พิมพ์หน้านี้ - [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: hyegena ที่ 07-03-2017 14:50:53

หัวข้อ: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 07-03-2017 14:50:53
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ลำนำจักรพรรดิ

เขา หย่งเซิงได้รับมอบหมายให้ลอบปลงพระชนม์ เหวินเจิ้ง ฮ่องเต้ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาจึงต้องแฝงตัวเข้าไปเป็นราชองครักษ์เพื่อหาโอกาสลอบปลงพระชนม์ ทว่า ฮ่องเต้เหวินเจิ้งที่ใครๆต่างก็ขนานนามว่าโหดเหี้ยม กลับแตกต่างจากทุกข่าวลือที่เขาเคยได้ยินมา ความใกล้ชิดและตัวตนของเหวินเจิ้งกำลังแทรกซึมเข้ามาในหัวใจที่แกร่งกล้าดุจหินผาของเขาทีละน้อย เขาจะหักใจสังหารคนผู้นี้ได้หรือ..!?


หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 07-03-2017 14:52:27
น่าสนใจมากกมาลงเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 07-03-2017 14:56:13
บทนำ
   “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นอย่างน้อมนอบพลางเหลือบมองชายหนุ่มผู้ที่ถูกเรียกว่าฝ่าบาทเล็กน้อย ดวงตาของขันทีเฒ่าฉายแววเวทนาสงสาร

   ‘ฝ่าบาท’ กำลังยืนเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่าง นัยน์ตาดำขลับจับจ้องไปยังที่ไกลแสนไกลอย่างเหนื่อยล้า ก่อนจะกระพริบตาหนึ่งครั้ง ความเหนื่อยล้าในดวงพลันมลายหายไป เหลือเพียงความเด็ดเดี่ยว

   ร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มหันกลับมามองเหล่าข้าราชบริพารทั้งหลาย ไล่ไปทีละคน ทีละคน ผู้ถูกมองต่างขนลุกซู่ด้วยความหวาดหวั่น

   “ลำบากพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าสู้อุตส่าห์วางแผนล่อลวงจนเราขึ้นครองราชย์ได้สำเร็จคงจะเหนื่อยไม่น้อย” เหวินเจิ้งแสยะยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจ

   “ฝ่าบาท ทรงระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่านางกำนัลและขันทีต่างรีบคุกเข่าลงโขกศีรษะทันที สวี่กงกงมองภาพเหล่านั้นพลางถอนหายใจเล็กน้อย

   “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เหวินเจิ้งปรายตามองเหล่าข้าราชบริพารเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม

   “ลุกขึ้นเถิด เราดูเหมือนกำลังมีโทสะหรือ”

   “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าข้าราชบริพารรีบละล้าละลั่กตอบ

   “อื้ม” เหวินเจิ้งครางรับอย่างพอใจ ก่อนจะเดินออกไปที่ประตูตำหนักโดยไม่สนใจว่าเท้าจะไปเหยียบมือของใครเข้า “ได้เวลาเสียที เรารอที่จะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ไม่ไหวแล้ว”

   เหล่านางกำนัลและขันทีที่ถูกร่างโปร่งเหยียบมือแม้จะเจ็บแต่ก็ไม่มีใครกล้าร้อง ทำได้เพียงก้มหน้าลงจนศีรษะจรดพื้นอย่างหวาดหวั่น

   สวี่กงกงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินตามร่างโปร่งไป

   ชายเสื้อสีเหลืองทองโบกสะบัดท่ามกลางแสงอาทิตย์ราวกับจะเรืองแสงได้ แผ่นหลังแผ่ไอแห่งอำนาจอันน่าเกรงขาม ทว่าขันทีเฒ่าอย่างเขารู้ดี ว่าเบื้องหลังท่าทีข่มขวัญผู้คนนั้นที่แท้แล้วเป็นเพียงชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น..

------------------------------------------------------

จิตตก : สวัสดีค่าา ทุกคน ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เรื่องนี้เป็นนิยายแนวจีนโบราณที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับวังหลวง ถ้าหากชอบและสนใจก็เม้นเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ  :hao4:

ปล.ตอนนี้กำลังหัดใช้บอร์ดอาจจะมีงงๆ หรือบรรทัดไม่สวยบ้าง จิตตกจะปรับปรุงในตอนต่อไปนะคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 07-03-2017 15:04:37
บทที่ 1
   ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่พระชนมายุสิบเก้าชันษา พระองค์เป็นพระโอรสองค์ที่สี่แห่งอดีตฮ่องเต้เหวินเต๋อและพระสนมหลงเหยา ท่ามกลางการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ขององค์ชายทั้งสิบเอ็ดพระองค์ ผู้ที่สามารถฝ่าฟันมาจนถึงบัลลังก์มังกรได้สำเร็จคือองค์ชายสี่หรือเหวินเจิ้ง

   สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นองค์ชายที่รูปงามที่สุด พระองค์มีดวงตาสีดำขลับ จมูกเชิดรั้น ริมฝีปากอวบอิ่ม และผิวขาวนวล รูปร่างสูงโปร่งท่วงท่าสง่างามเฉกเช่นชนชั้นสูง ใบหน้ามักจะประดับรอยยิ้มละไมเสมอ จนผู้คนกล่าวขานว่าพระองค์เป็นเทพเซียนที่กลับชาติมาเกิด จนกระทั่ง..

   พระองค์ทรงใช้เลือดของเหล่าพี่น้องร่วมบิดามาเป็นบันไดขึ้นสู่บัลลังก์

   หลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ได้สั่งประหารชีวิตพี่น้องร่วมสายเลือดสามพระองค์และเนรเทศองค์ชายอีกสี่พระองค์ ส่วนเหล่าองค์หญิงล้วนถูกจับอภิเษกสมรสเชื่อมสัมพันธ์ไปยังต่างแดนทั้งสิ้น และก่อนขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งวัน พระองค์ได้สั่งประหารชีวิตพระสนมชายาของพระองค์ทุกนางอย่างโหดร้าย ฮ่องเต้เหวินเจิ้งจึงเป็นที่กล่าวขานว่าเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมอำมหิตที่สุดในประวัติศาสตร์    

   และเป็นกษัตริย์ผู้ปรีชาแห่งยุค หลังจากพระองค์ขึ้นครองราชย์เพียงหนึ่งปี ราษฎร์ต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ขุนนางที่คดโกงเอาเปรียบประชาชนถูกลงโทษประหารชีวิตอย่างไม่มีข้อยกเว้น ด้านการศึกสามารถรวบรวมแว่นแคว้นขยายดินแดนจนเป็นที่เลื่องลือ

   จึงเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ประชาชนว่าแท้จริงแล้วฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นเป็นทรราชผู้โหดร้ายหรือเป็นกษัตริย์ผู้รักและใส่ใจราษฎร์กันแน่



   รัชสมัยเหวินเจิ้งปีที่หก

   ฉึก!

   เสียงธนูปักเข้าไปกลางเป้าเรียกเสียงปรบมือเบาๆ

   “ฝ่าบาท ทรงพระปรีชายิ่งนัก”

   “ทั้งที่ลมแรงขนาดนี้ยังยิงได้ตรงกลางเป้า”

   “ยากนักที่จะหาใครยิงเข้าเป้าติดต่อกันถึงเก้าครั้ง”

   เสียงชื่นชมของเหล่าขุนนางอำมาตย์ยังคงดังต่อเนื่องไม่หยุด

   เหวินเจิ้งในชุดสีเหลืองทองปักลายมังกรยกมือขึ้นเล็กน้อย เสียงชมเซ็งแซ่เงียบหายไปทันที

   “ใต้เท้ากู.. ท่านเป็นเสนาบดีฝ่ายกลาโหมแท้ๆ กลับไม่สามารถยิงธนูให้ตรงเป้าติดต่อกันเก้าครั้งหรือ” เสียงถามเนิบนาบยากจะแยกแยะอารมณ์ทำให้ใต้เท้ากูร้องแย่แล้วในใจ

   “ฝ่ะ.. ฝ่าบาท กระหม่อมสามารถขอรับ” ใต้เท้ากูรีบโค้งตัวตอบอย่างน้อมนอบ เหงื่อผุดซึมที่ใบหน้าและแผ่นหลังจนเปียกชื้น ฮ่องเต้เหวินเจิ้งอารมณ์แปรปรวนมากเพียงใด เขาล้วนประจักษ์แจ้งแก่ใจ

   “ใต้เท้ากูสามารถยิงติดต่อกันได้ถึงเก้าครั้งหรือ” ร่างโปร่งยังคงเอ่ยถามพลางควงลูกธนูไปมา ใต้เท้ากูเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนและควรจะตอบอย่างไรถึงจะรอดไปจากสถานการณ์นี้

   “..ขอรับ” ใต้เท้ากูตอบออกไปในที่สุดไม่กล้าให้ฮ่องเต้ยืนรอคำตอบนานกว่านี้ เมื่อได้ยินเสียงฮ่องเต้หัวเราะเบาๆ ขนก็ลุกซู่ขึ้นมาทันที

   “ถ้าเช่นนั้นท่านต้องแพ้เราแล้วล่ะ” สิ้นคำเหวินเจิ้งก็เปลี่ยนจากควงธนูมาเป็นขึ้นศรแล้วยิงออกไปทันที ธนูดอกนั้นทะลุผ่านลูกศรดอกแรกที่ปักอยู่บนเป้าจนแยกเป็นสองเสี่ยงก่อนจะเข้าไปปักอยู่กลางเป้าแทนที่ดอกเดิม   
ใต้เท้ากูตะลึงจนตาค้าง

   “ใต้เท้ากู รู้ไหมว่าทำไมเราถึงสามารถยิงเข้าเป้าติดต่อกันถึงสิบดอก” เสียงเนิบนาบยังคงดังเข้าโสตประสาทของใต้เท้ากู

   “กะ.. กระหม่อม เบาปัญญา..” ใต้เท้ากูตอบเสียงสั่น เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งเดินเข้ามาใกล้ก็ก้มหน้าจนค้างชิดอก

   “เพราะสิบดอก มันเท่ากับจำนวนพี่น้องของเราพอดี“ เหวินเจิ้งก้มลงพูดที่ข้างหูของใต้เท้ากูด้วยเสียงไม่เบานัก เหล่าขุนนางและข้ารับใช้ต่างได้ยินกันทุกคน “เราเลยต้องฝึกยิงเอาไว้ เผื่อว่าวิญญาณของพี่น้องจะมาตามจ้องล้างจองผลาญเรา เราจะได้ป้องกันตัวเองได้“

   น้ำเสียงเนิบนาบนุ่มทุ้มสร้างความหวาดหวั่นให้ใต้เท้ากูไม่น้อยจนเข่าอ่อนทรุดตัวลงไป แรงกดดันมหาศาลที่แผ่ขยายออกมาจากดวงตาคู่งามทำให้เหงื่อไหลซึมเต็มแผ่นหลัง ใต้เท้าเฒ่าจำต้องรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดเงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน

   “ฝะ.. ฝ่าบาท”

   “แย่จริง ดูเหมือนท่านจะแก่ลงไปมาก แค่ยืนนานหน่อยก็หมดแรงเสียแล้ว เดี๋ยวคงมีคนครหาว่าเราใช้งานขุนนางหนักเป็นแน่.. ทำอย่างไรดี” น้ำเสียงลำบากใจของฮ่องเต้ทำให้เหล่าขุนนางและข้ารับใช้ต่างรับรู้เป้าหมายของอีกฝ่ายในบัลดล

   “กระหม่อม กระหม่อมแก่ตัวลงไปมากแล้วจริงๆพ่ะย่ะค่ะ จึงวางแผนไว้ว่าจะเกษียณ ฝ่าบาท.. ฝ่าบาททรงพระเมตตาด้วย” ใต้เท้ากูรีบตอบจนลิ้นพันกัน

   “เราอนุญาต” น้ำเสียงตอบกลับฟังดูร่าเริงสดใสจนใกล้เคียงกับเสแสร้ง ใต้เท้ากูได้ยินดังนั้นเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุ๊บๆ

   “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากูกัดฟันตอบ เหวินเจิ้งคงตั้งใจจะให้เขาลามือจากงานราชการเพียงแต่ไม่ยอมเอ่ยปากไล่เขาตรงๆ กลับบีบบังคับให้เขาพูดออกมาเอง

   “ไม่มีปัญหา จริงสิ ไหนๆท่านก็จะเกษียณแล้ว เห็นแก่ที่ท่านทำคุณงามความดีให้กับราชสำนักมากมาย เราจะให้โอกาสท่านบริจาคทรัพย์สินแก่ราษฎร์เป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน เจ้าเห็นว่าอย่างไรบ้าง” เหวินเจิ้งเอามือไพร่หลังถามเอ่ยถามอย่างใจดี

   “เป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากูกำหมัดแน่นก่อนจะคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณอีกฝ่ายทั้งที่ใจเคืองแค้น

   เหวินเจิ้ง! เจ้าเด็กนี้มันรู้ว่าเขายักยอกเงินค่าเสบียงเป็นแน่จึงคิดจะให้เขาจ่ายคืนทั้งหมด เผลอๆเขาอาจจะต้องจ่ายมากกว่าตอนที่เขายักยอกมาก็เป็นได้

   “ลุกขึ้นเถิด” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินออกไปจากลานธนูทันทีโดยไม่หันกลับมามองเหล่าขุนนางที่ยืนตัวสั่นอย่างหวาดหวั่นและใต้เท้ากูที่กัดฟันกรอดจ้องมองแผ่นหลังของฮ่องเต้อย่างแค้นเคือง




   ห้องทรงพระอักษร

   “ฝ่าบาท กระหม่อมเกรงว่าเรื่องในวันนี้จะสร้างความไม่พอใจให้แก่เหล่าขุนนาง” สวี่กงกงตัดสินใจเอ่ยขึ้นขณะที่เห็นฮ่องเต้กำลังเดินเข้าห้องทรงพระอักษร ร่างสูงโปร่งชะงักก่อนจะหันหลังกลับมาอย่างกะทันหัน จนทำให้ขบวนตามเสด็จต่างก็หยุดชะงักไปตามๆกัน

   “ต่างคนต่างไม่พอใจ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรเสียหาย” ใบหน้างามยังคงประดับรอยยิ้ม ก่อนจะสะดุดเขากับกลุ่มราชองครักษ์ด้านหลัง

   สวี่กงกงมองตามสายตาของเหวินเจิ้งก่อนจะเอ่ยแนะนำ

   “เป็นราชองรักษ์กลุ่มใหม่ มาแทนกลุ่มเดิมที่พระองค์ทรงไล่ออกไปอย่างไรเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

   “เจ้ากำลังตำหนิเราหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างไม่ใส่ใจพลางเดินไปยังกลุ่มราชองครักษ์

   เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เดินมาหาพวกเขาต่างก็คุกเข่าทำความเคารพ

   “ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ”

   “ลุกขึ้น” สิ้นเสียงเหล่าราชองครักษ์ก็ลุกขึ้นทั้งที่ตาหลุบต่ำ เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็ถามต่อด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าเป็นคนของใครกันบ้างล่ะ”

   เหล่าราชองครักษ์หลายนายต่างสะดุ้งตกใจ ด้วยไม่นึกว่าฮ่องเต้จะถามตรงๆเช่นนี้

   เหวินเจิ้งมองสำรวจราชองค์รักษ์ทั้งแปดนายทีละคน ตั้งแต่เขาขึ้นครองราชย์.. ไม่สิ ตั้งแต่เขาเป็นองค์ชายสี่ ก็มักจะมีสายของเหล่าขุนนางและองค์ชายพระองค์อื่น แฝงตัวมาเป็นคนใกล้ตัวเสมอ ทั้งขันที นางใน หรือแม้แต่เหล่าพระสนมชายาของเขาเองก็ด้วย

   เขาชินชาเสียแล้วกับการถูกจับตามอง การเชื่อใจใครสักคนก็เหมือนกับการเดินบนปากเหว ไม่รู้ว่าจะมีมือยื่นมาผลักเขาตอนไหน เขาได้เรียนรู้ด้วยตนเองตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อ

   “กระหม่อมเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังแทรกความคิด เหวินเจิ้งมองไปยังเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่หลังสุดของแถว ชายหนุ่มผู้นั้นมีร่างกายสูงใหญ่กำยำสีผิวครามเข้ม ดวงตาดำสนิทเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบางสีอ่อน ใบหน้าเฉยแผ่รัศมีเย็นชา

   “อืม.. ได้ยินว่าบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งที่ถูกเราสั่งตัดนิ้วไปนิ้วหนึ่ง ตอนนี้เป็นใต้เท้ากรมอาญาอยู่นี่นา” เหวินเจิ้งแสร้งเอานิ้วจิ้มคางทำท่าครุ่นคิด

   ตอนนั้นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่ง หย่งจื่อ บังเอิญเดินชนเขาตอนกำลังหงุดหงิดอัครเสนาบดีหย่งพอดี เขาจึงสั่งตัดนิ้วอีกฝ่ายหนึ่งนิ้วแล้วส่งไปให้อัครเสนาบดีหย่งดู

   โทษฐานที่อัครเสนาบดีหย่งบังอาจส่งคนปลอมเป็นราชองครักษ์มาคอยจับตาดูเขา เขาจัดการไล่ออกให้จนหมดตอนนี้อีกฝ่ายก็ส่งกลุ่มใหม่มาหรือนี้ แถมยัง.. เป็นบุตรชายของตน ช่างกำเริบเสิบสานนัก

   “กระหม่อมเป็นบุตรชายจากภรรยารองพ่ะย่ะค่ะ พึ่งกลับมาจากการฝึกวิชา” อีกฝ่ายตอบเสียงเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทีแรกเขานึกว่าอีกฝ่ายจะฮึดฮัดกัดฟันตอบเสียอีก ในใจพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา

   เหล่าราชองครักษ์ต่างแอบมองกันไปมา พวกเขาพอจะเคยได้ยินเรื่องฮ่องเต้สั่งตัดนิ้วใต้เท้ากรมอาญามาบ้าง ทุกคนในวังล้วนรู้กันดี ว่าอัครเสนาบดีหย่งกับฮ่องเต้นั้นเหมือนน้ำกับน้ำมัน มักจ้องหาเรื่องกันไปมาเสมอ แถมยังมีข่าวลือว่าอัครเสนาบดีหย่งแอบลักลอบซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นล้มฮ่องเต้เหวินเจิ้งอีกด้วย

   เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ที่เกลียดชังเหวินเจิ้งต่างเข้าร่วมกับอัครเสนาบดีหย่งกันหมด รวมทั้งพวกเขาทุกคนเองก็ถูกเหล่าขุนนางซื้อตัวมาให้คอยจับตาดูฮ่องเต้เอาไว้ เรียกได้ว่าคนที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นแทบไม่มีเหลืออีกแล้วในวังหลวงแห่งนี้

   “เจ้ามีชื่อว่าอะไรหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าเปิดเผยฐานะตนเองขนาดนี้ ไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรือไรนะ

   “หย่งเซิงพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงราบเรียบไร้ซึ่งความน้อมนอบทำให้เหล่าองครักษ์คนอื่นต่างตัวสั่นอย่างเป็นกังวล หากฮ่องเต้ไม่พอใจขึ้นมาพวกเขาอาจหัวขาดได้ทุกเมื่อ

   “ดี! หย่งเซิงเรารับเจ้าไว้ ส่วนคนอื่นๆไปเสีย” เหวินเจิ้งส่งยิ้มละไมให้เหล่าองครักษ์อย่างใจดี ทำเอาพวกเขาเคลิ้มไปช่วงขณะก่อนที่จะรู้สึกถึงความร้ายแรงของคำพูดนั้น
   “ฝ่าบาท โปรดเมตตาด้วย!” เหล่าองครักษ์ต่างคุกเข่าโขกศีรษะอ้อนวอนทันที หากพวกเขาถูกส่งกลับไปไม่รู้ว่าจะถูกลงโทษอย่างไรบ้าง

   หย่งเซิงมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนิ่งเฉยราวกับเป็นคนนอก เหวินเจิ้งจับตามองใบหน้าเย็นชานั้นแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

   “หากหย่งเซิงอยากให้พวกเจ้าอยู่ เราจะอนุญาตตามนั้น” คิ้วดกดำของหย่งเซิงกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าสบตาผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้โดยตรง เห็นอีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้อยากใจกว้าง

   เหล่าองครักษ์เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบตามองร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงอยากชั่งใจ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ต้องการให้พวกเขาอ้อนวอนหย่งเซิงหรือไม่ จึงทำตัวกันไม่ถูก

   “กระหม่อมไม่อนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของหย่งเซิงนำความแปลกใจมาให้เหวินเจิ้งและเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่แถวนั้น

   เหวินเจิ้งมองสำรวจหย่งเซิงอีกครั้ง คนผู้นี้ไม่ยินยอมจะอ้อนวอนเขาเช่นนั้นหรือ

   ช่างเถิด..

   เหวินเจิ้งหมุนกายเดินตรงเข้าไปในตำหนักทันทีไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นอีก หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ เดิมทีเขาคิดว่าฮ่องเต้จะบันดาลโทสะใส่เขาเสียอีก

   “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยเรียกเหวินเจิ้งที่กำลังก้าวพ้นเข้าไปในประตูตำหนัก เห็นเพียงอีกฝ่ายโบกมือเล็กน้อยสวี่กงกงก็ถอนหายใจเบาๆพลางหันมาเอ่ยกับเหล่าราชองครักษ์ “ฝ่าบาทอนุญาตแล้ว พวกเจ้าก็จงทำหน้าที่ให้ดี.. ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ”

   น้ำเสียงสวี่กงกงราบเรียบทว่าดูเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เหล่าองครักษ์ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ มีเพียงแค่หย่งเซิงเท่านั้นที่ไม่ยอมละสายตาจากสวี่กงกงที่เดินเข้าไปในตัวตำหนักอย่างครุ่นคิด

   “ฝ่าบาท จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยถามขึ้นพลางรินชาไปวางไว้บนโต๊ะทรงพระอักษรอย่างใส่ใจ เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาไม่ตอบอะไรอยู่นานจึงตั้งท่าจะเดินออกไปรอที่ด้านนอกแต่กลับได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเสียก่อน

   “ข้าเหนื่อยแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่สายตายังจับจ้องที่ฎีกา นัยน์ตาสวี่กงกงไหวระริก

   นานๆครั้งพระองค์จะเรียกแทนตัวเองว่า ‘ข้า‘ กับเขา นั้นหมายความพระองค์กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน สมัยที่พระองค์ยังเป็นเพียงองค์ชายสี่..

   สวี่กงกงพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดลงคอก่อนจะกลั้นใจเอ่ย

   “ฝ่าบาท มิสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็แสยะยิ้ม

   “เราเข้าใจแล้ว”

   “กระหม่อมขอตัว” สวี่กงกงโค้งกายก่อนจะถอยออกไปนอกห้องทิ้งให้เหวินเจิ้งอยู่เพียงลำพัง

   เหวินเจิ้งวางฎีกาลงบนโต๊ะอย่างเบามือ จ้องมองถ้วยชาที่สวี่กงกงเทไว้ให้อยู่นาน ก่อนจะเอื้อมไปหยิบแล้วเทน้ำชาในถ้วยทิ้งลงพื้นจนเปียกชุม รอยยิ้มที่ประดับไว้บนใบหน้าเสมอพลันมลายหายไป

   เหนื่อย..

   เหนื่อยเหลือเกิน..

   ดวงตาคู่งามตวัดมองไปยังภาพเหมือนของอดีตฮ่องเต้เหวินเต๋อที่เขาสั่งให้คนเอามาแขวนเอาไว้ ก่อนจะแสยะยิ้มส่งให้บิดาในภาพ

   “ข้ามิยอมให้ท่านได้ดั่งใจหรอก.. จับตาดูข้าเอาไว้ให้ดีเถิด ข้าจะทำให้ท่านผิดหวังจนต้องร่ำไห้น้ำตาเป็นสายเลือดเชียวล่ะ”

   กล่าวจบเหวินเจิ้งปรายตามองไปยังหน้าตาเห็นเงาร่างของราชองครักษ์ผู้หนึ่ง

   หย่งเซิง.. รีบหน่อย อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียล่ะ



   “วันนี้ฝ่าบาทจะค้างคืนนอกตำหนักไหมพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยถามขึ้น ด้านหลังมีขันทีห้องทะเบียนยืนรออยู่

   เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกาพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง

   “มืดขนาดนี้แล้วหรือ” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็หันกลับมาจับจ้องขันทีห้องทะเบียนพลางยื่นมือออกไป เมื่อขันทีห้องทะเบียนเห็นเช่นนั้นก็รีบนำสมุดทะเบียนไปวางไว้บนฝ่ามือเหวินเจิ้งทันที

   อืม.. ครั้งล่าสุดเขาไปหากุ้ยเฟยมางั้นหรือ

   “..ฝ่าบาท มีเหล่าหญิงงามนางในที่ยังมิได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ฝ่าบาทอีกมากเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีห้องทะเบียนกลั้นใจเอ่ยขึ้น ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์มาหกปีแล้ว แต่กลับยังไม่มีวี่แววของสายเลือดมังกรเลย เขาที่เป็นขันทีฝ่ายทะเบียนรู้สึกกดดันนัก

   “งั้นหรือ” เหวินเจิ้งตอบกลับเนิบๆพลางพลิกอ่านสมุดทะเบียนต่อ

   “หรือว่าวันนี้จะไปหาฮองเฮาดีพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีฝ่ายทะเบียนรีบเสนอ ฮ่องเต้พระองค์นี้ก็แปลกนัก อดีตฮ่องเต้ทุกยุคทุกสมัยต่างมีสนมนางในราวพันกว่าคน แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันดูจะไม่สนใจในนารีเอาเสียเลย เหล่าสนมนางในก็น้อยแสนน้อยเสียจนน่าใจหาย

   ปับ!

   ขันทีห้องทะเบียนสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นฮ่องเต้ปิดสมุดทะเบียนอย่างแรง ก่อนจะพลิกหน้ารัวเร็วแล้วจิ้มไปที่หน้าหน้าหนึ่ง

   “เต๋อเฟยหรือ.. วันนี้ข้าจะไปตำหนักเต๋อเฟย” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็ลุกขึ้นทันที สวี่กงกงรีบจุดโคมไฟก่อนจะหันไปสั่งนางกำนัลให้รีบวิ่งไปแจ้งตำหนักเต๋อเฟยว่าฮ่องเต้จะเสด็จไป

   เมื่อเหวินเจิ้งเดินออกมาจากห้องทรงพระอักษรก็จงใจเดินช้าๆเสียจนผู้ติดตามด้านหลังเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่าน

   “เราคงต้องให้เวลาเต๋อเฟยได้แต่งตัว พรมเครื่องหอม.. จุดธูปปลุกกำหนัดเสียหน่อย” เหวินเจิ้งหันไปพูดกับสวี่กงกงเสียงดัง เหล่าผู้ติดตามต่างหน้าแดงด้วยความกระดากอายก่อนจะเปลี่ยนเป็นซีดขาวในประโยคสุดท้าย

   “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยปรามอย่างลำบากใจ เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆในลำคอ

   การต้องไปหาเหล่าสนมนางในกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสำหรับเขาไปนานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่เขารู้สึกว่าพวกนางล้วนไร้เสน่ห์ อาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าพวกนางช่างเสแสร้งแสดงเก่ง หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ามีเหล่าขุนนางชักใยพวกนางอยู่เบื้องหลัง

   หรืออาจจะเป็นตั้งแต่ตอนที่เห็นศพของพระชายาและเหล่าสนมสมัยยังเป็นองค์ชายสี่ก็มิอาจรู้ได้

   เหวินเจิ้งเดินนำขบวนเสด็จไปยังสระบัว ก่อนจะหยุดยืนเอามือไพร่หลังจ้องมองดอกบัวที่อยู่ในสระเนินนาน เมื่อรู้สึกปวดคอจึงเงยหน้าขึ้นเพื่อนคลายความเมื่อยขบ ชั่วขณะนั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นหนึ่งในราชองครักษ์กำลังเงยหน้ามองพระจันทร์อยู่

   ใบหน้าหล่อเหลาเมื่อต้องแสงจันทร์ยิ่งดูมีเสน่ห์ลึกลับ เหวินเจิ้งแสยะยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเรียนอีกฝ่าย

   “อาเซิง” หย่งเซิงชะงักก่อนจะหันหน้ามามองเขาท่ามกลางสายตาแปลกใจของข้ารับใช้คนอื่นๆ วิธีเรียกที่สนิทสนมเช่นนี้มิควรออกมาจากปากฮ่องเต้เลย หย่งเซิงชั่งใจเล็กน้อยก่อนเดินมาตามเสียงเรียก ในใจรู้สึกขุ่นเคืองที่อีกฝ่ายเรียกเขาอย่างสนิทสนม โดยปกติเขาก็เป็นคนเก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับใคร และยิ่งไม่ชอบให้คนอื่นมาเรียกเขาอย่างสนิทสนมเสียด้วย

   เมื่อเห็นหย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้เหวินเจิ้งก็เห็นความไม่พอใจฉายชัดในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่าย

   “ฝ่าบาท?” หย่งเซิงค่อมหัวเล็กน้อยพลางรอให้เหวินเจิ้งสั่งงาน มิคาดอีกฝ่ายกลับถามคำถามที่ทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องประหลาดใจ

   “เราเรียกเจ้าว่าอาเซิงได้หรือไม่” หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตัวเขามิชอบถูกเรียกอย่างสนิทสนม แต่เมื่อเห็นดวงตาคู่งามของอีกฝ่ายเฝ้ารอคำตอบจากเขาอย่างใจจดใจจ่อก็รู้สึกคันยิบๆในหัวใจ ถ้าปฏิเสธจะเป็นเช่นไรหนอ

   “เรียกหย่งเซิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ไวเท่าความคิด หย่งเซิงตอบปฏิเสธอย่างไร้เหยื่อใย หย่งเซิงเห็นเหวินเจิ้งยิ้มกว้างขึ้นแต่ชั่วขณะหนึ่งก็เห็นนัยน์ตาของอีกฝ่ายไหววูบเช่นกัน แต่เพียงแวบเดียวก็หายไปจนเขาจับไม่ถูกว่ามันเป็นอารมณ์แบบไหน

   “หย่งเซิง.. เจ้าไปฝึกวิชาที่ไหนมาหรือ” หัวใจหย่งเซิงแกว่งเล็กน้อยเมือได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเช่นนั้น ความรู้สึกเสียดายวาบผ่านหัวใจ

   “เขาเทียนซานพ่ะย่ะค่ะ”

   “พระจันทร์ที่ภูเขาเทียนซานเหมือนที่นี้หรือไม่” เหวินเจิ้งถามขึ้นพลางมองไปยังพระจันทร์บนท้องฟ้า ก่อนหลับตาให้แสงจันทร์สาดส่องใบหน้า เกิดเป็นภาพอันงดงามตระการตา เหล่าผู้ติดตามต่างทอดถอนหายใจด้วยความชื่นชม หย่งเซิงมองสีหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายพลางตอบ

   “ไม่เหมือนพ่ะย่ะค่ะ เขาเทียนซานอยู่สูงกว่าวังหลวงมากนัก ยามขึ้นไปบนยอดเขาจะเห็นพระจันทร์ห่างออกไปเพียงเอื้อมมือเท่านั้น”

   หลังจากมายืนใกล้ชิดกันเช่นนี้แล้วหย่งเซิงถึงพึ่งรู้ว่าเหวินเจิ้งนั้นสูงน้อยกว่าตนหนึ่งช่วงหัว ทั้งที่ยามมองอีกฝ่ายไกลๆอีกฝ่ายดูสูงสง่าเหนือผู้คนแท้ๆ

   “แต่ก็ยังไขว่คว้าไว้ไม่ได้อยู่ดี” เสียงที่ตอบกลับมาฟังดูราบเรียบเสียจนน่าหดหู่  เหวินเจิ้งลืมตาขึ้นมาแสยะยิ้มให้หย่งเซิงก่อนจะเดินผ่านร่างสูงใหญ่ไปยังตำหนักเต๋อเฟย

   ขบวนเสด็จรีบหันขบวนกลับเดินตามร่างสูงโปร่งไปทันที หย่งเจิ้งเงยหน้ามองพระจันทร์ครึ่งดวงอย่างครุ่นคิด ก่อนจะหันกายเดินตามขบวนเสด็จไป

   “ฮ่องเต้เสด็จ!” เสียงขันทีแหลมสูงประกาศทันทีเมื่อเห็นขบวนเสด็จ

   “ถวายพระพรเพค่ะ/พ่ะย่ะค่ะ” นางกำนัลและขันทีต่างคุกเข่าลงแทบเท้า ท่ามกลางผู้คนที่คุกเข่ามีหญิงงามนางหนึ่งกลับยืนมองเหวินเจิ้งที่เดินเข้ามาใกล้ หญิงงามนางนั้นเพียงย่อกายลงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ย

   “ฝ่าบาท” เสียงอ่อนหวานเอ่ยขึ้นอย่างเย้ายวน เหวิงเจิ้งยกยิ้มละไมพลางเข้าปรี่เข้าไปประคองพระสนมเต๋อเฟย-หลี่หง อย่างเอาใจ

   “หงเอ๋อเหตุใดเจ้าจึงไม่รออยู่ในตำหนักเล่า อากาศเย็นเช่นนี้จะทำให้เจ้าจับไข้เอาได้” น้ำเสียงตำหนิไม่จริงจังของเหวินเจิ้งทำให้แววตาของพระสนมเต๋อเฟยไหววูบ

   “หม่อมฉันอยากพบพระองค์ให้เร็วขึ้นอีกนิดเพคะ” น้ำเสียงตัดพ้อของพระสนมเต๋อเฟยทำให้มุมปากของเหวินเจิ้งยกยิ้มมากขึ้น แต่มันมิได้ส่งไปถึงดวงตา

   พระสนมเต๋อเฟยเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ ฮ่องเต้พระองค์นี้โหดร้ายเย็นชานัก ยามที่พระองค์เสด็จมาที่ตำหนักเท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้พูดคุยด้วย หากบังเอิญพบกันตอนกลางวันหรือนอกตำหนักพระองค์จะทำเพียงส่งรอยยิ้มละไมมาให้แล้วเดินจากไปราวกับพวกนางเป็นเพียงดอกไม้ริมทาง ไม่เคยหยุดพูดคุยด้วยแม้คำสองคำ

   “วันนี้พระจันทร์สวยนัก หากหงเอ๋อไม่รังเกียจ เจ้าอยากจะกินลมชมจันทร์กับเราหรือไม่” เหวินเจิ้งไม่สนใจคำพูดประจบเอาใจของอีกฝ่าย แต่กลับชวนนางออกมาชมจันทร์แทน เหล่านางกำนัลและขันทีห้องทะเบียนได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจ

   ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ นั้นหมายความว่าวันนี้พระองค์จะไม่ทรงร่วมอภิรมย์กับพระสนมเต๋อเฟย

   แน่นอนว่าพระสนมเต๋อเฟยก็ฟังคำนัยนั้นออกจึงจึงพยายามฝืนยิ้มตอบกลับ

   “แน่นอนเพคะ” กล่าวจบนางก็หันไปส่งสัญญาณให้นางกำนัลยกเก้าอี้และโต๊ะออกมาในสวน รวมถึงสุราและกับแกล้มอีกด้วย

   เหวินเจิ้งประคองพระสนมเต๋อเฟยเดินมาที่สวนอย่างเอาใจใส่ ก่อนจะถอดเสื้อคลุมกันลมของตนเองออกแล้วใส่ให้นางแทน

   “ฝ่าบาท..”

   “เรามิอยากให้เจ้าจับไข้ สวมเอาไว้เถิด” พระสนมเต๋อเฟยมองการกระทำอย่างเอาใจทุกอย่างด้วยแววตาเจ็บปวด นางรู้ว่าที่พระองค์ทำลงไปทั้งหมดคือ ‘หน้าที่’ เมื่อพระองค์ก้าวออกไปจากตำหนักแห่งนี้แล้วทั้งสองคนจะกลายเป็นคนแปลกหน้ากันอีกครั้ง

   “ขอบพระทัยเพคะ” พระสนมเต๋อเฟยก้มหน้าซ่อนความเจ็บปวดก่อนจะเอ่ยถามหลังจากเห็นพระองค์นั่งลงแล้ว “ช่วงนี้พระองค์เป็นเช่นไรบ้างเพคะ”

   “เราพึ่งสั่งตัดมือญาติผู้พี่ของเจ้าไปเมื่อวันก่อน นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรใหม่เลย” เหวินเจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้มละไม

   พระสนมเต๋อเฟยและเหล่าข้าราชบริพารต่างลอบกลืนน้ำลายลงคอ พระองค์จะคุยเรื่องนี้ขณะชมจันทร์จริงหรือ

   “หม่อมฉันรู้สึกระอายนัก ได้ยินมาว่าญาติผู้พี่ของหม่อมฉันยักยอกเงินจากท้องพระคลังออกไปไม่น้อย” พระสนมเต๋อเฟยรีบเอ่ยอย่างเอาใจ ตอนที่นางรู้ว่าญาติผู้พี่ของนางทำอะไรลงไปนางถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว ฮ่องเต้เหวินเจิ้งลงโทษขุนนางหนักหน่วงนัก ไม่สนว่าพวกเขาจะมีเชื้อสายกับพระสนมฮองเฮา เพียงพระองค์เห็นว่าสมควรก็ตัดสินโทษทันที

   นางเคยได้ยินว่าหลานของฮองเฮาเคยกระทำความผิดวางอำนาจบาตรใหญ่ใส่ผู้คน เมื่อฮ่องเต้รู้เข้าก็สั่งตัดลิ้นโดยทันที แม้ว่าฮองเฮาจะไปคุกเข่าขอร้องก็ไม่เป็นผล หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของฮ่องเต้และฮองเฮาก็หมางเมินเหินห่าง

   นางเองก็หวาดกลัวว่าจะเป็นเช่นนั้น นางรู้ว่าพระสนมชายาส่วนใหญ่ในฮ่องเต้เหวินเจิ้งนั้นเป็นเพียงหุ่นเชิดของตระกูล รวมถึงนางเองก็ด้วย ฮ่องเต้ทรงรู้ดีกว่าใครจึงรักษาระยะห่างกับพวกนางเรื่อยมา แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องมาหาพวกนางถึงตำหนัก พระองค์จะทรงใจดีจนทำให้หัวใจของสตรีในวังหลังสั่นไหว รวมถึงนางเองก็ด้วย

   “เรามิได้พูดเพื่อให้เจ้ารู้สึกระอาย” เหวินเจิ้งเกี่ยวปอยผมของเต๋อเฟยไปทัดไว้ข้างหู

   พระสนมเต๋อเฟยหน้าแดงซ่าน หากเป็นบุรุษอื่นเมื่อได้เห็นใบหน้างดงามเช่นนี้กำลังเขินอายคงใจอ่อนระทวยรีบโอบกอดนางไว้ในอ้อมอก 

   แต่เขามิใช่..

   เขาดูแลหญิงงามอย่างอ่อนโยนทั้งที่หัวใจเฉยชา ปล่อยให้นางหลงอยู่ในวังวนของความอบอุ่นอ่อนโยนของเขา เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องกำจัดตระกูลของนาง นางจะได้เปลี่ยนจากความรักเป็นความแค้นอย่างโง่งม

   เขากำลังรอคอย..
------------------------------------------------------------------------

จิตตก : เหวินเจิ้งระบบความคิดอาจจะแปลกพิกลไปบ้าง ความจริงแล้วมีสาเหตุนะคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 07-03-2017 15:25:30
ชอบความร้ายของนางเชื่อว่าต้องมีเหตุผลอิอิอิ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 07-03-2017 15:26:30
ฮ่องเต้นางเคะชิมิ :hao6:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part1]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 13-03-2017 15:16:15
บทที่ 2

            “ฝ่าบาท.. เสด็จบรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นในที่สุดเมื่อเห็นว่าเวลานี้ใกล้เช้าแล้ว อีกหนึ่งชั่วยามก็ได้เวลาเสด็จออกว่าราชการแล้ว เหวินเจิ้งยังคงทรงงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรอยู่เลย

            เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา ใต้ตามีรอยหมองคล้ำจากการอดนอน ดวงตาดำขลับมองออกไปยังนอกหน้าต่างที่มืดมิด

            “ยังอีกหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามเบาๆ

            “ยังพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบอย่างรู้ใจ

            นับตั้งแต่ที่พระองค์เสด็จไปเยือนตำหนักเต๋อเฟยวันนั้น พระองค์ก็เสด็จไปติดต่อกันถึงเจ็ดวันติด สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับวังหลัง เหล่าพระสนมนางในต่างแวะเวียนมาแสดงตัวเพื่อเรียกร้องความสนใจให้พระองค์ไปเยือนตำหนักพวกนางบ้าง

            พึ่งจะสองสามวันนี้เองที่พระองค์ทรงหยุดไปเยี่ยมเยือนตำหนักเต๋อเฟยและเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องทรงพระอักษร

            “เราจะออกไปอ่านฎีกาที่ศาลา” หลังจากนิ่งคิดสักพัก เหวินเจิ้งก็ลุกขึ้นแล้วส่งสัญญาณให้ขันทีข้างนอกเข้ามาขนฎีกาตามออกไป

            “ไม่บรรทมอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงถามขึ้นอย่างเป็นห่วง สีพระพักตร์ของเหวินเจิ้งดูเหนื่อยล้ากว่าปกติถึงสามส่วน นี้ก็เข้าวันที่สามแล้วที่พระองค์เอาแต่นั่งอานฎีกาไม่ยอมกลับตำหนัก ทำเอาพวกขันทีและราชองครักษ์ใต้ตาดำคล้ำไปตามๆกัน

            “เราต้องเตรียมความพร้อม” เหวินเจิ้งหันมายิ้มละไมให้สวี่กงกง ท่วงท่าดูอ่อนล้าเชื่องช้ากว่าปกติเพราะอดนอน สวี่กงกงเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจแรงๆหนึ่งที พระองค์คิดจะทำอะไรใช่ว่าเขาจะไม่รู้ เพียงแต่เขาไม่สามารถห้ามอะไรได้

            เหวินเจิ้งเดินช้าๆไปยังศาลากลางสวนบัว นั่งลงแล้วก็กางฎีกาออกทันทีก่อนจะชะงักแล้วเงยหน้ามองเหล่าผู้ติดตาม

            “พวกเจ้าถอยห่างออกไปเสียหน่อยเถิด ยืนใกล้เราเช่นนี้เราก็ไม่ได้รับอากาศบริสุทธิ์กันพอดี” เหล่าราชองครักษ์ ขันที และนางกำนัลเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มองหน้ากันไปมาเล็กน้อยก่อนจะถอยห่างออกไป เหวินเจิ้งเห็นเหล่าผู้ติดตามถอยไปเพียงนิดเดียวก็ยกยิ้มก่อนจะเอ่ยไล่ “เหลือไว้แค่คนสองคนพอที่เหลือออกไปนอกศาลาเสีย.. ไม่สิแค่หย่งเซิงไว้คนเดียวพอ”

            เหวินเจิ้งเห็นหย่งเซิงยืนหน้านิ่งใบหน้าไม่มีวี่แววของความเหนื่อยล้าจึงจงใจรั้งอีกฝ่ายไว้ให้ยืนเฝ้าตน คนอื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็ล่าถอยไป

            “หย่งเซิงเจ้าได้นอนบ้างหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามทั้งที่สายตายังจับจ้องที่ฎีกา หย่งเซิงปรายตามองเหวินเจิ้งเล็กน้อยก่อนตอบ

            “ฝ่าบาทไม่บรรทมแล้วกระหม่อมจะนอนได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”

            “หื้ม.. เช่นนั้นทุกครั้งที่เรานอนเจ้าก็แอบไปงีบด้วยงั้นหรือ”

            “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นมนุษย์ไม่อาจตื่นได้ตลอดเวลา” น้ำเสียงเรียบนิ่งมั่นคงของหย่งเซิงทำให้เหวินเจิ้งรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด ตั้งแต่ที่หย่งเซิงมาเป็นราชองครักษ์ให้เขา บางครั้งเขาก็เรียกอีกฝ่ายมาพูดคุยเล่นบ้าง เพราะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าพูดคุยกับเขาอย่างเป็นตัวของตัวเอง

            เพิ่งจะสองสามวันมานี่เองที่เขาไม่ได้เรียกอีกฝ่ายมาพูดคุยด้วยเลย..

            “เช่นนั้นสามสี่วันนับจากนี้ไป เจ้าก็จงตื่นเป็นเพื่อนเราไปก่อนเถิด หลังจากนั้นเจ้าอาจจะได้โอกาสแอบงีบไปสักพักใหญ่” หย่งเซิงมองร่างโปร่งที่ดูเหนื่อยล้าของ ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ ในน้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยของเหวินเจิ้งเจือความตื่นเต้นรอคอยระคนอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย

            “...” เมื่อเหวินเจิ้งเห็นหย่งเซิงไม่ตอบจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกฝ่าย

            หย่งเซิงไม่เคยหลบตาเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่พบกันครั้งแรก ทั้งที่เขาควรสั่งลงโทษอีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่ได้ทำ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่มีคนกล้าสบตาเขาโดยตรง นัยน์ตาของอีกฝ่ายดำสนิทแต่กลับมีเสน่ห์ลึกลับ ยิ่งมองนานเข้ายิ่งเหมือนถูกดูดเข้าไปในบ่อน้ำที่ไร้ก้นบึง

            “ข้าชอบลูกตาของเจ้า” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม เหล่าผู้ติดตามสะดุ้งเล็กน้อย คนปกติมักจะบอกว่าชอบดวงตาของอีกฝ่าย แต่ฮ่องเต้พระองค์นี้กลับใช้คำว่าลูกตาเสียอย่างนั้น ฟังดูน่ากลัวพิกล

            หย่งเซิงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

            “ฝ่าบาทคงไม่สั่งควักลูกตาของกระหม่อมกระมัง” หากฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้เกิดอยากได้ลูกตาเขาขึ้นมา เขาไม่อยากจะควักให้หรอกนะ

            เหวินเจิ้งได้ยินอีกฝ่ายตอบเช่นนั้นก็ยิ้มค้างไปเล็กน้อยก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังจนลั่นศาลา หย่งเซิงและเหล่าผู้ติดตามต่างมองฮ่องเต้อย่างใจลอย

            ริมฝีปากอวบอิ่มยักโค้งจนตาหยี ดวงตาดำขลับเป็นประกายราวกับดวงดารานับหมื่น ใบหน้ายามหัวเราะของฮ่องเต้ช่างดูคล้ายกับเด็กน้อยก็มิปาน ใบหน้างดงามเมื่อต้องแสงจันทร์เปล่งประกายราวกับเทพเซียน

            หย่งเซิงมองภาพตรงหน้าด้วยจิตใจสั่นไหว ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้สึกว่าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้งดงามอย่างที่ใครๆก็ว่ากัน จนกระทั่งตอนนี้ หย่งเซิงจ้องมองดวงตายักโค้งของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล

            ก่อนหน้านี้เหวินเจิ้งมักส่งยิ้มละไมให้ผู้คนเสมอ เขารู้สึกไม่ชอบรอยยิ้มของอีกฝ่าย เพราะมันเสแสร้งอวดดีและเย่อหยิ่ง ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว รอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงของอีกฝ่ายมีเสน่ห์ชวนมองเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าตอนที่อีกฝ่ายเป็นเพียงองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อจึงได้ชื่อว่าเป็นบุรุษรูปงามที่สุดในแผ่นดิน

            “เพราะลูกตามันอยู่กับเจ้าจึงได้ดูสวยงาม ไม่ต้องห่วงเรามิอยากได้ลูกตาที่ไร้ชีวิตหรอก” เมื่อหัวเราะจนพออกพอใจแล้วเหวินเจิ้งก็เอ่ยออกมาในที่สุด

            หน้าตาหวาดระแวงของหย่งเซิงช่างตราตึงใจเขานัก นานๆทีได้เห็นสีหน้าอื่นๆของอีกฝ่ายบ้างก็ดีเหมือนกัน

            “ฝ่าบาท ใกล้เวลาออกว่าราชการแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเข้ามาเอ่ยเตือน

            เหวินเจิ้งมองท้องฟ้าที่ใกล้สว่างอย่างเสียดาย

            บางเวลาก็ผ่านไปเร็วเหลือเกิน..

 

            “ฝ่าบาท.. นี้มันหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” ใต้เท้าหลี่เอ่ยถามเสียงสั่นเมื่อฝ่าบาทสั่งให้ขันทีนำสมุดบันทึกเล่มหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้า

            “เราคิดว่าท่านจะคุ้นเคยกว่าเราเสียอีก นี้คือสมุดบัญชีที่เจ้าเอาไว้จดบันทึกเครื่องบรรณาการที่เจ้าขโมยไปอย่างไรเล่า” น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของอีกฝ่ายมิได้ทำให้ใต้เท้าหลี่ใจเย็นลงกลับเพิ่มความร้อนล้นให้จนเหงื่อผุดซึมเต็มใบหน้า

            เหล่าขุนนางต่างมองกันไปมาด้วยความตกใจ

            “กระหม่อม.. กระหม่อมมิเคยเห็นสมุดเล่มนี้มาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ ตะ.. ต้องมีคนใส่ร้ายกระหม่อม..” ใต้เท้าหลี่เอ่ยตอบเสียงสั่นพลางคุกเข่าลงกับพื้นหน้าบัลลังก์ ใครกันบังอาจทรยศเขาแอบลักลอบเข้าไปในจวนของเขาแล้วขโมยสมุดบันทึกเล่มนี้มา

            “ไม่มีหรอกใต้เท้าหลี่ เป็นเราแอบปีนเข้าตำหนักท่านเอง” เหล่าขุนนางตัวเย็นวาบทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

            “ปะ.. เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยมีรายงานว่าฝ่าบาทออกนอกวัง..” ใต้เท้าหลี่หลุดคำพูดออกมาอย่างโง่งม ก่อนจะรีบตะครุบปิดปากตนเอง ขุนนางคนอื่นได้แต่แอบด่าทอใต้เท้าหลี่ผู้โง่งมในใจ มีเพียงอัครเสนาบดีหย่งเท่านั้นที่ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยเอาไว้ได้

            เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆ ก่อนจะค่อยๆก้าวเท้าลงมาจากบัลลังก์มังกร ยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูใต้เท้าหลี่เสียงดัง

            “ดูเหมือนคนที่พวกเจ้าส่งมาจับตามองเราจะมีฝีมือไม่เท่าไรกระมัง”

            “ฝ่าบาทการเสด็จออกนอกวังโดยไร้ซึ่งผู้ติดตาม มิสมควรเลยพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้นในที่สุด เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าลงกับพื้นพลางเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

            “ฝ่าบาททรงไตร่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” เหวินเจิ้งมองภาพเหล่านั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

            “หากเราไม่ออกไปด้วยตนเองเราจะได้สมุดบันทึกเล่มนี้มาหรือ ในเมื่อพวกท่านสามัคคีปกป้องกันและกันเช่นนี้ใยมิจับมือเดินเข้าคุกไปพร้อมกันเสียเลยเล่า” เหล่าขุนนางชะงักก่อนจะรีบคุกเข่าเอ่ยอย่างพร้อมเพรียง

            “ฝ่าบาทได้โปรดคลายโทสะด้วย!”

            “ลุกขึ้นเถิด พวกเจ้าชอบคิดว่าเรามีโทสะอยู่เรื่อย” เหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนทันที

            ใต้เท้าหลี่รับรู้ได้ถึงลางร้ายในบัลดล เจ้าคนพวกนี้กำลังสลัดเขาทิ้ง!

            “ฝ่าบาท! กระหม่อ..” ใต้เท้าหลี่กัดฟันเอ่ย หากเขาจะต้องตายเขาจะลากเจ้าพวกนี้ลงไปด้วย

            “ใต้เท้าหลี่ ในเมื่อทำผิดก็ต้องยอมรับผิด ในวันนี้กระหม่อมเองก็ตั้งใจจะมาทูลฝ่าบาทเรื่องนี้เช่นกัน คนของกระหม่อมได้บังเอิญพบใต้เท้าหลี่นัดพบคนต่างแคว้นในที่ลับ จึงรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก เมื่อลอบตามสืบจึงได้รู้ว่า ใต้หลี่แอบคบค้าสมาคมกับคนต่างแคว้นมานานแล้ว” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขัดขึ้น ใต้เท้าหลี่ได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างตะลึงงัน

            เมื่อเหล่าขุนนางอื่นเห็นเป็นเช่นนั้นก็รีบเออออทันที

            “กระหม่อมก็เคยเห็นพ่ะย่ะค่ะ”

            “มิน่าช่วงนี้ใต้เท้าหลี่จึงร่ำรวยนัก”

            “ที่แท้ใต้เท้าก็ได้รับผลประโยชน์บางอย่างนี้เอง”

            “พวกเจ้าโกหก!” ใต้เท้าหลี่ตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทนก่อนจะปรี่เข้าไปพยายามทำร้ายอัครเสนาบดีหย่ง

            เมื่อเหล่าขุนนางเห็นเป็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปดึงตัวใต้เท้าหลี่ออกมาจนเกิดความวุ่นวายในท้องพระโรง ทหารต่างก็รีบเข้ามาคุมตัวใต้เท้าหลี่อย่างรู้งาน

            หย่งเซิงมองความวุ่นวายในท้องพระโรงจากหน้าประตู สายตาไปหยุดอยู่ที่ร่างสูงโปร่งในชุดสีเหลืองทอง ที่มองดูเหตุการณ์ทุกอย่างด้วยรอยยิ้มทว่าดวงตาดำมืดราวกับกำลังมองมดปลวกก่อนจะหันกายกลับขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์

            มือบางเอื้อมมือไปหยิบแท่นฝนหมึกก่อนจะโยนเข้าไปท่ามกลางการยื้อยุด

            เหล่าขุนนางและทหารชะงักทันทีเมื่อเห็นว่ามีน้ำอะไรบางอย่างหยดใส่ใบหน้าและลำตัว เมื่อเห็นว่าเป็นหมึกสีดำก็หน้าเปลี่ยนสี มองไปยังบัลลังก์มังกรทันที เห็นตัวการนั่งส่งรอยยิ้มละไมมาให้ พวกเขาก็ได้แต่กัดฟันอย่างโกรธแค้นก่อนจะรีบทำตัวสงบเสงี่ยม เดินกลับไปยังที่ของตน

            หย่งเซิงบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย

            ทหารหน้าดำจับกุมใต้เท้าหลี่เอาไว้พลางกดให้อีกฝ่ายคุกเข่าลง เหวินเจิ้งมองดูเหล่าขุนนางที่ทั้งตัวเปื้อนไปด้วยน้ำหมึกคนละจุดสองจุดก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย

            “ความผิดของท่านนับว่าไม่น้อยเลย ใต้เท้าหลี่ตั้งแต่นี้ต่อไปท่านจะถูกถอดยศขุนนาง คนในสกุลหลี่มิอาจรับราชการได้อีก ส่วนตัวท่านและผู้สมรู้ร่วมคิดจะต้องถูกประหารด้วยการแขวนคอในเช้าของวันพรุ่งนี้ เลิกได้” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็สะบัดชายเสื้อเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที ไม่สนใจเสียงตะโกนอย่างเคืองแค้นและสิ้นหวังของใต้เท้าหลี่อีก

            “สวี่กงกง” เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกขันทีคนสนิทด้วยน้ำเสียงเนิบนาบขณะกำลังกลับตำหนัก

            “ฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้ร่างโปร่งทันที

            “ข่าวเรื่องใต้เท้าหลี่ดังไปถึงตำหนักเต๋อเฟยหรือยัง” เขารอไม่ไหวแล้ว..

            เหล่าผู้ติดตามได้ยินดังนั้นก็สูดหายใจเข้าด้วยความหนาวเหน็บ พระสนมเต๋อเฟยเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของใต้เท้าหลี่ หากพระนางรู้ว่าพระสวามีของนางสั่งประหารบิดาบังเกิดเกล้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

            “ทูลฝ่าบาท คงจะเร็วเกินไป..” สวี่กงกงมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้ง ในดวงตาฝ้าฟ่างมีหลากหลายความรู้สึกผสมปนเป

            “ส่งคนไปแจ้งเสีย เราจะเดินให้ช้าลงหน่อย.. จริงสิ บอกนางด้วยว่าเราอดนอนมาหลายคืน ร่างกายเราจึงทั้งอ่อนล้าและเชื่องช้า” เหวินเจิ้งเอามือไพล่หลังสั่งเสียงเรียบ

            เหล่าบรรดาผู้ติดตามต่างงุนงงสงสัยกับคำสั่งของฮ่องเต้ ทว่าก็ไม่มีใครกล้าซักถาม หย่งเซิงที่อยู่ด้านหลังสุดมองแผ่นหลังโปร่งบางก่อนจะละสายตาไปยังสวี่กงกงที่หลุบตาต่ำรับคำสั่ง หากสังเกตดีๆจะเห็นร่างกายของขันทีเฒ่าสั่นน้อยๆ หย่งเซิงหรี่ตามองอย่างใช้ความคิด

            ฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ตั้งใจจะทำอะไรกัน

            เหวินเจิ้งเดินทอดน่องเรื่อยเฉื่อยไปตามทางจนกระทั่งมาถึงตำหนักเต๋อเฟยในที่สุด

            “พวกเจ้ารออยู่นี้แหละ เราจะเข้าไปปลอบพระสนมสักหน่อย” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้น สวี่กงกงได้ยินดังนั้นก็สะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบปรี่มาที่ข้างกายเหวินเจิ้ง

            “ให้กระหม่อมไปด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงก้มหน้าหลุบตาต่ำ เสียงที่เปล่งออกมาดูสั่นน้อยๆ เหวินเจิ้งปรายตามองขันทีแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยอนุญาต

            “ตามใจเจ้า” เสียงนุ่มฟังดูตื่นเต้นระคนคาดหวังจนหย่งเซิงใจไม่ดี รีบกวาดตามองไปรอบๆก่อนจะรีบเดินเข้าไปขวางทางเหวินเจิ้ง

            ร่างโปร่งชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นหย่งเซิงเข้ามาขวางทางก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม

            “ขันทีผู้ทำหน้าที่ประกาศไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยเตือนอีกฝ่ายไม่สนใจคิ้วเรียวของฮ่องเต้ที่เริ่มขมวดเข้าหากัน

            “แล้วอย่างไร” เหวินเจิ้งเอ่ยถามเสียงเรียบ แม้ใบหน้าจะยังคงประดับรอยยิ้ม

            “..กระหม่อมจะเข้าไปด้วยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยตอบ

            “ไม่ต้อง” เหวินเจิ้งเอ่ยตัดบททันทีตั้งท่าจะเดินต่อแต่ก็ถูกอีกฝ่ายหยุดไว้

            “กระหม่อมมิได้ขออนุญาตพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงกล่าวจบก็เดินนำเข้าไปทันที เหวินเจิ้งได้แต่มองอีกฝ่ายตาปริบๆ เหล่าผู้ติดตามเองก็เหงื่อซึมด้วยความหวาดหวั่น เจ้าหย่งเซิงมันไปกินดีหมีหัวใจเสือมาหรือไร เหตุใดจึงได้ใจกล้าขัดคำสั่งฮ่องเต้เช่นนี้

            ในขณะที่เหวินเจิ้งกำลังชะงักก็มีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากในตำหนัก เหวินเจิ้งเบิกตากว้างก่อนจะรีบเดินจนเกือบวิ่งเข้าไปในตำหนักทันที หย่งเซิงที่ได้ยินเช่นกันก็รีบปรี่เข้าไปประชิดตัวเหวินเจิ้งเพื่อระวังภัย

            ภายในตำหนักเละเทะไปด้วยเศษแจกันและข้าวของต่างๆ นางกำนัลและขันทีต่างคุกเข่าร้องไห้มองไปยังด้านบนมีร่างของสาวงามนางหนึ่งกำลังผูกคอตายอยู่บนขื่อ

            เหล่าผู้ที่ติดตามเหวินเจิ้งเข้ามาต่างอุทานด้วยความตกใจ

            “พระสนม!!”

