุ่นพี่ฮายาชิ เรียวตะผู้ซึ่งอัธยาศัยดีไม่ต่างไปจากรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่โมริ

เขาเพิ่งเขียนรายงานจบไปสองหน้ารุ่นพี่นาคามูระผู้เป็นประธานชมรมก็เดินเข้ามาในห้อง สมาชิกชมรมทุกคนจึงไปรวมตัวกันยังพื้นที่ว่างฝั่งหนึ่งซึ่งถูกจัดให้เป็นโฮมสตูดิโอที่มีพร้อมทั้งฉากถ่ายภาพและชุดไฟ กะโดยรวมด้วยสายตาแล้วสมาชิกของชมรมน่าจะมีถึงสามสิบคน ตั้งแต่ปีหนึ่งถึงปีสี่แต่การที่รุ่นพี่นาคามูระได้เป็นประธานชมรมเพราะเจ้าตัวเป็นคนตั้งชมรมนี้ขึ้นมาตั้งแต่ตอนอยู่ปีหนึ่ง เริ่มแรกมันเป็นแค่แหล่งรวมตัวของพวกบ้ากล้องเท่านั้น อันประกอบด้วยรุ่นพี่นาคามูระ รุ่นพี่โมริ รุ่นพี่ฮายาชิ และรุ่นพี่ชิมิซึส่วนการที่รุ่นพี่อาโอกิต้องมาสิงสถิตย์อยู่ในชมรมนี้ด้วยเพราะคำว่าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กนั่นล่ะ

“เอาล่ะหัวข้อประชุมวันนี้จะพูดถึงวันหยุดหน้าร้อนที่กำลังจะมาถึง”

ตามที่ได้ยินมาจากรุ่นพี่อาโอกิ พอชมรมขยายใหญ่ขึ้น พวกรุ่นพี่จึงคิดกิจกรรมหารายได้ขึ้นมาเนื่องจากสมาชิกบางคนไม่ได้ร่ำรวยขนาดซื้ออุปกรณ์กล้องราคาแพงได้ กิจกรรมที่ว่ามีตั้งแต่การรับถ่ายภาพนอกสถานที่ ถ่ายรูปติดบัตร ถ่ายภาพคอสเพลย์รวมไปถึงส่งภาพถ่ายประกวดอย่างเช่นรายการที่รุ่นพี่นาคามูระได้รางวัลมา รายได้ที่ได้รับจะถูกแบ่งเข้าส่วนกลางและแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ช่างภาพแต่ละคน ยกเว้นเงินรางวัลจากการประกวดที่เจ้าของภาพจะได้รับไปเต็มๆแต่เพียงผู้เดียว และเงินส่วนหนึ่งจะแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายของกิจกรรมท่องเที่ยวเช่นนี้ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแค่ทริปสั้นๆเพราะจำนวนคนค่อนข้างเยอะ

“เราไปกันเช้าวันเสาร์กลับเย็นวันอาทิตย์เหมือนเดิม ครั้งนี้เราจะไปทะเลกัน”

เสียงเฮดังลั่นเมื่อรุ่นพี่นาคามูระพูดจบ ประชากรช่างภาพในชมรมส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย มีผู้หญิงเป็นส่วนน้อย รุ่นพี่อาโอกิเคยบอกว่าก่อนหน้านี้มีผู้หญิงมาสมัครเยอะพอสมควรแต่สองสามอาทิตย์ต่อมาก็หายไปหมด รุ่นพี่ยังบอกว่าคงทนความปากหมาของรุ่นพี่นาคามูระไม่ได้

รุ่นพี่อธิบายรายละเอียดของทริปอีกเล็กก่อนจะปล่อยให้แยกย้ายกันไป ถึงกระนั้นบางคนก็ยังคงนั่งเล่นนั่งคุยอยู่ภายในห้อง เด็กหนุ่มมองนาโอโตะที่เดินเข้ามาหาเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะยกมือขึ้นลูบศีรษะ เขาก็เบี่ยงตัวหลบโดยอัตโนมัติ

“วันนี้ผมไม่ได้สระผมมานะครับ”

“หือ”นาโอโตะลากเสียงยาวอย่างใช้ความคิด “งั้นไปสระผมกันแล้วพี่จะตัดผมให้นายด้วย”เขาจับข้อมือฮารุโตะดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้น

“อย่าเลยครับรบกวนรุ่นพี่เปล่าๆและอีกเดี๋ยวผมก็ต้องไปทำงานพิเศษแล้วด้วย”ถึงจะพยายามขืนตัวไว้ก็ใช่ว่าจะสู้แรงของหนุ่มรุ่นพี่ได้สุดท้ายเขาก็ถูกพามายังห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดินเขาถูกปล่อยให้ยืนเคว้งคว้างอยู่ครู่หนึ่ง รุ่นพี่อาโอกิก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์มากมายในมือทั้งเก้าอี้พับ สายยางฝักบัว พออีกฝ่ายประกอบเครื่องมือเสร็จมันก็กลายเป็นชุดเก้าอี้สระผมฉบับย่อให้เขาอัศจรรย์ใจ

“นั่งลงเถอะนายไม่ใช่คนแรกที่พี่สระผมให้เสียหน่อยไม่ต้องคิดมากหรอกน่า”

ฮารุโตะจึงต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี นาโอโตะใช้ผ้ายางกันน้ำรองหลังและพันคอหนุ่มรุ่นน้องไว้และหันมาเปิดฝักบัวราดน้ำบนเส้นผมสีดำสนิท

“ไม่อยากจะคุยหรอกนะฮารุจัง ทุกหัวของพวกในชมรมอ่ะผ่านมือพี่มาหมดแล้วโดยเฉพาะเรย์อ่านะ ไม่เคยต้องเสียเงินให้กับร้านตัดผมหรอกพี่เป็นคนตัดให้ตลอด”

นาโอโตะพูดให้อีกคนมั่นใจโดยละช่วงฝึกฝีมือไปซะเพราะถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นเบอร์หนึ่งของชมรมในด้านแต่งหน้าทำผมอยู่แล้ว

“ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกครับ แค่เกรงใจไม่อยากให้รุ่นพี่ต้องลำบาก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งไม่ต้องคิดมาก”
นาโอโตะบอกเช่นนั้นก่อนจะชวนคุยเรื่องทริปทะเลที่กำลังจะมาถึง

“ไปด้วยใช่ไหม”

“ไปครับผมยังไม่เคยไปทะเลเลย ว่าแต่ไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มจริงๆหรือ”

“อืมแต่อย่าคาดหวังเรื่องความหรูหราของที่พักนะ ส่วนใหญ่ก็ต้องนอนรวมกันเหมือนเข้าค่ายชมรมสมัยมอปลายนั่นล่ะ อาหารก็ต้องทำกินกันเองกิจกรรมหลักเป็นการถ่ายภาพคุยกันเรื่องถ่ายภาพ ส่วนพวกเราที่ไม่คลั่งไคล้การถ่ายภาพก็ถือว่าไปเที่ยวพักผ่อน”

“น่าสนุกจัง”

“อืมใช่น่าสนุกมาก” นาโอโตะตอบรับคำพูดของรุ่นน้องเมื่อคิดอะไรดีๆออก

“เสร็จแล้วลุกขึ้นได้ไปนั่งรอในห้องก่อนนะ”นาโอโตะพูดก่อนจะหันไปเก็บของ

ฮารุโตะพาตัวเองกลับเข้ามาในห้องชมรมที่ตอนนี้มีสมาชิกเหลืออยู่ไม่กี่คน  รุ่นพี่นาคามูระยังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ตรงชุดโซฟาก็ยังคงมีกลุ่มรุ่นพี่ปีสามกับปีสี่นั่งคุยกัน ฮารุโตะเดินไปนั่งยังเก้าอี้หน้ากระจกแค่เพียงครู่เดียวรุ่นพี่อาโอกิก็ตามมา
นาโอโตะดึงผ้าพันศีรษะของรุ่นน้องออก ฮารุโตะมองภาพที่สะท้อนบนกระจกด้วยความแปลกใจไม่น้อยแต่เพราะท่าทางจับกรรไกรอันคล่องแคล่วของอีกฝ่าย ความสนใจของเด็กหนุ่มจึงไปอยู่ที่รุ่นพี่ปีสามทันที

“รุ่นพี่เก่งจัง”ฮารุโตะร้องออกมาด้วยความชื่นชม

“แหมๆไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”มาโดนชมต่อหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายแบบนี้เขาก็เขินเหมือนกันนะ

นาโอโตะใช้เวลาไม่นานผมที่เคยยาวระบ่าของฮารุโตะก็กลับมาสั้นจนเห็นต้นคอ

“หน้าร้อนไว้ผมประมาณนี้น่าจะสบายกว่าว่าไหม”

“ผมก็อยากตัดผมแต่ยังไม่สะดวกสักที ต้องขอบคุณรุ่นพี่มากนะครับ”ฮารุโตะโค้งศรีษะให้อีกฝ่าย

“อืมงั้นขอของตอบแทนหน่อยละกัน”

“เอ๋ครับ” เด็กหนุ่มรับคำด้วยความงุนงง “ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ผมก็เต็มใจทำให้ครับ”

“ใส่ชุดนี้ให้ดูหน่อย” นาโอโตะกลับมาพร้อมไม้แขวนเสื้อในมือ ฮารุโตะรับมาด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ยอมถือเสื้อผ้าเข้าไปเปลี่ยนหลังม่านซึ่งกั้นไว้สำหรับเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ดี

“ว้าว น่ารักอย่างที่คิดจริงๆ”

ฮารุโตะยกยิ้มก้มหน้าลงอย่างเขินอาย ไม่เคยมีใครชมเขาว่าน่ารัก มันทำให้เขาขัดเขินแต่ก็ทำให้รู้สึกดี

“อย่างกับคนละคนแหนะ ดั่งสุภาษิตที่ว่าไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง”เรียวตะรีบผละจากกลุ่มที่คุยกันอยู่ก่อนหน้ามาสมทบ กวาดสายตามองรุ่นน้องต่างคณะตั้งแต่หัวจรดเท้า

หัวข้อ: 春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-02-2017 16:43:13
ผมสีดำสนิทที่ดูรกรุงรังของเด็กหนุ่มรุ่นน้องถูกทำให้กลายเป็นสีน้ำตาลช็อคโกแลตซ้ำยังถูกตัดให้สั้นเข้ากับรูปหน้า  ฮารุโตะไม่ใช่คนหน้าสวยอย่างนาโอโตะแต่ก็มองเพลินหนำซ้ำหน้าตายังดูเด็กราวกับเป็นนักเรียนมอปลาย เข้ากับเสื้อปกกะลาสีเรือกางเกงขาสั้นเหนือเข่าสีฟ้านี่พอดี

“อย่างกับเด็กมอปลาย”ตรงกับใจเขาเลยเรียวตะคิด หันไปมองถึงได้เห็นว่าเอคิจิยืนอยู่ข้างๆ คนอื่นๆกับเรย์ที่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์เมื่อสักครู่ก็มารวมกลุ่มตรงนี้แทน

“น่ารักจริงๆแหละ แต่นายกำลังทำให้รุ่นน้องที่น่ารักไปทำงานสายนะ”คำชมของเรย์ทำให้หัวใจของฮารุโตะพองโตแต่ประโยคต่อมาก็ทำให้หัวใจของเขาตื่นตระหนกได้เช่นเดียวกัน

“สายแล้ว”ฮารุโตะร้องเมื่อเหลือบไปเห็นนาฬิกาบนผนังตอนนี้ห้าโมงสี่สิบห้าถึงรู้ตัวว่าไม่มีทางไปถึงร้านทันก่อนเวลาเข้างานแต่เขาก็ไม่อยากเข้างานสายไปกว่านี้เขากระวีกระวาดรีบเก็บของกำลังจะเปลี่ยนเสื้อผ้าถอดชุดที่ใส่นี้ออกแต่โดนนาโอโตะห้ามไว้ก่อน

“ไม่ต้องเปลี่ยนหรอกไว้พรุ่งนี้ค่อยเอามาคืนก็ได้ เอ่อ… พรุ่งนี้เช้าก็เข้ามาที่ชมรมด้วยนะ”

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปส่งให้”เรย์พูดขึ้นบ้างเขาถือกุญแจรถอยู่ในมือขณะเดินนำรุ่นน้องออกจากห้องชมรม

“ขอตัวนะครับ”ฮารุโตะกล่าวลารุ่นพี่ในชมรม เขารีบก้าวเท้าตามเรย์ไปลงมาถึงชั้นล่าง ฮารุโตะพบว่าเรย์นั่งคล่อมอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์พร้อมสวมหมวกกันน็อคเรียบร้อยแล้ว

“ที่บอกว่าจะไปส่งผม… คันนี้หรือครับ”ฮารุโตะถามด้วยความไม่แน่ใจ

“อืมขึ้นมาสิ”

“ผมซ้อนไม่เป็นครับ”เขาตอบออกไปตามตรงถ้าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ธรรมดาก็ว่าไปอย่าง แต่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ขนาดนี้ฮารุโตะไม่มั่นใจว่าตัวเองจะก้าวขึ้นไปนั่งซ้อนได้

“ผมว่า… ผมเดินไปดีกว่า”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่าฉันไม่ทำนายร่วงแน่แถมยังไปถึงทันเวลาเข้างานด้วย”

“แต่ผมจะขึ้นซ้อนอย่างไรละครับ มันสูงจัง”

“มานี่มาขอมือซ้ายหน่อย”

ฮารุโตะใจเต้นตึกตักเลยทีเดียวตอนที่วางมือลงไปบนมือของรุ่นพี่

“วางมือไว้บนไหล่ฉันแบบนี้นะแล้วก็ใช้เท้าซ้ายเหยียบที่พักเท้าขึ้นมาเลย”

ฮารุโตะทำตามที่เรย์บอกแต่ค่อนข้างจะทุลักทุเลไม่น้อยก็ขาของเขาสั้นกว่าจะก้าวข้ามเบาะให้เท้าขวาไปเหยียบที่พักเท้าของอีกฝั่งก็ลำบากน่าดู

“เยี่ยมมากทีนี้ก็เกาะแน่นๆเลย”

“เกาะ… แน่นๆหรือครับ”ฮารุโตะทวนคำของเรย์อีกครั้ง

“อืม”คำตอบมาพร้อมกับการถูงดึงมือไปกอดเอวของร่างสูงผู้ขับขี่ไว้

“ไม่ต้องเกร็ง”

มันยากที่จะห้ามไม่ให้เกร็งตัวอย่างที่อีกฝ่ายบอกแต่ตอนที่รถออกตัว ฮารุโตะก็เผลอกอดเอวของเรย์ไว้แน่น ความตื่นเต้นยามที่ได้ใกล้ชิดคนที่ชอบเอ่อล้นอยู่บนใบหน้า กระนั้นเขาก็ยังลอบสูดกลิ่นกายของชายหนุ่มผู้เป็นรุ่นพี่ราวกับเป็นพวกโรคจิต ได้ลองแนบใบหน้าลงบนแผ่นหลังกว้าง เพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นรถมอร์เตอร์ไซค์คันใหญ่ที่ฮารุโตะซ้อนมาก็มาจอดอยู่บนถนนหน้าร้านที่เขาทำงานพิเศษแต่เป็นห้านาทีที่เขาคิดว่าตนคงจะจดจำไปเนิ่นนาน

“ขอบคุณมากนะครับ”ฮารุโตะกล่าว ความร้อนบนใบหน้ายังคงอยู่เขาได้แต่หวังว่ารุ่นพี่คงจะเห็นไม่ชัด

“อืมไม่เป็นไรตั้งใจทำงานละ”หลังจบคำพูดนั้นรุ่นพี่ยังมือลงบนศีรษะของเขาและขยี้เบาด้วยความเอ็นดู ไม่รู้ว่าจะเอ็นดูจริงๆหรือเปล่าแต่ฮารุโตะจะมโนทึกทักแบบนั้น ตัวของเขาแทบจะลอยได้ตอนที่เดินไปตอกบัตรเข้าทำงานแถมอาคิฟุมิยังทักว่าอารมณ์ดีอย่างกับไปพี้ยามา ฮารุโตะไม่สนหรอกว่าจะถูกมองว่าแปลกๆหรือเปล่าก็ตอนนี้เขามีความสุขจนล้นอกขนาดนี้



เด็กหนุ่มไปถึงห้องชมรมราวๆเจ็ดโมงครึ่งเมื่อไปถึงเขาพบว่ารุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิมาถึงที่นั่นก่อนเขาแล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ฮารุโตะกล่าวทักทาย นาโอโตะและเรย์ตอบกลับมาเช่นเดียวกันเขาลอบมองรุ่นพี่ร่างสูงประธานชมรมซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่บนชุดโซฟาด้วยความขัดเขินไม่น้อย

นาโอโตะมองดูรุ่นน้องที่วันนี้จะยิ้มแย้มแจ่มใสมากกว่าทุกวัน วันนี้ฮารุโตะอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าซีดแขนสั้นกับกางเกงแสลคตัวโคร่งที่เหมือนว่าเอวจะลวมกว่าเอวของเจ้าตัวถึงสองสามเบอร์ถึงได้รัดเข็มขัดไว้แบบนั้น นาโอโตะเดาไม่ออกว่ากางเกงตัวนี้สีอะไร มันจะดำก็ไม่ดำหรือเป็นสีน้ำเงินก็ไม่ใช่ เห็นเซ้นส์การแต่งตัวของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแล้ว นาโอโตะอยากจะถอนหายใจวันละหลายๆรอบ ยังดีที่กำหนดไว้ว่าให้เปลี่ยนรองเท้าก่อนเข้าห้อง ไม่อย่างนั้นเขาต้องเผลอถอนหายใจออกมาให้เห็นจริงๆแน่เพราะรองเท้าที่อีกฝ่ายใส่เป็นรองเท้าผ้าใบสีขาว สำหรับเรียนพละในสมัยมัธยมที่ตอนนี้กลายเป็นสีเหลืองจางๆตามกาลเวลา

“พี่เอานี้มาให้”นาโอโตะหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเรียกความสนใจของฮารุโตะ

ในมือของนาโอโตะเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาว ปก สาบเสื้อและขอบแขนเป็นสีน้ำตาล ที่เขาเลือกหยิบเสื้อเชิ้ตเพราะสังเกตเห็นว่าฮารุโตะมักจะสวมเสื้อเชิ้ตอยู่บ่อยครั้งส่วนกางเกงเป็นยีนส์Tight Long John ของ nudie สีน้ำเงินเข้ม

“ให้ผม… ให้ยืมหรือครับ”

“เปล่า ให้เลยพวกนี้เป็นเสื้อผ้าเก่าของพี่เอง พี่ใส่ไม่ได้แล้วเลยเอามาให้นาย” นาโอโตะพูดกะจากความสูงของฮารุโตะคร่าวๆเขาคิดว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องน่าจะใส่เสื้อผ้าสมัยมัธยมของเขาได้

“รังเกียจของมือสองหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นไว้ว่างๆเราค่อยเดินดูเสื้อผ้ากันก็ได้”

“ไม่เลยครับ”ฮารุโตะรีบปฏิเสธตื่นเต้นกับเสื้อผ้าชุดใหม่ “ขอบคุณมากนะครับ”ได้ยินอย่างนั้นนาโอโตะจึงยิ้มออกมา

“ถ้าอย่างนั้นผมลองใส่เลยได้ไหมครับ”ฮารุโตะถามอย่างตื่นเต้น

“อ…อืม”

ฮารุโตะถือเสื้อผ้าไปเปลี่ยนอย่างกระตือรือร้นกลับออกมาอีกครั้งทั้งเอคิจิ เรียวตะและซากิก็มารวมตัวอยู่ในห้องแล้ว

“ว้าวๆหนุ่มน้อย”เรียวตะร้องแซวเมื่อหันมาเห็นจนฮารุโตะรู้สึกเขิน

“น่ารักขึ้นอีกร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

ฮารุโตะดีใจที่ถูกชมหันไปมองรุ่นพี่นาคามูระซึ่งยังคงนั่งอยู่บนโซฟาฝ่ายนั้นยกนิ้วโป้งให้เขาทั้งสองข้าง

นอกจากชุดที่สวมใส่นาโอโตะยังให้เสื้อผ้ามาอีกหลายชุด

“คิดว่าน่าจะพอดีแต่ยังดูหลวมอยู่นิดหน่อยตัวเล็กไปแล้วนะฮารุจัง”นาโอโตะบ่นต่อแต่ฮารุโตะรู้สึกว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้ว เขาไม่เคยมีเสื้อผ้าดีๆขนาดนี้ใส่เลย ส่วนใหญ่เสื้อผ้าที่เขามีก็เป็นของบริจาคที่เด็กคนอื่นไม่เอาแล้ว เงินเก็บที่มีเขานำไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นจนคิดว่าต้องรออีกพักใหญ่กว่าจะทำตัวฟุ่มเฟือยได้

ชุดที่สวมใส่อยู่ทำให้ฮารุโตะมั่นใจเพิ่มขึ้น แม้จะโดนมองจนทำให้รู้สึกประหม่าแต่รุ่นพี่ทุกคนบอกว่าเขาน่ารักเขาก็จะเชื่อเช่นนั้น



ช่วงเดือนแห่งการสอบปลายภาคครั้งแรกสำหรับชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะผู้ซึ่งตั้งใจอ่านหนังสือมาอย่างสม่ำเสมอผ่านการสอบครั้งนี้มาอย่างง่ายดาย นอกจากนี้ยังมีวันหยุดระหว่างสอบแต่ละวิชาอีกหลายวันดังนั้นฮารุโตะจึงเข้าสอบด้วยความมั่นใจทุกครั้ง

และแล้วการไปเที่ยวทะเลครั้งแรกของฮารุโตะก็มาถึง การเดินทางครั้งนี้ใช้บริการรถไฟสาธารณะ ตอนที่เด็กหนุ่มไปถึง สมาชิกในชมรมกำลังจับกลุ่มถ่ายรูปตามมุมต่างๆ ก่อนถึงเวลารถไฟออกประมาณครึ่งชั่วโมงรุ่นพี่อาโอกิเรียกรวมสมาชิกทุกคนเพื่อเช็คชื่อและถ่ายรูปหมู่อีกครั้ง มีรุ่นพี่หลายคนที่นำขาตั้งกล้องมาด้วย  กล้องDSLR จึงถูกวางเรียงเป็นแถว ฮารุโตะต้องฉีกยิ้มจนเมื่อยปากกว่าที่ช่างภาพแต่ละคนจะพอใจ เสียงโหวกเหวกดังลั่นสถานียิ่งตอนที่ต้องรีบเก็บกล้องถ่ายรูปเพราะรถไฟมาจอดเทียบชานชลาแล้วยิ่งเป็นช่วงที่ชุลมุนอย่างยิ่ง

“ขอบคุณมากนะ”เรียวตะเอ่ยเมื่อฮารุโตะส่งขาตั้งกล้องมาให้เขานำมันใส่ถุงและวางไว้ที่ชั้นวางของด้านบนรุนหลังให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปนั่งด้านในติดหน้าต่าง ที่นั่งเกือบทั้งตู้เป็นกลุ่มของพวกเขาแต่เพราะเป็นรถด่วนพิเศษ แต่ละคนเมื่อขึ้นมาและได้ทั้งนั่งเรียบร้อยจึงเอาแต่นอนใช้เวลาแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึงสถานีปลายทางและใช้เวลาเดินเท้าอีกราวๆหนึ่งกิโลเมตรเพื่อไปยังบ้านพัก

สถานที่พักสำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้เป็นบ้านไม้สองชั้น ทั้งชั้นบนและชั้นล่างมีห้องโถงกว้างอย่างละหนึ่งห้อง ชั้นล่างมีห้องครังซึ่งมีอุปกรณ์สำหรับประกอบอาหารครบครันและห้องอาบรวมที่อาบน้ำพร้อมกันได้ครั้งละหลายๆคนอีกหนึ่งห้อง

เนื่องจากทริปนี้มีผู้หญิงมาร่วมด้วยหกคน ห้องชั้นบนจึงยกให้ผู้หญิงใช้งานส่วนผู้ชายอีกยี่สิบกว่าคนที่เหลือต้องเบียดเสียดรวมกันอยู่ที่ห้องชั้นล่าง นอกจากกลุ่มที่ต้องรับผิดชอบไปจ่ายตลาดซื้อกับข้าวสำหรับทำอาหารแล้ว คนอื่นก็อิสระ

ฮารุโตะอาสาตัวมาช่วยพวกผู้หญิงถือของ มีรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่ปีสองอีกคนตามมาด้วย

ในกลุ่มผู้หญิงสมาชิกของชมรมเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สองสามคนปี สามสองคนและปีหนึ่งซึ่งฝีมือถ่ายภาพอยู่ในขั้นดีมากอีกหนึ่งคน ทุกคนล้วนเป็นคนดีจนฮารุโตะรู้สึกขอบคุณรุ่นพี่นาคามูระอยู่ในใจที่ทำให้เขารู้จักชมรมนี้และทำให้เขามีความกล้ามาสมัครเข้าชมรม

ทริปท่องเที่ยวกับชมรมครั้งนี้ค่อนข้างจะเป็นอิสระเพราะหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จต่างคนต่างพักผ่อนเล่นน้ำหรือทำกิจกรรมอื่นๆตามแต่จะพอใจ เหมือนมาเที่ยวพักผ่อนอย่างที่รุ่นพี่อาโอกิเคยบอกไว้ไม่มีผิด

ฮารุโตะเพิ่งเคยมาทะเลครั้งแรกเห็นท้องน้ำสีฟ้าสะท้อนแสงแดดแล้วอยากจะกระโดดลงไปเสียเดี๋ยวนั้น

“เดี๋ยวก่อนฮารุจัง”

“ครับ”ฮารุโตะขานรับหันไปมองหน้านาโอโตะอย่างสงสัยแม้ในใจอยากจะวิ่งลงน้ำแล้วก็ตาม

“แดดแรงขนาดนี้มาทาครีมกันแดดก่อน”

“ผมไม่มีครีมกันแดดหรอกครับ”เด็กหนุ่มตอบหลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“มีสิ… นี่ไง”นาโอโตะโชว์ขวดทรงมนในมือให้ดู แล้วลากรุ่นน้องให้มานั่งที่ม้านั่งหน้าบ้านพักสมาชิกในชมรมบางส่วนเดินถือร่มกันแดดคันใหญ่ซึ่งเป็นของที่มีอยู่ในห้องเก็บของของบ้านพักไปปักกางที่ริมทะเลบางกลุ่มกำลังเล่นบอลพลาสติกอยู่ที่ชายหาดซึ่งมีระยะห่างจากบ้านพักราวๆสามสี่ร้อยเมตร ฮารุโตะจึงลุกลี้ลุกลนอยากลงน้ำเต็มที่

“มาถอดเสื้อเร็ว”

“เอ๋!!!... เอ่อ… ผมทาเองก็ได้ครับ”เด็กหนุ่มรีบหยิบขวดครีมกันแดดมาเทใส่มือและทาครีมลงบนแขนอย่างลวกๆจะให้ถอดเสื้อต่อหน้าคนอื่นนะหรือ เขาไม่กล้าขนาดนั้นหรอกถ้าเป็นในห้องอาบน้ำก็ว่าไปอย่าง

“แล้วตัวละไม่ทาหรือ”นาโอโตะถาม

“ไม่ต้องมั้งครับผมจะลงน้ำทั้งอย่างนี้ละ”เขาตอบอย่างมุ่งมั่น

“จะได้ดูแปลกนะสิคนอื่นเขาก็ถอดเสื้อกันหมด”นาโอโตะชี้ชวนให้ดูคนอื่น ผู้ชายส่วนใหญ่ใส่แต่กางเกงขาสั้นขนาดพวกที่เล่นบอลอยู่บนชาดหาดยังเปลือยท่อนบนกันเกือบทั้งหมด ส่วนพวกผู้หญิงอยู่ในชุดว่ายน้ำซึ่งมีทั้งแบบวันพีชและทูพีชที่เน้นสัดส่วนองค์เอว

“พี่เห็นว่านายผิวขาวขนาดนี้โดนแดดจัดๆเดี๋ยวจะแสบผิวเสียเปล่าๆ ทาครีมกันแดดไว้ก่อนมันพอจะช่วยได้นะ”

พอฟังเหตุผลแล้วฮารุโตะได้แต่พยักหน้ารับ เขาจึงถอดเสื้อออก

“หันหลังมาเดี๋ยวทาหลังให้” ฮารุโตะทำตามอย่างว่าง่ายก่อนจะบีบครีมใส่มือตนเองและทาแผ่นอกกับแขนอีกรอบจากนั้นจึงหันไปทาครีมที่หลังให้หนุ่มรุ่นพี่บ้าง และจู่ๆรุ่นพี่นาคามูระที่ใส่แค่กางเกงขาสั้นก็ปรากฏตัวขึ้น ฮารุโตะหน้าร้อนผ่าวเมื่อเห็นรูปร่างท่อนบนของหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนแอบชอบ เด็กหนุ่มรีบหลุบตาลงต่ำอย่างเขินอาย

“ทาให้บ้างสิ”

“ด้านขนาดนี้แล้วยังจะต้องทาอีกหรือ”นาโอโตะเอ่ยแซว

“ก็จะได้ไม่ด้านไปกว่านี้ไง”อีกฝ่ายตอบกลับมายิ้มๆแค่ครู่เดียวทั้งสามคนก็ยกขบวนตามไปที่ชาดหาด

ฮารุโตะก้าวเท้าลงน้ำ  อุณหภูมิของน้ำเย็นกว่าที่คิดทั้งที่แสงแดดจ้าร้อนแรง เขาก้าวเท้าเดินลึกลงไปเรื่อยและหยุดเดินเมื่อระดับน้ำสูงแค่เอวจากนั้นก็นั่งลง

“เค็มจริงๆด้วย” เขาเคยได้ยินว่าน้ำทะเลมีรสเค็มจึงได้ลองชิมดู

“ก็จริงนะสิไม่อย่างนั้นจะมีคำพังเพยว่าเค็มเหมือนทะเลหรือ”เรียวตะโพล่งขึ้นมาเมื่อได้ยินรุ่นน้องพูดเช่นนั้น

“ใช่ที่ไหน”เอคิจิแย้งเขาเองก็อยู่ไม่ห่างจากทั้งคู่นัก “เค็มเหมือนเกลือใจ กว้างเหมือนทะเลต่างหาก”

“เอ้าหรือ ช่างมันเถอะนะมันก็ต้องมีผิดพลาดกันบ้าง”เขาตอบอย่างขอไปทีก่อนจะหันกลับมาถามรุ่นน้องอีกครั้งว่า “ว่ายน้ำไปที่ลึกๆไหมไปลอยคอโต้คลื่นสนุกนะ”

ฮารุโตะสั่นศรีษะปฏิเสธทันที  “ผมว่าน้ำไม่เป็นครับ”

“เอ๋… ไม่ได้มีวิชาว่ายน้ำตอนสมัยมัธยมหรือ”

“ไม่มีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นรุ่นพี่ผู้แสนหล่อเหลาคนนี้จะสอนให้เอาไหม”

ฮารุโตะยิ้มรับอย่างยินดีเพราะฉะนั้นตลอดช่วงบ่ายฮารุโตะจึงได้พยายามหัดว่ายน้ำอย่างตั้งอกตั้งใจ




หลังทานอาหารเย็นเสร็จเป็นกิจกรรมท้าความกล้าที่นาโอโตะคิดขึ้นมา

“มันต้องมีกิจกรรมแบบนี้บ้างสิ” นาโอโตะพูด มีหลายคนโอดโอยแน่นอนว่ากิจกรรมนี้ปีสามและปีสี่ไม่ได้สิทธิ์ผ่าน เขาใช้อำนาจของรองประธานชมรมและเหรัญญิกบังคับให้สมาชิกร่วมกิจกรรมอย่างเด็ดขาดและยิ่งเรย์เห็นว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรจึงไม่มีใครสามารถขัดได้

นาโอโตะให้ทุกคนจับสลากเพื่อจับคู่และให้แต่ละคู่เดินถือเทียนหนึ่งเล่มไปลงชื่อในสมุดซึ่งวางอยู่ที่บ่อน้ำและเดินกลับมาก็เป็นอันจบ

“ถ้าเดินตามทางไปเรื่อยๆก็จะเจอบ่อน้ำที่ว่าเอง”นาโอโตะบอก บางคนที่ยังไม่เคยได้เดินสำรวจรอบๆที่พักคงนึกสงสัยอยู่บ้างแต่รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อีกสองสามคนที่ได้เดินสำรวจรอบๆมาแล้ว บอกว่าหาเจอได้ไม่ยากกิจกรรมนี้จึงเริ่มขึ้น
ฮารุโตะได้จับคู่กับชิราซากิ นัตสึมิที่อยู่ปีหนึ่งด้วยกันในลำดับที่สิบสองเด็กหนุ่มให้เพื่อนหญิงเป็นคนถือเทียน รุ่นพี่อาโอกิจะเป็นคนดูเวลาให้ แต่ละคู่เริ่มเดินด้วยระยะเวลาห่างกันคนละสิบนาทีถึงบ่อน้ำแล้วจะมีทางเดินอีกทางที่วนกลับมาถึงบ้านพักได้ แต่ละคู่จึงไม่มีโอกาสเจอกัน ระหว่างที่รอฮารุโตะเห็นว่ามีรุ่นพี่บางคนยกเบียร์ขึ้นดื่มเพื่อแก้ว่างกันแล้ว

ก่อนจะถึงคิวของเขา รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่ฮอนดะที่เป็นคู่แรกก็เดินกลับมาถึง ดังนั้นทั้งเขาและนัตสึมิจึงร่วมกิจกรรมนี้อย่างปลอดโปร่ง ฮารุโตะไม่ได้กลัวผีแม้เขาจะเป็นพวกขวัญอ่อนขี้ตกใจ เนื่องเพราะตนไม่มีเซนส์ด้านวิญญาณหรือเคยเห็นสิ่งลี้ลับสักครั้ง แต่ความมืดและเสียงใบไม้เสียดสีกันในป่าก็ทำให้เขาหวาดหวั่นได้ไม่น้อย ยิ่งหลังผ่านบ่อน้ำมาแล้วบรรยากาศยิ่งวังเวงเพิ่มขึ้น

“อื้อ!!!”จู่ๆก็มีเสียงร้องก็ดังขึ้นมาทำให้ทั้งคู่สะดุ้งเฮือก ทั้งเขาและนัตสึมิเบียดตัวเข้าหากันอย่างไม่ได้นัดหมายแต่ละก้าวเริ่มยกขาได้ยากเย็นขึ้นเปลวเทียนโดนลมพัดจนหริบหรี่

“มิอุระซัง”นัตสึมิเสียงสั่น “ได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า”

“ด…ได้ยินเหมือนกันเหรอ”ฮารุโตะได้ยินเสียงร้องแปลกๆ

“ใช่”

นัตสึมิตอบรับ เสียงร้องเหมือนเจ็บปวดอาจจะมีคนโดนทำร้ายถึงแม้ใจหนึ่งจะกลัวว่าอาจจะเป็นบางสิ่งที่ไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ก็ตาม

“ไปดูกันไหม”แม้จะกลัวแต่ความอยากรู้กลับชนะทุกสิ่ง ฮารุโตะและนัตสึมิพากันเดินตามเสียงไปเรื่อยๆเสียงที่เคยได้ยินแว่วๆเริ่มชัดเจนขึ้น

“อ่ะอะอ๊า”

พ้นพุ่มไม้พวกเขาก็เห็นเงาตะคุ่มๆมองเห็นไม่ชัดเพราะเงาไม้บดบังแสงเสียมืดมิด  จู่ๆนัตสึมิก็นั่งลงกับพื้นซ้ำยังดึงให้เขานั่งลงข้างกันด้วย

“อะไร…”แล้วถูกมือเล็กๆของหญิงสาวปิดปากไว้

“อ๊า…”

ฮารุโตะจะหันกลับไปดูแต่โดนลากออกมาเสียก่อนจนห่างมาได้สักระยะนัตสึมิถึงได้ยอมหยุด

“อะไรนะไม่ไปช่วยเขาหรือเมื่อกี้เขาร้องดังมากเลยนะ”ฮารุโตะถาม

“ถ้าเข้าไปจะเรียกว่าขัดจังหวะเสียมากกว่านะสิ”

ฮารุโตะมองหน้านัตสึมิด้วยความงุนงง

“ก็สองคนนั้นกำลังทำอย่างนั้นอยู่นะสิ”

“อย่างนั้น?”

“ก็แบบ…”นัตสึมิพูดไม่ออกแต่พอเห็นหน้าฮารุโตะแล้วถ้าเธอพูดไม่ชัดเจนเพื่อนร่วมรุ่นก็คงไม่เข้าใจ “กำลังมีเซ็กส์อยู่”

ฮารุโตะมองหน้านัตสึมินิ่งประมวลผลอยู่นานก่อนร้องออกมาเสียงหลง

“หวาาาาาาาา”

เขายกมือปิดปากอุณหภูมิพุ่งสูงจนเห่อร้อนทั้งใบหน้า

“เห็นหน้าหรือเปล่า ใช่พวกรุ่นพี่ไหม”

“ไม่เห็นหรอกพอได้ยินเสียงใกล้ๆก็… อึ้ย!!! อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวแถวนี้ก็ได้”หญิงสาวออกเดินนำต่อ

“หายกลัวเลยเนอะ”พอฮารุโตะพูดแบบนั้นเธอก็หันกลับมาหัวเราะด้วย

ทั้งสองคนกลับมาถึงเป็นคู่สุดท้ายคนอื่นในชมรมต่างกลับเข้าไปอยู่ในบ้านพักกันหมดแล้วเหลือแต่รุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระเท่านั้นที่ยังยืนรอพวกเขาอยู่

“ถ้าอีกสิบนาทียังไม่ออกมาว่าจะออกไปตามหาอยู่แล้วนะไปเถลไถลที่ไหนกันมาเจ้าสองคนนี้”

หลังกล่าวขอโทษออกมาพร้อมกัน ทั้งฮารุโตะและนัตสึมิก็มองหน้ากันอย่างรู้ความหมาย พอฮารุโตะเหลือบสายตาไปมองรุ่นพี่นาคามูระเขาก็ต้องรีบหลบสายตาด้วยความเขินอาย ในเมื่อในสมองน้อยๆของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องลามกเต็มไปหมด และเรื่องลามกที่ว่ามีเขากับรุ่นพี่นาคามูระเป็นตัวเอก ฮารุโตะจึงยิ่งรู้สึกเขินยกกำลังสิบ

เดินเข้ามาในบ้านพักเรื่องลามกในหัวของฮารุโตะต้องถูกเบรกพักไว้ด้วยความเฮฮาสนุกสนานของวงเหล้า ฮารุโตะถูกเรียวตะดึงให้ไปนั่งข้างๆและแก้วเบียร์ก็ถูกส่งมา ตามมาติดๆด้วยสาเก ฮารุโตะมึนหัวแทบจะทิ่มลงกับพื้นยังดีที่เรย์มาช่วยประคองไว้ก่อน ถึงจะพอรู้ว่าเป็นใครแต่เขามึนหัวจริงๆจึงได้แต่ซบอกกว้างของรุ่นพี่ต่อไป

“แกล้งน้อง”เรย์บ่นโอบไหล่ของฮารุโตะรั้งให้อีกฝ่ายนอนหนุนตัก นาโอโตะจึงไปหาหมอนให้เด็กหนุ่มได้นอนสบายๆ

“เฮ้ย!!! แค่สองแก้วใครจะไปคิดว่าเมา ดูอย่างไอ้ซากิดิแม่งซัดหมดไปเยอะแล้วหน้ายังไม่แดงเลย”เรียวตะแย้ง

“มันเหมือนกันไหม พวกแกมันกินเหล้ากินเบียร์ต่างน้ำ ฮารุจังเคยกินมาก่อนหรือเปล่าก็ไม่ยอมถามก่อน”

“เอ้า… ก็ไม่เห็นปฏิเสธ”

เขาไม่ปฏิเสธเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะเมาง่ายขนาดนี้ ฮารุโตะนอนฟังพวกรุ่นพี่คุยกันอยู่ครู่เดียวสติของเขาก็ดิ่งสู่นิทรา

รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งเป็นเวลาดึกสงัด เสียงเฮฮาเสียงโวยวายเมื่อช่วงหัวค่ำหายไปเหลือแต่เสียงกรนเสียงงึมงำคล้ายละเมอของกลุ่มผู้ชายวัยกลัดมัน ฮารุโตะยังมึนหัวอยู่เล็กน้อยแต่ความเหนอะหนะเพราะเหงื่อและอากาศร้อนมันมีมากกว่า เขาทรงตัวลุกเดินไปหากระเป๋าของตนเองต้องพยายามก้าวเท้าเลี่ยงเพื่อนร่วมชมรมแต่ละคนที่นอนระเกะระกะไม่เป็นที่ เขาหยิบผ้าขนหนูกับของใช้ส่วนตัวออกจากกระเป๋าและเดินไปยังห้องอาบน้ำซึ่งว่างเปล่าไร้ผู้คน

“ว้าว”ฮารุโตะร้องออกมาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายนานมากแล้วที่เขาไม่มีโอกาสได้แช่น้ำอย่างเต็มที่ ที่ห้องพักของเขามีแค่ฝักบัวอาบน้ำ จะไปใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะเขาก็เลิกงานดึกเกินไปจนแต่ละที่ต่างปิดให้บริการไปแล้ว

เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ในตู้ล็อกเกอร์เดินถือผ้าขนหนูและสบู่ยาสระผมเข้าไปล้างตัวใต้ฝักบัว บริเวณพื้นที่ล้างตัวก่อนลงอ่างอาบน้ำจะติดฝักบัวไว้เตี้ยๆจึงจำเป็นต้องนั่งลงกับม้านั่งฮารุโตะหมุนก๊อกเปิดน้ำ น้ำอุ่นร้อนแต่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายเขาสระผมถูสบู่อยู่ครู่หนึ่งจึงหันมองซ้ายมองขวารอบห้องน้ำอีกรอบ แล้วเปิดก๊อกให้สายน้ำราดรดตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าเด็กหนุ่มแยกเข่าออกเล็กน้อยตอนที่ใช้มือของตัวเองกำกึ่งกลางกายซึ่งยังอ่อนตัว สาวรั้งไม่กี่ครั้งมันก็แข็งสู้มือ เขาเป็นเด็กหนุ่มวัยเจริญพันธุ์นะเรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติ ฮารุโตะคิดเช่นนั้นในขณะที่ใจเต้นตุ่มๆต่อมๆกลัวใครจะมาเห็นเข้า มันเป็นเรื่องปกติแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำในที่สาธารณะแม้จะเป็นห้องอาบน้ำ แต่ก็เป็นห้องอาบน้ำสาธารณะความคิดในหัวตีกันมั่ว กระนั้นฮารุโตะกลับไม่สามารถหยุดตัวเองได้เขาหอบหายใจหนักหน่วงอย่างตื่นเต้น กำลังเร่งจังหวะมือให้เร็วขึ้นเมื่อเริ่มเห็นปลายทางรำไร หากทุกอย่างต้องหยุดลงเมื่อสายน้ำที่เปิดรดร่างกายหายไปฮารุโตะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองหยุดหายใจ

“เปิดน้ำทิ้งไว้อย่างนี้มันเปลืองนะ”เสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหูตามด้วยสัมผัสหยุ่นนุ่มและความรู้สึกว่าใบหูกำลังถูกขบกัด เด็กหนุ่มตัวแข็งค้างยามที่ความอุ่นร้อนของแผ่นอกโอบรอบตัว ในหัวของฮารุโตะเต้นเร่าอุทานซ้ำไปซ้ำมาว่า ‘ตาย ตาย ตาย อับอายขายขี้หน้าแล้ว เขาจะเอาหน้าไปไว้ไหน’

ความคิดในหัวถูกหยุดลงอีกครั้งเมื่อร่างกายถูกยกลอยสูงขึ้นและวางแหมะลงบนตักของอีกฝ่าย สัมผัสอันเนื่องจากเนื้อแนบเนื้อส่งผลให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเด็กหนุ่มกระเด็นกระดอน จนกลัวว่าจะหลุดออกจากปาก ความร้อนจากทั่วทั้งร่างไปรวมกันอยู่จุดเดียว ทำให้เขาหันมองก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีด้วยความกระดากอายถึงอย่างนั้นภาพต่างๆก็ยังคงติดตา

ฮารุโตะถูกจับให้แยกขาทั้งสองข้างพาดไว้บนเข่าแต่ละข้างของร่างที่นั่งเป็นเบาะอยู่ด้านล่าง อวดโชว์ท่อนเนื้อชูชันฉ่ำน้ำร่องสะโพกแนบสัมผัสกับท่อนลำใหญ่โตร้อนระอุซึ่งส่วนปลายวางตัวเสียดสีกับแท่งอารมณ์ของเขา

มือใหญ่วางทาบทับมือของเด็กหนุ่มไว้แล้วรวบกำท่อนลำทั้งสองไว้ในอุ้งมือ ฮารุโตะไม่เคยสัมผัสร่างกายของคนอื่นมาก่อนแต่จำต้องขยับมือตามการชักนำอย่างเลี่ยงไม่ได้เขาหลับตาเบือนหน้าหนี ร่างที่ซ้อนอยู่ด้านหลังจึงขบเม้มริมฝีปากอิ่มอย่างชอบใจ
ส่วนปลายเริ่มมีน้ำซึมตามแรงอารมณ์ซึ่งค่อยๆทะยายสูงฮารุโตะถูกลากมือให้ไปเล่นกับส่วนหัวบดขยี้เค้นคลึงจนต้องร้องครางออกมาด้วยความเสียวซ่าน

“อ๊า… อ่ะอ่ะ”

เสียงหอบที่ข้างหูยิ่งเร้าอารมณ์ในกายให้เลือดเดือดพล่าน ช่วงจังหวะที่ใกล้ปลดปล่อยกลับถูงรั้งให้ช้าลงอีกครั้ง

“รู้สึกดีไหม”ร่างสูงกระซิบกดจูบซ้ำย้ำๆที่ใบหูและต้นคอ

ฮารุโตะไร้แรงจะตอบเมื่อสติถูกดึงไปยังจุดรวมประสาท

“ม…ไม่ไหวแล้ว”เด็กหนุ่มไม่อาจต้านทานความต้องการของร่างกายได้ เขาขยับมืออย่างเร่งร้อนเร่งจังหวะขึ้นเพื่อให้ตนไปถึงปลายทางที่รออยู่และในที่สุดเขาก็ปลดปล่อยออกมาแขนขาชาไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างอ่อนระทวยจนต้องเอนพิงอกกับบุคคลซึ่งนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง มองดูแก่นกายของตนและอีกฝ่ายปล่อยฉีดพุ่งน้ำคาวออกมาเป็นสาย ฮารุโตะรู้สึกเหนื่อยล้าราวกับวิ่งมาร่วมร้อยกิโลเมตร เขาฝืนต้านแรงโน้มถ่วงของหนังตาได้อยู่ไม่นานก็ผล็อยหลับลงอีกครั้ง

ชายหนุ่มเปิดน้ำล้างตัวให้ตนเองและรุ่นน้องลวกๆ อีกครั้ง จับศีรษะของฮารุโตะพาดไว้บนไหล่ใช้แขนข้างหนึ่งรองสะโพกโอบมืออีกข้างไว้ที่หลังกันร่วงตอนที่ยกร่างผอมบางให้ลอยขึ้น พาร่างเปลือยเปล่าของหนุ่มรุ่นน้องออกไปยังห้องล็อกเกอร์

“นี่ตื่นหน่อยใส่เสื้อผ้าก่อน”ชายหนุ่มตบเบาๆที่ข้างแก้ม หนุ่มรุ่นน้องจึงได้สะลึมสะลือตื่นขึ้นมา

“ใส่เสื้อผ้า”เขาแต่งตัวให้อีกฝ่ายราวกับคนตรงหน้าเป็นเด็กเล็กๆ และปล่อยให้นั่งรอเขาแต่งตัวแค่เพียงครู่เดียวหันกลับมาอีกทีฮารุโตะเอนตัวลงนอนบนพื้นไปเสียแล้ว

ใบหน้าคมคายยกยิ้มก่อนจะช้อนร่างผอมบางของหนุ่มรุ่นน้องขึ้น ไม่คิดว่าแค่บังเอิญตื่นขึ้นมาอาบน้ำกลางดึกจะเจอเรื่องดีๆขึ้นมาเสียได้


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-02-2017 20:44:39
เรย์คงไม่ได้มีแผนหลอกให้รัก แล้วหักอกหรอกใช่ไหม
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。 Chapter 2 : 4/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-02-2017 21:34:55
พอเปลี่ยนโฉม ฮารุโตะก็เรียกสายตารุ่นพี่ให้หันมามอง  :mew1: :mew1: :mew1:
แถมเรย์ ที่เคยไม่รับสมัครเข้าชมรม
ยังอาสาไปส่งทำงาน คิดไรกับฮารุโตะ หรือเปล่า
ว่าแต่รุ่นพี่ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมร่วมด้วยช่วยกัน เป็นใครนะ
ใช่นาคามูระ คนที่ชอบหรือเปล่า
เพื่อนหญิงสองคน นิสัยเลวมาก
เห็นแก่ตัว เอาเปรียบไม่พอ ยังขอลอกข้อสอบอีก  :z6: :z6: :z6:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-02-2017 06:03:39
Chapter 3


ฮารุโตะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า ในห้องยังมีคนนอนหลับอยู่บ้าง เขานั่งนิ่งรอให้หายมึนงงอยู่พักใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานพลันแล่นเข้าสู่สมองเป็นฉากๆ เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะฟุบหน้าลงกับกองผ้าห่ม รู้สึกอับอายยามเมื่อนึกถึง เขาคงไม่กล้ามองหน้ารุ่นพี่อีกแน่ ถ้าเกิดรุ่นพี่เอาไปบอกคนอื่นอีกล่ะเขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร

“ฮารุจัง”

“อะครับ”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นเห็นนาโอโตะยืนอยู่หน้าประตู

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่าครับ”ตอบพลางสั่นศีรษะปฏิเสธแล้วลุกขึ้นทำท่าเก็บที่นอน นาโอโตะจึงไม่ติดใจอะไรอีก เมื่อเห็นร่างของรุ่นพี่อาโอกิเดินหายไปแล้วเขาถึงนึกมองไปรอบๆห้อง พอไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่กำลังมองหา เขาจึงโล่งใจขึ้นมา ฮารุโตะลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวแล้วเดินไปรวมตัวกับพวกที่อยู่ในครัว เมื่อไปถึง อาหารเช้าจวนจะเรียบร้อยอยู่แล้ว เขาจึงอาสายกสำรับจัดเตรียมสำหรับทุกคน ในจังหวะนั้นเรย์และสมาชิกของชมรมอีกหลายคนก็เดินกลับเข้ามายังบ้านพัก

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ฮารุโตะกล่าวทักทาย “ตื่นเช้าจัง รุ่นพี่ไปไหนกันมาหรือครับ”

“ไปถ่ายรูปตอนพระอาทิตย์ขึ้นนะ”

“อ้อ...”กำลังคิดจะต่อบทสนทนาหากแต่เขาหันไปเห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเสียก่อน จึงหุบปากฉับเลี่ยงเดินกลับเข้าไปในครัว

“เสร็จหมดแล้วล่ะออกไปทานข้าวกันเถอะ”นาโอโตะรุนหลังหนุ่มรุ่นน้องให้ออกจากครัว เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้ทำตัวเกาะติดกับรุ่นพี่ผู้แสนใจดีและเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีโชคเท่าไหร่ พอวางก้นแหมะลงกับพื้นคนที่เขาไม่อยากเจอหน้าก็มานั่งข้างๆทันที ฮารุโตะจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทานอาหาร ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆก็นั่งทานอาหารของตนอย่างเงียบๆเช่นเดียวกัน

ถึงจะทำท่าตั้งหน้าตั้งตาทานแต่ฮารุโตะกลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกาย เพราะเอาแต่แอบมองหรืออย่างไรไม่แน่ใจ ขณะที่ข้าวในถ้วยของฝ่ายนั้นใกล้หมด ข้าวในถ้วยของเด็กหนุ่มยังเหลืออีกตั้งครึ่ง

“อย่ามัวแต่เล่นอยู่สิ รีบทานเข้า”เขาโดนดุเหมือนเด็กๆ ฮารุโตะขมวดคิ้วหน้ามุ่ย เขาไม่ได้เล่นเสียหน่อย ปกติเขาก็กินช้าอยู่แล้ว เด็กหนุ่มได้แต่เถียงเช่นนั้นในใจ

“กินข้าวเสร็จแล้วเดี๋ยวพวกเราจะไปเล่นน้ำกันต่อนะฮารุจัง”นาโอโตะหันมาชวนคุยเด็กหนุ่มจึงหันไปพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม เร่งความเร็วในการทานอาหารขึ้นอีกนิดกระนั้นกว่าจะกินอิ่มก็รั้งอยู่ท้ายกลุ่มอยู่ดี

“อิ่มแล้วนะครับ”ฮารุโตะพนมมือขึ้นและกล่าวคำนั้น จากนั้นจึงเก็บถ้วยและจานของตนซ้อนกันเพื่อนำไปเก็บในครัว เด็กหนุ่มจึงพึ่งสังเกตเห็น รุ่นพี่ชิมิซึยังคงนั่งอยู่ข้างๆ เขานึกว่ารุ่นพี่ร่างสูงจะลุกไปพร้อมกับพวกรุ่นพี่อาโอกิเสียอีก

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”

กระนั้นพอเขาลุกขึ้นอีกฝ่ายกลับลุกขึ้นตามซ้ำยังมายืนเบียดเขาตอนล้างจานเสียด้วย ฮารุโตะหันไปมอง หนุ่มรุ่นพี่คนที่ยืนอยู่ข้างๆก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะหันมาสนใจเขา หรือเพราะเขาเป็นฝ่ายเสียมารยาทไปแซงคิวกันนะ เด็กหนุ่มคิด เขาควรถอยออกมาเพื่อให้รุ่นพี่ได้ล้างจานให้เสร็จก่อนหรือเปล่า ยืนคิดยังไม่ทันได้ตัดสินใจว่า ควรจะทำอย่างไรดีหนุ่มรุ่นพี่กลับล้างจานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฮารุโตะจึงต้องรีบดึงสติให้กลับมาสนใจงานตรงหน้า

หลังจากเสร็จงาน ฮารุโตะในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นจึงออกไปสมทบกับกลุ่มรุ่นพี่ที่อยู่ใต้ร่มกันแดดคันใหญ่บริเวณชายหาด พอทรุดตัวนั่งลงรุ่นพี่อาโอกิก็ส่งครีมกันแดดมาให้เขาจึงถอดเสื้อยืดออกและหันหลังให้

“รุ่นพี่ทาหรือยังครับ ถ้าอย่างไรเดี๋ยวผมจะทาข้างหลังให้”

“ไม่ต้องห่วงพี่ทาทั่วตัวเรียบร้อยแล้วล่ะ อ๊ะ...นี่ไปโดนอะไรมาน่ะ”

ฮารุโตะเอี้ยวคอไปมอง แต่จุดที่รุ่นพี่ใช้นิ้วจิ้มอยู่เป็นจุดที่จะหันมองเท่าไหร่ก็ยากจะมองเห็น

“เจ็บไหมนะ”นาโอโตะขมวดคิ้วเพราะรอยจ้ำเขียวบนผิวของฮารุโตะดูแปลกไม่น้อย

“ไม่ครับผมคงไปกระแทกอะไรโดยไม่รู้ตัว”

“ทาให้บ้างสิ”เรียวตะซึ่งเปียกซ่กไปทั้งตัวเอ่ยแทรกขึ้นมา เรียกความสนใจของคนทั้งคู่ เขาลงไปว่ายน้ำจนเหนื่อยจึงได้ขึ้นมานั่งพัก ฮารุโตะหันไปมองรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของขวดครีมกันแดดในมือ เมื่อนาโอโตะพยักหน้าในเชิงอนุญาตจึงได้เทครีมกันแดดลงฝ่ามือแล้วละเลงจนทั่วแผ่นหลังของเรียวตะ

“แขนด้วยๆ”อีกฝ่ายร้องบอกฮารุโตะก็ทำตามอย่างว่าง่าย ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะทาครีมลงที่แขนอีกข้าง ร่างหนาของรุ่นพี่ปีสามกลับถูกเบียดจนกระเด็นไปไกล

“ทาบ้าง”

“อะไรเนี่ยเจ้าซากิเห็นไหมว่ามีคนนั่งอยู่” เรียวตะโวยวาย

“เออเห็นแล้ว ลงไปเล่นแทนหน่อย”เขาตอบรับง่ายๆก่อนจะผลักเรียวตะให้ลงไปในสนามวอลเลย์บอลแทนตัวเขาซึ่งเพิ่งเดินออกมา เพื่อนร่วมทีมในสนามโวยวายกันใหญ่แต่ซากิก็ไม่ได้ใส่ใจ

“ทาสิ”เขาบอกย้ำอีกครั้งเมื่อยังเห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องนั่งนิ่ง

“ทาให้เจ้าพวกบ้าพวกนี้ไปเถอะ”นาโอโตะพูดพร้อมเสียงหัวเราะ ฮารุโตะจึงต้องทาครีมให้อีกฝ่ายอย่างจำยอม พอทาที่หลังเสร็จก็เปลี่ยนมาทาให้ที่แขน

“ปกติไม่เห็นจะสนใจแท้ๆ นึกอย่างไรน่ะ ถ้าเป็นเรียวตะก็พอเข้าใจอยู่นะ”นาโอโตะเอ่ยถาม ซากิแค่เพียงเหลือบมองและยกยิ้ม แล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับฮารุโตะเมื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กทาครีมที่แขนทั้งสองข้างของเขาเสร็จ

“ข้างหน้าด้วย”

“เฮ้ย!!! เกินไปล่ะ”นาโอโตะร้องปราม ฮารุโตะนึกเห็นด้วยอยู่ในใจ ทาเองได้ทำไมต้องให้เขาทาให้

“อืม… ก็นะ”ฮารุโตะมองหน้ารุ่นพี่ชิมิซึพลางคิด ‘ก็นะ’ ไม่ใช่คำตอบเสียหน่อย นาโอโตะจึงคว้าขวดครีมกันแดดจากมือของฮารุโตะยัดใส่มือของซากิ

“ทาเอาเองเถอะ”นาโอโตะบอกทิ้งท้ายและพาหนุ่มรุ่นน้องมารวมกลุ่มกับพวกที่เล่นลิงชิงบอลอยู่ในทะเล

“เล่นด้วย”เมื่อนาโอโตะร้องบอกไปแบบนั้นลูกบอลพลาสติกก็ลอยละลิ่วมาหาในทันทีและคนที่พุ่งเข้ามาคือเด็กหนุ่มปีสองที่โดนลงมติให้สวมบทบาทสมมติเป็นลิง ทั้งที่ความสูงของน้ำอยู่ในระดับเอวแต่เด็กหนุ่มจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ก็ยังเคลื่อนที่ได้เร็วราวกับวิ่งบนพื้นราบ นาโอโตะจึงต้องรีบโยนบอลไปทางอื่นแทบจะในวินาทีนั้นและชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็สามารถจับบอลได้ในไม่กี่นาทีต่อมา คราวนี้คนที่ต้องมาไล่ตามลูกบอลเป็นรุ่นพี่ผู้หญิงซึ่งอยู่ปีสอง

ครู่ต่อมา ซากิได้ตามสมทบพอเห็นรุ่นน้องปีสองคนนั้นไล่ตามบอลจนเหนื่อย เขาจึงส่งบอลให้อีกฝ่ายเสียดื้อๆ ฮารุโตะมองอย่างแปลกใจไม่คิดว่ารุ่นพี่ชิมิซึจะเป็นคนดีแบบนั้น กระนั้นเมื่อลูกบอลมาอยู่ในมือฮารุโตะ ซากิกลับสามารถคว้าบอลที่กำลังลอยข้ามหัวมาไว้ในมืออย่างง่ายดาย เด็กหนุ่มจึงต้องมายืนอยู่กลางวงตามกติกา

ใบหน้าของฮารุโตะยังคงเปื้อนยิ้มด้วยความสนุกสนาน ระดับความสูงของน้ำแค่ประมาณเอวของพวกรุ่นพี่ผู้ชายแต่สูงในระดับเกือบถึงอกของฮารุโตะดังนั้นเด็กหนุ่มจึงกระโดดไม่ขึ้นจะวิ่งฝ่าน้ำก็ทำได้ช้านัก ยังไม่ทันก้าวไปถึงไหนบอลกลับถูกส่งไปอีกฝั่งเสียแล้ว และแม้จะวิ่งตามบอลจนเหน็ดเหนื่อยขนาดไหนรอยยิ้มกระจ่างยังคงเกลื่อนอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม กระทั่งมีกลุ่มรุ่นพี่ผู้ชายมาสมทบมากขึ้นการละเล่นเบาๆขำขันสำหรับผู้หญิงจึงรุนแรงขึ้น กลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมจึงขอล่าถอยและขึ้นฝั่งไปอาบน้ำเสียแทน

ฮารุโตะยังคงลอยคออยู่บริเวณน้ำตื้น

“ว่ายน้ำเป็นหรือยัง”

ฮารุโตะมองหน้าเจ้าของคำถาม นี่เป็นครั้งแรกที่รุ่นพี่ชิมิซึเข้ามาคุยด้วยพอเห็นหน้าอีกฝ่ายเรื่องที่แสนน่าอับอายเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว เด็กหนุ่มจึงก้มหน้าหลบพลางสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ไม่หัดต่อล่ะเดี๋ยวฉันช่วยดูให้”

“ไม่…”

“มาเถอะ”

ยังไม่ทันกล่าวคำปฏิเสธ รุ่นพี่ชิมิซึกลับพูดตัดบทเสียก่อนอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนแล้วลากเขาให้ออกห่างจากฝั่ง

“ม…ไม่ต้องหรอกครับ อ… เอาไว้คราวหน้าก็ได้” ฮารุโตะบอกด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักเมื่อรุ่นพี่ร่วมชมรมดึงให้เขาเดินตามลงน้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ยังแต้มรอยยิ้มที่มุมปากแต่เขารู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างไรไม่รู้ ความลึกของน้ำมากขึ้นจนเขาไม่สามารถสัมผัสพื้นทรายได้เต็มฝ่าเท้า นั่นล่ะฮารุโตะถึงได้ผวากอดคอของอีกฝ่ายไว้แน่น ถ้าเกาะไว้แน่นขนาดนี้อย่างไรก็คงแกล้งอะไรเขาไม่ได้แน่ ฮารุโตะคิดในใจ จนทำให้ลืมสนใจเสียงหัวเราะเบาๆที่ข้างหู

“ยังไม่ลึกมากเสียหน่อย”

“แต่ขาผมไม่ถึงแล้วครับ”การที่เท้าสัมผัสได้แต่น้ำเป็นอะไรที่น่ากลัวจริงๆ

“กอดฉันไว้แน่นอย่างนี้ยังจะกลัวจมอีก”พอโดนออกปากทัก เด็กหนุ่มจึงรู้สึกตัว นอกจากตนจะกอดคอของอีกฝ่ายไว้แน่นแล้วฮารุโตะยังรู้สึกถึงสองแขนที่โอบรัดอยู่รอบเอว เขาผละตัวออกห่างเก้อเขินกับอาการตื่นตูมหวาดกลัวเกินเหตุของตนอยู่ไม่น้อย ร่างกายของเขาและรุ่นพี่ปีสามลอยขยับตามคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งคงเพราะออกมาไกลจากฝั่งอยู่มาก รอบข้างจึงเงียบสงบราวกับทั้งโลกมีเพียงพวกเขาแค่สองคน

“เรื่องเมื่อคืน…” ฮารุโตะเอ่ยปาก “รุ่นพี่คงไม่บอกใครใช่ไหมครับ”

“ฉันควรต้องพูดให้คนอื่นฟัง?” ซากิเลิกคิ้วถาม

“ไม่ครับไม่ควร”ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธโดยแรง พอโล่งใจขึ้นมาบ้างที่เรื่องน่าอายแบบนั้นจะไม่หลุดไปถึงหูคนอื่น

ซากิมองฮารุโตะที่ก้มหน้าลงต่ำใบหน้าของรุ่นน้องขึ้นสีแดงเพราะแสงแดด ปากที่ฉ่ำน้ำนั้นก็ดูแวววาวอย่างน่าประหลาด

“หลับตาแล้วกลั้นหายใจหน่อยซิ”

ฮารุโตะเงยหน้ามองด้วยความแปลกใจระคนสงสัย

“นับหนึ่งถึงสามนะ” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยถามรุ่นพี่ก็เริ่มต้นนับเสียแล้ว ไม่มีเวลาให้เขาคิดอย่างอื่นฮารุโตะจึงต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายนับถึงสามร่างกายของเขาถูกดึงสู่ผืนน้ำเบื้องล่าง ฮารุโตะตกใจจนสำลักน้ำก่อนความนุ่มหยุ่นจะประทับตามลงมา กระนั้นเด็กหนุ่มไม่กล้าที่จะลืมตาเพราะความอื้ออึงหากแต่สงบเงียบที่รายล้อมร่างกายและทันทีที่ร่างกายพุ่งขึ้นอยู่เหนือแผ่นน้ำ เขาทั้งไอสำลักและกอบโกยลมหายใจเข้าสู่ปอด

“จะดำน้ำก็บอกกันก่อนสิครับ” ฮารุโตะต่อว่า ใบหน้าของเขาเป็นสีแดงมากกว่าเดิมและแม้ใบหน้าของซากิจะอยู่ใกล้เสียจนจมูกแทบจะชนกันเด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกตัว

“งั้นจะดำน้ำอีก”

เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่เอานะ”ให้ทำอะไรน่ากลัวแบบนั้นอีกเขาไม่ยอมทำอีกเด็ดขาด

“ผมจะกลับ”ฮารุโตะบอกและต่อให้จะต้องว่ายน้ำกลับไปเองเขาก็จะทำ ฮารุโตะจ้องหน้าหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งอีกฝ่ายก็จ้องกลับไม่ลดละ

“เอ้า กลับก็กลับเกาะดีๆล่ะ จะพุ่งแล้ว”ร่างสูงใหญ่พุ่งตัวแหวกว่ายในกระแสน้ำอย่างที่ปากว่าพอถึงช่วงที่น้ำตื้นจนเด็กหนุ่มร่างเล็กพอจะยืนถึงก็ชะลอความเร็วปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเอง ฮารุโตะหันมากล่าวขอบคุณก่อนจะรีบวิ่งขึ้นหาดไป

กลุ่มสมาชิกชมรมถ่ายภาพออกเดินทางกลับกันตอนบ่ายโมงกว่าๆ โดยไปทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารบริเวณนั้นและแวะซื้อของฝากก่อนกลับ ทีแรกฮารุโตะได้แต่เดินดูบรรดาขนมของฝากเฉยๆเพราะไม่รู้ว่าควรจะซื้อฝากใครเนื่องจากเขาอยู่ตัวคนเดียว แต่พอนาโอโตะออกปากทักเรื่องผู้จัดการของร้านที่ทำงานพิเศษเขาจึงนึกขึ้นมาได้ เด็กหนุ่มจึงเลือกหยิบมันจูและไดฟุกุกลับไปเป็นของฝาก



กลับมาจากทริปเที่ยวทะเลกับชมรมยังคงเหลือวันหยุดอีกราวๆสามอาทิตย์ ฮารุโตะไม่ได้ลงเรียนภาคฤดูร้อนแต่เขาก็ใช้เวลาว่างแต่ละวันในการทบทวนบทเรียน พอตกเย็นก็ไปทำงานพิเศษเด็กหนุ่มไม่ได้หางานพิเศษเพิ่ม เนื่องจากเขาจะต้องคงผลการเรียนให้อยู่ในระดับดีอยู่เสมอเพื่อรักษาทุนการศึกษา ถ้าใช้จ่ายอย่างประหยัด เงินค่าจ้างจากงานพิเศษก็เพียงพอสำหรับค่าเช่าห้องและค่าใช้จ่ายจิปาถะ

ช่วงเที่ยงหลังจากที่ฮารุโตะทานอาหารกลางวันซึ่งเป็นข้าวกล่องที่เตรียมมาตั้งแต่เช้าเรียบร้อย เขายังคงนั่งเล่นอยู่ที่ม้านั่งข้างอาคารหอสมุด หลายวันมานี้เขานั่งอ่านหนังสือแทบทุกวันจนรู้สึกเบื่อ นั่งว่างๆอยู่ชั่วครู่ใหญ่จึงลุกขึ้นยืนมุ่งหน้าตรงไปยังอาคารของคณะศิลปศาสตร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของชมรมถ่ายภาพ ฮารุโตะไม่ได้คาดหวังว่าห้องชมรมจะเปิดแต่ตอนนี้เขาว่างและเหงาอย่างที่สุดถ้าได้เจอพวกรุ่นพี่ก็คงจะดีไม่น้อย

ดังนั้นตอนที่จับลูกบิดประตูและสามารถเปิดมันออกได้ เขาจึงรู้สึกดีใจอย่างที่สุด

“อ้าว ฮารุจังมาทำอะไรที่มหาวิทยาลัยล่ะเนี่ย”

“สวัสดีครับ ผมมาอ่านหนังสือเตรียมตัวสำหรับการเรียนในเทอมหน้าครับ รุ่นพี่ล่ะครับมาทำอะไรหรือ”

“เรย์ต้องมาช่วยงานอาจารย์ที่คณะ พี่เลยโดนลากให้มาด้วย”นาโอโตะลุกจากโต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเดินเข้าไปหารุ่นน้องร่วมชมรม เขาจับข้อมืออีกฝ่ายพลางดึงให้ไปนั่งที่ชุดโซฟา หยิบเอาอัลบั้มภาพถ่ายส่งให้อีกฝ่าย

“ภาพตอนไปเที่ยว”

ฮารุโตะรับมาถือไว้ด้วยรอยยิ้ม เปิดหน้าแรกเป็นภาพถ่ายที่สถานีรถไฟมีทั้งภาพหมู่และภาพแอบถ่าย หน้าถัดมามีภาพบนรถไฟที่หลายคนนอนหลับคอพับคออ่อน ไล่เหตุการณ์ไปเรื่อยๆฮารุโตะหัวเราะเมื่อเห็นภาพรุ่นพี่ฮายาชิถูกเขียนหน้าเสียเละเทะ น่าเสียดายที่คืนนั้นเขาเมาหลับไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นคงสนุกกว่านี้ ฮารุโตะคิดอยู่ในใจ

“มาแล้ว” เสียงนั้นดังขึ้นมาเป็นจังหวะเดียวกับที่ฮารุโตะดูภาพในอัลบั้มจบพอดี

“เรียบร้อยแล้วหรือ”

“อืม กลับกันเถอะหิวแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะจึงลุกขึ้น เอ่ยทักรุ่นพี่นาคามูระเล็กน้อยพร้อมทั้งเอ่ยลา ฝ่ายเรย์ที่เพิ่งเห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องถืออัลบั้มรูปภาพอยู่ในมือจึงได้เอ่ยขึ้นว่า

“มีภาพที่อัดไว้อยู่อีกชุดอยากได้ไหม”

“จะดีหรือครับ”

“เก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วน่ะ”เรย์บอก

“เรย์จะกลับไปกินข้าวที่บ้านใช่ไหม” นาโอโตะพูดแทรกขึ้นมาซึ่งเรย์ก็พยักหน้ารับ

“งั้นดีเลยฮารุโตะไปด้วยกันสิ วันนี้พี่จะทำโซบะเย็นเป็นมื้อเที่ยงไปกินด้วยกันนะ”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับพอดีผมทานข้าวเรียบร้อยแล้ว อีกอย่างผมเกรงใจด้วย”

“เถอะน่า ไปเถอะกว่าจะถึงบ้าน ข้าวที่เพิ่งกินไปก็ย่อยแล้วล่ะ ไปลองชิมฝีมือของพี่หน่อยนะ”นาโอโตะคะยั้นคะยอพลางรุนหลังให้รุ่นน้องเดินออกจากห้อง

“แล้วก็ไปเอารูปที่เรย์ว่าด้วยไม่ดีหรือ”

“จะไม่รบกวนหรือครับ”

“ไม่หรอกน่า” นาโอโตะย้ำให้ฟังอีกรอบฮารุโตะจึงพยักหน้ารับ

ใช้เวลาราวๆสิบห้านาทีโดยรถยนต์จากมหาวิทยาลัย พวกเขาก็มาถึงที่หมาย นาคามูระ เรย์ถอยรถเข้าจอดในที่จอดรถเรียบร้อย นาโอโตะจึงเปิดประตูลงจากรถยนต์ซึ่งฮารุโตะก็ทำตามเช่นกัน

“บ้านพี่อยู่หลังโน้น” นาโอโตะชี้ไปยังบ้านข้างๆซึ่งอยู่ติดกัน “ส่วนหลังนี้บ้านเรย์ เดี๋ยวเราเดินไปบ้านพี่กันนะ”

“เดี๋ยวตามไปนะ”เรย์บอกไล่หลังตามมาเมื่อสองหนุ่มคู่รุ่นพี่รุ่นน้องต่างคณะพากันเดินออกไปจากรั้วบ้าน นาโอโตะทำแค่เพียงขานรับ

นาโอโตะเปิดประตูเลื่อนหน้าบ้านพลางร้องบอกว่ากลับมาแล้ว จากนั้นจึงเปิดประตูตู้รองเท้าหยิบรองเท้าที่ใช้ในบ้านมาให้ฮารุโตะสวม เดินนำหนุ่มรุ่นน้องมายังห้องนั่งเล่นและกดตัวเด็กหนุ่มร่างเล็กให้ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา

บ้านของรุ่นพี่อาโอกิกว้างและใหญ่จนเขารู้สึกประหม่า

“นั่งรออยู่ที่นี่ก่อนนะ” นาโอโตะหันไปเปิดทีวีให้ฮารุโตะ ส่งรีโมตให้อีกฝ่ายถือเป็นจังหวะเดียวกับเสียงฝีเท้าตึงตังตามทางมาหยุดลงที่กรอบประตูห้อง

“พี่กลับมาแล้ว”เจ้าของเสียงเป็นเด็กผู้หญิงร่างเล็กที่กะประมาณดูแล้วน่าจะอยู่ในวัยประถม

“นี่น้องสาวพี่เองชื่อมิกิ ส่วนทางนี้ฮารุโตะเป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย”

มิกิพยักหน้ารับเอ่ยทักทายก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า“หิวแล้ว หิวแล้วรอตั้งนานแหนะ”เธอคนนั้นปราดเข้ามาเกาะแขนของนาโอโตะไว้ พยายามดึงให้ชายหนุ่มเดินตาม ปากก็พร่ำบอกว่าให้ไปทำเร็วๆ

“ฮารุจังรออยู่นี่นะ เดี๋ยวพี่ทำเสร็จแล้วจะมาเรียก”

“ผมไปช่วยด้วยดีกว่าครับ”เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน

“อืม เอาอย่างนั้นหรือ”

ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงมายืนอยู่ในครัวของบ้านอาโอกิ  ห้องครัวของบ้านกว้างขวางไม่ต่างจากห้องนั่นเล่น ฝากหนึ่งเป็นเคาน์เตอร์หินที่ติดตั้งชุดเครื่องครัวพร้อมสรรพ ทั้งเตาหุงต้ม เตาอบ ไมโครเวฟ ตู้เย็นและอ่างล้างจาน มีโต๊ะหินตัวยาววางตั้งไว้เพื่อแบ่งพื้นที่ของโต๊ะทานอาหารสำหรับแปดคนและอีกฟากเป็นทีวีจอยักษ์

ถึงจะบอกว่าขอมาช่วยแต่ฮารุโตะได้แต่ยืนเก้ๆกังๆ เขาไม่เคยทำโซบะเย็น ไม่รู้จักวิธีทำและไม่เคยทาน ถ้าพูดให้ถูกคือเขาเคยได้ยินแต่ชื่อเพียงอย่างเดียวซึ่งดูเหมือนนาโอโตะก็พอจะรู้จึงได้สั่งให้เขาช่วยงานเล็กๆน้อยๆ

“ของหวานจะเป็นอันมิตสึ  ฮารุจังช่วยเตรียมผลไม้ให้ที อยู่ในตู้เย็นนะ”นาโอโตะบอกพลางหันไปยกหม้อขึ้นตั้งบนเตา ใบหนึ่งใส่น้ำสำหรับลวกเส้น อีกใบสำหรับทำน้ำจิ้ม

ขนมหวานที่นาโอโตะพูดถึงคราวนี้เป็นขนมที่ฮารุโตะรู้จัก เขาเคยได้ทานอยู่สองถึงสามครั้งตอนที่มีผู้ใจบุญมาเลี้ยงอาหารที่บ้านอุปถัมภ์

“หนูทำด้วย”เด็กหญิงร้องบอก เธอเดินไปเปิดประตูตู้เย็นอย่างคล่องแคล่วดึงกล่องพลาสติกออกมาจากตู้ ฮารุโตะจึงเดินตามไปช่วยถือ เธอหยิบส่งให้เขาหลายต่อหลายกล่อง เด็กหนุ่มจึงนำไปวางบนโต๊ะหินตัวยาว มิกิปิดประตูตู้เย็นและไปลากเก้าอี้มาเพื่อให้ตนยืนอยู่ในระดับความสูงที่สามารถทำงานได้ถนัด ทั้งยังมีมีดพลาสติกเป็นของส่วนตัว

“มิกิชอบทำกับข้าวเลยต้องมีอุปกรณ์พวกนี้เตรียมไว้ให้” นาโอโตะหันไปบอกขณะส่งมีดให้เด็กหนุ่มรุ่นน้อง

“หนูทำอาหารอร่อยด้วยนะ”เด็กหญิงพูดอวด

“ทำอร่อยทำไมถึงไม่ทำกินไปก่อนล่ะมาหิ้วท้องรอพี่ทำไม”นาโอโตะเอ็ดอย่างไม่จริงจังนัก

“ก็พี่บอกว่าจะทำโซบะเย็นหนูก็ต้องรอสิคะ เดี๋ยวไม่มีคนกิน พี่จะเสียใจนะ”

“จ้าๆๆ” นาโอโตะรับคำอย่างเสียไม่ได้ เขาหันไปดูเส้นโซบะในหม้อเมื่อเห็นว่ายังไม่ได้ที่ จึงหันไปดูน้ำจิ้มที่อยู่ในหม้ออีกใบ

ขณะเดียวกันฮารุโตะกำลังจัดการหั่นแบ่งครึ่งลูกสตรอเบอรี่ตามที่มิกิบอกแจ้วๆ จากนั้นจึงปอกแอปเปิลและลูกพลับหั่นเป็นชิ้นบางๆ ไม่นานนักผลไม้สำหรับทำอันมิตสึจึงได้ถูกเตรียมเสร็จเรียบร้อย ฝ่ายนาโอโตะก็นำเส้นขึ้นผ่านน้ำเย็นและนำมาแช่อยู่ในน้ำแข็งเรียบร้อย

“จัดไว้สักห้าถ้วย”นาโอโตะบอกขณะที่นำวุ้นแกะจากพิมพ์เรียงใส่ถ้วยกลมใบย่อม ตามด้วยผลไม้ที่เตรียมไว้ ใส่ชิระตะมะดังโกะ ถั่วแดงหวานและคุโระมิตสึ  ทั้งมิกิและฮารุโตะต่างจัดถ้วยขนมหวานตามที่นาโอโตะทำให้ดู

“เดี๋ยวจะทานแล้วค่อยตักไอศกรีมมาใส่”

ตอนที่อาหารทุกอย่างเกือบจะเสร็จ เรย์ก็มาปรากฏตัวให้เห็น

“มิกิไปตามมาริให้หน่อยนะ”

เด็กหญิงพยักหน้ารับและวิ่งตื๋อออกไปจากห้อง นาโอโตะหันไปเปิดประตูตู้หยิบถ้วยใส่ซอสใบเล็กออกมาบีบวาซาบิใส่ลงไปในถ้วย จังหวะนั้นเรย์ได้เดินเข้ามาพอดี

“อันนี้รูปที่บอกว่าจะเอามาให้นะ”เรย์ส่งรูปให้ฮารุโตะ เด็กหนุ่มจึงหันไปเช็ดมือกับผ้าเช็ดมือและหยิบมาเปิดดู

“เอ้า เรย์เอาไปวางที่โต๊ะ”ฝ่ายพ่อครัวจึงส่งถ้วยน้ำจิ้มกับวาซาบิให้อีกคนที่ยังยืนว่างนำไปวางไว้บนโต๊ะทานอาหาร ฮารุโตะจึงได้วางซองใส่รูปไว้ก่อนและยกกระจาดไม้ไผ่ซึ่งบรรจุเส้นโซบะไว้ไปวางบนโต๊ะเช่นเดียวกัน

พอมิกิกลับมาเธอก็รีบกลับไปนั่งยังที่ประจำของตัวเองทันที

“คนนี้น้องสาวของพี่ชื่อมาริ”

นาโอโตะแนะนำเด็กหญิงวัยมัธยมอีกคนให้ฮารุโตะรู้จัก เธอกล่าวทักทายเขากลับมาด้วยท่าทางนิ่งๆเรียบๆ

ฮารุโตะนั่งลงข้างนาโอโตะฝั่งตรงข้ามเป็นนาคามูระ เรย์ ถัดกันเป็นมาริส่วนมิกินั่งอยู่อีกข้างหนึ่งของนาโอโตะจากนั้นจึงลงมือทานอาหาร เด็กหนุ่มมองดูรุ่นพี่คีบวาซาบิลงในถ้วยน้ำจิ้มและคีบเส้นโซบะลงคลุกเคล้าในถ้วยจึงทำตาม เส้นเหนียวนุ่มเย็นๆเหมาะกับหน้าร้อนเข้ากับน้ำจิ้มได้เป็นอย่างดี

“อร่อยมากครับ”ฮารุโตะพูดออกมา นาโอโตะได้ยินเช่นนั้นจึงหันมายิ้มให้

“ถ้าอร่อยก็ทานเยอะๆนะ”

ถึงจะยังรู้สึกเกรงใจและทานอาหารเที่ยงมาแล้วแต่ฮารุโตะก็ยังสามารถทานโซบะในสำรับของตนได้จนหมด หลังจากทานอันมิตสึไอศกรีมชาเขียวเป็นของหวานตบท้าย เขาอิ่มตื้อจนแทบลุกไม่ไหวกระนั้นเมื่อเห็นเจ้าของบ้านเริ่มเก็บจานชาม เขาก็ลุกขึ้นไปช่วยอย่างไม่อิดออด

ฮารุโตะนั่งคุยนั่งเล่นอยู่ที่บ้านของนาโตะจนใกล้เวลาเข้าทำงานพิเศษจึงขอตัวลากลับ

“ไว้มาเที่ยวอีกนะ”

“ครับ”เด็กหนุ่มรับคำแม้จะแอบคิดอยู่ในใจว่าเขาคงไม่กล้ามารบกวนอีกอย่างที่รุ่นพี่เอ่ยปากชวน

“เออ พรุ่งนี้กลางวันก็ยังว่างใช่ไหม”

ฮารุโตะไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วนอกจากไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเขาจึงตกปากรับคำทันที

“ไปเที่ยวกันไหม”นาโอโตะเอ่ยปากชวนไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าซึ่งอยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก เขาเองไม่มีเหตุที่ต้องปฏิเสธจึงตอบตกลงอย่างง่ายดาย

“ฮารุจังไม่มีโทรศัพท์นี่เนอะ เอาเป็นว่าเจอกันที่มหาวิทยาลัยก่อนแล้วกันนะ”

นัดหมายเวลาและสถานที่เรียบร้อยเด็กหนุ่มจึงกล่าวขอตัวลาอีกครั้ง

“เดี๋ยวฉันไปส่งให้ละกัน”เรย์ที่เงียบฟังอยู่นานพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลาเข้างาน ผมคิดว่าไปรถบัสก็น่าจะทันเวลา”

“นายเพิ่งมาแถวนี้ครั้งแรกให้เรย์ไปส่งดีกว่านะ ไม่ค่อยชินทางเดี๋ยวจะหลง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ”ฮารุโตะปฏิเสธด้วยความรู้สึกเกรงใจ

“ไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ เรย์เอารถออกเลย”

ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงได้มานั่งอยู่บนรถยนต์สี่ประตูของนาคามูระ เรย์อีกครั้ง เขาทั้งประหม่าและตื่นเต้นจึงได้แต่นั่งเงียบปล่อยให้เสียงเพลงจากคลื่นวิทยุผ่านเข้าหู ตอนที่หนุ่มรุ่นพี่ส่งเสียงเรียกซึ่งแม้จะไม่ได้ดังมากแต่ก็ทำให้เขาสะดุ้ง

“เอ่อ… เป็นไงบ้างมาอยู่ในชมรมร่วมสองเดือนแล้ว”

“ดีมากเลยครับ”ฮารุโตะตอบ การที่ได้มาเข้าชมรมนี้มีแต่เรื่องดีๆเต็มไปหมด

“ถามจริงเถอะ ทำไมมาสมัครเข้าชมรมล่ะ”

ฮารุโตะนั่งเงียบพลางคิดว่าควรจะตอบไปอย่างที่คิดหรือไม่ แต่เรื่องที่ชอบรุ่นพี่นาคามูระให้พูดออกไปคงไม่ดีแน่เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่จึงตอบออกไป

“ร…รุ่นพี่คงจำภาพที่รุ่นพี่ชนะการประกวดเมื่อหลายเดือนก่อนได้ใช่ไหมครับ”เริ่มต้นพูดอย่างลังเลพลางเหลือบมองหนุ่มรุ่นพี่ที่มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างมีสมาธิในการขับรถ

“ผม…ไปยืนดูภาพนั้นอยู่ตั้งนาน ภาพนั้นสวยมากๆ ผมยังคิดเลยว่าสมควรแล้วที่จะได้รางวัลชนะเลิศ”

“แล้ว…”เพราะฮารุโตะเงียบไปชายหนุ่มผู้เป็นสารถีจึงออกเสียงกระตุ้น

“ก็ไม่อย่างไรครับ….” เขาคิดไม่ออกว่าควรพูดต่อไปเช่นไรเพื่อไม่ให้ดูน่ารังเกียจ รุ่นพี่อาจจะไม่ประทับใจกับการที่มีผู้ชายมาชอบ ในสมองของฮารุโตะหมุนติ้วๆเพื่อหาคำตอบดีๆ

“อยากถ่ายภาพเป็นอย่างนั้นเหรอ” เรย์เหลือบสายตามองเมื่อเห็นอีกคนยังเงียบ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ผมไม่มีปัญญาซื้อกล้องราคาแพงๆแบบนั้นหรอก ฮารุโตะพูดต่อกับตัวเองในใจ

“เหมือนแค่อยากรู้ว่าการถ่ายภาพสวยๆแบบนั้น ต้องทำอย่างไรบ้างประมาณนั้นน่ะครับ”

เรย์ครางรับรู้ในลำคอ

พอชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นคนขับเงียบเสียง ฮารุโตะจึงได้แต่นั่งเงียบตามไปด้วย ทั้งที่ในใจค่อนข้างกระวนกระวายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับคำตอบของเขา เด็กหนุ่มไม่อยากให้รุ่นพี่ที่ตนแอบชอบนึกรังเกียจตนเองไปเสีย แม้ความหวังที่อยากจะให้อีกฝ่ายรู้สึกชอบพอตนกลับมาบ้างจะดูริบหรี่ แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแอบหวังว่าความปรารถนาของเขาจะเป็นจริงในสักวัน


+++++++++++++++

หมายเหตุ

โซบะเย็น : อาหารแบบเส้นดั้งเดิมของญี่ปุ่นทำจากเส้นโซบะ โซบะที่ต้มแล้วทำให้เย็นและล้างเพื่อเอาความหนืดออก จากนั้นบะหมี่จะถูกเสิร์ฟในภาชนะหรือกระจาดตะแกรงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ทำจากไม้ไผ่หรือไม้ที่มีรั้วไม้ไผ่วางไว้ที่ด้านล่างของภาชนะ จะเสิร์ฟมาพร้อมกับโซบะ-ทซึยุ (น้ำจิ้ม) ในชามขนาดเล็กที่แยกต่างหากที่เรียกว่าโซบะโชโก ใช้ตะเกียบคีบโซบะขนาดพอคำและจุ่มลงในทซึยุก่อนรับประทาน
โซบะประเภทนี้เรียกว่าโมริ โซบะ (เสิร์ฟบนกระจาดหรือถาดแบน) และซารุ โซบะ (ราดหน้าด้วยสาหร่ายโนริหั่น) เนื่องจากวิธีการเสิร์ฟและการรับประทาน
ที่มา : https://th.sushiandsake.net/special/food/detail_7

อันมิตสึ : เป็นชื่อเรียกขนมหวานชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ทำจากวุ้น ถั่วแดง โมจิ ผลไม้สด และไอศกรีม เสิร์ฟพร้อมคุโรมิตสึ หรือน้ำผึ้งดำ นิยมทานเย็นๆ กันในช่วงหน้าร้อน
ที่มา : http://www.jgbthai.com/anmitsu/
แต่วิธีการทำที่เขียนในเรื่องอ้างอิงตามคลิปนี้ : https://www.youtube.com/watch?v=DDzzIU8kD9U
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-02-2017 06:10:18


เช้าวันรุ่งขึ้นฮารุโตะมารอนาโอโตะยังสถานที่ที่นัดหมาย เมื่อก้มมองดูนาฬิกาและพบว่าตนมาถึงก่อนเวลานัดร่วมสิบนาทีเขาจึงไปนั่งรอยังม้านั่งที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้สำหรับบริการนักศึกษา

อากาศเริ่มกลับมาเย็นลงอีกครั้งหลังผ่านพ้นช่วงร้อนอบอ้าวของเดือนสิงหาคม ฮารุโตะมองดูใบไม้ที่ยังคงมีสีเขียวอากาศกำลังเย็นสบายอย่างน่านอน ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยเรื่อยเปื่อยเขานั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นนานพอควร จนกระทั่งมีเสียงเรียกชื่อดังขึ้น เขาจึงหันไปตามเสียงนั้น เมื่อเห็นว่าเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนนัดหมายไว้จึงเดินเข้าไปหา

“อรุณสวัสดิ์ เดี๋ยวขึ้นไปคุยต่อบนรถนะ” นาโอโตะเปิดประตูหลังให้เขาขึ้นไปนั่งเมื่อก้าวมาอยู่บนรถยนต์แล้วและเห็นหน้าตาสารถี ฮารุโตะจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย

“กินอะไรมาหรือยัง”นาโอโตะหันมาถามในขณะที่รถยนต์เริ่มเคลื่อนที่

“เรียบร้อยแล้วครับ”ฮารุโตะตื่นแต่เช้าด้วยความเคยชินทุกวันเพราะถูกฝึกมาตั้งแต่สมัยที่ยังอาศัยอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ แม้ปัจจุบันจะอยู่ตัวคนเดียวมีโอกาสนอนตื่นสายได้ตามใจชอบ แต่เขามักจะรู้สึกตัวตื่นเวลาเดิมตอนเช้าตรู่เสมอ

“แต่เรย์ยังไม่ได้กินข้าวเลยสงสัยเราต้องแวะพาสารถีไปกินข้าวก่อนนายสะดวกไหม”จบประโยคนั้นนาโอโตะยังพูดต่อไปอีกว่า

“ไม่รู้จะตามมาทำไม บอกแล้วมาเองได้”

“ไม่ดีเหรอ จะได้มีคนขับรถให้ไง”เรย์ตอบกลับไปด้วยเสียงเนือยๆ ฮารุโตะคงไม่คิดอะไรกับบทสนทนานั้นนัก หากไม่หันไปเห็นรุ่นพี่นาคามูระเหลือบมามองเขาและได้สบตากัน จังหวะการเต้นของหัวใจในอกจึงกระดอนขึ้นมาทันที แค่เสี้ยววินาทีเขาก็หลุบเปลือกตาลงเพื่อหลบเลี่ยง เสียงหัวใจเต้นยังดังก้องหู ฮารุโตะเหลือบสายตาขึ้นมองคนขับอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ นาคามูระ เรย์หันไปให้ความสนใจแต่ถนนเบื้องหน้าแล้ว ถึงกระนั้นเสียงหัวใจของเขายังคงดังกระหน่ำ เด็กหนุ่มยกฝ่ามือขึ้นแนบอก มุมปากยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว

ฮารุโตะเป็นมนุษย์จำพวกที่มักจะพึงพอใจกับเรื่องดีๆเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการได้สบตากับนาคามูระ เรย์จึงทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นอีกมากมาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพวกขี้อายที่ชอบก้มหน้าก้มตาอยู่ตลอดเวลาและมีบรรยากาศรอบตัวที่อึมครึมหม่นหมองอยู่เป็นนิตย์ กระนั้นอารมณ์ชื่นมื่นเช่นที่เป็นอยู่นี้ยังกระจายฟุ้งรอบตัวจนนาโอโตะยังเอ่ยปากทัก

“วันนี้มีอะไรหรือ ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษเชียว”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธส่งยิ้มให้รุ่นพี่ผู้แสนใจดีด้วยความเขินอาย พอเหลือบสายตาไปมองรุ่นพี่นาคามูระ ฝ่ายนั้นก็เหมือนกำลังมองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้จะไม่ให้เขาคาดหวังได้เช่นไร

…รุ่นพี่นาคามูระอาจจะมีใจให้เขาบ้างก็เป็นไปได้

“อิ่มหรือยังเรย์ ที่จริงนายไม่ต้องไปเดินด้วยก็ได้นะเห็นชอบบ่นเวลาที่ฉันเดินซื้อของทุกที ตามมาทำไมก็ไม่รู้”

“ก็จริงนี่ นายมันบ้าช็อปปิ้งอย่างกับผู้หญิง อีกอย่างฉันมาช่วยถือของให้ไม่ดีเหรอไง”

“กล้าพูดนะ ทำอย่างกับตัวเองไม่เป็น นายซื้อรองเท้าจนต้องมีห้องเก็บเฉพาะเลยไม่ใช่เหรอ ไหนจะนาฬิกา กล้องโปรตัวละสามสี่แสนที่เรียงอยู่เต็มตู้อีก นายไม่บ้าช็อปปิ้งเลยนะ” นาโอโตะแดกดันกลับด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ เรย์จึงปฏิเสธอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะเจื่อนๆตอบกลับไป

พวกเขาออกจากร้านอาหาร นาโอโตะเดินนำพาเข้าร้านเสื้อผ้าแบรนด์ดังที่ตนเป็นลูกค้าประจำ ฮารุโตะเดินดูเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยความตื่นตา เสื้อผ้าของเขาส่วนใหญ่เป็นของบริจาค ถึงจะมีเสื้อผ้าที่ติดตรามีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ล้วนเป็นของที่ผ่านการใช้งานมาแล้วสีสันจึงดูซีดจางกว่าเสื้อผ้าซึ่งแขวนอยู่บนราวพวกนี้ เด็กหนุ่มหยิบเสื้อผ้ายืดมีปกสีฟ้าออกมาจากราวแขวน เนื้อผ้านุ่มมือยามที่เขาจับ ผ้าเนื้อบางเบาสบายสำหรับหน้าร้อน ทั้งสีทั้งรูปแบบสวยจนเขาถูกใจแต่พอพลิกป้ายราคาขึ้นมาดูเขาต้องนำมันแขวนเข้าที่เดิมทันที ฮารุโตะไม่คิดเลยว่าแค่เสื้อยืดจะราคาแพงขนาดนี้ ตัวอื่นๆที่เขาลองหยิบขึ้นมาดูก็ราคาใกล้เคียงกัน เขาจึงไม่คิดหยิบเสื้อผ้าชุดไหนขึ้นมาอีก

ฮารุโตะเดินกลับไปหานาโอโตะที่กำลังเลือกกางเกงยีนอยู่ที่มุมหนึ่ง

“เป็นไงบ้างฮารุจังเจออะไรที่ถูกใจไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะพลางยิ้มให้

“นายเองเถอะยังเลือกไม่ได้อีกเหรอ”

“ก็มันตัดสินใจยาก นายว่าไงตัวไหนดีล่ะ”

เรย์โคลงศีรษะก่อนที่จะชี้ไปที่หนึ่งในสองตัวที่นาโอโตะถือไว้ในมือ

“ตัวนี้เหรอแต่ว่าอีกตัวก็สวยนะ”

เรย์พ่นลมหายใจคล้ายเบื่อหน่าย “อย่างนั้นซื้อไปสองตัวเลย”

แต่พอเรย์พูดยุไปเช่นนั้น นาโอโตะกลับปฏิเสธ ฮารุโตะมองคนทั้งคู่ที่เถียงกันไปแย้งกันมาด้วยรอยยิ้ม ทั้งที่ไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกในส่วนลึกของหัวใจ เขาอิจฉาความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของคนทั้งคู่เหลือเกิน


ฮารุโตะแยกกับนาโอโตะและเรย์หลังจากใช้เวลาทั้งวันไปกับการเดินเที่ยวดูข้าวของซึ่งวางโชว์อยู่ในร้าน ในมือเขามีถุงใส่กล่องโทรศัพท์มือถือซึ่งถูกบังคับให้มีติดตัวไว้ แต่เนื่องจากเด็กหนุ่มก็นึกอยากได้ของฟุ่มเฟือยชิ้นนี้อยู่แล้ว เขาจึงตกลงซื้อมันอย่างง่ายดาย ในเครื่องมีทั้งเบอร์ของรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระและยังมีกลุ่มสนทนาของสมาชิกในชมรม

ฮารุโตะยังคงมองเบอร์ของรุ่นพี่นาคามูระอย่างยินดี…เขากำลังเข้าใกล้คนที่แอบชอบเข้าไปอีกก้าว

“มิอุระ?”

ฮารุโตะมองดูข้อความเตือนในโทรศัพท์ด้วยความแปลกใจ

ช่วงเวลาทำงานเขาเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ในกระเป๋ากางเกงและเฝ้าคอยข้อความจากรุ่นพี่นาคามูระอย่างคาดหวัง กระนั้นเสียงเตือนก็ยังคงเงียบเชียบตลอดเวลา จนมาบัดนี้ที่กลายเป็นว่ามีข้อความจากคนที่เขาไม่รู้จักเสียแทน ซ้ำชื่อที่อีกฝ่ายตั้งไว้แทนตัวยังเขียนด้วยภาษาอังกฤษสองตัว

‘เอสเอส’ หรือ?

เด็กหนุ่มถอดเสื้อผ้าออกเพื่อเตรียมตัวอาบน้ำแม้ห้องน้ำจะเล็ก เขาก็ยังไปหาซื้อชุดฝักบัวมาติดไว้ อากาศในหน้าร้อนทำให้เขารู้สึกเหนียวเหนอะหนะ โดยเฉพาะหลังจากเลิกงานมาเช่นนี้ถ้าไม่ได้อาบน้ำก็จะรู้สึกไม่สบายตัวจนนอนไม่หลับ แต่ถ้าพอเข้าฤดูหนาวแล้วน้ำคงจะเย็นจนไม่สามารถอาบที่ห้องได้อีก อย่างไรก็ตามเมื่ออากาศเย็นลงความรู้สึกเหนียวตัวเพราะอากาศร้อนก็คงจะไม่มีอีกเช่นกัน

เขานั่งลงกับพื้นและกดข้อความพิมพ์กลับไปอย่างเชื่องช้า

“ครับ”

“มีโทรศัพท์ใช้แล้ว?”อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว

“ใช่ครับ”เด็กหนุ่มพิมพ์ตอบกลับไปด้วยความเร็วระดับหอยทากเช่นเดิม

…นั่นใครหรือครับ กำลังจะพิมพ์ถามกลับไปเช่นนั้นแต่ข้อความของอีกฝ่ายกลับเด้งแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“เพิ่งซื้อ? วันนี้?”

“ใช่ครับ”เขาต้องลบและพิมพ์คำนี้กลับไปแทน

“นึกยังไงถึงซื้อมาใช้ล่ะ”

“แต่ก็ดีนะสะดวกดี”

“แล้วนี่อยู่ไหนล่ะ”

“ปิดเทอมแบบนี้นายทำอะไร”
ข้อความเด้งขึ้นมารวดเร็วจนฮารุโตะพิมพ์ตอบไม่ทัน

“ยังอยู่หรือเปล่าเนี่ยเงียบไปเลย”

“ผมพิมพ์ช้า”

พอข้อความขึ้นว่าถูกอ่านแล้วเสียงเรียกเข้าของโปรแกรมก็ดังตามมาทันที ฮารุโตะสะดุ้งด้วยความตกใจเขาเงอะงะด้วยความไม่เคยใช้งานจนตัดสายอีกฝ่ายไปเสียครั้งหนึ่ง แต่เสียงเรียกเข้านั้นดังขึ้นอีก ครั้งนี้เขาถึงได้กดปุ่มรับสายได้ถูก

“คุยกันแบบนี้ง่ายกว่าไหม”

เสียงที่ดังมาตามสายทุ้มต่ำไม่คุ้นหู

“ครับ”ฮารุโตะตอบกลับไปสั้นๆยังนึกไม่ออกว่าปลายสายคือใคร

“เพิ่งเลิกงานใช่ไหมใกล้จะเข้านอนหรือยัง”

“ยังครับผมว่าจะอาบน้ำก่อน”

“งั้นก็ไปอาบน้ำซะ”พอคำพูดนั้นจบอีกฝ่ายกลับตัดสายไปเสียดื้อๆ ฮารุโตะยังงุนงงไม่หายแต่ก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำ เขาใช้เวลาแค่ครู่เดียวจึงกลับออกมาสวมใส่เสื้อผ้าเตรียมตัวเข้านอน ตอนที่ยกฟูกนอนออกมากางเสร็จเรียบร้อย เสียงเตือนของโทรศัพท์มือถือได้ดังขึ้นพอดี

“สวัสดีครับ”

“จะนอนแล้วใช่ไหม”

“ครับ” ฮารุโตเหลือบมองเวลาซึ่งเลยหนึ่งนาฬิกามาเล็กน้อย

“ถ้าอย่างนั้นฝันดีนะ”

เด็กหนุ่มได้แต่คิดในใจว่า ‘ประหลาด’ แม้จะครุ่นคิดสงสัยแต่เมื่อได้ล้มตัวลงนอนและหัวถึงหมอนเขาก็หลับลงอย่างง่ายได้

เช้าต่อมาบุคคลปริศนายังคงโทรมาหาเขาอีกครั้ง

“วันนี้จะไปไหน”

“นัดกับรุ่นพี่ไว้ครับ”

“นาโอโตะ?”

ฮารุโตะไม่ได้คิดว่าปลายสายจะเป็นกลุ่มคนจำพวกสตอล์กเกอร์ แต่กระนั้นเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงรุ่นพี่อาโอกิมันค่อนข้างชัดเจนขึ้นมาว่าคงเป็นใครสักคนในชมรม

“ใช่ครับ… เอ่อคุณเป็นใครหรือครับ”

“ฉัน?... เป็นใครดีน้า”ปลายสายส่งเสียงหัวเราะตอบกลับมา

“ลองทายดูไหม”

“ผมทายไม่ถูกหรอกครับ”ถ้าเขานึกออกว่าอีกฝ่ายเป็นใครเขาคงไม่เอ่ยปากถาม

“ไว้ฉันจะโทรหาใหม่”แล้วอีกฝั่งก็วางสายไปเสียดื้อๆอีกครั้ง

ฮารุโตะมองโทรศัพท์ในมือด้วยความฉงน ครู่เดียวเขาก็เลิกสนใจ เด็กหนุ่มนำกระเป๋าเงินและโทรศัพท์ใส่กระเป๋าสะพายใบเก่าของตน ถึงจะคิดว่าคงไม่ไปบ้านของรุ่นพี่อาโอกิอีกแต่เมื่อรุ่นพี่เอ่ยปากชวนอีกครั้งเขาก็ไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร

แม้กระนั้นการไปบ้านรุ่นพี่อาโอกิครั้งต่อๆมา ไม่ได้ทำให้ฮารุโตะรู้สึกอึดอัดมากนักเพราะการไปที่นั่นคือการที่เขาจะต้องเรียนรู้เรื่องต่างๆ สมาธิของเด็กหนุ่มจึงพุ่งเป้าอยู่กับเรื่องที่ต้องเรียนมากกว่าความอึดอัดกระอักกระอ่วน

“วันนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ”

“แค่เรื่องแต่งหน้าผมก็จะแย่อยู่แล้วต้องมาหัดทำผมด้วย ลำบากมากเลยครับ”บุคคลปริศนายังโทรหาฮารุโตะอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา ส่วนใหญ่เรื่องที่พูดคุยกันเป็นเรื่องทั่วๆไปหรือสิ่งที่เขาทำในวันนั้นๆและเมื่ออีกฝ่ายถามมา เขาก็ตอบกลับไปตามตรง

“ดีแล้วเรย์กับนาโอโตะชอบคิดโปรเจกท์แปลกๆ แถมเมนหลักยังเป็นการถ่ายภาพคอสเพลย์อีกมีคนทำหน้าที่คอสตูมน้อยๆลำบากชะมัด”

สิ่งที่ฮารุโตะเฝ้ารอคือการที่ปลายสายพูดถึงเรื่องรุ่นพี่นาคามูระ

“เอ่อ… รู้จักกับพวกรุ่นพี่มานานแล้วเหรอครับ”

“อืม… ตั้งแต่มอปลาย”

ช่วยเล่าเรื่องของรุ่นพี่นาคามูระให้ฟังที… เขาอยากพูดแบบนี้ออกไปเหลือเกิน

“อ๊ะ ดึกแล้วงั้นราตรีสวัสดิ์นะ”

ปลายสายถูกตัดไปแล้วฮารุโตะถอนหายใจด้วยความผิดหวัง เรื่องระหว่างเขาและรุ่นพี่นาคามูระยังไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นเลย รุ่นพี่ไม่เคยโทรหรือส่งข้อความมาหาเขา ส่วนตัวเขาเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความไปหารุ่นพี่ แม้จะมีโอกาสได้เจอกันบ้างตอนที่ไปบ้านของรุ่นพี่อาโอกิแต่เขาทำได้แค่แอบมอง  …รุ่นพี่ชอบคนแบบไหนนะฮารุโตะสงสัยขึ้นมาครามครันและคิดต่อไปว่าถ้าเขาพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแบบที่รุ่นพี่ชอบอีกฝ่ายจะหันมามองเขาบ้างไหมนะ



“ถ้าพี่จะยกเสื้อผ้าเก่าของพี่ให้เราอีกจะเอาไหม”

“เอ๋” ฮารุโตะส่งเสียงถามด้วยความสงสัย

“พอดีว่าพี่มีเสื้อผ้าเก่าที่ใส่ไม่ได้แล้วเก็บไว้เยอะเลยถ้านายไม่รังเกียจพี่จะยกให้”

นาโอโตะพูดพลางเดินไปเปิดประตูตู้เสื้อผ้า ที่มุมในสุดของตู้มีกล่องใส่เสื้อผ้าซึ่งถูกพับเก็บไว้ในนั้นอย่างเรียบร้อย

“เอาไปซักใหม่เสียหน่อยก็สามารถใส่ได้แล้ว”

“จะให้ผมหรือครับ”ฮารุโตะถามเพื่อยืนยันสิ่งที่ตนได้ยิน นัยน์ตาของเขาเป็นประกายยามมองเสื้อผ้าที่นาโอโตะหยิบขึ้นมาให้ดู ไม่ว่าจะเป็นเสื้อตัวไหนเนื้อผ้าก็นิ่มเรียบลื่นยามสัมผัสทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือรูปแบบล้วนถูกใจของเขาเช่นเดียวกัน

วันนั้นเขาหอบเสื้อผ้ามากมายหลายชุดกลับมาด้วย พอซักทำความสะอาดเรียบร้อย ฮารุโตะมองดูเสื้อผ้าเหล่านี้อย่างชื่นชมราวกับว่ามันเกิดมาเพื่อตัวเขาเลยทีเดียว

และในที่สุดวันหยุดฤดูร้อนก็สิ้นสุดลง

ฮารุโตะมีเรียนแต่เช้าเช่นเดิมเขาเดินทางออกจากห้องและไปถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้า แม้จะใช้เวลาในการแต่งตัวและส่องกระจกอยู่เนิ่นนานก็ตามที ฮารุโตะตื่นเต้นกับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ได้รับมาจากรุ่นพี่อาโอกิ จนเขาอยากจะเร่งวันเร่งคืนให้เปิดเทอมเร็วๆ ถึงแม้จะเคยใส่ให้รุ่นพี่ิอาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระดูแล้วก็ตาม

ฮารุโตะรู้สึกราวกับว่าตนได้เปลี่ยนเป็นคนใหม่ แม้กระนั้นยามที่ถูกมองเขายังเขินอายมากอยู่ดี เด็กหนุ่มจึงได้แต่ก้มหน้าลงเพื่อหลบสายตาจากผู้คนรอบกาย

เริ่มต้นการเรียนการสอนของเทอมใหม่ด้วยวิชาพื้นฐานที่ต้องเรียนรวมกันหลายคณะ เนื่องจากเขามาถึงห้องเรียนแต่เช้าจึงสามารถเลือกที่นั่งได้อย่างเต็มที่ เด็กหนุ่มเลือกที่นั่งซึ่งอยู่ค่อนมาทางหน้าชั้นเรียน

ปิดเทอมช่วงอาทิตย์หลังๆเขาสนใจอ่านหนังสือน้อยลง จนคิดว่าคงต้องตั้งใจเรียนให้มากขึ้นไม่นานนักนักศึกษาคนอื่นๆก็ทยอยมาถึง ฮารุโตะก้มหน้าก้มตามองหนังสือตรงหน้าอย่างตั้งใจจนกระทั่งที่นั่งข้างตัวถูกจับจอง ฮารุโตะพยายามรวบรวมความกล้าทั้งหมดในร่างกายและเงยหน้าขึ้น ที่นั่งข้างเขาเป็นเด็กหนุ่มซึ่งกำลังคุยกับกลุ่มเพื่อนอย่างสนุกสนาน

“เอ่อ…นี่”ฮารุโตะลองส่งเสียงออกไปแต่เหมือนว่าเสียงเขาจะเบามากจนไม่มีใครได้ยิน ความกล้าของฮารุโตะจึงค่อยๆลีบฝ่อไป เขาจึงได้แต่ก้มหน้าอยู่กับหนังสือเช่นเดิม

ถึงแม้ว่าในชั่วโมงเรียนฮารุโตะจะไม่มีคนคุยด้วย ไม่มีเพื่อนในคณะที่เรียกว่าสนิทกันจริงๆ แต่ความสัมพันธ์กับสมาชิกในชมรมถ่ายภาพค่อนข้างจะเป็นไปด้วยดี เด็กหนุ่มเป็นลูกมือฝึกหัดที่ไม่ว่าใครจะใช้ให้ทำอะไรก็ไม่มีเกี่ยงและถึงจะผิดพลาดหรือซุ่มซ่ามไปบ้างจนโดนดุโดนว่าอยู่บ่อยครั้ง เขาก็ไม่เคยเถียงและได้แต่ก้มหน้าขอโทษทุกครั้งไป ถึงการกระทำจะไม่เป็นที่ถูกใจของใครหลายคนแต่ฮารุโตะยึดถือคติไม่ทะเลาะเบาะแว้งกับใครอย่างเหนียวแน่น

ระยะเวลาผ่านไปร่วมเดือนหลังจากวันเปิดภาคเรียน ชมรมถ่ายภาพจึงได้มีกำหนดทริปดูใบไม้เปลี่ยนสีอีกครั้ง ที่พักเป็นที่เดิมที่เคยไปเมื่อปีก่อน รุ่นพี่หลายๆคนจึงไม่ตื่นเต้นนักจะมียกเว้นก็คือรุ่นพี่อาโอกิ

“อากาศเริ่มหนาวแบบนี้ก็ต้องไปแช่ออนเซน สิ”นาโอโตะพูดอย่างร่าเริง “น้ำแร่ภูเขาไฟเชียวนะที่สำคัญที่พักก็ถูก”

ฮารุโตะไม่ค่อยเข้าใจความหมายในคำพูดของรุ่นพี่อาโอกินักจนกระทั่งได้มาเห็นที่พัก ซึ่งเป็นเรียวกังระดับห้าดาวสมาชิกปีหนึ่งร้องว้าวกันยกใหญ่

“เอ้า! ขอบคุณรุ่นพี่ฮายาชิหน่อย”นาโอโตะร้องบอก ฮารุโตะได้แต่ทำตามทุกคนด้วยความงุนงง

“ทำไมเหรอครับ”เขาถามเมื่อทุกคนเริ่มทยอยเข้าที่พัก

“ก็เรียวกังนี้เป็นของครอบครัวฮายาชิไง”

“ที่สำคัญฉันโดนนาโอโตะบังคับบีบคอให้ลดราคาตั้งแปดสิบเปอร์เซ็นต์”เรียวตะพูดเสริมด้วยความเซ็ง“คิดบ้างไหมว่าต้องทำงานใช้หนี้นานแค่ไหน”

“รุ่นพี่ต้องทำงานใช้หนี้ด้วยหรือครับถ้าอย่างไรให้ผมช่วยไหม”

“โอ๋ๆ ฮารุจังเด็กดีอย่าไปเชื่อเจ้าเรียวตะมันมาก ถึงไม่ต้องลดราคาให้พวกเรา มันก็ต้องมาทำงานที่เรียวกังอยู่ดี”นาโอโตะพูดพลางรุนหลังให้รุ่นน้องเดินเข้าห้องพัก

“สำนึกไว้นะว่าฉันยังมีความเกรงใจถึงขอห้องแค่ห้าห้อง แถมแต่ละห้องก็เป็นห้องธรรมดาทั้งนั้น”ชายหนุ่มผู้อยู่ในตำแหน่งเหรัญญิกของชมรมออกปากบอกลูกชายเจ้าของเรียวกัง คำพูดฟังดูกวนอารมณ์และลำเลิกบุญคุณจนคู่สนทนาหน้าหงิก

“พอได้แล้วจะลงไปที่สวนไหมเรียวตะ”เรย์เอ่ยปรามและหันไปเร่งเจ้าของชื่อที่ตอนนี้ทำตัวเอื่อยเฉื่อยเก็บของไม่เสร็จเสียที

“เออเข้าข้างกันดีเชียวนะ ใช่ซี ฉันมันคนนอกนี่ไม่ได้นอนเตียงเดียว…”ยังพูดไม่ทันจบผ้าขนหนูผืนเล็กก็ลอยมาปะทะที่หน้า

“เพ้อเจ้ออะไรเนี่ยจะไปหรือไม่ไป”

“เออๆเดี๋ยวตามไป เสร็จแล้วไปก่อนได้เลย”

ฮารุโตะหัวเราะกับท่าทางค้อนฟ้าค้อนลมของเรียวตะ ก่อนจะเดินตามพวกรุ่นพี่ออกมาจากห้อง ทั้งเรย์ ทั้งเอคิจิไม่เว้นแม้แต่นาโอโตะต่างสะพายกระเป๋าใส่กล้องใบใหญ่

“เอ้า… ถือหน่อยเดินอยู่เฉยๆ” เด็กหนุ่มยื่นมือออกไปรับทันทีที่มือหนาเจ้าของร่างสูงใหญ่ส่งของมาให้

“อย่างนั้นไปถ่ายรูปรวมกันข้างหน้าก่อนดีไหม ไหนๆซากิมันก็หิ้วขาตั้งกล้องมาด้วยแล้ว”เอคิจิเสนอ

“ปีที่แล้วก็ถ่าย”เรียวตะพูด ไม่รู้ว่าตามมาสมทบได้ทันตอนไหน

“เอ้า!!! ก็มีน้องปีหนึ่งด้วยไง ปีที่แล้วมีฮารุโตะเหรอ”

พอเดินมาถึงด้านหน้าสมาชิกในชมรมหลายคนกำลังเก็บภาพสถานที่กันอยู่แล้ว เรียวตะดึงขาตั้งกล้องออกจากมือของฮารุโตะเดินไปตั้งกล้องยังพื้นที่โล่งที่สามารถมองเห็นป้ายของเรียวกังได้ชัดเจน

“ใครบอกว่าปีที่แล้วก็ถ่าย”เอคิจิตะโกนแซว

“ก็นั่นมันเมื่อปีที่แล้วอีกอย่างกล้องซากิมันไม่มีรีโมต มันมีแค่ขากล้องเท่านั้น”

“มีนะ” ชายหนุ่มเจ้าของขาตั้งกล้องยกรีโมตในมือขึ้นมาโชว์

“เออๆเหมือนกันแหละ จะกล้องของใครก็ไม่ต่าง”

พอเรียวตะตั้งตำแหน่งกล้องเสร็จ ดูเหมือนว่าสมาชิกในชมรมจะมาอยู่รวมกันพร้อมหน้าพร้อมตาแทบในนาทีนั้น  จากนั้นจึงกลายเป็นมหกรรมถ่ายรูปรวมอีกครั้งเมื่อสมาชิกแต่ละคนจับจองพื้นที่วางกล้องกันเป็นแถว

ฮารุโตะยืนยิ้มจนเมื่อยก่อนจะต้องสะดุ้งเมื่อมีฝ่ามือสากร้อนมาลูบไล้แถวบั้นเอว เขาไม่กล้าหันไปมอง กลุ่มคนที่ยืนเรียงเบียดเสียดเป็นแถวก็มีแต่สมาชิกในชมรมเท่านั้น เด็กหนุ่มอยากจะขยับหนีแต่ฝ่ายนั้นกลับสอดมือเข้าใต้ชายเสื้อและรั้งร่างของเขาให้เอนไปพิงด้านหลัง เขาใจเต้นตึกตักเมื่อปลายนิ้วหยาบวนคลึงอยู่แถวสะดือพลางทำท่าจะลากลงต่ำไปกว่านั้น อย่างไรก็ตามฮารุโตะยังนับว่ามีโชคอยู่บ้างเพราะหลังจากนั้นไม่ถึงนาทีกิจกรรมถ่ายรูปรวมก็เสร็จสิ้น

ฮารุโตะรีบเดินเร็วๆเข้าไปรวมกลุ่มกับนาโอโตะไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลังด้วยซ้ำ

หลังจากจบการถ่ายภาพรวมหน้าเรียวกัง เรย์และเอคิจิเดินนำกลุ่มเพื่อน อันประกอบด้วยนาโอโตะ เรียวตะและซากิขึ้นเขาซึ่งอยู่ไม่ห่างจากที่พักมากนัก ส่วนฮารุโตะที่ไม่มีเพื่อนสนิทอื่นใดนอกจากรุ่นพี่อาโอกิจึงได้เดินตามรุ่นพี่ผู้แสนใจดีต้อยๆ

ฮารุโตะไม่เคยเจอประสบการณ์ลวนลามทางเพศแม้เรื่องเมื่อสักครู่จะทำให้รู้สึกกลัวอยู่บ้าง แต่ภาพด้านหลังด้านข้างหรือด้านไหนๆของรุ่นพี่นาคามูระก็ทำให้เขาลืมทุกสิ่ง ใบหน้าและท่าทางของรุ่นพี่ยามที่ถือกล้องอยู่ในมือทำให้จิตใจของเขาสั่นไหวเหลือเกิน

เมื่อถึงจุดชมวิวซึ่งสามารถมองเห็นทะเลสาบที่ถูกล้อมรอบด้วยหมู่แมกไม้ใบสีแดงแต้มแซมสีเขียวของใบไม้บางต้น รุ่นพี่ที่มีกล้องอยู่ในมือล้วนจับภาพเบื้องหน้าอย่างพิถีพิถัน ส่วนฮารุโตะผู้ซึ่งแปลกแยกกว่าคนอื่น เขามองหาที่นั่งและทรุดตัวลงจับจองเพื่อเฝ้ามองหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนชื่นชอบเด็กหนุ่มเฝ้ามองทุกอิริยาบถด้วยอารมณ์เคลิ้มฝัน

หลังจากที่ถ่ายรูปภาพจนหนำใจ นาคามูระ เรย์จึงเดินไปหานาโอโตะ ฝ่ายนั้นเปลี่ยนจากกล้องโปรในมือมายกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปตัวเองเสียแล้ว

“ถ่ายด้วยสิ”

“เคยบอกว่าไม่ชอบ”นาโอโตะพูดทวนคำพูดที่อีกฝ่ายเคยบอกไว้

“นานๆทีลองทำบ้างก็ดีนะหรืองอน”ไม่พูดเปล่าเขายังยกมือขึ้นทำเหมือนว่าหยิกแก้มของนาโอโตะ ฝ่ายคนที่จะโดนประทุษร้ายจึงเบี่ยงตัวหนี

“ถ้าจะถ่ายก็ให้เอย์จังถ่ายให้นะ”นาโอโตะไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มร่างสูงเอ่ยปากค้าน เขาตะโกนเรียกเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของตนทันที

“เอย์จังมาเป็นช่างภาพให้หน่อย”

แม้จะร้องเรียกแค่คนเดียวแต่เรียวตะกลับตามมาป่วนด้วย

“เดี๋ยวถ่ายให้”

“ไม่ต้องหรอกน่าเรียวตะให้เอย์จังถ่ายคนเดียวพอแล้ว”

“ก็จะถ่ายอะ”เจ้าของคำพูดทำท่าจะลงไปดิ้นปัดๆราวกับเป็นเด็ก

“เออๆจะถ่ายก็ถ่าย”

“ชิดๆกันหน่อย”เรียวตะออกปากสั่งทันทีที่ยกกล้องในมือขึ้นจับโฟกัส

“ยิ้มด้วยเอาหน้าใกล้กันหน่อยเอียงซ้ายอีก เอ้า! ต่อไปก็โอบเอวบอกให้ชิดๆกันไง”

นาโอโตะถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่ายเพราะเอาแต่เล่นอย่างนี้นะสิถึงไม่อยากให้ถ่ายให้

“พอแล้วมาเดี๋ยวฉันถ่ายให้บ้าง”นาโอโตะตัดบทเดินไปคว้ากล้องจากมือเรียวตะมาถือไว้บ้างและเรียกฮารุโตะซึ่งนั่งมองอยู่ห่างๆมาเข้าเฟรมภาพ พวกเขาถ่ายรูปคู่กับวิวทะเลสาบภูเขาและหมู่ไม้จนค่อนเย็นจึงกลับที่พัก

เนื่องจากเป็นเรียวกังระดับห้าดาวอาหารเย็นจึงถูกเสิร์ฟตรงเวลาที่ห้องอาหารใหญ่ สมาชิกในชมรมหลายคนไปอาบน้ำแช่น้ำร้อนและสวมชุดยูกาตะของทางโรงแรมมานั่งรอพร้อมอยู่ในห้อง สำรับอาหารประกอบด้วยอาหารสิบสองอย่างจัดแต่งอยู่ในถ้วยอย่างสวยงามซึ่งทยอยเสิร์ฟทีละถ้วย ฮารุโตะทานอาหารด้วยความอิ่มเอมเพราะแต่ละถ้วยนอกจากจะสีสันสวยงามแปลกตาแล้วรสชาติยังอยู่ในขั้นดีมากอีกด้วย

ทานอาหารกันเสร็จพวกรุ่นพี่ต่างก็จิบสาเกกันต่ออีกเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกลับห้องใครห้องมัน เนื่องจากห้องอาหารปิดตอนสามทุ่ม

ฮายาชิ เรียวตะหอบหิ้วเอากระป๋องเบียร์เย็นเฉียบร่วมสามโหลถือมาวางไว้กลางห้อง ฟูกนอนซึ่งมีพนักงานมาปูให้ไว้ก่อนหน้าถูกตลบแอบไว้ด้านหนึ่งก่อนที่สำรับไพ่จะถูกวางตามลงมา

“แพ้กินเบียร์”ชายหนุ่มผู้ซึ่งหอบของมึนเมาเข้าในห้องพูดเช่นนั้น แม้กระนั้นชิมิซึ ซากิกลับหยิบกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่มอย่างไม่สนใจใครซ้ำยังเปิดอีกกระป๋องส่งให้รุ่นน้องปีหนึ่งคนเดียวในห้องอีกด้วย

“ไม่ดีกว่าครับ”เด็กหนุ่มปฏิเสธ

“ค่อยๆจิบอย่าดื่มรวดเดียวแบบครั้งที่แล้ว”คนที่ยื่นกระป๋องมาให้เอ่ยบอก

“อืม ถ้าจิบทีละนิดๆก็จะไม่เมาเร็วหรอก”นาโอโตะกล่าวเสริม ฮารุโตะจึงรับเบียร์กระป๋องนั้นมาอย่างลังเล อันที่จริงเขาไม่ได้ชอบรสชาติของมันมากนัก ทั้งขมและเฝื่อนคอแต่เพราะรุ่นพี่ส่งมาให้ดื่ม อีกทั้งทุกคนต่างก็ดื่มมัน เขาจึงต้องยกขึ้นจิบอย่างจำใจ กระนั้นมันกลับเป็นเรื่องน่าแปลกที่เขาสามารถยกมันขึ้นดื่มได้เรื่อยๆจนน้ำเมาที่อยู่ภายในว่างเปล่า



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-02-2017 17:25:23
เรย์กับนาโอโตะเป็นมากกว่าเพื่อนสนิทหรือเปล่า ถ้าฮารุโตะต้องผิดหวังในรักจะทำยังไงหนอ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 3 : 8/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 09-02-2017 00:32:43
เรื่องนี้ศัพท์เฉพาะเยอะเหมือนกันนะครับ บางทีถ้าสัทเสียงมาจากภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ มันอาจจะทำให้คนอ่านไม่เข้าใจได้ และทำให้อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะครับ ยกตัวอย่างแรกเลยคือชื่อเรื่อง มีอักษรแล้ว มีคำอ่านแล้ว ควรมีภาษาสากลด้วยนะครับ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยไม่ได้ ก็อาจจะควรคิดชื่อภาษาอังกฤษไว้ด้วยเพื่ออธิบายชื่อเรื่องครับ

สำหรับการเขียนบรรยายก็ทำได้ดี แต่ผมสับสนหน่อยตรงปริมาณตัวละครครับ คือการนำเสนอตัวละครมันมารวดเร็วเกินไปหน่อย อย่างชิมิซึ ซากิ ชื่อเต็มๆก็ไม่ได้มีบอกไว้ในเรื่อง ผมต้องอ่านแล้วจับมาผสมกันถึงจะทราบ บางทีมันทำให้งงๆหน่อยน่ะครับว่าตัวละครนี้ชื่ออะไรเป็นใคร มาจากไหน เพราะอินโทรของซากิมาน้อยมาก มีแค่ประโยคเดียวสั้นๆและไม่ใช่ชื่อเต็ม แบบเดียวกับฮายาชิ เรียวตะ แต่หลังจากพักๆใหญ่ถึงเริ่มจับทางได้ว่าใครชื่ออะไรน่ะครับ ถ้าให้แนะนำก็คือ น่าจะมีอินโทรโผล่มาแนะนำชื่อเต็มๆก่อนในฉากอื่นให้เห็นก่อนน่ะครับ ไม่งั้นอ่านแล้วบางทีงงๆ

แล้วก็มีเรื่องของศัพท์เฉพาะของอาหารญี่ปุ่นหรือศัพท์เฉพาะอื่นๆด้วย ถ้าให้ดี อาจจะต้องกาดอกจันเอาไว้ แล้วมีพาร์ทอธิบายด้านล่างหลังจบบทก็จะดีนะครับ เพราะผมไม่รู้เลยว่าแต่ละอย่างแปลว่าอะไรกันเนี่ย (หัวเราะ) อย่างของหวานที่นาโอโตะทำนี่ก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทีนี้พอคนอ่านมันไม่รู้อะไรหลายๆอย่างที่ไม่ใช่ common ในสังคมนั้น มันก็จะทำให้เกิดความงงขึ้นน่ะครับ นิยายมันจะเปลี่ยนหมวดจากนิยายทั่วๆไปกลายเป็นนิยายเฉพาะทาง คือต้องเป็นคนญี่ปุ่นเท่านั้นหรือคนศึกษาด้านนั้นเท่านั้นถึงจะอ่านรู้เรื่อง มันจะผิดคอนเซปต์นิยายทั่วไปไปหน่อยน่ะครับ

ทีนี้มาถึงเนื้อเรื่อง ผมว่าเนื้อเรื่องเรื่องนี้ดีนะครับ น่าสนใจและน่าติดตาม มีมิติและสมจริงใช้ได้ ตัวบทเข้าใกล้วงโคจรของฮารุโตะเป็นหลัก ทำให้เห็นภาพของความคิดฮารุโตะได้ดีมาก เค้าแอบชอบเรย์ แต่เรย์ก็อาจจะคบกับนาโอโตะ(หรือลึกซึ้งกันแบบเงียบๆนานแล้ว) ซึ่งตรงนี้ถ้าจริง มันก็แสดงความสมจริงในสังคมได้ระดับหนึ่งครับ

เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างอาโอกิ นาโอโตะ กับนาคามูระ เรย์ นี่ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่คบกันนานๆแล้วมีความรู้สึกดีๆให้กันและกัน แต่ประกาศออกสื่อว่าเป็นแฟนกันรึเปล่า เพราะอ่านชื่อเรื่องไม่ออก เลยคาดเดาทางไม่ได้ครับ (ฮา) แต่ถ้าคู่กันจริงๆสองคนนั้นผมว่าก็สมกันนะครับ ทุกอย่างใกล้เคียงกันและน่าจะเข้ากันได้ดีเยี่ยม แล้วส่วนของฮารุโตะก็มีคนเข้าหาตั้งแต่บทสองด้วย ชิมิซึอาจจะมีบทเพิ่มหรือเป็นตัวละครสำคัญ อันนี้ก็ต้องรอดูต่อไปครับ
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-02-2017 07:26:02
สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ติดตามค่ะ และขอกรุณาติดตามกันต่อไปจนกว่าจะจบด้วยนะคะ

ขอบคุณ คุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ ค่ะ
อยากจะบอกว่าตัวร้ายในเรื่องอาจจะไม่มีจุดจบให้เห็นค่ะ ส่วนใหญ่เราจะเขียนแบบฮารุโตะไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวอีก  อาจจะขัดใจเนอะ แต่เราอยากเขียนในอารมณ์ที่ว่าชีวิตมันก็อย่างนี้  ส่วนฮารุโตะจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน ต้องติดค่ะ เพราะเราก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน (⌒▽⌒)

ขอบคุณ คุณ praewp ที่เอาใจช่วยฮารุโตะ และที่บอกว่าเราเขียนได้ลื่นค่ะ มีพลังขึ้นมาเลย ไม่เสียทีที่อ่านทวนตั้งหลายรอบ

ขอบคุณ คุณ The Empress
เหมือนกันเลยค่ะ เราก็ชอบแนวเรื่อยๆ แต่ตอนนี้เขียนเอื่อยเฉื่อยไปเป็นสิบตอนแล้ว จนกลัวว่ามันจะน่าเบื่อหรือเปล่านะซิ


เรย์คงไม่ได้มีแผนหลอกให้รัก แล้วหักอกหรอกใช่ไหม
คุณ sirin_chadada ใจร้ายอ่ะ มาว่าเรย์ของเรา เรย์นี่พระเอกเลยนะ!!! เรย์ไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ พ่อหนุ่มคนนี้เขาเป็นคนดี  แล้วก็อย่างที่คุณ sirin_chadada เขียนไว้ในอีกReply หนึ่งค่ะ ใช่แล้ว เรย์กับนาโอโตะเป็นแฟนกัน ก็เรื่องนี้พระเอกคือ เรย์ นายเอกคือ นาโอโตะนี่นา (ที่ว่าใจร้าย แซวเล่นขำๆนะคะ) และขอบคุณอีกครั้งสำหรับการตอบรับที่มีให้กับทุกบทที่เราลงค่ะ

ขอบคุณ คุณGrey Twilight
สำหรับคำแนะนำค่ะ เริ่มจากชื่อเรื่อง เรามีชื่อเรื่องภาษาไทยค่ะ แต่ไม่ใช้ (หัวเราะด้วย) เราก็ไม่ได้เก่งภาษาญี่ปุ่น ปัจจุบันก็ได้แค่งูๆปลาๆ แต่ด้วยความที่โตมากับการ์ตูนญี่ปุ่น เราเลยรู้สึกว่าชื่อภาษาต้นฉบับมันฟินกว่า(หรือเปล่า) แล้วไหนๆจะเขียนธีมญี่ปุ่นแล้วเลยใช้ชื่อญี่ปุ่นซะเลย ซึ่งชื่อเรื่องในภาษาญี่ปุ่นนี้ เราก็แปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษแล้วไปใส่กูลเกิ้ลแปลมา (ฮา) ถ้าอย่างไรเดี๋ยวจะลงให้ทุกท่านได้อ่านดูคะ
ส่วนเรื่องศัพท์เฉพาะบางอย่างที่ไม่ได้มีเขียนอธิบายไว้ในเรื่อง เราจะลงข้อมูลที่เราหาอ้างอิงไว้ตอนท้ายเนอะ ลองกลับขึ้นไปดูเกี่ยวกับขนมอันมิตสึได้ข้างบนนะคะ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำอีกครั้งค่ะ
สำหรับเรื่องตัวละคร คงต้องบอกว่ามีอนาคตข้างหน้าจะมีเยอะกว่านี้อีกค่ะ ชื่อตัวละครบางตัวออกมาใช้ครั้งเดียวแล้วก็หายไปเลยก็มี ดังนั้น เราจะขอแยกส่วนนี้ออกเป็นเกร็ดความรู้เรื่องชื่อและนามสกุลของคนญี่ปุ่น และแยกส่วนเป็นแนะนำตัวละครแล้วกัน
สุดท้ายขอบคุณสำหรับคำชมอีกครั้งนะคะ

春に雪が降っている。
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย

เรื่องย่อ

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน
หลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยและสมัครเข้าชมรมภ่ายภาพเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดนาคามูระ เรย์ หนุ่มรุ่นพี่ที่ตนหลงรัก เขาพบว่าการได้เป็นสมาชิกของชมรมนี้ทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่คิด เพราะนอกจากได้พบกับรุ่นพี่ที่แสนใจดีอย่างอาโอกิ นาโอโตะแล้ว สมาชิกคนอื่นๆก็ดีต่อเขามาก ทว่า ฮารุโตะไม่รู้ตัวเลยว่า ตนกำลังตกเป็นเป้าหมายของใครคนหนึ่ง

ตัวละคร
มิอุระ ฮารุโตะ : เด็กหนุ่มกำพร้าผู้ไร้เพื่อนสนิท เขาเข้าเรียนต่อด้วยมหาวิทยาลัยด้วยทุนการศึกษาจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง
นาคามูระ เรย์ : ชายหนุ่มรุ่นพี่นักศึกษาปีที่สามคนดังของมหาวิทยาลัย ประธานชมรมถ่ายภาพที่ฮารุโตะตกหลุมรักตั้งแต่แรกพบ
อาโอกิ นาโอโตะ : หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนใจดีที่มักจะเข้ามาช่วยเหลืออยากที่ฮารุโตะลำบากอยู่เสมอ เขาเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพที่มีอำนาจมากกว่าประธานชมรม เพราะนอกจากนาโอโตะจะเป็นรองประธานชมรมถ่ายภาพแล้ว ยังเป็นคนรักของเรย์อีกด้วย
โมริ เอคิจิ : หนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทของเรย์และนาโอโตะ เขาเคยเข้าไปช่วยเหลือฮารุโตะก่อนที่จะได้มาเจอฮารุโตะอีกครั้งในชมรมถ่ายภาพ นอกจากนี้เขายังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
ฮายาชิ เรียวตะ : ชายหนุ่มลูกเจ้าของเรียวกัง อีกหนึ่งหนุ่มผู้ซึ่งเพื่อนสนิทกับเรย์ ด้วยความที่มีนิสัยร่าเริงเข้ากับคนง่ายจึงสนิทสนมกับฮารุโตะได้อย่างรวดเร็ว
ชิมิซึ ซากิ : ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมเย็นชาผู้เป็นสมาชิกอีกหนึ่งคนในกลุ่มของเรย์ ด้วยความหล่อเหลาและดีกรีนักกีฬาฟุตบอลของมหาวิทยาลัย ทำให้เขากลายเป็นเสือร้ายที่มีผู้คนมาติดพันหลงใหลในตัวเขามากมาย แต่ทว่า เป้าหมายต่อไปของเขากลับเป็นฮารุโตะ

สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. ชิราซากิ นัตสึมิ : หญิงสาวชั้นปีที่หนึ่ง
2. มาเอดะ คาโอรุ : ชายหนุ่มรุ่นพี่ชั้นปีที่สอง



Chapter 4

ในเวลาค่อนดึกทุกคนต่างสลบด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ซากิยังนั่งจิบเบียร์ในกระป๋องมองดูกลุ่มเพื่อนซึ่งนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้น พอเครื่องดื่มมึนเมาในกระป๋องที่เขาดื่มหมด เขาจึงลุกขึ้นแม้จะมึนงงอยู่บ้างแต่สติของเขายังครบถ้วน เขาเก็บเศษซากของกินและสำรับไพ่ไปวางกองไว้ใกล้ประตูห้อง แล้วหยิบผ้าห่มซึ่งถูกรวบกองไว้มาคลุมร่างของเรียวตะและเอคิจิ ส่วนเรย์และนาโอโตะกำลังนอนกอดกันอยู่บนฟูกนอนที่มุมหนึ่งของห้อง เขาจึงไม่ต้องไปสนใจดูแลอีก เหลืออีกหนึ่งคนที่ยังคงนอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

ชายหนุ่มหันไปปูฟูกนอนสำหรับตนเอง แต่พอเห็นฮารุโตะกำลังเบียดตัวซุกร่างเข้าหาเรียวตะ เขาจึงเปลี่ยนใจปูฟูกนอนให้เพื่อนทั้งสองคนด้วย เขาไม่อยากให้อะไรมาขัดจังหวะตอนที่เขากำลัง ‘ชิม’ ของที่เฝ้ารอ ทั้งเรียวตะและเอคิจิมีขนาดตัวไม่ต่างจากเขานัก กว่าจะออกแรงลากตัวเพื่อนทั้งสองขึ้นมานอนบนฟูกได้จึงเหนื่อยพอดู หลังจากนั้นจึงไปหยิบของที่ต้องใช้ออกจากกระเป๋า อุ้มร่างเล็กๆของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเพียงหนึ่งเดียวในห้องมานอนบนฟูกนอนที่เขาปูไว้ แล้วจึงเดินไปปิดสวิตช์ไฟกลางห้อง ความมืดโรยตัวครอบคลุมทุกสิ่งขณะที่เขาล้มตัวลงนอนข้างร่างที่ยังคงนอนหลับหายใจเข้าสม่ำเสมอ เขาดึงผ้าห่มผืนหนาขึ้นคลุมร่างกาย อากาศภายนอกเย็นจัดจนการซุกตัวอยู่ภายใต้โปงผ้าไม่ใช่เรื่องน่าอึดอัด

ซากิลากมือไปมาบนแผ่นอกบางใต้ชุดยูกาตะ แหวกสาบเสื้อที่ทบกันให้อ้าออก ใช้ปลายนิ้วเรียวยาวสะกิดตุ่มเนื้อบนแผ่นอกจนมันแข็งตัวขึ้นเป็นไต แนบปลายลิ้นลงหยอกเย้าทำให้ร่างเล็กบางเริ่มอยู่ไม่สุขจากนั้นจึงแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มที่แดงเรื่ออยู่เสมอ ขยับขบกัดทั้งริมฝีปากล่างและบนก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปควานหารสชาติภายใน แม้จะเจือรสขมด้วยเบียร์แต่มันยังคงน่าลิ้มลองไม่สร่าง เขาผละตัวออกมาเล็กน้อยเพื่อหยิบเจลที่เตรียมไว้ใช้กับคนที่หลับไม่ได้สติ เขาไม่มีความคิดเล้าโลมให้เยิ่นเย้อ พูดกันตามจริงเขาไม่ควรทำอะไรเกินเลยเช่นนี้ด้วยซ้ำแต่ความกระหายอยากเช่นนี้ไม่เข้าใครออกใคร เขาไม่ชอบการฝืนบังคับใช้ความรุนแรงแต่เมื่ออีกฝ่ายไม่มีสติก็อีกเรื่องหนึ่ง

ชายหนุ่มใช้นิ้วที่ชุ่มไปด้วยเจลนวดคลึงที่ปากทางเข้าซึ่งยังคงปิดสนิท ก่อนจะดันปลายนิ้วเข้าไป แม้จะหลับแต่หนุ่มรุ่นน้องก็ยังขมวดคิ้วด้วยท่าทางทรมาน เขาจึงรั้งต้นขาของอีกฝ่ายให้แยกกว้างและกดนวดอยู่แค่ช่วงปากทางเข้าจนอีกฝ่ายคลายหัวคิ้วซึ่งขมวดมุ่นลง

“อา…”

ซากิไม่อยากให้เสียงของฮารุโตะปลุกให้เพื่อนร่วมห้องตื่นขึ้นมากลางดึก เขาจึงปิดริมฝีปากของร่างที่กำลังถูกเขาลวนลามด้วยริมฝีปากของตนอีกครั้ง และสอดนิ้วลึกเข้าไปด้านใน กวาดเค้นปลายนิ้วไปทั่วผนังอ่อนนุ่มที่รัดรึงปลายนิ้วของเขาไว้ กระตุ้นภายในอย่างช่ำชองจนส่วนอ่อนไหวด้านหน้าของหนุ่มรุ่นน้องชูชันและมีน้ำไหลเยิ้มจากส่วนปลาย  ชายหนุ่มขี้เกียจที่จะต้องมาทำความสะอาดหลังเสร็จกิจจึงต้องละมือมาสวมถุงยางให้อีกฝ่ายเสียก่อน

กำลังจะลงมือต่อแต่เสียงละเมองึมงำจากใครสักคนทำให้เขาสะดุ้ง กระนั้นช่วงเวลาแบบนี้กลับทำให้เขาตื่นเต้นจนไม่อาจอดทนได้ไหว เขาพลิกตัวให้ฮารุโตะมานอนทับอยู่ด้านบน ใช้มือแหวกเนื้อสะโพกและสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางนั้นอีกครั้ง ตามด้วยนิ้วที่สองและสามหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งที่กำลังหลับแต่ฮารุโตะยังคงตอบสนองด้วยการส่ายสะโพกตอบรับจังหวะการชักนำของเขา

ตามความตั้งใจแรกเขาควรจะหยุดเพียงแค่นี้แต่อารมณ์และความปรารถนาต่างๆล้วนเลยเถิดจนกู่ไม่กลับ ซากิจึงพลิกร่างรุ่นน้องให้นอนราบกับพื้น เขาสวมถุงยางอนามัยให้ตนเองและชโลมเจลจนชุ่มอย่างรวดเร็ว แม้ในห้องจะไร้ซึ่งแสงสว่างแต่เขาก็สามารถจรดส่วนปลายกับช่องทางหฤหรรษ์ได้อย่างง่ายดาย เพียงถูไถด้วยแรงแสนเบา ท่อนลำอันใหญ่โตก็ถูกสอดใส่เข้าไปราวกับกำลังถูกดูดกลืน ซากิเหยียดสะโพกเดินหน้าเชื่องช้าต่อให้เขาเตรียมช่องทางด้านหลังนั่นมากมายเพียงใด ก็เป็นเรื่องยากที่ฝ่ายรับจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเลย ชายหนุ่มจึงต้องหยุดดูอาการของรุ่นน้องทุกครั้งที่รุกคืบเข้าไปและสุดท้ายเขาก็สามารถใส่เข้าไปได้จนสุด

ค่ำคืนนั้นซากิลิ้มรสความหวานฉ่ำที่เขาเฝ้าคอยอย่างอิ่มหนำ แม้จะไม่เต็มที่อย่างที่ต้องการแต่นั่นก็บรรเทาความกระหายอยากได้มากโขพลางคิดหาวิธีที่จะเก็บเกี่ยวลูกแกะรสเลิศมาไว้ในอุ้งมือ



ฮารุโตะตื่นขึ้นมาด้วยความมึนงงปวดเมื่อยไปทั้งตัวโดยเฉพาะตั้งแต่สะโพกลงไป จะลุกจะก้าวความขัดยอกแสนประหลาดก็เกิดขึ้นทุกครั้ง เขาคิดทบทวนวนไปวนมาซ้ำอยู่หลายครั้งเมื่อคืนเขากินเบียร์กับพวกรุ่นพี่แค่สองกระป๋องก็ง่วงจนทนไม่ไหวและเขาได้หลับสนิทไปตั้งแต่ตอนนั้น หรือเขาจะละเมอลุกขึ้นมาเดินชนอะไร หรือว่าเขานอนดิ้นมากกันนะ อาการแปลกประหลาดทำให้เขาครุ่นคิดอย่างกังขา

“คิดอะไรอยู่คิ้วขมวดเชียว”การที่ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูทำให้เขาตกใจพอดู แต่นั่นยังเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าถูกขบกัดที่ใบหู

ฮารุโตะเบี่ยงตัวหลบยกมือขึ้นมากุมจุดที่ถูกสัมผัส เมื่อหันไปเห็นหน้าอีกฝ่าย  เขายิ่งขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม

“รุ่นพี่ชิมิซึ”

“หือ”อีกคนแค่ครางรับในลำคอซ้ำยังยื่นหน้ามาใกล้จนฮารุโตะต้องลุกหนี เขาหันไปมองรอบกายเพื่อสังเกตว่ามีใครกำลังให้ความสนใจพวกเขาอยู่หรือไม่ ถึงแม้จะมองไปรอบตัวแต่จุดที่เขาหันไปมองอันดับแรกคือจุดที่รุ่นพี่นาคามูระยืนอยู่

“กลัวว่าเรย์มันจะหันมาเห็นหรือ”

ฮารุโตะนิ่งเงียบอย่างไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นไรดี เขาควรจะโกหกดีหรือเปล่า

ซากิเลิกคิ้ว “ทำไมมันต้องหันมาดูนายด้วย นายมันก็แค่รุ่นน้องในชมรมคนหนึ่ง”

พอโดนคำพูดตรงๆตอกใส่หน้าแบบนี้พานให้ในอกรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้

“ผ… ผม”

“ชอบเจ้าเรย์ซินะ นายน่ะ”

วินาทีก่อนเขายังรู้สึกเจ็บในหัวใจที่โดนคำพูดของอีกฝ่ายกระทบเข้ามาตรงๆ แต่มาวินาทีนี้หัวใจของเขากลับเต้นโลดเมื่อถูกล่วงรู้ถึงความลับที่แอบเก็บไว้และแค่คิดถึงใบหน้าบุคคลที่สามที่ถูกกล่าวถึง อาการร้อนผ่าวบนใบหน้าก็ปรากฏขึ้นมา อาการขัดเขินเมื่อถูกถามจึงเป็นคำตอบอย่างดี

“ฉันช่วยเอาไหม”

“ช่วย?” ฮารุโตะย้อนถามด้วยความคลางแคลงสงสัย

“นายไม่คิดจะพยายามให้ตัวเองสมหวังบ้างเหรอแบบ... สารภาพรักหรือทำให้เรย์หันมาชอบนายบ้าง”

คิดสิ!!! ทำไมเขาจะไม่คิดแต่ฮารุโตะไม่คิดว่าอย่างจะง่ายดายแบบนั้น

“นั่นไง ฉันรู้จักกับเรย์มานานแล้วถ้าฉันช่วยนายทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น”

อาจเป็นเพราะเขาถูกหลอกและเชื่อคนง่ายอยู่เป็นนิจพอได้ฟังข้อเสนอชวนเชื่อเช่นนี้จึงทำให้ความสงสัยเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ

ชิมิซึ ซากิหัวเราะ “ใช่ล่ะฉันไม่ได้ช่วยฟรีๆแต่ไม่คิดขอของแลกเปลี่ยนที่นายไม่สามารถให้ได้หรอกน่า”แน่นอนว่าถึงฮารุโตะจะปฏิเสธ ชายหนุ่มก็จะทำให้ตอบตกลงอยู่ดี

เขาลุกขึ้นยืนก้าวเท้าเข้าประชิดตัวเด็กหนุ่มรุ่นน้องอย่างรวดเร็ว คว้าต้นแขนเล็กบางของฮารุโตะไว้ในมือแล้วดึงให้อีกฝ่ายเดินตาม

“จ…จะไปไหนหรือครับ”

ซากิไม่ได้ตอบคำถาม พื้นที่ป่ารอบทะเลสาบไม่ได้รกทึบแต่ผู้คนบางตาด้วยหลายปัจจัย นอกจากกลุ่มของพวกเขาแล้วก็ไม่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอีก ร่างสูงหยุดเดินเมื่อคิดว่าห่างจากกลุ่มเพื่อนพอควร

“แค่จะสาธิตว่าสิ่งที่ฉันต้องการคืออะไร”

ฮารุโตะถูกแขนแข็งแรงโอบรัด ถูกตีกรอบพื้นที่ในการขยับตัว ชายหนุ่มร่างสูงดันร่างของเขาให้ชิดกับต้นไม้ใหญ่ด้านหลัง เขายังไม่ทันได้ตั้งสติด้วยซ้ำ กระดุมกางเกงได้ถูกปลดออกไปเสียแล้วและตามมาด้วยสัมผัสของของเหลวเย็นๆแตะแต้มตามมาภายในช่องทางด้านหลัง

“อ…อย่า…อย่าทำแบบนี้”ฮารุโตะพยายามจะดิ้นรนแต่วงแขนของรุ่นพี่ร่างสูงแน่นหนาเกินกว่าที่เขาจะหลุดไปได้ ที่มากไปกว่านั้นร่างกายของเขากำลังร้อนผ่าวและไร้เรี่ยวแรง

ซากิหัวเราะ เจลที่เขาใช้เป็นรุ่นพิเศษที่ผสมยาปลุกกำหนัดอยู่นิดหน่อย เพราะฉะนั้นต่อให้อยากขัดขืนก็ทำได้ไม่เต็มที่

“ปล่อย…อย่าทำแบบนี้… ได้โปรด”ฮารุโตะเอ่ยปาก ดวงตาฉ่ำน้ำทั้งที่เริ่มขยับสะโพกตามการขยับมือของเขา

“แค่เดี๋ยวเดียว อีกอย่างถ้าหยุดตอนนี้จะเป็นนายนะที่ทรมานดูสิเยิ้มขนาดนี้แล้ว”

ฮารุโตะทำได้แค่หลับตาลงเพื่อหลีกหนีคำพูดหยาบโลนที่ออกมาจากปากของหนุ่มรุ่นพี่ ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเป็นสาย ร่างกายของเขากำลังมีความต้องการทั้งที่ภายในใจเรียกร้องปฏิเสธ

“อย่าทำผมเลย… อย่าทำแบบนี้”

เด็กหนุ่มผวากอดร่างสูงเมื่อถูกยกร่างจนตัวลอยพร้อมกับความรู้สึกจุกอึดอัดบริเวณท้องน้อยที่เกิดขึ้น ความคิดผิดถูกเริ่มรางเลือนกับร่างกายซึ่งเรียกร้องการเติมเต็มที่มากกว่านี้

สัมผัสเสียดสีที่ควรจะมีแต่ความเจ็บปวดสอดแทรกด้วยความสุขสมอันน่าประหลาดทำให้เด็กหนุ่มหลงลืมตัว ความเสียดเสียวซึ่งทำให้ขนทุกเส้นลุกชันจนเขาเผลอส่งเสียงร้องออกมาคล้ายมึนเมายิ่งกว่าดื่มเหล้า ร่างกายร้อนผ่าวเหมือนเป็นไข้และเหนื่อยหอบเมื่อสามารถคว้าจุดหมายปลายทางได้สำเร็จ สมองของฮารุโตะยังมึนเบลอหลังการปลดปล่อย ความเหนื่อยล้าง่วงงุนจู่โจมจนอยากปิดเปลือกตาลง

ซากิจัดการถอดถุงยางและแต่งกายให้หนุ่มรุ่นน้องจนเรียบร้อย เขาเก็บของทุกอย่างที่ผ่านการใช้งานใส่ถุงเพื่อเตรียมไปทิ้ง ค่อนข้างลำบากยุ่งยากแต่บรรยากาศในป่าแบบนี้ก็ไม่เลวเกินไปนัก ซากิยกยิ้มอย่างอารมณ์ดียามช้อนสะโพกยกร่างผอมบางของรุ่นน้องให้ลอยสูงขึ้นดวงตาของฮารุโตะปรือปรอยคล้ายง่วงเต็มทน

“หลับไปก่อนก็ได้”เขาบอกพลางกดศีรษะของอีกฝ่ายให้แนบลงกับลาดไหล่ ฮารุโตะคงรู้สึกไม่สนิทใจถึงได้เดี๋ยวก็หลับตาเดี๋ยวก็ลืมตา

เมื่อซากิเดินมาถึงริมทะเลสาบบริเวณที่กลุ่มเพื่อนรวมตัวกันอยู่จึงวางฮารุโตะลงแสร้งทำเป็นพยุงเด็กหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปหาเรย์ซึ่งกำลังถ่ายภาพ

“เรย์ช่วยดูหน่อย น้องเขาเป็นลม”ว่าพลางส่งร่างฮารุโตะให้เพื่อนโดยไม่รอการตอบรับ ฝ่ายนาโอโตะที่ไวต่อความเจ็บป่วยของผู้รอบข้างเป็นพิเศษจึงหันมาดูบ้าง หากแต่ถูกซากิสกัดไว้เสียก่อน

“ทำไมละฮารุจังเป็นลมไม่ใช่เหรอ”

ซากิทำเป็นยกมือส่งเสียงจุ๊ๆแล้วดึงให้นาโอโตะออกห่าง “ไม่ใช่หรอก รุ่นน้องนายน่ะมาปรึกษา ฉันเลยคิดว่าให้คุยกับเรย์ดีกว่า”

“คุยกับเรย์? ทำไมล่ะ”

“ก็มิอุระน่ะแอบชอบเอคิจิอยู่นะสิ”

“จริงเหรอ” นาโอโตะถามย้ำอย่างตื่นเต้น “อย่างนั้นฉันต้องเข้าไปร่วมด้วย แต่น่าแปลกทำไมฮารุจังไม่มาปรึกษาฉันนะทั้งที่สนิทกับฉันมากกว่าแท้ๆ”

ก็ปรึกษาไม่ได้นะสิเพราะคนที่มิอุระแอบชอบคือเรย์ไม่ใช่เอคิจิ ซากิลอบคิดอยู่ในใจ

“มิอุระคุงน่ะไม่ใช่จู่ๆก็มาปรึกษาฉันหรอก แต่ฉันเห็นว่ารุ่นน้องนายคนนี้นะท่าทางแปลกๆแถมมองไปที่เอคิจิตลอดเลยลองคุยดู ฉันกับเอคิจิสนิทกันก็จริงแต่นายก็รู้ว่าฉันไม่สันทัดเรื่องพวกนี้เท่าไหร่”

“เหรอออออออ”นาโอโตะมองด้วยสายตารู้ทัน คนถูกมองจึงได้แต่หัวเราะ

“คบกันจริงจังน่ะฉันไม่สันทัดหรอก นายเองก็เถอะเคยจีบใครที่ไหน ให้คุยกับเรย์น่ะดีที่สุดแล้ว”ซากิตัดบทง่ายๆและพูดย้ำอีกครั้งว่า“อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งละปล่อยสองคนนั้นไปก่อน”

นาโอโตะหันไปมองเรย์กับฮารุโตะด้วยความเสียดายแต่ก็ยอมตอบตกลงแต่โดยดี

ฝ่ายฮารุโตะที่ถูกส่งให้มาอยู่ในมือของเรย์ด้วยเหตุผลว่าเป็นลมต้องตื่นเต็มตาหลังจากที่ความง่วงงุนจู่โจมมาก่อนหน้า เด็กหนุ่มก้มหน้างุดๆ หลังจากทำเรื่องอย่างว่ากับชายอื่นจากนั้นกลับได้มาอยู่ในอ้อมแขนของคนที่ชอบ กล่าวกันตามตรงว่าเขาไม่ได้หน้าหนาถึงขนาดกล้ามองหน้าอีกฝ่ายตรงๆได้

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เรย์พาฮารุโตะมานั่งพักยังจุดที่เป็นรั้วปูนเตี้ยๆที่ฮารุโตะเคยนั่งก่อนหน้า

เด็กหนุ่มพยายามขยับตัวออกห่าง

“หน้าแดงนะตัวรุมๆด้วย”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ  “ผม… ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ผมขอตัวกลับไปพักที่ห้องนะครับ”พูดทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่เช่นนั้นพลางลุกขึ้นยืน เรย์จึงตามมาประคองรุ่นน้องร่างเล็กเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะล้มไปเสียก่อน

“ผมไม่เป็นไรจริงๆครับ” ฮารุโตะกล่าวย้ำอีกครั้ง ก้มศีรษะเพื่อเป็นการบอกลารุ่นพี่แล้วก้าวเท้าออกมาอย่างรวดเร็วกระนั้นใช่ว่าเขาพ้นจากคนที่คอยจับตาดูเขาทุกฝีก้าวได้

“อุตส่าห์หาโอกาสให้แล้วแท้ๆนายยังเดินหนีมาง่ายๆแบบนี้อีก”

ฮารุโตะตวัดสายตากลับไปมอง เขาไม่ชอบใจมากจริงๆที่อีกฝ่ายทำแบบนั้นกับเขา นึกอยากจะกำหมัดและชกหน้าระรื่นของชายหนุ่มร่างสูงจังๆสักหลายๆ ครั้ง น่าเสียดายที่เขาไม่เคยทำแบบนั้นกับใคร และเขาไม่มีความกล้ามากพอจึงทำได้แค่เดินหนี

“ผมไม่คิดอยากจะให้รุ่นพี่ช่วยเลยสักนิด”

“หรือถ้านายอยากจะนอนกับฉันฟรีๆก็โอเคนะ”

“แบบนั้นผมก็ไม่ต้องการ” เขาพูดเสียงแข็ง

“ตกลงจะเอาอย่างไรเนี่ย โน่นก็ไม่เอานี่ก็ไม่เอา”

“ไม่ยังไงทั้งนั้น แล้วก็อย่ามายุ่งกับผม”ฮารุโตะตะโกนออกไปสุดเสียง วันนั้นคงเป็นวันที่เขาอารมณ์เสียอย่างที่สุด เขาถึงทำเช่นนั้นได้ หลังจากที่เขาหันหลังเดินหนีออกมา น้ำตาของเขาไหลออกมาไม่หยุด ทุกอย่างมันแย่!!!

แย่! แย่! แย่! อย่างที่สุด!!! ความขุ่นเคืองอบอวลไปทั่วทั้งหัวใจ

หลังจากนั้น เขาพยายามก้มหน้าหลบสายตาของทุกคน  รุ่นพี่อาโอกิถามถึงดวงตาแดงช้ำ เขาได้แต่ตอบปฏิเสธและย้ำว่าไม่มีอะไร ฝืนยิ้มให้เพื่อคลายความห่วงกังวล กว่าจะกลับไปถึงห้องพักได้ฮารุโตะรู้สึกล้าไปทั้งใจ เขาล้มตัวลงนอนบนผืนเสื่อที่เย็นเฉียบ ปล่อยร่างกายและความคิดให้ล่องลอยไปกับความเงียบงันของบรรยากาศ พอนอนนิ่งอยู่เฉยๆเช่นนี้เสียงรอบข้างดูเหมือนจะเพิ่มความดังขึ้นมา ทั้งเสียงติ๊กติ๊กของนาฬิกา เสียงรายการทีวีที่ดังแว่วมาเบาๆ เสียงรถยนต์บนท้องถนน

ฮารุโตะลุกขึ้นเตรียมเสื้อผ้าข้าวของไปห้องอาบน้ำสาธารณะชำระล้างร่างกายและจิตใจเพื่อพรุ่งนี้เขาจะได้ตื่นขึ้นมามีแรงสู้ต่อไป





หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-02-2017 07:37:56
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อปลุกแรงใจ ฮารุโตะไม่อยากเจอหน้ารุ่นพี่ชิมิซึ แต่เขาต้องเข้าชมรมเพราะมีเวรทำงานที่ต้องรับผิดชอบเมื่อเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องมีรุ่นพี่ปีสองซึ่งเป็นคู่บัดดี้ในวันนี้นั่งรออยู่แล้วพอเห็นเขาอีกฝ่ายจึงลุกขึ้นยืน ฮารุโตะจึงกุลีกุจอรีบเข้าไปยกของ ของบางอย่างรุ่นพี่ร่างสูงก็เป็นคนช่วยถือให้

พวกเขาเดินไปยังสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัย  งานในวันนี้เป็นงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างหรืองานฟรีที่เหล่าสมาชิกในชมรมเรียกกัน ซึ่งรุ่นพี่นาคามูระรับงานมาจากชมรมหนังสือพิมพ์ ต่อให้มีการทำงานหาเงินเข้าชมรมแต่ชมรมถ่ายภาพยังคงได้รับเงินสนับสนุนจากมหาวิทยาลัย ดังนั้นหากมีการร้องขอให้มีการถ่ายภาพงานกิจกรรมต่างๆของมหาวิทยาลัยทางชมรมจึงต้องตอบตกลงอย่างไม่มีเงื่อนไข

แต่ถึงจะเป็นงานฟรี สมาชิกที่เป็นช่างถ่ายภาพก็ทำงานเต็มที่เสมอ ฮารุโตะมักจะถูกจัดให้ไปเป็นเด็กยกของช่วยรุ่นพี่ปีอื่นๆในงานฟรีอยู่บ่อยครั้ง งานสัมมนาบางงานรุ่นพี่เดินวนถ่ายรูปไม่หยุดตั้งแต่เริ่มงานจนเขาต้องเอ่ยปากถาม

“มันก็เป็นผลงานของเราน่ะ อีกอย่างถ้าอยากจะถ่ายรูปให้สวยก็ต้องฝึกเท่านั้น ต้องถ่ายให้เยอะๆอย่างรูปที่เรย์ได้รางวัลมาก็ไปตั้งกล้องถ่ายอยู่เกือบอาทิตย์กว่าจะได้ภาพนั้น”

ฮารุโตะจึงต้องตั้งใจทำงานให้ไม่แพ้คนอื่น

ที่สนามฟุตบอล นักกีฬากำลังอบอุ่นร่างกาย ขณะที่พวกเขาเดินไปถึงสมาชิกจากชมรมหนังสือพิมพ์ก็กำลังรออยู่แล้ว

“หวัดดี”รุ่นพี่มาเอดะซึ่งเป็นช่างภาพในวันนี้เอ่ยทัก

“มาพอดีเลยเดี๋ยวช่วยถ่ายรูปตอนวอร์มอัพให้ก่อนเลยละกันนะ เห็นว่าวันนี้จะมีแบ่งทีมแข่ง” ทั้งสองคุยกันเรื่องรายละเอียดงานในวันนี้ ฮารุโตะจึงถือของไปวางไว้บนอัฒจันทร์พลางกวาดสายตาไปรอบๆ เห็นรุ่นพี่โมริกำลังวิ่งอยู่ในสนาม เขามองอย่างแปลกใจแม้จะพอรู้อยู่ว่าหนุ่มรุ่นพี่เป็นนักกีฬา แต่เพราะไม่เคยถามว่าเล่นกีฬาชนิดไหนเขาจึงมองดูด้วยความสนใจและรุ่นพี่ร่างสูงหนึ่งในสมาชิกชมรมถ่ายภาพอีกคนก็ผ่านเข้ามาในครรลองสายตา ฮารุโตะเบือนสายตาหนีทันทีที่อีกคนหันมามอง

“มิอุระเดี๋ยวช่วยเช็กแสงให้ที”ฮารุโตะรีบหันไปขานรับและหยิบอุปกรณ์ไปยังจุดที่จะถ่ายรูปรวม ฉากด้านหลังเป็นหมู่อาคารและประตูตาข่ายของสนามฟุตบอลเด็กหนุ่มกดปุ่มตั้งค่าเครื่องมือตามที่เคยถูกสอน กดปุ่มจับแสงเสร็จเรียบร้อยจึงเดินนำไปส่งให้รุ่นพี่

เมื่อนักกีฬาอบอุ่นร่างกายเรียบร้อยก็ถูกเรียกรวม คนจากชมรมหนังสือพิมพ์จึงขอช่วงเวลานั้นถ่ายรูปรวมนักกีฬาทั้งทีม เสร็จจากนั้นโค้ชได้ให้นักกีฬาแบ่งทีมแข่งขัน ภายในช่วงเวลานี้เด็กหนุ่มจึงได้แต่ยืนรออยู่เฉยๆเนื่องจากรุ่นพี่มาเอดะ คาโอรุจะเป็นคนเก็บภาพในสนามตามที่คุยรายละเอียดกับชมรมหนังสือพิมพ์ไว้

“ช่วงแข่งฤดูร้อนทำผลงานได้ดีเลยนะครับ”พอได้ยินเสียงพูดเช่นนั้นฮารุโตะจึงหันไปมองอย่างสนใจ ชายหนุ่มจากชมรมหนังสือพิมพ์กำลังคุยกับโค้ชในมือของเขาถือเครื่องบันทึกเสียงไว้

“เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือเปล่าครับ”

“เป้าหมายต้องเป็นชนะเลิศระดับประเทศอยู่แล้วแต่ถึงจะติดแค่สี่ทีมสุดท้ายก็นับว่าทำได้ดี”

ฮารุโตะเป็นพวกไม่เล่นกีฬาและไม่ค่อยได้ติดตามกีฬาเกือบทุกชนิดแต่พอมาได้ยินว่าทีมฟุตบอลของมหาวิทยาลัยแพ้ไปในรอบรองชนะเลิศระดับประเทศยังรู้สึกเสียดายแทน นอกจากนั้นยังคิดว่าเหล่านักกีฬาทุกคนคงต้องเก่งมากถึงชนะจนเข้ารอบสี่ทีมสุดท้ายได้

เวลาผ่านไปพอสมควรทั้งสมาชิกจากชมรมหนังสือพิมพ์และรุ่นพี่มาเอดะต่างทำงานของตนจนลุล่วง ฮารุโตะจึงเตรียมเก็บของเพื่อกลับชมรม

“มิอุระคุง รุ่นพี่บอกให้รออยู่ที่นี่ก่อน”

“ผมนะหรือครับ”เด็กหนุ่มถามย้ำเพื่อยืนยันความแน่ใจ คิดอย่างสงสัยว่ามีธุระอะไรหรือเปล่านะ แต่ก็หันไปบอกลารุ่นพี่และนั่งรอตรงที่เดิม ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเพื่อฆ่าเวลา กดเข้าแอปพลิเคชันยอดฮิต ไม่มีใครส่งข้อความส่วนตัวถึงเขามากนักแต่ในกลุ่มสนทนามีข้อความเตือนหลายร้อยข้อความ เขาจึงกดเข้าไปอ่านประเด็นส่วนใหญ่เป็นเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่เพิ่งผ่านมา มีการส่งรูปให้ดูมากมาย เขาหยุดดูรูปภาพของรุ่นพี่นาคามูระนานเป็นพิเศษ มีภาพเดี่ยวที่ถูกแอบถ่ายบ้าง เขายกยิ้มและกดบันทึกรูปภาพนั้นไว้ อีกภาพเป็นรูปคู่ของรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิมีข้อความสนทนาตามมาเป็นทำนองว่า

‘เบื่อคู่รักคู่นี้ไปเที่ยวที่ไหนก็สวีทกันตลอด'

ฮารุโตะขมวดคิ้วยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจให้ดีนัก เสียงเรียกชื่อพลันดังขึ้นเสียก่อนเขาเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นรุ่นพี่โมริเดินยิ้มเข้ามาหาจึงยกยิ้มตอบโดยจงใจทำเป็นไม่เห็นชายหนุ่มร่างสูงอีกคนที่เดินตามมา

เพิ่งพ้นช่วงแข่งใหญ่มาไม่นานทีมฟุตบอลจึงค่อนข้างเลิกซ้อมเร็ว

“รุ่นพี่มีอะไรหรือครับ”

เอคิจิงุนงง เขายกมือขึ้นชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

“ก็เห็นให้ผมอยู่รอ”ฮารุโตะขยายความให้

“เปล่านะไม่ใช่ฉัน”ตอบเช่นนั้นแล้วหันไปมองเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆกัน

“ฉันเองล่ะ”

ฮารุโตะอยากจะลุกเดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น

“อา โอเค...อย่างนั้นฉันไปนะ”

เมื่อเอคิจิเดินจากไปแล้วฮารุโตะยังคงนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น หันไปมองทางอื่นเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าไม่อยากคุยด้วย ฝ่ายซากิ เขาไม่คิดเดือดร้อนกับท่าทางเช่นนั้น เขานั่งลงเปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนเสื้อตัวที่สวมซึ่งชุ่มเหงื่อเป็นเสื้อตัวใหม่ในกระเป๋า ห้องล็อกเกอร์ของนักกีฬาอยู่ใต้อัฒจันทร์แต่เพราะมีแผนจะทำอย่างอื่นเขาจึงหิ้วกระเป๋ามาด้วย

ซากิลุกขึ้นยืนพลางใช้มือข้างหนึ่งจับต้นแขนของหนุ่มรุ่นน้องและดึงร่างเล็กกว่าให้ลุกขึ้นยืน ฮารุโตะฝืนแรงไม่ยอมทำตามง่ายๆ

“หรือจะทำตรงนี้”ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ฮารุโตะแค่หันมอง คิดว่าอย่างไรก็ไม่ยอมทำตามเด็ดขาดและเขาก็ไม่เชื่อว่าซากิจะกล้าทำเช่นกัน

แต่แล้วฮารุโตะก็ต้องร้องออกมาเสียงหลงเมื่อร่างสูงกว่าลงมือลวนลามเขาจริงๆ

“ผมยอมแล้ว ผมยอมแล้ว”เขาจับยึดฝ่ามือใหญ่กว่าไว้ หอบหายใจแรงเมื่อหนุ่มรุ่นพี่ยอมผละออกห่าง

“ผม… ต้องไปทำงาน”เด็กหนุ่มพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคำพูดนั้นเป็นการโกหก เนื่องจากหลังจากเข้าชมรม เขาจะปรับเปลี่ยนตารางการทำงานให้สัมพันธ์กิจกรรมชมรมที่ต้องทำ

“โกหกต้องโดนลงโทษ”พอเห็นซากิโน้มตัวมาหาฮารุโตะจึงรีบเบี่ยงตัวหนี

“ขอโทษครับวันนี้ผมไม่ต้องไปทำงาน”ฮารุโตะพูดเสียงเบา เหลือบมองฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้าอย่างทำใจ พยายามวางมือลงไปบนฝ่ามือนั้นอย่างเชื่องช้าที่สุด แต่แค่ปลายนิ้วสัมผัสกัน มือของเขาก็ถูกรวบจับไว้พร้อมแรงกระตุกที่สั่งให้เขาลุกขึ้นยืน ฮารุโตะถูกพาไปยังห้องน้ำในอาคารของสนามฟุตบอล ที่นั่นเงียบกริบไร้ผู้คน หนุ่มรุ่นพี่เป็นผู้กดล็อกประตูพร้อมกับดันเขาให้เข้ามาด้านใน หลังจากผ่านพ้นเหตุการณ์เมื่อวันอาทิตย์ซึ่งเป็นทริปการท่องเที่ยวนอกสถานที่  เมื่อเกิดบรรยากาศสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มสามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

“ทำไม…”ฮารุโตะพูด “ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย” เขาหลับตาเมื่ออีกฝ่ายแตะริมฝีปากที่ต้นคอฝ่ามืออุ่นร้อนสอดอยู่ใต้เสื้อกระตุ้นตุ่มไตให้แข็งตัว เขาทั้งตื่นกลัวและตื่นเต้นไปพร้อมกัน เซ็กส์ครั้งก่อนไม่เจ็บเท่าที่เขากลัว มันมีแต่ความรู้สึกดีที่เขาคาดไม่ถึง

ทว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องที่สมควรเกิดขึ้น  อีกประการหนึ่ง ความต้องการทางเพศของเขาอยู่ในขั้นน้อยถึงน้อยมาก วิชาเพศศึกษาแค่ทำให้เขารู้จักว่าผู้ชายผู้หญิงต่างกันอย่างไรและเมื่อเกิดการปฏิสนธิระหว่างชายและหญิงจะเกิดอะไรขึ้น ฮารุโตะเคยมีความสนใจเด็กผู้หญิงอยู่บ้างแต่กับผู้ชาย… เขารู้สึกแค่ว่าเป็นมนุษย์จำพวกที่ไม่น่าเข้าใกล้ เด็กผู้ชายในรุ่นเดียวกันและแม้กระทั่งรุ่นน้องสองถึงสามปีมักจะแข็งแรงกว่าเขา ถ้าเขาทำอะไรให้ไม่พอใจก็อาจจะโดนทำร้ายได้เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงกลุ่มผู้ชายที่อายุมากกว่า

แม้ว่าเขาจะแอบชอบรุ่นพี่นาคามูระ หรือเคยมีจินตนาการแปลกๆกับหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนแอบชอบ แต่มันแตกต่างกับความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น ฮารุโตะไม่คาดคิดอยากจะให้เรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรเช่นนี้เกิดขึ้นอีก กระนั้นก็ไม่อาจหาญฝืนต้านขัดขืน

“เพราะฉันอยากจะทำ”

แววตาของร่างสูงแวววาวร้ายกาจสมกับคำพูดที่แสนเอาแต่ใจ ฮารุโตะได้แต่หลุบตาลงปิดบังความรู้สึกในอกที่เริ่มเอ่อท่วมแทบล้นขอบตา น้อยใจในโชคชะตาของตน สุดท้ายได้แต่พยายามทำใจ ฮารุโตะคิดอยู่ภายในใจเงียบๆว่าจะเพิ่มขึ้นมาอีกสักเรื่อง ชีวิตเขาก็คงไม่แย่ไปกว่านี้



จู่ๆก็มีคำเชิญเข้ากลุ่มปรากฏเตือนขึ้นมาบนโทรศัพท์มือถือของฮารุโตะ เขากดตอบรับทั้งที่เต็มไปด้วยความแปลกใจพอเข้าสู่ห้องสนทนาข้อความโต้ตอบหลายข้อความได้เด้งขึ้นรัวๆ

“ที่ห้องชมรมนะแหละดีแล้ว”

“ส่วนใหญ่เจ้าพวกนั้นก็สิงอยู่ชมรมตลอด”

“งั้นต้องวางแผนให้สองคนนั้นออกไปที่ไหนสักแห่งก่อน”

“รุ่นพี่ฮายาชิจัดการให้หน่อยสิคะ”

“เรื่องแหนะจะให้บอกว่าอะไรพวกนั้นคงเชื่อหรอก”

“แล้วพี่เข้ามาในกลุ่มทำไมอะ”

“ก็แค่อยากรู้ว่าจะทำอะไรกันวันเกิดฉันก็ขอให้ไปจัดที่ภัตตาคารหรูๆหน่อยนะ”


ฮารุโตะหัวเราะเมื่อหลังจากนั้นข้อความที่ปรากฏเป็นสติกเกอร์แสดงอารมณ์อีกมากมาย

“มิอุระคุงอ่านอยู่ใช่ไหม”

“ครับ” เขาตอบกลับไปด้วยคำสั้นๆอย่างรวดเร็ว

“วันพฤหัสหน้าจะเป็นวันเกิดของนาคามูระคุงกับอาโอกิคุงเลยอยากจะให้มิอุระคุงช่วยหน่อย”

“อะไรที่ผมทำได้ผมยินดีช่วยเต็มที่ครับ”ฮารุโตะเริ่มคิดถึงของขวัญที่จะให้รุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิแล้ว

“ช่วยถ่วงเวลาสองคนนั้นให้หน่อยนะ พวกเราจะจัดงานวันเกิดที่ห้องชมรม สองคนนั้นมีเรียนแค่ช่วงเช้า ดังนั้นก่อนที่พวกเราจะจัดสถานที่เสร็จ ทำอย่างไรก็ได้ไม่ให้ทั้งสองคนมาที่ชมรม”

ฮารุโตะตอบรับแม้จะยังคิดวิธีไม่ออกก็ตาม

เพราะลองคิดมาหลายตลบเด็กหนุ่มก็ยังคิดหาวิธีดีๆที่จะทำให้รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิไม่ไปที่ชมรมไม่ได้สักทีดังนั้นเมื่อเจอชิมิซึ ซากิอีกครั้งเขาจึงต้องเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้

“วิธีไหนหรือ”ซากิพูดทวนพลางมองฮารุโตะซึ่งมองกลับมาที่เขาด้วยประกายแห่งความหวัง ร่างเล็กบางยังคงเปลือยเปล่าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น ทั้งที่ปกติจะต้องเพลียจนหลับไปทุกครั้งหลังเสร็จกิจ ซากิยันตัวลุกขึ้นนั่งพลางรั้งเอวบางของฮารุโตะเข้าหาตัว ยกสะโพกร่างเล็กให้นั่งซ้อนบนหน้าขา เด็กหนุ่มไร้ซึ่งการระวังตัวคงเพราะจดจ้องรอคอยคำตอบ

“ก็ไปชวนนาโอโตะบอกว่าอยากไปเดินเที่ยว”

“นั่นซินะ ทำไมถึงคิดไม่ออกนะ”ฮารุโตะบ่นกับตัวเองกับคำตอบที่ดูง่ายแสนง่าย

“เวลาไปชวนก็บอกว่าชวนไปเดต”

“เดต? ไปเที่ยวกันเฉยๆไม่ใช่เหรอ”

“อืมไปเที่ยวกันเฉยๆก็เรียกว่าเดตได้”

“แล้วรุ่นพี่ว่าผมควรจะซื้ออะไรให้รุ่นพี่นาคามูระดีครับ อย่าแพงมากนะ รุ่นพี่เขาชอบอะไร”

ซากิมองหนุ่มรุ่นน้องพูดจ้อยๆแล้วต้องหัวเราะ เห็นปากสีเรื่อขยับขึ้นลงก็อดไม่ได้

“เจ็บ”ฮารุโตะพูดเสียงอ่อยแต่สายตาฉายแววไม่พอใจนัก

“มันเขี้ยว”เขาบอกก่อนจะกดริมฝีปากดูดดึงหยอกเย้าริมฝีปากสีเรื่ออีกครั้งพอรุกเร้าหนักเข้าอารมณ์ที่เพิ่งเงียบสงบจึงเลยเถิด

ฮารุโตะเปลี่ยนตารางการทำงานพิเศษเพื่อให้มีเวลาสำหรับการทำงานในชมรมจึงมีการทำงานวันเสาร์หรืออาทิตย์เต็มวันหรือบางวันที่เป็นวันหยุด ซากิจึงใช้โอกาสหลังจากที่หนุ่มรุ่นน้องเสร็จจากงานในชมรมดึงตัวไว้

ชายหนุ่มมองรุ่นน้องซึ่งนอนหลับด้วยความอ่อนเพลียหลังจากจบยกที่สอง เขารู้สึกไม่ค่อยคุ้มค่าเท่าไหร่กับการเปิดห้องของโรงแรมแล้วได้กินแค่สองรอบ แต่การตอบสนองแบบไม่ประสีประสาถูกใจเขาไม่น้อยจึงยอมอนุโลมให้เด็กหนุ่มได้หลับสบายๆ แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่เขาจะกินให้อิ่มเต็มคราบเลยทีเดียว



ในที่สุดวันพฤหัสบดีที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง

วันนี้ฮารุโตะมีเรียนวิชาบรรยายคาบบ่ายก็จริงแต่เขาตั้งใจจะโดนเรียนพอคิดถึงเรื่องการเรียนแล้วรู้สึกว่าช่วงนี้เขาค่อนข้างจะหย่อนยานไปสักหน่อย เขาทบทวนหนังสือน้อยลงจนเริ่มจะกังวล สงสัยจะต้องเพิ่มเวลาอ่านหนังสือตอนเช้า ฮารุโตะบอกกับตนเองในใจ พลางตรวจสอบของในกระเป๋าอีกครั้งกล่องของขวัญของรุ่นพี่อยู่ในนั้น กระเป๋าเงิน โทรศัพท์และหนังสือเรียน เขาปิดกระเป๋าและจับสายสะพายขึ้นพาดบ่า เดินมาส่องกระจกอีกครั้งเสื้อแขนยาวตัวที่เขาสวมอยู่เป็นสเวตเตอร์สีเทาที่เขาสวมใส่มาหลายปีมันจึงทั้งดูเก่าและหมอง ฮารุโตะตั้งใจว่าปีนี้เขาจะซื้อสเวตเตอร์และโค้ตกันหนาวตัวใหม่

เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องอากาศเย็นลงทุกวัน แต่พอได้สัมผัสแสงแดด พลันรู้สึกราวกับว่าจะอุ่นขึ้นเล็กน้อย ฮารุโตะเดินไปตามถนนอย่างไม่เร่งรีบ เขาตื่นแต่เช้าจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะทำตัวเอื่อยเฉื่อย

และวิชาเรียนช่วงเช้าก็ผ่านไปด้วยดีตามปกติ ฮารุโตะไม่ค่อยมีเพื่อนในคณะแต่เขาไม่ได้เก็บมันมาคิดหรือใส่ใจ เขามีรุ่นพี่นาคามูระ มีรุ่นพี่อาโอกิ มีรุ่นพี่และเพื่อนๆที่ชมรมแค่นี้เขาก็ไม่ต้องการใครอีกแล้ว

“ไม่ได้เจอกันนานนะ”

เด็กหนุ่มชะงักเท้า คนที่ไม่เจอมานาน ไม่อยากเจอและภาวนาอยู่เสมอว่าให้อีกฝ่ายหายไปจากชีวิตของเขาเสียทีมาปรากฏตัวยืนอยู่เบื้องหน้า ฮารุโตะกุมสายกระเป๋าแน่นเขานัดกับรุ่นพี่ไว้ตอนเที่ยงครึ่งแต่การไปตามนัดสายอาจจะไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้

ทางเดินในมหาวิทยาลัยไม่ใช่เส้นทางเปลี่ยวที่ล้อมกรอบด้วยหมู่อาคารอย่างในตัวเมืองแต่ก็มีบางจุดที่ลับตาผู้คน ฮารุโตะแค่เลือกเดินมาทางลัดระหว่างอาคาร เด็กหนุ่มก้าวถอยหลัง เขาแค่ต้องหันหลังและวิ่งหนีให้พ้น แม้ว่าจะคิดได้แต่ร่างกายของฮารุโตะไม่ได้ตอบสนองต่อความต้องการของสมองได้อย่างรวดเร็วเช่นนั้น เพราะฉะนั้นแค่ย่ำเท้าออกไปเขากลับถูกกระชากเหวี่ยงจนล้มลงไปนอนกับพื้น

“ไม่เจอกันไม่นานใจกล้าขึ้นไม่เบานะ”คำพูดนั้นมาพร้อมฝ่าเท้าที่เตะอัดเข้ากลางลำตัว ฮารุโตะขดตัวจนแทบกลายเป็นก้อนกลมๆทนรับแรงกระแทกอีกไม่กี่ทีอีกฝ่ายก็ถูกดึงให้รามือ

“พอๆเดี๋ยวมันก็ตายหรอก”

ซากุราอิ ชุนยังคงหัวฟัดหัวเหวี่ยง

“ไหนบอกว่าแค่เบาะๆพอให้หายหงุดหงิดไง”

“ก็แม่งคิดจะหนี”

“มีคนจะมายำตีนไม่คิดหนีสิแปลก”เสียงพูดเสียงที่สามดังขึ้นตามด้วยเสียงหัวเราะแบบไม่จริงจังนัก

“ยังมาหัวเราะอีกพอได้แล้วน่าชุน ถ้ามีใครมาเจอเดี๋ยวจะเป็นปัญหาเสียเปล่าๆ”

จากนั้นเสียงฝีเท้าจึงค่อยห่างออกไปฮารุโตะยันตัวลุกขึ้น เจ็บไปทั่วตัวจนไม่รู้ว่าร่างกายโดนกระทบตรงไหนบ้างกระนั้นเขาก็ห่วงแต่ของในกระเป๋า กล่องใส่ของขวัญสภาพยับเยินไปเล็กน้อยแต่เด็กหนุ่มคิดว่าของข้างในคงไม่มีปัญหา เขาซื้อเข็มขัดให้รุ่นพี่อาโอกิและซื้อเชือกผูกรองเท้าให้รุ่นพี่นาคามูระตามคำแนะนำของรุ่นพี่ชิมิซึ

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นตัวเลขแสดงเวลาที่ปรากฏอยู่บนหน้าปัดนาฬิกา รีบก้าวเท้าไปยังจุดนัดหมายไปพลางปัดฝุ่นและทำให้เสื้อผ้าของตัวเองพอดูได้ไปพลาง

“รุ่นพี่”เขาร้องเรียกเมื่อเห็นทั้งนาโอโตะและเรย์นั่งรออยู่แล้ว จากนั้นจึงหันไปมองซากิอย่างแปลกใจไม่น้อย จำได้ว่านัดเวลากับรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระเท่านั้น

ฝ่ายทั้งสามคนต่างมองดูฮารุโตะด้วยความตกใจไม่แพ้กัน

ซากิเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของหนุ่มรุ่นน้องตรงที่เป็นรอยแดง ฮารุโตะสะดุ้งโหยงเขาเพิ่งรู้สึกเจ็บตอนที่มืออีกฝ่ายมาโดนนี่ล่ะ

“ไปโดนอะไรมาน่ะ”นาโอโตะถามด้วยความเป็นห่วง แต่ฮารุโตะกลับมองคนถามหน้าตาตื่นราวกับว่าคำถามนั้นเป็นคำถามร้ายแรงเหลือบสายตามองเรย์ที มองซากิทีแล้วก้มหน้าลงจากนั้นเสียงพูดบอกคำตอบก็ดังขึ้น

“ผมหกล้มครับ พอดีว่าตอนที่มารีบเดินไปหน่อยเลยสะดุดขาตัวเอง ที่จริงผมไม่เจ็บหรอกนะครับแต่ผิวผมขาวมันเลยดูแย่กว่าคนอื่น”

ซากิขมวดคิ้วขณะมองหนุ่มรุ่นน้องรูดซิปกระเป๋าด้วยมือสั่นเทา

“ถ้าใช้ผ้าปิดจมูกคาดไว้มันก็จะมองไม่เห็นแล้ว” ฮารุโตะเงยหน้ามองรุ่นพี่ทั้งสอง ยกยิ้มให้จากภายใต้ผืนผ้าที่ตนนำมาสวม

“ไปกินข้าวกันเถอะครับตอนนี้ผมหิวแล้ว”ฮารุโตะพยายามเปลี่ยนเรื่อง

“ไปทำแผลก่อนไหมฮารุจัง”

“ไม่เป็นไรครับ ตอนนี้ผมหิวข้าวมากกว่าอีก”เขาบอกพลางรุนหลังรุ่นพี่ผู้แสนใจดีอย่างนาโอโตะให้ก้าวเท้าเดิน หนุ่มรุ่นพี่จึงต้องยอมทำตามที่เขาว่าทั้งที่ยังดูลังเล

นาโอโตะเลือกร้านอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติความอร่อยร้านหนึ่งเป็นสถานที่ทานอาหารกลางวัน หลังจากได้โต๊ะสำหรับสี่ที่พนักงานของร้านจึงปล่อยให้พวกเขาเลือกเมนูอาหารกันอย่างเป็นส่วนตัว  เด็กหนุ่มเปิดดูรายการซึ่งเป็นภาพถ่ายของอาหารที่มีจำหน่ายในร้าน ราคาที่บ่งบอกอยู่บนเมนูทำให้เขาต้องคำนวณเงินในกระเป๋าจนหัวหมุน

“ร้านนี้มีอาหารอร่อยๆเยอะมาก”นาโอโตะหันไปชวนหนุ่มรุ่นน้องพูดคุย ฝั่งตรงข้ามคือนาคามูระ เรย์ ส่วนชิมิซึ ซากินั่งอยู่ตรงข้ามกับฮารุโตะ

“แถมยังมีเมนูแนะนำของแต่ละเดือนด้วย”ทั้งที่ยังกางเล่มเมนูของตนเองไว้ตรงหน้า นาโอโตะก็ยังคงชะโงกศีรษะมามองรายการอาหารที่ฮารุโตะเปิดอ่าน รวมทั้งยังแนะนำแต่ละรายการราวกับเป็นพ่อครัวเสียเอง

“ผมกินแค่ชุดนี้ก็อิ่มแล้วครับ” เด็กหนุ่มชี้ไปยังซูชิเซตเล็ก

“กินแค่นี้น่ะอิ่มไม่ได้หรอก เพราะกินน้อยอย่างนี้นะสิถึงตัวเล็กแบบนี้” พูดจบก็หันไปเรียกบริกรเพื่อจัดการสั่งอาหารสำหรับฮารุโตะและตนเองทันที

“ร…รุ่นพี่ผมไม่เอานะครับ ผมทานไม่หมดหรอกครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่าไม่หมดเดี๋ยวให้เรย์ช่วย”

“รุ่นพี่”ฮารุโตะร้องค้านเสียงอ่อน เงินค่าอาหารมื้อนี้อาจจะเล็กน้อยสำหรับคนอื่นแต่สำหรับเขามันหมายถึงค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตอีกสองถึงสามวัน และเขาไม่อยากบอกเหตุผลนั้นกับรุ่นพี่ แค่ความช่วยเหลือมากมายที่รุ่นพี่อาโอกิให้มามันก็มากเกินกว่าที่เขาจะตอบแทนได้

“เอาซูชิเซตดีครับแล้วก็ชุดนี้”นาโอโตะต้องตัดใจยอมสั่งชุดอาหารที่ฮารุโตะต้องการแทน เขาเป็นพี่ชายที่ต้องดูแลน้องเล็กๆดังนั้นจึงติดนิสัยจู้จี้จุกจิกช่างจัดการ

อีกสองหนุ่มยังคงนั่งมองเงียบๆ หลังจากที่สั่งอาหารของตนเสร็จแล้ว

“เอาผ้าปิดจมูกออกก่อนดีไหม”นาโอโตะพูดขึ้นมาเมื่อพนักงานนำผ้าเช็ดมือกับน้ำชามาเสิร์ฟ

ฮารุโตะลังเลเขาไม่อยากโดนซักไซ้เกี่ยวกับที่มาของรอยช้ำอีก

“ถ้าไม่ถอดออกคงจะกินข้าวลำบากน่าดู”เรย์กล่าวเสริมขึ้นมา เด็กหนุ่มจึงยอมถอดออก

รอยแดงบนหน้าเริ่มบวมเห่อขึ้นจนเห็นได้ชัดรวมถึงเริ่มกลายเป็นสีม่วงช้ำ

“ประคบหน่อยแล้วกันนะ”นาโอโตะตัดสินใจเองทันทีที่เห็น เขาเรียกพนักงานอีกครั้งเพื่อขอน้ำแข็งพอได้มาก็ใช้ผ้าเช็ดหน้าที่ตนมีอยู่ห่อน้ำแข็งเป็นก้อนเล็กๆประมาณกำปั้นมือ

“เดี๋ยวผมทำเองก็ได้ครับ”

“มองเห็นหรือ”นาโอโตะดุ จังหวะนั้นเสียงกระแอมกระไอจากนาคามูระ เรย์ก็ดังขึ้น นาโอโตะแค่ตวัดสายตาดุๆกลับไปมองแล้วรั้งไหล่ให้รุ่นน้องหันหน้ามาทางตนวางลูกประคบบนแก้มช้ำแดงอย่างเบามือ

“เจ็บหรือเปล่า”

ฮารุโตะจะสั่นศีรษะปฏิเสธแต่เพราะขยับไม่ได้จึงตอบออกไปเป็นคำพูดเสียแทน

นาโอโตะทำเช่นนั้นอยู่นานจนกระทั่งพนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ

“ทานข้าวเถอะครับ”เด็กหนุ่มพูด ด้วยเหตุนั้นนาโอโตะจึงยอมวางมือ ฮารุโตะจึงถือลูกประคบแนบแก้มไว้เสียเองและทานอาหารของตนด้วยความเชื่องช้า ดังนั้นตอนที่พวกรุ่นพี่ทานเสร็จอาหารในจานของเขาก็ยังไม่หมด

“ไม่ต้องรีบ”นาโอโตะยิ้มให้อย่างเอ็นดูจากนั้นหันหน้าไปถามซากิ

“ว่าแต่ทำไมนายถึงมาด้วย”

“อยากมาเดินเล่น”

“แปลกชะมัด”เรย์พูด

นั่งคุยกันอยู่ครู่เดียว ฮารุโตะจึงทานอาหารหมด จากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็ไปเดินดูของในศูนย์การค้า ฮารุโตะเดินดูโค้ตและเสื้อกันหนาวเป็นพิเศษ พลางคิดในใจว่าเก็บเงินอีกนิดหน่อยคงพอจะซื้อได้ เดินวนเวียนกันหลายชั่วโมงเสียงเตือนข้อความจากกลุ่มจัดปาร์ตี้ก็ดังขึ้น

“รุ่นพี่ครับพวกพี่ๆที่ชมรมจัดห้องเสร็จแล้ว”ฮารุโตะเดินไปหาซากิพร้อมยกโทรศัพท์ให้ดู

“ให้ทำอย่างไรต่อดี”

“เดินไปบอกสองคนนั้นว่ามีธุระที่ชมรมให้พาไปส่งหน่อย”

ฮารุโตะทำตามคำแนะนำของรุ่นพี่ร่างสูงอย่างว่าง่าย ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงกลับมาที่ห้องชมรมอีกครั้ง

ตอนที่ฮารุโตะกำลังจะเปิดประตูห้องซากิกลับดึงไว้เสียก่อนแล้วพูดกับเรย์และนาโอโตะว่า

“เปิดประตูให้หน่อย”

เรย์มองเพื่อนอย่างแปลกใจกระนั้นเขายังคงสอดมือเข้าไปในช่องจับประตูและเลื่อนเปิดประตูห้องออก

เสียงพลุกระดาษดังขึ้น จากนั้นเสียงปัง ปัง ปัง ก็ดังระรัวตามมาและเมื่อเสียงพลุกระดาษอันสุดท้ายสิ้นสุดลงเสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังตามมาติดๆ

ฮารุโตะร้องเพลงตามไปกับทุกคน มองเปลวเทียนสว่างไสวซึ่งปักอยู่บนเค้กก้อนใหญ่ มองรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิที่ยกยิ้มอย่างมีความสุข แค่มีส่วนร่วมเล็กๆน้อยๆแค่นี้เขายังมีความสุขมาก พวกรุ่นพี่คงต้องดีใจมากแน่ๆฮารุโตะคิดในใจ

“สุขสันต์วันเกิดขอให้ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร”เรียวตะตะโกนบอกทันทีที่เสียงเพลงจบลง ทุกคนต่างหัวเราะกันอย่างครื้นเครงพลันเสียงเชียร์ก็ดังตามมาอีก

“จูบเลย! จูบเลย! จูบเลย!”

ฮารุโตะขมวดคิ้วแต่ยังคงปรบมือไปตามจังหวะ ได้สบสายตากับรุ่นพี่นาคามูระชั่วแวบหนึ่งเมื่อฝ่ายนั้นเหลือบสายตามองมาทางเขาและหลังจากนั้นเขาได้แต่ยืนนิ่งเมื่อรุ่นพี่นาคามูระโน้มตัวลงประทับฝีปากลงบนริมฝีปากของรุ่นพี่อาโอกิ ณ ตอนนั้นในสมองของฮารุโตะมีแต่ความมึนงงความคิดทุกอย่างรวนไปหมด

“รุ่นพี่นาคามูระจูบกับรุ่นพี่อาโอกิ”เด็กหนุ่มหันไปพูดกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ทั้งที่ไม่เคยคุยกันด้วยซ้ำ

“หือ ช็อทเด็ดของงานวันนี้เลยนะ ทั้งที่คบกันอยู่แต่ดูเหมือนไม่ได้คบกันเลยใช่ไหมล่ะ ได้ยินแว่วๆมาว่าถ้าทำให้เซอร์ไพรส์ได้จะยอมจูบให้ดู”

ฮารุโตะไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นพูดอะไรต่อ แต่เขารู้สึกเหมือนทุกอย่างมันมืดดำไปหมดหลังจากโดนเรื่องราวของรุ่นพี่ที่ตนหลงรักช็อตอย่างกะทันหัน

วินาทีนั้นเด็กหนุ่มได้รู้สึกตัวว่า ความชื่นชอบของตนที่มีต่อนาคามูระ เรย์นั้นมากมายแค่ไหน ฮารุโตะเคยพยายามบอกตัวเองเสมอว่า เขาไม่มีทางได้ความรักตอบ อย่าคาดหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาแค่แอบชอบและมองอยู่ห่างๆ ทำใจยอมรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น กระนั้นเมื่อวันที่ความจริงนั้นมาถึง มันยังคงมากมายและถาโถมเข้าจนเขาไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน

“รุ่นพี่รู้อยู่แล้วหรือครับเรื่องรุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิ”ฮารุโตะเอ่ยถามซากิ

“อืม”

“แล้วที่บอกว่าจะช่วยผม”ฮารุโตะหันหน้าไปหามองสบนัยน์ตาสีดำสนิทที่จ้องมองเขาอยู่เช่นเดียวกันและคำตอบที่แสนเย็นชาก็ออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง”

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-02-2017 07:42:03
หลังจากกิจกรรมเซอร์ไพรส์วันเกิดของสองรุ่นพี่ประธานและรองประธานชมรมถ่ายภาพ ฮารุโตะต้องไปทำงานต่อแต่ความคิดและสติยังคงรางเลือนจากเรื่องที่รับรู้ เขาทำงานด้วยความเลื่อนลอย จิตใจเฝ้าแต่หวนคิดย้ำๆซ้ำๆจนการทำงานในวันนั้นผิดพลาดไปหลายอย่าง ทั้งที่เป็นเรื่องที่เคยคาดคิดไว้ ทั้งที่เป็นเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆแต่ในหัวใจของฮารุโตะกลับไม่ยอมรับมัน

เด็กหนุ่มตื่นขึ้นมาอีกครั้งในตอนเช้า ร่างกายของเขาปวดเมื่อยและหนักอึ้งไปทั้งตัว กระนั้นในสมองยังคงครุ่นคิดมีคำถามมากมาย เขานึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผ่านมา คิดสมมติไปว่าถ้าเขาทำแบบนั้นหรือแบบนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดอาจจะเปลี่ยนแปลงไปกระทั่งความเหนื่อยล้าเข้าครอบงำอีกครั้งเขาจึงหลับไปอีกรอบ

เสียงโทรศัพท์ดังยาวนานต่อเนื่อง ฉุดดึงสติอันรางเลือนของเขาให้ตื่นขึ้น ฮารุโตะยังคงมึนงงสับสนยามมองหาที่มาของเสียงเขาค่อยๆพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงขยับไปหา กดรับและพยายามกรอกเสียงลงไป แต่ลำคอของเขาแห้งผากจนเสียงพูดที่เปล่งออกมานั้นสุดแสนแผ่วเบา

“ฮารุโตะ”เสียงเรียกชื่อดังซ้ำอยู่หลายครั้ง

“ครับฟังอยู่”แม้เสียงจะแหบแห้งแต่คงดังพอให้อีกฝ่ายได้ยิน เด็กหนุ่มล้มตัวลงนอนและหลับตาลงขณะถือโทรศัพท์ไว้แนบหู เขารู้สึกมึนหัวทั้งห้องโคลงเคลงจนไม่สามารถทรงตัวได้ไหว เพราะนอนเยอะเกินไปหรือเปล่านะ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่าเสียงฟังดูไม่ดีเลย”

“เปล่าครับไม่เป็นอะไร”จะวางหรือยังนะตอนนี้เขาง่วงอีกแล้ว

“ไม่เห็นมาที่ชมรม”

อ้อใช่…พูดถึงชมรมนั่นทำให้เขานึกถึงเรื่องที่อยากลืมขึ้นมาอีก ผู้คนที่อยู่รอบตัวเขามีแต่พวกใจร้าย ทำร้ายคนอื่นเพื่อความสะใจของตัวเองได้หน้าตาเฉย พอคิดถึงตรงนี้น้ำตาก็ร่วงออกมา

“ฮารุโตะยังอยู่หรือเปล่า”

เสียงเรียกจากปลายสายดังซ้ำอยู่อีกไม่กี่ครั้งสายนั้นก็ถูกตัดไป


…เงียบเสียที




การที่จู่ๆสายก็ถูกตัดไป ซ้ำเมื่อโทรกลับกลายเป็นว่าสัญญาณจากปลายสายขาดหายไปเสียดื้อๆทำให้นาโอโตะร้อนรนเป็นห่วง

“ฮารุจังเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้ เสียงก็ฟังดูไม่ค่อยดีเลย”

“ไม่ต้องเป็นห่วงมากหรอกน่า เมื่อวานก็ยังดูดีๆนี่”เรย์พูดขณะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือกล้องในมือ

“ดีอะไรกัน หน้าช้ำขนาดนั้นเนี่ยนะ ใช่หกล้มแน่หรือเปล่าก็ไม่รู้”พูดตอบไปพลางรื้อเอกสารไปพลาง

“จะสงสัยเป็นห่วงอะไรนัก ถึงต่อให้เป็นอะไรไป พ่อแม่ญาติพี่น้องเขาก็คอยดูกันเองนั่นแหละ”

“พ่อแม่ญาติพี่น้องอะไร ตอนนี้ฮารุจังอยู่คนเดียว”

“ไปรู้มาได้อย่างไรละฮึ”

“มีปากก็ถามไง อ๊ะเจอแล้ว อยู่ใกล้ๆเองนะเนี่ย”พอได้ยินนาโอโตะพึมพำแบบนั้น เรย์จึงหันมาให้ความสนใจทั้งตัวแต่ก็ยังช้ากว่าเรียวตะอยู่

“อ้อ พักอยู่บ้านเช่านั้นเอง”

“รู้จักหรือ”

“อืม อยู่ปากซอย บ้านฮารุจังท่าจะจนน่าดูถึงได้กล้าปล่อยลูกชายที่ดูไม่ค่อยทันคนไปอยู่ที่แบบนั้น”

“ที่นั่นสภาพแย่ขนาดนั้นเชียว”

“สภาพข้างในไม่รู้แต่ข้างนอกอย่างโทรม จำได้ว่าเมื่อสองสามปีก่อนมีฆ่ากันตายด้วย”

“หวา”นาโอโตะร้องเสียงหลง “ฮารุจังจะเป็นอะไรไหมเนี่ย” เรื่องที่เรียวตะเล่าทำให้เขารู้สึกเป็นห่วงมากกว่าเดิม

“จะไปหรือ ไปด้วยนะอยากเห็นข้างใน”

“ไม่ใช่เรื่องสนุกนะเรียวตะ”

“ฉันก็ไม่สนุกเหมือนกัน”เรย์พูดขึ้นมาบ้าง เขาพุ่งตัวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้านาโอโตะอย่างรวดเร็ว

“เราพูดเรื่องนี้กันหลายรอบแล้วนะเรย์”นาโอโตะบอกกลับไปอย่างนึกรำคาญ “ไม่มีอะไรคือไม่มีอะไรดิ”

“ถ้าไม่มีอะไรก็ทำให้สบายใจบ้างไม่ได้หรือไง”ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันอย่างที่ไม่มีใครยอมใคร ก่อนนาโอโตะจะสะบัดหน้าหนีเขาหยิบกระเป๋าของตนมาถือ

“เรียวตะจะไปหรือเปล่า”พูดพลางเดินนำออกจากห้อง เรียวตะจึงต้องรีบเดินตามออกไป ส่วนเรย์ถึงจะหงุดหงิดไม่ชอบใจแต่เขาก็ยังรีบเดินตามนาโอโตะไปเช่นเดียวกัน เขาคว้าท่อนแขนของคนรักไว้

“เดี๋ยวฉันไปส่ง”พูดเช่นนั้นก่อนจะเดินนำไปที่รถ ถึงจะรู้สึกหงุดหงิดแต่นาโอโตะไม่ได้ขัดคอทำตัวหัวรั้น เขาเดินตามไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งข้างคนขับ พอเข้ามานั่งในรถยนต์ถึงได้สังเกตเห็นเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคน

“เอคิจิ ซากิ”ชายหนุ่งส่งเสียงเรียกอย่างแปลกใจ

“ไปกันหลายๆคน ก็จะได้คอยช่วยกันได้ไง”เอคิจิตอบพร้อมรอยยิ้ม เมื่อได้ยินคำตอบนาโอโตะไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆอีก ดังนั้นพาหนะสี่ล้อจึงค่อยๆเคลื่อนตัว





+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-02-2017 10:08:27
บทนี้ฮารุโตะเจอมรสุมหนักหน่วงอยู่นะ แม้ว่าจะเจอมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้มันแทบจะเรียกว่าประดังประเดมาทุกทาง
ดวงของฮารุโตะนี่จะต้องเจอแต่คนใจร้าย ไม่หวังแกล้ง (แรง ๆ) ก็หวังเซ็กซ์สินะ (ว่าถึงเรื่องนี้แล้วโคตรเคืองรุ่นพี่ซากิ... คนอะไรเลวร้ายเสียจริง)
แทบจะอดใจรออ่านตอนต่อไปไม่ไหวแล้วค่ะ

ปล.คุณตีสี่พูดจริงเหรอคะ ที่ว่าเรย์กับนาโอโตะเป็นพระเอกนายเอก แต่ใช้ฮารุโตะเป็นตัวเดินเรื่อง (เลยดูเหมือนเป็นนิยายประเภท ตามติดชีวิตฮารุโตะ ประมาณนี้... หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 4 : 12/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-02-2017 13:11:51
มันน่าน้อยใจ อนาถชีวิตตัวเองจริงๆ
มีแต่คนหาประโยชน์ กลั่นแกล้ง
เพราะความอ่อนแอ คิดไม่ทันคนพวกนั้น
ฮารุโตะ จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งได้ยังไงนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-02-2017 12:31:33
สวัสดีค่ะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันวาเลนไทน์ เห็นคนอื่นลงตอนพิเศษ เราเลยอยากลงบ้าง
แต่เราไม่มีตอนพิเศษกับเขา เลยคิดว่าก็ลงตอนปกตินี่แหละ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ

เรื่องย่อ


ในที่สุดฮารุโตะก็ได้รู้ความจริงว่ารุ่นพี่นาคามูระที่ตนแอบชอบนั้นมีคนรักอยู่แล้วนั่นคือรุ่นพี่อาโอกิผู้แสนใจดี ที่สำคัญคำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึที่เคยบอกว่าจะช่วยยังเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงที่อีกฝ่ายพูดออกมาพล่อยๆ ฮารุโตะเสียใจกับเรื่องราวที่ได้รับรู้จนพาลให้ล้มป่วย จะอะไรขึ้นเมื่อกลุ่มรุ่นพี่จะมาเยี่ยมฮารุโตะที่ห้อง

ตัวละครเพิ่มเติม

ฟุจิฮาระ ไคโตะ : ชายหนุ่มรุ่นพี่ชั้นปีที่สองสมาชิกชมรมถ่ายภาพ



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 5


อาคารบ้านเช่าที่เรียวตะบอกเส้นทางมา ค่อนข้างจะดูเก่าและทรุดโทรมอย่างที่เจ้าตัวพูดไว้ บริเวณนั้นไม่มีพื้นที่สำหรับจอดรถ เรย์จึงปล่อยให้กลุ่มเพื่อนลงจากรถ ก่อนจะขับเลยไปอีกนิดเพื่อจอดรถในจุดที่คิดว่าจะไม่กีดขวางการสัญจร

อาคารบ้านเช่าหลังดังกล่าวเป็นอาคารขนาดสองชั้นมีบันไดเดินขึ้นชั้นสองอยู่ด้านข้าง ทั้งที่ก็เป็นเวลาเย็นย่ำแต่บรรยากาศโดยรอบกลับเงียบกริบ

นาโอโตะกดโทรศัพท์โทรออกอยู่หลายครั้ง สัญญาณการติดต่อจากปลายสายยังคงเงียบสนิทอยู่เช่นเดิม เขายกกระดาษจดที่อยู่ในมือขึ้นมาดูก่อนจะเดินดุ่มๆขึ้นไปชั้นสอง

“ฮารุจัง”นาโอโตะเคาะประตูที่หน้าห้องสองศูนย์สี่ เสียงเรียกและเสียงเคาะประตูดังไปทั่วบริเวณ เขาทำเช่นนั้นอยู่หลายครั้งจนประตูของห้องข้างๆ ถูกเปิดออกมา เจ้าของห้องเป็นคุณป้าที่อายุน่าจะราวๆหกสิบปี

“ขอโทษครับ พอดีผมติดต่อเพื่อนไม่ได้มาสองสามวันแล้ว เลยลองมาดูที่ห้อง” เอคิจิชิงพูดออกไปเสียก่อน กับคำพูดที่ดูเหมือนว่าเรื่องราวค่อนข้างร้ายแรง คุณป้าคนนั้นจึงไม่คิดถือเอาความและให้คำแนะนำถึงผู้ดูแลบ้านเช่ามาเป็นอย่างดี แต่ขณะที่กำลังจะไปหยิบยืมกุญแจจากผู้ดูแลบ้านเช่า ฮารุโตะก็เปิดประตูออกมา

หนุ่มรุ่นน้องออกมายืนอยู่ในสภาพเสื้อยืดแขนยาวกับกางเกงวอร์ม ใบหน้าด้านข้างที่เคยอ้างว่าล้มกระแทกเป็นสีเขียวช้ำ ตาแดงฉ่ำเยิ้ม หน้าแดงแต่ปากแห้งซีด

“รุ่นพี่มีอะไรหรือครับ”

นาโอโตะคิดว่าเสียงของฮารุโตะที่ฟังผ่านโทรศัพท์นั้นว่าแย่แล้ว สภาพจริงๆของเด็กหนุ่มนั้นแย่กว่าที่คิดไว้มากเพราะอีกฝ่ายมายืนแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ทำท่าจะล้มลงไป ดีว่าเรียวตะซึ่งยืนหน้าประตูเช่นเดียวกับเขาพุ่งตัวไปรับไว้ได้ทัน จากนั้นจึงพาเจ้าของห้องกลับเข้าไปข้างใน

ภายในห้องขนาดสี่เสื่อครึ่ง มีฟูกนอนยับๆ ที่บ่งบอกว่าเพิ่งถูกใช้งานวางอยู่ อากาศภายในค่อนข้างเย็น  มีแค่บริเวณใกล้ๆตำแหน่งที่วางเครื่องทำความร้อนใกล้ฟูกนอนเท่านั้นที่ค่อนข้างอุ่นกว่าบริเวณอื่น

เมื่อเรียวตะวางเด็กหนุ่มรุ่นน้องไว้บนฟูกและห่มผ้าให้เรียบร้อยแล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองดูเกะกะไม่น้อย ด้วยขนาดพื้นที่ของห้องเมื่อมีผู้ชายร่างยักษ์สี่คนมาอยู่รวมกัน ห้องเลยดูแคบไปถนัดตา เห็นกลุ่มเพื่อนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งเขาจึงขยับไปนั่งสงบเสงี่ยมอยู่รวมกัน

ฝ่ายนาโอโตะ เขาจัดการหาผ้าชุบน้ำมาวางบนหน้าผากของเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงจุดไฟตั้งน้ำบนเตาเพื่อนำมาเช็ดตัวลดอุณหภูมิในตัวของฮารุโตะ ข้าวของในห้องของคนป่วยมีน้อยชิ้นจนเขาค้นหาไม่นานก็ทั่วห้อง

“ไม่มียา ใครไปซื้อยามาให้หน่อยสิ”

เรียวตะซึ่งบ้านอยู่ลึกเข้าไปในซอยอาสาไปเอายามาจากที่บ้านเสียแทน

จากนั้นเมื่อน้ำเดือดนาโอโตะจึงผสมน้ำไม่ให้ร้อนหรือเย็นเกินไป นำมาวางไว้ข้างฟูกนอนกำลังจะลงมือถอดเสื้อคนป่วยกลับมีคนพูดขัดขึ้นเสียก่อน

“นายไปทำข้าวต้มก็ได้ เหมือนว่ามิอุระน่าจะยังไม่ได้กินอะไร เดี๋ยวทางนี้ฉันทำให้”ซากิกล่าว นาโอโตะจึงพยักหน้ารับและลุกไปจัดการอาหาร ในห้องมีข้าวสารอยู่ในถังไม้ใบเล็กซึ่งวางอยู่บนโต๊ะข้างตู้เย็น ในตู้เย็นเองก็มีของสด ไข่และอาหารปรุงสำเร็จที่ถูกพันไว้ด้วยฟิล์มยืดห่ออาหาร เขาจึงหยิบวัตถุดิบสำหรับทำข้าวต้มออกมาใช้หม้อใบเดิมที่ต้มน้ำนำมาตั้งน้ำบนเตา

ซากิพยุงตัวของฮารุโตะยกขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการถอดเสื้อ เอคิจิเห็นดังนั้นจึงขยับเข้ามาช่วย ส่วนเรย์… เขานั่งเล่นโทรศัพท์มือถืออย่างไม่สนใจใคร

อากาศหนาวเช่นนี้ฮารุโตะสวมเสื้อตัวในไว้แค่ตัวเดียว นอกจากเสื้อแขนยาวตัวนอกและเมื่อเสื้อที่คนป่วยสวมไว้ถูกถอดออกไปหมด รอยช้ำเขียวตามตัวจึงปรากฏให้พวกเขาได้เห็น ทั้งเอคิจิและนาโอโตะมองรอยช้ำเหล่านั้นด้วยความรู้สึกตระหนก ทางด้านซากิแม้เขาจะเห็นร่องรอยเหล่านี้เช่นกันแต่ไม่ได้ตื่นตกใจมากนัก เขาเคยสังเกตเห็นร่องรอยแผลเป็นจางๆบนร่างกายของหนุ่มรุ่นน้องมาบ้างแล้ว ชายหนุ่มวางร่างของหนุ่มรุ่นน้องลงและเริ่มลงมือเช็ดตัว

“เรียวตะเอาถุงประคบร้อนมาด้วยนะ”เอคิจิกดโทรศัพท์ โทรออกไปสั่งให้เรียวตะนำของอื่นมาเพิ่มเติม

“นายคิดว่าใครทำ”นาโอโตะถาม เอคิจิสั่นศีรษะคำถามนี้ยากเกินกว่าที่เขาจะตอบได้ เห็นคนป่วยขมวดคิ้วอย่างทรมานจึงอดที่จะใช้ปลายนิ้วนวดคลึงให้ปมหัวคิ้วคลายลงไม่ได้

ซากิเหลือบตามองผู้เป็นเพื่อน

“นายดูสนิทกับมิอุระนะไม่เคยเห็นอะไรผิดปกติบ้างหรือ”

คนโดนถามโคลงศีรษะ “ก็ไม่เชิงว่าจะสนิทแค่เคยเจอกันก่อนที่ฮารุโตะจะเข้าชมรม จะว่าไปวันที่เจอกันครั้งแรกก็เห็นว่าล้มอยู่กลางทางเดินทำท่าเหมือนจะร้องไห้อยู่เหมือนกัน”

“อาจจะโดนทำร้าย”ซากิพูดออกมาเมื่อพิจารณาจากร่องรอยบนร่างกายแล้วควรจะสรุปได้เช่นนั้น “เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครและเมื่อไหร่”

“แจ้งความดีไหม”

“ถ้าแจ้งความก็ต้องถามเจ้าตัวก่อน แต่คงยากตอนที่นายถาม เด็กนี่ยังบอกว่าหกล้มเลยแสดงว่าเจ้าตัวคงรู้จัก แล้วก็รู้ว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะทำแบบนั้น”เรย์พูดขึ้นมาบ้าง

“ฉันว่าเงียบๆไว้และคอยสังเกตเรื่อยๆน่าจะดีกว่า ที่ไม่ยอมบอกอาจเพราะไม่อยากให้ใครมาวุ่นวายก็ได้”

“แต่…”นาโอโตะกำลังจะพูดแย้ง

“ฉันเห็นด้วยกับเรย์”เอคิจิพูด “นายล่ะซากินายว่าอย่างไร”

“ฉันไม่มีความคิดเห็น”

“สรุปสองต่อหนึ่งเสียงนายไม่ต้องคิดมากหรอก พวกเราตั้งหลายคนช่วยๆกันดู”

“ฉันไม่เกี่ยว”เรย์ออกปากปฏิเสธทันควันทำให้นาโอโตะมองหน้าอย่างไม่ชอบใจก่อนจะหันไปหาซากิแล้วถามว่า

“ฮารุจังไม่ได้มาปรึกษาอะไรกับนายบ้างหรือ”

ทุกสายตาพุ่งตรงไปยังชิมิซึ ซากิเมื่อคำพูดของนาโอโตะจบลง กระนั้นชายหนุ่มยังคงนิ่งเงียบมองกลับไปยังเจ้าของคำถามใช้เวลาอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตอบไปว่า

“ไม่มี”

“เรื่องที่คุยกันล่าสุดล่ะ”

“มิอุระถามเรื่องของขวัญที่จะให้พวกนาย”

“ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ฉันหมายถึงเรื่องเมื่อตอนไปเที่ยว”จู่ๆนาโอโตะก็นึกอยากรู้เรื่องราวต่อจากนั้นขึ้นมา ไม่รู้ว่าจะคืบหน้าไปแค่ไหนแต่เขาลังเลที่จะถามเอคิจิตรงๆ

“อะไรกันมีอะไรอย่างนั้นหรือ”เรย์ถามแทรกขึ้นมาบ้าง นาโอโตะมองหน้าเอคิจิสลับกับมองหน้าซากิ เขากำลังตัดสินใจแล้วพูดออกไปว่า

“ฮารุจังแอบชอบนายอยู่นะเอคิจิ”

“อา”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อครางรับอย่างไม่ตื่นเต้นมากนัก การที่นักกีฬาจะมีคนมาชื่นชอบบ้างนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก

“ฉันไม่ได้ความว่าชอบอย่างนั้น ชอบแบบแฟนหรือคนรักน่ะ”

“เอ๋…”คราวนี้เอคิจิตกใจจริงๆ

ในระหว่างที่นาโอโตะกำลังให้ความสนใจกับเอคิจิ  ซากิจึงหันมาจัดการสวมเสื้อผ้าให้หนุ่มรุ่นน้องหลังจากเช็ดตัวเสร็จ จากนั้นจึงใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กชุบน้ำเย็นบิดหมาดขึ้นวางบนหน้าผาก สีหน้าอีกฝ่ายดูหลับสบายมากขึ้น

“ใช่ไหมซากิ”

ชายหนุ่มหันมาให้ความสนใจเจ้าของคำถามอีกรอบ“ฉันเข้าใจผิดน่ะ เห็นบอกว่าชอบเพราะเล่นกีฬาเก่งไม่มีอะไรลึกซึ้งหรอก”

เป็นนาโอโตะที่ร้องออกมาอย่างเสียดายและวงสนทนาต้องสลายลงเพราะเรียวตะกลับมาเสียก่อน เป็นจังหวะเดียวกับที่ข้าวต้มของนาโอโตะเสร็จเรียบร้อย ทีแรกพวกเขาจะปลุกให้ฮารุโตะขึ้นมาทานอาหารทานยาแต่พอเห็นว่ารุ่นน้องกำลังหลับสบายจึงปล่อยให้นอนต่อไป เรย์เห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงชวนนาโอโตะกลับ

“ฉันจะอยู่เฝ้าฮารุจัง”

แต่ก่อนที่คู่รักจะเริ่มทะเลาะกันซากิกลับเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน “นายกลับไปเถอะฉันอยู่เอง พวกนายก็ด้วย”

แม้นาโอโตะทำท่าจะแย้งอยู่บ้างแต่เพราะคนรักที่พยายามฉุดดึงให้เจ้าตัวต้องกลับพร้อมกัน จึงต้องยอมกลับอย่างไม่ยินยอมนัก

“ไม่ต้องให้อยู่เป็นเพื่อนจริงหรือ”เรียวตะถามอย่างทะเล้น “ที่นี่มีคนตายนะเขาว่ากันว่าเฮี้ยนสุดๆอาจจะเป็นห้องนี้ก็ได้”

“อืม”

พออีกฝ่ายตอบรับกลับมาสั้นๆเรียวตะจึงหน้ามุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตู เอคิจิจึงลุกขึ้นบ้าง

“น้องมันป่วยอยู่อย่าทำอะไรรุนแรงล่ะ”เรียวตะทิ้งท้ายคำพูดไว้แค่นั้น และนั่นทำให้เอคิจิขมวดคิ้ว มองหน้านิ่งๆของคนที่เดินมาส่งแล้วต้องยั้งปากไว้

“กลับก่อนนะ มีอะไรด่วนก็โทรเรียกล่ะ”

“อืม”

สุดท้ายจึงเหลือแค่เขากับมิอุระ ฮารุโตะอยู่ภายในห้อง ชายหนุ่มเดินไปทรุดตัวลงนั่งข้างฟูกนอนเช่นเดิมและมองใบหน้ายามหลับสนิทของคนป่วยเนิ่นนาน



ฮารุโตะรู้สึกตัวตื่นเพราะความหิว ภายในห้องมืดสนิท ห้องของเขามีหน้าต่างแต่เขามักจะดึงม่านปิดเสมอเวลานอนหรือเวลาไม่อยู่ที่ห้อง

เขากวาดสายตามองไปทั่วเพื่อเรียกสติ รอให้ความมึนงงจางหายไปก่อนจะพยายามพยุงตัวลุกขึ้น

“ตื่นแล้วหรือ”

เด็กหนุ่มหันมองด้วยความตกใจ มองเงาตะคุ่มในความมืดด้วยความระแวดระวัง ร่างนั้นขยับตัวลุกขึ้นยืนดึงสายสวิตช์ไฟที่เพดาน พอแสงสว่างจากหลอดไฟสาดส่องไปทั่วฮารุโตะจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“รุ่นพี่มาได้อย่างไรครับ”

“ก็มากับนาโอโตะ”เขาตอบขณะเดินไปเปิดเตาเพื่ออุ่นข้าวต้มที่นาโอโตะทำไว้

“รุ่นพี่อาโอกิ?”เด็กหนุ่มเอ่ยทวนชื่อนั้น

“อืมแต่กลับไปนานแล้ว”แค่เพียงครู่เดียวเขาก็ยกหม้อลงจากเตาเทข้าวต้มใส่ถ้วยจากนั้นจึงไปยกโต๊ะอุ่นขาซึ่งวางอยู่ข้างผนังมาวางใกล้ๆเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องและยกถ้วยมาวางบนโต๊ะ

“ทานซะ”ซากินั่งลงข้างๆมองฮารุโตะซึ่งยังนั่งนิ่งอยู่บนฟูกนอน

“ไม่หิวหรือ ทานซะหน่อยซิ”

ฮารุโตะนั่งมองข้าวต้มถ้วยนั้นอยู่นานเมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องไม่ยอมขยับตัวเสียที ชายหนุ่มร่างสูงจึงขยับเข้าไปหาหยิบช้อนและตักอาหารขึ้นไปจ่อถึงปากของอีกฝ่าย

ฮารุโตะเบือนหน้าหนีนั่นทำให้ซากิขมวดคิ้วฉับพลัน

“คิดจะประท้วงด้วยวิธีแบบนี้มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ ไม่ว่าเรย์หรือนาโอโตะก็ไม่ได้มารับรู้กับนาย”

แต่สิ่งที่อยู่ในความคิดของฮารุโตะไม่ใช่การประท้วงเช่นที่ซากิว่า  เขาแค่ไม่อยากเกี่ยวพันด้วย อยากลืมทุกสิ่งอยากลืมแม้กระทั่งความรู้สึกที่เคยมีให้กับนาคามูระ เรย์

“ถ้าไม่กินแล้วจะมีแรงไปแย่งเรย์มาไหม”

“ที่พูดมาก็แค่คำโกหกใช่ไหมครับ”เขาหันไปถามด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที ความคิดน้อยอกน้อยใจผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เขาไม่ใช่ตัวตลก ไม่ใช่ของเล่นของใคร ไม่ใช่กระสอบทราย ไม่ใช่ตัวอะไรที่ใครจะทำอะไรกับเขาก็ได้ ถ้าไม่คิดจะสนใจไยดีก็แค่ปล่อยเขาทิ้งไว้ให้เขาได้อยู่ในโลกในใบนี้คนเดียวนั่นเพียงพอแล้ว

ความอัดอั้นที่อยู่ในใจกลั่นตัวออกมาเป็นน้ำตา ฮารุโตะก้มหน้าลงทั้งที่ในลำคอแห้งผาก ทั้งที่กระเพาะส่งเสียงครวญครางด้วยความหิวโหย เด็กหนุ่มยังคงล้มตัวลงนอนพยายามหลับและจมอยู่ในโลกที่ไม่มีความทรมานใดๆอีกครั้ง

กระนั้นซากิไม่ได้ปล่อยให้รุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของห้องทำอย่างใจได้ง่ายๆ เขาดึงตัวหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้น การกระทำของฮารุโตะทำให้เขาหงุดหงิด

“นายเป็นอะไรของนาย เรย์กับนาโอโตะสองคนนั้นคบกันมาก่อนและนายก็มาทีหลัง”

“รู้แล้ว!!!” ฮารุโตะร้องตะโกนออกมาแต่เสียงนั้นยังคงแสนแผ่วเบา “เรื่องนั้นผมรู้ดี เพราะฉะนั้นปล่อยให้ผมอยู่คนเดียวได้แล้ว” น้ำตานองไปทั้งใบหน้าที่แดงเรื่อ เขาหลั่งน้ำตาพร้อมสะอื้นฮักๆ อาการไข้ที่ยังไม่ทุเลาเหมือนจะหนักขึ้นกว่าเดิม

ซากิดึงร่างเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมกอด ลูบศีรษะลูบแผ่นหลังบางปลอบประโลมด้วยหวังให้อีกฝ่ายคลายอาการสะอื้นลงฮารุโตะแนบศีรษะไปกับแผ่นอกกว้าง มึนศีรษะจนยกไม่ขึ้นและน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด

กระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนานเสียงสะอื้นเบาลงแทบจางหายไปพร้อมๆกับความง่วงงุนที่ครอบงำเด็กหนุ่มอีกครั้งแต่เป็นซากิที่ไม่ยอมให้ฮารุโตะหลับลงง่ายๆ

“อย่าเพิ่งหลับนะทานอะไรสักหน่อยจะได้ทานยา” เพราะเหนื่อยจนหมดแรงฮารุโตะจึงยอมอ้าปากรับข้าวต้มที่หนุ่มรุ่นพี่ตักมาป้อน กินไปได้ไม่กี่ช้อนเด็กหนุ่มก็เบือนศีรษะหนี

“กินอีกคำ” พอโดนกดดันด้วยการตักอาหารมาจ่อที่ปากเด็กหนุ่มจึงต้องอ้าปากรับ ปกติฮารุโตะเป็นพวกกินช้าอยู่แล้วพอร่างกายไม่ค่อยสบาย เขายิ่งรู้สึกว่ากลืนอาหารได้ยากลงไปอีก ทว่าพอเขากลืนลงไปคำหนึ่งข้าวต้มในช้อนอีกคำก็มาจ่ออยู่ตรงหน้าทันที ฮารุโตะอ้าปากรับฝืนกินจนรู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจริงๆ หนุ่มรุ่นพี่จึงยอมวางถ้วยในมือลง  ยาและน้ำถูกส่งมาให้เป็นอย่างต่อไป เมื่อทานเสร็จเขานึกอยากล้มตัวลงนอนเสียเดี๋ยวนั้นแต่ยังคงถูกรั้งให้นั่งอยู่เช่นเดิม ยังดีว่าได้นั่งพิงอยู่กับแผ่นอกกว้างของหนุ่มรุ่นพี่ เขาจึงหลับตาลงเคลิ้มเพลินไปกับสัมผัสที่แผ่นหลัง ร่างกายของรุ่นพี่เองก็อุ่นจนทำให้เขาหลับสบาย



ฮารุโตะยังคงนอนซมเช่นนั้นอยู่อีกสองสามวัน เขาจึงแข็งแรงและเริ่มไปเรียนได้อีกครั้งตอนวันอังคาร เด็กหนุ่มไม่สนิทกับเพื่อนในคณะจึงลำบากตอนที่ต้องติดตามงานในชั้นเรียนช่วงที่เขาหยุดไป เริ่มแรกเขาเข้าไปหาอาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะ

“ทำไมอาคาริต้องบอก ทีมิอุระซังยังไม่เคยช่วยเหลืออะไรอาคาริเลย ถ้าคิดว่ามีปัญญาเรียนด้วยตัวคนเดียวได้ก็ไปขวนขวายเอาเองเถอะ”เธอบอกอย่างฉุนเฉียว เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก ยอมเดินกลับไปที่นั่งของตัวเอง เขาถอนใจนึกว่าช่างมันเสีย เขาขาดเรียนแค่สองวันซ้ำในสองวันนี้มีเรียนแค่วิชาบรรยายที่ไม่สำคัญ จะกังวลก็แค่รายงานเพิ่มเติมเท่านั้นเอง

ตอนบ่ายฮารุโตะมีเรียนวิชาปฏิบัติการทางชีววิทยาถึงจะมีการเลือกสาขาที่ต้องการเรียนไว้ตั้งแต่แรก แต่นักศึกษาปีหนึ่งยังต้องเรียนวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยสมาชิกกลุ่มในการทำการทดลองยังคงเป็นกลุ่มเดิมเมื่อตอนเทอมหนึ่ง

สำหรับข้อสอบก่อนเข้าเรียนในวันนี้ฮารุโตะทำได้ค่อนข้างน้อย เนื่องจากอาการป่วยทำให้เขาทบทวนบทเรียนได้น้อยลง กระนั้นฮารุโตะก็ยังปลอบใจตัวเองว่าคะแนนของเขาคงจะไม่น้อยจนเกินไปนัก เมื่อหมดเวลาสอบอาจารย์จะทำการบรีฟรายละเอียดเกี่ยวกับทดลองอีกครู่หนึ่ง จากนั้นจึงปล่อยให้นักศึกษาเริ่มทำการทดลอง

มิสะกับจิเอะยังคงนั่งคุยกันอยู่เช่นเดิม ฮารุโตะเหลือบสายตามองทั้งสองคนเพียงเล็กน้อย และจัดการทำการทดลองด้วยตัวเองเพียงคนเดียวต่อไป เขาจดบันทึกไปพลางทำการทดลองไปพลาง กว่าจะเสร็จจึงปาเข้าไปเที่ยงกว่า เพื่อนนักศึกษากลุ่มอื่นต่างทยอยออกจากห้องไปก่อนหน้าแล้วเด็กหนุ่มจึงรีบเก็บของเพราะเขาต้องกลับไปทานข้าวกลางวันที่ห้อง

“ใบรายงานนี่อาคาริขอแล้วกันนะ” มิสะพูดขึ้น

“แต่มันเป็นของผม”

“ก็แล้วอย่างไรล่ะเป็นเพื่อนกันก็ต้องรู้จักช่วยเหลือกันสิ อย่ามาเห็นแก่ตัวหน่อยเลยนะ”

ฮารุโตะสะอึกกับคำพูดเหล่านั้นของหญิงสาว รู้สึกมึนงงสับสนอยู่ไม่น้อย การกระทำแบบไหนกันที่เรียกว่าเห็นแก่ตัว เด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่งงันแต่เมื่อเห็นหญิงสาวทั้งสองหมุนตัวกำลังจะเดินออกจากห้องเขาจึงวิ่งไปขวางไว้

“จะเอาไปก็ได้ แต่ขอให้ผมเอาไปถ่ายเอกสารก่อน”

“อาคาริไม่ว่างมารอหรอกนะต้องไปทำอย่างอื่นด้วย มิอุระซังน่าจะจำได้ไม่ใช่เหรอ ก็ไปเขียนเอาใหม่ละกัน”ไม่ว่าเปล่าซ้ำยังผลักเขาให้พ้นทาง ฮารุโตะมองคนทั้งคู่ตาละห้อย ลังเลด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดีแต่พอท้องส่งเสียงร้องดัง เขาจึงตัดสินใจเดินกลับห้องพักเพื่อไปกินข้าว ตกบ่ายจึงกลับเข้ามาเรียนวิชาบรรยายพอหมดคาบเรียนตอนบ่ายเขาก็ไปที่ห้องชมรม รุ่นพี่ผู้หญิงในชมรมกำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอยู่พอดี พอหันมาเห็นเขาก็กวักมือเรียกให้ไปรวมกลุ่มด้วยพลางยื่นหนังสือแฟชั่นที่ลงภาพแฟชั่นฤดูหนาวมาให้ดู

“สวยไหม” ส่วนใหญ่เป็นโค้ตกันหนาวสำหรับผู้หญิงถึงฮารุโตะจะไม่มีความรู้ทางด้านนี้แต่แค่ดูและบอกว่าสวยหรือไม่สวยเขาก็สามารถบอกได้

“สวยครับ”

เมื่อนัตสึมิส่งมาให้อีกภาพเขาก็บอกว่าสวย จากนั้นต่างเปิดหน้าโน้นหน้านี้ให้ดูและหันมาถามเขา ฮารุโตะก็บอกว่าสวยทุกรูปจนพวกรุ่นพี่และนัตสึมิหัวเราะ

“ถ้าแบบเสื้อน่ะเป็นพวกคอสเพลย์น่าจะดีกว่านะคะ ฉันว่าน่าสนใจกว่าเสื้อผ้าพวกนี้อีก” รุ่นพี่ปีสองเอ่ยขึ้นเพื่อดึงให้ทุกคนกลับมาสู่หัวข้อสนทนาอีกครั้ง ฮารุโตะเองได้เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน

“รุ่นพี่เองก็ตัดเสื้อผ้าพวกนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”คนพูดหันไปถามโอคาดะ ทสึคิโยะสมาชิกของชมรมผู้ซึ่งรับหน้าที่ตัดเสื้อผ้าเพื่อให้ลูกค้าของชมรมได้สวมใส่

“อืมนะ แต่มันเป็นหน้าหนาวนี่ล่ะ ฉันไม่ได้รู้จักตัวละครในอนิเมะขนาดนั้นซะด้วย”

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันให้อัตซึชิช่วยหารูปมาให้”อาเบะ ซึกิซากะออกปากรับอาสาเต็มที่ ฮารุโตะมองเห็นทุกคนกระตือรือร้นตื่นเต้นกัน เขาจึงพลอยรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย แม้จะยังไม่รู้ว่าทำไมทุกคนมานั่งคุยกันเรื่องนี้ก็ตามและทุกอย่างได้ถูกเฉลยเมื่อรุ่นพี่อาโอกินำตารางเวรการทำงานมาให้ กิจกรรมชมรมในเดือนหน้าเป็นการถ่ายแบบฤดูหนาวแต่พอรุ่นพี่อาโอกิหันไปถามเรื่องเสื้อผ้ากับกลุ่มผู้หญิงรูปแบบกิจกรรมจึงเปลี่ยนเป็นคอสเพลย์ฤดูหนาว จะมีการแจกใบปลิวกิจกรรมทันทีที่บัวร์ชัวร์เสร็จเรียบร้อย ฮารุโตะซึ่งก้มหน้าอ่านตารางการทำงานของตัวเองรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน 

เมื่อเงยหน้าขึ้น สายตาพลันหันไปเห็นรุ่นพี่นาคามูระกำลังมองรุ่นพี่อาโอกิซึ่งกำลังคุยอยู่กับรุ่นพี่ปีสองอีกคน ในใจของเด็กหนุ่มจึงเกิดอาการวูบโหวง  ไม่รู้ว่าเพราะตัวเขาได้รับรู้ว่ารุ่นพี่ทั้งสองคนคบหากันฉันท์คนรักหรือเช่นไร เขาถึงได้มองเห็นว่าสายตาของรุ่นพี่นาคามูระที่ทอดมองรุ่นพี่อาโอกินั้นอ้อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความหมายเพียงใด จะว่าไปตอนที่รุ่นพี่อาโอกิพูดถึงรุ่นพี่นาคามูระ แม้จะบ่นถึงข้อเสียอยู่บ้างแต่น้ำเสียงล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขยามพูดถึง เมื่อมานึกย้อนกลับไปในเวลานี้เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างโง่งมเสียเหลือเกิน

หลังเลิกจากชมรม สถานการณ์ที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องพบกับความทดท้อใจยังคงไม่หมดสิ้น ที่ทำงานพิเศษเขายังต้องโดนผู้จัดการเรียกเตือนอีกร่วมชั่วโมง เรื่องที่เขาหยุดโดยไม่มีการแจ้งข่าว แม้ผู้จัดการจะเป็นคนใจดีแต่เข้มงวดและมีระเบียบวินัยมาก ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้ายอมรับผิดและกล่าวขอโทษอยู่หลายครั้ง กลับจากที่ทำงานฮารุโตะจึงรู้สึกเหนื่อยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวกระนั้นเขาก็ยังคงพักผ่อนไม่ได้เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเขาต้องส่งรายงานวิชาปฏิบัติการ

เด็กหนุ่มดึงโต๊ะอุ่นขาออกมาตั้ง เตรียมกระดาษเขียนรายงานและอุปกรณ์เครื่องเขียนออกมาวาง  เขาลงมือเขียนหัวกระดาษรายงานเหมือนทุกครั้ง เขียนรายละเอียดของอุปกรณ์ข้อสันนิษฐานและวิธีการแต่พอมาถึงรายละเอียดการทดลอง เด็กหนุ่มต้องกุมขมับคิดหนัก เขาจำไม่ได้เสียแล้วเด็กหนุ่มจึงต้องเขียนๆลบๆอยู่หลายครั้ง และเมื่อลบมากขึ้น  หน้ากระดาษก็เละเทะจนเขาต้องเปลี่ยนใบใหม่ดังนั้นกว่าจะเขียนเสร็จ เวลาจึงได้ล่วงเลยจนเหลืออีกแค่หนึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาตื่นในยามปกติ ฮารุโตะตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาเริ่มเรียนประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วจึงทิ้งตัวลงบนฟูกนอน

ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงต้องมานั่งเรียนทั้งที่ท้องหิวแต่เขายังอดทนนั่งเรียนจนจบคาบ ออกจากห้องเรียนช่วงเช้าเขายังต้องไปส่งรายงานวิชาปฏิบัติการ ถ้าจะพูดถึงสภาพตอนนี้ฮารุโตะหิวจนหายหิวและรู้สึกไม่มีแรงเสียมากกว่า อากาศเย็นจนต้องห่อตัวต้านลมหนาว แสงแดดแรงกล้าดูจะไม่ส่งผลใดๆกับอุณหภูมิของอากาศ

ตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจะเดินพ้นรั้วของมหาวิทยาลัยเสียงเรียกชื่อก็ดังขึ้น เขาหันไปมองเห็นรุ่นพี่อาโอกิกดกระจกรถยนต์ลงยื่นหน้ามาคุยกับเขา

“จะไปไหนน่ะ วันนี้ไม่มีเรียนแล้วหรือ”รุ่นพี่ถามเขาอย่างสงสัยเพราะต้องทำงานกับชมรมเขาจึงต้องเขียนตารางเรียนให้อีกฝ่ายและเรื่องที่เขาจะต้องกลับไปกินข้าวที่ห้องตอนกลางวันเขาก็ไม่เคยบอกใคร ดังนั้นเขาจึงเลี่ยงเป็นคำตอบอื่น

“ผม…ลืมหนังสือเรียนไว้ครับต้องกลับไปเอา”

“อืม อย่างนั้นมาขึ้นรถเลยเดี๋ยวพี่ไปส่ง”

“ไม่เป็นไรดีกว่าครับ”ฮารุโตะบอกปฏิเสธ “ผมเดินไปใช้เวลาแค่นิดเดียวเอง”

“นั่งรถไปก็เร็วกว่าเดินไง”

ฮารุโตะอยากปฏิเสธเพราะรู้อยู่แล้วว่าที่นั่งคนขับเป็นของรุ่นพี่นาคามูระ ถ้าจะต้องให้ไปอยู่ในพื้นที่แคบๆกับคนที่แอบชอบโดยที่มีแฟนของเจ้าตัวนั่งอยู่ด้วย เด็กหนุ่มคิดว่าตนคงหายใจไม่ออก แม้แฟนของรุ่นพี่นาคามูระจะเป็นรุ่นพี่อาโอกิผู้แสนใจดีก็ตาม กล่าวในอีกแง่คือเขายังทำใจไม่ได้

อย่างไรก็ตาม รุ่นพี่อาโอกิไม่ได้ปล่อยให้เขาคิดพิจารณาได้นานกว่านี้ ร่างสูงเพรียวเปิดประตูลงจากรถมารุนหลังให้เขาสอดตัวเข้าไปยังที่นั่งตอนหลังโดยไม่ปล่อยให้เขาเอ่ยปฏิเสธซ้ำสอง

เด็กหนุ่มรู้สึกมวนในท้องเมื่อได้สบตากับรุ่นพี่นาคามูระผ่านกระจกมองหลัง แม้ว่าอันที่จริงแล้วน่าจะมาจากอาการหิวข้าวเสียมากกว่าฮารุโตะจึงได้แต่นั่งเงียบ

“อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้างฮารุจัง”

“ดีขึ้นมากแล้วครับ”พอนาโอโตะเอ่ยถาม เด็กหนุ่มเพียงแค่ตอบกลับไปสั้นๆ

“ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้วดูแลสุขภาพดีๆล่ะ เออว่าแต่มีเสื้อกันหนาวหรือเปล่า พี่เห็นเราใส่แต่สเวตเตอร์ตัวนี้มาหลายครั้งแล้ว”

“เอ้อ..” ฮารุโตะไม่รู้จะตอบเช่นไรดีแม้จะรับรู้ตั้งแต่แรกว่ารุ่นพี่เป็นคนดีที่คอยยื่นมือมาช่วยเหลือเขาเสมอแต่ครั้งนี้ในใจของเขามีแต่ความคลางแคลงสงสัย รุ่นพี่อาโอกิอาจจะแค่แกล้งทำเป็นคนดีก็เป็นได้หรือคงแค่อยากอวดว่าตนเหนือกว่า มีทุกสิ่งมากมายจนเหลือพอที่จะแจกจ่ายให้ผู้อื่น

“ผม…”

“อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับน้องเขานักเลย”จู่ๆเรย์ก็พูดขัดขึ้นมาทั้งที่นั่งขับรถมาเงียบๆอยู่นาน

“น้องเขาจนโตจนป่านนี้แล้วต้องดูแลตัวเองได้อยู่แล้วล่ะ”คำพูดของเรย์เหมือนคำพูดธรรมดาที่แค่ปรามไม่ให้นาโอโตะวุ่นวายกับรุ่นน้องปีหนึ่งจนเกินไปนัก แต่เด็กหนุ่มได้ยินคำพูดนั้นแล้วรู้สึกราวกับโดนว่ากล่าวเสียดสี นั่นทำให้เขายิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมบีบมือของตนไว้แน่นราวกับพยายามกดความรู้สึกบางอย่างไม่ให้พวยพุ่งออกมา

“ถามเพราะความเป็นห่วงไม่เกี่ยวกับว่าโตจนดูแลตัวเองได้เสียหน่อย”นาโอโตะหันไปต่อว่าคนรักด้วยความไม่พอใจทันที ก่อนจะเงียบเสียงลงเพราะไม่อยากทะเลาะกับเรย์ต่อหน้าหนุ่มรุ่นน้อง

เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวบรรยากาศในห้องโดยสารจึงอึดอัดยิ่งกว่าเดิมไปโดยอัตโนมัติ เด็กหนุ่มอดทนอยู่กับบรรยากาศเช่นนั้นจนถึงจุดหมาย เขารีบกล่าวขอบคุณและรีบเปิดประตูลงจากรถ โค้งศีรษะให้ซ้ำตอนที่หนุ่มรุ่นพี่ประธานชมรมถ่ายภาพบังคับรถยนต์เคลื่อนที่ห่างออกไป จากนั้นจึงหมุนตัวเดินกลับขึ้นไปบนห้อง เขาย่างเท้าก้าวขึ้นบันไดด้วยท่าทางอ้อนแรง ก้าวเท้าเชื่องช้าจนกระทั่งถึงห้องพัก

หลังจากเปิดประตูตู้เย็นออกมา เขาพบเพียงขนมปังแถวที่เหลืออยู่สองสามแผ่นกับของสดอีกนิดหน่อยเพราะหยุดงานไปโดยไม่บอกกล่าวและสร้างความเดือดร้อนไว้ให้กับผู้จัดการ เขาจึงไม่กล้าหยิบอาหารสำเร็จกลับมาเช่นทุกที มื้อเที่ยงวันนั้นเด็กหนุ่มจึงทานขนมปังกับแยมที่เขามีติดตู้ไว้ ขนมปังเริ่มแข็งเพราะถูกเก็บไว้นาน มันแข็งและแห้งจนทำให้กลืนได้ยากกว่าจะจบมื้อนั้นจึงใช้เวลานานโข และเมื่อเหลือบสายตากลับไปมองนาฬิกาอีกครั้ง เด็กหนุ่มจำต้องรีบกระวีกระวาดกลับไปเข้าคาบเรียนตอนบ่าย

บ่ายนั้นเขาไม่ค่อยมีสมาธิอยู่กับการเรียนมากนัก ในสมองเฝ้าแต่ครุ่นคิดเรื่องของรุ่นพี่นาคามูระ เรย์ เด็กหนุ่มรู้ตัวอยู่บ้างว่า เขามองคนไม่ค่อยออก เดาการกระทำของคนรอบข้างไม่เป็น ไม่ค่อยรู้ว่าที่คนอื่นพูดหรือกระทำเพราะรู้สึกหรือเพราะสาเหตุอะไร แต่คำพูดของหนุ่มรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกได้ชัดเจนว่าตนเองกำลังเป็นที่ไม่ชอบใจของอีกฝ่าย ฮารุโตะไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ตัวเขาอาจจะไม่มีโอกาสได้อยู่ในสายตาของรุ่นพี่ก็จริงแต่การโดนเกลียดมันเป็นอะไรที่ทรมานมากกว่า แต่จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกเกลียดชัง ฮารุโตะเองกลับไม่รู้เลย
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-02-2017 12:44:34

นาโอโตะมองหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ไม่ห่างอย่างนึกกังวล ทั้งที่เมื่อช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาเด็กหนุ่มดูสดใสขึ้นบ้างแล้วเชียว ทว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นกลับดูหมองเศร้าอึมครึมกว่าที่เขาได้เจอครั้งแรกเสียอีก

“ไม่สบายหรือเปล่าฮารุจัง”เขาเอ่ยปากถาม หน้าตาของหนุ่มรุ่นน้องดูหงอยๆ ซึ่งเด็กหนุ่มก็สั่นศีรษะปฏิเสธแต่ยังคงเงียบเสียงอยู่เช่นเดิม

เขายกมือลูบศีรษะของหนุ่มรุ่นน้อง

“โดนใครแกล้งมาหรือบอกพี่ได้นะเดี๋ยวพี่ไปจัดการให้”พูดพลางทำหน้าแข็งขัน กระนั้นฮารุโตะยังคงส่ายหน้าอีกครั้ง แววตาที่มองสบมาดูคล้ายอยากจะร้องไห้อยู่รอมร่อ จนเขานึกสงสาร

“ไม่บอกพี่ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะ”ชายหนุ่มร่างเพรียวดึงหนุ่มรุ่นน้องเข้ากอดพอทำเช่นนั้นเสียงกระแอมกระไอก็ดังขึ้นพร้อมเสียงของเรย์ที่นั่งอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ดังตามมา

“ไม่ต้องกอดก็ได้มั้ง น้องเขาคงไม่เป็นไรหรอกฉันเห็นก็ยังปกติดีนี่”

“นายนะเงียบๆไปเลย”นาโอโตะว่า ทั้งเขาและฮารุโตะนั่งอยู่บนชุดโซฟาที่ไม่ห่างจากจุดที่เรย์นั่งนัก

ฮารุโตะเห็นสายตาของเรย์ที่มองเขาแววตานั้นมีแต่ความไม่พอใจ

“จะทำอย่างไร… คนอื่นถึงจะไม่เกลียดเราละครับ”เสียงของฮารุโตะค่อนข้างเบายามถามคำถามนั้นกับนาโอโตะ แต่นาคามูระ เรย์ที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่ยังได้ยินชัดเจน

“ก็หยุดอ้อนออเซาะทำตัวอ้อนแอซะ คนเกลียดก็คงน้อยลงมั้ง”เรย์โพล่งออกมาเสียงดัง ในห้องชมรมขณะนั้นมีสมาชิกอยู่ไม่กี่คนเมื่อเสียงของชายหนุ่มหัวหน้าชมรมดังขึ้นทุกคนต่างหยุดกิจกรรมในมือหันมาให้ความสนใจทันที

“เรย์!!!” นาโอโตะร้องปราม “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายไม่ต้องออกความคิดเห็น”

“ไม่เกี่ยวอะไร ที่ไอ้เด็กนี่มันทำอยู่มันเกี่ยวกับฉันเต็มๆ มันกำลังจะแย่งแฟนฉันนะมันจะไม่เกี่ยวอย่างไร”

“ฉันว่าเราเคยพูดเรื่องนี้กันไปหลายรอบแล้วนะ”นาโอโตะเสียงดังกลับไปบ้าง นึกโมโหกับอาการขี้หึงไม่ดูตาม้าตาเรือของคนรักเสียจริง

“เออหลายรอบแล้วไงวะ นายพูดแค่ว่าไม่มีอะไรแต่ดูการกระทำดิ อยู่ต่อหน้าฉันพวกนายยังกล้ากอดกันแล้วลับหลังมันจะขนาดไหน”

“บ้าไปกันใหญ่แล้วเรย์ พูดอย่างนี้หมายความว่านายไม่เชื่อใจฉันใช่ไหม”ทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างไม่ลดละจนคนต้นเรื่องอย่างฮารุโตะหน้าตาตื่น

“ฉันก็อยากเชื่อใจนะเพราะฉะนั้นนายทำให้ฉันรู้สึกหน่อยได้ไหม”เรย์พูดเสียงอ้อน

อาโอกิ นาโอโตะส่งเสียงเหอะขึ้นจมูก “ระยะเวลายี่สิบเอ็ดปีที่พวกเรารู้จักกันมันไม่มีความหมายเลยใช่ไหม นายถึงทำเหมือนไม่รู้จักนิสัยฉันแบบนี้”เขาจ้องสบสายตากับเรย์เขม็งก่อนจะพรูลมหายใจออกมาอย่างนึกยอมจำนนทั้งที่ภายในใจยังกรุ่นโมโห

“วันนี้พวกเราคงคุยไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ”เป็นฝ่ายนาโอโตะที่ยอมตัดบทง่ายๆก่อนจะคว้าข้อมือของหนุ่มรุ่นน้องแล้วดึงให้เดินออกจากห้องมาด้วยกัน

“รุ่นพี่ครับ”ฮารุโตะร้องเรียกพลางรีบก้าวเท้าตามรุ่นพี่ร่างเพรียวที่สับเท้าอย่างรวดเร็วจนเขาแทบจะก้าวเท้าตามไม่ทันกระทั่งเด็กหนุ่มสะดุดเท้าจวนจะล้มอีกฝ่ายจึงได้ชะลอฝีเท้าและหยุดลง

“ผมขอโทษครับ”เด็กหนุ่มเอ่ย

“ขอโทษอะไรกัน นายไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”นาโอโตะพูดพร้อมฝืนยิ้มที่พยายามทำให้อีกฝ่ายสบายใจ “พวกพี่ก็ทะเลาะกันแบบนี้ประจำ”

“แต่เรื่องทุกอย่างเป็นเพราะผม”แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวมากนักแต่การที่รุ่นพี่นาคามูระอารมณ์เสียนั่นเริ่มมาจากคำพูดของเขาและที่สำคัญฮารุโตะไม่รู้สึกดีใจสักนิดกับการที่รุ่นพี่ทั้งสองคนทะเลาะกัน และทำให้รุ่นพี่อาโอกิดูหมองเศร้าเช่นนี้

“คิดมากเกินไปแล้วไม่มีอะไรหรอกเชื่อสิ”คนพูดกล่าวย้ำเพื่อให้หนุ่มรุ่นน้องสบายใจ แต่ภายในแววตานั้นที่ฮารุโตะได้เห็นกลับดูโศกสลดเหลือเกิน



“เกิดอะไรขึ้นน่ะ”เรียวตะเอ่ยปากถามทันทีที่เข้ามาในห้องชมรม เขาเดินสวนกับนาโอโตะตอนกำลังจะขึ้นตึก พอออกปากทักไปอีกฝ่ายกลับเมินเขาไปเสียเฉยๆเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เดินตามหลังไปก็มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก เมื่อเดินเข้ามาในชมรมก็พบว่าเรย์กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยง

คนที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้เขาฟังคร่าวๆซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับเพื่อนอีกสองคนที่เพิ่งมาถึงห้องชมรม เรียวตะจึงขยายความต่อ

“เรย์มันหึงนาโอโตะกับฮารุจังเพราะเห็นสองคนนั้นกอดกัน”

“แล้วจะไม่ให้โมโหหรือไงมากอดกันต่อหน้าต่อตาเลยนะ”

“สรุปคือโง่จริงๆ” ซากิพูดขึ้นมาบ้าง

“อ๊ะ… อะไรเป็นเพื่อนกันจริงหรือเปล่าเนี่ย”เรย์หันไปถามซากิอย่างข้องใจที่ฝ่ายนั้นไม่เข้าข้างเขา

“นายคบกับนาโอโตะมาห้าปีแล้วนะ มันควรจะมาหึงหวงแบบไม่มีเหตุผลอีกเหรอ”เอคิจิพูดขึ้นบ้าง

“มันก็ควรคิดละมั้ง นาโอโตะทั้งนิสัยดี ใจดี หน้าตาดีก่อนมาคบกับเรย์มีแต่เด็กผู้หญิงมาชอบ ถ้าเจ้าชู้ได้สักครึ่งของซากิฉันว่าหมอนั่นคงได้เปลี่ยนผู้หญิงบ่อยกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าแน่ๆ”เรียวตะหัวเราะไปพลาง ส่วนบุคคลที่ถูกกล่าวถึงแค่ยกยิ้มมือยังง่วนอยู่กับกล้องถ่ายภาพตัวโปรด

“ไม่ตลก”เรย์พูดเสียงแข็ง

“ถ้าไม่ตลก นายก็ไม่ควรกังวลกับเรื่องไร้สาระแบบนั้น”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง “นายน่าจะรู้อยู่แล้วว่านาโอโตะเป็นคนแบบไหนยังไประแวงจนเกิดเรื่องขึ้นอีก”

“แถมยังทำตัวซ้ำซากจนน่าเบื่อ”เรียวตะกล่าวเสริมแล้วหันไปถามเพื่อนอีกคน“แล้วตกลงเอาอย่างไรเนี่ยเรื่องฮารุจังอ่ะ”

สองคนที่เหลือจึงหูผึ่งไปด้วย แต่คนถูกถามไม่ตอบแค่เลิกคิ้วมอง

“เอ้า ตอบมาดิอย่ามาทำเก๊ก เรย์มันจะได้สบายใจด้วย”

ชายหนุ่มยังเงียบจนโดนเร่งอีกรอบ

“จะให้ตอบอะไร ไม่มีอะไรนี่แค่รุ่นพี่รุ่นน้อง”

“เฮ้ยๆจริงดิน้องมันรู้หรือเปล่า”

“เดี๋ยวสิ อะไร? อย่างไร?”เรย์ถามแทรกขึ้นมาอย่างสงสัย

“ก็ฉันเห็นซากิมันพาน้องเข้าโรงแรม”

“เฮ้ย!!!”ทั้งเรย์และเอคิจิต่างร้องอุทานออกมาพร้อมกันแน่นอนว่าพวกเขารู้ความหมายในคำพูดนั้นของเรียวตะดี

“ตกลงว่าอย่างไร จีบจริงๆหรือจีบเล่นๆ”เรียวตะยังถามต่อ

“ไม่ได้จีบ”

“แล้วมันคือ?”

“แค่นอนด้วยเฉยๆ”

เมื่อฟังประโยคนั้นจบทั้งสามคนยิ่งนิ่งงันกับคำตอบไม่เว้นแม้กระทั่งเรียวตะที่พอจะเดาเหตุการณ์ได้รางๆมาก่อนหน้า

“น้องเขายินยอมหรือ”

“ฉันไม่เคยใช้กำลังฝืนใจใครอยู่แล้ว”

เรียวตะผิวปากหวือ “หล่อเลวครบสูตร”

ซากิหัวเราะกับคำต่อว่า

“ได้ยินแบบนี้คงเลิกงี่เง่าได้แล้วมั้ง ถ้าน้องมันคิดอะไรกับนาโอโตะจริงคงไม่ยอมซากิมันง่ายๆหรอก”เรียวตะหันไปพูดกับเรย์ซึ่งชายหนุ่มก็พูดตอบกลับมาอย่างที่ใจคิด

“ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น”



แม้ว่านาคามูระ เรย์จะคาดหวังว่าเรื่องทุกอย่างจะจบลงอย่างง่ายๆแต่อาโอกิ นาโอโตะไม่ได้ยอมจบลงง่ายๆเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวจึงทำตัวติดกับรุ่นน้องราวกับเป็นเงาตามตัวและเมินเฉยกับคนรักตัวจริงอย่างนาคามูระ เรย์

“รุ่นพี่ใจร้าย”ฮารุโตะกล่าวต่อว่าหลังจากที่นาโอโตะทำตัวเย็นชาใส่เรย์จนชายหนุ่มร่างสูงต้องยอมล่าถอยไปอีกครั้ง

“โกรธกันไม่ดีนะครับ”

“ไม่สน”พอเป็นเรื่องของรุ่นพี่นาคามูระทีไร หนุ่มรุ่นพี่ผู้แสนใจดีต้องปฏิเสธอย่างไม่ไยดีทุกครั้ง

“ผมยังไม่รู้เลยว่ารุ่นพี่โกรธเรื่องอะไรกันแน่ ถ้าเป็นเรื่องที่รุ่นพี่นาคามูระว่าผม ผมก็บอกแล้วว่าไม่โกรธหรือว่ารุ่นพี่นาคามูระทำให้รุ่นพี่โกรธ รุ่นพี่เขาก็มาขอโทษแล้วตั้งหลายครั้งยกโทษให้เขาไปเถอะครับ”แม้จะพูดจนเหนื่อยแต่เด็กหนุ่มก็ยังคงพูดซ้ำๆในเรื่องเดิมๆ

“ฮื่อ ยกโทษ”

ฮารุโตะยกยิ้มออกมาเมื่อนาโอโตะยอมออกปากว่าให้อภัยเสียทีไม่เสียแรงที่เขาคอยพร่ำแต่เรื่องเดิมๆทุกเวลา

“แต่ไม่อยากคุยด้วย”

“อ้าว” เด็กหนุ่มหุบยิ้มในฉับพลัน “ทำไมละครับ”

“อยากจะลงโทษให้หลาบจำอย่างไรล่ะ ครั้งหน้าจะได้ไม่กล้าทำอีก เรื่องของเรย์น่ะช่างเถอะ ฮารุจังน่ะกินข้าวเข้าสิ เดี๋ยวไม่ทันเข้าเรียนคาบบ่ายนะ”

พอโดนพูดกระตุ้นเด็กหนุ่มถึงได้คีบอาหารเข้าปาก ตั้งแต่วันที่รุ่นพี่อาโอกิทะเลาะกับรุ่นพี่นาคามูระในห้องชมรม  วันรุ่งขึ้นรุ่นพี่อาโอกิก็มาหาเขาแต่เช้าพร้อมปิ่นโตสำหรับมื้อเช้า  แต่เช้านั้นเขาทานอาหารเสร็จแล้วจึงต้องปฏิเสธไป กระนั้นช่วงเที่ยงรุ่นพี่อาโอกิยังไปหาเขาถึงห้องเรียนและชวนให้เขามาทานอาหารเที่ยงในสวนข้างตึกคณะศิลปศาสตร์ด้วยกัน หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ผ่านมาร่วมหนึ่งอาทิตย์ที่เขาค่อนข้างจะอุดมสมบูรณ์เพราะอาหารที่รุ่นพี่อาโอกิเตรียมมา

“ขอบคุณสำหรับอาหารครับ”ฮารุโตะกล่าวหลังจากทานอาหารเสร็จเหลือเวลาอีกไม่เกินสิบนาทีคาบเรียนต่อไปจะเริ่มขึ้น เด็กหนุ่มจึงต้องรีบเก็บของมือเป็นระวิง

“ไปเรียนเลยก็ได้ตรงนี้เดี๋ยวพี่เก็บเอง”

“แค่รุ่นพี่ทำอาหารมาให้ทานผมก็เกรงใจจะแย่แล้วครับ”พูดพลางส่งตะกร้าเถาปิ่นโตกับกล่องของหวานให้อีกคน

“ไปก่อนนะครับ”

“อืม… แล้วเจอกันตอนเย็น”นาโอโตะบอก ฮารุโตะโค้งศีรษะให้อีกทีก่อนจะรีบวิ่งออกไป

เด็กหนุ่มไปทันเข้าคาบเรียนก่อนเวลาที่อาจารย์จะเข้าห้องอย่างฉิวเฉียด โดยส่วนใหญ่แล้ววิชาบรรยายวิชานี้ไม่ค่อยเข้มงวดเรื่องเวลาเรียนก็จริง แต่ฮารุโตะไม่ชอบเดินเข้าห้องเรียนระหว่างคาบเพราะมันทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจ แค่เรื่องรุ่นพี่อาโอกิมาหาเขาที่คณะเรื่องนี้ก็ทำให้มีแต่คนมอง เด็กหนุ่มไม่ชอบสายตาของคนทั่วไปที่มองมายังเขาเช่นนั้น

กิจกรรมชมรมในวันนั้นฮารุโตะยังคงเป็นลูกมือฝ่ายแต่งหน้าแต่งตัวเช่นเดิม

“สมาชิกส่วนใหญ่มีแต่พวกที่ชื่นชอบการถ่ายภาพ ถ้าเน้นเฉพาะเรื่องถ่ายภาพกันอย่างเดียวคงไม่ต้องลำบากอะไร ตอนที่ตั้งชมรมมาแรกๆก็เห็นว่าเป็นแบบนั้นล่ะ แต่อย่างที่รู้ว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นไม่ใช่ถูกๆมีช่วงหนึ่งที่ชมรมเกือบถูกยุบเพราะมีสมาชิกไปขโมยเงินเพื่อจะซื้อกล้อง เรย์กับนาโอโตะเลยคิดโปรเจคท์ทำธุรกิจแบบนี้ขึ้นมา”รุ่นพี่โอคาดะพูดพลางเก็บอุปกรณ์แต่งหน้าลงกล่อง

“แรกๆเหนื่อยหน่อยนะเดี๋ยวสักพักก็ชิน วันนี้พี่ต้องไปก่อน นาโอโตะนัดร้านผ้าไว้ให้ อย่าลืมเก็บชุดไปส่งร้านซักรีดล่ะ”

“ครับไม่ต้องห่วงครับ” ฮารุโตะตอบรับอย่างแข็งขัน หลังจากโอคาดะ ทสึคิโยะออกจากห้องไปในห้องชมรมจึงเหลือเพียงแค่เขา ฮารุโตะจึงกวาดสายตาตรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้งก่อนออกจากห้องมาแล้วล็อกประตูห้องชมรม เขาตั้งใจว่าจะเดินไปดูรุ่นพี่นาคามูระซึ่งถ่ายรูปอยู่ในสวน

เพราะอัตราค่าบริการถ่ายภาพของชมรมไม่แพง นักศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงให้ความสนใจมาเป็นลูกค้ากันพอสมควร นอกจากนี้เด็กหนุ่มยังแอบได้ยินเพื่อนๆในคณะพูดกันว่าภาพที่ถูกถ่ายออกมาสวยจริงๆจนอยากจะมาถ่ายบ้าง ซ้ำยังเป็นกระแสอยู่บนเว็บบอร์ดกลุ่มสังคมมหาวิทยาลัย พอได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะจึงรู้สึกยินดีไปกับทุกคนด้วยเช่นกัน

“อ๊ะ มิอุระคุงจะไปไหนน่ะ”รุ่นพี่ปีสองคนหนึ่งเอ่ยทักขณะที่เจอกันบนทางเชื่อมระหว่างอาคาร

“ว่าจะไปดูรุ่นพี่นาคามูระครับ ถ่ายภาพกันเสร็จแล้วหรือครับ”

“อืม ลูกค้ากำลังจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มีธุระอะไรกับรุ่นพี่เรย์หรือเปล่าเดี๋ยวไปบอกให้”

“ไม่มีอะไรสำคัญหรอกครับ”เด็กหนุ่มบอกปฏิเสธก่อนจะเดินนำลูกค้าของชมรมกลับไปยังห้องชมรมอีกครั้ง

พอดูแลเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยอย่างการนัดรับรูปของลูกค้าชุดแรกเสร็จ ลูกค้าชุดที่สองก็กลับมา ฮารุโตะจึงไม่มีโอกาสไปหารุ่นพี่นาคามูระอย่างที่ใจคิด

ระยะเวลาการถ่ายภาพที่กำหนดไว้ประมาณหนึ่งชั่วโมงไม่เกินจากนี้ ถ่ายภาพประมาณห้าสิบถึงหนึ่งร้อยภาพและภาพในจำนวนนี้จะถูกคัดมาอัดลงกระดาษอีกจำนวนสิบสองภาพและไฟล์ภาพที่เหลือจะคืนให้ลูกค้าเกือบทั้งหมด เด็กหนุ่มลองคำนวณคร่าวๆดูแล้วแต่ละภาพต้องใช้เวลาน้อยมากและการคืนไฟล์ต้นฉบับให้ลูกค้าทั้งหมดหมายความว่าคงจะต้องไม่มีภาพเสียเลยฮารุโตะยังนึกทึ่งตอนที่ได้ยินครั้งแรก

“คงเพราะชินแล้วล่ะ ตอนที่ฉันเข้ามาชมรมแรกๆยังตกใจอยู่เหมือนกันแล้วตอนนั้นก็ยังเป็นมือใหม่สุดๆเริ่มจับกล้องได้ไม่นานเองด้วย”

“แล้วถ้าภาพที่ถ่ายออกมามันดูไม่สวยละครับทำอย่างไร” ฮารุโตะถามเพราะรุ่นพี่อาโอกิจะเป็นคนเช็กภาพทุกภาพก่อนส่งให้ลูกค้า

“ก็ลบก่อนเอาลงเครื่อง”รุ่นพี่ปีสองคนนั้นหัวเราะ “ถ้าให้รุ่นพี่เห็นจะโดนด่ายับ อีกอย่างเรามีแข่งกันด้วยว่าใครถ่ายภาพได้เยอะกว่ากันถ้ามีภาพเสียหลุดมาจะติดลบอีกต่างหาก”

“แล้วทำอย่างไรถึงจะถ่ายได้เยอะๆละครับ”

“ก็ภาพทีเผลอ ถ่ายมันทุกมุมทุกอิริยาบถนั่นแหละ ที่สำคัญลูกค้าจะชอบกับภาพพวกนี้มากถ้าถ่ายออกมาแล้วดูดี”

“โม้อะไรน่ะไคโตะ แมงโม้บินให้ว่อน”

“ผมไม่ได้โม้ครับรุ่นพี่เรย์ แค่เล่าให้มิอุระคุงเขาฟังเฉยๆระหว่างรอโหลดภาพ”คนถูกกล่าวหาว่ากำลังพูดโม้หัวเราะ นาคามูระ เรย์เดินหน้าบึ้งเข้ามาในชมรม

“โหลดเสร็จแล้วก็หลีกไปบ้าง คนอื่นเขาจะได้ใช้ต่อ”

“คร้าบคร้าบครับ เชิญเลยครับ”

“ไอ้นี่นิไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ”

“ครับไม่ใช่เพื่อนครับเป็นรุ่นพี่ครับ ผมทราบดีงั้นผมกลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้นะมิอุระคุง”ประโยคสุดท้ายรุ่นพี่ฟูจิฮาระ ไคโตะหันมาพูดกับเขาพร้อมโบกมือให้ เด็กหนุ่มจึงโบกมือตอบ

“นายเองก็กลับไปได้แล้วเดี๋ยวที่เหลือฉันจัดการเอง”รุ่นพี่นาคามูระพูดเสียงห้วนจนเขานึกกริ่งเกรง ฮารุโตะยืนรวบรวมความกล้าอยู่พักใหญ่ถึงได้กล่าวพูดออกไป

“ผมขอโทษเรื่องเมื่อวันนั้นนะครับ”

“ผ่านมาตั้งนานแล้วเพิ่งจะนึกได้หรือไง”เรย์แค่ชายตามองคนพูด

“ไม่ใช่หรอกครับ แต่ผมหาโอกาสคุยกับรุ่นพี่ไม่ได้เสียที ถ้าเข้ามาขอโทษตอนที่รุ่นพี่อาโอกิอยู่ด้วยผมกลัวว่าพวกรุ่นพี่อาโอกิจะโกรธ”

เรย์คิ้วกระตุกอย่างนึกหงุดหงิดกับคำพูดของหนุ่มรุ่นน้อง ถ้ามันกล้าพูดแบบนี้อีกคำเขาจะถือว่ามันตั้งใจเยาะเย้ยเขา ซึ่งโชคดีที่ฮารุโตะพูดถึงประเด็นอื่นที่เรียกความสนใจของเรย์ได้เป็นอย่างดี

“รุ่นพี่อาโอกิบอกว่าหายโกรธรุ่นพี่แล้วนะครับ”

“หายโกรธ นายรู้ได้อย่างไร”

“ผมถามเมื่อตอนกลางวันครับแต่รุ่นพี่อาโอกิบอกว่าจะยังไม่คุยกับรุ่นพี่นาคามูระเพื่อเป็นการลงโทษครับ”

“หือ…ลงโทษเรื่องอะไร” ที่จริงเรย์ก็พอรู้ตัวอยู่แต่เขาอยากรู้ว่านาโอโตะโกรธเรื่องนี้จริงหรือไม่ อีกอย่างคือเขาอยากรู้ว่าคนรักให้ความสนิทสนมกับฮารุโตะแค่ไหน

“ไม่ทราบครับรุ่นพี่ไม่ยอมบอก”

เรย์พยักหน้ารับรู้ เขานิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะอ้าปากถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปว่า

“ตกลงนายคิดอย่างไรกับนาโอโตะ”

เด็กหนุ่มมองหน้าเจ้าของคำถามก่อนจะกลอกตาอย่างครุ่นคิด ชั่วอึดใจต่อมาคำตอบที่ได้รับก็ทำให้นาคามูระ เรย์โมโหเสียยกใหญ่

“ผมชอบรุ่นพี่อาโอกิครับ”

ชายหนุ่มทั้งกระชากคอเสื้อทั้งเขย่าจนฮารุโตะหัวสั่นหัวคลอน

“ตกลงนี่แกจะแย่งนาโอโตะไปให้ได้จริงๆใช่ไหม”

โดนตะคอกเสียงดังใส่ทำให้เด็กหนุ่มลนลานรีบตอบ

“เปล่าครับ ผมไม่เคยคิดแบบนั้น”

“ไม่คิดแบบนั้นอะไรของแก เพิ่งบอกว่าชอบอยู่เมื่อกี้”

เรย์จ้องเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าเขม็ง ฝ่ายฮารุโตะที่ได้สบตากับหนุ่มรุ่นพี่คนที่ตนแอบชอบในระยะใกล้ห่างไม่เกินคืบ จึงเกิดอาการหัวใจเต้นแรงหน้าแดงขึ้นมา คำพูดคำตอบที่เคยอยู่ในหัวเมื่อสักครู่ปลิวหายไปหมด

“ตกลงว่าไงหา!!!”

