พิมพ์หน้านี้ - แจ้งข่าวค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: anana ที่ 02-12-2014 14:10:35

หัวข้อ: แจ้งข่าวค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 02-12-2014 14:10:35
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.เรื่องสั้นให้จั่วคนว่าเรื่องสั้นด้วยนะครับ และนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


"""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

มันคือความสุขแบบที่ผมไม่เคยได้เจอ
ต้องขอบคุณอีกคนที่ทำให้ผมค้นพบอีกด้านหนึ่งของตัวเองที่ไม่เคยรู้จัก
นี่คงเป็นช่วงเวลาที่ผู้ชายอยู่ในห้วงแห่งความรักสินะ


รักระหว่างทาง
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2891990#msg2891990)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2895544#msg2895544)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2897486#msg2897486)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2898418#msg2898418)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2901989#msg2901989)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2902872#msg2902872)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2908219#msg2908219)
ตอนที่ 7 (ต่อ) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2908297#msg2908297)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2916812#msg2916812)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2921930#msg2921930)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2928885#msg2928885)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2936407#msg2936407)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2953905#msg2953905)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2987359#msg2987359)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2999603#msg2999603)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3009040#msg3009040)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3015629#msg3015629)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3023421#msg3023421)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3031565#msg3031565)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3038998#msg3038998)
ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3045725#msg3045725)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3060097#msg3060097)
ตอนที่ 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3068028#msg3068028)
ตอนที่ 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3077151#msg3077151)
ตอนที่ 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3086534#msg3086534)
ตอนที่ 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3091742#msg3091742)
ตอนที่ 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3108227#msg3108227)
ตอนที่ 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3119991#msg3119991)
ตอนที่ 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3259326#msg325932)
ตอนที่ 29 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg3268350#msg3268350)

หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 1 [02-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 02-12-2014 14:36:45
ตอนที่ 1

 "แม่ๆๆๆ แม่อยู่หลังบ้านรึป่าว ป้าณีมาหา"  ผมวางสายยางที่กำลังรดน้ำต้นไม้อยู่ แล้วตะโกนเรียกแม่จากประตูรั้วหน้าบ้านสองชั้นสีครีมด้วยเสียงมากกว่าแปดหลอด

"อยู่ๆ บอกป้ารอเดี๋ยว แกงจะเดือดแล้ว กำลังจะออกไป"  เสียงตอบของแม่ดังออกมาจากครัวไทยที่ถูกต่อเติมอยู่หลังบ้านเสียงแม่ก็ดังชัดเจนมาก มากซะจนป้าณี ป้าขายขนมหวานหน้าหมู่บ้านยื่นซองเงินมาให้ แล้วรีบบอกลา โดยที่ผมไม่ต้องเอ่ยอธิบายซ้ำว่าแม่กำลังทำอะไรอยู่

"งั้นป้าฝากเงินไว้ให้แม่ด้วยนะ ทิ้งร้านเอาไว้ วันนี้วันเสาร์ด้วย คนเยอะเดี๋ยวลูกค้าจะบ่น"  ป้าแกพูดเร็วมาก

"ครับ"  ผมรับเงินพร้อมกับยกมือไหว้แบบงงๆ

"ต้องรีบเอาจักรยานไปคืนไอ้ปีมันอีก ยืมมาแค่นี้มันก็บ่นจะแย่แล้ว"  ปีคือเจ้าของจักรยานซึ่งทำหน้าที่เป็นยามหน้าหมู่บ้าน

"ขี่ระวังๆนะครับป้าณี ไม่ต้องรีบ"  ผมละกังวลผ้าถุงป้าแกจริงๆ

"จ้ะๆ ป้าไปก่อนนะแมท"

"ครับ ป้าณี"  ป้าแกยิ้มหวานให้แล้วหันหลังเดินออกจากประตูรั้วไป ป้าณีเป็นแม่ค้าขายขนมหวานอยู่ในตลาดหน้าหมู่บ้านที่ผมอยู่
       
       ส่วนแมท ก็คือชื่อผมเนี่ยแหละครับ ผมอายุ 25 ปี สถานภาพโสด อาชีพนักเขียนอิสระ เป็นคนจังหวัดภูเก็ตโดยกำเนิด อาศัยอยู่บ้านเดียวกับแม่และพี่สาวชื่อนางสาวมัทรี อายุห่างกัน 3 ปี ที่กำลังมีทีท่าว่าจะขึ้นคาน เพราะยังไม่เคยเห็นมีแฟนเป็นตัวเป็นตน พ่อผมเสียไปตั้งแต่เมื่อ 5 ปีก่อนด้วยอุบัติเหตุรถยนต์ ในบ้านเราเลยมีกันอยู่แค่สามคน ญาติๆ ก็มีแค่น้องชายของแม่ที่สนิทกันมากจนแทบจะเป็นครอบครัวเดียวกัน มีสำมะโนครัวอยู่บ้านข้างๆผมเนี่ยแหละครับ เราสองครอบครัวซื้อบ้านในโครงการสองหลังติดกัน แต่ทุบรั้วออก ให้บ้านทั้งสองหลังอยู่ในรั้วเดียวกัน แล้วแม่ก็สร้างเรือนไม้หลังเล็กให้ยายอยู่ แต่ยายไม่ค่อยได้อยู่หรอกครับ มักจะตระเวณไปปฏิบัติธรรมกับกลุ่มเพื่อนซะมากกว่า น้องชายของแม่ชื่อน้านิ ส่วนแม่ผมก็คือน้องศิที่ป้าณีพูดถึงนั่นแหละครับ น้านิทำงานเป็นวิศวะกรมีลูกสาวสองคนเป็นฝาแฝดกัน ชื่อเฟย์กับฟินกำลังเรียนอยู่มัธยมปลายที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดนี่แหละครับ ส่วนน้าอิงภรรยาน้านิทำงานเป็นผู้จัดการฝ่ายบัญชีอยู่ที่โรงแรมชื่อดังริมหาดแห่งหนึ่ง

.......................................................................


ผมเดินเข้ามาในครัวไทยที่แยกชานเรือนออกมาด้านหลังบ้าน ยื่นเงินให้แม่ พร้อมกับกอดเข้าที่เอวอวบอุ่นอย่างรักใคร่
"แม่ ไม่ต้องละ ป้าณีแค่เอาค่าเช่ามาให้  ป้าแกกลับไปแล้ว" ผมกระซิบข้างหูแม่

"อ้าว ไปซะละ ว่าจะคุยเรื่องฝากหาคนเช่าซะหน่อย" แม่ผมมีบ้านให้เช่าครับ หลังตลาดสดแถวหมู่บ้านที่ผมอยู่ คนเช่าส่วนใหญ่ก็ถูกคัดโดยป้าณี ไม่เคยมีปัญหา แม่เลยลดค่าเช่าให้ป้าณีเป็นการตอบแทน รวมทั้งให้ช่วยเก็บค่าเช่าให้ด้วย ก็เหมือนจ้างให้ช่วยดูแลนั่นแหละครับ แต่ละเดือนป้าแกก็จะเก็บรวบรวมมาให้แม่ ค่าเทอมผมกับพี่สาวก็มาจากบ้านเช่านี่ละครับ เพราะพ่อเคยพูดไว้ว่าอยากให้ลูกทั้งสองคนเรียนจบสูงที่สุดเท่าที่จะทำไหว พ่อเลยทำบ้านเช่าเอาไว้ให้แม่จัดสรรเป็นค่าเทอมของพวกเราสองคน จนเราทั้งคู่จบปริญญาโทและเผื่อเอาไว้ตอนแก่ตัวจะได้มีค่าเช่าไว้ดำรงชีวิต พ่อบอกว่าเราจะหวังแต่พึ่งพาลูกไม่ได้ ต้องเตรียมตัวเองไว้ด้วย แต่ใครจะคิดว่าพ่อจะด่วนจากไปซะก่อน

"แมทเอาไปไว้ในห้องให้นะแม่" ผมบอกพร้อมยกซองเงินให้แม่ดู

"แม่จะไม่ตรวจยอดหน่อยเหรอ ว่าครบรึป่าว"

"ไม่ต้องหรอก คนเช่าแต่ละหลังเค้าโทรมาบอกแม่แล้วว่าจ่ายให้กับป้าณีไปเท่าไหร่ อีกอย่างณีเค้าก็ไม่ใช่คนไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวแม่ค่อยไปนับอีกที เอาไปเก็บบนห้องให้แม่ก่อนไป"

"ครับแม่" ผมก้มลงหอมแก้มขาวๆนั่นอีกครั้ง

"อย่ามาอ้อนน่า เข้าใจแล้ว ก็รีบไปอาบน้ำไป จะได้ลงมากินข้าว ไปปลุกพี่มัทด้วย เดี๋ยวจะไปเปิดร้านไม่ทัน" พี่สาวผมเปิดร้านอาหารฟิวชั่นฟู้ดริมหาด แล้วก็มีโซนแบ่งเป็นร้านกาแฟและขนมเล็กๆสำหรับแม่ จะได้ไว้แก้เหงา แต่ด้วยตำแหน่งที่ตั้งร้าน และความเข้มงวดของแม่ ทำให้แม่น่าจะยิ่งกว่าหายเหงา เพราะขนาดมีลูกจ้างมาช่วยถึงสองคน แม่ก็ยังต้องเข้าร้านไปทำขนมเองทุกวัน

"ครับๆ คุณนาย" ผมเดินขึ้นบันไดไปปลุกพี่สาวขี้เซา

.......................................................................


"คุณมัทรี ขณะนี้เป็นเวลา 9 นาฬิกาแล้ว ถ้าไม่ตื่นตอนนี้ แม่จะยกหม้อแพนงไก่ให้สองแฝดนะ" ใส่สีตีไข่ไปนิดหน่อย เพราะพี่มัทเป็นคนตื่นยากมาก และเห็นแก่กินมากด้วย

"เฮ้ย!!! อย่า ตื่นแล้วๆ บอกแม่ 10 นาที เดี๋ยวมัทลงไป"

"20 นาทีก็ได้พี่มัท ถูขี้ไคลหน่อยเถอะ" วิ่งผ่านน้ำรึป่าวก็ไม่รู้

"เออๆ 15 นาที ตักข้าวรอเลยแมท แพนงไก่ด้วยตักถ้วยใหญ่ๆแบ่งไว้ให้ก่อนเลยนะ ของบ้านสองแฝดเดี๋ยวมัทยกไปให้เอง"    ได้เวลาผมไปอาบน้ำแต่งตัวบ้างจะได้เตรียมไปส่งแม่กับพี่มัทที่ร้าน

.......................................................................


       บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความวุ่นวายเล็กๆจากพี่สาวที่พยายามจะกินทั้งขนมปังที่เอามาจิ้มกับน้ำแพนงไก่ และสองแฝดที่จะกินข้าวสวยร้อนราดแพนงไก่ เอาขนมปังจุ่มน้ำแกงมันอร่อยนะ พวกผมทานกันมาตลอดตั้งแต่เด็กๆอาหารยามเช้าบ้านผม ถูกยืดเวลามาจนสายเสมอ เพราะลูกบ้านนี้กว่าจะพร้อมทานกันก็โน่น เกือบสิบโมง ส่วนสองแฝด จะมากินที่บ้านผมทุกเสาร์อาทิตย์แล้วก็ปิดเทอม เพราะถ้ามาทานตอนเช้าจันทร์ถึงศุกร์มีหวัง สายกันยกครัว แต่แม่ผมก็ไม่เคยกะเกณฑ์เรื่องเวลาทานข้าวว่าจะต้องทานพร้อมกัน ใครพร้อมก็ทานไปก่อน ซึ่งก็มักจะมีแต่แม่ที่ทานมื้อเช้าที่เป็นมื้อเช้าจริงๆคือหลังจากตักบาตรพระเรียบร้อย แล้วก็จะมาคอยดูแลพวกผมตอนที่พวกผมทานกันอีกครั้งนึง

"เอ้อ แมท เดือนหน้ามีงานสำคัญอะไรไหม ฟินอย่าแย่งขอบขนมปังพี่สิ!"   ทีละอย่างได้ไหมพี่มัท จะกินหรือจะถาม

"ไม่นะพี่มัท ปิดต้นฉบับไปแล้วเรียบร้อย รอส่งให้สำนักพิมพ์ อาทิตย์หน้าก็ว่างยาวเลย เพราะยังคิดพลอตเรื่องใหม่ไม่ออก มีอะไรรึป่าว"   ใช่ครับ ผมเป็นนักเขียนอิสระ อย่างที่กล่าวมาข้างต้น

"พอดีได้ตั๋วฟรีไปกลับฮ่องกงจากเพื่อนมา มันทำเป้าบริษัทน้ำมันเครื่องได้ แล้วมันเองก็ไปเพิ่งไปมา เลยยกตั๋วให้ แต่มัทไปไม่ได้หว่ะ ไม่อยากทิ้งร้าน หน้าไฮด้วย ลูกค้าเยอะ"   เป็นไปได้ไงเนี่ย พี่แกยอมสละของฟรีเหรอ

"เอาความจริง!"   ผมเชื่อว่าต้องมีอะไรแอบแฝง สองแฝดมองหน้าผม ด้วยสายตาสงสัยแบบเดียวกัน

"เฟย์ไม่เชื่อหรอก พี่มัทเคี่ยวจะตาย ของฟรีมีเหรอจะยอมเสียให้ใคร"   เห็นไหมละ คิดเหมือนผมเป๊ะ

"ไม่มี๊...ห่วงร้านจริงๆ"   น่าเชื่อมากๆนะ

"ให้แมทไปเฝ้าให้ก็ได้นี่ ปกติไม่เห็นเคยห่วงขนาดนี้ บอกมาเถอะว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นมัท"   ขนาดแม่ยังสงสัย

"ป้าศิ ฟินว่าเค้าต้องให้พี่มัทออกตังค์ด้วยแหงเลย"   ฮ่าๆๆ ผมก็คิดแบบนั้นนะ

"โธ่! รู้ทันตลอด ก็มัทต้องจ่ายภาษีสนามบินกับค่าที่พักเอง แถมที่พักถ้าจองใกล้ๆแบบนี้แพงตายเลย สู้รอซื้อตั๋ว 0 บาทของสายการบินแดงพร้อมโปรที่พักยังถูกกว่าอีก"   นั่นไงไม่ผิดจากที่ผมคิดจริงๆ

"ก็เลยให้พี่แมทไปแทนใช่ไหม เพราะก็เสียดายอยู่ถึงมันจะไม่ฟรีทั้งหมด"   ฟินว่า เฟย์ก็หัวเราะตาม

"แกอย่ามารู้ดี สองแฝด"   มีหันไปมองค้อน

"แมทไม่อยากไป ไม่เคยไปต่างประเทศเลย แถมยังต้องไปคนเดียวอีก"   ผมเกลียดการทำอะไรคนเดียวจริงๆนะ ถึงผมจะรักสันโดษก็เถอะ

"แต่แม่ว่า แมทไปพักผ่อนมั่งก็ดีนะลูก ถือไปเที่ยวหาประสบการณ์มาเขียนพลอตเรื่องใหม่ เดี๋ยวแม่ออกค่าที่พักให้ครึ่งนึง"   อืม...ข้อเสนอแม่ก็น่าสนอยู่หรอก

"ใช่ๆ แม่พูดถูก ไปหาแรงบันดาลใจแต่งนิยายเรื่องใหม่ไงแมท อารมณ์ 'Love in HongKong' ประมาณนี้ดีไหม"   สนับสนุนจังวะ

"ไม่แน่นะพี่แมท ไปคราวนี้อาจจะไปพบรักที่โน่นก็ได้ เนอะฟินเนอะ"   มีการพยักหน้าให้กันอีก แก่แดดจริงๆสองคนนี้

"ยังก่อนดีกว่า ถ้าต้องไปคนเดียว ยอมเสียเงินซื้อทัวร์ยังสบายใจซะกว่า"

"ฮ่องกงเดินทางง่ายสะดวกกว่าบ้านเราอีกนะแมท ไปเองได้สบายเลย เดี๋ยวมัทวางแผนทริปให้ ไปสักสองอาทิตย์ดีไหม"

"เฮ้ย! ไปทำไมนานขนาดนั้น"

"เอาน่า ถือว่าพักผ่อน เวลาเดินเร็วจะตาย"

"ขอคิดดูก่อนละกัน แล้วนี่จะไปร้านกันได้หรือยังคะสาวๆ รีบไปกันเถอะ"

"งั้นรอแม่เก็บโต๊ะก่อนนะ"   แม่พูดขณะตักแกงใส่หม้อเล็กให้สองแฝด

"ไม่ต้องหรอกแม่ จานวางไว้นี่แหละ เดี๋ยวแมทกลับมาเก็บล้างเอง มัวคุยกันจนเพลิน นี่ก็จะได้เวลาเปิดร้านแล้วด้วย"

"เอางั้นเหรอ งั้นสองแฝด เอาหม้อแกงกลับบ้านด้วยไปลูก เดี๋ยวแม่เราจะทำแกงซ้ำกับป้า"   พูดจบก็ผลักหลังสองแฝดให้รีบพาหม้อแกงกลับบ้านตัวเองไป


.......................................................................


        มาส่งแม่กับพี่มัทถึงร้าน ช่วยแม่เตรียมของเล็กน้อย ผมก็กลับมาบ้าน ระหว่างเดินทางกลับก็คิดมาตลอดทางว่าการลองไปเที่ยวต่างประเทศดูสักครั้งมันก็น่าสนใจอยู่หรอก แต่ถ้าจะให้ไปคนเดียวมันก็ยากนะ เกิดหลงทางขึ้นมาบ้างหล่ะ สื่อสารไม่เข้าใจบ้างหล่ะ จะทำยังไง

"เฮ้อ...ไม่ไปนั่นแหละดีแล้ว ลำบากป่าวๆ"   เอารถเก็บ ปิดประตูรั้ว เก็บล้างจานมื้อเช้า เก็บกวาด ทำงานบ้านจนเรียบร้อย ได้เวลาทำงานของผมบ้างแล้วหล่ะ

       ผมจบกฎหมายมาทั้งปริญญาตรีและปริญญาโท แต่ไม่เคยได้ลองทำงานด้านนี้ดูสักครั้ง ยังไม่เข้าใจตัวเองจนถึงตอนนี้เลยว่าทำไมถึงเลือกเรียน แถมยังเรียนต่อเนื่องไปจนปริญญาโทอีก ตอนแรกก็คิดแค่ว่าจะได้ไม่มีใครมาหลอกเราได้ เพราะผมเป็นคนไม่ค่อยทันคน คิดไว้อยู่แล้วแหละว่าไม่น่าจะทำงานด้านนี้ได้ แต่สุดท้ายก็ยังเลือกเรียนมันอยู่ดี ส่วนงานเขียนนิยาย ผมทำมันมาตั้งแต่สมัยเรียน เขียนเพราะชอบ เขียนเพราะอยากถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองให้คนอ่านได้สัมผัส แล้วมันก็มีค่าตอบแทนให้ผมพอใช้ชีวิตอยู่ได้

 ครืด! ครืด!

"โทรศัพท์อยู่ไหนอีกเนี่ย"    ผมไม่เคยหามันเจอเลย เพราะแทบจะไม่ได้ใช้ ช่องทางการสื่อสารเดียวของผมคืออีเมล์เท่านั้นแหละ ก็ผมมันพวกความสามารถทางเรื่องนำสมัยต่ำมากๆนี่หน่า เพราะงั้นเรื่องเทคโนโลยียิ่งไม่ต้องพูดถึง มันไกลตัวผมไปหลายพันลี้เลยหล่ะ

"อ่ะ! เจอละ ไอฮีโร่ แกอย่าซ่อนตัวบ่อยนักสิวะ"   ไอฮีโร่มันก็มาจากชื่อรุ่นของมันแหละครับ บอกเลยว่ามันทนทายาท! ตกแล้วตกอีกไม่ยักกะพัง
 
อ่อ พี่ที่สำนักพิมพ์นี่เอง

"สวัสดีครับ มัทฐาครับ"

"สวัสดีค่ะคุณมัทฐา นี่ผึ้งนะค่ะ เลขาคุณนาง"

"อ่อ ครับคุณผึ้ง"   ปกติพี่นางจะโทรมาเองตลอดนี่หน่า ครั้งนี้ทำไมเป็นเลขา

"ค่ะ พอดีคุณนางต้องเดินทางไปงานรับปริญญาน้องสาวที่อเมริกาด่วน เลยฝากเรื่องให้ผึ้งแจ้งคุณมัทฐาแทนค่ะ"   ตอบคำถามที่ผมสงสัยเสร็จสรรพ เหมือนรู้เลย

"ครับ พี่นางว่าไงครับ"

"คือต้นฉบับเรื่องล่าสุดคุณนางบอกให้คุณมัทฐาเอาเข้ามาให้ที่สำนักพิมพ์เอง พร้อมกับมาคุยเรื่องใหม่ด้วยเลยค่ะ คุณมัทฐาสะดวกไหมคะ"

"แต่ปกติผมส่งทางอีเมล์ตลอดนะครับคุณผึ้ง ผมอยู่ต่างจังหวัดหน่ะครับ"

"ค่ะ ผึ้งทราบค่ะ แต่พอดีคุณนางมีโปรเจคใหญ่ เป็นนิยายชุด รวมนักเขียนในสำนักพิมพ์ 5 คน หนึ่งในนั้นที่คุณนางเลือกคือคุณมัทฐาค่ะ ส่วนนิยายก็จะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศในทวีปเอเชียน่ะค่ะคุณมัทฐา รายละเอียดจะค่อนข้างเยอะ คุณนางเลยอยากให้คุณมัทฐาเข้ามาคุยด้วยตัวเอง"   นั่นไง ว่าแล้วต้องมีอะไร ปกติผมไม่เคยต้องเข้าไปส่งงานหรือประชุมเอง ทุกอย่างทำผ่านวิดีโอคอลและอีเมล์ทั้งหมด นอกซะจากจะมีโปรเจคใหญ่ๆแบบนี้ ซึ่งผมก็คงเลี่ยงไม่ได้

"ครับ คุณผึ้ง ผมต้องเข้าไปวันไหนครับ"

"คุณนางฝากคุณชัยคุยแทนให้เป็นพรุ่งนี้ตอนบ่ายสองโมงค่ะคุณมัทฐา"   พี่ชัยคือนักเขียนของสำนักพิมพ์เหมือนผมแต่ที่ต่างคือดำรงตำแหน่งสามีพี่นางไปด้วย  แล้วนี่มันไวไปไหม แจ้งล่วงหน้าแค่วันเดียว ไม่เผื่อธุระอื่นๆของผมเลย ทำเหมือนผมเป็นพวกว่างงานไปได้ แล้วผมต้องเดินทางไปไกลนะ ถึงมันจะแค่ชั่วโมงเดียวก็เถอะ

"ครับๆ ผมจะเข้าไป"   ยังไงก็ต้องตกลง

"ค่ะ พรุ่งนี้ตั๋วเดินทางของคุณมัทฐาคือเวลา 10 โมง 15 นาทีนะคะ เดี๋ยวผึ้งให้รถไปรอรับคุณมัทฐาที่สนามบินตอน 11 โมงครึ่งนะคะ ผึ้งส่งรายละเอียดตั๋วเครื่องบินทางอีเมล์ให้แล้วนะคะ"   อย่างนี้แค่แจ้งก็พอไม่ต้องถามหรอกว่าไปได้รึป่าว ถึงขนาดจองตั๋วให้เรียบร้อย

"ครับ คุณผึ้ง ขอบคุณครับ"

"เจอกันพรุ่งนี้นะคะ สวัสดีค่ะ"
เปิดดูอีเมล์แล้วทำงานต่อดีกว่า

"เฮ้อออออ...เมื่อย"   หันไปมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้วเหรอเนี่ย นี่ผมนั่งตรวจต้นฉบับเพลินจนลืมมื้อกลางไปเลย เป็นแบบนี้ประจำ จนแม่ทักตลอดว่าผมผอมไป ได้เวลาไปรับสองสาวแล้วด้วย ไปหาอะไรกินที่ร้านเลยละกัน

.......................................................................


"แม่ ขอชาเขียวปั่นโอรีโอแก้วนึงครับ"

"อ้าว แมท กินข้าวมารึยังลูก ทำไมมาไวจัง ไปนั่งรอก่อนไปเดี๋ยวแม่ให้เด็กทำไปให้"

"ไม่เอาอ่ะแม่ แมทอยากให้แม่ทำให้ แม่ทำอร่อยกว่าเยอะเลย อยากรอไปกินข้าวพร้อมแม่ด้วย นะนะ นะครับ"   แม่ทำอร่อยกว่าเด็กในร้านอีกนะ เพราะแม่จะใส่โอรีโอ้เยอะกว่าปกติ ฮ่าๆๆๆ

"ไม่ต้องอ้อนเลย รอแป๊บนะลูก"

"ครับคุณผู้หญิง" แม่ไม่เคยปฏิเสธผมสักครั้ง

"อ่ะ ได้แล้ว ของโปรดแมท"

"ขอบคุณคร้าบ แม่ใครเนี่ย ทั้งสวยทั้งสาวแล้วยังใจดีอีก"   แม่ยิ้มแก้มปริเชียว

"เก็บไว้ไปชมสาวมั่งเถอะ ลูกแม่จะมีแฟนไหมเนี่ย สงสัยจริง"

"รีบมีไปไหน ยังอยากอยู่กับแม่อยู่เลย"

"ทำมาปากหวาน ไปๆพี่มัทรอกินข้าวอยู่"    ผมไม่เห็นเคยคิดอยากจะมีแฟนเลย บอกตรงๆคนอย่างผมดูแลใครไม่ค่อยจะเป็น แฟนก็ไม่เคยจะมี

"วันนี้มีไก่ซอสเลมอนของโปรดแมทด้วยนะ"   พี่มัทบอก

"ทำไมวันนี้ใจดีจัง"   ปกติไม่เคยมีแบบนี้หรอก

"อ่อ พอดีลูกค้าสั่งผิดหน่ะ เห็นแมทชอบ เลยเก็บไว้ให้ ฮ่าๆๆ แกคิดว่าชั้นใจดีขนาดนั่น"   ว่าแล้วเชียว ผมเลยทำหน้าย่นใส่พร้อมมองค้อนไปทีนึง

"แมท! แกอย่าไปทำหน้าแบบนี้ให้ใครเห็นนะ เค้าจะนึกว่าแกเป็นตุ๊ดเป็นแต๋วกันพอดี"

 "พี่มัท!!!"   มันน่าโมโหนักนะ มาหาว่าผมเป็นอย่างงั้นได้ยังไง

"พอๆ ทั้งคู่แหละ จะกินข้าวกันได้รึยัง"

"ก็แม่ว่าแมทมันเหมือนป่ะหล่ะ ตัวก็อ้อนแอ้น แฟนก็ไม่เคยพามาให้เห็น"

"อย่าพูดให้แม่ต้องคิดมัท"   เอ้าเฮ้ย! ทำไมแม่พูดงี้อ่ะ

"นั่นไง แม่ก็คิดเหมือนมัทใช่ไหมละ อย่างโอ๊ตละเป็นไง เห็นไม่มีใครด้วยกันทั้งคู่ สนิทกันตัวติดกันขนาดนี้ ไม่ลองคบกันดูละ ฮ่าๆๆๆ"   พี่มันหัวเราะปนยิ้มสยองส่งมาให้ผม โอ๊ตคือเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กของผม และยังเป็นเพื่อนคนเดียวที่ผมยังติดต่อและไปไหนมาไหนด้วยกันทุกวันนี้ เราสองคนสนิทกันมาก มากจนมักโดนใครต่อใครแซวว่าคบหากัน แรกๆผมก็โกรธนะ แต่โอ๊ตมันพูดว่าจะให้ไปไล่อธิบายกับคนทุกคนคงไม่ได้ ถ้ามัวสนสายตาใครคงใช้ชีวิตไม่มีความสุขกันพอดี ถ้าเรารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพื่อน ก็ไม่เห็นต้องสนคำใคร

"แต่แม่ว่าก็ดีนะ โอ๊ตก็ไว้ใจได้ แมทจะได้มีคนดูแล อย่างแมท ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้หญิงก็คงต้องหาแบบมัท แข็งแกร่ง ดูแลเราได้ แม่ว่าถ้าเป็นผู้ชายไปเลย ก็หายห่วงนะ"   แม่พูดพร้อมทำท่าคิดไปด้วย ไม่ได้การละ ต้องรีบขัด เดี๋ยวจะเลยเถิดกันไปใหญ่

"แม่! ไปกันใหญ่แล้ว แม่ไม่คิดว่ามันแปลกรึไง มาสนับสนุนให้ลูกชายตัวเองมีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกัน แล้วถ้าจินตนาการกับผู้ชายตัวเล็กน่ารักๆคงยังพอทำใจคิดได้ แต่ถึกๆบึกๆแบบไอ้โอ๊ตนี่ก็ไม่ไหวนะแม่"   แม่ยิ้มให้ผมพร้อมหันไปถามยัยพี่มัท

"ก็น่ารักดีนะ ว่าไหมมัท ฮ่าๆๆ"   เอาเข้าไป

"ใช่แม่ เหมาะกับแมทมันดีออก"   ผสมโรงกันเข้าไป

"เดี๋ยวแมทมีขึ้นมาจริงๆแล้วจะรู้สึก พูดเล่นกันกับของจริงมันอาจจะให้ความรู้สึกต่างกันก็ได้นะ ฮึๆๆๆ"   ผมหัวเราะกลับอย่างมีเลศนัย

"เห็นแกหัวเราะแบบนี้แล้วสยองหว่ะแมท หรือว่าแกมีจริงๆ"   ยังๆไม่เลิก

"เอาเถอะๆ จะมียังไงก็มีไปเถอะ อย่าพากันเสียก็พอ โตๆกันแล้ว แม่ไม่อยากห้าม"   แม่ว่าพร้อมยกมือขึ้นปรามเราสองพี่น้อง

"แม่ครับ พรุ่งนี้แมทจะเข้าสำนักพิมพ์นะ เค้าส่งตั๋วมาให้แล้ว"   ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่องซะเลย

"ทำไมละ ปกติไม่เห็นเคยต้องเข้า ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้าน"   ใช่ครับ ตั้งแต่เรียนจบผมก็อาศัยส่งต้นฉบับทางอีเมล์ตลอด

"เห็นว่าจะมีโปรเจคใหม่ เลยอยากให้เข้าประชุมพร้อมกันกับนักเขียนคนอื่นๆ"

 "งั้นพรุ่งนี้แม่ไปส่งที่สนามบินละกัน กี่โมงหล่ะ"   แม่ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ ทำให้ลูกทุกอย่าง ดูแลทุกเรื่อง แม้จะโตแล้วก็ตาม อาจจะเพรามีลูกแบบผมก็ได้ แม่เลยต้องรอบคอบและเป็นห่วงเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

"ไม่ต้องหรอกแม่ พรุ่งนี้แมทมาส่งแม่ที่ร้าน แล้วเอารถไปจอดสนามบิน ขากลับก็จะได้ไม่ต้องไปรับ เพราะแมทกลับประมาณห้าโมงเย็น"   ผมว่ามันสะดวกกว่ากันเยอะนะ

"ตามใจแมทละกัน"

       หลังทานข้าวเสร็จ แม่ก็กลับไปดูแลให้เด็กที่ร้านกาแฟปิดร้าน ส่วนผมกับพี่แมทก็มาช่วยดูเรื่องบิลให้ที่ร้านอาหาร แล้วส่งให้พี่ผู้จัดการร้านจัดการต่อ ก่อนจะพากันกลับบ้านตอนสี่ทุ่ม เพราะแม่ผมต้องเข้านอนตรงเวลา ส่วนพี่แมทก็จะอยู่ร้านดึกเฉพาะช่วงหน้าไฮกับสิ้นเดือนที่จะยุ่งเป็นพิเศษ นอกนั้นก็จะให้เป็นหน้าที่ของพี่ผู้จัดการ ส่วนผม ทำหน้าที่รับส่ง พาไปซื้อของ ช่วยหน้าร้านบ้างเวลาลูกค้าเยอะๆหรือมีจอง นอกนั้นก็ทุ่มเทเวลาไปกับการเขียนนิยายล้วนๆ


.......................................................................



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 03-12-2014 13:43:58
  และแล้วการเดินทางก็เริ่มขึ้น o22 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 03-12-2014 13:56:20
บรรยากาศของเรื่องเป็นไปแบบสบายๆดีนะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 03-12-2014 15:19:23
ตามอ่านด้วยคน  :katai2-1:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 03-12-2014 20:00:53
เรื่องน่ารักดีค่ะ

รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 06-12-2014 07:10:43
ตอนที่ 2


"ถึงสำนักพิมพ์แล้วโทรบอกแม่ด้วยนะแมท"   แม่ยังคงย้ำเหมือนตอนผมเป็นเด็กๆ

"คร้าบ ไม่ลืมแน่นอน แมทไปก่อนนะแม่ เดี๋ยวจะหาที่จอดรถยาก"   สนามบินจังหวัดนี้ที่จอดรถเป็นแผ่นดินทอง ค่าจอดก็แพง แต่ก็คุ้มค่ากว่าให้แม่มาส่ง ไปกลับสี่รอบ เสียค่าที่จอดรถเป็นทางเลือกที่คู่ควรครับ

"อย่าลืมจดไว้ด้วยละ ว่าจอดรถตรงไหน เดี๋ยวจะหาไม่เจออีก"   แม่ไม่ลืมที่จะเตือนข้อผิดพลาดของผมที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำ

"ครับ คุณนาย" ขึ้นรถปิดประตูมุ่งหน้าไปสนามบิน

.......................................................................
 