            เหวินเจิ้งมองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง เสียงร้องไห้ของเหล่านางกำนัลดังอื้ออึงสะท้อนไปมาในโสตประสาท

            “มัวทำอะไรกันอยู่ รีบนำพระสนมลงมาสิ!!” สวี่กงกงตวาดเสียงดังเหล่าทหารรีบนำตัวพระสนมลงมาทันที

            หย่งเซิงเหลือบมองเหวินเจิ้งที่ยืนจ้องมองร่างไร้วิญญาณของพระสนมด้วยแววตาผิดหวัง หย่งเซิงหรี่ตาอย่างครุ่นคิด ฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ต้องการอะไรกันแน่ ทีแรกเขาคิดว่าเหวินเจิ้งอยากจะเห็นพระสนมเต๋อเฟยมาคุกเข่าขอร้องตนให้ไว้ชีวิตใต้เท้าหลี่ แล้วก็นั่งรอดูพระนางตรอมใจตายด้วยความทุกข์ทรมาน

            แต่เมื่อเห็นดวงตาดำขลับของอีกฝ่ายฉายแววผิดหวังและเหนื่อยล้าความคิดเหล่านั้นก็อันตรธานหายไป บางที.. อาจจะมีอะไรมากกว่านั้น เมื่อมองไปยังสวี่กงกงเห็นอีกฝ่ายลอบถอนหายใจด้วยความ.. โล่งอก?

            เหตุใดการตายของพระสนมเต๋อเฟยจึงทำให้สวี่กงกงรู้สึกโล่งอกได้

            ‘ฝ่าบาททรงเป็นกษัตริย์ที่โหดเหี้ยมอำมหิต หลงใหลใบหน้าทุรนทุรายของมนุษย์ ฆ่าได้แม้กระทั่งผู้ที่ส่งพระองค์ขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์’

            แวบหนึ่งเสียงของท่านพ่อลอยเข้ามาในหัว นี้เป็นสิ่งที่ท่านพ่อบอกเขาก่อนที่เขาจะมารับตำแหน่งราชองครักษ์ แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเชื่อถือคนโลภเช่นท่านพ่อ แต่ทว่าเสียงลือเล่าอ้างก็มากมายเสียจนยากจะไม่รับฟัง

            เหวินเจิ้ง.. เจ้าโหดเหี้ยมอำมหิตจริงหรือ?

            เหวินเจิ้งค่อยๆเดินไปใกล้ร่างที่ไร้วิญญาณของพระสนมเต๋อเฟย ใบหน้านางซีดเผือกดวงตาเบิกโพลง บนใบหน้ายังมีคราบน้ำตาติดอยู่เลย เหวินเจิ้งเอื้อมมือไปปิดตาที่เบิกโพลงของหญิงงาม บนใบหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้มอย่างที่เคยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

            “เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง..” ถึงแม้จะเอ่ยเพียงเบาๆ แต่เพราะห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเสียงทุ้มจึงฟังก้องกังวาน นางกำนัลคนสนิทได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกปวดใจแทนเจ้านายอย่างยิ่งจึงเผลอเอ่ยต่อว่าอย่างไม่กลัวเกรง

            “เป็นฝ่าบาทต่างหากที่ทำให้พระสนมผิดหวัง ช่วงหลายวันมานี้พระนางมีรอยยิ้มทุกวันด้วยคิดว่าพระองค์ทรงโปรดปรานนาง! แต่ที่ไหนได้ ฝ่าบาทกลับสั่งประหารชีวิตนายท่านอย่างไร้เยื่อใย พระสนมรู้สึกอดสูสิ้นหวังเสียจนคิดสั้น เป็นเพราะฝ่าบาท เป็นเพราะฝ่าบาท!”

            “บังอาจ!!” สวี่กงกงตวาดเสียงดังราชองครักษ์รีบรุดเข้ามาจับตัวนางกำนัลปากมากไว้ทันที

            เหวินเจิ้งละสายตาจากร่างไร้วิญญาณของพระสนมเต๋อเฟย หันมาหานางกำนัลที่ถูกจับกุมก่อนจะเดินเข้าไปหานางอย่างช้าๆ ริมฝีปากของเหวินเจิ้งบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มทั้งที่ดวงตาดำมืด จ้องมองนางกำนัลตัวเล็กราวกับจ้องมดปลวก

            นางกำนัลคนสนิทตัวสั่นเครือด้วยความหวาดกลัวทันที พึ่งรู้ตัวว่าตนเองได้ทำเรื่องที่โง่เขลาที่สุดลงไปเสียแล้ว

            “นางกำนัลน้อย ใต้เท้าหลี่ยักยอกเครื่องบรรณาการรวมทั้งสมคบคิดกับต่างแคว้น หากเราไม่สั่งประหารคงเป็นเหล่าราษฎร์ที่ต้องขึ้นอยู่บนขื่อนั่นแทนพระสนม” เสียงนุ่มทุ้มกดดันของเหวินเจิ้งทำให้ผู้คนที่ได้ยินต่างหนาวเหน็บ ไอแห่งอำนาจแผ่กระจายออกมาจากร่างโปร่งบางจนคนไม่กล้าสบตามองตรงๆ

           “เป็นเราหรือใต้เท้าหลี่ที่พาพระสนมไปอยู่บนนั้น” เหวินเจิ้งถามออกมาอีกคำพลางจับคางนางกำนัลคนสนิทให้เชิดมองหน้าตน นางกำนัลรีบเอ่ยตอบอย่างหวาดกลัว

           “ปะ.. เป็นใต้เท้าหลี่เพคะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปก่อนจะถามคำถามที่ทำให้ผู้คนตะลึงงัน

           “เจ้าแค้นเราหรือไม่ อยากฆ่าเราไหม” นางกำนัลรีบส่ายหัวอย่างแรง

          “หม่อมฉันไม่กล้า หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ!”

          เหวินเจิ้งมองนางกำนัลที่ส่ายหัวอย่างแรงด้วยดวงตาที่ยากจะอ่านออก

           “ตรงนี้มีจดหมายพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยขึ้นพลางเดินไปหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ด้านหน้าเขียนไว้ว่า ‘ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง’

           เหวินเจิ้งมองตามร่างของหย่งเซิงที่เดินถือจดหมายมาให้ก่อนจะคลี่อ่าน

          ‘ฝ่าบาท.. หม่อมฉันไม่รู้ว่าเหตุใดพระองค์จึงเลือกหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันรู้ว่าพระองค์ตั้งใจจะใช้หม่อมฉันเป็นเครื่องมือเพื่อฆ่าพระองค์ หากแต่หม่อมฉันไม่ยินยอมให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่พระองค์คาดหวังหรอกเพคะ แม้ว่าพระองค์จะสั่งประหารท่านพ่อของหม่อมฉันย่างเลือดเย็น แต่หม่อมฉันมิอาจตัดใจสังหารพระองค์อย่างเลือดเย็นเช่นนั้นได้ พระองค์คงผิดหวังและสงสัย ฝ่าบาท.. ไม่มีหญิงสาวคนใดจะหักใจสังหารบุรุษที่นางรักอย่างลึกซึ้งได้หรอกเพคะ แต่หม่อมฉันก็จะแก้แค้นพระองค์ด้วยความตายของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะคอยเฝ้าดูสีหน้าผิดหวังและเหนื่อยล้าของพระองค์จากตรงนี้ และภาวนาให้พระองค์มิอาจสมหวังอยู่ร่ำไป.. ฝ่าบาท ขอให้พระองค์มีชีวิตยืนยาวเพคะ.. หงเอ๋อ..’

         ขอให้ข้ามีชีวิตยืนยาวหรือ..

         เหวินเจิ้งยกยิ้มก่อนจะหัวเราะเบาๆในลำคอแล้วเปลี่ยนเป็นเสียงดังราวกับคนบ้าจนทำให้ผู้คนขวัญผวา

         หงเอ๋อ เจ้าทำได้เจ็บแสบนัก!

         หย่งเซิงมองเหวินเจิ้งที่หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของร่างโปร่งฟังดูโหยหวนจนคล้ายกับสิ้นหวังนัก

        “นาง.. นางขอให้เรามีชีวิตยืนยาว” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะทั้งที่นัยต์ตาแดงก่ำ

       “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเรียกอีกฝ่ายอย่างลำบากใจ ต่อไปต้องมีข่าวลือว่าฮ่องเต้เห็นร่างไร้วิญญาณของพระสนมแล้วหัวเราะชอบใจเป็นแน่..

----------------------------------------------------------

จิตตก : ใช่เเล้วเรื่องนี้ฮ่องเต้เป็นเคะที่น่าสงสาร(?) ค่ะ แต่เหตุผลคืออะไรต่อรอดูกันต่อไป 5555

เรื่องนี้จะมาต่ออาทิตย์ละ 1 ตอนนะคะ หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 13-03-2017 20:15:57
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 14-03-2017 14:13:20
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 14-03-2017 17:26:11
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 14-03-2017 20:10:08
มาต่อๆๆๆๆๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 15-03-2017 08:50:15
สนุกนะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part2]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 23-03-2017 12:03:40
บทที่ 3

          ดังคาดผ่านไปเพียงสามวันก็มีข่าวลือว่าฮ่องเต้ทรงโปรดการเห็นพระศพของเหล่าพระสนมนางใน ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของพระองค์ยิ่งแผ่กระจายออกไปไกลจนเหล่าขุนนางต่างไม่กล้าส่งบุตรสาวเข้าวังด้วยความหวาดกลัว ทว่า..

          “ฝ่าบาท ตำแหน่งพระสนมไม่อาจว่างเว้นไว้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

          “ทรงแต่งตั้งนางในขึ้นเป็นพระสนมเต๋อเฟยเถิด”

          “ฝ่าบาท นี้ก็ผ่านมานานแล้วยังไม่มีวี่แววของเชื้อสายมังกรอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”

          “หงเอ๋อของเราจากไปไม่ถึงเจ็ดวันดี พวกเจ้าก็อยากหาคนมาแทนที่นางเสียแล้ว” เหวินเจิ้งแสร้งทำน้ำเสียงอ่อนใจ ก่อนเอ่ยต่อ    “จริงสิ ใต้เท้าโหวบุตรสาวของท่านเป็นอย่างไร เราได้ยินว่านางโตแล้วงดงามนัก”

          “ทูลฝ่าบาท บุตรสาวของกระหม่อมยังอายุน้อยนัก..” ใต้เท้าโหวรีบเอ่ยด้วยความกังวล มีข่าวลือว่าฝ่าบาทชอบมองดูพระศพ จะให้บุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนเข้าไปเสี่ยงอันตรายได้อย่างไร

           “เรามิได้บอกว่าจะแต่งนางเสียหน่อย ท่านอย่าได้กังวลไป” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะ วันนี้พระพักตร์ของพระองค์ดูอ่อนล้ากว่าที่เคย ราวกับคนไม่ได้นอนมาหลายวัน

           “ฝ่าบาท แต่งตั้งพระสนมจากนางในที่เคยเข้าถวายงานพระองค์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางคนอื่นรีบเสนอ เพราะกลัวว่าความซวยจะตกมายังบุตรสาวของตน

           “เรื่องนี้เอาไว้ก่อนเถิด มีเรื่องสำคัญมากกว่าเรื่องบนเตียงของเรามากมายนัก” เหวินเจิ้งเอ่ยตัดบท เหล่าขุนนางอาลักษณ์ต่างสะดุดกับวาจาล่อแหลมของคนเป็นฮ่องเต้จนใบหน้าแดงซ่าน

            เหตุใดสวรรค์จึงหลับหูหลับตามอบใบหน้างดงามเช่นนี้มาให้กับคนวิปริตเช่นนี้หนอ..

            เหวินเจิ้งมองผู้อาวุโสทั้งหลายในท้องพระโรงในใจอดรู้สึกเบื่อหน่ายไม่ได้ เจ้าพวกคร่ำครึ!

            “เหตุใดฎีกาเรื่องทำนบกั้นน้ำพังจึงมาไม่ถึงเราเสียที” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางมองใบหน้าซีดเผือกของขุนนางในท้องพระโรง

            “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ค่อนข้างสลับซับซ้อนจึงต้องใช่เวลาอยู่บ้างพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยตอบขึ้นเสียงดังกังวาน เหล่าขุนนางรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที

            “ก็แค่ทำนบกั้นน้ำพัง มีอันใดซับซ้อน หรือขุนนางของเราไร้ความสามารถเพียงแค่เรื่องนี้ก็จัดการมิได้หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นต่างก็ลอบกลืนน้ำลาย เหตุใดฮ่องเต้จึงขยันหาเรื่องพวกเขานัก

            “เป็นความผิดของกระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะหาทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย

            “ต้องรีบหน่อย ราษฎร์ของเรากำลังลำบาก” เหวินเจิ้งพึมพำออกมาเบาๆ จนแทบไม่มีใครได้ยินยกเว้นเพียงหย่งเซิงที่มีกำลังภายในกล้าแกร่ง ดวงตาดำสนิทจ้องมองไปยังร่างโปร่งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์

            เหวินเจิ้ง.. ที่แท้แล้วท่านเป็นคนเช่นไร



          ท่ามกลางความมืดมิด มีเงาร่างของคนผู้หนึ่งโผนทะยานออกจากตำหนักบรรทมของฮ่องเต้ ร่างนั้นเคลื่อนไหวแผ่วเบาและรวดเร็ว สามารถวิ่งผ่านศีรษะของทหารยามได้โดยที่ทหารยามยังไม่ทันรู้ตัว เพียงพริบตาเดียวร่างนั้นก็ออกมาอยู่นอกวังได้เป็นผลสำเร็จ

            เงาร่างโปร่งเอามือไพล่หลังพลางเดินผ่านตรอกซอกซอยอย่างช้าๆก่อนจะหยุดชะงัก ร่างโปร่งยืนนิ่งรออยู่นานก่อนจะถอนหายใจแรงๆอย่างผิดหวังหนึ่งที

            “หากไม่ได้มาสังหารเราก็ออกมาเถิด ออกมาจับตาดูเราใกล้ๆดีกว่า” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นในที่สุด

            “ฝ่าบาทรู้ตัวเร็วนัก” หย่งเซิงก้าวออกมาจากมุมมืด แสงจากพระจันทร์เต็มดวงทำให้เห็นใบหน้าของร่างสูงใหญ่ได้อย่างชัดเจน

            หย่งเซิงจ้องมองฮ่องเต้ผู้เคยสวมแต่เสื้อสีเหลืองทอง บัดนี้อยู่ในชุดสีดำรัดรูปดูทะมัดทะแม่ง ผ้าสีดำช่วยขับเน้นให้ผิวขาวสะอาดของพระองค์ยิ่งดูเปล่งกระกายมากขึ้น ดวงตาคู่งามยามต้องแสงจันทร์ดูสว่างไสว

            “เป็นเจ้านี้เอง” เหวินเจิ้งปรายตามองหย่งเซิงเล็กน้อยก่อนจะบิดมุมปากเป็นรอยยิ้มอย่างเคย “หากเจ้าตามเรามาตั้งแต่ที่ตำหนักบรรทม ก็ไม่ถือว่ารู้ตัวเร็วหรอก”

            เหวินเจิ้งเอ่ยจบก็เดินต่อทันที ไม่สนใจว่าหย่งเซิงจะตามมาหรือไม่

            “ฝ่าบาทจะออกไปไหนค่ำมืดเช่นนี้”

            “ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืนเราก็ออกไปไหนมิได้อยู่แล้ว”

            “ฝ่าบาทดูคุ้นเคยกับเส้นทางในเมืองนัก”

            “เวลาเบื่อหน่ายเราก็ออกมาเที่ยวเล่นบ้าง”

            “วิชาตัวเบาของฝ่าบาทไม่เลวเลย ใครเป็นผู้ฝึกสอนให้หรือ”

            “วันนี้เจ้าพูดมากจนเราแปลกใจเลยเชียว”

            “…”

            หย่งเซิงมองใบหน้าด้านข้างที่แสนงดงามของอีกฝ่าย นี้เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกสงสัยสนใจในตัวผู้อื่นเช่นนี้จนอดที่จะสักถามมิได้ ยิ่งนานวันเข้าอีกฝ่ายก็ยิ่งเข้ามาในมโนสำนึก เหวินเจิ้งมักจะทำให้เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้จนบางทีก็อยากผ่าสมองของอีกฝ่ายออกมาดูว่าในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่

            เหตุใดพระองค์ถึงชอบยั่วโทสะเหล่าขุนนางนัก เหตุใดบางครั้งจึงได้มีท่าทีผิดหวังเมื่อเห็นว่าเหล่าขุนนางไม่ยอมระเบิดโทสะ

            เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าพระองค์กำลังรอคอย.. ให้ใครสักคนมาปลิดชีวิตที่แสนเหน็ดเหนื่อยของพระองค์

            “เจ้าจะมองเราให้ทะลุเลยหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยขณะหันไปสบตาหย่งเซิง ดวงตาดำขลับคู่นั้นฉายแววหยอกเย้าจนหย่งเซิงต้องเก็บสายตากลับไป ใบหูคร้ามเข้มแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็อดเย้าต่อมิได้ “ใบหูเจ้าดูน่ารักนัก”

            หย่งเซิงยกมือขึ้นมาเกาหูแก้เก้อ ฮ่องเต้ผู้นี้เสียสติจริงๆ คราแรกก็ชมลูกตาเขาคราวต่อมากลับชมใบหู

            “ตกลงฝ่าบาทกำลังไปที่ไหนกัน” หย่งเซิงถามขึ้นอีกครั้งน้ำเสียงฟังดูห้วนกว่าเคย แต่เหวินเจิ้งกลับมิได้เก็บมาใส่ใจ พลางตอบ

            “ที่นี้ไง” หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะมองตรงไปข้างหน้า พบว่าเป็นทำนบกั้นน้ำที่พังทลายจนน้ำไหลเข้าสู่ที่นา

            “ทำนบกั้นน้ำ?”

            “ใช่” เหวินเจิ้งเดินลุยน้ำเข้าไปมองดูความเสียหายที่เกิดขึ้น หย่งเซิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เหวินเจิ้งไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะเปื้อนดินโคลนยังคงเดินสำรวจตรวจสอบที่นาท่ามกลางแสงจันทร์โดยมีหย่งเซิงเดินตามประกบอยู่ตลอดเวลา

            “เหนื่อย” เหวินเจิ้งบ่นเบาๆพลางยกมือปาดเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะหันกายเดินไปยังศาลานั่งพักของชาวนา หย่งเซิงเงยหน้ามองพระจันทร์คาดเดาว่าคงผ่านมาหลายเพลาแล้ว ตัวเขาที่ฝึกยุทธ์อย่างหนักมาตั้งแต่เด็กไม่มีเหงื่อซึมแม้แต่น้อย

            เหวินเจิ้งทิ้งตัวลงนอนบนศาลาอย่างเหนื่อยอ่อนโดยมีหย่งเซิงตามมานั่งข้างๆ เหนื่อยตัวที่เลอะเทอะเต็มไปด้วยโคลนไม่ทำให้อีกฝ่ายดูหม่นหมองเลยแม้แต่น้อยกลับทำให้ฮ่องเต้ผู้นี้ดูงดงามจับตา

            “หย่งเซิง กลิ่นตัวเจ้าเหมือนกบเลย” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นทั้งที่ยังนอนหลับตาอยู่ เพราะพวกเขาเดินลุยนามาทำให้กลิ่นตัวไม่น่าพิศมัยนัก

            “ฝ่าบาทเองก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบเสียงเรียบพลางพินิจพิเคราะห์ใบหน้ายู่ยี่เพราะความเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่าย

            “แท้จริงแล้ว เรากำลังไล่เจ้าไปนั่งไกลๆ”

            “เป็นเช่นนี้เอง”

            “…”

            “...”

            “..เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ”

            “กระหม่อมต้องอารักขาฝ่าบาท”

            “กลางทุ่งนาเช่นนี้ คงมีเพียงกบเท่านั้นที่สังหารเราได้”

            เหวินเจิ้งลืมตาลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆของอีกฝ่าย

            “นั่นเจ้ากำลังหัวเราะหรือ” เหวินเจิ้งถามขึ้น น้ำเสียงเจือความตื่นเต้นอยู่หลายส่วน หย่งเซิงรีบกลั้นนหัวเราะแล้วตีหน้าขรึมเช่นเดิม

            “มิได้หัวเราะพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งแสร้งทำสีหน้าผิดหวังก่อนจะเอ่ย

            “ว้า เรานึกอยากเห็นสีหน้ายามหัวเราะของเจ้าเหลือเกิน” หย่งเซิงกระแอมไอเพื่อไล่ความรู้สึกคันยิบๆที่หัวใจ

            “ขออภัยที่ทำให้ผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งก่อนจะเหม่อมองพระจันทร์ มือบางยกขึ้นทำท่าจะไขว่คว้าอยู่หลายครั้งก่อนจะเอ่ยถามคนข้างตัว

            “พระจันทร์ที่เขาเทียนซานอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือจริงหรือ”

หย่งเซิงนิ่งมองร่างโปร่งบางข้างตัวก่อนจะเอ่ยตอบ

            “แต่ก็มิอาจไขว่คว้าอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้ม

            “เจ้ายอกย้อนเราหรือ”

            หลังจากที่คอยติดตามอารักขาเหวินเจิ้งมาเกือบเดือน เขาได้ค้นพบว่าฮ่องเต้ผู้โหดเหี้ยมอำมหิตนั้น แท้ที่จริงแล้วช่างเปราะบางนัก ในบางครั้งที่ร่างโปร่งคิดว่าไม่มีใครเห็นมักจะแสดงสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้าออกมาบ่อยครั้ง เหวินเจิ้งเป็นกษัตริย์ที่ทำงานหนักยิ่งกว่าใครๆเขารู้ดี แม้จะเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมกับขุนนางแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งประชาชน

            อย่างเช่นวันนี้..

            “.. ฝ่าบาทมักแอบหนีออกมานอกวังเสมอหรือพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตัดสินใจลองถามเหวินเจิ้งอีกครั้ง อีกฝ่ายได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม

            “บางครั้งที่เรารู้สึกถูกปิดหูปิดตา เราก็ต้องเดินออกมาดูด้วยตนเอง”

            “วิชาตัวเบาของฝ่าบาทไม่ธรรมดาเลย วรยุทธ์ขอ..” หย่งเซิงยังเอ่ยไม่ทันจบ เหวินเจิ้งก็เอ่ยแทรกขึ้นมา

            “เราทำได้เพียงวิชาตัวเบาเท่านั้น วิชาอื่นๆล้วนอ่อนด้อย” เหวินเจิ้งรีบเอ่ยราวกับกลัวว่าเขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเก่งกาจเสียอย่างนั้น

            “เหตุใดท่านอาจารย์ของฝ่าบาทจึงสอนเพียงวิชาตัวเบากันเล่าพ่ะย่ะค่ะ” หากมีวิชาตัวเบาล้ำเลิศเช่นนี้เกรงว่าอาจารย์ของฝ่าบาทคงเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่ง น่าแปลกที่สอนเพียงวิชาตัวเบาให้ลูกศิษย์

            “เพราะเรามิใช่ศิษย์ของคนผู้นั้น คนผู้นั้นเป็นอาจารย์ของพี่สามต่างหาก เราเพียงขอให้ท่านสอนวิชาตัวเบาให้เพื่อเอาไว้ใช้เวลาหนีเท่านั้น” น้ำเสียงเรียบเรื่อยฟังดูหดหู่ในความรู้สึกของหย่งเซิงจนเผลอหลุดคำถามที่ค้างคาใจออกมา

            “ฝ่าบาท.. อยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งเหลือบตามองหย่งเซิงอย่างตกตะลึง ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง หย่งเซิงมองอากัปกิริยาน่ารักน่าเอ็นดูนั้นอย่างเผลอไผล เนินนานถึงมีเสียงหลุดออกมาจากริมฝีปากอวบอิ่ม

            “เจ้าเป็นคนแรกในชีวิตที่ถามคำถามนี้กับเรา” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางส่งยิ้มให้หย่งเซิง เป็นรอยยิ้มธรรมดามิใช่การขู่ขวัญเสแสร้ง เป็นเพียงรอยยิ้มหนึ่งที่ออกมาจากใบหน้าของมนุษย์ หย่งเซิงรู้สึกคันคะเยอในใจอยากเอื้อมมือไปสัมผัสริมฝีปากที่กำลังยกยิ้มนั้นเหลือเกิน

            “แล้วฝ่าบาทจะทรงตอบหรือไม่” หย่งเซิงเอ่ยถามเสียงเบา เหวินเจิ้งลุกขึ้นมานั่งข้างหย่งเซิงพลางเหม่อมองออกไปยังที่ไกลแสนไกล

            “เราอยากเป็นเพียงองค์ชายสี่ของเหล่าพี่น้องไปจนวันตาย” เสียงนุ่มทุ้มเจือความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน

            “..เพราะเหตุนี้ฝ่าบาทจึงหลอกล่อให้ผู้คนคิดสังหารพระองค์หรือ” เหวินเจิ้งได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้นชะงักไปเล็กน้อย

            “เจ้าฉลาดเสียจนน่ากลัว” หย่งเซิงไม่อยากได้ยินคำชมจากอีกฝ่ายเพราะนั้นหมายความว่าคนผู้นี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป

            คนผู้หนึ่งต้องท้อแท้สิ้นหวังมากเพียงไรจึงได้มีความคิดที่อยากจะตายไปให้พ้นๆ

            “หย่งเซิง เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องสังหารเราจงอย่าได้ลังเล.. เราคาดหวังในตัวเจ้า” หย่งเซิงเห็นอีกฝ่ายส่งรอยยิ้มคาดหวังมาให้ หัวใจราวกับร่วงหล่นสู่พื้นจนต้องยกมือขึ้นมาทาบอกว่ามันอยู่ที่เดิมหรือไม่ เหวินเจิ้งไม่ทันเห็นท่าทีแปลกๆของหย่งเซิง เพียงแค่หันกลับไปมองพระจันทร์บนฟากฟ้าดั่งเดิม

            หย่งเซิงมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้ง หากคนผู้นี้ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เพียงแค่จินตนาการหัวใจก็ปวดหนึบจนร่างสั่นสะท้าน เขาไม่อาจรับความสูญเสียอันน่ากลัวนี้ไหว จิตใจที่บอบช้ำจนสิ้นหวังของอีกฝ่าย เขาต้องฟื้นฟูให้มันกลับมาเข้มแข็ง


            แต่เขาจะทำได้หรือ.. ในเมื่อเขาเองก็ถูกส่งมาสังหารอีกฝ่ายเช่นกัน..
------------------------------------------------------

จิตตก : เริ่มเผยอดีตของเหวินเจิ้งทีละน้อยแล้วว คอมเม้นติชมได้นะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 23-03-2017 12:33:10
อดีตเริ่มเผยแล้ว ขอยาวๆเลย
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 23-03-2017 17:35:50
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3]
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 23-03-2017 21:11:14
บอกวันที่บอกหน้าด้วยนะคะ นักอ่านคนหลังจะได้ตามง่ายๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part4] [29/03/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 29-03-2017 21:26:27
   
      บทที่ 4 ยาพิษ

          “อาเซิง เจ้าควรจะเริ่มลงมือเสียที” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้นขณะจ้องมองบุตรชายคนรองด้วยใบหน้าเฉยชา ตอนนี้พวกเขาอยู่ในจวนสกุลหย่ง เมื่อเดือนก่อนเขาได้ส่งลูกชายของภรรยารองเข้าไปเป็นราชองรักษ์เพื่อรอเวลาลงมือ แต่เจ้าลูกคนนี้กลับยังรีรอไม่ลงมือเสียที จนเขาร้อนใจไปหมดแล้ว

            หย่งเซิงเองก็มองหน้าผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาด้วยสีหน้าเฉยชาดุจเดียวกัน

            “ข้าจะตัดสินใจเองว่าจะเริ่มลงมือเมื่อไร” เสียงทุ้มตอบกลับไปอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญจนอัครเสนาบดีหย่งต้องขมวดคิ้วด้วยความขัดใจ

            “อาเซิง! เจ้าลืมข้อตกลงของเราไปแล้วหรือ”

            หย่งเซิงมองใบหน้าผู้เป็นบิดาพลางสงสัยว่าเหตุใดท่านพ่อของเขาถึงได้โหดเหี้ยมนัก

            “ท่านพ่อ การวางยาพิษฮ่องเต้มิใช่เรื่องง่ายจะทำสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร ข้ามิอยากเป็นแพะรับบาปให้พวกท่านหรอกขอรับ” หย่งเซิงพูดเสียงเหี้ยมพลางปรายตามองใบหน้าที่เริ่มเขียวคล้ำด้วยความโกรธของผู้เป็นบิดา

            ใช่.. ท่านพ่อสั่งให้เขาลอบวางยาพิษเหวินเจิ้ง ยาพิษชนิดนี้เป็นยาพิษหายาก เมื่อกินเข้าไปทีละน้อยจะทำให้อีกฝ่ายเริ่มล้มป่วยอย่างช้าๆ ต่อให้เป็นหมอเทวดาก็ยากจะตรวจพบว่าถูกพิษ

            “อาเซิง ตอนนี้ข้างกายฮ่องเต้ไม่มีคนของพระองค์อีกแล้ว” สิ้นคำของอัครเสนาบดีหย่งร่างสูงใหญ่ก็สูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ

            ‘ข้างกายฮ่องเต้ไม่มีคนของพระองค์อีกแล้ว’

            เขาเองก็รู้อยู่แล้ว นอกจากสวี่กงกงแล้ว ข้ารับใช้คนอื่นล้วนถูกส่งมาจับตาดูเหวินเจิ้งทั้งสิ้น และดูเหมือนเจ้าตัวก็รู้อยู่แล้ว ดังนั้นเหวินเจิ้งจึงมักจะแอบออกไปนอกวังเพื่อสำรวจชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนด้วยตัวของพระองค์เอง

            พอคิดว่าคนผู้นั้นต้องใช่ชีวิตเช่นนี้มาโดยตลอดก็อดรู้สึกหนาวเหน็บมิได้ พระองค์ยืนอยู่เพียงลำพังท่ามกลางคมดาบที่หันเข้ามาหาพระองค์ ทว่าคมดาบเหล่านั้นกลับไม่ยอมแทงมาบนร่างของพระองค์โดยตรง ทำเพียงสร้างบาดแผลเล็กน้อยให้พระองค์รู้สึกทรมานจงใจไม่ให้พระองค์ตาย เพราะเหตุนี้พระองค์จึงได้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าใช่หรือไม่

            “เพราะเหตุใดจึงไม่สังหารพระองค์ให้ตายไปเสีย” เหตุใดต้องปล่อยให้พระองค์ทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ หย่งเซิงต่อประโยคหลังในใจ

            “เพราะคนของอดีตฮ่องเต้คอยคุ้มครองพระองค์อยู่ แต่บัดนี้ไม่มีเหลืออีกแล้ว” อัครเสนาบดีหย่งไม่ทันเห็นท่าทีที่เปลี่ยนไปของบุตร

            “ท่านสั่งฆ่าพวกเขาหรือ” อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะหึในลำคอก่อนจะเอ่ยตอบ

            “ใช่ แต่ก็เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น” หย่งเซิงมองบิดาอย่างสงสัย “อีกครึ่งเป็นฝีมือของฝ่าบาท”

            หย่งเซิงเบิกตากว้างอย่างหาได้ยาก แต่เพียงพริบตาเดียวสีหน้าก็กลับมาเรียบเฉยดังเดิม

            “เพราะเหตุใด” อัครเสนาบดีหย่งปรายตามองลูกชายก่อนจะยกยิ้ม

            “ข้าจะรู้ความคิดของฮ่องเต้เสียสติได้อย่างไร อาเซิง เจ้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเล็กน้อยพันธ์นี้เพียงแค่เจ้าทำตามที่ข้าบอกก็พอแล้ว”

            หย่งเซิงหลุบตาอย่างครุ่นคิดไม่ได้ตอบความอะไรอีก ก่อนจะขอตัวเดินออกมาจากจวน ระหว่างทางสวนกับหย่งหมินซึ่งกำลังเดินเข้ามาในจวนพอดี

            “น้องเซิง” หย่งหมินเอ่ยเรียกหย่งเซิงทันทีที่เห็น พร้อมกับส่งรอยยิ้มกว้างมาให้

            หย่งเซิงถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย หย่งหมินผู้นี้เป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาหลวงจึงถูกอัครเสนาบดีหย่งดูแลอย่างดีต่างกับเขาที่เกิดจากภรรยารอง ต้องถูกส่งเข้าไปเสี่ยงอันตรายวางยาพิษฮ่องเต้ เขารู้ดีหากเกิดเรื่องอะไรผิดพลาดขึ้นมา ท่านพ่อของเขาพร้อมที่จะโยนความผิดทุกอย่างให้กับเขา ให้เขาเป็นแพะรับบาปแต่เพียงผู้เดียว

            หลังจากนั้นก็อาศัยความดีความชอบสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป เพราะสายเลือดของตระกูลเหวินนั้นหายสาบสูญไปสิ้นแล้ว

            “เจ้ามีธุระอะไร” หย่งเซิงเอ่ยถาม เขาไม่ชอบเสวนากับคนโง่ หย่งหมินคือแบบอย่างของคนโง่โดยแท้

            “เจ้ากลับมาเมืองหลวงแล้วแต่ไม่ยอมมาทักทายข้าบ้างเลย หากท่านแม่รองรู้เข้าคงร้องห่มร้องไห้เสียใจที่ไม่ได้สอนมารยาทให้เจ้าก่อนตาย” คำพูดยั่วยุของหย่งหมิงไม่ได้สะกิดโทสะของหย่งเซิงแม้แต่น้อย

            “ข้าไม่รู้ว่าจะไปพบเจ้าด้วยสีหน้าอย่างไรดี หลังจากรู้ว่าเจ้าด้วนไปเสียแล้ว” หย่งหมินหน้าเขียวคล้ำขึ้นทันที กำหมัดแน่นด้วยความโมโห

            หย่งเซิงมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย หย่งหมินราวกับเด็กถูกเก็บมาเลี้ยงไม่รู้จักเก็บอารมณ์ความรู้สึก ช่างแตกต่างจากเขาและท่านพ่อเหลือเกิน

            “เจ้ารู้เช่นนั้นแล้วทำไมยังไม่ฆ่ามันอีก!” หยิ่งหมินตะโกนด้วยโทสะจนบ่าวรับใช้ต้องรีบปรี่มาเอ่ยปราม

            “คุณชาย.. ใจเย็นหน่อยขอรับ”

            “เจ้ามันโง่เกินกว่าจะอธิบาย” กล่าวจบหย่งเซิงก็เดินจากไปทันที ทิ้งให้หย่งหมินยืนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ตรงนั้นก่อนจะตะโกนไล่หลัง

            “ก็ไม่โง่มากไปกว่าแม่ของเจ้าหรอก ไม่มีใครต้อนรับแท้ๆแต่ก็ยังอยากกระเสือกกระสนเข้ามาในศาลบรรพบุรุษตระกูลหย่ง!” เสียงตะโกนของหย่งหมินไม่ได้ทำให้หย่งเซิงสะดุ้งสะเทือนแต่อย่างใด ร่างสูงใหญ่ยังคงก้าวต่อไปอย่างมั่นคงไม่แม้แต่จะหันกลับมามองร่างที่ดิ้นพล่านด้วยความเดือดดาลของหย่งหมิง

 

            “หย่งเซิง เจ้าหายไปไหนมา” หย่งเซิงชะงักเท้าเมื่อได้ยินเสียงเรียบเรื่อยอันคุ้นหู ก่อนจะหันไปมองยังต้นเสียง

            “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

            “ไม่ต้องมากพิธี เจ้ายังมิได้ตอบคำถามเราเลย” เหวินเจิ้งเอียงคอส่งยิ้มให้หย่งเซิงอย่างหยอกเย้า หย่งเซิงปรายตามองท่าทางน่ารักนั้นเพียงแวบเดียวก่อนจะหลุบตาลงต่ำ

            สวี่กงกงเหลือบมองคนทั้งสองด้วยแววตาครุ่นคิด หรือว่าฝ่าบาท.. จะมีเป้าหมายใหม่เสียแล้ว

            “กระหม่อม.. ไปปรึกษาหารือเรื่องสำคัญกับอัครเสนาบดีหย่งมาพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบพลางลอบมองปฏิกิริยาของเหวินเจิ้ง ไม่ยอมให้รายละเอียดเล็กน้อยบนใบหน้าของอีกฝ่ายหลุดลอดสายตาไปได้   

            สวี่กงกงเห็นนัยน์ตาของเหวินเจิ้งเป็นประกายขึ้นเล็กน้อยก็เริ่มมั่นใจให้ความคิดของตนมากขึ้น มือเหี่ยวย่นกำเป็นหมัดแน่น ตัวเขาเพียงคนเดียวมิอาจหยุดยั้งฝ่าบาทได้..

            แน่นอนว่าหย่งเซิงก็เห็นประกายในดวงตาคู่งามนั้นเช่นกัน

            “พวกเจ้าเป็นพ่อลูกกันย่อมมีเรื่องอยากคุยกันมากมาย”

            “ฝ่าบาทอยากทราบหรือไม่ว่าพวกหม่อมปรึกษากันเรื่องใด” หย่งเซิงเอ่ยถาม คิดไว้ว่าหากเหวินเจิ้งอยากรู้ เขาจะตอบอีกฝ่ายอย่างไม่ปิดบัง แต่ผิดคาด เขาเห็นเหวินเจิ้งหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย นัยน์ตาคู่งามฉายแววหวาดหวั่น แต่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หายไป

            “ไม่ เราไม่อยากรู้” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินจากไปทันที หย่งเซิงหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด เมื่อกี้เขาใช่ตาฝาดไปเองหรือไม่..

            ขณะที่ตั้งใจจะเดินตามขบวนเสด็จไปพลันได้ยินเสียงเรียกของหญิงสาว

            “เซิง? อาเซิง! เจ้าคืออาเซิงหรือ” หย่งเซิงหันไปตามเสียงเรียกพบว่าเป็นหญิงสาวนางหนึ่งกำลังกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาเขา นางใส่ชุดผ้าแพรอย่างดีคาดว่าคงเป็นนางในที่มีตำแหน่งไม่น้อย

            นางรูปร่างเพียวบาง ดวงตากลมโต จมูกเชิดรั้นริมฝีปากสีสดด้วยชาด โดยรวมแล้วเขายังนึกไม่ออกว่านางเป็นใคร

            “พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยตอบใบหน้ายังคงนิ่งเรียบไร้ความรู้สึก หญิงสาวหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม

            “เจ้าจำข้ามิได้หรือ”

            “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบกลับอย่างไม่ลังเล ใบหน้าหญิงสาวยิ่งเผือกสีลง

            “เป็นข้าเอง เหม่ยลี่ อย่างไรเล่า” หย่งเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย หญิงสาวเห็นเช่นนั้นก็รีบพูดต่อ “ข้าบุตรสาวคนโตแห่งสกุลเหม่ย เป็นเพื่อนบ้านกับเจ้าเมื่อสมัยก่อน”

            เหม่ยลี่.. เหมือนกับเขาเคยได้ยินชื่อนี้จากที่ไหนมาก่อน

            ‘เจ้าเลิกตามข้าเสียที’

            ‘อาเซิง มาเล่นกับลี่เอ๋อเถอะ’

            เขาจำได้แล้ว! นางเป็นเพื่อนบ้านของเขา สมัยที่เขาและท่านแม่ถูกไล่ออกมาจากตระกูลหย่ง ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอายุหกปีค่อนข้างเก็บตัวไม่ชอบสุงสิงกับเด็กคนอื่น แต่เหม่ยลี่กลับชอบเข้ามาป้วนเปี้ยนเดินตามเขาเสมอและเขาก็มักจะเดินหนีด้วยความรำคาน สุดท้ายเมื่อเขาอายุเจ็ดปีเขาก็ตัดสินใจตามอาจารย์ที่เป็นจอมยุทธ์ออกไปฝึกวิชาที่ภูเขาเทียนซาน หลังจากนั้นเขาก็ลืมเลือนเรื่องของเด็กคนนั้นไปจนสิ้น

            “เป็นท่านนี่เอง” หย่งเซิงค่อมหัวเล็กน้อย ปกติเขาเป็นไม่ค่อยสนใจผู้อื่นอยู่แล้ว มีคนมากมายที่เขาลืมเลือนไปเพราะไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

            เหม่ยลี่ตาเป็นประกายทันทีที่รู้ว่าหย่งเซิงจำนางได้แล้ว

            “ไม่ได้เจอกันนานเลย ท่านเปลี่ยนไปมากจนข้าเกือบจำไม่ได้เชียว” เหม่ยลี่มองหย่งเซิงอย่างเคลิบเคลิ้ม หย่งเซิงมีเค้ารางของความหล่อเหลามาตั้งแต่ยังเด็ก เขาเป็นคนเงียบขรึมทำให้นางรู้สึกสนใจใคร่รู้ สุดท้ายก็เป็นนางที่ไม่อาจลืมเลือนเขาได้ ทั้งที่คิดว่าชาตินี้คงไร้วาสนาที่จะได้พบกันอีกแล้วแท้ๆ

            หย่งเซิงไม่ตอบคำเพียงค่อมหัวเล็กน้อยด้วยใบหน้าเรียบเฉย

            “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ เหตุใดจึงไม่ส่งข่าวคราวมาบ้าง” น้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าทำให้นางกำนัลที่ตามมาข้างหลังรีบออกปากเตือน

            “นางหญิง! หากใครมาเห็นเขาจะไม่เหมาะนะเพคะ” เหม่ยลี่หันไปถลึงตาใส่นางกำนัลคนสนิท

            “ช่างปะไร อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็มิได้โปรดข้าอยู่แล้ว ข้าจะไปไหนจะคุยกับใครก็เรื่องของข้า”

            หย่งเซิงเหลือบมองใบหน้าของเหม่ยลี่เล็กน้อย นางเป็นหญิงสาวที่ได้นอนร่วมเรียงเคียงหมอนกับเหวินเจิ้ง เมื่อคิดเช่นนี้ หย่งเซิงรู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจ

            “กระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” เขาไม่อยากคุยกับหญิงนางนี้อีกแล้ว กล่าวจบหย่งเซิงก็หมุนกายจะเดินจากไปทันที

            “ดะ.. เดี๋ยวสิ” เหม่ยลี่รีบผวาเอ่ยรั้งอีกฝ่าย หย่งเซิงชะงักเท้าก่อนจะหันกลับมา

            “เจ้า.. เป็นราชองครักษ์หรือ” นางเอ่ยถามอย่างหวั่นใจ

            “พ่ะย่ะค่ะ”

            เหม่ยลี่หน้าซีดลงทันที เขาเป็นราชองครักษ์ของบุรุษที่นางต้องถวายงานให้เช่นนั้นหรือ เหตุใดสวรรค์จึงได้กลั่นแกล้งนางเช่นนี้

            “ถ้าไม่มีอะไรแล้วกระหม่อมขอตัวพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงไม่สนใจใบหน้าซีดเผือกอย่างน่าสงสารของเหม่ยลี่เพียงหมุนกายเดินจากไปทันที

            เหม่ยลี่เข่าอ่อนจนนางกำนัลต้องรีบเข้ามาพยุงตัวเอาไว้

            “นายหญิง! เป็นอะไรไปเจ้าคะ” นางกำนัลถามอย่างร้อนใจ เหม่ยลี่ยกมือที่สั่นเทาห้ามมิให้นางกำนัลเสียงดัง

            “ข้าไม่เป็นไร” นางตอบทั้งที่สายตายังคงจับจ้องแผ่นหลังของบุรุษที่นางหลงรักจนมิอาจลืมเลือน

            เมื่อได้พบกันนางถึงรู้ว่าตนคิดถึงคะนึงหาอีกฝ่ายมากเพียงใด เพียงแต่นางไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นผู้หญิงของคนที่นางรักอีกแล้ว เพราะนางได้กลายเป็นผู้หญิงของฝ่าบาทไปแล้ว! มือขาวเนียนกำเป็นหมัดแน่นจนเล็บจิกลงไปในฝ่ามือ

            ไม่สิ! นางยังมีโอกาส ขอเพียงนางทำให้หย่งเซิงหันมารักนางได้เท่านั้นก็พอแล้ว เพราะอีกไม่นานจะไม่มีฮ่องเต้เหวินเจิ้งอีกต่อไป!

            เหม่ยลี่บิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มน่ากลัว สวรรค์ได้ต่อวาสนาให้นางกับหย่งเซิงแล้ว และนางจะคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ไม่ยอมปล่อยเชียวล่ะ



--------------------------------

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามนะคะ

ในที่สุดตอนนี้ก็มีนางรอง(?) โผล่ออกมาแล้วว
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 30-03-2017 11:53:47
มันดูลึกลับ ซ่อนเงื่อนไว้เยอะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: tonnum18 ที่ 30-03-2017 16:38:29
อ่านครั้งเดียวทุกตอนจนหมด อ่านมาแล้วสงสารฮ่องเต้จริงๆ
เป็นเราก็คงเบื่อหน่ายอยากไปให้พ้นๆ ซะ  เมื่อไม่มีใครจริงใจ
ด้วยสักคน
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: แพท ที่ 01-04-2017 07:03:29
รออยู่น่ะค่ะ อัพบ่อยๆน่ะค่ะะะะะ  :katai4: :hao7: :katai2-1: :ling1: :hao3:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part3] [23/03/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 01-04-2017 15:56:45
 :o8: :o8: :o8: :o8:  น่าสนุกกกก
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 05-04-2017 21:19:07
   
         บทที่ 5 คำสั่ง

            แสงจากโคมไฟส่องให้เห็นใบหน้างดงามของร่างโปร่งบางที่จดจ่ออยู่กับการนั่งอ่านฎีกาเฉกเช่นทุกวัน บางครั้งหย่งเซิงก็นึกสงสัยว่าฎีกาเหล่านั้นมีอะไรน่าสนใจนักบ้างครั้งอีกฝ่ายจึงได้ผุดรอยยิ้มขำขัน บ้างครั้งเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน โดยรวมแล้วทุกครั้งที่เปิดอ่านมุมปากของเหวินเจิ้งจะมีรอยยิ้มประดับอยู่เสมอ แต่แตกต่างกันที่ความรู้สึกที่แสดงออกมาเท่านั้น

            น้อยครั้งมากเท่านั้นจริงๆที่จะมีรอยยิ้มสุขใจ และทุกครั้งที่ได้มองเขารู้สึกว่ามุมปากเขาเหมือนจะบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อยตามไปด้วย

            “หย่งเซิง เจ้าดูจะชอบมองเราจริงๆ” เหวินเจิ้งหันไปสบตากับหย่งเซิงที่ยืนมองมาจากทางหน้าต่าง หย่งเซิงรีบหลุบตาต่ำอย่างเก้อเขิน

            บ้าจริง!เขาเผลอเรอเช่นนี้อีกแล้ว

            ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากร่างโปร่งหย่งเซิงก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจ

            “เข้ามานี่สิ” หย่งเซิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไป

            “มีอะไรให้กระหม่อมรับใช้พ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งมองใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงก่อนจะเลือนสายตาไปยังใบหูแดงก่ำ ในใจก็พลันรู้สึกสุขใจอย่างประหลาด

            เจ้าคนผู้นี้ช่างมีใบหูที่น่ารักนัก!

            “นั่งสิ” หย่งเซิงเงยหน้าขึ้นมองเหวินเจิ้งอย่างแปลกใจ เห็นอีกฝ่ายผายมือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม “ถ้าเจ้านั่งตรงนี้จะได้เห็นหน้าเราชัดหน่อย”

           น้ำเสียงหยอกเย้าของเหวินเจิ้งทำให้หย่งเซิงหน้าแดงด้วยความโกรธ

           “มิเป็นไรพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงตอบปฏิเสธเสียงแข็ง

           “แต่เราชอบให้เจ้ามองนี่นา” ยิ่งเหวินเจิ้งเอียงคออย่างน่ารัก หย่งเซิงก็ยิ่งจนด้วยคำพูด จำใจนั่งลงฝั่งตรงข้ามของอีกฝ่าย

           สวี่กงกงที่ยืนรอรับใช้เหวินเจิ้งอยู่นอกห้องอดจะเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจมิได้ ปกติยามฝ่าบาทอ่านฎีกามักไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้แท้ๆ สวี่กงกงมองไปรอบๆเห็นว่าราชองครักษ์คนอื่นต่างก็ทิ้งระยะห่างจากห้องทรงพระอักษรไปไกล มีเพียงเขาและหย่งเซิงเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ใกล้

            ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงมีเขาเพียงคนเดียว..

            “..ฝ่าบาท” หลังจากนั่งมองเหวินเจิ้งอยู่นาน หย่งเซิงก็ตัดสินใจถามเรื่องที่ค้างคาใจ

            “ว่ามา” เหวินเจิ้งตอบกลับทั้งที่ตายังคงไล่อ่านฎีกา

            “เหตุใดพระองค์จึงไม่ปลิดชีพตนเองเสียเล่าพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งชะงักเล็กน้อยก่อนจะเลิกคิ้วถามอีกฝ่ายกลับ

            “เจ้าอยากรู้จริงหรือ”
 
            “พ่ะย่ะค่ะ”

            “เพราะเรากลัวเจ็บ หากต้องแทงดาบเข้ามาในอกตัวเองกว่าจะตายก็ต้องชะงักไปหลายครั้งเพราะความเจ็บปวดฟังดูทรมานเกินไป หากปาดคอไม่ลึกพอก็เจ็บเช่นกัน จมน้ำตาย..แค่กลั้นหายใจข้าก็ทรมานแล้ว ไม่นับศพที่ดูไม่น่าพิศสมัยอีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกัดลิ้นมันต้องเจ็บมากแน่ๆ โดยสรุปแล้วคือเราขี้ขลาดนั้นเอง” เหวินเจิ้งอธิบายพร้อมรอยยิ้มละไม หย่งเซิงแปลกใจเล็กน้อย ที่แท้แล้วเพราะอีกฝ่ายกลัวเจ็บหรือ

            “แล้วโดนผู้อื่นสังหารจะไม่เจ็บหรือพ่ะย่ะค่ะ” เหวินเจิ้งได้ยินอีกฝ่ายถามเช่นนั้นก็ผุดรอยยิ้มภูมิใจ

            “เช่นนั้นเราจึงเลือกเฉพาะคนที่มีความแค้นกับเราอย่างไรเล่า ผู้ที่มีความแค้นมักทุกโทสะครอบงำทำให้เวลาสังหารจะยิ่งเด็ดเดี่ยวไม่ลังเล” เหวินเจิ้งเงยหน้าสบตาหย่งเซิงก่อนจะกล่าวต่อ “แต่เจ้าเป็นข้อยกเว้น เพราะเจ้าเป็นวรยุทธ์ เราคิดว่าเราคงไม่ทรมานมากนัก”

            หย่งเซิงฟังแล้วรู้สึกขัดใจนัก

            “เช่นนั้นกระหม่อมจะทำให้เจ็บสุดๆ จนฝ่าบาทไม่อยากตายอีกเลยตลอดชีวิต” เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจอยู่นาน ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

            “เจ้ากำลังทำให้เราไม่อยากตายหรือ” เหวินเจิ้งจงใจใส่น้ำเสียงหยอกเย้าหวังเห็นอีกฝ่ายเก้อเขินจนทำตัวไม่ถูก แต่สิ่งที่ตอบกลับมากลายเป็นสายตาลึกซึ้งยากจะคาดเดาจนเหวินเจิ้งมึนงง

            “แล้วได้ผลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

            เหวิ้งเจิ้งจ้องมองสายตาลึกซึ้งของอีกฝ่ายอยู่นาน ภาพความทรงจำที่แสนทรมานและสิ้นหวังประดังประดังเข้ามาจนหัวใจปวดหนึบ

            “..ข้าเหนื่อยกับชีวิตในชาตินี้เสียแล้ว” ไม่รู้อะไรดลใจให้เหวินเจิ้งกลับไปใช้สรรพนามแทนตัวว่า ‘ข้า’ กับหย่งเซิง เพราะเขาเป็นฮ่องเต้ไม่อาจพูดจาทัดเทียมกับข้าราชบริพารได้ แต่บางที.. เขาก็เหนื่อยล้าจนอยากกลับไปเป็นเพียงองค์ชายสี่ของราชวงศ์ แต่ในวังหลวงแห่งนี้ไม่มีพื้นที่สำหรับองค์ชายสี่อีกต่อไปแล้ว มีเพียงฮ่องเต้เหวินเจิ้งเท่านั้น

           หย่งเซิงมองนัยน์ตาที่สลับซับซ้อนของเหวินเจิ้งก็รู้สึกสงสารจับใจ

           “เช่นนั้นช่วงชีวิตที่เหลือของท่าน ก็หันมาพึ่งพาข้าเถิด” เหวินเจิ้งมองใบหน้าของหย่งเซิง การได้ยินใครบ้างคนพูดคุยกับเขาอย่างทัดเทียมให้ความรู้สึกสนิทสนมเช่นนี้เอง เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีเนินนานนับตั้งแต่ก้าวขึ้นมานั่งบนบัลลังก์มังกรแห่งนี้ เหวิงเจิ้งมองลึกเขาไปในดวงตาดำสนิทของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล ดวงตาคู่นั้นฉายแววสงสารเวทนาและรักใคร่เอ็นดู..

           รักใคร่เอ็นดู..?

           รักใคร่เอ็นดู!!

           เหวินเจิ้งเบิกตากว้างมองใบหน้าหย่งเซิงอีกครั้งและอีกครั้ง มันก็ยังคงเป็นสายตาเช่นเดิม ทั้งที่ใบหน้าหย่งเซิงเรียบเฉยเหมือนปกติแท้ๆ แต่เหตุใดสายตาอีกฝ่ายจึงได้หวานซึ้งนัก

           หัวใจที่เคยอ่อนล้าเริ่มเต้นแรงเสียจนในหูอื้ออึงตาลาย ใบหน้างดงามร้อนซู่ รู้สึกร่างกายฟูฟองจนแทบระเบิดออก

           “ค.. ใครจะไปพึ่งพาเจ้ากัน” เสียงที่ตอบออกไปสั่นพร่าอย่าไงไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเป็นฮ่องเต้นะ เรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานก็เคยผ่านมาหมดแล้วแท้ๆ เหตุใดจึงควบคุมตนเองไม่ได้เช่นนี้

           หย่งเซิงเห็นใบหน้าเหวินเจิ้งแดงก่ำน้ำเสียงสั่นพร่าก็รู้สึกสุขใจอย่างประหลาด จ้องมองใบหน้าร้อนรนนั่นอย่างเพลิดเพลิน

           “บังอาจ! จ้องหน้าเราทำไม ออกไปได้แล้ว” ยิ่งเห็นหย่งเซิงจ้องตนก็ยิ่งรู้สึกขัดเขิน

           “ฝ่าบาทชอบให้กระหม่อมมองมิใช่หรือ” หย่งเซิงเอ่ยตอบหน้าตาย เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกจนด้วยคำพูด เป็นเขาที่ขุดหลุมดักตัวเองแท้ๆ

           เหวินเจิ้งกระแอมไอเล็กน้อยแก้เก้อก่อนจะยกฎีกาขึ้นมาอ่านต่อ เมื่อยังรู้สึกถึงสายตาของหย่งเซิงก็ยกฎีกาสูงขึ้นมาอีกจนบดบังใบหน้าจากอีกฝ่าย พยายามตั้งสมาธิการฎีกาต่อแม้ว่าจะยากเย็นเต็มที

           ฝ่ายหย่งเซิงที่เห็นท่าทางเก้อเขินของอีกฝ่ายก็รู้สึกแปลกใจ เหตุใดฮ่องเต้เสียสติผู้นี้จึงได้มีท่าทีน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้หนอ

            อ่า.. มุมปากเขากำลังยกยิ้มอีกแล้ว

 

            “หย่งเซิง เจ้าเดินใกล้เรามากไปหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินไปยังห้องทรงพระอักษรหลังออกว่าราชการเสร็จ หลังจากเรื่องราวน่าประหลาดใจในห้องทรงพระอักษรวันนั้น หย่งเซิงก็ดูจะใกล้ชิดเขามากเป็นพิเศษ อย่างเช่นตอนนี้

            โดยปกติแล้วราชองครักษ์มักเดินตามหลังท้ายขบวนเสด็จ แต่หย่งเซิงกลับเดินขึ้นมาตีเสมอสวี่กงกงที่อยู่ด้านหลังเขา สวี่กงกงที่เคยเคร่งครัดกฎระเบียบเองก็ดูจะผ่อนปรนให้หย่งเซิงไม่น้อย

            “กระหม่อมเห็นว่าฝ่าบาทชอบให้กระหม่อมมองพระพักตร์ จึงคิดว่าอยู่ใกล้ๆ คงทำให้พระองค์พอใจไม่น้อย” หย่งเซิงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย เสียงไม่สะดุด คิ้วไม่กระตุกเลยแม้แต่น้อย

            เจ้าคนผู้นี้เอ่ยเรื่องหน้าอายได้หน้าตายนัก ในเมื่อหย่งเซิงไม่อายแล้วเหตุใดเขาต้องอายด้วย

            “เช่นนั้นก็อย่าได้ละสายตาจากเราเลยเชียว” ไม่รู้ทำไมพอคำพูดนี้หลุดออกจากปากหัวใจเหวินเจิ้งก็เต้นระรัว

ไม่เขาต้องไม่แพ้!

            “พ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มมั่นคงของหย่งเซิงทำให้เหวินเจิ้งรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ใบหน้างดงามแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยในขณะที่พยายามตีหน้ายิ้มละไมอย่างเคย

            “..ดี”

            หย่งเซิงกระตุกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม โชคดีที่เหวินเจิ้งค่อยข้างเป็นคนแปลกประหลาด ที่ผ่านมาพวกข้ารับใช้ต่างเดาความคิดของพระองค์ไม่ถูก ดังนั้นเขาจะใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือ ใกล้ชิดพระองค์ให้เต็มที่

            เหล่าผู้ติดตามข้างหลังต่างลอบมองคนทั้งสองอย่างประหลาดใจ แต่ก็มิได้เก็บมาใส่ใจ ฝ่าบาทนั้นความคิดความอ่านไม่เหมือนผู้อื่น ขอเพียงยังคงทำตัวเฉกเช่นปกติพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องรายงานเรื่องนี้ให้นาย ‘ที่แท้จริง’ ทราบ

            เหวินเจิ้งเดินต่อไปสักพักก็หยุดชะงักทำเอาเหล่านางกำนัลและราชองครักษ์ข้างหลังที่หยุดเดินไม่ทันชนต่อกันเป็นแถวๆ โชคดีที่หย่งเซิงและสวี่กงกงชะงักเท้าทันมิเช่นนั้นคงชนฮ่องเต้จนล้มครืนกันไปหมด เหวินเจิ้งปรายตามองขบวนเสด็จที่เริ่มยุ่งเหยิงเล็กน้อยก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินหนี เมื่อผู้ติดตามเห็นเช่นนั้นก็รีบสาวเท้าเดินตามแต่เมื่อเข้าใกล้ ฮ่องเต้ก็ชะงักเท้าอีกครั้ง จนขบวนเสด็จที่มักเดินกันอย่างเรียบร้อยเริ่มแตกฮือ

            เหวินเจิ้งหัวเราะในลำคอเบาๆและทำอย่างนี้อีกสองสามรอบ เมื่อเริ่มเห็นสีหน้าไม่พอใจของเหล่าข้าราชบริพารก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

            เหล่านางกำนัลและราชองครักษ์ได้และกัดฟันแน่นด้วยความขุ่นเคือง

            เจ้าฮ่องเต้เสียสติ!