โดนตะคอกอีกรอบสติถึงกลับมาอยู่กับตัว “ผมชอบรุ่นพี่อาโอกิแบบพี่ชายครับ”เขาตอบไปรวดเดียวด้วยน้ำเสียงฉะฉานแน่นอนละโดนเค้นคออยู่เช่นนี้ถ้าไม่รีบตอบเขาอาจจะหมดลมหายใจไปก่อนก็เป็นได้

“แน่ใจนะ”

ให้ตายเหอะ จมูกของรุ่นพี่จะโดนแก้มเขาอยู่แล้วฮารุโตะบ่นพึมพำอยู่ในใจ หัวใจเต้นแรงจนจะกระดอนออกมาอยู่นอกอกเสียให้ได้

“เงียบ!!! หมายความว่าอย่างไรหา!!!”

“ผมคิดกับรุ่นพี่อาโอกิแค่พี่ชายจริงๆครับ” โดนตะคอกถามจนต้องตะโกนตอบกลับไปบ้าง และเมื่อยืนยันคำตอบไปเช่นนั้นรุ่นพี่นาคามูระถึงยอมกลับกลายร่างมาเป็นคนเสียที

โอย!!! หัวใจจะวายฮารุโตะยังคงยกมือกุมหน้าอก ก้อนเนื้อภายใต้อกซ้ายยังคงเต้นกระดอนรุนแรง

“ถ้าไม่คิดอะไรก็แล้วไป”

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”ถ้าหากเขาอยู่นานไปกว่านี้เขาคงจะหัวใจวายตายไปจริงๆแน่ เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋ารีบเดินออกจากห้องกระนั้นพอเดินลงมาถึงชั้นล่างกลับนึกขึ้นได้ว่าตนเองลืมถุงเสื้อที่ต้องนำไปส่งซัก เขาจึงต้องเดินกลับขึ้นไปที่ห้องชมรมอีกรอบ

“อ้าว กลับมาทำอะไรอีกล่ะ”เป็นจังหวะเดียวกับที่นาคามูระ เรย์เตรียมเก็บของ

“ผมลืมถุงเสื้อที่ต้องไปส่งซักครับ”เด็กหนุ่มรีบเดินไปหยิบของที่ต้องการทันที

“อ้อ อย่างนั้นกลับด้วยกัน ฉันก็กำลังจะกลับเหมือนกัน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับใกล้ๆแค่นี้ผมเดินไปเองได้”

“เอาเถอะน่า”พูดพลางคว้าถุงเสื้อผ้าในมือฮารุโตะมาถือไว้เสียเองพลางออกเดินนำหน้า เด็กหนุ่มจึงได้แต่เดินตามหลังไป

ไม่รู้ว่าควรให้คำจำกัดความของรุ่นพี่นาคามูระว่าเป็นคนอัธยาศัยดีหรือเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรดี เพราะวันรุ่งขึ้นรุ่นพี่กลับทำเหมือนว่าสนิทสนมกับเขามานานจนฮารุโตะยังนึกแปลกใจ

“เอ้า ไฮไฟว์ไงไม่รู้จักหรือ”

“อาครับ”เด็กหนุ่มยกมือขึ้นเหมือนกับที่อีกคนทำชายหนุ่มร่างสูงตีที่ฝ่ามือของเขาแล้วร้องโย่ก่อนจะกอดคอแล้วลากตัวเขาไปหานาโอโตะที่มองอย่างสงสัยเช่นกัน

“มันยิ่งดูแปลกนะเรย์”

“แปลกอะไรไม่มี๊”ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงสูง“ฉันกับฮารุจังเข้าใจกันดีแล้วเท่านั้นเองเนอะฮารุจังเนอะ”

“ค…ครับ”ฮารุโตะตอบรับสั้นๆเมื่อรุ่นพี่หันมาถามเพื่อหาเสียงสนับสนุนคำพูดของตน ตอนนี้หัวใจของเขากำลังเต้นแรงร่างกายของรุ่นพี่อุ่นจนเขาร้อนไปทั้งหน้า

“เห็นไหมทีนี้เชื่อได้หรือยังว่าฉันไม่มีอะไรแอบแฝง”

นาโอโตะหรี่ตามองคนรัก อมยิ้มอย่างขำขันกับความพยายามของชายหนุ่ม

“ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไร”เขาตัดบทไปเพียงแค่นั้นก่อนจะหันไปมองยังประตูทางเข้าห้อง เมื่อมีเสียงร้องทักอรุณสวัสดิ์ดังขึ้นมา

“อ๊ะ เรย์แกนอกใจนาโอโตะ”เรียวตะร้องตะโกนมาแต่ไกล “แกกอดฮารุจัง”เขาแสร้งทำหน้าตื่นตกใจและเสียใจที่เพื่อนทำเช่นนั้น

“ไอ้บ้า”เรย์หัวเราะยกมือออกจากบ่าของเด็กหนุ่มมาผลักไหล่เจ้าของคำพูด

ฮารุโตะจึงใช้โอกาสที่หนุ่มรุ่นพี่ประธานชมรมหันไปให้ความสนใจกับกลุ่มเพื่อน ถอยห่างออกมาอีกนิดยกมือขึ้นกุมหน้าที่ร้อนผ่าวของตน

“เรย์มันทึ่มถ้าคิดจะอ้อยมันคงต้องพยายามมากๆหน่อย”

เด็กหนุ่มสะดุ้งเพราะฝ่ามือแข็งถูกส่งมาโอบเอวเขาไว้ก่อนจะเหลือบสายตามองร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างกาย อีกฝ่ายยังกระซิบพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆต่อไปว่า

“แต่ฉันว่าคงยากต่อให้นายยอมให้มันฟรีๆมันก็คงไม่เอา”

เขาขมวดคิ้วฉับด้วยความไม่ชอบใจ ดึงมือของรุ่นพี่ร่างสูงออกจากเอว ฮารุโตะมองเห็นแต่รอยยิ้มเยาะแสนร้ายกาจบนใบหน้าของอีกฝ่าย เขาขยับเท้าก้าวไปยืนอยู่ใกล้รุ่นพี่อาโอกิ

นาโอโตะเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเมื่อเห็นท่าทางแปลกไปของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธพอรุ่นพี่หันกลับไปคุยกับกลุ่มเพื่อนเขาจึงเบนสายตากลับไปมองชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง เห็นฝ่ายนั้นเดินไปหาที่นั่งและให้ความสนใจอยู่กับกล้องตัวโปรด เด็กหนุ่มจึงเบือนสายตากลับมาและพยายามไม่สนใจคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นอีกแม้ในอกจะรู้สึกแปลบปลาบแปลกๆก็ตาม



นาโอโตะขนเสื้อผ้าเก่าที่ใส่ไม่ได้แล้วมาให้ฮารุโตะอีกครั้ง ถึงจะบอกว่าเป็นเสื้อผ้าเก่าแต่หลายๆตัวยังใหม่จนเด็กหนุ่มยังนึกแปลกใจ

“บางตัวก็ไม่ค่อยได้ใส่นะ”หรืออันที่จริงเสื้อผ้าเซตนี้ค่อนข้างจะไม่ถูกใจเขา

“แม่ของนาโอโตะเป็นบก.นิตยสารแฟชั่นเสื้อผ้าบางตัวเจ้าของแบรนด์ก็ให้มาเฉยๆ บางตัวที่นาโอโตะใส่ถ่ายแบบเขาให้เลยบ้างก็มี”

“รุ่นพี่ถ่ายแบบด้วยหรือครับ”

“ก็นะนานๆที”นาโอโตะตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ เรย์จึงพูดแทรกขึ้นมา

“นานๆทีที่ไหนถ้านาโอโตะคิดจะเอาดีทางด้านนี้ป่านนี้ดังไปแล้ว”

พอได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะถึงกับตาโตด้วยความตื่นเต้นขึ้นมาทันที ถึงเขาจะไม่ค่อยได้ติดตามข่าวสารหรือละครโทรทัศน์แต่ฮารุโตะก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่ชื่นชอบดารานักร้องรวมถึงนายแบบนางแบบ

“อย่าไปเชื่อเรย์มาก เรย์น่ะเว่อร์”

“แต่ผมเชื่อครับ รุ่นพี่หน้าตาดีมากๆ”ฮารุโตะพูดชมออกมาจากใจ

“ขอบใจจ้า”นาโอโตะพูดก่อนเปลี่ยนบทสนทนาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเสื้อผ้า เสื้อผ้าฤดูหนาวที่นาโอโตะนำมาให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องส่วนใหญ่มีแต่สีสันสดใสเขาจึงต้องการให้แน่ใจว่าฮารุโตะจะไม่จับเสื้อผ้าที่มีสีตัดกันจนเกินไปมาสวมใส่

“ลองสวมเสื้อตัวนี้ดีไหม”ชายหนุ่มส่งเสื้อแขนยาวมีฮูดสีเขียวจางให้รุ่นน้อง ตรงชายเสื้อมีลายรูปแมวสีดำวันนี้ฮารุโตะสวมกางเกงยีนสีซีดที่เขาให้ไปครั้งก่อนนอกจากนี้เขายังเตรียมรองเท้าบูตสั้นคู่ที่เขาใส่ไม่ได้แล้วมาให้ฮารุโตะ

เด็กหนุ่มถอดเสื้อตัวนอกออกทั้งที่อยู่ตรงนั้น

“ใส่เสื้อบางจังไม่หนาวหรือ นี่ก็เข้าเดือนธันวาแล้วนะ”เรย์เอ่ยทักขึ้นมาเมื่อสังเกตเห็นว่าฮารุโตะใส่แค่เสื้อยืดทีเชิ้ตสีเทาแขนสั้นไว้ด้านในเพียงตัวเดียว

“ส่วนใหญ่อยู่แต่ในอาคารเลยไม่ค่อยหนาวหรอกครับ”เด็กหนุ่มตอบพลางสวมเสื้อตัวใหม่ทับลงไป

“ไม่หนาวก็ไม่น่าจะใส่เสื้อแขนสั้นไว้ข้างในตัวเดียวแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”นาโอโตะพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่ต้องห่วงครับผมจะพยายามดูแลสุขภาพอย่างดี ว่าแต่เป็นอย่างไรบ้างครับ”เด็กหนุ่มหมุนตัวโชว์เสื้อสเวตเตอร์ตัวใหม่

“คิดแล้วว่าต้องเหมาะกับฮารุจัง อะนี่รองเท้าคู่นี้พี่ใส่ไม่ได้แล้ว”นาโอโตะพูดออกไปก่อน รุ่นน้องปีหนึ่งจะไม่มีปัญหาสงสัยว่าทำไมมันถึงดูใหม่ ช่วงวัยรุ่นเขาค่อนข้างจะโตเร็วข้าวของเสื้อผ้าส่วนใหญ่ใช้ได้ไม่นานก็ต้องเปลี่ยน นอกจากนั้นเพราะงานพิเศษที่ทำช่วงนั้นทำให้ได้พวกกระเป๋ารองเท้ามาฟรีๆบ่อยครั้ง ซึ่งของชิ้นไหนถ้าเขาไม่ใช้แล้วก็จะทำความสะอาดและเก็บเข้ากล่อง

ฮารุโตะตาโต เขาก้มศีรษะขอบคุณรุ่นพี่ผู้แสนใจดีอยู่หลายครั้ง

“ขอบคุณมากครับ ถ้าให้ผมเก็บเงินซื้อเองไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนถึงจะซื้อได้ โอ๊ะใส่สบายมากเลยด้วยต้องแพงมากแน่ๆไม่เป็นไรหรือครับที่นำมาให้ผม”

“อืมไม่มีปัญหาหรอกบ้านพี่มีแต่เด็กผู้หญิง รองเท้าผู้ชายแบบนี้ไม่มีใครสนใจหรอก”นาโอโตะกล่าวยืนยันให้เด็กหนุ่มสบายใจก่อนจะถามต่อไปอีกว่า“ว่าจะถามตั้งหลายครั้งแล้วฮารุจังเป็นคนที่ไหนเหรอ”

“ผมเกิดที่ยามัทซึริในฟุคุชิม่าครับ”

“ย้ายมาเรียนไกลเหมือนกันนะ”เรย์พูดขึ้นมาบ้าง

“ครับผมสอบได้ทุนของที่นี่”

“ว้าวแสดงว่าเรียนเก่ง”

“ไม่หรอกครับอาศัยว่าอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่นก็เท่านั้นเอง”

“แล้วได้กลับไปเยี่ยมบ้านบ่อยไหม”เรย์ทำท่าว่าถามไปเรื่อยเปื่อยแต่เขารู้ว่าคนรักยังคงติดใจสงสัยเรื่องรอยช้ำบนตัวของหนุ่มรุ่นน้อง

“ไม่ได้กลับครับ”ฮารุโตะเงียบไปครู่ใหญ่กว่าจะตอบกลับมาได้ “พ่อกับแม่แยกทางกันนานแล้วครับ ตั้งแต่จำความได้ผมก็อยู่กับพ่อมาตลอด อืม... ผมว่าวันนี้ผมกลับก่อนดีกว่าว่าจะแวะไปยืมหนังสือที่ห้องสมุดก่อนจะไปทำงานด้วยครับ” เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทั้งที่โดยปกติแล้วช่วงวันหยุดเช่นนี้ฮารุโตะจะมาคลุกอยู่กับพวกเขาที่ห้องชมรมเกือบทั้งวัน เรย์และนาโอโตะจึงพอจะเดาได้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่สบายใจที่จะพูดถึง พวกเขาจึงไม่ได้เอ่ยรั้งหรือซักไซ้อะไรเพิ่มเติม

“ขอบคุณสำหรับเสื้อผ้าอีกครั้งนะครับรุ่นพี่อาโอกิ”

“อือไม่เป็นไร แล้วไว้เจอกัน”

ฮารุโตะรู้สึกว่าถุงใส่เสื้อผ้าที่เขาถืออยู่เริ่มหนักอึ้ง เขาเคยชินกับสายตาของผู้คนรอบข้างซึ่งมองมาที่เขาด้วยความสงสารหรือสมเพชเวทนาแม้สายตาเหล่านั้นจะทำให้เขารู้สึกด้อยค่า กระนั้นก็ได้แต่ทำใจยอมรับมัน อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่าไม่อยากได้สายตาเช่นนั้นจากรุ่นพี่นาคามูระ เขากำมือแน่นขึ้นจนหูหิ้วของถุงกระดาษยับย่น คำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึดังก้องขึ้นในหัวเขาอยากจะลองพยายามดูสักครั้ง พยายามทำให้รุ่นพี่นาคามูระหันมามองเขาบ้าง

กระนั้นความคิดชั่ววูบได้จางหายไปรวดเร็ว เมื่อได้ลองนั่งคิดไตร่ตรอง เขาสำนึกได้ในวินาทีต่อมาว่าไม่มีอะไรที่ตัวเขาพอจะสู้กับรุ่นพี่อาโอกิได้สักอย่าง ทั้งหน้าตารูปร่างนิสัยหรือความสามารถอื่นๆพอนึกได้เช่นนั้นในใจพลันบังเกิดแต่ความอิจฉา นึกเกลียดรุ่นพี่อาโอกิขึ้นมาจับใจ เขาจึงถอดเสื้อผ้าของรุ่นพี่อาโอกิที่สวมใส่อยู่ออกมาเหยียบๆย่ำๆอยู่หลายที

สุดท้ายแล้วมันก็เท่านั้น ไม่มีใครรู้สึกเจ็บปวดนอกจากตัวของเขาเอง ฮารุโตะจึงพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ปัดความคิดฟุ้งซ่านวุ่นวายออกไปจากสมอง

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-02-2017 12:52:26
ขออีกนิด (เนื่องจากกระทู้ด้านบนจำนวนอักษรเกินค่ะ)

หมายเหตุ

พื้นที่ห้องสี่เสื่อครึ่ง : หน่วยวัดพื้นที่ห้องแบบนี้อ้างอิงตามจำนวนเสื่อทาทามิที่ปูภายในห้อง โดยขนาดมาตรฐานของเสื่อหนึ่งผืนประมาณ 90 X 180 เซนติเมตร

ทาทามิ(Tatami) :
เสื่อทาทามิแบบดั้งเดิมทำจากต้นกก หรือ อิกุสะ (Igusa) เป็นพืชที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและระบายความชื้นภายในห้องได้ดี เหมาะกับสภาพอากาศในญี่ปุ่นที่มีความชื้นสูงในฤดูร้อน แต่หนาวเย็นและแห้งในฤดูหนาว
ทาทามิ 1 ผืนใช้ต้นอิกุสะประมาณ 4,000 – 7,000 ต้น นำมาทอด้วยเครื่องทอแบบเฉพาะคล้ายกับการทอกิโมโน แล้วจึงนำมาประกบเข้ากับแกนกลาง (Toko) ซึ่งทำด้วยฟางข้าวอัดแน่นเป็นชั้นหนาประมาณ 3-6 ซม. และเย็บริมด้วยผ้า แกนกลางที่มีความหนาจะทำให้เสื่อมีความแข็งแรงและให้สัมผัสที่นุ่มสบาย ปัจจุบันมีการใช้วัสดุประเภทโฟมเข้ามาทดแทน เพื่อให้มีน้ำหนักเบาและสะดวกในการดูแลรักษา   
ที่มา : http://www.tcdc.or.th/creativethailand/article/ClassicItem/22268


ขออีกนิด (สุดท้ายสำหรับตอนนี้)
ปล.คุณตีสี่พูดจริงเหรอคะ ที่ว่าเรย์กับนาโอโตะเป็นพระเอกนายเอก แต่ใช้ฮารุโตะเป็นตัวเดินเรื่อง (เลยดูเหมือนเป็นนิยายประเภท ตามติดชีวิตฮารุโตะ ประมาณนี้... หัวเราะ)

ต้องบอกว่าเรื่องนี้ มิอุระ ฮารุโตะคือตัวเอกค่ะ แต่ว่าเขาชอบนาคามูระ เรย์ เลยรู้สึกว่าเรย์คือพระเอกของเขา(ในมโน) แต่เมื่อมารู้ว่าเรย์มีคนรักอยู่แล้ว เลยรู้สึกว่า ตัวเองเป็นแค่ตัวประกอบบางครั้งก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวอิจฉา ที่มีอาโอกิ นาโอโตะเป็นนางเอก(นายเอก)ของเรย์

มันน่าน้อยใจ อนาถชีวิตตัวเองจริงๆ
มีแต่คนหาประโยชน์ กลั่นแกล้ง
เพราะความอ่อนแอ คิดไม่ทันคนพวกนั้น
ฮารุโตะ จะทำให้ตัวเองเข้มแข็งได้ยังไงนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ขอโทษค่ะที่เราเขียนให้ฮารุโตะอ่อนแอแบบนี้ไปอีกนาน(อาจจะจบเรื่องเลยด้วย)
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 5 : 14/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-02-2017 18:51:38
รอฮารุโตะ เข้มแข็ง  :mew1: :mew1: :mew1:
ชิมิซึ ซากิ  เป็นคนร้ายกาจ ชอบรังแกฮารุโตะ  :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-02-2017 00:23:16
เรื่องย่อ ตอนที่ 6

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ และตั้งแต่ได้รู้ความจริงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนาคามูระ เรย์และอาโอกิ นาโอโตะ ความทรมานของการเป็นได้แค่คนแอบรักก็ตามรังควาญเขาเรื่อยมา


春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย


Chapter 6



เขาส่องกระจกเป็นรอบที่ยี่สิบแล้วสำหรับเช้าวันนี้  ไม่ใช่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแฟชั่นแต่เป็นเพราะเสื้อผ้าทุกชิ้นที่เขาสวมใส่ในวันนี้เขาเป็นคนเลือกมันเองกับมือ  ไม่ว่าเป็นผ้าพันคอลายตารางหมากรุกสีดำแดง เสื้อแขนยาวสีขาวตัวใน โค้ตสั้นสีดำเข้ารูปตัวนอก กางเกงยีนและรองเท้าหนังหุ้มข้อรวมถึงกระเป๋าสะพายข้างใบใหม่ นอกจากเสื้อโค้ตสั้นที่เขาลงทุนซื้อแบรนด์เดียวกับที่เคยไปดูกับรุ่นพี่อาโอกิเมื่อครั้งก่อน นอกจากนั้นแม้จะไม่ใช่สินค้ามีตรายี่ห้อโด่งดังแต่เขาก็พยายามเลือกรูปแบบที่ดูดีและทันสมัย

มิอุระ ฮารุโตะก้มดูสภาพเสื้อผ้าของตัวเองอีกรอบ การแต่งตัวแบบนี้คงจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนอื่นแต่สำหรับเขามันไม่ใช่เลย เด็กหนุ่มจึงอดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้

เขากวาดสายตาไปรอบๆ มองหาสายตาคู่อื่นที่จับจ้องมาทางตน แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ รู้สึกดีที่ไม่มีเหตุการณ์เช่นนั้น สองเท้าจ้ำก้าวอย่างรวดเร็วเข้าไปในตัวตึก ที่ชั้นสามห้องริมสุดฝั่งซ้ายมือเป็นห้องของชมรมที่เขาสังกัดอยู่ แม้ว่าตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้าตรู่แต่เขารู้ว่าที่นั่นจะต้องมีสมาชิกชมรมคนอื่น ฮารุโตะเปิดประตูเข้าไปพร้อมเสียงทักทาย

“ว้าว ดูดีนี่ฮารุจัง เลือกเองทั้งหมดเลยใช่ไหม”คนทักรีบปราดเข้ามาหา ยิ้มให้เขาด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างจริงใจ มองสำรวจเสื้อผ้าการแต่งตัวของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าพร้อมทั้งเอ่ยปากชมไม่หยุด ก่อนจะหันไปถามความคิดเห็นจากอีกคนที่อยู่ในห้อง

“ว่าอย่างนั้นไหมเรย์”

ร่างสูงเจ้าของชื่อเดินตรงมาหยุดยืนด้านข้างร่างเพรียวบางกว่าตรงหน้าของเขา ฮารุโตะเห็นแล้วว่าเรย์มองมาที่เขาตั้งแต่เสียงใสๆของรุ่นพี่เอ่ยทัก

“ดูดีจริงๆด้วย”ชายหนุ่มยิ้มให้ “นายนี่เก่งจริงๆนะ เมื่อก่อนฮารุจังยังดูเฉิ่มๆเชยๆอยู่เลย ตอนนี้คงจะจี๊ดกว่านายอีกมั้ง”

“แน่นอนสิ สายตาฉันไม่มีพลาดหรอก ฮารุจังน่ารักจะตาย ใส่อะไรก็ต้องดูดีอยู่แล้ว”คนพูดยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นช่างเจิดจ้าจนเขาไม่กล้ามองต้องก้มหน้าลงหลบสายตา

อาโอกิ นาโอโตะเป็นคนที่สว่างไสวเสมอจนใครๆต่างชื่นชม เป็นผู้ชายที่งดงามเข้มแข็ง แข็งแกร่ง ตรงไปตรงมา จริงใจ และจิตใจดีอย่างที่ตัวเขาทาบไม่ติด ถ้าเทียบกันแล้วเขาเองคงเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นไร้ค่า เป็นลูกเป็ดต้อยต่ำที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อเลียนแบบหงส์ ฮารุโตะยิ้มขื่นกับจิตใจมืดดำของตนเอง

“ไง มากันแล้วหรือ ดูสิวันนี้ ฮารุจังดูดีไหม”

“อืม ก็ดูดีอยู่ทุกวันแล้วนี่ ทำไมหรือ”ฮายาชิ เรียวตะเอ่ยถามหลังกวาดสายตาอย่างรวดเร็วมองคนที่ถูกกล่าวถึง ที่เดินตามติดกันมาเป็นโมริ เอคิจิและชิมิซึ ซากิ

“แต่วันนี้ไม่ใช่เสื้อผ้าของฉันนะ”

“อ๊ะจริงอะ ฉันต้องยอมรับเลยว่าวันนี้นายเท่จริงๆฮารุจัง”เรียวตะร้องบอกด้วยท่าทางเกินจริง เขาหยิบกล้องออกมาจากกระเป๋า “ขอฉันถ่ายรูปนายเก็บไว้สักใบนะ” ยังไม่ทันที่ฮารุโตะจะเอ่ยปากปฏิเสธหรือขยับตัว เสียงแชะได้ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยเสียงบอกว่าขออีกรูป

“ไม่เอาหรอกครับรุ่นพี่”เขายกมือขึ้นมาบังหน้ากล้องไว้ “ผมไม่ใช่นายแบบ”ร้องบอกแค่นั้นแต่อีกฝ่ายก็ขยับไปอีกด้านแล้วกดชัตเตอร์ไปอีกหลายครั้ง เรียวตะปรับโฟกัสเร็วกว่าคำห้ามปรามของเขาเสียอีก ฮารุโตะได้แต่ถอนหายใจ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ภาพถ่ายฝีมือเรียวตะรับรองได้ว่าไม่น่าเกลียดแน่นอน”เอคิจิบอก

“ผมรู้ครับ แต่ผมไม่ชินเลย”

“อย่างนั้นก็ทำตัวให้ชินซะซิ เอ้า...ยิ้มหน่อย”ตากล้องพูด ฮารุโตะจึงฝืนยกยิ้มแหยๆ เรียวตะลดกล้องลงมาขมวดคิ้วพลางบุ้ยใบ้ให้เพื่อนสนิทจัดการกับรุ่นน้องที่ไม่ยอมทำตามคำสั่ง เอคิจิวางกระเป๋าใส่กล้องที่สะพายอยู่บนบ่าลง รี่ตรงเข้าไปจี้เอวฮารุโตะ คนที่เคยฝืนยิ้มแหยๆจึงหัวเราะพลางพยายามเบี่ยงตัวหนีส่งเสียงหัวเราะลั่น เรย์และนาโอโตะมองพร้อมกับหัวเราะตาม

ทว่า หนุ่มรุ่นพี่อีกคนอย่างชิมิซึ ซากิกลับนิ่งเฉยนั่งเช็ดเลนส์กล้องอยู่บนโซฟาโดยไม่ใส่ใจผู้ใด จนกระทั่งร่างของคนที่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจใครนั่นกระแทกเขาอย่างแรง เลนส์ที่อยู่ในมือร่วงตกลงสู่พื้น

ทุกอย่างเงียบกริบในพริบตา

ซากิหยิบของชิ้นนั้นขึ้นมา ใบหน้ายังคงเรียบเฉยแม้จะเห็นรอยร้าวบนกระจกแล้วก็ตาม

“ขอโทษครับ ผมจะชดใช้ให้นะครับ”ฮารุโตะก้มหัวลง แม้จะเพิ่งเข้าชมรมมาได้แค่ครึ่งปีแต่เขารู้ว่าทั้งกล้องทั้งเลนส์ต่างเป็นสมบัติของรักของหวงของคนทุกคนในชมรมนี้

“นายมีปัญญาชดใช้หรือไง”คนพูดปรายตามองน้ำเสียงเยียบเย็นจนร่างบางกว่าเสียวสันหลังวาบ ถึงฮารุโตะจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของชมรมถ่ายภาพแต่ก็ยังไม่มีกล้องเป็นของตัวเองเนื่องจากราคาของมันค่อนข้างสูงเกินฐานะ เขาจึงเป็นสมาชิกที่ติดสอยห้อยตามคนอื่นๆไปถ่ายภาพ หรือได้แค่หยิบจับกล้องของเรียวตะที่ยินดีให้เขายืมอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

“เดี๋ยวฉันใช้คืนเองก็ได้”นาโอโตะพูดไกล่เกลี่ย

“ไม่ต้องหรอกครับผมเป็นคนทำ ผมก็ต้องเป็นคนชดใช้”พูดอย่างหนักแน่น

“เอ่อ...ความจริงพวกฉันก็เป็นฝ่ายผิดถ้าไม่ไปแกล้งน้องเขา คงไม่เกิดเรื่อง”เรียวตะพูดเสริม

“เจ้าตัวเขาบอกว่าเป็นคนทำ จะชดใช้ให้เองพวกนายจะมายุ่งวุ่นวายอะไรอีกล่ะ”น้ำเสียงเหมือนดูหมิ่นตัดจบปิดประโยคอย่างไร้เยื่อใยแบบไม่ให้ใครได้พูดอะไรได้อีก ก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเลนส์จะเก็บข้าวของเดินออกจากห้องไป ฮารุโตะมองตามแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ชิมิซึด้วยแววตาหวาดหวั่นระคนหม่นหมองแล้วก้มหน้ามองพื้น ภายในหัวใจหวิวโหวงเจ็บปวดด้วยความรู้สึกที่เหมือนว่าตนเองถูกรังเกียจ

ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นฝืนยิ้มเมื่อฝ่ามืออบอุ่นของรุ่นพี่คนอื่นตบเบาๆที่บ่าคล้ายปลอบใจพร้อมกับคำพูดให้คลายกังวลอีกหลายประโยค

ในสมองของฮารุโตะมีแต่ความสงสัยและไม่เข้าใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่นานรุ่นพี่ชิมิซึยังไม่มีทีท่าเดียดฉันท์เขาถึงเพียงนี้และเมื่อคิดย้อนกลับไปกลับมาเท่าไหร่ เด็กหนุ่มยังรู้สึกว่า ตนต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายโกรธเคืองหนุ่มรุ่นพี่ ทำไมเขาช่างอาภัพขนาดนี้หนอ เพิ่งทำให้รุ่นพี่นาคามูระดีกับเขาได้ไม่เท่าไหร่ก็มาโดนรุ่นพี่อีกคนโกรธเสียอีก เด็กหนุ่มได้แต่นึกทดท้ออยู่ในใจ

มีคนเคยพูดว่าเมื่อเกิดเรื่องแย่ๆขึ้นเรื่องหนึ่ง ก็จะมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกแย่ตามมาอีกมากมาย  แล้วทำไมเรื่องแบบนั้นมันต้องเจาะจงเกิดกับเขาด้วย เพราะเช้านี้ฮารุโตะมัวแต่กังวลเรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย จึงทำให้เขาลืมหยิบรายงานวิชาปฏิบัติการที่จะต้องส่งมาด้วย ตอนกลางวันก็มีคนเดินถือถาดอาหารมาชนจนเสื้อที่เขาเพิ่งซื้อมาใหม่ตัวนี้ต้องเปื้อน ฮารุโตะรู้สึกได้ว่าวันนี้คงเป็นวันที่โชคร้ายที่สุดสำหรับเขา ทั้งที่ไม่ได้มาทานอาหารที่โรงอาหารของคณะนานมากแล้ว ทั้งที่เขาอยากจะลองทำในสิ่งที่ไม่เคยทำแต่ทุกอย่างกลับมีแต่อุปสรรคที่คอยบั่นทอนความมั่นใจของเขาให้ลดน้อยถอยลง

หลังจากนั้น เวลาที่หมดคาบเรียนแล้ว เขายังโชคร้ายสุดๆ เมื่อบังเอิญเจอกับพวกซากุราอิ ชุน

“อ้อ ถึงว่าทำไมช่วงนี้ฉันถึงไม่เจอแกเลยที่แท้ก็ทำตัวไฮโซเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวนี่เอง”ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของเรือนกายสูงใหญ่ย่างเท้าก้าวเข้ามาหา ฮารุโตะคิดเพียงแต่ว่าวันนี้เขาเจอโชคร้ายมามากพอแล้ว ขอให้ครั้งนี้เป็นโชคดีของเขาบ้างเถอะแต่อย่างว่าถ้าเขาดวงดีขนาดนั้นเขาคงไม่ต้องมานั่งพูดพร่ำโทษชะตากรรมอยู่บ่อยครั้ง

ซากุราอิ ชุนเข้ามาคว้าคอเสื้อเขาไว้อย่างรวดเร็ว

“ปล่อยนะ”

“ปล่อยนะ”ชุนล้อเลียนคำพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

ฮารุโตะถูกยกตัวขึ้นจนเท้าลอยไม่ติดพื้นพยายามดิ้นรนทั้งที่ทำได้ยาก อีกทั้งคอเสื้อยังรั้งต้นคอจนหายใจได้ยากเต็มที คงเพราะเห็นว่าเขาหน้าดำหน้าแดงแล้วกระมังอีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนมาใช้แขนข้างหนึ่งเกี่ยวเอวเขาไว้ส่วนมืออีกข้างก็ตะปบไปตามกระเป๋าเสื้อกับกางเกงและทั้งหมดทั้งมวลเท้าของฮารุโตะก็ยังคงไม่ถึงพื้นเสียที

“ปล่อยนะ”เขาร้องพลางเหวี่ยงกำปั้นไปสะเปะสะปะ เขาไม่อยากเจ็บตัวจึงถือคติเลี่ยงได้ก็เลี่ยงแต่เมื่อโดนคุกคามถึงขนาดนี้ฮารุโตะแค่เพียงต่อต้านเท่าที่พอทำได้

หมัดเบาๆของฮารุโตะเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาจนชุนนึกรำคาญเขาจึงจัดการสวนหมัดเข้าท้องน้อยของอีกฝ่าย เพียงแค่นั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กก็ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ ชุนล้วงกระเป๋าเงินของฮารุโตะออกมาก่อนจะโยนไปให้เพื่อนสนิทซึ่งยืนมองอยู่ไม่ไกล เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงินจนต้องทำตัวเป็นอันธพาลรีดไถ แต่เด็กหนุ่มสนุกและสะใจที่ได้ทำเช่นนั้น

“มีแค่ห้าร้อยเยนเองว่ะชุน”

“อะไรวะแต่งตัวดีขึ้นแต่ไม่มีเงินในกระเป๋าเหมือนเดิม”เขาโยนเด็กหนุ่มร่างเล็กลงกับพื้นเหมือนโยนผ้าขี้ริ้ว ก่อนจะอัดฝ่าเท้าซ้ำไปอีกทีข้อหาที่ไม่ได้ดั่งใจ แล้วหยิบเอาเงินห้าร้อยเยนใส่กระเป๋าทรุดตัวนั่งยองๆใกล้ๆกับร่างที่นอนคุดคู้อยู่บนพื้นใช้ฝ่ามือจิกกำเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนเพราะสีย้อมรั้งให้เงยหน้าขึ้นมา

“ครั้งหน้าก็พกเงินในกระเป๋าให้เหมาะกับเสื้อผ้าที่ใส่หน่อยนะเว้ยไอ้ยาจก”

แล้วทั้งสามก็เดินจากไป



ฮารุโตะถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย  ขณะล้มตัวลงนอนบนเสื่อทาทามิ ที่เย็นเฉียบเพราะอุณหภูมิในฤดูหนาว  เขาได้แต่นอนอยู่นิ่งๆ ผ้าพันคอผืนใหม่ที่เขาเพิ่งใช้เป็นวันแรกขาดเป็นรอย ทั้งเสื้อผ้าและร่างกายของเขายับเยินฟกช้ำ

เขาถูกทำร้ายสาเหตุเพราะเขาไม่มีเงิน แต่ไม่ว่าจะมีให้หรือไม่ เขาก็ต้องโดนซากุราอิ ชุนชกสักสองสามหมัดอยู่ดี ฮารุโตะแค่นยิ้มพลันนึกขึ้นมาว่าถ้าเขาไม่ต้องเจอกับเรื่องราวเหตุการณ์แบบนี้อีก ...มันคงจะดีมากทีเดียว

เขาถอนหายใจอีกครั้ง คิดคำนวณถึงจำนวนเงินที่ต้องหามาเพื่อจ่ายสำหรับการซื้อเลนส์ของรุ่นพี่ชิมิซึที่เขาทำมันเป็นรอย พื้นเสื่อเริ่มอุ่นเพราะอุณหภูมิร่างกายทำให้เขาไม่อยากขยับตัว ฮารุโตะถอดเสื้อตัวนอกออก จ้องมองอยู่นานพลางใช้มือลูบคลำบนเสื้อผ้าเนื้อดี เสื้อผ้าพวกนี้ไม่สมควรอยู่บนตัวของเขาจริงๆด้วย ฮารุโตะคิดในใจ

ร่างบางลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อแขนยาวสีน้ำตาลกับกางเกงสแล็คขาตรงตัวเก่าที่เขาใส่มาตั้งแต่ชั้นมัธยม มันเป็นเรื่องดีที่รูปร่างของเขาไม่ค่อยเปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ทำให้ยังสามารถใส่เสื้อผ้าเก่าของปีก่อนๆต่อไปได้แต่ความคิดเหล่านี้ของเขาเริ่มค่อยๆเปลี่ยนไป

เด็กหนุ่มนึกย้อนไปถึงเรื่องเมื่อช่วงต้นปีการศึกษาภาคฤดูใบไม้ผลิที่เขาได้มีโอกาสเข้าไปชมนิทรรศการถ่ายภาพของคณะศิลปศาสตร์ เด็กที่เรียนวิทยาศาสตร์อย่างเขาคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก ถ้านิทรรศการนี้ไม่ได้มีภาพที่ได้รางวัลชนะเลิศระดับประเทศรวมอยู่ด้วย

เพราะทุกคนในคณะต่างพูดถึงภาพนี้ ทุกคนต่างแห่แหนไปดูภาพนี้ ปกติฮารุโตะไม่ค่อยมีเพื่อนอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ไปดูและถ้ามีใครสักคนถามเขาเรื่องเกี่ยวกับภาพนี้เขาคงเป็นตัวตลก ฮารุโตะรู้ว่านี่เป็นความคิดของเด็กประถม ไม่มีใครจะเข้ามาคุยกับเขาเรื่องภาพถ่ายนี่หรอก แต่เขาก็อดที่จะไปชื่นชมมันอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้

มันเป็นความคิดที่ย้อนแย้งกันอยู่ไม่น้อย เด็กหนุ่มเคยคิดว่าตนโชคดีที่ได้รู้จักนาคามูระ เรย์เพราะรู้จักรุ่นพี่เขาถึงได้มาสมัครเข้าชมรมนี้ได้รู้จักสมาชิกคนอื่นๆที่เป็นมิตรกับเขา  แต่ในขณะเดียวกันการแอบรักหนุ่มรุ่นพี่ก็ทำให้เขารู้สึกหน่วงในอก

ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่ความฝัน นาคามูระ เรย์ไม่ใช่ผู้ชายที่ใครจะเป็นเจ้าของได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเขา นั่นยังไม่รวมถึงข้างกายของนาคามูระ เรย์ไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับเขาอีกเช่นกัน เจ้าของหัวใจของชายหนุ่มที่เขาแอบหลงรักคืออาโอกิ นาโอโตะดาวเด่นที่ใครๆก็รู้จัก เขาทั้งคู่เหมาะสมและคู่ควรกันจนไม่มีใครกล้าเข้าไปแทรก ฮารุโตะได้แต่มองตามอีกฝ่ายโดยเก็บความรู้สึกนี้ไว้กับตัว

เด็กหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง ความสุขล่องลอยหายไปจนแทบไม่มีเหลือ.....



ฮารุโตะไปมหาวิทยาลัยด้วยชุดเสื้อผ้าเก่าๆเดิมๆที่เคยสวมใส่มาเนิ่นนาน เขาก้มหน้าก้มตาเดินย่ำเท้าไปตามทาง ไม่กล้าเงยหน้าเพื่อพบเจอกับสายตาดูถูกเหยียดหยามหรือหัวเราะขำขันที่มองเขาเป็นตัวตลก ขณะเดินตรงไปเรื่อยๆเขาจำต้องหยุดชะงักเมื่อถูกขวางทาง หลังจากเหลือบสายตาขึ้นมอง ยังไม่ทันได้เอ่ยทักทายอีกฝ่ายกลับพูดกับเขาก่อน

“ทำไมมาด้วยชุดแบบนี้อีกแล้วล่ะ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมคิดไม่ออกว่าควรแต่งตัวอย่างไรก็เลย...”ฮารุโตะตอบพลางนึกย้อนไปถึงช่วงหลายเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากที่เขาพยายามขวนขวายเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ชิดกับนาคามูระ เรย์ เขาจึงได้พาตัวเองมาสมัครในชมรมถ่ายภาพ ...เพื่อให้ตัวเองได้รับรู้ความจริงที่แสนเจ็บปวด

รุ่นพี่อาโอกิผู้แสนใจดีคอยดูแลห่วงใยเอาใจใส่อย่างที่เขาไม่เคยได้รับมาก่อน จนบางครั้งเขาคิดว่าอีกฝ่ายเสแสร้งแกล้งทำไปอย่างนั้น แต่ทุกครั้งที่เขามองลึกเข้าไปในดวงตาเรียวรี เขากลับไม่เห็นคำโกหกอยู่ในนั้น และเป็นเขาเองที่ต้องหลบเลี่ยงสายตาทุกครั้งไป

เขาถูกสอน ถูกฝึก และถูกจับแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบอื่นที่ไม่ใช่แค่เสื้อยืด สเวตเตอร์สีน้ำตาลหรือสีน้ำเงิน หลายครั้งที่เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นตุ๊กตา แต่อดยอมรับไม่ได้ว่ายามที่เขามองเห็นตัวเองในกระจกด้วยเสื้อผ้าหลากชิ้นแปลกตา  หัวใจของเขาพองฟูอย่างมีความสุขทุกครั้ง แต่ฮารุโตะรู้ตัวดีว่านั้นไม่ใช่โลกของเขา

“มานี่เลย พี่เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือ การแต่งตัวทำให้เราดูสดใส ดูมีเสน่ห์ เด็กลงหรือแก่ขึ้นได้ทั้งนั้น นายน่ะดูมืดมนตลอดเวลาก็เพราะไม่ยอมแต่งตัว ซ้ำยังเดินก้มหน้าก้มตาอีก”

ฮารุโตะปล่อยให้นาโอโตะจับเขาแต่งตัวตามที่อีกฝ่ายต้องการ หลังจากสวมใส่เสื้อผ้าที่นาโอโตะจัดมาให้ เขายังถูกจับแต่งหน้าทำผมด้วย นับว่าเขายังมีโชคอยู่บ้างที่การเจอกันกับซากุราอิ ชุนเมื่อวานไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดๆไว้บนใบหน้า ทุกครั้งที่โดนรังแกฮารุโตะจะพยายามบังหน้าตัวเองไว้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าหน้าตาจะน่ารังเกียจไปกว่าเดิม แต่เพราะเขาไม่อยากตอบคำถามของใครทั้งนั้นมากกว่า เด็กหนุ่มมองตามคนที่กำลังจับไดร์เป่าผม ทั้งที่ฝ่ายนั้นเพียงแค่สวมเสื้อแจ็กเกตทับเสื้อยืดสีส้มธรรมดาเท่านั้นแต่กับดูเปล่งประกายมากกว่าเขาที่พยายามประโคมแต่งตัวเสียอีก

“รุ่นพี่”

“หืม”นาโอโตะปิดสวิตช์ไดร์เป่าผมที่อยู่ในมือเพื่อให้เสียงรบกวนเงียบลง มองหน้าเขาผ่านกระจกอย่างตั้งใจฟัง

“ผมว่า...”ฮารุโตะอึกอัก เขาไม่กล้าบอกว่าเขาไม่อยากแต่งตัวใดๆทั้งสิ้น ไม่อยากดูแปลกแตกต่างไปจากเดิม อยากดูหม่นหมองอย่างที่อีกฝ่ายว่าไปอย่างนี้ทุกวันๆ เขาก้มมองมือตัวเอง บีบจิกนิ้วมือจนเป็นรอย

“ผมไม่เหมาะกับการแต่งตัวแบบนี้หรอกครับ”เขาโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทั้งหมดในคราวเดียว รู้สึกเหน็ดเหนื่อยราวกับใช้เรี่ยวแรงไปมหาศาล

“ทำไมล่ะ นายไม่มีคนที่แอบชอบหรืออยากให้ใครมาชอบบ้างหรือ”นาโอโตะเอ่ยถาม วางไดร์เป่าผมและหวีไว้ที่โต๊ะหน้ากระจก หมุนเก้าอี้ที่รุ่นน้องนั่งให้หันมาเผชิญหน้าสบตากับตน ฮารุโตะมักจะก้มหน้าเสมอ ชายหนุ่มรุ่นพี่จึงต้องจับใบหน้าใสนั้นให้เงยขึ้น

ฮารุโตะไม่ตอบ เขาได้แต่คิดว่า ถ้าเมื่อไหร่ที่รุ่นพี่อาโอกิรู้ว่าคนที่เขาชอบเป็นใคร คนตรงหน้าคงต้องมองอย่างเดียดฉันท์ เห็นเขาเป็นศัตรู ถึงแม้เด็กหนุ่มจะรู้สึกชอบรุ่นพี่นาคามูระ เรย์มากแค่ไหน แต่เขาไม่อยากสูญเสียตำแหน่งดีๆนี้ไป เขาซึ่งไม่ค่อยมีใครมาเอ็นดูกลับได้รับการเอาใจใส่จากคนดังของมหาวิทยาลัยอย่างอาโอกิ นาโอโตะ แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกอิจฉาตัวเองในตอนนี้เลย

“ไม่มีหรอกครับ ...เรื่องแบบนั้น ถึงจะพยายามเปลี่ยนแปลงมากสักเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครอยากจะหันมามองผมหรอก”แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เขาถึงได้พูดถึงเรื่องที่น่าท้อแท้แบบนั้นออกไป

“งั้นก็ตามใจนาย พี่ผิดเองที่ยุ่งวุ่นวายกับนายไม่เข้าเรื่อง”นาโอโตะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทิ้งฮารุโตะให้นั่งโดดเดี่ยวอยู่คนเดียวในห้องที่แสบเงียบ เช้าวันนั้นที่ห้องชมรมไม่มีใคร ทั้งที่ปกติแล้วช่วงเช้าจะต้องมีกลุ่มของรุ่นพี่อาโอกิขึ้นมาบนห้องบ้าง ฮารุโตะก้มหน้าแล้วถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ลุกเดินออกจากห้องที่แสนเงียบเหงาแห่งนี้



ฮารุโตะกลับขึ้นมาบนห้องชมรมถ่ายภาพที่อยู่ชั้นสามอีกครั้งเมื่อหมดเวลาเรียนในช่วงบ่าย ทั้งห้องยังคงเงียบกริบเหมือนเมื่อเช้าตอนที่เขาจากไป วันนี้คงไม่มีลูกค้าหรือไม่ทุกคนคงต่างรับงานนอก

ห้องชมรมนอกจากจะเป็นที่สิงสถิตของเหล่าสมาชิกยังเป็นออฟฟิศสำหรับธุรกิจที่นาโอโตะกับเรย์คิดขึ้น หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองคนกำหนดกิจกรรมให้สมาชิกชมรมรับถ่ายภาพให้บุคคลอื่นเหมือนกับที่สตูดิโอในเมืองทำกัน แต่ราคาย่อมเยากว่า ส่วนหนึ่งของห้องชมรมจึงจัดเป็นสตูดิโอ และห้องแต่งตัว เสื้อผ้าที่ฮารุโตะใส่อยู่ในวันนี้ก็เป็นหนึ่งในชุดที่ให้ลูกค้าได้เลือกใส่  เด็กหนุ่มกำลังจะก้าวออกจากห้องอยู่แล้วถ้าเขาไม่เห็นร่างสูงของนาคามูระ เรย์นอนเหยียดยาวอยู่บนโซฟาริมหน้าต่างเสียก่อน

เขาเดินเข้าไปใกล้  ใบหน้ายามหลับของรุ่นพี่ร่างสูงยังคงน่ามองไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่เขากล้ามองใบหน้านี้ตรงๆ ความรู้สึกที่ว่าไม่สามารถครอบครองได้สะท้อนขึ้นมาในอกทำให้เขาปวดแปลบกับมัน

หลายครั้งที่เขาอิจฉากับความเพียบพร้อมสมบูรณ์ของรุ่นพี่อาโอกิ ความเพียบพร้อมสมบูรณ์ที่คู่ควรกับรุ่นพี่นาคามูระที่เขาหลงรัก ความเพียบพร้อมที่ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไหร่ก็ไม่อาจเทียบเคียงได้

ลูกเป็ด...ต้องเติบโตมาเป็นเป็ดไม่มีวันที่จะกลายเป็นหงส์ได้ เรื่องนั้นเขารู้ดีที่สุด แต่กระนั้นฮารุโตะยังคิดว่า ...ถ้าเป็นไปได้ก็ขอแค่สักครั้งที่เขาจะได้มีโอกาสครอบครองผู้ชายคนนี้

ขณะที่เขากำลังโน้มหน้าลงเพื่อสัมผัสริมฝีปากของคนที่นอนหลับอยู่นั่นเอง เสียงกระแอมไอก็ดังขึ้น ฮารุโตะเด้งตัวลุกขึ้นยืนในทันใด ในอกของเขาเต้นรัวยามที่หันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ใบหน้าของรุ่นพี่ชิมิซึเครียดขึ้ง นัยน์ตาสีเข้มเปล่งประกายแปลกประหลาด ลมหายใจของฮารุโตะติดขัดขึ้นมาทันทีและก่อนที่สมองจะทันได้คิดใดๆ สองขาก็พยายามพาร่างกายออกจากห้อง หากเพียงยังไม่ทันก้าวพ้นไปไหน ท่อนแขนกลับถูกมือแกร่งคว้าจับและบีบรั้ง เขาถูกลากให้เดินไปยังห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดิน ถูกเหวี่ยงเข้ากระแทกกับประตูด้านในของห้องน้ำ ทั้งหลังเจ็บจนร้าว ปลายคางถูกร่างสูงบีบแน่นจนเจ็บ

“สรุปว่าอย่างไรก็จะเอาให้ได้สินะ”

ฮารุโตะพยายามจะส่ายหน้าปฏิเสธ น้ำเสียงของคนพูดเยียบเย็นยิ่งกว่าเวลาปกติเป็นร้อยเท่า ในเวลานี้ความตระหนกหวั่นกลัวมีมากมายจนจำไม่ได้ว่า ครั้งหนึ่งอีกฝ่ายได้เคยเสนอตัวยื่นมือเข้ามาช่วยเขาแย่งนาคามูระ เรย์มาจากอาโอกิ นาโอโตะ

“นายคิดว่าสองคนนั้นจะเลิกกันง่ายๆอย่างนั้นหรือ”

“ผ...ผม...เปล่า”ฮารุโตะพยายามเค้นเส้นเสียงออกมาตอบปฏิเสธ เขาอาจจะเคยมีความคิดชั่วร้ายต่างๆนานา แต่ไม่เคยกล้าหาญพอที่จะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งคู่ด้วยมือของตนเอง

“คิดว่าจะใช้หน้าเซ่อๆนั่นมาหลอกฉันได้อย่างนั้นหรือไง”คนพูดแค่นเสียงต่ำ ฮารุโตะไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะผ่านพ้นจากเหตุการณ์นี้

การถูกทำร้ายยังไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่รุ่นพี่ชิมิซึคงไม่เก็บเรื่องนี้ไว้เงียบๆ ฮารุโตะไม่อยากเห็นสายตาผิดหวังเสียใจจากรุ่นพี่คนอื่นๆ และเขายังไม่อยากถูกระเห็จออกจากชมรม เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดีจริงๆได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา เหมือนแรงบีบที่ปลายคางจะชะงักและผ่อนลง ฮารุโตะคงทรุดลงไปกองกับพื้นถ้าซากิไม่พยุงไว้

วินาทีต่อมาเขาต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สัมผัสนุ่มนวลอ้อยอิ่งอยู่แถวริมฝีปาก มันทำให้เขาลืมหายใจ สมองขาวโพลนยิ่งกว่าเมื่อครู่ เขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆชายหนุ่มถึงจูบเขา แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะเคยเกินเลยมากกว่าจูบไปแล้วก็ตามแต่พักหลังมานี้รุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเขาอีกเลย จนเด็กหนุ่มคิดว่าเรื่องราวเหล่านั้นคงจะจบลงแล้ว

ชายหนุ่มรุกรานเข้ามาถึงด้านใน ขยับเกี่ยวกระหวัดดูดดึงเหมือนพยายามให้คล้อยตาม ซอกซอนลึกเข้าไปเหมือนกำลังจะกลืนกิน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่กว่าที่ฮารุโตะจะรู้สึกตัว เขาผลักร่างสูงกว่าออก หอบหายใจจนตัวโยน หัวใจในอกเต้นระรัว ก่อนจะตั้งสติได้ร่างกายของเขาได้ดึงเปิดประตู สองขาพาวิ่งออกจากห้องน้ำไปอย่างรวดเร็ว

เขาไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหนหรือวิ่งไปในทิศทางใด รู้สึกสับสนกับทิศทาง สับสนกับทุกอย่าง แม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเอง แทนที่จะเฉยชามันกลับไม่ใช่ หยาดน้ำตาที่เคยแห้งเหือดหายไปไหลออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกมากมายสับสนปนเปจนยากจะแยกแยะ ฮารุโตะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นปล่อยให้น้ำตาไหลไป... ไหลไป... โดยไม่สนใจผู้ใด



หลายวันมาแล้วที่ฮารุโตะไม่ได้ก้าวเข้าไปที่ห้องชมรมอีกเลย เขาไม่กล้าไปด้วยสาเหตุหลายๆอย่าง ทั้งที่ควรจะไปอย่างน้อยเพื่อขอโทษรุ่นพี่อาโอกิ ไปเผชิญหน้าเพื่อรับโทษทัณฑ์ในความชั่วร้ายของตนแต่เขาอยากจะขอเวลาทำใจ

ในที่สุดความฝันก็จบลง ความรักครั้งแรกในชีวิต คนที่คอยห่วงใยเอาใจใส่ ทุกอย่างสูญสิ้นไปภายในวันเดียว ฮารุโตะคิดอย่างหม่นหมองขณะทำงานพิเศษ

“ฮารุจังเป็นอะไรไป หน้าตาดูไม่เสบยเลยนะ”เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเรียวตะกำลังยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์

“รุ่นพี่”เขาร้องออกไปด้วยความแปลกใจ

“อืม...ฉันเอง ว่าแต่ช่วงนี้ทำไมนายถึงไม่ไปที่ชมรมเลยล่ะ เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมต้องทำงานหาเงินมาซื้อเลนส์ใหม่ให้รุ่นพี่ชิมิซึแทนอันที่ผมทำร้าวไปนี่นา”เขาตอบอย่างรวดเร็วพร้อมรอยยิ้มน้อยๆอย่างดีใจ แม้จะนึกสงสัยอยู่บ้างก็ตาม ชิมิซึ ซากิไม่ได้บอกอะไรให้รุ่นพี่ฮายาชิฟังหรืออย่างไร คนตรงหน้าถึงยังทักทายเขาด้วยดีอย่างนี้

“รุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้พูดอะไรหรือครับ”

“หืม พูดอะไรล่ะ”

“เอ่อ... ผมทำบางอย่างที่ไม่ดีไว้”ฮารุโตะตอบเสียงเบา

“ไม่เห็นมีนี่ จะมีก็แต่นาโอโตะน่ะแหละ ดูซึมๆแล้วบ่นถึงนายด้วย เห็นพูดว่าเพราะตัวเองทำให้นายโกรธ นายเลยไม่มาที่ชมรมอีก”

“ผมนะหรือ ไม่มีนะครับ ผมไม่เคยโกรธรุ่นพี่อาโอกิเลย”ร่างเล็กบางรีบตอบปฏิเสธ

“งั้นหรือ ถ้าไม่มีก็อย่าหายหน้าไปจากชมรมสิ พรุ่งนี้นายก็โผล่ไปที่ชมรมด้วยนะ”เรียวตะบอก “อืมเกือบลืมแหนะเรื่องเลนส์ เดี๋ยวฉันกับเอคิจิจะช่วยออกเงินด้วย ถ้าหารสามคงเบาแรงนายหน่อย”

“ไม่ต้องก็ได้ครับ ผมหาเองได้ นี่ใกล้จะครบอยู่แล้ว”

“ได้อย่างไรกัน ถึงซากิจะพูดไว้แบบนั้นแต่พวกฉันสองคนก็มีส่วนร่วมในการทำของๆมันร้าวเหมือนกัน จะให้นายรับผิดชอบคนเดียวได้ไง”หนุ่มรุ่นพี่พูด ฮารุโตะจึงยิ้มตอบ “ตกลงตามนี้นะ”

“ครับ”

“อะนี่ คิดเงินด้วย”เรียวตะส่งขนมสองสามห่อให้คนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงิน เสร็จเรียบร้อยจึงโบกมือลาเดินออกจากร้านไป ฮารุโตะยิ้มดีใจที่เรื่องราวยังไม่เลวร้ายเหมือนที่เขาคิดไว้ รู้สึกโล่งใจจนสามารถยิ้มให้กับลูกค้าทุกคนได้ตลอดเวลา พลางตั้งใจว่าพรุ่งนี้เขาจะไปที่ชมรมแต่เช้า



หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-02-2017 00:29:51
ฮารุโตะเปิดประตูห้องชมรมที่อยู่ชั้นสามเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆและเสียงทักทาย ก่อนจะเดินเข้าไปหานาโอโตะ

“ผมขอโทษครับที่หายไปนาน แล้วต้องขอโทษรุ่นพี่เรื่องในวันนั้นด้วย”

“ฉันต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายพูดขอโทษ ที่ไปเจ้ากี้เจ้าการอยากให้นายเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้”นาโอโตะพูดด้วยความรู้สึกสำนึกผิด พลางจับมือเขาไว้

“ไม่เลยครับ ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ผมรู้ว่ารุ่นพี่หวังดี”ฮารุโตะคิดเช่นนั้นจริงๆ และที่น่าแปลกคือความรู้สึกอิจฉาที่อยู่ในใจลึกๆมันจางหายไปอย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้ภายในใจของเขาคงเหลือแต่ความเคารพชื่นชมที่มีต่อนาโอโตะอย่างจริงใจ

“ทีนี้ก็หายกลุ้มใจได้แล้วนะนาโอโตะ”เรย์เอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในห้อง มองเขาด้วยรอยยิ้มเอ็นดูไม่ต่างจากรุ่นพี่อาโอกิ

ฮารุโตะยิ้มตอบ มองหน้าคนทั้งสองสลับกัน เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าระหว่างคนทั้งคู่ไม่ช่องว่างให้เขาสามารถเข้าไปแทรกได้ เพราะคอยมองอยู่เสมอ แม้จะไม่มีการแสดงความรักให้คนอื่นๆได้เห็น หากฮารุโตะรู้ว่าในแววตาของเรย์มีแต่นาโอโตะคนเดียว ถึงจะรู้สึกเจ็บวาบในอกอยู่บ้างยามที่คิดเช่นนั้น แต่เขาทำใจยอมรับมันได้มากขึ้น แค่เพียงทีละนิดก็เป็นเรื่องน่ายินดี สักวันเขาคงจะสามารถยิ้มให้คนทั้งคู่อย่างจริงใจ

“อุซ อรุณสวัสดิ์”

เสียงทักดังเข้ามาให้ได้ยินก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้ามาในห้อง ทำให้คนทั้งสามหันไปมอง ฮารุโตะตัวแข็งทื่อทันทีที่เห็นว่าในกลุ่มบุคคลที่เพิ่งเดินเข้ามานั้นมีชิมิซึ ซากิรวมอยู่ด้วย เขาพยายามอยู่ครู่ใหญ่จึงเอ่ยทักทายตอบกลับไปจนคนอื่นๆนึกสงสัย หากชายหนุ่มรุ่นน้องรีบบอกอย่างรวดเร็วว่ามีเรียนตอนเช้า ก่อนขอตัวปลีกออกไป ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่กระนั้นบรรยากาศผิดปกติก็เป็นสิ่งที่รับรู้ได้ ด้วยเหตุนี้เรย์จึงตะโกนไล่หลังรุ่นน้องไปว่า

“บ่ายนี้เป็นเวรนายนะ”

ฮารุโตะหันกลับมาผงกศีรษะรับคำ “ครับ” แม้จะสงสัยอยู่บ้างกับการที่รุ่นพี่นาคามูระมาพูดย้ำเรื่องเวลาการทำงานทั้งที่ปกติเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย รุ่นพี่อาโอกิจะเป็นฝ่ายจัดการเกือบทั้งหมดแต่เพราะตารางเวรวันนี้เป็นของเขาอยู่แล้ว จึงไม่คิดจะถามอะไรต่อ เมื่อสบตากับชิมิซึ ซากิจึงรีบหลบสายตาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ฮารุโตะออกไปแล้วเรย์จึงหันมาพูดกับซากิ

“วันนี้นายถ่ายแล้วกันนะ มีลูกค้าสองราย รายชื่ออยู่บนบอร์ด”

คู่สนทนารับคำอย่างว่าง่าย สีหน้าเรียบเฉยอย่างปกติยามที่เดินไปนั่งที่ประจำแล้วหยิบกล้องตัวโปรดขึ้นมาเช็ดถู ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเป็นครู่ใหญ่ ก่อนที่จะมีใครสักคนได้สติแล้วกิจวัตรต่างๆได้ดำเนินไป



ตอนที่ฮารุโตะกลับมาที่ห้องชมรมหลังหมดชั่วโมงเรียน  ในห้องชมรมว่างเปล่าไม่มีสมาชิกคนใด เขาอ่านตารางงานบนบอร์ดเห็นมีแค่สองรายที่กำหนดสถานที่ไว้ในห้องชมรม เห็นเช่นนั้นจึงพอเดาได้ว่าวันนี้อาจจะไม่มีสมาชิกคนไหนมาที่ชมรมอีก ช่วงที่รุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิคิดโปรเจกต์โปรโมตการถ่ายภาพจะเป็นช่วงที่มีงานชุกชุม พอมีวันว่างเหล่าสมาชิกที่เป็นช่างภาพของชมรมจึงหายไปไม่มีเหลือ

เขาจึงเตรียมของต่างๆ เซตไฟเซตฉากรอไว้ ช่วงที่เขาเพิ่งเข้าชมรมมาแรกๆ เขาเป็นแค่ลูกมือที่หยิบจับข้าวของตามคำสั่งของรุ่นพี่หรือสมาชิกคนอื่น 

ไม่นานนักคนที่จองถ่ายภาพรายแรกก็มาถึง เป็นเด็กผู้หญิงที่เรียนคณะบริหารสองคน ฮารุโตะเขียนรายละเอียดของลูกค้าลงในสมุดบันทึก และพาทั้งสองคนไปเลือกเสื้อผ้าพร้อมทั้งแต่งตัวแต่งหน้า

การแต่งหน้าให้ผู้หญิงทั้งสองคนด้วยเพียงตัวคนเดียวยังเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับฮารุโตะ เพราะนอกจากจะต้องแต่งให้สวยแล้วยังต้องแต่งให้เร็วอีกด้วย ฝีมือของเขายังห่างชั้นจากรุ่นพี่อาโอกิอยู่มาก แต่จะรอให้รุ่นพี่มาถึงแล้วจึงเริ่มแต่งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีโอกาสเป็นไปได้สูงว่า การทำงานของวันนี้จะมีแค่เขากับช่างกล้องอีกคนเท่านั้น ฮารุโตะจึงได้แต่พยายามตั้งใจแต่งหน้าให้ลูกค้าให้ดีที่สุด

เด็กหนุ่มร่างเล็กบางได้มีโอกาสหันไปมองช่างกล้องซึ่งเป็นเวรถ่ายภาพวันนี้หลังจากที่ลูกค้าทั้งสองคนแต่งตัวเสร็จแล้ว เขาถึงกับทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ  หากจำต้องก้าวเข้าไปหาเผื่อหนุ่มรุ่นพี่จะเรียกใช้อะไร ฮารุโตะยืนเยื้องมาทางด้านหลังของซากิเล็กน้อย มองดูชายหนุ่มที่กดชัตเตอร์อย่างมืออาชีพ

ฮารุโตะไม่เข้าใจเลย ทั้งที่น่าจะเกลียดเขาแต่ทำไมหนุ่มรุ่นพี่ถึงทำเช่นนั้น เป็นเขาจะสามารถจูบกับคนที่รู้สึกเกลียดได้อย่างนั้นหรือ ...เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย

ลูกค้าอีกรายมาถึงห้องชมรมตอนที่ซากิน่าจะถ่ายภาพของสองสาวคณะบริหารไปได้สักสิบกว่าภาพ ฮารุโตะจึงทิ้งความคิดวุ่นวายนั่นไว้ก่อน และหันมาตั้งสติมีสมาธิตั้งใจทำงานในหน้าที่ของตน

กว่าจะถ่ายภาพและเก็บของเสร็จเป็นเวลาห้าโมงกว่าๆ ฮารุโตะนำเสื้อผ้าที่ต้องส่งซักใส่ถุง เตรียมส่งให้ร้านซักรีดส่วนเรื่องภาพถ่ายเป็นหน้าที่รับผิดชอบของช่างภาพของงานนั้นๆอยู่แล้ว

“ไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหม”คนชวนพูดด้วยหน้าตาเฉยๆเหมือนเป็นเรื่องปกติขณะที่ฮารุโตะกำลังหอบถุงเสื้อออกจากห้อง

“เอ่อ...”เขาแปลกใจ ถ้าอีกฝ่ายเข้ามาจู่โจมและลากเขาไปที่ลับตาคนที่ไหนสักแห่ง เด็กหนุ่มยังรู้สึกว่ามันปกติเสียมากกว่า

“รู้สึกว่าฉันจะเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับนายมากสินะ”ซากิแค่นเสียงขึ้นจมูกเพราะเห็นฝ่ายตรงข้ามทำท่าลังเล เมื่ออีกฝ่ายเดินเข้าไปใกล้ ฮารุโตะต้องถอยหลังห่างออกไปเล็กน้อยเพราะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากหนุ่มรุ่นพี่ตรงหน้า หากนัยน์ตาสีเข้มกลับฉายแววประหลาดที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกไหวระริกในอก

ฮารุโตะเสหลบสายตาลง “ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายที่ต้องพูดอย่างนั้น รุ่นพี่ไม่ใช่หรือครับที่รังเกียจผม”คนพูดเสียงสั่น แม้แต่มือที่ถือของต่างๆอยู่ยังสั่นน้อยๆ

จังหวะนั้นเองร่างของฮารุโตะได้ถูกรวบเข้าไปไว้ในอ้อมกอดของซากิ เขาถูกบังคับให้รับสัมผัสของร่างสูงอีกครั้ง ฮารุโตะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งที่ควรจะเคยชินกับการถูกคุกคามอย่างรวดเร็วเช่นนี้และทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคิดว่านี่คือการกระทำอันปกติของหนุ่มรุ่นพี่ แต่เขายังคงตระหนกจนปล่อยให้ถุงที่ใส่เสื้อผ้าซึ่งตนถืออยู่ตกลงบนพื้น ร่างสูงขบย้ำริมฝีปากล่างซ้ำๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นไล้ไปตามแนวไรฟัน ฮารุโตะยังคงกัดฟันแน่น

“ถ้าฉันรังเกียจนายคงไม่จูบนายแบบนี้”ซากิเอ่ยกระซิบที่ข้างหู “หรือว่านายยอมจูบกับคนที่ตัวเองรังเกียจ”แล้วฉวยโอกาสตอนที่ฮารุโตะอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างประกบจูบซ้ำ แทรกปลายลิ้นเข้ารุกเร้าอย่างรวดเร็ว คลุกเคล้าดูดดึงความหวานล้ำจนร่างในอ้อมกอดเริ่มอ่อนระทวย ร่างกายที่เคยเกร็งขืนโอนอ่อน สองมือบางขยำดึงเสื้อของซากิไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยว เสียงครางเครือดังลอดออกมาเป็นระยะ ซากิคงไม่ปล่อยฮารุโตะง่ายๆ ถ้าร่างเพรียวบางในอ้อมกอดไม่ทำท่าเหมือนจะขาดใจ

“เวลาที่จูบอย่ากลั้นหายใจรู้ไหม”เสียงกระซิบพร้อมลมร้อนที่ริมใบหูทำให้ฮารุโตะขนลุกซู่ ผละตัวออกจากอ้อมกอดของอีกฝ่ายโดยไว ซากิจุดยิ้มที่มุมปาก นัยน์ตาเป็นประกายวาวมองมาที่เขา

“นายต่างหากที่เป็นฝ่ายรังเกียจฉัน”แม้จะรับรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามพูดอะไร แต่สมองของฮารุโตะมึนเบลอจนไม่รู้ความหมายของมัน เขาก้มศีรษะให้ผู้สูงวัยกว่าหมุนตัวหันหลังกลับ หากต้องชะงักแล้วหันกลับมาเพื่อหยิบถุงเสื้อผ้าอีกครั้ง โค้งให้ซากิซ้ำก่อนจะรีบวิ่งออกจากห้องไป

ฮารุโตะหยุดยืนพักหลังจากวิ่งมาจนเหนื่อย สมองหวนคิดถึงจูบของซากิพร้อมยกมือขึ้นแตะริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว หัวใจยังคงเต้นระรัว ยังรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว หนุ่มรุ่นพี่พูดว่าถ้ารังเกียจคงไม่จูบเขา นั่นหมายความว่ารุ่นพี่ชิมิซึชอบเขาอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเป็นไปได้เลย ฮารุโตะคิด ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมารุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยแสดงท่าทีอะไรเลย ต่อให้นอนด้วยกันหรือการที่ชายหนุ่มร่างสูงกอดเขาไว้ก็ตาม กระนั้นในทุกการกระทำจึงมีแต่ความเย็นชาแห้งแล้ง มีแต่คำพูดที่ทำให้เขาเจ็บช้ำ รุ่นพี่ชิมิซึชอบเขาอย่างนั้นหรือ ฮารุโตะสั่นศีรษะกับความคิดนี้ของตนเอง เรื่องเหลือเชื่อแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอก

ฮารุโตะครุ่นคิดตลอดทั้งคืนกับการกระทำของซากิเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอะไรกันแน่ เขาพยายามนึกถึงความเป็นไปได้หลายๆทาง อีกฝ่ายเคยตอบคำถามของเขาไว้ว่า ‘ที่ทำเพราะอยากทำ’ และเขาก็ทำใจยอมรับมันง่ายๆ เพราะไม่เจอหนทางที่จะขัดขืนแต่คราวนี้มันไม่ใช่ ฮารุโตะไม่อยากจะยอมรับว่าหัวใจของเขากำลังโอนเอียงสั่นไหว เขาไม่อยากคาดหวังและต้องผิดหวังซ้ำๆ

เด็กหนุ่มสะบัดศีรษะไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ไม่มีทางที่รุ่นพี่จะคิดอะไรกับเขา รุ่นพี่ชิมิซึคงกำลังพยายามหลอกเขาอยู่ รุ่นพี่กำลังพยายามทำให้เขาตายใจ หากเพื่อผลประโยชน์อะไรนั้นเขายังไม่รู้ ฮารุโตะนึกถึงเรื่องในสมัยก่อน เคยมีคนแอบเอาจดหมายรักมาใส่ไว้ในตู้รองเท้า ให้เขาไปตามนัดโดยที่ทั้งหมดเป็นการแกล้งเขาเล่น มันอาจเป็นแบบนั้น นี่อาจจะเป็นเรื่องสนุกของหนุ่มรุ่นพี่ก็เป็นได้

เด็กหนุ่มถอนหายใจ แย่ตรงที่เขาไม่ฉลาดพอที่จะคิดหาคิดหาวิธีการรับมือกับเรื่องราวครั้งนี้ ซ้ำยังเดาไม่ออกว่าซากิจะทำอะไรต่อไป ฮารุโตะจึงได้แต่พร่ำบ่นในความโชคร้ายของตน.....



หิมะแรกของปีตกลงมาแล้ว ตกลงมาในวันที่ยี่สิบสาม คู่รักหลายๆคู่คงจะนึกเสียดาย ถ้าหิมะแรกตกในวันคริสต์มาสอีฟมันจะเป็นเรื่องที่แสนโรแมนติก ถึงอย่างนั้นมันคงไม่เกี่ยวกับรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระ ฮารุโตะคิดว่าน่าจะยกตำแหน่งคู่รักแปลกประหลาดแห่งปีให้กับทั้งสองคนเพราะแทนที่จะสนใจเรื่องเดตกลับคิดโครงการเพื่อหาเงินเข้าชมรมอย่างไม่หยุดไม่หย่อน

ทันทีที่เช้านี้เขาเหยียบเท้าเข้าไปที่ห้องชมรม รุ่นพี่อาโอกิได้ยื่นเอกสารให้เขาและเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายคนปึกใหญ่ สั่งให้เอาไปแจกและปิดประกาศให้ทั่วมหาวิทยาลัย และต้องทำให้เสร็จภายในเที่ยงนี้ รุ่นพี่นาคามูระกำลังประชุมนัดหมายกับคนอื่นในชมรมที่ได้ชื่อว่ามีฝีมือ สำหรับคนที่ยังฝึกปรือฝีมือจะได้รับงานแบบเขา

ฮารุโตะเผลอเหลือบสายตาไปมองซากิอย่างไม่ตั้งใจ ชายหนุ่มนั่งฟังรุ่นพี่นาคามูระด้วยใบหน้าเรียบเฉยเหมือนปกติ ใบหน้าใสร้อนรื้นแดงเรื่อขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน เป็นจังหวะเดียวกับที่ซากิหันมา ฮารุโตะก้มหน้าหลบสายตาลงอย่างรวดเร็ว

“หน้าแดงๆนะฮารุจัง ไม่สบายหรือเปล่า”นาโอโตะเอ่ยถาม ฮารุโตะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธและขอตัวออกมา

อากาศหนาวเย็นภายนอกทำให้เขาสามารถสงบใจลงได้ ไอสีขาวพวยพุ่งเมื่อเด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมา เพราะความรีบร้อนเขาจึงไม่ได้หยิบอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับติดป้ายประกาศบนบอร์ดมาด้วย ฮารุโตะถอนหายใจ ย่ำเท้าไปตามทาง ส่งบัวร์ชัวร์ให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา เดินไปเรื่อยๆจนมาหยุดอยู่แถวหน้าตึกใหญ่

วันนี้ยังเป็นวันเรียนอยู่ ช่วงหยุดฤดูหนาวจะเริ่มตั้งแต่วันนี้ยี่สิบห้าธันวาคมไปจนถึงวันที่เจ็ดมกราคมของปีหน้า แม้เช้าของวันที่อากาศหนาวจะมีคนมาเรียนน้อยแต่ฮารุโตะยังยืนแจกบัวร์ชัวร์ที่รุ่นพี่อาโอกิทำมาอย่างอดทน

“มิอุระ ทำไมมายืนอยู่แถวนี้ล่ะ”

คนถูกถามสะดุ้งเล็กน้อย มองตามสายตาของอีกฝ่ายซึ่งไปหยุดที่ปึกกระดาษในมือ

“นาโอโตะไม่ได้บอกให้นายมายืนตากอากาศเย็นอย่างนี้นะ”ซากิจับข้อมือบาง ลากฮารุโตะที่ออกอาการขืนตัวให้เดินตามเข้าไปในตัวตึก ร่างเล็กบางกว่ายังก้มหน้าลงต่ำกอดปึกบัวร์ชัวร์ไว้แน่น ทั้งอย่างนั้นแล้วยังเบี่ยงศีรษะหลบโดยอัตโนมัติตอนที่เขายื่นมือเข้าไปใกล้  ชายหนุ่มร่างสูงชะงักไปเล็กน้อยก็จริง หากยังยื่นมือเข้าไปปัดปุยหิมะที่อยู่บนผมสีน้ำตาลออกทองด้วยฝีมือการย้อมของนาโอโตะอย่างอ่อนโยน

ใช่...ฮารุโตะรู้สึกว่าฝ่ามือนั้นอ่อนโยนจริงๆ

“แก้มเย็นเฉียบเลย”ซากิวางมือประทับอยู่ที่ข้างแก้มของเขา หัวใจของฮารุโตะเต้นแรงโลดขึ้นมา คนตรงหน้าเลื่อนฝ่ามือใหญ่หนามาดึงเอาบัวร์ชัวร์ปึกหนาที่เขากอดไว้แน่นออกไปแล้วโยนมันลงกับพื้นอย่างไม่ไยดี

“เอ่อ... นั่นมัน...”

ซากิกุมมือของเขาไว้ ดึงความสนใจของเขากลับมาอยู่ที่คนตรงหน้า

“มือก็เย็น”พูดพร้อมกับเป่าไอร้อนให้มือที่เย็นเฉียบของเขา หัวใจของฮารุโตะเต้นแรงขึ้นเหมือนมันกำลังจะหลุดออกมา เสียงของมันดังโครมครามจนเขากลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน เจ้าของมือเล็กบางพยายามจะชักมือของตนกลับหากถูกยุดไว้ด้วยแรงที่เหนือกว่า

“เอ่อ... ผมทำเองได้ครับรุ่นพี่”ฮารุโตะพูดโดยหวังจะกลบเกลื่อนเสียงหัวใจของตนได้บ้างหากหนุ่มรุ่นพี่กลับทำเหมือนไม่ได้ยินไปซะอย่างนั้น ฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าลง ...ไม่ใช่แค่มือแต่เขารู้สึกว่าความร้อนนั้นแล่นลามไปทั่วทั้งตัว

“ข...ขอบคุณครับ”ฮารุโตะค่อยๆดึงมือของตนกลับมาแล้วซ่อนมันไว้ด้านหลัง แม้จะก้มหน้าอยู่เช่นนี้ทว่ายังคงรู้สึกถึงสายตาของร่างสูงที่จับจ้องมาทางตน ซากิก้มหยิบบัวร์ชัวร์ที่พื้นขึ้นมา

“บัวร์ชัวร์พวกนี้ เอาไว้ที่ฉันแล้วกัน ส่วนนายน่ะไปเข้าเรียนได้แล้ว”

“แต่ว่า ผมยังแจกไม่หมดเลย”

“จะขัดคำสั่งของรุ่นพี่อย่างนั้นหรือ”

“แต่ว่านี่ ม..มันเป็นหน้าที่ของผม”ฮารุโตะฮึดพูดขึ้นบ้าง เขาไม่อยากทำให้รุ่นพี่อาโอกิผิดหวังในตัวเขา เพราะฉะนั้นไม่ว่าเรื่องอะไรที่รุ่นพี่ขอให้ทำ เขาต้องทำให้สำเร็จให้จงได้

“พรุ่งนี้ก็มีเรื่องที่นายต้องทำเหมือนกัน ถ้านายไม่สบายใครจะมาเป็นผู้ช่วยฉันล่ะ”

“เอ๊ะ...ผู้ช่วยของรุ่นพี่ ผมน่ะหรือ”

“ใช่ ฉันน่ะถ่ายภาพเป็นอย่างเดียว ทำอย่างอื่นไม่เป็นหรอกนะ”

ว่าแล้วเชียว... ฮารุโตะคิดในใจ จู่ๆรุ่นพี่ชิมิซึจะมาทำดีด้วยอย่างนี้มันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก คนใจร้ายอย่างนี้นะหรือจะทำดีกับคนอื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน

“ผมไม่ไปยืนตากหิมะแบบนั้นแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นขอนี่คืนด้วยครับ”ฮารุโตะดึงปึกกระดาษกลับมาจากซากิอย่างรวดเร็ว โค้งศีรษะให้แล้วรีบวิ่งจากไปทันที ทิ้งอีกฝ่ายให้มองตามแผ่นหลังด้วยความฉุนไม่สบอารมณ์



เช้าวันถัดมาฮารุโตะเป็นหวัดนิดหน่อย ทั้งที่คิดว่าตนเองเป็นคนแข็งแรงแท้ๆ และอุตส่าห์คิดว่าตัวเองจะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม แต่ทำไมต้องมาเป็นหวัดในวันแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้

ไม่รู้ว่าจะโดนรุ่นพี่ชิมิซึว่าหรือเปล่า ไม่สิ...ร่างบางสลัดศีรษะไล่ความคิดนั้นไป แค่เราทำงานของเราได้ รุ่นพี่ก็ไม่มีทางมาว่าอะไรอยู่แล้ว...นั่นเป็นสิ่งที่ฮารุโตะคิด ขณะที่ยังส่งเสียงจามเบาๆไปตลอดทาง

วันคริสต์มาสอีฟมักจะเป็นวันที่ไม่ค่อยมีเรียน เพราะนักศึกษาส่วนใหญ่มันจะมีนัดเดตและยอมโดดเรียนจนคลาสเรียนโหรงเหรง อาจารย์บางท่านถึงได้สั่งหยุดคลาสไปเลย แม้จะคิดอยู่บ้างว่าแผนการของรุ่นพี่อาโอกิไม่น่าจะได้ผล เพราะจำนวนนักศึกษาที่โหรงเหรงนี่ล่ะ แต่อย่างว่า...อย่าดูถูกความคิดของรุ่นพี่ทั้งสองคนน่าจะดีกว่า

ฮารุโตะเปิดประตูห้องชมรมเข้าไป เป็นช่วงจังหวะพอดีที่เห็นว่านาโอโตะวางโทรศัพท์มือถือในมือลง ตามด้วยคำพูดที่ว่ามาถึงพอดีเลย เขาจึงเดาว่าคนที่รุ่นพี่อาโอกิกำลังจะโทรหาคงเป็นเขา

“ขอโทษที่มาสายครับ”

“ไม่เลย แต่ลูกค้าจะไปที่อื่นกันต่อน่ะเลยมาเร็ว”นาโอโตะกระซิบบอกเพื่อไม่ให้คู่หนุ่มสาวที่นั่งรออยู่ต้องรู้สึกลำบากใจ แล้วเอ่ยเร่งด้วยน้ำเสียงปกติต่อไปว่า “รีบไปเตรียมของ เร็วเข้า” ฮารุโตะรีบไปหยิบกระเป๋าข้าวของต่างๆ แล้วเดินตามซากิกับคู่รักออกจากห้องไป

หิมะโปรยปรายลงมาเบาบางจนไม่เป็นปัญหากับการถ่ายภาพ หากกลับเสริมให้ดูโรแมนติกชวนฝันกว่าเดิมด้วยซ้ำ คู่รักหนุ่มสาวอยู่ในชุดคอสเพลย์จากการ์ตูนเรื่องคุโรชิทซึจิ  ทั้งสองคนจึงกลายเป็นท่านลอร์ดชิเอล และเลดี้เอลิซาเบธ ยามเจริญวัย

ฮารุโตะถือแผ่นสะท้อนแสงอยู่ท่ามกลางหิมะ ...คนอื่นๆก็อยู่ท่ามกลางหิมะเช่นกัน แต่ที่เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เพราะร้อยวันพันปี เขาไม่เคยเห็นรุ่นพี่ชิมิซึใช้รีเฟล็กซ์เลยสักครั้ง ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ต้องออกมายืนข้างนอกตากหิมะอย่างนี้ นอกจากต้องยืนถือแผ่นสะท้อนแสง เขายังต้องคอยเช็กผมเช็กหน้าให้แบบทั้งสองคนอีกด้วย ฮารุโตะรู้สึกว่ากระบอกตาของเขาร้อนผ่าว พิษไข้คงเล่นงานมากกว่าแค่อาการจาม และเสื้อตัวที่ใส่อยู่คงบางเกินกว่าจะกันอากาศหนาวเย็นนี่ได้

ในที่สุดการถ่ายภาพคู่รักคู่นี้ก็สิ้นสุดลง เด็กหนุ่มรีบเก็บของเดินนำไปก่อนหน้า กลับไปที่ห้องชมรม ตอนนี้เขาหนาวจนร่างกายสั่นสะท้าน ถ้ากลับไปที่นั่นจะมีห้องอุ่นๆรอเขาอยู่ แล้วอาการตื้อๆที่อยู่ในหัวจะได้หายไปเสียที

“ไม่สบายหรือไง”ซากิลอยหน้าลอยตาเข้ามาถาม มุมเหมือนจะปากยิ้มเยาะจนเขารู้สึกโมโห เหมือนกับว่าการกระทำช่วงเช้าที่ผ่านมาอีกฝ่ายจงใจทำเพื่อแกล้งเขา

“เปล่าครับ ผมสบายดี”ฮารุโตะตอบ ไม่ใช่น้ำเสียงที่เข้มแข็งห้าวหาญหากเป็นความพยายามฝืนไม่ให้เสียงนั้นสั่น ซากิเกลียดเขามากเลยหรืออย่างไรกัน เขาทำอะไรที่ผิดพลาดไปอย่างนั้นหรือ

“ก็ดี ยังเหลืออีกตั้งสองคู่ ฉันไม่อยากต้องทั้งถ่ายภาพแล้วทำงานจิปาถะไปด้วย”

แต่ถึงจะพูดกับเขาแบบนั้นกระนั้นการถ่ายภาพช่วงต่อๆมา รุ่นพี่ชิมิซึกลับยกเลิกการใช้แผ่นสะท้อนแสง ยกหมวกไหมพรมที่เจ้าตัวสวมอยู่ให้เขา รวมถึงหาโค้ตหนาๆมาให้เขาใส่อีกตัว

หิมะไม่ได้ตกลงมาอีกแล้ว ทั้งอย่างนั้นเขากลับถูกสั่งให้นั่งรอที่บันไดขึ้นตึก ที่ซึ่งแม้จะมีหิมะตก ละอองหิมะก็จะไม่โดนตัวเขา  ฮารุโตะได้แต่กอดเข่ามองคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะขาวโพลนอย่างไม่เข้าใจ.....



ในที่สุดงานที่ต้องทำก็จบลง ฮารุโตะระบายลมหายใจหนักหน่วงซึ่งกลายเป็นไอควันเมื่อกระทบอากาศเย็น หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาจึงถอดเสื้อกับหมวกที่สวมอยู่ส่งคืนให้เจ้าของ

“ขอบคุณมากครับ”

ซากิทำแค่เพียงปรายตามอง มือยังง่วนกับกล้องที่ใช้ก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบๆว่า “นายควรเอามันไปซักก่อนจะเอามาคืนฉัน”

“อ๊ะ ขอโทษครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะเอามาคืนให้วันหลัง”

“ดี ถ้าอย่างนั้น”ซากิขยับเท้าเข้าไปหาหลังจากที่เก็บกล้องลงกระเป๋าแล้ว เขาดึงหมวกไหมพรมออกจากมือคู่นั้น “นายควรที่จะสวมมันไว้ก่อน เสื้อนี่ก็เหมือนกัน” พูดพลางดึงเสื้อขึ้นมาสวมให้อีกฝ่าย

ความอุ่นซ่านอันแปลกประหลาดวูบขึ้นมาในอกของฮารุโตะอีกครั้ง รู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าเมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆยามที่ซากิเข้ามาใกล้ ดวงตากลมไหวระริกเสหลบลงโดยอัตโนมัติ

“ข...ขอบคุณครับ”ฮารุโตะพึมพำเบาๆ เขารู้สึกอึดอัดกับบรรยากาศรอบข้างที่ดูเงียบเชียบหนักหน่วงแปลกๆแบบที่เขาไม่เคยสัมผัส ไม่ใช่ความเยียบเย็นเฉยชาเฉกเช่นทุกครั้งยามที่อยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึ อีกนัยหนึ่ง เขาทำตัวไม่ถูกจนได้แต่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ

“เดี๋ยวเอาของไปเก็บแล้วไปกินข้าวกัน” ซากิก้าวเท้าไปหยิบกระเป๋าอุปกรณ์ทั้งหลายอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขยับเท้ากลับมาคว้ามือบางของคนที่ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ให้ติดมือไปด้วย

ตอนที่มาถึงห้องชมรม ฮารุโตะเหมือนจะไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ ในสมองของเขามีแต่เรื่องฟุ้งซ่านเต็มไปหมดจนไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้ กระทั่งถูกทักขึ้นมานั่นแหละความอบอุ่นที่กุมมือของเขาอยู่ถึงชัดเจนขึ้นมา

“อ๊ะ จับมือกันด้วย”เสียงของเรียวตะที่ดังขึ้นนั่นทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องชมรมต่างหันมามอง ฮารุโตะถึงได้พยายามดึงมือออก หากชายหนุ่มร่างสูงข้างหน้ากลับไม่ให้ความร่วมมือซ้ำยังสอดประสานนิ้วให้แนบแน่นกว่าเดิม แก้มทั้งสองข้างของเขาร้อนผ่าวไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา

“อิจฉาหรือไง”พอซากิตอบกลับไปเช่นนั้นก็เรียกเสียงเป่าปาก เสียงแซวให้ดังขึ้นเกรียวกราว ยิ่งทำให้ฮารุโตะรู้สึกอับอายมากขึ้นไปอีก เขาพยายามดึงมือออกแต่อีกฝ่ายกลับบีบมือของเขาไว้แน่น เขาจึงได้แต่เดินตามหนุ่มรุ่นพี่ที่มืออีกข้างถือกระเป๋าอุปกรณ์นำไปวางไว้ยังที่ของมัน และก้าวเท้าเร็วๆตามร่างสูงกว่าซึ่งกำลังก้าวออกจากห้องชมรม

“แล้วจะรีบไปไหนกันเนี่ย”

“ก็เดตไง คริสต์มาสอีฟทั้งที ฉันไม่เหมือนพวกนายหรอกนะ”

หัวสมองของฮารุโตะอื้ออึงสับสนไปหมดแค่ได้ยินคำว่าเดตออกจากปากของรุ่นพี่ชิมิซึ

ไปเดต!!! เดตเนี่ยนะ เดตกับรุ่นพี่ชิมิซึ  ฮารุโตะไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำนี้ออกจากปากของหนุ่มรุ่นพี่แต่หัวใจของเขากลับพองโตฟูฟ่องอยู่ในอก แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่น่าเชื่ออยู่ดี ฮารุโตะได้แต่คิดขัดแย้งกันอยู่ในสมอง

เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองมือของตนที่อยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย นิ้วเรียวยาวของหนุ่มรุ่นพี่เกาะกุมประสานอยู่ระหว่างนิ้วทั้งห้าของเขา พอคิดถึงนัยความหมายของการจับมือแบบนี้แล้ว ทำให้ฮารุโตะรู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เขาไล่สายตาตามท่อนแขนของอีกฝ่ายขึ้นสูง จับจ้องเส้นผมสีดำขลับและใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ชิมิซึอย่างนึกมองให้ทะลุถึงหัวใจ คำพูดต่างๆนานาที่รุ่นพี่พูดกับเขาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาผุดขึ้นมาในสมอง เขาอยากรู้ คำพูดของรุ่นพี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ หรือแค่ปั้นแต่งเพื่อล่อลวงเขากันแน่

“เอ่อ... เรื่องเดต”

“หือ อ้อ ก็แค่พูดไปอย่างนั้นเองแหละ”ซากิหันมามองเขาเพียงชั่วครู่ พร้อมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับสิ่งที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่องสามัญธรรมดา

ว่าแล้วเชียว!!! ฮารุโตะคิดในใจ แม้จะพอคาดเดาไว้อยู่แล้วแต่เขาก็อดเสียใจอยู่ลึกๆไม่ได้ ความผิดหวังนี้ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมา ทำไมเขาถึงคาดหวังว่ามันจะเป็นการเดตด้วยล่ะ ทั้งที่เขาเคยชอบรุ่นพี่นาคามูระขนาดนั้นแท้ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงได้แต่ภาวนาอยู่เงียบๆภายในใจ

ขออย่าให้ความหวั่นไหวนี้...เกินเลยมากไปกว่านี้เลย



“วันที่สี่ก็เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ”

“เอ๊ะ”ฮารุโตะมองคู่สนทนาด้วยความสงสัยในคำพูดนั้น

ซากิพาเขามาทานราเมงที่ร้านข้างทางแถวๆหน้ามหาวิทยาลัย ซึ่งหลังจากทานกันเสร็จ อีกฝ่ายได้พูดคำนั้นออกมา

“วันที่สี่ถึงวันที่หก พวกฉันจะไปเล่นสกีกัน”

“ทริปนี้ไม่เห็นรุ่นพี่อาโอกิจะพูดอะไรเลยนี่ครับ” โดยปกติแล้วรุ่นพี่นาคามูระกับรุ่นพี่อาโอกิจะประกาศเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวของชมรมก่อนล่วงหน้าหนึ่งเดือนหรือมากกว่านั้น

“มันไม่เกี่ยวกับชมรมน่ะ พวกฉันจะไปกันเองและนายต้องไปด้วย”

“ผมคงไม่มีเงินขนาดนั้นหรอกครับ”เขาตอบปฏิเสธ

“ไม่เป็นไรฉันออกเงินให้เอง”

“ไม่ดีกว่าครับ มันเป็นการรบกวนรุ่นพี่ซะเปล่าๆ”

“ถ้าอย่างนั้นนายคงต้องไปบอกเจ้าพวกนั้น”น้ำเสียงของซากิฟังดูขุ่นเคืองขึ้นเล็กน้อย และเมื่อพูดจบเขาก็ลุกขึ้น วางเงินค่าอาหารไว้บนโต๊ะโดยไม่ลืมลากข้อมือของฮารุโตะติดไปด้วย ฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัว ก้าวเท้าสะดุดจนศีรษะเกือบจะทิ่มลงพื้น แต่ก็เพราะแรงลากมหาศาลนั่นล่ะที่ไม่ทำให้หน้าของเขาลงไปวัดพื้นเสียก่อน

ฮารุโตะรู้สึกสับสนงงงวยกับอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของรุ่นพี่ร่วมสถาบันคนนี้ยิ่งนัก กระนั้นภายในใจของเขากลับไม่มีความรู้สึกหงุดหงิดขุ่นข้องหรือรำคาญใจ เขาได้แต่ถอนหายใจเมื่อได้รับรู้ความรู้สึกบางเบาที่อวลอยู่ในอกทั้งที่คิดพยายามหักห้ามมันไว้แล้วแท้ๆ

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-02-2017 00:36:27

วันที่สี่มกราคมมาถึงเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อวานฮารุโตะเจอรุ่นพี่ฮายาชิที่ร้านสะดวกซื้อตอนที่เขากำลังทำงานพิเศษ  หนุ่มรุ่นพี่ผู้มีรอยยิ้มแจ่มใสเป็นนิจเอ่ยย้ำนัดหมายเวลาอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะอิดออดอยากปฏิเสธแต่ก็เป็นไปได้ยากเหลือเกินเมื่อรุ่นพี่ผู้แสนใจดีสำทับซ้ำๆหลายรอบ อีกทั้งรุ่นพี่อาโอกิยังโทรมาย้ำกับเขาเมื่อคืนก่อนนอนเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงต้องสะพายกระเป๋าเป้ใบเก่ามายังมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นจุดนัดหมายในวันนี้

“มาถึงหรือยังฮารุจัง”เสียงของนาโอโตะดังขึ้นที่ปลายสายเมื่อยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับ

“ครับ”

“ถ้าอย่างนั้นรอตรงหน้าประตูใหญ่เลยนะ”

“ได้ครับ” เขายืนรอหลังจากวางสายไม่นาน รถยนต์อเนกประสงค์ขนาดเจ็ดที่นั่งก็มาจอดเทียบสนิทอยู่ตรงหน้า เมื่อเปิดประตูออกพลางกวาดสายตาไปทั่วเขาได้พบว่าภายในเหลือที่ว่างเบาะหลังเท่านั้น ผู้รับหน้าที่ขับรถเป็นรุ่นพี่นาคามูระ เรย์ซึ่งนั่งคู่กับรุ่นพี่อาโอกิ นาโอโตะ เบาะถัดมาด้านหลังคนขับคือรุ่นพี่โมริ เอคิจิ และรุ่นพี่ฮายาชิ เรียวตะ และตำแหน่งที่เขาต้องไปนั่งคือที่ว่างข้างรุ่นพี่ชิมิซึ ซากิ

ฮารุโตะหลุบตาลงมองแต่พื้นยามที่เดินไปยังที่นั่งของตน

รถยนต์เคลื่อนที่ออกเดินทางหลังจากผู้ร่วมทริปคนสุดท้ายขึ้นมานั่งประจำที่อยู่บนรถ

นาคามูระ เรย์ขับรถมุ่งหน้าไปทางตะวันตกขึ้นทางด่วนคิตะคันโตเพื่อจะตัดเข้าทางด่วนคันเอ็ทสึมุ่งหน้าตรงไปยังนางาโน่  รถวิ่งไปแค่ชั่วโมงกว่าๆ เขาก็จอดแวะที่จุดพักรถเพื่อหาอะไรรองท้อง

“ไปหาอะไรกินกันก่อนนะ”เรย์บอกขณะที่กำลังจอดรถ

“ดีเลย ฉันอยากจะบอกว่าหิวมากๆละตอนนี้”เรียวตะพูดสำทับ เขาเปิดประตูรถยนต์ลงไปยืนบิดขี้เกียจอยู่ด้านล่าง พลางสอดส่ายสายตาหาร้านอาหาร

“ข้าวนะ ขอข้าว ไม่เอาฟาสฟู้ด”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง “ร้านนั้นนะ” โดยที่ไม่รอความคิดเห็นจากคนอื่น เขาก้าวลิ่วๆตรงไปร้านที่เล็งไว้เสียแล้ว

“รอด้วยดิ”พูดจบเรียวตะก็วิ่งตามไปอีกคน พอเห็นรุ่นพี่อีกสองคนเดินตามไป ฮารุโตะจึงนึกลังเลเพราะต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังอย่างประหยัด เขาจึงติดนิสัยไม่ทานอาหารนอกบ้าน ถึงจะเคยไปทานข้าวกับพวกรุ่นพี่ตามร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าบ้างก็ตาม

“ยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะ ไปดิ”ซากิที่เห็นฮารุโตะยืนนิ่งจึงหันมาถาม แต่เขาไม่พูดเปล่าๆ ชายหนุ่มร่างสูงยังคว้าข้อมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องลากให้เดินตามไปด้วยกันอีกด้วย

“ผมไม่ไปดีกว่าครับรุ่นพี่ พอดีทานข้าวเช้ามาเรียบร้อยแล้วครับ” เด็กหนุ่มกล่าว

“กินแล้วก็กินอีกได้”คนพูดบอกเสียงห้วนอย่างไม่ฟังคำทัดทาน ลากอีกฝ่ายไปยังร้านที่เพื่อนๆของเขาหมายตาไว้จนได้ ฮารุโตะจำเป็นต้องทรุดตัวลงนั่งข้างซากิ

“สั่งอะไรดีฮารุจัง มีแต่ของน่าทานทั้งนั้นเลย”นาโอโตะยิ้มหวานพร้อมกับส่งเมนูมาให้ ฮารุโตะรับเมนูมาถือยังไม่ทันที่จะเปิดดูกลับโดนซากิพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

“มิอุระเขาบอกว่ากินมาแล้วน่ะ”

“กินแล้วก็กินอีกได้ ตัวแค่นี้กินเยอะๆจะได้โตไวๆ อีกอย่างกว่าจะถึงก็หิวจนทนไม่ไหวพอดี”เรย์ว่า “ที่สำคัญมื้อนี้เอคิจิเลี้ยง”

“เอ๊ะ! ทำไมเป็นฉันล่ะ”

“ก็เพราะร้านนี้นายเป็นคนเลือกไง”เรียวตะว่าด้วยน้ำเสียงเย้าหยอก

“อืม อย่างนั้นก็ได้ ดังนั้นมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” ทุกคนโห่ร้องด้วยความดีใจกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ซากิผู้เงียบขรึมแสนนิ่งเฉยผู้ซึ่งนั่งอยู่ข้างฮารุโตะ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เสียงโห่ร้องนั้นจะสิ้นสุด เจ้ามือกลับพูดต่อไปอีกว่า “เฉพาะฮารุจังผู้น่ารักเท่านั้นนะ” ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างขำขัน

“ฮารุจังกินอะไรไม่ได้บ้างล่ะ”เอคิจิถามต่อ

“ไม่มีครับ ผมทานได้ทุกอย่าง”พอโดนถามถึงเรื่องอาหาร ฮารุโตะเหมือนรู้สึกว่าตนเองจะเริ่มหิวขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าตัวเขาจะค่อนข้างขัดสนเรื่องเงินทองแต่เงินสำหรับค่าอาหารในแต่ละมื้อเขายังสามารถจ่ายได้ เพียงแต่เขาไม่สามารถฟุ่มเฟือยได้เท่าคนอื่นๆที่อยู่ในวัยเดียวกัน  เมื่ออยู่นอกบ้านเขามักจะฝากท้องไว้กับข้าวปั้นหรือขนมปังของร้านสะดวกซื้อ

ฮารุโตะเปิดดูเมนูไปไม่กี่หน้า อาหารที่พวกรุ่นพี่สั่งก็มาเสิร์ฟ เขาเห็นอาหารน่าทานทยอยวางเรียงบนโต๊ะจึงยิ่งมีความคิดที่จะสั่งมาทานบ้าง จะให้เขานั่งดูคนอื่นทานเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท ซ้ำถ้าเกิดเสียงท้องร้องดังขึ้นมาจะเป็นที่อับอายเสียเปล่าๆ

ขณะที่กำลังกวาดตามองเมนูซึ่งอยู่ในมือ ถาดอาหารที่บรรจุข้าวสวยร้อนๆ น้ำซุปในถ้วยที่มีฝาปิดป้องกันการคลายตัวของไอร้อน ไก่ย่างราดซอสบนจานกระเบื้องสีขาวและสลัดก็ถูกส่งมาตรงหน้า

“ฮารุจังคงไม่ว่ากันนะที่ฉันเลือกเมนูนี้ให้นะ”เอคิจิพูดพลางส่งรอยยิ้มประหม่าเชิงไม่แน่ใจมาให้

ฮารุโตะวางเล่มรายการอาหารในมือตนลง พลางกล่าวตอบรับด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่หรอกครับ ผมถูกใจมากเลยล่ะ ทานละนะครับ”และลงมือทานด้วยความกระตือรือร้น โดยไม่รู้เลยว่าคนที่นั่งอยู่ข้างกันเหล่มองด้วยความหมั่นไส้

กลับขึ้นมาบนรถอีกครั้งหลังจบเหตุการณ์แย่งชิงกันจ่ายค่าอาหารระหว่างเอคิจิที่บอกว่าจะเลี้ยงข้าวฮารุจัง กับฮารุโตะที่ยืนยันว่าไม่อยากให้รุ่นพี่ต้องมาเลี้ยงข้าวโดยไม่จำเป็น โดยผู้ชนะเป็นชิมิซึ ซากิที่รวบค่าใช้จ่ายมื้อนี้ไว้แต่เพียงผู้เดียว  ดังนั้นบรรยากาศที่เบาะหลังดูจะอึมครึมมากกว่าเดิมอีกเท่าตัว แม้ซากิจะไม่ได้ชักสีหน้าโกรธขึ้ง แต่ใบหน้าเรียบเฉยของซากิกลับทำให้ฮารุโตะแทบไม่อยากหายใจเลยถ้าเขาทำเช่นนั้นได้

ฮารุโตะนั่งนิ่งจนแทบไม่กระดิกอยู่นานจนกระทั่งมีศีรษะมาพิงอยู่บนไหล่ เขาสะดุ้งอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเหลือบตาไปดู เห็นรุ่นพี่ชิมิซึหลับตาสนิทโดยใช้ไหล่ของเขาต่างหมอน เท่านั้นยังไม่พอ มือแข็งแรงยังสอดมาโอบเอวและลากเขาเข้าไปใกล้เสียด้วย

“ร...รุ่นพี่”

“จะนอน”เพียงเท่านั้นฮารุโตะก็หุบปากเงียบสนิท ไม่กล้าขยับแม้กระทั่งตอนที่รุ่นพี่ฮายาชิส่งขนมมาให้



บ่ายโมงกว่าๆรถยนต์เจ็ดที่นั่งของนาคามูระ เรย์จึงได้มาถึงที่พัก รอจนรถยนต์จอดนิ่งสนิทแล้วฮารุโตะถึงได้ปลุกคนที่นอนซบไหล่ให้ตื่น ซ้ำหลังลงจากรถยังถูกรุ่นพี่ฮายาชิเอ่ยแซวจนรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว

“หลับสนิทเชียวนะ”

“ก็นะ”ซากิตอบกลับสั้นๆเพียงเท่านั้นเอง ทำให้ฮารุโตะรู้สึกห่อเหี่ยวลงกับคำตอบนั้นพลันเมื่อนึกขึ้นได้จึงรีบสะบัดความคิดวุ่นวายที่ว่าทิ้งไป แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น ห้องพักถูกกำหนดให้นอนร่วมกันสองคน รุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระต้องพักด้วยกันอยู่แล้ว และพอรุ่นพี่ฮายาชิบอกว่าจะอยู่กับเอคิจิ เขาจึงถูกจับคู่ให้พักร่วมกับรุ่นพี่ชิมิซึไปโดยปริยาย

ฮารุโตะรู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก

เพราะท่าทีของหนุ่มรุ่นพี่ไม่ชัดเจนนัก ไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีต่อตัวเขาเป็นเช่นไรกันแน่ เกลียด ไม่ชอบ เฉยๆ หรือมีใจให้บ้าง และต่อให้บอกตัวเองว่าไม่ให้คิด แต่ต้องยอมรับว่าเขาเริ่มแอบคาดหวังไว้ลึกๆเช่นกัน

วางกระเป๋าเรียบร้อยเสียงเคาะประตูได้ดังขึ้นทันที ฮารุโตะเป็นคนเดินไปเปิดประตู ในขณะที่ชิมิซึ ซากิยังง่วนอยู่กับการเก็บของเขาตู้

“ไปเล่นสโนว์บอร์ดกันเถอะ”เรียวตะเอ่ยชวนเหมือนเด็กๆ ฮารุโตะยิ้มรับ แม้การเที่ยวเล่นแบบนี้จะเป็นเรื่องที่ฟุ่มเฟือยเกินตัว แต่เขาอดที่จะรู้สึกสนุกไปกับมันไม่ได้ ก่อนออกจากห้องเด็กหนุ่มจึงหันไปถามอีกคนตามมารยาทว่า

“รุ่นพี่ชิมิซึ ออกไปด้วยกันเลยไหมครับ”

“นายไปก่อนเถอะ”เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น เขาจึงพูดกลับไปด้วยความลังเลว่า “ถ...ถ้าอย่างไรก็รีบตามมานะครับ” ก่อนจะก้าวเท้าออกจากห้อง

สีขาวสะอาดตาของหิมะทำให้เด็กหนุ่มรู้ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกสบายใจและอิ่มเอมอย่างมีความสุขจนต้องยิ้มออกมา ฮารุโตะเดินตามเรียวตะไปที่รถยนต์ พวกรุ่นพี่กำลังเปิดท้ายรถเพื่อหยิบอุปกรณ์ เขายิ้มอีกครั้งพลางนึกในใจว่าทุกคนคงจะเชี่ยวชาญกันน่าดู ถึงขนาดมีอุปกรณ์เป็นของตัวเองแบบนี้

“อะ อันนี้ของซากิ รับฝากไว้ให้มันด้วยละกันนะ”เอคิจิส่งของมาให้เขา ส่วนคนอื่นๆก็กำลังเตรียมตัว โดยเฉพาะรุ่นพี่นาคามูระที่พลังล้นเหลืออย่างที่ตัวเขานึกแปลกใจ

“รุ่นพี่นาคามูระขับรถมาตั้งไกล ไม่เหนื่อยหรือครับ”เด็กหนุ่มออกปากถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ต้องห่วงล่ะฮารุจัง หมอนี่อึดเหมือนแมลงสาบเลยล่ะ”พอนาโอโตะพูดจบ เขาต้องเบี่ยงศีรษะหลบมะเหงกของคนที่ถูกกล่าวถึงอย่างหวุดหวิด

“ฉันยังไม่แก่ไม่ใช่เป็นแมลงสาบ ฮารุจังไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขับรถแค่สี่ห้าชั่วโมง สบายมาก”ประโยคแรกหันไปบอกคนข้างกาย ประโยคถัดมาถึงได้หันมาบอกเขา

ยืนคุยกันอีกเพียงครู่เดียวซากิจึงได้ตามมาสมทบ

“นี่ครับ”คงเพราะสภาพของสถานที่ท่องเที่ยวซึ่งเป็นวันที่อากาศดีพาให้จิตใจเบิกบานไปด้วย แม้กับหนุ่มรุ่นพี่ที่มักจะทำให้บรรยากาศรอบตัวของฮารุโตะอึดอัดขมุกขมัวอยู่เป็นนิตย์ เขายังเห็นว่ารอบตัวดูสว่างกว่าปกติจนส่งรอยยิ้มแจ่มใสไปให้

พวกรุ่นพี่ซักถามถึงจุดที่จะขึ้นไปเล่นสโนว์บอร์ดโดยที่เขายืนฟังอยู่เฉยๆ ถึงแม้จะแค่ยืนฟังอย่างเดียวอยู่เช่นนี้ แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงตัวตนที่ตนเองได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง นานแล้วที่ฮารุโตะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอยู่เสมอ ไม่มีครอบครัว ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีคนคอยพูดคุย ถูกกันให้ห่างจากสังคมรอบกาย จนตัวเขาเองรู้สึกแปลกแยกจากทุกสิ่ง

“ฝากด้วยนะ”

ฮารุโตะรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อทุกคนแยกย้ายกันไป

“เอ่อ ถ้าอย่างนั้นเดียวผมไปเดินดูรอบๆแล้วกันนะครับ”ฮารุโตะเอ่ยบอกซากิที่ยังยืนอยู่

“ไม่ต้องหรอก ฉันมีบอร์ดมาสองอัน นายจะไม่เล่นเหรอ”

ฮารุโตะยิ้มอย่างดีใจพลางมองของที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย “ขอบคุณครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะไปหาคนมาสอน”

“ฉันสอนให้เองก็ได้ จะต้องเสียเงินจ้างทำไม”

“รุ่นพี่ใจดีจัง” ฮารุโตะเอ่ยปากชื่นชม เขาก้มมองกระดานสโนว์บอร์ดและขอมันมาถือเองด้วยความกระตือรือร้น รอยยิ้มกว้างยังคงประดับอยู่บนใบหน้า คำพูดสั้นๆนั้นทำให้คู่สนทนายกยิ้มไปด้วยเช่นกัน

ซากิส่งรองเท้าให้หนุ่มรุ่นน้องพร้อมเสื้อกันหนาวอีกตัวก่อนจะให้อีกฝ่ายเปลี่ยนเสื้อจากเสื้อโค้ตที่สวมอยู่เป็นเสื้อที่เขาเตรียมมาให้แทน หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้ารองเท้าเรียบร้อยชายหนุ่มร่างสูงพาฮารุโตะไปยังโซนสำหรับผู้เริ่มเล่น

แสงแดดสลัวรางทั้งที่เป็นเวลาค่อนบ่าย อากาศเย็นจัดจนเด็กหนุ่มต้องห่อไหล่เข้าหากัน

“อีกเดี๋ยวก็ไม่หนาวแล้ว มาเริ่มวอร์มก่อนนะ”ชายหนุ่มอธิบายทุกอย่างตั้งแต่พื้นฐานเบื้องต้น ให้ฮารุโตะซ้อมล้มอยู่หลายครั้งจนแน่ใจว่าหนุ่มรุ่นน้องสามารถจดจำได้ จากนั้นจึงสอนให้ทรงตัวบนบอร์ดแต่แค่เพียงไม่นานในความรู้สึกของฮารุโตะ หนุ่มรุ่นพี่ก็บอกว่าให้กลับโรงแรม

“จะห้าโมงแล้ว”

ฮารุโตะมองท้องฟ้าที่ขมุกขมัวด้วยหมอกสีขาว ดวงอาทิตย์ถูกซ่อนตัวอยู่ภายใต้ม่านหนาทึบ เขาไถบอร์ดตามรุ่นพี่ไปช้าๆจนถึงช่วงพื้นเรียบที่รุ่นพี่ชิมิซึหยุดยืนรอเขาอยู่แล้ว ตอนที่จะหยิบบอร์ดขึ้นมาถือชายหนุ่มร่างสูงได้เข้ามาคว้าไว้เสียก่อน

“ผมถือเองได้ครับ”

“รู้แล้ว แต่ฉันถือหรือนายถือมันก็เหมือนกันล่ะน่า เดินนำไปได้แล้ว”เขาพูดพลางรุนหลังให้ฮารุโตะเดินนำไป

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: m.starlight ที่ 16-02-2017 02:28:59
ลุ้นทุกตอน  :hao5:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: llmaumill ที่ 16-02-2017 02:46:18
 :เฮ้อ: ทนอ่านไม่ไหวค่ะ นายเอกยอมคนเกินไป อ่อนแอเกินไป ยังมองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย บางทีอ่านๆไปละอินมากจนอยากเป็นนายเอกละ ฆ่าตัวตายไปซะ คือคนเขียนยรรยายดีมากเลยค่ะ ทำเอาเราอึดอัดตามเลย ขอสารภาพว่าอ่านผ่านๆ เพราะขัดใจกับนิสัยนายเอกจริงๆ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-02-2017 05:41:39
ทั้งที่รู้ภูมิหลัง เข้าใจสภาพอารมณ์ฮารุโตะ ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนี้
แต่ก็อดรู้สึกขัดใจ ในตัวตนของฮารุโตะไม่ได้
มีแต่ความอ่อนแอ กลัว ไม่กล้ามองหน้าใครตรงๆ
ประหม่า คิดมาก ไม่มั่นใจ อาการที่แสดงออก ชอบหลุบตา
เสื้อผ้าดีๆ ที่ได้มาก็ไม่ใส่ เพราะรู้สึกผิดที่ผิดทาง
ใส่ที่มีเก่าๆปอนๆ ทั้งที่รู้ว่าต้องถูกมองแบบดูถูกเหยียดหยาม
ถ้าเอาเวลาที่บ่นน้อยใจโชคชะตา มาออกกำลังกาย
ที่ทำได้เช่น วิ่ง ซิตอัพ กระโดดเชือก เข้าชมรมชกมวย(กระสอบทราย)
อย่างน้อยทำให้ร่างกายเข้มแข็ง /ก็มองจากคนนอก
ชิมิซึ มีความรู้สึกดีๆให้ฮารุโตะแล้วใช่มั้ย
เป็นความรู้สีกแบบไม่ยอมแพ้ ที่ฮารุโตะ ชอบแต่นาคามูระหรือเปล่า
ทั้งที่ตัวเองก็หล่อ มีแต่คนเข้าหา ทำไมฮารุโตะไม่สนใจ
ทั้งที่ฮารุโตะ จืดชืด แต่ตัวเองให้ความสนใจ
และทั้งที่ฮารุโตะมีอะไรๆกับตัวเองแล้วแท้ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-02-2017 08:34:35
ต้องนิยามว่า ความฮารุโตะ สินะ
รุ่นพี่ซากิตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ นึกชอบ (หรือสนใจ) ฮารุโตะขึ้นมา หรือเพราะตั้งใจจะปั่นหัวเล่นสนุก ๆ
แต่ที่แอบกลัวกว่า คือ หวังว่าฮารุโตะจะไม่หลุดทุนนะ ดูเหมือนช่วงนี้จะไม่ค่อยได้ทำคะแนนในห้องเรียนเท่าไหร่ (แถมเพื่อนที่เข้ามาทำความรู้จักก่อนหน้า ก็แสดงธาตุแท้ความเห็นแก่ตัวอีก เฮ้อ)
จำได้ว่าตอนแรก  ๆ ฮารุโตะบอกว่าตัวเองอยู่บ้านเด็กกำพร้า (หรือเปล่าหว่า) แต่ทำไมตอนนี้ถึงบอกว่าพ่อกับแม่แยกทางกัน ตัวเองเลยอยู่กับพ่อล่ะ แอบงง
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 16-02-2017 16:58:42
สำหรับผม ฮารุโตะเป็นตัวละครที่ดีนะครับ ผมว่าคุณตีสี่ค่อนข้างละเอียดใช้ได้ทีเดียว

ในสังคมญี่ปุ่น การแข่งขันและความตึงเครียดในบรรยากาศมันค่อนข้างสูงมากครับ มันเป็นผลมาจากประเพณีและวัฒนธรรมในการคัดคนและเลือกสรร ในสังคมญี่ปุ่นสามารถมองระดับชนชั้นได้สองระดับ ระดับแรกคือระดับบนเช่นเหล่า ‘ไคเรตสึ’ ทั้งแปดที่สืบรากฐานมาจากการปฏิรูปเมจิ และอีกระดับคือระดับสังคมทั่วไปของชาวญี่ปุ่น คุณลักษณะอย่างหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นมีมาแต่ดั้งเดิมคือความชาตินิยม ซึ่งทำให้พวกเขาสงวนพื้นที่ไว้สำหรับคนชาติตนเอง อย่างไรก็ตาม ในระดับสังคมทั่วไปของญี่ปุ่น การเล่นพรรคพวกเป็นเรื่องปกติ เนื่องจากค่านิยมการเลือกคนของตนเองนั้นมีมาตั้งแต่สมัยก่อนการรวมชาติของโนบุนากะ และยิ่งเห็นได้ชัดเจนขึ้นในสมัยของการตัวปฏิรูปเมจิ เมื่อญี่ปุ่นเริ่มเปิดประเทศ ตำแหน่งงานสำคัญและบริษัทที่เติบโตแบบก้าวกระโดดก็จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบริษัทและคนของตระกูลทั้งแปด นี่เป็นค่านิยมหนึ่งของญี่ปุ่น

ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ ค่านิยมนี้ทำให้ตำแหน่งงานที่เปิดอิสระให้คนญี่ปุ่นในชนชั้นรองลงมาลดลง ถ้าเป็นในสมัยที่เศรษฐกิจของญี่ปุ่นเฟื่องฟู มันจะไม่เป็นปัญหา เพราะการแข่งขันไม่สูงมาก บริษัทสามารถรับพนักงานได้เป็นจำนวนมาก แต่เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัวมาตั้งแต่สิบปีที่แล้ว รวมถึงการแย่งตลาดอุตสาหกรรมของจีนและชาติตะวันตก ทำให้สภาพเศรษฐกิจของญี่ปุ่นฝืดเคืองมากขึ้นในระดับหนึ่ง มาตรการหนึ่งที่นำมาใช้คือ ทำการสำรองที่นั่งตำแหน่งงานของบริษัทที่ใหญ่ระดับประเทศกับมหาวิทยาลัย โดยเลือกเด็กที่จบมหาวิทยาลัยที่ดังที่สุด เกรดสวยที่สุด เข้ามาโดยคาดหวังว่าจะเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ทำให้การแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยของญี่ปุ่นค่อนข้างเข้มข้นและตึงเครียดมาก หากเข้ามหาวิทยาลัยผิดอาจพลิกชีวิตให้ล่มจมก็เป็นไปได้ในสายตาเด็กหนุ่มสาวญี่ปุ่น รวมถึงบริษัทที่ไม่เติบโตและกำไรถดถอยก็ถูกบังคับให้ไม่มีความก้าวหน้าทางการงานของพนักงาน เกิดการเลย์ออฟ หรือแม้แต่การเปิดรับตำแหน่งใหม่ ก็จะเลือกแต่คนเก่งที่สุดเท่านั้น ทำให้คนที่อยู่ชั้นรองลงมาที่ไม่ถูกเลือก จะกลายเป็นพลเมืองประเภทที่ไม่ได้รับการยอมรับในแวดวงทั่วไป นั่นคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ญี่ปุ่นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงติดอันดับของโลก

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่าชีวิตวัยเด็กของประชาชนญี่ปุ่นในระดับกลางจะถือว่าตึงเครียดและแข่งขันสูงมาก มันจะไม่เหลือพื้นที่ให้กับบุคคลด้อยประสิทธิภาพหรือความด่างพร้อยของสังคม ฮารุโตะเป็นหนึ่งในบุคคลที่น่าจะอยู่ในสังกัดนี้ การเป็นเด็กกำพร้าก็ถือว่าด้อยแล้ว ความยากจนยังเป็นปัญหาสำคัญมากๆของประชากรในสังกัดนี้ ประกอบกับบรรยากาศการแข่งขันในสังคมของคนญี่ปุ่น การเอาตัวรอด ความเห็นแก่ตัว ทั้งหมดนี้ทำให้เด็กญี่ปุ่นเป็นโรคซึมเศร้าหรือหดหู่ได้ง่ายมาก ในกรณีที่หนัก เขาอาจกลัวการเข้าสังคมไปเลย หรือที่เรียกว่า ฮิโคโมริ นั่นเอง ดังนั้นผมคิดว่าฮารุโตะมีความสมเหตุสมผลแล้วที่จะเศร้าง่าย ซึมง่าย จิตตกง่าย เพราะเขาถูกบีบมาทั้งชีวิต และจากสภาพสังคมที่ผมกล่าวมา ไม่มีทางที่ประชากรชั้นกลางที่ค่อนข้างไปทางบน จะสามารถดึงประชากรในสังกัดนี้ขึ้นมาได้ด้วย (จะสังเกตว่าจิตแพทย์ในญี่ปุ่นเงินเดือนไม่สูง เพราะปัญหามันเกิดจากรากฐานของวัฒนธรรมครับ บำบัดไปก็เท่านั้น) มีเพียงชนชั้นระดับไคเรตสึเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ในความเป็นจริง แต่ในระดับนิยาย เราคงไม่ไปเจาะลึกปัญหาประเทศขนาดนั้น

อย่างไรก็ดี นั่นคือสภาพสังคมของมนุษย์เงินเดือนครับ แต่ในระดับเอกลักษณ์ประเทศ มันจะแตกต่างออกไป ประชากรที่เลือกประกอบอาชีพแบบ SME หรือทำการเกษตรจะถือว่ามีชีวิตอิสระพอสมควร เพราะรัฐบาลจะเข้ามาดูแลจุดนี้ วัฏจักรอุบาทว์ของพนักงานเงินเดือนญี่ปุ่นจะไม่ก้าวเข้ามาถึงในวงการนี้ เนื่องจากการเกษตรและปศุสัตว์ รวมถึง SME ของญี่ปุ่นมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งออกขายเป็นจุดเด่นของประเทศ การจะดังหรือไม่ดังมันอยู่ที่คุณภาพของสินค้า และทุกคนสามารถทำได้ ดังนั้นจะสังเกตว่าเหล่าบรรดาหมู่บ้านที่ทำการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ หรือธุรกิจ SME เด่นๆของญี่ปุ่น เด็กของที่นั่นจะมีสภาพจิตค่อนข้างดีระดับหนึ่ง เนื่องจากเขาไม่ต้องมีความคาดหวังในการแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยกับประชากรอีกจำนวนมาก แต่จะไปเด่นเรื่องการสืบทอดวิธีการทำธุรกิจในตระกูลจากครอบครัวแทน และในเรื่องนี้ก็คือเรียวตะ

ฮารุโตะเป็นตัวอย่างเด็กที่เกิดมาในความด้อยและถูกสังคมแข่งขันสูงมากอย่างญี่ปุ่นบีบคั้นได้ดีมากครับ แม้จะจนตรอกด้วยสภาพแวดล้อม แต่ฮารุโตะก็เป็นเด็กที่นิสัยดี ซึ่งถ้าไปอยู่ในที่อื่นก็คงได้รับการช่วยเหลือและเติบโตได้ดีกว่านี้ แต่เนื่องจากเขาขาดมาตลอด (ตรงนี้ก็สะท้อนถึงความจริงของสังคมได้ดีอีกเช่นกัน) ทำให้ในบางเวลา เขาก็เกลียดและอิจฉาคนอื่นที่ดีมากๆด้วยบ้าง การที่เค้าชอบเรย์ ผมว่ามันก็สะท้อนถึงความฝันของเด็กที่ไม่มีอะไรเลยสักครั้งได้ดี ว่าถ้าอยากจะได้ก็อยากได้สิ่งที่ทุกคนมองว่าดีที่สุด แต่เนื่องจากในความเป็นจริง คุณไม่ได้ได้สิ่งนั้นหรอก เพราะสิ่งที่ดีที่สุดก็ย่อมคู่กับสิ่งที่งดงามพอๆกันอยู่แล้ว (เรย์กับนาโอโตะ) นั่นเป็นสิ่งที่ฮารุโตะควรจะเริ่มเรียนรู้ แล้วเริ่มคิดว่าจุดไหนของสังคมที่เขาจะไปยืนอยู่ ผมว่าซากิน่าจะเป็นประชากรระดับ Upper Middle เช่นเดียวกับนาโอโตะนะครับ แต่เรย์น่าจะเป็นประชากรระดับ Lower High ที่สูงกว่าสองคนนั้น ทุกคนมีโปรไฟล์ที่มีมิติกันหมด ตอนนี้ก็รอดูว่าซากิจะเริ่มรู้สึกยังไงกับฮารุโตะครับ เท่าที่ดูจนถึงตอนนี้ (ตอนที่ 6) ซากิก็เริ่มน่าจะรู้สึกแล้วแหละ เพราะเขาเป็นคนๆหนึ่งที่เห็นสภาพชีวิตของฮารุโตะมากที่สุด และการอยู่ร่วมกับคนที่นิสัยดีๆอย่างสมาชิกชมรมที่เหลือ (นาโอโตะน่าจะมีอิทธิพลมากที่สุด) ก็น่าจะทำให้เขาเป็นคนที่มีความดีเหลืออยู่ในใจบ้างแหละครับ ไม่ได้เลวบริสุทธิ์ขนาดนั้นมั้ง

ผมยังไม่เห็นพล็อตทั้งหมด เลยยังไม่รู้ว่าเรื่องจะยาวไปจนถึงขอบเขตชีวิตตรงไหนของฮารุโตะ แต่เท่าที่อ่านมา ถือว่าเขียนสภาพบรรยายได้ดีมากครับ ทุกองค์ประกอบดีหมดเลย ความสมจริง การบรรยาย ตัวละคร ตัวร้าย (ที่ผมคิดว่าคือชุน หรือเปล่า?) ก็แสดงถึงการ bullies ในสังคมจินตนาการได้ดีครับ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-02-2017 19:01:32
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-02-2017 21:37:37
พอดีได้อ่าน Reply ของ Grey Twilight ค่ะ อยากจะบอกว่าทฤษฏีคุณแน่นมากค่ะ แน่นกว่าเราที่เป็นคนเขียนเรื่องอีก

อย่างที่เราเคยเขียนบอกไว้ว่าเราโตมากับการ์ตูนญี่ปุ่นค่ะ ชอบดูหนังญี่ปุ่นด้วย เพราะอยากได้ภาษา(ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่ไปถึงไหน) เมื่อก่อนเราได้ดู Nobody Knows ค่ะ ทำร้ายจิตใจเรามาก หนังสือการ์ตูนอีกเรื่องคือ Life ที่เกี่ยวกับการกลั่นแกล้งในโรงเรียน
ถ้าพูดถึงการกลั่นแกล้งในโรงเรียนนี่ มีหนังสือการ์ตูนหลายเล่มยกขึ้นมาเขียนค่ะ ในความคิดเรามันให้อารมณ์ว่าเป็นเรื่องปกติของสังคมญี่ปุ่นค่ะ และบางเรื่องมันเป็นจุดเริ่มต้นของพระเอกในเรื่องอีกต่างหาก อย่างเช่น Eyeshield 21 แน่นอนค่ะ ถ้าพูดถึงการกลั่นแกล้งต้องกลับไปที่  Life

ขอบคุณ คุณ Grey Twilight คะสำหรับคำชมที่บอกว่าตัวละครของเราสมเหตุสมผล และบอกว่าเราบรรยายได้ดี (ปลื้มตัวลอยเลยอ่ะ) พูดกันตามตรงเรื่องนี้เคยนำมาลงแล้วรอบหนึ่งค่ะ แต่เรานำมาลงห้องเรื่องยาวซึ่งถูกเราตัดจบอย่างรวดเร็วชนิดที่แม้แต่ตัวเรายังค้างคาใจ ดังนั้นมันจึงถูกลบไปแล้ว เรื่องเดิมเราเปิดเรื่องตอนที่ฮารุโตะเข้าชมรมไปแล้วหลายเดือน และก็รู้แล้วว่าเรย์กับนาโอตะเป็นแฟนกัน อย่างที่บอกว่ามันค้างคาใจเรา เราเลยกลับมาเขียนต่อ แต่เราต่อจากจุดเดิมไม่ได้ เราเลยต้องไปบิ้วอารมณ์มาใหม่ตั้งแต่ต้นเรื่อง  เพื่อให้สามารถจบอย่างที่ควรจะเรียกว่าจบ

ขอบคุณทุกท่านค่ะที่บอกว่าเรื่องนี้อึดอัด แนวคิดเรื่องนี้คือดราม่าค่ะ อยากให้คนอ่านน้ำตาตก ไม่ได้โรคจิตนะ(หัวเราะ) แต่เมื่อก่อนเราเขียนนิยายรักใสๆมาแล้ว เลยอยากเขียนแนวนี้ดูบ้าง

เรื่องนี้ เราได้ไอเดียมาจากวงนักร้องญี่ปุ่น ไม่รู้ว่าถ้าพูดถึงวงหกคนสมัยก่อนที่ตอนนี้แยกย้ายกันไปบ้างแล้ว และตอนนี้เหลือสมาชิกกันอยู่ไม่กี่คน จะยังคงมีคนรู้จักอยู่ไหม สมัยที่วงนี้ยังดังจะมีแฟนฟิคคู่หลักของวงออกมาเยอะมาก

ในความคิดเรา ทั้งที่เดบิวหกคนแต่คนที่มีชื่อเสียงจริงๆกลับมีอยู่ไม่กี่คน และใน MV ที่เราดูก็ให้ความรู้สึกว่า สมาชิกในวงกำลังเลียนแบบหนึ่งในคู่หลัก (ซึ่งเราอาจจะเข้าใจผิดก็ได้) มันเลยออกมามีรุ่นพี่ห้าคน (รวมฮารุโตะในเรื่องนี้ด้วยเป็นหกพอดี) เพราะตอนแรกมันเป็นแฟนฟิคค่ะ แต่วงนี้กระจัดกระจายไปแล้วเราเลยไม่กล้าเอามาเขียน

ประเด็นของเรื่องนี้จึงเป็น อิจฉา พยายามเลียนแบบ แต่ถ้าให้ยกขึ้นมาเขียนจริงๆ เรารู้สึกว่าคงเครียดตายไปก่อนเขียนเรื่องจบ เลยสร้างปูมหลังชีวิตตัวเอกมาอย่างนี้ 

ในสมัยเรียนมีเพื่อนที่เป็นเด็กขี้อายหนึ่งคน บ้านยากจน(มั้ง)และก็ไม่ค่อยพูดหนึ่งคนที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของเรา ตอนที่เราเขียนเรื่องนี้ เราคิดถึงสองคนนี้ตลอด ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง แต่สมัยนั้นไม่มีการกลั่นแกล้งกันนะคะ เราอยู่ห้องคิงโรงเรียนหญิงล้วน การกลั้นแกล้งในห้องเราอ่ะไม่มี แต่ตบกันในโรงเรียนเยอะมาก โซเชียลก็ไม่บูมเท่าสมัยนี้ เลยไม่มีการเก็บไปด่ากันบน FB พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ไปอยู่ในหมู่ชายล้วนมีผู้หญิงในเซคน้อยมาก ทีนี้เลยได้เห็นวิธีแกล้งเด็กผู้หญิงจากเพื่อนๆค่ะแต่มุ้งมิ้งไม่มีการแตะตัว หรือมีบ้างแต่ไม่รุนแรง มีพวกผู้ชายแกล้งกันเองบ้าง แต่ก็เล่นกันในกลุ่มเพราะเล่นแรงมาก บังเอิญว่าเราไปอ่านการ์ตูนหรือนิยายไม่แน่ใจ เขาเขียนเป็นทำนองว่า “คนที่โดนแกล้ง จะมีออร่าแผ่ออกมาว่าให้แกล้งฉันที” หันไปมองหน้าเพื่อนเรา มันให้ความรู้สึกนั้นจริงๆ (แม้ว่าคนที่โดนแกล้งจะไม่ได้อยากโดนแกล้งเลยสักนิด แต่ออร่าหรือปฏิกิริยาตอบสนองตอนโดนแกล้งเป็นแบบนั้น)

เราเลยใช้หลักการนี้เป็นพื้นฐาน

ทีนี้กลับมาที่เรื่องปูมหลังชีวิตฮารุโตะค่ะ เพราะคุณ sirin_chadada บอกว่าเริ่มงง ปัจจุบันเราไม่ได้มีเขียนไว้ละเอียดในตอนไหนเลย ส่วนใหญ่จะแทรกไว้แบบนานๆเจอครั้ง

แต่เดิมฮารุโตะมีพ่อแม่ครบทั้งคู่ เป็นเด็กธรรมดาได้รับการดูแลแบบปกติ แต่ผู้หญิงคนเป็นแม่ไม่ได้อยากมีลูกค่ะ ฮารุโตะเลยติดพ่อมากกว่า ทั้งที่ก่อนฮารุโตะเข้าโรงเรียนแม่ไม่ได้ทำอาชีพอะไรนอกจากเป็นแม่บ้านอย่างเดียว พอฮารุโตะเข้าโรงเรียนแม่ต้องออกไปทำงานเหมือนกัน อย่างที่บอกว่าบ้านจนค่ะ แม่ของฮารุโตะเป็นรูปแบบผู้หญิงฟุ้งเฟ้อในญี่ปุ่น พอฮารุโตะขึ้นชั้นประถม แม่ก็หายออกไปจากบ้าน และอยู่กับพ่อสองคนเป็นต้นมา แต่ช่วงประถมห้าพ่อก็หายออกไปจากบ้านค่ะ เลยกลายเป็นเด็กกรำพร้ามาตั้งแต่นั้น

เหตุผลที่ฮารุโตะชอบเรย์ จะมองในมุมของคุณ Grey Twilight ก็ได้ค่ะ ถ้ามองจากมุมคนที่ไม่รู้ปูมหลังนะ ซึ่งตรงกับที่คุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ บอกว่าซากิน่าจะคิดอย่างนั้น (พออ่าน Reply แล้วรู้สึกว่า นักอ่านแต่ละคนเก่งจัง) แต่เมื่อได้อ่านปูมหลังของฮารุโตะแล้วน่าจะพอรู้แล้วละมั้งค่ะ ฮารุโตะแค่มองหาพ่อจากใครสักคนเท่านั้นเอง แล้วทำไมต้องเป็นเรย์ ทำไมไม่ใช่เอคิจิ หรือนาโอโตะ เพราะว่าชื่อของฮารุโตะแปลว่าฤดูใบไม้ผลิค่ะ เป็นชื่อที่พ่อตั้งให้

เราตั้งใจให้เรื่องนี้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งค่ะ ฮารุโตะอุตส่าห์เป็นคนดีอดทนมาตลอด คนดีมันต้องได้ดีซิ จริงไหม

สุดท้ายนี้ ขอบคุณทุกท่านอีกครั้งค่ะสำหรับทุกข้อความความรู้สึกและอารมณ์ร่วมที่มีต่อนิยายเรื่องนี้
ตอนนี้เริ่มกังวลใจแล้วอ่ะ ว่าไอ้สิบกว่าตอนที่มีอยู่ตอนนี้มันยังทำให้คนอ่านอินได้อยู่หรือเปล่า  (-“- ;)
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 6 : 16/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: dark-soleil ที่ 16-02-2017 23:07:57
ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งเสมอนะคะ อ่านไปก็รู้สึกอึดอัดใจไป...ฮารุโตะน่าสงสาร พอเริ่มกล้าที่จะแต่งตัวก็โดนแกล้งโดนว่าจนหมดความมั่นใจอีก เราเข้าใจฮารุโตะนะ เข้าใจว่าฮารุโตะทำไมถึงชอบหนีจากปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้า เราเองก็รู้สึกอยากจะหนีปัญหาบ่อยมาก แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 7 : 20/Feb/2017
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-02-2017 00:03:40
เรื่องย่อ ตอนที่ 7

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ อีกฝ่ายมัวเมาเขาด้วยรสสัมผัสลึกซึ้งจนเด็กหนุ่มยากจะถอนตัว
ปล. ตอนนี้ไม่มีสาระนอกจากสนองนี้ดโดยแท้ เบื่อ 18+ ข้ามไปก็ได้นะ

春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย

Chapter 7

ฮารุโตะสนุกและมีความสุขมากจริงๆ ไม่ว่าจะสโนว์บอร์ดที่ทำให้เขาเหงื่อซึมแม้อากาศจะหนาวเย็น น้ำพุร้อน อาหาร มุกตลกของพวกรุ่นพี่ และรุ่นพี่ชิมิซึที่แสนใจดี

เขามีความสุขจนคิดว่า ความสุขที่เขาพบในสองวันที่ผ่านมานี้ดึงเอาความสุขที่เขาจะได้เจอตลอดทั้งชีวิตในอนาคตข้างหน้ามารวมกันไว้แน่ๆ แต่ไม่เป็นไร เขาบอกตัวเอง

ต่อให้...ต่อไปนี้เขาจะต้องเจอแต่เรื่องไม่ดี เขาจะจดจำช่วงเวลาสองวันที่เพิ่งผ่านพ้นไปให้ดีที่สุด

เด็กหนุ่มนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงโดยไม่คิดจะหลับตา จนกระทั่งฟูกนอนยวบลงเขาจึงได้หันไปมอง พอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็ยกยิ้มให้ เขาไม่แน่ใจว่าเพราะภูเขาหิมะ น้ำพุร้อน บรรยากาศรอบกายหรือสิ่งใดกันแน่ที่ทำให้รุ่นพี่ที่แสนร้ายกาจเย็นชาซึ่งเขาเคยพบเจอเมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนหรือหลายเดือนก่อนกลับกลายมาเป็นรุ่นพี่ผู้แสนใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่อาบน้ำหรือไง”คนถามทอดเสียงอบอุ่นจนเขาคิดว่าตนเองกำลังฝันไป มือหนาเกลี่ยปอยผมซึ่งระหน้าผากของเขาอย่างอ้อยอิ่ง

“กะว่าจะกลิ้งไปกลิ้งมาให้อาหารย่อยก่อนแล้วค่อยไปอาบครับ รุ่นพี่รู้หรือเปล่า ถ้าไปอาบน้ำหลังจากทานข้าวอิ่มจะทำให้ระบบการย่อยทำงานไม่ดีนะครับ”

“และพวกกินอิ่มแล้วมานอนนี่ ระบบย่อยอาหารจะทำงานดีหรืออย่างไร”

“ไม่ได้นอนนะ แค่กลิ้งอยู่บนเตียง”เขาเถียงด้วยน้ำเสียงอุบอิบ

บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบโดยฉับพลันเมื่อเขาสบกับนัยน์ตาสีดำสนิท ในแววตานั้นฉายแววแปลกประหลาดที่ทำให้เขารู้สึกราวกับต้องมนต์ ใบหน้าคมของรุ่นพี่เคลื่อนที่ใกล้เข้ามา ทำให้เขาหลับตาลงโดยอัตโนมัติก่อนจุมพิตบางเบาจะตามมาในภายหลัง จูบนุ่มนวลค่อยๆ เร่าร้อนและลึกซึ้งขึ้น ฮารุโตะรับรู้ถึงปลายทางที่ต้องพบในนาทีนั้น แต่เขากลับไม่มีความคิดที่จะผลักไสซ้ำยังปล่อยให้หัวใจที่กระเด็นกระดอนเต้นโลดอย่างยินดี

ซากิสอดมือเข้าไปใต้เสื้อผ้า ลากฝ่ามือบนผิวเนียนอุ่นนุ่ม จากสีข้างวกกลับมายังยอดอกสีเข้ม ใช้ปลายนิ้วบดขยี้จนร่างข้างใต้บิดเร่าคล้ายทรมาน ทั้งที่เรียวปากยังบดคลึงจุมพิตไม่ห่าง จะคลายออกมาบ้างตอนที่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้หอบหายใจ กระนั้นยังขบย้ำอยู่กับริมฝีปากอิ่มซ้ำๆ

เขาขยับขึ้นเตียงแทรกตัวอยู่กลางหว่างขาของอีกฝ่าย ละมือมาปลดกระดุมกางเกงของฮารุโตะ ใช้แรงเพียงนิดมันก็หลุดจากสะโพก ฮารุโตะยังคงเคลิบเคลิ้มมัวเมาอยู่กับจูบจนไม่รู้ว่ากางเกงถูกถอดทิ้งไปเสียแล้ว ซากิยังคงกดจูบซ้ำๆ มือหนึ่งลากวนหยอกเย้ากับส่วนอ่อนไหวเบื้องล่าง มือหนึ่งวนเวียนบนยอดอกจนมันแข็งเป็นไต ร่างเพรียวบางกว่าด้านล่างตอบสนองต่อการกระทำของเขาเป็นอย่างดี ไร้ซึ่งการขัดขืนถึงขนาดยกแขนขึ้นโอบเขาไว้

ฮารุโตะปรือตาขึ้นมองอีกฝ่ายอีกครั้งตอนที่ถูกจับถอดเสื้อ สมองมึนเบลอว่างเปล่า เขาได้แต่ยกมือขึ้นปล่อยให้ร่างสูงกว่าเปลื้องเสื้อผ้าให้แต่โดยดี ซากิก้มลงจูบซ้ำไล่มาตั้งแต่แอ่งชีพจรตรงต้นคอ ลากยาวมาจนถึงกึ่งกลางลำตัว ไล้เลียและครอบปากลงอย่างไม่นึกรังเกียจ ทุกครั้งที่ร่างสูงดูดดึงเบาๆ ความเสียวซ่านจะแล่นไปทั่วร่าง บางคราคล้ายล่องลอยอยู่บนปุยนุ่น บางครั้งคล้ายดำดิ่งอยู่ในห้วงทะเลลึก

“รุ่นพี่” เด็กหนุ่มเอ่ยเรียกด้วยเสียงกระท่อนกระแท่น

ยามที่ซากิได้สบดวงตาสีอ่อน ราวกับว่าเขาจะรับรู้ถึงความต้องการของอีกฝ่าย ซากิกดจูบที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง จูบนั้นอวลด้วยกลิ่นคาวจำเพาะที่เร่งเร้าอารมณ์ของคนทั้งคู่ ชายหนุ่มกดกายชำแรกผ่านช่องทางหลืบลึกซึ่งชุ่มฉ่ำด้วยเจลหล่อลื่น สอดแขนไว้ใต้ต้นขารั้งสะโพกอีกฝ่ายไม่ให้ถอยหนีก่อนถอนกายและกดย้ำลงไปใหม่ ปลายเล็บที่สั้นกุดของฮารุโตะจิกบ่าของเขาแน่น ซากิถอนสะโพกออกเล็กน้อยเมื่อพบว่าทางเบื้องหน้าฝืดคับไม่อาจเดินหน้าต่อและกดย้ำซ้ำเชื่องช้า ปลายลิ้นดูดดึงเกี่ยวกระหวัดอยู่ในโพรงปากของเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่า ทำเช่นนั้นซ้ำอยู่นานจนแก่นกายถูกโอบล้อมอยู่ในความอุ่นร้อนแนบแน่น เขาผละออกมา ใช้ปลายจมูกเกลี่ยไล้ไปตามหน้าผากชื้นเหงื่อ

“เจ็บไหม” ซากิถาม เขาได้ยินเสียงหอบหายใจเบาๆ แผ่นอกบางสะท้อนเสียงหัวใจที่เต้นรัวไม่ต่างกัน

“ม...ไม่ครับ” ร่างเล็กกว่าตอบสั้นๆ ก่อนเสียงพูดจะกลายเป็นเสียงครางผะแผ่วยามที่เขาขยับกาย

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ขยับเหยียดสะโพกเดินหน้าด้วยจังหวะเนิบช้าคล้ายอยากซึมซับช่วงเวลาที่แสนอิ่มเอมให้นานเท่านาน ริมฝีปากบางไล่ชิมผิวเนื้ออ่อนในอ้อมกอดอีกครั้ง ทว่าความสนุกสนานกับจังหวะที่เนิบช้าของซากิคงจะไม่ถูกใจฮารุโตะสักเท่าไหร่ ร่างบางกว่าถึงได้โอบรัดเขาแน่นขึ้น ชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ในฐานะรุ่นพี่ยกยิ้ม เลื่อนใบหน้าให้มาอยู่ในระดับเดียวกับสายตาของคนด้านล่าง นัยน์ตาสีอ่อนมีแววเว้าวอนอยู่ในที

“พูดสิ” เอ่ยเช่นนั้นแล้วก้มลงแตะริมฝีปากอิ่มเบาๆ คล้ายกระตุ้น ฮารุโตะขมวดคิ้วเบือนหน้าหนีอย่างไม่พอใจ ซากิยิ่งยกยิ้ม ฮารุโตะในเวลานี้กลับดูเหมือนคุณหนูที่เอาแต่ใจจนเขาอดที่จะเอ็นดูไม่ได้ และจังหวะร่วมรักก็ร้อนแรงและหนักหน่วงขึ้น

ฮารุโตะหลับตาลง ความรู้สึกกำซาบซ่านแล่นริ้วทั่วร่างกาย ปลายฝั่งของความสุขสมเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ เสียงครางครวญดังจากลำคอสอดประสานกับเสียงกระทบของผิวกาย กล้ามเนื้อเกร็งเครียดเขม็งไปทั่วทั้งร่างก่อนทุกอย่างจะหยุดลงเสียดื้อๆ

ฮารุโตะลืมตามองอีกฝ่ายอย่างงุนงงและเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธเมื่อเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่ม

ซากิหัวเราะ เขารั้งร่างเล็กบางกว่าของหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้น แท่งเอ็นซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับร่างกายของฮารุโตะถูกสอดลึกขึ้นจากการขยับตัวนั้น

“อือ” เด็กหนุ่มครางประท้วงกอดคอชายหนุ่มรุ่นพี่ไว้

“นายชอบหลับหลังจากเสร็จทุกที ครั้งนี้ก็อดทนหน่อยนะ”

“ก็มัน… ง่วงอะ” บ่นงึมงำได้ไม่กี่คำหลังจากนั้นคงมีแค่เสียงครางผะแผ่วคล้ายทรมาน คล้ายพึงพอใจที่แม้กระทั่งเจ้าตัวยังไม่อาจแยกแยะได้



ฮารุโตะนอนมองใบหน้าคมของหนุ่มรุ่นพี่ในความสลัวรางยามเช้า เขานอนนิ่งอยู่ข้างกายซากิโดยที่มีลำแขนหนาของอีกฝ่ายพาดอยู่แถวบั้นเอว จดจ้องอยู่ที่เปลือกตาปิดสนิท จมูก ริมฝีปาก หูได้ยินเสียงลมหายใจเป็นทำนองจังหวะสม่ำเสมอ เสียงหัวใจเต้นที่ทำให้เขาเพลิดเพลินอย่างประหลาด นานทีเดียวกว่าร่างสูงใหญ่กว่าจะตื่น

“ตื่นนานแล้วหรือ”

ฮารุโตะเพียงแค่ยิ้มให้

“กี่โมงแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้นฮารุโตะจึงขยับตัวลุกขึ้น หยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่หัวเตียงขึ้นมาดู “หกโมงครึ่งครับ”

“ยังเช้าอยู่เลยนะ” ซากิพึมพำเบาๆ ลุกขึ้นนั่งประชิดตัวอีกฝ่าย “พวกนั้นนัดตอนเก้าโมงนี่นะ ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งเยอะ” พอคำพูดนั้นจบ ฮารุโตะก็ถูกประกบจูบ ร่างกายของพวกเขายังคงเปลือยเปล่า ดังนั้นตอนที่วงแขนแกร่งรั้งเอวเขาให้แนบชิด ผิวเนื้อที่สัมผัสกันจึงทำให้ฮารุโตะร้อนวูบวาบ เพราะเป็นตอนเช้าที่แสงสว่างส่องชัดเจนหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ เขาถึงรู้สึกถึงนิ้วมือที่แต้มของเหลวเย็นล่วงผ่านเขามาในกายอย่างชัดเจน หน้าร้อนผ่าวยามที่นิ้วมือนั้นกวาดไปทั่วและค่อยๆ เพิ่มจำนวนอย่างช้าๆ พอนิ้วถูกถอนออก เขาก็ถูกรั้งสะโพกยกขึ้น ฮารุโตะก้มมองแล้วต้องรีบหลับตากอดบ่าอีกฝ่ายไว้เพื่อหลีกหนี ไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ได้มองเห็นเขาก็รู้สึกไม่อยากเชื่อและไม่ชินเสียทุกที

ร่างกายในอ้อมกอดที่เกร็งขืนขึ้นทำให้ซากิดึงอีกฝ่ายให้นั่งลง ฮารุโตะหน้าแดงก่ำยิ่งกว่าเดิมเมื่อร่องสะโพกเสียดสีกับแก่นกายที่ตั้งชัน ร่างเพรียวขยับพยายามลุกขึ้นแต่กลับถูกกดไว้

“กลัวอะไร หืม” ซากิรั้งฮารุโตะให้หันมาสบตา ปลายจมูกคลอเคลียกับจมูกของอีกฝ่าย ทั้งยังขยับเอวช้าๆ คล้ายกลั่นแกล้งร่างที่อยู่ในอ้อมกอด

“ก็...” ฮารุโตะอึกอักไม่กล้าพูดออกไปอย่างชัดเจน ซากิจึงพูดคาดเดาออกไป

“ยังเจ็บอยู่หรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แม้จะยังรู้สึกตึงแน่นแปลกๆ อยู่บ้างแต่ไม่ได้เจ็บปวดจนถึงขั้นทนไม่ไหว

“ถ้าอย่างนั้นไม่เห็นต้องกลัว ทำมาตั้งหลายครั้งแล้วยังไม่เป็นอะไรเลย” ซากิกดจูบอีกครั้ง ช่างเป็นจูบที่มีเวทมนตร์จริงๆ ในความคิดของฮารุโตะ เพราะเมื่อร่างสูงกว่าละผละจากจูบ ความรู้สึกเบื้องล่างพลันชัดเจนขึ้นมาทันที ความอุ่นร้อนที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในตัว

“เห็นไหม เข้าไปได้แล้ว” พร้อมกับเสียงหัวเราะที่ได้ยินอยู่ข้างหู

ฮารุโตะกลืนน้ำลายลงคอ หลับตาซบหน้าลงกับบ่ากว้าง ทั้งที่เป็นอย่างนั้น สัมผัสเสียดสียามที่สะโพกถูกยกขึ้นและดึงกดลงมาจนสุดกลับชัดเจนราวกับว่าเขากำลังจ้องมองท่วงท่าการกระทำที่น่าอายนี้อยู่ หัวใจของเขาเต้นแรง อ้าปากเผยอตักตวงอากาศหายใจคล้ายรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะจมน้ำ อึดอัดแต่ทั้งร่างกายกลับโหยหา

“อะ อ๊ะ”

เสียงครางด้วยความสุขสมดังขึ้นเป็นระยะจากการชักนำของหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะที่อ่อนด้อยประสบการณ์ไม่อาจจะตอบสนองเขาอย่างเจนโลก กระนั้นร่างกายที่แสนพิสุทธิ์กลับซื่อตรงในการไขว่คว้าความสุขมาครอบครอง ทุกครั้งที่เขาถอนกายช่องทางด้านหลังจะบีบรัดราวกับไม่อยากให้เขาจากไปไหน ซากิจึงได้จ้วงโจนเข้าหาอย่างไม่หยุดยั้ง

และแล้วร่างเพรียวบางด้านบนก็ลืมเลือนความอาย ขยับกายรับจังหวะที่ถูกส่งมา ลูบไล้กล้ามเนื้อที่เริ่มเกร็งเครียดตอบสนองห้วงหฤหรรษ์ที่ได้รับ บดจูบอย่างที่ใจนึกปรารถนา ขยับรับจังหวะที่เร่งเร้าขึ้น ความเครียดขึงขมวดเกลียวเข้ามาเรื่อยๆ จนหยดน้ำข้นเหนียวไหลซึมออกมาจากส่วนปลาย

“ม...ไม่ไหวแล้ว” ฮารุโตะพูดเช่นนั้นก่อนจะปลดปล่อยน้ำขาวขุ่นออกมา ร่างทั้งร่างอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง ซากิรั้งร่างของฮารุโตะให้เอนตัวลงนอน กระแทกกายแรงๆ เข้าหา พลางใช้มือรีดเร้นอารมณ์ที่อ่อนตัวของฮารุโตะให้ปลดปล่อยน้ำรักออกมาให้หมด ไม่นานนักซากิก็ปลดปล่อยเข้าไปในกายของฮารุโตะเช่นเดียวกัน

หนุ่มรุ่นพี่ล้มตัวลงนอนทับร่างที่แบบบางกว่า ขยับกายเอื่อยๆ อีกสองสามทีจึงหยุดนิ่ง กลิ่นผิวกายหอมอ่อนๆ ดึงดูดให้เขาเคลื่อนกายเข้าแนบชิด เขาโอบเอวบางคอดไว้แนบกาย หอบหายใจอยู่ชั่วครู่จึงลุกขึ้น พอถอนกายออกน้ำสีขุ่นก็ไหลออกมา เขาเอี้ยวหากระดาษทิชชู่ พอได้มาไว้ในมือแล้วจึงนำมาเช็ดทำความสะอาดให้คนที่นอนอยู่

ฮารุโตะยังคงหลับตานิ่ง

“ง่วงนอนหรือ” เมื่อได้ยินเสียงถามจึงลืมตาและค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง

“อือ” หน้าตาของเด็กหนุ่มดูง่วงงุนเหมือนไม่ได้พักผ่อนมาทั้งคืน

“ต้องไปอาบน้ำแล้วล่ะ ลุกไหวไหม” ซากิถามด้วยน้ำเสียงห่วงใย ฮารุโตะไม่ตอบแต่เคลื่อนตัวไปหย่อนขาลงข้างเตียง รู้สึกล้าตั้งแต่สะโพกลงไปก็จริงแต่เขาคิดว่าน่าจะยืนไหว

“ไม่ไหวก็บอกเดี๋ยวฉันพาไป”

“คิดว่าไหวครับ แต่คงต้องรอสักพัก”

ฮารุโตะลองยืนขึ้น เหมือนขาจะไม่มีแรงแต่ยังทรงตัวอยู่ได้ ขัดยอกเล็กน้อยตอนที่ก้าวเดิน ซากิโอบประคองร่างบางกว่าไม่ห่าง ทั้งยังเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน เด็กหนุ่มรุ่นน้องได้แต่หลบตาด้วยความเขินอาย แต่เขาก็มีความสุขมากเมื่อได้เห็นความเอาใจใส่ที่หนุ่มรุ่นพี่มีให้กับตน

ออกจากห้องน้ำมาแต่งตัวพร้อมทั้งเก็บกระเป๋าเรียบร้อย ทั้งสองเดินออกจากห้องพัก มาถึงห้องอาหารที่เรย์และนาโอโตะนั่งรออยู่แล้ว

“เอคิจิกับเรียวตะล่ะ” ซากิเอ่ยถามถึงเพื่อนอีกสองคน

“ตอนที่ฉันไปเคาะห้องเห็นเพิ่งตื่น ดูท่าว่ากว่าจะได้ออกจากโรงแรมคงสักสิบเอ็ดโมงละมั้ง” เรย์เป็นฝ่ายตอบ ซากิพยักหน้ารับก่อนจะหันมาหาฮารุโตะ “นั่งอยู่นี่ละนะ เดี๋ยวฉันไปยกอาหารมาให้” เด็กหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้ารับ พอซากิลุกไปแล้วหันกลับมาหาอีกสองคนที่ร่วมโต๊ะ เขาพบว่ารุ่นพี่อีกสองคนจ้องมาทางตนเขม็ง

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ดูฮารุจังเริ่มสนิทกับซากิแล้วเนอะ”

ฮารุโตะยกยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า “ก็รุ่นพี่ชิมิซึใจดีกับผมนี่ครับ เมื่อก่อนรุ่นพี่ใจร้ายจนไม่อยากเข้าใกล้เลย ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกันทำไมจู่ๆ ถึงมาทำใจดีด้วย” น้ำเสียงของท้ายประโยคนั้นเต็มไปด้วยความคลางแคลง

“อย่าไปคิดมากเลยถ้าวันนี้มีความสุขก็อยู่กับความสุขในวันนี้” นาโอโตะพูดพลางวางมือลงบนหลังมือของฮารุโตะ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยกยิ้มให้กำลังใจส่งมา

“ทำอะไรน่ะ” ซากิเพิ่งเดินกลับมาถึง เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นบรรยากาศหม่นๆ ที่โต๊ะอาหาร

“แค่สงสัยกันว่า ทำไมนายถึงใจดีขึ้นมา” เรย์โพล่งออกมาตรงๆ จนนาโอโตะร้องปราม

“เรย์”

บุคคลที่เป็นหัวข้อสนทนาแค่เลิกคิ้วมองและเมื่อหันไปหาเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ฝ่ายนั้นก็รีบก้มหน้าหลบสายตา ชายหนุ่มรู้สึกฉุนขึ้นมา เขาวางจานอาหารลงตรงหน้าฮารุโตะก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างกัน ขยับเก้าอี้เข้าไปใกล้และโน้มตัวเข้าไปหา

“ปกติฉันก็ใจดีอยู่แล้วนะ” เขากระซิบพูดเสียงเบาใกล้หูของเด็กหนุ่มร่างเล็ก ฮารุโตะขนลุกเกรียวจะขยับตัวออกห่างกลับกลายเป็นว่าถูกวงแขนแกร่งดึงรั้งไว้

ซากิหัวเราะ “เอ้า! ทานได้แล้ว” เขาลูบศีรษะของเด็กหนุ่มรุ่นน้องเบาๆ พลางเลื่อนจานอาหารให้ขยับใกล้เข้าไปอีกเล็กน้อย

อาหารเช้าที่ซากิตักมาให้เป็นชุดอาหารเช้าแบบอเมริกัน อันประกอบด้วยขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอกและแฮม เครื่องดื่มเป็นนมสดแก้วใหญ่ เด็กหนุ่มหยิบมีดและส้อมขึ้นมาถือ เขามองมันอย่างสงสัย แล้วหันไปมองเหล่ารุ่นพี่ที่ใช้งานมันอย่างคล่องแคล่วก่อนจะลองทำตามอย่างที่เห็นดูบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าแฮมกระเด็นไปอยู่นอกจาน เรียกสายตาของทุกคนที่ร่วมโต๊ะให้หันมามอง ฮารุโตะรู้สึกอับอายจนต้องหลบสายตา ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะจากเรย์เขายิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม

“โอ๊ะ ไม่เป็นไรน่า ฮารุจังเป็นคนญี่ปุ่นจะไม่ถนัดใช้มีดกับส้อมก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” นาโอโตะพยายามพูดปลอบใจ ฮารุโตะเงยหน้ามองคนพูดด้วยสีหน้าไม่ดีนัก

“มิอุระหันมาทางนี้”

พอหันไปตามเสียงเบคอนชิ้นพอดีคำก็มาจ่อถึงปากจนอ้าปากรับแทบไม่ทัน พอเคี้ยวและกลืนลงไป คำที่สองก็ตามมาทันที ยังดีว่ารุ่นพี่ฮายาชิมาขัดจังหวะเสียก่อนไม่เช่นนั้นรุ่นพี่ชิมิซึคงจะป้อนอาหารให้เขาจนอิ่ม

“เอ๊ะ อะไรน่ะ อ้ามอ้ามบ้าง”

“มาช้าแล้วยังจะมาเล่นอยู่อีก” ซากิพูดดุ

“วันนี้ใจร้ายจัง ดุเค้าด้วย”

ได้ยินเช่นนั้นทั้งเรย์และนาโอโตะต่างหัวเราะออกมา

“ใช่ที่ไหนวันนี้น่ะซากิใจดีที่สุดเลย”

ซากิยังทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ฮารุโตะเขินอายจนใบหน้าร้อนผ่าว

“อิ่มแล้วหรือเพิ่งกินไปได้นิดเดียวเอง”

“ผ…ผมทานเองได้ครับ”

กระนั้นชายหนุ่มร่างสูงก็ไม่วายจัดการหั่นอาหารในจานให้กลายเป็นชิ้นเล็กๆ ให้หนุ่มรุ่นน้องและกว่ามื้ออาหารมื้อนั้นจะจบลง เวลาได้ล่วงเลยไปนานพอควร จากนั้นพวกเขาจึงได้ฤกษ์ออกเดินทางกลับ



ความสนิทสนมระหว่างซากิและฮารุโตะเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  นับตั้งแต่กลับมาจากนางาโน่ในคราวนั้น ทั้งการเดินทางขากลับที่ซากิดึงศีรษะของฮารุโตะมาซบไหล่เพื่อหนุนนอน พอถึงเมืองที่พวกเขาอยู่ ชายหนุ่มรุ่นพี่ยังขอลงพร้อมฮารุโตะและตามไปส่งรุ่นน้องร่วมชมรมถึงห้องพัก รวมถึงตอนนี้ที่นาโอโตะเห็น ซากิโอบเอวฮารุโตะไว้ ทั้งที่แค่ดูภาพถ่ายจากนางาโน่เท่านั้น

“จ้องจนตาจะถลนแล้ว” เรย์เอ่ยทัก เขาเหลือบตามองสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาซึ่งห่างจากโต๊ะยาวที่พวกเขานั่งอยู่เล็กน้อยก่อนจะก้มหน้าสนใจหนังสือในมือต่อ

“ก็ฉันสงสัยนี่”

นอกจากโอบเอวซากิยังเกยคางไว้บนบ่าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องโดยที่ฮารุโตะไม่มีทีท่าขัดขืนเลยสักนิด

“สงสัยว่า?”

“สองคนนั้นตกลงคบกันแล้วหรือ”

“อืม... ถามซากิหรือฮารุจังหรือยังล่ะ”

“ถามฮารุจังแล้วเมื่อเช้า”

“แล้วว่าไง”

“บอกว่าเปล่า”

“คงไม่อยากบอกใครมั้ง” เรย์เดา หน้าตาตื่นขึ้นมาเมื่อเหลือบตามองเห็นเพื่อนของตนดึงฮารุโตะมานั่งบนตักหน้าตาเฉย “มันคงไม่มาทำอะไรกันบนห้องชมรมหรอกนะ” แล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาสองคนที่นั่งอยู่บนชุดโซฟา โดยหวังว่าจะปรามการกระทำอันล่อแหลมในที่สาธารณะได้บ้าง

“ดูอะไรกัน” เรย์พูด “น่าสนุกนะ ขอดูด้วยคนสิ”

ฮารุโตะพยายามขยับตัวลงจากตักของซากิ หากติดที่วงแขนแกร่งกอดรัดเอวเขาไว้แน่นกว่าเดิม เขาจึงได้แต่หยุกหยิกร้อนรน ดูเหมือนว่าพอมีคนอื่นอยู่ในครรลองสายตา ฮารุโตะถึงได้รู้ตัวว่าสิ่งที่ตนทำไม่ค่อยเหมาะสม

“รูปที่แกอัดมาไง” ซากิตอบกลับหน้าตาเฉย

“ก็...” เรย์เกาศีรษะด้วยไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เขารู้ว่าซากิเป็นพวกไม่สนใจใครนัก ไม่ใคร่ใส่ใจสังคม นึกอยากทำอะไรก็ทำหากตนพอใจ

“อย่าประเจิดประเจ้อนัก คนอื่นเขาเห็น เขาจะอิจฉา” เรย์ตัดสินใจกล่าวออกไปตรงๆ แม้จะติดตลกในตอนท้ายแต่คำพูดนั้นทำให้ใบหน้าของฮารุโตะแดงก่ำ

“หึ จะพยายาม กลับกันเถอะมิอุระ” ชายหนุ่มรับปากเพื่อนก่อนจะปล่อยให้ฮารุโตะลุกขึ้น เขาเก็บภาพถ่ายใส่ซองยื่นส่งให้หนุ่มรุ่นน้องเป็นฝ่ายถือไว้ก่อนจูงมืออีกฝ่ายออกจากห้อง รองประธานชมรมถ่ายภาพอย่างอาโอกิ นาโอโตะมองตามตาไม่กะพริบ

“คบกันจริงๆ ด้วย” นาโอโตะพูดกับตัวเองเบาๆ


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 7 : 20/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-02-2017 00:09:02


พอพ้นประตูห้องเท่านั้น ฮารุโตะก็เอ่ยเรียกร่างสูงไว้

“รุ่นพี่”

ซากิหยุดยืนแล้วหันมามอง

“ไม่...จับมือได้ไหมครับ”

“อืมได้สิ” อีกฝ่ายตอบรับง่ายดาย พอปล่อยมือเขาก็เปลี่ยนเป็นโอบบ่าบางไว้แทน

“กอดคอแบบนี้ใครๆ เขาก็ทำกัน คงไม่เป็นไรหรอกนะ”

ฮารุโตะไม่รู้จะเถียงอย่างไรเพราะผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันส่วนใหญ่ก็ทำกันแบบนี้ เขาจึงยอมเดินตามอย่างว่าง่าย

จากนี้เด็กหนุ่มจะต้องไปทำงานพิเศษ แต่ก่อนหน้านั้น เขาต้องแวะอาบน้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะ จึงกลับไปเตรียมเสื้อผ้าข้าวของที่ห้อง และกลับมาโรงอาบน้ำที่เขาใช้บริการเป็นประจำอีกครั้ง รุ่นพี่ชิมิซึเข้าไปอาบน้ำกับเขาด้วย นั่นทำให้เขาเขินอายไม่กล้าเงยขึ้นมองอีกฝ่าย กระนั้นในบางครา เขากลับเหลือบสายตาขึ้นแอบมองหนุ่มรุ่นพี่อย่างอดใจไม่อยู่เช่นเดียวกัน

ออกจากโรงอาบน้ำด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ในขณะที่รุ่นพี่ใส่เสื้อผ้าชุดเดิม เขาแวะร้านเครื่องเขียนเพื่อซื้ออัลบั้มใส่ภาพชุดนี้ที่เขาเพิ่งได้รับมา เมื่อนึกถึงวันท่องเที่ยวที่ผ่านมาทีไร ฮารุโตะก็มีความสุขทุกครั้ง

“ผมแวะร้านเครื่องเขียนก่อนนะครับ”

“อืม” ซากิพยักหน้ารับ เดินเข้าไปในร้านพร้อมฮารุโตะ ชั้นวางสินค้าถูกตั้งเรียงไว้เป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ คนทั้งคู่เดินดูสินค้าตามชั้นวางเหล่านั้นจนเจอของที่ต้องการ

ฮารุโตะหยิบอัลบั้มปกสีฟ้าใสขึ้นมาอันหนึ่งพลางเปิดดูข้างใน ก่อนจะวางลงแล้วหยิบเล่มอื่นขึ้นมาดู แม้ว่าจะลังเลตัดสินใจไม่ถูกจนนึกอยากจะหันไปถามความคิดเห็นจากหนุ่มรุ่นพี่แต่ทว่าเขาได้แต่ยั้งตัวเอง ทำแบบนั้นอาจจะดูน่ารำคาญก็ได้ ฮารุโตะคิดในใจ อย่างไรก็ตามแม้แต่ตัวซากิเองก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นใดๆ นอกจากยืนมองอยู่เฉยๆ

ใช้เวลาไม่นานนักในการตัดสินใจ ฮารุโตะเลือกอัลบั้มใส่ภาพที่หน้าปกเป็นรูปเกล็ดหิมะกำลังโปรยปรายด้วยคิดว่าเมื่อเห็นอัลบั้มเล่มนี้ครั้งใด เขาคงนึกถึงภูเขาหิมะสีขาวสะอาดตาในครั้งนั้น

และถึงซากิจะไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับการเลือกของที่ฮารุโตะต้องการ แต่เขาหยิบเงินขึ้นมาจ่ายทันทีที่รุ่นน้องวางของลงที่เคาน์เตอร์

“ไม่...”

“อย่าปฏิเสธ” ซากิเอ่ยขัดคำเดียว ฮารุโตะก็ยอมหุบปากเงียบกริบ เขาโยกศีรษะร่างเล็กที่ดูหงอยลงเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู ก่อนรับของมาถือไว้ในมือ แล้วจับจูงมือบางไปส่งถึงที่ทำงาน

ฮารุโตะไม่เคยมีความคิดที่จะให้รุ่นพี่ต้องมาจ่ายเงินซื้อของให้ แม้จะเป็นของเล็กน้อยที่ไม่มีราคาค่างวดก็ตาม ถึงจะไม่แน่ใจว่าความสนิทสนมที่รุ่นพี่มีให้กับตนควรจำกัดความว่าเช่นไร แต่เด็กหนุ่มรู้สึกพึงพอใจกับสถานะที่เป็นอยู่ พึงพอใจกับความห่วงใยความใส่ใจที่หนุ่มรุ่นพี่มีต่อเขา

และความรู้สึกนั้นยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อเขาได้พบหนุ่มรุ่นพี่ที่มายืนรออยู่ไม่ห่างจากที่ทำงาน หลังจากที่เขาหมดเวลางาน ทว่าฉับพลันในวินาทีต่อมาในสมองกลับมีแต่ความกังวล

“รุ่นพี่ มารอนานหรือยังครับ”

“ไม่นานหรอก สักสิบนาทีได้”

แค่สิบนาทีแต่มันก็นานเกินไปสำหรับช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ในความคิดของฮารุโตะ

“ครั้งหน้าไม่ต้องมารอหรอกครับ หรือไม่ก็โทรศัพท์มาก็ได้ถ้ารุ่นพี่มีธุระ” ท่าทางร้อนรนเป็นห่วงทำให้ซากิยกยิ้มออกมา

“อืม ถ้าอย่างนั้นครั้งหน้าจะโทรมาถามก่อนแล้วกันนะ” แล้วยื่นมือไปให้อีกฝ่ายได้จับไว้ “วันนี้กลับกันเถอะ”

ถึงแม้ว่าเขาอยากจะพูดออกไปว่า ‘ไม่ต้องไปส่งก็ได้’ แต่ฮารุโตะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขารู้สึกอบอุ่นใจไม่น้อย เขาอยากให้ทางเดินไม่มีจุดสิ้นสุด อยากให้ตนเองได้เดินอยู่เคียงข้างรุ่นพี่ตลอดไป แม้จะรู้อยู่ในใจว่าสิ่งที่ปรารถนาอาจจะไม่เป็นจริง ทว่าฮารุโตะยังอดที่จะคาดหวังถึงอนาคตที่สวยงามในวันข้างหน้าไม่ได้

ห้องพักที่ฮารุโตะอาศัยอยู่เป็นห้องพักขนาดสี่เสื่อครึ่งที่เก่าโทรมทั้งภายนอกอาคารและภายในห้อง ในห้องไม่มีข้าวของอะไรมากมายนัก ด้วยเพราะตัวฮารุโตะเองใช้เวลาอยู่ในห้องนี้วันละไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น

ซากิถอดเสื้อโค้ตออกแขวนไว้กับที่แขวนซึ่งติดอยู่ที่ผนัง ข้างในเป็นเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มขายาวที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเรียบร้อยแล้ว

“ทานอะไรหน่อยไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอก นายน่ะจะทำอะไรก็ทำเถอะไม่ต้องมาคอยดูแลฉันหรอก”

แต่เด็กหนุ่มยังคงลังเลหมุนซ้ายหมุนขวาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเปิดฮีตเตอร์ เดินกลับมาหยิบแปรงสีฟันเพื่อแปรงฟันจากนั้นจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและดึงฟูกในตู้ออกมาปูนอน ความลังเลก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งเมื่อต้องมานั่งเผชิญหน้ากับรุ่นพี่เช่นนี้

ซากิยกยิ้มแม้จะรู้ว่าฮารุโตะแค่ทำกิจวัตรปกติของตนเองแต่อดคิดไม่ได้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องกำลังเชิญชวนอยู่

เขาก้าวขึ้นไปนั่งบนฟูกนอนแล้วดึงฮารุโตะให้ขึ้นมานั่งบนตัก เกลี่ยปลายจมูกลงสูดดมกลิ่นผิวกายอ่อนๆ แถวต้นคอ ฮารุโตะจั๊กจี้จนย่นคอหนี แล้วกระซิบแผ่วเบาริมใบหู

“พรุ่งนี้มีเรียนตอนกี่โมง”

ฮารุโตะมีเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้าทุกวันแต่เพราะอยากอยู่กับรุ่นพี่ เขาจึงปดว่ามีเรียนตอนบ่าย

“โกหก”

เด็กหนุ่มหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ แต่โดนประกบจูบกลับมา

“เด็กโกหกต้องโดนลงโทษ” เขาโดนผลักให้ล้มตัวลงนอน โดนบดจูบจนแทบหายใจไม่ทัน “ปกติก็ไปมหา’ ลัยแต่เช้าทุกวัน ทำไมจู่ๆ ถึงมีเรียนตอนบ่ายได้ล่ะ” ซากิเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ผละจากผิวเนื้อตรงต้นคอ ฮารุโตะกำลังรวบรวมสติให้เข้าที่ตอนสัมผัสของปลายลิ้นไปหยุดอยู่ที่ยอดอก

“ผม... อ๊ะ” ฮารุโตะไม่รู้จะตอบอย่างไรเมื่อความซ่านกระสันรบกวนสมาธิอยู่เช่นนี้ และดูเหมือนว่าซากิจะบดขยี้อารมณ์เขาหนักยิ่งกว่าเดิม รุนแรงและเร่งเร้าคล้ายว่าอารมณ์ของเจ้าตัวไม่อยู่ในสภาวะปกติจนส่วนปลายที่อ่อนไหวมีน้ำเยิ้มออกมาทั้งที่ยังไม่โดนแตะต้องเลยด้วยซ้ำ

“ผ... ผมอยากอยู่กับรุ่นพี่” กว่าจะจบคำพูดนั้นเขาเหนื่อยหอบจนตัวโยน พร้อมกับพายุอารมณ์ซึ่งโหมกระพือเมื่อสักครู่ของซากิจะจางหายไป ฝ่ายตรงข้ามจูบเขาเบาๆ ที่ริมฝีปาก

“พูดจาน่ารักจังนะ” แล้วเลื่อนไปกดจูบที่หน้าผาก เปลือกตาและไล่ลงมาเรื่อยๆ อย่างอ่อนโยน ร่างสูงปรนเปรอเขาด้วยริมฝีปากบาง เร้าอารมณ์ให้พุ่งสูงจนเกือบจะปลดปล่อยแต่ก็หยุดไว้กลางคัน ฮารุโตะลืมตามองเห็นรุ่นพี่กำลังสวมถุงยางและชโลมเจลหล่อลื่น ก่อนที่ขาข้างหนึ่งของเขาจะถูกจับพาดบนบ่ากว้างและท่อนลำแข็งเกร็งถูกสอดใส่เข้ามา ในนาทีแรกมันอึดอัดทรมาน เขาพยายามหายใจ ในขณะที่รุ่นพี่ชิมิซึรูดรั้งอารมณ์ที่ใกล้อ่อนตัวของเขา ร่างกายรู้สึกถึงความใหญ่โตซึ่งล่วงล้ำเข้ามาท่ามกลางเสียงหัวใจโครมคราม พร้อมกับอารมณ์กระหายอยากที่ไม่สามารถอธิบายได้

“รีบทำจะได้รีบนอน”

คนพูดทำตามดังที่ปากว่า กระทั้นกายเข้าหาด้วยท่วงจังหวะหนักหน่วงจนฮารุโตะหัวสั่นหัวคลอน เสียงเนินเนื้อกระทบกันดังก้องฟังดูหยาบโลน ทุกครั้งที่ความอุ่นร้อนแทงลึกเข้ามาในร่าง ฮารุโตะรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแล่นลามจากจุดกึ่งกลางตัวไปจนถึงปลายเท้า เขากัดฟันพยายามกลั้นเสียงครางน่าอาย ส่วนหนึ่งเพราะผนังห้องของเขาบางเกินไป แค่เสียงกระทำ ห้องข้างๆ ก็อาจจะได้ยิน แม้ไม่เคยพบปะพูดคุยกับเพื่อนข้างห้อง แต่เสียงนินทามันร้ายกาจอย่างที่เขาไม่อยากพบเจอ

แสงไฟนีออนส่องสว่างให้เห็นผิวขาวเนียนของร่างซึ่งนอนอยู่ด้านล่างชัดเจน ซากิโน้มตัวเข้าไปใกล้ผิวเนื้ออุ่นที่ระคนกลิ่นหอมหวาน ใช้ปลายลิ้นหยอกเย้ายอดอกสีเข้ม พอขบเม้มช่องทางด้านล่างก็กระตุกตอดรัด เขาโรมรันกับเม็ดแข็งไตจนหนุ่มรุ่นน้องต้องยกมือขึ้นมาปิดปาก ซากิดึงมือคู่นั้นออกแล้วแทนที่ด้วยริมฝีปากของตน วงแขนเพรียวจึงคล้องกอดคอเขาไว้

“อ๊ะ” ร่างกายเพรียวบางกระตุกเฮือก เมื่อเขากระทั้นกายกดลึกซ้ำๆ บดขยี้เร่งเร้าอย่างหนักหน่วงไม่ช้าไม่นาน ฮารุโตะก็ปลดปล่อยน้ำรักสีขาวขุ่น ช่องทางหลืบลึกบีบรัดเขาไว้ในขณะที่ซากิยังคงกระแทกกายต่อเนื่อง ไม่นานจากนั้น ซากิก็ถึงฝั่งฝันเช่นเดียวกัน

“วันนี้ฉันค้างที่นี่นะ”

ฮารุโตะครางตอบรับ ความง่วงงุนกำลังเริ่มจู่โจมเขาอีกครั้ง

ซากิถอนกายออก ถอดถุงยางนำมันไปทิ้ง มองฮารุโตะที่นอนหลับตาพริ้มโดยไม่สนใจสิ่งใดแล้วยกยิ้มออกมา เขาจัดการสวมกางเกงดึงเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นสูงให้กลับมาเหมือนเดิม ห่มผ้าให้รุ่นน้อง ปิดไฟก่อนจะล้มลงนอนข้างเด็กหนุ่ม ดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด อีกฝ่ายงึมงำอยู่ในคอซุกศีรษะเข้าหา ซากิจึงกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้นและปล่อยตัวเองให้เข้าสู่นิทราภายในใจมุ่งมาดไว้ว่าถ้ามีโอกาสเขาจะกินอีกฝ่ายให้อิ่มทีเดียว



ตอนที่ออกมาจากร้านเด็กหนุ่มเห็นรุ่นพี่ต่างคณะยืนรอเช่นทุกวันเขาเดินเข้าไปหา  ยิ้มให้อย่างดีใจก่อนจะถูกโอบบ่ารั้งเข้าไปใกล้แต่แทนที่จะถูกพาเดินกลับห้องพัก  หนุ่มรุ่นพี่กลับพาเดินไปอีกทาง

“เสาร์อาทิตย์นี้ลางานแล้วใช่ไหม”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ แม้จะยังไม่รู้สาเหตุที่ชายหนุ่มร่างสูงต้องการให้เขาทำเช่นนั้น แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก ไม่ได้ถามถึงเหตุผลและยอมทำตามอย่างว่าง่าย

“วันนี้ค้างที่นั่นกัน” อีกฝ่ายเอ่ยชวนเมื่อมองตามปลายนิ้วที่ชี้ยังตึกดังกล่าว ความประหม่าตื่นเต้นได้ก้าวเข้ามาในหัวใจกระนั้นฮารุโตะยังคงพยักหน้าตอบตกลง

ซากิเป็นคนจัดการเรื่องห้องพักหลังจากได้กุญแจมาจึงเดินนำเข้าไปตามทาง ชายหนุ่มร่างสูงมีท่าทีสบายๆ ช่างต่างกับเขาที่ใจเต้นเหมือนมีกลองรัวอยู่ในอก รุ่นพี่ไขกุญแจเปิดประตูแล้วและยืนรอให้เขาเดินเข้าไปในห้องก่อน

การจัดตกแต่งภายในห้องไม่ได้หวือหวามากนัก มีเตียงเดี่ยวขนาดควีนไซส์ตั้งอยู่หลังหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าบิวต์อิน ทีวี ตู้เย็นและประตูที่ฮารุโตะคาดว่าน่าจะเป็นห้องน้ำ เมื่อเห็นรุ่นน้องยังยืนนิ่งสำรวจห้อง ซากิจึงรุนหลังอีกฝ่ายไปยังจุดที่เขาหมายตาและยกตัวของฮารุโตะให้ขึ้นนั่งบนเคาน์เตอร์ปูนหน้ากระจกพร้อมลงมือเล้าโลมด้วยการจูบ แตะจูบที่ริมฝีปากของคนตรงหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ย้ำซ้ำจนหนุ่มรุ่นน้องยอมเผยอปาก อาการตื่นเกร็งของรุ่นน้องค่อยๆ หายไปเมื่อร่างเล็กกว่าพยายามตอบสนองเขาอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันมือของเขาก็ปลดเข็มขัดและถอดกางเกงที่ฮารุโตะสวมอยู่จนหมด

ตอนที่ผละจูบออกมา ฮารุโตะยังดูมึนเบลอจนไม่รู้ว่าถูกจัดท่าให้นั่งอยู่เช่นไร แต่พอรู้สึกตัวว่าช่วงล่างที่เปลือยเปล่ากำลังแยกกว้างเปิดเผยทุกสิ่งให้อีกฝ่ายได้เห็น เด็กหนุ่มก็ได้แต่เบือนหน้าหนีด้วยความเขินอายแม้จะเหลือบสายตากลับมามองรุ่นพี่หนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซึ่งกำลังใช้ปลายลิ้นไล้เลียตัวตนของเขา ส่วนมืออีกข้างที่ชุ่มไปด้วยเจลกำลังนวดคลึงช่องทางด้านหลัง ฮารุโตะคงได้แต่เบือนสายตาหนีพลางยกมือขึ้นปิดปากเพื่อกลั้นเสียงร้อง

“อย่าเอามือปิดปากสิ ที่นี่ไม่ต้องกลั้นเสียงเสียหน่อย” คนพูดลุกขึ้นยืน ยื่นหน้าเข้ามาคุยเสียใกล้ ดึงมือของเขาออกก่อนจะบดจูบอีกครั้ง กระนั้นความรู้สึกของนิ้วมือในช่องทางเบื้องล่างของฮารุโตะกลับยังคงแจ่มชัด เขาถูกสวมถุงยางให้รุ่นพี่เองก็เช่นเดียวกัน แต่ฝ่ายนั้นปลดกางเกงแค่ส่วนที่ต้องใช้งานเท่านั้น ฮารุโตะมองตามส่วนหัวใหญ่โตที่เคลื่อนเข้ามาจดจ่ออยู่ปากทางเข้า อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นด้วยความกระหายอยากไม่ได้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาร่วมรักกับหนุ่มรุ่นพี่ ชิมิซึ ซากิทำรักกับเขาบ่อยครั้งแม้จะเจ็บอยู่บ้างแต่เทียบไม่ได้กับความเสียดเสียวที่เหมือนว่ามันกำลังทำให้เขาเสพติด

ส่วนปลายใหญ่โตค่อยๆ กดลงมา มันชำแรกให้ช่องทางซึ่งสั่นระริกเปิดรับ รุ่นพี่มักจะนุ่มนวลอ่อนโยนกับเขาเสมอ ฮารุโตะจึงพยายามปรับลมหายใจให้สอดรับกับการเคลื่อนตัวของอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งสอดทับกับฝ่ามือของร่างสูงที่รั้งต้นขาของเขาให้แยกออกกว้าง ทั้งที่จะเบือนสายตาหนีจากภาพตรงหน้าซึ่งตัวเขากำลังกลืนกินรุ่นพี่หนุ่มก็ย่อมทำได้ แต่เขายังคงจดจ้องมันและเหมือนว่าจะรับรู้ถึงความอุ่นร้อนได้ชัดเจนกว่าทุกครั้ง ตอนที่สัดส่วนอันใหญ่โตของรุ่นพี่ถูกสอดใส่เข้าไปหมด เขาถูกรั้งปลายคางให้เงยขึ้นรับจูบอีกครั้ง แผ่นหลังของเขาอิงอยู่กับกระจกด้านหลังขณะที่รุ่นพี่กระทั้นกายเข้าหา ความหฤหรรษ์อันสุขสมแล่นริ้วไปทั่วสรรพางค์กาย ฮารุโตะยกมือขึ้นโอบบ่าร่างสูงเบียดกายเข้าแนบชิดก่อนอารมณ์ที่พุ่งสูงจะทะยานถึงฝั่ง อีกฝ่ายกลับถอนกายออก ร่างเล็กบางของฮารุโตะถูกจับพลิกหันหลังก่อนแท่งเอ็นร้อนจะถูกสอดใส่รวดเดียวจนมิด แรงกระแทกกระตุ้นให้อารมณ์ที่คั่งค้างถูกปล่อยออกมา เด็กหนุ่มแทบไร้แรงยืนจึงถูกอุ้มให้คุกเข่าโหย่งสะโพกบนเคาน์เตอร์

“ดูสิ” ร่างกายท่อนถูกเบียดแนบไปกับกระจกเงาจนต้องใช้มือทั้งสองข้างยันไว้ รุ่นพี่จับปลายคางของเขาไว้ รั้งใบหน้าให้สบตากันผ่านกระจกเงา

“สีหน้าของนายกำลังดีเลย”

มองตามสายตาหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังมองภาพสะท้อนใบหน้าตัวเองในกระจก พร้อมกับรู้สึกได้ถึงช่องทางอุ่นร้อนที่บีบรัดเขาแน่นขึ้น เสื้อเชิ้ตที่อีกฝ่ายใส่ปิดบังทุกอย่างจนมิด เขาจึงปลดกระดุมเสื้อของฮารุโตะออก หยุดชะงักชั่วครู่เพื่อถอดเสื้อบนตัวของรุ่นน้องก่อนจะเหยียดสะโพกกระแทกกายเข้าหาอีกครั้ง ภาพสะท้อนบนกระจกเงาปรากฏให้เห็นร่างเพรียวบางที่แดงเรื่อไปทั้งตัว ท่อนเอ็นแข็งภายใต้ถุงยางบางใสฉีดพ่นของเหลวสีขาวขุ่นออกมาให้เห็น พอๆ กับช่องทางด้านหลังที่บีบรัดตอบสนองเขาได้ดีกว่าการร่วมรักครั้งก่อนๆ

ซากิใช้มือรูดสาวให้หนุ่มรุ่นน้องปล่อยน้ำรักออกมาให้หมด แต่ท่อนเอ็นร้อนยังคงแข็งตัวสู้เพราะการกระตุ้นซ้ำๆ จากภายใน ชายหนุ่มเร่งจังหวะเร็วขึ้นอีกอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนจะปลดปล่อยออกมาบ้าง ขณะเดียวกันฮารุโตะก็ถึงจุดหมายปลายทางของอารมณ์เป็นครั้งที่สอง

เขาถอดกายออกโอบอุ้มร่างเล็กบางของรุ่นน้องขึ้นและนำไปวางไว้บนเตียง ถอดถุงยางอนามัยของทั้งตนและรุ่นน้องทิ้ง ดวงตาของอีกฝ่ายปรือปรอยคล้ายใกล้หลับเต็มทีแต่ในเมื่อเขาวางแผนให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องลาหยุดมาแล้ว เขาจึงอยากตักตวงเสียให้เต็มที่ เขาชักรูดให้ส่วนนั้นของตนแข็งขึ้นอีกครั้งสวมถุงยางและจับส่วนปลายแหย่เข้าไปในช่องทางซึ่งอ่อนนุ่มจากการร่วมรักก่อนหน้า จัดท่ายึดต้นขาของร่างที่นอนระทวยไว้แน่นก่อนจะดันรวดเดียวเข้าไปจนสุดอีกครั้ง ความซ่านเสียวแล่นตั้งแต่ศีรษะไปยังปลายเท้า

“เจ็บหรือเปล่า” ซากิเอ่ยปากถามแม้จะมั่นใจว่าไม่ได้รุนแรงจนเลือดตกยางออก แต่กับฝ่ายรับที่ต้องถูกกระทำเพื่อความสาแก่ใจของตนแล้วอาจจะไม่ชื่นชอบนักก็เป็นได้

“ม…ไม่ครับ ไม่เป็นไร” ฮารุโตะตอบปฏิเสธ ความกระสันอยากพุ่งจนต้องขยับสะโพกเสียเอง

“รุ่นพี่… ข…ขยับเถอะครับ อ๊ะ” ผมทนไม่ไหวแล้ว ประโยคสุดท้ายถูกกลืนหายไปเมื่อร่างสูงใหญ่ด้านบนเคลื่อนไหวตามที่ต้องการ ฮารุโตะถูกกระตุ้นเร้าด้วยความปรารถนาอีกครั้ง เขาส่งเสียงร้องอย่างสุขสมยามที่อีกฝ่ายชำแรกลึกเข้ามาตอบสนองด้วยการขยับสะโพกให้สอดรับจังหวะของอีกฝ่าย

ซากิยังรู้สึกว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีในเรื่องนี้ แม้ไม่ได้ร้อนร่านจนต่างจากภาพลักษณ์ภายนอกโดยสิ้นเชิงแต่ฮารุโตะไม่แข็งทื่อจนน่าเบื่อ หนุ่มรุ่นน้องมักจะเรียกร้องและตอบสนองได้น่ารักสมตัวจนเป็นเขาเสียอีกที่อยากจะกลืนกินซ้ำแล้วซ้ำอีก



ซากิขบฟันเบาๆ บนเนื้อขาวบริเวณหัวไหล่ของฮารุโตะ แค่นั้นก็ขึ้นสีแดงเป็นรอยฟัน เนื้อตัวของหนุ่มรุ่นน้องช้ำเป็นจ้ำเขียวง่ายเสียจนเขาไม่กล้าบีบจับรุนแรง อีกฝ่ายฟุบหลับไปอีกรอบหลังจบบทรักบนเตียงแต่เขายังคงฝืนสอดใส่เพราะแม้จะไร้การตอบสนองแต่ช่องทางคับแน่นกลับยังคงทำให้เขาสุขสม น้ำในอ่างอุ่นร้อนทำให้ผิวของอีกฝ่ายแดงเรื่อ เขามันเขี้ยวจนอดไม่ได้ที่ขย้ำฟันลงไปอีกรอบ

“รุ่นพี่” ฮารุโตะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาเพียงแค่นั้น แก่นกายในช่องทางอุ่นร้อนก็เหมือนถูกกระตุ้น เขากดจมูกเข้ากับข้างขมับของฮารุโตะ ยกสะโพกของร่างด้านบนขึ้นและกดลงซ้ำจนน้ำในอ่างกระเพื่อมเป็นระลอก ฮารุโตะยกแขนขึ้นโอบกอดเขาไว้ แนบริมฝีปากลงกับปากของเขา กิริยาออดอ้อนอันน่ารักนี้ทำให้เขาเผลอขบฟันกับริมฝีปากของอีกฝ่ายจนได้ ก่อนจะแทรกลิ้นเข้าไปคลุกเคล้าดูดดึงปลุกเร้าให้บรรยากาศร้อนระอุ ฮารุโตะตัวเล็กกว่าเขามาก ยามยืนเทียบกันส่วนสูงของหนุ่มรุ่นน้องแค่ปลายคางของเขาเท่านั้นเอง กระนั้นอ่างอาบน้ำของโรงแรมยังแคบเกินกว่าจะให้เขาทำอะไรได้ถนัด ซากิจึงอุ้มอีกฝ่ายลุกขึ้นทั้งที่ยังเชื่อมโยงกันอยู่เช่นนั้น ความแข็งแรงของร่างกายทำให้เขาอุ้มพาฮารุโตะไปล้มด้วยกันบนเตียงได้สำเร็จ จากนั้นจึงเขมือบอีกฝ่ายด้วยความสนุกสนานก่อนจะผล็อยหลับไปพร้อมกันตอนช่วงรุ่งสาง ตื่นขึ้นมาช่วงสายเขายังคงเดินหน้าขย้ำอีกฝ่ายต่อคล้ายยังไม่สะใจ ที่สำคัญเพราะฮารุโตะให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเขาจึงอดใจไม่ได้เสียที

“รุ่นพี่…ยังจะทำอีกหรือครับ” ฮารุโตะเอ่ยขึ้นมาหลังจบมื้ออาหารที่ควบรวมทั้งมื้อเช้าและมื้อกลางวัน ซากิยังคงคลอเคลียไม่ห่างร่างกายของพวกเขาทั้งคู่เปลือยเปล่าไร้อาภรณ์จะมีแค่ผ้าห่มของทางโรงแรมที่เด็กหนุ่มดึงมาคลุมร่างกายเพื่อกันอุจาดตา เขานั่งซ้อนทับอยู่บนต้นขาของหนุ่มรุ่นพี่ ฝ่ามือหนาลูบไล้ที่บริเวณโคนขาใกล้จุดไวสัมผัสและทุกครั้งที่ฝ่ามือของอีกฝ่ายเฉียดเข้าไปใกล้ ขนบนร่างกายก็ลุกชันทุกครั้ง ฮารุโตะได้แต่กำชายผ้าห่มในมือแน่น มิน่าเล่าถึงให้เขาลางานวันเสาร์กับอาทิตย์ไว้

“หือ… ฉันยังไม่อิ่มเลย”

“ถ้ายังไม่อิ่ม ข้าวปั้นที่รุ่นพี่ซื้อมายังเหลือนะครับ” ถึงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตอบกลับมาอีกอย่าง แต่เขายังกระตือรือร้นหยิบอาหารในถุงให้หนุ่มรุ่นพี่อย่างห่วงใย

“ใช่แบบนั้นซะที่ไหน” ซากิหัวเราะ “ที่ยังไม่อิ่มหมายถึงกินนายต่างหาก”

ฮารุโตะคิดตามคำพูดนั้นไม่ทัน แต่เมื่อถูกจู่โจมความสงสัยพลันหายไป อันที่จริงเขาอยากจะปฏิเสธเพราะขาของเขาล้าจนแทบจะไม่มีแรงยืนอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ท่อนลำอันแข็งแกร่งได้ถูกสอดใส่เข้ามาอยู่ดี ช่องทางร่วมรักของฮารุโตะฉ่ำแฉะจากเจลหล่อลื่นมันบวมแดงแต่อ่อนนุ่มจนการสอดใส่เป็นไปง่ายดาย แม้จะมีอาการเจ็บปวดจากการเสียดสีแต่ทันทีที่แท่งลำอุ่นร้อนหมุนควงขยับโยก ความรู้สึกซ่านเสียวหฤหรรษ์ก็ปรากฏขึ้น

เขาถูกกระทำซ้ำๆ จนอ่อนเปลี้ยไปทั้งร่างกาย มันเป็นการร่วมรักที่ทั้งหนักหน่วงและยาวนาน ที่ทำให้ร่างกายจดจำสัมผัสของรุ่นพี่ร่างสูง เพราะหลังจากช่วงหยุดเสาร์อาทิตย์นั้น แค่ปลายนิ้วของรุ่นพี่ที่แตะบนผิว ร่างกายของเขาก็เต้นระริกอย่างโหยหาปรารถนาอีกฝ่ายเข้ามาเติมเต็มความต้องการ


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 7 : 20/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-02-2017 07:29:02
กลัวว่าซากิจะหลอกให้รักน่ะสิ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 7 : 20/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-02-2017 14:55:14
ซากิ เปิดเผยการสัมผัสฮารุโตะ
แตะต้อง จับมือ นั่งตัก โอบบ่าในที่สาธารณะ
และเร่าร้อนรุนแรง เวลาร่วมเพศเคมีของทั้งสองฝ่ายต้องกัน
แต่ไม่บอกสถานะความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับฮารุโตะ หรือเพื่อนๆ
ก็ให้กลัวว่า ถ้ามีอะไรเปลี่ยนไป ฮารุโตะ จะรับมือไหวหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 7 : 20/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: เด็กเลี้ยงแมว ที่ 21-02-2017 01:12:38
นายเอกนี่คนหรือกล้วยบดคะ นื่มซะ5555
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 8 : 24/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 23-02-2017 23:55:29
เรื่องย่อตอนที่ 8
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ขณะเดียวกัน ซากุราอิ ชุนก็ตามมาราวีเขาอีกครั้ง ทว่าเพราะเหตุการณ์นั้นทำให้เพื่อนร่วมคณะเข้ามาคุยกับเขา ฮารุโตะจึงคาดหวังว่าจะสามารถสนิทสนมกับเธอได้

ตัวละครเพิ่มเติม
กลุ่มหญิงสาวนักศึกษาที่เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
1. มินามิ มากิ
2. ทาคาฮาชิ ฮิราอิ
3. อิเคดะ นายะ
4. โยชิดะ ริเอะโกะ
5. ซาซากิ ฟุมิโอะ




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย




Chapter 8




ซู่!!!

ฮารุโตะสะดุ้งเมื่อถูกน้ำเย็นราดรดลงหลังเสื้อขณะที่เขากำลังทานอาหารเที่ยงอยู่ในโรงอาหาร เพราะอยากใช้เวลาช่วงพักกลางวันกับรุ่นพี่ชิมิซึ เด็กหนุ่มจึงเตรียมข้าวกลางวันมาทานที่มหาวิทยาลัย

เขาเอี้ยวตัวมองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

ซากุราอิ ชุนกำลังยืนยิ้มเยาะ ในมือถือแก้วน้ำพลาสติกว่างเปล่า นอกจากนี้ยังมีอีกสองคนที่ฮารุโตะไม่รู้จักชื่อยืนขนาบข้างทั่วทั้งบริเวณนั้นเงียบกริบ หลายคนต่างให้ความสนใจ

“โอ๊ะ โทษทีพอดีฉันตั้งใจว่าจะซื้อน้ำมาให้นาย แต่มันเลื่อนหลุดมือไปซะก่อน นายคงไม่ว่ากันนะ”

เด็กหนุ่มจ้องอีกฝ่ายไม่วางตา ท่าทางนั้นคงทำให้ผู้กระทำหมั่นไส้ ร่างใหญ่โตกว่ามากมายนั่นจึงเดินเข้ามาตบศีรษะของฮารุโตะซ้ำอีกครั้ง

“จ้องหน้าเนี่ยมีปัญหาหรือ” ชุนกล่าวทั้งยังตบซ้ำอีกหลายครั้ง จนฮารุโตะไม่กล้าเงยหน้ามอง

“ไหนดูดิ มีเงินอยู่เท่าไหร่”ชุนหยิบกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าสะพายของฮารุโตะอย่างถือวิสาสะ ฮารุโตะคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่ที่สุดแล้ว แต่ยังมีบางคนที่แสดงความโง่ยิ่งกว่าด้วยการทำสิ่งซ้ำซาก

ชุนเปิดกระเป๋าของเขา ซึ่งภายในว่างเปล่า

“อะไรว่ะ ไม่มีเงินสักบาท นี่แกใช้ชีวิตอย่างไรเนี่ย”

แน่ละทำไมเขาต้องมีเงินติดตัวเพื่อให้ปลิงมารีดไถ

“ทำปากงุบงิบนี่แกด่าฉันหรือ”

ฮารุโตะหันไปมอง เขาแน่ใจว่าแค่คิดอยู่ในใจ แต่อีกฝ่ายคงตั้งใจจะหาเรื่องอยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงโดนถีบเสียกระเด็น และลากพาเอาทุกอย่างล้มระเนระนาด พาลให้ผู้คนรอบข้างแตกฮือ ฮารุโตะไม่มีเวลามาสนใจคนอื่น ในเมื่อหางตาเขาเห็นปลายเท้าที่ถูกเหวี่ยงเข้ามาใกล้ เขายกมือกันศีรษะงอตัวรับแรงกระแทกนั้นโดยอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตามเหตุวุ่นวายก็จบลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเด็กหนุ่มอีกสองคนที่มาพร้อมซากุราอิ ชุน ลากตัวเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ออกไปจากโรงอาหาร ฮารุโตะรีบลุกขึ้น และเก็บเศษอาหารที่กระจัดกระจาย มีนักศึกษาบางคนเข้ามาช่วยเขายกโต๊ะ เก้าอี้ที่ล้ม บางคนเข้ามาถามว่าเขาเป็นอะไรมากหรือไม่ แต่เขาแค่ตอบไปว่าไม่เป็นอะไร ทั้งยังก้มหน้าก้มตาอยู่เช่นนั้น

“มิอุระซัง ไม่เป็นอะไรจริงๆหรือ นายล้มแรงมากเลยนะ”

“ไม่เป็นไรครับ”เขาสั่นศีรษะปฏิเสธ แต่เพราะอีกฝ่ายออกเสียงเรียกชื่อเขาอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มจึงเงยหน้ามอง คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวหน้าตาสวย

“ไปห้องพยายาลให้อาจารย์เช็คให้แน่ใจหน่อยดีไหม”เธอถามซ้ำ แต่คงเพราะถูกฮารุโตะมองอย่างสงสัย บทสนทนาจึงเปลี่ยนไป

“นายจำฉันไม่ได้หรือ เราอยู่เอกเดียวกันไง”

ฮารุโตะรู้สึกว่าเป็นการเสียมายาทมากที่เขาจำเพื่อนร่วมสาขาไม่ได้

“ข...ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มกล่าวออกไปเสียงเบา

“ไม่เป็นไร”เธอยิ้มให้ “ถ้าอย่างนั้นฉันแนะนำตัวใหม่แล้วกัน ฉันชื่อมินามิ มากิ ยินดีทีได้รู้จักนะ”

พอมีคนกล่าวมาเช่นนั้น ฮารุโตะจึงแนะนำตัวเองกลับไปบ้าง

“ฉันมีเสื้อวอร์มอยู่ในล็อกเกอร์ชมรม ถ้าอย่างไรฉันจะให้ยืมก่อน”แม้ว่ามากิจะพูดเหมือนขอความคิดเห็น แต่ทว่าเธอกลับจับข้อมือลากให้เขาเดินตาม ก้าวเท้ารวดเร็วเสียจนเขาปฏิเสธไม่ทัน ระหว่างทางเธอยังเล่าเรื่องชมรมเชียร์ที่เธอสังกัดอยู่ให้ฟังคร่าวๆ

“จากนี้จะไปไหนต่อละ”หญิงสาวถามเมื่อฮารุโตะเปลี่ยนเสื้อตัวในเสร็จ

“ผมตั้งใจจะไปที่ชมรมครับ”

“มิอุระซังอยู่ชมรมอะไร”

“ชมรมถ่ายภาพครับ”

“อ่อ ชมรมของรุ่นพี่นาคามูระ”

“อืม” อาจจะฟังดูแปลก แต่ฮารุโตะค่อนข้างจะภูมิใจกับความมีชื่อเสียงของรุ่นพี่ประธานชมรมอยู่ไม่น้อย

“เออ มิอุระนั่งกินข้าวคนเดียวใช่ไหม ถ้าอย่างไรพรุ่งนี้มากินข้าวกับฉันไหม”

ฮารุโตะมองเจ้าของคำพูดนั้น นัยน์ตาของเขาเป็นประกายพลางตอบรับคำพูดของหญิงสาวด้วยความกระตือรือร้นยินดี



“มีเรื่องอะไรดีๆหรือ ดูอารมณ์ดีเชียว”ซากิออกปากถามทันที่เห็นหน้าหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเดินเข้ามานั่งข้างๆ ภายในห้องชมรมช่วงเที่ยงๆบ่ายๆมีสมาชิกอยู่บางตา ซ้ำช่วงนี้กิจกรรมส่วนใหญ่ถูกงดเพื่อให้เหล่านักศึกษาอ่านหนังสือเตรียมสอบ ชมรมถ่ายภาพเองก็เช่นเดียวกัน

ซากิขยับเข้าไปเบียดและโอบเอวดึงหนุ่มรุ่นน้องมาแนบชิด ฮารุโตะเขินจนหน้าแดง เขาหลุบตาลงต่ำ ไม่กล้ามองหน้ารุ่นพี่ตรงๆ เพราะกลัวจะเขินอายไปมากกว่านี้ ก่อนจะตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มว่า

“เพื่อนที่คณะชวนไปกินข้าวด้วยพรุ่งนี้ครับ”

“เพื่อนชวนไปกินข้าว?” ชายหนุ่มทวนคำพูดนั้นซ้ำ นึกสงสัย เพราะถ้าแค่เพื่อนชวนไปกินข้าว เขาคงจะไม่ตื่นเต้นดีใจเช่นนี้ ซากิเริ่มหน้าตึง ในขณะที่ฮารุโตะยังพูดเล่าต่อไปเรื่อยอย่างอารมณ์ดีกระทั่งหนุ่มรุ่นพี่พูดแทรกขึ้นมา

“พูดมากจัง”

ฮารุโตะหุบปากฉับ หน้าเผือดสี ยิ่งใจแป้วไปยิ่งกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายชักมือที่วางอยู่ตรงบั้นเอวออกและหันกลับไปสนใจหนังสือที่อยู่ในมือดังเดิม เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งหน้าเจื่อนอยู่อย่างเดิม แล้วอ้อมแอ้มกล่าวขอโทษออกไป ต่อจากนั้น ก็นั่งนิ่งอยู่เงียบๆจนกระทั่งถึงเวลาเข้าเรียนภาคบ่าย

ตอนที่เอ่ยปากว่าต้องไปเข้าเรียนแล้ว รุ่นพี่ยังไม่หันมามองด้วยซ้ำ

ท่าทางหมางเมินของรุ่นพี่ทำให้ฮารุโตะรู้สึกไม่ดี เด็กหนุ่มนึกเสียใจที่เอาแต่พูดมาก จนทำให้หนุ่มรุ่นพี่รำคาญ บ่ายนั้นเขาไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียนเพราะเรื่องนี้ แต่ก็พยายามจดจ่อกับเนื้อในวิชาให้มากเท่าที่สุดที่จะทำได้  และเมื่อหมดชั่วโมงเรียน เขารีบเก็บของและตรงดิ่งไปที่ห้องชมรม

ที่นั่นรุ่นพี่ชิมิซึนั่งอยู่ในวงล้อมของกลุ่มเพื่อนที่คงจะพูดคุยกันเรื่องกล้องรุ่นใหม่หรือวิธีถ่ายภาพ เขาเคยร่วมวงอยู่บ้างซึ่งก็ได้แต่นั่งฟังอยู่เฉยๆเพราะไม่มีทั้งกล้องของตัวเองและไม่เคยตั้งใจถ่ายรูปอย่างจริงจัง พอได้สบสายตาที่ดูเย็นชาของชายหนุ่มซึ่งหันมามองเขาเพียงครู่เดียวก่อนจะหันกลับไป ฮารุโตะจึงเลือกกวาดสายตาไปยังทิศทางอื่น เมื่อเห็นรุ่นพี่อาโอกินั่งอ่านนิตยสารอยู่จึงสาวเท้าเข้าไปทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ รุ่นพี่ที่เขาชื่นชมเงยหน้าขึ้นมาทักเขาแค่ชั่วครู่ก่อนจะหันกลับไปสนใจนิตยสารในมือตามเดิม
เด็กหนุ่มนั่งเงียบๆอยู่เช่นนั้นโดยไม่ได้คุยกับใครเกือบชั่วโมง พอใกล้เวลาเข้างานพิเศษจึงจำใจลุกขึ้น เขาลังเลอยากเข้าไปหาชิมิซึ ซากิ แต่พอเห็นอีกฝ่ายหัวเราะเฮฮากับกลุ่มคนที่คุยอยู่จึงไม่กล้าเข้าไปหา ได้แต่เลี่ยงเดินออกจากห้องมาด้วยความเหงาหงอย

ฮารุโตะไม่ชอบใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้เลย เพราะคาดหวังว่ารุ่นพี่จะต้องให้ความใส่ใจกับตัวเองตลอดเวลา เขาจึงรู้สึกหดหู่ยามที่ฝ่ายนั้นหมางเมิน เด็กหนุ่มทำงานพิเศษด้วยความรู้สึกหม่นหมอง แม้แต่ช่วงเวลาเลิกงาน เขาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของหนุ่มรุ่นพี่

เด็กหนุ่มได้แต่ปลุกปลอบใจตัวเอง รุ่นพี่ก็เป็นเช่นนี้ จู่ๆก็มาทำดีด้วยจู่ๆก็มาโกรธกัน พยายามคิดเสียว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา และสลัดมันออกจากสมอง พลางหันเหความสนใจไปกับข้าวกล่องที่เขาตั้งใจจะเตรียมไปพรุ่งนี้เสียแทน ความหมองเศร้าที่มีมาตลอดบ่ายจึงจางหายไปบ้าง


ฮารุโตะเดินเข้าไปหามินามิ มากิทันทีที่หมดชั่วโมงเรียน มากิกับเพื่อนๆยังหัวเราะพูดคุยกันอยู่ เขาจึงยืนรอด้วยความรู้สึกตื่นเต้น รออยู่ชั่วครู่ หญิงสาวก็หันมาแนะนำเขาให้รู้จักกับกลุ่มเพื่อน ก่อนจะชวนกันพาออกไปยังโรงอาหารของคณะ ระหว่างทาง เสียงโทรศัพท์ของฮารุโตะก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหน้าจอ ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอคือเบอร์ “คนไม่รู้จัก” ซึ่งเคยบันทึกไว้ นานมากแล้วที่อีกฝ่ายไม่ได้โทรมาหา เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกใจ

“จะไปกินข้าวที่ไหน”

ฮารุโตะขมวดคิ้ว ถึงจะพอเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ในชมรม แต่เขาคิดว่านอกจากรุ่นพี่อาโอกิแล้วคงไม่มีรุ่นพี่คนไหนที่จะมีธุระกับเขาอีก

“มีอะไรหรือครับ”

“ตอบมาว่าจะไปกินข้าวที่ไหน” น้ำเสียงของปลายสายฟังดูหงุดหงิดร้อนรนอย่างชัดเจน แต่ฝ่ายนั้นไม่ได้มายืนอยู่ตรงหน้า เด็กหนุ่มจึงไม่ได้คิดกลัวมากนัก

“คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าไม่มีอะไร ผม...”

“ห้ามวางนะ”ปลายสายกล่าวแทรกขึ้นมาทันที

“แค่บอกว่ากำลังจะไปกินข้าวที่ไหนก็พอ”

ฮารุโตะนิ่งเงียบอย่างช่างใจ ไม่นานนัก เขาก็ตอบกลับไปว่า

“ไปกินที่โรงอาหารคณะครับ”และทันทีที่คำพูดของเขาจบลง อีกฝั่งก็ตัดสายทันที เด็กหนุ่มขมวดคิ้วมุ่น ก่อนละความสนใจไปเสียเพราะมากิส่งเสียงเรียก

กลุ่นเพื่อนของมากิมีแต่หญิงสาวหน้าตาสวยและรูปร่างดี เมื่อทั้งห้าคนก้าวเท้าเข้าไปในโรงอาหาร ก็สามารถดึงดูดความสนใจได้เกือบทุกสายตา เป็นฮารุโตะเสียอีกที่รู้สึกประหม่าขึ้นมา เขาเดินตัวลีบตามกลุ่มของหญิงสาวจนไปถึงที่นั่ง อีกสองคนแยกไปซื้ออาหาร ส่วนที่เหลือมีข้าวกล่องของตัวเองมาทาน มากิชวนเขาคุยเรื่องข้าวกล่องไปพลาง ทานไปพลาง ไม่นานนักเสียงทุ้มต่ำที่ฮารุโตะคุ้นเคยก็ดังขึ้น

“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ”

“เชิญเลยค่ะ”

ฮารุโตะยังนั่งงง ขณะที่เพื่อนของมากิตอบรับชายหนุ่มร่างสูง

“มาทำอะไรแถวนี้หรือค่ะ”ทาคาฮาชิ ฮิราอิถามต่อ

“พอดีว่า มิอุระเขาชวนมาทานข้าวเที่ยงที่นี่นะ”

คนชวนทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราว ชายหนุ่มจึงต้องกล่าวเสริมต่อไปอีกว่า “ทีแรกที่ชวนไม่ได้ตอบตกลงแน่นอน เพราะไม่แน่ใจว่าจะมาได้หรือเปล่า แต่เสร็จธุระพอดีก็เลยมา”

“ถ้าอย่างนั่น ว่างๆก็มาทานอีกสิคะ อาหารแถวนี้อร่อยนะ”คนที่เอ่ยปากชวนชื่อซาซากิ ฟุมิโอะ จากนั้นเสียงพูดเสียงพูดเสียงคุยของผู้ร่วมโต๊ะก็ดังไม่หยุด มีแค่ฮารุโตะเท่านั้นที่นั่งเงียบไม่ได้คุยกับใคร เขาเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว และยิ่งเห็นรุ่นพี่ชิมิซึคุยกับกลุ่มเพื่อนของมากิอย่างสนุกสนาน เขายิ่งพูดไม่ออก รู้สึกตื้อจนกินข้าวแทบไม่ลง

“เดี๋ยวจะต้องไปเรียนต่อใช่ไหม”ซากิถามเมื่อใกล้หมดเวลาพัก ส่วนเขามีเรียนอีกครั้งตอนบ่ายสองโมง

“แล้วรุ่นพี่ละคะ มีเรียนหรือเปล่า”

ชายหนุ่มมองคนพูดที่เพียรส่งสายตามาให้ เขายิ้มให้บางๆ

“ฉันมีเรียนเหมือนกัน”เขาตอบปฏิเสธออกไปเพราะเบื่อที่จะคุยต่อ แล้วลุกขึ้นยืน “ไว้เจอกันใหม่นะ”ซากิพูดออกไปตามมารยาท
และทันที่ที่ลับหลังหนุ่มรุ่นพี่ เสียงกรี๊ดกร้าดก็ดังขึ้นเบาๆ

“หล่ออะแก ขนาดไกลๆว่าหล่อแล้วนะ มานั่งใกล้ๆตรงหน้า โอ๊ย!!! เหมือนจะละลาย”โยชิดะ ริเอะโกะพูดด้วยอาการพร่ำเพ้อ แต่กระนั้น เธอโดนเพื่อนสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเอ่ยขัดขึ้นมาทันที

“อย่าเยอะ อย่าเยอะ ผู้ชายคนนี้ฉันจองแล้ว”

“จองอะไรไม่ทราบ เรื่องแบบนี้ใครดีใครได้ย่ะ”เธอพูดกับเพื่อน ก่อนจะหันมาทางฮารุโตะ

“มิอุระซังสนิทกับรุ่นพี่ชิมิซึหรือ มีเบอร์หรือเปล่า ถ้าอย่างไรฉันขอเบอร์ของรุ่นพี่หน่อยได้ไหม”

เด็กหนุ่มนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ถ้าเธอได้ฉันก็ต้องได้ด้วย”ซาซากิ ฟุมิโอะกล่าวแทรกขึ้นมา และทั้งสองคนก็หันมาจ้องหน้ากดดันเด็กหนุ่ม

“ขอเบอร์ของรุ่นพี่ให้ฉัน มิอุระซัง”ริเอะโกะกล่าวย้ำ ฮารุโตะไม่กล้าตอบปฏิเสธแต่เขาไม่มีเบอร์ของรุ่นพี่จึงได้บอกไปตามจริง

“ถ้าอย่างนั้นก็ขอมาให้หน่อยละกัน”อิเคดะ นายะพูดขึ้นบ้าง “ของรุ่นพี่ฮายาชินะ”ซึ่งพอมีการขอเบอร์ของคนอื่นนอกจากรุ่นพี่ชิมิซึ จึงกลายเป็นว่าเขาต้องขอเบอร์โทรศัพท์เกือบทุกคนในแก็งค์ประธานชมรม

ตอนที่พวกเขานั่งคุยกันอยู่นั้น เลยเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายไปนานโข และเด็กหนุ่มก็ลืมวิชาเรียนไปเสียสนิท เพราะเขามีเรื่องที่หนักใจกว่า ฮารุโตะไม่รู้ว่าตนเองไปขอเบอร์โทรศัพท์ของพวกรุ่นพี่ตามที่มากิและกลุ่มเพื่อนต้องการได้อย่างไร เขามีเบอร์ของรุ่นพี่อาโอกิ และเบอร์ของรุ่นพี่นาคามูระอยู่ในเครื่อง แต่เบอร์โทรศัพท์ของรุ่นพี่ประธานชมรม เขาไม่กล้าให้ใครโดยพลการ เพราะถ้าเจ้าของเบอร์โทรศัพท์รู้เรื่องเข้า เขาอาจจะโดนโกรธ

“อ่ะ ฮารุจัง ไม่มีเรียนแล้วหรือ”

เสียงร้องทักดังขึ้นมา ฮารุโตะไม่รู้ตัวเลยว่าเดินมาถึงห้องชมรมตั้งแต่เมื่อไหร่  เขาเดินใจลอยมาตลอดทาง มองรุ่นพี่ฮายาชิที่จับจองพื้นที่วางทั้งหนังสือและกระเป๋าไว้เกลื่อนกลาดบนโต๊ะ เด็กหนุ่มจึงเดินเข้าไปหา

“ทำอะไรอยู่หรือครับ”

“เตรียมหาข้อมูลสำหรับทำธีสิส”

“รุ่นพี่ต้องทำแล้วหรือครับ”เด็กหนุ่มถามอย่างแปลกใจ ตอนที่เขาอ่านเค้าโครงการเรียน จำได้ว่าวิชานี้อยู่ช่วงเทอมสองของปีสี่

“อยากจบตรงเวลาต้องเริ่มทำแต่เนิ่นๆนะ เพื่อนฉันที่อยู่วิทยาศาสตร์เริ่มทำธีสิสงานวิจัยตั้งแต่ปีสอง”

เรื่องที่ได้ฟังทำให้เด็กหนุ่มเริ่มตื่นตูมขึ้นมาทันที

“หวา!!! แย่แล้ว ผมยังไม่รู้ว่าจะทำวิจัยเรื่องอะไรดีเลย”ฮารุโตะเลือกเอกเคมี เพราะทุนการศึกษากำหนดไว้ว่าต้องศึกษาในคณะและสาขาวิชานี้ และเมื่อเรียนจบแล้ว ก็สามารถเข้าทำงานต่อในบริษัทผู้เป็นเจ้าของทุนการศึกษาได้ทันที

“อย่าเพิ่งตื่นเต้นไปน่า ฮารุจัง ที่บอกว่าเพื่อนฉันเริ่มทำตอนปีสองนะ คือเริ่มหาหัวข้อ”เรียวตะหัวเราะกับท่าทางหน้าตาตื่นของรุ่นน้อง

“โธ่ รุ่นพี่ก็”เด็กหนุ่มถอนหายใจอย่างโล่งอก

เรียวตะเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังต่อ บางเรื่องเด็กหนุ่มฟังแล้วหัวเราะจนท้องแข็ง ลืมเรื่องที่คิดไม่ตกหนักอกหนักใจเมื่อครู่ไปเสียสนิท รวมทั้งไม่ได้ให้ความสนใจสมาชิกในชมรมที่ทะยอยเข้ามาในห้องชมรม

“ดูสนุกเชียว คุยเรื่องอะไรกันอยู่”

เด็กหนุ่มหุบปากเงียบตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันทีโดยอัตโนมัติ เขาเหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ที่ลากเก้าอี้เข้ามานั่งเสียใกล้ก่อนวาดแขนวางไว้บนพนักพิงที่เขานั่ง ใบหน้าของรุ่นพี่ติดจะยกยิ้มบางๆ

“ก็คุยเรื่องทั่วไป เนอะฮารุจังเนอะ”ประโยคแรกเรียวตะหันไปตอบเพื่อนร่วมชมรม ส่วนประโยคหลังเขาหันมายกคิ้วหลิ่วตาให้เด็กหนุ่มรุ่นน้อง แต่สีหน้าท่าทางคงดูทะเล้นเสียจนชายหนุ่มเจ้าของคำถามคิ้วกระตุก พอเห็นอาการไม่สบอารมณ์ของเพื่อนสนิท คนที่ตั้งใจกวนอารมณ์ถึงหัวเราะออกมา

ฮารุโตะมองรุ่นพี่ฮายาชิอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก และยิ่งหันมาเห็นรุ่นพี่ชิมิซึหน้าบึ้งตึงต่างจากเมื่อสักครู่ เขาจึงไม่กล้าอ้าปากถามอะไร รู้สึกว่าบรรยากาศอึดอัดขึ้นทุกที

“ไหนว่าไม่มีอะไร แล้วดูตอนนี้ดิ”เรียวตะออกปากแซว แต่คนถูกแซวไม่ตอบโต้อะไรกลับนอกจากยกยิ้มที่มุมปากขึ้นมาอีกครั้ง และหันไปให้ความสนใจกับหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างๆแทน มือใหญ่ลูบศีรษะของฮารุโตะด้วยความอ่อนโยน

“กลับกันเลยดีไหม จะได้ไปอาบน้ำกินข้าวก่อนเข้างาน ช่วงก่อนหน้าที่นาโอโตะขุนซะแก้มกลม กำลังน่ารักเชียว”

ฮารุโตะหน้าแดงกับคำชม ส่วนเรียวตะก็ผิวปากแซว แต่คนพูดแค่ยิ้มๆไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาลุกขึ้นยืนพลางดึงมือหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นตาม บอกลาเพื่อนสนิทที่ยังส่งเสียงแซวไม่เลิก

ซากิพารุ่นน้องเดินออกจากมหาวิทยาลัย

ทั้งที่อากาศหนาวเย็นแต่ยังคงมีคนยังคุยนั่งเล่นกันอยู่ภายนอกอาคาร บ้างก็กำลังเล่นกีฬาอยู่ในสนาม เด็กหนุ่มหันกลับไปมองหนุ่มรุ่นที่เดินนำอยู่ด้านหน้า นึกสงสัยว่ารุ่นพี่เอาเวลาช่วงไหนไปซ้อมกีฬากันนะได้ยินมาว่าทีมมหาวิทยาลัยค่อนข้างเก่งเสียด้วย เขาคิดโน่นคิดนี่ไปตลอดทางจนกระทั่งซากิพามาถึงร้านอาหาร

“เอ่อ…รุ่นพี่ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวนะครับ”

“ทำไมละ ร้านนี้ก็อร่อยดีนะ”

ฮารุโตะอึกอัก เขาไม่มีเงินติดตัวจะให้เข้าไปทานในร้านได้อย่างไร อีกอย่างปกติก่อนเข้างานเขาก็กินข้าวปั้นเป็นมื้อเย็นตลอด

“ผมยังไม่หิวครับ”

“ไม่หิวก็ต้องกิน ก็บอกอยู่ว่า ตอนที่นายแก้มกลมๆยุ้ยๆน่ารักมาก”

พอถูกชมว่าน่ารักฮารุโตะก็หน้าแดงขึ้นอีกและเรี่ยวแรงที่จะต้านแรงดึงของหนุ่มรุ่นพี่ก็หายไปเสียดื้อๆ

ฮารุโตะถูกดันให้เข้าไปนั่งด้านในของโต๊ะ ที่นั่งติดหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกสีชาทั้งบานเมื่อมองจากด้านนอก ทำให้มองเห็นสภาพภายในร้านไม่ชัดนัก แต่พอมานั่งอยู่ตรงนี้ฮารุโตะกลับมองเห็นผู้คนที่เดินอยู่ด้านนอกร้านได้อย่างชัดเจนทีเดียว  เมื่อหันกลับมาเขาเจอกับสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ที่จ้องมองเขาอยู่  เด็กหนุ่มรู้สึกเขินและประหม่าจนต้องก้มหน้าลง รุ่นพี่ชิมิซึที่นั่งอยู่ข้างๆวันนี้อารมณ์ดีต่างจากเมื่อวานจนเขาประหลาดใจ บางทีรุ่นพี่ชิมิซึคนนี้อาจจะเป็นตัวปลอม ฮารุโตะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

อาหารมื้อนั้นรุ่นพี่เป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดจนเขารู้สึกเกรงใจ  หลังจากนั้นรุ่นพี่ยังคงตามไปอาบน้ำกับเขาในโรงอาบน้ำสาธารณะ  เขายังทั้งตื่นเต้นและเขินอายหัวใจเต้นแรงระรัวตลอดเวลาจนกลัวว่าจะเป็นโรคร้ายแรง แต่เขาก็รู้สึกว่ามีความสุขมากจริงๆ

หมดช่วงเวลาทำงานเสียงโทรศัพท์ที่ดังและชื่อที่ปรากฏเป็น 'คนไม่รู้จัก' ฮารุโตะกดรับสายเสียงที่กรอกลงไปยังคงสดชื่นแม้จะต้องยืนทำงานจนล่วงเข้าเช้าวันใหม่

“เพิ่งเลิกงาน?”

“ใช่ครับ”

“กำลังเดินกลับห้อง?”

“ใช่ครับ”ฮารุโตะตอบกลับไปเขาเงียบไปชั่วครู่แล้วถามต่อไปอีกว่า

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ต้องมีธุระถึงจะโทรหาได้”น้ำเสียงของปลายฟังดูเหมือนไม่พอใจ

“เปล่าครับ”ฮารุโตะตอบปฏิเสธอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก และพอเขาเงียบปลายสายก็เงียบเสียงตามจนเด็กหนุ่มนึกลังเล เขาดึงโทรศัพท์ออกห่างมองหน้าจอที่เลขเวลาเดินไปเรื่อยๆแล้วแนบหูลงไปอีกครั้ง

“คุณเป็นใครหรือครับ”

“หือยังเดาไม่ออกอีกหรือเนี่ย”

“ผมคิดไม่ออกจริงๆครับ”

อีกฝ่ายหัวเราะ“วันๆคุยโทรศัพท์เยอะมาก มีคนโทรหาเยอะจนจำเสียงใครไม่ได้เลยหรือ”

“ใช่ซะที่ไหน”เขาพึมพำเบาๆแต่อีกฝ่ายก็ยังได้ยิน

“หือ จริงดิ มีโทรศัพท์ไว้ทำอะไรละ”

“ก็มีไว้ให้รุ่นพี่อาโอกิโทรหาไงครับ”

“ในเครื่องมีเบอร์ใครบ้างละ”

“รุ่นพี่อาโอกิกับรุ่นพี่นาคามูระครับ”

“เบอร์ของเรย์นะลบทิ้งไปได้แล้ว”

“ทำไมผมต้องลบด้วย”

“ยังชอบมันอยู่หรือไง”

“ไม่เกี่ยวกับชอบไม่ชอบเสียหน่อย อีกอย่างรุ่นพี่ก็ไม่เคยโทรมาหาด้วยตอนที่ได้เบอร์มาก็เพราะรุ่นพี่อาโอกิบังคับ”

“หือ ถ้าอย่างนั้นเก็บไว้ก็ได้”

เดินไปคุยไปจนกระทั่งถึงห้องพักเขาไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป  ปลายสายคงได้ยินเสียงดังกล่าวถึงได้บอกลาและวางสาย เด็กหนุ่มถอดเสื้อโค้ทเปลี่ยนเสื้อตัวในแล้วสวมสเวตเตอร์ทับอีกชั้น  เปิดฮีตเตอร์ พอปิดไฟล้มตัวลงนอนเขาก็หลับลงอย่างง่ายดาย

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 8 : 24/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-02-2017 00:05:52



เช้าวันถัดมาทันทีที่เห็นหน้ามินามิ มากิ เขาก็นึกได้ทันทีว่าเมื่อวานตนลืมสิ่งใด

“ตกลงได้มาไหม”ริเอะโกะถามอย่างกระตือรือร้น ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ

“ขอโทษ พอดียังไม่มีโอกาสเหมาะๆ”

“แหมต้องมีโอกาสเหมาะๆอะไรก็แค่เดินเข้าไปขอธรรมดา อยู่ชมรมเดียวกันไม่ใช่หรือ ไม่มีเบอร์รุ่นพี่ชมรมนี่มันน่าแปลกนะ”ฟุมิโอะพูดออกมาในเชิงตั้งข้อสงสัย

“ก…ก็มีเบอร์รุ่นพี่อาโอกิ”เขาตอบเสียงเบา

“มีเบอร์รุ่นพี่อาโอกิอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์ของรุ่นพี่อาโอกิแทนก็ได้”มากิกล่าวแทรกขึ้นมา

“ต…ต้องขออนุญาตก่อน”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่ได้เอาไปทำอะไรเสียหน่อย”เธอแบมือออกมาเป็นเชิงให้เขาส่งโทรศัพท์มือถือมาให้ แต่ในจังหวะนั้นเอง อาคาริ มิสะกับซุซูกิ จิเอะก็ปราดเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว

“มิอุระซังเราไปที่โต๊ะกันเถอะใกล้เวลาเข้าเรียนแล้วนะ”มิสะไม่ได้แค่พูดอย่างเดียวแต่เธอยังดึงรั้งต้นแขนของเด็กหนุ่มให้เดินตาม ฮารุโตะหันซ้ายหันขวาทำอะไรไม่ถูกแต่จะให้ฝืนต้าน ต้นแขนที่โดนมิสะจับไว้โดนบีบแน่นจนเจ็บ เดินห่างจากกลุ่มของมินามิ มากิมาแค่เล็กน้อย หญิงสาวเพื่อนร่วมรุ่นก็กระซิบพูดขึ้นมาว่า

"คิดจะย้ายไปอยู่กลุ่มยัยหน้าปลวกนั้นหรือ"

หน้าปลวก? ฮารุโตะฟังแล้วก็งุนงง ไม่รู้ว่ามิสะหมายถึงใคร

"จะขอเตือนไว้นะว่า อย่าดีกว่า ยัยพวกน่ารังเกียจนั่นก็ไม่มีดีซักเท่าไหร่หรอก"

“โอ้ย!!!"เธอคงไม่ชอบกลุ่มคนที่พูดถึงจริงๆ เพราะแค่พูดถึงก็บิดเนื้อของเขาไปด้วยราวกับต้องการระบายความเครียดแค้น

“อย่าให้เห็นว่าไปคุยกับพวกนั้นอีกนะ ไม่อย่างนั้นนายเจอดีแน่"เมื่อพูดในสิ่งที่ต้องการจบ เธอก็สะบัดมือผลักร่างของฮารุโตะออกห่างจากตัวคล้ายรังเกียจ เพราะยังไม่ทันตั้งตัว ร่างของเด็กหนุ่มจึงเซไปกระแทกกับมุมโต๊ะ เขามองตามมิสะที่ทิ้งสายตาข่มขู่ก่อนที่เธอจะเดินไปนั่งยังที่ของตน จากนั้นเขาจึงขยับตัวไปหาที่นั่งบ้าง แม้ในสมองจะมีแต่ความไม่เข้าใจก็ตาม

หมดคาบเรียนช่วงเช้ากลุ่มของมากิก็เดินเข้ามาหาเขาพลางเอ่ยชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน  ฮารุโตะยิ้มให้แต่สายตาก็เหลือบไปมองมิสะกับจิเอะที่จ้องเขม็งมาทางตน

“ไม่ต้องไปสนใจพวกตัวอิจฉาหรอกนะ”นายะพูดขึ้นมา“พวกไม่มีอะไรดีเนี่ย ก็มักจะพาลคนอื่นไปทั่วนั่นละ”

“อืมๆพวกเราไปกินข้าวกันดีกว่า”ริเอะโกะพูดชวน เธอดึงให้เขาให้ลุกขึ้นยืนพลางควงแขนให้เดินไปด้วยกัน

“วันนี้ไปกินที่สังคมศาสตร์แล้วกันนะ”

“จะเจอรุ่นพี่หรือ”ทาคาฮาชิ ฮิราอิเอ่ยถาม

“แหมเจอสิจ๊ะฉันสองคนเป็นแฟนคลับตัวยงนะ วันนี้พวกรุ่นพี่มีเรียนเช้าจ้า”

“ก็เจอเฉพาะของพวกเธอ”

“ใจเย็นสิ อย่างไรซะมิอุระซังก็ต้องช่วยพวกเรา จริงไหม”

“อ...อืม”เพราะไม่มีเหตุผลอะไรให้ปฏิเสธเด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับไปก่อนแม้ว่ายังไม่รู้ว่าพวกเธอต้องการให้ช่วยอะไรก็ตาม
เดินออกมายังไม่ทันถึงที่หมาย เสียงโทรศัพท์ของฮารุโตะก็ดังขึ้น เป็น ‘คนไม่รู้จัก’ อีกแล้วที่โทรมาหา

“สวัสดีครับ”

“วันนี้จะไปกินข้าวที่ไหน”

“โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ครับ”

ปลายสายครางรับอย่างแปลกใจก่อนจะพูดต่อไปว่าไว้เจอกันแล้วก็วางสายไป

“หือ ใครหรือ”ริเอะโกะถามด้วยความอยากรู้

ฮารุโตะหันไปมองคนถามในขณะที่สมองครุ่นคิดคำตอบ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบเช่นใดในเมื่อเขาไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร

ฮารุโตะได้แต่ส่งยิ้มเจื่อนๆไปให้  ริเอะโกะจึงเลิกคิ้วอย่างสงสัยกลับมา

โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ไม่คึกคักเท่าของคณะวิทยาศาสตร์ที่เป็นคณะใหญ่ของมหาวิทยาลัย  ดังนั้นเมื่อกวาดสายตาไปรอบเดียวกลุ่มของฮารุโตะอันประกอบด้วย ตัวเขาและสาวๆอีกห้าคนก็สามารถพบจุดที่รุ่นพี่นั่งอยู่ได้ในทันที  เด็กหนุ่มถูกรุนหลังให้เดินเข้าไปหา

“สวัสดีค่ะ แหมบังเอิญจังเลยนะคะ”ฟุมิโอะกล่าวทักออกไปก่อนที่เขาจะได้อ้าปากเสียอีก

พวกรุ่นพี่หันไปมองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจ คงมีแค่ชิมิซึ ซากิที่ยังนั่งเงียบไม่ออกอาการสงสัย

“ซากิมันบอกแล้วว่าฮารุจังกำลังจะมา”เรียวตะพูดให้ฟัง“เห็นบอกว่าคงจะพาเพื่อนๆมาด้วย”

จะเรียกว่าหน้าม้านก็ไม่ใช่นักแต่ฟุมิโอะรู้สึกว่าเสียเชิงอยู่ไม่น้อย  แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วเธอไม่ยอมให้ตัวเองพลาดมากไปกว่านี้  หญิงสาวรีบทรุดตัวลงนั่งข้างหนุ่มรุ่นพี่ที่ตนหมายปองในทันที

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอนั่งร่วมโต๊ะด้วยเลยละกันนะคะ”

อีกสี่สาวที่เหลือจึงได้หาที่นั่งให้ตัวเองบ้าง“นั่งไปแล้วยังต้องขออีกหรือจ๊ะ”ริเอะโกะไม่วายกระแหนะกระแหนเพื่อนของตนเบาๆ ก็ที่นั่งอีกฝั่งของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นของรุ่นพี่โมริ  ริเอะโกะจึงต้องมานั่งอยู่ข้างฟุมิโอะอย่างจำยอม

“เอ้า ฮารุจังไม่นั่งหรือ”เรียวตะพูดทัก

“เอ่อ…”ฮารุโตะไม่ชอบใจกับความเชื่องช้าของสมองของตนเสียเลย วันนี้เขาไม่ได้เอาข้าวกล่องมาและปกติเขาก็ไม่ค่อยได้พกเงินติดตัวอยู่แล้ว พอโดนลากมาเช่นนี้เขาเลยไปรู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร ให้ตอบไปตามตรงว่าเขาต้องกลับไปกินข้าวที่ห้องมันก็ดูน่าอายเกินไป และเขาก็ไม่อยากให้ใครรู้สาเหตุที่เขาต้องทำแบบนั้น

“เอ่อ…”

กำลังจะตอบว่าไม่ค่อยหิวพอเหลือบไปเห็นสายตาของรุ่นพี่ชิมิซึ เขาต้องรีบเปลี่ยนคำตอบเพราะต่อให้ไม่หิวจริงๆเขาก็ต้องกินอยู่ดี

“พอดีว่าผมต้องรีบไปคืนหนังสือนะครับ ถ้าอย่างไร...”

“ไว้กินข้าวเสร็จก็ค่อยไปคืนก็ได้ อาคารหอสมุดไม่หายไปไหนหรอก”น้ำเสียงเรียบดุเอ่ยแทรกไม่รอให้เขาพูดจบประโยคก่อนที่เจ้าตัวจะยืนขึ้น ซากิเดินเข้าไปหาฮารุโตะใช้ฝ่ามือแตะรุนหลังให้หนุ่มรุ่นน้องเดินไปเลือกซื้ออาหารกลางวัน

“รุ่นพี่”ฮารุโตะเอ่ยเรียกเสียงเบารู้สึกกระดากอายไม่น้อย“ผม…ผมขอยืมเงินก่อนได้ไหมครับ”เสียงพูดตะกุกตะกักกว่าจะกล่าวจบ เขาใจเต้นระรัวด้วยความประหม่า ฮารุโตะไม่เคยยืมเงินใครมาก่อน เพราะอยู่ในความดูแลของบ้านอุปถัมภ์ที่ถึงแม้จะขัดสนไปบ้างแต่ก็ยังมีอาหารให้ทานครบสามมื้อ มีที่ให้หลับนอน พอออกมาอยู่คนเดียวเขาก็พยายามประหยัดอดออมจนมีเงินเก็บอยู่บ้างแต่เขาคงจะทำตัวประหยัดเกินไป ความคิดขัดแย้งเกิดขึ้นในหัว เมื่อพกเงินติดตัวมาก็โดนรีดไถจนหมด ไม่มีเงินติดตัวก็ต้องบากหน้ามาขอยืมคนอื่นให้อับอาย

“คิดอะไรอยู่ คิ้วผูกกันเป็นปมแล้ว”

เด็กหนุ่มยกมือขึ้นแตะหน้าผากทันทีที่โดนทักเช่นนั้นก่อนจะสั่นศีรษะ  หนุ่มรุ่นพี่กวาดสายตามองรายการอาหารที่น่าสนใจแล้วก้มหน้าลงมาถามเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง

“กินอะไรดี”

รุ่นพี่ชิมิซึยังไม่ได้ตอบเลยว่าจะให้เขายืมเงินหรือเปล่า แล้วยังจะมาถามอีกว่ากินอะไร ฮารุโตะคิดอย่างหงุดหงิดกระนั้นอีกฝ่ายกลับหัวเราะ

“เลือกเถอะน่าเดี๋ยวจ่ายให้”

พอได้ยินคำตอบชัดเจนฮารุโตะก็เลือกอาหารได้ทันทีเช่นเดียวกัน เขาชี้นิ้วไปที่ชุดข้าวหมูทอดราคาสามร้อยห้าสิบเยน

“ป้าครับทงคัตสึเซ็ตซีกับข้าวหน้าเนื้อเซ็ตบีครับ”ซากิร้องสั่ง

ทงคัตสึเซ็ตซีนั่นราคาตั้งเจ็ดร้อยห้าสิบเยนเชียวนะ ฮารุโตะร้องโวยวายในใจก่อนจะหันมาหาหนุ่มรุ่นพี่

“ผมกินไม่หมดหรอครับทำไมสั่งชุดนั้นละ”

“ก็ชุดแรกมันถ้วยนิดเดียวเครื่องเคียงอะไรก็ไม่มี กินยังไม่ทันอิ่มก็หมดแล้ว”

“แต่ผมกินอิ่ม”ฮารุโตะเถียง น้ำเสียงที่พยายามทำให้ฟังดูแข็งกร้าวและดวงตากลมโตที่จ้องเขม็งคล้ายจะยืนยันสิ่งที่พูด ชายหนุ่มหัวเราะ เขาวางมือบนศีรษะของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแล้วโยกเบาๆอย่างนึกเอ็นดู พลางพูดตะล่อม“วันนี้กินชุดนี้ไปก่อนนะ สั่งไปแล้ว ไปบอกยกเลิกตอนนี้เดี๋ยวโดนป้าเขาว่าเอา”

ฮารุโตะเองก็รู้สึกว่าโดนทำเหมือนว่าตนเองเป็นเด็กๆ แต่รอยยิ้มของรุ่นพี่ผู้แสนเย็นชาทำให้เขาใจเต้นแรง ทั้งยังถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยน และเมื่อความร้อนแล่นขึ้นมาอยู่บนใบหน้า เด็กหนุ่นจึงได้แต่หน้าหลบสายตาของหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูง  ยืนรออยู่เงียบๆอีกแค่ครู่เดียว อาหารที่สั่งก็ถูกวางบนถาดหน้าร้าน ซากิล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมาจ่าย ระหว่างนั้น ฮารุโตะทำท่าว่าจะยกถาดใส่อาหาร หากแต่โดนร้องห้ามไว้เสียก่อน

“ผมยกได้ครับ” เด็กหนุ่มยืนยัน ซ้ำยังคุยต่อไปอีกว่า “ที่ทำงานพิเศษต้องยกของหนักว่านี้อีก ผมยังยกได้สบาย” กระนั้นพอโดนชายหนุ่มร่างสูงยืนซ้อนด้านหลัง และถูกมือหนาวางทาบบนหลังมือ เรี่ยวแรงของเขาก็อ่อนยวบยาบ

“แบบนี้คงยกไม่ไหวแล้วมั้ง”

เมื่อถูกแซวก็ทั้งเคืองทั้งเขินอาย ซากิทำท่าจะประคองไปทั้งคนทั้งถาดอาหารจริงๆ แต่เพราะความหน้าบางของฝ่ายรุ่นน้อง เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงได้เบี่ยงตัวออกจากวงแขนของชายหนุ่มรุ่นพี่เสียแทน

เรียวตะกลับมานั่งรอที่โต๊ะพร้อมกับลงมือทานอาหารกลางวันของตนไปพลาง ซากิจึงย้ายที่ เลือกไปนั่งอยู่ข้างๆ และดึงให้ฮารุโตะนั่งอีกฝั่งหนึ่งของตน

“ไปซื้อซะนานเลยนะ”เรียวตะอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากแซว “นึกว่าไปปลูกข้าวอยู่เสียอีก”

ซากิไม่ต่อปากต่อคำอีกฝ่ายให้ยืดยาวไปกว่านี้ เขาแค่เหลือบมองอย่างไม่ใส่ใจ จนฮายาชิ  เรียวตะขัดใจขึ้นมาตะหงิดๆ ในเมื่อฝั่งเพื่อนสนิทธาตุไฟกล้าแข็ง เขาจึงหันไปเล่นงานรุ่นน้องเสียแทน

“ฮารุจัง อาหารอร่อยหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อหยุดตะเกียบในมือ เงยหน้าขึ้นมามองคนถามด้วยสีหน้างงๆ เรียวตะจึงต้องถามซ้ำ

“อร่อยครับ”

“ไม่หวานไปหรือ เมื่อกี้เห็นซากิมันทำน้ำตาลหกไว้เรี่ยราดเลย”

ฮารุโตะเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “รุ่นพี่ชิมิซึทำน้ำตาลหกตอนไหนครับ ผมยังไม่เห็นรุ่นพี่หยิบน้ำตาลเลย”

ซากิหัวเราะ “มุขแกลึกเกินไป” เขาพูดกับเพื่อน แล้วหันมาบอกให้ฮารุโตะทานข้าวต่อ ไม่ต้องไปสนใจเรียวตะอีก เด็กหนุ่มผู้ว่านอนสอนง่ายจึงตั้งใจทานอาหารตามที่รุ่นพี่ว่า

อาหารชุดนั้นประกอบด้วยข้าวสวย หมูชุบแป้งทอด ผักชุบแป้งทอด สลัดจานเล็ก และซุปมิโสะร้อนๆอีกหนึ่งถ้วย เขาทานอาหารด้วยระดับความเร็วปกติ และพยายามฝืนทานจนหมดด้วยความเสียดาย ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนจึงทานอาหารส่วนของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ก่อนที่รุ่นพี่ชิมิซึจะเหลือบมองนาฬิกาและบอกให้ทุกคนแยกย้าย

คล้อยหลังจากพวกรุ่นพี่ ริเอะโกะก็ตั้งคำถามที่ทำให้เขาหน้าตาตื่นขึ้นมาทันที

“มิอุระซังเป็นแฟนกับรุ่นพี่ชิมิซึอย่างนั้นหรือ”

“เปล่า”ฮารุโตะปฏิเสธเป็นพัลวัล

“เห็นดูสนิทกันมากๆ”

เขานิ่งไปครู่ใหญ่ค่อยๆเรียบเรียงความคิดที่วุ่นวายในหัว “รุ่นพี่ใจดี คอยดูแลช่วยเหลือหลายอย่าง” นอกเหนือไปจากนั้น ตัวเขาอาจจะเป็นของเล่นที่ยังมีประโยชน์ แต่ประโยคนี้ ฮารุโตะไม่ได้พูดออกไป แม้ตัวเขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราว ไม่ค่อยทันคน ไม่ทันโลกที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็พอรู้ว่า ความสัมพันธ์อันผิดไปจากปกติระหว่างเขาและรุ่นพี่ชิมิซึ เป็นเรื่องที่ไม่อาจบอกใครอย่างภาคภูมิใจได้

“ฉันกับฟุมิโอะชอบรุ่นพี่ชิมิซึละ”

“พวกเราจะจีบรุ่นพี่”ประโยคนี้ฟุมิโอะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา “หวังว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างยุติธรรม ไม่ว่าใครที่รุ่นพี่ชิมิซึตอบตกลงด้วย ก็จะไม่โกรธกัน” ฟุมิโอะและริเอะโกะจ้องหน้าเขาเขม็ง

“มิอุระซังก็เหมือนกัน ต้องไม่เข้าข้างใครคนใดคนหนึ่ง หรือช่วยเหลือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษนะ”เมื่อเธอพูดจบก็นิ่งเงียบคล้ายรอคำตอบ ฮารุโตะพยายามฝืนยิ้ม ภายในอกปวดแปลบแปลกประหลาด เขาพยักหน้าและตอบตกลงด้วยคำสั้นๆ



ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องจะเป็นจำพวกเงียบๆไม่ค่อยคุยอยู่แล้ว  แต่ดูเหมือนว่าช่วงวันสองวันนี้จะนิ่งเงียบกว่าปกติ ชิมิซึ ซากิคิดในใจ สายตาของเขาลอบมองร่างเปลือยเปล่าของหนุ่มรุ่นน้องที่มีรอยเขียวช้ำเพิ่มขึ้นมาจากเมื่อวาน ฮารุโตะยังนั่งเล่นน้ำในอ่างอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว และดูเหมือนจะไม่ใคร่ใส่ใจกับรอยช้ำบนตัวราวกับว่าร่องรอยเหล่านั้นเป็นเรื่องปกติ

“นี่ไปโดนอะไรมาน่ะ” เขาแตะปลายนิ้วลงบนรอยจ้ำที่แขน เด็กหนุ่มหันมองตามมือ ก่อนจะหลุบตาลงแล้วไถลตัวลงราวกับต้องการให้ระดับน้ำปิดบังทุกสิ่ง ซากิไม่ได้เร่งเร้าแต่กดดันด้วยการจ้องมองอยู่เงียบๆ

“ด…เดินชนตู้ครับ”

ชายหนุ่มต้องเงี่ยหูตั้งใจฟังจึงจะจับใจความจากเสียงงึมงำได้

แต่ให้ตายเถอะ ฮารุโตะคิดว่าเขาโง่หรืออย่างไรนะ เมื่อวานบอกว่าหกล้ม วันนี้บอกว่าชนตู้ ซากินึกอยากจะประชดออกไปว่าอะไรมันจะซุ่มซ่ามได้ทุกวัน เขาหงุดหงิดกับเด็กขี้โกหกเสียจริง

“ขึ้นได้แล้ว”บอกพลางลุกยืน ก้าวขึ้นจากอ่างอาบน้ำ ไม่ได้หันมองว่าฮารุโตะจะทำตามที่เขาบอกหรือไม่ แต่ตอนที่กำลังสวมเสื้อผ้า เด็กหนุ่มรุ่นน้องก็ตามมาเปิดล็อกเกอร์ของตนแล้วเช่นกัน

เสื้อผ้าที่ฮารุโตะเตรียมมาเปลี่ยนเป็นฮูดแขนยาวสีชมพูสลับขาว ที่ซากิเคยเห็นนาโอโตะใส่อยู่สองสามครั้ง  เจ้าของเสื้อคนก่อนหน้าไม่ค่อยชอบเสื้อตัวนี้มากนัก เห็นบอกว่าหวานแหววเกินไป ใส่แล้วยิ่งเหมือนเด็กผู้หญิง แต่ดูเหมือนว่าฮารุโตะจะชื่นชอบเสื้อตัวนี้อยู่พอควร เขาเห็นหนุ่มรุ่นน้องลูบๆคลำๆอยู่นาน ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างอารมณ์ดีต่างจากเมื่อครู่ลิบลับ

“รีบแต่งตัวได้แล้ว เดี๋ยวไปทำงานสายนะ”คงเพราะเห็นฮารุโตะอารมณ์แจ่มใส น้ำเสียงของซากิจึงอ่อนลงไม่ขุ่นเคืองเช่นเดิม

ท้องฟ้าขะมุกขะมัวในฤดูหนาวเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มอย่างช้าๆ ไฟทางถูกเปิดเพื่อให้ความสว่างขับไล่ความมืดมิดที่กำลังคืบคลานเข้ามา

ซากิยืนอยู่หน้าโรงอาบน้ำสาธารณะ กวาดสายตามองบรรยากาศรอบตัว จากนั้นจึงหันมองหนุ่มรุ่นน้องที่เดินตามออกมายืนข้างๆ ร่างเล็กบางกว่าสอดมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อโค้ทสั้นสีน้ำตาล เสื้อตัวเก่าของนาโอโตะ มีกระเป๋าใส่เสื้อผ้าชุดเก่าคล้องอยู่ที่แขนข้างหนึ่ง

พอเขาก้าวเท้าเดินนำ ฮารุโตะก็เดินตามมาเงียบๆ เมืองที่พวกเขาอยู่ไม่ได้มีผู้คนพลุกพล่านอย่างเมืองใหญ่เช่นโตเกียว แต่โรงอาบน้ำสาธารณะที่พวกเขามาใช้บริการ รวมถึงร้านสะดวกซื้อที่ฮารุโตะทำงานพิเศษ เป็นแหล่งชุมชนที่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัย เวลาเย็นย่ำเช่นนี้จึงมีผู้คนออกมาเดินเที่ยวหรือจับจ่ายซื้อของกันขวักไขว่

ชายหนุ่มหันไปมองหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังอีกครั้ง พอไม่เห็นฮารุโตะอยู่ในครรลองสายตาจึงต้องหันหลังกลับไปทั้งตัว เมื่อกวาดสายตามองหา เขาเห็นฮารุโตะนั่งยองๆอยู่ที่โคนต้นไม้ริมทางเดิน ชายหนุ่มจึงเดินย้อนกลับไป

“ทำอะไรอยู่นะ”

ฮารุโตะสะดุ้งลุกขึ้นยืน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เขาถามซ้ำ ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะระรัวพร้อมรอยยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมเป็นคำตอบ เขาเลิกคิ้ว มองสองมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ถูกซ่อนอยู่ด้านหลัง แล้วจึงยื่นมือออกไปหา ฮารุโตะวางมือลงมาอย่างรวดเร็ว

“หึ” ซากิทั้งขำทั้งฉิว ต่อไปถ้าใครบอกว่าฮารุโตะเป็นเด็กซื่อบื้อ เขาคงเถียงขาดใจ เพราะถ้าไม่พูดให้ชัดเจน อีกฝ่ายก็เลี่ยงได้ตลอด แต่ซากิไม่ใช่คนจำพวกที่จะดึงดันเอาเป็นเอาตายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ เขาจึงหันมาให้ความสนใจกับมือเล็กบางในอุ้งมือเสียแทน

ชายหนุ่มสอดประสานนิ้วมือเข้ากับมือของฮารุโตะ และเหมือนจะเห็นว่าร่างเล็กบางกว่ากำลังกลั้นหายใจ พอยืนนิ่งอยู่นานเข้า ก็พรูลมหายใจออกมาและสูดลมหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ ซากิมองท่าทางนั่นแล้วนึกขำ

“ทำอะไรนะ”

รุ่นน้องผู้มีความสูงน้อยกว่าช้อนสายตาขึ้นมอง “ผนึกลมปราณ”

“ผนึกลมปราณ?”เขาทวนคำอย่างสงสัย

“จะได้ไม่เขิน…ครับ”

เขานิ่งงันกับคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นั่นยิ่งทำให้ใบหน้าของฮารุโตะแดงกล่ำยิ่งกว่าเดิม เด็กหนุ่มรุ่นน้องก้มหน้าลงต่ำพยายามซ่อนทุกอย่างไว้ภายใต้กลุ่มผมหน้าม้าด้านหน้า

ซากิใช้มืออีกข้างช้อนคางของฮารุโตะให้เงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตสีน้ำตาลปริ่มคลอไปด้วยหยาดน้ำ

“ร้องไห้ทำไม”เขาทอดเสียงอ่อนโยน “ฉันหัวเราะเพราะมันตลกก็จริง แต่มันเป็นคำตอบที่น่ารักมาก”

ฮารุโตะเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วทันควัน ซากิหยักไหล่ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ดึงมือให้หนุ่มรุ่นน้องก้าวเท้า พวกเขามัวแต่เล่นจนเสียเวลาไปนานพอดู เวลาเข้างานของฮารุโตะงวดใกล้เข้ามาทุกที ซากิเดินมาส่งเด็กหนุ่มรุ่นน้องถึงหน้าร้าน ร่างเล็กบางยังขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่เหมือนเดิม หมดความสนใจสิ่งของที่อยู่ในมืออีกข้างไปชั่วขณะ เป็นชายหนุ่มร่างสูงเสียอีกที่เอ่ยปากทักขึ้นมา

“ไปเอาจากไหนน่ะ”

เมื่อฮารุโตะรู้ว่าคนตรงหน้าหมายถึงสิ่งใด เขาก็นำมันไปซ่อนไว้ด้านหลังอีกครั้ง

“ไม่แย่งหรอกน่า”

“ผมเก็บได้” ฮารุโตะยื่นมันออกมาตรงหน้า ชายหนุ่มยื่นมือออกไปรับ ยกมันขึ้นมาดูใกล้ เป็นป๋องแป๋งอันเล็กๆที่คงจะแถมมากับขนม

“ที่ริมทางเดินนะหรือ”

ฮารุโตะผงกศีรษะรับ ซากิให้ความสนใจมันแค่นั้น ก่อนส่งคืนให้หนุ่มรุ่นน้อง ยกนาฬิกาขึ้นดู เมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเข้างานของฮารุโตะเขาจึงบอกลาสั้นๆ

ซากิเดินย้อนกลับไปตามทางเดิม ทิศทางเดียวกับทางที่มาจากโรงอาบน้ำสาธารณะ ห่างจากร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษราวๆสองถึงสามนาที ที่จุดนั้นมีป้ายหยุดรถประจำทาง ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง รถประจำทางที่วิ่งไปยังเส้นทางที่บ้านของเขาตั้งอยู่ก็เคลื่อนที่เข้ามาจอด ใช้เวลาอีกราวๆยี่สิบนาที ชายหนุ่มจึงถึงบ้าน

ภายในบ้านมืดสนิท

แต่ก่อนเขาพักอาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชายที่อายุห่างกันห้าปี ปัจจุบันพี่ชายได้งานทำในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งในโตเกียวจึงย้ายไปพักอยู่ที่นั่น ส่วนพ่อของเขาเป็นข้าราชการระดับสูงที่มีงานรัดตัวพอๆกับนักธุรกิจระดับแนวหน้า ผู้เป็นบิดาจึงมีเวลาว่างอยู่บ้านน้อยครั้ง แต่ชายหนุ่มรู้ตัวว่าตนไม่ใช่เด็กๆที่จะต้องเรียกร้องความสนใจจากครอบครัว  เขาก็มีสังคมของเขา ความสัมพันธ์ในครอบครัวจึงค่อนข้างห่างเหิน

ซากิเดินเลี้ยวเข้าห้องครัว บนโต๊ะอาหารมีจานอาหารซึ่งถูกพันฟิล์มพลาสติกวางไว้  อาหารเหล่านี้ถูกปรุงโดยแม่บ้านรับจ้าง พวกเธอจะเข้ามาทำความสะอาดทุกสองวัน กรณีที่เขาต้องการกินอะไรเป็นพิเศษก็จะเขียนโน๊ตวางไว้ตอนเช้า และวันนี้ถึงแม้เขาจะทานอาหารกับฮารุโตะมาบ้างแล้ว แต่การกินมื้อเย็นรอบสองก็ไม่ใช่เรื่องลำบากสำหรับเขา

หลังทานอาหารเสร็จ เขาย้ายตัวเองขึ้นมายังห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง ทรุดตัวนั่งเหยียดขาลงบนเตียง พิงหลังกับกำแพง หยิบเอาหนังสือกล้องที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อ เขาเพิ่งเริ่มสนใจถ่ายรูปตอนที่ได้เจอกับเรย์ตอนมัธยมปลาย

นาคามูระ เรย์มีพ่อเป็นช่างภาพฝีมือเยี่ยม พี่ชายก็เป็นช่างภาพที่ได้รางวัลจากการถ่ายรูปประกวดมามากมาย กล้องถ่ายภาพจึงเป็นอวัยวะที่สามสิบสามของเรย์ ส่วนเขาเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นที่ตามกระแส ที่เห็นว่าเพื่อนทำ เขาจึงทำตามบ้าง ซึ่งตอนนั้นเขาก็สมัครเข้าชมรมฟุตบอลไปแล้ว  เรียวตะเรียกมันว่าความบ้าพลัง แต่เขาก็ทำดั่งเช่นที่เพื่อนกล่าวจริงๆ 

การแข่งขันกีฬาระดับมัธยมปลายเป็นอะไรที่เข้มงวดและจริงจังมาก เขาตื่นไปซ้อมตอนเช้าตั้งแต่ตีห้าในช่วงหน้าร้อน หลังเลิกเรียนก็ไปซ้อมต่อจนสองทุ่ม กลับบ้านไปอ่านหนังสือเรียนต่อ เข้านอนตอนประมาณสี่ทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม ช่วงเวลากลางวันเขาก็หมกมุ่นอยู่กับแต่การถ่ายภาพ และเขาก็ทำทุกอย่างได้ดี ได้ลงแข่งสองนัดตั้งแต่อยู่ปีหนึ่ง ผลการเรียนดี ฝีมือถ่ายภาพก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆจนได้รางวัลชมเชยในการประกวดตอนอยู่มัธยมปลายปีสอง

ประมาณสองทุ่ม ชายหนุ่มจึงปิดหนังสือ และลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาสวมแค่เสื้อยืดและกางเกงขาสั้นประมาณเข่า สวมถุงเท้าและหยิบรองเท้ากีฬา เปิดประตูเดินไปอีกห้องหนึ่ง พ่อของเขาทำห้องฟิตเนสไว้ในบ้านเพราะอยากจะดูแลหุ่นและรูปร่างให้ดูดีอยู่เสมอ ซึ่งผู้เป็นบิดาก็ได้อย่างที่หวัง

ชายหนุ่มเริ่มวอร์มร่างกายด้วยการเดินเร็วบนลู่วิ่ง ก่อนจะค่อยๆปรับความเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวิ่งจนครบเวลา เขาย้ายไปยกน้ำหนักเป็นอันดับต่อไป หันไปมองเวลาอีกทีก็ใกล้จะสี่ทุ่มแล้ว เขาจึงคลูดาวน์และนั่งพักรอให้เหงื่อแห้ง

เขาไม่ชอบความวุ่นวายและเสียงดัง แต่ก็ไม่อยากอยู่คนเดียวเช่นกัน ซากิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ถ้าอาบน้ำแต่งตัวรวมเวลาเดินทางแล้ว คงเป็นเวลาพอดีกับที่อีกฝ่ายจะเลิกงาน เขายกยิ้ม จนป่านนี้แล้ว เด็กคนนั้นยังไม่รู้ว่าเป็นเขา หรือจะรู้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้กันนะ ชายหนุ่มนึกสงสัย เขาปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ เลือกสมุดโทรศัพท์ พิมพ์ชื่อคนที่ต้องการโทรหาแล้วเกิดลังเลขึ้นมา มันแค่ชั่วครู่ที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในมโนความคิดแต่ยับยั้งทุกการกระทำ เขาเลื่อนหน้าจอและกดโทรออก ปลายสายเป็นหญิงสาวที่เขาคุยด้วยบ่อยครั้ง เธอและเขามีความต้องการที่เหมือนกันจึงทำให้คุยกันได้ยาวนาน

“ว่างไหม ไปหาได้หรือเปล่า”เขากรอกเสียงลงไปหลังจากที่เธอรับสาย อีกฝั่งของเสียงสัญญาณตอบตกลงกลับมา ซากิจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจึงหยิบกระเป๋าเงิน โทรศัพท์ กุญแจบ้านและกุญแจรถเดินลงไปที่ชั้นล่าง รถที่เขาใช้เป็น Ducati 959 Panigale สีดำที่ไม่ได้แต่งอะไรเพิ่งเติม แต่เพราะเป็นเวลากลางคืนเสียงของมันจึงดังกระหึ่ม ยามที่ชายหนุ่มได้ฟังเสียงคำรามของเครื่องยนต์ และสัมผัสถึงสายลมที่พัดผ่านร่างกาย ความคิดอันแสนวุ่นวายในหัวก็ดูเหมือนจะถูกพัดปลิวหายไปเช่นกัน



พื้นที่บริเวณหน้าร้านว่างเปล่า ฮารุโตะกวาดสายตาจนทั่วก็ไม่พบ ‘ใคร’ ตะกอนขุ่นมัวลอยคลุ้งขึ้นอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มกำมือแน่น ข่มทุกอย่างให้กลับราบเรียบเช่นเดิม เขาก้าวเท้ามุ่งหน้าไปสู่ที่พัก

มันก็ดีแล้ว ฟุมิโอะและริเอะโกะบอกว่าชอบรุ่นพี่ชิมิซึ และอีกไม่นานรุ่นพี่ก็คงมีแฟน คงไม่สามารถมาคอยดูแลเขาได้เหมือนเดิมอีก เขาอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้ ฮารุโตะบอกกับตัวเองเช่นนั้น เขาอยู่ตัวคนเดียวมาเนิ่นนาน จากนี้จะมีแค่ตัวเขา มันคงไม่ต่างไปจากเดิม

แต่ใช่ว่าความเศร้าหมองหดหู่จะจางหายไปง่ายๆ มันทำให้เขาจมจ่ออยู่กับความว้าวุ่นจนนอนไม่หลับ เขานอนกระสับกระส่ายพลิกตัวอยู่นาน กระทั่งจนใจต้องลุกขึ้นมาเปิดไฟอีกครั้ง หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงพุ่งตัวไปยังชั้นหนังสือซึ่งถูกตั้งอยู่ชิดริมผนัง และหยิบอัลบั้มรูปภาพออกมา ทันทีที่เปิดดูภาพที่อยู่ข้างใน ช่วงเวลาแห่งความสุขดูเหมือนจะหวนย้อนกลับมาอีกครั้ง ฮารุโตะยกยิ้มมองภาพรุ่นพี่ชิมิซึที่ยกยิ้มบางจนแทบมองไม่เห็นมาให้เขา แตะปลายนิ้วลงบนกระดาษที่เย็นเฉียบ ความคิดที่ยุ่งเหยิงอลหม่านค่อยๆกลับมาสงบอีกครั้ง

เขาล้มตัวลงนอนพร้อมอัลบั้มรูปในอ้อมกอด พอได้นอนหลับ ความคิด ความอึดอัดไม่พอใจ ความโดดเดี่ยวเหนื่อยล้าก็เหมือนถูกลบล้างไปกับวันวาน ฮารุโตะตื่นขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าและข้าวกล่องสำหรับกลางวัน จากนั้นจึงนั่งอ่านหนังสือจนใกล้เวลาเข้าเรียน จึงเก็บข้าวของ ตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง

ช่วงก่อนเขาจะไปห้องชมรมแต่เช้าไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่น แต่วันนี้เขายังอ่อนแอ ไม่อยากเจอรุ่นพี่ชิมิซึให้หัวใจหวั่นไหวอีก เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าเหตุการณ์ทำนองนี้ต้องเกิดขึ้นสักวัน เขาพยายามยั้งใจไม่ให้เผลอไผลแต่มันแสนยาก เขาคิดว่าดีแล้วที่รุ่นพี่ห่างไปเสียก่อน ถ้าแค่นี้เขายังรักษาใจตัวเองและลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้งได้ทัน

“ทำหน้าโง่มาแต่เช้าเลยนะ”

ฮารุโตะเงยหน้ามองเจ้าของเสียงพูด แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่เห็นเด็กหนุ่มอีกสองคนที่ตามติดอีกฝ่ายเหมือนขี้ปลาทอง แต่พอได้เห็นหน้าของซากุราอิ ชุนเช่นนี้ มันทำให้คิดได้ว่า เรื่องทุกอย่างมันก็แค่ผ่านเข้ามาซึ่งเดี๋ยวก็ผ่านไปเหมือนทุกครั้ง เพียงแต่ แต่ละเรื่องที่ต้องเผชิญมันต้องใช้ความอดทนต่างกันก็เท่านั้น ฮารุโตะยกยิ้มเมื่อคิดได้เช่นนั้น

ชุนถึงกับตกใจที่ฮารุโตะยกยิ้มให้เขา “กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย”

เด็กหนุ่มตัวเล็กสั่นศีรษะ เขาเปิดกระเป๋าหยิบเข้ากล่องออกมา แม้ไม่รู้ว่าข้าวกล่องวันนี้จะย้ายมาอยู่บนศีรษะของเขาอีกหรือเปล่า แต่เขาก็ยื่นมันให้คนตรงหน้า

“ผมให้”

ชุนยิ่งประหลาดใจเมื่อข้าวกล่องในมือเล็กบางถูกระบุอย่างจงใจว่าต้องการให้เขา ฝ่ายฮารุโตะเห็นว่าชายหนุ่มร่างสูงไม่ยอมยื่นมือมารับเสียที เขาจึงจับมือของอีกฝ่ายให้มาหยิบมันไป “ผมทำไม่ค่อยอร่อยหรอกนะ กับข้าวส่วนใหญ่ก็เป็นของเหลือจากร้านที่ทำงาน อย่างที่นายก็รู้ว่าผมจน ผมไม่ค่อยมีเงินติดตัวหรอก ส่วนกล่องใส่ข้าวขอความกรุณาเอามาคืนด้วย” ฮารุโตะโค้งศีรษะให้อีกฝ่ายเมื่อพูดจบ แล้วรีบย่ำเท้าเดินจากมา นึกขำกับหน้าเหวอๆของชุน

ฮารุโตะไม่ได้หวังอะไรมาก เขาขอให้แต่ละวันผ่านไปอย่างราบรื่นก็พอ

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 8 : 24/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-02-2017 00:15:33
ริเอะโกะและฟุมิโอะชวนให้เขาไปนั่งเรียนด้วยกันตอนคาบเรียนช่วงบ่าย ทีแรกเขาก็รู้สึกดี แต่ว่าพวกเธอเอาแต่ชวนคุยเรื่องรุ่นพี่ชิมิซึ คาบเรียนนั้น แทบจะไม่ได้อะไรเข้าหัวของเขาเลย ฮารุโตะจึงตัดสินใจโทรหารุ่นพี่อาโอกิและขอพาเพื่อนๆไปที่ชมรม ทุกคนดูตื่นเต้นกันมากจนฮารุโตะแปลกใจ ที่ชมรมไม่ได้กฎห้ามคนนอกเพราะมีนักศีกษาที่มาใช้บริการวนเวียนมาที่ชมรมตลอด

แต่กระนั้นเรื่องที่จะพาพวกหญิงสาวไปที่ชมรมทำให้รอบตัวของเขาสงบลงได้ ด้วยการที่พวกเธอหันไปคุยกันเอง ฮารุโตะจึงไม่ติดใจสงสัยอะไรอีก ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าคือการสอบที่กำลังจะมาถึงต่างหากละ

ที่ห้องชมรมในเย็นวันนี้ เหล่าสมาชิกบางตาเช่นเดิม แต่พวกรุ่นพี่ปีสามแก๊งค์ประธานชมรมอยู่กันครบ

“ก็เห็นฮารุจังบอกจะพาเพื่อนมา นาโอโตะเลยตื่นเต้นยกใหญ่”ประโยคนี้เป็นคำพูดของรุ่นพี่นาคามูระ ส่วนทั้งห้าสาวต่างมองหน้ารุ่นพี่อาโอกิกันตาค้าง

ถ้าถามเขาว่าใครหน้าตาดีที่สุดในกลุ่ม ฮารุโตะจะลงความเห็นว่าเป็นรุ่นพี่อาโอกิ ผู้ซึ่งมีทั้งความหล่อและความสวยรวมอยู่ในตัวคนคนเดียว ใจดี สุภาพ อ่อนโยนและดูพึ่งพิงปกป้องสาวๆได้ทุกสถานการณ์ ความเพียบพร้อมทำให้รุ่นพี่ดูสูงเกินกว่าจะเอื้อมถึง สาวๆหนุ่มๆหลายคนจึงแอบปลื้มมากกว่าจะหมายปองมาเป็นของตัวเอง ที่สำคัญเพราะรุ่นพี่อาโอกิมีแฟนแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าคนอื่นๆในมหาวิทยาลัยจะรู้กันหรือไม่ว่า รุ่นพี่อาโอกิกำลังคบหาอยู่กับรุ่นพี่นาคามูระ

“เดี๋ยวผมจะแนะนำให้รู้จักนะครับ” ฮารุโตะพูด แนะนำชื่อหญิงสาวทั้งห้าคนซึ่งเป็นเพื่อนในคณะเดียวกัน

“ส่วนพวกรุ่นพี่คงไม่ต้องแนะนำเนอะ”ประโยคนี้ฮารุโตะหันไปถามพวกเธอ แน่นอนว่าแต่ละคนต่างพยักหน้า เพราะรู้จักกับพวกมากิ ฮารุโตะถึงรู้ว่ากลุ่มของรุ่นพี่มีชื่อเสียงขนาดไหนในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่แค่ความหน้าตาดีแต่รวมถึงความสามารถและพื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนด้วย

หลังจากแนะนำกลุ่มเพื่อนและรุ่นพี่ให้รู้จักกันเรียบร้อย เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาชิมิซึ ซากิพร้อมกับยื่นเงินค่าอาหารกลางวันของเมื่อวานให้

“นี่ครับ และก็ขอบคุณรุ่นพี่มากที่ให้ความกรุณา”

ซากิไม่มีทีท่าว่าจะรับมัน มองหน้าอีกฝ่ายที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ภายในความคิดมีแต่ความกังขาสงสัย ยืนนิ่งมองอยู่เช่นนั้นกระทั่งหญิงสาวสองคนที่แสดงออกว่ามีใจให้เขาพุ่งตัวเข้ามาหา ส่งเสียงเรียกชื่อที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดรำคาญ เป็นจังหวะเดียวกับที่ฮารุโตะพยายามยัดแบงค์พันเยนใส่มือ เขาชักมือหนี อีกฝ่ายจึงเปลี่ยนไปยัดมันใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อของเขาแทน แล้วปลีกตัวเดินหนีออกไปนั่งอ่านหนังสือที่มุมหนึ่ง

ซากิมองตามแล้วควักแบงค์พันเจ้าปัญหาออกมาปาทิ้งลงพื้น ก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋าเดินกระแทกเท้าตึงตังตามภาวะอารมณ์ออกไปจากห้อง

สมาชิกในห้องชมรมมองรุ่นพี่รุ่นน้องทั้งสองคนหน้าตาตื่น เป็นเอคิจิที่ตั้งสติได้ก่อน เขาเดินเข้าไปหยิบเงินซึ่งซากิโยนทิ้งไว้กลับไปคืนให้ฮารุโตะ ฝ่ายหนุ่มรุ่นน้องเมื่อเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองเขาและของในมือ เอาแต่สั่นศีรษะปฏิเสธและบอกซ้ำๆว่าไม่ใช่ของของตน เอคิจิจึงจนใจเดินถือกระดาษที่เหมือนไร้ค่าในสายตาของคนทั้งคู่กลับมาหากลุ่มเพื่อน

กระนั้นใช่ว่าฮารุโตะจะจมจ่ออยู่กับตัวอักษรบนหน้ากระดาษ เขาไม่มีสมาธิ สมองมีแต่ความวุ่นวาย

เขาหลงระเริงไปกับความสุขอันเจิดจรัส ถูกมองด้วยสายตาเสน่หา ถูกปฏิบัติด้วยอย่างเอาใจใส่แม้เพียงไม่นานแต่มันก็ล่อลวงให้เขาถลำลึกในความสุขอันหอมหวานจนแทบจะถอนตัวไม่ขึ้น ทั้งที่เคยบอกตัวเองให้ยั้งใจ

ฮารุโตะยกยิ้มขื่น โชคดีเหลือเกินที่มีคนกระชากเขาออกจากภาพฝันอันแสนมัวเมา เพียงแต่มันคงต้องใช้เวลาอีกนิดให้เขาเดินถอยกลับไปยังจุดที่ควรยืน

เด็กหนุ่มใช้เวลาพักใหญ่อยู่ในห้องชมรมก่อนจะขอตัวไปทำงานพิเศษ เนื้อหาในหนังสือไม่ผ่านเข้าสมอง และความอึดอัดทรมานในอกไม่ได้จางลง เขาจึงแค่ส่งเสียงบอกลาอย่างไม่กล้าเงยหน้ามองใคร

เดินลงบันไดมาถึงชั้นหนึ่ง เด็กหนุ่มเห็นซากุราอิ ชุนยืนรออยู่บริเวณด้านหน้า พออีกฝ่ายเห็นเขาก็เดินเข้ามาหา

“ฉันเอามาคืน”ร่างสูงกว่ายื่นกล่องที่ใส่ข้าวกลางวันคืนมาให้ แล้วเบือนหน้าไปทางอื่นตอนที่พูดประโยคถัดมา “ที่จริงก็ไม่ได้รสชาติแย่หรอก”

ฮารุโตะรับของในมืออีกฝ่ายมาถือไว้ มองกล่องข้าวซึ่งภายในว่างเปล่า พลันคำพูดหนึ่งที่เขาใช้ปลอบใจตัวเองเรื่อยมาผุดขึ้นในมโนความคิด ...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ขอแค่เขาอดทนไว้เท่านั้น

“ถ้าอย่างไร ผมทำมาให้อีกก็ได้”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นบอก

“ไม่ต้องหรอก ของถูกๆใครจะอยากกินอีก”ชุนตอบกลับมาทันควัน และแม้จะเป็นเรื่องจริง มันก็ทำให้เขารู้สึกเศร้าใจ ทว่าคำพูดต่อมาของชุนก็ทำให้เขารู้สึกงงงวย

“แต่ถ้า...น...แกอยากทำมาอีก ฉันจะช่วยกินให้ก็ได้”

ไม่ทันที่เขาจะถามเพื่อไขข้อสงสัย ซากุราอิ ชุนก็เดินหนีกลับไปเสียก่อน เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับตา เขาถอนหายใจออกมา และเริ่มต้นก้าวเท้าอีกครั้ง




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

เกินมาอีกนิดนุง เพราะแบ่งตอนลงReplyแรกน้อยหรือเปล่านะ
และไหนๆก็ไหนๆแล้ว

ชอบเรื่องนี้มากๆค่ะ เป็นกำลังใจให้คนแต่งเสมอนะคะ อ่านไปก็รู้สึกอึดอัดใจไป...ฮารุโตะน่าสงสาร พอเริ่มกล้าที่จะแต่งตัวก็โดนแกล้งโดนว่าจนหมดความมั่นใจอีก เราเข้าใจฮารุโตะนะ เข้าใจว่าฮารุโตะทำไมถึงชอบหนีจากปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้า เราเองก็รู้สึกอยากจะหนีปัญหาบ่อยมาก แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตจริงมันทำแบบนั้นไม่ได้

ชีวิตจริงต้องสู้ค่ะ  เหมือนกันเลย เราถึงติดนิยายงอมแงม

กลัวว่าซากิจะหลอกให้รักน่ะสิ

ซากิไม่เหมือนพระเอก?