       หาที่จอดรถได้ผมก็ไม่ลืมที่จะจดตำแหน่งที่จอดรถเอาไว้ แล้วเปิดไปอีกหน้าที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับเที่ยวบินที่จะเดินทาง ผมเขียนบันทึกทุกอย่างในชีวิตผมไว้ในสมุดเล่มนี้ ผมว่ามันเป็นวิธีที่คลาสสิคนะ มันรวดเร็ว เปิดใช้ได้ทุกเวลา ไม่มีเวลาแบตหมดเหมือนอย่างพวกอุปกรณ์อิเล็คโทรนิค อีกอย่างผมเป็นพวกชอบหลงๆ ลืมๆ ความจำสั้น จดทุกอย่างเอาไว้แน่นอนที่สุด

       ใช้เวลาเดินทางเกือบสามชั่วโมงผมก็มาถึงสำนักพิมพ์ เพราะกว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็ปาไปชั่วโมงนึงแล้ว โทรส่งสารให้แม่หายห่วงเรียบร้อยก็รีบเดินขึ้นตึก เพราะนี่ก็ใกล้เวลาประชุมแล้ว

"อ้าว ไอ้แมท นึกว่าจะไม่มาซะอีก"   ใครเรียก หันไปมองจึงหายสงสัย

"พี่เอ้ ไม่เจอซะนาน สบายดีไหมพี่"   พี่เอ้คือพี่ที่คอยช่วยกรองช่วยแก้งานเขียนให้ผมตั้งแต่สมัยเริ่มเขียนนิยายใหม่ๆ

"เออๆ สบายดีเว้ย มึงละ ตอนพี่ชัยโทรบอกไม่นึกว่าจะมีมึงอยู่ในโปรเจคนี้ด้วยนะ พี่นางแม่งเลือกแต่ตัวเก็งหว่ะ"   แสดงว่าพี่แกก็คือหนึ่งในโปรเจคแน่นอน

"ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ นี่มากันครบรึยังครับ"   ผมอยากรีบคุยรีบกลับจะแย่

"ไม่รู้หว่ะ ยังไม่ได้เข้าไปเลย ไปๆ พร้อมกันเนี่ยแหละ"

.......................................................................


"ดีๆพี่ จะได้รีบคุยรีบกลับ"   เดินตามพี่แกเข้าห้องประชุมไป

"มาพอดีเลยค่ะ เชิญคุณวิศณุกับคุณมัทฐาด้านนี้เลยค่ะ"

"เรียกผมว่าเอ้ก็ได้ครับคุณผึ้ง ส่วนไอนี่ก็เรียกมันว่าแมทละกันครับ จะได้ง่ายๆ"

"ค่ะคุณเอ้ งั้นเชิญนั่งเลยค่ะ"   คุณผึ้งเรียกให้พวกผมไปนั่งฝั่งเดียวกับเธอ พร้อมยกมือไหว้ทักทายทุกคนในห้องประชุม

"เริ่มกันเลยละกัน จะได้ไม่เสียเวลา"   พี่ชัยว่า

"วันนี้นางให้ทุกคนในนี้เข้ามาประชุมพร้อมกันเพราะเรากำลังจะมีโปรเจคนิยายรักชุดใหม่ มีทั้งหมด 5 เล่ม โดยนักเขียน 5 คน เล่าถึงความรักที่พบเจอใน 5 ประเทศ"   พี่ชัยลุกขึ้นยืนพร้อมยื่นเอกสารให้ทุกคน

"โห! พี่ชัย แค่นี้ไม่เห็นต้องเรียกเข้ามาเลย แจ้งทางเมล์ก็ได้"   พี่แพรว นักเขียนสาวโสดวัยใกล้เลขสี่เอ่ยด้วยสีหน้าเซ็งๆ

"ก็เพราะมันไม่ใช่แค่นี้นะสิแพรว พี่มีโจทย์คือประเทศในเอเชียมาให้เรา 5 คนเลือก ใครถนัดหรืออยากเขียนเกี่ยวกับประเทศไหนก็เลือกไปที่นั่น ทางสำนักพิมพ์มีงบหนึ่งก้อนเล็กๆให้ไปสร้างแรงบันดาลใจสำหรับ 1 สัปดาห์ ส่วนงบสนับสนุนที่ว่านี้ก็มาจากน้องสาวของนางที่เปิดบริษัทท่องเที่ยวอยู่"   ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

"เฮ้ย! ลงทุนไปหว่ะพี่"   พี่เอ้ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ

"ใช่ๆ ผมว่ามันลงทุนไปนะ ปกติไม่เคยมีโจทย์ให้ต้องเขียนนี่ แถมยังต้องไปเซอร์เวย์หาข้อมูลเขียนอีก ผมเขียนนิยายตามใจตัวเองนะ จะให้มาเขียนแบบบังคับมีโจทย์คงยากอ่ะพี่"   ผมเริ่มแสดงความคิดเห็นบ้าง

"อย่าเรียกว่าโจทย์เลย เพราะมันก็คือการเขียนให้เกี่ยวข้องกับประเทศนั้นๆ แค่นั้นเอง ทุกคนก็ถ่ายทอดมาในแบบของตัวเองนั่นแหละ แต่พี่ขอให้เป็นไปในรูปแบบที่มีการท่องเที่ยวประเทศที่เป็นโจทย์ไปด้วย พอจะได้ไหม"   ผมละอยากรู้จริงๆว่าสปอนเซอร์เค้าคิดอะไรอยู่ ทำไมไม่ไปโฆษณาวิธีอื่น ทำแบบนี้มันจะได้ลูกค้าสักเท่าไหร่กันเชียว

"พี่ชัยจะบอกว่าเค้าจะโฆษณาแฝงว่างั้นเถอะ กะขายทัวร์ลูกค้ากลุ่มที่ชอบอ่านนิยายละสิ"   พี่แพรวจ้องหน้าถามพี่ชัยพร้อมควงปากกาในมือไปด้วย ผมว่ามันโคตรจะแฝงนะ จะมีสักกี่คนที่อ่านแล้วต้องพาตัวเองไปที่นั่นเพื่อซึมซับความรู้สึกจากนิยายที่ตนเองอ่าน

"กะจะให้เป็นเหมือนคนดูซีรีย์เกาหลี แล้วอยากไปเที่ยวรึป่าววะพี่"   พี่เอ้ถามต่อ

"แต่ลูกหนูว่าก็น่าสนใจนะคะ แถมคนอ่านยังได้จินตนาการไปเองด้วย เพราะยังไงภาพในนิยายก็ถูกสร้างโดยผู้อ่านเองอยู่แล้ว ความน่าสนใจก็จะถูกถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือโดยผู้เขียนนิยาย คงคล้ายๆกับหนังสือสารคดีท่องเที่ยวแหละ แต่มันสนุกกว่าเพราะมันจะมีเรื่องราว ลูกหนูเข้าใจถูกไหมคะ"   ยัยลูกหนูนักเขียนน้องเล็กที่เรียนอยู่ปี 3 อักษรศาสตร์ ที่ดูจะเข้าใจและเห็นด้วยไปกับการตลาดผ่านรูปแบบนิยาย

"โป๊ะเช๊ะเลยยัยลูกหนู ไม่เสียแรงเป็นเด็กปั้นพี่"   พี่ชัยแสดงสีหน้าภูมิใจในตัวลูกหนูอย่างปิดไม่มิด

"โอเคๆ ผมขอรายละเอียดเลยดีกว่าพี่ชัย"   พี่เอ้ว่า

"ทางนู้นเค้ามีตั๋วเดินทางไปกลับแล้วก็ที่พักให้เรา พร้อมทริปเดินทางว่าจะต้องไปที่ไหนบ้างกับเงินเล็กน้อยให้ เชิญคุณผึ้งเลยครับ"   พี่ชัยอธิบายพร้อมกับฉายสไลด์บนจอ พร้อมบอกให้คุณผึ้งว่าต่อ

"มีทั้งหมด 5 ประเทศ จริงๆพี่นางก็เลือกคร่าวๆมาแล้วละค่ะว่าจะให้ใครเขียนที่ไหน"

"อ้าว! ไหนว่าให้เลือกได้ไงคะ"   ลูกหนูเอียงคอถามด้วยท่าทางน่ารัก

"ค่ะ เลือกได้ค่ะคุณลูกหนู"

"แต่คงไม่มีเกาหลีหว่ะ ฮ่าๆๆๆ"   พี่เอ้รีบบอกอย่างรู้ทัน ทำเอาลูกหนูค้อนให้วงใหญ่ ก็เพราะลูกหนูเป็นหนึ่งในสมาชิกแฟนคลับผู้คลั่งไคล้เกาหลีเข้าลำไส้และมั่นหมายจะให้เหล่าดารานักร้องชายของเกาหลีกินกันเอง ซึ่งเกาหลีก็เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเธอ บินไปกลับแทบจะทุกสามเดือนจนหลับตาเดินได้ละมั้งผมว่า

"ใจเย็นค่ะคุณลูกหนู ตัวเลือกมี เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย แล้วก็ฮ่องกงค่ะ"   เฮ้ย! ฮ่องกงอีกแล้วเหรอ ทำไมถึงมีแต่ข้อเสนอเกี่ยวกับที่นี่

"พี่เลือกได้เลยมั้ยน้องผึ้ง"   พี่แพรวถาม

"ได้เลยค่ะ ถ้าตัวเลือกไหนซ้ำ เราจะมาจับฉลากกันอีกทีค่ะ"

"งั้นพี่เลือกอินโดนีเซียละกันจ้ะ เพราะพี่มีแพลนจะไปเที่ยวบาหลีกับเพื่อนพอดี"

"มีใครสนใจอินโดอีกไหม"   พี่ชัยถามพร้อมรับเอกสารของอินโดนีเซียจากคุณผึ้ง

"โอเค ไม่มีนะ งั้นนี่แพรวรับไปได้เลย"   พี่ชัยยื่นเอกสารให้พี่แพรวหลังจากไม่มีใครสนใจจะไปอินโดนีเซียนอกจากพี่แพรว

"โชคหล่นทับจริงๆ เกือบจะจองตั๋วไปแล้วละเนี่ย"   พี่แพรวมีสีหน้าดีใจสุดๆ

"ลูกหนูขอสิงคโปร์ได้ไหมคะ"

"เฮ้ย! พี่ก็จะเอาสิงคโปร์"   พี่เอ้รีบบอก

"งั้นคงต้องจับฉลากละนะ"   พี่ชัยหันไปบอกคุณผึ้งให้เอาฉลากให้ทั้งคู่เสี่ยงดวงกัน

"แมทละ อยากไปที่ไหน"

"ไม่สักที่อ่ะครับพี่ชัย ผมไม่ชอบไปเที่ยวคนเดียวเลย ผมต้องรับงานนี้ด้วยเหรอครับ"

"เฮ้ย! รับสิ ทำไมว่างั้นอ่ะ นางย้ำเลยนะว่ายังไงก็ต้องมีแมท นางเค้าปลื้มสำนวนภาษาเรามากนะ"   เป็นคำพูดที่หนักใจดีนะครับพี่ชัย

"ยังไงก็คงไม่มีทางเลือกสินะครับ"

"ใช่! เอาเถอะน่า เพราะเห็นในฝีมือ เลยวางตัวให้ทำ ถือว่าไปพักผ่อนละกันน่าแมท นี่พี่ก็ว่าจะเลือกเวียดนาม จะได้ถือโอกาสชวนนางไปพักร้อนด้วยเลย" พูดพลางยิ้มหวาน ป่านนี้ในหัวพี่แกคงมีแผนลอยเต็มไปหมด

"ครับๆ"   ผมคงหมดทางเลือกแล้วจริงๆ

"สรุปคุณเอ้ไปมาเลเซียนะคะ ผึ้งจะได้ส่งเอกสารให้"   ทำไมสรุปไวจัง

"ก็ได้ๆ ผมหยิบได้อันนี้นี่ครับ"   พี่เอ้ทำหน้าเซ็งๆ

"ส่วนคุณแมทเหลือทางเลือกแค่ฮ่องกงนะคะ หรือถ้ามีที่อื่นอยากไปก็จะได้จับฉลาก"

"พี่เอ้ไม่เลือกฮ่องกงเหรอพี่"

"ไม่หว่ะ เพิ่งไปมา ดูแล้ววุ่นวาย ไม่มีความรู้สึกอยากเขียนถึงที่นี่ ขอผ่าน"  ยกฝ่ามือขึ้นมาเสมอหน้าเพื่อสนับสนุนคำพูด

"ก็ได้ครับ ผมเลือกฮ่องกงก็ได้"   ตอบคุณผึ้งไปด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

"โอเคค่ะ งั้นผึ้งสรุปตามนี้นะคะ คุณชัยเลือกเวียดนาม คุณแพรวเลือกอินโดนีเซีย คุณลูกหนูเลือกสิงคโปร์ ของคุณเอ้เป็นมาเลเซีย แล้วสุดท้ายคุณแมทเป็นฮ่องกงค่ะ ผึ้งจะได้ส่งชื่อให้กับทางบริษัททัวร์เลย"   คุณผึ้งสรุปพร้อมส่งยิ้มให้กับทุกคน

"ตั๋วเครื่องบินพร้อมที่พักเป็นแบบไม่ระบุวันและเวลานะคะ ทุกคนเลือกเดินทางได้ตามสะดวกได้เลย แต่ต้องก่อนสิ้นปีนี้นะคะ"   คุณผึ้งว่าต่อพร้อมส่งซองเอกสารที่แปะชื่อประเทศให้แต่ละคนที่เหลือ

"เอาล่ะ พี่อยากให้งานเขียนออกมาดี ไม่มีเวลาจำกัด แต่รบกวนเข้ามาคุยพลอตเรื่องกันก่อนสักก่อนสงกรานต์ปีหน้า คิดว่าไหวไหม"   พี่ชัยมองหน้าทุกคนขณะถาม

"ทำไมต้องคุยละพี่ เราไม่เคยมาตบพลอตกันเลยนะ ส่งกันตอนเขียนจบทีเดียวไม่ใช่เหรอ"   พี่แพรวถามขึ้น ผมก็สงสัย ปกติไม่มีหรอกครับ คุยพลอตตบพลอตเรื่องกันก่อนเนี่ย

"ก็งานนี้เรามีการว่าจ้าง พลอตเรื่องก็ควรจะถูกใจผู้ว่าจ้างสักหน่อย คงไม่มีปัญหาใช่ไหม อย่างมากเค้าคงแค่อยากรู้ว่าเราแทรกเนื้อหาให้ทางเค้าได้แค่ไหนยังไงละมั้ง"   ยุ่งยากจริงๆ

"เอาล่ะ รายละเอียดที่เหลือยังไงพี่จะให้คุณผึ้งส่งให้ทางอีเมลล์นะ แล้วถ้าระบุวันได้ก็บอกทางคุณผึ้งเอาไว้ด้วย พี่จะได้แจ้งทางโน้น"    คงเป็นอันจบการประชุม เพราะทุกคนกำลังเก็บของบ้างก็ลุกยืนขึ้นแล้วบอกลากัน

"ผมไปก่อนนะครับ ไว้เจอกัน"   ผมยกมือไหว้ทุกคน รีบเดินออกจากบริษัทจะได้รีบกลับบ้าน

.......................................................................



       ระหว่างนั่งบนเครื่องกลับบ้าน ผมก็พลางก้มมองซองเอกสารสีน้ำตาลในมือ นี่จะต้องไปจนได้สินะ เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองดูสักครั้ง  ลงเครื่องแล้วลองโทรชวนโอ๊ตดูดีกว่าเผื่อมันอาจจะอยากไป แล้วไปเอาตั๋วจากพี่มัทให้มัน มีเพื่อนอย่างมันไปด้วย จะได้ไม่เหงา เพราะอย่างน้อยจะได้อุ่นใจว่ามีเพื่อนเดินทาง อีกอย่างคนอย่างโอ๊ตน่าจะช่วยเหลือผมได้ ขืนไปคนเดียวผมต้องหลงทางตั้งแต่ยังไม่ทันออกจากโรงแรมเลยมั้ง นี่ขนาดขามาประชุมยังเกือบเข้าประตูผิดไปโผล่เชียงใหม่

ยัง โสดๆ อยู่ทางนี้...ยัง โสดๆ อยากมีรักมา โหลดๆ เธอใช่มั้ย ที่ฟ้ามาโปรด ฟ้ามาโปรด.........

คือเสียงรอสายมึงแบ๊วมาก เปิดโอกาสให้ตัวเองสุดๆ

"ฮัลโหล สาว ว่าไงจ้ะ"

"สาวพ่องสิ ไอ้สัด"

"เป็นเชี้ยไรเนี่ย โทรมาถึงก็ล่อพ่อกูเลยนะ"

"แล้วมึงไม่มีคำทักทายอื่นที่ดีกว่านี้รึไงวะ"    มันมักเรียกผมด้วยคำสรรพนามที่บ่งถึงผู้หญิง

"น่ารักดี เหมาะกะมึง ฮ่าๆๆ"    ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกว่ามันน่ารักนะ

"เหอะ! ถามกูก่อนเถอะคราวหน้าว่าอยากเหมาะไหม"    ลองคิดดูสิ ผู้ชายด้วยกันมาเรียกคุณว่า แน่งน้อยบ้างหล่ะ อรชรบ้างหล่ะ นวลนางบ้างหล่ะ สาวบ้างหล่ะ ภูมิใจมั้ยผมถาม ไม่น่านะ ถ้าคุณรู้สึกดีกับคำเรียกพวกนั้นโดยที่คุณคือเพศชาย ผมว่าคุณคงก้าวขาเข้าสมาคมชายสู่ชายที่หลงรักการทำยุทธหัตถีกันไปนิดนึงแล้วละครับ

"เออๆ แล้วมีอะไร โทรหากูทำไม"

"ช่วงปลายปีนี้มึงว่างป่าววะ กูว่าจะชวนไปเที่ยวฮ่องกง กูมีตั๋วให้ พอดีต้องไปหาข้อมูลเขียนงานหว่ะ"

"กูว่าง กูอยากไป กูอยากเที่ยว แต่...."

"แต่อะไรวะ ลากเสียงซะยาวเลยนะมึง"    มึงว่างอยากไป อยากเที่ยว แล้วจะแต่ทำไมวะ

"ป๊ากูกลับมาบ้านหว่ะ เค้าบอกกำหนดกลับประมาณกลางเดือนพฤศจิกานี้ มึงคิดว่ากูควรอยู่บ้านให้ป๊าเห็นหน้าตอนฉลองปีใหม่หรือไปเที่ยวกับเพื่อนอย่างมึงดีวะ"

"ให้กูวางสายเลยไหมละสัด พูดซะรู้สึกผิด"    ป๊าของไอ้โอ๊ตมันทำงานอยู่บริษัทที่ญี่ปุ่นกลับบ้านปีละครั้ง คือถ้าไม่กลับปีใหม่ลากยาวไปจนตรุษจีน ก็จะกลับช่วงตรุษจีนทีเดียว ทุกครั้งป๊ามันกลับมา มันก็ต่องทำตัวเป็นลูกที่ดีคอยช่วยม๊ามันขายทัวร์ เพราะที่บ้านมันเปิดบริษัทท่องเที่ยว ขายทัวร์ให้นักท่องเที่ยวตามโรงแรมสำหรับไปเที่ยวชมตามเกาะต่างๆ ของภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง แล้วก็มีสปีดโบ้ทให้เช่าด้วย

"กูก็อยากไปนะ มึงเลื่อนวันไม่ได้เหรอ"

"ไม่ได้หว่ะ กูตั้งใจให้เนื้อเรื่องมันมีเทศกาล อยู่ในช่วงการเฉลิมฉลอง"    ผมว่าถ้าได้สะท้อนออกมาถึงการไปเที่ยวช่วงเทศกาลมันน่าจะสนุกและมีสีสันมากกว่านะ ถึงคนจะเยอะก็เถอะ

"งั้นกูขอผ่านหว่ะ แต่โคตรอยากไป แล้วมึงจะไปคนเดียวเหรอวะ"

"ก็คงงั้น"

"หาใครไปด้วยเหอะ กูเป็นห่วงวะ ไม่มีใครดูแล กูไม่อยากปล่อยให้มึงไปไหนคนเดียว นี่ถ้าไม่ติดที่ป๊ากลับมา กูคงไปกับมึงด้วยแล้ว"

"เชี้ย! ขนลุก"    คือกูโตแล้ว ไม่ต้องการคนดูแล คิดผิดไหมเนี่ยที่ชวน มันพูดซะผมต้องเก็บเอาคำพูดแม่กับพี่มัทมาคิด

"ขนลุกเชี้ยไร ปวดขี้เหรอ มึงไปคนเดียวมีหวังหลงทางชัวร์ ไม่งั้นก็หาไกด์ทัวร์พาเที่ยวซะ"    ก็เป็นความคิดที่ดีนะ

"เออๆ เดี๋ยวลองไปชวนสองแฝดก่อน เผื่อสนใจ"

"ดีดี กูจะได้ไม่ต้องห่วง" อีกละ ห่วงไรกูนักหนาวะ

"งั้นแค่นี้นะกูขับรถก่อน"    ผมรีบกดวางไม่คุยกับมันดีกว่า ยิ่งคุยผมยิ่งรู้สึกขนลุกแปลกๆ เฮ้อ ทำไมต้องเก็บเอาคำพูดแม่กับพี่มัทมาคิดด้วยเนี่ย แผนชวนโอ๊ตไปด้วยเป็นอันพับไป ไว้ไปตะล่อมสองแฝดดีกว่า เผื่อจะสนใจ

.......................................................................


❤ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ^^*
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 06-12-2014 08:49:44
ก็น่าห่วงอยู่หรอกนะ ชอบหลงทางขนาดนั้น
อยากอ่านตอนไปเที่ยวเร็วๆ จะหอบใจอาตี๋ฮ่องกงกลับไทยด้วยมั้ยเอ่ย
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-12-2014 10:17:57
รอลุ้นว่าแมทมีเพื่อนไปด้วยหรือไปคนเดียว
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 2 [06-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 06-12-2014 22:32:51
เมื่อไหร่พระเอกจะโผล่ รออยู่น้าาาาาา :hao3:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 3 [07-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 07-12-2014 23:49:59
ตอนที่ 3


"ตกลงไปใช่ไหมแมท มัทจะได้ให้เพื่อนยืนยันตั๋วเลย"   พี่มัทถามขณะทาแยมลงบนขนมปัง

"ไปสิ สำนักพิมพ์มีโปรเจคใหม่ให้ทำ แล้วแมทต้องเขียนเกี่ยวกับที่นั่น แต่แมทมีตั๋วแล้วนะพี่มัท ทางสปอนเซอร์เค้าให้มาพร้อมเงินค่าที่พักสำหรับ 1 อาทิตย์"

"อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นแมท ดูเหมือนฮ่องกงคงจะอยากให้แมทไปที่นั่นนะ"   แม่ยกยิ้มมุมปากพร้อมเอ่ยแซว

"งั้นตั๋วของมัทก็ไม่ต้องใช้แล้วสิ"   พี่มัทเงยหน้าจากขนมปังแล้วถามขึ้น

"ให้แฝดได้ไหม เดี๋ยวแมทซื้อให้เพิ่มอีกใบนึง นะๆๆๆๆ แฝด ไปด้วยกันหน่อย จ้างเลยนี่เอ้า ตั๋วเข้าดิสนี่ย์แลนด์คนละใบ"

"ไม่อ่ะพี่แมท ฟินต้องพักผ่อน"   เหนื่อยมากเลยเนอะ เรียนหนังสือเนี่ย

"เฟย์ว่าข้อเสนอไม่คุ้ม"

"ไม่คุ้มตรงไหนวะเฮ้ย! ตั๋วฟรี ที่พักฟรีเนี่ย"

"ก็ถ้าคุ้มก็ต้องมีพอกเกตมันนี่ด้วยสิค๊า"

"อย่างนี้มันไม่เรียกคุ้มแล้วเว้ย ไปขอน้านิดิ"   หน้าเลือดจริงๆพี่น้องบ้านนี้

"งั้นก็ไม่ไป เพราะถ้าเราสองคนอยู่บ้าน พ่อกับแม่ก็ไม่ต้องเสียเงิน"   มันกะเอายิ่งกว่าคุ้มนะผมว่า

"เออๆ คนละสามพัน พอมะ"   นี่ก็ให้เยอะเกินไปแล้วนะ

"สามพันเที่ยวสามวันก็หมดแล้วเฮีย"   ฟินว่า พวกมันใช้ทำอะไรวะเนี่ย นี่ถ้าให้มันไปด้วยทั้งอาทิตย์ผมไม่ต้องให้มันหมื่นสี่เหรอครับ

"งั้นห้าพัน"   มากกว่านี้ไม่ไหวละนะ

"อืม ขอคิดดูก่อน"   เฟย์เอานิ้วเคาะขมับทำท่าคิด

"งั้นก็ไม่ต้องละ พี่ไปคนเดียวก็ได้"   ขืนผมยื่นข้อเสนอมากกว่านี้ หมดตัวแน่นอน

"เดี๋ยวๆๆๆ อย่าเพิ่งถอดใจสิ ไปๆ แต่ว่าไปแค่สามวันนะ ฟินมีเรียนพิเศษ"

"สามวันเองเหรอ จะไปดูไปจดจำอะไรทันเนี่ย สักห้าวันไม่ได้เหรอฟิน"   ไปแค่นั้นผมไปงมเองก็ได้นะ

"น่าพี่แมท ดีกว่าพวกเราไม่ไปนะ คนเดียวหัวหายนะพี่ ฮ่าๆๆๆ"

"เออๆ ก็ได้วะ ดีกว่าเที่ยวคนเดียวทั้งทริปหล่ะ"

"ทำไมไม่ชวนโอ๊ตไปด้วยกันละ เพื่อนกันไปเที่ยวกันน่าจะสนุกกว่าพาน้องไปนะ"   ช่วงนี้รู้สึกว่าแม่ผมจะยัดเยียดให้มีไอ้โอ๊ตอยู่ในการดำเนินชีวิตผมจังนะ

"ป๊ามันกลับมาพอดี เลยไปไม่ได้ครับ"

"อืม แล้วนี่แมทกะจะไปวันไหนละ"   แม่หันมาถามผม พร้อมยื่นแก้วนมให้ผม

"ก็ประมาณปลายเดือนธันวาเลยละ อากาศน่าจะกำลังดี"   ผมว่ามันคงไม่สนุกถ้าต้องไปเที่ยวในวันที่อากาศร้อน

"งั้นแฝด เราสองคนหน่ะ คงต้องตามไปทีหลังนะ รอสอบกลางภาคเสร็จก่อน แมทก็จองตั๋วให้ใกล้วันสอบเสร็จละกัน"   พี่มัทบอกสองแฝดพยักหน้าตาม

"งั้นเดี๋ยวจะเอาตารางสอบมาให้เช็คนะ"

"ก็แล้วแต่สะดวกละกัน แต่ห้ามเบี้ยวนะเว้ย"   ที่บางที่มันเที่ยวคนเดียวไม่ได้จริงๆนะครับ ผมว่าถ้ามีเพื่อนไปมันคงจะดีกว่า

"โอเคค้าบเฮีย ข้อเสนอดีขนาดนี้มีเหรอน้องๆจะเบี้ยว"   เฟย์ตอบพร้อมขยิบตาให้แฝดพี่ แล้วหันไปจัดการข้าวเช้าต่อ

"แหม ทำเป็นไม่อยากจะไปนะตอนแรก ที่ไหนได้"   หัวหมอจริงๆไอ้สองแฝดนี่

"ก็ต้องต่อรองดูก่อนสิพี่แมท เผื่อจะมีการอัพเกรดข้อเสนอ"   ฟินบอกก่อนจะยิ้มตาหยี

.......................................................................


หลังมื้อเช้า ขณะที่แม่กำลังแต่งตัวเตรียมออกไปร้าน

"วันนี้แมทเข้าไปช่วยที่ร้านนะแม่"   ผมเดินเข้ามาบอกแม่ในห้องนอน

"ไม่ต้องหรอกแมท ว่างก็พักเถอะ"   แม่บอกขณะกำลังใส่ต่างหู

"แมทว่าง มันน่าเบื่อ ช่วงนี้ลูกค้าเยอะด้วย แมทกลัวแม่เหนื่อย"   ผมว่าเสียงอ้อนๆพร้อมเอาหน้าเข้าไปซบที่หลังแม่

"ตามใจๆ เดือนหน้าจะไปเที่ยวแล้วจองที่พักเรียบร้อยรึยังเรา"

"ยังอ่ะแม่ ค่อยให้พี่มัทจองให้"   ผมทำไม่เป็นหรอกอะไรพวกนี้ อีกอย่างผมแทบไม่ได้ศึกษาอะไรเกี่ยวกับที่จะไปเลยสักนิด รอพี่มัทอธิบายทีเดียวก่อนไปละกัน

"งั้นรีบไปกันเถอะ วันนี้แม่สายแล้ว"

.......................................................................


       ออกจากบ้านมาถึงร้าน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที วันนี้กิจวัตรผมต่างไปจากทุกวันเพราะพี่มัทไม่อยู่ไปซื้อของเข้าร้านตั้งแต่เช้า ผมเลยอาสาเข้ามาช่วยแม่ อีกอย่างช่วงนี้ว่างมาก งานใหม่ก็เริ่มเขียนไม่ได้อยู่ดีเพราะต้องรอเดินทางไปดูลาดเลาก่อนถึงจะเริ่มเขียนได้ ผมมาช่วยแม่ทำตัวให้เกิดประโยชน์ที่ร้านจะดีกว่า

"แมทเข้าไปร้านพี่มัทก่อนนะ แม่เตรียมของเสร็จแล้วจะตามเข้าไปช่วยดู"   ผมพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปที่ร้านพี่มัท

"อ้าว! ทำไมกลับไวละพี่มัท"   ปกติไปซื้อของต้องกลับเที่ยงนี่ บางวันก็ลากยาวไปจนบ่าย แต่ทำไมวันนี้กลับมาตั้งแต่ก่อนเปิดร้าน

"ของไม่มีเลยแมท แม่ค้าบอกพายุเข้า กุ้งปูก็ของขาด แล้วไอ้ที่มีขายกันอยู่ในตลาดก็ราคาแพงขึ้นอีก"   พี่มัทพูดอย่างเซ็งๆ

"เอาหน่าอย่าไปเครียด วันนี้ไม่มีพรุ่งนี้ก็มี"

"อืมๆ ดีนะยังมีเจ้าประจำที่มาส่งให้ ไม่งั้นไม่มีของสดขายร้านเงียบแน่เลย"   ลูกค้าต่างชาติมักจะเลือกอาหารทะเลที่สดๆจากในตู้ปลามาทำเป็นอาหารมากกว่าที่แช่แข็ง  นี่เป็นสาเหตุให้พี่มัทนั่งหนักใจอยู่ตอนนี้

"แมทเห็นปูกับกุ้งอยู่ในตู้ตั้งเยอะนะ"   ผมว่ากุ้งว่ายอยู่มากกว่ายี่สิบตัวนะ

"เย็นนี้ก็หมดแล้ว ไม่ถึงคืนนี้หรอก"

"ขายดีอ่ะ"   ผมเพิ่งรู้ว่ามันขายดีขนาดนี้ เลิกเขียนนิยายมาขายกุ้งเผาดีกว่าไหม

"ก็มันหน้าท่องเที่ยว ลูกค้าทัวร์ก็เยอะ ปีนึงมีไม่กี่เดือนต้องรีบกอบโกยสิยะ นี่บ้านแกอยู่ไหนเนี่ย"   ผมขมวดคิ้วทำหน้างง

"ก็ผมไม่เคยทำจะรู้ได้ไง งานที่ทำอยู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเลยสักนิด"

"เออใช่ๆ พูดถึงงาน มาๆจองที่พักกันดีกว่า ยิ่งใกล้วันจะยิ่งไม่มี เค้าให้งบมาเท่าไหร่เนี่ย"   พี่มัทกวักมือให้ผมไปนั่งข้างๆพร้อมเปิดโน้ตบุ๊ค

"คืนละสามพันอ่ะพี่มัท แมทขอใกล้รถไฟฟ้านะ เอาสะดวกๆ"   ที่สำคัญคือเผื่อหลงครับ ถ้าต้องเข้าซอยเข้าตรอกเยอะๆมีหวัง หลงแน่ๆ

"เพื่อนมัทเคยจองผ่านเว็บเอเจนซี่นี้ เค้าเป็นลักษณะปล่อยบ้านหรือคอนโดให้เช่า ดูดีเลยละ ถูกกว่าโรงแรมด้วย ลองดูไหม"   พี่มัทคลิกเข้าเว็บที่ว่าพร้อมใส่เมืองที่เลือก

"แล้วจะไว้ใจได้เหรอพี่มัท ถ้าจองแล้วเค้าเชิดเงินละจะว่าไง"   สมัยนี้ไว้ใจคนยากจะตาย

"เค้าจะมีการการันตีแล้วก็รีวิวจากคนที่เคยเข้าพัก แมทก็เลือกที่มีรีวิวเยอะๆหน่อย มีเปอร์เซนต์การตอบกลับเยอะๆก็ดีแล้ว อีกอย่างทางเอเจนซี่จะไม่จ่ายเงินให้กับทางเจ้าของที่พักนะ ถ้ายังไม่ได้รับการยืนยันการเข้าพักจากเรา ก็คือถ้าเราไม่ถึงห้องไม่มีที่นอนเจ้าของเค้าก็ไม่ได้เงินอยู่ดี"   มันก็ยังไม่น่าไว้ใจอยู่ดีนะผมว่า

"โรงแรมไม่ดีกว่าเหรอพี่มัท"

"มันแพงไป ยิ่งถ้าแมทอยากได้ใกล้รถไฟฟ้า เดินทางสะดวกนะ ราคายิ่งสูง ที่ดินที่นั่นเค้าเป็นทอง เอาอย่างที่มัทว่าดีกว่านะ"   เอาก็เอาวะ

"ขอแมทดูรูปห้องหน่อยสิ"   พี่มัทเลื่อนโน๊ตบุ๊คมาตรงหน้าผม

"อ่ะ ห้องนี้น่ารักดี เจ้าของน่าเชื่อถือ เค้าพักอยู่ตึกเดียวกัน แต่คนละห้อง ที่สำคัญเค้าไม่มีค่ามัดจำห้องก่อนเข้าพักด้วยนะ ติดสถานีรถไฟใต้ดินเลย ใกล้ห้างด้วย สะดวกดีนะ สนไหม"   น่าอยู่อย่างที่พี่มัทว่าจริงๆด้วย

"ก็น่าสนอยู่ เอาอย่างพี่มัทว่าก็ได้ ถ้าพี่มัทว่ามันปลอดภัย แมทก็เชื่ออย่างนั้น"   จากราคาต่อคืนที่เห็น ผมยังเหลือเงินอีกนิดหน่อยเป็นค่ามื้ออาหาร ก็ดีนะ ถือว่าคุ้มค่า

"งั้นเดี๋ยวมัทจองให้ ไปช่วยแม่เถอะ เรียบร้อยแล้วมัทจะส่งรายละเอียดการจองเข้าเมลล์ให้"   พี่มัทบอกพร้อมเอานิ้วจิ้มเข้าที่แก้มตัวเองเป็นเชิงบอก

"ได้ๆ ขอบคุณนะครับพี่มัท"   หอมแก้มขอบคุณไปสักฟอด พร้อมเป่าลมข้างหู ก่อนจะรีบวิ่งไปหาแม่ที่ร้านกาแฟ เพราะพี่สาวผมเค้าชอบให้หอมแก้มหรือคลอเคลีย แต่ก็บ้าจี้เข้าเส้น ป่านนี้คงนั่งขนลุกพร้อมก่นด่าผมไปพร้อมกันแล้วละมั้งครับ

.......................................................................