            หย่งเซิงมองดูการกระทำเด็กๆของเหวินเจิ้งอย่างอ่อนใจ นี้คงเป็นวิธีระบายความเครียดและระบายความแค้นของอีกฝ่ายกระมัง เหวินเจิ้งคงรู้ถึงความคิดของสายสืบพวกนี้ดี จึงจงใจกลั่นแกล้งให้คนพวกนี้โกรธ

            เขาสังเกตว่าฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้มักกลั่นแกล้งผู้อื่นอย่างพิศดาลนัก บางครั้งจงใจทำกระดาษที่หมึกยังไม่แห้งดีปลิวใส่นางกำนัล บางครั้งจงใจเดินชนขันทีให้ฎีกามากมายล่วงลงพื้น บางครั้งชักกระบี่ของราชองครักษ์ขึ้นมาทดสอบความคมด้วยการตัดเสื้อของอีกฝ่าย และบางครั้งถึงขนาดแกล้งทำท่าจะตกสระบัวเพื่อล่อให้ขันทีกับราชองครักษ์กระโดดลงไปช่วย ส่วนตัวเองก็ยืนยิ้มละไมมองดูความวุ่นวายทั้งหมดอย่างสนุกสนาน

            และทุกครั้งพระองค์ก็จงใจให้ทุกคนรู้เสียด้วยว่ากำลังถูกกลั่นแกล้ง หากทั้งหมดที่เหวินเจิ้งทำไปเป็นเพียงการเอาคืนที่ถูกทรยศหักหลังก็นับว่าแสบพอดู ทุกการกระทำของเหล่าขุนนางเหวินเจิ้งล้วนดูออกทั้งสิ้น เขาอดที่จะคิดไม่ได้ว่า หากเหวินเจิ้งคิดอยากจะนั่งบัลลังก์ต่อไปจริงๆก็คงไม่มีผู้ใดสามารถฉุดฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ลงจากบัลลังก์ได้

            เพราะข้างกายฮ่องเต้เสียสติจะมีราชองครักษ์โง่งมเช่นเขาอยู่ด้วย..

-----------------------------

บทนี้แอบหวาน(?) เล็กน้อย

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 06-04-2017 06:49:01
ตอนเป็นแค่องค์ชายเหวินเจิ้งต้องนิสัยน่ารักมากแน่ๆ
เป็นฮ่องเต้ที่น่าสงสารชะมัด

เหวินเจิ้งท่าทางท่านจะมีเหม่ยลี่เป็นคนที่อยากผลิดชีพท่านอีกคนแล้วนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 06-04-2017 07:57:15
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 06-04-2017 08:06:15
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 06-04-2017 09:48:55
สนุกมากๆเลยมาต่อเรื่อยๆนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 06-04-2017 13:29:49
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 06-04-2017 14:12:16
เหล่ยลี่แกช่างบังอาจนัก!!!

ปล.ไอพวกขุนนางข้าราชบริพารว่าฮ่องเต้เสียสติ แต่พวกแกที่จ้องจะฆ่าเค้านี่ไม่ชั่วช้ากว่าเหรอ บ้านเมืองก็ไม่ได้ทำให้ดีขึ้น เกลียดจริงๆไอพวกคนชั่ว!!  :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 06-04-2017 14:31:30
ชอบบบบบบบบบบ ฮ่องเต้โคตรน่ารักเลย นิสัยแท้จริงขี้แกล้งมาก
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: lilowria ที่ 06-04-2017 19:18:33
งือออออ เราชอบแนวนี่เลยยย จีนโบราณบรรยายดีๆ แบบนี้ ขอบคุณจ้า ทีมฮ่องเต้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 06-04-2017 22:08:41
ขอให้จบแบบรักกัน แทงดาบทะลุคู่ก็ได้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 09-04-2017 00:51:09
ดูเป็นคนขี้แกล้ง 55555
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 09-04-2017 10:16:34
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.1]
เริ่มหัวข้อโดย: i_Tipz ที่ 10-04-2017 19:02:07
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกอะ คือดีมาก  ติดตามตอนต่อไปค่ะ  o13 o13
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [11/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 11-04-2017 13:25:28
บทที่ 6 ฮองเฮา     
     



            “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าพระองค์มิได้ไปเยือนตำหนักฮองเฮานานแล้ว..”

            “ใต้เท้าจาง ฮองเฮาโกรธเราเพราะหลานชายไม่รู้ความของท่านแท้ๆ” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางจิบชาเข้าไปหนึ่งคำ

            สายลมพัดพากลีบดอกไม้มาตกลงต้องหลังมือบาง กลางวันนี้อากาศดีเขาจึงตั้งใจว่าจะมานั่งอ่านฎีกาเงียบๆในศาลา แต่ไม่นึกเลยว่าจะถูกรบกวนด้วยเรื่องไร้สาระเช่นนี้ เหวินเจิ้งหยิบกลีบดอกไม้ขึ้นมาพินิจพิจารณาไม่อยากเสวนากับตาเฒ่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

            ใต้เท้าจางเป็นบิดาของฮองเฮาจางหลิน เมื่อหลายเดือนก่อนเขาได้สั่งตัดลิ้นเจ้าเด็กไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซึ่งเป็นหลานที่ฮองเฮาโปรดปราน หลังจากนั้นนางก็โกรธหนัก เขาเองก็ไม่มีอารมณ์จะง้องอนจึงไม่ได้พบหน้านางนานแล้ว

            “พระนางเพียงอยากให้ฝ่าบาทเอาใจพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าจางยังคงไม่ละความพยายาม อีกไม่นานฮ่องเต้เหวินเจิ้งก็ต้องถูกสังหารแล้ว ระหว่างนั้นหากบุตรสาวของเขาให้กำเนิดบุตรของโอรสสวรรค์ล่ะก็ ฐานอำนาจของเขาก็จะมั่นคงมากขึ้น

             “เรามีหน้าที่ต้องไปเอาใจใครตั้งแต่เมื่อไรกัน” เหวินเจิ้งตอบทั้งที่สายตายังคงจดจ่อกับกลีบดอกไม้สีชมพู

            “ปะ.. เป็นกระหม่อมพูดผิดไปเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงเป็นห่วง.. เกี่ยวกับสายเลือดมังกร” ใต้เท้าจางเริ่มพูดจาอย่างระมัดระวัง ฮ่องเต้พระองค์นี้ช่างเอาใจยากนัก บุตรสาวของเขาได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง เหตุใดจึงไม่อาจรั้งพระทัยของฮ่องเต้ได้

            ใต้เท้าจางอดจะนึกถึงอดีตพระชายาของเหวินเจิ้งมิได้ กู่ฮวา ได้ชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน หรือเป็นเพราะเหตุนี้เองเมื่อได้พบจางหลินบุตรสาวของเขาพระองค์จึงมิได้หลงใหลในความงามของนางเฉกเช่นบุรุษอื่น

            แม้แต่หญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดินอย่างกู่ฮวาพระองค์ยังตัดใจสังหารได้ลง คงไม่มีอะไรในโลกที่พระองค์ไม่อาจตัดใจได้อีกแล้วกระมัง แต่ว่า.. เพื่อฐานอำนาจที่มั่นคงแม้ว่าจะต้องขายบุตรสาวให้ฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้เขาก็ยอม!

            “เป็นเราเองที่ไม่มีความสามารถพอ หากเป็นน้องห้าคงมีเชื้อสายมังกรเดินยั้วเยี้ยเต็มวังไปหมด จริงไหม” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะ ใต้เท้าจางได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มมีเหงื่อผุดซึมที่หน้าผาก

            หรือว่าบางทีฝ่าบาทจะทรงรู้.. ว่าเขาเป็นฐานกำลังให้องค์ชายห้าสมัยที่พระองค์ยังมีชีวิตอยู่ ไม่สิ! เขาจัดการปิดปากทุกคนที่รู้เรื่องไปจนหมดแล้ว

            “มะ.. มิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทกระหม่อมมิกล้ารบกวนเวลาพักผ่อนของฝ่าบาทแล้ว กระหม่อมขอตัว” เห็นใต้เท้าจางเสียงสั่นด้วยความหวาดระแวงเหวินเจิ้งก็ยกยิ้มก่อนจะโบกมือเป็นเชิงอนุญาตให้อีกฝ่ายไป

            เมื่อคล้อยหลังใต้เท้าจาง เหวินเจิ้งก็ไล่มองเหล่านางกำนัลที่รอรับใช้อยู่ทีละคนทีละคน

            “ใต้เท้าจางผู้นี้ เป็นผู้สนับสนุนน้องห้าเพียงคนเดียวที่เหลือรอดสินะ” เหวินเจิ้งเปรยออกมาเบาๆ ขณะที่สายตาก็จับสังเกตไปยังเหล่านางกำนัลที่ยืนก้มหน้าอย่างมีมารยาทอยู่รอบด้าน บางคนร่างกายขึงเกร็งขึ้นเล็กน้อย

            มุมปากเหวินเจิ้งบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มมากขึ้น

            ใต้เท้าจาง.. หากจะแค้น ก็จงแค้นบุตรสาวของท่านเถิด

            เหวินเจิ้งขยี้กลีบดอกไม้ในมือจนป่นปี้ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วทิ้งเศษซากของกลีบดอกไม้ลงในถ้วยน้ำชา

            “ไปเถิด ไปตำหนักฮองเฮากัน” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็ก้าวเดินออกไปจากศาลาทันทีโดยมีหย่งเซิงและสวี่กงกงตามประกบติดไปด้วย

           

            “ท่านพ่อไปขอพบฮ่องเต้หรือ!” หญิงงามนางหนึ่งตะโกนลั่นด้วยความตกใจ หญิงงามผู้นี้ใส่ผ้าแพรอย่างดีสีแดงสด ที่ผมปักปิ่นหยกห้อยประโยงประยาดูแสบตา ใบหน้างดงามอย่างหาตัวจับได้ยากในแผ่นดิน

            ฮองเฮาจางหลิน..

            “เพคะ และตอนนี้พระองค์กำลังเสด็จมาที่นี้เพคะ” นางกำนัลเอ่ยเตือนด้วยความหวาดกลัว ฮ่องเต้ไม่ได้มาที่ตำหนักของนายหญิงนานแล้ว เกรงว่าที่มาคราวนี้จะมีจุดประสงค์แอบแฝง

            ฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็เค้นหัวเราะอย่างโกรธแค้น

            “ฮ่องเต้ ทรงไม่คิดปล่อยข้าไปตั้งแต่แรก พระองค์จงใจให้ข้าต้องถูกฝังทั้งเป็น!”

            “นายหญิงได้โปรดระงับพระโทสะด้วยเพคะ หากใครเข้ามาได้ยินเข้า..” นางกำนัลผวาด้วยความกลัว ฮ่องเต้กับฮองเฮามีความแค้นที่ลึกล้ำต่อกันนัก

            “ไม่ต้องกลัวไป ต่อให้ฮ่องเต้ได้ยิน พระองค์ก็ไม่มีวันลงโทษข้าง่ายๆเช่นนั้นหรอก พระองค์จะต้องหาวิธีที่ทำให้ข้าทรมานมากที่สุดเสียก่อน!” ฮองเฮาเค้นเสียงรอดรายฟัน

            “ฮองเฮาของเราช่างมองโลกในแง่ร้ายนัก” สิ้นเสียงประตูก็ถูกเปิดออกอย่างแรงตามมาด้วยร่างสูงโปร่งของเหวินเจิ้งที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังอย่างสบายใจ

            นางกำนัลเห็นเช่นนั้นก็ตัวสั่นระริกรีบคุกเข่าลงด้วยความหวาดกลัว

            ฮองเฮาเค้นยิ้มไม่แม้แต่จะลุกขึ้นถวายบังคม เหวินเจิ้งเองก็มิได้เก็บความถือดีนั้นมาใส่ใจ

            “ฝ่าบาท ไม่ได้พบกันนานนะเพคะ”

            “เป็นเพราะเจ้าไม่ยอมหายโกรธเราเสียที” เหวิงเจิ้งเอ่ยพร้อมยิ้มละไม ไม่สนใจท่าทางขับเขี้ยวเคี้ยวฟันของอีกฝ่าย

            “หากฝ่าบาทมิอนุญาตหม่อมฉันจะกล้าโกรธได้อย่างไรเพคะ” ฮองเฮากำมือเป็นหมัดจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ

            เหวินเจิ้งเดินเข้าไปหาฮองเฮาก่อนจะยื่นมือมาให้อีกฝ่าย

            “ออกไปคุยกันข้างนอกเถิด ในนี้อุดอู้เหม็นสาบนัก” ฮองเฮาจ้องมองพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของฮ่องเต้อย่างเจ็บปวด ก่อนจะเอื้อมมือที่สั่นเทาไปวางบนฝ่ามือของอีกฝ่าย

            เหวินเจิ้งฉุดฮองเฮาให้ลุกขึ้นอย่างแรกจนอีกฝ่ายเซถลาเข้ามาในอก

            “ดูสิ ฝ่ามือเจ้าเป็นแผลอีกแล้ว” เหวินเจิ้งแสร้งทำสีหน้าเวทนาสงสารก่อนจะมองดูแผลบนฝ่ามือของฮองเฮาอย่างใส่ใจ

            จงทุกข์ทรมานให้มากกว่านี้อีกเถิด..

            “ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง” นางหวาดกลัวเหลือเกิน สายตาเช่นนี้ของพระองค์ทำให้นางหวาดหวั่น

            เหวินเจิ้งมองข้ามแววตาหวาดกลัวของอีกฝ่ายแล้วประคองฮองเฮาออกไปยังสวนด้านนอกด้วยท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน 

            “พวกเจ้าไม่ต้องตามมาหรอก..” เหวินเจิ้งหันมาเอ่ยห้ามเหล่านางกำนัล แต่เมื่อสบสายตากับหย่งเซิงก็มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “แค่หย่งเซิงคนเดียวก็พอ หากเกิดเรื่องไม่คาดฝันจะแย่เอา จริงไหมฮองเฮา”

            “เพคะ!” ฮองเฮาเอ่ยตอบอย่างไม่พอใจ เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้าพอใจก่อนจะปรายตามองหย่งเซิงแวบหนึ่ง

            เหตุใดสายตาของหย่งเซิงถึงได้ทิ่มแทงเสียจนเขารู้สึกเจ็บหลังไปหมดเลยหนอ

            “ฮองเฮา ดูเหมือนใต้เท้าจางอยากให้เรามอบพระโอรสให้เจ้า” เหวินเจิ้งเอ่ยอย่างเนิบนาบขณะประคองฮองเฮาเดินไปตามสวนดอกไม้ ฮองเฮาได้ยินเช่นนั้นก็ตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง

            หย่งเซิงที่อยู่ข้างหลังจ้องมองแผ่นหลังเหวินเจิ้งและฮองเฮาไม่วางตา

            “..ฝ่าบาท ได้โปรด..” ฮองเฮาน้ำเสียงสั่นพร่า

            “ฮองเฮา บนโลกนี้ไม่มีใครรู้ใจเจ้าเท่าเราอีกแล้ว” เหวินเจิ้งมองใบหน้าหวาดกลัวของอีกฝ่ายอย่างสุขใจ

            “…”

            “เจ้าเป็นหญิงโลภ เย่อหยิ่ง โง่เขลา ทั้งยังอ่อนแอ” มือเรียวลูบไล้ใบหน้างดงามของฮองเฮาอย่างทะนุถนอมขัดแย้งกับคำพูดที่เอ่ยออกมาอย่างสิ้นเชิง

            “..หม่อมฉันผิดไปแล้..” ฮองเฮาน้ำตาไหลอาบหน้าอ้อนวอนเหวินเจิ้งอย่างน่าสงสาร แต่ยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกนิ้วเรียวของเหวินเจิ้งมาหยุดเสียก่อน

            “ชู่ว.. เดี๋ยวผู้อื่นจะครหาว่าเราตำหนิเจ้า เจ้างดงามถึงเพียงนี้ เราจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร” เหวินเจิ้งเช็ดน้ำตาบนใบหน้างดงามอย่างอ่อนโยน

            ฮองเฮามองดวงตาดำขลับที่ดำมืดของอีกฝ่าย ความหวาดกลัวเข้ากอบกุมหัวใจ

            “ใยท่านจึงโหดร้ายนัก.. ทุกอย่างข้าล้วนทำเพื่อท่าน” ฮองเฮาเอ่ยเสียงเบาราวกับกระซิบ เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มกว้างก่อนจะยื่นหน้าเข้าใกล้หูอีกฝ่าย กระซิบด้วยเสียงที่อัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้น

            “ทุกอย่าง.. เจ้าล้วนทำเพื่อตัวเอง ล่อลวงบ่อนทำลาย.. ความสุขทั้งหมดของข้า” ฮองเฮาสั่นสะท้านไปทั้งกายจนเข่าอ่อน เหวินเจิ้งรวบตัวอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมอกรัดรึงอีกฝ่ายจนเจ็บปวดก่อนจะค่อยๆปล่อยอีกฝ่ายทรุดลงบนพื้นอย่างไร้เยื่อใย

            “ฮองเฮา!” เหล่านางกำนัลที่รอรับใช้อยู่ไกลๆต่างตกใจจนรีบปรี่เข้ามาประคองฮองเฮา

            ฮองเฮาเงยหน้าขึ้นมองเหวินเจิ้งด้วยแววตาเจ็บปวดปนแค้นเคือง

            “ฝ่าบาท! หากไม่มีข้า พระองค์คงไม่มีวันนี้”

            “ถูกของเจ้า ข้าคงไม่มีวันนี้จริงๆ” เหวินเจิ้งยังคงยิ้มทั้งที่ดวงตาดำมืด ฮองเฮารู้ความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายดีจึงพูดไม่ออกได้แต่มองฮ่องเต้อย่างแค้นเคือง “พาฮองเฮากลับไปพักผ่อนเถิด”

            เหวินเจิ้งกล่าวจบก็สะบัดชายเสื้อจากไปทันที ทิ้งให้ฮองเฮาจ้องมองแผ่นหลังของบุรุษที่นางทั้งรักทั้งแค้นจนหมดหัวใจคนนั้น!

            “สวี่กงกง” หย่งเซิงเอ่ยเรียกสวี่กงกงเบาๆขณะกำลังเดินไปยังห้องทรงพระอักษร

            “พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบเบาๆเช่นกัน เพื่อไม่ให้เหล่ากำนัลได้ยินสิ่งที่พวกเขาจะพูดกัน สวี่กงกงแอบเหลือบไปมองหย่งเซิงที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทต้องการจะให้หย่งเซิงได้ยินด้วยหรือไม่

            “เจ้าเอาป้ายอนุญาตออกจากวังไปให้ฮองเฮาเสีย บอกนางว่ามีเวลาถึงพระอาทิตย์ตกดินเท่านั้น.. บอกนางกำนัลของนางด้วย ให้ทำทุกวิธีทางเพื่อลากนางกลับมาให้จงได้” หย่งเซิงได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย พระองค์ต้องการทำอะไรกันแน่

            “..พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงรับคำก่อนจะเดินแยกออกไป

            “หย่งเซิง”

            “พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้เหวินเจิ้ง

            “เจ้าจะรายงานเรื่องนี้ให้อัครเสนาบดีหย่งหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามทั้งที่ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ หย่งเซิงจ้องมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยตอบ

            “หากฝ่าบาทไม่ต้องการ กระหม่อมจะไม่รายงานพ่ะย่ะค่ะ”

            “…”

            “ฝ่าบาท”

            “หื้ม”

            “หากฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมจะเป็นคนของฝ่าบาท”

            เท้าที่กำลังก้าวเดินของเหวินเจิ้งชะงักลงเล็กน้อย

            “..เจ้า แสดงได้สมบทบาทเกินไปหน่อยแล้ว”

            “หากฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมสามารถแสดงให้สมบทบาทได้มากกว่านี้”

            “…”

            “หากฝ่าบาทต้องการ ต่อให้ปลายทางจะต้องถูกฝังทั้งเป็น.. กระหม่อมก็ยินดี”

            หัวใจของเหวินเจิ้งพลันสั่นสะท้าน

            ยามฮ่องเต้สิ้นพระชนม์เหล่าขันทีและพระสนมนางในจะต้องถูกฝังทั้งเป็นไปพร้อมกับพระศพของฮ่องเต้เพื่อตามไปรับใช้ยังปรโลก

            บุรุษผู้นี้อยากถูกฝังทั้งเป็นไปพร้อมกับศพของเขาหรือ..

            เหวินเจิ้งรู้สึกเหมือนมีก้อนเหนียวหนืดติดอยู่ที่คอ ราชองครักษ์ผู้นี้แปลกนัก แปลกจริงๆ ตัวเขาที่ปฏิเสธอีกฝ่ายไม่ลงก็แปลกเช่นกัน..

            “..เราจะเก็บไว้พิจารณา”

---------------------------------------------

จิตตก : ขอบคุณ นักอ่านทุกคนที่เข้ามาติดตามกันนะคะ  :hao4:

ตอนนี้หัวใจของฮ่องเต้เริ่มหวั่นไหวแล้ว ช่วยเป็นกำลังใจให้หย่งเซิงล่อลวงเฮ่องเต้โง่งมได้สำเร็จด้วยเถิดดด
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: แมวดำ ที่ 11-04-2017 14:16:25
ไม่อยากให้ดราม่าเลยจบแฮปปี้ป่าวอ่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part5] [05/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 18-04-2017 11:18:33
อัดแล้วะงมาเห็นแหละแต่อยากอ่านต่อจนจบนะคนเขียนอย่าทิ้งกันนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 18-04-2017 13:28:03
           
บทที่ 6 ชายบำเรอ

            ท้องพระโรง

            “ทูลฝ่าบาท เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” ใต้เท้ากรมอาญาคุกเข่าอยู่กลางท้องพระโรงท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนาง

            เหวินเจิ้งไล่มองหน้าเหล่าขุนนางทีละคนก่อนจะไปหยุดที่ใต้เท้ากรมอาญา

            “ว่ามา” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม

            “เมื่อคืนนี้ จวนใต้เท้าจางถูกโจรชั่วบุกปล้น ใต้เท้าจางและบ่าวรับใช้ทั้งหมด.. ล้วนถูกฆ่าตายจนหมดสิ้นพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงรายงานของใต้เท้ากรมอาญา ท้องพระโรงก็เต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงทันที

            เหวินเจิ้งนั่งมองความวุ่นวายภายในห้องพระโรงอย่างเงียบๆ มุมปากยังคงประดับรอยยิ้มละไม

            เจ้าขุนนางพวกนี้ช่างแสดงกันได้สมบทบาทเสียจริง!

            “บังอาจ โจรชั่วที่ไหนมันช่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้!” ใต้เท้าคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างมีอารมณ์

            ก็โจรชั่วในท้องพระโรงนี้อย่างไรเล่า เหวินเจิ้งตอบคำถามในใจ

            “โหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน” ใต้เท้าอีกคนทอดถอนหายใจ

            ใช่แล้ว ข้าก็คิดเช่นนั้น

            “พวกเราจะต้องลากพวกโจรชั่วมาลงโทษให้จงได้!” ใต้เท้าอีกคนเอ่ยด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น

            “เช่นนั้นก็อย่ามามั่วพูดกันอยู่เลย มิสู้พวกท่านออกไปจับโจรชั่วมาลงโทษต่อหน้าเรามิดีกว่าหรือ ใครจะรับอาสาดีล่ะ หื้ม..” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นทำลายเสียงอื้ออึงในท้องพระโรงไปจนสิ้น

            ร่างโปร่งแผ่ไอแห่งอำนาจออกมาจนเหล่าขุนนางต้องลอบกลืนน้ำลาย ดวงตาคู่งามทว่าดำมืดกวาดมองขุนนางทั่วท้องพระโรงอย่างจงใจ แรงกดดันมหาศาลถูกกลั่นออกมาจากใบหน้างดงามที่ยังคงประดับรอยยิ้ม

            “จงประกาศออกไปให้รู้โดยทั่วกัน หากจับมาได้ข้าจะถลกหนังของพวกมันทั้งที่ยังเป็นๆ ก่อนจะโรยเกลือทาทับที่บาดแผล ตัดลิ้นเลาะฟันให้พวกมันรู้สึกอยู่มิสู้ตาย จากนั้นค่อยโยนพวกมันให้เผ่ากินคนดีหรือไม่ โทษฐานสังหารท่านพ่อตาของเรา”   

            เหล่าขุนนางสูดหายใจด้วยความหนาวเหน็บ ราวกับฝ่าบาทตั้งใจจะพูดให้พวกเขาฟังมากกว่าข่มขู่พวกโจรชั่ว หรือฝ่าบาทจะรู้อะไรบางอย่าง?

            “ฝ่าบาท เช่นนั้นก็มอบหมายหน้าที่นี้ให้กับกระหม่อมเถิด” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้น หยุดความคิดฟุ้งซ่านของเหล่าขุนนางคนอื่นเสียสิ้น

            เหวินเจิ้งปรายตามองอัครเสนาบดีหย่ง

            เจ้าจิ้งจอกเฒ่า!

            “เราอนุญาต หวังว่าโจรชั่วที่ท่านจับได้มันจะเป็นโจรชั่วจริงๆ”

            อัครเสนาบดีเหยียดยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ

            “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

            เหวินเจิ้งกำมือเป็นหมัดแน่นในขณะที่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม

            เสด็จพ่อ ท่านวางราษฎร์ของพวกเราไว้ในมือของโจรชั่วพวกนี้หรือ..

 

            “ฮองเฮาเป็นเช่นไรบ้าง” เหวินเจิ้งเอ่ยถามขึ้นขณะอยู่ในตำหนักบรรทม

            ตอนนี้ภายในตำหนักบรรทมมีเพียงสวี่กงกงและเหวินเจิ้งเท่านั้น เหล่าข้ารับใช้และราชองครักษ์ไม่มีสิทธิ์เข้ามาในตำหนักแห่งนี้นอกเสียจากฮ่องเต้จะเรียกเท่านั้น ผู้อื่นอาจจะมองว่าสวี่กงกงเป็นเพียงคนเดียวที่ฮ่องเต้ทรงไว้ใจจึงได้มีรับสั่งให้คอยรับใช้พระองค์อย่างใกล้ชิด

            หารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นพระองค์ที่ตั้งใจเตรียมความพร้อมเอาไว้เสมอต่างหาก ประการแรกคือเพื่ออำนวยความสะดวกให้พระองค์ยามที่พระองค์เสด็จออกนอกวัง และประการที่สอง.. เพื่ออำนวยความสะดวกให้เหล่ามือสังหารทั้งหลายลงมือง่ายขึ้น

            “พระนางขังตัวเองอยู่แต่ในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบขณะช่วยเหวินเจิ้งเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นชุดสีดำดูทะมัดมะแมง

            “นางร้องไห้หรือไม่”

            “พ่ะย่ะค่ะ”

            “หนักเท่าเราหรือไม่”

            “..กระหม่อมมิทราบ” มือที่กำลังช่วยจัดเสื้อให้ฮ่องเต้ชะงักลงทันที แววตาฝ้าฟางหม่นหมองลง

            เหวินเจิ้งหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินเช่นนั้นก่อนจะปัดมือเหี่ยวย่นออก ร่างโปร่งเดินไปสอดส่องที่ข้างหน้าต่างเมื่อมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้วจึงพริ้วกายออกจากห้องไป เหลือเพียงสวี่กงกงยืนอยู่เพียงลำพัง

            “ทรงรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ..” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นเบาๆปล่อยให้คำพูดเหล่านี้ถูกสายลมพัดพาจนสลายหายไป

 

            “หย่งเซิง เจ้าตามเรามาอีกแล้วหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นอย่างเบื่อหน่ายพลางหันไปมองข้างกาย หย่งเซิงไม่พูดอะไรเพียงเดินตามเขามาเงียบๆ

            หลังๆมานี้เขารู้สึกแปลกๆทุกครั้งเวลาต้องอยู่กับราชองครักษ์หน้าตายผู้นี้ ทั้งรู้สึกมั่นคงปลอดภัยและรู้สึกหวาดหวั่นไปพร้อมกัน บางครั้งยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง

            วันนี้เขาคิดว่าตนเองสามารถหลบหลีกออกจากวังได้โดยไม่มีใครรู้แท้ๆ ที่ไหนได้หย่งเซิงกลับมาดักรอเขาที่ประตูวังฝั่งประจิมเสียอย่างนั้น ราวกับรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะแอบออกจากวังหลวงวันนี้

            “เจ้ารู้ได้อย่างไร” สุดท้ายก็เป็นเขาที่ทนเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวต้องหลุดถามออกมา

            “เพราะกระหม่อมเฝ้าดูพระองค์อยู่เสมอ” หย่งเซิงตอบกลับเรียบๆแต่กลับเรียกเลือดลมให้สูบฉีดบนใบหน้าเหวินเจิ้งได้เป็นอย่างดี

            “เจ้าจะเอาไปรายงานอัครเสนาบดีหย่งกระมัง” เหวินเจิ้งเรียบเคียงถาม ไม่รู้ว่าตนเองต้องการคำตอบแบบไหนของหย่งเซิงกันแน่ ทีแรกเขาอยากให้อีกฝ่ายคอยจับตาดูเขาเพื่อหาเวลาลงมือสังหารตามคำสั่งของอัครเสนาบดีหย่ง จึงได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายมากมายทั้งให้อีกฝ่ายมาค่อยเดินอยู่ใกล้ๆแถมยังให้อีกฝ่ายเขามานั่งด้วยกันในห้องทรงพระอักษรอีกต่างหาก

            แต่ตอนนี้ทุกอย่างดูกลับตาลปัตรไปหมด แม้แต่เขายังไม่เข้าใจตัวเองเลย

            “ต่อให้ฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมก็ไม่รายงานหรอกพ่ะย่ะค่ะ” อีกแล้ว คำตอบเรียบๆของหย่งเซิงมักส่งผลต่อความรู้สึกของเขามากมายเหลือเกิน จากที่เมื่อกี้รู้สึกเหมือนหัวใจห้อยต่องแต่งอยู่บนขอบหน้าผา มาตอนนี้กลับรู้สึกอบอุ่นอ่อนหวาน

            หากเป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดีแน่..

            ร่างโปร่งหยุดเดินแล้วหันมาเผชิญหน้ากับหย่งเซิงโดยตรงก่อนจะยกยิ้มละไมอย่างเคย

            “หย่งเซิง เราไม่ต้องการคนโลเลเหลาะแหละ เจ้าควรเลือกข้างเสีย"

            “ข้ายืนข้างท่าน.. เหวินเจิ้ง” รอยยิ้มของเหวินเจิ้งชะงักค้างทันที มิใช่เพราะอีกฝ่ายเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเล แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายเอ่ยชื่อเขาตรงๆ

            นับตั้งแต่ขึ้นครองราชย์ก็ไม่เคยมีใครพูดจาเช่นนี้กับเขาอีก แม้กระทั่งเอ่ยชื่อก็ไม่เคย ในหัวใจรู้สึกแปรปรวนอย่างบอกไม่ถูกทั้งหวานทั้งขมฝาด

            หย่งเซิงจ้องมองแววตาที่สลับซับซ้อนของอีกฝ่ายโดยไม่ยอมให้รายระเอียดเล็กน้อยหลุดรอดจากสายตาไปได้

            “เจ้าอยากโดนตัดหัวหรือไร” น้ำเสียงที่เหวินเจิ้งเอ่ยออกไปสั่นพร่าจนน่าตกใจ

            “หากข้าโดนตัดหัว แล้วใครจะคอยเฝ้ามองท่านเล่า” หย่งเซิงบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม เหวินเจิ้งมองร่างสูงใหญ่อย่างตกตะลึง นี้เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายยิ้ม หัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้น ยามอีกฝ่ายยิ้มดวงตาจะยักโค้งเช่นนี้เอง มือเรียวยกขึ้นไปแตะริมฝีปากร่างสูงโดยไม่รู้ตัว

            หย่งเซิงชะงักเล็กน้อยแต่ก็ยอมให้อีกฝ่ายจับแต่โดยดี นิ้วเรียวลูบไล้ริมฝีปากเขาอย่างแผ่วเบา เขาพึ่งรู้วันนี้เองว่าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้มีนิ้วมือที่เย็นเฉียบเช่นนี้ หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ยิ่งเหวินเจิ้งลูบไล้ริมฝีปากเขามากเท่าไร เขาก็ยิ่งทรมาน ดวงตาดำสนิทจับจ้องไปยังริมฝีปากคู่งามของเหวินเจิ้ง เขาเองก็อยากสัมผัสอีกฝ่ายเช่นกัน

            เหวินเจิ้งยกยิ้มน้อยๆขณะไล้มือไปตามรูปปากของหย่งเซิง ความรู้สึกอบอุ่นจากริมฝีปากของอีกฝ่ายช่วยคลายความหนาวเย็นบนนิ้วมือของเขา

            “เราชอบริมฝีปากอันอบอุ่นของเจ้า..”

            ร่างกายหย่งเซิงสั่นสะท้านก่อนจะจับมือเรียวของเหวินเจิ้งออกแล้วก้มลงไปประทับจุมพิตลงบนริมฝีปากอวบอิ่ม

            เหวินเจิ้งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่เมื่อสัมผัสความอุ่นร้อนจากริมฝีปากของหย่งเซิง ร่างกายที่ขึงเกร็งก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะค่อยๆเผยอริมฝีปากรับปลายลิ้นร้อนของอีกฝ่ายเข้ามา หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นระรัวตวัดลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากงามอยากหิวกระหาย ริมฝีปากเหยียบเย็นซุกซ่อนความหอมหวานเอาไว้เช่นนี้เอง หย่งเซิงมึนเมาไปกับความหอมหวานอย่างโง่งม

            เหวินเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกรับรู้เพียงกลิ่นอายของหย่งเซิงเท่านั้น เหวินเจิ้งรั้งคอของร่างสูงให้เข้ามาใกล้มากขึ้นอย่างเผลอไผล หัวใจต้องการตักตวงความหิวกระหายที่แสนหวานนี้ ยิ่งสัมผัสก็ยิ่งอบอุ่น ราวกับแสงอาทิตย์สาดส่องลงมายังพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ร่างกายที่เคยเย็นเฉียบของเขากำลังถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นของหย่งเซิง

            เพียงเท่านี้ ไม่พอ..

            หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงรสคาวของเลือดในปาก เหวินเจิ้งกัดเขา.. ลิ้นเล็กของเหวินเจิ้งกำลังไล่เลียบาดแผลบนปลายลิ้นของเขา ร่างสูงใหญ่เริ่มร้อนรุ่มด้วยแรงอารมณ์

            ไม่ได้! เขาจะทำตรงนี้ไม่ได้

            หย่งเซิงดันร่างโปร่งที่กำลังกัดริมฝีปากล่างเขาออก จ้องมองใบหน้างดงามที่บัดนี้ริมฝีปากเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของเขา ดูน่ารักน่าเอ็นดู หย่งเซิงกำฟันแน่นพยายามระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่าน

            “หย่งเซิง..” เหวินเจิ้งครางถามอีกฝ่ายอย่างขัดใจ เขายังไม่เต็มอิ่มเลย

            หย่งเซิงมองสายตาละห้อยของเหวินเจิ้งด้วยความทรมาน เขาอยากตอบสนองร่างโปร่งเหลือเกิน แต่ที่นี้ไม่ได้!

            “พวกเราอยู่ที่กรมอาญา..” หย่งเซิงกระแอมไอเพื่อเรียกสติตัวเองเล็กน้อยก่อนเอ่ยเตือนสติฝ่ายตรงข้ามบ้าง

            ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ห้องเก็บบันทึกของกรมอาญา หลังจากเหวินเจิ้งออกมาจากวังก็ตรงมาที่นี้ทันที ซึ่งเขาเองก็ตามอีกฝ่ายมาด้วย น่าตกใจที่เหวินเจิ้งรู้เวลาผลัดเปลี่ยนเวรยามของกรมอาญาเป็นอย่างดีจึงลอบเข้ามาที่นี้ได้อย่างง่ายดาย

            เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะแลบลิ้นเลียเลือดที่เปรอะเปื้อนบนริมฝีปากตัวเอง โดยไม่ยอมละสายตาจากดวงตาดำสนิทที่มีประกายรุ่มร้อนวาบผ่าน เหวินเจิ้งแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ

            “หย่งเซิง เจ้ายกลูกตา ใบหู ริมฝีปาก และเลือดให้เราเถิด”

            หย่งเซิงได้ยินเช่นนั้นก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ ต่อจากชอบริมฝีปากเขาแล้ว ตอนนี้ฮ่องเต้เสียสติกำลังชอบเลือดของเขาหรือ

            “มีหลายอย่างในตัวข้าที่ท่านอาจจะชอบอีก”

            “อย่างเช่นอะไรเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามด้วยความสนใจ มีอะไรที่เขาควรจะชอบอีกหรือ

            “แล้วท่านจะค่อยๆรู้ไปเอง” เขาจะทำให้ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ชอบทุกอย่างที่เป็นเขา!

            เหวินเจิ้งจ้องมองคนอมพะนำ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไปยอมตอบก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำพลางเอามือไพล่หลังเดินหาสมุดบันทึกต่อทั้งที่ในหัวยังคงสับสนวุ่นวาย

            หัวใจยังคงเต้นแรงอย่างโง่งม นี้เป็นครั้งแรกที่เขาจูบกับบุรุษด้วยกัน ที่แท้แล้วให้ความรู้สึกเช่นนี่เอง ถือว่าเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้ว แต่เหตุใดเจ้าหย่งเซิงจึงได้ดูสงบนิ่งนัก คิดแล้วเหวินเจิ้งก็อดหันไปมองหน้าหย่งเซิงมิได้

            “..เจ้า เคยจูบกับบุรุษอื่นหรือไม่”

            หย่งเซิงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ

            “ไม่เคย ทำไมข้าต้องจูบกับบุรุษด้วย”

            เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว นั้นสิ แล้วเหตุใดเจ้าต้องจูบข้าเล่า? เหวินเจิ้งรู้สึกสงสัยแต่ไม่อยากถาม เพราะตัวเขาเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะสามารถจูบกับบุรุษอื่นนอกจากหย่งเซิงได้เช่นกัน แค่คิดก็รู้สึกขนลุกแล้ว ฉับพลันความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัว เหวินเจิ้งเหล่มองหย่งเซิงอย่างครุ่นคิด

            หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็มิได้ว่าอะไร เขาชอบที่เหวินเจิ้งครุ่นคิดเรื่องของเขา

            “แล้วสตรีเล่า” หย่งเซิงชะงักเล็กน้อย ไม่คิดว่าเหวินเจิ้งจะถามเขาเรื่องนี้ ในใจพลันรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาควรตอบตามจริงหรือไม่

            “…”

            “เคยซินะ” เหวินเจิ้งหรี่ตามองหย่งเซิงระยะประชิดเป็นการข่มขู่ให้อีกฝ่ายตอบกลายๆ

            “..อืม”

            คำตอบสั้นๆของหย่งเซิงทำให้เหวินเจิ้งรู้สึกคันคะเยอในใจ ใบหน้างามงอง้ำก่อนจะหมุนกายเดินไปหาสมุดบันทึกต่อ หย่งเซิงจ้องมองปฏิกิริยาของเหวินเจิ้งด้วยหัวใจพองโต

            เหวินเจิ้งมิได้ยิ้มละไมอย่างเคย สิ่งนี้ช่วยยืนยันได้ว่าเขามีตัวตนมากแค่ไหนในหัวใจของอีกฝ่าย มุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอีกครั้ง

            “หย่งเซิง” เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกอีกฝ่ายเบาๆ

            “ขอรับ” หย่งเซิงเลือกใช้คำนี้แทน ‘พ่ะย่ะค่ะ’ เพื่อย่นระยะห่างของคนสองคนให้สนิทสนมกันอีกนิด เหวินเจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ

            “เจ้าจงเป็นชายบำเรอของเราเสีย” หย่งเซิงเบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาดำสนิทจ้องมองใบหน้าแดงเปล่งปลั่งของเหวินเจิ้ง ในใจพลันรู้สึกขบขัน

             “ทั้งที่ข้าต้องทำงานให้กับท่านพ่อน่ะหรือ” เหวินเจิ้งชะงักมือที่กำลังควานหาบันทึกเล็กน้อย หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนชิดก่อนจะเอ่ยต่อ “ท่านแม่และข้าถูกไล่ออกมาจากตระกูลหลี่ตั้งแต่ข้ายังเด็กเพราะภรรยาเอกของท่านพ่อไม่ชอบนาง”

            แม้จะแปลกใจที่อยู่ๆอีกฝ่ายก็เล่าเรื่องของตัวเอง แต่เขาเองก็ไม่รังเกียจที่จะฟัง.. ออกจะรู้สึกสนใจนิดๆ

            “เจ้าจึงได้ออกไปฝึกวิชาที่ภูเขาเทียนซานหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างสงสัย หย่งเซิงพยักหน้ารับ

            “ในตอนที่พวกข้าถูกไล่ออกมาได้ประมาณหนึ่งปีก็บังเอิญพบอาจารย์เข้า ข้าและท่านแม่จึงได้ติดตามท่านอาจารย์ไปยังภูเขาเทียนซาน ก่อนตายท่านแม่ของข้าได้สั่งเสียไว้ว่าให้ข้านำป้ายวิญญาณของท่านไปวางไว้ในศาลบรรพบุรุษตระกูลหลี่ แต่ทว่าท่านพ่อไม่ยอมจึงได้ยื่นเงื่อนไขหนึ่งแก่ข้า”

            “ให้เจ้ามาสังหารข้าใช่หรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน หย่งเซิงจ้องมองรอยยิ้มนั้นอย่างเผลอไผล ร่างโปร่งเอื้อมมือมาลูบหัวของหย่งเซิงอย่างแผ่วเบาราวกับจะปลอบโยนก่อนเอ่ยต่อ “เจ้าก็ทำหน้าที่ของเจ้าไป.. หากเราต้องการริมฝีปากเจ้าเมื่อไรเราจะเรียกเอง” 

            หย่งเซิงเข้าใจในทันทีว่า ‘หน้าที่ของเจ้า’ ที่อีกฝ่ายหมายถึงคือเรื่องที่เขาต้องสังหารอีกฝ่ายตามคำสั่งของท่านพ่อ หย่งเซิงหลุบตาลงซ่อนความวูบไหวในแววตา

            เหวินเจิ้งจ้องมองใบหน้าของหย่งเซิงในดวงตาดำขลับทอประกายอ่อนโยน ก่อนจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ทั้งที่รู้ว่าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปคงไม่ดี แต่ในเมื่อเขาไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองได้ ก็คงต้องปล่อยให้มันเป็นไป

            ได้นั่งพักดื่มน้ำบ้าง ชีวิตในชาตินี้ก็คงไม่เหน็ดเหนื่อยเกินไปนัก..

            “หย่งเซิง เจ้าจงเป็นน้ำให้เราได้ดื่มเสียเถิดนะ”

            หย่งเซิงซ่อนดวงตาพราวระยับขอตนอย่างมิดชิดก่อนจะเอ่ยตอบ

            “ขอรับ”

            เหวินเจิ้ง.. ข้าจะทำให้เจ้ามิอาจขาดน้ำบ่อนี้ไปตลอดชีวิต

--------------------------------------------------------------
จิตตก : เรื่องนี้ไม่จบเศร้าแน่นอนค่ะ แต่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่คงจะเป็นจิตใจที่ท้อแท้ของฮ่องเต้เรา คงต้องให้หย่งเซิงช่วยกันเยียวยาต่อไป
ฝากคอมเม้นเป็นกำลังใจให้คนแต่งด้วยนะคะ  :hao5: ขอบคุณค่า :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 18-04-2017 15:09:12
หย่งเซิงช่วยเป็นกำลังใจให้ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ของเราด้วยนะคะ หยุดนางไว้น้าาาาา  :hao5: :hao5:

ปล. เป็นกำลังใจให้นะคะ ^^
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 18-04-2017 17:45:45
น่าเศร้า ทั้งชีวิตเชื่อใจใครไม่ได้เลย อยู่ก็เหมือนตายทั้งเป็น เราว่าฮ่องเต้อาจจะไม่ใช่คนสังหารพี่น้องตัวเองหรอก จากตอนแรกนะ คิดว่าทั้งหมดอาจเป็นการจัดฉากจากหัวหน้าตะกูลหย่ง (ชื่อผิดขออภัย) แล้วสุดท้ายก็ขึ้นครองเองหรือไม่ก็เกี่ยวกับฮ่องเต้องค์ก่อน ดูมีปม ถึงสุดท้ายจะจบที่พระนายต้องลงโลงเราก็รับได้นะ เตรียมใจท้องอืด  :sad4:

ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 18-04-2017 19:41:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 18-04-2017 20:05:45
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 18-04-2017 20:30:03
เมื่อไหร่ฮองเต้จะเข้าใจสังคมที่เป็นอยู่ดูเหมือนคงไม่ใช่พระเอกของเราที่จะเจ็บปวดน่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 18-04-2017 20:40:22
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 18-04-2017 21:37:46
ชีวิตฮ่องเต้ดูรันทดมาก
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 19-04-2017 06:48:41
ทำไมฮองเต้แลเศร้าใจ รันทด ชีวิตอยุ่ยากแบบนี้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 19-04-2017 18:39:25
ปมเยอะมากกกกกกกกกก ศัตรูรอบทิศ จะเชื่อใจใครได้มั้ย
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part6] [18/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 22-04-2017 18:06:54
แหม๋เฮียหย่ง เต๊าะฮ่องเต้ใหญ่เชียวนะ
แถมยังล่อลวงด้วยเขาด้วยตา ด้วยเลือด ด้วยปาก พลีชีพยิ่ง!
เหวินเจิ้งฮึดๆเข้านะ
เฮียหย่งเขายอมเป็นน้ำให้แล้ว
ฮึดๆไว้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 26-04-2017 19:13:36
บทที่ 7 ราษฎร์

          เสียงหอบหายใจดังแผ่วๆท่ามกลางความเงียบสงบในห้องทรงพระอักษร บนโต๊ะเขียนอักษรร่างโปร่งบางร่างหนึ่งกำลังนั่งเกี่ยวรัดรอบคอร่างสูงใหญ่กำยำ ริมฝีปากของคนทั้งคู่แนบสนิทเข้าหากันก่อนที่จะมีสายโลหิตไหลออกมาที่มุมปากของร่างสูงใหญ่

          เหวินเจิ้งผละริมฝีปากออกจากหย่งเซิงเล็กน้อยก่อนจะไล่เลียโลหิตที่ไหลย้อยออกจากมุมปากอีกฝ่ายไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว ลมหายใจของคนทั้งคู่หอบหนัก ริมฝีปากอวบอิ่มเจ่อบวมในขณะที่ริมฝีปากบางของหย่งเซิงนั้นมีรอยปริแตกเล็กน้อยที่ริมฝีปากล่าง

          ตาของคนทั้งคู่ประสานกันนิ่ง ต่างคนต่างจ้องมองใบหน้าเหนื่อยหอบของกันและกันอย่างพึงพอใจ เหวินเจิ้งที่ใบหน้าแดงก่ำเลื่อนสายตาไปยังใบหูสีแดงเข้มของหย่งเซิงก่อนจะอ้าปากงับอย่างแรง

          หย่งเซิงครางต่ำในลำคอ แม้จะเจ็บแสบแต่ก็เสียวซ่าน เหวินเจิ้งจ้องมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายอย่างพอใจ

          “ฝ่าบาท ใต้เท้ากรมอาญามาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงรายงานจากนอกห้องทรงพระอักษรที่ปิดสนิท

          นัยน์ตาสีดำสนิทของหย่งเซิงฉายแววขัดใจวูบผ่านในตอนที่เหวินเจิ้งไม่ทันเห็น

          เหวินเจิ้งลงมาจากโต๊ะเขียนอักษรก่อนจะจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เล็กน้อย

          “เข้ามา” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็นั่งลงบันเก้าอี้พร้อมกับที่ใต้เท้ากรมอาญาผลักประตูเข้ามา

          “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” ใต้เท้ากรมอาญาคุกเข่าทำความเคารพ

          “ลุกขึ้น”

          “ขอบพระทัยพ่ะค่ะย่ะฝ่าบาท” กล่าวจบใต้เท้ากรมอาญาก็ลุกขึ้นอย่างนอบน้อม รวบรวมความกล้าเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยถาม                     “ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมเข้าเฝ้าด้วยเรื่องอันใดพ่ะย่ะค่ะ”

          “ใต้เท้า การสืบสวนคดีใต้เท้าจางเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มใจดี ใบหน้างามอมชมพู่ ริมฝีปากอวบอิ่มบวมเจ่อเล็กน้อยอย่างหน้าสงสัย

          ใต้เท้ากรมอาญาเห็นเช่นนั้นก็หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย เหตุใดวันนี้ฝ่าบาทจึงได้ดูน่ารักยั่วยวนนัก ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไร เขาก็ไม่ชินกับรอยยิ้มของฝ่าบาทเสียที พระองค์ทรงรูปงามเหลือเกิน เขาไม่เหมือนกับขุนนางคนอื่นที่มีอายุมาก เขายังหนุ่มแน่นไม่แปลกที่จะหวั่นไหวไปกับสิ่งสวยงาม

          หย่งเซิงหรี่ตามองสายตาเคลิบเคลิ้มของใต้เท้ากรมอาญาด้วยดวงตาดำมืด ก่อนจะหลุบตาลงซ่อนประกายสังหารเอาไว้อย่างมิดชิด

          “ทูลฝ่าบาท ตอนนี้เราสามารถจับกุมได้ครบทุกคนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

          “งั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็จงปล่อยพวกเขาไปเถิด” ใต้เท้ากรมอาญาเบิกตากว้าง หน้าซีดเผือกทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น

          “ฝะ.. ฝ่าบาทหมายความเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

          “ใต้เท้า.. อย่าบังอาจใช้ราษฎร์ของเรามาเป็นแพะรับบาปให้พวกโจรชั่ว” น้ำเสียงเหยียบเย็นสร้างความหนาวเหน็บให้กับใต้เท้ากรมอาญาจนตัวสั่นสะท้าน ฮ่องเต้ยามนี้ดูยิ่งใหญ่เสียจนเขารู้สึกเหมือนตนเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็กที่กำลังโดนบดขยี้

          ใครกันที่บอกว่าฮ่องเต้ผู้นี้ตัวคนเดียว ในเมื่อพระองค์รู้เรื่องราวต่างๆมากมายถึงเพียงนี้ พระองค์รู้แม้กระทั่งว่าโจรที่พวกเขาจับมาคือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกใส่ความ!

          “ฝะ.. ฝ่าบาท หากทรงทำเช่นนี้ เหล่าขุนนางคงไม่พอใจแน่พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้ากรมอาญารีบคุกเข่า เอ่ยเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว

          หย่งเซิงที่ยืนฟังบทสนทนาอยู่ด้านข้างหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย

          “ใต้เท้า.. เป็นเราต่างหากที่เป็นเจ้าชีวิตของเจ้า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีทำให้หย่งเซิงและใต้เท้ากรมอาญาขนลุกเกลียวร่างกายสั่นสะท้าน

          หย่งเซิงจ้องมองฮ่องเต้เสียสติที่บัดนี้ช่างดูยิ่งใหญ่เหนือผู้คนทั้งปวง ใบหน้างดงามปราศจากรอยยิ้มปรายตามองใต้เท้ากรมอาญาอย่างเย่อหยิ่ง รัศมีแห่งกษัตริย์เปล่งประกายกดดันและเย็นชา เขาจ้องมองความยิ่งใหญ่ของคนตรงหน้าอย่างเสื่อมใส

          ทั้งหมดนี้ก็เพื่อราษฎร์หรือ..

          ใต้เท้ากรมอาญาจ้องมองเจ้าชีวิตของตนด้วยดวงตาเบิกกว้าง นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่เขาได้พบกับฮ่องเต้พระองค์นี้

          เมื่อเก้าปีก่อนพระองค์ยังเป็นเพียงองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์ ท่ามกลางเหล่าองค์ชายมากมาย พระองค์ดูโดดเด่นเฉลียวฉลาดและงดงาม ทั้งยังเปล่งรัศมีเรืองรองราวกับเทพเซียน รอยยิ้มที่จริงใจส่งผลให้ผู้คนเคลิบเคลิ้มหวั่นไหว พระองค์ทรงใจดีและปฏิบัติตัวต่อผู้คนอย่างเท่าเทียม ไม่ทรงรับสินบน ไม่สนใจการเมือง เป็นเพียงองค์ชายสี่ผู้หลงใหลกรช่วยเหลือราษฎร์ที่ตกทุกข์เท่านั้น เขาในยามนั้นเป็นเพียงบุตรชายคนโตแห่งใต้เท้ากรมอาญาที่มีโอกาสได้ร่วมงานเลี้ยงของเหล่าเชื้อพระวงศ์

          ผู้คนในงานเลี้ยงวันนั้นต่างมั่นใจว่าองค์ชายสี่ผู้นี้จะต้องได้เป็นฮ่องเต้ผู้ปรีชาสามารถอย่างแน่นอน ทว่าเมื่อยามนั้นมาถึงจริงๆ พระองค์ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พระองค์ทรงโหดเหี้ยมอำมหิต เสแสร้งแกล้งยิ้ม และไม่สนใจผู้ใด

          เขารู้สึกหวาดกลัวนัก ผู้ที่เปลี่ยนให้พระองค์กลายเป็นเช่นนี้คือวังหลวงเช่นนั้นหรือ..

          ทว่าในวันนี้ เขาราวกับได้เห็นองค์ชายสี่ในครานั้นอีกครั้ง องค์ชายสี่ผู้รักในราษฎร์ ใต้เท้ากรมอาญาลอบกลืนน้ำลาย ขอบตาร้อนผ่าว ตัวเขาอ่อนแอมิอาจช่วยเหลือพระองค์จากวังหลวงที่แสนโหดร้ายเช่นนี้ได้ จึงได้แต่ทนมองพระองค์สูญเสียทุกอย่างไปทีละนิด จนตัวตนของเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของเหล่าขุนนางโฉดชั่วพวกนั้นไปเสียแล้ว

          “กระหม่อมสมควรตาย!” ใต้เท้ากรมอาญาโขกศีรษะทั้งที่น้ำตาไหลอาบ ความรู้สึกละอายใจถาโถมเสียจนเขาไม่อาจหาญกล้าใช้นามกรมอาญาอีกต่อไป

          แววตาเหวินเจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อยน้อย จ้องมองร่างที่โขกศีรษะไม่หยุดจนเลือดไหลอาบหน้า

          “ใต้เท้า เจ้าเพียงปลดปล่อยราษฎร์ของเรา จากนั้นเจ้าก็ใช้ชีวิตของเจ้าต่อไปเถิด” น้ำเสียงเรียบเรื่อยดังขึ้นมาอีกครั้ง ใต้เท้ากรมอาญาชะงักศีรษะที่กำลังโขกลงพื้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองดวงหน้างดงาม

          ฮ่องเต้ยังคงมองเขาด้วยรอยยิ้มเสแสร้งที่เขาเคยเห็นมาตลอดหกปี ทว่ามีบางอย่างในดวงตาดำขลับนั้นที่ต่างออกไปเล็กน้อย

          คาดหวัง? พระองค์กำลังคาดหวังให้เขาช่วยเหลือราษฎร์ของพระองค์.. ถ้าเช่นนั้นเขาจะทำ แม้ว่าต้องผิดใจกับขุนนางคนอื่นก็ตาม หากมันทำให้เขาได้เห็นรอยยิ้มจริงใจจากพระองค์อีกสักครั้ง เพียงแค่เขาได้เห็นอีกสักครั้ง!

          “ฝ่าบาท.. กระหม่อมจะทำทุกวิธีทางเพื่อช่วยราษฎร์ผู้บริสุทธิ์พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงมุ่งมั่นจริงจังของใต้เท้ากรมอาญาทำให้หย่งเซิงขมวดคิ้วแน่นขึ้น

          ดูเหมือนจะมีน้ำบ่ออื่นเดินมาเชิญชวนให้พระองค์ลองชิมเสียแล้ว.. ฝันไปเถิด

          “เราคาดหวังกับเจ้า” เหวินเจิ้งตอบกลับไปเรียบๆไม่ทันสังเกตสายตาไม่พอใจของหย่งเซิง





          “ฝ่าบาท เหตุใดจึงยังไม่มีการแต่งตั้งพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”

          “ฝ่าบาท ตำแหน่งพระสนมมิอาจว่างเว้น”

          เหวินเจิ้งนั่งมองเหล่าขุนนางหน้าดำคร่ำเครียดร้องเรียนเรื่องที่เขาไม่แต่งตั้งพระสนมตำหนักเต๋อเฟยเสียที เจ้าพวกนี้คงกำลังโมโหที่รู้ว่าผู้บริสุทธิ์ที่ถูกจับมาเป็นแพะนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย และใช้เขาเป็นที่ระบายโทสะ!

          “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ยินมาว่าพระองค์มิได้เสด็จไปยังตำหนักฝ่ายในเลยหรือพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

          เหวินเจิ้งหรี่ตามองอัครเสนาบดีหย่งทั้งที่ริมฝีปากยังคงประดับรอยยิ้ม

          “อัครเสนาบดีหย่ง ท่านพ่อตาของเรา.. ใต้เท้าจางนั้นพึ่งถูกโจรชั่วสังหารไป จะให้เรามามีอารมณ์หาความสุขจากกายหญิงสาวได้อย่างไร”

          “แต่เรื่องเชื้อสายมังกรมิอาจรอช้า หากพระองค์ยังมิถูกใจเหล่าหญิงสาวนางในกระหม่อมจะประกาศรับหญิงงามเข้าวังหลวงพ่ะย่ะค่ะ”

          “ฝ่าบาทได้โปรดไตร่ตรองด้วย” เหล่าขุนนางทิ้งตัวคุกเข่าสนับสนุนคำพูดของอัครเสนาบดีหย่งอย่างเต็มที่

          เหวินเจิ้งกำหมัดแน่นทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มละไม

          เขาไม่ต้องการให้เหล่าราษฎร์ของเขาต้องมาถูกใช้เป็นเครื่องมือในวังหลวง!

          เหวินเจิ้งปรายตามองอัครเสนาบดีหย่งที่นั่งคุกเข่าอย่างนอบน้อม เจ้าเฒ่าสกปรก! บังอาจใช้ราษฎร์มาข่มขู่ข้า

          “อย่าลำบากท่านอัครเสนาบดีเลย เราจะแต่งตั้งพระสนมตำหนักเต๋อเฟยด้วยตัวของเราเอง!” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็ลุกขึ้นสะบัดชายเสื้อเดินออกจากท้องพระโรงไป

          อัครเสนาบดีหย่งซ่อนรอยยิ้มเยาะเย้ยเอาไว้อย่างมิดชิดก่อนจะตะโกนไล่หลังร่างโปร่งในชุดเสื้อสีเหลืองทอง

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนั้นก็พากันตะโกน

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

          เสียงขอบพระทัยดังกึกก้องอยู่เป็นนาน ในน้ำเสียงมีทั้งความเหิมเกริมและดูแคลน ไม่มีน้ำเสียงแห่งความเคารพเสื่อมใสเลยแม้แต่น้อย

          สวี่กงกงกำหมัดแน่น ก่อนจะสาวเท้าเดินตามร่างโปร่งของเหวินเจิ้งที่แผ่นหลังยังคงตั้งตรง หัวใจขันทีเฒ่ารู้สึกเศร้าสลด พระองค์ทรงเหน็ดเหนื่อยเพียงไร มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้

          เหวินเจิ้งยังคงสาวเท้าต่อไปทุกย่างก้าวยังคงช้าและมั่นคงไม่มีสั่นคลอน

          “ได้บังเอิญเจอเจ้าเช่นนี้นับว่าข้าโชคดีนัก อาเซิง” น้ำเสียงสดใสร่าเริงของหญิงสาวดังขึ้น

          เหวินเจิ้งชะงักฝีเท้าทันที

          อาเซิง..