ซากิ เปิดเผยการสัมผัสฮารุโตะ
แตะต้อง จับมือ นั่งตัก โอบบ่าในที่สาธารณะ
และเร่าร้อนรุนแรง เวลาร่วมเพศเคมีของทั้งสองฝ่ายต้องกัน
แต่ไม่บอกสถานะความสัมพันธ์ที่ชัดเจนกับฮารุโตะ หรือเพื่อนๆ
ก็ให้กลัวว่า ถ้ามีอะไรเปลี่ยนไป ฮารุโตะ จะรับมือไหวหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้น ฮารุจังของเราก็จะเข้มแข็งขึ้นแล้วค่ะ เพียงแต่ยังไม่ใช่ระยะเวลาใกล้ๆ

นายเอกนี่คนหรือกล้วยบดคะ นื่มซะ5555

ชอบอ่ะ เปรียบเทียบเห็นภาพเลยอ่ะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 8 : 24/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-02-2017 05:39:15
ฮารุโตะ เริ่มรับมือกับชุนได้และ
แต่กับพวกผู้หญิงที่น่ารำคาญ ยังคงไม่ทันเกมอยู่ดี
ได้เจอผู้ชายที่ชอบแล้ว ก็อย่ามาพัวพันฮารุโตะอีก
ซากิ จะยังไงแน่ ไม่ชอบก็ปล่อยมือไป
มาทำให้ฮารุโตะ วุ่นวายใจแท้ๆ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 8 : 24/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 24-02-2017 07:54:38
ซากิไม่ถึงกับไม่เหมือนพระเอกหรอกค่ะ แต่ยังไม่วางใจ พ่อคุณชั้นเชิงเยอะเกิน
ดูท่าชุนจะเป็นเหมือนที่ใครบางคนว่า เด็กผู้ชายชอบแกล้งคนที่เขาชอบ (อาจจะไม่ได้ชอบ แต่สนใจ)
เราชอบพัฒนาการของฮารุโตะ (เรื่องของซากิ) ในตอนนี้นะ แต่เมื่อไหร่จะคิดได้เสียทีว่าพวกเพื่อนผู้หญิงที่เข้ามาตีสนิทนี่มีเป้าหมายอื่นตลอด ทำไมผู้หญิงห้องเดียวกับฮารุโตะน่ารำคาญขนาดนี้นะ ฮึ่ย
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 9 : 28/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 27-02-2017 23:56:40
เรื่องย่อ ตอนที่ 9

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ แต่ดูเหมือนว่าหนุ่มรุ่นพี่จะไม่ใช่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว ทั้งที่มีความสุขยามอยู่ใกล้ แต่เขาก็ทุกข์ใจมากเช่นเดียวกัน




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย




Chapter 9



ฮารุโตะเดินตรงเข้าไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนพิงราวกั้นขอบทาง และเอ่ยทักทายตามมารยาท อากาศตอนกลางคืนในฤดูหนาวยังคงหนาวเย็นอยู่เช่นเดิม นั่นยิ่งทำให้บรรยากาศระหว่างพวกเขาดูห่างเหินหมางเมินมีแต่ความเย็นชา แต่ทว่าฮารุโตะกลับต้องพยายามยับยั้งความรู้สึกของตัวเองไม่ให้เต้นโลดยินดีจนเกินไปนัก

“รุ่นพี่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ”

“ถ้าไม่มีธุระมาหาไม่ได้?”

เมื่อได้ยินคำตอบพลันรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่ฮารุโตะไม่ได้ตั้งใจที่จะจดจำว่าใครเป็นคนพูดประโยคนี้กับเขา อย่างไรก็ตาม การที่คนเราจะไปหาคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว มันควรจะมีเป้าหมายหรือสาเหตุในการไปหาเขาไม่ใช่หรือ เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่าเขาควรจะตอบเช่นไร

สุดท้าย หนุ่มรุ่นพี่ก็แค่ก้าวเท้าเดินนำหน้าเขาไปเฉยๆ ฮารุโตะจึงก้าวเท้าตาม  เด็กหนุ่มมองระยะห่างที่เกิดขึ้นแล้วนึกสะท้อนใจ เมื่ออาทิตย์ก่อนรุ่นพี่ชิมิซึยังจับมือเขาให้เดินอยู่เคียงกัน แค่เวลาเพียงไม่นานทุกสิ่งดูเหมือนจะเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว
เขาก้าวเท้าตามไปจนถึงห้องของตัวเอง หนุ่มรุ่นพี่หลีกทางให้เขาไปไขประตูห้อง ฉับพลันฮารุโตะก็นึกขึ้นได้

...วันนี้เป็นวันศุกร์นี่นะ

หลังจากถอดเสื้อโค้ทและเก็บกระเป๋าเรียบร้อย เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจึงดึงฟูกนอนออกมากาง นั่งคุกเข่ามองอีกฝ่ายที่ยังนิ่งเงียบ หนุ่มรุ่นพี่จ้องหน้าเขาโดยไม่ยอมพูดอะไร เขาเลยมองตอบกลับไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน แน่ละถ้าจะแข่งเรื่องความอดทดละก็ ฮารุโตะมั่นใจว่าคงไม่มีใครสู้เขาได้ และในที่สุด รุ่นพี่ชิมิซึก็เป็นฝ่ายล้มตัวลงไปนอนเสียก่อน

“ปิดไฟด้วย จะนอนแล้ว”

ร่างสูงยังดูหงุดหงิด แต่ไม่ยอมพูดอะไรออกมาเสียที ฮารุโตะเองก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรที่จะพูดกับอีกฝ่าย เขาจึงแค่ปิดไฟและล้มตัวลงนอนเช่นกัน แต่พอทั้งห้องมืดสนิทหนุ่มรุ่นพี่กลับขยับเข้ามาหา ทั้งยังกอดรัดเขาไว้ แผ่นหลังของเขาถูกรั้งจนแนบกับอกกว้าง

“ทำไมเป็นแบบนี้”เสียงพูดนั้นดังใกล้ใบหู ขณะที่ฮารุโตะยังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม

ในใจของซากิมีแต่ความวุ่นวายไม่สงบ เขาร้อนรนไม่เป็นสุข และไม่ชอบใจกับความรู้สึกแบบนี้ ไม่ชอบความกระวนกระวายที่เป็นอยู่ เขาอยากกลับมาเป็นตัวเองเช่นเดิม

กลิ่นผิวเนื้ออ่อนทำให้เขากดจมูกเข้าหามากยิ่งขึ้น กอดรัดราวกับพยายามจะป่นกระดูก กระทั่งฮารุโตะร้องออกมา เขาจึงคลายแรงที่วงแขนออกแต่ยังไม่วายกัดซ้ำเข้าไปที่บริเวณต้นคออีกครั้ง

“เจ็บ”

เขาลุกขึ้นดึงถอดเสื้อแขนยาวที่ฮารุโตะสวมใส่อยู่ออก และโน้มไล้เลียรอยฟันที่เขาทำไว้ ก่อนจะดึงกางเกงวอร์มขายาวของหนุ่มรุ่นน้องให้หลุดจากปลายเท้าเป็นอันดับต่อไป จากนั้นจึงถอดทั้งเสื้อและกางเกงของตัวเอง

ทั้งห้องมืดสนิทไร้แสงไฟ หน้าต่างเพียงบานเดียวของห้องถูกม่านดึงปิดไว้ ซากิไม่เห็นสีหน้าของฮารุโตะ เขาเห็นแค่โครงร่างลางๆจากสายตาที่เริ่มชินกับความมืด และเพราะคุ้นชินกับข้าวของในห้องนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถเอื้อมไปหยิบของที่ต้องใช้จากชั้นใส่ของใกล้ๆโดยไม่ต้องเปิดไฟ

เขาแต้มเจลลงบนปลายนิ้ว รั้งขาทั้งสองข้างของฮารุโตะให้แยกกว้าง แล้วจึงแตะเจลเย็นเข้ากับช่องทางที่ยังปิดสนิท นวดคลึงให้อ่อนนุ่มก่อนจะแทรกนิ้วกลางเข้าไปอย่างเชื่องช้า เสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายดังกระชั้นขึ้นจากการชักนำของเขา ภายในช่องทางนั้นตอดรัดกระตุกถี่ตามระยะเวลาที่ถูกกระทำ จากนั้นจึงผละออกมาสวมถุงยางและชะโลมเจลหล่อลื่นกับแท่งเอ็นกลางลำตัวที่แข็งจนปวด

ซากิจัดให้ฮารุโตะหันหลัง ยกสะโพกขึ้นสูง แหวกเนินเนื้อเพื่อกดส่วนปลายเข้าหา เขาแทรกตัวเข้าไปในช่องทางนั้นเชื่องช้า จนกระทั่งฮารุโตะสามารถรับเขาเข้าไปได้จนหมด ยามนี้ซากิกลับรู้สึกผ่อนคลายลง ความกระวนกระวายสับสนจางหายไป

เขาถอดสะโพกออกมาเล็กน้อย และกดกระแทกซ้ำ จ้วงกระโจนเข้าหาความสุขกระสันต์ซ่าน เสพสมในห้วงอารมณ์แห่งดำกฤษณา โจนทะยานขับเคี่ยวในกามราคะซ้ำแล้วซ้ำเล่า

รู้สึกตัวอีกครั้งยามได้ยินเสียงติ๊ดติ๊ดที่ดังมาจากนาฬิกาข้อมือของฮารุโตะ ชายหนุ่มแตะริมฝีปากลงที่เปลือกตาของหนุ่มรุ่นน้องไล่ลงมาจบที่ริมฝีปากอิ่มอีกครั้ง ร่างกายของพวกเขาชุ่มเหงื่อทั้งที่อากาศหนาวเย็น

“นอนเถอะ”ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่เขายังกดจมูกไปตามผิวเนื้อคอยดอมดมกลิ่นอันกำซาบซ่าน ฮารุโตะปิดเปลือกตาและหลับลงอย่างรวดเร็ว ชิมิซึ ซากิทิ้งตัวลงนอนด้านข้าง ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายของพวกเขาทั้งคู่ นอนฟังลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออยู่เนิ่นนาน ครู่ใหญ่ๆต่อมา เสียงโทรทัศน์จากห้องข้างๆก็ดังแว่วมาให้ได้ยิน เขาจึงปิดเปลือกตาลงบ้าง



ฮารุโตะตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องปั่นป่วนของกระเพาะอาหาร ร่างกายทั้งเมื่อยล้าและเหนียวตัว และรู้สึกว่าตัวรุมๆคล้ายจะมีไข้ พอเขายันตัวลุกขึ้นนั่ง หนุ่มรุ่นพี่ที่นอนอยู่ข้างๆก็ลุกขึ้นมาเช่นกัน ร่างสูงกว่าแนบหน้าผากลงมาแตะกับหน้าผากของเขา

“ตัวร้อน”ทั้งการกระทำและคำพูดอ่อนโยนจนอยากจะร้องไห้ ฮารุโตะหลุบตาลง โพรงจมูกร้อนผ่าว เขาถูกโอบกอดไว้ แม้จะยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าเลยสักชิ้นแต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด

“เช็ดตัวแล้วค่อยไปแช่น้ำอุ่นกันอีกรอบนะ”คนพูดไม่รอให้เขาตอบตกลง ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้วเตรียมน้ำอุ่นสำหรับเช็ดตัว ระหว่างรอน้ำบนเตาเดือดจึงหันมาช่วงพยุงให้เขาลุกขึ้นจัดการธุระส่วนตัว แล้วหยิบยาแก้ไข้ส่งมาให้

“หิวข้าวครับ”

“อ่า…ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันไปซื้ออะไรมาให้”

“ไม่ต้องหรอกครับ ในตู้เย็นมีข้าวปั้นอยู่”

ซากิลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็น หยิบข้าวปั้น ส้มและแอปเปิ้ลในตู้ออกมา เขานั่งลงตรงหน้าฮารุโตะ ดึงห่อพลาสติกที่ห่อข้าวปั้นออกแล้วส่งให้อีกฝ่าย พอเห็นหนุ่มรุ่นน้องรับไปกัดเสียคำหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นไปหยิบมีด ตั้งใจว่าจะนำมาปอกแอปเปิ้ล แต่พอทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง เด็กหนุ่มร่างเล็กก็ยื่นข้าวปั้นที่เพิ่งกัดไปบางส่วนมาตรงหน้า

เขายกยิ้มแล้วกัดไปเสียคำหนึ่ง ฮารุโตะดึงกลับไปกัดอีกคำก็ยื่นมาให้เขากัดอีกคำ แบ่งกันกินแบบนี้จนข้าวปั้นหมดก้อน ซากิจึงหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำท่าจะปอกแอปเปิ้ล แต่แค่ท่าทางถือมีด หนุ่มรุ่นน้องคงรู้ว่าเขาเป็นพวกมือใหม่

“ผมทำเองครับ รุ่นพี่ปอกส้มเถอะ”

คราวนี้เป็นเรื่องง่าย ซากิลอกเปลือกส้มจนหมด แบ่งกลีบแล้วส่งเข้าปากหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะก็ลากมีดปอกเปลือกแอปเปิ้ลอย่างคล่องแคล่ว ทิ้งเปลือกที่เป็นเส้นยาวลงบนจานที่ซากิเตรียมมาให้ แล้วหั่นเป็นชิ้นพอดีคำส่งเข้าปากชายหนุ่มร่างสูง

กินผลไม้กันแค่พอประทังความหิว พอน้ำบนเตาเดือด ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปผสมน้ำ ยกกะละมังใบย่อมเตรียมมาเช็ดตัว

“ผมทำเองก็ได้ครับ”

“ไม่เป็นไร ฉันเคยทำให้ตั้งหลายครั้งตอนที่นายป่วยครั้งก่อน”

“ตอนนั้นป่วย แต่ตอนนี้ไม่ได้ป่วยนี่ครับ”

“ตัวรุมๆก็เหมือนป่วยนะแหละ”

“อื้อ ไม่แล้วครับ ดีขึ้นแล้ว”

“เถอะ อยากทำให้”

ตอนที่รุ่นพี่อ่อนโยนแบบนี้หัวใจของฮารุโตะจะละลายเสียให้ได้ เขายอมอย่างว่าง่ายกับน้ำเสียงออดอ้อน ตอนเช็ดช่วงบนน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถึงเวลาที่เช็ดส่วนล่าง ฮารุโตะเขินจนตัวแดงไปทั้งตัว

เขาโดนดึงไปนั่งบนตัก ยามที่ผ้าชุบน้ำลากผ่านจุดอ่อนไหวกลางลำตัวก็แสนอ้อยอิ่ง ซากิหัวเราะ ตอนที่ฮารุโตะพยายามยั้งมือเขาไว้ไม่ให้เล้าโลมมากไปกว่านี้ เขาโอบเอวบาง รั้งปลายคางให้หนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นรับจูบ ชายหนุ่มดูดดึงหยอกเย้าจนอีกฝ่ายตะกายเข้าหาเขาทั้งตัว

“ดีจัง”เสียงพูดเบาๆคล้ายละเมอ ซากิกำลังจะจูบซ้ำเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคงจะหมายถึงจูบเมื่อสักครู่ แต่ประโยคต่อมาทำให้เขายิ้มอ่อน แล้วโอบรัดร่างเล็กบางกว่าไว้ทั้งตัว

“อยากให้เป็นแบบนี้ตลอดไป”

บรรยากาศละมุนละไมสะดุดลงทันทีเมื่อเสียงท้องของซากิร้องดังโครกคราก ฮารุโตะเงยหน้ามาหัวเราะ ซากิอับอายจนหน้าขึ้นสี แต่เมื่อเห็นคนตรงหน้าหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ ก็อดที่จะกดจูบซ้ำลงไปอีกครั้งไม่ได้

“เดี๋ยวผมทำอะไรให้ทานนะครับ”

เด็กหนุ่มผละตัวออกห่าง หยิบเสื้อผ้าที่ถูกถอดทิ้งไว้เมื่อคืนขึ้นมาสวม ลุกไปเปิดดูในตู้เย็น ของสดที่เขามีส่วนใหญ่จะเป็นผักและเนื้อหมูราคาถูก ฮารุโตะขมวดคิ้ว ตัวเขาเคยชินกับกับข้าวธรรมดา แต่ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะทานได้หรือเปล่า

“ออกไปทานข้างนอกดีไหมครับ”เขาเสนอความคิดเห็นออกไป

“ทำไมละ”

“ก็… ผมไม่มีของอะไรที่พอจะทำอาหารได้เลย”

“หือ”ซากิลุกขึ้นตามมาดู เขาวางคางไว้บนหัวไหล่ของหนุ่มรุ่นน้อง มองของสดที่อยู่ในมืออีกฝ่าย

“ไม่พอหรือ ทำอะไรก็ได้นะ ฉันกินอะไรก็ได้ อยากลองกินอาหารฝีมือนายมาตั้งนานแล้ว”

“เอาอย่างนั้นหรือครับ”ฮารุโตะยังคงกังวล

“อืม ไม่ต้องคิดมากนะ มีอะไรฉันก็กิน เดี๋ยวนั่งรอ”พูดจบก็หอมแก้มซ้ำอีกฟอด แล้วย้ายตัวไปนั่งพิงกำแพงริมหน้าต่าง

ฮารุโตะหันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่ส่งยิ้มมาให้ แล้วหันกลับมามองของในมือ  จากนั้นจึงนำไปวางบนเคาน์เตอร์ครัว

เขาซาวข้าวก่อนเป็นอันดับแรก ใส่น้ำและใส่เหล้าหวานเล็กน้อยก่อนนำขึ้นหุงในหม้อไฟฟ้า ตั้งหม้อบนเตาเพื่อทำน้ำซุป ระหว่างรอน้ำเดือด ฮารุโตะก็หั่นหมูเป็นชิ้นสำหรับทำหมูผัดซอส  พอน้ำเดือดก็ใส่ผงทำซุปแบบสำเร็จรูป แล้วจึงหันมาหั่นเต้าหู้ที่จะใส่ในซุป หั่นผักสำหรับชุปแป้งทอด ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี  อาหารทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย ซึ่งก่อนหน้านั้น ซากิได้จัดการเก็บฟูกนอนและนำโต๊ะอุ่นขาออกมาวางไว้แล้ว

ฮารุโตะนั่งลุ้นอย่างตื่นเต้นตอนที่หนุ่มรุ่นพี่คีบอาหารเข้าปาก จ้องเขม็งตอนที่รุ่นพี่ค่อยๆเคี้ยว สีหน้าของอีกฝ่ายยังดูปกติจนเข้าใจแป้ว ซ้ำยังวางตะเกียบและมองหน้าเขานิ่งอีก

“ไม่อร่อยหรือครับ”

“มันก็... อร่อยดี”

พูดแบบนี้แสดงว่ารสชาติแย่จริงๆ ใบหน้าของฮารุโตะหงอยลงทันที และเมื่อชายหนุ่มยิ่งพูด ฮารุโตะยิ่งรู้สึกว่ารสชาติอาหารคงจะแย่แบบสุดกู่

“อร่อยดีจริงๆ กินได้”ซากิพูดย้ำ

“ออกไปกินข้างนอกไหมครับ”

“ออกไปทำไม กินนี่นะแหละ”ซากิหยิบถ้วยข้าวสวยและตะเกียบขึ้นทานต่อ “นายทำกินเองอยู่ทุกวัน คิดว่ามันไม่อร่อยหรือ”

“ผมก็รู้สึกว่าปกติ”ฮารุโตะตอบ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารทานบ้าง เขาทำกินเองทุกวันจึงคุ้นชินกับรสมือตัวเอง

“อย่างนั้น นายจะเชื่อที่ฉันพูดไหมละ มันก็ไม่ได้อร่อยเลิศเลอ แต่รู้สึกว่ามันเป็นรสชาติของบ้านเหมือนฝีมือแม่”
ฮารุโตะรู้สึกว่านี่คือคำชม

“แล้วรุ่นพี่ทำหน้าเหมือนไม่อร่อย ประมาณว่าจำใจกินทำไมละครับ”

“อยากแกล้งเล่น”ซากิหัวเราะ เขาต้องพยายามทำหน้านิ่งๆอยู่ตั้งนาน

“โธ่ รุ่นพี่ก็... ผมใจหายหมด”

“ทำไมต้องใจหาย ไม่เคยทำอาหารให้ใครกินเลยหรือ”

“เคยแต่เป็นลูกมือครับ ตอนอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ต้องแบ่งเวรกันทำงาน ผมนะเป็นพวกซุ่มซ่ามแต่ได้ไปอยู่เวรในครัวประจำ แล้วก็เคยไปทำงานพิเศษอยู่ในร้านอาหารจีนอยู่พักหนึ่งครับ”ฮารุโตะกินข้าวไปเล่าไปอย่างปกติ แต่เรื่องที่เล่ากลับสะดุดใจของซากิ

“นาย…”เขาไม่รู้จะถามอย่างไรเพื่อไม่ให้กระทบใจอีกฝ่าย “เป็นเด็กกำพร้า”

“ครับ” ฮารุโตะนิ่งคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมา และกล่าวต่อไปอีกว่า “แต่ผมก็รู้สึกว่าไม่ใช่ซะทีเดียว ทีแรกผมก็อยู่กับพ่อครับ แต่จู่ๆพ่อก็หายตัวออกจากบ้านไป ก็เลยมีคนมารับให้ไปอยู่บ้านอุปถัมภ์” ฮารุโตะเล่าให้ฟังอย่างเฉยเมยราวกับไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทั้งยังรวบรัดตัดตอนโดยไม่คิดจะลงรายละเอียด แต่ในนาทีนั้น ซากิรู้สึกแย่กับเรื่องราวดังกล่าวเกินกว่าจะรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ได้ อีกทั้งเขายังคิดไปถึงความเป็นไปได้กรณีที่พ่อของฮารุโตะออกจากบ้านไปโดยไม่กลับมาอีก มันเป็นไปได้ว่า…

“บางทีพ่ออาจจะได้งานใหม่ แล้วที่ทำงานใหม่คงไม่ให้พาผมไปด้วย”

มันไม่ใช่หรอก ซากิคิดในใจ

“ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”ฮารุโตะยิ้มพยายามพูดปลอบเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ไม่ดีนัก เขาไม่เคยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่มีใครถามด้วยสาเหตุหนึ่ง หรือถ้ามีใครถามจริงๆ เขาก็ไม่อยากเล่าให้ฟัง

“เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว อีกอย่างแม้จะเฝ้าคิดถึงมันไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา อยู่บ้านอุปถัมภ์ก็ไม่ใช่เรื่องแย่นะครับ ผมรู้สึกว่าบางครั้งก็ดีกว่าการอยู่คนเดียวแบบนี้อีก”

เหมือนว่ารสชาติอาหารมื้อนั่นจะกร่อยลง แต่ฮารุโตะก็ยังจะกินข้าวจนเกลี้ยงซ้ำยังคะยั้นคะยอหนุ่มรุ่นพี่ให้ทานจนหมดอีกด้วย

“ผมไม่เป็นไรจริงๆ”ฮารุโตะพูดย้ำพร้อมรอยยิ้ม บอกรุ่นพี่ที่อุตส่าห์กอดปลอบใจเขา แต่เพราะกว่าพวกเขาจะตื่นก็เป็นเวลาบ่ายกว่าแล้ว เวลาในการนั่งเล่นนอนเล่นจึงเหลือแค่นิดเดียว

ฮารุโตะชวนหนุ่มรุ่นพี่ออกไปซื้อกับข้าวมื้อเย็น เขาพยายามยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายเห็นว่า เขาแข็งแรงดีทุกอย่าง เขาเรียนรู้จากทุกวันที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทุกสิ่งล้วนผ่านมาเพื่อผ่านไป ฮารุโตะพยายามไม่ยึดจับสิ่งใดไว้กับตัว เขาก็เหมือนคนอื่นที่มีความฝัน ความหวัง ความอยากได้อยากมี แต่ในเมื่อสิ่งใดพลาดไปแล้ว ฮารุโตะก็พยายามจะปล่อยมันไป ไม่ไปคิดถึงมันอีก แม้ว่าในความเป็นจริง เขาจะทำเช่นที่คิดที่บอกตัวเองไว้ได้ไม่ดีนัก

ซากิมองหนุ่มรุ่นน้องที่พยายามแย้มยิ้มให้เขาด้วยหัวใจที่หน่วงหนัก

แม่ของซากิประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปตอนที่เขาอยู่มัธยมต้นปีที่หนึ่ง หลังจากนั้นครอบครัวของเขาก็เหมือนแตกกระเซ็น พ่อไม่ค่อยกลับบ้าน พี่ชายก็หมกตัวอยู่แต่ในห้อง เวลานั้นตัวเขารู้สึกเคว้งคว้างเหมือนถูกทอดทิ้ง จนพ่อได้ย้ายมาประจำอยู่ที่เมืองนี้ ได้เจอพวกเรย์ ได้เจอป้า พี่สาวแท้ๆของแม่ มันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองมีที่ยืนเหมือนเดิม และเขาเพิ่งมารู้ทีหลัง พ่อจงใจย้ายกลับมาอยู่ที่นี่เพื่อให้ป้าคอยดูแลเขา แต่บางอย่างมันก็สายเกินไปแล้ว หรือไม่พ่อก็ยังทำใจไม่ได้กับการจากไปของแม่ พอได้ฟังเรื่องของฮารุโตะ เขารู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเจอมันเล็กน้อยมากจริงๆ

“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆนะ”ฮารุโตะพูดกับเขาซ้ำ เขาผ่อนลมหายใจ ดึงหนุ่มรุ่นน้องเข้ามากอด อากาศหนาวเย็นจนต้องเบียดกายเข้าหากัน ภายในห้องมืดมิดไร้แสงไฟและปราศจากแสงสว่างยามค่ำคืน ซากินึกสงสัยว่าหนุ่มรุ่นน้องเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างไร

“ทำหน้าแบบไหน”เขากระซิบถามเสียงเบาไม่ต่างกัน

“เหมือนกำลังจะร้องไห้”

ซากิแสร้งหัวเราะ “มืดขนาดนี้มองเห็นด้วย” ถึงจะพูดไปเช่นนั้น แต่เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นฮารุโตะยกยิ้มลางๆ ซากิซุกหน้าลงกับลาดไหล่บางของหนุ่มรุ่นน้อง

“ไม่ได้ร้องไห้หรอกน่า”

เขาบอก ซึมซับความอบอุ่นอ่อนโยนผ่านฝ่ามือที่ลูบแผ่นหลังของเขาด้วยจังหวะเชื่องช้า




เช้าวันจันทร์มาเยือนอีกครั้ง

ชิมิซึ ซากิซึ่งใช้เวลาทั้งเสาร์และอาทิตย์อยู่กับหนุ่มรุ่นน้องจึงออกเดินทางไปมหาวิทยาลัยพร้อมกันหลังทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อย ซากิเดินไปส่งฮารุโตะจนถึงหน้าตึกเรียนก่อนจะแยกไปอีกทาง ปกติเขามีเรียนช่วงสายๆ ดังนั้นส่วนใหญ่เขาจะอาศัยอยู่ในห้องชมรมเพื่อรอเวลาเข้าคาบเรียน

“มาสายเชียวนะ”

ซากิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เข็มบนหน้าปัดบอกเวลาอีกประมาณสิบนาทีเป็นเวลาเก้าโมง

“ยังเช้าอยู่เลย”เขาตอบกลับไปสั้นๆ

“หมายถึงมาถึงสาย ไปไหนมา”เรียวตะถามด้วยความอยากรู้ ยิ้มกรุ่มกริ่มคล้ายจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

“ไม่ใช่ว่ารู้อยู่แล้ว”เขาถามกลับ

“ก็อยากได้ยินจากปาก”

นาคามูระ เรย์และโมริ เอคิจิก็ขยับเข้ามาใกล้ แสดงออกถึงความอยากรู้อย่างชัดเจน ซากิมองหน้าเพื่อนทั้งสามคน เห็นตั้งตารอก็ยังคงนิ่งเงียบ แล้วเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นเสียอย่างนั้น

“นาโอโตะละ”

“โธ่ ยิ่งอยากรู้ก็ยิ่งเล่นตัว”เรย์บ่น

“น้องมันก็ไม่ได้คิดอะไรกับนาโอโตะเสียหน่อย จะยังต้องมาเดือดร้อนอีกทำไม”

“มันก็ต้องเช็คว่า ไม่มีโอกาสจริงๆนะซิ”

“ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่มีโอกาสร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนที่มิอุระชอบไม่ใช่นาโอโตะ”

“แล้วใครละ แก?”เรียวตะถาม

“ฉันไม่ใช่พวกหลงตัวเอง”

“ตอบแบบนี้คือใช่หรือไม่ใช่ว่ะ”

“ก็ไม่ใช่”

“งั้นที่ตามเทียวไล้เทียวขื่อ คืออยากให้เขาชอบแก”

“ก็ฉันหล่อกว่าเห็นๆ แต่เด็กนั่นกลับไปชอบคนอื่นซะงั้น”

“ถุด ไอ้ไม่หลงตัวเอง”

ซากิหัวเราะที่โดนด่า

“อยากรู้เรื่องนี้ไปทำไมกันนัก เห็นถามตลอด” เขาเริ่มเบื่อวงเม้ามอยของกลุ่มเพื่อน จึงได้หยิบหนังสือขึ้นมาทำท่าจะเปิดอ่าน

“ก็ไม่เห็นหรือไง น้องมันลูกรักของนาโอโตะเลย ไปทำเด็กมันเสียใจเดี๋ยวเรื่องใหญ่”

“อยากจะเคลมเองก็พูดมาเถอะ”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง

“ปากเหรอนั่น จะพาเพื่อนพ้องตีกัน ก็เห็นว่าน้องมันน่ารักดี เงียบๆซื่อๆ ดูเลี้ยงง่าย”

“งืม ยิ่งตอนตาแดงๆน้ำตาคลอเนี่ย หมั่นเขี้ยวน่าแกล้งเป็นที่สุด”เอคิจิกล่าวเสริมเป็นลูกคู่สนับสนุน เรียกความสนใจนาคามูระ เรย์ชายผู้ซึ่งอยู่ในครรลองรักเดียวใจเดียวตั้งแต่วัยเยาว์ให้ไปสุมหัว

“แล้วเป็นไงบ้างว่ะ”เรียวตะหันมาถาม เรียกสายตาอีกสองคู่ให้จ้องเขม็ง

“อะไรเป็นไง”ซากิเฉไฉ

“ลีลาไง เด็ดป่ะ”คนถามออกท่าทางไปด้วย

“เฮ้ย!!! เอาเรื่องแบบนี้มาพูด มันไม่ค่อยดีหรือเปล่าว่ะ”คนถูกถามท้วงขึ้นมา

“แหม ทีน้องๆคนที่ผ่านๆมาเนี่ยบรรยายซะละเอียดเชียว คนนี้ทำเป็นหวง”

“ละเอียดบ้าไรว่ะ แค่บอกว่าดีหรือไม่ดี”ชายหนุ่มชักรู้สึกกระดากปาก

“เอ้า แล้วคราวนี้ตอบว่าดีหรือไม่ดีไม่ได้หรือไง”

เขาเริ่มเงียบ รู้สึกเหมือนโดนหลอกล่อให้หลุดปากอย่างไรไม่รู้

“แม่ง อย่างนี้แสดงว่าเด็ด”เรียวตะยังปากเปราะพูดต่อ “ท่าจะร่อนสะโพก…”

โครม!!!

ซากิถีบโต๊ะเตี้ยของชุดโซฟาไปเบียดยังโซฟาอีกฝั่ง ดีว่าสามคนนั้นเป็นพวกที่มีปฏิกิริยาตอบสนองดี ถึงได้ยกขาหลบอย่างว่องไว

“อีกฝ่ายเป็นรุ่นน้องในชมรมนะ จะพูดอะไรก็เกรงใจบ้าง ถ้าใครได้ยินแล้วเอาไปบอกน้องมัน เดี๋ยวจะเสียทั้งกลุ่ม”
แทนที่จะสลด เรียวตะกลับหัวเราะเอิ้กอ้าก

“จริงจังก็บอกมาเถอะ” พาให้อีกสองคนหัวเราะขำขันไปด้วย ขณะที่ซากิยังหงุดหงิด

“เออ พอดีว่าช่วงนี้มีเรื่องหนึ่ง”เอคิจิเอ่ยแทรกเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น น้ำเสียงพูดค่อนข้างจริงจัง

“อาโกโร่กับอาโรคุโร่กำลังตามคดียาเสพติดในมหา’ลัยอยู่ เห็นว่าตัวการใหญ่นะชอบมาป้วนเปี้ยนอยู่ในมหา'ลัย เขายังถามว่าเห็นใครหน้าตาไม่คุ้นบ้าง”

“ไม่คุ้นอย่างไร นักศึกษาในมหา'ลัยมีเยอะแยะ ถ้าไอ้หมอนั่นใส่สูทผูกไทค์หน้าตาเป็นยากุซ่ามาเลยก็ว่าไปอย่าง”เรียวตะแย้ง หัวข้อที่คุยกันอยู่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซากิฟังบ้างไม่ฟังบ้าง จนถึงเวลาที่เขาต้องไปเข้าเรียน พอเขาลุกขึ้น ทั้งเอคิจิ และเรียวตะต่างก็ลุกขึ้นตาม

“มีเรียนตอนกี่โมง”เขาถามเรย์

“ไม่มีอ่ะ นาโอโตะมาทำงานเลยตามมาด้วย”คนตอบ ตอบด้วยท่าทางทางเกียจคร้าน เขาพยักหน้ารับรู้

ชายหนุ่มทั้งสามมีเรียนวิชาเดียวกันตอนสิบโมง คาบเรียนวิชาบรรยายตอนปีสามไม่ยาวนานเท่าชั้นปีต้นๆ ส่วนใหญ่อาจารย์จะอธิบายแค่เนื้อหาหลักและให้นักศึกษาจับกลุ่มอภิปราย วันนี้ก็เช่นกัน หลังจากให้หัวข้อในการทำรายงานเพื่อนำเสนอในอาทิตย์หน้า อาจารย์ประจำวิชาก็สั่งเลิกคลาส

เขาหยิบโทรศัพท์มากดโทรออก

“อยู่ไหน” เขาถามด้วยคำถามสั้นๆเช่นเดิมจนเป็นนิสัย หลังจากที่ปลายสายกล่าวทักทาย

“เดี๋ยวไปหา รอก่อน”

เขาพอเดาได้ว่า อีกฝ่ายคงกำลังทำหน้างง

ตอนที่ไปถึง ฮารุโตะยังคงนั่งรออยู่ในห้องเรียน ไม่มีนักศึกษาคนอื่นเหลืออยู่นอกจากหญิงสาวห้าคนซึ่งเป็นกลุ่มเพื่อนของฮารุโตะ

ตอนที่หนุ่มรุ่นน้องเห็นหน้าเขา ฝ่ายนั้นมีทีท่าแปลกใจอย่างชัดเจน ขณะเดียวกันหญิงสาวที่ชื่อโยชิดะ ริเอะโกะกลับเดินมาหาเขาอย่างกระตือรือร้น

“แหม เป็นรุ่นพี่นี่เอง ถามมิอุระซังก็เอาแต่บอกว่าไม่รู้จัก ไม่เห็นต้องปิดพวกเราเลยว่ารุ่นพี่จะมา”ประโยคหลังเธอหันไปพูดกับเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมรุ่น

ฮารุโตะก้มหน้าลงและกล่าวขอโทษเสียงเบา

“ช่างมันเถอะ ไปกินข้าวกันดีกว่า”เขากล่าวตัดบท เดินเข้าไปหาหนุ่มรุ่นน้องที่ยังนั่งก้มหน้าอยู่เช่นนั้น แตะข้อศอกดึงให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ฮารุโตะเงยหน้ามองเขาก่อนจะหันไปมองทางกลุ่มเพื่อน ซากิจึงหันไปมองตาม เขาเห็นว่าทั้งริเอะโกะและฟุมิโอะต่างส่งยิ้มมาให้ จึงหันกลับมามองฮารุโตะอีกครั้ง จังหวะนั้นหนุ่มรุ่นน้องกลับไปก้มหน้าก้มตาลงมองพื้นเช่นเดิม จึงรุนหลังให้อีกฝ่ายออกเดิน

“เอาโทรศัพท์มาหน่อย”

ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาส่งให้อย่างว่าง่าย ซากิรับมากดเปิด เลื่อนหน้าจอเข้าสมุดรายชื่อ ดูเบอร์โทรเข้าล่าสุดที่ถูกบันทึกชื่อว่า ‘คนไม่รู้จัก’ ชายหนุ่มหัวเราะ

“จำเสียงไม่ได้จริงๆหรือ” โอบบ่าดึงร่างเล็กกว่าเข้ามาใกล้ ฮารุโตะสั่นศีรษะ

“ผมไม่คิดว่าเป็นรุ่นพี่”

“งั้นเมมชื่อใหม่นะ”ไม่รอให้เจ้าของเครื่องอนุญาต เขากดแก้ไขแล้วพิมพ์ชื่อตัวเองลงไปทันที ระหว่างนั้นก็ใช้วงแขนคล้องคอรั้งหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาชิด จนฮารุโตะหวิดจะสะดุดล้ม เด็กหนุ่มหน้ามุ่ยเมื่อรู้สึกว่าเขาจงใจแกล้ง

ซากิมีข้าวกล่องฝีมือของหนุ่มรุ่นน้องเป็นมื้อกลางวัน เรียกคำแซวจากกลุ่มเพื่อนได้ไม่น้อย เขายิ้มรับยักคิ้วให้อย่างไม่สะทกสะท้าน จะมีเรื่องน่าเบื่ออยู่บ้าง ตรงที่เพื่อนของฮารุโตะพยายามชวนเขาคุยอยู่ตลอด ซ้ำยังพูดมากจนน่ารำคาญ ชายหนุ่มจึงได้แต่ทำเมินไปบ้าง ตอบรับไปบ้างพอเป็นมารยาท และมื้อกลางวันนั้นก็สิ้นสุดลง ซากิมาส่งฮารุโตะที่หน้าตึกเรียนเช่นเดิม นัดหมายเวลาเจอกันช่วงเย็น ก่อนจะปล่อยให้กลุ่มของฮารุโตะเดินขึ้นตึก


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 9 : 28/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-02-2017 00:00:36

คล้อยหลังจากกลุ่มของหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะโดนลากซุนๆ จากแรงของซาซากิ ฟุมิโอะ และมีอิเคดะ นายะที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเปิดประตูห้องเรียนห้องหนึ่งแล้วเดินนำเข้าไป เขาถูกดึงเข้าไปในห้องนั้น จากนั้นก็ถูกผลักจนหลังไปกระแทกกับกำแพง

“ตกลงว่าเป็นอะไรกับรุ่นพี่ชิมิซึกันแน่”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ มองฟุมิโอะและริเอะโกะที่ยืนขนาบข้างเขาอยู่คนละฝั่งด้วยหน้าตาถมึงทึง เมื่อทั้งคู่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาเช่นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเธอต่างสูงกว่าเขาที่เป็นผู้ชายเสียอีก

“ไอ้ที่ส่ายหน้าดิกๆนี่หมายว่าอย่างไร ไม่บอกหรือไม่มีอะไร”

“ผม…กับรุ่นพี่ไม่ได้เป็นอะไรกัน รุ่นพี่เป็นรุ่นพี่ที่ชมรมเท่านั้น”

“แล้วที่รุ่นพี่มาหาตามมารับมาส่งนี่คืออะไร”

“ผ…ผมไม่รู้”

“ถามตรงๆประเด็นหลักเลยดีกว่าไหม”ทาคาอาชิ ฮิราอิพูด เด็กหนุ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบๆตัวหนักอึ้งจนอึดอัด ราวกับออกซิเจนถายในห้องนี้เหลือน้อยลงทุกที

“เคยมีอะไรกับรุ่นพี่หรือยัง”

ฮารุโตะเงียบ เขาไม่กล้าตอบ

“พูด!!!”ริเอะโกะตะคอกใส่ จนเด็กหนุ่มละลักละล่ำตอบไปอย่างรวดเร็ว

“ค…เคย”

“แม่งเอ้ย เห็นทำตัวหงิมๆก็ร่านไม่เบานะ”

ฮารุโตะไม่ได้เงยหน้ามองว่าใครพูด เขาทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว มือทั้งสองข้างสั่นระริกพยายามเกาะกุมกันไว้แน่น

“หน้าตาแบบนี้หรือ ที่รุ่นพี่นอนด้วย ถ้าอย่างนั้น หน้าตาแบบฉันรุ่นพี่คงต้องหลงหัวปักหัวปำเลยสิ”

“อย่ามามโนย่ะหล่อน รุ่นพี่ชิมิซึนะของฉัน”

“อย่าเพิ่งมาเถียงกันสิ ตกลงจะเอาอย่างไรกับไอ้นี่ละ”

“อ่อ”เสียงนั้นขยับเข้ามาใกล้ กระชากศีรษะให้เขาเงยหน้าขึ้น ฮารุโตะถึงได้เห็นริเอะโกะยืนยิ้มแยกเขี้ยวอยู่ตรงหน้า

“ฉันไม่ว่าอะไรหรอกนะ ที่รุ่นพี่เขาจะเอาแกแก้อดอยากชั่วครั้งชั่วคราว แต่ไม่ค่อยชอบใจว่ะ ที่ปากบอกว่าไม่มีอะไร แต่ระริ้กระรี้เสนอตัว มันน่าหมั่นไส้ ถ้าไม่คิดอะไรจริงก็อย่าเข้าใกล้รุ่นพี่อีก ครั้งนี้ฉันแค่เตือน แต่ถ้ามีครั้งหน้าอีก…”เธอหยุดคำพูดไว้แค่นั้น ก่อนจะปล่อยฮารุโตะ

ริเอะโกะและกลุ่มเพื่อนไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการพูดข่มขู่และทิ้งเขาไว้ที่ตรงนั้น เด็กหนุ่มเข่าอ่อนไถลตัวลงนั่งกับพื้น คู้ตัวลงราวกับพยายามซ่อนร่างกายจากทุกสิ่ง

ฮารุโตะเป็นเด็กผู้ชาย แต่ก็เป็นเด็กผู้ชายที่อ่อนแอ เทียบไม่ได้แม้กระทั่งเด็กผู้หญิง เขาเป็นเช่นนั้นมาตลอด และไม่เคยมีแม้สักเสี้ยวความคิดที่จะเข้มแข็งขึ้น

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นโดยปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป ในสมองว่างเปล่า ในยามนี้ เขาไม่นึกถึงเหตุผลในการกระทำของคนรอบตัว ไม่คิดถึงวิธีรับมือกับเหตุการณ์ในอนาคตข้างหน้า ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีสิ่งใด นั่งนิ่งเช่นนั้นอยู่นานจนความกลัวและความรู้สึกตื่นตกใจที่เคยสัมผัสก่อนหน้าเริ่มตกตะกอน

ความเงียบเดียวดายรอบตัวทำให้ความตะหนกหวั่นกลัวค่อยๆจากหายไป บางครั้งบางครามันทำให้เขาเปลี่ยวเหงา แต่ฮารุโตะกลับคุ้นชินราวกับเพื่อนคุ้นเคย

ก่อนจะเผยยิ้มออกมา

เขาชื่นชอบช่วงเวลาอันเงียบสงบที่ไม่ต้องพยายามขวนขวายดิ้นรนเพื่อสิ่งใด ความเงียบรอบตัวทำให้เสียงกิจกรรมการใช้ชีวิตของเหล่าผู้คนดังแว่วมาให้ได้ยิน ขณะที่กำลังเพลิดเพลินกับการสดับฟังเสียงเหล่านั้น เสียงโทรศัพท์พลันแผดร้องสับความสุนทรีย์ทุกสิ่งจนขาดสะบั้น

เขาลนลานหยิบมันขึ้นมาดู ยิ่งเห็นรายชื่อบนหน้าจอ เขายิ่งไม่อยากกดรับ ไม่ทันที่จะคิดไตร่ตรองเขาก็กดตัดสายและปิดเครื่องไปเสีย




ซากิขมวดคิ้ว เมื่ออีกฝ่ายกดตัดสายเขาไปเสียเฉยๆ พอกดโทรออกอีกครั้ง กลับไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสายเสียแล้ว 

เมื่อตอนเที่ยง เขาบอกฮารุโตะไว้ว่าจะมารับหลังหมดคาบเรียนตอนบ่าย แม้หนุ่มรุ่นน้องจะไม่ได้รับปากอย่างชัดเจน แต่เขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหายไปดื้อๆ ชายหนุ่มมองกลุ่มนักศึกษาที่ทะยอยออกมาจากตึกเรื่อยๆ ยืนรออยู่ครู่หนึ่งก็เห็นกลุ่มของริเอะโกะและฟุมิโอะเดินออกมา เขาจึงตรงเข้าไปหา

“รุ่นพี่ชิมิซึ”ฟุมิโอะร้องทักเขาทันทีที่หันมาเห็น

“มีอะไรหรือค่ะ”ริเอะโกะก็เอ่ยถามเขาต่อทันที

“เห็นมิอุระไหม”

พวกเธอหันไปมองหน้ากันเองคล้ายจะปรึกษา จากนั้นฟุมิโอะจึงหันมาตอบคำถามของเขา “เห็นเร่งรีบออกจากห้องเรียนตั้งแต่หมดคาบ ไม่ได้ไปหารุ่นพี่หรือค่ะ” พอเธอพูดจบริเอะโกะก็กล่าวเสริมขึ้นมา

“ฉันถาม เห็นบอกว่ามีนัด ยังคิดว่าน่าจะนัดกับรุ่นพี่ไว้เสียอีก”

ซากิมองหน้าหญิงสาวที่มองเขาอย่างแปลกใจ เขายกยิ้มให้น้อยๆก่อนกล่าวลาและขอตัวเดินจากมา เขาเดินกลับไปที่ห้องชมรมก่อนเป็นอันดับแรก บางทีนาโอโตะอาจจะเป็นคนนัดหนุ่มรุ่นน้องไปหา พอมาคิดๆดูเขาก็รู้สึกฉุนไม่น้อย ถ้าให้เลือกระหว่างเขากับนาโอโตะ หนุ่มรุ่นน้องคงจะเลือกนาโอโตะโดยไม่ลังเล

มาถึงห้องชมรม เขาเห็นเรียวตะและเอคิจินั่งคุยกับกลุ่มเพื่อนในชมรมอยู่บนโซฟา

“นาโอโตะละ”

“ไม่รู้อ่ะ มาถึงก็ไม่มีใครอยู่แล้ว คงกลับไปแล้วมั้ง”

“อ่อ”เขาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ไปไหนกันนะ เขาคิดระหว่างรอสาย

“ว่าไง”ปลายเสียงเป็นเสียงของเรย์ ซากิไม่แปลกใจเลยที่เพื่อนหนุ่มจะอยู่นาโอโตะ แต่สองคนนั้นพาฮารุโตะไปไหนทำไมถึงไม่บอกเขาก่อนนะ อย่างน้อยที่สุดเรย์นั้นแหละที่ควรจะโทรมาบอกเขา

“อยู่ไหน”

“อยู่บ้าน”

“วันนี้มีอะไรกันละ”

“ไม่...ไม่มีอะไรนี่”

ซากิขมวดคิ้ว “ขอคุยกับมิอุระหน่อย”

“ไม่โทรเข้าเครื่องละ โทรหานาโอโตะทำไม หรือว่าแกคิดจะตีท้ายครัวฉัน”

“ไอ้บ้า ฉันไม่แย่งนาโอโตของแกหรอกนะ เรียกมิอุระมาคุยหน่อยเร็วๆ”

“เรียกที่ไหน ไม่โทรเข้าเครื่องไปละ”

“ถ้าโทรได้ ฉันจะโทรหานาโอโตะทำไม ไม่ได้อยากโทรนักหรอก”ชายหนุ่มพูดอย่างนึกรำคาญ “เรียกมิอุระมาคุยได้แล้วเร็วๆ”

“จะเรียกอย่างไร ไม่ได้อยู่ด้วยกัน”

“ไม่ได้อยู่ด้วยกัน?”

“วันนี้ทั้งวันยังไม่เจอเลย”

“อย่างนั้นให้นาโอโตะมาคุยหน่อย”แล้วเสียงของนาโอโตะก็ดังทักมาตามสาย ซากิถามเรื่องที่ตนอยากรู้ทันที

“วันนี้ได้โทรหาหรือเจอกับมิอุระหรือเปล่า”

“เปล่าอ่ะ แต่ว่าจะโทรหาอยู่เหมือนกันนะ เนี่ย...”ชายหนุ่มไม่ได้รอให้ปลายสายพูดจบเขาก็กดตัดสายไปเสียก่อน กำโทรศัพท์ในมือแน่น ก่อนจะกดโทรออกอีกครั้ง และมันยังคงไม่มีสัญญาณตอบรับจากปลายสาย

เขาเพิ่งรู้จักกับฮารุโตะ ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องของอีกฝ่ายน้อยมาก พอๆกับรู้แค่ว่าหนุ่มรุ่นน้องใช้ชีวิตในแต่ละวันอยู่ในมหาวิทยาลัย ที่ทำงานพิเศษและห้องพัก เขาลองเดินหาในมหาวิทยาลัยก่อนเป็นอันดับแรกแต่จำกัดแค่ตึกเรียนของคณะวิทยาศาสตร์และอาคารหอสมุด เพราะเคยได้ยินว่าหนุ่มรุ่นน้องจะไปที่นั่นบ่อยครั้ง เดินหาจนทั่วก็ยังไม่เจอเด็กหนุ่ม ซากิจึงไปดูที่ร้านสะดวกซื้อที่ทำงานของฮารุโตะ

ที่นั่น เขาพบเด็กหนุ่มรุ่นน้องในชุดพนักงานของร้านกำลังยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์และทำหน้าที่ของตัวเองอย่างขะมักเขม้น ถึงจะชอบก้มหน้าก้มตาและไม่ค่อยยิ้ม แต่เพราะการแปลงโฉมด้วยฝีมือของนาโอโตะ เด็กหนุ่มรุ่นน้องจึงดูน่ารักขึ้นมากในสายตาเขา

ซากิเดินไปหยิบชากระป๋องมาวางที่เคาน์เตอร์ นึกขำที่อีกฝ่ายต้องทำท่าแปลกใจหรือไม่ก็ต้องตกใจเกือบทุกครั้งที่เจอเขา

“บอกว่าจะไปรับทำไมถึงไม่รอ”เขาพูดขณะล้วงกระเป๋าเงิน หนุ่มรุ่นน้องถึงกับเงอะงะทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่

“สามร้อยห้าสิบเยนครับ”

เขาวางเงินลงในถาดสำหรับรับค่าสินค้า มองฮารุโตะที่รับเหรียญห้าร้อยเยน ไปคีย์ยอดเงินเข้าระบบและส่งเงินทอนกลับมาให้

“ขอบคุณมากครับ”

เขาส่งเสียงหึในลำคอ

“ยังไม่ได้ตอบเลยนะ”ชายหนุ่มหันมองคนในร้าน เห็นว่าลูกค้าไม่เยอะจึงชวนคุยต่อ ฮารุโตะนิ่งเงียบ ก้มหน้าลงไม่ยอมมองเขา เหมือนฮารุโตะจะรู้ว่าเขามองมือที่อยู่ไม่สุขของเจ้าตัว ถึงได้ดึงมันลงไปซ่อนอยู่หลังเคาน์เตอร์

“ผ...”

“อ้าว มิอุระซัง นายทำงานอยู่ที่นี่เหรอ”

เขาหันไปมองเจ้าของเสียงนั้น ขณะที่ปลายหางตาก็เหลือบมองเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แล้วยกยิ้มให้หญิงสาวที่เดินเข้ามาหา

“รุ่นพี่”เธอร้องทัก ยกยิ้มอย่างมีจริต“รุ่นพี่อยู่แถวนี้หรือค่ะ”

“ก็ไม่เชิง”เขาตอบสั้นๆ “ขอตัวก่อนนะ พอดีได้ของแล้วนะ”ซากิยกถุงพลาสติกที่มีตราของร้านในมือให้รุ่นน้องผู้หญิงดู ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากร้านไปเฉยๆ เมื่อก้าวพ้นประตูร้านออกมาแล้ว เขาก็หันกลับไปมองอีกครั้ง ฟุมิโอะยังคงมองมาที่เขาและยกยิ้มให้

ซากิยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก บอกปลายสายว่ากำลังเข้าไปหา และใช้เวลาเดินเท้าไม่นานก็มาถึงจุดหมาย

“มีอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า ขี้เกียจกลับบ้าน”

“จะนอนค้างที่นี่เหรอ”

“ไม่ละ แค่มาขอนั่งเล่นฆ่าเวลา”เขาบอกขณะเดินตามเจ้าของบ้านขึ้นชั้นบน

“เรียวตะ ได้คุยกับอิเคดะหรือเปล่า”เขาถาม พลางดึงเก้าอี้โต๊ะอ่านหนังสือออกมานั่ง ส่วนเจ้าของห้องก็เดินไปนั่งที่เตียง

“อือ ก็คุยบ้าง ที่จริงน้องก็น่ารักดีนะ คุยสนุก แล้วก็ไม่วุ่นวายมากด้วย”

“อ่อ”

“มีอะไรหรือเปล่าที่ถามถึง ฮั่นแน่ จะนอกใจฮารุจังหรือว่ะ”คนถามทำหน้าทะเล้น แต่คราวนี้ชายหนุ่มไม่ตกหลุมพรางที่เพื่อนสนิทพยายามดักเขาไว้ เขาถามแต่เรื่องที่ตัวเองสงสัย

“ไม่ได้มีพูดอะไรเกี่ยวกับมิอุระเลยหรือ”

“อืม…ไม่มีนะ มีอะไรหรือ”

“เด็กนั่นดูแปลกๆ”ซากิก้มหน้าลงครุ่นคิด

“แปลก? แปลกอย่างไร”

“ไม่ค่อยพูดแล้วก็ไม่ค่อยอยากให้เข้าใกล้ ทั้งที่ช่วงเสาร์อาทิตย์ก็กลับมาปกติแล้วแท้ๆ”

“ฮั่นแน่ อยู่ด้วยกันทั้งสุดสัปดาห์เลย”เรียวตะเอ่ยแซว ก่อนจะรีบวกกลับเข้าประเด็นเมื่อสายตาของคู่สนทนาบอกว่าไม่เล่นด้วย “บอกให้นาโอโตะไปคุยดูไหม ไม่แน่ว่าฮารุจังอาจจะบอกอะไรก็ได้”

“หึ ไม่จำเป็น เด็กของฉัน ฉันจัดการเองได้”

“วุ้ยๆ เด็กของฉันเต็มปากเต็มคำเชียวนะ”

ซากิรู้สึกขัดหูขัดตากับท่าทางชอบอกชอบใจของเพื่อนสนิท จนอยากจะสะกิดอีกฝ่ายแรงๆสักทีสองที เขาพ่นลมหายใจออกมาคล้ายจะระบายความหงุดหงิด

“เอ้า อยากให้ทำอะไรก็ว่ามา”

“ก็ไปถามเด็กแกมาว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนทางด้านมิอุระฉันจัดการเองได้”

ซากิตอบน้ำเสียงติดจะรำคาญอยู่ไม่น้อย แต่เพราะเรียวตะรู้จักและสนิทกับเจ้าของคำพูดมานานจึงไม่เก็บมาถือสา

เอกเขนกรอเวลาอยู่ที่บ้านของเรียวตะจนเที่ยงคืน ชิมิซึ ซากิก็บอกลาเจ้าของบ้านแล้วไปยืนรอฮารุโตะอยู่ที่หน้าห้องพักของฝ่ายนั้น ราวๆเที่ยงคืนครึ่งเจ้าของห้องจึงจะมาปรากฎตัว เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังเป็นจังหวะฝ่าความเงียบยามค่ำคืน ฮารุโตะยังคงเดินก้มหน้าก้มตาเหมือนเช่นทุกวัน และเพิ่งจะสังเกตเห็นเขาก็ตอนที่ล้วงกุญแจห้องขึ้นมาไข

“อ่ะ รุ่นพี่”

“เร็วๆเข้าสิ หนาวจะตายแล้วนะ” พอพูดไปเช่นนั้น หนุ่มรุ่นน้องจึงร้อนรนรีบเปิดประตูห้อง เปิดไฟและตรงดิ่งไปเปิดสวิตช์เครื่องทำความร้อนก่อนเป็นอันดับแรก ห้องเล็กๆของฮารุโตะเย็นเฉียบ แต่หนุ่มรุ่นน้องผู้เป็นเจ้าของกลับดูกระฉับกระเฉงเหมือนไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นนี้ ฮารุโตะเปิดตู้ดึงฟูกนอนและผ้าห่มผืนหนาออกมากาง

“รุ่นพี่มานั่งนี่ก่อนนะครับจะได้อุ่น รออีกครู่หนึ่งคงจะอุ่นขึ้นยิ่งกว่านี้”

เขาเดินเข้าไปหา และดึงเด็กหนุ่มร่างเล็กให้นั่งลงข้างกัน จากนั้นจึงเกี่ยวเอวบางเข้ามาไว้ในวงแขน เด็กหนุ่มขืนตัวไว้ในคราแรก แต่เพราะเขาพยายามรั้งเข้าหา ฮารุโตะจึงต้องยอมโอนอ่อน

เมื่อดึงเด็กหนุ่มร่างเล็กขึ้นมานั่งบนตักและสอดแขนโอบรัดไว้ทั้งตัว เขาก็วางคางลงบนบ่าเล็กบาง เขารู้ว่ามีเรื่องให้ถามมากมาย แต่ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นอย่างไร ซากิจึงยังคงนิ่งเงียบ จนฮารุโตะอ้าปากหาวขึ้นมา ชายหนุ่มหัวเราะ นั่นสิ ตอนนี้เข็มนาฬิกาก็เคลื่อนล่วงเข้าสู่วันใหม่มาร่วมชั่วโมง ฮารุโตะซึ่งต้องทำงานมาตั้งแต่ช่วงหัวค่ำควรถึงเวลาที่ต้องพักผ่อน

“งั้นนอนเถอะ”

ฮารุโตะพยักศีรษะรับ

เขาช่วยอีกฝ่ายถอดเสื้อตัวนอกแล้วนำไปแขวนยังที่ของมัน เมื่อหันกลับไป เขาเห็นเด็กหนุ่มกำลังถอดกางเกงยีนส์ตัวที่สวมอยู่เปลี่ยนเป็นกางเกงผ้าขายาวสำหรับใส่นอน ซากิก็พอรู้ว่าฮารุโตะคงจะไม่มีเจตนาจะยั่วยวนเขา แต่มาผลัดเปลี่ยนกางเกงโดยไม่ใช้ผ้าเช็ดตัวเช่นนี้ มันก็น่าหงุดหงิดไม่ใช่น้อย ฮารุโตะเดินไปล้มตัวลงบนฟูกนอนหลังจากนั้น และเมื่อเขาเดินเข้าไปหา อีกฝ่ายหลับสนิทไปเสียแล้ว ชายหนุ่มจึงไปเปลี่ยนกางเกงบ้าง ดับไฟกลางห้องก่อนล้มตัวลงนอน พลางดึงหนุ่มรุ่นน้องเข้ามาหา และค่ำคืนนั้นก็จบลง



ฮารุโตะรู้สึกตัวตื่นก่อนที่เสียงนาฬิกาปลุกจะดังขึ้น วันนี้อากาศอุ่นจนอยากนอนต่อ แต่นอนนิ่งๆอีกแค่ครู่เดียวเสียงสัญญาณจากนาฬิกาข้อมือดิจิตอลเรือนที่เขาใช้มาตั้งแต่เรียนมัธยมก็ดังขึ้น ฮารุโตะจึงตัดใจลืมตาตื่น และตอนที่ขยับตัว เขาจึงได้รู้ว่าทำไมอากาศวันนี้ถึงอบอุ่นนัก แปลกใจตัวเองเสียมากกว่าที่ลืมไปสนิท เด็กหนุ่มขยับตัวลุกขึ้น แต่ติดที่หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งกอดเขาไว้แน่น

“รุ่นพี่ครับ”เขาเอ่ยเรียกเสียงเบา

“หือ”

“ปล่อยผมก่อน”

“นอนต่ออีกหน่อยน่า”อีกฝ่ายงึมงำ

“ผมอยากเข้าห้องน้ำ”ฮารุโตะพูดเสียงเบา ซึ่งคงขัดใจชายหนุ่มร่างสูงไม่น้อย คนที่นอนซ้อนอยู่ด้านหลังจึงได้กอดเขาแน่นขึ้นไปอีก ซ้ำยังทำเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ ก่อนจะคลายวงแขนออก ตอนที่ฮารุโตะหันไปดู รุ่นพี่ชิมิซึก็พลิกตัวหันไปอีกด้าน

เขาลุกไปเข้าห้องน้ำ และจัดการธุระส่วนตัว จากนั้นจึงมาตั้งหม้อหุงข้าว ปกติถ้าอยู่คนเดียว ช่วงที่กำลังเตรียมข้าวกล่องสำหรับกลางวัน เขาจะกินข้าวปั้นแทนมื้อเช้า แล้วจึงไปนั่งอ่านหนังสือ แต่เพราะรุ่นพี่มาอยู่ด้วยเขาจึงต้องเตรียมอาหารมื้อเช้าสำหรับสองคนเพิ่ม

ฮารุโตะสะดุ้งตกใจระหว่างคีบอาหารจัดเรียงในกล่องอย่างเพลินมือ

“ทำตั้งสามกล่อง”ซากิเอ่ยอย่างสงสัย ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสังเกต เพราะส่วนใหญ่ชายหนุ่มจะเอาแต่นอน ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ถึงเวลากินข้าวเลย

ฮารุโตะชะงักมือ ก่อนที่มือซึ่งจับตะเกียบจะสั่นน้อยๆ “ทำไว้ทานตอนเย็นช่วงทำงานครับ”

ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ ซากิคงเชื่ออย่างไม่สงสัย กว่าที่ฮารุโตะจะออกจากชมรมก็ใกล้เวลาเริ่มงาน จะเตรียมข้าวกล่องไว้ตั้งแต่เช้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

“อ่อ” เขาไม่ถามต่อแม้จะยังคงสงสัย จากนั้นจึงเดินเลี่ยงไปจัดการธุระส่วนตัว

หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฮารุโตะจะนั่งอ่านหนังสือต่ออีกสักพัก หนุ่มรุ่นน้องขยันจนซากินึกประหลาดใจ เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ฮารุโตะมีเวลาว่าง ก็มักจะหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านตลอดเวลา ชายหนุ่มขยับตัวเข้าไปใกล้ สอดมือกอดเอวบางกว่าไว้ แล้ววางคางไว้บนลาดไหล่เล็ก ฮารุโตะหันไปมอง ภายในแววตามีคำถามแต่เห็นหนุ่มรุ่นพี่กำลังสนใจกับหนังสือที่เขาอ่าน จึงหันกลับมาสนใจตัวหนังสือซึ่งเรียงอยู่เต็มหน้ากระดาษเสียแทน

เวลาผ่านไปชั่วพักใหญ่กว่าเด็กหนุ่มจะปิดตำราเรียน เมื่อเอี้ยวคอกลับไปมอง เขาเห็นหนุ่มรุ่นพี่หลับตาซบหัวอยู่บนบ่า

“รุ่นพี่ครับ”ฮารุโตะเขย่าตัวปลุก ชายหนุ่มร่างสูงจึงลืมตาตื่นด้วยความงัวเงีย

“ผมจะไปเรียนแล้วครับ รุ่นพี่มีเรียนตอนกี่โมง ถ้าอย่างไรไปนอนต่ออีกหน่อยไหม”

“ฟังดูเหมือนฉันเป็นพวกขี้เกียจเลย”พูดจบก็ยื่นหน้าไปแตะริมฝีปากของรุ่นน้องเบาๆ ให้หัวใจของฮารุโตะเต้นแรง ขัดเขินจนต้องก้มหน้างุดๆ และกล่าวอ้อมแอ้มต่อไปอีกว่า

“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย”

“เอาละ”ซากิลุกขึ้นยืนก่อนจะพากันสายไปมากกว่านี้ เขายื่นมือไปให้ฮารุโตะจับ และดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นเช่นเดียวกัน

หลังจากกวาดสายตาไปรอบห้องเพื่อตรวจสอบว่า ปิดน้ำปิดไฟเรียบร้อยดีแล้ว ฮารุโตะจึงปิดประตูล็อกห้อง เขากับรุ่นพี่เดินไปมหาวิทยาลัยที่ห่างออกไปราวๆห้าร้อยเมตรด้วยกัน พอได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เดินอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้ มันทำให้เขาอารมณ์ดีจนต้องเผยยิ้มออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่รุ่นพี่ชิมิซึหันมามอง

“มีอะไร”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ

“เมื่อกี้เห็นว่ายิ้มอยู่”

คราวนี้เขายิ่งสั่นศีรษะระรัว ไม่ได้ตอบเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ แต่รุ่นพี่ชิมิซึยังคงจ้องอยู่อย่างนั้น

“วันนี้อากาศดีครับ”

เมื่อได้รับคำตอบ ซากิจึงมองท้องฟ้าและบรรยากาศรอบตัว อากาศดีอย่างที่หนุ่มรุ่นน้องพูดจริงๆ

“แค่นี้นะหรือ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ก้มหน้าลงมองพื้น รอยยิ้มจางๆยังคงแต้มอยู่บนใบหน้า ตอนนี้เขามีความสุขจึงไม่อยากคิดถึงเรื่องอะไรอีก และเหมือนจะมองเห็นเส้นแบ่งเขตความสัมพันธ์ลางๆ ขอบเขตที่ยังทำให้เขามีความสุขและไม่ทุกข์ทรมานกับความหอมหวานที่เปรียบประดุจน้ำผึ้งอาบยาพิษที่ได้ลิ้มลอง เพราะฉะนั้น เขาจะเลือกกอบโกยความสุขเล็กๆน้อยๆที่รุ่นพี่หยิบยื่นมาให้

แต่ฮารุโตะรู้ดีว่าในความเป็นจริงมันโหดร้ายกว่านั้น เขาไม่อาจอยูู่เงียบๆอย่างสงบสุขในพื้นที่ของตัวเองได้ แล้วยิ่งถ้าเขาปากกล้าถือดี ทำตัวให้ใครต่อใครไม่ชอบขี้หน้า การกระทำแบบนั้นคงจะยิ่งทำให้ชีวิตของเขาคงวุ่นวายไม่หยุดหย่อน เขาจึงเลือกที่จะเลี่ยงหนีมันไปซะ

ฮารุโตะรีบเดินออกมาจากห้องเรียนทันทีที่หมดคาบ เมื่อมองจากระเบียงทางเดินที่ยืนอยู่ เห็นหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งรออยู่ที่ม้านั่งหน้าอาคาร เขาจึงเดินเลี่ยงไปอีกทาง ความรีบร้อนทำให้เขาเดินชนกับคนที่สวนมา เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้น

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันระวัง”ฮารุโตะกล่าวขอโทษไปก่อนจะลุกขึ้นยืนเสียด้วยซ้ำ เขาเห็นปลายเท้าของคู่กรณีขยับเข้ามาใกล้ก็ลนลานรีบคลานถอยหลังพยายามแอบไปด้านหนึ่ง

“ขี้กลัวจัง”เสียงทุ้มที่ฮารุโตะคุ้นหูพูดพร้อมเสียงหัวเราะ เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายก็นั่งยองๆลงตรงหน้า ฮารุโตะยังนิ่งมอง ก็จริงที่เขาทำข้าวกล่องมาเผื่อชายหนุ่มตรงหน้าทุกวัน แต่กระนั้นก็ไม่เคยได้บังเอิญเจอกันสักครั้ง ข้าวกล่องที่เขาตั้งใจทำมาเผื่อจึงกลายเป็นอาหารมือดึกของเขา ฮารุโตะเปิดกระเป๋าและหยิบข้าวกล่องออกมาให้ ซึ่งชุนก็รับมาถือไว้

“นายละ กินข้าวหรือยัง”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ถึงวันก่อนจะทำท่าเป็นใจกล้าแต่นั่นเพราะเขากำลังจิตตกอยู่ในห้วงความคิดที่ว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด แต่ถ้าจะให้มาพูดคุยสนิทสนมด้วย เขาไม่เอาด้วยหรอก

“อย่างนั้นไปกินข้าวกัน”

ซากุราอิ ชุนไม่ปล่อยให้เขาปฏิเสธ ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ถือวิสาสะจับข้อมือของเขา แล้วก็ลากให้เดินตาม เดินนำพามาหยุดยังสวนข้างอาคารหอสมุดที่ฝ่ายนั้นเคยตามมาราวี

“ฉันเรียนอยู่ตึกนั้น”คนพูดอารมณ์ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ปลายนิ้วมือชี้ไปยังอาคารที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ฮารุโตะมองตามไปแล้วพยักหน้ารับรู้ พอหันกลับมาเห็นชุนแกะข้าวกล่อง เขาจึงลงมือแกะข้าวกล่องของตัวเองบ้าง ยังไม่ทันที่จะคีบอาหารเข้าปากพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ข้าวกล่องที่ทำให้รุ่นพี่อยู่ที่เขา ความคิดนั้นทำให้เขากินข้าวอย่างไม่เป็นสุข ทั้งยังปล่อยให้อีกฝ่ายรอแบบนั้นเสียด้วย ไม่ใช่ว่าจะนั่งรอเขาจนไม่ยอมไปกินข้าวหรอกนะ ฮารุโตะคิดอย่างกังวล

“กินช้า”

เสียงพูดที่ดังขึ้นขัดความคิดของทุกอย่างของเขาให้หยุดลง หันไปมองเจ้าของเสียงนั้นจึงพบว่าอาหารมื้อกลางวันที่อยู่ในกล่องเกลี้ยงเรียบไม่มีเหลือ

“อิ่มหรือเปล่า”

ชุนมองอีกคนที่ถามเขาด้วยหน้าตาซื่อๆ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองตรงมาที่เขา ภายในนั้นไม่ความระแวงหวั่นกลัวอย่างที่ผ่านมา มันนิ่งสนิทจนเขาต้องจ้องมองค้นหา

“มิอุระ”เสียงเรียกทำให้ซากุราอิ ชุนหลุดจากภวังค์ เมื่อหันไปมองตามทิศทางของเสียง เขาเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา

“รุ่นพี่”ฮารุโตะหลุดเสียงร้องอย่างประหลาดใจ ไม่คิดว่ารุ่นพี่ชิมิซึจะตามมาถึงนี่ได้ ซากิเดินเข้ามาประชิดตัวฮารุโตะอย่างรวดเร็ว หนุ่มรุ่นน้องยังคงมองเขาตาค้างขณะที่เขากวาดสายตามองผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ จากนั้นจึงลงมือเก็บกล่องข้าวกลางวันในมือของรุ่นน้องลงกระเป๋า

“ขอโทษนะ อันนั้นของมิอุระใช่ไหม”ซากิถามพลางชี้ไปยังกล่องข้าวที่อยู่ในมือของชุน “ถ้าใช่ก็ขอคืนด้วย” เขาไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ ฉวยคว้าจากมือของอีกฝ่ายมาทันที ก่อนจะรวบกระเป๋าของฮารุโตะมาถือไว้และคว้าข้อมือเล็กบาง ลากจูงให้อีกฝ่ายเดินตาม

“เฮ้ยอะไรว่ะ”เหมือนว่าชุนจะรู้สึกตัวเสียที เขาจึงได้รีบวิ่งมาขวางไว้ เมื่อได้มายืนเทียบกันแบบนี้ดูเหมือนว่าซากุราอิ ชุนจะสูงกว่าชิมิซึ ซากิอยู่เล็กน้อย ทว่าโครงสร้างร่างกายกลับใหญ่โตไม่แพ้กัน อย่างไรก็ตาม ฮารุโตะรู้สึกว่าตอนนี้รุ่นพี่ชิมิซึน่ากลัวกว่าชุนเสียอีก

“ม...ไม่มี อ...อะไรหรอก นี่รุ่นพี่ที่ชมรมของผมเอง”ฮารุโตะพยายามพูดไกล่เกลี่ย ถ้าสองคนนี้มีเรื่องกันจริง เขาคงจะไม่มีปัญญาห้าม ฝ่ายซากิเองเหมือนว่าจะไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับใครอีก ถึงได้แค่มองผู้ชายแปลกหน้าตรงหน้าด้วยสายตาไม่ชอบใจ แล้วรั้งเอวให้ฮารุโตะให้มาชิด พาเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เด็กหนุ่มไม่กล้าหันหลังกลับไปมองได้แต่เดินตามแรงดึงไปเงียบๆ

“กินข้าวอิ่มหรือยัง”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ จากนั้นจึงถูกลากให้ไปทรุดตัวลงนั่งที่ม้านั่งข้างอาคาร หนุ่มรุ่นพี่หยิบข้าวกล่องที่เขากินค้างไว้ออกมาให้ แล้วหยิบอีกกล่องภายในกระเป๋าออกมาเช่นกัน

“กล่องนี้ของฉันใช่ไหม”

เจ้าของข้าวกล่องอาหารกลางวันผงกศีรษะเป็นเชิงตอบรับ ซากิจึงเปิดฝากล่องและใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก และขนาดว่าฮารุโตะลงมือกินข้าวที่อยู่ในกล่องมาบ้างแล้ว ยังกินเสร็จช้ากว่ารุ่นพี่ปีสามที่นั่งอยู่ข้างกัน

“เดี๋ยวตอนเย็นไปที่ห้องชมรมด้วยนะ”

“ครับ”

“ส่วนพวกนี้เดี๋ยวฉันเอาไปเอง” ซากิหมายถึงกล่องข้าวกลางวันสามกล่องของฮารุโตะ “รีบไปเรียนได้แล้ว”

เด็กหนุ่มได้แต่พยักหน้ารับ มองรุ่นพี่ที่หันหลังเดินจากไปด้วยความสงสัย ปฏิกิริยาของชายหนุ่มผิดไปจากที่กลัวมากโข อาการนิ่งเฉยนั่นก็ทำให้เขาใจแป้ว แต่พอคิดว่าไม่ต้องเจอกับท่าทางอันดุร้ายหรือสายตาน่ากลัว เด็กหนุ่มพลันรู้สึกโล่งใจจนไม่นึกอยากหาเหตุผลอื่นใดมาให้หนักสมอง



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 9 : 28/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 28-02-2017 00:23:17
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 9 : 28/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-02-2017 15:35:14
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 9 : 28/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 28-02-2017 23:38:32
อ่านแล้วสงสารฮารุโตะ

คือสงสารจริงๆนะครับ และไม่บ่อยนะที่ผมจะสงสารตัวละคร (ฮา) บทที่แปดนี่ ฉากที่ฮารุโตะนั่งเงียบๆ แล้วคิดว่า ‘เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ นี่ทำผมน้ำตาร่วงจริงจังนะ คือถ้าเด็กไม่เป็นคนดีจากก้นบึ้งจากหัวใจจริงๆนี่มันมองโลกแบบนี้ไม่ได้อะ มองแบบเศร้าๆแต่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆที่หล่อเลี้ยงลมหายใจ แล้วต่อจากนั้นคือฮารุโตะพยายามจะมีชีวิตไปวันๆ ไม่อยากมีเรื่องกับใคร ไม่อยากขัดขาใคร ไม่กล้าที่จะมีความฝัน ไม่กล้าที่จะต้องการอะไร มันไปตรงกับสุภาษิตต่างชาติประโยคนึงครับ

You have a life, but you are not alive.

ซึ่งมันหน่วงและทำให้ปวดในอกอย่างจริงจังนะครับ ฮารุโตะสมควรมีคนที่ดูแล ขาดพ่อไม่พอ พี่ชายก็ไม่มี แถมยังถูกรังแกเสียอีก เด็กแบบนี้ควรถูกปล่อยไว้ในชุมชนระดับล่างของสังคมที่ไม่ถูกดูแลเหรอครับ? คำตอบคือไม่

เขาควรที่จะได้ยิ้มจากใจ เขาควรที่จะร้องขอสิ่งที่อยากได้กับคนอื่นได้บ้าง เขาควรได้มีชีวิต ได้ร้องไห้ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ และมีชีวิตกับครอบครัว ไม่ใช่เด็กที่ถูกซ้ายก็ตีไปทาง ขวาก็ตีเขากลับไปทาง หัวใจชอบใครก็เจ็บจบช้ำไปหมด ชินชาจนทำให้โลกของเขากลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ แต่ห้ามคาดหวัง ห้ามรู้สึกอะไร อย่างนี้นี่มันน่าสงสารเหลือเกินครับ ทำร้ายจิตใจของผมจริงจังเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) เป็นไปได้นี่อยากกอดแน่นๆสักที แล้วบอกว่าร้องไห้ออกมาเลยครับ เอาแต่ใจไปเลย เป็นตัวของตัวเองสักครั้ง เพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง โลกนี้โหดร้ายก็จริง แต่มันต้องมีอยู่สักคนในทุกสังคม คนที่จะเป็นแสงสว่างหรือคอยสร้างความอบอุ่นให้

เอาจริงๆที่ผมพูดนี่ก็ไปตรงกับที่คุณตีสี่เคยบอกไว้นะครับ ว่าฮารุโตะขาดพ่อ เพราะความเป็นพ่อเป็นสิ่งที่ฮารุโตะอยากได้มากที่สุด (เผลอๆอาจจะมากกว่าคนรักเสียอีก) เขาอยากได้คนที่ปกป้องเขา กอดเขาไว้ตอนที่เขาเจ็บ ให้กำลังใจตอนที่เขาล้ม ยิ้มให้ตอนที่เขายิ้ม ปาดน้ำตาตอนที่ฮารุโตะเดินไม่ไหว เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็อยากได้ทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ แต่บังเอิญว่าพ่อหนีฮารุโตะไปในช่วงที่เขาจำความได้ ฮารุโตะเลยติดภาพว่าอยากได้แบบพ่อมาทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้มันต้องอ่อนโยน และมีมุมใส่ใจคนให้เหมือนครอบครัวเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆในระดับนึงน่ะครับ อย่างอาโอกิผมว่าให้บุคลิกแบบพี่ชายแนวๆคุณแม่น่ะครับ ไม่ได้ให้ภาพของพ่อสักเท่าไหร่ อย่างซากินี่ก็แบดบอยเกินไป การทำแต่เรื่องอย่างว่ามันไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจฮารุโตะดีขึ้น มันไม่ได้กะเทาะเปลือกของฮารุโตะออกสักนิดเลยเหมือนกัน

ผมมามองๆก็เลย เออจริงแฮะ นาคามูระนี่ตรงกับภาพพ่อเลย อย่างที่ฮารุโตะขาดไปจริงๆ คุณตีสี่วางพล็อตให้ตรงคาแรกเตอร์ได้แม่นและมีมิติจริงๆครับ เนื้อเรื่องมีเหตุมีผลดีมาก ความสัมพันธ์มีประเด็นและละเอียดอ่อน ถ่ายทอดออกมาได้ดีด้วย เก่งครับ! ผมชมเลยตรงนี้ คุณเป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์เลยทีเดียว

อยากรู้เรื่องของชุนกับซากิต่อนะครับ ดูท่าสองคนนี้จะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไหร่แล้วแหละ เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็ไม่ได้ชอบซากิที่อะไรเลยนะครับ แค่รู้สึกดีกับความใส่ใจที่ซากิทำให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ฮารุโตะไม่ได้ชอบซากิที่ตัวตนของซากิจริงๆ ผมว่าถ้าชุนมาแบบเดียวกับซากิ ฮารุโตะก็คงจะหวั่นไหวด้วยอยู่ดีนั่นแหละ ตัวซากิเอง ผมมองว่าเขาเห็นฮารุโตะเป็นเด็กธรรมดาๆมากกว่า ซากิเป็นคนมองโลกแง่ร้ายครับ และไม่ชอบดูแลคน เขาทำอะไรตามอารมณ์ เราจะสังเกตได้ว่าถ้าอารมณ์ดีหรืออยากได้เซ็กซ์จากคนยอมๆหรืออ่อนๆ เขาก็จะเข้าหาฮารุโตะ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี หรืออยากได้อะไรตื่นเต้นหน่อย เขาก็จะไปหาคนอื่น (บทที่แปด) มันไม่ได้บอกว่าซากิชอบฮารุโตะจริงๆ ซากิก็แค่ชอบที่ฮารุโตะเงียบๆและไม่โวยวายดี ดีไม่ดีตอนแรกอาจจะชอบเพราะว่าเป็นของใหม่ซะด้วย เคมีระหว่างฮารุโตะกับซากินี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจหน่อยๆ เพราะซากิดูจะครองอำนาจอย่างเดียวเลย เอาแต่สั่ง แล้วก็ไม่แคร์ความรู้สึกอะไรฮารุโตะเท่าไหร่ ไม่ให้ออร่าพระเอกเลย

ดังนั้น ชุนจึงเป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่น้อยครับ (ตอนแรกผมนึกว่าตัวละครเด่นจะเป็นเรียวตะ หรือว่าเอคิจิเสียอีก แต่ดูไปดูมา บุคลิกเรียวตะจะไม่ค่อยเข้าแก็ปของเส้นเรื่องฮารุโตะสักเท่าไหร่นะนี่) เรายังไม่เห็นเหตุจูงใจและอนาคตการกระทำของชุน ซึ่งน่าติดตามต่อมากทีเดียว

ส่วนนังเพื่อนผู้หญิงรอบฮารุโตะนี่สมควรโดนธรณีสูบจริงๆ... ปกติผมไม่ด่าผู้หญิงนะครับ แต่นี่มันทุเรศเกินไปนะ หลอกใช้นี่ผมโอเค แต่นี่มันเกินระดับไปแล้วครับ กลุ่มนึงก็เรื่องเรียน อีกกลุ่มก็เรื่องผู้ชาย มันอะไรกันนักกันหนา แถมหลอกใช้เขาไม่พอ ยังไปคุกคามเขาเมื่อหลอกใช้ไม่ได้ คุณเห็นว่าเขาเงียบหน่อยเลยถืออำนาจบาตรใหญ่งั้นเหรอ เฮ้ย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าบ้างปะครับ คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะทำให้เรื่องที่ให้ตัวเองสบายใจโดยไม่คิดคนอื่นเลยงั้นเรอะ จะเกินไปแล้วมั้ง แล้วแม่งคนอื่นนี่เห็นการ bully แบบนี้แล้วไม่มีใครคิดแสดงตัวเลยเรอะครับ มันไม่มีใครมี sense of justice กันหน่อยเรอะ โอ้โห ขึ้นครับขึ้นๆ

สิ่งที่อยากเห็นต่อไปจริงๆก็คงจะเป็นว่า ถ้าซากิ(หรือใครก็ตาม)รู้เรื่องทั้งหมดของฮารุโตะแล้วจริงๆ จะมีปฏิกิริยากับฮารุโตะยังไง จะมีใครเข้าใจแล้วให้ความอบอุ่นแบบครอบครัวกับฮารุโตะไหม แล้วก็อยากเห็นซากิโดน beat-up ด้วย (ฮา) อันหลังสุดนี่ความสะใจส่วนบุคคลนะครับ จากความรู้สึกเห็นใจฮารุโตะและเกลียดการกระทำซากิโดนส่วนตัว (หัวเราะ)
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 9 : 28/Feb/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-03-2017 06:00:37
อ่านแล้วสงสารฮารุโตะ

คือสงสารจริงๆนะครับ และไม่บ่อยนะที่ผมจะสงสารตัวละคร (ฮา) บทที่แปดนี่ ฉากที่ฮารุโตะนั่งเงียบๆ แล้วคิดว่า ‘เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...เดี๋ยวมันก็ผ่านไป’ นี่ทำผมน้ำตาร่วงจริงจังนะ คือถ้าเด็กไม่เป็นคนดีจากก้นบึ้งจากหัวใจจริงๆนี่มันมองโลกแบบนี้ไม่ได้อะ มองแบบเศร้าๆแต่ยังมีความหวังลมๆแล้งๆที่หล่อเลี้ยงลมหายใจ แล้วต่อจากนั้นคือฮารุโตะพยายามจะมีชีวิตไปวันๆ ไม่อยากมีเรื่องกับใคร ไม่อยากขัดขาใคร ไม่กล้าที่จะมีความฝัน ไม่กล้าที่จะต้องการอะไร มันไปตรงกับสุภาษิตต่างชาติประโยคนึงครับ

You have a life, but you are not alive.

ซึ่งมันหน่วงและทำให้ปวดในอกอย่างจริงจังนะครับ ฮารุโตะสมควรมีคนที่ดูแล ขาดพ่อไม่พอ พี่ชายก็ไม่มี แถมยังถูกรังแกเสียอีก เด็กแบบนี้ควรถูกปล่อยไว้ในชุมชนระดับล่างของสังคมที่ไม่ถูกดูแลเหรอครับ? คำตอบคือไม่

เขาควรที่จะได้ยิ้มจากใจ เขาควรที่จะร้องขอสิ่งที่อยากได้กับคนอื่นได้บ้าง เขาควรได้มีชีวิต ได้ร้องไห้ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ และมีชีวิตกับครอบครัว ไม่ใช่เด็กที่ถูกซ้ายก็ตีไปทาง ขวาก็ตีเขากลับไปทาง หัวใจชอบใครก็เจ็บจบช้ำไปหมด ชินชาจนทำให้โลกของเขากลายเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องอยู่ แต่ห้ามคาดหวัง ห้ามรู้สึกอะไร อย่างนี้นี่มันน่าสงสารเหลือเกินครับ ทำร้ายจิตใจของผมจริงจังเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) เป็นไปได้นี่อยากกอดแน่นๆสักที แล้วบอกว่าร้องไห้ออกมาเลยครับ เอาแต่ใจไปเลย เป็นตัวของตัวเองสักครั้ง เพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง โลกนี้โหดร้ายก็จริง แต่มันต้องมีอยู่สักคนในทุกสังคม คนที่จะเป็นแสงสว่างหรือคอยสร้างความอบอุ่นให้

เอาจริงๆที่ผมพูดนี่ก็ไปตรงกับที่คุณตีสี่เคยบอกไว้นะครับ ว่าฮารุโตะขาดพ่อ เพราะความเป็นพ่อเป็นสิ่งที่ฮารุโตะอยากได้มากที่สุด (เผลอๆอาจจะมากกว่าคนรักเสียอีก) เขาอยากได้คนที่ปกป้องเขา กอดเขาไว้ตอนที่เขาเจ็บ ให้กำลังใจตอนที่เขาล้ม ยิ้มให้ตอนที่เขายิ้ม ปาดน้ำตาตอนที่ฮารุโตะเดินไม่ไหว เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็อยากได้ทั้งพ่อและแม่นั่นแหละ ถ้าพ่อหนีฮารุโตะไปในช่วงที่เขาจำความได้ ฮารุโตะเลยติดภาพว่าอยากได้แบบพ่อมาทำให้ครอบครัวสมบูรณ์ แต่ปัญหาคือคนที่มีคุณสมบัติแบบนี้มันต้องอ่อนโยน และมีมุมใส่ใจคนให้เหมือนครอบครัวเดียวกันโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดๆในระดับนึงน่ะครับ อย่างอาโอกิผมว่าให้บุคลิกแบบพี่ชายแนวๆคุณแม่น่ะครับ ไม่ได้ให้ภาพของพ่อสักเท่าไหร่ อย่างซากินี่ก็แบดบอยเกินไป การทำแต่เรื่องอย่างว่ามันไม่ได้ทำให้สภาพจิตใจฮารุโตะดีขึ้น มันไม่ได้กะเทาะเปลือกของฮารุโตะออกสักนิดเลยเหมือนกัน

ผมมามองๆก็เลย เออจริงแฮะ นาคามูระนี่ตรงกับภาพพ่อเลย อย่างที่ฮารุโตะขาดไปจริงๆ คุณตีสี่วางพล็อตให้ตรงคาแรกเตอร์ได้แม่นและมีมิติจริงๆครับ เนื้อเรื่องมีเหตุมีผลดีมาก ความสัมพันธ์มีประเด็นและละเอียดอ่อน ถ่ายทอดออกมาได้ดีด้วย เก่งครับ! ผมชมเลยตรงนี้ คุณเป็นนักเขียนที่มีพรสวรรค์เลยทีเดียว

อยากรู้เรื่องของชุนกับซากิต่อนะครับ ดูท่าสองคนนี้จะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไหร่แล้วแหละ เอาจริงๆผมว่าฮารุโตะก็ไม่ได้ชอบซากิที่อะไรเลยนะครับ แค่รู้สึกดีกับความใส่ใจที่ซากิทำให้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ฮารุโตะไม่ได้ชอบซากิที่ตัวตนของซากิจริงๆ ผมว่าถ้าชุนมาแบบเดียวกับซากิ ฮารุโตะก็คงจะหวั่นไหวด้วยอยู่ดีนั่นแหละ ตัวซากิเอง ผมมองว่าเขาเห็นฮารุโตะเป็นเด็กธรรมดาๆมากกว่า ซากิเป็นคนมองโลกแง่ร้ายครับ และไม่ชอบดูแลคน เขาทำอะไรตามอารมณ์ เราจะสังเกตได้ว่าถ้าอารมณ์ดีหรืออยากได้เซ็กซ์จากคนยอมๆหรือ่อนๆ เขาก็จะเข้าหาฮารุโตะ แต่ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี หรืออยากได้อะไรตื่นเต้นหน่อย เขาก็จะไปหาคนอื่น (บทที่แปด) มันไม่ได้บอกว่าซากิชอบฮารุโตะจริงๆ ซากิก็แค่ชอบที่ฮารุโตะเงียบๆและไม่โวยวายดี ดีไม่ดีตอนแรกอาจจะชอบเพราะว่าเป็นของใหม่ซะด้วย เคมีระหว่างฮารุโตะกับซากินี่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดใจหน่อยๆ เพราะซากิดูจะครองอำนาจอย่างเดียวเลย เอาแต่สั่ง แล้วก็ไม่แคร์ความรู้สึกอะไรฮารุโตะเท่าไหร่ ไม่ให้ออร่าพระเอกเลย

ดังนั้น ชุนจึงเป็นตัวละครที่น่าสนใจไม่น้อยครับ (ตอนแรกผมนึกว่าตัวละครเด่นจะเป็นเรียวตะ หรือว่าเอคิจิเสียอีก แต่ดูไปดูมา บุคลิกเรียวตะจะไม่ค่อยเข้าแก็ปของเส้นเรื่องฮารุโตะสักเท่าไหร่นะนี่) เรายังไม่เห็นเหตุจูงใจและอนาคตการกระทำของชุน ซึ่งน่าติดตามต่อมากทีเดียว

ส่วนนังเพื่อนผู้หญิงรอบฮารุโตะนี่สมควรโดนธรณีสูบจริงๆ... ปกติผมไม่ด่าผู้หญิงนะครับ แต่นี่มันทุเรศเกินไปนะ หลอกใช้นี่ผมโอเค แต่นี่มันเกินระดับไปแล้วครับ กลุ่มนึงก็เรื่องเรียน อีกกลุ่มก็เรื่องผู้ชาย มันอะไรกันนักกันหนา แถมหลอกใช้เขาไม่พอ ยังไปคุกคามเขาเมื่อหลอกใช้ไม่ได้ คุณเห็นว่าเขาเงียบหน่อยเลยถืออำนาจบาตรใหญ่งั้นเหรอ เฮ้ย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าบ้างปะครับ คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะทำให้เรื่องที่ให้ตัวเองสบายใจโดยไม่คิดคนอื่นเลยงั้นเรอะ จะเกินไปแล้วมั้ง แล้วแม่งคนอื่นนี่เห็นการ bully แบบนี้แล้วไม่มีใครคิดแสดงตัวเลยเรอะครับ มันไม่มีใครมี sense of justice กันหน่อยเรอะ โอ้โห ขึ้นครับขึ้นๆ

สิ่งที่อยากเห็นต่อไปจริงๆก็คงจะเป็นว่า ถ้าซากิ(หรือใครก็ตาม)รู้เรื่องทั้งหมดของฮารุโตะแล้วจริงๆ จะมีปฏิกิริยากับฮารุโตะยังไง จะมีใครเข้าใจแล้วให้ความอบอุ่นแบบครอบครัวกับฮารุโตะไหม แล้วก็อยากเห็นซากิโดน beat-up ด้วย (ฮา) อันหลังสุดนี่ความสะใจส่วนบุคคลนะครับ จากความรู้สึกเห็นใจฮารุโตะและเกลียดการกระทำซากิโดนส่วนตัว (หัวเราะ)
ถูกใจ ถึงใจ สุดๆ
โดยเฉพาะตอนนี้
ส่วนนังเพื่อนผู้หญิงรอบฮารุโตะนี่สมควรโดนธรณีสูบจริงๆ... ปกติผมไม่ด่าผู้หญิงนะครับ แต่นี่มันทุเรศเกินไปนะ หลอกใช้นี่ผมโอเค แต่นี่มันเกินระดับไปแล้วครับ กลุ่มนึงก็เรื่องเรียน อีกกลุ่มก็เรื่องผู้ชาย มันอะไรกันนักกันหนา
แถมหลอกใช้เขาไม่พอ ยังไปคุกคามเขาเมื่อหลอกใช้ไม่ได้ คุณเห็นว่าเขาเงียบหน่อยเลยถืออำนาจบาตรใหญ่งั้นเหรอ เฮ้ย คุณรู้อะไรเกี่ยวกับเค้าบ้างปะครับ คุณไม่รู้อะไรเลย แล้วยังจะทำให้เรื่องที่ให้ตัวเองสบายใจโดยไม่คิดคนอื่นเลยงั้นเรอะ จะเกินไปแล้วมั้ง แล้วแม่งคนอื่นนี่เห็นการ bully แบบนี้แล้วไม่มีใครคิดแสดงตัวเลยเรอะครับ มันไม่มีใครมี sense of justice กันหน่อยเรอะ
โอ้โห ขึ้นครับขึ้นๆ

       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 10 : 4/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-03-2017 00:39:23
เรื่องย่อ ตอนที่ 10

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
และแม้โยชิดะ ริเอะโกะและซาซากิ ฟุมิโอะ ประกาศตัวว่าชอบรุ่นพี่ชิมิซึ ซากิ แต่ใช่ว่าฮารุโตะจะตีตัวออกห่างจากหนุ่มรุ่นพี่ได้ เมื่อชายหนุ่มยังวนเวียนอยู่ใกล้เขาไม่ห่าง ทั้งยังใจดีและอ่อนโยนจนถ้าแม้อีกฝ่ายอยากให้เขาเป็นเพียงตุ๊กตา เขาก็ยอมเป็นเช่นที่หนุ่มรุ่นพี่ต้องการ

ตัวละครเพิ่มเติม
1. ซาโต้ ทาคุมิ เพื่อนคณะเดียวกับฮารุโตะ
2. ฮาราดะ คัทสึโระ อาจารย์ในมหาวิทยาลัย




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 10



ซากิพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดเมื่อเห็นเพื่อนของฮารุโตะตามมาเป็นพรวน แต่พอเห็นสองคนในกลุ่มนั้นรี่เข้ามาหาก็แสร้งยิ้ม พลางเหลือบตามองรุ่นน้องในชมรมที่ก้มหน้าก้มตาเดินไปหานาโอโตะ ฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นมาสบสายตากับเขาชั่วพริบตาหนึ่งก็ก้มหน้าอีกครั้ง ซ้ำคราวนี้ยังหันหลังให้

“วันเสาร์นี้ดีไหมค่ะ”เมื่อเสียงเซ็งแซ่ราวกับนกกระจอกแตกรังของกลุ่มของเพื่อนฮารุโตะเบาลง เขาถึงพอจะจับใจความได้บ้างว่าต่างพูดถึงเรื่องอะไร

“อีกอาทิตย์หนึ่งก็สอบแล้ว ช่วยหน่อยนะคะ”

ซากิเหลือบสายตาไปมองหน้าเรียวตะที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก จนเขาต้องเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ที่นั่งอยู่ข้างๆเรียวตะเป็นอิเคดะ นายะ หนึ่งในเพื่อนของฮารุโตะที่เพื่อนของเขากำลังคุยๆอยู่

“พอดีพวกน้องเขาจะให้ช่วยติวเศรษฐศาสตร์ให้”เรียวตะพูดก่อนจะขยับเข้ามากระซิบบอกเขาใกล้ๆอีกประโยคว่า “แกก็รู้ว่าฉันไม่ถนัดวิชานี้”พูดจบก็หันไปยิ้มให้สาวๆที่นั่งล้อมรอบตรงหน้า

“เอคิจิไง มันได้ท็อปตอนปีหนึ่งด้วย”เขาพูดพลางเปิดหนังสือในมือไปด้วย

“จริงหรือคะ ดีจัง”

“แล้วรุ่นพี่ละ ช่วยติวให้เราสองคนหน่อยได้ไหม”

ซากิมองมือที่วางแปะอยู่บนท่อนแขนเมื่อประโยคนั้นจบลง ก่อนจะไล่สายตาขึ้นมองหน้าเจ้าของมือที่ส่งสายตายิ้มหวานให้เขา ซากิยกยิ้มให้ “วันไหนละ”

“วันเสาร์นี้อย่างไรค่ะ รุ่นพี่ว่างไหม”

เขาทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบไปว่า “ขอโทษทีนะ เสาร์อาทิตย์นี้มีนัดกับคุณป้าแล้ว”

อีกฝ่ายออกอาการเสียดายอย่างชัดเจน เขาได้แต่ยกยิ้มให้โดยไม่พูดอะไรต่อ เหลือบสายตามองหาหนุ่มรุ่นน้องอีกครั้ง ทว่าฝ่ายนั้นหายไปจากห้องชมรมแล้ว เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความ แม้ว่าข้อความที่ส่งไปจะขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ แต่ก็ไม่มีคำตอบใดๆตอบกลับมา ซากิขมวดคิ้วด้วยความขุ่นเคือง

“ฉันกลับก่อนนะ”พอยันตัวลุกขึ้นยืน เสียงพูดคุยรอบตัวก็พลันเงียบกริบ “เผอิญนึกขึ้นได้ว่ามีธุระ”

“เออๆ เจอกันพรุ่งนี้นะเว้ย”

ชายหนุ่มรีบสาวเท้าเดินลงจากตึก ก้าวเท้ายาวๆจนกลายเป็นวิ่ง ไม่นานนักเขาก็เห็นแผ่นหลังเล็กบางของคนที่กำลังตามหาเดินอยู่ไม่ไกล สาวเท้าเข้าไปใกล้จนเหลือระยะห่างเพียงแค่สามสี่ก้าว ร่างนั้นดูเหมือนว่ายังไม่รู้สึกตัว หนุ่มรุ่นน้องก้าวเท้าด้วยระยะสั้นๆจนเหมือนกำลังต่อเท้าเดิน เขาจึงต้องชะลอฝีเท้าให้ช้าลงไปอีก ระหว่างทาง ฮารุโตะแวะเข้าซุปเปอร์มาเก็ต เขาก้าวเท้าเดินตามไป ตามดูห่างๆอย่างนึกสนุก

เด็กหนุ่มเดินไปหยิบตระกร้าใส่ของขึ้นมาถือ เงยหน้ามองป้ายระบุประเภทสินค้า จากนั้นจึงก้าวเท้าเดินเลี้ยวเข้าไปที่แถวชั้นวางสินค้าจำพวกครีมบำรุงผิว เขาเดินตามอยู่ห่างๆและทิ้งระยะแอบดูเมื่อฮารุโตะทำท่าว่าเจอของที่ต้องการแล้ว เด็กหนุ่มร่างเล็กหยิบขวดทดลองออกมาดมกลิ่นอย่างไม่ลังเล

ซากิแสร้งทำเป็นหยิบของชิ้นนี้ชิ้นโน้นขึ้นมาดูขณะที่ลอบมอง

หลังจากหยิบขวดนั้นขวดนี้ขึ้นมาเปิดดมพักใหญ่ ฮารุโตะจึงได้หยิบผลิตภัณฑ์ขวดเต็มออกมาจากชั้น  พลิกขวดอ่านรายละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็วางมันลงที่เดิม เมื่อเห็นว่าฮารุโตะเดินลับไปจากมุมชั้นวางสินค้า ชายหนุมร่างสูงจึงเดินมาหยุดยังจุดนั้น หยิบขวดผลิตภัณฑ์สีขาวตัวหนังสือสีชมพูออกมาดู

“กลิ่นสตอเบอรี่”หรือเขาจะดูผิด ซากิวางขวดในมือลงที่เดิม ก้าวเท้าให้พ้นจากล็อกทางเดินชั้นวางสินค้า กวาดสายตาแค่ครู่เดียวก็พบคนที่มองหา ฮารุโตะใช้เวลาในการเลือกของสดน้อยมาก เพราะตอนที่เขาไปถึงอีกฝ่ายได้หมุนตัวหันหลังเดินออกจากหน้าชั้นวางสินค้าพร้อมกับสินค้าสองสามอย่างในตะกร้า เห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินย้อนกลับมาตามทางเดิม เขาจึงรีบแอบหลบและสาวเท้าตามกลับไปที่ชั้นวางครีมบำรุงผิว

ฮารุโตะวางตะกร้าใส่ของลงกับพื้น สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หยิบเหรียญห้าเยนบ้าง หนึ่งร้อนเยนบ้างรวมกันไว้ที่มือข้างหนึ่ง แล้วล้วงมือตามกระเป๋าเสื้อโค้ทซึ่งมีทั้งเหรียญสิบเยนและเหรียญห้าร้อยเยนออกมา เสื้อโค้ทที่รุ่นพี่อาโอกิให้มามีกระเป๋าเล็กกระเป๋าน้อยกระจายอยู่ทั่ว เมื่อเช้าเขาจึงเอาเศษเหรียญใส่ไว้ทุกกระเป๋าโดยไม่ได้นับจำนวนเพราะกลัวรุ่นพี่ชิมิซึจะเห็นเข้า ฮารุโตะไม่ได้กลัวว่าหนุ่มรุ่นพี่ที่อาศัยอยู่ด้วยกันจะมาขโมยเงินไป แต่รุ่นพี่ต้องถามแน่ๆถ้าเขาทำพฤติกรรมเช่นนั้นต่อหน้า ขนาดตัวเขาเองยังคิดเลยว่าการกระทำแบบนี้มันดูแปลกๆ แต่ถ้าไม่ทำ...และวันนั้นเขาโชคร้ายเจอซากุราอิ ชุนมาทำตัวรีดไถ ก็ต้องสูญเงินไปเปล่าๆ

เด็กหนุ่มนับเหรียญที่อยู่ในมือ หักลบกับค่ากับข้าวแล้วยังขาดอยู่อีกนิดหน่อย จึงได้มองของที่ต้องการตาละห้อย กระนั้นก็ยังลังเลอยู่ดี เขาหยิบของตรงหน้าขึ้นมาดูอีกครั้ง

ใช้โลชั่นกลิ่นสตอเบอรี่จะดูหวานแหววไปหรือเปล่านะ ที่สำคัญราคาก็แพงด้วยแต่มากิบอกว่าใช้ดีนี่นา เขาคิด ก่อนจะตัดใจวางมันลงอย่างจริงจัง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีเงินติดตัว ฮารุโตะจึงหิ้วตะกร้าที่มีเฉพาะอาหารสดไปชำระเงิน

ออกจากซุปเปอร์มาเก็ต เด็กหนุ่มเดินตรงดิ่งกลับห้อง เตรียมตัวไปอาบน้ำก่อนไปเข้าทำงาน หยิบเสื้อผ้าและของใช้ใส่กระเป๋า แล้วล้วงเอากล่องใส่เงินที่ซ่อนไว้มุมตู้ออกมา มองแบงค์พันเยนด้วยความเสียดายก่อนจะหยิบมันใส่กระเป๋า ปิดประตูล็อกห้องอีกครั้ง ในหัวยังคงลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี ตอนเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำสาธารณะก็ยังคิดไม่ตก จนกระทั่งมาถึงที่ทำงาน เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย หยิบไม้ถูพื้นเข้าไปในร้าน คราวนี้เลยได้ตัดใจจริงๆเสียที เพราะร้านที่เขาทำอยู่ไม่มีโลชั่นชนิดนั้นวางจำหน่าย
เวลาทำงานผ่านไปอย่างรวดเร็ว ที่ห้องพักพนักงานมีสินค้าที่หมดอายุวันพรุ่งนี้กับอาหารปรุงสำเร็จที่เหลือจากการขายหน้าร้านวางไว้ อาหารปรุงสำเร็จมีแค่หมูผัดเปรี้ยวหวานกับฟักทองผัดไข่ ฮารุโตะเดินกลับเข้าไปหน้าร้าน เป็นจังหวะดีที่ไม่มีลูกค้าจึงเอ่ยถามไดกิเรื่องอาหารปรุงสำเร็จ

“ขอเป็นหมูผัดเปรียวหวานแล้วกัน ไม่ค่อยถูกกับฟักทอง”

ฮารุโตะยิ้มขำ

“มีข้าวปั้นหรือเปล่า”

“อืม เหลือแค่บ๊วย มีนมรสสตอเบอรี่อีกกล่อง”

“ฮารุโตะกินนมสตอเบอรี่ใช่ไหม”

“อืม”มีอะไรเขาก็กินทั้งนั้น

“โอเค ตามนั้น ขอบใจมาก” ฮารุโตะยิ้มรับ

ที่ร้านจะมีแพ็คอาหารปรุงสำเร็จขายระหว่างวัน มีของมาส่งเป็นรอบๆ แต่ละรอบจำนวนไม่เยอะก็จริง แต่มีบ้างที่ของรอบนั้นเหลือจนขายไม่หมด อาหารหลายอย่างวางยาวอย่างน้อยทั้งวันก่อนจะเก็บออก เพราะคนเคลียร์สต็อกเป็นผู้จัดการร้านกับรุ่นพี่อีกคนที่เป็นพนักงานประจำซึ่งทำงานมานานแล้ว ส่วนสินค้าที่ใกล้หมดอายุจะถูกลดราคาขายล่วงหน้าตามประเภทสินค้า  ก่อนจะถูกเก็บออกจากชั้นจริงๆ

อาหารปรุงสำเร็จและของพวกนี้ไม่ได้ถูกทิ้งทันที ผู้จัดการร้านจะวางไว้ให้พวกเขาได้กินฟรีระหว่างพัก หรือจะเอากลับบ้านก็ไม่มีใครว่า นานๆทีก็มีของดีๆหลุดมาบ้าง อย่างวันแรกที่เขาเข้ามาทำงาน ไดกิก็ยกกุ้งเทมปุระให้เขา หลังจากนั้น ถ้ามีของวางอยู่ในห้อง เขาจึงมักจะเข้าไปถามไดกิก่อนอยู่เสมอ จนอีกฝ่ายชมเขาว่าเป็นคนดี ทั้งที่จริงแล้วเพราะเขาเป็นคนไม่เลือกกินต่างหาก
เด็กหนุ่มเจาะนมกล่องนั้นกินทันทีที่เดินออกมาจากประตูสำหรับพนักงานด้านหลัง ขนาดของนมกล่องเล็กนิดเดียวเขาจึงใช้เวลาดูดไม่กี่ครั้งก็หมด เขย่าจนแน่ใจว่าไม่มีเหลือแล้วจึงได้โยนกล่องทิ้งลงถังขยะ หน้าร้านยังมีกลุ่มคนยืนอยู่บ้าง ดูจากหน้าตาแล้วก็คงเป็นพนักงานบริษัทกับนักศึกษา ไดกิเคยบอกว่าเลยไปอีกหน่อยมีร้านเหล้ากับผับ ตอนนั้นฮารุโตะได้แต่พยักหน้ารับ
เดินห่างจากร้านมาอีกหน่อย เขาเห็นรุ่นพี่ชิมิซึนั่งพิงอยู่บนรั้วกั้นถนน จึงเดินเข้าไปหา

“รุ่นพี่”พอร้องเรียกออกไป ชายหนุ่มร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนและยื่นมือมาตรงหน้าเขา ภาษากายง่ายๆแบบนี้เขาเข้าใจ จึงวางมือลงไปบนมือข้างนั้น รุ่นพี่ไม่ได้พูดอะไรมากแค่จูงมือให้เขาเดินตาม

ตลอดทางมีแต่ความเงียบ รุ่นพี่ไม่ใช่คนช่างพูด เขาเองก็เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ฮารุโตะกลับชื่นชอบช่วงเวลาแบบนี้ แค่มีใครสักคนเดินอยู่เคียงข้าง

เมื่อปิดล็อกประตูห้องเรียบร้อย รุ่นพี่ก็เดินมาเข้ามาประชิด ฮารุโตะหัวใจเต้นแรงตึกตัก เหมือนจะรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร วันที่หนุ่มรุ่นพี่อารมณ์ดีจะอ่อนโยนกับเขามากและเขาก็ชื่นชอบสัมผัสแบบนั้น

ซากิดึงให้ฮารุโตะให้ทรุดตัวลงนั่งซ้อนบนตัก ถอดเสื้อแขนยาวที่อีกฝ่ายสวมอยู่ออก เหลือเสื้อตัวในที่เป็นเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นไว้ เพราะเพิ่งเปิดฮีตเตอร์ อากาศในห้องจึงค่อนข้างเย็น ชายหนุ่มหยิบขวดครีมบำรุงผิวสีขาวที่ถือติดมือมาเปิดฝา หนุ่มรุ่นน้องมีสีหน้าแปลกใจ แต่ยังคงนั่งเงียบๆให้เขาทาครีมลงบนผิว จากนั้นเขาจึงจรดปลายจมูกเพื่อดมกลิ่น

“กลิ่นหอมดี” หอมจนน่ากัด ประโยคหลังเขาไม่ได้พูดออกไป

เมื่อพูดไปเช่นนั้น ฮารุโตะจึงยกแขนตัวเองขึ้นมาดมบ้าง เด็กหนุ่มยิ้มกว้างอย่างถูกใจ

“ทาเลยนะ”ซากิไม่ปล่อยให้คนในอ้อมกอดปฏิเสธ ถอดเสื้อแขนสั้นตัวในของฮารุโตะออก ลูบไล้โลชั่นสีขาวกลิ่นสตอเบอรี่ลงบนตัวของฮารุโตะ ร่างเล็กบางกว่าจึงนั่งอย่างไม่เป็นสุขเมื่อมือหนาปัดป่ายไปทั่วแผ่นอก และผวากอดบดเบียดร่างกายเข้าหา

ซากิหัวเราะ ผละออกเพื่อสวมเสื้อให้ตามเดิมแล้วลุกขึ้นไปดึงฟูกนอนออกมากาง หนุ่มรุ่นน้องจึงขยับตัวหยิบผ้าคลุมฟูกมาปูทับ ลุกขึ้นไปแปรงฟันเปลี่ยนกางเกง แล้วกลับมาตบหมอนเตรียมล้มตัวลงนอน แต่โดนรั้งให้ไปนั่งซ้อนบนตักของหนุ่มรุ่นพี่อีกแล้ว ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม อีกฝ่ายก็สอดมือหายเข้าไปในกางเกงวอร์มขายาวของเขา ฮารุโตะจึงต้องยกมือขึ้นปิดปากเสียแทน 

แค่แป็บเดียวกางเกงขายาวของเขาก็หลุดออกจากตัว โดนจับให้หันหน้าเข้าหา ตัวเขาที่เคยทำเรื่องแบบนี้มาหลายต่อหลายรอบก็พอรู้ว่าต้องทำอะไรต่อไป จึงล้วงมือเข้าไปในกางเกงของอีกฝ่าย งัดแก่นกายร้อนระอุออกมารูดรั้ง อีกมือหนึ่งก็ปิดปากกลั้นเสียงของตัวเองไว้ ช่องทางด้านหลังโดนหยอกเย้าจนขนลุกเสียวซ่านไปทั้งตัว ก่อนจะถูกดันตัวให้ล้มลงนอนและถูกสวมถุงยางให้ ทั้งยังนอนแยกขาออกกว้างอยู่เช่นนั้น ฮารุโตะหลับตาหลบแสงไฟกลางห้อง ครู่ต่อมาแสงไฟนั้นก็ถูกร่างกายใหญ่โตของรุ่นพี่บดบังเสียมิด

ฮารุโตะสูดลมหายใจเข้าเมื่อรู้สึกถึงความคับแน่นที่ฝืนดันเข้ามา หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าเดิม ร่างกายร่ำร้องด้วยความปรารถนา จนจังหวะสุดท้ายที่ชายหนุ่มฝืนดันรวดเดียวเข้ามาจนสุด เขาชาวาบรู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นลามไปทั่วร่าง เคยชินกับความรู้สึกนี้ ร่างกายกระสันอยากจนตอดรัดความใหญ่โตที่สอดใส่เข้ามาเป็นจังหวะเดียวกับอัตราการเต้นของหัวใจ ร่างกายของเขาบีบรัดอย่างอัตโนมัติยามที่อีกฝ่ายขยับกายถอดถอน เสียดเสียวยามที่ชายหนุ่มร่างสูงกดชำแรกเข้าหา ฮารุโตะอยากจะกรีดร้องดังๆเพื่อระบายความสุขสม เพียงแต่สติส่วนหนึ่งที่ยังคงเหลือก็เป็นฝ่ายที่ดึงรั้งเขาไว้ ดังนั้นภายในห้องจึงมีแค่เสียงหอบหายใจ และเสียงผิวเนื้อเปล่าเปลือยกระทบกันด้วยจังหวะอันหนักหน่วง

“น่าเสียดายที่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด”ซากิกระซิบบอก เมื่อโน้มตัวเข้าหาเขาและลดจังหวะให้ช้าลง

“ศุกร์นี้ไปนอนโรงแรมกันนะ”

ฮารุโตะรีบสั่นศีรษะปฏิเสธทันที “จะ...สอบ”เสียงที่เปล่งออกมากระท่อนกระแท่นไม่เป็นประโยค ร่างด้านบนจึงถอนหายใจ  ช้อนร่างของหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นนั่ง โอบเอวและกดจูบลงบนริมฝีปากแดงจัดเนิ่นนานพลางขยับกายสวนขึ้นเนิบนาบ และผละให้ร่างเล็กกว่าล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ก่อนเร่งเร้าจังหวะให้พวกเขาทั้งคู่แตะจุดหมายปลายทาง

ฮารุโตะพล็อยหลับลงทันที ไม่รอให้เขาถอนกายออกด้วยซ้ำ ซากิยกยิ้มโน้มตัวเข้าหาแตะริมฝีปากลงกับหน้าผากเนียน

“รอให้สอบเสร็จก่อนเนอะ”






หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 10 : 4/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-03-2017 00:44:58
จบคาบบ่ายวันนั้น ฮารุโตะโดนอาจารย์ประจำวิชาเรียกพบ เขาไม่ใช่เด็กเรียนตัวอย่างแม้ว่าจะสอบได้ทุน ทุนที่เขาได้รับเป็นทุนผูกพันภายใต้เงื่อนไขที่ต้องทำงานให้กับบริษัทที่ให้ทุนอีกห้าปี เขาไม่ใช่เด็กกิจกรรมที่ชอบการแสดงออก หรือกระตือรือร้นต้องการเป็นจุดเด่น ว่ากันตามตรงถ้าไม่มีทุนนี้ผ่านเข้ามา ฮารุโตะไม่มีความคิดที่จะเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ

ตอนที่เขาก้าวเท้าเข้าไปหาอาจารย์ ยังคงมีนักศึกษาอีกหลายคนที่ยังอยู่ในห้อง

“ผมยังไม่เห็นรายงานของคุณ”เสียงของอาจารย์หนุ่มนิ่งเรียบเข้ากับใบหน้าเย็นชาภายใต้กรอบแว่น “เพราะเห็นว่าคุณเป็นนักเรียนทุน เลยมาถามคุณก่อน”

“ผม...ส่งไปแล้วครับ”ฮารุโตะอึกอัก เพราะตกใจด้วยประการหนึ่ง กอปรตื่นกลัวด้วยอีกประการหนึ่ง

“แต่ที่โต๊ะผมไม่มี ถ้าคุณบอกว่าเคยส่งให้ผมแล้ว ถ้าเช่นนั้นขอให้คุณทำสำเนาเล่มใหม่มาส่งผมพรุ่งนี้แล้วกัน”

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดตอบ เพื่อนนักศึกษาคนหนึ่งก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน “มิอุระซังส่งรายงานแล้วจริงๆครับอาจารย์ เมื่อวันนั้นผมเอารายงานไปส่ง ยังเห็นรายงานของเขาวางอยู่เลย”

“เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ขอให้คุณนำรายงานมาส่งผมภายในพรุ่งนี้ก็พอแล้ว”อาจารย์ประจำวิชาตัดบท

พอคล้อยหลังอาจารย์ประจำวิชา เพื่อนนักศึกษาคนนั้นยังมาพูดกับเขาต่อไปว่า “นายมีไฟล์อยู่กับตัวหรือเปล่า ฉันว่านายน่าจะทำให้เสร็จแล้วไปส่งอาจารย์ภายในวันนี้ก็ดีนะ อาจารย์ฮาราดะน่ะ อยู่มหา’ลัยจนค่ำทุกวัน ถ้าแค่ปริ้นอย่างเดียว น่าจะส่งภายในวันนี้ทัน”

น้อยครั้งยามที่ฮารุโตะต้องเผชิญปัญหาแล้วจะมีคนยื่นมือมาช่วย เขาอดดีใจกับการกระทำเช่นนั้นของอีกฝ่ายไม่ได้ จึงยกยิ้มให้ พอสบสายตาก็ก้มหน้าลงด้วยความเคยชิน

“น่าแปลกจังเนอะ พวกเราเรียนรุ่นเดียวกันมาตั้งนานแล้ว ยังไม่เคยคุยกันเลย”

ฮารุโตะได้แต่พยักหน้ารับ ไร้ความกังขาใดๆกับคำพูดของอีกฝ่าย

“งั้นเดี๋ยวพวกเราไปกันเถอะ ฉันจะช่วยนายเอง”

“มิอุระซัง”เสียงเรียกของหญิงสาวทำให้พวกเขาหันไปมอง “เสร็จหรือยัง ไปชมรมกันเถอะ” แน่นอนว่าชมรมที่เธอกล่าวถึงคือชมรมถ่ายภาพ

“ผมต้องไปทำรายงานก่อน”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำไม่ได้หรือ ช่างมันก่อนเถอะวันนี้ไปชมรมก่อนดีกว่า”ฟุมิโอะบอกกับเขา

“เดี๋ยวได้อย่างไร เดี๋ยวก็โดนตัดคะแนนกันพอดี”เพื่อนใหม่ที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยแทรกขึ้นมา จนฟุมิโอะหน้างอ มากิเห็นท่าไม่ดีจึงเข้ามาพูดไกล่เกลี่ย

“เอาอย่างนี้นะ มิอุระซัง พาพวกเราไปชมรมก่อนแล้วกันนะ แล้วค่อยไปทำรายงาน ฉันว่าคงไม่เสียเวลาเท่าไหร่หรอกนะ” แล้วกระซิบกับเขาเบาๆว่า “ฉันไม่อยากให้ฟุมิโอะกับริเอะโกะอารมณ์เสียนะ นายคงเข้าใจใช่ไหม”

ฮารุโตะพยักหน้ารับทันที เขาเองก็ไม่อยากให้สองคนนั้นอารมณ์เสียเหมือนกัน

“ขอโทษนะ เดี๋ยวผมไปที่ชมรมก่อน”ฮารุโตะหันไปพูดกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ยืนอยู่ข้างๆเขา “ขอบคุณมากนะ เดี๋ยวผมจัดการเองได้”

“ตัวก็ไม่ได้ติดกันซะหน่อย ทำไมไปกันเองไม่ได้”เด็กหนุ่มอีกคนยังไม่วายพูดแขวะ ริเอะโกะทำท่าไม่พอใจ ดีว่ามากิรั้งตัวห้ามไว้เสียก่อน แล้วลากให้เดินออกจากห้อง ฟุมิโอะจึงเชิดหน้าเดินตามไป คนอื่นๆจึงทยอยเดินนำไปก่อน

“ฉันไปด้วยแล้วกัน นายเข้าชมรมด้วยหรือ”คนถามออกปากถามด้วยความแปลกใจ พอได้รับคำตอบเขายิ่งแปลกใจยิ่งไปกว่าเดิม

“ไม่คิดว่านายจะชอบถ่ายรูป”

“ก็...ไม่เชิงนะ”ฮารุโตะไม่ได้ปฏิเสธหรือตอบรับชัดเจน เพราะจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ในการสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพของตน เขาจึงเลี่ยงไม่ตอบคำถามมากนัก

ที่ห้องชมรมถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้นสามของอาคารในคณะศิลปศาสตร์กลับมาคึกคักอีกครั้ง ด้วยจำนวนสมาชิกในห้องราวๆยี่สิบคนซึ่งส่วนใหญ่ต่างจับกลุ่มกันติวหนังสือ กลุ่มรุ่นพี่ประธานชมรมอยู่กันเกือบครบ จะมีหายไปก็เฉพาะรุ่นพี่อาโอกิ

“นี่เหรอ ห้องชมรมถ่ายภาพ” เด็กหนุ่มถามพลางกวาดสายตาไปทั่วห้อง ห้องกว้างขนาดห้องบรรยายสำหรับนักศึกษาประมาณหนึ่งร้อยคนซึ่งถูกแปลงไปจนไม่เหลือสภาพห้องเรียน ชุดโซฟาหนังสีเข้มตั้งอยู่ริมหน้าต่างตรงมุมห้อง ห่างออกมาเป็นโต๊ะประชุมตัวยาว อีกฟากมีฉากและผ้ากั้นเป็นห้องแต่งตัวกับสตูดิโอถ่ายภาพ ทั้งยังมีโต๊ะตั้งคอมพิวเตอร์ เครื่องมัลติปริ้นเตอร์ไว้ให้ใช้งาน

“ว้าว เจ๋งแหะ มหา’ลัยยอมให้งบมาทำแบบนี้ด้วยหรือเนี่ย”

“ก็ไม่ใช่งบมหา’ลัยทั้งหมดหรอก เงินส่วนตัว เงินรางวัลประกวดแล้วก็รายได้ที่หาเข้าชมรมต่างหาก ที่ทำให้ได้ถึงขนาดนี้”คนอธิบายคือนาโอโตะที่เพิ่งเดินตามหลังรุ่นน้องร่างเล็กเข้ามา เมื่ออีกฝ่ายหันมาหา เขาจึงพลางพยักเพยิกไปยังบุคคลที่ตนไม่รู้จัก

“แล้วใครละนี่ ฮารุจัง”

“อ่ะ ฮารุจังงั้นเหรอ สมกับตัวดีเหมือนกันนะ ต่อไปฉันจะเรียกนายว่าฮารุจังบ้าง”เด็กหนุ่มอารมณ์ดีหันไปพูดกับคนข้างตัว จากนั้นจึงแนะนำตัวเองด้วยเสียงดังฟังชัดว่า

“ซาโต้ ทาคุมิครับ เรียนคณะเดียวกับมิอุระซัง”

“เพื่อนที่คณะ?”นาโอโตะทวนคำซ้ำด้วยความแปลกใจ ก่อนจะมองเพื่อนที่คณะของฮารุโตะตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง เมื่อหมดความสนใจจึงเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนซึ่งล้อมรอบด้วยกลุ่มสาวสวยเพื่อนของฮารุโตะอีกเช่นเดียวกัน สี่หนุ่มนั่งเอกขเนกอยู่บนพื้นมุมหนึ่งของห้อง ให้อารมณ์เหมือนสุลต่านหรือไม่ก็หัวหน้ากลุ่มกองโจรที่มีสาวๆคอยปรนิบัติพัดวี

“เรย์ ขอคุยด้วยหน่อย”เสียงของรุ่นพี่ผู้แสนใจดีเรียบนิ่งจนฮารุโตะเสียวสันหลัง

“เว้ยๆ งานนี้โดนเฉือนให้เป็ดกินแน่”เรียวตะร้องแซวคนที่รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ทีนแหนะ เก็บปากไว้กินข้าวเหอะ”เรย์หันไปแยกเขี้ยวข่มขู่คนแซว

ฮารุโตะหันซ้ายหันขวาดูว่ากลุ่มของมากิไม่มีปัญหาอะไรกับเขาแล้ว จึงเดินตรงไปหารุ่นพี่รองประธานชมรม “วันนี้ผมกลับก่อนนะครับ”

“เอ้า... มาแค่นี้หรือ”นาโอโตะถาม เมื่อเห็นรุ่นน้องพยักหน้ารับจึงถามต่อไปอีกว่า “สอบเสร็จวันไหนละ”

“วันที่สิบครับ มีสอบแต่ช่วงเช้า”

“อย่างนั้นหลังสอบเสร็จมาหาพี่ที่ชมรมด้วยนะ ไม่ต้องเตรียมข้าวกล่องมาละ เดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”พอรุ่นพี่อาโอกิยิ้มให้ เขาถึงใจชื้นขึ้น เพราะกลัวว่าจะเผลอทำอะไรให้รุ่นพี่โกรธ

เขากล่าวลาซ้ำอีกครั้งก่อนจะดึงทาคุมิที่จ้องหน้ารุ่นพี่อาโอกิเขม็งออกมาด้วย

“สวยชะมัด ผู้ชายอะไรว่ะเนี่ย”ชายหนุ่มบ่นพึมพำออกมาทันทีที่พ้นออกมาจากห้อง “นายได้เจอพี่เขาบ่อยๆแบบนี้โชคดีชะมัด”

เด็กหนุ่มก็คิดว่าตัวเองโชคดี แต่มันก็ก้ำกึ่งกันในหลายความรู้สึก จนฮารุโตะไม่สามารถพูดเต็มปาก

พวกเขาเดินตามกันมาจนถึงอาคารหอสมุด ฮารุโตะลงทะเบียนเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ด้วยความคุ้นเคย จนกระทั่งเด็กหนุ่มสั่งพิมพ์รายงานในแฟลชไดร์ฟเรียบร้อยและนำไปเข้ารูปเล่ม ทาคุมิจึงพูดขึ้นมาว่า

“ตกลงฉันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเนอะ”

ฮารุโตะยกยิ้มปลอบใจ “ก็ช่วยมาเป็นเพื่อนไง ผมดีใจมากเลยนะ”คราวนี้ทาคุมิยิ่งนิ่งมองเพื่อนร่วมรุ่นร่างเล็กตรงหน้า  นิ่ง มองนัยน์ตาสีน้ำตาลซื่อๆ ก่อนจะทำท่าซาบซึ้งเสียเต็มประดา แล้วพูดด้วยออกมาด้วยท่าทางเกินจริงว่า “นายนี่มันเป็นคนดีชะมัด”

คนที่ถูกชมก้มหน้าลงยิ้มเขิน ถึงไดกิจะชอบชมเขาว่าเป็นคนดี แต่พอมีคนอื่นมาพูดซ้ำมันก็ทำให้หัวใจของเขาพองโตขึ้นได้อย่างไม่ยากเย็น

“เห็นนายอยู่แต่กับพวกผู้หญิงเลยไม่ได้เข้าไปทัก ไว้ฉันจะพาไปรู้จักกลุ่มพวกฉัน”เพราะทาคุมิช่างพูดช่างคุยให้ความรู้สึกเหมือนรุ่นพี่ฮายาชิที่ดูเฮฮาเข้ากับคนง่าย ฮารุโตะจึงกล้าคุยกับอีกฝ่าย

“ซาโต้ซังไม่ชอบหรือ”

“ไม่ชอบ? หมายถึงอะไร พวกมินามินะเหรอ ก็ไม่เชิงหรอก พวกนั้นก็สวยดีนะ แต่พอพวกผู้หญิงมารวมตัวอยู่ด้วยกันเยอะๆแล้วค่อนข้างน่ารำคาญนะ นายไม่รู้สึกเหรอ ถึงจะให้ความรู้สึกว่าเหมือนจะรักใคร่กันดีแต่ก็หมือนจะมีแต่อิจฉากัน”ทาคุมิพูดไม่หยุด จนเขาไม่มีโอกาสให้พูดแทรก แต่ฮารุโตะไม่ได้เดือดร้อนกับเหตุการณ์แบบนี้ ถึงจะฟังและคิดตามไม่ค่อยทันในบางครั้งแต่เขาก็พยักหน้ารับรู้เป็นเชิงว่าเขากำลังตั้งใจฟังอยู่

ฮารุโตะแยกย้ายกับทาคุมิหน้ามหาวิทยาลัย จากนั้นจึงก้าวเท้าไปทำกิจวัตรประจำวัน หลังเลิกงานรุ่นพี่ชิมิซึมารอเขาอยู่ที่เดิม ถึงจะพยายามยกยิ้มให้แต่เขายังคงรู้สึกกังวล เรื่องฟุมิโอะกับริซาโกะก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่เขาหนักใจมากกว่าคือเรื่องการสอบที่กำลังจะมาถึง การมีอะไรกับรุ่นพี่มันให้ความรู้สึกดีก็จริง แต่มันจะทำให้เขาง่วงจนนอนเพลิน

เขายกมือขึ้นมานับนิ้ว ในสมองนึกถึงจำนวนวิชาที่เขายังไม่ค่อยมีความมั่นใจและยังอ่านไม่ครบจำนวนรอบที่เขาคิดไว้ ฮารุโตะติดนิสัยที่ต้องอ่านหนังสืออย่างน้อยสี่ถึงห้ารอบต่อเล่ม มันเลยค่อนข้างต้องใช้เวลาในการอ่านค่อนข้างมาก แต่ถึงจะอ่านเยอะขนาดนี้แล้ว ผลสอบของเขาก็ยังอยู่ในเกณฑ์ธรรมดา

“ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า คืนนี้ไม่ทำอะไรทั้งนั้น”

ซากิปล่อยมือเล็กบางที่จับไว้ เปลี่ยนมาเป็นโอบไหล่อีกฝ่ายเข้ามาใกล้แทน ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงปมบนหัวคิ้ว คล้องกระเป๋าเสื้อผ้าของฮารุโตะไว้ที่ข้อแขน โน้มหน้าเข้าไปกระซิบชิดใบหู

“แต่สอบเสร็จเมื่อไหร่ ก็เตรียมตัวไว้ด้วยละ”

“ยังไม่ได้หรอกครับ”เมื่อหันไปเห็นว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ใกล้เสียจนปลายจมูกชนกัน เขาจึงเบือนหน้าหนี ก้มหน้าลงต่ำซ่อนใบหน้าแดงเรื่อ

“มีนัดกับรุ่นพี่อาโอกิแล้วครับ”

“นัดไปไหน”

“ไม่รู้ครับ รุ่นพี่ไม่ได้บอกรายละเอียด”

“อ่อ”

ซากิครางรับในลำคอไม่ได้ตอแยอะไรกับรุ่นน้องอีก และคืนนั้นเขาก็แค่นอนกอดอีกฝ่ายไว้ เป็นเช่นนี้ทุกวันจนกระทั้งเสาร์อาทิตย์ฮารุโตะก็ยังตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือจนชายหนุ่มนึกเบื่อ

ฮารุโตะเหลือบมองหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือ แม้หน้าตาจะดูเงียบๆเฉยๆ แต่เขากลับรู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวอีกฝ่ายที่ดูหงุดหงิดไม่พอใจ

“รุ่นพี่ไม่ออกไปไหนหรือครับ”

พอสายตาดุคมตวัดมองมา เขาจึงก้มหน้าหลบแทบไม่ทัน ประกอบกับเสียงปฏิเสธเย็นเฉียบ เด็กหนุ่มจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก

“ไม่”

นั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง หนุ่มรุ่นพี่ก็ขยับมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง “อ่านเศรษฐศาสตร์ซิ” วิชาดังกล่าวเป็นวิชาบังคับที่นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งทุกคณะต้องเรียน ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการให้เขาทำแบบนั้นทำไม แต่ฮารุโตะก็ไม่ปฏิเสธ

“ไม่เข้าใจตรงไหนหรือเปล่า” เสียงคนถามนุ่มทุ้มต่างจากเมื่อสักครู่ราวฟ้ากับเหว ฮารุโตะขมวดคิ้วด้วยความงุนงง กระนั้นก็ไม่กล้าหันหน้าไปถามเพราะรุ่นพี่วางคางอยู่บนไหล่ของเขา ใกล้กันชนิดแก้มแนบแก้ม

เห็นหนุ่มรุ่นน้องยังนิ่งเงียบ ซากิจึงเอ่ยปากถาม “เศรษฐศาสตร์จุลภาคคืออะไร”

“เป็นเศรษฐศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งศึกษาพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคล ครัวเรือน และบริษัท ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยเฉพาะในตลาดซึ่งมีการซื้อขายสินค้าและบริการ”เพราะอีกฝ่ายถามมาเขาจึงตอบออกไป ซึ่งคำตอบทุกคำล้วนตรงตามที่มีเขียนไว้ในหนังสืออย่างไม่ผิดเพี้ยน

“กฎของอุปสงค์ละ”

“ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น ปริมาณการซื้อจะลงลด ถ้าราคาสินค้าต่ำลง ปริมาณการซื้อจะสูงขึ้น”ฮารุโตะขยับตัวหันไปหน้าไปมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร คิดไปว่า หรือรุ่นพี่จะมีสอบวิชานี้ด้วย

“การที่เส้นอุปทานแรงงานของบุคคลมีลักษณะวกกลับมีเหตุผลอะไร”

“ม...เมื่ออัตราค่าจ้างสูงขึ้นถึงระดับเพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว แรงงาน...จึงต้องการพักผ่อนมากกว่าที่จะทำงาน”

ซากิส่งเสียงฮึดฮัด ก่อนจะถามต่อไปอีกว่า

“การตัดสินใจลงทุนผลิตสินค้า ต้องพิจารณาจากอะไร”

“อัตรา...” ฮารุโตะตื่นเต้นจนต้องนิ่งเงียบไปนาน สาเหตุจากเมื่อตอบคำถามก่อนหน้าจบรุ่นพี่ก็ถามคำถามนี้ขึ้นมาทันที “ผลตอบแทนต้องมีค่ามากกว่าดอกเบี้ย”

ซากิพ่นลมหายใจออกอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะขยับโต๊ะอุ่นขาให้ออกห่างเล็กน้อย และหยิบหมอนมาวางบนหน้าขาของหนุ่มรุ่นน้อง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอน ฮารุโตะนั่งนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นพี่หลับตาลงไปแล้ว เขาก็ไม่ได้แย้งอะไรอีก ได้แต่หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ขึ้นมาอ่านต่อเงียบๆ



สัปดาห์สุดท้ายของปีการศึกษาก่อนเข้าสู่ช่วงสอบปลายภาค หลายวิชาเป็นชั่วโมงเรียนเพื่อการสรุปเนื้อหาก่อนสอบ แต่สำหรับวิชาปฏิบัติการณ์การทดลองพื้นฐานชั่วโมงเรียนสุดท้ายนี้มีไว้เพื่อการสอบ รูปแบบการสอบคือให้นักศึกษาทำการทดลองที่จุดปฏิบัติการณ์แต่ละจุดและเขียนผลการทดลองลงในกระดาษคำตอบ ซึ่งต้องทำการทดลองสามหัวข้อในเวลาที่กำหนด

ฮารุโตะตื่นเต้นมากที่สุดก็ตรงจับเวลาทำการทดลองนี่ละ ยิ่งเขาเป็นพวกชักช้าอืดอาดอยู่ด้วย

ในห้องทดลองที่เคยนั่งเรียนถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสามหัวข้อการทดลอง  พวกเขาจะถูกเรียกเข้าไปสอบทีละสิบห้าคน กำหนดเวลาแค่รอบละสิบห้านาที ฮารุโตะตื่นเต้นมากจนมือเย็นไปหมด

“เป็นอะไรนั่งเงียบเชียว”ทาคุมิถามขึ้น พวกเขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น จนโดนลากให้ไปอยู่กลุ่มผู้ชายด้วยกันแทนที่จะปล่อยเขาให้อยู่กับกลุ่มของมากิ

อยู่กับกลุ่มเพื่อนของทาคุมิ เขาไม่กล้าพูดมากแม้ว่าปกติเขาจะไม่กล้าพูดอยู่แล้วก็ตาม ให้นั่งเรียนด้วยกันหรือไปกินข้าวกลางวันด้วยกันก็พอทำได้ แต่ถ้าหลังเลิกเรียนมีการชวนไปไหนเขาจะปฏิเสธทันที กลุ่มเพื่อนของทาคุมิเองก็คงจะเห็นว่าเขาไม่ค่อยสนิทใจนัก ถึงไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายกับเขา

แต่เจ้าตัวคนที่ลากพาเขาเข้ามาคงไม่รู้สึกถึงความไม่ปกตินี้ ถึงยังคุยร่าเริงอยู่กับเขา

“มือเย็นเชียว”พูดพลางคว้ามือของฮารุโตะขึ้นไปบีบๆจับๆ “มือโคตรเล็กเลยอ่ะ”

ถ้าเทียบกับเด็กผู้ชายในวัยเดียวกัน ฮารุโตะนับว่าเป็นผู้ชายตัวเล็กอยู่แล้ว จึงยิ่งไม่แปลกที่มือของเขาจะมีขนาดเล็กเช่นเดียวกัน “นิ้วเรียวโคตร” คนพูดวางมือของตัวเองประกบเทียบกับมือของเขา จากที่ตื่นเต้นอยู่ ฮารุโตะหายตื่นเต้นทันที พลางเหลือบสายตาไปสังเกตกลุ่มเพื่อนของทาคุมิ เพราะกลัวว่าจะโดนมองแปลกๆ แล้วก็มีคนมองอยู่จริงๆ เขาจึงยิ่งก้มหน้าหลบสายตา

“เฮ้ย ถึงตาแกแล้วนะ ทาคุมิ”คนถูกเรียกพยักหน้าอือออ แล้วรีบลุกไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครคุยกับเขาอีก เด็กหนุ่มจึงหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน รอจนถึงรอบที่เขาต้องสอบจึงเก็บหนังสือลงกระเป๋าแล้วลุกขึ้นเดินตามกลุ่มคนที่สอบรอบเดียวกัน อาจารย์คุมสอบประกาศให้ทุกคนวางกระเป๋าไว้หน้าชั้นเรียน โดยให้หยิบไปเฉพาะอุปกรณ์เครื่องเขียน

ฮารุโตะเดินไปยืนประจำจุดที่ได้รับการแจ้งไว้ก่อนหน้า มีอาคาริ มิสะ และซุซุกิ จิเอะ ยืนประจำอยู่ที่การทดลองอีกสองหัวข้อที่เหลือ

“ขอให้นักศึกษาทุกคนเขียนชื่อลงบนกระดาษคำตอบให้เรียบร้อยนะคะ กระดาษคำตอบนี้ใช้สำหรับทั้งสามหัวข้อ เมื่อหมดเวลาทำการทดลองหัวข้อสุดท้าย ให้วางที่โต๊ะ อาจารย์ผู้ช่วยจะเข้าไปเก็บเอง และให้นักศึกษาล้างทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลองให้เรียบร้อย”

ฮารุโตะเหลือบมองอาจารย์ผู้ช่วยก่อนจะลงมือเขียนชื่อตามที่ได้ยินประกาศ

“ออดสัญญาณครั้งแรกให้เริ่มทำการทดลอง ออดสัญญาณครั้งที่สองให้ย้ายไปทำการทดลองที่สอง ออดครั้งที่สามให้ย้ายไปทำการทดลองที่สาม โดยให้เดินเวียนไปทางซ้ายมือของตนนะคะ”เมื่ออาจารย์พูดจบเสียงสัญญาณก็ดังขึ้นทันที

ฮารุโตะลงมือทำการทดลองตามที่โจทย์กำหนด เขามือสั่นและใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น แต่พยายามสงบใจเขียนคำตอบให้ดีที่สุด เมื่อออดสัญญาณที่สองดัง อาการตื่นเต้นได้จางหายลงไปบ้าง เขาจึงหยิบจับได้เร็วขึ้น แต่กระนั้นก็เขียนคำตอบได้เฉียดฉิวกับเวลา ซึ่งเป็นเช่นเดียวกันกับหัวข้อที่สาม

ฮารุโตะวางปากกาและก้มหน้าก้มตาเก็บล้างอุปกรณ์ด้วยความปลอดโปร่ง ลองนับๆดูตามคำตอบที่เขาเขียนไปก็ได้หลายข้อ และเขาค่อนข้างมั่นใจ คาดว่าคะแนนสอบครั้งนี้คงอยู่ในเกณฑ์ดี ฮารุโตะยกยิ้มมุมปากออกมาบางๆ เพื่อนนักศึกษาหลายคนเริ่มทะยอยเดินออกจากห้อง แว่วเสียงพูดคุยกันถึงเรื่องการสอบที่เพิ่งผ่านพ้นไป

จังหวะนั้นเอง ฮารุโตะก็รู้สึกเหมือนโดนกระชากจากด้านหลังจนล้มลง

เสียงแก้วแตกดังสนั่นพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เสียงจอกแจกจอแจในห้องเมื่อสักครู่พลันเงียบกริบ ฮารุโตะรู้ตัวว่ากำลังนอนหงายอยู่พื้น มองเห็นเพดาห้องแต่ยังรู้สึกมึนงง จนมีคนเข้ามาประคองให้เขาลุกขึ้น

“แบมือก่อน”

ตอนนั้นเขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำแก้วบีกเกอร์ที่กำลังล้างไว้ มือของเขาเลือดออก ในหัวคิดเพียงแค่ว่าโชคดีที่เป็นมือซ้าย อาทิตย์หน้าก็จะสอบแล้ว ถ้ามือขวาเจ็บคงจะลำบาก

“มิอุระซัง ได้ยินไหม”

“ครับ”เขาขานเสียงตอบรับ

“จำได้ไหมว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน”

“ห้องสอบครับ เพิ่งสอบวิชาปฏิบัติการณ์ทดลองเสร็จ”

“นักศึกษาที่สอบเสร็จแล้วรีบออกไปจากห้องก่อนคะ ระวังเศษแก้วด้วยนะคะ เธอช่วยดูเศษแก้วที่มือด้วยยังมีเหลืออยู่หรือเปล่า แล้วให้กำผ้าห้ามเลือดไว้ก่อน”เขาได้ยินเสียงอาจารย์สั่งการณ์ดังแว่วมาตลอด จนสติกลับมาเต็มที่ ความรู้สึกเจ็บที่มือจึงชัดเจนขึ้น

“ยืนไหวไหม เดี๋ยวครูจะพาไปโรงพยาบาล”

เขาพยักหน้าตอบรับ รู้สึกได้ว่ามีคนช่วยพยุงเขาอยู่ แต่มันยังรู้สึกงงๆอย่างบอกไม่ถูก

“ไหวไหม”เขาเห็นทาคุมิยื่นอยู่ตรงหน้าด้วยความเป็นห่วง

“ไหว ไม่เป็นไร”

“เดี๋ยวเอากระเป๋าไปให้นะ ต้องให้โทรบอกใครไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ความเจ็บที่หัวเพิ่มขึ้นมาอีกแต่เขาไม่ได้บอกใคร เพราะเมื่อยืนได้สักพักก็รู้สึกว่าร่างกายไม่ได้เป็นอะไรมาก เลยหันไปบอกคนที่ช่วยพยุงว่าไม่เป็นอะไรแล้ว กระนั้นอีกฝ่ายยังคงพยุงเขาไปส่งถึงที่รถยนต์ของอาจารย์ ก่อนที่ทาคุมิจะตามขึ้นรถยนต์มาด้วยกัน

ในที่สุด ฮารุโตะก็ได้เห็นโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เขตของโรงพยาบาลถูกแบ่งออกจากมหาวิทยาลัยด้วยรั้วกั้น เป็นอาคารสูงหลายสิบชั้น รถยนต์ของอาจารย์จอดลงหน้าประตูฉุกเฉิน เขาที่พอจะค่อยยังชั่วแล้วจึงเปิดประตูเดินลงมาจากรถด้วยตัวเอง เดินตามเจ้าหน้าที่เข้าไปทำแผลที่มือ

ที่มือมีแต่แผลเล็กแผลน้อย ส่วนแผลที่ใหญ่สุดไม่ลึกจนต้องเย็บแผล ที่หมอกังวลคงเป็นตอนที่ล้มศีรษะของเขากระแทกพื้น เขาล้มแรงมากพอที่ทำให้ศีรษะด้านหลังปูดโน อยู่เฉยๆยังรู้สึกเจ็บ และตอนที่หมอเอามือมาโดนยิ่งเจ็บมาก แต่จากการซักอาการทั่วไป หมอก็บอกให้เขากลับบ้านได้ โดยบอกว่าหากมีอาการอาการอะไรผิดปกติให้กลับมาหาหมอที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

ฮารุโตะเดินไปหาทาคุมิที่เก้าอี้นั่งรอผู้ป่วย อาจารย์ประจำวิชายังคงนั่งรออยู่ด้วยเช่นกัน หลังจากซักถามเรื่องการพบแพทย์อยู่ครู่หนึ่งและรอจนได้ยาทำแผลแล้ว อาจารย์ก็เป็นคนขับรถพาเขาและทาคุมิกลับมาที่ตึกเรียน

“กลับเลยไหม”ทาคุมิถามหลังจากที่แยกกับอาจารย์ประจำวิชาแล้ว

“อือ ขอบใจมากนะ”พูดพลางยื่นมือไปรับกระเป๋าจากคนตรงหน้า

“ให้ไปส่งไหม”

ฮารุโตะตอบปฏิเสธ โบกมือลาก่อนเดินแยกออกมา เมื่อกลับมาถึงห้อง เขาก็ล้มตัวลงทันที นอนอยู่บนพื้นครู่ใหญ่ถึงลุกไปเปิดฮีตเตอร์และหยิบหมอนออกมาตู้ และล้มตัวลงนอนตะแคงข้าง ถึงเขาจะซุ่มซ่ามไปบ้างแต่เจ็บขนาดนี้ ฮารุโตะจึงจำได้ขึ้นใจ เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาตั้งนาฬิกาปลุก คิดว่าจะหลับสักงีบก่อนไปทำงานพิเศษ พลันสายตาเหลือบไปเห็นแอพพลิเคชั่นสำหรับติดต่อสื่อสาร เขาเปิดเตือนเมื่อข้อความเข้าอยู่เสมอ และเข้าไปอ่านในกลุ่มของชมรมเป็นประจำ แม้จะไม่ได้ตอบอะไรกลับไปก็ตาม สายตานิ่งมองชื่อผู้ใช้ของรุ่นพี่ชิมิซึ พลางคิดไปว่า อีกฝ่ายจะกังวลไหมนะถ้าวันนี้ไม่เข้าไปชมรม แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าควรส่งข้อความไปบอกรุ่นพี่อาโอกิ

เด็กหนุ่มกดพิมพ์ข้อความลงไปอย่างเชื่องช้า และกดส่ง ข้อความของเขาถูกอ่านอย่างรวดเร็ว

“ทำไมละ มีอะไรหรือเปล่า มาอ่านหนังสือที่ห้องชมรมก็ได้นะ”

ฮารุโตะลังเล ควรบอกไปตามความจริงหรือเปล่า แต่ความคิดที่ว่า ‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก’ ผุดแทรกขึ้นมาเสียก่อน เขาจึงส่งข้อความกลับไปว่าไม่มีอะไร จ้องรอที่หน้าจอแค่ครู่เดียวสติ๊กเกอร์คำว่าโอเคก็ปรากฏให้เห็น เขาจึงวางโทรศัพท์มือถือลง และหลับตา

รุ่นพี่ชิมิซึมารอรับเขาแถวที่ทำงานพิเศษเหมือนเมื่อหลายๆวันก่อน และเมื่อชายหนุ่มร่างสูงยื่นมือมาหา เขาก็ยื่นมือซ้ายไปวางไว้บนมือนั้นอย่างเคยชิน มานึกขึ้นได้ตอนที่คิ้วเข้มๆของรุ่นพี่ขมวดมุน

“แผลลึกหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศรีษะ หลังจากนั้นรุ่นพี่ก็ไม่ถามอะไรต่อ และเพราะมือเจ็บรุ่นพี่จึงเปลี่ยนมาโอบไหล่เขาแทน

ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนั้นกระทั่งหมดช่วงสอบ คือรุ่นพี่มารับเขาที่ทำงานพิเศษหลังเลิกงาน นอนค้างด้วยกัน เช้าออกไปเรียนพร้อมกัน แต่ไม่ได้กินข้าวกลางวันด้วยกันอีก และตัวเขาก็เหมือนว่าจะถูกดึงเข้ากลุ่มของทาคุมิกลายๆ อย่างไรก็ตาม เขาได้คุยกับมากิบ้าง แต่เหมือนว่าจะห่างๆออกไป



หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 10 : 4/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-03-2017 00:58:15


ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆแผลที่มือของเขาสมานตัวกันจนเกือบหาย รอยปูดนูนที่หัวก็ค่อยๆยุบลง นอกจากทาคุมิแล้วไม่มีใครรู้ว่าเขาหัวโนขนาดนี้ และมีแค่รุ่นพี่อาโอกิคนเดียวที่ชอบลูบหัวเขา ซึ่งเขาก็ไม่ได้เข้าไปที่ชมรมอีกจนกระทั่งวันสอบวันสุดท้าย

“สวัสดีครับ”ฮารุโตะเอ่ยทักทาย เมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องชมรมอีกครั้ง รุ่นพี่หันมาหาพร้อมยกเซ็ตปิ่นโตสามชั้นมาให้ เด็กหนุ่มจึงยิ้มแหยๆ ถามกลับไปว่า ไม่ได้ให้กินทั้งหมดใช่ไหม

“พี่กับเรย์ก็ยังไม่ได้กินข้าว มากินด้วยกัน”

ฮารุโตะจึงรับปิ่นโตไปวางที่โต๊ะไม้ตัวยาว ขณะที่รุ่นพี่ทั้งสองยังง่วนทำอะไรสักอย่างอยู่ เมื่อปลดล็อกแล้วดึงแต่ละชั้นออกมาเขาพบว่าทั้งสามชั้นนั้นจัดวางด้วยอาหารหน้าตาเหมือนกัน

“มือไปโดนอะไรมานะ”นาคามูระ เรย์ รุ่นพี่หัวหน้าชมรมเอ่ยถามเขา

“พอดีซุ่มซ่ามทำบีกเกอร์แตกตอนวิชาทดลองครับ”

“หือ ไม่เป็นไรมากใช่ไหม”นาโอโตะที่เพิ่งเดินมาสมทบออกปากถาม เขานั่งลงรับแถวปิ่นโตที่หนุ่มรุ่นน้องส่งมาให้ ฮารุโตะจึงพนมมือพลางพูดว่าทานแล้วนะครับ พร้อมกับรุ่นพี่ทั้งสองที่เริ่มลงมือทานข้าวเช่นเดียวกัน นั่งฟังรุ่นพี่คุยกันเรื่องงานในคณะ งานในชมรมไปพลาง เรื่องวิทยานิพนธ์ตอนปีสี่บ้าง ความเร็วในการทานอาหารของเขาก็ช้าลงกว่าเดิม นั่นเพราะเขาเริ่มคิดตามหัวข้อที่ทั้งสองคนคุยกัน

ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แม้จะมีเรื่องที่ทำให้เขาอึดอัดใจบ้าง แต่ฮารุโตะมีความสุขมากที่อยู่กับพวกรุ่นพี่ เหลือเวลาอีกแค่ปีเดียว พวกรุ่นพี่ก็จะจบปีสี่แล้ว เขาไม่อยากให้เวลานั้นมาถึงเลย

“หยุดเคี้ยวแล้วนะ”คำพูดนั้นทำให้เขารู้สึกตัว มองหน้ารุ่นพี่อาโอกิที่จ้องหน้าเขาเขม็ง

“รีบกินเข้า มีงานที่ต้องทำอีกนะ”

“เอ๋!!!”

“แหนะ ยังทำหน้างงอีก วันนี้บอกว่าจะให้มาช่วยงาน จำไม่ได้หรือ”

“จ... จำได้ครับ”

“จำได้ก็รีบกิน”นาโอโตะเอ่ยเร่งหนุ่มรุ่นน้องที่พยายามตั้งหน้าตั้งตากินอย่างตั้งอกตั้งใจด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ระหว่างรอให้ฮารุโตะทานข้าวให้หมด เขาสองคนที่ทานอาหารกลางวันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงลุกไปเตรียมข้าวของอุปกรณ์สำหรับถ่ายภาพวันนี้

นาโอะโตะเพิ่งได้รับการว่าจ้างให้หานางแบบและถ่ายภาพโปสเตอร์โปรโมทร้านเสื้อผ้าคอสเพลย์มาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน คนถ่ายรูปนะไม่มีปัญหา เขาสามารถเลือกใครสักคนในชมรมก็ได้ แต่หลังจากที่คุยกับเรย์ ฝ่ายนั้นบอกว่าจะถ่ายเองแล้วเก็บเงินเข้าชมรมเสียแทน จะได้สมทบทุนทริปท่องเที่ยวอำลาให้รุ่นพี่ปีสี่ แม้สถานที่และหัวข้อจะซ้ำซากกับด้วยการไปชมซากุระเหมือนปีก่อนๆก็ตาม

ดังนั้น นาโอโตะจึงตัดสินใจใช้นายแบบถ่ายภาพที่หาได้ใกล้ตัว ถึงอย่างไรก็มีรุ่นน้องหน้าเด็ก หน้าตาซื่อๆ แบ้วๆอยู่ทั้งคน
เสื้อผ้าที่นาโอโตะได้รับมาวันนี้เป็นเสื้อแขนกุดกับกางเกงขาสั้นสีชมพูหวาน ปลอกแขนมีขนนุ่มๆตรงข้อศอก และถุงเท้ายาว มันเป็นชุดคอสเพลย์ที่มีหูและหางพ่วงมาด้วย เพราะเป็นชุดที่ไม่ได้เน้นส่วนเว้าส่วนโค้ง นาโอโตะจึงให้ฮารุโตะเป็นคนสวม

หนุ่มรุ่นน้องทั้งขมวดคิ้ว ทั้งก้มมองด้วยความงุนงง

“เอ้า เงยหน้า”

แต่เมื่อเห็นรุ่นพี่ถือพัพเข้ามาใกล้เขาก็หลับตาอย่างเคยชิน จะไม่ให้ชินได้อย่างไร ก็เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมาเขาต้องนั่งให้รุ่นพี่แต่งหน้าอยู่ทุกวัน ประเด็นสำคัญคือรุ่นพี่จะแต่งหน้าให้เขาฝั่งเดียวส่วนอีกฝั่งปล่อยให้เขาแต่งเอง ด้วยความอ่อนด้อยของฝีมือของเขาในตอนนั้น สภาพหลังผ่านเครื่องสำอางของเขาจึงดูแย่มาก ฝั่งหนึ่งสวยปิ๊ง อีกฝั่งน่าเกลียด แต่ใช่ว่าตอนนี้เขาจะฝีมือดีเท่ารุ่นพี่อาโอกิ

“ลืมตาหน่อย”

ครั้งนี้คงดีหน่อยมั้ง เพราะเขารู้สึกว่าจะโดนเขี่ยๆเขียนๆทั้งสองฝั่ง

“เสร็จละ ไปยืนหน้าฉากได้”

ฮารุโตะร่ำร้องในใจว่า จะไม่ให้เขาดูกระจกหน่อยหรือ เพียงแต่ได้แค่ร่ำร้องในใจ เขาไม่กล้าหือกล้าอือกับรุ่นพี่หรอก

“คือแบบว่า... ไม่ได้ให้ลองใส่เฉยๆหรอกหรือครับ” ฮารุโตะถามออกมาด้วยความวิตก

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เรย์เป็นคนถ่าย ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”

โดนบอกว่าไม่ต้องกังวลก็จริง แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าให้เขาถ่ายภาพหมู่คณะที่ต้องทำหน้านิ่งๆละว่าไปอย่าง แต่ต้องมาใส่ชุดแบบนี้แล้วทำท่าต่างๆละก็ ฮารุโตะคิดว่าตนเองคงทำไม่ได้แน่ๆ

ฮารุโตะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางลูกบอลลูกใหญ่หลากสี

“เอาล่ะ ฮารุจัง”เรย์ซึ่งอยู่หลังกล้อง เงยหน้าขึ้นมาพูดกับเขา “ก่อนถ่ายเราจะต้องมาออกกำลังกายกันก่อน” ฮารุโตะนึกงง แต่ก็ทำตามที่รุ่นพี่บอก “ยกแขนขึ้น เหวี่ยงแขนไปทางซ้าย เหวี่ยงแขนไปทางขาว เหวี่ยงแขนไปข้างหน้า และก็เหวี่ยงไปข้างหลัง เอาละคราวนี้หยิบลูกบอลขึ้นมา แล้วร้องเพลงมูระ มูระ โมริ โมริ พร้อมทำท่าด้วยนะ”

แม้จะงุนงงอยู่เช่นเดิมแต่ฮารุโตะก็ยอมทำตามที่เรย์บอกอย่างว่าง่าย



ตอนที่ซากิมาถึงห้องชมรม ฮารุโตะกำลังกระโดดไปกระโดดมาอยู่หน้าฉากสีขาวในชุดน้องเหมียวสีชมพู ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอย่างบรรจงนั้นออกสีแดงระเรื่อที่บ่งบอกว่ากระโดดโลดเต้นมานานพอสมควร แม้เขาคิดว่า นาโอโตะคงจะลงเฉดสีบนหน้าของหนุ่มรุ่นน้องด้วยสีชมพูเช่นกัน

“อะไรกันนี่ นาโอโตะ” เรียวตะที่เดินมาด้วยกันกับเขาเอ่ยถาม

“พอดีคนรู้จักเขาเพิ่งเปิดร้านคอสเพลย์นะ เลยฝากให้ถ่ายภาพโปรโมทให้”

ยังไม่ทันที่จะถามอะไรต่อ เรย์ก็ร้องบอกให้ฮารุโตะพักได้ เด็กหนุ่มรุ่นน้องเดินเข้ามาหา ใบหน้าเรียบเนียนไร้เม็ดเหงื่อ แต่ถ้าสังเกตข้างขมับจะเห็นได้ว่ามีเหงื่อซึมเล็กน้อย

“ถ่ายกันมานานแล้วหรือ”เขาเอ่ยถามบ้าง

“เรย์คงได้ประมาณสามสี่ร้อยรูปแล้วมั้ง”นาโอโตะตอบ “ขอบใจมากนะฮารุจัง เปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้วละ”

ฮารุโตะถอดถุงมือถุงเท้าออกก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนจะหันหลังให้นาโอโตะรูดซิบลงให้ ซากิเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปขวาง แม้ทั้งเอคิจิและเรียวตะจะหันไปให้ความสนใจกับภาพถ่ายในคอมพิวเตอร์ที่เรย์กำลังดูอยู่แล้วก็ตาม แต่ซากิยอมรับตามตรงเลยว่า เขาก็ยังหวงอยู่ดี

“ไม่เป็นไรหรอก นายไปช่วยเรย์ก็ได้ เดี๋ยวฉันพาฮารุโตะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง”ซากิหยิบเสื้อผ้าของฮารุโตะมาถือไว้ก่อนจะรุนหลังร่างบางให้เดินออกจากห้อง ทั้งนาโอโตะและฮารุโตะต่างมีสีหน้างงงวย

ฮารุโตะถูกพาไปยังห้องน้ำที่อยู่สุดทางเดินของชั้น ถูกดันให้เข้าไปอยู่ในห้องน้ำที่อยู่ในสุด ซากิจับให้ฮารุโตะหันหลังก่อนจะรูดซิบเสื้อให้ ร่างสูงยื่นมือไปรับเมื่ออีกฝ่ายถอดเสื้อเสร็จ ดึงฝาชักโครกลงมาก่อนจะวางเสื้อผ้าไว้บนนั้น

“ถอดกางเกงซิ”คำพูดนั้นห้วนสั้นจนเด็กหนุ่มร่างเล็กเริ่มรู้สึกกริ่งเกรง

“ให้ผม... ใส่เสื้อก่อนได้ไหมครับ”ฮารุโตะต่อรอง แม้จะเกรงกลัวกับน้ำเสียงเย็นชาของซากิก็ตาม

“ถอดกางเกง”คนสั่งกดเสียงต่ำน่ากลัวจนเด็กหนุ่มไม่กล้าหือ ฮารุโตะยังนึกไม่ออกว่าตนทำอะไรผิด รุ่นพี่ถึงได้ทำท่าเหมือนโกรธเขาถึงเพียงนี้ พอถอดกางเกงเสร็จปุ๊บฮารุโตะก็ถูกจู่โจมโดยทันที ได้ยินเสียงซากิหัวเราะและกระซิบว่า นานๆทีก็เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง

“รุ่นพี่ใจร้าย”นัยน์ตากลมโตซึ่งถูกเน้นให้คมโตกว่าเดิมด้วยอายไลน์เนอร์และขนตาปลอมช้อนมองเขา ในแววตาฉ่ำน้ำจนอดใจไม่ได้ที่จะต้องแต้มจูบบนหลังเปลือกตา

“ใจร้ายอะไร”ปากถามขณะนิ้วมือของเขานวดคลึงรอยจีบแถวปากทางเข้า

“ผมนึกว่าทำให้รุ่นพี่โกรธเสียอีก”ฮารุโตะหลุบสายตาลงต่ำ ขณะที่ซากิก้มหน้าลงมาคลอเคลีย “ที่จริงก็เกือบจะโกรธอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นมาทำให้หายโกรธซะดีๆ” ซากิขบเม้มริมฝีปากล่าง ขบย้ำอยู่หลายครั้งก่อนจะสอดลิ้นเข้าไป ใช้ปลายลิ้นกวาดไปทั่วโพรงปาก ทั้งไล่ต้อนและดูดดึง ฮารุโตะยกท่อนแขนเพรียวบางมาโอบคอร่างสูงกว่า พยายามตอบรับสัมผัสที่ส่งมาให้
นิ้วมือของซากิเค้นคลึงร่างบอบบางทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จนส่วนอ่อนไหวที่เคยสงบนิ่งตั้งชันขึ้นมา

หนุ่มรุ่นพี่ผละออกมาห่าง ดึงกางเกงในที่คาอยู่ที่ต้นขาของฮารุโตะออก จากนั้นเขาก็จัดการสวมถุงยางให้

“รุ่นพี่มีของพวกนี้ติดตัวไว้ตลอดเลยหรือครับ”

ถึงเขาคิดว่าการพกถุงยางติดตัวจะเป็นเรื่องปกติ แต่พอโดนถามตรงๆเช่นนั้นก็อดที่จะรู้สึกกระดากอายไม่ได้ จะว่าไปเหมือนจะโดนว่ากลายๆ ว่าลามก แต่เอาเถอะ ในเมื่อคนตรงหน้าทำให้เขาของขึ้นได้ตลอดเวลาเหมือนกันนี่นะ

ซากิลงมือกระทำต่อ เขาเล้าโลมหนุ่มรุ่นน้องจนร่างเพรียวบางสะท้านไปทั้งกาย พอเห็นว่าผู้ถูกกระทำเริ่มพร้อมเขาจึงหันมาใส่ถุงยางให้กับตัวเองบ้าง ครั้งนี้ซากิคิดว่าตัวเองเอาเปรียบอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน เพราะทั้งที่ฮารุโตะถูกปอกเปลือกจนหมดเหลือแค่หูแมว เสื้อผ้าของเขากลับยังครบถ้วน ด้านล่างก็แค่ปลดกระดุมกางเกงกับปลดซิบลงเท่านั้น

ชายหนุ่มพลิกร่างบางในอ้อมกอดให้หันหน้ายันแขนกับผนัง แขนข้างหนึ่งสอดอยู่ใต้ข้อพับเข่า รั้งท่อนขาเพรียวยกสูงขึ้นเล็กน้อย ใช้มืออีกข้างจับท่อนเอ็นแข็งร้อนกดแทงเข้าไปในช่องทางที่ถูกเตรียมพร้อมมาก่อนหน้า เขาพยายามดันส่วนหัวเข้าไป รู้สึกได้ว่าร่างเล็กกว่าฝืนเกร็งขึ้นเล็กน้อย จึงโน้มกายเข้าหาใช้ลิ้นเลียหลังใบหูนิ่ม ใช้ฟันขบติ่งหูเบาๆพลางสอดใส่เข้าไปเรื่อยๆ อาการเกร็งตัวลดลงแต่เขายังคงละมือมาเล้าโลมส่วนหน้า ใช้ปลายนิ้วนวดคลึงจนฮารุโตะสามารถรับเขาเข้าไปได้ทั้งหมด

ซากิโอบวงแขนรอบเอวบางคอด กดปลายจมูกกับลาดไหล่ และใช้มืออีกข้างเค้นคลึงที่ส่วนล่าง ปกติเขาจะไม่ทำรอยบนผิวขาวของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง แม้อยากจะขย้ำตีตราแสดงความเป็นของอยู่หลายครั้งก็ตาม นอกจากอีกฝ่ายจะผิวบางจนเกิดรอยช้ำน่ากลัวขึ้นมาได้ง่ายๆ เขายังคิดว่าแค่หนุ่มรุ่นน้องโอนอ่อนยินยอมให้นั่นก็เพียงพอแล้ว หากทิ้งรอยเหลือไว้แล้วใครมาเห็นเข้า ฝ่ายที่อับอายคงไม่พ้นเป็นฮารุโตะ แต่วันนี้ถือว่าร่างเล็กแต่งตัวน่ารักอวดสายตาชาวบ้านโดยไม่ปรึกษาเขาก่อน เขาจึงอนุโลมให้ตนเองฝากรอยสีกุหลาบไว้ที่แผ่นหลังแล้วกัน

ฮารุโตะจวนเจียนใกล้ถึงฝั่งในไม่ช้า เขารับรู้ได้จากร่างกายที่เชื่อมโยงกัน คงเพราะฮารุโตะอดทนได้น้อยกว่าและไม่ว่าจะเคยถูกทำรักมากี่ครั้ง ก็ยังดูไม่เคยชินกับเรื่องพวกนี้ แต่ครั้งนี้ซากิอยากให้ร่างบางในอ้อมกอดไปถึงจุดพร้อมกับตน จึงได้ใช้มือรัดส่วนโคนไว้ ในขณะที่ตนกระแทกกายด้วยจังหวะรุนแรงเช่นเดิม

“ร...รุ่นพี่”น้ำเสียงของฮารุโตะผิวแผ่วกระท่อนกระแท่น “ปล่อย... ปล่อยผม” มือเรียวบางพยายามดึงรั้งมือเขาด้วยแรงอันน้อยนิด

“ใจเย็นๆ”ซากิกระซิบบอก เขาขยับสะโพกด้วยจังหวะที่เนิบนาบช้าลง “ทำแบบนี้เราจะได้ถึงพร้อมกันไง อดทนหน่อยนะคนดี”
ฮารุโตะพยักหน้ารับ หลับตาลง เล็บที่มักสั้นกุดอยู่เสมอจิกลงกับท่อนแขนของเขา ซากิเร้าจังหวะขึ้นเรื่อยๆ เร่งเร้าเข้าหา โยกสะโพกหมุนวน กดย้ำๆซ้ำๆจนพวกเขาทั้งคู่มาถึงปลายทาง

ฮารุโตะเหนื่อยหอบ เอนร่างกายอ่อนเปลี้ยในวงแขนของเขาพิงกับผนังที่แสนเย็นเฉียบ เขาถอดถุงยางให้ฮารุโตะก่อนจะจัดการของตัวเอง หยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนฝาชักโครกย้ายไปวางบนชั้นปูนบนผนังด้านหลัง ค่อนข้างลำบากเล็กน้อยเพราะต้องทำด้วยมือข้างเดียว ซากิทรุดตัวนั่งลงบนฝาชักโครก รั้งฮารุโตะที่ยังหลับตาหอบหายใจมานั่งบนตัก หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อข้างขมับ แล้วจึงสวมเสื้อผ้าให้ ดวงตาปรือปรอยของฮารุโตะลืมตาขึ้นมาในนาทีนั้น ยกมือขึ้นเช็ดที่ริมฝีปากของเขา

“ลิปสติกเลอะ”

คนพูดเองก็ไม่ต่างกัน เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดรอยที่เลอะจนจางลง แล้วพยุงพารุ่นน้องร่างเล็กออกมาด้านนอก เป็นจังหวะเดียวกับที่นาโอโตะเดินเข้ามา

“เอารีมูฟเวอร์มาให้”

ฮารุโตะยื่นมือไปรับพร้อมกล่าวขอบคุณ นาโอโตะหันมามองเขาด้วยสายตาแปลกๆ แต่เขาก็แสร้งเลิกคิ้วยกยิ้มให้ด้วยหน้าตาไม่รู้ไม่ชี้ หลังจากที่นาโอโตะเดินออกไป ชายหนุ่มร่างสูงจึงมายืนพิงเคาน์เตอร์อ่างล้างหน้ามองดูรุ่นน้องเช็ดเครื่องสำอาง จนกระทั่งอีกฝ่ายวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าเป็นครั้งสุดท้าย เขาจึงเท้าแขนคล่อมร่างเล็กกว่า และโน้มหน้าเข้าไปหา สบตากับเด็กหนุ่มผ่านกระจกเงา

“วันเสาร์ที่สิบสามจนถึงคืนวันอาทิตย์ที่สิบสี่ลางานไว้ด้วยละ”

ฮารุโตะหลุบตาหนี พลางตอบรับเสียงเบา

ชิมิซึ ซากิผละออกมายืนข้างๆเหมือนเช่นเดิม หยิบชุดคอสเพลย์สีชมพูมาถือไว้ในมือ ฮารุโตะยังคงก้มหน้าก้มตาตอนที่ดึงกระดาษทิชชู่มาซับน้ำบนหน้า และไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองอีกเลยจนแม้พวกเขาจะเดินกลับเข้ามาให้ห้องชมรมอีกครั้งแล้วก็ตาม

“ฮารุจัง หลังจากนี้ก็ว่างแล้วใช่ไหม สนใจทำงานพิเศษเพิ่มหรือเปล่า”นาโอโตะร้องถาม เจ้าของชื่อจึงเดินเข้าไปหาและถามถึงรายละเอียดด้วยความสนใจ

ซากิเดินเข้าไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนหลังจากส่งเสื้อผ้าคืนให้นาโอโตะ สามคนนั้นยังนั่งดูรูปของหนุ่มรุ่นน้องปีหนึ่งที่เรย์เป็นคนถ่ายภาพ

“อยากได้รูปนี้อ่ะ”เรียวตะพูด รูปนั้นฮารุโตะเงยหน้าช้อนสายตามองกล้องและยิ้มหวานอย่างน่ารัก ซากิเหลือบมองคนถ่ายภาพด้วยความไม่สบอารมณ์ หันไปมองคนถูกพูดถึงที่ยืนคุยกับนาโอโตะด้วยหน้าตาระรื่นแล้วยิ่งหมั่นไส้

ยังไม่เลิกชอบอีกหรืออย่างไรนะ เขารู้สึกขุ่นขวางจนไม่อยากอยู่ดูต่อ จึงเดินเข้าไปหานาโอโตะและหนุ่มรุ่นน้อง

“กลับหรือยัง”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว กลุ่มเพื่อนสนิทอย่างนาโอโตะคงแค่แปลกใจกับอารมณ์ขึ้นๆลงๆของเขา แต่กับรุ่นน้องตัวเล็ก ฝ่ายนั้นกลับหุบปากฉับนิ่งเกร็งด้วยความตื่นกลัวขึ้นมาทันที

“คุยเสร็จแล้วก็รีบตามมา จะออกไปรอข้างนอก”ซากิไม่ได้รอให้อีกคนตอบรับ แต่เห็นจากหางตาว่าอีกคนพยักหน้าระรัว กระนั้นพอคล้อยหลังมาไม่นาน ฮารุโตะตามมาสมทบทันที

เขาเดินนำอยู่ด้านหน้าและหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กเดินตามอยู่ด้านหลังต้อยๆ พอหยุดเท้าอีกฝ่ายก็หยุดเท้าตามราวกับระวังอยู่ตลอด บางครั้งมันก็น่าโมโหแต่จะมีประโยชน์อะไรถ้าเขาจะระบายอารมณ์ออกมา คงจะทำให้ฮารุโตะถอยกรูหนีห่างเขาไปกว่าเดิม

ชายหนุ่มหมุนตัวหันหลังและยื่นมือไปข้างหน้า แม้จะต้องยืนรออยู่นานสักหน่อยกว่าที่คนตรงหน้าจะยื่นมือมาให้ หลังจากที่สัมผัสฝ่ามือเล็กบางข้างนั้น เขาก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ยกมือโอบบ่าพาเดินไปด้วยกัน

“ยังเหลือเวลาอีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาเข้างาน จะไปไหนหรือเปล่า”เมื่อเสียงถามเรียบเรื่อยไร้ความฉุนเฉียว ฮารุโตะก็ยอมเปิดปากพูดคุยกับเขาดีๆ

“ไม่มีที่ที่อยากไปหรอกครับ อยากกลับไปนอน”

ซากิเลิกคิ้ว รู้สึกเหมือนว่านี่เป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะบ่นว่าอยากขี้เกียจ

“ไม่อ่านหนังสือ?”

“ไม่อ่ะ สอบเสร็จแล้ว เพลียด้วย”ประโยคหลังเสียงเบา แถมหน้าก็แดง ซากิจึงนึกขึ้นมาได้ แกล้งโน้มหน้าเข้าไปพูดให้ใกล้กว่านี้

“ที่จริงต้องทำบ่อยๆนะ จะได้ชิน”

“ชินแล้วครับ เก่งแล้วด้วยไม่จำเป็นต้องทำบ่อยๆอีกแล้ว”ฮารุโตะตอบกลับมาอย่างรวดเร็วจนซากินึกขำ ฮารุโตะคิดว่าการที่เขามาทำแบบนี้กับเจ้าตัวบ่อยๆเพราะอยากให้เก่งขึ้นหรืออย่างไรนะ ชายหนุ่มคิดพลางหัวเราะออกมา พอเป็นแบบนั้นหนุ่มรุ่นน้องจึงก้มหน้าลงต่ำว่าเดิม

เขาย้ายมือที่โอบบ่าเปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะ

“ใครว่าที่ทำเพราะอยากฝึกให้เก่งขึ้นละ”ไม่รู้ว่าแววตาของเขาฉายแววลามกมากไปหรือเปล่า ใบหน้าของฮารุโตะถึงเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อขึ้นมาอีก ก่อนที่มือของเขาจะมาสะดุดที่รอยนูนด้านหลังศีรษะ ฮารุโตะเองก็ดูไม่ตื่นตกใจนักปล่อยให้เขาลูบศีรษะไปอย่างนั้นจนเขาพอใจ

ฮารุโตะกลับไปนอนจริงๆตามที่ปากกว่า พอหัวถึงหมอนแค่ครู่เดียวก็หลับสนิท ซากิจึงลุกขึ้นนั่งจากทีแรกที่ล้มตัวลงนอนด้วยกัน ขยับโน้มตัวดูรอยนูนที่ศีรษะของร่างที่นอนอยู่ พลางคิดว่า ไม่รู้ว่าไปทำตัวซุ่มซ่ามอีท่าไหนอีก ถึงได้หัวโนเป็นลูกมะนาวกลับมา แล้วสางผมนิ่มอย่างเพลินมือ สายตาทอดมองใบหน้ายามหลับนั้นเนิ่นนาน



ทาคุมิโทรมาหาแต่เช้า

เขาสอบเสร็จแล้ว มีเวลาว่างอีกร่วมสองเดือนกว่าที่ปีการศึกษาใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ตั้งใจว่าจะหางานพิเศษทำเพิ่มก็พอดีกับที่รุ่นพี่อาโอกิชวนไปทำงานด้วย

“พวกนั้นไปโตเกียวกัน ไม่มีชวนอ่ะสอบเสร็จเมื่อวานก็เก็บกระเป๋าไปกันเลย”

ฮารุโตะได้แต่ครางอือออ ไม่จำเป็นต้องอ้าปากถามเดี๋ยวทาคุมิก็เล่าออกมาให้ฟังจนหมด

เขานั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนฟูกนอน เมื่อคืนรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้ค้างด้วย ดังนั้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมาตามเวลาปกติจึงกลิ้งไปกลิ้งมา เล่นโน่นเล่นนี่ในโทรศัพท์อยู่พักใหญ่

“แล้วฮารุจังปิดเทอมจะทำอะไรอ่ะ”

“รุ่นพี่ชวนไปทำงานพิเศษด้วย”

“ไปด้วย”ปลายสายร้องออกมาทันที “ให้ฉันไปทำงานด้วยนะ”

“อื้อ ไม่ได้หรอก ต้องถามรุ่นพี่ก่อน”

“โอเค งั้นเดี๋ยวเจอกัน” ฮารุโตะยังไม่ทันได้ถามว่าเดี๋ยวเจอกันคืออะไร ปลายสายก็วางไปเสียก่อน ประจวบกับเวลาที่นัดกับรุ่นพี่งวดใกล้เข้ามา เด็กหนุ่มจึงได้ขยับตัวลุกขึ้นทำกิจวัตรอื่นเสียที

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่จะได้ออกมาห้อง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ฮารุโตะหยิบกระเป๋า ตรวจดูน้ำดูไฟว่าทุกอย่างปิดสนิท ก่อนจะเปิดประตูไปเผชิญหน้ากับผู้มาเยือน

“หวัดดี”ทาคุมิยืนอยู่หน้าห้องพร้อมรอมยิ้มกว้าง

“ถ้ารุ่นพี่ไม่ให้ทำก็ต้องกลับนะ”

“อือ ถ้าไม่มีงานให้ทำจริงๆจะอยู่ทำไมละ”ทาคุมิตอบกลับมาอย่างไม่ยี่หระ สาวเท้ามาเดินข้างฮารุโตะ ก่อนจะต้องทอดจังหวะการก้าวให้ช้าลงอีก

“รุ่นพี่บอกป่ะเนี่ยว่าทำงานอะไร”

“เห็นบอกว่าจิปาถะทั่วไปแล้วแต่ใครจะใช้”

“ว้า ไปเป็นเบ้หรือเนี่ย”

“กลับไปก็ได้นะ”

“อะไร ทำไมไม่อยากให้ไปทำด้วยน่ะ  มีอะไรปิดบังหรือเปล่า”ทาคุมิหันไปทำหน้าคาดคั้น เดินคุยกันมาแค่แป็บเดียวก็ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว รุ่นพี่อาโอกินัดเขาให้ไปเจอที่ชมรม อากาศตอนเดือนกุมภาพันธ์ยังหนาวเย็นอยู่เช่นเดิมแม้ช่วงนี้จะไม่มีหิมะตกลงมาแล้วก็ตาม

“ไม่มี”ฮารุโตะปฏิเสธเสียงแข็ง

“ต้องมีแน่ๆ ไหนบอกมาซิ ถ้าไม่บอกจะจับหักคอจิ้มน้ำพริกละนะ”ทาคุมิกางมือ ย่างสามขุมเข้าหาทำท่าจะทำตามที่ปากพูด ฮารุโตะร้องหน้าตื่นพลางหันหลังวิ่งหนี ทาคุมิมองคนขาสั้นที่พยายามก้าวเท้าวิ่งหนีแล้วแกล้งวิ่งไล่ตาม ทำท่าเหมือนจะตามทันแหล่ไม่ทันแหล่ ขณะที่อีกคนรีบปีนบันได้อย่างเร่งร้อน จนทาคุมินึกขำและสงสัย ไม่รู้ว่ากลัวจริงหรือแกล้งกลัวกันแน่
ฉับพลันที่เห็นฮารุโตะก้าวพลาด เด็กหนุ่มร่างสูงที่วิ่งตามมาอยู่ด้านหลังจึงถลาเขาไปรับ มือข้างหนึ่งเกาะยึดราวบันได อีกมือหนึ่งเกี่ยวเอวเพื่อนตัวเล็กไว้แน่น

“เกือบไปแล้ว”

ฮารุโตะยังตัวสั่น จะปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเองแต่เหมือนว่าจะไม่มีแรงยืน จนมีเสียงตวาดทุ้มห้าวดังขึ้นมาเสียก่อน ทาคุมิจึงหันหน้าไปดู

“ทำอะไรน่ะ”

“รุ่นพี่”

หันกลับมามองฮารุโตะที่เรียกอีกฝ่ายว่ารุ่นพี่ ทาคุมิจึงเหมือนจะนึกหน้าขึ้นมาได้ว่าเคยเจออีกฝ่ายที่ชมรมถ่ายภาพ และตอนที่เขาเริ่มต้นอธิบาย หนุ่มรุ่นพี่ที่ฮารุโตะเรียกขานก็ก้าวเท้าฉับๆลงหา และช้อนตัวเพื่อนของเขาขึ้นอุ้มราวกับว่าไม่มีน้ำหนัก

“พอดีว่าฮารุจังเขาก้าวพลาดกำลังจะตกบันไดน่ะครับ”

ฝ่ายฮารุโตะก็ไม่ต่างกัน พอหนุ่มรุ่นพี่ยื่นมือมาหาก็โผกอดคออีกฝ่ายทันที

“ไม่ใช่เพราะว่านายวิ่งไล่เขามาหรอกหรือ”

มันก็ใช่ “แค่วิ่งไล่กันเล่นๆเองครับ”ทาคุมิพูด ไม่คิดว่ามันน่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน ถึงฮารุโตะจะก้าวพลาดจนเกือบจะตกบันไดก็จริง แต่เขาก็ตามมารับไว้ได้ทัน กระทั่งหันไปเห็นเพื่อนตัวเล็กที่ยังก้มหน้าซุกบ่ารุ่นพี่ร่างสูงไม่ยอมปล่อย

“แต่บางคนเขาไม่ได้อยากเล่นกับนายนะ หัดระวังไว้ด้วย”

พูดจบชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก็หันหลังเดินกลับไป ทาคุมิรู้สึกผิดนิดๆก็จริง แต่ใจหนึ่งก็คิดว่า ก็แค่เล่นๆกันจะอะไรนักหนา เขาเดินหน้ามุ่ยตามหลังหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังอุ้มฮารุโตะไม่ปล่อยจนไปถึงห้องชมรมถ่ายภาพ ตอนที่รุ่นพี่กำลังจะเปิดประตู ฮารุโตะก็ผงกหัวขึ้นมาพูดอะไรกระซิบกระซาบ ครู่หนึ่งต่อมา รุ่นพี่คนนั้นก็ปล่อยให้ฮารุโตะลงมายืนเอง หนำซ้ำยังจับมือไม่ปล่อย ท่าทางแบบนี้มีอะไรในกอใผ่แหงมๆ ทาคุมิคิดอยู่ในใจ

ภายในห้องชมรมถ่ายภาพ สมาชิกแก๊งประธานชมรมอยู่กันครบ

“ในเมื่อสมาชิกพร้อมหน้าแล้ว ก็ไปกันเถอะ”นาคามูระ เรย์กล่าวเสียงดัง

“รุ่นพี่ยังสอบไม่เสร็จไม่ใช่หรือครับ”ฮารุโตะหันมาถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ

“อืม แต่วันนี้ไม่มีสอบ เหลือตัวสุดท้ายวันพรุ่งนี้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับรู้ ถ้าเป็นเขา คงต้องยังนั่งอ่านหนังสือไม่กล้าออกมาเที่ยวแบบนี้หรอก ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าทาคุมิขอตามมาด้วย เด็กหนุ่มจึงหันไปพูดกับรุ่นพี่ผู้รั้งตำแหน่งรองประธานชมรม

“รุ่นพี่อาโอกิครับ ซาโต้ซังเขาจะขอไปทำงานพิเศษด้วยครับ”

“เด็กแบบนี้อ่ะนะ ไปทำความเดือดร้อนให้คนอื่นซะเปล่า”ซากิพูแทรกขึ้นมาด้วยอารมณ์ไม่ชอบขี้หน้า คนถูกพูดถึงตวัดสายตาเขม่งมองกลับไปเช่นกัน แต่เจ้าตัวก็หน้าเป็นทำตัวตีซี้กับนาโอโตะอย่างรวดเร็ว

“รุ่นพี่อาโอกิ ผมเป็นคนขยันนะครับ ตั้งใจทำงาน หนักเอาเบาสู้ให้ผมไปทำด้วยเหอะ”

“คนดีๆที่ไหน เขาจะยกยอตัวเองขนาดนั้น”ซากิแขวะให้อีกรอบ ก่อนจะพูดเสนอแนะเป็นเชิงตัดบทขึ้นมาว่า “อย่างนั้นนายก็พาหมอนั่นไปทำงานกับนายแล้วกัน ส่วนมิอุระ เดี๋ยวฉันหางานพิเศษให้ใหม่”ประโยคหลังเขาหันไปพูดกับรุ่นน้องร่างเล็กที่ถูกเขาโอบบ่าไว้ข้างตัว

“เฮ้ย เอาน่า ที่กองเขามีงบไว้รับแรงงานจิปาถะได้อีกหลายคน ไม่ต้องเกี่ยงกันหรอก”นาโอโตะหัวเราะไปพลาง “เอาละ นายซาโต้ เดินนำออกจากห้องไปเลย”

ได้ยินเสียงคำสั่งแบบนั้นแล้ว ทาคุมิจึงหันไปยักคิ้วหลิ่วตาด้วยท่าทางเหนือกว่าให้รุ่นพี่ของฮารุโตะเสียหนึ่งทีก่อนเดินออกจากห้อง ซากิที่เห็นอาการล้อเลียนของหนุ่มรุ่นน้องจึงยิ่งพื้นเสีย

“ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ”เอคิจิมาตบหลังตบไหล่บอกกล่าว ปล่อยให้เรียวตะรุนหลังฮารุโตะเดินนำไปก่อน ซากิพ่นลมหายใจแรงๆด้วยความกรุ่นโกรธก่อนจะเดินตามหลังไปอย่างไม่สบอารมณ์



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++




*//คุณ Grey Twilight ทำเราตัวลอยอีกแล้ว ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ แต่อันที่จริงความสามารถของเราก็ไม่ใช่พรสวรรค์หรอกค่ะ เราเหมือนนักเขียนหลายคนๆที่อ่านนิยายมาเยอะ เลยอยากเขียนนิยายของตัวเองบ้าง และเรื่องนี้เราก็ใช้เวลากับมันเยอะ อย่างที่เคยเล่าค่ะ ว่าเราเคยตัดจบเรื่องนี้แล้วกลับมาเขียนต่อ เราพยายามเขียนแก้ตอนต่ออยู่สองสามรอบ แต่เขียนต่อแล้วมันดำเนินเรื่องไม่ได้จริงๆ ตอนนั้นเราคิดพล็อตถึงตอนจบแล้ว แต่เหมือนอารมณ์เรื่องมันไม่ได้ เพราะตอนแรกที่เราเขียน จำนวนหน้ามันประมาณห้าสิบกว่าหน้าเอสี่ มันเลยรวบเรื่องไปเยอะ ทีนี้พอมาตั้งต้นเขียนใหม่ตั้งแต่ฮารุโตะเข้ามหาวิทยาลัย เราก็เขียนเดินเรื่องแบบเอื่อยๆค่ะ เพราะตั้งใจว่าจะให้มันยาวจริงๆ แล้วก็เริ่มเขียนเรื่องมาตั้งแต่ปลายปีห้าแปด ปัจจุบันยังเขียนไม่จบ (ฮา) ตอนแรกๆเขียนลงมือถือ เช้าก่อนเข้างานก็บรรทัดนึง ว่างพักเที่ยงก็พิมพ์ไปบรรทัดนึง คิดเรื่องไม่ออกก็ต้องไปตั้งต้นอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกใหม่ แล้วเวลาอ่านเรื่องฟิ่ลลิ่งคนอ่านก็เข้าสิง อยากอ่านงานประมาณไหนก็ปรับแก้ให้งานออกมาประมาณนั้นค่ะ เราคิดว่ารสนิยมในการอ่านนิยายของเรากับคุณ Grey Twilight อาจจะใกล้เคียงกันค่ะ หรือแม้แต่นักอ่านท่านอื่นๆเราก็คิดว่ารสนิยมของพวกคุณก็น่าจะใกล้เคียงกับเรา ไม่อย่างนั้นคงไม่ตามอ่านมาถึงตอนนี้หรอกใช่ม๊า(ยิ้ม) อย่างไรก็ฝากติดตามกันต่อไปด้วยนะคะ

อยากจะบอกว่าบทที่สิบเป็นบทที่เรากังวลอยู่เหมือนกัน เพราะมันดูเหมือนจะมีสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่ แต่จุดที่ว่าก็เหมือนกับฉากเอ็นซีในเรื่องนะแหละ บางครั้งเราก็คิดว่า มันเยอะจนน่าเบื่อ ถึงอย่างไรท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่ได้ตัดมันออก

เอาเป็นว่าความไม่สมเหตุสมผลที่เรารู้สึก เราจะนิยามมันว่า ‘ความฮารุโตะ’ ตามที่คุณ sirin_chadada เคยบอกไว้แล้วกันนะค่ะ//*

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 10 : 4/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-03-2017 07:28:17
ทาคุมิจะเป็นเพื่อน (จริง ๆ) ของฮารุโตะได้ไหมนะ ตอนนี้ยังไม่เห็นจุดประสงค์ของการเข้าหา แต่จากประสบการณ์ของฮารุโตะก่อนหน้านี้ทำเราระแวงอยู่หน่อย
ตอนฮารุโตะล้มในห้องปฏิบัติการนั่นมีคนแกล้งสินะ แกล้งแรงไปไหม ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ ทำไมทุกคนทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุ
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 11 : 8/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 07-03-2017 23:58:10

เรื่องย่อ ตอนที่ 11

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ในที่สุดการสอบปลายภาคก็ผ่านไป และกำลังเข้าสู่ช่วงปิดเทอม ฮารุโตะใช้ช่วงหยุดที่มีอยู่ไปทำงานพิเศษเพิ่ม นอกจากนี้ยังได้ไปเที่ยวกับพวกรุ่นพี่ในชมรม ความสัมพันธ์ของฮารุโตะและซากิจึงค่อยๆทักถอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ตัวละครเพิ่มเติม
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. ซาโต้ อัตซึชิ
2. อาเบะ ซึกิซากะ
3. ฮอนดะ โยชิ
4. มาซามุเนะ โทรุ



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย


Chapter 11


งานพิเศษของนาโอโตะคือเป็นคนงานในกองถ่ายหนังสือแฟชั่นที่มารดาของเจ้าตัวเป็นบรรณาธิการอยู่ เป็นคนงานคือเป็นคนงานจริงๆ แบบที่ทำทุกอย่างตั้งแต่ยกของ ขนของ จัดไฟ เสริฟน้ำหรือเดินไปซื้อข้าวซื้อการแฟให้พวกนายแบบนางแบบหรือตากล้อง อันที่จริงพวกเรื่องอาหารการกินจะมีคนที่คอยดูแลอยู่แล้ว แต่บางครั้งมันก็มีเหตุไม่คาดฝัน อย่างเช่น

“มีคนแพ้โน่นนี่นั่น ไม่สามารถกินได้ กินเข้าไปแล้วจะชักตาตั้งต้องส่งโรง’บาลทันที เราก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์แบบนั้น”รุ่นพี่เล่าให้พวกเขาฟังคร่าวๆตอนอยู่บนรถที่มีสารถีเป็นนาคามูระ เรย์

ทีมถ่ายภาพจะมีหลายทีม แต่ว่า แต่ละทีมจะมีพนักงานประจำอยู่ไม่กี่คน นอกเหนือจากนั้นจะเป็นพวกนักศึกษาที่มาทำงานพิเศษ มีพี่คนหนึ่งคอยจ่ายงานและคุมงานอีกที รุ่นพี่อาโอกิเลยพูดต่อไปอีกหน่อยว่า

“ถ้าโดนดุก็ไม่ต้องคิดมากละ”

ทั้งฮารุโตะและทาคุมิต่างรับคำ แต่ภายในใจของฮารุโตะตุ้มๆต่อมๆ อย่างเขานี้คงต้องโดนดุเป็นพะเรอเกวียนแน่ๆ

นาคามูระ เรย์เลี้ยวรถเข้าจอดในพื้นที่จอดรถหน้าอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง เขาดับเครื่องยนต์ ขณะเดียวกันผู้โดยสารคนอื่นๆก็ทะยอยลงจากรถ หลังจากทุกคนลงจากรถหมดแล้วจึงกดล็อกแล้วเดินตามคนรักที่เดินนำหน้าเข้าไป

ผ่านประตูและห้องด้านหน้าเข้าไปแล้ว ด้านในเป็นห้องกว้างหลังคาสูง มีอุปกรณ์ที่ฮารุโตะรู้จักดีอย่างชุดไฟและฉากหลังสีขาว ภายในห้องนั้นมีคนอยู่แค่สามคน ซึ่งเมื่อพวกเขาเห็นหน้าอาโอกิ นาโอโตะต่างก็ส่งเสียงทักทายอย่างเป็นกันเอง

“เราสามคนไปแต่งหน้าแต่งตัวเลย ส่วนเรา”คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชี้มือมาที่ฮารุโตะ อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวตัดผมซอยสั้น ผิวขาวออกเหลือง ตัวสูงกว่าฮารุโตะนิดหน่อยซึ่งรุ่นพี่อาโอกิแนะนำให้เรียกว่าคัตสึกิซัง

“ไปซื้อน้ำเปล่ามาครึ่งโหล เงินทอนต้องเอามาคืนพร้อมใบเสร็จ”เขารับเงินมาใส่กระเป๋า หญิงสาวคนนั้นเดินนำออกไปด้านนอกพลางพูดบอกทางไปร้านค้า ก่อนจะหันไปเรียกทาคุมิให้ตามไปที่รถยนต์อีกคันที่จอดอยู่ ฮารุโตะหันไปมอง ตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยแต่โดนไล่ให้รีบไปซื้อน้ำ เขาจึงต้องรีบจ้ำเท้าจากมา

ร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่ไกล ห่างออกมาแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ฮารุโตะเปิดประตูเดินตรงเข้าไปเปิดประตูตู้แช่เย็น แต่บังเอิญว่ามันมีทั้งขวดเล็กและขวดใหญ่น่ะซิ แล้วเขาก็ไม่ได้ถามมาเสียด้วยว่าให้ซื้อแบบไหน

เด็กหนุ่มจึงเดินออกจากร้าน กลับไปที่ตึกอีกครั้ง หลังเปิดประตูเข้าไปและคัตสึกิซังหันมาเห็นเขา เด็กหนุ่มจึงโดนใช้ให้ไปชงชาต่อ

“อ่อ น้ำละ”

“ยัง... ไม่ได้ซื้อครับ”แค่เห็นว่าผู้มากวัยทำหน้าเหมือนสงบสติอารมณ์ เขาก็ก้มหน้าลงเตรียมโดนว่าทันที กระนั้นเสียงที่ถามกลับมา ไม่ได้แข็งกร้าวเท่าที่คิด “ทำไมถึงยังไม่ซื้อ”

“ผมไม่รู้ว่าจะให้ซื้อขวดแค่ไหนครับ”ฮารุโตะตอบกลับเสียงเบาทั้งยังไม่เงยหน้า ได้ยินเสียงบ่นกลับมาเบาๆว่า ‘เออ ยังดี’

“เอาขวดขนาดห้าหรือหกร้อยซีซี แบบไม่เย็นนะ”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับคำแข็งขัน ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปซื้อ คราวนี้ฮารุโตะไม่กล้าเดินเอื่อยๆอีก เลยกลับมาถึงหลังจากนั้นไม่นาน

“ผมไปชงชานะครับ”เขาร้องบอกก่อนจะเดินหาครัว พื้นที่ทั้งชั้นนั้นเล็กแคบ เขาเดินวนไปวนมาก็เจอห้องครัว เห็นกาต้มน้ำไฟฟ้าวางอยู่ ยกขึ้นมาดูเห็นภายในกาน้ำว่างเปล่า เขาจึงเปิดน้ำใส่กา ยกเขย่าๆแล้วเทน้ำทิ้งก่อนจะเปิดน้ำใส่ไปอีกรอบ แล้วเสียบปลั๊กไฟ

ชั้นวางของที่อยู่สูงเหนือศีรษะมีผงเครื่องดื่มหลากหลายชนิดวางอยู่ หลากหลายระรานตาจนฮารุโตะเลือกไม่ถูก

“ตั้งน้ำแล้วใช่ไหม”คัตสึกิซังเดินเข้ามาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียง แต่เป็นจังหวะที่เขากำลังรู้สึกลำบากใจพอดี แต่กระนั้น เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อ หญิงสาวหยิบกระบอกน้ำเก็บความร้อนออกมาจากตู้เก็บของใต้เคาน์เตอร์  หยิบผงชาจากชั้นวางด้านบนลงมา เปิดฝากระบอกน้ำและตักผงชาใส่ลงไปอย่างคล่องแคล่ว

“ป่ะ ไปทำอย่างอื่นต่อ”เธอเอ่ยปากชวน ฮารุโตะจึงเดินตามเธอออกไปอย่างว่าง่าย

เปิดประตูอีกห้องเข้าไป เขาพบพวกรุ่นพี่นั่งเล่นกันอยู่ในห้องนั้น บนเก้าอี้หน้ากระจกเป็นรุ่นพี่โมริ ส่วนรุ่นพี่อาโอกินั้นมือหนึ่งถือแปรง อีกมือถือถาดอายแชโดว์และบรัชออน ส่วนเก้าอี้อีกตัวถูกจับจองโดยหญิงสาวหน้าสวย ผมลอนยาวสีน้ำตาล

ฮารุโตะต้องละความสนใจไปก่อนเพราะคัตสึกิซังยื่นกระดานหนีบกระดาษในมือมาให้เขาถือ พร้อมอธิบายด้วยเสียงเรียบเรื่อย

“นี่เป็นคิวเสื้อผ้า มีชื่อและหมายเลขกำกับอยู่แล้วเห็นหรือเปล่า เสื้อที่แขวนอยู่ก็มีหมายเลขติดอยู่”พูดพร้อมหยิบเสื้อผ้าชุดแรกออกมาถือ รุ่นพี่โมริลุกเดินเข้ามาหาพอดี ชายหนุ่มร่างสูงยกยิ้มให้เขาก่อนยื่นมือมารับเสื้อผ้าซึ่งถูกแขวนในถุงคลุมไปถือ

“ระหว่างนั้นก็ดูเสริฟน้ำ เข้าใจแล้วเนอะ”

งานง่ายๆขนาดนี้ ถ้าเขาสั่นศีรษะบอกไม่เข้าใจก็คงเป็นเรื่องแปลก ฮารุโตะพยักหน้ารับคำ

“เออ ดูแข็งขันดี”

“ใช่ไหมละ”รุ่นพี่อาโอกิพูดขึ้นมา “ยิ่งตอนที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างนะ ยิ่งน่ารักมาก”

ขณะที่คัตสึกิซังกวักเมื่อเรียกรุ่นพี่ชิมิซึให้ไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัว และเริ่มต้นลงเครื่องสำอางบนหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะนิ่งฟังด้วยไม่ค่อยเข้าใจรูปประโยคแบบนี้เสียเท่าไหร่ ไม่มีประธานในประโยคเลยไม่รู้ว่ากล่าวถึงอะไร และเพราะต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัว เขาเลยยิ่งไม่รู้ว่าพูดถึงใคร

อย่างไรก็ตาม เขาเองไม่ใช่คนช่างพูด เลยนิ่งเงียบอยู่อย่างนั้น จนผู้หญิงอีกคนแต่งหน้าเสร็จ เขาถามชื่อก่อนหยิบถุงเสื้อที่เรียงเบอร์ไว้ออกมาให้ รุ่นพี่โมริถือชุดของตัวเองส่งมาฝากเขาไว้ พร้อมกับบอกว่าเห็นกาน้ำเดือดแล้ว ฮารุโตะแขวนเสื้อของรุ่นพี่ไว้ที่ราว พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยิบปากกาจากในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเขียนสัญลักษณ์สามเหลี่ยมลงในกระดาษ ก่อนจะแขวนกระดานไว้ที่เดิมและเดินไปกดน้ำร้อนลงกระบอกชา

เดินกลับเข้าห้องมาดูคิวเสื้อผ้าอีกครั้ง ยังไม่ทันที่รุ่นพี่ฮายาชิจะแต่งหน้าเสร็จ รุ่นพี่โมริก็วนกลับมาอีกรอบ รอจนส่งเสื้อผ้าให้รุ่นพี่ฮายาชิที่แต่งหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเป็นคนสุดท้าย เขาจึงเดินตามออกไปจากห้องบ้าง

แต่ก่อนหน้านั้น ก็เลี้ยวแวะเข้าห้องครัว หยิบกระบอกชาและแก้วกระดาษตามออกไปด้วย

หันมองรุ่นพี่ชิมิซึที่ทำหน้านิ่งอยู่หน้าฉากถ่ายภาพ แต่ต้องหันเหความสนใจกลับมามองที่คัตสึกิซังอีกครั้งเมื่อหญิงสาวบอกให้ส่งกระบอกชากับแก้วน้ำให้เธอถือ จากนั้นเขาจึงโดนไล่ให้มาดูเสื้อผ้าให้นางแบบผู้หญิงอีกรอบ

งานนี้ง่ายและสบายจนต้องถอนหายใจทิ้ง

“เบื่อหรือ”เสียงทุ้มเอ่ยถามดังมาทำให้ฮารุโตะสะดุ้งหันไปมอง เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงสั่นศีรษะปฏิเสธ เขาดูหมายเลขและชื่อบนกระดานก่อนจะหยิบเสื้อผ้าส่งให้

“อย่าลืมเรื่องเสาร์อาทิตย์นี้ละ”

ฮารุโตะยังตอบรับด้วยการพยักหน้าเช่นเดิม

ถึงเวลาเที่ยงวัน คัตซึกิซังก็บอกให้หยุดพัก ฮารุโตะเห็นทาคุมิถือถุงข้าวกล่องเข้ามา จึงเดินไปช่วยรับมาถือและนำไปแจกให้คนอื่นๆ จนเหลือกล่องสุดท้ายของตัวเอง เขาโดนดึงข้อมือให้ทรุดตัวลงนั่งข้างรุ่นพี่ร่างสูง และทาคุมิก็ตามมานั่งลงข้างกัน

“ดีแหะ ได้เงินแถมข้าวฟรีอีก”

“อือ”

“นายได้ทำอะไรอ่ะ”

ฮารุโตะที่เคี้ยวข้าวอยู่ในปากจึงต้องรีบกลืน “ดูแค่เสื้อผ้าเอง”

“ดีอ่ะ ฉันนะต้องยกโน่น แบกนี้ นี่ยังมีงานที่พี่เขาสั่งค้างไว้ด้วยนะ รีบกินหน่อยดิ ไปช่วยกันหน่อย”

“อ่อ อืม”

“งานของตัวเองไม่ใช่หรือ ก็ทำเองซิ ทำไมต้องมาใช้คนอื่นเขาต่อ แล้วฉันก็เห็นว่าเรย์มันช่วยนายทำอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”ซากิพูดแทรกขึ้นมาทันควัน ประโยคต่อมาเขาพูดกับฮารุโตะ”นายเองก็กินข้าวของตัวเองไปไม่ต้องไปช่วยเขา”

“อะไรว่ะ รุ่นพี่มาเกี่ยวอะไรด้วย”ทาคุมิพูดอย่างหงุดหงิด

“กินเสร็จแล้วไม่ใช่เรอะ รีบไปทำงานซิ จะได้เสร็จเร็วขึ้น”ซากิพูดเสียงเย็นที่คนในกลุ่มเพื่อนต่างรู้กันดีว่า เจ้าของคำพูดกำลังโมโห เรย์จึงต้องรีบโซ้ยข้าวเข้าปากและลุกขึ้นลากทาคุมิให้ออกห่าง

ซากินิ่งเงียบไปพักใหญ่ เหลือบตามองฮารุโตะ เห็นหนุ่มรุ่นน้องก้มหน้าก้มตากินข้าวด้วยความเร็วที่ช้ากว่าเดิมเสียอีก เขาลอบถอนหายใจ วางมือลงบนศีรษะของฮารุโตะพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงปกติว่า “กินเข้าอย่ามัวแต่เขี่ยเล่น หรือถ้าไม่อยากกินเองก็บอก เดี๋ยวป้อนให้”

คราวนี้ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมามองเขาตาโตและพูดกับชายหนุ่มด้วยอาการตื่นตกใจ “ผมกินเองได้” ทำให้ซากิหัวเราะกับท่าทางนั้น

เสื้อผ้าเซ็ตสุดท้ายเป็นชุดกีฬา ซึ่งนายแบบนางแบบทั้งหลายนอกจากจะมีการฉีดพรมน้ำให้เหมือนเหงื่อ ยังมีการนำขวดน้ำที่ฮารุโตะไปซื้อเมื่อตอนเพิ่งมาถึง ยกดื่มบ้าง สาดเล่น ลาดศีรษะบ้าง และของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นการยกราดศีรษะจนเปียกไปทั้งตัว

จนตอนที่ถ่ายภาพกันเสร็จแล้ว ฮารุโตะซึ่งมีหน้าที่เตรียมผ้าขนหนูอีกหนึ่งอย่าง จึงเดินถือเข้าไปส่งให้ถึงมือ และถึงจะส่งผ้าขนหนูไปให้แล้วก็จริง รุ่นพี่ก็ยังสะบัดศีรษะเหมือนแกล้งให้น้ำกระเด็นใส่ จนต้องผงะถอนหนี ส่วนเจ้าตัวกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

บ่ายแก่ๆเท่านั้นเองที่งานของวันนี้ก็จบลง

“พรุ่งนี้ไปที่นี่เลยนะ เดี๋ยวซึกิซากะกับอัตซึชิจะบอกเองว่าให้ทำอะไร”รุ่นพี่อาโอกิส่งกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ซึ่งทาคุมิก็ยื่นหน้ามาดูด้วยทันที และพูดว่า

“ผมไปด้วยได้ไหมครับ”

“แน่นอน”

“เอ่อ... รุ่นพี่ครับเสาร์กับอาทิตย์นี้ผมไม่ว่างนะครับ”ฮารุโตะบอก

“ไปไหนอ่ะ”คนที่ถามประโยคนี้คือทาคุมิ และโดนนาโอโตะตอบตัดบทไปทันทีว่า “ฮารุจังจะไปไหนก็เรื่องของเขา นายจะไปเกี่ยวอะไรกับเขาละ”

“รุ่นพี่ครับ เพื่อนกัน จะไปไหนก็ต้องไปด้วยกันสิ”

“วุ้ย เขาจะไปเดทกับแฟน นายก็อยากไปเป็นกอขอคอหรืออย่างไร”

พอโดนคำพูดแซวเช่นนั้น ฮารุโตะรู้สึกว่าหน้าของตนจะร้อนขึ้นมาอีก และอ้อมแอ้มบอกไปว่า “ไม่ได้ไปเดทหรอกครับ รุ่นพี่ชิมิซึเขา...” ฮารุโตะอึกอักไม่รู้ว่าจะบอกว่าอย่างไรดี เพราะรู้แน่อยู่แล้วว่ารุ่นพี่ชิมิซึนัดเขาเพื่ออะไร “...มีงานให้ผมช่วยทำ”

นาโอโตะจึงยกยิ้มกึ่งสงสารกึ่งเอ็นดู ลูบศีรษะรุ่นน้องไปพลาง เขาอุตส่าห์บอกปัดตัดบท เจ้าตัวก็ซื่อบอกเขาไปซะหมด ส่วนเด็กหนุ่มตัวสูงเพื่อนของฮารุโตะก็ช่างงี่เง่าเสียจริง ยังวุ่นวายไม่เลิก

“นั่นไง ให้ฉันไปด้วย จะได้ช่วยทำงานไง ไม่เอาเงินก็ได้นะ”

“งานของฉันนะ นายทำไม่ได้หรอกแล้วฉันก็ไม่ให้นายทำด้วย”ซากิพูดแทรกทะลุขึ้นมากลางปล้อง เขาเพิ่งผละจากกลุ่มเพื่อนเข้ามาหา ทันได้ยินคำบอกของฮารุโตะและคำพูดของทาคุมิพอดี ชายหนุ่มโอบบ่าของฮารุโตะไว้ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้หนุ่มรุ่นน้อง

“วันนี้กลับเองนะ ฉันจะไปอ่านหนังสือกับเจ้าพวกนั้น”

“ครับ”

ซากิเหลือบมองทาคุมิด้วยหางตาอีกครั้ง ก่อนจะแตะริมฝีปากกับหน้าผากของฮารุโตะเบาๆ คนโดนจูบตกใจถึงกับยกมือกุมหน้าผาก หน้าแดงเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง นาโอโตะถอนหายใจด้วยความเซ็ง ส่วนทาคุมิขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัย

แยกย้ายจากกลุ่มรุ่นพี่ ทาคุมิก็เอ่ยถามทันที

“ถามจริงอ่ะ เป็นอะไรกับรุ่นพี่ชิมิซึ”

ฮารุโตะมองหน้าคนถามด้วยความงุนงงพร้อมกับคิดสงสัยในใจ ทำไมช่วงนี้มีแต่คนชอบถามคำถามนี้นะ

“เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรม”และเมื่อตอบออกไปตามตรงคนถามก็ทำหน้าไม่เชื่อ จนฮารุโตะคิดว่า คงต้องรอให้รุ่นพี่ซากิอารมณ์ดีแล้วลองถามดูบ้างดีกว่า

“รุ่นพี่เขาเหมือนไม่ชอบหน้าฉันเลยอ่ะ ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย”

“รุ่นพี่ชิมิซึน่ะ บางทีก็ดุถ้าอารมณ์ไม่ดี แต่ก็ใจดีนะ”

“เห๋!!!! มีด้วยหรือไอ้ความใจดีเนี่ย”

“อือ ถามคนในชมรมได้”เมื่อยืนยันไปอย่างนั้น รุ่งขึ้นอีกวันที่ทาคุมิได้มีโอกาสเจอสมาชิกชมรมถ่ายภาพคนอื่นจึงได้เอ่ยถามขึ้นมา

“ก็ดีนะ อาจจะดูนิ่งๆเงียบๆไม่เฮฮาเท่ากลุ่มเพื่อน แต่ถ้ามีปัญหาไปขอให้ช่วย เขาก็จัดการให้เลย”อัตซึชิพูด ซึ่งเมื่อซาโต้ ทาคุมิและซาโต้ อัตซึชิแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อยต่างก็สรุปกันว่าควรจะเรียกชื่อต้นแทนนามสกุล และแม้ว่าซาโต้ อัตสึชิจะเป็นรุ่นพี่ปีสองเจ้าตัวก็ไม่ได้ถือสา

จบคำพูดของแฟนหนุ่ม ซึกิซากะกล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “แรกๆอาจจะไม่ค่อยชิน เพราะพี่เขาไม่ช่างคุย ดูเหมือนหยิ่งแต่พอได้ทำงานด้วย บางครั้งพี่เขาอาจจะเหมือนไม่ค่อยชอบใจอยู่บ้าง แต่ไม่เคยบ่นออกมาสักครั้ง”

“แล้วถ้าเกิดเป็นผู้หญิงเข้าไปชวนคุยละก็ เขาจะพูดตอบกลับมาดีเลยละ”

ฮารุโตะฟังแล้วรู้สึกแปลบวาบในอกขึ้นมา ลองนึกย้อนดูก็เป็นตามที่รุ่นพี่ซาโต้กับรุ่นพี่อาเบะพูด ตัวเขาเองกว่าจะได้เริ่มคุยกับรุ่นพี่ชิมิซึก็หลังจากเข้าชมรมมาแล้วเป็นเดือนๆ

“อ่อ เป็นพวกหน้าหม้อสินะ”ทาคุมิพูดขึ้นมาบ้าง

พวกเขาอยู่ระหว่างช่วงพัก ทาคุมินั่งเหงื่อโชกทั้งที่อากาศเย็นจัดเพราะเจ้าตัวต้องสวมชุดมาสคอตซึ่งเป็นโลโก้ขนมขบเคี้ยว

งานวันนี้เป็นบูธโปรโมทผลิตภัณฑ์ ซึกิซากะซึ่งเป็นผู้หญิงหน้าตาดีจะเป็นคนแนะนำผลิตภัณฑ์ให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาภายในห้างสรรพสินค้า ส่วนอัตซึชิแฟนหนุ่มเป็นฝ่ายสวมชุดมาสคอต แต่อย่างที่รู้ว่าภายในชุดมาสคอตนั้นร้อนมาก อัตซึชิต้องขอให้รุ่นพี่อาโอกิหาคนมาช่วยผลัดเปลี่ยน

“ก็พูดไป รุ่นพี่เขาหล่อ เท่ เป็นนักกีฬา ผู้หญิงคนไหนก็ชอบ ขนาดซึกิจังนะ เข้ามาชมรมแรกๆอ่ะยังตามกรี้ดพี่เขาน่าดูเลยละ”

“ถึงตอนนี้จะตกลงคบกับอัตซึชิแล้วก็ยังเป็นแฟนคลับรุ่นพี่นะ อยากจะบอก”

“เป็นแฟนคลับอย่างเดียวนะซึกิจัง อย่าให้รู้ว่าเป็นอย่างอื่นด้วยละ”

“แหมตัวเองอ่ะ เค้าอ่ะรักแต่ตัวเองนะ แล้วอีกอย่างรุ่นพี่เขาก็ไม่คบเด็กในชมรมหรอก จำจิฮายะได้ไหม นั่นก็สมัครเข้าชมรมมาจีบรุ่นพี่นะ แต่โดนปฏิเสธไปเลยต้องลาออกจากชมรมละ”สองคนนั้นยังกระหนุงกระหนิง เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ทาคุมิฟังอีกหลายอย่าง

ฮารุโตะเองก็ฟังบ้างไม่ได้ฟังบ้าง เพราะใจมันจมจ่ออยู่กับคำพูดของซึกิซากะเสียแล้ว ใจหนึ่ง ฮารุโตะก็พยายามยั้งห้ามตัวเองเอาไว้ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดเพ้อฝันไปเสียไกล เข้าข้างตัวเองว่ารุ่นพี่มองเห็นเขาเป็นคนพิเศษ จนใครหลายคนเอ่ยปากตั้งข้อสังเกตกับความสัมพันธ์อันแปลกประหลาด หรือไม่ก็เป็นตัวเขาเองที่ตื่นเต้นกระตือรือร้นกับความใจดีของรุ่นพี่จนคนอื่นเข้าใจผิด

หรือที่จริงแล้ว เขาควรจะถอยห่างจากรุ่นพี่ให้มากกว่านี้  ฮารุโตะได้แต่ครุ่นคิดด้วยความลังเลสับสนในใจ



ทว่า เย็นวันศุกร์ที่รุ่นพี่มานอนค้างด้วยก็มาถึงอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่ารุ่นพี่ชิมิซึค่อนข้างจะอารมณ์ดีมาก เขาจึงไม่อยากทำอะไรให้รุ่นพี่ขุ่นเคืองโมโห เมื่อรุ่นพี่บอกให้เขาทำอะไรจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย เช้าวันเสาร์เขาตื่นมาทำอาหารเช้า ทานข้าวกับรุ่นพี่ และออกจากห้องพร้อมกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบย่อมที่มีทั้งเสื้อผ้าของเขาและของหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงรวมอยู่ด้วยกัน

รุ่นพี่ชิมิซึพาเขาเดินย้อนเข้าไปในซอย ลึกเข้าไปไม่กี่ร้อยเมตร พาเขามาหยุดยืนที่บ้านหลังหนึ่ง กดโทรศัพท์โทรออกพูดคุยอยู่ครู่เดียว หลังจากวางสายไปไม่นาน เจ้าของบ้านก็เดินออกมาเปิดประตู ฮารุโตะจึงเอ่ยปากทักทายเจ้าบ้านซึ่งเป็นรุ่นพี่ในชมรมที่เขารู้จักดี ระหว่างที่รุ่นพี่ชิมิซึเดินเข้าไปในบ้าน กดปุ่มบนกุญแจปลดล็อกรถยนต์ที่จอดอยู่ภายในรั้วบ้าน

“เพิ่งตื่นหรือครับ”

“อืม ตื่นตอนที่ซากิมันโทรมานะแหละ”เรียวตะตอบพลางดึงฮารุโตะให้ชิดข้างทาง หลบรถยนต์ที่ซากิกำลังขับถอยออกมายังถนน

ชิมิซึ ซากิกดกระจกลงเรียกให้ฮารุโตะขึ้นรถ หนุ่มรุ่นน้องจึงหันไปบอกลารุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้าน ก่อนจะก้าวเท้าไปขึ้นรถ เรียวตะโบกมือให้ทั้งคู่จากนั้นรถยนต์ที่มีซากิเป็นผู้ขับก็เคลื่อนที่ออกไป

“จะไปไหนหรือครับ”มานั่งอยู่บนรถขนาดนี้แล้ว ฮารุโตะคิดว่าเขาควรจะถามจุดหมายของการเดินทางครั้งนี้ดูบ้าง

“นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว”รุ่นพี่ยิ้มกว้างอย่างที่เขาต้องยกยิ้มตาม

“จะพาไปสวนสนุก”

“เอ๊ะ!!!”ฮารุโตะร้องออกมาอย่างแปลกใจ ไม่นึกว่าอย่างรุ่นพี่จะชอบไปสวนสนุก

“จะแปลกใจอะไร ฉันตั้งใจพานายไปนั่นแหละ”

“เอ๋!!!!!!”คราวนี้เขาร้องเสียงหลงยิ่งไปกว่าเดิม จากนั้นก็อึกอักทำหน้าลำบากใจ “รุ่นพี่ไม่ยอมบอกก่อน ผมนึกว่าไปใกล้ๆ ก็เลยไม่ได้เตรียมเงินมา” ฮารุโตะกังวลใจหนักถึงขั้นหยิบกระเป๋าเงินออกมาดู เขาเป็นมนุษย์จำพวกไม่พกเงินจำนวนเยอะๆไว้กับตัวอยู่แล้วด้วย

“จะคิดมากอะไร ฉันจ่ายให้อยู่แล้วละน่า ฉันเป็นคนพามานะ”

“แต่ผมเกรงใจ ค่าบัตรไม่ใช่ถูกๆ”ถึงเขาจะไม่เคยไป แต่ก็เคยได้ยินเพื่อนในห้องตอนสมัยเรียนมัธยมพูดถึง ตอนนั้นเขาฝันว่าอยากจะไปบ้างเหมือนกัน แต่ความคิดความฝันที่ว่าต้องจางหายไปด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง

“ไม่จ่ายให้ฟรีๆอยู่แล้วนี่ แลกกับการที่นายต้องทำตัวน่ารักๆ ตอนกลางคืนไง”ซากิละสายตาจากถนนเพื่อเหลือบมองหนุ่มรุ่นน้องซึ่งเอี้ยวตัวหันหน้ามาคุยกับเขา ก่อนหันกลับไปมองถนนเช่นเดิมเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้างุดๆซ่อนข้างแก้มซึ่งกลายเป็นสีเรื่อ ตามมาด้วยเสียงตอบรับแสนเบาว่า ‘ครับ’

หลังจากนั้นบทสนทนาระหว่างพวกเขาก็หายเงียบ ซากิจึงเปิดเพลงเพื่อไม่ให้บรรยากาศภายในรถเงียบเหงาเกินไปนัก เวลาผ่านไปไม่นาน หนุ่มรุ่นน้องซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในคราแรกก็เงยหน้าขึ้นมาให้ความสนใจวิวทิวทัศน์ข้างทาง แม้ว่าเขาจะใช้ทางพิเศษในการเดินทางซึ่งไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจสำหรับเขานัก แต่สีหน้าของฮารุโตะกลับต่างออกไป

ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงกว่าที่พวกเขาจะถึงจุดหมายปลายทาง

ฮารุโตะชะเง้อคอมองสวนสนุกขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ติดชายทะเลตั้งแต่ที่เขาขับรถผ่าน ลงจากรถมาได้ หนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กจึงมองซ้ายทีขวาทีล่อกแล่กอย่างคนที่พึ่งเคยมาครั้งแรก จนซากิต้องเดินเข้ามาจับมือจูงเด็กหนุ่มให้เดินตามเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นเด็กหลงไปจริงๆ

สวนสนุกในวันนี้อยู่ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ นอกจากการประดับตกแต่งในโทนสีชมพู แดง ขาว ดอกกุหลาบ ลูกโป่ง ดอกไม้และหัวใจแล้ว ยังเต็มไปด้วยคู่รักที่ต่างจับมือเดินเคียงกัน ซึ่งไม่รู้เป็นเพราะบรรยากาศเช่นนี้หรือเปล่า ฮารุโตะจึงมีอาการเกร็งประหม่าอย่างที่ซากิเองก็รู้สึกได้

“เป็นอะไร”ซากิเอ่ยถามขณะที่ยืนรอต่อแถวเพื่อเล่นเครื่องเล่น ฮารุโตะสั่นศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธกลับมา เป็นปฏิกิริยาตอบรับที่เขาคาดเดาไว้ในใจ ชายหนุ่มจึงยกมือขึ้นลูกศีรษะของหนุ่มรุ่นน้อง โดยหวังให้อีกฝ่ายจะคลายอาการประหม่าลง ทว่าสิ่งที่ขจัดอาการแปลกๆของฮารุโตะได้อย่างราบคาบกลับเป็นบิ๊กธันเดอร์เมาน์เท่นที่พวกเขาเพิ่งขึ้นไปเล่นเมื่อสักครู่

“เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก”ฮารุโตะยกมือกุมหน้าอก หัวใจยังคงเต้นโครมครามด้วยความหวาดเสียวที่เพิ่งเผชิญ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจึงหันกลับไปมองรุ่นพี่ร่างสูงที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“ต่อไหม”

เด็กหนุ่มรีบสั่นศีรษะ “ขออะไรที่มันเบาๆกว่านี้ก่อนนะครับ”

“อืม งั้นไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่าไหม”

เขาพยักหน้ารับ วางมือของตนลงบนมือของรุ่นพี่ที่ยื่นมาตรงหน้า และตอบคำถามเรื่องของกินที่อีกฝ่ายถามมา

พวกเขาเดินเที่ยวเล่นอยู่ในสวนสนุกตลอดทั้งวัน และจบทริปวันนั้นด้วยการดูขบวนพาเหรดซึ่งเป็นการแสดงหลักที่มีเป็นประจำ หลังจากนั้นชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นรุ่นพี่ร่วมชมรมจึงพาฮารุโตะไปเข้าพักในโรงแรมที่ตั้งอยู่ห่างออกมาไม่ไกล เมื่อมองจากระเบียงของห้องพักจะเห็นแสงไฟสว่างจากสวนสนุก ฮารุโตะมาหยุดยืนมองอยู่ได้ไม่นานก็โดนไล่ให้ไปอาบน้ำ ใช้เวลาไม่นานเขาจึงกลับออกมาในชุดเสื้อคลุมของโรงแรม

รุ่นพี่บอกให้ทำตัวน่ารักๆ เด็กหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจทั้งที่ตกอยู่ในอาการประหม่า

กระนั้นเมื่อฮารุโตะล้มตัวลงนอนบนเตียงเพียงแค่ครู่เดียว เขากลับหลับสนิทไปอย่างง่ายดาย มาสะดุ้งรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อยามเช้ามาเยือน ซ้ำเขายังรู้สึกเหมือนว่าตัวเองยังคงนอนคว่ำหน้าท่าเดียวกับเมื่อคืน และเมื่อขยับตัว คนที่นอนเบียดอยู่บนเตียงขนาดคิงไซส์ด้วยกันพลันขยับตัวตื่นขึ้นมาเช่นเดียวกัน

“เมื่อคืนไม่ปลุกละครับ”

“เห็นเด็กน้อยนอนหลับ ใครจะกล้าปลุก”

ฮารุโตะมุ่ยหน้า

ซากิขยับเข้าไปใกล้ แนบหน้าผากลงบนหน้าผากของหนุ่มรุ่นน้อง แล้วแตะริมฝีปากลงบนริมฝีปากอิ่มที่ดูซีดกว่าช่วงกลางวัน

เด็กหนุ่มขยับถอยยกมือขึ้นปิดปาก “ยังไม่ได้แปรงฟันเลย”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จูบ”ชายหนุ่มว่าเช่นนั้นก่อนจะลากปลายจมูกไปตามสันกราม แทะเล็มตามแนวคอไปจนถึงแอ่งชีพจร ใช้ฟันขบกัดผิวเนื้อซึ่งโผล่พ้นสาบเสื้อคลุม แสงกลางวันสว่างจ้าจากบานหน้าต่างซึ่งรวบม่านมัดไว้ทั้งสองข้างตกกระทบลงบนร่างกายทำให้สีผิวนั้นดูแตกต่างกว่าทุกที

เขาลากมือปลุกเร้าร่างผอมบางของหนุ่มรุ่นน้องด้วยความคุ้นชิน กระตุ้นเร้าจนอีกฝ่ายดีดดิ้นคล้ายทรมาน ปรนเปรอเล้าโลมจนร่างเล็กบางเปิดเปลือยยอมให้เขาสอดใส่เข้าไปโดยง่าย ซ้ำยังตอบสนองและโอบรัดเขาไว้แนบแน่น  ซากิขยับตัวอืดเอื่อย ขยับย้ำหมุนควง จนร่างที่นอนอยู่ต้องหลุดเสียงครางผะแผ่ว

จวบจนห้วงอารมณ์กระสันซ่านผ่านไป

ฮารุโตะหลับตาซบหน้าอยู่บนไหล่กว้างของหนุ่มรุ่นพี่ ปล่อยให้ซากิสางผมให้อย่างเพลินมือ  โดยชายหนุ่มร่างสูงตั้งใจว่าจะปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องนอนหลับสักพักก่อนปลุกให้ไปเดินเที่ยวในสวนสนุกกันต่อ เขาจึงหลับตาลงบ้าง

และก็เป็นฮารุโตะที่รู้สึกตัวตื่นก่อน  สำหรับซากิที่ตอนแรกอยากจะแค่พักสายตากลับกลายเป็นว่าเขาหลับไปจริงๆ พวกเขาใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวจัดการสภาพของตัวเองไม่นานก็พร้อมสำหรับการเดินเที่ยวในวันนี้

ออกจากโรงแรม ซากิพาฮารุโตะแวะร้านอาหารก่อนเป็นอันดับแรก ทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อยจึงไปเดินทัวร์เที่ยวสวนสนุกตามโซนที่ยังไม่ได้ไป แต่วันนี้ซากิชวนอีกคนกลับโรงแรมตั้งแต่หัววัน เพราะไม่ว่าจะการแสดงหรือขบวนพาเหรดช่วงหัวค่ำพวกเขาก็ได้ดูไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน ดังนั้นซากิจึงชวนเด็กหนุ่มไปเดินเล่นกันบนเตียงแทน

และเมื่อเห็นว่าทางสวนสนุกมีการจุดพลุแสดงเป็นรายการสุดท้าย ชายหนุ่มจึงลุกขึ้นไปปิดไฟและพาฮารุโตะไปยืนเกาะกระจกเพื่อดูพลุ ระหว่างนั้นก็จ้วงทะยานควบขับเข้าหาเพื่อเสพสุข ฮารุโตะส่งเสียงร้องครางครือ ขยับสะโพกตอบรับความซ่านเสียวที่ดึงสติการรับรู้ของเขาไปหมด ก่อนที่จังหวะชักนำจะโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้น ไม่ช้าไม่นานพวกเขาก็ไปถึงปลายทางแห่งความสุขสม ทว่านั่นก็เป็นเพียงหนึ่งครั้งในค่ำคืนอันแสนยาวนานนี้

เช้าวันจันทร์ตอนขากลับ ฮารุโตะตื่นมาด้วยท่าทางสะลึมสะลือ เขาเดินตามการจูงมือของรุ่นพี่จนมาถึงรถ และนอนหลับตั้งแต่รถเพิ่งเคลื่อนที่ ซากิจึงต้องแวะจอดข้างทางเพื่อปรับเบาะรวมถึงหาทั้งหมอนและผ้าห่มให้อีกฝ่าย

“หือ”เด็กหนุ่มปรือตาขึ้นมามอง

“ไม่มีอะไร นอนต่อเถอะ”เขาบอก กล่อมรอให้หนุ่มรุ่นน้องหลับตาลงอีกรอบจึงจะหันกลับมาบังคับรถให้เคลื่อนที่


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 11 : 8/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-03-2017 00:19:14


ในกลุ่มสนทนาของชมรมมีการเรียกรวมให้สมาชิกไปประชุมกันเพื่อนัดหมายเรื่องวันท่องเที่ยวงานเลี้ยงอำลารุ่นพี่ปีสี่ ข้อความที่ว่าถูกแจ้งอยู่ในกลุ่มก่อนวันนัดร่วมๆ สองอาทิตย์ พร้อมกับข้อมูลกำหนดการวันท่องเที่ยวซึ่งรุ่นพี่ฮายาชิเอามาเขียนแปะไว้เป็นระยะๆ กว่าจะถึงวันประชุมจริงๆ ทั้งเวลาทั้งสถานที่ สมาชิกทุกคนก็รับรู้กันหมดแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ซาโต้ ทาคุมิ

“ผมไปด้วยไม่ได้หรือครับ รุ่นพี่ไม่สงสารเด็กน้อยตาดำๆบ้างหรือ”

ฮารุโตะคิดว่าถ้าทาคุมิกอดขารุ่นพี่อาโอกิได้ก็คงจะทำไปแล้ว เพราะมาคลุกคลีกับคนในชมรม เพื่อนร่วมคณะของเขาจึงพอจะรู้ว่ารุ่นพี่อาโอกิมีแฟนแล้ว และตอนนี้แฟนของรุ่นพี่อาโอกิก็นั่งอยู่ไม่ไกลด้วย เจ้าตัวจึงแค่เกาะโซฟาทำตาปริบๆเท่านั้น

“รู้จักรุ่นพี่เขารึ ถึงจะไปด้วยนะ”

“รู้จักสิครับ”ด้วยการเข้าไปแนะนำตัวให้รุ่นพี่รู้จักเมื่อสองวันก่อน

เหตุการณ์ดังกล่าวมีที่ไปที่มาดังนี้คือ จู่ๆทาคุมิมาบอกเขาว่าอยากรู้จักรุ่นพี่ปีสี่ของชมรมที่กำลังจะเรียนจบ ตอนนั้นเขาพยักหน้ารับด้วยความที่ไม่ได้คิดอะไร แต่เพราะรุ่นพี่ฮอนดะเริ่มทำงานประจำในบริษัทที่เคยสมัครงานไว้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร จนกระทั่ง ได้ไปทำงานพิเศษใกล้กับบริษัทที่รุ่นพี่ทำงานอยู่ ถึงได้มีโอกาสนัดเจอกัน

“พี่โยชิบอกว่า ถ้าไม่ติดขัดเรื่องงบ จะพาไปด้วยก็ได้”เรย์อ่านข้อความที่คุยกับรุ่นพี่ฮอนดะให้นาโอโตะฟัง เนื่องจากการประชุมนี้จัดขึ้นวันธรรมดาที่เจ้าของงานเลี้ยงอำลาไม่ได้สามารถมาร่วมได้ คนอื่นก็เช่นกันหากวันนี้มาไม่ได้ แต่ยืนยันว่าสามารถเข้าร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้หรือไม่ ก็ไม่มีปัญหา

“ถ้าอย่างนั้น ไว้รอถามสมาชิกคนอื่นก่อนนะ”นาโอโตะพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น เมื่อเห็นว่าถึงเวลานัดประชุมแล้วจึงเรียกรวมสมาชิกทุกคน

รายละเอียดของทริปนี้ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่เรียวตะเคยเขียนบอกไว้ในกลุ่มสนทนา ก่อนที่หัวข้อประชุมจะมาจบลงที่ถามความคิดเห็นเรื่องซาโต้ ทาคุมิ ถึงแม้ว่าหลายคนจะไม่รู้จักทาคุมิ แต่เมื่อได้ยินว่ารุ่นพี่ฮอนดะ โยชิไม่มีปัญหา คนอื่นๆจึงไม่มีข้อขัดข้องเช่นเดียวกัน

“ทำไมถึงอยากไปละ”ฮารุโตะถามอย่างสงสัย

“เอ่า ก็ไปเที่ยว ใครๆก็อยากไปทั้งนั้น”

“แต่ซาโต้ซังไม่รู้จักใครเลยนะ”ถ้าเปลี่ยนเป็นฮารุโตะละก็ เขาคงไม่อยากไปร่วมกิจกรรมกับคนที่ไม่รู้จัก เพราะเมื่อไปก็ไม่รู้จะคุยกับใคร

“ก็นายไง”แต่เมื่อคนตอบเหลือบเห็นสายตาของชายหนุ่มอีกคนซึ่งนั่งอยู่ข้างๆฮารุโตะจ้องเขม็งมองมา เขาจึงเพิ่มชื่อคนอื่นๆเข้าไปอีก “รุ่นพี่อาเบะ รุ่นพี่อัตซึชิ แล้วรุ่นพี่อีกตั้งหลายคน”

ฮารุโตะจึงพยักหน้ารับรู้ ตอนที่เขาไปเที่ยวกับชมรมครั้งแรก ก็ยังไม่รู้จักใครมากมายเหมือนกันนี่นะ



สถานที่ไปชมซากุระครั้งนี้อยู่ในจังหวัดนาโกย่า ต้องออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงเช้าที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ถึงจุดหมายปลายทางกันตอนใกล้ๆสิบเอ็ดโมง พวกรุ่นพี่ผู้ชายต่างวิ่งรี่ไปปูเสื่อจองที่ นอกจากจองที่ปูเสื่อยังต้องหาที่ตั้งกล้อง ส่วนกำลังพลที่เหลือถือปิ่นโตเดินตามกันมาทีหลัง

ก่อนวันเดินทางซึ่งก็คือเมื่อวาน กลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมและรองประธานชมรมได้นัดหมายไปช่วยกันทำข้าวกล่องปิ่นโตที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิ และเมื่อกล่าวถึงสมาชิกหญิง ซาโต้ อัตซึชิซึ่งเป็นแฟนของอาบะ ซึกิซากะจึงต้องตามไปด้วย ฮารุโตะซึ่งมักจะอาสาทำงานจิปาถะของชมรมอยู่แล้วขอตามไปเป็นลูกมือด้วยเช่นเดียวกัน

และเมื่อมีฮารุโตะ เด็กปีหนึ่งคณะวิทยาศาตร์อีกคนอย่างทาคุมิก็ขอตามไปด้วยเหมือนกัน แก็งหัวหน้าชมรมก็ไปคลุกอยู่ด้วย แต่กลุ่มนี้ไปนั่งเล่นนั่งคุยกันเสียมากกว่า

เริ่มเตรียมของกันช่วงบ่าย และแยกย้ายเข้านอนกันแต่หัวค่ำ โดยกลุ่มหญิงสาวนอนกันที่บ้านรุ่นพี่อาโอกิ และพวกผู้ชายนอนที่บ้านรุ่นพี่นาคามูระ ก่อนจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำกับข้าวเพิ่มเติมและเอากับข้าวทั้งหลายลงกล่อง

และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะได้เดินเข้าไปในบ้านของรุ่นพี่นาคามูระ แม้ว่าช่วงปิดเทอมฤดูร้อนที่ผ่านมาเขาจะมาคลุกอยู่ที่บ้านของรุ่นพี่อาโอกิบ่อยๆก็ตาม

ภายในบ้านตกแต่งด้วยโทนสีเข้ม แขวนภาพถ่ายไว้เต็มบ้าน ทั้งภาพวิวทิวทัศน์ ผู้คนหรือรูปครอบครัวที่ทำให้ฮารุโตะไปหยุดยืนพิจารณาอยู่นาน รุ่นพี่นาคามูระมีพี่ชายอยู่หนึ่งคนซึ่งมีใบหน้าพิมพ์เดียวกับน้องชาย ไม่ว่าจะรอยยิ้มหรือแววตา

“ดูอะไรน่ะ”เจ้าของเสียงนอกจากจะพูดถามยังวางคางไว้บนศีรษะของเขาอีก ฮารุโตะจึงขยับหันไปมองไม่ได้ ได้แต่แหงนคอขึ้นมอง

“ก็รูปของรุ่นพี่นาคามูระ”

“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจเลย กลับไหม เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้ามาส่ง”คนพูดเปลี่ยงจากวางคางไว้บนศีรษะย้ายมาวางไว้บนไหล่ของเขาแทน สองแขนก็โอบเอวดึงเขาไปแนบอก

“ไม่ดีกว่าครับ นอนที่ดีกว่า รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องลำบากด้วย”ฮารุโตะเตรียมเสื้อผ้าข้าวของมาตั้งแต่ก่อนมา เพราะมีการคุยเรื่องนี้มาก่อนหน้าแล้ว ดูเหมือนว่าปีที่แล้วเองก็ทำเช่นนี้เหมือนกัน

ซากิไม่ได้เซ้าซี้อะไรมาก เพียงแค่ถามดูอีกรอบเผื่ออีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ เพราะถึงอย่างไร เขาเองก็เตรียมเสื้อผ้ามานอนค้างที่บ้านของเรย์เช่นเดียวกัน  พอเขาตัดสินใจมานอนที่นี่ ทั้งเรียวตะและเอคิจิจึงตามมาตั้งวงกินเบียร์ที่บ้านของเรย์ด้วยกัน

“อะแฮ่ม”เสียงกระแอมกระไอดังขึ้น เรียกความสนใจให้เขาทั้งสองหันมอง ฮายาชิ เรียวตะยืนพิงอยู่ที่กรอบประตู

“จะกินไหม เบียร์อ่ะ”

“เออ ไปก่อนเดี๋ยวตามไป”

ลับหลังรุ่นพี่ฮายาชิไปแล้ว ฮารุโตะจึงหันไปแกะมือคนที่ยังกอดเอวเขาไม่ปล่อย “ผมจะไปอาบน้ำนอนแล้วครับ”

“ไม่ไปกินด้วยกันก่อนละ”

“ไม่เอาละ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”แกะมือออกจากเอวได้ มือของอีกฝ่ายก็ย้ายไปเกาะที่ไหล่ ฮารุโตะจึงก้าวเท้าเดินนำไปทั้งอย่างนั้น ก้าวเท้าลงบันไดไปส่งหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงที่ห้องชั้นล่าง ก่อนจะเลี่ยงกลับมาอาบน้ำเตรียมตัวเข้านอนที่ห้องของรุ่นพี่นาคามูระ
คืนนี้นาคามูระ เรย์จะย้ายไปนอนที่ห้องของพี่ชาย ส่วนห้องนอนของตน เขายกให้เพื่อนและรุ่นน้องรวมหกชีวิตนอนเบียดกันในห้องนี้ แม้จะบอกว่าให้ไปนอนห้องพี่ชาย หรือห้องของพ่อกับแม่ได้ก็ไม่มีใครยอมตกลง ทั้งที่เจ้าของบ้านอุตส่าห์คิดว่า เป็นโชคดีที่ทั้งพ่อและพี่ชายติดงานที่อื่นทั้งคู่

หลังอาบน้ำเสร็จ ฮารุโตะมาล้มตัวลงนอนบนฟูกซึ่งวางอยู่ชิดผนัง ทาคุมิเองก็ตามนั่งอยู่ใกล้กัน

“นอนตรงนี้นะ”

“อืม”ฮารุโตะพยักหน้ารับ แค่ครู่เดียวเขาก็ดิ่งเข้าสู่นิทรา

ทว่า ตอนตื่นขึ้นมาเขากลับถูกย้ายไปนอนอยู่อีกฝั่งในอ้อมกอดของรุ่นพี่ชิมิซึ อย่างไรก็ตามฮารุโตะได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นล้างหน้าล้างตา ปลุกทั้งทาคุมิและอัตซึชิ ก่อนจะเดินไปยังบ้านอีกหลังที่อยู่ข้างกัน

หลังจากข้าวกล่องและอาหารทุกอย่างเสร็จสิ้น มีรุ่นพี่อีกกลุ่มที่มาช่วยรับหน้าที่ขนย้าย

ดังนั้นฮารุโตะจึงเดินตัวเบาสะพายแค่กระเป๋าของตัวเองมาตลอดทาง

นั่งทานอาหารไปพลางนั่งเล่นเกมไปพลาง ไม่นานเท่าไหร่ รุ่นพี่ชิมิซึที่หายไปพักใหญ่ก็เดินถือเค้กเข้ามาหา และเสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดก็ดังออกมาจากสมาชิกทุกคน แม้จะจำได้ว่าวันนี้เป็นวันเกิด และพอจะรู้ว่าสมาชิกในชมรมชอบกิจกรรมเซอร์ไพรซ์  แต่ไม่เคยคิดว่าจะมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับตัว ฮารุโตะน้ำตาคลอ ยิ้มกว้างอย่างดีใจ เรียกว่าเป็นการฉลองวันคล้ายวันเกิดครั้งแรกในชีวิตตั้งแต่ที่เขาจำความได้คงไม่ผิดไปนัก

ตอนที่อยู่กับพ่อ เขาไม่เคยมีงานฉลองวันคล้ายวันเกิด แม้แต่เค้กสักก้อนยังไม่มี ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเหมือนกัน แต่ตอนนั้นเข้าใจว่าเพราะที่บ้านไม่ค่อยมีเงิน

เมื่อย้ายมาอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ งานฉลองวันคล้ายวันเกิดของเขาถูกจัดพร้อมกับเด็กคนอื่นๆที่เกิดในเดือนเดียวกัน  เด็กคนอื่นอาจจะรู้สึกสนุก  แต่ตัวเขาที่รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกไม่สนิทกับใคร กลับรู้สึกเศร้าใจยิ่งกว่าเดิม

“ร้องไห้อย่างนั้นหรือ”รุ่นพี่ชิมิซึกระซิบถาม ระหว่างที่คนอื่นๆหัวเราะเฮฮา แย่งกันกินเค้กหลังจากที่เขาเป่าเทียนบนเค้กเสร็จเรียบร้อย

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ก้มหน้าลงเมื่อรู้สึกถึงน้ำใสๆที่หัวตากำลังจะไหลออกมา

“เสียใจที่ฉันเอาเค้กมาให้อย่างนั้นหรือ”

“เปล่าซักหน่อย”ว่าพลางซุกหน้าลงกับแผ่นอกของรุ่นพี่ซึ่งวาดแขนโอบไหล่เขาไว้

“ดีใจต่างหาก”เขาบอกเสียงอู้อี้ นาทีนี้เขาไม่นึกอายใครทั้งนั้น แค่อยากกอดอีกคนไว้ เรื่องเค้กวันเกิดอาจจะไม่ใช่ความคิดของรุ่นพี่ชิมิซึก็เป็นได้ แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองพิเศษกว่าคนอื่น

ด้วยเหตุนี้ฮารุโตะจึงอารมณ์ดียิ้มหวานให้ใครต่อใครมากเป็นพิเศษ เมื่อมีคนส่งแก้วเครื่องดื่มมึนเมามาให้ เขาก็พร้อมจะยกแก้วขึ้นดื่มให้หมดในคราวเดียว ถ้าไม่โดนห้ามไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวแก้วที่สองก็เมาพับไปแบบครั้งที่แล้วหรอก”

เขาฉีกยิ้มให้คนเตือนพร้อมพยักหน้ารับคำ ยกแก้วขึ้นจิบช้าๆ แล้วกลับมาสนุกสนานกับเกมการละเล่นในกลุ่มเพื่อนกันต่อ
กว่าที่พวกเขาจะเลิกกินเลิกดื่ม ฮารุโตะก็ไม่สามารถยืนทรงตัวได้เสียแล้ว เพื่อนๆพี่ๆในชมรมอีกจำนวนหนึ่งก็มีสภาพไม่ต่างกัน

“เอ้า เกาะดีๆนะ”ซากิร้องบอกขณะย่อตัวเพื่ออุ้มฮารุโตะขึ้นหลัง เมื่อทรงตัวยืนขึ้นได้จึงยื่นมือไปรับข้าวของที่สมาชิกที่ไม่มีอาการเมาเก็บกวาดส่งมาให้ บางคนก็พยุงคนเมาให้เดินกลับที่พัก  มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นมาเป็นพักๆ ตามด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น

ซากิรับกุญแจห้องจากนาโอโตะ จากนั้นจึงหยิบกระเป๋าของเขาและหนุ่มรุ่นน้องซึ่งถูกฝากวางไว้ที่ล็อบบี้ของโรงแรมขึ้นมาถือ เดินตามกลุ่มเพื่อนขึ้นลิฟท์ ดูเหมือนว่าคราวนี้ฮารุโตะจะเมาไม่มาก เพราะถึงแม้จะถูกแบกอยู่บนหลังของเขา ก็ยังคุยกับคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ซ้ำเมื่อถึงชั้นที่ต้องลงยังมีการโบกมือลาให้

“รุ่นพี่ๆ ย่อตัวหน่อย จะลง”เมื่อหนุ่มรุ่นน้องว่าอย่างนั้น ซากิจึงทำตามอย่างที่อีกฝ่ายต้องการ ตอนที่ลงมายืนฮารุโตะสามารถทรงตัวอยู่ได้ แต่พอก้าวเดินเท้าเท่านั้นเด็กหนุ่มร่างเล็กเซถลาเหมือนจะล้มลงจนเขาต้องเข้าไปช่วยพยุง

“จะไปไหน”

“ไปอาบน้ำ ตัวเหม็น”

“อย่างนั้นถอดเสื้อก่อน เดี๋ยวจะช่วยอาบให้”ฮารุโตะปลดกระดุมถอดเสื้อตัวเองออกอย่างว่าง่าย พอถอดของตัวเองเสร็จยังหันมาถอดเสื้อให้เขาด้วย

“อาบด้วยกันเลย”

“ทำไมพูดจาน่ารักอย่างนี้ เมาจริงป่ะเนี่ย”

“เมา”พูดจบเจ้าตัวก็หัวเราะชอบใจ ซากิคิดว่าเหล้าที่กินเข้าไปคงมีผลไม่มากก็น้อย เพราะปกติฮารุโตะจะขี้อาย แม้จะโดนเขาบังคับให้ทำโน่นทำนี่เรื่องอย่างว่า แต่การจะมาเชิญชวนกันโจ่งแจ้งอย่างนี้ไม่เคยมีเสียหรอก

หลังอาบน้ำ ดูเหมือนว่าหนุ่มรุ่นน้องจะสร่างเมาลงเล็กน้อย แต่ออกอาการง่วงนอนชัดเจน ขนาดยืนให้เขาใช้ไดร์เป่าผมยังทำตาสะลึมสะลือ ซากิจัดการส่งคนที่ตัวเล็กกว่าจนถึงเตียงก่อนจะกลับมาจัดการสวมเสื้อผ้าเช็ดผมให้ตัวเองบ้าง และเมื่อเดินไปล้มตัวลงนอนบ้าง เขาหันไปเห็นฮารุโตะลืมตาแป๋ว ก่อนจะตะกายขึ้นมาบนตัวเขา

“ไม่ทำเหรอ”

“หือ ทำไมล่ะ”

“ก็...”เด็กหนุ่มโคลงศีรษะไปมาอย่างใช้ความคิด “ของขวัญไง”

“ของขวัญวันเกิดอ่ะนะ”

“อือ”แล้วก็โน้มตัวนอนหนุนบนอกของเขา

“ไม่ดีกว่า พรุ่งนี้นัดกับเจ้าพวกนั้นไว้ว่าจะไปถ่ายรูปแต่เช้า”

“อืม”ฮารุโตะครางรับแล้วก็นอนหลับไปเสียดื้อๆ จนเขานิ่งอึ้งร้องอุทานในหัวซ้ำไปซ้ำมา ก่อนจะต้องหลุดเสียงหัวเราะเบาๆอย่างอดไม่อยู่ แล้วจึงจัดท่าให้อีกฝ่ายนอนบนเตียงดีๆ ถึงแม้ว่าฮารุโตะจะตัวเล็กกว่าเขามาก แต่โดนนอนทับไว้ทั้งตัวแบบนี้นานๆก็ทำให้หายใจไม่ออกได้เหมือนกัน

ฮารุโตะรีบขยับตัวซุกเข้าหาทันทีที่เขาขยับตัว ทั้งที่ตาสองข้างยังคงปิดสนิท ซากิจึงขยับจัดท่าให้นอนได้สบายอีกครั้งก่อนจะปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่นิทราไปเช่นเดียวกัน



ฮารุโตะรู้สึกตัวมาสักครู่แล้ว แต่เขายังไม่อยากลุก ยังรู้สึกมึนๆงงๆและอึนๆ ปลุกปลอบใจตัวเองอีกพักใหญ่จึงตัดสินใจลืมตาขึ้น เห็นหน้ารุ่นพี่ชิมิซึอยู่ตรงหน้า ใกล้กันจนสัมผัสลมหายใจร้อนผ่าว นอนมองใบหน้าของรุ่นพี่อีกพักใหญ่จึงยันตัวลุกขึ้น ท่อนแขนแข็งแรงจึงเลื่อนไปวางอยู่บนสะโพก แต่หนุ่มรุ่นพี่ยังนอนนิ่งคล้ายหลับลึก

เด็กหนุ่มค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นจากเตียง เข้าไปจัดการล้างหน้าทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ กลับออกมาเห็นรุ่นพี่ยังนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม เขาจึงหยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์เปิดประตูออกไปจากห้อง พลางส่งข้อความหารุ่นพี่อาโอกิ

“อยู่ห้องอาหารชั้นหนึ่ง”

หลังอ่านข้อความตอบกลับ เขาจึงกดลิฟท์ลงไปชั้นห้องอาหาร เปิดประตูเข้าไปพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบๆ มองเห็นหนุ่มรุ่นพี่จับจองโต๊ะที่นั่งมุมหนึ่ง ฮารุโตะเดินตรงเข้าไปหา

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อืม อรุณสวัสดิ์ ลงมาคนเดียวหรือ”

“ครับ เห็นรุ่นพี่ชิมิซึยังไม่ตื่นเลยไม่อยากปลุก”

“คูปองอาหารเช้าน่าจะอยู่ที่ซากิ ถ้าอย่างนั้นเอาอันนี้ไปก่อน”

“ไม่เป็นไรก็ได้ครับ เดี๋ยวผมกลับขึ้นไปเอา”

“ไม่เป็นไรหรอก ของเรียวตะกับเอคิจินั่นแหละ ว่าแต่นี่ สบายดีแล้วใช่ไหม”

ฮารุโตะยกยิ้มแหยๆ “ยังมึนๆอยู่เหมือนกันครับ แล้วก็รู้สึกผะอืดผะอม”

นาโอโตะหัวเราะ “นั่นสิ เป็นครั้งแรกที่ดื่มเยอะขนาดนี้นี่นะ เอ้าลองไปเดินหาซุปร้อนๆมาทานดู จะได้ค่อยยังชั่วขึ้น”

เขาจึงลุกขึ้นไปหาซุปร้อนๆตามที่รุ่นพี่บอก นั่งละเลียดทานของอุ่นๆไปจนหมดถ้วยอาการผะอืดผะอมจึงค่อยทุเลาลง พร้อมกับความหิวที่ทวีความรุนแรงขึ้น เขาจึงลุกขึ้นไปหยิบจานเตรียมหาอะไรที่หนักท้องมาทานต่อไป ขณะกำลังสอดส่องสายตาเลือกอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ฝ่ามืออุ่นร้อนและเสียงคุ้นเคยพลันมากระซิบข้างหู กระนั้นฮารุโตะก็ผละตัวออกห่างเล็กน้อย

“จะลงมาไม่มีโทรตามอ่ะ ทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง”ทาคุมิแกล้งบ่น

“ก็ไม่รู้ว่าจะตื่นหรือยัง เดี๋ยวจะเป็นว่าโทรไปกวนอีก”ฮารุโตะบอกก่อนจะถือจานกลับมาที่โต๊ะ ทาคุมิจึงคว้าจานมาตักโน่นตักนี่ และเดินกลับมาที่โต๊ะบ้าง เขาเอ่ยปากทักทายรุ่นพี่ทั้งสองคน พร้อมกับนั่งลงข้างฮารุโตะ ระหว่างทานอาหารก็คุยกับรุ่นพี่ไปพลาง



ชิมิซึ ซากิบังเอิญเจอฮายาชิ เรียวตะและโมริ เอคิจิในลิฟท์สองคนนั้นแบกกระเป๋ากล้องและอุปกรณ์มาพร้อม เมื่อเจอเขาที่เดินออกจากห้องมาตัวเปล่าจึงถามด้วยความแปลกใจ

“แล้วกล้องแกละ จำได้ว่าเมื่อวานแกก็ไม่ได้เมามากนะเว้ย หรือฉันไม่ได้บอก”

“อ่อ ลืม”

“ลืม? ลืมที่ฉันบอกแก”

“ลืมเอากล้องลงมาด้วย”

“ขึ้นไปเอาก่อนไหม ทั้งเรย์ นาโอโตะ ฮารุจังแล้วน้องพูดมากก็อยู่ที่ห้องอาหารหมดแล้ว”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง

“เด็กนั่นอยู่ที่ห้องอาหาร?”ซากิตวัดสายตากลับมามองเพื่อนพร้อมคำถามเสียงเย็น แต่อย่างเรียวตะรึจะรู้สึกรู้สา เขาหัวเราะและถามกลับไปว่า “เด็กนั่นหมายถึงไอ้น้องพูดมากน่ะเรอะ”

“แกก็รู้ว่าฉันหมายถึงใคร”

“อ้าว อย่างนั้นยิ่งแล้วใหญ่ แกนอนห้องเดียวกันแท้ๆ”

ซากิพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิด จนเอคิจิต้องเอื้อมมือไปกดปุ่มเปิดประตูลิฟท์ เมื่อลิฟท์หยุดลงและประตูเปิดออก เอคิจิผลักร่างสูงใหญ่ของเพื่อนสนิทออกไปยืนข้างนอก พร้อมบอกว่า “อย่ามาทำตัวเป็นเด็ก แล้วก็กลับขึ้นไปเอากล้องมาด้วย ทานอาหารเช้าเสร็จจะได้ออกไปเลย”

เขารัวนิ้วลงบนปุ่มเพื่อเรียกลิฟท์กลับไปยังชั้นที่พัก มันน่าหงุดหงิดน้อยเสียเมื่อไหร่ นอนอยู่ด้วยกันแท้ๆจะไปไหนก็ไม่ยอมบอกกล่าว ต่อให้เขาหลับถ้าจะปลุกขึ้นมาซักหน่อย เขาก็ไม่ได้ว่าหรอกนะ ว่าแล้วก็รัวนิ้วบนแผงควบคุมลิฟท์อีกครั้งราวกับว่าการทำแบบนั้นจะทำให้ความหงุดหงิดที่มีอยู่จางลงได้

ที่สำคัญเมื่อมาถึงห้องอาหาร ไอ้เด็กพูดมากยังมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่ที่ที่นั่งของเขาอีก ซากิจึงยิ่งอารมณ์ขุ่นมัวมากขึ้น แต่อาการของเขาในกลุ่มเพื่อนไม่มีใครให้ความสนใจ จะมีแต่เด็กนั่นที่พอเห็นหน้าเขาก็ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมพูดจาเหมือนจะรู้ว่าตัวเองทำผิด ดีเลย หัดรู้ซะบ้างว่าทำให้เขาหงุดหงิด คราวหน้าจะไม่ได้ทำอีก

“หน้าเป็นตูดจนน้องไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว”เรียวตะเอ่ยแซวระหว่างที่พวกเขากำลังเดินถ่ายรูปในสวน กลีบดอกซากุระร่วงปลิวตามลมเป็นสาย แม้จะถ่ายรูปช่วงที่ซากุระบานกันเกือบทุกปี แต่พอเปลี่ยนสถานที่บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไป

ซากิยกกล้องขึ้นจับโฟกัสสองคนที่เดินคู่กันอยู่ข้างหน้า ไอ้เด็กพูดมากนั่นหัวเราะคิกคักยามที่หยอกล้อเล่นกับคนของเขา ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้ทำตัวระริกระรี้มากนักไม่อย่างนั้นเขาคงโมโหกว่านี้ เขาปรับเลนส์กล้องให้ทุกอย่างกลายเป็นภาพเบลอ ยกเว้นใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่หันมามองทางเขาพอดี และกดปุ่มจับภาพนั้นไว้อย่างว่องไว จากนั้นจึงแสร้งหันไปส่องเลนส์กับอย่างอื่นเมื่ออีกฝ่ายมีท่าทีสงสัย

“มีอะไรหรือฮารุจัง”

เขาไม่ได้ยินเสียงตอบแต่พอจะเดาได้ว่าคนถูกถามคงจะสั่นศีรษะยิกๆตามนิสัย

พวกเขาต้องกลับมาเก็บของก่อนเวลาสิบเอ็ดโมง หลังจากเช็คเอาท์กันเสร็จ นาโอโตะเดินนำพาเข้าแวะร้านอาหารที่จองที่ไว้แล้วเพื่อทานข้าวเที่ยงก่อนเดินทางกลับ ซึ่งสรุปกันว่าขากลับที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนนี่สถานีอากิฮาบาระจะแวะเดินเที่ยวก่อนกลับ
ชิมิซึ ซากิคิดแผนเดินเที่ยวแถวอากิฮาบาระมาหลายอย่าง แต่อาจจะต้องโยนแผนการณ์ที่ว่าทิ้งไป เพราะคนที่ต้องการเดินเที่ยวด้วยยังไม่ยอมเข้าใกล้เขาเสียที

“รู้จักคำว่าง้อไหมเนี่ย”เรย์ที่นั่งอยู่อีกเบาะยื่นหน้ามากระซิบ

“อ่อ เพราะทะเลากับน้องเขาอยู่นี่เอง แกถึงเด้งมานั่งคู่กับฉัน”คนพูดชื่อมาซามุเนะ โทรุเรียนอยู่ชั้นปีและคณะเดียวกันกับเขา

“ทะเลาะกันเสียที่ไหน มันโมโหใส่น้องเขาไปฝ่ายเดียว น้องเขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”เรียวตะที่นั่งอยู่เบาะหน้ายังอุตส่าห์เอี้ยวหน้ามาคุย

“เฮ้ย แล้วยิ่งตีหน้าดุใส่ น้องมันขี้กลัวขนาดนั้นคงยิ่งเผ่นหนี  โธ่! นึกว่าเพราะเพื่อนมาเที่ยวด้วยเลยไปทำตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋เสียอีก”โทรุยังพูดต่อด้วยน้ำเสียงขบขันกึ่งสงสาร ยกมือตบไหล่ของซากิป้าบๆคล้ายเห็นใจ คนที่หงุดหงิดอยู่แล้วจึงยิ่งโมโหเพิ่มขึ้น หน้าหงิกเสียจนเรียวตะหัวเราะอย่างหยุดไม่อยู่

ซากิอารมณ์ร้อนขี้หงุดหงิดโมโหง่ายก็จริง แต่เพราะเป็นคนปากหนัก มือหนักเท้าหนัก อาการฉุนเฉียวจึงออกแค่ใบหน้า ไม่พอใจมากๆเข้าก็ลงมือเสียที

“เหวอ!!!!!”เรียวตะโยกตัวหลบ เมื่อมือใหญ่ของเพื่อนสนิทตั้งใจโบกศีรษะเขาแบบเน้นๆ แต่เพราะสถานที่คับแคบการโยกหลบของเขาเลยไปกระแทกกับเอคิจิเต็มๆ จึงถูกจัดเน้นๆอีกครั้งจากคนที่นั่งอยู่คู่กัน

“เล่นพอหรือยังว่ะ”เอคิจิขมวดคิ้วลูบศีรษะตัวเองป้อยๆ ซากิจึงอารมณ์ดีขึ้นมาทันใด คนเริ่มประเด็นจึงบอกซ้ำว่า

“ง้อไปซะก็หมดเรื่อง”

“โถ่... มันเคยง้อใครที่ไหน ผู้หญิงคนไหนงอนมันก็ทิ้งเขาเลยทั้งนั้น”เรียวตะยังไม่เข็ด เขาพูดแซวอย่างคะนองปาก โทรุจึงบอกวิธีแก้ให้อย่างง่ายๆว่า

“ไม่ต้องไปง้อหรอก ไม่ได้โกรธกันไม่ใช่หรือ แค่เดินเนียนเข้าไปคุยด้วยก็พอ”

“แล้วเลิกตีหน้ายักษ์ได้แล้ว”เอคิจิโน้มตัวมากล่าวเสริม

แน่นอนว่าไม่มีเหตุที่เขาต้องไปง้อเสียหน่อยแต่วิธีของโทรุก็นับว่าไม่เลว

เมื่อลงจากรถไฟที่สถานีอากิฮาบาระ บางคนเอาสัมภาระของตนเองไปฝากเก็บไว้ที่ตู้ล็อกเกอร์ บ้างแยกไปดูของที่ตัวเองสนใจ ซากิเดินตามรุ่นน้องสองคนที่สะพายเป้หลังชี้ชวนกันไปเดินดูของ  ทาคุมิคงเคยมาเดินเที่ยวแล้วหลายครั้ง จึงเดินเลี้ยวซอยโน้นซอยนี้อย่างคล่องแคล่ว ต่างกับอีกคนที่มองซ้ายมองขวาด้วยอาการตื่นเต้น

พวกเขามีเวลาสองชั่วโมงในการเดินเที่ยว เพราะฉะนั้น ทาคุมิจึงไปหยุดที่ตู้เกมเป็นหลัก เขายืนมองดูอยู่ห่างๆ ยังไม่รู้ว่าจะเข้าไปคุยอย่างไรดี เนื่องจากแม้รุ่นน้องคนนั้นจะมองโน่นมองนี่อย่างสนใจ แต่ลักษณะอาการบอกได้ชัดว่า เพราะไม่เคยมาไม่เคยเห็นมาก่อน จึงให้ความสนใจกับทุกสิ่งรอบตัว ซากิเดินตามจนกลับขึ้นรถไฟอีกรอบ กลุ่มเพื่อนเห็นเขาจึงยกยิ้มแซวให้เขาทำหน้าเซ็งใส่ แต่กระนั้นไม่มีใครถามอะไรอีกซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่ดีมาก

ลงจากรถไฟอีกครั้งเมื่อถึงสถานีปลายทาง คราวนี้เขาเดินตามเด็กหนุ่มรุ่นน้องไปจนถึงห้องพักของอีกฝ่าย

ฮารุโตะหันมามองเขาบ้างยามที่เขาขึ้นรถบัสคันเดียวกับเจ้าตัว แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ และหันมองพร้อมหยุดเดินอีกครั้งตอนที่เขาเดินตามหลังบนทางเท้าระหว่างทางไปห้องพัก แต่เขาไม่ได้หยุดเดินและเดินผ่านเจ้าตัวไป สีหน้าของฮารุโตะตอนที่เขาเดินผ่านดูตลกดีเหมือนกัน ชายหนุ่มยกยิ้มขำ

เร่งฝีเท้าเดินเพียงเล็กน้อยให้พอพ้นมุมเลี้ยว เขาจึงแอบเข้าข้างทาง ยืนรออีกครู่ใหญ่กระทั่งอีกฝ่ายเดินผ่านไป เขาจึงก้าวเท้าตามห่างๆ คราวนี้หนุ่มรุ่นน้องไปไม่ได้หันหลังกลับมามองเขาอีกเลย กระทั่งถึงห้องพัก ที่เจ้าตัวเพิ่งรู้ว่าเขาเดินตามมา หลังจากหันกลับมาเห็นเขาก็สะดุ้งโหยงด้วยท่าทางตกใจกลัวมากกว่าแปลกใจ จนเขาต้องหลุดหัวเราะอีกรอบ

“ไปอาบน้ำกัน”เขาเอ่ยชวนหลังจากเตรียมเสื้อผ้าข้าวของเรียบร้อย ตอนนั้น ฮารุโตะที่ยืนมองเขามาตลอดจึงได้หันไปเตรียมของของตัวเองบ้าง และเมื่อยืนมือออกไปเด็กหนุ่มรุ่นน้องจึงยื่นมือออกมาวางอย่างง่ายดาย ซากิมองมือข้างนั้น แล้วเลื่อนสายตาขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายที่ก้มหน้าก้มตามแอบลอบมองเขาอยู่เช่นนั้น แต่อากัปกิริยานั้นยังดูระแวดระวังภัย

เขากระชับมือ กระตุกเบาๆให้ฮารุโตะก้าวเดิน

ระหว่างเส้นทางนั้นยังคงไร้บทสนทนาเช่นเดิม แต่ทว่าตัวเขากลับมีความคิดมากมายในหัว ไฟทางยังคงสว่างไสวเช่นปกติ ต้นซากุระข้างทางผลิดอกสวยไม่ต่างในสวนที่นาโงย่าซึ่งพวกเขาเพิ่งไปดูมา ยามที่ลมพัดกลีบดอกร่วงปลิวลมมองคล้ายหิมะสีชมพู ความสวยงามของธรรมชาติที่มาพร้อมกับอุณหภูมิอากาศที่ค่อยๆอุ่นขึ้น



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++





*//
ทาคุมิจะเป็นเพื่อน (จริง ๆ) ของฮารุโตะได้ไหมนะ ตอนนี้ยังไม่เห็นจุดประสงค์ของการเข้าหา แต่จากประสบการณ์ของฮารุโตะก่อนหน้านี้ทำเราระแวงอยู่หน่อย
ตอนฮารุโตะล้มในห้องปฏิบัติการนั่นมีคนแกล้งสินะ แกล้งแรงไปไหม ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ ทำไมทุกคนทำเหมือนเป็นอุบัติเหตุ
รอตอนต่อไปค่ะ
ทาคุมิเป็นเพื่อนจริงๆค่ะ
และเหตุการณ์ในห้องปฏิบัติการนั่นแหละที่เราคิดว่าเหมือนจะไม่สมเหตุสมผล (แต่อยากเขียนถึงไง) เราคิดอยู่นานว่ามันเป็นไปได้ไหมที่โดนกระชากจนล้ม เพราะตามหลักแล้วมันต้องใช้แรงมาก แต่ถ้าคิดในมุมที่ว่าตูข้าหมั่นไส้และเกลียดคุณมาก ก็อาจจะเป็นไปได้ (มั้ง) ส่วน 'ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์เลยเหรอ' มันมีค่ะ แต่ไม่มีคนพูด เท่านั้นแล//*
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 11 : 8/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-03-2017 01:49:17
มีความรู้สึกว่าจะเป็นชะนีกลุ่มนั้นแหละที่ทำ

เรากังวลสารพัดว่าซากิจะมาแค่ฆ่าเวลากับฮารุโตะ

ดูเป็นชีวิตเด็กมหาลัยดีนะคะ  สนใจทุกอย่างแต่ก็ไม่ได้เข้าไปศึกษาเชิงลึกเสียหมด

สนใจฮารุโตะแต่ทุกคนก็จรดจ่อกับชีวิตตัวเองจนไม่เคยมองลึกเข้าไปในชีวิตของน้อง

เหมือนกับรักษาระยะห่างเอาไว้ตามหลักญี่ปุ่น  ขนาดนาโอโตะเองก็ด้วย

ช่วงนี้ดอกไม้เริ่มบานในฤดูใบไม้ร่วงนิดๆแล้วสินะคะ  ฮารุโตะเปิดเผยอารมณ์มากขึ้น
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-03-2017 00:07:11
เรื่องย่อ ตอนที่ 12

มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ปีการศึกษาใหม่เริ่มขึ้นอีกครั้ง ฮารุโตะกลายเป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง พร้อมๆกับที่เขาเริ่มสนิทสนมกับทาคุมิมากขึ้น แม้จะมีเรื่องโน้นเรื่องนี้ผ่านเข้ามาบ้าง แต่นับได้ช่วงที่ผ่านมาชีวิตของเขาสงบและราบรื่นราวกับทะเลไร้คลื่นลม


ตัวละครเพิ่มเติม
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1.   โอโตวะ ชิโอริ
2.   โอคาดะ ทซึคิโยะ
3.   ทานากะ ฮานะ





春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย




Chapter 12



ปีการศึกษาใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง พร้อมกับตารางเรียนที่หนักหนาสาหัสขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะตัวเขาตั้งใจที่จะลงเรียนให้เต็มหน่วยกิต ตารางเรียนของฮารุโตะจึงเริ่มแต่เช้าเหมือนเดิม ทิ้งชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงนอนอุตุอยู่ที่ห้อง เด็กหนุ่มยิ้มอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึง

“อุส!!!”