       1 เดือนผ่านไป พรุ่งนี้ก็ได้เวลาเดินทางไปหาข้อมูลเพื่อเขียนนิยายเรื่องใหม่ของผมแล้ว ยิ่งใกล้วันก็ยิ่งรู้สึกไม่อยากไป เคยมีใครที่เป็นเหมือนกันไหมครับ ความกลัวนี่มันมีอานุภาพมากจริงๆ การเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกของผม ด้วยความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดบวกกับความสามารถด้านภาษาอังกฤษที่ต่ำต้อย ยิ่งภาษาจีนยิ่งแล้วใหญ่ คงต้องมาลุ้นกันแล้วละครับว่าผมจะรอดไหมกับการเดินทางครั้งนี้

"แมทๆ เก็บกระเป๋าเตรียมของครบยัง อย่าลืมเสื้อกันหนาวนะ นี่แผนที่มัทเขียนรายละเอียดพร้อมทำเครื่องหมายสถานที่สำคัญๆ แล้วก็รายละเอียดการเดินทางกับแผนการเดินทางให้แล้วนะ"   พี่มัทเดินเข้ามาพร้อมใบหน้าสีเขียวเห็นชัดแค่ตากับฟัน ในมือถือสมุดเล่มเล็กและแผนที่ นี่ถ้าดึกหน่อยแล้วปิดไฟอยู่มีหวังคงช็อคกันละครับงานนี้

"ละเอียดแน่นะพี่มัท"   ผมละกังวลจริงๆ

"ละเอียดแน่นอน แผนสำหรับสองอาทิตย์ แมทจะเปลี่ยนแปลงก็ได้นะ ส่วนต้องขึ้นลงรถเมล์สายไหน สถานีรถไฟฟ้าอะไร มัทจดให้หมดแล้ว ไม่ต้องห่วงจ้ะน้องรัก"   ผมยื่นมือไปรับพร้อมรอยยิ้ม

"พี่มัทน่ารักที่สุดเลยอ่ะ มาจูบที"   ผมว่าพลางยื่นมือจะเข้าไปกอด

"ไม่ใช่ตอนนี้ย่ะ ติดไว้ก่อน แค่กอดพอ ตอนนี้มาส์กหน้าอยู่ เดี๋ยวครีมมาส์กหลุด อิอิ ไปละ เดี๋ยวหน้ามัทไม่ตึง"   พี่มัทคว้าตัวผมเข้าไปกอดเบาๆ แล้วก็หันหลังออกจากห้องไป บางทีผมก็คิดว่าผู้หญิงนี่เรื่องเยอะนะ ช่างสรรหามาประคบประโคม ทั้งๆที่บางอย่างที่ทำก็มีผลเท่ากับศูนย์ แต่พี่มัทกลับบอกว่าผลลัพธ์ทางใจเท่ากับร้อย นี่สิทำให้สวยยิ่งกว่า เฮ้อ เข้าใจยากนะผู้หญิง  รีบเข้านอนดีกว่า พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า

.......................................................................


"พี่แมทๆๆ ตื่นๆๆๆๆๆ เดี๋ยวก็ตกเครื่องหรอก"   ใครเสียงดังวะเนี่ย

"ตื่นได้แล้ว นี่จะแปดโมงแล้วนะ"   ผมลืมตาขึ้นมาข้างนึง ส่งเสียงง่วงๆออกไป

"แมทไม่ไปส่งแม่นะวันนี้ ขอนอนก่อน เดี๋ยวบ่ายๆจะเข้าไปช่วยละกันนะครับ"   วันนี้ไม่ไหวจริงๆครับ เมื่อคืนกว่าจะหลับได้ เกือบตีสอง

"ท่าจะไม่รอดนะป้าศิ ฟินว่าลากไปทั้งชุดนี้แหละค่ะ"

"แมทตื่นลูก จะได้เวลาขึ้นเครื่องแล้วนะ ต้องไปฮ่องกงไม่ใช่เหรอวันนี้"

"ห๊ะ! ฮ่องกง ขึ้นเครื่อง กี่โมงแล้วอ่ะแม่"   ผมตกใจลืมตาทันทีเมื่อได้ยินคำว่าฮ่องกง ใช่ๆ วันนี้ผมต้องไปฮ่องกง

"7 โมงครึ่งแล้วลูก"   ตายๆๆ ตกเครื่องแหงๆ ห้องน้ำอยู่ไหนเนี่ย

"ใจเย็นๆพี่แมท เอ้านี่ผ้าเช็ดตัว เฟย์ว่าเราลงไปรอข้างล่างกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวเฟย์ขนกระเป๋าลงไปให้เลยนะพี่แมท มีแค่นี้ใช่ไหม"

"ขอบใจมากน้องรัก มีแค่ใบเล็กแหละ ใบใหญ่อยู่ข้างล่างแล้ว"   ว่าแล้วผมก็รีบอาบน้ำแต่งตัว

.......................................................................


20 นาทีต่อมา

"มาๆ กินข้าวก่อนลูก เดี๋ยวให้พี่มัทไปส่ง"

"ครับแม่ ขอบคุณครับ"

"ดีเนอะพี่แมท ตื่นสายเอาวันนี้ ปกติเห็นลุกมารดน้ำต้นไม้ตั้งแต่หกโมงเช้า"   ฟินว่าเหน็บขณะรินน้ำใส่แก้วให้ผม

"เออ เมื่อคืนนอนไม่หลับ"   ไม่รู้เหมือนกันว่าตื่นเต้นที่จะไปหรือไม่อยากไปกันแน่ ถึงได้นอนลืมเวลาขนาดนี้

"ไม่ลืมของนะแมท ถึงสนามบินที่ฮ่องกงแล้วก็อย่าลืมโทรบอกแม่ละ นี่เปิดสัญญาณไปใช้ที่นู่นใช่ไหม"

"มัทเตรียมซิมการ์ดของที่โน่นให้น้องแล้วค่ะแม่ กลัวว่าเปิดโรมมิ่งแล้วค่าโทรค่าเนตจะบาน"   พี่สาวผมนี่ช่างเตรียมพร้อมจริงๆ

"ไม่ต้องกลัวหรอกพี่มัท ฟินว่ายังไงก็ไม่แพงหรอก เพราะจะพลิกท่าไหนโทรศัพท์พี่แมทก็เล่นเนตไม่ได้อยู่ดี ฮ่าๆๆๆ ฮีโร่จอดำซะขนาดนั้น"   เดี๋ยวเถอะๆ ไอสองแฝด บังอาจมาดูถูกพี่ฮีโร่ของผม

"แมทรู้สึกเหมือนจะลืมอะไรสักอย่างนะ แต่ก็นึกไม่ออกอ่ะแม่"   เคยเป็นมั้ยครับ ก่อนออกจากบ้านมักจะมีความรู้สึกนี้ทุกครั้ง เหมือนจะลืมอะไรสักอย่าง

"ถ้าในกระเป๋ามีเงินกับพาสปอร์ตก็ถือว่าไม่ลืมแล้วละพี่แมท"   นั่นมันพอสำหรับผมซะที่ไหน แต่ก็นึกไม่ออกจริงๆ

"รีบไปได้แล้วไป นี่ก็แปดโมงแล้ว จะไม่ทันเอา"   แม่รีบดันหลังผมไปขึ้นรถ

"มัทเช็คอินให้น้องแล้วแม่ ทันแน่นอน"   รอบคอบจริงๆสาวๆบ้านนี้ นี่เป็นคุณสมบัตินึงของแม่ที่ไม่มีอยู่ในตัวผมเลย

"เดินทางปลอดภัยนะพี่แมท อาทิตย์หน้าเจอกัน มารับด้วยนะที่สนามบิน"   ใช่ครับ สองแฝดจะตามผมไปทีหลังพร้อมพี่สาวผม เพราะยัยสองคนนี้ยังเด็กไปที่จะปล่อยให้เดินทางลำพัง สุดท้ายพี่สาวผมก็ต้องไปด้วยอยู่ดี

"ไปนะแม่ อย่านอนดึกนะครับ รักแม่นะ"   บอกลาแม่ก่อนขึ้นรถ

"จ้ะลูก เดินทางปลอดภัยนะครับ พักผ่อนให้เต็มที่ แล้วอย่าลืมของฝากแม่หล่ะ"   แม่ยิ้มกว้างพร้อมกอดผมแน่น

ขนกระเป๋าไว้หลังรถเรียบร้อย เตรียมพร้อมเดินทาง ระหว่างทางผมก็นึกเรื่อยๆ ว่าน่าจะลืมอะไรสักอย่าง

"เป็นอะไรไปแมท ดูกังวลจัง"   พี่มัทหันมามองผมแล้วหันไปมองถนนต่อ

"แมทนึกไม่ออกว่าลืมอะไรอ่ะพี่มัท"   ไม่ชอบอาการนี้เลยจริงๆ

"นึกดูดีดีสิ เงิน พาสปอร์ต สมุดบันทึกเอกสารยืนยันที่พัก"   พี่มัทพยายามไล่หาว่าผมจะลืมอะไรได้บ้าง

"เอามาแล้วๆ"

"เสื้อกันหนาว ถุงเท้า กางเกงใน"

"ไม่ใช่อ่ะ ครบแล้ว แม่ช่วยจัดให้"   ก็นึกไปได้เนอะพี่ผม ถึงลืมก็ไปหาซื้อเอาที่นู่นก็ได้เหอะ

"แผนที่ แผนการเดินทางทางละ"   เอ๊ะ! หรือจะใช่ คุ้นๆว่าไม่มีในกระเป๋าเป้นะ

"แมทดูในเป้แป๊บ"   ค้นๆในเป้แล้วหาไม่เจอ ใช่เลย ผมลืมของสำคัญที่สุดที่จะทำให้ไปไหนไม่ได้แม้กระทั่งที่พัก เพราะผมคงไปไม่ถูกแน่นอน

"เจอรึเปล่าแมท"

"ลืมจริงๆด้วยพี่มัท สงสัยเอาออกมาดูเมื่อคืนไม่ได้เก็บ เมื่อเช้ารีบๆเลยลืมไปเลย ทำไงดีพี่มัท"   ดันลืมของสำคัญซะได้

"งั้นแมทเอาไอแพดมินิอีกอันของมัทไปด้วยละกัน มัทยังไม่ได้ใช้ จะได้ไว้เช็คเส้นทาง เดี๋ยวมัทจะโหลดแอพแผนที่ในฮ่องกงให้ น่าจะพอช่วยได้ แล้วมัทจะส่งทุกอย่างที่เขียนในสมุดให้ในไลน์ตอนถึงบ้านว่าไปที่ไหนบ้างในแต่ละวัน ขึ้นรถอะไรไปได้บ้าง ดีไหม"   พี่มัทว่าพร้อมส่งไอแพดให้ผมรับไว้

"ไม่ดีมั้งพี่มัท แมทใช้ไม่เป็น"   มันยากสำหรับผมจริงๆนะ จะมีมั้ยคนรุ่นผมที่กลัวการใช้เทคโนโลยีแบบนี้

"มัทจะโหลดแอพที่จำเป็นเอาไว้ให้ ในสนามบินกับที่พักเค้ามี wifi ไว้ให้ ไปถึงสนามบินที่โน่นแมทก็รีบไปเปิดใช้ซิมการ์ดซะ เดี๋ยวพอเราถึงสนามบินโหลดกระเป๋าเรียบร้อยมัทจะสมัครไลน์กับล็อกอินเมลล์ไว้ให้เลย ที่ชาร์จอยู่ที่เก็บด้านหน้าแมทอ่ะ หยิบไปด้วย"   ทำไมผมรู้สึกฟังแล้วมันดูยากๆจัง ผมคงไม่แปลกแยกไปใช่ไหม

"แมทงงอ่ะพี่มัท ฟังดูยุ่งยากจัง"

"เอาน่า ถึงแล้วมัทจะอธิบายคร่าวๆให้ฟัง"

.......................................................................


       ถึงสนามบินโหลดกระเป๋าเรียบร้อย เตรียมตัวขึ้นเครื่อง ผมก็หยิบไอแพดเจ้าปัญหาออกมา พี่มัทก็ทำการใส่ซิมการ์ดฮ่องกงที่ไปหามาจากไหนไม่รู้ แล้วก็จัดการโหลดแอพนู่นนั่นนี่พร้อมสอนวิธีการอ่านเมลล์เข้าแอพใช้ไลน์และอีกสารพัดที่ผมจะต้องจดจำมันทั้งหมดภายในครึ่งชั่วโมงนี้

"มัทเปิดโรมมิ่งโทรศัพท์ให้แมทละนะ ส่วนไอแพดนี่ไปถึงสนามบินจะเจอเคานเตอร์สีแบบซองซิมการ์ดนี่ก็เติมชั่วโมงอินเตอร์เนตเลยนะจะได้ใช้งานได้"   พี่มัทอธิบายพร้อมตบบ่าผม

"แมทไม่อยากไปแล้วอ่ะพี่มัท แค่เริ่มต้นก็ไม่ดีแล้ว"   ความกังวลลอยเต็มหัวผมไปหมดแล้วตอนนี้

"เอาน่า แมททำได้ ไม่ยากเลย ครั้งแรกมันก็น่ากลัวแบบนี้แหละ อิอิ แล้วมัทจะไลน์ไปหา โทรมาก็ได้ถ้าสงสัยอะไร ถึงแล้วก็โทรมาบอกด้วยนะ แม่จะได้ไม่เป็นห่วง"

"ครับๆ"

"อย่าหน้าหงอยสิ มีความสุขหน่อย ไปๆๆ ยิ่งนานยิ่งดูท่าจะตกเครื่อง เดินทางปลอดภัยนะน้องรัก เจอกันอาทิตย์หน้า จุ๊บสองจุ๊บ"   อารมณ์ตอนนี้ผมไม่มีความรู้สึกอยากจะแสดงความรักอะไรทั้งนั้นแหละ มีแต่ความกังวล พี่มัทโบกมือลา ผมเดินคอตกเข้าเกท เห็นสภาพตัวเองในกระจกนี่ไม่เหมือนคนไปเที่ยวเลยจริงๆ รีบไปต่อแถวตรวจคนเข้าเมืองก่อนดีกว่านี่ก็ใกล้ได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว

.......................................................................



       เสียงเรียกขึ้นเครื่องดังขึ้นทันทีที่ผมเดินมาถึงทางออกขึ้นเครื่อง นี่กะจะไม่ให้ทำใจก่อนเลยใช่มั้ย ไม่เคยกลัวการขึ้นเครื่องบินขนาดนี้มาก่อนเลย ต่อแถวรอขึ้นเครื่องไปก็ตื่นเต้นกังวลไปตลอด จนขึ้นเครื่องพนักงานแจ้งรัดเข็มขัด ล้อเครื่องบินเริ่มหมุนเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ผมคงเลือกย้อนกลับไม่ทันแล้วสินะ เอาวะ มีความสุขกับทริปนี้ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ละกัน ท่องไว้แมท เพื่องาน เพื่องาน เพื่องาน!!!

       เครื่องขึ้นได้สักพักพนักงานก็แจกอาหาร มื้อนี้ไม่อร่อยเลยสักนิด หลังจากนั้นก็แจกใบอะไรสักอย่างให้กรอก เวรละ จะกรอกถูกไหมเนี่ย คนที่นั่งข้างๆก็ไม่ใช่คนไทยซะด้วยสิ โอ้ย!!! อยากปีนหน้าต่างกระโดดลงไปเลยจริงๆ ซึ่งมันทำไม่ได้ไงครับ ผมเลยต้องนั่งชะเง้อมองไปมองมาว่าเค้าต้องกรอกอะไรลงไปบ้าง เอาเถอะ ไม่มีใครช่วยได้ ก็กรอกไปแบบงงๆ ภาษาอังกฤษสำหรับผมมันมีไม่ถึงขั้นปริญญาโทจริงๆนะ สมองผมมันคงหยุดรับรู้ภาษาต่างชาติไปตั้งแต่ประถมแล้วละครับ เพราะแค่กรอกข้อมูลส่วนตัวง่ายๆแค่นี้ยังยากสำหรับผมเลย ก็เขียนเอาตามที่พอจะรู้นั่นละครับ หลังจากกรอกเสร็จแล้ว ทางเลือกที่ดีคือหลับรอเลยครับ นั่งถ่างตาไปก็เครียดยิ่งกว่าเดิม ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ไปเผชิญเอาข้างหน้าเลยละกัน

.......................................................................





❤ ตอนนี้ก็รู้แล้วเนอะว่าไปคนเดียวแน่ๆ อิอิ
ส่วนพระเอก เอ๊ะ! หรือจะเป็นนายเอก ;) จะโผล่เมื่อไหร่นั้น...อีกไม่นานเกินรอค่ะ
แล้วค่อยมาลุ้นกันต่อนะคะว่าแมทจะหอบใจอาตี๋กลับมาด้วยได้ไหม เจอกันพรุ่งนี้ค๊า ^^*
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 08-12-2014 22:32:20
ตอนที่ 4


***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ


       ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมงก็มาถึงสนามบินฮ่องกงละครับ ทีนี้งานยากละสิ จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี เดินตามๆเค้าไปก่อนไว้ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้วค่อยว่ากันละกัน ระหว่างเข้าคิวรอตรวจเอกสารผมก็พยายามโทรหาพี่มัท

"ฮัลโหลๆ พี่มัทได้ยินป่าว"   สัญญาณขาดๆหายๆ

"ได้ยิน แมทถึงแล้วเหรอ"

"ถึงแล้ว รอตรวจเอกสารเข้าเมืองอยู่"

"อ่อๆ แม่! แม่ แมทถึงแล้วนะ"   ได้ยินเสียงแม่ตอบกลับจากปลายสายแว่วๆ หลังจากพี่มัทบอกว่าผมถึงแล้ว

"พี่มัท แมทต้องทำไงต่ออ่ะ"

"แมทรับกระเป๋าแล้วไปติดต่อเรื่องซิมการ์ดในไอแพดให้เรียบร้อยนะ มัทจะได้ส่งรูปไปให้ ค่อยโทรคุยทางไลน์ มันเปลืองค่าโทรศัพท์ แค่นี้นะ"

"เฮ้ยๆ เดี๋ยวก่อนพี่มัท"   อะไรวะ อยู่ๆก็วาง แล้วเจ้แกเปลืองตรงไหน ผมว่าผมเป็นคนโทรไปนะ

       หลังจากตรวจพาสปอร์ต รับกระเป๋าเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินหาเคานเตอร์ของซิมการ์ดที่พี่มัทซื้อมาให้ หายากแน่ๆ คือกว้างไปนะสนามบินที่นี่ เดินออกมาแล้วก็วนถามอยู่นานสองนาน เจอเลย เจอเจ้าหน้าที่นะครับ ไม่ใช่ร้านขายซิม ถามไปถามมา งงกันทั้งคนถามและคนถูกถาม ถึงกับต้องควานหาห่อซิมการ์ดมาให้ดู กว่าจะเข้าใจกันได้ก็ปาเข้าไปหลายสิบนาที ในที่สุดผมก็ได้มาถึงร้านซิมการ์ด จัดการซื้อแพ็กเกจอินเตอร์เน็ตเรียบร้อย จะได้เปิดไลน์ดูรูปที่พี่แมทส่งมา ถึงเวลาผจญภัยของผมแล้วครับ

.......................................................................


       ผมต้องเดินทางไปที่พักด้วยรถเมล์ผ่านคำแนะนำจากพี่สาวจอมงกของผม ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาถึงที่พักแบบทุลักทุเล ผมกดโทรศัพท์หาเจ้าของที่พัก

"สวัสดีครับ"

"สวัสดี นี่เชลด้าพูด จากไหน"

"ผมมัทฐาที่จองห้องพักเอาไว้ ตอนนี้ผมมาถึงหน้าตึกแล้ว" ได้ยินเสียงแทรกเหมือนเสียงทีวีเป็นภาษาจีนตามสายมา

"โอเค ฉันจะลงไปรับคุณที่หน้าลิฟท์"

.......................................................................


รอประมาณ 10 นาทีก็มีผู้หญิงหน้าหมวยท่าทางน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับพี่มัทเข้ามาทักทาย

"สวัสดี ฉันเชลด้า คุณคือมัทฐาใช่ไหม"   เธอถามผมพร้อมเสียงการเรียกชื่อผมในเสียงสำเนียงที่คนต่างชาติไม่น่าจะออกเสียงได้ชัดขนาดนี้

"ใช่ ผมมัทฐา ยินดีที่ได้รู้จัก"

"สวัสดีอีกครั้งค่ะ จากเมลล์บอกว่าคุณมาจากประเทศไทยใช่ไหมค่ะ"    เดี๋ยวนะ นี่เธอพูดไทยกับผม ผมฟังไม่ผิดใช่ไหม

"คุณเชลด้าพูดไทยได้เหรอครับ"   ผมถามพร้อมทำหน้าสงสัย

"ใช่ค่ะ แม่ของเชลด้าเป็นคนไทย แต่พ่อของเชลด้าเป็นคนฮ่องกงค่ะ"   ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกนะ อะไรจะโชคดีขนาดนั้น

"จริงเหรอครับ คุณเชลด้าพูดไทยได้ดีเลยนะครับ เคยอยู่เมืองไทยมาก่อนเหรอครับ"   ถ้าเธอพูดไทยได้ เธอจะช่วยเหลือผมได้ดีเลยละ

"ค่ะ เชลด้าย้ายไปอยู่เมืองไทยตอนประมาณ 8 ขวบ อยู่เมืองไทยมาประมาณ 10 ปี แล้วนี่ครอบครัวเชลด้าก็เพิ่งย้ายกลับมาอยู่ที่นี่ได้ 10 ปีแล้วพอดีเลยค่ะ ตามเชลด้ามาเลยค่ะ จะได้พาไปดูห้องนะคะ"   ถึงสำเนียงก็ดี ชัดทุกถ้อยคำ ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเรียกชื่อผมได้เป๊ะขนาดนั้น แล้วถ้าตามที่เธออธิบาย ตอนนี้เธอคงอายุประมาณ 28 ก็เท่าพี่มัทเลยนี่

"ครับ คุณเชลด้า"

"คุณมัทฐาจองไว้สำหรับพัก 1 อาทิตย์นะคะ"   เธอถามผมขณะเดินมาถึงหน้าห้องพัก

"ครับ คุณเชลด้าเรียกผมแมทก็ได้ครับ"   ผมว่าน่าจะสะดวกกับเธอมากกว่า

"ค่ะคุณแมท นี่กุญแจห้องพัก เดี๋ยวเชลด้าจะสอนวิธีใส่รหัสประตูก่อนนะคะ"   เธอสอนวิธีใส่รหัสเปิดประตูให้ผม พอประตูเปิด เธอเดินนำผมเข้าไปในห้อง ห้องที่จองไว้ไม่ใหญ่มาก แต่อุปกรณ์ครบเลยครับ มีครัวเล็กๆให้ด้วย เหมือนห้องสตูดิโอทั่วไปในคอนโดแถวบ้านเรา ห้องถูกตกแต่งไว้ได้น่ารักดีครับ แยกสัดส่วนชัดเจน เมื่อเทียบกับราคาผมว่าไม่แพงเลย

"เชลด้าอยู่ถัดไปจากนี้สามชั้น ถ้ามีปัญหาอยากให้ช่วยเหลืออะไรโทรหาเชลด้าได้เลยนะคะ"

"ขอบคุณมากเลยครับคุณเชลด้า"   ผมตอบ จากนั้นเธอก็เดินออกไป

.......................................................................


       ผมเตรียมจะออกไปข้างนอก อากาศค่อนข้างหนาวผมเลยหาเสื้อคลุมมาใส่ทับ หยิบแค่พาสปอร์ต กระเป๋าเงินกับไอแพดไปแค่นี้คงพอสำหรับการเดินเล่นแถวๆนี้ พี่มัทส่งรายละเอียดการเดินทางไปที่ต่างๆให้ผมตั้งแต่ใช้อินเตอร์เนตได้ แล้วตอนนี้ก็จะสี่โมงเย็นแล้ว หาอะไรทานแล้วก็เดินเล่นแถวๆที่พักคงน่าจะพอสำหรับวันนี้ ผมฝากท้องที่ร้านอาหารจานด่วนหลังตึกที่พัก แล้วออกเดินเล่นไปเรื่อยๆ  จริงๆ ฮ่องกงก็เป็นเมืองที่น่าสนใจนะ ผู้คนก็ดูเป็นมิตรสังเกตได้จากพ่อค้าแม่ค้าที่กำลังทักทายลูกค้า บ้านเมืองก็ดูผสมผสานไปทั้งความเจริญและชีวิตดั้งเดิม

      ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ มองนาฬิกาอีกทีเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว รีบกลับที่พักดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ว่าแล้วผมก็เดินกลับที่พัก ต้องขอบคุณพี่มัทที่หาที่พักที่จำง่ายให้ผม เข้ามาในตึกที่พักก็เจอลิฟท์เดินเข้าไปด้านในกำลังจะกดชั้นก็เกิดปัญหาใหญ่คือผมจำไม่ได้ว่าพักอยู่ชั้นอะไร แย่กว่านั้นคือเลขห้องผมก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะตอนขึ้นมาคุณเชลด้าก็กดชั้นให้ ตอนลงก็กดชั้นล่างสุด แล้วใครมันจะไปจำได้ละว่าอยู่ชั้นไหน ที่สำคัญคือไม่ได้เอาสมุดคู่กายมาซะด้วย ถึงเอามาผมก็ยังไม่ได้จดมันลงไป สะเพร่าจริงๆ ผมลืมได้ไง โทรศัพท์ก็ไม่มี บางทีผมก็เบื่อที่ตัวเองต้องเป็นแบบนี้ ผมควรจะรอบคอบ และจดจำสิ่งรอบตัวได้ดีกว่านี้ ขอความช่วยเหลือจากพนักงานที่เฝ้าอยู่ล่างตึกก็ไม่ได้คำตอบที่พอจะช่วยเหลือผมได้ แต่โชคดีก็ยังมีอยู่นิดหน่อยที่ด้านหน้าลิฟท์มีโซฟาตัวยาววางอยู่ คืนนี้ผมอาจจะต้องพึ่งพามันก็ได้

      ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา พยายามทำสมาธิเพื่อระลึกเหตุการณ์ตอนที่คุณเชลด้าพาผมเข้าลิฟท์ และตอนที่ผมรอลิฟท์กำลังจะออกไปข้างนอก ให้ตายสิ! ไม่มีอะไรแว่บเข้ามาในหัวผมเลยสักนิด จ้องมองลิฟท์เห็นคนเดินเข้าออกอยู่เป็นระยะ ผมก็คอยหวังอยู่ตลอดเวลาว่าคนที่ออกมาจากลิฟท์คือคุณเชลด้า รออยู่นานสองนานก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเธอ แต่สักพักผมก็ได้ยินสำเนียงกับภาษาคุ้นๆกำลังใกล้เข้ามาทางผมเรื่อยๆ

"ได้ๆ ผมจะแวะเอาไปให้เค้าเอง"   พูดไทยชัดขนาดนี้คนไทยแน่ๆ ทำเอาผมต้องรีบหันไปมอง เห็นชายหนุ่มตัวสูง ตาโตชั้นเดียว คิ้วคมเข้ม ผิวขาว ดูเท่ดีนะ เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว นี่มันผู้ชายด้วยกันนะ ผมไม่ควรมานั่งเคลิบเคลิ้มชื่นชมอย่างนี้สิ อันที่จริงผมควรเข้าไปถามเค้าไหมว่ารู้จักคุณเชลด้ารึป่าว ไม่สิ เค้าอาจจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจะไปรู้จักได้ไง นี่มันไม่ใช่เมืองไทยนะ หรือจะเดินตามไปดี โอ้ะ! ไม่ได้ๆ เดี๋ยวเค้าจะคิดว่าผมหลงทาง อาจจะฉวยโอกาสเอาจากผมก็ได้ เอาไงดีเนี่ย?!? นี่ก็จะเที่ยงคืนแล้วด้วย ง่วงก็ง่วง คุณเชลด้าอาจจะนอนไปแล้วก็ได้ มัวแต่คิดสรตะ หันไปมองอีกที อ้าว! ไปซะละ ไม่ทันแล้ว ผู้ชายคนนั้นเข้าลิฟท์ไปแล้ว คืนนี้ผมคงต้องนอนบนโซฟานี้จริงๆใช่มั้ย

      ผมรอต่อไปเรื่อย สักพักชายคนเดิมก็เดินกลับลงมา แสดงว่าเค้าคงไม่ได้อยู่ที่นี่ อาจจะแวะมาหาใครสักคน เค้าคงไม่รู้จักคุณเชลด้าแน่ๆ

"ไม่เห็นมีใครมาเปิดประตูนะ ผมว่าเค้าคงไม่อยู่ห้อง"   นั่นไง เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด มาหาคนที่อยู่ที่นี่จริงๆด้วย

       นั่งรอเลื้อยตัวรอนานสองนาน เผื่อคุณเชลด้าจะเป็นปาฏิหาริย์ เดินเข้ามาตอนนี้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่ 3 ชั่วโมง ผมว่าผมเห็นผู้ชายคนนี้เดินเข้าออกลิฟท์ ขึ้นลงตึกนี้มากกว่าสามครั้งนะ แถมยังชายตามามองผมด้วยท่าทางที่เหมือนจะสงสารแล้วก็สมเพชไปด้วยในขณะเดียวกัน ถึงผมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรแต่จากสายตาที่มองต้องเป็นแง่ลบแน่ๆ เฮอะ! บ้าจริง

       เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆละ หลับมันตรงนี้ละกัน ถ้ามีใครมาไล่ก็ค่อยว่ากันอีกที หวังว่าพรุ่งนี้เช้าคงโชคดีเจอคุณเชลด้านะ ลำบากจริงๆ หนาวก็หนาว มันคราวซวยอะไรของผมวะเนี่ย

.......................................................................