          ร่างโปร่งมองไปตามที่มาของเสียง ในสวนดอกไม้มีหญิงสาวหน้าตาน่ารักหมดจดนางหนึ่งกำลังยืนคุยกับหย่งเซิง

          “แม่นาง” หย่งเซิงก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยเป็นการทักท้าย วันนี้เขาพึ่งกลับมาจากทำธุระนอกวัง กำลังจะเดินไปยังท้องพระโรงแต่บังเอิญพบเหม่ยลี่เข้าเสียก่อน

          “เจ้าทำท่าทีห่างเหินเช่นนี้ จะทำให้ข้าเสียใจตายหรือไร” เหม่ยลี่เอ่ยอย่างแง่งอน

          “หากหย่งเซิงสนิทสนมกับเจ้ามากกว่านี้ เจ้าคงจะได้ตายจริงๆเสียด้วย” เสียงเรื่อยเฉื่อยเอ่ยแทรกขึ้นมาสร้างความตระหนกให้แก่เหล่านางกำนัลผู้ติดตาม

          เหม่ยลี่ขนลุกชันหันหน้ากลับไปมองร่างโปร่งในชุดสีเหลืองทองที่เดินใกล้เข้ามาทุกที

          ครั้งนี้เป็นนางที่พลาดเอง!

-----------------------------------------------------

จิตตก : คนที่คุณก็รู้ว่าใครเดินเข้ามาได้ทุกจังหวะจริงๆ

ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมานะคะ

เรื่องนี้ดำเนินมาถึงกลางเรื่องแล้ว หวังว่าจะชอบกันนะคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 26-04-2017 20:09:46
ถ้านางอยู่ของนางเฉยๆก็ดีแล้ว
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 26-04-2017 21:20:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 26-04-2017 22:03:02
เล่นกับใครไม่เล่นนะหนู
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 26-04-2017 23:36:59
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 27-04-2017 06:06:19
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: YounIn ที่ 27-04-2017 06:29:42
น่าจะได้คนที่จงรักภักดีเพิ่มอีก 1
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 27-04-2017 09:22:48
สมน้ำหน้า แม่ชะนีน้อยอยู่เฉยๆ ไปนะ ได้พวกอีกหนึ่ง(หรือเปล่า) อ๊ากกกกก เราอยากเห็นจุดจบของเสนาหน่งนะ แต่กลัวพระเอกโดนลูกหลงไปด้วย ในวังหลวงช่างน่ากลัว ว่าแต่จะแต่ตั้งใครเป็นพระสนมเจ้าคะ  :hao6:

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 27-04-2017 15:20:23
มีคนเข้ามารักอีกคนแล้ว 555 อยากอ่านต่อเร็วรอติดตามนะครับแต่ว่าเรื่องสั่นหรือครับ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 01-05-2017 06:31:48
ชอบๆๆมาต่อเร็วๆนะ :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 01-05-2017 13:45:46
สนุกค่าา รอๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 01-05-2017 14:49:19
เหม่ยลี่คะโปรดอย่าอ่อยหย่งเซิงค่ะ
นั่นว่าที่เมียฮ่องเต้นะคะ คิคิคิ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part7] [26/04/17] [P.2]
เริ่มหัวข้อโดย: ทาสเป็ด-3- ที่ 01-05-2017 20:44:27
 :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3: :z3:ต่อด่วน อยากเห็นพระสนมโดนฆ่าตายมีลางว่ามันเป็นตัวร้าย :katai1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 03-05-2017 09:48:53
บทที่ 8 ร่ำสุรา

           หย่งเซิงหันมาตามเสียง เห็นเหวินเจิ้งส่งรอยยิ้มละไมมาให้ในขณะที่ดวงตาดำขลับฉายแววโทสะ นัยน์ตาดำสนิทหรี่ลงอย่างครุ่นคิด

           หรือว่าเกิดเรื่องขึ้นในท้องพระโรง? เหตุใดเหวินเจิ้งจึงคล้ายกับมีโทสะ

           “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” เหม่ยลี่และเหล่านางกำนัลต่างคุกเข่าถวายบังคมทั้งที่ตัวสั่นเทิ้ม

           “ไม่ต้องมากพิธี” เหวินเจิ้งเอ่ยขัดขึ้นเมื่อเห็นหย่งเซิงกำลังจะค่อมตัวถวายบังคม

           “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เหม่ยลี่ลุกขึ้นมาพลางก้มหน้าจนคางชิดอก

           นางตั้งใจมาดักรอหย่งเซิงที่นี้หลายวันแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้พบเลยจนกระทั้งวันนี้ นางดีใจจนลืมตัววิ่งเข้ามาทักทายหย่งเซิงอย่างใกล้ชิด ลืมไปเสียสนิทว่าที่นี้อยู่ใกล้กับตำหนักขององค์ฮ่องเต้

           “ลี่เอ๋อ วันนี้เจ้าตั้งใจมาเข้าเฝ้าเราหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพลางเชยคางของเหม่ยลี่ขึ้นมา

           “พะ.. เพคะ” เหม่ยลี่ร่างกายสั่นสะท้านไม่กล้าสบตาคู่สวย

           เหตุใดฮ่องเต้จึงจำนางได้ นางเป็นเพียงนางในตัวเล็กๆที่เคยถวายงานให้พระองค์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นพระองค์ก็ไม่เคยมาหานางอีกเลย นางคิดว่าพระองค์จะลืมนางไปแล้ว จึงตั้งใจเข้าหาหย่งเซิง หวังว่าเมื่อฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้วจะขอให้หย่งเซิงพานางหนีออกไปจากวังหลวงแห่งนี้

           “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เหวินเจิ้งจับมือเหม่ยลี่ก่อนจะพาเดินไปตามทางของสวนดอกไม้

           หย่งเซิงมองตามแผ่นหลังโปร่งอย่างครุ่นคิด ก่อนไล่สายตาไปยังมือเรียวที่กำลังกอบกุมมือเล็กที่สั่นเทาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน นัยน์ตาดำสนิทหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาต่ำเพื่อซ่อนนัยน์ตาคมกล้า

            “ลี่เอ๋อ เจ้ารู้จักราชองครักษ์ของเราด้วยหรือ” เหวินเจิ้งแสร้งไม่สังเกตเห็นมืออันสั่นเทาของเหม่ยลี่

           “.. เพคะ หม่อมฉันเคยเป็นเพื่อนบ้านของอาเซิ.. ราชองครักษ์หย่งเซิง..” เหม่ยลี่กัดริมฝีปากด้วยความหวาดกลัว โทษทัณฑ์ของการลอบคบชู้นั้นนางรู้ดี หากฝ่าบาทรู้เขาว่านางมีใจคิดเป็นอื่นกับหย่งเซิง เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของหย่งเซิงนางก็มิอาจช่วย

           “มิน่า พวกเจ้าจึงดูสนิทสนมกันนัก”

           “มิได้ มิได้สนิทกันถึงเพียงนั้นหรอกเพคะ” เหม่ยลี่เสียงสั่นพร่า เหล่านางกำนัลคนสนิทต่างก็หน้าซีดเผือก พวกนางล้วนรู้ดีว่านายหญิงของตนพึงใจต่อราชองครักษ์หย่งเซิงคนนั้น

           เมื่อแอบลอบมองใบหน้าของหย่งเซิงแล้ว พวกนางก็ต้องตกใจที่เขามีใบหน้าเรียบเฉยราวกับเรื่องที่ฝ่าบาทและนายหญิงพูดคุยกันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง

           “ไม่ต้องปิดบังเราหรอก เจ้าถึงขนาดเรียกราชองรักษ์ของเราว่า ‘อาเซิง’ แม้แต่เรา หย่เงซิงยังมิยอมให้เรียกเลย” น้ำเสียงเรื่อยเฉื่อยของเหวินเจิ้งทำให้ผู้คนอกสั่นขวัญแขวน

           เหม่ยลี่ก้มหน้าจนคางชิดอกหน้าซีดเผือก ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

           เหล่าผู้ติดตามต่างรับรู้ได้ถึงบรรยากาศเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาจากร่างสูงศักดิ์ ทั้งที่อากาศในสวนดอกไม้เย็นสบายแต่ยามนี้พวกเขาทุกคนต่างมีเหงื่อผุดซึมตามไรผมและแผ่นหลัง ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ต้องการทำอะไรกันแน่

           มีเพียงหย่งเซิงที่มุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ จึงต้องรีบก้มหน้าเพื่อหลบซ่อนรอยยิ้มขบขัน จู่ๆแผ่นหลังที่แผ่ไอเย็นยะเยือกก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูขึ้นมาในสายตาเขา

           ราวกับเหวินเจิ้งรับรู้ได้ถึงท่าทีขบขันของหย่งเซิงจึงหยุดเดินและหันมาปรายตามองร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงก่อนจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้ผู้คนสูดหายใจด้วยความตกใจ

           “สวี่กงกง เราจะแต่งตั้งลี่เอ๋อเป็นพระสนมตำหนักเต๋อเฟย” หย่งเซิงเงยหน้าขึ้นมาสบตาดำขลับทันที เหวินเจิ้งจ้องลึกเข้าไปในดวงตาดำสนิทก่อนจะกล่าวต่อ “และคืนนี้เราจะไปค้างที่ตำหนักเต๋อเฟย”

           “..ขอรับ” สวี่กงกงเอ่ยรับคำเสียงเบา นัยน์ตาฝ้าฟ่างแลดูสลับซับซ้อน

           “อะไรนะเพคะ” เหม่ยลี่อุทานด้วยความตกใจ นางเหลือบมองหย่งเซิงที่บัดนี้ดวงตาดำสนิทลุกวาวด้วยโทสะ แม้สีหน้าจะยังคงเรียบเฉยเช่นเดิม

           “นายหญิง..” นางกำนัลคนสนิทรีบกระซิบเตือน

           “เจ้าไม่พอใจหรือ” เหวินเจิ้งหันกลับไปถามเหม่ยลี่ แต่อะไรบางอย่างบอกหย่งเซิงว่าเหวินเจิ้งกำลังถามตนอยู่ หย่งเซิงกำหมัดแน่นจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้งด้วยดวงตาลุกวาว ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ

           เขาต้องอดทน.. อีกไม่นานเท่านั้น

           “มะ.. มิได้ฝ่าบาท ขอบพระทัยเพคะ” เหม่ยลี่กัดฟันตอบด้วยความแค้นเคือง บุรุษใดจะรับได้หากรู้ว่าหญิงที่ตนพึงใจเคยผ่านมือบุรุษอื่นมาก่อนแล้ว

           ก่อนหน้านี้นางยังมีความหวังเพราะนางเคยรับใช้ฮ่องเต้เพียงครั้งเดียว แต่คราวนี้ นางกำลังได้เป็นถึงพระสนม หากฝ่าบาทสิ้นพระชนม์นางคงได้ถูกฝังทั้งเป็นไปพร้อมกับฝ่าบาทเป็นแน่

           นาง.. ไม่ยอม นางไม่มีวันยอม!



           แสงจันทร์สาดส่องลงมายังตำหนักเต๋อเฟยที่ประดับไปด้วยโคมแดงดูเป็นมงคล ตามทางจุดโคมไฟเสียจนสว่างไสว ร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งเดินมาตามทาง ด้านหลังตามมาด้วยข้าราชบริพารที่แตกต่างจากปกติเล็กน้อย

           หย่งเซิงที่ปกติมักตามหลังฮ่องเต้เสียจนชิดบัดนี้กลับเดินตามหลังอยู่ท้ายขบวน สร้างความแปลกตาให้เล่าราชองครักษ์ไม่น้อย

           “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท” เหม่ยลี่ย่อกายถวายความเคารพอย่างนอบน้อม ใบหน้าที่เคยซีดเผือกเพราะความหวาดกลัว เวลานี้กลับนิ่งสงบขึ้นมา เหวินเจิ้งมองท่าทีนิ่งสงบนั้นก่อนจะแย้มยิ้มละไม

           “ไม่ต้องมาพิธีหรอกลี่เอ๋อ” เหวินเจิ้งพยุงเหม่ยลี่ที่กำลังคุกเข่าอย่างอ่อนโยน

           ข่าวการแต่งตั้งพระสนมตำหนักเต๋อเฟยดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งวังหลวง ดวงตาทุกคู่ในวังหลวงต่างจับตามองมายังตำหนักเต๋อเฟย ว่าพระสนมคนใหม่จะสามารถมัดใจฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ได้หรือไม่

           “ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” เหม่ยลี่กล่าวอย่างเอียงอาย พลางเหลือบตาไปมองยังร่างสูงใหญ่ท้ายขบวน ยามนี้สีหน้าของหย่งเซิงดูเรียบเฉยเสียจนน่ากลัว ดวงตาดำสนิทมืดมิดราวกับบึงน้ำลึกที่ไร้จุดสิ้นสุด

           หย่งเซิง.. เจ้ากำลังทุกข์ใจเพราะข้าหรือ

           หัวใจเหม่ยลี่พลันรู้สึกเต็มตื้น หย่งเซิงเองก็กำลังมีใจให้นางใช่หรือไม่

           เหวินเจิ้งจ้องมองสายตาของเหม่ยลี่ที่มองเลยผ่านเขาไปยังหย่งเซิง หัวใจพลันรู้สึกขมฝาด นางมีใจให้หย่งเซิง แล้วหย่งเซิงเล่า มีใจให้นางเช่นกันหรือไม่

           หากมีเพียงเหม่ยลี่ที่มีใจอยู่ฝ่ายเดียว เหตุใดหย่งเซิงจึงยอมให้นางเรียกชื่ออย่างสนิทสนมเล่า ร่างกายสูงโปร่งสะท้านเฮือกด้วยความหนาวเหน็บ เมื่อคิดว่าในหัวใจของหย่งเซิงไม่มีพื้นที่สำหรับเขา ที่ผ่านมาสำหรับร่างสูงแล้ว ความรู้สึกที่มีให้เขาคงเป็นเพียงความเวทนาสงสาร ต่อฮ่องเต้ผู้ถูกทอดทิ้ง..

            “..เหม่ยลี่” เหวินเจิ้งครางเรียกชื่อหญิงสาวที่เขารู้สึกริษยาโดยไม่รู้ตัว

           เหม่ยลี่สะดุ้งเฮือก น้ำเสียงยามเรียกชื่อนางช่างเย็นเหยียบเหลือเกิน เหวิงเจิ้งยิ้มจนดวงตายักโค้ง ทว่าดูบิดเบี้ยวเสียจนน่ากลัว ใบหน้ายามนี้มีเพียงนางที่ได้เห็นเท่านั้น

           “ฝ่าบาท..” เหม่ยลี่เสียงสั่นเครือ

           “ไปเถิด ข้างนอกนี่หนาวนัก เจ้าช่วยให้ความอบอุ่นแก่เราที” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงเย้า เหม่ยลี่หน้าแดงสลับซีดขาว ในใจคิดโกรธเกลียดฮ่องเต้พระองค์นี้อย่างสุดหัวใจ

           ขันทีห้องทะเบียนที่ตามมาด้วยต่างมองหน้ากันไปมาด้วยความแปลกใจปนตะลึงงัน หลายปีมานี้ฮ่องเต้ไม่ทรงเข้าไปในตัวตำหนักของสนมคนใดเลย จนสมุดห้องทะเบียนแทบจะฝุ่นจับอยู่แล้ว

           “เช่นนั้นก็เข้าไปข้างในเถิดเพคะ” เหวินเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจขณะจับจูงเหม่ยลี่เข้าไปในตัวตำหนักโดยไม่หันมาสนใจเหล่าข้าราชบริพารอีก

           เมื่อประตูปิดลง เหล่านางกำนัลและขันทีต่างมองหน้ากันไปมา ก่อนจะรีบให้คนส่งข่าวไปยังจวนตำหนักต่างๆด้วยความว่องไว

           หย่งเซิงมองภาพเหล่านั้นด้วยดวงตาไร้ความรู้สึก สายตาเพียรแต่จะคอยมองประตูที่ปิดสนิทไม่ยอมไปไหน

           “ราชองครักษ์เซิง” สวี่กงกงเอ่ยเรียกหย่งเซิงเบาๆ หย่งเซิงละสายตาจากประตูหันมามองขันทีเฒ่าที่มาหยุดยืนอยู่ข้างๆ

           หย่งเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม พวกเขาสองคนไม่เคยพูดคุยกันมาก่อน แม้เขาพอจะรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงคนเดียวที่เหวินเจิ้งไว้ใจก็ตาม

           “ข้ามีเรื่องคุยกับเจ้า ตามข้ามา” สวี่กงกงเอ่ยให้ได้ยินกันสองคนเท่านั้นก่อนจะเดินนำออกไป หย่งเซิงหันกลับมามองประตูตำหนักที่ปิดสนิทดวงตาดำสนิทจ้องมองมันราวกับจะมองทะลุประตูเข้าไปเสียให้ได้ก่อนจะตัดใจเดินตามสวี่กงกงออกไป

           “ฝ่าบาท.. ดื่มสุราสักนิดดีหรือไม่เจ้าคะ” เหม่ยลี่เอ่ยชวนเมื่อเห็นเหวินเจิ้งเดินไปนั่งบนเตียงด้วยท่าทีเกียจคร้านมือที่ถือไหสุราของเหม่ยลี่สั่นระริก เหวินเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่เห็นก่อนจะเอ่ยตอบ

           “สนมรักรินให้เราเถิด” เหวิงเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม เหม่ยลี่เห็นเช่นนั้นก็กำไหสุราแน่น เพราะมือที่สั่นเล็กน้อยทำให้สุรากระเฉาะออกจากจอกเสียหลายหยด เหวินเจิ้งมองดูท่าทางแปลกประหลานั้นเงียบๆก่อนจะเอื้อมมือไปรับจอกสุรามาถือไว้

           “สุราไหนี้ เจ้าได้รับมาจากหย่งเซิงหรือ” เหม่ยลี่สะท้านเฮือก เหลือบมองเหวินเจิ้งที่เอาแต่นั่งมองจอกสุรา

           ในใจรู้สึกสับสนกระวนกระวาย สุราไหนี้เป็นหย่งเซิงที่แอบมอบให้นางอย่างลับๆก่อนตะวันตกดิน หย่งเซิงบอกนางไว้ว่าสุราไหนี้จะช่วยให้นางรอดพ้นจากค่ำคืนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย นางคิดว่าสุราไหนี้คงเป็นสุราพิษที่อัครเสนาบดีหย่งมอบให้หย่งเซิง

           นางได้ยินมาจากท่านพ่อว่า อัครเสนาบดีหย่งตามหายาพิษชนิดหนึ่งมานาน ยาพิษชนิดนี้มีผลให้ร่างกายของผู้โดนพิษจะค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ จนสิ้นลมในที่สุด ต่อให้ชันสูตรศพทีหลังก็ยากที่จะทราบว่าผู้ตายโดนพิษมาก่อน

           หากนางทำให้ฮ่องเต้ดื่มยาพิษได้ ต้องจะต้องได้รับความดีความชอบเป็นแน่ จากนั้นนางจะขอให้อัครเสนาบดีหย่งช่วยนางไม่ให้ถูกฝังทั้งเป็นไปพร้อมกับพระศพของฮ่องเต้

           แล้วนางจะได้อยู่เคียงข้าหย่งเซิงไปตลอดชีวิต!

           “สุราไหนี้เป็นท่านพ่อมอบให้หม่อมฉันเพคะ” เหม่ยลี่พยายามสงบใจที่ว้าวุ่นก่อนจะเอ่ยออกไปจากอย่างราบเรียบมั่นคง

           “.. เป็นเช่นนั้นเอง” เหวินเจิ้งกำจอกสุราแน่นจนนิ้วมือขึ้นข้อขาว ใบหน้าซีดเผือกผุดรอยยิ้มขมฝาด

           นางโกหก..

           เหม่ยลี่ก้มหน้านิ่งภาวนาให้ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้เชื่อนางและรีบดื่มสุราเข้าไปเร็วๆ

           เหวินเจิ้งจ้องมองจอกสุราด้วยดวงตาดำมืด หัวใจเจ็บปวดราวกับมีคนยื่นมือเข้ามาบีบเค้น เหวินเจิ้งยกจอกดื่มสุราลงคอรวดเดียวจนหมด

           เหม่ยลี่ลอบผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกระคนดีใจ

           “ดื่มอีกสักจอกไหมเพคะ” เหม่ยลี่รีบเอ่ยถาม เหวินเจิ้งได้ยินเช่นนั้นก็ยกยิ้มก่อนจะเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของเหม่ยลี่อย่างแผ่วเบา เหม่ยลี่รีบหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายตรงๆ

           เหวินเจิ้งมองสำรวจใบหน้าจิ้มลิ้มและร่างกายอ่อนแอ้นของเหม่ยลี่อย่างจาบจ้วง หย่งเซิงไม่ต้องการให้เขาแตะต้องนางถึงเพียงนี้ แล้วเขาจะแตะต้องนางได้อย่างไร ถ้าจะต้องโทษใครสักคนก็คงต้องเป็นตัวของเขาเองที่ไม่รู้จักห้ามใจตนเองให้มากกว่านี้

           รู้ทั้งรู้ว่าสักวันหย่งเซิงจะต้องสังหารเขา แต่ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีการโหดเหี้ยมเช่นนี้ หย่งเซิงล่อลวงจนเขาเผลอไผลมอบหัวใจให้อีกฝ่ายไปทีละเล็กทีละน้อยจนหมดหัวใจ สุดท้ายก็ส่งหญิงสาวนางนี้มาปลุกเขาให้ตื่นจากฝันหวานอย่างทารุณ

           นี้คงเป็นผลกรรมที่เขาคิดหึงหวงหย่งเซิงเมื่อกลางวัน ความขี้หึงของเขาได้ชักนำเขามาสู่สุราพิษไหนี่นี้เอง..

           เขาจำเหม่ยลี่ได้ เพราะเขาไม่เคยลืมชื่อของเหล่าราษฎร์ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกลากเข้ามาในวังหลวงอันเน่าเฟะ และนางเองก็เป็นหนึ่งในนั้น หลังจากเขาขึ้นครองราชย์ได้หนึ่งปี หญิงสาวนางนี้ก็ถูกคัดเลือกเข้ามาให้วังหลวง เขาถูกเหล่าขุนนางบีบคั้นให้ร่วมอภิรมย์กับนางหนึ่งคืน นับจากวันนั้นเขาก็จดจำนางเอาไว้ เพื่อที่ว่าสักวันหากเขามีโอกาส เขาจะชดเชยให้นาง ปลดปล่อยนางออกจากวังหลวงแห่งนี้ ให้นางได้ไปใช้ชีวิตที่ควรเป็นของนางข้างนอกนั้น

           หลายปีมานี้เขาได้ปลดปล่อยราษฎร์ผู้ถูกลากเข้ามาในวังหลวงมากมาย คิดว่าอีกไม่นานคงจะถึงตาของนางแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยนางเสียก่อน

           ร่างกายเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียขึ้นเล็กน้อย แต่มือที่ลูบไล้ใบหน้าของเหม่ยลี่ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด เป็นดวงตา จมูก หรือปากกันที่ทำให้หย่งเซิงจูงมือหญิงสาวนางนี้เข้าไปนั่งอยู่กลางหัวใจ

           แม้ว่านางจะเคยผ่านมือเขามาแล้วหย่งเซิงก็ไม่คิดสนใจหรือ ยังคงต้องการนางอยู่หรือ..

           “วันนี้เราอารมณ์ดีนัก เราจะดื่มให้หมด” หากหย่งเซิงต้องการให้เขาดื่มเขาก็จะดื่ม

           เขาเองก็เหน็ดเหนื่อยมานานแล้ว..

           “พะ.. เพคะ” เหวินเจิ้งละมือออกจากใบหน้าของเหม่ยลี่ ปล่อยให้นางรินสุราที่หย่งเซิงมอบให้

           “เจ้าเคยเป็นเพื่อนบ้านของหย่งเซิงหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพลางจิบสุราเข้าไปหนึ่งคำ เหม่ยลี่เหลือบมองเหวินเจิ้งเล็กน้อยก่อนจะตอบเสียงเบา

           “..เพคะ”

           “สมัยเด็ก.. หย่งเซิงเป็นอย่างไรบ้าง” เหวินเจิ้งจ้องมองสุราในจอกนิ่ง เหม่ยลี่ตื่นกลัวเล็กน้อยที่เหวินเจิ้งเอ่ยถามเรื่องสมัยเด็กของหย่งเซิง แต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี

           “สมัยยังเด็กราชองครักษ์เซิงเป็นคนเงียบขรึมไม่ต่างจากปัจจุบันเลยเพคะ” เหม่ยลี่ห้วนนึกถึงวัยเด็ก เพราะหย่งเซิงแตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันทำให้นางรู้สึกสนใจ ยิ่งได้มาพบกันตอนโตนางก็ยิ่งเคลิบเคลิ้ม ความนิ่งขรึมในสมัยเด็กถูกแทนที่ด้วยความน่าเกรงขามสมชายชาตรี

           “แล้วมีอะไรอีก” เหม่ยลี่เห็นว่าเหวินเจิ้งไม่มีท่าทีข่มขวัญเพียงถามด้วยความใคร่รู้เท่านั้นก็เริ่มรู้สึกวางใจก่อนจะเล่าเรื่องสมัยเด็กที่นางและหย่งเซิงเป็นเพื่อนบ้านกัน

           “สมัยนั้นหย่งเซิงลำบากมากเพคะ เพราะเขาและท่านแม่ถูกไล่ออกจากจวนเพราะภรรยาเอก..” เสียงหวานใสของเหม่ยลี่ดังคลอเคลียไปกับความเงียบงันของค่ำคืน โดยมีเหวินเจิ้งเอ่ยถามขึ้นบ้างเป็นระยะๆอย่างสนใจ ยิ่งเรื่องไหนที่เกี่ยวข้องกับความชอบของหย่งเซิงเหวินเจิ้งจะถามย้ำอีกครั้งเป็นพิเศษ

           เหม่ยลี่อาศัยความเพลิดเพลินของเหวินเจิ้งคอยแอบรินสุราใส่จอกให้อย่างไม่ขาดตกบ่งพร่อง เหวินเจิ้งเองยิ่งได้ฟังเรื่องราวก็ยอมดื่มสุราอย่างไม่อิดออด เสียงใสๆของเหม่ยลี่ยังคงดังอยู่ตลอดท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี

-------------------------------------------------

จิตตก : ตอนหน้าจะเปิดเผยอดีตของฮ่องเต้แล้วว

ขอบคุณนักอ่านทุกคนนะคะ

คอมเม้นของทุกคนเป็นกำลังใจให้เรามากๆๆๆเลยค่ะ

ลำนำจักรพรรดิเป็นนิยายเรื่องแรกที่เราแต่ง อาจจะมีติขัดไปบ้าง

จะพยายามปรับปรุงให้ดีที่สุดค่ะ

หวังว่าจะชอบกันนะคะ

ปล.เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาวนะคะ ตอนนี้ก็ดำเนินมาเกินครึ่งเรื่องแล้ว กลัวว่าแต่งยาวไปเนื้อเรื่องจะหลวม 5555  :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 03-05-2017 11:06:38
 :katai1: :katai1: ม่ายยยยยย อย่าเข้าใจผิดอาเซิงหึงฮ่องเต้ต่างหากก
 :serius2:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 03-05-2017 12:46:30
 :katai1:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-05-2017 13:49:51
น่าเศร้าใจจริงๆคงไม่มีไรแย่เท่านี้อีกความไม่เชื่อใจกันเองแท้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 03-05-2017 14:07:42
ฮ่องเต้ผู้น่าสงสาร  :hao5: ครึ่งเรื่องแล้วหรือคะ เศร้าใจ ขอให้ในสุราเป็นยานอนหลับ ฮ่องเต้จะได้เข้าใจว่าพี่เซิงหวงใครกันแน่

เป็นกำลังใจให้ท่านนักเขียน
ติดตามค่ะ
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-05-2017 17:29:35
คงไม่ใช่ยาพิษหรอกนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 03-05-2017 19:14:05
น่าจะเป็นยานอนหลับบลง ขอให้เป็นอย่างนั้น
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 03-05-2017 21:45:57
ทำไมนางมีความมโนสูงเยี่ยงนี้ o22 o22
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 03-05-2017 22:53:10
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 04-05-2017 07:33:30
โอ้ยลุ้นนน
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 04-05-2017 12:10:00
ต๊ายยย ผู้หญิงขี้มโนนนน  :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 04-05-2017 20:51:51
อ่านเพลินมากค่ะ ชอบ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part8] [03/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 05-05-2017 14:46:08
เหมยลี่คะ
เชิญอัปเปหิตัวเองออกไปห่างๆจากฮ่องเต้ด่วนๆค่ะ
ระวังเฮียหย่งเขาเอาดาบพาดคอเล่นนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 10-05-2017 10:17:50
บทที่ 9 อดีต

            “สวี่กงกง ท่านมีเรื่องอะไรจะคุยกับข้าหรือ” หย่งเซิงเอ่ยถามขึ้นในที่สุด หลังจากที่สวี่กงกงพาเขามายังหอสมุดเก่าที่ไร้ผู้คน เมื่อมาถึงก็ไม่ยอมพูดอะไรอยู่นานจนเขาต้องเป็นฝ่ายถามขึ้น

            “ราชองครักษ์เซิง เจ้าคิดว่าฝ่าบาททรงโหดร้ายหรือไม่” สวี่กงกงเอ่ยถามทั้งที่สายตายังคงมองเหม่อไปยังความมืดมิดนอกหน้าต่าง

            “...” หย่งเซิงไม่ตอบเพียงมองตามสายตาของสวี่กงกงเข้าไปในความมืดมิด

            “คนที่เปลี่ยนองค์ชายสี่ผู้ร่างเริงสดใสเป็นฮ่องเต้ผู้เหี้ยมโหดก็คือข้าเอง” น้ำเสียงแหบแห้งเพราะความสูงวัยสั่นเครือเล็กน้อยยามห้วนนึกถึงอดีต

            “ฮ่องเต้แต่เดิมนั้นเป็นทั้งน้องชายที่น่ารักและเป็นทั้งพี่ชายที่อ่อนโยน พระองค์ทรงใจดีกับทุกคนโดยไม่สนใจชนชั้นวรรณะ เป็นองค์ชายสี่ผู้งดงามเที่ยงธรรมสนับสนุนคนมีความสามารถ ไม่สนใจสินบน ไม่หลงใหลในนารี พระองค์เพียงทำงานหนักเพื่อราษฎร์” กล่าวถึงตรงนี้สวี่กงกงก็อดที่จะคลี่ยิ้มเล็กน้อยไม่ได้ “พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีของราษฎร์”

            “ยามนั้นอดีตฮ่องเต้ทรงเล็งเห็นถึงความสามารถอันโดดเด่นขององค์ชายสี่จึงคิดจะแต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท ทว่าเหล่าขุนนางและพระสนมผู้เป็นมารดาของเหล่าองค์ชายต่างไม่เห็นด้วย ฝ่ายขุนนางนั้นไม่เห็นด้วยเพราะองค์ชายสี่ทรงเที่ยงธรรมเกินไป พระองค์ทรงไม่รับสินบนและไม่ยอมปล่อยผ่านขุนนางที่กระทำความผิด ในขณะที่พระสนมต่างไม่เห็นด้วยเพราะหวังจะให้บุตรของตนได้ขึ้นครองราชย์”

            สวี่กงกงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “แม้แต่พระสนมซูเฟยผู้เป็นพระมารดาแท้ๆขององค์ชายสี่ก็ไม่เห็นด้วย พระนางหวังให้องค์ชายเจ็ดผู้เป็นน้องชายร่วมสายเลือดแท้ๆขององค์ชายสี่ขึ้นครองราชย์มากกว่า”

            “เพราะเหตุใด” หย่งเซิงเอ่ยถาม ถ้าว่ากันตามศักดิ์แล้ว เหวินเจิ้งที่เป็นพี่ชายควรมีสิทธิมากกว่าน้องชายก็เป็นเรื่องที่ถูกแล้ว อีกอย่างทั้งสองเกิดจากพระสนมซูเฟยเช่นเดียวกัน ไม่ว่าใครจะขึ้นครองราชย์พระนางก็น่าจะได้ประโยชน์เหมือนกัน

            สายตาสวี่กงกงหม่นแสงลง “เพราะพระนางรักองค์ชายเจ็ดมากกว่า องค์ชายเจ็ดนั้นหัวอ่อนเชื่อคำคนง่าย ต้นตระกูลของพระนางจะมีอำนาจมากขึ้นหากองค์ชายเจ็ดขึ้นครองราชย์ แตกต่างกับองค์ชายสี่ผู้สนใจคนมีความสามารถมากกว่าสายสัมพันธ์ของเครือญาติ องค์ชายทั้งสองสนิทกันมาก ผู้คนทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้ดีว่าทั้งสองพระองค์นั้นไม่มีใครคิดอยากจะขึ้นครองราชย์ จนกระทั่ง.. ข้าเสนอความคิดหนึ่งให้กับอดีตฮ่องเต้”

            หย่งเซิงละสายตาจากความมืดหันมามองใบหน้าด้านข้างของขันทีเฒ่า

            “ข้าเองก็เห็นถึงความสามารถขององค์ชายสี่เช่นกัน หากพระองค์ขึ้นครองราชย์ราษฎร์จะต้องอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขแน่นอน โดยไม่สนใจความคิดขององค์ชายสี่ ข้าได้เสนอให้อดีตฮ่องเต้พระราชทานสมรสแก่องค์ชายสี่ เพื่อสร้างฐานอำนาจให้องค์ชายสี่ หญิงสาวที่ถูกเลือกคือกู่ฮวา หญิงงามอันดับหนึ่งของแผ่นดิน บุตรสาวของใต้เท้ากู่ผู้เป็นที่เสื่อมใสของราษฎร์”

            “ยามนั้นองค์ชายสี่ผู้ใสซื่อมีพระชนม์มายุเพียงสิบห้าชันษา พระองค์เพียงน้อมรับนางไว้มิได้ระแคะระคายถึงความนัยที่มาพร้อมกับหญิงงาม นับตั้งแต่นั้นมาการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์เริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงัน พระองค์ทรงถูกลอบสังหารอยู่หลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ด้วยฝีมือราชองครักษ์ของอดีตฮ่องเต้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่คิดจะขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงคิดเพียงว่าหากพระองค์นิ่งเสียเหล่าพี่น้องจะเลิกราไปเอง”

            “ในยามนั้นมีเพียงองค์ชายสามและองค์ชายเจ็ดที่คอยอยู่เคียงข้างพระองค์ พระองค์ทรงไว้ใจองค์ชายทั้งสองมาก พระองค์ยอมเรียนวิชาตัวเบาเพื่อเอาไว้หนีมือสังหารจะได้ไม่ต้องพึ่งพาราชองครักษ์ให้เหล่าพี่น้องหวาดระแวงอีก แต่หลังจากนั้นไม่นานองค์ชายสามก็ถูกจับกุมข้อหาวางยาพิษองค์ชายเก้าจนสิ้นพระชนม์และต้องโทษประหารในที่สุด ยามนั้นท่านอาจารย์ขององค์ชายสามบุกมาที่ตำหนักขององค์ชายสี่เพื่ออ้อนวอนให้ช่วยชีวิตองค์ชายสามแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ องค์ชายสี่มิอาจช่วยได้ทันการณ์ท่านอาจารย์จึงลงมือปาดคอตนเองต่อหน้าต่อตาขององค์ชายสี่”

            หย่งเซิงห้วนนึกถึงยามที่เหวินเจิ้งเอ่ยถึงอาจารย์ผู้สอนวิชาตัวเบา ยามนั้นน้ำเสียงของเหวินเจิ้งฟังดูเศร้าสร้อยหดหู่นัก ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้

            “หลังจากนั้นกองกำลังที่องค์ชายสามแอบซ่องสุมไว้ก็โดนกวาดล้างจนเหี้ยน ที่แท้แล้วองค์ชายสามทรงวางแผนที่จะแย่งชิงบัลลังก์มาโดยตลอด.. เมื่อองค์ชายสี่รู้เข้าก็ทรงเสียพระทัยอย่างหนัก ยามนั้นองค์ชายเจ็ดแวะเวียนมาพบปะพูดคุยกับองค์ชายสี่บ่อยครั้งจนพระองค์กลับมาร่าเริงอีกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งในขณะที่ทั้งสองร่ำสุราด้วยกันองค์ชายเจ็ดกลับลอบวางยาพิษองค์ชายสี่..”

            “ที่แท้แล้วองค์ชายเจ็ดทรงถูกจางหลิน..ฮองเฮาองค์ปัจจุบันล่อลวงให้วางยาพิษองค์ชายสี่ พระนางหลงรักองค์ชายสี่มานานจึงวางแผนให้พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์”

            “หากองค์ชายเจ็ดวางยาพิษสำเร็จ องค์ชายสี่จะขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร” หย่งเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันก่อนความคิดหนึ่งจะวาบเข้ามาในหัว

            “ใช่ พระนางเพียงต้องการสร้างแรงจูงใจให้กับพระองค์ เมื่อองค์ชายสี่ตระหนักได้ว่าเหล่าพี่น้องโหดร้ายเพียงใด เมื่อนั้นพระองค์จะต้องลุกขึ้นมาสู้ด้วยตัวพระองค์เอง”

            “อดีตฮ่องเต้ก็ทรงทราบดีจึงได้ปล่อยให้องค์ชายเจ็ดวางยาพิษสำเร็จสินะ” น้ำเสียงเย้ยหยันของหย่งเซิงมิได้ทำให้สวี่กงกงโกรธเคืองแต่อย่างใด เพราะที่หย่งเซิงเอ่ยออกมานั้นล้วนเป็นความจริง พระองค์รู้ว่าองค์ชายเจ็ดตั้งใจจะลอบวางยาพิษองค์ชายสี่แต่ก็มิยอมช่วย เพราะอดีตฮ่องเต้ทรงต้องการให้องค์ชายสี่กลายเป็นฮ่องเต้ด้วยตัวของพระองค์เอง

            “ตอนนั้นองค์ชายเจ็ดถูกจับกุมข้อหาวางยาพิษและต้องโทษประหาร พระสนมซูเฟยจึงมาขอร้องให้อดีตฮ่องเต้ทรงประทานพระราชอภัยโทษให้แก่องค์ชายเจ็ด เมื่อไม่สำเร็จพระสนมก็ผูกคอตายด้วยความคั่งแค้น ต่อมาต้นตระกูลของพระนางก็ถูกสั่งประหารเจ็ดชั่วโคตรด้วยข้อหากบฏ”

            สวี่กงกงพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดในลำคออย่างยากลำบากพลางเอ่ยต่อ “ก่อนอดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์ได้เขียนราชโองการให้องค์ชายสี่ขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ และบอกความจริงแก่องค์ชายสี่ว่าเหล่าพระสนมชายาที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้นั้น แท้ที่จริงแล้วพวกนางล้วนเป็นคนรักของเหล่าองค์ชายพระองค์อื่น ที่อดีตฮ่องเต้สั่งจับแยกกันอย่างลับๆเพื่อให้ต้นตระกูลของพวกนางคอยค้ำจุลองค์ชายสี่ องค์ชายสี่ทรงตระหนักรู้ถึงสาเหตุที่เหล่าพี่น้องต่างตีตัวออกจากพระองค์ก็ยามนี่นี้เอง พระองค์พาหัวใจที่เต็มไปด้วยความรู้สึกละอายกลับไปยังตำหนัก แต่กลับต้องพบความจริงที่ว่า เหล่าพระชายาและสนมของพระองค์ต่างรวมตัวกันผูกคอตายที่ห้องนอนของพระองค์.. เพื่อไม่ให้เรื่องราวอัปมงคลเหล่านี้ถูกแพร่งพราย ข้าจึงสั่งให้ปิดข่าวและปล่อยข่าวลือว่าองค์ชายสี่ทรงสังหารพระชายาและเหล่าสนมด้วยตัวของพระองค์เอง”

            หย่งเซิงเหม่อมองออกไปยังความมืดมิดนอกหน้าต่างด้วยหัวใจปวดหนึบยามนึกถึงความรู้สึกของร่างโปร่งที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนั้นเพียงลำพัง

            “หลังจากขึ้นครองราชย์พระองค์ทรงประหารชีวิตองค์ชายทั้งสามพระองค์ที่คิดก่อการกบฏด้วยตัวของพระองค์เอง แต่เพื่อมิให้ชื่อเสียงขององค์ชายทั้งสามต้องเสียหายพระองค์จึงได้ปล่อยข่าวลวงออกไปว่าองค์ชายทั้งสามพระองค์ถูกองค์ชายสี่ฆ่าเพื่อแย่งชิงบัลลังก์ จากนั้นก็เนรเทศเหล่าองค์ชายที่เหลือที่ถูกพรากจากคนรักออกไปยังนอกแคว้น.. เพื่อปลดปล่อยเหล่าออกองค์ชายออกไปจากกรงขังแห่งนี้”

            “เป็นเช่นนี้เอง..” เพราะเหตุนี้พระองค์จึงได้เกลียดชังอดีตฮ่องเต้อย่างนั้นหรือ “แล้วคนของอดีตฮ่องเต้เล่า”

            ท่านพ่อบอกเขาว่าเหวินเจิ้งเป็นคนกำจัดคนของอดีตฮ่องเต้ด้วยตัวของพระองค์เอง สวี่กงกงขอบตาแดงก่ำพลางตอบว่า

            “พระองค์เกลียดชังคนของอดีตฮ่องเต้แต่ก็มิอาจนิ่งดูดายเห็นพวกเขาโดนอัครเสนาบดีหย่งสังหารได้ จึงได้แอบส่งพวกเขาออกจากแคว้นอย่างลับๆจนหมด หลังจากนั้นก็ปล่อยข่าวลือว่าพระองค์ทรงฆ่าพวกเขาด้วยตัวของพระองค์เอง”

            “…”

            “..ราชองครักษ์เซิง ฝ่าบาทมิได้กลัวเจ็บจึงไม่ฆ่าตัวตาย ฝ่าบาทเพียงแค่กลัวว่าจะต้องตกนรกขุมเดียวกับเหล่าพระสนมเท่านั้น ฝ่าบาทแม้จะทรงเหน็ดเหนื่อยแต่ก็ไม่เคยทิ้งราษฎร์ของพระองค์” น้ำเสียงสวี่กงกงสั่นเครือ เป็นเขาเองที่เสนอความคิดพระราชทานสมรสให้แก่ฝ่าบาท ทั้งที่รู้ว่าพวกนางต่างพึงใจอยู่กับองค์ชายพระองค์อื่น ขุนนางที่เคยสนับสนุนพระองค์จึงเปลี่ยนฝ่ายเมื่อได้ยินข่าวว่าบุตรสาวของตนโดนองค์ชายสี่สังหาร

            “ราชองครักษ์เซิง เจ้าอย่าได้เกลียดชังฝ่าบาทเลยนะ” เขาเห็นสายตาที่ฝ่าบาทมองหย่งเซิง มันแตกต่างจากยามที่พระองค์มองพระชายาในอดีต แตกต่างจากยามมองเหล่าพี่น้อง แตกต่างจากยามมองเขา สายตาของพระองค์ลึกซึ้งและสุขใจ

            เขาไม่อาจทนมองฝ่าบาทถูกคนที่พระองค์พึงใจเกลียดชังได้อีกแล้ว เขารู้ว่าวันนี้ฝ่าบาททำลงไปด้วยอารมณ์หึงหวง ถึงแม้เขาจะดูไม่ออกว่าหย่งเซิงคิดเช่นไรกับฝ่าบาทแต่เขารู้ว่าหย่งเซิงมิได้ต้องการสังหารฝ่าบาทแน่ เพราะเหตุนี้เขาถึงยอมให้หย่งเซิงเดินตามฝ่าบาทอย่างใกล้ชิดเสมอ

            “ท่านวางใจเถิด” หย่งเซิงกล่าวเพียงเท่านี้ก็เดินผละออกมา เขายังคงสงสัย เหตุใดเหวินเจิ้งถึงยอมให้สวี่กงกงอยู่เคียงข้าง ทั้งที่คนของอดีตฮ่องเต้คนอื่นถูกขับออกไปจนหมด..

            สวี่กงกงมองตามแผ่นหลังสูงใหญ่ของหย่งเซิงไปจนลับสายตา ก่อนจะหันกลับมาจ้องมองความมืดมิดอีกครั้ง



            “ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาออกว่าราชการแล้ว

            “เข้ามา” เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับสวี่กงกงและขันทีรับใช้ก็เปิดประตูเข้าไปในตำหนัก ทุกอย่างในห้องดูเรียบร้อยดี เหม่ยลี่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในขณะที่เหวินเจิ้งนั่งดื่มสุราอยู่บนเก้าอี้

            “ฝ่าบาท..” ขันทีห้องทะเบียนหน้าเจื่อนเมื่อไม่เห็นร่องรอยของการร่วมอภิรมย์

            “อย่าเสียงดังประเดี๋ยวนางจะตื่น” เหวินเจิ้งเอ่ยปรามเบาๆ ในเมื่อนางเป็นคนที่หย่งเซิงพึงใจเขาเองก็ทำอะไรนางไม่ลง

            สวี่กงกงถอนหายใจโล่งอกเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถามเหวินเจิ้งด้วยความเป็นห่วง

            “ฝ่าบาท สีพระพักตร์ดูไม่ดีเลยพ่ะย่ะค่ะ ให้กระหม่อมตามหมอหลวงมาดีหรือไม่” สีหน้าของเหวินเจิ้งดูซีดเซียวและอ่อนล้านัก

            “ไม่ต้อง ไปเถอะ” เหวินเจิ้งยันกายลุกจากเก้าอี้ก่อนจะเดินมาหยุดที่ข้างกายสวี่กงกงแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “หย่งเซิงเล่า”

            “..อยู่ด้านนอกพ่ะย่ะค่ะ”

            “ปล่อยข่าวออกไปว่าเรามิได้ร่วมอภิรมย์กับนาง” กล่าวจบเหวินเจิ้งก็เดินออกไปทันที

            สวี่กงกงมองแผ่นหลังตั้งตรงด้วยความเจ็บปวด ท่าทางอ่อนล้าของเหวินเจิ้งเมื่อครู่อันตรทานหายไปจนหมด มีเพียงท่วงท่าองอาจสง่างามเท่านั้นที่จะเผยให้ผู้คนได้เห็น

            เมื่อก่อนมีเพียงวังหลวงที่กัดกร่อนจิตใจฝ่าบาท บัดนี้ความรักกลับมีอนุภาพที่ร้ายแรงยิ่งกว่า มันกำลังจะคร่าชีวิตของพระองค์..

            เมื่อเหวินเจิ้งเดินออกมานอกตำหนักก็เห็นขบวนตามเสด็จรออยู่ ที่หัวขบวนมีหย่งเซิงยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว เหวินเจิ้งเห็นเช่นนั้นก็แสร้งยิ้มละไมอย่างเคยพลางเดินเอามือไพล่หลังเข้าไปหา

            “หย่งเซิง เจ้าเลิกงอนเราแล้วหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า แต่มือที่ไพล่หลังกลับบีบเข้าหากันแน่น เมื่อวานตอนที่เห็นว่าหย่งเซิงกลับไปยืนที่ท้ายขบวนเหมือนเมื่อก่อน เขาทั้งเจ็บปวดใจ ทั้งน้อยใจ รู้สึกไม่มั่นคงอย่างที่เคย แม้แต่ตอนนี้การเฝ้ารอคอยคำตอบของอีกฝ่ายช่างแสนทรมาน

            เขากำลังกลัวว่าจะถูกเกลียด..

            “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” คำพูดที่ฟังดูห่างเหินทำให้หัวใจเหวินเจิ้งบีบรัดจนพูดไม่ออก

            “..อืม” เหวินเจิ้งเพียงครางรับคำในลำคอก่อนจะเดินเลยผ่านหย่งเซิงออกไป ขอบตาคู่สวยร้อนผ่าวพยายามกล้ำกลืนก้อนเหนียวหนืดในลำคออย่างยากลำบาก ทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม

            “ฝ่าบาท ฉลองพระองค์..” สวี่กงกงรีบเดินตามประกบเหวินเจิ้งด้วยความเป็นห่วง ใกล้ถึงเวลาออกว่าราชการแล้วแต่สีพระพักตร์ของฝ่าบาทดูไม่ดีเลย

            “..เราจะกลับไปเปลี่ยนที่ตำหนักก่อนแล้วค่อยตรงไปท้องพระโรง” เหวินเจิ้งตอบทั้งที่เท้ายังก้าวไปข้างหน้าไม่หยุด พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่นเกินไปนัก

            “พ่ะย่ะค่ะ..” สวี่กงกงเหลือบมองร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงที่ด้านข้าง ใบหน้าของหย่งเซิงเรียบสนิทยากจะคาดเดาอารมณ์





            ท้องพระโรง

            “อัครเสนาบดีหย่ง โจรชั่วที่บุกเข้าจวนใต้เท้าจางเป็นเช่นไรบ้าง”

            “ทูลฝ่าบาท ยังจับตัวไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยตอบพลางซ่อนสีหน้าเคียดแค้น ขุนนางในราชสำนักทุกคนต่างรู้ดีว่าแพะรับบาปที่พวกเขาหามาถูกฝ่าบาทปล่อยตัวไป

            ทำให้ตอนนี้ห้องขังว่างเปล่า เขากลายเป็นบุคคลไร้ความสามารถที่ไม่สามารถจับกุมพวกโจรชั่วได้ ราษฎร์ต่างก็ระส่ำระส่ายด้วยความหวาดกลัว

            “อัครเสนาบดีหย่ง เราไม่นึกเลยว่าท่านจะไร้ความสามารถถึงเพียงนี้” เหวินเจิ้งยังคงประดับรอยยิ้มละไมไว้บนใบหน้าอย่างเคย

            บรรดาขุนนางต่างลอบกลืนน้ำลาย บรรยากาศในท้องพระโรงวันนี้ช่างกดดันเสียจนพวกเข้าไม่กล้าสบตาฮ่องเต้โดยตรง

            “ขออภัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันตอบ
            “ในยามที่โจรชั่วลอยนวลเช่นนี้ พวกเจ้ากลับยังมีแก่ใจถวายฎีกาให้เราร่วมอภิรมย์กับเหล่าสนมอีกหรือ” น้ำเสียงนุ่มทุ้มอันแน่นไปด้วยโทสะ เหวินเจิ้งเอ่ยพลางโยนฎีกาทีละม้วนทีละม้วนลงไปกลางท้องพระโรง
            เหล่าขุนนางก้มหน้าจนคางชิดอก วันนี้ฮ่องเต้ทรงอารมณ์ไม่ดีหรือไร เหตุใดวันนี้จึงมากดดันพวกเขาเช่นนี้

            “ฝ่าบาท สายเลือดมังกรเป็นเรื่องสำคัญพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่กลัวตาย น้ำเสียงเจือความไม่พอใจอยู่หลายส่วน

            “ชีวิตของราษฎร์ถือเป็นเรื่องสำคัญที่แท้จริง อัครเสนาบดีหย่งท่านทำให้เราผิดหวังนัก เหตุใดท่านถึงได้ชักช้ายิ่งนัก!” น้ำเสียงของเหวินเจิ้งค่อยๆไต่ระดับดังขึ้น เหงื่อผุดซึมเต็มแผนหลังของเหล่าขุนนางด้วยความหวาดกลัว

            “ฝ่าบาท ได้โปรดคลายโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าขุนนางคุกเข่าตัวสั่นเทิ้ม

            อัครเสนาบดีหย่งคุกเข่าทั้งที่ในใจยังครุ่นคิด ฝ่าบาทมีโทสะที่เขาไม่อาจจับโจรชั่วได้จนเวลาผ่านมาเนินนาน หรือมีโทสะที่เขากระทำการใดชักช้ากัน?

            เหวินเจิ้งมิได้สั่งให้ขุนนางลุกขึ้นอย่างที่เคยกลับลุกขึ้นเดินออกจากท้องพระโรงไปทันที สร้างความงุนงงให้กับเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารที่รออยู่ด้านนอก

             เหล่าขันทีและราชองครักษ์รีบจัดขบวนเดินตามเหวินเจิ้งอย่างรวดเร็ว เหวินเจิ้งยังคงเดินด้วยท่าทีสบายๆแต่ความเร็วกลับไม่ลดลงเลยจนกระทั่งไปหยุดที่สวนดอกบัว

            สวนดอกบัวแห่งนี้เป็นที่ที่เขาชอบมากที่สุดในวังหลวง เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่ยิ่งหายใจหัวใจก็ยิ่งเจ็บแปล็บ แม้จะอยู่ท่ามกลางสายลมและกลิ่นหอมของดอกบัว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกเหมือนกับถูกกักขังในกรงแคบๆ หันไปมองทางไหนก็มืดมิดไร้ทางออก

            นี้เป็นครั้งแรกหลังจากขึ้นครองราชย์ที่เขาควบคุมตัวเองไม่ได้เช่นนี้ รู้สึกอย่างวิ่งหนีออกไปให้ไกล ให้ห่างไกลจากวังหลวงแห่งนี้ แต่ที่เท้าของเขากลับถูกโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นคอยลากเขากลับมายังกรงขังแห่งนี้เสมอ เขารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง แต่ก็มิอาจปลิดชีวิตตัวเองได้

            หย่งเซิงมองแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวและสิ้นหวังของเหวินเจิ้ง ดวงตาดำสนิทฉายแววเวทนาสงสารจับใจ ยิ่งเห็นเหวินเจิ้งเหน็ดเหนื่อยเขาก็ยิ่งอยากโอบกอดอีกฝ่ายไว้ ความสิ้นหวังของเหวินเจิ้งแผ่ขยายออกมาบีบรัดหัวใจเขาจนยากจะหายใจ

            เหวินเจิ้งค่อยๆหันหน้ากลับมาหาหย่งเซิงราวกับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมองอยู่ เหวินเจิ้งจ้องมองเขาไปในดวงตาสีดำสนิทของอีกฝ่ายก็จะขยับปากโดยไร้เสียง

            ‘ข้าเหนื่อยและทรมานเหลือเกิน.. หย่งเซิง’
            หย่งเซิงมองภาพนั้นนิ่งก่อนจะเดินเข้าไปผลักร่างโปร่งของเหวินเจิ้งจนหงายหลังตกสระน้ำไปด้วยกัน ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
            สวี่กงกงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสีแต่ก็ไม่กล้าทำอะไรวู่วาม เขามั่นใจว่าหย่งเซิงไม่คิดจะสังหารเหวินเจิ้งแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงทำเช่นนี้

            ในขณะที่ข้าราชบริพารคนอื่นได้แต่ยืนนิ่งชั่งใจว่าควรกระโดดลงไปช่วยฮ่องเต้ดีหรือไม่ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าหย่งเซิงเป็นบุตรชายของอัครเสนาบดีหย่ง ที่ได้รับมอบหมายให้วางยาพิษฝ่าบาท หากพวกตนทะเล่อทะล่าเข้าไปช่วยอาจจะทำให้ผิดแผนได้

            เหวินเจิ้งที่โดนผลักตกน้ำหลับตานิ่ง เขาไม่มีแม้แต่แรงจะขัดขืน หรือแท้ที่จริงแล้วเขาไม่อยากขัดขืนนั้นเอง เมื่อร่างกายสัมผัสโดนสายน้ำอันเย็นเยียบร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

            ในขณะที่ร่างกายกำลังหนาวเหน็บอยู่ๆก็รู้สึกอุ่นวาบที่ริมฝีปาก เมื่อลืมตาขึ้นมองก็เห็นร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิง กำลังป้อนอากาศให้กับเขา ดวงตาดำสนิทที่กำลังจ้องมองเขาช่างมั่นคงให้ความรู้สึกปลอดภัยนัก ฉับพลันร่างกายก็รู้สึกอบอุ่น

            หย่งเซิงกำลังกอดเขา กำลังให้ความอบอุ่นแก่เขา เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว คราวนี้เขาไม่ได้ฝืนกลั้นน้ำตาอีก เพียงปล่อยให้มันไหลออกมา อาศัยน้ำช่วยชะล้างความอ่อนแอของเขาให้หมดไป เขากอดหย่งเซิงแน่น แน่นที่สุดเท่าที่แรงของเขามี ขอเพียงชั่วขณะนี้เท่านั้น ให้หย่งเซิงเป็นคนของเขา คนของเขาเพียงคนเดียว..

            “ฝ่าบาท!” สวี่กงกงรีบปรี่เข้ามาก่อนจะห่มผ้าแห้งลงบนตัวของเหวินเจิ้งทันทีที่หย่งเซิงอุ้มเหวินเจิ้งขึ้นจากน้ำ

            “ราชองค์รักษ์เซิง!” ราชองครักษ์ต่างกรูกันเข้ามาชี้ดาบใส่หย่งเซิงทันที

            หย่งเซิงมองดาบที่ชี้มาทางตัวเองด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะไล่มองหน้าราชองครักษ์ทีละคน ทุกคนล้วนก้มหน้ามิกล้าสบตา พวกเขาก็ไม่รู้ว่าทำเช่นนี้ทุกต้องไหม ทีแรกคิดว่าราชองครักษ์เซิงคงตั้งใจสังหารฮ่องเต้ในน้ำ แต่ร่างสูงกลับอุ้มฮ่องเต้ขึ้นจากน้ำเสียอย่างนั้น พวกเขาทุกคนต่างก็สับสนมึนงง

            หากพวกเขาไม่จับกุมหย่งเซิงเกรงว่าคงจะต้องถูกฝ่าบาทประหารด้วยโทษฐานสมรู้ร่วมคิด

            “พวกเจ้าจะจับกุมหย่งเซิงหรือจะสังหารเรากันแน่” เหวินเจิ้งที่ถูกหย่งเซิงอุ้มอยู่ยื่นมือไปปัดดาบที่ชี้มาทางหย่งเซิงอย่างแรงจนมือเป็นแผลถูกบาด ราชองครักษ์ที่ถูกปัดดาบหน้าซีดเผือก

            “ฝ่าบาท!” หย่งเซิงตะคอกเหวินเจิ้งเสียงดัง บาดแผลที่มือของเหวินเจิ้งเลือดไหลไม่หยุด หย่งเซิงรีบวางเหวินเจิ้งลงกับพื้นก่อนจะรีบฉีกแขนเสื้อตัวเองออกมาพันรอบมืออีกฝ่ายอย่างเบามือ

            เหวินเจิ้งมองสีหน้าเคร่งเครียดของหย่งเซิงอย่างสุขใจ อย่างน้อยๆหย่งเซิงก็เป็นห่วงเขา เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว

            “ไม่ต้องตื่นตระหนกไป เราไม่เป็นไร” เหวินเจิ้งชักมือกลับทันทีที่หย่งเซิงพันแผลให้เรียบร้อยก่อนจะลุกขึ้นยืน “เราเพียงหน้ามืดจนหงายหลังตกลงไปในสระเท่านั้น.. ใช่ไหม”

            เหวินเจิ้งส่งรอยยิ้มละไมให้กับราชองครักษ์และขันทีคล้ายกดดันให้พวกเขาต้องพยักหน้ารับ

            “พ่ะย่ะค่ะ” เหล่าราชองครักษ์ต่างเหงื่อซึมเต็มแผนหลัง เห็นอยู่ชัดๆว่าหย่งเซิงผลักฮ่องเต้จนตกน้ำ เหตุใดฮ่องเต้ถึงบอกว่าพระองค์หน้ามืดได้เล่า ถึงจะสงสัยแต่พวกเขาก็ไม่มีใครกล้าถาม

            “สวี่กงกง หย่งเซิงเป็นราชองครักษ์เพียงคนเดียวที่กระโดดลงไปช่วยเรา เราควรปูนบำเหน็จให้หย่งเซิงดีหรือไม่” เหวินเจิ้งแสร้งหันไปถามสวี่กงกงที่ยืนสับสนอยู่ด้านข้าง สวี่กงกงนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนจะตอบรับเบาๆ

            “พ่ะย่ะค่ะ”

            ราชองครักษ์คนอื่นต่างหน้าซีดเผือก พระองค์ตั้งใจจะทำอะไรพวกเขาพอจะคาดเดาได้แล้ว เมื่อก่อนฝ่าบาทมักแสร้งทำท่าจะตกน้ำให้พวกเขาต้องรีบกระโดดลงไปช่วยเก้อเสมอ บัดนี้พระองค์ทรงตกน้ำจริงๆ พวกเขากลับไม่มีใครยื่นมือลงไปช่วยสักคน

            “ดี เช่นนั้นเจ้าก็ไปจัดการให้ดี ให้สมกับคุณความดีที่หย่งเซิงได้ช่วยชีวิตเราไว้ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินหรือเงินทอง หากเจ้าเห็นว่าสมควรก็จัดการมอบให้หย่งเซิงเสีย” หย่งเซิงจ้องมองเหวินเจิ้งตาไม่กระพริบ ฮ่องเต้เสียสติคิดจะทำอะไรกันแน่

            “ฝ่าบาท เป็นกระหม่อมเลินเล่อ ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เหล่าราชองครักษ์ต่างรีบคุกเข่าด้วยแน่ใจแล้วว่าฮ่องเต้ต้องการตำหนิพวกเขาเป็นแน่

            “ในเมื่อพวกเจ้าร้องขอเช่นนั้นเราจะใจร้ายได้อย่างไร” เหวินเจิ้งเหยียดตามองราชองครักษ์ที่ตัวสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว “จับพวกมันทั้งหมดกดน้ำเป็นเวลาสามวันสามคืนจากนั้นก็ปลดพวกมันทุกคนออกจากตำแหน่งราชองครักษ์เสีย”

            จับกดน้ำ!