“อือ อรุณสวัสดิ์”

“ทำไมต้องลงเรียนแต่เช้าแบบนี้ด้วยเนี่ย”คนพูดบ่นพลางหาวหวอด

“ไม่ได้ขอให้มาลงด้วยซะหน่อย”

“ถ้าฉันไม่มาลงเรียนด้วย นายก็ต้องเหงาอยู่คนเดียวนา”ทาคุมิเหล่ตามองแกล้งพูดแซว ถึงที่อีกฝ่ายพูดมาจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาชาชินเสียแล้ว พอบอกออกไปตามนั้น ก็โดนบ่นกลับมาอีก

“คิดแบบนั้นได้ที่ไหน มนุษย์เราใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก ถึงอย่างไรก็ต้องมีเพื่อน ต้องพึ่งพาคนอื่น”ทาคุมิยังพูดไปอีกยาวตามประสา เขาไม่ได้อยากเถียงจึงเงียบปากฟังอีกฝ่าย และไม่ได้ปฏิเสธหรอกว่าชีวิตคนเราต้องพึ่งพาคนอื่นและต้องมีเพื่อน เพียงแต่เขารู้สึกว่าการพยายามทำตัวให้เข้ากับคนอื่นมันเป็นเรื่องยาก แต่อย่างว่าถ้าเขาไม่เจอพวกรุ่นพี่กับเพื่อนๆในชมรม เขาเองอาจจะไม่มีความคิดเช่นนี้

“จะเข้าชมรมเมื่อไหร่อ่ะ”

“พรุ่งนี้ วันนี้พวกพี่ปีสี่ไม่มีเรียน”

“ดีจัง เมื่อไหร่จะถึงปีสี่น๊า”

ถึงจะคิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ก็อดรู้สึกกังวลขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่มีพวกรุ่นพี่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแล้ว มันอาจจะเป็นชั่วเวลาที่ย่ำแย่สำหรับเขาก็เป็นได้ ฮารุโตะคิดอย่างกังวล แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิด เมื่อรู้ตัว เขาจึงดึงความสนใจของตัวเองให้กลับมาอยู่กับเนื้อหาการเรียนตรงหน้า

วิชาที่เขาลงเรียนมีเพื่อนในสาขาเดียวกันลงเรียนบ้างประปราย และด้วยความอัธยาศัยดีของทาคุมิ เขาจึงถูกดึงให้รวมกลุ่มไปโดยปริยาย ทว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี เพราะเพื่อนๆที่ทาคุมิรู้จัก ส่วนใหญ่ล้วนตั้งใจเรียน หรือไม่เพราะต่างเรียนในระดับที่สูงขึ้น ไม่สามารถมาเรียนๆเล่นๆเหมือนในสมัยมัธยมได้อีก

ฮารุโตะเตรียมข้าวกล่องสำหรับเป็นอาหารกลางวันมาอีกเช่นเคย แต่ไม่ได้ทำข้าวกล่องมาเผื่อซากุราอิ ชุนอีกแล้ว ช่วงปลายปีการศึกษาก่อนที่ทำมาเผื่อทุกวัน เขาเจอคู่อริน้อยมาก สาเหตุน่าจะมาจากต่างคนต่างก็มีเรียน แต่หน้าตาอย่างซากุราอิไม่น่าจะเป็นคนตั้งใจเรียนได้เลย ที่คิดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขานึกดูถูกอีกฝ่าย แต่เพราะมันมีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาคิดอย่างนั้น

ตอนประถมหกเขาต้องย้ายโรงเรียน และบังเอิญได้เรียนห้องเดียวกับชุน เมื่อตอนนั้นซากุราอิ ชุนนิสัยดีกว่านี้มากชนิดที่ว่าถ้าเล่าให้ใครฟังต้องไม่มีใครเชื่อแน่นอน เพราะขนาดตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน ตอนเข้ามัธยมต้นก็ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันอีกครั้ง แม้จะอยู่กันคนละห้องก็ตาม และคงจะเป็นช่วงมัธยมปีสามที่ฝ่ายนั้นทำตัวเกเรอย่างชัดเจน พอขึ้นมัธยมปลาย ฮารุโตะก็ได้ยินข่าวแว่วๆว่าผลการเรียนของชุนอยู่ในเกณฑ์ย่ำแย่ และเป็นช่วงที่อีกฝ่ายระรานเขาอย่างหนักข้อ ตอนที่เห็นผู้ชายคนนั้นมาเรียนที่นี่ด้วยจึงตกใจมาก

“เหม่ออะไรอ่ะ หรืออิ่มแล้ว ถ้าอิ่มแล้วเอามาให้ฉันกินต่อก็ได้นะ”

ฮารุโตะมองคนที่คาบหลอดนมอยู่กับปาก มองเศษซากถุงบรรจุขนมปังและถาดพลาสติกสำหรับซูชิเซ็ต แล้ววกกลับมามองหน้าคนถามอีกรอบ

“ยังไม่อิ่มหรือ”

“อิ่ม แต่ยังพอกินได้อยู่”คนตอบยิ้มกว้าง ฮารุโตะจึงถอนหายใจและใช้ตะเกียบคีบข้าวขึ้นมาทานต่อ

ทานข้าวกลางวันกันเสร็จ ช่วงบ่ายพวกเขายังคงมีเรียนต่อซึ่งทาคุมิยังคงบ่นอุบอิบไม่หยุด จนฮารุโตะเริ่มนึกรำคาญ นึกอยากหันไปบอกให้อีกฝ่ายหุบปากบ้างอยู่เหมือนกัน แต่เพราะไม่เคยทำแบบนั้นมาก่อน พอหันไปเห็นหน้าคนพูด เขาก็ใจสั่นขลาดกลัวละล้าละลังขึ้นมา จึงได้หันกลับมาก้มหน้าอยู่กับหนังสือเรียนตามเดิม ส่วนทาคุมิเมื่อบ่นจนเหนื่อยจึงหยุดไปเอง

และแล้วการเรียนวันแรกก็จบลง

ฮารุโตะแยกย้ายกับทาคุมิที่หน้ามหาวิทยาลัย เขาแวะซุปเปอร์มาเก็ตเพื่อซื้อของไว้ทำอาหารก่อนกลับเข้าห้อง อากาศกลับมาอบอุ่นขึ้น เขาจึงไม่จำเป็นต้องไปอาบน้ำที่โรงอาบน้ำสาธารณะอีก มีเวลาเหลือสำหรับการเดินเล่นเดินเที่ยวอีกมาก แต่เขาไม่ได้แวะเถลไถลที่ไหนอีก ใจหนึ่งเพราะอยากกลับไปอ่านหนังสือ

“กลับมาแล้วหรือ”

อีกใจเพราะผู้ชายคนที่นั่งเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถืออยู่บนฟูกนอนนั่น ฮารุโตะมองนาฬิกาบนข้อมือ และมองชายหนุ่มซึ่งนั่งพิงอยู่ริมหน้าต่าง ม่านสีทึบที่เคยบังแสงในห้องของเขาอยู่เสมอถูกเก็บรวบไว้ด้านหนึ่ง ห้องเล็กๆขนาดสี่เสื่อครึ่งจึงสว่างจ้า

“เพิ่งตื่นหรือครับ”

“ตื่นนานแล้ว แต่ขี้เกียจ”คนพูดคงเห็นสายตาของเขา จึงไขข้อสงสัยมาเสร็จสรรพ ก่อนจะกวักมือเรียกให้เขาเข้าไปใกล้ ฮารุโตะจึงนำของที่ซื้อมาไปวางไว้บนเคาน์เตอร์ครัว แล้วเดินเข้าไปหา พอถึงตัวก็โดนฉุดให้นั่งลง โดนกอดรัด โดนจมูกโด่งเป็นสันฟัดแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่ทันตั้งตัว ฮารุโตะหัวเราะเพราะรู้สึกจักกะจี้ ก่อนจะเหลือเพียงความนุ่มละมุมของริมฝีปากและปลายลิ้นที่ดูดกลืนเกี่ยวกระหวัดซ้ำๆ

“อื้อ ไม่เอานะ เดี๋ยวก็ต้องไปทำงานแล้ว”เขาร้องค้านจับหยุดมือกร้านที่พยายามจะปลดซิบกางเกง  ชายหนุ่มละมือเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วยกยิ้มเจ้าเล่ห์

“อีกตั้งเกือบชั่วโมงทันอยู่แล้ว”

ฮารุโตะหน้างอ แต่ก็ไม่มีความหมาย ในเมื่อคนทำอยากจะทำ สุดท้ายเขาโดนโน้มน้าวให้ยอมจนได้ การมีอะไรกับรุ่นพี่ทำให้เขารู้สึกดี แต่มันลำบากถ้าหลังจากนั้นเขาต้องไปทำกิจกรรมอย่างอื่นต่อ เพราะนอกจากมันทำให้เขารู้สึกง่วงแล้ว มันยังทำให้เขารู้สึกเหมื่อยแบบแปลกๆอีกด้วย

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ลางานไหม”

“ไม่เอาหรอกครับ เดี๋ยวเดือนหน้าต้องลาหยุดอีกแล้ว กำหนดการทริปหน้าออกแล้วนะ”เขาเงยหน้ามองคนที่ตนนอนพิงอยู่

“รุ่นพี่ได้อ่านในกลุ่มหรือเปล่า”

“ฮึ ขี้เกียจ”

“คร้าบ ครับ”เขาลากเสียงตอบรับ จึงได้ยินเสียงหัวเราะตอบกลับมา เหลือบมองเวลาอีกครั้งก่อนยันตัวลุกขึ้น ขมวดคิ้วกับความรู้สึกแปลกๆของร่างกาย หันไปหันมาถึงได้เห็นข้าวของที่เขาซื้อมายังไม่ได้เก็บเข้าตู้

“เลยไม่ได้ทำอะไรไว้ให้ทานเลย”

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวหิวจะออกไปข้างนอกเอง”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ รุ่นพี่ชิมิซึมาค้างด้วยบ่อยครั้งจนคล้ายว่าจะย้ายมาอยู่ด้วยกลายๆ ฝ่ายนั้นจึงออกปากบอกจะจ่ายค่าห้องให้ แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ แต่รุ่นพี่ได้ยื่นข้อเสนอแลกเปลี่ยนกับการหุงหาทำอาหารเผื่อเจ้าตัวด้วย

“ค่าเช่าห้องห้องนี้ถูกจะตาย ค่าข้าวที่นายต้องจ่ายจะมากกว่าด้วยมั้ง”เมื่ออีกฝ่ายว่ามาเช่นนั้น เขาจึงถามกลับไปว่า มีเงินหรือ ไม่เห็นรุ่นพี่ทำงานอะไรสักอย่าง ไม่ใช่ว่าขอที่บ้านมาหรอกนะ แน่นอนว่าตอนนั้นรุ่นพี่อารมณ์ดีและทั้งตัวเขาเองรู้สึกว่าสนิทกับรุ่นพี่ในระดับที่เมื่อพูดจาอะไรแบบนี้อาจจะไม่โดนโกรธ แม้จะไม่ค่อยแน่ใจ แต่หลังๆมานี้ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรไปก็ไม่เคยโดนโกรธกลับมาจริงๆเสียที

“ดูถูก”คำพูดของรุ่นพี่ทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ แต่พอโดนตะครุบตัว และโดนขย้ำด้วยท่าทีไม่จริงจังนักเขาจึงเบาใจ คนทำยังหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงโอ้อวดว่า ตนหาเงินได้มากกว่าเขาที่ขยันทำงานทุกวันเสียอีก

“อย่างเป็นแบบถ่ายรูปนั่นก็เงินดีนะ นายเห็นค่าจ้างที่นาโอโตะให้มานี่ แล้วก็งานถ่ายภาพ เห็นอย่างนี้ฉันเคยได้รางวัลเหมือนกัน แต่ขี้เกียจแข่งกับเรย์มันหรอก”

เมื่อได้รู้จักนานๆเขา ถึงรู้ว่ารุ่นพี่แสนจะขี้เกียจ เพราะเดี๋ยวๆก็หลุดพูดคำว่าขี้เกียจออกมาอีกแล้ว

ฮารุโตะหัวเราะ แค่นึกถึงก็มีความสุขขนาดนี้

“ตั้งใจทำงานครับ ตั้งใจทำงาน”เสียงร้องเตือนดังมาจากอาคิฟุมิทำให้ฮารุโตะต้องหุบยิ้ม แอบคิดในใจว่า ถึงเขาจะอมยิ้ม มือของเขาก็ทำงานเหมือนกัน แต่ไม่ได้บอกออกไปให้ขัดหูอีกฝ่าย จึงได้แต่ก้มหน้าก้มตาทำงานของตน

อาคิฟุมิเป็นคนฉลาดและคล่องแคล่ว ใช้เวลาไม่นานเขาก็สามารถทำงานได้อย่างดี คิดเงินค่าสินค้าเร็วกว่าฮารุโตะที่ทำงานมานานกว่าด้วยซ้ำ ช่วงเย็นๆมืดๆที่คนเยอะเช่นนี้จึงไม่ค่อยเกิดปัญหาให้ผู้จัดการต้องเข้ามาตรวจดูอย่างเมื่อก่อน กระนั้นเจ้าตัวกลับชอบอู้ ช่วงประมาณสามทุ่มลูกค้าที่มาซื้อของในร้านจะซาลง อาคิฟุมิจึงชอบออกจากเคาน์เตอร์ไปหลังร้าน ฮารุโตะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไปทำอะไรเหมือนกัน เพราะถ้าทิ้งหน้าร้านไปทั้งคู่ อาจจะโดนใบเตือนจากผู้จัดการได้ สำหรับอาคิฟุมิอาจจะไม่กลัวการเตือนแบบนั้น แต่เขากลัวเพราะเขายังไม่อยากหางานใหม่

พอเวลาผ่านไปจนใกล้ถึงสี่ทุ่ม อาคิฟุมิจะกลับมาเก็บเงินในเครื่องแคชเชียร์ของตัวเอง แน่นอนว่า อาคิฟุมิเคยเก็บเงินในเครื่องตั้งสองทุ่มหรือสามทุ่มบ้าง และหายออกจากร้านไป ก่อนจะกลับเข้ามารูดบัตรอีกครั้งตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ทว่าเขาโดนจับได้ทันทีหลังจากนั้นไม่กี่วัน

ตอนแรกฮารุโตะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาโดนผู้จัดการเรียกไปสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จะเรียกว่าโชคดีคงไม่ผิดนัก เพราะเห็นว่าอาคิฟุมิเก็บเงินในเครื่องแต่หัววัน เขาจึงถามออกไปอย่างสงสัย และเขาก็บอกกับผู้จัดการร้านตามที่อาคิฟุมิบอกเขา

มารู้ทีหลังจากที่ไดกิเล่าให้ฟังว่า อาคิฟุมิบอกกับผู้จัดการว่า ตนมีธุระด่วนจึงต้องรีบกลับก่อน แต่มานึกขึ้นได้ทีหลังว่าไม่ได้รูดบัตรออกจึงกลับมารูดบัตร

“มันใช่หรือว่ะ ถ้าลืมรูดบัตรไม่โทรหาผู้จัดการละ”ไดกิพูดอย่างใส่อารมณ์ ทั้งยังเล่าต่อไปอีกว่า อาคิฟุมิโดนใบเตือนและหักเงินตามชั่วโมงที่ไม่ได้ทำงาน หลังจากนั้นมา อาคิฟุมิแสดงออกว่าไม่ค่อยชอบเขามาตลอด พอเอาเรื่องที่โดนกระแนะกระแหน ถูกแขวะว่าชอบทำตัวขี้ฟ้องไปเล่าให้ไดกิฟัง ไดกิจึงตบโต๊ะฉาด

“เจ้าเด็กนั่นคงคิดว่านายเอาเรื่องที่เก็บเคาน์เตอร์ก่อนเวลาไปฟ้องผู้จัดการมั้ง ถ้าอย่างนั้น ฉันจะบอกนายให้รู้ไว้นะ ข้อมูลประวัติการใช้เครื่องแคชเชียร์เนี่ย ผู้จัดการเขาดึงเช็คจากเซิร์ฟเวอร์ได้หมดแหละ”

เมื่อพูดออกไปว่า “ไดกิซังรู้ดีจัง” เจ้าตัวจึงตอบกลับมาว่าทำงานพิเศษที่ร้านนี้ตั้งแต่อยู่มัธยมปลายแล้ว ก่อนจะย้ำกับเขาว่าไม่ให้เอาเรื่องที่บอกไปเล่าต่อให้อาคิฟุมิฟัง แต่อย่างว่า ฉลาดๆแบบอาคิฟุมิคงคิดเองได้อยู่แล้วละ

“ขอโทษครับ เอาข้าวกล่องมาส่งครับ”ฮารุโตะพยักหน้ารับ เห็นอาคิฟุมิยังนับเงินในลิ้นชักอยู่จึงเดินออกไปรับของด้วยตัวเอง ข้าวกล่องที่ว่าเป็นแพ็คอาหารปรุงสำเร็จซึ่งถูกส่งมาวางขายที่ร้าน รายการและจำนวนจะถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว เขาแค่ตรวจสอบให้ถูกต้องเท่านั้น ลงชื่อรับของเสร็จเรียบร้อยแล้วต้องนำอาหารแพ็คเหล่านี้มาวางเรียงที่ชั้นวาง และเก็บแพ็คอาหารชุดเก่ามาติดป้ายลดราคา และย้ายมาวางยังพื้นที่วางสินค้าลดราคา ทำทุกอย่างเรียบร้อย ฮารุโตะจึงกลับมาอยู่ที่หลังเคาน์เตอร์เหมือนเดิม

เป็นช่วงจังหวะพอดีกับที่อาคิฟุมิปิดลิ้นชักเสร็จเรียบร้อย

“กลับดีๆนะ”

อีกฝ่ายแค่เหลือบหางตามามอง ฮารุโตะจึงยกยิ้มแหยๆให้ เพราะคิดว่าก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนั้น เขากับอาคิฟุมิยังคุยกันดี แล้วเขาไม่ได้เป็นคนเอาเรื่องของอีกฝ่ายไปฟ้องผู้จัดการ ไม่มีเหตุที่เขาจะต้องหมางเมินเสียหน่อย

ยืนเฝ้าเคาน์เตอร์คนเดียวยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงดี ไดกิก็มาปรากฎตัวให้เห็น

“โย่”ไดกิก้าวเข้าในร้านพร้อมไม้ถูพื้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่พนักงานทุกคนต้องทำเป็นอย่างแรกเมื่อมาเข้ากะ

“สวัสดีครับ”

“โอ๊ะ อันนี้น่ากินดีแหะ”คนพูดหยิบข้าวหน้าเนื้อที่ติดป้ายลดราคามาส่งให้เขาคิดเงินให้ “ฝากเวฟให้ด้วย เดี๋ยวถูพื้นเสร็จจะมาเอานะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ จากนั้นจึงเอาใส่ตู้ไมโครเวฟ กดปุ่มอุ่นอาหารและรอเวลา เสียงติ๊งซึ่งเป็นสัญญาณของเตาไมโครเวฟดังขึ้นก่อนที่ไดกิจะถูกพื้นเสร็จ เด็กหนุ่มจึงยกออกมาวางบนเคาน์เตอร์ กลิ่นหอมโชยออกมาจนเขารู้สึกหิวขึ้นมาบ้าง

“น้ำลายหกแล้ว”

ฮารุโตะเผลอยกมือขึ้นเช็ดปาก “ใช่ซะที่ไหน”

“ไม่ได้กินข้าวหรือไง”

“กินแล้ว แต่กลิ่นหอมดีเลยหิว”

“มีอีกเยอะไปเลือกเอาดิ”ไดกิหัวเราะก่อนจะเดินถือข้าวมื้อดึกของตนกลับไปหลังร้าน ครู่ใหญ่ๆต่อมาชายหนุ่มจึงเดินกลับมาอีกครั้ง และจัดการเปิดเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ช่วงดึกๆเช่นนี้คนน้อย พวกเขาจึงโอ้เอ้ คุยเล่นกันได้ ส่วนช่วงกลางวันจะทำแบบนี้ได้หรือไม่ ฮารุโตะไม่แน่ใจ แต่กะการทำงานของเขาบางครั้งก็ต้องรีบมาเปิดเคาน์เตอร์ก่อนไปทำอย่างอื่น เพราะลูกค้าเยอะจนต่อแถวยาวเหยียด

“นับเงินเลยก็ได้ เงียบๆแบบนี้ไม่น่ามีอะไรแล้วละ”

ฮารุโตะจึงนับเงินในลิ้นชักไปพลางๆ กว่าเช็คยอดเงินทั้งหมดเสร็จเป็นเวลาเที่ยงคืนถึงเวลาปิดลิ้นชักพอดี

“หายไปสามหมื่น”ฮารุโตะร้องเสียงหลง หลังจากที่ทำการส่งยอดเข้าระบบเรียบร้อย

มันมีบ้างที่เขาจะทอนเงินผิด นับเงินที่รับมาจากลูกค้าพลาด แต่จำนวนยอดเงินดังกล่าวในแต่ละครั้งล้วนไม่เกินหนึ่งพันเยน แต่คราวนี้ยอดที่หายไปมันตั้งสามหมื่นเยน ใจของฮารุโตะร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ในสมองคิดคำนวณอย่างรวดเร็วว่าต้องทำงานตั้งหกวันกว่าจะได้เงินเท่าจำนวนที่หายไป

“เฮ้ย นับดีหรือยัง ไม่ใช่ว่าได้แบงค์หมื่นเยนมาแล้วเอาไปแอบไว้หรอกนะ”

“เปล่า วันนี้ไม่มีเลย แบงค์ใหญ่สุดแค่ห้าพัน”

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวช่วยนับอีกรอบ”รอบที่สองที่ไดกิช่วยนับยังคงได้จำนวนเท่าเดิม ฮารุโตะนึกไม่ออกจริงๆว่าเขาทอนเงินพลาดไปสามหมื่นกว่าเยนแบบนี้ได้อย่างไร

“ช่างมันเถอะ”เขาบอกอีกคนเสียงอ่อย เมื่อเห็นว่าไดกิจะนับเงินเป็นรอบที่สาม

“สามหมื่นเนี่ยนะ”

“อืม อาจเพราะวันนี้ผมชอบเหม่อก็เป็นได้”

“อะไร ช่วงแรกๆที่มาทำยังไม่ขาดเยอะเท่านี้เลย ไม่ใช่ว่าโดนขโมยละ”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ผมอยู่เคาน์เตอร์ตลอด จะออกไปไหนก็ล็อกหน้าจอทุกครั้ง ช่างเถอะ ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของผม”

“เออ เคราะห์หนักซะด้วย ไหนๆก็ฟาดเคราะห์แล้ว วันนี้อย่าลืมเปลี่ยนพาสเวิร์ดละ”

“อืม ขอบคุณครับ”ฮารุโตะรับคำ กดแป้นพิมพ์ด้วยใจห่อเหี่ยว จำนวนเงินที่หายไปไม่ตรงกับระบบ แคชเชียร์ประจำเคาน์เตอร์นั้นๆจะต้องเป็นคนรับผิดชอบใช้คืน อย่างในกรณีของฮารุโตะที่ยอดเงินจริงหายไปสามหมื่นกว่าเยน เขาจะโดนหักเงินค่าจ้างตามจำนวนที่หายไป

ไม่ใช่ไม่เสียดาย แต่เขาไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจริงๆ

ฮารุโตะถือถุงเงินไปใส่ตู้เซฟ ซึ่งหลังจากปิดประตูตู้ไปแล้วจะไม่สามารถปิดได้อีก คนที่มีรหัสเปิดได้มีแค่ผู้จัดการร้านและพนักงานที่มีหน้าที่ดูแลเงิน จะว่าไป เหมือนเป็นการวัดใจกันไปเลยว่าจะเป็นขโมยหรือเปล่า ฮารุโตะมองถุงเงินในมือ เขาคิดมาตั้งแต่วันแรกๆแล้วว่า ไม่กลัวพนักงานจะขโมยถุงเงินนี้กลับไปหรืออย่างไร  เงินตั้งร่วมแสนกว่าเยน แต่ในอีกมุมหนึ่งถ้าขโมยไปจริง คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอีกต่อไปแล้ว

เด็กหนุ่มจึงนำถุงเงินเข้าไปวางไว้ในช่องที่มีชื่อของตนระบุไว้ และปิดประตูตู้ลง

เขาออกจากร้านมาด้วยหน้าตาหม่นหมอง เงินตั้งสามหมื่นเยน นั่งคิดนอนคิดกี่ครั้งก็แสนเสียดาย ยิ่งไม่รู้ว่ารับหรือทอนเงินพลาดตอนไหนยิ่งรู้สึกแย่

“เป็นอะไร”

“รุ่นพี่”ฮารุโตะร้องเรียก เมื่อเห็นหน้าชายหนุ่ม ไอ้เรื่องที่เพิ่งเกิดจึงหลุดมาเป็นพรวน เผื่อว่าจะระบายความอึดอัดเสียดายนี้ได้บ้าง “วันนี้ผมทอนเงินผิด เงินหายไปตั้งสามหมื่นแหนะ”

“หือ แล้วต้องทำอย่างไรละ”

“ไม่ต้องทำอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผู้จัดการก็หักออกจากค่าแรงเอง แต่เสียดายอ่ะ ไม่รู้ว่านับเงินอย่างไรให้หายไปตั้งเยอะ”

“อืม ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป คราวหน้าให้ระมัดระวังมากกว่าเดิม แต่ถ้าไม่มีเงินมาบอกแล้วกัน”ซากิปลอบเช่นนั้นเพราะไม่รู้ระบบการทำงานภายในร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษ จึงพูดแบบกลางๆและย้ำเตือนอีกฝ่ายให้ทำงานด้วยความระมัดระวัง

“ไม่เป็นไรครับ ผมพอมีเงินเก็บ แต่เสียดาย”

“อย่าไปคิดมากเลย ยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจเปล่าๆ เดี๋ยวกลับไปทำอะไรให้ลืมไหม”

ฮารุโตะมองรอยยิ้มของอีกฝ่ายแล้วก็ร้องออกมา “ไม่ ไม่เด็ดขาด วันนี้ห้ามเด็ดขาด”

“อะไร”ซากิหัวเราะ “คิดว่าฉันจะทำอะไร ฉันหมายถึงกลับไปนอนหรอก ทะลึ่งนะเนี่ย”

ฮารุโตะได้แต่ฟึดฟัดกับเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย อยากจะบอกว่าทำหน้าตาแบบนั้น ใครๆก็คิดทั้งนั้น แต่แสดงอาการหงุดหงิดได้ไม่เท่าไหร่ เมื่อโดนลูบหัวลูบไหล่ ความโมโหที่มีอยู่จึงมลายหายไปฉับพลับ



หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-03-2017 00:14:37
วิชาปฏิบัติการของปีสองฮารุโตะได้รวมกลุ่มกับคนอื่นที่ไม่ใช่อาคาริ มิสะและซูซุกิ จิเอะ แม้จะเคยเห็นหน้าแต่ใช่ว่าฮารุโตะจะรู้จักทุกคน หลังจากที่ดูรายชื่อสมาชิกในกลุ่มบนบอร์ดเสร็จ เขาจึงเข้าไปนั่งประจำโต๊ะทดลองซึ่งมีคนนั่งอยู่แล้ว เป็นผู้หญิงหนึ่งคนและผู้ชายหนึ่งคน ทาคุมิซึ่งเดินตามกันมาติดๆทักทายทั้งสองคนอย่างรู้จักมักจี่ และกล่าวฝากฝังเขาไว้เล็กน้อย ก่อนจะแยกไปนั่งประจำที่ของตัวเอง แม้ว่าวันนี้จะเป็นคาบแรกของปีการศึกษา แต่ก็มีการสอบก่อนเรียนรวมถึงมีการเรียนปกติ

เพื่อนผู้หญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มจะทำตัวคล้ายๆกับหัวหน้ากลุ่ม คอยสั่งให้เขาและเพื่อนผู้ชายอีกคนทำการทดลองตามที่เธอบอก ฮารุโตะไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว และเมื่อเหลือบมองเพื่อนผู้ชายอีกคนก็ทำท่าเฉยๆ เด็กหนุ่มจึงยิ่งเบาใจ แถมท้ายหลังจากทำการทดลองเสร็จ เพื่อนผู้หญิงคนนั้นยังอธิบายสรุปให้เขาฟังอีก แน่นอนว่า การเขียนรายงานจะต้องต่างคนต่างเขียนเพื่อส่งเป็นรายงานเดี่ยว แต่เมื่อมีคนสรุปผลให้มันยิ่งเป็นการทุ่นเวลา

“ฮารุจัง ไปชมรมกันเถอะ”

เขาพยักหน้ารับ ปล่อยให้ทาคุมิกอดคอพาเดินออกจากห้อง ที่ทาคุมิทำตัวกระตือรือร้นเพราะเจ้าตัวจะไปสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพ ทั้งที่ไม่ได้ชอบถ่ายภาพด้วยกล้องโปรนอกจากใช้กล้องของโทรศัพท์มือถือ และเมื่อได้ยินว่าทริปต้อนรับสมาชิกใหม่ปีนี้จะไปโอซาก้า ทาคุมิยิ่งลั่นล้าเป็นพิเศษ

“พวกเราไปชมรมด้วยนะ”ฟุมิโอะยกยิ้มให้เขา กลุ่มของพวกเธอดักรออยู่บริเวณระเบียงทางเดินหน้าห้อง

“ได้ยินว่ารับสมัครสมาชิกใหม่แล้วใช่ไหม”ประโยคนี้เป็นของริเอะโกะ

“ถ้าจะไปจีบรุ่นพี่ชิมิซึอ่ะ บอกให้รู้ไว้ก่อนนะ ว่ารุ่นพี่เขาไม่คบกับเด็กในชมรมหรอก”ทาคุมิพูด

“ไม่คบแต่นอนด้วย จริงไหม มิอุระซัง”

คำพูดของริเอะโกะทำให้เขาตัวแข็งทื่อ เหมือนถูกกระชากให้ร่วงมาจากสวรรค์ ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาเขาอยู่แต่กับกลุ่มของรุ่นพี่ชิมิซึ หรือไม่ก็รุ่นพี่ในชมรมถ่ายภาพ ได้อยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึทั้งเช้าทั้งเย็น มันทำให้เขามีความสุขมากจนหลงลืมเรื่องบางอย่างไป

“ยัยนั่นหมายความว่าอย่างไร นายรู้หรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ก้มหน้าก้มตาเดินตามกลุ่มหญิงสาวไป

ชมรมถ่ายภาพของรุ่นพี่นาคามูระไม่มีการแจกใบปลิวและตั้งบูธเพื่อเชิญชวนสมาชิกใหม่ ในเมื่อชื่อของชมรมบ่งบอกอยู่แล้วคือชมรมถ่ายภาพ นั่นคือคนที่ต้องมาสมัครเข้าชมรมต้องชื่นชอบการถ่ายรูป

“เอาละครับน้อง ช่วยบอกเหตุผลดีๆในการสมัครเข้าชมรมของน้องหน่อยครับ”

เมื่อมาถึงห้องชมรม รุ่นพี่นาคามูระกำลังถามคำถามนี้กับเด็กผู้หญิงปีหนึ่งอยู่พอดี ใบหน้าหล่อเหลาของรุ่นพี่กำลังยิ้มแยกเขี้ยว น้ำเสียงที่ใช้ถามก็แสนเย็นเหยียบ ขนาดฮารุโตะซึ่งยืนอยู่ไกลๆยังผวา แต่น้องปีหนึ่งคนนั้นคงเตรียมตัวมาดีไม่ใช่น้อย

“ฉันชอบถ่ายถาพค่ะ ฉันจะใช้เวลาสี่ปีนับจากนี้ในการฝึกฝนการถ่ายภาพ”เสียงคนตอบดังฉะฉาน

“เอ้า อย่ามัวแต่มองอยู่ ทาคุมิเอ็งจะสมัครเข้าชมรมไหม รีบเอาใบสมัครไปเขียนเข้า”รุ่นพี่ฮายาชิเรียกความสนใจของพวกเขาให้มาอยู่ที่กระดาษตรงหน้า ฮารุโตะเป็นสมาชิกชมรมอยู่แล้ว จึงเลี่ยงเดินไปหากลุ่มรุ่นพี่สมาชิกในชมรมที่นั่งบนพื้นชมการสัมภาษณ์กันหน้าสลอน ตั้งใจว่าจะไปนั่งข้างรุ่นพี่อาโอกิ แต่โดนรุ่นพี่ชิมิซึดึงให้ไปนั่งอยู่ข้างๆแทน ก่อนฝ่ายนั้นจะขยับตัวจนกลายมาเป็นนั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง ทั้งยังวางหน้าผากพิงไหล่ของเขาไว้อีก

“นิ่งๆนะ จะนอน”

เขานึกในใจว่า ยังนอนไม่พออีกหรือเนี่ย

“เอ้า ตอบซิครับน้อง”รุ่นพี่นาคามูระเสียงดังขึ้นอีก “ถ้าตอบไม่ได้พี่ไม่รับเข้าชมรมนะ”

“รุ่นพี่เรย์โหดร้ายไปแล้ว”เสียงโวยวายของใครสักคนดังขึ้นมา เรียกให้อีกหลายคนร้องออกมาว่าเห็นด้วย

“ตกลงว่าแกจะไม่รับน้องผู้หญิงเข้าชมรมเลยใช่ไหม”

เมื่อหันไปดูถึงได้เห็นสมาชิกใหม่มีแต่ผู้ชายทั้งหมด

รุ่นพี่นาคามูระนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะถามออกไปอีกว่า “พี่ให้โอกาสน้องนะครับ มาสมัครเข้าชมรมนี้ทำไม”

“รุ่นพี่นาคามูระคะ หนูชอบรุ่นพี่ค่ะ กรุณาเป็นแฟนกับหนูด้วยค่ะ”

“โห่!!!!”เสียงโห่ร้องดังตามมาเป็นแบล็คกราวน์ จนคนพูดทั้งเขินทั้งอาย และเมื่อได้ยินคำตอบเธอยิ่งไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นยิ่งกว่าเดิม จนต้องรีบลุกหนีออกจากห้องไป

“ขอโทษครับ พี่มีแฟนแล้ว ไม่คิดจะมองผู้หญิงคนไหนอีก”

คำตอบของรุ่นพี่เรียกเสียงร้องแซวเกรียวกราวได้ยิ่งกว่าเดิม

“คนต่อไปเชิญครับ”เรย์ประกาศเสียงดัง จนมีเสียงสมาชิกในชมรมพูดแซวขึ้นมาอีกว่า อยู่กันแค่นี้ไม่ต้องเสียงดังก็ได้

ทาคุมิจึงก้าวมาเป็นคิวต่อไป เขาไม่รอให้รุ่นพี่หัวหน้าชมรมต้องเสียเวลาถามคำถาม เขาตอบเหตุผลที่เลือกเข้าชมรมนี้ทันที “ผมไม่ได้ชอบถ่ายรูปครับ แต่ผมชอบเที่ยวและชมรมนี้ก็พาไปเที่ยวฟรีครับ”

“ไม่ฟรีเว้ย สมาชิกทุกคนต้องทำงานเหมือนกัน”เสียงนี้ดังมาจากเหรัญญิกหนึ่งเดียวของชมรม

“คร้าบ คร้าบ ผมพร้อมให้รุ่นพี่อาโอกิใช้แรงงานผมเยี่ยงทาสเลยครับ”ทาคุมิตอบหน้าเป็น เรย์จึงเชิญให้ไปนั่งรวมกับสมาชิกใหม่

คิวต่อไปเป็นของริเอะโกะและฟูมิโอะที่ก้าวเท้าเข้ามาพร้อมกัน ซ้ำยังตอบพร้อมกันอีกว่า “มาเข้าชมรมนี้เพราะชอบรุ่นพี่ชิมิซึค่ะ”

“ปลุกซากิมันหน่อยดิ”

เพราะรุ่นพี่นาคามูระสั่งมาอย่างนั้นเขาจึงหันไปปลุกคนที่นอนซบอยู่ที่ไหล่ รุ่นพี่ชิมิซึเงยหน้าขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือคล้ายว่าก่อนหน้านี้งีบหลับไปจริงๆ

“น้องสองเขาคนนี้เขาชอบแกอ่ะ จะเอาอย่างไร”

“เออ”

“เออ คืออะไรว่ะ ตกลงจะรับหรือไม่รับ”

“หน้าที่เรื่องรับคนเข้าชมรมมันเป็นของแกไม่ใช่หรือไง มาถามอะไรฉันละ”น้ำเสียงคนพูดหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะคว้าเอวของฮารุโตะเข้าไปใกล้และซบหน้าลงอีกครั้ง

เรย์มองด้วยความหมั่นไส้ บางครั้งมันเหมือนจะชัดเจน แต่บางทีมันกลับทำตัวกำกวมคลุมเครือ เขามองหน้ารุ่นน้องที่ยิ้มจืดเจื่อนให้แล้วรู้สึกสงสาร นาคามูระ เรย์จึงตัดสินใจ คราวนี้ไม่เร่งปฏิกิริยาก็แตกหักหันไปเลย

“ตกลงรับ เชิญครับ”

คิวถัดมาเป็นอิเคดะ นายะ หญิงสาวผู้ซึ่งเรียวตะออกปากว่า “คนนี้กิ๊กตรูเอง” ดังนั้นทาคาฮาชิ ฮิราอิจึงรับมุขต่อจากหนุ่มรุ่นพี่

“ฉันอยากจะกิ๊กกับรุ่นพี่โมริค่ะ แต่คุยกันแล้วไม่คลิ๊ก เลยมาสมัครเข้าชมรมนี้ตามเพื่อนเฉยๆ” และมากิเป็นคนสุดท้าย เธอใช้เหตุผลเดียวกับฮิราอิ

สรุปปีนี้จึงมีนักศึกษาปีสองเพิ่มขึ้นมาอีกหกคน

“ต่อไปเป็นหัวข้อหลักข้อวันนี้ คือการเลือกประธานชมรมคนใหม่”คราวนี้สมาชิกในชมรมแต่ละคนต่างหน้าตาตื่น “ไม่ต้องตกใจ ฉันก็อยู่ในชมรมเหมือนเดิม แต่ขึ้นปี่สี่แล้วไง เพื่อให้ชมรมนี้คงอยู่ต่อไป จึงควรต้องหาคนมาดูแลแทนใช่ไหมละ”เมื่อได้ยินคำอธิบายหลายคนจึงสงบใจลง เพราะนาคามูระ เรย์เองก็เหมือนสัญลักษณ์ของชมรมอย่างหนึ่ง

“แต่ว่าถ้าจะให้ฉันเลือกประธานชมรมคนใหม่จากปีสามเลย ฉันคิดว่ามัน...ไม่ใช่ เพราะฉันเองเป็นประธานชมรมมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ตอนอยู่ปีสองมีรุ่นพี่ปีสูงกว่ามาสมัคร ฉันก็ยังเป็นประธานเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นฉันจะใช้วิธีลงคะแนนเสียง”

นาโอโตะลุกขึ้นแจกกระดาษให้ทุกคน

“เขียนชื่อลงในกระดาษและพับใส่กล่อง พวกปีสี่ก็ต้องเลือกนะ อยากฝากชมรมนี้ไว้กับใคร เขียนชื่อมาเลย  อ่อสมาชิกใหม่ปีนี้ยังไม่เกี่ยว”

ฮารุโตะรับกระดาษมาพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เขาลอบมองใบหน้ารุ่นพี่ปีสามทุกคนของชมรมและเขียนชื่อลงไป กับเพื่อนในคณะเขาอาจจะไม่รู้จักทุกคน ทว่ามันต่างกับสมาชิกในชมรม แม้บางคนเขาจะไม่สนิทมาก แต่เคยทำงานร่วมกัน และไปเที่ยวด้วยกันบ่อยครั้ง เขาจึงเคยคุยกับทุกคน

เด็กหนุ่มเขียนชื่อคนที่ตนคิดว่าเหมาะสมลงไปในกระดาษ พับเป็นทบและหย่อนมันลงกล่องที่รุ่นพี่นาโอโตะถืออยู่

หลังจากนั้นเป็นการนับคะแนน เรย์เขียนชื่อคนที่ถูกเลือกจากกระดาษแผ่นแรกที่เขาหยิบลงบนกระดาน พร้อมทั้งขีดเส้นหนึ่งเส้น จากนั้นจึงหยิบกระดาษแผ่นที่สองมาเปิดดู ทำแบบนี้จนไม่มีกระดาษเหลือในกล่องจึงได้ผลสรุป

“ผู้ชนะคือมาเอดะ คาโอรุ”

ฮารุโตะปรบมือให้ เหมือนกับสมาชิกคนอื่นที่ปรบมือให้เช่นกัน เพราะเขาเองก็เลือกรุ่นพี่มาเอดะ

“ขอเชิญท่านประธานคนใหม่กล่าวอะไรสักหน่อยครับ”เรย์พูด

คาโอรุลุกขึ้นยืนกวาดสายตามองหน้าสมาชิกทุกคนด้วยอาการประหม่าเขินเล็กน้อย “ขอขอบคุณทุกคนที่เลือกผมให้มาทำหน้าที่นี้”

มีคนตะโกนแซวว่าสุภาพเอี้ยๆ ประธานชมรมคนใหม่จึงแกล้งกระแอมกระไอแล้วหลุดคำหยาบมาเป็นขบวน จนคนแซวต้องร้องปราม เสียงหัวเราะครืนดังกระหน่ำ

“ฉันอาจจะไม่เก่งเท่ารุ่นพี่นาคามูระ แต่ก็จะพยายามทำให้สมาชิกในชมรมนี้มีความสุขเหมือนที่ผ่านมา”

เสียงปรบมือดังก้องอีกครั้ง นาคามูระ เรย์ซึ่งกลายเป็นอดีตประธานชมรมไปแล้วกล่าวเสริมขึ้นมาอีกเล็กน้อยว่า “เรื่องรองประธานก็ให้คาโอรุตัดสินใจได้เลย ส่วนเหรัญญิกจะให้นาโอโตะเลือกมา ส่วนทริปต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าชมรม อย่างที่เรารู้กันว่าจะไปโอซาก้า แต่จะมีอะไรพิเศษอีกเล็กน้อยเดี๋ยวให้นาโอโตะอธิบาย”

เรย์ส่งไม้ต่อไปให้นาโอโตะ

“ไปโอซาก้าคราวนี้ พวกเราจะไปพักที่เรียวกังของตระกูลฮายาชิอีกแล้ว เอ้าปรบมือ”

“ไม่ดีใจหรอกนะ”เรียวตะตะโกนขัดขึ้นมาทันที แต่ทุกคนต่างรู้ว่ารุ่นพี่มาดกวนอารมณ์ดีคนนี้แค่แซวเล่นไปอย่างนั้น หรืออาจจะเป็นความจริงในใจที่ไม่สามารถขัดคำบัญชาของรองประธานชมรมที่มีอำนาจเหนืออดีตประธานชมรมก็เป็นได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ทุกคนต่างส่งเสียงหัวเราะขำขัน

“ไม่ดีใจก็เรื่องของแก แต่งานนี้คุณป้าขอมา”นาโอโตะพูดด้วยท่าทีเหนือกว่า ก่อนหันมาอธิบายให้สมาชิกชมรมถ่ายภาพทุกคนรับทราบโดยทั่วกันอีกครั้งว่า “ฉันได้โควต้าสำหรับลงบทความท่องเที่ยวมาห้าหน้า แต่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสเขียนบทความนี้ ได้เงินรางวัลตอบแทนนะ และต้องมีหนึ่งหน้าที่เขียนเกี่ยวกับเรียวกังที่เราจะไปพักกันคราวนี้ด้วย ส่วนสถานที่อื่นๆแล้วแต่เลย อีกอย่างคือฉันอาจจะไม่ได้เลือกของคนใดคนหนึ่ง ของใครดีส่วนไหนอาจจะเลือกเฉพาะส่วน ถ้าไม่อยากหารกับใครก็ต้องเขียนให้ฉันพอใจให้ได้”

เมื่อรุ่นพี่อาโอกิพูดจบ เสียงพูดคุยดังจอแจขึ้นทันที ได้ยินเสียงคนบ่นแว่วๆว่า ถ่ายภาพเป็นอย่างเดียว ฮารุโตะไม่ยักจะรู้ว่านอกจากถ่ายภาพแล้วยังจะมีกิจกรรมแบบนี้ด้วย เขาเองก็อยากจะลองเขียนดูเหมือนกัน

“โอเค เงียบก่อนๆ”เรย์ส่งเสียงปรามให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ก่อนจะผายมือให้ประธานคนใหม่พูดต่อ คาโอรุทำหน้างงเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปพูดกับสมาชิกทุกคนว่า

“เรื่องเที่ยวเดี๋ยวไว้นัดประชุมอีกที ตารางงานก็เหมือนกัน ส่วนวันนี้แยกย้ายได้”

รุ่นพี่ปีสามพร้อมใจกันปรบมือแล้วร้องเฮ ทำเอาหลายคนตกใจ แต่ทุกอย่างก็กลับมาจอกแจกจอแจเหมือนเดิม เรื่องบทความของรุ่นพี่นับว่าเป็นประเด็นร้อนที่สุด

ทาคุมิขยับเข้ามาหา “เราสองคนเขียนประกวดแข่งกับเขาด้วยดีไหม”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ “แต่ถ่ายภาพไม่ได้เรื่องกันทั้งคู่ จะไหวหรือ”

“นี่ไงรุ่นพี่ชิมิซึเนี่ย เขาจะไม่อยู่กลุ่มเดียวกับเราเรอะ”

“ยังไม่ได้ถามเลย มาตัดสินเอาเองได้อย่างไร”คนที่คิดว่าหลับอยู่เงยหน้าขึ้นมาพูดทันที

“อ้าว แล้วรุ่นพี่ไม่คิดจะช่วยฮารุจังหรือครับ”

“ฉันหมายถึง ฉันยอมให้แกเข้ากลุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่”

“อ้าวเฮ้ย ผมเป็นเพื่อนกับฮารุจังนะ”ทาคุมิร้องเสียงหลง ซากิมองหน้าส่งสายตาว่าฉันแคร์ที่ไหน ก่อนจะมีเสียงของผู้หญิงร้องเรียกให้พวกเขาหันไปมอง พร้อมกับสองสาวที่มาทรุดตัวลงนั่งอยู่ด้านข้างของรุ่นพี่ร่างสูง

“รุ่นพี่ค่ะ รวมกลุ่มกับพวกฉันนะ”

“รุ่นพี่ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ถ่ายรูปให้อย่างเดียว”

“เป็นอันว่าสมาชิกของพวกเรามีแค่นี้เนอะ”ทาคุมิโพล่งผ่ากลางขึ้นมา เขายิ้มเผล่ให้ทุกคน

“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำว่าจะรวมกลุ่มกับนาย”

“เนอะ ฮารุจังเนอะ”ทาคุมิหันไปสำทับกับฮารุโตะ ต่อให้ใครไม่อยากรวมกลุ่มด้วยซาโต้ ทาคุมิจะจับมัดมือชกให้หมด





จังหวัดโอซก้าอยู่ทางใต้ของเกาะฮอนชู ถ้านั่งรถบัสไปจะใช้เวลาประมาณเจ็ดชั่วโมงนิดๆ แต่ถ้าเดินทางด้วยรถไฟจะใช้เวลาประมาณห้าชั่วโมงกว่าๆ เพียงแต่ถ้าใช้บริการรถไฟก็ต้องเปลี่ยนรถหลายสถานี ทว่าสมาชิกในชมรมต่างเป็นมนุษย์จำพวกลุยไหนไปกันทั้งนั้น ผลโหวตการเดินทางด้วยรถไฟจึงชนะขาดลอย

แต่คราวนี้พวกเขาจะออกเดินทางกันตั้งแต่เย็นวันศุกร์ โดยนัดรวมตัวกันที่สถานีรถไฟเช่นเดิม ออกเดินทางกันตั้งแต่ช่วงหกโมงเย็น แวะทานข้าวกันระหว่างทางเพราะกว่าที่พวกเขาจะไปถึง ครัวของเรียวกังปิดให้บริการไปแล้ว ตามกำหนดการพวกเขาจะเดินทางถึงโอซาก้าตอนสี่ทุ่มกว่าๆ และเมื่อลงจากสถานีแล้วต้องเดินเท้าต่อกันอีกเล็กน้อยจึงจะถึงเรียวกังที่พัก

“เมื่อไหร่จะถึงเนี่ย”

เมื่อหันไปดูถึงได้เห็นริซาโกะพูดบ่นด้วยใบหน้าหงุดหงิด และฮิราอิก็พูดต่อไปอีกว่า

“ปวดเท้าจะแย่แล้ว ทำไมไม่มีใครบอกว่าจะต้องเดินเยอะขนาดนี้ละ ฉันจะได้ใส่ร้องเท้าผ้าใบมา”

ทาคุมิจึงงึมงำออกมาเบาๆว่า “เอ้า เขาพูดกันตั้งต่แรกแล้ว ไม่รู้จักจำ”

“นายะ ที่เรียวกังของรุ่นพี่ฮายาชิ มีออนเซนด้วยใช่ไหม”เสียงของใครสักคนลอยแว่วมาอีก

“อืม”

“ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันจะแช่น้ำให้สะใจเลย”หลังจากนั้นหัวข้อที่พวกริซาโกะคุยกันจึงเป็นเรื่องของห้องพัก และย่านช็อปปิ้ง

ถึงที่พักคาโอรุเป็นคนไปรับกุญแจห้องมาแจก และอธิบายเรื่องการเข้าพัก โดยผู้หญิงจะต้องนอนรวมกันห้องเดียว ส่วนผู้ชายแบ่งเป็นสองห้อง

“ฝั่งผู้ชายสามารถจัดกันเอาเองนะครับว่าจะนอนห้องไหน”

แต่ฮารุโตะคิดว่าคืนนี้อาจจะไม่ได้นอนง่ายๆก็เป็นได้ เพราะระหว่างทาง แต่ละคนต่างแวะร้านมินิมาร์ทเพื่อขนเบียร์ออกมาเป็นโหลๆ

“เราไม่มีกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษนอกจากถ่ายรูปและเขียนคอลัมภ์ที่รุ่นพี่อาโอกิเคยบอกไว้ แต่พรุ่งนี้เย็นต้องมากินข้าวพร้อมกันที่ห้องอาหาร และเราจะเดินทางกลับหลังทานข้าวเที่ยงวันอาทิตย์ อ่อ เรียวกังมีอาหารเช้าให้นะ”

คาโอรุเห็นว่าพวกผู้หญิงนอนรวมกันห้องเดียวจึงส่งกุญแจให้ไปก่อน หันกลับมากลุ่มรุ่นพี่ปีสี่กำลังปรึกษาเรื่องแยกกันนอนพอดี ตัวเขาที่เป็นหัวหน้าของปีสามจึงสั่งให้กลุ่มเพื่อนแบ่งไปนอนทั้งสองห้อง ลามไปถึงปีสองและปีหนึ่ง แต่ฮารุโตะโดนรุ่นพี่ชิมิซึกอดคอไว้ไม่ปล่อย จึงโดนลากตามไปด้วย พอๆกับทาคุมิที่เดินตามหลังเขามาต้อยๆ

สมาชิกที่นอนห้องเดียวกับฮารุโตะเป็นนักดื่มทั้งนั้น วางกระเป๋าเสื้อผ้าเสร็จก็จับกลุ่มตั้งวงกันเป็นอันดับแรก เรียวตะหยิบสำรับไพ่ซึ่งเป็นกิจกรรมประจำทริปออกมาวาง แม้ห้องหนึ่งห้องต้องนอนรวมกันสิบกว่าคนนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเล่นกันแบบแพ้คัดออก แต่เหมือนว่าจะดื่นกันไม่ทันใจ หนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นแกนนำอย่างฮายาชิ เรียวตะจึงเปลี่ยนเล่นทายหัวก้อยเอาเสียดื้อๆ ฮารุโตะเองโดนบังคับให้ร่วมเล่นด้วย และโดนบังคับให้ดื่มรวมเดียวหมด ดังนั้น เมื่อเขาต้องดื่มกระป๋องที่สาม ฮารุโตะจึงมึนศีรษะจนต้องล้มตัวลงนอน

“เฮ้ย จะหนีไปไหนว่ะซากิ ยังไม่หมดเลยนะเว้ย”

“เก็บไว้พรุ่งนี้ก็ได้เปล่าว่ะ แม่งดูดิ แต่ละคนนั่งตาเยิ้มกันหมดแล้ว”ชิมิซึ ซากิพูดขณะกางฟูกนอนเพื่อนำร่างของรุ่นน้องร่างเล็กมานอน เขาเลือกมุมติดผนังด้านหนึ่ง

“จะกินอีกอ่ะ จะกิน”ฮารุโตะงึมงำอยู่กับอก วางร่างของอีกฝ่ายลงบนฟูกแล้วเขาโน้มหน้าเข้าไปหาพร้อมพูดเบาๆว่า

“ไม่กินแล้ว วันนี้นอนนะ”

“เฮ้ย ซากินานจังวะ เกมจะเริ่มแล้ว มึงจะเลือกอะไร”เรียวตะตะโกนเสียงดัง

“จะตะโกนหาไรว่ะ เดี๋ยวก็โดนด่าหรอก”

“มึงก็เร็วๆดิ”

ซากิทำเสียงชิชะ ออกอาการหัวฟัดหัวเหวี่ยง เขาเดินกลับไปยังกลุ่มที่นั่งอยู่กลางห้อง ยกกระป๋องเบียร์สองกระป๋องยักษ์ขึ้นดื่มอึกๆ ทำราวกับน้ำเปล่าจนเกลี้ยงฉาดทั้งคู่

“หมดแล้ว ไปนอนกันได้แล้ว ไปๆ”

ออกปากไล่ทุกคนไปเสร็จ ซากิต้องยืนตั้งสติอีกครู่ใหญ่ ต่อให้คอแข็งอย่างไร ดื่มรวดเดียวแบบนั้นมันก็ทำให้มึนได้เหมือนกัน หันกลับไป พื้นที่ตรงข้างฮารุโตะกลับโดนทาคุมิแย่งไปเสียแล้ว ชายหนุ่มย่างสามขุมเข้าไปหา

“เฮ้ย ไปนอนที่อื่น”

“ไม่เอาอ่ะ ผมจะนอนกับฮารุจัง”

ซากิขมวดคิ้วฉับเมื่อคนพูดล้มตัวลงนอน ไม่ยอมฟังเสียงอีร้าค่าอีรม ก่อนหูจะได้ยินเสียงพูดแว่วมาว่ากำลังจะปิดไฟ เขาจึงก้าวเข้าไปนอนสอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มเดียวกับหนุ่มรุ่นน้อง ในห้องมืดสนิทลงตอนที่พยายามขยับตัวให้ได้ที่ กลิ่นเบียร์คละคลุ้งออกมาพร้อมลมหายใจออกของฮารุโตะ ผสมกับกลิ่นกายให้ความรู้สึกแปลกๆ ซากิกอดกระชับร่างในอ้อมแขนก่อนจะปล่อยความคิดทั้งมวลให้ดิ่งสู่นิทรา



ฮารุโตะสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาสายกว่าปกติ มึนหัวอยู่เล็กน้อยซึ่งเป็นผลจากการดื่มเมื่อคืน รอจนปรับสายตาได้ ใบหน้าด้านข้างของรุ่นพี่ชิมิซึจึงปรากฎชัดเจน หลังจากยันตัวลุกขึ้นนั่ง จึงปลุกอีกคนให้ตื่นขึ้นมาด้วย ครั้งก่อนที่ไปเที่ยว เขาโดนโกรธเพราะตื่นแล้วไม่ยอมปลุก กว่ารุ่นพี่จะยอมกลับมาคุยด้วยเป็นเวลาร่วมหมดวัน ความทรมานแบบนั้นเขาไม่อยากเผชิญอีกแล้ว

เมื่อลืมตาขึ้นมาแล้ว ซากิกลับคว้าเอวบางของหนุ่มรุ่นน้องรวบเข้าหา

“รุ่นพี่”ฮารุโตะกระซิบเสียงเบา เหลือบตามองไปรอบห้อง เห็นสมาชิกคนอื่นยังคงนอนหลับกันอยู่จึงค่อยเบาใจ

“ลุกเถอะ ไปอาบน้ำกัน เมื่อคืนนอนทั้งอย่างนั้นเหนียวตัวนะครับ”

อีกฝ่ายพลิกตัวแล้วกดจมูกลงบนซอกของเขา ครู่หนึ่งต่อมาถึงจะยอมลุกขึ้น บอกให้เขาไปเตรียมเสื้อผ้าข้าวของ ขณะที่ตนเองพับเก็บฟูกนอน เดินออกจากห้อง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ปล่อยให้เขาเดินนำอยู่ด้านหน้า

ห้องอาบน้ำของเรียวกังช่วงสายๆวันนี้มีคนมาใช้บริการบ้างประปรายค่อนไปทางน้อยจึงให้ความรู้สึกเงียบสงบ หลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างตัว ฮารุโตะจึงพาตัวเองลงไปหย่อนลงบ่อน้ำร้อน

มีความสุขสุดๆ

เพราะอากาศอุ่นขึ้นแล้ว ฮารุโตะจึงค่อนข้างขี้เกียจไปใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะ ได้แต่ทนอาบน้ำเย็นมาตลอด แต่การได้แช่น้ำอุ่นแบบนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่เยี่ยมที่สุด

“หน้าตาบ่งบอกว่ามีความสุขมาก”

ฮารุโตะลืมตา หันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ “ครับ มากสุดๆ”

“ถ้าอย่างนั้นย้ายห้องดีไหม”

“ไม่เอาหรอกครับ เปลือง ค่าเช่าถูกขนาดนี้จะหาได้ที่ไหน”ฮารุโตะตอบกลับทันควัน

“แต่ผนังบาง อ่างอาบน้ำก็ไม่มี ลำบากนะตอนจะทำอะไรน่ะ”

เหมือนความร้อนจากน้ำพุ่งสูงมาบนหน้า จะให้เขาตอบว่าอะไรละเนี่ย ฮารุโตะจึงได้แต่ก้มหน้าแทบจะจมลงไปในน้ำ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาจึงเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา

“แกล้งกันหรือครับ”

“เปล่า พูดจริง”ซากิยิ้มให้พลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้ “บางครั้งได้ยินเสียงก็ทำให้รู้สึกดีนะ”

ฮารุโตะได้แต่อ้าปากพะงาบๆ รู้สึกได้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวมากขึ้นกว่าเดิม

“ถ้ายอมย้าย เดี๋ยวฉันออกเงินค่าห้องก็ได้”เหมือนว่ารุ่นพี่จะกลับมาพูดด้วยความจริงจังกว่าเดิม เด็กหนุ่มมองหน้าของชิมิซึ ซากิอีกครั้งและก้มหน้าลงพลางครุ่นคิด เขาลังเลไม่แน่ใจ ประการหนึ่งเพราะความสัมพันธ์อันคลุมเครือ ถ้าเขาตอบรับไปง่ายๆแล้ววันหนึ่งรุ่นพี่เกิดนึกเบื่อตัวเขาขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะโดนไล่เหมือนหมูเหมือนหมา ไม่เอาหรอก เหตุการณ์ที่จะต้องทำให้ตัวเองเจ็บปวดแบบนั้น

“เอาไว้... ให้รุ่นพี่เรียนจบ มีงานมีการทำอย่างจริงจังก่อนดีกว่าครับ แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้อีกครั้ง”พูดจบ ฮารุโตะลุกขึ้นจากน้ำ แสดงออกว่าไม่อยากพูดเรื่องนี้อีก ซากิจึงลุกขึ้นตามไปบ้าง เขาสาวเท้าตามหลังจนมาหยุดที่ห้องล็อกเกอร์

“ไม่โกรธใช่ไหม”

“ไม่หรอกครับ”เขาหันกลับไปบอก “เพียงแต่เรื่องนี้มันจริงจังเกินกว่าจะมาพูดเล่นๆ”

นั่นสินะ เหมือนว่าเขาจะได้ยินรุ่นพี่พึมพำออกมาเช่นนั้น

กลับเอาของไปเก็บในห้องอีกครั้ง ทาคุมิก็ลุกขึ้นมานั่งหน้าง่วงรออยู่แล้ว “ไปไหนมาอ่ะ”

“ไปอาบน้ำมา รีบลุกได้แล้ว ผมกับรุ่นพี่กำลังจะไปกินข้าวแล้วนะ”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทาคุมิจึงรีบกุลีกุจอไปทำธุระส่วนตัว ฮารุโตะบอกซ้ำอีกครั้งว่าเดี๋ยวจะไปรอที่ห้องอาหาร

ห้องทานอาหารของเรียวกังเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นขนาดหกเสื่อครึ่ง ซึ่งมีโต๊ะไม้สีเข้มมันปลาบตัวยาววางตั้งอยู่กลางห้อง เมื่อเขามาถึงก็พบพวกรุ่นพี่ผู้หญิงของชมรมกำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องแล้ว

“โอ้ มาแล้ว อรุณสวัสดิ์ค่ะรุ่นพี่ชิมิซึ”คนที่เอ่ยทักพวกเขาคนแรกคืออาเบะ ซึกิซากะ

ฮารุโตะจึงตอบกลับไปว่าอรุณสวัสดิ์ครับ

“เมื่อคืนดื่มกันดึกหรือ”คำถามนี้ออกมาจากโอคาดะ ทซึคิโยะ

“อีกห้องไม่รู้ แต่ห้องฉัน ไอ้ที่ซื้อมาก็หมดอ่ะ”

ฮารุโตะรับเมนูอาหารเช้าที่ซึกิซากะส่งมาให้ เธอบอกว่าจะเลือกเมนูไหนก็ได้ที่อยู่ในเล่ม เด็กหนุ่มจึงเปิดไล่ดูทีละหน้า พลางหันไปถามรุ่นพี่อาเบะว่าสั่งไปแล้วหรือ ซึ่งอีกฝ่ายตอบว่าเรียบร้อยแล้ว ฮารุโตะจึงหันกลับมาให้ความสนใจเล่มเมนูในมือเหมือนเดิม ขณะเดียวกันชิมิซึ ซากิก็โน้มหน้าเข้าไปใกล้เพื่อดูรายการเช่นเดียวกัน

“เอ้านี้”โอโตวะ ชิโอริเพื่อนรุ่นเดียวกับซากิส่งเมนูอีกเล่มมาให้ แต่เขาทำเพียงรับมาถือไว้ในมือเฉยๆ ก่อนจะส่งให้ทาคุมิซึ่งตามมาถึงทีหลัง

เริ่มสายสมาชิกในชมรมจึงทะยอยโผล่หน้ามาให้เห็นมากขึ้น ฮารุโตะ ทาคุมิและซากิที่ทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยจึงหลีกทางให้คนอื่นโดยแอบมานั่งที่มุมหนึ่งของห้อง และซากิได้หยิบกล้องของเรย์ซึ่งออกไปเดินเที่ยวในหมู่บ้านมาตั้งแต่เช้าติดมาด้วย สองหนุ่มรุ่นน้องจึงสุมหัวดูรูปบนหน้าจอจนคนถือกล้องแทบมองไม่เห็น

“ที่นี่ก็ดีนะ”สองคนนั้นพูดไปพลางปรึกษาหารือไปพลาง นั่งรอจนกระทั่งอีกสองสาวทานอาหารเช้าเสร็จถึงได้เริ่มออกจากเรียวกังเพื่อเริ่มภาระกิจ




โอซาก้าเป็นเมืองใหญ่ที่มีทั้งความเจริญด้านเทคโนโลยี แหล่งช็อปปิ้ง แฟชั่น เป็นเมืองติดทะเลที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ในสมัยหนึ่งโอซาก้าเคยเป็นที่ตั้งเมืองหลวงของญี่ปุ่นในยุคอะซุกะ และยังมีปราสาทโอซาก้าปราสาทชื่อดังที่เคยตั้งรับกองกำลังของโทกุกาว่า อิเอยะซึ ซึ่งผ่านการบูรณะหลายครั้งทั้งเหตุจากธรรมชาติและสงคราม

พวกเขาหยุดยืนดูอยู่ด้านหน้าปราสาทความสูงห้าชั้นซึ่งล้อมรอบด้วยคูน้ำและกำแพงสูง แม้ว่าจะคุยกันมาตั้งแต่แรกว่าคงไม่ได้เขียนถึงปราสาทแห่งนี้ลงในบทความ แต่เมื่อมาเยือนโอซาก้า มันก็ต้องมาชมสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของจังหวัดก่อนเป็นอันดับแรก และไหนๆก็ไหนๆแล้ว พวกเขาที่อุตส่าห์เสียค่ารถไฟและเสียเวลาในการเดินทางจากเรียวกังมาร่วมชั่วโมง จึงตัดสินใจเดินเที่ยวชมปราสาทให้ทั่ว

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ อย่าลืมถ่ายรูปให้เยอะๆละ”ทาคุมิยิ้มเผล่เข้าไปประจบ รุ่นพี่ร่างสูงทีมีส่วนสูงมากว่าเขาแค่เหล่ตามมอง ก่อนจะยกกล้องขึ้นทำเป็นเมินเขาไป ทาคุมิยิ่งฮึดฮัดเมื่อเห็นปฏิกิริยาตอบรับของรุ่นพี่ชิมิซึที่มีต่อฮารุโตะแตกต่างกับเขาราวฟ้ากับเหว ยามที่เพื่อนหนุ่มร่างเล็กถือน้ำเข้าไปให้รุ่นพี่ปีสี่

“ทำใจได้เลย ถ้าสองคนนั้นอยู่ด้วยกัน นายได้กลายเป็นอากาศธาตุแน่”ฟุมิโอะเดินมาแตะต้นแขนของเขาพร้อมรอยยิ้ม ส่วนริเอะโกะมายืนขนาบอยู่อีกข้าง

“ก็รู้นี่ ทำไมยังประกาศตัวว่าชอบรุ่นพี่อีก”

“ไม่ได้คบกันก็มีสิทธิ์แย่ง หรือต่อให้คบกันก็มีสิทธิ์แย่ง... ใช่ไหมละ”คนตอบเป็นริเอะโกะ

“หรือต่อให้เธอสองคน คนใดคนหนึ่งได้เป็นแฟนกับรุ่นพี่ชิมิซึขึ้นมาจริงๆ คนที่เหลือก็จะตามไปแย่งมาหรือไง”ทาคุมิถาม “จะทำเรื่องประหลาดๆแบบนั้นนะหรือ” เด็กหนุ่มพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ไม่ได้ให้ความสนใจหญิงสาวสองคนอีก และพาตัวเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองคนนั้น ต่อให้รุ่นพี่ชิมิซึไม่ชอบหน้าเขา เขาก็จะเสนอหน้าเข้าไปร่วมวงด้วย

กว่าจะเดินชมในปราสาทครบรอบเวลาก็ล่วงผ่านไปครึ่งวันแล้ว ออกมาหยุดพักรับประทานอาหารทาคุมิจึงต้องเปิดประเด็นด้วยความจริงจังอีกครั้ง

“ต่อไปต้องเลือกสถานที่ก่อน”ทาคุมิพูดเมื่อรู้สึกว่าหัวข้อในการเดินทางครั้งนี้จะค่อยๆเบี่ยงออกจากประเด็นที่ตั้งใจไว้ ฮารุโตะเอาสมุดที่ไปนั่งหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตไว้ออกมากาง ซึ่งซากิได้แต่มองดูเงียบๆ รายละเอียดที่อยู่บนหน้ากระดาษบ่งบอกว่าเจ้าตัวตั้งใจมากแค่ไหน เขาจึงไม่อยากพูดอะไรให้เสียกำลังใจ

ขณะที่หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองกำลังปรึกษากันเรื่องสถานที่ที่น่าสนใจสำหรับนำไปเขียนลงบทความ รุ่นน้องผู้หญิงอีกสองคนก็ตะแง้วๆ ร่ำร้องอยากให้เขาไปเป็นเพื่อนช็อปปิ้ง หลังจากที่ลองคิดกลับไปกลับอยู่หนึ่งตลบ ซากิจึงตอบตกลง และเมื่อเขาลุกขึ้นจากโต๊ะ สองหนุ่มที่ยังตัดสินใจไม่ได้จึงต้องลุกตาม


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-03-2017 00:23:27
ซากิไม่ทันเห็นว่าสองคนนั้นไปซุบซิบอะไรกัน แต่ต้องหันกลับไปมองเพราะแรงสะกิดยิกๆ ฮารุโตะช้อนสายตามองเขาด้วยท่าทางประหม่า

“ผม... ข...ขอ...ยืมกล้องได้ไหมครับ”น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอึกๆอักๆติดอ่าง ซากิเหลือบสายตามองคนที่ยืนลุ้นอยู่ไม่ห่าง เขารู้ว่านี่ไม่มีทางเป็นความคิดของฮารุโตะอย่างแน่นอน ในเมื่อปีการศึกษาที่แล้วเจ้าตัวยังต้องหาเงินมาคืนค่าเลนส์ที่เจ้าตัวทำของเขาร้าวอย่างไม่ตั้งใจอยู่เลย คงไม่ใจกล้ามายืมกล้องของเขาอีก

“ไม่ให้”เสียงคนตอบย้ำชัดหนักแน่นทุกคำ เรียกเสียงโวยจากเด็กหนุ่มร่างสูงอีกคนได้อย่างดี

“ทำไมละครับ รุ่นพี่เองก็กำลังจะไปเดินซื้อของ ไม่ได้ใช้กล้องซะหน่อย”

“รู้หรือเปล่าว่าทั้งกล้องทั้งเลนส์ที่ฉันถือมาวันนี้ราคาเท่าไหร่ ถ้านายรู้ราคาของมันจะไม่มาคิดยืมง่ายๆแบบนี้อีก”

“กะอีของแค่นี้ไม่เห็นต้องงกขนาดนั้นเลย”

ซากิเหมือนได้ยินเสียงเส้นความอดทนขาดผึงและหนุ่มรุ่นน้องที่ใช้ชีวิตอยู่ในชมรมถ่ายภาพมาร่วมปีคงรับรู้ได้ ถึงได้เข้าไปพยายามห้ามปรามตัวกวนประสาทที่ทำให้เขาอารมณ์เสีย

อันที่จริงเขาไม่ได้ขี้งกหวงของขนาดนั้น ครั้งก่อนที่เรียวตะหยอกเล่นกับฮารุโตะจนมากระแทกเขา และทำให้เลนส์ร่วงกระทบพื้นจนเป็นรอย เขาก็ไม่ได้รับเงินของฮารุโตะที่หามาคืน เรื่องการยืมกล้องของคนอื่นใช้ ระหว่างสมาชิกในชมรมถือว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ทุกคนในชมรมที่สามารถสะสมกล้องทุกรุ่นหรือเลนส์ทุกแบบที่มีออกจำหน่ายได้เหมือนเรย์ ดังนั้นพอใครได้กล้องรุ่นใหม่หรือเลนส์เทพๆมาไว้ในครอบครอง ต้องมีคนในชมรมหยิบยืมไปทดลองใช้ทั้งนั้น แต่เพราะสมาชิกทุกคนในชมรมต่างรู้จักกันดี และเชื่อใจได้ รู้ว่าคนที่ยืมไปต้องรักษาของอย่างดี ไม่ใช่ไอ้ตัวปากมากที่เข้าชมรมมาเพราะอยากเที่ยว

แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลในย่อหน้าข้างต้น ซากิด่าทาคุมิด้วยสายตา คำที่หลุดไปจริงๆมีแค่ “เออ ฉันขี้งกและหวงของมาก เพราะฉะนั้นอย่างสะเออะมายุ่งกับของของฉันอีก”ซากิคว้าฮารุโตะเข้าหาตัว ล็อกคอและพาเดินไปด้วยกัน สาวเท้าอย่างรวดเร็วจนฮารุโตหวิดจะล้มหัวคะมำ ติดที่ว่าโดนวงแขนแข็งแรงที่เปลี่ยนจากรัดคอมารัดเอวไว้แน่น จึงต้องเร่งก้าวเท้าตามหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงไปอย่างช่วยไม่ได้ กระทั่งทาคุมิวิ่งมาดักหน้าไว้ทัน

“รุ่นพี่จะพาฮารุจังไปไหน ฮารุจังไม่ได้อยากไปกับรุ่นพี่ซะหน่อย”

“ซาโต้ซัง วันนี้เราแยกกันไปก่อนเถอะนะ”ฮารุโตะพยายามไกล่เกลี่ย เขาไม่เคยเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ชิมิซึในโหมดอารมณ์เสียสุดกู่ที่ทำหน้าเหมือนกำลังจะกินคนตรงหน้าได้แบบนี้มาก่อน เพราะแค่สีหน้าปกติหรือตอนที่อีกฝ่ายหงุดหงิดนิดหน่อย เขาก็กลัวจนอยากจะถอยหนีให้ห่างแล้ว

“ขอร้องเถอะ แล้วกลับไปเจอกันที่เรียวกังนะ”

ใช่!!!!! ถ้าไม่รีบไสหัวไป ฝ่าเท้าของเขาก็กำลังจะกระตุกแล้วเหมือนกัน ซากิกัดฟันข่มอารมณ์โกรธขึงไม่ให้หลุดระบายออกมาตามที่คิด

 เมื่อโดนฮารุโตะกล่าวข้อร้องซ้ำๆ ทาคุมิจึงยอมรามือล่าถอยไป แต่ใช่ว่าจะมีแค่หนุ่มรุ่นพี่ฝ่ายเดียวที่โมโห เขาเองก็โมโหเหมือนกัน พลางคิดขุ่นเคืองไปเสียทุกอย่าง แม้กระทั่งฮารุโตะที่เป็นเพื่อนของตน

“ตกลงว่ารุ่นพี่จะยังไปเที่ยวกับพวกเราอยู่ใช่ไหมค่ะ”เสียงร้องเรียกนั่นทำให้ซากิตวัดสายตากลับไปมอง ฟุมิโอะและริเอะโกะต่างสะดุ้งเฮือกกับสายตาอีกฝ่ายที่ยังดูครุกรุ่นพร้อมระเบิด

“เดี๋ยวเราสองคนเดินตามไปเงียบๆเลยค่ะ”ริเอะโกะบอกพร้อมรอยยิ้มแหยๆ รอจนคล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ ฟูมิโอะจึงพูดออกมาว่า

“แบบนี้แกยังจะเอาอีกหรือว่ะ ไม่ใช่ว่าคบกันไปจู่ๆเกิดโมโหบ้าเลือดขึ้นมาจะได้ซ้อมแกปางตาย”

“ที่พูดเนี่ยเพื่อให้ฉันกลัวจนแกหมดคู่แข่งหรือย่ะ”

“คิดไปได้ บอกให้เลยนะ ต่อให้หล่อแต่ถ้ามีแนวโน้มเป็นพวกซาดิสม์ฉันก็ไม่เอานะ”

“โอ้ย ถ้าซาดิสม์จริงป่านนี้ซาโต้มันโดนซ้อมปางตายไปแล้ว ตัวสูงกว่าไอ้ลูกหมาหน่อยเดียวยังกล้าปากดี”

“ตกลงแกยังจะเอา”

“แน่สิ หล่อโหดเลวนี่ละสเป็คเลย ตกลงแกไม่เอา”

“อืม ขี้เกียจแย่งกับแก”

“แหมเพื่อนรัก น่ารักจริง”ริเอะโกะหัวเราะอย่างชอบใจ





ฮารุโตะไม่กล้าปริปากในสภาพการณ์แบบนี้ แรงที่บีบจับอยู่ที่ต้นแขนเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซ้ำอีกฝ่ายยังก้าวเท้ายาวจนเขาสับขาตามไม่ทัน แม้จะสะดุดล้มอยู่หลายครั้งแต่เพราะแรงดึงที่มากกว่าจึงยังลากพาเขาเดินต่อไป จนกระทั่งอีกฝ่ายพาเขาเลี้ยวเข้าไปในตรอกมืดข้างตึกแห่งหนึ่ง ฝ่ามือแข็งแรงราวเหล็กกล้าถึงได้ปล่อยต้นแขนเขาออก แล้วหันไปใช้เท้าเตะอัดกำแพงอยู่หลายครั้ง ก่อนจะหันกลับมาตะโกนใส่หน้าเขา

“เลิกยุ่งกับไอ้เด็กปากมากนั่นซะ เลิกคุย เลิกทำตัวสนิทสนม เลิกไปไหนมาไหนด้วย เลิกทุกอย่างเข้าใจไหม”

เด็กหนุ่มตัวสั่นด้วยความตกใจ ถอยเท้าจนไปติดกับกำแพง ก้มหน้าและผงกศีรษะรัวๆรับคำ น้ำตารื้นคลออยู่ขอบตา ทั้งที่ก้มหน้ามองพื้นแต่หูกลับได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกเฮือกๆนั่นชันเจน ฮารุโตะเหลือบตาขึ้น มองเห็นรุ่นพี่หันหลังกลับไปทางอื่น เขาจึงฝืนยกขาสั่นระริกพยายามสืบเท้าถอยหนี เขาต้องหนี ออกไปที่ถนนนั่น แล้วก็วิ่งหนี

เขาสะดุ้งเฮือกเมื่อชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หันมาเห็น ฮารุโตะทรุดตัวลงนั่งคุกเข้าก้มศีรษะลงกับพื้น

“ขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีก ผมขอโทษครับ”เด็กหนุ่มละลักละล่ำบอก พยายามขดตัวให้เล็กที่สุด

นี่มันเรื่องบ้าอะไรว่ะ ซากิสบถกับตัวเองในใจ ทรุดนั่งและดึงให้ฮารุโตะลุกขึ้น หนุ่มรุ่นน้องสะดุ้งเฮือกและพยายามคลานถอยหนี ปากก็พร่ำแต่คำว่าขอโทษและจะไม่ทำอีก สภาพที่เห็นทำเอาหัวใจของเขาร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม อารมณ์รุ่มร้อนดับสลายไปทันตา

“ไม่เป็นไร ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”ซากิบอกพลางดึงร่างอีกฝ่ายมาไว้ในอ้อมกอด ร่างนั้นทั้งเกร็งขืนและสั่นระริก ชายหนุ่มลูบศีรษะไปพลาง ลูบหลังไปพลาง กระซิบบอกว่าไม่มีอะไรแล้วด้วยหวังให้อีกฝ่ายคลายอาการตื่นตระหนกที่เป็นอยู่ ไมรู้ว่าเขาทำแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่ แต่ก็คงนานพอให้อากาศเย็นสบายช่วงเดือนพฤษภาคมอบอ้าวขึ้นจนแผ่นหลังของเขามีแต่เหงื่อ

ซากิล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า แตะปลายคางให้ฮารุโตะเงยหน้า หน้าผากของฮารุโตะเลอะฝุ่นดิน นัยน์ตาแดงกล่ำและใบหน้าชุ่มเหงื่อ แม้จะพยายามดันให้เงยหน้าขึ้น ฮารุโตะยังคงพยายามหลุบตาลงไม่กล้าสบตากับเขา ซากิเช็ดทำความสะอาดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนให้ดูเรียบร้อย พยุงฮารุโตะให้ลุกขึ้นยืนแล้วใช้มือปัดรอยเปื้อนตามเสื้อผ้าให้ จับจูงมือเด็กหนุ่มร่างเล็กกว่าให้ออกมาที่ถนน

คงไม่มีอารมณ์เดินดูอะไรอีกแล้ว ซากิจึงพาฮารุโตะเดินกลับไปยังสถานีรถไฟ อีกฝ่ายก้มหน้าเดินตามเงียบๆมาตลอดทาง ยามที่หันไปเห็นกลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทุกทีจนเผลอสบถอย่างไม่สบอารมณ์ออกมา หนุ่มรุ่นน้องแทบจะถอยกรูถ้าไม่ติดว่าเขายึดข้อมือเล็กบางข้างขวาไว้

โชคดีว่ากุญแจห้องถูกฝากไว้ที่ล็อบบี้ ซากิจึงสามารถเข้าไปในห้องพักเพื่อหยิบเสื้อผ้าข้าวของได้ หนุ่มรุ่นน้องยังคงนิ่งเงียบตอนที่เขาพาเข้าห้องอาบน้ำ  ยืนนิ่งๆตอนที่เขาพยายามถอดเสื้อผ้าให้ ซากิจึงได้มีโอกาสเล่นเลี้ยงเด็กเป็นครั้งแรก เพราะเขาทั้งสระผม ถูกสบู่ พามาแต่งตัว ใช้ไดร์เป่าผมจนแห้งและพามาเข้านอนทั้งที่ยังอยู่ในช่วงบ่ายกว่าๆ

เขาคิดไม่ออกว่าควรจะทำอะไรดี และขืนปล่อยฮารุโตะทิ้งไว้ตรงไหน เจ้าตัวคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ขยับ เพราะใช่ว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เคยเกิด จึงคิดง่ายๆว่าถ้าได้นอนหลับซักตื่นอาการแปลกๆแบบนี้ของหนุ่มรุ่นน้องคงจะหายไป

“นอนได้แล้ว”ฮารุโตะนอนนิ่งแต่ไม่ยอมหลับตา เขาจึงต้องบอกให้หลับตาซ้ำไปอีกครั้ง ลูบหลังกล่อมนอนไปพลางจนเป็นเขาที่รู้สึกง่วงนอนเสียเอง ซากิจึงหลับตาลงบ้าง

รู้สึกตัวขึ้นมาเพราะเสียงจอแจในห้อง พวกนั้นคุยกันเบาๆเพราะเห็นว่าเขานอนอยู่ แต่มีบ้างที่ตะโกนเข้ามาเพราะไม่รู้เรื่อง เขาจึงยกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร ลุกขึ้นนั่งและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เขานอนหลับไปแค่สองชั่วโมงกว่าๆเท่านั้น หันดูฮารุโตะยังคงหลับปุ๋ย มือกำชายผ้าห่มไว้แน่นราวกับเด็กเล็กๆ นั่งมองหน้าต่ออีกแค่ครู่เดียว เขาก็ปลุกคนที่นอนอยู่ ฮารุโตะลืมตาทันทีที่แตะฝ่ามือบนตัวและเอ่ยเรียก ลุกขึ้นนั่งอย่างอัตโนมัติ แต่ดวงตาคู่นั้นยังหลุบต่ำมองพื้นอยู่เช่นเดิม นั่งนิ่งอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งเขาต้องบอกให้ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา

สงสัยการนอนกลางวันเมื่อบ่ายจะไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ฮารุโตะยังคงมีอาการแปลกๆไปจนถึงอาหารมื้อเย็น นั่งนิ่งเงียบๆไม่พูดไม่จากับใคร ไม่หยิบขยับทำอะไรจนกว่าจะมีใครสักคนสั่งให้ทำ จนคนอื่นในชมรมเริ่มแปลกใจโดยเฉพาะนาโอโตะ แม้ว่าเด็กหนุ่มรุ่นน้องจะไม่ช่างคุย บางครั้งอาจจะดูขี้กลัวจนน่ารำคาญ แต่ถ้าไม่มีการโมโหหรือตวาดใส่ก็สามารถเข้าไปคุยกับทุกคนในชมรมได้ดี

ซากินั่งอยู่ข้างๆจึงหน้าเครียดไปด้วย ยกสาเกขึ้นดื่มติดๆจนหมดขวด

“วันนี้เดี๋ยวให้ฮารุจังไม่นอนกับฉันแล้วกันนะ”นาโอโตะเดินมาบอก หลังจากที่ซากิพยักหน้ารับก็จูงมือหนุ่มรุ่นน้องให้ลุกขึ้นตามไปทันที

“เกิดอะไรขึ้นว่ะ”เรียวตะที่รอถามมานานแล้วเอ่ยปากขึ้นทันที แต่คนถูกถามแค่สั่นศีรษะ

“คราวนี้ทะเลาะกันจริงๆ”

“พูดเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สุดๆ”เอคิจิกล่าวแทรกขึ้นมา “อย่างฮารุจังเนี่ยนะจะกล้าทะเลาะกับใคร ต่อให้อีกฝ่ายทำอะไรผิดก็คง ก้มหัวปลกๆบอกขอโทษ”

“พูดอย่างกับตาเห็น”

“ก็เคยเห็นอ่าดิ”เรย์ที่มานั่งรวมกลุ่มอยู่ด้วยพูดขึ้น ยังจำเหตุการณ์ที่ว่าได้ดี ช่วงที่ฮารุโตะเพิ่งเข้าชมรมมาแรกๆหลายครั้งเป็นเขาเองที่ด่าว่าเพื่อระบายอารมณ์หงุดหงิดไม่ชอบใจใส่หนุ่มรุ่นน้อง “หรือแกไปโมโหอะไรใส่”

ซากิถอนหายใจเฮือก “พวกแกก็รู้ว่าฉันขี้หงุดหงิด แล้วไอ้เด็กปากมากนั่นก็ชอบกวนโมโห”

“แต่เอาไปลงกับอีกคน ...ฉันถามแกอยากหนึ่งนะ”เรย์หยุดพูดไปชั่วครู่ นิ่งมองคล้ายชั่งใจ ทว่าคนที่โพล่งออกมาเป็นเรียวตะ “ตกลงกับน้องคนนี้ แกจะเอาอย่างไร จริงจัง เล่นๆ สนุกๆ ขำๆ ถ้าแกคิดแค่สนุกๆขำๆก็เลิกเหอะว่ะ แกก็เห็นว่าน้องมันไม่ขำๆแล้ว”

“แกไม่ได้เป็นฉัน แกจะรู้อะไร ถ้าฉันไม่ตามขนาดนี้เด็กนั่นจะติดเหรอว่ะ”

“ก็นั่น ถึงได้ถาม ว่าแกต้องการอะไรจากน้องมันกันแน่ หรือแค่ต้องการเอาชนะคนที่น้องมันชอบอยู่”

“เฮ้ย ไม่ใช่มั้งเรียวตะ”เอคิจิแย้ง “อยู่กับน้องมันตั้งนานจะไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือว่ะ”

“ไม่ใช่อะไร รู้หรือเปล่า ช่วงที่ตามน้องมันอยู่ แม่งก็ไปนอนกับคนอื่นด้วย”

ซากิเบือนหน้าหนีสายของเรย์และเอคิจิที่มองมาทางตน

“แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้คิดว่าแค่อยากเอาชนะ”

“เปล่า ไม่ได้คิดแบบนั้นซะหน่อย”ซากิหันกลับมาจ้องตาคนพูด

“ดี ถ้าฉันบอกให้แกห่างออกมาแกคงจะทำได้”

“แล้วทำไมฉันจะต้องทำตามที่แกพูด”

เรียวตะส่งเสียงหึขึ้นจมูก “ก็แล้วแต่แก” เขาลุกขึ้นกลับห้องพัก เมื่อไม่มีอารมณ์อยากจะกินเหล้าอีกต่อไปแล้ว นอนเร็วสักวันก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี พรุ่งนี้เช้าเขาจะได้ตื่นมาหน้าใสๆ





เช้าวันรุ่งขึ้นเรียวตะตื่นขึ้นมาแต่เช้า มาทันนาโอโตะและฮารุโตะที่กำลังทานอาหารเช้าในห้องอาหาร ปกติฮารุโตะจะเป็นจำพวกจดจ่อกับมื้ออาหารไม่ค่อยพูดระหว่างทานอยู่แล้ว ชายหนุ่มจึงได้แต่พยักเพยิดถามเพื่อนอีกคนซึ่งนาโอโตะขยับปากตอบมาว่ายังไม่แน่ใจ และนั่งรออย่างกระสับกระส่ายจนกระทั่งหนุ่มรุ่นน้องทานข้าวเสร็จ

“ฮารุจัง”

เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาตอบรับ กลับกลายเป็นว่าเรียวตะออกอาการอึกอักเพราะดันลืมเรื่องที่จะชวนคุย

“อา เอ้อ บทความของนาโอโตะไปถึงไหนแล้ว”

“ยังไม่ถึงไหนเลยครับ ผมอาจจะไม่มีส่งก็ได้”คนพูดดูเหงาหงอยลงอีก

“อย่างนั้นมาทำด้วยกันไหม ทีแรกฉันก็ว่าจะไม่ส่งเพราะขี้เกียจเขียนเรื่อง ถ้าเราสองคนมาร่วมมือกัน เดี๋ยวฉันถ่ายรูปแล้วนายก็ไปเขียนเรื่อง โอ๊ะ ลงตัวพอดีเลย”

“จะดีหรือครับ”ฮารุโตะยังมีท่าทีเกรงใจ

“ดีดิ ว่าแต่จะเขียนเกี่ยวกับอะไรบ้างละ”

คราวนี้เด็กหนุ่มจึงสมุดบันทึกในกระเป๋าสะพายออกมากาง เปิดไปหน้าที่เขาจดบันทึกเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวของโอซาก้า

“ว้าว อันนี้ที่จะเขียนลงหรือ”

“เปล่าครับ ผมหามาจากอินเตอร์เน็ต”ก่อนหน้าที่จะมาเข้าชมรม ฮารุโตะไม่ค่อยได้ไปเที่ยวที่ไหน เขาเคยได้ไปทัศนศึกษากับโรงเรียนครั้งหนึ่ง และอย่างทริปกับชมรมเขาก็ได้แต่เดินตามกลุ่มรุ่นพี่ แม้จะมีช่วงเวลาอิสระแต่ฮารุโตะก็ไม่กล้าไปไหนคนเดียว จะให้เดินไปเองเรื่อยๆ เขากลัวว่าจะหลงทางมากกว่าจะได้เที่ยว

“เมื่อวานไปปราสาทโอซาก้ามาแล้วครับ เดินวนข้างนอกแล้วก็เข้าไปดูข้างใน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปไหนอีก”เด็กหนุ่มพูดถึงแต่ข้อมูลสถานที่ที่หารายละเอียดมา ข้ามเหตุการณ์เมื่อวานไปราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น และพูดเล่าว่าโอซาก้ามีที่ไหนน่าไปบ้างไม่หยุดปาก มาสะดุดก็ตอนเหลือบสายตาไปเห็นหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงเดินเข้ามาในห้อง ทั้งเรย์ที่เอคิจิเดินตามมาครบทีม

“ตื่นเช้าว่ะ”เรย์ทักเรียวตะ “อืม ก็ว่าจะออกไปถ่านรูปแล้ว ไปกันเหอะฮารุจัง ไปป่ะ นาโอโตะ”

“เฮ้ย ไม่ต้องมาชวนแฟนฉัน”เรย์ร้องขัด ฝ่ายหนุ่มรุ่นน้องยังนั่งเงียบจนเรียวตะต้องคว้าข้อมือดึงให้ลุกขึ้น เพิ่งก้าวออกจากห้องได้เพียงสองสามก้าว เสียงของทาคุมิก็ร้องทักมาแต่ไกล

“จะไปไหนอ่ะ”

ฮารุโตะเหลือบตามองแล้วรีบก้มหน้าลงพลางสาวเท้าหนีอย่างรวดเร็ว คนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อย่างเรียวตะจึงได้แต่สาวเท้าตาม

“มีอะไรหรือเปล่า”เมื่อถามออกไป ก็ได้รับคำตอบเป็นการสั่นศีรษะกลับมา หนุ่มรุ่นน้องหยุดยืนนิ่งอยู่หน้าเรียวกัง ยืนอยู่อย่างนั้นจนสมาชิกในชมรมเดินผ่านไปสองสามคน เรียวตะจึงจำเป็นต้องเอ่ยปากถาม

“จะไปไหนหรือเปล่า”

ฮารุโตะยังคงสั่นศีรษะเหมือนเดิม เรียวตะจึงถือวิสาสะกอดคอรุ่นน้องร่างเล็ก ใช้สองมือจับศีรษะให้เงยหน้าขึ้น “เวลาเดินบนถนนต้องเงยหน้าขึ้น ไม่อยากนั้นเดี๋ยวจะเดินไปชนอะไรเข้า”ว่าพลางพาเดินไปด้วยกัน เมื่อรุ่นน้องพยักหน้ารับว่าเข้าใจ เขาจึงปล่อยมือและก้าวเท้าเดินนำ ครู่หนึ่งจึงหันกลับไปมองด้านหลังสักครั้ง เมื่อเห็นรุ่นน้องตัวเล็กเดินก้มหน้าอีก ก็ถอยเท้าเข้าไปประชิดตัวและจับให้เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ทำเช่นนั้นอยู่สองสามรอบ ฮารุโตะจึงไม่ยอมก้มหน้าอีก หรือก้มหน้าเดินแต่เขาหันกลับไปไม่เจอก็ไม่รู้

เรียวตะพาหนุ่มรุ่นน้องเดินขึ้นเขา พาไปดูต้นไม้ใบไม้ที่เริ่มผลิดอกหลังจากหมดฤดูหนาว ผ่านพื้นที่ทำเกษตรกรรมซึ่งยังคงเป็นพื้นดินว่างเปล่าที่ถูกเพิ่งถูกพรวนไถไว้รอฤดูฝนที่กำลังจะมาถึง เดินกันจนเหงื่อเริ่มซึม จึงได้หยุดพักที่จุดชมวิวที่สามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนได้ทั้งเมือง ตอนที่พวกเขามาถึงแดดเริ่มร้อนขึ้นมากแล้ว จึงไม่มีหมอกให้เขาได้ถ่ายรูปเหมือนกับที่เรย์มาเมื่อวาน

“เดี๋ยวไรท์แผ่นไปให้ แล้วนายก็คัดรูปไปเขียนบทความ”

“เอ๊ะ!!!”บนใบหน้าของฮารุโตะมีแต่ความงุนงงและสงสัย

“อะไรเนี่ย ความจำสั้นหรือ ก็ที่บอกว่าให้มาทำด้วยกันไง”

“แต่แถวนี้ไม่มีอะไรเลยนะครับ ที่รุ่นพี่พาไปมีแค่วัดกับศาลเจ้า”เด็กหนุ่มพูดหน้าตาตื่น ทว่าคู่สนทนายังมีสีหน้าระรื่นเช่นเดิม

“นั่นเป็นหน้าที่ของนายไง”

“หน้าที่ของผม?”

“เอ้า ถ้าอย่างนั้นจะอธิบายให้ฟังอีกหน่อย บทความของนาโอโตะคราวนี้อ่ะ มันเป็นแคมเปญโฆษณาของคุณนายฮายาชิ มันถึงมีกำหนดให้เขียนเรื่องเรียวกังอย่างน้อยจำนวนหนึ่งหน้าไงละ ทีนี้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวมันก็ควรเป็นสถานที่ใกล้ๆที่คนที่มาพักที่เรียวกังสามารถไปเที่ยวได้สะดวก”มีบ่นพึมพำให้ฮารุโตะได้ยินแว่วๆว่าแถวนี้ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจให้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวจริงๆละนะ

หลังจากหายเหนื่อย เรียวตะชวนให้ฮารุโตะเดินกลับ พวกเขาเดินเล่นชมวิวห่างจากพี่พักมาพอสมควร จึงต้องเร่งเท้าฝีเท้าเนื่องจากเวลาตามกำหนดการวันนี้ค่อนข้างกระชั้นชิด โดยหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเขาต้องออกจากเรียวกังเพื่อไปขึ้นรถไฟที่สถานี

ตอนที่พวกเขาสองคนกระหืดกระหอบกลับมาเป็นช่วงที่สมาชิกในชมรมคนอื่นๆกำลังทานอาหารกลางวันพอดี เรียวตะได้คุยโทรศัพท์กับนาโอโตะมาก่อนหน้าว่ากำลังจะถึงที่พักให้เตรียมชุดอาหารไว้ได้เลย แต่อย่างว่ากลับมาเหนื่อยๆ ฮารุโตะรู้สึกว่ากินอะไรไม่ลงเอาเสียเลย ยังดีว่าเมื่อเช้าเขาเก็บกระเป๋าไว้แล้ว จึงพอมีเวลาให้เขานั่งกินข้าวแบบเอื่อยๆ

“เมื่อเช้าไปไหนนะ ไม่รอกันเลย”ทาคุมิทานข้าวและเก็บกระเป๋าเสร็จแล้ว เขามาทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเพื่อนร่วมคณะ อารมณ์โมโหกรุ่นโกรธที่เกิดขึ้นเมื่อวานจางหายไปหมดแล้ว มองฮารุโตะที่ก้มหน้าก้มตากินข้าวเหมือนไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่ทาคุมิคิดง่ายๆว่า อีกฝ่ายคงจะหิว เพราะกว่าจะกลับมาถึงก็ร่วมบ่ายโมงแล้ว เขาจึงนั่งรอฮารุโตะทานข้าวให้เสร็จ ส่วนหนุ่มรุ่นพี่มาดกวนที่ยังอยู่ด้านข้างของฮารุโตะก็แค่เหล่มอง

“เดี๋ยวเราจะออกจากเรียวกังตอนบ่ายโมงครึ่งนะคะ”คนที่เข้ามาย้ำเวลาให้พวกเขาฟังอีกรอบคือทานากะ ฮานะซึ่งเป็นเหรัญญิกคนใหม่ของชมรม เธอแค่โผล่หน้าเข้ามาและกลับออกไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะจึงมองรุ่นพี่ฮายาชิสลับกับสำรับของตัวเองอย่างหน้าตาตื่น เมื่อเขาเพิ่งทานไปได้นิดเดียวเอง ขณะที่อาหารในสำรับของรุ่นพี่พร่องไปจวนจะหมดแล้ว

“เอ้ย ไม่ต้องรีบ กินไปเรื่อยๆ อย่างไรก็ทัน”เรียวตะพูดปลอบ เหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง เขาคิดว่ามันทันเวลาตามที่ปากว่า

“ช่วยกินไหม”

“นั่งเงียบๆเหมือนเดิมก็ดีแล้ว”

“รุ่นพี่ ทำไมชอบว่าผมกันนัก ผมอุตส่าห์จะช่วยฮารุจังนะ”

“เพื่อนนายตัวเล็กแค่นี้ ยังมาแย่งกินอีกมันสมควรไหมละ นั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ก็ออกไปรอกับคนอื่นเลย”

“โธ่ รุ่นพี่ก็”ทาคุมิร้องครางคร่ำครวญออกมาคล้ายต้องการให้อีกฝ่ายเห็นใจ ฮารุโตะยกยิ้มกับท่าทางที่ดูน่าขำขันนั้น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ารุ่นพี่ชิมิซึไม่ให้เขาสนิทกับทาคุมิอีกแล้ว ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ฮารุโตะไม่อยากทำให้รุ่นพี่ชิมิซึโมโหอีก เขาจึงรีบหุบยิ้มกลับมานั่งนิ่งทานอาหารส่วนของตนเงียบๆเช่นเดิม

แสงแดดช่วงบ่ายร้อนจัดขึ้นอีกนิดหน่อย แม้อากาศจะค่อนข้างเย็นแต่ก็ทำให้ใบหน้าของฮารุโตะแดงระเรื่อ เขาไม่ได้เตรียมหมวกมาเพราะไม่คิดว่าจะได้เจอแดดแรง หลายๆคนเริ่มหาผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูผืนเล็กมาคลุมหัวกันบ้างแล้ว เรียวกังที่พักห่างจากสถานีรถไฟประมาณหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง ถ้าเป็นช่วงเย็นมืดๆแดดไม่ร้อนแบบขามา การเดินเท้าด้วยระยะทางแค่นี้นับว่าค่อนข้างสบาย แต่พอมาเดินช่วงที่อากาศร้อนจัดแล้ว ต่อให้ฮารุโตะเคยชินกับการอยู่ในห้องที่มีแต่พัดลมในช่วงฤดูร้อน ยังรู้สึกว่าเหนื่อยมาก

“น้ำไหม”ทาคุมิยื่นขวดน้ำมาให้เขา ฮารุโตะไม่ได้ยื่นมือไปรับซ้ำยังเบือนหน้าหนี กระนั้นทาคุมิก็ยังคงยื่นมือนิ่งค้างไว้อย่างนั้น จนเรียวตที่เดินอยู่อีกฝั่งต้องยื่นมือมาหยิบไว้เสียเอง

“เออ ขอบใจนะ กำลังกระหายอยู่พอดี”คนพูดรับไปเปิดฝายกขึ้นจิบเพียงเล็กน้อย แล้วส่งมาให้ฮารุโตะ

“ดื่มหน่อยฮารุจัง หน้าแดงหมดแล้ว”

“ผมไม่หิวครับ”

“ไม่หิวก็ต้องดื่ม”

เมื่อโดนบังคับ เขาจึงต้องรับมาจิบอย่างช่วยไม่ได้ จังหวะนั้นก็รู้สึกถึงสิ่งที่สวมลงบนศีรษะ ฮารุโตะรีบปิดฝาขวดน้ำและส่งหมวกบนศีรษะคืนเจ้าของทันที

“แดดร้อนจะตาย นายใส่ไว้เถอะ”

“ไม่เอา ผมไม่ร้อน”

“ที่รุ่นพี่ฮายาชิบอกว่าหน้าแดง พี่เขาไม่ได้พูดเล่นนะ จะไม่ร้อนได้อย่างไร”

“บอกว่าไม่ร้อนก็คือไม่ร้อน”

ถึงจะแปลกใจกับท่าทีไม่ชอบใจของหนุ่มรุ่นน้อง แต่เรียวตะไม่อยากให้ทั้งคู่ทะเลาะกันจึงแย่งหมวกเจ้าปัญหามาใส่เอง “ไม่ต้องเถียงกัน ฉันร้อนให้ฉันใส่แล้วกัน” ทว่าหมวกในมือกลับโดนเจ้าของตัวจริงแย่งกลับไปทันทีเหมือนกัน ซ้ำเจ้าตัวยังจ้ำเท้าเดินนำหน้าไปหลายช่วงตัว

เรียวตะได้แต่ถอนหายใจ





กว่าจะถึงจังหวัดที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็ผ่านช่วงเวลาหัวค่ำไปหลายชั่วโมง ลงจากรถไฟมาแล้ว ฮารุโตะยังต้องต่อรถบัสเพื่อกับไปยังห้องพัก ระหว่างทางบนรถไฟเขากระวนกระวายมาตลอด รุ่นพี่ชิมิซึย้ายไปนั่งกับคนอื่น แล้วรุ่นพี่ฮายาชิก็มานั่งกับเขาแทน

หรือเพราะยังไม่หายโกรธเขากันนะ 

ฮารุโตะมองหนุ่มรุ่นพี่ที่พูดคุยกับกลุ่มเพื่อนด้วยท่าทางปกติ หลายคนต้องรอรถบัสเหมือนกับเขา รุ่นพี่เองก็เช่นเดียวกัน เด็กหนุ่มยืนลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเดินเข้าไปหา เป็นจังหวะเดียวกับที่รถบัสคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบ

“ร...”

คนที่เขาตั้งใจเรียกเดินก้าวขึ้นรถบัสไปโดยไม่แม้แต่เหลือบสายตามามอง  บางครั้งรุ่นพี่ก็เย็นชาเหลือเกิน จู่ๆคำพูดนี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด ถ้าไม่กลับด้วยกันก็น่าจะบอกเขาสักหน่อย ฮารุโตะตัดพ้ออีกฝ่ายในใจ และหยุดยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความรู้สึกวูบโหวง

“รถมาแล้ว”

ฮารุโตะสะดุ้งรู้สึกตัว เขาก้าวตามแรงดันจากด้านหลังด้วยฝีมือรุ่นพี่ฮายาชิ จนมาถึงที่นั่ง รถบัสรอบดึกมีที่นั่งเหลือมากมายให้พวกเขาเลือก

“เรื่องเจ้าซากิน่ะ ไม่ต้องไปสนใจมันมากนักหรอก”เรียวตะอดรู้สึกสงสารไม่ได้ เมื่อเห็นรุ่นน้องมองตามเพื่อนของตนตาละห้อย ฮารุโตะมองหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลดูฉ่ำน้ำคล้ายจะร้องไห้ แต่เรียวตะก็ไม่แน่ใจนัก

แม้เขาจะคิดว่า บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่เขาเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

“ถ้าไปตามใจ อะไรก็ยอมมันมากๆเข้า มันจะเบื่อเอา”

ฮารุโตะก้มหน้าลง หรือว่าจะเบื่อแล้วจริงๆ เด็กหนุ่มเบือนหน้าหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ทั้งกลั้นหายใจทั้งกระพริบตาเพื่อเก็บกลั้นหยาดน้ำตาที่กำลังจะไหล แม้จะเคยคิดเตรียมใจไว้แล้ว แต่ในยามที่ต้องเผชิญหน้าจริงๆมันยังหนักหนากว่าที่คิด

“พูดจริงๆนะ อย่าไปยอมมันมาก ถ้ามันตีหน้ายักษ์ใส่ก็ทำหน้าโหดใส่มันเลย ถ้ามันเมินมานายก็เมินกลับ แบบ...ฉันก็ไม่แคร์”

ฮารุโตะฝืนหัวเราะกับคำยุและอากัปกิริยาของเรียวตะ ฟังคำพูดปลอบของรุ่นพี่ฮายาชิอีกสองสามประโยคจึงได้ฤกษ์โบกมือลา ฮารุโตะอ้าปากหายใจเข้า รู้สึกแน่นจมูกไปหมด ไม่แน่ว่าพรุ่งนี้เขาอาจจะป่วยจนต้องลาหยุด

เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดและเปิดประตูเข้าห้องไปอย่างเชื่องช้า ภายในห้องที่เขาอยู่มาเป็นปีนั้นดูหนาวเย็นและแสนอ้างว้าง เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกอดเข่ากับพื้น ซบหน้าลงกับท่อนแขน น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจฝืน เขากลั้นเสียงสะอื้นไว้ให้อยู่เพียงแต่ในลำคอ ฮารุโตะหวังเพียงว่า ...พรุ่งนี้เขาจะสามารถลุกขึ้นยืนได้เหมือนเดิม

ฮารุโตะลาหยุดวันจันทร์ เขาส่งข้อความไปบอกรุ่นพี่อาโอกิว่าไม่เข้าชมรมเพราะว่ามีธุระ แม้ว่าความจริงจะได้แต่นอนเฉยๆอยู่ในห้อง เขามองท้องฟ้าสีฟ้าครามผ่านหน้าต่างบานเดียวของห้อง ความรู้สึกทุกอย่างมันอืดเหนือยราวกับเรี่ยวแรงในร่างกายหายไปพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อวาน แม้ความคิดหลายอย่างจะล่องลอยไร้จุดหมาย แต่ก็มีบางส่วนที่ชัดเจนขึ้นมา อย่างเช่นว่า ถ้าเขาไปบอกรุ่นพี่ว่าจะยอมทำตามที่สั่งทุกอย่าง ให้ออดอ้อนเอาใจมากกว่านี้ รุ่นพี่จะยอมกลับมาหาเขาบ้างไหม

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ฮารุโตะพลันรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาจับใจ ทำไมเขาถึงไม่หน้าตาดีกว่านี้นะ จะฉลาดหรือน่ารักหรืออะไรก็ได้ หรือมีร่างกายที่สวยงามกว่านี้ อะไรก็ได้ที่ทำให้รุ่นพี่หลงรักเขาบ้าง

และแล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง เขากอดตัวเองคุดคู้อยู่บนฟูกนอน เขาอยากย้อนเวลากลับไป แก้ไขเรื่องราวที่ผ่านมา เขาจะไม่เข้าไปขอยืมกล้องของรุ่นพี่ตามที่ทาคุมิบอก เขาจะไม่ทำให้รุ่นพี่โมโห เขาจะไม่เดินตามรุ่นพี่อาโอกิออกไปจากห้องอาหาร ไม่ออกไปเดินเที่ยวกับรุ่นฮายาชิตอนเช้า ถ้าคืนนั้นได้นอนด้วยกัน รุ่นพี่อาจจะยังไม่เบื่อเขาก็ได้ ตอนเช้าเขาก็จะปลุกรุ่นพี่เหมือนเดิม ออกไปเดินเที่ยวชมวิวด้วยกัน

ขอร้องละ!!! ย้อนกลับไปที ช่วยย้อนกลับไปที จะไม่ทำแบบนั้นอีก จะไม่ทำให้รุ่นพี่โกรธอีกแล้ว ฮารุโตะได้แต่พร่ำร้องประโยคนั้นในใจ

สุดท้ายเช้าวันใหม่ก็มาเยือนอย่างที่เขาไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก ฮารุโตะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มด้วยความกระหาย พลางปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม แม้จะเศร้าและทุกข์ระทมแต่มันก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เขาจึงได้แต่ก้มหน้ารับมัน เขาสูดลมหายใจเข้าปอดและผ่อนลมหายใจออกอีกครั้ง เปิดประตูห้องออกไป ย่ำเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า พร้อมบอกตัวเองซ้ำๆว่า ไม่เป็นไร อดทนไว้ ไม่เป็นไร...

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++





หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-03-2017 01:02:00
โอย สงสาร... น้ำตาคลอไปด้วยแล้วนี่
สรุปว่าซากิคิดยังไงไม่รู้ แต่เราว่าก็คงอยากเอาชนะน่ะละ ถ้ารักจริงคงไม่ไปนอนกับคนอื่นระหว่างที่พยายามทำตัวติดหนึบกับฮารุโตะหรอก ส่วนฮารุโตะ... เหมือนจะยึดซากิแทนความรู้สึกไม่เหลือใคร เพราะมีสัมพันธ์ด้วยเป็นคนแรกและเพราะความผูกพันสินะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 12-03-2017 03:03:51
สงสารฮารุโตะจนกลับกลายเป็นความโกรธแล้วค่ะ
ในใจภาวนาให้ฮารุเริ่มรู้สึกตัวผลิบานออกสักที
สงสาร อึดอัด  จนอยากจะร้องกรี๊ดๆ อาละวาดทุกครั้งที่มีคนมาทำอะไรน้อง
ได้เวลาลุกขึ้นยืน ได้เวลาตื่นได้แล้วค่ะ
ขนาดหมาก็ยังมีวันของมันเลย
ฮารุจะปล่อยให้คนเอาเปรียบไปถึงไหน
หน้าตาไม่น่ารักมันแก้ไขไม่ได้เว้นเสียแต่ว่าจะไปศัลยกรรมซึ่งก็ไม่น่าช่วยได้ตราบใดที่นิสัยยังเป็นแบบนี้
รู้ว่าฮารุพยายามเอาตัวรอดมากๆ แต่มันก็ยังไม่พอค่ะ  ทุกข์เพราะคนอื่นแต่ก็ได้ความช่วยเหลือจากคนอื่นเหมือนกัน   นางฟ้าใจดีอย่างนาโอโตะ  เรียวตะ 
ส่วนซากินั้นเรายังมีความรู้สึกว่าจะเป็นรักแรกที่แสนเจ็บปวดของฮารุ
รักตัวเองให้มากกว่านี้หน่อยลูกเอ๋ย
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-03-2017 05:43:13
ฮารุโตะ ตื่นได้แล้ว
รักตัวเองมากๆ
อยู่กับตัวเองอย่างมีความสุขให้ได้
เข้มแข็งซะที มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นนะ
อย่าผูกพันกับคนอื่นเกินไป
จนไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
อยากให้ฮารุโตะ มีความสุขได้ด้วยตัวเองซักที
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 12-03-2017 08:47:17
 :mew1:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-03-2017 14:51:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-03-2017 00:09:34
เรื่องย่อ ตอนที่ 13
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ฮารุโตะไม่รู้ว่า รุ่นพี่ชิมิซึไม่พอใจอะไรในตัวเขา แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับหมางเมินเย็นชาใส่ ฮารุโตะรู้สึกเจ็บปวดเพราะถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดี กระนั้นเขาก็ทำได้แค่ลืมมันไป และทำเหมือนว่าความเจ็บปวดในใจไม่เคยเกิดขึ้น

ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. โอคาดะ ทซึคิโยะ  นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สี่
2. โอโตวะ ชิโอริ    นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สี่
3. มัตสึโมโตะ ชิเงรุ   นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
4. อาซึมะ ยูเซย์    นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
5. ฟูจิฮาระ ไคโตะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
สมาชิกชมรมการแสดง
1. อิโต้ อาซึกะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
เพื่อนของซากุราอิ ชุน
1. โคจิมะ มิชิโอะ
2. โองาวะ อิซามุ
3. วาดะ  ซาคาอิ





春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 13



ชมรมการแสดงจะมีการแสดงละครเวที รุ่นพี่มาเอดะจึงเรียกรวมสมาชิกทุกคนในชมรมถ่ายภาพ

ในคราแรกฮารุโตะคิดสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของชมรมถ่ายภาพอย่างไร ถ้าจะให้เดาคงเป็นเรื่องที่ชมรมการแสดงอยากให้ชมรมถ่ายภาพไปถ่ายรูปให้ แต่แบบนั้นก็น่าจะแค่เขียนตารางงานลงบอร์ด และระบุคนรับผิดชอบ

“ละครเวทีของชมรมการแสดงคราวนี้ มีสามงานที่เราต้องรับผิดชอบ”รุ่นพี่ดึงกระดานมาเขียนหัวข้อลงไป “อย่างแรกคือภาพโปสเตอร์โปรโมทมีห้าแบบ ภาพประกอบสูจิบัตร และภาพฉาก ส่วนของชมรมหนังสือพิมพ์เป็นภาพประกอบข่าวปกติ”

มีคนยกมือและถามเรื่องฉากอย่างสงสัย

“เห็นบอกว่าฉากหลังบางส่วนจะใช้ภาพถ่ายฉายผ่านเครื่องฉาย แล้วจะทำฉากจริงเฉพาะตัวฉากที่ตัวละครต้องสัมผัส”จากนั้นจึงอธิบายเรื่องรายละเอียดของละครเวทีที่ชมรมการแสดงตั้งใจทำให้ดูยิ่งใหญ่เพราะปีนี้เป็นปีที่ครบรอบสิบปีของชมรมการแสดง ส่วนเนื้อหาของละครเป็นตำนานเก็นจิ บทที่มีชื่อฮานะโนะเอ็ง

แน่นอนว่ากลุ่มที่รับบทหนักเป็นทีมช่างภาพ เมื่อหักลบกับสมาชิกที่ถ่ายรูปไม่เข้าขั้นแล้วเหลือสมาชิกหลักยี่สิบสองคน เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้รุ่นพี่มาเอดะเลยพูดออกมาว่า

“อืม สมาชิกของชมรมเราเยอะเหมือนกันเนอะ”

เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆได้นิดหน่อย แล้วมอบหมายหน้าที่ถ่ายภาพโปสเตอร์ให้รุ่นพี่นาคามูระไปรับผิดชอบในฐานะที่เป็นอดีตประธานชมรม สูจิบัตรจะต้องรอให้ชมรมการแสดงซ้อมการแสดงจนถึงรอบซ้อมจริง ทีมนี้ให้สมาชิกปีสามจำนวนสามคนรับผิดชอบ ส่วนภาพฉากให้จะปีสี่อีกเก้าคนเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนภาพประกอบชมรมหนังสือพิมพ์เป็นหน้าที่ของสมาชิกปีสาม จะมีสมาชิกบางส่วนที่คอยทำงานตามตารางงานปกติ

“ส่วนเรื่องต่อไป เรื่องบทความที่เราไปเที่ยวโอซาก้า”

ฮารุโตะตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้น เขาเองได้เขียนบทความโดยใช้รูปกระกอบของรุ่นพี่ฮายาชิเช่นกัน

“ผลการตัดสินจากรุ่นพี่อาโอกิ ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกได้แก่ กลุ่มของรุ่นพี่โอคาดะบทความหน้าเรียวกัง รุ่นพี่มัตสึโมโต้ และอาซึมะคนละสองหน้า”

เสียงเฮดังมาจากกลุ่มที่ถูกเลือก

“ว้า น่าเสียดายจัง”เสียงบ่นของรุ่นพี่ฮายาชิลอยมาให้ได้ยิน ฮารุโตะก็เสียดายเช่นเดียวกัน เขาคิดว่ารูปภาพประกอบของรุ่นพี่ไม่ขี้เหร่เลย น่าจะเป็นการเขียนบรรยายของเขาเสียมากกว่าที่ทำให้บทความไม่ได้ถูกรับเลือก

ก่อนเลิกประชุมรุ่นพี่มาเอดะบอกให้ตรวจสอบตารางการทำงานใหม่ เพราะมีกิจกรรมของชมรมการแสดงเข้ามาแทรก ฮารุโตะเห็นคนอื่นจับกลุ่มคุยเรื่องกินเลี้ยงดังมาให้ได้ยินแว่วๆ เขาจึงลุกขึ้นไปดูตารางกิจกรรมที่ติดอยู่บนบอร์ด ซึ่งมีทั้งตารางการทำงานปกติและงานของชมรมการแสดงซึ่งระบุวันในหนึ่งถึงสองอาทิตย์ข้างหน้า

ชมรมการแสดงจัดแสดงละครเวทีเป็นประจำ ฮารุโตะไม่ค่อยรู้ข้อมูลมากนัก รู้แต่เพียงในแต่ละปีการศึกษาจะมีละครเวทีอย่างน้อยสองถึงสามเรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่ต้องเสียบัตรค่าเข้าชม แต่บางครั้งมีละครเวทีให้ชมฟรีเช่นเดียวกัน

ฮารุโตะกวาดสายตามองตารางการทำงานของตน ก่อนจะนิ่งมองเมื่อเห็นชื่อของตัวเองอยู่คู่กับชื่อของรุ่นพี่ชิมิซึ พลางถามตัวเองว่าเข้มแข็งพอหรือยัง ซึ่งคำตอบภายในใจนั้นชัดเจน ต่อให้ทำนิ่งเฉยมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่อาจทำใจให้มองหน้ารุ่นพี่โดยไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกไปได้ และมันยิ่งอึดอัดจนหายใจไม่ออกเมื่อเห็นความหมางเมินในแววตาของหนุ่มรุ่นพี่

เขาขยับตัวเมื่อรู้สึกว่ามีคนมายืนอยู่ใกล้ๆ ดึงสมุดขึ้นมาจดตารางเวลา รู้สึกได้ว่าคนพึ่งเข้ามาใหม่ขยับเบียดเข้ามาอีก เขาจึงเหลือบตามอง ทาคุมิยืนมองตารางบนบอร์ดอยู่เช่นกัน เขาจึงเก็บสมุดลงกระเป๋าสาวเท้าไปร่วมกลุ่มกับรุ่นพี่อาโอกิ ยังไม่ทันก้าวไปถึง เสียงถามชวนก็ลอยมาแต่ไกล

“ทซึคิโยะจะเลี้ยงข้าว ไปไหม”

“เนื่องในโอกาสอะไรหรือครับ”ฮารุโตะถามกลับไป

“ก็... เนื่องในโอกาสที่นาโอโตะชอบบทความของฉัน”เจ้าของงานเป็นคนตอบเอง

“เอ๋!!!”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ก็เอาเงินค่าบทความมาเลี้ยงนั่นแหละ”

เมื่อได้ยิน ฮารุโตะจึงอยากปฏิเสธ “ไม่ต้องคิดมากน่ะ นานๆที่ไปกินข้าวแบบนี้กันบ้างก็ดี”หลังจากโดนสำทับด้วยประโยคนั้น ฮารุโตะจึงตอบรับแต่โดยดี

วันที่มีนัดประชุมรวมแบบนี้ ฮารุโตะจะขอลาหยุดงานเพื่อไม่ให้ต้องกังวลกลัวจะไปเข้างานไม่ทัน มันเลยเป็นจังหวะดีสำหรับเขา แต่บางคนไม่สามารถไปร่วมได้เพราะมีธุระส่วนตัวอื่นๆ พวกรุ่นพี่เช็คจำนวนคนอีกครั้งก่อนจะจัดแจงจองร้าน และทยอยออกจากห้องชมรมเพื่อเดินทางไปร้านอาหารที่จองไว้

ฮารุโตะสังเกตเห็นว่าในกลุ่มสมาชิกของชมรมที่กำลังเดินไปยังร้านอาหารไม่มีกลุ่มของรุ่นนาคามูระรวมอยู่ด้วย จึงเดินเลียบๆเคียงๆเข้าไปหารุ่นพี่มาเอดะ รุ่นพี่ร่างสูงเห็นว่าเขาเดินเข้ามาใกล้จึงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขายกยิ้ม นึกทวนประโยคที่เตรียมมาในใจอีกครั้งก่อนจะพูดออกไป

“เวรการทำงานของผมวันพฤหัสที่จะถึงนี้นะครับ พอดีว่าผมมีธุระ ผมขอแลกเวรกับคนอื่นได้ไหมครับ”ฮารุโตะยิ้มให้อีกรอบ

“อ่อ ได้เดี๋ยวฉันเช็คให้อีกทีแล้วจะส่งข้อความไปบอกดีไหม”

“ครับ ขอบคุณมากครับ”เด็กหนุ่มก้มศีรษะให้ก่อนจะชะลอฝีเท้าก้าวตามกลุ่มคนอยู่ด้านหลังเช่นเดิม

ร้านที่กลุ่มรุ่นพี่เดินนำมาเป็นร้านกินดื่มซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษาและคนวัยทำงาน เขาเดินตามกลุ่มรุ่นพี่ไปยังห้องอาหารซึ่งถูกกั้นแยกด้วยประตูบานเลื่อน พื้นห้องปูด้วยเสื่อตาตามิมีเบาะรองนั่งสำหรับแขกที่มารับประทานอาหาร  โต๊ะไม้ยาวสูงจากพื้นไม่มากจนเหมือนต้องนั่งคุกเข่ากับพื้น แต่ที่จริงแล้วที่ใต้โต๊ะเจาะเป็นช่องสำหรับวางเท้า ฮารุโตะได้ที่นั่งติดกับรุ่นพี่โอโตะวะ แล้วหันไปรับผ้าเช็ดมือที่มีพนักงานนำมาเสริฟ หันไปอีกข้างจึงได้เห็นซาโต้ ทาคุมิมานั่งข้างๆ อีกฝ่ายนั่งก้มหน้าดูแต่โทรศัพท์ บนโต๊ะยาวยังว่างเปล่าเพราะเพิ่งมาถึงทั้งอาหารและเครื่องดื่มจึงยังไม่มีมาเสริฟ

“วันนี้ดื่มอะไรดี ฮารุจัง”

“ขอเป็นชาดีกว่าครับ พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้า”บอกเหตุผลเสร็จสรรพ เนื่องจากกลัวจะโดนคะยั้นคะยอให้ดื่ม ฝั่งตรงข้ามเป็นรุ่นพี่อีกคนที่ชื่อฟูจิฮาระ ไคโตะ

“มิอุระคุงคออ่อนแค่ไหนน่ะ”คนตรงหน้าชวนคุย

“ครั้งแรกที่ดื่ม สองแก้วก็สลบไปเลยครับ”เขาตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่จริงๆดื่มไม่กี่แก้วผมก็เมาแล้ว”

“เรื่องแบบนี้มันต้องฝึกนะรู้ไหม”ไคโตะยังพูดถามต่ออีกเรื่อยๆ ครู่หนึ่งต่อมาเสียงโหวกเหวกโวยวายพลันดังขึ้นพร้อมกับผู้ชายในชมรมอีกกลุ่มใหญ่ ซึ่งก้าวเข้ามาพร้อมอาหารและเครื่องดื่มที่ตามกันมาติดๆ เมื่ออาหารมาวางอยู่ตรงหน้า ฮารุโตะจึงสนใจกินมากกว่าคุย อีกประการหนึ่งคือเริ่มมีการจับกลุ่มคุยเล่นกัน ฮารุโตะที่ไม่สันทัดทั้งเรื่องกล้องและการถ่ายภาพ รวมทั้งโดยส่วนตัวไม่ใช่คนพูดเก่งจึงได้แต่นั่งทานอาหารและมองคนโน้นคนนี้ไปเงียบๆ รุ่นพี่ฟูจิฮาระเองก็ย้ายไปนั่งรวมกลุ่มอยู่กับรุ่นพี่นาคามูระ

“อะแฮ่ม เอ่อ...ส่งจานนั้นให้หน่อย”คนที่นั่งข้างๆเขาพูดพลางชี้นิ้วบอก ฮารุโตะจึงเอื้อมมือหยิบจานอาหารที่อีกฝ่ายต้องการมาให้ สักพักทาคุมิก็พูดขึ้นมาอีก “เปรี้ยวเนอะ” แม้จะได้ยินประโยคนั้นแต่ฮารุโตะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง เขายังกินซูชิที่อยู่ในมือต่อไปเงียบๆ

“เฮ้ย!!! ไอ้เด็กพูดมาก”ทาคุมิหันขวับไปยังเจ้าของเสียง พลางคิดใจในว่า เขามีชื่อทำไมถึงได้ชอบเรียกเขาแบบนั้นนักนะ

“มารินเหล้าดิ”

“รุ่นพี่ก็มีมือ รินเองไม่เป็นหรือครับ”

แต่รุ่นพี่คนนั้นไม่รอให้เขาเข้าไปหา ลุกขึ้นมาลากคอเขาแท่ดๆไปเลย ไม่ถามความสมัครใจสักคำ อีกฝ่ายหน้าแดงจัดดูท่าเหมือนจะเมาตั้งแต่หัวค่ำ ซ้ำยังยัดแก้วเบียร์มาให้เขาดื่มอีก ทาคุมิฮึดฮัดแต่ยอมยกของเหลวในแก้วขึ้นดื่มจนหมด

ฮารุโตะทานไปเรื่อยๆจนเริ่มอิ่ม เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ที่นั่งตรงหน้าฝั่งตรงข้ามกลับถูกชิมิซึ ซากิจับจองไป หัวใจของเขากระตุก รีบก้มหน้าหลุบตาลงต่ำด้วยความเคยชิน พยายามบังคับความคิดความรู้สึกลนลานให้นิ่งสงบ ฮารุโตะเช็ดมือกับผ้าเปียกที่ได้รับมาตั้งแต่แรก และยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างอ้อยอิ่ง  แล้วเบี่ยงสายตาขึ้นแสร้งทำท่าว่ากำลังให้ความสนใจกลุ่มสาวๆในชมรมซึ่งนั่งอยู่ข้างตัว ควบคุมความคิดและท่าทางแสดงออกทุกวินาทีไม่ให้เผลอไผลหันไปมองอีกคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม จนกระทั่ง เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม เด็กหนุ่มจึงขอตัวกลับ โบกมือบอกลาทุกคนด้วยรอยยิ้มแต่มองข้ามชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งไปอย่างจงใจ

บรรยากาศภายนอกร้านยังดูคึกคัก เพราะแถวนี้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารชื่อดัง ห่างจากห้องพักของเขามาอีกทางด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกลหลายกิโลเมตร ฮารุโตะยังคงย่างเท้าก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ ลมกลางคืนพัดมาคลายความร้อนจากช่วงกลางวัน เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจออกเงยหน้ามองท้องฟ้ามืดดำยามค่ำคืน และยืนนิ่งเดียวดายอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน



ทุกอย่างมันดูเปลี่ยนไปหมดตั้งแต่กลับมาจากทริปไปโอซาก้าคราวนั้น ทาคุมิที่เคยทำตัวติดกับเพื่อนร่วมคณะแจ ดูห่างเหินไปเหมือนคนไม่เคยรู้จัก ซากิกับฮารุโตะที่เคยมีออร่าหวานแหววตัวติดกันราวกับปาท่องโก๋ก็เหมือนคนเกลียดขี้หน้ากันมาแต่ชาติปางไหน เพราะไม่เพียงจะไม่คุยกัน ไม่สบตา ไม่มองหน้า หากเมื่อต้องเข้าใกล้กันครั้งใด ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลี่ยงหนีไปก่อนเสียทุกครั้ง จนสมาชิกหลายคนรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอึดอัดอึมครึมระหว่างทั้งสามคน

นานเข้าเป็นทาคุมิที่เริ่มทนไม่ได้กับความหมางเมินเหินห่างระหว่างตนกับเพื่อนร่วมคณะ แม้จะฮึดฮัดโมโหทั้งกังขาทั้งสงสัยว่าพวกเขาผิดใจกันด้วยเรื่องใด แล้วทำไมต้องเป็นเขาหรือ ที่ต้องเป็นฝ่ายไปขอโทษขอคืนดีกับฮารุโตะ ตัวเขาเองมีคนรู้จักมากมาย แค่จะตัดคนคนหนึ่งออกจากชีวิต มันไม่น่าจะใช่เรื่องใหญ่

แต่มันค้างคาใจ นั่นคงเป็นสิ่งที่ติดอยู่ในใจเขา ครั้นทำเนียนเข้าไปชวนคุย มิอุระ ฮารุโตะกลับหุบปากเงียบไม่เคยพูดคุยกับเขาสักแอะ ที่กับคนอื่นนะคุยดี ทั้งยิ้มให้ทั้งต่อบทสนทนา ทั้งที่เมื่อก่อนตอนคุยกับเขา ยังชอบปล่อยให้เขาต้องหาเรื่องมาพล่ามจนมีฉายาที่รุ่นพี่ในชมรมเรียกว่า ‘ไอ้เด็กพูดมาก’ ทาคุมิจึงตัดสินใจ วันนี้ต้องรู้ดำรู้แดงกันไปเลย

“มิอุระ ฮารุโตะ”ทาคุมิเอ่ยเรียกชื่อเต็มของเพื่อนร่วมรุ่นที่นานๆเขาจะเอ่ยเรียกสักครั้ง “ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย” ฮารุโตะเตี้ยกว่าเขาซ้ำยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดังนั้นหลังจากที่อีกฝ่ายช้อนสายตาขึ้นมอง และหลุบตาลงมองพื้นอีกครั้ง เขาจึงเห็นแค่แพขนตาที่เหมือนทาบทับลงบนผิวแก้ม

ชั่วโมงเรียนช่วงเช้าเพิ่งจบลง

ทาคุมิทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ห่างจากเก้าอี้ที่ฮารุโตะนั่งประมาณสองตัว นั่งนิ่งรอเพื่อนนักศึกษาในห้องทยอยออกไปจนหมด เขาจึงได้เริ่มต้นพูด

“นายโกรธฉันเรื่องอะไร”

คงมีแค่ความเงียบตอบกลับมา ทาคุมิจึงขยับเข้าไปใกล้จับให้ฮารุโตะหันมาเผชิญหน้า “ฉันถามไม่ได้ยินหรือไง” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นอีก แต่คราวนี้ฮารุโตะตอบกลับมาว่าไม่ได้โกรธพร้อมกับใบหน้าของอีกฝ่ายก้มต่ำลงไปอีก

“ไม่ได้โกรธ แต่นายไม่ยอมพูดกับฉันเนี่ยนะ”

ไม่มีคำอธิบายตอบกลับมาอีกเช่นเคย

ทาคุมิจึงใช้สองมือประคองใบหน้าของฮารุโตะให้เงยขึ้นมองเขา แววตาของฮารุโตะสั่นไหวและฉ่ำน้ำ หลังจากสบตากับเขาชั่ววินาที ฮารุโตะก็เบือนสายตาหนีไปทางอื่นอีกครั้ง

“ถ้านายไม่พูดก็ไม่มีใครรู้เรื่องด้วยหรอกนะ”

แต่อีกฝ่ายยังคงปิดปากเงียบ

“ถ้าไม่พูดจะจูบแล้วด้วย”

ฮารุโตะหันกลับมองเขาตาโตด้วยแววตาตระหนก สองมือยกขึ้นปิดปากตัวเองไว้แน่น จากนั้นเสียงอู้อี้ก็หลุดออกมา “นายเป็น...โฮโม?”

อย่าว่าแต่ฮารุโตะจะตกใจ ตัวเขาเองยังตกใจกับคำขู่ที่แสนเบี่ยงเบนและประหลาดๆเช่นนี้ หรือมันมาจากจิตใต้สำนึกเพราะเขาเป็นโฮโมจริงๆเนี่ย

ไม่ใช่!!! ซาโต้ ทาคุมิโวยวายบอกกับตัวเองในใจ เขาแค่คิดอะไรไม่ออกเท่านั้น และไหนๆฮารุโตะก็ตกใจกับคำขู่นั้น มันก็ถือว่าใช้ได้!!!

“ถ้าอยากรู้ นายลองพิสูจน์ดูแล้วกัน”ทาคุมิแกล้งยื่นหน้าเข้าไปหา ซึ่งฮารุโตะพยายามเบี่ยงตัวหนีทันที

“ถ้าไม่อยากโดนจูบละก็ พูดมาซะ”เขายื่นหน้าเข้าไปจนใกล้อีกครั้ง ฮารุโตะจึงรีบละลักละล่ำบอกว่าจะพูดแล้ว จะบอกทุกอย่างแล้ว

“รุ่นพี่ชิมิซึ... ไม่อยากให้คุยกับซาโต้ซัง”

“แล้วทำไมถึงไม่อยากให้คุยกับฉันด้วย”

ฮารุโตะสั่นศีรษะกลับมาเป็นคำตอบ “วันนั้นหลังที่แยกกับนายแล้ว ร...รุ่นพี่ก็โมโหใหญ่เลย น่า...ก...กลัวมากๆ แล้วก็สั่งให้เลิกคบ ไม่ต้องคุยอีก แล้ว...ให้เลิกทุกอย่าง”ประโยคสุดท้ายเขาพูดเสียงเบา สั่ง ‘ให้เลิกทุกอย่าง’ แบบนี้มันกว้างเกินไป เขาไม่รู้ว่ารุ่นพี่หมายถึงอะไรบ้าง แต่ว่าวันนั้นเขาก็อยู่นิ่งๆ และทำตามที่รุ่นพี่บอกทุกอย่าง แต่ดูเหมือนว่ารุ่นพี่ยังคงไม่พอใจอยู่ดี

“แล้วทำไมต้องทำตามที่รุ่นพี่ชิมิซึบอกด้วย นายบอกว่าเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องไม่ใช่หรือไง”

“อือ แต่ไม่อยากให้รุ่นพี่โกรธ”

“ทำไมต้องไม่อยากให้รุ่นพี่โกรธ”ทาคุมิถามกระตุ้น ไม่รอให้ฮารุโตะพูดออกมาเอง

“ก็ตอนที่รุ่นพี่ไม่โกรธ รุ่นพี่ใจดีมาก”คนพูดยิ้มกว้างราวกับจะยืนยันคำพูด

คำตอบของฮารุโตะดูวนเวียนเหมือนไม่เจอทางออกเสียที ทาคุมิจึงตั้งสติ พูดให้อีกฝ่ายฟังใหม่อีกรอบ “ถ้าชอบรุ่นพี่ที่ใจดี รุ่นพี่อาโอกิก็ใจดี รุ่นพี่ฮายาชิ รุ่นพี่โมริ รุ่นพี่มาเอดะอย่างนี้ ทุกคนใจดีทั้งนั้น”ถึงจะเข้าชมรมไปได้ไม่นาน แต่ทาคุมิรู้สึกได้ว่าในชมรมมีแต่พวกคิดบวก

“ไม่เหมือนกัน”ฮารุโตะขมวดคิ้วทำหน้าครุ่นคิด ครู่ต่อมาใบหน้านั้นแดงเรื่อขึ้นฉับพลับ “รุ่นพี่มาอยู่ด้วย”

“ชอบให้คนไปอยู่ด้วยหรือ”

“อือ ชอบที่รุ่นพี่มาอยู่ด้วย”

“ถ้าอย่างนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะไปอยู่กับนายเอง”

“เอ๊ะ!!! ไม่ได้หรอก ไม่ต้องกลับบ้านหรือ”

“เอ้า แล้วนายไม่คิดว่ารุ่นพี่ชิมิซึไม่ต้องกลับไปบ้านบ้างหรือไง”

“ไม่รู้ ไม่เคยถาม”ฮารุโตะตอบเสียงอ่อย “แต่ไม่เห็นรุ่นพี่พูดว่าอะไร”

“อืม อย่างนั้นฉันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน เดี๋ยวฉันกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านแล้วจะไปนอนค้างด้วย”ทาคุมิว่าพลางฉุดให้ฮารุโตะลุกขึ้นยืน ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นดูเวลา

“แต่ที่ห้องผมเล็กมากเลยนะ ห้องน้ำไม่มีอ่างด้วย”ฮารุโตะพูด คิดภาพที่ภายในห้องมีคนอื่นมาอยู่นอกจากรุ่นพี่ชิมิซึไม่ออกจริงๆ ซ้ำยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจ

“ไม่มีปัญหา ผู้ชายอย่างรุ่นพี่ชิมิซึยังไปอยู่ที่ห้องนายได้ สบายมากสำหรับฉันแน่นนอน ว่าแต่วันนี้เอาข้าวกล่องมาหรือเปล่า”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ทาคุมิพาเขามาปล่อยไว้ที่ม้านั่งข้างสวน พร้อมกับสั่งให้เขาเอาข้าวกล่องออกมากินอย่างเร่งด่วน ฮารุโตะมองนาฬิกาจึงได้รู้ว่าเขาควรรีบกินข้าวอย่างรวดเร็วตามที่อีกฝ่ายว่า เพียงแค่ครู่เดียวทาคุมิก็กลับมาพร้อมกับขนมปัง  นมและน้ำดื่มในมือ

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้น”ทาคุมิพูดพร้อมส่งน้ำให้ เมื่อฮารุโตะรีบทานจนข้าวติดคอ

“เดี๋ยว เข้าเรียนไม่ทัน”

“กินไปเรื่อยๆ ถึงเวลาเรียนแล้วค่อยเลิกกิน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ค่อยๆเคี้ยวค่อยๆกลืนไปตามปกติ เมื่อหมดเวลาพักยังเหลือข้าวกล่องอีกนิดหน่อย ฮารุโตะมองข้าวที่เหลืออย่างเสียดาย ทาคุมิจึงถามว่าอิ่มไหม พอเขาพยักหน้ารับ ทาคุมิจึงกวาดของที่เหลือในกล่องข้าวใส่ปากเคี้ยวๆและกลืนในคำเดียวจนหมด


ฮารุโตะมองตาโตด้วยความตื่นเต้น ปรบมือให้เปาะแปะ ซ้ำยังบอกว่าเก่งจังเลย จากเป็นเรื่องที่ไม่น่าภูมิใจ ทาคุมิเลยรู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมานิดหน่อย



ทาคุมิเคยมาที่ห้องพักของฮารุโตะแล้ว แต่ครั้งนั้นเขาอยู่แค่หน้าประตู เด็กหนุ่มใช้กุญแจที่ไปขอมาจากเจ้าของห้องไขเข้าไปด้านใน ตอนนี้ยังเป็นช่วงเวลาทำงานของฮารุโตะ เขาที่มาถึงก่อนเวลาเลิกงานจึงได้ขอยืมกุญแจมาก่อน

ห้องพักของฮารุโตะเล็กแคบอย่างที่เจ้าตัวเคยว่าไว้ ผนังด้านในเก่าโทรมเหมือนที่เห็นจากด้านนอก แต่การจัดวางภายในดูเรียบร้อย คงเพราะไม่มีเครื่องใช้อำนวนความสะดวกเกินความจำเป็น ไม่มีทีวี เครื่องเล่นเกม หรือเครื่องเสียง ไม่มีหนังสือการ์ตูน โปสเตอร์ดารานักร้อง หรือทีมกีฬา มีเพียงชั้นวางหนังสือที่มีแต่หนังสือเรียน ไม่แน่ว่า ฮารุโตะอาจจะเอาเงินไปทุ่มกับเสื้อผ้าที่สวมใส่

ด้วยภาพลักษณ์ที่ดูเรียบร้อยขี้อายบวกกับเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้าแบรนด์เนมที่อีกฝ่ายสวมใส่ มันทำให้ฮารุโตะดูเป็นลูกคุณหนูที่ถูกเลี้ยงมาอย่างดี ดังนั้นทาคุมิจึงแปลกใจไม่น้อยเมื่อเห็นห้องพักของฮารุโตะในครั้งแรก

เขาถือวิสาสะเปิดประตูแบบบานเลื่อนซึ่งกั้นผนังด้านในออกดู

ภายในเป็นตู้แบบญี่ปุ่นซึ่งชั้นบนเก็บผ้าห่มและฟูกนอน ส่วนชั้นล่างมีแต่เสื้อผ้า กระเป๋า และรองเท้าที่ถูกพับจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย กระนั้นเสื้อผ้าข้าวของในตู้ก็ดูน้อยเกินไปสำหรับพวกคลั่งไคล้แฟชั่น สภาพการณ์แบบนี้ทำให้จินตนาการของเขาบรรเจิดไปไกล ฮารุโตะอาจจะเป็นลูกเศรษฐีพันล้านที่ทะเลาะกับที่บ้านแล้วหนีออกมาอยู่คนเดียวเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

แล้วต้องหัวเราะกับความเพ้อเจ้อที่ว่า ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นเปิดเล่นเกมส์ในโทรศัพท์มือถือจนกระทั่งฮารุโตะกลับมาถึงห้อง

“ไม่ง่วงหรือ ที่จริงนอนก่อนก็ได้”

“รอน่ะ” แม้ความจริงคือเขากลัวเรื่องสยองขวัญของห้องเช่าแห่งนี้และเห็นว่าฟูกนอนมีแค่ผืนเดียว จึงไม่แน่ใจว่าจะนอนอย่างไร

ฮารุโตะดึงฟูกนอนมากาง แล้วเข้าไปอาบน้ำล้างตัวในห้องน้ำเล็กๆของตน ก่อนกลับออกมาหาทาคุมิอีกครั้ง “นอนกันเถอะ”

“มีฟูกนอนอันเดียวหรือ”

“อือ” ส่งเสียงรับพร้อมปิดไฟและล้มตัวลงนอน ทาคุมิจึงต้องสอดตัวมาอยู่ใต้ผ้าห่มบ้าง แม้ฟูกนอนไม่ได้เล็กขนาดนอนสองคนไม่ได้ แต่ต้องนอนเบียดกันน่าดู

“รุ่นพี่ชิมิซึก็นอนฟูกเดียวกับนายหรือ”

“อือ”

เขาอาจจะคิดอกุศล แต่มันอดปากไม่ได้ที่ต้องถามให้แน่ใจ “นายมีอะไรกับรุ่นพี่แล้วใช่ไหม” ทาคุมิส่งเสียงถามฝ่าไปในความมืด มันน่าแปลกเกินไปที่คนอย่างรุ่นพี่ชิมิซึจะมาอยู่อาศัยในห้องเช่าโทรมๆแบบนี้ รุ่นพี่ตัวใหญ่กว่าเขา และต้องนอนเบียดกับเจ้าของห้องบนฟูกนอนผืนเดียวกัน แค่คิดใบหน้าของเขาก็ร้อนวูบวาบ

แต่คนถูกถามเงียบไปนานจนเขาต้องเอ่ยเรียกซ้ำ “หลับไปแล้วหรือ”

ทิ้งช่วงจังหวะไปอีกครู่หนึ่ง จนทาคุมิคิดว่าฮารุโตะคงหลับไปแล้วจริงๆ เสียงของคนที่นอนอยู่ข้างจึงดังแผ่วเบาในระดับเสียงกระซิบ “ผมมีอะไรกับรุ่นพี่แล้ว” เด็กหนุ่มจึงขยับตะแคงตัวไปทางเจ้าของห้อง แสงสว่างที่เลือนลางจากภายนอกและสายตาที่เริ่มชินกับความมืด ทำให้เขาเห็นฮารุโตะนอนหงายมองเพดานด้านบน ก่อนจะหันหน้ามาทางเขา

“รังเกียจหรือเปล่า”

“ทำไมละ”เขาถามกลับด้วยความดังของเสียงระดับเดียวกัน ผนังห้องพักที่ฮารุโตะอาศัยอยู่บางมาก เมื่อช่วงหัวค่ำเขายังได้ยินเสียงทีวีดังมาจากห้องข้างๆ

“เคยมีคนบอกว่าผมร่าน”ถึงไม่เคยใช้คำพูดหยาบคายกับใคร แต่เมื่อได้ยินฮารุโตะก็เข้าใจความหมายของมันได้ในทันที

ทาคุมินิ่งงัน ปลายเสียงของฮารุโตะสั่นเครือเล็กน้อย ถ้าเป็นเขาโดนว่าด้วยคำร้ายกาจแบบนี้คงได้มีแลกหมัดสักสองสามหมัดแล้ว

“ร่านหมายถึงมีอะไรกับใครไปทั่วนะ นายทำอย่างนั้นหรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกคนคงมองไม่เห็นจึงบอกว่าเปล่า

“นั่นไง ไม่จำเป็นต้องไปแคร์คำพูดของคนอื่นนักหรอก คนบางคนก็มีแต่ปากที่พูดไปเรื่อย แล้วได้บอกเรื่องนี้กับรุ่นพี่หรือเปล่า”

“เปล่า”เสียงแผ่วเบาตอบกลับมาเช่นเดิม

“ไม่ได้นะเรื่องแบบนี้ มันต้องบอก อย่างที่ฉันบอกนาย ถ้าไม่พูดออกไปใครจะมารับรู้ด้วย พรุ่งนี้ถ้าได้เจอรุ่นพี่ชิมิซึ รีบเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลยละ”

“ไม่ได้หรอก”

“ทำไมละ อ่อ ช่วงนี้รุ่นพี่โกรธนายอยู่ด้วยนี่นะ”

“นั่นก็ใช่ แต่ว่าช่วงนี้พวกรุ่นพี่ออกไปถ่ายภาพสำหรับมาเป็นฉากให้ชมรมการแสดง”

“เออแหะ ถ้าอย่างนั้นไว้เจอกันครั้งหน้าก็ได้”พูดจบทาคุมิก็หาวหวอดใหญ่ “ง่วงแล้ว นอนเหอะ”

ทาคุมิเงียบเสียงลงไปแล้ว คงจะนอนหลับอย่างที่เจ้าตัวบอก แต่ฮารุโตะยังคงลืมตามองเพดานอยู่เช่นนั้น ถ้าพูดออกไป ทุกอย่างจะจบลงอย่างมีความสุขอย่างนั้นหรือ  ไม่จริงหรอก ชะตากรรมของเด็กขี้ฟ้องในความทรงจำของเขาไม่ได้จบลงอย่างสวยงามแบบนั้น ถ้าเป็นเด็กขี้ฟ้อง ก็ต้องพบเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานมากกว่าเดิมต่างหาก




วันนี้ที่ห้องชมรมถ่ายภาพซึ่งอยู่บนชั้นสามของอาคารหลังหนึ่งในคณะศิลปศาสตร์กำลังอยู่ในช่วงแห่งความวุ่นวาย เนื่องจากทั้งจำนวนคนและเสื้อผ้า ตามกำหนดการคือวันนี้เป็นการถ่ายภาพโปสเตอร์โปรโมทละครเวทีของชมรมการแสดงซึ่งแม้ชมรมนั้นจะมีทีมงานที่ดูแลเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้ว แต่เพราะรุ่นพี่โอคาดะและรุ่นพี่อาโอกิต่างก็รู้จักมักคุ้นกับทีมของชมรมการแสดงเป็นอย่างดี จึงถูกวานให้มาช่วยเหลือด้วย

ฮารุโตะที่มักจะมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยอย่างสม่ำเสมอจึงตามมาด้วย เขากับทาคุมินั่งหลบมุมอยู่ห่างๆในตอนแรก แต่สักพักก็โดนเรียกให้ไปช่วยหยิบโน่นจับนี่

ตัวแสดงที่รับบทฮิคารุ เก็นจิ เป็นชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีที่ทาคุมิกระซิบบอกเขาว่าเป็นคนดังของชมรมการแสดง นอกจากนั้นตัวแสดงหลักในบทละครฮานะโนะเอ็งยังมีจักรพรรดิคิริสึโบะ พระราชบิดาของเก็นจิ พระนางฟุจิตสึโบะจักรพรรดินีในองค์จักรพรรดิคิริสึโบะ และโอะโบะโระซึกิโยะบุตรีคนที่หกของอุไดจิน รวมถึงนักแสดงคนอื่นๆ

ที่วุ่นวายเพราะเสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนแต่เป็นกิโมโนสมัยเฮอัน ชุดฝ่ายชายเป็นคันโนะชิซึงะตะ ส่วนฝ่ายหญิงเป็นกิโมโนห้าชั้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าของทั้งฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายต่างล้วนเป็นเสื้อผ้าที่ทำเลียนแบบให้ดูใกล้เคียงกับเสื้อผ้าในสมัยนั้นมากที่สุด แน่นอนว่าเรื่องรายละเอียดเสื้อผ้าเหล่านี้ทีมงานฝ่ายเสื้อผ้าของชมรมการแสดงนำเสนอและแจกแจงรายละเอียดให้พวกเขาฟังด้วยความภูมิใจ และกว่าทุกคนจะแต่งตัวเสร็จก็ปาเข้าไปครึ่งวัน

“อลังการงานสร้างจนไม่แปลกใจเลยว่ทำไมต้องขายบัตร”ทาคุมิกระซิบพูดกับเขา

หลังจากหมดหน้าที่ลูกมือ เขากับทาคุมิถูกไล่ให้ไปช่วยรับข้าวกล่องที่ชมรมการแสดงสั่งไว้ และมีเผื่อแผ่มาให้ชมรมถ่ายภาพด้วย ทาคุมิจึงกระตือรือร้นปฏิบัติตามคำสั่งแต่โดยดี พวกเขาถูกใช้ให้ไปรับข้าวกล่องตั้งแต่สิบเอ็ดโมงกว่าๆ ตอนที่กลับมาจึงเป็นช่วงที่ทุกคนกำลังหิวพอดี แต่นักแสดงหญิงที่แต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วทานไปแค่นิดหน่อย รุ่นพี่นาคามูระจึงบอกให้เริ่มถ่ายภาพเลยเพื่อให้สาวๆได้ไปทานข้าวกันอย่างเต็มที่

เรื่องรายละเอียดและรูปแบบของโปสเตอร์มีการคุยมาก่อนหน้านี้แล้ว นาคามูระ เรย์จะถ่ายภาพแต่ละคนบนฉากสีเขียวเพื่อไปทำการตัดต่อภาพอีกครั้ง คนที่ยืนมองภาพที่อยู่บนจอเป็นผู้กำกับละครเวทีซึ่งอยู่ปีสี่ ส่วนฮารุโตะและทาคุมิก็ถอยกลับมานั่งมองพร้อมกับทานข้าวมื้อกลางวันอยู่ห่างๆเช่นเดิม



หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-03-2017 00:12:52
หลังจากที่การถ่ายภาพโดยฝีมือของรุ่นพี่นาคามูระผ่านไปพักใหญ่ รุ่นพี่ปีสี่ซึ่งเป็นผู้กำกับละครเวทีก็กวักมือเรียกพวกเขาเหย็งๆ ทั้งเขาและทาคุมิมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปหาทั้งคู่ และเป็นทาคุมิที่เอ่ยปากถามไปก่อน

“มีอะไรให้พวกผมช่วยหรือครับ”

อีกฝ่ายไม่ตอบแต่หันไปเรียกนาโอโตะ “ยืมตัวน้องคนนี้หน่อยได้ไหม”

“ต้องมีค่าตัวนะ”

“ผมไม่เอาหรอกครับ”ฮารุโตะร้องบอกเมื่อเห็นรุ่นพี่ผู้กำกับละครเวทีผายมือมาทางตน

“โฮ่ น้องมันนิสัยดีกว่านายอีกนะ”

“เพราะยังไม่รู้หรอก ว่านายจะให้ทำอะไร”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ฮารุโตะจึงนึกระแวงขึ้นมา รุ่นพี่คนนั้นเลยชิงบอกขึ้นมาเสียก่อน “เดี๋ยวช่วยไปใส่กิโมโนแล้วเป็นแบบถ่ายรูปให้หน่อย”

“ต้องทำแบบนั้นไปทำไมละครับ”คนที่ถามเป็นทาคุมิ ซึ่งตรงกับที่ฮารุโตะกำลังสงสัยพอดี

“ร้านที่ให้ช่วยเรื่องเสื้อผ้าเขาอยากได้โปสเตอร์สำหรับโปรโมทร้านด้วยเหมือนกัน แลกกับส่วนลดค่าชุดทั้งหมด แต่จะให้เอาภาพตัวเอกของเรื่องไปให้เลยมันก็...”

“ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่ครับ ก็เหมือนกับการโปรโมทละครไง”

“อ่า... มันก็ใช่ แต่ว่า แบบ...”

“อาซึกะมันงี่เง่าน่ะ มันบอกว่าถ้าปล่อยภาพนักแสดงออกไปก่อนกำหนดการ หรือเอาไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่เพื่อละครละครมันจะไม่ดัง”นาโอโตะเป็นคนพูดออกมาเสียแทน

“ก็แหม ฉันหวังกับละครเวทีเรื่องนี้ไว้มาก เพราะฉะนั้นช่วยหน่อยเถอะนะ”

ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ฮารุโตะไม่คิดที่จะปฏิเสธอยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้าตกลง

“ให้ผมใส่ด้วยได้ไหมครับ”ทาคุมิเสนอขึ้นมา เขาอยากลองสวมชุดพวกนี้บ้าง อาซึกะเลิกคิ้วมองแต่เขาก็ตอบตกลง

ทาคุมิดูจะสนุกสนานอารมณ์ดีเป็นพิเศษกับกิจกรรมวันนี้  พาลให้ฮารุโตะรู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย ต้องเป็นเพราะทาคุมิแน่ๆ ที่ทำให้เขาต้องใส่ชุดกิโมโนของผู้หญิง แทนที่จะได้ถ่ายรูปในชุดกิโมโนชาย

“อย่าหน้าหงิกไปเลยนะ นายแต่งแบบนี้ก็สวยดีออก”ทาคุมิไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียวแต่ยังยื่นรูปภาพที่รุ่นพี่นาคามูระถ่ายให้ซึ่งอยู่ในโทรศัพท์มือถือมาให้เขาดูด้วย

“จริงหรือ สวยจริงหรือ”ฮารุโตะถามอย่างสนใจ ซึ่งทำให้ทาคุมิละความสนใจจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือไปทันที

“อะไร อ่อ... หรือกำลังหาทางง้อรุ่นพี่”

“ก็ไม่เชิง”ฮารุโตะพูดเสียงเบา รุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยแสดงท่าทางว่าโกรธนานๆแบบนี้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นความผิดของเขาเองด้วยละ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีแต่รุ่นพี่ที่คอยจะเข้าหาเขาอยู่เสมอ

แต่มันสมควรไหมละ ช่วงแรกๆ สิ่งที่รุ่นพี่ทำกับเขาเรียกว่าอาชญกรรมด้วยซ้ำ เขาไม่ได้เต็มใจด้วยสักหน่อย

“เป็นอะไรนะ เดี๋ยวก็ทำหน้าเศร้า เดี๋ยวก็ทำหน้าบึ้ง”

เมื่อโดนเอ่ยทัก ฮารุโตะจึงยกมือกุมหน้าตัวเอง พลางคิดว่าควรจะเล่าให้ทาคุมิฟฟังดีไหมนะ แต่เปลี่ยนใจในที่สุด เรื่องน่าอายแบบนั้นเล่าออกไปก็คงจะโดนหัวเราะเยาะแน่ๆ

“แล้วจะเอาอย่างไรเรื่องง้อรุ่นพี่”ทาคุมิถาม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่เขากล่าวถึง เกินเลยมาจนไม่จำเป็นต้องกำหนดคำนิยาม ซ้ำฮารุโตะเองก็ดูเหมือนจะชอบรุ่นพี่ชิมิซึมาก ฝ่ายรุ่นพี่เองจากที่เขาเห็นก่อนที่จะมีเรื่องราวคราวนี้ คงชอบฮารุโตะเหมือนกันนั่นแหละ

“ไม่เอาอย่างไร ไม่ง้อด้วย ไม่ได้เป็นอะไรกันซักหน่อย”ห่างกันไปทั้งอย่างนี้นะดีแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียใจอีก ฮารุโตะคิดเช่นนั้นในใจ

“แล้วไม่ชอบรุ่นพี่แล้วหรือไง”

“อืมชอบ แต่ชอบได้ก็เลิกชอบได้”ฮารุโตะพูดพร้อมทั้งตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว

พ้นช่วงเวลาอาทิตย์นั้น งานของชมรมการแสดงคงเหลือเพียงแค่อย่างเดียว ซึ่งกว่าหมดงานของชมรมการแสดงจริงๆคือหลังจากสอบกลางภาค

ใช่แล้ว!!! สอบกลางภาคกำลังใกล้เข้ามา ฮารุโตะจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอย่างอื่นอีก แต่ทว่าก่อนจะถึงสอบกลางภาคได้ ต้องผ่านงานกีฬาฤดูใบไม้ผลิไปเสียก่อน

“อย่างที่รู้กันว่างานกีฬาทางมหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับให้นักศึกษาเข้าร่วม แต่ชมรมถ่ายภาพมีหน้าที่ต้องถ่ายภาพบรรยากาศของงาน และที่เราทุกคนรู้ งานนี้ฟรี!!!” สมาชิกในชมรมต่างโห่ร้องโหยหวน เพราะคำว่าฟรีที่ว่าคือทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน “แต่คณะกรรมการจัดงานมีข้าวเลี้ยง” ประโยคสุดท้ายพอจะเรียกเสียงเฮจากทุกคนได้บ้าง

งานแบบนี้สมาชิกชมรมที่เป็นช่างภาพจะไม่ได้ต้องการผู้ช่วยสักเท่าไหร่  ปีที่แล้วในช่วงงานกีฬาฤดูหนาว ฮารุโตะก็มาเดินไปเดินมาอยู่ในงานเผื่อมีใครอยากจะเรียกใช้ ซึ่งก็มีบ้างตั้งแต่ไปซื้อน้ำ ส่งข้าว เอาแบ็ตเตอรี่ไปชาร์จ

“มาไหม แต่ไม่น่าถามเนอะ ว่างเมื่อไหร่เห็นมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยตลอด”

“ก็ที่มหาวิทยาลัยมันเย็นกว่าที่ห้องอ่ะ”

ถึงจะยังอยู่ในเดือนพฤษภาคม แต่อากาศเริ่มร้อนมากขึ้นทุกวัน ห้องของเขามีแต่พัดลมตัวเล็กๆจึงยิ่งร้อนจนไม่อยากขยับตัว ฮารุโตะจึงมาสิงอยู่ที่ห้องสมุดบ้างหรือไม่ก็ห้องชมรมบ้างทุกวันหยุด แต่ถ้าวันไหนมีฝนตกลงมา เขาถึงยินดีที่จะอยู่ในห้องโดยไม่ออกไปไหน

เหลือบตามองกลุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ห่างออกไป เห็นริเอะโกะนั่งเบียดอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึ ดูประกาศออกตัวอย่างโจ่งแจ้ง ทาคุมิเห็นนสายตาของเขาจึงมองตาม พออีกฝ่ายส่งเสียงพูด ฮารุโตะถึงได้เปลี่ยนมาหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่าน

“คบกันแล้วละมั้ง ยัยนั่นดูหน้าระรื่นน่าดู”

ฮารุโตะไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร แค่บอกว่าช่างเถอะแล้วก้มหน้าอ่านหนังสือต่อไปเงียบๆ ทาคุมิเห็นเพื่อนแสดงออกว่าไม่สนใจ ไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไรจริงๆ เขาจึงเลิกสนใจและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเล่นเกมบ้าง



อากาศวันงานกีฬาฤดูใบไม้ผลิร้อนจริงๆ ทั้งที่เมื่ออาทิตย์ก่อนยังมีฝนตกลงมาบ้าง แต่ผ่านมาแค่ไม่กี่วันอากาศก็กลับมาร้อนอบอ้าวอีกครั้ง

ฮารุโตะอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มสวมหมวกไว้บนศีรษะการแต่งตัวคล้ายคลึงกับทาคุมิเพื่อนร่วมคณะ  ทั้งสองคนกำลังหิ้วน้ำไปแจกพวกรุ่นพี่ในชมรมที่เป็นช่างภาพประจำแต่ละสนาม ถ้าเป็นกีฬาในร่มอย่างวอลเล่ย์บอลหรือแบดมินตันจะค่อนข้างสบายหน่อย ไม่ร้อนมาก แต่กับกีฬากลางแดดอย่างฟุตบอล แค่เห็นฮารุโตะยังอยากถอนหายใจแทน

เขาทั้งสองคนเดินไปหาพวกรุ่นพี่ที่นั่งจับกลุ่มอยู่ใต้ร่มไม้ ซึ่งรวมไว้ครบทั้งแก็งประธานชมรมคนเก่าและประธานชมรมคนใหม่ แต่ละคนสนใจลูกกลมๆที่ถูกเขี่ยไปเขี่ยมามากกว่างานที่ต้องทำ แต่ใช่ว่ามันจะต้องตั้งกล้องถ่ายภาพกันตลอดเวลา เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไร

“มานั่งดูก่อนไหม”รุ่นพี่ฮายาชิชวนทาคุมิ ฮารุโตะเลยโดนดึงให้ทรุดตัวลงนั่งตามไปด้วย

กลางแดดนั่นร้อนก็จริงแต่พอมาอยู่ในร่มกลับมีลมพัดโชยมาตลอด ฮารุโตะกลอกตามองตามลูกอยู่ได้แค่พักเดียว อาการง่วงหาวก็ถามหา เขาชันเข่าและวางคางลงไปตั้งท่าจะหลับ ทาคุมิเห็นท่าทางของเขาจึงดึงให้วางศีรษะหนุนบนตัก ฮารุโตะขยับตัวจนได้มุมที่สบาย จากนั้นจึงผล็อบหลับไป

จะว่าไป เขารู้สึกเหมือนคนที่ทำตัวต่างหมอนขยับตัวเหมือนเปลี่ยนท่า แต่เพราะความง่วงงุนยังครอบงำเขาอยู่มาก จึงไม่ได้ลืมตาขึ้นมอง และไม่คิดว่าเมื่อลืมตารู้ตัวขึ้นมาจริงๆจะเจอกับนัยน์ตาสีเข้มที่จ้องเขม็งอยู่เช่นนี้ ฮารุโตะเด้งตัวลุกขึ้นขยับตัวออกห่าง ยังคงเหลือกลุ่มรุ่นพี่ในชมรมนั่งเชียร์ฟุตบอลอยู่บ้าง แต่ทาคุมิไม่อยู่แล้ว เด็กหนุ่มจึงก้มศีรษะเป็นทำนองบอกขอบคุณและขอตัว แล้วลุกขึ้นยืนหันหลัง ก้าวเท้าฉับๆชนิดที่ไม่กล้าเหลียวหลังกลับไปมองอีก ก่อนจะต้องสะดุ้งเฮือกเพราะโดนคว้าตัวไว้

“เฮ้ เป็นอะไรหรือเปล่า”น้ำเสียงคุ้นหูทำให้ฮารุโตะเกร็งตัวด้วยความระแวงอย่างอัตโนมัติ นิ่งงันอยู่อย่างนั้นจนคู่สนทนาต้องย้ายที่ยืนมาอยู่ด้านหน้า

“ดูรีบๆ เหมือนหนีอะไรมา”

เด็กหนุ่มยังไม่กล้าเงยหน้ามองเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยอีกคำถาม

“ทุกอย่างโอเคนะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ เงียบกันไปอีกครู่ใหญ่ เสียงที่ออกมาจากตำแหน่งที่อยู่สูงกว่าศีรษะจึงดังขึ้นอีกครั้ง “ช่วงนี้ไม่เห็นทำข้าวกล่องมาให้เลย”

คนถูกถามเงยหน้ามอง ขมวดคิ้วตีสีหน้าสงสัย และพูดตอบออกไปตามตรงว่า “เห็นว่าไม่ค่อยได้เจอ เลยไม่ได้ทำมาให้”

“เคยบอกไปแล้วว่าฉันเรียนที่ตึกตรงข้ามกับหอสมุด”

ฮารุโตะจำได้ แต่ไม่คิดว่า อีกฝ่ายต้องการให้เอาข้าวกล่องไปให้ที่ตึกนั้น

“เออๆ ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ฉันมีแข่ง ถ้าชนะรอบเช้าจะได้เข้าชิงตอนบ่าย มาเชียร์ด้วยละ แล้วก็ทำข้าวกล่องมาให้กินด้วย”

ฮารุโตะกระพริบตาปริบๆ มองตามชายหนุ่มที่เพิ่งเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน โคลงศีรษะด้วยความงุนงง

คำพูดของซากุราอิ ชุนเหมือนจะเข้าใจได้ง่ายแต่เขารู้สึกเหมือนว่าเข้าใจได้ยาก ฮารุโตะจึงเดินไปพร้อมกับใช้สมองครุ่นคิดไปตลอดทาง กระทั่งกลับไปถึงห้องชมรมและไม่เจอทาคุมิอยู่ที่นั่น เขาจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ก่อนจะส่งข้อความไปให้อีกฝ่ายว่า ‘จะกลับแล้ว’ และปล่อยทิ้งความประหลาดใจสงสัยไว้ตรงนั้น

อย่างไรก็ตาม เช้าวันรุ่งขึ้นฮารุโตะได้เตรียมข้าวกล่องมาให้ชุนอยู่ดี และทำอีกกล่องมาเผื่อทาคุมิด้วย

ทาคุมิมานอนค้างที่ห้องของเขาบ้างในบางวัน เพราะถ้าออกมานอนค้างที่อื่นทุกวันจะโดนผู้เป็นมารดาเขม่น ที่สำคัญจะโดนหักเงินค่าขนม ทาคุมิไม่ชอบทำงานพิเศษ เงินค่าใช้จ่ายจากครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ

เขาเจอเพื่อนร่วมคณะระหว่างทางไปมหาวิทยาลัยหลังจากโทรนัดแนะกันเมื่อตอนเช้า ทั้งเขาและทาคุมิยังอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มเหมือนเมื่อวานเพื่อให้ดูกลมกลืนกับงานกีฬา

“เช้านี้ต้องไปดูแข่งฟุตบอล”

“หือ”

“คนที่รู้จักกันลงแข่ง”

พอบอกแบบนั้นออกไป อีกฝ่ายจึงยิ่งแปลกใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะชักชวนให้ไปดูตารางการแข่งขัน “เห็นว่าถ้าชนะรอบเช้าจะได้เข้าชิงรอบบ่าย”

ดูตารางเวลาแข่งเสร็จ พวกเขาทั้งสองคนจึงไปที่ห้องชมรมต่อ กลุ่มรุ่นพี่แก็งอดีตประธานชมรมมากันครบ กำลังนั่งคุยเฮฮาเสียงดัง

“อรุณสวัสดิ์ครับ”พวกเขากล่าวทักทายไปพร้อมกัน

“เช้านี้พวกผมจะไปดูฟุตบอลนะครับ”ฮารุโตะบอกกล่าวกับกลุ่มรุ่นพี่ เผื่อมีอะไรเรียกใช้จะได้ตามตัวถูก

“เมื่อวานยังหลับ แต่วันนี้อยากไปดูมีอะไรหรือเปล่า”เรียวตะเอ่ยแซวไปตามประสา

“ฮารุจังบอกว่ามีคนรู้จักลงเล่นนะครับ”ทาคุมิเป็นฝ่ายแย่งพูดตอบไปแทน “มาบอกไว้ก่อนครับ” เขาพูดแค่นั้นก่อนจะขอตัวออกจากห้อง เดินกลับไปที่สนามฟุตบอลเป็นช่วงจังหวะที่นักกีฬาของทั้งสองทีมกำลังวอร์มร่างกายอยู่พอดี และคนที่เป็นหนึ่งในนักกีฬาก็หันมาเห็นเขาพอดีเช่นกัน

ซากุราอิ ชุนวิ่งมาหาพร้อมรอยยิ้ม

ฮารุโตะขนลุกเกรียวขยับตัวเข้าเบียดกับทาคุมิโดยอัตโนมัติ จับชายเสื้ออีกฝ่ายไว้แน่นราวกับพยายามหาที่พึ่ง จนเด็กหนุ่มร่างสูงกว่าขมวดคิ้ว

“เอ่อ... ไปนั่งทางนั้นสิ”

ถึงจะไม่ได้ตอบออกมาเป็นคำพูด แต่ฮารุโตะก็พยักหน้ารับและเดินตามไป มือข้างหนึ่งยังคงจับชายเสื้อของทาคุมิไว้แน่น คนที่โดนดึงชายเสื้อจึงต้องเดินตามไป

ที่ฝั่งหนึ่งของสนามมีอัฒจรรย์เชียร์ทำจากไม้และโครงเหล็กซึ่งสูงประมาณห้าขั้นตั้งอยู่ โดยถูกจับจองเป็นที่นั่งพักนักกีฬา กีฬาฟุตบอลที่แข่งกันในงานกีฬาของมหาวิทยาลัยเป็นฟุตบอลประเภทฟุตซอลที่ใช้นักกีฬาเจ็ดคน แข่งกันที่สนามเล็กซึ่งเป็นสนามอเนกประสงค์นอกโรงยิม

“อ้าว”ฮารุโตะจำหน้าคนที่ร้องทักได้ ฝ่ายนั้นเป็นหนึ่งในขี้ปลาทองของซากุราอิ ชุน คนที่ชอบหัวเราะขำขันทุกครั้งยามที่ชุนมาหาเรื่องเขา

“อยากจะอธิบายอะไรไหม”อีกคนที่ถามเป็นคนที่มักจะเข้ามาห้ามยามที่ชุนเริ่มทำอะไรรุนแรง

“ไม่มี”ซากุราอิ ชุนเอ่ยตอบ

เจ้าของคำถามมองหน้าชุนนิ่งไร้บทสนทนา จากนั้นจึงหันมามองฮารุโตะ สายตาที่จับจ้องมาทำให้เด็กหนุ่มยิ่งเบียดตัวกับเพื่อนสนิท

“ฉันโคจิมะ มิชิโอะ”

เพราะอีกฝ่ายแนะนำตัวมาฮารุโตะจึงต้องบอกชื่อของตัวเองและทาคุมิออกไป

“โองาวะ อิซามุยินดีที่ได้รู้จักนะตัวเล็ก”จบการพูดแนะนำตัวด้วยน้ำเสียงรื่นเริง อิซามุก็โดนฝ่ามือของชุนฟาดผัวะเข้าที่ศีรษะอย่างเต็มไม้เต็มมือ จนคนโดนกระทำร้องโอดโอย ขณะที่ฮารุโตะแค่เห็นยังรู้สึกเจ็บแทน

พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันมากมายเมื่อสัญญาณบอกเวลาการแข่งขันดังขึ้น

ชุนหันมามองเขาอีกครั้งก่อนจะวิ่งลงสนามไป

“เพื่อนหรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีเหมือนกัน แต่กับซากุราอิซังน่ะเคยเรียนมัธยมมาด้วยกัน”

“อ่อ”ทาคุมิส่งเสียงรับรู้ แล้วถามขึ้นอีก “นายไม่ชอบหมอนั่นหรือ”

“ก็... รู้สึกว่า... ไม่ค่อยถูกกัน”ฮารุโตะทำหน้าตาแหยงๆ ทาคุมิไม่ได้ถามอะไรอีก นั่งดูนักกีฬาแย่งลูกบอลกันในสนาม กลุ่มของชุนนับว่ามีฝีมือพอตัว ทั้งแย่งลูกทั้งตัดลูกทำได้ดีอย่างไม่มีที่ติ

“โอ้ เก่งแหะ เพิ่งเริ่มไม่กี่นาทีก็ได้สองศูนย์แล้ว”รุ่นพี่ฮายาชิส่งเสียงมาให้ได้ยินก่อนจะก้าวเท้าตามมาสมทบ ชายหนุ่มที่เหลืออีกสามคนเดินเรียงหน้ามาครบทีม

“คนที่ฮารุจังรู้จักอ่ะคนไหนละ”

“ตัวสูงๆเบอร์สามครับ”ทาคุมิตอบชี้ให้ดูคนที่กำลังเลี้ยงลูกในสนาม

“มาจีบ?”คำถามนี้เรียวตะกระซิบถามทาคุมิเสียงเบาให้ได้ยินกันแค่สองคน ซึ่งคนถูกถามตอบกลับมาด้วยความดังเสียงในระดับเดียว

“ไม่รู้ครับ แต่รู้จักกันตั้งแต่มัธยม”

“เฮ้ย!!! กระซิบกระซาบอะไรกัน”เอคิจิยื่นหน้ามาถามด้วยความอยากรู้ และมีเรย์ตามเข้ามาสุมหัวด้วยอีกคน คนเริ่มเรื่องจึงตีหน้าตายโบกมือว่าไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ถึงได้ละความสนใจกลับไปดูฟุตบอลกันต่อ

จบเกม ทีมของซากุราอิ ชุนได้เข้าไปชิงชนะเลิศตามที่หวัง เขาเดินมาข้างสนามยกน้ำขึ้นดื่มดับความกระหาย เหลือบางส่วนจึงยกขึ้นราดศีรษะ ฮารุโตะมองภาพนั้นแล้วกระหวัดนึกถึงรุ่นพี่ชิมิซึเสียได้ เขาแอบเหล่ตามองชายหนุ่มร่างสูงที่สนใจแต่โทรศัพท์มือถือ แล้วรีบหันกลับมาก้มหน้าลงซ่อนความร้อนบนหน้า

“ร้อนหรือ”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมอง ชุนยืนถามอยู่ตรงหน้าพลางใช้ผ้าขนหนูซับใบหน้าที่เปียกซ่ก

“หน้าดูแดงๆ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ชุนจึงทรุดตัวลงนั่งบนอัฒจรรย์ชั้นล่างถัดมาจากชั้นที่เด็กหนุ่มร่างเล็กนั่ง ขยับเข้าไปพิงขอบอัฒจรรย์ชั้นบนจนฮารุโตะต้องขยับขาหนี

“เฮ้ย!!! ไปได้แล้ว”

“ยังไม่หายเหนื่อยเลย”ชุนตะโกนตอบเพื่อนที่ร้องเรียกมา

“เดี๋ยวไปพักที่สนามโน้น”

ชุนขมวดคิ้วทำหน้าไม่สบอารมณ์นัก แต่ก็ลุกขึ้นแล้วคว้ากระเป๋าของฮารุโตะไปถือ

“กระเป๋าของผม”เจ้าของกระเป๋าร้อง

“ก็ตามมาดิ”ชุนตอบกลับมาแบบนั้น ฮารุโตะจึงต้องลุกขึ้นตามไป แต่มือก็ดึงชายเสื้อของทาคุมิให้เดินตามไปด้วย

เห็นรุ่นน้องสองคนลุกออกไปแล้ว เรียวตะจึงหันมาถามกลุ่มเพื่อน

“พวกแกจะไปป่ะ”

“ถามตัวแกเหอะว่าจะตามไปเผือกหรือเปล่า”เอคิจิตอบกลับ

“แหม ไม่น่าจะถาม”เรย์ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว “เผือกมาขนาดนี้แล้ว” ว่าแล้วก็รีบเดินตามไปอย่างเร็วรี่ เอคิจิหันมามองอีกคนที่ยังนั่งอยู่กับที่

“ไม่ไปหรือ”

“ไร้สาระ”

“อ่อ ถ้าฮารุจังตกลงคบกับเบอร์สามนั่น ก็ไร้สาระด้วยอย่างนั้นสิ”

“หึ เบอร์สามก็เป็นได้แค่เบอร์สามนั่นแหละ”

“อ้อ”เอคิจิลากเสียงยาว “ตกลงว่าที่ทำมาทั้งหมดนี่เป็นแผน”

ชิมิซึ ซากิยกยิ้มมุมปาก สายตาวาววับเจ้าเล่ห์

“ฉันจะบอกอะไรดีๆให้อย่างนะ เด็กนั่นของแกน่ะ เคยพูดไว้ว่า ‘ชอบได้ก็เลิกชอบได้’ ละ แกว่ามันจะจริงหรือเปล่าว่ะซากิ ในฐานะที่แกเคยรู้ว่า เด็กนั่นชอบใครมาก่อน ฉันถามแกหน่อยดิ ว่าเด็กนั่นเลิกชอบคนก่อนหน้าไปหรือยัง”

เอคิจิยกยิ้มให้ หน้าตากวนประสาทจนซากิคิ้วกระตุกด้วยความหงุดหงิด

“บางทีเบอร์สามอาจจะเป็นมือที่สามก็ได้นะ”ก่อนไปยังทิ้งคำพูดไว้กวนอารมณ์เขา ชายหนุ่มไม่ได้ลุกตามไป เขามองเกมนัดที่สองบนสนามวันนี้ด้วยแววตาเหม่อลอย หากในสมองครุ่นคิด



...เรื่องอะไรที่เขาจะปล่อยให้ของของเขาโดนแย่งไปง่ายๆกันละ





อีกชนิดกีฬาที่ชุนต้องมาแข่งคือบาสเก็ตบอล สนามที่จัดกีฬาชนิดนี้เป็นโรงยิมในร่มซึ่งเปิดประตูทางเข้าออกไว้ทุกทาง ทำให้อากาศไม่ร้อนเท่าด้านนอกแม้จะไม่มีเครื่องปรับอากาศก็ตาม

ตอนที่พวกเขามาถึงเป็นช่วงห้านาทีสุดท้ายของควอเตอร์ที่สี่ของคู่ที่กำลังแข่งกันอยู่

“ดีนะเนี่ยที่รีบมา”

“ทำไมถึงได้จัดสายแข่งได้ห่วยบรมขนาดนี้ว่ะ แม่งไม่ได้พักเลย”เพื่อนๆในกลุ่มของชุนบ่นกันระงม ในทีมมีแค่แปดคน นั่นหมายความว่า ห้าในแปดคนต้องลงแข่งบาสเก็ตบอลเป็นรายการต่อไป

“จะบ่นเพื่อ? แม่งตอนสมัครไม่เห็นมีใครว่าสักคำ”

“เลิกพูดแล้วไปเติมน้ำมาได้แล้ว”ชุนบอก คนในกลุ่มรับคำแล้วแกล้งพูดบอกว่าจะรีบไปจัดการให้ครับลูกพี่ เรียกเสียงหัวเราะจากในกลุ่ม จากนั้นชุนจึงดึงให้ฮารุโตะทรุดตัวลงนั่งข้างกัน

“ต้องไปไหนป่ะเนี่ย”

ทาคุมิเปิดหูตั้งใจเงี่ยฟังคำสนทนาอย่างเต็มที่ ส่วนสีหน้าสายตาแสร้งทำเป็นกำลังสนใจเกมในสนาม

“ไม่อ่ะ”

“อ้าว แล้วมาทำอะไร”

“มาช่วยงานรุ่นพี่ที่ชมรม”

ชุนชะโงกมองกลุ่มคนที่เขาเพิ่งสังเกตเห็น แก็งอดีตประธานชมรมที่ตอนนี้เหลือแค่สามคนก็หมือนจะรู้ตัวว่าโดนกล่าวถึง จึงได้ยิ้มแฉ่งโบกไม้โบกมือให้รุ่นน้องร่างสูงใหญ่ ชุนก้มศีรษะให้เป็นเชิงทักทาย

“แล้วต้องไปทำอะไรอีกป่ะ”

“ไม่มีน่ะ ไม่เห็นมีใครโทรตาม”

“มีโทรศัพท์แล้วดิ อย่างนั้นเอาเบอร์มาหน่อย”

ฮารุโตะอิดออด ถ้าเจอกันแล้วแค่เข้ามาพูดคุยทักทาย มันไม่มีปัญหาสำหรับเขา แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนิทใจจนกล้าให้เบอร์โทรศัพท์มือถือของตัวเอง ซากุราอิ ชุนแสดงออกถึงการคุมคามเขามานานจนแม้กระทั่งตอนนี้ ฮารุโตะยังคิดว่า อาจเป็นแผนการอะไรสักอย่างของชุน

“ขอโทษนะ แต่มิอุระไม่มีโทรศัพท์หรอก รุ่นพี่เขาจะโทรเขาเครื่องฉันน่ะ เอาเบอร์ฉันไว้ไหม”ทาคุมิโน้มหน้ามาพูด

“อา...ไม่เป็นไร”ชุนตอบ

“การแข่งจบแล้ว นายต้องไปเตรียมตัวอะไรไหม”เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างฮารุโตะพูด เมื่อสังเกตเห็นกรรมการเป่านกหวีดจบการแข่งขัน เขายิ้มให้ชุนที่มองหน้าเขา ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะลุกขึ้นเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อน เห็นชุนเดินห่างออกไปแล้วทาคุมิจึงพูดขึ้น

“มีเรื่องอยากรู้อีกเพียบเลย”

ฮารุโตะเหลือบสายตามองคนพูด ความอึดอัดกดดันจู่โจมเขาทันที เขากำฝ่ามือบนตัก ก้มหน้าลงครุ่นคิดด้วยความหวั่นกลัว

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ไม่ต้องคิดมาก”ทาคุมิวางมือบนมือของเขา และพยายามดึงมือทั้งสองที่กดจิกกันไว้ให้แยกออกจากกัน “รับรองว่า การที่นายเล่าอะไรให้ฉันฟังจะไม่ทำให้นายรู้สึกไม่ดี ฉันแค่อยากรู้ไว้ ครั้งหน้าจะได้ช่วยนายถูก แบบครั้งนี้ไง”ทาคุมิยิ้มเพื่อยืนยันว่าไม่มีอะไรต้องกังวลหรือคิดมากตามที่ปากพูด

ฮารุโตะหันไปมอง พยักหน้ารับพลางบอกเบาๆว่า “ขอบคุณ”

หลังจบการแข่งขันบาสเก็ตบอล กลุ่มของชุนก็ชนะอีกเช่นเคย เขายิ้มกว้างเดินเข้ามาหา ดูมีความสุขจนฮารุโตะต้องยิ้มตามและแสดงความยินดีด้วย

“เตรียมข้าวกล่องมาเผื่อฉันใช่ไหม”

“อือ”ฮารุโตะพนักหน้ารับ คว้ามือทาคุมิไว้ในขณะที่กลุ่มของชุนส่งเสียงคุยกันโหวกเหวก “ผมเตรียมข้าวกล่องมาเผื่อซาโต้ซังด้วย” ทาคุมิยิ้มรับพร้อมบอกกับเขาว่าเขาใจดีที่สุด

“ออกไปนั่งกินกันที่สวนข้างๆละกัน”ชุนเอ่ยบอกและคว้ากระเป๋าของฮารุโตะติดมือไปอีกครั้ง แก็งอดีตประธานต้องถอยทัพ พวกเขามีข้าวกล่องรออยู่ที่ห้องชมรม จึงต้องเคลื่อนพลกลับไปกินที่นั่น

อันที่จริงชุนมีเซ็ตข้าวกล่องที่กลุ่มเพื่อนสั่งมาให้ แต่เขาก็กินทั้งส่วนนั้นและของที่ฮารุโตะเตรียมมาให้จนหมด

“กินขนาดนั้น ตอนแข่งเดี๋ยวก็จุกตายห่า”

“ให้ซาคาอิแข่งแทนดิ”ชุนตอบกลับไป มองฝ่ายนั้นที่ดูสนิทสนมกับกลุ่มเพื่อนแล้วทำให้ฮารุโตะนึกถึงสมัยก่อน ตอนที่เขาเพิ่งรู้จักกับซากุราอิ ชุนแรกๆ อีกฝ่ายก็เป็นเช่นนี้ เป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มเพื่อน มีผู้คนล้อมรอบอยู่ข้างกายมากมาย ฮารุโตะยกยิ้มเหมือนได้มองเห็นเด็กชายคนนั้นอีกครั้ง

ชุนเองก็เห็นรอยยิ้มของฮารุโตะ มันเหมือนเป็นสิ่งที่หายไปนานระหว่างพวกเขา นานมากจนนึกอยากหยุดช่วงเวลานี้ไว้

หลังจบการแข่งขันฟุตบอลที่กลุ่มของซากุราอิ ชุนคว้าชัยชนะมาได้ พวกเขาจึงโบกมือแยกย้ายกันแค่นั้น ที่จริงชุนชวนไปกินเลี้ยงฉลองชัยกันต่อ แต่ทาคุมิเป็นคนเอ่ยปฏิเสธว่าพวกเขาทั้งสองคนมีธุระที่ต้องไปทำ จึงเลี่ยงไปได้ แต่ทั้งนี้เพราะซากุราอิ ชุนไม่ได้คิดจะบังคับดึงดันด้วยประการหนึ่ง อีกฝ่ายแค่ยกยิ้มและบอกลา ก่อนจะเดินไปสมทบกับกลุ่มเพื่อน ทาคุมิจึงเดินตามฮารุโตะจนกลับมาถึงห้องพัก

“เอาละ เรามาคุยกันถึงเรื่องที่ฉันอยากรู้ดีกว่า”

ตอนแรกฮารุโตะได้แต่ทำหน้างง นิ่งคิดไปครู่ใหญ่กว่าจะนึกออกว่าเขาต้องการคุยเรื่องอะไร เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจึงรีบหันหลังหนี

“เดี๋ยวต้องไปทำงานแล้ว”

“ยังมีเวลา จากที่นี่ไปที่ทำงานก็ไม่กี่นาทีเอง”

ฮารุโตะกอดเข่าหันหลังให้ ระหว่างพวกเขานิ่งเงียบไร้คำสนทนาเนิ่นนาน แผ่นหลังเล็กบางราวกับกำแพงสูงหนาที่พยายามป้องกันความโหดร้ายจากโลกภายนอก

“ตอนสมัยเด็กๆ”ฮารุโตะเริ่มพูดหลังจากหุบปากนั่งเฉยราวกับพยายามถ่วงเวลา “ผมเคยโดนเด็กที่ตัวโตกว่าแกล้ง” เสียงที่เปล่งออกมานั้นทั้งเบาทั้งกระท่อนกระแท่นจนผู้ฟังต้องเงี่ยหูแล้วปะติปะต่อเอาเอง “พอเอาไปบอกครู ครูก็ทำโทษเด็กคนนั้น วันรุ่งขึ้นพ่อของเด็กคนนั้นก็มาที่โรงเรียน โวยวายหาเรื่องครูและบอกให้เรียกแม่มาที่โรงเรียน ผมไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกัน แม่เอาแต่ก้มหัวบอกขอโทษ และพอกลับไปบ้าน แม่ก็ตบหน้าแล้วบอกว่านี่คือบทลงโทษของเด็กขี้ฟ้อง”

ฮารุโตะหันกลับมามองเขา นัยน์กลมแดงกล่ำคลอน้ำ น้ำเสียงอู้อี้เหมือนคนหายใจไม่ค่อยสะดวก “รู้หรือเปล่าว่ามันเจ็บมาก”

“แต่ตอนนี้นายไม่ได้อยู่กับแม่แล้วนี่”

อีกฝ่ายหันหน้ากลับไป ก้มหน้ากอดเข่าและเขาได้ยินเสียงสูดจมูก “ถึงไม่มีแม่ก็มีคนอื่น” ร่างนั้นซุกหน้าลงกับเข่า นั่งนิ่งคล้ายกำลังบอกว่าไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้แล้ว แผ่นหลังที่หันให้เขาราวกับพยายามปกปิดป้องกันไม่ให้ตัวเองเจ็บปวดมากไปกว่าเดิม พยายามซ่อนตัวอยู่ในมุมเล็กๆที่ไม่มีใครมองเห็น

ทาคุมิเหมือนเห็นภาพซ้อนทับของเด็กน้อยในอดีต ภาพเงาของเด็กคนหนึ่งที่เขาเคยได้แต่มองอยู่เฉยๆ 

เขายื่นมือไปสัมผัสแผ่นหลังเล็กบางนั้น ฮารุโตะสะดุ้งเฮือก ขยับหนีเบียดชิดผนังห้องเข้าไปอีก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ฉันอยู่ตรงนี้ ฉันจะอยู่ข้างนาย”

ฮารุโตะหันมามอง แววตาคู่นั้นมีความคลางแคลงกังขา เด็กหนุ่มร่างเล็กจดจ้องมองเขาอย่างพิจารณาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นจึงหลุบตาลงมองพื้นและพยักหน้ารับ ทว่าเขารู้สึกราวกับได้ยินคำพูดที่ฮารุโตะไม่ได้เปล่งเสียงออกมา

ฮารุโตะไม่ได้เชื่อคำพูดของเขา

แต่ทาคุมิกลับไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดโมโหหรือน้อยใจ

“เอ้า เตรียมตัวไปทำงาน”ทาคุมิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเริงร่าและกังวานชัด “ถ้าไม่รีบเดี๋ยวไปทำงานสายนะ” เมื่อถูกดึงความสนใจไปเรื่องอื่น ตะกอนขุ่นคลักอันมืดมัวที่ถูกกวนให้ลอยฟุ้งอยู่ก่อนหน้าพลันจากหายไปอย่างรวดเร็ว ฮารุโตะหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย เดินตามทาคุมิที่ก้าวเท้านำหน้าออกจากห้อง กวาดสายตาตรวจดูความเรียบร้อยภายในห้องพักอีกครั้งด้วยความเคยชิน ก่อนจะปิดล็อกประตู

“คืนนี้เดี๋ยวมาค้างด้วยนะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นมาอ่านหนังสือแต่เช้า คราวนี้แม่ฉันจะต้องดีใจแน่ๆที่ลูกชายสอบได้คะแนนดี”ทาคุมิพูดพลางยกยิ้มให้ ฮารุโตะจึงพยักหน้าตอบรับ และยกยิ้มตอบกลับมา





+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: about ที่ 16-03-2017 00:30:36
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 12 : 12/Mar/2017 Page 2
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-03-2017 00:46:40
หมายเหตุ

ตำนานเก็นจิ (ญี่ปุ่น: 源氏物語; Genji Monogatari) เป็นงานเขียนของ มุราซากิ ชิคิบุ นางข้าหลวงในราชสำนักญี่ปุ่นสมัยเฮอัน หรือ เฮอันเคียว ซึ่งมีชิวิตอยู่ราวต้นศตวรรษที่ 11 ว่ากันว่า นี่คือนวนิยายที่เก่าแก่ที่สุดเรื่องหนึ่งของโลก และมีการจัดกิจกรรมฉลองครบรอบ 1000 ปี ในปี 2008 ที่ประเทศญี่ปุ่น โดยมีหลักฐานสนับสนุนจากเนื้อความใน มุราซากิ ชิคิบุ นิกกิ (Murasaki Shikibu Nikki บันทึกของมุราซากิ ชิคิบุ) ซึ่งเธอได้เขียนบันทึกนั้นในวันที่ 1 เดือนพฤศจิกายน ค ศ.1008 ว่า ฟุจิวะระ โนะ คินโตะ (Fujiwara no Kinto) นักปราชญ์ราชบัณฑิตชั้นแนวหน้าในยุคนั้น ชื่นชมในงานเขียนของเธอเป็นอันมาก และบันทึกนี้ยืนยันกับเราให้ทราบว่า เธอเขียน บท วะกะมุราซากิ จบในเวลานั้นเอง (1 พฤศจิกายน ค ศ.1008) บางข้อมูลอ้างว่า มุราซากิ ชิคิบุ เริ่มเขียน ตำนานเก็นจิที่วัดอิชิยะมะเดระ ในคืนวันจันทร์เต็มดวงของวันที่ 15 เดือนสิงหาคม ปี ค ศ. 1004
ตำนานเก็นจิ เป็นเรื่องราวชีวิตในราชสำนักของขุนนางและเจ้านายชั้นสูงในสมัย เฮอัน โดยมีตัวเอกชื่อ ฮิคารุ เก็นจิ ในเรื่องกล่าวถึงความสัมพันธ์ของฮิคารุ เก็นจิ กับผู้หญิงมากมายต่างลักษณะกันไป เป็นเรื่องราวที่ทำให้รู้ถึงการดำเนินชีวิต แนวคิด วัฒนธรรม ประเพณี ธรรมเนียมปฏิบัติ การเมือง ของชนชั้นสูงในสมัยเฮอัน โดยเขียนแบ่งออกมาเป็น 54 บท และแบ่งเป็น 3 ช่วง
ที่มา :
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B4
บทละครฮานะโนะเอ็ง  (ญี่ปุ่น: 花宴; Hana no En; วสันต์สังสรรค์; อังกฤษ: Festival of the Cherry Blossoms หรือ Under the Cherry bossoms) เป็นบทที่ 8 ของตำนานเก็นจิ ผลงานของ มุราซากิ ชิคิบุ จากทั้งหมด 54 บท
ชื่อบท ฮะนะโนะเอ็ง ในตำนานเก็นจิ หมายถึง งานเลี้ยงฉลองในโอกาสที่ซะกงโนะซะกุระ เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ
เรื่องย่อ
ปลายเดือน 2 งานสังสรรค์ดอกซะกุระบานจัดขึ้นที่ตำหนักชิชินเด็ง เมื่อล่วงเข้ายามดึกดื่น เก็นจิผู้มึนเมาสุราพยายามลอบเข้าตำหนักฟุจิตสึโบะ ทว่าประตูตำหนักปิดสนิทแน่นหนา เขาเห็นประตูตำหนักโคกิเด็งซึ่งอยู่ใกล้เคียงแง้มอยู่ จึงลอบเข้าไป ณ โถงทางเดิน เก็นจิพบกับธิดาคนที่ 6 ของอุไดจิน นางกำลังชมจันทร์สลัวในคืนฤดูใบไม้ผลิ พลางเอื้อนบทกวีบทหนึ่งจาก ชินโคะคินวะกะชูแต่งโดย โอเอะ โนะ จิซะโตะ ว่า

朧月夜 (おぼろづきよ) に似 (に) るものぞなき
Oborozukiyo ni niru mono zo naki
โอะโบะโระซึกิโยะ นิ นิรุ โมะโนะ โซะ นะกิ   
งามใดเปรียบงามจันทร์สลัวทอแสงหม่นมัวทั่วนภาฟ้าวสันต์

เก็นจิคว้าชายแขนเสื้อของนางไว้ พูดคุยกับนาง นางจำเสียงเก็นจิได้ และทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน ในคืนจันทร์สลัวหมอกของวันที่ 20 นางไม่ยอมบอกชื่อกับเก็นจิ ทั้งสองแลกเปลี่ยนพัดของกันและกัน ยามฉุกละหุกขณะที่ใกล้รุ่งเช้าผู้คนเริ่มตื่นขึ้นมา เพราะกวีที่นางเอื้อนเอ่ย เก็นจิจึงเรียกนางว่า โอะโบะโระซึกิโยะ
ธิดาคนที่ 6 ของอุไดจินนั้น จำต้องอภิเษกกับองค์รัชทายาทในเดือน 4 อุไดจินจัดงานเลี้ยงชมดอกฟุจิในเดือน 3 เขาเชิญเก็นจิมาร่วมงานด้วย ทั้ง ๆ ที่เป็นศัตรูทางการเมืองของกันและกัน ความสง่างามของเก็นจิล้ำเกินกว่าแขกคนใด ๆ ในงาน กระทั่งยังงดงามเหนือดอกฟุจิอันสะพรั่งในสวนเสียอีก หลังจากการแสดงสังคีต เก็นจิแสร้งเป็นเมามาย เข้าไปในเรือนส่วนที่ท่านหญิงธิดาอุไดจินพำนัก เพื่อเสาะหาสตรีเจ้าของพัด เก็นจิเอื้อนบทกวีหน้าม่าน ทันใดนั้น ผู้ตอบบทกวีของเขา ก็คือ โอะโบะโระซึกิโยะนั่นเอง
ที่มา :
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AE%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%87%E0%B8%87


คันโนะชิซึงะตะ เป็นเครื่องแต่งกายชายที่ไม่เป็นทางการสำหรับขุนนางระดับสูงสำหรับอยู่บ้าน ออกไปข้างนอก หรือเข้าร่วมงานรื่นเริง
ที่มา : http://www.sengokudaimyo.com/garb/garb.html



*//ใช้อีก Reply เพราะว่าจะใส่หมายเหตุค่ะ เลยขอต่อท้ายอีกนิด

ขอขอบคุณทุกท่านที่อินไปกับฮารุจังของเรา เขียนๆไปเราก็รู้สึกว่าฮารุโตะเป็นโรคซึมเศร้าละ ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจให้ตัวละครของเราเป็นโรคนี้ค่ะ
ส่วนพ่อหนุ่มซากิ เราก็เขียนให้เขานิสัยไม่ดีนั่นแหละ แต่ดูท่าจะนิสัยแย่เกินกว่าจะเป็นพระเอกได้ อันนี้เราไม่ได้ตั้งใจ สารภาพตามตรงว่า พล็อตเรื่องตั้งแต่แรกซากิเป็นพระเอกคนที่หนึ่ง แล้วก็จะมีอีกคน แต่พล็อตที่ว่า เรื่องมันเลวร้ายกว่านี้ค่ะ และตอนก่อนที่เราจะนำเรื่องนี้มาลง เรารู้สึกว่า เขียนให้ซากิเป็นพระเอกมายาวมากแล้วจะเปลี่ยนนายคนนี้ออก มันก็แปลกๆเนาะ พระเอกอีกคนมันก็เลวไม่ต่างกัน และพล็อตที่ว่ามันเลวร้ายกับฮารุจังไปตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องเลย อารมณ์ตอนคิดเรื่องคืออยากดราม่าสุดติ่ง แบบไม่ต้องผุดต้องเกิดกันเลย แต่มาเปลี่ยนใจเพราะเขียนไปก็ไม่น่าจะดี เนื้อหาก็ช้ำใจ ตอนจบยังช้ำใจอีก ถามตัวเราเองเราก็ไม่ชอบแบบนั้นอ่ะ
อดใจรอกันอีกหน่อยนะคะ แม้ฮารุจังของเราจะต้องเผชิญชะตากรรมกันต่อไป แต่เรารู้สึกว่าหลังๆนี่เบาลงแล้วนะ
เบาจนคนเขียนต่อเรื่องไม่ออกเลย สัมผัสได้ว่าตอนที่มีอยู่ในสต็อกกำลังลดเหลือน้อยลงเรื่อยๆอย่างช้าๆ//*



หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 16-03-2017 08:26:42
 :mew1:ช
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-03-2017 09:19:46
แต่อย่างน้อยฮารุโตะก็ยังมีคนที่เอ็นดูช่วยเหลืออย่างรุ่นพี่ที่ชมรมกับทาคุมินะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-03-2017 10:27:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 16-03-2017 17:44:28
ผมไม่มีปัญหาอะไรนะครับถ้าจะเอาชุนเป็นพระเอกน่ะ (หัวเราะ) เพราะจากที่ผมเคยดูหนังญี่ปุ่น การแกล้งกันของเด็กชาย-ชายในวัยแบบมัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยของคนญี่ปุ่นมันมักจะมีนัยยะอยู่ด้วยเสมอๆอยู่แล้ว ซึ่งถ้าในที่นี้ตีความเป็นความรู้สึกดีๆที่ชุนมีให้ แต่ manage กับสิ่งนั้นไม่ได้ ก็ถือว่าเป็นการสื่อพัฒนาการเชิงวัยรุ่นของตัวละครหนึ่งเหมือนกัน

เอาจริงๆผมเชียร์ชุนมากกว่าซากินะครับ (ฮา) อาจจะเพราะว่าซากิให้ความรู้สึกแบบตัวละครที่เจ้าเล่ห์และไร้ความรู้สึกมากเกินไป ในบางครั้ง ตอนอยู่กับฮารุโตะ แม้ว่าจะดูเค้าอ่อนลงมาให้ฮารุโตะบ้าง แต่ก็เป็นความรู้สึกเหมือนทำไปเพื่อจะให้ฮารุโตะไว้ใจและทำให้ซากิมีอะไรกับฮารุโตะได้บ่อยขึ้นโดยที่อีกฝ่ายไม่ขัดข้อง

ความจริงคนบุคลิกแบบซากินี่เป็นเมะในมังงะหลายๆเล่มนะครับ แต่แค่ว่าตัวนางที่ลงล็อกกับซากิ มันจะไม่ใช่ตัวละครแนวฮารุโตะน่ะครับ จะเป็นตัวนางที่สดใสแนวๆมังงะวายลูกกวาดซะมากกว่า ผมไม่แปลกใจนะที่ซากิจะรู้สึกเบื่อๆเมื่อเจอฮารุโตะที่เป็นนิสัยเกือบๆซึมเศร้าเข้าบ่อยๆ เพราะเนื้อแท้คนแบบซากิไม่ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น เมะแบบซากิชอบคนที่เขาคอนโทรลได้ก็จริง แต่ต้องเป็นคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจแบบไม่คิดมาก เป็นคนที่มีความ cheer-up ในระดับหนึ่ง ฮารุโตะเป็นเด็กที่มีปมต้องแก้ และมีคนต้องปกป้องดูแลแบบหวงๆหน่อยครับ ดังนั้นซากิที่ไม่ใช่คนพยายามขนาดนั้นมักจะรำคาญและเบื่อได้เร็ว

ซึ่งตรงนี้ผมว่าชุนน่าจะตอบโจทย์ เพราะหนึ่งคือชุนเห็นฮารุโตะมานานแล้ว เขาทะลวงถึงใจฮารุโตะได้โดยที่ฮารุโตะไม่รู้ตัว แต่มีปัญหาตรงที่ฮารุโตะยังขยาดชุนอยู่เพราะฝังใจกับการแกล้งเนื่องจากนิสัยเกือบๆซึมเศร้ามาก่อน (ซึ่งถ้าเป็นเคะสดใสคงจะไม่ฝังใจขนาดนี้) สอง บุคลิกชุนเหมือนเอานาคามูระ เรย์ ภาคร้ายๆมาผสมกับซากิฉบับนิ่งๆ ผมว่าบุคลิกแบดๆแต่ใส่ใจลึกซึ้งและเอาตัวเข้าไป involve กับฮารุโตะโดยที่ไม่ขี้รำคาญ(ติดแต่ปากหนักไปหน่อย) นี่เป็นบุคลิกที่อาจจะตอบโจทย์ปมฮารุโตะก็ได้นะครับ น่าสนใจดีเหมือนกัน

ผมว่าสิ่งที่ซากิเป็นอยู่ตอนนี้น่าจะเป็นการหวงของนะครับ คือไม่ได้ชอบอะไรมากเท่าตอนแรก แต่เนื่องจากยังมีอะไรกันได้ และถ้าเสียไปก็มีเสียศักดิ์ศรีหน่อยๆ เลยทำให้รู้สึกว่าปล่อยให้คนอื่นไม่ได้ ซึ่งเอาจริงๆมันทำให้ฮารุโตะแย่นะครับ เพราะเขาเซนซิทีฟมาก ถ้าคุณเบื่อหรือรำคาญก็ปล่อยเขาไปเหอะ ให้มีคนได้ช่วยเขาก็ถือว่าทำบุญนะครับ เพราะยังไงผมก็ไม่คิดว่าซากิจะลงแรงขนาดคลุกคลีแก้ปมกับฮารุโตะลึกๆล่ะมั้ง เพราะว่าดูจากเนื้อเรื่องส่วนตัวของซากิ ผมว่ามันก็ทำให้เขาสันโดษไม่น้อยเลยล่ะครับ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-03-2017 18:52:10
^
^
^
พอมาอ่านความคิดเห็นของคุณ Grey Twilight แล้วเรานึกถึงบางช่วงก่อนหน้านี้เลย เห็นด้วยกับตรงนี้ค่ะ “เพราะเนื้อแท้คนแบบซากิไม่ใช่คนที่จะคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น ดังนั้นซากิที่ไม่ใช่คนพยายามขนาดนั้นมักจะรำคาญและเบื่อได้เร็ว” แล้วก็ “เพราะยังไงผมก็ไม่คิดว่าซากิจะลงแรงขนาดคลุกคลีแก้ปมกับฮารุโตะลึกๆล่ะมั้ง” คือตอนที่อ่าน (เนื้อเรื่อง) ตรงนั้นเรายังคิดในใจว่า อ้าว... แล้วไม่คิดช่วยเหลือ เยียวยาฮารุโตะเลยเหรอ แค่ฟังอย่างเดียว เหมือนฟังเฉย ๆ อาจจะเห็นใจหน่อย ๆ (อันนี้ไม่แน่ใจ) แล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปน่ะเหรอ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 16-03-2017 23:13:19
อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเรื่องนี้แต่ละคนซับซ้อนพอสมควรเลย ส่วนหนึ่งเพราะอ่านแล้วยังจับรายละเอียดไม่ค่อยได้หมด ตัวละครเยอะ เรียกชื่อหน้าบ้าง เรียกชื่อหลังบ้าง ยังจำได้ไม่กี่คนเองครับ

เหมือนจะติ แต่จริงๆ เขียนดีมากครับ ชวนติดตาม ถึงจะแอบอึดอัดไปกับความทุกข์ของตัวเอก ทั้งที่คนอื่นสรรหามาให้ ทั้งที่ทำตัวเอง ทำไมถึงได้เจอคนแย่ๆ ได้เยอะขนาดนี้นะ ถึงจะมีคนที่ดีด้วยหลายคน แต่ทาคุมิดูเป็นแค่คนเดียวที่พยายามเข้าถึงตัวตนลึกๆ ของฮารุโตะ

ขอพูดถึงชุนนิดนึง ถ้าไม่ใช่เกลียดแทบตายมันมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอที่จะไปซ้อมใครซักคนขนาดนั้น มันดูแรงกว่าแค่การแกล้งกันไปเยอะมาก เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็เหมือนจะผสมโรงด้วย แต่พอเจอกันอีกทีก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกันมาก่อน แปลกเกิน

ซากิถึงจะไม่ใช่คนดี อาจไม่ใช่พระเอกด้วยซ้ำ แต่การกระทำดูมีเหตุผลตามประสาคนไม่ดี อยากได้ อยากเอาชนะ อยากให้มาสยบ หวงของ อะไรก็ว่าไป
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 13 : 16/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-03-2017 09:24:20
ชุน ดูดี เพราะฮารุโตะ ทำข้าวกล่องให้
คงไปคิดว่าที่ผ่านก็มีแต่แกล้งฮารุโตะ ตลอด
ก็ฮารุโตะหงิมๆ จืดชืด น่ารังแก
แต่ฮารุโตะยังยอมทำข้าวกล่องให้
อาจจะทำให้ชุนที่โตขึ้น มีวุฒิภาวะดีกว่าตอนเด็ก
คิดได้ จิตฝ่ายดีของชุน ทำให้ลดรา เลิกแกล้ง
เพื่อนที่เป็นลูกไล่ ก็พลอยเฉยตามไปด้วย
ชุนคงคิดไรๆบ้างกับฮารุโตะ ถามหาข้าวกล่อง
ชวนไปเชียร์แข่งฟุตบอล บาส มีข้าวกล่องจัดให้ชุนแล้ว
แต่ชุนก็ยังกินข้าวของฮารุโตะด้วยจนหมด
ซากิ น่ารังเกียจ ควงริเอะโกะ หญิงนิสัยแย่ให้ เห็นกันทั้งชมรม
ยังมีหน้ามาหวงฮารุโตะ ทั้งที่เป็นฝ่ายเลิกสัมพันธ์ไปเอง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 14 : 20/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-03-2017 00:04:44
เรื่องย่อ ตอนที่ 14
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ถึงไม่มีรุ่นพี่ชิมิซึ ฮารุโตะก็ใช้ชีวิตอยู่ได้เพราะมีเพื่อนอย่างทาคุมิ ทว่ารุ่นพี่ชิมิซึกลับวนมาหาราวกับตั้งใจไว้

ตัวละครประกอบ
1. โอคาดะ ทซึคิโยะ  นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สี่ สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
2. โกโต ริวโนซึเกะ ประธานชมรมมวยสากล
3. โยชิดะ ริเอะโกะ เพื่อนร่วมรุ่นของฮารุโตะที่ชื่นชอบชิมิซึ ซากิ
4. ซาซากิ ฟุมิโอะ เพื่อนร่วมรุ่นของฮารุโตะที่ชื่นชอบชิมิซึ ซากิ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 14



ช่วงสอบกลางภาคผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเวลาอีกแค่เดือนกว่าๆสอบปลายภาคก็จะมาถึง

“มันเป็นเรื่องของสอบปลายภาค”ทาคุมิว่าอย่างนั้น แต่ฮารุโตะไม่ได้ตอบรับว่าเห็นด้วย กระนั้นใช่ว่าจะขัดอีกฝ่ายที่พาเขาซ่อกแซ่กหาทางเข้าไปดูละครตำนานเก็นจิของชมรมการแสดงอย่างไม่เสียเงินไปได้

ครอบครัวของทาคุมิมีฐานะปานกลาง พ่อแม่ทำงานทั้งคู่ ทาคุมิไม่ทำงานพิเศษช่วงระหว่างเปิดภาคเรียน โดยให้เหตุผลว่า “ผลการเรียนของฉันย่ำแย่อยู่แล้ว ถ้าไปทำงานพิเศษจนผลการเรียนตกลง ต้องโดนด่ายาวแน่”ทาคุมิไม่อยากโดนบ่นโดนว่า และในเมื่อพ่อแม่ให้โอกาสเรียนแบบสบายๆจึงขอใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่

“บัตรแพงโคตร”ทาคุมิบ่นอุบเมื่อเห็นราคาค่าบัตรบนโปสเตอร์โปรโมทละครที่ออกมาก่อนหน้า โปสเตอร์ของชมรมการแสดงถูกเผยแพร่ไปทั่วตั้งแต่ก่อนสอบกลางภาค ช่วงประมาณงานกีฬาฤดูใบไม้ผลิของมหาวิทยาลัย ซึ่งพวกรุ่นพี่ต่างพูดกันว่าราคานี้ไม่ได้แพงเกินไปนัก เมื่อเทียบกับความทุ่มทุนสร้างและคุณภาพความสามารถ

ชมรมการแสดงจะมีจัดแสดงละครเวทีอยู่เสมอ แต่มีเพียงปีละครั้งที่จะจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งปีนี้ก็คือละครเรื่องตำนานเก็นจิ

“แต่ก็แพงเกินไปสำหรับผม”ทาคุมิโอดครวญ เพราะตอนนั้นยังอยู่ในช่วงที่ต้องตั้งใจอ่านหนังสือสอบ ฮารุโตะจึงแค่ตบบ่าเรียกสติให้กลับมาอ่านหนังสือ

ดังนั้นตอนนี้ทาคุมิจึงไปประเหลาะกลุ่มรุ่นพี่ที่จะต้องไปถ่ายภาพทำสูจิบัตร

“รุ่นพี่ไม่อยากได้ผู้ช่วยหรือครับ ผมแข็งแรงมากนะ”

ชมรมการแสดงค่อนข้างจะเข้มงวดมาก ไม่ยอมให้ใครที่ไม่เกี่ยวข้องเขาไปดูการซ้อม ทาคุมิที่ไปหาทางชะเง้อชะแง้มาหลายรอบแล้วเลยต้องแห้วทุกทีไป คราวนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายและเป็นโอกาสดีที่สุดก็เป็นได้ เพราะการซ้อมครั้งนี้จะเสมือนจริงที่สุด นักแสดงจะแต่งหน้าแต่งตัวและทดลองจับเวลาการแสดงด้วย แม้ว่ารุ่นพี่โอคาดะจะบอกว่าการซ้อมเสมือนจริงจะถูดจัดขึ้นอีกสองสามครั้งเพื่อปรับตารางเวลาให้เข้าที่เข้าทางก็ตาม แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ที่ชมรมการแสดงจะยอมให้คนของชมรมถ่ายภาพเข้าไปทำงานด้วย

“แล้วจะให้พวกฉันแบกอะไรเข้าไป แค่กล้องกับเลนส์ก็พอแล้ว”

“ไม่ต้องแบกก็ได้ครับ ขอแค่พาผมไปด้วยนะ”

“เว้ย ไม่ได้ไปเที่ยว โน่น หัดทำตัวให้เหมือนมิอุระคุงบ้าง นิสัยดีๆของเพื่อนหัดลอกเลียนแบบมาบ้างนะไอ้ตัวป่วน”พวกรุ่นพี่ว่าไปพลางหัวเราะไปพลาง ซึ่งต่อให้ทาคุมิจะพยายามออดอ้อนแค่ไหน คำตอบที่ได้รับมีแค่คำตอบเดียวคือไม่ ฮารุโตะเห็นเพื่อนหน้าจ๋อยแล้วสงสาร

“เดี๋ยวผมซื้อบัตรให้ไหม ผมพอจะมีเงินอยู่”

“เอ้ย!!! ไม่เอาหรอก นายต้องใช้จ่ายตั้งหลายอย่าง ฉันลองอ้อนไปอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอก แค่มีโอกาสก็อยากจะลองดู อันที่จริงพอมีเงินเก็บอยู่แหละแต่เสียดายเงิน ลองรอไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าบัตรอาจจะขายไม่หมด นั่นแหละจะเป็นโอกาสของพวกเรา”ทาคุมิพูดอย่างมีความหวัง ซ้ำยังบอกด้วยว่าปีก่อนเจ้าตัวก็รอจนบัตรลดราคาเหมือนกัน

 “หมดช่วงสอบแล้ว ลองไปดูที่ชมรมยูโดไหม จะว่าไปมหาวิทยาลัยของเรามีชมรมมวยสากลด้วยนี่นา”

ฮารุโตะมองหน้าคนพูด สีหน้างุนงงฉายชัด

“เพื่อให้เราสามารถต่อสู้กับเหล่ามารร้าย เราต้องพยายามฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้นไง”

“ไม่เอา”เด็กหนุ่มสั่นศีรษะพลางถอยเท้าหนี “ไม่สู้ ค...แค่หนีก็พอ”

“แล้วถ้าหนีไม่พ้นละ”ทาคุมิถามเพราะรู้ผลของมัน

สังคมในโรงเรียนสำหรับเขาคือการจำลองสังคมจริงๆของโลกใบนี้มาให้เด็กเรียนรู้ฝึกรับมือกับปัญหาต่างๆ ผู้ใหญ่จะป้อนเป้าหมายและกิจกรรมต่างๆให้ โดยคาดหวังผลลัพธ์ตามอุดมคติ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด ผู้ร้ายในสังคมของผู้ใหญ่ก็อาจจะเปรียบเทียบกับเด็กเกเรในสังคมของโรงเรียน และตราบใดที่ตำรวจไม่สามารถจัดการกับผู้ร้ายได้หมด ครูอาจารย์ในโรงเรียนก็ไม่อาจจะจัดการกับเด็กเกเรในโรงเรียนได้หมดเช่นกัน

ทาคุมิไม่เคยถูกรังแกหรือโดนกลั่นแกล้ง แต่เขาเคยยืนมองเพื่อนในห้องที่โดนรังแก ยืนมองอยู่เฉยๆโดยไม่กล้าเข้าไปช่วยเหลือ เพียงเพราะกลัวจะกลายเป็นเหยื่อเสียเอง ทว่าเหตุการณ์นั้นกลับฝังความรู้สึกผิดให้จมลึกอยู่ในใจ เด็กหนุ่มเคยจินตนาการนึกย้อนไปหลายครั้ง ถ้าเขากล้าหาญกว่านี้ ถ้าวันนั้นเข้าไปห้ามหรือแม้แต่ไปเรียกอาจารย์มาช่วย หรือพยายามทำอะไรสักอย่าง ...กระนั้นก็ได้แค่คิดเท่านั้น

“ก็อดทนไว้”

“นายคิดว่าตัวเองจะอดทนได้มากแค่ไหนละ”น้ำเสียงที่เปล่งออกไปแข็งกร้าวจนแม้กระทั่งตัวทาคุมิเองยังตกใจ เขาจึงเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พยายามควบคุมอารมณ์ของตนให้เย็นลง แล้วหันกลับมามองเพื่อนร่างเล็กอีกครั้ง เขายกยิ้มให้

“ไปลองดูเฉยๆก็ได้ คิดว่าไปเป็นเพื่อนฉัน ฉันอยากจะเล่นกีฬาอะไรสักอย่าง ตัวจะได้โตๆกว่านี้อีกสักหน่อย”เด็กหนุ่มคะยั้นคะยอ เพื่อนร่วมคณะจึงยอมอ่อนใจเดินตามมาด้วย

ทาคุมิแวะเข้าชมรมมวยสากลเป็นอันดับแรก เสียงหมัดกระทบกระสอบทรายดังอักอัก พาให้ฮารุโตะผวาจนต้องแอบอยู่หลังเพื่อนหนุ่มร่างสูงกว่า สมาชิกในชมรมมีแต่พวกกล้ามล่ำเป็นมัด หน้าตาดุดันจนคนที่ตั้งใจมาอย่างทาคุมิยังนึกหวั่น ถ้ารู้อย่างนี้ เขาชวนเพื่อนคนอื่นมาด้วยก็ดี

“เฮ้ย!!!”

ทั้งสองคนสะดุ้งโหยง

“มายืนทำอะไรกันน่ะ”

ทาคุมิทำใจกล้าหันไปมอง แล้วต้องร้องออกมาอย่างดีใจ “ซากุราอิซัง” เจอคนรู้จักแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย “ว่าจะมาลองหัดชกมวยนะ”ขณะที่ทาคุมิพูดจ้อ ฮารุโตะจึงโผล่หน้ามาดูบ้าง ซากุราอิ ชุนยืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

“นายอยู่ชมรมนี้หรือ”

“อืม เข้ามาก่อนซิ”

ชุนเดินนำพวกเขาเข้าไป พร้อมตะโกนทักทายคนในชมรมเสียงดัง เสียงที่ตอบกลับมาดังกระหึ่มไม่แพ้กัน ชุนพาพวกเขาไปรู้จักกับประธานชมรม โกโต ริวโนซึเกะเป็นผู้ชายตัวใหญ่หน้าดุแต่ใจดีไม่สมกับหน้าตา สำหรับในความคิดของทาคุมิคนเดียวไม่เกี่ยวกับฮารุโตะซึ่งยังคงเกาะชายเสื้อของเพื่อนหนุ่มและก้าวตามติดไม่ปล่อย

“ได้เลย มาฝึกเฉยๆก็ได้”ประธานชมรมพูดพลางเอียงศีรษะมองเด็กหนุ่มตัวเล็กที่แอบอยู่ด้านหลัง “ที่เกาะอยู่ข้างหลังนั่นด้วยหรือเปล่า”

“อ่อ ใช่ครับ แต่เขาเป็นพวกขี้กลัว ถ้าอย่างไรผมขอให้ซากุราอิซังช่วยสอนแล้วกันนะครับ”

ฮารุโตะสะดุ้งอีกรอบ กระตุกเสื้อของทาคุมิยิกๆแล้วกระซิบบอกว่า “ไม่เอา” ด้วยหน้าตาที่พร้อมจะร้องไห้ตลอดเวลา ทาคุมิจึงต้องตัดใจบอกว่ามีธุระเพื่อขอตัวกลับก่อน ตอนกลับออกมาฮารุโตะยังก้าวตามเพื่อนร่วมคณะแบบก้าวต่อก้าว

“เอ่อ...เดี๋ยว”ชุนเอ่ยเรียก มองเลยไปยังคนที่พยายามซ่อนตัวอยู่ด้านหลังทาคุมิ “ฉัน...” เขาเอ่ยออกมาแค่นั้นก่อนจะเงียบเสียงลงอีกครั้ง แล้วเป็นไปพูดเรื่องอื่น “ถ้าว่างเมื่อไหร่ก็มาได้ทุกเมื่อ”

“อือ แล้วไว้เจอกัน”

เด็กหนุ่มถอนหายใจเฮือก ฮารุโตะยังคงเกาะติดอยู่ด้านหลังไม่ห่าง สงสัยว่าเขาอาจจะต้องล้มความคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน

หลังจากนั้น ชีวิตของฮารุโตะจึงกลับมาเงียบสงบราบเรียบเหมือนเดิม ทาคุมิไม่ได้ชวนเขาไปทำอะไรที่ฝืนใจอีก แต่ทว่า ความสงบราบเรียบในชีวิตของเขา ดูเหมือนว่าจะคงอยู่ได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น

คืนนั้นเขาเพิ่งเดินออกมาจากประตูหลังร้าน หลังเลิกงานตามปกติ เขาเจอรุ่นพี่ฮายาชิที่ยืนรอด้วยความร้อนรน หนุ่มรุ่นพี่ไม่ได้พูดอธิบายอะไรกับเขามาก แค่ขอให้ไปด้วยกัน แม้จะสังสัยแต่ฮารุโตะก็ยอมก้าวเท้าขึ้นรถด้วยความรีบเร่ง บนท้องถนนยามกลางคืนนั้นว่างโล่ง ไม่ค่อยมีรถสัญจรมากนัก ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาจึงถึงจุดหมาย

ลักษณะของบ้านที่รุ่นพี่ฮายาชิพาเขามาถูกพรางด้วยความมืดของค่ำคืน  มีแสงไฟเปิดสว่างอยู่บริเวณหน้าประตู หนุ่มรุ่นพี่ก้าวเท้าอย่างรวดเร็วเข้าไปในบ้าน เขาสาวเท้าตาม แสงไฟตามทางเดินถูกเปิดเพื่อให้ความสว่าง เขาก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสอง ณ ตอนนี้ฮารุโตะไม่แน่ใจเลยว่า เขาจะช่วยอะไรใครได้ กระทั่งไปหยุดที่หน้าห้องน้ำซึ่งอยู่สุดทางเดิน

ได้ยินเสียงแว่วมากจากด้านใน จึงเดินตามเข้าไปดู และทันทีที่โผล่หน้าเข้าไป เสียงตวาดกร้าวก็ดังขึ้นมา

“พามาทำไม”

ฮารุโตะย่นคอหนี แม้อีกฝ่ายจะตวาดใส่แต่น้ำเสียงนั้นกลับฟังดูอ่อนแรงกว่าปกติ

“ฉันต้องกลับไปรับเจ้าพวกนั้น แกยืนยันว่าจะไม่บอกใคร แล้วก็ไม่ยอมบอกว่าใครทำ ให้ฉันทำอย่างไรว่ะ”

“ปล่อยฉันไว้คนเดียว แค่นี้ฉันไม่ตายหรอก”

“แล้วถ้าแกตายขึ้นมาละ เอาเถอะ ถึงอย่างไรฉันก็พามาแล้ว ฮารุโตะฝากดูซากิด้วยนะ”ประโยคหลังหนุ่มรุ่นพี่หันมาพูดกับเขา เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ คล้อยหลังรุ่นพี่ฮายาชิ เขาหันกลับมาดูคนที่นั่งกอดเข่าตัวเปียกอยู่ในอ่างน้ำอีกครั้ง ใบหน้าคมเข้มแดงกล่ำหลับตาขมวดคิ้วยุ่ง ยามที่ปล่อยให้น้ำจากฝักบัวราดรดตัว

ฮารุโตะขยับเข้าไปหา

“อย่าเข้ามาใกล้”ซากิลืมตาขึ้นมามองเขา นัยน์ตาแดงกล่ำไม่ต่างจากสีหน้า กัดฟัน หอบหายใจแรงคล้ายต้องอดทนกับความทรมาน ประโยคต่อมาของฝ่ายนั้นแหบพร่า“ออกไปไกลๆ กลับไปเดี๋ยวนี้ได้ยิ่งดี”

เด็กหนุ่มก้าวเท้าถอยหลัง มองหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงด้วยความลังเล ในยามนี้อีกฝ่ายไม่ได้น่ากลัวเท่ากับในความทรงจำ คงเหลือเพียงชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เคยใจดีกับเขาวนเวียนอยู่ในความคิด รุ่นพี่คนนั้นกำลังทรมาน เขาอยากช่วย อยากทำอะไรสักอย่างให้อีกฝ่ายหายจากความทรมานนั้น

ฮารุโตะก้าวเท้าเข้าไปใกล้

“อย่าแตะ”เสียงตะโกนจากซากิดังขึ้น

ฮารุโตะสะดุ้งถอย แต่ความหวาดกลัวทั้งหลายก็มลายหายไปอย่างรวดเร็ว เมื่อได้เห็นหนุ่มรุ่นพี่ใกล้ๆ ลาดไล่ที่เคยสง่าผ่าเผยงองุ้มลง ร่างกายสั่นสะท้านดูคล้ายหนาวเหน็บ

“ฉันบอกให้กลับไป”รุ่นพี่ชิมิซึพูดกับเขาอีกครั้ง แววตาที่เคยเจ้าเล่ห์ไหวระริกด้วยอย่างอดทนอดกลั้นด้วยพยายามฝืนทน เขาตัดสินใจได้ในวินาทีนั้น ยื่นมือไปแตะผิวกายร้อนผ่าว

“ให้ผมอยู่ด้วยเถอะครับ”เขาบอก “ผมยินดีจะช่วย...”ทันทีที่จบคำพูดนั้น ร่างทั้งร่างก็ถูกดึงลอยให้ลงไปแช่อยู่ในน้ำเย็นด้วยกัน ร่างกายของฮารุโตะสั่นสะท้านเพราะไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากถูกบดคลึงดูดกลืนอย่างรุนแรง เด็กหนุ่มดิ้นหนีด้วยความตระหนก ทว่าริมฝีปากบางของหนุ่มรุ่นพี่ยังกวาดต้อนดูดดึงลมหายใจของเขาไปจนหมด ร่างกายไร้เรี่ยวแรงกอบโกยลมหายใจเข้าปอดยามที่ริมฝีปากถูกปล่อยให้เป็นอิสระ

ทันใดนั้น ความเจ็บปวดแล่นจี๊ดเข้าสู่ก้านสมอง เมื่อก้มหน้าดูถึงได้เห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ากำลังขบกัดผิวเนื้อ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ร่างกายสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวขึ้นมา เขาใช้สองมือผลักใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ให้ออกห่าง แววตาของอีกฝ่ายที่ได้เห็นฝ้ามัวคล้ายมีเมฆหมอก

“รุ่นพี่ชิมิซึ”แม้จะส่งเรียกเรียกออกไป รุ่นพี่ร่างสูงยังคงไม่มีทีท่าจะรู้สึกตัว

ฮารุโตะแนบริมฝีปากลงไปอีกครั้ง สัมผัสที่ตอบรับกลับมานั้นตะกละตะกรามคล้ายหิวกระหาย เขาพยายามคงสติของตัวเองไว้ให้มากที่สุด ไม่ให้คล้อยตามและไม่ให้ฝืนต้านจนเกินไป ตอนที่แท่งเอ็นแข็งร้อนจะฝืนสอดใส่เข้ามาเขาจึงยั้งไว้ได้ทัน จากนั้นจึงใช้สองมือปลอบประโลมให้หนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงปลดปล่อยออกมา

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ในที่สุดหนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งมีเรี่ยวแรงเหมือนช้างสารก็นิ่งสงบลง

ชิมิซึ ซากิหลับตาพริ้ม หายใจเข้าออกสม่ำเสมอคล้ายหลับลึก ฮารุโตะถอนหายใจอย่างโล่งอก ใบหน้าร้อนจัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป ปกติมีแต่รุ่นพี่ที่ชอบจับ ‘ของ’ ของเขา ซ้ำหลายครั้งยังทำมากกว่าจับ แม้จะเคยโดนบังคับให้เป็นฝ่ายทำบ้าง แต่เขากระดากอายขัดเขินจนรุ่นพี่ต้องยอมล้มเลิกความต้องการไป ทว่าครั้งนี้ครั้งเดียวคงชดเชยที่ผ่านมาได้หมดแล้วมั้ง เด็กหนุ่มคิดอย่างขำขัน

ฮารุโตะลุกขึ้นส่องกระจก รอยที่คอเริ่มเปลี่ยนสี และหลงเหลือความเจ็บปวดยามสัมผัส ก่อนจะหันไปดึงเสื้อแขนยาวออกจากตัวของชายหนุ่มรุ่นพี่ จากนั้นจึงถอดกางเกง ระหว่างปฏิบัติการณ์มีแต่เขาเท่านั้นที่โดนถอดกางเกงไปกองอยู่ที่เข่า ถ้าเขาไม่ได้ชิงความได้เปรียบมาได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพของเขาจะเป็นอย่างไร เซ็กส์ของรุ่นพี่ค่อนข้างจะนุ่มนวล แม้เคยโดนขบกัดบ้างแต่ไม่เคยรุนแรงจนสะดุ้ง ก่อนสอดใส่รุ่นพี่จะเล้าโลมจนความต้องการของหนุ่มรุ่นพี่ไม่เคยสร้างความเจ็บปวดให้เขา นั่นคือในยามที่รุ่นพี่มีสติปกติ

เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทั้งจูบทั้งแรงกอดรัด และการแรงกัดที่ทำให้เขามีรอยจ้ำช้ำเขียว มันมากพอที่จะบอกว่า เซ็กส์ในวันนี้จะไม่เหมือนเดิม เขาอาจจะเชื่องช้า ไม่ฉลาด คิดแก้ไขปัญหาไม่ทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลับ แต่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดก็คอยเตือนถึงสิ่งที่ต้องทำ แม้การกระทำบางอย่างมันอาจจะดูไร้ศักดิ์ศรีในสายตาคนอื่น แต่สำหรับเขา การพยายามสู้หรือต่อต้านไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป ฮารุโตะพอใจที่จะเป็นเช่นนี้ เป็นคนอ่อนแอที่คอยหลบอยู่ในที่ปลอดภัย

ฮารุโตะปล่อยให้ชายหนุ่มนอนแช่น้ำอุ่น ก่อนจะออกมาหาผ้าเช็ดตัว ตู้เหนือศีรษะของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้านนอกมีทั้งเสื้อคลุมและผ้าเช็ดตัว จึงหยิบกลับเข้าไปด้านใน พาดไว้ที่ราวแขวน และจัดการปล่อยน้ำในอ่าง

หนุ่มรุ่นพี่ตัวใหญ่กว่าเขามากจนฮารุโตะไม่รู้ว่าจะพาอีกฝ่ายออกจากห้องน้ำได้อย่างไร และจังหวะนั้นรุ่นพี่ฮายาชิได้โผล่มาพอดี เด็กหนุ่มจึงยิ่งเบาใจขึ้นอีก

“ขอโทษที พวกนั้นไม่ยอมกลับง่ายๆ”

เมื่อฟังเหตุผลแล้วเขาเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่คิดจะห่วงเพื่อนตัวเองสักเท่าไหร่ หรือไม่อาจจะจงใจให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่ต้องการให้เหตุการณ์เป็นแบบนี้ทำไม ฮารุโตะเองก็คิดไม่ออก

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่ฮายาชิยกตัวรุ่นพี่ชิมิซึออกจากอ่างให้หน่อยได้ไหมครับ”

“ได้ ว่าแต่นายไม่เป็นอะไรนะ”

“ก็...ยังปกติดีครับ”

เห็นสายตาของรุ่นพี่ร่างสูงที่มองปากกับคอของเขาแล้วฮารุโตะจึงไม่ได้พูดอะไรอีก

ถึงจะมีหนุ่มรุ่นพี่อีกคนเข้ามาช่วย การนำผู้ชายร่างใหญ่ซึ่งไม่ได้สติออกจากอ่างน้ำก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล เพราะแม้ฮายาชิ เรียวตะจะตัวโตกว่าฮารุโตะ แต่รูปร่างของเขายังบางกว่าชิมิซึ ซากิที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย

ฮารุโตะจัดการเช็ดตัวและสวมเสื้อคลุมให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้าน ขณะที่เรียวตะพักเหนื่อย เนื่องจากหลังจากนี้เขายังมีงานหนัก ต้องแบกเพื่อนสนิทกลับไปยังห้องนอน

เขาจับแขนคนที่ไม่ได้สติขึ้นพาดบ่า ให้ฮารุโตะช่วยพยุงยามที่เขาแบกซากิยกขึ้น ยันตัวยืนด้วยอาการซวนเซ รู้สึกเสียใจขึ้นมาคร้ามครัน ที่ยอมทำตามที่ซากิสั่ง ถ้าเขาบอกเอคิจิ เขาคงไม่ต้องลำบาก

“ห้องติดบันไดทางซ้ายมือ”เรียวตะพูดได้แค่นั้น ปล่อยให้ฮารุโตะรีบเดินไปเปิดประตูห้อง ขณะที่เขาพยายามก้าวเท้าแบกร่างอันหนักอึ้งไปตามทาง ตอนที่ได้วางร่างหนาหนักบนบ่าลง เรียวตะจึงรู้ซึ้งกับสุภาษิตยกภูเขาออกจากบ่า

รอให้หายเหนื่อย ฮายาชิ เรียวตะจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าของเจ้าของห้อง หยิบชุดนอนที่มีแขวนอยู่ในตู้ออกมาสองชุด ส่งชุดหนึ่งให้ฮารุโตะ ส่วนอีกตัวเขานำมันไปสวมให้เพื่อนสนิท

เมื่อเดินออกมาจากห้องนอนของเจ้าของบ้านเป็นจังหวะพอดีกับหนุ่มรุ่นน้องที่กลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้งในชุดนอนแขนยาวที่ชายเสื้อยาวไปถึงครึ่งต้นขา เรียวตะแกล้งผิวปากแซว เมื่อสังเกตเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องไม่ใส่กางเกงและพับแขนเสื้อมากองไว้ที่ข้อศอก

“คืนนี้นอนที่นี่แล้วกัน”

“ก็คงต้องอย่างนั้นครับ”เด็กหนุ่มพูดพลางยกเสื้อผ้าที่เปียกโชกให้ดู

“ห้องด้านหลังของชั้นล่างมีเครื่องซักผ้าอยู่”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ

“ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับเลยนะ”

“ไม่คิดจะอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อยหรือครับ เผื่อ...รุ่นพี่ชิมิซึจะตื่นมาอาละวาดอีกรอบ”ซึ่งเขาอาจจะไม่มีแรงจัดการแล้ว

“ไม่แล้ว นายวางใจได้”คนพูดเงียบไปครู่หนึ่ง ฮารุโตะจึงเลิกคิ้วเป็นเชิงให้อีกฝ่ายอธิบายต่อ “มันโดนยาปลุกน่ะ ถ้าหมดฤทธิ์ยาก็ไม่มีปัญหาแล้ว”

“อ่า... ครับ”

“ไม่ต้องถามนะว่ามันโดนเข้าไปได้อย่างไร ฉันไม่รู้เหมือนกัน มันไปเข้าห้องน้ำ แล้วส่งข้อความมาบอกให้ตามไปหา แล้วก็เจอมันสภาพกำลังย่ำแย่ เลยพากลับมาที่บ้าน”

ฮารุโตะเดินตามหนุ่มรุ่นพี่ไปจนถึงหน้าบ้าน

“พรุ่งนี้ซากิมันอาจจะมีสภาพอ่อนเพลีย ขาดน้ำ หรืออาจจะมีไข้ ฝากนายช่วยดูมันหน่อยนะ”

“เหมือนรุ่นพี่จะรู้ดีจังเลยนะครับ”

คนถูกว่าว่ารู้ดี หัวเราะแหะๆ “มีคนเคยเล่าให้ฟังนะ อย่างไรก็ฝากด้วย”เรียวตะย้ำอีกครั้งก่อนจะก้าวออกจากบ้านไป

ฮารุโตะดูปิดล็อกประตูบ้าน แล้วเอาเสื้อผ้าไปใส่เครื่องซักผ้า ในห้องนั้นเหมือนเป็นห้องที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านด้วย เขาจึงหยิบไม้ถูพื้นขึ้นไปเช็ดน้ำที่หยดเป็นทาง เสร็จแล้วนำมาเก็บไว้ที่เดิม เดินไล่หาปิดสวิตซ์ไฟทางเดิน แล้วกลับไปที่ห้องของรุ่นพี่อีกครั้ง

ชายหนุ่มร่างสูงนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง เขายืนมองอยู่ครู่เดียวจากนั้นเลี่ยงไปหาฟูกสำรองหรือเครื่องนอนที่พอจะใช้ได้ ภายในตู้มีผ้าห่มผืนหนาสำหรับหน้าหนาวกับหมอนสำรองอยู่ ฮารุโตะจึงดึงออกมาใช้ เจอผ้าห่มผืนบางอีกผืนหลังจากที่ลองรื้อดู เด็กหนุ่มนำมันมาปูห่างจากเตียงของเจ้าของห้องไม่ไกลนัก และหยิบนาฬิกาข้อมือที่แสนทนทายาดของเขามากดปิดการตั้งเวลา อีกชั่วโมงกว่าๆจะถึงเวลาตื่นยามปกติของเขา ฮารุโตะจึงไม่อยากให้อะไรมารบกวนการนอนอีก จากนั้นจึงปิดไฟและล้มตัวลงนอน


ภาพที่เห็นตรงหน้าตอนลืมตาตื่นดูแปลกๆ เขาหลับตาลงและนึกทวนความทรงจำ ฮารุโตะจำได้ว่าเมื่อคืนเขามานอนที่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึ แต่เขาไม่ได้ปูที่นอนฉุกเฉินชิดกำแพงขนาดนี้ เมื่อสติกลับมาครบถ้วนมากขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวที่หน้าผาก ฮารุโตะลืมตาขึ้นอีกครั้งและเงยหน้า ใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้านใกล้ชิดติดปลายจมูก เขาผละตัวออกห่างแต่กลับโดนกอดรัดไว้แน่น

“โอ๋ๆ นอนนะ”อีกฝ่ายพึมพำคลายละเมอ เด็กหนุ่มจึงจำเป็นต้องเขย่าตัวปลุก

“รุ่นพี่ครับ”

ชิมิซึ ซากิไม่ใช่คนขี้เซาปลุกยากแม้ในยามนี้ก็ตาม แต่เมื่อถูกปลุกขึ้นมาแล้วกลับรัดเขาไว้แน่นกว่าเดิม ซ้ำยังซุกจมูกเข้าหา พลางแสร้งหลับตาลงอีกครั้ง

“รุ่นพี่ครับ ตื่นก่อน”ฮารุโตะเรียกซ้ำ เห็นอีกฝ่ายยังนิ่งเงียบจึงได้กล่าวต่อ “ทำไมมานอนตรงนี้ละครับ กลับขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ”หนุ่มรุ่นพี่ยังนิ่งเฉย เขาจึงย้ำอีกครั้ง “นะ ขึ้นไปนอนบนเตียงกันเถอะ” จากนั้นเขาจึงถูกอุ้มให้ไปนอนบนเตียงตามที่เอ่ย

ฮารุโตะเหลือบตามองใบหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังนอนหลับตา ใบหน้าของรุ่นพี่ชิมิซึดูซีดเซียวกว่าปกติ เขาลากมือไปตามเรียวปากที่แห้งผาก ชายหนุ่มจึงอ้าปากงับนิ้วเขาไว้แล้วลืมตาขึ้น

“หิวแล้วใช่ไหม เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทาน”

หลังจากงับนิ้วยังตามมางับปาก งับจมูกแล้วพลิกตัวขึ้นทาบทับ ก่อนที่เจ้าตัวจะวางศีรษะไว้นิ่งแถวซอกคอ “มึนหัว”

เด็กหนุ่มหัวเราะเสียงเบา ดันร่างสูงใหญ่ให้นอนหงาย ลุกขึ้นนั่งมองหนุ่มรุ่นพี่ที่ยังคงหลับตานอนนิ่ง

“เดี๋ยวผมไปทำอะไรให้ทาน”

ซากิลืมตาพรึบ จับข้อมือเล็กบางนั้นไว้ ฮารุโตะปลดมือเขาออกยกยิ้มให้ราวกับช่วงเวลาที่พวกเขาห่างเหินกันหลายอาทิตย์ก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น “เดี๋ยวผมกลับมานะครับ”

ชายหนุ่มมองตามจนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากกรอบประตู ถึงได้หลับตาลงอีกครั้ง นอนฟังเสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่งๆ จนคล้ายว่าจะหลับไปอีกรอบ หรืออาจจะผล็อยหลับไปชั่วครู่จริงๆ เขาก็ไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาลืมตาขึ้นทันทีพร้อมกับขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ฮารุโตะรีบเอาถาดที่ยกขึ้นมาด้วยไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วกลับมาช่วยพยุงตัวเขา ตอนนั้นซากิจึงได้เห็นเสื้อผ้าที่หนุ่มรุ่นน้องใส่อยู่เต็มตา และรอยช้ำม่วงที่ต้นคอซึ่งสะดุดตามากที่สุด

เด็กหนุ่มเดินกลับไปหยิบถาดกลับมา ซากิรับมันมาวางไว้บนตัก รอให้รุ่นน้องหาที่นั่งได้ถนัดเจ้าตัวจึงหยิบถาดไปวางไว้บนตักตัวเอง ฮารุโตะหยิบช้อนขึ้นมาคนถ้วยข้าวต้มให้คลายร้อน ซากิจึงได้มีโอกาสจับจ้องรอยจ้ำซึ่งโผล่พ้นคอเสื้อของเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ชัดตา เขายกมือขึ้นแตะ

“เจ็บไหม”

“เจ็บมาก”รอยชัดน่ากลัวขนาดนี้ ให้โกหกว่าไม่เจ็บใครที่ไหนจะเชื่อ แต่เมื่ออยู่เฉยๆไม่ไปโดน มันก็ไม่เจ็บ ฮารุโตะบอกไปแบบนั้น

“ขอโทษนะ”

“ให้อภัยครับ ทานเถอะ”ฮารุโตะยกช้อนมาจ่อถึงปาก ซากิอ้าปากรับหลังจากที่เคี้ยวและกลืนจนหมดจึงพูดว่า

“กินด้วยกัน”

หนุ่มรุ่นน้องจึงได้ตักข้าวเข้าปากบ้าง อีกคำก็ป้อนหนุ่มรุ่นพี่ แบ่งกันกินจนข้าวต้มหมดถ้วย ฮารุโตะจึงลุกจากเตียงเพื่อเอาถ้วยและถาดไปเก็บ แต่คราวนี้เด็กหนุ่มหายไปนานจนคนที่นั่งอยู่บนเตียงอยากจะลุกขึ้นไปตาม ทว่าตอนที่กำลังขยับตัว ฮารุโตะก็กลับมาพร้อมกล่องปฐมพยาบาลในมือ

“ขอโทษครับ ผมหานี่อยู่”เด็กหนุ่มพูดพร้อมยกขอในมือให้ดู อีกมือถือแก้วน้ำมาด้วย

“รุ่นพี่ตัวรุมๆ ทานยาสักหน่อยนะครับ”

ฮารุโตะหยิบยาในกล่องขึ้นมาอ่านวันหมดอายุ จากนั้นจึงเทใส่มือแล้วป้อนให้ถึงปาก และส่งน้ำให้ หลังจากทานน้ำเสร็จ ซากิโน้มหน้าลงให้หน้าผากชนกับหน้าผากของฮารุโตะ จ้องสบนัยน์ตาสีน้ำตาล

“ดูแลดีจัง”

คนถูกชมแค่ยกยิ้ม หากในใจหวังว่า รุ่นพี่จะชอบเขาเพิ่มมากขึ้น

เขาหยิบยาแก้ฟกช้ำมาส่งให้อีกฝ่าย “ทาให้หน่อยนะครับ”

เสื้อชุดนอนของซากิเมื่อมาอยู่บนตัวของฮารุโตะ ปรากฏว่าคอเสื้อนั้นกว้างจนเห็นรอยฟันครบทุกซี่ แต่คนใส่ก็ยังขยับคอเสื้ออีกเล็กน้อยเพื่อให้หนุ่มรุ่นพี่ทายาได้สะดวก

“อ่อยหรือเปล่าเนี่ย”คนถามยังคงประดับรอยยิ้มบนในหน้า หลังจากทายาให้หนุ่มรุ่นน้องเสร็จจึงปิดฝากระปุกยาและวางมันคืนไว้ที่เดิม

คนถูกถามเลิกคิ้วมอง ราวกับจะถามกลับว่าแบบไหนที่เรียกกว่าอ่อย

ซากิรั้งร่างเล็กกว่าขึ้นมานั่งคล่อมบนตัก  มือข้างนั้นลูบต่ำลงสะโพก “ไม่มีกางเกงข้างในจริงๆเรอะ”

ฮารุโตะหน้าแดง “กางเกงของรุ่นพี่มีแต่ตัวใหญ่ๆ เมื่อวานรุ่นพี่จำได้หรือเปล่าว่าดึงผมลงไปในน้ำจนเปียกทั้งตัว ที่จริงผมเอาเสื้อผ้าลงเครื่องซักผ้าไว้แล้ว แต่เมื่อคืนผมเข้านอนเลยไม่ได้ย้ายไปใส่เครื่องอบ เลยเพิ่งเอาไปตากเมื่อสายนี่เอง”

เห็นคนบนตักขยับปากจ้อยๆแล้ว รู้สึกอดไม่ได้ ปากสีแดงอิ่มน่ากัดจนเขาต้องประทับจูบลงไป ร่างในอ้อมแขนชะงักกระนั้นยังคงจ้องตอบไม่หลบสายตาหนี ไม่ว่าเขาจะขบเม้มแทรกปลายลิ้นเข้าไปเกี่ยวพัน แววตาสีน้ำตาลเชื่อมหวานทำให้เขาใจเต้น ร่างด้านบนบดเบียดเข้าหาราวกับกระตุ้นเร้า เขาหยอกเย้าดูดกลืนขบย้ำปลายลิ้นที่พันเกี่ยวกันซ้ำๆ สองมือไต่ไปตามร่องสะโพกด้วยความเคยชิน

“อ๊ะ!!!”เด็กหนุ่มรุ่นน้องร้องอุทาน เมื่อเขาส่งปลายนิ้วเข้าไปด้านใน “รุ่นพี่จะทำหรือครับ... อื้อ”ฮารุโตะผวาเยือกยามที่เขาบดขยี้ ยามนั้นมีแต่เสียงครางหอบ หนุ่มรุ่นน้องยกมือขึ้นปิดปากตามความเคยชิน มือข้างหนึ่งเกาะไหล่เขาไว้และโหย่งสะโพกให้เขากระทำได้ถนัดถนี่

ซากิใช้สองนิ้วกระตุ้นภายในช่องทางอุ่นร้อน เค้นคลึงกดขยี้ผนังด้านในร่วมกับใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้นวดเฟ้นผิวเนื้ออ่อนด้านนอก มืออีกข้างบีบคลึงตุ่มไตบนแผ่นอก ไม่ช้าไม่นาน ฮารุโตะที่โดนเล้าโลมทั้งด้านบน และรุกรานทั้งด้านล่างจึงปลดปล่อยน้ำเมือกขาวขุ่นออกจากส่วนปลายให้เลอะชายเสื้อซึ่งปิดบังไว้จนชุ่ม เด็กหนุ่มปล่อยร่างกายให้เอนพิงกับอกกว้าง

“จะทำจริงๆหรือครับ”ฮารุโตะถามซ้ำ เมื่อสัมผัสถึงแท่งเอ็นอุ่นร้อนที่ตนช่วยอีกฝ่ายคลายความทรมานไปเมื่อคืน





หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 14 : 20/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 20-03-2017 00:07:58
“คิดว่าทำไม่ไหว?”เขาถามพลางดันร่างเด็กหนุ่มให้นอนราบลงกับเตียง รั้งชายเสื้อขึ้นให้เปิดเปลือยทุกอย่าง ฮารุโตะขยับขาอย่างสะทกสะเทิ้นประดักประเดิด ซากิจึงตามไปนั่งตรงหว่างขา งัดแก่นกายเหยียดแข็งให้หลุดออกมาจากใต้กางเกงผ้า สาวรูดต่อหน้าจนฮารุโตะต้องกลืนน้ำลายเอือก สะกิดเร้าพอให้ส่วนปลายเปียกลื่นก่อนจะจดจ่อกับช่องทางที่เต้นตุบๆอย่างเรียกร้อง

ฮารุโตะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ยามที่ความร้อนผ่าวนั้นแตะสัมผัส ร่างกายยิ่งระริกไหวเมื่อชายหนุ่มยังแค่หมุนคลึงอยู่ด้านนอก เด็กหนุ่มหอบหายใจ นึกสงสัยขัดเคือง ไม่รู้ว่าตนเป็นคนลามกร่านรักแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขายกขาออกกว้างโดยหวังให้หนุ่มรุ่นพี่กดชำแรกเข้ามาเสียที และแล้วการเรียกร้องของเขาก็สัมฤทธิ์ผล

ช่องทางอุ่นร้อนโอบอุ้มดูดกลืนชายหนุ่มเข้าไปอย่างเชื่องช้า ซากิจับยึดต้นขาเรียวของหนุ่มรุ่นน้องไว้เป็นหลัก ขยับถอนและกดแทรกให้ลึกเข้าไป สอดลึกเข้าไปจนแนบแน่น ผนังด้านในเต้นตุบๆประสานเป็นจังหวะเดียวกับเสียงหัวใจของเขา เขาล้มตัวทับแกล้งพูดออกไปว่า “หมดแรงแล้ว”

หนุ่มรุ่นน้องทำตาโตมากไปกว่าเดิม

“จริงดิ”

เขาพยักหน้า ซุกศีรษะหนุนตรงซอกคอของคนที่นอนอยู่ด้านล่าง “ง่วงแล้วด้วย”

“ไม่เอานะ”ฮารุโตะร้อง พยายามผลักร่างหนาให้ลุกออกจากตัว ปล่อยให้เขาค้างยังไม่เท่าไหร่ แต่จะมาทิ้งค้างไว้แบบนี้เขาไม่เอาด้วยหรอก เด็กหนุ่มดิ้นหยุกหยิก ก่อนจะต้องหลุดเสียงครางออกมาเพราะหนุ่มรุ่นพี่กอดรัดแน่นทั้งยังกระทุ้งเข้าหาไม่หยุด

“จะทำก็ทำเถอะครับ อ่ะ แบบ...แบบนี้ไม่เอาหรอกนะ”คนพูดเสียงกระเซ่า

“ไม่เอาก็ไม่เอา เพราะฉะนั้นนอนเฉยๆได้แล้ว”ซากิบอกเสียงเรียบ

“ไม่ใช่แบบนั้นครับ”อยู่แบบนี้จะนอนเขาก็หลับไม่ลง “ผมทำให้เองไหมครับ”

“จะลักหลับ?”