ขณะกำลังเคลิ้มๆ

"พี่ไปกับผมด้วยเลยละกันพรุ่งนี้ ผมน่าจะออกสายหน่อย"   คนไทยเยอะจังวะตึกนี้

"ไม่ได้นะสิ พรุ่งนี้ม๊าจะไปวัดตอนบ่าย เชนไปคนเดียวได้ไหม แวะเอาไปให้แค่เดี๋ยวเดียวเอง"   เสียงนี้ก็คุ้นๆนะ เหมือนเสียงคุณเชลด้าเลย

"ก็ได้ๆ ครับ อะไรกัน นี่เค้ายังอยู่ตรงนี้อีกเหรอ ทำไมไม่มีใครมาจัดการ คนจรจัดรึป่าวก็ไม่รู้"   อ้าวเฮ้ย! คงไม่ได้ด่าผมใช้ไหม เล่นเอาไม่กล้าลืมตาเลยกู

"อะไร ใครกันเชน"   เสียงเหมือนคุณเชลด้ามากจริงๆนะ หรือผมจะอยากได้ยินเสียงเธออยากเจอเธอมากจนเก็บไปหลอน เลยหรี่ตาแอบมองด้วยตาข้างเดียว ปรากฎว่าไม่ผิดจริงๆ คุณเชลด้าตัวเป็นๆ แต่เดี๋ยวนะ นั่นมันคนที่เดินไปเดินมาอยู่หน้าลิฟท์ก่อนหน้านี้นี่หว่า รู้จักคุณเชลด้าเหรอ ถึงได้คล้องแขนกันซะขนาดนั้น นี่เราก็เกือบเดาทางถูกละนะ ทำไมไม่ถามไปตั้งแต่เจอครั้งแรกวะ ป่านนี้คงได้เข้าไปนอนห่มผ้าสบายใจละ แต่ช่างเหอะ ยังไงตอนนี้คุณเชลด้าก็อยู่ตรงหน้าแล้ว โปรดผมทีเถอะ!

"ก็นี่สิครับ ผมว่าผมเห็นเค้าตั้งแต่ตอนเอาขนมมาฝากให้คุณแมทแล้วนะ นี่ยังอยู่ที่เดิมอีก"   ห๋า! เอาขนมมาให้คุณแมท ชื่อเดียวกับผมเลย หรือจะเป็นผม ให้ผมเหรอ ก็แสดงว่านายนั่นมาหาผมแล้วผมไม่อยู่ห้องนะสิ

"อ้าว นี่คุณแมทนี่ คุณแมท คุณแมทค่ะ"   เขย่าปลุกผมซะสั่นไปทั้งตัวเลยนะครับคุณเชลด้า

"ไหนคุณแมท พี่อย่าบอกนะว่า"   คิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไปว่า เออไม่ต้องตกใจไป กระผมนี่แหละครับแมท คนที่คุณจะเอาขนมมาฝากหน่ะ

"อือ อืม ครับ อ้าวคุณเชลด้า มาทำอะไรตรงนี้ครับ"   ทำเป็นสะลึมสะลือ แล้วผมถามอะไรออกไปเนี่ย

"คุณแมทแหละค่ะ มาทำอะไรตรงนี้"   เธอถามพร้อมนั่งลงที่โซฟาข้างผม ส่วนนายนั่นก็ยืนกอดอกจ้องหน้าผมเขม็ง เอ๊ะ! หรือนายคนนี้คือแฟนของคุณเชลด้า

"คือ เอ่อ คือ คือว่า"   อธิบายยังไงดีวะ ถ้ามีแค่คุณเชลด้าอยู่ผมคงอธิบายง่ายกว่านี้ ถ้าพูดไปตอนนี้หมอนี่คงหาว่าผมโง่แน่เลย

"คืออะไร พูดมาสิ เช่าห้องมานอนโซฟาก็ไม่ยอมบอก นึกว่าคนจรจัด"   ไอ้บ้า ปากโดนเจาะมาให้พูดรึไงวะ

"เชน! เงียบก่อน"    เออ เว้นวรรคให้กูอธิบายบ้าง มีอย่างที่ไหนมาหาว่าผมเป็นคนจรจัด

"คือผมลืมครับว่าเลขห้องอะไร จะกดลิฟท์ก็จำชั้นไม่ได้ครับ พอดีสมุดจดผมก็ไม่ได้หยิบติดตัวมาด้วย"   ผมตอบด้วยสีหน้าหงอยๆ

"โง่จริงๆด้วย"   นั่นไง โดนด่าว่าโง่จนได้ ถึงคุณมึงจะพูดเบาแต่กูได้ยินนะเว้ย อย่าริอาจมาด่าหรือนินทาผมนะ เบาแค่ไหนผมก็พอจะจับใจความได้

"ลำบากแย่เลย งั้นเชลด้าพาไปส่งที่ห้องละกันนะคะ นี่คุณแมททานอะไรรึยังค่ะ"   พูดพร้อมรอยยิ้มที่ดูอ่อนโยนก่อนจะลุกเดินไปที่หน้าลิฟท์

"เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณนะครับ"   ผมตอบก่อนจะเดินตามทั้งคู่ไป

.......................................................................


ระหว่างอยู่ในลิฟท์ที่ต่างคนต่างเงียบ คุณเชลด้าก็ขัดความเงียบขึ้นมา

"พรุ่งนี้คุณแมทมีแพลนจะไปไหนรึป่าวคะ"

"อ่อ เดี๋ยวนะครับ"   ผมรีบเปิดไอแพดให้เธอดู

"คุณเชลด้าอ่านภาษาไทยได้รึป่าวครับ"   เธออาจจะไม่เข้าใจเนื้อหาที่ผมส่งให้เธอดู

"อ่านได้สิคะ เชลด้าเรียนที่ไทยมาตั้งแต่เด็กๆ"   รับไอแพดจากมือผมไปดู

"โอ๊ะ! พอดีเลยค่ะ พรุ่งนี้คุณแมทมีแพลนจะไปนั่งกระเช้า ไหว้พระใหญ่วัดโปลินนี่คะ"   อยู่ๆก็อุทานซะให้ตกใจนึกว่าเรื่องใหญ่

"ครับ จริงๆ ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก มาโดยบังเอิญ เลยไม่ค่อยได้เตรียมตัว กลัวหลง แต่ดีหน่อยที่พี่สาวผมเตรียมแผนไว้ให้ค่อนข้างดี ถึงจะมีผิดแผนไปบ้างแต่ก็ยังพอไหวครับ"   เธอพยักหน้ารับรู้หลังจากผมอธิบาย

.......................................................................


เราสามคนพากันออกมาจากลิฟท์ นี่คงเป็นชั้นที่ผมอยู่แน่ๆเพราะผมเริ่มจะคุ้นๆทางแล้ว

"นี่แหละค่ะที่เชลด้าบอกว่าพอดีเลย พรุ่งนี้เชนต้องไปแถวนั้น งั้นคุณแมทไปกับเชนเลยก็ได้นะคะ  ให้เชนช่วยอธิบายทางให้ก็ได้ค่ะคุณแมทจะได้สะดวกขึ้น"   คืออันที่จริงมันก็ดีนะ แต่ถ้าต้องไปกับนายนี่ผมไปคนเดียวอย่างเดิมดีกว่านะครับ

"เฮ้ย! เชลด้า พี่จะไม่ถามผมก่อนเหรอ ว่าผมสะดวกรึป่าว"   ไอ้หน้าหล่อมันทำหน้าตาตื่นรีบแย้งไม่ให้เกิดการเดินทางร่วมกันระหว่างผมกับมัน

"เอ่อ ไม่เป็นไรดีกว่าครับ ผมเกรงใจ"   คิดในใจว่า มึงไม่อยากให้กูไปด้วย กูก็ไม่อยากไปกับมึงด้วยหรอก เฮอะ!

"อะไรกันเชน แค่นี้เอง คนไทยด้วยกัน เอางี้ดีกว่า พรุ่งนี้เช้าแวะไปที่บ้านของเราก่อนไหมคะ จะได้ไปเจอแม่ของเชลด้าด้วย ไปทานอาหารเช้ากัน ถือว่าเป็นเซอร์วิสแถมจากเชลด้าละกันนะคะ"   คุณเชลด้ายิ้มให้ผม ในขณะกระตุกมือไอ้หน้าหล่อให้หยุดโวยวาย แต่คงห้ามไม่ได้

"เค้าไปหากินเองได้แหละ เราไม่ได้ให้เช่าห้องพร้อมอาหารเช้านะ แล้วก็ไม่มีแพ็กเกจท่องเที่ยวแถมด้วย เพิ่งเจอกันไว้ใจได้รึป่าวก็ไม่รู้"   พูดจบมันก็หมุนตัวกลับเข้าลิฟท์ไป เออ! ถูกขนาดนี้ ถ้าแถมคงขาดทุน เค้าเรียกน้ำใจเว้ย น้ำใจอ่ะ รู้จักป่าววะ คนนิสัยอย่างมันคงไม่เข้าใจ

"เชลด้าขอโทษแทนน้องชายด้วยนะคะ แต่พรุ่งนี้ไปทานข้าวเช้าพร้อมกันให้ได้นะคะ ยังไงเราก็คนไทยด้วยกัน ที่สำคัญคุณแมทคือลูกค้าคนไทยคนแรกที่ติดต่อมาพักที่นี่ เชลด้าเลยอยากดูแลเต็มที่"   เธอพูดอธิบายขณะเดินมาเรื่อยๆ

"น้องชายเหรอครับ"   ผมนึกว่าแฟนซะอีก

"ค่ะ เชนเป็นน้องชายแท้ๆของเชลด้าเองค่ะ"

.......................................................................



เธอนำผมเดินจนถึงหน้าห้องห้องหนึ่ง เดาว่านี่คงจะเป็นห้องพักของผม

"ถึงแล้วค่ะคุณแมท ยังไงเจอกันพรุ่งนี้เช้านะคะเชลด้าจะลงมารับ"   เธอกดรหัสเข้าห้องให้ผม ก่อนจะบอกลา

"ไม่ต้องมารับก็ได้นะครับ ผมไปเองก็ได้ เกรงใจครับ จดเลขชั้นกับห้องให้ผมก็พอ"   แค่ชวนกินข้าวผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว

"ไม่เป็นไรเลยค่ะ วิธีนี้ดีแล้ว เชลด้ากลัวคุณแมทจะหลงอีกหน่ะคะ"   หัวเราะเบาๆหลังพูดจบ

"ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับคุณเชลด้า"

"Good night ค่ะ"   เธอโบกมือและรอยยิ้มกว้าง

"ครับ Good night ครับ"

      เข้ามาในห้องได้ ผมก็รีบเตรียมกระเป๋าใบเล็ก ใส่ของที่จะต้องใช้พรุ่งนี้ ทั้งพาสปอร์ต ไอแพด กระเป๋าเงิน โทรศัพท์ แล้วหยิบสมุดคู่กายมาจดเลขห้องเลขชั้นให้ชัดเจนอีกทีพร้อมกับรหัสเข้าห้อง ผมจะไม่ยอมให้นายนั่นมาว่าผมโง่ได้อีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน

.......................................................................




หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 08-12-2014 22:35:13
รออ่านตอนต่อไปนะ  มาลงสม่ำเสมอดีจังนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-12-2014 23:23:20
เค๊าเจอพระเอกแล้วนะ
ที่ว่าพระเอก เพราะแมท
เหมาะที่จะเป็นนายเอกเท่านั้น

เป็นกำลังใจให้คนเขียน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 09-12-2014 02:11:15
อุ้ย!! พระเอกโผล่แระเหรอ คริคริ :-[
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 4 [08-12-57]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 09-12-2014 09:51:55
แหม อาตี๋ฮ่องกงนี่ปากร้ายจริงนะ อันที่จริงแมทก็มีความน่ารักอยู่ ระวังจะหลงรักไม่รู้ตัว
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 5 [12-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 12-12-2014 22:46:17
ตอนที่ 5


Chen part

"เชน เข้าบริษัทแล้วไปไหนต่อไหมวันนี้"

"คงกลับมาช่วยที่ร้านเลยครับ พี่มีอะไรรึป่าว"

"งั้นวันนี้แวะเอาหนังสือไปคืนคุณจิมมี่ให้พี่ด้วยนะเชน ไหนๆก็ต้องไปแถวนั้นแล้ว"    พี่เชลด้ายื่นหนังสือสูตรอาหารให้ผมขณะเดินเข้ามาในห้องนอนของผม

"ทำไมรีบคืนละพี่ พี่จิมมี่ต้องใช้เหรอ"     คุณจิมมี่คือเจ้านายเก่าของพี่สาวผม และเป็นแฟนคนปัจจุบันของเธอ

"น่าจะมั้ง เห็นเมื่อคืนบ่นว่าอยากได้ แล้วเชนจะไปแถวนั้นพอดี พี่เลยบอกว่าจะให้เชนเอาไปให้"    ผมพยักหน้ารับ

"คุณจิมมี่ติดลูกค้ากรุ๊ปใหญ่ พี่เองก็ต้องเฝ้าร้านคงไม่สะดวกแวะไปหาด้วย"    แฟนพี่สาวผมทำงานเป็นหัวหน้าเชฟอยู่ที่โรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในฮ่องกง ซึ่งก่อนหน้านี้พี่สาวผมก็ทำงานเป็นเชฟอยู่ที่นั่น ทั้งคู่เลยได้พบรักกัน ส่วนผมทำงานเป็นฟรีแลนซ์ให้กับบริษัทของเพื่อนผมทำหน้าที่เป็นผู้ให้คำปรึกษาด้านการลงทุนและกลยุทธ์ทางการตลาด

       ผมเรียนจบโทบริหารด้านการตลาดมาจากมหาวิทยาแห่งหนึ่งในฮ่องกง ทำงานเกี่ยวกับการลงทุนและการตลาดมาตั้งแต่เรียนจบ แต่สิ่งที่ผมชื่นชอบจริงๆคือการเข้าครัว ตั้งแต่จำความได้จนปัจจุบันอายุ 27 ปีแล้ว ผมก็ยังรู้สึกตกหลุมรักในการทำอาหารอยู่ และยังรู้สึกตื้นเต้นตลอดเวลาที่ได้เรียนรู้สูตรใหม่ๆ จนในที่สุดการเข้าครัวทำอาหารจึงกลายเป็นงานอดิเรกกึ่งประจำของผม เนื่องจากผมและพี่สาวได้รวมเงินกันเปิดร้านอาหารเล็กๆในแบบฉบับของตัวเอง สามปีที่ผ่านมาผมรู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่เปิดประตูครัวที่ร้านออกมาแล้วพบสีหน้ามีความสุขของลูกค้าที่มีต่ออาหารที่กำลังทานในร้านของผม ถึงแม้ว่าจานนั้นจะไม่ใช่ฝีมือผมก็ตาม ผมคิดว่านี่คือความสุขที่แท้จริง แล้วผมก็โชคดีที่ได้เจอและได้อยู่กับความสุขเหล่านั้น

"รีบแต่งตัวเถอะ เช้านี้พี่นัดคุณแมทมาทานข้าวเช้าด้วย"        ผมรู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้าไม่ชอบใจอย่างชัดเจนให้พี่เชลด้าเห็น จะชวนเขามาทำไมก็ไม่รู้ ปกติไม่เคยเห็นเชิญลูกค้าที่เคยเช่าพักมาทานด้วยสักคน

"ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ พี่เห็นว่าเขาเป็นคนไทยเหมือนเรา อีกอย่างเขาก็ดูต้องการความช่วยเหลือ พี่ช่วยเขาในฐานะลูกค้า ไม่น่ามีปัญหาอะไรหรอก"      รู้ได้ยังไงกัน เห็นซื่อๆอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายว่าจะไว้ใจได้

"ครับๆ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะพี่"

 "จ้าๆ ครั้งเดียว ว่าแต่เราเถอะ อย่าใจอ่อนสงสารที่เขาดูซื่อๆแล้วไปช่วยเค้าจนกลายเป็นมากกว่าครั้งเดียวละ"    ว่าจบแล้วพี่สาวผมก็หมุนตัวเดินออกจากห้องไป พี่เชลด้าเห็นอะไรในตัวหมอนั่นถึงได้คิดว่ามันน่าสงสารนะ แล้วยังพูดเหมือนอ่านความคิดผมได้ที่ว่าหมอนั่นซื่อ ยิ่งคิดตามก็ยิ่งไปกันใหญ่ รีบแต่งตัวดีกว่า

.......................................................................


      แต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้อง ก็เห็นพี่สาวผมกำลังแนะนำหมอนั่นให้พ่อกับแม่ผมรู้จัก ครอบครัวผมอาศัยอยู่ร่วมกัน ที่ดินในประเทศนี้ราคาสูง ห้องชุดสามห้องนอนนี้จึงเป็นทางเลือกสำหรับชนชั้นกลางอย่างครอบครัวผม ส่วนห้องที่มีให้เช่า ผมกับพี่สาวก็ทยอยซื้อทีละห้อง ตกแต่งแล้วปล่อยเช่า มีทั้งลูกค้ารายเดือนและรายวันสลับกันไป

"นี่ป๊ากับม๊าของเชลด้าค่ะคุณแมท"    หมอนั่นยกมือไหว้พร้อมยิ้มตาหยี ดูเป็นยิ้มที่น่ามองขัดกับทัศนคติที่ผมมีอย่างสิ้นเชิง

"นี่คุณแมท เป็นลูกค้าคนไทยที่มาเช่าห้องของเราค่ะ วันนี้เชลด้าเชิญให้คุณแมทมาทานข้าวเช้ากับเรา"

"เป็นคนไทยเหรอ มาเที่ยวละสิ มาคนเดียวหรือมากับเพื่อนหล่ะ มาครั้งแรกเหรอ แล้วมากี่วัน จะไปเที่ยวไหนบ้างวางแผนมาหรือยัง หืม"    ป๊าผมมองหน้าหมอนั่นพร้อมถามยาวยืดไม่เว้นวรรคให้ตอบเลยสักนิด ถึงจะป๊าเป็นชาวฮ่องกงแต่ป๊าก็พูดไทยชัดมาก เพราะป๊าไปทำงานที่เมืองไทยตั้งแต่เรียนจบ แล้วก็ไปเจอม๊าที่นั่น พบรักกัน แต่ตากับยายผมไม่ยอมรับเพราะท่านอยากให้แต่งงานกับคนไทยด้วยกัน พ่อกับแม่เลยแอบแต่งงานกันแล้วหนีมาอยู่ฮ่องกงจนมีพี่เชลด้าและผม หลังผมอายุได้ 8 ขวบ ตาผมก็เสีย แม่เลยอยากย้ายกลับไปอยู่กับยาย เพราะยายเองก็อยู่คนเดียว ครอบครัวเราเลยย้ายกลับไปอยู่ที่นั่นได้ 7 ปีต่อมายายก็เสียชีวิตลง เราอยู่ที่ไทยหลังจากนั้นได้ประมาณ 3 ปี ป๊าก็ขอร้องแม่ว่าอยากกลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิม ก็เลยทำให้เราได้ย้ายกลับมาอยู่ฮ่องกงอีกครั้ง

"ป๊าใจเย็นๆ ให้น้องเค้าตอบก่อนสิ ทีละคำถาม"     ม๊าผมรีบปราม

"ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นคนไทยครับ มาเที่ยวคนเดียวครับ นี่เป็นครั้งแรก มาเที่ยวประมาณ 2 อาทิตย์ ส่วนแผนที่วางไว้ก็พอมีคร่าวๆแล้วครับ"    หมอนั่นตอบชัดถ้อยชัดคำพร้อมมองหน้าป๊าด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม

"แล้วนี่อายุเท่าไหร่หล่ะ"    ป๊าถามตอนกำลังใช้ตะเกียบคีบหมูอบใส่จานข้าวหมอนั่น

"อายุ 25 แล้วครับ เอ่อ ผมเรียกว่าคุณลุงได้มั้ยครับ"    ถึงว่าดูหน้าเด็ก แต่อายุก็น้อยกว่าผมไม่ได้เยอะ

"เอาสิ เรียกลุงเรียกป๊าก็ได้ทั้งนั้น ตามสบายเลย"    ป๊าชอบคนคุยเก่ง พูดจาดูมั่นใจ ไม่แปลกเลยที่ผมจะรู้สึกได้ว่าป๊าถูกใจ ถึงจะคุยกันแค่ไม่กี่ประโยคก็พอดูออกว่าป๊าถูกชะตา อันที่จริงหมอนี่ก็ไม่ได้ทำอะไรให้ผม อาจจะเพียงแค่รู้สึกไม่ไว้ใจในครั้งแรกที่เจอ เพราะพี่สาวผมดูจะใจดีเกินเหตุกับคนที่เพิ่งเจอ ขนาดป๊ายังดูจะถูกใจหมอนี่ เพราะงั้นผมคงจะต้องลดอคติแล้วมองหมอนี่ดูใหม่

"อยากเรียกป๊ากับม๊านะครับ แต่เกรงใจ เพราะผมก็เพิ่งรู้จักทุกคนเมื่อกี้นี้เอง"    ถ้าเป็นคนอื่นพูดผมคงคิดว่าหน้าด้านไปแล้วแต่ทำไมพอมันพูดผมกลับรู้สึกถึงความเป็นธรรมชาตินะ แย่ๆๆ ไปกันใหญ่แล้ว เพิ่งลดอคติเองนะ อย่าเพิ่งมองโลกในแง่ดีเกินไปสิเชน!

"อยากเรียกก็เรียกเลยจ้ะน้องแมท ม๊ายินดี"     ม๊าพูดพร้อมรอยยิ้ม

"งั้นก็เรียกพี่ว่าพี่เชลด้าละกันเนอะ ไม่ต้องมีคุณอะไรนั่นหรอก อึดอัดแย่"     พี่เชลด้าพูดไปยิ้มไป ทำไมบรรยากาศอาหารเช้าที่บ้านผมวันนี้มันดูสดใสผิดกับทุกวันที่ดูเร่งรีบ เพราะทุกเช้าผมกับพี่สาวจะต้องรีบออกไปทำงาน แล้วป๊ากับม๊าจะอยู่บ้านกันสองคน ตกเย็นก็ไปออกกำลังกายกันที่สวนสาธารณะใกล้ๆแถวนี้บ้าง เพราะป๊าลาออกจากงานแล้วหันมาทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดูแลอยู่ที่บ้านอย่างเดียวได้สักพักแล้วส่วนม๊าก็เป็นแม่บ้านมาตลอด ทำให้ทั้งคู่อยู่ที่บ้านแทบจะทั้งวัน

"งั้นผมขอเรียกป๊า ม๊า พี่เชลด้า แล้วก็เอ่อ"

"ถ้าแมท 25 งั้นก็ต้องเรียกพี่เชนนะ เพราะเชนอายุ 27 แล้ว"     พี่เชลด้าอธิบาย

"เอ่อ ครับ พี่เชน"    ถึงกับทำหน้าไม่ถูกหลังจากเรียกผมว่าพี่แล้วผมดันมองหน้าจ้องตาขเม็งกลับไป

"ทำไมต้องทำหน้าดุแบบนั้นเชน!"    ม๊าเอื้อมมาตีไหล่ผมเบาๆ

"แล้วนี่ทำงานอะไรอยู่ละหืม ป๊าถามได้ไหม"

"อ่อได้ครับ แมทเอ้ย ผมเป็นนักเขียนอิสระครับ"

"ฮ่าๆๆ แทนตัวเองตามที่ถนัดก็ได้"    สงสัยปกติคงเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อ

"นักเขียนเหรอ นิยายหรือสารคดี"    ป๊าผมดูมีคำถามมากมายเนอะ สัมภาษณ์อย่างกับจะรับเข้าทำงาน ผมละอึดอัดแทน

"เขียนนิยายอย่างเดียวครับ"

"พอแล้วๆ ป๊า น้องแมทไม่ได้ทานข้าวกันพอดี"    จริงของม๊าครับ

"โอเคๆ ไม่ถามแล้ว แต่อีกนิดนะ วันนี้จะไปเที่ยวไหนละ"     ยังจะมีแถมนะป๊า ป๊าผมเป็นคนชอบคุย แต่ติดตรงอย่างที่บอกละครับว่าสมาชิกบ้านนี้ไม่มีใครคุยเก่งเหมือนป๊า

"แมทว่าจะไปนั่งกระเช้ากับไหว้พระน่ะครับ"

"ดีแล้วจ้ะ เริ่มวันแรกของทริปด้วยการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน พระท่านจะได้คุ้มครอง"     ม๊าบอก

.......................................................................


       หลังมื้อข้าวเช้าที่เต็มไปด้วยเสียงคุยและเสียงหัวเราะของสมาชิกใหม่กับป๊าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกคนก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก

"แมทจะออกไปกี่โมงจ้ะ ไปพร้อมเชนเลยสิ"     พี่เชลด้า ผมบอกเมื่อไหร่ว่าจะให้ไปพร้อมผมได้

"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวแมทไปเองดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนมากแล้วครับ แมทเกรงใจ"     ดีๆ รู้จักมีมารยาท ผมจะได้ไม่เป็นภาระ

"จะไม่หลงแน่นะ เอาเบอร์ส่วนตัวพี่กับเชนติดเครื่องไว้ดีกว่านะ เผื่อมีอะไรให้ช่วยจะได้ติดต่อได้ เพราะเบอร์ที่มีอยู่ก็เป็นเครื่องของที่บ้านอาจจะไม่สะดวก มาๆพี่เซฟให้นะ"     อะไรกัน ผมไม่ได้ตกลงสักคำว่าจะให้

"เกรงใจจังครับ ทั้งที่เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวทุกคนช่วยเหลือผมเยอะมากๆเลย รู้สึกตัวเองเป็นภาระให้กับทุกคนยังไงก็ไม่รู้"    มันพูดพร้อมก้มหัวให้ทุกคน

"อย่าคิดอย่างนั้นเลย ป๊าว่าป๊าถูกชะตากับเด็กคนนี้แล้วหล่ะ"    ป๊าว่าพร้อมเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข เป็นอย่างที่ผมคิดเอาไว้จริงๆ

"เอางี้ ถ้าแมทเกรงใจก็แวะมาทานข้าวเช้าด้วยกัน ชวนป๊าคุยให้หายเหงาดีกว่าเนอะ พี่จะถือว่าเป็นคำขอบคุณ ดีไหม"    จะว่าไปวันนี้ป๊ากับม๊าก็ดูยิ้มกว้างและทานข้าวได้เยอะกว่าทุกวันนะ

"เอ่อ จะดีเหรอครับ"     ผมว่ามันคงอึดอัดไม่น้อย เพราะคนที่เจอกันครั้งแรกมาดีด้วยขนาดนี้ ถ้าเป็นคนมีจิตสำนึกพอก็คงจะต้องรู้สึกอึดอัดเป็นธรรมดา

"ดีสิ ไปเชน แมท เรารีบไปกันเถอะ พี่ต้องรีบไปเตรียมของที่ร้านด้วย"     นี่ผมต้องพ่วงมันไปด้วยจริงๆเหรอเนี่ย

.......................................................................


        บอกสวัสดีป๊ากับแม่เรียบร้อยเราสามคนก็เดินลงลิฟท์มาจนชั้นล่าง

"แมทไปพร้อมเชนเลยนะ พี่แยกไปร้านก่อนละ บาย เที่ยวให้สนุกนะแมท"     อะไรของเขา อยู่ๆจะไปก็ไปทิ้งหมอนี่ไว้กับผมเลยเหรอ แล้วใครจะพกไปด้วยละ เป็นภาระสุดๆ

"เอ่อ"     มีไรจะพูดก็พูดมาสิ

"จะไปยังไง"     ผมเริ่มคำถามเองก็ได้วะ

"ไปรถไฟฟ้าครับ แล้วพี่ เอ่อ นาย เอ้ย! ขอโทษๆ คุณหล่ะไปยังไงเหรอ"     คงกลัวว่าผมจะไม่พอใจ เลยเปลี่ยนคำเรียกไปเรื่อยๆ

"ไปมอเตอร์ไซค์ ขอตัวนะ"     ว่าแล้วผมก็รีบปลีกตัวออกมา หวังว่าคงไปเองได้อยู่หรอกนะ

.......................................................................





❤ เปิดตัวกันพอหอมปากหอมคอ ปาดตอนนี้มาพอให้รู้จักมักจี่พี่เชนกันเอาไว้ก่อนค่ะ
สั้นไปหน่อยนะคะตอนนี้ ตัดตอนไม่ลงจริงๆ ถ้าลากต่อต้องยาวแน่ๆ

❤ ไว้เจอกันตอนต่อไปพรุ่งนี้ค๊า ;)

แหม อาตี๋ฮ่องกงนี่ปากร้ายจริงนะ อันที่จริงแมทก็มีความน่ารักอยู่ ระวังจะหลงรักไม่รู้ตัว
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ

❤ ในที่สุดความน่ารักของแมทก็ถูกมองเห็น ขอบคุณนะคะ อิอิ ดีใจจังค่ะ

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 5 [12-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 13-12-2014 00:08:34
อาตี๋เชน มาให้ตีปากสักทีสิ

แหม่ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 5 [12-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: real port ที่ 13-12-2014 19:33:08
เริ่มแหละ :hao3:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 5 [12-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-12-2014 20:08:58
แมทจะหลงมั่ยน้ออ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 5 [12-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 13-12-2014 20:28:38
เฮ้ย!!! อาตี๋เอ๊ยจะปล่อยแมทไว้งั้นจริงดิ เดี๋ยวแมทก็(หลง)หายไปหรอก
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 5 [12-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 13-12-2014 20:30:04
เค้าเลื่อนเม้าท์ไปโดนลบเป็ดอะ เค้าขอโทษ กดคืนให้แระนะคนแต่ง
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 6 [13-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 13-12-2014 23:01:55
ตอนที่ 6

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ

Chen part

       ผมเดินมาชั้นสำหรับจอดมอเตอร์ไซค์ กำลังจะถึงรถอยู่แล้วดันลืมหมวกกันน็อคซะได้ ทำให้ต้องเดินย้อนกลับมาที่ห้องอีกครั้ง ระหว่างทางผมก็นึกเป็นห่วงว่าหมอนั่นจะหลงทางไหม ดูท่าทางซื่อๆบื้อๆขนาดนั้น แม้แต่เลขชั้น เลขห้องที่ตัวเองเช่าพักอยู่ยังจำไม่ได้ ในขณะที่กำลังคิดไปด้วยขาผมก็พาตัวเองมายืนอยู่หน้าตึกซะแล้วแทนที่จะเดินขึ้นตึกไปเอาหมวก แล้วทางที่ขึ้นตึกได้สะดวกและใกล้กว่าทางนี้ผมกลับเดินผ่านมาเฉยๆ ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องมาเดินอ้อมทางหน้าตึกด้วย ผมว่าผมควรจะต้องไปเอาหมวกกันน็อคนะ ไม่ใช่มายืนมองหาหมอนั่นอยู่แบบนี้

       แล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเหมือนกันที่ดลใจให้ผมเลือกที่จะเดินตามมันไปหลังจากเห็นด้านหลังคุ้นๆใกล้ทางลงรถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งๆที่ดูก็รู้ว่าหมอนั่นจะใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดิน ซึ่งชีวิตผมหลีกเลี่ยงการใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินมาตลอด ผมจะไม่เดินทางด้วยวิธีนี้เด็ดขาดถ้าไม่จำเป็น เพราะผมไม่ชอบความแออัดและความวุ่นวาย แต่วันนี้ทั้งๆที่ผมรู้ ผมก็ยังเดินตามไปเรื่อยๆ จนมันมาหยุดอยู่ที่บันไดเลื่อนลง ผมก็ต้องหยุดตาม รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกโรคจิตยังไงอย่างงั้น ผมหาคำตอบให้ตัวเองได้ว่าเพราะผมคงสงสาร กลัวจะหลงทางอย่างที่พี่เชลด้าเคยพูดไว้ นี่เลยเป็นเหตุผลทั้งหมดที่ผมพาตัวเองมาเดินตามหลังมันอยู่อย่างนี้ งี่เง่าชะมัด! ผมทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย?!? อันที่จริงผมควรกลับไปเอาหมวกกันน็อคแล้วรีบไปคุยงานที่บริษัท ไม่ใช่มาทำตัวไร้สาระอยู่ตรงนี้ ในขณะที่กำลังจะหันหลังกลับ ก็ได้ยินเสียงเอ่ยประโยคที่ทำให้ก้าวขาไม่ออก

"เฮ้ยพี่! ทำอะไรอยู่อ่ะ"     หรือจะเห็นว่าผมตามมา

ผมค่อยๆหันหน้าไปดู โธ่เอ้ย! คุยโทรศัพท์หรอกเหรอ

"ทำไมรับช้าอ่ะพี่มัท"     เสียงมันฟังดูค่อนข้างหงุดหงิดนะ แล้วคนชื่อมัทนี่ผมเดาว่าคงเป็นพี่สาวที่เคยพูดถึง

"แมทไม่เข้าใจ มันต้องเปิดตรงไหน แมทเบื่อๆๆ ไม่ชอบมันเลยเนี่ย"     ท่าทางจะหงุดหงิด

"ดูแผนที่ไม่เป็น ชื่อย่านที่นี่ก็สะกดยากอ่ะ"    บ่นไปด้วยขณะที่กำลังพยายามดูอะไรสักอย่างจากไอแพดในมือ

"แมทโหลดรูปจากไลน์มาหมดแล้ว เปิดดูแล้วแต่ไม่เข้าใจเลย เฮ้อ แมทว่าแมทอยากกลับบ้านหว่ะ แมทไม่น่าลืมสมุดที่พี่มัทจดให้เลย ทำไมแมทเป็นคนไม่รอบคอบขนาดนี้ เบื่อตัวเองมาก"     พูดไปด้วยทึ้งหัวตัวเองไปด้วย คงจะหงุดหงิดจริงๆ

"พี่มัท แมทกลับไปคราวนี้สอนแมทใช้ไอ้เครื่องพวกนี้หน่อยนะ แมทจะไปซื้อสมาร์ทโฟน แมทจะเรียนรู้ แมทจะไม่โง่แล้ว ฮึ้ย!"    อย่าบอกนะว่าหมอนี่ใช้สมาร์ทโฟนไม่เป็น เกิดยุคไหนวะเนี่ย ยังมีเหรอครับคนรุ่นราวคราวนี้จะใช้เครื่องมือพวกนี้ไม่ได้เลย ผมคิดตามไปด้วยในขณะที่เริ่มเดินตามมันไปเรื่อยๆอีกครั้ง

"พี่มัทอย่าเพิ่งวางจนกว่าแมทจะเจอป้ายบอกทางไปสถานีปลายทางนะ ครับๆ แมทอยากให้พี่มัทอยู่ที่นี่ด้วยหว่ะ อะไรๆคงง่ายกว่านี้"    จากที่ฟังดูแล้วหมอนี่คงได้รับการดูแลจากคนในครอบครัวอยู่ตลอด เหมือนพวกทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น อายุก็ตั้งขนาดนี้แล้ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นผมว่าตอนนี้ผมเป็นโรคจิตเต็มขั้นซะแล้วหล่ะ ถ้าเดินตามมาถึงชั้นขายตั๋วขนาดนี้

"แมทเจอแล้ว ชื่อเขียนแบบที่พี่มัทพิมพ์มาเป๊ะ ครับๆ แล้วแมทจะโทรไปใหม่นะ รับสายด้วยนะ หวัดดีครับ"

.......................................................................