            ราชองค์รักษ์ที่คุกเข่าอยู่ต่างหน้าซีดสลับเขียวคล้ำ การจับกดน้ำเป็นวิธีที่พวกเขาใช้ทรมานพวกนักโทษ พวกเขารู้ฤทธิ์ของมันดี นักโทษจะต้องโดนจับกดน้ำเมื่อใกล้หมดลมหายใจก็จะถูกกระชากขึ้นมาจากน้ำได้โอกาสในการหายใจจากนั้นก็จะถูกระชากลงไปในน้ำอีกครั้งทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา อาจทำให้คนคนหนึ่งเป็นบ้าได้เลย

            “ฝ่าบาท..”

            “เป็นพวกเจ้าเอ่ยขอการลงโทษ เมื่อเรามอบให้ พวกเจ้ากลับไม่พอใจหรือ” เหวินเจิ้งเอามือไพล่หลังถามอย่างอารมณ์ดี เหล่าราชองครักษ์ทำได้เพียงก้มหน้ายอมรับการลงโทษแต่โดยดี

            “ฝ่าบาทรีบไปเปลี่ยนฉลองพระองค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ แผลที่มือก็ด้วย” สวี่กงกงเอ่ยเตือนก่อนจะหันไปสั่งให้ขันทีน้อยวิ่งไปตามหมอหลวง

            “เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” เหวินเจิ้งเดินผ่านเหล่าราชองครักษ์ไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย

            หย่งเซิงรีบก้าวเท้าตามไปแต่กลับถูกหนึ่งในราชองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่จับชายเสื้อเอาไว้ทำให้ต้องชะงักเท้าลง หย่งเซิงปรายตามองเหล่าราชองครักษ์ด้วยสีหน้าเรียบเฉย พวกนั้นมีท่าทางอึกอักเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

            “เจ้า.. ช่วยแจ้งอัครเสนาบดีหย่งให้ช่วยพวกข้าได้หรือไม่” หย่งเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะสะบัดชายเสื้อให้หลุดจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายก่อนเอ่ยตอบ

            “แล้วจะแจ้งให้” เหล่าราชองค์รักษ์มีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวขอบคุณ

            หย่งเซิงเมินเฉยท่าทางดีใจของราชองครักษ์แล้วรีบสาวเท้าเดินตามร่างโปร่ง ไม่รู้ว่าบาดแผลที่มือของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรบ้าง ในอกเขาสุมไปด้วยไฟโทสะ ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ช่างน่าตายเสียจริงๆ!


-------------------------------------

ในที่สุดก็เปิดปมของเหวินเจิ้งกันแล้ววว

เห็นนักอ่านรู้สึกปวดใจไปกับตัวละคร เราก็แอบดีใจนิดๆ (?)

ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  :hao4:

หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 10-05-2017 10:36:04
รอแล้วรออีกเลยสำหรับเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: l2_in* ที่ 10-05-2017 11:53:57
ฮ่องเต้ ยิ่งรู้ยิ่งน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 10-05-2017 12:23:25
 :katai1: :katai1: สงสารฮ่อองเต้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 10-05-2017 13:28:05
 :hao5: :hao5: :hao5: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: whistle ที่ 10-05-2017 15:52:10
สงสารเหวินเจิ้ง.....
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 10-05-2017 16:05:43
เป็นองค์ชายแล้วอย่าง
เป็นฮ่องเต้แล้วอย่างไร
มีอำนาจแล้วช่วยอะไรได้
เฮ้ออออออ สงสารเหวินเจิ้งสุดใจ
เฮียหย่งปกป้องฮ่องเต้ของเราให้ดีๆนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 10-05-2017 17:32:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 10-05-2017 20:43:00
 :o12: สงสารฮ่องเต้ ข้าน้อยขอฝากพี่หย่งกำราบฮ่องเต้สักสิบกระบวนท่าเถอะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 10-05-2017 21:32:38
สงสารอ่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 10-05-2017 23:19:01
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 10-05-2017 23:44:38
มาแล้วๆๆ จุดพลุฉลอง :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 11-05-2017 01:58:58
รออออออออออออออออออ o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 11-05-2017 20:13:15
ถ้าไม่มี่ฮ่องเต้สักคน
ชาวบ้านเดือดร้อนแน่
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 11-05-2017 21:11:51
บีบคั้นสุด ๆ แต่เราชอบอ่านมาก
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 11-05-2017 22:31:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 11-05-2017 23:05:00
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part9] [10/05/17] [P.3]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 19-05-2017 21:13:59
บทที่ 10 สมหวัง

          “โชคดีที่บาดแผลไม่ลึกเท่าไร เพียงไม่กี่วันก็ถอดผ้าพันแผลได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะสั่งให้คนต้มยาเผื่อเอาไว้ หากฝ่าบาททรงรู้สึกปวดแผลก็ให้จิบทีละน้อย” หมอหลวงเอ่ยอย่างนอบน้อมหลังจากรักษาบาดแผลที่ข้อมือของฮ่องเต้เป็นที่เรียบร้อย

          “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าไปได้แล้ว” เหวินเจิ้งโบกมือไล่หมอหลวงอย่างเกียจคร้าน หมอหลวงเห็นเช่นนั้นก็รีบโค้งกายถอยออกไปจากตำหนักบรรทม

          “สวี่กงกง..” เหวินเจิ้งเอื้อมมือไปหยิบเศษผ้าที่เปื้อนเลือดขึ้นมาดู

          เศษผ้านี้คือชายแขนเสื้อของหย่งเซิงที่ฉีกมาทำแผลให้เขา เมื่อนึกถึงสีหน้าโกรธขึงของอีกฝ่าย เหวินเจิ้งก็อดยกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ คนผู้นี้กำลังโกรธเพราะเขา ความคิดนี้ทำให้เขาอารมณ์ดีนัก

          อารมณ์ความรู้สึกของเขาถูกผูกติดกับอีกฝ่ายมากเกินไปแล้ว..

          “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบสาวเท้าเข้ามาใกล้

          “นับแต่นี้มอบหน้าที่ราชองครักษ์ทั้งหมดให้หย่งเซิงเสีย” เหวินเจิ้งไล่นิ้วมือไปตามชายผ้าอย่างสุขใจ

          “ฝ่าบาท..” หากพระองค์ไม่มีราชองครักษ์คอยรับใช้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจะทำเช่นไร

          “มีราชองครักษ์หลายคนก็เท่ากับมีมือสังหารหลายคนมิใช่หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่สายตายังคงจ้องมองเศษผ้า

          สวี่กงกงชั่งใจเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

          “หากฝ่าบาทพอใจ กระหม่อมจะหาคนที่.. ไว้ใจได้มารับตำแหน่งราชองครักษ์พ่ะย่ะค่ะ”

          “สวี่กงกง คนที่ไว้ใจได้ไม่มีอีกแล้วในวังหลวงแห่งนี้ ดูอย่างหมอหลวงผู้นั้นสิทำหน้าดีใจใหญ่เชียวเมื่อเห็นว่าเราโดนวางยาพิษ”

          “อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ!” สวี่กงกงอุทานด้วยความตกใจจนร่างกายสั่นเทิ้ม

          “เราโดนวางยา”

          “ได้.. ได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ” อาหารทุกมื้อของฝ่าบาทมีเขาคอยดูแลอย่างเข้มงวด แล้วฝ่าบาทจะโดนวางยาได้อย่างไร

          “เอาเป็นว่าเรารู้ก็แล้วกัน” เมื่อเห็นทาทางตื่นตระหนกของสวี่กงกงเหวินเจิ้งก็เอ่ยปลอบ “อย่าตระหนกไป เราไม่ตายเร็วๆนี้หรอก”

          จากที่เขาสังเกต ร่างกายเขาเพียงอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรง บางครั้งรู้สึกเจ็บหน้าอกอยู่บ้าง

          มุมปากเหวินเจิ้งบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างเย้ยหยัน

          สวี่กงกงจนด้วยคำพูด ความตายเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทถวิลหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแล้วเขาจะไปห้ามฝ่าบาทได้อย่างไร เมื่อไม่นานมานี้เขาพึ่งมีความหวังเพราะฝ่าบาทดูมีความสุขมมากขึ้นเมื่ออยู่ใกล้หย่งเซิง แต่ดูเหมือนตอนนี้ความหวังนั้นจะริบหรี่เสียจนมองแทบไม่เห็น

          “สวี่กงกง”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

            “ตามหย่งเซิงให้เราที” เหวินเจิ้งสอดเศษผ้าเปื้อนเลือดเอาไว้ใต้หมอนอย่างถะนุถนอม
            สวี่กงกงมองภาพนั้นอย่างสะเทือนใจ ก่อนจะรับคำแล้วขอตัวออกไปตามหย่งเซิง ไม่นานหย่งเซิงก็ตามหลังสวี่กงกงเข้ามา
          “เป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยถามทันทีที่เห็นใบหน้าซีดขาวของเหวินเจิ้ง ใบหน้าหล่อเหลายังคงเรียบเฉยไม่แสดงความรู้สึก ทว่าน้ำเสียงที่ถามออกไปเจือความร้อนรนไม่น้อย

          “เราไม่เป็นไร น่าเสียดายที่เราตายยากกว่าที่คิด” เหวินเจิ้งยิ้มอย่างพึงพอใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงร้อนรนของอีกฝ่าย

          “…” หย่งเซิงไม่ตอบเพียงจ้องมองผ้าพันแผลที่ข้อมือของเหวินเจิ้งนิ่ง หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อยจนแทบดูไม่ออก

          “หย่งเซิง นับแต่วันนี้ไปเจ้าก็เข้ามาอารักขาเราในห้องบรรทมเถิดนะ”

          หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เหวินเจิ้งหมายความว่าให้เขานั่งเฝ้าพระองค์ยามหลับหรือ

          “เราไล่องครักษ์พวกนั้นไปแล้ว เหลือเพียงเจ้าคนเดียว ไหนๆเราก็ปูนบำเหน็จให้เจ้าเสียมากมาย เข้ามานั่งเป็นเพื่อนเรายามหลับเสียหน่อยได้หรือไม่.. หากเจ้าเงียบเราจะถือว่าเจ้าตอบตกลงนะ”

          ใบหูหย่งเซิงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยทว่าไม่ได้ปฏิเสธ

          “..ดี” เมื่อเห็นหย่งเซิงมิได้ปฏิเสธเหวินเจิ้งก็คลายมือที่กำเข้าหากัน พลางถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปสั่งสวี่กงกง “เราจะนั่งอ่านฎีกาที่นี้”

          “พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงออกไปยกฎีกาทั้งหมดมาไว้บนโต๊ะก่อนจะฝนหมึกเตรียมไว้ให้เหวินเจิ้งอย่างใส่ใจ

          “ฝ่าบาทควรพักผ่อน” หย่งเซิงเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นเหวินเจิ้งเดินตรงมายังโต๊ะเขียนอักษร

          “เราเพียงโดนบาดเล็กน้อย มิได้โดนตัดแขนเสียหน่อย” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางกวักมือเรียกให้หย่งเซิงเดินเข้ามาใกล้ๆ

          หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็เดินเข้าไปหาออย่างว่าง่าย

          “นั่งสิ” เหวินเจิ้งผายมือให้หย่งเซิงนั่งฝั่งตรงข้ามกับตน ก่อนจะหันไปโบกมือไล่สวี่กงกงให้ออกจากห้องไป

          หย่งเซิงยอมนั่งลงแต่โดยดีในขณะที่ดวงตาดำสนิทยังคงจับจ้องมาที่ใบหน้างดงามของเหวินเจิ้งอย่างไม่พอใจ

          “ที่เราบอกว่าชอบให้เจ้ามอง เรามิได้โกหก” เหวินเจิ้งยกยิ้มจนดวงตายักโค้ง ท่าทางน่ารักออดอ้อนทำให้หัวใจหย่งเซิงอ่อนยวบรีบหลุบตาลงต่ำซ่อนประกายประหลาดเอาไว้

          “หย่งเซิง.. เจ้าไม่ชอบเราก็ไม่เป็นไร เจ้ามีหญิงที่พึงใจแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเจ้าคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าเราจะสิ้นลม ไม่ว่าจะด้วยฐานะมือสังหาร องครักษ์.. หรือบ่อน้ำของเรา เราล้วนพอใจทั้งนั้น” น้ำเสียงจริงใจไร้แววหยอกล้ออย่างทุกครั้งทำให้หย่งเซิงเงยหน้าขึ้นสบตาเหวินเจิ้ง ในดวงตาดำขลับคู่สวยฉายแววสุขใจ ไม่มีความสิ้นหวังอย่างที่เขาเคยเห็นในสวนบัวอีกแล้ว

          หย่งเซิงรู้สึกวูบโหวง เขารู้ความหมายของอีกฝ่าย เหวินเจิ้งเลือกที่จะมีความสุขก่อนที่ความตายจะมาเยือน และเลือกให้เขาอยู่เคียงข้างแม้จะรู้ว่าเขาเป็นคนสั่งให้เหม่ยลี่วางยาก็ตาม

          “ทรงรู้.. ว่าเป็นข้าหรือ” หย่งเซิงถามเสียงเบาหวิว

          “เราชอบเจ้า หากชีวิตเราทำให้แม่ของเจ้าได้สมปรารถนาก็ช่างเถิด” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงเบาคล้ายกับจะปลอบโยน “เราเคยบอกเจ้าไปแล้ว ว่าหากถึงเวลาเจ้าอย่าได้ลังเล.. เจ้าไม่ทำให้เราผิดหวังเลยจริงๆ”

          เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะพลางกางฎีกาออก

          หย่งเซิงร่างกายสั่นสะท้าน ฮ่องเต้ผู้นี้ชอบเขา ชอบเขาทั้งที่รู้ว่าเขาวางยาพิษ และถึงอย่างนั้นก็ยังคงอยากให้เขาอยู่เคียงข้าง ช่างโง่งมนัก!

          “ต่อให้ท่านไล่ ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะเป็นทุกอย่างให้ท่านเอง” หย่งเซิงเอ่ยเสียงหนักแน่น มันเป็นน้ำเสียงหนักแน่นที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาไม่อยากให้เหวินเจิ้งรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่อาจให้ร่างโปร่งที่แสนเปราะบางต้องทนทุกข์เพียงลำพัง เขาจะปลดปล่อยเหวินเจิ้งออกไปจากกรงขังแห่งนี้ด้วยตัวเขาเอง “ข้าจะปลอดปล่อยท่านเอง”

          เหวินเจิ้งชะงักก่อนจะละสายตาจากฎีกาขึ้นมาสบดวงตาดำสนิท จ้องมองมันอย่างลึกซึ้งโหยหา ก่อนจะดึงคอเสื้อของร่างสูงเข้ามาใกล้และประทับจุมพิตลงไป ครั้งนี้แผ่วเบาและอ่อนโยนมิได้รุนแรงเฉกเช่นก่อนหน้านี้

          “เจ้า.. อดทนกับเราหน่อยนะ ไม่นานนักหรอก” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่ริมฝีปากยังชิดติดกับริมฝีปากของหย่งเซิง

          หย่งเซิงได้ยินเช่นนั้นก็เกิดโทสะกัดริมฝีปากเหวินเจิ้งอย่างแรง แต่มิได้ทำให้เลือดออก เพราะเขาใจอ่อนเกินไป ทำอย่างไรฮ่องเต้เสียสติพระองค์นี้ถึงจะยอมมีชีวิตอยู่ต่อไปกันนะ

          เหวินเจิ้งดูจะพอใจไม่น้อยที่หย่งเซิงโต้กลับอย่างรุนแรง จึงยิ่งแนบริมฝีปากเข้าไปอีก ทั้งสองต่างพลัดกันรุกพลัดกันรับ จนเหวินเจิ้งหายใจไม่ทันหย่งเซิงจึงถอนริมฝีปากออก

          “ตอนนี้ เราชอบเจ้าไปหมดทั้งตัวแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยเสียงพร่าดวงตาหยาดเยิ้ม ใบหน้างดงามขึ้นสีระเรื่อพาให้คนมองจิตใจสั่นไหว

          หย่งเซิงหัวใจเต้นแรงใบหูแดงก่ำ รีบละสายตาออกจากใบหน้าแสนยั่วยวนของอีกฝ่าย พยายามอดทนอดกลั้นไม่ให้ความเร่าร้อนในร่างกายพลุ่งพล่าน

          “ท่านไม่อ่านฎีกาแล้วหรือไร หากไม่อ่านก็กลับไปนอนเสีย” หย่งเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง ใบหน้าเรียบเฉยขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย

          เหวินเจิ้งมองท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดของอีกฝ่ายด้วยอารมณ์หลากหลายความรู้สึกทั้งขมฝาดทั้งหวานล้ำ ถึงแม้หย่งเซิงจะไม่พอใจเขา แต่ก็ไม่ทิ้งเขาไปไหน เพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกสุขใจแล้ว เพียงแต่อดที่จะตัดพ้อโชคชะตาของเขามิได้ หากเขาได้พบกับหย่งเซิงในฐานะอื่น จะเป็นอย่างไรนะ เราสองคนจะได้เป็นสหายกันหรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้นหรือไม่

          อ่า.. ข้าชักจะโลภอีกแล้วสิ

          เหวินเจิ้งรีบกางฎีกาออกมาอ่านอีกครั้งเพื่อเบี่ยงเบนความคิดของตน ฎีกาเกือบทั้งหมดเป็นเรื่องที่ขุนนางเร่งเร้าให้เขามอบโอรสสวรรค์ให้กับฮองเฮา เหล่าขุนนางคิดอะไรอยู่ทำไมเขาจะไม่รู้ พวกมันคงคิดว่าหากเขาตายโดยทิ้งทายาทเอาไว้ พวกมันจะใช้ลูกของเขาเป็นหุ่นเชิดในการปกครองแผ่นดิน

          ให้ลูกของเขาไร้ซึ่งอำนาจ เพียงให้พวกมันคอยชักใยอยู่เบื้องหลังม่าน กำเริบเสิบสานเอารัดเอาเปรียบราษฎร์อย่างสมใจ แต่เขาไม่มีวันยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นหรอก

          เพราะเหตุผลนี้เขาจึงบ่ายเบี่ยงที่จะมอบโอรสสวรรค์ให้กับฮองเฮาเสมอมา และนี้ก็เป็นเหตุผลเดียวที่อัครเสนาบดีหย่งยังไว้ชีวิตเขามานานถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าอัครเสนาบดีหย่งจะไม่อาจอดทนรอต่อไปได้แล้ว จึงสั่งให้หย่งเซิงลงมือ เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน เขาไม่มีวันยอมให้ลูกของเขาต้องทนทุกข์ทรมานเป็นตุ๊กตาให้พวกโฉดชั่วของแผ่นดินชักใย

          บัลลังก์มังกรแห่งนี้ควรได้เวลาที่จะส่งต่อให้กับผู้ที่เหมาะสมกับมันอย่างแท้จริงแล้ว..

 

          “นั้นเกี๊ยวท่านอัครเสนาบดีหย่งหรือ”

          “ใช่ ข้าได้ยินมาว่าท่านยังจับเจ้าโจรชั่วที่บุกข้าจวนใต้เท้าจางมิได้เลย”

          “จริงหรือ นี้ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนะ”

          “จริงซิ! ฮ่องเต้ทรงพิโรธใหญ่ บอกว่าท่านอัครเสนาบดีหย่งนั้นช่างไร้ความสามารถนัก”

          “ฮ่องเต้เสียสติผู้นั้นกล้าต่อว่าอัครเสนาบดีหย่งผู้เที่ยงทำได้อย่างไรนะ!”

          เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นตามถนนที่เกี๊ยวของอัครเสนาบดีหย่งเคลื่อนผ่าน แน่นอนว่าม่านบางๆมิอาจกั้นเสียงซุบซิบนั้นได้หมด

          อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่น ตอนนี้ข่าวลือว่าเขาเป็นอัครเสนาบดีไม่ได้เรื่องถูกแพร่สะพัดไปในหมู่ราษฎร์เสียแล้ว เป็นเพราะฮ่องเต้เสียสติผู้นั้น!

          หากพระองค์ไม่ลอบปล่อยแพะรับบาปที่เขาหามา ป่านนี้ชื่อเสียงของเขาคงไม่มัวหมอง แม่แต่พวกโจรชั่วที่เขาจ้างไปถล่มจวนใต้เท้าจางก็หนีหาย ด้วยกลัวว่าเขาจะส่งพวกมันเข้าคุกจริงๆ

          เคร้ง!

          เสียงกรีดร้องของชาวบ้านและเสียงดาบกระทบกันดังขึ้นพร้อมกับเกี๊ยวที่หยุดชะงักลง

          “เกิดอะไรขึ้น” อัครเสนาบดีหย่งเลิกม่านขึ้นด้วยความตกใจ

          “เรียนนายท่าน พวกโจรที่เราตามหามันบุกเข้ามาขอรับ” องครักษ์คนสนิทกระซิบตอบเสียงเครียด “นายท่านรีบหนีเถิดขอรับ”

          อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หน้าถอดสี เจ้าพวกนี้คงตั้งใจจะมากำจัดเขาก่อนที่เขาจะตามล่าพวกมัน!

          “รีบไปจัดการพวกมันเร็วเข้า” อัครเสนาบดีหย่งสั่งเสียงต่ำ

          “นายท่าน” องครักษ์คนสนิทเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พวกโจรมีจำนวนเยอะกว่าพวกเขามาก หากสู้กันต่อไปเกรงว่านายท่านคง..

          “ข้าไม่หนี ต่อหน้าชาวบ้านหน้าโง่พวกนี้เจ้าจะให้ข้าหนีหรือ!” เขาจะไม่ยอมให้ชื่อเสียงที่เขาอุตส่าห์สั่งสมมาหลายสิบปีต้องป่นปี้เพราะพวกโจรถ่อยเด็ดขาด!

          ในช่วงขณะที่นั้นเองพวกโจรก็จัดการองครักษ์และสังหารคนห่ามเกี้ยวจนหมด เหลือเพียงอัครนาบดีหย่งและราชองครักษ์คนสนิทที่คอยคุ้มกันเป็นปราการสุดท้าย

          อัครเสนาบดีหย่งลอบกลืนน้ำก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำให้ชาวบ้านที่มุ่งดูอยู่ห่างๆด้วยความกลัวได้ยิน

          “พวกโจรถ่อย หากเจ้าต้องการชีวิตของข้าก็มารับไปเสีย อย่าได้แตะต้องชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่อง!” น้ำเสียงมั่นคงไม่หวั่นไหวแม้แต่ความตายทำให้ดวงตาที่ฉายความหวาดกลัวของชาวบ้านเปลี่ยนมาเป็นเหลื่อมใส

          “หึ อัครเสนาบดีหย่ง ในเวลาแบบนี้เจ้ายังคิดจะสร้างภาพให้กับตนอีกหรือ” หัวหน้าโจรเอ่ยด้วยความแค้น ทีแรกพวกเขารับเงินจากอัครเสนาบดีหย่งโดยตกลงกันว่าเขาจะไปถล่มจวนใต้เท้าให้ แลกกับฝ่ายอัครเสนาบดีหย่งต้องหาแพะมารับบาปแทนพวกเขา

          แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อแพะรับบาปที่อีกฝ่ายหามาหายไป และพวกเขาทุกคนถูกประกาศจับ ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามข้อตกลง หากพวกเขาต้องตายก็ขอลากเจ้าพวกขุนนางตัวดีลงนรกไปด้วยกัน!

          “ทางการเล่า” อัครเสนาบดีกระซิบถามราชองรักษ์เสียงเครียด

          “พวกชาวบ้านคงกำลังวิ่งไปตามแล้วขอรับ อีกไม่นานก็คงมา” องครักษ์ตอบเสียงเบา พลางตั้งท่าป้องกันเจ้านายเต็มที่

          อัครเสนาบดีหย่งเหงื่อซึมเต็มแผนหลัง เกรงว่าสถานการณ์ตอนนี้กว่าพวกทหารจะเคลื่อนตัวมาเขาก็คงหัวหลุดจากบ่าไปแล้ว!

          “พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดจึงบุกมาทำร้ายข้า” เขาต้องถ่วงเวลาให้นานที่สุด

          ราวกับพวกโจรอ่านความคิดได้พวกมันหัวเราะเสียงดังก่อนจะตะโกนก้อง

          “หึๆ อย่าได้ถ่วงเวลาอีกเลยนายท่าน พวกข้ามีได้โง่เขลาเช่นนั้น!” สิ้นเสียงตะโกนเหล่าโจรก็ปรี่เข้ามาที่เกี้ยว อัครเสนาบดีหย่งหน้าซีดเผือก คิดหาวิธีเอาตัวรอด ในชั่วขณะที่ดาบขององครักษ์คนสนิทปะทะกับดาบของโจรป่านั้นเองก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งพลิ้วกายเข้ามากลางวง เพียงฝ่ามือเดียวโจรหกคนที่บุกเข้ามาก็กระเด็นออกไปไกล

          ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ต่างจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่ตาค้าง ร่างสูงใหญ่คร้ามเข้มดูองอาจห้าวหาญ ดวงตาสีดำสนิทมืดมิดเสียจนอ่านความรู้สึกไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาเรียบเฉยไร้ความรู้สึก

          “เจ้าเป็นใครกัน!” หัวหน้าโจรตะโกนถามด้วยความตระหนก เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามียอดฝีมือเช่นนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง

          “อาเซิง!” อัครเสนาบดีหย่งครางชื่อของหย่งเซิงเบาๆ ไม่คิดเลยว่าคนที่มาช่วยเขาในยามนี้จะเป็นบุตรชายที่เขาแทบไม่ให้ความสำคัญ

          หัวหน้าโจรหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่เห็นว่าอัครเสนาบดีหย่งรู้จักยอดฝีมือเช่นนี้ พวกเขาพลาดไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะมียอดฝีมือออกโรงมาปกป้องเจ้าอัครเสนาบดีชั่ว เหล่าโจรต่างมองมาที่หัวหน้าโจรเป็นตาเดียว ไม่รู้ว่าควรเสี่ยงตายบุกเข้าไปหรือว่าจะหนีไปเลยตอนนี้ดี

          สายตาที่ชายร่างสูงใหญ่มองพวกเขาน่ากลัวจนเกินไป เพียงพริบตาที่สบกันก็ถึงกับทำให้ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านด้วยความกลัว แรงกดดันมหาศาลแผ่กระจายออกมาจากดวงตาคู่นั้นทำเอาพวกเขาขวัญหนีดีฟ่อไปหมดแล้ว

          “หัวหน้า..” ลูกสมุนคนหนึ่งเอ่ยเรียกหัวหน้าโจรที่กำลังยืนหน้าซีดเผือก หากจะหนีไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ไม่มีใครว่าหัวหน้าขี้ขลาดหรอก เป็นพวกเขาเองก็มิกล้าต่อกรเช่นกัน

          หย่งเซิงก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าวราวกับจะขู่ขวัญพวกโจร ยิ่งร่างสูงใหญ่ก้าวเข้ามาใกล้เหล่าโจรก็ยิ่งรนถอยลงไป พลังปราณอันแกร่งกล้ากดดันเสียจนพวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ

          “ไป..” หัวหน้าโจรเอ่ยออกมาเบาๆ แต่ราวกับเป็นเสียงสวรรค์ของเหล่าลูกสมุน พวกมันรีบเหินตัวหนีออกไปทันทีไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมาเก็บซากศพของเพื่อนโจรที่โดยหย่งเซิงซัดกระเด็นไปในทีแรกแม้แต่น้อย

          ทันทีที่พวกโจรหนีจากไปทหารของทางการก็เคลื่อนตัวมาถึงพอดี

          “เกิดอะไรขึ้นขอรับท่านอัครเสนาบดีหย่ง” หัวหน้ากองรีบปรี่เข้ามารับหน้าทันที พลางมองไปรอบๆ เห็นซากศพขององครักษ์และคนห่ามเกี๊ยวกระจัดกระจายเต็มพื้น

          “นายกอง เมื่อสักครู่มีโจรชั่วบุกเข้ามาสร้างความวุ่นวาย แต่ข้าไม่เป็นไร วานเจ้าไปดูทีว่าพวกชาวบ้านปลอดภัยดีหรือไม่” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

          พวกชาวบ้านที่ได้ยินเช่นนั้นต่างมองท่านอัครเสนาบดีด้วยความซาบซึ้ง

          “ขอรับ.. แล้วเขาคือ” นายกองรีบรับคำอย่างเอาใจก่อนจะหันไปเห็นหย่งเซิงที่กำลังเดินมาทางพวกเขา

          “ลูกชายข้า หย่งเซิง” สิ้นคำของอัครเสนาบดีหย่ง ชาวบ้านที่ยืนดูเห็นการณ์รอบข้างก็เสียงดังฮือขึ้นมาทันที

          “บุตรชายของอัครเสนาบดีหย่งหรือ!”

          “มิใช่ว่าท่านอัครเสนาบดีหย่งมีบุตรชายเพียงคนเดียวหรือ”

          “เก่งกาจนัก เห็นพลังฝ่ามือที่ใช้ซัดพวกโจรชั่วเมื่อกี้ไหม”

          “ช่างมีความกตัญญูนัก ถึงกับบุกฝ่าวงล้อมโจรชั่วเข้าไปช่วยบิดา”

          “สมแล้วที่เป็นลูกชายของท่านอัครเสนาบดี มีความสามารถน่าชื่นชมนัก”

          หย่งเซิงไม่สนใจเสียงชื่นชมที่ดังเซ็งแซ่อยู่รอบข้าง เพียงตรงเข้ามาหา ‘ท่านพ่อ’ ของเขาที่อยู่ในเกี๊ยวก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

          “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

          “เราไปคุยกันที่บ้านเถิดลูก” อัครเสานาบดีหย่งตอบน้ำเสียงอ่อนโยน

          หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น นี้เป็นครั้งแรกที่ท่านพ่อพูดจาอ่อนโยนกับเขา เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตนถึงกับกล้าพูดจาไพเราะกับเขาอย่างหน้าด้านเช่นนี้..

          หย่งเซิงก้มหน้าซ่อนรอยยิ้มเย้ยหยัน หากคนพวกนี้รู้ว่าท่านแม่และเขาถูกไล่ออกมาจากจวนอย่างไรมิรู้ว่าจะยังตั้งหน้าตั้งตาชื่นชมตาเฒ่ามากเล่ห์ผู้นี้ได้อีกหรือไม่

          “ท่านอัครเสนาบดีหย่ง ให้คนของข้าน้อยห่ามเกี๊ยวไปส่งเถิดขอรับ” นายกองเอ่ยปากอย่างเอาใจ

          “ต้องรบกวนท่านแล้ว”
-------------------------------------------------------
จิตตก : ตอนนี้ฮ่องเต้แอบรุกเบาๆ

ยิ่งทุกคนรู้สึกเจ็บจิ๊ดๆไปกับตัวละครเราก็ยิ่งดีใจ 555555

แปลว่าความรู้สึกของตัวละครส่งไปถึงนักอ่านทุกท่าน  :hao5:

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ  :hao4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 19-05-2017 21:24:22
สงสารฮ่องเต้อ่ะ ทำไมยอมทำร้ายตัวเองแบบนี้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 19-05-2017 21:37:38
จริงๆแล้วหยงเซิงก็ไม่ใช่คนดีเลยเริ่มไม่ชอบล่ะฮองเต้เธอจะโง่ไปล่ะนึกว่าจะฉลาดกว่านี้
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 19-05-2017 21:40:14
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-05-2017 21:47:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: Banarot ที่ 19-05-2017 22:31:20
 :ling3:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 19-05-2017 22:34:11
กตัญญูกับแม่(ที่เสียไปแล้ว)โดยการจะฆ่าคนรักของตัวเองนี่มันใช่เหรอคะ? ตอบ!
เฮียหย่งควรตัดสินใจนะคะว่าจะเลือกอะไร
จากใจ...พ่อเฮียหย่งตอแหลมากค่ะ

เหวินเจิ้งนี่ฉลาดไปทุกเรื่องเลยนะ
รู้ทุกอย่างแต่ไม่พูดอะไร
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 19-05-2017 22:50:19
ปลายทางสุดท้ายจะเป็นเช่นไรนะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: owlseason ที่ 19-05-2017 23:40:56
กลัวจะจบเศร้าอ่ะ
ฮืออ
 :mew2:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 20-05-2017 02:29:49
เออ เราชักงงกับทั่นองครักษ์แล้วสิ ตกลงแกจะรักฮ่องเต้คอยดูแลหรือจะฆ่านางกันแน่ -*-
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 20-05-2017 19:51:05
 :katai1: นึกว่าจิ้งจอกเฒ่าจะโดนล่ะ รอดไปได้อีก  :katai1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: pare_140 ที่ 20-05-2017 22:46:27
 :katai1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part10] [19/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 24-05-2017 23:20:23
บทที่ 11 ความสุข

          หลังจากกลับมาถึงจวน อัครเสนาบดีหย่งก็เดินนำหย่งเซิงเข้าไปในโถงก่อนจะเดินไปนั่งที่ตำแหน่งประธาน หย่งเซิงเดินตามเข้ามาเงียบๆ แต่มิได้นั่งลง เพียงยืนอยู่ที่กลางห้องโถงด้วยใบหน้าเรียบเฉย

          “เจ้าทำได้ดีมาก” อัครเสนาบดีหย่งยกยิ้มอย่างพอใจ

          หมอหลวงส่งข่าวมาบอกเขาว่าหลายวันมานี้ฮ่องเต้ทรงร่างกายอ่อนแอลงมาก ยามออกว่าราชการก็มีท่าทีอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้างดงามที่เคยเปล่งปลั่งบัดนี้ซีดเซียวลงไปมากจนเหล่าขุนนางแทบจะหุบยิ้มไม่อยู่

          “หวังว่าท่านจะรักษาสัญญา” หย่งเซิงยังคงใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาดำสนิทจ้องมองผู้เป็นบิดาอย่างเย็นชา เหตุใดท่านแม่ของเขาจึงได้โง่งมหลงใหลได้ปลื้มบุรุษเลือดเย็นผู้นี้กัน

          “ยอมแน่นอน” การรักษาสัญญาเรื่องนำป้ายหลุมศพภรรยารองของเขาไปไว้ในศาลบรรพชนนั้นง่ายเสียยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ

          สายตาที่อัครเสนาบดีหย่งจ้องมองหย่งเซิงนั้นดูห่างเหินจนแทบดูไม่ออกว่าเป็นพ่อลูกกัน หย่งเซิงเองก็มิได้อยากจะนับญาติกับบิดาใจร้ายผู้นี้เท่าไรนัก จึงตั้งใจไว้ว่าหากเรื่องทุกอย่างจบลง เขาจะไม่กลับมาเหยียบเมืองหลวงแห่งนี้อีก

          “เช่นนั้นข้าขอตัว” ในขณะที่หย่งเซิงกำลังจะหันหลังจากไปอัครเสนาบดีหย่งกลับเอ่ยรั้งเอาไว้เสียก่อน

          “อาเซิง ข้าได้ยินมาว่าเจ้ากับพระสนมตำหนักเต๋อเฟยมีความสัมพันธ์ลับกันหรือ”

          หย่งเซิงชะงักเท้าก่อนเอ่ยตอบ

          “ท่านรู้อยู่แล้ว ยังจะถามข้าไปทำไม” ท่านพ่อของเขาต้องการอะไรกันแน่

          “อาเซิง นางมีใจให้เจ้าจึงได้ยอมเสี่ยงกระทำการอุกอาจมิใช่หรือ” หย่งเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะหรี่ตาลงอย่างงครุ่นคิด ท่านพ่อกำลังใช้เหม่ยลี่เป็นเครื่องมือในการรั้งให้เขาอยู่ทำงานให้หรือ

          “ตามกฎมลเฑียรบาลหญิงสาวทุกคนในวังหลวงล้วนเป็นผู้หญิงของฮ่องเต้ ยิ่งเป็นพระสนมด้วยแล้ว นางมิอาจแต่งงานกับชายอื่นได้อีกตลอดชีวิต” อัครเสนาบดีหย่งบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มก่อนเอ่ยต่อ “แต่ข้า.. สามารถทำให้มันเป็นไปได้”

          อัครเสนาบดีหย่งรู้ดีว่าบุตรชายคนนี้ไร้ซึ่งความรักฉันท์พ่อลูกกับตน เพียงแต่เขายังคงต้องการความสามารถของบุตรชายคนนี้อยู่ เดิมทีเขาคิดว่าหากวางยาพิษฮ่องเต้แล้วเกิดความผิดพลาดขึ้น เขาจะโยนความผิดทั้งหมดให้หย่งเซิง ทว่าตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ความสามารถในการต่อสู้ของหย่งเซิงนั้นเขาได้ประจักษ์แก่สายตาแล้ว

          บุตรคนนี้เขาสามารถใช้ประโยชน์ได้อีกมาก!

          หย่งเซิงจ้องมองใบหน้าสูงวัยของอีกฝ่ายด้วยแววตาไร้ความรู้สึก ยิ่งคิดยิ่งผิดหวัง ท่านแม่ของเขาช่างโง่งมนัก!

          “ข้าไม่จำเป็นต้องแต่งงานกับนาง” เหตุใดเขาจึงต้องทำงานให้ท่านพ่อเพื่อนางด้วย

          อัครเสนาบดีหย่งได้ยินเช่นนั้นก็หัวคิ้วกระตุกด้วยความสงสัย สายสืบของเขารายงานว่าหย่งเซิงพึงใจเหม่ยลี่จนถึงขนาดมอบสุราพิษให้นางเพื่อมิให้นางได้ร่วมอภิรมย์กับฮ่องเต้มิใช่หรือ แต่เหตุใดท่าทีของหย่งเซิงในยามนี้ช่างดูเย็นชาราวกับเขากำลังเอ่ยถึงคนอื่นที่มิใช่นางในดวงใจ

          “เจ้ารู้หรือไม่ หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ นางสนมจะต้องถูกฝังทั้งเป็นในสุสานของฝ่าบาท.. นั้นรวมถึงพระสนมเต๋อเฟยด้วย” ถึงแม้หย่งเซิงไม่คิดแต่งงานกับเหม่ยลี่ แต่คงมิอาจปล่อยให้นางต้องตายจากไปได้หรอก

          “ที่ท่านจะพูดก็คือ ท่านจะช่วยลบชื่อนางออกจากทะเบียนรายชื่อเช่นนั้นหรือ” หย่งเซิงนิ่งคิดก่อนเอ่ยถาม เขาอยากรู้ว่าท่านพ่อต้องการใช้ประโยชน์อะไรจากเขา

          “ข้าสามารถทำให้เจ้าได้” อัครเสนาบดีหย่งยกยิ้มที่เห็นหย่งเซิงให้ความสนใจกับข้อเสนอของตนแล้ว

          “เงื่อนไขของท่านคือ..”

          “เจ้าต้องอยู่ทำงานรับใช้ตระกูลหย่งชั่วชีวิต”

          หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยกับข้อเสนอที่เห็นแก่ตัวของอีกฝ่าย ‘รับใช้ชั่วชีวิต’ กับตระกูลที่เคยผลักไสเขากับท่านแม่หรือ หย่งเซิงพลันรู้สึกขยะแขยงเลือดในกายของตนขึ้นมา เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตนเองมีสายเลือดเดียวกับชายแก่ตรงหน้า สายเลือดเห็นแก่ตัว ละโมบโลภมาก!

          “แล้วข้าจะลองคิดดู” กล่าวจบหย่งเซิงก็สะบัดชายเสื้อเดินออกไปทันที

          “อาเซิง เจ้าคิดดูให้ดีเถิด ผู้ที่จะช่วยพระสนมเต๋อเฟยได้มีเพียงข้าเท่านั้น” อัครเสนาบดีหย่งยังคงพูดไล่หลัง

          หย่งเซิงบิดมุมปากเป็นรอยยิ้ม

          มันก็ไม่แน่หรอกท่านพ่อ!

 

          “อาเซิง!” หย่งเซิงชะงักเท้าก่อนจะหันไปค่อมหัวทำความเคารพหญิงสาวนางหนึ่งที่รีบสาวเท้าเข้ามาหาเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดี

          “พระสนม”

          “อาเซิง หลังจากวันนั้นข้าก็ไม่เห็นเจ้าอีกเลย ข้านึกว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปแล้ว” เหม่ยลี่เอ่ยอย่างร้อนรน ตั้งแต่วันที่ฮ่องเต้เสด็จมาหานางแล้วนางมอมสุราพิษพระองค์ นางก็ไม่เห็นหน้าหย่งเซิงอีกเลย นางนึกเป็นห่วงกลัวว่าฮ่องเต้จะทรงทำอะไรหย่งเซิง

          “กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงไม่สนใจท่าทีเป็นห่วงเป็นใยของเหม่ยลี่ เพียงตอบกลับอย่างเย็นชาเท่านั้น

          เหม่ยลี่หน้าเสียเล็กน้อยที่หย่งเซิงมีท่าทีเย็นชาใส่

          “พระสนม..” นางกำนัลเอ่ยเตือนด้วยความเห็นห่วง ตอนนี้ข่าวลือเรื่องพระสนมและราชองครักษ์เซิงมีความสัมพันธ์ลับกันกำลังแพร่กระจายไปทั่ววังหลวง หากมีคนมาพบเข้าว่าพระนางยืนคุยกับราชองครักษ์เซิงอย่างใกล้ชิดอีก มีหวังต้องโดนพระสนมคนอื่นในวังใช้เรื่องนี้มาหาเรื่องพระนางถึงที่เป็นแน่

          นางกำนัลมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง กลัวว่าจะมีคนซุ่มจับตามองอยู่ นับตั้งแต่นายหญิงของนางขึ้นเป็นพระสนม มีนางสนมหลายคนบุกมาเยาะเย้ยถากถางไม่เว้นแต่ละวัน เพราะได้ยินว่าฮ่องเต้ทรงมิได้ร่วมอภิรมย์กับพระนางในคืนนั้น

          “..อาเซิง เรามีเรื่องจะขอร้องเจ้า” เหม่ยลี่กำมือเข้าหากันแน่น กลัวว่าหย่งเซิงจะไม่ยอมรับฟัง

          หย่งเซิงจ้องมองท่าทีลังเลของเหม่ยลี่ก่อนจะพยักหน้า

          “เรื่องอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ” อย่างน้อยเหม่ยลี่ก็ช่วยให้เขาวางยาพิษเหวินเจิ้งสำเร็จ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง เขาก็ตั้งใจจะช่วยอยู่แล้ว

          “ตามเราเข้าไปที่ตำหนักเถิด คุยที่นี้ไม่ได้” เหม่ยลี่ยิ้มดีใจ พลางชักชวนให้หย่งเซิงไปที่ตำหนัก นางอยากหาโอกาสอยู่กับหย่งเซิงสองต่อสองมานานแล้ว มีเรื่องมากมายที่นางอยากรู้ ช่วงที่ไม่ได้พบกันหย่งเซิงเป็นอย่างไรบ้าง ลำบากมากหรือไม่

          “มิได้นะเพคะ” นางกำนัลรีบเอ่ยห้าม หากมีใครรู้ว่าพระสนมอยู่กับราชองครักษ์ในที่ลับสองต่อสอง ข่าวลือเรื่องบัดสีต้องแพร่กระจายออกไปอย่างแน่นอน

          “คุยที่นี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” เขาเองก็ไม่อยากสร้างปัญหาให้กับตนเองเหมือนกัน

          เหม่ยลี่มีท่าทีขัดใจเล็กน้อยพลางหันไปมองค้อนนางกำนัลคนสนิท

          “อาเซิง.. เรื่องทะเบียนรายชื่อผู้ที่จะถูกฝังรวมไปกับพระศพของฝ่าบาท มีชื่อข้าด้วยหรือไม่” เหม่ยลี่เอ่ยถามอย่างเป็นกังวล นางไม่อยากถูกฝังทั้งเป็น เพียงหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เคียงคู่กับหย่งเซิง ชายที่นางรัก

          “พระสนมมิต้องเป็นกังวล กระหม่อมหาทางช่วยพระสนมเอาไว้แล้ว” หย่งเซิงเอ่ยออกมาด้วยเสียงราบเรียบเช่นเดิม แต่ส่งผลรุนแรงต่อหัวใจของเหม่ยลี่นัก

          นางตื้นตันใจจนขอบตาร้อนผ่าว หย่งเซิงมีนางอยู่ในใจเช่นกันหรือ จึงได้คิดหาทางช่วยนาง แม้รู้ว่าจะต้องเสี่ยง หย่งเซิงก็ยอม.. เพื่อนาง

          “หนทางที่เจ้าคิดไว้ หากทำให้เจ้าต้องเสี่ยง เจ้าก็อย่าทำเพื่อข้าเลย” เหม่ยลี่เอ่ยทั้งที่เสียงสั่นเครือ

          “พระสนมโปรดวางพระทัย”

          ได้ยินเช่นนั้นเหม่ยลี่ก็ตื้นตันใจโผเข้ากอดหย่งเซิงอย่างลืมตัว พยายามซุกไซ้ฝังตัวเองเข้าไปในร่างกายสูงใหญ่กำยำ หัวใจรู้สึกเต็มตื้น ช่างคุ้มค่ากับการที่นางยอมเสี่ยงวางยาพิษฮ่องเต้เหลือเกิน

          “พระสนม!” นางกำลังตื่นตกใจรีบมองไปรอบด้านอย่างหวาดระแวงก่อนจะรีบเข้าไปดึงตัวพระสนมออกมา

          หย่งเซิงชะงักเล็กน้อยที่อยู่ๆเหม่ยลี่ก็โผเข้ากอด ร่างสูงใหญ่ออกแรงเพียงนิดเดียวก็สามารถดึงเหม่ยลี่ออกจากตัวได้แล้ว หย่งเซิงจ้องหน้าเหม่ยลี่อย่างไม่ค่อยพอใจนัก

          “พระสนม สำรวมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

          เหม่ยลี่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้สติ รีบเช็ดน้ำตาอย่างเก้อเขิน นางไม่ควรใจร้อนจนเกินไป ตอนนี้นางยังเป็นพระสนมอยู่หากใครมาพบเห็นเข้าอาจจะทำให้หย่งเซิงเดือดร้อนเพราะนางก็เป็นได้

          “ข้าขอโทษ ข้าเพียงดีใจมากเกินไปหน่อย” เหม่ยลี่ยิ้มทั้งน้ำตา

          นางกำนัลคนสนิทได้แต่ถอนหายใจโล่งอกโชคดีที่ไม่ค่อยมีใครใช้เส้นทางนี้เท่าไรนัก

          “เช่นนั้นกระหม่อมขอตัว” หย่งเซิงเอ่ยจบก็หันหลังจากไปทันที เหม่ยลี่ไม่เอ่ยรั้งเพียงมองแผ่นหลังสูงใหญ่เดินจากไปอย่างสุขใจ หย่งเซิงไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนเลย

          “พระสนม..” นางกำนัลคนสนิทรู้สึกลำบากใจนัก “การช่วยพระสนมจะเป็นไปได้จริงหรือเพคะ”

          “ต้องได้สิ อาเซิงรับปากข้าแล้ว” เหม่ยลี่รู้สึกลำพองใจนัก

          “แต่การช่วยพระสนมนั้นคงมีเพียงวิธีเดียว..” นั้นคือหาหญิงสาวนางอื่นมาเป็นตัวตายตัวแทนของพระสนม นั้นหมายความว่าหญิงสาวผู้นั้นต้องถูกฝังทั้งเป็นแทน วิธีการนี้ไม่โหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ

          “ขอเพียงข้าได้ครองคู่กับอาเซิง เรื่องอื่นใดข้าล้วนไม่สนใจ” เหม่ยลี่เอ่ยออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม นางกำนัลคนสนิทได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ

          ที่ด้านหลังภูเขาจำลองไม่ไกลจากเหม่ยลี่และนางกำนัลคนสนิทมีเงาร่างสองร่างกำลังนั่งอยู่ ทั้งสองคนต่างได้ยินบทสนทนาทั้งหมดของคนทั้งสาม

          “ฝ่าบาท..” เสียงแหบทุ้มเพราะความแก่ชราดังขึ้น น้ำเสียงเจือความกังวลไม่น้อย

          “ไม่นึกเลยว่าการออกมาเดินเล่นตามลำพังของเราจะทำให้พบเรื่องน่าสนใจเข้า” น้ำเสียงที่ตอบกลับฟังดูอ่อนล้าไม่น้อย

          เหวินเจิ้งค่อยๆลุกขึ้นโดยมีสวี่กงกงช่วยพยุง เมื่อทั้งสองเดินออกมาจากด้านหลังของภูเขาจำลองก็ไม่พบใครแล้ว

          “.. ฝ่าบาท กลับตำหนักกันเลยไหมพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงมองใบหน้าเผือกสีของเหวินเจิ้งอย่างเป็นกังวล

          เหวินเจิ้งไม่ตอบเพียงมองไปทางที่ร่างสูงใหญ่ของหย่งเซิงลับหายไป วันนี้เขารู้สึกอึดอัดหายใจลำบาก จึงแอบออกมาเดินเล่น เมื่อรู้สึกหน้ามืดจึงไปนั่งพักข้างหลังภูเขาจำลอง ไม่นึกเลยว่าจะมาได้ยินบทสนทนาของหย่งเซิงและพระสนมเต๋อเฟยเข้า

          สิ่งที่เขาสงสัยได้รับความกระจ่างแล้ว พวกเขาสองคนรักกัน หย่งเซิงและพระสนมเต๋อเฟย..

          หย่งเซิง ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะใช้วิธีไหนช่วยคนรักของเจ้า..

          เหวินเจิ้งบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มทั้งที่ใบหน้าซีดเซียว ในสายตาของสวี่กงกงรอยยิ้มนี้ช่างดูอดสูนัก

          “ฝ่าบาท..”

          “ไปเถิด” เหวินเจิ้งหันมายิ้มให้สวี่กงกงก่อนจะหมุนกายเดินนำไป สวี่กงกงมองแผ่นหลังตั้งตรงอย่างเวทนา ในเวลาแบบนี้พระองค์ก็ยังทรงไม่ยอมพึ่งพากระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ..



          “ฝ่าบาท” หย่งเซิงรีบสาวเท้าเข้ามาหาทันทีที่เห็นร่างโปร่ง

          เหวินเจิ้งยกยิ้มเป็นการตอบรับ

          “เกิดอะไรขึ้น เจ้าดูแตกตื่นนัก” หย่งเซิงขมวดคิ้วมองใบหน้าคนพูด ยามนี้เหวินเจิ้งอ่อนแอลงมาก ใบหน้าที่เคยเปล่งปลั่งบัดนี้ซีดเซียวจนขาวเผือก ร่างกายผ่ายผอมไร้เรี่ยวแรง ยามเดินก็ยังเดินได้อย่างเชื่องช้าบางครั้งก็ซวนเซจนเกือบจะล้ม นัยน์ตาดำขลับที่เคยสุกใสก็หมองจาง มีเพียงแผ่นหลังเท่านั้นที่ยังคงตั้งตรงอย่างสง่างาม

          เหวินเจิ้งยามนี้มิใช่เทพเซียนอย่างกาลก่อน เป็นเพียงมนุษย์รูปงามที่อ่อนแอบอบบางเท่านั้น

          “ฝ่าบาทหายไปจากตำหนัก มิใช่เรื่องที่ควรแตกตื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ตนเองเผลอตะโกนต่อว่าอีกฝ่ายออกไป ตอนที่กลับมาที่ตำหนักแล้วรู้ว่าเหวินเจิ้งหายไปนั้นมีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าเขาว้าวุ่นสับสนด้วยความเป็นห่วงแค่ไหน สมองเขาราวกับถูกฟาดด้วยของแข็ง หัวใจหล่นวูบลงไปที่ตาตุ่มแทบอยากจะจับทหารยามมาฉีกเป็นชิ้นๆข้อหาปล่อยให้เหวินเจิ้งแอบหนีออกไปนอกตำหนักได้ เหวินเจิ้งยามนี้อ่อนแอลงมาก เป็นโอกาสของเจ้าพวกขุนนางชั่วโฉดที่อาจจะอาศัยจังหวะนี้ก่อการกบฏ

          หากเกิดอะไรขึ้นกับเหวินเจิ้ง เขาจะเป็นคนแรกที่จะจับพวกขุนนางมาฉีกเป็นชิ้นๆ!

          “กังวลเกินไปแล้ว” เหวินเจิ้งเอื้อมมือมาสัมผัสผิวแก้มที่แสนอบอุ่นของหย่งเซิง หย่งเซิงสะดุ้งกับอุณหภูมิที่เย็นเหยียบบนฝ่ามืออีกฝ่าย ก่อนจะเป็นฝ่ายกุมมือเย็นเฉียบนั้นด้วยความสงสาร

          เหวินเจิ้งไม่สนใจสายตาตื่นตระหนกของนางกำนัลและขันที เพียงเดินเข้าไปในตำหนักทั้งที่หย่งเซิงยังคงจับมือของตนอยู่

          ขอเพียงแค่หย่งเซิงเป็นของเขายามที่อยู่กับเขาก็พอ นอกจากนั้นเขาจะพยายามไม่สนใจสิ่งอื่นใด เวลาของเขาเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้ขอให้เขาได้ตักตวงความอบอุ่นจากอีกฝ่ายสักหน่อยเถิด

          หย่งเซิงเพียงปล่อยให้เหวินเจิ้งลากตนเข้าไปในตำหนัก คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันแน่น มือร่างบางเหยียบเย็นเสียจนน่ากลัว ความเย็นจากมือข้างนี้ส่งตรงถึงหัวใจของเขา ราวกับหัวใจของเขาถูกแช่แข็งไปด้วย

          ยิ่งเห็นร่างโปร่งเจ็บปวดและอ่อนแอลงเขาก็ยิ่งใจหาย หากเป็นไปได้ ให้เขาเป็นฝ่ายเจ็บปวดเสียยังจะดีกว่า

          “เจ้ากลับมาจากจวนอัครเสนาบดีหย่งหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพลางค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้โดยมีหย่งเซิงช่วยพยุง

          ระยะนี้พิษออกฤทธิ์ถี่ขึ้น ร่างกายหนาวเย็นตลอดเวลา เรี่ยวแรงของเขาก็เริ่มหดหาย ยามหายใจเข้าก็รู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง บางครั้งก็ไอออกมาเป็นเลือด

          ไม่นึกเลยว่ายามต้องพิษจะรู้สึกทรมานเช่นนี้ หากรู้แต่แรกให้หย่งเซิงฟันเขาในตายในดาบเดียวเสียจะดีกว่า

          “พระองค์ซูบผอมลงไปอีกแล้ว” หย่งเซิงไม่ตอบกลับเปลี่ยนเรื่องแทน

          “เจ้าจะตำหนิที่เราไม่ค่อยกินข้าวอีกแล้วหรือ” เหวินเจิ้งพูดกลั้วหัวเราะ หลังจากต้องพิษเขาก็เกิดอาการเบื่ออาหารกินอะไรไม่ค่อยลง จนหย่งเซิงทนไม่ได้ต้องมานั่งคอยกำกับให้เขากินข้าวทุกที

          เหวินเจิ้งลูบมืออันอบอุ่นของหย่งเซิงเล่น รู้สึกสุขใจเพียงหย่งเซิงยอมให้เขานั่งจับมือเล่นเขาก็มีความสุขขนาดนี้แล้ว นับวันเขายิ่งหวังน้อยลงน้อยลงทุกที หากมีชีวิตอยู่ต่อไปเขาอาจจะหวังน้อยจนแทบไม่หวัง ออกบวชเป็นพระไปเลยก็ได้

          หย่งเซิงขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเพียงทนไม่ได้ที่ต้องเห็นร่างโปร่งผายผอมลงไปมากกว่านี้ เขาปวดใจจนแทบบ้าอยู่แล้ว

          “เวลานี้เจ้าเป็นเพียงความสุขเดียวของเรา.. ดังนั้นอย่าตำหนิเราเลยนะ” เหวินเจิ้งจับมือของหย่งเซิงมาทาบกับหน้าตนพลางยิ้มอย่างออดอ้อน

          หย่งเซิงใจอ่อนยวบก้มลงประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบาทั้งขบกัดและเน้นย้ำ พยายามยับยั้งชั่งใจมิให้รุนแรงเกินไปนัก เขาไม่อยากให้มันกับส่งผลกระทบกับร่างกายที่อ่อนแอของอีกฝ่าย

          เหวินเจิ้งหลับตานิ่ง เพียงรับสัมผัสอันอบอุ่นของอีกฝ่าย ให้ความอบอุ่นบรรเทาความเจ็บปวดทางกายและทางใจ

          แม้จะรู้ว่ามันช่วยได้เพียงชั่วคราว แต่ในบางเวลาหากความเจ็บปวดมันจางหายไปบ้าง ให้เขาได้มีโอกาสพักหายใจบ้าง เท่านั้นก็พอแล้ว..