“โธ่! ไม่ใช่หรอกครับ”

“ก็ฉันจะนอน แต่นายจะทำ”

“รุ่นพี่ต่างหากที่อยากจะทำ”

“แต่ตอนนี้ไม่อยากทำแล้วไง”

“ถ้าอย่างนั้นก็ลุกไปสิครับ”

“ก็รุกอยู่”

ฮารุโตะขมวดคิ้วออกอาการฮึดฮัดจนซากิหลุดหัวเราะ

“แกล้งหรือครับ”ฮารุโตะอยากจะหยิกอีกฝ่ายให้เนื้อเขียว ติดเพียงแต่ว่าจับไปตรงไหนก็มีแต่กล้ามแข็ง จนเขาทำได้แค่จิกเล็บลงไป กระนั้นร่างที่อยู่ด้านบนกลับกระทั้นกายจนเขาต้องยอมปล่อย

“รุนพี่ชอบความรุนแรงหรือครับ”ฮารุโตะถามเมื่ออีกฝ่ายหยุดอยู่นิ่งอีกครั้ง

“อย่างไรดีนะ”อีกฝ่ายลอยหน้าลอยตาตอบ “แล้วนายละ”

“ไม่ชอบ”เด็กหนุ่มตอบทันที ไล้ปลายเท้าไปตามท่อนขาแกร่งอย่างพึงใจยามที่ชายหนุ่มเริ่มต้นขยับสะโพกเอื่อยๆ ร่างด้านบนเท้าศอกกับฟูกนอนเพื่อให้มีระยะสามารถมองเห็นหน้ากันชัด

“แล้ววันนั้นละ...ที่โอซาก้า เป็นอะไร”

ฮารุโตะนิ่งงันไปกับคำถาม  เบือนหน้าหนีแล้วหลับตาลงเมื่ออีกฝ่ายกระชั้นอารมณ์ให้ทะยานสูง ก่อนมันจะถูกหยุดลงอีกครั้ง เด็กหนุ่มลืมตาขยับตัวอย่างทรมาน  ข้อมือทั้งสองข้างถูกมือใหญ่กว่าจับยึดไว้

“รุ่นพี่”เขาส่งสายตาอ้อนวอนขอร้อง บีบรัดกระตุ้นโดยหวังว่าอีกฝ่ายจะทนไม่ไหวเช่นกัน

“บอกมาก่อน”

“ก็รุ่นพี่โมโห หน้าตาน่ากลัวเหมือนยักษ์”

ซากิหัวเราะกับคำเปรียบเปรย เหยียดเอวสอดลึกแล้วถอนออกก่อนกระแทกซ้ำให้ได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน คลอไปกับเสียงพูดเสียงครางของหนุ่มรุ่นน้อง

“อ่ะ... อ่ะ... ห้ามโน่น ห้ามนี่ อึ๊...ฟาด..งวงฟาดงา ...จนกลัวจะ อะ โดนลูกหลง”

ส่วนปลายอันชูชันของเด็กหนุ่มกลับมาฉ่ำเยิ้มด้วยเมือกน้ำอีกครั้ง มันถูกถูไถกับเสื้อชุดนอนที่รุ่นพี่ร่างสูงสวมใส่ บางครั้งก็เป็นกระดุม ทำให้เขาต้องไหวสะดุ้งทุกครั้งพร้อมกับบีบรัดภายในและปลายเท้าจิกเกร็งด้วยความซ่านเสียว เขาอึดอัดร้อนรนเพราะอยากปลดปล่อย แต่อีกฝ่ายกลับรั้งจังหวะลงทุกครั้ง ดังนั้นเมื่อหนุ่มรุ่นพี่ถามอะไรมาเขาจึงพูดออกไปเสียหมด

“โยชิดะซังกับซาซากิซัง เขาบอกว่าไม่ให้เข้าใกล้รุ่นพี่”

“แล้วก็เชื่อ?”

ฮารุโตะหอบหายใจ สมองมึนเบลอร่างกายเครียดขึงขมวดเกลียวครั้งแล้วครั้งเล่าหลายครั้งหลายคราจนเขาคิดอะไรไม่ออก “กลุ่มนั้นตั้งห้าคน ต่อให้เป็นผู้หญิง แต่ถ้าโดนรุม ผมก็สู้ไม่ไหว”เขาน้ำตาไหลแต่ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไรกันแน่ หลังจากนั้นรุ่นพี่ชิมิซึจึงยอมปลดปล่อยเขาเสียที

เด็กหนุ่มผล็อบหลับไปแทบในทันทีที่แสงระยิบระยับพร่างพรายจางหายไป

ฝ่ายคนกระทำคงไม่ต่างกัน เพราะตอนที่ฮารุโตะรู้สึกตัวตื่น ร่างกายของเขาเหนียวเหนอะหนะไปหมด กระนั้นตอนที่ขยับตัวลุกขึ้น หนุ่มรุ่นพี่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วย ซ้ำยังตามมาลวนลามไม่ห่าง

“รุ่นพี่ไม่...อ่อนเพลีย หรืออะไรทำนองนี้บ้างหรือครับ”

“ทำไมละ”

“รุ่นพี่ฮายาชิบอกไว้แบบนั้น”

“อืม พอได้นอนพักมันก็หาย”ซากิว่าพลางกดจมูกไปตามลาดไหล่บาง

“แล้วไม่หิวหรือครับ”

“อือ ลงไปทำในครัวก็เป็นความคิดที่ดี”

“ไม่ ไม่เด็ดขาด”

“กลัวมีใครมาเห็น? ไม่ต้องกลัวหรอกนะ บ้านนี้มีฉันอยู่คนเดียว”

“แล้วพ่อกับแม่ของรุ่นพี่ละครับ”ฮารุโตะผละตัวออกห่าง ดันให้อีกฝ่ายหันมามองหน้า

“พ่อของฉัน ส่วนใหญ่แค่กลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้า นานๆครั้งถึงจะกลับมานอนบ้าน ส่วนแม่เสียไปหลายปีแล้ว”

“ผม...”เขาพูดอะไรไม่ออก

“ฉันไม่เสียใจแล้ว นายเองก็ไม่ต้องมาเสียใจด้วย”ซากิโน้มหน้าผากชนกับอีกฝ่าย “ถ้านายอยากช่วยจริงๆ...”ชายหนุ่มพูดทิ้งค้างไว้แค่นั้น แล้วจับสะโพกเล็กบางของหนุ่มรุ่นน้องยกลอยขึ้น ของเหลวที่เขาปล่อยทิ้งไว้ในตัวอีกฝ่ายจึงไหลย้อยไปตามง่ามขา ฮารุโตะยืนด้วยเข่าคล่อมร่างหนุ่มรุ่นพี่ไว้ รู้ตัวว่าอย่างไรก็คงหนีไม่ได้ เขาดึงชายเสื้อขึ้นปล่อยให้อีกฝ่ายแหวกร่องสะโพกก่อนจะทิ้งตัวบนแท่งเอ็นชูชัน หนุ่มรุ่นพี่ช่วยพยุงจนรับเข้าไปได้ทั้งหมด และรอบนั้นเขาเป็นคนจัดการเอง ทุกอย่างจึงเสร็จลงอย่างรวดเร็ว

เขาจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ แต่โดนล็อคตัวให้แค่กวาดเอาสิ่งที่เหลือค้างออกไปเท่านั้น

ตอนที่ลงไปทำอาหารมื้อที่สองคนวัน ชายหนุ่มร่างสูงยังคงตามไปเกาะแกะ กอดบ้าง หอมบ้าง ฉะนั้นกว่าที่จะทำกับข้าวเสร็จจึงใช้เวลานานโข ระหว่างทานข้าวเอง ฮารุโตะต้องเป็นฝ่ายป้อนข้าวให้หนุ่มรุ่นพี่ และเหตุการณ์ก็เป็นไปในทำนองป้อนไปโดนลวนลามไป หลังจากนั้น เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงโดนลากไปทั่วก่อนจะมาจบลงบนเตียงอีกครั้ง

ฮารุโตะเหนื่อยหอบไร้เรี่ยวแรง วันนี้ทั้งวันพวกเขาไม่ได้ทำอะไรเลย และที่สำคัญเขาต้องโทรไปลางานด้วย โดยใช้โทรศัพท์ของหนุ่มรุ่นพี่ เพราะโทรศัพท์ของเขาแบ็ตเตอรี่หมดไปแล้ว

อย่างไรก็ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับรุ่นพี่ก็ย้อนคืนกลับมาเหมือนอย่างที่เขาอยากให้เป็น เด็กหนุ่มขยับเบียดซุกตัวกับชายหนุ่มที่นอนหงายอยู่ข้างๆ

“ไม่ไหวแล้วจริงๆละ”รุ่นพี่โน้มมาจูบที่หน้าผาก “ขอพักแป็บ เดี๋ยวมาทำต่อ”

หนุ่มรุ่นน้องหัวเราะ “ไม่ได้อยากทำครับ แค่อยากนอนใกล้ๆ”ฝ่ายนั้นจึงขยับตัวนอนตะแคง พาดแขนบนบั้นเอว

“แบบนี้โอเคไหม”

“อือ”

ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกัน

กว่าฮารุโตะจะได้กลับไปที่ห้องพักของตน นั่นเป็นเวลาหลังเลิกงานของอีกวัน และเมื่อกลับไปถึง เขาเจอทาคุมินั่งสัปหงกอยู่หน้าประตู เมื่ออีกฝ่ายเห็นหน้าเขาก็โวยวายขึ้นมาทันที ไม่สนใจรุ่นพี่ร่างสูงที่เดินตามหลังมาและไม่สนใจว่าตอนนี้จะเป็นเวลาดึกดื่นแค่ไหน

“หายไปไหนมาเนี่ย โทรศัพท์ไปก็โทรไม่ติด เป็นห่วงรู้ไหม นึกว่าโดนดักฉุดไปฆ่าปาดคอแล้ว”

ฮารุโตะสืบเท้าเข้าไปใกล้ยกมือขึ้นปิดปากทาคุมิ และบอกให้เบาเสียงลงหน่อย

“พูดจาอัปมงคล”คำพูดนั้นเป็นของซากิ

“รุ่นพี่ลองเป็นผมดูมั่งไหมละ ตอนเช้าผมโทรไปไม่รับสาย ไอ้เราก็คิดว่าไปรอที่ห้องชมรมน่าจะเจอ จนสายก็ไม่มา โทรหาอีกทีคราวนี้ปิดเครื่อง ถามใครก็ไม่มีใครเห็น ผมกะว่าถ้าวันนี้ยังไม่กลับมาที่ห้อง ผมจะไปแจ้งความแล้ว”

“เรียวตะด้วย?”

“ใช่ครับ”ทาคุมิตอบรับ ฮารุโตะจึงหันมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่บ้าง ชายหนุ่มร่างสูงผู้ที่เป็นเพื่อนสนิทกับคนที่ถูกกล่าวถึงจึงแค่โคลงศีรษะไม่ได้ไขข้อสงสัยให้กระจ่าง เขาใช้กุญแจห้องที่มีอยู่เปิดประตู กดเปิดสวิตซ์ไฟใกล้ประตูและเดินนำเข้าไปในห้อง

ทาคุมิเดินตามเข้ามาเปิดตู้เก็บของหยิบแก้วออกมาเปิดน้ำใส่อย่างคุ้นเคย ยกขึ้นดื่มจนหมดแก้วจึงหันมาถามหนุ่มรุ่นพี่หนึ่งเดียวที่อยู่ในห้อง“น้ำไหมครับ”

ซากิสั่นศีรษะปฏิเสธ

“เอ่อ...”เจ้าของห้องมองพวกเขาทั้งคู่เก้ๆกังๆ ซากิจึงเอ่ยปากพูดก่อน “ซาโต้ กลับบ้านไปได้แล้ว”

“ดึกป่านนี้แล้ว ผมจะกลับอย่างไรละครับ รุ่นพี่นั่นแหละมาทำอะไร”

ผู้มากวัยที่สุดในกลุ่มขมวดคิ้ว ฮารุโตะกลัวรุ่นพี่จะอารมณ์เสียจึงเข้าไปหาและพูดอธิบาย “ช่วงนี้ ซาโต้ซังเขามานอนกับผมที่ห้องนะครับ”

“นอน?”

เสียงแข็งขึ้นมาทันที เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงรีบลูบแขนลูบไหล่ หวังให้อารมณ์หงุดหงิดของหนุ่มรุ่นพี่คลายลง “นอนค้างเฉยๆครับ นอนอย่างเดียว”

“ทำไมต้องพูดเหมือนแก้ตัวแบบนั้นด้วย นายกับรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”คนที่อยากให้มีเรื่องพูดกวนอย่างพยายามก่อเรื่องขึ้นมาให้ได้ คำพูดคำจาเหมือนจะบอกฮารุโตะ แต่สายตาจ้องท้ารุ่นพี่ร่างสูงเหย็งๆ

ซากิมองหน้าคนที่กวนประสาทแล้วของขึ้น แต่ทว่าท่าทีเหมือนจะมีระเบิดลงพลันเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขากอดอกมองแล้วยกยิ้ม “มิอุระจะทำอะไรกับใครที่ไหน ก็ไม่ได้ไปวุ่นวายอยู่บนหัวนายนี่ จะมายุ่งเรื่องของคนอื่นเขาทำไม”

คราวนี้คนที่เต้นผางๆกลายเป็นทาคุมิ

ซากิคว้ากระเป๋าของฮารุโตะขึ้นมาถือทั้งคว้าข้อมือเล็กกว่าขึ้นมาจับ เดินนำให้เจ้าของห้องออกจากห้อง พร้อมทิ้งคำพูดประโยคสุดท้ายไว้

“ถ้านายอยากนอนที่นี่ก็เชิญตามสบาย”

ซาโต้ ทาคุมิรีบวิ่งตามทั้งสองคนออกจากห้องโดยไว “ผมจะมานอนกับเพื่อนผมต่างหาก”

“อ่อ ถ้าอย่างนั้นเชิญกลับบ้านไปได้เลย เพื่อนนายไม่ต้องการเพื่อนนอนคนอื่น...นอกจากฉัน”

เด็กหนุ่มอยากจะกระทืบเท้าอย่างขัดใจ หันไปมองหน้าเพื่อนคนที่ว่า แค่เห็นสีหน้า ทาคุมินึกรู้คำตอบทันทีว่าเขาไม่ใช่คนที่ถูกเลือก ได้แต่มองรุ่นพี่ชิมิซึสลับกับฮารุโตะอยู่อย่างนั้น จนใจคิดไม่ออกจึงต้องอ่อนข้อเข้าไปเกาะแขนหนุ่มรุ่นพี่

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ผมขอโทษขอไปนอนด้วยคนนะ”เขาเองเคยได้ยินเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับบ้านเช่าที่ฮารุโตะพักอยู่เหมือนกัน ตอนที่รออยู่หน้าห้องเขายังรู้สึกหวาดๆ แต่อารามเป็นห่วงมันมากกว่า อีกอย่างคือนั่งรอนานๆดันเผลอหลับไป  เลยไม่ค่อยคิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ตื่นเต็มตา ที่สำคัญต้องนอนคนเดียวตลอดทั้งคืน จะกลับบ้านนี่ก็ดึกมากจนไม่มีรถบัสวิ่งให้บริการแล้ว หรือจะให้เดินกลับ บ้านของเขาก็ไม่ได้อยู่ใกล้ๆ

ซากิขี้เกียจต่อความ จึงเออออไปง่ายๆ “กลับไปดูล็อคประตูให้เรียบร้อย”

“ครับ”ทาคุมิรับคำ หันไปจัดการล็อคห้องตามคำสั่ง ขณะที่ซากิยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก เห็นทาคุมิกลับมายืนยิ้มยกมือบอกโอเค เขาจึงก้าวเท้าเดินนำ รอสายอยู่ครู่ใหญ่กว่าปลายสายจะกดรับ

“ไปนอนด้วยนะ”

“ทำไมมาป่านนี้”เสียงปลายสายงัวเงีย ฟังเหมือนกำลังหงุดหงิด

“เออจะถึงแล้ว ลงมาได้เลย”เขากดตัดสาย เดินเท้าอีกครู่หนึ่งจึงถึงจุดหมาย

“บ้านใครอ่ะครับ”ทาคุมิถาม

“บ้านเรียวตะ”

ยืนรอไม่นานเจ้าของบ้านก็ลงมาเปิดประตู “ไปไหนกันมา ยกโขยงกันมาเพียบ”

“แค่สามคน”ซากิตอบ “แล้วก็ไม่ได้ไปไหน ห้องมิอุระที่ไม่พอ”

“อ่อ เงียบๆละ คนอื่นเขาหลับกันหมดแล้ว”เรียวตะเดินนำขึ้นไปชั้นบน “นอนห้องนอนแขกนะ ผ้าปูที่นอนอยู่ในตู้ ต้องจัดการกันเอง อยากมากันดึกๆนัก” เขาเปิดประตูห้องรับรองสองห้องที่อยู่ติดกันให้ดู ภายในเป็นห้องโล่งที่มีแค่เตียงควีนไซส์และตู้เสื้อผ้า

“อือ ขอบใจ”ซากิพูด เจ้าของบ้านจึงยกมือปิดปากหาว เดินกลับไปเข้าห้องของตัวเอง เขาจูงมือฮารุโตะให้เดินเข้าห้อง ทาคุมิก็ก้าวตามไปติดๆ

“ตามมาทำไม ไปนอนห้องโน้นสิ”

“รุ่นพี่จะให้ผมนอนคนเดียวหรือครับ ในที่ที่ผมไม่รู้จักเนี่ยนะ”

“นายไม่รู้จักเรียวตะหรือไง”คราวนี้เขาโมโหจริงๆแล้ว

“รุ่นพี่ชิมิซึ ให้ทาคุมินอนด้วยเถอะครับ เตียงตั้งกว้าง”

“กว้างที่ไหน นอนสองคนก็เต็มเตียงแล้ว”ซากิพูดอย่างหัวเสีย ก่อนจะตักบทไปว่า “เออ อยากทำอะไรก็ทำ”

ฮารุโตะจึงเดินไปเปิดประตู้เห็นมีฟูกนอนสำรองจึงเอาออกมาวางตามด้วยพวกเครื่องนอนอื่นๆ ทาคุมิจึงตามมาช่วยด้วย เขาสองคนจัดการปูผ้าปูที่นอน และฟูกสำรองจนเสร็จ

“เดี๋ยว ซาโต้ซังขึ้นไปนอนบนเตียงกับรุ่นพี่ก็ได้ เดี๋ยวผมนอนข้างล่างเอง”

ซากิจะหันไปตวาดใส่อยู่แล้ว แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มอีกคนจะไหวตัวทัน จึงกล่าวขึ้นมาก่อนว่า “เอ้ย ฮารุจังนั่นแหละต้องขึ้นไปนอนกับรุ่นพี่ชิมิซิ เออ เดี๋ยวไปอาบก่อน”คนพูดว่าพลางดันฮารุโตะมาส่งถึงบนเตียง

“ซาโต้ซังมารอตั้งแต่กี่โมง”ฮารุโตะถาม

“ตั้งแต่บ่ายๆอ่ะ กลัวคลาดกัน”

“โง่หรือเปล่า ไม่ไปดูที่ที่ทำงาน”ซากิพูดแทรกทะลุมากลางปล้อง

“ก็เมื่อวาน ฮารุจังไม่ได้ไปทำงาน”

“แล้วไม่ไปถามพนักงานคนอื่นที่เคาน์เตอร์”

“เขาบอกว่าไม่รู้”

ฮารุโตะมองหน้าอีกฝ่ายอย่างงุนงง ปกติถ้ามีใครลาหยุด ผู้จัดการจะเขียนชื่อไว้บนบอร์ด แล้วเมื่อวานเขาได้โทรไปลาแต่เช้า ซากิเห็นฮารุโตะขมวดคิ้วสงสัย เขารีบกล่าวตัดบทเพราะกลัวว่ารายการคำถามปริศนาจะยาวไปจนเช้า

“เออๆ รีบไปอาบน้ำเถอะ จะได้นอนซะที”

เห็นเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกคนหายเข้าไปหลังบานประตูแล้ว ซากิจึงหันมาดึงให้ฮารุโตะล้มตัวลงบนเตียง ให้อีกฝ่ายนอนชิดเข้าไปด้านในฝั่งติดกำแพง

“แปลกจัง”

“ไม่ต้องแปลกแล้ว คืนนี้นอนก่อนเถอะ”เมื่อโดนพูดย้ำเช่นนั้น ฮารุโตะจึงยอมหลับตาอย่างว่าง่าย และเพียงไม่กี่นาที ลมหายใจของหนุ่มรุ่นน้องก็ทอดยาวบ่งบอกว่าหลับสนิท ซากิแกล้งทำเป็นหลับ นอนฟังเสียงประตูห้องน้ำที่เปิดปิด รอจนแสงไฟในห้องถูกดับลง และอีกหนึ่งชีวิตในห้องล้มตัวลงนอน เขาจึงปล่อยให้ตัวเองนอนหลับบ้าง


ฮารุโตะตื่นแต่เช้าเช่นเดิม และเมื่อเขาขยับตัวหนุ่มรุ่นพี่ที่นอนอยู่ข้างกันจึงลืมตารู้สึกตัวตื่น

“น่าจะมีแปรงสีฟันอยู่ในตู้”เมื่อซากิเอ่ยปากบอกไปเช่นนั้น ฮารุโตะจึงก้าวลงจากเตียงไปหาของที่ว่า ชายหนุ่มจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งข้อความ และได้รับข้อความตอบกลับหลังจากนั้นไม่นาน เขาจึงหันไปปลุกอีกคนที่นอนอยู่บนฟูกนอนบนพื้น

“ซาโต้ ตื่นได้แล้ว”

ทว่าอีกฝ่ายยังนอนนิ่ง

“เดี๋ยวผมปลุกเองครับ”ฮารุโตะบอกพลางยื่นแปรงสีฟันส่งมาให้ ทรุดตัวลงนั่งด้านข้างด้วยตั้งใจจะเขย่าตัวปลุกผู้เป็นเพื่อน

“ไปแปรงฟัน”ซากิเอ่ยปากสั่ง ฮารุโตะจึงต้องลุกขึ้นยืนพร้อมกับสีหน้าจืดเจื่อน หมุนตัวกลับเข้าห้องน้ำและจัดการทำธุระส่วนตัว

“ตื่นได้แล้ว”เขาส่งเสียงเรียงพลางใช้เท้าสะกิดเด็กหนุ่มรุ่นน้อง กระนั้นเด็กหนุ่มซึ่งนอนอยู่บนฟูกยังคงหลับสนิท ซากิจึงก้มตัวดึงฟูกนอนสลัดเด็กหนุ่มให้ไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้น ทาคุมิจึงได้สะลึมสะลือลืมตาด้วยอาการไม่รู้เรื่องรู้ราว

“ฉันจะกลับแล้วถ้าอยากนอนต่อก็นอนไป”

ได้ยินคำพูดนั้นทาคุมิถึงตาสว่าง ซากิโยนแปรงสีฟันไปให้พร้อมกับบอกให้ไปใช้ห้องน้ำในห้องนอนแขกอีกห้อง เด็กหนุ่มอ้าปากหาวคล้ายยังไม่ตื่นดี แต่ยอมทำตามคำที่หนุ่มรุ่นพี่บอกอย่างว่าง่าย

ซากิใช้ห้องน้ำต่อจากฮารุโตะซึ่งหลังออกมาจากห้องน้ำ เด็กหนุ่มร่างเล็กได้จัดการเก็บกวาดสภาพห้องจนกลับมาเป็นเหมือนเดิม และลุกเดินไปเปิดประตูเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“อรุณสวัสดิ์ หลับสบายไหม”ชายหนุ่มลูกเจ้าของบ้านยื่นหน้ามาทักทาย

“ครับ หลับสบายมาก”ฮารุโตะตอบรับด้วยรอยยิ้ม

เรียวตะก้าวเท้าเข้ามาในห้องเดินตรงไปนั่งยังปลายเตียง และกวักมือเรียกฮารุโตะให้มานั่งข้างกัน

“วันนี้คุณนายทำกับข้าวไว้เพียบ ฮารุจังจะต้องกินเยอะๆนะ”

“ไม่น่าต้องลำบากเลยครับ เดี๋ยวผมกลับไปกินที่ห้องก็ได้”

“ไม่ลำบาก คุณนายชอบทำกับข้าวมาก ถ้าไม่กินคุณนายจะต้องเสียใจแน่ๆ”เรียวตะบอกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองประตูห้องเมื่อมันถูกดันเข้ามา

“รุ่นพี่ฮายาชิ อรุณสวัสดิ์ครับ”ทาคุมิกล่าวทักทายรุ่นพี่ร่วมชมรมด้วยสีหน้าสดชื่นที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวตื่นเต็มตา

“เช้านี้มีข้าวให้กินฟรีด้วย กินเยอะๆละ”

“จริงหรือครับ เรื่องกินนี่รุ่นพี่ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะจัดการให้เรียบเลย”ทาคุมิยิ้มกว้างรับคำเต็มที่

ซากิออกจากห้องน้ำมาเป็นคนสุดท้าย แม้จะเห็นว่าทั้งสามคนนั่งคุยกันอยู่ เขาก็เอ่ยแทรกขึ้นไป

“เรียวตะ ยังมีบัตรละครเหลือหรือเปล่า”

“อ่อ...มี”

“เอาให้สามใบดิ ที่นั่งติดกันนะ”

“ได้ นี่เสร็จแล้วใช่ไหม ลงไปข้างล่างก่อนเลย เดี๋ยวฉันเอาบัตรตามไปให้”

ทาคุมิได้ยินที่พวกรุ่นพี่คุยกันแล้วรู้สึกอิจฉาเล็กๆ เป็นพวกมีเงินนี่ดีนะ นึกอยากได้อะไรก็ได้ เขาคิดในใจขณะเดินตามหนุ่มรุ่นพี่ลงบันไดไปยังชั้นล่าง

ชิมิซึ ซากิเปิดประตูบานเลื่อนของห้องหนึ่ง เอ่ยปากทักทายหญิงกลางคนผู้เป็นเจ้าบ้านก่อนจะก้าวเท้าเข้าไป นายหญิงผู้เป็นเจ้าบ้านซึ่งซากิเรียกว่าคุณป้าอยู่ในชุดกิโมโนสีน้ำเงินเข้ม เธอกำลังจัดเรียงจานอาหารลงบนโต๊ะ

“รอเดี๋ยวนะจ๊ะ ป้าจะไปยกกับข้าวมาให้”

“ถ้าอย่างนั้นผมช่วยนะครับ”ฮารุโตะขันอาสา

“นายนั่งเถอะ เดี๋ยวฉันไปยกมาเอง”ซากิกล่าวบอกก่อนจะแตะข้อศอกให้หญิงเจ้าบ้านเดินนำ

ฮารุโตะและทาคุมิจึงทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าบนเบาะ

ห้องอาหารของบ้านฮายาชิเป็นห้องแบบญี่ปุ่นซึ่งตกแต่งเหมือนในเรียวกังหลายๆแห่งที่เป็นกิจการของครอบครัว พื้นห้องปูด้วยเสื่อ มีโต๊ะเตี้ยตัวยาวสีเข้มมันปลาบตั้งอยู่กลางห้อง ชิดพนังห้องฟากหนึ่งมีโทรทัศน์จอโค้งขนาดสี่สิบแปดนิ้วตั้งอยู่ ประตูบานเลื่อนอีกด้านถูกเปิดกว้างให้เห็นพื้นที่สวนแบบญี่ปุ่น

นั่งรออยู่ครู่หนึ่ง ประตูฝั่งทางเดินในบ้านก็ถูกเปิดออก ซากิและเรียวตะเดินถือถาดไม้ตามกันมาติดๆ

หลังจากที่อาหารถูกวางลงและทุกคนนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ฮารุโตะและทาคุมิจึงถูกแนะนำตัวให้หญิงกลางคนผู้เป็นมารดาของเรียวตะรู้จักอีกครั้ง

“ทานเยอะๆนะ”เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มใจดี

ในทีแรก ทาคุมิค่อนข้างเกร็ง แต่เมื่อหนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นลูกชายเจ้าของบ้านบอกว่าทานได้เต็มที่ไม่ต้องเกรงใจ ทาคุมิจึงตักทุกอย่างเข้าปากอย่างเต็มที่อย่างที่หนุ่มรุ่นพี่บอก

“อ่ะ ตั๋วสามใบ”เรียวตะส่งกระดาษแข็งแบบด้านให้เพื่อนสนิทเมื่อทุกคนทานข้าวเสร็จ ขณะที่สองหนุ่มรุ่นน้องกำลังนั่งทานของหวานหลังมื้ออาหาร

“อืม”ซากิรับของมาไว้ในมือ พลางกดโทรศัพท์โอนเงินให้อีกฝ่าย

“ซื้อตั๋วสามใบนี่จะพาใครไปดูว่ะ”

“สองคนนี้ไง”

ทาคุมิหูผึ่งเงยหน้าขึ้นมาทันทีพร้อมถามย้ำ“สองคนนี้ ไหนครับ”

“นายกับฮารุโตะไง”

เด็กหนุ่มรี่คลานเข่าเข้ามาหา บีบจับนวดแขนหนุ่มรุ่นพี่ด้วยอาการประจบและกล่าวซ้ำๆว่า “รุ่นพี่ใจดีที่สุด”

+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*// แม้จะมีหลายความคิดเห็นเรื่องชิมิซึ ซากิ ที่ทำให้เราลังเลใจมากหลาย แต่ก็ขอให้นักอ่านทุกท่านทำใจเห็นพี่เขาเป็นพระเอกกันต่อไป เพราะบทบาทของเขายังไม่หมด ส่วนชุนจะได้มาเคียงคู่กับฮารุโตะหรือไม่นั้น ต้องรอดูกันต่อไป
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ//*


หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 14 : 20/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 20-03-2017 20:48:17
ค่ะ ก็ต้องรอดูต่อไปเนาะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 14 : 20/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 20-03-2017 23:02:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 14 : 20/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 21-03-2017 01:04:37
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 14 : 20/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 21-03-2017 05:35:32
ก็ไม่ได้ถึงกับเกลียดซากินะ แต่ไม่ชอบการกระทำหลายๆ อย่างของเขา
ก่อนจะเป็นพระเอกเต็มตัวน่าจะต้องมีพัฒนาการกันหน่อย
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 15 : 24/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-03-2017 00:01:35
เรื่องย่อ ตอนที่ 15
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
หน้าร้อนเวียนมาถึงอีกครั้งพร้อมกับความสัมพันธ์อันสดใสระหว่างฮารุโตะและซากิ สถานที่ท่องเที่ยวของชมรมปีนี้ยังคงทะเลเช่นเดิม นอกจากจะตื่นเต้นเพราะได้ไปทะเลอีกครั้งแล้ว ฮารุโตะยังตื่นเต้นเพราะว่าจะได้ไปเที่ยวกับทาคุมิอีกด้วย

ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. มาซามุเนะ โทรุ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
2. ยามาซากิ ริน นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สาม
3. ฟุจิฮาระ ไคโตะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
4. ซาโต้ อัตซึชิ นักศึกษาชายชั้นปีที่สาม
5. อาเบะ ซึกิซากะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สาม
พนักงานร้านสะดวกซื้อที่ฮารุโตะทำงานอยู่
1. นากายาม่า ไดกิ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 15


อีกไม่กี่วันจะถึงสอบปลายภาคหลังจากนั้นเป็นวันหยุดฤดูร้อน สถานที่ท่องเที่ยวของปีนี้ยังคงเป็นทะเลเหมือนเดิม แต่วันที่ไปถึงตรงกับเทศกาลประจำปีของเมืองพอดี กิจกรรมหลักจึงเป็นการชมขบวนแห่ซึ่งมีการจัดตั้งแต่ช่วงบ่ายๆ ยาวไปถึงการเที่ยวชมงานเทศกาลฤดูร้อนในตอนกลางคืน เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ฮารุโตะจึงนึกได้ว่าปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น พลันความคิดหนึ่งก็วิ่งเข้ามาชน ไม่ใช่ว่ารุ่นพี่ชิมิซึเข้าหาเขาเพราะเหตุการณ์นั้นหรอกนะ

“คราวนี้ลองไปทำในสวนตอนที่เขาจุดดอกไม้ไฟดีไหม”คนพูดขยับเข้ามากระซิบข้างหู เมื่อหันไปดูยังเห็นอีกฝ่ายตีหน้าตายเหมือนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศธรรมดา รุ่นพี่ชิมิซึขยับเข้ามาเบียด ขณะที่รุ่นพี่มาเอดะยังอธิบายเรื่องอื่นๆ

“ไม่เด็ดขาด”เขาพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ไม่เข้าใจว่าทำไมภายใต้ใบหน้านิ่งเรียบแบบนั้นถึงมีแต่เรื่องลามก

“อย่างนั้น เตรียมใจไว้เลย ฉันจะทำในทะเล”

ฮารุโตะหันขวับกลับไปมอง หนุ่มรุ่นพี่ยกยิ้มมุมปากมาให้ และขยับออกห่าง

“อะแฮ่มๆ ช่วยสนใจทางนี้หน่อยนะครับ อย่างเพิ่งกระจุ๋งกระจิ๋งกันสองคน”จบคำพูดนั้นของรุ่นพี่มาเอดะ ทุกคนในชมรมต่างหันมามองทางเขาเป็นตาเดียว เรียกให้เลือดทุกหยดแทบมารวมบนหน้า ฮารุโตะกรอกตาไปมาก่อนจะก้มหน้าหลบสายตาโดยอัตโนมัติ ในชมรมมีคู่รักที่ประกาศตัวชัดเจนอยู่หลายคู่ แล้วทำไมต้องหันมามองเขาคนเดียวด้วยละ

ฮารุโตะโอดครวญหลังจากที่รุ่นพี่มาเอดะบอกให้แยกย้ายได้ เขากับรุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยบอกใครว่าคบกันสักหน่อย และต่อให้ใครถามเขาก็ยังยืนยันว่าเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องอยู่ดี

“คงน่าเชื่อเนาะ”ทาคุมิประชด

“ซากิมันถึงเนื้อถึงตัวตลอด ต่อให้ปฏิเสธจนปากฉีกว่าไม่มีอะไรก็ไม่มีใครเชื่อหรอก”เรียวตะสำทับมาอีกคำ เหล่สายตามองมือของเพื่อนสนิทซึ่งวางอยู่ที่บั้นเอวของหนุ่มรุ่นน้อง

ฮารุโตะจึงมองตาม เขาสะดุ้งแกะมือของอีกฝ่ายออกแล้วย้ายไปนั่งเบียดทาคุมิอีกฝั่ง

ซากิแค่หัวเราะ มองคนที่ยกหนังสือมาบังหน้า สายตาจ้องมาทางเขาเขม็ง เขายักคิ้วเป็นเชิงท้าทาย หนุ่มรุ่นน้องได้แต่ขมวดคิ้วออกอาการฮึดฮัดก่อนจะก้มลงไปสนใจหนังสือตรงหน้าเพราะทำอะไรเขาไม่ได้ ชายหนุ่มจึงได้หันมาสนใจเอกสารประกอบวิทยานิพนธ์ของตน

“รุ่นพี่คะ”

เขาได้ยินเสียงเรียกข้างตัวตามมาหลังจากที่นั่งข้างๆโดนจับจอง อีกฝ่ายเบียดเกยจนแทบจะปีนมานั่งบนตัก แต่ซากิแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน กระนั้นเมื่ออีกฝ่ายระบุชื่อ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมขานรับคำ

“ครับ”

“สุดสัปดาห์นี้ไปเที่ยวกันอีกไหมคะ”

ปลายนิ้วซึ่งตกแต่งเล็บมาอย่างสวยงามวางอยู่บนต้นแขนของเขา บีบนวดเบาๆเป็นเชิงปลุกเร้ายั่วยวน ซากิชอบผู้หญิงสวย และคนตรงหน้าก็สวย เพียงแต่ความสวยนั้นมาจากเครื่องสำอางมากมายบนหน้า ถ้าก่อนหน้านี้เธอเข้าหาเขาด้วยใบหน้าที่มีเครื่องสำอางน้อยกว่านี้สักครึ่งหนึ่ง เขาคงยอมนอนกับเธอไปแล้ว

“ไม่ได้แล้วละ ฉันมีสอบ แล้วต้องทำธีสิสอีก”

“ให้ฉันช่วยไหมค่ะ”เธออาสาอย่างกระตือรือร้น

“หือ”

“เรื่องธีสิส”

“อา...”และเขาก็ชอบผู้หญิงฉลาด เขาไม่มีปัญหาถ้าเธอจะยื่นมือมาช่วย “อือได้ ฉันทำหัวข้อการสนับสนุนของรัฐเพื่อการพัฒนาสังคม ก่อนอื่น...เอาหนังสือพวกนี้ไปสรุปนโยบายการพัฒนาประเทศในอดีตมาก่อน”เขาส่งหนังสือเล่มหนาให้เธอสองสามเล่ม เห็นหญิงสาวทำหน้าตกใจแล้ว ซากิรับประกันได้ว่าเขาไม่ได้แกล้งเธอแม้แต่น้อย เพียงแต่สามเล่มที่ว่าเขาอ่านและสรุปข้อมูลเสร็จแล้ว ถึงอย่างไรเขายังไม่บื้อพอที่จะเอาผลคะแนนของตัวเองไปแขวนไว้กับคนอื่น

“รุ่นพี่จะใช้เมื่อไหร่คะ ช่วงนี้ฉันยังต้องสอบ”

ซากิอยากจะหัวเราะ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเธอยังชวนเขาไปเที่ยวอยู่เลย คงเพราะเห็นสายตาเขา เธอจึงรีบเอ่ยมาว่า “เดี๋ยวฉันรีบทำให้ค่ะ ไม่ต้องห่วงแต่แค่อยากถามเพื่อความชัวร์ว่ารุ่นพี่ต้องใช้ข้อมูลพวกนี้เมื่อไหร่” ก็นับว่ายังมีสมองคิด

“อีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากสอบแล้วกัน มันถึงกำหนดต้องคืนหนังสือด้วย”

“ค่ะ”เธอตอบรับ เขาจึงหันมาก้มหน้าก้มตากับหนังสือตัวเองต่อ  ริเอะโกยังนั่งไม่เป็นสุขอยู่ข้างเขา ซึ่งเขาไม่ใช่ฮารุโตะที่ต่อให้ใครวุ่นวายเสียงดังแค่ไหนก็คงสมาธิอยู่ได้ เขาจึงต้องเงยหน้าขึ้นไปอีกครั้ง เธอยิ้มหวานให้ทันที

“ไม่อ่านหนังสือหรือ ถ้าเธอไม่มีของตัวเองมา อ่านเล่มที่ฉันให้ไปก็ได้ ฉันไม่ได้ต้องการข้อมูลที่ยกขึ้นมาลวกๆหรอกนะ”คำพูดของเขาทำให้เธอหน้าเจื่อน ซากิเหลือบตามองฮารุโตะที่รวมกลุ่มอยู่กับทาคุมิและนัตสึมิหนึ่งในสมาชิกชมรมที่อยู่รุ่นเดียวกัน หนุ่มรุ่นน้องขยับปากพูดจ๋อยๆด้วยเสียงเบาๆ หยุดพูดบางครั้งเมื่อนัตสึมิกล่าวแทรกอะไรขึ้นมา

ในห้องชมรมตอนนี้หลายคนต่างจับจองที่นอนอ่านหนังสือกันเกลื่อนกลาด บ้างหลับฟุบอย่างจริงจัง ซากิหันกลับมามองรุ่นน้องผู้หญิงที่อยู่ข้างตัวอีกครั้ง เธอขมวดคิ้วจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ เขายังคิดไม่ออกว่าควรจัดการกับเธออย่างไรดี การทำอะไรรุนแรงไม่ใช่นิสัยของเขาโดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะฉะนั้นเขาจึงเลือกคนที่เข้าหา

เขาชอบผู้หญิงสวย และเคยนอนกับผู้ชายมาบ้างก่อนมาเจอฮารุโตะ แน่นอนว่าแต่ละคนหน้าตาดี ฉลาด วางตัวดีและมีรสนิยม เพราะเข้าใจตรงกันถึงความต้องการของแต่ละคน เขาจึงไม่เคยมีปัญหาเรื่องตบตีแย่งชิง พอมาเจอแบบนี้ รู้สึกเหมือนจะทำอะไรไม่ค่อยถูกอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเขาไม่ตอบรับ อีกฝ่ายคงจะล่าถอยไปเองเหมือนเพื่อนอีกคนของเธอ

และคงเพราะเป็นช่วงสอบ ริเอะโกะจึงไม่ได้มายุ่งวุ่นวายกับเขาอีก อย่างไรก็ตามพอพ้นช่วงสอบไปเท่านั้น เธอก็กลับมาวนเวียนจนน่ารำคาญ

“รุ่นพี่คะ เอกสารที่ฉันทำสรุปมาให้ค่ะ”เธอยื่นกระดาษมาให้ เขารับไว้และกล่าวขอบใจ เก็บใส่กระเป๋าโดยไม่ได้สนใจมองทำให้ริเอะโกะเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย

ชานชาลารถไฟยามเช้าตรู่ซึ่งแม้แต่ดวงตะวันยังโพล่ไม่พ้นขอบฟ้าในวันนั้นเอะอะจอแจมากกว่าที่เคย เมื่อกลุ่มเด็กวัยรุ่นสมาชิกชมรมถ่ายภาพมารวมตัวกัน หลายคนในชมรมยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพการรวมตัวของเหล่าสมาชิก ทั้งที่การท่องเที่ยวแต่ละครั้งต้องมาเริ่มต้นที่สถานีรถไฟแห่งนี้

“ที่จริงฉันทำเสร็จมานานแล้วนะคะ ส่งข้อความไปก็ไม่เห็นรุ่นพี่เปิดอ่าน”ปลายประโยคฟังคล้ายเธอกำลังตัดพ้อ เธอช้อนสายตาภายใต้เครื่องสำอางที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีขึ้นมองเขา

“อา ขอโทษที พอดียุ่งๆ”

“ยุ่งเรื่องอะไรคะ ยุ่งแต่เรื่องมิอุระซังนะหรือ”

ซากิไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขากำลังทำหน้าแบบไหน แต่ทว่าเสียงของเธอพลันเงียบลง เขามองเรียวตะที่ยังคงจับกลุ่มถ่ายภาพกันไม่เลิก เหลือเวลาอีกร่วมสิบนาทีกว่ารถไฟจะเทียบชานชาลา  มาเอดะ คาโอรุจึงเรียกให้ทุกคนถ่ายรูปรวม

“ใช้กล้องตัวเดียวพอนะครับ”รุ่นน้องประธานชมรมตะโกนบอก เพราะก่อนหน้าเคยมีเหตุการณ์ต่างคนต่างใช้กล้องตัวเองไปตั้งถ่ายรูป และสมาชิกครึ่งหนึ่งของชมรมต่างมีกล้องของตัวเอง สมัยก่อนที่ยังไม่ค่อยมีใครพกขาตั้งกล้องมา ต่างผลัดกันไปถือกล้องและผลัดกันมาเข้าเฟรม แต่พอมีคนหนึ่งริเริ่มแบกขาตั้งกล้องที่พับได้และน้ำหนักเบามาใช้คู่กับรีโมท ธรรมเนียมของชมรมจึงเปลี่ยนไป จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีกล้องตั้งวางเรียงเป็นสิบตอนถ่ายรูปรวมที่สถานีรถไฟ

พวกเขาถ่ายรูปรวมกันไม่กี่ภาพ หลังจากถ่ายภาพเสร็จเจ้าของกล้องก็อัพโหลดภาพขึ้นในกลุ่มสนทนา เห็นฮารุโตะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เขาจึงโน้มหน้าเข้าไปดูด้วย รูปภาพที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ไม่มีอะไรที่ดูแตกต่างเป็นพิเศษ ในสายตาของเขามันเป็นแค่ภาพหมู่ธรรมดา

“มีอะไรน่าตื่นเต้นกัน”เขาถามออกไป ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมามองแต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวตอบกลับมีคนเข้ามาขัดเสียก่อน

“รุ่นพี่ชิมิซึคะ ถ่ายรูปให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ”ริเอะโกะพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขากลอกตามมองรอบตัวเพื่อหาทางปฏิเสธ ได้ยินเสียงประกาศเรื่องรถไฟกำลังเทียบชานชาลา จึงชี้ไม่ชี้มือเป็นเชิงบอกว่าต้องไปกันแล้ว พวกเขาเดินกลับไปรวมกลุ่ม ซึ่งหญิงสาวก็เดินตามไม่ห่าง

“รุ่นพี่นั่งกับฉันนะคะ”

“ใช่ครับ เพราะผมจะนั่งกับฮารุจัง”ทาคุมิเสนอหน้าขึ้นมาทันที ซ้ำยังกอดคอฮารุโตะไว้เป็นตัวประกัน ส่วนเจ้าตัวได้แต่ยกยิ้มแหยๆ เขาไม่ได้ตอบอะไร ผายมือให้ริเอะโกะเดินนำไปก่อนและเดินตามขึ้นไปบนรถไฟ เห็นที่นั่งติดทางเดินว่างอยู่จึงทรุดตัวลงนั่งทันที จนรุ่นน้องสาวต้องย้อนกลับมา

“รุ่นพี่ชิมิซึ”เธอทำท่าจะโวยวาย

“ขวางทางคนอื่นไม่เห็นหรือ”ซากิพูดเสียงนิ่ง รุ่นน้องผู้ชายอีกคนที่เดินตามหลังมายืนนิ่ง พาให้อีกหลายคนข้างหลังต้องชะเง้อคอดูเหตุการณ์ข้างหน้า อันที่จริงทางเดินในขบวนรถไฟไม่ได้แคบจนเดินสวนกันลำบาก แต่เพราะริเอะโกะยืนจังก้าไม่ยอมหลบให้คนอื่น ชายหนุ่มไม่ได้ให้ความสนใจอีกเพราะถือว่าพูดเตือนแล้ว เขาก้มหน้าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวในโลกโซเชียล แค่ครู่เดียวเธอก็ยอมล่าถอยไป

“หือ ไม่ไว้หน้ากันเลย”โทรุหันมาชวนคุย “ไม่ถูกใจตรงไหน”

“ฉันไม่ชอบคนที่เข้ามาจีบก่อน”

“จ๊ะ พ่อหล่อเลือกได้”คู่สนทนากระแหนะกระแหนจนเขาต้องหลุดหัวเราะ เขากับโทรุมาเริ่มสนิทกันหลังจากที่อีกฝ่ายมาสมัครเข้าชมรม สมาชิกหลักของชมรมส่วนใหญ่มีความชอบในสิ่งเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าจะจับให้ไปรวมกลุ่มเข้าคู่กับใคร ต่างก็คุยกันอย่างถูกคอ“ฉันควรจะไปศัลยกรรมอัพหน้าหน่อยดีเปล่าว่ะ สาวจะได้ไม่เมินบ้าง”

ความจริงโทรุไม่ได้หน้าตาขี้เหร่  แต่ถ้าเอาไปเทียบกับเรย์จะกลายเป็นผู้ชายบ้านๆไปทันที ซากินิ่งคิด ก่อนจะพูดออกไปว่า “อยากมีแฟนหรือแค่อยากนอนกับใครสักคนละ”

คนฟังเลิกคิ้ว ถึงจะบ่นนั่นบ่นนี้ แต่เจ้าตัวไม่ได้มุ่งมั่นจริงจังกับการจีบใครเท่าไหร่นัก “มีอะไรหรือเปล่า”

“ถ้าอยากได้คนนอนด้วยจะได้ช่วย”

เห็นอีกฝ่ายพูดออกมาด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์ โทรุจึงส่ายหน้าหวือ เริ่มไม่ค่อยไว้ใจความคิดมันสักเท่าไหร่ ถ้าซากิไม่แน่จริงคงไม่จัดการเด็กในสต็อกได้จนอยู่หมัด ตั้งแต่คบกันมา เขายังไม่เคยเห็นใครมาวุ่นวายระรานมันสักคน

“ไม่ดีกว่า ยังไม่อยากหาห่วง”พูดจบ ชายหนุ่มก็นั่งเงียบแต่ใจหนึ่งอยากรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆจะจัดการอย่างไร


จุดหมายปลายทางครั้งนี้คือมานาซุรุในคานางาว่า ที่ต้องไปกันแต่เช้าเพราะพวกเขาต้องไปทำความสะอาดบ้านพักกันก่อน ที่พักคราวนี้เป็นคฤหาสน์ฤดูร้อนของมหาเศรษฐีคนหนึ่ง ที่หลังๆไม่ค่อยได้มาพักอย่างที่ตั้งใจไว้ จึงเปิดให้เช่าพักราคาถูกแลกกับการต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง

พวกเขาไปถึงสถานีรถไฟมานาซุรุกันตอนประมาณเจ็ดโมงครึ่ง แต่ละคนต่างกำลังหิวได้ที่ ยามาซากิ รินที่ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นฝ่ายจัดการทัวร์จึงเดินนำไปยังร้านอาหารที่ได้จองไว้

ปัจจุบันทีมที่คอยดูแลกิจกรรมต่างๆของชมรมจะมีจำนวนคนเยอะขึ้น เมื่อก่อนนั้นนาโอโตะจะควบรวมหลายๆตำแหน่งไว้แต่เพียงผู้เดียว แน่นอนว่าไม่ได้เป็นเพราะความตั้งใจของเจ้าตัวทั้งหมด แต่เมื่อเรย์เริ่มจะทำอะไรสักอย่าง เขามักจะดึงนาโอโตะให้มาร่วมด้วยอยู่เสมอ อีกอย่างหนึ่งคือ ช่วงที่พวกเขาเพิ่งอยู่ปีหนึ่งหรือปีสอง สมาชิกชมรมยังน้อยกว่านี้มาก จนกระทั่งพวกเขาเรียนชั้นปีที่สาม นาโอโตะจึงแจกจ่ายงานที่ตนดูแลอยู่ให้รุ่นน้องบางคนคอยช่วยเหลือ พาไปแนะนำตัวกับเครือข่ายกลุ่มคนที่พวกเขารู้จัก เพื่อให้รุ่นน้องในชมรมได้สร้างสายสัมพันธ์ต่อไป

คฤหาสน์ฤดูร้อนในคราวนี้ก็เป็นของหนึ่งในคนรู้จักของเรียวตะ ถึงจะเรียกว่าคฤหาสน์ แต่มันเป็นแค่เพียงบ้านพักขนาดสองชั้น ชั้นบนมีห้องนอนจำนวนห้าห้อง ข้างล่างอีกสองห้องแต่ละห้องมีห้องน้ำในตัว มีห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องนั่งเล่น และระเบียงลอยชั้นสอง

ตอนที่พวกเขาไปถึง คุณตาสูงวัยได้มายืนรออยู่แล้ว

“นี่กุญแจบ้านครับ ผมเปิดน้ำและไฟไว้ให้แล้ว แต่ถ้ามีปัญหาอะไรไปตามผมได้”คุณตาคนเฝ้าบ้านบอกตำแหน่งที่อยู่ของตน อธิบายตำแหน่งข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน และสิ่งที่ต้องจัดการก่อนทุกคนจะเดินทางกลับ จากนั้นผู้ดูแลบ้านจึงขอตัวกลับ

“เอาละ เดี๋ยวเราคุยเรื่องที่นอนกันก่อน”มาเอดะ คาโอรุออกไปยืนด้านหน้าทุกคนและเริ่มต้นพูด “เพราะคนที่พักในห้องนั้นๆจะต้องทำความสะอาดกันเอง”คาโอรุให้จับกลุ่มกันตามความสะดวกใจ ก่อนจะแบ่งหน้าที่ทำความสะอาดให้แต่ละคนรับผิดชอบ จากนั้นปล่อยให้แยกย้ายกันเอาของไปเก็บและไปทำความสะอาดที่หลับที่นอนกันเป็นอันดับแรก

หลายคนในชมรมค่อนข้างจะกระตือรือร้น เพราะมีห้องนอนชั้นบนบางห้องที่เห็นวิวทะเล กลุ่มผู้ชายต่างสละให้สาวๆเลือกเป็นอันดับแรก ทาคุมิจึงพาฮารุโตะไปยังห้องนอนอีกด้าน

“ไม่เห็นต้องไปแย่งกันเลย เดินออกไปหน้าบ้านก็เป็นทะเลแล้ว”เจ้าตัวให้เหตุผลอย่างนั้น ชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินตามหลังมาไม่มีอะไรโต้แย้ง เพราะตั้งแต่อยู่ในชมรมนี้ เขาได้ไปเที่ยวทะเลทุกปี

ในห้องมีแค่สองเตียง แต่พวกเขาต้องแบ่งมานอนอย่างน้อยห้องละห้าถึงหกคน ซากิขมวดคิ้วทันทีที่เห็นสภาพภายในห้อง ต่างจากรุ่นน้องอีกสองคนที่เปิดประตูตู้สำรวจของที่อยู่ข้างในก่อนเป็นอันดับแรก

“โย่ว ห้องนี้คนครบยังคร้าบ”คนที่โผล่หน้าเข้ามาเป็นฟุจิฮาระ ไคโตะ “ผมนอนด้วยได้ป่ะ”

แล้วซาโต้ อัตซึชิก็ตามมาติดๆ ส่วนคนสุดท้ายเป็นฮายาชิ เรียวตะ “ฉันด้วยๆ มีสองเตียงเรอะ”

“ในตู้มีฟูกอีกเพียบครับ”ทาคุมิตอบ

“อย่างนั้นพวกผมยกเตียงให้พวกรุ่นพี่ในฐานะที่อาวุโสสูงสุด”ไคโตะพูด

“แหมะ เป็นเกียรติแท้ เหมือนไม่ค่อยดีใจเลยว่ะ ฉะนั้นเอาฟูกนอนออกมาแค่สามอันพอ”

“อ้าว ทำไมละครับ”ฮารุโตะร้องออกมาอย่างแปลกใจ ในเมื่อห้องนี้มีจำนวนคนทั้งหมดหกคนนี่นา

“เถอะน่า ไว้คืนนี้ก็รู้”ทาคุมิตบบ่าเพื่อนอย่างนึกอ่อนใจ ฝ่ายเรียวตะจึงหันไปคุยกับเพื่อนสนิทของตน “ถ้ามีเสียงอะไรแปลกๆ ฉันลุกขึ้นมาถีบจริงๆนะเว้ย”

“ฉันไม่บ้าขนาดนั้นหรอก”

อัตซึชิหัวเราะ พลางเดินเข้ามายกฟูกนอนออกไปตาก ทั้งทาคุมิและไคโตะจึงเดินเข้ามายกของตัวเองไปบ้าง ฮารุโตะเห็นคนอื่นเริ่มทำงานจึงดึงผ้าคลุมเตียง ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอนมากองรวมกันเพื่อเตรียมไปซัก ซากิจึงยกกองผ้าเหล่านั้นลงไปข้างล่าง ถัดจากห้องครัวเป็นพื้นที่ซักล้างและที่เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด มีเครื่องซักผ้าขนาดยี่สิบกิโลกรัมตั้งอยู่สองเครื่อง อีกเครื่องเป็นขนาดสิบจุดห้ากิโลกรัม

ซากิวางผ้าใส่ตะกร้า ซึกิซากะกำลังดูและคัดแยกผ้าเพื่อซักทำความสะอาด เขาจึงเดินไปหยิบอุปกรณ์อื่นๆกลับขึ้นไปข้างบนอีกรอบ สมาชิกทุกคนต่างกำลังขะมักขะเม้นอยู่กับหน้าที่ของตน ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มห้าสาวเพื่อนของร่วมคณะของฮารุโตะ ที่ได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดดังมาบ้าง

งานทุกอย่างเรียบร้อยก่อนเที่ยงพอดี

กับข้าวมื้อกลางวันทั้งหลายวันนี้เป็นฝีมือของสมาชิกสาวๆอีกเช่นเคย และเนื่องจากสมาชิกในชมรมมีจำนวนมากกว่าจำนวนเก้าอี้ที่นั่งให้ครัว หลายคนจึงกระจายไปนั่งที่ระเบียงชั้นสองบ้าง ในห้องนั่งเล่นบ้าง

ฮารุโตะชวนทาคุมิไปเล่นน้ำด้วยกันทันทีที่ทานอาหารเสร็จ ดังนั้นหลังจากที่สองคนนั้นล้างจานชามของตัวเองเรียบร้อย จึงวิ่งกลับขึ้นไปเปลี่ยนชุดกันทันที คราวนี้ฮารุโตะมีทั้งบอร์ดฝึกว่ายน้ำและครีมกันแดดของตัวเองมาด้วย

“ขนบอร์ดมาด้วยเลยหรือ”

“ผมว่ายน้ำไม่เป็นละ ปีที่แล้วพวกรุ่นพี่ช่วยหัดให้แล้ว ปีนี้เลยว่าจะมาฝึกว่ายน้ำต่อ”

“อย่างนี้ก็ไม่ได้เล่นด้วยกันอ่ะดิ”

“เล่นด้วยกันซิ”ฮารุโตะบอกขณะเทครีมกันแดดทาตัว ทาคุมิจึงเดินมาแบมือขอบ้าง ฮารุโตะเทให้จากนั้นจึงบีบครีมกันแดดใส่มือตัวเองอีกครั้ง แล้วเดินอ้อมไปทาบนแผ่นหลังของทาคุมิ เด็กหนุ่มตัวสูงกว่าจึงทำเช่นเดียวกัน

“ก็นายจะหัดว่ายน้ำ”

“งั้นหัดด้วยกัน”ฮารุโตะพยายามหาทางออกให้ ซากิตามขึ้นมาทันสองคนนั้นกำลังคุยกันหงุงหงิง ผลัดทาครีมกันแดดให้กัน เขานิ่งมองอยู่ที่กรอบประตูกระทั่งหนึ่งในสองคนหันมา

“รุ่นพี่ชิมิซึไปเล่นน้ำด้วยกันไหมครับ”ฮารุโตะถาม

“ไม่ละ พวกนั้นมันชวนไปเดินดูรอบๆ”

ทาคุมิมองตามรุ่นพี่ร่างสูงที่เดินเข้ามาหยิบกระเป๋ากล้องด้วยความสงสัย “รุ่นพี่ไม่ตามไปเฝ้าหรือครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว “เฝ้า? เฝ้าเพื่อ?”

“ก็... แบบ...”นึกว่าจะหวงฮารุโตะไม่อยากให้เขามาตามเกาะแกะ ทาคุมิตอบในใจ ทว่าสิ่งที่พูดออกไปกลับเป็นประโยคอื่น “ฮารุจังว่ายน้ำไม่เป็นนี่ครับ”

“ที่หาดมีพวกที่ชมรมอยู่ นักท่องเที่ยวคนอื่นก็เยอะแยะ คงไม่มีใครปล่อยให้คนจมน้ำหรอกมั้ง”จากนั้นจึงหันมาวางมือบนศีรษะของหนุ่มรุ่นน้อง “อย่าว่ายไปที่ลึกๆละ”

“ครับ”ฮารุโตะตอบรับพร้อมรอยยิ้ม


ชายหาดของเมืองมานาซุรุเต็มไปด้วยโขดหินเสียเป็นส่วนใหญ่  มีแค่บริเวณพื้นที่ที่เยื้องกับหน้าบ้านพักไปเล็กน้อยเท่านั้นที่เป็นหาดทรายเรียบ หลายคนจึงนิยมมาเล่นน้ำบริเวณนี้

ฮารุโตะถือบอร์ดว่ายน้ำเดินนำหน้า เมื่อก้าวเท้าลงน้ำเขาจึงหันไปมองคนที่เดินตามหลังมา ทาคุมิดูจะไม่ตื่นเต้นเท่าที่เขาคาดหวังไว้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาพูดคุยเรื่องการมาทะเลอย่างสนุกสนาน เด็กหนุ่มเดินกลับไปหา จับปลายนิ้วชี้ของอีกฝ่ายดึงให้ก้าวเดินตาม

“ลงน้ำกัน”

ทาคุมิขมวดคิ้ว มองปลายนิ้วที่ถูกจับไว้และยกขึ้นมาอยู่ในระดับสายตา “นี่รังเกียจกันเรอะ”

“เปล่า”

“ถ้าอย่างนั้นก็จับให้มันเต็มไม้เต็มมืออย่างนี้สิ”ทาคุมิเป็นฝ่ายกุมมือฮารุโตะไว้เสียเอง

“ผู้ชายสองคนจับมือกันแบบนี้ มันจะไม่ดูแปลกหรือ”ฮารุโตะว่า ขณะที่เดินลงไปในน้ำที่ลึกขึ้น และมาหยุดลอยคอเกาะบอร์ดว่ายน้ำเมื่อเดินลุยมาถึงจุดที่ระดับน้ำอยู่แค่เอว

“อ้าว แล้วไม่เคยจับมือกับรุ่นพี่ชิมิซึหรือ”

“เคย แต่มันไม่เหมือนกัน”

“ทำไม อย่างไร ไม่เหมือนกันอย่างไร”ทาคุมิถามอย่างใคร่รู้

ฮารุโตะเบือนหน้าหลบสายตา สองแก้มออกสีแดงเรื่อเล็กน้อย “ไม่เหมือนก็ไม่เหมือนน่ะแหละ”

ทาคุมิมองคนที่ชอบอมพะนำด้วยอาการหมั่นไส้ออกนอกหน้า รู้สึกคันคะเยอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ขนาดเขาไปรวมแก็งกับพวกรุ่นพี่ฮายาชิยังไม่รู้อะไรเพิ่มเติม ฝั่งรุ่นพี่ชิมิซึก็ปากหนักไม่เคยหลุดบอกอะไรกับกลุ่มเพื่อนสักคำ ฟากฮารุโตะก็พูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง คนดูอย่างเขาลุ้นจะแย่

“เหอะ นายอาจจะคิดเองไปฝ่ายเดียวก็ได้”

ผู้เป็นเพื่อนหันมามองอย่างสงสัย “คิดอะไร”

“ก็...รุ่นพี่ชิมิซึอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับนายเลยก็ได้”ทาคุมิใส่ไฟแล้วรอดูปฏิกิริยา สังเกตท่าทางของฮารุโตะซึ่งดูหงอยเหงาลงเหมือนดอกไม้โดนแดดจัดแล้วขาดน้ำไม่มีผิด คำพูดคำจาที่ตอบกลับมาราวกับจะยอมรับในชะตากรรม

“อือ เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วละ”

“แล้วไม่คิดจะทำอะไรหน่อยหรือ นายไม่ชอบรุ่นพี่หรือไง”

“เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”คนพูดยิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่ดูจืดเจื่อนเหลือเกินในความคิดของเขา ครั้งก่อนก็รอบหนึ่งแล้ว ที่บอกว่าชอบได้ก็เลิกชอบได้ ฟังดูเหมือนรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้มีความสำคัญสักเท่าไหร่ และที่สำคัญ ฮารุโตะทำได้อย่างปากว่า ไม่ทุกข์ร้อนกับการขาดใครสักคนไปในชีวิต ครั้นรอบนี้ที่กลับมาจี๋จ๋ากันอีก เขาคิดว่ามันควรจะต้องมีอะไรที่พัฒนาขึ้นบ้าง

“นายชอบรุ่นพี่จริงๆหรือเปล่า ไม่ใช่ชอบดิ...ต้องเรียกว่า รักอ่ะ รักรุ่นพี่ชิมิซึบ้างหรือเปล่า”

คนถูกถามก้มหน้านิ่งคิด คนถามจึงต้องรออย่างใจเย็น ฟังเสียงคลื่นซัดเข้าฝั่งคลอกับเสียงพูดคุยของผู้คนรอบกายที่ดังแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะๆ ทาคุมิยังคงมองหน้าฮารุโตะอย่างรอคอยคำตอบ เป็นครู่ใหญ่กว่าที่อีกฝ่ายจะเงยหน้าขึ้นมายกยิ้มแหยๆ

“ไม่รู้เหมือนกันอ่ะ”

“โธ่!!!”คนรอโอดครวญ ว่าจะถามต่อ กะจะคั้นเอาความรู้สึกจริงๆออกมาให้ได้ แต่กลับโดนคู่สนทนาตัดบทไปเสียก่อน

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยววันหนึ่งก็รู้เองล่ะ”

“กว่าจะรู้ก็กลัวว่าจะเมื่อสายนะดิ”

ฮารุโตะไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่หัวเราะกลบเกลื่อน


กลุ่มรุ่นพี่นัดหมายเวลากันไว้ตอนบ่ายแก่ๆ ฮารุโตะกับทาคุมิจึงใช้เวลาเล่นน้ำแค่หนึ่งถึงสองชั่วโมงแล้วกลับขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้า ซึ่งตอนนั้นพวกรุ่นพี่ชิมิซึยังนั่งคุยกันอยู่แถวระเบียงชั้นสอง แต่สมาชิกในชมรมหลายคนทยอยเดินเข้าไปในเมืองบ้างแล้ว เมื่อเดินออกมาสมทบ รุ่นพี่อาโอกิก็ส่งน้ำกับขนมมาให้ทานก่อนเป็นอันดับแรก

“เย็นนี้ไม่มีข้าวเลี้ยงนะ ต้องไปหากินกันในเมือง”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ดึงผ้าขนหนูที่คล้องคอไว้ขึ้นมาเช็ดศีรษะ เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนถูกเปลี่ยนกลับมาเป็นสีดำเมื่อหลายเดือนก่อน อีกมือถือขนมที่บางส่วนโดนกัดเคี้ยวอยู่ในปาก นั่งฟังรุ่นพี่แก็งอดีตประธานชมรมคุยไปพลาง กินขนมไปพลางจนเริ่มอิ่ม ทาคุมิจึงได้ฤกษ์อาบน้ำแต่งตัวเสร็จออกมาปรากฎตัวให้เห็น และเหมือนทุกคนเองก็รอคนที่เพิ่งมาถึงอยู่คนเดียว เพราะทันทีที่เห็นทาคุมิอยู่ในครรลองสายตา พวกรุ่นพี่ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ฮารุโตะจึงหยิบทั้งจานทั้งเหยือกน้ำลงไปเก็บในครัวข้างล่าง ก่อนหน้านั้นเขายื่นจานใบเล็กที่มีขนมเหลืออยู่สองสามชิ้นให้กับเด็กหนุ่มเพื่อนร่วมคณะ

งานเทศกาลประจำปีของเมืองมานาซุรุจัดขึ้นเป็นเวลาสองวัน วันแรกจะมีขบวนแห่ซึ่งเหล่าผู้ชายในเมืองจะทำการแบกศาลเจ้าจำลองลงบันไดจากศาลเจ้าคิบุเนะ ผ่านหมู่บ้านเพื่อข้ามทะเลโดยการล่องเรือที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงามไปตามชายฝั่งเพื่อเป็นการขอพรให้สามารถจับปลาได้มากและปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางเรือ ส่วนวันที่สองจะเป็นการนำศาลเจ้าจำลองกลับสู่ศาลเจ้าอีกครั้ง

เขาเดินตามกลุ่มรุ่นพี่มาดูขบวนแห่ศาลเจ้าจำลอง ผู้คนจะเต้นรำคะชิมะโดยไม่มีการหยุดพัก และในระหว่างที่นำศาลเจ้าจำลองล่องไปในทะเลจะมีการจุดพลุตลอดเวลา เรือที่ถูกประดับตกแต่งอย่างสวยงานในเวลากลางวัน มีการประดับไฟไว้เพื่อให้สว่างสวยงามในเวลากลางคืนด้วยเช่นเดียวกัน

ดังนั้น กว่าที่พวกเขาจะถึงที่พักจึงเป็นเวลาค่อนดึก เพราะนอกจากตามดูพิธีกรรมต่างๆแล้ว ยังเดินเที่ยวเถลไถลอยู่ในเมือง ตอนที่มาถึงห้องซึ่งจับจองไว้ ปรากฏว่าอัตซึชิและไคโตะมานอนหลับอยู่ก่อนแล้ว

คราวนี้ฮารุโตะปล่อยให้คนอื่นอาบน้ำก่อนบ้าง และเข้าอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย ออกจากห้องน้ำมาสมาชิกในห้องคนอื่นต่างหลับสนิท เด็กหนุ่มยืนลังเลเพราะไม่รู้ว่าต้องนอนที่ไหน จนคนที่นอนอยู่บนเตียงกวักมือเรียก เขาเดินเข้าไปหา

“มานอนสิ”

เขาก้าวขึ้นเตียงและสอดตัวเข้าไปใต้ผ้าห่มที่อีกฝ่ายเปิดไว้รอ ขยับตำแหน่งให้เข้าที่ก่อนจะหลับตาลง


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 15 : 24/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 24-03-2017 00:05:08
รุ่งอีกวันฮารุโตะตื่นแต่เช้ามืดอีกครั้ง เนื่องจากรุ่นพี่ฮายาชิชวนเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ตอนที่ตื่นขึ้นมาทั้งรุ่นพี่ชิมิซึและรุ่นพี่ฮายาชิต่างเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงจะยังรู้สึกง่วงๆงงๆ แต่เขาบอกให้ทั้งสองคนรอประเดี๋ยว จากนั้นจึงเข้าไปจัดการธุระของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ออกมาเจอหน้าริเอะโกะ เธอทำให้ฮารุโตะแปลกใจไม่น้อย เขาไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอ เพราะเมื่อวานเขาเห็นเธอตามติดรุ่นพี่ชิมิซึไปทุกที่  เขาแปลกใจที่เห็นใบหน้าของเธอสวยเนี้ยบด้วยเครื่องสำอางทั้งที่เมื่อคืนก็กลับมาดึกดื่นค่อนคืนเหมือนกัน ยามที่มองใบหน้าซึ่งถูกแต่งแต้มมาอย่างสวยงามของเธอแล้ว มันให้ทั้งความรู้สึกทึ่งและชื่นชมในฝีมือของเธอ

ท้องฟ้าด้านนอกยังมืดครึ้มเห็นแต่แสงเรืองรองลางๆที่ปลายขอบฟ้า สองหนุ่มรุ่นพี่จึงเร่งฝีเท้าเดิน ทีแรกรุ่นพี่ชิมิซึหันกลับมามองเขาและทำท่าจะหยุดรอ แต่เขาโบกมือบอกให้เดินนำหน้าไปได้เลย  จากนั้นจึงทอดน่องเดินเอื่อยๆ สูดกลิ่นเกลือและสัมผัสลมเย็นๆยามเช้า ระหว่างทางเจอรุ่นพี่ในชมรมอีกหลายคนกำลังหามุมถ่ายรูปเช่นเดียวกัน

เขาก้าวเท้าไปตามทางที่รุ่นพี่ชิมิซึเดินนำไปก่อนหน้า

“ไง”ริเอะโกะเข้ามาทัก ฮารุโตะไม่หยุดเท้า เขาสาวเท้าให้เร็วขึ้นไปอีก อีกฝ่ายจึงเดินตามมากระชากไหล่ พวกเขาอยู่บนถนนทางขึ้นเขาในอุทยาน ท้องฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้นจนไม่ต้องใช้แสงไฟตามทางเดิน

“อย่ามาทำเป็นเมินฉันนะ”

จากที่ก้มหน้ามองพื้นอยู่ เขาจึงเงยหน้ามอง ฉับพลันนั้นเอง เขากลับโดนตบจนหน้าหันน้ำตาร่วงผล็อยทันที ฮารุโตะยกมือขึ้นกุมหน้า ความเจ็บแสบเริ่มแล่นริ้วมากขึ้นทุกขณะ เด็กหนุ่มร้องไม่ออกแต่น้ำตาร่วงออกมาเป็นสาย มือสั่นระริก ในหัวว่างเปล่าทำอะไรไม่ถูก

“ฉันเคยเตือนไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่ามาทำตัวแรดอ่อยรุ่นพี่”

“ป...เปล่า”เสียงคำตอบนั้นหลุดออกไปกระท่อนกระแท่น

“แล้วที่ทำอยู่มันเรียกว่าอะไร”โดนผลักศีรษะซ้ำจนเซแทดๆ “ไปนอนกกเขาขนาดนั้น ยังกล้าพูดว่าไม่ได้อ่อย”

“ตัวเองไม่มีปัญญาทำได้อย่างผมใช่ไหมละ ถึงมาโมโหใส่แบบนี้”ฮารุโตะตวัดสายตามองหน้าเถียงกลับไป เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่เคยบอกห้ามหนุ่มรุ่นพี่หรือเข้าไปยุ่งวุ่นวายตอนที่ริเอะโกะอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมต้องมาทำแบบนี้

“แกเถียงเรอะ”

ฮารุโตะถอยเท้าหนียกมือขึ้นปัดป้องเมื่ออีกฝ่ายตามมาผลักและพยายามจะตบซ้ำ

“แกเถียงฉันเหรอ แกเถียงฉันใช่ไหม”

ความเจ็บปวดเร่งเร้าให้เขาหาทางเอาตัวรอด เด็กหนุ่มเป็นฝ่ายผลักหญิงสาวให้ออกห่างจากตัวบ้าง เธอล้มลงเพราะยืนอยู่บนทางลาดในตำแหน่งที่ต่ำกว่าบวกกับแรงของเขา ฮารุโตะหันหลังวิ่งหนี แต่ดูเหมือนว่าอารมณ์เดือดดาลเลือดขึ้นหน้าของหญิงสาวจะมากกว่า เธอลุกขึ้นตามมากระชากศีรษะของเด็กหนุ่มได้ทันในระยะทางไม่ไกล เธอตบเขาซ้ำจนเด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีขนาดตัวใกล้เคียงกันทรุดลงกับพื้น กระนั้นเขาก็ไม่ได้งอมืองอเท้าให้เธอกระทำอยู่ฝากเดียว ฮารุโตะใช้ทั้งมือทั้งเท้าพยายามยันให้ตัวริเอะโกะออกห่าง จนร่างของหญิงสาวเซถลาเกือบร่วงขอบทางที่มีเพียงรั้วกั้นเตี้ยๆ  ในจังหวะนั้น เด็กหนุ่มก้าวตามไปคว้าตัวเธอไว้ได้ทัน แต่ความฉุนเฉียวของริเอะโกมีมากมายจนทำให้เธอหูหนวกตาบอด หลังจากที่กลับมายืนได้มั่นคง เธอกลับเป็นฝ่ายผลักเด็กหนุ่มให้ร่วงลงไปเสียเอง

ป่าข้างทางไม่ได้ลาดชัดจนไม่สามารถทรงตัวยืนได้ แต่เพราะฮารุโตะถูกผลักให้หงายหลังโดยไม่ทันตั้งตัว เขาล้มกลิ้งไปกระแทกกับต้นไม้และไถลร่วงไปตามทาง โลกพลิกคว่ำพลิกหงายจนไม่อาจหยุดยั้งทรงตัวได้ กระแทกก้อนหินกิ่งไม้ซ้ำไปซ้ำมา กว่าที่ร่างของเขาจะกระทบพื้นราบ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นลูกพลับช้ำๆที่ถูกทุบจนน่วม ความเจ็บปวดแบบนี้เหมือนจะเคยชินแต่เขาไม่ชินกับมันเสียที  ฮารุโตะได้แต่นอนนิ่ง แขนขาชาไร้ความรู้สึก ที่เลวร้ายกว่านั้นคือเขายังคงมีสติ แม้จะยังมึนงงแต่ความเจ็บปวดตามร่างกายค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น ประสาทสัมผัสเริ่มกลับมาชัดเจนอีกครั้ง เขาได้ยินเสียงคลื่นซัดสาดดังชัดที่ข้างหู ร่างกายส่วนหนึ่งเหมือนแช่อยู่ในน้ำ และแสงแดดจัดแรงจ้าจนต้องหยีตา

“ช... ช่วย...ด้วย ใครก็ได้ช่วยที”เสียงร้องของเขาแผ่วเบา ทว่าเขาต้องพยายามร้องออกไปเท่าที่แรงกำลังจะอำนวย


กระทั่งพระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้ามาทั้งดวงแล้ว ฮารุโตะก็ยังเดินตามมาไม่ถึงเสียที ซากิขมวดคิ้วหันมองทางเดินที่ขึ้นมายังจุดชมวิว ก่อนจะรีบเก็บกล้องลงกระเป๋าแล้วหันไปหาริเอะโกะที่นั่งอยู่ไกล

“มิอุระไปไหน”

“ไม่ทราบค่ะ ฉันเดินนำขึ้นมาก่อนไม่ทันสังเกตเหมือนกัน”เธอตอบ ก่อนจะชวนคุยต่อไปอีกว่า “รุ่นพี่จะกลับแล้วใช่ไหมค่ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปหาอะไรกินกันไหม”

ซากิไม่ตอบ เขายกกระเป๋าขึ้นสะพายไหล่พร้อมทั้งก้าวเท้าเร็วๆเดินลงไปตามทาง ระยะทางจากจุดที่เขาอยู่กว่าจะถึงบ้านพักค่อนข้างไกล ระหว่างนั้นเขาไม่เจอสมาชิกในชมรมคนอื่น ไม่เจอแม้กระทั่งคนที่เขากำลังมองหา

เมื่อกลับมาถึงบ้านพักเป็นช่วงเวลาที่สมาชิกในชมรมกำลังทานข้าวเช้ากันพอดี ทาคุมิกำลังนั่งฝอยแตกฟองขณะกำลังถือตะเกียบอยู่ในมือ

“มิอุระละ”

“ไปกับรุ่นพี่ไม่ใช่หรือครับ แถมยังทิ้งผมไว้คนเดียว ไม่...”

“หยุดพูดได้แล้ว”เขาตวาดเสียงดัง ในนาทีนั้นซากิถึงได้สังเกตเห็นว่าเรียวตะเองเดินตามเขากลับมาติดๆ เมื่อเพื่อนสนิทมาจับไหล่รั้งให้เขาใจเย็นลง “เห็นมิอุระกลับมาหรือยัง”

“ยังไม่เห็นเลยครับ”

คนถามหุนหันเดินออกไป ทาคุมิเห็นท่าไม่ดีจึงรีบโซ้ยข้าวที่เหลือเข้าปากรีบยกจานชามไปเก็บล้าง ขณะที่เรียวตะตามไปรั้งเพื่อนร่างสูงให้หยุดตั้งสติ

“ใจเย็นๆก่อน”

“มีอะไรหรือ”

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

เรย์และคาโอรุตามถามไถ่เมื่อสังเกตเห็นความวุ่นวายเล็กๆที่เพิ่งเกิดขึ้น คนที่ตอบคำถามของทั้งสองคนเป็นเรียวตะ

“ฮารุโตะหายไป เมื่อตอนเช้ามืดพวกฉันชวนกันไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น แต่พวกฉันเห็นว่ามันเริ่มจะสายแล้ว เลยรีบเดินไปก่อนทิ้งให้น้องมันตามมาทีหลัง แต่จนกลับลงมาแล้วก็ยังไม่เจอ”

“พวกผมเองก็ยังไม่เห็นว่ามิอุระคุงเดินกลับลงมาจากเขานะครับ”คาโอรุบอก “ผมถ่ายรูปกันอยู่แถวท่าเรือ”

“เด็กนั่นได้แวะคุยกับนายบ้างหรือเปล่า บอกอะไรบ้างไหม”

“เปล่านะครับ ไม่ได้คุยกัน แล้วโยชิดะซังว่าอย่างไรครับ ผมเห็นเดินตามกันไป”

ซากิมองหาริเอะโกะทันที เห็นเธอเพิ่งมาหยุดเท้าอยู่หน้าบ้านพัก เขาถลาเข้าไปกระชากตัวเธอไว้ “เธอโกหก บอกมาว่าเกิดอะไรขึ้น” ซากิจับตัวเธอเขย่าจนหัวสั่นหัวคลอน “พูดความจริงออกมา เธอทำอะไร”

ทั้งเรย์และเรียวตะจึงต้องรีบเข้าจับตัวซากิแล้วดึงให้ห่างออกมา เสียงเอะอะโวยวายเรียกให้สมาชิกคนอื่นมารวมตัวกันมากขึ้น เอคิจิเดินเข้ามารวมกลุ่มบอกให้เขาใจเย็นๆก่อน

“ได้ลองโทรหาหรือยัง”

“ฉันโทรแล้ว ยังไม่มีคนรับสาย”นาโอโตะตอบกลับมา มือข้างหนึ่งกำลังถือโทรศัพท์แนบหูและทาคุมิก็กล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า “ผมขึ้นไปดูบนห้องแล้วครับ ฮารุจังเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วยแน่นอน”

“ใจเย็นๆ เดี๋ยวพวกเราลองไปตามหาดูก่อน คิดในแง่ดีไว้”เอคิจิพูด ก่อนจะเกณฑ์กำลังคนออกไปให้ช่วยกันตามหา

เพราะคาโอรุบอกว่ายังไม่เห็นหนุ่มรุ่นน้องกลับลงมาจากอุทยานบนเขา เอคิจิจึงบอกให้ทุกคนไปช่วยกันตามหาที่นั่นเป็นที่แรก ทางเดินบนเขามีจุดแยก เขาจึงให้ทุกคนกระจายกันออกไป ทั้งยังไปแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ช่วยเหลือ กระทั่งแต่ละกลุ่มเดินวนมาบรรจบกัน ก็ยังไม่เจอคนที่ตามหาเสียที ซากิร้อนรนหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด

เอคิจิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เหลือเวลาอีกไม่นานจะถึงกำหนดการณ์เดินทางกลับของพวกเขา ชายหนุ่มจึงบอกกลุ่มเพื่อนและรุ่นน้องให้กระจายเดินไล่ตามหาในเมืองอีกรอบและกลับไปเจอกันที่บ้านพัก

“เดี๋ยวฉันจะให้คนอื่นกลับไปก่อน ฉันโทรบอกคุณลุงแล้ว เดี๋ยวเขาจะออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่นี่ช่วยหาให้”

“ฉันจะอยู่รอจนกว่าจะได้ข่าว”ซากิพูดพลางกดโทรศัพท์โทรออกอีกครั้ง แม้จะไม่มีคนรับสาย แต่มันเป็นความหวังเพียงอย่างเดียว!!!


หิวน้ำ...

ลำคอของเขาแห้งผากราวกับจะกลายเป็นผง ท้องฟ้าที่เขาเห็นตรงหน้าเป็นสีฟ้าจัด แสงแดดที่สาดส่องมาร้อนแรงจนเขารู้สึกว่ากำลังจะกลายเป็นลูกพลับตากแห้ง เมื่อพยายามจะขยับตัวก็พบว่าเจ็บทรมานจนต้องยอมนอนนิ่งอยู่เช่นนั้น แขนข้างขวาปวดจนยกไม่ขึ้น ส่วนแขนข้างซ้ายแม้จะมีอาการขัดยอกแต่ยังใช้การได้ดี ทิวทัศน์ที่อยู่ในกรอบสายตามีแต่ต้นไม้และท้องฟ้า ทางที่ดีคือเขาควรลุกจากตรงนี้และหาทางกลับขึ้นไปข้างบน

เขากลั้นใจพลิกตัวนอนตะแคง ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้แล่นลามไปทุกส่วนทันที น้ำตาไหลโดยไม่อาจกลั้น

จะมีใครคิดตามหาเขาบ้างไหม รุ่นพี่ชิมิซึจะรู้หรือเปล่าว่าเขาหายไป จะห่วงกังวลบ้างหรือเปล่า เขาอดที่จะคิดไม่ได้ ก่อนจะรวบรวมแรงกำลังอีกเฮือกใช้แขนข้างซ้ายยันตัวลุกขึ้นนั่ง ทุกครั้งที่หอบหายใจเขารู้สึกเจ็บร้าวในอกมากขึ้นกว่าเดิม ขาข้างซ้ายปวดจนขยับได้ลำบาก มีแค่เท้าขวาที่ยังพอใช้การได้ ขยับยันพื้นพิงตัวกับแผ่นหินที่ร้อนจนสะดุ้ง เพราะเหตุนั้น เขาจึงต้องค่อยๆวางศีรษะแนบลงไป

เด็กหนุ่มหลับตาหอบหายใจ ก่อนจะเงยหน้ามองภูเขาด้านบน นึกคำนวณคร่าวๆว่ามันสูงสักแค่ไหนกัน เริ่มลังเลว่าควรปีนกลับขึ้นไปด้านบน หรือนั่งรออยู่ตรงนี้จนกว่าคนมาเจอ แต่ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าเขาจะรอดกลับไปได้เลย

พลันฉุกคิดถึงโทรศัพท์มือถือ เขาตบกระเป๋า แต่ไม่ว่ากระเป๋าข้างไหนก็ไม่มี นึกหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาอีกรอบ จากนั้นจึงหลับตานอนพัก ความเจ็บปวดที่ได้รับกระตุ้นพาความทรงจำในวัยเยาว์ให้หวนย้อนกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

คืนวันนั้นร้อนระอุ เขานั่งทำการบ้านสำหรับปิดเทอมหน้าร้อน พร้อมกับนั่งรอพ่อไปพลาง อาหารเย็นที่เพียรพยายามทำออกมาหน้าตาดูดีจนอยากอวด แต่ดึกมากแล้วพ่อยังคงไม่กลับมาเสียที เขาฝืนทนไม่ไหวจึงต้องยอมล้มตัวลงนอน เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนแม่หายออกไปจากบ้าน พ่อพยายามตามหาแต่ก็ยังหาไม่เจอ เขาไม่รู้สึกอะไรมากกับการที่แม่หายไป แต่เพราะพ่อเศร้าและทุกข์ใจมาก เขาจึงคิดว่าจะออกไปตามแม่บ้าง ถ้าแม่กลับมาพ่อจะได้มีความสุขเหมือนเดิม

เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นทำให้เด็กชายรู้สึกตัว เขาลุกขึ้นเปิดไฟเดินงัวเงียออกไปที่หน้าประตู ท่าทางของพ่อที่เห็นดูแปลกไป แต่เขาก็ร้องเรียกหาและเข้าไปกอดขา จากนั้นพ่อจะจับตัวเขายกขึ้นอุ้ม ทว่า ทุกอย่างในวันนั้นกลับตาลปัตร เขาโดนสะบัดจนกระเด็นไปไกล เขาส่งเสียงร้องไห้เพราะความตกใจ แต่นั่นกลับทำให้พ่อบันดาลโทสะขึ้นมา ตามเข้ามาเตะเขาซ้ำ ครั้งนี้เขาจุกเจ็บจนร้องไม่ออก ร่างกายสูงใหญ่ทำให้เขาลนลานถอยหนี ใบหน้าที่มองไม่เห็นเพราะถูกบังอยู่ใต้เงาแสงไฟคล้ายปีศาจที่เขาไม่เคยพบ ร่างกายของเขาในวัยที่ยังคงเป็นเพียงเด็กชายสั่นสะท้าน ได้แต่หลับตาคู้ตัวคิดหวังว่าเหตุการณ์นั้นเป็นแค่ฝันร้าย

เสียงเครื่องเรือทำให้เขาสะดุ้งตื่น แดดคล้อยบังเขาจนกลายเป็นร่มเงา เขาเห็นเรือลำเล็กลอยลำเคลื่อนที่อยู่ไม่ไกล บังเกิดเป็นความหวังขึ้นมา ฮารุโตะโบกไม้โบกมือพยายามส่งเสียงกู่ร้อง ยิ่งใจชื้นเมื่อเรือลำนั้นเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ ทันทีที่เรือจอดนิ่งในระยะใกล้ฝั่งมากเท่าจะเป็นไปได้ คนบนเรือก็กระโดดลุยน้ำมาหา

“คุณครับ เป็นอย่างไรบ้างครับ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ น้ำตารื้นอย่างดีใจ “ขอบคุณครับ ขอบคุณ”เขาได้แต่พร่ำพูดคำนี้ยามที่อีกฝ่ายก้าวเท้าเข้ามาหา

“จำชื่อตัวเองได้ไหมครับ”

“ฮารุโตะ มิอุระ ฮารุโตะ”เสียงของเขาแหบแห้งและแผ่วเบา

“มิอุระซัง ไม่เป็นไรแล้วนะครับ เรากำลังพาคุณไปส่งโรงพยาบาล”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ อุปกรณ์ช่วยเหลือหลายอย่างถูกลำเลียงออกมา เขาถูกเคลื่อนย้ายส่งขึ้นเรือ นอนนิ่งให้กลุ่มคนเหล่านั้นซักถามและปฐมพยาบาลเบื้องต้น ไม่นานนักเด็กหนุ่มก็หลับลงไปอีกครั้งอย่างอ่อนเพลีย


ซากิพุดลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรนระคนโล่งใจ รอจนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนสนิทคุยโทรศัพท์เสร็จจึงเอ่ยปากถาม

“หน่วยกู้ภัยเจอฮารุจังแล้ว ตอนนี้กำลังพาไปโรงพยาบาล”

ชายหนุ่มแทบอยากจะเหาะไปโรงพยาบาล ณ เดี๋ยวนั้น เขาก้าวนำหน้าออกไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านนอก เรียวตะจัดการหารถมาให้พวกเขาใช้เพื่อความสะดวก เขาก้าวขึ้นนั่งยังที่นั่งตอนหน้าข้างคนขับ อยากจะเป็นคนขับรถเองด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่าเรียวตะหาคนขับรถมาด้วย

สมาชิกส่วนใหญ่ในชมรมเดินทางกลับไปกันหมดแล้ว คนที่เหลืออยู่มีแค่กลุ่มเพื่อนสนิทของซากิ เพื่อนร่วมรุ่นของคนที่หายไปเช่นซาโต้ ทาคุมิ และประธานชมรมคนปัจจุบันอย่างมาเอดะ คาโอรุ

“เขาเจอที่ไหน”

“เชิงผาในเขตอุทยาน”

ซากิไม่ได้ถามอะไรอีก เขานั่งเงียบๆออกอาการกระสับกระส่ายจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล และทันทีที่รถจอด เขาเปิดประตูวิ่งถลาเข้าไปภายในทันที พาให้กลุ่มเพื่อนต้องรีบวิ่งตาม ซากิแวะถามหาที่อยู่ของเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ก่อนจะสาวเท้าไปหยุดอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เขามองประตูฝ้าตรงหน้านิ่ง ความรู้สึกอคติต่อสถานที่แห่งนี้พวยพลุ่งรุนแรงขึ้นมาในอก ครั้งหนึ่งที่เขายังเด็กกว่านี้ เขาก็ต้องมารับรู้ว่ามารดาผู้เป็นที่รักได้จากไปก่อนวัยอันควร ณ สถานที่นี้เช่นเดียวกัน

เวลาผ่านไปเนิ่นนานในความรู้สึก เตียงนอนซึ่งมีร่างของมิอุระ ฮารุโตะถูกเข็นออกมาจากห้อง ชายหนุ่มสาวเท้าเข้าไปหา พิศมองใบหน้าที่ยังหลับตาพริ้ม บนศีรษะมีผ้าก็อชติดอยู่ ดวงหน้าซีดเซียวจนสังเกตเห็นรอยแดงจางๆบนหน้าได้ชัดเจน ซากิขมวดคิ้วแต่ต้องถูกดึงให้ขยับถอยหลัง เมื่อเจ้าหน้าที่แจ้งว่าต้องส่งตัวผู้ป่วยไปแผนกอื่น

สรุปความได้ว่า คนเจ็บร่วงลงมาจากทางเดินบนเขา อาการเบื้องต้นนอกจากรอยขีดข่วนฟกช้ำดำเขียวตามตัว คือแขนขวาหัก กระดูกข้อเท้าข้างซ้ายแตกและกระดูกซี่โครงร้าว ฮารุโตะต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีกหลายวันเพราะจำเป็นต้องผ่าตัดใส่เหล็กข้อเท้าข้างซ้าย นอกจากนี้ยังต้องรอให้อาการซี่โครงร้าวค่อยทุเลา แต่นาโอโตะเสนอว่าให้ย้ายกลับไปรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลของมหาวิทยาลัยจะดีกว่า เพื่อความสะดวกของพวกเขาเองด้วย

ก่อนวันกลับ ซากิ เอคิจิ เรียวตะ และเรย์จึงไปดูจุดที่คาดว่าฮารุโตะร่วงลงไป  ทางเดินขึ้นเขาบริเวณนั้น พวกเขาเดินผ่านกันหลายครั้ง เป็นทางเดินไปยังจุดชมวิวในวันที่พวกเขาขึ้นไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น ไม่ใช่เนินผาลาดชันที่เห็นวิวทิวทัศน์ชัดเจน รอบข้างเป็นป่าโปร่ง ที่เมื่อทอดสายตามองลงไปจะเห็นน้ำทะเลแทรกตัวอยู่ระหว่างหมู่แมกไม้

ซากิก้าวเท้าข้ามรั้วแนวกั้น

“จะทำอะไรว่ะ”เรียวตะตามมารั้งไหล่ไว้ทันที

“ฉันแค่อยากรู้ว่าทำไมเด็กนั่นถึงร่วงลงไป”

“น่าแปลกจริงๆละ ตรงนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจสักอย่าง”เอคิจิพูดขึ้นมาบ้าง

“แกจะเอาโทษคนทำให้ได้?”เรย์ถาม เดาจากที่เพื่อนหนุ่มขู่ตะคอกกับโยชิดะ ริเอะโกะ คาดว่าเธอเองน่าจะมีเอี่ยว

“ถึงขนาดนี้แล้ว ฉันคงต้องทำอะไรสักอย่าง”เขาสอดส่ายสายตามองตามพื้นดินตรงหน้า

“ถ้าอย่างนั้นรอคุยกับฮารุโตะก็ได้ แค่เจ้าทุกข์พูดออกมา ฉันหาทางจัดการได้อยู่แล้ว”เอคิจิพูด แต่เมื่อเห็นเพื่อนล้วงโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป เขาจึงก้าวเท้าข้ามรั้วเตี้ยๆไปดูรอยบนพื้นซึ่งต่างจากพื้นดินโดยรอบ กวาดสายตาไปเรื่อย เอคิจิจึงเจอของอีกอย่าง ก้าวเท้าพยุงตัวเองไต่ลงไปอย่างระมัดระวัง เขายกโทรศัพทขึ้นมาถ่ายรูปตำแหน่งของมันก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้ามาคลุมและหยิบมันขึ้นมา เมื่อกลับมาถึงด้านบนจึงยกให้กลุ่มเพื่อนได้ดู

“โทรศัพท์ของฮารุโตะ”เรย์บอก

“ไม่ใช่ว่าฮารุจังทำโทรศัพท์ร่วงลงไปเลยตามลงไปเก็บ”เรียวตะลองพูดสมมติฐานหนึ่งที่เขาคิดขึ้นมา

“ทำร่วงอย่างไรละ หยิบออกแล้วมันลื่นหลุดมือ ไปติดอยู่ข้างล่างนั่น”ซากิถามอย่างไม่สบอารมณ์

“เฮ้ย ฉันไม่ได้จะพูดเข้าข้างใคร แต่ตอนนี้แกกำลังมีอคติเพราะอารมณ์ ฉันอยากให้แกคิดให้รอบคอบ”เรียวตะเสียงแข็งขึ้นมาบ้าง

“เออๆ ใจเย็นเว้ย มาเถียงกันแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ฉันบอกแกได้เลยนะซากิ อย่างไรก็ต้องให้ฮารุจังเป็นคนพูดออกมา ไม่อย่างนั้น ต่อให้แกพยายามเป็นเดือดเป็นร้อนแทนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์”เอคิจิห้ามปรามพร้อมกับพูดเตือนสติออกมา

ชิมิซึ ซากิคิดไว้อยู่แล้วว่าครั้งนี้เขาต้องเค้นให้คนเจ็บพูดออกมาให้ได้ ก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้งที่เขาปล่อยเลยไปเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ซึ่งมันต่างกับครั้งนี้ที่ผู้กระทำราวกับต้องการให้ใครสักคนตายไปจริงๆ เขาคิดว่ามันรุนแรงเกินกว่าจะให้อภัยได้


คนป่วยถูกรักษาตามขั้นตอนทันทีหลังจากที่ถูกย้ายกลับมาถึงโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย เด็กหนุ่มร่างแบบบางไม่มีอาการแทรกซ้อนอื่นให้น่ากังวล แต่เจ้าตัวมักจะนอนหลับอยู่เสมอราวกับกลไกฟื้นฟูสภาพร่างกายสั่งการให้ลดการใช้พลังงานทุกอย่าง ชายหนุ่มจึงมักจะต้องนั่งมองใบหน้ายามหลับของหนุ่มรุ่นน้องเป็นระยะเวลาเกือบทั้งวัน

ก่อนหน้านี้ เขาได้จัดการธุระอื่นๆไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งการแจ้งลาหยุดของฮารุโตะ ทั้งรายงานอุบัติเหตุที่อยู่ในขอบเขตการรับผิดชอบของชมรม ถึงแม้ว่าเรื่องรายงานจะเป็นหน้าที่หลักของประธานชมรมคนปัจจุบันก็ตาม

“เป็นอย่างไรบ้าง ตื่นบ้างหรือยัง”นาโอโตะถามพร้อมเดินไปหยุดยืนอยู่ใกล้กับขอบเตียงอีกฝั่ง ส่วนนาคามูระ เรย์เดินตามมาติดๆ

“ยังเลย เห็นพยาบาลบอกว่าเมื่อเช้าตื่นขึ้นมาทานข้าว แล้วก็หลับไปอีกหลังกินยาเสร็จ”

“เหมือนกับจะรู้ ว่าแกรอเค้นคออยู่”เรย์พูดแซวเสียงเบา

“พูดมากนะเรย์ เค้นคออะไรกัน ร้ายแรงขนาดนี้ปล่อยผ่านไปเฉยๆไม่ได้หรอกนะ”นาโอโตะหันไปดุคนรัก “หรืออยากต้องไปทำรายงานส่งผู้อำนวยการอีก”

“แหม ไม่อยากครับ ซากิแกจัดให้หนักเลยนะ เอาให้เป็นตำนานไม่ให้ใครในชมรมกล้าทำตัวแตกแถวอีก”

“เอ... ฟังดูแปลกๆเปล่าว่ะ”ซากิถามแซว เรย์จึงยกยิ้มหัวเราะ

“จะเที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกันไหม”นาโอโตะเอ่ยชวน “อย่ามานั่งรออยู่เลย ดูเหมือนฮารุจังเองไม่น่าจะตื่นง่ายๆด้วย”

ชายหนุ่มนั่งมองคนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความลังเล คนชวนคะยั้นคะยอซ้ำ เขาจึงตอบตกลง

คล้อยหลังทั้งสามคนไม่นาน ร่างที่นอนหลับมาตลอดทั้งเช้าก็ลืมตาตื่น เขากรอกสายตาไปทั่วเพื่อเรียกสติ จากนั้นไม่นาน เมื่อได้ยินเสียงของนางพยาบาลสาว เขาจึงหันหน้าไปมอง

“ตื่นแล้วหรือค่ะ ถึงเวลาทานอาหารพอดี”เธอปรับเตียงให้เขาลุกขึ้นนั่ง ลากโต๊ะและวางถาดอาหารตรงหน้า ฮารุโตะกล่าวขอบคุณ ใช้มือข้างซ้ายกำช้อนคนข้าวต้มในถ้วย

“มาค่ะ เดี๋ยวฉันป้อนให้”

เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะทานเองได้” ในห้องพักผู้ป่วยที่เขาอยู่ มีผู้ป่วยคนอื่นอีกสองสามคน เขาจึงไม่อยากสร้างภาระให้นางพยาบาลที่ประจำหน้าที่ดูแล เขายกยิ้มให้ ก่อนจะก้มหน้าทานอาหารของตน ถึงมือข้างซ้ายจะไม่ใช่มือข้างที่ถนัด แต่การใช้ช้อนตักอาหารอ่อนอย่างข้าวต้มในถ้วยก็ไม่ได้ยากลำบากเกินไปนัก เขาทานอาหารจนหมดและทานยาตาม เอนตัวพิงหมอนแค่ครู่เดียว ความง่วงงุงได้จู่โจมถามหา นางพยาบาลคนเดิมเข้ามาเก็บถาดอาหารพร้อมกับปรับเตียงนอนให้เขา ฮารุโตะจึงหลับสนิทลงอีกครั้ง

เพราะคลาดกับช่วงที่ฮารุโตะตื่นนอนเมื่อตอนกลางวัน คราวนี้ซากิจึงตั้งใจจะนั่งรอจนกว่าจะหมดเวลาเยี่ยมโดยไม่ลุกไปไหน และความอดทนของเขาก็เป็นผล ฮารุโตะลืมตาตื่นขึ้นมาช่วงเย็นย่ำ หนุ่มรุ่นน้องเหมือนจะตกใจไม่น้อยที่เห็นเขา

“ตกใจอะไร”เขาถามพร้อมรอยยิ้มขำขัน สอดจับมือเล็กบางของอีกฝ่ายขึ้นมากุมไว้ มองหน้าอีกฝ่ายที่หลุบตามองมือข้างนั้น แล้วบีบกระชับกลับมา

“รุ่นพี่มานานแล้วหรือครับ”น้ำเสียงของฮารุโตะยังคงแหบแห้ง

“มาตั้งแต่เช้าหลังจากที่นายหลับ”

คนฟังมีสีหน้าตกใจระคนกังวล “ทำไมไม่ปลุกละครับ”

“นายเป็นคนป่วย ถ้าฉันปลุกขึ้นมาจะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือ”

“อย่างนั้นก็ไม่ควรจะนั่งรอ”คนบนเตียงบ่นพึมพำ ขยับตัวเหมือนจะพยายามลุกขึ้นนั่ง ซากิจึงลุกขึ้นปรับเตียงให้ นั่งมองหน้ากันเงียบๆอยู่ครู่ใหญ่ หนุ่มรุ่นพี่จึงเอ่ยปากถาม

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงร่วงไปอยู่ตรงนั้นได้”

ฮารุโตะสบตาเขา แล้วก้มหน้าลงมองพื้น “ผม...”

“อย่าบอกว่าซุ่มซ่ามร่วงไปเอง ไม่มีใครเขาเชื่อหรอก”คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมองทันทีที่โดนพูดแทรกด้วยประโยคนั้น เขาจ้องหน้าเขม็ง คนบนเตียงขยับตัวหยุกหยิกคล้ายอึดอัด จังหวะนั้น อาหารเย็นของคนป่วยก็ถูกนำมาเสริฟขัดการสนทนาของเขาทั้งคู่ มื้อเย็นของฮารุโตะยังเป็นอาหารอ่อนทานง่ายเหมือนเดิม คนป่วยจึงเลี่ยงการตอบคำถาม โดยหันมาสนใจมื้ออาหารของตนเสียแทน ทว่าเมื่อจะหยิบช้อนขึ้นมาถือ มันกลับถูกแย่งไปโดยฝีมือของชายหนุ่มอีกคน

ซากิยกยิ้ม ตักข้าวป้อนให้ถึงปาก คนป่วยอ้าปากรับอย่างว่าง่าย กระทั่งอาหารในถ้วยหมดลง อาการหาวนอนจึงกำเริบขึ้นมาทันที ชายหนุ่มจึงไม่เร่งเร้าอะไรอีกปล่อยให้อีกฝ่ายได้นอนหลับพักผ่อนเต็มที่

สองสามวันหลังจากนั้น คนที่มักจะหลับอยู่เป็นนิตย์ถึงได้กลับมาตื่นมากกว่านอนหลับเช่นที่ผ่านมา พอๆกับคนมาเยี่ยมที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น คนเจ็บอารมณ์ดีทุกครั้งที่มีเพื่อนและรุ่นพี่ในชมรมโผล่หน้ามาเยี่ยม

“ไดกิซัง”ฮารุโตะร้องทักอย่างตื่นเต้น

“อุซ สภาพดูไม่เหมือนคนเจ็บเลยนะ”

“ซะที่ไหน”ฮารุโตะยกเฝือกให้ดู ยิ้มกว้างจนเห็นฟันครบทุกซี่ ก่อนจะหันมาแนะนำคนมาเยี่ยมให้หนุ่มรุ่นพี่รู้จัก “ไดกิซังครับ พนักงานที่ร้าน แล้วนี่รุ่นพี่ชิมิซึครับ”

ซากิก้มศีรษะทักทาย อีกฝ่ายมองเขาแปลกๆ “ผมเจอคุณแถวหน้าร้านบ่อยๆ” คนพูดเอ่ยแนะนำตัวอีกครั้ง จึงรู้ว่าเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน

“ไม่เห็นเคยบอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่มหา’ลัย”

“ก็ไม่เห็นเคยถาม”

เขามองสองคนที่พูดคุยหยอกล้ออย่างสนิทสนม กระทั่งคนมาเยี่ยมขอตัวกลับเพราะมีเรียนต่อ เขาจึงเอ่ยขึ้นมา “สนิทกันมากหรือกับนากายาม่าซัง”

ฮารุโตะทำท่านึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับกลับไปขณะหยิบองุ่นเข้าปาก มีคนมาเยี่ยมเยอะของเยี่ยมเลยเยอะตามไปด้วย และฮารุโตะที่ทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงอ่านหนังสือจึงขยันกินตามไปด้วย

“ดึกๆไม่ค่อยมีคนครับ เลยได้คุยกันบ่อย”

และจนกระทั่งวันนี้ ฮารุโตะยังไม่ปริปากเล่าเหตุการณ์วันนั้นเลยสักครั้ง ไม่ว่าใครจะเป็นคนถามก็ตาม ครั้นลองบอกให้ทาคุมิถาม หนุ่มรุ่นน้องก็ปฏิเสธกลับมาทันที และเล่าสาเหตุฝังใจที่ทำให้คนเจ็บมักจะปิดปากเงียบให้ฟัง สุดท้ายเขาจึงจนปัญญา ได้แต่ปล่อยให้ทุกอย่างเงียบหายไป


+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 15 : 24/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 24-03-2017 03:01:14
 :fire: ขอพ่นไฟค่ะ  Grrrrrrrrrrr

เมื่อไหร่จะรู้จักรักตัวเองเสียที
นี่ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง  นี่เป็นการเอาให้ตายเลยทีเดียว
ตอนแรกอาจจะลุแก่โทสะไม่ได้ตั้งใจ
แต่หลังจากนั้นตอนที่คนเริ่มรู้ว่าฮารุโตะหายไปนั่นคือการจงใจ Premeditate ชัดๆเลย
รักตัวเองจัดการตามที่ควรบ้างเถอะ
จะรอให้ริเอโกะรู้สึกผิดมาขอโทษเองหรือไง(ตามขนบญี่ปุ่น)
เห็นความก้าวหน้าของความเป็นพระเอกของซากิขึ้นมาบ้างแล้ว
เราไม่ชอบชุน  Once a bully always a bully.
ตอนนี้ชุนดีกับฮารุโตะแต่ปัญหายังอยู่ยังไม่ได้รับการจัดการแก้ไขนะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 15 : 24/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 24-03-2017 06:04:55
ฮารุโตะ เอาแต่หนีปัญหา ทั้งที่ถูกทำร้ายตลอด
ที่ผ่านมาถูกรังแกโดยผู้ชาย คราวนี้ผู้หญิง ถึงขั้นตายได้
ยังจะหุบปากเงียบอีกหรือ ไม่รักตัวเอง ไม่ปกป้องตัวเอง ตัวเองทำไม่ได้
แต่ขนาดมีคนที่ช่วยได้ ยังนิ่งเฉยนี่ แสดงว่าตายไปก็ยอม ไม่เป็นไร
ยอมตายแม้จะไม่ผิด ใครจะฆ่าก็ได้  ตายเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นไร สินะ
ริเอโกะ มีความพยายามในการเข้าหา(สืบพันธ์)ผู้ชายสูงมากกกกก
ทั้งที่รู้ว่าซากิมีอะไรกับฮารุโตะ ก็ไม่สนใจ พอซากิไม่รับไมตรี
ก็ไปรังควาน ทำร้ายฮารุโตะแทน ทั้งตบหน้า ผลักจนตกเขา
นี่เข้าข่ายพยายามฆ่าเลยนะ ผูชายทำร้ายผู้หญิงเรียกหน้าตัวเมีย
แล้วริเอโกะล่ะ เรียกหน้าตัวผู้ได้ปะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 15 : 24/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 24-03-2017 18:05:29
เห็นมีหลายคนมองว่าฮารุโตะควรรักตัวเองได้แล้ว นี่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายแล้ว มันเกินลิมิตไปหน่อย ควรลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเอง นั่นถือเป็นมุมมองที่น่าสนใจนะครับ อย่างไรก็ตาม พอผมลองหยิบรูปแบบโครงสร้างสังคมญี่ปุ่นกับพัฒนาการบุคลิกตัวละครมาดู ผมว่าตอนนี้นี่เริ่มเป็นพัฒนาการที่ดีแล้วนะครับ ถึงนิสัยฮารุโตะจะเป็นอย่างนั้นอยู่ก็เถอะนะครับ

อย่างที่ผมเคยพูดไปแล้ว ว่าฮารุโตะเป็นคนประเภทที่อยู่ในระดับสังคมไม่เหลียวแลครับ ดังนั้นเค้าจะมีความซึมเศร้าหดหู่ได้ง่ายมากจากบรรยากาศสภาพแวดล้อมและสังคมการตะเกียกตะกายของคนญี่ปุ่น แต่สิ่งที่ผมรู้เพิ่มมาอีกอย่างคือ ฮารุโตะเป็นคนที่มีปมอย่างร้ายแรงมากครับ เป็นเด็กที่มีประสาทรับรู้แบบ Terror Sensitive คืออ่อนไหวต่อ 'การคุกคาม' เป็นอย่างมาก จากที่ทั้งเคยโดนแม่ตบทั้งๆที่ทำสิ่งที่ถูก(บอกคุณครูเพื่อให้หยุดการแกล้ง) และจากการที่โดนพ่อทำร้ายทั้งๆที่ทำอาหารไว้ให้และอยากให้ชม ตั้งใจเป็นเด็กดี

เอาจริงๆด้วยสภาวการณ์แบบนี้ มันจะเลี้ยงเด็กขึ้นมาได้ 2 แบบ ครับ คือไม่ ก้าวร้าว(agressive) ไปเลย ก็จะอ่อนไหวหดหู่จนเกือบซึมเศร้า ปิดตายตัวเองและจมอยู่กับความท้อแท้ของตัวเองไปเลย ซึ่งเด็กจะมีพัฒนาการไปทางไหน ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมต่อไปครับ คือ
- ถ้าเด็กยังมีพ่อและแม่อยู่ต่อ แต่สร้างพฤติกรรมเลี้ยงดูผิดๆแบบด้านบนและเกิดการผลิตซ้ำทางความรุนแรงเมื่อมีการกระทำที่ถูกต้อง เด็กจะเครียด และหาทางระบายออกจนเป็นพฤติกรรมการก้าวร้าว ต่อต้าน ถ้าหนักมากๆถึงขั้นทำให้ครอบครัวแตกแยกได้เลยนะครับ
- แต่ถ้าเด็กขาดหายพ่อแม่ไป ซึ่งกรณีนี้คือถูกฝังความกลัวและความอ่อนไหวต่อการคุกคามไปแล้ว และดันไปอยู่ในสังคมที่บีบด้วยการแก่งแย่ง เอาชนะ อีกทั้งยังกลั่นแกล้งได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาเพราะความห่างทางฐานะและศักดิ์ศรีแบบญี่ปุ่น มันจะทำให้เด็กยิ่งเตลิดไปในทางกลัวครับ เค้าจะไม่กล้ายืน ไม่กล้าลุกด้วยซ้ำ เพราะสังคมผลิตซ้ำ 'การคุกคาม' กับเขามาตลอด ฮารุโตะเป็นแบบนี้ครับ ดังนั้น ผมถึงบอกว่านิสัยการที่เค้าจะกลัวไปตลอดจนจบเรื่อง มันไม่น่าแปลกใจเพราะปมที่มีตั้งแต่เด็ก และสังคมที่บีบมาตลอดสิบกว่าปี มันคงหยั่งรากเกินกว่าจะมาเห็นการเปลี่ยนแปลงในแค่ไม่กี่ตอน

แต่ถามว่ามันดีขึ้นยังไง? เพราะฮารุโตะเริ่มกล้าที่จะเถียงริเอโกะครับ ถึงแม้เขาจะไม่ได้ไปเริ่มปฏิวัติตัวเองหรือไม่กล้าจะซัดทอดริเอะโกะในตอนต่อๆไป แต่การที่ฮารุโตะกล้า 'เถียง' นี่เป็นพัฒนาการที่ผมว่าถือว่าดีขึ้นครับ ไอ้เรื่องสู้รบกันจนตกเขานี่ผมไม่มองนะครับ สัญชาตญาณการทะเลาะเบาะแว้งล้วนๆ อันนั้นไม่ได้มีประเด็นอะไร แต่การที่ฮารุโตะมีประสาทรับรู้ต่อสิ่งคุกคาม(ริเอโกะ)ของ 'ความชอบ' ในแง่ที่ 'ไม่กลัว' นี่ก็เป็นอะไรที่ผมว่าน่าสนใจแล้วนะครับ เพราะถ้าเป็นธรรมดาเขาจะกลัวการคุกคามมากๆ นี่ถือว่าดีขึ้นเห็นชัดเลย

ดังนั้น มันจึงเชื่อมโยงมาที่ชุนครับ เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อย buy theory ที่ว่า once a bully always a bully ของคุณเฟรจาเท่าไหร่(ด้วยความเคารพนะครับ) เพราะว่าถ้าพิจารณาสังคมญี่ปุ่นจริงๆ การกลั่นแกล้งถือเป็นการระบายความเครียดอย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่นที่ไม่ได้ถูกสอนมาเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชนเท่าไหร่ครับ สังเกตได้จาก excessive sex, overrated OT job หรือแม้แต่สังคมการกดฐานะของผู้หญิงในมุมมองของบุคคลชั้นสูงในวงการอาวุโสครับ เรื่องนี้อาจจะต้องพูดกันยาว

มันทำให้มองได้ว่าการแกล้งกันเป็นการระบายอารมณ์ของจิตใจอย่างหนึ่ง หรืออาจจะมองว่าเป็นการแกล้งกันเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกตัวเองอย่างไรก็ได้ครับ ลองอ่านมังงะญี่ปุ่นหรือซีรีย์ญี่ปุ่นหลายๆเรื่องที่มีเรื่องปมเพื่อนแกล้งกันมาตั้งแต่เด็ก จะเห็นภาพการอธิบายตรงนี้ชัดเจนมาก ดังนั้นถ้าคุณเรียนรู้วิธีการระบายอารมณ์ออกทางอื่น หรือมี Emotional Quality ที่ดีขึ้น การกลั่นแกล้งก็จะหมดไป (อย่างที่เห็นในคนไทย ตอนเด็กๆแกล้งกันเยอะมาก โกรธจะเป็นจะตาย พอโตมาเจอหน้าก็กระอักกระอ่วนแต่พฤติกรรมแย่ๆแบบนั้นจะหายไปแล้วครับ) มันจึงกลับมาที่ชุน ผมพูดไปแล้วว่าชุนน่าสนใจตรงไหน ความจริงผมว่ามันยังมีสิ่งที่ผมคิดอยู่ครับ แต่เนื่องจากเรายังไม่เห็นบทชุนมากๆและไม่รู้เรื่องราวในส่วนของเขา ดังนั้นผมจะยังไม่พูดถึงละกัน ไว้ถ้ามีบทเค้ามากๆแล้วผมจะค่อยเขียนอีกที

ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องการเขียนครับ อยากให้คุณคนเขียนตรวจสอบอักษรอีกทีหลังจากโพสต์แล้ว เพราะว่าจุดแรกคือคุณคนเขียนใช้ คะ/ค่ะ, วะ/ว่ะ ผิดหลายจุดเลยนะครับ ผิดตั้งแต่แรกๆก็มี และส่วนมากจะใช้ผิดมากกว่าถูก ส่วนจุดที่สองคือในหลายๆคำ มีตัวสะกดขาดหาย หรือสะกดผิดไป(เข้าใจอาจจะเพราะเบลอ เนื่องจากตอนนึงมันยาวมาก แต่ถ้าโพสต์แล้วมาอ่านทวน มันก็จะถือว่าได้ทวนเนื้อเรื่อง และเช็คไวยากรณ์ตรวจสอบอักษรอีกทีไปด้วยครับ

สำหรับวิธีการใช้คะ/ค่ะ คือ ถ้าเรียกประธานโดดๆ จะตามด้วยคำว่า 'คะ' เป็นคำลงท้ายเพื่อความสุภาพ i.e. "ท่านประธานคะ", "รุ่นพี่คะ"

แต่ถ้าเป็นคำลงท้ายของประโยค จะใช้คำว่า 'ค่ะ' ที่เป็นโทนเสียงต่ำ หรือใช้คำว่า 'นะคะ' เพื่อเอื้อนโทนเสียง ทำให้เกิดความเป็นทางการและความสุภาพ i.e. "เดี๋ยวจะรีบจัดการให้ค่ะ", "ที่นี่บริษัทนะคะ"

ในกรณีประโยคคำถาม จะใช้คำลงท้ายว่า 'คะ' ที่มีโทนเสียงสูงเพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ในการออกเสียงครับ เช่น "มีอะไรให้รับใช้คะ", "ต้องการความช่วยเหลืออะไรไหมคะ", "ต้องการอะไรจากฉันกันแน่คะ"

เช่นเดียวกับการใช้ วะ/ว่ะ การใช้วะเป็นเป็นเสียงสูง ใช้แบบเดียวกับคะ แต่เนื่องจากเป็นคำลงท้ายของความสนิทสนมหรือความหยาบคาย จึงต้องดูบริบทการใช้ ส่วนมากแล้วจะนิยมใช้ 'วะ' ในการลงท้ายประโยคคำถาม(เนื่องจากมีโทนเสียงสูง) และ 'ว่ะ/เว้ย' ในการลงท้ายประโยคบอกเล่า(เนื่องจากโทนเสียงต่ำ) ครับ i.e. "มึงจะมากี่โมงกันวะเนี่ย", "อย่าคิดว่ากูไม่รู้นะเว้ย", "แกนี่ทุเรศจริงๆว่ะ", "เพื่อนแกเป็นใครวะ"

ถ้ายังไงก็รบกวนแก้ไขด้วยนะครับ เพราะองค์ประกอบภาษาอันอื่นสวยมากๆแล้ว มีแค่อันนี้ที่ดูจะขัดและผิดหลัก กับเรื่องสะกดอักษรที่มีหลุดบ้างผิดบ้าง ถ้าแก้ได้ ตัวเรื่องก็จะสวยงามสมบูรณ์ขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 15 : 24/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 25-03-2017 04:52:17
 :mew1:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 16 : 28/Mar/2017 Page 3
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-03-2017 04:02:39
เรื่องย่อ ตอนที่ 16
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
หลังจากเกิดอุบัติเหตุจนต้องพักรักษาตัว ในที่สุด ฮารุโตะก็ได้ออกจากโรงพยาบาลและมีชิมิซึ ซากิมาคอยตามช่วยดูแลเขาเรื่อยมา


ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. มาซามุเนะ โทรุ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
2. ฟุจิตะ มาสะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
3. อิเคดะ นายะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
4. โยชิดะ ริเอะโกะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
5. ทาคาฮาชิ ฮิราอิ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
6. ซาซากิ ฟุมิโอะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 16


ในที่สุดฮารุโตะก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ระยะเวลาร่วมยี่สิบวันในโรงพยาบาลทำให้คนเจ็บดูมีเนื้อมีหนังขึ้นนิดหน่อย แก้มใสขึ้นสีเรื่อดูสุขภาพดีทั้งที่เพิ่งหายป่วย แขนขวาและข้อเท้าซ้ายยังคงต้องใส่เฝือกไว้เช่นเดิม เด็กหนุ่มจึงต้องใช้ไม้ค้ำยันช่วยเดิน แม้จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว เขายังคงต้องงดเว้นการทำงานพิเศษไปอีกพักใหญ่ เพราะกว่าจะได้ถอดเฝือกแขนขาและกว่าจะเดินได้คล่องยังอีกนาน เจ้าตัวจึงตั้งใจว่าจะไปทำเรื่องลาออก คนเพิ่งหายป่วยมีท่าทีคิดหนัก แต่ก็ตัดใจทำเช่นนั้นในที่สุด

และเหลือเวลาอีกร่วมหนึ่งเดือนกว่าภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงจะเริ่มขึ้น ระหว่างนั้นฮารุโตะจึงมุ่งมั่นอ่านแต่หนังสือ

“ไม่เบื่อบ้างหรือไง”ทาคุมิถาม เขามีหนังสืออยู่ในมือก็จริง แต่เหมือนถือมันไว้เฉยๆ

“แล้วจะให้ทำอะไรอ่ะ ทำอะไรไม่สะดวกได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็ต้องอ่านแต่หนังสือนี่ละ”

“เฮ้อ...”คนที่นอนกลิ้งอยู่กับพื้นถอนหายใจ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ถามจริงเหอะว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้น”

ฮารุโตะนิ่งเงียบ ก่อนจะยอมเอ่ยปากออกมาคล้ายรำคาญ “ที่จริงอ่ะ ตอนที่มีคนมาหาเรื่องใช่ว่าผมจะไม่เคยสู้นะ แต่ผลลัพธ์แม่งไม่เคยดีเลย แถมครั้งนี้ยังเจ็บหนักขนาดนี้อีก”เขาหันไปมองคนถาม หลุดพูดคำหยาบอย่างเหลือทน

“อ่อ”ทาคุมิพยักหน้ารับ พอจะเข้าใจได้ลางๆ

“เพราะฉะนั้น ปล่อยมันไปเถอะ ปล่อยให้มันจบไปทั้งอย่างนี้แหละ”เขาตัดบท ก่อนจะเริ่มหัวข้อสนทนาใหม่ขึ้นมาว่า “ถ้าเบื่อ อย่างนั้นเรามาเริ่มคิดหัวข้อทำวิจัยสำหรับปีสี่ไหม”

“เห๋!!!”คนฟังร้องอุทานออกมา “ไม่รีบไปหน่อยหรือ”

“ตอนปีสี่จะได้ว่างๆไง”ฮารุโตะตอบพร้อมยิ้มเผล่

“แล้วรู้หรือว่าต้องทำอย่างไรอ่ะ”

คนถูกถามยกยิ้ม พวกเขามีที่ปรึกษาต้องมากมาย รุ่นพี่ปีสี่รอบตัวตั้งเยอะแยะ แม้ทางฝั่งคณะวิทยาศาตร์จะเรียกเล่มวิทยานิพนธ์ว่าเล่มงานวิจัย แต่เท่าที่ฮารุโตะเปิดงานของพวกรุ่นพี่ในชมรมดูเทียบกับเล่มวิจัยที่ถูกเก็บอยู่ในห้องสมุด เอกสารทั้งสองอย่างล้วนมีพื้นฐานอยู่บนแนวคิดเดียวกัน เมื่ออธิบายให้คู่สนทนาได้ฟังเขาจึงชวนอีกฝ่ายไปอาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัยด้วยกัน

“จะเดินไหวหรือ”ทาคุมิถามอย่างเป็นห่วง

“ไหวไม่ไหวก็ต้องลองดู”คนเพิ่งออกจากโรงพยาบาลพูดพร้อมกับหยิบเตรียมข้าวของ เอากระเป๋าสะพายหลัง ลุกขึ้นยืนและหยิบไม้ค้ำยัน “ไม่ไปหรือ” หันไปถามคนที่ยังนั่งมองเขานิ่ง ทาคุมิจึงกระวีกระวาดลุกขึ้น

ฮารุโตะฝึกการใช้ไม้ค้ำยันมาแล้วก่อนออกจากโรงพยาบาล กระนั้นก็ใช่ว่าจะใช้งานได้คล่องแคล่ว การใช้งานในชีวิตจริงติดขัดหลายอย่างจนทำให้เขาเดินได้ช้ากว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ กว่าจะถึงอาคารหอสมุดจึงใช้เวลานานโข เด็กหนุ่มเริ่มคำนวนทดเวลาที่ต้องใช้เดินทางในการมามหาวิทยาลัยใหม่อีกรอบ

“นั่งรออยู่นี่ล่ะ เดี๋ยวฉันไปหยิบมาให้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ แม้แขนข้างขวาจะยังพอใช้มือหยิบจับได้แต่ยังคงออกแรงมากไม่ได้ ทั้งยังขยับไม่ถนัด ไม่ว่าจะทำอะไรจึงติดขัดไปเสียทุกอย่าง เขาจับมีดไม่ได้จึงต้องงดเว้นการทำกับข้าวไปโดยปริยาย และถึงยังสามารถจับปากกาได้ แต่แค่ครู่เดียวแขนจะเริ่มปวดขึ้นมา เด็กหนุ่มคิดด้วยความรู้สึกหงุดหงิด เริ่มกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายขึ้นมาอีกเพราะต่อแต่นี้ ส่วนที่เป็นเงินเก็บคงมีแต่จ่ายออก กระทั่งทาคุมิหอบหนังสือมากองตรงหน้า เขาจึงละความหมกมุ่นในสมองไปเสีย

“เราคงจะมาทำหัวข้อซ้ำกับที่มีเคยไม่ได้ละมั้ง”

“อือ”ฮารุโตะใช้มือซ้ายหยิบเล่มวิจัยเล่มหนึ่งมาเปิด “แต่เป็นหัวข้อที่ต่อยอดเพิ่มขึ้นมาได้ แล้วก็ต้องมีประโยชน์”

พวกเขาพูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อการทำวิจัย นั่งคุยนั่งเล่นให้เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนโดนโทรศัพท์ตาม ฮารุโตะบอกตำแหน่งที่อยู่แก่ปลายสาย

“รออยู่นั่น เดี๋ยวจะไปรับ”

เขาจึงหันไปบอกกับทาคุมิเช่นนั้น หลังจากเก็บหนังสือเข้าชั้น พวกเขาทั้งสองคนนั่งรอกันครู่ใหญ่คนที่บอกว่าจะมารับจึงมาปรากฏตัว หนุ่มรุ่นพี่ตรงเข้ามาหยิบกระเป๋าของฮารุโตะไปถือ ตัวคนเจ็บจึงลุกขึ้นก้าวเดินตาม ใช้บริการลิฟต์ของอาคารหอสมุดลงมาถึงชั้นล่าง

ซากิบอกให้รุ่นน้องทั้งสองคนยืนรออยู่ด้านหน้าและพาตัวเองเดินไปยังที่จอดรถ ขึ้นไปนั่งสตาร์ทรถบังคับให้เคลื่อนที่มาจอดเทียบด้านหน้าอาคาร จากนั้นลงจากรถไปช่วยพยุงคนขาเจ็บให้เข้าไปนั่งด้านใน 

“ซาโต้ เดี๋ยวไปกินข้าวด้วยกันก่อนไหม”

คนถูกชวนตอบตกลงแบบไม่ต้องคิด เปิดประตูที่นั่งตอนหลังก้าวเท้าขึ้นไปนั่งอย่างรวดเร็ว

ทาคุมิแยกย้ายกลับบ้านหลังทานอาหารเสร็จ มื้อนี้หนุ่มรุ่นพี่จ่ายเงินเลี้ยงอีกตามเคย จนฮารุโตะขยับตัวนั่งอยู่ไม่สุขด้วยความไม่สบายใจ จากนั้นอีกฝ่ายพาเขาไปอาบน้ำ ใช้บริการห้องอาบน้ำสาธารณะเช่นเดิม รุ่นพี่ชิมิซึช่วยดูแลจัดการให้ทุกอย่าง จนถึงกระทั่งเวลานอน

“รุ่นพี่ไม่เห็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยครับ”

ฮารุโตะนอนหงายนิ่งๆ เพราะค่อนข้างสบายกว่า ซากิจึงต้องยันตัวเท้าแขนเพื่อให้เห็นหน้าคนพูด

“ทำไมละ”

“ก็... ตอนนี้จ่ายทั้งค่าข้าว ค่าห้อง แถมยังดูแลทุกอย่าง รุ่นพี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ผมอยู่คนเดียวได้”

“เพราะกลัวโยชิดะจะตามมาราวี?”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “ผมกลัวรุ่นพี่จะลำบาก”

“นายอยู่คนเดียวไม่มีคนช่วยจะไม่ลำบากกว่าหรือ”

“อดทนแค่ไม่กี่เดือนเอง”

“อืม นั่นไงแค่ไม่กี่เดือนเอง ฉันไม่ลำบากหรอก”

“แต่...”

“ไม่ต้องมาแต่แล้ว ฉันทำเพราะอยากทำ ถ้าไม่ไหวแล้วฉันก็เลิกทำเองนั่นแหละ”

แต่นั่นจะเป็นสิ่งที่ร้ายกาจที่สุดสำหรับเขา ทำให้เขาเคยชินกับความสุขสบาย เคยชินกับการมีคนอยู่ใกล้ๆ พอตัวเองเบื่อมาทิ้งกันไปเฉยๆ ฮารุโตะนึกตัดพ้ออีกฝ่ายเช่นนั้นในใจ

เขาขยับศีรษะมองคนที่ล้มตัวลงนอนข้างๆ หรือเขาควรจะถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย

“รุ่นพี่ชิมิซึ”

ลองเอ่ยเสียงเรียกออกไป ทว่าเจ้าของชื่อยังคงหลับตานอนนิ่ง

ช่วงนี้ชิมิซึ ซากิต้องออกข้างนอกเพื่อเก็บแบบสำรวจสำหรับวิทยานิพนธ์ทุกวัน เขาใช้พลังกายไปในช่วงกลางวันจนกลางคืนเมื่อศีรษะถึงหมอนก็หลับสนิทลงอย่างง่ายดาย

เด็กหนุ่มถอนหายใจ คงต้องรอโอกาสหน้าแล้วละมั้ง เขาคิดก่อนจะหลับตาลงบ้าง

นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฮารุโตะก็มีราชรถส่วนตัวคอยรับส่งระหว่างห้องพักและมหาวิทยาลัย พอเขาบอกปฏิเสธบอกว่าสามารถเดินไปเองได้ ชายหนุ่มผู้ที่ทำหน้าที่ขับรถก็ค้านเสียงแข็งกลับมาทันที

“บอกแล้วอย่างไรละ ว่าถ้าฉันรู้สึกว่าลำบากจะเลิกทำไปเอง”

“แต่ผมไม่อยากรบกวน ไม่อยากเคยชินกับความสบายที่รุ่นพี่หยิบยื่นให้”

“ทำไมละมีแต่คนชอบทั้งนั้น”

“แล้วรุ่นพี่ชิมิซึทำแบบนี้ทำไมละครับ”

ซากิมองหน้าคนถาม จ้องมองราวกับจะค้นว่าภายในหัวใจของอีกฝ่ายซ่อนอะไรไว้บ้างหรือไม่ ชายหนุ่มเหมือนจะเคยเห็นความรู้สึกพิเศษในแววตาคู่นั้น แต่บางครามันกลับดูแห้งแล้งว่างเปล่าจนเขาไม่แน่ใจ ทั้งที่เขาทำทุกอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายหวั่นไหวทุรนทุรายร้อนรนอย่างที่เขาเคยเป็น

“ทำเพราะอยากทำ”เขาตอบออกไป จดจ้องนัยน์ตาสีน้ำตาลไม่กระพริบ พยายามจับสังเกตทุกความรู้สึกที่วาดไหวผ่านแววตา คนถามแค่หลุบตาลงต่ำและตอบรับแผ่วเบา ไม่เรียกร้องโต้เถียงอะไรมากมายไปกว่านี้ ก่อนจะเปิดประตูก้าวเท้าลงจากรถ

เขารี่เปิดประตูออกไปบ้าง เดินอ้อมไปเปิดประตูที่นั่งตอนหลัง หยิบไม้ค้ำยันออกมาส่งให้ หนุ่มรุ่นน้องก้มศีรษะเป็นเชิงขอบคุณ ทั้งสีหน้าทั้งแววตายังคงสงบนิ่งเหมือนผิวน้ำที่นิ่งสนิทไร้ระลอกคลื่น และเป็นเขาเองที่กระสับกระส่ายร้อนรน

“แต่ถ้านายไม่อยากรบกวนเฉยๆ จะหาขอตอบแทนฉันบ้างก็ได้นะ”น้ำเสียงที่เปล่งออกไปเรียกร้องความสนใจ ชนิดที่ตัวเขายังอยากตบศีรษะตัวเองแรงๆ

ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาใคร่รู้ แต่ในวินาทีต่อมากลับตอบปฏิเสธไปเสียเฉยๆ “ผมไม่ได้ขอให้รุ่นพี่มาทำให้ซะหน่อย” คนพูดทำท่าจะเดินหนี ทว่าเขาตามไปขวางหน้าไว้ทันที หน้าม้านและหงุดหงิดด้วยความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม เขาดื้อดึงมาแต่ต้นจึงคร้านจะใส่ใจคำปฏิเสธเช่นนั้น โน้มหน้ากดศีรษะเข้าหา ฮารุโตะถอยเท้าออกห่างและยกมือข้างที่ยังสวมเฝือกขึ้นบังเขาไว้

“อย่าทำแบบนี้นะครับ”

เขาขยับยืดตัวออกห่างด้วยความไม่สบอารมณ์ หมุนตัวหันหลังเพื่อข่มกลั้นความขุ่นเคือง แล้วหันไปเปิดประตูอีกรอบเพื่อหยิบกระเป๋าของฮารุโตะ

“เดี๋ยวไปส่ง”ซากิพูดสั้นๆ ปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องเดินนำหน้า และลดระยะการก้าวเท้าเดินให้เหลือครึ่งหนึ่งเพื่อจะให้ตัวเองเดินตามอยู่ด้านหลัง

ตึกอาคารในมหาวิทยาลัยทุกตึกมีทางลาดชันและลิฟต์สำหรับผู้พิการ ฮารุโตะจึงเดินขึ้นตึกได้โดยสะดวก

ภายในห้องเรียนมีศึกษาอยู่บ้างประปราย เด็กหนุ่มเลือกเดินไปแถวที่นั่งหลังสุด เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา และเลือกเก้าอี้ริมนอกเพื่อให้ลุกนั่งได้สะดวก

“ขอบคุณครับ”ฮารุโตะหันไปรับกระเป๋าและยกยิ้มให้ เหตุการณ์ที่คล้ายจะมีปากเสียงกันเมื่อก่อนหน้าจางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น เขาวางไว้ค้ำยันไว้ข้างตัว

ซากิกวาดสายตามองซ้ายมองขวา แล้วทรุดตัวลงนั่งแถวเก้าอี้ด้านหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หนุ่มรุ่นน้องจึงเลิกคิ้วมอง

“รุ่นพี่ชิมิซึ”เมื่อเอ่ยเรียกออกไป อีกฝ่ายกลับหันกล้องของโทรศัพท์มาถ่ายรูปเขาเสียอย่างนั้น

“มีอะไรหรือครับ”

“หึ”ชายหนุ่มร่างสูงปฏิเสธกลับมา กระนั้นในเวลาต่อมาที่ทาคุมิปรากฏตัวสู่ครรลองสายตา เขาก็ลุกขึ้น ก้มศีรษะรับคำกล่าวทักทายของทาคุมิแล้วเดินจากไป

คนที่เพิ่งมาถึงเดินมาจับจองที่นั่งข้างเขา และเริ่มต้นพูด ทาคุมิเป็นผู้ชายช่างพูดที่สรรหาเรื่องมาคุยได้ตลอด

“ตั้งแต่เกิดเรื่อง พวกโยชิดะก็เงียบไปเลยเนอะ”

ฮารุโตะมองคนพูดด้วยความไม่เข้าใจ

“เห็นเมื่อช่วงก่อนเข้าหารุ่นพี่ชิมิซึตลอด ออกตัวแรงขนาดนั้นผู้ชายที่ไหนจะชอบ”

เขานิ่งฟังอย่างไม่มีความคิดเห็น ในอกรู้สึกสงสารคนที่ถูกกล่าวถึงอยู่บ้าง ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อแอบชอบใครสักคนหนึ่ง ย่อมต้องอยากให้คนที่ตนชอบตอบรับความรู้สึกนั้นกลับมา

“นี่รู้หรือเปล่า”ทาคุมิหันกลับมาคุย หลังจากเมื่อสักครู่หันไปทักทายพูดคุยกับเพื่อนอีกกลุ่ม “พวกรุ่นพี่ในชมรมพูดกันว่ารุ่นพี่นาคามูระกำลังมีกิ๊ก”

“เอ๋!!!”

“ปกติรุ่นพี่นาคามูระชอบทำตัวติดกับรุ่นพี่อาโอกิใช่ไหมละ แต่ทริปที่ไปคานางาว่ามีคนเห็นว่ารุ่นพี่นาคามูระไปเดินกับคนอื่น”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจ เพราะที่เขาจำได้ ช่วงเย็นรุ่นพี่นาคามูระก็เดินเที่ยวงานกับกลุ่มเพื่อนสนิทนี่นา ฮารุโตะหันไปถามคนเล่าด้วยความอยากรู้ “เรื่องมันเป็นมาอย่างไรน่ะ”

ทาคุมิทำท่าจะพูดให้เขาฟังต่อ แต่ทว่าอาจารย์ประจำวิชาก้าวเท้าเข้ามาในห้องแล้วเช่นกัน คนที่ตั้งใจจะขยายความจึงบุ้ยใบ้บอกเป็นทำนองว่าเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง

ฮารุโตะนั่งเรียนด้วยอาการใจไม่สงบ ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน และไม่รู้ว่ารุ่นพี่อาโอกิจะรู้เรื่องหรือยัง

“มีคนเห็นว่ารุ่นพี่นาคามูระไปเดินจู๋จี๋กับมินามิ”ทาคุมิแถลงไขขันทีที่อาจารย์ประจำวิชาเดินออกจากห้อง

“เมื่อไหร่ อาจจะไม่ใช่ก็ได้”

“อาจจะไม่ได้จู๋จี๋ แต่มันผิดวิสัยใช่ไหมละ”

“ใครเป็นคนเล่าให้ฟังน่ะ”ฮารุโตะถาม ซึ่งทาคุมิได้แต่โคลงศีรษะด้วยความไม่แน่ใจ อย่างไรก็ตามบทสนทนาระหว่างเขาสองคนจำต้องหยุดไว้เพียงแค่นั้น เมื่ออีกหนึ่งหนุ่มรุ่นพี่มาปรากฎตัว

“รุ่นพี่ชิมิซึ วันนี้จะมาเลี้ยงข้าวผมหรือครับ”ทาคุมิถลาเข้าไปหาทันที คนที่ยังขมวดคิ้วครุ่นคิดด้วยความกังวลจึงหันไปมอง สบกับดวงตาคมของหนุ่มรุ่นพี่ที่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย

“อ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่มีเรื่องที่ไม่ค่อยน่าเชื่อนิดหน่อย”ทาคุมิพูดอย่างไม่ค่อยใส่ใจ

“ตกลงว่าอย่างไรกันแน่ เรื่องที่เล่า พูดกันลอยๆอย่างนั้นหรือ”คนถามพูดอย่างจริงจัง

“เอ้ย ไม่รู้ เขาเล่ากันมาเลยมาเล่าให้ฟัง”

“ตกลงว่ามีเรื่องอะไรกัน”ซากิซึ่งยืนไม่รู้เรื่องรู้ราวเอ่ยปากถามขึ้นมาบ้าง ทาคุมิจึงขอให้เปลี่ยนสถานที่ พวกเขาย้ายไปนั่งทานอาหารในโรงอาหาร และเด็กหนุ่มได้พูดสิ่งที่ได้ยินมาให้รุ่นพี่ปีสี่ฟังอีกครั้ง

ซากิแค่แสดงสีหน้าว่าแปลกใจกับเรื่องที่ได้ยิน

“รุ่นพี่ว่าจริงป่ะ”

“ไม่รู้ดิ”

“อ้าว รุ่นพี่นาคามูระเขาไม่มีท่าทีผิดปกติบ้างหรือครับ แบบทำอะไรลับๆล่อๆ แอบคุยโทรศัพท์อะไรแบบนี้น่ะ”

“ฉันไม่ได้อยู่กับเจ้านั่นตลอดเวลาเสียหน่อย จะรู้ได้อย่างไรละ”ซากิบอก

“ว้า อะไรกัน นึกว่าจะได้รู้อะไรมากกว่านี้ซะอีก”ทาคุมิบ่นงึมงำ ขณะที่ฮารุโตะยังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด มือยังคงถือช้อนสำหรับทานอาหารในมือซ้าย จนคนที่นั่งอยู่ข้างหันมาสะกิด

“คิดอะไรอยู่ ทานเข้าซิ”

ถึงเขาจะหันไปพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ก็จริง แต่อาการเหม่อลอยครุ่นคิดยังคงอยู่ ฉะนั้นกระทั่งหมดเวลาพักเขาจึงทานอาหารได้เพียงนิดเดียว

“เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”ซากิถามพร้อมกับยกหลังมืออังหน้าผากของหนุ่มรุ่นน้อง ซึ่งอีกฝ่ายเพียงแค่สั่นศีรษะยกยิ้มให้บางๆ

“ไม่ต้องห่วงครับรุ่นพี่ชิมิซึ เดี๋ยวผมดูให้เอง”ซาโต้ ทาคุมิบอกอย่างแข็งขัน

ซากิแยกย้ายกับสองรุ่นน้องหลังจากที่เขาเดินตามมาส่งฮารุโตะถึงห้องเรียน

คาบปฏิบัติการทดลองตอนบ่ายผ่านไปอย่างเชื่องช้า เพราะได้รับบาดเจ็บ ฮารุโตะจึงหยิบจับอะไรไม่ค่อยถนัด และยืนนานมากก็ไม่ได้ แต่กระนั้นใช่ว่าเขาจะได้สิทธิพิเศษ เขายังต้องทำข้อสอบก่อนเรียนและส่งใบรายงานอยู่เช่นเดิม ส่วนในคาบเขาได้รับการอนุโลมให้นั่งบนเก้าอี้ได้ตลอดเวลา อาจเพราะการฝากฝังสำทับจากทาคุมิ บวกกับการที่เพื่อนร่วมกลุ่มทั้งสองเป็นคนดี เพราะถึงแม้เขาจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเกี่ยวกับการทดลอง ทั้งสองคนนั้นยังไม่มีท่าทีเขม่นไม่ชอบใจตัวเขา

“แล้วมิอุระซังจะเขียนรายงานได้ไหม”หญิงสาวหนึ่งเดียวในกลุ่มถามเขา

“ได้ครับ มือขวาพอจะขยับได้ เดี๋ยวผมจะค่อยๆเขียน”

“ถ้าติดขัดอยากให้ช่วยอะไรก็บอกนะ”เธอบอกอย่างมีน้ำใจ แม้ไม่ถึงขั้นสนิทสนมกันมาก แต่น้ำใจไมตรีที่เธอหยิบยื่นให้ ทำให้เขายกยิ้มอย่างนึกขอบคุณ

ฮารุโตะและทาคุมิไปที่ห้องชมรมถ่ายภาพหลังจบวิชาปฏิบัติ อีกฝ่ายยังชวนคุยไปตลอดทางพาให้ลืมเรื่องที่คิดกังวลเมื่อช่วงกลางวันไปเสียหมด และเมื่อถึงห้องชมรม เขาเจอรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิอยู่ด้วยกันที่นั่นเช่นปกติ ความกังวลเรื่องความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จึงจางหายไปอย่างรวดเร็ว


เมื่อเดือนพฤศจิกายนเวียนมาถึง วันเกิดของรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระจึงใกล้เข้ามา ปีนี้สมาชิกในชมรมไม่มีการจัดงานเซอร์ไพรซ์เหมือนปีที่แล้ว เพราะเจ้าของวันเกิดทั้งสองคนบอกว่าจะเป็นฝ่ายจัดงานเลี้ยงให้ทุกคนในชมรมไปกินดื่มได้เต็มที่

ฮารุโตะจึงชวนทาคุมิไปหาของขวัญวันเกิดให้รุ่นพี่ทั้งสอง

“ปีที่แล้วผมให้เชือกผูกรองเท้ากับเข็มขัด”ฮารุโตะตอบคำถามของทาคุมิเกี่ยวกับเรื่องของขวัญเมื่อปีที่แล้ว

“สองคนนั้นควรจะเรียกว่าคู่รักฟ้าลิขิตเนอะว่าไหม อยู่บ้านใกล้กันยังไม่พอ ยังเกิดวันเดียวกันอีก”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ความผิดหวังเศร้าหมองที่ได้ประสบเมื่อปีที่แล้ว จากการได้รับรู้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ย้อนกลับมาอีกครั้ง แน่นอนว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไปความรักและความหลงใหลในตัวของรุ่นพี่นาคามูระได้จางลง คงเหลือแค่ความเคารพและความชื่นชอบในฐานะของรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมเท่านั้น ฉับพลัน ภาพใบหน้าของชายหนุ่มอีกคนก็ปรากฏอยู่ในห้วงความคิดคำนึง คนที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นโลดได้มากมายกว่ายามที่เข้าใกล้รุ่นพี่นาคามูระอย่างไม่รู้ตัว และเป็นคนที่ทำให้เขาเจ็บปวด จำต้องอยู่อย่างเจียมตัว และพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนคลอนแคลนเสียเหลือเกินในสายตาของเขา

“เหม่ออะไรน่ะ”

เสียงเรียกของทาคุมิทำให้เขาสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ ฮารุโตะรีบหันไปยิ้มหน้าเจื่อน โบกไม่โบกมือบอกว่าไม่มีอะไร แค่กำลังคิดถึงเรื่องของขวัญวันเกิดที่จะให้รุ่นพี่ก็เท่านั้น

“รวมเงินกันดีไหมละ จะได้ซื้อของชิ้นใหญ่ได้”

“ไม่ต้องก็ได้นะ ที่จริงก็ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องซื้อของขวัญให้หรอก แต่สำหรับผมน่ะ ทั้งรุ่นอาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระต่างก็คอยช่วยเหลือผมมาตลอด เลยอยากจะซื้ออะไรให้เป็นการตอบแทน”

“ไม่ต้องคิดมากน่า ฉันอยากซื้ออะไรให้พวกรุ่นพี่เหมือนกัน”แล้วจู่ๆทาคุมิก็ร้องอุทานออกมา พร้อมกับคว้าข้อมือของเขาลากพาให้รีบก้าวตาม แต่เพราะฮารุโตะยังไม่แข็งแรงดี จึงกลายเป็นเกือบจะล้มลงไปเสียแทน

“ขอโทษนะ ฉันลืมไป”

“ไม่เป็นไรหรอก แต่เป็นอะไรน่ะ จะรีบร้อนไปไหน”

“เมื่อกี้เห็นรุ่นพี่ชิมิซึ”

“รุ่นพี่ชิมิซึ?”เท่าที่ฮารุโตะรู้ วันนี้หนุ่มรุ่นพี่มีนัดคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาเรื่องวิทยานิพนธ์

“เมื่อกี้เห็นเดินกับผู้หญิงที่ไหนไม่รู้”คนพูดออกอาการกระสับกระส่ายอยากจะตามไปให้ได้

“แล้วอย่างไร ก็ไม่เห็นแปลก”

“ผู้หญิงคนนั้นสวยมากเลยนะ ไม่กลัวรุ่นพี่กำลังนอกใจหรือไง”

นอกใจแล้วอย่างไร เขามีสิทธิ์ไปหวงห้ามที่ไหน ฮารุโตะอยากจะถามออกไปเช่นนั้น รู้สึกขมขื่นเสียจนต้องก้มหน้าหลบสายตาของผู้คน มือข้างซ้ายกำไม้ค้ำยันไม่แน่น “กลับกันเถอะ”

“ไม่ตามไปดูหรือ จะได้รู้อย่างไรละว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”

“ไม่เอาหรอก รุ่นพี่ชิมิซึไม่ชอบให้ใครไปยุ่งวุ่นวาย”ฮารุโตะพูด “แล้วอีกอย่างผมกับรุ่นพี่ไม่ได้เป็นอะไรกันเสียหน่อย”

“ยังจะพูดแบบนี้อีก”คนพูดเสียงแข็ง ระดับความดังเสียงเพิ่มขึ้นจนผู้คนที่เดินอยู่รอบข้างหันมามอง ฮารุโตะหันไปมองรอบกายพร้อมกับก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะหันกลับมาปรามคู่สนทนา พวกเขาขยับหลบแอบเข้าข้างทางไม่ให้กีดขวางการสัญจร

“ที่รุ่นพี่ชิมิซึทำอะไรให้นายตั้งมากมาย ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือ”

ฮารุโตะรู้สึกหงุดหงิดที่โดนจี้ถามเรื่องเดิมซ้ำๆ ทั้งที่มันไม่เกิดประโยชน์อะไร “ผมควรจะรู้สึกอะไร”

“ก็ชอบ หรือรัก”

“ชอบแล้วอย่างไร รักมากแล้วอย่างไร มันไม่มีประโยชน์หรอกนะ”

ทาคุมิจ้องสบกับนัยน์ตาสีน้ำตาลของฮารุโตะ ภายในนั้นมันระริกไหวฉายแววเศร้าหมอง “ทำไมคิดแบบนั้น รุ่นพี่ชิมิซึเขาดู... รักนายมาก”

“เพราะซาโต้ซังไม่รู้ว่ามันเคยเกิดอะไรขึ้นบ้าง ถึงรุ่นพี่จะใจดีแต่เขาก็พร้อมจะเย็นชากับผมตลอดเวลา”น้ำเสียงของฮารุโตะสั่นเครือคล้ายจะร้องไห้ ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำ บนสีหน้ามีแต่ความสับสน

ทาคุมิวางมือบนไหล่เล็กบางคล้ายพยายามปลอบโยน จากนั้นจึงพยุงพาฮารุโตะไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล และจับจ้องเก้าอี้ม้านั่งตัวหนึ่ง ให้ฮารุโตะได้นั่งพักระงับอารมณ์ความรู้สึก

“ใจเย็นๆก่อนนะ มีอะไรก็ค่อยๆเล่าให้ฉันฟังได้”เมื่อจบประโยคนั้น ฮารุโตะก็พล่ามพรูเรื่องราวมากมายออกมาจากปาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นความน้อยเนื้อต่ำใจที่หนุ่มรุ่นพี่กระทำต่อตนเอง พูดไปน้ำตาไหลไปไม่ขาดสายพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาป้อยๆ ทำเอาภาพที่เขาเคยเห็นตอนที่รุ่นพี่ดูแลเพื่อนร่วมคณะร่างเล็กกลายเป็นเรื่องลวงตาไปทันที ทั้งที่ฮารุโตะชอบพูดว่ารุ่นพี่ชิมิซึใจดี แต่ตอนนี้คำที่หลุดออกมีแต่คำว่าใจร้ายบ้างละ เย็นชาบ้างละแทบทั้งนั้น อีกอย่างหนึ่งคือฮารุโตะยอมพูดเรื่องของรุ่นพี่ชิมิซึออกมาง่ายๆต่างจากเรื่องอื่นๆอย่างสิ้นเชิง

“เป็นผู้ชายที่นิสัยไม่ดีจริงๆละนะ”เขาพูดเออออตามไปด้วย เท่าที่เคยฟังพวกรุ่นพี่ในชมรมเขาพูดกัน รุ่นพี่ชิมิซึเป็นผู้ชายเจ้าชู้ที่สุดในกลุ่มห้าคนนั้นเลย แต่เพราะตั้งแต่เข้ามาอยู่ในชมรม ทาคุมิไม่เคยเห็นคู่ควงของหนุ่มรุ่นพี่ตัวเป็นๆแบบจริงๆจังๆสักครั้ง จึงนึกว่าเป็นเรื่องแซวกันเล่นๆ หรืออย่างที่โยชิดะ ริเอะโกะพยายามเข้าหา มันชัดเจนว่ารุ่นพี่ไม่ให้ความสนใจเลยสักนิด

“อย่างนั้น บอกรุ่นพี่ไปตรงๆเลยดีกว่าว่า อย่ามายุ่งด้วยอีก”

“ไม่เอาหรอก”

“ทำไมละ กลัวรุ่นพี่จะทำอะไรหรือ ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะอยู่ข้างนายเอง แล้วก็บอกรุ่นพี่อาโอกิ ต้องช่วยได้แน่”

“ตอนที่รุ่นพี่ดุมันน่ากลัวก็จริง แต่ตอนที่รุ่นพี่มองผ่านไปทำเหมือนไม่เห็น ตรงนี้มันเจ็บไปหมด”ฮารุโตะวางมือไว้บนอกของตัวเอง จมูกและขอบตาแดงกล่ำ นัยน์ตาฉ่ำน้ำ

“แล้วอยู่แบบนี้ไม่เจ็บปวดหรือ”

“อาจจะเจ็บปวดบ้าง แต่ก็มีความสุขด้วยเหมือนกัน”

“ถ้าพูดออกไปอย่างจริงจังไม่ดีกว่าหรือ”

เรื่องนั้นฮารุโตะก็เคยคิด “แต่ถ้าผลลัพธ์ของมันออกมาตรงข้ามกันละ” เขาพูดออกไป

ทาคุมิเป็นฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความคิดไม่ตกบ้าง ตัวเขาเองใช่ว่าจะเชี่ยวชาญถึงจะเคยคบเด็กผู้หญิงในชั้นเดียวกันเป็นแฟนเมื่อตอนสมัยเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นเขาแค่บอกว่าชอบเธอและขอให้ลองคบกัน เธอก็ตอบตกลงไม่ใช่เรื่องยุ่งยากแบบนี้

เขาต้องพักเรื่องของฮารุโตะไว้แค่นั้นก่อน และพาเพื่อนกลับไปส่งที่ห้อง หน้าตาของฮารุโตะบวมฉึ่งจนกลัวว่าถ้ารุ่นพี่ชิมิซึกลับมาเห็น เขาจะโดนซักฟอก

ถ้าถามว่าทำไมเขาถึงไม่เอาสิ่งที่ฮารุโตะพูดกับความรู้สึกของฮารุโตะไปบอกให้รุ่นพี่ชิมิซึรับรู้ คำตอบคือเพราะเขาเองไม่สามารถคาดเดาผลลัพธ์การกระทำของตัวเองได้เช่นกัน เรื่องความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ย่อมต้องให้สองคนที่อยู่ในวงจรความรักนั้นจัดการกันเอง ตราบใดที่มีคนที่สามคนที่สี่เข้าไปเกี่ยวมันย่อมต้องมีปัญหาวุ่นวายตามมาเสมอ

ด้วยประการฉะนี้ ทาคุมิจึงต้องพยายามอดทนอดกลั้นอาการคันปากทุกครั้งยามที่อยู่กับเพื่อนสนิทอย่างฮารุโตะ เพราะหลังจากที่เขาเห็นรุ่นพี่ชิมิซึเดินกับผู้หญิงสวยมากเมื่อหลายวันก่อน หลังจากนั้นเขาได้เจออีกฝ่ายกับผู้หญิงคนเดิมอีกหลายครั้ง และนอกเหนือไปจากนั้น แต่ก่อนที่ไม่เคยเห็นคู่ควงของรุ่นพี่ชิมิซึ หลังๆมานี้กลับเจอบ่อยขึ้น ราวกับจะพยายามยืนยันว่า อีกฝ่ายนั้นเจ้าชู้อย่างที่ใครต่อใครเขาพูดกัน




หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 16 : 28/Mar/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-03-2017 04:12:31

“รุ่นพี่ฮายาชิครับ”ทาคุมิเรียกด้วยเสียงกระซิบ พลางเหลือบตามองฮารุโตะที่นั่งรวมกลุ่มอยู่กับรุ่นพี่อาโอกิและกลุ่มรุ่นพี่สาวๆ ซึ่งกำลังคุยเรื่องรายการอาหารที่จะจัดเลี้ยงในงานวันเกิดของคู่รักอดีตประธานชมรม จากนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเปิดรูปที่ตนแอบถ่ายไว้ ส่งให้อีกฝ่ายได้ดู

“คนนี้ใครครับ”

ภาพที่ส่งมาให้เรียวตะดูนั้น เป็นรูปของชิมิซึ ซากิกับชายหนุ่มหน้าตาดีอีกคน  อากัปกิริยาของสองคนในรูปดูเผินๆโดยรวมล้วนปกติไม่ผิดแปลก

“อยากรู้ไปทำไม”เรียวตะถามกลับ ใช่ว่าเขาจะรู้จักทุกคนที่คนที่ซากิรู้จัก

“ผมเคยเจอรุ่นพี่ชิมิซึจูบกับผู้ชายคนนี้”

“อา...”เขาควรจะตอบว่าอย่างไรดีนะ เรียวตะนึกไม่ออกจริงๆ

“ตกลงรุ่นพี่ชิมิซึเห็นเพื่อนผมเป็นแค่ของเล่นจริงๆเหรอ”ทาคุมิพูดเสียงอ่อย ขยับปากงึมงำด้วยท่าทางสลดเซื่องซึม เขาและรุ่นพี่ฮายาชิพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมาโดยตลอด ตอนที่ได้ยินว่ารุ่นพี่ชิมิซึจัดการโยชิดะ ริเอะโกะไม่ให้เข้ามาหาเรื่องฮารุโตะอีกเป็นครั้งที่สอง เขายังคิดว่า รุ่นพี่ชิมิซึนี่โคตรเท่ ตอนที่ฮารุโตะหายไปรุ่นพี่เองดูเป็นห่วงมากจนเขาคิดว่าจบเรื่องนี้สองคนนั้นต้องลงเอยกันแน่ อุตส่าห์ลุ้นติดขอบเวทีขนาดนี้สองคนนั้นยังไม่ไปถึงไหน

“มันคงคิดอะไรแผลงๆอีกละมั้ง”เรียวตะพูดเดา แม้ว่าเขาจะค่อนข้างสนิทกับคนที่ถูกพูดถึง แต่เขาก็ตามความคิดของอีกฝ่ายไม่ค่อยทัน ที่รู้เรื่องโน้นเรื่องนี้เพราะออกเที่ยวด้วยกันบ่อยเท่านั้นเอง ดังนั้นพอเห็นเอคิจิเดินผ่านเข้ามาในแนวสายตา เขาจึงรีบกวักมือเรียก และส่งรูปในมือถือให้ดู

“รู้จักป่ะ”

คนถูกถามเลิกคิ้ว มองกลับมา “ใครจะไปรู้จัก เป็นแกที่ควรจะรู้ไม่ใช่หรือ”

“หลังๆมานี่มันไปไหนก็ไม่ค่อยชวนอ่าดิ”

“แล้วอยากรู้ไปทำไม”

“ทาคุมิบอกว่าเห็นตอนซากิมันจูบกับคนในรูป แถมช่วงนี้มันกลับไปควงใครต่อใครอีกเพียบ”

“อ้าวหรือ นึกว่ามันคอยไปรับไปส่งไปกินข้าวกับฮารุจังซะอีก”

“ยังทำอยู่ครับ แต่แบบบางครั้งที่กินข้าวอยู่ก็มีคนที่ไม่รู้จักเข้ามาคุย ผมนี่โคตรอึดอัดเลย”ทาคุมิบอกพร้อมกับบ่นออกไป

“อ่อ”คนฟังแค่พยักหน้ารับรู้ เรียวตะที่จับจ้องอยู่ตลอดเอ่ยปากถามบ้าง ทั้งที่เพิ่งรู้จักซากิครั้งแรกตอนมัธยมปลายเหมือนๆกัน แต่ราวกับว่าเอคิจิและซากิจะรู้จักกันมานานกว่านั้น เพราะดูสนิทสนมรู้ใจกันเป็นกันเป็นพิเศษ

“ตกลงมันจะทิ้งฮารุจังแล้ว”

“หือ แกจะเสียบจริงดิ”

“เฮ้ย!!! เปล่า!!! เดี๋ยวก็มองหน้ากันไม่ติดจริงๆ”เรียวตะบอกปฏิเสธ “ทาคุมิมันจะได้รีบเตรียมตัวปลอบฮารุจังไง”

“ทำไมเพื่อนของพวกรุ่นพี่ใจร้ายอย่างนี้”ทาคุมิกล่าวตัดพ้อตามมาติดๆ

“ฉันไม่ใช่มัน มาพร่ำให้ฟังก็ไม่รู้สึกหรอกเว้ย”เอคิจิพูดพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ “ว่าแต่ฮารุโตะรู้หรือเปล่าละ”

“ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่ารู้เห็นระแคระคายแค่ไหน แต่ไม่เห็นออกอาการอะไรเลย”

“ไม่มีเลย?”

“มีคนเข้ามาคุยเจาะแจ๊ะกับรุ่นพี่ชิมิซึ ฮารุจังยังแค่มองเฉยๆ”

“อ่อ”เอคิจิรับฟังด้วยอาการครุ่นคิด “เดี๋ยวก็เลิกไปเองละมั้ง”

“ตกลงเพื่อนผมจะโดนทิ้งจริงๆใช่ไหม”ทาคุมิออกอาการร้องห่มร้องไห้ แต่หนุ่มรุ่นพี่ที่เหมือนจะรู้ดีกลับแค่หัวเราะแล้วบอกไม่รู้สินะ เท่านั้นเอง


งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาโอโตะและเรย์ถูกจัดขึ้นที่บ้านนาคามูระ โดยการเปลี่ยนห้องโถงชั้นล่างของบ้านซึ่งแต่เดิมแบ่งพื้นที่การใช้งานด้วยเฟอร์นิเจอร์ให้เป็นพื้นที่จัดงาน งานนี้สมาชิกชมรมที่ชื่นชอบการถ่ายภาพต่างตื่นเต้นกันเป็นพิเศษเพราะได้เจอตัวจริงของนาคามูระ มาโกโตะและนาคามูระ ริว ช่างภาพมืออาชีพชื่อดังที่เป็นพ่อและพี่ชายของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของวันเกิด

ไม่ต่างกับทาคุมิที่มองอาโอกิ จิอาสะพี่สาวของรุ่นพี่อาโอกิ นาโอโตะตาไม่กระพริบ

“เอ่อ... ขอโทษนะครับ”ทาคุมิกระมิดกระเมี้ยนพูดจาด้วยความเขินอาย เป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะเห็นท่าทางอาการของเพื่อนร่วมคณะต่างจากที่เคย “ขอความกรุณาถ่ายรูปคู่กับผมได้ไหมครับ” คนพูดลุ้นจนตัวเกร็ง ท่าทีสงบเสงี่ยมไม่ล้นทะเล้นเหมือนเช่นเคย

“อือ ได้ซิ”

สีหน้าของทาคุมิราวกับอยากจะไปจุดพลุฉลอง เขาส่งโทรศัพท์ให้หญิงสาวและขยับไปนั่งบนโซฟาตัวเดียวกัน ขยับเข้าไปใกล้แต่ไม่กล้าเข้าไปชิดมาก จนหญิงสาวผู้ที่มีอายุมากกว่าต้องขยับเข้าไปชิดในตำแหน่งที่ไม่ดูเกินเลยจนเกินไปนัก กดปุ่มจับภาพสองถึงสามภาพและส่งโทรศัพท์คืนให้เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของ ทาคุมิถึงกับเหมือนจะลอยได้ตอนที่กลับมานั่งยังจุดเดิม ฮารุโตะหัวเราะกับสีหน้าเคลิ้มฝันของผู้เป็นเพื่อน

มันควรเป็นเรื่องที่น่าประทับใจจริงๆนั่นแหละ

อาโอกิ จิอาสะเป็นนางแบบสาวสวยที่กำลังมีชื่อเสียงในปัจจุบัน ทั้งยังมีงานโฆษณาสินค้าอีกหลายชนิด ภาพคู่ที่ปรากฏอยู่บนโทรศัพท์มือถือของทาคุมิ ดูเหมือนว่าทาคุมิและจิอาสะความสูงใกล้เคียงกัน แต่ในความจริงแล้ว นางแบบสาวสูงกว่าทาคุมิอยู่หลายเซนติเมตรทีเดียว

หลังจากนั่งชื่นชมภาพคู่ในโทรศัพท์ได้ไม่เท่าไหร่ ซาโต้ ทาคุมิก็ลุกหายแว้บไปอีกปล่อยให้ฮารุโตะนั่งรออยู่ที่โซฟาคนเดียวเพราะสภาพไม่เอื้ออำนวยของร่างกาย กระนั้นใช่ว่าเขาจะต้องนั่งเหงา เพราะประเดี๋ยวหนึ่งก็มีคนนำขนมมาให้ อีกประเดี๋ยวก็มีคนถือของกินมาส่ง จนฮารุโตะเริ่มคิดว่าไม่อยากหายดีเสียแล้ว

“ทาคุมิไปไหนแล้วละ”ซากิถามพร้อมทรุดตัวลงนั่งแทนที่คนที่ถูกถามถึง ฮารุโตะหันไปกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม

“ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่เห็นพูดอยู่ว่าอยากได้รูปคู่กับทาเคชิซัง”ทาเคชิซังที่ฮารุโตะกล่าวถึงคือ อาโอกิ ทาเคชิ นายแบบหนุ่มหล่อที่ยังคงดูดีอยู่เสมอแม้วัยจะล่วงเข้าสู่เลขสี่ปลายๆ ผู้เป็นบิดาของอาโอกิ  นาโอโตะ

งานเลี้ยงวันนี้นอกจากจะมีสมาชิกในชมรมถ่ายภาพ สมาชิกในครอบครัวของรุ่นพี่ทั้งสอง ยังมีเพื่อนร่วมคณะ เพื่อนสมัยมัธยม และคนรู้จักที่เคยทำงานร่วมกับรุ่นพี่เจ้าของวันเกิดอีกหลายคน คนในงานจึงพลุกพล่านคึกคัก

คนฟังพยักหน้ารับเมื่อได้ยินคำตอบ มองจานอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ของที่พร่องหายไปส่วนใหญ่จะเป็นของที่หยิบทานได้ง่าย อาหารจำพวกเส้นอย่างสปาเก็ตตี้ยังเหลือพูนจานเหมือนเดิม เขาจึงหยิบส้อมมาถือเกี่ยวเส้นแป้งพันม้วนเป็นก้อนกลม และยื่นส่งให้ถึงปากของหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะอ้าปากรับอย่างไม่อิดออดและมีสีหน้าว่าชื่นชอบรสชาติอย่างเห็นได้ชัด คนป้อนจึงส่งคำที่สองเข้าปากอีกฝ่ายทันทีที่หนุ่มรุ่นน้องเคี้ยวอาหารหมดปาก

“มาแล้ว มาแล้ว นี่ๆดูดิ”ทาคุมิยกโทรศัพท์ขึ้นมาอวดอย่างตื่นเต้น เมื่อได้ภาพคู่กับอาโอกิ ทาเคชิอย่างที่ตั้งใจ นอกจากนั้นยังมีภาพเดี่ยว และภาพคู่ของพ่อลูกดารานายแบบนางแบบอีกหลายภาพ

“ตื่นเต้นอะไรไร้สาระ”รุ่นพี่ร่างสูงพูดแขวะจนเจ้าของภาพชักสีหน้า เขายังไม่หายเคืองแทนฮารุโตะที่รุ่นพี่ชิมิซึไปเจ๊าะแจ๊ะกับคนอื่น ดังนั้นเขาจึงแค่สะบัดหน้าทำเป็นไม่สนใจ

คนโดนเมินหัวเราะกับท่าทางนั้น ขณะที่มือยังม้วนเส้นสปาเก็ตตี้เพื่อส่งเข้าปากหนุ่มรุ่นน้องผู้ซึ่งต้องใส่เฝือกที่แขน ทาคุมิเห็นฮารุโตะยอมอ้าปากให้หนุ่มรุ่นพี่ป้อนพลางเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ แล้วยิ่งหมั่นไส้ เขากวาดสายตามองหาของกินอื่นที่จะนำมาให้ฮารุโตะ

อาหารของกินในงานเลี้ยงวันนี้ก็ช่างหลากหลาย มีทั้งอาหารญี่ปุ่น อาหารฝรั่ง ทั้งซูชิ ซาชิมิ ทั้งขาปู พูดง่ายๆว่าจัดอาหารตามใจคนกินโดยแท้

ทาคุมิลุกขึ้นไปคีบโอโทโร่ซูชิและเดินกลับมานั่งข้างเพื่อนสนิทอีกครั้ง “ฮารุโตะ เอานี่ไหม” เขาใช้มือหยิบซูชิทำท่าจะป้อนให้ถึงปาก ฮารุโตะหันมาพยักหน้ารับและคว้าซูชิก้อนนั้นมาถือด้วยมือซ้าย เสียงหัวเราะลอยมาทำให้เขาคิ้วกระตุก

“ซูชิอร่อยไหม”ยิ่งได้ยินรุ่นพี่ชิมิซึถามคำถามนั้นกับฮารุโตะ เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กน้อย อิจฉาหมั่นไส้อะไรไม่เข้าท่า

ฮารุโตะพยักหน้ารับ อ้าปากพูดไม่ได้เพราะก้อนซูชิครึ่งหนึ่งอยู่ในปากเหลืออีกครึ่งอยู่ในมือ คนถามเห็นอีกฝ่ายตอบรับจึงดึงมือหนุ่มรุ่นน้องเข้าหาตัว ขโมยซูชิที่เหลืออีกครึ่งเข้าปากตัวเองบ้าง เคี้ยวอยู่ไม่กี่ทีก็กลืนลงคอ

“อร่อยจริงๆด้วย”ซากิพูดมองหนุ่มรุ่นน้องที่นิ่งมองเขาตาโต สีผิวเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อไปทั้งหน้าก่อนเสหลบสายตาด้วยการก้มหน้าลงต่ำ เด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนที่นั่งมองอยู่ไม่ห่างพลันแกล้งสำลักกระแอมกระไอคล้ายมีอะไรติดคอ

“เดี๋ยวฉันไปหาน้ำมาให้แล้วกัน”เขาบอกเช่นนั้นก่อนจะลุกขึ้นเพื่อไปหาน้ำมาให้ตามที่พูด และกลับมาพร้อมน้ำพั้นซ์ผลไม้สองแก้ว ส่งแก้วหนึ่งให้ทาคุมิ แก้วหนึ่งวางไว้ตรงหน้าฮารุโตะ

กลับกลายเป็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาสามคนเงียบกริบไร้สนทนา แม้ว่ารอบข้างจะมีทั้งเสียงคุยและเสียงเพลง เสียงเฮดังลั่นออกมาจากหมู่คนที่จับกลุ่มเล่นเกม

ทาคุมิอึดอัดไม่ชอบบรรกาศแบบนี้ เขาเหล่มองอีกสองคน ฮารุโตะยังนั่งกินซูชิต่อไปเงียบๆ ส่วนหนุ่มรุ่นพี่ มือหนึ่งสางผมฮารุโตะเล่น สายตาจดจ้องอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมืออีกข้างหนึ่ง

เด็กหนุ่มช่างพูดนั่งหยุกหยิกกระสับกระส่ายอย่างไม่เป็นสุข จนฮารุโตะต้องหันไปถาม

“เป็นอะไรหรือ ถ้าอยากเข้าห้องน้ำก็ไปได้ ผมอยู่ได้”

“เปล่า”

ทาคุมิขยับตัวยกมือขึ้นป้องปากกระซิบ “ไม่คิดจะคุยกันบ้างหรือ”

“เอ๊ะ! เอ่อ... แล้วคุยอะไรละ”ฮารุโตะถามอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรก็ได้”ทาคุมิยังคงใช้เสียงกระซิบเช่นเดิม

“ทำอะไรกันน่ะ”เสียงที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้พวกเขาทั้งคู่สะดุ้งโหยงตกใจ ฮายาชิ เรียวตะยกยิ้มชอบใจขณะเลื่อนใบหน้าที่ยื่นเสนอเข้าไปออกมาห่าง และเดินอ้อมไปนั่งที่โซฟาอีกฝั่ง ในมือมีขวดเครื่องดื่มของมึนเมาหลายขวด

อิเคดะ นายะในชุดกระโปรงสีชมพูอมส้มตามมานั่งข้างเรียวตะไม่ห่าง

“ดื่มอะไรวะ”เรียวตะหันไปถามเพื่อน ซากิจึงชี้ไปที่แก้วพั้นซ์ที่ตั้งอยู่

“เฮ้ย เป็นอะไรวะไม่ดื่มรึ”

“ขับรถมา แล้วก็เผื่อต้องเก็บศพพวกที่เมาด้วย”

“เรย์มันบอกให้นอนนี่ได้”พูดพลางโบกมือเรียกเพื่อนอีกคน ส่วนเจ้าของงานวันเกิดสองคนนั้นต้องเดินชนแก้วไปทั่วงานจนตอนนี้เรย์เริ่มจะเดินไม่ตรง

“เห็นว่าอีกเดี๋ยวมันก็เป่าเค้กกันแล้ว”

“มีอะไรอ่ะ”คนที่ถูกเรียกเดินเข้ามาหาและเอ่ยปากถาม

“มานั่งเล่นกับน้องมันบ้างดิ ทาคุมิมันกระสับกระส่ายเป็นไข้จับสั่นแล้ว”เรียวตะเอ่ยแซว ซึ่งคนถูกแซวก็ปฏิเสธทันควัน

“ผมเปล่านะ”

เอคิจิหัวเราะ มองเรียวตะตะโกนเรียกคนที่เดินผ่านให้มารวมกลุ่ม

“ไม่ดื่มแล้วนะเว้ย”มาซามุเนะ โทรุบอกทันทีที่หย่อนตัวลงนั่ง “กะจะให้อ้วกเลยหรือไง”

“เขาเรียกว่าคออ่อนว่ะ”คนที่พูดชื่อฟุจิตะ มาสะซึ่งเรียนอยู่ชั้นปีที่สี่

“เออ อ่อนก็อ่อนดีกว่าต้องเมาจนคลานละว้า”คนโดนว่ายอมรับออกมา

“รุ่นพี่ฮายาชิคะ ฉันเรียกเพื่อนมานั่งด้วยได้ไหม”นายะพูดขึ้นบ้าง

“จะใครก็ได้แต่อย่าให้ฉันเห็นหน้าโยชิดะ”ซากิกล่าวแทรกเสียงแข็งพาให้ทั้งวงเงียบกริบ

ประเด็นนี้เคยเป็นประเด็นร้อนที่ทั้งชมรมกล่าวถึงในช่วงหนึ่ง ปกติจะมีแต่นาคามูระ เรย์ที่ชอบตะเพิดผู้หญิงที่ตามตอแย แต่ชิมิซึ ซากิทำมากกว่านั้น นอกจากพูดเล่าเหตุการณ์ที่มานาซุรุออกมาเป็นฉากๆแล้ว ยังขุดเรื่องตั้งแต่สมัยไหนของโยชิดะ ริเอะโกะออกมาโพทนาให้คนทั้งชมรมได้ฟังกันอีกด้วย และสำทับประโยคสุดท้ายว่า ‘ถ้ายังไม่เลิกยุ่งวุ่นวายตามราวีคนอื่นอีกละก็ ครั้งหน้าจะไม่แค่สืบประวัติครอบครัว แต่อาจจะเป็นพ่อแม่ของเธอที่ต้องออกจากงานหรือตัวเธอเองที่ต้องเด้งออกจากมหาวิทยาลัยนี้’

สมาชิกในชมรมต่างโจษจันสงสัย เรื่องที่เกิดในคานางาว่าแค่ถามคนเจ็บอย่างฮารุโตะ เหตุการณ์ทุกอย่างก็เป็นอันกระจ่าง แม้ทุกคนจะมารู้เรื่องนั้นภายหลังว่าฮารุโตะไม่เคยเล่าอะไรที่ชัดเจนออกมา เรื่องประวัติครอบครัวก็มีสำนักงานนักสืบที่สามารถจัดการหาข้อมูลที่ต้องการให้ได้ มีแต่คำข่มขู่นั่นแหละที่หลายคนกังขา ตัวคนโดนข่มขู่เองก็กังขา

คาโอรุเลยเลียบๆเคียงๆถามรุ่นพี่เรย์ที่ดูท่าว่าจะคุยง่ายสุด เพราะประธานชมรมคนปัจจุบันสงสัยตั้งแต่ที่อยู่มานาซุรุในคานางาว่าแล้ว ว่าทำไมตำรวจและทีมค้นหาดำเนินการให้ไวนัก สรุปความว่า พ่อของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นข้าราชการระดับสูง ส่วนคนในครอบครัวของรุ่นพี่โมริต่างมีตำแหน่งในกรมตำรวจ และมีเครือญาติเปิดสำนักงานนักสืบ

โยชิดะ ริเอะโกะจึงไม่กล้าหือออกอาการขึ้นมาอีก

“ฉันทราบค่ะ”

เรียวตะจึงต้องเป็นฝ่ายเปลี่ยนบรรยากาศที่เริ่มทะมึนอึมครึมให้กลับมาสนุกสนานเฮฮาอีกครั้ง หลังจากที่สองสาวอย่างทาคาฮาชิ ฮิราอิ และซาซากิ ฟุมิโอะมานั่งร่วมวงแล้ว เรียวตะจึงเริ่มเล่นเกมต่อคำ แต่เปลี่ยนจากที่ต้องดื่มของมึนเมาเมื่อแพ้ กลายเป็นดื่มซอสเสียแทน

“ซอสเนี่ยนะ”มาสะถามอย่างไม่เชื่อหู “ฉันกินเหล้าแทนไม่ได้หรือวะ”

“แต่ฉันไม่อยากกินเหล้า”

“ฮารุจังก็ดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้นะครับ”

สองประโยคหลังเป็นของโทรุและทาคุมิ

“อย่างนั้นดีดหู”คนคิดเกมเสนอขึ้นมาอีก จากที่นั่งฟังเพลินๆขำๆ ฮารุโตะถึงกับสะดุ้งตัวเกร็ง ซึ่งทาคุมิก็แย้งทันควันเหมือนกัน

“อันนี้ก็ไม่เอาครับ ทำไมผมต้องมาเจ็บตัวด้วย”

“เว้ย โน่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่ได้”เรียวตะส่งเสียงชิชะหงุดหงิด

“งั้นก็ ใครแพ้จะกินเหล้ากินซอส หรือกินน้ำเปล่าก็ตามใจเลยไม่ได้หรือไง”เอคิจิเสนอความคิดเห็น

“ไม่ลำบากทรมานมันจะเรียกว่าทำโทษหรือวะ”

เถียงกันไปแย้งกันมาจนเจ้าของงานสองคนประกาศว่าจะเป่าเค้ก พวกเขาจึงต้องล้มเลิกเกมที่ว่ากันไปเสียก่อน แล้วย้ายไปรวมตัวแถวโต๊ะที่วางเค้กแทน ฮารุโตะลุกยืนไม่ถนัด จึงได้แต่ขยับตัวเอี้ยวมองส่งกำลังใจให้แทน อีกสองหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆก็ไม่ยอมลุกไปไหน

เสียงเพลงสุขสันต์วันเกิดดังขึ้น ฮารุโตะจึงร้องและปรบมือตาม ร้องวนไปสองรอบทำท่าเหมือนจะจบแต่ใครสักคน กลับขึ้นเพลงมาอีกรอบ พวกเขาจึงร้องเพลงเป็นรอบที่สาม เมื่อใกล้จะจบรอบที่สาม เรียวตะก็ขึ้นเพลงรอบที่สี่ แต่โดนทุกคนในงานสะกัดบอกให้หยุด การร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดจึงจบลงแค่นั้น

ช่วงที่ตัดเค้ก ทาคุมิรีบกระโดดผลุงไปยืนรออยู่ด้านหน้า เขาถือกลับมาแค่จานเดียวแต่ชิ้นใหญ่มากตั้งใจจะแบ่งกันทานกับเพื่อนสองคน ทว่าตอนที่กำลังจะตักเค้กป้อนฮารุโตะ หนุ่มรุ่นพี่อีกคนกลับเสนอหน้าอ้าปากมาจัดการไปเสียแทน

“รุ่นพี่ชิมิซึไปเอาใหม่ซิครับ มาแย่งผมทำไม”

“เอ้าเรอะ ไม่ได้เอามาเผื่อเรอะ”

ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นรุ่นพี่ ทาคุมิคงหลุดปากด่าไปแล้ว

“ขอโทษทีแค่อยากชิมเฉยๆ”ซากิแสร้งยิ้มเป็นเชิงว่าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ทาคุมิส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอเป็นเชิงไม่ชอบใจ ก่อนจะวางจานเค้กไว้บนโต๊ะสะบัดหน้าลุกขึ้น ฮารุโตะมองตาม แต่โดนชายหนุ่มอีกคนเรียกความสนใจกลับมา

“กินก่อนไหม เดี๋ยวป้อน”เขาพูดพลางเอื้อมมือเลื่อนจานเข้ามาใกล้และหยิบช้อน

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “อย่าแกล้งทาคุมิซิครับ”พลางรับช้อนที่อีกฝ่ายส่งมา

“เด็กปากมากนั่นกวนประสาท”

“กวนประสาท?”ฮารุโตะถามซ้ำ ตอนไหนกันไม่เห็นจะเป็นแบบนั้นเลย “ซาโต้ซังใจดีนะครับ เป็นคนดีมากด้วย”

ซากิจึงทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่คิดต่อความ จังหวะนั้นทาคุมิกลับมาพอดีพร้อมช้อนอีกคันในมือ

“เอ๋... นึกว่าจะไปเอาเค้กมาเพิ่มซะอีก”

“หมดแล้ว”ทาคุมิไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม เขาดึงจานที่อยู่ตรงหน้าฮารุโตะกลับมานิดหน่อยพร้อมกับใช้ช้อนในมือตักเค้กเข้าปาก “ไม่กินหรือ”เขาถามเมื่อยังเห็นฮารุโตะยังนั่งมองอยู่เฉยๆ เพื่อนสนิทของเขาพยักหน้า สายตาของทาคุมิมองการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอย่างไม่คลาดสายตา ฮารุโตะมีท่าทีปกติไม่ตะขิดตะขวงใจอะไร แน่ละ ถ้าไม่คิดอะไรมากใช้ช้อนคันเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่กลับมีคนคิด

ขณะที่ตักขนมปังส่วนที่เป็นตัวเค้กเข้าปากทาคุมิก็นั่งตรึกตรองไปด้วย พวกรุ่นพี่ฮายาชิกลับมานั่งรวมกลุ่มอีกครั้ง แต่ละคนมีชิ้นเค้กกลับมาด้วย รุ่นพี่ชิมิซึไม่มีทีท่าอยากกินแม้จะมีคนเสนอแบ่งให้

“นี่ๆ ฮารุจังตักให้รุ่นพี่ชิมิซึบ้างซิ”เขากระซิบบอกคนที่นั่งอยู่ข้าง

ฮารุโตะพยักหน้ารับ หันไปอีกฝั่งสะกิดหนุ่มรุ่นพี่พลางส่งช้อนให้ “ทานไหมครับ” คนถูกถามปฏิเสธกลับมา

“ตักป้อนเลย”ทาคุมิกระซิบบอกอีกครั้ง เจ้าตัวสั่นศีรษะหน้าแดงตอบกลับมาด้วยเสียงเบาๆเช่นเดียวกันว่า

“ไม่เอาหรอก มีคนอยู่ตั้งเยอะแยะ”

“ทีตอนที่รุ่นพี่ป้อนไม่เห็นอาย”

“ก็ผมแขนเจ็บ อยากกินก็ทำเองไม่ได้ แต่ถ้าผมป้อนรุ่นพี่ทั้งที่รุ่นพี่ชิมิซึปกติทุกอย่าง ต้องมีคนมองแปลกๆแน่เลย”

“ไม่คิดว่ารุ่นพี่อยากกินเค้กและก็อยากให้นายป้อนบ้าง”

“แต่เมื่อกี้รุ่นพี่บอกไม่กิน”

“ก็นายไม่ได้ป้อน”

“ซุบซิบอะไรกันสองคนนั้นน่ะ”เรียวตะถามแทรกเสียงดัง ทาคุมิเงยหน้าขึ้นไปตอบว่าไม่มีอะไร หันไปมองหนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งขวาของฮารุโตะแล้วต้องผงะ อีกฝ่ายไม่เพียงแต่จ้องเขาเขม็ง สายตานั่นยังน่ากลัวจนเขาต้องขยับออกห่าง

ทาคุมิไม่เข้าใจ ทั้งที่ก็แสดงท่าทางว่าหวงเพื่อนของเขามากแท้ๆ แต่ทำไมยังชอบไปทำตัวเจ้าชู้กับคนอื่นอีกก็ไม่รู้ หรือมันคือนิสัยของผู้ชายประเภทนี้

ฝ่ายฮารุโตะได้แต่ก้มหน้าก้มตาครุ่นคิด ถ้าทำแบบที่ทาคุมิว่ามันจะดีจริงหรือ และเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจได้ ลองทำดูไม่เห็นเสียหาย ตอนที่อยู่กันแค่สองคนใช่ว่าจะไม่เคยทำเสียหน่อย ฮารุโตะปลุกปลอบตัวเอง ยกช้อนที่ตนตัดแบ่งเค้กเป็นชิ้นเล็กๆยื่นไปตรงหน้าของหนุ่มรุ่นพี่ด้วยความรู้สึกเก้ๆกังๆ

ซากิมองคนที่ถือช้อนในมืออย่างไม่ถนัดด้วยความแปลกใจ แววตาฉายชัดทั้งความรู้สึกนึกคิดจนเขาอยากจะยกยิ้ม

 ...คาดหวัง ประหม่าและหวั่นใจ

เมื่อทิ้งเวลานานเข้า นัยน์ตากลมโตสีน้ำตาลจึงเริ่มฉายแววสลดพร้อมกับเริ่มหลุบตาและเลื่อนมือลงต่ำ ชายหนุ่มคว้ามือของฝ่ายไว้ก่อน อ้าปากงับขนมปังเข้าปาก

“อือ อร่อยดี”

เสียงโห่แซวลอยตามมาจนหนุ่มรุ่นน้องต้องก้มหน้างุดๆ ให้เห็นแค่ข้างแก้มที่แดงเรื่อ เขายกยิ้มรับคำหยอกเย้าของกลุ่มเพื่อนด้วยความสุขสมใจ

“น้ำตาลติดคอว่ะ ขอเหล้าหน่อยดิ”มาสะแกล้งทำเป็นร้องเรียกหาเครื่องดื่ม

“นัตจัง เค้าป้อนนะตัวเอง อ่ะ อ้าม”เรียวตะหันไปเล่นกับนายะ เขาล้อเลียนคนทั้งคู่ด้วยการหันไปตักเค้กจะป้อนให้หญิงสาวบ้าง หากแต่เธอไม่คิดจะรับมุขด้วย

“ไม่ตลกนะคะ น่ารังเกียจจะตาย”

เงียบกริบกันทั้งกลุ่มอีกครั้ง

ซากิเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน เหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นน้องอีกคนที่โดนว่ากระทบ เขาไม่เห็นสีหน้าเพราะอีกฝ่ายยิ่งก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม เหลือบสายตาขึ้นมองหน้าเรียวตะ เห็นเพื่อนสนิทมีสีหน้าเลิกลั่ก ขณะคนพูดยังลอยหน้าไม่สำนึก หงุดหงิดอารมณ์เสียจนรู้สึกนั่งไม่ติด

“วันนี้ฉันกลับก่อนแล้วกัน”พูดพลางดึงช้อนตักเค้กที่อยู่ในมือฮารุโตะโยนใส่จาน สอดแขนใต้ข้อพับยกตัวหนุ่มรุ่นน้องให้ลอยสูงขึ้น คนโดนอุ้มวาดแขนข้างที่ใส่เฝือกวางพาดบ่าของเขาไว้โดยอัตโนมัติ

“เฮ้ยๆ เดี๋ยวดิ”เรียวตะร้องอย่างตระหนก “อิเคดะไม่ได้ตั้งใจหรอก ใช่ไหม”คำพูดสุดท้ายเขาหันไปถามหญิงสาวที่อยู่ข้างตัว ทว่าเธอกลับไม่หลุดเสียงอะไรคล้ายจะยืนยันคำกล่าวก่อนหน้า

“ช่างเหอะ ฉันไม่อยากมีเรื่องว่ะ”ซากิพูดคล้ายอ่อนใจ อย่างไรก็ตามยังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวเท้าไปไหน เจ้าของงานเลี้ยงอย่างอาโอกิ นาโอโตะกลับก้าวเท้าเข้าหามาเสียก่อน

“โทษที ไปคุยกับกลุ่มอื่นยาวเลย ว่าแต่จะไปไหนอ่ะ”

“พอดีฉันจะกลับแล้ว”

“รีบไปไหนอ่ะ ที่ตัดเค้กก่อนไม่ใช่จะไล่นะเว้ย แค่กลัวเรย์มันเมาหัวทิ่มจนเป่าเค้กไม่ได้ต่างหาก”เมื่อโดนเจ้าของงานชวนให้นั่งลงอีกรอบ ซากิจึงจำใจต้องปล่อยตัวหนุ่มรุ่นน้องลงบนโซฟาเหมือนเดิม ทาคุมิยกตำแหน่งที่ตนเคยนั่งให้นาโอโตะอย่างรู้งาน

“เป็นอย่างไรบ้างฮารุจัง มีคนหาอะไรมาให้กินใช่ไหม”

ฮารุโตะรีบยกยิ้มตอบรับ “ครับ วันนี้มีแต่ของอร่อยๆ เค้กก็อร่อย”

“ถ้าฮารุจังได้กินแบบนี้ทุกวันนะ แค่เดือนเดียวรับรองได้ว่าอ้วนเป็นหมูแน่นอน”ทาคุมิเข้ามาร่วมวงด้วย

“ไม่เป็นหมูนะ”คนถูกพูดถึงรีบปฏิเสธ บรรยากาศหนักอึ้งเมื่อสักครู่ค่อยเบาบางลง กลุ่มเพื่อนสนิทจึงรีบเสริมเบี่ยงประเด็น ปล่อยให้คนขี้โมโหได้สงบสติอารมณ์ตัวเอง




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หมายเหตุ
โอโทโร่ (Otoro) คือ เนื้อส่วนท้องของปลาทูน่า หรือ (มากุโระ)Maguro ซึ่งถือว่าเป็นปลาที่ชาวญี่ปุ่นนิยมรับประทานในแบบปลาดิบมากที่สุด เนื้อปลาทูน่าที่เราเห็นและรับประทานโดยส่วนใหญ่นั้นจะเป็นเนื้อแดงส่วนที่เรียกว่า อะคามิ (Akami) ซึ่งเป็นเนื้อส่วนกลางลำตัว ที่มีจำนวนมากและหาได้ง่าย แต่สำหรับส่วนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นเนื้อที่อร่อยที่สุดของทูน่า คือเนื้อส่วนที่เรียกว่า โทโร่ (Toro) แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ชูโทโร่ (Chutoro) และโอโทโร่ (Otoro) ชูโทโร่ คือ เนื้อส่วนที่อยู่ใกล้กับครีบของปลาทั้งด้านบนและท้องส่วนหลัง เนื้อส่วนนี้มีรสสัมผัสที่หวานนุ่มกว่าอะคามิเพราะมีไขมันคั่นสลับเนื้อปลาอยู่ตลอดทั้งชิ้น ส่วนเนื้อท้องส่วนหน้าที่เรียกกันว่าโอโทโร่นั้น จะเป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกซึมอยู่แทบทุกอณูของเนื้อปลาจนกลายเป็นลายหินอ่อนสวยงาม

ที่มา : ที่มา : https://th.openrice.com/th/bangkok/article/โอโทโร่-ราชันย์แห่งซูชิ-a12
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 16 : 28/Mar/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 28-03-2017 04:15:46
*//ขอพูดคุยเกี่ยวกับ Reply ของนักอ่านทุกท่านค่ะ

อารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเรื่องนี้แต่ละคนซับซ้อนพอสมควรเลย ส่วนหนึ่งเพราะอ่านแล้วยังจับรายละเอียดไม่ค่อยได้หมด ตัวละครเยอะ เรียกชื่อหน้าบ้าง เรียกชื่อหลังบ้าง ยังจำได้ไม่กี่คนเองครับ

ขอพูดถึงชุนนิดนึง ถ้าไม่ใช่เกลียดแทบตายมันมีเหตุผลอื่นด้วยเหรอที่จะไปซ้อมใครซักคนขนาดนั้น มันดูแรงกว่าแค่การแกล้งกันไปเยอะมาก เพื่อนที่อยู่ด้วยกันก็เหมือนจะผสมโรงด้วย แต่พอเจอกันอีกทีก็ทำเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวอะไรกันมาก่อน แปลกเกิน
กรณีตัวละครเยอะแก้ไขไม่ได้จริงๆค่ะ ตอนเราเขียนเรื่องเราก็จดชื่อตัวละครลงสมุดไปด้วยเหมือนกัน ส่วนที่มีทั้งเรียกชื่อต้นบ้าง ชื่อสกุลบ้างเพราะมันเป็นธรรมเนียมของญี่ปุ่นเขาด้วย และการเรียกชื่อก็บ่งบอกถึงความสนิทชิดเชื้อ ความมีมารยาท ส่วนใหญ่คนที่ทำงานแล้วไม่มีใครเรียกชื่อต้นของคนอื่น แม้แต่คนที่เป็นแฟนกันยังเรียกชื่อสกุล แต่ในระดับนักเรียน เขาจะเรียกชื่อกันตามความพอใจ ในเรื่องเราจะเขียนบรรยายด้วยชื่อต้นเป็นหลัก แต่แรกๆจะมีการใช้ว่ารุ่นพี่(ชื่อสกุล)บ้าง เพราะเขียนมุมของฮารุโตะ

อย่างเรื่องการกลั่นแกล้ง เราอยากให้ลองอ่าน Lookism (บน Line webtoon) ดูค่ะ เรื่องนี้แมนๆแนวผู้ชาย ตัวเอกเป็นเด็กผู้ชายอ้วนๆที่โดนซ้อมเป็นกระสอบทรายจริงๆ คนทำไม่ได้เกลียดนะแค่สะใจที่ได้แสดงอำนาจเหนือคนอื่น แล้วเมื่อหลายวันก่อนเราไปเจอหนังสือสอนเด็กว่าทำอย่างไรไม่ให้โดนแกล้งค่ะ เรายังคิดเลยว่าตอนนี้เรื่องการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนของประเทศไทยมันแรงขึ้นมากแล้วเหรอ หรือบางทีมันเยอะอยู่แล้วเพียงแต่เราไม่รู้

และขอขอบคุณ คุณ Grey Twilight ค่ะที่แนะนำเรื่องหางเสียง อันนี้ยอมรับว่าเป็นความมักง่ายส่วนบุคคลของตัวเราเอง จะจัดการแก้ไขให้ค่ะ

ส่วนเรื่องการสะกดผิด เราอยากจะบอกว่าเราอ่านทวนสองรอบก่อนลงทุกครั้ง  ไม่ใช่สองรอบแบบติดกันด้วย วันที่ลงตอนใหม่บนเว็บเราจะเช็คตอนต่อไป แล้วก่อนวันที่จะลงบนเว็บเราจะเช็ครอบสุดท้าย (แล้วยังผิดอีกเนาะ) กรณีนี้เราขออนุญาตเรียกว่า อาการทักษะทางการเขียนบกพร่องค่ะ (ชื่อดูดีด้วย)

เราเคยใช้คำนี้  “พุด (ชื่อไม้พุ่ม)” แทนคำว่า “ผุด (ขึ้นมาให้ปรากฏ)” หลายตอนในเรื่อง และลงบนเว็บแล้วด้วย จนวันหนึ่งเรามาเขียนReply (ตอบกระทู้อื่น) แล้วเราตั้งใจจะใช้ “ขึ้นมาให้ปรากฏ” แล้วเราก็เขียน “ชื่อไม้พุ่ม” ลงไป แต่เกิดสะดุดใจซะก่อนว่าคำนี้มันไม่ใช่นี่หว่า นั่นละค่ะถึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขียนผิด แล้วช่วงตอนแรกๆอ่านทวนหลายรอบเลยด้วย (หัวเราะ) อย่างที่เล่าให้ฟังค่ะ อาจจะแก้ยากสักหน่อยแต่จะพยายามนะคะ

สุดท้ายขอขอบคุณทุกท่านที่เอาใจช่วยฮารุโตะค่ะ เรารู้สึกดีนะ ที่คุณ Freja ขอพ่นไฟ แล้วถามว่าเมื่อไหร่จะรักตัวเองเสียที  และที่คุณ ♥►MAGNOLIA◄♥ บอกว่าฮารุโตะ เอาแต่หนีปัญหา ทั้งที่ถูกทำร้ายตลอด เพราะนั่นหมายความว่าพวกคุณยังอินกับมันอยู่ สำหรับเราการที่นักอ่านอินกับเรื่อง นั่นหมายความว่า นักเขียนเขียนเรื่องได้สมจริง และเราก็อยากให้นิยายของเราเป็นเช่นนั้น เรื่องราวมันถึงค่อยๆดำเนินไปราวกับทากคลาน

ในความคิดของเรา การที่คนหนึ่งคนจะลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองได้นี่ มันต้องมีจุดพีคในชีวิตค่ะ แล้วเผอิญนี่ไม่ใช่จุดพีคที่เรากำหนดไว้  อย่างที่เราเขียนบรรยายความรู้สึกของฮารุโตะไว้ “ความเจ็บปวดแบบนี้เหมือนจะเคยชินแต่เขาไม่ชินกับมันเสียที” คือมันไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาเกือบตาย แต่ไม่พูดอะไรต่อเพราะต้องอุบไว้ (อิอิ)

ดังนั้นจุดพีคแบบเกือบตายจึงใช้ไม่ได้กับเขาอ่ะ เราเลยต้องไปหาจุดพีคอื่น ที่เราเคยบอกว่าฮารุโตะจะเข้มแข็งขึ้นหลายๆคนอาจจะคิดว่า “แค่นี่เนี่ยนะ” ก็เป็นได้

บางครั้งเราก็คิดนะว่า ฮารุโตะควรจะเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่เราอ่านข้อมูลบนอินเตอร์เน็ตค่ะ ที่อ่านมาไม่ค่อยเข้าเค้าเท่าไหร่ อีกอย่างคือเราไม่อยากให้ตัวเอกของเราเป็นแบบนั้นด้วย

ท้ายที่สุดจริงๆละ ขอบคุณสำหรับการติดตามเสมอมาค่ะ ตอนต่อไปพบกันวันที่ 4 เมษายน 2560 ค่ะ//*

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 16 : 28/Mar/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 28-03-2017 05:43:35
ตอนนี้ฮารุโตะ ยอมเปิดปากกับทาคุมิ
ทั้งเรื่องถูกทำร้าย ที่ไม่ว่าสู้หรือไม่สู้ จุดจบไม่เคยดี
เรื่องซากิ ที่ฮารุโตะชอบเวลาใจดีและกลัวเวลาใจร้าย
ซากิ ควงผู้หญิง จูบผู้ชาย
เป็นทั้งความชอบปกติ หรือทั้งต้องการดูปฏิกิริยาฮารุโตะ
เพราะเคยได้ยินว่าฮารุโตะพูดว่า รักได้ ก็เลิกได้
ทำให้เกิดการความรู้สึกท้าทายกับซากิหรือเปล่า
แต่ซากิเองก็ไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์กับฮารุโตะให้ชัดเจน
ทั้งที่ก็ดูท่าทางฮารุโตะออก ว่าคาดหวังให้ตัวเองชัดเจน
อิเคดะ เพื่อนริเอโกะ พาตัวเองมานั่งในกลุ่มผู้ชายคนเดียว
พูดไม่สวย ไม่เข้าหู คงชอบซากิเช่นกันสินะ
อยากอ่านพาร์ทของซากิบ้าง
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ปล.  ขอแก้คำผิด
“แค่นี่เนี้ยนะ” ------- เนี่ย

อักษรกลาง ( ไก่ จิก เด็ก ตาย บน ปาก โอ่ง) ผันได้ครบห้าเสียง  จาง  จ่าง  จ้าง  จ๊าง  จ๋าง
อักษรสูง (ผี ฝาก ถุง ข้าว สาร ให้ ฉัน)  ผันได้สามเสียง  ขาว  ข่าว  ข้าว
อักษรต่ำ คืออักษรที่เหลือจากอักษรกลาง กับ อักษรสูง ทั้งหมด ( ค ฆ ง  ช  ซ  ฌ  ญ  ฑ  ฒ ณ  ท  ธ  น  พ  ฟ  ภ  ม  ย  ร  ล  ว  ฬ  ฮ)
เวลาผันวรรณยุกต์ ผันได้สามเสียง เนีย  เนี่ย  เนี้ย
รูปวรรณยุกต์เอก แต่เสียงวรรณยุกต์เป็นโท
รูปวรรณยุกต์โท แต่เสียงวรรณยุกต์เป็นตรี
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 16 : 28/Mar/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 28-03-2017 13:45:59
 :mew1:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 17 : 4/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-04-2017 04:11:16
เรื่องย่อ ตอนที่ 17
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของนาคามูระ เรย์และอาโอกิ นาโอโตะเป็นไปอย่างสนุกสนาน ทว่าคืนนั้นกลับเกิดเรื่องเสียได้

ตัวละครประกอบ
สมาชิกชมรมถ่ายภาพ
1. มาซามุเนะ โทรุ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
2. ฟุจิตะ มาสะ นักศึกษาชายชั้นปีที่สี่
3. อิเคดะ นายะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
4. โยชิดะ ริเอะโกะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
5. ทาคาฮาชิ ฮิราอิ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ
6. ซาซากิ ฟุมิโอะ นักศึกษาหญิงชั้นปีที่สอง เรียนคณะเดียวกับฮารุโตะ






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 17



ยิ่งดึก งานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดที่จัดขึ้นที่บ้านของนาคามูระ เรย์ยิ่งมีแต่คนเมา เจ้าบ้านเลี้ยงแอลกอฮอล์อย่างเต็มที่ และเหมือนตั้งใจมอมเหล้าให้แขกนอนค้างที่นี่เพื่อพรุ่งนี้เช้าจะได้ตื่นขึ้นมาช่วยกันเก็บกวาด ที่สำคัญเมื่อเจ้าบ้านพูดแบบนั้นออกไปมีแต่คนร้องเฮ บอกเดี๋ยวจัดการให้

แต่ละคนคงเมาหนักแล้วจริงๆ

ฮารุโตะไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่เริ่มง่วงแล้ว ฝ่ายรุ่นพี่ฮายาชิสรรหาเกมมาให้เล่นจนหน้าแดงกล่ำ เริ่มพูดจาอ้อแอ้ แต่ใช่จะหลับพับไปง่ายๆ ต่างกับฟุจิตะ มาสะที่หลับสนิทไปเรียบร้อย

“เดี๋ยวฉันไปหาผ้าห่มให้มาสะก่อนแล้วกัน”โทรุพูด เจ้าของงานทั้งสองคนเตรียมหมอนกับผ้าห่มมาให้แขกที่อยู่ค้าง ที่ไม่มีให้มีเพียงฟูกนอนเพราะจำนวนคนเยอะเกินจะจัดหาให้ไหว แต่เจ้าบ้านเปิดฮีตเตอร์จนอุ่น หลายคนจึงคิดว่าถ้านอนกับพื้นสักคืนคงไม่น่าจะเป็นไร

“ดูง่วงแล้ว กลับกันไหม”ซากิหันไปถามหนุ่มรุ่นน้อง

ฮารุโตะพยักหน้ารับ “รุ่นพี่ชิมิซึไปส่งซาโต้ซังที่บ้านด้วยนะครับ” ชายหนุ่มหันไปมองนาฬิกา ความตั้งใจแรก เขาจะพาฮารุโตะไปนอนที่บ้านของเขาซึ่งห่างออกไปไม่ไกล

“ไปนอนค้างที่บ้านฉันละกัน”

“แกจะพาสองคนนั่นไปบ้านแกเหรอ งั้นฉันไปนอนด้วย”เรียวตะชูมือขึ้นพร้อมกับพูดออกมา

“แล้วสามคนนี้ละเอาอย่างไร”เอคิจิจึงหันไปถามกลุ่มนายะบ้าง

“ถ้ารุ่นพี่จะกรุณาไปส่งก็ขอบคุณมากค่ะ”ฮิราอิตอบ

“เรียวตะขอยืมรถแล้วกัน เดี๋ยวฉันไปส่งน้องเขาเอง” เอคิจิแบมือรับกุญแจรถที่เรียวตะโยนส่งมาให้ “ไปตามมินามิกับโยชิดะมาด้วย เดี๋ยวจะไปส่งทีเดียวเลย”

ซากิจึงหันไปชวนโทรุให้ไปค้างด้วยกัน บอกลาเอคิจิ พร้อมส่งกุญแจรถให้โทรุเดินนำไปเปิดประตูแล้วอุ้มฮารุโตะยกลอยขึ้น ส่วนทาคุมิไปช่วยพยุงเรียวตะที่ถึงแม้จะยังมีสติแต่ตอนที่ลุกขึ้นยืนกลับทำท่าเหมือนจะทิ้งศีรษะลงกับพื้น

ตอนนั้น ชายหนุ่มเพิ่งวางร่างของฮารุโตะลงบนเบาะตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับ ทาคุมิก็วิ่งหน้าตาตื่นร้องว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้วออกมาจากในบ้าน เขากับโทรุมองหน้ากันก่อนจะกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง

“รออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา”ซากิถอดโค้ทตัวนอกที่สวมอยู่คลุมให้ฮารุโตะอีกตัวก่อนเดินเข้าไป

ทว่า พวกเขาทำได้แค่เปิดประตูหน้าบ้านก็พบนาโอโตะกำลังสาวเท้าตึงๆลงมาจากชั้นสอง นาคามูระ เรย์ตามมาด้วยสภาพไม่เรียบร้อย ทันคว้ามือคนรักที่หน้าประตูชั้นล่าง

“เรื่องนี้ฉันอธิบายได้นะ”

“อธิบายว่าอย่างไร”นาโอโตะถามสวนกลับไปทันที “น้องเขามายั่วก่อน เลยเผลอไปนัวเนียด้วยรึ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกนะเรย์ ถึงได้ใช้ข้ออ้างนี้มาพูด ฉันว่าเราสองคนคงต้องทบทวนเรื่องความสัมพันธ์กันใหม่แล้วละ บางทีคบกันนานเกินไปมันคงจะน่าเบื่อ”

ฮารุโตะลงมาจากรถได้ทันฟังประโยคสุดท้ายของรุ่นพี่พอดี เขายังไม่รู้เรื่องราวโดยละเอียด

“เรื่องนี้ฉันผิดเองค่ะ”มินามิ มากิพูดแทรก เธอยืนอยู่บนขั้นบันไดชั้นล่างสุด แม้เสื้อผ้าจะอยู่ในสภาพเรียบร้อยแต่ยังดูรู้ว่าเร่งรีบสวมใส่

“มันไม่ใช่ความผิดของรุ่นพี่นาคามูระเลยค่ะ รุ่นพี่อาโอกิอย่าโกรธรุ่นพี่นาคามูระเลยนะคะ”

“อี๊... คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกแสนดีหรือไงวะ”ทาคุมิกระซิบกระซาบคุยกับเขา ฮารุโตะหันไปมองคนพูดก่อนจะหันกลับไปดูสถานการณ์ตรงหน้า

“ครับ ถ้าจะพูดว่าความผิดของใครก็ต้องทั้งสองคนนั่นแหละ เรื่องแบบนี้ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกครับ”

“แต่เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่นายคิดจริงๆนะ”

“ยังไม่อยากฟัง”นาโอโตะตะโกนใส่ “ฉันอยากกลับไปนอนแล้ว เบื่อเรื่องน้ำเน่านี่แล้ว พอจะให้ได้ไหมเรย์”

เจ้าของชื่อจึงจำต้องปล่อยมือ นาโอโตะเดินเมินหนีทุกคนกลับไปยังบ้านของตน ทั้งพ่อแม่และพี่ชายของเรย์ต่างออกมาจากห้อง และเหมือนจะเห็นเรื่องราวความวุ่นวายมาตั้งแต่ต้น

สุดท้าย งานเลี้ยงคืนนั้นจึงจบลงเพียงเท่านี้

เอคิจิไปส่งรุ่นน้องผู้หญิงทั้งห้าคนตามแผนเดิม เรียวตะกับโทรุเปลี่ยนไปนอนค้างที่บ้านเรย์แทน ซากิพาฮารุโตะและทาคุมิกลับมาพักที่บ้านของตน ระหว่างทางทาคุมิจึงเล่าสิ่งที่เห็นให้พวกเขาฟังอีกรอบ

“ตอนที่ผมกำลังพยุงพารุ่นพี่ฮายาชิตามมา ผมได้ยินเสียงร้องมาจากชั้นสองเลยรีบวิ่งขึ้นไปดู เห็นทาคาฮาชิซังกับอิเคคะซังยืนอยู่หน้าห้อง ส่วนในห้องมีรุ่นพี่นาคามูระกับมินามิซัง แล้วไม่ใส่เสื้อผ้าด้วยกันทั้งคู่ แป็บเดียวรุ่นพี่อาโอกิก็ตามขึ้นมา ผมเลยรีบลงมาตามพวกรุ่นพี่คนอื่นๆเผื่อว่าจะเกิดเรื่องรุนแรง”

ทั้งซากิและฮารุโตะได้แต่เงียบฟัง

“ถ้าให้พูดผมก็รู้สึกแปลกนะ สองคนนั่นทำไมขึ้นไปตามถึงชั้นบนได้ แต่อย่างว่า ต่อให้รุ่นพี่นาคามูระจะเมาแค่ไหนก็ไม่น่าจะเบลอเห็นมินามิเป็นรุ่นพี่อาโอกิไปได้ รุ่นพี่ชิมิซึว่าจริงไหมครับ”ทาคุมิยื่นหน้าผ่านระหว่างเบาะคู่หน้ามาถาม

“ไม่รู้ดิ”คนขับรถเหลือบตามองคนถามครู่หนึ่ง “กลับไปนั่งดีๆ ฉันไม่อยากรับผิดชอบเด็กที่ไม่รักษากฎจราจร”

ทาคุมิหน้ามุ่ยเพราะโดนดุ พาลให้เงียบเสียงพูดไปด้วย และไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงบ้านของชิมิซึ ซากิ

หลังจากที่จอดรถเรียบร้อย ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรีบวิ่งมาที่ประตูอีกฝั่งที่ฮารุโตะเพิ่งเปิดประตูออกมา ทาคุมิเองเปิดประตูรถออกมายืนด้านนอกแล้วเช่นกัน ซากิส่งกุญแจบ้านให้ทาคุมิแล้วย่อตัวทำท่าจะอุ้มฮารุโตะอีกครั้ง

“ผมเดินเองได้ครับ”

“มันดึกแล้ว จะได้นอนเร็วขึ้นอีกนิดไง”น้ำเสียงที่ซากิใช้ห้วนดุจนฮารุโตะไม่กล้าเถียง เด็กหนุ่มจึงได้แต่วางมือเกาะบ่าของหนุ่มรุ่นพี่ปล่อยให้อีกฝ่ายยกตัวเขาลอยขึ้น ซากิสั่งให้ทาคุมิไปไขกุญแจเปิดประตูบ้าน แล้วเดินนำขึ้นไปชั้นสองพาร่างของฮารุโตะไปวางบนเตียงในห้องของเขา จากนั้นชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงหันไปพูดกับแขกอีกคน

“วันนี้นายต้องนอนที่ห้องอื่น ฉันไม่ยอมให้มานอนห้องเดียวกันแบบครั้งก่อนแน่”เขาเดินไปเปิดประตูตู้หาเสื้อผ้าและโยนส่งให้

“ห้องของรุ่นพี่ชิมิซึออกจะกว้าง นอนด้วยกันก็ไม่น่าจะเป็นไรเลย”ทาคุมิบ่นงึมงำ แต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ เขาเดินไปรุนหลังเด็กหนุ่มรุ่นน้องเจ้าปัญหาไปทิ้งไว้ยังห้องนอนอีกห้องหนึ่ง

“ห้องน้ำอยู่สุดทางเดิน ถ้านายอยากจะแช่น้ำ ทำได้เต็มที่เลย แต่พรุ่งนี้ฉันจะออกจากบ้านแปดโมง ขอความกรุณาตื่นให้ทันด้วย ราตรีสวัสดิ์”ซากิโบกมือและดึงปิดประตูห้อง

เขาเดินลงไปชั้นล่างเพื่อปิดประตูรั้วและปิดล็อกประตูหน้าบ้าน  สำรวจความเรียบร้อยที่ชั้นล่าง ก่อนจะกลับขึ้นไปข้างบน เมื่อเปิดประตูห้องตัวเองเข้าไปอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่พบฮารุโตะอยู่ในห้องแล้ว เขารู้สึกเหมือนคลื่นอารมณ์หงุดหงิดจะก่อตัวขึ้นลางๆ

เดินออกจากห้องตรงไปเปิดประตูห้องน้ำ กลับพบว่ามันล็อก

“มีคนอยู่ข้างในหรือเปล่าเปิดหน่อย”

คนที่เดินมาเปิดประตูให้เป็นซาโต้ ทาคุมิ เจ้าตัวยังมีเสื้อผ้าสวมอยู่ครบ แต่ด้านหลังคนที่นั่งอยู่บนพื้นปัจจุบันเหลือกางเกงชั้นในอยู่ตัวเดียว ซากิรู้สึกเหมือนเส้นเลือดข้างขมับกำลังเต้นตุบๆ

“ผมอธิบายได้นะครับ”ทาคุมิรีบชิงพูดออกมาก่อน “ผมแค่ช่วยฮารุโตะถอดเสื้อผ้าอย่างเดียวนะครับ”

“อืม”เขาพยักหน้ารับ ยืนจังก้าอยู่หน้าประตูโดยไม่ปริปากพูดอะไร

“อย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ ถ้ารุ่นพี่อาบน้ำเสร็จแล้วรบกวนเคาะประตูห้องเรียกผมด้วยนะ”เด็กหนุ่มพูดพร้อมกับรีบชิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

ซากิก้าวเท้าเข้าไปหาคนที่อยู่ด้านใน ซึ่งฮารุโตะสะดุ้งทันทีที่เขาเข้าไปใกล้ พลางถัดตัวถอยหนี ชายหนุ่มร่างสูงจึงจำต้องหยุดเท้าไว้แค่นั้น

“เอาถุงกันน้ำมาหรือเปล่า”ซากิคิดว่าตนเองใช้น้ำเสียงเรียบๆไม่ใส่อารมณ์มากที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนว่าในสายตาของเด็กหนุ่มร่างเล็กมันจะไม่เป็นเช่นนั้น ฮารุโตะยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเขา ซ้ำยังชันเข่าทั้งสองข้างขึ้นมากอดไว้ เขาหันไปเปิดประตูตู้เก็บของเหนือศีรษะ ขณะที่ภายในใจกำลังระงับอารมณ์หงุดหงิดไม่พอใจ หยิบผ้าขนหนูออกมาห่มคลุมร่างเล็กบางที่คู้ตัวกอดเข่าไว้

“รอเดี๋ยวนะ”ชายหนุ่มเจ้าของบ้านกลับออกไปด้านนอกและกลับเข้ามาพร้อมถุงกันน้ำ หลังจากจัดการสวมถุงกันน้ำให้ฮารุโตะ จึงอุ้มพาหนุ่มรุ่นน้องเข้าไปยังห้องอาบน้ำด้านใน วางร่างของฮารุโตะลงบนเก้าอี้เตี้ย แล้วจึงหันไปเปิดก๊อกน้ำฝักบัวรดบนตัวของหนุ่มรุ่นน้อง

“วันนี้อาบแค่ฟักบัวนะ”

ฮารุโตะรับคำ การอาบน้ำให้คนเจ็บที่ยังต้องสวมเฝือกใช้เวลาเพียงไม่นาน เขาเริ่มคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้ให้อีกฝ่าย ช่วงแรกๆฮารุโตะมีอาการเขินอายจนสีผิวกลายเป็นสีแดงทั้งตัว แล้วเกร็งตัวตลอดเวลาตอนที่เขาฟอกสบู่ให้ หลังๆมานี่คงเพราะรู้สึกได้ว่าเขาไม่ทำอะไรเกินเลยมากกว่านั้น ความประหม่าเขินจึงแทบไม่มีเหลือ

เขาแวะเคาะประตูห้องที่ให้ทาคุมิพักตามที่เจ้าตัวบอกไว้หลังจากที่อาบน้ำให้ฮารุโตะเสร็จ หนุ่มรุ่นน้องเปิดประตูออกมาทันทีคล้ายรออยู่แล้ว เขาจึงสำทับให้รีบอาบไวๆ เพราะเขาจะได้ไปอาบต่อ ก่อนจะพาฮารุโตะมาส่งถึงเตียงนอน ดึงผ้าห่มคลุมตัวเด็กหนุ่มรุ่นน้อง

“นอนได้แล้ว”

เขาปิดไฟในห้อง จากนั้นจึงเป็นเวลาที่เขาใช้สำหรับจัดการสภาพตัวเอง แต่ทว่า ตอนที่กลับออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง ฮารุโตะก็ยังคงไม่หลับ

“ทำไมไม่นอน ไม่ง่วง?”

คนถูกถามสั่นศีรษะ “รอครับ” ซากิยกยิ้มกับคำตอบนั้น

“ถ้าอย่างนั้นนอนได้แล้ว”

และค่ำคืนนั้นจึงได้จบลง



ตอนที่พวกเขาไปถึงยังบ้านของนาคามูระ เรย์ในตอนเช้า สมาชิกของชมรมหลายคนยังนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้นของบริเวณห้องชั้นล่าง ในครัวมีแม่ของเรย์ นาโอโตะ และกลุ่มสมาชิกหญิงของชมรมที่ไม่ใช่กลุ่มเพื่อนร่วมคณะของฮารุโตะกำลังทำกับข้าวมื้อเช้า ส่วนบนชุดโซฟา มีเรย์ เรียวตะ เอคิจิ และโทรุ จับกลุ่มนั่งหน้าเครียดอยู่ที่อีกมุมหนึ่ง

ซากิเดินตามหนุ่มรุ่นน้องที่ค่อยๆก้าวเท้าไปยังโต๊ะทานอาหารซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ครัว

“รุ่นพี่ชิมิซึ ได้ซื้อแปรงสีฟันมาหรือเปล่าครับ”อัตซึชิถามหาของที่ตัวเองต้องการก่อนเป็นอันดับแรก เขาจึงยื่นถุงบรรจุของที่อีกฝ่ายถามถึงจำนวนร่วมสามสิบอันส่งให้ และส่งบิลใบเสร็จให้ทานากะ ฮานะ

“ขอบคุณค่ะ เดี๋ยวฉันคืนเงินให้นะคะ”เธอกล่าวเพราะของที่ถูกฝากซื้อลงบัญชีของชมรม

“งั้นฉันปลุกพวกที่ยังนอนอยู่แล้วนะ”

“ได้เลยค่ะ อีกเดี๋ยวอาหารเช้าก็เสร็จแล้ว”

ชิมิซึ ซากิเดินไปสะกิดปลุกคนที่ยังนอนหลับไม่ตื่น วนจนครบถึงไปนั่งรวมกับกลุ่มเพื่อนสนิท

“หน้าเครียดกันเชียว คิดไม่ออกหรือวะว่าจะบอกเลิกนาโอโตะอย่างไร”

“ปากเรอะวะนั่น”คนที่มีผลกระทบที่สุดออกปากด่าเป็นคนแรก “ใครจะเลิก”

“อ่อ อยากลอง”

“แกเป็นไรวะ แขวะกันจัง”เรย์ถาม ยิ่งเครียดๆเรื่องเมื่อคืนอยู่ เขาคิด เพราะถึงแม้เช้านี้นาโอโตะจะมาที่บ้านก็ใช่ว่าจะยอมคุยด้วย อาการโกรธแบบไม่พูดไม่จาของคนรักนี่เป็นอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเขา

“ใครจะรู้ เห็นเขาลือกันว่าแกกิ๊กกับรุ่นน้องคนนั้นตั้งแต่ตอนไปมานาซุรุ”

“ใครลือ แกได้ยินจากไหน”เรียวตะถามทันที ไอ้เรื่องซุบซิบนินทานี่ผ่านหูเขาไปได้อย่างไร ทว่าคนที่พูดประโยคก่อนหน้ากลับไม่ตอบอะไรเพียงแต่โคลงศีรษะเป็นเชิงว่าไม่รู้ และต่อประโยคอีกว่า

“นาโอโตะพูดว่าไม่ใช่ครั้งแรก”

“แกควรจะเล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นได้แล้วเรื่องมันเป็นมาอย่างไร”เอคิจิหันไปพูดกับเรย์

“เฮ้ย!!!”มาสะตะโกนมาเสียงดัง ก่อนจะลดเสียงในประโยคถัดมาเมื่อเดินเข้ามาใกล้“มีอะไรกันหรือเปล่าวะ มาคุเอี้ยๆ”

กลุ่มชายฉกรรจ์ทั้งห้าจึงหันไปมองและขมวดคิ้วใส่ที่โดนขัดจังหวะ

“ไม่ได้ตั้งใจนะ สาวๆเขาให้มาเรียกไปกินข้าว”คนถูกเขม่นเอ่ยปากบอกก่อนเป็นอันดับแรก เรย์จึงลุกขึ้น “ไปกินข้าวก่อนแล้วกัน เก็บบ้านกันเสร็จเดี๋ยวค่อยคุยกัน”

แม้ว่าเมื่อคืนนาโอโตะและสมาชิกบางส่วนจะทยอยเก็บกวาดไปบ้างแล้ว แต่สภาพบ้านของครอบครัวนาคามูระยังห่างจากสภาพปกติอยู่มากโข ไม่ว่ากระดาษของประดับและเศษซากงานเลี้ยง สมาชิกในชมรมที่ได้กินฟรีไปเมื่อคืนจึงพร้อมใจอยู่ร่วมช่วยกันในตอนเช้า และใช้เวลาแค่ประมาณครึ่งวันเพื่อทำให้สถานที่จัดงานเลี้ยงกลับมาอยู่ในสภาพเดิม จากนั้นสมาชิกในชมรมจึงทยอยขอตัวกลับ คงเหลือแค่กลุ่มเพื่อนของนาคามูระ เรย์ที่เคยนั่งจับกลุ่มหน้าเครียดก่อนโดนตามไปทานอาหารเช้า โดยเปลี่ยนสถานที่คุยไปเป็นห้องนอนของเจ้าบ้าน ส่วนรุ่นน้องปีสองที่สนิทกับกลุ่มของพวกเขาอีกสองคนอย่างฮารุโตะและทาคุมิ ทั้งคู่ย้ายตัวเองไปสิงสถิตอยู่ที่บ้านนาโอโตะ

“ต้องบิ้วเปล่าวะ”เรียวตะถามติดตลก

เจ้าของบ้านแค่เหล่ตามองอย่างไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย จนเอคิจิต้องเอ่ยปากมาอีกรอบอย่างไม่อยากให้เสียเวลา อันที่จริงเขาสนิทสนมทั้งเรย์และนาโอโตะมาตั้งแต่เด็ก แต่เพราะนาโอโตะดูไม่ออกอาการอะไรเลยซึ่งต่างกับเรย์ที่หน้าตาแสดงให้เห็นว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ที่คิดไม่ตก

“รีบๆพูดมาได้แล้ว ถ้าไม่อยากให้เรียวตะมันเล่นไม่เลิก”

คนโดนว่าหัวเราะ “ก็ดูมันทำหน้าเข้า มันยากตรงไหนวะถ้าแกเลือกนาโอโตะ แกไม่ต้องไปยุ่งกับมินามิอีก แล้วไปบอกแฟนแกว่าขอโทษต่อไปนี้จะไม่ทำอีกเป็นครั้งที่สอง”

“เพราะเลือกไม่ได้?”คราวนี้ซากิพูดขึ้นมาบ้าง

“ไม่ใช่เว้ย แต่มินามิเองไม่ใช่คนเลวร้ายนะ แถมเป็นรุ่นน้องในชมรม”

“ฟังดูไม่น่าจะเป็นเหตุผลที่ดี”เอคิจิพูด

“ก็ใช่ แต่มินามิไม่ใช่คนไม่ดี ไม่งี่เง่าเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่ฉันเคยเจอด้วย”เรย์แย้ง

“งั้นจะบอกว่าที่แกไปนัวเนียกับมินามิบนห้องนอนคือแกตั้งใจ”ซากิถามแทรกเสียงแข็ง คนถูกถามอย่างเรย์ขมวดคิ้ว “จะโมโหอะไรวะ แล้วบอกให้รู้ไว้เลยนะ เรื่องเมื่อคืนฉันไม่ได้ตั้งใจ”

ชิมิซึ ซากิเบือนหน้าหนีไปทางอื่นคล้ายข่มอารมณ์ และหันกลับมามองเรย์อีกครั้ง “ที่ฉันอยากจะพูดคือแกมีแฟนแล้ว ก่อนหน้านั้นแกไม่เคยมีท่าทีใส่ใจใคร แล้วทำไมจู่ๆแกถึงได้ไปสนิทกับรุ่นน้องคนนั้นได้”

“เขาบอกว่าสนใจอยากจะลองถ่ายรูป”

“มินามิเคยเข้ามาถามพวกแกเรื่องกล้องบ้างไหม”ซากิหันไปถามคนอื่น และคำตอบของทุกคนที่นั่งรวมกลุ่มกันอยู่คือปฏิเสธ เรย์จึงเอ่ยแย้งขึ้นมาอีกว่า “เขาอาจจะถามคนอื่นที่ไม่ใช่พวกแก”

“เรย์”เอคิจิเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของบ้านเพื่อขัดจังหวะเพื่อนอีกคนที่เหมือนจะคุกรุ่นขึ้นอีก “ถ้าเป็นแบบนั้นมันจะไม่มีข่าวลือเรื่องที่แกกิ๊กกับมินามิออกมา”

“ทีนี้ แกพอจะรู้หรือยังว่าต้องทำอย่างไร”ซากิถาม

แต่เรย์ยังสีหน้าลังเล “ฉันไม่เข้าใจ ทำไม? ฉันต้องตัดความสัมพันธ์กับคนทั้งโลกเพื่อให้แฟนสบายใจเลยหรือวะ”

“เฮ้ยๆ ไม่ใช่นะเว้ย”เรียวตะปราม “ซากิมันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ถ้าแกกับมินามิอยู่ในขอบเขตของรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรมปกติ มันคงไม่ต้องทำขนาดนั้น แต่นี่มันเกิดเรื่องอย่างเมื่อคืนมาขึ้นมาแล้วนะเว้ย แกยังจะคุยกับเขาต่อแบบไม่มีอะไร แบบเรื่องเมื่อคืนก็แค่เมา... อย่างนั้นหรือ”

คนถูกตั้งคำถามทำหน้าเหมือนอยากจะตอบว่าใช่ พาลให้ร้องอุทานกันทั้งกลุ่ม

“อย่าบอกว่าแกเริ่มปันใจไปให้รุ่นน้องนั่นแล้ว”โทรุที่นั่งเงียบมาตลอดพูดถามขึ้นบ้าง แล้วพึมพำต่อไปอีกว่า ไม่ดีแล้ว

ซากิลุกขึ้นยืนแบบไม่บอกไม่กล่าว เรียวตะเห็นดังนั้นจึงเอ่ยรั้งไว้ “แกจะไปไหนวะ”

“ไปคุยกับนาโอโตะ”

“อย่านะ” เรย์ร้องห้ามเสียงหลง “ฉันขอเวลาหน่อย แล้วฉันจะจัดการทุกอย่าง... ให้เรียบร้อย”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันขอย้ำให้แกจำอะไรไว้สักอย่าง ไม่ใช่แค่แกที่เป็นเพื่อนของพวกฉัน แต่พวกฉันเป็นเพื่อนนาโอโตะด้วยเหมือนกัน”ซากิพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นก่อนเดินออกมาจากห้อง เขาแวะทักทายแม่ของเรย์เล็กน้อยก่อนออกจากบ้าน และเดินเท้าไปยังบ้านที่ตั้งอยู่ข้างกัน กดออดหน้าบ้านยืนรออยู่ครู่หนึ่ง ลูกสาวคนเล็กของเจ้าบ้านจึงเดินมาเปิดประตู

“พี่ซากิ”

“สวัสดีครับ พี่นาโอโตะอยู่ไหนมิกิ”

“อยู่ในครัวค่ะ กำลังทำเค้ก”

“เมื่อวานไม่ได้กินเค้กเหรอ”เขาแกล้งทำเสียงแปลกใจพลางเดินตามเด็กหญิงตัวเล็กเข้าไปในครัว เธอวิ่งตรงไปยังเก้าอี้ประจำตัว ตอนนั้นซากิจึงสังเกตเห็นว่า ตัวของมิกิเลอะแป้งอยู่ไม่ใช่น้อย ฮารุโตะและมารินั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวสูงข้างโต๊ะหิน ส่วนทาคุมิกำลังถือเครื่องตีครีมแบบมือ ทำครีมสำหรับแต่งหน้าเค้ก เขามองหนุ่มรุ่นน้องด้วยสีหน้าประหลาดใจกึ่งล้อเลียน และคนถูกมองเองก็เหมือนจะรู้ตัว

“พ... เพราะ... ฮารุจังบอกว่าอยากจะช่วยรุ่นพี่อาโอกิหรอก แล้วดู! เพื่อนผมแขนเจ็บอยู่ ถ้าผมปล่อยให้ทำคงนิสัยแย่มาก”ทาคุมิชิงพูดออกมาก่อนที่จะมีใครถาม

“ยังไม่มีใครว่าอะไรเลย”ซากิบอกพร้อมเสียงกลั้วหัวเราะ

“ซาโต้ซังไม่สนุกหรือครับ ผมยังรู้สึกว่าน่าสนุกเลย”ฮารุโตะกล่าวพร้อมน้ำเสียงหงอยๆ เขาไม่น่าทำให้อีกฝ่ายลำบากต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำเลย

“เอ้ย!!! เปล่า ก็... ไม่เชิงขนาดนั้น”ทาคุมิปฏิเสธ

“แต่มิกิสนุกค่ะ”เด็กหญิงส่งเสียงพูดพลางโบกไม่โบกมือ นาโอโตะจึงหันไปเออออกับน้องสาว มันต้องน่าสนุกอยู่แล้วละ ขนาดมาริยังมาร่วมวงด้วยเลย

“ทำเค้กสนุกจะตายเนอะ มิกิเนอะ มาริก็คิดเหมือนกันใช่ไหม”

“ค่ะ ตอนกินก็อร่อย”น้องสาวตนโตของนาโอโตะตอบรับ

เค้กที่นาโอโตะทำเป็นเค้กช็อคโกแลต หน้าเค้กเป็นสีน้ำตาลช็อคโกแลต แต่เนื่องจากมิกิอยากจะแต่งหน้าเค้กด้วย พ่อครัวจึงต้องทำบัตเตอร์ครีมขึ้นมาอีกอย่าง

“มิกิ บอกพี่มาก่อนว่าอยากแต่งหน้าเค้กเป็นรูปอะไร”

“มิกิอยากให้มีปราสาทและเจ้าหญิง”ระหว่างรอครีมในถ้วยที่ทาคุมิกำลังจัดการอยู่ให้เข้าที่ นาโอโตะจึงหันมาหาน้องคนเล็ก พูดคุยตกลงถึงสิ่งที่จะทำ เขาหากระดาษมาวาดรูปวงกลมแทนเค้ก จากนั้นวาดตำแหน่งที่จะบีบครีบบริเวณขอบ

“ใส่สตอเบอรี่ด้วย”มิกิพูดขึ้นมาทันที เขาจึงส่งดินสอให้เด็กหญิงเพื่อวาดปราสาทและเจ้าหญิงอย่างที่อยากได้ ส่วนตนเองเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบเอาผลไม้ดังกล่าวออกมา แวะดูครีมในถ้วย เมื่อเห็นว่าเข้ากันและได้ที่แล้วจึงบอกให้ทาคุมิหยุดมือ หยิบกระดาษไขมาพับทำถุงบีบครีม กลับมาดูน้องสาวอีกครั้งปรากฏว่าปราสาทกับเจ้าหญิงที่ว่ากลายเป็นบ้านและรูปคน มาริขยับไปยืนข้างน้องในมือถือดินสอเติมพระอาทิตย์เข้าไปในภาพ

“มาริจะกินตรงนี้”เด็กหญิงจิ้มชี้ตรงจุดที่ตนเองวาดรูปไว้

“งั้นมิกิจะวาดรูปตัวเองไว้ตรงนี้ เพราะมิกิจะกินตรงนี้”

“ตัวจะกินตัวเองเหรอ”

“มิกิไม่ได้จะกินตัวเอง แต่มิกิจะกินทั้งเค้กทั้งก้อนเลย ไม่แบ่งให้ตัวด้วย”

“เค้กนี่ไม่ใช่ของตัวซะหน่อย”

“โอ๊ะ โอ๊ะ หยุดก่อน ไม่เถียงกันนะ”นาโอโตะส่งเสียงห้ามปรามเมื่อเห็นว่าการพูดคุยของสองสาวเริ่มจะบานปลาย “เค้กไม่ใช่ของใครเป็นพิเศษแต่เราจะแบ่งกัน เข้าใจนะ”

ฮารุโตะมองภาพตรงหน้าพร้อมยกยิ้มหัวเราะ การมีพี่น้องก็น่าสนุกเหมือนกัน พลางคิดไปว่าถ้าเขามีพี่ชายหรือน้องชายจะเป็นอย่างไรบ้าง แล้วเหลือบมองชายหนุ่มร่างสูงข้างตัว ภายในใจเกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า รุ่นพี่ชิมิซึมีคนรักเป็นตัวเป็นตน อีกฝ่ายจะยังพอเอ็นดูเขาในฐานะน้องชายบ้างไหม

ภวังค์ความคิดจะถูกดึงกลับมาอยู่ที่เหตุการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง เมื่อมิกิโวยวายว่าอยากจะทำเองคนเดียวให้ได้ ฮารุโตะยกยิ้มทอดสายตามองภาพความอบอุ่นน่ารักตรงหน้า

“เสร็จแล้ว”

สมาชิกที่ยืนล้อมอยู่รอบโต๊ะต่างชูมือโห่ร้องยินดี เพราะรอมานานมาก ทั้งทาคุมิและมาริต่างบ่นพึมพำว่าหิวแล้วบ้าง อยากกินแล้วบ้างเกือบตลอดเวลา ทุกคนเตรียมลงมือจัดการถ้านาโอโตะไม่พูดขึ้นมา

“เราต้องมาถ่ายรูปกันก่อน ซากิไปถ่ายเลย”

ชายหนุ่มจึงต้องล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋า เลือกเข้าแอพพลิเคชั่นถ่ายถาพ ขยับออกมายืนห่างจากทุกคนเล็กน้อย

“ชิดๆกันหน่อย”ก่อนจะกดจับภาพไปสองสามรูป แล้วเปลี่ยนเป็นกล้องหน้าพาตัวเองเข้าไปอยู่ในเฟรมภาพด้วย และทันทีที่พิธีการถ่ายภาพเสร็จสิ้น นาโอโตะจึงถือมีดมาตัดแบ่งเค้กให้ทุกคน สมาชิกอีกสามคนที่เหลือของบ้านก้าวเท้าเข้ามาในครัวอย่างรู้เวลา

“พอดีเลยครับ มาทานเค้กกัน”นาโอโตะร้องเรียก “พี่จิอาสะ กินหรือเปล่าครับ”

“แน่นอนซิจ๊ะ ของหวานมันทำให้ฉันสวยขึ้น”

ทาคุมิมองอาโอกิ จิอาสะตาเยิ้ม “ขนาดไม่แต่งหน้ายังสวย”เขาเพ้อส่งเสียงกระซิบคุยกับฮารุโตะ คนฟังพยักหน้าตอบรับ แต่ให้ความสนใจอยู่กับเค้กช็อคโกแลตในส่วนของตนมากกว่า

รสชาติของเค้กช็อคโกแลตอร่อยมาก ภาพบนหน้าเค้กฝีมือมิกิอาจจะดูเบี้ยวๆไปบ้าง แต่พวกเขารู้ว่าเด็กหญิงตั้งใจทำมันออกมาให้สวยที่สุด และมันไม่มีผลต่อรสชาติความอร่อย ดังนั้งเค้กก้อนนี้จึงหมดเกลี้ยงในเวลาอันรวดเร็ว

ซากิอาสาช่วยนาโอโตะเก็บล้างอุปกรณ์หลังจากที่เอ่ยไล่ทาคุมิกับฮารุโตะให้ย้ายไปนั่งกันที่ห้องนั่งเล่น

“มีอะไรจะคุยด้วยหรือ”นาโอโตะเอ่ยถามทันทีที่เหลือกันอยู่แค่สองคน “แต่ถ้าจะมาแก้ตัวแทนเรย์ก็ไม่ต้อง”

ซากิยักไหล่ “โกรธมันมาก?”

“ควันออกหูเลยละ แบบ... อยากไปนอนกับใครก็บอกเลิกกันก่อนดิวะ ทีกับฉัน หมอนั่นทำท่าหึงหวงสารพัดแต่ตัวเองนอกใจเสียเอง”

“ฟังดูเหมือนนายไม่ได้รักมันมาก”

นาโอโตะโคลงศีรษะพลางคิดวิเคราะห์ความรู้สึกของตัวเอง แน่ละ ความรู้สึกในทุกวันนี้มันไม่ได้หวือหวาเหมือนช่วงที่เริ่มคบกันแรกๆ “บอกไม่ถูก แต่ฉันอยู่กับหมอนั่นมาตั้งแต่เด็ก มันรู้สึกผูกพันมากกว่าแล้วก็นึกไม่ออกว่าถ้าไม่มีเรย์อยู่ในชีวิตจะเป็นอย่างไร”เขาเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ขณะที่สองมือกำลังทำความสะอาดข้าวของ “ตอนที่เรย์มาขอคบในฐานะแฟน ฉันก็คิดนะว่ารักหมอนั่นแบบไหน ลังเลไม่แน่ใจอยู่นาน แต่พอเห็นเรย์ยิ้มมีความสุขเพราะฉัน ก็คิดว่า ช่างมันเถอะ แค่เห็นเรย์มีความสุข ฉันก็มีความสุขเหมือนกัน”

ซากินิ่งฟัง เขาแค่ส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้คำพูดของคู่สนทนา หากแต่ภายในใจกลับปรากฏความคิดเห็นพ้องกับคำกล่าวของนาโอโตะขึ้นมา

‘ฉันก็เหมือนกัน’ ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นแต่ไม่ได้พูดออกไป

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 17 : 4/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-04-2017 04:13:04
รุ่นพี่ชิมิซึดูเงียบซึมเซากว่าที่เคยในความคิดของฮารุโตะ นับตั้งแต่กลับมาจากบ้านของรุ่นพี่อาโอกิ ตอนที่อยู่บนรถเขาไม่ทันสังเกตเพราะมีทาคุมิชวนคุยอยู่ตลอด ทว่า ยามที่อยู่ด้วยกันเพียงสองคนเช่นนี้ เขากลับสัมผัสถึงความเศร้าสร้อยลอยอ้อยอิ่งทั่วทั้งบรรยากาศ

ปกติเขากับหนุ่มรุ่นพี่มักจะอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆไร้บทสนทนาอยู่แล้ว คราแรกที่รู้สึกจึงไม่แน่ใจนักแต่เมื่อปล่อยเวลาให้เคลื่อนคล้อยลอยผ่าน ฮารุโตะจึงแน่ใจมากขึ้น ถึงจะคิดคะเนคาดเดาไปต่างๆนานา ก็ไม่ทำให้ความสงสัยกระจ่าง เด็กหนุ่มจึงลองเอ่ยถาม

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมอง

ที่ห้องของฮารุโตะไม่มีโทรทัศน์ ยามค่ำหลังจากอาบน้ำทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว เด็กหนุ่มเจ้าของห้องจึงใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ ผู้อาศัยอีกหนึ่งคนก็มีกิจวัตรคล้ายๆกัน

“เปล่า”ชายหนุ่มตอบสั้นๆเพียงแค่นั้น และก้มหน้าลงทำท่าเหมือนตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาวิทยานิพนธ์ในคอมพิวเตอร์ต่อไป ฮารุโตะนิ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวแทรกซึมเข้ามาในอกอีกครั้ง กระนั้นเขาทำแค่ก้มหน้าลงและพยายามจดจ่อกับตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ ทั้งที่ในสมองปั่นป่วนวุ่นวายไม่มีสมาธิ

เขาอยากถาม อยากพูดคุยมากกว่านี้ แม้ไม่ถึงขั้นจะแบ่งเบาความทุกข์ในใจของอีกฝ่าย แต่อย่างน้อยก็อยากเป็นผู้รับฟัง

และจู่ๆ หนุ่มรุ่นพี่กลับเงยหน้าขึ้นมา “นอนกันไหม”

ฮารุโตะหน้าตาตื่น ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไม่คิดอะไรมากกับคำพูดชวนแบบนี้ และเพราะแสดงท่าทางนั้นออกไป ซากิจึงมีสีหน้าเหมือนจะหัวเราะพลางอธิบายว่า

“นอนน่ะ นอนเฉยๆ แบบง่วงแล้ว”

“อา... ครับ”ฮารุโตะพยักหน้ารับคำด้วยอาการประมาณว่า ได้ทำเรื่องเปิ่นๆออกไปเสียแล้ว

ฮารุโตะปิดเก็บหนังสือ ขยับตัวออกจากโต๊ะอุ่นขาและแอบไปทางเคาน์เตอร์ครัว ซากิเป็นฝ่ายเก็บโต๊ะอุ่นขาและนำฟูกนอนออกมาปูกาง เด็กหนุ่มเจ้าของห้องถึงได้ขยับกลับไปนั่งบนฟูกอีกครั้ง เขาล้มตัวลงนอนก่อนที่ชายหนุ่มร่างสูงจะปิดไฟ เพราะแขนข้างขวาใส่เฝือก เขาจึงต้องนอนฝั่งขวาของหนุ่มรุ่นพี่ และทันทีที่อีกฝ่ายสอดตัวเข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน เขาถูกดึงเข้าไปกอดในฉับพลัน

“รุ่นพี่ชิมิซึ”เขาส่งเสียงเรียก อีกฝ่ายเพียงแค่ขยับศีรษะให้หนุนตรงซอกคอ และกอดรัดเขาแน่นกว่าเดิม แขนข้างขวาของเขาได้แต่วางพาดไว้บนตัวของหนุ่มรุ่นพี่เฉยๆ

เหมือนสัมผัสได้ถึงความซึมเศร้าของรุ่นพี่ เขาอมยิ้ม ก่อนจะนึกขึ้นได้และสั่งให้ตัวเองหุบยิ้ม รุ่นพี่ชิมิซึกำลังไม่สบายใจนะ จะมาดีใจอะไรกัน ถึงจะบอกตัวเองเช่นนั้น ฮารุโตะกลับมีความสุขที่ชายหนุ่มกอดเขาไว้ ถ้าแขนเขาปกติดี เขาจะลูบหลังให้อีกฝ่าย เพราะฉะนั้นวันนี้ฮารุโตะจึงทำได้เพียงวางมือไว้บนแผ่นหลังกว้าง



บรรยากาศในชมรมอึมครึมหนักหน่วงอย่างเห็นได้ชัด ฮารุโตะแน่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของรุ่นพี่คู่รัก  น่าจะมีคนได้เห็นเหตุการณ์เพียงไม่กี่คน แต่ทว่าการเข้าชมรมในครั้งนี้ทำให้เขาคิดว่าเรื่องราวอาจจะแพร่กระจายจนรับรู้กันทุกคน

“เป็นเรื่องธรรมดา สองคนนั้นไม่คุยกัน มันต้องมีคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น”

ถึงฮารุโตะจะสังเกตเห็นว่าเป็นอย่างที่ทาคุมิพูด แต่พวกรุ่นพี่ใช่ว่าจะหมางเมินกันชัดเจนเสียหน่อย

เขาเหลือบมองเพื่อนหนุ่มที่กำลังจับเมาส์ปรับภาพในโปรแกรมแต่งภาพ ก่อนสั่งพิมพ์ออกมาและทำการตัดแบ่ง เข้าสู่ช่วงปลายปี พวกรุ่นพี่นักศึกษาปีสี่หลายคนจึงเริ่มเตรียมเอกสารสำหรับการสมัครงาน งานถ่ายรูปประเภทนี้จึงมีเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าหลังจากปีใหม่ไปแล้ว คงจะมีคนมาใช้บริการมากขึ้นอีก

“ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย”ฮารุโตะพูดเสียงอ่อย คนที่กำลังทำงานจึงเสตากลับมามอง

“ถ้าพวกเราลอง... ทำอะไรสักอย่าง... ”

“เป็นตัวนายเอง จะดีใจไหมละถ้ามีใครสักคนเข้ามายุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างนายและรุ่นพี่ชิมิซึ”

“เอ๊ะ!!!”

“อย่าง...”คนพูดทำท่านึก “สร้างสถานการณ์ให้รุ่นพี่บอกรักนายน่ะ ฮารุโตะ”

บ... บอกรัก อย่างนั้นหรือ แค่จินตนาการถึงเหตุการณ์นั้น เขาก็หน้าแดงแล้ว และถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ ฮารุโตะยกสองมือขึ้นกุมหน้าพลางอ้อมแอ้มตอบเสียงเบา “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ตกลงนะ”

“เห๋!!!!!!!!”ทาคุมิอุทานเสียงดังจนสมาชิกคนอื่นที่อยู่ภายในห้องชมรมต่างต้องหันมอง กระนั้นคนที่ส่งเสียงร้องก็ใช่จะสนใจ “จริงดิ นี่พูดจริงใช่ไหม”

ฮารุโตะเขินมากขึ้นไปกว่าเดิม เขาก้มหน้างุดๆพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ทาคุมิละงานในมือแล้วสืบเท้าเข้ามาใกล้ ลดความดังเสียงที่พูดคุยลง

“จะยอมรับว่าชอบรุ่นพี่ชิมิซึแล้วใช่ม๊า”

“อือ ชอบ รุ่นพี่ใจดี”

ฮารุโตะยอมรับออกมาง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เหตุผลในประโยคหลังมันทำให้ทาคุมิรู้สึกตงิดๆ เขาจึงถามคำถามต่อไปอีกว่า “นี่ แล้วนายอ่ะ ชอบฉันไหม”

“ชอบ”คนถูกถามตอบอย่างรวดเร็ว “ซาโต้ซังก็ใจดี”

ว่าแล้วเชียว ทาคุมิคิดในใจ เขาทรุดตัวลงนั่งยองๆตรงหน้าเก้าอี้ที่ฮารุโตะนั่ง ขมวดคิ้วกรอกตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันกลับไปถามว่า “แล้วความรู้สึกที่ชอบฉัน กับรุ่นพี่ชิมิซึเหมือนกันไหม”

ฮารุโตะนิ่งงันไปกับคำถามอยู่ครู่ หัวใจภายใต้แผ่นอกเต้นรัว ใบหน้าร้อนผ่าวจนเขารู้สึกได้ “ไม่เหมือน” เขาตอบออกไปด้วยความตื่นเต้น มือของเขาสั่นจนต้องบีบจับบังคับไว้ แต่ไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดี มันเหมือนหัวใจพองขึ้นจนหายใจได้ลำบาก เสียงพูดของเขาเบาลงจนทาคุมิต้องขยับเข้ามาเงี่ยหูฟัง

“ถ้า... ไม่ได้เจอรุ่นพี่ชิมิซึจะคิดถึงมากจนทนแทบไม่ไหว ห่างกันแค่แป็บเดียวก็คิดถึงอีกแล้ว ดีใจที่รุ่นพี่มาคอยดูแลเอาใจใส่ แต่ก็ไม่อยากให้ลำบากด้วยเหมือนกัน ตอนที่เห็นรุ่นพี่เศร้าในใจก็เจ็บปวดไปหมด”

ทาคุมิหมุนตัวหันหน้าหนีไปอีกทาง ยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเองบ้าง แค่ได้ฟังเขายังรู้สึกเขินไปด้วยเลย นี่เท่ากับว่า ถ้าโน้มน้าวให้ฮารุโตะกล้าพอที่จะไปสารภาพรัก ก็ได้ไม่ใช่หรือไง แต่ไม่สิ เจ้าชู้อย่างรุ่นพี่ชิมิซึถ้าโดนฮารุโตะสารภาพรักอาจจะตอบปฏิเสธกลับมาอย่างไร้เยื่อใยเลยก็เป็นได้ เด็กหนุ่มหันกลับไปหาเพื่อนสนิทอีกครั้ง เขากุมมือฮารุโตะไว้

“ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องนี้ฉันต้องพยายามช่วยนายแน่”

ฮารุโตะพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าคิดจะวางแผนอะไรเนี่ยเอาไว้ก่อนได้ไหม กลับมาทำงานให้เสร็จก่อนเถอะ”

“หวา!!!”ทาคุมิสะดุ้งโหยง และถามกลับไปอย่างร้อนรน“รุ่นพี่นาคามูระมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ ได้ยินที่พวกเราคุยกันหรือเปล่า”

“ไม่ต้องห่วง ได้ยินแค่ ‘ฉันจะพยายามช่วยนายแน่’ ไม่รู้ว่าจะทำอะไรละนะ แต่อย่าคิดอะไรที่มันพิเรนทร์นักละ”

“โฮ่ อยากบอกว่าไม่ต้องห่วงเหมือนกันครับ เห็นอย่างนี้ผมก็เป็นคนที่ทำอะไรรอบคอบนะ ว่าแต่รุ่นพี่นาคามูระเถอะ เมื่อไหร่จะคืนดีกับรุ่นพี่อาโอกิละครับ”

หนุ่มรุ่นพี่ที่โดนคำถามนี้ยิงเข้าใส่ตวัดสายตาขวับมามอง แต่เหมือนว่าหนุ่มรุ่นน้องจะไม่คิดกลัวสักนิด “ระวังน๊า รุ่นพี่อาโอกิป็อบจะตาย ถ้าข่าวที่เลิกกับรุ่นพี่หลุดออกไป...”

“ยังไม่ได้เลิก”อีกฝ่ายเถียงทันควัน

“อ่ะ ก็ได้”ทาคุมิยิ้มแย้มตอบรับ “ถ้าข่าวที่มีเรื่องระหองระแหงกับรุ่นพี่หลุดออกไป อาจจะมีคนมาอาสาดามใจให้รุ่นพี่อาโอกิก็ได้นะ ว่าอย่างนั้นไม่ฮารุจัง”

“อะ อืม”คนที่ถูกโยนคำถามใส่ได้แต่ตอบรับ

“จะว่าไปรุ่นพี่ที่คณะเราก็ชอบรุ่นพี่อาโอกิมากเลยใช่ไหม”

“เอ๊ะ ใครหรือ”ฮารุโตะถามด้วยความอยากรู้จริงๆ ทาคุมิจึงลากเก้าอี้มานั่งใกล้ “รุ่นพี่คนนั้นไง ที่หล่อๆที่เราสองคนเจอเมื่อวันก่อน”

ฮารุโตะทำท่านึก ใครกันนะ? อย่างไรก็ตาม นาคามูระ เรย์กลับรีบยื่นหน้าเข้ามาแทรก “บอกมาดิ ไอ้นั่นมันชื่ออะไร”

“ทำไมผมต้องบอกละครับ ในเมื่อรุ่นพี่นาคามูระเองยังมีคนอื่นได้ แล้วทำไมรุ่นพี่อาโอกิถึงจะมีคนอื่นไม่ได้ ขนาดผมเป็นผู้ชายผมยังไม่เข้าใจระบบความคิดของผู้ชายเจ้าชู้อย่างพวกรุ่นพี่เลย”

“เด็กน้อยอย่างนายจะไปเข้าใจอะไร”เรย์วางมือบนศีรษะของทาคุมิพลางแกล้งโยกศีรษะคล้ายเอ็นดู “เขาว่าผู้ชายไม่เจ้าชู้ ก็เหมือนเสือไม่มีเล็บ”

“เข้าใจละ ถ้าอย่างนั้นผมต้องเอาคำพูดนี้ไปบอกให้รุ่นพี่อาโอกิฟัง”

“อย่านะ”เรย์รีบกดตัวทาคุมิให้นั่งลงเหมือนเดิม เรื่องเจ้าช้งเจ้าชู้อะไรนั่นเขาแค่พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง ไอ้เรื่องจะไปง้อคนรัก เรย์คิดไว้อยู่แล้วเพียงแต่ต้องรอเวลาให้นาโอโตะใจเย็นลงอีกสักหน่อย เขาไม่อยากหักหาญตัดความสัมพันธ์กับมินามิ มากิ แบบห้ามเข้าใกล้ในระยะสายตาอย่างที่ซากิทำกับโยชิดะ ริเอะโกะ เพราะถึงอย่างไร เขาเป็นคนตอบตกลงให้รุ่นน้องเข้ามาเป็นสมาชิกในชมรม และเรื่องนี้ เขาเป็นคนผิดเอง ถ้าเขาไม่เล่นด้วยเสียอย่างต่อให้ฝ่ายหญิงใช้มารยาเล่ห์กลมากขนาดไหน ก็ไม่มีทางเกิดปัญหาได้

“เป็นเด็กเป็นเล็กอยู่เฉยๆเถอะน่า”

คนโดนว่าแทบจะลุกขึ้นเต้นผาง “คอยดู คอยดู ผมจะเป่าหูให้รุ่นพี่อาโอกิบอกเลิกกับรุ่นพี่จริงๆ”

“โธ่ ฮารุจังดูเพื่อนนายดิ ช่างใจร้ายกับรุ่นพี่ตาดำๆคนนี้ได้ลงคอ”เรย์แสร้งทำหน้าน่าสงสาร เข้าไปกอดแขนฮารุโตะพลางไถศีรษะคล้ายอยากให้เห็นใจ เด็กหนุ่มผู้ซึ่งกำลังถูกออดอ้อนหัวเราะอย่างขบขันกับท่าทางของหนุ่มรุ่นพี่ ทว่าบรรยากาศรื่นรมย์เช่นนั้นต้องหยุดลงอย่างฉับพลัน เมื่อทั้งสามได้ยินเสียงเข้มห้วนจากบุคคลที่สี่

“น่าสนุกดีนะ”

เรย์เด้งตัวออกห่างยกมือทั้งสองข้างในระดับศีรษะโดยอัตโนมัติ

“เรื่องเก่ายังไม่หาย นี่แกจะตีท้ายครัวเจ้าซากิมันอีกเรอะ”เรียวตะพูดตามมา กลุ่มเพื่อนสนิทของเขาแต่ละคนทั้งปากร้าย ใจร้าย โหดร้ายกันเสียจริง นาคามูระ เรย์คิดพลางรู้สึกเหมือนน้ำตากำลังตกใน

“ใช่ซะที่ไหนละ”จากนั้นเขาจึงเล่าเรื่องที่โดนทาคุมิต่อว่าต่อขานว่า ตนเป็นผู้ชายเจ้าชู้ให้กลุ่มเพื่อนฟัง เอคิจิจึงตอกย้ำให้เขาช้ำใจอีกรอบว่า ตอนนี้ตัวเขาก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

เสียงของกลุ่มเพื่อนดังแว่วมาให้ได้ยินไม่ห่าง ซากิกอดอกยืนมองหนุ่มรุ่นน้องที่หลุบตาราวกับพยายามหนีหน้า สักครู่หนึ่งก็ช้อนตาขึ้นมองและก้มหน้าหลบสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว ต่อให้ยืนมองทั้งวัน ฮารุโตะคงไม่เปิดปากคุยกับเขาก่อน กระทั่งอีกหนึ่งหนุ่มที่แกล้งกระแอมกระไอขึ้นมา

“สวัสดีครับ รุ่นพี่ชิมิซึ”

“อือ”ซากิแค่เหลือบมองด้วยหางตา

“จะพาฮารุจังกลับแล้วหรือครับ”

“ยังมีงานอะไรอีกหรือเปล่าละ”

โอเค ยังพูดคุยโต้ตอบปกติแสดงว่าแค่เลเวลหนึ่ง ทาคุมิคิดในใจ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ฮารุจังแค่มานั่งให้กำลังใจผมเฉยๆ”

“อ่อ มานั่งฟังนายพล่าม”

“แหม รุ่นพี่ก็ เขาเรียกว่าพล่ามที่ไหน เขาเรียกว่าพูดเก่ง”ทาคุมิแก้ตัวพร้อมกับหยิบกระเป๋าของฮารุโตะส่งให้ เพื่อนสนิทตัวเล็กของเขาจึงหยิบไม้ค้ำยันพยุงตัวลุกขึ้น เขาโบกมือลา และฮารุโตะก็หันมาโบกมือให้

ถึงกระนั้น เมื่อพ้นประตูห้องชมรม ซากิได้พูดสิ่งที่คิดออกมาทันที

“ถึงตอนนี้เรย์กับนาโอโตะจะมีปัญหากันก็ใช่ว่านายจะยื่นมือเข้าไปแทรกได้ เข้าใจใช่ไหม”

“ผม... ไม่เคยคิดทำอย่างนั้น”ฮารุโตะรีบปฏิเสธ

“ไม่คิดก็ดี อย่าให้ฉันรู้แล้วกัน”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ เขาไม่ทำอย่างนั้นหรอก พยายามจะคว้าจับรุ่นพี่ร่างสูง แต่อีกฝ่ายสาวเท้าก้าวห่างออกไปอย่างรวดเร็ว ในอกของเขาเต้นเร่าร้อนรุ่มกระวนกระวายกลัวหนุ่มรุ่นพี่จะเข้าใจผิด จะเมินเฉยเย็นชากับเขาก็ได้ จะเห็นว่าเขาเป็นแค่เพียงของเล่นก็ไม่เป็นไร แต่อย่าเข้าใจเขาผิด อย่าทิ้งเขาไว้แบบนี้

“รุ่นพี่”ฮารุโตะร้องเรียก พยายามก้าวเท้าตาม น้ำตาคลอเมื่อเห็นแผ่นหลังของอีกฝ่ายเริ่มไกลออกไปมากขึ้นทุกที และเพราะความเร่งรีบจึงทำให้เขาล้มลง เขาน้ำตาร่วงผล็อย บอกตัวเองให้รีบลุกขึ้น

เมื่อเห็นรุ่นพี่หันหน้ากลับมามองพาให้ใจชื้นขึ้นเป็นกอง แต่ห้วงอารมณ์กลับแกว่งไหวอย่างรวดเร็วเมื่อเหมือนเห็นชายหนุ่มทำท่าคล้ายรำคาญ ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะวิ่งกลับมา

ฮารุโตะก้มหน้าลง สูดลมหายใจเข้าพยายามกลั้นน้ำตา ปลุกปลอบตัวเองว่าเขาไม่ได้แกล้งทำสำออยเสียหน่อย อย่าเพิ่งคิดมากไป และทันทีที่ชายหนุ่มร่างสูงเข้ามาถึงตัว เขารีบคว้าจับข้อมือของหนุ่มรุ่นพี่ไว้

“ผมเปล่านะครับ”ฮารุโตะละล่ำละลักพูด “ผมไม่ได้ชอบรุ่นพี่นาคามูระแล้วนะครับ รุ่นพี่อย่าเข้าใจผิดนะ”

ซากิมองอาการร้อนรนของอีกฝ่าย จมูกแดงกล่ำและดวงตาฉ่ำน้ำที่พร้อมจะปล่อยน้ำตาให้ไหลลงทุกเมื่อ นัยน์ตาสั่นระริกที่สะท้อนภาพของเขา นี่อย่างไรละสิ่งที่เขาอยากเห็น นัยน์ตาซึ่งฉายแววทุรนทุรายขาดเขาไม่ได้

กลับเป็นเขาเองที่หลงลืมไป

ซากิดึงฮารุโตะเข้ามากอด “ฉันรู้แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะ” พลางย้ำกับตัวเองอีกครั้ง ...เขาตัดสินใจแล้ว



และแล้วก็ได้ถอดเฝือกแขนเสียที เด็กหนุ่มพรูลมหายใจออกอย่างปลอดโปร่งโล่งอก ส่วนที่ข้อเท้าต้องรออีกหน่อย หมอเจ้าของไข้บอกแก่เขาว่าเพราะกระดูกแตกตรงช่วงข้อเท้าพอดีจึงค่อนข้างใช้เวลานาน ส่วนกระดูกหักที่แขนนับว่าหายเร็วมากแล้ว แต่พวกรุ่นพี่กับทาคุมิบอกเขาว่า เจ็บแค่นี้นับว่าโชคดีที่สุด ไม่มีใครรู้หรอกว่าโชคดีสำหรับเขาคือไม่เจ็บตัวเลยต่างหาก จะเจ็บน้อยเจ็บมากก็คือเจ็บตัวอยู่ดี

ผิวหนังที่อยู่ใต้เฝือกมานานเหี่ยวย่นจนน่าตลก เขาเอามือลูบๆคลำๆแล้วหัวเราะออกมาจนโดนรุ่นพี่ชิมิซึมองแปลกๆ และเมื่อเขาบอกว่ามันน่าตลก อีกฝ่ายกลับแค่ส่งเสียงหึเหมือนมีอารมณ์ร่วมด้วยนิดหน่อยแล้วเบือนหน้าไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ ฮารุโตะจึงก้มหน้ามองแขนตัวเองอีกครั้ง คิดในใจว่า สงสัยมันจะไม่น่าตลกจริงๆ

ซากิพาฮารุโตะไปพบแพทย์หลังจากหมดชั่วโมงเรียน ซึ่งหลังจากนั้นตารางกิจกรรมของฮารุโตะจึงว่างยาวไปตลอด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพาเด็กหนุ่มรุ่นน้องกลับไปส่งที่ห้องชมรม และทันทีที่ไปถึง เสียงพลุกระดาษก็ดังระรัวเป็นการต้อนรับ

“ยินดีด้วยที่ถอดเฝือกแล้ว”อาโอกิ นาโอโตะเข้ามาพูดแสดงความยินดี

“ขอบคุณครับ แต่ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย ผมแค่ถอดเฝือกแขนเอง”เขากล่าวกับรุ่นพี่รุ่นน้องที่มารุมล้อม

โอโตวะ ชิโอริ สมาชิกหญิงของชมรมจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ถือว่าแสดงความยินดีที่เรื่องร้ายผ่านได้ไปแล้ว ต่อไปนี้ขอให้มีแต่เรื่องดีๆเข้ามา”ได้ยินเช่นนั้น ฮารุโตะจึงนึกภาวนาอยู่ในใจเช่นเดียวกัน

เขาโดนรุมล้อมเป็นศูนย์กลางความสนใจของสมาชิกในชมรมอยู่พักใหญ่ หนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งคอยดูแลรับส่งเขาอยู่เสมอในช่วงนี้จึงขอพาตัวเขากลับ เขาใช้ไม้ค้ำยันพยุงตัวเดินไปตามทาง หลังจากที่ต้องอยู่กับมันมาเป็นระยะหลายเดือน ฮารุโตะจึงเดินได้คล่องแคล่วขึ้น กระนั้นหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินอยู่ข้างกันยังคงต้องทอดจังหวะการก้าวเดินให้ช้าลง จะเรียกว่าเพิ่งสังเกตเห็นคงไม่ผิดไปนัก และเมื่อรับรู้ว่ารุ่นพี่ชิมิซึคอยเอาใจใส่เขาถึงเพียงนี้ หัวใจของเขาได้พองโตอย่างมีความสุข



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 17 : 4/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 04-04-2017 06:35:08
เรย์ มีแนวคิดตลก แปลกๆ ใจดีเกินไป มันเหมือนให้ความหวังกับอีกฝ่าย ไม่ยุติธรรมกับแฟนตัวเอง
ไม่ชอบใจเวลามีคนเข้าหานาโอโตะ แต่ตัวเองใจดีกับมินามิ เกินรุ่นน้อง จนมีข่าวลือ ที่แท้เรย์ ก็เจ้าชู้จริงๆ
และรู้สึกว่าที่ตัวเองทำมันปกติ ปกติยังไงถึงได้ ถึงเนื้อถึงตัวกัน แบบเสื้อผ้าไม่เกี่ยว แล้วบอกไม่ตั้งใจ 
แล้วถ้าไม่มีใครเห็นเลยเถิดจนถึงขั้นสุด จะเรียกว่าสถานการณ์พาไป ไม่ตั้งใจเลย
แถมยังไม่รู้ตัว ว่าทำไมต้องเลิกยุ่งเกี่ยวกับมินามิ
“ฉันไม่เข้าใจ ทำไม? ฉันต้องตัดความสัมพันธ์กับคนทั้งโลกเพื่อให้แฟนสบายใจเลยหรือวะ”
งั้นให้นาโอโตะ นัวเนียกับคนอื่นบ้าง แบบเนื้อแนบเนื้อ เรย์ ยังจะคิดว่ามันไม่มีอะไร นาโอโตะไม่ได้ตั้งใจ อีกหรือเปล่า
ยิ่งนาโอโตะบอกว่าไม่ใช่ครั้งเดียวที่เรย์ทำ งั้นก็เลิกๆกับนาโอโตะไปเลยเถอะ จะได้ทำแบบไม่ตั้งใจต่อไป
สรุป คนดี ที่ใครชมกันว่าดีเพราะไม่ได้เห็นด้านเลวของเขา เขาอาจดีบางด้าน ไม่ดีบางด้าน Nobody's perfect
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 17 : 4/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-04-2017 07:23:05
คบกันไปนาน ๆ ปัญหามันก็ต้องมีมาบ้าง อยู่ที่ว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกันแก้ไขได้ดีแค่ไหน เพื่อที่จะไม่ให้ปัญหานั้นกลับมาสร้างความเสียหายได้อีก
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-04-2017 04:19:00
เรื่องย่อ ตอนที่ 18
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
เรื่องของนาคามูระ เรย์และอาโอกิ นาโอโตะยังไม่คลี่คลาย ทั้งสองคนยังไม่กลับมาคืนดีกันจริงๆ เรย์จึงมาขอร้องให้ฮารุโตะช่วยเหลือ ขณะเดียวกันฮารุโตะนึกอยากจะฉลองวันคริสต์มาสกับชิมิซึ ซากิ

ตัวละครประกอบ
1. นาคามูระ ริว พี่ชายของนาคามูระ เรย์
2. อาโอกิ จิอาสะ พี่สาวของอาโอกิ นาโอโตะ
3. อาโอกิ มิกิ น้องสาวของอาโอกิ นาโอโตะ







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 18



อีกไม่นานจะเข้าสู่ปีใหม่ ตารางการสอบกลางภาคและวันหยุดฤดูหนาวมีการปรับเปลี่ยนต่างไปจากปีที่แล้ว ปีนี้จะมีสอบกลางภาคก่อนวันหยุดฤดูหนาวในวันที่ยี่สิบเก้าธันวาคม แต่เพราะภาคการศึกษานี้ ฮารุโตะมีเวลามากมายในการอ่านหนังสือ เขาจึงไม่ต้องมาก้มหน้าก้มตาเร่งอ่านตอนช่วงใกล้สอบ ให้พูดจากใจจริงคือ ฮารุโตะกำลังให้ความสนใจกับการคิดแผนเซอร์ไพรซ์วันครบรอบปี เนื่องในโอกาสที่รุ่นพี่ชิมิซึเริ่มใจดีกับเขา พอบอกชื่องานนี้ออกไป ทาคุมิถึงกับลงไปนอนขำกลิ้ง

“ไม่เห็นว่าจะน่าตลกซะหน่อย”เขาหน้ามุ่ย ยอมรับว่าชื่อมันค่อนข้างจะฟังดูแปลกๆ แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าอย่างไรดีนี่นา เขากับรุ่นพี่ชิมิซึไม่เคยตกลงคบกันอย่างเป็นทางการ สถานะความสัมพันธ์ที่บอกแก่คนอื่นยังเป็นแค่รุ่นพี่รุ่นน้องร่วมชมรม แต่โดยพฤตินัยแล้วพวกเขาเป็นมากกว่านั้น

อย่างน้อยก็ตัวเขานี่แหละที่คิดว่าเป็นอย่างนั้น

ถ้าจะให้ฉลองวันครบรอบวันที่เจอกันครั้งแรก เขาจำได้อยู่หรอกว่าตัวเองไปสมัครเข้าชมรมวันไหน แต่เขาจำไม่ได้ว่าวันนั้นได้เจอรุ่นพี่หรือเปล่านี่ซิที่เป็นปัญหา อีกอย่างคือวันที่ว่ามันก็ผ่านไปแล้ว แถมที่คุยกันครั้งแรกจริงๆ ยังเป็นวันที่เกิดเรื่องน่าอายที่เขาอยากจะลืมด้วย แบบนั้นใครจะไปฉลองได้ลง

“แล้วถ้ารุ่นพี่ชิมิซึถามจะตอบอย่างไรละ”ทาคุมิหยุดหัวเราะและลุกขึ้นมาถามเขา เจ้าตัวหน้าแดงเถือกเพราะหัวเราะมากไป

“ก็... ไม่ต้องบอก อีกอย่างไม่ได้คิดจะทำอะไรมากซะหน่อย ไม่ชวนใครด้วย อาจจะกินข้าวกันสองคน”

“ถ้าอย่างนั้นเป็นฉลองวันคริสต์มาสไม่ดีกว่าหรือ ร้านอาหารหลายร้านจะมีโปรโมชั่นคู่รักด้วยนะ ไปนั่งกินอาหารอร่อยๆ แล้วก็ฟังเพลงบรรเลงจากเปียโนหรือไม่ก็ไวโอลิน”

“ฟังดูรู้ดีจัง เคยไปด้วยหรือ”ฮารุโตะถามอย่างสนใจกึ่งแปลกใจ

“แหม เห็นอย่างนี้ก็เคยมีแฟนนะ แฟนเก่าฉันปลื้มมากเลยละ”

“แต่รุ่นพี่ชิมิซึเป็นผู้ชายนะ จะชอบแบบนั้นรึ”

“อ้าว อย่างนั้นลองถามตัวเองว่าอยากทำอะไรให้รุ่นพี่ไม่ดีกว่าหรือไง”

“อยากให้รุ่นพี่ชอบด้วย” เพราะถ้าถามเขา แค่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ฮารุโตะก็มีความสุขมากแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ทำแบบที่คิดไม่ดีกว่าหรือ” พอพูดสิ่งที่คิดออกไป ทาคุมิได้ตอบกลับมาเช่นนั้น

“ในความคิดของฉัน ถ้าทำอะไรให้ใคร ตัวเองก็ต้องมีความสุขด้วย”

“แต่อยากให้รุ่นพี่ชอบและรู้สึกว่ามันพิเศษ”ฮารุโตะพูดย้ำคำเดิมซ้ำๆ ทาคุมิจึงจนปัญญาที่จะช่วยเพราะตัวเองใช่ว่าจะรู้จักหนุ่มรุ่นพี่ที่เป็นหัวข้อของการสนทนาครั้งนี้ดีนัก

ถึงอย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้หมดหนทางเสียทีเดียว เนื่องจากรุ่นพี่ชิมิซึมีเพื่อนสนิทเยอะแยะ และเมื่อลองถามความคิดเห็นออกไปหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมาทันทีเลยว่า

“ไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เอาตัวเองผูกโบว์ ซากิมันก็ปลื้มจนลืมไม่ลงแล้วละ”

ทาคุมิพยักหน้ารับพลางคิดว่าสมกับเป็นความคิดของรุ่นพี่ฮายาชิ ไม่มีอะไรสร้างสรรค์จริงๆ แต่พอหันไปมองหน้าเพื่อนสนิท ฝ่ายนั้นหน้าแดงอย่างกับไปตกถังสี และหันกลับไปมองรุ่นพี่โมริทันทีเมื่อหนุ่มรุ่นพี่พูดโดนใจเขาสุดๆ

“ไร้สาระจริงๆ ฮารุจังเขาอุตส่าห์มาขอความช่วยเหลือ”

“ไม่จริงหรือไง ถ้าถามว่าซากิมันชอบอะไร ก็เนี่ยแม่งโครตชอบเลยหรือแกไม่ชอบ”เรียวตะถาม คำพูดกลั้วเสียงหัวเราะ เชื่อว่าเพื่อนสนิทไม่พูดปฏิเสธหรอกในเมื่อมันเป็นธรรมชาติของผู้ชาย

“เออ ไม่เถียง แต่ควรแนะนำอะไรที่มันปกติธรรมดาหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ถ้าธรรมดาจะเรียกว่าเซอร์ไพรซ์เรอะ”

ฮารุโตะและทาคุมิมองหน้ากัน รู้สึกได้ลางๆว่าน่าจะไม่ได้เรื่อง

“นึกออกละ”เรียวตะพูด เขาดีดนิ้วในตาเป็นประกายคล้ายบ่งบอกว่าสิ่งที่คิดเป็นเรื่องบรรเจิดที่สุด “ก่อนอื่น เราต้องหาผู้ชายคนหนึ่งมาแสดงละครว่ากำลังจีบฮารุจัง แล้วฮารุจังก็ต้องมีใจเอนเอียงให้ด้วย ซากิมันก็จะเริ่มโมโหหึง พอมันงี่เง่าหนักเข้า ฮารุจังก็ตะโกนใส่หน้ามันเลยว่า ‘ผมเกลียดรุ่นพี่’”

“เรื่องนี้มีตอนจบอยู่ที่ตรงไหน”เอคิจิถาม เรียวตะเหล่ตามองนิดหน่อยก่อนจะเล่าต่อ

“หลังจากนั้นมันจะเศร้า อกหัก เมาหัวราน้ำและรู้ใจตัวเอง ฉันก็จะไปบอกมันว่า ‘แกต้องไปขอโทษฮารุจังและขอเป็นแฟนซะ’ พอมันทำตามที่ฉันพูด ฮารุจังก็ตอบตกลง ทุกอย่างจะแฮปปี้เอนดิ้ง”

ฮารุโตะหันมองหน้าเพื่อนร่วมคณะ อีกฝ่ายแค่หัวเราะแห้งๆ ทำหน้าแหยๆ แผนของหนุ่มรุ่นพี่ฟังดูแปลกๆ มันไม่ค่อยเหมือนแผนทำเซอร์ไพรซ์สักเท่าไหร่

“หึ มันคงจะได้จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งอย่างที่แกว่าหรอก”เอคิจิค้านไว้เสียก่อน ถึงซากิจะยังไม่พูดจาออกมาให้ชัดเจน แต่สิ่งที่เพื่อนสนิทของพวกเขาแสดงออกมามันเป็นการยืนยันสถานภาพของหนุ่มรุ่นน้องได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นเขากลัวว่า แทนที่จะตกลงเข้าใจกัน จะกลายเป็นโกรธเกลียดเข้าหน้ากันไม่ติดเสียมากกว่า

“แกแค่อยากแกล้งมันไม่ใช่หรือไง”

“ก็มันชอบทำตัวน่าหมั่นไส้”ทั้งน้ำเสียงทั้งท่าทางของคนพูดออกจริตเกินจริงจนทำให้รุ่นน้องอีกสองคนหัวเราะ

“ซากิมันไม่ได้ชอบหรือไม่ชอบอะไรเป็นพิเศษหรอก ให้อารมณ์ประมาณว่า สิ่งที่เหมือนจะชอบก็ทำไปตามกระแสมากกว่า ทำอะไรให้มันก็ชอบทั้งนั้นละ”เอคิจิพูดแนะนำ ฮารุโตะพยักหน้ารับ มันตรงกับความคิดแรกๆ และที่เขามาลองถามคนอื่นเพิ่ม เพราะเผื่อว่าจะมีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านี้

“นี่ ฮารุจังไม่ลองทำดูละ จะได้รู้ว่ามันจะเอาอย่างไรกันแน่...”ยังพูดไม่ทันจบเอคิจิก็รีบยื่นมือมาปิดปาก และถึงรุ่นพี่จะไม่ได้พูดต่อ เขาเองพอจะทำความเข้าใจได้ รุ่นพี่ชิมิซึอยู่ปีสี่แล้ว และเมื่อเดือนมีนาคมปีหน้ามาถึงชายหนุ่มจะจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆเช่นเดิม ถ้าอีกฝ่ายจงใจหายไปจากชีวิตของเขา

ฮารุโตะหันไปยกยิ้มให้หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสอง

จำได้ว่าครั้งหนึ่ง หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งเป็นหัวข้อการสนทนาเคยพูดเรื่องการย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และพูดในทำนองเชิญชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน ตอนนั้นเขาตอบปฏิเสธไป โดยให้เหตุผลว่า รอให้รุ่นพี่มีงานทำอย่างจริงจังเสียก่อน ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังจำได้ไหม

ใช่ว่าเขาจะไม่กังวลแต่เพราะตั้งแต่กลับมาคืนดีกันครั้งล่าสุด รวมถึงตั้งแต่หลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุ ทุกอย่างมันดีมาก เหมือนว่าโชคร้าย รวมถึงเหตุการณ์เรื่องราวสิ่งเลวร้ายมันร่วงตกเขาไปด้วย แม้พวกเขาจะมีอาการไม่เข้าใจกันบ้าง หรือนิสัยของรุ่นพี่ชิมิซึที่เป็นคนหงุดหงิดง่าย แต่เขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มทะเลาะเบาะแว้งกับกลุ่มเพื่อนจริงจังเสียที และไม่เคยเห็นอีกฝ่ายลงมือรุนแรงกับใคร  ดังนั้น เขาจึงรู้ตัวว่าส่วนใหญ่มันเป็นเพราะนิสัยของเขานี่ละที่ทำให้เกิดปัญหา คิดโน่นคิดนี่กังวลขี้กลัวอะไรไม่เข้าท่า แต่ใช่ว่ามันจะสามารถเปลี่ยนนิสัยได้ภายในวันสองวัน เขาจึงทำได้แค่พยายามไม่คิดอะไรในแง่ลบ

“ขอโทษนายด้วยที่เอาเรื่องที่คุยกันไปบอกรุ่นพี่ฮายาชิ”ทาคุมิกล่าวหลังจากแยกย้ายกับรุ่นพี่ทั้งสอง เด็กหนุ่มเป็นคนโทรไปถามหาเวลาว่างของหนุ่มรุ่นพี่ โดยบอกว่ามีเรื่องจะปรึกษา แต่รุ่นพี่ฮายาชิกลับมาหาพวกเขาเสียเองทันทีที่วางสาย ซ้ำยังพารุ่นพี่โมริมาด้วย

ฮารุโตะทำหน้าสงสัยเพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องไหน นิ่งคิดอยู่ครู่จึงเอ่ยถามไปว่า “เรื่องแผนการอะไรนั่น?”