       หลังจากวางสายมันก็หมุนตัวไปมาหน้าตู้ขายตั๋วอยู่สองสามรอบ ซื้อเป็นรึปล่าวก็ไม่รู้ จากท่าทางแล้วดูน่าจะนาน แล้วผมก็จะสายไปด้วย เลยเดินเข้าไปสะกิดหลังพร้อมยื่นบัตรสำหรับขึ้นรถไฟฟ้าแบบเติมเงินให้

"อ่ะ คนในสายคงไม่ได้บอกละสิ ว่าบัตรใบนี้จะทำให้ใช้งานรถไฟฟ้าได้สะดวกขึ้น"    มันหันกลับมามองผมด้วยสีหน้างุนงง

"เอ่อ"

"เอ่ออะไร รีบรับไปสิ"     มัวยืนทำหน้าอึ้งอยู่ได้

"คุณพูดถึงคนในสาย คุณรู้ได้ไงว่าผมคุยโทรศัพท์"     ฉิบหายละ ผมรู้สึกตัวเองเริ่มโง่ พูดไปขนาดนั้นมันคงรู้แล้วละว่าผมเดินตามมา

"รับๆไปเหอะน่า คงใช้เป็นนะ"     รีบๆยื่นบัตรให้ แต่ก็ไม่รับสักที

"อ่า น่าจะเป็นครับ ขอบคุณนะครับ ค่าบัตรเท่าไหร่ครับ"      รับบัตรไปแล้วก็รีบควานหาอะไรสักอย่างในกระเป๋า

"ไม่ต้องหรอก เก็บไว้เถอะ"

"รับไปเถอะคุณ ผมเกรงใจ ถ้าคุณไม่บอกงั้นผมเดินไปถามที่ช่องขายบัตรแป๊บ"     ผมรีบคว้าแขนมันไว้ก่อนที่มันจะเดินไป

"บอกว่าไม่ต้องไงเอาไปเถอะไม่เป็นไร แล้วนี่จะรีบไปได้รึยัง"

"แล้วจะไปไหนหล่ะครับ"

"แล้วนายจะไปไหนหล่ะ"

"ผมว่าผมบอกไปหลายรอบแล้วนะว่าจะไปไหน ว่าแต่คุณเหอะจะไปกับผมด้วยรึไง"    ถึงมันแสดงสีหน้าเรียบเฉยแต่คำพูดมันทำให้ผมรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังประชดประชัน

"แล้วถ้าบอกว่าใช่หล่ะ ไปได้ไหม"    เคยพูดหรือทำอะไรลงไปโดยไม่รู้สึกตัวไหมครับ มันกำลังเกิดขึ้นกับผมอีกครั้ง

"แล้วถ้าผมบอกว่าไม่หล่ะ จะตามไปไหม"

"แล้วถ้าจะตามไปหล่ะ จะห้ามไหม"    มันยกมือขึ้นมาสองข้างเสมอหน้าตัวเองเป็นเชิงห้าม

"เฮ้ย! พอๆๆ จะแล้วกันอีกนานไหม คุณจะไปด้วยก็ดี ผมจะได้มีคนนำทาง"

"แค่นั้น"     ผมว่าพลางเหลือบมองด้วยหางตา

"แค่นั้นคืออะไร"     มันพูดขณะเก็บไอแพดลงกระเป๋าเป้แล้วสะพายไปไว้ข้างหลัง

"ก็แค่คนนำทางไง"

"งั้นวันนี้ผมจะเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนดีไหม หรือคุณจะเป็นไกด์ให้ผมตลอดทริปเลยไหมละ จ้างก็ได้นะ"

"รวยรึไง ค่าชั่วโมงผมคิดแพงนะ"     ผมว่าขณะเดินนำลงไปชั้นชานชาลา

"ไม่รวยหรอก แต่ต้องการความช่วยเหลือเพราะว่าเป็นคนโง่!"

"ด่าตัวเองก็เป็น"     พอผมพูดจบคนตรงหน้าก็เริ่มยกมือขึ้นเท้าสะเอว แสดงอาการโกรธ

"ไม่ได้ด่าตัวเอง พอดีมีคนพูดเบาๆ แล้วดันได้ยิน แล้วมันก็ดันฝังใจ"     ผมพยักหน้าเบาๆสองสามครั้งสื่อว่าเข้าใจ
 
"แล้วทำไมไม่ว่ากลับไปหล่ะ ปล่อยให้เขาว่าทั้งที่เราก็ได้ยินได้ไง"     เป็นผมหน่อยไม่ได้

"งั้นผมควรต่อว่ากลับไปใช่ไหม" เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"เอาเลย ถ้าไม่ได้โง่อย่างเขาว่าจะไปยอมทำไม"

"คุณนั่นแหละที่ว่าผมโง่ จำไม่ได้ละสิ แม่ง! คุณรู้ได้ไงวะว่าผมโง่ ชีวิตคุณไม่มีจุดบกพร่องในตัวเองเลยรึไง การที่ผมจำชั้นจำเลขห้องไม่ได้มันเป็นตัวชี้วัดเหรอวะว่าผมโง่ ยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ผมทำได้ดีแล้วคุณยังไม่เคยรู้ อย่างน้อยก็ไม่ควรมาทักทายคนที่เคยเจอกันครั้งแรกด้วยคำว่าโง่นะ ผมว่ามันไม่มีมารยาท"     เหวอเลยครับ แสดงว่าคนที่ผมสนับสนุนให้มันต่อว่ากลับไปคือตัวผมเองงั้นเหรอ

"เอ่อ...ไม่รู้จะว่าไงต่อเลย ขอโทษแล้วกันนะ ทันไหม"   ส่งยิ้มแห้งๆไปให้ตามหลังคำขอโทษ

"จริงๆก็ไม่ทันหรอก แต่เป็นคนไม่ค่อยถือ ยกโทษให้ก็ได้"    ว่าง่ายดีแฮะ

        สักพักรถไฟฟ้าก็มาเทียบ ผมเลยให้มันเดินเข้าไปก่อน ในช่วงเวลาเช้าขนาดนี้คงไม่ต้องมองหาที่นั่งหรอกครับ ขยับตัวหาที่เหมาะๆยืนดูจะง่ายกว่า ขณะที่ประตูกำลังปิด ผมก็หันไปหาคนข้างๆ เห็นว่ากำลังพยายามย้ายกระเป๋ามาสะพายข้างหน้า

"รอบคอบดีนะ"

"ไม่เลยต่างหาก เป็นคนไม่ค่อยรอบคอบ แต่พอดีเห็นป้าข้างเค้าทำเลยนึกได้ว่าควรต้องทำบ้าง" อย่างน้อยก็รู้จักที่จะเรียนรู้จากคนรอบตัว

"อืม ดีแล้ว รู้จักระวังตัว" มันพยักหน้ารับแล้วจ้องหน้าผมอยู่อย่างนั้น

"มีอะไร" ยังไม่เลิกมองอีก

"ที่ว่าค่าจ้างแพงอ่ะ เท่าไหร่ แล้วจะพาไปทุกวันได้ไหม" นึกว่าเรื่องอะไร

"ไม่ติดใจเรื่องโง่แล้วเหรอ"

"ขอโทษมา ยกโทษให้ไป ก็หายแล้ว ตกลงว่ายังไง ถือว่าขอรบกวนได้ไหม" กอดอก เงยหน้า เอียงคอถาม ทำไมท่าทางมันส่อไปในทางบังคับมากกว่ากำลังขอหรือรบกวนวะ?!?

"ทุกวันได้ไหมยังบอกไม่ได้ ขอดูตารางงานก่อน"

"แล้วค่าจ้างหล่ะ"

"ก็ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจ วันไหนมีความสุขสนุกมากก็อาจจะไม่คิด แต่ถ้าวันไหนลูกทัวร์น่าเบื่อก็อาจจะต้องมีทิปเพิ่ม สนใจเหรอ" พอผมพูดจบคนตรงหน้าก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที

"โคตรสนอ่ะ รับรองว่าจะพยายามทำให้มีความสุขแล้วก็สนุกทุกวัน"   ทำไมฟังแล้วมันทะแม่งๆ

"มีความสุขแล้วก็สนุกทุกวันงั้นเหรอ''   ผมลองถามย้ำเผื่ออีกคนจะช่วยขยายความ

"ใช่ ก็คุณบอกว่าถ้าวันไหนสนุกและมีความสุขคุณอาจจะไม่คิดนี่"    แล้วผมก็ต้องลากสติกลับมา เพราะความหมายของอีกคนมันไปคนละเรื่องกับความคิดผมเลย

"มายืนตรงนี้มา เตรียมตัว เราต้องลงสถานีนี้เพื่อเปลี่ยนสายรถไฟฟ้าไปอีกเส้นนึง"    ผมว่าพลางดันไหล่คนข้างๆมายืนหน้าประตูรถไฟฟ้า มันเตี้ยกว่าผมพอสมควรเหมือนกันพอมายืนใกล้ๆ ไม่น่าสูงเกิน 170 นะผมเดาว่า

"ว่าไงละ" มันถามซ้ำอีกครั้ง

"ขอคิดดูก่อน"

"อะไรวะ!" มันคงไม่รู้ว่าผมเห็นภาพสะท้อนว่ามันทำปากขมุบขมิบ ปากไวจริงๆ แล้วเรื่องที่กำลังบ่นคงหนีไม่พ้นผม

.......................................................................



       ทันทีที่ขึ้นรถไฟฟ้าอีกขบวนได้ และรถกำลังเคลื่อนตัวสมองก็สั่งการให้คิดอีกครั้งว่าอะไรที่พาให้ผมมาอยู่ตรงนี้ ทั้งๆที่ผมต้องไปบริษัท แล้วก็เอาหนังสือไปให้พี่จิมมี่ต่อ แต่ตอนนี้ผมกลับมายืนอยู่ในที่ที่ผมหลีกเลี่ยงมาตลอด หันไปมองหน้าอีกคนก็นึกไปถึงข้อเสนอ จะว่าไปก็น่าสนุกดี แล้วผมก็ตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่บริษัท เพื่อจะได้รีบให้คำตอบกับคนที่ต้องการไกด์จำเป็น

"ฮัลโหล พีทพูดสาย"     ผมเลือกจะโทรหาพีท เพราะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวในบรรดาหุ้นส่วนทั้งหมดและมีปัญหาน้อยที่สุด

"พีท นี่ฉันเชนนะ นายอยู่ออฟฟิศใช่ไหม"

"ใช่ นายจะเข้ามาใช่ไหมวันนี้"

"ใช่ เข้าไป วันนี้ฉันจะแวะไปเอาเอกสารของลูกค้ารายล่าสุด บอกเลขาเตรียมไว้ให้ด้วย"

"แล้วงานที่จะนัดลูกค้าวันพุธนี้หล่ะ"     งานของผมถ้าไม่มีนัดจากลูกค้าที่ต้องการคำปรึกษา ผมก็ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ อาจจะมีบ้างอาทิตย์ละสองสามวันเพื่อจัดการเอกสารสำคัญ นอกเหนือจากนั้นผมก็จะใช้เวลาไปกับการเข้าครัวที่ร้านอาหารของผมกับพี่เชลด้า แต่สำหรับสองอาทิตย์นี้ผมจะเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อทำหน้าที่เป็นไกด์จำเป็นโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นการพักผ่อนไปในตัวเลยละกันผมบอกตัวเองอย่างนั้น

"ฉันจะเข้าไปหาลูกค้าเอง เดี๋ยวจะนัดวันแล้วส่งรายละเอียดวันนัดให้เลขานายอีกที แต่สองอาทิตย์นี้ฉันขอเคลียร์ตารางนะ บันทึกไว้ว่าเป็นลาพักร้อนก็ได้ งดรับงานทุกอย่าง"     จะว่าไปผมก็ใจง่ายนะ

"ตามใจนายละกัน พักผ่อนบ้างก็ดี นี่ถ้าเอาวันลาของนายทุกปีที่ไม่ได้ใช้มารวมกัน ฉันคงไปเที่ยวรอบโลกได้พอดี"

"ไม่ขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆๆ ขอบใจนายมากนะพีท งั้นเดี่ยวเจอกัน ฉันใกล้จะถึงแล้ว อีกประมาณ 20 นาที บาย"     ผมไม่เคยได้ใช้วันลาเลย เพราะผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ ในเมื่อเรามีวันหยุดอยู่แล้วทุกอาทิตย์ อีกอย่างเราก็อยู่กับครอบครัวทุกวัน แต่คราวนี้ผมคงต้องขอเอามาใช้ อาจจะยังบอกแน่นอนไม่ได้ว่าทำไมผมถึงเลือกทำแบบนี้ คงจะแค่รู้สึกอยากจะไปเที่ยวพักผ่อน ไม่น่าเกี่ยวกับคนตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆหรอกมั้งผมว่า

.......................................................................


"เดี๋ยวขอเข้าไปเอาของที่บริษัทก่อนนะ แล้วเตรียมตัวไว้ได้เลย จะเรียกเก็บค่าไกด์ให้คุ้มแน่นอน"    ผมหันไปพูดกับคนข้างตัว

"เห้ย! จริงดิพี่ เอ้ย! คุณ อย่าเบี้ยวผมนะ รับปากผมแล้วนะเว้ย เอ้ย! ครับ"    มันว่าพลางเขย่าแขนผมเบาๆ ผมเลยเอียงหัวไปกระซิบใกล้หูมันเพื่อให้คำตอบ

"รับปาก แล้วถ้ามันยากนักก็พูดตามสบายเถอะ จะเรียกว่าพี่แล้วแทนตัวเองเหมือนที่คุยกับป๊าก็ได้นะ ไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้พี่ไม่ถือ" ผมตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเดินก้าวยาวๆออกจากประตูรถไฟฟ้าที่จอดสนิท ปล่อยให้อีกคนที่กำลังหน้าตาตื่น เดินตามมาอย่างรีบๆ

ไม่ว่าสิ่งที่ผมกำลังทำมันจะเกิดขึ้นเพราะอะไร ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องหาคำตอบ แค่รู้ว่านี่คือสิ่งที่ผมอยากจะทำแค่นั้นคงพอ


.......................................................................



❤ เคยเดินตามใครโดยที่เราไม่รู้ตัวมั้ยคะ อนานาเคยค่ะ ไม่ได้มีเรื่องราวระหว่างกันด้วยนะ เผลอเดินตามไปตั้งนาน มันเป็นสถานการณ์ที่ถูกดึงดูดโดยที่เราไม่รู้ตัวจริงๆค่ะ แต่ของพี่เชนนั้นทำแค่เพราะว่าอยากทำ มันไม่มีเหตุผลนะหรืออาจจะมีแต่เป็นเราเองที่มองไม่ออกแล้วหาไม่เจอ รอดูกันต่อไปค่ะ
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกันตั้งแต่ตอนแรกและยังอยู่กันจนถึงตอนที่ 6
อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนน้า ได้อ่านแล้วปลื้มปริ่ม อยากรีบมาลงตอนต่อไปไวไว ^^*
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



เค้าเลื่อนเม้าท์ไปโดนลบเป็ดอะ เค้าขอโทษ กดคืนให้แระนะคนแต่ง

ไม่เป็นไรเลยค่ะ ^^


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 6 [13-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-12-2014 14:39:34
เรื่องการเดินทางแบบไหนจะไปอย่างไรเนี่ยเป็นอะไรที่ไม่ชอบเลย เหมือนเรากลายเป็นคนโง่ในเรื่องง่ายๆที่คนอื่นเขารู้แต่เราไม่เป็น ถ้าจะมีคนมาเสนอตัวช่วยเหลือแบบนี้ก็คงดี
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 6 [13-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 14-12-2014 14:51:46
อือม์ ชักเห็นทางไปแล้วสิ รอติดตามนะคะ

ชึ่อคุณคนเขียนเหมือนกับคำว่า Anana ในภาษาสวีเดนซึ่งอ่านออกเสียงว่า อั้นหน่าน่า แปลว่าสับปะรดค่ะ เกร็จเล็กน้อยค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 6 [13-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: patek ที่ 19-12-2014 21:37:25
กำลังสนุกเลยคับ ว่างๆมาต่ออีกนะคับ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 6 [13-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 19-12-2014 22:30:17
เพิ่งได้อ่านสนุกค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ  :3123:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 6 [13-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: PURE LOVE ที่ 20-12-2014 00:53:00
เรื่องน่ารักดีจังค่ะ น้องแมทน่ารัก ซื่อ ๆ ดีจัง
พี่เชน ปากร้ายจริง ๆ สะใจตอนโดนน้องแมทว่ากลับมากอ่ะ
ว่าน้องแมทอย่างงั้นอย่างงี้ ไป ๆ มา ๆ เริ่มหลงเสน่ห์ความซื่อน้องแมทแล้วใช่มะ
วันหยุดที่ไม่ได้ใช้ รวม ๆ กันแล้วไว้ใช้ตอนตามน้องแมทกลับไทยก็ได้นะพี่เชน
ขอบคุณค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 7 [20-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 20-12-2014 08:46:54
ตอนที่ 7

Matt part

"เอ่อ พี่ ผม เอ่อ แมทว่าแมทรอตรงนี้ดีกว่า พี่ขึ้นไปทำธุระเถอะ"     ทำไมแม่งอึดอัดกว่าเรียกคุณกับแทนตัวเองว่าผมวะ

"ได้ รอสัก 15 นาทีนะ แค่ขึ้นไปเอาเอกสาร"     พูดบอกแค่นี้ทำไมต้องยิ้มเลี่ยนๆให้ด้วยวะ จะทำตัวเป็นคนอบอุ่นเหมือนสมาชิกคนอื่นในครอบครัวขึ้นมารึไง ทีตอนแรกละขเม่นกูจัง เหมือนพวกเด็กขี้อิจฉา กำลังจะโดนแย่งความรักยังไงอย่างงั้นแหละ

       จะว่าไปผมก็ยังงงๆอยู่นะ ไหนว่าจะไปมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินตามผมมาทำไมวะ หรือรถเสีย แต่ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าโชคดีของผมละกันที่คุยไปคุยมาแล้วดันได้ไกด์มานำเที่ยว ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ ทำไมผมถึงไว้ใจพวกเขา คงต้องถามย้อนกลับไปบ้างว่าทำไมพวกเขาถึงได้กล้าไว้ใจผมขนาดนี้ บางครั้งเรื่องเหล่านี้มันก็สัมผัสได้เองนะ ผมรู้สึกถึงความเป็นกันเอง ความอบอุ่น และที่สำคัญคือความจริงใจที่ผมได้รับจากครอบครัวนี้ ถึงผมจะรู้จักพวกเขาได้ยังไม่ถึงวันก็เถอะ เว้นก็แต่ไอ้พี่บ้านี่แหละ ดูขัดกับคนอื่นๆมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายหรือไม่น่าไว้ใจ  คุยกันไปเรื่อยๆอาจจะดีกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ แล้วเมื่อคืนผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้แม่กับพี่มัทฟังไปแล้วด้วย ถึงทั้งคู่จะบอกไม่ให้ผมไปรบกวนครอบครัวนี้มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความไปในแง่ของการไม่ไว้ใจ เพราะถ้าจะพูดกันจริงๆ พวกเค้าต่างหากที่เป็นเป้านิ่ง แถมยังเป็นฝ่ายเปิดเผยเรื่องส่วนตัวมากกว่าที่รู้จักผมซะอีก ถือว่าเป็นประสบการณ์และความโชคดีที่ผมได้รับจากการมาเที่ยวครั้งแรกนี้ละกัน เพราะถ้าผมเลือกจองโรงแรมผมคงไม่ได้เจอพวกเขา ไม่แน่ผมอาจจะขยาดการไปเมืองนอกเลยก็ได้นะใครจะไปรู้

"มัวคิดอะไรอยู่ นั่งยิ้มคนเดียว"     นี่ผมนั่งยิ้มคนเดียวอยู่เหรอ ใครมองมาคงดูบ้าดีเนอะ

"ป่าวๆ แค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย เราจะไปกันได้แล้วใช่ไหม นี่จะ 10 โมงอยู่แล้ว ผมยังไม่ได้ไปไหนเลยสักที่"     มันน่าหักค่าจ้างไม่ให้เหลือปล่อยให้นั่งรอตั้งเกือบชั่วโมง ไหนบอก 15 นาที

"ขอโทษที่ให้รอนาน แต่ยังไปไม่ได้"     อะไรวะ เปลี่ยนใจไปคนเดียวดีกว่ามั้ยเนี่ย ปัญหาเยอะจริง

"ทำไมอีกละ หรือจะต้องไปแจ้งญาติบอกแฟนลาหัวหน้าให้ครบก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะได้ไปคนเดียว"     เสียเวลาจริงๆ

"แค่เอาหนังสือไปฝากให้แฟนพี่เชลด้าเฉยๆ ไม่นานหรอก เป็นทางผ่านก่อนไปลงสถานีรถไฟใต้ดินหน่ะ"    จะเอนหัวมาพูดใกล้ๆทำไมวะ

"งั้นคุณก็รีบนำไปสิ"     ยังยืนนิ่งอยู่อีก ผมคิดถูกใช่ไหมที่ขอให้นายนี่มาเป็นไกด์ให้

"บอกแล้วไงว่าให้เรียกพี่ได้"

"อีกอย่าง...พี่ยังไม่มีแฟนนะ คงไม่จำเป็นต้องบอกลาใคร จำไว้ด้วยหล่ะ ไปกันเถอะ"     เฮอะ! แค่เนี้ยะ แล้วผมจะกลั้นหายใจทำไมวะตอนพี่มันพูด ยืนกันอยู่แค่สองคน จะเอนหัวมากระซิบข้างหูผมเพื่อ ถึงจะมีใครแถวนี้เค้าก็คงฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องหรอก ถึงเค้าฟังรู้เรื่องมันก็ไม่ใช่แผนการก่อการร้ายข้ามชาตินะเว้ย ที่ใครจะรู้ไม่ได้

"เฮ้ย! พี่ รอก่อนดิ"     นั่นไง เดินออกไปไม่รอกันเล้ย

"รู้ว่าขาสั้นก็รีบก้าวซะ"

"อะไรของพี่วะ ทีงี้ละรีบ เมื่อกี้ละให้นั่งรอตั้งนาน"     บ่นสิครับ รีบก้าวยาวๆตามไปแล้วก็บ่นต่อไปด้วย

"ก็จะ 10 โมงแล้วไม่ใช่เหรอ ยังไม่รีบ เดี๋ยวก็ไม่ได้ไปสักที่หรอก"     ปากก็ว่าถึงจะเดินช้าลงแต่ก็นำผมอยู่ดี

"พี่นี่ก็กวนเหมือนกันเนอะ"     เนื่องจากผมเดินอยู่ด้านหลังเลยเดาว่าพี่มันคงไม่ได้ยิน

"ยังไงก็ไม่ได้ครึ่งนายหรอก"     มีการหันมายักคิ้วส่งยิ้มกวนประสาทให้

"พี่นี่แม่ง ฮึ้ย!"     พ่นลมหายใจเสียงดังแล้วรีบก้าวยาวๆให้ทันคนเดินนำ

"อ้าว ก้าวยาวๆก็เป็นเหรอ ฮึๆ"     ถามแล้วก็หัวเราะสองฮึนี่หมายความว่าไงวะ

"เออดิ พี่พูดซะผมรู้สึกขาสั้นเลย"     พอผมว่างั้นพี่มันก็เลยแบมือมาทาบความสูงจากหัวผมไปที่ตัวพี่มัน

"ก็สั้นนะ ดูสิเตี้ยเชียว ฮ่าๆๆๆๆ"     เออ ขำเข้าไป แย่เถอะ ได้แค่ไหล่พี่มันเอง แต่ถึงไงก็ยอมไม่ได้

"ไม่เตี้ยเว้ย มาตรฐานชายไทย 170 เซนพอดีเป๊ะ แล้วถ้าวัดบางที่ได้ถึง 173 ก็มีเหอะ พี่อ่ะแหละเสือกสูงเกิน"

"อ้าวเหรอ แล้วทำไมไม่คิดว่าพี่สูงตามมาตรฐานชายฮ่องกงมั่งหล่ะ"     เหอะ แม่งก็คิดได้เนอะ

"ช่างมาตรฐานอะไรของพี่ไปเถอะ ผมคิดว่าผมไม่เตี้ยก็คือไม่เตี้ย เข้าใจป่ะ"

"ไม่เตี้ยแล้วพยายามบวกทำไมตั้งสามเซนละ ต้องเทียบจากพาสปอร์ตสิมาตรฐานแน่นอน"     ก็มันไม่เท่ากันจริงๆนี่หว่า ผมว่าคนอื่นก็คงเป็นเหมือนกันแหละ วัดแต่ละที่ไม่เท่ากันสักที่ เราก็เลือกที่ที่เราวัดได้สูงสุดนั่นแหละไว้บอกคนอื่นจริงไหม

"พี่จะคุยเรื่องส่วนสูงอีกนานป่ะ ถ้านานผมจะได้หาที่ถกกันให้เป็นเรื่องราว"     วุ่นวายกะส่วนสูงกูจังเลยนะ

"ถกคืออะไรเหรอ"

"อะไรกัน ศัพท์ง่ายๆก็ไม่เข้าใจ"     พูดไทยชัดขนาดนี้ แกล้งไม่รู้ป่ะเหอะ

"ก็ไม่เข้าใจจริงๆ คำยากๆที่ไม่ค่อยได้ใช้ม๊าไม่เคยสอน"

"อ่อ ม๊าสอนสินะ ผมก็สงสัยนะว่าทำไมพวกพี่สองคนถึงพูดไทยชัดจัง"     จริงๆนะครับ พูดชัดมากจนผมคิดว่าพวกเค้าเรียนโรงเรียนไทยมาตั้งแต่เด็กซะอีก

"ม๊าสอนให้พวกพี่พูดไทยมาตั้งแต่จำความได้ ม๊าบอกว่าถ้าอยู่นอกบ้านจะพูดภาษาอะไรก็ได้ แต่ถ้ากลับเข้ามาในบ้านแล้วต้องพูดภาษาไทยเท่านั้น อีกอย่างม๊าเล่าว่าป๊าเค้าก็พอจะพูดไทยได้ตั้งแต่สมัยคบกับม๊าแรกๆ เพราะงั้นเวลาอยู่ในบ้านเลยคุยกันเป็นภาษาไทย"     มิน่าถึงได้พูดชัดขนาดนี้

"แล้วตอนย้ายไปเรียนที่เมืองไทยคุณครูเค้าไม่ได้สอนพี่รึไง หรือว่าเรียนโรงเรียนนานาชาติ"     เห็นว่าเรียนที่ไทยมาตั้งสิบปี ต้องผ่านหูผ่านตาวรรณสารวิจักษ์มั่งแหละ นอกซะจากจะเรียนโรงเรียนนานาชาติ

"ใช่ พี่เรียนที่นั่นประมาณสิบปี ได้ภาษาไทยมาน้อยกว่าที่ม๊าสอนซะอีก"     ผมพยักหน้ารับขณะตั้งใจฟัง

"อีกอย่างเรียนวิชานี้แค่อาทิตย์ละไม่กี่ชั่วโมง เขาไม่สอนหรอกคำที่มันซับซ้อน ส่วนเพื่อนคนไทยที่เรียนด้วยกันก็ไม่เห็นเขาพูดคำที่เข้าใจยากกันนะ มีแต่จะสอนคำหยาบคำด่ากันซะมากกว่า แล้วตกลงถกแปลว่าอะไร"     พี่แกก็ไม่ลืมนะ ยังวกกลับมาได้

"ก็แปลได้หลายความหมาย แปลว่าดึงรั้งให้สูงขึ้นก็ได้ แต่ในความหมายของผมคือการคุยกันอย่างเอาจริงเอาจังเพื่อหาคำตอบร่วมกัน พอเข้าใจไหม"     พออธิบายจบพี่แกก็พยักหน้าเข้าใจ

"ถึงแล้ว ขอพี่เอาของไปฝากไว้ที่รีเซปชั่นแป๊บนึงนะ รอพี่ที่ด้านหน้านี่ก็ได้ หรือจะเข้าไปด้วยกัน"

"ไม่ดีกว่า ผมรอนี่แหละ"     แล้วพี่แกก็เดินเลี้ยวเข้าโรงแรมไป ให้ผมยืนรออยู่ด้านนอก

.......................................................................



❤ จริงๆตอนนี้ต้องยาวกว่านี้นะคะ แต่มีบทสนทนาในไลน์นิดหน่อยทำให้ตัวอักษรมันเกินอ่ะค่ะ
อนาลองหลายรอบแล้วไม่ได้ ขอไปแก้ก่อนนะคะ แหะๆ


แก้ได้แล้วนะ อ่านต่อตอนที่ 7  จิ้มเลยค่ะ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44625.msg2908297#msg2908297)
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 7 [20-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-12-2014 09:13:42
จิ้มตอน 7 ซะเลย
เริ่มไปกันด้วยดีแล้วนะ

พลาดตอน 6 ไปได้ไง
เชนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย
เป็นคนพูดตรงๆ เลยดูปากร้าย
แมทก็น่ารักมาก มีบังคับกลายๆด้วย
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 7 (ต่อ) [20-12-57] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 20-12-2014 10:40:20
ต่อตอน 7 ค่ะ

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ


ระหว่างยืนรอก็หยิบไอแพดมาดูว่าแพลนวันนี้จะต้องไปที่ไหนบ้าง สักพักก็มีข้อความเตือนจากไลน์เด้งขึ้นมา

OATMEAL
     สมร น้องเล่นไลน์ด้วยเหรอจ้ะ

                                                                                  Matt
                                                       สมรไหนวะ มึงทักผิดคนป่ะ

OATMEAL
     ไม่ผิด พี่หมายถึงมึงแหละจ้ะเชี้ยแมท น้องสมรของกู

                                                                                  Matt
                                                                                  ห่า!!!

OATMEAL
     ด่าพี่ทำไม พี่ผิดอะไรคะ

                                                                                  Matt
                                                                            พอเลยมึง
                                                                          แม่งไร้สาระ

OATMEAL
     555
     ใครขุดมึงออกจากถ้ำวะ กูจะเอา 4 จีไปเซ่น
     ไหนๆลองส่งติ้กเกอร์มาให้พี่ดูสิ
     ใช้เป็นป่าวว้า คิคิ อุอิ คึคึ

                                                                                  Matt
                                                            อะไรของมึง คิๆ อุอิ คึๆ

OATMEAL
     แก่วะ ไม่แบ๊วเลยอ่ะ

                                                                                  Matt
                                                 ไม่คุยกับมึงละ เสียเวลาชิบหาย

OATMEAL
     ไรว้า ไม่คิดถึงกูมั่งอ่อ

                                                                                  Matt
                                                                                  ไม่นะ

OATMEAL
     งอนเลย แต่อย่าลืมของฝากพี่จากเมืองจีนนะฮ้า

                                                                                  Matt
                                                                จะบอกให้เผื่อมึงลืม
                                                                กูมาฮ่องกงเถอะสัด!