-------------------------------------------------

ฮ่องเต้ทรงพระอ้อนหย่งเซิง 5555555

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 24-05-2017 23:40:35
หย่งเซินจะทำอะไรกันแน่ สงสารฮ่องเต้อ่าาา
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 24-05-2017 23:58:56
สงสารฮองเต้อ่ะเราว่าถ้าจะเป็นแผนมันหน้าจะมีวิธีดีกว่านั้น ขุนนางหนุ่มหล่ออีกคนไปไหนอ่ะมาช่วยฮองเต้เร็วพระเอกเรามันไม่ได้เรื่องเลย
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: Laliat ที่ 25-05-2017 01:49:25
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 25-05-2017 05:05:52
อึดอัดใจจจจจจจจจจจจจจ
เฮียหย่งจะทำอะไรก็ทำซักอย่างซักทีเถอะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-05-2017 14:16:51
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 26-05-2017 21:41:47
 :hao5:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 26-05-2017 21:43:11
 :hao5: :hao5: :hao5:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: นางฟ้าเชียงชุน ที่ 27-05-2017 01:18:57
แผนพี่หย่งชัวร์ เดี๋ยวพอทุกอย่างผ่านไปก็คงจะขุนฮ่องเต้แน่ๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 27-05-2017 07:13:31
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: krit24 ที่ 27-05-2017 07:45:01
สงสารฮ่องเต้อ่ะ ไม่อยากให้ตายเลย ฮือ...
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part11] [24/05/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 01-06-2017 15:40:04
บทที่ 12 เหวินอี้

             “จะไปไหนพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มฟังดูเหี้ยมเกรียมดังขึ้นจากด้านหลังทำให้เหวินเจิ้งสะดุ้งโหยง

             “หย่งเซิง เจ้าเองหรือ” เหวินเจิ้งยิ้มเจื่อนพลางหันข้างหลัง เห็นหย่งเซิงเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามา

              “ฝ่าบาท นี้มิใช่เวลาจะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกนะพ่ะย่ะค่ะ”

             เขาโกรธจนแทบกระอักเลือด ตั้งแต่เหวินเจิ้งล้มป่วยก็สั่งให้เขาคอยเฝ้าอยู่ด้านในห้องทรงพระอักษรเสมอ นี้เป็นครั้งแรกที่เหวินเจิ้งให้เขาออกมาอยู่นอกห้อง เขารู้สึกสังหรณ์ใจเลยเดินตรวจตารอบตำหนักทำให้เห็นร่างโปร่งที่วันนี้เชื่องช้ากว่าทุกทีกำลังเหินตัวออกนอกวัง

             ในสภาพร่างกายย่ำแย่เช่นนี้ เจ้าฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ยังคิดจะออกไปนอกวัง! แค่เพียงคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเหวินเจิ้งก็ทำเอาเขาร้อนใจจนโทสะซุ่มอกด้วยความเป็นห่วง

             “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” เหวินเจิ้งถามแก้เก้อเหมือนเด็กที่โดนจับโกหกได้

             “กระหม่อม มิได้โง่งม” เขาไม่บอกเหวินเจิ้งหรอก หากบอกไปอีกฝ่ายต้องหาวิธีที่ทำให้เขาจับไม่ได้แน่นอน

             เหวินเจิ้งถอนหายใจเบาๆทั้งที่ริมฝีปากยังยกยิ้ม

             “เช่นนั้น เจ้าก็ปล่อยเราไปสักครั้งเถิด” เขาเป็นฮ่องเต้ผู้สูงศักดิ์ช่างน่าขันที่ต้องมาขอร้องราชองครักษ์ของตนเอง

             หย่งเซิงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งก่อนตอบ

              “เช่นนั้นต้องให้กระหม่อมไปด้วย” เขาคงห้ามฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ไม่ได้ เช่นนั้นก็ขอตามไปด้วยเลยจะดีกว่า

             “วันนี้เจ้าจะตามเราไปในฐานะอะไรหรือ” เหวินเจิ้งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนถาม น้ำเสียงแลดูจริงจังกว่าทุกครั้ง หย่งเซิงรู้ในทันทีว่าคำตอบของเขาจะเป็นตัวชี้ชะตาว่าเขาจะได้ตามอีกฝ่ายไปหรือไม่

             “ทุกฐานะที่ท่านอยากให้ข้าเป็น” สรรพนามที่เปลี่ยนไปทำให้เหวินเจิ้งใจอ่อนยวบ พลันความคิดหนึ่งก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว เหวินเจิ้งหน้าแดงเรื่อจนหย่งเซิงสงสัยต้องยกมือขึ้นนาบที่หน้าผากของเหวินเจิ้งด้วยความเป็นห่วง

             เหวินเจิ้งรีบจับมืออบอุ่นนั้นไว้มั่นก่อนจะเอ่ยบางอย่างเสียงเบาเสียจนหย่งเซิงต้องก้มหน้าเข้าไปใกล้ด้วยความสงสัย

             “อะไรนะ”

             “…” เสียงเหวินเจิ้งยังคงแผ่วเบา

             “ข้ามิได้ยิน” หย่งเซิงขมวดคิ้วแน่น

             เหวินเจิ้งตวัดสายตาขึ้นมามองหย่งเซิงทั้งเขินอายทั้งงุ่นง่าน

             “ข้าบอกว่า.. หากเจ้าเรียกข้าว่าอาเจิ้ง ข้าจะยอมให้เจ้าไปด้วย” หย่งเซิงเบิกตากว้าง หัวใจพลันท่วมท้นด้วยความอ่อนหวาน ที่แท้ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ก็อย่างให้เขาเรียกชื่ออย่างสนิทสนม

             หย่งเซิงยิ้มจนดวงตายักโค้งพลางยื่นหน้าเข้าใกล้ใบหูนิ่ม

             “อาเจิ้ง ให้ข้าไปกับท่านเถิด” เหวินเจิ้งหน้าเห่อร้อนทันทีที่ได้ยิน ทั้งรู้สึกชื่นช่ำและอ่อนหวานจวนเจียนจะละลาย หัวใจที่กำลังเจ็บปวดเต้นแรงจนต้องเอามือแนบอก
             
             “ชะ.. เช่นนั้นก็ไปเถิด” เหวินเจิ้งรีบพูดจนลิ้นพันกัน หย่งเซิงมองท่าทางน่ารักนั้นอย่างสุขใจก่อนจะอุ้มร่างโปร่งขึ้นมาแนบอก เหวินเจิ้งดวงตาเบิกกว้างจ้องมองดวงตาดำสนิทอย่างสงสัย

             “สีหน้าท่านไม่ค่อยดี ให้ข้าอุ้มท่านไปเถิด อาเจิ้ง” เหวินเจิ้งใจอ่อนยวบ เพียงพยักหน้าเบาๆหนึ่งครั้ง ยกหย่งเซิงก็ยกยิ้มอย่างพอใจก่อนจะอุ้มเหวินเจิ้งพลิ้วกายจากไป

             ดวงตาดำสนิทฉายแววเอ็นดูร่างโปร่งในอ้อมกอด ยามว่าง่ายก็น่ารักนัก
             
               
             ยิ่งมาตามทางที่ร่างในอ้อมกอดบอก เขาก็ยิ่งสงสัย ที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้คือป่าไผ่แถวชานเมือง ปกติเหวินเจิ้งจะลอบออกจากวังหลวงในยามกลางคืนเท่านั้น แต่วันนี้กลับออกมาตอนกลางวันแสกๆ
แถมช่วงนี้ในเมืองหลวงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรร้ายแรงให้อีกฝ่ายต้องออกมาดู แล้วเหตุใดเหวินเจิ้งต้องยอมเสี่ยงออกมาเช่นนี้

             “ปล่อยข้าลงตรงนี้เถิด” สรรพนามแสดงความสนิทสนมทำให้หย่งเซิงลอบยิ้ม ก่อนจะปล่อยอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย

             “ที่นี้คือ” ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ขนาดไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่ ดูเรียบร้อยและสะอาดตา

             เหวินเจิ้งหันมามองหย่งเซิงพร้อมรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวคำพูดที่ทำให้หย่งเซิงใจหาย

             “เจ้าฆ่าข้าเสีย”

             “ทำไม” หย่งเซิงกดเสียงต่ำ

             “นับจากตรงนี้ไป มีเพียงคนของข้าเท่านั้นที่ผ่านเข้าไปได้” หย่งเซิงจ้องมองสายตาที่แน่วแน่ของเหวินเจิ้ง พอจะเข้าใจอะไรขึ้นมาลางๆ

             ในบ้านหลังนั้นคงซ่อนใครบางคนเอาไว้ หากเขาเป็นสายของท่านพ่อก็ต้องฆ่าเหวินเจิ้งเสียแต่ตอนนี้ แต่หากมิใช่เขาจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น

             “นับแต่นี้ข้าเป็นคนของท่าน” หย่งเซิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

             “ขอแค่เรื่องนี้เท่านั้น.. ข้าหวังว่าเจ้าจะพูดความจริง” เหวินเจิ้งเอ่ยพลางถอนหายใจ ตอนนี้เขาเหลือเวลาอีกไม่มาก ไม่มีเวลามาหวาดระแวงสงสัยอีกแล้ว

             หย่งเซิงรู้สึกคันคะเยอในใจที่เหวินเจิ้งไม่เชื่อใจเขา แต่ก็ไม่พูดอะไรเพียงเดินตามเหวินเจิ้งไปยังหน้าบ้านหลังนั้น

             เหวินเจิ้งยกมือขึ้นเคาะประตูเป็นจังหวะสองสามครั้งประตูก็เปิดออกเผยให้เห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่เยี่ยมหน้าออกมานอกประตู

             เด็กหนุ่มคนนั้นมีผิวที่ขาวผ่องรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ดวงตาสุกใสเปล่งรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่อย่างที่ชนชั้นสูงมักจะมี หย่งเซิงเลิกคิ้วเล็กน้อย เด็กคนนี้จะว่าไปก็มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับเหวินเจิ้งถึงหกส่วน เพียงแต่รูปร่างดูองอาจกำยำมากกว่า

             “ท่านน้า” เด็กหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อยที่วันนี้ท่านน้าของเขาไม่ได้มาเพียงคนเดียว แถมหน้าตาก็ดูซีดเซียวจากตอนที่เจอกันครั้งสุดท้าย “ท่าน.. ไม่สบายหรือ”

             “อาอี้ เข้าไปคุยข้างในดีหรือไม่ ตรงนี้หนาวเหลือเกิน” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้า เด็กหนุ่มรีบหลีกทางให้เหวินเจิ้งทันที ทั้งยังแอบเหลือบตามองหย่งเซิงอย่างหวาดระแวง จนเหวินเจิ้งต้องเอ่ยเพื่อคลายความสงสัย “นี้คือหย่งเซิง คนของเรา”

             เด็กหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายคือคนจากตระกูลหย่ง แต่ในเมื่อท่านน้าบอกว่าเป็นคนของท่านน้าเขาก็ไม่คิดติดใจสงสัย

             “ข้าชื่อ เหวินอี้” เด็กหนุ่มผู้มีนามว่าเหวินอี้เอ่ยแนะนำตัวอย่างมีมารยาท

             หย่งเซิงหัวคิ้วกระตุกเล็กน้อย เด็กนี้ใช้สกุลเหวิน เช่นนั้นก็ต้องเป็นเชื้อพระวงศ์ ทีแรกเขาแอบคิดว่าเด็กหนุ่มอาจเป็นลูกของเหวินเจิ้งเพราะใบหน้าที่คล้ายคลึง แต่พอคิดดูอีกที เด็กนี้ก็อายุมากเกินกว่าจะเป็นลูกของเหวินเจิ้งได้

             “ข้าหย่งเซิง” หย่งเซิงเก็บงำความสงสัยเอาไว้ในใจเพียงเดินเข้าไปในตัวบ้านที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายมีเพียงของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น

             “เพ่ยหลินเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามพลางนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง เพียงเดินไม่นานเขาก็รู้สึกเหนื่อยเสียแล้ว

             “ออกไปเก็บสมุนไพรขอรับ.. ท่านน้าใบหน้าของท่านซีดเซียวเหลือเกิน” เหวินอี้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง ท่านน้าในความทรงจำของเขางดงามเปล่งปลั่งราวกับเทพเซียน แต่ยามนี้กลับดูอ่อนแรงเสียจนน่าใจหาย

             “เราอายุมากแล้วจะให้วิ่งมาที่ชานเมืองโดยเหงื่อไม่ออกหน้าไม่ซีดได้อย่างไร” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะ

             “ท่านน้า ข้ามิใช่เด็กแล้วนะขอรับ” เหวินอี้ขมวดคิ้วแน่น ท่านน้าของเขาวิชาตัวเบาล้ำเลิศเพียงใด เขานั้นประจักษ์แจ้งแก่ใจดี อีกอย่างท่านน้ามิได้อายุมากถึงเพียงนั้น จะมาบอกว่าหน้าซีดเพียงเพราะวิ่งมาที่ชานเมืองจะให้เขาเชื่อได้อย่างไร ขนาดหย่งเซิงที่มาด้วยกันยังไม่หอบเลยแม้แต่น้อย ท่านน้ากำลังปิดบังอะไรบางอย่างจากเขา

             ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัว เหวินอี้หน้าซีดลงเล็กน้อย หรือว่าท่านน้าจะ..

             ราวกับรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่ เหวินเจิ้งพยักหน้ารับ

             “เหวินอี้ ได้เวลาแล้ว.. หากเจ้ายังมิเปลี่ยนใจล่ะก็” เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มไม่สนใจดวงหน้าที่ซีดลงของเด็กหนุ่ม

             “ท่าน..” กำลังจะตายหรือ เด็กหนุ่มได้แต่ต่อประโยคหลังในใจ แม้จะเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าสักวันท่านน้าของเขาจะต้องวิ่งเข้าหาความตายสำเร็จในที่สุด แต่เขาไม่คิดว่ามันจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ เหวินอี้กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะพยักหน้า “ข้าไม่มีวันเสียใจขอรับ”

             น้ำเสียงมั่นคงไร้ซึ่งความลังเลทำให้เหวินเจิ้งห้วนนึกถึงพ่อของเหวินอี้ พี่สามเองก็แน่วแน่มั่นคงเช่นนี้เหมือนกัน

             “เช่นนั้นก็ดี..”

             แอ๊ด

             สิ้นเสียงพูดของเหวินเจิ้งประตูบ้านก็เปิดออกเผยให้เห็นบุรุษอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่ง คนผู้นั้นมีผมยาวสลวย ผิวขาวราวกับหิมะ ริมฝีปากอิ่มแดง พูดได้ว่าเป็นบุรุษที่สวยงามมากกว่าหล่อเหลา

             ชายหนุ่มผู้นั้นเบิกตากว้างอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าใครกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในบ้าน

             “ฝ่าบาท!” ชายหนุ่มรีบคุกเข่าอย่างล้นลาน จนสมุนไพรที่เก็บอยู่ในย่ามหล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น

             “เพ่ยหลิน ไม่ต้องมากพิธี” เหวินเจิ้งชินชาเสียแล้วกับท่าทีล้นลานของเพ่ยหลินที่มีต่อเขา

             “มิได้พ่ะย่ะค่ะ” เพ่ยหลินก้มหน้านิ่งไม่ยอมขยับจนเหวินอี้ทนไม่ไหวต้องรีบฉุดเพ่ยอี้ขึ้นมาจากพื้น

             “พี่หลิน สมุนไพรของท่านกระจัดกระจายหมดแล้ว” เหวินอี้เอ็ดเสียงเบาพลางก้มลงเก็บสมุนไพรกลับใส่ย่าม เพ่ยหลินเห็นเช่นนั้นก็รีบโบกมือห้าม

             “ท่านอี้ไม่ต้อง ให้ข้าเก็บเองเถิด” เพ่ยหลินรีบก้มลงเก็บสมุนไพรจนหัวโขกกับคางของเหวินอี้เข้าอย่างจัง

             “โอ้ย..” เหวินอี้กุมคางพลางร้องออกมาเบาๆ เพ่ยหลินเห็นเช่นนั้นใบหน้าก็ยิ่งซีด

             “ท่านอี้ ขะ.. ข้าจะต้มยารักษาให้ท่าน” เอ่ยจบเพ่ยหลินก็วิ่งหายออกไปทันที

             “ไม่ต้อง พี่หลิน..” เหวินอี้จะห้ามก็ไม่ทันเสียแล้ว ได้แต่ถอนหายใจทั้งฉุนทั้งขัน

             “พวกเจ้าสนิทสนมกันดีนะ” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้าพลางลุกขึ้นมาช่วยเหวินอี้เก็บสมุนไพรที่กระจัดกระจายบนพื้น หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน ก่อนจะก้มลงมาช่วยอีกคน

             ร่างสูงรู้สึกขัดแย้งในใจนัก ทั้งที่ไม่อยากให้เหวินเจิ้งออกแรงมาก แต่ก็ตัดใจห้ามไม่ลง ทำได้เพียงปล่อยให้เหวินเจิ้งทำตามใจตัวเองส่วนเขาก็ช่วยแบ่งเบาภาระเท่าที่จะช่วยได้

             “ท่านเห็นเป็นเช่นนั้นหรือ” เด็กหนุ่มหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย

             “เพ่ยหลิน.. จะตามเจ้าไปด้วยไหม” มือที่กำลังเก็บสมุนไพรของเหวินอี้ชะงักเล็กน้อย

             “.. ที่ข้าไปเพราะเพ่ยหลินเองก็ต้องการเช่นนั้น” เหวินเจิ้งจ้องใบหน้าที่แน่วแน่ของเหวินอี้

             “เช่นนั้น บัลลังก์ของเจ้าก็คงไม่โดดเดี่ยวเกินไปนัก” เด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้ามาสบตาเหวินเจิ้ง พลางเอ่ยทั้งรอยยิ้ม

             “ขอรับ”

             เหวินเจิ้งเพียงยิ้มตอบกลับเท่านั้น เมื่อเก็บสมุนไพรจนเรียบร้อยแล้วเหวินเจิ้งก็ลุกขึ้น

             “อีกสามวันให้หลังเราจะมาอีก” เอ่ยจบเหวินเจิ้งก็เดินออกจากบ้านโดยมีหย่งเซิงตามไปติดๆ

             “ท่านหย่งเซิง” หย่งเซิงชะงักเท้าหันมาเลิกคิ้วเล็กน้อยเป็นเชิงถาม เห็นเด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่นเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดใจพูดไม่ได้เสียทีจนหย่งเซิงหมดความอดทน

             “วางใจเถิด ท่านน้าของเจ้าอยู่ในความดูแลของข้า” หย่งเซิงเดินเขามาหาเด็กหนุ่มพลางยื่นขวดหยกเล็กๆให้ก่อนจะเอ่ยต่อ “เหวินเจิ้งจะไม่มีวันเหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป”

             กล่าวจบหย่งเซิงก็เดินจากไปทันที เหวินอี้ได้แต่ก้มหน้ามองขวดหยกที่อยู่ในมืออย่างสงสัย

             “นั้นขวดอะไรเหรอ” เพ่ยอี้สะดุ้งเฮือกเมื่ออยู่ๆเพ่ยหลินก็โผล่หน้ามาจากด้านหลัง

             เหวินอี้หัวใจเต้นโครมคราม พี่หลินช่างทำให้คนให้ตกอกตกใจเสียจริงๆ เพราะเพ่ยหลินยื่นหน้ามาใกล้มากทำให้เหวินอี้อดไม่ได้ที่จะมองริมฝีปากแดงเรื่อของอีกฝ่ายอย่างเผลอไผล เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายดังเอื๊อกก่อนจะรีบหันหน้าหนี

             “ผะ.. ผู้ติดตามของท่านน้าให้มา”

             เพ่ยหลินเอียงคอมองท่าทีแปลกประหลาดของเหวินอี้ก่อนจะยกชามยายื่นไปตรงหน้าเด็กหนุ่ม

             “ข้าต้มยามาให้ท่าน” เหวินอี้อยากจะบอกเพ่ยหลินว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บถึงขนาดต้องกินยา แต่พอเห็นท่าทางใสซื่อของอีกฝ่ายก็ใจอ่อนต้องยื่นมือไปรับก่อนจะซดทีเดียวหมดชาม

             เพ่ยหลินยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นเหวินอี้ดื่มยาของตนจนหมดพลางรับชามยาไปวางไว้ที่โต๊ะ

             “ฝ่าบาทรีบกลับเหลือเกิน ข้าคิดว่าจะตรวจชีพจรให้พระองค์เสียหน่อย” เพ่ยหลินเอ่ยขึ้นเบาๆอย่างเป็นห่วง วันนี้เขาเห็นใบหน้าของเหวินเจิ้งดูซีดเซียวเสียจนน่าเป็นห่วง

             “...” เหวินอี้หน้าหมองลงเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเหตุผลที่ท่านน้าดูอ่อนแรง

             “ฝ่าบาทจะมาอีกวันไหนหรือ ข้าจะได้ออกไปเก็บสมุนไพรมาเตรียมไว้”

             “.. อีกสามวัน” เหวินอี้วางขวดหยกไว้บนโต๊ะพลางจ้องมันไม่วางตา ไม่รู้ว่าในขวดหยกใส่อะไรไว้กันแน่ และเกี่ยวอะไรกับความเหน็ดเหนื่อยของท่านน้า

             เพ่ยหลินเห็นเหวินอี้จ้องมองขวดหยกไม่วางตาจึงหยิบขึ้นมาดูก่อนจะเปิดฝาขวดอออก กลิ่นหอมบางอย่างลอยตลบอบอวลออกมาทันที

             “นี้มัน!!” เพ่ยหลินอุทานอย่างตกใจ

             เหวินอี้มองท่าทางตะลึงตะลานของเพ่ยหลินด้วยความงุนงง

             “ในขวดมันคืออะไรหรือ”

             เพ่ยหลินตาเป็นประกายพลางหันมาทางเหวินอี้ด้วยท่าทางดีอกดีใจ

             “นี้คือยาวิเศษหายาก กว่าจะเก็บส่วนประกอบของมันได้ทั้งหมดนั้นไม่ง่ายเลย ข้าไม่คิดเลยว่าจะมีโอกาสได้สัมผัสยานี่”   

             “แล้วมันคือยาอะไรกัน” พอเห็นท่าทางดีอกดีใจของเพ่ยหลินเขาก็อดยิ้มตามไม่ได้


             “มันคือ..”



---------------------------------------------------------

ตัวละครลับโผล่มาแล้ววว

เรื่องนี้ใกล้จบเข้าไปทุกทีแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามกันนะคะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 01-06-2017 17:29:57
อ้าวววว อย่าเพิ่งตัดฉับสิ งื้ออออ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 01-06-2017 17:37:50
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 01-06-2017 20:00:10
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 01-06-2017 20:30:37
 o22
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 01-06-2017 21:47:57
อ้าวๆทิ้งให้ค้างอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 02-06-2017 00:46:10
สนุกมากเลยค่ะ จะรอน้าาาาา แอบค้างนิดๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 02-06-2017 12:35:53
อะเด๊ะ อย่างค้างงงงงง
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: goldentime ที่ 02-06-2017 23:27:18
 :katai1:อย่างค้างคาใจ โอ้ยๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 06-06-2017 20:45:10
มันคือออ!!!!
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: rsmrypngpth ที่ 07-06-2017 00:16:21
ยาทำให้ผชตั้งครรภ์? กินแล้วก็จะเหนื่อยๆ หน่อย เหมื่อนฮ้องเต้? อิอิ ก็มโนไป

รออยู่นา
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part12] [01/06/17] [P.4]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 07-06-2017 21:03:06
บทที่ 13 ราชองค์การ

             “บุตรชายของพี่สามอย่างไรเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยไขความกระจ่างให้หย่งเซิง

             “องค์ชายสาม.. มีบุตรชายด้วยหรือ” เขาไม่เคยได้ยินสวี่กงกงเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน เท่าที่เขารู้องค์ชายสามนั้นมีนางสนมถึงหกคน แต่ก็ยังไม่มีนางสนมคนใดตั้งครรภ์

             “แม่ของเหวินอี้เป็นบ่าวรับใช้ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ พี่สามจึงไม่ได้แพร่งพายเรื่องนี้เพราะกลัวว่าเหวินอี้จะตกเป็นเป้าหมายของพวกนางสนม” ความริษยาของหญิงสาวคร่าชีวิตเด็กน้อยมาไม่รู้ตั้งเท่าไร

             เขาที่เติบโตมาในวังหลวงรู้ดี พี่น้องของเขาหลายสิบคนก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็กเพราะเหตุผลทางการเมืองไร้สาระ

             “ท่านแม่ของเหวินอี้เล่า”

             “ฆ่าตัวตายไปพร้อมกับเหล่านางสนมตั้งแต่วันที่พี่สามถูกประหาร”

             หย่งเซิงขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย หญิงสาวเหล่านั้นคงไม่มีหน้าอยู่ต่อ หากสามีต้องโทษพวกนางก็เหมือนก้าวเข้าไปในโลงศพก้าวหนึ่งแล้ว ชั่วชีวิตมิอาจแต่งงานใหม่ ทั้งยังโดนชาวบ้านรังเกียจ มีชีวิตอยู่ทรมานยิ่งกว่าตาย

             “เพราะเหตุนี้ท่านจึงยอมให้สวี่กงกงอยู่เคียงข้างท่านหรือ” เพื่อให้สวี่กงกงดูแลเหวินอี้ต่อ เหวินเจิ้งจึงไม่ได้ไล่สวี่กงกงไปดังเช่นคนอื่นๆ

             “สวี่กงกงปากมากกว่าที่ข้าคิดไว้” เหวิงเจิ้งตอบน้ำเสียงราบเรียบยากจะฟังออกว่าโมโหหรือไม่

             “ข้าเองก็อยากรู้เรื่องราวของท่าน” เหวินเจิ้งชะงักเท้าหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับร่างสูงใหญ่ เมื่อเห็นใบหูของหย่งเซิงแดงก่ำขึ้นเล็กน้อยเหวินเจิ้งก็อดที่จะหัวเราะเบาๆมิได้

             “เช่นนั้นก็ถามข้าเถิด” เหวินเจิ้งเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาหาหย่งเซิงก่อนจะเอาศีรษะไปพิงบนบ่ากว้าง

             หย่งเซิงลอบกลืนน้ำลายกับท่าทางน่ารักของอีกฝ่าย

             “เช่นนั้น.. วันที่ใต้เท้าจางเสียชีวิต ท่านให้สวี่กงกงปล่อยข่าวลือว่าวันนั้นท่านอ่อนแอ มิใช่ต้องการให้รู้ถึงหูอดีตพระสนมเต๋อเฟย แต่ต้องการให้รู้ถึงหูเหวินอี้ใช่หรือไม่” เหวินเจิ้งเบิกตากว้างจ้องมองหย่งเซิงอย่างไม่เชื่อสายตา

             “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้.. “ เขารู้สึกทึ่งนัก เพียงหย่งเซิงได้พบเหวินอี้วันนี้ก็สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้มากมายเช่นนี้แล้ว

             “ท่านคงมีแผนจะพาเหวินอี้กลับเข้าวัง” หย่งเซิงอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นสีหน้าที่หลากหลายของเหวินเจิ้ง

             “ใช่ แม้มันจะล่มไปตอนนั้น แต่ตอนนี้คงได้เวลาแล้ว” เหวินเจิ้งยิ้มจนดวงตาโค้งทั้งที่ใบหน้าซีดเซียว

             ตอนนั้นเขาตั้งใจปล่อยข่าวออกไปเพื่อให้เหวินอี้รู้ว่าเขากำลังจะตาย และต้องการให้เหวินอี้เตรียมตัวให้พร้อม แต่เป็นเพราะอดีตพระสนมเต๋อเฟยฆ่าตัวตายเสียก่อนทำให้แผนนั้นเป็นอันต้องพับเก็บไป

             “อาเจิ้ง.. ไม่มีช่วงเวลาใด.. ที่ท่านไม่อยากตายบ้างเลยหรือ” หย่งเซิงจ้องมองใบหน้าสุขสมของอีกฝ่ายอย่างขัดใจ เพียงคิดว่าโลกใบนี้จะไม่มีเหวินเจิ้งอีกต่อไป เพียงแค่คิดว่าไม่อาจพบเจออีกฝ่ายได้อีก เขาก็รู้สึกราวกับถูกควักหัวใจทั้งเป็น ในอกวูบโหวง แม้ยังหายใจแต่ก็ไร้ซึ่งชีวิต

             เหวินเจิ้งไม่ตอบเพียงเดินเข้ามาใกล้หย่งเซิงก่อนจะประทับริมฝีปากเย็นชืดลงบนริมฝีปากอุ่นร้อน เขาไม่อาจทนสายตาเว้าวอนของหย่งเซิงได้ มันทำให้เขาใจอ่อน ทำให้เขาเจ็บปวด

             เจ็บปวดที่หัวใจของหย่งเซิงมิอาจเป็นของเขา

             หย่งเซิงชะงักไปเล็กน้อยกับริมฝีปากที่เย็นเหยียบจนน่ากลัวของเหวินเจิ้ง ขณะที่กำลังจะจูบตอบเหวินเจิ้งก็ผละออกไปเสียก่อน

             “บางครั้ง.. ก็มีช่วงเวลาที่ข้าดีใจ ที่ยังมีชีวิตอยู่” ช่วงเวลาที่อยู่กับเจ้า เหวินเจิ้งเลือกที่จะเก็บประโยตสุดท้ายเอาไว้กับตัวเอง นำพาความรู้สึกอันเร้นลับนี้ไปสู่ปรโลกด้วยกัน ช่วงเวลาสุดท้ายนี้เขามีความสุขนัก “ช่วงนี้.. ข้ามีความสุขทุกวันเลย”

             หย่งเซิงมองรอยยิ้มของเหวินเจิ้งอย่างหลงใหล มือแกร่งดึงตัวร่างโปร่งเขามากอดโดยไม่รู้ตัว กลัวว่าหากปล่อยมือ เหวินเจิ้งจะมะลายหายไปพร้อมกับสายลม หย่งเซิงกดใบหน้าของเหวินเจิ้งให้แนบกับอกเขา เขาอยากรับรู้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย

             เหวินเจิ้งหลับตาลงช้าๆซึมซับความอบอุ่นจากร่างสูงใหญ่ ปล่อยวางเรื่องราวทั้งหลายบนโลกนี้ทิ้งไว้ข้างหลัง มีเพียงความอบอุ่นที่โอบกอดเขาอยู่นี้เท่านั้นที่เป็นความจริง

             “หย่งเซิง เจ้าเรียกชื่อเราสักหลายครั้งได้หรือไม่” เหวินเจิ้งอู้อี้

             “อาเจิ้ง.. อาเจิ้ง.. อาเจิ้ง” เหวินเจิ้งซึบซับน้ำเสียงอบอุ่นท่ามกลางสายลมที่โชยอ่อนในป่าไผ่

             หย่งเซิง.. ความสุขเดียวในชาตินี้ของข้าก็คือเจ้า


              “ฝ่าบาท พระวรกายของพระองค์เป็นเช่นไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งแสร้งตีสีหน้าเคร่งเครียด
กลางท้องพระโรงแห่งนี้ขุนนางหลายคนกำลังทรมานกับการกลั้นรอยยิ้ม ยิ่งได้เห็นสีพระพักตร์ของฮ่องเต้ยามนี้ พวกเขายิ่งอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ

             เหวินเจิ้งในยามนี้ใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ใต้ตาคล้ำริมฝีปากแห้งผาก

             “ดังที่พวกท่านเห็น เราไม่สบายเล็กน้อย” น้ำเสียงที่เคยนุ่มทุ้มกังวานเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจบัดนี้แห้งผากราวกับอยู่ในทะเลทราย ทว่าบนใบหน้าซีดเซียวของเหวินเจิ้งยังคงประดับรอยยิ้มละไม ดวงตาคู่งามยังคงสุกใสไม่เห็นแม้แต่ความเจ็บปวดเล็กน้อย

             เหล่าขุนนางหลายคนกัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจ พวกเขาอยากเห็นสีหน้าที่บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดของเหวินเจิ้งเหลือเกิน ให้สมกับที่พวกเขาเป็น ในวันที่รู้ว่าบุตรสาวต้องถูกฆ่าตายอยากโหดเหี้ยมเมื่อหกปีก่อน

             ทีแรกพวกเขาต่างดีอกดีใจที่สามีของบุตรสาวจะได้เป็นถึงฮ่องเต้ อำนาจบารมีต่างตกอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา แต่เพียงแค่คืนเดียว คือเดียวเท่านั้นที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างไป บุตรสาวของพวกเขาถูกฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ฆ่าตาย พวกเขาสู้เก็บกดความเกลียดชังเอาไว้ยาวนานถึงหกปี เพื่อรอวันนี้ วันที่ฮ่องเต้ทุกข์ทรมานเจ็บปวดไปทั้งสรรพกาย

             แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่คิด บนใบหน้างดงามไร้ซึ่งความเจ็บปวด มีเพียงใบหน้าเท่านั้นที่ซีดเซียวลงอย่างน่าตกใจ ความตายเช่นนี้สบายเกินไปสำหรับคนชั่วช้าเช่นเหวินเจิ้ง!

             “กระหม่อมเป็นกังวลเหลือเกินฝ่าบาท” ขุนนางคนหนึ่งแสร้งทำสีหน้าลำบากใจทั้งที่ในใจยิ้มกริ่ม

             “พวกท่านเป็นกังวลเช่นนี้ เรารู้สึกซาบซึ้งนัก” เหวินเจิ้งไล่มองขุนนางทีละคนด้วยรอยยิ้ม ไม่แสดงสีหน้าเจ็บป่วย แม้แต่แผ่นหลังก็ยังคงตั้งตรงอย่างสง่างาม

             เหล่าขุนนางตารีบก้มหน้าหลบสายตาก่อนจะทยอยคุกเข่าเอ่ยอย่างพร้อมเพรียงราวกับซ้อมมาหลายสิบรอบ
             
             “ฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทโปรดรักษาพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             เหล่าขุนนางตะโกนกึกก้องราวกับเสียขวัญที่นายเหนือหัวกำลังล้มป่วย เหวินเจิ้งมองภาพตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ปล่อยให้เหล่าขุนนางตะโกนจนเสียงแหบแห้ง เหล่าขุนนางเหงื่อซึมด้วยความเหน็ดเหนื่อย เมื่อไม่มีคำสั่งห้ามปรามจากฮ่องเต้พวกเขาก็ไม่กล้าหยุด จนอัครเสนาบดีหย่งทนไม่ไหวลุกขึ้นมากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

             “ฝ่าบาท เรื่องการบ้านการเมืองปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

             “เราก็แปลกใจอยู่ว่าฎีกาที่ส่งถึงเรามันลดลงไป ที่แท้มีอัครเสนาบดีหย่งคอยแอบขโมยไปนี้เอง” เหวินเจิ้งแสร้งทำเป็นนึกได้พลางปิดปากอุทานอย่างแปลกใจ “เรากำลังคิดอยู่เลยว่าเป็นขุนนางคนใดกันที่คิดอยากเป็นฮ่องเต้จนอดรนทนมิได้”

             อัครเสนาบดีหย่งหน้าตึงก่อนจะกัดฟันตอบ

             “กระหม่อมเพียงคิดอยากแบ่งเบาภาระของพระองค์เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

             “ภาระจับโจรชั่วของท่านยังมิลุล่วงไม่ต้องกระเสือกกระสนมารับภาระของเราหรอก” เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะไม่ไว้หน้าอัครเสนาบดีหย่งจนเหล่าขุนนางมองหน้ากันเลิกลั่ก

             หย่งเซิงที่ยืนเฝ้าระวังอยู่หน้าตำหนักหลุดยิ้มเล็กน้อย แม้เหวินเจิ้นจะถูกพิษรุมเร้าแต่ก็มิยอมอ่อนข้อให้กับคนที่คิดเอาเปรียบราษฎร์

             ไม่ว่าตัวเหวินเจิ้งและคนอื่นจะคิดอย่างไร สำหรับเขาเหวินเจิ้งก็เป็นฮ่องเต้ที่ดี ทั้งรักและใส่ใจราษฎร์ แต่ก็ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานจนเกินไป อดีตฮ่องเต้ตัดสินใจผิดพลาด ทั้งยังใช้วิธีการที่โหดร้ายเพื่อบีบบังคับให้เหวินเจิ้งขึ้นนั่งบัลลังก์ ผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับองค์ชายสี่ผู้อ่อนโยนคือความสิ้นหวังจนเกิดอาการต่อต้านและเก็บกด

             แม้ในยามที่เหนื่อยล้าเช่นนี้แผ่นหลังของเหวินเจิ้งก็ยังคงตั้งตรงอย่างสง่างามมิอาจแสดงความอ่อนแอให้ใครหน้าไหนในวังหลวงได้เห็น เพราะเหวินเจิ้งรู้ดีว่าผู้คนทั้งวังต่างก็กำลังรอคอยช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่ใบหน้าของเหวินเจิ้งบิดเบี้ยวด้วยความทรมานจนต้องร้องขอความตาย โดยไม่มีใครรู้ว่าเหวินเจิ้งเองก็กำลังรอคอยช่วงเวลานั้นอยู่เช่นกัน

             หย่งเซิงกำหมัดแน่นเมื่อนึกถึงเบื้องหลังรอยยิ้มของร่างโปร่ง

             เหวินเจิ้งกำลังรอคอยความตายอย่างมีความสุข..

             “ฝ่าบาท เป็นความผิดของกระหม่อม กระหม่อมไม่มีอะไรจะแก้ตัวพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่นพลางเอ่ยเสียงลอดไรฟัน

             เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี้หักหน้าเขา!

             “หากท่านรู้ตัวเราย่อมมิอาจต่อว่าท่าน” เหวินเจิ้งกดเสียงลงต่ำสร้างความหวาดหวั่นให้เหล่าขุนนาง “จริงสิ ช่วงนี้เกิดภัยแล้งขึ้น ควรได้เวลาจัดเตรียมพิธีขอฝนแล้ว”

             พิธีขอฝน?

             เหล่าขุนนางอำมาตย์ต่างลอบมองหน้ากัน เหตุใดฝ่าบาทจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งที่เมื่อกี้ยังต่อว่าอัครเสนาบดีหย่งอยู่เลย

             “ฝ่าบาทจะจัดพิธีขอฝนหรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฝ่ายพิธีการรีบเอ่ยถาม ระยะนี้น้ำในแม่น้ำแห้งเหือดราษฎร์ต่างต้องทนทุกข์เพราะไม่มีน้ำใช้ พืชผลและสัตว์ป่าต่างก็ล้มตาย ราคาน้ำพุ่งขึ้นสูง ทุกปีวังหลวงจึงต้องจัดพิธีขอฝนเพื่อขจัดภัยแล้ง

             “เรื่องขจัดภัยแล้งยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี” เหวินเจิ้งเอ่ยเนิบๆ “เอาเป็นพรุ่งนี้เลยดีกว่า”

             พรุ่งนี้!!

             “พรุ่งนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฝ่ายพิธีการถามกลับอย่างตื่นตระหนก เขาจะจัดเตรียมทุกอย่างให้พร้อมภายในวันเดียวได้อย่างไรกัน

             “ใช่ พรุ่งนี้” เหวินเจิ้งยิ้มละไม เวลาของเขาเหลือไม่มากแล้วเรารู้ดี ยามนี้พิษได้แทรกซึมไปทั่วร่างแม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวด เขาไม่รู้ว่าจะทนความเจ็บปวดนี้ไปได้นานเท่าไร ดังนั้นเขาต้องรีบเตรียมทุกอย่างให้พร้อมก่อนจะสายเกินไป

             ใต้เท้าฝ่ายพิธีการรีบหันขอความช่วยเหลือจากใต้เท้าคนอื่นแต่ก็ไม่มีใครให้ความร่วมมือจึงได้แต่คอตก

             “รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าฝ่ายพิธีการคิดหาทางจัดเตรียมงานให้ทันพลางก่นด่าฮ่องเต้เสียสติในใจ

             “จริงสิ.. เราร่างราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้เรียบร้อยแล้ว” เหวินเจิ้งเอ่ยขึ้นเรียบๆพลางส่งสัญญาณให้สวี่กงกง

             สวี่กงกงรีบนำราชองการลับมาวางบนโต๊ะอย่างรู้งาน

             เหล่าขุนนางต่างแตกตื่นหันมามองราชโองการที่วางบนโต๊ะเป็นตาเดียว เหวินเจิ้งมองท่าทีแตกต่างตื่นของเหล่าขุนนางอย่างขบขัน

             “ฝะ.. ฝ่าบาททรงเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์แล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ”

             “คนผู้นั้นเป็นใครกันหรือพ่ะย่ะค่ะ”

             “หรือว่าฝ่าบาททรงมีพระโอรสแล้ว”

             อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่นพลางมองท่าทีแตกตื่นของเหล่าขุนนางอย่างขุ่นเคือง

             พวกโง่! หากฝ่าบาทมีพระโอรสจริงเขาจะต้องเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้แน่ เขาไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้ทรงเลือกใครไป แต่ที่แน่ๆมันไม่เป็นผลดีต่อเขาแน่

             “เงียบ!” อัครเสนาบดีหย่งตะโกนลั่นก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาทเชิญกล่าวต่อเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

             เหวินเจิ้งขัดใจที่อัครเสนาบดีหย่งมาหยุดความวุ่นวายในท้องพระโรง เขากำลังสนุกกับอาการหน้าซีดปากสั่นของพวกโง่งมอยู่เลย

             “พวกเจ้ามิต้องเป็นห่วงไป คนที่เราเลือกย่อมคู่ควรทั้งฐานะและสติปัญญาความสามารถ” เหวินเจิ้งส่งรอยยิ้มให้กับเหล่าขุนนางในท้องพระโรงที่ยืนเบิกตากว้างจนแทบฉีกขาด

             “ใครกันพ่ะย่ะค่ะที่มีฐานะที่คู่ควรต่อบัลลังก์มังกร” ขุนนางคนหนึ่งหลุดถามออกมาอย่างมึนงง เท่าที่พวกเขารู้เหล่าพี่น้องของฮ่องเต้แม้จะมีสนมชายาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครมีบุตรชายเลยแม้แต่คนเดียว แล้วผู้ใดกันที่จะมีฐานะที่คู่ควรแก่การสืบทอดราชบัลลังก์

             “ไม่ต้องรีบร้อนไป พิธีขอฝนในวันพรุ่งนี้ เราจะให้คนผู้นั้นเป็นผู้ทำพิธี”

             ตามธรรมเนียมของแคว้นแล้วพิธีขอฝนเป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่มีบารมีเท่านั้นจึงจะสามารถดำเนินพิธีได้ หากผู้ทำพิธีมีบารมีไม่มากพอ พิธีขอฝนจะล้มเหลวทำให้เกิดภัยแล้ง นับแต่โบราณมาผู้ทำพิธีจึงมักจะเป็นฮ่องเต้เพราะเชื่อกันว่าเป็นผู้ที่มีบารมีสูงสุดในแผ่นดิน

             “ฝ่าบาทได้โปรดไต่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทได้โปรดไต่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             “ฝ่าบาทได้โปรดไต่ตรองด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

             เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าอ้อนวอน ไม่ยอมรับการตัดสินใจที่กะทันหันเช่นนี้ หากฝ่าบาทมีคนที่เลือกแล้วจริงๆสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดต้องสูญเปล่าเป็นแน่ เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะใช้ทายาทของฝ่าบาทเป็นหุ่นเชิดทางการเมืองเพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว แต่เมื่อฝ่าบาทไม่ยอมมีทายาทเสียทีเช่นนั้นพวกเขาก็จำต้องเปลี่ยนแผนการ

             พวกเขาสู้อุตส่าห์ปล่อยข่าวคุณงามความดีของอัครเสนาบดีหย่งมากมาย เพื่อรอเวลาที่ฝ่าบาทสิ้นใจพวกเขาจะสถาปนาอัครเสนาบดีหย่งขึ้นเป็นฮ่องเต้ท่ามกลางการสนับสนุนของราษฎร์ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับผิดพลาดไปหมด เมื่อฝ่าบาทได้เขียนราชโองการแต่งตั้งองค์รัชทายาทไว้แล้ว

             หากคนที่ฝ่าบาทหามาสามารถทำให้พิธีขอฝนสำเร็จลุล่วงไปได้จริงๆ พวกเขาก็จะไม่มีข้อโต้แย้งในการแต่งตั้งองค์รัชทายาท!

             “ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ” เหวินเจิ้งลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แผ่นหลังตั้งตรงอย่างสง่างามพลางก้าวเดินออกไปตามทางเดินอย่างช้าๆ ไม่สนใจเหล่าขุนนางที่นั่งคุกเข่าอย่างโกรธแค้นแม้แต่น้อย

             อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันแน่น เมื่อเห็นว่าเหวินเจิ้งเดินพ้นนอกประตูไปแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินไปคว้าแขนของหย่งเซิงที่กำลังเดินตามขบวนเสด็จของเหวินเจิ้ง

             หย่งเซิงหัวคิ้วกระตุกก่อนจะหันกลับมาเผชิญหน้ากับท่านพ่อของเขา

             “เจ้า! รายงานข้ามาเดี๋ยวนี้ ระยะฝ่าบาทเสด็จไปพบใครบ้าง” อัครเสนาบดีหย่งกดเสียงต่ำพยายามควบคุมน้ำเสียงให้สุขุมดังเช่นปกติ แต่ยามนี้มันช่างยากเย็นเหลือเกิน

             อำนาจและบัลลังก์ที่เขารอคอยมาโดยตลอดบัดนี้กำลังถูกชิงไป!

             “ฝ่าบาททรงประชวรจะเสด็จไปพบผู้อื่นได้อย่างไร” หย่งเซิงตอบเสียงเรียบไม่สนใจใบหน้าเขียวคล้ำของผู้เป็นบิดาที่บัดนี้บิดเบี้ยวราวกับพญามาร

             “โกหก! หากฝ่าบาทมิได้เสด็จไปที่ใดแล้วเหตุใดจึงหาคนมารับตำแหน่งองค์รัชทายาทได้”

             “หากท่านพ่อมิเชื่อข้า ก็ลองถามเอากับคนของท่านพ่อที่ส่งเข้าไปจับตาดูฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงรู้สึกรำคานใจนัก ระยะนี้ร่างกายเหวินเจิ้งย่ำแย่ลงไปมาก บางครั้งก็ทรงล้มลงไปเพราะหมดแรงเอากลางคันก็มี หากไม่มีเขาคอยอยู่ใกล้ๆ เหวินเจิ้งคงล้มหัวฟาดพื้นไม่ต่ำกว่าวันละสิบรอบเป็นแน่

             อัครเสนาบดีหย่งจ้องมองใบหน้าเรียบสนิทของหย่งเซิงอย่างครุ่นคิด ก็จริงอย่างที่หย่งเซิงว่า หากมีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติไปคนของเขาจะต้องมารายงานเขาอยู่แล้ว แต่การที่ไม่มีใครมารายงานเพราะทุกอย่างปกติดีมิใช่หรือ แล้วฝ่าบาทจะหาคนมารับตำแหน่งได้อย่างไร หรือพระองค์เพียงต้องการกลั่นแกล้งเขา

             ไม่! ต้องไม่ใช่แน่ ฝ่าบาทเป็นคนเช่นไรเขาล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจ หากไม่มีโอกาสชนะฝ่าบาทจะไม่มีวันเผยไพ่ตายใบสุดท้ายแน่ นั้นหมายความว่าคนที่ฝ่าบาทพามาจะต้องมีตัวตนอยู่จริง และยังมีฐานะสูงส่งคู่ควรแก่การสืบทอดราชบัลลังก์อีกด้วย

             “เจ้า.. คิดดีแล้วหรือยัง” อัครเสนาบดีหย่งทำใจให้เย็นลงก่อนเอ่ยถามหย่งเซิงด้วยสีหน้าคาดคั้น

             หย่งเซิงรู้ในทันทีว่าอัครเสนาบดีหย่งหมายถึงเรื่องใด

             “คำตอบข้ายังคงเหมือนเดิม” ท่านพ่อต้องการให้เขาอยู่รับใช้ตระกูลหย่งไปชั่วชีวิตโดยแลกกับการที่เขาได้แต่งงานกับเหม่ยลี่

             เพียงแต่เขาไม่เคยคิดแต่งงานกับเหม่ยลี่ก็เท่านั้น เขาได้มอบหัวใจให้กับคนอื่นไปเสียแล้ว

             “เจ้า..” อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันกรอด

             “ท่านพ่อไปหาคนอื่นเถิด” กล่าวจบหย่งเซิงก็สะบัดแขนที่ถูกเกาะกุมออกแล้วเดินตามขบวนเสด็จของฮ่องเต้ไป

             “ท่านอัครเสนาบดี..” เหล่าขุนนางต่างเป็นกังวลจนนั่งไม่ติด กลัวว่าแผนที่วางไว้จะพังพินาศ ขั้วอำนาจกำลังจะเปลี่ยนมืออีกครั้ง พวกเขาจำต้องเลือกข้างให้ถูก

             แน่นอนว่ามีขุนนางหลายคนเริ่มลังเลที่จะสนับสนุนอัครเสนาบดีหย่งต่อ ในขณะที่หลายคนเลือกที่จะสนับสนุนต่อไปเพราะมีความแค้นกับเหวินเจิ้ง

             เหล่าขุนนางเริ่มแตกออกเป็นสองฝ่าย หินก้อนเล็กๆที่เหวินเจิ้งโยนทิ้งลงในน้ำกำลังสร้างคลื่นใต้น้ำเล็กๆที่มองไม่เห็น

             ผู้ที่ยืนหยัดต่อคลื่นใต้น้ำได้นานที่สุดจะเป็นผู้ชนะ



---------------------------------------------------------------------

ความจริงแล้ว เหวินเจิ้งเป็นหนุ่มจอมมืดมน(?)
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 07-06-2017 21:14:23
รอต่อ รอๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 07-06-2017 21:41:26
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 07-06-2017 21:42:39
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 07-06-2017 22:33:32
สงสารฮ่องเต้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 08-06-2017 09:08:45
ฮองเต้ใกล้หมดภาระแล้ว
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 17-06-2017 12:07:22
ฮืออออออออ ฮ่องเต้ของน้องงงงง  :ling1:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: little_pig ที่ 24-06-2017 23:04:59
ฮือออออ อยากเห็นฮ่องเต้มีความสุข สงสารเหลือเกิน
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 25-06-2017 13:53:47
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 27-06-2017 07:07:03
ขอให้อาเจิ้งได้ออกไปอยู่นอกวังอย่างสงบกับอาเซิงด้วยเถอะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Kei ที่ 27-06-2017 17:31:16
น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: mam79 ที่ 30-06-2017 17:08:37
สงสารเหวินเจิ้งที่สุด
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 30-06-2017 18:17:06
 :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 03-07-2017 09:01:40
รออยู่นะครับ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 08-07-2017 17:59:10
บทที่ 14 เงื่อนไข
          “เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง” เสียงทุ้มแห้งผากเสียจนน่าใจหาย หลังจากจบการว่าราชการในวันนี้เขาก็รีบรุดมาหาเหวินอี้ เขาไม่ต้องการให้เกิดความผิดพลาดใดๆขึ้นทั้งสิ้น

          เหวินอี้จ้องมองเหวินเจิ้งที่กำลังนั่งพิงเก้าอี้โยกอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้างดงามซีดเซียวกำลังหลับตาลงราวกับกำลังดื่มด่ำในในสรรพเสียงของธรรมชาติรอบตัว

          ตอนนี้พวกเขาอยู่หน้าบ้านซึ่งรายล้อมไปด้วยต้นไผ่ดูร่มรื่นและสวยงาม

          “ขอรับท่านน้า” เหวินอี้ตอบอย่างมั่นใจ เขาไม่อยากให้ท่านน้าต้องเป็นกังวล

          “อาอี้.. เมื่อใดที่เจ้าประทับนั่งบนบัลลังก์แล้ว ยากนักที่จะลุกขึ้นออกมาทั้งที่ยังมีชีวิต” เหวินเจิ้งโยกเก้าอี้ไปมาเบาๆก่อนจะเอ่ยต่อ “เจ้าจะอยู่อย่างหวาดระแวงและโดดเดี่ยว เจ้าจะมิอาจเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงต่อผู้ใดได้ ทุกสายตาจะสอดส่องมองหาจุดอ่อนของเจ้า สายเลือดของเจ้าจะมีค่านับทองพันชั่ง พวกเขาจะถูกลากเข้าไปในวังวนแห่งการแก่งแย่งชิงอำนาจ ท้ายที่สุดพวกเขาจะมองเจ้าเป็นเนื้อร้ายที่ต้องตัดทิ้ง”

          นี้คือสิ่งที่เขารู้เห็นมาตลอดทั้งชีวิต เหล่าพี่น้องเปลี่ยนไปอย่างไรเขาได้เห็นมาแล้วกับตา บัลลังก์สามารถเปลี่ยนเด็กน้อยที่ใสซื่อบริสุทธิ์ให้เป็นมือสังหารได้อย่างน่ากลัว บัลลังก์ที่เปียกปอนไปด้วยฝนเลือดแห่งนี้เขาไม่เคยคิดอย่างจะนั่งมันเลยสักครั้ง  หากเลือกได้เขาจะขอเป็นองค์ชายไร้อำนาจมองดูพี่น้องขึ้นนั่งบนบัลลังก์จากบนพื้นที่ไกลๆก็เพียงพอแล้ว เขาขอมีอิสระที่จะเชื่อใจผู้คน แสดงความรู้สึกอย่างใจนึกโดยไม่ต้องสนใจความคิดของใครๆ มีลูกมีครอบครัวที่อบอุ่นสามารถส่งยิ้มให้กันอย่างจริงใจ

          หากเขาเลือกได้..

          เหวินอี้จ้องมองใบหน้าซีดเซียวของผู้เป็นน้าก่อนจะเบือนหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าด้านบน ที่ยามนี้ถูกบดบังด้วยต้นไผ่สูงลิ่ว แสงอาทิตย์อันอบอุ่นส่องลงมาได้เพียงเล็กน้อย

          “ข้าเชื่อใจเพ่ยหลิน หากเขาทรยศข้า ข้าก็จะขอตายทั้งที่ยังเชื่อมั่น” น้ำเสียงเหวินอี้หนักแน่นเกินกว่าที่เด็กอายุเพียงสิบห้าปีจะพูดออกมาได้

          เหวินเจิ้งบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม

          “เจ้าเหมือนพี่สามไม่มีผิด” ทีแรกเขาคิดว่าเหวินอี้จะเหมือนกับพี่สามแค่เรื่องหน้าตาหล่อเหลาเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะถอดแบบนิสัยออกมาด้วย นิสัยเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อได้เลือกเส้นทางที่จะก้าวเดินแล้ว จะไม่หันกลับไปมองข้างหลังอีก

          และยัง.. เชื่อมั่นในตัวผู้อื่นจนตัวตาย

          พี่สามตายเพราะเชื่อมั่นในตัวผู้อื่นมาเกินไปจนถูกใส่ร้าย แล้วเหวินอี้เล่า เจ้าจะมีชะตากรรมเดียวกันหรือไม่

          “ท่านน้า ข้าเชื่อใจเพียงเพ่ยหลินเท่านั้น” ราวกับรู้ว่าเหวินเจิ้งกำลังคิดอะไรอยู่ เหวินอี้จึงรีบชิงตอบ เขาจะยอมตายเมื่อคนที่ทรยศเขาคือเพ่ยหลิน แต่หากมิใช่ ก็อย่าหวังว่าเขาจะยอมตายเลย!

          “ส่วนนิสัยข้อนี้เจ้าเหมือนข้า” เหวินเจิ้งลืมตาก่อนจะส่งยิ้มให้เหวินอี้ ขนาดรู้ว่าหย่งเซิงวางยาเขา เขายังไม่นึกโกรธเคืองแม้แต่น้อย แม้ว่าเขาจะต้องการความตายอยู่ก่อนแล้วก็ตาม แต่หากเป็นคนอื่นเขาคงหาทางให้อีกฝ่ายตายตกตามกันไปด้วยเพื่อความสะใจ ที่แท้แล้ว นิสัยก็สืบทอดกันผ่านการเลี้ยงดูนี่เอง

          เหวินอี้อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเบาๆ

          “ข้าอยากนิสัยเหมือนท่านมากกว่าท่านพ่อเล็กน้อย” เขาไม่ค่อยมีความทรงจำกับท่านพ่อมากนัก แต่กับท่านน้าเขามีมากมายเหลือเกิน ทั้งสมัยที่ท่านพ่อยังมีชีวิตอยู่และในตอนนี้ แม้หลังจากที่ท่านน้าขึ้นครองราชย์จะไม่ค่อยได้พบกันมากนัก แต่เขาก็ยังคงรู้สึกผูกพัน

          เขารู้ว่าท่านน้าโหยหาความตาย และรู้ว่าตัวเขามิอาจฉุดรั้งท่านน้าไว้ได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงหวัง ว่าท่านน้าจะได้พบกับใครสักคนที่จะมอบชีวิตใหม่ให้กับท่านน้า

          ใครสักคน..

          “หากเจ้านิสัยเหมือนเรา เจ้าคงครองราชย์ได้ไม่นานนัก” เขามีนิสัยขี้เบื่อและรักอิสระ

          “ถ้าเช่นนั้นข้าขอเหมือนท่านน้าสักสามส่วนเถิด” เหวินอี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้มละไม เรียนอย่างท่าทางของเหวินเจิ้ง

          เหวินเจิ้งยิ้มกว้างขึ้นก่อนจะหลับตาลง

          “อาอี้ เจ้าต้องหล่อเหลามากกว่านี้อีกสิบส่วนจึงจะเหมือนข้า”

          “ข้าหล่อเหลากว่าท่านน้ามากนัก” เหวินอี้รีบแย้ง เพ่ยหลินบอกเขาอยู่บ่อยๆว่าเขาหล่อเหลากว่าบุรุษวัยเดียวกันมาก หากเติบใหญ่กว่านี้จะต้องหล่อเหลามากขึ้นอีกแน่

          อีกอย่าง ท่านน้าเขามิได้หล่อเหล่าเสียหน่อยต้องเรียกว่างดงามต่างหากเล่า

          “หึๆ เพ่ยหลินบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ”

          “เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องให้ผู้อื่นบอกหรอก”

          “อาอี้ เจ้าจะต้องมีความสุขกว่าข้าแน่” น้ำเสียงแหบแห้งฟังดูหนักแน่นในความรู้สึกของเหวินอี้ เหวินอี้ขอบตาร้อนผ่าวก่อนจะพยายามกลืนก้อนเหนียวหนืดในลำคอ เขารู้ว่าเวลาของท่านน้าเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว จากนี้ไปเขาอาจไม่ได้เจอท่านน้าผู้นี้อีก

          เหวินอี้สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าขับไล่ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์

          “ท่านเองก็ต้องมีความสุขนะขอรับ” เหวินอี้เอ่ยเสียงเบาหวิว ปล่อยให้สายลมพัดพาประโยคเมื่อครู่ปลิวหายไปราวกับไม่ต้องการให้ใครได้ยิน



          หย่งเซิงจ้องมองร่างโปร่งบนเก้าอี้โยกจากภายในตัวบ้าน ดวงตาดำสนิทเรียบเฉยไร้ความรู้สึก เพราะเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทำให้มีประสาทหูดีกว่าคนปกติทั่วไป บนสนทนาของคนทั้งสองเขาล้วนได้ยินทั้งหมด

          “ท่านเซิง น้ำชาขอรับ” เพ่ยหลินถือถาดชาเข้ามายืนข้างๆหย่งเซิงแล้ววางลงบนโต๊ะริมหน้าต่าง เมื่อเห็นหย่งเซิงไม่ตอบรับก็มองตามสายตาหย่งเซิงออกไปเห็นเหวินอี้และเหวินเจิ้งอยู่ข้างนอก “ท่ายืนของท่านอี้นับวันจะยิ่งเหมือนฝ่าบาทเข้าไปทุกที"

          เพ่ยหลินเอ่ยกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นเหวินอี้ยืนเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังของเด็กหนุ่มตั้งตรงดูองอาจสง่างามนัก แม้เหวินอี้จะสวมชุดชาวบ้านธรรมดาแต่ก็ไม่สามารถปกปิดสายเลือดสูงศักดิ์ในกายได้

          หย่งเซิงละสายตาจากเหวิงเจิ้งหันไปมองใบหน้าสวยที่หน้าซีดลงเล็กน้อยเมื่อถูกใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงจ้องมอง

          “ขะ.. ข้าพูดอะไรผิดไปหรือ” เพ่ยหลินเอ่ยเสียงสั่น เขาเพียงแค่หาเรื่องชวนคุยเท่านั้น เหตุใดต้องหันมาจ้องกันด้วย ฮือๆ น่ากลัวจังเลย

          “เจ้าเป็นอะไรกับเหวินอี้” หย่งเซิงไม่สนใจท่าทีหน้าซีดปากสั่นของอีกฝ่าย เพียงถามเรื่องที่เขาสงสัย

          เพ่ยหลินรูปร่างบอบบาง ผิวขาวเนียนละเอียดริมฝีปากอวบอิ่ม ใบหน้าสวยหวานมากกว่าสตรีหลายคนที่เขาเคยพบเจอเสียอีก ดูจากบทสนทนาของเหวินอี้และเหวินเจิ้งแลดูทั้งคู่จะไว้ใจเพ่ยหลินมาก

          “ขะ.. ข้าหรือ ข้าเป็นหมอประจำตัวของท่านอี้” เพ่ยหลินเอ่ยพลางถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เหวินอี้บอกว่าเขาขี้ขลาดแล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆเสียด้วย เขามักจะหวาดกลัวคนแปลกหน้า นอกจากท่านอี้แล้วเขาแทบไม่ออกไปพบปะผู้คน ครั้งนี้เห็นว่าหย่งเซิงเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้ใจ จึงได้รวบรวมความกล้าเอาน้ำชามาให้ ไม่นึกเลยว่าจะถูกจ้องด้วยสายตาดุดันเช่นนี้

          “แค่หมอหรือ” หย่งเซิงขมวดหัวคิ้วเข้าหากัน

          “ข้าทำเป็นเพียงรักษาคน เรื่องอื่นข้าไม่เก่งหรอก” นอกจากเรื่องรักษาแล้วเขาเงอะงะซุ่มซ่ามนัก

          หย่งเซิงสบตาเพ่ยหลินนิ่ง นิ่งเสียจนเพ่ยหลินรู้สึกประหม่าต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาไป ทำไมผู้ติดตามของฝ่าบาทจึงน่ากลัวนัก อ่า.. โลกใบนี้ไม่มีใครใจดีเหมือนกับท่านอี้จริงๆ ฮือๆ

          “วังหลวงเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม อย่างเจ้าเข้าไปไม่นานก็คงถูกฉีกทึ้ง” เพ่ยหลินเป็นคนใสซื่อ หากเข้าไปเกรงว่าจะกลายเป็นจุดอ่อนของเหวินอี้

          เพ่ยหลินได้ยินเช่นนั้นก็ชะงัก ก่อนจะเงยหน้าสบดวงตาดำสนิทของหย่งเซิงอย่างแน่วแน่

          “ท่านไม่ต้องห่วง ข้ามิใช่จุดอ่อนของท่านอี้” หย่งเซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของเพ่ยหลินเปลี่ยนไปต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เพราะเป็นเรื่องของเหวินอี้หรือถึงทำให้คนขี้ขลาดแปรเปลี่ยนเป็นกล้าหาญ

          วังหลวงที่มีเหวินอี้นั่งอยู่บนบัลลังก์จะเน่าเฟะหรือสวยงามบางทีอาจจะขึ้นอยู่กับคนผู้นี้

          “ฮ่องเต้จำเป็นต้องมีพระสนมนางในมากมายเพื่อถ่วงดุลอำนาจ เช่นนั้นแล้วเจ้าคิดหรือยังว่าจะไปอยู่ส่วนไหนในหัวใจของเหวินอี้” สายตาของเพ่ยหลินเหมือนกับเขายามที่เขามองเหวินเจิ้ง สายตาหลงใหลรักใคร่ แม้เหวินอี้และเหวินเจิ้งจะดูไม่ออก แต่เขารู้ พวกเขามีสายตาที่เหมือนกัน

          เพ่ยหลินเบิงตากว้างจนแทบฉีกขาด ใบหน้าสวยแดงก่ำ

          “ทะๆๆ ท่านรู้หรือ”

          หย่งเซิงไม่ตอบเพียงละสายตาจากเพ่ยหลินมองออกไปที่นอกหน้าต่าง มองไปยังร่างของคนที่เขาถวิลหา
         
          “สายตาเจ้าเหมือนของข้า” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเพ่นหลินก็นิ่งเงียบก่อนจะเอ่ยตอบเบาๆ

          “ตัวตนของท่านอี้ฝังรากลึกในหัวใจข้า ข้ายอมเจ็บปวดที่ได้อยู่ข้าท่านอี้ มากกว่าเจ็บปวดที่ไม่ได้พบ” ชาตินี้ต่อให้เขาต้องตายเพราะความรัก เขาก็ไม่มีวันทอดทิ้งท่านอี้ให้อยู่เพียงลำพัง

          เพ่ยหลินมองออกไปยังนอกหน้าต่าง มองแผ่นหลังองอาจที่แม้จะดูเล็กไปสักหน่อยในยามนี้ ทว่าไม่กี่ปีข้างหน้า แผ่นหลังนี้จะเติบใหญ่ กลายเป็นแผ่นหลังที่ผู้คนทั้งแผ่นดินจะต้องพึ่งพิงอาศัย

          เขาจะคอยมองแผ่นหลังตั้งตรงนี้จากข้างหลัง ไม่ใกล้จนสามารถเอื้อมมือสัมผัส แต่ก็ไม่ไกลเกินกว่าจะยื่นมือไปปกป้อง นี้คือหัวใจรักของเขา..