“อือ”

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับเสียหน่อย”เขาพูด “แต่จะให้ไปทำอะไรแบบนั้น ไม่เอาด้วยหรอกนะ ถ้ารุ่นพี่ชิมิซึโกรธจริงๆแล้วไม่ยกโทษให้...”ฮารุโตะไม่ได้พูดต่อเพราะแค่คิดก็น่ากลัวขึ้นมาแล้ว

พวกเขากลับไปเข้าเรียนช่วงบ่าย ระหว่างทางคุยกันเรื่องวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม สรุปแล้วคงจะไม่มีอะไรพิเศษมากแค่ทำอาหารทานกันสองคนที่ห้อง เพราะช่วงนี้รุ่นพี่ชิมิซึยังคงวุ่นวายอยู่กับวิทยานิพนธ์และการหางาน ทาคุมิเสนอให้อบเค้กด้วยตัวเอง ช่วงคริสต์มาสจะมีเค้กถูกทำนำออกมาวางจำหน่ายเป็นจำนวนมากก็จริง แต่คนที่เคยฉลองเทศกาลนี้กับแฟนบอกว่า ถ้าเป็นเค้กที่ทำเองจะรู้สึกโรแมนติกมากกว่า

“แฟนเก่าก็ทำให้แบบนั้น?”

“ใช่แล้ว หลังจากที่ฉันพาไปทานอาหารเสร็จ ก็ไปเดินดูไฟ แล้วเธอก็เอาเค้กที่ทำเองออกมาระหว่างที่นั่งพัก เป็นเค้กเนยก้อนเล็กๆมีเชอรี่วางอยู่ด้านบน ตอนที่เห็นครั้งแรกนะ หยุดยิ้มไม่ได้เลย มันดีใจที่เขาทำให้เรา”

“ฟังดูซาโต้ซังกับแฟนเก่าก็รักกันดี ขอโทษนะ ทำไมเลิกกันละ”

“เฮ้อ... พอโตขึ้นมันก็รู้ว่า แค่รักกันมันไม่พอนะซิ”คนถูกถามทำหน้าหงอย จนฮารุโตะรู้สึกเศร้าตาม แต่เขาไม่รู้ว่าจะปลอบอีกฝ่ายเช่นไรเหมือนกัน กระนั้นเพียงแค่สองสามนาทีต่อมา เด็กหนุ่มช่างพูดอย่างซาโต้ ทาคุมิก็กลับมาร่าเริงเช่นเดิม

“ช่างมันเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”

ฮารุโตะมองเพื่อนร่วมรุ่นด้วยความรู้สึกทึ่งปนอิจฉา ไม่รู้เมื่อไรเขาจะเป็นเหมือนอีกฝ่ายบ้าง ต่อให้รู้สึกเป็นทุกข์เศร้าโศกแต่สามารถกลับมาเข้มแข็งได้ภายในเวลาไม่นาน และเมื่อได้ยินคำที่เขาบ่นพึมพำ ทาคุมิจึงเอาศีรษะมาโขกเขาเบาๆ แต่มีบางจังหวะที่เผลอกระแทกจนเขาต้องยกมือขึ้นกุมศีรษะ

“ฉันแบ่งให้ แม่ฉันไม่ชอบบอกว่าเหลาะแหละไม่มีความตั้งใจ”ภาพคุณนายบ้านซาโต้ที่ดูดุและโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นมาในจินตนาการทันที “แล้วแบ่งความฉลาดมาให้ด้วยนะ”

“เรื่องนั้นน่ะ ถ้าตั้งใจอ่านหนังสือก็ได้ผลการเรียนดีเองนั่นแหละ”ฮารุโตะพูดอย่างเหนื่อยหน่าย แม้จะช่วยทบทวนเนื้อหาช่วงเวลาก่อนสอบให้ได้ แต่ใช่ว่าผลคะแนนจะดีขึ้นถ้าเจ้าตัวไม่ตั้งใจเรียนและไม่อ่านหนังสือ

“คร้าบ คร้าบ”ทาคุมิขานเสียงตอบรับอย่างเบื่อหน่าย แค่นี้เขาก็ขยันกว่าเดิมสักสามสิบสี่สิบเท่าแล้ว “เรื่องนี้นายบ่นเหมือนแม่ฉันเลย”

จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ ไม่พอใจก็ไม่เชิงที่โดนพูดล้อเลียนเช่นนั้น ฮารุโตะจึงพ่นลมหายใจฮึดฮัดบอกให้รู้ว่าหงุดหงิดแล้วนะ

ทาคุมิหัวเราะ

กระทั่งมีชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ก้าวมาขวางทางข้างหน้า ฮารุโตะจึงขยับเท้าก้าวเบียดคนที่เดินคู่กันมาทันที เพื่อนร่วมคณะที่ตัวสูงกว่าหันมองเขาก่อนจะเอ่ยปากทักทายคนตรงหน้า

“ไง ซากุราอิซัง ไม่เจอกันนานเลย”ทว่าอีกฝ่ายไม่กล่าวตอบหากแต่กวาดสายตามองเพื่อนร่างเล็กของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า และประโยคที่กล่าวออกมากลับเป็น

“เกิดอะไรขึ้น”

ทาคุมิมองตามสายตาอีกฝ่ายที่จดจ้องอยู่ที่เฝือกข้อเท้า ฮารุโตะยังไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยตอบ

“อุบัติเหตุตกเขาน่ะ”ทาคุมิพูด คนถามหันมามองหน้าเขาทันทีและทวนคำตอบของเขาซ้ำ “ตกเขาเนี่ยนะ”

ทาคุมิเห็นโคจิมะ มิชิโอะและโองาวะ อิซามุวิ่งตามมาสมทบ ทั้งสองคนมีท่าทางกระหืดกระหอบ เด็กหนุ่มละความสนใจก่อนจะหันไปบอกเล่าให้คนที่ยังขมวดคิ้วได้คลายความสงสัย “ไม่มีอะไรหรอก พอดีฮารุโตะก้าวเท้าพลาดตอนไปเที่ยวกับชมรม นี่กำลังจะหายแล้ว ต้นเดือนหน้าน่าจะถอดเฝือกออกได้แล้ว ใช่ไหมฮารุจัง”

คนถูกถามพยักหน้ารับ

“แบบนี้คงเดินลำบากถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวตอนเย็นฉันจะมารับ”

“เอ้ย ไม่ต้อง”ทาคุมิรีบปฏิเสธ ก่อนที่ฮารุโตะพูดตามออกมาว่า “มีรุ่นพี่ที่ชมรมคอยรับส่งผมอยู่แล้ว คงไม่รบกวนซากุราอิซังหรอกครับ ขอบคุณมาก”

คนถูกปฏิเสธยืนนิ่ง ก่อนจะส่งเสียงรับคำสั้นๆ จากนั้นระหว่างพวกเขาก็ไร้ซึ่งบทสนทนา นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ทาคุมิจึงเอ่ยปากขอตัวไปเรียน

ฮารุโตะเกาะแขนเขาไว้ ทาคุมิจึงเข้าใจว่าเพื่อนสนิทต้องการให้ช่วยพยุง เขาเปลี่ยนไปใช้มือจับต้นแขนของเพื่อนสนิทร่างเล็ก เอ่ยปากบอกลาทั้งสามคน และค่อยๆพาฮารุโตะก้าวเท้าไปตามทางเดิน

“เจ็บขาหรือ”เมื่อถามไปเช่นนั้นฮารุโตะก็สั่นศีรษะกลับมาเป็นคำตอบ จนพ้นระยะสายตาของซากุราอิ ชุนและก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์เพื่อขึ้นไปยังห้องเรียน ฮารุโตะจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนซากุราอิซังคอยตามรังแกตลอด จู่ๆท่าทางก็เปลี่ยนไป มันเลยค่อนข้างน่ากลัวน่ะ”

“ซากุราอิซังเนี่ยนะ?”

“อือ ตอนสมัยมัธยมโดนแย่งกับข้าว เอาชุดนักเรียน รองเท้าหรือกระเป๋าไปซ่อน ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเจอหน้าทีไรก็ชอบมาไถเงินตลอด บางทีก็โดนซ้อม”ฮารุโตะพูดระบายออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ความทรงจำอันเลวร้ายหวนย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง

“ซากุราอิซังเนี่ยนะ?”ทาคุมิยังถามซ้ำอย่างไม่แน่ใจ

ความคลางแคลงในแววตาและสีหน้าคู่สนทนาทำให้ฮารุโตะตกประหม่าพรั่นใจ เขาก้มหน้าลงด้วยความหวาดหวั่น “ไม่มีอะไรหรอก”ฮารุโตะรีบบอกออกไปก่อน “ท...ที่จริง มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดน่ะ”

“เดี๋ยวก่อน ฉันไม่ได้คิดว่านายโกหก”

ฮารุโตะเงยหน้ามองคนพูด ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นปลายทาง ทาคุมิจึงแตะข้อศอกให้เดินออกจากลิฟต์

“ฉันแค่... แบบ... คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจเนอะ”

พวกเขาตกลงกันว่าจะคุยเรื่องนี้อีกครั้งหลังหมดชั่วโมงเรียน ถึงกระนั้น ทันทีที่หมดชั่วโมงเรียน หนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งคอยไปรับไปส่งฮารุโตะอย่างสม่ำเสมอได้โทรศัพท์เข้ามาหา ทาคุมิจึงต้องระงับความอยากรู้อยากเห็นของตนไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”ชิมิซึ ซากิเอ่ยถามเมื่อเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นน้อง เพราะท่าทางของเด็กหนุ่มดูแตกต่างจากเมื่อเช้า

ฮารุโตะฝืนยิ้ม สั่นศีรษะพลางเอ่ยสำทับว่าไม่มีอะไร ซากิไม่ได้คาดคั้น อนึ่งเพราะนิสัยของเขา อีกประการคือเขารู้สึกได้ว่าฮารุโตะไม่ได้ไว้ใจเขาขนาดที่จะยอมพูดทุกอย่างออกมา ความจริงข้อนี้ทำให้เขาขัดใจและหงุดหงิดอยู่เสมอ ซากิจึงได้แต่พยายามข่มอารมณ์ไม่พอใจไว้ภายใต้สีหน้านิ่งเฉย

 ชายหนุ่มจอดรถเพื่อส่งหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนที่หน้าบ้านพักซึ่งฮารุโตะเช่าอาศัยอยู่ ทาคุมิอ้างว่าจะอยู่อ่านหนังสือต่อ แม้จะคาดเดาได้ว่า ระหว่างสองคนนั้นจะมีเรื่องบางอย่างปิดบังแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรเพิ่มเติม เขาบอกลาและบังคับถอยรถยนต์ออกมา ก่อนกดโทรศัพท์หาหนึ่งในสองเพื่อนสนิทที่ได้พบกับหนุ่มรุ่นน้องเมื่อกลางวัน

“ฉันมีเรื่องจะถาม”เขากรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย

“ว่า?”

“ตอนเที่ยงไปคุยอะไรกับมิอุระ”

“หือ รุ่นน้องที่น่ารักของแกเขามาถามว่า แกชอบอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า เพราะอยากจะฉลองคริสต์มาสกับแก”

เขานิ่งเงียบฟังพร้อมกับความรู้สึกพองฟูในหัวใจที่ค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น

“อย่างไรดีครับรุ่นพี่ชิมิซึ อยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”

“ติดเชื้อเจ้าเรียวตะมันมาหรือไง เอคิจิ อุตส่าห์โทรถามแกเพราะไม่อยากโดนเจ้านั่นกวนประสาทแท้ๆ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เพราะใครบางคนมันชอบปากแข็งหรอก”

ซากิยกยิ้มบางแววตาที่มองถนนเบื้องหน้าสลดลง เงียบเสียงไปนานจนปลายสายจับความรู้สึกของเขาได้

“หรือจนป่านนี้แกก็ยังตัดใจไม่ได้”

เขาไม่ได้ตอบและจบคำสนทนากับปลายสายด้วยคำพูดสั้นๆ พลางย้ำกับตัวเองเช่นเดิมว่าเขาตัดสินใจแล้ว



ทาคุมินั่งเงียบจ้องหน้าเพื่อนสนิทมาร่วมครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าฮารุโตะสมาธิดีหรือทำเพียงแค่เปิดหน้ากระดาษผ่านๆเพื่อหลอกให้เขาตายใจกันแน่ แต่แน่ละ ซาโต้ ทาคุมิไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงโดยเฉพาะเรื่องที่อยากรู้

“ไม่คิดจะเล่าให้ฟังแล้วหรือ”

เห็นฮารุโตะยังทำท่าจมจ่ออยู่กับตัวอักษรบนหน้าหนังสือ เขาจึงคิดว่าตัวเองคงต้องทำใจเสียแล้ว ทว่าไม่ช้าไม่นานจากนั้นมิอุระ ฮารุโตะกลับยอมเปิดปากออกมา

“ผมย้ายไปเรียนโรงเรียนเดียวกับซากุราอิซังตอนประถมหก ซากุราอิซังดีกับผมมากและเราสองคนก็สนิทกันมาก แม้ตอนมัธยมต้นปีหนึ่งจะอยู่คนละห้องแต่เราสองคนก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม”ฮารุโตะเล่าด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา สายตายังจดจ้องอยู่บนหน้ากระดาษ “กระทั่งมีเพื่อนในห้องเข้ามาหาเรื่องเราสองคน”

ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมายกยิ้ม

“สมัยนั้นซากุราอิซังตัวเล็กนิดเดียวเอง”พูดพลางยกไม้ยกมือทำท่าประกอบ “พอมีเรื่องขึ้นมาเลยแพ้ อีกอย่างเด็กคนนั้นน่ะเรียนคาราเต้ด้วย ถึงอย่างนั้นซากุราอิซังก็คอยปกป้องผมตลอด แต่เป็นผมเองที่บอกให้เขาหยุดทำแบบนั้น สุดท้ายเราเลยทะเลาะกัน”น้ำเสียงของฮารุโตะหงอยเศร้าลงในประโยคสุดท้าย แล้วกลายเป็นเหยียดหยันดูแคลนในประโยคถัดมา

“หลังจากนั้นเราก็ไม่ค่อยได้เจอกันอีก ผมโดนเด็กคนนั้นแกล้งตลอดและไม่ว่าจะบอกใครก็ไม่มีใครเชื่อเพราะเด็กคนนั้นเป็นนักเรียนดีเด่นและเป็นทายาทของตระกูลที่มีชื่อเสียงในจังหวัด แต่สุดท้ายเด็กคนนั้นก็โดนสวรรค์ลงโทษ ไม่รู้ว่าไปหาเรื่องใครอีก ผมได้ข่าวว่า เขาโดนทำร้ายจนต้องเข้าโรงพยาบาล”คนเล่านิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง

“แต่คราวนี้กลับเป็นซากุราอิซังเสียเองที่คอยหาเรื่องผม มันเริ่มจากการกลั่นแกล้งเล็กๆน้อย และค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆตอนที่ผมอยู่มัธยมปลาย”น้ำเสียงของคนพูดขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด

“ตอนที่สอบได้ทุนผมดีใจมาก เพราะคิดว่าจะไม่ต้องเจอกับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว และยิ่งตอนนี้การแสดงออกของซากุราอิเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ มันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอีกแน่”ฮารุโตะพูดอย่างวิตกจริต เด็กหนุ่มชันเข่าขึ้นคู้ตัวลงด้วยความหวาดกลัวอนาคตข้างหน้าที่ยังมาไม่ถึง เขาไม่อยากจะพบเจอเหตุการณ์แบบนั้นแล้ว ชีวิตของเขากำลังจะดีขึ้น ทุกอย่างมันกำลังจะดีขึ้น

ท่าทางอาการที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของฮารุโตะ ทำให้ทาคุมิรีบคลานเข่าเข้าไปหา วางมือบนไหล่ จับมืออีกฝ่ายไว้พลางพูดปลอบ “ไม่ต้องห่วงนะ ไม่มีอะไรหรอก มีฉันอยู่ด้วยทั้งคนไม่มีใครทำอะไรนายได้ทั้งนั้น”ร่างกายอันสั่นเทาของฮารุโตะ ทำให้ทาคุมิตัดสินใจดึงอีกฝ่ายเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขาลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลมให้เพื่อนสนิทคลายอาการหวาดวิตก

“ผมเชื่อซาโต้ซังได้จริงๆหรือ”ฮารุโตะถาม การโดนคนที่คิดว่าเป็นเพื่อนทำร้ายรังแกซ้ำๆหลายครั้งหลายคราทำให้เขาไม่อยากเชื่อใจใคร

คนถูกถามพยักหน้ารับ ดึงเด็กหนุ่มร่างเล็กบางกว่าเข้ามากอดซ้ำอีกครั้ง เขาเป็นคนธรรมดาที่มีเพื่อนมากมาย และเพิ่งรู้สำนึกตัวว่าตนเองเกิดมาโชคดีก็วันนี้ ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ฮารุโตะเจอ เพียงแต่เขามีกลุ่มเพื่อน ถึงแม้ว่าเขาจะทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนในกลุ่ม เขาเองยังมีพ่อแม่ที่คอยรับฟังปัญหาและให้คำแนะนำ มีสถานที่ที่ยอมให้เขาทำตัวอ่อนแอและให้กำลังใจในการลุกขึ้นสู้ต่อไป

“นี่ ฮารุโตะ ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันไหม”

“เอ๋!!!”เขาผละตัวออกห่างพร้อมกับส่งเสียงออกไปอย่างแปลกใจ ทาคุมิยิ้มให้ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มของฮารุโตะ

“ถึงอย่างไรช่วงนี้รุ่นพี่ชิมิซึก็ไม่ค่อยว่างมากินข้าวกับนายอยู่แล้ว ไปกินข้าวที่บ้านฉันกันเถอะ”คนชวนพูดจบก็กดโทรศัพท์โทรออกแจ้งให้มารดารับทราบว่าจะมีสมาชิกอีกคนไปทานข้าวเย็นด้วย  หลังจากนั้นจึงหันมาบอกเด็กหนุ่มร่างเล็กให้โทรบอกรุ่นพี่ชิมิซึ

“รุ่นพี่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”

แม้จะบอกให้เขาโทรแต่เจ้าตัวกลับหยิบโทรศัพท์ของเขาขึ้นมาโทรออกเสียเอง ทั้งยังกรอกเสียงบอกปลายสายเสร็จสรรพ

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวผมพาฮารุจังขึ้นรถบัสไปเอง เอาไว้รุ่นพี่ค่อยมารับตอนขากลับน่าจะดีกว่า”หลังจากรับคำกับปลายสาย ทาคุมิจึงกดวางและหันมาบอกให้เขาลุกขึ้นยืน

“เอากระเป๋าตังค์กับโทรศัพท์ไปเท่านั้น”

ฮารุโตะทำตามด้วยอาการเหมือนสมองสั่งการไม่ทัน ท่าทางที่แสดงออกนั้นยังดูงงๆ

หลังๆมานี้ เขากลับมาพกเงินใส่กระเป๋าเงินอีกครั้ง ประการหนึ่งเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วยตลอด เด็กหนุ่มจึงคิดว่า ซากุราอิ ชุนคงไม่กล้าเข้ามาระราน อีกอย่างคือเขาจำเป็นต้องใช้สำหรับซื้ออาหารเช้า กลางวัน เย็นและอื่นๆจิปาถะ ถ้าไม่ได้รุ่นพี่ชิมิซึคอยช่วยออกค่าใช้จ่ายให้บ้าง ฮารุโตะคาดว่า ป่านนี้เงินเก็บที่เขามีอยู่คงหมดเกลี้ยงไปนานแล้ว


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 08-04-2017 04:20:33
พวกเขาทั้งสองคนเดินทางไปบ้านของซาโต้ ทาคุมิโดยรถประจำทาง ครอบครัวของทาคุมิอาศัยอยู่ในห้องชุดแบบครอบครัวขนาด2LDK บนอาคารสูง และเนื่องจากผู้ปกครองทั้งสองคนต่างทำงานทั้งคู่ อาหารมื้อเย็นจึงถูกตั้งโต๊ะเวลาย่ำค่ำราวๆหนึ่งถึงสองทุ่ม ดังนั้นตอนที่พวกเขามาถึงจึงยังเหลือเวลาอีกนานกว่าจะถึงเวลาอาหาร

“นั่งเล่นก่อน ดูหนังไหม”เจ้าของบ้านเอ่ยถาม ทรุดตัวลงนั่งหน้าตู้ใส่ของใต้ชั้นวางทีวีซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นดีวีดีมากมาย

ฮารุโตะมองซ้ายมองขวาล่อกแล่ก บ้านของทาคุมิตกแต่งเรียบง่ายดูโล่งแต่บนโต๊ะหรือหลังตู้เต็มไปด้วยของกระจุกกระจิกอย่างหุ่นยนต์ตัวเล็กๆ ตุ๊กตากระเบื้อง หรือกรอบรูปครอบครัว  พื้นที่ไม่กว้างแต่สามารถวางชุดโซฟาสีน้ำตาลและโต๊ะทานอาหารขนาดสี่คนโดยไม่ให้ความรู้สึกว่าอึดอัด

“ซาโต้ซังเป็นลูกคนเดียวหรือ”ฮารุโตะถามเพราะสังเกตเห็นว่าบ้านเงียบเชียบ

“อืม”ทาคุมิตอบรับสั้นๆ ขณะนำแผ่นใส่เครื่องเล่น แผ่นหนังที่มีอยู่ล้วนแต่เป็นเรื่องที่เด็กหนุ่มเจ้าของบ้านเคยดูแล้วทั้งนั้น แต่เพราะถ้าปล่อยให้ฮารุโตะนั่งว่างๆ กลัวว่าอีกฝ่ายจะชวนเขาอ่านหนังสือเรียนอีก

หนังที่ทาคุมิเลือกมาดูเป็นหนังแอคชั่นไซไฟที่ออกฉายเมื่อหลายปีก่อน เรื่องราวของเด็กหนุ่มผู้มีความจำเป็นเลิศแต่กลับไม่มีความรู้สึกของมนุษย์ แต่แค่เปิดเรื่องมาฮารุโตะก็สะดุ้งเฮือกเพราะฉากสยองอย่างการตัดลิ้นตัวละครในเรื่อง ก่อนทำท่าจะทนดูไม่ได้จริงๆกับฉากระเบิดรถบัสซึ่งมีเด็กประถมโดยสารอยู่ทั้งคัน ทาคุมิจึงเปลี่ยนเป็นหนังภาคต่อของซีรี่ย์เรื่องยาว เรื่องราวของหญิงสาวที่ถูกเลี้ยงดูโดยคุณตาที่เป็นยากุซ่า ซึ่งเธอได้เข้าไปเป็นครูในโรงเรียนมัธยม

ฮารุโตะนั่งดูตาไม่กระพริบด้วยท่าทางสนอกสนใจ หัวเราะไปกับท่าทางพร่ำเพ้อเกินจริงของตัวเอก อย่างไรก็ตามหนังยังไม่ทันจบ ผู้เป็นมารดาของทาคุมิได้กลับมาถึงบ้านเสียก่อน เด็กหนุ่มร่างเล็กยันตัวยืนต้อนรับทันที ยืนนิ่งตัวแข็งทื่อด้วยความหวั่นเกรง ทาคุมิจึงต้องรีบแนะนำมารดาของตนให้ฮารุโตะรู้จัก

“นี่แม่ฉัน ส่วนนี่ฮารุโตะเพื่อนที่คณะ คนที่ผมขออนุญาตไปค้างด้วย”

“หรือจ๊ะ ดีจังที่ได้เจอตัวจริงเสียที ขอบใจมากนะจ๊ะที่ช่วยดูแลลูกชายของน้า เพราะหนูแท้ๆเด็กคนนี้ถึงขยันตั้งใจเรียนขึ้นบ้าง”

“คร้าบ คร้าบ ต่อไปผมจะตั้งใจเรียนขึ้นอีกครับ”

“ดีจ้า อย่างนั้นเดี๋ยวแม่ไปทำกับข้าวให้”

“เอ่อ ให้ผมไปช่วยไหมครับ”ฮารุโตะเอ่ยปากอาสา

“อุ๊ย! ทำกับข้าวเป็นด้วยหรือจ๊ะ ช่างเป็นเด็กดีเสียจริง ไม่เหมือนเด็กบ้านนี้เลย ให้ช่วยทำงานบ้านนิดๆหน่อยๆก็ทำอิดออด”คนเป็นแม่แสร้งพูดบ่นให้คนเป็นเพื่อนลูกชายได้ฟัง ทาคุมิจึงร้องโวยวายออกมา

“แม่!!!”

“จ้าๆ มีอะไรหรือจ๊ะ คุณลูก”คุณนายซาโต้ดูสนุกสนานที่ได้เย้าแหย่ลูกชาย เธอนำของสดที่ซื้อมาไปวางไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินมาหาเพื่อนของลูกชาย “มา เดี๋ยวน้าช่วยพยุง” เธอประคองตัวเด็กหนุ่มพาเดินไปจนถึงโต๊ะทานอาหาร และดึงเก้าอี้ให้เขานั่ง ทาคุมิจึงต้องหันไปปิดทีวีและตามเข้าไปในครัว

มื้อค่ำวันนั้นสนุกสนานมากสำหรับฮารุโตะ พ่อของทาคุมิให้การต้อนรับเขาเป็นอย่างดี ระหว่างมื้ออาหารมีแต่เสียงหัวเราะ และเขายังได้รับการเชื้อเชิญให้มาร่วมทานมื้อเย็นอีกครั้งเมื่อมีโอกาส

ทาคุมิเดินลงมาส่งเขาที่ชั้นล่างพร้อมทั้งยังยืนรอรุ่นพี่ชิมิซึด้วยกัน

“คุณน้าใจดี”ฮารุโตะเปรยออกมา ลูกชายของคนที่ถูกกล่าวถึงจึงหลุดเสียงหัวเราะ “เพราะนายยังไม่เจอช่วงที่เจ๊แกอารมณ์เสียหรอก”

“ไม่ใช่ซาโต้ซังหรือทำให้คุณน้าอารมณ์เสีย”

ทาคุมิใช้สายตาเหล่มองคนพูดซึ่งเข้าข้างมารดาของเขาเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่ก็ยกยิ้มเมื่อเห็นเพื่อนสนิทอารมณ์ดีถึงขั้นพูดหยอกล้อตอบกลับมา

ยืนรอท่ามกลางอากาศหนาวเย็นไม่นานนัก รถยนต์สีบรอนซ์เงินของรุ่นพี่ชิมิซึจึงได้ขับมาจอดเทียบตรงหน้า ทาคุมิเดินไปเปิดประตูให้ ฮารุโตะก้าวเท้าขึ้นรถแล้วยกมือขึ้นโบกลา จากนั้นรถยนต์จึงเคลื่อนที่

ถึงจะไม่ได้พูดคุยซักไซ้ แต่ซากิคาดเดาจากสีหน้าท่าทางของฮารุโตะว่าหนุ่มรุ่นน้องคงจะอารมณ์ดีขึ้นมากแล้ว

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ”ฮารุโตะเอ่ยเรียก ซึ่งชายหนุ่มผู้เป็นสารถีแค่ขานเสียงในลำคอว่ารับรู้

“วันที่ยี่สิบห้านี้พอจะมีเวลาว่างไหมครับ”

ซากิเหลือบสายตามองเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง แสงสว่างจากไฟทางพอจะทำให้เขาเห็นอากัปกิริยาของอีกฝ่าย ฮารุโตะหันมามองเขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ

“วันที่ยี่สิบห้าหรือ...อืม”เขาหันกลับไปมองถนนเบื้องหน้าแสร้งทำท่านึก “น่าจะติดธุระละมั้ง”

“อา... ครับ”สีหน้าของฮารุโตะเหงาหงอยลงราวกับต้นไม้ขาดน้ำ ซากิอมยิ้มเริ่มคิดแผนการที่จะเซอร์ไพรซ์ฮารุโตะกลับไปบ้าง

“มีอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นหลังสองทุ่มไปแล้ว ฉันก็ว่าง”

“หรือครับ ตอนนั้นก็ได้”ท่าทางของฮารุโตะกลับมากระตือรือร้นอีกครั้ง เริ่มคิดสิ่งที่จะทำในวันที่ยี่สิบห้าอย่างจริงจัง

ถึงแผนการฉลองวันคริสต์มาสของฮารุโตะยังไม่เป็นรูปร่างชัดเจน ทว่าไม่กี่วันหลังจากนั้น นาคามูระ เรย์อดีตประธานชมรมถ่ายภาพกลับฝ่ายกำหนดเวลาให้เขาเป็นที่เรียบร้อย

“นะ ช่วยหน่อย”เรย์ประนมมือไว้ด้านหน้าพลางพูดกับหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนให้เห็นใจ

“ว่าแล้วเชียว”ทาคุมิตบโต๊ะฉาด “บอกแล้วว่าให้รีบง้อ”

จนป่านนี้นาโอโตะยังคงมีท่าทางมึนตึง เรื่องที่ต้องพูดคุยเพื่อทำให้เหตุการณ์เข้าใจผิดกระจ่างชัด ชายหนุ่มได้พูดคุยอธิบายหลายครั้งแล้ว และคนรักทำท่าเหมือนจะเข้าใจ ทว่ามันมีตัวแปรที่สามของเรื่องซึ่งเขายังตัดไม่ขาด

“ไม่มีปัญหาหรอกครับ”ฮารุโตะตอบรับ คำขอร้องของนาคามูระ เรย์ไม่มีอะไรมาก แค่ชวนอาโอกิ นาโอโตะฉลองวันคริสต์มาสเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มกำลังมีความคิดจะขอให้หนุ่มรุ่นพี่ช่วยสอนวิธีทำเค้กให้เหมือนกัน

“ไม่น่าไปรับปากง่ายๆเลยฮารุจัง”ทาคุมิพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ มันน่าจะเล่นตัวอีกสักหน่อย แต่ประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไป

“อยากได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทนบอกมาเลย”เรย์พูดกับทาคุมิอย่างใจป้ำ

“แน่ใจนะครับ”

“ซาโต้ซัง ไม่เอานะ”ฮารุโตะเอ่ยห้ามปราม

“นายไม่อยากได้ก็เรื่องของนาย แต่ฉันอยากได้”หันไปพูดกับเพื่อนสนิทจบ ก็หันไปบอกรุ่นพี่ในชมรมต่อไปว่า “ไว้ผมนึกออกว่าอยากได้อะไรแล้วจะบอกนะครับ”

“ได้ มีแค่เดือนดาว กับขอนอนกับแฟนฉันเท่านั้นนะเว้ยที่ให้ไม่ได้”

“โถะ ใครจะไปขอแบบนั้น”ทาคุมิหัวเราะ โบกมือลาหนุ่มรุ่นพี่เมื่ออีกฝ่ายขอตัวกลับ แล้วหันมองฮารุโตะที่ออกอาการไม่พอใจ

“ไปคุยกับรุ่นพี่อาโอกิเองแล้วกัน”เด็กหนุ่มร่างเล็กพูดพลางหยิบไม้ค้ำยัน ขยับเก้าอี้เตรียมตัวลุกขึ้นยืน

“เดี๋ยวสิ”ทาคุมิวาดแขนรั้งคอมิอุระ ฮารุโตะไว้ “ที่ฉันทำน่ะ ไม่ใช่เห็นแก่สินบนใต้โต๊ะเสียหน่อย แต่เรื่องบางอย่างรุ่นพี่นาคามูระควรจะได้รับบทเรียนบ้าง นายไม่คิดอย่างนั้นหรือ”

“ไม่เห็นจำเป็น”ฮารุโตะหน้างอ “แค่เรื่องรุ่นพี่อาโอกิก็ทำให้รุ่นพี่นาคามูระสำนึกได้แล้ว”

“ถ้าสำนึกได้จริง ทำไมรุ่นพี่นาคามูระต้องมาขอให้พวกเราช่วย นายรู้จักรุ่นพี่อาโอกิมานานกว่าฉัน น่าจะรู้ว่าทำไมรุ่นพี่เขาถึงไม่ยอมให้อภัยรุ่นพี่นาคามูระเสียที ฉันเชื่อว่ารุ่นพี่อาโอกิเป็นคนมีเหตุผล”

มันก็ใช่ และตั้งแต่ที่เขารู้จักรุ่นพี่ทั้งสองคน ฝ่ายที่มีปัญหาเรื่องอารมณ์หึงหวงมากกว่าเป็นรุ่นพี่นาคามูระ ทั้งที่ตัวเองมีคนเข้าหามากกว่ารุ่นพี่อาโอกิแท้ๆ

“แล้วมีอีกเรื่องที่อยากจะเล่า มินามิน่ะยังจิ๊ๆจ๊ะๆอยู่กับรุ่นพี่นาคามูระนะ”

ฮารุโตะหันหน้าไปมองคนเล่าเรื่อง “รู้ได้อย่างไร”

“แหมะ ไอ้เรื่องแบบนี้เขาปิดกันให้แซ่ด”

“อาจจะเข้าใจผิดกันไปเองก็ได้”ฮารุโตะอดที่จะแก้ตัวแทนให้ไม่ได้ คนเล่าเรื่องจึงแค่ยกไหล่ไม่ตอบโต้อะไรอีก ทาคุมิถือว่าแค่เล่าให้เพื่อนได้รับรู้ในสิ่งที่ได้ยินได้เห็นมา แต่เรื่องที่จะช่วยรุ่นพี่นาคามูระ เขาตั้งใจจะปรึกษากับรุ่นพี่อาโอกิก่อน รุ่นพี่นาคามูระขอให้พวกเขาช่วย แต่ใช่ว่าจะห้ามไม่ให้เขาบอกรุ่นพี่อาโอกินี่นะ



ชิมิซึ ซากิโยนโทรศัพท์มือถือลงกระแทกบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด พาให้เพื่อนทั้งสองคนซึ่งนั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยเงยหน้าจากคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมามอง

พวกเขากำลังจับกลุ่มนั่งทำงานอยู่ที่อาคารหอสมุดของมหาวิทยาลัย หลังวันหยุดฤดูหนาวอาทิตย์ที่สามของเดือนมกราคมพวกเขาต้องนำเสนอวิทยานิพนธ์กับเหล่าอาจารย์ผู้ซึ่งเป็นคณะกรรมการการสอบวิทยานิพนธ์ เวลาที่งวดกระชั้นเข้ามาทำให้พวกเขาต้องเร่งแก้ไขวิทยานิพนธ์ให้สมบูรณ์ที่สุด พวกเขาจึงเลือกที่จะจับกลุ่มสิงสถิตกันที่หอสมุด สถานที่ซึ่งมีหนังสืออ้างอิงให้เลือกใช้มากมาย เพราะถ้าจะให้แก้แบบสอบถามและกรณีศึกษากันตอนนี้ อย่างไรก็คงไม่ทัน จึงทำได้เพียงหาตัวอย่างและเอกสารอ้างอิงที่สอดรับกับข้อมูลที่มีอยู่ในมือ

เอคิจิหยิบโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทซึ่งนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดขึ้นมาดู ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเป็นภาพของหนุ่มรุ่นน้องสองคนที่พวกเขารู้จักันดี แม้จะค่อนข้างไกลแต่ด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพในปัจจุบัน ทำให้เห็นเค้าหน้าชัดเจน

เรียวตะเองก็โน้มหน้ามาดูด้วยเช่นกัน ก่อนคว้าไปถือเพื่อมองให้ชัด เขาผิวปากหวือ

“นึกว่าเพื่อนสนิทเฉยๆนะเนี่ย สงสัยว่าแกจะแห้วโดนเด็กคว้าไปกินซะแล้ว”

“พูดมาก”ซากิพูดออกมาแค่คำเดียว

“ภาพออกจะชัด หรือว่าแกไม่คิด”

ยอมรับเลยว่า เห็นแวบแรกเขาคิดจินตนาการไปไกลถึงได้ออกอาการไม่ชอบใจให้กลุ่มเพื่อนได้เห็น แต่พอลองได้ตรึกตรอง นอกจากภาพจะไกลแล้ว มุมภาพยังทำให้เหมือนดูว่าสองคนนั้นทำอะไรเลยเถิด อีกอย่างคนที่ส่งภาพแบบนี้มาให้เขาต้องเป็นพวกคิดไม่ดีอยู่แล้ว

“โลกนี้จะมีคนใจดีส่งภาพมาอยากให้ฉันหายโง่เพราะโดนสวมเขาด้วยหรือวะ นอกจากจะพยายามเสี้ยมให้ตีกัน”

“แหม ใช้คำว่าสวมเขาซะด้วย ถามหน่อยเถอะน้องเขาเป็นแฟนแกตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่ฮารุจังยอมแกทุกวันนี้เพราะแกเผด็จการบังคับขู่เข็นเขาหรอก ลองถามความสมัครใจจริงๆ เชื่อขนมกินได้ว่าแกโดนปฏิเสธทันที”

“อ่อ เหรอ”ซากิลากเสียงยาว รู้สึกตลกกับคำกระแหนะกระแหนของเรียวตะ และกล่าวออกไปด้วยท่าทีเหนือกว่า“แล้วเมื่อหลายวันก่อน มิอุระเขาไปปรึกษาแกเรื่องจะฉลองวันคริสต์มาสกับใครละ”

เรียวตะจึงหันมองหน้าเพื่อนทั้งสองคนเลิกลั่ก “แกบอกมันหรือ เอคิจิ”

“ก็ซากิมันถาม”คนตอบพูดหน้าตาย

“ไปบอกมันทำไม”

“บอกไม่บอกมันไม่ต่างอะไรหรอก ถึงอย่างไรฮารุจังต้องนัดเวลากับซากิมันอยู่ดี”เอคิจิพูดพลางกลับมาให้ความสนใจวิทยานิพนธ์ของตนบนหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เรียวตะจึงทำหน้ามุ่ยขยับปากบ่นพึมพำ

“แล้วรูปนี่จะเอาอย่างไรวะ”

“ไม่ทำอะไร ปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ”

“ไม่คิดจะตามหาคนส่งหน่อยหรือไง”เรียวตะถามต่อ

“ไม่จำเป็น ปล่อยไว้เฉยๆเดี๋ยวคนส่งมันก็ดิ้นเร่าๆเผยตัวออกมาเอง”ซากิรับโทรศัพท์มือถือกลับมามองดูภาพนั้นอีกรอบก่อนจะละความสนใจไป



พวกเขานัดเจอกันตั้งแต่เช้าของวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม โดยช่วงเช้าเป็นตารางสำหรับทำอาหารและขนมสำหรับงานเลี้ยงฉลองในช่วงหัวค่ำ ครอบครัวอาโอกิและนาคามูระจัดงานฉลองเทศกาลสำคัญๆร่วมกันเป็นประจำทุกปี แต่เนื่องจากปีนี้ลูกชายคนโตของบ้านอาโอกิและลูกชายคนเล็กของบ้านนาคามูระอยู่ในช่วงทะเลาะกัน เรย์จึงโดนห้ามเข้าบ้านอาโอกิไปโดยปริยาย

“อย่างนี้ทั้งสองบ้านไม่มีปัญหากันหรือครับ”ทาคุมิถามขณะยืนล้างผัก ส่วนฮารุโตะและรุ่นพี่อาโอกิเจ้าของบ้านกำลังเตรียมของสดจำนวนมหาศาลอยู่บนโต๊ะหินตัวยาว

มื้อเย็นสำหรับวันนี้เป็นชาบูซึ่งนาโอโตะได้บอกทุกคนไว้แล้วว่าสามารถจัดการเองได้ จึงไม่มีคนอื่นมาช่วยนอกจากพวกเขาทั้งสามคน

“มีปัญหาตั้งแต่ตอนตกลงจะคบกันแล้วละ พ่อแม่พี่กับพ่อแม่เรย์เป็นเพื่อนกัน ตอนที่บอกที่บ้านว่าจะคบกับเรย์เหมือนว่าพวกผู้ใหญ่จะมองหน้ากันไม่ติดอยู่นิดหน่อย และเหมือนว่าตอนเด็กๆ พ่อแม่ของสองบ้านเขาหวังให้พี่ริวกับพี่จิอาสะแต่งงานกัน แต่กลับมาแจ็คพ็อตแตกที่ลูกชายอีกคนแทนมันเลยเกิดเดธแอร์”คนเล่านิ่งไปชั่วครู่เหมือนกำลังนึกย้อนไปในช่วงเวลานั้น

“หลังจากนั้นไม่นาน พี่กับเรย์เลยโดนเรียกคุยอีกรอบ เรื่องที่ว่าจะคบกันจริงจังใช่ไหม อีกอย่างเราสองคนตอนนั้นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ อยากรู้อยากเห็น เรย์กับพี่ยืนยันชัดเจนเพราะก่อนที่บอกพ่อแม่พวกเราก็คิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง”

ทาคุมินำผักใส่ตะกร้าสะเด็ดน้ำ ถือมาวางไว้บนโต๊ะหินตรงหน้าชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“แต่หลังจากคบกันก็ยังคงให้อารมณ์เพื่อนสนิทกันอยู่ดีแหละ”คนเล่าหัวเราะ ซึ่งหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย

“แล้วตลอดเวลาที่คบกันมา เราสองคนไม่ค่อยทะเลากันเท่าไหร่ อาจจะทำตัวงี่เง่าใส่กันบ้าง แต่แป็บๆก็กลับมาคืนดีแล้ว แต่เรื่องครั้งนี้เหมือนโดนหยามอ่ะ พ่อแม่เรย์ก็เห็นเหตุการณ์ด้วยใช่ไหม คุณอาเลยบอกว่าเต็มที่อยากทำอะไรก็ทำ”นาโอโตะพูดไปหัวเราะไป ส่วนหนึ่งเพราะสะใจที่พ่อแม่ของคนรักเข้าข้าง ทว่าอีกใจหนึ่งตัวเขากลับคลางแคลงในความรักที่มีให้กันระหว่างพวกเขาทั้งคู่

“แล้วรุ่นพี่อยากให้พวกผมทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ”

ฮารุโตะได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าก้มตาทำงานของตน ฟังทาคุมิและรุ่นพี่อาโอกิคุยกัน ถึงเขาจะชื่นชอบรุ่นพี่อาโอกิ แต่ในใจของเขาเอนเอียงไปทางรุ่นพี่นาคามูระมากกว่า เขาเข้าข้างรุ่นพี่นาคามูระอย่างไม่ต้องสงสัย

“ยังไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่ลองคุยกับเรย์ดูอีกทีก่อน” นาโอโตะไม่เคยบอกใครว่าระหว่างเขาและเรย์ไม่เคยมีสัมพันธ์ทางกายเกินเลยไปกว่าการจูบกันในบางครั้งบางครา นั่นจึงเป็นต้นเหตุที่เขาเริ่มกังขากับความรู้สึกที่คนรักมีต่อเขา และเขาก็พยายามแสดงให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความไม่พอใจนี้ด้วยการเริ่มตัดอีกฝ่ายจากวงจรชีวิต เพราะความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนเกี่ยวเนื่องกับทั้งสองครอบครัว นาโอโตะจึงอยากให้ ‘แม้จะจบความสัมพันธ์ฉันท์คนรักแต่พวกเขายังคงเป็นเพื่อนกันอยู่’

นาโอโตะเอ่ยบอกให้รุ่นน้องทั้งสองคนกลับมาสนใจอาหารคาวหวานที่จะทำในวันนี้อีกครั้ง

พวกเขาเตรียมผักและหมักเนื้อสัตว์ที่ใช้ในชาบูเก็บแช่ไว้ในตู้เย็น ก่อนจะหันมาลงมือทำเค้กซึ่งของนาโอโตะจะเป็นเค้กช็อคโกแลตเหมือนเดิม ส่วนฮารุโตะอยากได้เค้กชาเขียวที่ไม่หวานนัก โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า “ครั้งก่อนรุ่นพี่ชิมิซึทานเค้กช็อคโกแลตไปนิดเดียว”

“แล้วฮารุจังชอบเค้กรสอะไรละ”

คนถูกถามทำท่านึก “เค้กเนยครับที่เป็นสีขาวๆ”แค่คิดเขาก็น้ำลายสอ นึกถึงกลิ่นหอมและรสชาติหวานขึ้นมาได้ทันที

“แล้วทาคุมิละ”

“ผมชอบช็อคโกแลตนี่ละ”

นาโอโตะจึงบอกว่าเดี๋ยวจะทำทั้งเค้กชาเขียวและเค้กเนยสดด้วย ซึ่งหลังจากที่ตรวจสอบวัตถุดิบ พ่อครัวใหญ่บอกว่าจะต้องไปซื้อของเพิ่ม เขาชวนทาคุมิออกไปช่วยหิ้วของ แต่สำหรับฮารุโตะ ด้วยเพราะยังเดินได้ลำบากจึงต้องนั่งรออยู่ที่บ้านไปตามระเบียบ

ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมา กดเข้าแอพพลิเคชั่นการสนทนา ใช้สองมือพิมพ์ข้อความถึงรุ่นพี่ชิมิซึ

“วันนี้ที่นัดไว้ รุ่นพี่จะมาทานข้าวพร้อมกับผมด้วยได้ไหมครับ”

ถึงรุ่นพี่นาคามูระจะบอกให้พวกเขาพยายามชวนให้รุ่นพี่อาโอกิฉลองคริสต์มาสด้วยกัน แต่ครอบครัวของรุ่นพี่ก็มีธรรมเนียมการเลี้ยงฉลองด้วยกันทุกปีอยู่แล้ว เหตุการณ์แบบนี้เขาไม่กล้าเสนอหน้าอยู่ให้รู้สึกประดักประเดิดผิดที่ผิดทาง ฮารุโตะตั้งใจว่าจะอยู่รอจนรุ่นพี่นาคามูระมาถึงก่อนจะขอตัวกลับ ถ้าอ้างว่าต้องไปฉลองกับรุ่นพี่ชิมิซึต่อ มันคงจะไม่ดูน่าเกลียด

“โทษที มีนัดแล้ว”

น่าเสียดายจัง ฮารุโตะคิดอยู่ในใจ ทว่าสิ่งที่เขาพิมพ์ตอบกลับไปเป็นข้อความในทำนองว่า ‘ไม่เป็นครับ แล้วเจอกัน’

นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ข้อความจากคนที่ไม่เคยส่งข้อความส่วนตัวหาเขาก็ปรากฏขึ้น

“เรียบร้อยดีไหม”

ถ้าเมื่อก่อนเขาได้ข้อความมาเช่นนี้ เขาจะดีใจมากแค่ไหนกันนะ ฮารุโตะคิดขณะพิมพ์ตอบคำถามของอีกฝ่ายกลับไป

“รุ่นพี่จะมาถึงตอนไหนครับ”

“มืดๆ”

ทำไมไม่ระบุเวลาให้ชัดเจนละ ฮารุโตะคิดอย่างไม่ชอบใจพร้อมทั้งส่งข้อความตอบรับสั้นๆกลับไป

ฮารุโตะนั่งเล่นโทรศัพท์เรื่อยเปื่อยอยู่ประเดี๋ยวหนึ่ง เสียงฝีเท้าตึงตังจึงดังมาตามทาง และจากนั้นไม่นานคำทักทายด้วยเสียงเล็กๆของเด็กหญิงก็ดังขึ้น ทั้งกระเป๋าสะพายและเสื้อโค้ทกันหนาวยังอยู่ครบชุด

“พี่ฮารุโตะ”

“มิกิจัง”ฮารุโตะส่งเสียงเรียกพร้อมรอยยิ้ม

เธอวิ่งเข้ามาหาพร้อมทั้งส่งเสียงถามอย่างกระตือรือร้น น่ารักเสียจนเขาอยากจะมีน้องเป็นของตัวเองบ้าง “เค้กละคะ ยังไม่เสร็จใช่ไหม มิกิมาทันหรือเปล่า”

“ยังไม่ได้เริ่มทำเลยครับ รุ่นพี่ไปซื้อของอยู่ มิกิจังเอาของไปเก็บก่อนก็ได้ แล้วค่อยมานั่งรอด้วยกัน”

เธอพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย วิ่งตื๋อออกไปอีกครั้ง และกลับเข้ามาในห้องครัวอย่างรวดเร็ว กระโดดขึ้นบนเก้าอี้มานั่งคุยเป็นเพื่อนเขา ด้วยเหตุนั้น กิจกรรมอบขนมช่วงบ่ายจึงคึกคักและคึกครื้นขึ้นมากสำหรับฮารุโตะ

ระหว่างช่วงที่รออบขนมปัง ชายหนุ่มลูกชายเจ้าของบ้านได้ไปรื้อต้นสนเทียมและอุปกรณ์ตกแต่งออกมาจากห้องเก็บของ นาโอโตะลงมือประกอบต้นไม้พลาสติกซึ่งถูกเก็บแบบแยกชิ้นส่วนอยู่ภายในกล่องอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะปล่อยหน้าที่ตกแต่งต้นสนให้น้องสาวคนเล็กที่เปิดกล่องเก็บของกล่องโน้นกล่องนี้อย่างสนุกสนาน

ฮารุโตะย้ายที่นั่งเข้าไปดูใกล้ๆ ขณะที่นาโอโตะเดินหายเข้าไปในห้องเก็บของหลังบ้านอีกครั้งและกลับมาพร้อมบันไดอะลูมิเนียม ทั้งยังปีนขึ้นไปติดบอลคริสต์มาสบนเพดาน ส่วนทาคุมิรื้อไฟประดับมาพันรอบต้นสนเทียม

เมื่อเห็นว่ามิกิหยิบของตกแต่งอย่างพวกดาวหรือไม้เท้าลูกกวาดขึ้นมาแขวนตามกิ่งก้านของต้นสน ฮารุโตะจึงทำตามบ้าง เขายืนแขวนสิ่งของเหล่านั้นในจุดที่สูงกว่าตัวของเด็กหญิงจะเอื้อมถึง

ฝ่ายทาคุมิเอง เขาหันไปช่วยหนุ่มรุ่นพี่แขวงของประดับที่เพดาน ก่อนจะดึงบันไดกลับมาเทียบต้นสนจำลอง ให้เด็กหญิงตัวเล็กปีนขึ้นไปติดดวงดาวที่ปลายยอดต้นสน และเมื่อเสียบสวิตซ์ไฟประดับ บรรยากาศภายในห้องจึงให้ความรู้สึกของเทศกาลคริสต์มาสอย่างแท้จริง

หลังทำขนมและเตรียมข้าวของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ฮารุโตะกระซิบบอกเพื่อนให้ขอตัวกลับเมื่อสมาชิกในครอบครัวอาโอกิและนาคามูระทยอยมารวมตัวกัน

“ได้ไงอ่ะ อุตส่าห์ช่วยเตรียมของตั้งหลายอย่าง”ทาคุมิบ่นโอดโอย

“มีแต่คนในครอบครัว ซาโต้ซังกล้าอยู่ด้วยหรือ”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็บอกรุ่นพี่อาโอกิไว้แล้ว”

กระซิบเถียงกันไปกันมาจนหนุ่มรุ่นพี่ต้องเข้ามาถาม “เป็นอะไรกันนะทั้งสองคน”

“พวกผมจะขอตัวกลับแล้วนะครับ”ฮารุโตะรีบชิงพูดไปเสียก่อน

“อ้าว”

“แต่ผมไม่ได้อยากกลับด้วยละ”ทาคุมิพูดประโยคนั้นขึ้นมาทันที

“อืม ก็อยู่ ฮารุจังจะรีบกลับทำไมละ”

“ที่จริง ที่พวกผมมาวันนี้เพราะรุ่นพี่นาคามูระขอร้องให้ช่วยพูดกับรุ่นพี่อาโอกิครับ”ฮารุโตะบอกไปตามตรง เพราะก่อนหน้านี้ทาคุมิได้เล่าลายระเอียดที่คุยกับรุ่นพี่นาคามูระให้รุ่นพี่อาโอกิฟังไปจนหมด “แต่อย่างไรรุ่นพี่ก็จะคืนดีกับรุ่นพี่นาคามูระแล้วใช่ไหมครับ ผมเลยคิดว่า ไม่อยู่รบกวนน่าจะดีกว่า”

“หือ ไม่รบกวนหรอกนะ เจ้าพวกนั้นก็จะมาร่วมด้วย”ไม่ทันขาดคำเสียงออดหน้าบ้านได้ดังขึ้น จากนั้นสองสามนาทีต่อมาเสียงทักทายของกลุ่มชายหนุ่มจึงดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงที่กรอบประตูของห้องอาหาร

“มาก็ดีแล้ว ไปยกโต๊ะกับหม้อที่บ้านโน้นมาด้วย”นาโอโตะเอ่ยปากสั่งทันที เพื่อรองรับจำนวนคนเพิ่มขึ้นจากเดิม

ฮารุโตะมองกลุ่มชายหนุ่มผู้มาใหม่ด้วยอาการงุนงงตะลึงงัน เพราะหนึ่งในนั้นคือรุ่นพี่ชิมิซึ

“คราวนี้ก็อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันได้แล้วเนอะ”หนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้านส่งเสียงบอกแก่เขา แน่ละ ขอตัวกลับไปตอนนี้คงถูกมองว่าทำตัวมีปัญหาเสียมากกว่า

ค่ำคืนนั้น ฮารุโตะจึงได้ล้อมวงทานอาหารกับพวกรุ่นพี่ ครอบครัวของรุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่อาโอกิอย่างสนุกสนานและมีความสุข




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หมายเหตุ
2LDK เป็นห้องที่มี 2 ห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น (Living) หนึ่งห้องทานอาหาร (Dining) และหนึ่งห้องครัว (Kitchen)


*// รู้สึกว่า ฮารุโตะกับรุ่นพี่ชิมิซึรักกันบ้างหรือยังคะ//*

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-04-2017 08:22:34
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 08-04-2017 08:40:18
อ่านเจอเรย์ทำกับมินามิแล้วความรู้สึกจมดิ่งฉุดไม่ขึ้นเลยค่ะ สนิทกันมากจนเกินไปจนกลายเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่คนรักแล้ว  ถ้าเรย์เป็นแบบนี้เราว่านาโอโตะสามารถตัดใจแล้วก็ถอยหลังไปเป็นแค่เพื่อนดีกว่าเจ็บซ้ำซ้อน  แต่เรย์นี่ไม่รู้สิเราว่านาโอโตะเป็นผู่ใหญ่มากกว่าเรย์เยอะ   ใจเรานี่อยากให้คู่นี้เลิกกันแล้วเรย์หันไปคบกับมินามิ
เราอยากรู้ว่าหล่อนจะสามารถตอบโจทย์เรย์ได้ไหมที่คนลือกันก้น่าจะเพราะหล่อนเองเป็นคนปล่อยข่าว หล่อนไม่ได้เป็นในสิ่งที่เรย์เห็นหรอก  เพราะว่ามันน่าจะมากกว่าความต้องการทางร่างกายสำหรับเรย์ที่อาจจะเป็นไบมากกว่า

ดีใจนะที่ฮารุสามารถเอ่ยปากระบายความรู้สึกกับทาคุมิได้  จุดพีกของฮารุอาจจะไม่ใช่การลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อตัวเองแต่อย่างน้อยที่สุดก็ดูแลตัวเองได้ เราว่าฮารุปลงได้สุดๆเลย

เรื่องของชุนนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรทีทำให้ชุนเริ่มหรือหยุดทำร้ายฮารุเพราะไม่มีเอ่ยถึงทำให้เรายังรู้สึกว่าปัญหาข้อนี้มันยังไม่ได้รับการ adress   ปมมันยังอยู่ มันยังทำให้เราไม่คลายใจกับชุนนัก

ส่วนพ่อยอดชายนายซากินั้นดีขึ้นหรือแย่ลง? ไม่รู้สิ ดีขึ้นที่ออกตัวชัดเจนมาหน่อย
ซากิมองการกระทำของเรย์ไม่รู้เห็นภาพสะท้อนบ้างไหมกับการที่ตัวเองอออกไปกันคนอื่น   ฮารุเหมือนเมียลับๆที่แอบคบกัน  ความรักของฮารุชัดมากค่ะ  ของซากิชัดขึ้นนิดหน่อย บางทีคำที่ว่าไม่ได้เป็นอะไรกันของฮารุเหมือนคาถาที่ปกป้องใจของฮารุไหม   ไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉะนั้นถึงเลิกกันก็ยังโอเค  มาตอนนี้ทั้งทาคุมิที่ชงไม่หยุด กับการกระทำของซากิที่ดูชัดขี้นเหมือนทำให้ฮารุกล้าขึ้นกล้าฝัน กล้ามีความความหวัง

การที่ตนเราเจ็บซ้ำๆซ้อนๆแล้วยังสามารถลุกขึ้นมายืนใหม่ได้นี่เรียกได้ว่าแกร่งนะ
เราว่าฮารุเอาจริงๆแล้วแกร่งมากๆ    เราว่าฮารุกับนาโอโตะคล้ายกันอยู่นะในความแตกต่างก็มีส่วนคล้ายกัน  แกร่งทั้งที่ดูอ่อนโยน

ขอบคุณมากๆค่ะที่มาอัพ  รอมาตลอดเลย
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 08-04-2017 10:00:25
ท่าไม่ดีจริงๆด้วยแล้วสิครับ...

ผมกำลังสงสัยว่าอดีตซากิเป็นไปได้ 2 อย่าง คือหนึ่ง ซากิแอบชอบอาโอกิ แต่ด้วยบุคลิกนิ่งๆเลยทำให้เรย์คว้านาโอโตะไปก่อน อันนี้ผมสังเกตจากบางสัญญาณที่ซากิมี นับตั้งแต่เหตุการณ์เรย์ทะเลาะกับนาโอโตะ

กับสอง ซากิแอบชอบผู้หญิงสักคน ใครก็ได้แล้วไม่สมหวัง แต่ไม่ว่าอย่างไร ผลของทั้งสองข้อเหมือนกันคือเป็นผลทำให้ซากิไม่เชื่อใจในความรัก และศรัทธาแต่ในความพอใจของเซ็กซ์ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่านิสัยอย่างซากิคือแพ้ไม่เป็นครับ ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นพอไม่สมหวัง ความคิดเค้าเลย revert ไปสุดโต่ง ซึ่งก็ตรงกับบุคลิกนิสัยของเขาที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ประกอบกับนัยยะหลายๆอันที่ดูเหมือนซากิจะยังตัดใจจากคนๆนั้นไม่ได้ เลยตัดสินใจใช้วิธีหักดิบมาสนใจฮารุโตะมากๆแทน เพื่อหวังจะเยียวยาหัวใจตัวเอง มันเลยดูท่าทางจะไม่ค่อยดีครับ

เพราะอย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าคนอย่างซากิมันเหมาะกับตัวนางประเภทไหน การที่ทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างจากการหลอกตัวเองไปวันๆ และฮารุโตะก็จะกลายเป็นเบี้ยนึงที่ซากิอาจจะ ‘สนใจ’ มากกว่าคนอื่น แต่ไม่ได้ถึงขั้นรัก เพราะเอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังยืนยันนะครับว่าบุคลิกและปมของฮารุโตะ ซากิไม่น่าจะใช่คนที่จะมายุ่งจุกจิกขนาดนั้น สเปกของคนที่จะดึงดูดความรู้สึกคนแบบซากิ (ที่ดึงดูดใจเพราะความรู้สึกจากส่วนลึกจริงๆ ไม่ใช่เพราะแค่เซ็กซ์) ถ้าไม่ชอบแนวสดใสไปเลย ก็ต้องชอบคนเก่งในตัวเอง ช่วยเหลือตัวเองได้ระดับนึง มีความสามารถ และที่สำคัญคือต้องมีรูปร่างและภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งนาโอโตะก็พอเข้าแก็ป ตอนแรกผมลืมนึกถึงจุดนี้ไป แล้วเรื่องก็ไม่มีโผล่นัยยะ แถมซากิยังทำตัวเนือยตลอดเวลาที่อยู่ใกล้ๆนาโอโตะอีกต่างหาก ผมเลยไม่ concern เรื่องนี้มาก่อน (ซึ่งจริงๆก็อาจจะเป็นผู้หญิงคนอื่นก็ได้ อันนี้ผมแค่เดาสุ่มจากนัยยะนะครับ)

ส่วนเรื่องชุนกับฮารุโตะนี่... (ถอนหายใจ) มันพูดยากนะครับ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลของตัวเอง ซึ่งมันก็ถูกในคนละมุมกันนั่นล่ะ ฝ่ายชุนเองก็คงมีความรู้สึกดีๆให้ฮารุโตะมานานตั้งแต่เด็ก คงจะรู้สึกเหมือนอยากดูแลปกป้อง แต่พอโดนคนที่ตัวเองให้ความสำคัญมากไปบอกว่าให้หยุด มันอาจจะไปเป็นการหยามน้ำหน้าหรืออาจจะไปกระตุ้น(trigger) ปมอะไรบางอย่าง หรือความคิดบางอย่างของชุนให้เปลี่ยนไปครับ ความคิดมันเลยเปลี่ยนไปในทำนอง agressive ซึ่งมันแตกขยายได้หลายลอจิกครับ เช่น
I. คิดว่า ถ้างั้นให้เขาเป็นคนเดียวที่สามารถแกล้งมันได้ มันก็จะไม่เพิกเฉยเขาอีกต่อไป ก็จะเป็นไปในทำนองหวงของ ข้าจะเป็นคนเดียวที่แกล้งมันได้ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ถึงจะไม่ได้ครอบครอง แต่ก็อยู่ในสายตา
II. ในเมื่อปกป้องดีๆไม่ชอบ งั้นก็จะแกล้งให้ถึงที่สุดเพื่อสนองความน้อยใจของตัวเองที่อีกฝ่ายปัดความหวังดีของเขาออกไป อันนี้เป็นแนวคิดเชิงน้อยใจและสนองความโกรธและไม่เข้าใจในความรู้สึกของตัวเองครับ
หรืออาจจะเป็นความคิดอะไรอย่างอื่นก็ได้ อันนี้ผมต้องรอดูบทชุนอีกทีเพื่อเช็คความชัวร์ของพล็อต

ส่วนฝ่ายฮารุโตะ ก็คือหวังดี เนื่องจากฮารุโตะเป็นเด็กมีปม เคยมีเรื่องแล้วพอไม่ยอม ตัวเองก็โดนทั้งแม่และทุกๆคนรุมทำร้ายทั้งทางกายและจิตใจ ดังนั้นพอชุนมีเรื่อง ฮารุโตะก็อาจจะเกิดความคิดเชิงเลียนแบบสถานการณ์เดียวกัน (Imitation) คือคิดว่าถ้าปล่อยให้ชุนไม่ยอมด้วย ชุนก็จะโดนแบบเขา ฮารุโตะจึงยอมโดนแกล้งไว้เอง ซึ่งอันนี้ก็น่าสงสารนะครับ คือเขารักชุน ไม่อยากให้ถูกทำร้ายแบบตัวเอง แต่เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ได้มีปม และคงไม่ได้รู้สถานการณ์ครอบครัวกับอดีตของฮารุโตะลึกซึ้ง เลยเข้าใจเจตนาผิดไป

จะเห็นว่าเหตุผลและเจตนาของทั้งสองฝ่ายมันฟังขึ้นในมุมมองของอารมณ์เด็กมัธยมต้นทั้งคู่ครับ แต่เนื่องจากสถานการณ์คนละมุม ไม่เข้าใจกัน เลยสร้างรอยร้าว(rift) ในความสัมพันธ์ไปเรื่อยๆ ฝั่งฮารุโตะก็โดนมรสุมชีวิตอยู่ตลอด บวกเจอชุน(เพื่อนสมัยเด็กที่เปลี่ยนไป)แกล้งเข้าไปอีก ก็เลยกลายเป็นเด็กแนวๆซึมเศร้า หวาดกลัวโลกง่ายและไม่กล้าสู้คนได้ไม่ยาก ส่วนฝั่งชุนก็ไม่ได้เข้าใจ และด้วยอารมณ์วัยรุ่นและความพลุ่งพล่านของฮอร์โมนเด็กม.ปลาย ก็เลยทำให้ไม่ได้ปรับคุยกันหรือมีเวลามาพินิจมองฮารุโตะมากนัก

แต่พอมามหาวิทยาลัย การถึงที่สุดของฮารุโตะในตอนที่ 8 แววตาหรืออะไรสักอย่างของฮารุโตะคงไปกระทบชุนเข้า เขาเลยพยายามเปลี่ยน ผมคิดว่าชุนกับซากิมีเหมือนกันอยู่อย่างคือเป็นพวกบ้าพลังครับ ซากินี่ผมไม่ทราบว่าแรงขับดันเป็นเรื่องอะไร แต่ชุนผมคิดว่าคงเพราะเขาอยากทำให้หัวโล่งๆ ดังนั้นการระบายพลังงานไปกับกีฬาจำนวนมากและการชกมวย ก็คงทำให้เขาอารมณ์เย็นลงพอมองและสะกิดใจกับอะไรบางอย่างของฮารุโตะก็เป็นได้

ความน่าสนใจของพล็อตและนัยยะมีเยอะดี ปมเลยไม่ค่อยได้โฟกัสเรื่องความรู้สึกรักกันของซากิกับฮารุโตะเท่าไหร่ครับ (ฮา) อ่านแล้วก็เฉยๆนะครับ อย่างที่ผมบอกอะ มันดูเรียบๆยังไงก็ไม่รู้

มีบางอย่างอยากคอมเมนท์ด้วยครับเกี่ยวกับตรงบรรยาย คือเรื่องนี้มีรายละเอียดและนัยยะซ่อนอยู่ดีมากนะครับ หลายๆบทสนทนาปริศนานี่คือไขล็อกพล็อตและทำให้เนื้อเรื่องคืบหน้าต่อไป การบรรยายนัยยะการกระทำหลายๆอย่างก็ถือว่าบอกใบ้เนื้อเรื่องได้แนบเนียนมาก กระนั้น บางทีผมอ่านๆไปก็รู้ว่าเหมือนมันมี unnecessary detail มาคั่นจนทำให้อ่านแล้วอยากข้ามครับ เช่น ฉากอบอุ่นเรียบสงบทั่วๆไปของชีวิตฮารุโตะ หรือวันที่ไปนอนสงบๆไม่ได้มีประเด็นเพิ่มเติม ซึ่งในฉากพวกนี้คือมันไม่มีอะไรเท่าไหร่ มีบทพูดกับทาคุมิหรือซากิอยู่สองสามอัน(ซึ่งยกไปใส่ในอีเวนท์อื่นได้) และมันไม่ได้มีผลอะไรกับเนื้อเรื่อง และผมอ่านแล้วมันก็ไม่ได้หวือหวา เลยทำให้กวาดตาคร่าวๆแล้วบางทีอยากข้ามครับ เพราะฉากนั้นมันไม่ได้ค่อยสำคัญอะไร

มีทริคนึงที่อยากแนะนำครับ คือ ไม่ว่าจะใส่ฉากอะไรหรืออีเวนท์อะไรเข้ามาในเรื่อง ก่อนเขียนอยากให้คิดก่อนครับว่าเรามี พล็อต/นัยยะ/ประเด็น อะไรที่อยากจะสื่อในฉาก/อีเวนท์นั้น แล้วค่อยมาแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมเอา มันจะทำให้เราไม่เขียนมั่วเอียงไปเอียงมาครับ และทำให้เราโฟกัส เนื้อเรื่องคืบหน้าได้เร็ว ไม่ยืด ในขณะเดียวกัน ก็มีช่องเปิดของฉากพอให้เติมเสริมแต่งพล็อตเพิ่มเติมเข้ามาในบทหลังๆโดยอิงจากฉากพวกนี้ ในกรณีที่มีอะไรอยากเพิ่มเติมหลังจากแต่งไปได้ไกลแล้วน่ะครับ

ถ้าเราไปคิดก่อนว่าอยากใส่ฉากนั้น/อีเวนท์นี้เข้ามา แล้วเขียนไปก่อนโดยไม่ได้แฝงนัยยะอันมีประเด็นสำคัญ หรือเชื่อมจากพื้นพล็อตอย่างเหมาะสม แล้วมาคิดเรื่องนัยยะเติมเข้ามาทีหลัง มันจะทำให้ฉากนั้นเรียบสงบครับ กราฟอารมณ์มันจะนิ่งๆ ไม่มีอะไรตื่นเต้นน่าดึงดูด เพราะว่าเหมือนไม่ได้โยงกับพื้นพล็อตแต่แรก ฉากพวกนี้ถ้าการบรรยายไม่เด่นจริง มันก็จะดึงดูดคนอ่านได้ยากครับ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 18 : 8/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-04-2017 10:17:48
+ เป็ดค่ะ
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-04-2017 04:56:36
เรื่องย่อ ตอนที่ 19
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ผ่านพ้นปีใหม่มาแล้ว พร้อมกับที่ฮารุโตะได้ถอดเฝือกออกหลังจากนั้นชิมิซึ ซากิจะหายหน้าไปเพราะกำลังยุ่งวุ่นวายกับวิทยานิพนธ์และการหางานทำ ความเหงาจึงกลับมาโจมตีเขาอีกครั้ง

ตัวละครประกอบ
1. อิโนะอุเอะ ซายูริ เพื่อนร่วมคณะของมิอุระ ฮารุโตะ







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 19



พ้นช่วงปีใหม่ไปไม่กี่วัน ฮารุโตะจึงได้ฤกษ์ถอดเฝือกที่ข้อเท้าออก ก่อนออกจากโรงพยาบาลหมอยังสั่งให้เขาไปฝึกเดินอีกรอบ ความรู้สึกตอนถอดเฝือกข้อเท้าต่างกับตอนถอดเฝือกแขนหลายโยชน์ เพราะเริ่มชินกับเท้าที่มีเฝือกมานาน ทำให้เวลาเดินแบบปกติ เขาจึงไม่กล้าลงน้ำหนักที่เท้ามาก ยิ่งบางครั้งยังรู้สึกเจ็บ จึงยิ่งไม่กล้าลงน้ำหนักทันที

ช่วงที่ยังสวมเฝือกที่ข้อเท้า ฮารุโตะสวมแต่กางเกงวอร์มเพื่อให้สะดวกสำหรับตัวเขาและคนที่ช่วยดูแล นอกจากนี้เขายังใส่รองเท้าผ้าใบแค่ข้างเดียว แต่เมื่อถอดเฝือกออกมาแล้วกลับกลายเป็นว่าต้องใส่รองเท้าแบบสวมเพื่อให้รองเท้าทั้งสองข้างเหมือนกัน เนื่องจากเท้าข้างที่เจ็บยังใส่รองเท้าไม่ถนัด ซ้ำผิวหนังที่เท้ายังย่นเป็นขุย

“ขอบคุณมากนะครับ ทั้งที่ช่วงนี้รุ่นพี่กำลังยุ่งแท้ๆ”ฮารุโตะพูด มองคนที่นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นทาครีมลงบนเท้าข้างซ้ายที่เคยใส่เฝือก ก่อนจะสวมถุงเท้าให้ อากาศข้างนอกหนาวมากจนการสวมรองเท้าแบบสวมกลายเป็นเรื่องอันตราย อากาศหนาวเย็นลงทุกวันแต่ไม่มีทีท่าว่าหิมะจะตกลงมาเสียที

“ก็ไว้ชดเชยช่วงต่อจากนี้ที่จะไม่ว่างมาหาได้บ่อยๆ”

ฮารุโตะถูกพยุงตัวให้ลุกขึ้นยืน นึกหดหู่และหวั่นใจไปล่วงหน้ากับคำพูดของหนุ่มรุ่นพี่

ช่วงหลังจากนี้ รุ่นพี่ชิมิซึจะมีสอบวิทยานิพนธ์และเริ่มสอบสัมภาษณ์งาน ชายหนุ่มร่างสูงจึงเอ่ยปากบอกกับเขาว่าคงจะไม่ได้มีโอกาสมาอยู่ด้วยได้บ่อยๆ แม้ว่าปากตอบรับถึงกระนั้นในใจกลับอดค่อนขอดไม่ได้

มันต้องสัมภาษณ์งานทั้งกลางวันและกลางคืนโดนไม่ต้องหลับต้องนอนเลยหรืออย่างไร

เด็กหนุ่มได้แต่คิด เขาไม่กล้าพูดออกไปตามที่ใจนึก เพราะกลัวชายหนุ่มร่างสูงจะไม่ชอบใจ แต่ถ้าคิดในอีกแง่หนึ่งว่า เขาจะได้มีเวลาอ่านหนังสือสำหรับสอบปลายภาคอย่างเต็มที่ มันจึงไม่ใช่เรื่องแย่จนเกินไปนัก

แต่ก็เหงาอยู่ดี

เพิ่งผ่านไปได้แค่อาทิตย์เดียวเท่านั้นนับตั้งแต่การเจอกันครั้งสุดท้ายตอนที่หนุ่มรุ่นพี่พาเขาไปหาหมอที่โรงพยาบาล ความรู้สึกดังกล่าวกลับโจมตีเขาอย่างหนัก เพราะเป็นหนึ่งอาทิตย์ที่ไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้าหนุ่มรุ่นพี่อีกเลย แม้จะมีการส่งข้อความคุยกันบ้าง แต่จะให้เขาส่งข้อความไปถามว่า ‘กินข้าวหรือยัง’ ซ้ำๆ ทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่มีการตอบกลับมา มันคงเป็นการสนทนาที่น่าตลก หลังๆมานี้ สมองฝั่งที่ชอบคิดในแง่ร้ายจึงปรากฏความคิดที่ว่า ‘อาจจะโดนทิ้งแล้ว’ ขึ้นมาบ่อยๆ

“หน้าหงอยมาก”

เขาเงยหน้ามองคนพูด ก่อนจะแสร้งก้มหน้าลงอ่านหนังสือเช่นเดิม พยายามตีสีหน้านิ่งเฉยให้มากเท่าที่จะทำได้

“เหมือนปลาขาดน้ำเลยล่ะ”

“เงียบไปก็ไม่มีใครว่า”

คนโดนว่าแกล้งทำหน้าตื่นตระหนก ทำตาโตแล้วยกมือปิดปากคล้ายเจอสิ่งมหัศจรรย์ของโลก “นายว่าฉัน” ซ้ำยังทำเหมือนเสียใจเต็มประดา พลางยกมือปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง จนไม่รู้ว่าควรสำนึกผิดหรือควรหัวเราะดี

“เป็นอะไรมากไหม”

“ก็แบบ... นายเริ่มหัดตีฝีปากว่าคนอื่นแล้ว”

ได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้นจึงทำให้เขาลังเล เพราะน้ำเสียงเหมือนจะดีใจ แต่คำพูดประโยคดังกล่าวไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีนัก ฮารุโตะจึงตั้งใจว่าจะระวังคำพูดให้มาก

“คิดถึงก็ไปหา ไม่เห็นจะยาก”ทาคุมิพูดต่อ

มันไม่ยาก แต่ไม่ง่ายตรงที่อีกฝ่ายจะเต็มใจเจอเขาหรือเปล่า การที่เขาไปหาจะเป็นการรบกวนหรือไม่ หรือบางทีหนุ่มรุ่นพี่อาจจะหงุดหงิดรำคาญใจที่เห็นหน้าเขาก็เป็นได้ เพราะมีแต่ความคิดกังวลอยู่เต็มไปหมด เขาจึงไม่กล้าขยับตัวทำอะไร

ทาคุมิพ่นลมหายใจและลุกขึ้นยืน คว้าแขนของฮารุโตะให้ลุกขึ้นยืนเช่นเดียวกัน“ไปหาพวกรุ่นพี่กันเถอะ”

“ไม่เอาหรอก”เด็กหนุ่มสั่นศีรษะปฏิเสธ “เดี๋ยวจะไปรบกวน...”

“ใครว่าฉันจะไปหารุ่นพี่ชิมิซึ ฉันจะไปหารุ่นพี่ฮายาชิต่างหาก เนี่ยรุ่นพี่ส่งข้อความมาว่าคิดถึงมาก แม้จะทำงานอยู่ก็มาหาได้”ไม่พูดเปล่า ทาคุมิยังยื่นหน้าจอโทรศัพท์ให้เขาดูอีกด้วย เพียงแต่ยังไม่ทันอ่านจบอีกฝ่ายก็บังคับลากพาให้เขาเดินตาม

“ไม่ได้อยู่ดี อีกเดี๋ยวต้องไปเข้าเรียนแล้ว”

“เหลืออีกตั้งหลายนาที”ทาคุมิพูดเสียงแข็ง ลากข้อมือฮารุโตะมายังอาคารหอสมุด

“เอ๊ะ”คนที่ถูกบังคับให้เดินตามมองอาคารตรงหน้าอย่างแปลกใจ “พวกรุ่นพี่อยู่ที่นี่อย่างนั้นหรือ”

“อืมเห็นว่าไปกินข้าวก่อนที่พวกเราจะพัก ตอนนี้อยู่ข้างบน”ทาคุมิก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความในโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ก้าวเท้าพาฮารุโตะขึ้นลิฟต์

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮารุโตะยิ่งรู้สึกขุ่นเคืองกับสิ่งที่หนุ่มรุ่นพี่กระทำมากขึ้นไปอีก ทั้งที่มาอยู่ที่ห้องสมุดแท้ๆ จะบอกเขาหน่อยก็ไม่ได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหดหู่ ตัวเขาไม่มีความหมายในสายตาของชายหนุ่มมากขนาดนั้นเชียวหรือ

แต่หัวใจเจ้ากรรมใช่จะควบคุมได้ง่ายๆ ยามที่ได้เห็นหน้าหนุ่มรุ่นพี่ที่เฝ้าถวิลหา ก้อนเนื้อภายใต้แผ่นอกกลับเต้นโลดอย่างยินดี ไม่อาจเก็บอาการหน้าบานราวกับต้นไม้ได้ฝนไว้ได้อีกต่อไป ฮารุโตะอยากจะวิ่งเข้าไปหาแต่สติสัมปชัญญะคอยระงับรั้งอากัปกิริยาของเขาไว้

เขาลากเก้าอี้ทรุดตัวลงนั่งด้านข้าง หนุ่มรุ่นพี่จึงเงยหน้าหันมามอง

“อ้าว มาเร็วดีนี่”เรียวตะเอ่ยทักรุ่นน้องร่วมชมรมทั้งสองคน เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับชิมิซึ ซากิ ส่วนเพื่อนสนิทที่เรียนคณะเดียวกันอีกหนึ่งคนอย่างโมริ เอคิจิติดสอบวิทยานิพนธ์อยู่ที่อาคารของคณะวิชา

“แต่ก็อยู่ได้แป็บเดียว พวกผมมีเรียนตอนบ่าย”ทาคุมิบอก เหลือบสายตามองเพื่อนสนิทที่เอาแต่จ้องหน้ารุ่นพี่ชิมิซึโดยไม่พูดอะไร เด็กหนุ่มจึงหันมองหน้าหนุ่มรุ่นพี่ที่สนิทกัน พลางถามเชิงขอความคิดเห็น“เราสองคนควรย้ายโต๊ะไหมครับ รุ่นพี่ฮายาชิ”

ทว่าคนตอบคำถามกลับเป็นซากิ “ไม่ต้องหรอก มีอะไรหรือเปล่า”ประโยคหลังเขาหันไปถามฮารุโตะ ซึ่งอีกฝ่ายก็สั่นศีรษะตอบกลับมา จนทาคุมิคันปากอยากจะพูดออกไปเสียเอง

“เป็นอะไร”เรียวตะหันไปถามคนนั่งข้างๆที่อยู่ในอาการกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุข หนุ่มรุ่นน้องหันไปหันมาก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดพิมพ์ข้อความและส่งให้เขาดู เขาเลิกคิ้วยกยิ้มมุมปากเมื่ออ่านจบ

“กลับไปได้แล้วไป”เขาเอ่ยปากไล่ ให้ทาคุมิทำหน้าเหลอหลา “แกก็ลุกไปส่งฮารุจังหน่อยดิ”

ทาคุมิได้ยินหนุ่มรุ่นพี่มาดกวนพูดเช่นนั้นก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เขารีบลุกขึ้นแล้วทิ้งเพื่อนสนิทไว้กับรุ่นพี่ปีสี่ที่พวกตนตั้งใจมาหา

“ไม่ต้องบอก ฉันตั้งใจไว้อย่างนั้นอยู่แล้ว”ซากิพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ยื่นมือให้ฮารุโตะจับมือเขาไว้ แล้วพากันก้าวเท้าไปยังลิฟต์ของอาคาร

“ขอโทษด้วยที่ไม่ค่อยว่าง อีกสองสามวันหลังจากที่สอบรอบสองเสร็จแล้วจะไปหา”ซากิพูดขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในลิฟต์และเหลือเพียงพวกเขาสองคน

“ไม่เป็นไรครับ รอให้รุ่นพี่สะดวกก่อนก็ได้”แม้ว่าใจจริงเขาอยากจะเรียกร้องเอาแต่ใจ แต่เขาพะวงกลัวว่ารุ่นพี่จะรำคาญมากกว่า หากเป็นตัวเขาเองถ้าโดนเซ้าซี้มากๆคงไม่ชอบใจเหมือนกัน

“อืม ถ้าอย่างไรไว้จะโทรหา”

หลังจบประโยคนั้นระหว่างพวกเขามีแต่ความเงียบซึ่งแต่ก่อนมันก็เคยเป็นเช่นนั้น แต่ทว่าตอนนี้ฮารุโตะกลับไม่ชอบมันเสียเลย

เด็กหนุ่มมองมือของตนที่อยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย และเหลือบสายตาขึ้นมองใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มร่างสูง ฉับพลันหัวใจดวงน้อยกลับเต้นตึกตักขึ้นมา เมื่อความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ เขาก้มหน้าลงด้วยความขวยเขิน แล้วเหลือบซ้ายแลขวามองรอบข้างด้วยอาการหลุกหลิกจนหนุ่มรุ่นที่ต้องหันมอง ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เขาจึงส่ายศีรษะพร้อมส่งรอยยิ้มแหยๆกลับไปให้

ทางเดินด้านหลังอาคารหอสมุดยังเงียบเชียบไร้ผู้คนเช่นเดิม เถาไม้เลื้อยซึ่งเคยเขียวขจีแผ่ปกคลุมทางเดินเมื่อยามพื้นดินชุ่มฉ่ำด้วยสายฝน มาบัดนี้เหลือเพียงกิ่งก้านไร้ใบให้บรรยากาศเศร้าหมองซึมเซามากกว่าที่เคย

ฮารุโตะหยุดเท้า คนที่เดินอยู่เคียงข้างกันจึงต้องหยุดเท้าตาม และหันกลับไปมอง

เขาบีบกระชับฝ่ามือซึ่งเกี่ยวพันฝ่ามือใหญ่กร้านของหนุ่มรุ่นพี่เพื่อหวังให้อาการตื่นเต้นคลายลง ก่อนจะฮึดเงยหน้าเขย่งปลายเท้าโดยใช้สองมือโหนรั้งบ่ากว้าง หลับหูหลับตายืดตัวด้วยหวังจะแตะจุมพิตกับริมฝีปากของอีกฝ่าย อนิจจา ในความเป็นจริง มันกลับกลายเป็นการแตะจูบที่ปลายคางของชายหนุ่มเท่านั้น

ซากิชะงักไปชั่วครู่ สองตามองเห็นฮารุโตะหน้าเสีย ทำท่าจะผละออกห่าง เขาจึงคว้าเอวของอีกฝ่ายไว้อย่างว่องไว ประคองแก้มแนบจูบที่เป็นเพียงการแตะริมฝีปากซึ่งไม่รุกล้ำล่วงเกินลงบนริมฝีปากอิ่มของหนุ่มรุ่นน้อง เพียงไม่กี่วินาที เขาก็ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ยืนบนพื้น

ใบหน้าของฮารุโตะขึ้นสีแดง มือสั่นระริกถูกยกขึ้นแตะริมฝีปาก ทั้งยังก้มหน้าก้มตาไม่ยอมมองหน้า ซากิปล่อยให้อีกฝ่ายได้พักลมหายใจอีกครู่หนึ่ง จึงยื่นมือไปตรงหน้า

“เดี๋ยวจะเข้าเรียนสาย”

ฮารุโตะช้อนดวงตาขึ้นมอง แล้วก้มหน้าลงสั่นศีรษะ พึมพำพูดออกมาเสียงเบา “รุ่นพี่ไม่ต้องไปส่งหรอกครับ”

เขาวางมือลงบนกลุ่มผมสีดำสนิท ลากนิ้วลงมาสุดที่ปลายคางและดันให้หนุ่มรุ่นน้องเงยหน้าขึ้น ใบหน้าเนียนใสยังคงเป็นสีเรื่อเช่นเดิม

“แน่ใจ?”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ

ซากิมองนิ่ง ทำท่าจะก้มลงกดจูบอีกครั้ง เว้นเสียแต่ฮารุโตะกลับถอยหลังหนีไปก่อนและทันทีที่สบสายตากัน เด็กหนุ่มรีบพูดออกมาว่า “ถ้าโดนจูบอีกครั้ง... ผมต้องหัวใจวายแน่ๆ”เสียงพูดแผ่วเบาของประโยคสุดท้ายนั่นทำให้ชายหนุ่มร่างสูงหน้าแดง เขาเบือนหน้าหนียกมือขึ้นปิดกึ่งปากกึ่งจมูกพลางกลั้นยิ้ม หัวใจพองโตเต้นแรงดังก้องอยู่ในอก ก่อนจะแกล้งกระแอมกระไอพร้อมกับหันไปหาอีกฝ่าย

“งั้น... แยกกันตรงนี้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ความเคอะเขินประดักประเดิดทำให้ความหม่นมัวที่เขาเคยสัมผัสได้ก่อนหน้านี้จางหายไป

หนุ่มรุ่นพี่โบกมือลาให้เขาอีกครั้ง ก่อนจะสาวเท้ากลับเข้าไปในอาคาร ฮารุโตะมองตามกระทั่งแผ่นหลังของชายหนุ่มหายลับตา เขาจึงขยับเท้าก้าวเดินอีกครั้ง ก้อนเนื้อหัวใจยังคงเต้นกระเด็นกระดอน ยกสองมือขึ้นกุมหน้าด้วยอาการสะเทิ้นอาย ทำไปได้อย่างไรนะ ฮารุโตะอยากจะถามคำถามนี้กับตัวเองอีกหลายๆครั้ง

ทว่า เขาก้าวเท้าเดินไปได้ไม่เพียงกี่ก้าวกลับมีร่างสูงใหญ่ของเด็กหนุ่มคนหนึ่งมาขวางทางไว้ สีหน้าเครียดขึงถมึงทึงของคนตรงหน้าเร่งเร้าสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มให้ถอยเท้าหนี เพียงแต่อีกฝ่ายไม่ได้ปล่อยโอกาสให้เขาขยับถอย เขาถูกคว้าต้นแขนกระชากดึงให้ก้าวเท้าตาม

ทันทีที่ร่างถูกผลักให้กระแทกกับกำแพง ฮารุโตะจึงได้มีโอกาสได้มองคนตรงหน้าอีกครั้งให้ชัดเจน ซากุราอิ ชุนกำลังยกยิ้มให้เขาด้วยแววตาเหี้ยมเกรียม

“ยังคิดอยู่ว่าทำไมแกถึงดูสวยขึ้น เพราะมีผู้ชายเป็นตัวเป็นตนแล้วนี่เอง นี่... ไอ้ตัวผู้นั่นมันให้แกคืนละเท่าไหร่ล่ะ”

“อย่ามาหยาบคายนะ”ฮารุโตะพยายามผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง นึกฉุนเฉียวที่หนุ่มรุ่นพี่ที่ตนมีใจให้ต้องมาโดนว่าเสียๆหายๆ

“อย่ามาหยาบคายนะ”ชุนล้อเลียนด้วยเสียงเล็กเสียงน้อย ทั้งหัวเราะไปพลาง “พอถูกเอาก็ดีดดิ้นคล้ายผู้หญิงเชียว ถามจริงเถอะ โดนมากี่ครั้งแล้วละ แต่ท่าทางแบบนี้คงหลายครั้งแล้วซิท่า ถึงได้กล้ากอดจูบกันในที่สาธารณะอย่างไม่อายฟ้าอายดิน”

“นาย!!!”ฮารุโตะโกรธจนตัวสั่น เงื้อมือทำท่าจะตบอีกฝ่าย

“เอาดิ ตบเลย แล้วมึงจะได้รู้ว่านรกมันมีจริง”ชุนเดินหน้าเข้าหา จ้องตาท้าทาย

ฮารุโตะลดมือลงด้วยความเจ็บใจที่ตนไม่อาจต่อกรกับคนตรงหน้าได้ เขาจ้องหน้าอีกฝ่ายไม่ยอมหลบทั้งที่น้ำตาเอ่อคลอเบ้า

“มึงนี่ก็ร่านไม่เบาเนอะ กูเห็นตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว ระริกระรี้เข้าหาผู้ชายอย่างกับหมาตัวเมีย”

เพี๊ยะ!!!

ฮารุโตะฟาดมือลงบนหน้าของซากุราอิ ชุนอย่างไม่ทันยั้งคิด แรงมือนั้นน้อยกว่าน้ำหนักฝ่ามือของผู้ชายทั่วไป กระนั้นกลับทำให้เขาหน้าชาไปทั้งแถบ อีกทั้งคนโดนเองไม่ได้คาดคิดซ้ำยังไม่ทันตั้งตัว ชุนจึงพลาดกัดปากตัวเองเข้าเต็มๆ

ชุนใช้ลิ้นดุนในปากจุดที่รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด ก่อนจะคว้าคอของอีกฝ่ายไว้แค่มือเดียว ในขณะที่ฮารุโตะต้องใช้ถึงสองมือในการยั้งแรงอารมณ์จากมือข้างนั้น

“กูเตือนมึงแล้ว”เขาเค้นเสียงพูด ปลายเสียงสั่นเครือจนฮารุโตะนึกว่าหูแว่ว

“แล้วทำไมผมจะต้องยืนนิ่งให้คุณว่าอยู่ฝ่ายเดียวด้วย”ว่าพลางใช้เท้าพยายามถีบให้อีกฝ่ายออกห่าง น้ำตานองหน้าทั้งเจ็บใจและเจ็บตัว “ผมไปทำอะไรให้ ไม่อยากเป็นเพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องมาวุ่นวายกันอีก ทำไมต้องมาตามราวีด้วยเล่า”

ซากุราอิ ชุนเพิ่มหนักมือขึ้นอีกจนฮารุโตะต้องพยายามดิ้นรนอย่างจริงจัง

“อ่อ นั่นคือสิ่งที่มึงคิดซินะ”คนพูดเงียบไปครู่หนึ่ง ฮารุโตะมองหน้าคู่กรณีผ่านม่านน้ำตา เขาจึงเห็นไม่ชัดว่าซากุราอิ ชุนมีสีหน้าท่าทางแบบไหน ทั้งยังรู้สึกว่าอากาศที่ผ่านเข้าปอดยังน้อยลงทุกที

“เฮ้ย!!! ทำอะไรวะ”เสียงร้องตะโกนลั่นดึงความสนใจให้ชุนกลับไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับแรงบีบที่คอคลายลง ฮารุโตะจึงยันฝ่าเท้าใส่อีกฝ่ายเต็มแรง แรงกระแทกทำให้ร่างสูงใหญ่ถอยตัวออกห่าง และทำให้พันธนาการที่รัดรึงฮารุโตะไว้หลุดออก เด็กหนุ่มก้าวเซแต่ไม่ยอมปล่อยให้ร่างกายทรุดล้ม รีบวิ่งไปหาบุคคลที่สามซึ่งบังเอิญผ่านมาช่วยเขาไว้

“ช่วยด้วยครับ ช่วยด้วย”ร้องบอกไปพลาง อีกฝ่ายจึงวิ่งเข้ามาหา ยื่นมือมารับตอนที่เขาจวนเจียนจะล้มพับลงกับพื้น

“เฮ้ย เป็นอะไรมากหรือเปล่า”

“ฮารุโตะ!!!”น้ำเสียงคุ้นเคยทำให้เจ้าของชื่อหันไปตามเสียง ก่อนจะแทบโผเข้ากอดเมื่อเด็กหนุ่มอีกคนรีบวิ่งเข้ามาหา

“ซาโต้ซัง”ฮารุโตะร้องไห้สะอึกสะอื้น ขณะที่ทาคุมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก กรอกเสียงลงไปและรอเวลาอยู่ตรงนั้นแค่ครู่เดียว หนุ่มรุ่นพี่อีกสองคนจึงตามมาสมทบ โดยที่เรียวตะต้องแบกข้าวของมากมายตามมา เพราะทันทีที่เขาบอกว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับฮารุโตะ ซากิก็วิ่งพรวดพราดออกไปโดยไม่สนใจข้าวของที่วางอยู่

“เกิดอะไรขึ้น”ซากิถามขณะที่เร่งสาวเท้าเข้าหา ทันทีที่ประชิดตัวฮารุโตะ เขาจึงดึงร่างเล็กบางเข้ามาสู่อ้อมกอด แล้วตวัดสายตามองบุคคลแปลกหน้าพาลให้คนถูกมองสะดุ้งโหยง

“เปล่านะ ตอนที่ผ่านมาเห็นเขากำลังโดนทำร้ายนะ”พูดพลางชี้ไม้ชี้มืออธิบาย

“พวกผมรู้จักครับ รุ่นพี่ปีสี่ที่อยู่ชมรมการแสดง”ทาคุมิรีบบอก

บุคคลแปลกหน้าสำหรับซากิคือ อิโต้ อาสึกะ ชายหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่ที่ทั้งฮารุโตะและทาคุมิเคยเจอเมื่อครั้งที่ชมรมถ่ายภาพต้องถ่ายโปสเตอร์โปรโมทละครให้ชมรมการแสดง

ซากิจึงละความสนใจกลับมาอยู่ที่หนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กในอ้อมกอดอีกครั้ง ฮารุโตะเอาแต่ซุกหน้าอยู่กับอกปล่อยน้ำตาร่ำไห้จนเขาใจเสีย

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไรแล้ว”เขาได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ปลอบประโลม

“พาไปพักที่ห้องชมรมก่อนไหม”เรียวตะเสนอความคิดเห็น ซึ่งซากิพยักหน้ารับเห็นด้วย เขาสอดแขนเข้าใต้ข้อพับขาของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง มืออีกข้างหนึ่งประคองหลังช้อนตัวฮารุโตะและลุกขึ้น ก้มศีรษะให้อาสึกะเล็กน้อยก่อนก้าวเท้าเดินนำเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องอีกคนกลับไปที่ห้องชมรม โดยไม่รู้เลยว่า ห่างออกไปไม่ไกล ซากุราอิ ชุนยืนมองจับจ้องพวกเขาไม่คลาดสายตา

กว่าพวกเขาจะถึงสถานที่เป้าหมาย เวลาที่เคลื่อนไปทำให้อาการตระหนกหวั่นของฮารุโตะเริ่มคลายลงคงเหลือแค่อาการสะอึกสะอื้น ใบหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องแดงก่ำ น้ำตาเปียกชื้นไปทั้งหน้า บนคอมีรอยนิ้วมือเป็นสีเข้มชัด

ซากิหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาและเหงื่อข้างขมับของอีกฝ่าย พลางแตะปลายนิ้วกับรอยนั้น

“เจ็บไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แล้วเล่าเหตุการณ์ออกมาให้ฟังเองแต่เหมือนจะบอกเล่าให้เพื่อนรุ่นเดียวกันฟังเสียมากกว่า “จู่ๆซากุราอิซังก็เข้ามาหาเรื่อง คิดแล้วเชียวว่าหมอนั่นไม่มีทางทำดีได้นาน”

“ใจเย็นๆก่อนนะ”ทาคุมิพูดปลอบ “ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหม” ซึ่งฮารุโตะได้สั่นศีรษะเป็นคำตอบกลับมา

“เพราะรุ่นพี่อิโต้มาเจอ เลยหนีมาได้”

“แล้วรอยที่คอนี่ละ”

“โดนบีบคอ”คนพูดเสียงสั่น ตาแดงน้ำตาคลอเบ้าอีกรอบ ยกมือปาดน้ำมูก ซากิจึงต้องส่งผ้าเช็ดหน้าให้ไปถือ ฮารุโตะทั้งโกรธและเสียใจที่ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะพยายามฆ่าเขาให้ได้ ที่เขายอมเป็นที่รองมือรองเท้าปล่อยให้อีกฝ่ายกลั่นแกล้งต่างๆนานา มันยังไม่พอหรืออย่างไรกัน ต้องให้เขาตายไปจริงๆถึงจะสมใจใช่ไหม

ฮารุโตะไม่ได้พูดสิ่งที่คิดออกไป เขาได้แต่ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอย่างไม่อาจห้าม หนุ่มรุ่นพี่ที่เขามีใจให้ดึงเขาเข้าไปกอด ซึ่งเขาก็ยินดีที่จะซุกหน้าลงกับแผ่นอกกว้าง ความอบอุ่นของวงแขนที่โอบรัดรอบตัวทำให้เขารู้สึกเบาใจ ความทุกข์ระทมเศร้าโศกที่มีอยู่ในความคิดจึงค่อยๆจางลง

“แล้วเอาอย่างไรต่อล่ะ”เรียวตะถามเพื่อนซึ่งกำลังนั่งลูบหลังเด็กหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็ก

“เดี๋ยวฉันกลับเลยแล้วกัน มิอุระเองคงไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแล้วละ”

คนที่ถูกกล่าวถึงรีบผละตัวออกห่าง “ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่ชิมิซึไปทำงานต่อเถอะ ผมไม่เป็นไรแล้ว”

“อืม แต่วันนี้ฉันเหนื่อยแล้ว ไหนๆก็ไหนๆ ให้ฉันได้พักหน่อยเถอะ”ซากิอ้าง หนุ่มรุ่นน้องจึงยอมพยักหน้าตอบตกลง ทาคุมิเลยถือโอกาสนี้โดดเรียนไปพร้อมกัน

ชิมิซึ ซากิรับกระเป๋าใส่คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คจากเพื่อนสนิท เรียวตะจะกลับไปนั่งตรวจเช็ควิทยานิพนธ์อีกรอบก่อนถึงตารางการสอบของเจ้าตัวในวันพรุ่งนี้ พวกเขาจึงบอกลาและแยกย้ายกันตรงนั้น

หลังจากที่ฮารุโตะสามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติ ซากิจึงไม่ได้นำรถยนต์ออกมาใช้อีก การนำรถเข้ามาใช้ในมหาวิทยาลัยค่อนข้างจะยุ่งยาก นอกจากต้องทำเรื่องเพื่อขอบัตรที่จอดรถ ยังต้องเสียค่าที่จอดรถอีกด้วย ตัวเขาที่ไม่ได้ชื่นชอบการขับรถเป็นพิเศษจึงยกเลิกบัตรที่จอดรถไปตั้งแต่นั้นและกลับมาใช้บริการขนส่งสาธารณะเช่นเดิม

และครั้งนี้เขาก็พาฮารุโตะขึ้นรถบัสประจำทางกลับไปที่บ้านของเขา

ตอนที่พาเดินมาที่ป้ายหยุดรถ หนุ่มรุ่นน้องยังคงเดินตามเขาต้อยๆไม่มีปากเสียง แต่พอโดนรุนหลังให้ขึ้นรถบัสกลับออกอาการแตกตื่นขึ้นมา และเมื่อบอกว่าจะพาไปที่ไหนยิ่งออกอาการตื่นเต้นจนนั่งไม่ติด

“เคยไปมาแล้ว ยังตื่นเต้นอีกหรือ”

ฮารุโตะพยักหน้าระรัว ดูเหมือนว่าความตื่นเต้นนั้นมากมายจนทำให้เด็กหนุ่มลืมเรื่องเมื่อบ่ายไปคล้ายราวกับไม่เคยเกิดขึ้น

ซากิมองนัยน์ตาช้ำและจมูกที่ยังคงสีแดงเรื่อพลางนิ่งคิด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำบอกเล่าเรื่องการถูกทำร้ายจากปากฮารุโตะ ทั้งที่เคยเห็นร่องรอยบนร่างกายของเด็กหนุ่มรุ่นน้องมาแล้วหลายครั้ง ตลอดเวลาที่ผ่านมาต่อให้ถาม คำตอบที่ออกมาจากปากฮารุโตะไม่มีความจริงเลยสักครั้ง  ทว่าในทางกลับกัน ซาโต้ ทาคุมิกลับรู้เรื่องราวมากมายของฮารุโตะทั้งที่ทั้งสองคนเพิ่งเริ่มสนิทกันได้ไม่นาน

ชายหนุ่มรู้สึกว่ากำลังจะแพ้...

แต่แค่ครู่เดียวเขาก็สลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง พร้อมกับรถบัสสาธารณะเคลื่อนที่เข้าใกล้ป้ายหยุดรถที่พวกเขาต้องลง

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-04-2017 05:03:11

สายลมเย็นพัดกรูจนฮารุโตะต้องห่อตัวเข้าหากัน ชายหนุ่มร่างสูงเห็นเช่นนั้นจึงถอดผ้าพันของตนย้ายไปพันไว้รอบคอของหนุ่มรุ่นน้อง อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผันผ่าน

“ไม่หัดติดถุงมือไว้บ้าง”หนุ่มรุ่นพี่พูดบ่นพร้อมกับคว้ามือเล็กบางของอีกฝ่ายมาจับไว้ หนุ่มรุ่นน้องไม่ตอบว่าอย่างไรทำเพียงยกยิ้มและหัวเราะแหะๆ เขาจึงถอดถุงมือข้างหนึ่งของตนสวมให้ ส่วนข้างที่ไม่มีถุงมือก็จับกุมไว้และนำซุกลงกับกระเป๋าเสื้อโค้ทของตน

ฮารุโตะยกมือข้างที่สวมถุงมือไซส์ใหญ่กว่ามือตนขึ้นมาขยับเล่น กำมือบ้าง เขย่ามือบ้าง เป็นกิริยาท่าทางคลับคล้ายคลับคลาเด็กเล็กๆในสายตาของซากิ ก่อนหน้านี้เหมือนว่าจะเคยสังเกตเห็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เขาไม่เคยใส่ใจ ชายหนุ่มจึงเก็บทดพฤติกรรมที่เห็นของอีกฝ่ายไว้ในใจ

อากาศในบ้านเย็นเฉียบไม่ต่างจากข้างนอก เพราะบ้านของเขาไม่มีใครอยู่ หลังจากเปลี่ยนรองเท้ามาเป็นรองเท้าสำหรับสวมในบ้านเรียบร้อย ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจึงหันไปถามแขกที่พามาด้วยวันนี้

“เอาอย่างไรดี หิวไหมกินอะไรก่อนหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาจึงต้องถามต่อขณะที่จูงมือเด็กหนุ่มร่างเล็กเดินเลี้ยวเข้าห้องนั่งเล่นชั้นล่าง “ที่สั่นหัวคือไม่รู้จะทำอะไรหรือไม่หิวละ”

“ไม่หิวครับ”



ซากิพาฮารุโตะมาปล่อยให้ยืนเคว้งที่กลางห้อง จากนั้นจึงใช้รีโมทกดเปิดเครื่องทำความร้อน และเดินไปรวบม่านบังประตูบานเลื่อนซึ่งเป็นกระจกใสทั้งบาน พื้นที่ที่จัดโซนไว้สำหรับตั้งชุดโซฟาและทีวีอยู่มุมด้านที่มีผนังทั้งสองด้านเป็นกระจก ยามที่ม่านบังแสงถูกเก็บรวบไว้ด้านข้าง ห้องทั้งห้องจึงสว่างขึ้นมาทันที

“จะอ่านหนังสือใช่ไหม”เมื่อถามคำถามนี้ออกไปฮารุโตะก็พยักหน้ากลับมาเป็นคำตอบ เขาจึงเดินกลับไปกดตัวหนุ่มรุ่นน้องให้นั่งลงบนโซฟากำมะหยี่สีน้ำตาล

ครั้งก่อนๆที่ฮารุโตะมาที่บ้านของเขาคงไม่ค่อยได้สนใจสภาพภายใน ครั้งนี้จึงยังคงมองซ้ายมองขวาคลายกำลังมองสำรวจ

“ชอบไหม”

“ครับ”ฮารุโตะตอบรับด้วยความคิดที่ว่า บ้านแบบไหนก็ดีทั้งนั้น

ซากิทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และเอียงตัวหันหน้าเข้าหา เมื่อคว้ามือของฮารุโตะมาจับไว้ เจ้าของมือจึงหันเหสายตากลับมามองหน้าเขาด้วยเช่นกัน

“เรื่องบ้านคงต้องรอหน่อย ปีแรกๆคงต้องอยู่อพาร์ทเมนต์ไปก่อน แต่ถ้าแต่งดีๆก็ให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านนั่นแหละ”

ฮารุโตะนั่งนิ่ง เพราะเหมือนว่าตนเองก็กำลังนึกถึงคำพูดในทำนองนี้ของหนุ่มรุ่นพี่ที่เคยพูดไว้เมื่อไม่นานมานี่เอง เด็กหนุ่มหลุบตามองมือของตนที่อยู่ในอุ้งมือของอีกฝ่าย นิ่งเงียบคล้ายกำลังใช้ความคิด

“รุ่นพี่ชิมิซึ... จะให้ผมไปอยู่ด้วยหรือครับ”ฮารุโตะถามกลับไปเสียงเบา ซึ่งฝ่ายหนุ่มรุ่นพี่ได้ตอบกลับรวดเร็วชัดเจน

“แน่นอน เหมือนเคยพูดไปแล้วนี่นา”พูดพลางยกยิ้มไปพลางจนคนฟังคำตอบนึกกลัว ในอกมันกระวนกระวาย ความรู้สึกความคิดมากมายตีผสมจนอยู่ไม่สุข ฮารุโตะอยากจะดึงมือที่รุ่นพี่กุมไว้กลับมา เพียงแต่เหมือนว่าชายหนุ่มเองก็พอจะรู้ว่าเขาอยากทำเช่นนั้นจึงยึดมันไว้ไม่ปล่อย

“ท... ที่... ให้ไปอยู่ด้วย ในฐานะอะไรหรือครับ”เขาถามออกไป เสียงสั่นเพราะความตื่นเต้นคาดหวังและไม่แน่ใจ

“แล้วนายอยากไปอยู่ในฐานะอะไรละ”

ทำไมต้องตอบกลับมาเป็นคำถามด้วย ฮารุโตะนึกขัดเคืองอยู่ภายในใจ เขาก้มหน้าหลบตา นิ่งมองมือตัวเองอยู่เช่นนั้น ก่อนจะตอบคำถามออกไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

“คนรัก”

“อืม ได้ซิ”

ฮารุโตะไม่ได้เงยหน้ามองอีกฝ่าย แต่น้ำเสียงของคำตอบรับนั้นยังเรียบรื่นไม่หนักใจ พาให้เขารู้สึกไร้ค่ามากไปกว่าเดิม ไม่ได้รู้สึกดีใจกับคำตอบที่ได้รับนั้นเลยสักนิด ราวกับอีกฝ่ายคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าต้องดำเนินบทสนทนาอย่างไรเพื่อให้เขากลายเป็นสัตว์เลี้ยงเชื่องๆ ในอกปวดแปลบจนน้ำตาไหลออกมา และทันทีที่ยกมือขึ้นปาดน้ำตา ชายหนุ่มร่างสูงพลันขยับเข้าชิดพร้อมคำถาม

“เป็นอะไรน่ะ”

เขาโดนดันให้เงยหน้าขึ้น รุ่นพี่ชิมิซึมีท่าทางตกใจเมื่อเห็นน้ำตาของเขา

“ร้องไห้ทำไม”

ฮารุโตะฝืนยกยิ้มทั้งที่ลำบากเต็มทน น้ำตาร่วงผล็อยๆอย่างห้ามไม่อยู่ “ผม... ดีใจครับ” แม้จะรู้อยู่ว่าควรพูดคำอื่นที่ตรงกับใจ แต่เพราะกลัวคำตอบที่ได้รับจะทำให้ตัวเองต้องเสียใจมากกว่าที่กำลังรู้สึกอยู่ในขณะนี้ ทุกประโยคที่อยู่ในใจจึงต้องระงับไว้

เห็นสีหน้าแววตาของฮารุโตะแล้ว ซากิไม่ค่อยอยากจะเชื่อใจในคำตอบนั้นมากนัก อาการลิงโลดยินดีที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ดิ่งร่วงแทบจางหาย เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำตาที่ร่วงออกมาไม่ขาดสาย

“ฉันก็เหมือนกัน ฉันก็ดีใจที่นายอยากเป็นคนรักของฉัน”เขาพูดพร้อมรอยยิ้มบาง สบนัยน์ตาฉ่ำน้ำพยายามสื่อความจริงใจในคำพูด

ช่วงที่รอคำตอบ ใจเขาเต้นเป็นกลองรัวเพราะตื่นเต้นและคาดหวัง แม้จะคาดเดาได้ว่าฮารุโตะคงจะมีใจให้บ้าง แต่ด้วยพฤติกรรมของตนเองที่เคยกระทำไว้ กอปรกับปฏิกิริยาตอบสนองของฮารุโตะ หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เขาไม่แน่ใจ อย่างไรก็ดี ถึงเขาไม่อาจพูดคำว่ารักได้เต็มปากเต็มคำ แต่ความรู้สึกที่มีให้ฮารุโตะมันก็เพิ่มมากขึ้น จนทำให้เขาเลือกเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้อย่างไม่ลังเล

ฮารุโตะยังคงปล่อยน้ำตาให้ไหลอยู่เช่นนั้นทั้งที่จริงเจ้าตัวแสดงออกว่าอยากห้ามมันอยู่เหมือนกัน ซากิจึงขยับตัวเข้าหา แนบริมฝีปากจูบซับน้ำตาตั้งแต่เปลือกตาแดงช้ำ ไล่มาถึงริมฝีปากอิ่มนิ่งสัมผัสเนิ่นนาน

“ฉันอยากจะอยู่กับนายจริงๆนะ”เขาย้ำบอกกระซิบชิดริมฝีปาก แล้วแนบจูบลงอีกครั้งด้วยความลึกซึ้งอ่อนโยนจนหัวใจร้าวรานของฮารุโตะเหมือนถูกปลอบประโลมด้วยน้ำทิพย์อบอุ่นสดชื่น พวกเขาดำดิ่งในรสรักที่หวานล้ำกว่าครั้งไหนที่เคยสัมผัสร่วมกันมา ร่างกายไถลนอนราบลงกับโซฟานุ่มโดยไม่รู้ตัว

ยามที่หนุ่มรุ่นพี่ผละออกห่าง ปล่อยให้ฮารุโตะได้พักสูดลมหายใจ ริมฝีปากของเขาชาไร้ความรู้สึก ได้ยินเสียงหัวใจเต้นหนักหน่วงแต่มั่นคง เขากวาดสายตามองใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มรุ่นพี่อีกครั้ง สบนัยน์ตาสีดำสนิทซึ่งมองตอบกลับมา

“ผมรักรุ่นพี่ชิมิซึครับ”คำสารภาพของเขาเรียบง่าย แต่ทว่าความเรียบง่ายนั้นทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้าง นัยน์ตาสีเข้มฉายแววเปล่งประกายยินดี แล้วเขาก็โดนแนบจูบลึกซึ้งซ้ำต่อเนื่องอีกหลายนาที ในขณะที่สมองพร่ามัวมึนเบลอด้วยฤทธิ์ของจุมพิตที่หนุ่มรุ่นพี่เพียรป้อนให้ไม่หยุดหย่อน พลันเกิดความคิดที่ขัดแย้งกับความรู้สึกก่อนหน้าขึ้นมา

หรือนี่อาจจะเป็นเรื่องจริง...

ฮารุโตะหอบหายใจ เปิดเปลือกตามองสบกับนัยน์ตาสีนิลซึ่งแวววาวระยิบระยับ ใบหน้าของชายหนุ่มอยู่ใกล้จนปลายจมูกสัมผัสกัน แล้วริมฝีปากอุ่นชื้นนั่นก็ประทับลงมาอีกครั้ง สัมผัสของแรงดูดดึงตวัดเกี่ยวในโพรงปากชัดเจนพอกับแววตาระริกระรื่นที่ปรากฏอยู่บนลูกแก้วสีเข้ม ในอกเต้นระรัวหวิววาบไปทั่วร่างจนเขาต้องระบายกับการจิกกำเสื้อของอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น พลางขยับตัวเสียดสีกับท่อนขาแข็งแรงของหนุ่มรุ่นพี่โดยไม่รู้ตัว

“เอาอย่างไรดี”คำถามของอีกฝ่ายมาพร้อมกับสัมผัสที่ทำให้ฮารุโตะหน้าแดงด้วยความอับอาย เด็กหนุ่มเสสายตาหนีไม่กล้ามองหน้า

“แต่ว่า มีแต่ถุงยางนะ”

อีกคำที่ตามมานั่นยิ่งทำให้อยากจะมุดหน้าหนี รุ่นพี่ชิมิซึนิ่งเงียบเหมือนกำลังรอให้เขาตัดสินใจ เขาเหลือบสายตากลับมามองคนที่ยกยิ้มบางๆส่งมาให้

“ถ้า...ไม่ทำ”ฮารุโตะตอบเสียงเบาจนกลายเป็นเสียงกระซิบ

“ก็ไม่ทำ”ซากิตอบพร้อมกับแตะปลายจมูกที่ข้างขมับ ฮารุโตะหลับตาซึมซับความอ่อนโยนที่ชายหนุ่มถ่ายทอดส่งมา ก่อนที่ร่างด้านบนจะล้มตัวลงนอนแล้วพูดตามมาอีกประโยคว่า “แต่ต้องเลิกจูบแล้ว ทำต่อเดี๋ยวหยุดไม่ได้”

ฮารุโตะมองตามคนที่หลับตานอนตะแคงอยู่ด้านข้าง ยกมือลูบริมฝีปากบางของหนุ่มรุ่นพี่ ลากปลายนิ้วบนผิวแก้มคล้ำแดด ก่อนจะกลับมาที่ริมฝีปากบางสีอ่อนอีกครั้ง ซึ่งอีกฝ่ายก็อ้าปากงับปลายนิ้วของเขาไว้

“บอกอยู่ว่า เดี๋ยวหยุดไม่ได้”ซากิบ่นงึมงำ พาลให้ฮารุโตะหัวเราะคิกคัก จากนั้นใบหน้าใสพลันขึ้นสีเรื่อหลุบสายตาหนี แล้วอ้อมแอ้มพูดออกไปว่า

“ขอความกรุณาด้วยนะครับ”

ซากิคงจะเลิกคิ้วสงสัย ถ้าไม่ได้ภาษากายที่หนุ่มรุ่นน้องแสดงออกตามมา




ยิ่งคิดฮารุโตะยิ่งหน้าแดง นับวันเขาเริ่มจะทำเหมือนที่คนอื่นว่ามากขึ้นทุกที แต่ทว่ามันทำให้เขามีความสุขมากกว่าที่จะเก็บคำพูดไม่ดีของคนอื่นมาใส่ใจ

ร่างกายช่วงล่างยังขัดยอกเมื่อยขบส่งสัญญาณอาการแปลกๆจากการรุกรานของชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ไม่รู้เพราะห่างหายจากเรื่องอย่างว่าไปนานหรือเช่นไร ร่างกายของเขาจึงฝืดคับจนส่งผลให้การสอดใส่สร้างความเจ็บปวดให้ร่างกาย ทั้งที่เมื่อก่อนพอได้นอนพักร่างกายก็จะมาเป็นปกติทุกอย่างแท้ๆ

ฮารุโตะเขินอายจนต้องฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียนอย่างไม่รู้จะดับความฟุ้งซ่านในสมองอย่างไร

“เป็นอะไรหรือเปล่า”เสียงถามของทาคุมิทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง ฮารุโตะสูดลมหายใจเข้าปอดพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติ พร้อมกับขยับนั่งตัวตรงอีกครั้ง หันไปบอกทาคุมิว่าไม่เป็นไร ก่อนจะทำท่าว่ากำลังตั้งใจเรียนอีกครั้ง

“เมื่อวานเกิดอะไรดีๆอย่างนั้นหรือ”คนที่นั่งอยู่ข้างๆกระซิบถามเสียงทะเล้น

“ไม่มี”

“ไม่มีแต่วันนี้ปากเจ่อมาเชียว”

ฮารุโตะเม้มปากทันทีที่โดนทัก

“อุ้ยๆ หน้าแดงขึ้นแล้ว”

“ต...ตั้งใจเรียนเถอะน่า”ฮารุโตะหันไปดุ แล้วพยายามก้มหน้าก้มตามตั้งใจเรียนตามที่ปากพูดให้ได้ แม้ว่าสมาธิจะกระเจิงทุกครั้งที่ขยับตัวก็ตาม

อย่างไรก็ดี ทันทีที่ถึงเวลาพัก ฮารุโตะจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้ทาคุมิฟังอย่างอดไม่อยู่ แน่นอนว่าเขาละเรื่องที่มีอะไรกับรุ่นพี่ชิมิซึไปเสีย

“แหมๆ มิน่าวันนี้ถึงหน้าระรื่นนัก นี่แค่เขาชวนไปอยู่ด้วยนะ ถ้าโดนสารภาพรักด้วยไม่จุดพลุฉลองหรอกเรอะ”ทาคุมิเอ่ยแซว

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า”ฮารุโตะพูดด้วยท่าทีขัดเขิน ทีแรกเขาตั้งใจว่าจะถามอยู่เหมือนกัน แต่พออะไรเกินเลย สมองจึงเบลอจนทำให้ลืมไป แล้วเล่าต่อไปว่าเป็นฝ่ายตนเองที่สารภาพรักไปแล้ว

“แล้วรุ่นพี่ชิมิซึตอบว่าอย่างไร”

ฮารุโตะเผลอยกมือขึ้นแตะริมฝีปากเมื่อนึกถึงคำตอบที่ได้รับ ก่อนจะต้องรีบลดมือลงเพราะน้ำเสียงล้อเลียนที่ดังลอยมา

“อั้ยยะ มิน่าปากถึงเจ่อมาแต่เช้า”

“ถามจริงมันเห็นชัดขนาดนั้นเลย”ฮารุโตะถามอย่างกังวล ทาคุมิไม่ตอบเอาแต่หัวเราะฮิฮะทำหน้าเจ้าเล่ห์ให้เขาระแวง ยิ่งเห็นเขาทำหน้าเจื่อนอีกฝ่ายยิ่งส่งสายตาล้อเลียน ก่อนที่ความสนุกสนานทุกอย่างจะถูกขัดชะงักโดยเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่

“กำลังสนุกเลยนะ”

ฮารุโตะถูกวงแขนหนารั้งคอดึงร่างให้เข้าไปแนบชิดกับอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว

ด้วยความที่อุณหภูมิลดต่ำลงเรื่อยๆ กิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดความร้อนในร่างกายอย่างทานอาหารกลางวันจึงเป็นกิจกรรมที่นักศึกษาส่วนใหญ่ย้ายสถานที่ดำเนินกิจกรรมมาอยู่ในอาคาร และเป็นที่รู้กันว่าในโรงอาหารช่วงเวลานี้ มีแต่ผู้คนพลุกพล่านแน่นขนัด ฮารุโตะกับทาคุมิเองจึงเลือกจับจองที่นั่งมุมหนึ่งภายในอาคารเรียนอันอบอุ่นเป็นที่นั่งพักทานอาหารกลางวันเช่นเดียวกัน

“ซากุราอิซัง!!!”เขาทั้งสองคนร้องเรียกชื่อบุคคลที่มาใหม่แทบพร้อมกัน ฝ่ายฮารุโตะที่เริ่มได้สติจึงพยายามดิ้นรนให้พ้นจากวงแขนที่ล็อคคอเขาไว้

“มีอะไรหรือเปล่า ปล่อยฮารุจังก่อนดีกว่าไหม”ทาคุมิพูด

“ตื่นเต้นอะไร ฉันแค่อยากมานั่งคุยด้วย”ชุนลอยหน้าลอยตาพูดตอบ ขณะรวบจับสองมือที่ไม่อยู่นิ่งของเด็กหนุ่มร่างเล็กไว้ด้วยมือเดียว แล้วรวบรั้งร่างของอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตัก

“ไม่รู้ว่านายรู้หรือยัง ว่าฉันรู้จักกับฮารุโตะมาตั้งแต่เด็ก โอ้ย!!!”

ชุนสะบัดร่างฮารุโตะทิ้งแทบไม่ทัน เมื่อเด็กหนุ่มร่างเล็กกัดเขาจมเขี้ยว เขาโมโหจนนึกอยากจะตามไปกระทืบซ้ำทว่าทาคุมิกลับปราดเข้ามาขวางไว้ นั่นยิ่งทำให้เขาโมโห

ที่ตรงนั้นควรจะเป็นของเขา รอบตัวของฮารุโตะควรจะไม่มีใคร ฮารุโตะควรจะมีแค่เขาคนเดียวเขาเท่านั้น!!!

ซากุราอิ ชุนผลักร่างของทาคุมิให้พ้นทาง ย่างสามขุมเข้าประชิดตัวฮารุโตะ คว้าจับร่างนั้นไว้ในอุ้งมือ ภายในแก้วตาสีน้ำตาลสะท้อนแต่ความตื่นตระหนก ถึงอย่างนั้นเขากลับอยากกัดกลืนอีกฝ่ายลงท้อง นึกเจ็บแค้นที่ปล่อยอีกฝ่ายหลุดลอยไปเป็นของคนอื่น ชุนบดเบียดริมฝีปากลงไปอย่างที่ใจนึกปรารถนา นึกบอกตัวเองว่าเขาน่าจะทำอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว

ทาคุมิแตกตื่นตกใจเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ลวนลามเพื่อนสนิทของเขาต่อหน้าต่อตา เขาพยายามเข้าไปแยกคนทั้งคู่ แต่มันกลับไม่เป็นผล

“ปล่อยฮารุโตะเดี๋ยวนี้นะ ซากุราอิซัง”เขาทั้งทุบทั้งตี แต่เหมือนว่าชุนจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด

ทว่า ทันใดนั้นเองร่างกายอันใหญ่โตของชุนกลับถูกกระชากโดยแรง ก่อนจะถูกหมัดหนักๆซัดซ้ำหลายครั้งจนเจ้าของร่างล้มลงโดยไม่ทันตั้งตัว ผู้กระทำหน้ามืดตามัวยังหวังจะตามไปซ้ำอีกรอบ แต่กระนั้นกลับโดนรั้งไว้เสียก่อน

“พอได้แล้วซากิ เดี๋ยวได้เป็นเรื่องใหญ่หรอก”เอคิจิเอ่ยห้าม “ไปดูฮารุโตะก่อนไหม”เมื่อได้ยินอย่างนั้น เขาจึงได้สติ หันไปดูหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งกองอยู่กับพื้น ฮารุโตะน้ำตาไหลนองหน้า ปากแตกเลือดซึมให้เห็นชัดเจน

เมื่อชุนตั้งสติรู้ตัวและลุกขึ้นยืนได้ เขาเดินหน้าเข้าหาหวังเอาคืนด้วยความเลือดร้อน กลับเจอชายหนุ่มอีกคนยืนชี้หน้าขวางไว้

“ฉันขอเตือนให้แกรีบกลับไปดีกว่า มาทางไหนก็ไปทางนั้น”

“กูไม่ทำตามแล้วมึงจะทำไม”ชุนตะคอกกลับ ก่อนที่เขาจะถูกเหวี่ยงทุ่มลงพื้นโดยไม่ทันตั้งตัวอีกรอบ

“ผู้ใหญ่เตือนก็หัดฟังไว้บ้าง”เอคิจิกล่าวซ้ำจากนั้นจึงก้าวตามเพื่อนสนิทที่อุ้มพาหนุ่มรุ่นน้องออกจากบริเวณนั้นไป


คาบบ่ายเป็นวิชาปฏิบัติการที่ไม่สามารถโดดเรียนได้ ซากิจึงต้องพาฮารุโตะมาส่งที่ห้องเรียนการทดลองแทนจะพากลับบ้านเช่นเมื่อวาน เขาวางเด็กหนุ่มร่างเล็กลงบนเก้าอี้ที่มีอยู่ในห้อง สองสามวันมานี้ฮารุโตะร้องไห้บ่อยมากจนเขานึกปวดใจ

“ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เด็กหนุ่มรุ่นน้องยังคงสั่นศีรษะ

“ขอโทษที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”ทาคุมิพูดทำท่าจะร้องไห้ตามไปด้วย คิดตั้งใจจะฟิตร่างกายจริงๆเสียที

“ไม่เป็นไร”ฮารุโตะบอกพยายามยกยิ้มให้

ชิมิซึ ซากิจึงใช้จังหวะนั้นล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า เปิดก๊อกน้ำที่มีติดตั้งอยู่บนโต๊ะ และใช้มุมผ้าด้านหนึ่งรองน้ำเพื่อให้เปียกชื้น จากนั้นจึงหันกลับมาแต่ผ้าเปียกลงบนริมฝีปากของฮารุโตะ เช็ดทำความสะอาดแผลแตก

“เจ็บมากไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ แม้ความจริงจะยังเจ็บแต่เขาไม่อยากให้รุ่นพี่เป็นกังวล

เสียงพูดคุยโหวงเหวกดังมาจากหน้าประตูห้องทำให้พวกเขาหันไปมอง พร้อมๆกับกลุ่มนักศึกษาที่เพิ่งมาถึงต่างชะงักงันเพราะเห็นพวกเขา ซากิและเอคิจิโดนมองแปลกๆเพราะเป็นบุคคลที่ไม่คุ้นหน้า หนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองจึงกล่าวบอกลาขอตัวแยกย้ายกลับไปซึ่งเมื่อคล้อยหลังอีกฝ่าย ทาคุมิจึงพยุงพาฮารุโตะไปนั่งที่โต๊ะทำการทดลองตัวที่ต้องใช้ประจำ จากนั้นไม่นานอิโนะอุเอะ ซายูริหนึ่งในเพื่อนร่วมกลุ่มการทดลองของฮารุโตะก็มาถึง

“มาเร็วจัง”เธอทักด้วยความแปลกใจ ปกติเธอจะมาถึงห้องก่อนเพื่อนร่วมกลุ่มอีกสองคน หลังจากวางกระเป๋าบนโต๊ะเธอดึงเก้าอี้มานั่งรวมกลุ่ม ทาคุมิยกยิ้มให้และบอกออกไปว่า “ข้างนอกมันหนาวอ่ะ ไปไหนไม่ได้เลยมานั่งรอที่ห้อง”

“หือ ปากแตกหรือมิอุระซัง”

ฮารุโตะยกมือขึ้นแตะปากก่อนจะพยักหน้ารับ เธอจึงหยิบของที่อยู่ในกระเป๋าออกมาให้

“ใช้นี่ซิดีนะ ทาช่วงที่ปากแตกจะได้ไม่เจ็บมาก”

เด็กหนุ่มรับตลับทรงกลมเล็กกว่าฝ่ามือขึ้นมาอ่าน ฉลากผลิตภัณฑ์เขียนไว้ว่าเป็นขี้ผึ้งสำหรับทาปาก “ขอบใจมากนะ เดี๋ยวจะลองไปซื้อมาใช้” พูดพร้อมกับส่งคืน

“ใช้เลยก็ได้”เธอว่า “ไม่ถือๆ” ไม่พูดเปล่ายังล้างไม้ล้างมือเช็ดกระดาษทิชชู่จนแห้งแล้วเปิดตลับขี้ผึ้ง แต้มของเหลวหนืดๆที่ปลายนิ้วมาทาบนปากของฮารุโตะให้ด้วย ทีแรกเขาสะดุ้งถอย แต่กระนั้นเธอยังยื่นมือตามมาทาให้อีกอยู่ดี

“เป็นไง”เธอถามพลางพูดอธิบายต่อไปว่า “ถ้าทาไว้ปากมันจะไม่ค่อยแห้งแล้วจะได้ไม่เจ็บมาก เฮ้ย!!!”

ซายูริร้องอุทานออกมาเพราะจู่ๆคนตรงหน้ากลับน้ำตาร่วงออกมาให้เธอหน้าเสีย “ฉันมือหนักหรือ เจ็บมากเลยหรือ ขอโทษนะ” ยกตลับขี้ผึ้งขึ้นมาดูแล้วบ่นงึมงำว่าหรือมันจะหมดอายุ

ฮารุโตะสั่นศีรษะระรัว ยกมือขึ้นปาดหยาดน้ำซึ่งไหลรินออกมาจากดวงตา “ขอบคุณมากนะ”

“ไม่ต้องคิดมาก ช่วงนี้ฮารุจังค่อนข้างเซ็นสิทีฟเฉยๆ”ทาคุมิกล่าวสำทับให้ซายูริสบายใจ พร้อมกับหันไปปลอบเพื่อนตัวเล็ก ยกมือขึ้นช่วยปาดน้ำตาไปพลางชวนคุยไปพลาง พาให้หญิงสาวอีกคนหน้าแดงแล้วคิดไปไกล

“อะไร”ทาคุมิที่เผอิญหันไปเห็นสายตาแปลกๆจึงเอ่ยปากถาม

“เปล๊า”ซายูริตอบเสียงสูง “ไม่มีอะไร”

“เอ้ย นี่ไม่มีอะไรเหมือนกัน เพื่อนกันๆ”

“ยังไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกัน จะร้อนตัวทำไม”เธอพูดพร้อมรอยยิ้มกลั้วหัวเราะ

“ก็ดูทำหน้าเข้า ไม่น่าเชื่อมาก”ทาคุมิตอบกลับไป ฮารุโตะจึงหลุดหัวเราะกับอาการร้อนตัวของทาคุมิ

และเพื่อเป็นแสดงการแสดงออกว่าเธอไม่ได้คิดอะไรแปลกๆอย่างที่ทาคุมิเข้าใจ ซายูริจึงหันเหไปชวนคุยเรื่องอื่น อีกครู่หนึ่งต่อมากลับกลายเป็นเรื่องข้อมูลการทดลองที่กำลังจะเรียนและทวนเนื้อหาที่น่าจะออกในข้อสอบพรีเทสต์

หมดคาบเรียน สภาพโดยรวมดูจากภายนอกของฮารุโตะได้กลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการขวัญเสียตื่นตะหนก จมูกและดวงตาแดงช้ำซึ่งเป็นร่องรอยของการร้องไห้ได้จางหายไป หลงเหลือเพียงนัยน์ตาอ่อนล้า

ซากิตั้งใจว่าจะพาฮารุโตะกลับไปพักที่บ้านของเขาด้วยอีกคืน แต่โดนเด็กหนุ่มพูดแย้งด้วยเหตุผลที่ว่า มีของสดอยู่ในตู้เย็นที่ห้อง ทิ้งไว้นานไปกลัวจะเสีย

“เสียดายของ”ฮารุโตะพูดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะไม่ได้ทำงานพิเศษด้วยเด็กหนุ่มร่างเล็กจึงยิ่งประหยัดการใช้จ่าย ทั้งยังตั้งท่าเตรียมหางานพิเศษช่วงปิดเทอมนี้ไว้เรียบร้อย

“บอกแล้วไงว่า ถ้าเงินไม่พอใช้ให้บอก”

“ไม่เอาอ่ะ รุ่นพี่ยังไม่ได้งานเลย จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงผม”

“ดูถูก”เขาพูดพลางแกล้งเขย่าศีรษะอีกฝ่านเล่น เดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง ซากิรู้สึกว่าหนุ่มรุ่นน้องพูดเก่งขึ้นมานิดหน่อย ไม่รู้เป็นนิสัยเดิมของเจ้าตัวหรือติดมาจากเด็กปากมากอย่างทาคุมิ แต่มันเป็นเรื่องดีตรงที่อารมณ์ของฮารุโตะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมีความสุข เหมือนว่าเรื่องที่โดนซากุราอิ ชุนระรานจะไม่ได้มีผลกระทบมากนัก

กิจวัตรยามเย็นดำเนินไปเช่นเดิมเหมือนทุกวัน

และค่ำคืนนั้นหิมะได้โปรยปรายลงมาอย่างเงียบเชียบ ค่อยๆย้อมผืนดิน ถนนหนทาง และอาคารบ้านเรือนให้กลายเป็นสีขาวสะอาดตา หิมะมาพร้อมอุณหภูมิที่ลดต่ำลงกว่าศูนย์องศาเซลเซียส อากาศหนาวเย็นจนต้องเบียดร่างเข้าหาความอบอุ่น ซากิสะลึมสะลือกอดกระชับร่างเล็กบางซึ่งเบียดซุกเข้าหาตัว ขยับชายผ้าห่มผืนหนาจนเกือบคลุมมิดศีรษะของอีกฝ่าย ก่อนจะผล็อยหลับลงอีกครั้ง


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 12-04-2017 05:08:02


โมริ เอคิจิยื่นเอกสารปึกหนึ่งให้ตรงหน้าเพื่อนสนิท ก่อนจะพาตัวเองมานั่งที่โซฟาเล็กอีกตัว ชายหนุ่มอยู่ในบ้านของอีกฝ่าย อันที่จริงบ้านของเขาห่างจากบ้านของชิมิซึ ซากิไปไม่ไกลนัก แต่เพราะที่นี่ค่อนข้างเงียบเป็นส่วนตัวมากกว่า มันจึงเป็นการดีที่พวกเขาจะเก็บเรื่องที่คุยกันเป็นความลับ

“อย่างกับนิยายน้ำเน่า”เขาพูดเมื่อซากิเปิดอ่านเอกสารไม่เกินยี่สิบแผ่นนั่น “ทุนที่ฮารุโตะได้รับเป็นทุนของบริษัทที่พ่อของซากุราอิ ชุนเป็นประธานกรรมการอยู่ สองคนนั่นรู้จักกันตั้งแต่อายุสิบสอง อยู่โรงเรียนเดียวกันมาตลอดเจ็ดปี สรุปแล้วแกมาทีหลังว่ะ”ประโยคสุดท้ายเขาพูดแขวะ เรื่องมาก่อนหรือมาทีหลังมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่ากับคนกลางจะเลือกใคร แต่บังเอิญว่า ชายหนุ่มเจ้าของบ้านเคยโดนประเด็นนี้ทำให้อกหักมาแล้ว เขาจึงยกขึ้นมาจี้ซ้ำเล่นๆ

ซากิยังนิ่งอ่านข้อมูลบนหน้ากระดาษ เอคิจิจึงเดินไปหยิบรีโมทมาเปิดทีวี และหันกลับไปมองเมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงถาม

“มิอุระ ไทกะนี่เสียชีวิตแล้วจริงๆหรือ”

“อืม ฉันได้อ่านสำนวนสรุปการตายมาแล้ว แต่เห็นว่าไม่น่าจะเกี่ยวอะไรเลยไม่ได้สำเนามาให้แกดู”

“ตายเพราะอะไร ในนี้เขียนว่าหัวใจวายเฉียบพลัน”

“ตำรวจพบศพในกองหิมะ ไม่มีร่องรอยบาดแผลการถูกทำร้ายนอกจากแผลหิมะกัด หลังตรวจพิสูจน์พบแอลกอฮอล์ในกระแสเลือด เลยคาดการณ์ว่าน่าจะกินเหล้าจนเมาแล้วหลับอยู่ข้างทางไม่ยอมกลับบ้าน”

“มิอุระไม่เคยพูดเรื่องนี้”

“พลิกอ่านอีกหน้าดิ”เอคิจิพูด ซากิจึงพลิกหน้ากระดาษตามที่บอก ข้อความในนั้นระบุเป็นทำนองว่า มิอุระ ฮารุโตะในวัยสิบเอ็ดปี ถูกพบว่าบาดเจ็บสาหัสในห้องพักซึ่งเพื่อนบ้านได้มาพบโดยบังเอิญขณะที่กำลังออกไปซื้อของ แพทย์ระบุว่าเป็นแผลจากของมีคมความยาวประมาณสองเซนติเมตร ผลการตรวจร่างกายโดยทั่วไป มีรอยฟกช้ำจากการทำถูกทำร้าย ไม่มีร่องรอยการล่วงระเมิดทางเพศ และเนื่องจากพบศพของบิดาผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองในเช้าวันถัดมา รวมทั้งไม่สามารถติดต่อผู้เป็นมารดาได้ มิอุระ ฮารุโตะจึงต้องถูกส่งตัวไปอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กตามที่กฎหมายคุ้มครอง

“ลูกน้องฉันบอกว่าหลับไปสองวัน ตื่นขึ้นมาถามหาพ่อแค่ครั้งเดียวจากนั้นไม่เคยพูดถึงอีกเลย มีดที่ถูกใช้เป็นอาวุธถูกพบในที่เกิดเหตุ ไม่มีรอยนิ้วมือคนอื่นนอกจากพ่อลูกมิอุระ ในบ้านไม่มีร่องรอยการรื้อค้น เพื่อนบ้านเล่าว่าหลังจากที่แม่ของฮารุโตะหายออกไปจากบ้าน ตัวพ่อก็กลับมาบ้านพร้อมกลิ่นเหล้าบ่อยๆ หลังจากนั้นก็จะมีเสียงโครมครามดังขึ้น แต่ไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้า สองสามีภรรยาก็มีปากเสียงกันบ้างอยู่แล้ว ส่วนฮารุโตะก็เป็นเด็กเงียบๆที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร”

“ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร?”

“แกน่าจะรู้นิสัยเด็กของแกดี ไม่พูดไม่เล่า หมอกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลเลยเดาว่าน่าจะเป็นพ่อเด็กเอง”

ซากิหันมองเพื่อนสนิทด้วยแววตาสงสัย

“พอดีว่ารายงานเรื่องมิอุระ ฮารุโตะหนากว่านี้อยู่สักหน่อย ฉันอ่านแล้วไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าไหร่ เลยไม่ได้เอามาให้แกดู”เอคิจิพูดบอก มองหน้าเพื่อนสนิทนิ่งๆและพูดต่อไปว่า “พูดจากใจจริงฉันไม่อยากให้แกรู้สึกสงสาร”

“ความสงสารไม่ดีตรงไหน”ซากิถามขณะเปิดหน้าเอกสารอ่านข้อมูลของซากุราอิ ชุน รูปภาพประกอบเป็นหน้าตรงที่แม้สายตาจะดูเหมือนว่ากำลังมองกล้อง ทว่ายังขุ่นขวางคล้ายหาเรื่อง คิ้วเฉียงขึ้นขนานกับหน่วยตายาวรี

“คนบางคนไม่ได้ต้องการความสงสาร อ่อ... ลืมไปว่าใช้ไม่ได้กับแก”เอคิจิตั้งใจแขวะอีกรอบ “สำหรับแกอะไรที่สามารถนำใช้ได้ แกก็ดึงเอามาใช้ทั้งนั้นเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ”

ซากิแค่เหลือบตามองคนพูดแล้วยักคิ้วให้ พวกเขาเป็นเพื่อนที่เหมือนจะคบด้วยผลประโยชน์ แต่ในความสัมพันธ์ที่ว่ามันกลับมีอะไรมากมายกว่านั้น หรือในอีกแง่หนึ่ง ตัวเขาคือสิ่งที่เอคิจิอยากเป็น

“แต่ถึงจะเอามาใช้ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”

ชิมิซึ ซากิถึงกับหัวเราะขึ้นจมูก

“ไอ้เด็กนี่ไม่เบาเหมือนกันแหะ คาราเต้ มวย แล้วก็เคนโด้ แกยังอุตส่าห์ทุ่มมันได้อีกนะ”เขาแสร้งยกยอไปหนึ่งประโยค ซ้ำคนถูกชมยังยอมรับหน้าตาย

“หึ ถ้าแกเจออย่างฉันทุกวัน สิบซากุราอิ ชุนยังเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว”

เงียบรอให้เพื่อนสนิทอ่านเนื้อหาเหล่านั้นต่ออีกนิด เอคิจิจึงเอ่ยปากถามต่อ “แล้วแกจะทำอย่างไรวะ”

เสียงพลิกเปลี่ยนหน้ากระดาษดังขึ้นขัดจังหวะราวกับคนถูกถามกำลังพิจารณาไตร่ตรอง

“ทำอย่างไรก็ได้ให้ไอ้เด็กนี่หายไปจากชีวิตของมิอุระ”คำพูดฟังดูรุนแรงแต่เอคิจิรู้ว่าเพื่อนสนิทไม่มีทางทำอะไรผิดกฎหมาย เพราะถ้าทำนั่นหมายถึงชีวิตของตัวเองคงต้องจบลงเหมือนกัน

“ถึงอย่างไรหลังจากเรียนจบ ฮารุจังก็ต้องเข้าไปทำงานที่บริษัทนั้นตั้งห้าปีอยู่ดี”

“ก็เป็นเรื่องของห้าปีที่ยังมาไม่ถึง”

“เห๋ ไม่มีแผนหรือ”

“ไม่รู้ซิ บางทีฉันอาจจะตายก่อน”

“เรียวตะมันคงดีใจแย่”คนพูดยิ้มเผล่ ก่อนจะหันกลับไปสนใจรายการทีวีและปล่อยให้เพื่อนสนิทนั่งอ่านตัวอักษรบนกระดาษต่อไป

“เอคิจิ แกว่าซากุราอิ ชุนนี่ชอบมิอุระหรือวะ”ซากิถามหลังที่อ่านข้อมูลทั้งหมดจบ ก่อนจะเริ่มอ่านทวนซ้ำอีกครั้ง นอกจากข้อมูลพื้นฐานงานอดิเรก ความชอบ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่ซากุราอิ ชุนไปตีรันฟันแทงกับคนอื่นเขาไปทั่ว เบียดบังเรื่องที่คอยรังแกระรานมิอุระ ฮารุโตะจนเหลือแค่กรอบนิดเดียว

“แกล้งคนที่แอบชอบเนี่ยนะ”ซากิไม่เข้าใจระบบความคิดแบบนั้นเลย แล้วที่สำคัญดูเหมือนจะไม่ใช่แค่แกล้งเล็กๆน้อยๆ แต่รุนแรงถึงขั้นเจ็บเนื้อเจ็บตัว

“ตามข้อมูลมันน่าจะสรุปอย่างนั้น แกก็เห็น วันนั้นจูบจริงเลยนะเว้ย ถึงฮารุจังจะน่ารักแต่ถ้าไม่รู้สึกอะไรก็ไม่น่าจะทำได้เหมือนกัน”

“เหตุผลนี้ใช้กับฉันไม่ได้”

เอคิจิถึงกับนั่งนิ่งไปเลย แล้วส่งเสียงหึขึ้นจมูก “งั้นตรรกะความคิดแบบซากุราอิ ชุนก็เป็นไปได้เหมือนกัน”

เจ้าของบ้านลุกขึ้นยืนถือกระดาษร่วมยี่สิบแผ่นในมือเดินไปพื้นที่ส่วนที่จัดโซนไว้สำหรับทำครัว

รูปแบบการจัดบ้านของเขาคล้ายกับบ้านของเรย์ ใช้วิธีการแบ่งพื้นที่ด้วยการตั้งวางเฟอร์นิเจอร์เช่นเดียวกัน แต่พื้นที่บ้านแคบกว่าบ้านของนาคามูระ เรย์มาก ตอนที่พ่อของเขาซื้อบ้านหลังนี้ เหมือนจะรู้ว่าคงจะได้อยู่กันแค่พ่อลูกสองคน

เขาใช้ไฟแช็คจุดไฟเผากระดาษในมือเหนืออ่างล้างจานในครัว ไฟไหม้ลามเลียกระดาษจนกลายเป็นขี้เถ้า ลุกลามจนเกือบจะถึงปลายนิ้วเขาจึงปล่อยมันให้ร่วงลงไปในอ่าง มองเปลวไฟลุกไหม้กระดาษจนหมดแล้วจึงเปิดน้ำไล่เศษขี้เถ้าทิ้งไปตามท่อ

“เรื่องยาเสพติดที่อาสองคนของแกสืบไปถึงไหนแล้ว”ซากิถาม เพราะได้ยินว่าจะล่อตัวการใหญ่ออกมาให้ได้ แผนการจึงถูกวางไว้ยาวนานเป็นปี

“ไม่รู้ว่ะ ตั้งแต่ที่เล่าให้ฟังครั้งก่อนก็ไม่ยอมหลุดอะไรออกมาอีกเลย หวังว่าแกคงจะไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวายอะไรหรอกนะ”

“คงไม่ได้ยุ่งกับตัวการใหญ่หรอก แต่อาจจะกระทบก็ได้”

“เฮ้ย งั้นเล่ามาให้ฟังก่อนเลย”

ซากิยกยิ้ม หันมองนาฬิกา“เอาไว้วันหลังแล้วกัน วันนี้ต้องไปรับเด็กแล้ว”

เอคิจิจึงต้องตามออกมาจากบ้านด้วย และเมื่อออกมาอยู่ข้างนอกเรื่องที่เขาอยากให้อีกฝ่ายเล่าให้ฟังจำต้องเงียบไป เขาถอนหายใจด้วยความเซ็ง กลัวแค่ว่าถ้างานของอาทั้งสองคนพลาดแล้วเรื่องแดงว่าเป็นเพราะซากิ เขาคงต้องโดนหางเลขไปด้วยที่เอาคนมาใช้งานโดยไม่ยอมบอก

“อย่าเพิ่งกังวลไปน่า”ซากิพูดปลอบ “ไม่ได้คิดจะทำพรุ่งนี้มะรืนนี้เสียหน่อย” เพราะแผนที่เขาคิดไว้มันต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานโข



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//สวัสดีค่าทูกโค้นนนนนนนนนนนน  วันนี้เรามีความยินดีจะบอกว่าเราเขียนเรื่องนี้จบแล้ววววววววววว
เพราะฉะนั้น เราจะลงทุกวันนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เพราะคนเขียนก็แทบรอไม่ไหวแล้ว เราอยากรู้ว่าพวกคุณจะรู้สึกอย่างไรกับตอนจบของเราใจจะขาดแล้วเหมือนกัน
ขอขอบคุณที่ติดตามเสมอมาค่ะ//*
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 12-04-2017 06:57:58
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 12-04-2017 07:00:00
คงต้องส่งใบลาไว้ก่อนนะคะ อาจจะได้เข้ามาอ่านอีกทีหลังสงกรานต์เลย
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-04-2017 07:27:32
ชุน แกล้งฮารุโตะ เพราะชอบ
ชุน คงต้องปรับเปลี่ยนพฤคิกรรมกับฮารุโตะ
ทั้งแกล้ง ทำร้าย พูดจาหยาบคายใส่
เรื่องอยากเป็นคนรักฮาุโตะมันเป็นศูนย์ชัดๆ

ซากิ สืบประวัติฮารุโตะ
ซากิ แสดงท่าทีน้ำเสียงกับฮารุโตะ
ไม่สมกับเป็นคนรักกัน จนอีกฝ่ายน้อยใจ

ถ้านาโอกิ ตัดเรย์จากการเป็นคนรักมันก็สมควร
การไม่มีอะไรกัน มันทำให้เรย์ต้องไปปลดปล่อยกับมินามิ
ที่วางแผน และหวังได้เรย์ เป็นคนรัก
มันก็เหมือนเรย์ นอกใจ นอกกายคนรัก
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
 
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Pi ที่ 12-04-2017 09:18:03
ตามอ่านทันเเล้วววว สนุกมากค่ะ  ตกลงซากินี่พระเอกใช่ไหมคะ ชอบในความหน้ามึนเอ่าเเต่ใจของนาง แล้วนางก็ดูเอาใจใส่ฮารุมมากขึ้นละด้วย งือออ ลงไม่ผิดลำละนะคะ55555 ถ้าหักมุมตอนท้ายนี่.... เรือล่มจมน้ำตายเลยเน่อ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 19 : 12/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 12-04-2017 11:30:26
ซากินี่ออร่าสุดยอดเลยครับ ฉากที่บอกว่า ‘เหตุผลนั้นใช้ไม่ได้สำหรับฉัน’ นี่เข้าตำราหล่อเลวเย็นชาจริงๆอะ ตรงกับคอมเมนท์ที่แล้วที่ผมคิดไว้เลยว่าฮารุโตะน่ะไม่น่าจะเป็นอะไรที่ซากิให้ความสนใจมากนัก แถมท่าทางยังวางแผนให้ความร่วมมือกับตำรวจด้วย โคตรเท่แบบเลวๆเลยครับ แหม่ ถ้าเป็นไปได้นี่อยากเห็นตัวนางที่คู่กับซากิจริงๆนะครับ ถ้าเป็นบุคลิกแบบนาโอโตะและพล็อตเรื่องสนุกล่ะก็ อื้อหือ ผมยกนิ้วให้เลย

คือเอาจริงๆผมก็เฉยๆกับคู่เรย์-นาโอโตะนะครับ ที่เฉยไม่ใช่ว่าไม่ดี แต่พวกปฏิสัมพันธ์เราเห็นค่อนข้างน้อย มันเลยระบุไม่ได้ว่าสองคนนี้เหมาะกันไหม แต่ถ้าพิจารณาจากความจริงที่ว่าสองคนนี้สนิทกันและอยู่ใกล้ชิดกันตั้งแต่เด็ก มันก็น่าจะมีพัฒนาการและการรับรู้ความรู้สึกที่แคร์กัน ห่วงใยกัน มากในระดับหนึ่งล่ะครับ ดังนั้นถ้าถามว่าถ้ารักกันจริงๆมันจะเป็นปัญหาไหม คำตอบคือไม่ เพราะความสัมพันธ์ที่สร้างมาตั้งแต่เด็กมันเอื้ออำนวยให้ไปได้ และไปไกลมากกว่านั้นได้เสียอีก(ขั้นคู่ชีวิต)

คำถามคือคุณรักกันจริงๆรึเปล่า? ถ้ารักจริง มันไปโลดเลยครับ แต่ถ้าแค่อยากลอง หรือยังไม่มั่นใจเพราะฮอร์โมนวัยรุ่น(แบบเรย์) มันก็จะมีสถานการณ์แบบที่เกิดขึ้นนี้ ซึ่งก็เป็นประโยชน์ให้ทั้งสองคนได้ทบทวนตัวเอง ทำความเข้าใจซึ่งกันและกันครับ ถ้าจะยกนาโอโตะให้ซากินี่ก็อาจจะดูใจร้ายกับเรย์เกินไป แต่ถ้ามีจริง มันก็เป็นอีเวนท์ที่ทำให้เราน่าจะได้เห็นใจจริงๆของทั้งเรย์กับซากิเหมือนกันนะครับ

ดังนั้นอยากขอคนแบบนาโอโตะให้ซากิหน่อยครับ อยากเห็นเคมีคู่แบบนี้อะ เข้าล็อกมังงะวายของญี่ปุ่นเลยนะครับ อยากเห็นๆ (หัวเราะ)

ส่วนตัว ผมว่าชุนไม่น่าจะยอมหายไปจากชีวิตฮารุโตะนะครับ และน่าจะกล้างัดกับซากิด้วย ผมชื่นชมคนประเภทชุนอยู่อย่างคือกล้าชนไม่ถอย เขากล้าหาญองอาจ เมื่อมีความรู้สึกที่มั่นคงก็จะยังยึดมั่นไม่ถอย แต่ปัญหาคือชุนอารมณ์ร้อน และบ้าบิ่นจนเกือบคลั่งเหมือนกัน ทั้งๆที่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีขนาดนั้น ซากิถ้าได้รู้จักชุนจริงๆ ผมว่านิสัยชุนสะท้อนทางแก้ปัญหาอย่างนึงของซากิได้ดี คือความกล้าที่จะเอาชนะ ‘ความรู้สึกเสียศักดิ์ศรี’ ครับ

ถ้าซากิมีความกล้าที่จะ 'รุก' คนที่เขาเคยแอบชอบ เมื่อนานมาแล้ว มากกว่าจะเก็บไว้เงียบๆด้วยบุคลิกนิ่งๆแล้วคิดว่าคนๆนั้นจะรู้เอง ทั้งที่ตัวเองก็รู้ว่ามีคู่แข่งอยู่ ผมว่าคนๆนั้นอาจจะเลือกซากิก็ได้ ปัญหาของซากิคือหยิ่งในศักดิ์ศรีมากเกินไปจนบางครั้งเลือกที่จะหันหนีความต้องการของตัวเองจริงๆครับ คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่อยากแพ้ ไม่อยากจะเสียศักดิ์ศรีถ้าตัวเองไม่ถูกเลือก ผลลัพธ์มันเลยยิ่งทำลายทัศนคติด้านความรักของคุณให้เฉยชาไปกันใหญ่

ซึ่งไอ้ตรงนี้ไม่เคยมีในชุน คือโอเค ชุนอาจจะรู้สึกน้อยใจหรือรู้สึกทางลบเมื่อฮารุโตะพยายามปฏิเสธเขา แต่ชุนก็ยังพยายามครับ เขาไม่ยอมถอดใจจากฮารุโตะไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม ปัญหาคือด้วยแนวคิดของเด็กวัยรุ่นบวกกับอารมณ์ร้อนของชุน ผลมันเลยกลายเป็นพฤติกรรมสมัยมัธยมที่ไม่ดีสุดโต่งไปเลย

ประเด็นคือ เราจะแก้นิสัยชุนยังไง? ผมว่าชุนเหมือนซากิคือเป็นพวกบ้าพลังครับ(อาจจะมากกว่าซากิเสียด้วยซ้ำ) และด้วยนิสัยส่วนตัวของเขาก็ทำให้ทักษะในการต่อสู้หรือกีฬาประเภทปะทะโดดเด่น ประเด็นคือผมว่าชุนยังแก้ความใจร้อนไม่ได้ (โดยส่วนตัว ผมว่านิสัยอย่างฮารุโตะแก้ทางความใจร้อนของชุนได้ดีนะครับถ้าอยู่ด้วยกัน) ถ้าเป็นในความเป็นจริง ผมจะส่งชุนไปโรงเรียนฝึกทักษะทางทหารหรือฝึกวินัยตำรวจนะครับ ถ้าในเรื่องก็คือส่งไปฝึกกับเอคิจิ (ฮา) เขาจะขัดเกลาให้ชุนใช้พลังกายของเขาในทางที่ได้ผลดี แต่ความจริงผมว่าชุนก็มีความอดทนสูงมาตั้งแต่ตอนที่ 8 แล้วนะครับ เขาเริ่มรู้ตัวว่าฮารุโตะกลัวเขา เลยค่อยๆเข้าหา พยายามไม่ทำให้ฮารุโตะเตลิดมาก แต่สงสัยพอมาเห็นภาพบาดตาบาดใจ แถมฮารุโตะยังดูเคลิ้มอีก เลยฉุนขาด แต่พอมาฉากอีกวันนึง ชุนก็ดูเหมือนจะพอรั้งสติไว้ได้ ดันมามีเรื่องเสียก่อน แค่นี้ผมว่าชุนดีขึ้นเยอะแล้วนะครับ แต่คงต้องเห็นบทเขาหนักๆ จะได้เชียร์ถูก (หัวเราะ)

จุดนึงที่น่าสังเกตคือ ผมสังเกตว่าการบรรยายดูจะให้ชุนมีความสามารถ แต่พอถึงฉากทีไร ชุนก็เป็นฝ่ายโดนกระทำตลอดนะครับ ทั้งโดนซากิต่อย ทั้งโดนเอคิจิทุ่ม ผมเลยไม่แน่ใจว่าชุนนี่เก่งจริงรึเปล่าน่ะครับ

ยอมรับครับว่าคุณตีสี่เขียนดีจริงๆ ตอนที่ 21 นี่ผมประทับใจตรงฉากความฝันของฉารุโตะนี่แหละครับ ตอนที่ 21 นี้แสดงถึงความพังทลายของจิตใจฮารุโตะได้อย่างดีครับ แล้วก็แสดงถึงตัวละครกับนัยยะสำคัญเพิ่มเติมได้ดีมาก

ผมว่าคนอย่างอิซามุกับมิชิโอะนี่แหละที่จะมาทำให้ชุนเข้าใจฮารุโตะมากขึ้น เพราะปัญหาของชุนกับฮารุโตะคือไม่เข้าใจสถานการณ์ของแต่ละคนครับ ชุนนี่อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเขามุ่งมั่นและมั่นคงมาก ขนาดฉากที่เพื่อนแซวว่าไม่เห็นเหรอว่าเขาผ่านเพศสัมพันธ์มาจนพรุน ชุนยังไม่ถือรังเกียจฮารุโตะเลย คือแบบ...เฮ้ย คุณต้องแน่มากเลยนะที่กล้าแสดงออกได้เต็มใจว่า เออ กูไม่สนว่าจะเป็นยังไง กูรักก็คือรัก ขอดูแค่หลังคาบ้านก็ยังเอา ผมซูฮกจริงๆครับ

ที่ชุนบอกว่าไม่ยอมให้กลับ อาจจะเพราะชุนอยากให้ฮารุโตะอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลก่อน และไม่อยากให้ฮารุโตะต้องไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่สบายตัวแบบนั้นอีก ผมว่าชุนทำอะไรให้ฮารุโตะเยอะนะครับ แต่ปัญหาคือเขามีปัญหาเรื่องความเลือดร้อนกับเรื่องการจะพูดจะจาอะไรก็ไม่ค่อยคิด (คือเลือกคำไม่ถูกน่ะแหละ ผมสังเกตตั้งแต่ตอนฮารุโตะให้ข้าวกล่องชุนน่ะครับ แต่หลังๆชุนก็คงรู้ตัว เลยพยายามคิดก่อนพูด แต่พอคิดไม่ออก ก็เลยเงียบแทน) เรื่องทุนนี่ก็คงไปพูดกับพ่อ ผมว่าพ่อชุนคงรู้เรื่องนี้แหละครับ เพราะชุนไม่น่าจะใช่คนที่ปิดบังอะไรขนาดนั้น และถ้าฮารุโตะเป็นคนดีที่จะทำให้ลูกชายเขาไม่เตลิดเปิดเปิงอีก ผมว่าพ่อชุนก็คงไม่ว่าอะไร (เพราะเอาจริงๆที่ชุนเตลิดไปก็อาจจะเพราะ side-effect จากการที่ฮารุโตะปฏิเสธชุนในสมัยม.ต้น)

ฉากความฝันของฮารุโตะนี่ทำผมน้ำตาซึมครับ คือแบบ...มันทำร้ายกันมากเลยอะ คือต้องเป็นเด็กสู้ชีวิตตั้งแต่อายุเท่าไหร่เนี่ย กลับบ้านก็ต้องรองรับความไม่มีวินัยของพ่อแม่ แถมพอไม่มีอะไรกิน ก็ต้องฝึกหุงข้าว ทำอาหารเอง เงินที่บ้านก็ไม่ทิ้งไว้ให้ ก็ต้องเอาเงินที่แอบหยอดกระปุกที่ได้จากค่าขนมวันละนิดเดียวเจียดมาซื้อ นี่มันจะไร้ความรับผิดชอบกับเด็กเกินไปแล้วครับ! คิดดู เด็กตัวปิ๋วหลิวไม่กี่ขวบขนาดนั้นเนี่ยนะครับจะให้มาสู้ชีวิต!? มันไม่ถูกเฮ้ย ถ้าเป็นตะวันตกนี่มีโอกาสเด็กจะนอกลู่นอกทางมากเลยนะครับ แต่เนื่องจากญี่ปุ่นมันเคร่งกฏหมาย หลังจากนั้นยังเสียบุพการี แล้วต้องมาเจอความไร้วินัยของบ้านเลี้ยงเด็กกำพร้าอีก เจอมรสุมขนาดนี้แถมฮารุโตะยังอุตส่าห์เป็นเด็กมองโลกในแง่ดีได้ขนาดนั้นอีก ทนทรมาน ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

ดังนั้นพอเจอฉากที่ฮารุโตะสุดกลั้นแล้ว คิดว่าเจอแต่คนใจร้ายตั้งแต่เกิด จึงสติหลุด(explode) พุ่งไปหยิบมีด แล้วก็ทิ้ง จากนั้นจึงเดินเหม่อไปแบบไร้สตินี่ผมนี่น้ำตาแทบร่วงอะครับ คือขนาดสติหลุดยังไม่ใช่หลุดแบบ extreme aggressive behavior ต่อต้านโลก แต่เป็นหลุดแบบ inner fragment broke (ชิ้นส่วนภายในใจแตกกระจายจนไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ทำไม) ปกติถ้าเด็กหลุดแบบนี้คือระยะสุดท้ายก่อนจะซึมเศร้าหรือใกล้จะไม่รับรู้สิ่งต่างๆแล้วนะครับ ฮารุโตะจิตใจพังทลายมาก และหวาดกลัวหวั่นไหวง่ายขึ้นอีกจากการที่ตัวเองเป็น terror-sensitive อยู่แล้ว ฮารุโตะปิดกั้นตัวเองมากถึงขนาดจะนอน ยังไปนอนในมุมแคบๆมืดๆที่ย่ำแย่ เพื่อตอกย้ำกับจิตใจตัวเองว่าคนอย่างเขา...คนที่ไม่มีค่าแบบเขาควรจะอยู่ตรงนี้เท่านั้น ซึ่งมันน่าสงสารมากครับ

ผมจึงคิดว่า สองคนข้างๆชุนนี่แหละครับ ที่น่าจะรั้งชุนไว้ได้หน่อย แล้วก็ค่อยๆตะล่อมฮารุโตะให้สงบ จากนั้นก็ค่อยๆล้วงความรู้สึกและอ่านพฤติกรรมฮารุโตะ เพื่อให้ชุนรู้ว่าต้องช่วยฮารุโตะยังไง (ซึ่งถ้าชุนรู้เรื่องทั้งหมดที่ฮารุโตะเผชิญมาตั้งแต่เด็กจริงๆ ผมว่าเขาไม่อยู่นิ่งแน่ๆ เขาต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ฮารุโตะกลับมายิ้มและมีความสุข พยายามที่จะเป็นคนที่ปกป้องและถมใจฮารุโตะแน่ๆ เพราะเนื่องจากแนวคิดเขาจะต่างกับซากิ ดังนั้นการแสดงออกมันก็น่าจะต่างกันน่ะครับ)
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 20 : 13/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 13-04-2017 06:08:18
เรื่องย่อ ตอนที่ 20
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
จู่ๆ ซากุราอิ ชุนก็กลับมาราวีฮารุโตะอีกครั้ง ทั้งที่ฮารุโตะคิดว่าชีวิตช่วงนี้กำลังจะดีขึ้นแท้ๆ แต่กระนั้นการที่มีชิมิซึ ซากิอยู่ใกล้ๆมันทำให้ฮารุโตะอุ่นใจไม่น้อย ขณะเดียวกันเพราะยึดติดกับซากิ นั่นก็เป็นสาเหตุให้ฮารุโตะทุกข์ทรมานใจไม่น้อย


ตัวละครประกอบ
1. อิชิอิ อาสะฮินะ เพื่อนของชิมิซึ ซากิ







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 20




วันสองวันที่ผ่านมานับตั้งแต่เขามาคอยดูแล มาคอยรับส่งฮารุโตะเป็นประจำ เขายังไม่ได้มีโอกาสเจอซากุราอิ ชุนเลยสักครั้ง จึงทั้งนึกสงสัยและนึกแปลกใจในการกระทำของหนุ่มรุ่นน้องร่วมสถาบันคนนั้น ด้วยเหตุนี้หลังจากแยกกับฮารุโตะ เขาจึงลองไปที่อาคารประจำคณะวิชาที่ซากุราอิ ชุนลงวิชาเรียนไว้ ชายหนุ่มก้าวเท้าขึ้นตึกพร้อมกับยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก

“วันนี้มีเรียนหรือเปล่า”เขาถามออกไปเมื่ออีกฝั่งของปลายสายกดรับ

“อืม มีอะไรหรือ”

“ถ้าตอนนี้จะไปหา สะดวกไหม”

ปลายสายตอบรับกลับมาพร้อมบอกสถานที่ เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดอย่างคุ้นทางเพราะเคยมาที่ตึกบ้างในบางครั้ง เปิดประตูห้องเรียนบรรยายซึ่งภายในมีแต่เหล่านักศึกษาปีสุดท้าย หลายคนในห้องหันมามองก่อนจะหันกลับไปสนใจงานของตัวเอง

“มาหาถึงนี่มีอะไรหรือ”คนที่เขาตั้งใจมาหาถามพร้อมรอยยิ้ม อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหน้าตาดีที่เขาเคยมีสัมพันธ์ด้วยเมื่อนานมาแล้ว

“พอดีมีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย”

“ถ้ามีเรื่องให้ช่วยก็ต้องมีของตอบแทนนะ”รอยยิ้มธรรมดาเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มมีเลศนัยทันที พร้อมกับปลายนิ้วมือของเจ้าตัวที่มาลากไปมาอยู่บนตัวของเขา

ซากิจับจ้องอยู่แต่กับใบหน้าของอีกฝ่าย “ของตอบแทนนี่หายากไหม”

“ไม่นะ อาจจะเป็นกินข้าวด้วยกันสักมื้อ เสื้อโค้ทสักตัว หรือกระเป๋าสักใบ หรือไม่บางทีอาจจะแปะโป้งไว้ก่อน”

“อย่างนั้นก็โอเค”

“ว่ามาเลย”คู่สนทนายิ้มรับเปลี่ยนท่าทีเป็นตั้งใจฟังทันที ซากิจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดรูปของซากุราอิ ชุนที่เคยถ่ายเก็บไว้

“หาคนตามดูรุ่นน้องคนนี้ให้หน่อย เรียนอยู่ปีสองคณะนี้”

“ก็พอได้ แต่ต้องจ่ายค่าจ้างแยกนะ”

“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

“ใจดีจัง”อีกฝ่ายพึมพำออกมาให้เขาได้ยิน ก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่น “วันนี้มาแค่นี้หรือ”

“ทีแรกตั้งใจว่าอย่างนั้น”

“แหม ถ้าไม่มีธุระคงจะไม่คิดถึงกันเลยสิ”ฝ่ายนั้นพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อจนเขาต้องหัวเราะออกมา

“ได้ข่าวว่า คบอยู่กับเด็กคณะวิศวะเลยไม่อยากเข้ามายุ่งย่าม”

ชายหนุ่มร่างเพรียวบางขยับเข้ามานั่งเบียดทำหน้าหงิกหน้างอยามที่พูดถึงบุคคลที่สาม “อย่าไปพูดถึงเลย เลิกไปแล้ว” แล้วหันมายิ้มอ้อนพร้อมกับพูดกับเขาว่า “วันนี้ไม่ต้องไปไหนแล้วใช่ไหม กินข้าวเที่ยงกับเรานะ”

คำถามนั้นทำให้ซากิลำบากใจนิดหน่อย

“นัดกับเด็กใหม่ไว้แล้วละสิ”แม้จะเป็นคำพูดประชดแต่น้ำเสียงที่ใช้กลับอ่อนหวานนุ่มนวลจนคล้ายหยอกเย้า “ใช่ซีนะ เรามันเก่าแล้วนี่นา”

“ใช่ซะที่ไหน ไม่อยากมีปัญหากับคนใหม่ของนายต่างหาก”

“ก็บอกว่าเลิกไปแล้ว”คู่สนทนาย้ำให้เขาฟังอีกครั้ง ก่อนน้ำเสียงจะกลับกลายเป็นออดอ้อนออเซาะเหมือนเดิม “นะ ไปกินข้าวเที่ยงกับเรานะ”ว่าพลางกอดแขนไถศีรษะคล้ายพยายามทำให้เขาใจอ่อน พร้อมกับบ่นหงุงหงิงว่าเหงาบ้างละ คิดถึงบ้างละ

“ถ้าหมอนั่นมาเห็นหรือมีปัญหากันต้องไปเคลียร์กันเอาเองนะ”เขาบอกซ้ำอีกครั้ง

“ใจเสาะขึ้นหรือเปล่าเนี่ย”คงเห็นว่าเขาเอาแต่พูดกังวลถึงบุคคลที่สาม อีกฝ่ายจึงถามออกมาด้วยความสงสัย

“อาจจะใช่... คงเพราะใกล้จะเรียนจบแล้ว ไม่อยากมีเรื่องเดี๋ยวประวัติไม่ดี”

“คร้าบๆ รับรองได้เลย”คนพูดยกยิ้มตอบรับด้วยความชอบใจ

หลังจากนั้นพวกเขายังพูดคุยกันอีกหลายเรื่อง กระทั่งถึงเวลาพัก พวกเขาจึงออกไปทานข้าวด้วยกันตามที่นัดไว้ แต่ว่าซากิเองนัดกับฮารุโตะไว้ก่อนแล้วเช่นกัน และเขาได้บอกเรื่องนี้กับชายหนุ่มร่างเพรียวที่เดินเทียบเคียงอยู่ด้านข้างไว้ก่อนแล้ว

“แล้วมาบอกเราว่าไม่ได้นัดใครไว้”อีกฝ่ายยังพูดย้ำ ซากิหัวเราะและตอบไปว่า “รุ่นน้องคนนี้ เขาไม่มีปัญหาหรอก เขาไม่ใช่พวกขี้หึงไม่เข้าเรื่อง พูดง่ายแล้วก็รู้จักฟัง”

คนฟังตีสีหน้าบึ้งตึงเพราะรู้สึกเหมือนโดนว่ากระทบ กระนั้นเขาไม่ได้ต่อความอะไรเพิ่มเติม

ซากิเดินไปถึงอาคารเรียนของฮารุโตะในจังหวะที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนกำลังเดินลงมาจากตึกพอดี และทันทีที่เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลหันมาเห็นเขา ฝ่ายนั้นได้ส่งรอยยิ้มกว้างมาให้ในนาทีนั้นเช่นดียวกัน

“นี่เพื่อนฉัน อิชิอิ อาสะฮินะ”ซากิเอ่ยแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน “สองคนนี้รุ่นน้องที่ชมรม มิอุระ ฮารุโตะกับซาโต้ ทาคุมิ”

“ยินดีที่ได้รู้จัก ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”เพราะอาสะฮินะกล่าวทักทายด้วยประโยคเต็มตามธรรมเนียม เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนจึงต้องโค้งศีรษะและกล่าวทักทายกลับด้วยประโยคเดียวกัน

“วันนี้ไปกินที่โรงอาหารแล้วกันนะ อิชิอิไม่มีข้าวกล่องน่ะ”เขาบอกพลางรุนหลังฮารุโตะให้เดินนำ

หลังจากเกิดเรื่องซากุราอิ ชุน นอกจากซากิจะมาคอยตามรับตามส่งหนุ่มรุ่นน้องแล้ว เขายังบังคับให้เด็กหนุ่มทั้งคู่ย้ายไปกินข้าวที่ห้องชมรม แม้จะเดินไกลอยู่สักหน่อยแต่น่าจะเป็นผลดีในหลายๆเรื่อง

“คนตัวเล็กๆนี่หรือ”อาสะฮินะกระซิบถามซึ่งซากิก็พยักหน้ารับ คนถามไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้

พวกเขาพากันมานั่งทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ เนื่องจากซากินัดกับฮารุโตะว่าจะมาทานอาหารกลางวันด้วย ฮารุโตะจึงเตรียมข้าวกล่องมาเผื่อสำหรับหนุ่มรุ่นพี่ ส่วนทาคุมินั้นเพราะเห็นฮารุโตะมีข้าวกล่องมาทุกวัน หลังๆมานี้เขาจึงเตรียมของตัวเองมาบ้าง

“อ้าว เราต้องไปซื้อข้าวคนเดียวหรือ”อาสะฮินะพูดทัก

“อืม ไปซื้อมา เดี๋ยวนั่งรอ”

“ชิมิซึ ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ ไม่รู้ว่าอะไรอร่อย”

“ก็เหมือนเดิมที่เคยมากินนั่นแหละ”ชายหนุ่มเจ้าของชื่อบอกปัดอย่างนึกรำคาญ เขาไม่ค่อยชอบคนที่เซ้าซี้ส่วนหนึ่งที่เลิกไปมาหาสู่กับฝ่ายนั้นก็เพราะเหตุนี้ ทว่าอาสะฮินะยังเป็นคนรู้จักใช้เสน่ห์และวิธีการพูดให้คนอื่นยอมทำตามความต้องการได้อยู่เสมอ

“เหมือนเดิม แต่เราไม่ได้มากินนานแล้วนะ ร้านราเมงเจ้านั้นที่เราบอกว่าอร่อยยังอยู่หรือเปล่า ร้านไหนไม่เห็นป้ายร้านเลย”

“โอเคๆ เดี๋ยวพาไป”ซากิลุกขึ้นยืนอย่างเสียไม่ได้ แม้เขาจะแสดงออกทางสีหน้าว่าเบื่อระอา แต่อาสะฮินะรู้จักเขามานานพอที่จะมองข้ามกิริยานั้นไป

คล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองคน ทาคุมิจึงยื่นหน้าไปพูดกับฮารุโตะว่า “เหมือนไม่ใช่เพื่อนธรรมดา กลับไปเย็นนี้ถามเลยนะว่าเป็นอะไรกับอิชิอิซัง”

“ไม่เอาหรอก จะถามทำไมไม่เห็นมีอะไรสักหน่อย”ฮารุโตะปฏิเสธทันควัน

“ไม่รู้อะไร เผื่อเกิดเป็นคู่ควงเก่าๆของรุ่นพี่ชิมิซึจะได้ตั้งรับทัน”

“ตั้งรับ? ตั้งรับอย่างไร”

ทาคุมิกลอกตาครุ่นคิด “ไม่รู้อ่ะ ยังคิดไม่ออก”

“ซาโต้ซังก็คิดมาก”ฮารุโตะบ่นซ้ำ

ทาคุมิเห็นรุ่นพี่ทั้งสองคนเดินกลับมายังโต๊ะจึงรีบหุบปากและส่งสัญญาณให้ฮารุโตะเงียบเสียงลงด้วย รุ่นพี่ชิมิซึทรุดตัวลงนั่งข้างฮารุโตะเหมือนปกติ ฝ่ายรุ่นพี่อิชิอินั่งอยู่ตรงข้าม ลงมือทานราเมงด้วยท่าทางปกติ แต่เด็กหนุ่มเชื่อว่าสองคนนี้ไม่ใช่เพื่อนกันธรรมดาแน่นอน ทั้งคำพูดทำจาของรุ่นอิชิอิ ทั้งปฏิกิริยาตอบรับที่รุ่นพี่ชิมิซึแสดงออก

เขากลอกตามองหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสองและเพื่อนสนิทของตนอีกรอบ ทาคุมิแน่ใจว่าถ้าสองคนนี้ไม่หลุดพูดว่ากิ๊กกันมาก่อน ฮารุโตะคงมองว่ารุ่นพี่ชิมิซึและรุ่นพี่อิชิอิเป็นเพื่อนกันปกติกันต่อไปแน่นอน ยิ่งคิดก็ยิ่งเซ็ง ที่ก่อนหน้าเขาคิดกังวลว่าฮารุโตะจะทุกข์ใจที่รุ่นพี่ชิมิซึควงคนโน้นควงคนนี้มาให้เห็น ที่ไหนได้ เพื่อนสนิทตัวเล็กของเขากลับไม่คิดอะไรสักอย่าง

พวกเขาทั้งสี่คนแยกย้ายกันหลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ ฮารุโตะเดินขึ้นตึกเรียนพร้อมทาคุมิ และแวะเข้าห้องน้ำก่อนเข้าห้องเรียน ฮารุโตะติดนิสัยไม่ชอบใช้โถปัสสาวะด้านนอกเพราะความทรงจำที่ไม่ดีสมัยเรียนมัธยม จึงเดินตรงเข้าห้องสุขาด้านใน ทว่าเมื่อเปิดประตูออกมาด้านนอกอีกครั้ง เขากลับพบอิชิอิ อาสะฮินะยืนพิงสะโพกกับเคาน์เตอร์อ่างล้างมือคล้ายรอใครสักคนอยู่

ฮารุโตะแค่ก้มศีรษะให้เพราะระหว่างทานอาหารพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก

“รู้จักกับชิมิซึมานานหรือยัง”

เขาเงยหน้ามองเจ้าของเสียงพูดก่อนหันมองรอบตัว เห็นไม่มีคนอื่นจึงแน่ใจว่าอีกฝ่ายน่าจะคุยกับตน “ปีกว่าแล้วครับ”

“เป็นอย่างไรบ้างล่ะ ชิมิซึดูแลคุณดีไหม”

“ครับ”ฮารุโตะตอบพร้อมพยักหน้ารับ สีหน้าออกอาการงุนงงปนแปลกใจ หนุ่มรุ่นพี่ต่างคณะจึงพูดบอกปลอบเขามาว่า “ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ผมไม่ได้คิดจะมาทำอะไร แค่แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมสเปคของชิมิซึถึงเปลี่ยนไปเยอะ อ่อ ต้องแนะนำตัวก่อนซินะ ผมเป็นแฟนเก่าของชิมิซึ”อาสะฮินะยกยิ้มเมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องที่อยู่ตรงหน้าเหลือบตามมองเขาแค่เพียงนิดเดียวก่อนจะรีบก้มหน้าหลุบตาลงมองพื้น

ฝ่ายฮารุโตะเหมือนหายใจไม่ออกขึ้นมา เขาก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว

“เราไม่ค่อยมีอะไรเหมือนกันเลยว่าไหม”

ฮารุโตะเหลือบมองแค่ปลายรองเท้าหนังของหนุ่มรุ่นพี่ แม้ไม่ต้องบอกแต่เขาย่อมรู้ตัว อีกฝ่ายหน้าตาดีกว่าเขา สูงกว่า หุ่นดีกว่า แต่งตัวดูดีกว่า และถึงจะยืนอยู่ห่างๆยังได้กลิ่นหอมสะอาดของน้ำหอมราคาแพงจากร่างกายของอีกฝ่าย

“จะว่าไปคู่ควงคนอื่นๆของชิมิซึก็ไม่ใช่แบบคุณ”หนุ่มรุ่นพี่ยังพูดต่อ “หรือเพราะชิมิซึอยากลองของแปลก”

ฮารุโตะประสานมือทั้งสองข้างบีบจับกันไว้ แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่เทียบเท่าคนอื่น แต่ไม่ได้อยากให้ใครมาพูดเปรียบเทียบตอกย้ำ เขาหันรีหันขวางอย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนจะรีบก้าวเท้าออกไปจากห้องน้ำ ก้มหน้าก้มตารีบเดินกระทั่งต้องมาชะงักเท้าเพราะโดนรั้งต้นแขนไว้

เขาสะบัดหนีทันที

“เฮ้ ฉันเอง”เสียงคุ้นเคยทำให้เขาเงยหน้ามอง ฮารุโตะโผเข้าไปกอดอีกฝ่ายทันทีที่เห็นหน้า

“เป็นอะไรน่ะ”ทาคุมิเอ่ยถาม ยกสองมือเก้ๆกังๆ เพราะทำอะไรไม่ถูกก่อนจะวางมือลงลูบหลังเพื่อนสนิท เขาออกจากห้องน้ำมาก่อนฮารุโตะ และยืนรออยู่ด้านนอก ตอนที่ออกมา เขาจำได้ว่าในห้องน้ำไม่มีใคร และระหว่างที่อยู่ด้านนอกก็ไม่มีใครเดินเข้าไป

“เกิดอะไรขึ้น”

ฮารุโตะเงยหน้ามองไปทางประตูห้องน้ำ ก่อนจะลากอีกฝ่ายให้เดินห่างออกมา “รุ่นพี่อิชิอิเป็นคนไม่ดีจริงๆด้วย”

“นายเจอเขา”ทาคุมิหันหน้ากลับไปมอง

คนถูกถามพยักหน้ารับ ระรัวบอกออกมาราวกับใครจะแย่งพูด“เขาบอกว่าเคยคบกับรุ่นพี่ชิมิซึ เป็นแฟนเก่า แล้วก็บอกว่าคนอื่นๆที่รุ่นพี่ชิมิซึเคยควงหน้าตาดีกว่าผมทั้งนั้น พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร เขาจะกลับมาคบกันอีกหรือ”ภายในสมองของฮารุโตะมีแต่คำถาม ถ้ารุ่นพี่ชิมิซึจะกลับไปคบกับแฟนเก่าแล้วมาให้ความหวังเขาทำไม มาบอกว่าจะอยู่ด้วยกันทำไม ต้องให้เขารักเท่าไหร่ เขาต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน รุ่นพี่ถึงจะพอใจ

“ใจเย็นๆก่อนฮารุโตะ”ใช้สองมือประคองใบหน้าของเด็กหนุ่มร่างเล็กให้เงยขึ้นสบสายตากับตน

“ฟังนะ อย่าเพิ่งคิดไปไกล สองคนนั้นจะกลับมาคบกันหรือเปล่า นายต้องถามจากรุ่นพี่ชิมิซึ ไม่ใช่คิดเองเออเอง”

ฮารุโตะเสสายตาเบือนหนี แล้วหลุบเปลือกตาลงต่ำ แม้ไม่อาจสงบใจให้ได้อย่างที่อีกฝ่ายต้องการแต่เขากลับยอมพยักหน้าตอบตกลง

“ตอนนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก อีกไม่กี่วันก็ถึงสอบปลายภาคแล้ว กลับมาคิดเรื่องสอบปลายภาคก่อน”

ได้ยินคำว่าสอบปลายภาค สติและสมาธิของเขาจึงกลับมาอยู่กับตัวอีกครั้ง หลังจากที่มันลอยหลุดไปอยู่โลกความคิดมโนเพ้อเจ้อ ฮารุโตะกะพริบตาถี่ๆราวกับพยายามไล่ฝ้ามัวที่บดบังวิสัยทัศน์การมองเห็น สูดลมหายใจเข้าปอด และพยักหน้ารับอย่างแข็งขันอีกครั้ง แม้เรื่องรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะสำคัญสำหรับเขา แต่เรื่องผลการเรียนต้องสำคัญที่สุด ฮารุโตะย้ำเตือนกับตัวเองเช่นนั้น





รูปที่อิชิอิ อาสะฮินะส่งมาทำให้เขามุ่นคิ้ว ก่อนจะส่งข้อความตอบกลับไปว่าส่งมาให้เขาดูทำไม

“อยากถามว่า ตอนนี้นายเป็นแค่คนในสต็อกของหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นหรือเปล่า”ทิ้งช่วงเวลาอยู่ครู่หนึ่ง ข้อความต่อไปก็ปรากฏให้เห็น

“หรือตอนนี้คบกันสามคน”

“จะเป็นอย่างไรก็ไม่ต้องมาอยากรู้หรอกน่า”

“เป็นห่วงนะ”อีกฝ่ายส่งมาแค่นั้นแล้วก็เงียบหายไป ซากิวางโทรศัพท์แล้วกลับมาให้ความสนใจการบรรยายของอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหน้า ทว่าสองสามนาทีต่อจากนั้น โทรศัพท์ของเขากลับมีการแจ้งเตือนการรับเข้าข้อความอีกครั้ง คราวนี้เป็นข้อความจากผู้หวังดีคนเดิมที่คอยส่งภาพของทาคุมิกับฮารุโตะมาให้เขาแล้วหลายครั้ง เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู

รูปภาพบนหน้าจอโทรศัพท์มือเป็นรูปของเด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนในอิริยาบถที่ทำให้คิดไปไกลได้ไม่ยาก ซากิมองภาพนั้นด้วยความลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดส่งต่อไปให้หนึ่งในสองคนที่อยู่ในภาพ และส่งเครื่องหมายคำถามตามไป

“รุ่นพี่อิชิอิมาคุยอะไรกับฮารุโตะก็ไม่รู้ครับ ฮารุจังเล่าประมาณว่าเขาเป็นแฟนเก่าของรุ่นพี่”

อีกอย่างที่เขาไม่ค่อยชอบใจในตัวอิชิอิ อาสะฮินะคือชอบทำอะไรลับหลังเขา

ชายหนุ่มอ่านข้อความอีกสองสามประโยคที่ถูกส่งตามมา แล้วจึงกดตัวอักษรถามกลับไปว่า “ตอนนี้โอเคหรือยัง”

“ครับ คิดว่าน่าจะดีขึ้นแล้ว กลับไปรุ่นพี่ช่วยเคลียร์เรื่องนี้ด้วยแล้วกัน”

เขาส่งสติ๊กเกอร์ตอบรับข้อความของอีกฝ่าย ก่อนจะเปิดหน้าต่างการสนทนาระหว่างเขากับอิชิอิ อาสะฮินะ

“เรื่องที่ขอให้ช่วย ฉันจะตอบแทนตามจำนวนผลงานที่นายส่งมา”

“เข้าใจแล้ว”ข้อความนั้นมาก่อนภาพของซากุราอิ ชุนที่มุมแอบถ่ายภายในห้องบรรยาย

“เดี๋ยวจะส่งให้ดูอีกเยอะๆเลยนะ”อาสะฮินะจบการสนทนาด้วยการส่งสติ๊กเกอร์รูปเด็กผู้ชายส่งจูบมาให้

ซากิกลอกตาพ่นลมหายใจออกมาและวางโทรศัพท์มือถือในมือลง หลังจากนั้นก็ไม่มีใครส่งอะไรมากวนใจเขาอีก กระทั่งหมดชั่วโมงเรียน ภาพของซากุราอิ ชุนในอิริยาบถต่างๆจึงถูกส่งมาเรื่อยๆ เขาเลื่อนดูภาพคร่าวๆก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า ก้าวเท้าไปตามทางเลี้ยวเดินไปยังอาคารของคณะวิทยาศาสตร์

ระหว่างที่ยืนรออยู่หน้าตึก ชายหนุ่มจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูภาพที่อาสะฮินะส่งมาให้ดูเรื่อยๆ คนที่อีกฝ่ายติดต่อให้ทำงานให้ ทำงานดีมาก ส่งภาพให้เขาดูทุกระยะทุกอิริยาบถจนถึงภาพที่ชุนขับรถออกจากมหาวิทยาลัย

“ตามไปถึงบ้านไม่ได้นะ รุ่นน้องที่จ้างให้ทำงานให้ไม่มีรถ แต่ถ้าอยากให้ตามไปถึงบ้านจริงๆ เดี๋ยวจัดการให้ทีหลัง”

“ไม่จำเป็น แค่ดูอยู่ในมหาวิทยาลัยก็พอ”ที่อยู่ของซากุราอิ ชุนมีอยู่ในข้อมูลที่เอคิจิหามาให้และเขาไม่ได้อยากตามติดชีวิตของซากุราอิ ชุนมากขนาดนั้น

เขาปิดโทรศัพท์เมื่อสายตาเหลือบเห็นฮารุโตะ และเมื่อเด็กหนุ่มรุ่นน้องเห็นหน้าเขาก็รีบเดินเข้ามาหาจนเกือบจะกลายเป็นวิ่ง คว้าจับเสื้อโค้ทกันหนาวของเขาไว้แต่กลับไม่ยอมพูดอะไร

ทาคุมิบอกลาแยกย้ายกันไปตรงนั้น เขาจึงวางมือโอบไหล่หนุ่มรุ่นน้อง พลางรุนหลังให้อีกฝ่ายออกเดิน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาเบือนหน้าหนีหันมองทางอื่นทันทีที่เห็นปฏิกิริยาตอบรับเช่นนั้น ซากิคิดในใจว่า ถ้าเขาสามารถใช้เงินซื้อนิสัยนี้ของฮารุโตะได้ เขาอยากจะซื้อมันไปโยนทิ้งเหมือนกัน

ชายหนุ่มปล่อยให้ระหว่างพวกเขาไร้คำสนทนาอยู่เนิ่นนาน ทว่าจู่ๆ ฮารุโตะกลับพูดขึ้นมาว่า

“รุ่นพี่ชิมิซึจะกลับไปคบกับรุ่นพี่อิชิอิหรือเปล่าครับ”

“ทำไมฉันต้องกลับไปคบกับเขา”ซากิหลุดปากพูดออกไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเองควรที่จะเปลี่ยนนิสัยบางอย่างด้วย “ไม่มีทางอยู่แล้ว ที่กลับไปคุยกันเพราะมีเรื่องให้ช่วย”

“จริงหรือครับ”เด็กหนุ่มร่างเล็กถามย้ำ สีหน้าแสดงออกว่ากำลังจดจ่อกับคำตอบ

“จริง และไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกหก”ซากิย้ำคำพูดของตัวเองให้อีกฝ่ายฟังซ้ำ สีหน้าวิตกกังวลของฮารุโตะจางหายไปทันตากลายเป็นเบิกบานคล้ายดอกไม้แรกแย้มไม่มีผิด

“เกิดอะไรขึ้นถึงถามแบบนี้”

เมื่ออารมณ์ดี ฮารุโตะจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟังทั้งหมด เล่าอย่างละเอียดราวกับจำคำพูดของอาสะฮินะได้ทุกคำ แต่มันคงจะไม่แปลกไปนัก ที่คนเราจะจำเรื่องที่ฝังใจได้ขึ้นใจ

“รุ่นพี่ชิมิซึ”ฮารุโตะเอ่ยเรียกชื่อของหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงที่อยู่ไม่ห่างด้วยน้ำเสียงเบาค่อย ช่วงเวลาอันยาวนานของวันนี้กำลังจะจบลง และพวกเขากำลังเตรียมตัวนอน

“หือ”ซากิขานรับขณะเหน็บผ้าคลุมฟูกอยู่อีกฝั่ง

ฮารุโตะอยากบอกกับชายหนุ่มว่า วันใดถ้าเบื่อเขาแล้วหรือมีคนอื่น เขาอยากให้อีกฝ่ายบอกกับเขาเนิ่นๆ เผื่อว่าเขาจะได้เตรียมใจได้ทัน แต่เมื่อนิ่งคิด... ก่อนหน้านี้เขาบอกตัวเองให้ห้ามใจอยู่เสมอ ก็ยังไม่สามารถทำได้ แล้วถ้าวันที่รุ่นพี่เดินมาบอกเขาว่า กำลังมีคนใหม่แล้ว เขาจะทำใจรับได้จริงหรือ

น่าแปลก ที่เราคิดได้ทุกอย่างในสิ่งที่เราควรทำ แต่เรากลับทำไม่ได้สักอย่างในสิ่งที่คิด ฮารุโตะคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ

“เงียบไปเลย”ชายหนุ่มออกปากทัก

“อยู่ด้วยกันตลอดไปได้ไหมครับ”

“ไม่ได้หรอก”ฟังคำตอบที่ไม่มีความลังเลนั้นแล้ว หัวใจของฮารุโตะพลันห่อเหี่ยวเจ็บปวดขึ้นมาอีก ทั้งที่น่าจะรู้อยู่แล้ว เขาได้แต่ก่นด่าตัวเองในใจ

“ถ้าเกิดฉันตายก่อนขึ้นมา นายต้องอยู่คนเดียวต่อไปนั่นแหละ”

“ไม่ได้หมายถึงอย่างนั่นซิครับ ผมหมายถึงอยู่ด้วยกันจนกว่าจะตายจากกัน หรือว่าที่รุ่นพี่ชวนผมไปอยู่ด้วยก็พูดไปเล่นๆ”

“ฉันดูไม่มีความน่าเชื่อถือขนาดนั้นเชียว”

ฮารุโตะมองหน้าคนถาม หนุ่มรุ่นพี่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของฟูกนอน และเขาตัดสินใจพูดออกไปตามตรง“แค่ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่”

ซากิจึงขยับเข้าไปหาพลางดึงอีกฝ่ายให้ย้ายมานั่งเผชิญหน้ากัน เขามองหน้าใบหน้าของหนุ่มรุ่นน้องที่เริ่มก้มหน้าต่ำลงเรื่อยๆ อากัปกิริยาที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวหวั่นประหม่า ไม่มั่นใจทั้งตัวเองและอนาคตข้างหน้า

“ไม่เห็นมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรเลย”เขาพูดและลอบมองปฏิกิริยาตอบรับของอีกฝ่ายที่เริ่มอยู่ไม่สุข “นายอาจกำลังคิดว่า ถ้าไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ ตัวนายจะไม่รู้ว่าควรตอบสนองการกระทำของอีกฝ่ายอย่างไร แต่สำหรับฉัน ทำไมต้องคอยสังเกตสีหน้าคนอื่น เราควรใช้ชีวิตอย่างที่ทำให้ตัวเองมีความสุขต่างหากละ”

อย่างรุ่นพี่ก็ทำได้นะซิ

“ใครๆก็ทำได้ ไม่ใช่เพราะเป็นฉันถึงทำได้”

ฮารุโตะเงยหน้ามองชายหนุ่มหน้าตาตื่น เพราะคิดว่าคำพูดประโยคก่อนหน้าตนแค่คิดในใจ แต่ในความเป็นจริง เด็กหนุ่มงึมงำออกเสียง ซากิที่คอยเงี่ยหูฟังอยู่แล้วจึงได้ยินมัน

ชายหนุ่มยื่นมือออกไปกุมมือฮารุโตะไว้ “ฉันเชื่อว่า ไม่มีใครทำร้ายตัวเราได้ ถ้าเราเข้มแข็งมากพอ แต่ความเข้มแข็งที่ว่าจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยวิธีไหน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”ซากิหัวเราะ

“รุ่นพี่พูดเหมือนว่าเป็นเรื่องง่ายๆ”

“แล้วนายคิดว่าการเรียนยากไหมละ”

ฮารุโตะกลอกตาก่อนจะพยักหน้ารับ

“แล้วนายผ่านมันมาได้ไหม”เขาหยุดพูดเพื่อให้หนุ่มรุ่นน้องตามความคิดของเขาได้ทัน “ทุกอย่างล้วนอยู่บนพื้นฐานเดียวกัน ในเมื่อนายสามารถใช้ความพยายามและความอดทนของตัวเองผ่านมันมาได้ นายก็สามารถใช้ความพยายามและความอดทนสร้างความเข้มแข็งของตัวเองขึ้นมาได้”

ฮารุโตะยู่หน้าคล้ายบ่งบอกว่าไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เขาจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วดึงร่างเล็กบางเข้ามากอด

“ฉันสัญญาไม่ได้ว่าจะไม่ทำให้นายเสียใจ แล้วก็ไม่สามารถรับประกันอนาคตได้ด้วย แต่ฉันมั่นใจความรู้สึกของตัวเองในตอนนี้”เขาแนบหน้าผากชนกับหน้าผากมนเนียนของเด็กหนุ่มรุ่นน้อง มองสบนัยน์ตาสีน้ำตาล กล่าวเอ่ยประโยคถัดไปที่ทำให้ฮารุโตะนึกดีใจในคราแรกที่ได้ยิน แต่ในยามที่ย้อนกลับมาคิดทบทวนอีกครั้ง คำพูดของอีกฝ่ายกลับคลับคล้ายก้อนเมฆที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ

“ฉันอยากใช้ชีวิตอยู่กับนาย”




หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 20 : 13/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 13-04-2017 06:11:23





ซากุราอิ ชุนเงียบหายไปจนเขานึกกังวล ไม่ใช่เพราะความเป็นห่วง แต่เพราะกลัวว่า ยามที่อีกฝ่ายปรากฏตัวให้เห็นหน้าอีกครั้ง ฝ่ายนั้นจะมาพร้อมพายุที่ถล่มให้ทุกอย่างราบคาบ ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างคือรุ่นพี่ชิมิซึก็หายไปด้วย ถึงจะไม่ใช่การหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว แต่การไม่ได้เจอหน้ากันนานๆสำหรับเขา มันสมควรถูกเรียกว่าหายไปอยู่ดี

“คิดถึงก็ไปหา คิดอะไรมาก”ทาคุมิพูดขึ้นมาอีกรอบ ฮารุโตะไม่ได้ตั้งใจนับว่ามันเป็นรอบที่เท่าไหร่ แต่ผู้เป็นเพื่อนพูดบ่อยเสียจนเขาเริ่มมีความคิดโน้มเอียงไปทางนั้น

ชั่วโมงเรียนของวันนี้จบลงแล้ว พวกเขาทั้งคู่จึงพาตัวเองมานั่งเล่นนอนเล่นที่ห้องชมรม เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายภาคเรียน ตารางการทำงานของชมรมจึงน้อยลง

“ไม่อยากไปกวน ช่วงนี้รุ่นพี่ต้องไปสัมภาษณ์เกือบทุกวัน”และถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ฮารุโตะรู้สึกเกลียดช่วงหางานทำของเหล่านักศึกษาขึ้นมาจับใจ

“ไปหาแค่แป็บเดียวคงไม่รบกวนมากหรอกมั้ง”

ฮารุโตะมองโทรศัพท์ในมืออย่างชั่งใจ มองชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของหนุ่มรุ่นพี่ด้วยอาการลังเล แล้วต้องสะดุ้งตกใจ เมื่อจู่ๆโทรศัพท์ในมือกลับแผดร้องส่งเสียงออกมา เขารีบกดรับและกรอกเสียงลงไป

“สวัสดีครับ”

“ฮารุจัง อยู่ไหน”น้ำเสียงจากปลายสายรื่นเริงอารมณ์ดีจนภาพใบหน้ายิ้มแย้มของหนุ่มรุ่นพี่ปรากฏขึ้นในศีรษะ

“อยู่ที่ห้องชมรมครับ”

“อย่างนั้นรออยู่ที่นั่นก่อนนะ”จากนั้นสายจึงได้ถูกตัดไป ทาคุมิเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เขาจึงบอกเล่าข้อความที่ได้คุยกับรุ่นพี่อาโอกิให้ฟัง และนั่งรอไม่นานนัก หนุ่มรุ่นพี่ที่บอกว่าจะมาหาก็มาถึงชมรม

“มีงานมาให้ทำอีกแล้ว”

ฮารุโตะยกยิ้มตามรอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาให้

“ร้านคอสเพลย์ที่ฮารุจังเคยเป็นแบบให้เมื่อปีก่อนจะทำโฟโต้บุ๊คฉลองครบรอบวันเปิดร้าน แล้วฮารุจังจะได้เป็นแบบถ่ายสามชุด”

“ผมด้วย ให้ผมถ่ายด้วยนะครับ”ทาคุมิยื่นหน้ามาพูด

“โน!!! เขากำหนดคนมาแล้ว ไม่ใช่นึกอยากจะเป็นแบบก็ได้เป็น”

“รุ่นพี่อาโอกิไปบอกเขาให้จ้างผมด้วยดิครับ”

“เอ๊ะ ไอ้เด็กคนนี้ บางอย่างเขาดูตามความเหมาะสม ฉันเป็นแค่คนรับงานไม่ได้เป็นเจ้าของ จะได้ไปสั่งให้เขาทำอย่างโน้นอย่างนี้”

ทาคุมิมุ่ยหน้า ทีเรื่องสนุกๆแบบกลับลืมเขาเสียได้

นาโอโตะหันไปคุยเรื่องตารางเวลาการทำงานกับฮารุโตะต่อ

“มันต้องมีถ่ายรูปรวมกับคนอื่นด้วยอันนี้ต้องรอนัด ส่วนรูปเดี่ยวเดี๋ยวได้ชุดมาแล้วพี่จะบอกอีกที”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ แล้วชวนคุยเรื่องการหางานหนุ่มรุ่นพี่หน้าสวย

“ยังไม่แน่ พี่มีความคิดที่จะทำธุรกิจของตัวเอง แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอะไรดี”

ทั้งฮารุโตะและทาคุมิต่างก็ร้องว้าวออกมาเกือบจะพร้อมกัน การทำธุรกิจของตัวเองนั่นหมายถึงการเป็นนายตัวเองไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร ไม่ต้องเจอภาวะกดดันในที่ทำงาน

“ใช่อย่างนั้นซะที่ไหน ทำธุรกิจของตัวเองอาจจะมีอิสระในการคิดตัดสินใจในการดำเนินการก็จริง แต่เราอยู่บนภาวะเสี่ยงว่าจะขาดทุนหรือเปล่านะ มันเครียดและกดดันตรงที่เราต้องได้กำไรธุรกิจของเราจึงจะอยู่รอด”

“แล้วรุ่นพี่จะทำอะไรละครับ”ทาคุมิถาม

“นั่นล่ะ ยังไม่แน่ใจเลย แต่ตอนนี้กำลังคุยเรื่องร้านเสื้อผ้ากับทซึคิโยะอยู่”

“ร้านของรุ่นพี่ต้องออกมาเยี่ยมมากแน่ๆ”ฮารุโตะพูดออกมา จินตนาการถึงกิจการร้านเสื้อผ้าของหนุ่มรุ่นพี่แล้วจุดประกายความคิดว่าถ้าในอนาคตเขาจะเปิดร้านขายอะไรสักอย่างเป็นของตัวเองบ้างคงจะดีไม่น้อย

“เอาไว้ ถ้าทุกอย่างลงตัวพี่จะเชิญเราทั้งสองคนไปงานเปิดตัวธุรกิจของพี่ด้วยแล้วกันนะ”

“ผมไปแน่นอนครับ”ทาคุมิตอบรับแข็งขัน

หลังออกจากห้องชมรมมาพวกเขายังคุยกันต่อเรื่องธุรกิจของนาโอโตะ  และลองคิดกันว่าถ้านักศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างพวกเขาเมื่อเรียนจบแล้วและไม่ได้ทำงานเป็นลูกจ้างในบริษัทควรจะขายอะไร

“ขายน้ำยาล้างห้องน้ำ”

ฮารุโตะขมวดคิ้วเมื่อได้ยินแนวคิดของทาคุมิ

“ผสมสูตรของตัวเองแล้วเปิดร้านวางขาย”คนพูดหัวเราะ “เอาไหม เรามาร่วมหุ้นกัน”

“แล้วใครจะมาซื้อ”

“แรกๆเราก็แจกฟรี หรือไม่ก็เอาไปแลกหนังสือพิมพ์เก่า”

“ในซุปเปอร์มาเก็ตก็มีผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดตั้งเยอะแยะจะไปสู้เขาได้หรือ”สีหน้าของฮารุโตะบ่งบอกว่าความคิดของทาคุมิเริ่มเพ้อฝันมากขึ้นทุกที และในความเป็นจริงเขาไม่จำเป็นต้องเดือดร้อนเรื่องการหางานทำ เพราะขอแค่เขาคงสถานภาพของนักเรียนทุนเช่นนี้ได้ เขาจะมีงานทำทันทีที่เรียนจบ

“มันควร...”ทาคุมิกลอกตาขึ้นมองด้านบน “เป็นสารที่เป็นออร์แกนิค เป็นสารธรรมชาติที่ให้ผลเท่ากับเคมีสังเคราะห์”

“ความคิดนี้ดี”ฮารุโตะร้องออกมา เพื่อนหนุ่มร่างสูงจึงพูดย้ำว่า ใช่ไหม ดีใช่ไหม เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับเป็นการยืนยันอีกรอบ และยกยิ้มประจบ

“ขอนะ จะเอาไปทำหัวข้อวิจัย”

“ทำน้ำยาล้างห้องน้ำเนี่ยนะ”

“ใช่ซะที่ไหน จะทำเรื่องสารสกัดจากธรรมชาติที่ให้ผลลัพธ์เท่ากับสารสังเคราะห์ต่างหาก อนุญาตแล้วนะ”ฮารุโตะมัดมือชก ทาคุมิจึงโวยวายขึ้นมาเพราะชื่อหัวข้อที่ฮารุโตะพูด ฟังดูเหมือนมีโอกาสที่อาจารย์ที่ปรึกษาจะอนุมัติให้ผ่านได้

ทาคุมิจึงบ่นหงุงหงิง พร่ำให้ฮารุโตะช่วยคิดหัวข้อให้ตนบ้าง ฮารุโตะหัวเราะทั้งท่าทางของเพื่อนหนุ่มที่ใช้ออดอ้อนให้เขาช่วยและรู้สึกพองในอกดั่งกับว่าเขาจะเหนือกว่าอีกฝ่ายอยู่บ้าง จากนั้นจึงรับปากว่าจะช่วย

พวกเขาช่วยกันติวหนังสือเตรียมตัวสำหรับสอบปลายภาคกันต่อหลังจากนั่งคุยนั่งเล่นกันมานาน ตกเวลาค่อนดึกจึงเข้านอนพร้อมกัน

เพราะหนุ่มรุ่นพี่ที่เหมือนจะคบหาอยู่กับเด็กหนุ่มเจ้าของห้องไม่สะดวกมาหา เขาจึงถือโอกาสนี้มานอนค้างด้วย หลังจากปิดไฟสอดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ทาคุมิยังชวนอีกฝ่ายคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ด้วยเสียงเบาๆ กระทั่งต่างฝ่ายต่างเริ่มหาว ถึงได้บอกราตรีสวัสดิ์อย่างจริงจัง

และเมื่อโดนทาคุมิโน้มน้าวอีกสองสามครั้งในเช้าวันถัดมา ฮารุโตะจึงตัดสินใจไปหารุ่นพี่ชิมิซึในช่วงพักเที่ยง ตอนเช้าเขาเตรียมข้าวกล่องให้หนุ่มรุ่นพี่และเตรียมอีกกล่องเผื่อให้ทาคุมิ แล้วก็ส่งข้อความไปหาชายหนุ่มร่างสูง ข้อความตอบกลับถูกส่งมาช่วงสายๆขณะที่เขากำลังเรียนอยู่ ทำให้เขาดีใจจนเกือบจะไม่มีสมาธิในการเรียน

อาการเร่งร้อนหน้าบานของเขาทำให้ทาคุมิเอ่ยแซวไม่หยุด ฮารุโตะไม่รู้จะโต้ตอบเช่นไร ได้แต่ก้มหน้าซ่อนอาการหน้าร้อนของตัวเองไว้ พลางพูดปรามให้เพื่อนหนุ่มหยุดแซวเสียที

“ถ้ายังไม่หยุด ผมไม่ยกข้าวกล่องวันนี้ให้”

“อุย ใจร้ายอ่ะ แหมเนาะฉันมันคนไม่สำคัญนี่นะ”พอโดนพูดตัดพ้อเช่นนั้น ฮารุโตะจึงเกิดอาการร้อนรน เพราะทาคุมิเป็นเพื่อนที่ดีของเขามาตลอด

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ซาโต้ซังก็สำคัญกับผมครับ”เห็นท่าทางจริงจังของคู่สนทนา ทาคุมิจึงรีบพูดบอกว่าล้อเล่น “อย่าคิดมาก แค่แซวเล่น”

ฮารุโตะหน้างอ พาลให้เพื่อนตัวสูงส่งเสียงหัวเราะ “ไม่รีบไปแล้วเรอะ เดี๋ยวรุ่นพี่ชิมิซึหายนะ”พูดพลางรุนหลังให้ฮารุโตะเดินนำ

“ครั้งหน้าอย่าล้อเล่นแบบนี้อีกนะ”

“คร้าบ ครับ ผมจะไม่ทำอีก”ทาคุมิรับคำด้วยท่าทางทะเล้นหน้าเป็น

เดินมาถึงโรงอาหารคณะสังคมศาสตร์ เด็กหนุ่มสองคนช่วยกันกวาดสายตาหาหนุ่มรุ่นพี่ที่ฮารุโตะนัดไว้ ก่อนที่สายตาของเด็กหนุ่มร่างเล็กจะเห็นหนุ่มรุ่นพี่นั่งคุยอยู่กับหญิงสาวคนหนึ่ง วินาทีที่เขาเห็นภาพนั้นฮารุโตะนึกอยากจะถอยเท้าหนีในทันที

“เดี๋ยวดิ ยอมง่ายๆได้ไง”ทาคุมิรั้งแขนเขาไว้ “แค่เห็นว่ารุ่นพี่คุยอยู่กับคนอื่น นายก็คิดไปไกลเก็บเอาไปเวิ่นเว้อซะแล้วมันใช้ได้ที่ไหน”

“แต่…”เด็กหนุ่มหน้าหงอย

“ไม่มีแต่ นายต้องเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ การที่รุ่นพี่ชิมิซึเขาอยากใช้ชีวิตอยู่กับนาย มันก็หมายถึงเขาอยากให้นายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เพราะฉะนั้นนายมีสิทธิ์รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรกับใคร แล้วไม่จำเป็นต้องหนีเวลารุ่นพี่เขาอยู่กับคนอื่น หรือมีคนเก่าของรุ่นพี่มาระราน เข้าใจไหม”

โดนทาคุมิจ้องหน้ากดดันเช่นนั้น ฮารุโตะจึงต้องพยักหน้ารับ และเขาก็ถูกรุนหลังอีกครั้งให้เดินเข้าไปหาหนุ่มรุ่นพี่

“สวัสดีครับ”ทาคุมิเอ่ยทักทายชายหนุ่มเมื่อเดินไปถึงโต๊ะที่อีกฝ่ายนั่งอยู่ ผู้ร่วมโต๊ะอีกคนซึ่งเป็นหญิงสาวหันมองพวกเขาแค่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวบอกลาชายหนุ่มคู่สนทนา ทาคุมิจึงกดตัวฮารุโตะให้นั่งลงข้างรุ่นพี่ชิมิซึ และพาตัวเองมานั่งอีกฝั่งพลางหยิบกล่องข้าวสำหรับกลางวันในกระเป๋าออกมาส่งให้รุ่นพี่และฮารุโตะ

“มีอะไรหรือเปล่า”ซากิถามเมื่อเห็นทั้งสองคนมีท่าทางแปลกๆ พร้อมกับมองหน้าฮารุโตะที มองหน้าทาคุมิที
ฮารุโตะและทาคุมิพร้อมใจมองหน้ากัน และพร้อมใจสั่นศีรษะปฏิเสธ ท่าทางมีพิรุธจนซากินึกอยากจะเอ่ยปากถามซ้ำ เพียงแต่เขาไม่อยากทำให้ช่วงเวลาสำหรับการทานอาหารกร่อยลง จึงลงมือทานแล้วถามถึงเรื่องอื่นเสียแทน

“เริ่มสอบกันวันไหน”

“วันที่สิบสามกุมภาครับ”ฮารุโตะตอบ “มีสอบทุกวันเลยครับ”

ซากิโคลงศีรษะรับรู้

“รุ่นพี่อาโอกิมีงานมาให้ทำอีกแล้วครับ รุ่นพี่จำที่ผมเป็นแบบถ่ายชุดคอสเพลย์เมื่อปีก่อนได้หรือเปล่า ปีนี้ทางร้านเขาจะทำโฟโต้บุ๊คแหละครับ”ฮารุโตะเล่าไปพลางทานอาหารไปพลาง ซากิส่งเสียงครางรับในลำคอ เอ่ยถามรายละเอียดอีกนิดหน่อย พร้อมทั้งชวนคุยระหว่างทานข้าว

จวบกระทั่งฮารุโตะทานอาหารเสร็จ ชายหนุ่มร่างสูงจึงลุกขึ้นยืนเดินตามหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนโดยตั้งใจว่าจะเดินตามไปส่งฮารุโตะที่ตึกเรียน แต่กระนั้นกลับมีเสียงเอ่ยเรียกเขาไว้เสียก่อน

“ชิมิซึซัง”

ทั้งสามคนหันไปมอง อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง

“กำลังตามหาอยู่เลย”เธอกล่าว ชายหนุ่มเจ้าของชื่อเลิกคิ้วเป็นเชิงสงสัย เธอจึงชูเอกสารในมือยื่นส่งมาตรงหน้า

“ฉันเอารายละเอียดการสอบเข้ามาให้”

เขารับมาถือแล้วกวาดสายตาอ่านรายละเอียดคร่าวๆ จากนั้นจึงยกยิ้มออกมา “ขอบใจมาก”

“แล้วอาจารย์เขาอยากคุยกับนายด้วย”

“อ่า... ขอบคุณที่บอก”

เมื่อหมดธุระเธอจึงกล่าวลา ซากิหันกลับมามองรุ่นน้องทั้งสองคน

“อย่างนั้นเดี๋ยวผมไปเรียนก่อนนะครับ”ฮารุโตะพูด

“ฉันไปส่ง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ รุ่นพี่ชิมิซึมีธุระไม่ใช่หรือ ผมกลับเองได้”

“ไว้ตอนเย็นฉันไปหา”

“ครับ”ฮารุโตะยิ้มรับ ก่อนโบกมือบอกลาอีกรอบ หมุนตัวหันหลังสาวเท้าก้าวเดินตามทางไปยังตึกเรียน

ทาคุมิเอี้ยวคอมองด้านหลังเล็กน้อย เห็นแค่แผ่นหลังของชายหนุ่มรุ่นพี่ไกลๆจึงเข้าไปเบียดกระแซะเพื่อนร่างเล็ก

“เห็นม่ะ ดูไม่มีอะไรเลย ถ้านายถอยหนีไปตั้งแต่ทีแรกแล้วเก็บเอาไปฟุ้งซ่านคนเดียว เครียดอึดอัดตายไปแล้วล่ะป่านนี้”

“ได้ที เอาใหญ่เลยนะ”

“ก็จริงอ่ะ คบกันนะ มีอะไรไม่เข้าใจก็ต้องถาม อยากรู้อะไรถามเขาเลย สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นก็ได้”

“รู้ดีจัง ฟังดูเชี่ยวชาญมาก”ฮารุโตะลากเสียงคำสุดท้ายเพื่อยืนยันว่าตนรู้สึกว่ามากอย่างนั้นจริงๆ คนโดนแซวจึงส่งเสียงหัวเราะ

“เชี่ยวชาญกว่าบางคนแถวนี้นั่นแหละ”ทาคุมิพูดบอกด้วยอาการลอยหน้าลอยตา ฮารุโตะจึงแสร้งเบ้หน้าคล้ายหมั่นไส้ให้ทาคุมิส่งเสียงหัวเราะออกมา

อย่างไรก็ดี ในตอนเย็นวันนั้นรุ่นพี่ชิมิซึที่สัญญาว่าจะมาหาได้ทำเพียงแค่ส่งข้อความผ่านโทรศัพท์มือถือมาว่า 

“ขอโทษนะ ธุระยังไม่เสร็จ ไว้จะโทรหา”

ฮารุโตะมองข้อความนั้นด้วยความเงื่องหงอยลง พาลให้นึกไม่ชอบใจชายหนุ่มร่างสูง นึกสงสัยว่ามีธุระอะไรนักหนา ไม่ต้องกินต้องนอนกันเลยหรืออย่างไร

“หน้างออีกละ”

“รุ่นพี่ชิมิซึไม่ว่างอีกแล้ว”

ทาคุมิโน้มหน้าไปเหลือบมองโทรศัพท์ในมือของฮารุโตะ “อ่อ ข้อความนั่นอ่านะ ก็ดีแล้วไงล่ะที่เขาส่งมาบอก”

“มีธุระอะไรนักหนาก็ไม่รู้”ฮารุโตะพูดออกไปตามที่ใจคิด

“เขาต้องธุระมีโน่นนี่บ้างแหละ อย่าคิดมากเลย”

ฮารุโตะหน้ามุ่ยด้วยความไม่ชอบใจ ทาคุมิจึงยกยิ้มพลางชวนคุยไปเรื่องอื่นให้อีกฝ่ายสบายใจ




หิมะตกหนักเกือบทุกวันจนผืนดินที่เคยเป็นสนามหญ้ากลายเป็นสีขาวโพลน ขอบถนนริมทางเดินมีแต่หิมะพูนหนา ซ้ำปุยหิมะยังร่วงหล่นโปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ฮารุโตะดึงฮูดขึ้นคลุมศีรษะกระชับผ้าพันคอและสอดสองมือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ ย่ำเท้าเดินด้วยความระมัดระวัง ยามที่ได้ขยับร่างกายเช่นนี้เหมือนว่าร่างกายจะอุ่นขึ้นเล็กน้อย

สองข้างทางตามทางเดินมีแต่ต้นไม้ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว ภาพทิวทัศน์บรรยากาศที่ได้เห็นทำให้เขานึกถึงภูเขาหิมะที่นางาโน่อีกครั้ง พลางคิดไปว่า น่าแปลกที่ปีนี้พวกรุ่นพี่ไม่เห็นนัดไปเล่นสโนว์บอร์ดกันอีก หรือเพราะวิทยานิพนธ์จะหนักหนาสาหัสจนขยับตัวไปไหนไม่ได้

ขณะที่คิดอะไรเพลินๆ พลันสายตาของเขาได้เหลือบเห็นชายหนุ่มรุ่นพี่ที่ทำให้ในใจรู้สึกขุ่นเคือง ฮารุโตะแสร้งเบือนหน้ามองฟ้ามองดินเพราะไม่อยากเอ่ยทักอีกฝ่าย ทว่าเหมือนกับอิชิอิ อาสะฮินะจะตั้งใจมาดักรอเจอเขาโดยเฉพาะ

“อรุณสวัสดิ์”อาสะฮินะเอ่ยคำทักทายพร้อมรอยยิ้มที่ประดับอยู่ที่มุมปาก

ฮารุโตะก้มศีรษะกล่าวตอบรับคำทักทายด้วยอากัปกิริยาแกนๆลวกๆ

“ฉันจะฝากคืนนี่ให้ชิมิซึหน่อย”

‘นี่’ ที่อีกฝ่ายพูดถึงคือถุงมือหนังสีดำซึ่งฮารุโตะไม่ได้ยื่นมือไปรับในคราแรก แต่ส่งเสียงถามกลับไป “ของรุ่นพี่ชิมิซึหรือครับ”

“อืม พอดีเมื่อวานชิมิซึลืมทิ้งไว้”

ลืมทิ้งไว้? ที่ไหน? ทั้งที่เมื่อวานบอกเขาว่ามีธุระ แต่กลับไปอยู่กับคนอื่น ฮารุโตะก้มหน้าลงมองพื้น ยื่นมือเขียวซีดเย็นเฉียบเพราะสภาพอากาศออกไปรับ

“ครับ แล้วผมจะเอาไปคืนให้”

ก้มศีรษะให้อีกฝ่ายซ้ำอีกครั้งก่อนจะรีบสาวเท้าจากมา ยัดถุงมือเย็นเฉียบที่ไม่ต่างกับใจของเขาใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อโค้ท

เขาไม่อยากคิดฟุ้งซ่านไปเองคนเดียว แต่ยามที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้มันกลับอดไม่ได้ รุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้รักเขา ฮารุโตะรู้ความจริงข้อนี้ ทว่าไม่อยากคิดถึงมันให้เป็นการทำร้ายใจตัวเอง รุ่นพี่ใจดีคอยเอาใจใส่และดูแลเขาตลอดมา ซ้ำยังกล้าพูดว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา เด็กหนุ่มจึงคิดว่ามันน่าจะเพียงพอแล้ว และเคยคิดว่า อีกฝ่ายจะไม่รักเขาหมดทั้งใจ หรือเขาจะไม่ใช่ที่หนึ่งก็ไม่เป็นไร ขอแค่เขายังมีความหมายสำหรับชายหนุ่มก็เพียงพอ

ถึงจะคิดได้ แต่หัวใจของเขากลับไม่ยอมรับความคิดนั้น ฮารุโตะไม่เข้าใจ ทั้งที่ร่างกายนี้เป็นของเขา แต่ทำไมเขาถึงไม่สามารถควบคุมมันได้ เขาคิดด้วยเหตุผล ยอมรับทุกอย่างตามความเป็นจริง กระนั้นหัวใจกลับยังคงเจ็บปวด

เขาสูดลมหายใจเย็นเยือกเข้าปอด ข่มกลั้นความปวดแปลบภายในอก

ทาคุมิเคยบอกว่า ถ้าสงสัยข้องใจหรืออยากรู้อะไรให้เขาถามรุ่นพี่ชิมิซึออกไป เพื่อนของเขาเคยบอกว่า สิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นเสมอไป ฮารุโตะพูดท่องประโยคเหล่านั้นในใจ ขณะที่โพรงจมูกเริ่มแสบร้อน พร่ำบอกตัวเองให้หนักแน่นเข้าไว้ และสูดลมหายใจเข้าอีกครั้ง คุมความคิดที่เตลิดเปิดเปิงให้กลับมาอยู่ ณ ปัจจุบัน ข่มความปวดหน่วงกดลึกลงดิ่งให้หายไปเสีย

ฮารุโตะสูดลมหายใจเข้าและพรูลมหายใจออกอีกครั้ง พร้อมกลับล้วงหยิบถุงมือหนังของหนุ่มรุ่นพี่ขึ้นมาดู ถุงมือคู่นั้นราวกับกำลังค่อยๆอุ่นขึ้นมา เขาจึงสอดมันกลับลงไปในกระเป๋า จากนั้นจึงยกเท้าเร่งก้าวเข้าในไปตัวอาคาร

เด็กหนุ่มถอดฮูดออกปัดปุยหิมะออกจากเสื้อผ้า เปิดประตูเดินผ่านประตูกระจกเข้าไป ฉับพลันที่ปะทะกับความอบอุ่นอันเกิดจากเครื่องทำความร้อนภายในอาคาร ร่างกายจึงสั่นสะท้านขึ้นมา เขาสาวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นบนพร้อมกับถูมือทำตัวเองให้อุ่นขึ้นอีกนิด

ที่ห้องชมรมถ่ายภาพบนชั้นสามมีรุ่นพี่อาโอกิมารออยู่แล้ว

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

หลังจากที่ส่งเสียงทักทายออกไป หนุ่มรุ่นพี่จึงหันมายิ้มให้

“เขาจะให้พี่วัดขนาดตัวของฮารุจังส่งไปให้”อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาพร้อมอุปกรณ์ในมือ เขาจึงถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกให้เหลือแต่เสื้อสเวตเตอร์ตัวใน “ทีแรกนึกว่าจะส่งชุดมาให้เลยแบบครั้งก่อนเสียอีก”

ฮารุโตะจึงยืนนิ่งปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่ทาบสายวัดกับร่างกายและจดรายละเอียดลงกระดาษ เพียงครู่เดียวทุกอย่างก็เสร็จเรียบร้อย

“ขอบใจมาก”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “ไม่เป็นไรครับ รุ่นพี่อุตส่าห์หางานมาให้เป็นผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ”

“พี่ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกเพราะทางร้านเขาเลือกฮารุจังต่างหาก พี่เป็นแค่คนกลางเท่านั้น แล้วมีเรียนแต่เช้าใช่ไหมวันนี้”

“ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

“จ้า ถ้ามีอะไรพี่จะโทรไปหา”

ฮารุโตะบอกลาซ้ำก่อนจะก้าวออกมาจากห้อง

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองท้องฟ้าขมุกขมัวด้านบน หิมะที่โปรยปรายลงมาตั้งแต่เมื่อคืนหยุดลงแล้วจึงให้ความรู้สึกเหมือนจะมีแสงสีทองของดวงอาทิตย์ส่องผ่านก้อนเมฆออกมาเล็กน้อย ยามที่ก้าวเท้าออกมาด้านนอกอาคาร อากาศเย็นเฉียบจึงกลับมาเล่นงานเขาจนคล้ายจะไม่อยากก้าวไปเผชิญซ้ำอีกครั้ง อย่างไรก็ดี เด็กหนุ่มทำได้เพียงฮึดเรียกกำลังใจและรีบก้าวเดินไปตามทาง

ฮารุโตะได้แต่มองพื้นถนนเพราะกลัวว่าจะลื่นล้ม ทำให้เขาไม่ทันได้สังเกตเด็กหนุ่มร่างสูงซึ่งสาวเท้าเข้ามาประชิด  รู้ตัวอีกทีนั่นเป็นตอนที่เขาถูกรวบยกลอยจนเท้าไม่ติดพื้น เขานิ่งงั้นไปในวินาทีแรกก่อนจะพยายามดิ้นรนร้องตะโกนให้คนช่วย ทว่าผู้ร้ายกลับส่งมือหนามาปิดปากเขาไว้เสียสนิท

เขาได้แต่ส่งเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ

และทันทีที่ถูกปล่อยในจุดที่เป็นซอกหลืบลับตาผู้คน รีมฝีปากหนาก็ถูกทาบทับตามลงมา ร่างกายถูกเบียดชิดกับผนังอาคารที่อยู่ด้านหลังจนทำให้ขยับได้ลำบาก เหลือเพียงสองมือที่ทำได้เพียงทั้งผลักทั้งดันร่างหนาหนัก ฮารุโตะกัดฟันเมื่ออีกฝ่ายขบย้ำเลาะเล็ม ก่อนจะต้องยอมเปิดปากเพราะถูกบังคับบีบปลายคางจนเจ็บ

อีกฝ่ายตะกละตะกลามกวาดต้อนดูดดึง รุกเร้าภายในคล้ายกระหายอยาก ฮารุโตะถูกเร่งเร้าให้ตอบสนองจนหายใจไม่ทัน สัมผัสกักขฬะราวกับจะกลืนกินทำลายทุกสิ่ง เขาได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา มองผู้ชายร่างสูงใหญ่ที่คุกคามเอาแต่ได้แต่เพียงฝ่ายเดียว พร้อมกับเรี่ยวแรงที่เริ่มเหือดหาย

ซากุราอิ ชุนผละออกไปให้เขาได้หอบหายใจเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะประกบริมฝีปากทับขบย้ำและสอดปลายลิ้นเข้ามารุกรานซ้ำๆ ภายในหัวใจของเขาเย็นเยือกเหมือนอากาศรอบกาย วงแขนหนาที่โอบรัดรอบตัวไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมากลับทำให้เย็นเยียบสั่นสะท้าน ฮารุโตะปล่อยให้อีกฝ่ายกอบโกยจนกว่าจะพอใจ

เสียงหอบหายใจของซากุราอิ ชุนดังก้องที่ข้างหูพอๆกับอาการหอบหายใจของเขา

“ปล่อยได้หรือยัง”ฮารุโตะถาม น้ำเสียงนิ่งเรียบไม่สื่อถึงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาของอีกฝ่าย

“พอใจแล้วใช่ไหม”เขากระชากเสียงถามด้วยความขุ่นเคือง จากนั้นจึงพยายามควบคุมน้ำเสียงในประโยคต่อมาให้เรียบนิ่งเหมือนเดิม“ผมไปได้หรือยัง”

“อย่ามาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้”

“แล้วจะให้ผมรู้สึกอะไร”ฮารุโตะถามทันควัน โพรงจมูกแสบร้อนขึ้นมาอีกครั้งทั้งรู้สึกถึงน้ำอุ่นร้อนที่เอ่อล้นขอบตา

...ไม่ว่าใครก็ทำเหมือนว่าเขาไม่มีค่า

“ถ้าอยากรู้ผมจะบอกให้ ผมทั้งรังเกียจทั้งขยะแขยง อยากจะอ้วกทุกครั้งที่คุณโดนตัวผม จูบของคุณมันห่วยแตกสิ้นดี พอใจหรือยัง”

“ทำไม”ชุนคว้าจับต้นแขนของฮารุโตะไว้ “ชอบมันมากนักเหรอ ชอบไอ้รุ่นพี่คนนั้นมากนักหรือไง”เขาตะโกนถามเสียงดัง

“มากกว่าคุณ มากกว่าคุณร้อยเท่าพันเท่า”ฮารุโตะเน้นย้ำคำพูดของตนด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน พาลให้อีกฝ่ายบันดาลโทสะเงื้อมือขึ้นสูง

“เอาเลย!!!”เขาร้องท้า “ตบเลย ต่อให้คุณตบผมจนตาย ความจริงที่ผมชอบรุ่นพี่มากก็ไม่เปลี่ยนอยู่ดี”ฮารุโตะเงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยแววตาท้าทาย มันก็เหมือนกับครั้งอื่นๆไม่ว่าจะพยายามอย่างไร สิ่งที่เขาต้องเจอยังคงเลวร้ายทุกครั้ง เมื่อคิดได้เช่นนั้น มันเหมือนจะเจ็บจนชินชาแต่กลับทำให้เขาไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายด้วยเช่นกัน

ชุนลดมือลง เปิดปากพูดช้าๆให้ฮารุโตะได้ยินทุกคำในประโยคของเขาให้ชัดเจน

“นายเป็นของฉัน และฉันจะไม่ยอมยกนายให้ใคร”

ชุนหมุนตัวเดินกลับไปเมื่อจบคำพูดนั้น และทันทีที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายหายลับไปจากครรลองสายตา เรี่ยวแรงที่เคยพยุงให้ฮารุโตะทรงตัวยืนอยู่ได้กลับหายไปฉับพลัน เขาทรุดตัวลงนั่งกองกับพื้น มือสั่นระริก ทั้งหัวใจยังคงเต้นระรัว อุณหภูมิร่างกายทำให้หิมะที่เขานั่งทับอยู่ละลายกลายเป็นน้ำจนกางเกงที่สวมใส่เปียกชื้น

ฮารุโตะส่งเสียงหัวเราะออกมาทั้งที่น้ำตาไหลอาบหน้า คำพูดของชุนดังสะท้อนก้องหู เขาเป็นของชุน เป็นแค่สิ่งของที่ชุนนึกอยากจะทำอย่างไรก็ได้

เด็กหนุ่มขบกัดฟันตัวเองไว้แน่น กลั้นก้อนสะอึกรสขมปร่าที่พยายามตีรื้นขึ้นมา อ้าปากสูดลมหายใจเข้าปอดหลายต่อหลายครั้งอาการปวดหน่วงในอกก็ไม่จางหายไปเสียที ฮารุโตะล้มตัวลงนอนกับพื้นอย่างหมดเรี่ยงแรง นอนนิ่งอยู่เช่นนั้นจนรับรู้แค่ความหนาวเย็นของหิมะรอบกาย




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 20 : 13/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-04-2017 14:13:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 20 : 13/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 13-04-2017 17:49:09
คนหนึ่งนิ่งขรึม วางเฉย แต่ฮารุโตะ ก็เฝ้ารอ คิดมาก แถมแฟนเก่ายังตามมาวุ่นวายให้เข้าใจผิด

อีกคนก็เข้าหา คุกคามประชิดตัวแถมจู่โจมสัมผัสลึกซึ้ง แต่อารุโตะไม่รู้สึกประทับใจ
แล้วยังบอกว่าฮารุโตะเป็นของเขา เขาไม่ยอมยกฮารุโตะให้ใคร
“นายเป็นของฉัน และฉันจะไม่ยอมยกนายให้ใคร”

ชีวิตมันก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้อย่างใจเอาซะเลย
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 20 : 13/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 13-04-2017 21:06:11
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 21 : 14/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-04-2017 05:52:57
เรื่องย่อ ตอนที่ 21
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
การกระทำของซากุราอิ ชุนมันตอกย้ำความไร้ค่าในตัวเองที่ถูกซ่อนลึกไว้ในใจของฮารุโตะ ครั้งหนึ่งชิมิซึ ซากิก็เคยทำแบบเดียวกัน หนุ่มรุ่นพี่คนนั้นก็เคยเอาเปรียบเขาทั้งที่เขาไม่ยินยอมเช่นเดียวกัน ยามที่เห็นซากิความเกลียดชังในใจของฮารุโตะจึงเหมือนจะปะทุขึ้นมา





春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 21





ซาโต้ ทาคุมิเคาะบานประตูตรงหน้าระรัวซ้ำอีกครั้งเมื่อมันยังคงเงียบสนิทพลางส่งเสียงเอ่ยเรียกเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้อง

“ฮารุโตะเปิดประตูหน่อย”

เขาใช้ความอดทนรออยู่หลายอึดใจกว่าที่เพื่อนสนิทผู้เป็นเจ้าของห้องจะมาเปิดประตู

ฮารุโตะหน้าแดงช้ำจากการร้องไห้และดวงตาแดงก่ำ เจ้าตัวยังคงอยู่ในชุดเสื้อโค้ทตัวยาวสีดำ ทว่ามันกลับเปียกชื้นจนเขาต้องร้องอุทานออกมา

“ทำไมยังใส่เสื้อเปียกแบบนี้ละ”เขารีบปลดกระดุมรูดซิปถอดเสื้อออกจากร่างกายของอีกฝ่าย เสื้อสเวตเตอร์ตัวในก็ชื้นจนเขาต้องรีบดึงถอดออกจากศีรษะ จากนั้นจึงหาเสื้อกับกางเกงตัวใหม่มาให้ฮารุโตะสวมทั้งยังดึงฟูกนอนและผ้าห่มออกมากาง หลังนำผ้าห่มผืนหนาคลุมร่างกายของเพื่อนสนิท เขาถึงได้สังเกตเห็นว่าภายในห้องไม่ได้เปิดฮีตเตอร์ด้วยซ้ำ

จัดการเปิดฮีตเตอร์เสร็จเรียบร้อย ทาคุมิจึงได้ทรุดตัวลงนั่งข้างๆฮารุโตะ

“เกิดอะไรขึ้น”

ฮารุโตะหันมองเขา จากนั้นน้ำตาที่คล้ายเพิ่งแห้งหายไปกลับรื้นปริ่มขึ้นมาอีก อีกฝ่ายขยับตัวเข้ามาใกล้และวางศีรษะไว้บนไหล่ของเขา

“ซาโต้ซัง”ฮารุโตะเอ่ยเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “รักผมบ้างไหม”

เด็กหนุ่มดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอด แม้จะยังไม่รู้เรื่องราวที่ทำให้ฮารุโตะกลายเป็นเช่นนี้ แต่เขากลับเศร้าใจจนน้ำตาไหลออกมา

“รักดิ ถ้าไม่รักคงไม่เป็นห่วงขนาดนี้”แม้จะพยายามทำเสียงให้ร่าเริง แต่ปลายสำเนียงยังสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด

“ดีใจจัง”

เสียงของฮารุโตะเหนื่อยแรงอ่อนล้าจนเขาต้องโอบรัดร่างเล็กบางไว้ให้แน่นพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาของตัวเอง เขานั่งเงียบลูบหลังปลอบโยนร่างเล็กบางในอ้อมกอด โดยไม่คิดถามอะไรทั้งสิ้น สำหรับเขา ฮารุโตะเข้มแข็งที่พยายามยืนหยัดต่อสู้กับสิ่งเลวร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพียงแต่อีกฝ่ายไม่มีใครที่คอยเป็นกำลังใจ ไม่มีใครที่คอยอยู่เคียงข้างเพื่อเป็นที่ปรึกษา คอยพยุงยามที่เจ้าตัวล้มลง ฮารุโตะได้แต่เพียงลองผิดลองถูกด้วยตัวเองเรื่อยมา

“วันนี้ผมเจอซากุราอิซัง”ฮารุโตะเริ่มต้นพูดอีกครั้งหลังจากที่นั่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ ชื่อนั้นทำให้ทาคุมิผละอีกฝ่ายออกเพื่อมองสำรวจ

“มันทำอะไรหรือเปล่า”

เด็กหนุ่มร่างบางผู้เป็นเจ้าของห้องตอบคำถามของเขาด้วยการแตะปลายนิ้วมือไว้บนริมฝีปากของตัวเอง

“เขาบอกว่าผมเป็นของเขา”แล้วหลุบตามองพื้นด้วยอาการเหม่อลอย “แต่เขากลับทำร้ายผมมาตลอด ซาโต้ซังจะไม่ทำแบบนั้นใช่ไหม”ประโยคสุดท้ายฮารุโตะหันหน้ามาถามเขา เสียงถามสั่นเครือระคนคาดหวัง

“อือ ไม่ทำเด็ดขาด ฉันสัญญา”

“ดีจัง”ฮารุโตะยกยิ้ม พูดต่อไปอีกว่า “ผมเองก็จะรักแต่ทาคุมิคนเดียว”

ทว่าคำว่ารักของฮารุโตะกลับฟังดูแปลกสะดุดหูกว่าทุกครั้ง  ทาคุมิขมวดคิ้วก้มมองเพื่อนสนิทที่แนบใบหน้าลงกับแผงอกของเขา ตั้งใจฟังถ้อยคำที่อีกฝ่ายพึมพำเสียงเบาออกมา

“ต่อไปผมจะอยู่กับทาคุมิ เราจะอยู่ด้วยกัน”

ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดตอบสิ่งใด ประตูห้องพลันถูกเปิดเข้ามาโดยแรง และเป็นชิมิซึ ซากิที่ยืนอยู่ตรงนั้น

หนุ่มรุ่นพี่ย่างเท้าเพียงสองสามก้าวก็สามารถมาประชิดตัวคนทั้งคู่ เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าวางมือประคองแผ่นหลังบางด้วยกิริยาเชื่องช้านุ่มนวล

ทาคุมิตั้งใจจะส่งร่างเพื่อนสนิทให้กับหนุ่มรุ่นพี่ ทว่าฮารุโตะกลับกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย

“ฮารุโตะเป็นอะไรล่ะ รุ่นพี่ชิมิซึมาแล้วนะ”

ไม่!!! ไหนทาคุมิบอกว่ารักผม จะไม่ทำร้ายผมไง แล้วทำไมจะส่งผมให้กับคนใจร้ายอีกแล้ว”ฮารุโตะส่งเสียงโวยวายออกมาไม่หยุด จับยึดร่างของทาคุมิไว้แน่นกว่าเดิม

คำพูดนั้นทำให้หนุ่มรุ่นพี่หน้าเสีย ทาคุมิมองหน้าอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจืดเจื่อน

“รุ่นพี่ชิมิซิครับ ถ้าอย่างไรกลับไปก่อนดีไหมครับ ถ้าฮารุโตะใจเย็นขึ้นเดี๋ยวผมโทรหา”

ซากิตวัดสายตาคมดุมองเจ้าของคำพูด ในอกปวดแปลบเพราะท่าทางปฏิเสธของฮารุโตะ ทั้งขุ่นเคืองที่ทาคุมิทำมาเป็นปากกล้ารู้ดี

“นายนั่นแหละที่ควรกลับไปได้แล้ว”พูดพลางจับกระชากคนทั้งคู่ให้ออกห่างจากกัน คว้าหลังคอเสื้อดึงทาคุมิออกไปโยนไว้นอกห้อง ปิดประตูลงกลอนกั้นเด็กหนุ่มอีกคนไว้ภายนอก

“คนใจร้าย เอาทาคุมิคืนมานะ”

ซากิเจ็บแปลบเสียดแทงในอกทุกครั้งที่ได้ยินฮารุโตะเรียกหาแต่คนอื่น ขณะเสียงเคาะประตูเสียงร้องโวยวายของทาคุมิดังแทรกเข้ามาไม่หยุด

“คนใจร้าย”ฮารุโตะร้องตะโกนต่อว่าพร้อมกับลุกขึ้นจะวิ่งไปที่ประตู

“หยุดนะมิอุระ”เขาคว้าจับร่างเล็กบางไว้แล้วกดอีกฝ่ายลงบนฟูกนอน “เป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีกเนี่ย”

“ใช่ ผมมันบ้า เพราะอย่างนั้นปล่อยนะ อย่ามาจับ ปล่อยผมเดี๋ยวนี้”เด็กหนุ่มร่างเล็กร้องโวยวายดีดดิ้นพลางร้องตะโกนโวยวายเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“ทาคุมิช่วยด้วย แจ้งตำรวจเลย ตำรวจ อุ๊บ!!!”

ซากิแนบริมฝีปากลงไปปิดปากอีกฝ่าย ทว่านี่กลับเป็นครั้งแรกที่ฮารุโตะไม่คล้อยตามทั้งยังพยายามดิ้นรนขัดขืนอยู่เช่นเดิม เขาดูดกลืนลมหายใจของอีกฝ่ายอยู่เนิ่นนานจึงได้ผละออกมา

ฮารุโตะอ้าปากหอบหายใจตัวโยน

“ตั้งสติหน่อยมิอุระ”เขาทอดเสียงนุ่มเอ่ยปลอบ

กระนั้นยามที่ฮารุโตะสามารถจับลมหายใจให้กลับมาเป็นปกติ เขากลับสาดคำพูดใส่อีกฝ่ายอย่างไม่นึกอยากยั้งคิด

“ผมขยะแขยง ผมรังเกียจ อย่าเข้ามาใกล้นะ ออกไปไกลๆเลย น่ารังเกียจ น่ารังเกียจ” คำพูดที่ถูกย้ำซ้ำๆนั่นราวกับตะปูที่ตอกลงกลางใจของชายหนุ่ม มันทำให้เขาเจ็บร้าวราวกับเลือดกำลังไหลอยู่ในอก แม้จะมึนงงสับสนว่าเหตุใดเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนที่เขาเคยคิดว่า หัวอ่อนว่าง่ายถึงได้เปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ กระนั้นเขากลับไม่อยากปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดลอยไปไกลสายตา

เขาโน้มหน้าลงแนบจุมพิตลงอีกครั้ง ปิดริมฝีปากที่ค่อยแต่จะพ่นคำพูดร้ายกาจใส่เขา ชายหนุ่มเจ็บช้ำจนเผลอไผลรุนแรง กระทั่งได้กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งอยู่ในปาก

เขาผละห่างออกมามองหน้าฮารุโตะที่มองเขาด้วยแววตาเลื่อนลอย น้ำตานองไปทั้งใบหน้า

“รุ่นพี่... ใจร้าย”

ซากิไม่คิดปฏิเสธ สอดกายขยับสะโพกเข้าหา พลางโน้มตัวแต้มจุมพิตที่ข้างขมับของหนุ่มรุ่นน้อง “นายเองก็... ใจร้ายเหมือนกัน”

เขาถอนกายออกขยับตัวมานั่งด้านข้าง  ฮารุโตะนอนหลับสนิทอยู่บนฟูกนอนโดยมีรอยจ้ำช้ำไปทั้งตัว ซ้ำอุณหภูมิร่างกายยังพุ่งสูงจนน่าเป็นห่วง เขาจึงดึงผ้าห่มคลุมร่างของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะลุกขึ้นเตรียมน้ำเตรียมเสื้อผ้าเพื่อผลัดเปลี่ยนให้เด็กหนุ่ม

เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของเขาอีกครั้ง

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ เกิดอะไรขึ้นน่ะ”เสียงของทาคุมิดังลอยออกมาจากหลังบานประตู “ฮารุโตะเป็นอะไรหรือเปล่า”

ซากิจึงเปิดประตูออกไป “ได้ยินหรือเปล่าล่ะ”

ทาคุมิหน้าแดง ถึงจะไม่ได้ยินชัดเจนแต่เขาพอจะเดาได้

“ไม่มีอะไรหรอกน่า กลับไปได้แล้ว”

“รุ่นพี่ไม่น่าจะทำแบบนี้เลย รู้ไหมครับว่าฮารุโตะเจอซากุราอิ”

“ฉันรู้ถึงได้รีบมาหานี่ไงล่ะ”

“รู้อย่างนั้นแล้ว ทำไมถึงได้ทำอะไรรุนแรงแบบนี้กับฮารุโตะด้วยล่ะครับ”

ชายหนุ่มไม่ตอบ เห็นหนุ่มรุ่นพี่นิ่งเงียบทาคุมิจึงพูดต่อ “ผมไม่รู้ว่ารุ่นพี่รักฮารุโตะบ้างไหม แต่ฮารุโตะรักรุ่นพี่นะครับ ทั้งที่คิดมากเรื่องคู่ควงคนอื่นๆของรุ่นพี่ แต่ก็ไม่เคยทำตัวงี่เง่าให้รุ่นพี่ไม่ชอบใจ รุ่นพี่ไม่ว่างมาหา เขาก็ได้แต่อดทน ทั้งที่อยากจะอยู่กับรุ่นพี่ตลอดเวลาแท้ๆ”

“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย”ซากิตวาดใส่  นึกขุ่นขวางที่ฮารุโตะพูดคุยกับทาคุมิมากกว่าเขา เพราะนั่นหมายถึง เขาไม่ใช่โลกของฮารุโตะ และมิอุระ ฮารุโตะก็สามารถอยู่ได้โดยไม่มีเขา

“ถ้าไม่อยากกลับก็อย่ามาเคาะประตูอีก รำคาญ!!!”ซากิเหวี่ยงประตูปิดใส่หน้าอีกฝ่าย  เขายืนนิ่งสงบสติอารมณ์อยู่หน้าประตูเช่นนั้นครู่ใหญ่ จึงกลับเข้ามาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฮารุโตะ และเปิดหายาแก้ไข้ หยิบกระปุกยาขึ้นมาดูพบว่ามันเลยวันหมดอายุไปแล้ว จึงลุกขึ้นหยิบกุญแจ กระเป๋าเงิน ดึงเสื้อโค้ทมาสวมและเปิดประตูห้อง

ทาคุมิยังคงนั่งอยู่หน้าห้องเช่นกัน

หลังปิดล็อคประตูห้องจึงคว้าคอลากให้อีกฝ่ายเดินตาม

“จะพาผมไปไหนครับ”

“กลับบ้านไปได้แล้วไป”ว่าพลางเหวี่ยงผลักหนุ่มรุ่นน้องให้ออกห่าง

“ทำไมครับ ฮารุโตะอยู่ในห้องคนเดียวไม่ใช่หรือ ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนน่าจะดีกว่า”

“ตกลงแกตั้งใจจะแย่งมิอุระกับฉันใช่ไหม”ซากิตะคอกถามด้วยอารมณ์ “ถึงได้เซ้าซี้ไม่เลิกแบบนี้ แกก็เห็นว่าเขาไม่เลือกฉัน ถ้าแกอยู่เมื่อไหร่ฉันจะได้คุยกับเขาดีๆ หรือแกตั้งใจจะเป็นศัตรูกับฉันจริงๆ”

“ทำไมรุ่นพี่คิดอย่างนั้นล่ะครับ ผมกับฮารุโตะเป็นเพื่อนกัน”

“แต่มิอุระเริ่มคิดว่าแกไม่ใช่แค่เพื่อนแล้วไม่รู้หรือไง”เขาตะโกนสวนทันควัน  หันรีหันขวางด้วยอาการหงุดหงิด เบือนหน้าหนีไปทางอื่นเพื่อระงับความฉุนเฉียวก่อนจะหันกลับไปมองหนุ่มรุ่นน้องต่างคณะอีกรอบ พร้อมเอ่ยถามซ้ำว่า

“ตกลงแกคิดกับมิอุระมากกว่าเพื่อนแล้วใช่ไหม”

ทาคุมินิ่งงันเพราะสับสนตัวเอง  เขาสนิทสนมกับฮารุโตะมากแต่ไม่เคยคิดไม่เคยสังเกต ว่าความสัมพันธ์ ความรู้สึกระหว่างพวกเขาแตกต่างจากคนอื่นหรือเปล่า

“กลับไปก่อน ถ้ายังไม่แน่ใจก็รีบกลับไปเลย”เขาตวาดไล่ซ้ำ อีกฝ่ายมองหน้าเขาแค่เพียงเล็กน้อยก่อนจะหมุนตัวก้าวเท้าจากไป คล้อยหลังหนุ่มรุ่นน้อง ซากิจึงยกมือขึ้นปิดหน้า ในอกขื่นขมจนกลั่นออกมาเป็นน้ำตา นึกกลัวขึ้นมาว่า เขาอาจจะแพ้อีกครั้ง...





ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เมื่อยามที่เขาลืมตาตื่นขึ้นบนฟูกนอนใต้ผ้าห่มอบอุ่น  ในห้องเงียบสนิทไร้เงาผู้คน ฮารุโตะรู้สึกเคว้งคว้างขึ้นมาจับใจ รู้สึกถึงความร้อนผ่าวปวดร้าวของร่างกายทันทีที่ขยับตัว สุดท้ายทุกคนก็ทอดทิ้งเขาไปหมด แม้แต่ทาคุมิที่ให้สัญญากับเขาไว้ก็ตาม

ฮารุโตะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าขนหนูผืนเล็กที่ถูกวางอยู่บนหน้าผากจึงร่วงลงมากองอยู่บนตัก เขาหยิบมันขึ้นมาดูพาลให้กระบอกตาร้อนผ่าวอีกครั้ง ก้มหน้ามองเสื้อแขนยาวที่ทำจากผ้าสำลีเนื้อหนาซึ่งตนกำลังสวมใส่อยู่ ฉับพลันน้ำตาได้ร่วงผล็อยหล่นลงมา ทั้งที่ร้ายกาจ ทั้งที่เย็นชาชอบทำตัวหมางเมิน แต่ชายหนุ่มก็เอาใจใส่ดูแลเขาอย่างดีมากเหมือนกัน

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ได้วางสายตาไว้ที่ใด

เขาไม่อยากเป็นเช่นนี้ ไม่ได้อยากเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้อยากทุกข์ทรมานกับการถูกทิ้ง ถูกทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ได้อยากเป็นคนไร้ค่าไม่มีความหมายในสายตาคนอื่น  เขา...ก็อยากมีความสุข

เขาพยายามแล้ว พยายามที่สุดแล้ว พยายามจนไม่ไหวแล้ว ทั้งพยายามและอดทนมาตลอด เพราะเชื่อว่าสักวันหนึ่งสิ่งดีๆจะต้องเกิดขึ้น

ไหล่ทั้งสองข้างไหวสะท้าน โน้มตัวลงนอนคุดคู้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอีกรอบ

ในทันใดนั้นเอง ฮารุโตะกลับลุกยืนขึ้นพุ่งตัวไปยังเคาน์เตอร์ หยิบมีดปลายแหลมที่ใช้สำหรับปอกผลไม้ขึ้นมาถือ ทว่าทันทีที่เห็นความคมวาวซึ่งสะท้อนแสงเข้าสู่สายตา เด็กหนุ่มก็โยนมันทิ้ง ยกมือขึ้นกุมศีรษะพลางดึงทึ้งเส้นผม ย่อตัวลงนั่งกับพื้น

เขาไม่เชื่อว่าความตายจะสามารถแก้ปัญหาได้ เพราะวินาทีก่อนตายยังต้องผ่านความทรมานแสนสาหัส ยามที่สายตาพร่าเลือนมองเห็นแต่ของเหลวสีแดงกำลังไหลนอง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่เพียงแค่นึกถึงก็นึกอยากจะอาเจียนขึ้นมา ร่างกายเจ็บปวดรวดร้าวและความรู้สึกหนาวจนสั่นสะท้าน  ได้แต่นอนนับเวลารอลมหายใจที่ค่อยๆรวยริน เพียงแค่นึกถึงเขากลับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ

ฮารุโตะรีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ทว่ากลับหน้ามืดซวนเซจนล้มลง จำต้องนั่งรออยู่เป็นครู่กว่าที่ภาพตรงหน้าจะกลับมาชัดเจน เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นยืนเดินไปสวมรองเท้า เปิดประตูเดินออกไปด้านนอก กลิ่นไอความเย็นของฤดูหนาวโชยมาปะทะนาสิก ทำให้ร่างกายซึ่งร้อนผ่าวรู้สึกเย็นลงได้ สายตามองเห็นหิมะโปรยปรายลงมา

เขาชอบฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็ชอบหิมะด้วยเช่นกัน หิมะที่ทำให้ทุกอย่างเป็นสีขาว หิมะสีขาวที่ทำให้ทุกอย่างเท่าเทียมกัน 

ฮารุโตะย่ำเท้าไปตามทางเดิน โดยไม่สนใจเกล็ดก้อนละอองน้ำซึ่งร่วงหล่นโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า  เขาเดินไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าตนเองต้องการไปที่ไหน ไม่รู้แม้กระทั่งตัวเองต้องก้าวเท้าเดินต่อไปเพื่ออะไร…


หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 21 : 14/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-04-2017 05:58:30



ซากุราอิ ชุนเพิ่งขับรถออกจากมหาวิทยาลัย เขาบังคับรถยนต์ให้เลี้ยวเข้าสู่ถนนซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างบล็อคที่หนึ่งและบล็อคที่สอง ที่นั่งด้านข้างคนขับเป็นของโคจิมะ มิชิโอะ ส่วนที่อยู่เบาะหลังคือโองาวะ อิซามุ ทั้งสองคนเป็นเพื่อน ที่จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่สามารถเรียกได้เต็มปาก ควรเรียกว่า ‘คนคุมความประพฤติ’ น่าจะเป็นคำที่ใกล้เคียงมากกว่า

โองาวะ อิซามุมีหน้าที่ทำให้ผลการเรียนของเขาอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเรียนจบได้ ส่วนโคจิมะ มิชิโอะมีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของเขาให้อยู่กับร่องกับรอย โดยหลักแล้วทั้งคู่จะแบ่งหน้าที่ชัดเจนไม่มีก้าวก่ายซึ่งกันและกัน

ชุนเปิดไฟเลี้ยวหมุนพวงมาลัยเลี้ยวขวาและเลี้ยวซ้ายตรงหัวมุมถนนอีกรอบเข้าสู่เขตบล็อคที่หนึ่งเพื่อเลี่ยงการจราจรติดขัดของแยกไฟแดง และเพื่อส่องหลังคาบ้านใครบางคน เขาคิดว่ามันเป็นการกระทำที่น่าสมเพช แต่เขาได้รับอนุญาตให้ทำเพียงแค่นี้หากยังอยู่ในสายตาของผู้คุมทั้งคู่ เขาชะลอรถให้ช้าลงเล็กน้อยยามที่ขับรถผ่านบ้านเช่าเก่าโทรมหลังนั้น

“ไม่เห็นจะมีอะไรน่าตื่นเต้น มาดูอยู่ได้ทุกวัน”เสียงอิซามุลอยมากจากด้านหลัง เขาไม่ตอบได้แต่สอดส่องสายตามองต่อไปเผื่อจะได้เจอใครที่ตนคาดหวัง

พ้นจากบ้านเช่าหลังนั้นเขาจึงเร่งความเร็วขึ้นอีกนิด เลี้ยวขวาเพื่อเข้าถนนอีกเส้นผ่านสวนสาธารณะที่กลายเป็นสีขาวโพลนเพราะหิมะในฤดูหนาว สายตาของเขามองไปยังถนนด้านหน้า แต่ไม่ได้ให้ความใส่ใจมากนัก กวาดสายตามองข้างทางไปเรื่อยเหมือนเช่นปกติ กระทั่งจุดรวมสายตาไปหยุดยังบุคคลหนึ่งซึ่งเดินอยู่อีกฝั่งของถนน เขาจับสังเกตร่างนั้นไม่วางตา ก่อนจะรีบหักพวงมาลัยจอดรถยนต์เข้าข้างทาง เปิดประตูลงจากรถและก้าวข้ามถนนโดยไม่สนใจรถยนต์ที่ขับสวนทางมาในอีกหนึ่งช่องจราจร กระนั้นเขาก็ยังไปถึงตัวของอีกฝ่ายยามที่เจ้าตัวล้มลงกับพื้นไปแล้ว

ชุนช้อนร่างเล็กบางที่ล้มอยู่กับพื้นขึ้นมาพยุงไว้

“โอ๊ะ!!!”อิซามุซึ่งตามมาถึงที่หลังร้องอุทาน

“ฮารุโตะ”เขาเอ่ยเรียกพลางตบหน้าของอีกฝ่ายเบาๆ ตัวของฮารุโตะเย็นเฉียบแต่ใบหน้าแดงก่ำร้อนจี๋

ชุนไม่รอช้า เขาอุ้มฮารุโตะยกลอยขึ้นร้องบอกเปลี่ยนหน้าที่ให้มิชิโอะไปขับรถ ส่วนเขาพาตัวเองย้ายมานั่งที่เบาะหลัง โอบกอดร่างเล็กบางซึ่งสวมเสื้อผ้าชื้นเย็นไว้ ทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล แต่อีกใจกลับเหมือนถูกล็อตตารี่รางวัลที่หนึ่ง ทั้งที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัยเดียวกันแต่เขากลับไม่เคยบังเอิญเจออีกฝ่ายเลยสักครั้ง ทุกครั้งที่ได้เจอกันมีแต่เขาที่ตั้งใจไปหา

“ขับเร็วๆหน่อย”ชุนเอ่ยเร่งแม้ระยะทางจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปถึงบ้านพักจะห่างออกไปแค่หนึ่งกิโลเมตร จากนั้นจึงร้องบอกให้อิซามุโทรศัพท์ตามหมอโดยด่วน

เขาจับมือที่เย็นจนเหมือนเป็นน้ำแข็งของฮารุโตะขึ้นมาเป่าลมร้อนจากปากลงไป ถอดเสื้อโค้ทที่ตนสวมอยู่มาคลุม พยายามทำทุกอย่างให้ร่างกายของอีกฝ่ายอุ่นขึ้นอีกนิด

และทันทีที่รถยนต์จอดสนิทที่หน้าบ้าน เขารีบอุ้มพาฮารุโตะเข้าไปด้านใน ก้าวพาร่างเล็กบางขึ้นไปยังห้องนอนของตน จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าเย็นชื้นของอีกฝ่ายออก ดึงผ้าห่มคลุมร่างที่นอนอยู่บนเตียงไว้ก่อนจะเข้าไปเปิดน้ำอุ่นในห้องน้ำ อิซามุเดินตามเข้ามาช่วยกดเปิดเครื่องฮีตเตอร์ให้ ขณะที่มิชิโอะเดินไปดูฮารุโตะซึ่งนอนอยู่บนเตียง

“ชุนเอาน้ำอุ่นออกมาเช็ดตัวก่อน”เขาร้องบอกคนที่ยังอยู่ในห้อง ทว่าชุนกลับออกมาพร้อมกับผ้าขนหนูหมาดน้ำผืนเดียว

“ไม่มีกะละมัง”

“อย่างนั้นเดี๋ยวไปเอาให้”มิชิโอะจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง

“หมอมาหรือยัง”ชุนหันไปถามอิซามุ

“ใจเย็นๆดิ เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว”เพื่อกันไม่ให้ชุนเอ่ยเร่งอะไรที่ไร้สาระอีก อิซามุจึงเดินเข้าไปดูน้ำในห้องน้ำ ยืนมองจนน้ำมีระดับสูงจึงชะโงกหน้าไปบอกเจ้าของห้อง

ชุนจึงอุ้มฮารุโตะมาแช่น้ำอุ่น และเติมน้ำเพื่อเพิ่มอุณหภูมิของน้ำขึ้นเรื่อยๆ

เขานั่งบนขอบอ่างประคองศีรษะของเด็กหนุ่มร่างเล็กให้พิงต้นขาของเขาไว้ และตีมือของอิซามุที่กำลังจะจุ่มลงไปในน้ำ

“หวงอะไรนักหนา เขาเสร็จคนอื่นจนตัวพรุนแล้ว ไม่เห็นหรือไง”

ใช่ว่าชุนจะไม่เห็นร่องรอยที่อิซามุกล่าวถึง ใช่ว่าเขาจะไม่เจ็บใจหรือเสียใจ เพียงแต่เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี คนที่เป็นของเขาหลุดลอยไปจนเกือบจะเอื้อมไม่ถึง ที่สำคัญฮารุโตะไม่เหลือเขาไว้ในจิตใจแล้ว

ชุนวักน้ำลูบตัวฮารุโตะ ปล่อยให้อีกฝ่ายแช่ตัวจนร่างกายอุ่นขึ้น จึงอุ้มร่างเล็กบางออกจากอ่าง อิซามุหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่มาช่วยห่อคลุมร่างของฮารุโตะไว้ ตอนที่กลับเข้าไปในห้องนอน หมอที่อิซามุโทรศัพท์ตามมาก่อนหน้าได้ยืนรออยู่แล้ว เขาเปิดทางให้หมอได้ตรวจดูอาการของคนป่วย

“เดี๋ยวหมอจะฉีดยาลดไข้ให้ และดูแลอย่างใกล้ชิด ถ้าภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงไข้ยังไม่ลดให้ตามหมออีกรอบหนึ่งนะครับ”นายแพทย์ฉีดยาให้ฮารุโตะตามที่บอก จ่ายยาไว้ให้ก่อนจะขอตัวกลับ

“เดี๋ยวฉันไปส่งหมอเอง จะลงไปทำมื้อเย็นด้วย”มิชิโอะพูด

บ้านหลังนี้พวกเขาอยู่กันแค่สามคน เป็นบ้านที่พ่อของเขาซื้อไว้เพื่อให้เขาอาศัยอยู่ช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ที่จริงผลการเรียนของเขาไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสามารถเรียนต่อในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้ แต่เพราะเงินบริจาคและเงินทุนสนับสนุนงานวิจัยที่พ่อของเขามอบให้แก่มหาวิทยาลัย ชุนจึงมีรายชื่อเป็นนักศึกษา มันคงจะง่ายกว่าถ้าเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งอื่น แต่เพราะที่อื่นไม่มีฮารุโตะ

เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่นั่งมองใบหน้าของคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทโดยไม่ละสายตาไปไหน ใบหน้าของฮารุโตะในปัจจุบันไม่ค่อยต่างจากในความทรงจำวันที่เขาได้เจออีกฝ่ายครั้งแรก ฮารุโตะในตอนนั้นดูเย็นชาและเย่อหยิ่ง ส่วนใหญ่เจ้าตัวมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆอยู่ที่โต๊ะ มาโรงเรียนโดยไม่ทักหรือไม่พูดคุยกับใคร ไม่จับกลุ่มเล่นกับเด็กคนไหน เขาต้องเค้นสมองแทบตายเพื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย ทว่าสิ่งที่ทำให้ฮารุโตะยอมคุยกับเขาเป็นเพียงแค่ลูกอมเม็ดเล็กๆ

เมื่อย้อนคิดกลับไปทีไร เขานึกขำทุกครั้ง แค่แบ่งขนมให้ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้แล้ว ทำไมตอนนั้นเขาถึงคิดไม่ออกจนต้องเสียเวลาเป็นเดือนๆ ชุนยังสงสัยมาถึงทุกวันนี้

กระนั้น วิธีดังกล่าวกลับไม่สามารถได้ผลไปตลอด และเขาได้ทำพลาดจนไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีก

ชุนจับยกมือของฮารุโตะขึ้นมาแนบแก้มของตนไว้ นึกถามอีกฝ่ายเงียบๆในใจ ..จะอภัยให้กันได้หรือเปล่า





ซากิจอดรถยนต์ไว้ที่หน้าบ้านเช่าซึ่งฮารุโตะอาศัยอยู่ ในรถยนต์มีของกินและยาที่เขาพึ่งแวะซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ต เขาก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังชั้นสองพร้อมล้วงกุญแจในกระเป๋ามาเตรียมเปิดประตู้ห้องของหนุ่มรุ่นน้อง แต่ต้องแปลกใจเมื่อเสียบกุญแจหมุนบิดกลับหมุนไม่ได้ เขาจึงหมุนกุญแจไปอีกด้านกลับกลายเป็นว่าประตูห้องถูกล็อคเสียแทน ซากิขมวดคิ้วหมุนเปิดล็อคอีกรอบ และหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบว่าภายในห้องว่างเปล่า เขาก้าวเข้าไปตรวจดูในห้องน้ำและกลับมาคลำดูฟูกนอนอีกครั้ง อุณหภูมิของฟูกยังอุ่น พลันสายตาเหลือบเห็นเสื้อโค้ทของฮารุโตะยังแขวนอยู่ที่ผนัง เขาเข้าไปตรวจดูกระเป๋าของฮารุโตะที่แขวนอยู่ข้างกัน ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงินหรือโทรศัพท์ยังอยู่ภายใน ที่หายไปมีเพียงรองเท้าผ้าใบคู่เดียว

เขาไม่คิดว่าฮารุโตะจะออกไปข้างนอกโดยไม่สวมเสื้อโค้ทกันหนาว เนื่องจากหิมะโปรยปรายลงมาแทบตลอดทั้งบ่าย แต่ฮารุโตะก็ไม่รู้จักเพื่อนบ้านคนไหนในห้องเช่าแห่งนี้

ซากิยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก และรู้สึกว่าอีกฝ่ายรับสายของเขาช้าเหลือเกิน

“มีอะไรหรือครับรุ่นพี่ชิมิซึ”

“มิอุระอยู่กับนายหรือเปล่า”

“ไม่นี่ครับ”อีกฝ่ายตอบกลับมา ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”

“มิอุระหายไป”ตอบคำถามของอีกฝ่ายพลางปิดล็อคประตูห้อง เขาสับเท้าลงบันไดพร้อมกับกดปลดล็อคกุญแจรถยนต์

“ช่วยมาหาหน่อย เดี๋ยวฉันจะโทรหาเรียวตะให้ช่วยหาอีกแรง”เขาพูดไปแค่นั้นก่อนจะตัดสาย บิดกุญแจสตาร์ทรถยนต์ อีกมือก็กดโทรศัพท์หาเพื่อนสนิท พร้อมกับถอยหลังรถยนต์ไปที่ถนนเส้นหลัก

“ว่าไง”

“แกอยู่บ้านใช่ไหม มิอุระหายไปออกมาช่วยหาหน่อย”เขาบังคับรถยนต์ให้เลี้ยวขวาคนละเส้นทางที่เขาขับผ่านมาเมื่อสักครู่

“หาย? หายไปไหนวะ”

“ถ้ารู้จะเรียกว่าหายไหม”เขาตะคอกกลับด้วยเสียงกรุ่นโมโห “รีบออกตามหาเถอะ”

“เออๆ นี่ก็อยู่หน้าบ้านแล้ว”

“แกหาให้เจอก่อนเดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”ซากิตัดสายชะลอรถเมื่อขับมาถึงสามแยก เขาไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนดี เพราะไม่รู้ว่าฮารุโตะในสภาพแบบนั้นอยากจะไปไหน

หรือจะไปหาหมอความคิดนั้นผ่านแวบเข้ามาในสมอง แต่ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลยเนี่ยนะ เขาถามตัวเองด้วยคำถามนี้ในใจ อย่างไรก็ตาม เสียงบีบแตรที่ดังมาจากรถยนต์คันข้างหลังกลับเป็นตัวเร่งให้เขาบังคับรถยนต์เคลื่อนที่ไปข้างหน้า

ชิมิซึ ซากิขับรถวนเวียนบริเวณนั้นอยู่หลายรอบ ทั้งยังลงไปเดินข้างทางในจุดที่รถไม่สามารถเข้าไปได้ กระทั่งเวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง เขายังคงไม่เจอคนที่ตามหา ชายหนุ่มจอดรถนิ่งกับที่ ยกสองมือกุมศีรษะด้วยท่าทีอ่อนแรง รู้สึกเคร่งเครียดกังวลจนล้าไปทั้งใจ

นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่จู่ๆฮารุโตะได้หายตัวไป แม้ไม่อยากคิดวิตกจริตไปล่วงหน้าแต่มันเป็นไปได้ยากที่จะคิดว่าฮารุโตะได้อยู่ในที่ปลอดภัย  ฝ่ายนั้นไม่มีทั้งเงิน โทรศัพท์มือถือ และไม่แม้แต่สวมเสื้อโค้ทกันหนาว ชายหนุ่มนึกโทษตัวเอง เขาควรจะให้ทาคุมิอยู่กับฮารุโตะ ไม่น่าคิดเล็กคิดน้อยงี่เง่าแบบนั้น เขาไม่ควรปล่อยให้หนุ่มรุ่นน้องอยู่คนเดียวทั้งที่รู้ว่าภาวะอารมณ์ของฮารุโตะไม่คงที่ ซากิกำหมัดทุบพวงมาลัยรถยนต์ด้วยอารมณ์คับแค้นกระวนกระวายปนความรู้สึกผิด ที่ฮารุโตะหายไปคราวนี้เพราะเป็นเขาคนเดียว!!!

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นดึงภวังค์ความคิดของเขาให้กลับมาสู่ปัจจุบัน เขาพ่นลมหายใจยาวและสูดลมหายใจยาวเข้าปอดก่อนรับสาย

“เจอไหม”หน้าจอระบุชื่อเรียวตะเป็นคนโทรเข้า เขาจึงเอ่ยคำถามนั้นออกไป

“ไม่ว่ะ ฉันว่าแกกลับมาตั้งหลักที่ห้องของฮารุจังก่อนดีไหม”

เขาคิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกันจึงได้ตอบตกลง เหยียบเบรกเพื่อเข้าเกียร์และวนรถยนต์กลับไปที่ห้องพักของเด็กหนุ่มรุ่นน้องผู้ซึ่งหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ที่รู้แน่ชัดว่าฮารุโตะหายตัวไปโดยไม่ใช่เจตนาของเจ้าตัว ไม่อย่างนั้นเขาคงโทรหาเอคิจิให้ช่วยจัดการเรื่องการตามหา ครั้งนี้ฮารุโตะอาจจะออกจากห้องไปด้วยความตั้งใจของตัวเอง แม้ตัวเขาจะยังติดใจเรื่องที่อีกฝ่ายออกไปตัวเปล่าก็ตาม

“ตึกนี้โทรมจะตายอาจจะมีผู้ร้ายก็ได้”ทาคุมิว่า

“ไม่น่าจะใช่ ตอนที่ฉันมาถึงประตูห้องอยู่ในสภาพปกติ แล้วสภาพทุกอย่างในห้องก็ปกติ”ซากิกุมขมับเพราะไม่รู้ว่าจะไปตามหาเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ที่ไหน ฮารุโตะกำลังไม่สบายเขาคิดว่าไม่น่าจะไปไหนได้ไกล

“ลองตามหาตามโรงพยาบาลกับสถานีตำรวจก่อนไหม อาจจะเป็นลมล้มพับไประหว่างทางแล้วมีพลเมืองดีมาเจอ พาฮารุจังไปส่งโรงพยาบาลก็ได้”เรียวตะเสนอความคิดเห็น

“นั่นสิ ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเช็คตามโรงพยาบาลและคลินิกแถวนี้”ซากิพูดพร้อมลุกขึ้นยืน

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ผมไปด้วย”ทาคุมิร้องบอก ลุกขึ้นรีบก้าวเท้าตาม เรียวตะจึงต้องปิดล็อคห้องและวิ่งตามไปเป็นคนสุดท้าย





ฮารุโตะกวาดสายตามองไปทั่ว มองหลังคาสูง พื้นไม้ขัดมันที่ถูกตีเส้นกรอบเป็นสนาม และแป้นบาสเก็ตบอลสำหรับเด็ก เขาแปลกใจที่เห็นภาพแบบนี้อีกครั้ง ทว่าเพราะมีลูกบอลมากระแทกศีรษะ เขาจึงหันเหสายตากลับไปตามทางของมัน

“เหม่ออะไร ไอ้ขี้แย ไปเก็บบอลมาซิ”

เขารีบหมุนตัวตามไปเก็บลูกบอลที่อีกฝ่ายบอก เพียงแต่ทันทีที่เขาหันหลังลูกบอลอีกหลายลูกกลับถูกโยนกระหน่ำใส่จนเขาล้มลง เขาได้แต่ปัดป้องก่อนครูประจำวิชาจะเข้ามาห้ามปรามพร้อมกับลงโทษพวกที่แกล้งเขาให้ทำความสะอาดโรงยิม เย็นวันนั้นเขาจึงต้องกลับบ้านพร้อมรอยจ้ำม่วงเต็มตัว

เขาเปิดประตูก้าวเท้าเข้าไปในห้องเช่า ในห้องไม่มีใครอยู่แต่ฮารุโตะยังคงพูดว่า ‘กลับมาแล้วครับ’ ด้วยเสียงเบาๆ เขาถอดรองเท้าวางเรียงไว้บนพื้น นำกระเป๋าไปวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กๆของตน จากนั้นจึงเดินเข้าครัว

ข้าวสารในถังหมดแล้ว ในตู้เย็นเองก็ไม่มีของสดเหลือ ฮารุโตะจึงวิ่งกลับมาที่ตู้แบบลิ้นชักข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ดึงลิ้นชักชั้นล่างสุดหยิบกระปุกออมสินออกมา แกะฝาปิดเหรียญใต้ท้องหมูออมสินออก เทเศษเหรียญที่ตนหยอดเก็บไว้ทุกวันออกมานับ กอบเงินใส่กระเป๋าและก้าวเท้าออกจากห้องไปอีกครั้ง

ร้านที่ฮารุโตะมาซื้อของเป็นร้านขายของชำที่ฮารุโตะรู้จักคุณป้าเจ้าของร้านมาตั้งแต่เด็ก คุณป้าจะขายของให้ตามจำนวนเงินที่เขามี บางครั้งก็แถมขนมมาให้อย่างครั้งนี้ ฮารุโตะเดินกินขนมไปพลางส่งเสียงร้องเพลงหงุงหงิงไปพลาง เมื่อหลายเดือนก่อนพ่อเอาทีวีไปขายเพราะที่บ้านไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ฮารุโตะจึงไม่มีโทรทัศน์สำหรับดูการ์ตูนอีก เพลงที่ร้องจึงเป็นเพลงจากการ์ตูนเรื่องเก่าเรื่องสุดท้ายก่อนที่โทรทัศน์จะถูกขายไป

กลับเข้ามาในห้องเขาลงมือหุงข้าวทำกับข้าวก่อนเป็นอันดับแรก ฮารุโตะเริ่มหัดหุงข้าวมาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ดังนั้นข้าวที่เขาหุงจึงไม่มีสภาพแฉะเละหรือดิบอีกต่อไป หลังจากทำกับข้าวเสร็จเขาถึงมานั่งทำการบ้าน

เขาอ่านหนังสือบ้างนั่งเล่นบ้างจนเวลาล่วงเข้าค่อนดึก และแม้จะหิวข้าว เขายังคงอดทนนั่งรอต่อไปเพื่อกินข้าวพร้อมพ่อ กระทั่งเสียงกุกกักที่ประตูดังขึ้น ฮารุโตะจึงรีบยันตัวลุกขึ้นนั่ง โน้มหน้ามองประตูซ้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่ามันถูกเปิดเข้ามาแน่นอนแล้ว เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปซ่อนในตู้บานเลื่อนและแอบมองผ่านช่องว่างเล็กๆ

“เอ๋! ใครหายไปน๊า”ชายหนุ่มผู้ซึ่งก้าวเข้ามายืนอยู่กลางห้องส่งเสียงถาม ฮารุโตะจึงยกยิ้มและเปิดประตูบานเลื่อนออกไป

“หนูเอง”เขาวิ่งเขาไปกอดขาของผู้ชายคนนั้น ชายหนุ่มที่ดูตัวใหญ่เหมือนยักษ์ในสายตาเขาจึงย่อตัวลงมาหา วาดสองแขนโอบตัวเขาไว้

ฮารุโตะยกยิ้มกอดรัดอีกฝ่ายไว้ด้วยสองแขนเล็กๆของตน

“พ่อ...”เขาพึมพำส่งเสียงเรียกออกมา ก่อนเปลือกตาทั้งสองข้างจะเปิดลืมขึ้น กวาดสายตามองเพดานและผนังแปลกตาไม่คุ้นเคย มึนงงอยู่เป็นครู่เพราะรู้สึกเหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะอยู่ในห้องเช่าที่อาศัยอยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็ก

“ตื่นแล้วหรือ”

เสียงคำถามที่ลอยมาให้ได้ยินทำให้เขาหันมอง และในวินาทีที่เขาเห็นเจ้าของเสียงถนัดตา เขาต้องสะดุ้งยันตัวลุกขึ้นนั่งกระเถิบถอยจนไปชิดหัวเตียง ฮารุโตะกวาดมองรอบตัวด้วยความระแวงอีกครั้ง

“นี่บ้านฉันเอง”

ยิ่งได้ยินคำอธิบายเรื่องสถานที่ ฮารุโตะยิ่งไม่สบายใจ เขาตั้งตัวเตรียมพร้อมจะวิ่งหนีถ้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ สายตาจดจ้องร่างสูงใหญ่อย่างไม่กะพริบ

วินาทีวัดใจยาวนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ เขากระโจนลงจากเตียงทันทีที่ชุนขยับตัว ยันตัวลุกขึ้นวิ่งทว่าต้องสะดุดล้มเพราะความยาวของขากางเกง ชุนจึงตะครุบตัวเขาไว้ได้

ฮารุโตะปัดป่ายถีบเท้าร้องโวยวาย แม้จะรู้ตัวว่าไม่เคยสู้ร่างหนาหนักที่ทับตนอยู่ด้านบนได้ก็ตาม สองมือถูกรวบจับไว้ได้ภายในเวลาไม่นาน จึงเหลือเพียงแค่การตะเบ็งเสียงกรีดร้อง

“ชุน ทำอะไรน่ะ”เจ้าของคำถามยืนมองด้วยความตะลึงงัน

เสียงร้องของฮารุโตะดังลั่นจนทั้งมิชิโอะและอิซามุต้องวิ่งมาดู ก่อนจะเป็นมิชิโอะที่ตั้งสติได้ไปกระชากตัวชุนออกมา และทันทีที่ฮารุโตะหลุดพ้นเป็นอิสระ ร่างเล็กบางก็รีบวิ่งหนีไปที่ประตู

“จับไว้ดิ”ชุนร้องสั่งพร้อมพยายามสะบัดตัวให้พ้นจากการจับกุมของมิชิโอะ

อิซามุวิ่งตามไปทันตอนที่เด็กหนุ่มร่างเล็กอยู่หน้าประตูชั้นล่าง เขาคว้าจับร่างของฮารุโตะไว้ได้ แต่กลับโดนเด็กหนุ่มกัดเสียจมเขี้ยวจนต้องยอมปล่อย ฮารุโตะเปิดประตูวิ่งออกไปด้านนอกโดยไม่สนใจสภาพอากาศ ทว่ายิ่งใจเสียเมื่อถนนหนทางรอบด้านล้วนไม่คุ้นตา ถึงอย่างนั้น เสียงฝีเท้าตึงตังจากภายในบ้านทำให้เขายิ่งลนลาน ก่อนจะรีบก้าวย่ำผ่านสนามไปแอบซ่อนอยู่ข้างตัวบ้าน

“หายไปไหนแล้ววะ”ชุนซึ่งตามออกมาทีหลังกล่าวสบถ เขาก้าวออกมาจากบ้านทั้งที่ยังสวมแค่รองเท้าสลิปเปอร์

“หาเลย หาให้เจอเดี๋ยวนี้เลยนะเว้ย”ชุนตะโกนตะคอกใส่ทั้งสองคนที่เดิมตามมาทีหลัง หัวเสียด้วยความร้อนรนเป็นห่วงเด็กหนุ่มร่างเล็ก ฮารุโตะไม่ได้สวมรองเท้าด้วยซ้ำ

มิชิโอะพยักพเยิดให้อิซามุไปทางซ้าย ก่อนจะส่งรองเท้าให้ชุน

“เปลี่ยนรองเท้าก่อน สภาพอย่างนั้นจะหนีไปไหนได้”

ฮารุโตะยกมือขึ้นกลั้นเสียง ตระหนกหวาดกลัวจนนึกอยากร้องไห้ขึ้นมาครามครัน เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามานอนอยู่ในบ้านของชุนได้อย่างไร ร่างกายสั่นสะท้านจากความเย็นและความหวาดหวั่นจนปากสั่น เขานั่งรอฟังเสียงฝีเท้าของคนทั้งคู่ให้ออกห่างไปไกล จึงลุกเดินออกจากที่ซ่อน กลับออกไปหน้าบ้าน มองซ้ายมองขวาแต่ไม่เห็นทั้งสามคนนั้นในขอบข่ายสายตา เขาจึงหันมองตึกอาคารรอบด้านอีกครั้ง และยกมือขึ้นปาดน้ำตา

กางเกงขายาวกรอมเท้าทำให้เขาเดินไม่ถนัด แต่ฮารุโตะไม่อยากอยู่แถวนี้นานๆเพราะไม่รู้ว่าพวกชุนจะกลับมาเมื่อไหร่ เขาก้าวเท้าไปตามทางเดินที่เย็นเฉียบ ไฟถนนสองข้างทางทำให้เขาเห็นบริเวณโดยรอบ กระนั้นเขายังคงไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหน นึกย้อนคิดถึงเหตุการณ์ตอนที่ตนเดินออกจากห้องมาด้วยความเสียใจ ฮารุโตะไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองคิดอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆคือเขาไม่ได้อยากเจอเหตุการณ์แบบนี้

เขาเริ่มสะอึกสะอื้นเพราะความหวั่นกลัวอันหลากหลาย

ทว่าอาการเศร้าโศกของเขามีอันต้องหายไปฉับพลันเมื่อเขาโดนรวบอุ้มอีกครั้ง ถูกมือใหญ่ปิดปากจนไม่อาจส่งเสียงร้องได้อีก อาคารบ้านเรือนแถบนั้นถูกสร้างให้ตั้งอยู่ไม่ห่างกันนัก เพียงแต่ท้องฟ้ามืดดำด้านบนบ่งบอกเวลาว่าน่าจะเป็นยามดึกสงัด สองข้างทางจึงเงียบเชียบไร้ผู้คน

ฮารุโตะถูกอุ้มกลับมาทิ้งยังห้องเดิม แม้จะถูกปล่อยให้เป็นอิสระแต่เขาทำได้เพียงนอนกองหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะพยายามดิ้นรนขัดขืนมาตลอดทาง ภาพที่เห็นผ่านม่านตาพร่าเลือนมืดดำจนเขาต้องหลับตาอยู่นิ่ง คิดด้วยความเสียใจซ้ำไปซ้ำมา ที่ปฏิเสธการไปเรียนต่อสู้ตามคำแนะนำของทาคุมิ

เด็กหนุ่มปล่อยน้ำตาให้ไหล สมองจินตนาการไปไกลถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเบื้องหน้า

“ฮารุโตะ”

เสียงเรียกชื่อพร้อมสัมผัสตรงต้นแขนทำให้เขาสะบัดตัวหนี ถอยหลังกรูไปเบียดชิดหัวเตียง ภาพตรงหน้ายังคงพร่าเลือนจนทำให้เขาอยากจะล้มตัวลงนอน

“ชุน ถอยออกมาก่อนเดี๋ยวฉันคุยเอง”

ฮารุโตะจำไม่ได้แล้วว่าคนพูดชื่ออะไร และถึงแม้อีกฝ่ายจะคอยห้ามปรามชุนไม่ให้ทำอะไรรุนแรงตอนที่มาระรานเขา แต่การที่ฝ่ายนั้นทำเพียงมองดูเขาถูกรังแกอยู่เฉยๆ เด็กหนุ่มก็ตีความเหมารวมว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนไม่ดีเช่นกัน

“ใจเย็นๆแล้วตั้งใจฟังก่อนนะมิอุระซัง พวกเราไม่ได้คิดจะทำร้ายนาย ชุนเป็นคนเจอนายเป็นลมอยู่ข้างถนน เลยพามาพักที่บ้านเท่านั้น ถ้านายหายดี เราจะพานายกลับบ้าน โอเคไหม”

“ไม่นะ ฉ...”ชุนโดนอิซามุรัดคอปิดปากไม่ให้พูดอะไรที่จะทำให้ฮารุโตะเตลิดมากไปกว่านี้ ก่อนอิซามุจะใช้แรงบังคับลากร่างสูงใหญ่ออกไปจากห้อง

เสียงโวยวายของชุนยังคงดังมาให้ได้ยิน แว่วผ่านประตูเข้ามาว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ให้เขากลับ

“ฉันจะพานายไปส่งที่บ้านจริงๆ”มิชิโอะพูดย้ำยืนยัน “คืนนี้จะไม่ให้ชุนเข้ามายุ่งวุ่นวายกับนายอีก แต่นายกำลังไม่สบาย ฉันอยากให้นายเข้าไปแช่น้ำอุ่นเปลี่ยนเสื้อผ้า กินข้าวกินยาแล้วนอนพัก เดี๋ยวฉันจะออกไปเตรียมของ ระหว่างนี้นายก็ไปอาบน้ำซะนะ”

มิชิโอะออกไปแล้ว แต่ฮารุโตะยังลังเลไม่รู้ว่าควรเชื่ออีกฝ่ายดีหรือไม่ กระนั้นร่างกายของเขากลับอ่อนล้าจนฝืนทนแทบไม่ไหว ฮารุโตะรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่ค่อยๆพุ่งสูงขึ้นของตน จึงยอมหยัดตัวเดินโซซัดโซเซเข้าไปในห้องน้ำ จัดการถอดเสื้อผ้าและเปิดฝักบัวใช้น้ำอุ่นราดตั้งแต่ศีรษะ ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาอีกครา

เขาไม่ใจเย็นพอจะแช่น้ำอุ่นอย่างสบายใจ จึงรีบอาบน้ำ ใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งและแง้มประตูส่องดูสถานการณ์ในห้องนอน เห็นมิชิโอะกำลังเปลี่ยนผ้าปูที่นอนบนเตียง เมื่ออีกฝ่ายหันมาเห็นเขาจึงรีบปิดประตูลงกลอนอีกครั้ง จากนั้นไม่นานเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

“ฉันวางเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้หน้าห้องน้ำนะ ส่วนข้าวกับยาวางอยู่ที่โต๊ะหน้าโซฟา”

เด็กหนุ่มที่อยู่ในห้องน้ำไม่ได้ส่งเสียงตอบรับ ฮารุโตะเพียงแค่แนบหูฟังผ่านบานประตู ทว่าเสียงภายนอกกลับเงียบสนิท ยืนรออยู่เช่นนั้นกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปหลายนาที อากาศเย็นเริ่มมีอิทธิพลกับเขาอีกครั้ง  จึงยอมแง้มประตูออกไปดูด้านนอก

ภายในห้องนอนไม่มีใคร ฮารุโตะจึงยอมก้าวเท้าออกมา

เขารีบสวมเสื้อผ้า และก้าวเท้าไปยังชุดโซฟาหน้าทีวี เด็กหนุ่มทรุดตัวลงนั่งทานข้าวด้วยความหิวโหย ทว่ากลับตักทานไปได้ไม่กี่คำ เขาเจ็บคอ มวนท้องและหนักศีรษะจนอยากจะล้มตัวลงนอน แต่ในใจรู้สึกหวาดระแวงไม่กล้าหลับตา

ฮารุโตะยกยาและน้ำขึ้นทาน เอนตัวพิงพนักโซฟาอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายเหนื่อยล้าคล้ายจะหลับลึกเสียให้ได้ กระนั้นอีกครู่หนึ่งต่อมา เด็กหนุ่มกลับสะดุ้งตื่นฉับพลันหันมองซ้ายมองขวาด้วยความระแวงกลัว แล้วลุกขึ้นเดินไปซวนเซไปกดล็อคประตู กลับไปที่เตียงดึงเอาผ้าห่มผืนหนามาคลุมห่มร่างกาย กวาดสายตามองรอบห้อง เดินเข้าไปใกล้บานประตูทึบซึ่งถูกติดตั้งอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของผนัง เปิดเข้าไปเป็นห้องเล็กๆที่มีเสื้อผ้าแขวนอยู่บนราวอย่างเป็นระเบียบ รองเท้า กระเป๋า เครื่องแต่งกายถูกจัดแยกเป็นหมวด ทั้งยังมีกระจกเงาบานเต็มตัวตั้งอยู่

เขาปิดประตูทึบด้านหลัง เดินเข้าไปด้านในสุดที่แขวนโค้ทยาวไว้เป็นส่วนใหญ่ แทรกตัวเข้าไปในช่องว่าง ขดตัวนั่งพิงผนัง พร้อมดึงเก็บชายผ้าห่มให้ชิดตัว อากาศภายในห้องนี้เบาบางค่อนข้างหายใจลำบาก แต่เขาไม่ได้นึกกังวลถึงเรื่องนั้น สิ่งที่คิดมีเพียง ...ถ้ามิชิโอะพูดโกหก เขาจะทำอย่างไร




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//เนื่องจากตอนนี้ ชุนมีการกล่าวถึงความหลัง เราจึงแปะตอนพิเศษไว้ที่Reply ต่อไป//*



หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Special I : 14/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 14-04-2017 06:04:52
Special I: First time that we met




เขาไม่อยากไปโรงเรียน เขาเกลียดโรงเรียน ยิ่งพ่อทิ้งเขาไปด้วยแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่าจะเรียนไปทำไม

เด็กชายเงยหน้ามองครูประจำชั้นซึ่งกวักมือเรียกเขาให้เดินตามเข้าไป เขาก้มหน้าลงก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปอย่างเชื่องช้า แม้ไม่ได้เงยหน้ามองรอบตัวแต่กลับรู้สึกได้ถึงทุกสายตาที่จับจ้องมา ทำราวกับเขาเป็นตัวประหลาด หูของเขาอื้ออึงไม่ได้ยินเสียงใดๆ กระทั่งครูสาวสะกิดให้เขาพูดแนะนำตัว

“มิอุระ ฮารุโตะ”เขาพูดออกไปด้วยเสียงที่แสนเบาแต่ไม่ได้สนใจว่าใครจะได้ยินหรือไม่

“เพื่อนชื่อมิอุระ ฮารุโตะนะคะ ดูแลเพื่อนใหม่ด้วยล่ะ”

คุณครูบอกให้เขาเข้าไปนั่งที่ เขารีบก้าวเท้าไปยังโต๊ะของตัวเอง ฮารุโตะได้ที่นั่งซึ่งอยู่หลังห้อง มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกปลอดโปร่งขึ้น เขาเงยหน้าเมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา และเมื่อได้สบสายตากับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง สายตาคู่นั้นทำให้เด็กชายรีบก้มหน้ามองโต๊ะเรียนทันที

เขาเกลียดโรงเรียนเพราะทุกโรงเรียนมักจะคนแบบเด็กผู้ชายคนนั้น

ถึงจะบอกว่าเกลียดโรงเรียนแต่เขาชอบมื้อเที่ยงของโรงเรียนที่สุด อาหารที่โรงเรียนอร่อยและไม่ซ้ำซากเหมือนที่เขาทำกินเอง แถมยังมีขนมให้กินอีกด้วย

ฮารุโตะค่อยๆละเลียดทานอาหารด้วยความเสียดาย เขาไม่อยากให้มันหมดเร็ว แต่สุดท้ายมันก็ต้องหมดลงอยู่ดี เขาถือถาดอาหารไปเก็บ เพื่อนที่เป็นเวรตักอาหารวันนี้จึงถามเขาว่า

“อร่อยไหม”

ฮารุโตะเงยหน้ามองเธอเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลง หมุนตัวและเดินกลับไปยังที่นั่งของตน

หลังเลิกเรียน ฮารุโตะไปยืนรอคนที่จะมารับที่หน้าประตู ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่อยู่กับพ่อ เขาจะเดินกลับบ้านเอง แต่เพราะเขาได้ย้ายมาอยู่บ้านเด็กกำพร้า ครูประจำบ้านจึงให้พี่อีกคนเป็นคนดูแลเขา พี่คนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนมัธยมซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล และเมื่อเช้าอีกฝ่ายก็บอกให้เขารอเจ้าตัวมารับตอนเย็น แต่ทว่า เขารอจนท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีส้มแดงแล้ว อีกฝ่ายยังไม่มาเสียที จากยืนรอจนกลายเป็นนั่งรอ กระทั่งท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงิน จึงได้เห็นครูประจำบ้านและพี่คนนั้นกระหืดกระหอบวิ่งมาหา เขาลุกขึ้นยืน นึกดีใจว่าจะได้กลับเสียที

“หายไปไหนมา”เสียตวาดถามของครูประจำบ้านทำให้เขาก้มหน้าลงโดยอัตโนมัติ “คนอื่นเขาเป็นห่วงขนาดไหนรู้ไหม”

“ขอโทษครับ”เขาบอกเสียงเบาทั้งที่ไม่รู้ว่าตัวเองผิดอะไรด้วยซ้ำ แต่มันเป็นคำที่ทุกคนอยากได้ แล้วก็ทำให้เสียงของหญิงสาวตรงหน้าอ่อนลงได้

“ครั้งหน้า จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนให้กลับมาที่บ้านก่อนนะ”

“ครับ”ฮารุโตะพูดพร้อมพยักหน้ารับคำ

เวลาที่กลับไปถึงบ้านเป็นช่วงเวลาที่เลยอาหารเย็นแล้ว เขายังคิดกังวลว่าอาจจะไม่ได้กินข้าเย็น แต่ครูประจำบ้านยังเก็บมื้อเย็นไว้ให้ เขาจึงเริ่มรู้สึกว่าการอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่นัก

ด้วยความที่ฮารุโตะเกลียดโรงเรียน เขาจึงไม่อยากคุยกับใครที่โรงเรียน เอาแต่นั่งอ่านหนังสือเรียนเพราะไม่รู้จะทำอะไร

“นี่นาย ไปเล่นกันไหม”เด็กผู้ชายหน้าตาเหมือนเด็กเกเรเอ่ยชวนเขา ในมืออีกฝ่ายกำลังถือลูกฟุตบอล

และฮารุโตะเกลียดลูกบอลกลมๆทุกชนิด เขาจึงเมินอีกฝ่ายด้วยการก้มหน้าลงจดจ้องหนังสือเรียนสำหรับชั้นประถมหกเหมือนเดิม

“ไปเหอะ คนอะไรวะ แม่งโคตรหยิ่งเลย ตั้งแต่เข้ามายังไม่เห็นคุยกับใครสักคำ”

คำว่าขานนั้นเข้าหูเขาทุกคำ ฮารุโตะประสานสองมือซึ่งอยู่ใต้โต๊ะไว้แน่น  โดนว่าว่าหยิ่งมันก็ดีกว่าโดนล้อเลียนด้วยคำอื่น หรือคำว่าขี้แยแล้วถูกกลั่นแกล้งทุกวัน เขาไม่สนใจหรอก เขามาโรงเรียนเพราะต้องมา มาเพราะขนมที่โรงเรียนอร่อย ไม่ได้อยากมีเพื่อนซะหน่อย ฮารุโตะบอกกับตัวเองเช่นนั้นในใจ

แต่เด็กเกเรคนนั้นไม่ยอมจบง่ายๆ ตอนนั่งเรียนอยู่ อีกฝ่ายจึงโยนยางลบมาที่โต๊ะของเขา

“นายๆ เก็บยางลบให้หน่อย”

ฮารุโตะมองยางลบในมือ และมองอีกฝ่ายที่แบมือมารอรับ เขาจึงโยนยางลบส่งกลับเข้ามือฝ่ายนั้น ทว่าอีกสองสามนาทีต่อมา ฝ่ายนั้นได้โยนยางลบมาอีกครั้ง เขาจึงโยนส่งกลับไปให้ และเหตุการณ์ก็วนเวียนซ้ำอย่างนั้นอยู่อีกสองสามเที่ยว ฮารุโตะจึงไม่ส่งยางลบเจ้าปัญหาไปให้อีกฝ่าย แต่วางมันไว้มุมโต๊ะเสียแทน หมดคาบเด็กเกเรคนนั้นจึงย่างสามขุมเข้ามาหา

“ทำไมไม่โยนยางลบคืนมาให้ เนี่ยไม่มีใช้เลยเห็นไหม”

ฮารุโตะจึงเลื่อนยางลบที่วางอยู่มุมโต๊ะเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกนิด ทั้งยังก้มหน้าอ่านหนังสืออยู่เช่นนั้น เขาไม่ได้เงยหน้ามองแต่เห็นจากหางตาว่าอีกฝ่ายคว้าหยิบยางลบเจ้าปัญหากลับไปแล้ว เขาจึงพรูลมหายใจออกอย่างโล่งอก

หลังจากนั้นกลับเป็นก้อนกระดาษที่ถูกโยนมา โดนโต๊ะบ้าง โดนศีรษะบ้างแต่เพราะมันไม่เจ็บ เขาจึงได้แต่อดทนไว้ เพราะถ้าเขาร้องไห้หรือร้องโวยวาย อีกฝ่ายคงจะชอบใจแล้วแกล้งเขามากขึ้นเรื่อยๆ และถึงแม้เขาจะอยากร้องไห้จริงๆ แต่พ่อทิ้งเขาไปแล้ว คงไม่มีใครอยากปลอบเขาอีก ฮารุโตะน้ำตาไหลแต่เขารีบปาดน้ำตาและสั่งให้ตัวเองหยุดร้องในทันที

เด็กชายเดินออกจากประตูโรงเรียนหลังจากโรงเรียนเลิก เขาจำทางกลับบ้านได้ แต่ต้องแวะไปรอพี่ที่ครูประจำบ้านสั่งให้ดูแลเขาที่โรงเรียนมัธยมก่อน วันก่อนเขากลับบ้านไปเอง พอพี่กลับไปถึงบ้านเขาก็โดนดุว่าทำไมไม่รอให้ไปรับ พี่จึงบอกว่าถ้าอยากกลับบ้านให้มาหาพี่ที่โรงเรียนก่อน ฮารุโตะได้แต่คิดสงสัย เขากลับบ้านเองได้ทำไมไม่ปล่อยให้เขาเดินกลับไปเอง ต้องรอไปรอมาอย่างนี้มันเสียเวลา เมื่อพี่ออกมากลับบอกว่าให้เขากลับไปก่อน เพราะว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ฮารุโตะไม่เข้าใจผู้ใหญ่จริงๆ

ถึงจะไม่เข้าใจแต่เขาจำเป็นต้องทำตามที่พวกผู้ใหญ่พูดบอก เขาไม่อยากโดนตีและไม่อยากโดนลงโทษให้อดข้าว ถึงกระนั้นช่วงเวลาที่เขารอคอยที่สุดในการไปโรงเรียนกลับถูกทำลายลงเสียได้ ฮารุโตะมองพุดดิ้งซึ่งนอนกลิ้งอยู่บนพื้นด้วยความเสียดาย เขามองคนทำที่พูดคำว่าขอโทษพร้อมเสียงหัวเราะ นึกโมโหอีกฝ่ายแต่เพราะถ้าอีกคนขอโทษต้องยกโทษให้ เขาจึงพยักหน้ารับ และใช้มือประคองพุดดิ้งกลับมาใส่ถ้วย เดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง เขากินข้าวไปพลางมองของหวานของตัวเองด้วยความเสียดาย แล้วเหลือบตามองเพื่อนๆในห้องอีกครั้ง

คุณครูเคยสอนว่าห้ามกินของที่ตกพื้น แต่มันก็ดูไม่สกปรกนี่นา ฮารุโตะคิดขัดแย้งกันในใจ เขายังละเลียดทานข้าวมื้อกลางวันเหมือนเดิม กระทั่งเด็กเกเรคนเดิมลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ

“เดี๋ยวฉันแบ่งพุดดิ้งของฉันให้นายกิน”

ฮารุโตะมองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจระคนหวาดระแวง

“นายกินข้าวช้าเนอะ”ฝ่ายนั้นชวนคุย แต่ฮารุโตะยังจะค่อยๆเคี้ยวต่อไป อย่างไรก็ตามอีกฝ่ายยังคงนั่งรอจนเขาทานข้าวหมด และเลื่อนพุดดิ้งของตัวเองมาที่ตรงหน้าเขา

“ฉันให้นายตักก่อน”

ฮารุโตะตักขนมนุ่มๆเข้าปาก รู้สึกราวกับว่ากำลังล่องลอยสู่สวรรค์

เขามองคนที่หน้าตาเกเรตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ต่างจากเดิม บางทีหน้าตาคนเราก็ไม่สามารถตัดสินนิสัยภายในได้ หลังจากนั้น เขาก็เห็นอีกฝ่ายในมุมมองที่ไม่เคยเห็น เด็กคนนั้นมักจะมีของเล่นใหม่ๆมาอวดเสมอ แต่ทุกครั้งก็จะแบ่งให้เพื่อนคนอื่นๆเล่นด้วย

ครั้งหนึ่งอีกฝ่ายเอารถบังคับมาเล่นในเวลาเรียน แล้วก็บังคับให้มันวิ่งมาชนที่เท้าของเขากับขาโต๊ะซ้ำๆ จนครูที่สอนวิชานั้นเห็น ของเล่นชิ้นนั้นจึงโดนยึด เจ้าตัวโวยวายยกใหญ่ เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนได้ทั้งห้อง

อีกอย่างที่เขาเกลียดในโรงเรียน คือวิชาพละ เขาเกลียดดอจบอลที่ฝ่ายตรงข้ามสามารถปาบอลใส่เขาได้โดยไม่โดนดุ เขาเกลียดวิ่งแข่งที่ทำให้เขารั้งท้ายได้ที่โหล่เสมอ แล้ววิชาพละที่เขาต้องเรียนกลับเป็นมินิมาราธอน ฮารุโตะไม่เข้าใจว่า ผู้ใหญ่บรรจุหลักสูตรวิ่งระยะยาวมาให้เด็กประถมเรียนได้อย่างไร

กว่าเขาจะกลับถึงเส้นชัย เขาก็หอบแฮ่กๆหมดแรง ฮารุโตะพาร่างอันสะโหลสะเหลเข้าไปนั่งพักใต้ร่มอาคาร ทั้งที่แดดร้อนยังให้เด็กประถมมาวิ่งกลางแดดอีก กระนั้นกลับเหนื่อยเกินกว่าที่จะแสดงสีหน้าขุ่นขวาง ต่างกับอีกคนที่ยังวิ่งอย่างร่าเริงเข้ามาหา

“เหนื่อยเหรอ อะนี่ ฉันให้”อีกฝ่ายล้วงหยิบลูกอมออกมาให้ พลางบรรยายสรรพคุณ

“เขาว่ากินของหวานช่วยเพิ่มน้ำตาล ทำให้หายเหนื่อย”

“ขอบคุณ”ฮารุโตะกล่าวบอกพร้อมลงมือแกะลูกอมกิน และทันทีที่รสหวานของกลิ่นผลไม้ปรุงแต่งกระจายซ่านไปทั่วปาก เขาก็ยกยิ้มออกมา

“อร่อยไหม”อีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งยองๆพลางเอ่ยปากถาม

“อร่อยมาก”เขาตอบ หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็หิ้วขนมจากบ้านมาฝากเขาทุกวัน เขากับเด็กหน้าตาเกเรคนนั้น ที่ฮารุโตะเพิ่งจะมาจดจำชื่อได้ในภายหลังว่า ซากุราอิ ชุน เริ่มสนิทกันเรื่อยๆ จนเขาได้ไปเที่ยวที่บ้านของชุน ที่นั่นมีขนมให้กินจนพุงกาง แต่ส่วนใหญ่ชุนจะบอกกับพ่อว่า พาเขามาทำการบ้านด้วยกัน

“พ่อบอกว่าต้องขยันเรียนถึงจะมีเงินเยอะๆ แต่ตอนนี้ฉันก็มีเงินเยอะอยู่แล้ว เลยไม่รู้จะขยันเรียนทำไม”

“นั่นมันเงินของพ่อนาย ไม่ใช่เงินของนาย”

“แต่ฉันก็ไม่ได้อยากได้อะไรนี่”

“ไม่อยากได้เลยเหรอ ผมมีของที่อยากได้เต็มไปหมด”ฮารุโตะบอก

“อยากได้อะไรละ ถ้าฉันมีฉันจะยกให้”

“จริงเหรอ แต่ของที่ผมอยากได้แพงมาก นายไม่ต้องยกให้หรอก ไว้โตขึ้นผมจะเก็บเงินซื้อเอง”

“อะไรละที่แพงมาก”

“อยากได้บ้าน อยากได้ทีวี อืม...ประมาณนี้มั้ง”

“ไม่เห็นแพงเลย พ่อฉันมีบ้านตั้งหลายหลัง แล้วพ่อบอกว่าโตขึ้นก็จะยกให้ฉันอยู่แล้ว ทีวีที่บ้านนี้ก็มีตั้งหลายเครื่อง ในห้องฉันก็มี”ชุนชี้ไปที่โทรทัศน์ซึ่งตั้งวางอยู่ชิดผนัง ฮารุโตะมองด้วยความอิจฉา ในขณะที่ชุนมีทุกอย่างที่เขาอยากมีอย่างเหลือเฟือ ตัวเขากลับไม่มีอะไรสักอย่าง

“ฉันยกให้นาย ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันมีสิ่งที่อยากได้อย่างเดียว”

“อะไร”

“นาย”ชุนมองหน้าเขา และพูดต่อไปว่า “แลกกันไหม ฉันให้บ้านให้ทีวีที่นายอยากได้ แลกกับตัวนาย”

“แต่ผมกินไม่ได้”ฮารุโตะร้องตอบออกไปหน้าตาตื่น ถ้าเขาต้องตายแล้วเขาจะเอาบ้านกับโทรทัศน์ที่อยากได้ไปทำไม

“ไม่ได้เอาไปกิน ยังไม่รู้เหมือนกันแต่ฉันดูมาจากละคร ไม่รู้อ่ะ อยู่กับนายแล้วมีความสุข ไม่อยากให้นายสนิทกับคนอื่น”

“ผมก็ไม่สนิทกับใครอยู่แล้ว”ฮารุโตะบอกเสียงเบา

“ไม่รู้ แต่นายก็ยิ้มให้คนอื่นมากขึ้น ทั้งที่ฉันพยายามแทบตายกว่าจะชวนนายคุยได้”

ฮารุโตะยิ้มออกมา รู้สึกมีความสุขที่ตัวเองมีความสำคัญกับชุนมากขนาดนั้น

“อืม อย่างนั้นก็ได้”

“ตกลงยอมแลกแล้วเหรอ”

“อืม”เมื่อเขาพยักหน้าตอบตกลง ชุนจึงชูมือโห่ร้องด้วยความดีใจ

“สัญญานะ”ชุนยื่นนิ้วก้อยมาให้เขา ซึ่งฮารุโตะได้ยื่นนิ้วเดียวกันไปเกี่ยวทำสัญญาไว้ “นายเป็นของฉันแล้วนะ”

“แต่นายจะเอาบ้านกลับไปยังไงอ่ะ ส่วนทีวีเดี๋ยวฉันให้คนขนไปส่งให้”

“หือ ถ้าผมเอาทีวีไปแล้วต้องย้ายมาอยู่บ้านนายป่ะ”

“อืม ก็ต้องอย่างนั้นสิ”

“อ้าว แล้วผมจะได้ดูทีวีที่นายยกให้ยังไงล่ะ”ฮารุโตะหัวเราะ “เอาไว้ที่บ้านนายนี่ละ ไว้ผมอยากดูทีวีผมจะมาที่นี่เอง”

ฮารุโตะรู้สึกได้ว่าทุกวันที่เขามีซากุราอิ ชุน เด็กผู้ชายหน้าตาเกเรอยู่ข้างๆ เขามีความสุขมาก แม้แต่โรงเรียนที่เขาเกลียดยังสว่างสดใสขึ้นมา มันทำให้เขาอยากไปโรงเรียนทุกวัน วิชาพละที่ไม่ชอบก็รู้สึกสนุกขึ้นมา แม้แต่เวลาอาหารกลางวันซึ่งเป็นเวลาเดียวที่เขามีความสุข เขายังมีความสุขเพิ่มขึ้นอีกร้อยเท่า



-End#Special I-
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 21 : 14/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-04-2017 07:11:04
แกล้ง เเพราะอยากได้รับความสนใจ
แกล้ง เพราะอยากพูดคุยด้วย
ความต้องการ อยากได้แต่ละคนไม่เหมือนกันจริงๆ
คนขาด ก็อยากได้สิ่งมาเติมเต็ม
คนที่มีจนเหลือเฟือ ไม่ต้องการของ กลับต้องการคน
ชุนวัยเด็ก รู้ว่าอยากได้ฮารุโตะ มาเป็นของตัวเอง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 21 : 14/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-04-2017 07:12:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 21 : 14/Apr/2017 Page 4
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 14-04-2017 19:24:22
ไม่รู้ว่าจะเมนท์ยังไง
ชุนฝังใจกับฮารุมากเกินไป obsessed เลย
ถ้าหากว่าสองคนนี้เติมเต็มให้กันได้ก็ดี
แต่ชีวิตจริงมันไม่บาลานซ์กันหรอกค่ะ
จริงอยู่ว่าฮารุอยากเป็นที่ต้องการที่รักของใครสักคน
ชุนก็ต้องการฮารุมากเกินไป
ถ้าเป็นคู่ชุน-ฮารุนี่น่าจะจบสไตล์อ.โคโนฮาระได้เลยนะ
ขื่นๆขมๆปนหวานไปสไตล์แอบนอร์มอล
รับได้ไหม? รับได้นะถึงจะไม่ชอบชุนก็ตาม
ไม่รู้จะอธิบายยังไง หาเหตุผลไม่ได้แต่คหสตคือชุนมันตกขอบความปกติไปแล้ว
ถึงมาตอนนี้จะปรับตัวให้ดีขึ้นแต่มันก็ยังไม่พอสำหรับเราอยุ่ดี
เพราะเราเกรงว่าชุน-ฮารุไม่ได้อยู่ในขอบเขตของความปกติ
มีอะไรจะปกป้องฮารุในอนาคตได้ถ้าหากว่าชุนเกิดไม่พอใจจะทำร้ายฮารุอีก?

ซากิที่เราคิดว่าเป็นพระเอกแต่ก็นะ จบแบบแบดเอ็นด์ก็โอเคค่ะ
คือสำหรับเราซากิได้มาแต่ไม่รู้จักถนอม
อาจจะอย่างที่คุณเกรย์ว่าไว้ว่าซากิอาจจะแอบรักนาโอโตะอยุ่ถึงได้ออกตัวแรงตอนที่เรย์นอกใจไปกับมินามิ  แต่ตอนเริ่มเรื่องฮารุก็แอบปลื้มเรย์อยู่
เอาจริงๆถ้าหากว่าท้ายที่สุดแล้วฮารุจะไม่ลงเอยกับซากิเราก็โอเค  เพราะสำหรับเรานั้นเราตามฮารุมากกว่า  ดีใจที่เห็นฮารุเริ่มเสียใจ เริ่มสู้ เริ่มแสดงอาการ  ถึงแม้ว่าตอนล่าสุดนี้ฮารุจะจิตตกจากชุน จากซากิ จากอาซาฮินะจนมายึดติดกับทาคุมิก็ตาม
เราเห็นการเติบโตของฮารุที่มากขึ้นทีละน้อย

ใจจริงถ้าฮารุจะลงเอยกับทาคุมิหรือนาโอโตะเราว่าชีวิตฮารุน่าจะมีความสุขตามที่ควรมากกว่าฝ่ายรุกอย่างซากิหรือชุนเสียอีก
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 22 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 15-04-2017 05:30:56
เรื่องย่อ ตอนที่ 22
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ฮารุโตะหายไปอีกแล้ว ซากิใช้เวลาเกือบทั้งคืนก็ยังไม่พบ อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พยายามนั่งพักให้ใจเย็น เขาก็นึกถึงสถานที่หนึ่งออก.....






春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 22




ชิมิซึ ซากินั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเช้า ส่วนเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องอีกคนนั่งหลับคอพับคออ่อนอยู่ไม่ไกล เมื่อวานพวกเขาใช้เวลาค่อนคืนในการตระเวนตามหาฮารุโตะตามโรงพยาบาล คลินิกและสถานีตำรวจในเขตนี้และเขตใกล้เคียง ทว่าพวกเขาก็ยังไม่พบเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่หายตัวไป

หลายชั่วโมงก่อนหน้านี้ เขากระวนกระวายร้อนรนบ้าคลั่งและไม่มีสติ แต่หลังจากที่หายใจทิ้งไปสามชั่วโมง ได้นั่งเรียบเรียงเหตุการณ์ความคิด ราวกับว่าสติปัญญาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองของเขาจะกลับมาอีกครั้ง

ซากิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก กรอกเสียงลงไปทันทีที่อีกฝ่ายกดรับสาย

“พอดีมีเรื่องให้ช่วย”

“อือ”ปลายสายงัวเงียคล้ายเพิ่งตื่น

“แกช่วยทำหมายค้นให้หน่อย”

“มันต้องใช้เวลาสองสามวัน กว่าศาลจะออกหมายค้นให้”

“เปล่า ฉันไม่ได้ให้แกขอจากศาล ฉันอยากให้แกปลอมมันขึ้นมา แล้วก็ขอคนปลอมเป็นตำรวจสักสองคน”

“เฮ้ย!!! จะบ้าเรอะ แกจะเอาไปทำอะไรวะ”

“มิอุระหายตัวไปตั้งแต่เมื่อวาน ฉันเลยอยากจะไปเช็คที่บ้านซากุราอิ ชุน”

“แล้วไม่โทรบอกตั้งแต่เมื่อวานวะ เอางี้ แกใจเย็นๆรอก่อน เดี๋ยวฉันติดต่อกลับไป”เอคิจิกดตัดสายไปหลังจากนั้น ขณะที่เขายังคงถือโทรศัพท์อยู่ในมือเช่นเดิม ชายหนุ่มนั่งรออยู่เฉยๆโดยไม่คิดจะขยับตัวทำอะไร ราวๆครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น โมริ เอคิจิจึงโทรกลับมา เสียงสัญญาณโทรศัพท์ทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนสะดุ้งตื่น

“ฉันจัดการให้แล้ว แปดโมงไปเจอกันที่ลานจอดรถหน้าร้านซุปเปอร์มาเก็ตแถวบ้านพักของซากุราอิ”

ซากิรับคำและกดวางสาย ก่อนหันไปพูดกับเรียวตะที่มองมายังเขาด้วยดวงตาปรือปรอย “ไปกินข้าวที่บ้านแกได้หรือเปล่าวะ”

“อ่อ ได้”เรียวตะกดโทรศัพท์โทรออกเพื่อบอกที่บ้าน จากนั้นจึงถามว่า “เจอฮารุจังแล้วหรือวะ”

“เปล่า แค่จะไปดูในที่ที่คิดว่าน่าจะเจอ”

“ที่ไหนวะ”

“เออ เดี๋ยวถึงเวลานัดแล้วจะบอก ตอนนี้ลุกขึ้นก่อน”

ทั้งสองคนจึงกระวีกระวาดเดินตามออกมาจากห้อง

ทาคุมิแอบเหล่มองชายหนุ่มรุ่นพี่ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าซึ่งมีสีหน้าอาการนิ่งเฉยต่างจากเมื่อวาน หันมองรุ่นพี่ฮายาชิที่ตนสนิทสนมด้วยก็หุบปากเงียบไม่พูดอะไร เขาจึงไม่กล้าเอ่ยถามให้มากความ มื้อเช้าที่บ้านของรุ่นพี่ฮายาชิวันนั้นอึมครึมกดดันด้วยบรรยากาศหนักหน่วงจนเขากินอะไรไม่ค่อยลง

พวกเขาออกเดินทางกันอีกครั้งตอนเจ็ดโมงครึ่ง ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที ซากิก็พารถยนต์มาจอดยังที่นัดหมาย

“เดี๋ยวเราจะไปดูที่บ้านซากุราอิ ชุน”

“ฮารุโตะอยู่ที่นั่นหรือครับ”ทาคุมิยื่นหน้าผ่านช่องว่างระหว่างเบาะคู่หน้าพร้อมกับเอ่ยปากถาม

“ไม่รู้แต่ต้องลองไปหาดู”

“แล้วซากุราอิจะยอมให้พวกเราเข้าไปดูในบ้านหรือครับ”

“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง เอคิจิจะจัดการให้เอง นายหาให้ทั่วแล้วกัน”

“ถ้าหมอนั่นจงใจลักพาตัวฮารุจังจริงๆ แกคิดว่าจะหาเจอง่ายๆหรือวะ”เรียวตะพูด เขานั่งอยู่ที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ

ซากิเงียบไม่ตอบ เขาเบือนหน้าออกไปนอกหน้าต่าง มองดูรถยนต์นั่งสี่ประตูติดป้ายตรากรมตำรวจขับมาจอดเทียบด้านข้าง แล้วพูดขึ้นมาว่า“ถ้าไม่เจอก็คงต้องทำใจแล้ว”

เขาลดกระจกลง รถยนต์ที่จอดอยู่ด้านข้างลดกระจกหลังลงเช่นกัน เอคิจิยื่นหน้ามาคุยกับเขา

“ไปเลยไหม”

“นำไปเลย”เขาบอกพลางบังคับถอยหลังรถยนต์และเคลื่อนที่ตามรถตำรวจคันนั้นไป




ชุนมาเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องนอนตัวเองตั้งแต่ลืมตาตื่น หลังจากลองหมุนลูกบิดและพบว่ามันล็อค จึงเดินไปบอกมิชิโอะที่อยู่ในห้องครัว

“อยู่เฉยๆเถอะน่า เพราะเมื่อวานทำตัววุ่นวายแบบนี้ไง มิอุระซังถึงได้หนีเตลิดออกไป”

“ฉันเป็นห่วง”

“คำพูดนายน่ะ ไม่มีใครเชื่อหรอก เจอหน้าแต่ละทีก็เตะซะเต็มแรงเลย ทำไมตอนนั้นไม่ห่วงบ้าง รักด้วยลำแข้งเนี่ยถ้าไม่ใช่นักมวยด้วยกันใครที่ไหนจะชอบ”

ชุนเถียงไม่ออก เขาเบ้หน้าเดินกระทืบเท้า ลากเก้าอี้โต๊ะทานอาหารออกมานั่งด้วยอาการกระแทกกระทั้น

“คิดดู ถ้าคบกันไป แล้วเกิดนายโรคพิษสุนัขบ้ากำเริบไปเตะเขาตัวขาด มิอุระซังคงรู้สึกเสียใจที่โง่มาคบกับคนแบบนาย”

“เออๆ รู้แล้วโว้ย ไม่ต้องมาย้ำ” แต่อย่าเผลอเชียว ชุนคิดในใจ

มิชิโอะถอดผ้ากันเปื้อนแขวนไว้ที่ประจำของมัน หยิบถาดใส่ข้าวต้มขึ้นมาถือ “เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูเอง”

“ฉันไปด้วย”ชุนลุกขึ้นเดินตาม

ห้องนอนของชุนยังคงถูกล็อคจากด้านในตอนที่พวกเขาทั้งไปถึง มิชิโอะจึงส่งถาดอาหารให้ชุนถือ และเดินกลับไปที่ห้องตัวเองเพื่อหยิบกุญแจสำรอง เมื่อไขเปิดประตูเข้าไปกลับพบว่าภายในห้องว่างเปล่า

“อ้าว ฮารุโตะล่ะ”ชุนเอ่ยถาม เขาถือถาดอาหารไปวางบนโต๊ะเตี้ยหน้าโซฟา 

“อิซามุพาไปส่งแล้วมั้ง”

“ไอ้บ้านั่น”ชุนเข่นเขี้ยวก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากห้อง มิชิโอะจึงเดินไปดูในห้องน้ำ ก่อนจะหันมองประตูโคลเซ็ต(closet)

“เนี่ยมาดูเลย แกพาฮารุโตะไปไว้ไหน”เสียงชุนโวยวายดังลั่นตั้งแต่ยังก้าวเท้ามาไม่ถึงห้อง

“จะโวยวายทำไมวะ”อิซามุถามเสียงดัง เจ้าตัวปิดปากหาวเพิ่งตื่นนอนเพราะการกระชากปลุกจากเพื่อนร่วมบ้านอย่างชุน

“เอ้า หายไปจริงเหรอ ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนดอดหนีไปอีกแล้วล่ะ”

“เฮ้ย!!!” ชุนร้องออกมาแค่นั้นก่อนจะหุนหันรีบวิ่งออกไปจากห้อง เขาทั้งสองคนได้ยินเสียงฝีเท้าตึงๆ วิ่งลงบันได ตามด้วยเสียงปิดประตูดังโครม

“ท่านประธานจะยกบริษัทให้มันจริงๆหรือวะ”อิซามุหันไปถามเพื่อนสนิทด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ

“ก็เป็นหน้าที่ของนายไง”มิชิโอะหัวเราะ เดินตรงไปเปิดประตูโคลเซ็ต ทันเห็นการเคลื่อนไหวที่ปลายหางตา

“มิอุระซัง ออกมาเถอะครับเดี๋ยวผมจะพาไปส่ง”ทุกอย่างยังคงนิ่งสงบ

“คุณ ถ้าไม่รีบเดี๋ยวชุนกลับมาก็ไม่ได้กลับหรอก”อิซามุตามมาพูดสำทับ

ฮารุโตะยังคงลังเล แต่กระนั้นเขาก็ยอมก้าวเท้าออกมา 

สภาพของเด็กหนุ่มร่างเล็กดูแย่กว่าเมื่อวานที่พวกเขาทั้งคู่เจอครั้งสุดท้าย ทว่าพวกเขาทำเพียงเร่งให้อีกฝ่ายก้าวเท้าเดิน มิชิโอะหยิบเสื้อโค้ทกันหนาวของชุนให้ฮารุโตะสวมใส่อีกตัว จากนั้นจึงพาขึ้นรถ รีบติดเครื่องยนต์เพื่อพาเด็กหนุ่มออกจากบ้าน




รถยนต์ทั้งสองคันจอดเทียบฟุตบาทหน้าบ้านพักของซากิราอิ ชุน ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนลงไปกดกริ่งหน้าประตูและยืนรอ ขณะที่คนอื่นๆทยอยเดินตามลงมาสมทบ

คนที่เดินออกมาเปิดประตูเป็นโองาวะ อิซามุ เขามีสีหน้าแปลกใจที่เห็นตำรวจสองนายยืนอยู่หน้าบ้านทว่าก็ยกยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”

“สวัสดีครับ พอดีคุณผู้ชายท่านนี้แจ้งความว่าคุณกักขังหน่วงเหนี่ยวรุ่นน้องในชมรมของเขา ผมจึงขออนุญาตเข้าตรวจค้นครับ และนี่ครับเอกสาร”

อิซามุยังยิ้มรับขณะรับเอกสารฉบับดังกล่าวมาอ่านรายละเอียด ก่อนจะเชิญตำรวจทั้งสองนายเข้าบ้าน

“หมายค้นใช้ได้เฉพาะตำรวจนะครับ คนอื่นไม่มีสิทธิ์”

“หนอย...”ทาคุมิร้องออกมาอย่างไม่ชอบใจ ก่อนจะร้องตะโกนเรียกชื่อฮารุโตะออกมาเสียงดัง วิ่งเข้าวิ่งออกห้องโน้นห้องนี้จนทั่ว เปิดประตูตู้ประตูห้องน้ำทุกบาน ทว่าก็ยังไม่เจอฮารุโตะ ซ้ำไม่เจอแม้กระทั้งซากุราอิ ชุน

“รุ่นพี่ครับ ไม่เจอใครอยู่ในบ้านเลย ผมว่าซากุราอิเนี่ยแหละที่เป็นคนลักพาตัวฮารุจังไป”

“นี่นาย กล่าวหากันลอยๆระวังเจอแจ้งความกลับนะ”อิซามุพูดออกมา

จังหวะนั้นซากุราอิ ชุนได้ก้าวเข้ามาในบ้าน เขาชะงักงันเพราะตำรวจและกลุ่มคนที่เขาจำหน้าได้ขึ้นใจ

“นายพาฮารุโตะไปไว้ไหน คืนฮารุโตะมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”ทาคุมิปรี่เข้าไปหาพร้อมกระชากคอเสื้อเด็กหนุ่มผู้ซึ่งมีร่างกายใหญ่โตกว่า

“ทำไมฉันต้องบอกแกด้วย”ชุนตอบกลับ จนอิซามุต้องส่งเสียงห้ามปรามจากนั้นจึงกล่าวตัดบทไล่ทุกคนออกจากบ้าน

“สรุปว่าในบ้านไม่มีคนที่พวกคุณตามหาใช่ไหนครับ เพราะฉะนั้นผมขอเชิญให้พวกคุณกลับไปได้แล้ว”อิซามุเปิดประตูพร้อมกับผายมือ ขับไล่แขกที่ไม่ได้เชื้อเชิญด้วยทางท่าสุภาพ

ทั้งเอคิจิและเรียวตะต่างเหลือบมองหน้าเพื่อนสนิท เห็นซากิพยักหน้ารับหมุนตัวเดินนำหน้ากลับไปที่รถยนต์ พวกเขาจึงก้าวเท้าตาม ส่วนทาคุมิหันไปจ้องหน้าเชิงหาเรื่องกับซากุราอิ ชุนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะก้าวเท้าตามไป

เมื่อมาหยุดยืนอยู่ข้างรถยนต์ เอคิจิจึงเอ่ยถามว่า

“แล้วจะเอาอย่างไรต่อ”

“ก็กลับ”

“แล้วฮารุโตะละครับรุ่นพี่”ทาคุมิร้องถาม

“ไม่เจอคือไม่เจอ”ซากิบอกด้วยน้ำเสียงกึ่งรำคาญ

เอคิจิจึงหันไปกล่าวขอบคุณกับตำรวจทั้งสองนาย ยืนรอส่งจนคุณตำรวจขับรถห่างออกไป จากนั้นจึงก้าวเท้าขึ้นรถยนต์ที่มีชิมิซึ ซากิเป็นสารถี

ทาคุมิหน้ามุ่ยด้วยความไม่ชอบใจแต่กระนั้นเขาไม่ได้กล่าวอะไรขึ้นมาอีก ในรถยนต์จึงเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมของเครื่องปรับอากาศ และเสียงเครื่องยนต์กระทั่งถึงบ้านเช่าซึ่งฮารุโตะเช่าห้องไว้สำหรับพักอาศัย

ซากิยังเป็นฝ่ายเดินนำก้าวเท้าขึ้นไปยังชั้นสอง  ทว่าต้องชะงักหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นร่างที่กอดเข่านั่งหลับอยู่หน้าห้อง ต่างกับทาคุมิ เขาวิ่งรี่เข้าไปหาเพื่อนสนิททันที

“ฮารุโตะ ฮารุจัง นายเป็นอย่างไรบ้าง”ส่งเสียงถามพร้อมกับยกมือลูบคลำตัวอีกฝ่าย “รุ่นพี่ชิมิซึครับ ฮารุจังตัวร้อนมากเลย”

เพราะคำพูดนั้นซากิถึงรู้สึกตัว เขาโยนกุญแจรถยนต์ให้เอคิจิก่อนจะสาวเท้าเข้าไปช้อนอุ้มตัวฮารุโตะ ก้าวเท้าลงบันได พาหนุ่มรุ่นน้องก้าวขึ้นที่นั่งตอนหลังของรถยนต์ซึ่งเรียวตะเปิดประตูไว้ให้

เอคิจิขับรถพาพวกเขาไปยังโรงพยาบาลของมหาวิทยาลัย หลังส่งตัวฮารุโตะเข้าห้องฉุกเฉิน พวกเขาจึงทำได้เพียงยืนรออยู่ด้านนอก

“ตลกชะมัด หากันทั้งคืน ตอนเช้ากลับมาเจออยู่หน้าห้อง”

“รุ่นพี่ฮายาชิพูดอย่างนี้คิดว่าฮารุจังแกล้งปั่นหัวพวกเราหรือครับ”ทาคุมิถามเสียงดังอย่างขุ่นเคือง

“เปล่าเว้ย ยังไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย”

“แต่คิดใช่ไหมล่ะ”

“เอ๊ะ!!! ไอ้เด็กนี่”

“เลิกเถียงกันได้แล้วน่า”ซากิตะเบ็งเสียงพูดดุ ชายหนุ่มสองคนที่ทำท่าเหมือนจะตีกันจึงแยกย้ายไปอยู่คนละมุม

“แกเห็นเสื้อโค้ทที่ฮารุจังใส่ไหม”เอคิจิเข้ามาชวนซากิคุย “ตัวใหญ่กว่าตัวฮารุจังตั้งเยอะ เจ้าของเสื้อคงจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่ ถ้าคิดในแง่ดี คนคนนั้นคงตั้งใจช่วยจริงๆและพาฮารุจังมาส่งตอนเช้าหลังจากที่แกออกไป”

“พามาส่งทั้งๆที่มิอุระกำลังมีไข้”

เอคิจิยักไหล่ “ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าตัวต้องมานั่งอยู่หน้าห้องนานแค่ไหนแล้วนี่”

คำพูดของเอคิจิก็มีความเป็นไปได้ ซากิคิด

ฮารุโตะถูกหมอสั่งให้นอนพักฟื้นเฝ้าดูอาการต่อที่โรงพยาบาลเพราะอาการไข้และปอดบวม ซึ่งคนป่วยถูกระงับห้ามเยี่ยมในช่วงวันแรก วันนั้นพวกเขาจึงต้องพากันกลับ ซากิขับรถพาเรียวตะและทาคุมิไปส่งถึงบ้าน กล่าวบอกขอบใจที่มาช่วยตามหาฮารุโตะทั้งคืน

“ฮารุจังก็เพื่อนผม”ทาคุมิตอบกลับมาเช่นนั้น แม้จะสะดุดใจกับว่าเพื่อนของเด็กหนุ่มรุ่นน้องกระนั้นเขาก็ไม่ได้เอ่ยทักอะไรออกมา และหันไปถามเอคิจิที่นั่งอยู่ฝั่งที่นั่งข้างคนขับ

“ว่างไปคุยกันหน่อยไหม”

“ที่บ้านแก?”

“เออ”เขาตอบรับ

“หน้าตาแกเหมือนยังไม่ได้นอน”เอคิจิชวนคุยขึ้นมาอีก

“อืม”

และต่างคนต่างก็เงียบกันไปอีกหน ก่อนที่ซากิจะพูดขึ้นมาอีกว่า

“ฉัน...อาจจะอกหักอีกแล้วว่ะ”น้ำเสียงคนพูดเรียบนิ่งไม่บ่งบอกความรู้สึกใดๆ

“รักเขาแล้วหรือ ถึงบอกว่าอกหัก”เอคิจิถามกลับมาทันควัน เหลือบสายตามองใบหน้าด้านข้างของเพื่อนสนิท

คำถามของเอคิจิทำให้เขาได้คิด

บางครั้งตัวเขาเองก็สงสัย ...ความรักคืออะไรกันแน่ ต้องรู้สึกอย่างไรถึงจะเรียกว่าความรัก ต้องเจ็บปวดหรือต้องมีความสุขถึงจะเรียกว่าความรัก ต้องเสียสละหรือต้องแย่งชิงถึงจะเรียกว่ารัก

ครั้งหนึ่งเขาเคยเสียสละเพื่อให้คนที่รักมีความสุขโดยแลกกับความเจ็บปวดแสนสาหัสของตัวเอง เพราะฉะนั้นในยามที่เขาอยากจะเปิดใจเพื่อมีรักครั้งใหม่ เขาจึงพยายามแย่งชิงบังคับใช้ทุกวิธีการเพื่อให้ตัวเองได้เป็นผู้ชนะในเกมแห่งความรัก ทว่านั่นกลับเป็นสิ่งที่ผิดพลาดเช่นเดียวกัน

จู่ๆ ซากิก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา

“เป็นไร”

“เปล่า”เขาตอบ “เดี๋ยวฉันไปส่งแกที่บ้านแล้วกัน ไม่มีเรื่องอะไรอยากจะคุยแล้ว ฝากโทรบอกนาโอโตะเรื่องมิอุระด้วย”

“แล้วแกจะไปไหน”

“ไปนอน”เขาตอบลากเสียงพร้อมรอยยิ้มมุมปาก วนรถยนต์ไปจอดส่งเอคิจิหน้าบ้าน บังคับขับเคลื่อนรถยนต์ให้ห่างจากบ้านของโมริ เอคิจิไปไม่กี่นาทีก็มาถึงบ้านของเขา

ซากิขับรถเข้าไปในโรงจอดก่อนจะเดินกลับมาปิดประตูรั้วหน้าบ้าน จากนั้นจึงมาไขเปิดประตูบ้าน

“กลับมาแล้วครับ”ลองส่งเสียงออกไปทว่าสิ่งที่ตอบรับเขากลับมายังคงเป็นความเงียบงันเช่นเดิม เขาเปลี่ยนรองเท้าก้าวขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดประตูเข้าห้องตัวเองแล้วเปิดเครื่องทำความร้อน ถอดเสื้อโค้ทโยนพาดไว้กับพนักเก้าอี้ ก่อนจะพุ่งตัวล้มนอนบนเตียง

ดวงตาปวดล้าจนแม้แต่การหลับตาเฉยๆ ยังสร้างความทรมาน

ห้องของเขาเงียบสนิทไร้เสียงรบกวน ม่านบังหน้าต่างยังคงถูกปิดอยู่เช่นเดิมทำให้ห้องของเขามืดครึ้มน่านอน กระนั้นสมองของเขายังคงฟุ้งซ่านจนทำให้นอนไม่หลับ ชายหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคง เสียงความเงียบที่ได้ยินกลับทำให้เขาเหงาจับใจ แต่เพราะร่างกายของเขาเหนื่อยล้าทำให้หมดแรงลุกขึ้น

บางที... เขาอาจจะต้องทำใจให้ชินกับการอยู่ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต




“พวกแกทำบ้าอะไรเนี่ย”ซากุราอิ ชุนตะโกนโวยวายเมื่อรู้ว่าตนถูกหลอกให้ตีโพยตีพายวิ่งออกไปตามหาฮารุโตะที่นอกบ้าน จนทั้งสองคนใช้ช่วงเวลานั้นพาฮารุโตะออกไป

“ทำอะไร ยังไม่ได้ทำอะไรเลย มิชิโอะแค่พามิอุระซังไปส่งที่บ้านก็เท่านั้น”อิซามุเป็นฝ่ายตอบ

“ฮารุโตะป่วยอยู่ยังจะพาไปทิ้งให้อยู่คนเดียวอีก”

“โอ๊ะ ทีแบบนี้ละทำมาเป็นห่วง”

ชุนสะอึกเมื่อโดนจี้ใจดำอีกครั้ง เขาหมุนซ้ายหมุนขวาหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่เป็นครู่ก่อนจะกระแทกตัวลงนั่งบนโซฟาอีกตัว

“เออ แล้วจะให้ทำยังไง”เขาถามกระชากเสียงห้วน

“ก็ไปขอโทษ ไปทำดีไถ่โทษ”

“น่าจะยาก”มิชิโอะพูดขึ้นมาบ้าง “ดูเหมือนมิอุระซังจะกลัวชุนขึ้นสมอง”

“หน้าที่พวกแก คิดมาดิ”

“ใช่ซะที่ไหน ผมมีหน้าที่ทำให้คุณหนูซากุราอิ ชุนเรียนจบให้ได้ภายในสี่ปีเท่านั้นครับ”อิซามุรีบพูด พาลให้ชุนฮึดฮัดโมโหหันรีหันขวางมองไปทางไหนก็ขวางหูขวางตา

“ใจเย็นๆน่าชุน”มิชิโอะเอ่ยเตือน “หัดใช้สมองซะบ้าง ไม่อย่างนั้นจากเจ้านายจะกลายเป็นลูกไล่เสียแทน”

“นี่แกว่าฉันโง่หรือวะ มิชิโอะ”ไม่พูดเปล่า ชุนยังกระโดดไปกระชากคอเสื้อเจ้าของประโยคนั้นอีกด้วย ทว่าอีกฝ่ายยังไม่มีอาการเดือดเนื้อร้อนใจ เขาเพียงแค่พูดเตือนชุนด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“แล้วก็หัดใจเย็นลงซะบ้าง”

ชุนเงื้อมือด้วยความโมโห กระนั้นต้องยอมลดมือลง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายมีฝีมือเหนือกว่าตน ชุนยอมถอยกลับไปนั่งที่

“ตอนนี้อยู่เฉยๆไปก่อนเถอะน่า”มิชิโอะพูดต่อ “เมื่อเช้านายก็เห็นว่ามีคนมาตามหามิอุระซัง ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดเดี๋ยวก็โดนเกลียดไปมากยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขาไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนที่จำเป็นต้องยอมอยู่ในอุ้งมือนายอย่างที่นายเข้าใจอีกแล้ว”

“อยู่เฉยๆ”ชุนตะเบ็งเสียงถาม “อยู่เฉยๆจนโดนใครที่ไหนคาบไปแดกแล้วไม่เห็นเรอะ พวกแกอวดตัวว่าฉลาดนักหนา ทำไมไม่คิดวิธีที่มันดีกว่านี้วะ”

“แล้วใครมันไปทำให้มิอุระซังรู้สึกว่าแค่หน้าก็ไม่อยากมองกันวะ”อิซามุเถียงกลับไปบ้าง

“ใครสนกัน ฮารุโตะเป็นของฉัน เขาเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น”ชุนพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน

“ชุน!!!”มิชิโอะปรามเสียงดัง “ถามตัวเองดีๆ ว่าอยากได้แค่ตัวอย่างเดียวหรือเปล่า ฉันอยากจะเตือนไว้ก่อน ถ้านายหุนหันทำอะไรแบบไม่คิดอีกมันจะเหมือนเวลาหกปีที่นายเคยเสียไป”

ชุนหยุดฟังคำพูดของอีกฝ่ายแค่จบประโยค ทว่าหลังจากนั้นเขาได้ก้าวเท้าออกจากบ้าน พร้อมทั้งขับรถยนต์ด้วยความฉุนเฉียวมาหยุดจอดที่หน้าบ้านเช่าซึ่งฮารุโตะพักอาศัยอยู่

เขาโง่จริงๆนั่นละ เสียเวลาหกปีไปกับการกระทำไร้สาระที่ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

หลังจากทะเลาะกับฮารุโตะเรื่องไอ้เด็กคาราเต้ เขาจึงไปฮึดเรียนศิลปะการต่อสู้มาบ้าง และด้วยความร้อนวิชาเขาจึงไปหาเรื่องตีรันฟันแทงกับเขาไปทั่ว จนติดอันดับเด็กเกตอนมัธยมต้นปีสาม ตอนนั้นเขาภูมิใจที่ตนแข็งแกร่งกว่าคนอื่น แล้วมันเป็นธรรมเนียมที่ต้องแสดงอำนาจทำตัวกร่างข่มทับคนที่อ่อนแอกว่า

มานึกย้อนในตอนนี้แล้ว ชุนอยากจะเอาศีรษะตัวเองชนกำแพงให้ขี้เลื่อยร่วงออกมาบ้าง ปีกว่าๆที่เขาทิ้งฮารุโตะให้อยู่คนเดียว สนใจแต่ความต้องการของตัวเอง ปีกว่าๆที่ทำให้เขากลับไปคุยกับฮารุโตะเหมือนเดิมไม่ได้อีก ปีกว่าๆที่ทำให้เขาต้องเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่ายด้วยเรื่องโง่ๆที่มันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนึกเขาก็ยิ่งโขกศีรษะกับพวงมาลัยรถยนต์อีกหลายๆรอบ

เขาไม่อยากให้เรื่องทุกอย่างลงเอยเช่นนี้ ไม่อยากต้องเสียอีกหกปีไปอย่างไร้ค่า ไม่อยากให้ตัวเขาและฮารุโตะต้องห่างกันไปตลอดกาล




เขาลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงพยาบาลอีกครั้ง นึกสงสัยว่าทำไมตัวเองไม่ตายๆไปสักที ต้องให้เขาอยู่ทรมานทรกรรมแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ เผชิญกับความเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮารุโตะหลับตาลงและปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ทว่ากลับมีสัมผัสนุ่มนวลปาดเช็ดหยาดน้ำให้เขาอย่างอ่อนโยน

ฮารุโตะลืมตามองเจ้าของมือข้างนั้น พาลให้น้ำตาไหลออกมาอีก

“ร้องไห้อีกแล้ว”ชายหนุ่มเอ่ยปากทัก เขายกยิ้มบางเบาให้คนที่นอนบนเตียง เอ่ยปลอบไปอีกประโยค “เดี๋ยวซาโต้ก็มา”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ กระนั้นใช่ว่าน้ำตาของเขาจะเหือดหายไป หนุ่มรุ่นพี่จับมือเขาไว้พลางดึงกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตาให้ กระทั่งซาโต้ ทาคุมิมาถึง อีกฝ่ายดึงเขาเข้าไปกอด ขณะที่เขาร่ำไห้ไม่หยุด

ซากิจึงใช้โอกาสนี้ถอยเท้าออกไปยืนนอกห้อง เรียวตะที่มาโรงพยาบาลพร้อมทาคุมิจึงตามออกมาด้วย

“แกโอเคหรือเปล่าวะ”เรียวตะเอ่ยปากถามซากิเสียงเบา คนถูกถามเหลือบตามองเพื่อนสนิทก่อนตอบกลับไปว่า

“อืม โอเค”

ทว่าฝ่ายนั้นยังทำหน้าไม่เชื่อ ซากิจึงยกยิ้มให้เป็นการยืนยัน “ฉันโอเคจริงๆ อะไรมันจะเกิดก็ต้องเกิด”
“เห็นแกทำหน้าแบบนี้แล้วนึกถึงตอนมอปลายว่ะ”เรียวตะชวนคุย “ที่จู่ๆแกก็ทำตัวเฟรนด์รี่ ร่าเริงแจ่มใสเป็นหนุ่มโลกสวยอยู่ช่วงหนึ่ง”

คู่สนทนาหัวเราะในลำคอ นึกย้อนไปช่วงเวลานั้นอย่างไม่ตั้งใจ และพูดในสิ่งที่ต่างกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง “ทำไมล่ะ เห็นแกร่าเริงมีคนคุยเยอะเลยอยากทำตามบ้าง อิจฉาแกนะเนี่ยที่มีแต่สาวๆมารุมล้อม”

“อ่อเรอะ”

ซากิแสร้งเลิกคิ้วมองตาใสพร้อมส่งสายตาแสดงความสงสัยให้เพื่อนสนิท เพียงแต่เรียวตะไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

“แล้วจะทำอย่างไรต่อล่ะ”คำถามของเรียวตะจริงจังขึ้นอีกครั้ง

“ฉันอยากให้มิอุระไปอยู่ที่บ้านสักพัก อย่างน้อยให้อาการดีขึ้นแล้วจัดการเรื่องซากุราอิ ชุนให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้เขาจะยอมหรือเปล่า”

“แกคิดว่าหมอนั่นเป็นคนลักพาตัวฮารุจังจริงๆ”

“อาจจะไม่ใช่ แต่ที่มิอุระหายไปฉันว่าต้องเกี่ยวกับซากุราอิ และถึงมิอุระจะไม่ได้หายไป แต่หมอนั่นก็คุมคามมิอุระมากเกินไป ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องสมควร”

“แกรู้ว่าหมอนั่นทำเพราะอะไรหรือ”

ซากิไม่ตอบ เขาเลี่ยงหันไปยกมือทักทายนาโอโตะกับเรย์ซึ่งตนบังเอิญเหลือบไปเห็นที่ปลายสายตา พวกเขาพูดคุยกันเล็กน้อยก่อนนาโอโตะจะขอตัวเข้าไปเยี่ยมหนุ่มรุ่นน้อง  ชายหนุ่มมองตามคนทั้งคู่ผ่านช่องกระจกบนบานประตู มองดูเรย์และนาโอโตะโอบกอดลูบหลังปลอบโยนคนป่วยอยู่ครู่หนึ่ง และเพราะภาพนั้นทำให้เกิดความรู้สึกปวดหน่วงในอก เขาจึงหันกลับมาหาอีกหนึ่งเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ

“วันนี้ฉันกลับก่อนแล้วกัน”

“อ้าว”

“ดูไม่มีอะไรแล้ว”เขาพูดแค่นั้นก่อนโบกมือลา




กว่าจะหยุดร้องไห้ได้ ฮารุโตะรู้สึกเหนื่อยจนอยากจะนอนหลับอีกสักรอบ แต่เพราะมีทาคุมิและรุ่นพี่ยืนอยู่ข้างเตียง เขาจึงยังไม่อยากหลับตา

“นอนก็ได้ ไม่สบายต้องพักผ่อนเยอะๆ”รุ่นพี่อาโอกิพูดพลางลูบศีรษะคล้ายพยายามกล่อมเขานอน

“ใช่แล้วรีบหายเร็วๆ อีกสองอาทิตย์ต้องสอบแล้วนะ”ทาคุมิย้ำให้เขาฟัง

เด็กหนุ่มฝืนแรงโน้มถ่วงของเปลือกตาได้เพียงเท่านั้น แม้อยากจะนึกบอกทาคุมิกลับไปว่า ภาคการศึกษานี้เขาพร้อมทำข้อสอบเต็มที่แล้วก็ตาม

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังตื่นนอน ทั้งทาคุมิและรุ่นพี่ทั้งสามคนต่างกลับไปหมดแล้ว ความรู้สึกเงียบเหงาหดหู่จึงได้กลับมาโจมตีเขาอีก ฮารุโตะมองเพดานห้องด้วยสายตาเหม่อลอยจนพยาบาลนำอาหารมื้อเย็นมาส่งให้ เตียงนอนของเขาถูกปรับยกให้เขานั่งขึ้น ตอนนั้นเขาจึงเห็นกระดาษซึ่งถูกผูกติดกับนิ้วมือ เด็กหนุ่มจึงแกะมันออกมาดู

‘ทานเยอะๆ พักผ่อนเยอะๆ จะได้หายไวๆ เป็นห่วง’

ข้อความดังกล่าวทำให้เขายกยิ้ม รู้สึกมีแรงใจขึ้นมา เขาพับกระดาษแผ่นนั้นผูกติดนิ้วไว้เหมือนเดิมก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหาร หลังจากนั้นจึงนอนหลับพักเยอะๆตามที่กระดาษแผ่นนั้นแนะนำ

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 22 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 15-04-2017 05:33:46
อีกราวๆสี่วันหลังจากนั้น ฮารุโตะจึงได้ออกจากโรงพยาบาล

“ไปอยู่ที่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึก่อนนะฮารุจัง”ทาคุมิบอกในวันที่เขาต้องออกจากโรงพยาบาล เด็กหนุ่มเหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยกยิ้มติดมุมปากอยู่ไม่ไกล รอยยิ้มที่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายพยายามหลอกลวงคนทั้งโลก ก่อนจะหันเหสายตากลับมาหาทาคุมิอีกครั้ง

“ฉันก็จะไปอยู่ด้วย แถวนั้นเป็นระแวกเดียวกับบ้านรุ่นพี่อาโอกิ รุ่นพี่นาคามูระและรุ่นพี่โมริด้วย”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ คนพูดจึงยกยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ แล้วลุกขึ้นยืนเข็นรถเข็นที่ฮารุโตะนั่งพาออกไปหน้าโรงพยาบาล

“เดี๋ยวฉันไปวนรถมาก่อนนะ”ซากิพูดก่อนเดินนำหน้าไป ฮารุโตะมองตามแผ่นหลังกว้างที่สาวเท้าก้าวห่างออกไปทุกที แล้วก้มมองสองมือที่บีบจับกันไว้

“ซาโต้ซัง”เขาเอ่ย ทาคุมิขานรับพลางโน้มหน้ามาหา
“รุ่นพี่ชิมิซึโกรธหรือเปล่า”

ทาคุมิอยากตอบว่าไม่รู้เหมือนกัน ทว่าเขากลับถามไปว่า “โกรธ? หมายถึงเรื่องไหนล่ะ”

“ทุกเรื่อง”ฮารุโตะบอก เริ่มใช้ปลายเล็บจิกหลังมือตัวเองอย่างไม่รู้สึกตัว เขากังวลอึดอัดหลายความรู้สึกผสมปนเปกันจนเหมือนจินตนาการเห็นเมฆดำก้อนใหญ่ลอยอยู่กลางอก

“พูดไม่ดีและทำให้ลำบากตั้งหลายอย่าง”

ทาคุมิถามเขา ว่าคืนนั้นหายไปไหน ทั้งเล่าว่ารุ่นพี่ชิมิซึ รุ่นพี่ฮายาชิ และเจ้าตัวตามหาเขาเกือบทั้งคืน ฮารุโตะจึงยอมเล่าให้ฟังตามตรงทั้งยังกล่าวขอโทษซ้ำๆ จนอีกฝ่ายต้องเอ่ยปากดุ แต่เขาเสียใจจริงๆที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงและต้องลำบาก แม้อีกใจหนึ่งจะตื้นตันดีใจที่มีคนเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้

“ถ้าคิดว่าพูดไม่ดีก็แค่ขอโทษ ปกติชอบขอโทษคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยอยู่แล้ว ครั้งนี้คงไม่ลำบากหรอกนะ”ทาคุมิเอ่ยแซว

ลำบากซิ เอ่ยปากยากด้วย ฮารุโตะตอบเช่นนั้นอยู่ในใจ เพราะครั้งนี้รุ่นพี่ชิมิซึดูเย็นชากว่าเดิมเป็นล้านเท่า ทั้งที่ปากยกยิ้มตลอดเวลา แต่เขากลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังสวมหน้ากากอยู่เสียมากว่า

ฮารุโตะลุกขึ้นก้าวขึ้นรถโดยมีทาคุมิช่วยพยุง ตลอดทางจากโรงพยาบาลจนถึงบ้านของหนุ่มรุ่นพี่ ภายในรถยนต์มีแต่ความเงียบ แม้ว่าเขาและทาคุมิจะนั่งอยู่เบาะหลังด้วยกันปล่อยให้หนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์ทำหน้าที่คนขับรถ แต่เพราะฮารุโตะเอาแต่จมจ่ออยู่กับความคิดของตัวเอง และทาคุมิก็ปล่อยให้เพื่อนสนิทได้ทำเช่นนั้น

เขามารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อรถยนต์จอดนิ่งอยู่ภายในโรงจอดรถ ฮารุโตะเปิดประตูก้าวเท้าลงเดินตามหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปในบ้าน และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าไปเสียงพลุกระดาษได้ดังรัวขึ้นมา

“ดีใจด้วยที่หายป่วยแล้ว”นาโอโตะร้องบอก 

ฮารุโตะมองกลุ่มรุ่นพี่ด้วยความหลากประหลาดใจ ที่จริงอาการของเขาแค่ทุเลาลงจนแพทย์เจ้าของไข้อนุญาตให้กลับบ้านได้ กระนั้นก็ยังดีใจจนต้องเผยยิ้ม เขาได้แต่เอ่ยขอบคุณ แม้เมื่อครั้งที่เขาถอดเฝือกคราวก่อนพวกรุ่นพี่จะฉลองให้เขาเช่นเดียวกัน แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไป เพราะก่อนหน้าที่เขาจะป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล อารมณ์ความรู้สึกของเขาดิ่งลงเหว คิดว่าไม่มีใครต้องการเขาอีกแล้ว

หลังจากนั้น พวกรุ่นพี่พาเขาไปยังโต๊ะอาหารซึ่งมีอาหารมากมายวางอยู่ พวกเขาทานอาหารร่วมกัน พูดคุยกัน มีแต่เสียงหัวเราะและมุขตลกล่องลอยฟุ้ง ฮารุโตะหัวเราะจนเหมือนหายใจไม่ทัน หัวเราะไม่หยุดต่อเนื่องกระทั่งเมื่อยไปทั้งแก้มปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ใครคิดอยากจะลุกจากโต๊ะ ถึงกระนั้น งานเลี้ยงล้วนต้องมีวันเลิกรา

ฮารุโตะหาวหวอด ร่างกายอ่อนเพลียเรียกร้องการพักผ่อน

“เอาละ เจ้าของงานง่วงแล้ว เพราะฉะนั้นพวกเราแยกย้าย”นาคามูระ เรย์เอ่ยปากพูด แม้ใจหนึ่งฮารุโตะอยากให้พวกรุ่นพี่อยู่คุยกันต่อ แต่ทว่าไม่อาจฝืนหนังตาซึ่งกำลังหนักขึ้นเรื่อยๆได้ เขาโบกมือก่อนจะยกขึ้นปิดปากหาวอีกรอบ

“พามิอุระขึ้นไปนอนเถอะ ห้องติดบันไดขวามือ”ซากิพูดกับทาคุมิ ก่อนจะหันไปเก็บจานชามเพื่อล้างทำความสะอาด 

เด็กหนุ่มสองคนเดินตามกันไปจนถึงห้องที่หนุ่มรุ่นพี่บอก

“ห้องของรุ่นพี่ชิมิซึ”ฮารุโตะหันไปพูดกับเพื่อน

“อือ ทำไมหรือ”

“จะให้นอนห้องนี้จริงๆหรือ”

“ก็คงจะอย่างนั้นแหละ”ทาคุมิตอบอย่างไม่คิดอะไรมาก “เข้าไปเถอะ เดี๋ยวเช็ดตัวให้”

จากที่ง่วงนอน ฮารุโตะจึงรู้สึกเหมือนตื่นเต็มตา เขากังวลที่ต้องนอนห้องเดียวกับหนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของบ้าน สีหน้าพะวงอมทุกข์จนทาคุมิต้องเอ่ยปากทัก

“เป็นอะไร”

“ไม่อยากนอนกับรุ่นพี่ชิมิซึ”

“ไม่ต้องกังวล รุ่นพี่ยกห้องนี้ให้ฉันกับนายนอนกันสองคน”

ฮารุโตะใจชื้น ผ่อนลมหายใจอย่างปลอดโปร่ง จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าให้ทาคุมิช่วยเช็ดตัว สวมเสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จเรียบร้อยจึงล้มตัวลงนอน เวลาผ่านไปแค่ครู่เดียว เจ้าตัวก็หลับสนิท

ทาคุมิลุกขึ้นยืนเดินออกไปจากห้อง ลงบันไดไปชั้นล่าง เป็นจังหวะพอดีกับที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจัดการเก็บกวาดโต๊ะอาหารจนเสร็จเรียบร้อย

“ฮารุจังหลับไปแล้วครับ”เด็กหนุ่มรุ่นน้องพูด

“อืม แล้วนายอาบน้ำหรือยัง”

“รุ่นพี่จะให้ผมค้างที่นี่จริงๆหรือครับ”ทาคุมิถามกลับไปเสียแทน

“มันคงจะดีกว่า ถ้านายอยู่กับมิอุระ”

“ผมรักฮารุโตะก็จริง แต่เป็นความรักแบบเพื่อนนะครับ เขาน่าสงสารแล้วเหมือนเพื่อนคนหนึ่งตอนสมัยเรียนมัธยม เพื่อนคนนั้นโดนแกล้งเป็นประจำจนวันหนึ่งเขากระโดดจากดาดฟ้าโรงเรียนฆ่าตัวตาย ที่นั่งของผมอยู่ข้างหน้าต่างเลยเห็นร่างของเขาร่วงผ่านตาไป”ทาคุมิกลืนน้ำลายลงคอ กระบอกตาร้อนผ่าวรู้สึกเหมือนน้ำในตากำลังเอ่อคลอยามที่นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต

“ผมไม่อยากให้ฮารุโตะเป็นแบบนั้น”

ซากิไม่ได้พูดตอบกลับไป เขารับฟังแต่เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจฟัง เด็กหนุ่มจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ แม้จะรับรู้เรื่องราวความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่ แต่เขาไม่รู้ว่าปัญหามันอยู่ที่ตรงไหน

“รุ่นพี่มีอะไรอยากให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ”

เมื่อถูกถามมาเช่นนั้น ชายหนุ่มร่างสูงจึงล้วงหยิบของในกระเป๋ากางเกง นำมันออกมาวางไว้ตรงหน้าอีกฝ่าย

“ฝากให้มิอุระหน่อย ให้เขาสวมไว้แล้วไม่ต้องบอกว่าได้มาจากฉัน”

“ทำไมล่ะครับ”

“นายคิดว่าช่วงนี้เขาจะรับของจากฉันหรือ”ซากิถามกลับ

ทาคุมินิ่งเงียบเพราะไม่อาจปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายได้เต็มปาก เขาหยิบกล่องกำมะหยี่สีดำขึ้นมาเปิดดูของข้างใน และทันทีที่เห็น เขารีบร้องถามไปว่า “ของจริงหรือเปล่าครับ”

“เปล่า สร้อยเงินกับเพชรปลอม”

เด็กหนุ่มรุ่นน้องมีสีหน้าโล่งใจ

“นายรู้ความหมายของมันใช่ไหม”

ทาคุมิพยักหน้ารับ คิดในใจว่าคงไม่มีใครไม่รู้ความหมายของเครื่องรางชนิดนี้ กระนั้นหนุ่มรุ่นพี่กลับพูดย้ำเขาอีกรอบว่า “นายต้องพูดให้มิอุระเชื่อว่า ทันทีที่เขาสวมมันไว้ ต่อจากนี้ไปในชีวิตของเขาจะมีแต่สิ่งดีๆเข้ามา”

และเป็นซาโต้ ทาคุมิเองที่ตื่นเต้นกระตือรือร้น เขาอาจจะได้รับอิทธิพลจากคำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึ แต่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องไม่ดี เด็กหนุ่มจึงตื่นแต่เช้าอย่างผิดปกติวิสัยเพื่อนั่งรอเวลาที่เพื่อนสนิทจะตื่นขึ้นมา

ดังนั้นเมื่อฮารุโตะลืมตา เขาจึงเห็นทาคุมินั่งมองตาแป๋ว เขาเอ่ยปากถาม “มีอะไรหรือ”

“มีของจะให้”ทาคุมิรีบดึงตัวฮารุโตะให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วหยิบกล่องใส่เครื่องประดับซึ่งวางอยู่หัวเตียงมาเปิด หยิบสร้อยสีเงินเส้นเล็กๆออกมา

“สวยไหม”

เพชรเม็ดเล็กๆซึ่งถูกฝังอยู่ในจี้ใบโคลเวอร์รูปหัวใจสี่ดวงสะท้อนแสงสว่างมองคล้ายดวงดาวกำลังกระพริบส่องแสง ตัวเรือนด้านนอกเป็นสีเงินด้าน

“สวย เมื่อกี้ซาโต้บอกจะให้?”หลังตอบคำถาม ฮารุโตะจึงถามย้ำกลับไป “ให้ทำไมล่ะ”

“อ้าว ไม่รู้จักใบโคลเวอร์สี่แฉกหรือ ถ้ามีไว้จะได้โชคดีไง”

“เรื่องนั้นรู้” ครั้งหนึ่งเขาก็เคยพยายามหาใบไม้นำโชคชนิดนี้จากในสวนเหมือนกัน

ทาคุมิขยับตัว คล้องสร้อยเข้ากับคอของเพื่อนสนิท อ้อมไปด้านหลังและติดตะขอให้ “ต่อไปนี้ นายจะได้มีแต่เรื่องดีๆเข้ามาในชีวิต”

เด็กหนุ่มหยิบจี้เล็กๆ ซึ่งถูกแขวนอยู่กลางอกขึ้นมาดูอีกครั้ง

“แพงหรือเปล่า”ฮารุโตะถาม ซึ่งเป็นคำถามที่ทาคุมิตอบไม่ได้เพราะเมื่อวานเขาลืมถามราคาจากเจ้าของตัวจริงเช่นเดียวกัน แต่เมื่อนึกประมาณราคาตามวัสดุที่หนุ่มรุ่นพี่บอกไว้ เขาจึงบอกว่าไม่กี่พันเยนเท่านั้น

“ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินหรอก ถ้าแพงมากอย่างฉันก็ไม่มีปัญญาซื้อมาให้อยู่แล้ว”ทาคุมิพูดพร้อมหัวเราะ ฉุกคิดขึ้นมาว่า อย่างรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะซื้อของจริงให้ก็เป็นได้ แต่เนื่องจากเคยถามย้ำมาแล้ว เขาจึงไม่คิดเก็บมาใส่ใจอีก ก่อนจะชวนให้เพื่อนสนิทลุกขึ้นแต่งตัวเตรียมไปมหาวิทยาลัย

ลงมาที่ห้องทานอาหารชั้นล่าง เขาทั้งคู่เห็นหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้านกำลังวุ่ยวายกับโต๊ะทานอาหาร ชายหนุ่มร้องทักเมื่อเงยหน้าเห็นรุ่นน้องทั้งสองคน

“ลงมาแล้วหรือ มานั่งสิ ฉันเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้ว”

ฮารุโตะมีสีหน้าแปลกใจ ในขณะที่ทาคุมิจับมือเขาจูงเดินให้เข้าไปใกล้พร้อมเอ่ยปากถามอีกฝ่าย “รุ่นพี่ทำอาหารเป็นด้วยหรือครับ”

“ได้แค่นี้แหละ เอาใส่กระทะทอดกับต้มบะหมี่”

ฮารุโตะมองชุดอาหารเช้าแบบอเมริกันตรงหน้าด้วยความทึ่ง มันดูสวยงามน่าทานในแบบฉบับของมืออาชีพ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นเมื่อรู้สึกว่าชายหนุ่มเจ้าของบ้านเงียบไปนาน ทว่ากลับต้องพบกับสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองมาทางตน อย่างไรก็ดี คนที่เป็นฝ่ายหลบสายตาไปก่อนกลับเป็นชายหนุ่มร่างสูง

“ทานเถอะ เดี๋ยวฉันจะได้ไปส่งที่มหาวิทยาลัย”ซากิลากเก้าอี้ออกมาทรุดตัวลงนั่ง และเริ่มทานอาหารในส่วนของตนเงียบๆ

ทาคุมิลากเก้าอี้ออกมานั่งด้วยอาการดี๊ด๊าแสดงออกว่าชอบอาหารมื้อนี้ไม่น้อย

ฮารุโตะจึงทรุดตัวลงนั่งตาม ยกมือขึ้นพนมบอกกล่าวก่อนทานอาหารตามธรรมเนียม แล้วหยิบส้อมกับมีดขึ้นมาถือ หลังผ่านทริปการท่องเที่ยวกับชมรมมาหลายต่อหลายครั้ง ได้เข้าพักตามโรงแรมหลายแห่งทักษะการใช้มีดและส้อมของเขาจึงพัฒนาขึ้นบ้าง กระนั้นมันยังคงดูเก้ๆกังๆบ้างอยู่ดี

เด็กหนุ่มเงยหน้ามองผู้ร่วมโต๊ะเมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับจ้อง “อ...อะไร”

“เปล่า”เสียงตอบของทาคุมิสูงผิดปกติ มีรอยยิ้มขำขันติดอยู่ที่ริมฝีปาก นั่นยิ่งทำให้ฮารุโตะเขินประหม่า

“มาช่วยหั่นให้เลย”เด็กหนุ่มหันไปพูดกับเพื่อน ทำหน้างอกลบเกลื่อนอาการขัดเขิน

“เรื่องดิ ฮารุจังแหละต้องทำเอง หัดไว้จะได้เก่ง”จบประโยคคนพูดไม่ได้สนใจคู่สนทนาอีก ปล่อยให้ฮารุโตะมุ่ยหน้าจำต้องก้มหน้าก้มตาทานอาหารในส่วนของตนต่อไป

ซากิทานอาหารเสร็จก่อน เขาลุกขึ้นจะนำจานไปเก็บทว่าทาคุมิได้เอ่ยปากขัดไว้ “รุ่นพี่ เดี๋ยวผมล้างเองครับ รุ่นพี่ทำอาหารให้พวกเราทานแล้ว เดี๋ยวผมล้างให้เอง”

เขายืนชั่งใจอยู่แค่ชั่ววินาทีเดียวก่อนจะตอบตกลง ทิ้งจานเปล่าไว้บนโต๊ะจากนั้นจึงลุกขึ้นไปดูสตาร์ทเครื่องรถยนต์ ทางเดินหน้าบ้านเต็มไปด้วยหิมะ ชายหนุ่มจึงหยิบอุปกรณ์มากวาดเกล็ดน้ำแข็งที่ทับถมกันเป็นชั้นออก กว่าจะเสร็จก็เป็นจังหวะพอดีที่หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนเดินออกมาจากบ้าน

หลังเปิดประตูที่นั่งฝั่งคนขับออก ซากิหยิบถุงมือหนังมาส่งให้รุ่นน้องทั้งสองคน “ฉันให้”

ทาคุมิกล่าวขอบคุณก่อนจะยื่นมือไปรับและส่งอีกคู่ให้ฮารุโตะ เด็กหนุ่มสวมถุงมือเรียบร้อยจึงเดินไปเปิดประตูที่นั่งตอนหลังของรถยนต์ ฮารุโตะจึงออกอาการเก้ๆกังๆ เพราะไม่รู้ว่าควรขึ้นไปนั่งตรงไหนดี เขายังไม่อยากนั่งข้างรุ่นพี่ แต่ถ้าตามไปนั่งข้างหลัง มันดูจะเป็นการไร้มารยาทเช่นเดียวกัน

“ไปนั่งข้างหลังกับทาคุมิก็ได้”

แม้จะได้ยินคำอนุญาต ฮารุโตะก็ยังคงลังเล จนหนุ่มรุ่นพี่ต้องพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้น เขาจึงยอมก้าวเท้าขึ้นรถ




ความอดทนของชุนหมดลงแล้วหลังจากที่พยายามทำตัวอยู่เฉยๆอย่างที่มิชิโอะแนะนำมาหลายวัน เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกหลอกให้อยู่ในโอวาทของคนคุมทั้งคู่อีกครั้ง แต่กระนั้นใช่ว่าจะออกอาการอะไรได้ เขาได้แต่แสร้งทำเป็นปกติทั้งที่ภายในหงุดหงิดกระสับกระส่าย

วิชาเรียนผ่านไปอย่างเชื่องช้า และเขายังคงคิดหาหนทางที่จะสลัดสองคนนี้ไม่ได้

ที่จริงก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามหาวิทยาลัย พ่อจะให้เขาไปเรียนมหาวิทยาลัยเอกชนในจังหวัดซึ่งใกล้หูใกล้ตากว่านี้ พ่อไม่เคยห้ามปรามที่เขาไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร และไม่เคยบอกว่ามันดีหรือเลว ผู้เป็นบิดาแค่ยื่นมือมาช่วยเหลือเขายามที่จำเป็นและทำให้เขารู้ว่าอำนาจเงินเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้เขาเห็นว่า เมื่อไม่มีเงิน เขาจะเป็นเพียงกุ๊ยข้างถนน

ทว่าเมื่อเขาเอ่ยปากว่าจะเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ พ่อกลับยื่นข้อเสนอบังคับแลกเปลี่ยนกับการใช้เงินยัดเขาเข้ามาโดยให้เหตุผลว่า

‘ถ้าแกไม่มีเงิน แกก็ต้องมีสมอง แต่ถ้าแกไม่มีทั้งสองอย่าง แกก็ต้องยอมเสียอะไรบางอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งที่แกอยากได้’

ข้อแลกเปลี่ยนของผู้เป็นบิดาไม่มีอะไรมากมาย แค่ต้องเรียนให้จบและทำตัวให้ดีขึ้นไม่ทำตัวเป็นอัธพาลเกเรแบบเดิมอีก เขารับปากเพราะมันฟังดูง่ายเหลือเกิน เขาได้เริ่มต้นชีวิตในมหาวิทยาลัยด้วยอารมณ์ลั่นล้ามีความสุข ไปดักรอฮารุโตะที่ทางเข้ามหาวิทยาลัยแต่เช้า แม้เช้าวันแรกจะไม่ได้เจอ ทว่าวันถัดมาเขาก็ได้พบอีกฝ่าย เขาเอาข้าวกล่องและเงินของฮารุโตะมา เพราะหวังว่าฮารุโตะจะมาหามาอ้อนวอนขอให้เขาคืนของให้ แต่เหตุการณ์ทุกอย่างกลับตาลปัตรจากที่คิด

และอิซามุก็ด่าว่าเขาเป็นพวกสมองกลวง ‘ชอบก็บอกว่าชอบ ทำไมต้องทำอะไรไร้สาระแบบนั้น’

เขาปฏิเสธ เพราะคิดว่าถ้าทั้งสองคนรู้ เขาจะโดนกำจุดอ่อนไว้ทั้งหมด และทำให้ทั้งคู่เห็นว่าเขาไม่ได้คิดอะไรจริงๆ กระทั่งได้รับคำสั่งห้ามจากบิดา

‘เด็กคนนั้นเป็นนักเรียนทุนของบริษัทเราไม่ใช่หรือไง ถ้าแกไปทำอะไรเขาจนเป็นเหตุให้เขาไม่สามารถทำงานใช้ทุนได้ ต่อให้แกเป็นลูก ฉันก็จะทำให้แกกลายไปเป็นขยะข้างทาง’

สำหรับเขา พ่อไม่ใช่คนดุแต่เรื่องที่จริงจัง พ่อมักจะทำมันให้เป็นจริงตามที่ลั่นวาจา

แต่แล้วจู่ๆ ฮารุโตะกลับยอมยิ้มให้เขาง่ายๆ รอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ของเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

วันที่ได้พูดคุยได้นั่งกินข้าวด้วยกัน มันทำให้เขาพร่ำเพ้อจนโดนล้อเลียน ก่อนที่อิซามุจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ‘การมีคนที่ชอบ มันทำให้คนเราพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อเขา อย่างนายถ้าอยากให้ดูเหมาะสมกับมิอุระซัง จะต้องตั้งใจเรียนมากกว่านี้’ ชุนรู้ว่าประโยคสุดท้ายของอิซามุที่พูดออกมาเพราะเป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ เขาคิดว่าตัวเองเหมาะสมกับฮารุโตะอยู่แล้วแม้ว่าจะถูกอิซามุด่าว่าสมองกลวงก็ตาม และถึงจะมีเสี้ยนบางอย่างที่ตำใจเขาอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา

กระทั่งได้เห็นฮารุโตะจูบกับไอ้หมอนั่นตำตา

เขาเลือดขึ้นหน้า ควันออกหู จนไม่คิดยับยั้งสติต่อไปอีกและมันก็เลวร้ายลง

ชุนฟุบหน้าลงกับโต๊ะเรียน มิชิโอะกับอิซามุไม่ช่วยเขา และเขายังไม่รู้ว่าควรจะแก้ไขเรื่องคราวนี้อย่างไรดี เขาโขกศีรษะกับโต๊ะเรียน ด้วยคิดว่าถ้าเคาะเอาแกลบออกจากสมองไปบ้าง เขาคงจะคิดอะไรดีๆออก ก่อนจะเริ่มโขกซ้ำจนนักศึกษาในห้องหันมามอง มิชิโอะจึงต้องกระชากคอเสื้อให้ชุนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้มแหยๆเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีอะไร แล้วกระซิบบอกตัวต้นเรื่อง

“ถ้ายังไม่นั่งเรียนดีๆ นายได้ย้ายมหา’ลัยแน่”

ชุนยังคงก้มหน้าด้วยอาการเครียดขึง ฉับพลันเขาหุนหันลุกขึ้นก้าวเท้าออกจากห้อง ทั้งมิชิโอะและอิซามุจึงต้องลุกขึ้นเดินตาม ก่อนจะต้องหยุดชะงักเพราะโดนมิชิโอะคว้าไหล่ไว้

“จะไปไหน”

“ฉันจะไปหาฮารุโตะ”

“นายจะไปหาเขาทำไม ไปทำเพื่อให้เขาเกลียดกลัวนายมากขึ้นอย่างนั้นหรือ”

“งั้นก็ช่วยทำอะไรสักอย่างดิวะ”ชุนพูดตะโกนเสียงดัง

“ชุน นายคิดว่าคนที่ถูกรังแกตลอดหกปี เขาจะยอมยกโทษให้นายเพียงเพราะนายไปคุกเข่าขอโทษอย่างนั้นหรือ”อิซามุถาม

“แล้วจะให้ทำอย่างไร โน่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้”

“ปล่อยเขาไปไม่ได้หรือ”

ชุนนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเค้นเสียงออกมา “ไม่ปล่อย!!! ต่อให้ตายก็ไม่ปล่อย!!!” เขาสลัดมือของมิชิโอะ กระนั้นกลับโดนคว้าไว้อีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นอยู่เฉยๆ อย่าทำอะไรที่พวกฉันไม่ได้บอก”มิชิโอะพูด ก้าวเท้าเดินนำออกจากอาคารตรงไปยังตึกเรียนของมิอุระ ฮารุโตะ

พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้ตารางเรียนของเด็กหนุ่มร่างเล็ก เพียงแต่ไม่เคยบอกให้ชุนรู้ ทั้งคอยกันคอยเลี่ยงไม่ให้ชุนได้เจอกับอีกฝ่ายง่ายๆ แต่ครั้งนี้พวกเขาต้องเดินตรงดิ่งก้าวเท้าขึ้นบันไดไปยังห้องเรียนของมิอุระ ฮารุโตะอย่างไม่ลังเล ชุนออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ยืนรออยู่พักใหญ่นักศึกษาในห้องจึงทยอยเดินออกมา

มิอุระ ฮารุโตะและเพื่อนสนิทเดินออกมาเป็นกลุ่มท้ายๆ ทั้งสองคนไม่ทันเห็นพวกเขาจนกระทั่งมิชิโอะไปยืนขวาง แล้วยิ่งออกอาการตื่นตระหนกเมื่อชุนไปยืนดักอยู่ด้านหลัง อิซามุนึกอยากจะตบศีรษะชุนแรงๆสักหลายๆทีขณะลากคอให้ชุนถอยห่างออกมา

“เคยพูดไว้ว่าไม่ให้ทำอะไรที่ไม่ได้บอกไม่ใช่หรือไง”อิซามุกระซิบพูด ชุนยังคงฮึดฮัดไม่พอใจพร้อมมองมิชิโอะที่ยืนคุยอยู่กับฮารุโตะ

“สวัสดีครับ อาการป่วยเป็นอย่างไรบ้าง”

“ไม่ต้องแกล้งมาทำเป็นห่วงเลย”ทาคุมิพูดแทรก กระนั้นมิชิโอะกลับไม่ได้มีท่าทีโมโห เขาอธิบายให้ทาคุมิฟังด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า

“พวกผมขอโทษครับ ที่จริงวันนั้นอยากจะดูแลให้มิอุระซังหายป่วยก่อนเหมือนกัน แต่มิอุระซังคงจะไม่สบายใจที่จะอยู่ที่บ้าน”

ฮารุโตะกระตุกแขนเพื่อนสนิท พร้อมกับพยักหน้าบอกว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด

“แล้วทำไมถึงไม่พาฮารุจังกลับมาส่งที่ห้อง”

“อ่า... เรื่องนี้คงต้องคุยกันอีกยาว พวกคุณพอจะมีเวลาว่างไหมละครับ เป็นหลังหมดชั่วโมงเรียนวันนี้ได้ไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะปฏิเสธ ทว่าทาคุมิกลับตอบตกลง นัดหมายเวลาเป็นช่วงเย็น จากนั้นมิชิโอะและอิซามุจึงพาชุนกลับไป

“ผมไม่อยากคุยกับพวกซากุราอิซัง”ฮารุโตะร้องบอก

“เราหนีไปตลอดไม่ได้หรอกฮารุโตะ บางครั้งเราก็ต้องเผชิญหน้าเพื่อต่อสู้กับปัญหาและเพื่อให้ตัวเราแข็งแกร่งขึ้น นายอยากหนีไปตลอด อยากนึกเสียใจที่ก่อนหน้านั้นไม่ทำแบบนั้นไม่ทำแบบนี้หรือ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาเล่าให้ทาคุมิฟังว่า แวบหนึ่งเขารู้เสียใจที่ไม่ได้ไปเรียนศิลปะการต่อสู้อย่างที่ทาคุมิเสนอ

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า เย็นนี้ไม่ได้มีนายแค่คนเดียวซะหน่อย”เด็กหนุ่มผู้เป็นเพื่อนพูด ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นกดโทรออกหารุ่นพี่อาโอกิเพื่อขอยืมใช้ห้องชมรม ให้อีกฝ่ายประกาศลงกลุ่มสนทนาห้ามสมาชิกทุกคนเข้าใช้ห้องในตอนเย็น และโทรแจ้งรุ่นพี่ชิมิซึเป็นคนสุดท้าย

เย็นวันนั้น หลังหมดชั่วโมงเรียน ทาคุมิจึงกอดคอลากพาฮารุโตะให้ไปห้องชมรมด้วยกัน พร้อมพูดกรอกหูกล่อมเพื่อนร่างเล็กไปพลาง

“ไม่ต้องห่วงน่า ไม่มีใครทำอะไรนายได้ มีรุ่นพี่ชิมิซึ รุ่นพี่โมริ รุ่นพี่ฮายาชิ รุ่นพี่นาคามูระแล้วก็รุ่นพี่อาโอกิด้วย ฉันไม่คิดจะให้นายคุยกับพวกนั้นแค่คนเดียว ฝั่งเรามีคนเยอะกว่าไม่ต้องกลัวหรอก”

“ตอนมัธยม ซากุราอิซังชนะนักเลงที่อายุมากกว่าได้ตั้งหลายคน”ฮารุโตะพูดเล่าข่าวลือตามที่ตนได้ยินมา พาให้ทาคุมิเริ่มขนลุกเกรียวด้วยความกลัว กระนั้นเด็กหนุ่มที่ตัวสูงกว่ายังคงต้องทำให้เป็นฮึกเหิมเข้มแข็ง

“แล้วไง พวกรุ่นพี่ก็ไม่อ่อนให้โดยสอยร่วงง่ายๆหรอก” หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ทาคุมิคิดในใจ






+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++


*//เนื่องจากเราคิดว่า เหตุการณ์ตอนที่ 23 มันค่อนข้างเชื่อมโยงกับตอนที่ 22 อยู่มาก เราจึงตัดสินใจลงตอนที่ 23 ต่อเนื่องเลย พบกับตอนที่ 23 ได้ใน Reply ถัดไปค่ะ//*

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 23 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 15-04-2017 05:38:04



ตัวละครประกอบ
1. ชิมิซึ เคนจิโร่ พ่อของชิมิซึ ซากิ
2. ชิมิซึ มานาบุ  พี่ชายของชิมิซึ ซากิ



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 23




ตอนที่พวกเขาไปถึงห้องชมรม กลุ่มรุ่นพี่ที่ทาคุมินัดไว้ได้มานั่งรอพร้อมกันอยู่แล้ว รุ่นพี่อาโอกิเดินเข้ามาหาฮารุโตะทันทีที่เห็นหน้า ดึงเข้าไปกอดพลางลูบศีรษะลูบหลังเป็นเชิงให้กำลังใจ แล้วเอ่ยปากถามเรื่องราวเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย

ทาคุมิจึงรีบเข้าไปหาฮายาชิ เรียวตะ หนุ่มรุ่นพี่ที่ตนสนิทด้วยกระซิบพูดคุยถามถึงสิ่งที่ตนกังวล

“รุ่นพี่ครับ พร้อมไหม”

“พร้อมอะไร”

ทาคุมิจึงเล่าเรื่องที่ฮารุโตะพูดให้ฟัง เรียวตะเลิกคิ้วแสร้งทำท่าตกใจ “จริงดิ”

“ผมอยากให้ฮารุจังฟังมาผิดอ่ะ”

“ทำไมกลัวหรือ”

“กลัวดิ ตัวอย่างซากุราอิ ผมโดนแค่หมัดเดียวก็ปลิวไปไกลแล้ว”แล้วพูดต่อไปอีกว่า “ไม่แปลกใจที่ฮารุจังจะกลัวหมอนั่นมาก”

“นี่ตกลงว่าพวกนั้นจะยกพวกมาตีหรือแค่มาคุยด้วยเฉยๆกันแน่”เรียวตะถามอย่างสงสัย

“คิดเผื่อไว้ไงครับ พวกอันธพาลไม่ว่าอย่างไรก็ทำตัวเป็นอันธพาลอยู่ดี”

บทสนทนาของเขาทั้งคู่ถูกขัดจังหวะลงเมื่อกลุ่มคนที่นัดไว้มาปรากฏตัว ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนจับจ้องสายตาไปยังชายหนุ่มทั้งสาม ก่อนเรียวตะจะตบบ่าเด็กหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ข้างตัวพลางพยักพเยิดให้ลุกขึ้นยืน

“คงไม่ว่ากันใช่ไหม ถ้าจะให้พวกรุ่นพี่อยู่ด้วย”

อิซามุกับมิชิโอะมองหน้ากัน จากนั้นจึงพยักหน้าตกลง พาชุนมานั่งที่ชุดโซฟา ฟากหนึ่งเป็นที่นั่งของฮารุโตะ เพื่อนสนิทอย่างทาคุมิ และนาโอโตะหนุ่มรุ่นพี่ปีสี่ ส่วนเรียวตะย้ายมานั่งโซฟาเดี่ยวด้านข้าง และหนุ่มรุ่นพี่อีกสามคนที่เหลือจับจองที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมไม้ตัวยาว

“ผมจะตอบคำถามที่คุณถามเมื่อตอนกลางวัน”มิชิโอะเริ่มพูด เขาเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อเรียบเรียงความคิด และกล่าวต่อ “คิดว่าพวกคุณคงรู้ว่ามิอุระซังกับชุนเคยเป็นเพื่อนกันมาก่อน”

ทาคุมิพยักหน้ารับ

“วันนั้นพวกเราไม่ได้มีเจตนาร้ายกับมิอุระซัง ชุนบังเอิญเห็นมิอุระซังกำลังจะเป็นลม เลยเข้าไปช่วยและพากลับไปที่บ้าน พวกเราได้เชิญหมอมาตรวจอาการด้วย”

ฮารุโตะหน้าเสีย เขาก้มหน้าลงรู้สึกเหมือนกำลังโดนต่อว่า เหมือนอีกฝ่ายกำลังพูดว่าเขาเป็นพวกตื่นตูมไปเอง

“ผมเข้าใจว่ามิอุระซังอาจจะมองว่าชุนไม่ใช่คนดี เขาเคยทำร้ายคุณแต่ที่ผมอยากบอกว่าชุนเปลี่ยนไปแล้ว เขาสำนึกผิดกับทุกสิ่งที่เขาทำไป”

“ง่ายๆอย่างนี้เลยหรือ พวกคุณคิดว่าแค่พูดว่าสำนึกก็สามารถชดเชยกันได้หรือไง”ทาคุมิพูดแทรกกลับไปทันควันอย่างมีน้ำโห 

“ทาคุมิ”นาโอโตะร้องปรามให้หนุ่มรุ่นน้องใจเย็นลง แล้วหันไปถามฮารุโตะ

“แล้วฮารุจังละ จะว่าอย่างไร”

เด็กหนุ่มร่างเล็กทำเพียงก้มหน้าและสั่นศีรษะ นาโอโตะจึงกล่าวสรุปความ “เป็นอันว่าฮารุจังรับรู้ว่านายสำนึกผิดแล้ว หลังจากนี้ก็เลิกแล้วต่อกัน”

ชุนยิ้มดีใจเมื่อได้ยินประโยคนั้น ทว่าประโยคถัดมากลับทำให้เขาขมวดคิ้วทันควัน

“และหลังจากนี้ นายก็ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับฮารุโตะอีก”

“หมายความว่าไง”ชุนถาม

“เอ้า พูดขนาดนี้ยังไม่เข้าใจอีก ที่นาโอโตะพูดหมายความว่า ไม่ให้นายมาให้ฮารุจังเห็นหน้าอีก”เรียวตะตอบพร้อมน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

ชุนตวัดสายตามองคนพูด ก่อนจะหันมามองชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านาโอโตะ “ฮารุโตะยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ แกมาเสือกอะไรด้วยวะ”

“อ้าว!!!”

“ชุน!!!”

ทั้งทาคุมิและมิชิโอะร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน

“ผมขอโทษครับ พอดีชุนเขาเป็นคนที่อารมณ์ร้อนนะครับ”มิชิโอะพูดพลางส่งสายตาปรามชุนอีกรอบ

“เจ้าตัวเขาสำนึกผิดจริงหรือครับ ไม่เห็นเขาพูดอะไรในทำนองนั้นสักคำ”เสียงถามดังลอยมาจากเอคิจิ พาให้คนทั้งห้องหันมองคนพูด จะมียกเว้นเพียงชิมิซึ ซากิที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาดูหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

มิชิโอะจึงหันไปส่งสายตาให้เจ้าของชื่อ ชุนพยักหน้ารับหันมองฮารุโตะที่ยังคงก้มหน้าอยู่เช่นนั้น เขาสูดลมหายและผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะเปิดปากพูด

“ฉันขอโทษ”ชุนพูดเสียงดังพร้อมก้มศีรษะลงต่ำ “ฉันรู้ว่าฉันทำไม่ดีหลายอย่าง แต่ฉันก็อยากให้นายให้อภัย มันฟังดูเหมือนคำแก้ตัวแต่ฉันอยากแค่ให้นายสนใจฉันเท่านั้น”

“ด้วยการทำร้ายรังแกผมสารพัดเนี่ยนะ”ฮารุโตะถามกลับทันทีทันใด เสียงถามสั่นเครืออย่างเจ็บปวด คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาเหมือนคนบ้าที่ตีโพยตีพายระแวงหวาดกลัวไปอย่างไร้สติ

“ฉันรู้ว่าฉันผิด โง่งี่เง่า สมองกลวง แต่ที่ฉันทำไปทั้งหมดเพราะฉันชอบนาย อยากกลับไปเป็นเพื่อน กลับไปคุยกับนายเหมือนเดิม”

“แล้วทำไมไม่เข้ามาคุยดีๆ”เขาถามเสียงเบา ปวดศีรษะจนต้องยกมือขึ้นบีบนวดคลายความเครียดขึง รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าไปแล้วจริงๆ เหตุการณ์ต่างในอดีตปรากฏขึ้นเป็นมโนภาพ หวนย้อนกลับมาให้เขายิ่งมึนงงสับสน

“ฉันพยายามทำแล้ว แต่นายก็หลบหน้าฉันทุกครั้ง ฉันเคยเอาขนมไปให้นาย แต่นายก็โยนมันทิ้ง”

ฮารุโตะหัวเราะ เขาหัวเราะเสียงดังขึ้นทั้งที่ดวงตาพร่าเลือนด้วยม่านน้ำตา เขาหัวเราะแม้ว่าภายในใจจะเจ็บปวด ทุกอย่างเป็นเพราะเขาตื่นตูมหวาดระแวงไร้สติไปเอง ไม่มีใครกลั่นแกล้งรังแกเขา ไม่มีใครรังเกียจเดียดฉันท์ตัวเขา ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่คิดเพ้อเจอไปเอง

“ปวดหัว”เด็กหนุ่มยกมือขึ้นกุมศีรษะ ดึงทึ้งเส้นผมด้วยหวังว่าจะคลายอาการลงบ้าง

“ฮารุโตะเป็นอะไร”ทาคุมิเอ่ยปากถาม ใบหน้าของเพื่อนสนิทแดงก่ำ เส้นเลือดข้างขมับปูดโปนนูนชัด

“ปวดหัว”ฮารุโตะได้แต่ย้ำคำนั้น ภาพตรงหน้าพร่ามัวอึมครึมมองไม่เห็นสิ่งใด

นาโอโตะเห็นหนุ่มรุ่นน้องร่วมชมรมอาการไม่ดี จึงหันไปบอกกล่าวกับชายหนุ่มทั้งสามว่า “วันนี้พวกคุณกลับไปเถอะ ฮารุโตะไม่อยากคุยกับพวกคุณแล้ว”

“ไม่”ชุนบอกปฎิเสธพลางลุกขึ้นก้าวเดินมาหา เขาก้าวอ้อมโต๊ะเตี้ยของชุดโซฟาเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงตัวฮารุโตะ จับข้อมือโดยหวังที่จะรั้งร่างเล็กบางเข้ามากอด ทว่ากลับต้องถูกทาคุมิปัดมือออกห่าง

“ไปไกลๆเลย”

“แล้วแกเป็นใครวะ มาเจ้ากี้เจ้าการ”ชุนกระชากคอเสื้อทาคุมิอย่างไม่พอใจ มิชิโอะและอิซามุต้องมาดึงรั้งห้ามชุนไว้

“ปล่อยดิวะ ฮารุโตะกำลังทรมาน ฉันจะไปดูเขา”

“พอได้แล้วชุน”อิซามุร้องห้ามพลางดึงชุนให้ออกจากห้อง เกิดเป็นความชุลมุนเมื่อเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ไม่ยินยอมทำตามง่ายๆ ฝ่ายฮารุโตะได้แต่บ่นว่าปวดหัว ทั้งยังอ้าปากหอบหายใจคล้ายหายใจไม่ออก กระทั่งนาโอโตะร้องบอกให้ใครสักคนพาหนุ่มรุ่นน้องไปหาหมอ ซากิถึงได้สาวเท้าก้าวเข้าไปหา ช้อนตัวเด็กหนุ่มขึ้น อุ้มผ่านซากุราอิ ชุนไปต่อหน้าต่อตา เจ้าตัวจึงดิ้นรนโวยวายจะตามไปให้ได้

“ชุนพอได้แล้ว”มิชิโอะตะคอกเสียงดัง “มิอุระเขาปฎิเสธ เขาไม่ยอมรับนาย นายยังไม่เข้าใจอีกหรือ”

“ไม่ ไม่ใช่”ชุนปฏิเสธเสียงดัง ได้แต่ย้ำว่าไม่ใช่แบบนั้น ยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความสับสน

นาคามูระ เรย์ที่ยังยืนเลียบๆเคียงๆอยู่ไม่ห่างเห็นได้โอกาสจึงเดินเข้าไปหา

“ขอโทษนะ ขอเบอร์นายหน่อยได้ไหม”เขาชี้มือไปที่ชุน “วันนี้ฮารุจังเขาอาการไม่ค่อยดี เอาไว้ให้เขาอารมณ์เย็นกว่านี้ พวกเราจะกล่อมให้เขาคุยกับนายอีกครั้ง”

“จริงหรือ”ชุนถามอย่างมีความหวัง

เรย์พยักหน้า หยิบล้วงโทรศัพท์ออกมาส่งให้อีกฝ่าย อิซามุจึงถามขึ้นมาบ้าง

“ทำไมคุณถึงคิดอยากจะช่วยชุน”

“ไม่ได้อยากช่วยพวกนาย แต่กำลังช่วยฮารุจัง คิดว่านายก็คงรู้ว่าฮารุจังเป็นนักเรียนทุน ฉันไม่อยากให้นายมายุ่งวุ่นวายกับเขาช่วงนี้ เพราะการกระทำที่ไม่รู้จักยั้งคิดของนายอาจจะไปส่งผลอะไรกับผลการสอบของเขา”

คำพูดเรียบๆของเรย์ทำให้ชุนสะอึกสำนึกในความไม่รู้จักคิดของตน

“ครับ”เด็กหนุ่มตอบรับสั้นๆ คอตกไหล่ลู่เพราะความผิดที่ได้กระทำ เรย์ไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาเพียงรับโทรศัพท์มือถือของตนกลับมา และก้าวเท้าตามไปสมทบกับกลุ่มเพื่อนที่ป่านนี้คงเพิ่งถึงโรงพยาบาล 

เรย์กดโทรศัพท์หาคนอื่นตอนที่เขามาจอดรถยังที่จอดรถของโรงพยาบาล หลังได้คำตอบเรื่องตำแหน่งที่อยู่จึงก้าวเท้าออกเดิน เมื่อถึงจุดหมายเขาตรงดิ่งเข้าไปหาชิมิซึ ซากิที่ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่กับโทรศัพท์ พร้อมยื่นโทรศัพท์มือถือของตนเองที่แสดงเบอร์ของซากุราอิ ชุนไปให้

“อ่ะ ที่แกอยากได้ จะเอาไปทำอะไรวะ คงไม่ได้เอาไปให้ฮารุจังตามบทที่ให้ฉันพูดหรอกใช่ไหม”เรย์รัวคำถามตามที่สงสัย ขณะที่ซากิหยิบกระดาษและปากกาจากในกระเป๋าขึ้นมาจดเบอร์ จากนั้นจึงเงยหน้ามองเพื่อนสนิทซึ่งยังคงยืนรอคำตอบ

“ไม่อยู่แล้ว แต่ถ้ามิอุระอยากคุยกับซากุราอิมันก็อีกเรื่องหนึ่ง”

“แกว่าฮารุจังจะอยากคุยหรือ”

ซากิโคลงศีรษะ เขาไม่รู้คำตอบเช่นกัน ทั้งยังไม่กล้าคาดเดาสิ่งใด

ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกพร้อมแพทย์ผู้ดูแลอาการเอ่ยปากขอพูดคุยกับญาติ แต่เพราะฮารุโตะไม่มีญาติพี่น้อง นาโอโตะจึงรับอาสาเข้าไปคุยรายละเอียดแทนทุกคน ยืนรอไม่นาน นาโอโตะจึงกลับมาอีกครั้ง

“หมอว่าอย่างไรบ้างครับ”

“เขาว่าเพราะเครียดน่ะ ส่วนวันนี้ให้กลับบ้านได้เลย หมอให้ยานอนหลับก็จริงแต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก”

“ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ โดนรังแกมาตลอดแล้วจู่ๆวันหนึ่งคนทำกลับมาบอกว่า ที่แกล้งเพราะชอบ ใครจะทำใจรับได้ทัน”ทาคุมิพูดออกมา เรียวตะจึงหันไปคุยกับซากิและเอคิจิ

“พวกแกว่าซากุราอิ ชุนทำรุนแรงแค่ไหน”

“จำได้ไหม ที่ฮารุจังป่วยหลังงานวันเกิดของเรย์กับนาโอโตะเมื่อปีก่อน”เอคิจิพูด

“นายคิดว่ารอยเขียวช้ำพวกนั้นเป็นฝีมือของซากุราอิ ชุนอย่างนั้นหรือ”นาโอโตะถาม ทาคุมิจึงรบเร้าให้หนุ่มรุ่นพี่เล่าให้ฟัง

“มันตรงกับที่พวกเราคาดเดากันไว้ ต้องเป็นคนที่ฮารุจังรู้จักและรู้ว่าไม่มีทางทำอะไรอีกฝ่ายได้”เอคิจิย้ำให้ฟัง

“ทำกันขนาดนั้นแล้วยังหน้าด้านมาบอกให้ยกโทษให้อีก”ทาคุมิพูดด้วยอาการเข่นเขี้ยวโมโห ออกอาการเจ็บแค้นราวกับเป็นผู้ถูกกระทำเสียเอง

เรื่องที่พวกเขาสนทนาถูกระงับไว้ชั่วคราวเมื่อฮารุโตะถูกพาออกมาจากห้องฉุกเฉิน เด็กหนุ่มกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง หลังจากจัดการค่ารักษาพยาบาล พวกเขาจึงแบ่งจำนวนคนขึ้นรถสองคันของซากิและเรย์ ขับตามกันเพื่อไปรวมตัวอีกครั้งที่บ้านของชิมิซึ ซากิ

รถยนต์สีดำสองคันที่จอดอยู่บนถนนบริเวณหน้าบ้านทำให้กลุ่มเพื่อนที่มาด้วยหันมองด้วยความสนใจ ซากิขับรถยนต์เข้าไปจอดยังที่ประจำของตน ขณะที่เรย์ขับมาจอดต่อท้าย ชายฉกรรจ์สองคนในชุดสูทสีดำทำให้พวกเขาลงจากรถยนต์ด้วยอาการตื่นตัว

“ใครอ่ะครับ”ทาคุมิพูดถามพลางชะเง้อชะแง้มองคนแปลกหน้า ศีรษะของฮารุโตะยังวางอยู่ตัก

“คนของพ่อซากิ”เรียวตะเป็นคนตอบคำถาม

ทาคุมิหน้าเหวอเพราะจินตนาการเพ้อเจ้อไปว่า บิดาของรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะทำงานอยู่ในแก็งยากุซ่า

ขณะที่ซากิยังมีอาการเฉยๆ เขาเปิดประตูที่นั่งตอนหลังรับร่างของหนุ่มรุ่นน้องมาอุ้มแนบอก เดินนำเข้าไปในบ้าน ชายหนุ่มสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยพร้อมเปิดประตูบ้านให้ และเดินสวนกับบิดาตอนที่กำลังจะขึ้นบันได

ชิมิซึ เคนจิโร่มองคนที่อยู่ในอ้อมแขนของลูกชายนิ่ง

“ขอโทษครับ ช่วยหลีกทางหน่อย”ซากิเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

เคนจิโร่จึงก้าวเท้าเบี่ยงตัวหลบ กลุ่มเพื่อนสนิทของลูกชายก้าวเท้าตามมาทีหลัง ก้มศีรษะและกล่าวทักทายเขา ชายวัยกลางคนจึงเอ่ยปากชวนพูดคุยปราศรัยด้วยรอยยิ้มไมตรีจิต กระทั่งซากิกลับลงมาสมทบเขาจึงเอ่ยขอตัวลา ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ผู้เป็นลูกชายก้าวเท้าตามเขามา เพราะรู้ว่าตัวเขามีเรื่องจะพูดคุยด้วย

“เด็กคนนั้นเป็นใครหรือ”

“รุ่นน้องที่ชมรมครับ”ซากิไม่ได้อธิบายอะไรต่อ ผู้เป็นบิดาจำต้องเอ่ยปากถามพลางมองลูกชายที่ปล่อยสายตามองบรรยากาศรอบกายด้วยอาการเฉยเมย

“เขาเป็นอะไรทำไมถึงต้องพามาที่บ้าน”

“เขาอยู่คนเดียวครับ และไม่สบายเลยพามาอยู่ด้วย”ซากิเบือนหน้ากลับไปมองบิดาอีกครั้งพร้อมพูดตอบ

“อ่อ”เคนจิโร่ทำได้แค่ครางรับในลำคอ ลูกชายคนเล็กของเขาเป็นเด็กหัวดื้อที่มักจะปฏิเสธคำพูดของเขามาตั้งแต่เด็ก และมาหนักข้อขึ้นเมื่อภรรยาของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อนข้างห่างเหินอยู่แล้ว เคนจิโร่จึงไม่กล้าห้ามปรามอะไรให้อีกฝ่ายเตลิดห่างออกไปมากกว่านี้

เขาเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นเสียแทน

“ได้ยินว่าสอบติดแล้ว ดีใจด้วยนะ”และแม้ซากิจะชอบทำตัวรั้นไม่ฟังคำเขา แต่กลับเป็นลูกชายที่ทำให้พ่อแม่ภูมิใจ เพราะทั้งผลการเรียนและความสามารถในกิจกรรมอื่นๆล้วนดีเด่นทั้งคู่

“จะย้ายเข้าไปโตเกียวเมื่อไหร่ล่ะ ฉันจะได้ให้คนหาบ้านไว้ให้ บ้านเดิมฉันยกให้มานาบุไปแล้ว เห็นว่ากำลังจะแต่งงานปีหน้า”

“ผมคงไม่ย้ายไปหรอกครับ”

“ทำไมล่ะ ถ้าเลือกที่โตเกียวจะมีโอกาสก้าวหน้ามากกว่านะ”

“ผมตั้งใจจะทำงานอยู่ที่นี่”

“เอ้า ตามใจ”เคนจิโร่เห็นว่าถ้าตั้งใจพูดโน้มน้าวคงต้องใช้เวลาอีกนาน ทั้งตัวเขาเองถึงเวลาที่ต้องออกเดินทางแล้วด้วย “ถ้าอยากให้ช่วยอะไรก็ติดต่อมา” และแม้พูดออกไปเช่นนั้นแต่ใช่ว่าลูกชายคนเล็กจะมาขอความช่วยเหลือจริงๆ

ซากิยืนส่งบิดาจนกระทั่งรถยนต์เคลื่อนที่หายลับที่มุมถนน เขาจึงก้าวเท้ากลับเข้าไปในบ้าน กลุ่มเพื่อนย้ายมารวมกลุ่มกันที่ห้องด้านล่าง ส่วนนาโอโตะกำลังทำอาหารมื้อเย็นอยู่ในครัว

“มีอะไรหรือเปล่าวะ”เอคิจิถาม

“เปล่า เขาคงกลับมาทำอะไรสักอย่าง”

“แล้วพ่อแกไม่ได้ว่าเรื่องฮารุจังใช่ไหม”

“ไม่เห็นพูดอะไร”

“พ่อของรุ่นพี่เป็นยากุซ่าหรือครับ”ทาคุมิถามขึ้นมาบ้าง แต่ทว่าเรียวตะกลับเป็นฝ่ายเปิดปากชิงตอบคำถามเสียแทน

“อ้าว นี่นายยังไม่รู้หรือ พ่อซากิมันเป็นข้าราชการอยู่กระทรวงเศรษฐกิจ ไม่ได้เป็นยากุซ่า”

“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”

“แล้วพ่อแกจะไม่ว่าหรือวะ ถ้าแกจะคบกับฮารุจังน่ะ”เรียวตะถามบ้าง

ซากิไม่ตอบกลับหมุนตัวเดินเข้าไปช่วยนาโอโตะในครัว ปล่อยให้คนถามหน้าเหวองงงวย หันมองเพื่อนสนิทอีกสองคนที่เหลือ กระนั้นก็ไม่มีใครตอบคำถามเขาได้ จนหนุ่มรุ่นน้องหนึ่งเดียวในกลุ่มต้องกวักมือเรียกให้เขาเอาหูเข้าไปใกล้ กระซิบเล่าเหตุการณ์ก่อนที่ฮารุโตะจะหายไป

“ตั้งแต่นั้นมา ถึงรุ่นพี่ชิมิซึจะดูแลฮารุโตะอย่างดี แต่ไม่เห็นเข้าไปคุยด้วยอีกเลยครับ”

ทั้งเอคิจิและเรียวตะต่างพยักหน้ารับรู้ เหมือนจะเข้าใจความหมายของคำพูดและท่าทางแปลกๆของเพื่อนสนิทในช่วงนี้ อย่างไรก็ดี นาคามูระ เรย์กลับโพล่งขึ้นมาว่า

“ชอบก็บอกว่าชอบดิว่ะ จะมาทำตัวลึกลับซับซ้อนอยู่ทำไม”

เอคิจิเหลือบมองคนพูด เขาเข้าใจสิ่งที่เรย์ต้องการจะสื่อ ทว่าก็เข้าใจซากิด้วยเช่นกัน ซากิเคยอยู่ในเหตุการณ์ที่ตนมาทีหลัง และการกระทำของตนเองอาจจะกลายเป็นมือที่สามของคนที่ตนเองแอบชอบและเพื่อนสนิท แม้ในตอนนั้นคนที่ซากิแอบชอบและเพื่อนสนิทยังไม่ได้คบกันก็ตาม แต่เพราะกลัวจะเสียทุกอย่างไป ซากิจึงต้องยอมถอยกลับมายืนมองห่างๆอย่างเงียบๆ ไม่มีความคิดแม้แต่จะพยายามเพื่อให้ตนเองสมหวังด้วยซ้ำ

“ถ้าไม่พูด อีกฝ่ายจะรู้ไหม”

ทาคุมิร้องสนับสนุนขึ้นมาทันที เรย์จึงหันไปพยักพเยิดเออออเข้าไปกอดคอกระซิบกระซาบคุยอะไรกันสองคน และเป็นเอคิจิที่ต้องออกปากปราม

“อย่าทำอะไรแผลงๆ แค่เรื่องซากุราอิ ชุน ฮารุจังก็รับมือไม่ไหวแล้ว”

“เออน่า”เรย์บอกปัด ก่อนลุกขึ้นยืนเมื่อมีเสียงร้องเรียกว่าอาหารเสร็จแล้วดังมาจากในครัว

หลังทานอาหารมื้อเย็นเสร็จพวกเขาจึงแยกย้ายกลับบ้าน ทาคุมิยังคงนอนค้างที่บ้านของชิมิซึ ซากิเช่นเดิม ชายหนุ่มเจ้าของบ้านรอจนหนุ่มรุ่นน้องอาบน้ำเสร็จและเข้าห้องนอน เขาจึงขับรถออกจากบ้าน

ซากิขับรถยนต์มาจอดยังอพาร์ทเมนต์ความสูงห้าชั้นแห่งหนึ่งในเขตบล็อกที่สามของเมือง กดอินเตอร์คอมแจ้งเจ้าของห้องให้ปลดล็อคประตูแล้วก้าวขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นจุดหมาย เจ้าของห้องเดินมาเปิดประตูให้เมื่อเขามาถึง เชื้อเชิญให้เขาก้าวเข้าไปด้านใน

“นี่ครับ ของที่รุ่นพี่สั่ง”อีกฝ่ายยื่นโทรศัพท์มือถือส่งให้ ซากิจึงรับมาแล้วเปิดดูตรวจสอบโปรแกรมที่เขาสั่งให้ชายหนุ่มตรงหน้าทำให้

“วันนี้ฉันจะโอนให้ก่อนห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ถ้าใช้งานได้ไม่มีปัญหาจะโอนที่เหลือให้”

“ได้ครับ”

จากนั้นจึงส่งโทรศัพท์และกระดาษจนเบอร์โทรส่งให้ “ส่วนอันนี้สำหรับที่คุยกันเมื่อกลางวัน”

“งานนี้ผมต้องขอค่าจ้างเยอะหน่อยนะ”คนพูดยิ้มกว้างพลางชูมือบอกตัวเลข ซากิมองหน้าก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโอนเงิน อีกฝ่ายจึงเช็คยอดที่เข้าบัญชีพลางผิวปากหวือ หักลบกับครึ่งหนึ่งของงานที่แล้วหนุ่มรุ่นพี่ได้จ่ายอีกครึ่งหนึ่งของงานที่เพิ่งสั่งมาให้ด้วย

“ขอบคุณคร้าบ”

ซากิกลับออกมาจากห้องนั้นเมื่อคุยธุระเสร็จ สถานที่ต่อไปที่เขาไปเยือนเป็นร้านจำหน่ายเครื่องดื่มของมึนเมาที่เปิดให้บริการยามค่ำคืน บนเวทียกสูงประมาณสองถึงสามเมตรกำลังมีนักร้องชายหน้าตาดีทำหน้าที่ขับกล่อมคนฟัง เพียงแต่เขาไม่ได้มาฟังเพลง และถึงแม้เขาจะเดินตรงไปยังเคาน์เตอร์บาร์ก็ใช่ว่าเขาต้องการมาดื่ม อย่างไรก็ดี ซากิได้สั่งเครื่องมาตั้งตรงหน้าเพื่อไม่ให้ผิดสังเกต

“ว่าอย่างไรได้เจอบ้างไหม”เขาถามบาร์เทนเดอร์เรื่องที่เคยฝากไว้

“ครับ เขามาเมื่อวานแต่เขาไม่ได้ตอบว่าตกลง คืนนี้คุณจะลองอยู่รอเพื่อเจอเขาไหมล่ะครับ”หนุ่มบาร์เทนเดอร์แนะนำเพิ่มเติม

ซากิพยักหน้ารับ ยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ จากนั้นเอาแต่มองแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยอาการเหม่อลอย เขาปล่อยให้เวลาค่อยๆเคลื่อนผ่านไป รอจนค่อนดึกกระทั่งถึงเวลาร้านปิด

“ขอโทษครับ”บาร์เทนเดอร์บอกแก่เขา

“อ่อ ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างไรผมฝากจดหมายให้เขาได้ไหม”ซากิร้องขอกระดาษและหยิบปากกาขึ้นมาเขียนข้อความถึงคนที่เขาใช้เวลานั่งรอเกือบทั้งคืน พับทบและแนบกับแบงค์พันเยนส่งให้พนักงานหนุ่ม อีกฝ่ายรับปากว่าจะจัดการให้ เขาจึงก้าวเท้าจากมา

กว่าที่ซากิจะกลับถึงบ้าน เวลาได้ล่วงผ่านเข้าวันใหม่ไปแล้วหลายชั่วโมง ทว่าเสียงกุกกักและแสงไฟที่สว่างลอดออกมาจากครัวเป็นตัวดึงดูดความสนใจให้เขาก้าวเท้าไปดู

“มิอุระ”

ร่างนั้นสะดุ้งก่อนจะหันมามอง ขยับปากพึมพำเหมือนส่งเสียงเรียกชื่อของเขา

“หิว?”เขาถามพลางมองแก้วน้ำในมือของอีกฝ่าย “นมอุ่นๆสักแก้วไหม” กระนั้นเขาไม่ได้รอให้หนุ่มรุ่นน้องตอบรับ เปิดประตูตู้เย็นหยิบนมสดมาเทใส่แก้วและนำเข้าเตาไมโครเวฟ ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเสียงเตือนก็ดังขึ้น ซากิหยิบนมอุ่นแก้วนั้นส่งให้ฮารุโตะ

เด็กหนุ่มรับมันมาถือไว้ในมือ ความอุ่นร้อนแผ่กระจายลามไล่มาตั้งแต่ปลายนิ้วทันทีที่ได้สัมผัส กลิ่นหอมของมันเย้ายวนให้ต้องยกขึ้นจิบชิม รสชาติที่ปลายลิ้นสัมผัสแม้จะจืดชืดแต่กลับเร่งเร้าให้เขาดื่มกิน มารู้ตัวอีกครั้งเป็นตอนที่เขาดื่มนมอุ่นแก้วนั้นจนหมดแก้ว

“เอาอีกไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ความอบอุ่นของมันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย

ซากิจึงยื่นมือไปรับแก้วจากหนุ่มรุ่นน้อง นำมันมาล้างคว่ำเข้าที่ เช็ดมือพร้อมกับหันไปบอกอีกฝ่าย “กลับไปนอนได้แล้ว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ กระนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่ก้มหน้ามองพื้น ซากิจึงเอ่ยปากถาม “เป็นอะไรหรือเปล่า” ฮารุโตะนิ่งเงียบอยู่นานกว่าจะเอ่ยปาก

“ผม... ไม่แน่ใจว่าอะไรคือเรื่องจริง หรือเป็นสิ่งที่คิดไปเอง”แม้จะเริ่มพูดออกมาแล้ว แต่ฮารุโตะยังต้องใช้เวลาอีกหลายนาทีกว่าจะพูดประโยคต่อไป

“ผมคิดว่าตัวเองโดนซากุราอิซังรังแกมาตลอด แต่เขากลับพูดว่าเขาแค่ต้องการเรียกร้องความสนใจจากผม สิ่งที่ผมรับรู้ สิ่งที่ผมเห็นตลอดเวลาที่ผ่านมามันเป็นภาพหลอนที่ผมคิดขึ้นมาเองหรือครับ”เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองซากิ ภายในแววตามีแต่ความสับสนกังวล

ชายหนุ่มวางมือบนไหล่ของหนุ่มรุ่นน้อง บีบจับให้อีกฝ่ายคลายความเครียดถึงสิ่งที่พะวงครุ่นคิด “ฉันคงไม่สามารถตอบว่าไม่ใช่ได้อย่างเต็มปาก การกำหนดนิยามของการกระทำมันขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแต่ละบุคคล ยกตัวอย่าง ทาคุมิยื่นเท้ามาขัดขานาย ทำให้นายสะดุดล้ม นายในฐานะที่เป็นคนเจ็บตัวอาจจะบอกว่าทาคุมิจงใจทำร้ายนาย แต่ทาคุมิอาจจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ หรือต่อให้ตั้งใจเขาอาจจะบอกว่า ไม่ได้คิดให้ล้มจนเจ็บตัว คนเราทุกคนล้วนต่างพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก”

“แล้วรุ่นพี่เชื่อคำพูดผมไหมครับ”

“เชื่อ”ซากิตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ฮารุโตะจึงยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ และพูดต่อว่า

“ผมกับซากุราอิซังเคยสนิทกันก็จริง แต่ตอนเข้ามอต้น เราสองคนทะเลากันเพราะมีเด็กคนหนึ่งมาแกล้งพวกเรา เด็กคนนั้นชอบพูดจาล้อเลียนผม ปาขยะใส่บ้าง หนักเข้าซากุราอิซังเลยโมโหเข้าไปชกเด็กคนนั้น แต่โดนทำร้ายกลับมา ผมไม่อยากให้เขาเจ็บตัวเลยบอกว่าไม่ให้ทำแบบนั้นอีก ซากุราอิซังเลยโมโห เขาถามผมว่า ‘ไม่เชื่อว่าฉันจะดูแลนายได้อย่างนั้นหรือ’ ผมไม่ได้ต้องการอะไรอย่างนั้นเลย ไม่ต้องคอยดูแลก็ได้ แค่อยู่ด้วยกัน”เสียงของฮารุโตะสั่นเครือ ซากิจึงดึงร่างเล็กบางเข้ามากอด พลางลูบหลังปลอบโยน

“ตอนที่เขาหายไป ผมเสียใจมากเพราะรู้สึกเหมือนโดนทิ้งทั้งที่สัญญากันไว้ ไปหาที่ห้องเรียนก็ไม่เคยเจอ ส่วนเรื่องที่เขาเอาขนมมาให้ผมไม่รู้จริงๆว่าเป็นของเขา ก่อนหน้านั้นมีคนเอาดินน้ำมันสอดใส่ไส้ขนมปังมาให้กิน บางครั้งก็เอาเกลือเทใส่ในถ้วยแกง ผมเลยไม่ค่อยกล้ากินของที่ผ่านมือคนอื่นอีก”

แค่ได้ฟังซากิยังรู้สึกโมโหแทน เพราะนั่นหมายความว่า แม้แต่ตอนที่ทานข้าว ฮารุโตะยังไม่สามารถทำได้อย่างเป็นสุข

“ไม่ต้องกลัวแล้วนะ ตอนนี้ไม่มีใครทำอะไรนายได้อีกแล้ว”ซากิผละร่างเล็กออกห่าง ยกมือช่วยเช็ดน้ำตาให้

ฮารุโตะพยักหน้ารับ เพราะถึงรุ่นพี่จะใจร้ายกับเขาในบางครั้ง แต่สิ่งที่ชายหนุ่มทำให้กลับมีมากมายจนนับไม่ถ้วน

“ผมจะคุยกับซากุราอิซังอีกครั้ง ถ้าเขาขอโทษผมจะยกโทษให้”

แม้ซากิจะเคยเตรียมใจมาอยู่แล้ว ทว่าภายในอกกลับรู้สึกแปลบวาบขึ้นมา

“อืม ดีแล้ว”และถึงจะพูดคำนั้นออกไป แต่นั่นเป็นเพราะเขาไม่รู้จะพูดคำใดให้ดีกว่านี้




หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 23 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 15-04-2017 05:41:54




อาโอกิ นาโอโตะและนาคามูระ เรย์มากดออดที่หน้าบ้านเพื่อนสนิทแต่เช้าพร้อมตะกร้าอาหารในมือ และทันทีที่ประตูตรงหน้าเปิดออก ชายหนุ่มร่างเพรียวยกยิ้มร้องบอกกล่าวและเดินฉับๆเข้าไปในบ้าน ขณะที่เรย์ยังมีอาการหาวหวอด อย่างไรก็ดี เสียงออดได้ปลุกให้อีกสองหนุ่มรุ่นน้องตื่นขึ้นมาด้วย ทั้งทาคุมิและฮารุโตะเดินหน้าตางัวเงียลงมาจากชั้นบน

“อ้าว มาปลุกหรือเนี่ย”นาโอโตะร้องถาม

“ไม่หรอกครับ มันใกล้เวลาตื่นแล้ว”ทาคุมิหาวซ้ำอีกรอบ มองอาหารบนโต๊ะแล้วถามหนุ่มรุ่นพี่ว่า “รุ่นพี่อาโอกิตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่กี่โมงอ่ะ”

“ตีห้ามั้ง”

“โห เช้าจัง”

“หัดนอนแต่หัวค่ำจะได้ตื่นแต่เช้า”

“ผมก็นอนแต่หัวค่ำนะ แต่ตอนเช้าก็อยากนอนอีก ยิ่งอากาศหนาวๆแบบนี้ด้วย”ทาคุมิบ่นให้ฟัง นาโอโตะจึงไล่ให้ไปล้างหน้าแปรงฟัน ก่อนจะเดินเข้าไปหาฮารุโตะที่ยืนอยู่ไม่ห่าง

“เป็นอย่างไรบ้าง ยังปวดหัวอยู่ไหม”

“ไม่ครับ”ฮารุโตะตอบพร้อมสั่นศีรษะ “ขอบคุณครับที่เป็นห่วง”

“เรื่องปกติน่า ฮารุจังอาจจะเจอคนไม่ดีมามาก แต่คนดีๆที่พร้อมจะช่วยเหลือและมีความจริงใจให้กันก็มีอยู่เยอะแยะมากมายเหมือนกัน เราแค่ต้องเลือกคบคนและตอบโต้คนที่ทำไม่ดีกับเรา การยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวไม่ได้บ่งบอกว่าเราเป็นคนดีหรอกนะ”

ฮารุโตะก้มหน้า ฝ่ามืออบอุ่นของหนุ่มรุ่นพี่ยังคงวางอยู่บนศีรษะ ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาอาจจะเถียงอยู่ในใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาต้องเผชิญอะไรมาบ้าง คำพูดปลอบหรือคำแนะนำทั้งหลายแหล่ มันเหมือนคำโกหกที่คนพูดพยายามแสร้งทำเป็นคนดี ไม่มีใครยื่นมือเขามาช่วยเขาจริงๆ แต่ทุกอย่างมันได้ถูกพิสูจน์แล้ว ต่อให้เขายอมถูกทำร้ายไม่ต่อสู้ขัดขืน เขายังถูกหาว่าผิดอยู่วันยังค่ำ มันรู้สึกแย่มากกว่ากับการที่ถูกมองว่าความหวาดกลัวที่เขามีมันเป็นเรื่องที่ไร้สติไร้สาระ

รุ่นพี่อาโอกิบอกให้เขาไปล้างหน้าแปรงฟัน และรีบกลับมาทานข้าว ฮารุโตะจึงยกมือขึ้นปาดน้ำตารีบไปทำตามที่หนุ่มรุ่นพี่บอก กลับออกมายังโต๊ะอาหาร ทุกคนต่างมานั่งประจำที่พร้อมหน้าพร้อมตา เป็นอีกวันที่เขาได้ทานอาหารอย่างมีความสุข ทั้งกับข้าวฝีมือของรุ่นพี่อาโอกิก็อร่อยมาก

กระทั่งหลังทานอาหารเช้าเสร็จ ฮารุโตะจึงได้รวบรวมความกล้า และพูดขึ้นว่า “ผมจะคุยกับซากุราอิซังอีกครั้ง”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องทำอย่างนั้นเลย”ทาคุมิแย้งขึ้นมาทันควัน

“หมอนั่นมันหน้าด้านมาก ทำถึงขนาดนั้นแล้วยังกล้ามาพูดขอให้ยกโทษให้อีก”

“แล้วคนทำผิดไม่มีสิทธิ์สำนึกผิดหรือไง”นาโอโตะถามแทรก “สมมติถ้าเป็นตัวนาย นายจะรู้สึกอย่างไรถ้าอีกฝ่ายไม่แม้จะรับคำขอโทษ”

ทาคุมิหน้ามุ่ยที่โดนรุ่นพี่ที่แสนใจดีอย่างนาโอโตะพูดดุ

“พี่เห็นด้วยที่ฮารุจังคิดอย่างนั้น พี่เชื่อว่านายเป็นเด็กดี ที่ถึงแม้นายจะถูกเอาเปรียบทำร้ายรังแกอย่างไรก็ไม่คิดจะทำในสิ่งที่คนไม่ดีพวกนั้นทำ”

ฮารุโตะน้ำตาไหล ที่ผ่านมาสาเหตุที่เขาพยายามอดทนมาตลอดเพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่คนอื่นกระทำต่อตัวเขามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี และเขารู้สึกเจ็บปวดที่โดนปฏิบัติอย่างนั้น ทว่าเขาเพียงแค่ไม่อยากทำตัวเป็นเลวเหมือนที่เขาเคยว่าคนอื่น

“แต่การเป็นเด็กดีไม่ได้หมายความต้องยอมให้คนอื่นกลั่นแกล้งรังแกง่ายๆ”นาโอโตะเห็นได้ทีจึงพูดเทศนา “อย่างคราวที่เราตกเขาเมื่อคราวนั้นก็เหมือนกัน การปิดปากเงียบแบบนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์ให้กับใคร คนที่ทำเขาจะได้ใจเที่ยวไประรานรังแกคนอื่นเขาไปทั่ว การยอมคนไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราต้องคิดถึงความถูกต้อง ต้องคิดถึงผลดีผลเสียที่กระทบต่อคนอื่นด้วย การกระทำทุกอย่างต้องให้ตัวเองมีความสุข แต่ไม่ใช่ความสุขของตัวเองไปกระทบผู้อื่นให้คนอื่นมีความทุกข์ แล้วก็ไม่ใช่ยอมให้คนอื่นมีความสุข ในขณะที่ตัวเราต้องทนทุกข์ เข้าใจไหม”

ฮารุโตะผงกศีรษะรับ ขณะที่เรย์ปรบมือให้

“ไม่ตลก”นาโอโตะตวาดดุ เรย์จึงต้องยอมลดมือลง

“แต่เรื่องที่จะคุยกับชุนอีกรอบให้รอไปก่อนแล้วกัน รอให้สอบเสร็จก่อนจะดีไหม”ซากิเสนอขึ้นมา เรียกความสนใจให้เรย์มองหน้าเพื่อนสนิท ขณะเดียวกันนาโอโตะก็กล่าวสนับสนุนความคิดนี้

“ช่วงนี้ ฮารุจังควรตั้งสมาธิกับการสอบไว้ก่อนน่าจะดีกว่า ถึงเทอมนี้จะว่างให้อ่านหนังสือมาตลอด แต่ถ้าประมาทไปอาจจะมีอะไรผิดพลาดได้ พี่ไม่อยากให้นายคิดอะไรมากจนปวดหัวหนักแบบเมื่อวานอีก”

ฮารุโตะพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย

หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนถูกไล่ให้ไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวไปมหาวิทยาลัย นาโอโตะลุกขึ้นเก็บจานชามไปล้าง เรย์จึงใช้จังหวะนั้นกระซิบคุยกับซากิ

“แล้วแกจะทำอะไรต่ออะไรต่อไหม”เรย์รู้ว่าซากิกำลังวางแผนอะไรอยู่แน่นอน

“ยัง คงหยุดไว้ก่อน”

คนถามพยักหน้ารับรู้ กลับมานั่งประจำที่เหมือนเดิมปล่อยให้เพื่อนหนุ่มไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นเดียวกัน

พวกเขาพร้อมออกจากบ้านหลังจากนั้นราวๆครึ่งชั่วโมง แยกย้ายกันขึ้นรถยนต์ นาโอโตะไปรถยนต์คันเดียวกันกับเรย์ ส่วนหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนไปรถยนต์คันเดียวกับซากิ โดยหนุ่มรุ่นพี่วนรถยนต์ไปส่งพวกเขาถึงหน้าตึกเรียน ทาคุมิและฮารุโตะกล่าวขอบคุณก่อนจะก้าวลงจากรถ ทว่าพวกเขาก้าวเท้ายังไม่ถึงบันไดตึกกลับโดนขวางไว้เสียก่อน ซากิที่มองเห็นเหตุการณ์จากกระจกรถจึงรีบจอดรถยนต์และลงไปดู

ทาคุมิก้าวมายืนขวางบังฮารุโตะไว้ด้านหลัง

“ฮารุโตะ ฉันขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”ชุนพูด ยื่นมือไปพยายามคว้าร่างของเด็กหนุ่มร่างเล็ก เป็นจังหวะที่ซากิก้าวถึงตัวชุนพอดี เขาปัดมือและผลักชุนให้ออกห่าง

“เรย์ไม่ได้บอกนายว่าช่วงนี้ไม่ควรมายุ่งกับมิอุระอย่างนั้นหรือ”

“ทำไมฉันแค่มาหาฮารุโตะ มันจะอะไรหนักหนาวะ”ชุนตะคอกใส่ ผลักอกซากิให้ถอยไปบ้าง

“แต่ที่นายทำอยู่เขาเรียกว่ากำลังคุกคาม”

“มึงเป็นใคร ทำไมชอบมาเสือกเรื่องของคนอื่นนัก หรือมึงถือดีเพราะว่ามึงได้นอนกับฮารุโตะแล้ว”

พลั่ก!!!

ซากิปล่อยหมัดใส่ชุนโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้ทันตั้งตัว ร่างกายใหญ่โตของชุนเซถลาล้มลงกับพื้นและทันทีที่ตั้งตัวได้ เขาลุกขึ้นยืนสวนหมัดใส่หนุ่มรุ่นพี่อย่างไม่ลังเล คล้ายจะเกิดการตะลุมบอลย่อมๆ ทว่ามิชิโอและอิซามุกลับมาคว้าตัวชุนไว้ได้ก่อน

“ปล่อยดิวะ กูบอกให้ปล่อย แม่งต่อยกู กูจะเอาคืน บอกให้ปล่อยไงวะ”ชุนโวยวายดิ้นรน กระชากตัวด้วยแรงโมโหจนมิชิโอะต้องล็อคคอล็อคแขนลากพาไปขึ้นรถ กระนั้นชุนยังคงโวยวายไม่หยุด

ซากิขมวดคิ้วมองตามรถยนต์ที่แล่นห่างออกไป รู้สึกปวดตุบๆที่มุมปากขึ้นมา ประกายนัยน์ตาฉายแววแค้นเคืองขุ่นข้อง ก่อนจะต้องสะดุ้งตวัดสายตากลับไปมองเมื่อมีคนแตะสัมผัสแผลแตก

ฮารุโตะหน้าตื่นขยับเท้าถอยด้วยความเคยชิน กระทั่งหนุ่มรุ่นพี่คว้าจับมือของเขาที่ถือกระดาษทิชชู่กลับไปเช็ดแผลอีกครั้ง เขาจึงกล้าซับเลือดที่ไหลซึมด้วยความเป็นห่วง

“ผมขอโทษนะครับ”

“ขอโทษทำไม”เสียงของเขายังแข็งกระด้าง

ฮารุโตะลดมือพร้อมก้มหน้าลง

“นายไม่ได้ทำผิดสักหน่อย ทำไมต้องขอโทษแทนคนอื่น”ซากิถามอย่างมีอารมณ์จนทาคุมิต้องเข้ามาห้ามปราม

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ใจเย็นๆก่อนนะ”

ซากิขบกรามแน่น เขาเบือนหน้าหนี ก่อนจะหันกลับมาตั้งคำถามกับฮารุโตะอีกครั้ง “นายรู้สึกผิดเพราะอะไร เพราะรู้สึกต้องรับผิดชอบการกระทำของซากุราอิ หรือรู้สึกผิดเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุ”

“เพราะผมเป็นต้นเหตุ”เด็กหนุ่มตอบเสียงเบา เงยหน้าตามแรงมือของหนุ่มรุ่นพี่ที่ประคองอยู่ข้างแก้ม

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรที่ต้องขอโทษ นายไม่ได้เป็นคนไปสั่งให้ซากุราอิมาชกฉัน และฉันเองเป็นคนเริ่มชกฝ่ายนั้นก่อน นายไม่ได้ทำอะไรผิด”

“แต่เพราะเข้ามาช่วยผม รุ่นพี่ถึงต้องเจ็บตัว”

“ไม่เลย ฉันเริ่มทะเลาะวิวาทด้วยอารมณ์เป็นเหตุ และฉันก็ยอมรับผลของมันอยู่แล้ว”พร้อมเอ่ยแนะนำอีกว่า “นายเป็นคนฉลาด แต่เวลาคิดต้องรู้จักใช้เหตุและผลเข้ามาวิเคราะห์ ไม่ใช่ใช้แค่อารมณ์เพียงอย่างเดียวเข้ามาเกี่ยว การกระทำทุกอย่างต้องคิดอยู่บนพื้นฐานของเหตุผลความเป็นจริงก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงค่อยวิเคราะห์ร่วมกับอารมณ์ความรู้สึก”

“มานั่งคิดอย่างนั้นทุกครั้ง ไม่เสียเวลาแย่หรือครับ”ทาคุมิถามแทรกทะลุกลางปล้อง

“มนุษย์ที่การกระทำอยู่กับร่องอยู่กับรอยเขาทำแบบนี้ทั้งนั้น”ซากิจงใจว่ากระทบทาคุมิ แต่กลับทำให้อีกคนหน้าเสียไปด้วย เขาจึงแกล้งกระแอมกระไอ

“ก็เริ่มจากเรื่องที่สำคัญๆก่อน ฝึกไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็ชิน” ชายหนุ่มพูด ก่อนจะวกเข้าสู่ประเด็นที่เขาต้องการจะสื่อ

“เวลาเจอเรื่องกระทบใจที่ทำให้นายรู้สึกเศร้า รู้สึกเสียใจ รู้สึกไม่ดีทั้งหลายแหล่ ให้เริ่มคิดแบบนี้ทุกครั้ง นายรู้สึกไม่ดีเพราะอะไร ให้คิดทบทวนว่าต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรู้สึกนั้นเกี่ยวกับตัวนายไหม นายเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลนั้นจริงๆหรือ นายอาจจะมีอารมณ์ร่วมในผลลัพธ์นั้น แต่ต้องไม่เก็บมันมาใส่ใจ ต่อให้ทุกคนบอกว่าโลกหยุดหมุนเพราะนาย ถ้านายไม่ได้ทำมันก็คือนายไม่ได้ทำ จำไว้อีกอย่างว่า ธรรมชาติของมนุษย์มักบอกว่าคนอื่นผิด ขณะเดียวกันก็ชอบพูดว่าตัวเองถูกเสมอ”

สองหนุ่มรุ่นน้องยื่นฟังนิ่ง ไม่มีใครกล้าพูดแทรกหรือเอ่ยเถียง

ทาคุมิกำลังนึกย้อนรอยเหตุการณ์ในอดีต ว่าเขาเคยเอาแต่ปรักปรำใครหรือไม่ ขณะที่ฮารุโตะคิดว่า ตนเองได้แต่ยอมก้มศีรษะทำเรื่องที่ไม่มีคุณค่าในสายตาของคนอื่นไปตั้งมากมาย




“เลิกบ้าได้หรือยังชุน อยากทำให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้หรือไง”มิชิโอะตะคอกใส่เมื่อเขาทั้งสามคนกลับขึ้นมาอยู่บนรถยนต์ด้วยกันอีกครั้ง โดยมีอิซามุทำหน้าที่เป็นสารถีขับรถพาพวกเขาทั้งสามคนออกนอกมหาวิทยาลัย เพราะชุนคงจะไม่มีกะจิตกะใจจะเรียนแล้ว

“ฉันพูดจริงนะ ถ้านายยังทำตัวเป็นหมาบ้าอย่างนี้ ฉันจะส่งรายงานให้นายได้ย้ายมหาวิทยาลัยแน่ๆ”

“กูไม่กลัว ตอนนี้กูไม่กลัวอะไรอีกแล้ว ต่อให้โดนย้ายมหา’ลัย กูก็จะมาเฝ้าเมียกู”

อิซามุโคลงศีรษะด้วยอ่อนใจ ฟังเสียงโวยวายของชุนขณะกดโทรศัพท์ตามคนมาเฝ้าลูกชายของเจ้านายเพิ่ม

ซากุราอิ ชุนถูกขังให้ห้องนอนพร้อมคนดูแลอีกสองคน ป้องกันการหลบหนี เพราะครั้งนี้ชุนอุตส่าห์ไปดักรอมิอุระ ฮารุโตะที่มหาวิทยาลัยแต่เช้า แอบพวกเขาไปโดยใช้บริการรถสาธารณะเนื่องจากมิชิโอะยึดกุญแจรถไว้ พวกเขากำลังรอเจ้านายใหญ่ที่มีอำนาจเหนือลูกชายเจ้านายมาจัดการปัญหาซึ่งเกินกว่าความสามารถของพวกเขาทั้งคู่ 

ชุนถูกปล่อยตัวในรุ่งขึ้นอีกวันเพื่อให้มาพบกับซากุราอิ ฮิเดอากิที่ห้องทานอาหารแต่เช้าตรู่ ชายวัยกลางคนกำลังจิบน้ำชาอุ่นร้อน ขณะรอให้มิชิโอะเสิร์ฟอาหารเช้า

“นั่งสิ”ฮิเดอากิพูดด้วยเสียงเรียบนิ่ง “นานๆทีถึงได้ทานข้าวด้วยกันสักมื้อ”

ผู้เป็นลูกชายไม่กล้าขัด เพราะด้านหลังของบิดามีบอดี้การ์ดยืนอยู่สองคน ด้านหลังเขาอีกสองคน รวมมิชิโอะด้วยเป็นห้า ต่อให้เขาคิดว่าตัวเองแน่แค่ไหนก็ไม่กล้าหือกับพวกที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี  เด็กหนุ่มพอจะเดาออกว่าผู้เป็นบิดาต้องการพูดเรื่องอะไร ดังนั้งจึงยิ่งอึดอัดเมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ทานอาหารด้วยท่าทีเอื่อยๆ อย่างไรก็ตามเขาทำได้เพียงแค่อดทน

ฮิเดอากิวางตะเกียบ จิบน้ำชาอีกเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ เมื่อวางแก้วชาลงกับโต๊ะถึงจะพูดขึ้นว่า “ได้ข่าวว่าเมื่อวานแกไปอาละวาดที่มหาวิทยาลัย”

“ครับ”ชุนตอบรับด้วยคำสั้นๆ แม้ว่าจะคาดเดาได้แต่ใช่ว่าเขาจะตอบโต้ได้ เขาแค่อยากให้มันจบๆไปเพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับความรู้สึกกดดัน

“ยังอยากจะเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้ต่อหรือเปล่า”ผู้เป็นพ่อไม่ได้ปล่อยให้เขาตอบ กลับพูดต่อไปอีกว่า “ถึงฉันจะใช้เงินยัดแกเข้าไปเรียนได้ ก็ใช่ว่าจะจ่ายแค่เงินเพื่อให้แกคงสถานภาพนักศึกษาไว้ได้ อีกอย่างก่อนเข้ามหาวิทยาลัยแกเป็นคนยอมตกลงแลกเปลี่ยนกับฉันเอง ถ้าตอนนี้แกเปลี่ยนใจฉันจะถือว่าข้อตกลงที่ผ่านมาเป็นโมฆะ”

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”ชุนตอบเสียงอ่อน นิสัยของพ่อต่างกับเขา เพราะแม้อีกฝ่ายจะโมโหเดือดดาลน้ำเสียงที่ใช้พูดยังเรียบเรื่อยไม่แฝงอารมณ์ ทว่าหนักแน่นจริงจัง

“ชุน ฉันไม่เคยห้ามถ้าแกอยากจะทำอะไร ฉันถือว่าฉันเป็นพ่อมีหน้าที่ต้องเลี้ยงลูกจนกว่าตัวฉันจะตาย ต่อให้แกไม่อยากได้บริษัทของฉัน ฉันก็จะเตรียมเงินไว้ให้แกได้ชีวิตอย่างสบายๆ”ฮิเดอากิยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “แต่ถ้าแกทำให้ฉันเสียผลประโยชน์ หรืออยากจะผันตัวไปเป็นนักเลงจริงจัง ฉันคงต้องตัดหางปล่อยวัด แกเข้าใจหรือเปล่า”

“ครับ”

“ดี เข้าใจอะไรง่ายดี ฉันหวังว่าแกคงไม่ทำอะไรให้มิชิโอะกับอิซามุปวดหัวอีกหรอกนะ เพราะถ้ามีครั้งหน้า ต่อให้แกคร่ำครวญอ้อนวอน ฉันก็จะไม่ใจดีกับแกแล้ว”ฮิเดอากิเอ่ยเตือนผู้เป็นบุตรชายก่อนลุกขึ้นยืน

“ฉันกลับล่ะ”

ชุนลุกขึ้นยืนและเดินตามไปส่งบิดาถึงรถยนต์ จากนั้นจึงเดินคอตกกลับเข้าบ้าน ไปขังตัวเองไว้ในห้องอีกรอบ ถึงอย่างนั้นมิชิโอะและอิซามุยังคงหวั่นใจ เพราะเจ้าตัวทำเหมือนจะสำนึกได้มาหลายรอบ แต่พอนึกฮึดอะไรขึ้นมาครั้งหนึ่ง ก็กลับไปสร้างเรื่องให้มิอุระซังถอยห่างไปอีก 
 



การสอบเริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ใหม่มาเยือน ฮารุโตะทำข้อสอบด้วยความคิดอย่างมีสติและสมองอันปลอดโปร่ง เพราะชีวิตอันสงบราบเรียบและผู้คนรอบกายที่คอยเป็นกำลังใจให้  ใช่ว่าเขาจะไม่กังวลเรื่องของซากุราอิ ชุนแต่เพราะโองาวะ อิซามุมาบอกเขาว่า ตนจะรับประกันไม่ให้ชุนมาระรานเขาในช่วงนี้ แต่หลังจากพ้นช่วงการสอบ ขอให้เขาได้พูดคุยปรับความเข้าใจกับชุนอีกครั้ง ฮารุโตะตอบรับเนื่องจากตนตั้งใจไว้เช่นนั้นอยู่แล้ว แม้จะยังรู้สึกสงสัยว่า เป็นไปได้ด้วยหรือที่เขากับซากุราอิ ชุนจะกลับมาเป็นเพื่อนกัน ...คำตอบที่อยู่ภายในใจของเขามีแต่ความว่างเปล่า

เสียงสัญญาณเตือนข้อความในโทรศัพท์มือถือทำให้เขาละความสนใจจากตัวอักษรบนหน้าหนังสือตรงหน้า ทั้งยังเรียกความสนใจของทาคุมิซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่อีกฝั่งให้เงยหน้าขึ้นมามอง ฮารุโตะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดดูข้อความ

“จำงานที่เคยบอกไว้ได้ไหม ถ้าช่วงนี้พี่จะให้ฮารุจังมาเป็นแบบให้ก่อน จะโอเคหรือเปล่า”

“วันไหนครับ”เขาส่งข้อความกลับไปถามรุ่นพี่อาโอกิ

“เย็นวันพุธ ทางร้านเขานัดคนอื่นมาถ่ายรูปรวมด้วย”

ฮารุโตะเปิดดูตารางสอบอีกรอบก่อนจะตอบกลับ “ได้ครับ ไม่มีปัญหา”

อาโอกิ นาโอโตะส่งสติ๊กเกอร์คำว่าขอบคุณกลับมาให้ เมื่อเงยหน้าจากโทรศัพท์ขึ้นมา ทาคุมิจึงยิงคำถามใส่ทันที

“อะไรหรือ”

“รุ่นพี่อาโอกินัดให้ไปถ่ายรูป”

“งานนั้นอ่านะ”

ฮารุโตะพยักหน้า ก้มหน้าอ่านหนังสือไปครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นมาเอ่ยปากถามทาคุมิเรื่องมารดาของอีกฝ่ายบ้าง

“คุณน้าไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม”

“ไม่อ่ะ พอเล่าเรื่องนายให้ฟัง แล้วบอกว่าจะมาติวหนังสือด้วย ก็ยอมให้มาเลย”

ทาคุมิทำหน้าเบื่อ ตั้งแต่หมดชั่วโมงสอบของวัน ฮารุโตะยังบังคับให้เขาอ่านหนังสือสำหรับเตรียมสอบของวันพรุ่งนี้ต่อ ซ้ำอุณหภูมิอากาศในบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึยังอุ่นน่านอน จนเขาอยากจะฟุบหลับอยู่หลายรอบ ทาคุมิอ้าปากหาว

“ง่วงก็นอนได้ ไม่ได้ว่าซะหน่อย”

ทาคุมิจึงฟุบลงบนโต๊ะและปิดเปลือกตา

พวกเขายึดเอาโต๊ะทานอาหารในบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึเป็นที่ใช้ในการอ่านหนังสือ ในห้องนอนของเจ้าของบ้านมีโต๊ะเขียนหนังสือเช่นกัน แต่เพราะห้องข้างบนมีเก้าอี้แค่ตัวเดียว ทั้งโต๊ะเตี้ยตัวเล็กๆอย่างโต๊ะอุ่นขาก็ไม่มี พวกเขาจึงต้องหอบหิ้วข้าวของลงมาด้านล่าง

เสียงออดดังขึ้นทำให้ทาคุมิลืมตาตื่น เขาไม่ได้หลับจริงจังเพียงแค่พักสายตา ตอนที่ยันตัวลุกขึ้นกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้งจึงไม่มีอาการง่วงงุน รอจนออดที่สองดังขึ้น เด็กหนุ่มเอ่ยปากบอกเพื่อนสนิทพร้อมลุกเดินไปเปิดประตู

ที่ยืนอยู่หน้าประตูเป็นหญิงสาวสวยผู้ซึ่งทาคุมิจำได้ถนัดตา เนื่องจากเคยเห็นอีกฝ่ายอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึบ่อยๆ หญิงสาวตรงหน้าเมื่อเห็นเขาก็มีท่าทางแปลกใจ หันซ้ายหันขวาเหมือนจะตรวจดูให้แน่ใจว่าไม่ได้เข้าบ้านผิด

“มาหาใครครับ”ทาคุมิถาม

“บ้านชิมิซึหรือเปล่าคะ มาหาพี่ซากิค่ะ”เธอบอกด้วยความลังเล

“ใช่ครับ แต่รุ่นพี่ยังไม่กลับมา”

“อ่อ รุ่นน้องที่มหา’ลัยของพี่เขาใช่ไหมคะ ยังคิดอยู่ว่าละเมอมาผิดบ้านหรือเปล่า ขอเข้าไปได้ไหม”

เธอไม่ได้รอให้เขาตอบ แต่ก้าวเท้าฉับๆเข้ามาด้านในทันที ทาคุมิมองอีกฝ่ายด้วยความระแวง

“ฉันไม่ใช่คนร้าย เป็นน้องสาวของพี่ซากิค่ะ”เธอหันมาบอกพลางถือปิ่นโตเดินเข้าไปในครัว

“รุ่นพี่ไม่มีน้องสาวนี่ครับ”ทาคุมิพูด ขณะที่ฮารุโตะมองหญิงสาวที่มาใหม่ไม่วางตาเช่นเดียวกัน

“ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ เป็นลูกของป้าพี่ซากิค่ะ อยู่บ้านที่ห่างถัดไปสามหลัง”เธอพูดพลางลากเก้าอี้ของโต๊ะทานอาหารออกมานั่ง

“โอ๊ะ อ่านหนังสือสอบกันอยู่ อ่อ... ชื่อฮาระ อายากะค่ะ”

ฮารุโตะก้มศีรษะทักทายพร้อมกับเอ่ยแนะนำตัวเองและเพื่อนหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันบ้าง

“แล้วนี่พวกคุณจะอยู่บ้านพี่ซากิไปถึงเมื่อไหร่หรือ”

ฮารุโตะหน้าเผือดสีไปเล็กน้อย เพราะคำถามนั้นฟังดูเหมือนญาติของหนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้านจะไม่ได้เต็มใจให้เขาอยู่ที่นี่เสียเท่าไหร่

“ก็อยู่จนกว่ารุ่นพี่ชิมิซึจะไล่ล่ะครับ”ทาคุมิตีสีหน้าตอบแบบไม่นึกเดือดร้อน เมื่อฮารุโตะหันไปมองก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้ พลางเดินไปนั่งยังที่เดิมของตัวเอง

“แล้วคุณละครับ มาทำอะไรกันแน่ รุ่นพี่ก็ไม่อยู่ ของก็ส่งเสร็จแล้ว จะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่”

อายากะมองหน้าทาคุมิตาไม่กะพริบ แล้วยกยิ้มส่งเสียงหัวเราะออกมา “คุณนี่ตลกเนอะ บ้านตัวเองก็ไม่ใช่ยังมีหน้ามาไล่คนอื่นเขาอีก”

“ไม่ใช่บ้านคุณเหมือนกันนั่นแหละ แต่ผมน่ะ รุ่นพี่ชิมิซึเขาอนุญาตให้มาอยู่ได้”

“พี่ก็เคยอนุญาตให้ฉันมานั่งเล่นนอนเล่นที่บ้านหลังนี้เหมือนกัน”

ทั้งสองคนเถียงกันไปเถียงกันมา จนฮารุโตะกลัวว่าจะกลายเป็นการทะเลาเบาะแว้งจึงเอ่ยส่งเสียงห้ามปราม

“เอ่อ... อย่าทะเลาะกันเลยครับ”

ใช่ซะที่ไหน”ทาคุมิและอายากะตอบประสานเสียงพร้อมกันราวกับนัดกันไว้ ทั้งสองคนหันมองหน้ากันเองเล็กน้อย และหันมาพูดกับฮารุโตะต่ออีกว่า

ทำไมต้องทะเลาะ...”คราวนี้ทั้งคู่พูดพร้อมกันอีกรอบ เรียกสายตาประหลาดใจจากบุคคลที่สามได้เป็นอย่างมาก อายากะจึงผายมือเป็นเชิงให้ทาคุมิพูดก่อน

“ไม่มีอะไรหรอกคิดมาก ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนจะมาทะเลากันได้อย่างไร”

ฮารุโตะโคลงศีรษะรับรู้ พยายามจดจำไว้ว่า วิธีการพูดและน้ำเสียงแบบที่ทั้งคู่ใช้อาจจะไม่ได้เกิดจากความขัดแย้ง และคิดย้อนกลับไปว่า ประโยคแรกที่อายากะถามเขา อาจจะถามเพราะอยากรู้โดยไม่แฝงความรู้สึกอื่นก็เป็นได้ เมื่อคิดได้แบบนี้ ฮารุโตะจึงรู้สึกสบายใจมากขึ้น

“ฮาระซังจะรอเจอรุ่นพี่ชิมิซึด้วยใช่ไหมครับ”ฮารุโตะพูดถามบ้าง

“ทีแรกก็คิดอย่างนั้นค่ะ เพราะก่อนมานี่โทรบอกพี่แล้ว พี่บอกว่ามาได้มีคนอยู่บ้าน ไอ้เราไม่ได้ถามให้ละเอียด”ประโยคหลังเจ้าตัวคล้ายจะพึมพำกับตัวเอง

ฮารุโตะจึงหันมองนาฬิกา “น่าจะรออีกไม่นานนะครับ”

“ค่ะ”เธอตอบรับและเงียบเสียงไป เห็นคู่สนทนาทำท่าเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจตัวเขาแล้ว ฮารุโตะจึงก้มหน้าลงอ่านหนังสือ

อายากะลุกขึ้นไปเปิดโทรทัศน์อย่างคุ้นเคย เสียงเพลงและเสียงพูดคุยที่ดังออกมาจากลำโพงเรียกความสนใจของสมองหนุ่มให้เงยหน้ามอง หญิงสาวจึงก้มศีรษะเป็นเชิงขอโทษก่อนจะปรับลดความดังเสียงลง ทาคุมิจึงใช้โอกาสนี้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดเล่นเกม ปล่อยให้เพื่อนสนิทนั่งอ่านหนังสือต่อไป

จนเวลาค่อนมืด ชายหนุ่มผู้นับได้ว่าเป็นเจ้าของบ้านตัวจริงจึงกลับมา

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ”ทาคุมิหันไปกล่าว

“อืม กลับมาแล้ว”ชายหนุ่มตอบรับแล้วหันมองหญิงสาวอีกคนที่ตนรู้จักดี

“อ้าว ทำไมยังไม่กลับ”ซากิถามอายากะ เดินถือถุงอาหารที่เขาซื้อมาจากข้างนอกนำวางบนโต๊ะ

“รอพี่ซากิอยู่นั่นแหละ”

“มีอะไรหรือเปล่า”

“จะมาขอหนังสือข้อสอบค่ะ”

“อืม อย่างนั้นรอแป็บ”ชายหนุ่มเดินหายขึ้นไปบนชั้นสอง ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งจึงกลับลงมาพร้อมหนังสือสองสามเล่ม ในระหว่างนั้น หนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนทำการเก็บกวาดหนังสือบนโต๊ะ พร้อมทั้งจัดกับข้าวทั้งที่หนุ่มรุ่นพี่ซื้อมาและปิ่นโตของอายากะลงจาน

“กินข้าวด้วยกันก่อนไหม”ซากิเอ่ยชวน

“ไม่ดีกว่าค่ะ แม่รอกินข้าวอยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ”

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง นายสองคนกินไปก่อนได้เลยนะ”ประโยคหลังเขาบอกหนุ่มรุ่นน้อง กระนั้นทาคุมิและฮารุโตะยังคงไม่กล้าทาน เพราะอาหารแต่ละมื้อหนุ่มรุ่นพี่เป็นคนดูแลค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น

“ทำไมยังไม่กินล่ะ”ซากิถามด้วยความสงสัย เมื่อกลับมาแล้วเห็นสองหนุ่มรุ่นน้องก้มหน้าก้มตาอยู่กับกิจกรรมของตัวเองโดยไม่ยอมลงมือทานอาหารตามที่เขาบอก

“พวกผมรอรุ่นพี่ครับ”ทาคุมิตอบ

“รอทำไม ไม่หิวแย่แล้วหรือ”ซากิพูดพร้อมทรุดตัวลงนั่ง ประนมมือบอกกล่าวก่อนทานอาหารตามธรรมเนียม สองรุ่นน้องจึงทำตามและลงมือทานมื้อเย็น

“รุ่นพี่ครับ ถ้าเรื่องอาหารแต่ละมื้อให้ผมเป็นคนทำให้ไหมครับ”ฮารุโตะเอ่ยถาม เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เขาได้อยู่อย่างสบายโดยไม่ต้องหยิบจับอะไรสักอย่าง ช่วงแรกๆเป็นเพราะอาการป่วยจึงมีคนคอยช่วยเหลือดูแลตลอด แต่หลังจากหายป่วยแล้ว นอกจากจะไม่ได้กลับไปอยู่ที่ห้อง เขายังได้ใช้ชีวิตอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องทำอะไรอีก เด็กหนุ่มจึงรู้สึกแปลกๆ

“นายหายดีแล้วหรือ”

“ครับ ร่างกายปกติดีทุกอย่าง”ฮารุโตะย้ำยืนยัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ได้”

“อ่อ เรื่องทำความสะอาดด้วยเหมือนกัน...”เด็กหนุ่มโดนพูดขัดทั้งที่ยังพูดไม่จบ

“เรื่องนั้นไม่ต้อง บ้านกว้างขนาดนี้ นายทำคนเดียวไม่ไหวหรอก อีกอย่างนายจะมาอยู่ที่นี่ถาวรแล้วหรือ”

ฮารุโตะสลดลงทันทีที่โดยถามด้วยคำถามนั้น ถ้าเจ้าของบ้านไม่อนุญาต อย่างเขาจะมาอยู่ได้อย่างไร

เจ้าของบ้านเห็นหนุ่มรุ่นน้องนิ่งเงียบไม่ตอบคำจึงกล่าวสรุปความ “ถ้าอยากทำอาหารก็ได้ แต่เรื่องทำความสะอาดน่ะ ให้แม่บ้านทำเหมือนเดิมนั่นแหละ ส่วนเงินค่ากับข้าวฉันจะให้พรุ่งนี้เช้า”

“ไม่ต้องหรอกครับ เรื่องค่ากับข้าวเดี๋ยวผมจ่ายเอง”ฮารุโตะแย้ง

“นายยังไม่มีงานทำนะ เก็บเงินไว้ก่อนเถอะ”

ข้อนี้ ฮารุโตะเถียงไม่ออกเช่นเดียวกัน เขาจึงต้องยอมทานข้าวต่อไปเงียบๆ

หลังทานอาหารเสร็จ ฮารุโตะเก็บจานชามไปล้าง และบอกให้ทาคุมิไปเปิดน้ำลงอ่าง ซากิจึงลุกเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพี่ชายที่อยู่ชั้นสอง ซึ่งปัจจุบันได้ยึดมาเป็นห้องนอนของตน

ทาคุมิเดินมาเคาะประตูห้องของหนุ่มรุ่นพี่เมื่อเขารอจนน้ำร้อนเต็มอ่าง

“รุ่นพี่ชิมิซึไปอาบน้ำได้แล้วครับ”

“เคยบอกไปแล้วไง ว่าพวกนายอาบไปก่อนเถอะ ไม่ต้องรอฉัน”

“แหม ผมอุตส่าห์ติดเชื้อขี้เกรงใจมาจากฮารุจัง ไม่ดีหรือครับ”ทาคุมิถามติดตลก 

“ดี แต่ตอนนี้ไปอาบน้ำได้แล้วป่ะ”

“คร้าบ”ทาคุมิขานรับเดินกลับเข้าห้องนอนที่เขายกให้อยู่กับฮารุโตะ ซากิจึงปิดประตูลง นั่งอ่านหนังสือรอเวลาให้ดึกขึ้นอีกนิดจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำบ้าง ทว่าขณะที่กำลังจะแปรงฟัน สายตาพลันเห็นสร้อยคอของฮารุโตะเสียก่อน เขาจึงถือมันกลับไปคืนเจ้าของที่ห้อง

คนที่เดินออกมาเปิดประตูเป็นหนุ่มรุ่นน้องร่างเล็กซึ่งยังคงตาใสคล้ายยังไม่ง่วงนอน

“สร้อยของนายหรือเปล่า”พูดพร้อมยื่นของไปให้

“อ๊ะ ใช่ครับ ขอบคุณรุ่นพี่มากครับ”

“สร้อยใบโคลเวอร์เขาไม่ให้ถอดนะ ว่ากันว่าจะไม่ศักดิ์สิทธิ์”

ฮารุโตะมองอย่างแปลกใจ “ไม่คิดว่ารุ่นพี่จะเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วย”

“ความเชื่อบางอย่างที่มันไม่ได้เลวร้ายหรือลำบากจนเกินไปนัก เชื่อไว้บ้างก็ดี”

“ครับ อย่างนั้นราตรีสวัสดิ์นะครับ”ฮารุโตะบอกก่อนจะปิดประตูห้อง ชายหนุ่มจึงได้ฤกษ์ไปอาบน้ำจัดการสภาพตัวเองจริงๆเสียที   




+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 22-23 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 15-04-2017 06:05:56
ซากิ จู่ๆดูจะยอมแพ้ ถอดใจจากฮารุโตะ ถอยห่างออกมา
ทั้งที่ฮารุโตะ หายไป ก็ตามหา
หรือรู้ใจตัวเองว่า ไม่ได้รักอารุโตะจริงๆ
เพราะเห็นชุน แสดงอาการชอบฮารุโตะ
แบบที่ตัวเองไม่เคยทำ
ชุน มีเพื่อนดีคอยให้คำแนะนำ
ชุน คิดได้ สำนึกได้ก็ดี ทำดีซะบ้างเพื่อหัวใจตัวเอง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 22-23 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 15-04-2017 07:51:24
ซากิทำเพื่อฮารุเยอะมากๆเลย
แต่ถ้าไม่พูดก็จะไม่รู้ใจกัน
เราชอบนะที่เห็นฮารุเหมือนดอกไม้ที่ค่อยเบ่งบานขึ้น
มโนไปถึงว่ากำลังค่อยๆแย้มบาน
ที่ซากิทำนั้นเหมือนกับการตัดใจเสียก่อนที่จะเจ็บไปมากกว่านี้
คนเรามีวิธีจัดการรับมือกับความผิดกวังที่ไม่เหมือนกัน

ฮารุจะก้มหน้ารับ
ซากิเลือกที่จะตัดฉับ
ชุนนั้นคิดไม่เป็นเลย  เดินหน้าท่าเดียว
เรามองยังไงชุนก็ไม่ควรเป็นคนที่ฮารุลงเอยด้วย
ชุนไม่มีการยั้งคิดเลยแม้แต่น้อย
ชั่วชีวิตชุนจำเป็นต้องมีปลอกคอคอยรั้งไว้เสมอ
ฮารุไม่ได้เป็นอะไรกับชุนเป็นแค่คนที่ตัวเองชอบแต่ก็ออกปากเรียกเมียเต็มปากเต็มคำ
คิดว่ายากที่ฮารุจะอยู่กับชุนไปชั่วชีวิตโดยต้องมีปลอกคอ
แล้วคนอย่างฮ่ารุไม่น่าที่จะเป็นปลอกคอให้ชุนได้หรอกค่ะ
ซากิเองก็น่ากลัวเพราะซากิทำทุกอย่างไปด้วยความมีสติ
ไม่รู้ว่าซากิไปตามหาแม่ของฮารุหรือเปล่า

โตขึ้นมาอีกหน่อยแล้วนะฮารุ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 22-23 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-04-2017 08:23:48
 :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 22-23 : 15/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 15-04-2017 08:49:15
อ่านแล้วเสียวสันหลังแทนชุนครับ...

ถ้าผมอ่านไม่ผิด ชนชั้นระดับไคเร็ตสึโผล่ออกมาแล้ว ออร่าแผ่สมกับเป็นกลุ่มควบคุมการเคลื่อนไหวของญี่ปุ่นจริงๆครับ โคตรน่ากลัวเลย ถ้าชุนยังไม่ตระหนักว่าตัวเองยืนอยู่บนจุดไหนของพีระมิด มันก็น่ากลัวนะครับ

เพราะไคเร็ตสึเป็นกลุ่มที่เริ่มเปิดประเทศและสนับสนุนความก้าวหน้า และยังอยู่เบื้องหลังการคืนอำนาจจักรพรรดิและการปฏิรูปเมจิอีก กระทั่งยากูซ่าหรือพรรครัฐบาลอย่าง LDP ก็ยังต้องระวังปากคำพอสมควรเมื่อเจอกับกลุ่มนี้ตรงๆ ในญี่ปุ่น พวกเขายืนอยู่ในเงามืดของกลุ่มบริหารระดับสูงสุด ซึ่งอันตรายมากๆ เพราะไคเร็ตสึแม้จะอำนาจล้นฟ้าก็จริง แต่การควบคุมอำนาจนั้นไว้ภายใต้สังคมกฏระเบียบอย่างญี่ปุ่นก็ต้องใช้ความเด็ดขาด ทรงพลัง และวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลระดับหนึ่ง ข้อดีก็คือไคเร็ตสึมีประมาณแปดตระกูลหลัก และพวกเขาไม่ขัดขากันเองครับ พวกเขามีมุมมองที่ทำเพื่อประเทศชาติและคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดต้องเป็นกลุ่มไคเร็ตสึ ดังนั้นต่อให้มีการคอรัปชั่น แต่ญี่ปุ่นก็จะพัฒนาไปได้ไกลทีเดียว

อย่างชุน ถ้ารู้ตัวว่าเขาอยู่ตรงไหน อำนาจของไคเร็ตสึนี่ช่วยฮารุโตะได้ง่ายแค่กระดิกนิ้วนะครับ แต่ถ้าชุนจะทำอย่างนั้นได้ เขาต้องพิสูจน์ก่อนว่าสมควรเป็นผู้สืบทอดและมีความคู่ควรจริงๆในการใช้อำนาจนั้น

แต่ถ้าไม่รู้ตัว ฮิเดอากินี่สุดยอดในฐานะพ่อ และในฐานะผู้นำแบบไคเร็ตสึจริงๆครับ
ในฐานะพ่อคือ เขารู้ว่าลูกชายเขาไม่เอาอ่าวเท่าไหร่ ดังนั้นเขาก็จะปล่อย อยากทำอะไรทำไปภายใต้ระเบียบ ไม่ได้คาดหวังว่าลูกจะต้องเก่งมารับสืบทอดอำนาจและรู้ว่าตัวเองอยู่ในจุดไหนของพีระมิด ประมาณว่าปล่อยให้ลูกเจอแต่ด้านทั่วๆไปของสังคม และด้วยเขาเป็นไคเร็ตสึ ฮิเดอากิจึงรู้ว่าในสังคมต้องใช้อะไร แต่ถ้าชุนหาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ในฐานะพ่อ เขาหาไว้ให้ได้ แต่ชุนก็ต้องยอมรับว่าจะไม่สามารถเข้าถึง ‘ความคู่ควร’ ที่ชาติกำเนิดเอื้อให้
และขณะเดียวกันในฐานะหนึ่งในผู้นำของไคเร็ตสึ ถ้าแม้แต่เป็นลูก แต่ทำเรื่องที่จะมีปัญหาและสั่นคลอนผลประโยชน์ของกลุ่มไคเร็ตสึ เขาพร้อมจะละทิ้งและจัดการให้เด็ดขาด ในฐานะไคเร็ตสึ ซากุราอิ ฮิเดอากิ มีวิสัยทัศน์และความเด็ดขาดสมบูรณ์พร้อมจริงๆครับ สามารถบริหารครอบครัวด้วยวิธีเด็ดขาดที่สร้างผลลัพธ์ทรงประสิทธิภาพแบบไคเร็ตสึได้ชัดมาก ยังไม่นับถึงการมีมารยาทดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นเพื่อสะท้อนความชาตินิยมด้วย (มารยาทเป๊ะประมาณปู่ยามาโมโตะในบลีชน่ะครับ)

ฮารุโตะขาดความสุขวัยเด็กมากครับ ดังนั้นการกระทำบางครั้งของเขาจึงดูเหมือนเด็กๆ
เขาไม่ค่อยได้ทานขนมอร่อยๆ...เพราะต้องเจียดเงินเก็บไปซื้อของประทังชีวิต (ของชอบยังเป็นเค้กเนยที่เด็กๆชอบเลย)
ไม่ค่อยได้ดูการ์ตูนและยิ้มหัวเราะ ร้องเพลงหงุงหงิงเพื่อใช้ชีวิตวัยเด็กให้มีความสุข...เพราะว่าของที่จะให้ความสุขในวัยเด็กถูกพรากออกไปด้วยมรสุมชีวิตหมด
แม้แต่การมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในวัยเด็กที่จะทำให้เด็กมีพัฒนาการทางอารมณ์ที่ดีขึ้น เขาก็ไม่มี...เพราะเด็กทุกคนล้วนรุมแกล้งเขา ทำเหมือนเขาเป็นของเล่น ทั้งในทางตรงและทางอ้อม จากฐานะของเขาที่ยากจน
เขาขาดการรู้สึกมีค่า...เพราะทุกๆคนล้วนทำกับเขาอย่างไม่ให้ความสำคัญมาตั้งแต่เด็ก แม้แต่พ่อแม่ สุดท้ายก็ทิ้งเขา

ดังนั้นถ้าชุนรู้ตัว(สักที) แล้วก็หยุดบ้าสักหน่อย เขาจะรู้ว่าไอ้ปมของฮารุโตะน่ะ ถ้าเป็นชุนในฐานะผู้สืบทอดที่คู่ควรของไคเร็ตสึ สามารถปกป้องดูแลคุ้มภัยและให้ความสุขฮารุโตะได้แน่ๆครับ

เพราะแม้ไคเร็ตสึจะมีความชาตินิยมและอิงประเพณีเดิมๆสูง แต่เนื่องพวกเขามีมุมมองหัวก้าวหน้าและเป็นกลุ่มที่ริเริ่มการเปิดประเทศ ค้าขายกับตะวันตกภายใต้กฏเกณฑ์ที่เขาตรา คืนอำนาจให้จักรพรรดิเพื่อสร้างเสถียรภาพของการปกครอง และปฏิรูปเมจิเพื่อวางรากฐานการพัฒนา ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็แสดงได้ชัดเจนว่าเขาพร้อมจะเปิดรับอะไรใหม่ๆตราบใดที่สิ่งใหม่นั้นเอื้อประโยชน์ให้กับญี่ปุ่นและพวกเขา และมันต้องอยู่ใต้กฏที่พวกเขาวางไว้ ดังนั้นการเป็นโฮโมก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก (เพราะเอาจริงๆในสมัยซามูไร ก็มีประเพณีการส่งผ่านวิญญาณและความรู้ของซามูไรรุ่นก่อนโดนผ่านการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างซามูไรชาย-ชายนะครับ แต่ผมจำชื่อพิธีไม่ได้แล้ว)

แล้วก็มีบางข้อที่ผมอาจจะคิดไปเองก็ได้ แต่สันนิษฐานเผื่อไว้ครับ นั่นคือ ตอนแรกผมคิดว่าชุนบอกพ่อให้ช่วยฮารุโตะเรื่องทุน แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ชุนพูดเองว่าเมื่อฮิเดอากิพบว่าคนที่ชุนกลั่นแกล้งคือมิอุระ ฮารุโตะที่รับทุนของบริษัทอยู่ ก็เลยสั่งห้ามยุ่งเพราะจะทำให้บริษัทเสียประโยชน์ แสดงว่าชุนไม่รู้ว่าฮารุโตะรับทุนบริษัทพ่อตัวเอง (ซึ่งก็สมเหตุสมผลกับนิสัยเลือดร้อนไม่สืบอะไรของชุนดี) จุดนี้มองเผินๆก็มองได้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ที่ฮารุโตะรับทุนบริษัทพ่อชุนอย่างที่เอคิจิพูด แล้วพอพ่อชุนรู้เข้าก็เลยสั่งห้ามตามนิสัยของไคเร็ตสึทั่วๆไปที่ปกป้องผลประโยชน์บริษัท

แต่ผมไม่ค่อยเชื่อเรื่องความบังเอิญครับ...ยิ่งกับไคเร็ตสึ ผมยิ่งไม่ค่อยวางใจ มันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญตามข้างต้น หรือไม่ก็...ซากุราอิ ฮิเดอากิ สังเกตว่าตอนประถม ลูกชายพาเพื่อน ‘คนเดิม’ มาที่บ้านบ่อยเข้าๆ ด้วยความแปลกใจ เลยสั่งสืบประวัติ และเมื่อประเมินแล้ว ฮิเดอากิเห็นว่า ‘มิอุระ ฮารุโตะ’ น่าจะเป็นบุคลากรที่ใช้งานได้ในอนาคต (คนญี่ปุ่นเห็นว่า คนขยัน น่าสนใจกว่าคนมีพรสวรรค์ ครับ มันเลยเกิดค่านิยมทำงานล่วงเวลาดึกๆดื่นๆ) เลยสั่งคนให้ติดตามผลการเรียนเพื่อเสนอทุนให้ เพราะการตัดสินใจนี้จะสร้างประโยชน์สองเด้ง คือหนึ่ง บริษัทเขาจะได้บุคลากรที่สร้างประโยชน์ได้ดีขึ้นมาสมกับเม็ดเงินที่ลงทุนไป สอง ถ้ามิอุระ ฮารุโตะ เข้ามาทำงานที่เดียวกับชุน ลูกชายของเขาก็จะมีคนคอยควบคุมพฤติกรรมให้อยู่กับร่องกับรอย

ถ้าเป็นอย่างนี้จริง ก็นับว่า ซากุราอิ ฮิเดอากิ เป็นคนที่มีความคิดแยบคายและวิสัยทัศน์ไกลน่ากลัวมากนะครับ เพราะทั้งหมดนี้ต้องคิดในช่วงที่ทั้งชุนและฮารุโตะยังอยู่ประถม แล้วฮิเดอากิมาเห็นพฤติกรรมของลูกตัวเอง หลังจากสืบประวัติฮารุโตะ ก็สั่งให้คนติดตามผลการเรียนอยู่ห่างๆเพื่อประเมินความเหมาะสม (ก็ลงล็อกว่าทำไมตอนชุนอันธพาลใส่ฮารุโตะตอนแรกฮิเดอากิถึงไม่รู้ เพราะดูแค่ระดับผลการเรียน และคนระดับฮิเดอากิคงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องส่วนตัวของหนึ่งใน ‘ทรัพยากร’ ที่เขาหว่านเมล็ดไว้ คนติดตามชุนทั้งสองคนก็อาจจะมาด้วยการตัดสินใจแบบนี้เหมือนกัน แค่ฮิเดอากิประเมินความโดดเด่นคนละด้านไว้)

ผมสังเกตว่าถ้าเป็นแบบข้างต้น ฮิเดอากิไม่ได้สนใจว่าชุนจะรักใครชอบใครด้วยซ้ำครับ ฮิเดอากิแคร์แค่อยู่ในกรอบกฏระเบียบ สร้างประโยชน์ให้เขาชัดเจน นอกนั้นจะทำอะไรก็ทำไปในขอบข่ายอำนาจที่มี(ซึ่งมหาศาล) ก็นับว่าเป็นแนวคิดที่สมกับเป็นไคเรตสึที่อยู่ในเงามืดดีครับ

ส่วนซากิ มุขสร้อยนี่ไม่เนียนนะครับ (หัวเราะ)  ขนาดผมยังมองออกเลยครับว่าน่าจะเป็นเครื่องติดตามตัว มันจะหวงไปหน่อยแล้วมั้ง เกิดชุนรู้เข้าเดี๋ยวก็มีเรื่องอีก หมอนี่ยิ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้อยู่
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 24 : 16/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-04-2017 05:33:43
เรื่องย่อ ตอนที่ 24
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
การได้นัดหมายคุยกับซากุราอิ ชุนไม่ได้ทำให้ฮารุโตะรู้สึกดีขึ้นเพราะมันเหมือนอีกฝ่ายได้มาปลดล็อคความทรงจำที่ไม่ดีที่เขาพยายามฝังมันไว้ออกมา แต่เพราะเขาฮารุโตะอยากก้าวไปข้างหน้า อยากพยายามเข้มแข็งและหยัดยืนด้วยตัวเองให้ได้ เขาจึงตัดสินใจเผชิญหน้ากับมันอีกครั้ง







春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย





Chapter 24




ฮารุโตะนัดกับรุ่นพี่อาโอกิไว้ที่ห้องชมรมเช่นเคย เวลานัดเป็นช่วงบ่ายๆ เขาและทาคุมิจึงไปทานข้าวกลางวันก่อนจะมานั่งเล่นนอนเล่นกันอยู่ที่ห้องชมรม ทาคุมิอารมณ์ดีมากเพราะไม่โดนบังคับอ่านหนังสือเช่นวันสองวันก่อน เพื่อนร่วมรุ่นร่างสูงจึงเอาแต่เล่นเกมทั้งยังหันมาชวนให้เขาดาวน์โหลดมาเล่นด้วย

“ไม่เอาหรอก ถ้าติดแล้วจะมัวแต่นั่งเล่นเกมเหมือนนาย”

“แหมไม่ได้เล่นตลอดเวลาซะหน่อย ว่างๆก็มานั่งเล่นไง”

“ถ้าว่างควรจะเอาเวลามาอ่านหนังสือน่าจะดีกว่า”

“ง่า ชีวิตมันต้องมีการรีแลกซ์สังสรรค์กันบ้าง ไม่อย่างนั้นเครียดตายเลย”คนพูดไม่ว่าเปล่าๆ ยังเอาแขนรั้งคอฮารุโตะเข้าไปใกล้ บังคับให้ดูเกมบนหน้าจอ ทั้งยังกดโน่นกดนี่พร้อมกับพูดอธิบายวิธีการเล่น

“ยากอ่ะ”ฮารุโตะบอก มีแต่อะไรที่เขาไม่รู้จัก ค่าพลัง เอชพี ค่าชีวิต สกิล เด็กหนุ่มยกมือยอมแพ้

“งั้นเอาเกมนี้”

ทาคุมิคว้าโทรศัพท์มือถือของเขาไปกดโหลด “เข้ากับนายแน่ๆ” รอจนแอพพลิเคชั่นถูกติดตั้งบนโทรศัพท์มือถือแล้ว ทาคุมิจึงกดเล่นโปรแกรม

“นายก็เลื่อนไอ้ที่มันเป็นแบบเดียวกันให้มันเรียงกัน”ทาคุมิอธิบายวิธีการเล่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมีสายเรียกเข้าจากหนุ่มรุ่นพี่ที่ฮารุโตะนัดไว้ พวกเขาจึงลุกขึ้นเก็บของ บอกลาสมาชิกที่อยู่ในห้อง ก้าวเท้าลงจากอาคารไปขึ้นรถยนต์ที่จอดอยู่ด้านหน้า

“อาจจะกลับดึกหน่อยนะ”นาโอโตะบอกเมื่อทั้งสองคนขึ้นมานั่งอยู่บนรถเรียบร้อย พวกเขาตอบรับอย่างไม่มีปัญหา 

รถยนต์ที่มีนาคามูระ เรย์เป็นสารถีค่อยๆเคลื่อนที่ออกจากมหาวิทยาลัย

ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนไปตามเวลาที่ผันผ่าน ช่วงเวลาที่หิมะตกหนักติดต่อกันค่อยๆเบาบางห่างหาย มีแค่หยาดน้ำฝนที่ร่วงหล่นโปรยปรายบ้างในบางวัน เกล็ดน้ำแข็งพูนหนาซึ่งเกาะตัวจับกันอยู่ตามกิ่งไม้ สนามหญ้าและอาคาร ค่อยๆละลายไปตามอุณหภูมิที่อุ่นขึ้น

ฮารุโตะมองภาพเหล่านั้นผ่านบานกระจกรถยนต์ด้วยอารมณ์รื่นรมย์ ทว่าต้องชะงักฉับพลัน เมื่อเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงอยู่ในระยะสายตา และฝ่ายนั้นดูคล้ายจะจับจ้องมองเขาอยู่เช่นกัน ก่อนจะหมุนร่างหันหลังเดินจากไป ให้เหลือเพียงแผ่นหลังที่ค่อยๆเล็กลงเรื่อยๆเมื่อพวกเขาเคลื่อนที่ห่างกันมากขึ้น ภาพนั้นทำให้เกิดความปวดแปลบในอกด้วยความสงสาร

ทำไมต้องสงสารด้วยล่ะ ฮารุโตะถามตัวเอง

ซากิราอิ ชุนทำเรื่องที่ไม่ดีต่อเขาตั้งมากมาย แค่อีกฝ่ายยอมขอโทษก็จะยอมให้อภัยแล้วอย่างนั้นหรือ เด็กหนุ่มตั้งคำถามซ้ำๆ

ความคิดวุ่นวายวนเวียนของฮารุโตะถูกขัดจังหวะลงอีกครั้งเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงจุดหมาย สถานที่ทำงานในครั้งนี้เป็นสตูดิโอให้เช่าซึ่งทางร้านทำการติดต่อไว้ เมื่อไปถึงปรากฏว่าแบบถ่ายภาพทั้งชายหญิงหลายคนมารวมตัวพร้อมกันอยู่แล้ว พาลให้ฮารุโตะรู้สึกประหม่า เพราะแต่ละคนหน้าตาดีๆทั้งนั้น

“อาโอกิคุง”เสียงทักนั้นเป็นของชายหนุ่มวัยประมาณสามสิบกลางๆ

“สวัสดีครับ มากันครบแล้วหรือครับ”นาโอโตะถามพร้อมเดินตามชายหนุ่มคนนั้นไปที่ห้องหนึ่ง เรย์สะกิดให้ทาคุมิเดินตามมาอีกทาง และบอกฮารุโตะที่หันรีหันขวางให้เดินตามนาโอโตะไป

เด็กหนุ่มเดินตามหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปยังห้องแต่งตัว ได้พบกับรุ่นพี่โอคาดะ  ทซึคิโยะ และสมาชิกชมรมการแสดงที่เคยเจอเมื่อเทอมที่แล้ว รุ่นพี่อาโอกิกล่าวทักทายกลุ่มเพื่อนก่อนจะคว้าเซ็ตเครื่องสำอางมาจัดการลงมือกับพวกนายแบบนางแบบ

“รุ่นพี่ให้ผมช่วยก่อนไหมครับ”ฮารุโตะถามเมื่อเห็นแบบถ่ายภาพซึ่งรออยู่ในห้องมีจำนวนมากโข

“แต่งหน้าไม่มีค่าจ้างนะ”นาโอโตะชิงพูดด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่นไม่จริงจัง “โดนจิกมาให้ทำฟรี”

“ไม่เป็นไรครับ ผมตั้งใจจะช่วยจริงๆ”ฮารุโตะย้ำ

“งั้นมานี่”นาโอโตะกวักมือเรียกเด็กผู้ชายคนหนึ่งให้มานั่งที่เก้าอี้ หยิบเอารูปภาพในมือของอีกฝ่ายขึ้นมาดู

“เดี๋ยวฮารุจังแต่งหน้าผู้ชายแล้วกันเนอะ ง่ายและเร็วหน่อย”นาโอโตะบอกและอธิบายต่อไปว่า “เขาจะมีต้นแบบเมคอัพ ให้เราแต่งตามนี้เลย ปรับได้ตามรูปหน้าแต่ให้คุมโทนตามต้นฉบับ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ถึงอย่างไรเขาก็อยู่ในชมรมถ่ายภาพที่ต้องทำกิจกรรมประเภทนี้มาร่วมสองปี แค่แต่งหน้าตามต้นฉบับถือว่าเป็นเรื่องง่ายๆ

“ล้างหน้าลงครีมมาหรือยัง”เขาเอ่ยถามคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้

“อือ นายแต่งหน้าเป็นจริงๆหรือ”

ฮารุโตะจึงซับมันก่อนลงรองพื้น และตอบกลับไปสั้นๆ“เป็นครับ”

“ทำไมแต่งเป็นล่ะ นายชอบเรื่องแบบนี้เหรอ หรือต้องแต่งหน้าก่อนออกจากบ้าน”

เด็กหนุ่มชะงักมือ รู้สึกเหมือนโดนมองว่าแปลกประหลาดเพราะคำถามนั้น แต่เมื่อตั้งสติคิด รุ่นพี่อาโอกิหรือคนอื่นๆในชมรมถ่ายภาพหรือคนจากชมรมการแสดงยังไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องแปลก เขาเองก็ไม่ควรคิดเช่นนั้น

“แล้วหน้าผมตอนนี้เหมือนแต่งหน้ามาหรือไง หลับตา”เขาบอกซึ่งอีกฝ่ายก็ทำตาม แต่กระนั้นปากยังคงยังคงขยับไม่หยุด

“เหมือน แก้มแดงเชียว”

ฮารุโตะละมือออกมาจับแก้มตัวเองคว้ากระจกมาส่องดูหน้า ถ้าอากาศร้อนจัดๆ หน้าของเขาจะขึ้นสีแดงในบางครั้ง เด็กหนุ่มมองด้วยความแปลกใจก่อนจะกลับมาลงมือทำงานอีกครั้ง

คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้จึงลืมตาขึ้น “เหมือนเด็กเลยอ่ะ อายุเท่าไหร่”

“สิบเก้า หลับตายังไม่เสร็จ”

“จริงดิ หน้าดูเด็กเว่อร์ๆ ใช้ครีมอะไรเนี่ย จะได้ไปบอกพี่สาวบ้าง”

ฮารุโตะจึงบอกชื่อผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันออกไป

“นั่นมันครีมทาตัวไม่ใช่หรือ พี่สาวฉันมีทุกกลิ่นอ่ะ นายใช้สตอเบอรี่ใช่ไหม”

“คุณก็รู้ดีนะ”นึกสงสัยในใจว่า เหมือนอีกฝ่ายจะใช้เองมากกว่าจะเป็นพี่สาว เพราะถึงขั้นเดากลิ่นโลชั่นที่เขาใช้ได้ถูก

“ลืมตาครับ”เขามองตรวจสอบน้ำหนักสีตาทั้งสองข้าง ก่อนจะหยิบดินสอมาเขียนคิ้ว

“เป็นของพี่สาวจริงๆ ยัยนั่นเอามาวางเรียงเป็นตับอยู่ในห้องน้ำ แต่ช่วงหน้าหนาวบางครั้งก็ขโมยใช้บางแหละ”คนพูดหัวเราะ

“อยู่เฉยๆนะ”ฮารุโตะใช้พู่กันลงสีปาก เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงส่งกระจกให้อีกฝ่าย

“นึกว่าแต่งออกมาแล้วจะดูแต๋วซะอีก หล่อเว่อร์อ่ะ หล่อเพิ่มขึ้นอีกร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

“อย่างนั้นเชิญลุกครับ ผมจะทำงานต่อ”อีกฝ่ายหัวเราะลุกขึ้นไปรับเสื้อผ้ามาผลัดเปลี่ยน ฮารุโตะจึงหันไปจัดการคนต่อไป

ฮารุโตะแต่งตัวเสร็จและมารวมกลุ่มเป็นคนสุดท้าย บางส่วนกำลังตั้งท่าถ่ายรูปอยู่บนหน้าฉากขาว ส่วนกลุ่มที่ยังต้องรอคิวต่างจับกลุ่มใช้โทรศัพท์ถ่ายภาพกันเอง

“นักเวทย์สาว”เด็กผู้ชายคนที่คุยกับเขาตอนแต่งหน้าเอ่ยแซว ฮารุโตะหน้ามุ่ยอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก

“ทำไมอ่ะ น่ารักดีออก”

“แล้วทำไมผมถึงได้แต่งชุดผู้หญิงล่ะ”

คู่สนทนาส่งเสียงหัวเราะ “เอ้า ถ้าอยากใส่ชุดผู้ชายก็ไปเพิ่มความสูงให้มากกว่านี้ แต่สิบเก้าแล้วคงเพิ่มไม่ได้แล้วล่ะ”

ฮารุโตะเบือนหน้าหนีไม่อยากคุย

“งอนหรือ”อีกฝ่ายยื่นหน้ามาถาม แต่เด็กหนุ่มไม่อยากพูดด้วย

“ดีกันเถอะนะ”เด็กหนุ่มร่างสูงข้างๆยื่นนิ้วก้อยมาให้ ยกยิ้มเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง ทว่ามีเสียงของรุ่นพี่นาคามูระเรียกให้กลุ่มต่อไปมาถ่ายภาพเสียก่อน เขาจึงรีบเดินเข้าไปยืนบนหน้าฉาก มีไฟสว่างจ้าส่องเข้าตาแบบนี้ทำให้ฮารุโตะรู้สึกเกร็งขึ้นมา

“ทำตัวตามสบาย พยายามแสดงออกตามคาแรกเตอร์ตัวละครนะครับ”

 ฮารุโตะนึกถึงข้อมูลรายละเอียดตัวละครซึ่งถูกพิมพ์อยู่ด้านหลังของรูปภาพ แล้วก็ยกยิ้มออกมา

“นี่ๆ เธอ ทำท่าแบบนี้กัน”หญิงสาวที่อยู่ข้างๆสะกิดเรียกและยกมือทำท่าให้เขาดู เด็กหนุ่มจึงยกมือทำตาม

กว่าจะได้รูปตามที่รุ่นพี่นาคามูระต้องการ ฮารุโตะรู้สึกเหนื่อยจนหมดแรง เขาแค่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับเป็นชุดเดิมที่ใส่มา ส่วนใบหน้าปล่อยทิ้งไว้โดยตั้งใจจะกลับไปล้างที่บ้าน

“ดีกันได้หรือยัง”เด็กหนุ่มคนนั้นยังเดินตามมาถาม

“ไม่ได้โกรธอะไรสักหน่อย”ฮารุโตะพูด

“ไม่ได้โกรธแต่งอน”

ฮารุโตะหน้างอ

“โอ๊ะๆ ไม่แซวแล้ว ขอไอดีหน่อยดิ ว่างๆจะได้คุยกัน”

ทว่าคนตอบคำถามกลับเป็นทาคุมิที่เพิ่งเดินมาหา “ไม่ให้” แล้วหันไปพูดกับฮารุโตะ “ฮารุจังกลับกันเหอะ พวกรุ่นพี่รออยู่ด้านหน้าแล้ว”

“อือ”

“บ๊าย บายนะ ฮารุจัง”เด็กหนุ่มคนนั้นพูด พาลให้ทาคุมิหันกลับไปเขม่นมอง เด็กหนุ่มตัวเล็กจึงต้องเร่งจูงข้อมือเพื่อนให้รีบเดินออกไปด้านนอก

พวกเขาแยกย้ายกับรุ่นพี่อาโอกิและรุ่นพี่นาคามูระที่หน้าบ้าน รุ่นพี่ทั้งสองมาส่งพวกเขาที่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึเช่นเดิม ทาคุมิประตูเข้าไปพร้อมร้องบอกว่ากลับมาแล้วครับ ฮารุโตะส่งเสียงตามไปติดๆ หยิบรองเท้าสำหรับใส่อยู่กับบ้านมาเปลี่ยนสวม และเก็บรองเท้าคู่ที่เพิ่งถอดเข้าตู้

“กินอะไรมาหรือยัง”ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยืนส่งเสียงถามมาจากกรอบประตูห้องนั่งเล่น

“เรียบร้อยแล้วครับ เขามีข้าวเลี้ยง”ทาคุมิตอบ

“อืม อย่างนั้นรีบไปอาบน้ำนอน พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกใช่ไหม”

“ครับ”ทาคุมิตอบรับ เดินนำเพื่อนสนิทร่างเล็กขึ้นไปยังชั้นสอง พวกเขาใช้เวลาอาบน้ำชำระล้างร่างกายไม่นาน และเมื่อศีรษะถึงหมอน แต่ละคนต่างหลับสนิทลงทันที




คำขอนัดเวลามีส่งมาถึงเขาทันทีที่ตารางสอบของเขาจบลง ในใจของฮารุโตะมีแต่ความตื่นเต้น เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรทำอย่างไร เมื่อนึกย้อนคิดถึงสิ่งที่ซากุราอิ ชุนเคยทำกับเขา เด็กหนุ่มรู้สึกว่า ตนไม่ควรที่จะให้อภัยอีกฝ่าย เพราะมันเหมือนกับสิ่งที่เขาต้องเผชิญมาหลายปีจะกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนอื่น แต่ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดแม้แต่จะหวังให้อีกฝ่ายมาขอโทษหรือมาชดใช้ให้  ไม่เฉพาะแค่ซากุราอิ ชุน แต่เขาหมายรวมถึงทุกคนที่เคยทำไม่ดีกับเขา ฮารุโตะคิดเพียงว่า การไม่พบปะเจอะเจอคนพวกนั้นอีกนับว่าเป็นเรื่องที่ประเสริฐที่สุดแล้ว

นาโอโตะวางมือกุมทับมือของหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะมีท่าทีกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข เหตุเพราะซากุราอิ ชุนขอนัดเจออีกครั้ง โดยสถานที่นัดยังเป็นห้องชมรมถ่ายภาพเช่นเดิม เวลานัดงวดใกล้เข้ามาพวกเขาจึงมารวมตัวกันอยู่ที่นี่

“ไม่ต้องคิดมาก ทำในสิ่งที่อยากทำ จะไม่มีใครคิดว่าการตัดสินใจของนายเป็นเรื่องผิด ขอให้เลือกสิ่งที่ตัวเองสบายใจ ไม่อึดอัดฝืนใจทำ พวกพี่จะช่วยสนับสนุนเอง”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ สูดลมหายใจเข้าปอดพยายามทำใจให้สงบ หลายวันมานี้เขาครุ่นคิดทบทวน ตั้งคำถามพลางหาเหตุผลที่สอดรับกับการกระทำของซากุราอิ ชุนในอดีต

ชุนเคยพูดว่าอยากให้เขาสนใจและที่ทำไปเพราะชอบเขา แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ฮารุโตะยังไม่เข้าใจสักทีว่าสิ่งที่ชุนทำกับเขา มันจะทำให้เขาสนใจอีกฝ่ายได้อย่างไร

“สวัสดีครับ”

กลุ่มของชุนเปิดประตูเดินเข้ามาแล้ว ฮารุโตะมองทั้งสามคนด้วยอาการตื่นเต้นหวั่นใจมากกว่าเดิม จนรุ่นพี่อาโอกิต้องบีบกระชับมือของเขาไว้ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าและพรูลมหายใจออก ก่อนเงยหน้ามองอีกฝ่ายเต็มตา

ซากุราอิ ชุนที่อยู่ตรงหน้าดูโทรมเซียวกว่าเมื่อหลายวันก่อน ฮารุโตะใจแกว่งอ่อนยวบต้องก้มหน้าเบือนหลบ ภายในห้องนิ่งเงียบราวกับทุกคนรอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปาก

“ฮารุโตะฉันขอโทษจริงๆ”ชุนย้ายไปนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น “ฉันขอโทษกับสิ่งที่เคยทำในอดีต ทุกอย่างที่ฉันทำไปเพราะฉันชอบนายมาก แต่ฉันโง่เองที่ทำแบบนั้นกับนาย ฉันมันเลว”ชุนไม่ได้พูดเพียงอย่างเดียว เขายังตบหน้าตัวเองคล้ายพยายามลงโทษให้สาสมกับความผิดที่ก่อ

ไม่มีใครเอ่ยห้ามปรามการกระทำนั้น ส่วนฮารุโตะทำเพียงแค่เบือนหน้าหนีไปอีกทาง  เสียงฝ่ามือซึ่งกระทบกับผิวเนื้อเป็นจังหวะราวกับเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้เขาเอ่ยปาก

“ผมมีเรื่องจะถาม”ประโยคคำพูดของเขาจบลงพร้อมกับเสียงฝ่ามือของชุน ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

“ที่คอนโดะซังถูกทำร้ายเป็นฝีมือของคุณหรือเปล่า”คอนโดะเป็นชื่อสกุลของเด็กชายผู้ซึ่งเป็นตัวต้นเรื่องให้พวกเขาทั้งสองทะเลากัน

“ใช่”น้ำเสียงของชุนยังคงมีความเคียดแค้นอย่างปกปิดไม่มิด

“หลังจากวันนั้นทำไมคุณต้องหายไปด้วย”

“วันสองวันแรกเพราะละอายใจ ทั้งที่น่าจะรู้ว่าการที่นายเข้ามาห้ามเพราะเป็นห่วงแต่กลับตะคอกใส่ ส่วนหลังจากนั้นเพราะอยากเก่งขึ้นเร็วๆ เลยไปท้าตีท้าต่อยกับเขาไปทั่ว”

“หลังจากนั้นแล้ว ทำไมไม่กลับมาหาดีๆ”

“ตอนนั้นฉันได้เป็นหัวหน้าคุมกลุ่มแล้วก็เลยกลัวลูกน้องไม่เชื่อฟัง”ชุนหน้าจ๋อยตอบเสียงเจื่อน “แต่ก็อยากกลับไปคืนดีกับนายเหมือนเดิม เลยแอบเอาขนมไปวางไว้ให้บนโต๊ะ ตอนที่นายกลับมาที่ห้องฉันก็ยืนแอบดูอยู่ เลยเห็นนายเอาขนมของฉันไปทิ้งอย่างไม่ลังเล ตอนนั้นเลยคิดว่านายคงโกรธมาก”

“เรื่องนั้นผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นของใคร”

“อ้าว”ชุนร้องหน้าเหลอหลา ขมวดคิ้วยกมือขึ้นเกาศีรษะ

“แต่ว่าหลังจากนั้น คุณก็ตามมาแกล้งผมตลอด”

“ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรนายถึงจะยอมคุยด้วย เลยทำเป็นแย่งกับข้าวบ้าง เอารองเท้าไปซ่อนบ้าง แล้วตอนอยู่มอปลายมันมีคนตั้งกลุ่มขึ้นมาแข่ง แล้วมันดันรู้ว่าฉันกับนายเคยสนิทกัน และที่ฉันทำเรื่องมุ้งมิ้งแกล้งนายเหมือนที่เด็กประถมเขาทำกันเพราะฉันชอบนายอยู่ ฉันไม่อยากให้นายโดนลูกหลงไปด้วย ฉันก็เลย...”เสียงของชุนเบาลงเรื่อยๆพร้อมกับใบหน้าที่ก้มต่ำลง

“เหตุผลของคุณมันปัญญาอ่อนมาก”ฮารุโตะตะโกนว่าเสียงดัง

ชุนได้แต่ก้มหน้าสำนึกผิด ตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้ให้อิซามุกับมิชิโอะฟังก็โดนด่าเหมือนกัน

“ฉันถึงบอกว่าฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันมันโง่ ถ้าตอนนั้นฉันเลิกยุ่งกับนายไปซะ มันก็คงจะดีกว่านี้”ชุนละล่ำละลักพูด

“แล้วพอเข้ามหาวิทยาลัยมาแล้ว ทำไมคุณต้องตามมาราวีผมอีก”ฮารุโตะถามด้วยอารมณ์

“เพราะคิดว่า... ที่นี่นายไม่รู้จักใคร ถ้าฉันเอาของของนายไปนายก็ต้องไปหาฉัน”

“เหอะ”ฮารุโตะแค่นเสียง ยิ่งได้ฟังเหตุผลของชุนในอกของเขายิ่งอึดอัดเหมือนจะระเบิดมากขึ้นทุกที ขณะที่เขาวิ่งวนตื่นตระหนกเหมือนหนูติดอยู่ในกับดัก ชุนทำเพียงยืนมองหัวเราะขำขัน คำว่าชอบของชุนน้ำหนักเบามากเมื่อเทียบกับเหตุผลของการกระทำที่ผ่านมา เพราะถึงซากุราอิ ชุนจะพูดเต็มปากเต็มคำว่าชอบเขา แต่ชุนยังรักศักดิ์ศรีและหน้าตาของตัวเองเหนือสิ่งอื่นใด

“ผมจะบอกอะไรให้ฟังนะครับ ซากุราอิซัง”ฮารุโตะพูด น้ำเสียงนิ่งเฉยทว่าข่มขื่น “ถึงแม้ว่าคุณจะพยายามช่วยผมด้วยการผสมโรงแกล้งผมอย่างจริงจังขึ้นมันก็ไม่ได้ช่วยผมสักเท่าไหร่หรอกนะ ผมไม่รู้ว่ากลุ่มที่ตั้งตัวเป็นใหญ่แข่งกับคุณ มันหมายถึงกลุ่มเดียวกับที่ผมจะเล่าให้ฟังหรือเปล่า แต่ผมอยากบอกคุณว่า การกระทำของคุณไม่มีประโยชน์เลย”ฮารุโตะนิ่งเงียบคล้ายตั้งสติ

“ตอนอยู่มอปลาย นอกจากคุณแล้วยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยมารังแกผม พอมานึกๆดู ผมรู้สึกเหมือนว่าพวกคุณกำลังแข่งกันว่าใครจะทำให้ผมตายได้ก่อนกัน”ฮารุโตะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่กำลังไหล พูดเล่าด้วยเสียงกระท่อนกระแท่นที่พยายามควบคุมให้เรียบนิ่งที่สุด

“จำได้ไหม ครั้งหนึ่งคุณเคยให้ผมใช้ลิ้นเลียรองเท้าที่คุณสวม ขณะที่กลุ่มเพื่อนของคุณหรือคุณจะเรียกว่าลูกน้องก็แล้วแต่ ตะโกนเชียร์เย้วๆด้วยความสะใจ ส่วนอีกกลุ่มก็ใช้หัวของผมเป็นที่เช็ดพื้นรองเท้า ทั้งกลุ่ม... สิบกว่าคน ตอนนั้นผมคิดว่าตายๆไปซะก็น่าจะดีนะ”เสียงของเขาสั่น น้ำตาไหลจนต้องยกมือขึ้นเช็ดซ้ำแล้วซ้ำเล่า รุ่นพี่อาโอกิส่งกระดาษทิชชู่ให้เขาพร้อมบอกให้เขาหยุดพูดได้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้วก็ได้ แต่ฮารุโตะอยากบอกให้ชุนรู้ไว้ว่าเหตุผลอันไร้สาระของชุนมันทำร้ายเขาแค่ไหน ถึงเขาจะอ่อนแอจนต้องเป็นเหยื่อตลอดเวลา แต่ชุนไม่ควรที่จะหักหลังทำร้ายเขาเหมือนที่คนอื่นทำ

“ผมเคยคิดที่จะกระโดดตึกฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่ที่แย่ที่สุดคือผมกลัวตอนที่ร่วงลงไปแล้วร่างกายกระทบพื้น ผมกลัวตอนที่ตัวเองยังมีลมหายใจได้แต่นอนมองเลือดที่ไหลนองพื้น”ฮารุโตะหยุดน้ำตาตัวเองได้ในที่สุด

“ผมให้อภัยคุณได้ แต่อย่ากลับมาเจอกันอีกเลย”

“ไม่นะ ฮารุโตะ ฉันขอโทษ นายจะให้ฉันชดใช้อย่างไรฉันก็ยอม”ชุนถลาเข้าไปกอดขาของฮารุโตะไว้ ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน พร่ำด่าตัวเองอีกหลายประโยค “เมื่อก่อนฉันคึกคะนองไม่รู้จักคิด สมองกลวงปัญญาอ่อน แต่ต่อไปฉันจะไม่ทำอีก ฉันสัญญา ให้สาบานก็ได้ ให้โอกาสฉันได้แก้ตัวสักครั้งนะ ขอร้องเถอะ”

ชุนสะอึกสะอื้น หากไม่ถึงวันที่รับรู้ว่า เขาจะต้องเสียฮารุโตะไปจริงๆ เขาก็คงทำเลวต่อไปเรื่อยๆ และคิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในกำมือเรื่อยไป อย่างไรก็ดีตอนนี้ทั้งในสมองและในหัวใจของเขา รู้แล้วว่าสิ่งที่ตนเองทำ มันทำร้ายอีกฝ่ายอย่างร้ายกาจ เขาสำนึกผิดแล้ว และอยากจะชดใช้ให้จริงๆ

“พอได้แล้ว ฮารุโตะบอกว่าไม่อยากเจอแกแล้วไง ปล่อยได้แล้ว”ทาคุมิพยายามกระชากตัวของชุนออก เขามีน้ำตานองหน้าไม่ต่างกัน เรื่องราวที่ฮารุโตะเคยเล่าให้ฟังมันน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เจ้าตัวต้องเจอจริงๆ

เหตุการณ์เริ่มชุลมุนมากขึ้น เมื่อชุนคว้ากอดเอวของฮารุโตะไว้ทั้งตัว จับยึดชายเสื้อของร่างเล็กไว้แน่น ปากพร่ำพูดขอโทษและขอโอกาสสักครั้ง ไม่ว่าใครแกะดึงก็ไม่ยอมปล่อย อิซามุและมิชิโอะต่างจนใจ เพราะกลัวว่าถ้าลงแรงมาก คนเจ็บจะเป็นมิอุระ ฮารุโตะ

ซากิซึ่งยืนดูความชุลมุนวุ่นวายตรงหน้าอยู่นาน สาวเท้าก้าวเข้าไปหาส่งเสียงตวาดตะคอกเสียงดังจนทุกคนเงียบกริบ

“แกจะมาขอโอกาสหาพระแสงอะไร แค่ความต้องการของมิอุระตอนนี้ แกยังไม่อยากจะฟัง”

“มึงจะมารู้อะไรวะ ใช่ซี ถ้ากูเข้ามา กูก็คือมือที่สามขัดความสุขมึงนี่”ชุนแค่ตวัดสายตามอง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยมือ

“ฮารุโตะเป็นของของกู ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมยกให้”

ชุน!!!”มิชิโอะและอิซามุประสานเสียงร้องปรามพร้อมกัน

“จนป่านนี้แล้ว ซากุราอิซังยังเห็นผมเป็นแค่สิ่งของอยู่อีกหรือ”ฮารุโตะถามเสียงเศร้า ชุนได้สติจึงรีบร้อนปฏิเสธ

“ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เลย เพราะฉันหวงนายมาก ฉันไม่อยากยกนายให้ใคร ไม่ได้เห็นนายเป็นแค่สิ่งของอย่างที่นายเข้าใจ”

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 24 : 16/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 16-04-2017 05:36:28

ฮารุโตะได้แต่นิ่งเงียบฟัง มองดวงตาเรียวที่ดูคล้ายจะคอยหาเรื่องตลอดเวลาซึ่งบัดนี้กลายเป็นสีแดงก่ำ ก่อนจะปล่อยสายตาล่องลอยไม่จับจ้องที่จุดใด เขาปวดหัวอีกแล้ว คิดอะไรไม่ออก กระนั้นกลับไม่นึกอยากที่จะเชื่อคำพูดของชุน เขากวาดสายตามองผู้คนที่อยู่รอบกาย รุ่นพี่อาโอกิบอกไว้ว่า ทุกคนพร้อมที่จะสนับสนุนคำพูดของเขา สิ่งที่เขาเลือกไม่มีคำว่าผิด ขอให้เขาเลือกสิ่งที่เขาต้องการเท่านั้น แต่คู่กรณีอย่างชุนไม่ยอมให้เขาทำเช่นนั้น

ฮารุโตะรู้ดีว่าบนโลกนี้ไม่มีใครแบกใครสักคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าได้ตลอดเวลา และไม่มีใครอยากแบกคนอ่อนแอให้เดินไปด้วยกัน เขาจึงถูกทิ้งไว้ข้างหลังให้โดนเหยียบย่ำถูกก้าวผ่านไปเสมอ และชุนเป็นคนสอนบทเรียนนั้นให้เขา แต่ตอนนี้มีคนที่พร้อมจะพยุงให้เขาลุกขึ้น มีคนที่ยื่นมือมาหา เพียงแต่รอให้เขาลุกขึ้นยืนด้วยสองขาของเขาเท่านั้น

“ได้ ผมจะให้โอกาสคุณ ให้คุณได้ทำดีชดใช้ความผิด”

ชุนยกยิ้มเมื่อทบทวนคำพูดนั้นจนเข้าใจชัดเจน  ในใจโล่งโปร่งราวกับก้อนหินหนาหนักซึ่งเคยวางทับอกถูกทำให้สลายไป “ฉันสัญญาฉันจะดูแลนายให้ดี ฉันจะไม่ทำร้ายนายอีก”

ฮารุโตะยกยิ้มบางที่มุมปาก ทั้งที่ภายในใจกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง คำพูดของรุ่นพี่ชิมิซึดังซ้ำก้องขึ้นมาในศีรษะ ชุนสัญญาว่าจะดูแลเขา จะไม่ทำร้ายเขาอีก แต่แค่ความต้องการของเขากลับไม่สามารถให้ได้

“อือ ไม่เป็นไร คนเรามันทำผิดกันได้”

“งั้นวันนี้เรากลับกันเถอะ ฉันจะพานายไปกินอาหารอร่อยๆฉลองที่เรากลับมาคบกันอีกครั้ง”

“ไม่ไป วันนี้ผมยังไม่อยากไปไหนกับคุณทั้งนั้น”

ทำไม!!! นายตกลงแล้ว”ชุนถามเสียงแข็ง

“ผมยินยอมให้โอกาสคุณเพื่อชดใช้ความผิด แต่ไม่ได้ยอมเป็นตุ๊กตาให้คุณลากไปไหนมาไหนก็ได้ อ่อ... ผมไม่ใช่สิ่งของ แต่เป็นตุ๊กตานี่เอง”

“ไม่ใช่นะ นายไม่ใช่ทั้งสิ่งของหรือตุ๊กตาทั้งนั้น”ชุนร้อนรนปฏิเสธ “โอเคๆ ไม่ไป อย่างนั้นเรากลับกันเถอะ”

“ชุนพอก่อน อย่าบังคับมิอุระซังนักเลย”อิซามุพูดเตือน

ฉันไม่ได้บังคับ”ชุนพูดตอบอย่างแข็งกร้าวด้วยน้ำเสียงอันดัง “ฉันแค่ไม่อยากให้ฮารุโตะอยู่กับคนพวกนี้ เดี๋ยวจะเสี้ยมความคิดแปลกๆให้ฮารุโตะอีก”

“แต่ผมไม่ได้อยากกลับไปกับคุณ”ฮารุโตะตอบด้วยรอยยิ้มเช่นเคย

“ผมให้โอกาสคุณชดใช้ความผิด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะฟังคำพูดหรือคำสั่งของคุณ”

ซากุราอิ ชุนนิ่งอึ้งไป สิ่งที่เขาวาดหวังไว้มลายหายไปในพริบตา

“แต่ถ้าคุณไม่อยากได้โอกาสนี้แล้วก็ไม่เป็นไร”

ฮารุโตะมองชุนที่ก้มหน้าลงด้วยสายตาว่างเปล่า อีกฝ่ายค่อยๆปล่อยมือออกจากตัวเขา ท่าทางล้าแรงคล้ายหมดอาลัยตายอยาก เขาถูกใครสักคนคว้าเข้ากอด จากนั้นเห็นเพียงแผ่นหลังกว้างของรุ่นพี่ชิมิซึและรุ่นพี่โมริที่ย้ายมายืนขวางอยู่ด้านหน้า

“ไม่เป็นไรแล้วนะ”ทาคุมิกระซิบพูดเสียงเบา เขาพยักหน้าให้ ซบศีรษะลงกับลาดไหล่ของอีกฝ่าย ปวดหัวจนไร้เรี่ยวแรงหยัดยืน ฮารุโตะหลับตาลง หมดสติไปอย่างไม่รู้ตัว

ตอนที่ถูกกลั่นแกล้งทำร้าย เขาเคยคิดแค้นแต่ความแค้นเหมือนไฟคอยลุกไหม้เผาผลาญในอกตลอดเวลา มันทำให้เขาแสบร้อนไม่เป็นสุข ความแค้นทำให้ความคิดเขาวนเวียนทรมานมากกว่าความเจ็บปวดทางกายที่ได้รับ ความคิดที่ร้อนเร้าดั่งเปลวเพลิงวิ่งวนอยู่ในสมองคล้ายไม่มีวันหยุด ไม่ว่าลืมตาหรือหลับตา ไม่ว่ายามหลับหรือยามตื่น เพลิงแค้นเผาไหม้เขาซ้ำๆ หลอกหลอนจนเขาคิดว่าตัวเองเหลือแต่กระดูก เป็นเปลวเพลิงที่ทำให้เขาฮึดสู้ก่อนจะถูกเหยียบซ้ำๆให้ตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเอง และวันนั้นฮารุโตะจึงได้เข้าใจว่า ...คนอ่อนแอก็เป็นได้แค่คนอ่อนแอ

เขารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยความอ่อนล้า ร่างกายปวดเมื่อยหนักอึ้งจนแม้การขยับนิ้วยังทำได้ลำบาก และแม้กระทั่งการบังคับยกเปลือกยังทำได้ยาก

“ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นฉันอยู่ข้างนาย ฉันจะปกป้องนายเอง”น้ำเสียงทุ้มนุ่มกระซิบบอกเขาอยู่ข้างหู สัมผัสได้ถึงแรงบีบกระชับที่ฝ่ามือ ศีรษะถูกลูบไล้ด้วยความอ่อนโยน

“หลับนะ พักผ่อนอีกนิด ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น”เสียงนั้นกระซิบบอกซ้ำอีกครั้ง เขาจึงยอมละความพยายามปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งสู่นิทราอีกรอบ

ในอีกครั้งหลังจากนั้นที่เขารู้สึกตัว เด็กหนุ่มได้ลืมตามองเพดานด้านบนอยู่เป็นครู่ กว่าความทรงจำในช่วงเวลาก่อนหมดสติไปจะย้อนคืนมา เขาไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น แต่กระนั้นภาพห้องคุ้นตาที่สะท้อนผ่านม่านจักษุได้ทำให้เขารู้สึกเบาใจ ฮารุโตะขยับตัวพยายามยันตัวลุกขึ้น แต่โลกกลับโคลงเคลงจนต้องยอมล้มตัวลงนอนอีกครั้ง เสียงการเคลื่อนไหวนั้นทำให้ทาคุมิซึ่งนั่งพิงหลังกับเตียงและเล่นโทรศัพท์มือถือในมือหันมามอง

“ฮารุจัง!!!”อีกฝ่ายร้องเรียกเขาเสียงหลงพร้อมคว้าจับมือเขาไว้ สีหน้ามีแต่ความเป็นห่วง

“เป็นอย่างไรบ้าง ดีจังที่นายรู้สึกตัวแล้ว รู้หรือเปล่าเมื่อคืนนายไข้ขึ้นสูงมากแล้วเพ้อทั้งคืนเลย”
“ขอโทษนะ ทำให้ซาโต้ซังลำบากไปด้วย”ฮารุโตะยกยิ้มบางเบา น้ำเสียงแหบแห้งจนตัวเองยังแปลกใจ เขากลืนน้ำลายลงคอด้วยอาการกระหาย

“เรื่องนั้นไม่ต้องคิดมาหรอกถึงอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกัน ฉันเป็นห่วงมากกว่า อย่างเรื่องที่นายโดนซากุราอิ ชุนกลั่นแกล้งขนาดนั้น ถ้าเล่าให้ฉันฟังสักนิด ฉันจะไม่ยอมให้นายคุยกับมันหรอก อ๊ะ...ฉันไม่ได้ว่านายนะ แต่รู้สึกว่าตัวเองจุ้นจ้านจนทำให้นายป่วยอย่างนี้ ขอโทษนะฮารุโตะ”ทาคุมิหน้าหงอย

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ที่ผมไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะผมเองก็อยากลืมเหมือนกัน” 

เห็นผู้เป็นเพื่อนนิ่งเงียบหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้น ฮารุโตะจึงเอ่ยว่า “ซาโต้ซัง ผมหิวน้ำครับ รบกวนหยิบน้ำให้หน่อยได้ไหม”

“อ่อ ได้สิ รอเดี๋ยวนะ”

ทาคุมิเดินหายออกไปด้านนอก ทว่าสักพักพวกรุ่นพี่ก็กรูกันเข้ามารั้งท้ายด้วยคนที่บอกว่าจะไปหยิบน้ำให้เขา

“ดีขึ้นบ้างไหมฮารุจัง พี่เป็นห่วงแทบแย่”นาโอโตะมีสีหน้าโล่งใจ คนอื่นๆก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน

“รุ่นพี่อาโอกิ ฮารุจังหิวน้ำ ให้เพื่อนผมดื่มน้ำก่อนซิครับ”ทาคุมิพูดแทรก นาโอโตะจึงขานรับช่วยพยุงตัวเด็กหนุ่มร่างเล็กให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วดุทาคุมิว่า ทำไมไม่เอาหลอดมาด้วย

“ไม่เป็นไรครับ ทานอย่างนี้ก็ได้”ฮารุโตะพูดพร้อมรับน้ำมาจิบ

“เดี๋ยวพี่ไปตักข้าวต้มมาให้นะ สามคนนั้นน่ะ ใครสักคนไปหาอุปกรณ์มาให้ฮารุจังล้างหน้าดิ”

เอคิจิจึงอาสาว่าจะไปจัดการให้ ชายหนุ่มเดินออกไปพร้อมนาโอโตะและเรย์ที่เดินตามคนรักไปติดๆ

ฮารุโตะได้จัดการธุระส่วนตัวและได้ทานอาหารมื้อเช้าหลังจากนั้น เขารู้สึกตื้อไม่อยากทานอะไรกระนั้นเมื่อโดนรบเร้าซ้ำยังมีคนชวนคุยเล่นระหว่างทานอาหาร ข้าวต้มในถ้วยจึงหมดหายไปอย่างง่ายดาย และเหมือนว่าทุกคนก็รอเวลานี้อยู่ด้วยเช่นกัน กลุ่มรุ่นพี่และทาคุมิอยู่กันพร้อมหน้า จะขาดหายไปคงมีเพียงชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

“มันอาจจะไม่ใช่เวลาที่เหมาะที่ควรกับการพูดเรื่องนี้ เพราะว่านายยังไม่หายดี แต่พวกเราจำเป็นต้องรู้ว่าเรื่องซากุราอิ ชุน นายอยากให้พวกเราช่วยอะไรหรือเปล่า”เอคิจิพูด

ฮารุโตะมองหน้าทุกคน มองมือของนาโอโตะที่จับมือของเขาไว้ ครั้งหนึ่ง เขาเคยถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวต้องรับมือกับปัญหาเพียงลำพัง

“ช่วยอยู่ข้างๆผม ได้ไหมครับ”เขาถาม สายตามองมือที่ยังคงจับมือเขาไว้

“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ถึงเราไม่ใช่ครอบครัว ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันจริงๆ แต่พี่ก็คิดมาเสมอว่านายเป็นน้องคนหนึ่ง มีปัญหาอะไรบอกพวกเราได้ พวกเราจะพยายามช่วยนายสุดความสามารถ ไม่ทอดทิ้งนายแน่นอน”นาโอโตะย้ำยืนยัน คำพูดนั้นทำให้ฮารุโตะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

“โอ๋ๆ ไม่ร้องแล้ว”นาโอโตะพูดปลอบ และรอจนหนุ่มรุ่นน้องคลายอาการ

“เมื่อก่อนผมเคยคิด”ฮารุโตะเริ่มต้นพูดอีกครั้ง “ว่าทำไมมีแต่ผมที่ต้องโดนรังแกอยู่ตลอดเวลา ที่ผมไม่เล่าให้ใครฟังเพราะมันแย่มาก ผมรู้สึกเหมือนทุกคนเห็นผมเป็นตัวอะไรสักอย่างไม่มีความรู้สึกที่นึกอยากทำอะไรก็ได้ แต่ถึงผมจะขอร้องอ้อนวอน พวกเขากลับเห็นว่าเป็นเรื่องตลก หรือไม่ก็โมโหที่ผมโวยวายขึ้นมา ผมเคยพยายามสู้แล้วแต่ก็ต้องเจ็บตัวหนักยิ่งกว่าเดิม โดนทำร้ายมากกว่าเดิม

ตอนที่รู้ว่าตัวเองได้ทุนของที่นี่ ผมดีใจมาก เพราะเหมือนได้หลุดพ้นจากคนพวกนั้นเสียที ได้ย้ายไปอยู่ที่อื่นได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้ตอนแรกๆผมจะยังมีปัญหากับการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นก็ตาม แต่ต้องขอบคุณรุ่นพี่นาคามูระที่ทำให้ผมมีความกล้ามากขึ้น ทำให้ผมอยากสมัครเข้าชมรมถ่ายภาพ ได้เจอคนดีๆเยอะแยะมากมาย ได้เจอรุ่นพี่อาโอกิที่แสนใจดีที่เข้ามาช่วยเหลือผมแม้จะยังไม่รู้จักกันอีกครั้ง อ่อ... รุ่นพี่โมริด้วย ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยพันข้อเท้าให้ ขอบคุณรุ่นพี่ฮายาชิที่ทำให้ผมหัวเราะได้ตลอด”ฮารุโตะยกยิ้มนึกถึงหนุ่มรุ่นพี่อีกคนที่หายหน้าไปนับตั้งแต่เขาลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า

“แล้วฉันล่ะ ฉันไม่มีอะไรดีเลยเหรอ”ทาคุมิถามแกล้งทำหน้างอน

“ซาโต้ซังด้วย เพราะซาโต้ซังนะ ผมถึงรู้จักกับเพื่อนในรุ่นตั้งหลายคน ขอบคุณทุกคนอีกครั้งนะครับ”เด็กหนุ่มก้มศีรษะให้

“ผมจะไม่หนีอีกแล้ว แม้ที่ผ่านมาการพยายามสู้ของผมจะไม่ได้ส่งผลลัพธ์ที่ดี แต่การหนีก็ไม่มีประโยชน์อะไรเหมือนกัน ถึงด้านกายภาพผมจะสู้ใครเขาไม่ได้ แต่ผมจะใช้สมองให้มากๆ ไม่ยอมให้ใครรังแกง่ายๆอีก”

“ถ้าโดนใครรังแกให้รีบมาบอกพี่ เดี๋ยวพี่ส่งเอย์จังไปจัดการให้”นาโอโตะพูดอย่างใจป้ำ

“เอ้า ไหงเป็นงั้นล่ะ นึกว่าจะไปจัดการเอง”เอคิจิพูดแซวเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก และหันไปพูดกับฮารุโตะว่า “เห็นทาคุมิเล่าว่า เคยชวนนายไปเรียนพวกศิลปะป้องกันตัว แต่เพราะชมรมที่มหา’ลัยดูน่ากลัว นายเลยไม่ไปเรียน ถ้าฉันจะเป็นคนสอนให้นายสนใจไหมล่ะ อย่างน้อยเรียนวิธีป้องกันตัวขั้นพื้นฐานไว้ก็ยังดี”

“อย่างผมจะเรียนได้ด้วยหรือครับ”

“ได้ซี มันมีวิธีป้องกันตัวสำหรับผู้หญิงอยู่”

“ผมไม่ใช่ผู้หญิงนะครับ”ฮารุโตะแกล้งทำหน้างอ พาให้ทุกคนส่งเสียงหัวเราะ เอคิจิต้องรีบละล่ำละลักพูดแก้ตัวเนื่องจากเคยโดนนาโอโตะต่อยปากเพราะบอกว่าเจ้าตัวเหมือนเด็กผู้หญิงตอนสมัยยังเด็กมาแล้ว

“เปล่า แต่มันหมายถึงวิธีการป้องกันตัวสำหรับพวกที่ตัวเล็กแรงน้อยน่ะ”

“อย่างนั้นผมตกลงครับ ขอฝากตัวด้วยนะครับท่านอาจารย์”ฮารุโตะโค้งศีรษะให้เอคิจิด้วยท่าทางขึงขัง เรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากทุกคนอีกครั้ง

นาโอโตะลูบศีรษะของฮารุโตะ ทอดสายตาเอื้อเอ็นดูมองเด็กหนุ่ม ยกยิ้มยินดีที่อีกฝ่ายปลอดโปร่งจนพูดล้อเล่นออกมาได้

พวกเขาปล่อยให้คนป่วยได้นอนพักต่ออีกเล็กน้อยซึ่งเด็กหนุ่มรุ่นน้องสามารถหลับลงได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นจึงทยอยเดินออกมาจากห้องนอน ลงมายังชั้นล่างของบ้านซึ่งซากิกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟานั่งเล่น

“ไม่ยอมขึ้นไป ไม่ได้ซึ้งกับเขาเลย”

“อย่าเอาน้องมาล้อเลียนแบบนี้”นาโอโตะดุเรียวตะ พวกเขาทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาตามจุดที่ตนสะดวก

“ไม่ได้ล้อ แค่เล่าให้ซากิมันฟัง ขนาดฉันเอาแต่เล่นไปวันๆ ฮารุจังยังมองด้วยสายตาซาบซึ้งเลย ถ้าแกอยู่ด้วยฉันรับรองว่า น้องเขาร้องไห้ด้วยความซึ้งใจมากกว่านาโอโตะแน่”

นาโอโตะเอ่ยดุเรียวตะอีกรอบ เพราะคำพูดที่เพื่อนสนิทใช้เหมือนกำลังล้อเลียนคนที่ถูกพูดถึงอยู่จริงๆ

“ก็แหม ฉันไม่ค่อยถนัดกับอะไรแบบนี้”

“อย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไร ไม่มีใครเขาว่าหรอก”

“เออ เอาจริงๆอยากให้ซากิมันอิจฉาหรอก เห็นดูแลออกนอกหน้าจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน ไม่ยักจะไปเอาความดีใส่ตัว”

“อย่างฉันมีอะไรที่เรียกว่าความดีด้วยเรอะ”

“อุย... น้อยใจซิท่า เอ้า... เรย์พูดให้มันฟังหน่อยดิ”หลังหยอกแซวเพื่อนร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างกายเสร็จ เรียวตะจึงหันไปหาลูกคู่สนับสนุน

ไม่พูดออกมาแล้วใครมันจะไปรู้!!!”เรย์และทาคุมิประสานเสียงพูดพร้อมกัน

“แกคิดอะไร แกก็พูดไปดิ”

“ใช่ครับ ฮารุโตะสารภาพรักกับรุ่นพี่แล้วไม่ใช่หรือ เพราะรุ่นพี่ชิมิซึไม่ยอมตอบให้เป็นกิจจะลักษณะนั่นแหละ ฮารุจังถึงยังคิดมาก”ทาคุมิพูด

“เขาเล่าให้นายฟังด้วย”

“ก็ไม่เชิงครับ”ทาคุมิทำท่านึก “ทีแรกผมทักเพราะฮารุจังดูอารมณ์ดี แล้วเขาก็มาเล่าให้ฟังทีหลัง อารมณ์ประมาณว่ามีความสุขมากอยากบอกให้ใครสักคนฟัง”

เห็นหนุ่มรุ่นพี่ยังนั่งฟังเงียบๆ ทาคุมิจึงถามต่อ คำถามที่พาให้ทุกคนเงียบฟังรอคำตอบ “รุ่นพี่ยังติดใจเรื่องเมื่อวันนั้นหรือครับ”

ซากินิ่งคิดอย่างลังเล เตรียมจะอ้าปากพูดแต่ทว่าฉับพลันเขากลับฉุกคิดขึ้นได้ แล้วเหลือบสายตามองนาโอโตะ คำพูดที่เกือบจะหลุดออกมาจึงกลายเป็นประโยคอื่น

“ไม่หรอก ฉันแค่อยากให้เขาสบายใจ เอาไว้ให้เรื่องของซากุราอิ ชุนจบลงก่อนแล้วค่อยกลับมาคิดก็ยังไม่สาย อีกอย่าง อาจเป็นเพราะฉันอยู่กับมิอุระถึงทำให้ซากุราอิ ชุนอาละวาดขึ้นมา”

“ไม่แปลก มองตามสายตาคนนอก แกเป็นศัตรูหัวใจอันดับหนึ่ง”เรียวตะพูดขึ้นมาบ้าง

“อาจจะไม่ใช่ก็ได้ ผมว่าหมอนั่นไม่อยู่กับร่องกับรอยอยู่แล้วมากกว่า”ทาคุมิออกความคิดเห็นด้วยท่าทางที่ไม่ชอบซากุราอิ ชุนอย่างชัดเจน

“ฉันว่าฮารุจังไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยแล้วคงไม่มีอะไรแล้วมั้ง”เรย์พูด

“อย่างซากุราอิ ชุนน่ะแค่หาว่าตอนนี้มิอุระอยู่ที่ไหน สามารถทำได้สบาย”ซากิบอกเพื่อนสนิท

“อาจจะไม่ว่ะ”เอคิจิแย้ง “พอดีฉันให้คนลองหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโคจิมะ มิชิโอะและโองาวะ อิซามุ สองคนนี้เป็นลูกชายของพนักงานในเครือบริษัทที่พ่อของซากุราอิ ชุนบริหารงานอยู่ แต่ตอนนี้ทั้งสองคนถูกนับว่าเป็นหนึ่งในพนักงานของบริษัท เพราะพ่อของซากุราอิ ชุนส่งให้มาดูแลลูกชาย”

“ใช้คนของที่บ้านมาทำเรื่องแบบนี้ไม่กลัวโดนด่าแล้วหรือวะ”เรียวตะแซว

“เรื่องแบบนี้มันต้องมีการพัฒนากันบ้าง ไม่อย่างนั้นฉันก็ต้องโดนพวกพี่ๆข่มว่าอ่อนตลอดนะสิ”เอคิจิลอยหน้าลอยตาตอบทันควัน

“แล้วที่เอย์จังพูดหมายความว่าอย่างไร”นาโอโตะถามแทรกการสนทนาของทั้งคู่ด้วยความอยากรู้

“คะแนนสอบของซากุราอิน่ะไม่ถึงเกณฑ์ที่จะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยของพวกเรา แต่เพราะซากุราอิ ฮิเดอากิสนับสนุนงานวิจัยของมหาวิทยาลัยมาตลอด เลยเข้ามาเรียนที่นี่ได้พร้อมกับเงินสนับสนุนก้อนใหญ่ แต่มหาวิทยาลัยของพวกเราไม่ใช่มหาวิทยาลัยเดียวที่ซากุราอิคนพ่อสนับสนุน นั่นหมายความซากุราอิ ชุนตามฮารุจังมา และสองคนนั้นจึงถูกส่งตามมาเพื่อดูแลควบคุมซากุราอิ ชุน”

“แต่ตอนแรกๆซากุราอิ ชุนก็ยังรังแกฮารุจังนะ”นาโอโตะตั้งข้อสงสัย ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือของซากิมีสายเข้า เขาจึงลุกเดินออกไปด้านนอก

“ฉันคิดว่า ตอนนั้นน่าจะยังไม่มีใครรู้ และความคิดที่จะพูดคุยเจรจานี่มันน่าจะมาจากหนึ่งในสองคนนั่น พฤติกรรมของซากุราอิ ชุนดูไม่อยู่กับร่องกับรอยเหมือนที่ทาคุมิว่า ประกอบกับที่ฮารุจังเล่าให้ฟัง ฉันว่าหมอนั่นไม่น่าจะคิดได้ด้วยตัวเอง”

“อย่างนั้นช่วงนี้พวกเราก็สบายใจได้ว่า ซากุราอิ ชุนคงจะไม่มาระรานอะไรอีก”

“ฉันว่าอาจจะไม่เป็นอย่างที่นายคิด”ซากิพูดเมื่อก้าวเท้ากลับเข้ามาร่วมวงสนทนาอีกครั้ง

“เมื่อกี้โองาวะ อิซามุโทรมา หมอนั่นอยากจะคุยกับฉัน และฉันก็ตอบตกลงไปแล้ว”

“เมื่อไหร่”

“อีกหนึ่งชั่วโมงที่ร้านคาเฟ่”

“ฉันไปด้วย”นาโอโตะร้องบอก

“นายควรอยู่ เผื่อมิอุระจะตื่นขึ้นมา”

“อย่างนั้นเป็นฉันกับเอคิจิคงไม่เป็นไร”เรียวตะพูดซึ่งซากิตอบรับตามนั้น นาโอโตะยังมีสีหน้ากังวล ชายหนุ่มร่างสูงจึงพูดสำทับอีกประโยคว่า “ฉันไม่ตอบรับอะไรมั่วซั่วอยู่แล้วน่ะ ไม่ต้องกังวล”



ฮารุโตะตื่นนอนอีกครั้งหลังจากที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านออกไปได้ไม่กี่นาที และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่บนห้องด้านบน เขาจึงลุกขึ้นยืนเดินลงไปยังชั้นล่าง ซึ่งมีเพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นพี่อีกสองคนนั่งอยู่บนโซฟา