OATMEAL
     คล้ายๆกันแหละ เวลาเค้าพูดมึงว่าต่างกันปะละ


ยังไม่ทันจะได้ตอบกลับไป ก็ได้ยินเสียงพูดข้างๆหู  "เมื่อกี้ก็ยิ้มคนเดียว ตอนนี้ก็หัวเราะคนเดียว ไหวแน่นะ"

"มาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงวะพี่"     ตกใจหมด แล้วจะมายืนใกล้ๆทำไมวะ ที่มีให้ยืนตั้งเยอะ

"เรียกแล้วนะ เห็นไม่หันมา เลยขยับมาพูดใกล้ๆ นึกว่าหูตึง แล้วทำอะไรอยู่"     เรียกแล้วเหรอทำไมผมไม่เห็นได้ยินเลย

"อ่อ อ่านไลน์อยู่"     ว่าจบพี่มันก็ชะโงกหน้ามาดู

"เอามาแอดหน่อยสิ"

"แอดไรพี่"

"แอดไลน์ไง เอามาสิเดี๋ยวทำให้"     ว่าจบพี่มันก็เอาไอแพดไปจิ้มๆสองสามทีแล้วยื่นกลับมาให้

"อ่ะ เรียบร้อย เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ"

"อืมๆ จะเอาไปทำไมพี่ ผมไม่ค่อยได้ใช้หรอก เพิ่งหัดตอนมาที่นี่แหละ อีกอย่างอยู่ด้วยกันเนี่ย พี่จะเอาไปทำไมวะ"     หันหน้าคุยกันไม่ดีกว่าเหรอ จะพิมพ์ผ่านโปรแกรมหรือแอพอะไรนี่ไปทำไมให้เสียเวลา

"ทำให้แน่ใจไงว่าเราเป็นเพื่อนกันแล้ว"

"อะไรวะ"     ผมขมวดคิ้วยกมือขึ้นเกาหัวเพื่อตอกย้ำให้พี่แกเข้าใจว่าผมกำลังงง

"เมื่อกี้คุยกับคนรักอ่ะดิ ถึงได้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่"     คนรัก? หือ?!? ไอ้โอ้ตเนี่ยนะ

"เหอะๆ ใช่มั้งพี่ แต่คงเป็นแฟนคลับมากกว่า"     วูบหนึ่งที่หันไปมองผมเห็นพี่มันหน้าเสียนะ นี่ผมพูดอะไรผิดเหรอ

"มีแฟนคลับกับเค้าด้วย ฮะๆเหอะๆ"     หัวเราะอะไรของเค้าวะ แปลกๆ

"ใช่พี่ ไอ้นี่ทั้งแฟนขับแฟนรับแฟนส่ง ทำได้ทุกอย่างอ่ะ เสียอย่างเดียวมันเป็นผู้ชาย ฮ่าๆๆๆ"

"แปลกนะมีแฟนคลับเป็นผู้ชายซะด้วย"     หรือว่าพี่แกไม่เข้าใจที่พูดวะ เออผมก็ลืมไปพี่แกไม่ได้อยู่ไทยนี่หว่า อาจจะงงก็ได้

"จะบ้าเหรอพี่ มันเพื่อนผม ตะกี้ที่พูดเล่น ไม่เข้าใจอ่ะดิ"     พี่มันส่ายหัว

"เกือบเข้าใจ"

"เกือบเข้าใจว่าอะไร"

"เกือบเข้าใจว่ามีคนรักแล้ว แล้วคนรักก็เป็นผู้ชายด้วย"

"ไปกันใหญ่แล้วพี่ พี่ว่ามันไม่แปลกเหรอผู้ชายเป็นแฟนกันหน่ะ"      พี่มันยิ้มแล้วเอามือล้วงกระเป๋าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาประโยคนึง

"แฟนที่ว่าก็คือคนรักใช่ไหม สำหรับพี่ พี่ว่ามันไม่แปลกนะ แค่ยังไม่ชินมากกว่า"      พูดจบแล้วก็ออกเดินนำผมไปอีกครั้ง

ไม่แปลกไม่ชินห่าไรของพี่มันวะ แม่งพูดอะไรงงๆ พูดจบแล้วก็เดินไปเฉย ไม่มีอธิบายสักนิด คือจะรู้บ้างมั้ยวะว่าคนฟังโคตรงง

.......................................................................


       โห! คนเข้าคิวรอซื้อตั๋วเป็นสิบแปดแสนล้าน วันนี้จะได้ขึ้นไหม ยาวไม่พอ ต้นแถวยังวนไปวนมาตั้งไม่รู้กี่ทบ พอจะนึกออกไหมครับกับวิธีการต่อแถวเข้าคิวที่ต้องวนไปมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้ต่อแถวได้ยาวขึ้นกว่าการเข้าแถวตรงไปเลย

"กี่โมงแล้วพี่"     แถวยาวขนาดนี้กว่าจะได้ขึ้น เกินชั่วโมงนึงแน่นอน

"11 โมงแล้ว"      พี่เชนว่าขณะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ

"เอาไงดีพี่ คืนนี้ผมจะได้ขึ้นกระเช้าไหม"     คิวยาวซะขนาดนี้

"วันนี้วันอาทิตย์ คนเลยเยอะ จริงๆมันมีอีกวิธีนะ แต่มาที่นี่ก็ต้องนั่งกระเช้านี่ละ"

"อีกวิธีคือ"

"นั่งรถบัสไป แต่มันจะค่อนข้างไกลนะ จะใช้เวลานานกว่า สนใจไหม"     ถ้าผมมาที่นี่แค่เพื่อท่องเที่ยวผมคงเลือกแค่วิธีใดวิธีหนึ่ง แต่นี่ผมมาเพื่อเก็บเกี่ยววัตถุดิบสำหรับนิยายของผม เพราะฉะนั้นทั้งสองทางเลือกจริงเป็นสิ่งที่ควรทำ

"ผมขอเลือกทั้งสองทางเลยได้ไหม อยากลองทั้งคู่"

"งั้นขาไปเราไปรถบัสดีกว่าเพราะถ้าไปด้วยกระเช้าตอนนี้เราอาจต้องรอไปอีกสักประมาณชั่วโมงกว่าเลย สำหรับรอซื้อตั๋ว แล้วก็ต่อคิวเพื่อขึ้นกระเช้า ตอนกลับคนไม่น่าจะเยอะขนาดนี้ ไว้เราค่อยมานั่งกระเช้าขากลับละกัน ดีไหม"

"ครับ"     ว่าแล้วเราทั้งคู่ก็สละคิวที่ต่อมาร่วม 30 นาทีเดินลงไปข้างล่างเพื่อรอขึ้นรถบัส

      ระหว่างนั่งรอรถ พี่เชนก็วิ่งหายไปไหนสักที่ โดยบอกผมแค่ว่า จะรีบไปรีบมา รับรองว่าทัน 15 นาทีก่อนรถจะมาแน่นอนให้นั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ อย่าไปไหน ทำเหมือนผมเป็นเด็ก ไม่รู้รึไงว่าถึงไม่บอก ผมก็ไม่ไปไหนอยู่ดี ในเมื่อมีคนนำทางแล้ว จะหาเรื่องใส่ตัวอีกทำไม สู้รอไม่ดีกว่าเหรอ

นั่งรอสักพัก ยังไม่ถึง 10 นาทีพี่เชนก็มายืนหอบหายใจอยู่ข้างๆ ในมือยื่นถุงกระดาษอาหารฟ้าสต์ฟู้ดยี่ห้อที่คุ้นเคยมาให้

"เอาไปรองท้องก่อน เมื่อเช้าเห็นกินข้าวไปนิดเดียว นี่ก็จะเที่ยงแล้ว กว่าเราจะไปถึงที่นู่นคงบ่ายโมง เดาว่าอาจจะหิว"     ผมหันมองหน้าพี่เชนก่อนจะเอื้อมไปรับถุงมาไว้ในมือเสียเอง สังเกตด้วยเหรอว่าผมกินข้าวไปแค่นิดเดียว แล้วพี่แกอาจจะลืมนึกไปก็ได้ ว่าผมมาจากประเทศที่เวลาช้ากว่าที่นี่ 1 ชั่วโมง เพราะงั้นบ่ายโมงที่พี่แกว่า ก็เพิ่งจะเที่ยงสำหรับท้องผม อีกอย่างผมไม่ค่อยกินข้าวตรงเวลาอยู่แล้ว เรื่องนี้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผมเลย

"ครับ"    ผมแค่ตอบรับแล้วก็มองหน้าพี่เชนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะถามออกไปว่า

"แล้วของพี่ละ"     ถามเพื่อความแน่ใจว่าชิ้นนี้เป็นของผมก่อนจะก้มหน้าลงแกะห่อ เพราะในมือผมตอนนี้มีแค่แฮมเบอร์เกอร์ชิ้นเดียว แล้วถ้าชิ้นนี้เป็นของผม พี่เชนละ จะว่ากินไปแล้วคงไม่ใช่ เพราะไม่มีทางที่จะใช้เวลาแค่เกือบสิบนาทีในการวิ่งไปซื้อแล้วกินไปด้วยระหว่างทางที่วิ่งกลับมา อีกอย่างไม่มีเศษห่อกระดาษเปล่าในถุงเลยสักชิ้น หรืออาจจะทิ้งระหว่างทาง

"ไม่ละ พี่ยังไม่หิว เมื่อเช้าก็กินไปเยอะมาก แมทกินเลย ไม่ต้องห่วงพี่"     ผมละมือจากการแกะห่อเบอร์เกอร์แล้วเงยหน้ามองพี่แกอีกครั้งทันทีที่ได้ยินคำว่าไม่ต้องห่วงพี่

"เปล่า ไม่ได้ห่วง ทำไมพี่ไม่คิดว่าผมแค่เกรงใจมั่งล่ะ"     พูดจบก็ฉีกห่อซอสแล้วราดลงบนชิ้นเนื้อระหว่างขนมปัง ก่อนที่จะกัดคำโตแล้วรีบเคี้ยวเพื่อทำเวลา

"งั้นก็ไม่ต้องเกรงใจ ถือซะว่าเป็นบริการหลังการขายของทริปนี้ละกัน"

ผมกำลังจะอ้าปากตอบอะไรออกไปสักอย่าง แต่พี่แกยกมือขึ้นปรามเป็นเชิงบอกให้รีบกิน ผมเลยตัดสินใจไม่พูดออกไปแล้วเลือกที่จะรีบกินให้หมดก่อนที่รถจะมา

"รถมาแล้ว เรียบร้อยยัง"     พี่เชนถามขึ้นหลังจากที่ผมเดินกลับมาจากการทิ้งขยะ

"เรียบร้อยครับ"

"ตอนขึ้น ใช้บัตรที่ให้เมื่อเช้าแตะที่เครื่องตามพี่ได้เลยนะ"     สะดวกดีแฮะ ผมพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่พี่แกจะหันหลังให้เตรียมขึ้นรถ

หลังจากที่รถจอดเทียบป้าย ผมก็เดินตามหลังพี่เชนขึ้นรถไป ว่างเกือบจะทั้งคัน อาจจะเพราะคนส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินทางผ่านกระเช้ากันหมด เลยทำให้แทบจะไม่ค่อยมีคนใช้บริการ

"อ้าว มานั่งนี่สิ"     พี่เชนกวักมือให้ผมไปนั่งข้างๆกัน

"ไม่อ่ะ ที่นั่งว่างเยอะแยะจะไปเบียดกันทำไมให้อึดอัดละพี่ ไว้คนเยอะกว่านี้ค่อยย้าย"     ลองนึกภาพผู้ชายสองคนนั่งเบียดกันบนเก้าอี้แคบๆสิครับ ถึงมันจะถูกทำมาไว้สำหรับนั่งสองคนก็เถอะ ผมว่ามันคงอึดอัดน่าดูถ้าจะต้องให้แขนเบียดกันไปมาตลอดการเดินทาง

"ตามใจ"     แล้วพี่แกก็หันออกไปมองหน้าต่างอีกด้าน ส่วนผมก็เลือกนั่งเก้าอี้แถวเดียวกัน แต่ติดกระจกคนละฝั่ง

รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยผ่านทางคดโค้งและธรรมชาติให้มองจนเพลิน สักพักผมก็เคลิ้มๆ เริ่มรู้สึกง่วงจนตาจะปิด เพราะเมื่อคืนก็กว่าได้ได้เข้าห้อง กว่าจะได้นอน แล้วยังต้องตื่นแต่เช้าอีก พอนั่งนิ่งๆแบบนี้ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกง่วง
.
.
.
เฮ้ออออ...สบายจัง ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน
.
.
.
เฮ้ย! มองออกไปหน้าต่างด้านนอกทำไมบ้านเอียง ต้นไม้ไม่ตั้งฉากกับพื้นโลกแล้วหล่ะ พอรู้สึกตัวเต็มที่ก็เริ่มสัมผัสได้ ซวยละ หัวผมกำลังไปพิงไหล่ใครสักคนอยู่ คิดในใจ นี่แอบหลับบนไหล่เขามานานแค่ไหนแล้ววะเนี่ย ไม่กล้าลืมตาขึ้นมามองเลย อายฉิบหาย เอาวะนับ 1 2 3 ยกหัวขึ้นแล้วหันไปขอโทษเลยละกัน

หนึ่งงงงง

สองงงงงงงงงงงงงงงง ทำไมระยะในการนับเลขแต่ละตัวของผมมันห่างกันขนาดนี้วะ จะลากหางเลข 2 ให้ยาวเพื่อ?!?

สาม!!! เห้ย ไม่ลุกวะ ลุกสิ ลุก ยกหัวขึ้นเดี๋ยวนี้แมท

'Cause I don't wanna lose you now...โทรศัพท์ใครดังวะ

I'm lookin' right at the other half of me...อ่อ ของคนข้างๆนี่เอง

'The vacancy that sat in my heart...Is a space that now you hold ทำไมยังไม่รับอีก หรือหลับอยู่วะ โอกาสนี้หล่ะรีบลุกเลยแมท Show me how to fight for now ใช่ๆ ไฟท์ฟอร์นาวเลยมึง นึง ส่องงง ซั่ม!

"ใช่ ผมพูดอยู่ ผมคงไม่ได้เข้าไป งั้นรอสักครู่คุณคีน ผมจะส่งไปให้เดี๋ยวนี้แหละ"

"บาย"

ชิททททท! วางแล้วด้วย ฉิบหายละมึงไอ้แมท ตะกี้ละเสือกไม่ยอมลุก ถ้าตอนนี้จะลุกละก็เตรียมตัวอายได้เลยมึง ว่าแต่ว่า...ทำไมเสียงคุ้นๆวะ

"ถ้าตื่นก็ลุกได้แล้วแมท พี่เมื่อย กระดุกกระดิกหัวไปมาอยู่ได้" เฮ้ย เดี๋ยวนะ เสียงไอ้พี่เชน! อายหนักกว่าเดิมอีกไหมละกู ผมรีบยกหัวตัวเองขึ้น มองตรงไปข้างหน้าแล้วรีบพูดเร็วๆ

"เอ่อ...ขอโทษ ขอบคุณ" พูดจบก็เอนหัวไปพิงกระจกอีกข้างแล้วหลับตาทันที

.......................................................................


Chen part

"ไม่ต้องหลับต่อเลย ตื่น จะถึงแล้ว"     ผมรู้นะว่ามันอาย เป็นผมก็คงอายไม่ต่างกัน ฮ่าๆๆ นึกแล้วก็ตลก ขึ้นรถยังไม่ทันถึงสิบนาที หัวของมันก็หมุนครบ 360 องศาตามจังหวะการเข้าโค้งของรถ ผมกลัวว่ามันจะร่วงลงไปนอนกองที่พื้นซะก่อน เลยย้ายมานั่งข้างๆ ตอนแรกก็คิดแค่ว่าถ้ามันร่วงลงไปผมจะได้คว้าไว้ทัน แต่พอมานั่งจริงๆแทนที่ผมจะแค่คอยระวัง ผมดันดึงหัวคนข้างๆมาวางบนไหล่แล้วเลื่อนตัวเองให้นั่งต่ำลงเพื่อให้อีกคนนอนสบายขึ้น ไม่ต้องถามนะ ว่าผมทำไปทำไม เพราะผมก็ไม่มีคำตอบให้ตัวเองเหมือนกัน

"ถึงแล้ว ตื่น!!!"     หันไปมองหน้าอีกฝ่ายดูเหมือนคนที่กำลังพยายามหลับตา คิ้วก็ขมวดไปด้วย

"รถจอดแล้วนะ จะนอนรออยู่ในนี้ก็ตามใจ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าถึงยังไงก็คิดค่าจ้างเต็มจำนวน"

"ลงไปก่อนเลย ผมขอจัดการตัวเองแป๊บนึง"

"อืม เร็วๆละ"    ผมพาตัวเองลุกจากเก้าอี้เพื่อจะลงจากรถ ยังไม่ทันจะเดินผ่านเก้าอี้ที่ถัดจากที่ผมนั่งก็ได้ยินเสียงเอ่ยเบาๆ

"รู้แล้ว รีบลงไปเลย อย่าให้ลืมตามาเจอนะ"     ฮ่าๆๆ ถ้ามันไม่พูดแบบนี้ ผมคงลงจากรถไปตั้งนานแล้ว แต่พอได้ยินแบบนั้นผมเลยเลือกที่จะเดินเบาๆด้วยปลายเท้าไปนั่งที่เบาะด้านหลังมัน

"ลงไปยัง"     พอไม่มีเสียงตอบ ผมเดาว่ามันคงลืมตาขึ้นแล้วเพราะเห็นชะโงกหน้ามองหาอะไรสักอย่างสักพักก็เริ่มบ่น

"หน้าร้อนเลยกู เฮอะ! คิดได้เนอะมึง ไอ้แมท แขนชนแขนมันอึดอัด แต่เสือกไปนอนพิงไหล่เขาเฉย อับอายฉิบหาย!"    คงไม่ทันได้สังเกตว่าผมนั่งอยู่ด้านหลัง

"เอาหน้าไปไว้ไหนดีวะ"     มันว่าพลางหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายหลังเตรียมจะลุกขึ้น

"เอาไว้ที่เดิมนั่นแหละ"

"เฮ้ย! พี่"     มันสะดุ้งแล้วหันมาด้านหลังที่ผมนั่งอยู่

"อ้อ อีกอย่าง อาการที่เป็นอยู่น่าจะเรียกว่าเขินด้วยนะไม่ใช่แค่อาย หน้าแดงเชียว ฮึฮึ"     มันทำหน้าเหวอ อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง ผมเลยชิงบอกก่อน

"พี่ลงไปรอข้างล่างก่อน อย่านานนักนะ"     พูดจบผมก็รีบเดินลงมาจากรถ ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงบ่นแว่วๆตามหลัง เป็นผู้ชายที่บ่นเก่งพอๆกับผู้หญิงเลยมั้งผมว่า

.......................................................................


❤ในที่สุดก็แก้ได้แล้ว
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน ตอนที่ 7 แล้ว ^^
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนนะค๊ะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

อือม์ ชักเห็นทางไปแล้วสิ รอติดตามนะคะ

ชึ่อคุณคนเขียนเหมือนกับคำว่า Anana ในภาษาสวีเดนซึ่งอ่านออกเสียงว่า อั้นหน่าน่า แปลว่าสับปะรดค่ะ เกร็จเล็กน้อยค่ะ  :กอด1:


ขอบคุณมากเลยค๊ะ *; ) ความรู้ใหม่ น่ารักจังค่ะ อั้นหน่าน่า



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 7 [20-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 20-12-2014 13:51:26
น่ารักดีจัง
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 7 [20-12-57] ● หน้า 1
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 21-12-2014 09:22:22
สนุกจัง :hao7: :katai4:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 8 [28-12-57] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 28-12-2014 23:41:31
ตอนที่ 8

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ



Chen part


เราใช้เวลาไหว้พระ เดินเล่น เข้าออกร้านของฝาก ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ

"เหนื่อยรึยัง ไปหาร้านนั่งพักกันไหม แล้วค่อยกลับ"     ผมหันไปถามคนตัวเล็กกว่าที่กำลังพยายามขีดๆเขียนๆอะไรสักอย่างลงในสมุดเล่มพอดีมือ

"อีกแป๊ปนะพี่ ผมขอดูตรงนี้อีกหน่อย"     ตอบผมทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้ามอง

"ได้ๆ พี่ขอไปนั่งรอที่เก้าอี้ตรงโน้นนะ"

"ครับๆ"

       ผมหาที่นั่งแล้วใช้เวลาไปกับการเช็คอีเมล์และทำงานนิดๆหน่อยๆระหว่างรอ หันไปมองเห็นมันเข้าร้านโน้นออกร้านนี้ เลยฆ่าเวลาโดยการอ่านข่าวจากในโทรศัพท์บ้าง มองดูนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาบ้าง ผมแทบจะไม่มีเวลามานั่งนิ่งๆมองคนเดินผ่านไปมาแบบนี้สักเท่าไหร่ มันก็ดีเหมือนกันนะผมว่า ได้มองคนอื่นแล้วปล่อยให้ตัวเองเป็นฝ่ายหยุดนิ่งซะบ้าง หลังจากนี้ผมคงต้องหาเวลาให้ตัวเองได้หยุดพัก เดินให้ช้าลง เผื่อผมอาจจะพบความสุขที่กำลังตามหาและสิ่งที่มองข้ามไป นั่งมองไปเรื่อยๆสักพัก มันเพลินจนลืมดูเวลา มองนาฬิกาอีกทีก็เกือบจะสี่โมงเย็น แล้วนี่แมทมันหายไปไหน เมื่อกี้ยังเห็นเดินอยู่แถวๆนี้

       หลังจากมองหาอยู่สักพักก็เจอคนที่ดูคุ้นตากำลังยืนซื้อต่อแถวซื้ออะไรสักอย่างอยู่ในร้านขนม จะว่าไปผมก็เริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาแล้วสิ ตอนแรกผมกะว่าจะหาร้านอาหารที่นี่รองท้องไปก่อน เพราะตั้งแต่มาถึงเราทั้งคู่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องกันเลย ยังดีที่แมทได้กินเบอร์เกอร์ไปแล้วเมื่อตอนเที่ยง แต่ผมนี่สิ มัวแต่เดินตามมัน เลยยังไม่ได้กินอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยนอกจากน้ำเปล่ากับขนมนิดหน่อย แต่คิดอีกทีทนอีกนิด รอกลับไปหาร้านอร่อยๆกินแถวบ้านผมน่าจะดีกว่า ตัวเลือกเยอะดี

"เครื่องดื่มเย็นๆหน่อยไหมครับคุณไกด์"     มันหย่อนตัวลงบนม้านั่งข้างๆผม แล้วยื่นแก้วน้ำมาให้

"เรียบร้อยแล้วเหรอ"

"เรียบร้อยแล้วพี่ ผมได้ข้อมูลครบตามที่ต้องการแล้ว"     พูดพลางยกสมุดขึ้นมาโชว์

"อ่ะนี่ ผมไม่รู้ว่าพี่ชอบอะไร ผมเลยเลือกที่ผมชอบมา"     ผมหันไปมองหน้ามันก่อนจะมองไปที่แก้วแล้วรับมาดูก่อนจะถามขึ้น

"น้ำอะไร"     เดาว่ามันน่าจะเป็นชาเขียวนะ โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยดื่มเครื่องดื่มประเภทนี้

"ชาเขียวเย็น อร่อยดีนะ"     นั่นไงว่าแล้ว

"ชอบเหรอ"

"อื้ม ชอบมาก โดยเฉพาะสูตรที่ร้านแม่"

"แม่ทำร้านกาแฟเหรอ"

"ใช่ ยิ่งถ้าแม่ทำเองนะ อร่อยสุดๆ"     พูดไปก็ยิ้มไปด้วย ผมก็นั่งฟังนิ่งๆ

"ไม่เชื่อเหรอ ผมไม่ได้ชมเกินเหตุนะ ทุกเมนูที่ผ่านมือแม่จะมีมากกว่าความอร่อย นั่นก็คือความใส่ใจ "

"ดูท่าทางมันจะต้องอร่อยมากแน่ๆ สงสัยต้องหาโอกาสไปชิมบ้าง"     ผมหมายความตามนั้นจริงๆนะ

"ได้เลย ด้วยความยินดี ไว้พี่ไปเที่ยวบ้านผมนะ พาป๊ากับม๊าแล้วก็พี่เชลด้าไปด้วย ผมจะเป็นไกด์ให้เอง"     มันบอกผมพร้อมรอยยิ้ม

"พี่ถือว่าเป็นคำสัญญานะ"     ผมหันไปยิ้มให้เพื่อรอคำตอบ อีกคนเลยหันหน้ามายิ้มตอบพร้อมยกมือขึ้นทำท่าตกลง

"ทำไมไม่กินละ เดี๋ยวก็ละลายหมด ไม่ชอบเหรอ"     ผมส่ายหน้าแล้วก็ยกแก้วขึ้นดูดชาเขียวที่ว่าจนเกือบหมดแก้ว ที่รอก็เพื่อให้มันละลายนั่นแหละ อย่างน้อยความเข้มข้นมันจะได้ลดลง แต่จะว่าไปรสชาติก็ไม่แย่อะไรมากมาย สงสัยคงต้องลองกินบ่อยๆดูบ้างแล้วหล่ะ

.......................................................................


จำนวนคนต่อแถวรอขึ้นกระเช้ากลับไม่มากเท่าตอนขามา แต่ก็ต้องรอพอประมาณ

"มันจะมีกระเช้าสองแบบนะ ที่เป็นคริสตัลคือพื้นกระเช้าจะเป็นกระจกใสมองลงไปเห็นข้างล่างหรือจะเป็นแบบธรรมดาก็มี แมทอยากนั่งแบบไหน"     ผมถามขณะที่ยืนมองแถวคนที่กำลังรอต่อคิวซื้อตั๋ว

"ขอเป็นพื้นกระจกดีกว่าพี่ น่าสนใจกว่า"

"งั้นยืนรอตรงนี้ก่อน เดี๋ยวพี่ไปต่อแถวซื้อให้"

"ไปด้วยกันดิพี่"

"เถอะน่า รอตรงนี้แหละ"

ใช้เวลาต่อแถวรอซื้อตั๋วแค่ไม่นานก็ได้มา เพราะส่วนใหญ่จะซื้อตั๋วแบบไปกลับมาตั้งแต่ขามาอยู่แล้ว

"ได้แล้ว ไปต่อแถวกัน"     ว่าพลางชูตั๋วให้ดู

"ครับ"     แล้วมันก็เดินตามมา

"น่าจะอีกสักสี่กระเช้าเราคงได้ขึ้นแล้วหล่ะ"

"อ่ะนี่พี่ เงินค่าตั๋ว ผมจ่ายส่วนของพี่ด้วยนะ"     มันยื่นเงินมาให้

"ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้าละกัน"

"อะไรของพี่วะ ค่าบัตรรถไฟฟ้าเมื่อเช้าก็ไม่เอา ค่าขึ้นกระเช้านี่อีก ผมเกรงใจนะเว้ย พี่ รับไปเถอะ"     มันพูดขณะพยายามยัดเงินใส่มือผม ผมเลยผลักมือมันเบาๆแล้วย้ำอีกครั้ง

"เอาเก็บไว้ พี่จ่ายไปแล้ว บอกแล้วไงว่าไว้คราวหน้า"

"พี่อย่ามาตามเก็บทีหลังนะเว้ย อ้อแล้วอย่าเอาไปคิดรวมกับค่าไกด์หล่ะ"     ผมเลือกที่จะไม่ตอบแล้วเดินไปหาพนักงานที่กำลังจัดคนขึ้นกระเช้าแทน

.......................................................................


"ขอโทษ ผมขอขึ้นกระเช้าแค่สองคนได้ไหม"    ผมถามพนักงาน

"ไม่ทราบลูกค้าจองตั๋วแบบไพรเวทมาหรือเปล่า ผมรบกวนขอดูตั๋ว"     พนักงานถามขณะยื่นมือมารับตั๋วจากผม

"ผมเพิ่งซื้อตั๋วขาลงอย่างเดียว เป็นแบบคริสตัล พอดีวันนี้วันเกิดแฟนผม ผมอยากทำเซอร์ไพรส์"     ผมบอกไปทั้งๆที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเกิดวันไหน แถมยังโมเมสถานะความสัมพันธ์ไปอีก แต่พนักงานก็พยักหน้ารับรู้

"โอเค ตอนนี้มีลูกค้ารอกลับไม่มาก รบกวนคุณรออีกสามคิว ผมจะจัดให้คุณกับแฟนขึ้นแค่สองคน"

"ขอบคุณมาก"   พร้อมก้มหัวให้เป็นการขอบคุณอีกครั้ง

"ด้วยความยินดี ไม่ทราบว่าจะรับรูปคู่ด้วยไหม ทางเราจะถ่ายให้เป็นพิเศษ แต่คงจะต้องใช้โทรศัพท์ของคุณเอง"     ผมพยักหน้ารับทันทีพร้อมเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เท่าที่ทราบจะมีบริการถ่ายให้แค่เฉพาะขามาเท่านั้น ผมเลยยื่นโทรศัพท์มือถือฝากไว้กับพนักงานก่อนจะเดินมาหาอีกคนที่ยืนรออยู่ในแถว

.......................................................................


"พี่ไปคุยอะไรกับพนักงานอ่ะ"     มันถามขึ้นทันทีที่ผมเดินมาถึง

"แค่ไปถามว่าต้องรออีกประมาณกี่คิว อยากรู้ว่าเค้าจัดคิวยังไง พอดีพี่หิวข้าวแล้ว"     ผมไม่ได้โกหก เพียงแค่ไม่ได้ลงรายละเอียดในสิ่งที่คุยมาทั้งหมดก็เท่านั้น

"อ่อๆ"

"ถึงคิวแล้วไปกัน"     ผมเดินตามหลังมันไป พอกำลังขึ้นกระเช้าก็ก้มหัวเล็กน้อยถือเป็นการขอบคุณให้กับพนักงาน เข้ามาในกระเช้าเรียบร้อยก็ได้ยินพนักงานคนเดิมพูดบอกว่าขอถ่ายรูป ผมเลยดึงไหล่คนข้างตัวที่กำลังจัดหาที่นั่งให้มายืนใกล้ๆพร้อมโอบไหล่ไว้เบาๆ หลังจากพนักงานถ่ายรูปเรียบร้อย ก็ยื่นมือถือคืนให้ก่อนที่ประตูกระเช้าจะปิดลงพร้อมกับเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ

.......................................................................