          “ฝ่าบาท”

          “หื้ม”

          “กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอ”

          “..หายากนักที่เจ้าจะอยากได้อะไรจากเรา” เหวินเจิ้งเงยหน้าขึ้นจากกองฎีกา ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว หลังจากที่เขาแอบลอบออกไปพบเหวินอี้เมื่อกลางวัน เมื่อกลับถึงตำหนักเขาก็เผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย รู้สึกตัวอีกทีก็ฟ้ามืดแล้ว ยังมีงานอีกหลายอย่างที่เขาต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่อาอี้จะมารับช่วงต่อ

          วันพรุ่งนี้ เป็นวันชี้ชะตา..
         
          เขาฝืนตัวเองมากนานเกินพอแล้ว..

          “แล้วฝ่าบาทจะพระราชทานให้กระหม่อมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

          “หากมีเพียงเราที่ช่วยเจ้าได้ เรายอมไม่ใจร้าย” เหวินเจิ้งยกยิ้ม เขารักใคร่หย่งเซิงเช่นนี้จะใจร้ายปฏิเสธได้อย่างไร อีกอย่างเขาเหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาอยากจะใกล้ชิดหย่งเซิงอีกนิด หากหย่งเซิงมีเรื่องที่ต้องการจากเขา เช่นนั้นเขาจะใช้มันเป็นข้ออ้างให้อีกฝ่ายสมยอมเขาเสียเลย

          หย่งเซิงมองท่าทางเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายอย่างขบขัน นับตั้งแต่เขาเรียกชื่อเหวินเจิ้งวันนั้น ยามเจ้าตัวคิดอ่านสิ่งใดล้วนแสดงออกทางสีหน้าทั้งหมดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา และเขาเองก็ชอบที่จะมองมันเสียด้วย

          “เรื่องนี้มีเพียงพระองค์ที่ช่วยได้พ่ะย่ะค่ะ”

          “ว่ามาเถิด” เขายินดีจะช่วยทุกอย่าง เหวินเจิ้งเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม หย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

          “กระหม่อมอยากให้พระองค์ลบชื่อของเหม่.. พระสนมเต๋อเฟยออกจากรายชื่อบุคคลที่ต้องโดนฝังข้างกายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          รอยยิ้มของเหวินเจิ้งชะงักค้าง ก่อนจะถามอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู

          “อะไรนะ”

          “ลบชื่อของพระสนมเต๋อเฟยออกแล้วใส่ชื่อของกระหม่อมลงไปแทนเถิด” หย่งเซิงมองใบหน้าที่ซีดเผือกอย่างรู้สึกผิด

          ความปวดใจความน้อยใจฉายชัดในดวงตาคู่งามของเหวินเจิ้ง ที่แท้หย่งเซิงก็ต้องการให้เขาไว้ชีวิตเหม่ยลี่นี่เอง นี้คือวิธีช่วยเหม่ยลี่ที่เขาเคยได้ยินวันนั้นสินะ การร้องขอจากเขา..

          หย่งเซิงรู้ว่าเขาจะต้องรับปากแน่..

          “.. ได้สิ” เจ้าถึงกับเอาชีวิตของตนมาแลก เราจะใจร้ายกับเจ้าได้อย่างไร

          นี้เป็นครั้งแรกที่เหวินเจิ้งรู้สึกว่าการรักษารอยยิ้มไว้บนใบหน้ามันยากเย็นถึงเพียงนี้ ตอนนี้เขารู้สึกท้อแท้และเหน็ดเหนื่อย ทุกครั้งที่คิดว่าจะไม่หวังคือมันเป็นตอนนี้ที่เราเผลอมีความหวังไปโดยไม่รู้ตัวนี้เอง

          ทำไมเจ้าจึงไม่รักข้า..

          ทำไมหัวใจของเจ้าจึงมอบให้กับหญิงสาวผู้นั้น..

          นี้เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกของเขารุนแรงขนาดนี้

          “ฝ่าบาท..” หย่งเซิงหมุนหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อเห็นเหวินเจิ้งหน้าซีดลงจนน่าตกใจ

          “ได้สิหย่งเซิง แต่เรามีเงื่อนไข” เหวินเจิ้งฝืนยกยิ้ม ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปด้วยหยาดน้ำตาแต่เขาไม่ยินยอมให้มันไหลลงมา “หากเจ้าหลับนอนกับเราสักครั้ง เราสัญญาว่าจะลบรายชื่อให้”

          หย่งเซิงหรี่ตาลงเล็กน้อย ใบหน้าของเหวินเจิ้งยามนี้ช่างดูเจ็บปวดรวดร้าวราวกับนกน้อยไร้ที่พักพิง ราวกับเขาเป็นฟางเส้นสุดท้าย ราวกับกำลังขอร้องอ้อนวอนเขาอย่างสิ้นหวัง

          เขาทำให้เหวินเจิ้งเจ็บปวดอีกแล้ว..

          หย่งเซิงกำหมัดแน่น เขารู้สึกโมโหตัวเองเหลือเกินที่ทำอะไรไม่คิด!

          “อืม.. ยากไปหรือ เช่นนั้นก็ช่างเถิดเห็นแก่ที่เจ้าช่วยเหลือเรา เราจะยอมรับเงื่อนไขก็ได้” เมื่อเห็นหย่งเซิงนิ่งไป เหวินเจิ้งก็คิดไปว่าอีกฝ่ายรังเกียจ

          ความรู้สึกอับอายถาถมเขาสู่หัวใจอันอ่อนแอ เขาเป็นถึงฮ่องเต้ผู้โหดร้าย แต่กลับไม่กล้าแม้แต่จะบังคับฝืนใจราชองครักษ์ธรรมดา ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน

          เหวินเจิ้งก้มหน้าจนคางชิดอกพลางเขียนราชโองการทั้งที่มือสั่นเทา เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเห็นใบหน้าของเขายามนี้ ใบหน้าที่กำลังอ่อนแอและอับอายอย่างน่าสมเพช ความน้อยเนื้อต่ำใจสร้างความเจ็บปวดมากมายมหาศาลให้กับหัวใจ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบรัดมันเอาไว้

          หากเป็นก่อนหน้านี้ ก่อนที่เขาจะรับรู้หัวใจตัวเอง.. เขาคงสามารถออกปากบังคับอีกฝ่ายอย่างโหดเหี้ยม แต่ตัวเขาในตอนนี้ทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว

          ที่แท้ความรักทำให้คนเจ็บปวดถึงเพียงนี้

          “ฝ่าบาท..” หย่งเซิงลุกขึ้นตั้งใจจะเดินเข้าไปหาเหวินเจิ้ง เขาไม่อาจทนดูอีกฝ่ายเจ็บปวดเช่นนี้ได้อีกแล้ว ราวกับความเจ็บปวดของอีกฝ่ายส่งผลถึงเขาด้วย เขารู้สึกเจ็บปวดจนหายใจแทบไม่ออก

          “สวี่กงกง!” เหวินเจิ้งตะโกนเรียกสวี่กงกงทั้งที่เสียงแหบแห้งเพื่อหยุดความเคลื่อนไหวของหย่งเซิง

          หย่งเซิงชะงักเท้าพร้อมกับที่สวี่กงกงเปิดประตูเข้ามา

          “ฝ่าบาท” สวี่กงกงเอ่ยถามอย่างฉงน เกิดอะไรขึ้นบรรยากาศระหว่างคนทั้งสองจึงดูอึดอัดนัก

          “นี้คือราชโองการ เราจะประกาศต่อหน้าเหล่าขุนนางด้วยตัวของเราเอง” สวี่กงกงรีบปรี่เข้าไปรับราชโองการ เมื่อเห็นเนื้อความในราชโองการ ใบหน้าเหี่ยวย่นก็ซีดเผือก

          “ฝ่าบาท!”

          “สวี่กงกง.. เราหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด” เหวิงเจิ้งกดเสียงต่ำทำให้สวี่กงกงไม่กล้าเอ่ยอะไรต่อทำได้เพียงค่อมศีรษะแล้วเดินออกจากห้องไปทั้งที่ใบหน้าซีดเผือก

          ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ หย่งเซิงยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ถอยกลับไปนั่งและไม่ได้ก้าวเข้ามาหา เพียงมองดูเหวินเจิ้งกางฎีกาออกอ่านอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ

          ใบหน้าเหวินเจิ้งยามนี้เรียบเฉยเสียจนน่ากลัว เขาไม่รู้ว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นกำลังซ่อนความรู้สึกแบบไหนอยู่

          “ฝ่าบาท..”

          “เจ้าไม่ต้องขอบใจเราหรอก อย่างไรเสีย เราก็เป็นหนี้เจ้า” เหวินเจิ้งเอ่ยขัดทั้งที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ม้วนฎีกา “หนี้ที่เจ้าช่วยส่งเราไปหาความตาย”

          “กระหม่อมทำเพื่อตัวเองมิใช่เพื่อพระองค์” หย่งเซิงจ้องหน้าเหวินเจิ้งนิ่ง อยากจะจับอีกฝ่ายมาเขย่าแรงๆ ให้รู้สึกตัวเสียทีว่าเขาเองก็ปวดใจที่ต้องทนเห็นเหวินเจิ้งอดทนต่อความเจ็บปวดที่รุมเร้า ถึงอยากนั้นอีกฝ่ายก็ไม่เคยร้องขอให้ช่วยรักษา ไม่เคยแสดงความเจ็บปวดให้ผู้อื่นเห็น อย่างน้อยก็ต่อหน้าเขา ให้เขาได้มีโอกาสช่วยแบ่งเบาความเจ็บปวดของอีกฝ่ายบ้าง สักนิดก็ยังดี

          “จริงสิ เจ้าทำเพื่อมารดาของเจ้า เราเองก็เผลอลืมไป” เหวินเจิ้งยกยิ้มเยาะ ก่อนจะตวัดตามองดวงตาดำสนิทที่ทำให้เขาหวั่นไหว หัวใจของเขาในตอนนี้โดนขยี้จนแหลกเหลว

          แม้บอกตัวเองว่าไม่หวัง แท้จริงแล้วเขาก็ยังอดที่จะมีความหวังมิได้

          เพราะเขายังเป็นมนุษย์..

          “…” เมื่อเห็นดวงตาแดงก่ำของเหวินเจิ้ง หย่งเซิงก็อดที่จะใจหายไม่ได้

          “หย่งเซิง เราเป็นฮ่องเต้ที่ดีหรือไม่” เหวินเจิ้งเอ่ยถามออกมาเบาๆ อย่างน้อยในเวลาเช่นนี้เขาก็อยากให้หย่งเซิงจดจำเขาที่เป็นฮ่องเต้ผู้สง่างาม เขาไม่สนว่าผู้อื่นจะมองเขาเช่นไร เพียงหย่งเซิงเท่านั้น เพียงแค่หย่งเซิงจดจำฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ไว้ในส่วนเล็กๆของหัวใจ เท่านี้ก็พอแล้ว

          “..พ่ะย่ะค่ะ” คำตอบของหย่งเซิงช่างหนักแน่นมั่นคงเสียจนหัวใจเขาสั่นไหว

          “เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เหวินเจิ้งยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกให้หย่งเซิงเข้ามาใกล้

          เมื่อหย่งเซิงเห็นเช่นนั้นก็รีบเดินเข้ามาหาก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกัน

          “หย่งเซิง เรารู้ว่า.. จะไม่มีคืนพรุ่งนี้สำหรับเราอีกแล้ว” เหวินเจิ้งเอื้อมมืออันสั่นเทาตั้งใจจะจับมือหย่งเซิงแต่ก็เกิดลังเลขึ้นมา กลัวว่าหย่งเซิงจะรังเกียจ

          หย่งเซิงมองท่าทีลังเลนั้นอย่างเจ็บปวดใจก่อนจะเป็นฝ่ายเอื้อมมือไปจับมือที่ชะงักค้างนั้นแทน เหวินเจิ้งจ้องมองมือใหญ่อันแสนอบอุ่นนั้นนิ่ง ก่อนจะเงยหน้าสบดวงตาดำสนิท

          “ให้กระหม่อมได้มอบความอบอุ่นให้กับมือที่เหยียบเย็นคู่นี้เถิดพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยพลางกระชับมือเหวินเจิ้งไว้แน่น

          เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าวก่อนจะเบือนหน้ากลับไปอ่านฎีกาที่วางอยู่บนโต๊ะทั้งที่ยังจับมือหย่งเซิงไว้แน่น เขาไม่อยากแสดงความไม่เอาไหนให้หย่งเซิงได้เห็น

           เพียงชั่วขณะสั้นๆนี้ หัวใจเขารู้สึกอบอุ่น ทุกข์สุขของเขาล้วนขึ้นอยู่กับเจ้าของมืออันอบอุ่น เมื่อครู่เขายังเจ็บปวดเจียนตาย แต่ตอนนี้กลับสงบลงมาก

          เหงื่อเริ่มซึมออกจากฝ่ามือจนเปียกชุ่ม แต่เขากลับไม่นึกรังเกียจแม้แต่น้อย ยังคงอยากจะจับมือคู่นี้เอาไว้ เพียงรับรู้ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้ปล่อยมือเขาเช่นกัน

          ในคืนสุดท้ายของชีวิต เขาจะขอเห็นแก่ตัวสักครั้ง

          “เช่นนั้น ตลอดทั้งคืนนี้.. จนกว่าดวงตะวันขึ้นสู่ขอบฟ้า เจ้าห้ามปล่อยมือจากเราเด็ดขาดเลยนะ” เหวินเจิ้งเอ่ยทั้งที่ยังไม่ละสายตาออกจากฎีกา เขาไม่กล้ามองไม่กล้ารับรู้ว่าหย่งเซิงจะมองเขาด้วยสายตาเช่นไร

          เขากลายเป็นคนขี้ขลาดไปเสียแล้ว..

          “พ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงไร้ซึ่งความลังเลทำให้เหวินเจิ้งคลายความขึงเครียดลงมุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้ม


          ตลอดทั้งคืนนี้ มือคู่นี้ของหย่งเซิงจะเป็นของเขาเพียงคนเดียว..



-------------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 08-07-2017 18:05:14
บทที่ 15 สิ้นพระชนม์

          “ฝ่าบาทได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ..” สวี่กงกงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมพลางเหลือบมองร่างโปร่งที่กำลังเอามือไพล่หลังมองออกไปยังนอกหน้าต่าง

          เหวินเจิ้งหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะเหม่อมองท้องฟ้า แสงแดดวันนี้เจิดจ้ากว่าที่เคย จนเขาตาพร่ามัว.. ไม่สิ ต้องบอกว่าเขาตาพร่ามัวเพราะยาพิษที่อยู่ในร่างกายเสียมากกว่า

          แม้แต่การหายใจก็เป็นเรื่องยากไปเสียแล้ว ร่างกายเจ็บปวดราวกับโดนเข็มทิ่มแทง เขาต้องฝืนกลั้นจนสุดกำลังเพื่อไม่ให้เผลอกรีดร้องออกมา

          เหวินเจิ้งปรายตามองเหล่าขันทีและนางกำนัลที่ยืนก้มหน้าอย่างนอบน้อมอยู่ด้านหลัง คนพวกนี้กำลังรอดูเขาทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด น่าเสียดายที่เขาไม่มีความคิดจะแสดงให้พวกมันได้เห็น

          “อยู่ๆ เราก็นึกถึงวันแรกที่ขึ้นครองราชย์ขึ้นมา” เหวินเจิ้งเปล่งเสียงออกมาอย่างอยากลำบาก น้ำเสียงของเขาแหบแห้งจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สนใจยังคงเอ่ยต่อ “ตอนนั้นเจ้าก็เอ่ยเตือนเราเช่นนี้”

          “กระหม่อมจำได้พ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงเอ่ยตอบ พยายามควบคุมสีหน้าให้นิ่งสงบอย่างสุดความสามารถ เขาเป็นขันทีที่รับใช้ฮ่องเต้มาถึงสามรัชสมัย ตอนนี้ถึงเวลาเปลี่ยนรัชสมัยอีกครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้กลับเป็นครั้งที่ยากที่สุดสำหรับเขา

          “สวี่กงกง เรามิอาจยกโทษให้เจ้า.. แต่เราหวังว่าเจ้าจะรักษาสัญญา”

          “พ่ะย่ะค่ะ”

          ขันทีและนางกำนัลต่างลอบสบตากัน ไม่รู้ว่าฮ่องเต้เสียสติคิดทำการใด แต่ต้องมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ พวกเขาควรจะนำความไปถวายอัครเสนาบดีหย่งหรือไม่

          เหวินเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอาการเจ็บปวดจากพิษ ในสมัยที่เขายังเป็นองค์ชายสี่ เขาเคยถูกพิษมาแล้วถึงห้าครั้ง ทว่าครั้งนี้ไม่เจ็บปวดเท่าครั้งก่อนๆ นี้ใช่ความปราณีของหย่งเซิงหรือไม่ ช่างเถิด ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเขาจะปล่อยวางทุกอย่างลงเสีย

          เมื่อความเจ็บปวดเบาบางลงแล้วเหวินเจิ้งก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังเดินออกจาตำหนักไปโดยมีสวี่กงกงเดินตามไปติดๆ

          “ทุกอย่างพร้อมแล้วใช่ไหม” เหวินเจิ้งเอ่ยถามเสียงเบา สวี่กงกงรีบเดินขึ้นมาตีเสมอก่อนตอบ

          “พร้อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่กงกงลอบมองใบหน้าด้านข้างของเหวินเจิ้งอย่างลังเลก่อนจะกลั้นใจถาม “เรื่องราชโองการลับกระหม่อมคิดว่า..”

          “ให้เป็นไปตามนั้น” เหวินเจิ้งเอ่ยขัด สวี่กงกงได้ยินเช่นนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างจำใจ



          “ฮ่องเต้เสด็จ!!” เสียงแหลมสูงของขันทีประกาศเสียงดังลั่นทำให้บริเวณรอบๆลานพิธีเงียบลงไปถนัดตา เหวินเจิ้งก้าวเดินอย่างมั่นคงสง่างามท่ามกลางสายตาของเหล่าขุนนางทุกคน แม้ใบหน้าของเหวินเจิ้งจะซีดขาวแต่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีแห่งอำนาจที่แผ่ออกมาจากดวงตาคู่งามได้

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ..”

          เหวินเจิ้งยกยิ้มพลางปรายตามองเหล่าขุนนางที่คุกเข่าถวายบังคมอวยพรเขา คนพวกนี้รู้ทั้งรู้ว่าเขากำลังจะตายแต่ก็ยังอวยพรเขาอย่างแข็งขันช่างน่าขันนัก

          “ลุกขึ้น” เสียงแหบแห้งทว่าเต็มไปด้วยพลังอำนาจ เหล่าขุนนางกำหมัดแน่น แม้ไม่อยากจะยอมรับแต่เหวินเจิ้งคือผู้ที่เหมาะสมจะเป็นฮ่องเต้อย่างแท้จริง จะมีสักกี่คนที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ทั้งที่ร่างกายถูกพิษ คนผู้นี้ไม่แสดงอาการเจ็บปวดแม้แต่น้อย ไม่ร้องขอยาถอนพิษ ไม่ร้องขอการรักษา

          ทั้งที่ใบหน้าซีดเซียวแต่ดวงตากลับสุกใสเปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมี ริมฝีปากงามคู่นั้นยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มอย่างน่าหวาดหวั่น

          ยาพิษทำอะไรฮ่องเต้เสียสติไม่ได้..

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นอย่างเจ็บใจ

          “ฝ่าบาท ผู้ทำพิธีเล่าพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยถาม เมื่อคืนเขาส่งคนเข้าไปจับตาดูฝ่าบาทที่ตำหนักมากกว่าทุกวันแต่กลับไม่มีเรื่องใดผิดปกติ เหวินเจิ้งมิได้เรียกใครเข้าพบ และไม่ได้ออกไปไหน ถ้าเช่นนั้นอีกฝ่ายจะหาใครมาทำพิธีกัน หรือว่าจะเป็นเพียงแผนการเพื่อยั่วยุเขาเท่านั้น

          เหวินเจิ้งส่งยิ้มให้อัครเสนาบดีหย่งแทนคำตอบ ก่อนจะหันมาประกาศเสียงก้องกังวาล

          “เริ่มพิธีได้”

          เหล่าขุนนางต่างหันไปจับจ้องยังประตูปลัมพิธี ไม่นานก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา เดินหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาทว่าอ่อนเยาว์ ดวงตาดำขลับเปล่งรัศมีกดดันผู้คน ริมฝีปากบางเม้มสนิท ท่วงท่าการเดินแลดูองอาจเสียจนยากที่จะละสายตา

          เหล่าขุนนางเบิกตากว้าง

          “องค์ชายสาม..” เด็กหนุ่มคนนี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายองค์ชายสามที่สวรรคตไปแล้วเหลือเกิน

          อัครเสนาบดีหย่งจ้องมองเด็กหนุ่มตาค้างก่อนจะมองเลยไปยังร่างสูงใหญ่ที่เขาคุ้นเคยที่อยู่ด้านหลังของเด็กหนุ่ม

          อาเซิง!!

          เหตุใดอาเซิงจึงได้เดินมาพร้อมกับเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับองค์ชายสามกัน หรือว่า..

          อัครเสนาบดีหย่งหันขวับมามองเหวินเจิ้งที่ยืนยิ้มละไมบนแท่นประทับ เหวินเจิ้งปรายตามองกลับมาก่อนจะบิดมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่น

          อาเซิงทรยศเขา!!

          “นั่น.. บุตรชายท่านอัครเสนาบดีหย่งมิใช่หรือ”

          “เหตุใดจึงได้มาพร้อมกับเจ้าเด็กที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับอดีตองค์ชายสามกัน”

          เสียงซุบซิบนินทาดังเซ็งแซ่ทั่วปลัมพิธี ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มปริศนา หย่งเซิง อัครเสนาบดีหย่ง และฮ่องเต้อย่างสับสน

          เหวินอี้ในชุดทำพิธีขอฝนเดินมาหยุดที่กลางลานก่อนจะรินสุราใส่จอกเพื่อถวายแด่แท่นปลัมพิธีโดยไม่หวั่นเกรงสายตาของผู้ใด

          เหวินอี้รู้ดีกว่าพิธีกรรมนี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด เขาจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด มิเช่นนั้นเขาจะถูกครหาว่าเป็นตัวกาลกิณีของแผ่นดิน เหวินอี้ดื่มสุราในจอกเล็กก่อนจะเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนกำลังจะตกแล้ว..

          แปะ..

          เหวินเจิ้งแบมือรองรับเม็ดฝนที่ตกลงมาจากท้องฟ้าพลางยกยิ้ม ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของเหล่าขุนนาง

          ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชวงศ์ นี้เป็นครั้งแรกที่ฝนตกลงมาในวันที่ทำพิธีขอฝน ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าระไม้คล้ายอดีตองค์ชายสามที่ค่อยๆย่างเท้าเข้ามาหาเหวินเจิ้ง

          “ถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพ่ะย่ะค่ะ” เหวินอี้คุกเข่าถวายบังคมอย่างนอบน้อม

          “ลุกขึ้น”

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหวินอี้ลุกขึ้นก่อนจะสบตากับเหวินเจิ้งที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ในดวงตาดำขลับของเหวินเจิ้งเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจเมื่อมองสบมายังดวงตาของเหวินอี้

          “คนผู้นี้คือใครกันพ่ะย่ะค่ะ!” อัครเสนาบดีหย่งถูกความโกรธครอบงำจนลืมตัวตะโกนถามเสียงดังท่ามกลางสายตาของทุกผู้ในลานพิธี

          ยิ่งเห็นหย่งเซิงเดินไปหยุดยืนข้างหลังเหวินอี้ราวกับจะอารักขายิ่งทำให้อัครเสนาบดีหย่งหน้าดำทะมึนด้วยโทสะ

          “คนผู้นี้คือองค์รัชทายาทของเรา เหวินอี้บุตรแห่งองค์ชายสามเหวินห่าน” เหวินเจิ้งตอบกลับอยากไม่สะทกสะท้านกับท่าทีโกรธขึ้งของอัครเสนาบดีหย่ง

          ขุนนางอำมาตย์เมื่อได้ยินฐานะที่แท้จริงของเหวินอี้ต่างก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ เมื่อแปดปีก่อนมีขุนนางหลายฝ่ายที่ตั้งตนสนับสนุนให้องค์ชายสามขึ้นครองราชย์ แต่เมื่อองค์ชายสามถูกใส่ความว่าวางยาพิษองค์ชายเก้าทำให้เหล่าขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายสามต้องหันไปรับใช้อัครเสนาบดีหย่ง

          เหวินเจิ้งแสยะยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของขุนนางหลายคน เขารู้ว่ามีขุนนางหลายคนที่ยังคงจงรักภักดีต่อพี่สามอยู่ หากขุนนางเหล่านี้รู้ว่าเหวินอี้คือบุตรชายของพี่สามจะต้องให้ความสนับสนุนเหวินอี้อย่างแน่นอน

          หากมีคนค่อยช่วยเหลือเหวินอี้อยู่อย่างน้อยเขาจะได้วางใจลงสักเล็กน้อย..

          “เป็นไปไม่ได้ อดีตองค์ชายสามไม่มีบุตรชายพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งยกยิ้ม ในปีนั้นเขาเป็นคนวางแผนใส่ร้ายองค์ชายสามด้วยมือของเขาเอง ในตอนนั้นเขาส่งคนออกสะกดรอยตามองค์ชายสามทุกฝีก้าว หากองค์ชายสามมีบุตรจริงเขาจะต้องรู้เป็นคนแรก

          เหวินอี้ปรายตามองอัครเสนาบดีหย่งด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่มือที่อยู่ภายใต้แขนเสื้อกลับกำเป็นหมัดแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ท่านน้าเคยบอกเขาว่าอัครเสนาบดีหย่งคือคนที่ใส่ความบิดาของเขา! ครั้งแรกที่ได้ยินเขาทั้งโกรธทั้งอาฆาต หากไม่มีเพ่ยหลินคอยอยู่เคียงข้างเขาอาจจะจอมจมลงไปสู่ความเคียดแค้นอย่างโง่งม เขารู้ว่าตอนนี้ตนไร้กำลัง ดันนั้นเขาต้องคว้าอำนาจมาอยู่ในมือให้ได้ เมื่อมีอำนาจเขาจะลงโทษทุกคนที่บังอาจทำผิดต่อบิดาของเขาและบิดาของเพ่ยหลิน

          เหวินอี้ไล่มองเหล่าขุนนางอำมาตย์ที่อยู่โดยรอบสร้างความกดดันให้ผู้คนจนกระทั้งมาหยุดที่อัครเสนาบดีหย่ง

          อัครเสานบดีหย่ง.. เจ้าจะต้องชดใช้ให้ข้า!

          “ท่านจะบอกว่าเราโกหกหรือ” เหวินเจิ้งถามกลับทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้ม

          “กระหม่อมมิกล้า เพียงแต่หากคนผู้นี้คือบุตรแห่งองค์ชายสามจริง เช่นนั้นต้องมีหลักฐานพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งแค่นเสียงลอดไรฟัน เขาจะไม่มีวันยอมรับเรื่องนี้เป็นอันขาด

          เหวินเจิ้งอ้าปากกำลังจะตอบแต่กลับชะงักค้าง หัวใจกระตุกรั่วเร็วจนหน้ามืด ฃต้องเอื้อมมือไปค้ำยันโต๊ะไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป

          หย่งเซิงหรี่ตาลงเมื่อเห็นท่าทีของเหวินเจิ้ง หรือว่าอาการกำเริบ

          “ฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบปรี่เข้ามาตั้งใจจะช่วยพยุงแต่เหวินเจิ้งกลับยกมือห้าม

          “เรา.. ไม่เป็นไร” เหวินเจิ้งรู้สึกถึงโลหิตที่กระจุกอยู่ที่คอก่อนจะพยายามกลืนก้อนโลหิตนั้นลงไป เขาจะไม่มีวันล้มลงต่อหน้าคนพวกนี้! เหวินเจิ้งไล่มองเหล่าขุนนางที่จับจ้องมาที่เขา ก่อนจะปล่อยมือที่ค้ำยันโต๊ะออกแล้วหันไปสบตาอัครเสนาบดีหย่ง “เรานี้แหละคือหลักฐาน”

          “ฝ่าบาท..” เสียงพูดคุยเซ็งแช่ดังขั้นอีกครั้ง

          “เจ็ดปีก่อนองค์ชายสามได้ฝากฝังเหวินอี้ให้ไว้กับเรา” เหวินเจิ้งไล่มองเหล่าขุนนางทั้งที่ดวงตาพร่ามัว “เราได้เลี้ยงดูเด็กคนนี้เป็นการลับ.. เพื่อความปลอดภัย”

          ประโยคสุดท้ายเหวินเจิ้งจงใจหันกลับมาสบตาอัครเสนาบดีหย่ง

          ฮ่องเต้รู้.. ว่าเขาใส่ความองค์ชายสาม

          อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันกรอด

          “หากพวกท่านเคยพบอดีตองค์ชายสามสักครั้ง ไม่มีวันที่พวกท่านจะไม่เชื่อคำเรา” เหวินเจิ้งกดเสียงลงต่ำอย่างขู่ขวัญ เหวินอี้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับพี่สามถึงแปดส่วน หากจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็คงจะยากเกินไปสักหน่อย

          “อดีตองค์ชายสามต้องโทษประหารข้อหาวางยาพิษเชื้อพระวงศ์จนถึงแก่ความตาย หากจะให้บุตรชายของพระองค์ขึ้นเป็นฮ่องเต้อาจจะถูกครหาเอาได้พ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยขัด “หากมิใช่เพราะพระเมตตาของอดีตฮ่องเต้ คนในครอบครัวทั้งหมดอาจจะต้องถูกประหารไปด้วย”

          ข้อหาวางยาพิษเชื้อพระวงศ์มิใช่เรื่องเล็ก โดยปกติต้องถูกประหารเจ็ดชั่วโคตร แต่เป็นเพราะเชื้อสายขององค์ชายสามคือเหล่าเชื้อพระวงศ์ทำให้บทลงโทษต้องลดหลั่นกันไป

          “แต่ก็มิได้ถูกประหาร.. หากบิดามีความผิดบุตรก็ต้องเป็นผู้รับผิดด้วยหรือ อัครเสนาบดีหย่งท่านมิใช่คนจิตใจคับแคบมิใช่หรือ” เหวินเจิ้งเอามือไพล่หลังก่อนจะเดินลงบันไดมาชั้นเดียวกับเหล่าขุนนางที่ยืนท่ามกลางสายฝน เหวินเจิ้งแบบมือออกไปข้างหน้าเพื่อรองรับน้ำฝนที่ตกกระทบลงสู่มือ “ท่านจะบอกว่าผู้ที่สร้างปาฏิหาริย์เช่นนี้มิคู่ควรแก่การขึ้นครองราชย์หรือ”

          อ่า หายใจลำบากเหลือเกิน.. หากไม่ออกมาตากฝนเกรงว่าเขาอาจจะเป็นลมล้มลงไปแล้ว

          มืออีกข้างที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อของเหวินเจิ้งกำหมัดแน่น ปล่อยให้เล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ตอนนี้เขาแทบมองอะไรไม่เห็นแล้ว ทุกอย่างพร่าเลือนไปหมด ร่างกายหนาวสะท้าน ทุกลมหายใจเข้าออกช่างเจ็บแสบราวกับมีเข็มนำหมื่นเล่มมาปักอยู่บนอก

          แต่เขายังล้มไม่ได้!

          เหล่าขุนนางต่างมองไปยังอัครเสนาบดีหย่งเป็นตาเดียว ในเมื่อมีผู้ที่สามารถเรียกฝนได้เช่นนี้จะบอกว่าคนผู้นี้ไม่เหมาะสมก็ไม่ได้ จะบอกว่ามิใช่บุตรของอดีตองค์ชายสามก็มิได้อีก ตอนนี้พวกเขาต่างจนด้วยคำพูด

          “คนผู้นี้คือบุตรของนักโทษประหารพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีหย่งเอ่ยลอดไรฟัน

          “แต่มิใช่นักโทษประหาร” เหวินเจิ้งยังคงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

          “...” โทสะอัดแน่นอยู่เต็มอกของอัครเสนาบดีหย่ง เขาอดทนรอมาตลอด รอวันที่อำนาจจะตกอยู่ในมือเขา ทั้งที่อีกเพียงนิดเดียว อำนาจทั้งหมดก็จะเป็นของเขา!!

หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 08-07-2017 18:05:33
          อัครเสนาบดีหย่งตวัดสายตาไปยังหย่งเซิงอย่างเครียดแค้น เจ้าลูกไม่รักดีทรยศเขา!! มันสมรู้ร่วมคิดกับเหวินเจิ้งมาโดยตลอด เขาจะฆ่ามัน ฆ่ามัน!!

          “ท่านอัครเสนาบดี..” อำมาตย์คนสนิทเอ่ยเรียกเบาๆเพื่อเตือนสติ หากวู่วามไปคงไม่ดีแน่

          อัครเสนาบดีหย่งกัดฟันแน่น เขาจะต้องไม่แพ้! เขารอมาหลายสิบปี ตอนนี้หากต้องรอต่อไปอีกนิดจะเป็นอะไรไป เขาต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้ ใจเย็นลงกว่านี้..

          เหวินอี้ขัดใจเล็กน้อยที่เห็นอัครเสนาบดีหย่งใจเย็นลง ทีแรกเขาคิดว่าจะได้เห็นคนผู้นี้คลุ้มคลั่งด้วยความโกรธแค้นเสียอีก หากเป็นเช่นนั้นก็คงจะจัดการง่ายขึ้น

          แต่ช่างเถิด เขายังมีเวลาอีกมาก เขาจะค่อยๆทำให้มันลิ้มรสความทรมานของการถูกใส่ร้ายป้ายสีเหมือนกับบิดาของเขา!

          “ยังมีใครคัดค้านอยู่ไหม” เหล่าขุนนางต่างก้มหน้าหลบสายตาของเหวินเจิ้ง เมื่อไม่มีใครพูดอะไรเหวินเจิ้งก็ส่งสัญญาณให้สวี่กงกงก่อนจะเอ่ย “เหวินอี้รับราชโองการ”

          ทุกคนในลานต่างคุกเข่าหมอบราบกับพื้นเพื่อรับราชโองการ สวี่กงกงรีบนำราชโองการสองฉบับมามอบให้กับเหวินเจิ้งด้วยดวงตาแดงก่ำ

          “ให้กระหม่อมประกาศแทนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ยามนี้พระพักตร์ของฮ่องเต้ซีดเผือกจนน่าใจหาย

          เหวินเจิ้งส่งยิ้มให้สวี่กงกงก่อนจะรับราชโองการมาหนึ่งฉบับ มือของเขาสั่นเทายากที่จะควบคุมถึงอย่างนั้นราชโองการทั้งสองฉบับนี้เขาก็อยากจะเป็นคนประกาศเอง

          “ขอแต่งตั้งให้เหวินอี้บุตรแห่งเหวินห่านเป็นองค์รัชทายาท หากเรา.. เหวินเจิ้งมีอันเป็นไปเจ้าจงขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์แทนเรา จงดูแลรักษาบ้านเมืองให้ราษฎร์อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข จงเป็นฮ่องเต้ผู้เมตตาและเที่ยงธรรม นำพาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสืบไป” เสียงแหบแห้งทว่าทรงพลังสมกับเป็นเจ้าแห่งชีวิต เหล่าขุนนางอำมาตย์ต่างเจ็บใจที่มิอาจทำให้คนผู้นี้ด่างพร้อยได้แม้แต่น้อย

          “กระหม่อมน้อมรับราชโองการ.. ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหวินอี้เงยหน้าสบตาเหวินเจิ้งก่อนจะตอบรับอย่างหนักแน่น เขาจะเป็นฮ่องเต้ที่ดีเหมือนกับท่านน้าของเขา..

          เหวินเจิ้งพยักหน้าให้เหวินอี้เพื่อสร้างความมั่นใจให้อีกฝ่าย เด็กคนนี้จะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้แน่

          “เรายังมีของขวัญให้พวกเจ้าอีกฉบับ” เหวินเจิ้งกล่าวพลางหยิบราชโองการอีกหนึ่งฉบับขึ้นมาถือไว้ ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนในลานรวมถึงหย่งเซิง “ในรัชสมัยฮ่องเต้เหวินเจิ้งจะยกเลิกกฎการฝังข้ารับใช้และสนมนางในในสุสานของพระองค์ จะไม่มีผู้ใดต้องถูกฝังไปพร้อมกับพระศพของข้านับจากนี้และตลอดไป”

          เหล่าขุนนางอำมาตย์เบิกตาโพลง จะไม่มีการฝังข้ารับใช้นั้นหมายความว่าพระองค์จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในปรโลก!

          อัครเสนาบดีหย่งกำหมัดแน่นก่อนจะมองไปยังหย่งเซิงที่เบิกตากว้างจ้องมองเหวินเจิ้ง ที่แท้อาเซิงร่วมมือกับฮ่องเต้เพื่อช่วยเหม่ยลี่นี้เอง มิน่าเล่าเมื่อเขายื่นข้อเสนออาเซิงถึงไม่ยอมรับเพราะได้ทำข้อตกลงกับฮ่องเต้เอาไว้ก่อนแล้ว

          บังอาจนัก!!

          เหวินเจิ้งยกยิ้มจนดวงตายักโค้งเมื่อเห็นหย่งเซิงมองเขาด้วยสีหน้าสับสนก่อนจะดวงตาจะพร่ามัวอีกครั้ง ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงเต้นของหัวใจ

          หย่งเซิง..

          หย่งเซิง..

          หย่งเซิง.. ข้าชอบเจ้า ชอบมาก ชอบเกินกว่าจะฉุดรั้งเจ้าไว้กับข้า ชอบเกินกว่าจะพรากเจ้าไปจากคนที่เจ้ารัก

          ข้ามิอาจพรากชีวิตเจ้า..

          เหวินเจิ้งพยายามกระพริบตาเพื่อปรับสายตาให้มองเห็นได้ชัดขึ้นอีกนิดก็ยังดี เขาอยากเห็นหย่งเซิงเป็นคนสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ หย่งเซิง.. ผู้ทำให้เขารู้จักความรักเป็นครั้งแรก เป็นความสุขเล็กๆเพียงหนึ่งเดียวของเขาในวังหลวงที่แสนโหดร้ายแห่งนี้

          “รับราชโองการเสีย” เหวินเจิ้งแค่นเสียงลอดไรฟัน เขารับรู้ได้ถึงรสคาวของเลือดที่อยู่ในปาก ร่างกายของเขาไม่อาจฝืนไหวอีกแล้ว

          “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” เหล่าขุนนางอำมาตย์แม้จะสับสนแต่ก็กล่าวออกมาจากพร้อมเพียงกัน

          เมื่อเห็นว่าเหล่าขุนนางรับราชโองการแล้วเหวินเจิ้งก็หันหลังเดินออกไปนอกลานพิธีทันที ทิ้งสายตางุนงงสับสนของเหล่าขุนนางเอาไว้เบื้องหลัง

          “อั๊ก!” เมื่อเดินพ้นออกมาจากลานพิธีเหวินเจิ้งก็กระอักเลือดออกมาคำโต

          “ฝ่าบาท” สวี่กงกงรีบเข้ามาประคองร่างของเหวินเจิ้งเอาไว้อย่างร้อนรน ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทสั่งเขาเอาไว้ว่าหลังจากประกาศราชโองการให้ไล่ขันทีและนางกำนัลรับใช้ออกให้หมด ทีแรกเขายังสับสนว่าฝ่าบาทต้องการจะทำอะไรแต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

          ฝ่าบาททรงไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็นวาระสุดท้ายของพระองค์..

          สวี่กงกงดวงตาแดงก่ำเมื่อเห็นเลือดกองโต

          “สวี่กงกง.. เหตุใดเจ้ายังอยู่ที่นี้อีก” เขาได้สั่งให้สวี่กงกงดูแลรับใช้เหวินอี้ นับตั้งแต่ที่เขาประกาศราชโองการไปแล้ว

          “ให้กระหม่อมอยู่กับฝ่าบาทเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

          “...” เหวินเจิ้งไม่ตอบเพียงผลักสวี่กงกงออกไป ก่อนจะเดินโซซัดโซเซออกไปทางตำหนัก

          สวี่กงกงมองตามแผนหลังของเหวินเจิ้งที่ค่อยๆห่างไกลออกไปก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วหันหลังกลับไปทางลานพิธี

          ฝ่าบาทวางใจเถิด กระหม่อมจะต้องรักษาสัญญาอย่างแน่นอน

          หมับ!

          อยู่ๆเหวินเจิ้งรู้สึกแน่นที่ต้นแขน เมื่อหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นหย่งเซิง..

          “เหวินอี้เล่า” เหวินเจิ้งฝืนยกยิ้มทั้งที่ลมหายใจหอบถี่

          “สวี่กงกงไปดูแลแล้ว”

          หย่งเซิงหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อเห็นเลือดที่มุมปากของเหวินเจิ้ง หัวใจของหย่งเซิงหดรัดแน่นจนเจ็บร้าว

          “เจ็บหรือไม่” หย่งเซิงถามเสียงเบา ยิ่งเห็นเหวินเจิ้งทรมานเขาก็ยิ่งเจ็บปวด เป็นเขาที่ทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพเช่นนี้ “กระหม่อมไม่มีทางเลือก”

          หย่งเซิงเอ่ยพลางเอื้อมมือไปลูบไล้ใบหน้าของเหวินเจิ้ง

          เหวินเจิ้งจ้องมองดวงตาดำสนิทที่บัดนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว ด้วยสายตาสับสน

          หย่งเซิง เจ้ากำลังเจ็บปวดเพื่อข้าหรือ..

          “.. เราไม่.. เจ็บ” เหวินเจิ้งเค้นเสียงตอบอย่างยากลำบาก เขาไม่อยากให้หย่งเซิงต้องรู้สึกผิดเพราะเขา ที่แท้เขากลายเป็นคนโง่งมเพราะความรักไปเสียแล้ว

          “.. โกหก” หย่งเซิงกัดฟันกรอดหัวใจสั่นสะท้าน หย่งเซิงคว้าตัวเหวินเจิ้งมากอดแนบอก เขามิอาจทนเห็นเหวินเจิ้งต้องทนทุกข์ทรมาน

          “พา.. เรากลับตะ.. ตำหนัก.. ที” เขาไม่อยากให้ใครเห็นความทุกข์ทรมานของเขานอกจากหย่งเซิง

          “ได้” หย่งเซิงอุ้มเหวินเจิ้งไว้แนบอกก่อนจะเหินตัวไปยังตำหนักบรรทม

          เหวินเจิ้งหลับตาลงฟังเสียงหัวใจของหย่งเซิงที่เต้นอย่างหนักแน่นมั่นคงที่ข้างหู

          “หย่งเซิง.. เรานิสัยไม่ดี.. อย่างที่คนเขาว่ากัน.. จริงๆ”

          “อย่าพึ่งพูดอะไรเลยพ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงเอ่ยปราม ยิ่งพูดอีกฝ่ายจะยิ่งทรมาน

          “เราอยากให้เจ้ามี.. ชีวิตต่อไป.. ทุกๆวัน.. เจ้าจะต้องนึกขอบคุณเรา.. ที่ปล่อยให้เจ้า.. มีชีวิตอยู่กับ.. คนรักของเจ้า” เขาช่วยชีวิตทั้งสองคนมิให้ต้องถูกฝังทั้งเป็น เขาจะกลายเป็นคนที่อยู่ในความทรงจำของหย่งเซิง คนที่หย่งเซิงมิอาจลืมไปชั่วชีวิต

          หย่งเซิงหมุนหัวคิ้วเข้าหากัน เขาไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายพูด

          เมื่อเปิดประตูเข้ามาในตำหนักหย่งเซิงก็วางเหวินเจิ้งลงบนแท่นบรรทมอย่างแผ่วเบา

          “พระองค์จะต้องอดทน” หย่งเซิงจับมือเหวินเจิ้งแน่น ดวงตาดำสนิทฉายชัดถึงความเป็นกังวล

          เหวินเจิ้งอมยิ้มจ้องมองใบหน้าของคนที่เขาโหยหา

          “เรา.. อดทนมา.. นานแล้ว” เขาเค้นเสียงตอบ แม้จะเหนื่อยล้า แม้จะหายใจลำบาก เขาก็อยากพูดคุยกับหย่งเซิงอีกสักนิด

          “เหตุใดพระองค์จึงเขียนราชโองการเช่นนั้นเล่า” หย่งเซิงอดที่จะตำหนิเหวินเจิ้งไม่ได้ ทั้งที่ตกลงกันแล้วว่าจะฝังเขาลงในสุสานเดียวกัน แต่อีกฝ่ายกลับยอมถูกฝังเพียงคนเดียว

          เหวินเจิ้งยิ้มไม่ตอบคำ มีเพียงสวรรค์ที่รู้ ว่าเขาโง่งมเพียงใด เพราะรักจึงมิอาจยอมให้อีกฝ่ายตายได้

          “หย่งเซิง..” เหวินเจิ้งเค้นเสียงเรียกอีกฝ่าย ตอนนี้เขามองอะไรแทบไม่เห็นเลย สายตาของเขาเริ่มถูกความมืดเข้าครอบงำ เขาอยากจะมองหน้าหย่งเซิงให้นานอีกนิดจึงพยายามฝืนลืมตาทั้งที่ดวงตามืดบอด

          “กระหม่อมอยู่นี้” หย่งเซิงจับมือเหวินเจิ้งให้แน่นขึ้น “พระองค์มิได้ตัวคนเดียว”

          เสียงหอบหายใจดังก้องไปทั่วตำหนักที่ไร้ผู้คน

          หากเป็นฮ่องเต้องค์อื่นเมื่อกำลังสิ้นพระชนม์จะต้องมีเหล่าขุนนางอำมาตย์มาร้องห่มร้องไห้เพื่อแสดงความเสียใจ แต่เขาในตอนนี้กลับพอใจ.. เพียงแค่มีหย่งเซิงข้างกาย ความตายก็ไม่ทรมานนัก

          “.. น่าเสียดาย.. ที่เรา.. ยังมิเคยได้ชมจันทร์.. บนเขาเทียนซาน”

          “.. กระหม่อมจะพาพระองค์ไป” หย่งเซิงใช้นิ้วมือไล่เช็ดน้ำตาที่ไหลเปื้อนใบหน้างดงามของเหวินเจิ้ง

          พึ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเขากำลังร้องไห้.. ทำไมน้ำตาถึงได้ไหล เขามิได้รู้สึกเศร้าเสียใจ เพียงแต่รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเท่านั้น

          เสียดายที่เขาไร้วาสนา..

          “ชาติหน้า.. หากได้พบกัน.. เจ้าก็ช่วยพาเราไปที.. นะ” เสียงของเหวินเจิ้งแผ่วเบาลงเรื่อยๆจนหย่งเซิงต้องแนบหูลงชิดริมฝีปากของอีกฝ่ายจึงจะได้ยิน

          “กระหม่อมจะพาพระองค์ไปทุกที่ที่พระองค์อยากไป.. ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” หย่งเซิงยกมืออีกข้างขึ้นปิดตาของเหวินเจิ้ง เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องทรมานนานนัก

          เหวินเจิ้งรับรู้ได้ว่ามือของหย่งเซิงสั่นระริก หย่งเซิงเอง.. ก็เสียดายเช่นกันหรือ

          หากชาติหน้ามีจริง หากเขาได้เกิดเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เขาอยากจะรักหย่งเซิงอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้รับความรักตอบ แม้จะเป็นความรักข้างเดียวชั่วชีวิต ขอเพียงเขามีโอกาสได้อยู่เคียงข้างหย่งเซิงให้มากหน่อย มากกว่าชาตินี้ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขมาเป็นกำแพงขวางกั้น..

          “แค่ก!” เหวินเจิ้งไอจนตัวโยก เริ่มหายใจติดขัดในจมูกอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

          วาระสุดท้าย..

          “ฝ่าบาท.. ชีวิตในชาติหน้าของพระองค์.. ทรงมอบให้กระหม่อมเถิด..”

          เสียงของหย่งเซิงเริ่มห่างไกลออกไปเรื่อยๆจนแทบจับใจความไม่ได้ ร่างกายของเขาหนาวเหน็บ ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมสติสัมปชัญญะอย่างช้าๆ

          เขารู้สึกได้ว่ามุมปากกำลังยกยิ้ม

          ท่านพ่อ.. ข้ากำลังไปหาท่าน.. มองดูท่านร่ำไห้อย่างผิดหวัง.. ข้าสมน้ำหน้าท่านนัก..

          ในที่สุด.. การรอคอยของข้าก็สิ้นสุดลงเสียที

 

          ฮ่องเต้เหวินเจิ้งสิ้นพระชนม์ท่ามกลางความยินดีปรีดาของเหล่าราษฎร์และเหล่าขุนนาง พระองค์ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่โหดเหี้ยมอำมหิต บัลลังก์ของพระองค์แลกมาด้วยชีวิตของเหล่าพี่น้องและสนมชายา

          เล่ากันว่าพระองค์สิ้นพระชนม์เพียงลำพังในตำหนักอันเวิ้งว้าง ไม่มีขันทีหรือขุนนางคนใดร่ำไห้ให้พระองค์ แม้แต่พิธีส่งพระศพก็ยังเป็นไปอย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีไว้อาลัย ไม่มีพระสนมคนใดเข้าร่วมพิธี มีเพียงฮองเฮาที่เสด็จออกจากวังหลวงไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในวัดอันห่างไกล

          ความดีที่พระองค์ทรงทำไว้มีเพียงเรื่องเดียวคือราชโองการสุดท้าย ยกเลิกกฎการฝังสนมนางในไว้ในสุสานของพระองค์ ไม่มีพระสนมนางในคนใดที่ต้องสละชีพ

          ทว่าความแค้นที่เหล่าขุนนางมีต่อพระองค์ยังคงไม่หมดไป ว่ากันว่าเหล่าขุนนางที่เคยถูกฮ่องเต้เหวินเจิ้งพรากบุตรสาวต่างคิดแค้น ขุดหลุมฝังพระศพของพระองค์จนเละไม่มีชิ้นดี แต่กลับไม่พบอะไรในสุสาน

          พระศพของฮ่องเต้เหวินเจิ้งหายไปอย่างไร้ล่องรอย..

          สร้างความสะเทือนขวัญให้แก่ผู้คน ควบคู่ไปกับข่าวของฮ่องเต้พระองค์ใหม่เหวินอี้ที่สร้างปาฏิหาริย์ในพิธีขอฝน ภัยแล้งได้หมดไปจากแผ่นดินในวันนั้น

          วันที่ฮ่องเต้เหวินเจิ้งสิ้นพระชนม์..


-------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 08-07-2017 18:10:35
บทที่ 16 ชาตินี้..

          เขารู้สึกอบอุ่น..

          รู้สึกอบอุ่นราวกับกำลังถูกใครบางคนโอบกอด อ้อมกอดที่เขามักเก็บไปนอนฝัน อ้อมกอดที่เขาโหยหา อ้อมกอดของหย่งเซิง..

          แต่เขาตายไปแล้ว..

          ตายอย่างมีความสุข.. เพราะมีหย่งเซิงอยู่เคียงข้าง..

          ที่แท้โลกหลังความตายก็ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด..

          เขาทั้งรู้สึกอบอุ่นและอ่อนโยน จนเขารู้สึกสงสัย..

          เขาตายแล้วจริงหรือ เหตุใดเขาจึงรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงต้นไผ่ที่แสนคุ้นเคย..

          ป่าไผ่..

          ในขณะที่เขากำลังพยายามเงี่ยหูฟังเสียงต้นไม้ อยู่ๆความอบอุ่นที่โอบล้อมตัวเขาก็ค่อยๆถอนตัวออกไปจนเขาต้องรีบคว้าความอบอุ่นนั้นไว้อย่างหวงแหน

          ชั่วขณะที่ความอบอุ่นถอนตัวไปเขารู้สึกใจหายคล้ายกับกำลังสูญเสียสิ่งสำคัญ มันทำให้เขาหวาดผวา

          เจ้าความอบอุ่นนั้นชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมกลับมาโอบกอดเขาเหมือนเดิมจนเขาต้องเป็นฝ่ายกอดมันไว้แน่น

ข้าพึ่งถูกหย่งเซิงสะบั้นรักเจ้าก็จะมาผละจากข้าไปอีกหรือ..

          เขาอดพร่ำเพ้อในใจไม่ได้ ใครจะรู้ว่าแม้แต่ในโลกหลังความตายเช่นนี้ก็ยังทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด เขานึกว่าหากตายไปแล้วจะไม่เจ็บปวดเสียอีก

          หย่งเซิงเจ้าจะมีอิทธิพลต่อหัวใจเราไปถึงชาติหน้าจริงหรือ..

          อยู่ๆเขาก็รู้สึกอุ่นวาบที่ศีรษะ เจ้าตัวอบอุ่นนี้กำลังปลอบโยนเขาหรือ อ่า.. ชักอยากจะร้องไห้เสียแล้ว

          “ท่านน้ายังไม่ฟื้นหรือ”

          เสียงของเด็กหนุ่มที่เขาคุ้นเคยดังเข้ามาในหัว

          “ยังพ่ะย่ะค่ะ.. แต่คงอีกไม่นาน” เสียงทุ้มแฝงความรักใคร่เอ็นดูอย่างปิดไม่มิดทำให้เขาสนใจยิ่งกว่าเสียงของเด็กหนุ่มคนเมื่อกี้

          เสียงนี้.. ช่างคุ้นเคย

          “งั้นหรือ.. ความจริงท่านมิต้องมากพิธีกับข้าเช่นนั้น” เสียงของเด็กหนุ่มแฝงความขบขันไม่น้อย

          “ฝ่าบาทควรจะทำตัวให้ชินเสียพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าของเสียงทุ้มดูจะไม่ค่อยสนใจน้ำเสียงขบขันของเด็กหนุ่มเท่าไรนัก “แล้วออกมาจากวังหลวงเช่นนี้จะไม่เป็นไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”

          เขาชอบเสียงทุ้มนี้เหลือเกิน

          “ท่านไม่ต้องห่วง วิชาตัวเบานี้ข้าฝึกมาตั้งแต่เด็ก” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างไม่ยี่หระ

          “กระหม่อมหมายถึงท่านหมอหลวงประจำตัวพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”

          “.. เพ่ยหลินไม่รู้หรอก” เสียงของเด็กฟังดูลังเลเล็กน้อย

          เพ่ยหลิน..?

          เหตุใดชื่อของเพ่ยหลินจึงมาปรากฏในโลกหลังความตาย

          “หากฝ่าบาทเสด็จมาที่นี้บ่อยเช่นนี้กระหม่อมอาจจะต้องเป็นคนไปบอกเอง”

          “หากข้าไม่มาด้วยตนเองท่านก็มิยอมส่งข่าวไปที่วังอยู่ดี” เสียงของเด็กหนุ่มกดต่ำอย่างมีโทสะ

          “หากมีโอกาสที่ความจะแตกแม้เพียงสักนิด กระหม่อมจะไม่ขอเสี่ยงพ่ะย่ะค่ะ” เสียงทุ้มเองก็ขู่ขวัญไม่แพ้กัน ความอบอุ่นที่วางทาบอยู่บนศีรษะของเขาหายไปแล้ว

          “แต่คนที่นอนอยู่ตรงนั้นคือน้าของข้านะ ท่านหย่งเซิง” เสียงของเด็กหนุ่มดังใกล้เข้ามา

          หย่งเซิง?

          จะเป็นไปได้อย่างไร มิใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ

          ความอบอุ่นที่อยู่รอบตัวมลายหายไป เหลือไว้เพียงความหนักอึ้งของศีรษะ เขาพยายามลืมตา ในลำคอรู้สึกแห้งผากร่างกายไม่มีเรี่ยวแรง

          ความทรมานนี้เจ็บปวดคล้ายกับตอนมีชีวิตอยู่

          “ตอนนี้อาเจิ้งเป็นของข้าแล้ว”

          อาเจิ้ง..

          เสียงทุ้มที่เขาคิดถึงกำลังเรียกชื่อของเขา..

          หัวใจที่เคยหยุดเต้นไปแล้วครั้งหนึ่งกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงเต้นของหัวใจและเสียงทุ้มของใครอีกคน

          สรรพสิ่งรอบข้างเริ่มชัดเจนขึ้นในความรู้สึก เสียงของต้นไผ่ กลิ่นของป่า ความอบอุ่นที่แสนคุ้นเคย..