“ฮารุจัง”นาโอโตะทักเมื่อหันไปเห็นหนุ่มรุ่นน้อง “ลงมาทำไม”

“ผมค่อยยังชั่วแล้วครับ”และถึงจะกล่าวบอกไปเช่นนั้น ฝ่ามือที่ค่อนข้างเย็นของนาโอโตะยังแตะสัมผัสที่หน้าผากและลำคอ

“ตัวยังอุ่นๆอยู่เลย”

“ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากแล้วครับ”ฮารุโตะย้ำให้ฟัง

“พรุ่งนี้ คิดว่าจะไปหางานแล้วด้วย”

“จะรีบไปหาทำไม รอให้หายดีก่อนไม่ดีกว่าหรือ”

“นั่นน่ะสิ อากาศยังเย็นอยู่เลยด้วย เดี๋ยวก็ไข้กลับ”ทาคุมิกล่าวสำทับ

“ผมเกรงใจรุ่นพี่ชิมิซึน่ะครับ มาอยู่เฉยๆตั้งนาน”

“ถ้ามันไม่อยากให้นายอยู่ ป่านนี้คงไล่นายออกจากบ้านไปนานแล้ว”เรย์พูดขึ้นบ้าง ฮารุโตะอยากจะเถียงกลับไปว่า ที่ไม่อยากอยู่นานเพราะไม่อยากโดนไล่นั่นล่ะ ทว่าทาคุมิกลับพูดดักทางขึ้นมาเสีย

“รุ่นพี่ชิมิซึเขาชวนนายมาอยู่ด้วยกันหลังจากที่เขาเรียนจบไม่ใช่หรือ แล้วมาคิดวุ่นวายอะไรอีกล่ะ”

ฮารุโตะหน้าสลดเพราะคำพูดดุของทาคุมิ “ผมไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะยังอยากให้ผมมาอยู่ด้วยหรือเปล่า”

“แล้วได้ขอโทษไปหรือยัง”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ

“แล้วได้คุยกันเรื่องนี้บ้างไหม”ทาคุมิถามซ้ำอีกคำถาม ซึ่งคำตอบยังเป็นการสั่นศีรษะปฏิเสธเช่นเดิม

“แล้วไม่รักรุ่นพี่แล้วหรือ”

คำถามนี้สร้างความไม่แน่ใจให้ฮารุโตะอีกครั้ง เพราะคิดถึง เพราะอยากอยู่ใกล้ อยากให้รุ่นพี่ชิมิซึเอาใจใส่ เขาจึงคิดว่าตนเองรักชายหนุ่ม แต่ขณะเดียวกันในบางครั้งเขาก็รู้สึกเกลียดที่หนุ่มรุ่นพี่ทำเหมือนเขาเป็นสิ่งของที่ไม่มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

ทาคุมิยังคงเฝ้ารอคำตอบของเขา กระนั้นเขากลับไม่สามารถตอบออกไปได้จริงๆ

“ไม่รู้ก็ไม่รู้ ไม่เป็นไรหรอก แต่ซากิมันไม่จู่ๆก็ไล่นายออกจากบ้านหรอก ให้ไว้ใจได้ ถึงมันจะไม่ชอบวุ่นวายกับใครแต่ถ้ามันลงมือช่วยอะไรใครแล้วละก็ มันไม่นึกเปลี่ยนใจง่ายๆหรอก”เรย์พูดย้ำให้ฟัง

ฮารุโตะพยักหน้ารับ ถึงกระนั้นเขาได้ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าตนเองหายดีเมื่อไหร่ เขาจะออกไปหางานทำเสียที

พวกเขาเปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นกันอีกพักใหญ่ ชายหนุ่มเจ้าของบ้านและเพื่อนสนิทอีกสองคนจึงกลับเข้ามา

“ยินดีตอนรับกลับบ้าน”เรย์ส่งเสียงตอบรับออกไปเมื่อเรียวตะตะโกนมาให้ได้ยินตั้งแต่อยู่ที่หน้าประตู

“อ้าว ฮารุจังทำไมลงมาอยู่ข้างล่างล่ะ”เรียวตะถาม

“ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นแล้วครับ”คนป่วยตอบพร้อมรอยยิ้ม เรียวตะจึงหันไปมองหน้าเพื่อนอีกสองคนที่ออกไปข้างนอกด้วยกัน ท่าทางมีพิรุธน่าสงสัย ฮารุโตะหันมองคนโน้นคนนี้ ดูเหมือนว่าต่างคนต่างจะมีลับลมคมใน ก่อนซากิจะพยักพเยิดส่งสัญญาณให้เอคิจิ จากนั้นทั้งสามคนจึงทรุดตัวลงนั่ง

“เมื่อกี้พวกฉันออกไปเจอโองาวะ  อิซามุมา”ด้วยประโยคคำพูดนั้น ฮารุโตะรู้สึกเหมือนคนพูดจงใจบอกกับตนแค่เพียงผู้เดียว เด็กหนุ่มจึงพยักหน้ารับ

“หมอนั่น อยากให้นายใช้เวลาอยู่กับซากุราอิ ชุนบ้าง”เอคิจิไม่ได้พูดโน้มน้าวชักแม่น้ำทั้งห้าเหมือนที่อิซามุพยายามโน้มน้าวพวกตน เพราะพวกเขาไม่ได้มีความคิดที่จะให้ฮารุโตะตอบตกลง

ฮารุโตะก้มหน้าสองบีบจับกันไว้ “ผมไม่มีปัญหาครับ” แต่ผมอยากให้คนอื่นไปเป็นเพื่อนด้วย เด็กหนุ่มลังเลที่จะพูดประโยคนั้น เขาอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากพยายามลองสู้อีกครั้ง เขาควรจะเผชิญหน้าด้วยตัวคนเดียวหรือเปล่า ฮารุโตะคิดอย่างไม่แน่ใจ

“ตกลงว่าให้หมอนั่นนัดเวลามา แล้วให้ใครไปเป็นเพื่อนมิอุระด้วยทุกครั้ง”ชิมิซึ ซากิพูดสรุป

“อืม ฉันเห็นด้วย”นาโอโตะพูดสนับสนุน

ทุกคนจึงเห็นพ้องกันตามนั้น

เอคิจิจึงกล่าวเสริมขึ้นมาว่า “ถ้าพรุ่งนี้ ฮารุจังแข็งแรงขึ้นแล้ว ฉันจะสอนท่าป้องกันตัวด้วยมือเปล่าพวกท่าพื้นฐานให้ เวลาเจอซากุราอิ ชุนจะได้ไม่ต้องกลัว”

“ถามจริง จะล้มตัวอย่างกับหมีของหมอนั่นได้จริงๆเหรอวะ”เรียวตะถามอย่างสงสัย

“อย่างน้อยก็มีเวลาให้หนีทัน และไม่โดนเล่นอยู่ฝ่ายเดียว”

แค่นั้นก็พอแล้ว ฮารุโตะคิดอยู่ในใจ






+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 24 : 16/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-04-2017 07:56:56
หวังว่าคงจะไม่ใช่บิวท์ไปสู่การหักมุมหรือการเกิดอะไรขึ้นสักอย่างนะ
กลัวใจชุนจริงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ฝังอกฝังใจกับฮารุขนาดนั้น
มันไม่ปกติจริงๆ ยิ่งเข้าไปคลุกคลีด้วยแบบนี้ก็ยิ่งเหมือนกับว่าให้ความหวังอีกฝ่าย
เอาจริงๆก็กลัวใจซากิด้วยเหมือนกัน
ถ้าหากว่าพ่อของชุนตัดหางปล่อยวัดชุน
ก็ไม่มีทางที่ชุนจะสามารถเดินทางตรงได้อย่างคนปกติทั่วไป

ที่คุณ Grey  Twilight เอ่ยถึงน่าจะเป็น 衆道 (shudou, or shuudou) ค่ะ

ขอบคุณมากที่มาอัพนะคะ  รออยุ่ทุกวันเลย
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 24 : 16/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-04-2017 08:33:53
 :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 25 : 17/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 17-04-2017 05:03:04
เรื่องย่อ ตอนที่ 25
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
อิซามุยื่นขอร้องให้ฮารุโตะให้โอกาสชุน โดยให้ออกไปพบหรือไปเที่ยวกับชุนบ้าง แม้จะมีความรู้สึกไม่ดี แต่ฮารุโตะตั้งใจที่จะให้โอกาสชุนอีกครั้ง




春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 25




ซากุราอิ ชุนเอาแต่ขังตัวอยู่ในห้องมาตั้งแต่เมื่อวาน อิซามุไม่ได้นึกสงสารเพราะความรู้สึกส่วนตัวเขาคิดว่าสิ่งที่ชุนได้รับมันสมควรอยู่แล้ว อีกอย่างคือ เขาเพิ่งรู้จักกับชุนไม่นาน แต่เพราะมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ เขาจึงต้องคิดหาทางทำอะไรสักอย่าง 

“ชุน เปิดประตูหน่อย”อิซามุเคาะประตูเรียก เมื่อเห็นว่าเจ้าของห้องยังเงียบ เขาจึงถือวิสาสะใช้กุญแจไขประตูเข้าไป 

ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ลูกชายคนเดียวของเจ้านายนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาเบด แผ่นหลังกว้างจึงงองุ้มไม่น่าดู หมดราศีหัวหน้าเด็กเกสมัยมัธยมและทายาทนักธุรกิจใหญ่

อิซามุเดินเข้าไปหาและทรุดตัวลงนั่ง

“ไม่หิวหรือไง”

ชุนแค่เหลือบตามองทว่ายังนิ่งเงียบคล้ายไม่สนใจ

“ทำแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”

“ทำอย่างกับวิธีของพวกมึงมันได้ผลนัก มันก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน”ชุนพูดสวนทันควัน

“อย่างนั้นถ้าเกิดว่า ฉันทำให้นายได้ใช้เวลาอยู่กับมิอุระ นายจะว่าอย่างไร”

ชุนหันมองหน้าเขาก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น พูดถามด้วยน้ำเสียงคล้ายจำยอม“อยากได้อะไรแลกเปลี่ยน”

“ไม่ขออะไรมาก ไม่ตะโกน  ไม่กรรโชก ไม่ทำกิริยาหยาบคาย ไม่บังคับฝืนใจ ไม่เอาแต่ใจตัว ไม่ใช้ความรุนแรงต่อหน้ามิอุระซัง”

“นี่ไม่มากของมึงเหรอ”

“ทำไม่ได้ไม่เป็นไร”อิซามุยักไหล่ไม่แยแส เขาแค่พยายามลองทำให้สุดความสามารถ แต่ถ้าชุนไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาแค่ต้องแจ้งให้ท่านประธานทราบ ในทางกลับกัน ถ้าสำเร็จนั่นหมายถึงผลรางวัลมากมายที่พวกเขาจะได้รับ

“กูปฏิเสธแล้วเรอะ กูตกลง”

“ดีครับ ฉันจะนัดเวลาให้ และจะมีมิชิโอะไปกับนายด้วยทุกครั้ง”

“แบบนั้นกูจะได้ใช้เวลากับฮารุโตะตรงไหน”

“มิชิโอะไม่ได้จะเข้าไปก้าวก่าย แค่ตามไปดูว่านายจะไม่ผิดข้อแลกเปลี่ยน ฝั่งโน้นก็จะมีคนมากับมิอุระซังเหมือนกัน”

“โว้ย เยอะแยะขนาดนั้น จะไปทัศนาจรอนุบาลหมีน้อยกันหรือไง”

“ถ้านายจะเปลี่ยนใจก็ได้นะ”

“กูไม่ได้เปลี่ยนใจ”ชุนพูดเสียงแข็ง หุนหันลุกขึ้นทั้งยังเดินลงส้นเท้าตึงตัง ตะโกนโหวกเหวกให้มิชิโอะหาอะไรให้กิน อิซามุมองตามได้แต่โคลงศีรษะด้วยความอ่อนใจ

รอเวลาอีกหลายวันกว่าที่มิอุระ ฮารุโตะจะยอมรับนัดไปเที่ยวครั้งแรกกับชุน  ซึ่งคุณชายของบ้านออกอาการฟาดงวงฟาดงาตั้งแต่วันสองวันแรกที่ยังไม่ได้คำตอบ และหนักข้อขึ้นเรื่อยๆตามวันเวลาที่ผันผ่าน จนมิชิโอะต้องลากคอไปเตะกระสอบทรายที่ยิมเพื่อลดอาการหมาบ้า ก่อนจะออกอาการหน้าบานเป็นจานดาวเทียมหลังจากได้กำหนดวันชัดเจน ซ้ำวันนัดชุนยังจัดชุดสูทเต็มยศมาสวมใส่

อิซามุได้แต่มองลูกชายคนเดียวของเจ้านายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

“มีอะไร มองด้วยสายตาแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”คนถามกระชากเสียงหาเรื่อง

“ปล๊าว”อิซามุตอบเสียงสูง “แค่จะชมว่าดูดี”

“ใช่ม่ะ นี่ฉันสั่งตัดมาใหม่เลยนะ”ชุนพูดอวด เขาจึงพยักหน้าเออออรับ มองอีกคนที่เดินตามอยู่ด้านหลัง มิชิโอะอยู่ในชุดเสื้อแจ็กเก็ตสีดำทับเสื้อยืดคอกลมและกางเกงยีนส์ธรรมดา ยกยิ้มล้อเลียนรอจนชุนเดินออกไปหน้าบ้าน จึงเอ่ยพูดกับเพื่อน

“ไม่ใส่สูทบ้างเหรอ”

“ปล่อยมันไปคนเดียวเหอะ ไม่ต้องเอาฉันเข้าไปเกี่ยว”

อิซามุหัวเราะ โบกมือลาคู่สนทนาเมื่ออีกฝ่ายถูกชุนตะโกนเรียกซ้ำ เดินตามไปยืนรอส่งจนรถยนต์หายลับหัวมุมถนนจึงกลับเข้าไปในบ้าน



ชุนกลอกตานึกอยากจะเบะปากเมื่อเห็นคนที่ตามฮารุโตะมาด้วย ก่อนหน้าที่จะมีเรื่อง เขากับทาคุมิยังคงคุยกันได้ดี ทว่า ณ ปัจจุบันทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่รูปร่างใกล้เคียงกับเขา แต่เขาไม่ชอบขี้หน้าเพราะเคยโดนทุ่มลงพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว และครั้งนี้ต่อให้มีเรื่องก็อย่าได้หวังว่ามิชิโอะจะเข้ามาช่วย

“อรุณสวัสดิ์ครับ”ฮารุโตะเอ่ยทักเขาก่อนด้วยท่าทางแกนๆแบบทำไปตามมารยาท แต่แค่นั้นหัวใจของเขาก็เต้นโครมครามดังลั่นแล้ว

“อ...อืม”เขามองใบหน้าเนียนใสที่เอาแต่เบือนหน้าไปทางอื่นไม่วางตา และยังคงจ้องอยู่เช่นนั้นอีกนานถ้าทาคุมิไม่ส่งเสียงขัด

“ไปเดินเล่นทางโน้นกันเถอะ”ทาคุมิเอ่ยชวนพลางกอดคอฮารุโตะให้เดินไปด้วยกัน โดยไม่แม้จะเหลือบสายตามองไปที่ชุน

พวกเขานัดพบกันที่สวนสาธารณะซึ่งอยู่ใกล้ๆกับมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะต้นเมเปิลหรือซากุระล้วนเหลือแต่กิ่งก้านที่ปลายยอดพอจะเริ่มมียอดอ่อนแตกกิ่งออกมาบ้าง ยามเช้าที่อากาศยังค่อนข้างเย็นมีผู้คนมาเดินเที่ยวชมสวนและตากแดดอุ่นๆอยู่บ้างประปราย

ทาคุมิชวนฮารุโตะคุยไปเรื่อยๆโดยไม่สนใจคนอื่น หรืออย่างมากแค่เพียงหันมาคุยกับหนุ่มรุ่นพี่ที่มาด้วยกันเท่านั้น จนซากุราอิ ชุนนึกหงุดหงิดโมโห แล้วนี่เขาได้ใช้เวลาอยู่กับฮารุโตะตรงไหน ชุนจึงก้าวเท้าเดินอาดๆเข้าไปหา และทันทีที่ประชิดตัวฮารุโตะ เขาได้คว้าจับท่อนแขนเล็กบาง ทว่ากลับโดนปัดออกทันควันเหมือนอีกฝ่ายจะระวังตัวไว้อยู่แล้ว

“อย่าโดนตัว”หนุ่มรุ่นพี่ที่เขาไม่รู้จักชื่อชี้หน้าและพูดประโยคนั้น

ชุนฮึดฮัดกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น

“ถ้านายทำอะไรที่แสดงออกถึงการคุกคามอีก วันนี้จะจบลงทันทีและไม่มีครั้งต่อไป”ชายหนุ่มพูดย้ำสำทับให้เขาฟัง ชุนหันมองมิชิโอะ คนสนิทของเขาพยักหน้าให้

ชุนหันรีหันขวางนึกโมโหจนทำอะไรไม่ถูก ในศีรษะมีแต่คำถาม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร มองฮารุโตะซึ่งได้แต่หลบอยู่ด้านหลังของสองคนตรงหน้าเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลนั่นไม่มีความคิดที่จะพูดคุยกับเขาสักนิด แล้วเขาจะมาอยู่ตรงนี้เพื่ออะไร ไม่มีประโยชน์อะไรสักนิด

เด็กหนุ่มร่างสูงหมุนเท้าก้าวยาวๆกลับไปที่รถยนต์ ไม่สนใจว่ามิชิโอะจะตามมาทันหรือไม่ อย่างไรก็ดี หลังจากที่นึกขึ้นได้ว่ากุญแจรถยนต์อยู่ที่มิชิโอะ เขาหันไปตะโกนเรียกคนที่วิ่งตามหลังมา

“เร็วดิโว้ย อืดอาดชิบหาย”เขายังสบถด่าอีกหลายคำ กระนั้นมิชิโอะกลับไม่มีทีท่าโมโหหรือคิดเถียง ชุนเอ่ยเร่งให้มิชิโอะขับรถเร็วๆ ทั้งที่ระยะจากสวนสาธารณะแห่งนั้นกับบ้านของเขาห่างกันไม่กี่นาที และทันทีที่ไปถึงเขาดิ่งตรงไปหาอิซามุ จับกระชากคอโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวสักนิด

“วิธีของมึงไม่เห็นจะได้เรื่องเลย กากสิ้นดี”

อิซามุแค่จับมือของชุนแล้วแกะออกจากตัว “ไม่ได้เรื่องอย่างไร นายออกไปยังไม่ถึงสองชั่วโมงเลย”

“เขาไม่คุยกับกูเลยนอกจากพูดอรุณสวัสดิ์คำเดียว แม้แต่หน้ายังไม่อยากมองด้วยซ้ำ”

“ก็เป็นธรรมดานี่”อิซามุพูดด้วยท่าทีไม่เดือดร้อน ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาเช่นเดิม “ลองคิดดูว่านายทำกับมิอุระซังมาตั้งเท่าไหร่ เขาจะมาจี๋จ๋ากับนายง่ายๆได้อย่างไร”

“แต่ช่วงก่อนหน้าร้อน...”ชุนไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะเมื่อตอนนั้นเหมือนฮารุโตะจะให้อภัยเขาแล้ว

“ถ้าอย่างนั้นถามตัวเองดิ”อิซามุพูดอย่างมีอารมณ์ ก่อนจะต่อประโยคด้วยความเหนื่อยหน่าย

 “มันน่าเบื่อนะ นายทำผิดซ้ำๆซากๆแต่ไม่รู้จักปรับปรุงตัวเองขึ้นสักนิด เรียกร้องเอาโน่นเอานี่จากคนอื่น เอาแต่ที่ใจอยากได้แต่ไม่เคยทำอะไรให้ใครเลย ถามจริงเหอะ ไปเอานิสัยนี้มาจากไหน ฉันว่าท่านประธานคงไม่สอนให้นายเป็นแบบนี้หรอก”

“เออ... รู้แล้ว ก็กำลังพยายามปรับปรุงตัวอยู่นี่ไง”

“ปรับปรุงตัว? ปรับปรุงตัวอย่างไร? แค่โดนมิอุระซังเมินไม่กี่นาทีนายก็วิ่งแจ้นกลับมาแล้ว ถามหน่อยมิอุระซังเขาอดทนให้นายแกล้ง ยอมเป็นกระสอบทรายให้นายมากี่ปี มันเทียบกันได้ไหม ระหว่างคำว่าจะปรับปรุงตัวของนายกับความอดทนของเขา”อิซามุตะโกนพูดตอบด้วยน้ำเสียงอันดังไม่แพ้กัน

“ถ้าฉันเป็นมิอุระซังนะ บอกให้รู้ไว้เลยว่ามันไม่แค่ต่างคนต่างอยู่หรอก ฉันจะทำให้นายจำหน้าฉันไปจนวันตายเลย”

“เออ!!! รู้แล้ว ถ้าเป็นคนอื่นกูไม่อยากง้อขนาดนี้เหมือนกัน แล้วจะให้ทำอย่างไรวะ”

รอ! อดทนรอ ทำเป็นไหม”อิซามุพูดแค่นั้นก่อนจะทำเมินไม่สนใจซากิราอิ ชุนอีก

หันไปมองมิชิโอะ ฝ่ายนั้นทำท่าไม่อยากแยแสเขาแล้วเช่นกัน ชุนจึงเดินกระแทกเท้ากลับไปยังห้องตัวเอง ถอดเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาเชื่อว่าพวกรุ่นพี่กลุ่มนั้นต้องเสี้ยมเป่าหูฮารุโตะให้ทำกับเขาแบบนี้ ฮารุโตะไม่เคยต่อต้านเขารุนแรง เขายังเห็นสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาภายในแววตาคู่นั้น ที่เขาต้องทำคือหาโอกาสคุยกับฮารุโตะตามลำพังอีกครั้ง

ชุนเปลี่ยนเสื้อผ้า รีบเปิดประตูออกจากห้องทว่ากลับต้องพบชายในชุดสูทสีดำสองคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก

“จะไปไหนครับ”

“ไปไหนมันก็เรื่องของกู”ถึงจะพูดบอกไปเช่นนั้นแต่ใช่ว่าเขาจะฝ่าออกไปได้

“ถ้าไม่ได้รับคำอนุญาต คุณก็ไม่มีสิทธิ์ออกจากบ้านครับ”

“กูเป็นเจ้านายนะ กูต้องขออนุญาตใครด้วยเรอะ”

ระหว่างนั้นมิชิโอะได้ก้าวเท้าเข้ามา พยักพเยิดให้ชายสองคนนั้นถอยห่างออกไป “จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวฉันไปด้วย”

ชุนกัดฟันก่อนจะดึงประตูปิดดังปัง เมื่อกลับเข้ามาอยู่ในห้อง เขาเดินไปเดินมาด้วยอาการอยู่ไม่สุข มีคนเฝ้าเขาอยู่ตลอดจึงไม่มีทางที่เขาจะดอดหนีไปโดยไม่มีใครเห็น ฉับพลันเขาก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่จึงตรงไปที่หน้าต่าง เปิดผ้าม่านหนาทึบที่บังแสงสว่างจากด้านนอก ปลดล็อคหน้าต่างบานเลื่อนและเปิดมันออก ทว่าทันใดนั้นเสียงสัญญาณกลับดังขึ้นทันที ประตูห้องของเขาถูกเปิดออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมิชิโอะมาปรากฏตัวยืนอยู่ตรงนั้น

“หน้าต่างทุกบานในบ้านนี้ติดเซ็นเซอร์ อย่าพยายามเปิดมันอีกถ้านายไม่ได้คิดจะหนีไปไหน ไม่อย่างนั้นคราวหน้านายจะถูกย้ายไปอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง”

ชุนชะงักหน้าเผือดสีไปครู่ก่อนจะแกล้งโวยวายออกมา “โว้ย! อะไรวะ ตกลงนี่ฉันกลายเป็นนักโทษแล้วหรือไง ถึงได้ถูกห้ามทำโน่นทำนี่”

“ไม่เลย นายอยากจะไปไหนก็ได้ เพียงแต่ฉันจะตามไปด้วย”มิชิโอะว่าพลางเดินไปปิดหน้าต่าง และเสียงสัญญาณก็เงียบลง

“แล้วมันจะต่างจากการเป็นนักโทษตรงไหน”

มิชิโอะไม่ตอบ เขาแค่เดินกลับออกจากห้องไปอีกครั้ง เมื่อพ้นสายตาผู้คุม ซากุราอิ ชุนทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้น ยกมือขึ้นดึงทึ้งศีรษะ ไม่มีทางไหนที่เขาจะออกไปเจอฮารุโตะโดยไม่มีใครรู้เลยหรืออย่างไร



ฮารุโตะกลับมาทำงานที่ร้านมินิมาร์ทร้านเดินที่เคยทำอีกครั้ง ผู้จัดการร้านพูดแสดงความยินดีกับเขาที่หายจากอาการบาดเจ็บกลับมาแข็งแรงดีเหมือนเดิม ไดกิซังยังทำงานอยู่กะกลางคืนเหมือนเดิมแต่จะทำถึงแค่สิ้นเดือนมีนาคมก่อนจะได้บรรจุเป็นพนักงานบริษัทเต็มตัว

“ไม่อยากไปเที่ยวหรือพักผ่อนบ้างหรือครับ”ฮารุโตะถาม

“ไปไหนล่ะ ฉันไม่ค่อยถูกกับแสงแดด”เจ้าตัวตอบหน้าตาย และเล่าเหตุการณ์ในร้านช่วงที่เขาลาออกไปให้ฟังว่า

“โอตะคุงโดนไล่ออกไปแล้วนะ โดนจับได้ว่าขโมยเงิน”

ฮารุโตะทำสีหน้าไม่ค่อยเชื่อ

“คนที่มาทำงานแทนช่วงที่นายไม่อยู่อ่ะ เป็นรุ่นพี่ผู้หญิงที่อยู่กะเช้าต่อจากฉัน เขาเข้าสองช่วงตอนที่ยังไม่มีคนแทน บังเอิญว่าเจ๊แกหน้าเด็ก เจ้าโอตะเลยนึกว่าเด็กใหม่มั้ง เลยอู้งานเหมือนที่ทำกับนาย แล้วก่อนออกกะก็ขโมยเงิน กล้องวงจรปิดเห็นชัดเลยว่ามันกดรหัสของเจ๊”

ตอนที่ไดกิพูดถึงกล้องวงจรปิด ฮารุโตะเงยหน้ามองซ้ายมองขวาหากล้องที่ว่าทันที

“มันซ่อนอยู่”ไดกิบอกได้แค่นั้น เพราะเขาเองไม่เห็นภาพที่ว่าเหมือนกัน  ถ้าเป็นกล้องซึ่งติดให้เห็นอยู่แต่ละมุมของร้านหรือหลังเคาน์เตอร์แคชเชียร์ มันสามารถยืนบังตำแหน่งกล้องได้

“นายไม่ลองไปบอกผู้จัดการเรื่องเงินสามหมื่นที่หายไปบ้างล่ะ อาจจะเป็นฝีมือหมอนั่นก็ได้”

ฮารุโตะนิ่งคิดก่อนจะสั่นศีรษะออกมา “ไม่ดีกว่าครับ ถึงอย่างไรตอนนี้โอตะซังก็โดนจับแล้ว และเขากำลังจะได้รับผลลัพธ์ของการกระทำที่เคยทำไว้”

“เป็นคนดีมากๆนี่อยู่ยากนะ”ไดกิเอ่ยเตือน “ไปอยู่ที่ไหนจะโดนแต่คนเอาเปรียบ”

“พูดเหมือนตาเห็นเลย”ฮารุโตะหัวเราะ หันไปจัดการคิดเงินค่าสินค้าให้ลูกค้า เมื่อเสร็จเรียบร้อยจึงหันกลับไปคุยกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์ข้างๆ

“แต่ต่อไปนี้ผมจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้วล่ะ”ฮารุโตะพูดด้วยสายตามุ่งมั่นตัดสินใจ “บ้างครั้งที่ผมยอมให้เอาเปรียบ เพราะคาดหวังว่าเขาจะเห็นคุณค่าในสิ่งที่ผมหยิบยื่นไปให้”

“คนประเภทนั้นจะไปรู้สึกอะไร นิสัยบางอย่างมันอยู่ในสันดาน ทำดีให้เท่าไหร่คนประเภทนี้ก็ไม่สำนึกหรอก”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ “ผมเห็นด้วย บางทีนิสัยยอมคนอื่นของผมก็คงอยู่ในสันดานเหมือนกันมั้ง ท่าจะเปลี่ยนยาก” เขาหัวเราะขึ้นมาอีกรอบ

“ที่นายเป็นอยู่มันก็ดี แต่เรื่องที่คนอื่นทำผิดสร้างความเดือดร้อนให้เราและอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นในอนาคตด้วย เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้เด็ดขาด”

“พูดเหมือนรุ่นพี่ที่ชมรมเลยครับ”ฮารุโตะยิ้มให้ และหันไปนับเงินในลิ้นชักเมื่อเห็นว่าใกล้เวลาเลิกงาน

“กลับมาคราวนี้ ยิ้มเก่งขึ้นนะ”ไดกิทัก

“หรือครับ คงเพราะมีความสุขมั้ง”

“อ่อ... ไปได้ดีกับรุ่นพี่คนนั้นหรือ”หนุ่มรุ่นพี่ในที่ทำงานเอ่ยแซว ทว่าคำพูดที่ว่ากลับทำให้ฮารุโตะชะงักมือ และสั่นศีรษะ

“อ้าว หรือเลิกกันไปแล้ว” แต่เลิกกับแฟนควรจะร่าเริงขนาดนี้อย่างนั้นหรือ ไดกิสงสัย

“ยังไม่เคยคบกันด้วยซ้ำ”

“อ้าว!!!”ไดกิอุทานซ้ำอีกรอบ

“ก็รุ่นพี่เขาไม่เคยขอคบด้วย ผมจะเป็นแฟนเขาได้อย่างไร”

“โธ่ เด็กน้อย ก็ขอเขาเสียเองดิ มัวรออะไรอยู่”

“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ว่าแต่ไดกิซังเหอะมีแฟนหรือยัง มาแนะนำอะไรแบบนี้”

“ปลายปีนี้ก็จะแต่งงานแล้วครับ”

“จริงหรือครับ”ฮารุโตะถามด้วยความไม่เชื่อ

“ถ้าโกหกแล้วฉันจะได้อะไร สาเหตุอีกอย่างที่มาทำงานดึกๆเพราะจะได้ใช้เวลาอยู่กับแฟนตอนกลางวันนี่ล่ะ”

“ยินดีด้วยล่วงหน้าเลยนะครับ”

ฮารุโตะมัวแต่คุยเพลินจนเลยเวลาเลิกงานไปหลายนาที ซ้ำเงินในลิ้นชักยังคงเก็บไม่เสร็จ ไดกิจึงบอกว่าจะไม่ชวนคุยแล้ว ดังนั้นกว่าที่ฮารุโตะจะได้ออกจากที่ทำงาน เวลาจึงล่วงเข้าสู่เช้าวันใหม่ร่วมชั่วโมงกว่า

และเมื่อออกจากร้านที่ทำงานมา เขาได้เจอหนุ่มรุ่นพี่ผู้ที่ช่วงนี้มักจะออกจากบ้านไปแต่เช้าเสมอ เขาจึงรีบก้าวเท้าเข้าไปหา

“รุ่นพี่ชิมิซึ”ฮารุโตะเอ่ยเรียก อีกฝ่ายจึงเงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือ เก็บอุปกรณ์สื่อสารลงกระเป๋ากางเกงและเดินนำไปยังรถยนต์ซึ่งจอดไว้ข้างทาง

“ครั้งหน้า รุ่นพี่ไม่ต้องมารับผมหรอกครับ”

ซากินิ่งมองสีหน้าลำบากใจของหนุ่มรุ่นน้อง จากนั้นจึงพยักหน้ารับ ปลดล็อคประตูรถยนต์ เอ่ยถามอีกครั้งหลังจากที่บังคับให้รถยนต์ขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนน

“ถ้าไม่ให้มารับแล้วจะกลับอย่างไร”

“ถ้ารุ่นพี่จะอนุญาต ผมขอย้ายกลับมาอยู่ที่ห้องเหมือนเดิม”

“อ่อ”เขาขานเสียงรับพร้อมอาการแปลบปลาบในอก

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจ”ซากิรอจนข่มกลั้นอาการเสียวแปลบ ทั้งก้อนขมปร่าให้จางหายไปแล้วจึงเอ่ยถามต่อไปว่า

“จะย้ายกลับเมื่อไหร่”

“คิดว่า พ...พรุ่งนี้ครับ”

“อืม”ซากิรู้สึกว่าตนเองทำได้เพียงขานเสียงโง่ๆ ตอบรับเท่านั้น

กระนั้น ในรุ่งเช้าวันถัดมาคนที่ค้านฮารุโตะเสียงแข็งกลับเป็นทาคุมิ ขณะที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านได้ออกจากบ้านไปแต่เช้าเหมือนเช่นหลายๆวันที่ผ่านมา

“อยู่คนเดียวไม่กลัวเจอซากุราอิ ชุนมารังควานที่ห้องหรือ”

ฮารุโตะไม่ได้ตอบคำถามเพียงแต่เปลี่ยนไปพูดประเด็นอื่นเสียแทน “จะย้ายออกวันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็ต้องย้ายอยู่ดี อยู่นานๆ เกรงใจรุ่นพี่เขา อีกอย่างบ้านนี้ก็ค่อนข้างไกลจากที่ทำงานด้วย”

“ทีแรกถึงได้บอกไงว่าจะกลับไปสมัครงานที่เก่าทำไม แถมยังเลือกกะกลางคืนเหมือนเดิมอีก”

“เผื่อไว้ตอนที่เปิดภาคเรียนไง”ฮารุโตะตอบเสียงอ่อยเมื่อโดนทาคุมิพูดดุเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ

“แล้วเรื่องที่อยู่บ้านนี้ เรื่องอยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึก็เหมือนกัน ตกลงว่าจะเลิกคบเลิกติดต่อกันแน่แล้ว นายเข้าใจใช่ไหมถ้านายย้ายออกนั่นหมายถึง นายตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับรุ่นพี่ชิมิซึแล้วนะ”

“ป...เปล่าสักหน่อย ยังคงเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันเหมือนเดิม”คนพูดกล่าวบอกเสียงเบาพลางก้มหน้าลงมองมือตัวเอง ทาคุมิจึงย้ายที่ขยับไปนั่งใกล้ๆ

“นายรู้ใช่ไหมว่านายบอกฉันได้ทุกเรื่อง”

ฮารุโตะเงยหน้ามองคนถามและพยักหน้ารับ รวบรวมความคิดและรวบรวมแรงใจอีกเล็กน้อยเขาจึงเอ่ยปากไปว่า “มันอธิบายไม่ถูก แต่ผมรู้สึกว่า กับรุ่นพี่ชิมิซึอาจจะแค่รู้สึกผูกพันเฉยๆ หรืออาจจะเคยชินที่มีคนคอยดูแลเอาใจใส่ เพราะบางครั้งก็รู้สึกไม่ชอบสิ่งที่รุ่นพี่ทำเหมือนกัน บางครั้งก็กลัวว่ารุ่นพี่จะกลายเป็นเหมือนซากุราอิซัง”

“มันยังไม่เกิดขึ้นเลยจะกลัวไปทำไม”

ฮารุโตะอยากพูดออกไปว่า ซาโต้ซังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนั้น คุณไม่เข้าใจหรอก

“คนเรามีสิทธิ์กลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิด แต่การก้าวผ่านความกลัวที่ว่าก็นับว่าเป็นความเข้มแข็งอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ ถ้าเอาแต่กลัว อาจจะทำให้เราพลาดเรื่องดีๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก ในอนาคตข้างหน้านายอาจจะมีความสุขมากกกกกก”ทาคุมิลากเสียงยาวเพื่อบ่งบอกว่ามากอย่างไม่มีอะไรเปรียบ “ที่ได้อยู่กับรุ่นพี่ชิมิซึ หรืออาจจะเสียใจเพราะต้องเลิกกัน แต่มันก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้ และยิ่งไม่มีใครรู้เลยถ้านายปฏิเสธตั้งแต่วันนี้ ไม่เป็นไรหรอก นายมีฉัน อย่างน้อยฉันต้องอยู่เป็นเพื่อนนายไปอีกสองปี”

“เอ๊ะ... แล้วหลังจากนั้นล่ะ”ฮารุโตะถามหน้าตาตื่น

“ก็นายมีที่ทำงานอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ ส่วนฉันต้องไปตายเอาดาบหน้า ไม่แน่ว่าเราสองคนอาจจะได้งานคนละที่ คงไม่ได้เจอกันบ่อยๆแบบนี้ แน่นอนว่าความเป็นเพื่อนของเราสองคนยังคงอยู่ แต่ฉันคงไม่มีโอกาสอยู่กับนายตลอดเวลาเหมือนทุกวันนี้”

เด็กหนุ่มร่างเล็กหน้าสลด

“รู้อย่างนี้แล้ว ยังอยากเลิกคบกับฉันไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะเพราะมีความหวังว่า ทาคุมิอาจจะได้เข้าทำงานที่เดียวกับตนก็เป็นได้

“แล้วกับรุ่นพี่ชิมิซึ ทำไมถึงไม่ทำแบบเดียวกันล่ะ คนเราน่ะพบเพื่อจากนะ เพราะฉะนั้นตอนที่มีโอกาสอยู่ด้วยกันต้องรู้จักกอบโกยความสุขเข้าไว้”

“แต่จู่ๆมาอยู่ที่นี่ มาอยู่ในฐานะอะไรล่ะ”เสียงพูดเบาๆนั่นทำให้ทาคุมิยกยิ้ม ยกนิ้วจิ้มแก้มฮารุโตะด้วยอาการล้อเลียน

“อ่อ งอนใช่ไหมล่ะ งอนเพราะรุ่นพี่ไม่ยอมพูดออกมาให้ชัดเจนใช่ม๊า”ทาคุมิหัวเราะ พึมพำต่อไปอีกว่า คิดไว้แล้วเชียว

“ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก อยู่แบบมึนๆเหมือนฉันนี่ล่ะ”คนพูดส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ทีแรกฮารุโตะทำหน้างอที่โดนพูดล้อ แต่เมื่อเห็นทาคุมิส่งเสียงหัวเราะ เขาจึงยกยิ้มออกมาบ้าง

ตกสายๆพวกเขาจึงออกจากบ้านไปทำงานพิเศษอีกที่จนหมดเวลาทำงาน ทาคุมิจึงแยกย้ายกับฮารุโตะ

“วันนี้ฉันกลับบ้านนะ แล้วนายหลังเลิกงานจะกลับอย่างไรล่ะ อืม... ต้องถามว่าจะไปนอนไหนถึงจะถูกดิ”

ตอนที่ย้ายไปอยู่บ้านหนุ่มรุ่นพี่ ฮารุโตะแทบไม่ได้เอาของอะไรไป รุ่นพี่ชิมิซึซื้อเสื้อผ้าข้าวของให้เขาใหม่ ของที่ต้องขนออกมีแค่สมุดหนังสือ และวันนี้เขาก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวออกมาด้วย เพราะยังลังเลว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต

ทาคุมิยังอุตส่าห์ใจดียืนรอให้เขาคิด

“ถ้ายังคิดไม่ได้เดี๋ยวตัดสินใจให้ป่ะ”เพื่อนหนุ่มที่ตัวสูงกว่าเขาเอ่ยถาม แล้วยื่นมือมาขอโทรศัพท์มือถือ ฮารุโตะยอมส่งให้ซึ่งทาคุมิเอาไปกดยิกๆ อยู่ครู่ใหญ่จึงส่งคืน

“แล้วคืนนี้ รอรุ่นพี่ชิมิซึมารับด้วยล่ะ”

“ทำแบบนี้จะดีหรือ รุ่นพี่ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานอีก”

ชิมิซึ ซากิไม่เคยบอกใครว่าต้องออกจากบ้านแต่เช้าทุกวันเพื่อไปทำอะไร ทั้งฮารุโตะและทาคุมิจึงเข้าใจว่า ชายหนุ่มออกไปทำงาน อีกประการหนึ่ง ทั้งกลุ่มเพื่อนและหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนต่างรู้ว่า ซากสอบติดเป็นพนักงานของรัฐ และจะเริ่มทำงานที่ ‘ที่ว่าการเมือง’ ตั้งแต่เดือนเมษายนนี้เป็นต้นไป

“คิดมาก ที่ว่าการเมืองอยู่ใกล้แค่นี้เอง ทีนายล่ะตื่นหกโมงทุกวันไม่รู้สึกง่วงบ้างหรือ อย่างรุ่นพี่ชิมิซึอ่ะ ถ้าเขาไม่ไหวจริงๆ เขาไม่มาอดทนอยู่หรอก พอถึงตอนนั้นแล้วค่อยมาคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ โอเคไหม”

ฮารุโตะจำยอมต้องพยักหน้ารับด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ ทาคุมิจึงย้ำให้ฟังเพิ่มเติม

“อยู่บ้านรุ่นพี่ชิมิซึดีออกจะตาย นายเลิกงานดึกๆนึกอยากจะแช่น้ำร้อนก็ทำได้ แต่ถ้าอยู่ที่ห้องนายมีแต่น้ำเย็น  วันไหนเหงื่อออกอบอ้าวแต่พอตกดึกน้ำเย็นมากนายจะกล้าอาบน้ำหรือ ทนนอนแบบเหนียวตัวแบบนั้นจะนอนสบายได้อย่างไร ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า นายก็ช่วยทำอาหารเช้าเย็นตอบแทนให้แล้ว”

“แต่เมื่อเช้ารุ่นพี่ไม่ได้กินข้าว”

ทาคุมิกลอกตาพลางโคลงศีรษะ นึกเบื่อและรำคาญนิสัยนี้ของฮารุโตะอยู่เหมือนกัน

“งั้นเพิ่มข้าวกล่องมื้อกลางวัน  สามมื้อแล้ว ถ้าเป็นฉัน ฉันคิดว่าคุ้ม ถ้านายยังไม่แน่ใจเดี๋ยวส่งข้อความไปถามรุ่นพี่ให้”

“ไม่ต้องหรอก”ฮารุโตะรีบปฏิเสธ ก่อนจะบอกลาแยกย้ายเพราะต้องไปทำอาหารมื้อเย็นเตรียมไว้ให้หนุ่มรุ่นพี่เจ้าของบ้าน เมื่อใกล้เวลาเข้างาน จึงออกจากบ้านมารอรถประจำทาง

ที่จริงบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึไม่ได้ไกลจากที่ทำงานพิเศษของเขามากถ้าเดินทางด้วยรถยนต์ เพียงแต่ฮารุโตะเลิกงานหลังหมดเวลาให้บริการของรถสาธารณะเที่ยวสุดท้าย จากที่ไม่ไกลจึงไกลมากโข ไม่นึกแปลกใจเลยว่าวันไหนที่รุ่นพี่มารอรับเขาที่ทำงานถึงต้องอยู่ค้างคืนด้วยทุกครั้ง แต่กระนั้นเมื่อก่อนเขาไม่เคยนึกถึงเหตุผลข้อนี้ ตอนนั้นมีเพียงความรู้สึกยินดีที่มีใครสักคนมาคอยอยู่ข้างกัน

ตอนที่ฮารุโตะอาศัยอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ เด็กหนุ่มเคยรู้สึกแปลกแยกโดดเดี่ยว ทว่าความรู้สึกนั้นมันเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความเงียบเหงาของการใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เพราะอย่างน้อยไม่ว่าจะมองซ้ายหรือขวา เขายังเห็นเด็กคนอื่นๆนอนอยู่บนเตียงใกล้ๆกัน บางวันก็มีเด็กเล็กมาชวนเขาไปเล่นด้วย ก่อนออกจากบ้านอุปถัมภ์เขามีแต่ความคิดคาดหวังกับชีวิตใหม่

ฮารุโตะยกยิ้มเศร้า เรื่องจริงที่ต้องเจอมักต่างกับความฝันเสมอ

เขาหวนนึกถึงหนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงอีกครั้ง สาเหตุที่เขาลังเลใจเพราะรุ่นพี่ชิมิซึก็ต้องอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นคนเดียวเหมือนกัน ตั้งแต่ที่เขาอยู่ที่นั่นมา ยังไม่เคยเจอพ่อของรุ่นพี่สักครั้ง ไม่รู้ว่าต้องมีงานยุ่งขนาดไหน ถึงไม่ได้กลับบ้านร่วมเดือนขนาดนั้น ฮารุโตะนึกสงสัยในใจ

เด็กหนุ่มลงจากรถเมื่อถึงป้ายหยุดรถประจำทาง เดินเท้าต่อไปอีกเล็กน้อยจึงจะถึงร้านมินิมาร์ทซึ่งเป็นที่ทำงานพิเศษ เขารูดบัตรเข้าทำงาน และแวะเข้าห้องล็อคเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อชุดฟอร์มของร้าน เมื่อเปิดประตูสำหรับพนักงานเข้าสู่พื้นที่หน้าร้าน เห็นมีลูกค้าต่อแถวยาว เขาจึงรีบมาเปิดเคาน์เตอร์กระทั่งจัดการแถวยาวเหยียดของลูกค้าช่วงเย็นได้หมด ฮารุโตะจึงกล่าวบอกขอไปทำความสะอาดพื้น ทว่าเขากลับโดนผู้จัดการร้านเรียกหยุดไว้ก่อน

ฮารุโตะถูกเชิญให้เข้าไปนั่งคุยในห้องของผู้จัดการ หัวใจของเขาเต้นตุ๊มๆต่อมๆ ตื่นเต้นระคนหวั่นกลัวเพราะไม่รู้ว่าโดนเรียกคุยด้วยสาเหตุอะไร

“ก่อนที่คุณจะลาออกไปครั้งก่อน ช่วงเดือนพฤษภาคมที่คุณทำยอดเงินจริงหายไปสามหมื่นเยน และบริษัทมีการหักเงินค่าแรงคุณตามกฎ”

ฮารุโตะพยักหน้าและส่งเสียงขานรับ กังวลไปต่างๆนานาว่า ตัวเองจะทำอะไรผิดพลาดอีก

“เนื่องจากทางเราสืบทราบว่า คุณถูกขโมยเงินไปจากเคาน์เตอร์ บริษัทจะคืนเงินให้คุณ แต่ทางเราต้องการให้คุณให้ปากคำยืนยันการเป็นผู้เสียหาย คุณจะติดปัญหาอะไรหรือเปล่า”

แค่ได้ยินว่าจะได้เงินคืน หัวใจที่เคยเต้นช้าลงเพราะความกลัวก็พองตัวจนเหมือนจะลอยไปติดเพดาน ฮารุโตะยิ้มพยักหน้าตอบรับตกลงอย่างยินดี ฟังสิ่งที่ผู้จัดการอธิบายอีกนิดหน่อย เขาจึงถูกปล่อยตัวให้กลับไปทำงาน คืนนั้นเมื่อไดกิมาเข้าทำงาน เขาจึงเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และเล่าให้หนุ่มรุ่นพี่ร่างสูงผู้ซึ่งมารอรับเขาหลังเลิกงานฟังอีกรอบ

“ดีใจด้วย”รุ่นพี่ชิมิซึยิ้มพร้อมกับพูดคำนั้น

ฮารุโตะยิ่งอิ่มเอมใจ ไม่ว่าจะไดกิซังหรือรุ่นพี่ชิมิซึต่างล้วนดีใจกับเขา



หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 25 : 17/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 17-04-2017 05:12:23

“ผมว่าสร้อยใบโคลเวอร์นี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆด้วยล่ะครับ”เด็กหนุ่มล้วงหยิบจี้ประดับเพชรซึ่งซ่อนอยู่ในเสื้อออกมาดู แสงไฟข้างทางตกกระทบเหลี่ยมเพชรจนทำให้เกิดประกายพร่างพราว

ซากิซึ่งกำลังตั้งสมาธิกับการบังคับรถยนต์และถนนเบื้องหน้าเหลือบสายตามองคนพูดเล็กน้อย ไฟข้างทางไม่สว่างพอให้เห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ชัดเจน

“อย่างนั้นใส่ติดตัวไว้อย่าถอดเชียวล่ะ หรือถ้าจำเป็นจริงๆ ให้ใส่กระเป๋าติดตัวไว้ตลอด เข้าใจไหม”

“ครับ แน่นอน”ฮารุโตะรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น



โองาวะ อิซามุกำลังนั่งมองลูกชายคนเดียวของนายจ้างผู้ซึ่งยอมทุ่มเงินมากมายเพื่อดัดนิสัยลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ด้วยการออกทุนการศึกษาให้เด็กสามคน อันได้แก่ตัวเขา มิชิโอะ และมิอุระ ฮารุโตะ นอกจากนั้นยังซื้อบ้านให้ชุนอยู่ จ่ายเงินสนับสนุนทุนวิจัยอีกมหาศาลให้มหาวิทยาลัยเพื่อให้ลูกชายได้เข้าเรียน อิซามุพอจะเข้าใจว่า คนรวยมีเงินจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพียงแต่เขารู้สึกเสียดายเงินทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ เพราะถ้าเป็นเขา เขาจะดัดนิสัยชุนให้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะแตกแถว

ทว่าเมื่อได้มาเผชิญหน้ากับชุนจริงๆ อิซามุถึงได้รับรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่าย

ซากุราอิ ชุนหยิ่งผยองเพราะเกิดมาอยู่เหนือผู้อื่น แต่ความลำพองนั้นผสมความกักขฬะไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งอิซามุคิดว่านิสัยเหล่านั้นน่าจะได้อิทธิพลมาจากกลุ่มแก็งอันธพาลที่ชุนเข้าไปฝังตัวอยู่ตอนสมัยมัธยม มองเผินๆชุนจึงเหมือนกุ๊ยข้างถนนมากกว่านักเลง ทั้งยังใจร้อน หุนหัน และไร้สมองจนน่าอ่อนใจ และถึงแม้ก่อนที่เขาจะตกลงรับงาน เขาจะเตรียมใจไว้แล้วก็ตาม แต่อิซามุยังอยากจะถอนหายใจซ้ำอีกหลายๆรอบ

ชุนยังต่อยกระสอบทรายด้วยแรงอันหนักหน่วงเหมือนครั้งสุดท้ายที่เขาเคยมาดู ต่อให้อารมณ์ของชุนอยู่ในสภาพปกติ น้ำหนักมือและเท้าของฝ่ายนั้นก็ยังทำให้ผู้ชายขนาดตัวใกล้ๆกันลงไปกองกับพื้นได้ และพวกเขารู้ว่าชุนมีความสุขกับการชกกับคนจริงๆมากกว่ากระสอบทรายซึ่งน่าจะเป็นผลจากสมัยมัธยมเช่นเดียวกัน ดังนั้น มิชิโอะจึงยอมชกมวยกับชุนบ่อยๆ แต่เพราะซากุราอิ ชุนมักจะแพ้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังออกอาการหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม มิชิโอะจึงยอมให้ชุนไปหาเรื่องระรานมิอุระซัง

ซึ่งถ้าพวกเขาได้รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ชุนเจาะจงว่าต้องเป็นมิอุระ ฮารุโตะแล้วละก็ พวกเขาคงไม่ปล่อยให้เป็นเช่นนั้น

ทว่าเมื่อคิดทบทวนไปมา ส่วนหนึ่งมันอาจเป็นเพราะเขาด้วยเช่นกัน

เขาเอะใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นการกระทำของชุนซึ่งปฏิบัติต่อมิอุระ ฮารุโตะ วิธีการเด็กๆที่ดูน่าตลก เขาจึงพูดออกไปตามที่คิด ในทางกลับกัน ถ้าเขาอยู่เฉยๆ ไม่เข้าไปวุ่นวาย ชุนก็คงทำในสิ่งที่น่าตลกแต่ไม่ทำให้ใครเจ็บตัว

ในขณะเดียวกัน มิชิโอะก็รู้สึกผิดที่ทำให้มิอุระ ฮารุโตะรู้สึกแย่กับการกลั่นแกล้งของชุนมากกว่าเดิม

“ช่วงนี้เป็นไงบ้างล่ะ”อิซามุเอ่ยถาม เมื่อมิชิโอะเดินออกมาหยุดพักดื่มน้ำ

“เงียบสงบเรียบร้อยจนน่ากลัว”คนถูกถามตอบออกไปก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง

หน้าที่ดูแลรับผิดชอบเรื่องการเรียนและควบคุมการประพฤติของชุนไม่ใช่งานที่ยุ่งยาก พวกเขามีหน้าที่ตัดสินใจ ออกคำสั่งบังคับให้ชุนทำตามคล้ายๆการฝึกสัตว์เลี้ยง รายงานข้อมูลความประพฤติและเหตุการณ์ที่พวกเขาไม่สามารถควบคุมได้ให้พญาราชสีห์รับทราบ เพื่อให้มาจัดการสิ่งที่นอกเหนือการควบคุม ทุกอย่างสบายและราบรื่นจนมาเจอเรื่องของมิอุระ ฮารุโตะ

ซากุราอิ ชุนหาทางหนีไปจากสายตาของพวกเขาทั้งคู่หลายครั้งเพื่อไปหามิอุระ ฮารุโตะ และเกือบทุกครั้งที่ได้เจอเด็กหนุ่มร่างเล็ก ชุนจะต้องไปก่อเรื่องอะไรสักอย่างกลับมา

อย่างไรก็ดี ซากุราอิ ฮิเดอากิกลับไม่มีท่าทีแปลกใจ จนเขานึกสงสัยว่าการที่มิอุระ ฮารุโตะได้ทุนการศึกษามาเรียนที่มหาวิทยาลัยนี้อาจจะเป็นแผนของผู้ชายคนนั้นด้วยเหมือนกัน

“คนที่ขอมายังอยู่ใช่ไหม”

“อืม ในยิม ข้างนอก”

อิซามุจึงกวาดสายตามอง ไม่มีผู้คนที่มีท่าทางเหมือนเป็นคนของพวกเขา แต่เขาไม่ได้ถามเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ด้านข้าง เพราะถือว่าเรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของอีกฝ่าย หลังจากเจรจาให้ชุนได้ใช้เวลาร่วมกันกับมิอุระ ฮารุโตะ พวกเขาจึงตกลงกันว่า ครั้งนี้จะต้องทำให้ชุนเปลี่ยนนิสัยให้ได้ อย่างน้อยต้องให้มีความอดทนอยู่ในระดับของคนปกติ ต้องรู้จักรอคอยและยอมรับผลการกระทำของตน

การทำให้มิอุระ ฮารุโตะกลับมาญาติดีกับชุนไม่ใช่หน้าที่ของพวกเขาก็จริง แต่เพราะมันส่งผลกระทบต่อผลการเรียนและคะแนนการสอบของชุน พวกเขาจึงมองข้ามมันไปไม่ได้ อย่างน้อยที่สุดคือต้องให้ชุนอยู่อย่างสงบเสงี่ยมตลอดปิดเทอม ทิ้งระยะเวลาให้มิอุระ ฮารุโตะลดอาการระแวดระวังที่มีต่อชุน แล้วเริ่มต้นสร้างความคุ้นเคยกันใหม่ เขาและมิชิโอะเห็นพ้องกันว่า วิธีนี้น่าจะเป็นหนทางละมุนละม่อมที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และขณะที่บอกวิธีการให้ซากุราอิ ชุนฟัง อีกฝ่ายยอมนิ่งฟังแต่โดยดี กระนั้นพวกเขายังคงไม่วางใจ

อิซามุรอจนชุนหยุดพักจึงเดินเข้าไปหา

“ฉันนัดวันเดทให้นายใหม่แล้วนะ”

ชุนหันมาพยักหน้ารับ

“กินข้าวมื้อเที่ยงในร้านอาหาร วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ กินเสร็จแล้วก็แยกย้าย”อิซามุบอกรายละเอียดเพิ่มเติม “มิชิโอะไปด้วยก็จริงแต่จะนั่งอีกโต๊ะ”

“แล้วไง ไอ้พวกรุ่นพี่ห่าเหวก็ตามมาขวางอยู่ดี”
“นายก็พูดกับอีกฝ่ายอย่างสุภาพว่า ‘ผมขอทานอาหารกับฮารุโตะสองคนได้ไหมครับ ผมรับรองว่าไม่ทำอะไรที่เป็นการคุกคาม คุณได้นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ รับรองว่าคุณจะเข้ามาถึงตัวผมทันก่อนที่ผมจะทำให้ฮารุโตะกลัวแน่นอน’ พูดประโยคที่ฉันบอกด้วยน้ำเสียงสุภาพ ทำได้ไหม”

“เหอะ”ชุนแค่นเสียงขึ้นจมูก

“จะทำหรือไม่ทำ ชุน”

“เออ ทำ”คู่สนทนากระแทกเสียงตอบ

เขาจึงจบการสนทนาลงเพียงแค่นั้น แต่ก่อนชุนไม่ได้ท่าทีมึนตึงกับเขามากนัก แต่หลังจากมีเรื่องวุ่นวายของมิอุระ ฮารุโตะที่เหมือนจะพลิกโผจากความคาดหวังของชุนไปไกล เขาสองคนจึงดูเหมือนว่าจะถูกเกลียดขี้หน้าไปด้วย



ชุนแต่งตัวเสร็จออกจากห้องมาตอนประมาณสิบเอ็ดโมง ภัตตาคารอาหารญี่ปุ่นที่อีกฝ่ายจองไว้อยู่ห่างจากบ้านของเขาไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดังนั้นถึงจะทำเป็นไม่สนใจแต่เขายังคงตื่นเต้นมากอยู่ดี และแม้จะยังครุ่นคิดถึงวิธีการที่ให้ได้คุยกับฮารุโตะโดยไม่มีคนอื่นมานั่งจ้องเป็นโขยงอยู่ทุกขณะจิต ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากปล่อยผ่านโอกาสที่อิซามุหามาให้

เขาก้าวเท้าเข้าไปในร้านก่อนถึงเวลานัดร่วมยี่สิบนาที ทว่ายังมาช้ากว่าคู่นัดหมายที่ปรากฏว่ามานั่งรอ ทั้งยังสั่งอาหารมาทานบ้างแล้ว

“ขอโทษทีนะ พอดีมิอุระหิวแล้วน่ะ”

ที่สำคัญคนที่มากับฮารุโตะยังเป็นหนุ่มรุ่นพี่ที่มีความสัมพันธ์พิเศษกับอดีตเพื่อนสนิทของเขา ชุนนึกอยากจะหมุนตัวหันหลังกลับเสียเดี๋ยวนั้น ถึงกระนั้นเขายังคงยืนนิ่งอย่างตัดสินใจไม่ได้

“มีอะไรหรือเปล่า”ชายหนุ่มผู้มีอายุมากกว่าเอ่ยปากถาม คล้ายเร่งให้เขาตัดสินใจ ฝ่ายฮารุโตะเอาแต่คีบซาชิมิเข้าปากโดยไม่นึกสนใจเขาสักนิด

มิชิโอะที่มาหยุดยืนอยู่ข้างกันจึงเอ่ยกระซิบถาม “ถ้าไม่อยากอยู่ก็กลับ แต่ไม่ว่านัดครั้งไหนก็ต้องเป็นแบบนี้ทั้งนั้น แต่ถ้านายทำให้ฝ่ายนั้นไว้ใจได้ ฉันเชื่อว่านายต้องมีโอกาสได้อยู่กับมิอุระซังสองต่อสองแน่”

แต่เขาไม่อยากรอ ชุนบอกกับตัวเองในใจ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ก้าวไปทรุดตัวลงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ยามนั้น ฮารุโตะถึงได้เงยหน้าขึ้นมากล่าวทักทายก่อนจะยกเมนูขึ้นมาดู

“แพงจัง”ฮารุโตะบ่นเสียงเบาราวกับต้องการพูดให้หนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆได้ยินเท่านั้น ชายหนุ่มร่างสูงจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาๆไม่ต่างกันว่า

“สั่งไปเถอะน่า นานๆกินทีไม่เป็นไรหรอก”

“มื้อนี้ให้ผมเลี้ยงดีไหมครับ”ชุนถามด้วยรอยยิ้ม พยายามบังคับตัวเองให้สุภาพมากที่สุดอย่างที่อิซามุได้แนะนำไว้

“ฮารุโตะพรุ่งนี้เราสองคนมากินข้าวด้วยกันอีกดีไหม ฉันรู้จักร้านอร่อยๆเยอะเลยนะ ฉันเลี้ยงนายเอง พามากินอาหารข้างนอกทุกวันยังได้เลยนะ สบายมาก”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ “ไม่เอาหรอก เปลือง ฟุ่มเฟือยใช้เงินไม่รู้จักคิด”

ชุนได้แต่ยิ้มค้างเพราะโดนด่าเข้าเต็มๆ

“ไม่ต้องไปกังวลกับเรื่องนั้นแทนซากุราอิซังหรอกน่า พ่อของซากุราอิซังรวยมากนะ”ซากิพูด

“นั่นยิ่งแล้วใหญ่ เงินตัวเองหามารึก็ไม่ใช่ยังกล้าเสนอหน้ามาเลี้ยงคนอื่นอีก”

ซากิแอบยิ้มขำเหลือบมองซากุราอิ ชุนที่หน้าเปลี่ยนสีจืดเจื่อนก่อนจะกลายเป็นสีแดงก่ำราวกับกำลังโมโห จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเอ่ยปากอาสาจ่ายค่าห้องให้ฮารุโตะ ตอนนั้นหนุ่มรุ่นน้องก็ชักสีหน้าดูถูกเอ่ยถามเขาเหมือนกัน จะต่างกันตรงที่ คำพูดคำจาที่ใช้กับเขายังสุภาพ  ชายหนุ่มคิดว่าคงต้องหิ้วอะไรไปฝากทาคุมิเสียหน่อย เป็นรางวัลที่ทำให้ฮารุโตะปากกล้าถึงเพียงนี้

“แต่วันนี้ยังไม่ต้องคิดจะประหยัดนะ อยากกินอะไรก็สั่ง”ซากิบอกเมื่อเห็นฮารุโตะเปิดเมนูวนไปสองรอบ ก่อนจะส่งเมนูให้ซากุราอิ ชุนได้สั่งอาหารเหมือนกัน

“เชิญซากุราอิซังสั่งอาหารได้เต็มที่เหมือนกันนะครับ ครั้งนี้ขอผมเป็นฝ่ายเลี้ยงเอง”

ชุนที่กำลังโมโหเพราะอีกฝ่ายทำให้ฮารุโตะด่าเขาถึงสองรอบ กำลังนึกอยากแก้แค้นคืนพอดี เขาเปิดหาเมนูที่แพงที่สุด ตั้งใจว่าจะถล่มชายหนุ่มตรงหน้าให้หมดตัว แต่กระนั้นกลับโดนกระซิบเตือนไว้เสียก่อน

“อย่าสั่งอะไรที่มันเว่อร์ไปนัก เดี๋ยวก็โดนมิอุระซังด่าอีกรอบหรอก”

ชุนเหลือบมองมิชิโอะด้วยอาการฮึดฮัด กระนั้นกลับเปิดไปหน้าเมนูอาหารชุด ก่อนที่เสียงพูดคุยสนทนาของสองคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามจะดังมาให้ได้ยิน จึงต้องเงยหน้ามองคนทั้งคู่ที่นั่งเบียดชิดเพื่อดูเมนูเล่มเดียวกัน

“ไม่ต้องเลือกแบบที่เป็นเซ็ตหรอก เลือกแบบที่เป็นจานเดี่ยวแบบนี้จะได้เลือกทานได้หลายๆอย่าง”

“แต่มันแพงนี่ครับ ลองบวกราคารวมกันแพงกว่าที่จัดเซ็ตไว้อีก”

“บอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องราคาไง”ซากิวางมือบนศีรษะของฮารุโตะพลางโยกเบาๆ พลางพูดย้ำให้ฟังอีกรอบ“นานๆถึงมาทานสักที”

“นานๆซะที่ไหน ช่วงก่อนที่ผมแขนเจ็บก็ได้ออกมาทานข้างนอกทุกวัน”

“นั่นมันเหตุสุดวิสัย แล้วก็ไปทานที่ร้านอาหารครอบครัว ราคามันไม่แพงขนาดนั้น เอาน่าถือว่าเลี้ยงฉลองวันเกิดล่วงหน้า”

“ร...รุ่นพี่อาโอกิจะจัดปาร์ตี้ให้อยู่แล้วเหอะ”

ชุนต้องส่งเสียงกระแอมกระไอเมื่อทั้งคู่ทำเหมือนกำลังอยู่กันเพียงตามลำพังมากขึ้น “ผมสั่งอาหารได้เลยไหมครับ” เขากัดฟันพูด

“ได้เลยครับ”ซากิตอบรับพร้อมกดกริ่งเรียกพนักงาน เขาจองห้องทานอาหารแบบส่วนตัวไว้ ดังนั้นต้องรออยู่ครู่หนึ่งกว่าพนักงานจะเปิดประตูบานเลื่อนเข้ามา ชายหนุ่มแจ้งพนักงานว่าจะสั่งอาหารและผายมือให้ซากุราอิ ชุนได้สั่งอาหารก่อน หลังสั่งอาหารเสร็จ เขาจึงหันไปชวนอีกฝ่ายพูดคุย

“ซากุราอิซังมาจากฟุคุชิม่าใช่ไหมครับ”

คนถูกถามเลิกคิ้วแปลกใจ

“มิอุระเคยเล่าว่าย้ายมาจากที่นั่นน่ะครับ”

ชุนจึงตอบรับ

“แล้วอย่างปิดเทอมได้กลับบ้านหรือเปล่า”

“ปีที่แล้วก็กลับครับ แต่ปีนี้คิดว่าคงไม่”

ซากิเห็นสายตาของชุนจึงเหลือบมองคนข้างตัว ทันได้เห็นฮารุโตะกำลังทำหน้าไม่ชอบใจ จึงคะยั้นคะยอให้ฮารุโตะเอ่ยปากคุยกับซากุราอิ ชุน

ชุนจึงกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ที่ชายหนุ่มรุ่นพี่ทำตัวราวกับผู้ปกครองของฮารุโตะ  การทานอาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างกระท่อนกระแท่นกระอักกระอ่วนในความรู้สึกของชุน เขาได้คุยกับฮารุโตะไม่กี่ประโยคเท่านั้น ซ้ำบางครั้งบางคราวยังกลืนอะไรแทบไม่ลงเพราะความคุกรุ่นมันจุกอก กระนั้นเขาก็อดทนจนมันผ่านพ้นไป และยืนรอส่งจนรถยนต์ของทั้งสองคนออกจากลานจอดรถไปแล้ว จึงเอ่ยกับมิชิโอะว่า

“ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย”

“อ้าว ก่อนออกจากร้านไม่ไปเข้าล่ะ”มิชิโอะร้องทัก แต่ชุนไม่ได้ใส่ใจ เขาเดินก้าวเท้าฉับๆกลับเข้าไปด้านในของร้าน เมื่อเจอพนักงานจึงเอ่ยบอกของเข้าห้องน้ำ เปิดประตูเข้าไปด้านใน เขาจึงได้เจอคนที่นัดไว้ยืนรออยู่แล้ว อีกฝ่ายส่งของที่เขาสั่งไว้มาให้ ชุนจึงยื่นเงินตามจำนวนที่ตกลงกลับคืนไป

“หารถให้ด้วยนะ”

“ได้ จะใช้วันไหนให้โทรบอกล่วงหน้าสักสองสามชั่วโมง”

ชุนตอบรับจากนั้นจึงหมุนตัวหันหลังกลับ อารมณ์ดีขึ้นอย่างทันตาเห็น ก่อนจะต้องปรับสีหน้าเพราะมิชิโอะเอ่ยปากทัก

“แค่ไปเข้าห้องน้ำมีอะไรดีขนาดนั้นเลยหรือ”

“เปล่า”ชุนพยายามตอบด้วยน้ำเสียงปกติ เดินไปเปิดประตูรถยนต์และก้าวเท้าขึ้นประจำที่นั่งตอนหลัง เขาคิดหาวิธีหลบสายตาของเหล่าผู้คนที่คอยเฝ้าเขาได้แล้ว ตอนนี้เหลือแค่เพียงรอโอกาสเหมาะๆเท่านั้น



มิอุระ ฮารุโตะดึงจี้รูปใบโคลเวอร์ออกมาดูพลางครุ่นคิด เขานั่งอยู่ในรถยนต์ที่มีชายหนุ่มรุ่นพี่เป็นสารถีซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่บนท้องถนนมุ่งหน้าไปยังบ้านของคนขับ เด็กหนุ่มเงยหน้ามองสองข้างทางที่ทิวทัศน์รอบด้านกำลังจะเปลี่ยนจากฤดูหนาวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ วันเวลาไม่เคยหยุดรอใครและทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

วันศุกร์หน้าจะมีพิธีจบการศึกษาของพวกรุ่นพี่ปีสี่ และเย็นวันนั้นสมาชิกในชมรมมีนัดหมายกันไปเที่ยวฉลองงานอำลากลุ่มรุ่นพี่ที่จบการศึกษา เวลาที่เขาควรตัดสินใจงวดใกล้เข้ามาทุกที

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ”ฮารุโตะเอ่ยปากเรียกหันไปมองหน้าคนขับซึ่งเขาได้สบตากับอีกฝ่ายชั่วครู่ ยามที่ชายหนุ่มหันมามอง

“รุ่นพี่คิดว่า ผมกับซากุราอิซังจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ไหม”

ซากินิ่งเงียบ เป็นคำถามที่เขาไม่กล้าตอบเช่นเดียวกัน ฮารุโตะอาจจะคิดกับชุนแค่เพื่อน แต่ชุนไม่ได้ต้องการแค่นั้น และเขาคิดว่า ชุนคงไม่ยอมให้จบลงแค่นั้น

“เมื่อก่อนตอนที่ยังสนิทกับซากุราอิซัง นายเรียกเขาว่าอะไร”ซากิเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น

“ชุนคุง”

ชายหนุ่มเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง อีกฝ่ายปล่อยให้สายตาล่องลอยไปไกลคล้ายกำลังหวนนึกถึงความหลัง ก่อนหันสายตากลับมาตั้งสมาธิกับถนนหนทางเบื้องหน้าเมื่อสัมผัสได้ถึงอาการแสบร้อนภายในโพรงจมูก

“ทำไมถึงเปลี่ยนวิธีการเรียกล่ะ”

“เพราะเขาเปลี่ยนไป”น้ำเสียงฟังดูเหมือนโหยหาอาวรณ์วันเวลาที่ผันผ่าน

“นายคงสนิทกับซากุราอิซังมาก”

ฮารุโตะนิ่งเงียบไปอีกหลายอึดใจ “เขาเป็นเพื่อนคนแรก เป็นคนที่เรียกว่าเพื่อนได้อย่างเต็มปากเป็นคนแรก” เขากำจี้ในมือไว้แน่นราวกับว่ามันจะส่งพลังความเข้มแข็งมาให้ ขณะสูดลมหายใจเพื่อข่มกลั้นความรู้สึกขมปร่าซึ่งตีตื้นขึ้นมากลางอก

“ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ผมต้องเป็นเหยื่อของการถูกกลั่นแกล้งมาตลอด ตอนขึ้นชั้นประถมจู่ๆแม่ก็หายออกไปจากบ้าน ตอนนั้นพวกเพื่อนๆในห้องก็ล้อเลียนว่า แม่หนีไปกับผู้ชายอื่น แม่มีชู้ ผมยังไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำ แต่มันก็รู้สึกได้ว่าเป็นคำที่ไม่ดี ผมเลยเข้าไปต่อยคนที่พูดแต่สุดท้ายก็โดนรุมทำร้ายกลับมา จำได้ว่าเจ็บไปทั้งตัว ตั้งแต่นั้นมาเลยไม่กล้ามีเรื่องกับใครอีก ใครจะล้อเลียนก็ปล่อยให้เขาทำไป ถ้าไม่เก็บมาใส่ใจ คำล้อเลียนมันก็แค่คำพูด”แต่ความจริง คำพูดเหล่านั้นมันฝังลึกอยู่ในใจของเด็กหนุ่มเสมอมาก แม้จะพยายามบอกตัวเองสักเท่าไหร่ ลมปากชุ่ยๆของคนอื่นยังคงกดเขาให้ต่ำจมดินอยู่เสมอ

“พอ...พ่อออกไปจากบ้าน แล้วผมถูกส่งไปอยู่บ้านอุปถัมภ์ เลยต้องเปลี่ยนโรงเรียนใหม่ด้วย ซากุราอิซังเขาเป็นคนแรกที่เข้ามาทัก แต่ตอนนั้นผมไม่อยากคุยกับใคร ที่จริงผมไม่อยากไปโรงเรียนด้วยซ้ำแต่ไม่กล้าบอกใคร แรกๆซากุราอิซังเขาชอบปายางลบใส่ผม ก้อนกระดาษบ้าง เครื่องบินกระดาษบ้าง แต่ชอบทำอะไรแปลกๆที่ดูตลกด้วย ทุกคนในห้องชอบเขาทั้งนั้น จนวันหนึ่ง มีเพื่อนในห้องเขาเดินไม่ระวังจนทำให้ขนมของหวานในมื้อกลางวันส่วนของผมหก แล้วซากุราอิซังก็แบ่งส่วนของตัวเองให้ผม ตอนเด็กๆ ผมตัดสินคนดีกับคนไม่ดีตรงที่ ใครให้ขนมผมเขาเป็นคนดี ใครไม่ให้ขนมกับผมเขาเป็นคนไม่ดี”ประโยคสุดท้ายฮารุโตะพูดพร้อมเสียงหัวเราะ

“ครูที่โรงเรียนไม่เคยสอนหรือว่า ไม่ให้รับของจากคนแปลกหน้า”

“สอนครับ แต่ผมไม่เคยเจอคนแปลกหน้านี่นา”

ซากิได้ฟัง เขายิ่งขมวดคิ้วสงสัย เมื่อฮารุโตะเห็นสีหน้าของหนุ่มรุ่นพี่เขาจึงส่งเสียงหัวเราะออกมาอีกรอบ

“ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆ มีแต่คนไม่รู้จักแต่ไม่เคยคิดว่าใครเป็นคนแปลกหน้าเลย”

ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาบ้าง พอจะเข้าใจได้เลาๆ

“อีกอย่างถ้าไม่ยอมรับมา ผมก็อดกินขนมนะสิ”เมื่อลองคิดย้อนกลับไปอย่างถี่ถ้วน ฮารุโตะคิดว่า ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ย่ำแย่เกินไปนัก เพียงแต่ในยามนั้นเขามัวแต่จมจ่ออยู่กับความทุกข์โศกและความเศร้าเจ็บปวดจนไม่คิดอยากมองสิ่งใดเสียมากกว่า

“ซากุราอิซังเขาดีกับผมมากจริงๆนะครับ ดีจนยามที่เขาหายออกจากชีวิตไป โลกของผมกลายเป็นสีเทาเลยทีเดียว”

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับไปคืนดีกับซากุราอิซังเถอะ”ซากิบอกออกไปในที่สุด แม้จะรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง แต่ตัวเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขัดขวางหนทางของความสุขในชีวิตของใคร

“แต่ผมก็โกรธซากุราอิซังมากเหมือนกัน โกรธคนพวกนั้นด้วย”คราวนี้น้ำเสียงของฮารุโตะมีแต่ความฉุนเฉียวจนซากิยังแปลกใจ เขาเหลือบมองหน้าฮารุโตะซ้ำอีกครั้งก่อนจะบังคับพวงมาลัยเลี้ยวเข้าบ้าน จอดรถยนต์ บิดดับกุญแจและเอี้ยวตัวไปมองฮารุโตะทั้งตัว

“ผมจะแก้แค้นก่อน จะเอาคืนให้ซากุราอิซังสำนึกผิดจริงๆก่อนจะยอมคืนดีด้วย”ฮารุโตะกล่าวบอกแก่หนุ่มรุ่นพี่ด้วยรอยยิ้มและสายตามุ่งมาด

ซากิยกยิ้มตอบรับ “นายมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น”

“เอ่อ อีกเรื่องหนึ่ง”ฮารุโตะพูดขึ้นมาอีกด้วยท่าทางคล้ายกำลังเกรงใจ ซากิพยักหน้ารับเป็นเชิงบ่งบอกให้พูดออกมาได้เลย แม้ว่าเขาจะเอื้อมหยิบอาหารที่ตนสั่งซื้อกลับมาฝากทาคุมิและเปิดประตูลงจากรถก็ตาม ฮารุโตะจึงลงจากรถยนต์พร้อมกับเดินมายืนดักตรงหน้า ชายหนุ่มร่างสูงจึงหยุดยืนเพื่อตั้งใจฟัง

“รุ่นพี่ชิมิซึจ่ายค่าห้องเช่าให้ผมอยู่ใช่ไหมครับ”เขาถามถึงห้องที่ไม่เคยได้กลับไปนอนมาเป็นระยะเวลานานเกือบเดือน

“ใช่”

“รุ่นพี่ไม่ต้องทำแบบนั้นแล้วครับ ผมเสียดายเงิน”

“แล้ว?”ซากิถามต่อ

“ผมจะขออนุญาตเปลี่ยนมาขอเช่าบ้านของรุ่นพี่อยู่แทนจะได้หรือเปล่าครับ”

ซากิมีสีหน้าครุ่นคิด การที่ฮารุโตะทำแบบนี้ก็เหมือนกับให้ความหวัง ทว่าสีหน้าแบบนั้นของชายหนุ่มกลับทำให้ฮารุโตะคิดไปอีกทาง

“ถ้ารุ่นพี่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ”

“เดี๋ยว”ซากิคว้าจับมือของเด็กหนุ่มรุ่นน้องไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะก้าวเท้าหนี เขาไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจเช่นไร  เช่นเดียวกัน การยื้อรั้งฮารุโตะไว้ที่นี่ มันคือความเห็นแก่ตัวของเขา ขณะเดียวกันนั้นเขาไม่อยากให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องต้องรู้สึกอึดอัดใจ เขาจึงทิ้งระยะห่างและปล่อยให้ฮารุโตะได้อยู่กับคนที่ไว้ใจ

สิ่งที่เขาทำไม่ใช่การสำนึกผิดหรืออยากจะชดเชยสิ่งที่เคยทำไว้กับฮารุโตะ แม้ว่าการเข้าหาอีกฝ่ายในช่วงแรกอาจจะมีเหตุผลแอบแฝง แต่เขาคิดดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำล้วนผ่านการไตร่ตรองถี่ถ้วน และเขายอมรับผลจากการกระทำของตัวเองหากมันไม่เป็นไปตามที่หวัง เพียงแต่เขาไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ

“เอาอย่างนั้นก็ได้ ฉันไม่มีปัญหา อย่างนั้นฉันจะบอกแจ้งยกเลิกห้องเช่าของนายเดือนหน้า”

“แล้ว พ่อของรุ่นพี่จะไม่ว่าอะไรใช่ไหมครับ”ฮารุโตะถามเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“ไม่หรอก พ่อไม่ค่อยได้กลับมานอนที่นี่อยู่แล้ว อีกอย่างห้องที่ฉันใช้อยู่เป็นห้องของพี่ชาย เขาคงจะอยู่โตเกียวถาวรเลย”ซากิพูดบอกขณะก้าวเท้าเดินนำเข้าไปในบ้าน

เสียงร้องทักต้อนรับกลับบ้านของทาคุมิดังมาให้ได้ยินก่อนเจ้าตัวจะมาปรากฏตัวยืนตอนรับที่โถงทางเดินหน้าบันไดขึ้นชั้นสอง ซากิจึงยื่นของฝากไปให้

“อะไรครับ แล้ววันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”ของฝากของหนุ่มรุ่นพี่ดูท่าจะไม่ดึงดูดความสนใจของทาคุมิได้เท่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

“ก็อยู่กินข้าวด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบแหละ”ฮารุโตะตอบพลางเดินตามหนุ่มรุ่นพี่เข้าไปในห้องนั่งเล่นที่มีกลุ่มเพื่อนสนิทของชายหนุ่มเจ้าของบ้านนั่งรออยู่กันครบ

“ง่ะ ไม่หนีกลับไปแบบครั้งที่แล้วหรือ รุ่นพี่ชิมิซึไม่ใจเลยอ่ะ”

“ไม่ใจอะไรของแก ทาคุมิ”เรียวตะเอ่ยถาม

“ก็...ไม่ได้ใจไง แทนที่จะทำให้ซาอุราอิโมโหหนีกลับไปแบบผม ว้าว! รุ่นพี่ซื้อมาฝากผมจริงๆหรือครับ”ทาคุมิพูดตอบพร้อมกับนั่งลงเปิดกล่องของฝากไปด้วย ชุดโซฟาของบ้านชิมิซึไม่มีโต๊ะตัวเตี้ยให้วางของ เด็กหนุ่มจึงวางมันไว้บนตักตัวเอง ภาพซูชิและปลาดิบเนื้อสีส้มแวววาวเรียกให้เขาน้ำลายสอ แม้จะทานอาหารมื้อกลางวันไปแล้วก็ตาม เขาจึงรีบลุกนำมันไปวางไว้บนโต๊ะทานอาหาร จัดการเตรียมตะเกียบ ถ้วยน้ำจิ้มโดยไม่คิดจะเอ่ยชวนใคร

“ไม่คิดจะชวนคนอื่นหน่อยเรอะ”เรียวตะเดินตามมาถาม

“ทำไมต้องชวนละครับ รุ่นพี่ชิมิซึเขาซื้อมาฝากผม”

“ฉันยังไม่ได้พูด”ซากิร้องบอก

“อ้าว!”ทาคุมิหน้าเหวอ จนฮารุโตะยังหัวเราะคิกคักมองหนุ่มรุ่นพี่ที่ตอนสั่งอาหารยังบอกเขาว่าจะซื้อมาฝากซาโต้ ทาคุมิแท้ๆ

“เห็นไหม เพราะอย่างนั้นต้องแบ่ง เข้าใจไหม”เรียวตะพูดข่มด้วยท่าทีเหนือกว่า

“อยากกินก็บอกไปตามตรงดีกว่าไหมเรียวตะ”เรย์ร้องแซว เอคิจิจึงพูดแย้งออกมาอีกว่า

“มันไม่ได้อยากกินหรอก ฉันว่ามันอยากแย่งมากกว่า เห็นทาคุมิหน้าบานเลยหมั่นไส้”

“อ้าว!”ทาคุมิร้องอุทานออกมาอีกรอบ พูดประโยคต่อไปด้วยอาการหน้ามุ่ยซ้ำยังแกล้งทำเหมือนจะร้องไห้ “แล้วผมไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ ผมอารมณ์ดีก็ผิดด้วย”

ฮารุโตะหัวเราะ เริ่มรู้สึกคุ้นชินกับการหยอกล้อเล่นกันเช่นนี้ เขาค่อยๆเปิดตามองโลกกว้างใบนี้อย่างช้าๆ โลกที่ไม่มีใครทำร้ายเราได้ นอกจากตัวเราเอง



ฮารุโตะเปิดประตูออกจากบ้านหลังเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านและทาคุมิเสร็จเรียบร้อย เมื่อวันก่อนเขาได้แจ้งขอเปลี่ยนเวลาการทำงานกับผู้จัดการร้าน เพราะไม่อยากให้รุ่นพี่ชิมิซึต้องมาคอยรับส่งตอนหลังเลิกงานอีก แต่กว่าจะได้ย้ายไปทำช่วงเย็นอย่างที่ต้องการ คงต้องรอเวลาหาคนมาทำแทนกะของเขาอีกพักใหญ่

เด็กหนุ่มก้าวเท้าลงจากรถประจำทาง เดินออกห่างจากป้ายหยุดรถมาได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาได้พบกับผู้ชายร่างสูงใหญ่มายืนจังก้าขวางทางอยู่ตรงหน้า ฮารุโตะมองอีกฝ่ายด้วยความตื่นตระหนก ถึงแม้จะพยายามบอกให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้นแต่ใช่ว่าเขาจะขจัดความกลัวที่ฝังอยู่ใต้จิตสำนึกให้หายออกไปได้ง่ายๆ

“ฉันอยากคุยกับนาย”

เขาพยักหน้ารับยืนนิ่งรอฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการพูด หัวใจของเขาเต้นระรัวมองหน้าซากุราอิ ชุนได้เพียงครู่เดียวก็ต้องก้มหน้าหลบ ความคิดในหัววุ่นวายไปหมด ขั้นตอนวิธีการป้องกันตัวที่รุ่นพี่โมริเคยสอนผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด แทรกซ้อนย้อนแย้งกับสิ่งที่โคจิมะ มิชิโอะเคยพูดและสิ่งที่ซากิราอิ ชุนเคยบอกกับเขา

“ไปคุยกันที่อื่นได้ไหม”

ฮารุโตะสั่นศีรษะทันที

“นายก็รู้ว่าพวกนั้นไม่ยอมให้ฉันเจอนายเพียงลำพัง ถ้าพวกนั้นมาเจอ โอกาสที่ฉันพยายามหามามันก็สูญเปล่า”

“ค...คุณควรทำตามที่พวกเขาบอก”เสียงพูดของฮารุโตะอึกอักกระท่อนกระแท่น เพราะเสียงพูดของซากุราอิ ชุนดูเกรี้ยวกราดร้อนรน ทันใดนั้น ร่างของเขาพลันโดนคว้ากระชากเข้าไปใกล้อีกฝ่าย

“ฉันไม่เคยคิดที่จะทำร้ายนาย”

“แต่คุณทำ!!!”ฮารุโตะเถียงกลับทันควัน เขาเกลียดคำพูดนั้นของซากุราอิ ชุนที่สุด เพราะทุกครั้งที่ได้ยินมันเหมือนว่าเขาเป็นคนบ้าสติไม่ดีจนเห็นภาพหลอนทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”น้ำเสียงของชุนอ่อนลง

“ปล่อย! ปล่อยผม!”ฮารุโตะร้องบอก เขาไม่อยากคุยกับชุนแล้วทว่าชุนกลับไม่ปล่อยเขาง่ายๆ

ฮารุโตะโดนรวบตัวยกลอยขึ้นจากพื้น การกระทำนั้นทำให้เขาตื่นตระหนกจนต้องดีดดิ้นกรีดร้อง ผู้คนที่สัญจรอยู่บนท้องถนนเริ่มหันมองพวกเขาด้วยความสนใจ ชุนหันรีหันขวางแต่เขาแก้ตัวว่าร่างเล็กในวงแขนเป็นน้องชายของเขาที่หนีออกจากบ้านมา พลางใช้จังหวะเวลาที่ดูชุลมุนนั้นล้วงหยิบของในกระเป๋าขึ้นมาปิดปากฮารุโตะไว้ พร้อมกับฉวยโอกาสรีบเดินไปขึ้นรถซึ่งจอดไว้ไม่ห่าง

กลิ่นหอมเอียนจากผ้าเช็ดหน้าที่ถูกปิดทับบนจมูกทำให้สติของฮารุโตะพร่าเลือนลงพร้อมกับเรี่ยวแรงที่เหมือนพร้อมจะหมดลงทุกเวลา แม้จะรู้ตัวว่าถูกพาขึ้นรถยนต์ แต่เขากลับไม่เหลือแรงกำลังในการช่วยเหลือตัวเองอีกแล้ว



+++++โปรดติดตามตอนต่อไป+++++



หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 25 : 17/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 17-04-2017 07:00:21
 :katai1: ว่าแล้วเชึยว  ตอนแรกคิดว่าชุนจะซื้อปืนเพื่อไปจัดการกับซากิเสียอีกแต่ก็เปลี่ยนใจเพราะว่าถึงกำจัดซากิได้ก็ยังมีคนอื่นๆอยู่  ชุนจัดการกับฮารุก็เพราะฮารุเป็นสิ่งเดียวที่ชุนอยากได้  แล้วส่วนตัวก็คิดว่าชุนไม่สามารถที่จะคิดไคร่ครวญอะไรได้มากขนาดนั้น เป็นคนที่ impulsive แล้วก็ act out ตามสัญชาตญาณดิบจริงๆ

คนที่น่ากลัวที่สุดคือพ่อของชุน รู้แต่ไม่แก้ไข ไม่ป้องกัน  คหสตก็คือพ่อชุนใช้ฮารุเป็นตัวมาล่อและควบคุมชุน  แทนที่จะแก้ไขด้วยการพาชุนไปปรึกษากับจิตแพทย์แต่กลับปล่อยให้ชุนมาถึงขั้นนี้  ตาแก่นั่นไม่น่าคิดว่าชุนคือลูกหรอกที่สำคัญกว่าก็คือบริษัทกับตระกูล   ถ้าคุมชุนไม่ได้ก็รังแต่จะทิ้งชุนให้เป็นขยะสังคม   ฮารุไม่ควรอยู่ในการดูแลของตระกูลนี้หรอก  เราไม่คิดว่าทั้งพ่อหรือชุนมีหิริโอตัปปะแต่อย่างใด  เสียใจที่ออกมาแบบนี้แต่ไม่ได้เสียใจที่ทำลงไป

ชุนคิดยังไง?จะพาฮารุไปขัง? หนี? ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสองคน? ถ้าเป็นผู้หญิงก็คงทำจนฮารุท้องจะได้หนีไปไหนไม่ได้งั้นหรือ? ต่อให้ชุนข่มขืนฮารุก็ไม่สามารถทำให้ฮารุรักชุนขึ้นมาได้หรอกค่ะ

ขอบคุณที่มาอัพค่ะ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 25 : 17/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 17-04-2017 08:03:25
ถ้าเกิดว่าการลักพาตัวครั้งนี้ ชุนไม่โวยวาย และฮารุโตะไม่ freakout ผมว่ามันจะเป็นการปรับความเข้าใจที่ดีระหว่างสองคนนี้ได้เลยนะครับ เพราะไม่มีตัวแบ่งและคอยคุมการกระทำ มีแต่ใจจริงของทั้งสองคนล้วนๆ

ถามว่าทำไมผมถึงสนับสนุนการลักพาตัวแบบนี้? เพราะผมมานั่งมองคาแรกเตอร์ชุนดูดีๆ  ส่วนตัว...ผมว่าผมเริ่มสงสารชุน และเริ่มรู้สึกว่าฮารุโตะขาดสติไปหน่อยแล้วน่ะนะครับ

หนึ่ง สังเกตนะครับว่าเราไม่รู้เรื่อง ‘แม่’ ของชุน ผมว่าการที่เด็กจะโตมาแบบก้าวร้าว อีกทั้งยังยึดติดกับความรักของตัวเองอย่างแน่วแน่มั่นคง มันน่าจะมีอิทธิพลมาจากการเลี้ยงดูไม่น้อย ผมคาดว่าชุนน่าจะเสียแม่ไปแล้วนะครับ แต่คงมีเหตุการณ์หรือคำสอนอะไรบางอย่างที่ทำให้ชุนรู้สึกยึดมั่นในความรัก อย่างไรก็ดี เนื่องจากเขาไม่ได้โตมาแบบมีคนคุมพฤติกรรมให้เข้ากับคนได้แบบทั่วไป (ผมว่าฮิเดอากิคงพยายามทำให้ชุนรู้ตัวว่าเขาอยู่เหนือคนทั่วไปมาก ดังนั้น ลักษณะการเลี้ยงดูจึงออกมาแนวที่ว่าคอยป้อนความคิดเชิงใช้อำนาจให้กับชุน) ดังนั้นพอเขารักฮารุโตะ การกระทำมันจึงออกมาในรูปแบบที่รุนแรงและดูเหมือนไม่ได้รับการขัดเกลา (เพราะก็ไม่ได้รับการขัดเกลาด้านความอ่อนโยนจริงๆ ทางพ่อก็คงสอนแนวใช้อำนาจเบ็ดเสร็จแบบไคเร็ตสึ ความเด็ดขาดเพื่อควบคุมคนและผลประโยชน์) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าใจจริงเขาคิดร้าย อยากทำลายหรืออยากให้ฮารุโตะเสียใจ ผมว่าถ้ามีคนจะแกล้งฮารุโตะตรงหน้าชุนกับซากิ คนแรกที่จะโดดเข้าไปเพื่อคว้าฮารุโตะคือชุนครับ

สอง ในขณะที่ชุนมีคนคอยทำให้เขาเริ่มมองภาพจากด้านฮารุโตะแล้ว (อิซามุ, มิชิโอะ, ฮิเดอากิ) ฝั่งฮารุโตะยังไม่มีคนที่คอยพยายามเข้าใจทางชุนอย่างจริงๆจังๆ นาโอโตะก็แค่พูดตามมารยาทคนดี ทาคุมิยิ่งแล้วใหญ่ (อันนี้เราไม่ว่า เพราะมีปมเคยเห็นเพื่อนโดนแกล้งแล้วฆ่าตัวตาย) คนเดียวที่ผมว่าแมนจริงๆในเรื่องนี้คือซากิครับ เพราะแม้จะรู้สึกแปลกๆกับตัวเอง แต่กลับมองอะไรได้ด้วยท่าทางตามสติและเหตุผล

ดังนั้นฮารุโตะจึงรู้สึกว่ามีแต่คนพยายามทำให้เขาไม่อยากให้อภัยชุน และใจแท้ๆของฮารุโตะ แม้ว่าจะไม่ได้คิดอย่างนั้น แต่พอเจอคนพูดเข้าไปมากๆ ด้วยความหัวอ่อนแบบไบแอสเข้าข้างรุ่นพี่ (สังเกตตอนนาโอโตะกับเรย์ทะเลาะกัน แล้วฮารุโตะเข้าข้างเรย์ที่เคยแอบชอบตอนคุยกับทาคุมิ) การกระทำที่ไม่ได้มองเห็นฝั่งของชุนมากๆ มันก็จะทำให้ฮารุโตะคิดแบบที่ฝั่งรุ่นพี่อยากให้คิดได้ (คือไม่อยากให้อภัยชุน) ซึ่งมันถือว่าเป็นการมองที่ค่อนข้างแคบนะครับ

ผมถึงมองว่าฮารุโตะกลัวชุนอย่างขาดสติไปหน่อย เราไม่ว่ากันเรื่อง terror-sensitive ที่คุณกลัวตัวเองจะมีภัย แต่นี่เขาเล่าทุกอย่างให้คุณฟังแล้ว ยอมเงียบและลงโทษตัวเองแล้ว (ถึงจะมีเดือดจนเสียเรื่องทุกครั้งที่มีคนเข้ามาขัดก็เถอะ) ยอมถอยถึงขั้นมาฟังคุณนั่งหนุงหนิงกับซากิแล้ว คุณยังจะมองไม่เห็นเขาอีกเหรอ? ขาดสติไปนิดนึงละมั้งครับ

ผมว่าคนที่จะทำให้ฮารุโตะรู้ตัวว่าการมองโลกควรมองอย่างไรจึงจะเป็นกลาง และรู้ว่าความหัวอ่อนของตัวเองจะเป็นภัยตอนไหน จะเป็นประโยชน์ตอนไหน สอนฮารุโตะได้ว่าไม่ต้องเปลี่ยนนิสัยอะไรของตนเอง แค่รู้ว่าควรอยู่กับใคร มองมุมไหนที่อีกฝั่งไม่มอง และรู้เท่าทันใจของตนเอง......คือ ซากุราอิ ฮิเดอากิ ครับ

ว่ากันตามจริง เพราะบุคลากรชนชั้นไคเร็ตสึถือว่าเป็นบุคคลที่สร้างประโยชน์และมองการณ์ไกลแบบมีวิสัยทัศน์ โดยอิงอยู่บนข้อมูล ‘ที่เป็นอยู่’ ไม่ใช่ ‘ที่ควรจะเป็น’ ครับ เขาจะมองปราดเดียวรู้เลยว่าฮารุโตะมีปัญหาอะไร บุคลิกยังไง นิสัยแบบนี้มีประโยชน์และโทษตรงไหน อยู่กับคนแบบไหนแล้วจะมีผลลัพธ์ยังไงโดยไม่มองว่าดีหรือร้าย แต่ที่ผ่านมาผมว่าฮิเดอากิไม่ได้สนใจฮารุโตะจริงๆจังๆมากกว่าครับ แค่มองว่าอาจจะใช้ควบคุมชุนได้ แต่ฮิเดอากิลืมมองสภาพแวดล้อมและนิสัย รวมถึงปมวัยเด็กของฮารุโตะ ดังนั้นถ้าเขาจะตั้งใจพินิจจริงๆ มันไม่ยากเลยครับสำหรับคนระดับไคเร็ตสึ

แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ผมว่าอันตรายมากเลยนะครับ เพราะต่อให้ชุนกับฮารุโตะไม่สติแตกโวยวายแบบที่ผมสันนิษฐานไปข้างต้น ตัวสร้อยก็ยังเป็นเครื่องบอกตำแหน่งอยู่ดี ทีนี้ก็ต้องมาดูล่ะว่าซากิ(อาจจะรวมถึงเอคิจิ) จะตัดสินใจยังไง จะเข้าใจและใจเย็นพยายามมองแบบแมนๆอย่างที่ซากิพยายามทำ หรือจะทำให้เรื่องวิ่งไปแบบกู่ไม่กลับรึเปล่าครับ

แต่ถ้าเรื่องวิ่งไปแบบกู่ไม่กลับจริงๆ ผมว่าซากุราอิ ฮิเดอากิ สามารถทำให้ทุกอย่างกลับมาอยู่ใต้สภาพ ‘ที่ควรจะเป็น’ อีกครั้ง ด้วยอำนาจบารมีล้นฟ้าได้อย่างไม่ยากเย็นครับ ส่วนตัว ผมค่อนข้างเชื่อมือไคเร็ตสึนะ (หัวเราะ)

ผมว่าซากุราอิ ชุน เหมือนราชสีห์ที่ขาด ‘ความสุข’ ครับ จากสเปเชียล ชุนบอกว่าการอยู่กับฮารุโตะทำให้เขามีความสุข มันเลยทำให้ชุนมองฮารุโตะเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งชีพ เป็นคนสำคัญที่แม้จะตายก็ไม่ยอมเสียไป

โดยปกติ สิงโตย่อมหวงแหนของๆมันอยู่แล้ว ยิ่งกับสัตว์ตัวที่มันปักใจว่าจะดูแลปกป้อง แต่พอมาวันหนึ่งมีคนมาทำร้ายของสำคัญของมัน มันเลยสู้กลับ แต่พอสู้ไม่ได้ มันก็เลยตั้งใจจะไปฝึกด้วยตัวเองเพื่อให้สามารถปกป้องคนที่สำคัญกับมันให้ได้ ปัญหาคือ สิงโตตัวนี้หลงฝูงไปฝึกในแนวทางที่ป่าเถื่อน และยิ่งฝึกก็ทำให้ยิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เพราะเดิมทีสิงโตก็ไม่รู้จักปฏิสัมพันธ์ที่อ่อนโยนอยู่แล้ว เมื่อมันกลับมาเจอของที่สำคัญกับมัน แน่นอนว่าสิงโตตัวนี้อยากให้สิ่งสำคัญนี้กลับมาอยู่กับมันเหมือนเดิม ตอนนี้มันแข็งแกร่งพอจะปกป้องคนสำคัญได้แล้ว แต่มันกลับไม่รู้ว่าจะต้องปฏิสัมพันธ์ยังไงเพื่อให้คนสำคัญยอมให้อภัยมัน

คำถามคือ ถ้าคุณเป็นสัตว์สำคัญของสิงโตตัวนั้น คุณจะมองการที่มันเคยตะปบคุณด้วยธรรมชาติที่ยังไม่ถูกขัดเกลาของมัน และบอกว่าสิงโตตัวนี้ไม่ควรได้รับการอภัย ควรยิงทิ้งซะ หรือคุณจะมองว่าคุณจะสามารถทำให้มันกลับมาเป็นสิงโตที่องอาจ และเป็นคู่ชีวิตของคุณได้อีกครั้งครับ?

เช่นเดียวกับมิอุระ ฮารุโตะ ซึ่งมีความย้อนแย้งบางอย่างที่น่าสังเกตมาก จากที่คุณตีสี่เคยพูดไว้ว่าฮารุโตะอยากได้คนมาแทนพ่อ เลยชอบบุคลิกแบบนาคามูระ เรย์ อันนี้ผมไม่ว่าอะไร แต่ประเด็นของผมอยู่ที่ ผมไม่รู้ว่าฮารุโตะรักชิมิซึ ซากิ เพราะอะไรครับ?

เพราะว่าซากิทำดีด้วย เอาใจใส่ หรือ? ชิมิซึ ซากิ เย็นชาใส่ฮารุโตะก็มีหลายครั้ง แล้วยังไม่นับปัญหาด้านหัวใจของตัวเองที่ค้างคามาตั้งนาน และการมองมิอุระ ฮารุโตะ เป็นคนหรือวัตถุที่จะบำบัดความต้องการ(พอใจ/เสียใจ)จากปมชีวิตของตัวเองได้ ในข้อนี้ถ้าจะมองว่าชุนทำดี, เอาใจใส่ได้ไหม ผมว่าชุนทำได้และทำอย่่างไม่มีเลศนัยยิ่งกว่าซากิอีก

เพราะว่าซากิเป็นคนที่คอยปกป้องหรือ? เหตุผลข้อนี้ก็ตกไปด้วยลอจิกข้อเมื่อกี้เหมือนกันแหละครับ ชุนก็พร้อมทำอยู่แล้ว...หรือเพราะว่าซากิเป็นเซ็กซ์ครั้งแรกของฮารุโตะหรือ? ถ้าจะมองที่จุดนี้ แสดงว่าฮารุโตะเป็นคนที่อ่อนไหวกับความรักง่ายมากจนไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาอะไร และเมื่อมองไม่เห็นตัวเอง ความลังเลโลเลไม่เข้าใจว่าตัวเองต้องการคนแบบไหน ก็จะคอยโผล่ขึ้นมารบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา ทำให้ยิ่งก่อให้เกิดขึ้นเป็นปัญหามากขึ้น

ถ้าฮารุโตะสงบลง อ่านตัวเองให้ออก รู้จักมองอะไรให้กว้างขึ้นและมองจากมุมคนอื่นด้วยความเอาใจใส่แท้จริง มันก็จะทำให้เขาสามารถหลุดจากความปวดร้าวในเรื่องของความรักได้ แต่นี่ยังไม่นับเรื่องการแก้ปมชีวิตของฮารุโตะที่มีตั้งแต่เด็ก ซึ่งผมก็พูดไปหลายครั้งแล้วว่ามันแก้ยังไงครับ

ส่วนซากินี่ผมว่า เห็นนัยยะเหลือบไปมองนาโอโตะหลายครั้งมากๆแล้วครับ คือถ้ายังตัดใจไม่ได้ ก็ลุยไปเลยครับ เลิกสนใจฮารุโตะแล้วเคลียร์หัวใจตัวเองให้เรียบร้อย การเลือกคนหรือหยิบคนมาเป็นเครื่องมือเพื่อการตัดสินใจของตัวเองน่ะมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ เพราะถ้าคุณยังรักเค้าอยู่ มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปให้ความหวังคนอื่น แล้วยิ่งกับฮารุโตะ เขาค่อนข้างอ่อนไหวน่ะนะ เพราะขนาดผมยังสะกิดใจ อย่างนาโอโตะจะไม่รู้ตัวหรือครับ เรื่องคนที่ซากิจะชอบและเหมาะกับเขาผมก็เคยพูดไปแล้ว ถ้ายังลังเลอยู่แบบนี้ มันอาจจะทำให้เครียดอย่างไม่มีเหตุผลได้นะครับ เพราะความลังเลจะทำให้ซากิงงว่าตัวเองรู้สึกอย่างไรกันแน่ แล้วการหยิบฮารุโตะมาผูกกับตัวเองเป็นเรื่องถูกรึเปล่า แล้วถ้าอนาคตมีคนแบบนาโอโตะโผล่ขึ้นมา ซากิจะทำยังไง ถ้ายังไม่เคลียร์ตัวเองให้เรียบร้อย ประเด็นพวกนี้อาจจะฉุดซากิให้ครุ่นคิดได้น่ะครับ
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Chapter 25 : 17/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-04-2017 20:29:59
วิธีนี้ของชุน  จะทำให้ฮารุโตะ ดีกับชุนได้หรือ
คงต้องมีปาฏิหาริย์ละมั้ง
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-04-2017 05:14:11
เรื่องย่อ ตอนที่ 26
มิอุระ ฮารุโตะเด็กหนุ่มกำพร้าที่ออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียวหลังจากอยู่ภายใต้ความดูแลของบ้านอุปถัมภ์เด็กกำพร้ามานานหลายปี ด้วยความที่เป็นเป้าหมายกลั่นแกล้งของพวกเด็กเกเร เขาจึงต้องใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนแบบไม่มีเพื่อนเลยสักคน ฮารุโตะสามารถสอบชิงทุนจนสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้และได้สมัครเข้าชมรมถ่ายภาพเพราะแอบหลงรักนาคามูระ เรย์ ทว่า ตอนนี้หัวใจของเขากำลังแปรเปลี่ยนไปเพราะความใจดีของชิมิซึ ซากิ
ฮารุโตะถูกชุนพาตัวไป แต่ทว่าการกระทำนั้นของชุนมีคนของชมรมถ่ายภาพบังเอิญมาเห็นเช่นเดียวกัน ชายคนนั้นจึงได้โทรบอกซากิ….



春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Chapter 26


ซากิมักจะกลับมาถึงบ้านหลังจากที่ฮารุโตะออกจากบ้านไปครู่ใหญ่ๆ เมื่อลองบิดลูกบิดประตูและพบว่ามันไม่ได้ล็อคเขาจึงเปิดประตูเข้าไปด้านใน เสียงพิธีกรในรายการโทรทัศน์ดังแว่วมาให้ได้ยินทันทีที่ประตูเปิดออก เขาจึงส่งเสียงร้องบอกว่ากลับมาแล้ว พลางสาวเท้าเลี้ยวเขาไปในห้องนั่งเล่นซึ่งมีทาคุมิกำลังนอนดูโทรทัศน์สบายใจเฉิบราวกับอยู่ในบ้านตัวเอง

“พ่อแม่นายไม่ว่าอะไรหรือไง มาค้างที่นี่ได้ทุกวัน”ซากิอดถามด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนอนุญาตให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องมาอยู่ที่นี่ได้ก็ตาม

ทาคุมิขยับตัวลุกขึ้นนั่งด้วยอาการคล้ายจะเกรงใจอยู่เล็กน้อย เขายกยิ้มแหยๆแล้วตอบกลับว่า “บอกว่ามานอนค้างกับฮารุจังน่ะครับ แม่ผมก็บ่นบ้างแต่ไม่ได้ว่าอะไร”

เจ้าของบ้านส่งเสียงหึขึ้นจมูก เดินไปเปิดน้ำใส่แก้วแล้วยกขึ้นดื่ม จากนั้นจึงเดินกลับไปนั่งดูโทรทัศน์กับเด็กหนุ่ม เขาถอดเสื้อสูทตัวนอกวางพาดไว้บนพนักโซฟา แม้ว่ากว่าที่เขาจะได้เริ่มทำงานจริงๆคือเดือนหน้า ทว่าการไปแนะนำตัวกับคนที่บิดาของเขารู้จักไว้แต่เนิ่นๆก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย และการไปกินข้าวกับผู้เป็นบิดาในหลายๆวันที่ผ่านมา ทำให้เขาเริ่มเข้าใจว่า ทำไมพ่อของเขาถึงทำห้องฟิตเนสไว้ในบ้าน

“ถ้ารุ่นพี่หิวข้าวแล้วก็บอกนะครับ เดี๋ยวผมจะไปตั้งโต๊ะให้”

ซากิเหล่มองหนุ่มรุ่นน้องที่ยกยิ้มประจบ ขยับเข้าไปไกลแล้วแกล้งยกมือหยิกแก้ม “น่ารักนะ ทำตัวเหมือนเป็นเมียเลย อยากลองไหม”

ทาคุมิถอยกรูจนแทบร่วงจากโซฟาทำให้ชายหนุ่มเจ้าของบ้านส่งเสียงหัวเราะ

“รุ่นพี่ชิมิซึอย่ามาล้อเล่นอะไรแบบนี้นะครับ”

“กลัวหวั่นไหวหรือ”

ทาคุมินิ่งอึ้งชะงักงัน ในศีรษะว่างเปล่าได้แต่อ้าปากพะงาบๆ “บ...บ้า” แล้วยิ่งอยากมุดดินหนีเมื่อหลุดคำต่อว่าต่อขานที่แสนหน่อมแหน้มนั้นออกไป ซากิยิ่งหลุดหัวเราะเสียงดัง

“ผม... ผมจะฟ้องฮารุโตะ”ทาคุมิยิ่งเศร้าใจเมื่อคำพูดข่มขู่ของเขาร้ายกาจรุนแรงได้แค่นี้เอง

ชายหนุ่มเจ้าของบ้านยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับโทรศัพท์มือถือที่มีสัญญาณเรียกเข้า เขากดรับสายหลังอ่านรายชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอซึ่งเป็นรุ่นน้องในชมรมถ่ายภาพ

“รุ่นพี่ชิมิซึครับ ผมเห็นมิอุระคุงถูกใครไม่รู้อุ้มพาขึ้นรถไป”

“เอ๊ะ! อะไรนะ”เขาถามซ้ำเพราะนึกว่าตัวเองฟังผิดซึ่งคำตอบจากปลายสายยังเป็นประโยคเดิม

“ใจเย็นๆนะ ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน”

ปลายสายบอกตำแหน่งที่อยู่แถวป้ายหยุดรถประจำทางซึ่งห่างจากร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษไม่ไกล

“เห็นป้ายทะเบียนไหม”

“ขอโทษครับ ผมไม่ทันมอง พอดีเดินมาเห็นคนหยุดดูอะไรสักอย่าง สังเกตอีกทีก็เห็นมิอุระคุงถูกผู้ชายตัวใหญ่ๆอุ้มขึ้นรถไปแล้วครับ มันเร็วมากไม่ทันนึกอะไรเลย ผมเลยโทรมาหารุ่นพี่ก่อนนะครับ”

“ขอบใจมากที่โทรมาบอก ไม่เป็นไรแล้ว ถ้าคืบหน้าอย่างไรไว้จะโทรบอก”ซากิกดตัดสาย แล้วต่อโทรศัพท์หาเอคิจิพลางสาวเท้าก้าวขึ้นไปบนห้องนอนที่เขาใช้อยู่ในปัจจุบัน 

ทาคุมิเดินตามมาไม่ห่าง เขายังไม่ได้ยินชัดเจนว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่รู้สึกได้ว่ามันต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่นอน

“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”คำถามของเขาถูกละเลยไม่ได้รับคำตอบ มองหนุ่มรุ่นพี่หยิบโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ กดเปิดเครื่องแต่หน้าจอยังเป็นสีดำสนิท แล้วส่งมันมาให้เขา

“เสียบชาร์จแบ็ตให้หน่อย”พร้อมกับส่งสายชาร์จให้เขา ปากก็กรอกเสียงพูดกับปลายสาย

“มิอุระถูกลักพาตัวไป”

สิ่งที่รุ่นพี่พูดออกมาทำให้ใจของทาคุมิร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่มด้วยเช่นเดียวกัน

“เฮ้ย แกรู้ได้ไงวะ”

“จริงหรือครับ”

ซากิมองเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ก้าวเข้ามาประชิดตัวพร้อมส่งเสียงถามด้วยสีหน้าร้อนรน พาให้นึกสับสนเพราะไม่รู้ว่าควรที่จะตอบคำถามของใครก่อน พลันสายตาเหลือบไปเห็นโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องที่ยังคงเป็นหน้าจอสีดำสนิทในมือของอีกฝ่าย จึงบอกทาคุมิให้เร่งชาร์จโทรศัพท์

“มุราซาวะโทรมาบอก หมอนั่นเห็นตอนที่มิอุระถูกอุ้มขึ้นรถ”

“ซากุราอิ ชุนหรือวะ”

“ไม่รู้ฉันยังไม่ได้เช็ค ฉันแค่โทรมาบอกแกให้เตรียมตัวไว้ก่อน”

“แล้วแกจะหาฮารุจังเจอได้อย่างไร”

ซากิยังไม่ตอบ เขาสำทับปลายสายให้เตรียมตัวไว้จากนั้นจึงตัดสาย และกดโทรศัพท์โทรหาโองาวะ อิซามุ เขารอฟังสัญญาณจนกระทั่งปลายสายถูกตัดไป จึงโทรกลับไปหาเอคิจิอีกครั้ง

“ฝั่งโน้นเงียบกริบไปไม่ยอมรับสายว่ะ ฉันจะไปดูที่บ้านนั้น”

“แกไม่จำเป็นต้องไปหรอก ฉันบอกให้สายตรวจไปดูให้แล้ว อีกเดี๋ยวฉันจะโทรไปบอก”

ซากิจึงหันไปดูโทรศัพท์มือถือที่ภาพหน้าจอระบุสถานะกำลังประจุพลังงาน

“ฮารุจังโดนลักพาตัวไปจริงหรือครับ”ทาคุมิถาม

“อาจจะเป็นไปได้ มีคนในชมรมเห็นตอนที่มิอุระซังถูกอุ้มขึ้นรถไป”

“ถ้าอย่างนั้นเราไปแจ้งตำรวจกันสิครับ จะรออะไรอยู่”

“เรื่องตำรวจไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเอคิจิจัดการให้”

“แต่ถ้าเราไม่รีบออกไปตาม เราจะหาฮารุโตะเจอหรือครับ”ทาคุมิถามด้วยอาการกระวนกระวาย

“ใจเย็นๆน่า”ซากิร้องปรามเสียงดัง “ฉันไม่ให้เหตุการณ์ที่มิอุระหายไปไหนไม่มีใครรู้ หาอย่างไรก็หาไม่เจอเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามหรอกนะ”

จังหวะนั้นหน้าจอโทรศัพท์พลันสว่างขึ้นบ่งบอกว่าเครื่องมือสื่อสารเครื่องนี้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ชายหนุ่มยืนรอการตรวจสอบของระบบปฏิบัติการอย่างใจเย็น กระทั่งหน้าจอแสดงสถานะพร้อมใช้งาน เขาหยิบขึ้นมาเปิดเข้าแอพพลิเคชั่นที่จ้างให้รุ่นน้องในมหาวิทยาลัยซึ่งรู้จักกันเขียนไว้ให้ แล้วเปลี่ยนไปเสียบสายชาร์จโทรศัพท์เข้ากับแบตเตอรี่สำรอง

“ไปเอาของส่วนตัวของนายมา เราจะออกไปข้างนอกกัน”

ทาคุมิพยักหน้ารับคำ เดินกลับไปหยิบกระเป๋าเงินกับโทรศัพท์มือถือแล้วตามไปสมทบกับหนุ่มรุ่นพี่ที่หน้าบ้าน ปิดล็อคประตูหน้าบ้านและประตูรั้วก่อนจะก้าวขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ ซึ่งขณะนั้นหนุ่มรุ่นพี่กำลังวางสายจากผู้จัดการร้านที่ฮารุโตะทำงานพิเศษพอดี

“รุ่นพี่รู้แล้วหรือครับว่า จะหาฮารุจังเจอได้ที่ไหน”

หนุ่มรุ่นพี่ส่งโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมาให้ ภาพที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอเป็นแผนที่ของเมืองและมีจุดตำแหน่งแสดงการเคลื่อนที่คล้ายแอพพลิเคชั่นนำทางชื่อดัง

“จุดสีฟ้านั่นแหละที่อยู่ของมิอุระ”

ซากิจอดรถยนต์รับเพื่อนสนิทซึ่งรออยู่หน้าบ้าน ทันทีที่เอคิจิก้าวเท้าเข้ามาในรถฝ่ายนั้นก็พูดว่า

“คนบ้านนั้นโดนวางยานอนหลับกันทั้งบ้าน งานนี้ดูเหมือนซากุราอิ ชุนจะเป็นคนทำจริงๆ”

“ก็ดี ฉันรออยู่เหมือนกัน”ซากิพูดพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้ย แกตามสัญญาณมือถือของฮารุจังหรือวะ”เอคิจิร้องถามเมื่อหันไปเห็นภาพแผนที่ในโทรศัพท์ที่ทาคุมิถืออยู่

“ก็ทำนองนั้น”ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำหน้าที่ขับรถเอ่ยตอบ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ใช่อย่างที่เพื่อนสนิทพูดแต่มันก็ใกล้เคียง

“จะบอกคนอื่นหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวแตกตื่นกันไปใหญ่ ฉันอยากให้ตำรวจจับหมอนั่น แกช่วยฉันได้หรือเปล่า”ซากิพูดบอกขณะขับรถไปตามเส้นทางที่ฮารุโตะถูกพาไป ตำแหน่งบนหน้าจอโทรศัพท์ยังเคลื่อนที่ต่อไปเรื่อยๆ ซากิจึงไม่จำเป็นต้องรีบเร่งขับตาม

“ไม่มีปัญหา มีคนเห็นฮารุจังถูกพาขึ้นรถไปด้วยใช่ไหม ถ้าอย่างไรช่วยเตี๊ยมกับฮารุจังด้วยแล้วกัน”

“หยุดแล้วครับ ฮารุโตะหยุดเคลื่อนที่แล้วครับ ถนนหมายเลขหกสิบสี่”ทาคุมิบอกเขตพื้นที่ซึ่งปรากฏข้อมูลอยู่บนหน้าจอ ตำแหน่งที่ว่าห่างจากจุดที่พวกเขาอยู่ไปไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง ซากิไม่เข้าใจเลย ถ้าจะบังคับพาลักพาตัวฮารุโตะ ทำไมต้องหยุดพักที่ใกล้ๆเพียงแค่นี้ด้วย



ซากุราอิ ชุนจอดรถและยกมือขึ้นกุมศีรษะเมื่อรู้สึกว่าเรื่องราวเริ่มจะเลยเถิดอีกแล้ว เขามองฮารุโตะซึ่งหลับคอพับอยู่บนเบาะข้างๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ยาสลบกับฮารุโตะ แต่ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเตรียมมันไว้ ยานี้ออกฤทธิ์สองสามชั่วโมงนั่นหมายความว่าเขาต้องรออย่างมากสามชั่วโมงกว่าจะได้คุยกับฮารุโตะอีกครั้ง เมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขาจึงลงจากรถยนต์เดินลงไปกดเช่าโรงแรมที่ตู้อัตโนมัติ และกลับมาอุ้มพาฮารุโตะเข้าไปด้านใน

คำนวณตามเวลา พวกมิชิโอะต้องฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วพวกนั้นต้องมาตามเขากลับไป ชุนเดินคิดวนเวียนด้วยความกระวนกระวาย เขาแค่อยากได้เวลาที่จะใช้คุยกับฮารุโตะเพียงลำพังเท่านั้นเอง ทำไมมันถึงได้ยุ่งยากวุ่นวายขนาดนี้ เขาหุนหันออกจากห้องไปอีกครั้ง คราวนี้เขากดถอนเงินออกมาจากตู้เอทีเอ็มจำนวนมาก

ชุนไม่ได้อยากทำให้ใครเดือดร้อน แต่เขาจำเป็นต้องถ่วงเวลาเพื่อรอให้ฮารุโตะตื่นอีกครั้ง เด็กหนุ่มจ้องมองใบหน้าเนียนใสซึ่งพริ้มตาหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนของโรงแรม เขาใช้ปลายนิ้วลากสัมผัสบนผิวแก้มเนียนนุ่ม หวนนึกย้อนถึงวันเวลาที่พวกเขาเคยได้ใช้ร่วมกัน



ซากิเงยหน้ามองป้ายโรงแรมตรงหน้าด้วยความร้อนรน มองเอคิจิซึ่งยังคุยติดต่อกับคนดูแลตึก มีตำรวจอีกสองนายยืนเฝ้าอยู่ทางเข้าด้านหน้า เขาไม่อยากนึกถึงสาเหตุที่ชุนพาฮารุโตะเข้ามาพักที่นี่ แต่มันอดคิดไม่ได้จริงๆ เขาไม่เคยนึกรังเกียจถ้าหากฮารุโตะเกิดต้องพลาดพลั้งมีอะไรกับคนอื่น เพียงแต่เขานึกกังวลถึงจิตใจของฮารุโตะก็เท่านั้น

เขายอมรับว่าเขาไม่ใช่คนดี ช่วงแรกๆเขาใช้ยาบังคับขืนใจเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ฮารุโตะถึงต่อต้านไม่ไว้ใจเขาเรื่อยมา แม้อีกฝ่ายจะพอมีใจให้เขาในระยะหลังๆแต่เรื่องที่เขาเคยทำไว้มันไม่เคยจางหายไป ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่อยากให้เด็กหนุ่มเจอเรื่องแย่ๆซ้ำๆซากๆ

“ได้แล้ว”เอคิจิเดินกลับมาบอก เดินนำตำรวจสี่นายเข้าไปด้านใน พวกเขาปล่อยให้เจ้าหน้าที่ประจำตำแหน่งหน้าประตูก่อนจะหมุนลูกบิดเปิดประตูเข้าไป ทว่าภายในห้องกลับว่างเปล่า

ทาคุมิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู “เขาออกไปแล้ว” ร้องออกมาเมื่อจุดสีฟ้าเคลื่อนที่ออกไปอีกครั้ง

“หมอนั่นมันรู้ว่าพวกเราตามมา?”เอคิจิถาม

“อาจจะแค่บังเอิญ”ซากิตอบ รับกระเป๋าของฮารุโตะและโทรศัพท์มือถืออีกเครื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งถูกพบอยู่ในห้อง “ซากุราอิ ชุนคงรู้ตัวว่าจะมีคนตามมาแน่นอน”

“แกไม่ได้ตามสัญญาณโทรศัพท์”

ซากิยังไม่ตอบข้อสงสัยของเพื่อนสนิท กระนั้นเอคิจิไม่ได้คิดจะซักไซ้ต่อ “ฉันว่าก็ดีแล้ว ถึงอย่างไรเรายังรู้ตำแหน่งของฮารุจัง และเราไม่ควรที่จะทำให้หมอนั่นรู้ตัว”

ซากิพยักหน้ารับเห็นด้วย ยื่นมือรับโทรศัพท์มาจากทาคุมิ เดินนำออกมายืนรวมกลุ่มกันหน้าตึก สายตามองตำแหน่งของฮารุโตะซึ่งกำลังเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา จนแน่ชัดว่าอีกฝ่ายใช้เส้นทางพิเศษสายโจบัน

“หมอนั่นจะไปฟุคุชิม่า”เขาพูด เริ่มเดาได้ว่า ซากุราอิ ชุนจะพาฮารุโตะไปที่ไหน

“โรงเรียนประถมอย่างนั้นหรือ”เอคิจิถาม

“เราจะไปดักกันที่นั่น”

พวกเขาจึงหันไปขอบคุณตำรวจทั้งสี่นายที่ให้ความช่วยเหลือ ก่อนจะรีบก้าวขึ้นรถยนต์อีกครั้ง คราวนี้ซากิเหยียบคันเร่งเต็มที่ แม้เขาจะมีโอกาสตามซากุราอิ ชุนได้ทันกลางทาง แต่เพราะไม่รู้ทะเบียนรถยนต์ที่ชุนใช้ จึงไม่อยากเสียเวลาตามหา สู้ไปดักรอและทำให้จบที่นั่นเลยน่าจะดีกว่า

“เคลียร์ตำรวจให้ด้วย ฉันอาจจะใช้ความเร็วเกินกำหนด”

“ทำไมแกไม่ขอตำรวจนำทางด้วยเลยวะ”

“ฉันกลัวว่ามันจะลำบากแกเกินไป ขอแค่ตำรวจไปดักรอจับซากุราอิ ชุนที่ปลายทางก็พอแล้ว”

“ทำไมแกอยากให้หมอนั่นโดนจับนัก”

“ลืมไปหรือไง ที่จริงฉันอยากเล่นพวกมันทุกตัวแต่แกไม่ยอมเอง”

“เออๆ”เอคิจิตอบรับไปส่งเดช ขณะกดโทรศัพท์โทรออกจัดการเรื่องตามที่เพื่อนสนิทต้องการ ฝ่ายทาคุมิได้แต่นั่งฟังรุ่นพี่ทั้งสองคุยกันโดยไม่รู้รายละเอียดเนื้อหา กระนั้นเขาก็เปิดโสตประสาทรับข้อมูลมากที่สุด

“อ่ะนี่”ซากิส่งโทรศัพท์มือถือของตนให้เพื่อนที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ “ส่งข้อความให้หน่อย” ชายหนุ่มบอกชื่อคนติดต่อและข้อความที่ต้องการส่งไป ในหน้ากระดานการพูดคุยไม่มีประวัติการสนทนาใดๆทั้งสิ้น

“โอเคเนี่ยนะ อีกฝั่งจะรู้เรื่องหรือวะ ไม่เห็นแกคุยอะไรไว้เลย”

“เออน่า ไม่ต้องถามมากหรอก”ซากิพูดอย่างนึกรำคาญ ทำให้เอคิจิส่งเสียงบ่นอีกนิดหน่อย

หลังจากนั้นซากิจึงหันไปตั้งสมาธิกับการขับรถ เขาเหยียบคันเร่งปาดแซงรถยนต์ทุกคันที่วิ่งอยู่บนท้องถนน

“อ๊ะ”จู่ๆทาคุมิก็ร้องออก “รถยนต์ที่ฮารุโตะนั่ง อยู่ที่ด่านเก็บเงินเมื่อกี้ครับ”

“เห็นหรือ”เอคิจิเอี้ยวหน้ามาถาม

“เปล่าครับ ตำแหน่งที่อยู่ของฮารุโตะที่อยู่บนโทรศัพท์เพิ่งถึงด่านเก็บเงินที่เราเพิ่งผ่านมาเมื่อกี้เองครับ”

“ดี คราวนี้เราจะได้ไปถึงก่อนหมอนั่นแน่นอน”

“รุ่นพี่แน่ใจได้อย่างไรครับว่า ซากุราอิจะไปที่โรงเรียนประถม”

“เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของพวกเขาทั้งคู่ไง ซากุราอิ ชุนอยากจะคืนดีกับมิอุระใจจะขาด มันมีแค่สถานที่แห่งเดียวที่จะยืนยันว่า ทุกสิ่งที่ซากุราอิ ชุนทำ เขาไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องทุกอย่างมันรุนแรงเลยเถิด”ชายหนุ่มอธิบาย และแม้จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายดีแค่ไหน เขาก็ไม่ให้อภัยแล้ว เพราะถือว่าชุนได้ทำตัวนอกกฎเกินกว่าจะยกโทษให้ได้

“อ้าว แกก็รู้แล้วยังจะไปขวางเขาอีก”

“มิอุระบอกว่าจะยอมคืนดีกับซากุราอิ ชุน”ซากิบอกออกมา “แต่จะเอาคืนและทำให้ซากุราอิสำนึกผิดจริงๆเสียก่อน แกคิดว่าควรจะให้อภัยคนที่พยายามใช้สูตรโกงไหมล่ะ”สำหรับเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เมื่อทำในสิ่งที่ผิดต้องรู้จักยอมรับว่าทำผิด และเมื่ออยากได้รับการยกโทษต้องรู้จักชดเชยในสิ่งที่เท่าเทียมกัน คำพูดลมปากว่าสำนึกผิดมันไม่สามารถชดใช้น้ำตาและความสูญเสียของผู้ถูกกระทำได้

“ผมเห็นด้วยกับรุ่นพี่ชิมิซึ รุ่นพี่โมริน่ะเก่งจะตาย ไม่รู้หรอกว่าคนที่ต้องเป็นเหยื่อการกลั่นแกล้งในโรงเรียนมันเลวร้ายขนาดไหน”ทาคุมิพูดขึ้น เอคิจิจึงหันไปว่า

“พูดอย่างกับรู้ดี”

“รู้แล้วกัน”ทาคุมิเถียงกลับทันควัน

“เออๆ งั้นก็ตามใจ”

ชายหนุ่มผู้ซึ่งอยู่ในตำแหน่งสารถีส่งเสียงหึขึ้นจมูก “แกขวางไม่ได้อยู่แล้ว”

ใช้เวลาหลังจากนั้นอีกไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงจุดหมาย ซากิขับรถให้จอดเลยไปอีกไกลและเดินย้อนกลับมา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนายที่เอคิจิติดต่อไว้มายืนรออยู่แล้ว

“มาแค่นี้เนี่ยนะ”ซากิกระซิบถาม

“เออ จะให้มาทั้งกองร้อยหรือไง นี่ฉันใช้เส้นสั่งให้เจ้าหน้าที่ที่เขาออกจากเวรแล้วมาช่วยนะ แกต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้ด้วย”เอคิจิหันไปกล่าวทักทายตำรวจทั้งสองนายที่ถูกส่งมาช่วย พร้อมกล่าวย้ำว่าเขาต้องการให้ช่วยจับใคร

ประตูรั้วลูกกรงเหล็กด้านหน้าถูกล็อคไว้ด้วยแม่กุญแจ  ซากิและเอคิจิมองหน้ากันก่อนที่ลูกหลานนายตำรวจจะพยักพเยิดให้เพื่อนร่างสูงจัดการ ซากิจึงหยิบอุปกรณ์ซึ่งถูกเก็บไว้ในกระเป๋าเงินออกมาสะเดาะกุญแจ จากนั้นพวกเขาจึงหาที่ซ่อนตัวเพื่อรอเวลาให้ซากุราอิ ชุนจะมาปรากฏตัว ทาคุมิถือโทรศัพท์ไว้ในมือตลอดเวลา

“แถวนี้มันถิ่นของซากุราอิ ฮิเดอากิ แกคิดว่าจะเอาลูกชายเส้นใหญ่แบบนั้นเข้าคุกได้หรือวะ”

“ฉันรู้ว่าทำไม่ได้อยู่แล้ว แค่อยากจะให้นี่เป็นจุดเริ่มของแผนที่ฉันจะทำต่อเท่านั้น”

“มาแล้วครับ”ทาคุมิกระซิบบอกกดปิดหน้าจอดโทรศัพท์มือถือ เอคิจิจึงส่งสัญญาณบอกนายตำรวจทั้งสองคน เสียงเครื่องของรถยนต์ดังมาจอดอยู่ไม่ไกลจากหน้าประตูโรงเรียนก่อนทุกอย่างจะเงียบลงอีกครั้ง

ช่วงเวลาที่พวกเขามาถึงนับว่ายังไม่ดึกมาก แต่เพราะแถบนี้มีแต่บ้านเรือนที่อยู่อาศัยซึ่งในยามนี้กำลังเป็นช่วงเวลาทานอาหารเย็นของหลายๆครอบครัว ซ้ำในโรงเรียนประถมยังไม่มีชมรมกีฬาที่ชอบอยู่ซ้อมกันดึกๆดื่นๆ ท้องฟ้าสีดำมืดเบื้องบนจึงเป็นใจให้บรรยากาศโดยรอบเงียบกริบ

เสียงเปิดปิดประตูรถยนต์ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าเบาๆมาหยุดที่หน้าประตูรั้ว พวกเขาซึ่งแอบซ่อนอยู่โดยใช้ความมืดพรางตัวรู้สึกราวกับเวลาเดินผ่านไปแสนเนิ่นนานกว่าเสียงเสียดสีของรางเลื่อนประตูจะดังขึ้น พวกเขาได้ยินเสียงเปิดปิดประตูรถยนต์ดังขึ้นอีกรอบ และอีกชั่วอึดใจต่อมา เงาร่างของชายหนุ่มร่างสูงซึ่งแบกอะไรบางอย่างไว้บนหลังก็เดินผ่านเข้าไป

ที่ประตูทางเข้าอาคารมีหลอดไฟถูกเปิดไว้เพื่อให้แสงสว่าง พวกเขาจึงได้เห็นว่าสิ่งที่ชุนแบกไว้บนบ่าคือร่างที่ดูคล้ายไม่มีสติของมิอุระ ฮารุโตะ

ทาคุมิทำท่าจะวิ่งเขาไปหาซากุราอิ ชุนเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าไม่โดนหนุ่มรุ่นพี่ผู้เป็นเจ้าของแผนการในค่ำคืนนี้สั่งห้ามไว้

พวกเขาเดินตามเข้าไปในอาคารซึ่งมีของหลายอย่างดูเล็กกว่าปกติเพื่อให้เหมาะกับเด็กชั้นประถม ตามไปซุ่มอยู่หน้าห้องที่ซากุราอิ ชุนพาฮารุโตะเข้าไป

“จำได้หรือเปล่า”เพราะทั้งอาคารมีแต่ความเงียบ พวกเขาจึงได้ยินเสียงของชุนชัดเจน ซากิแอบมองผ่านช่องประตูที่ชุนเปิดทิ้งไว้

“วันแรกที่นายย้ายมาเรียนที่นี่ นายน่ะไม่ยิ้มเลยแถมใครชวนคุยก็ไม่ยอมคุยด้วย”ชุนโอบร่างเล็กบางของฮารุโตะไว้ในอ้อมกอด ศีรษะของอดีตเพื่อนสนิทวางอยู่บริเวณลาดไหล่

“หยิ่งซะจนหลายคนหมั่นไส้ หลายคนที่ว่าก็ฉันเองล่ะ”ชุนหัวเราะ “ก็อุตส่าห์ชวนคุยแล้ว มาเมินกันได้อย่างไรล่ะ ตอนที่นายเมินกัน หัวใจมันเจ็บจี๊ดๆเลย เพิ่งมารู้ตอนนี้แหละว่าตกหลุมรักนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ แก่แดดเนอะว่าไหม ตอนนั้นเพิ่งสิบสองเอง”

และน้ำเสียงในประโยคต่อมาก็เศร้าสลดลง “ขอโทษนะที่ทิ้งนาย ขอโทษที่คิดถึงแต่ตัวเอง ขอโทษที่ทำให้นายเจ็บปวด ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้นายถูกทำร้าย สำนึกผิดแล้วจริงๆนะ”

เสียงแผ่วเบาของชุนทำให้ซากิหลับตาลงแล้วนึกทบทวนอีกครั้ง ย้ำทวนความคิดของตัวเอง และตัวเขาเองล่ะเอาสิทธิที่ไหนไปขโมยความสุขและลงมือตัดสินคนอื่น

เอคิจิพิมพ์ข้อความใส่ในโทรศัพท์มือถือส่งมาให้เขาอ่าน

“จะรอไปถึงเมื่อไหร่”

ซากิกัดฟันใช้ทุกเซลล์สมองขบคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า และพิมพ์ข้อความตอบกลับไป “อีกเดี๋ยว รอฮารุโตะฟื้นก่อน”

“ถ้าต้องรอกันทั้งคืน”

พวกเขาไม่ต้องรอกันทั้งคืนอย่างที่เอคิจิคาดเดา เมื่ออีกไม่กี่นาทีต่อมา เสียงบุคคลที่สองซึ่งอยู่ในห้องก็ดังลอดออกมาให้พวกเขาได้ยิน

“ปล่อย!!!”

ฮารุโตะรีบเด้งตัวออกห่างเมื่อสติการรับรู้กลับมาเป็นปกติ เขากวาดมองภาพรอบกายที่มืดสนิท ชั่วขณะหนึ่งที่ก้อนเมฆลอยผ่านพ้นแสงสะท้อนของดวงจันทร์ ภายในห้องจึงสว่างมองเห็นชัดเจน

“ห้องเรียน?”ฮารุโตะพึมพำออกมาอย่างสับสน

“โรงเรียนประถม”ชุนย้ำบอก

“พาผมมาทำไม”ฮารุโตะถามเสียงสั่น ความรู้สึกโหยหาวันวานที่แสนสุขพวยพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึก เขาคิดถึงแต่อีกใจหนึ่งนึกอยากให้ตัวเองไม่เคยพบเจอกับชุนด้วยเช่นกัน หลายครั้งหลายหนที่เขาคิดว่าถ้าเขาและชุนไม่เคยพบไม่เคยเป็นเพื่อนกันมาก่อนมันจะเป็นเช่นไร

“ฉันแค่อยากคุยกับนาย”

“แต่เราเคยคุยกันไปหลายรอบแล้ว”ฮารุโตะตะโกนบอกเสียงดัง ภายในใจมีแต่ความอึดอัด ไม่ชอบใจ ระแวงและหวั่นกลัว รู้สึกไม่สบายใจที่จู่ๆก็ถูกพาตัวมาที่ไหนโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว

“ใช่!!! ใช่แล้ว!!! แต่ทุกครั้งมันต้องมีไอ้พวกนั้นอยู่ด้วยตลอด”ชุนเสียงดังขึ้นมาบ้าง ถลาเข้าไปจับตัวฮารุโตะไว้

เมฆหนาเคลื่อนที่เข้าบังแสงจันทร์อีกครั้ง ภาพร่างกายใหญ่โตเบื้องหน้าจึงคล้ายกับปีศาจที่ติดตามาจากวัยเยาว์ ร่างกายของเด็กหนุ่มสั่นสะท้าน ในสติมีแต่ความหวาดกลัวเข้าครอบงำ ต้องหนี…. เขาต้องหนี….

‘แล้วถ้านายหนีไม่ได้ล่ะ’ ทว่าคำถามนั้นกลับผุดขึ้นมา

“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าคำพูดที่นายพูดกับฉัน มันจะเป็นสิ่งที่นายคิดจริงๆ”

ฮารุโตะดึงสติกลับมาอยู่ที่คำพูดของชุนอีกครั้ง รู้สึกว่าภาพตรงหน้าโคลงเคลงจนต้องเท้ามือกับโต๊ะเรียนตัวเล็กด้านหลัง

“ฮารุโตะที่ฉันรู้จักไม่ทำแบบนั้นหรอก”

“เวลามันผ่านไปแล้ว ตัวผมที่คุณรู้จักก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นธรรดา ...เหมือนคุณ ชุนที่ผมรู้จักก็ไม่เคยทำอย่างที่คุณทำเหมือนกัน”

“นายเปลี่ยนไปเพราะไอ้นั่นใช่ไหม”

ฮารุโตะแค่นหัวเราะ “ทำไมถึงเอาแต่โทษคนอื่น ในเมื่อคุณเป็นคนทำให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างนี้เอง ทำไมต้องโยนความผิดให้คนอื่น

“ฉันไม่ได้ทำ!!!”

“คุณทำ คุณโทษคนอื่น คุณทำร้ายผม คุณทำทุกอย่าง”

“ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันขอโทษ”

“คำขอโทษของคุณมันไร้ประโยชน์ มันชดเชยความเสียใจของผมไม่ได้ มันชดใช้ความเจ็บปวดที่ผมได้รับไม่ได้”

“นี่มันไม่ใช่ความคิดของนาย มันไม่ใช่นิสัยของนาย”ชุนพูดพลางมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

“แล้วผมจะต้องมีนิสัยอย่างไรหรือ”ฮารุโตะถามกลับ ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวลงซ้ำยังรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากจะอาเจียนออกมา

“นายอ่อนโยนกว่านี้ ใจดีและไม่เคยคิดแค้นใคร”

“เหรอ... ผมต้องเป็นคนใจดีที่รอให้คนอื่นมาเหยียบย่ำรังแกอย่างนั้นสิ”

“ฉันบอกว่าขอโทษไง สำนึกผิดแล้ว ให้อภัยกันไม่ได้หรือไง”
หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-04-2017 05:15:53

ซากิยังนั่งนิ่งฟังสองคนที่พูดคุยโต้ตอบ ปล่อยให้ทั้งเพื่อนและรุ่นน้องผุดลุกผุดนั่งด้วยอาการไม่เป็นสุข กระนั้นเสียงโครมครามซึ่งดังจากภายในกลับเป็นสัญญาณกระตุ้นเตือนให้รีบสาวเท้าเข้าไป เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งรอจังหวะอยู่แล้ว รีบก้าวเท้าตามพลางส่งเสียงแจ้งเตือนตามระเบียบ และแสงไฟในห้องได้สว่างพรึบพร้อมกัน

“นี่เจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณถูกจับข้อหาลักพาตัว กักขังหน่วงเหนี่ยว ยอมมอบตัวซะดีๆ”

ชุนและฮารุโตะชะงักงันทั้งจากแสงไฟที่จู่ๆก็สว่างขึ้นจนตาพร่า ทั้งจากกลุ่มคนที่จู่ๆก็มาปรากฏตัว ฮารุโตะได้สติ เขารีบวิ่งถลาเข้าหาคนที่ตนรู้จัก

“รุ่นพี่ชิมิซึ”

ทว่ากลับโดนชุนคว้าตัวไว้ เด็กหนุ่มสะบัดตัวหนีกระนั้นยังคงถูกรวบดึงไว้ทั้งตัว

“ปล่อย!!!”ฮารุโตะร้องตะโกน มือสองข้างใช้งานได้ลำบากเพราะถูกรวบไว้แนบลำตัว เขาจึงพยายามกระทืบเท้า แต่กลับถูกอุ้มขึ้นจนตัวลอย จึงได้แต่เหวี่ยงเท้าสะเปะสะปะ

“ซากุราอิ ชุน ปล่อยฮารุโตะซะนายทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยนช์หรอก”เอคิจิพยายามพูดกล่อม ส่งสัญญาณให้ตำรวจสองนายอ้อมไปคนละทาง

“ฮารุโตะเป็นของกู กูไม่ยกให้ใคร”

“ผมไม่ใช่ของของใคร”คนที่ถูกจับไว้ร้องเถียงทันควัน ฮึดสู้ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย โน้มเงยโขกศีรษะไปด้านหลังเต็มแรงซึ่งโดนเข้าช่วงปลายคางของชุนพอดี ร่างสูงใหญ่ของชุนถึงกับเซทรุด ปล่อยมือจากร่างของฮารุโตะ ทันใดนั้นตำรวจสองนายที่รอท่าอยู่แล้วจึงเข้าไปรวบจับชุนไว้ ส่วนซากิรีบวิ่งเข้าไปรับร่างเด็กหนุ่มรุ่นน้องได้ทัน ขยับถอยดึงตัวอีกฝ่ายออกห่างเมื่อดูเหมือนว่าซากุราอิ ชุนจะไม่ยอมง่ายๆ

“ผมเกลียดคุณ ผมเกลียด ไปตายซะ!!!”เสียงร้องตะโกนของฮารุโตะทำให้ชุนชะงัก

“นายไม่ได้คิดอย่างนั้นจริงๆหรอก”ชุนพูดเสียงเบา นัยน์ตาคู่นั้นแดงก่ำน้ำตาคลอ

“ผมคิด! ผมคิดมาตลอดระยะเวลาหลายปี อยากให้คุณ!!! และพวกที่ทำร้ายรักแกผมทุกคนตายไปให้หมด ผมคิดฆ่าพวกคุณอยู่ในหัว คิดซ้ำไปซ้ำมาจนนึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า”

ซากิรวบดึงร่างเล็กบางเข้ามากอด ลูบศีรษะลูบหลังพร้อมกับพูดว่าพอแล้ว ไม่เป็นไรแล้ว เขาพาหนุ่มรุ่นน้องออกมาและปล่อยให้เรื่องที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ เขาไม่ได้เดินทางกลับบ้านกันทันที แต่เลือกเข้าพักค้างคืนในโรงแรมแถวนั้น

เขาติดต่อแจ้งเรื่องของฮารุโตะให้หนุ่มรุ่นน้องในชมรมทราบข่าวตามที่เคยบอกไว้ จากนั้นจึงโทรศัพท์หาเรียวตะเพื่อขอให้นำเสื้อผ้ามาให้พวกเขาในวันรุ่งขึ้น

“แกจะอยู่ที่นี่นานอย่างนั้นหรือ”เอคิจิถามเมื่อเขาวางสาย

“คงได้กลับตอนบ่ายๆ พรุ่งนี้ช่วงเช้าฉันจะไปทำธุระ”

และแล้วบทสนทนาของพวกเขาได้ถูกขัดจังหวะลง เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้น ซากิเดินไปเปิดประตู ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากถามคำถามกับทาคุมิที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายกลับชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า

“ฮารุโตะไข้ขึ้นอีกแล้วครับ”

“อย่างนั้น นายกลับไปเช็ดตัวให้มิอุระก่อน เดี๋ยวฉันจะไปขอยาจากพนักงานข้างล่างมาให้”ซากิพูดก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อหยิบกระเป๋าเงินและโทรศัพท์มือถือ หันไปบอกเพื่อนให้ไปช่วยดูหนุ่มรุ่นน้องอีกคนซึ่งกำลังไม่สบายอยู่อีกห้อง ซากิกลับยังมาชั้นที่เข้าพักในเวลาหลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเคาะประตูพร้อมทั้งยืนรออยู่อีกครู่หนึ่ง ประตูห้องของหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนจึงเปิดออก

“ครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้หรือวะ”เอคิจิเอ่ยถามเขาทันทีที่เห็นหน้า พลางเดินตามเข้าไปในห้อง

เด็กหนุ่มผู้มีอาการไข้ขึ้นสูงซึ่งนอนหลับไม่ได้สติอยู่บนเตียงกำลังส่งเสียงพูดเพ้อไม่เป็นศัพท์ ทั้งร้องไห้ทั้งขยับตัวคล้ายนอนไม่เป็นสุข

“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไข้ลดอาการก็ดีขึ้น”ซากิบอก ประคองร่างเล็กบางขึ้น กระซิบบอกให้คนไม่รู้สติทานยา ส่งแผงยาให้ทาคุมิแกะซองบรรจุ จากนั้นเขาจึงบีบคางของฮารุโตะให้อ้าปาก ป้อนเม็ดยาตามด้วยน้ำซึ่งมีบางส่วนที่คนป่วยสำลักออกมา

เขาขยับตัวประคองฮารุโตะลงนอน เด็กหนุ่มรุ่นน้องทั้งสองคนคงจะอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว เพราะอยู่ในชุดเสื้อคลุมของโรงแรมทั้งคู่ ทาคุมิคงจะสังเกตเห็นเสื้อผ้าของเขาเช่นกัน เด็กหนุ่มจึงพูดออกมาว่า

“รุ่นพี่กลับไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ”

“เออ เดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อน”เอคิจิกล่าวสำทับ เขาจึงกลับไปที่ห้องพักเพื่ออาบน้ำ และกลับมายังห้องของหนุ่มรุ่นน้องทั้งคู่ด้วยสภาพเดิม ทาคุมิจึงเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจในมือข้างหนึ่งกุมมือฮารุโตะไว้

“มันชอบใส่เสื้อผ้าตัวเอง”เอคิจิไขข้อข้องใจ เขานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเตียง มือกำลังวางผ้าหมาดซึ่งเพิ่งชุบน้ำเย็นลงบนหน้าผากของฮารุโตะ

“ฉันนอนนะ”ซากิพูด

“อ้าว ไม่อยู่เฝ้าหรือวะ”

“อีกสามชั่วโมง ฉันจะลุกขึ้นมาเปลี่ยน”

คนฟังจึงมองนาฬิกา กว่าจะถึงสามชั่วโมงที่อีกฝ่ายว่าคงเป็นเวลาที่เขาง่วงพอดี เอคิจิจึงพยักพเยิดเออออ ลุกขึ้นไปปิดไฟกลางห้องให้เหลือแค่ไฟที่หัวเตียง ทาคุมิเองยังคงตาสว่างเช่นกัน เห็นเพื่อนสนิทเหงื่อออกจึงเดินเข้าไปในห้องน้ำ ซักผ้าขนหนูชุบน้ำออกมาเช็ดตัวให้

ช่วงที่ซากิตื่นเหมือนจะเป็นช่วงที่ยาออกฤทธิ์อาการเพ้อของคนป่วยจึงทุเลาลง เขาจึงบอกให้ทั้งสองคนที่อยู่เฝ้าก่อนหน้าไปนอนบ้าง ทาคุมิและเอคิจิจึงย้ายไปนอนอีกห้อง จากนั้นจึงปลุกคนป่วยให้ตื่นขึ้นมาทานยาอีกครั้ง ฮารุโตะลืมตาตื่นคล้ายจะรู้สึกตัว

“กินยาหน่อย”ซากิกระซิบบอกข้างหู ส่งเม็ดยาเข้าปากเมื่อหนุ่มรุ่นน้องอ้าปากรับ กำลังจะประคองอีกฝ่ายลงนอนทว่ากลับโดนจับยึดไว้แน่น

“ไม่เอานะ อย่าทิ้งผมไปนะ”

ชายหนุ่มจึงกระชับอ้อมกอด ตัวของฮารุโตะยังคงอุ่นร้อนกว่าอุณหภูมิปกติ เขาจึงขยับไถลตัวลงนอนจัดท่าให้ร่างเล็กบางได้นอนอย่างสบายตัว พลางลูบแผ่นหลังกล่อมนอน

ไม่รู้ว่าคำพูดที่ฮารุโตะละเมอเพ้อออกมานั้นต้องการจะบอกแก่ใคร แต่ในยามนี้ เขาจะคิดเข้าข้างตัวเอง

รุ่งเช้ามาเยือนอีกครั้ง ฮารุโตะนอนหลับด้วยอาการสงบเพราะพิษไข้บรรเทาลง อุณหภูมิที่เคยร้อนสูงลดลงจนกลายเป็นปกติ เพื่อนสนิทและหนุ่มรุ่นน้องอีกคนก็ตื่นแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงสั่งอาหารจากครัวของโรงแรมมาทาน และเมื่ออาหารถูกส่งมาเสิร์ฟถึงห้อง ซากิจึงปลุกฮารุโตะขึ้นมาทานด้วย

เด็กหนุ่มร่างเล็กลืมตาตื่นด้วยอาการสะลึมสะลือ

“เดี๋ยวทานข้าวเสียหน่อยแล้วค่อยนอนต่อ”

คนเพิ่งหายไข้พยักหน้ารับ พิงศีรษะกับหัวเตียงเพราะยังรู้สึกมึนงง ชายหนุ่มใช้ช้อนตักข้าวต้ม เป่าให้คลายร้อนก่อนยกป้อนถึงปาก ฮารุโตะทานไปได้ไม่กี่คำก็สั่นศีรษะ เขารู้สึกพะอืดพะอมจนไม่อยากทานอะไร แต่กระนั้นเขายอมทานยาลดไข้อีกเม็ดแต่โดยดี เด็กหนุ่มหลับตาด้วยความรู้สึกอยากล้มตัวลงนอน

“มิอุระ”

ฮารุโตะลืมตาเมื่อถูกเอ่ยเรียกชื่อ

“ถ้านายไม่ต้องเจอซากุราอิ ชุนอีกแล้ว มันจะทำให้นายรู้สึกดีจริงหรือ”ซากิถาม ไม่ได้ต้องการให้หนุ่มรุ่นน้องนึกทบทวนความรู้สึกตัวเอง แต่เขาไม่อยากใช้คำถามชี้นำให้อีกฝ่ายรู้สึกคล้อยตามสิ่งที่เขาคิด

“คนแบบนั้น ตายๆไปซะได้ก็ดี”น้ำเสียงแหบแห้งของฮารุโตะมีแต่ความโกรธแค้น ยามนี้หนุ่มรุ่นน้องที่เคยหัวอ่อนว่าง่ายอ่อนแอเปราะบางมองดูคล้ายกับภูเขาไฟ ที่ค่อยๆสะสมพลังงานวันละเล็กวันละน้อยจนถึงจุดหนึ่งที่มันปะทุออกมา พ่นเปลวไฟร้อนทำลายทุกอย่าง ก่อเหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้พื้นที่ยืนของใครหลายคนไม่มั่นคง

ชายหนุ่มคว้ามือของฮารุโตะมาจับกุมไว้

“นายไม่ต้องเจ็บแค้นอีกต่อไปแล้ว”เขาพูด “คนพวกนั้นสักวันก็ต้องได้รับผลกรรมที่เคยทำไว้เหมือนผู้ชายที่ร้านมินิมาร์ทที่นายทำงานพิเศษอยู่ เขาเป็นขโมยแล้ววันหนึ่งเขาก็โดนจับ จากนี้ไปซากุราอิ ชุนก็จะไม่มีทางมาให้นายเห็นหน้าอีกเหมือนกัน เขาจะโดนจับข้อหาลักพาตัวนาย”

“พ่อของซากุราอิซังรวยมาก เขาคงโดนจับไม่นาน”ฮารุโตะพูด และความจริงก็เป็นเช่นนั้น อย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า แค่หนึ่งชั่วโมงหลังถูกจับ ซากุราอิ ชุนก็ถูกประกันตัวออกมา

“ตอนสมัยมัธยมก็เคยเกิดเรื่องแบบนี้ พวกเขามีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน แล้วสองสามวันหลังจากนั้นซากุราอิซังก็กลับมาเรียนเหมือนเดิม”

“เรื่องนั้นอย่าเพิ่งไปคิดเลย เอคิจิก็เส้นใหญ่ไม่แพ้ซากุราอิ ชุน อย่างไรมันต้องช่วยรุ่นน้องที่น่ารักอย่างนายอยู่แล้ว”

“ใช่ไม่ต้องห่วง พ่อฉันก็ระดับบิ๊กเหมือนกัน”เห็นเพื่อนโยนลูกส่งมาให้เอคิจิจึงได้แต่เออออรับคำ

“เห็นไหมเอคิจิรับปากแล้ว นอนต่ออีกสักหน่อยนะ เดี๋ยวบ่ายๆพวกเราค่อยกลับบ้านกัน”ซากิประคองตัวฮารุโตะให้เอนลงนอน เขาดึงผ้าห่มให้ถึงคอ รอจนฮารุโตะหลับสนิทจึงลุกขึ้นยืน กล่าวย้ำซ้ำให้ทาคุมิดูแลฮารุโตะอีกรอบ จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดโทรกลับเบอร์โทรศัพท์ที่เขาไม่ได้รับหลายสาย

“เป็นอะไรหรือเปล่าวะ โทรไปไม่รับ”

“เปล่า กินข้าวกันอยู่ มาถึงไหนแล้วล่ะ”

“อยู่ล็อบบี้โรงแรม”

ซากิจึงบอกหมายเลขชั้นกับหมายเลขห้องให้เพื่อนสนิทอีกคนขึ้นมาหา เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน เขาเดินไปเปิดประตู แล้วต้องแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นกลุ่มเพื่อนอีกสองคน

“เกิดอะไรขึ้นไม่เคยบอกอ่ะ”นาโอโตะต่อว่าเขาทันทีที่เจอหน้า

“ฮารุจังกับทาคุมิอยู่ไหน”พูดถามพร้อมก้าวเดินเข้ามาดูในห้อง

“อยู่ห้องข้างๆ”

“แล้วให้เรียวตะเอาสูทมาให้จะไปไหน”

“มีธุระต้องไปคุย”

“บอกมา พูดมาให้หมดเลย”นาโอโตะคาดคั้น “จะไปไหน ไปทำอะไร ธุระที่ว่ามันอะไร ฉันรู้ว่ามันเกี่ยวกับฮารุจังแน่ๆ พูดออกมาให้หมด ห้ามอมพะนำไว้คนเดียว”

ซากิกวาดสายตามองกลุ่มเพื่อนที่ต่างจ้อมมาทางเขาเขม็ง

“มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพวกแก”

“เพื่อนกันเปล่าวะ”นาโอโตะผลักอกเขาจนเซถอย “ถ้าคิดว่าไม่ใช่เพื่อนกันแล้วก็ไม่ต้องมาพูดกันอีก”

เอคิจิจึงส่งเสียงห้ามเพราะถ้าปล่อยให้นาโอโตะโกรธจริงจัง ซากิอาจจะโดนตัดเพื่อนจริงๆ

“ไม่ต้องไปถามมันหรอก เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟัง”เอคิจิจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เพื่อนคนอื่นได้รับรู้ตั้งแต่ต้น

“แล้วแกตามฮารุจังเจอได้อย่างไรวะ”เรย์ชิงถามออกมาด้วยความสงสัย

“มันฝังจีพีเอสไว้ในสร้อยที่ให้ฮารุโตะ”

ซากิหันไปมองคนพูดเมื่อได้ยินข้อความประโยคนั้น เอคิจิจึงยกยิ้มแล้วบอกไปว่า “เมื่อคืนฉันลองถามทาคุมิว่า แกได้ให้อะไรฮารุจังบ้างหรือเปล่า รุ่นน้องที่น่ารักเลยฝอยออกมาหมดว่าแกให้สร้อยที่ดูเหมือนสร้อยเพชรจริงๆมาก จี้เป็นรูปใบโคลเวอร์สี่แฉกที่โคตรศักดิ์สิทธิ์ ถ้าฉันไม่เบรกไว้ คงได้ฟังความศักดิ์สิทธิ์ทั้งคืน”

“อ่อ ถึงไม่กล้าบอกใคร อีหรอบนี้มันก็เหมือนสตอล์กเกอร์”เรียวตะแสดงความคิดเห็น  ซากิจึงหันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่งตัว ระหว่างนั้นเอคิจิจึงหันไปหยิบโทรศัพท์ของฮารุโตะและซากุราอิ ชุนออกมาจากกระเป๋า

“โชคดีนะ ที่โทรศัพท์ของซากุราอิ ชุนล็อครหัสลายนิ้วมือ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะคิดว่าแกพิมพ์ขึ้นมาเองก็ได้”เอคิจิพูดพลางเปิดโทรศัพท์ของฮารุโตะให้คนอื่นดู เขาเข้าโปรแกรมสนทนาเปิดข้อความที่ตนได้อ่านให้เพื่อนดู ข้อความที่ว่ามีทั้งข้อความลามก ข้อความข่มขู่ที่ส่งมาจากซากุราอิ ชุน

“จะเป็นฉันพิมพ์ขึ้นมาเองได้อย่างไร ในเมื่อวันที่มันไม่ใช่เมื่อวาน”

“แล้วแกแน่ใจนะว่าข้อความพวกนี้ซากุราอิ ชุนส่งมาไม่ใช่ใครก็ไม่รู้ ฮารุจังไม่เห็นเคยพูดเลยว่าได้ข้อความพวกนี้”นาโอโตะถาม

“จะเอามาพูดให้ฟังได้อย่างไร ก็ไม่เคยเห็น”เอคิจิเป็นคนไขข้อสงสัยแต่พาให้เพื่อนรอบวงงงเป็นไก่ตาแตก

“มันเพิ่งมี...”

“อย่าพูดมากน่าเอคิจิ”ซากิส่งเสียงปราม เอคิจิจึงได้ต่อบอกว่า ซากิมันเพิ่งทำเมื่อวาน

“ไม่อยากให้ใครไปด้วยหรือวะ”เอคิจิถามอีกรอบ

“ไม่ล่ะ ฉันไม่ได้บอกให้เรียวตะเอาสูทมาเผื่อแก”

“ฉันเอามา”เรียวตะพูดแทรก “เรย์กับนาโอโตะก็เอามา”

“ที่จริงไม่เห็นต้องใส่สูทเลย”เรย์พูด

“นายจะไปรู้อะไร ถ้านายใส่สูทมันทำให้เรื่องที่นายพูดน่าเชื่อถือขึ้นอีกสิบเปอร์เซ็นต์”นาโอโตะบอกกับคนรัก

“เปล่า ฉันแค่ไม่อยากโดนไล่ออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันก้าวเข้าไปในตึก”

“ตลกใช่ไหมเนี่ย”

ซากิไม่ตอบแค่ยกยิ้ม

สรุปสุดท้ายซากิจึงยอมให้เอคิจิไปด้วย เรียวตะจึงโวยวายขึ้นมา “ทำไมฉันถึงไม่ได้ไปวะ”

“แล้วทำไมต้องไปกันตั้งสามคน”เอคิจิเป็นคนตอบคำถามเช่นเดิม

“แล้วทำไมคนไปถึงเป็นแกล่ะ”

“แล้วลูกชายเจ้าของเรียวกังจะช่วยอะไรได้ล่ะ ‘ถ้าคุณทำตามข้อเสนอของเราคุณจะได้พักในเรียวกังฟรีห้าวันห้าคืน’ หรือ”

อีกสามคนที่เหลือต่างหลุดเสียงหัวเราะ ซากิจึงช่วยสำทับไปว่า “เข้าใจแล้วนะเรียวตะ ไม่ใช่แกไม่สำคัญนะ”

“แต่เรื่องนี้แกไม่มีประโยชน์จริงๆ”เรย์ช่วยพูดเสริมทำให้คนฟังหน้างอง้ำ เอคิจิและซากิบอกลาก่อนออกจากห้อง นาโอโตะจึงย้ายไปเคาะประตูห้องพักห้องข้างๆ

“รุ่นพี่”ทาคุมิร้องออกมาอย่างแปลกใจเมื่อชายหนุ่มทั้งสามยืนอยู่หน้าประตู

“พอดีพวกฉันเอาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนตอนกลับ”นาโอโตะชูกระเป๋าในมือแล้วเดินเข้าไปในห้อง

“ฮารุจังยังหลับอยู่เลยครับ รุ่นพี่มีที่ชาร์จแบ็ตมาหรือเปล่า”ทาคุมิถามถึงอุปกรณ์เสริมของโทรศัพท์ เพราะเมื่อวานเขาไม่ทันนึกถึงว่าจะต้องออกจากบ้านยาวจนต้องมาค้างข้างนอก เรียวตะบอกว่าน่าจะมีอยู่ในกระเป๋า ส่วนนาโอโตะตรงดิ่งไปหาหนุ่มรุ่นน้องอีกคนซึ่งนอนหลับอยู่บนเตียง เกี่ยวเอาสร้อยคอสีเงินที่เอคิจิพูดถึงออกมาดู เขาพลิกดูลักษณะของจี้

“รุ่นพี่ก็อยากได้เหมือนกันหรือครับ”ทาคุมิทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างๆและเอ่ยถาม “ฮารุโตะบอกว่ามันศักดิ์สิทธิ์มาก ไม่รู้ว่ารุ่นพี่ชิมิซึไปหามาจากศาลเจ้าไหน ผมเริ่มรู้สึกว่าอยากได้บ้างเหมือนกัน”

“ถ้าทำตัวไม่ดีมันก็ช่วยไม่ได้หรือเปล่า”เรียวตะออกความคิดเห็น

“แหม อย่างน้อยก็อุ่นใจ”

เห็นสองคนนั้นสนใจคุยกันเองอยู่ เรย์จึงขยับปากถามคนรักแบบไม่มีเสียงว่า ‘ของจริงหรือเปล่า’ เมื่อนาโอโตะพยักหน้าตอบกลับไปเรย์ถึงกับผิวปากตีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ หันหน้าไปถามเรียวตะ

“ซากิมันเคยซื้อของให้กิ๊กมันแพงสุดเท่าไหร่วะ”

“ไม่รู้ว่ะ แต่มันก็ซื้อให้หลายอย่าง กระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า แหวน นาฬิกา สร้อยคอ ยกเว้นบ้านกับรถละมั้ง”

“ฮึ เบื่อคนเจ้าชู้”

“สาวแตกแล้ว”เรียวตะเอ่ยแซวทาคุมิที่แกล้งสะบัดหน้าทำท่างอน

“เมื่อไม่กี่วันก่อนยังเชียร์ซากิมันเหย็งๆ วันนี้มาเปลี่ยนใจแล้ว”

“ตอนนั้นรู้สึกว่ารุ่นพี่ชิมิซึเป็นคนดีนี่ครับ แต่วันนี้รู้สึกว่าไม่ดีแล้ว”

“เปลี่ยนใจง่ายเนาะ อย่างนั้นคบกับฮารุจังเองเลย จะได้ดีอย่างที่ใจหวัง”

“ไม่เอาหรอก”ทาคุมิพูดพลางคุกเข่าลงกับพื้น จับมือของฮารุโตะขึ้นมากุมไว้ “ถ้าเป็นเพื่อนกันก็จะไม่มีวันเลิกกัน”

“แต่ฮารุจังอาจจะไม่ได้คิดแบบนั้นก็ได้”เรย์บอกออกมาในฐานะคนที่เคยแอบรักเพื่อนสนิท และปัจจุบันมีเพื่อนสนิทเป็นแฟน

“ผมก็จะบอกว่า ผมไม่เหมาะสมเพราะผมปกป้องเขาไม่ได้”



ชิมิซึ ซากิตรงเข้าไปติดต่อที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งตั้งอยู่ชั้นล่างของอาคาร เขาแจ้งขอเข้าพบซากุราอิ ฮิเดอากิด้วยเรื่องที่ซากุราอิ ชุนถูกจับเมื่อวาน หญิงสาวที่รับเรื่องแจ้งให้เขารอสักครู่ จากนั้นเธอจึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกหาใครสักคน หลังจากที่วางสาย เธอจึงเดินนำเขาไปที่ลิฟต์ตัวในสุด ใช้บัตรแตะแผงหน้าจอซึ่งติดตั้งอยู่บนผนัง ก้าวเข้าไปในลิฟต์กดชั้นปลายทางก่อนจะปล่อยให้พวกเดินทางกันไปเพียงลำพัง

ออกจากลิฟต์ พวกเขาเดินไปตามทางตามที่ได้รับคำแนะนำมาก่อนหน้า พบป้ายบอกชื่อหน้าห้องจึงเคาะประตูและเดินเข้าไป พวกเขาก้มศีรษะทักทาย จากนั้นจึงถูกเชิญให้เข้าไปนั่งรอในห้องรับรองอีกห้องหนึ่ง ภายในห้องมีเพียงชุดโซฟาและแจกันสำหรับตั้งประดับตกแต่งเท่านั้น ด้านหนึ่งเป็นกระจกซึ่งมีมูลี่บังแสงแขวนไว้ อีกสองฝั่งเป็นผนังเรียบที่มีกรอบภาพข้อความพวกนโยบายและวิสัยทัศน์ของบริษัทแขวนไว้

นั่งรออีกครู่หนึ่งคนที่พวกเขาต้องการพบก็เปิดประตูเข้ามา

ซากุราอิ ฮิเดอากิเป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ดูรูปร่างสูงใหญ่ ความสูงอาจจะน้อยกว่าลูกชายเล็กน้อย แต่รูปตาและคิ้วของซากุราอิ ชุนถอดแบบออกมาจากผู้เป็นบิดา แต่ท่าทางของบุคคลตรงหน้าสุขุมเยือกเย็นต่างจากลูกชายไปไกลลิบ

“พวกเธอแจ้งว่า มาเพราะเรื่องที่ชุนโดนจับเมื่อวาน”คู่สนทนาไม่ปล่อยให้เวลาเสียไปสักวินาทีเดียว

“ครับ พวกผมกำลังจะแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีกับซากุรากิ ชุนเพิ่มเติมกรณีที่เขาคุกคามความเป็นส่วนตัวของรุ่นน้องของพวกผม”ซากิจึงพูดแจ้งสาเหตุที่ต้องการมาพบโดยไม่อ้อมค้อม

“รุ่นน้องของพวกเธอ?”

“ครับ มิอุระ ฮารุโตะ เขาเป็นรุ่นน้องร่วมชมรมกับพวกผม เขาเอาเรื่องที่ถูกซากุราอิ ชุนคอยติดตามและส่งข้อความที่แสดงออกถึงการคุกคามมาปรึกษา”

“อ่อ เห็นชุนบอกว่าทำโทรศัพท์หาย”

“เขาไม่ได้ทำหายครับ แต่จงใจทิ้งไว้เพื่อไม่ให้ใครติดตามได้”ชายหนุ่มผู้พูดหยิบโทรศัพท์ของชุนออกมาวางตรงหน้า

“เมื่อวานท่านคงทราบแล้วว่าเขาลักพาตัวมิอุระซัง บังเอิญว่าเมื่อวานมีรุ่นน้องในชมรมอีกคนเห็นตอนที่มิอุระซังถูกอุ้มพาขึ้นรถไปพอดี เขาจึงแจ้งพวกผมซึ่งพวกผมสามารถติดตามไปได้ทัน”ซากิออกชื่อโรงแรมที่ชุนพาฮารุโตะไปเข้าพัก และหนีออกไปก่อนพวกเขาจะเข้าไปช่วยเหลือโดยทิ้งโทรศัพท์มือถือไว้

“แต่พวกเธอก็ตามไปช่วยรุ่นน้องคนนั้นได้”ฮิเดอากิพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความคลางแคลงสงสัย

“ไม่แน่ใจว่าท่านทราบหรือเปล่า ว่าทั้งซากุราอิ ชุนและมิอุระซังเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน และมิอุระซังโดนซากุราอิ ชุนกลั่นแกล้งมาตลอดระยะเวลาที่เรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยม”แต่ซากิคาดเดาว่า ผู้มากวัยกว่าตรงหน้าน่าจะรู้เช่นกัน เขาเพียงแต่ย้ำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่า พวกเขารู้เรื่องระหว่างคนทั้งคู่ดี

“แต่เมื่อไม่นานมานี้ โคจิมะ มิชิโอะและโองาวะ อิซามุซึ่งผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของซากุราอิ ชุน เขาเข้ามาขอโอกาสพูดคุยกับมิอุระซังเพื่อขอโทษและขอให้กลับเป็นเพื่อนกันอีกครั้ง และมิอุระซังซึ่งถูกซากุราอิ ชุนระรานรังแกเรื่อยมาแม้จะเข้ามาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม ได้เข้ามาขอความช่วยเหลือจากพวกผม จนมีข้อสรุปออกมาว่า จะให้ทางซากุราอิ ชุนนัดเวลามาเพื่อเริ่มสร้างความคุ้นเคยกันอีกครั้ง ผมต้องแจ้งให้ท่านทราบว่า มิอุระซังมีความหวาดกลัวต่อซากุราอิ ชุนมาก

ผมไม่เข้าใจว่า ซากุราอิ ชุนต้องการอยากจะเป็นเพื่อนกับมิอุระซังอีกครั้งเพื่ออะไรทั้งที่กลั่นแกล้งมิอุระซังมาตลอด และที่ผมสามารถตามหามิอุระซังเจอ เพราะพวกผมใช้วิธีตามรอยและคาดเดา ใช้เส้นสายตำรวจของตระกูลโมริติดตามรถยนต์ที่ซากุราอิ ชุนใช้ มิอุระซังเล่าให้พวกผมฟังหมดแล้วว่าในสมัยมัธยมเกิดอะไรกับเขาบ้าง และเขาเคยบอกกับซากุราอิ ชุนไปแล้วว่า ถ้าอยากขอโทษเขายินดีให้อภัย แต่ไม่ได้ต้องการเจอหน้าซากุราอิ ชุนอีก ขอให้ต่างคนต่างอยู่ ถ้าท่านไม่เชื่อท่านสามารถถามโคจิมะซัง และโองาวะซังได้ครับ”ซากิทิ้งเวลาอีกครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อไปว่า

“ที่พวกผมมาวันนี้เพื่อขอความกรุณาให้ท่านจำกัดความประพฤติของลูกชายของท่าน”เขาเปิดข้อความในโทรศัพท์มือของฮารุโตะให้อีกฝ่ายดู ข้อความเหล่านั้นล้วนถูกส่งมาจากโทรศัพท์มือของซากุราอิ ชุน

“พวกผมยังไม่อยากแจ้งความเพื่อดำเนินคดี เท่าที่ผมทราบมิอุระซังเป็นนักเรียนทุนซึ่งเมื่อเรียนจบจะต้องทำงานชดใช้ทุนในบริษัทในเครือที่ท่านบริหารงานอยู่ ถ้าเรื่องเข้าสู่การพิจารณาคดีของศาลจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่น่าจะมีประโยชน์กับใคร”

“ถ้าฉันไม่ตกลง”

ซากิแสร้งถอนหายใจ “มิอุระซังเป็นคนน่าสงสารครับ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ขยันตั้งใจเรียน เขาไม่ควรจะเจอเรื่องเลวร้ายอะไรอีกแล้ว และพวกผมได้ตัดสินใจช่วยเหลือเขา ถ้าการพูดคุยครั้งนี้ไม่สำเร็จ พวกเราก็คงเดินหน้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม อย่างเลวร้ายที่สุดคงทำให้ซากุราอิ ชุนเข้าไปชดใช้ชีวิตในคุกได้”

ซากุราอิ ฮิเดอากิส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดูถูก

“อ่อ... ผมขอประทานโทษที่ไม่ได้แนะนำตัวครับ ผมชิมิซึ ซากิบุตรชายของที่สองของชิมิซึ เคนจิโร่ และที่นั่งอยู่ด้านข้าง โมริ เอคิจิเป็นหลานชายคนเล็กของโมริ อิจิโร่ครับ”

ได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนจึงเลิกคิ้วกวาดสายตามองพวกเขาอย่างถี่ถ้วนอีกรอบ

ซากิแน่ใจว่าซากุราอิ  ฮิเดอากิต้องเคยไปกินข้าวกับพ่อของเขาบ้างล่ะ  ส่วนชื่อของโมริ อิจิโร่ เขาคิดว่าไม่น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักอธิบดีกรมตำรวจคนปัจจุบัน

“คิดว่าพวกพ่อแม่จะยอมช่วยเหลือหรือไง ถ้าเป็นลูกหลานตัวเองก็ว่าไปอย่าง”

ซากิอ้าปากกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้ม “แต่ประชาชนส่วนใหญ่ชอบคนดีครับ ครอบครัวของพวกผมล้วนต้องทำงานเพื่อประเทศชาติและประชาชน การออกตัวพยายามช่วยเหลือและแสดงแนวคิดว่าอยากจะแก้ไขปัญหาการกลั่นแกล้งภายในโรงเรียนคงเรียกเสียงสนับสนุนของคนส่วนใหญ่ได้เยอะ”

“ถ้าคิดว่าแน่ขนาดนั้น จะมาพูดคุยกับฉันทำไม”น้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ทั้งเย้ยหยันท้าทายและดูถูก

“อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วครับ ถ้าดำเนินการตามกระบวนการจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่น่ามีประโยชน์กับใคร มิอุระเองต้องการแค่ความสงบสุขในชีวิต เขาแค่ไม่อยากโดนกลั่นแกล้งระรานจากใครเท่านั้น เขาตั้งใจเรียนเพื่อจะได้กลายเป็นกำลังสนับสนุนให้กับบริษัทที่ให้ทุนเขาจริงๆครับ เขาบอกกับพวกผมเสมอว่า ทุนนี้ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไป และเขาสำนึกในบุญคุณของผู้ที่ให้ทุนเสมอมา ผมขอถามท่านครับ ท่านจะทำลายคนที่ท่านได้ให้ชีวิตใหม่จริงๆหรือ”

อย่างไรก็ตาม การสนทนาของพวกเขายังไม่ทันได้ข้อสรุป กลับมีบุคคลอื่นเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

“ฉันมีแขก ไม่เห็นหรือไง”เสียงของฮิเดอากิเรียบนิ่งแฝงด้วยความไม่พอใจ

“ขอประทานโทษครับ พอดีผมมีเรื่องจะแจ้งเกี่ยวกับชุนซัง”ผู้พูดสืบเท้าเข้าไปกระซิบบอกข้างหู หลังจากนั้นผู้มีอำนาจสูงสุดในที่แห่งนั้นจึงผลุนผลันลุกออกไป ซากิมองตามพลางลอบยิ้มมุมปาก



+++++โปรดติดตามตอนสุดท้ายได้ใน Reply ต่อไป+++++

หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-04-2017 05:19:45


春に雪が降っている。 
ใบไม้ผลิท่ามกลางหิมะโปรย



Last Chapter



“อะไรวะ”เอคิจิส่งเสียงพูดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้ ซากิโคลงศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธว่าไม่รู้เหมือนกัน เพื่อนสนิทจึงชวนคุยว่า คำพูดคำจาเหมือนกำลังจะไปหาเสียง ระหว่างนั้นมีแม่บ้านนำน้ำเข้ามาเสิร์ฟ พวกเขาจึงเงียบเสียงลง และเมื่อคนของซากุราอิ ฮิเดอากิออกไป เอคิจิจึงพูดขึ้นมาอีกว่า

“น้ำนี่ใส่ยาอะไรไว้หรือเปล่าวะ”

“ดูหนังมากไปหรือเปล่า ไม่มีใครทำอะไรโจ่งแจ้งอย่างนั้นหรอกน่า”ซากิพูดพร้อมกับยกน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากวางแก้วลง เขายกมือขึ้นกุมลำคอของตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก เอคิจิเห็นท่าทางอาการของเพื่อนจึงร้องออกมาด้วยอาการร้อนรน

“เฮ้ย!!! ซากิเป็นอะไรวะ”

ทว่าคนที่เคยทำท่าทรมานให้คราแรกกลับหัวเราะออกมา

“บ้าเอ้ย! แม่งเล่นไม่รู้เวลา”เอคิจิผลักศีรษะเพื่อนสนิทออกห่าง อย่างไรก็ดี ท่าทางหัวเราะขบขับถูกปรับเปลี่ยนกลับมาเคร่งขรึมทันทีเมื่อประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง

“ขอโทษที วันนี้ฉันคงไม่สะดวกคุยแล้วแต่เรื่องนี้ฉันจะรับไว้พิจารณา ถ้าเกิดชุนไประรานมิอุระ ฮารุโตะอีกละก็ ให้ติดต่อมาอีกทีแล้วกัน นี่นามบัตรของฉัน”ฮิเดอากิรีบพูดพร้อมกับส่งนามบัตรมาให้ จากนั้นเขาได้รีบลุกออกจากห้องไป ไม่รอให้ผู้อ่อนอาวุโสกล่าวลาด้วยซ้ำ

“อะไรของเขา แล้วตกลงเรื่องนี้จะยังไงล่ะ”เอคิจิหน้าตาเหลอหลาด้วยความอยากได้คำตอบจริงๆ

“กลับกันเถอะ”ซากิเอ่ยชวน และถึงจะยังมีข้อกังขากระนั้นเอคิจิก็ได้แต่เดินตามเพื่อนสนิทออกมานอกบริษัท ขึ้นรถยนต์และขับกลับไปยังโรงแรมที่พัก

เมื่อไปถึงปรากฏว่า ฮารุโตะได้ตื่นนอนแล้ว พวกเขาจึงเก็บของชักชวนกันกลับ ยังไม่มีใครถามถึงเรื่องที่พวกเขาไปคุยมาจนกระทั่งได้แวะพักทานอาหารเที่ยงกันกลางทาง

“ซากุราอิซังไม่รับปากอะไรทั้งสิ้น บอกแค่ว่าถ้าลูกชายมาทำอะไรอีกให้ติดต่อไป”

“โถ... ครั้งหน้ามันจะไม่รุนแรงกว่านี้หรือวะ นี่ขนาดก่อนหน้าคุยกันมาดิบดี หมอนั่นยังกล้าโป๊ะยาสลบพาขึ้นรถไปเลย”เรียวตะพูด

“ต่อไปต้องระวังกว่านี้ไหม ให้มีคนไปส่งฮารุจังทุกวันเลยดีกว่า”นาโอโตะหยุดคิดไปครู่เดียวก็หันไปพูดกับเด็กหนุ่มรุ่นน้องว่า “เดี๋ยวพี่จะไปส่งนายที่ทำงานเอง”

ความคิดแรก ฮารุโตะนึกอยากปฏิเสธแต่เมื่อนึกถึงเรื่องคราวนี้ เขาจึงไม่กล้าพูดอะไรมาก เพราะเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา ทุกคนต้องเดือดร้อนตามไปกันหมดแต่กระนั้นภายในใจลึกๆ เขามีความสุขที่มีแต่คนเป็นห่วง

คนอื่นไม่มีใครออกความคิดเห็นอะไรเพิ่ม และประเด็นนี้ต้องถูกพักการพูดคุยปรึกษาหารือกันไปอย่างอัตโนมัติ เนื่องจากพวกเขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว อย่างไรก็ตาม หลังกลับมาจากฟุคุชิม่าได้เพียงสองถึงสามวัน เอคิจิได้เรียกรวมพลกลุ่มเพื่อนอีกครั้งที่บ้านของชิมิซึ ซากิ

“ซากุราอิ ชุนโดนจับข้อหามียาเสพติดไว้ครอบครอง โดนตำรวจเข้าค้นบ้านเช้าวันที่พวกเราอยู่ที่ฟุคุชิม่า”

“เฮ้ย! จริงดิ หมอนั่นมันติดยาด้วยหรือวะ”เรียวตะถาม

“แล้วที่สำคัญกว่านั้น ตอนนี้หมอนั่นถูกส่งไปอยู่ต่างประเทศแล้ว”

“เฮ้ย!!!”คราวนี้เรียกเสียงอุทานได้รอบวง เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก

ประโยคนั้นทำให้ภายในอกของฮารุโตะว่างโหวงกลวงเปล่าอย่างบอกไม่ถูก เขาไม่แน่ใจว่านี่ควรจะเรียกว่าอาการใจหายหรือเปล่า เขายังจำความรู้สึกเกลียดเคียดแค้นที่ปะทุออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ดี เขารู้อยู่แล้วว่ามันถูกสะสมอยู่ภายในใจ แต่ทว่ายามเมื่อได้รู้ว่าชุนไม่ได้อยู่ในที่ที่สามารถพบกันได้ง่ายๆ เขากลับรู้สึกแปลกประหลาดในอก ความเกลียดที่ว่าได้จางหายไปและกลายเป็นความโหยหาใจหายแทนที่จะเป็นความดีใจที่อีกฝ่ายไปเสียให้พ้นหูพ้นตา

เขาปล่อยให้เสียงพูดคุยของคนอื่นๆลอยผ่านหูไป กระทั่งมีเสียงร้องถามพร้อมฝ่ามือของอีกฝ่ายที่ยื่นมากุมมือเขาไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า ฮารุจัง เงียบไปเลย”รุ่นพี่อาโอกิหันมาถามเขา

ฮารุโตะสั่นศีรษะให้เป็นคำตอบ กระนั้นก็พูดออกไปว่า “ใจหายเหมือนกันนะครับ”

“เรื่องซากุราอิ ชุน”นาโอโตะขมวดคิ้ว เมื่อได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า จึงบอกต่อไปว่า “จากกันแบบนี้ก็เป็นเรื่องดีนะ เพราะอย่างน้อยเราได้รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะมีความสุขกว่าเดิมก็ได้”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ

และเรื่องที่พูดคุยจึงถูกดึงกลับมาสู่เรื่องที่ค้างคาระหว่างเจ้าบ้านกับหนุ่มรุ่นน้องผู้มาพักอาศัยอยู่ที่นี่อีกครั้ง

“แล้วต่อไปจะให้ผมทำอย่างไรครับ ผมยังต้องมาค้างอยู่ที่นี่ต่อไหม”ทาคุมิเอ่ยถาม

“ไง อยากกลับบ้านแล้วหรือ”เรียวตะถามทาคุมิ

“ผมยังไงก็ได้นะ ทุกวันนี้ก็กลับไปนอนบ้านตัวเองบ้าง มานอนที่บ้านรุ่นพี่ชิมิซึบ้างอยู่แล้ว”ทาคุมิบอก เขาไม่ติดปัญหาอะไรซ้ำยังไม่คิดอะไรมาก ดังนั้นทุกคนจึงพุ่งความสนใจไปที่คนที่ต้องตัดสินใจอย่างชายหนุ่มเจ้าของบ้าน

ซากิกวาดสายตามองวงสนทนาที่พร้อมใจกันเงียบกริบรอฟัง ก่อนสายตาจะไปหยุดที่หนุ่มรุ่นน้องซึ่งยังคงก้มหน้ามองมือตัวเอง แล้วพาให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา

“เรื่องบางเรื่องมันก็ต้องใช้เวลา”เมื่อจบประโยค ทุกคนจึงคลายอาการลุ้นเกร็งเครียดก่อนเอคิจิจะลุกขึ้นบอกจะกลับบ้าน แล้วชักชวนทาคุมิกับฮารุโตะให้ไปเที่ยวที่บ้านของตนด้วยกัน เรียวตะเห็นว่าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีประโยชน์จึงได้ลุกเดินตามเอคิจิไปด้วย จึงยังเหลือแค่คู่รักของกลุ่มที่ยังนั่งอยู่

“ลังเลอะไรอยู่วะ”เรย์ถาม

ซากินิ่งคิดและพูดตอบออกไปว่า “ลังเลว่าความรู้สึกที่มีมันเป็นของจริงหรือเปล่า ฉันไม่อยากเสียใจและไม่อยากทำให้เขาเสียใจ”

“อย่างนั้นเริ่มต้นจากลองคบกันดูใหม่ไหม”นาโอโตะพูดเสนอออกมาบ้าง “บางทีที่แกสับสนเพราะแกข้ามขั้นตอนของการจีบกันหรือทดลองคบกันมา ที่พวกฉันพูดไม่ได้อยากจะยุหรือยัดเยียดให้แกดูแลฮารุจังนะ แต่เพราะแกทำให้เขาขนาดนี้ ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ฉันกลัวว่าจะเป็นตัวแกเองที่หลอกตัวเองอยู่ ถ้าแกต้องปล่อยเขาไปแล้วเป็นตัวแกเองที่ต้องมาทุรนทุรายภายหลัง ฉันอยากจะถามว่ามันคุ้มกันหรือ”

“ขอบใจที่เป็นห่วง”ซากิยิ้มบอก พร้อมกับบอกว่าขอเวลาอีกนิด

นาโอโตะและเรย์กลับไปหลังจากนั้น ทั้งบ้านจึงกลับมาเงียบสนิทเช่นเดิม ชายหนุ่มปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปโดยได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ แม้จะพยายามครุ่นคิด แต่ในเวลานี้กลับไม่แน่ใจกับหนทางที่เลือก ส่วนหนึ่งอาจเพราะปฏิกิริยาของฮารุโตะต่างจากที่เขาหวัง เขาจึงยิ่งไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขาทำคือสิ่งที่ถูก

นอกจากเรื่องข้อความคุกคามในโทรศัพท์มือของฮารุโตะ เรื่องยาเสพติดที่ตรวจพบในบ้านของชุนก็ยังเป็นการจัดฉากของเขา ซากิไม่แน่ใจว่าเรื่องทุนที่ฮารุโตะได้รับเป็นความบังเอิญหรือไม่ แต่เขาเชื่อว่าฮารุโตะมีความสามารถมากพอที่จะคว้าทุนนี้ เพียงแต่ปีที่ฮารุโตะสอบชิงทุน นั่นเป็นปีแรกที่มีการให้ทุนนี้ด้วยเหมือนกัน

สมมติฐานของเขาจึงกลายเป็น ซากุราอิ ฮิเดอากิเป็นคนวางแผนเรื่องทั้งหมด อาจเพราะลูกชายเริ่มมีแนวโน้มออกนอกลู่นอกทางมากขึ้น ผู้เป็นพ่อจึงได้หาทางดึงลูกชายกลับมา มันฟังดูใจร้ายสำหรับฮารุโตะ แต่ลูกย่อมสำคัญกว่าคนนอกไส้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องสร้างความผิดของชุนให้ใหญ่มากพอที่ซากุราอิ ฮิเดอากิจะลงดาบกับลูกชาย

แม้จะวางแผนการทุกอย่างไว้ แต่เขายังคงรอดูปฏิกิริยาของชุน

ฮารุโตะผูกพันกับชุนมากกว่าที่เจ้าตัวเข้าใจ ยิ่งไปกว่านั้น ซากุราอิ ชุนยังมีความหมายมากมายในใจของฮารุโตะ แต่เพราะเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ความรู้สึกนั้นถูกกดจมลึกปิดซ่อนไว้มิดชิด และถูกทับถมด้วยความหวาดกลัวเกลียดแค้นชิงชัง เพียงแต่ชุนไม่รู้จักรอและไม่รู้จักพยายามที่จะค่อยๆกะเทาะเปลือกนั้นออก

ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดความลังเลขึ้นมาในใจของเขา มันง่ายมากที่จะทำให้ฮารุโตะรักเขาและลืมซากุราอิ ชุนไปจากใจ แต่ตัวเขาเองล่ะจะมั่นคงกับความรู้สึกในครั้งนี้ได้มากและนานแค่ไหน เขาตัดสินใจว่าจะเปิดโอกาสให้ตัวเอง เลือกใครคนใหม่เข้ามาในชีวิต แต่ใครคนนั้นก็ยังคงเป็นภาพซ้อนทับของคนที่เขาไม่อาจตัดใจ



เพราะซากุราอิ ชุนย้ายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว การใช้ชีวิตของเขาจึงกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาบอกกับรุ่นพี่อาโอกิว่าไม่ต้องไปส่งเวลาไปทำงาน แต่ยังต้องรบกวนหนุ่มรุ่นพี่ที่เขาอาศัยอยู่ด้วยให้มารับตอนเลิกงาน ส่วนทาคุมิจะกลับไปนอนที่บ้านมากกว่าจะมานอนกับเขา ส่วนเรื่องที่ตัวเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านของหนุ่มรุ่นพี่ เขาถือว่าตัวเองเคยบอกขอเช่าห้องในบ้านไปแล้ว เขาจึงอยู่ที่นั่นไปแบบมึนๆแบบที่ทาคุมิเคยสอน

แม้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจ แต่บ้านของรุ่นพี่ชิมิซึดีกว่าห้องเช่าเดิมของเขามาก ห้องกว้าง ผนังหนา มีห้องอาบน้ำ เครื่องครัวก็ครบ เหลือแค่รอได้ย้ายตารางทำงานทุกอย่างก็ลงตัว ของขวัญสำหรับพิธิสำเร็จการศึกษาพรุ่งนี้ก็ซื้อไว้แล้ว ฮารุโตะจึงบอกตัวเองว่า ไว้ให้โดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ แล้วค่อยมากังวลว่าจะเอาอย่างไรต่อ

ฮารุโตะวางกระบวยลงบนจานและลดไฟบนเตาให้เหลือไฟอ่อนเพื่อเคี่ยวน้ำซุปเมื่อได้ยินเสียงกุกกักที่ประตูหน้าบ้าน เวลานี้ยังเร็วเกินกว่าที่ชายหนุ่มเจ้าของบ้านจะกลับมาถึงทว่าทันทีที่เยี่ยมหน้าออกไปมอง ทั้งเขาและแขกผู้มาเยือนต่างอยู่ในสภาวะชะงักงัน จากนั้นเขาจึงเป็นฝ่ายก้มศีรษะลงทักทายเนื่องจากผู้ที่ยืนอยู่หน้าประตูอาวุโสกว่า

“เอ่อ...คุณพ่อของรุ่นพี่ชิมิซึหรือครับ”ฮารุโตะเอ่ยถาม เดาจากที่อีกฝ่ายเปิดประตูเข้าบ้านนี้มาอย่างคุ้นเคย

“ใช่ ชิมิซึ เคนจิโร่ครับ”

“อ่ะ ผมมิอุระ ฮารุโตะครับ เป็นรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัย รุ่นพี่ช่วยดูแลผมหลายอย่างเลยครับ”ฮารุโตะก้มศีรษะซ้ำพลางเอ่ยแนะนำตัว

“เชิญด้านในก่อนครับ อ่ะ เอ่อ...”แล้วนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายก็นับว่าเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ ฮารุโตะหน้าแดงด้วยความกระดากเขิน ก้าวเท้าตามอีกฝ่ายพร้อมกับพูดว่าจะไปนำน้ำมาให้

ฮารุโตะก้าวเข้าไปในครัวด้วยอาการเก้ๆกังๆ เพราะปกติไม่มีใครอยู่บ้าน ฮารุโตะจึงไม่เคยตั้งน้ำเพื่อต้มชาซ้ำยังไม่เคยรู้ว่าบ้านนี้มีผงชาหรือเปล่า เขาเปิดประตูตู้เก็บของซึ่งอยู่เหนือศีรษะเห็นมีกระปุกกาแฟ แต่กระนั้นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่มีน้ำร้อน หันซ้ายหันขวาเดินวนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจเปิดน้ำเปล่าจากก๊อกยกไปเสิร์ฟ แต่ชุดโซฟาในบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึไม่มีโต๊ะสำหรับวางแก้ว เขาจึงคลานเข่านำน้ำเข้าไปเสิร์ฟก่อนจะขยับถอยออกมายืนห่างๆ

“นั่งก็ได้”ผู้เป็นบิดาของรุ่นพี่ชิมิซึเอ่ยบอกเขา ฮารุโตะจึงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาแต่ท่าทางอาการยังเหมือนนั่งบนเบาะร้อน

“รู้จักซากิได้อย่างไรล่ะ”

“ผ... ผมอยู่ชมรมเดียวกับรุ่นพี่ครับ”ฮารุโตะตอบคำถามด้วยอาการเกร็งเครียด

“อ่อ... ชมรมถ่ายภาพ ชอบถ่ายรูปด้วยหรือ”

“เปล่าครับ พอดีได้ดูภาพของรุ่นพี่นาคามูระน่ะครับ เห็นว่ามันสวยดีเลยไปสมัครเข้าชมรม”

สองสามคำถามหลังจากนั้นเป็นคำถามทั่วไปอย่างเรียนคณะอะไร การเรียนเป็นอย่างไรบ้าง ฮารุโตะจึงค่อยๆผ่อนคลายลงเรื่อยๆ ก่อนอีกฝ่ายจะเข้าสู่คำถามที่ทำให้เขาหายใจไม่ทั่วท้องอีกครั้ง

“แล้วทำไมมาอยู่ที่บ้านนี้ได้”

ความจริงแล้วฮารุโตะไม่รู้เหมือนกัน  ว่าทำไมหนุ่มรุ่นพี่ถึงให้มาอยู่ด้วย เรื่องที่เคยคุยเกี่ยวกับการย้ายมาอยู่ด้วยกัน เขาเข้าใจว่า จะหาเช่าห้องที่อื่นเพื่ออยู่ด้วยกัน แต่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวหลายอย่างในช่วงก่อน เด็กหนุ่มเดาว่าหนุ่มรุ่นพี่คงจะเปลี่ยนใจแล้ว

“พอดีช่วงก่อน ผมมีปัญหาหลายอย่างครับ ไม่สบายและอยู่คนเดียวด้วย รุ่นพี่ชิมิซึจึงอนุญาตให้มาอยู่ที่นี่”

และคำถามต่อไปก็เป็นคำถามที่เขากลัวมากที่สุด

“แล้วจะอยู่ที่นี่อีกนานไหมล่ะ”

“ส...สัก...พักครับ ผม...กำลังหาที่อยู่ใหม่ครับ”ฮารุโตะใจแป้ว กำลังคิดอยู่ว่า จะอยู่ไปจนกว่าจะโดนไล่ แต่ไม่ทันนึกว่า ไม่ถึงชั่วโมงต่อมาก็โดนไล่ออกจากบ้านจริงๆ

“อ่อ พ่อไม่ได้ว่าอะไรหรอก ถ้าจะอยู่นานๆก็ได้ ปกติที่บ้านมีแต่ซากิอยู่คนเดียว มีคนอื่นมาอยู่ด้วยก็ดี”

“ครับ”ฮารุโตะพยักหน้ารับ แต่การตบหัวแล้วลูบหลังเช่นนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น

“ผม... ขอตัวไปดูซุปที่ต้มไว้ก่อนนะครับ”เขาพูดก่อนจะลุกขึ้น จากนั้นก็หมกตัวอยู่แต่ในครัวทำอาหารสองสามอย่างเหมือนปกติ และออกจากบ้านไปทำงานพิเศษ

“ผมมีงานพิเศษตอนเย็น ขอตัวก่อนนะครับ”

ผู้อาวุโสพยักหน้ารับ เปิดประตูออกไปต้องตกใจกับชายในชุดสูทสีดำสองคน เขามองอย่างระแวดระวังยามที่ก้าวเท้าเดินผ่าน พ้นออกมาบ้านมา เด็กหนุ่มต้องถอนหายใจพร้อมใบหน้าซึ่งสลดลง โดนพูดต่อหน้าชัดขนาดนี้จะให้อยู่แบบมึนๆต่อไปก็คงไม่ได้แล้ว

ฮารุโตะล้วงหยิบจี้รูปใบโคลเวอร์ซึ่งซ่อนอยู่ใต้เสื้อออกมาดู แล้วกำไว้ในมือพลางคิดว่าไม่เป็นไรหรอก มันจะต้องมีสิ่งดีๆเกิดขึ้นแน่ๆ

“ไม่สบายอีกแล้วหรือดูหน้าซึมๆ”

“อ่ะ ไดกิซัง มาซื้อของหรือครับ”ฮารุโตะเอ่ยทักชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า เนื่องจากวันรุ่งขึ้นจะมีพิธีจบการศึกษาตั้งแต่เช้า นากายาม่า ไดกิจึงลาหยุดงานหนึ่งวัน คนที่มาที่ร้านในฐานะลูกค้าวางกล่องนมลงบนเคาน์เตอร์พร้อมเงินค่าสินค้า

“ไม่ใส่ถุงนะครับ”

“อือ ว่าแต่เป็นอะไรหรือเปล่า ไม่ไหวก็ลากลับได้นะ”

“ไม่เป็นไรครับ ผมแข็งแรงดี แต่พอดีพ่อของรุ่นพี่เขากลับมาที่บ้าน”

“อ่อ”

ฮารุโตะส่งของและเงินทอนไปให้ “เขาถามประมาณว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไหร่”

“ไม่บอกไปว่า ‘อยู่จนกว่ารุ่นพี่จะไล่ครับ’”

“โธ่... คนกำลังเครียด ผมแจ้งยกเลิกเช่าห้องไปแล้วด้วย ไม่รู้ว่ากลับไปแจ้งของอยู่ต่อตอนนี้จะทันหรือเปล่า”

“โลเลนะเรา เพราะงี้รุ่นพี่คนนั้นเขาถึงไม่ขอเป็นแฟน”

ฮารุโตะรู้สึกเหมือนโดนจี้ใจดำ กระนั้นได้แต่อ้าปากพะงาบๆ “สาเหตุเป็นเพราะผมที่ไหน” เขาพูดตอบก่อนจะหันไปรับลูกค้าที่นำสินค้ามาวาง ไดกิรอจนกระทั่งลูกค้าคนนั้นก้าวเท้าออกจากร้านไปจึงหันไปคุยกับเด็กหนุ่มต่อ

“ทำไม จะบอกว่า ‘ผมสารภาพรักแล้ว แต่รุ่นพี่ไม่ยอมตอบ’ เหรอ”

“ไดกิซังมีตาทิพย์หรือครับ”ฮารุโตะถามอย่างตื่นเต้น

“เรื่องแบบนี้ต้องมีตาทิพย์ด้วย? คือผมเนี่ยนะครับ ก่อนจะคบกับแฟนคนที่กำลังจะแต่งงานกันเนี่ย ได้มาแล้วทุกโรงเรียนในจังหวัด”

“มันน่าภูมิใจใช่ไหมครับ”ถึงจะถามออกไปเช่นนั้นแต่ฮารุโตะคิดว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะอวดได้ ไดกิจึงอธิบายเพิ่มเติมมาว่า

“หมายถึงเป็นแฟนกับเด็กทุกโรงเรียนในจังหวัดน่ะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ คิดไปคิดมาอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะเอามาอวดได้“แล้วพวกผู้หญิงไม่ตีกันหรือครับ ไดกิซังคบพร้อมกันเยอะๆขนาดนั้น”

“คบทีละคนดิ นี่จงใจกวนประสาทหรือเปล่าเนี่ย”

ฮารุโตะหัวเราะ ผายมือเชิญให้อีกฝ่ายพูดได้เต็มที่ เขากำลังตั้งใจรอฟัง

“คือสมมติว่าสารภาพรักใช่ไหม มันควรถามเขาด้วยว่าคบได้หรือเปล่า ถามเขาให้เขาตอบมาตอนนั้นหรือเขาจะกลับไปคิดแล้วมาตอบวันหลังก็แล้วแต่ แต่การไปบอกรักเขาเฉยๆเนี่ย มันก็เหมือนฉันอยากบอกเฉยๆ คุณไม่รักฉันไม่เป็นไร เราไม่ได้คบกันก็ไม่มีปัญหา”

“อ่อ”ฮารุโตะพยักหน้ารับรู้ “แต่เขาจูบกลับมา”

“สำหรับผู้ชายบางคนจูบหรือเซ็กส์มันไม่เกี่ยวกับความรัก เพราะฉะนั้นไปบอกเขาใหม่แล้วถามให้ชัดเจน โอเคไหม”

“คร้าบ ผมจะทำตามทุกประการ”

ก่อนออกจากร้านไปไดกิยังบ่นพึมพำว่าเพราะฮารุโตะทำให้ตนต้องนอนดึก จนกังวลว่าหน้าจะโทรมเวลาถ่ายรูป ฮารุโตะจึงกล่าวขอโทษซ้ำๆด้วยท่าทางที่ไม่จริงจังนัก จากนั้นเขาจึงทำงานต่อไปจนหมดเวลาทำงาน

ตอนกลับบ้านเมื่อหนุ่มรุ่นพี่มารับเขา ฮารุโตะรอจนขึ้นไปนั่งอยู่บนรถยนต์ด้วยกันแล้ว เขาจึงเอ่ยปากพูดสิ่งที่คิดทบทวนมาครั้งแล้วครั้งเล่า

“เมื่อตอนเย็น ผมเจอพ่อของรุ่นพี่ก่อนจากบ้านด้วยครับ แล้วท่านก็ถามว่าจะอยู่ที่นั่นไปถึงเมื่อไหร่”ฮารุโตะเงียบ ซึ่งอีกฝ่ายก็ยังคงเงียบปากอยู่เช่นเดิม

“เอ่อ... ผมขอโทษนะครับ ที่เคยพูดว่า ...น่ารังเกียจ”ฮารุโตะอ้อมแอ้มบอก เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งประหม่าและทั้งหวั่นใจ ยิ่งคู่สนทนายังไม่มีทีท่าว่าจะเหลือบแลสายตามองมา เอาแต่เพ่งมองถนนเบื้องหน้า ฮารุโตะยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจ แต่เพราะเขาตั้งใจไว้แล้ว และพิธีจบการศึกษาที่กำลังจะมีขึ้นก็บ่งบอกว่ารุ่นพี่กำลังจะเรียนจบแล้วเช่นกัน

“ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะยังมีความคิดที่จะย้ายไปอยู่ด้วยกันอยู่หรือเปล่า แต่ผมยังยืนยันคำเดิมนะครับ แล้วก็อยากรู้คำตอบด้วย ที่ผมสารภาพรักไปครั้งนั้น รุ่นพี่รักผมบ้างหรือเปล่า”

“ถ้าฉันบอกว่า ‘ไม่ได้รักนาย’ ยังอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอีกหรือ”น้ำเสียงเรียบเบาถามกลับมา คำถามนั้นทำให้หัวใจของฮารุโตะหล่นวูบ เขาตอบไม่ได้เพราะแค่ได้ยินว่า ‘ไม่รัก’ ก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลแล้ว

“ลองกลับไปถามตัวเองก่อน ถ้าคำตอบของฉันเป็นแบบนั้น นายยังกล้าจะใช้ชีวิตอยู่กับฉันหรือเปล่า”

น้ำตาของฮารุโตะร่วงผล็อย ไม่กล้ายกมือเช็ดน้ำตา และไม่กล้าแม้กระทั่งสูดหายใจเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มร่างสูงรับรู้ว่าเขาร้องไห้ ฮารุโตะหันหน้าหนีไปทางกระจกรถยนต์ แล้วแอบยกมือปาดน้ำตาตัวเอง เมื่อเผลอทนหายใจทางปากไม่ไหวก็พยายามสูดน้ำมูกให้เสียงเบาที่สุด รอกระทั่งรถยนต์จอดสนิทในที่จอดรถ เขาจึงรีบเปิดประตูแล้วรีบก้าวเท้าเข้าไปยังห้องที่ตนเองอาศัยอยู่

มือสั่นระริกยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกโดยไม่สนใจเวลาจะดึกดื่นแค่ไหน เขารอสัญญาณจนมันตัดไปแล้วรอบหนึ่ง จึงกดโทรออกซ้ำอีกรอบ คราวนี้ปลายสายกดรับ

“ซาโต้ซัง”ร้องเรียกชื่อพลางส่งเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นตามไปด้วย

“มีอะไร”น้ำเสียงปลายยังฟังดูงัวเงีย “ร้องไห้ทำไม”

“พรุ่งนี้มาช่วยย้ายของออกด้วย”

“ย้ายไปไหน”

“ก็ย้ายกลับไปที่ห้อง ผมโดนไล่ออกจากบ้านของรุ่นพี่ชิมิซึแล้ว”ฮารุโตะส่งเสียงร้องไห้โฮตามไปอีกรอบ

“เฮ้ย เดี๋ยวเล่าให้ละเอียดหน่อยดิ”ทาคุมิถามกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะตื่นเต็มที่แล้ว ฮารุโตะจึงเล่าเรื่องที่เจอกับชิมิซึ เคนจิโร่ และคำถามที่ชิมิซึ ซากิถามเขาให้ฟัง

“อย่าตีตนไปก่อนไข้ได้ป่ะ”

ฮารุโตะสะอึกก่อนจะน้ำตาไหลมากขึ้นกว่าเดิม แต่เขาไม่กล้าส่งเสียงเพราะแม้แต่คนที่เคยเข้าข้างเขามากที่สุด คนที่เคยดีกับเขาที่สุดยังพูดดุคิดว่าความคิดของเขามันไร้สาระ

“ตั้งใจฟังดีๆนะ รุ่นพี่ชิมิซึเขาพูดว่า ‘ถ้า’ คำว่า ‘ถ้า’ มันเป็นการตั้งสมมติฐาน เป็นการคาดคะเน เขายังไม่ได้บอกว่า ‘ไม่รักนาย’ จริงๆเลย”

“แต่ถ้าเขาไม่คิดอย่างนั้น เขาไม่พูดออกมาหรอก”ฮารุโตะเถียงกลับทันควัน

“งั้นคืนนี้นอนก่อนเลย ไปอาบน้ำแล้วนอนให้หลับ แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปถามให้ชัดๆอีกรอบ แล้วค่อยร้องไห้ทีเดียว”

ฮารุโตะเงียบไม่ตอบ ไม่มีใครเข้าข้างเขาแล้ว ที่เคยบอกว่ารักต่างก็พูดโกหกทั้งนั้น

“ฮารุโตะได้ยินหรือเปล่า”ทาคุมิถามซ้ำส่งเสียงชิชะมาให้อีกฝั่งได้ยิน ก่อนที่สายจะถูกตัดไป ฮารุโตะทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าตัวเองไว้ เขารู้ว่านิสัยตัวเองมันน่าเบื่อและเขาก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้ แต่ถ้าไม่พอใจนิสัยแบบนี้ของเขาก็ปล่อยเขาทิ้งไว้เหมือนเดิมก็พอแล้ว มายุ่งทำไม มาให้ความหวังทำไม เขาก็อยู่ตัวคนเดียวของเขามาตั้งนานแล้ว

เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้ร่างซึ่งนั่งพิงหลังกับประตูอยู่สะดุ้ง เขารีบปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นเมื่ออีกฝ่ายดันประตูเปิดเข้ามาโดยไม่ส่งเสียงถามหรือรอให้เขาขานรับ เด็กหนุ่มถอยหลังออกห่างและก้มหน้าซ่อนดวงตาของตนเองไว้

“มีอะไรหรือครับ”เสียงของเขาอู้อี้ที่ฟังได้รู้ทันทีว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้

ซากิมองเด็กหนุ่มร่างเล็กที่พยายามซ่อนอยู่ในเงามืดด้วยความสะท้อนใจ เขาถอนหายใจออกมาก่อนเอือมมือไปกดเปิดสวิตช์ข้างประตู และทันทีที่ไฟในห้องสว่าง ฮารุโตะก็รีบหมุนตัวหันหลังให้

“ถ้ารุ่นพี่ไม่มีอะไร ผมจะนอนแล้วครับ”

“คุยกันหน่อยไหม”

ฮารุโตะหันมา ดวงตาแดงช้ำช้อนเงยขึ้นมองเขา ซากิจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้อง ปิดประตูและเดินไปนั่งบนเตียง จากนั้นจึงตบที่นั่งข้างๆเป็นเชิงเรียกให้อีกฝ่ายมานั่ง ฮารุโตะยืนนิ่งอยู่เป็นครู่กว่าจะเดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

“เมื่อก่อน”ซากิเริ่มต้นพูด

“ฉันแอบชอบคนคนหนึ่ง เขา...ใจดี น่ารัก นิสัยดี ยิ้มเก่ง พูดง่ายๆว่าเป็นคนที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่เผอิญว่าเพื่อนฉันก็ชอบเขาเหมือนกัน ถ้าเป็นนายจะทำอย่างไร”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ เขาไม่รู้หรอกว่าจะทำอย่างไรเพราะเขาไม่เคยมีสิทธิ์ที่จะชอบใคร เด็กหนุ่มยกมือขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง แม้ไม่รู้ว่ารุ่นพี่จะเล่าเรื่องคนที่ชอบให้ฟังทำไม แต่เขายังคงเงียบฟัง

ซากิเหลือบมองฮารุโตะที่ปาดน้ำตาตัวเองป้อยๆ แล้วพูดต่อ

“ตอนนั้นฉันไม่ได้ทำอะไร ได้แต่มองดูสองคนนั้นตกลงคบกัน แล้วคิดว่า ดีแล้ว สองคนนั้นมีความสุขนับว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว แต่ความจริงคือมันเจ็บสุดๆ อยู่ต่อหน้าสองคนนั้นฉันต้องยิ้ม อยู่ต่อหน้าทุกคนฉันต้องหัวเราะ ทั้งที่ภายในใจมันเจ็บปวดเจียนตาย”

ฮารุโตะเงยหน้ามองหนุ่มรุ่นพี่ ปลายเสียงของอีกฝ่ายสั่นเครือ คนตรงหน้าเขาไม่มีน้ำตาให้เห็นแต่ราวกับถ้ามองลึกเข้าไปหลังม่านนัยน์ตาสีเข้มคู่นั้น  เขาจะได้เห็นหยาดน้ำความเจ็บปวดที่หลั่งรินตลอดเวลา เด็กหนุ่มยกมือวางลงบนต้นแขนของหนุ่มรุ่นพี่คล้ายกับพยายามปลอบใจ

“ที่สำคัญ ฉันยังลืมเขาไม่ได้”

เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงเหมือนจะเข้าใจในวินาทีนั้น สาเหตุที่อีกฝ่ายไม่รักเขา เพราะคนคนนั้นยังยึดพื้นที่อยู่เต็มหัวใจ

“ถ้าเกิดเขาสองคนนั้นเลิกกัน รุ่นพี่จะกลับไปหาคนที่รุ่นพี่ชอบหรือเปล่าครับ”

“กลับ”ซากิตอบอย่างไม่ลังเล

“ถ้าอย่างนั้นรุ่นพี่คบกับผมนะครับ”

ซากิมองสบตาดวงตาแดงช้ำซึ่งผ่านการร้องไห้ของหนุ่มรุ่นน้อง อีกฝ่ายมองเขานิ่งไม่หลบเลี่ยงไปไหน เป็นเขาเองที่ต้องเป็นฝ่ายหลบตา

“มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ถ้านายคิดว่าความดีความรักของนายทำให้ฉันเปลี่ยนใจไปรักนาย เพราะถ้ามันเป็นไปได้ มันคงเกิดขึ้นมานานแล้ว”

“ครับ ผมรู้แต่ถ้ามีโอกาสผมก็อยากลอง เมื่อก่อนผมได้แต่นึกสงสัยว่าทำไมรุ่นพี่ไม่รักผมบ้าง เพราะผมหน้าตาไม่ดี ไม่น่ารัก นิสัยไม่ดีเหรอ หรือเพราะรุ่นพี่แค่อยากจะกลั่นแกล้งผมเหมือนคนอื่นๆ”ฮารุโตะเม้มปากกลืนก้อนสะอึกลงคอ

“แต่วันนี้ผมรู้แล้ว และผมก็รู้ว่าผมคงไม่ดีเท่าคนที่รุ่นพี่ชอบ แต่ผมเชื่อว่ารุ่นพี่จะไม่เห็นความรู้สึกของผมเป็นของเล่น ดังนั้นถ้ามีโอกาสผมก็อยากสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าความรักดูบ้าง”

“สักวันนายจะเจ็บปวด”

“ไม่เป็นไรครับ เหมือนที่รุ่นพี่เคยพูดไว้ ผมเลือกมันเองเพราะฉะนั้นผมจะยอมรับผลที่มันจะเกิดขึ้น”ฮารุโตะไม่เชื่อว่าความเจ็บปวดที่เกิดจากความรักครั้งนี้จะมากมายกว่าความเจ็บปวดในอดีตที่เขาเคยเผชิญมา หรือถ้ามันเจ็บปวดเจียนตายอย่างที่อีกฝ่ายบอกจริง มันก็แค่เป็นอีกหนึ่งครั้งที่เขาต้องจดจำมันไว้

“ผมไม่ชอบที่ตัวเองเดาไม่ออกว่าคนอื่นเขาคิดอะไร เพราะคิดปฏิกิริยาตอบโต้ไม่ทัน แต่ถ้ารู้แล้วผมคิดว่าทุกอย่างมันสบายมาก เมื่อก่อนรุ่นพี่ยังดูแลผมอย่างดีเลย”

“เพราะฉันอยากให้นายหลงฉันต่างหาก”

“แต่รุ่นพี่ชอบที่จะมีอะไรกับผมใช่ไหมล่ะ”ฮารุโตะขยับตัวเข้าไปโอบแขนรอบคอของชายหนุ่มไว้ แต่นั่งไม่ถนัดเลยขยับขึ้นไปนั่งทับบนตักของชายหนุ่ม อีกฝ่ายจึงวาดแขนโอบรอบเอวคล้ายเป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติที่เจ้าตัวทำโดยไม่ทันคิด

“เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก ให้โอกาสผมเถอะนะ”ฮารุโตะช้อนตาขึ้นมอง

ซากิวางศีรษะลงกับลาดไหล่บาง โอบกระชับร่างเล็กกว่ามาไว้ในอ้อมแขนพลางพูดย้ำซ้ำให้คนในอ้อมกอดฟังอีกครั้ง

“สักวันหนึ่งนายจะต้องเสียใจ”




หัวข้อ: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-04-2017 06:03:54



ย่างเข้าสู่ปลายเดือนมีนาคม ดอกซากุระจึงเริ่มผลิบานออกดอกให้ยลกันบ้าง ทว่าก็มีประปรายไม่เป็นพุ่มสวยอย่างช่วงเดือนเมษายนซึ่งบานชู่ช่อเต็มทั้งต้น กระนั้นมันกลับเป็นเหมือนคำอวยพรที่มีต่อเหล่าบัณฑิตผู้ซึ่งกำลังก้าวเท้าสู่การเริ่มต้นชีวิตใหม่ จากนักศึกษาที่ต้องทุ่มเทเพื่อการเรียนสู่เหล่าคนทำงานซึ่งต้องทุ่มเทเพื่อบริษัท องค์กรและความเจริญก้าวหน้าของตนในอนาคต

พิธีจบการศึกษาจัดขึ้นอาคารหอประชุมใหญ่ อาคารสี่เหลี่ยมทรงเรขาคณิตสีน้ำตาลอิฐซึ่งความสูงของหลังคาแต่ละจุดต่างระดับกัน ด้านหน้ามีลานกว้างปูนพื้นด้วยอิฐสีเดียวกับตัวอาคาร ปลายลานเป็นพื้นไล่ระดับคล้ายขั้นบันไดลงสู่สระน้ำซึ่งมีถนนทางเดินและตึกอาคารเรียนล้อมรอบอยู่อีกฝั่งหนึ่ง

พิธีดังกล่าวจัดขึ้นช่วงเช้า ฮารุโตะจึงติดรถมากับหนุ่มรุ่นพี่ผู้ซึ่งต้องเข้าร่วมพิธีนั้นด้วย ก่อนจะพาตัวเองไปนั่งรอทุกคนอยู่บริเวณนั้น

สัญญาณเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือทำให้ฮารุโตะหยิบอุปกรณ์สื่อสารจากกระเป๋าออกมาดู ชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอทำให้เขามุ่ยหน้าไม่อยากรับสาย เด็กหนุ่มปล่อยให้สัญญาณดังอยู่เช่นนั้นกระทั่งมันถูกตัดไป คราวนี้อีกฝั่งของปลายสายส่งข้อความรัวมาหา

“อยู่ไหน”

“ถึงมหาวิทยาลัยหรือยัง”

ก่อนจะสลับมาโทรเข้าอีกรอบ ฮารุโตะมองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือโดยไม่คิดจะกดรับด้วยอารมณ์ทั้งโกรธและน้อยใจที่โดนว่า เขาอุตส่าห์โทรหา คิดถึงอีกฝ่ายเป็นคนแรกในยามที่ตนทุกข์ใจ แต่ไม่ว่าใครก็คงไม่ชอบฟังเรื่องทุกข์ใจของคนอื่น ฮารุโตะยกมือขึ้นแตะหน้าอกกำจี้รูปใบโคลเวอร์ผ่านเสื้อที่ตนสวมใส่ พรูลมหายใจออกและกดรับสาย

“อยู่ไหน”คำถามจากปลายสายดังขึ้นทันทีที่กดรับ ฮารุโตะจึงบอกตำแหน่งที่ตนนั่งอยู่ กระนั้นยังไม่ทันวางสาย อีกฝ่ายกลับมาปรากฏอยู่ในครรลองสายตา ฮารุโตะเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋าและลุกขึ้นยืน กล่าวทักทายเมื่อฝ่ายนั้นเดินเข้ามาใกล้ แล้วนั่งลงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เขาไม่ได้ติดโทรศัพท์มือถือเหมือนเด็กคนอื่น จึงไม่มีเกมหรือแอพพลิเคชั่นใดที่สนใจเป็นพิเศษ ซ้ำปกติไม่ค่อยได้คุยกับใคร จึงได้แต่เปิดประวัติการสนทนาเก่าๆของกลุ่มชมรมขึ้นอ่าน

“ฮารุโตะ”ทาคุมิเอ่ยเรียก ท่าทางการแสดงออกของเพื่อนสนิทดูได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ดี อารมณ์เสีย หรือกำลังโกรธอยู่เช่นนี้

“เมื่อวานขอโทษด้วยที่พูดไม่ดี”

“อืม ไม่เป็นไร”

แต่ใช่ว่าจะไม่เป็นไรอย่างที่ปากพูด ในความคิดของทาคุมิ การกระทำพื้นฐานของฮารุโตะส่วนใหญ่ล้วนเป็นรูปแบบปฏิกิริยาที่เหมือนถูกบันทึกไว้ ถ้ามีคนโมโหพูดว่าใส่ ฮารุโตะจะเอ่ยปากขอโทษทันที และถ้ามีคนกล่าวขอโทษ ฮารุโตะจะบอกว่าไม่เป็นไร ทั้งที่ในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น

“ตอนนั้นมันโดนกวนตอนกำลังหลับ สมองเลยคิดไม่ทัน”ทาคุมิพูดออกไปก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เดี๋ยวอีกฝ่ายจะเข้าใจว่าห้ามโทรมากวนตอนดึกอีก เขาจึงรีบพูดแก้ตัวพร้อมกับคว้ามือของอีกฝ่ายมากุมไว้เพื่อเรียกความสนใจ

“แต่ไม่ได้หมายความว่า ห้ามโทรมาดึกๆอีกนะ เมื่อคืนไม่ทันตั้งตัวน่ะแต่คราวหน้าไม่มีปัญหาแน่นอน แล้วเรื่องรุ่นพี่ชิมิซึว่าอย่างไร”

“ก็ดี”

ทาคุมิต้องพยายามชวนคุยต่อให้ฮารุโตะลืมความรู้สึกไม่พอใจ “รุ่นพี่ไปคุยกับนายหรือเปล่า เมื่อคืนหลังจากวางสายจากนาย ฉันโทรไปหารุ่นพี่ให้เข้าไปคุยกับนาย ที่จริงอยากไปหานะ แต่รถบัสหมดแล้วไง”

“ซาโต้ซังเป็นคนบอกรุ่นพี่หรือ”ฮารุโตะเงยหน้าขึ้นมาถาม เด็กหนุ่มจึงรีบชวนคุยต่อ

“นายอาจจะไม่พอใจ แต่อย่างที่บอกว่าดึกขนาดนั้นฉันไปหานายไม่ได้หรอก ไม่รู้จะทำอย่างไรเลยต้องโทรไปบอกรุ่นพี่น่ะ นายโอเคนะ”

“อืม รุ่นพี่ตกลงคบด้วยแล้วนะ”ฮารุโตะตอบออกมา ท่าทางสงบเสียคนฟังประหลาดใจ

“รุ่นพี่เล่าให้ฟังว่า มีคนที่ชอบอยู่แล้ว และยังลืมเขาคนนั้นไม่ได้ ผมเลยบอกว่ามาคบกันเถอะ ซาโต้ซังคิดว่า การตัดสินใจของผมผิดหรือเปล่า”

“แล้วตอนนี้นายรู้สึกอย่างไรล่ะ”

ฮารุโตะสั่นศีรษะ ในสมองและหัวใจว่างเปล่าจนน่าแปลกใจ แต่ในบางขณะก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครบอกได้นอกจากตัวนายในอนาคต แต่แบบนี้มีโอกาสที่รุ่นพี่จะกลับไปหาคนคนนั้นนะรู้ไหม”

“อืม รุ่นพี่ก็บอกเหมือนกัน เขายังบอกว่า คงไม่มีวันเปลี่ยนใจมารักผม”น้ำเสียงของฮารุโตะเศร้าลง เศร้าเสียใจที่ตัวเองไม่เป็นที่รักของคนที่รัก

“ไม่เป็นไรหรอก ลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวก็เลิก”ทาคุมิบอก “สัญญาได้ไหม ถ้าวันหนึ่งไม่ไหวแล้วจริงๆก็ต้องเลิกนะ”

ฮารุโตะพยักหน้ารับ กลับนึกลังเลขึ้นมาว่าการตัดสินใจของเขาอาจจะเป็นความคิดที่ผิด

พวกรุ่นพี่ใช้เวลาในอาคารหอประชุมเพียงหนึ่งถึงสองชั่วโมงต่างก็ทยอยออกมา ทาคุมิจึงชักชวนเขาให้เดินเข้าไปหา เขากล่าวแสดงความยินดีกับทุกคน สมาชิกในชมรมเองต่างทยอยกันมาร่วมแสดงความยินดีกับกลุ่มรุ่นพี่กันอย่างไม่ขาดสาย รุ่นพี่นาคามูระในชุดสูทสีดำถูกขอถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะแยกย้ายกันไปถ่ายรูปกับสมาชิกในครอบครัวที่มาร่วมแสดงความยินดี

“พ่อครับ หลังจากนี้พ่อรีบไปไหนหรือเปล่า”ซากิเอ่ยถามบิดาของตนหลังจากจับภาพคู่กันไปหลายต่อหลายรูป ชิมิซึ เคนจิโร่ตอบคำถามของลูกชายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

“ช่วงนี้คงอยู่บ้านอีกสักวันสองวัน”

“ถ้าอย่างนั้น เมื่อกลับไปถึงบ้านผมขอคุยอะไรด้วยหน่อยนะครับ”ท่าทางจริงจังของลูกชายทำให้คนเป็นพ่อเริ่มแปลกใจ แต่กระนั้นก็พยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

ตอนที่เพิ่งกลับมาถึงบ้าน เด็กหนุ่มเห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองคน เขาจึงสำนึกรู้ได้ว่า หนุ่มรุ่นพี่คงจะขอเวลาคุยกับชิมิซึ เคนจิโร่ตามที่เคยแจ้งไว้ขณะที่อยู่ในมหาวิทยาลัย เขาจึงเดินเลี่ยงขึ้นไปชั้นบนทว่ากลับถูกดึงข้อมือไว้ ฮารุโตะถึงกับนั่งตัวเกร็งเมื่อถูกดึงให้ไปนั่งเผชิญหน้ากับชิมิซึคนพ่อ

“นี่มิอุระ ฮารุโตะครับ แฟนของผม”การถูกเอ่ยแนะนำเช่นนั้นพาให้เด็กหนุ่มร่างเล็กรู้สึกเกร็งเครียดมากขึ้นไปกว่าเดิม เห็นสายตาของผู้สูงวัยที่กวาดมองเขาซ้ำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ยิ่งพาลให้เขารู้สึกด้อยค่าจนต้องก้มหน้าลง

“เงยหน้าขึ้น”เสียงเข้มเอ่ยกระซิบสั่ง เขาเหลือบสายตามองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งนิ่งมองตรงไปด้านหน้า ไม่แม้จะเหลือบแลมาทางเขา หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะออกอาการตุ๊มๆต่อมๆ ถึงอย่างนั้นเขายังต้องเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง แต่ฮารุโตะยังไม่กล้าพอที่จะมองหน้าหรือสบสายตาคมกล้าซึ่งไม่ต่างจากของหนุ่มรุ่นพี่

“อย่าหลบตา”คนที่นั่งอยู่ข้างๆออกคำสั่งอีกครั้ง ฮารุโตะจึงต้องมองหน้าชิมิซึ เคนจิโร่พร้อมพยายามยกยิ้มให้ แต่รอยยิ้มของเขาจืดเจื่อนแหยะแหยอย่างที่เขายังรู้สึกได้

“เด็กผู้ชาย?”

“ครับ”ซากิตอบรับด้วยน้ำเสียงเรียบๆอย่างไม่รู้สึกตื่นเต้น

“แกจะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

ฮารุโตะสะดุ้งเพราะเสียงของชิมิซึ เคนจิโร่ตวาดดังขึ้นตามอารมณ์ เขาก้มหน้าลงด้วยความกลัว หนุ่มรุ่นพี่จึงยื่นมือมากุมมือเขาไว้

“ก็เอาไว้ที่เดิมแหละครับ”น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยไม่ตื่นเต้นตกใจเช่นเดิม “ผมแค่แจ้งให้ทราบเฉยๆ ไม่ได้คิดขอร้องให้พ่อมาร่วมตัดสินใจด้วย”

“แกคิดดีแล้วเหรอ”แม้ความดังเสียงจะลดลงแต่สำเนียงที่ใช้ยังคงแข็งกร้าวด้วยความไม่พอใจ “ไม่คิดจะมีลูกหลานสืบสกุลหรือไง”

“แค่พี่มานาบุคนเดียวก็พอแล้วครับ ประเทศนี้มีประชากรเยอะอยู่แล้ว ต่อให้ขาดลูกของผมไปสักคนคงไม่กระทบต่อระบบเศรษฐกิจ”

“ไม่คิดว่าพี่แกจะมีลูกไม่ได้บ้าง”

“สมัยนี้การแพทย์ก้าวหน้าไปไกลแล้วครับ ถึงขนาดเลือกลูกผู้ชายหรือผู้หญิง หรือหน้าตาของลูกได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง แค่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งตั้งครรภ์คงไม่ใช่เรื่องยาก”

“ถ้าฉันขอร้องล่ะ”

“พ่อก็รู้อยู่แล้วว่าคำขอร้องของพ่อไม่เคยใช้ได้ผลกับผม”

“ไม่คิดถึงแม่แกบ้าง”

“แม่ตายไปแล้วครับ เขาไม่มารับรู้อะไรอีกแล้ว และถึงแม่จะยังอยู่ ผมเชื่อว่าแม่ไม่ห้ามหรอก”

เคนจิโร่ยกมือขึ้นกุมศีรษะ

“พ่อไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวผมจะออกไปอยู่ข้างนอก และจะไม่เอาชื่อพ่อไปอ้างกับใคร รับรองว่าไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นลูกพ่อ หน้าของพ่อยังดูดีอยู่เหมือนเดิมแน่”

“ไม่ต้องออกไปที่อื่น อยู่ที่นี่แหละ ฉันตั้งใจจะยกบ้านนี้ให้แกอยู่แล้ว”เคนจิโร่พูดเสียงแข็ง “อ่อ... ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะยกให้แฟนแก เวลาเลิกกันแกจะได้เป็นคนเร่ร่อน พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเอกสารกรรมสิทธิ์มาให้”เคนจิโร่ลุกขึ้นยืนเมื่อพูดจบ เขาก้าวเท้าออกไปจากห้องโดยไม่คิดที่จะมองหน้าใครอีก

ฮารุโตะมองตามแผ่นหลังที่หายลับออกไป แล้วหันไปพูดกับหนุ่มรุ่นพี่

“รุ่นพี่ไม่น่าจะไปพูดแบบนั้นเลยครับ ไม่น่าบอกออกไปแบบนั้นด้วย”

“ทำไม? ต่อให้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่นาย กับคนอื่นถ้าเขาเป็นแฟนฉัน ฉันก็แนะนำให้พ่อรู้จักเหมือนกัน”

เด็กหนุ่มพูดอะไรไม่ออก ได้แต่นั่งก้มหน้าด้วยอาการหงอยซึมเซา

“หิวหรือยัง ไปกินข้าวกันไหม”ซากิเอ่ยชวน ฮารุโตะจึงเงยหน้าเอ่ยปากพูดเปลี่ยนท่าทางเป็นกระตือรือร้นทันควัน

“ผมเตรียมทำทงคัตสึไว้ครับ รุ่นพี่ทานกับผมนะ”

“นายจะไปสอบเข้าอะไรที่ไหนล่ะ”

“เปล่าครับ ผมทำฉลองให้รุ่นพี่ที่รุ่นพี่เรียนจบ”

ซากิจึงยกยิ้ม “อืม เอาดิแต่ถ้าไม่อร่อยไม่กินนะ”

“รุ่นพี่อ่ะ จะไม่กินจริงหรือ”ฮารุโตะหน้าเสีย

“ไปทำมาก่อน จะได้ลองชิมว่าอร่อยหรือเปล่า”ซากิเอ่ยบอกซ้ำอีกครั้ง ฮารุโตะมุ่ยหน้าขมวดคิ้วมองหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งยกยิ้มหน้าระรื่น รู้ทั้งรู้ว่าเขาไม่ได้ทำอาหารเก่งเลิศเลอยังจะพูดแบบนั้นเพื่อตัดกำลังใจกันอีก

ฮารุโตะลุกขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยังงอหงิกไม่หาย เปิดประตูตู้เย็นและหยิบหมูที่หมักทิ้งไว้ออกมามองด้วยความลังเล หรือเปลี่ยนออกไปกินข้าวข้างนอกดี แต่เขาอุตส่าห์เตรียมของไว้หมดแล้ว

“ตกลงจะทำหรือไม่ทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องทำอีกเลย”

“เอ๊ะ”เด็กหนุ่มมองคนพูดด้วยความไม่เข้าใจ อีกฝ่ายเดินตามมาดูเขาถึงในครัว

“ถ้าวันนี้ไม่ทำนะ ต่อจากนี้ไม่ต้องมาทำอะไรในครัวนี้อีกเลย”

คราวนี้จึงได้แต่อ้าปากพะงาบๆหลังประโยคอธิบายของอีกฝ่ายจบลง ฮารุโตะนึกอยากจะร้องไห้ ถึงน้ำเสียงของหนุ่มรุ่นพี่จะไม่ดุเข้มเท่าที่เคยยามที่อีกฝ่ายโมโห แต่มาสั่งห้ามให้เขาใช้ครัวอย่างนี้ ก็เหมือนปล้นเงินเขานั้นแหละ ถ้าต้องออกไปกินข้างนอกทุกวัน เขาไม่เหลือเงินเก็บแน่ๆ

ฮารุโตะใช้เวลาทำทงคัตสึไม่นาน เพราะเขาเตรียมของทุกอย่างไว้หมดแล้ว เหลือแค่นำหมูไปคลุกแป้งและลงทอดในน้ำมันเท่านั้น หลังจากหมูสุกเขายกขึ้นพัก จากนั้นหั่นลงถ้วยที่ตักข้าวเตรียมไว้ ที่เขาทำเป็นทงคัตสึด้ง  หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย จึงถือนำไปเสริฟให้หนุ่มรุ่นพี่ซึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะ และลากเก้าอี้มานั่งรอลุ้นอยู่ข้างๆ

“นายไม่กินหรือ”

“กินครับ แต่รอรุ่นพี่ก่อนว่าจะอร่อยหรือเปล่า”

“อย่างนั้นไปเอาของตัวเองมา ถ้านายไม่เอามากินด้วยฉันไม่กินหรอก”

ฮารุโตะจึงหน้างอลงอีกรอบ แล้วนึกฮึดเดินออกไปเรียกคนอื่นมาให้หมด ที่จริงเขาเตรียมของเผื่อคนอื่นไว้ด้วย แล้วทำเตรียมไว้ให้แล้ว แต่ทีแรกตั้งใจว่าถ้ารุ่นพี่บอกว่าอร่อยถึงจะไปตามคนอื่นมา แต่ถ้ารุ่นพี่บอกว่าไม่อร่อย เขาจะกินเองให้หมด

ฮารุโตะเคาะประตูห้องชิมิซึ เคนจิโร่แล้วยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อผู้อาวุโสกว่าเปิดออกมาพร้อมใบหน้าเรียบนิ่งบึ้งตึง เขาจึงถอยหลังหนีไปหนึ่งก้าวด้วยความเคยชิน ก่อนจะอ้อมแอ้มบอกว่า

“ผมทำอาหารกลางวันเสร็จแล้วครับ ลงไปทานด้วยกันนะครับ”เขายืนนิ่งรอคำตอบ

“ลงไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”

ฮารุโตะกลับลงไปในครัว เห็นผู้ชายในชุดสูทสีดำสองคนมายืนรออยู่แล้ว จึงไปถือทงคัตสึด้งมาเสิร์ฟ

“เอ่อ ให้พวกเขานั่งด้วยได้หรือเปล่าครับ”ฮารุโตะหันไปถามซากิ ยังถือถาดใส่ถ้วยข้าวอยู่ในสองมือ

“ฉันไม่มีปัญหา”

ฮารุโตะจึงเชื้อเชิญให้ทั้งสองคนนั่งลง เคนจิโร่ตามลงมาสมทบหลังจากนั้น และเมื่อทุกคนมานั่งรวมพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ซากิจึงประนมมือบอกกล่าวตามธรรมเนียมก่อนทานอาหาร ฮารุโตะทำตามแต่ยังคงเหล่ตาแอบมองคนอื่นๆ เห็นทุกคนทานด้วยสีหน้าอาการปกติจึงค่อยเบาใจ ใช้ตะเกียบคีบหมูลองกัดชิมดูบ้าง

ก็ปกติ... เขาคิดในใจ

“อร่อยดี”หนุ่มรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามบอกเขา

ฮารุโตะยกยิ้ม

เด็กหนุ่มมีความฝัน กระนั้นความหวังและความฝันของเขาล้วนคล้ายกับคนทั่วไป อยากมีบ้านและครอบครัวที่อบอุ่น ทั้งยังหวังว่าชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้าจะเป็นครอบครัวที่เขาฝันไว้


+++++END+++++



*// สวัสดีค่ะ ก่อนอื่นขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านนิยายเรื่องนี้มาจนถึงตอนสุดท้าย
ที่เรากังวลที่สุดเกี่ยวกับตอนจบ คือมันเร่งไปหรือเปล่าคะ
ส่วนเรื่องเปลี่ยนพระเอกแม้จะลังเลเสมอมา แต่เราเทใจไปที่ซากิมากกว่า เพราะกำหนดมาแต่เริ่มครั้งแรก(รุ่นที่ห้าสิบกว่าหน้าและโดนลบไปแล้ว) ด้วยประการหนึ่ง และพล็อตที่สองตอนที่ตั้งใจไว้ คือไปเปลี่ยนตัวพระเอกหลังจากนี้ อย่างที่คุณ Grey Twilight วิเคราะห์ตัวละครไว้ค่ะ ว่าซากิไม่เหมาะที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ฮารุโตะ พล็อตที่ว่ามันเลยเป็นประมาณว่าสองคนนี้คบกันแล้วเลิกกันไป ทีนี้ชุนก็จะกลับมาด้วยมาดที่ดูดีกว่านี้ กลับมาช่วยดึงฮารุโตะที่แตกสลายเพราะอกหักโดนทิ้ง คืออย่างที่เคยบอกอ่ะว่าอันนั้นจะเศร้ามากมาย แต่เราเปลี่ยนใจตอนที่คิดจะลงเรื่องนี้ในเว็บ (เหอเหอเหอ) เวอร์ชั่นนั้นเราใช้ชื่อว่า “ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า” (มีชื่อญี่ปุ่นด้วยเหมือนกัน) เมื่อเปลี่ยนใจเนื้อหาช่วงหลังๆเลยเป็นอะไรที่สนับสนุนความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมากขึ้น  แต่เราก็ไม่แน่ใจว่าถ้ายังเป็น  “ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า”  ความคิดนิสัยของซากิจะเป็นอย่างไรนะ
สุดท้ายนี้ มีความคิดเห็นอย่างไรกับตอนจบของเราสามารถเขียนตอบไว้ได้นะคะ  อ่อ เรายังไม่มีความคิดที่จะเขียนต่อนะ และถ้ามีต่อ ฮารุโตะก็ยังจะคู่กับซากิอยู่ดี  พล็อตของเรามาจากความคิดที่ว่า “คนที่เหมือนว่าจะเข้ากันไม่ได้น่ะ” (ฮา)
อีกอย่างที่คุณ Grey Twilight ทักไว้ว่าฮารุโตะรักซากิเพราะอะไร และอย่างที่คุณเขียนมาเพราะว่าซากิเป็นเซ็กซ์ครั้งแรกของฮารุโตะค่ะ ตามนั้นแหละ ต้องยอมรับแหละว่าต้นแบบของฮารุโตะมาจากผู้หญิง  ก็เราเป็นผู้หญิงนี่นะ เลยมีต้นแบบที่เป็นผู้หญิงมากกว่า แต่ถามว่าทำไมไม่เขียนเรื่องผู้หญิง เพราะตัวเอกที่เป็นผู้หญิงจะโดนกลั่นแกล้งอีกแบบค่ะในความคิดเห็นของเรานะ
โอ๊ะ เริ่มยาวไปแล้ว ถ้าอย่างไรขอจบไว้ตรงนี้ก่อนนะคะ แต่ถ้าตอนจบของเราทำให้คุณรู้สึกผิดหวังเหมือน The mask รอบชิง ก็เขียนบอกได้นะคะ เราจะเอาไปปรับปรุงตอนจบสำหรับเรื่องต่อไป กราบขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ//*
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-04-2017 08:05:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 18-04-2017 08:14:41
แหม (หัวเราะ) ดักทางผมซะไปไม่เป็นเลยครับ

ถ้าถามส่วนตัว ผมว่าผมชอบพล็อต ‘ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า’ มากกว่านะครับ เพราะสาเหตุหลักๆเลยคือ

หนึ่ง วรรณกรรมควรสื่ออะไรที่เป็นการแก้ปัญหา ไม่ใช่การ address แต่ปัญหา ผมคิดว่าวาทกรรมหนึ่งใช้ได้ดีเลยนะครับ "คนพูดถึงปัญหาน่ะมีเยอะแล้วในสังคม อย่าเอาแต่พูดถึงปัญหา พูดถึง ‘การ’ แก้ปัญหา จะดีกว่า" อย่างไรก็ตามบางคนก็ไม่ได้มีแนวคิดแบบนี้ ดังนั้นวรรณกรรมจะออกมาแบบปลายเปิดครับ แต่ส่วนตัว ผมคิดว่าการชักนำเชิง morality เป็นอะไรที่ผมชอบจะเห็นในสังคมเรามากกว่าน่ะครับ

สอง ความดรามาไม่ใช่ปัญหา คนส่วนมากอ่านดรามาแล้วไม่ชอบเพราะตัวเองอินเข้าไปกับเนื้อหา เลยรู้สึกว่าทำไมชีวิตตัวละครรันทดได้ขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นกรณีที่เขียนโดยอ้างอิงหลักความจริง ผมว่าดรามาของคุณตีสี่เป็นเรื่องปกติมากนะครับ ประชากรทั่วโลกยังไงก็ต้องมีคนที่เผชิญชีวิตแบบนี้อยู่ไม่น้อย คำถามคือ ถ้าสมมุติเราเป็นคนหนึ่งที่อ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วบังเอิญว่าชีวิตได้ไปเจอคนที่มีปัญหาแบบนี้จริงๆ ถ้านิยายเรื่องนี้พูดถึงแต่ปัญหา แล้วก็จบดื้อๆ เราจะช่วยอะไรคนที่มีปัญหาแบบนี้ในชีวิตจริงได้ไหมครับ?

ส่วนคำถามที่คุณตีสี่บอกว่าเร่งจบไหม สำหรับผม มันเร่งและดูไม่สมเหตุสมผลด้านองค์ประกอบของเนื้อเรื่องนะครับ ผมโอเคเรื่องที่ฮารุโตะพยายามจะคบกับซากินะครับเพราะว่าอยากสัมผัสความรัก แต่ประเด็นหลายประเด็นมันยังต่อเนื่องและไม่ได้มีการขบคิดอย่างจริงจังเลย เช่น
- แน่นอนว่าซากิจะต้องลองเปิดใจให้คนที่เหมือนภาพซ้อนทับของเขาในอนาคค ซึ่งฮารุโตะ ‘ไม่มีวัน’ จะเป็นได้ และไม่สมควรจะเปลี่ยนทั้งหมดของตัวเองเพื่อความรักครั้งเดียวครับ คำถามคือเมื่อเจอ ฮารุโตะจะเป็นยังไง? นี่องค์ประกอบที่จะต้องคิดต่อเรื่องแรก
- เรื่องที่สอง คอมเมนท์ที่แล้วผมพูดถึงแม่ชุนไป ซึ่งจนจบเรื่องก็ยังไม่มีการพูดถึงต้นตอปัญหาของชุนจริงจัง ทำให้พอจบแบบนี้ ชุนกลายเป็นตัวละครไร้มิติครับ เหมือนจะมีน้ำหนัก แต่กลับกลวงมาก ตอนเด็กแกล้งเพราะชอบ โตมาเสร็จอ้าว จะคืนดีเพราะไปขอขมา ไม่สำเร็จเสร็จก็ลักพาตัว ลักพาตัวแล้วก็โดยพระเอกจัดฉากเพิ่มความผิด ส่งหายลับดับฉากไปเลย มันดู...ไม่มีน้ำหนักและแบนมากครับ แทนที่จะเป็นตัวละครเด่น กลับกลายเป็นตัวประกอบ

ถ้าจะจบแบบนี้ คุณตีสี่ไม่ควรใส่พาร์ทที่ทำให้เราเห็นมุมมองชุนเข้ามาครับ เพราะสุดท้ายแล้วมันไม่มีประโยชน์ และไม่ควรใส่การจบแบบสีเทา ฮารุโตะควรจบแบบครองคู่กับซากิแฮปปี้เอนดิ้งแบบโลกสวย ชุนในสายตานักอ่านควรเป็นตัวร้ายที่ร้ายสุดๆและไม่ต้องไปสนใจการคิดของเขา เพื่อทำให้นิยายมันเป็น Straightforward Novel เหมือนนิยายรักใสๆลูกกวาดทั่วๆไปจะดีกว่า เพราะการเว้นปมหนักๆในนิยายที่ทรงคุณค่าถือว่าเป็นจุดบกพร่องที่ค่อนข้างรุนแรงนะครับ

- เรื่องที่สาม ตัวละครอย่างฮิเดอากิ ไม่ได้โชว์ความสามารถสมเหตุสมผล ทั้งๆที่เป็นตัวละครที่สามารถขับเคลื่อนพล็อตไปได้ไกลพอสมควรจากตอนจบ หรือต่อให้ไม่โชว์ความสามารถ การจะมองว่าฮิเดอากิไม่รู้เรื่องรู้ราวกับหลักฐานปลอมๆที่ซากิสร้างขึ้น ก็เป็นการลดคุณค่า (de-value) ตัวละครตัวนี้ที่สร้างออกมาให้ดูเป็นชนชั้นไคเร็ตสึมากๆครับ
- เรื่องที่สี่ คู่เรย์กับนาโอโตะผมเคยพูดไปแล้ว แต่คู่นี้จะสำคัญขึ้นตอนที่อนาคตซากิเจอกับคนที่คล้ายๆกับนาโอโตะ ผมคิดว่ามันควรมีอีเวนท์ที่ทำให้เราเห็นเคมีระหว่างซากิกับนาโอโตะเพื่อเคลียร์ความรู้สึกครับ เพราะผมก็ยังยืนยันว่าถ้าลงแบบนี้ มันค่อนข้างไม่ใช่การแก้ปัญหาของหัวใจทั้งฮารุโตะและซากินะครับ

จะเห็นว่าการเร่งจบแบบค้างคามันทำให้ประเด็นหลายอย่างไม่เคลียร์ ทั้งๆที่ทรัพยากร (ตัวนัยยะหรือปม) มันเว้นไว้ให้เรื่องอยู่อย่างเพียงพอครับ พอไม่หยิบมาอธิบายหรือเล่นต่อ ทำให้การจบเรื่องเหมือน ปมเชือกที่มีหลายเส้นและสามารถนำมาขมวดเป็นรูปที่สวยๆได้ แต่กลับขมวดเป็นเงื่อนพิรอธธรรมดาๆ และทิ้งเส้นเชือกที่ไม่ใช้ให้ห้อยต่องแต่ง คนมองเลยรู้สึกว่าไม่สวยงามครับ ผมคิดว่าถ้าจะปรับเป็นนิยายเรื่องยาว ควรลดการเร่งจบในสองบทสุดท้าย และต่อภาคที่ชุนกลับมาแบบใน ‘ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า’ น่าจะมีคุณค่าทางวรรณกรรมในการพิจารณามากกว่าน่ะครับ

อีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าหน่วงในอกมากๆเลยนะสำหรับตอบจบ คือการที่ฮารุโตะทำตัวไร้สติมากๆเลย

ฉากฮารุโตะตะโกนให้ชุนไปตาย แล้วชุนชะงักค้างไปนี่ผมอยากสวนจริงๆนะ คือแน่ใจนะว่าคุณอยากให้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าชุนจะมาตายแทบเท้าคุณแล้วคุณจะพอใจใช่ไหม งั้นดีครับ ปมนี้เอาไปทำเรื่องต่อได้ดีมากๆเลย คือมันจะไร้สติและใช้ความสะใจส่วนลึกตัวเองมากไปแล้วครับ จะเลือกแต่สิ่งที่ตนเองชอบโดยไม่มองว่ามันเป็นสิ่งที่ ‘แก้ปัญหาอย่างแท้จริง’ รึเปล่า จะแสดงแต่สิ่งที่ตัวเองสะใจและพอใจโดยไม่มองว่าคนอื่นน่ะที่ทำแบบนี้เพราะมีเหตุผลอะไรรึเปล่า

ผมเคยบอกแล้วว่าเราไม่ว่าเรื่องฮารุโตะมีปม terror-sensitive แต่มันควรจะมีการแก้ไขปมให้ถูกต้อง จนจบเรื่อง ปมนี้ก็ไม่คลายนะครับ เพราะประเด็นของความหวาดกลัวของฮารุโตะอยู่ที่การถูกทิ้งและความเป็นที่รัก ความสุขในวัยเด็กที่ขาดหายทำให้มีพฤติกรรมโหยหา ซึ่งซากิไม่ได้ตอบโจทย์ตรงนี้

อย่างที่ผมพูดไปแล้วว่าฮารุโตะไม่ได้มีการมองที่เป็นกลางเท่าไหร่เลย ซากิด้วยซ้ำที่ดูจะมีสติมากกว่าเพื่อน ขนาดบุกมาจับยังรอ (แต่เรื่องความใจร้อน หุนหันพลันแล่น ขี้โกงเจ้าเล่ห์จะจัดการชุนให้หายไปจากชีวิตฮารุโตะด้วยการวางหมากล้อมทุกจุด สร้างหลักฐานเท็จ นี่ก็เกินคาดไปหน่อยนะครับ มันแสดงว่าคุณก็ไม่ได้ให้คุณค่าศีลธรรมเท่าไหร่แม้แต่ตอนจะจบเรื่อง มันแสดงออกถึงภาพลักษณ์เท่แบบเลวๆอยู่ดีนะครับ ซึ่งก็อย่างที่ผมบอกว่ามันเหมาะกับคนแบบนาโอโตะมากกว่า)

ให้ผมเป็นเพื่อนชุนหน่อยไม่ได้สิแหม (ฮา) อย่างซากินี่มันต้องเจอคนรู้เท่าทันดัดหลังอย่างผมครับ อย่างอิซามุกับมิชิโอะนี่ก็ทำตามหน้าที่ ไม่ได้มีความจริงใจและอยากเชื่อมสัมพันธ์ชุนกับฮารุโตะคืนกลับอย่างจริงๆจังๆ ถ้าผมเป็นเพื่อนสนิทหรือคนใกล้ชิดชุนล่ะก็ ผมตามแก้หมากทุกเม็ดที่ซากิวางแน่ๆ ให้มันรู้ไปสิครับว่าชุนจะไม่สามารถคืนดีกับฮารุโตะได้น่ะ (หัวเราะ)

ผมว่าผมสงสารชุนจริงๆครับ โอ้โห คิดดู ขนาดหลุดปากออกมาว่าถ้าไม่ใช่ฮารุโตะ ชุนไม่มีวันยอมง้อขนาดนี้แน่ๆ แล้วพอมาถึงที่สุด ได้ยินจากปากคนที่ตัวเองรักที่สุดว่าไล่ให้ไปตายซะ... นี่มันทรมานใจผมมากๆเลยอะ ไม่รู้ว่าจิตใจจะเป็นยังไง ชุนไม่มีที่ยึดเหนี่ยวในจิตใจนอกจากฮารุโตะนะครับ ผมไม่อยากจะนึกว่าพอชุนได้ยินอย่างนั้นแล้วจะรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตขนาดไหน แถมยังโดนยัดยา แล้วก็มีหลักฐานสื่อลามกเท็จอีก คราวนี้ถ้าซากุราอิ ฮิเดอากิ ไม่เชื่อลูกชายตัวเองอย่างแท้จริงจากก้นบึ้ง (จุดนี้คือวัดใจเลยนะครับ ว่าฮิเดอากิเชื่อใจชุนว่าเขารู้จักชุนดีในฐานะพ่อ หริอว่าจะประเมินชุนแค่จากหลักฐานเท็จในฐานะไคเร็ตสึ) ชุนก็จะกลายเป็นคนที่ทั้งโลกหันหลังให้

...แล้วคราวนี้เด็กคนนี้จะเป็นยังไงล่ะ? ดิ่งสิครับ ถ้าไม่ยึดสิ่งที่เขาเคยทำได้ดีมากตลอด (พรสวรรค์ทางกายในการใช้พละกำลัง) เป็นจุดยึดเหนี่ยวไม่ให้บ้าไปซะก่อน ก็คงคลั่งซึมเศร้า เป็นบาดแผลเหวอะหวะภายในจิตใจไปเลย ดังนั้นผมว่าการส่งชุนไปต่างประเทศเป็นการคิดอีเวนท์ที่มักง่ายไปหน่อย ถ้าไม่มีนักจิตวิทยา หรือคนที่หวังดีกับชุนจริงๆไปด้วย การดึงชุนให้มี sanity ถือว่ายากมากนะครับ เพราะต่อให้เราสามารถ direct อารมณ์ทางลบของชุนไปที่อย่างอื่นได้(กีฬาต่อสู้) แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าแผลของชุนจะหายไป ทั้งแผลจากแม่และแผลจากฮารุโตะ ยิ่งถ้าฮิเดอากิไม่เชื่อใจชุนอีกนี่ก็บวกไปอีกเด้ง (แต่ส่วนตัว ถ้าเป็น ‘ไคเร็ตสึ’ จริงๆ ผมว่าเขารู้จักลูกตัวเองดีครับ)

เทียบง่ายๆ ก็คงเหมือนมนุษย์ที่ถูกพ่อแม่ที่รักมาก แม้จะดื้อกับท่านไปบ้าง ตะคอกกลับมาว่า ไปตายซะ ไอ้ลูกทรพี ประมาณนั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นน่ะครับ

ทีนี้ถ้าอนาคตทั้งสองโคจรมาเจอกัน การเจอกันนี้จะเป็นเรื่องของคนที่มีบาดแผลทั้งสองคนมาเจอกัน และผมว่าชุนจะยิ่งหนักกว่าครับ เพราะว่าเดิมแล้วในครึ่งแรก เราจะเห็นว่าฮารุโตะเป็นตัวละครที่รับบาดแผลจากการกลั่นแกล้งและมรสุมชีวิต ทั้งครอบครัว การเติบโต ซากิ และชุน แต่ในจุดเปลี่ยนเรื่อง คือตอบจบของครึ่งแรก ฮารุโตะทำร้ายจิตใจชุนไปอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งนี่แหละยิ่งจะเป็นตัวที่ทำให้ชุนยิ่งน่าสงสารในความคิดผม เพราะถ้าเขากลับมาเจอกันจริงๆ ชุนเองก็ต้องปวดร้าวมากพออยู่แล้วที่ฮารุโตะยังไม่ให้อภัยเขา(รึเปล่า?) และคิดว่าฮารุโตะอยากให้เขาตายชดใช้ความผิด นอกจากนั้นยังต้องมาเห็นฮารุโตที่เจ็บปวดเพราะการถูกทิ้งอีก แต่การจะเข้าไปปลอบเดี๋ยวมันก็อาจจะเข้าแก็ปลูปในอดีต ผมเลยมองว่าตรงนี้แหละครับที่มันน่าจะทำให้ชุนน่าสงสารในมุมมองผมมากๆ เพราะตามเนื้อเรื่อง ชุนเป็นคนที่ไม่มีใครมองเห็นเลย

ส่วนฮารุโตะ ในครึ่งหลังถึงแม้ว่าถ้าเขาจะถูกซากิทิ้งจริงๆ มันก็ตอกย้ำปมของฮารุโตะในวัยเด็กอีก ซึ่งน่าสนใจตรงที่ว่าเราจะอธิบายมันออกมายังไงให้ไม่ซ้ำกับครึ่งแรก และขยี้ใจคนอ่านให้อินได้สุดๆ อีกทั้งต่อให้มันจะเป็นห้วงซึมเศร้าจริงๆ แต่ผมคิดว่าตรงนี้น่าสนใจตรงที่ฮารุโตะจะได้พัฒนาการระบบการคิดและการมองโลกอย่างที่ผมเคยคอมเมนท์ไปแล้ว และเราจะเห็นการปลดแอกภาระทางจิตใจของตัวละครเด่น ไม่ว่าจะเป็นซากิ ชุน และฮารุโตะครับ

เรื่องสุดท้ายคือ ผมอยากรู้ความหมายของชื่อเรื่องครับ การตั้งชื่อนี้ หรือ ชื่อ ‘ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า’ ผมคิดว่าไม่ต่างกันนะครับ เพราะมันสื่อถึงตอนจบและการเดินทางที่คล้ายคลึงกัน แต่พอจบแบบนี้ การเดินทางตัวละครเป็นแบบนี้ ผมเลยค่อนข้างงงๆหน่อยน่ะครับว่าชื่อเรื่องมันสื่อถึงอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 18-04-2017 11:21:31
เหมือนว่าเราจะคุยกันอยู่สองคนเหมือนกันเนอะ นักอ่านท่านอื่นจะว่าเราไหมเนี่ย ต้องขออภัยนักอ่านท่านอื่นไว้ ณ ที่นี้ด้วย  คือตั้งแต่เราเขียนนิยายมาเพิ่งเจอคุณ Grey Twilight เนี่ยแหละวิเคราะห์วิจารณ์เรื่องที่เราเขียนแบบละเอียดยิบ

เอาจริงๆ เราก็เหมือนจะรู้ตัวอยู่ล่ะว่าปัญหาของเราอยู่ตรงไหน  ครั้งก่อนเราก็รวบจบเพราะเราลงทุกวัน แบบเขียนนำไปนิดนึงแล้วเราก็ลง พอเร่งมากๆเพราะอยากลง เนื้อเรื่องก็รวน (ฮา) ส่วนคราวนี้ เรามีสต็อก 15 ขึ้นมั้ง ลงทุกวันที่สี่หารลงตัว ก็ยังใช้ไม่ได้ (หัวเราะ) และยอมรับอีกว่า เราเขียนนิยายแบบไม่ค่อยวิเคราะห์ทฤษฎีสักเท่าไหร่  รูปแบบพฤติกรรมตัวละครมาจากสังคมรอบตัวและหนังสือที่เราอ่านเสียเป็นส่วนใหญ่ บางครั้งเราก็คิดว่าน้ำเน่าไปหรือเปล่าเหมือนกัน

แล้วที่เราเขียนแปะท้ายไว้ใน Reply ก่อนว่า ไม่รู้ว่าจะเขียนต่อหรือเปล่า เราเปลี่ยนใจแล้วค่ะ เราจะเขียนต่อ(ไม่ได้จำใจหรืออยากเอาใจคุณ Grey Twilight นะ) เพราะที่จริงเราเขียนเปิดหัวเรื่องเกี่ยวกับซากิมาแล้ว แต่ยังคิดไม่ออกเลยเซฟเก็บไว้แค่นั้นก่อน แต่กว่าจะได้ลงคงอีกนานค่ะ แต่ไม่ว่าอย่างไรซากิของเราก็ยังเป็นพระเอกอยู่ดี (ฮา) เราชอบผู้ชายคนนี้อ่ะ(ยิ้ม)

ส่วนพล็อตของชื่อเรื่อง “ผมติดอยู่ในห้วงแห่งความเศร้า”  มันต่างจากเรื่องนี้ยังไง พล็อตเรื่องนั้นจะเป็นประมาณว่าหลังจากที่ฮารุโตะอกหัก เขาก็จะไม่นึกอยากทำอะไรอีกแล้ว ใช้ชีวิตไปวันๆ ไม่เรียนด้วย ไปเป็นเด็กบาร์ แล้วชุนก็กลับมาเจอหลังจากที่ไปอยู่เมืองนอกมาหลายปี ที่ชุนกลับมาญี่ปุ่นเพื่อมารับตำแหน่งแทนพ่อ แต่ชุนก็มีเมียแล้ว ซึ่งทีแรกฮารุโตะไม่รู้ แต่ตัดสินใจเริ่มชีวิตใหม่กับชุนไปแล้วอ่ะ ฮารุโตะเลยเศร้ากว่าเดิม ส่วนต่อจากนี้เรายังไม่ได้ตัดสินใจ คือมีหลายไอเดีย แต่ตอนนั้นที่คิดจะเขียนกะว่าจะไปตายเอาดาบหน้า (ฮา)

ส่วนที่ใช้ชื่อเรื่องนี้ “ใบไม้ผลิยามหิมะโปรย” สำหรับเราต้องการสื่อถึงการฟันฝ่าอุปสรรคหรือการปรับตัว และมุมมอง โดยปกติถ้าเราพูดถึงหิมะตกฤดูที่หนาวจัดๆ มันจะไม่มีต้นไม้ขึ้นไงคะ แม้แต่ต้นไม้ใหญ่ยังทิ้งใบ แต่ต้นไม้บางประเภทมันยังเติบโตอยู่ได้  เราเปรียบว่าหิมะคือ อุปสรรคขวากหนาม แต่ขวากหนามที่ว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของคนเช่นกัน  อย่างที่เราเขียนไว้ในเรื่อง ตอนที่ซากิเดินคู่กับฮารุโตะเพื่อไปอาบน้ำ เขามองดอกซากุระที่ร่วงปลิวตามลมว่าเป็นหิมะสีชมพูเหมือนกัน  คำเปรียบเปรยนี้เราคิดว่าตัวเราไม่ได้คิดเองหรอกนะ แต่ไม่รู้ค่ะ จำไม่ได้เหมือนกัน

คนทุกคนบนโลกใบนี้ก็เหมือนกันค่ะ ปัญหาที่หนักหนาสำหรับคนคนหนึ่ง อาจจะเป็นแค่ปัญหาเล็กๆสำหรับอีกคน  และเราก็เห็นว่า คนที่ต้องเผชิญกับปัญหาอาจจะได้รับการช่วยเหลือจากคนรอบข้างก็จริง แต่สุดท้ายแล้วเจ้าตัวนั่นแหละที่ต้องแก้ปัญหานั้นด้วยตัวเอง เราเชื่อว่าปัญหาที่กระทบและส่งผลต่อตัวบุคคลนั้นๆ ก็ย่อมเกิดจากตัวบุคคลนั้นๆแหละค่ะ

แม้ว่าเราจะเขียนให้ฮารุโตะในเรื่องประสบชะตากรรมมากมาย แต่สิ่งที่เราจะสื่อ คือ ฮารุโตะยังยึดติดกับแนวคิดเดิมๆ เขาไม่มีทางมีความสุขได้ แม้ว่าจะได้ความรักหรือได้รับการดูแลมากมายจากใครก็ตาม  เพราะโลกไม่ได้มีแค่คนสองคน คนรักของฮารุโตะอาจจะเป็นคนดีมาก  แต่ฮารุโตะจะเป็นคนที่ทำให้เกิดปัญหาค่ะเพราะฮีอ่อนแอเปราะบาง

อย่างที่คุณ Grey Twilight เขียนไว้คราวก่อนแหละค่ะ “ถ้าฮารุโตะสงบลง อ่านตัวเองให้ออก รู้จักมองอะไรให้กว้างขึ้นและมองจากมุมคนอื่นด้วยความเอาใจใส่แท้จริง มันก็จะทำให้เขาสามารถหลุดจากความปวดร้าวในเรื่องของความรักได้” เราคิดว่าต้องใช้เวลานานอ่ะ สำหรับคนบางคนคือทั้งชีวิต เพราะฉะนั้น นิยายเรื่องนี้อาจจะอารมณ์เดียวกับทองเนื้อเก้าก็ได้ เป็นเรื่องยาวตั้งแต่เกิดไปจนเสียชีวิตอ่ะ

บรรทัดสุดท้ายแล้ว ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะ

หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 18-04-2017 15:30:18
ไรท์ จบแบบรู้อนาคตอ่ะ
ว่าฮารุโตะ ต้องอกหักแน่ๆ
เพราะซากิ ตอบรับฮารุโตะ แบบฉันบอกนายแล้วนะ นายไม่เชื่อเอง
บอกแบบรู้ตัวแทนฮารุโตะเลย “สักวันหนึ่งนายจะต้องเสียใจ”
แล้วบอกด้วยท่าที แบบไม่ยินดียินร้าย คบกัน อยู่กันได้ด้วยเซ็กส์เท่านั้น
ซากิ ยังรักนาโอโตะแบบฝังใจ เลิกรักไม่ได้ รอวันที่เขาเลิกกันแล้วจะเสียบทันที
แล้วอย่างนี้จะมีใจมารักฮารุโตะได้ไง ไม่มีช่องว่างให้ฮารุโตะแทรกเข้าไปได้เลย
แล้วรื่องใหม่ของไรท์ จะให้ชุนกลับมาเจอฮารุโตะที่อกหักจากซากิ เลิกกัน
แล้วชุนปลอบใจ จนฮารุโตะหันมามองชุน คบกัน แต่ชุนดันมีภรรยาแล้ว OMG
ฮารุโตะ ไม่ผิดหวังซ้ำซากหรอ มีชีวิตแบบชอกช้ำระกำทรวงจริงๆ
แล้วเรื่องจะจบแบบ ชุนเลิกกับภรรยา แล้วมาครองคู่กับฮารโตะ
หรือ ฮารุโตะ เลิกกับชุน ถอยห่างไป แล้วเจอคนที่รักฮารุโตะ ด้วยตัวตนฮารุโตะเอง
คนอ่านก็มโนไปไกลและ คิดเองเออเอง  :ling1: :ling1: :ling1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: 春に雪が降っている。(Haru ni yuki ga futte iru) Last Chapter : 18/Apr/2017 Page 5
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-04-2017 18:12:56
โอ๊ะ   ทำไมมีแต่เราคิดว่าซากิไม่ได้หลอกฮารุ  คือซากิบอกตรงๆว่าอะไรยังไง เราไม่ได้มองว่าซากิกับฮารุอยุ่ด้วยกันแค่เซกส์นะ  อาจจะไม่ได้ Interact มากตามที่ควรเพราะอาการอมพะนำ แต่อย่างน้อยที่สุดซากิคือคนที่ยื่นมือเข้ามาจัดการกับสถาณการณ์ที่เกิดขึ้นกับฮารุโตะ  ทุกคนช่วยเหลือไม่มากก็น้อย แต่ซากิมากที่สุด  ความรู้สึกของเราก็คือต่อให้วันหนึ่งฮารุต้องเลิกกับซากิไปฮารุก็ยังไปต่อได้  มีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนอื่น  เพราะรู้แล้ว เตรียมใจไว้แล้วส่วนหนึ่ง

เรื่องของชุนนั้นตามมุมมองของฮารุผิดมากหรือที่ตัดใจไม่รับ?  ฮารุให้โอกาสชุนในการรับฟัง แต่เท่าที่รู้สึกก็คือรับฟังแต่ขอให้เลิกลากันไป   ยกโทษแต่ไม่ให้อภัย   ชุนเองยังไม่ได้เสียใจที่ทำแต่เสียใจที่ทำแล้วออกมาแบบนี้ เราว่าฮารุไม่ผิดที่รับไม่ได้  ขนาดมาขอโทษชุนก็ยังโทษว่าเป็นเพราะคนอื่นทั้งนั้น   ตราบใดที่ชุนไม่สามารถคิดเอง  ดูแลตัวเอง  มีสติมากพอเราไม่คิดว่าชุนควรมาดูแลใคร  ต่อให้ชุนรวยล้นฟ้าแต่ถ้าหากว่าต้องมีคนคอยมาคุมแบบนี้ เราว่าไม่ค่ะ   เริ่มแรกก็ควร Straighten yourself out and then talk. ในอนาคตถ้าหากว่าชุนทำได้แล้วกลับมาหาฮารุวันที่เลิกรากับซากิไปแล้ว  เราว่าโอเคค่ะ   ถ้าหากว่าชุนกับฮารุลงเอยกันแบบ ในเรื่องก็น่าจะกลายเป็นวิบากกรรมแห่งรักไปมากกว่า

มานิดเรื่องซากิกับฮารุรักกันยังไง   จริงอยู่ว่าหลายครั้งที่ซากิทำร้ายความรู้สึกของฮารุ แล้วไม่ได้อยุ่ข้างกายของฮารุเหมือนทาคุมิ  แต่ซากิก็มักจะอยุ่ ณ ตรงนั้นเสมอ  กี่ครั้งแล้วที่ซากิช่วยฮารุ  ฮารุต้องการความมั่นคงทางใจแล้วซากิก็ always there.

เราอ่าน ebook แล้วค่ะ  คันปากแต่แนะนำให้ไปอ่านค่ะ   ไม่ได้จบแบบหวานแหววลุกกวาดสีรุ้ง  แต่จบแบบดุเรียลดี  อยากให้เขียนคู่นาโอโตะกับเรย์ค่ะ อยากด่าตัวละคร  ฮิ็ววววว

ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับนิยายเรื่องนี้