ขณะที่ผมกำลังขยับหาที่นั่งเหมาะๆ อีกฝ่ายก็เดินไปนั่งฝั่งตรงกันข้าม

"เออพี่ ผมสงสัยทำไมเราได้ขึ้นแค่สองคน"     ขมวดคิ้วถามพร้อมชี้ไปกระเช้าก่อนหน้า     "อันนั้นเขาไปกันตั้ง 4 คน"

"เขาคงมาด้วยกันละมั้ง ขากลับคนไม่เยอะ หรือไม่กลุ่มด้านหลังเราเขาคงมาด้วยกัน"     ปล่อยๆไปบ้างก็ได้ ไม่เห็นจะต้องสงสัยทุกเรื่อง

"อ่อๆ งั้นเราก็โชคดีสิ จะทำอะไรก็ได้ ถ่ายรูปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะติดใครแถมมาด้วย กระเช้ากว้างๆนี่เป็นของเรา ฮ่าๆๆๆ"    ผมดีใจนะที่อีกคนชอบ ตอนแรกก็กังวลว่ามันจะกลัวที่ต้องไปกันแค่สองคนซะอีก

"นี่พี่ ได้ยินว่าหิวข้าวแล้วใช่ป่ะ ยังไม่ได้กินไรเลยนี่ตั้งแต่เที่ยง"     มันพูดพลางเปิดกระเป๋าค้นหาอะไรบางอย่าง

"ก็หิว"

"หิวแล้วทำไมไม่บอกวะ ร้านอาหารข้างบนมีเยอะแยะ"

"ก็เห็นกำลังเพลินเลยไม่อยากกวน"    พอผมพูดจบประโยคมันก็เงยหน้าขึ้นมามอง

"เกี่ยวไรกันวะ คือผมกินแล้วไง แต่พี่ยัง ท้องไม่ได้ติดกันนะเว้ย แยกกันกินก็ได้"    ว่าจบก็ยื่นถุงขนมปังมาตรงหน้าผม

"อ่ะนี่ กินซะ ผมซื้อมาให้ ดีนะที่ผมเป็นคนดี คิดถึงใจคนอื่น"

       ผมรับมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ผมดีใจนะถึงแม้ว่าคนที่ซื้อมาให้จะหลงตัวเองไปหน่อยแต่สิ่งที่น่าดีใจกว่านั้นคืออย่างน้อยก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่นึกเป็นห่วงอีกฝ่าย ผมกินขนมจนหมดชิ้น มันอร่อย ทั้งๆที่ไม่ชอบทานขนมปังและของหวาน ไม่รู้ว่าเพราะหิวหรือเพราะมันคือน้ำใจจากคนตรงหน้ากันแน่

"ทำไมโทรศัพท์พี่ไปอยู่กับพนักงานได้ละ"     อีกคนถามขึ้นขณะที่กำลังบิดฝาขวดน้ำเปล่าแล้วยื่นมาให้ผม

"พอดีเค้าถามว่าอยากถ่ายรูปไหม แล้วขากลับมันไม่มีบริการถ่ายให้แล้ว พี่เลยให้ใช้โทรศัพท์พี่แทน"     ผมรู้ว่ามันฟังดูตลก และมากกว่านั้นมันเหมือนผมกำลังพยายาม

"อยากได้รูปคู่กับผมทำไมไม่บอก มาๆเรื่องแค่นี้เอง"     ว่าแล้วมันเอาโทรศัพท์จากมือผมไปแล้วยกขึ้นมาถ่าย ผมพยายามขยับตัวเข้าไปใกล้ หน้าเราอยู่ใกล้กันมากกว่าเดิม ในขณะที่อีกคนกำลังหามุมกล้อง ผมกลับเอาแต่จ้องหน้าอีกฝ่าย

"เผื่อพี่ยังไม่รู้ กล้องอยู่อีกด้านนะ ที่พี่กำลังมองอยู่มันหน้าผม"     มันพูดขึ้นพร้อมสะกิดที่มือ ผมสะดุ้งเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอมองหน้ามันไปนานแค่ไหน รู้แค่ว่าตอนที่มองมันก็เพลินดี

"ถ่ายสิ มองแล้ว"

"อืมๆ เอานะ ยิ้ม"     ถ่ายไปได้ประมาณสองสามรูปมันก็ยื่นโทรศัพท์คืนมาให้

"อย่าลืมส่งรูปให้ด้วยนะ รูปที่พนักงานถ่ายให้ด้วย"     ผมพยักหน้ารับ

ผมนั่งอยู่บนที่นั่งมองวิวขณะกระเช้าเคลื่อนตัวไปด้านหน้า ในขณะที่อีกฝ่ายกำลังผุดลุกผุดนั่งบนพื้นกระจกที่มองทะลุลงไปด้านล่าง

"เจ๋งหว่ะพี่ วิวทะเลสาบข้างล่างโคตรสวย รู้สึกเหมือนกำลังลอยอยู่เลย"     มันอธิบายความรู้สึกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

"ถ่ายรูปไหม พี่ถ่ายให้"     ผมถามพร้อมชูโทรศัพท์ขึ้นมา

"เอาสิพี่ มาถ่ายด้วยกัน"     มันหันหน้ามามองพร้อมกวักมือ

"ถ่ายคนเดียวมั่งสิ จะได้เห็นวิวบ้าง ถ่ายด้วยกันเห็นแค่หน้า กลับมาดูอีกทีก็ไม่รู้กันพอดีว่าไปเที่ยวที่ไหนมา"     ว่าจบก็ยกโทรศัพท์ขึ้นพร้อมถ่าย อีกฝ่ายก็นั่งขัดสมาธิพร้อมชูสองนิ้วรอ

"เสร็จยัง กี่รูปวะพี่ ทำไมนานจัง"     ผมเองก็ไม่รู้ว่าถ่ายไปกี่รูปและถ่ายไปนานแค่ไหน ตอนนี้ผมสนใจหน้าคนที่อยู่ในจอโทรศัพท์ผมมากกว่า พอรู้สึกตัวเลยลดโทรศัพท์ลงก่อนจะยื่นให้อีกฝ่ายดูรูป

"เสร็จแล้ว"     ผมว่ามันยิ้มแล้วดูดีนะ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันก็เห็นมันยิ้มบ่อย แต่ยิ้มแบบนี้ แบบที่ผมมองจนเพลินขนาดนี้คงมีแค่ตอนถ่ายรูปเท่านั้นแหละ นี่คงเป็นช่วงเวลาเดียวที่ผมจะได้ฉวยโอกาสต่อเวลาเพื่อจะเห็นรอยยิ้มนั้นนานขึ้นอีกหน่อย

กว่าจะมาถึงที่พักก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่ม ผมเดินมาส่งมันที่หน้าประตูห้อง

"รีบนอนนะ พรุ่งนี้จะพาไปเดินเล่นเกาะอีกฝั่งนึง"     ผมพูดขณะอีกฝ่ายกำลังเปิดประตูห้อง

"โอเคพี่ พรุ่งนี้เช้าเจอกัน"

"ตื่นสายหน่อยก็ได้ เจอกันสัก 9 โมงดีไหม"

มันขมวดคิ้วก่อนจะถาม  "9 โมงก็ไม่ทันกินข้าวเช้ากับป๊าพี่ดิ"

"ไม่เป็นไร พรุ่งนี้จะพาไปกินติ่มซำ เดี๋ยวพี่บอกป๊าให้"

"เฮ้ย! จริงนะ งั้นไปตั้งแต่ 8 โมงเลยได้ป่าว ผมอยากกินเร็วๆ"     พูดไปก็เขย่าแขนผมไป ท่าทางจะอยากกินจริงๆ เพราะสีหน้าแววตาแสดงออกชัดเจนมาก

"อืม ตื่นให้ทันก็แล้วกัน"     พูดจบผมก็เดินหันหลังเดินไปที่ลิฟต์ ได้ยินเสียงมันตะโกนมาเบาๆให้พอได้ยิน

"ไม่สายแน่นอน ฝันดีนะพี่"     ประตูลิฟต์ที่สะท้อนเงาภาพผมอยู่คงไม่ได้หลอกตาใช่ไหม ผมว่าผมเห็นตัวเองกำลังยิ้มนะ

.......................................................................


Matt part
     
          อันที่จริงวันนี้ผมโคตรรู้สึกไม่ดี เวลาผมอยู่กับตัวเองหรืองาน ผมมักจะลืมคนรอบข้างไปทันที อาจจะเพราะความเคยชินเลยทำให้ผมลืมอีกคนไป จนกว่าจะรู้สึกตัวก็เกือบเย็น ถ้าเป็นผมคงไม่นั่งรอเฉยๆอย่างที่พี่เชนทำแน่ พี่มันโคตรอดทน จริงๆผมอยากจะเอ่ยขอโทษไปพร้อมกันตอนยื่นขนมให้ แต่ปากมันหนักดันไปอวยตัวเองให้เขาฟังซะงั้น พี่เชนคงต้องเป็นพวกคนสองบุคลิกแน่ๆถ้าให้ผมเดา ถ้าไม่รู้จักกันก็ขวานผ่าซากมาเลย ประหยัดถ้อยประหยัดคำลามไปถึงประหยัดน้ำใจอีกด้วย  แต่ถ้าได้รู้จักกันมากขึ้นพี่แกก็ดันกลายเป็นคนที่มีน้ำใจกองอยู่เต็มกระบุง เต็มซะจนล้น ใครจะไปคิดว่าพี่มันจะวิ่งไปซื้อเบอร์เกอร์มาให้ผม วิ่งนะไม่ใช่เดิน ไหนจะนั่งรอ ไหนจะซื้อตั๋วให้ ดูแลซะหลายอย่าง ถ้าผมเป็นผู้หญิง และไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองเลยนะ ผมคิดว่าพี่มันจีบชัวร์ แต่นี่มันไม่ใช่ไง หัวจรดเท้าผมเป็นผู้ชายชัดๆ เพราะงั้นอย่างเดียวที่คิดได้ตอนนี้คือ พี่เชนโคตรเป็นคนดี และผมก็คิดไม่ออกด้วยนะว่าพี่มันหวังอะไรจากผมรึเปล่า เพราะผมว่าผมเองก็ไม่มีอะไรให้หวังนะ

ครืด! ครืด!

OATMEAL
มึงๆ กลับมาวันไหนวะ
                                                                                  Matt
                                                                             วันศุกร์นี้
OATMEAL
พอดีเลย
วันนี้วันอาทิตย์ งั้นก็อีก 5 วัน
                                                                                  Matt
                                                                            อืม มีไรวะ

OATMEAL
กลับมากี่โมง กูจะไปรับ
                                                                                  Matt
                                                                                แปลก!

OATMEAL
Missed
Missed
Missed
ทำไมไม่รับสายกู!
                                                                                  Matt
                                                                    กูกลัวมึงเสียเงิน

OATMEAL
ไอ้สัด! กดรับเลยมันโทรฟรี
                                                                                  Matt
                                                                                  เออๆ


Incoming call from OATMEAL


"ว่าไง"

"ไอ้ควาย!!! โง่ฉิบหาย"      มันใช่คำทักทายที่ผมควรได้ยินเหรอ

"ก็กูไม่รู้นี่หว่า"      กูพิมพ์คุยกับมึงได้นี่ก็เก่งละ

"กูว่านะเว้ย นิยายของมึงต้องโคตรล้าหลัง ห่า! คนเขียนยังใช้ไม่เป็นตัวละครมันก็โง่ตามอ่ะ"

"กูเขียนบรรยายความงดงามของความรักเว้ย ไม่ได้สอนใช้เทคโนโลยี"      บางทีวิธีเก่าๆเดิมๆมันก็มีเสน่ห์มากกว่านะผมว่า

"มันก็ต้องมีบ้างดิวะ นางเอกมึงยังใช้นกพิราบอยู่รึไง ละสงสัยไอ้พระเอกแม่งคงก่อฟืนส่งสัญญาณ"

"ไม่เคยอ่านหนังสือกูก็อย่ามาเดามั่ว"

"เออๆ”

"แล้วตกลงมึงมีอะไร"

"บอกแล้วไงกูจะไปรับมึง"

"จะเอาอะไร บอกมาเลย"      ผมว่ามันต้องทำดีแลกของฝาก

"เปล่าเลย พวกไอ้มินนัดกันที่ร้านเดิม มันบอกว่าคราวนี้ต้องเจอมึงนะ"      มิน คือเพื่อนกลุ่มเดียวกันสมัยมัธยมปลาย แต่พอเรียนจบแยกย้ายเราก็เจอกันน้อยลง ประกอบกับผมไม่ค่อยชอบไปงานสังสรรค์ทำนองนี้เท่าไหร่ พวกมันนัดเจอกันก่อนปีใหม่ของทุกปี และทุกครั้งที่พวกมันนัดเจอกัน ก็มักจะเป็นผมที่มีข้ออ้างไม่ไปอยู่เสมอ

"บอกไปว่ากูเหนื่อย เพิ่งกลับจากทำงาน"

"โห! ทำงาน กล้าพูดนะมึง รู้สึกผิดบ้างไหม" จริงๆผมก็รู้สึกผิดนะ ตั้งแต่มันนัดกันหลายต่อหลายครั้ง ผมไปแค่ 2-3 ครั้งเองมั้งถ้าจำไม่ผิด เพราะสถานที่ที่พวกมันนัดกันผมไม่ชอบไง ทำไมเราจะต้องไปอยู่ในที่ที่เราไม่ชอบด้วยละ

"งั้นเปลี่ยนมากินร้านพี่กูสิ"

"ไม่เอา ไปที่ไรพี่มัทลดแลกแจกแถมตลอดเลย พวกกูเกรงใจ"

"กูคิดเต็มจำนวนเอง ไม่งั้นก็เปลี่ยนร้าน ถ้าไปร้านเดิมทายล่วงหน้าได้ตอนนี้เลยว่ากูจะเหนื่อยมากจนไปไม่ได้เลยวันนั้น"      ผมไม่ชอบการสังสรรค์อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นร้านเหล้าเจ้าประจำของพวกมัน ผมยิ่งไม่อยากไป แค่ไม่ชอบ เหตุผลมีแค่นั้น

"ไปเป็นหมอดูเถอะมึงอ่ะ เสือกทายล่วงหน้าได้อีก"

"ตกลงว่าไง"

"เออๆ งั้นกูขอโทรหาไอ้มินก่อน แล้วว่าไงกูจะไลน์บอกมึงอีกที โอเคนะ"

"เออๆ"


หลังจากวางสายจากไอ้โอ้ตก็เห็นแจ้งเตือนที่มาจากไลน์ชื่อของพี่มัท

Matree
ถ้าถึงที่พักแล้วบอกนะ มัทมีเรื่องจะคุยด้วย
                                                                                  Matt
                                                              ถึงแล้ว มีอะไรรึเปล่า

Matree
ปิดร้านแป๊บนึงนะ 10 นาที เดี๋ยวมัทโทรไป
                                                                                  Matt
                                                        งั้นแมทขออาบน้ำก่อนนะ

Matree
จ้ะ เสร็จแล้วบอกนะ
                                                                                  Matt
                                                                                   ครับ

       พิมพ์บอกพี่มัทไปอย่างนั้นแล้วก็รีบพาตัวเองไปอาบน้ำ วันนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองอาบน้ำนานกว่าปกติ ทั้งๆที่รู้ว่าพี่มัทรออยู่ แต่ระหว่างนั้นผมก็ยังเอาความคิดที่กังวลเกี่ยวกับการกระทำของพี่เชนออกไปจากหัวไม่ได้จริงๆ อาบไปก็คิดไป กว่าจะเสร็จก็ปาไปชั่วโมงกว่า ซึ่งปกติครึ่งชั่วโมงนี่เกินพอสำหรับผมแล้วนะ ต้องโดนพี่มัทสวดแน่ๆ



                                                                                  Matt
                                                                       เสร็จแล้วค้าบ
Matree
ช้าเว่อๆ โทรไลน์ไปนะ รับเป็นรึเปล่า
                                                                                  Matt
                                                                                  ครับ


Incoming call from Matree


"ครับพี่มัท"

"แมทกลับวันศุกร์นี้ใช่ป่ะ"

"ครับ"

"วันอังคารดึกหน่อยมัทจะไปถึงที่นั่นนะ แต่ฟินกับเฟย์ไม่ได้ไปด้วยนะ"

"อ้าว...ทำไมละ"

"มัทเปลี่ยนเป็นวิดีโอคอลดีกว่า สองแฝดอยู่ข้างๆพอดี"

สักพักหน้าจอไอแพดก็ปรากฏภาพสมาชิกในครอบครัวซึ่งประกอบไปด้วย แม่ พี่มัท น้าอิงและสองแฝด

"น้องแมท น้าอิงขอโทษนะลูก"     น้าอิงเอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก

“ขอโทษเรื่องอะไรครับ"     

“น้าอิงจับฉลากรางวัลของขวัญปีใหม่จากแผนกได้แพ็กเกจเที่ยวญี่ปุ่นพอดีจ้ะ แล้วลืมบอกสองแฝดไว้ว่าเราจะไปกันช่วงนี้ ก็เพิ่งมารู้จากน้องมัทตอนมาขอพาสปอร์ตสองสาวไปจองตั๋วนี่แหละน้องแมท"     น้าอิงเป็นคนเอ่ยอธิบาย

"โห! ไรอ่า แฝดเบี้ยวเฉยเลย ปล่อยพ่อกับแม่ไปฮันนีมูนกันเถอะแล้วเราสองคนก็มาหาพี่ที่นี่"     ผมขมวดคิ้วทำหน้าเซ็ง

"พี่แมท ปรึกษาเซลล์สมองเดี๋ยวนี้เลย ญี่ปุ่นนะคะพี่ หน้าหนาว หิมะตก แช่ออนเซ็น เดินเล่นชินจูกุ พ่อกับแม่ไปด้วยอีกแน่นอนว่าเงินหนา มันดีกว่าเห็นๆ"     พอเฟย์พูดจบก็โดนน้าอิงตีแขนเบาๆไปหนึ่งที แล้วทุกคนก็พากันหัวเราะ

"ก็เฟย์พูดเรื่องจริงนี่หน่า เราสองคนตัดสินใจอย่างใช้สติสุดๆ"

"แล้วนี่แมทไปไหนมาไหนสะดวกไหม หลงทางรึเปล่า"     แม่ถามพร้อมรอยยิ้ม

"ไม่ครับ แม่จำที่แมทเล่าให้ฟังได้ไหม เรื่องเจ้าของห้องที่นี่"

"จ้ะ" แม่พยักหน้า

"แมทเสนอให้เขามาเป็นไกด์ให้เมื่อเช้านี่เองครับ "

"รบกวนเขารึเปล่าแมท"

"เขาบอกถ้าไปด้วยแล้วไม่สนุกจะคิดค่าจ้าง แต่วันนี้ก็ยังไม่เห็นจะตกลงอะไรเลยครับแม่"

"แม่คงต้องให้มัทหิ้วอะไรไปฝากติดไม้ติดมือไปให้เขาหน่อยแล้วหล่ะ ไม่งั้นเกรงใจแย่"

"แมทก็คิดเหมือนแม่เลย"

"งั้นก็ตามนี้นะ อีกสองวันเจอกัน จะได้เก็บตกที่เหลือว่าแมทยังไม่ได้ไปที่ไหนบ้าง"

"เอ้อพี่มัท วันศุกร์นี้โอ้ตมันอาสาจะมารับนะ"

"อืมได้ ดีเหมือนกันแม่จะได้ไม่ต้องกังวลว่าไม่มีใครดูร้านตอนไปรับเรา”

“จ้ะ แมทไปนอนเถอะลูก พรุ่งนี้จะได้ไม่เหนื่อยนะ”

“ครับแม่ รักแม่นะครับ สวัสดีครับน้าอิง เจอกันอีกสองวันนะพี่มัท”  ผมบอกลาทุกคนก่อนพี่มัทจะตัดสายไป

       ใจจริงอยากให้พี่มัทรีบมาวันนี้พรุ่งนี้เลยซะด้วยซ้ำ เพราะผมจะได้ไม่ต้องขอให้พี่เชนมาเป็นไกด์ให้อีก ไม่ใช่ว่าไปกับพี่เชนแล้วผมไม่สนุกนะ มันสนุก มีความสุขแล้วก็โคตรสบายใจ แต่การที่พี่เชนเป็นอย่างวันนี้มันทำให้ผมกลัวว่าวันต่อๆไปความอึดอัดและความเกรงใจที่ผมมีมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ นี่ขนาดแค่วันแรกยังดีถึงขนาดนี้ อย่าให้ผมต้องคาดเดาถึงวันต่อๆไปเลย                                 

.......................................................................



❤ตอนที่ 8 แล้ว มีใครคิดถึงแมทกับพี่เชนบ้าง ; )
❤เจอกันปีหน้านะคะกับตอนที่ 9 ^^*
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณนะค๊ะ



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 8 [28-12-57] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 29-12-2014 20:58:55
โหยยยย น้องแมท อย่าเพิ่งให้พี่มัทมาเร็วๆซิ
พี่เชนจะได้ดูแลจนน้องสนิทใจไงคะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 8 [28-12-57] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-12-2014 13:17:40
มัทจะมาแล้วเหรอ
เชนก็อยู่กับแมท
ได้แค่ไม่กี่วันน่ะซิ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 8 [28-12-57] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 30-12-2014 18:30:03
น่ารักดีนะ เริ่มเกิดภาวะไหวหวั่นหวั่นไหว :laugh:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 9 [04-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 04-01-2015 11:34:04
ตอนที่ 9


Chen part

"คนเรานี่ก็มีความพยายามเนอะ อยากรู้จริงๆว่ามันจะอร่อยขนาดไหน อย่างอื่นมีให้กินตั้งเยอะ ก็ลำบากมาต่อคิวกันตั้งสองสามชั่วโมง"       หลังจากที่ผมเล่าให้ฟังว่าสาขาแรกที่ตั้งอยู่อีกที่นึงต้องใช้เวลารอคิวกันนานมาก มารอกันตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดใครที่อยากทานร้านนี้ต้องรีบมารอตั้งแต่เช้า ต่อแถวกันยาวไปจนสุดหัวมุมถนน ติ่มซำร้านนี้ได้รับดาวการันตีจากสถาบันชื่อดัง รสชาติก็อร่อยแถมราคาย่อมเยา อีกทั้งเชฟที่นี่ยังเคยทำอยู่ในโรงแรมชื่อดัง เพราะงั้นร้านนี้จึงเป็นตัวเลือกที่นักท่องเที่ยวมักจะแนะนำต่อๆกัน พอร้านเปิดก็จะคนมายื่นบัตรคิวพร้อมกับเมนูให้เลือก ซึ่งลูกค้าที่มาทานที่นี่อยากทานมากน้อยแค่ไหนก็ได้แต่มีโอกาสสั่งแค่ครั้งเดียว ถ้าอยากทานเพิ่มก็ต้องไปต่อคิวอีกครั้ง โชคดีหน่อยที่เดี๋ยวนี้มีให้เลือกทานกันถึง 5 สาขา แถมยังไม่ต้องรอคิวนานอีกด้วยพอได้ยินอย่างนั้นคนตรงหน้าผมก็สั่งไม่ยั้งเลยครับ มันบอกว่าถึงไม่ได้ต่อคิวเหมือนสาขาแรกแต่ก็ขอสั่งที่อยากกินทั้งหมดทีเดียวละกัน จะได้เข้าถึงความรู้สึกของคนที่ไปต่อคิวกินสาขาแรกกัน ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดมันหรอกครับ แต่ตอนที่คุยกันระหว่างทางที่จะมาร้านนี้เลยได้รู้ว่าที่มาที่นี่ก็เพื่อจะมาหาข้อมูลเพื่อเขียนนิยาย เพราะงั้นอะไรที่อันซีน อะไรที่ต้องดูต้องทำต้องไปมันจะขอทำทั้งหมด

“ถ้าเป็นแมทจะมาต่อไหม”

“ต่อ ฮ่าๆๆๆ”      พูดจบก็ยิ้มให้ทั้งปากทั้งตา

สักพักอาหารก็มาเสิร์ฟเต็มโต๊ะไปหมด งานนี้ได้มีคนขยาดติ่มซำไปสักพักแน่นอนครับ

"เฮ้ย พี่อร่อยหว่ะ อันนี้ก็อร่อย จานนั้นก็อร่อย เสี่ยวหลงเป่านี่แบบ หืมมมม ฉ่ำน้ำอ่ะพี่"      เคี้ยวเต็มปากแต่ก็ยังพยายามจะอธิบายถึงรสชาติ

"อร่อยก็ดี กินให้หมดนะ"      ผมกินไปได้ประมาณสองสามถาดก็เริ่มวางตะเกียบ

"โอเค พี่อิ่มละเหรอ"      ผมพยักหน้ารับ

"เช้าๆแค่กาแฟร้อนก็พอแล้ว"      ว่าจบก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบ

"ไรวะ กินไปนิดเดียวเอง งั้นที่เหลือผมจัดการหมดเลยนะ"     ผมพยักหน้าอีกครั้งพร้อมดันเข่งออกจากตัวไปให้อีกคนตรงข้าม เห็นสายตามันกำลังมองมาที่มือผม หรือว่าจะอิ่มเหมือนกัน

"ผมถามได้ไหมว่าพี่ใส่เชือกอะไรที่ข้อมือ"      ทันทีที่อีกคนถามผมก็ก้มลงมองข้อมือตัวเอง

"อ่อ friendship bracelet รู้จักไหม"

"ใช่ที่คนอินเดียเค้ามอบให้คนที่เป็นเพื่อนกันเพื่อแสดงถึงมิตรภาพป่ะ"

"ใช่ แต่เส้นนี้พี่ได้มาจากอเมริกาใต้ เค้าจะให้เราอธิษฐานตอนที่ผูกให้"

"แล้วเชือกจะหลุดเองถ้าคำขอเป็นจริงใช่ไหม"      มันดูตื่นเต้นทันทีที่เข้าใจว่าเป็นอย่างที่คิด

"อื้ม ใช่ อยากได้เหรอ"

"ป่าวๆ พอดีเคยเขียนถึงเรื่องนี้ พยายามหาข้อมูลอยู่พักนึงแต่มีน้อยมาก พอเห็นพี่ใส่ ผมไม่คิดว่ามันคือสไตล์หรือแฟชั่นเพราะมันดูไม่ใช่"      เลยสงสัยสินะ

"ใส่ไว้อย่างนั้นแหละ แค่อยากลองดูว่าเชื่อได้ไหม"

"พูดแบบนี้ก็แสดงว่าเชื่อไปครึ่งนึงแล้ว"

"อาจจะอย่างนั้น"      ผมคิดว่ามันถูกทำมาเพื่อให้นึกถึงมากกว่า ผูกแน่นขนาดนี้จะหลุดเองได้ไง

"แล้วพี่อธิษฐานว่าไง"     ผมไม่ตอบ แค่ส่ายหัวเล็กน้อย แล้วก็นั่งมองมันกินไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่มีคำถามต่อ

มันกินเรื่อยๆจริงๆครับ ค่อยๆกินทีละชิ้น หมดทีละเข่งทีละจาน เกือบครึ่งชั่วโมง ทุกจานบนโต๊ะก็เกือบว่างเปล่า ผมว่ามันกินเก่งนะ แต่ไม่เห็นอ้วน ค่อนไปทางผอมเกินไปด้วยซ้ำ

"ไม่หมดแล้ว อร่อย แต่อิ่ม"      เงยหน้าขึ้นมาบอกผมขณะเคี้ยว แล้วมันก็เอนหลังพิงพนักพร้อมกับลูบพุงตัวเองไปด้วย

"ไม่หมดก็พอสิ ถือตะเกียบอยู่อีกทำไม"

"เสียดายพี่ ค่อยๆกินเดี๋ยวก็หมด"

"ไม่ต้องพยายามยัดหรอก ถ้าปวดท้องนี่อดเที่ยวเลยนะ มาพี่ช่วย"     ทำท่าคิดตามไปด้วย กินไปเยอะขนาดนั้นถ้ายังฝืนกินต่อผมว่าคงเดินไม่ไหวแน่ๆ

"เห้ย! เกรงใจ"

"หรือจะกินต่อเอง"

"ช่วยก็ได้ แหะๆ"     ว่าอย่างนั้นแล้วก็ดันถาดที่เหลือมาตรงหน้าผม

"พี่ไม่ถือเหรอ มันไม่ใช่ของเหลือนะ แต่แค่ผมกินไม่ไหวแล้ว"     ผมพยักหน้ารับ

"ไม่ถือหรอก ก็เสียดายไม่ใช่เหรอ ถ้าพี่ไม่กินแมทก็พยายามกินจนหมดอยู่ดี"     ผมก็แค่ช่วย อีกคนจะได้ไม่ต้องพยายามยัดให้ทรมานตัวเอง

"จบทริปนี้ อ้วนแน่ๆ"

"ให้อ้วนกว่านี้สิ น่ารักดี"     ผมพูดขณะยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง

"ห๊ะ! อะไรนะ"      จะอุทานเสียงดังทำไม ขนาดโต๊ะข้างๆยังหันมามอง

"บอกว่าให้อ้วนกว่านี้สิ"      มันรีบส่ายหัว

"ไม่ใช่ๆ อะไรดีๆ ได้ยินไม่ชัด พี่อย่าเอาแก้วกาแฟบังดิวะ"      พูดจบก็เอามือมาคว้าแก้วกาแฟไปจากมือผม

"อ้วนกว่านี้สิดี"      มันวางแก้วกาแฟลงตรงหน้าผมแล้วมองด้วยหางตา ทำหน้าแบบที่ผู้หญิงเค้าทำกัน

"พี่แม่งโกหก รู้ว่าไม่ใช่ แต่ไม่เป็นไรผมเหมาเอาว่าพี่ชมผมละกัน"      พูดจบมันก็ยิ้มกว้าง มองแล้วน่ารักดี ผมรู้สึกอย่างที่พูดนั่นแหละครับ แค่นั้น คือมันน่ารัก     

นั่งรอย่อยสักพักก็เตรียมจะจ่ายเงินเพื่อจะไปที่อื่นต่อ มันหยิบแบงก์ 500 ดอลล่าห์ฮ่องกงยื่นมาให้ผม

"มื้อนี้ผมเลี้ยง ห้ามปฏิเสธ อีกอย่างผมแทบจะกินอยู่คนเดียว พี่หน่ะแค่ดม"      ผมรับเงินมาถือไว้ในมือ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง

"เอิ้กกกกก........อึก"

คือมันเรอครับ ที่สำคัญคือดังและยาวมาก ผมเลยมองหน้ามันนิ่งๆ เห็นหน้ามันเริ่มขึ้นสี มันหันมองซ้ายมองขวารีบผงกหัวให้โต๊ะข้างๆเป็นเชิงขอโทษ แล้วรีบวิ่งออกไปรอหน้าร้าน ผมหลุดหัวเราะทันทีที่มันลุกเดินออกไป ผมไม่ได้มองว่าเป็นอะไรที่น่าเกลียดนะ มันเกิดขึ้นได้ ผมเข้าใจแต่ก็เราควรระวังนะผมว่า อีกอย่างถึงผมจะมองว่ามันน่ารักแต่ถ้าทำกิริยาแบบนี้ในที่สาธารณะผมก็ไม่พยายามหลอกตัวเองว่ามันดูดีหรอกครับ

ยังไม่ทันที่มันจะเดินพ้นประตูออกไปผมรีบจ่ายเงินแล้วเดินตามออกมานอกร้าน มันยืนห่อไหล่เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อรออยู่ คงเป็นเพราะวันนี้อากาศหนาวกว่าเมื่อวาน

"อ่ะ พันไว้จะได้อุ่นขึ้น"      ผมพูดบอกขณะเอาผ้าพันคอพาดบนไหล่มัน

"ขอบคุณครับ"      ผมชูฝ่ามือขึ้นเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรแล้วเดินนำออกมา

"เมื่อกี้อายเหรอ"     หันไปมองหน้ามันก็เห็นว่าแดงอีกรอบ

"มากอ่ะพี่"      ไม่อายก็คงแปลก ขนาดโต๊ะข้างๆยังได้ยิน

"ถ้าอยู่ในบ้านพี่ไม่ถือนะ แต่ข้างนอกสำรวมหน่อยก็ดี"     มันขมวดคิ้วแล้วเกาหัว ผมรู้ว่ามันเข้าใจ แต่คงงงว่าผมจะพูดทำไม ก็หมายความตามที่พูดนั่นแหละครับ


.......................................................................