          “.. หย่.. เซิง..” แสงสว่างวาบเข้ามาในดวงตาจนอดที่จะหรี่ตาลงไม่ได้ เสียงของเขาแหบแห้งราวกับคนที่ไม่ได้ดื่มน้ำมาแรมเดือน ในคอรู้สึกแห้งผาก ร่างกายหนักอึ้งไปเสียทุกส่วน

          “อาเจิ้ง!”

          “ท่านน้า!”

          น้ำเสียงร้อนรนระคนดีใจสองเสียงดังเข้ามาใกล้จนเขาต้องฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก เขาอยากจะมั่นใจ ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน

          ที่นี้ต้องไม่ใช่ตำหนักบรรทมที่แสนน่ากลัว

          ที่นี้ต้องไม่ใช่วังหลวงที่แสนเน่าเฟะ

          ที่นี้ต้องไม่มีสายตาผู้คนคอยจับผิด

          เขาไม่ได้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ถูกย้อมไปด้วยเลือด

          เขาไม่ได้กำลังถูกโซ่ตรวนที่ชื่อว่าฮ่องเต้ล่ามคออยู่

          เขาไม่ได้กำลังมีชีวิตอยู่..

          ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนสองคนฉายชัดในดวงตา

          หย่งเซิง.. เหวินอี้..

          เหวินเจิ้งดวงตาเบิกโพรงมองใบหน้าของคนทั้งสองสลับไปมา ในหัวสับสนวุ่นวายราวกับพึ่งโดนทุบด้วยของแข็ง ก่อนจะจ้องไปยังใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงที่บัดนี้นัยน์ตาดำสนิทฉายชัดไปด้วยความเป็นห่วง กังวลระคนโล่งใจ หลากหลายความรู้สึกปะปนกันจนเขามึนงง

          “เจ้า.. ไม่ได้.. ฆ่า.. เรา” เหวินเจิ้งเค้นเสียงอย่างโกรธเคือง แม้หัวใจจะอ่อนยวบไปแล้วหกส่วนทันทีที่เห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกของอีกฝ่าย

          แต่ความผิดหวังที่ว่าเขายังคงเป็นฮ่องเต้เหวินเจิ้งยังมีมากกว่า ทั้งที่เขาได้เตรียมใจเอาไว้แล้วแท้ๆ ทั้งที่คิดว่าจะไม่ต้องกลับไปนั่งบนบัลลังก์ที่น่าขยะแขยงนั้นแล้วแท้ๆ

          “.. เจ้า.. สนุกนัก.. หรือ..” ที่มาล้อเล่นกับความรู้สึกของข้า เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว เขารู้สึกเหนื่อย.. แต่กลับไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา

          ตอนนี้ร่างกายเขาขยับไม่ได้ทำได้เพียงจ้องหน้าของคนที่ทำให้เขาทั้งรักทั้งผิดหวัง

          “เอ่อ.. ข้าออกไปรอข้างนอกนะท่านน้า” เหวินอี้รู้สึกกระอักกระอวนจนไม่กล้าอยู่ต่อ เขาเองก็ถือว่ามีส่วนรู้เห็นกับแผนการในครั้งนี้ ดังนั้นปล่อยให้หย่งเซิงแก้ปัญหาไปก่อน จากนั้นเขาค่อยมาสมทบจะดีกว่า

          หย่งเซิงไม่สนใจเหวินอี้ที่แอบย่องออกไป เพียงเดินไปหยิบน้ำแกงไก่อุ่นๆบนโต๊ะก่อนจะกลับมานั่งที่ข้างเตียง

          “ดื่มเสีย ท่านมิได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว” หย่งเซิงเอ่ยพลางอุ้มเหวินเจิ้งให้ลุกขึ้นนั่งก่อนจะเอาหมอนไปรองไว้ที่แผ่นหลัง

          เหวินเจิ้งแม้จะรู้สึกเจ็บใจแต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอจะขัดขืน เขาในตอนนี้ไร้สิ้นเรี่ยวแรงแม้แต่จะกระดิกนิ้ว

          “.. เจ้าไม่ตอบ.. คำถาม.. เรา” เหวินเจิ้งไม่สนใจช้อนที่ยื่นมาจ่อปาก สายตายังคงจับจ้องไปยังใบหน้าที่เขาหลงใหลอย่างผิดหวัง

          หย่งเซิงมองดวงตาดำขลับที่แดงก่ำไปด้วยแรงอาฆาตแค้นระคนผิดหวังท้อแท้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

          ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้ดื้อดึงแค่ไหนเขาเองรู้ดีแก่ใจ หากเขาไม่ตอบเหวินเจิ้งก็คงไม่ยอมดื่มแน่ ทั้งที่ทรมานขนาดนี้แท้ๆยังไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ

          “ข้ามิได้วางยาพิษท่าน สิ่งที่อยู่ในสุราวันนั้นคือยาจำศีล” หย่งเซิงเว้นระยะให้เหวินเจิ้งทำความเข้าใจกับสิ่งที่เขาพูด เขารู้ดีว่าเหวินเจิ้งในสภาพนี้คิดอ่านได้ช้านัก “มันจะทำให้ท่านค่อยๆอ่อนแรงลงจนหยุดหายใจไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ไม่นานท่านก็จะฟื้น หากตรวจจับชีพจรแม้แต่หมอที่เก่งที่สุดก็ยังคิดว่าท่านต้องยาพิษ”

          ยาจำศีล..

          หากเป็นเช่นนั้นจริงเหตุใดข้าถึงมีอาการเจ็บปวดไปทั่วร่างกายราวกับต้องยาพิษเล่า

          “เพราะท่านฟื้นต้านพิษไม่ยอมหลับยอมนอนยาจึงถูกกระตุ้นให้แสดงผลรุนแรงขึ้น” หย่งเซิงตอบคำถามราวกับอ่านใจได้ เดิมทียาจำศีลจะทำให้ผู้ดื่มยาต้องอยู่ในสภาวะอ่อนแรงจนไม่แรงขยับตัวและหลับใหลในที่สุด

          แต่เป็นเพราะเหวินเจิ้งไม่ยอมนอนทั้งยังใช้กำลังภายในแอบลอบออกมาจากวังทำให้ยาจำศีลถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง โชคดีที่ผลของยาอยู่ไม่เช่นนั้นยาจำศีลอาจจะกลายเป็นยาพิษไปจริงๆ..

          “.. เจ้า.. ทำแบบนี้ทำไม..” ดวงตาดำขลับฉายแววสับสน จนหย่งเซิงใจอ่อนยวบมือแกร่งยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าซีดเซียวของเหวินเจิ้งอย่างแผ่วเบา

          “ข้ามิอาจสูญเสียท่านไปได้” เหวิงเจิ้งมองเข้าไปในดวงตาดำสนิทที่ฉายแววเจ็บปวด “ข้าสังหารฮ่องเต้เหวินเจิ้งไปในชาติที่แล้ว ดังนั้นชีวิตในชาตินี้ของท่าน.. อาเจิ้ง จงเป็นของข้าเถิด”

          หย่งเซิงยังคงเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบเฉย ทว่าเขารู้สึกได้ถึงความเว้าวอนในน้ำเสียงที่เกือบจะใกล้เคียงกับการขอร้อง

          เหวินเจิ้งต้องใช้เวลาสักพักถึงจะเข้าใจสิ่งที่หย่งเซิงต้องการจะสื่อ

          “ฝ่าบาท.. ชีวิตในชาติหน้าของพระองค์.. ทรงมอบให้กระหม่อมเถิด..”

          ที่แท้ความหมายที่อีกฝ่ายพูดเอาไว้ก่อนเขาจะสิ้นใจหมายถึงแบบนี้เอง หย่งเซิงต้องการจะช่วยให้เขามีชีวิตใหม่อีกครั้ง ในฐานะของเหวินเจิ้งคนธรรมดา มิใช่ฮ่องเต้เหวินเจิ้ง..

          “ท่านเป็นอิสระแล้ว”

          ราวกับคำพูดของหย่งเซิงช่วยพังทลายกำแพงแห่งความหวาดระแวง

          ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว..

          “.. ขะ.. ข้า..” เขารู้สึกสับสนไปหมด นี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝัน เขามีเรื่องราวมากอยากจะพูดแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร

          หย่งเซิงยกยิ้มพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเหวินเจิ้งก่อนจะคว้าอีกฝ่ายเข้ามากอดปลอบ ต่อไปนี้เหวินเจิ้งจะเป็นของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น..

          หลังจากเหวินเจิ้งร้องไห้ไปพักใหญ่ เมื่อใจสงบลงก็อดที่จะรู้สึกเก้อเขินมิได้ นี้เป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ต่อหน้าผู้อื่น แม้แต่ตอนที่ยังเป็นองค์ชายสี่เขายังไม่เคยร้องไห้ต่อหน้าพี่สามและน้องเจ็ดเลยด้วยซ้ำ

          “ทำไม.. เจ้าถึงไม่บอกข้า..” น้ำเสียงของเหวินเจิ้งอู้อี้และแหบแห้งเสียจนฟังแทบไม่ออก

          หย่งเซิงจึงปล่อยตัวอีกฝ่ายออกเมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวมีสีระเรื่อเพราะความขัดเขิน ในใจของหย่งเซิงก็อดที่จะรู้สึกปิติยินดีมิได้

          “ท่านดื่มน้ำแกงสักนิดเถิด แล้วข้าจะบอกท่าน” เหวินเจิ้งแม้ไม่เต็มใจ แต่ตอนนี้ลำคอของเขาแห้งผากเกินไปจริงๆจึงยอมอ้าปากรับน้ำแกงอุ่นๆที่อีกฝ่ายป้อนให้ ทีแรกเขาคิดว่ามันจะเย็นชืดแล้ว แต่เมื่อมันไหลลงคอจึงรู้ว่ามันยังอุ่นอยู่ “ข้าเกรงว่า หากบอกท่านเสียแต่ทีแรกท่านคงไม่ยอมให้ความร่วมมือ”

          เหวินเจิ้งพยายามทำทุกวิถีทางให้ตัวเองตาย เขากลัวว่าเหวินเจิ้งจะไม่ยอมมีชีวิตอยู่เพื่อเขา

          “.. หากตอนนี้ข้า.. ไม่ยอมเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยถามอย่างสงสัย หากเขาไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกฝ่ายจะทำอย่างไร

          “ข้าจะขังท่านไว้กับข้า มิยอมให้ท่านตายอย่างไรเล่า” หย่งเซิงยกยิ้ม ต่อให้ต้องจับเหวินเจิ้งมัดไว้เขาก็จะทำ จะไม่ยอมให้เหวินเจิ้งวิ่งเข้าหาความตายอีกเป็นครั้งที่สอง “โชคดีที่ท่านสัญญาว่าจะยกชีวิตในชาตินี้ของท่านให้ข้าแล้ว”

          “ข้าไปสัญญากับเจ้าตอนไหน” เหวินเจิ้งขมวดคิ้วสงสัย หลังจากดื่มน้ำแกงที่อีกฝ่ายป้อนไปหลายคำตอนนี้เสียงเขาดีขึ้นมาก

          “ตอนที่ท่านกำลังจะตายอย่างไรเล่า” หย่งเซิงตอบหน้าตายในขณะที่เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าไปตอบรับตอนไหน แม้จะจำได้ลางๆว่าเคยได้ยินหย่งเซิงพูดทำนองนี้อยู่ก็ตาม

          “...”

          เมื่อเห็นเหวินเจิ้งเงียบไปหย่งเซิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยอย่างจำนน

          “ข้าโกหก ท่านยังมิได้ตอบรับข้า”

          เหวินเจิ้งมองใบหน้าเรียบเฉยของหย่งเซิงเงียบๆ บ้างทีอาจจะเป็นอย่างที่หย่งเซิงบอก หากเขารู้แต่แรกคงไม่ยอมร่วมมือด้วยเป็นแน่..

          “เพราะ.. หัวใจของเจ้ามิได้มอบให้ข้า เช่นนั้นแล้วชีวิตของข้าจึงได้ว่างเปล่าอย่างไรเล่า” หากหัวใจของหย่งเซิงเป็นของเขา เขาก็ยินดีจะมอบชีวิตให้อีกฝ่าย แต่หัวใจของหย่งเซิงได้มอบให้ผู้อื่นไปแล้ว ปล่อยให้หัวใจของเขาเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ ไม่อาจลอยกลับที่เดิมได้อีกต่อไป

          แม้แต่ตัวเขายังมิอาจปลอบโยนหัวใจของตนเองได้เลย

          “หากข้ามอบหัวใจให้ท่าน ท่านจะมอบชีวิตของท่านให้ข้าหรือไม่” ไม่ใช่แค่หัวใจ เขาสามารถมอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับฮ่องเต้เสียสติตรงหน้า ไม่ว่าอะไร หากทำให้อีกฝ่ายยอมมีชีวิตเคียงข้างเขา..

          “หย่งเซิง เจ้ามิอาจพูดพล่อยๆกับข้า” เหวินเจิ้งกดเสียงต่ำ เขาได้รับรู้ด้วยตัวของเขาเองแล้วว่าการมีความหวังลมๆแล้งๆมันน่ากลัวอย่างไร ราวกับเขาตกจากที่สูงแล้วถูกขยี้ซ้ำอีกครั้ง มันสิ้นหวังเสียจนยากที่จะกลับมายืนหยัด เขาไม่อยากจะรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว

          “ข้ามอบมันให้ท่านนานแล้ว..” หย่งเซิงจ้องมองดวงตาดำขลับที่เจ็บช้ำอย่างแน่วแน่ อย่างให้อีกฝ่ายมั่นใจในตัวเขา “ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน.. หัวใจรักของข้าจะเป็นของท่านตลอดไป”

          เหวินเจิ้งขอบตาร้อนผ่าว รู้สึกเจ็บใจที่ตอนนี้ร่างกายของเขาขยับไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเขาอยากจะชกตัวเองให้สุดแรง เขากลัวว่าสิ่งที่ได้ยินจะเป็นเพียงภาพหลอน จะเป็นเพียงจินตนาการที่เขาสร้างขึ้น กลัวว่าเมื่อตื่นขึ้นมาเขายังนอนอยู่ที่ตำหนักบรรทมอันหนาวเหน็บ กลัวว่าเมื่อมองไปรอบข้างจะเห็นสายตาสอดรู้สอดเห็นของเหล่าขันที กลัวว่าจะต้องออกไปว่าราชการท่ามกลางพวกโฉดชั่ว

          กลัวว่าหย่งเซิงจะเป็นเพียงมือสังหารไร้หัวใจที่ถูกส่งมาเพื่อฆ่าเขา..

          หย่งเซิงมองดวงตาดำขลับที่เต็มไปด้วยความสับสนก่อนจะโน้มตัวเข้าไปประทับจุมพิตอย่างแผ่วเบา เขารับรู้ได้ถึงความเย็บเชียบของริมฝีปากคู่งาม ในใจพลันรู้สึกปวดหนึบ เขาจะแทนที่ความเย็นเหยียบด้วยความอบอุ่นจากร่างกายเขา หย่งเซิงทั้งขบเม้มทั้งดูดดุ้นเมื่อเหวินเจิ้งเผลออ้าปากเขาก็อาศัยจังหวะนั้นเขาสำรวจโพรงปากของอีกฝ่ายอย่างถือสิทธิ์

          เหวินเจิ้งหลับตาลงดำดิ่งไปกับรสสัมผัสที่เขาโหยหาก่อนจะรู้สึกเจ็บแปล็บที่ปลายลิ้น

          หย่งเซิงกัดเขา!

          แม้จะเจ็บแต่เขาก็ไม่มีเรียวแรงพอจะขืนตัวเองออกมา ทำได้เพียงโอนอ่อนผ่อนตาม เมื่อเขาเริ่มหายใจติดหย่งเซิงถึงจะยอมปล่อยเขาเป็นอิสระ

          “อาเจิ้ง.. ท่านจงใช้เวลาทั้งชีวิตของท่านพิสูจน์เอาเถิด” หย่งเซิงยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นริมฝีปากของเหวินเจิ้งเริ่มมีสีระเรื่อมากขึ้นแม้จะมาจากอาการช้ำจากรสจูบของเขาก็เถอะ

          เหวินเจิ้งรู้สึกสับสนมึนงงไปชั่วขณะ ที่แท้เหวินเจิ้งกัดเขาก็เพื่อพิสูจน์ว่าทุกอย่างนี้ไม่ใช่ความฝัน ทุกอย่างเป็นความจริง เช่นนั้น..

          “ลี่เอ๋.. เหม่อยลี่เล่า” เมื่อเห็นสายตาคมกริบของหย่งเซิงเขาจึงต้องรีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกเหม่ยลี่จนลิ้นพันกัน

          “นางเป็นเพียงเพื่อนสมัยเด็กของข้า” เขาไม่ชอบที่เหวินเจิ้งเอ่ยเรียกผู้อื่นอย่างสนิทสนม

          “เช่นนั้น เหตุใดเจ้าถึงยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อนาง” นี้เป็นเรื่องที่คาใจเขามาตลอด เหตุใดหย่งเซิงถึงยอมโดนฝังแทนเหม่ยลี่ หากมิใช่เพราะทั้งสองคนรักกันจะมีเหตุผลอื่นได้อย่างไร

           หย่งเซิงชะงักไปเล็กน้อยตั้งใจว่าจะไม่ตอบคำ แต่เมื่อเห็นสายตาเป็นกังวลของเหวินเจิ้งก็อดที่จะใจอ่อนมิได้

          “ข้ามิได้เอาชีวิตเข้าแลก.. ข้าเพียงมิอยากให้ท่านถูกฝังเพียงลำพัง แม้จะเป็นเพียงป้ายหลุมศพธรรมดาก็ตาม” หากเป็นไปได้ เขาอยากจะถูกฝังร่วมกับเหวินเจิ้ง เขาตั้งใจไว้ว่าจะนำป้ายชื่อของเขาลงไปฝังเคียงข้างป้ายชื่อของเหวินเจิ้ง หากหลุมศพของเหวินเจิ้งถูกทำลาย อย่างน้อยก็จะมีป้ายชื่อของเขาไปเป็นเพื่อน

          เขาไม่อาจทนเห็นเหวินเจิ้งต้องโดดเดี่ยว แม้จะเป็นเพียงป้ายหลุ่มศพก็ตาม

          เหวินเจิ้งเข้าใจทุกอย่างในทันที ยิ่งได้เห็นใบหูแดงก่ำของอีกฝ่ายหัวใจเหวินเจิ้งก็ยิ่งลิงโลด มุมปากบิดขึ้นเป็นรอยยิ้มจนดวงตายักโค้งทั้งที่ใบหน้าแดงเรื่อก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

          ที่แท้เป็นเขาที่คิดไปเองว่าอีกฝ่ายมีใจให้เหม่ยลี่ ที่แท้ตลอดมาหย่งเซิงมีใจให้เขามาโดยตลอด ที่แท้เป็นเขาเองที่มองไม่เห็น

          ความโล่งใจ ความดีใจ ความตื่นเต้น ความรู้สึกทั้งหลายหลอมรวมกลายเป็นหยดน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้างดงาม ทั้งที่เขากำลังยิ้มแต่น้ำตากลับไหลอย่างห้ามไม่อยู่

          หัวใจที่เคยเคว้งคว้างในอากาศลอยกลับเข้าที่เดิมของมันพร้อมกับเกาะกำบังอันแข็งแกร่งที่คอยห่อหุ้มจนเขารู้สึกตัวเบาวิวจนแทบลอยได้

          หย่งเซิงดึงเหวินเจิ้งเข้ามากอด หัวใจของเขาเองก็ได้รับการเติมเต็มแล้วเช่นกัน

          “ชีวิตของท่านมอบให้ข้าเถิด” หย่งเซิงเอ่ยขออีกครั้ง หากไม่ได้รับการตอบรับจากอีกฝ่ายเขาก็มิอาจวางใจได้ เขาอยากมั่นใจว่าเหวินเจิ้งจะอยู่กับเขาตลอดไป

          “.. ข้ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”

          “อะไรหรือ” หย่งเซิงถามกลับทันทีอย่างร้อนใจ ตอนนี้ต่อให้ต้องควักหัวใจออกมาวางบนฝ่ามือของอีกฝ่ายเขาก็ยอมแล้ว

          “เจ้าให้ข้าเรียกว่า.. อาเซิงได้หรือไม่” สิ่งนี้เป็นเป็นแผลใจของเขามาโดยตลอด ยิ่งเห็นเหม่ยลี่เรียกชื่อหย่งเซิงอย่างสนิทสนมแผลใจของเขาก็เริ่มขยายวงกว้าง แม้แต่ความทรงจำที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ยอมให้เขาเรียกชื่อก็ยังติดแน่นฝังตรึงเสียจนน่ากลัว

          “ท่านเพียงคนเดียวเท่านั้นบนแผ่นดินนี้ที่ข้าอยากให้เรียกชื่อของข้ามากที่สุด” เขายังเสียใจมาตลอดที่ปฏิเสธเหวินเจิ้งในวันนั้น เขาอยากได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อของเขาอีกสักครั้ง แต่ก็ละอายใจเกินกว่าจะพูดออกมา โชคดีที่เหวินเจิ้งเองก็อยากเรียกชื่อของเขาเช่นกัน มันทำให้เขาอดที่จะเฝ้ารอมิได้ แต่ว่าตอนนี้เขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น “อาเจิ้ง มอบชีวิตท่า..”

          “ข้ามอบให้เจ้าหมดเลย อาเซิง.. ข้าจะเป็นชายบำเรอของเจ้า” คำตอบของเหวินเจิ้งทำเอาหย่งเซิงสำลักน้ำลายตัวเอง ใบหูครามเข้มแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง

          ฮ่องเต้เสียสติผู้นี้มันน่านัก..



          “ท่านน้าจะไปแล้วหรือ” เหวินอี้เอ่ยถามขึ้น

          ท่านน้าฟื้นขึ้นมาได้สิบห้าวันแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าคงจะใช้เวลานานกว่านี้กว่าท่านน้าจะหายดี แต่ที่ไหนได้ ท่านหย่งเซิงคอยตามติดท่านน้าเป็นเงาตามตัว ทั้งทำน้ำแกงบำรุงให้ทั้งพาท่านน้าออกไปเดินออกกำลังจนตอนนี้ท่านน้ากลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเก่าเสียอีก

          “ข้าจะเดินทางเช้าของวันพรุ่งนี้” เหวินเจิ้งตอบพลางเอามือไพล่หลังเดินเอื่อยๆรับลมที่พัดพาป่าไผ่

          “แล้วท่านจะกลับมาที่นี้อีกไหม” เหวินอี้มองท่าทางองอาจสง่างามราวกับเทพเซียนของอีกฝ่ายอย่างชื่นชม ท่านน้าของเขาในตอนนี้งดงามเสียยิ่งกว่าตอนเป็นฮ่องเต้เสียอีก เขารู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของท่านน้าในตอนนี้เป็นรอยยิ้มที่กลั่นออกมาจากใจ หาใช่หน้ากากที่ใช้หลอกลวงผู้อื่นเฉกเช่นเมื่อก่อน

          “ข้าจะไม่กลับมาที่นี้อีกแล้ว” เหวินเจิ้งหยุดเดินก่อนจะหันมาจ้องมองเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าระไม้คล้ายกับเขาอยู่หกส่วน “ข้ายินดีจะถูกฝังอยู่ข้างนอกนั้น ชาติหน้าข้าจะเกิดเป็นคนป่า”

          เหวินเจิ้งเอ่ยกลั้วหัวเราะแต่เหวินอี้รู้ว่าอีกฝ่ายพูดจริง ท่านน้าคงอยากจะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี้

          “เช่นนั้น เราคงมิได้พบกันอีก” แม้จะรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อเทียบกับการที่ท่านน้าจะต้องตายจากไปแบบนี้ถือว่าดีกว่ามาก ขอเพียงท่านน้ามีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

          “ฮ่องเต้เหวินอี้ เราขอฝากราษฎร์ของเราด้วย” เหวินเจิ้งก้มลงคุกเข่าต่อหน้าของเหวินอี้ที่ยืนเบิกตากว้างตกใจกับท่าทางของท่านน้า “ขอพระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปีหมื่นๆปีพ่ะย่ะค่ะ”

          “ท่านน้า..” เหวินอี้รีบลงไปพยุงเหวินเจิ้ง ไม่นึกเลยว่าท่านน้าจะแกล้งเขาเช่นนี้

          “ข้าพูดจริงนะ” เหวินเจิ้งอมยิ้มเมื่อเห็นสายตาตำหนิของอีกฝ่าย “ข้าอยากให้เจ้าดูแลราษฎร์ให้ดี แล้วก็อายุยืนๆหน่อย”

          “ท่านน้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องราษฎร์และอายุของข้าหรอก” เหวินอี้ขมวดคิ้วเข้าหากัน ท่านน้าชอบเห็นว่าเขาเป็นเด็กอยู่เรื่อย

          “ข้าควรห่วงเรื่องความรักของเจ้าและเพ่ยหลินมากกว่าหรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยเย้า เขารู้ว่าเจ้าเด็กนี้ชอบเพ่ยหลินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ตัวของเพ่ยหลินนั้นไม่รู้คิดอย่างไรบ้าง

          “ท่านน้า!” ใบหน้าหล่อเหลาของเหวินอี้ขึ้นสีระเรื่อ

          “ต้องขอบคุณเพ่ยหลินที่ทำให้เจ้าเป็นฮ่องเต้ได้สำเร็จ” ความรู้เรื่องสมุนไพรของเพ่ยหลินไม่ธรรมดาเลย

          “ท่านยังโกรธที่พวกข้ารู้เรื่องยาจำศีลแต่ไม่ได้บอกท่านอยู่หรือ” วันนั้นเพ่ยหลินดูออกทันทีว่ายาที่อยู่ในขวดหยกที่หย่งเซิงมอบให้เขาเป็นยาจำศีล ดังนั้นเขาจึงรู้แผนของหย่งเซิงมาโดยตลอด แต่เพราะกลัวว่าท่านน้าจะไม่ยอมร่วมมือด้วยจึงไม่ได้บอกความจริง

          “เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคิดว่าข้าโกรธนัก” เหวินเจิ้งบ่นอุบตั้งแต่สมัยเป็นฮ่องเต้ยันตอนนี้ บ้างครั้งเขาเพียงแกล้งโมโหไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้โกรธเป็นจริงเป็นจังเสียหน่อย “ข้าหมายถึงเรื่องที่เพ่ยหลินทำให้ฝนตกวันนั้นต่างหาก”

          “หากเพ่ยหลินเอ่ยปากเองก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว”

          เหวินเจิ้งปรายตามองเหวินอี้ที่ยกยิ้มอย่างภูมิใจ

          “เจ้าเองก็โง่งมเพราะความรักเหมือนกันหรือ” เหวินเจิ้งพึมพำเสียงเบาเสียจนเหวินอี้ฟังไม่รู้เรื่อง

          “ท่านว่าอย่างไรนะ”

          “เปล่า” เหวินเจิ้งเดินต่อพลางกล่าวว่า “ในเมื่อมีเพ่ยหลินอยู่ข้างเจ้าข้าก็วางใจ”

          เหวินอี้ชะงักพลางมองแผ่นหลังที่ตั้งตรงอย่างสง่างามของเหวินเจิ้ง ในดวงตาดำขลับของเด็กหนุ่มฉายแววอาลัยอาวรณ์ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นจริงจัง


          ท่านน้า.. สักวันหนึ่ง.. เราจะต้องได้พบกันอีกครั้ง



--------------------------------------------------------------
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: hyegena ที่ 08-07-2017 18:14:41
ตอนพิเศษ รอคอย

          “เราจะนอนกันที่นี้หรือ” เหวินเจิ้งเอ่ยถามขึ้นพลางนั่งย่องๆดูหย่งเซิงก่อกองไฟ

          “มืดแล้วไม่ควรเดินทางต่อ”

          “หื้ม.. ข้าพึ่งเคยนอนที่แบบนี้ครั้งแรก” เหวินเจิ้งมองไปรอบๆที่มีแต่ป่าไม้ ไม่มีบ้านเรือนแม้สักหลังเดียว

          เขาไม่เคยออกมานอกกำแพงเมืองหลวงเลยสักครั้งทั้งชีวิตอาศัยอยู่แต่ภายในกำแพงหนาๆ ไกลที่สุดที่เขาเคยไปก็คือบ้านในป่าไผ่นั้นเท่านั้น

          “หลังจากนี้ท่านจะได้นอนอีกหลายครั้งเชียวล่ะ” หย่งเซิงยกยิ้มเมื่อเห็นเหวินเจิ้งมองสำรวจนั้นนี้อย่างสนใจ ชุดชาวบ้านธรรมดาที่อีกฝ่ายใส่อยู่ไม่อาจกลบรัศมีสูงศักดิ์ที่แผ่กระจายออกมาจากตัวของอีกฝ่ายได้จริงๆ

          “จริงสิ.. เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าแล้วแต่ข้ายังมิได้ทำหน้าที่ของข้าเลย” เหวินเจิ้งเอ่ยยิ้มๆ

          “หน้าที่อะไรหรือ” เขาจำไม่เห็นได้ว่าเคยแบ่งหน้าที่กันตอนไหน

          เหวินเจิ้งยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะโถมตัวเข้าหาหย่งเซิงที่นั่งอยู่กับพื้นจนอีกฝ่ายหงายหลังไป

          “ชาย บำ เรอ อย่างไรเล่า” เหวินเจิ้งเอ่ยจบก็กดจูบลงไปบนริมฝีปากอุ่นร้อน

          นับตั้งแต่ที่เขาฟื้นขึ้นมาหลังจากจูบกันวันนั้นแล้วหย่งเซิงก็ไม่ได้แตะต้องเขาอีกเลย เจ้าคนผู้นี้ปล่อยให้เขารอเก้อมาหลายเสียหลายวัน

          ใบหูครามเข้มขึ้นสีเล็กน้อยก่อนจะผลักเหวินเจิ้งออกเบาๆ เหวินเจิ้งแม้จะขัดใจแต่ก็ไม่อาจต้านทานกำลังอันแข็งแกร่งของอีกฝ่ายได้

          “ทำไมเล่า เจ้ามิยอมแตะต้องข้าหรือว่าเจ้าทำไม่เป็น” เหวินเจิ้งขมวดคิ้ว เขาเองก็ไม่เคยทำกับบุรุษเช่นกันแต่ว่าเรื่องนี้เขาได้ศึกษามาแล้ว เหวินเจิ้งหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อก่อนจะเอ่ยต่อ “หนังสือนี้ข้าไปขอมาจากพ่อค้าที่เจอกันเมื่อกลางวัน มันเขียนวิธีการไว้เสียละเอียดหยิบ ข้าได้ศึกษาจนขึ้นใจแล้ว”

          เขาอยากสนิทสนมกับหย่งเซิงให้มากกว่านี้

          “ศะ.. ศึกษา!” หย่งเซิงอุทานเสียงดังอย่างลืมตัว

          “ใช่ ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรองรับอารมณ์ดิบเถื่อนของเจ้าเอง” เหวินเจิ้งยิ้มกริ่ม พลางลงมือปลดเชือกคาดเอวของหย่งเซิงอย่างชำนาญแต่ยังไม่ทันที่จะถอดออกก็ถูกมือใหญ่จับเอาไว้เสียก่อน เหวินเจิ้งขมวดคิ้วอย่างขัดใจ

          “ไม่ได้”

          “ทำไม”

          “ร่างกายท่านยังไม่หายดี” อีกอย่างเขากลัวว่าจะมีใครผ่านมาเห็นเข้า เขาไม่อยากให้ใครหน้าไหนได้เห็นใบหน้ายามร่วมรักของเหวินเจิ้งเด็ดขาดแม้แต่เสียงก็ไม่ได้

          “ข้าแข็งแรงดียิ่ง” เหวินเจิ้งเอ่ยอย่างขัดใจ ตอนนี้ร่างกายเขาแข็งแรงเสียยิ่งกว่าแต่ก่อนอีก ต้องขอบคุณร่างสูงที่คอยประคบประหงมอย่างดีคอยตุ๋นน้ำแกงไก่ให้เขากินเสียทุกมื้อ แถมยังบังคับพาเขาใช้วิชาตัวเบาเพื่อฝึกพละกำลังอีกต่างหาก

          “รอให้แข็งแรงกว่านี้ก่อน”

          “แข็งแรงกว่านี้ข้าก็เป็นม้าศึกแล้ว”

          “อย่างน้อยก็อีกสักหนึ่งเดือน”

          “เจ้าเห็นข้าเป็นพระหรือ”

          “…”

          “เจ้าไม่อยากร่วมรักกับข้าหรือไร” เหวินเจิ้งยันศอกไว้บนอกแกร่งของหย่งเซิงพลางเท้าคางถามอีกฝ่าย

          “เปล่า” ใบหูคร้ามเข้มแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย

          “.. เช่นนั้นเจ้าก็บอกเหตุผลมาสิ” พอเห็นใบหูแดงก่ำนั้น เหวินเจิ้งก็อดใจอ่อนไม่ได้

          “.. ครั้งแรกของท่าน.. ควรจะเป็นที่ที่ดีกว่านี้” ยิ่งพูดใบหูของหย่งเซิงก็ยิ่งแดงขึ้น

          “เช่นที่ไหนเล่า” เหวินเจิ้งรู้สึกร้อนซู่ที่ใบหน้า หัวใจเต้นโครมครามจนอื้ออึ้ง

          “เช่น.. บนภูเขาเทียนซาน.. ท่ามกลางดวงจันทร์” พอได้ยินเหตุผลของหย่งเซิงหัวใจของเหวินเจิ้งก็อ่อนยวบ

          ที่แท้เจ้ากล้ามโตนี้ก็คิดเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ด้วยหรือ..

          เหวินเจิ้งฟุบหน้าลงกับอกของหย่งเซิงอยากหมดแรง ใบหน้าของเขาเห่อร้อนเสียจนแทบจะปริแตก ในอกฟูฟ่องไปด้วยความสุขใจ

          “อาเจิ้ง..” เขาเองก็ไม่ใช่ว่าไม่อยาก เพียงแต่เขาอยากให้เหวินเจิ้งมีความทรงจำที่ดีกับมัน เขาอยากพาเหวินเจิ้งไปยังที่ที่มีเพียงแค่เขาสองคน ที่ที่สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างใกล้ชิด ที่ที่เป็นของพวกเขา

          “อาเซิง.. ข้าโชคดีที่เหลือเกินที่ได้พบเจ้า..” เขามีความสุขจนหวาดกลัวไปหมด หากวันใดวันหนึ่งไม่มีหย่งเซิงอยู่เคียงข้างเขาอีกต่อไป.. หากวันนั้นมาถึง..

          หย่งเซิงวางมือลงบนศีรษะได้รูปที่ฟุบอยู่บนอกของเขา เขารู้ว่าเหวินเจิ้งนั้นผ่านเรื่องราวเลวร้ายมามากมาย ความหวาดระแวงยังคงอยู่เป็นเงาตามตัวของอีกฝ่ายยากที่จะสลัดหลุด

          เขาจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ค่อยๆเยียวยาเหวินเจิ้งทีละน้อย ให้ความหวาดกลัวค่อยๆมลายหายไปทีละน้อยแทนที่ด้วยความรักของเขา

          “อาเจิ้ง.. ชั่วชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ไปข้าจะใช้มันไปกับท่าน ดังนั้นท่านก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ของท่านค่อยๆพิสูจน์คำพูดของข้าไปชั่วชีวิตเถิดนะ”   

          ตอนนี้หัวใจของเขาสองคนกำลังเต้นประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน

          เหวินเจิ้งอมยิ้ม หัวใจที่เคยหวาดหวั่นสงบลงเป็นครั้งแรก ความสุขนี้ที่หย่งเซิงมอบให้ เขาจะไม่ยอมปล่อยมันไปชั่วชีวิต..

           “อาเซิง.. เจ้าเผด็จการกว่าที่ข้าคิดไว้.. ข้าไม่กล้าขัดขืนเจ้าแล้ว”



-----------------------------------------------------

จิตตก : จบแล้วค่า // ปาดเหงื่อ

มาต่อแบบรวดเดียวจบเพราะดองมาสักพักใหญ่ 555555

นี้เป็นนิยายเรื่องแรกของเราเลย

การเขียนนิยายมันสนุกเพราะว่ามีคนอ่าน ต้องขอบคุณนักอ่านทุกคนจริงๆ

ทั้งนักอ่านเงาและนักอ่านที่คอมเม้นทุกคน

คอมเม้นของทุกคนเป็นแรงใจให้เราจริงๆค่ะ  :hao4:

หวังว่าจะได้เจอกันอีกในเรื่องต่อๆไปนะค่ะ
หัวข้อ: Re: ลำนำจักรพรรดิ [Part13] [07/06/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 08-07-2017 18:29:23
เป็นเรื่องที่สนุกมากค่ะ ถ่ายทอดความรู้สึก หน่วง เศร้า เสียใจ ชอบ รัก ผ่านตัวละครได้ดีมาก อ่านแล้วอินมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: fay 13 ที่ 08-07-2017 19:12:44
 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: arij-iris ที่ 08-07-2017 19:57:45
โธ่...อุตส่าห์รอเขาเป็นของกันและกันเลยนะเนี่ย....
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 08-07-2017 21:08:10
จบแฮ้ปปี้ก็ดีแล้วค่ะ ตอนที่อ่านฉากตายนี่น้ำตาไหลเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งนิยายดีๆให้อ่านนะคะ รัก o13 o13 :bye2: :bye2: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-07-2017 21:17:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 08-07-2017 21:28:03
เป็นนิยายที่ดีและสนุกมากค่ะ ชอบมากกกกกกก
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 08-07-2017 21:43:01
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Accelerator ที่ 08-07-2017 21:52:51
เป็นเรื่องที่สนุกมากครับ  :กอด1: ขอบคุณผู้เขียนจริง ๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ่jum ที่ 08-07-2017 22:05:23
อ่านช่วงแรกที่แบบ  :mew4:  มาม่าอืด

พอจบแบบ happy  ดีใจมากที่ฮ่องเต้ไม่ตาย  :heaven
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: บูมเบส ที่ 08-07-2017 23:57:53
ขอบคุณมากครับสำหรับนิยายดีๆเย่างเรื่องนี้ เกือบจะร้องไห้หลายตอนล่ะแต่จบแบบนี้ก็ทำเอายิ้มได้เหมือนกันครับ ยังไงก็จะรอติดตามผลงานเรื่องต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi1112 ที่ 08-07-2017 23:58:29
สนุกมากๆค่ะ ชอบมากกกกกก
สงสารเหวินเจิ้งน่าดู โดนทุกคนบีบบังคับจนต้องขึ้นมา พอขึ้นมาดันกลายเปนว่าทุกคนอยากให้ลงจากบัลลังไป
ส่วนหย่งเซิงนี่แบบบ ชอบทำให้อาเจิ้งเราหึงนะ แล้วดันปากหนักไม่ค่อยอธิบายสะอีก -_-
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 09-07-2017 17:45:45
ดำเนินเรื่องได้น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Mayonhwa ที่ 09-07-2017 21:55:42
โฮ้ๆๆๆ เรื่องนี้ทำเราเสียน้ำตา!!!!

หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 09-07-2017 22:31:41
โล่งอกไปที ตอนแรกใจหายแว้บบบบบบ
ว่าแต่ เป็นลูกของพี่ชายต้องเรียกว่าท่านอาไหมอ่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 10-07-2017 01:16:03
เสียน้ำตาไปมากมาย
แต่จบสวยโอเคมาก
ถ้ามีฉากใต้แสงจันทร์คงดี :impress2:

ขอบคุณนะคะ :pig4: :L1: :L1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: April❤ ที่ 10-07-2017 01:42:13
สนุกมากเลยค่ะ ตอนจบต้องค่อยๆละเลียดอ่านกลัวจบไว555

แอบหวังว่าจะได้อ่านตอนพิเศษเพิ่มอีก :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 10-07-2017 02:51:57
เราน้ำตาซึมกับฉากฮ่องเต้ของเราจะล้มลงตายมากแบบอะไรทำไมชีวิตช่างน่าสงสารจนาดนี้ถึงไมไ่ด้ตายจริงถึงจะรู้ก็ยังตราตรึงกับฉากนี้มากจริงๆรอนิยายเรื่องต่อๆไปนะจ๊ะ แอบอยากรู้จะมีเรื่องของเพ่ยหลินกับเหวินอี้ต่อไหมเุแบบทิ้งท้ายเหมือนมีต่อ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 10-07-2017 09:21:03


ร้องไห้แปป

หน่วงอารมณ์เป็นช่วงๆ

บีบหัวใจไปอีก

แต่สุดท้ายก็สมหวัง

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 10-07-2017 10:27:07
เทียนซานอีกสักตอนจะไม่งอแงเลย
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: GAZESL ที่ 10-07-2017 15:07:42
ฮ้องเต้เหวินเจิ้งนี่แสบมากอ่ะในความคิดเรา 555
ขอตอนพิเศษอีกหน่อยน๊า

ขอบคุณมากค่ะ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Veesi3 ที่ 10-07-2017 17:43:04
เรื่องนี้สนุกมากๆ เลยค่ะ เข้ามาเพราะชื่อเรื่อง แต่ก็สะดุดจะสนุกมั้ย เห็นคอมเม้นไม่เยอะ แต่พอมาอ่านแล้วภาษาดีมากๆ สนุกมากเลยค่ะ อ่านแล้วอินตาม รู้สึกไปกับฮ่องเต้มากๆ คือแบบโอ้ยยย.....สงสาร ลุ้นตอนจบ จะตายจริงๆ เหรอ ฮืออออ
แต่จบดี ดีมากๆ อ่ะ

ลุ้นตอนพิเศษคิดว่าจะมีฉากรักท่ามกลางพระจันทร์สวยงามซะอีก อิอิ  :hao6:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Poes ที่ 10-07-2017 20:35:22
ไม่อยากถ่ายรูปทิชชู่ที่เช็ดน้ำตามาลง อาย  :laugh: สงสารฮ่องเต้มาก แต่อยากอ่านตอนพิเศษ ที่เขาเทียนซานอยู่นะ   :hao6:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: tonnum18 ที่ 10-07-2017 21:08:56
เราอ่านตอนแรก  เราชอบมากเลย 

แต่เป็นคนที่ไม่ชอบอ่านแล้วรอนาน  รอให้เรื่อง

ตอนจบค่อยอ่านครั้งเดียว  สงสารเหวินเจิ้นค่ะ

เป็นฮ่องเต้ที่ดีนะ ปิดท้องหลังพระ ถูกแต่คนใส่ร้าย

อ่านแล้วหน่วงมากเลยค่ะ บีบน้ำตาเราได้เลย

ดีที่มีพระเอกที่เข้าใจ ความทุกข์ของนายเอกเรื่องนี้

แม้เจ้าแผนการจน นายเอกของเรื่องตามไม่ทัน

อยากให้มีตอนพิเศษเพิ่มอีกจังค่ะ  หากว่าพระนาย

ของเรื่องไปถึงเขาเทียนซานแล้วจะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 11-07-2017 12:12:56
สนุกมากค่ะ อ่านไปบีบหัวใจสุดๆ
สงสารเหวินเจิ้งมากอ่ะ
แต่ก็จบแบบแฮปปี้
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 14-07-2017 16:35:23
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ทั่วหล้า ที่ 15-07-2017 02:51:46
จบแล้วเหรอ?
ทั้งดีใจและไม่ดีใจเลยแฮะ
ดีใจเพราะอาเจิ้งจะได้มึความสุขเหมือนกับคนทั่วไปบ้างซักที
ไม่ดีใจคือจบแล้วเรอะทำไมจำนวนตอนมันช่างน้อยนิดนัก!
แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะจะรอติดตามเรื่องต่อไปนะคะเขียนสนุกเราชอบ :heaven :heaven
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 15-07-2017 08:48:24
อยากอ่านภาคต่อมากๆๆๆเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Yaoilism ที่ 16-07-2017 00:25:19
โอ๊ยยยยยยกรีดร้องไปสามบ้านแปดบ้านนนน อ่านแบบรวดเดียวจบเลยค่ะะ โอ่ยยยดีงามอ่ะ แบบให้ตายเถอะะะ ร้องไห้สงสารฮ่องเต้แบบ. แงงงงไรท์ทำเราช้ำมากตามฮ่องเต้คนงามเลยอ่ะ ต้องเข้มแข็งขนาดไหนที่จะแบบอดทนต่อคนปองร้ายรอบตัวได้ขนาดนั้น ต้องสู้สุดใจขนาดไหนที่จะเก็บอาการเจ็บป่วยไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทรมาน อยากจะวิ่งไปกอดปลอบเหลือเกินเข้มแข็งไปไหมคะะะ โอ่ยยย สงสารอ่ะ
แต่จบได้สวีทมากเอาจริงๆนี่ก็คิดนะว่าแบบแล้วทำไมเพ่ยหลินไม่รักษาฮ่องเต้วะ แต่แบบอ้ออออมันเป็นแบบนี้นี่เองง 55555
โอ่ยยแต่แบบฮ่องเต้ก็นะ มองไม่เห็นจริงๆหรือว่าในสายตาของอาเซิงน่ะมองเพียงท่าน
เรื่องนี้ดีต่อใจตั้งแต่บทแรกยันบทสุดท้ายเลยค่ะฟินสุดดด งื้อออ >< ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้นะคะ เลิฟคนเขียนอ่ะะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: abcee ที่ 17-07-2017 01:08:27
อ่านไปลุ้นไป กลัวจบแบบน้ำตาท่วมจอ เขียนได้สนุกมากๆครับ ชื่นชมจากใจเลย  ขอบคุณมากๆครับ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 17-07-2017 20:48:33
ไม่รู้จะอิจฉาอาเจิ้งหรืออาเซิ้งดี
แต่สุดท้ายกะแฮปปี้ละน่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 17-07-2017 21:24:26
ฮืออ...เป็นเรื่องที่มีความหน่วงและอึดอัดเกือบตลอดเวลาแต่เราก็หยุดอ่านไม่ได้จริงๆ สงสารเหวินเจิ้งมาก อยากตายแต่ไม่กล้าฆ่าตัวตายเพราะกลัวเจ็บ ทรมานตัวเองไปอีก หย่งเซิงต้องดูแลอาเจิ้งดีๆนะ เข้าใจเลยชีวิตที่ถูกบังคับให้เปลี่ยนไปแบบที่เราไม่ได้ต้องการเลยสักนิด
ปล.อยากอ่านเรื่องราวต่อไปของเหวินอี้กับเพ่ยหลินมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Jessiebier ที่ 18-07-2017 16:35:17
สนุกมากๆๆๆ ขอบคุณคนเขียนเรื่องนี้ รักเรื่องนี้ รักตัวละครทั้งอาเจิ้ง อาเซิง อาอี้ เพ่ยหลิน

สงสารฮ่องเต้มากๆ  :mew2: :mew2:

จบแฮปปี้สุดๆ อยากอ่านตอนถึงเขาเทียนซาน
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: wiwo ที่ 19-07-2017 09:01:43
สนุกดีค่ะ เนื้อเรื่องน่าสนใจมาก วางปมของเรื่องได้ดี ขนาดเขียนเรื่องแรกยังได้ขนาดนี้ ชื่นชมมากเลยค่ะ เก่งมากๆ

แต่ขอตินิดหน่อยเรื่องคำผิดค่อนข้างเยอะ ทำให้เวลาอ่านเสียอรรถรสไปพอสมควรค่ะ อยากให้ปรับปรุงเรื่องนี้นะคะ

หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: mucan99 ที่ 20-07-2017 11:57:06
สนุกมากบอกเลย อิอิ ได้ใจ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 21-07-2017 00:51:32
ผู้ชายอัลไลโรแมนติกเบอนี่ ขนลุกเลยค่ะ!
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ninkara ที่ 21-07-2017 00:57:59
ขอบคุณค่ะ อยากให้มีฉากบนภูเขาจังเลยยอิอิ :haun4: แอบร้องไห้ด้วย :hao5:. +1 ค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: pogpax ที่ 21-07-2017 12:36:57
สนุกมาก ชอบ ของคุณผู้เขียนด้วยเด้อ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Persoulle ที่ 22-07-2017 00:27:54
ขอบคุณมากค่ะ สนุกมากๆ ปกติไม่ค่อยอ่านแนวจีนพีเรียดแต่เรื่องนี้โอเครค่ะ ชอบพล๊อตค่ะ (เผอิญมีปัญหากับชื่อจีนชอบสับสน) เผ็นกำลังให้เรื่องต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 24-07-2017 09:30:43
เพิ่งได้มาอ่าน สนุกมากเลย ชอบมาก อ่านรวดเดียวจบ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: xxSunShinexx ที่ 24-07-2017 20:01:43
พลาดเรื่องนี้ไปได้ไงงง คือดีต่อใจมาก
งุ้ย ชอบๆ มีเรื่องของหลานชายมั้ยย
อาเซิงมีความโรแมนติกเบาๆ ส่วนจักรพรรดิของเราก็หื่นแบบน่ารักก 55555
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 22-08-2017 11:01:08
สนุกมากเลยค่ะ
ชอบมาก น่ารักทั้งอาเจิ้งและอาเซิงเลย
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 29-08-2017 23:21:08
สนุกๆมากๆเลย
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 01-09-2017 02:51:39
สนุกมากค่ะ  o13
แต่ตอนหวานๆมีความสุขด้วยกันน้อยไปนิด มาตอนจบนิดเดียว :hao5:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: bl2owni3zz ที่ 03-09-2017 00:41:57
ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ อีกเรื่องหนึ่งนะครับ

อยากติงเรื่องคำผิดนิดนึง บางทีอ่านกำลังลื่น ๆ เห็นคำผิดที อารมณ์สะดุดไปเลย แต่ให้อภัยเพราะเนื้อเรื่องดี  :-[
อย่างคำว่า อยาก อย่าง คนเขียนใช้สลับกัน ซีดเผือก รำคาน
นี่ นี้ ก็ยังใช้ไม่ถูกครับ

ไม่รู้ว่าคนเขียนจะกลับมาอ่านหรือเปล่า ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้เรื่องถัด ๆ ไปนะครับ  :L1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ohho99 ที่ 25-09-2017 11:35:09
สนุกมากค่ะ ให้บรรยายการเหมือนอ่านนิยายแปลจิงๆ
อ่านรวดเดียวจบเลย อยากให้มีฉากหวานๆอีกสักหน่อยค่ะ
เห็นบอกเป็นนิยายเรื่องแรก เก่งมากๆเลยค่ะ
ไว้จะติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ


ปล..กดบวก+กดเป็ดให้กำลังใจคนเขียนค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lune ที่ 27-09-2017 21:07:12
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 28-09-2017 18:41:02
 :อยากอ่าน ตอนทั้งคู่ถึงเขาเทียนซาน เรื่องนี้ สนุกมาก  :impress3:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: MorethanMore ที่ 28-09-2017 23:34:46
น้ำตาเราไหลพรากอ่านไปสงสารฮ่องเต้มาก ตอนที่ฮ่องเต้โดนยนี่แอบคิดเบา ๆ ว่าแผนหย่งเซิ้ง แต่ไม่ชัวร์ มาสะดุดตรงขอตายตามเนี่ย แต่ตอนที่ฮ่องเต้จะตายนี่นึกว่าตายจริง น้ำตาไหลแบบพรากๆๆๆ อะ มันสะเทือนมาก คิคิ แต่จบสวยงามมาก ขอบคุณมากน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: pnnatchas ที่ 02-10-2017 18:52:55
เพิ่งได้อ่าน สนุกมากเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆอีกเรื่องนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lovewannabe ที่ 04-10-2017 12:19:24
สนุกมากๆค่ะ ว่างๆช่วยอัพเดท เหตุการณบนภูเขาให้พวกเราทราบกันบ้างนะคะ คริๆ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: maedaekoara ที่ 01-11-2017 15:08:35
  :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lovejinjunno ที่ 05-11-2017 22:22:43
สนุกมากๆเลยค่ะ ตัวละครแต่ละตัวช่างคุ้นเคยยิ่งนัก
ทำให้นึกถึงละครจีนเรื่องนึงที่เคยดูเลย "องค์ชายสี่กับรั่วซี" ดูไปหลายรอบเพราะชอบมาก พอมาอ่านแนววายแล้วมันก็ให้ความรู้สึกแปลกใหม่ดีค่ะ 5555 แรกๆก็จิ้นอิมเมจเป็นหน้านักแสดงที่เล่นเป็นองค์ชายสี่แหละ แต่อ่านต่อๆไปไม่ใช่และ ในละครนั่นก็แมนเกิ๊น จู่ๆก็จิ้นอิมเมจเป็นหน้าคุณหลวงกับคุณหญิงซะงั้น เราว่าคุณหญิงเหมาะกับบทบาทเหวินเจิ้งมากอ่ะ อ่านแล้วอินได้แบบอินฟินิตี้จริงๆ ร้องไห้ตอนเหวินเจิ้งตายด้วย แล้วเพลง "กล่อม" ของฟลุค เกริกพล ก็ลอยเข้ามา "หลับเถอะนะ
แก้วตาจงนอนหลับไหล
จะอยู่ตรงนี้ ไม่จากไปไหน
หลับตาพักวางดวงใจ ไว้กับฉัน

เหนื่อยพอแล้ว เจ็บพอแล้ว
สิ่งเลวร้ายให้แล้วล่วงไปเป็นเพียงแค่ฝัน
จะกอดเธอไว้ จวบจนสิ้นแสงจันทร์
จากนี้เธอไม่มีวันเดียวดาย

จะเคียงข้างเธอทุกคืน
และจะคอยสบตาเมื่อตื่น
อย่าคิดอย่านึกกังวลกับสิ่งใด
จะคอยกล่อมให้ฝันดี
จะไม่ยอมให้เธอฝันร้าย
หลับตาพักให้สบายคนดี"
เราเข้าใจความรู้สึกเหนื่อยของเหวินเจิ้งนะ เลยไม่ได้รู้สึกเศร้าไปกับการที่เจ้าตัวรอคอยใครซักคนที่จะฆ่าตัวเองเท่าไหร่ แล้วก็เข้าใจหย่งเซิงเหมือนกัน
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: keinoo ที่ 03-12-2017 02:06:02
สนุกกกกก!!!
จะให้ดีอยากไปชมจันทร์บนเขาเทียนซานด้วยคนอ่าา
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: MESAAAAA ที่ 14-12-2017 20:20:11
ถึงกับต้องล็อคอินมาอ้อนวอนว่าขอตอนพิเศษเถอะค่ะพลีสสสสสสส
เพิ่งมาหวานเอาตอนสุดท้ายนี่เอง อยากฟินๆๆอีก เอาให้ลมปราณคนอ่านแตกซ่านกันไปเลยค่ะ55555
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: demonne2812 ที่ 06-01-2018 09:57:58
สนุกเวอร์ อ่านไปหน่วงไปชอบคำชอบการบรรยาย มันดีย์มากๆ ขอบคุณมากฮับบบ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 06-01-2018 16:58:19
อาเซิงน่าเอ็นดูซะจริง ชอบมาเลยเรื่องนี้ รอติดตามเรื่องต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: สิงหา ที่ 12-09-2018 23:20:48
อาเจิ้งนี่แสบมาก แต่ก็น่าเอ็นดู
ถ้าไม่ต้องครองราช คงเป็นองค์ชายน้อย
ที่เป็นที่รัก และสดใสและซนมากแน่ๆ
แต่พอขึ้นครองราชแล้วกลับน่าสงสารมากๆ
ชีวิตไม่มีทางเลือกเลย
เจ็บยิ่งกว่าเจ็บ ไม่ใช่ผู้กระทำ
แต่ต้องตกเป็นจำเลย ทุกข้อกล่าวหา
โชคดีมากจริงๆที่มีอาเซิ่งเข้ามาในชีวิต

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-09-2018 13:09:00
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 14-09-2018 00:14:12
ร้องไห้เลยค่ะ​ สนุกมากอ่านแบบต่อเนื่องไปเลย​ ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: uri uri ที่ 14-09-2018 01:43:44
 :o12: :o12:
อ่านแล้วหน่วงๆมากๆๆ
แต่อ่านแล้วมีความสุข
เนื้อเรื่องที่แสดงถึงความรักความห่วงใยแบบนีี้ชอบมากๆๆๆๆๆๆๆ
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 16-09-2018 14:48:11
 :L2:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 17-09-2018 01:32:07
ทำให้น้ำตาไหลเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 18-09-2018 17:59:56
สนุกมาก ขอบคุณ ผู้แต่งจร้า ^^
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ┠┨ ¡ Þ Þ ☻ ❣ ╰╰ ที่ 19-09-2018 20:14:31
หน่วงจิตนิดๆ..เเล้วก็แอบคิดว่าทำไมพวกอำมาตย์ถึงไม่มีใครได้รับผลกรรมสักคน...เเต่สุดท้ายก็สนุกมากคร้า..ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: mareeyah ที่ 30-11-2018 08:32:04
โอยยยย ชอบมากกกกก :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: ดาวโจร500 ที่ 30-11-2018 23:40:07
ชอบมากเลยค่าาาาา :3123:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: nanaexo ที่ 28-12-2018 20:48:26
ชอบ


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 30-12-2018 13:34:13
โหย อ่านรวดเดียว ยาวเลย สนุกมากๆเลยค่ะ

มีอารมณ์ร่วมทุกตอนทุกฉาก คงจะเจ็บมาก

นึกว่าต้องตายซะแล้ว ขอบคุณที่ยังอยู่ ฮืออออ

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: คนบ้านิยาย ที่ 30-12-2018 15:59:57
 o13
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 09-01-2019 21:11:16
ชอบมากๆเลยค่ะ เนื่อเรื่องดีมากๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: dau ที่ 20-01-2019 18:58:27
ชอบมากค่ะ ชอบจักรพรรดิ์ ฉลาดดีอ่ะ
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: nam1351 ที่ 20-01-2019 22:57:45
สุดยอดไปเลยค่ะ เป็นนิยายที่สุดยอดมากจริงๆ เราเพิ่งได้มาอ่านตอนจบแล้ว เลยได้แต่คอมเม้นรวดเดียวไปเลย  ตอนที่เหวินเจิ้งไปพบสนมลี่แล้วยอมดื่มเหล้าพิษมันจับใจจริงๆค่ะ รู้สึกสิ้นหวังไปด้วยเลย น่าสงสารจริงๆ โชคดีแล้วนะที่ได้เจอหย่งเซิง ชีวิตหลังจากนี้ก็มีความสุขให้มากเลยล่ะทั้งสองคน

วางลำดับเรื่องได้ดีเลยค่ะ ถึงจะมีบางปมที่คลายง่ายไปบ้าง แล้วก็คำผิดอยู่ประปราย แต่ก็ต้องชมเลยค่ะว่าผูกเรื่อง ดำเนินเรื่องได้ดี กระชับ แล้วก็ประทับใจมาก ขอให้คุณคนแต่งพยายามต่อไปนะคะ  จะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้นะคะ เราชอบมากๆจริงๆ

หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: slurriiz ที่ 21-01-2019 20:03:00
สนุกมากกกกกกกกก ดีใจที่แฮปปี้ เสียดายไม่มี nc 55555
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: BitterCucumber ที่ 10-02-2019 18:08:21
สนุกมากค่ะ ถ้าค่อยๆเผยอดีตของฮ่องเต้ออกมาทีละนิด ปล่อยให้พระเอกและคนอ่านซึมซับความเจ็บปวดของฮ่องเต้ รับรองว่าจะทำให้เราอินจนน้ำตาไหลได้แน่นอน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 11-02-2019 16:41:37
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 12-02-2019 20:13:58
สนุกจริงๆค่ะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 28-02-2019 17:10:48
 o13
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: cutelady ที่ 02-03-2019 18:35:39
เป็นความรักที่งดงามน่่่่่่่่่่่าประทับใจ

ชอบ ชอบ ชอบ

 :pig4: :pig4: :pig4:

 :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [จบ] ลำนำจักรพรรดิ [ตอนพิเศษ] [08/07/17] [P.5]
เริ่มหัวข้อโดย: pinkypromise ที่ 13-03-2019 09:19:52
ขอบคุณนะคะ ภาษาดีมากเลย ชอบแนวนี้