         ผมพาลูกทัวร์ที่มีเพียงคนเดียวนั่งเรือข้ามฟากมาเกาะอีกฝั่งหนึ่ง เลือกใช้บริการรถรางนั่งชมเมือง ตึกทางฝั่งนี้จะขึ้นชื่อด้านสถาปัตยกรรม รูปร่างตึกที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นั่งจนครบทุกสายก็มาจบลงที่บันไดเลื่อนที่ยาวที่สุด ตอนกลางวันจะค่อนข้างเงียบ เพราะส่วนใหญ่ที่อยู่แถวนี้จะเป็นคนทำงาน บันไดเลื่อนนี้จึงเปิดให้บริการขึ้นลงสลับกันเป็นเวลาไป ตลอดเส้นทางที่กำลังเดินอยู่มีร้านรวงมากมายให้เลือกแวะชอปแวะชิม ละแวกนี้ร้านส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอง บางร้านก็เป็นแฟชั่นเฉพาะกลุ่มไปเลย

      เดินกันไปเรื่อยจนเริ่มรู้สึกเหนื่อย กะจะหาร้านหยุดพัก หันไปบอกอีกคนก็พบว่าข้างหลังไม่มีใครตามมา มองเลยไปอีกช่วงตึกก็เห็นมันนั่งอยู่ที่เก้าอี้ริมฟุตบาทโบกมือให้ ผมเลยเดินย้อนกลับมาหา

"เหนื่อยเหรอ"

"นิดหน่อย พี่เดินไว เรียกแล้วแต่ไม่ทัน"      ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา เดินกันมาตั้งเกือบสองชั่วโมง

"งั้นรอนี่ จะไปซื้อน้ำมาให้"      ไม่ทันรอคำตอบผมก็ลุกเดินไปยังร้านกาแฟใกล้ๆ ลูกค้าในร้านไม่เยอะ ทำให้ไม่ต้องรอคิวนาน เลือกสั่งเครื่องดื่มที่มันชอบกับน้ำเปล่าสำหรับตัวเองอีกขวด

"อ่ะ เวลาเหนื่อยก็ยังต้องเป็นเมนูนี้ใช่ไหม"      ถามพร้อมยื่นแก้วชาเขียวไปให้

"พี่จำได้"      ยื่นมือมารับพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

"เพิ่งบอกเมื่อวาน"      พูดจบก็หย่อนตัวนั่งลงข้างๆ

"พี่นี่ดูเป็นคนใส่ใจดีนะ สาวรักสาวหลงแย่ อืม อร่อย"     หันหน้ามาบอกขณะกำลังดูดน้ำจากหลอด

"ก็ไม่ได้ทำแบบนี้กับทุกคน"      ผมหันไปบอกอีกฝ่ายเป็นจังหวะเดียวกับที่มันเงยหน้าขึ้นมาสบตากันพอดี

"ผมต้องซึ้งใจไหม"      แล้วมันก็ทำท่าทางซับน้ำตา บอกได้คำเดียวเลยว่าน่าหมั่นไส้

"แล้วแต่"

"พี่ชอบผู้หญิงแบบไหน"     มันถามขณะมองตรงไปข้างหน้า

"ไม่มีสเป็ค แค่เข้ากันได้ก็โอเค"      ผมไม่อยากคาดหวังกับใครคนนั้น แค่สักคนที่พอดีก็พอแล้ว ไม่ต้องดูดีที่สุด ไม่ต้องเก่งกว่าใครๆ แค่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุขก็พอ

"ไม่เชื่อหรอก อันดับแรกก็มองหน้าก่อนไหม"     ผมรู้ว่าใครๆก็คิดแบบนั้น

"แล้วแมทชอบแบบไหน"

"ไม่รู้สิ ตาโตๆมั้ง ดูน่ารักดี"     พูดไปก็ยิ้มไป

"แบบนั้นละชอบไหม"     ชี้ไปที่ผู้หญิงผมยาวตาโตท่าทางน่ารัก กำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ในร้านฝั่งตรงข้าม

"น่ารักดี แต่ถ้าให้จีบคงไม่ น่ารักไป เพราะอย่างนี้มั้งเลยยังไม่เคยมีแฟน ผมหมายถึงคนรักหน่ะ"     ผมว่ามันก็จัดอยู่ในขั้นดูดีเลยนะ เหลือเชื่อว่ายังไม่เคยมีใคร

"หรือจริงๆแล้วชอบผู้ชาย ไม่ลองมองดูบ้างละ"      มันวางแก้วที่ถืออยู่ลงก่อนจะมองหน้าผม ผมรู้ว่ามันตรงประเด็นเกินไป

"ก็ไม่แน่นะพี่ ฮ่าๆๆ อีกสักพักถ้ายังไม่มีใคร ก็ว่าจะลองมองดู คงได้เป็นอย่างที่แม่กับพี่สาวพูด"      มันตอบพลางหัวเราะ

"พูดว่า"     ความอยากรู้มันทำให้ผมถามต่อ

"ผมคงต้องมีแฟนเป็นผู้ชาย จะได้หายห่วง ถ้าเป็นผู้หญิงก็ต้องหาให้ปกป้องดูแลผมได้แบบพี่สาว เหอะๆ ไร้สาระดี"

"พี่ว่าก็มีสาระอยู่นะ"     มันคว้าแก้วชาเขียวมาดูดอีกครั้ง

"สาระที่พี่ว่าคืออะไร หายห่วงหรือปกป้องดูแลได้"

"ก็ทั้งคู่ บางทีมันอาจจะรวมอยู่ในคนๆเดียวกัน"      ส่ายหัวสองสามทีก่อนจะหันมาพูด

"ถ้าผมเจอคนๆนั้นมีทั้งคู่ก็น่าสน แต่คงยาก"

"ก็ไม่ยากนะ อย่าคิดเยอะ"      หลังพูดจบทั้งผมและมันต่างก็เงียบ

ผมเลยต้องเอ่ยประโยคทำลายความเงียบขึ้นมา

"ไม่สนใจซื้ออะไรบ้างเหรอ"     มันส่ายหน้าก่อนจะหันมาตอบ

"ผมเน้นกิน"      ชัดเจนดี

"งั้นไปกินกัน"      พูดจบก็ยื่นมือให้จับเพื่อลุกขึ้น อีกฝ่ายก็เงยหน้ามองก่อนจะยกยิ้ม

"นี่เป็นเซอร์วิสหรือว่าใส่ใจ"       ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่คว้ามือแล้วดึงตัวมันให้ลุกขึ้นแทน

"เออพี่ ตกลงค่าจ้างคิดไง เมื่อวานก็ยังไม่ได้ตกลง"      วิ่งมาขวางหน้าผมพร้อมถามคำถาม

"ไม่คิดหรอก"      มันยิ้มมุมปากแบบเจ้าเล่ห์ก่อนจะยกนิ้วชี้หน้าผม

"อ่ะแนะ เค้าทำให้ตัวเองมีความสุขละสิ"      ยิ้มกว้างขึ้นแล้วกระพริบตาถี่ๆให้ มันจะรู้ไหมว่าไม่ควรทำท่าทางแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น ผมว่ามันน่ารักเกินไป

"ก็ดี"     พยายามปัดมือมันที่กำลังชี้หน้าผมลง

"ปากแข็งนะเรา อยู่กับเค้าแล้วมีความสุขก็บอกมาเถอะ"      พูดจบก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม

"ใช่ มีความสุข สุขมากจนไม่อยากจะคิดว่ามีเวลาแค่อาทิตย์เดียว"      ผมพูดเบาๆ ไม่คิดว่ามันจะได้ยิน

"พี่ก็ลางานเพิ่มดิ ไปเที่ยวคนเดียวต่ออีกหน่อย"

"ความสุขที่หมายถึงมันไม่ใช่แค่ได้ไปเที่ยว"

"แล้วหมายถึงอะไร"

"ก็หมายถึงคนที่ไปกับเราด้วยไงหล่ะ"       ไม่ต้องอธิบายต่อแล้วครับ ถึงผมจะไม่แน่ใจว่ามันจะเข้าใจรึป่าว เพราะมันทำหน้านิ่งๆเหมือนไม่รู้ ก็นั่นละครับมันอาจจะไม่รู้จริงๆ ไม่รับรู้หรือไม่ก็แกล้งโง่



.......................................................................



ตามแพลนที่พี่สาวของแมทร่างมา วันนี้จะจบต้องจบลงด้วยการไปดูการแสดงแสงไฟประกอบเพลงของตึก หรือที่เรียกกันว่า symphony of light แต่วันนี้การแสดงถูกยกเลิกเลยทำให้ต้องเปลี่ยนแผน

"ไปไหนกันดีพี่ โชว์ก็ไม่ได้ดูแล้ว"      เท่าที่ดูไม่มีแผนสำรองมาเผื่อให้ด้วย

"ชอบทำอะไรเป็นพิเศษไหม"

"อย่างเช่น"

"ชอปปิ้ง ดูหนัง เดินเล่นชมเมือง"

"แค่เนี้ย?!? คนที่นี่เขาชอปปิ้งกันอย่างเดียวเลยเหรอวะพี่"      พูดจบก็เดินไปหาที่นั่ง

"งั้นมั้ง"      เอาจริงๆผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าเค้าทำอะไรกัน เพราะช่วงเวลานี้ผมก็อยู่แค่ที่ร้านอาหารที่เปิดกับพี่เชลด้าไม่ก็นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน

"งั้นนั่งดูวิวอยู่แถวนี้ก่อนละกัน ไหนๆก็มาแล้ว"


เรานั่งฟังเสียงคลื่นเสียงลมสักพักก็มีเสียงทำลายความเงียบขึ้นมา

ครอกกกก......

"เอ่อ"      เจ้าของเสียงทำหน้าไม่ถูก ผมหันไปมองที่ต้นเหตุก่อนจะถาม

"หิวละสิ"

"ไม่เท่าไหร่หรอกมั้งพี่ ดังสะเทือนขนาดนี้"

"ปลาหมึกย่างไหม มาตรงนี้ต้องกินอันนี้แหละ"      ผมมาแถวนี้ทีไรก็เห็นคนต่อคิวรอซื้อเพียบ ปลาหมึกตัวใหญ่ๆ ร้อนๆกับอากาศหนาวๆ วิวสวยๆ ฟังดูดีใช่ไหม

ทันทีที่เจ้าของเสียงท้องที่ร้องพยักหน้าผมก็เดินไปซื้อปลาหมึกย่าง คิวไม่ยาวมาก อาจจะเพราะวันนี้ไม่มีโชว์ คนเลยเริ่มสลายตัว รอไม่นานก็ได้ปลาหมึกย่างมาสองตัว ผมยื่นทั้งหมดให้กับคนตรงหน้า

"พี่กินไหมเดี๋ยวผมฉีกให้"

"เอาสิ"     กินไปสักพักก็เริ่มหิวน้ำ อีกคนอาสาจะไปซื้อเอง พอบอกจะไปด้วยก็ไม่ยอม

“พี่บริการผมเยอะแล้ว ผมไปให้เองมั่ง"    ผมพยักหน้าเบาๆ



.......................................................................



หายไปสักพักก็เดินคอตกกลับมามือเปล่า

"น้ำหล่ะ"

"ใกล้ๆแถวนี้ไม่เห็นมีเลย ไม่กล้าเดินไปไกล กลัวจำทางกลับมาไม่ได้"      เวลามันทำหน้าหงอยๆก็ดูน่ารักไปอีกแบบ ผมว่าไม่แปลกแล้วละครับที่แม่และพี่สาวมันจะพูดแบบนั้น มันเหมาะที่จะมีคนดูแลมากกว่าไปดูแลคนอื่นจริงๆ

"งั้นก็ไปด้วยกันเลย"     ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นกระเป๋าให้มันแล้วจัดการพาไปเอง

ขณะที่เดินไปเรื่อย ผมรู้สึกได้ถึงความเงียบผิดปกติ หันไปมองก็เห็นคนปากคว่ำคอตก

"เป็นอะไร"     มันส่ายหัว

"หิวเหรอ ยังไม่อิ่มใช่ไหม"     เอาแต่ส่ายหน้าอีกครั้ง  ผมเลยเงียบไม่ถามต่อ เดาว่ามันคงไม่อยากพูด เดินสักพักก็รู้สึกได้ว่ามีอะไรมาแตะเบาๆที่ข้อศอก ผมเลยหยุดเดิน แล้วหันถามอีกครั้งขณะอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาพอดี

"ว่าไง"

"พี่ว่าผมงี่เง่าป่ะ"      ผมส่ายหน้า

"พี่ว่าผมน่าเบื่อไหม"      ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

"พี่อย่าเพิ่งเบื่อผมนะ"     มันเลื่อนมือจากข้อศอกมาจับแขนผมเอาไว้แล้วมองผมด้วยแววตาเศร้าๆ ทำสีหน้าท่าทางแบบนี้แล้วผมจะเบื่อลงได้ไง

"พี่พูดแล้วเหรอว่าเบื่อ"

"ผมกลัวพี่เบื่อผม ขนาดผมยังเบื่อตัวเองเลย"      มันก้มหน้าลงมองที่พื้นอีกครั้ง

"ไม่ดีหรอกนะ คนที่เบื่อตัวเอง"      ผมบอก

"ก็ผมแม่ง ชอบทำตัวเป็นภาระ คอยพึ่งแต่คนอื่น ขนาดพี่เจอผมไม่นาน พี่ยังต้องมาดูแลผมเลย ค่าไกด์พี่ก็ไม่คิด แค่ซื้อน้ำแค่นี้ยังทำไม่ได้เลย"

"โว้ะ!!! หงุดหงิดตัวเอง"      เด็กจริงๆ

"ตกลงนี่รู้สึกไม่ดีเรื่องค่าจ้างพี่หรือเรื่องที่ตัวเองเป็นภาระ"      ผมว่ามันเริ่มจะสับสนละ

"ก็ทั้งสองเรื่อง"

"บอกแล้วไงวันไหนพี่ไปเที่ยวกับเราแล้วไม่มีความสุขพี่จะคิดพร้อมทิปหนักๆเลย"

"ผมไม่น่ารำคาญแน่นะ"      ผมส่ายหัวเบาๆพร้อมยิ้มให้ก่อนจะขยี้หัวมันเบาๆ ผมนิ่มดีแฮะ

"อย่าคิดเยอะ ไปหาน้ำกินกัน จะพาไปกินขนมอร่อยๆด้วย"      พูดจบอีกคนก็ตาโตขึ้นมาทันที

"ไปๆ รีบเลยพี่"

"นี่แน่ใจนะว่ามาหาข้อมูลไปเขียนนิยาย ไม่ใช่มารีวิวอาหาร"      ผมไม่เห็นมันจะสนใจบรรยากาศรอบข้างเท่าไหร่เลย ของกินสิดูจะน่าสนใจสำหรับคนตรงหน้าผมมากกว่าอย่างอื่น

"เหอะน่าพี่ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ข้อมูลอยู่ในหัวแล้ว จินตนาการได้เป็นฉากๆเลย"

"ฮ่าๆๆ งั้นไปกัน"      พอพูดจบอีกคนก็รีบออกตัวเดินนำหน้าทันที

"รู้ทางเหรอ รีบเดินนำเชียว"

"ไม่! พี่ก็รีบเดินสิ"

"ครับๆ"      สำหรับมัน เรื่องกินคงเป็นเรื่องใหญ่



.......................................................................



"อันนี้ก็ดี อันนั้นก็น่ากิน อันไหนดี เลือกไม่ถูกเลย อยากกินไปหมด"      หันมาถามผมขณะยืนท้าวสะเอวอยู่หน้าแผงที่มีลูกชิ้นปลาหลายๆแบบวางขายอยู่ ถนนเส้นนี้เป็นย่านวัยรุ่นที่มีของกินอร่อยๆและของขายเต็มไปหมด ซึ่งคนจะเยอะช่วงกลางคืน

"ก็ซื้อหมดทุกอย่าง แต่อย่างละนิดก็พอ"

"แล้วพี่ละ กินอันไหน"

"ไม่ละ ยังอิ่มอยู่เลย"      พอได้ยินอย่างนั้นก็หันไปเลือก พร้อมจ่ายเงิน

"พี่ไม่กินจริงอ่ะ อร่อยนะ"      ผมส่ายหัว

"เยอะขนาดนี้แล้วจะไปกินอย่างอื่นต่อไหวเหรอ"

"ไหวๆ ไปเลยไหม"      หันมาตอบ ปากก็เคี้ยวไปด้วย

"วัยรุ่นเพียบเลย"

"อืม วัยรุ่นที่นี่ส่วนใหญ่จะมาอยู่แถวนี้แหละ"      ตอบพร้อมมองหน้าอีกคนก็เห็นว่ากำลังพยายามยัดลูกชิ้นที่เหลือ

"ไม่ไหวก็ไม่ต้องยัด"

"ไม่ได้ เสียดาย"

"แล้วจะเหลือท้องว่างพอกินวาฟเฟิลบอลไหม"      อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ปากก็พยายามกินลูกชิ้นที่เหลือ

"เอามานี่ พี่ช่วย"      ผมหยิบไม้ลูกชิ้นปลาจากมืออีกคนมาถือไว้เอง

"ดีจัง งั้นผมชิมบะหมี่ต่อเลยนะ"      ผมว่าไม่ใครก็ใครสักคนได้ท้องตึงเรียกหายาช่วยย่อยกันแน่ เพราะหลังจากร้านลูกชิ้น ก็แวะรายทางมาเรื่อยๆเกือบจะครบทุกร้าน ผมก็ต้องช่วยมันกินที่เหลือมาตลอดทาง

"ไม่ไหวแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้บ้างก็ได้"      มันทำหน้าเสียดายทันทีที่ผมว่าอย่างนั้น

"งั้นขอน้ำมะม่วงปั่นอีกแก้วนะ"      ยังจะไหวอีกเหรอ แต่ผมก็พยักหน้าแล้วเป็นฝ่ายเดินไปซื้อให้แทน



.......................................................................



"อ่ะ เอาแก้วเล็กพอนะ"      มันรับแก้วไปถือไว้เอง

"เหนื่อยแล้ว กลับกันไหม"

"ไปสิ"

"แต่พรุ่งนี้พี่ต้องพามากินวาฟเฟิลบอลนะ"

"ครับ"      ผมยิ้มตอบพร้อมพยักหน้ารับ

"พรุ่งนี้เราจะไปไหนกัน"

"พี่กะว่าจะพาไปเดอะพีค ตื่นสายหน่อยก็ได้นะ"

"ดีดี วันนี้เมื่อยมาก ขอนอนยาวๆ"

"งั้นเจอกันสัก 9 โมงไหวไหม"

"โอเคพี่"      ตอบรับก่อนจะออกเดินไปด้วยกัน เนื่องจากแถวนี้ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก เราเลยใช้วิธีเดินกลับ แต่ด้วยอากาศที่ค่อนข้างหนาวและลมพัดค่อนข้างแรงทำให้ต้องรีบเดิน พอหันไปมองก็เห็นคนข้างๆดูท่าทางไม่น่าจะไหว

"เป็นอะไรรึเปล่า"      ผมหยุดขวางอีกคนก่อนก้มหน้าถามคนที่กำลังห่อตัวเข้ากับเสื้อกันหนาวของตัวเอง

"สงสัยจะจุกอ่ะพี่"      คงเพราะกินจนแน่นแล้วมารีบเดิน

"พักก่อนไหม"

"ไม่เป็นไร ยังพอไหว กลับไปพักที่ห้องดีกว่า"      หน้าตาดูซีดขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด

"เอากระเป๋ามาพี่ช่วย"      ปลดกระเป๋าที่สะพายอยู่ด้านหลังทันทีที่ผมเอ่ยขึ้น

"ขอบคุณครับ"      ผมรับกระเป๋ามาสะพายไว้เอง อยากจะช่วยพยุง แต่ก็กลัวว่ามันจะรู้สึกไม่สะดวกใจ

กว่าจะมาถึงห้องได้ก็ทุลักทุเลมาก เดินไปก็กุมท้องไป

"ดีขึ้นบ้างไหม"      วางกระเป๋าลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยถาม

"ไม่หว่ะพี่ เหมือนจะปวดกว่าเดิมอีก"      ก็นั่งตัวงอซะขนาดนี้

"งั้นพี่ลงไปซื้อยาให้ อดทนก่อนนะ"      เอาจริงๆผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไง อย่างแรกที่คิดได้ก็คงต้องกินยาไปก่อน

ผมรีบวิ่งไปซื้อยาที่ร้านสะดวกซื้อด้านล่างตึก ผมเองก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับยาหรืออาการอะไรพวกนี้มากนัก เบื้องต้นตอนนี้แค่ยาช่วยย่อยกับยาลดกรดคงน่าจะพอบรรเทาไปได้

“แมทกินยาก่อน”     ผมยื่นยาให้พร้อมกับแก้วน้ำรอให้อีกคนรับไป

“ขอบคุณนะพี่”    วางแก้วน้ำลงที่โต๊ะข้างเตียงหลังจากเอ่ยขอบคุณ

“นอนพักเถอะ เดี๋ยวพี่อยู่เป็นเพื่อน”     พอว่าอย่างนั้นอีกคนก็ลุกขึ้นมานั่งจากท่าที่คุดคู้

“ไม่เป็นไรพี่ ผมเกรงใจ ผมอยู่ได้ พี่ไปนอนเถอะ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”   

“ไม่ต้องเกรงใจ ไว้เราดีขึ้นพี่ค่อยขึ้นไปก็ได้”

“เถอะนะ”     ได้ยินอย่างนั้นผมก็เดาว่ามันคงอยากพักผ่อนเงียบๆ  และผมเองก็ไม่ควรรั้นที่จะอยู่ต่อ

“ถ้าไม่ไหวโทรเรียกพี่ได้ตลอดเลยนะ”    พูดจบก็เดินไปหยิบโทรศัพท์ไร้สายของห้องมาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียงพร้อมกับที่อีกคนพยักหน้ารับ

          ผมจำต้องเดินออกจากห้องไปตามที่อีกคนต้องการ จะให้ทำไงได้ในเมื่ออีกฝ่ายอยากพักผ่อนลำพัง ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในอาการเป็นกังวล เพราะนี่ขนาดกลับมาอาบน้ำ เช็คอีเมล์ ส่งงานเรียบร้อย ได้เวลานอนแล้วผมยังไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด ผมว่าผมกำลังเป็นห่วง แล้วพอมันอยากอยู่คนเดียวก็ยิ่งเป็นห่วงอยากรู้เข้าไปอีกว่ามันดีขึ้นหรือยัง ความกังวลมันเลยสั่งการให้ผมเดินลงมาที่หน้าห้องพักของอีกฝ่าย เดินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นแต่ก็ไม่กล้าเคาะประตู ทั้งๆที่มีรหัสและกุญแจแต่ก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะเกรงว่าจะรบกวนถ้าอีกฝ่ายกำลังหลับอยู่ ถ้าทำแบบนั้นผมคงกลายเป็นคนที่ไม่มีมารยาทเอามากๆ วันนี้ผมคงทำได้แค่นี้  อันที่จริงจะว่าไปสองวันมานี่ผมทำเรื่องที่เกินคาดเดาไปหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเดินตามอีกคนไปสถานีรถไฟฟ้าแถมยังไปใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินอีก หรือจะเป็นเรื่องลางานไปเที่ยว ดื่มเครื่องดื่มที่บอกตัวเองมาตลอดว่าไม่ชอบ หรือจนกระทั่งการมายืนกังวลอยู่หน้าห้องอีกฝ่ายแบบนี้ ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติแล้วหล่ะ ผมควรจัดการเรียบเรียงความคิดตัวเองซะใหม่แล้วถามตัวเองอย่างจริงจังว่ากำลังทำอะไรอยู่


.......................................................................



❤ตอนที่ 9 มาแล้วค่ะ ^^*
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆเป็นเพื่อนกันก่อนน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณนะค๊ะ


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 9 [04-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 04-01-2015 16:10:28
พระเอกเริ่มรุกแล้ว :-[ :-[
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 9 [04-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 04-01-2015 19:50:25
น่ารักอ่ะ
ยาวจุใจมากๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 9 [04-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-01-2015 21:55:18
หนุ่มตี๋จะรู้ใจตัวเองแล้วนะ แมทเตรียมตั้งรับได้เลย(เอ หรือว่าแมทจะมึนต่อไป)
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 9 [04-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 04-01-2015 23:41:49
รักคุณเข้าแล้วสินะ

ตั้งตัวได้แล้วรุกเลยยยย
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 9 [04-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 05-01-2015 10:37:58
พึ่งเข้ามาอ่านเนื้อเรื่องน่าสนใจดี
รออ่านตอนต่อไปค้าบบ :katai2-1:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 10 [11-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 11-01-2015 10:48:18
ตอนที่ 10
 

Matt part

ก๊อกๆๆๆ  ก๊อกๆๆๆๆ

ใครมาเคาะประตูแต่เช้า หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา

"ฉิบหาย!"       10 โมงครึ่งแล้ว เมื่อคืนก็นอนทั้งชุดเดิม หน้าก็ไม่ได้ล้าง น้ำก็ไม่ได้อาบ

ส่องตาแมวแล้วคงเป็นใครไปไม่ได้ สภาพตอนนี้ผมคิดว่าไม่ควรเปิด

แกร๊ก!

แง้มประตูเข้ามาหาตัวประมาณ 1นิ้ว แล้วโผล่ออกไปแค่ตา

"พี่ผมขอโทษ เพิ่งตื่น แต่ให้เข้ามาตอนนี้ไม่ได้จริงๆ"

"ทำไมละ จะนอนต่อเหรอ หรือว่ายังไม่หายปวดท้อง"        พี่มันพยายามจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ประตู

"เฮ้ย! อย่า หายตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่สภาพแย่ อาย ขออาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ"        พอผมพูดจบ พี่เชนก็หลุดหัวเราะทันที

"ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือ ขอเข้าไปรอข้างในได้ไหม"

"ไม่ได้ ผมทำอะไรไม่สะดวกหรอกพี่ นะนะ ขอเวลา 20 นาที"

"แค่นั่งรอที่โซฟาก็ไม่ได้เหรอ พี่ปิดตาเข้าไปก็ได้นะ"        ดื้อด้านจังวะ บอกว่าไม่ได้ไม่เข้าใจรึไง ผมเลือกที่จะเงียบไม่ตอบ

"ครับๆ งั้นพี่ลงไปรอข้างล่างนะ ไม่ต้องรีบหรอก"       พูดจบพี่แกก็หันหลังเดินออกไป ทำหน้าหงอยซะรู้สึกผิดเลย ถ้าขึ้นไปรอบนห้องตัวเองคงไม่เท่าไหร่ นี่ลงไปรอข้างล่าง กดดันชะมัด

"พี่เชน!"       ผมตะโกนเรียก

"ครับ"       พี่แกหันมาพร้อมหน้าหงอยๆ

"เข้ามาก็ได้ แต่เว้นระยะห่าง 1 เมตรนะ ปิดตาเข้ามาด้วย"

"ทำไมต้อง 1 เมตร กลัวพี่ทำอะไรเรารึไง"       ตลก! ใครจะไปกลัวเรื่องนั้น ถามมาได้ผมก็ผู้ชายเหมือนกัน ขืนทำอะไรผมก็สู้สิ ยืนเฉยทำไม

"ก็ผมยังไม่ได้แปรงฟัน มันควรไหมละพี่คิดว่า"       ใกล้กว่านี้ก็พังกันพอดี กลิ่นปากตอนเช้ามีกันทุกคนนะครับ สโลแกนนี้ผมจำได้ขึ้นใจ

"พี่ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยขนาดนั้นหรอก"

"แต่ผมใส่ใจครับ"       คือผมเข้าใจนะ ผู้ชายด้วยกัน เรื่องแค่นี้มันไม่น่าอายสักนิด แต่ผมกลับรู้สึกอย่างนั้น และคิดว่าไม่ควร

"โอเคครับ พี่จะปิดตาเข้าไปรอเงียบๆ"

"ปิดประตูให้ด้วยนะพี่"       พูดจบผมก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าเข้าห้องน้ำ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเราสนิทกันขั้นไหนถึงได้ยอมให้อีกฝ่ายเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวในเวลาที่กำลังทำธุระส่วนตัวอยู่ได้

.......................................................................


        ผมใช้เวลาอาบน้ำแค่ 10 นาทีก็เรียบร้อย แต่ตอนแต่งตัวนี่สิ พื้นห้องน้ำก็เปียก ลำบากชะมัด ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องมาอายเวลาแต่งตัวต่อหน้าผู้ชายด้วยกันมาก่อนเลย ไปเข้าค่ายก็ตั้งหลายครั้ง อาบน้ำรวมกันกับเพื่อนผู้ชายตลอด แต่พอต่อหน้าคนคนนี้กลับกังวลซะอย่างนั้น

"เสร็จแล้วพี่ ลืมตาได้"

"เร็วจัง"       ก็เพราะมีคนรออยู่ไงละ ถึงต้องรีบ

"พี่หลับตาอยู่ตลอดเลยเหรอ"      ถามขึ้นขณะกำลังพยายามเซ็ทผม

"ใช่สิ ก็แมทบอกให้ทำอย่างนั้น"      นี่ก็ซื่อจัง

"วันนี้ไม่ทันไปกินข้าวเช้าพร้อมป๊ากับม๊าเลย"      หยิบกระเป๋าเป้มายืนอยู่ตรงหน้าอีกคน

"วันนี้ป๊ากับม๊าออกไปทำธุระข้างนอกแต่เช้า พี่ก็เลยไม่ได้โทรมาปลุกไง"      ยื่นมือข้างนึงมาตรงหน้าผม

"อะไร"      ผมถามพร้อมมองไปที่มือข้างนั้น

"ดึงหน่อย"      ผมคว้ามือพี่แกก่อนจะออกแรงกระชากจนอีกคนลุกขึ้น

"เด็กหว่ะ"

"ก็พยายามทำตัวเด็กจะได้เข้าใจความคิดของเด็ก"     พูดจบก็ยิ้มมุมปาก

"ไปกันเถอะพี่ ผมโคตรจะหิว"      พูดอะไรงงๆ เข้าใจยาก ผมเลยรีบหมุนตัวเดินนำไปที่ประตูห้อง

"มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหม"     อีกคนถามขณะเดินออกจากลิฟต์

"ตามแพลนมันต้องกินโจ๊ก”

“กินอะไรเบาๆอย่างโจ๊กก็ดีนะ เมื่อวานก็เพิ่งปวดท้องมา”

“แต่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ พี่มีอย่างอื่นแนะนำรึเปล่า"

"งั้นเดี๋ยวพาไป"      ว่าอย่างนั้นก็เดินนำออกจากตึก เดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตร

"อีกไกลไหม"      คือหิวแล้ว ผ่านร้านอาหารมาก็ตั้งหลายร้าน ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

"ถึงแล้ว"      พี่แกหยุดอยู่หน้าร้านอาหารอิตาเลี่ยนดูดีร้านหนึ่ง แต่ป้ายมันยังปิดอยู่เลยนี่หว่า หรือว่าไม่ใช่ร้านนี้

"ร้านปิด"      ผมหันไปบอกคนข้างๆที่กำลังล้วงอะไรสักอย่างออกมาจากกระเป๋า

"เดี๋ยวจะเปิดให้เป็นกรณีพิเศษ"      พูดจบก็เอากุญแจมาไขประตูแล้วผลักเข้าไปในร้าน

“ไขออกด้วยแฮะ"      ผมพูดพร้อมทำหน้าสงสัยก่อนจะได้คำตอบ

"ก็นี่มันกุญแจของที่ร้าน จะไขไม่ออกได้ไง"     อธิบายคงหวังจะให้หายสงสัย ก่อนจะหันไปล็อคประตูอีกครั้ง แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดี

"ร้านพี่เหรอ นึกว่าทำงานประจำซะอีก เห็นวันก่อนที่พาไปออฟฟิศ"       สักพักก็คิดได้ว่าจะสงสัยไปทำไม พี่แกเปิดเข้ามาในร้านได้ก็แสดงว่าต้องเป็นร้านพี่แกดิวะ มีร้านต้องดูแล แล้วทำไมว่างไปเที่ยวกับผมได้ ก็ยังมีเรื่องให้สงสัยไปเรื่อย วิสัยมนุษย์โลกนะครับผมว่า

         ผมถอดเสื้อกันหนาวมีฮู้ดตัวนอกออกเหลือไว้เพียงเสื้อยืดแขนสั้นด้านใน ก่อนมองไปรอบๆ ร้านนี้ตกแต่งได้ดูดีและโดดเด่นกว่าทุกร้านในละแวกนี้ แต่ละโต๊ะก็ให้ความรู้สึกแตกต่างกัน ถูกใจผมเลยละ พี่เชนพาผมมานั่งที่เคานเตอร์ซึ่งสามารถมองทะลุครัวของร้านได้

”นั่งรอตรงนี้นะ อยากกินอะไร พี่จะทำให้"      ทำมาเป็นถาม ทีตอนผมถามก็ไม่ตอบ

"พี่ทำอะไรอร่อยผมก็กินอันนั้นแหละ"      เมนูก็ไม่เอามาให้ดู เลยต้องตอบไปอย่างนั้น ถ้าพี่แกถนัดทำอาหารจานไหน จานนั้นก็จะมีความเสี่ยงที่จะไม่อร่อยอยู่ในระดับต่ำแน่นอน

"แมทมีอะไรที่แพ้หรือกินไม่ได้บ้างไหม "      ถามขึ้นขณะกำลังผูกผ้ากันเปื้อน

"ที่ถามเพราะแค่ไม่อยากพลาดหรือว่าใส่ใจ"      ผมถามอะไรออกไปวะ

"อยากรู้ พี่จะได้จำไว้ว่าเราทานไม่ได้ ถามว่าใส่ใจไหมก็น่าจะใช่ แล้วก็อยากรู้ว่าชอบอะไรด้วย เพราะจะได้เอาใจถูก"     มันใช่เหรอ จะเอาใจผมทำไม

       สักพักก็ออกมาพร้อมกับตะกร้าเล็กๆที่มีหอยอยู่ในนั้น  พี่เชนวางตะกร้าหอยลงข้างเตาพร้อมหยิบกระทะก้นแบนขึ้นมาวางบนเตาตามด้วยขวดเครื่องปรุงสองสามอย่างวางข้างๆกัน จากนั้นก็หมุนตัวมายืนใกล้กับที่ผมนั่งอยู่

"ตกลงเราชอบอะไร"      ถามขณะที่กำลังถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วใช้มือค้ำแขนทั้งสองลงบนเคานเตอร์ฝั่งตรงข้ามผมพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

"ผมชอบพวกอาหารเส้น แล้วก็ไม่มีอะไรที่แพ้ด้วย กินได้ทุกอย่าง"      ผมบอก

"งั้นก็พอดีเลย ลองเมนูนี้ละกัน พี่ถนัด"      ผมมองคนตรงหน้าที่ขยับมาใกล้กว่าเดิม

"มันใกล้ไป"     พอได้ยินอย่างนั้นก็กลับยกยิ้มอย่างไม่รู้สึกอะไร วันนี้พี่เชนทำตัวแปลกจากสองวันก่อนอย่างสิ้นเชิง หรือพี่แกจะเป็นคนหลายมิติ แบบอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนทุกๆ 2 วัน

"อ้าว แมท มาได้ไง"      เหมือนเสียงระฆังช่วยชีวิตที่ทำให้ผมต้องรีบหันไปมอง ส่วนอีกคนก็กลับหลังหันไปที่เตาเรียบร้อย

"พี่เชลด้า สวัสดีครับ เอ่อ พี่เชนพามาทานข้าวครับ"      พี่เชลด้าเอียงหน้าขมวดคิ้ว คงจะสงสัยน้องชายตัวเอง ไม่แปลกหรอกครับ เพราะวันแรกก็ดูจะเขม่นผมขนาดนั้นแต่วันนี้กลับมาด้วยกัน เป็นผมก็คงงงไม่ต่างกัน

"อ่อจ้ะ แล้วไปเจอกันที่ไหนละ พี่เห็นเชนออกมาตั้งนานแล้วนี่"      พี่สาวหันไปถามน้องชายที่กำลังง่วนอยู่หน้าเตา

"ผมลงไปรับแมทที่ห้องเองแหละ พอดีเมื่อวานแมทไม่ค่อยสบาย วันนี้เลยพามาทานอาหารที่ร้านซะเลย”         พี่เชนตอบทั้งที่ยังหันหลังให้พี่เชลด้ากับผม

"เชนรู้ได้ไงว่าเมื่อวานแมทไม่สบาย"    จะไม่รู้ได้ยังไงในเมื่ออยู่ด้วยกันทั้งวัน

"ผมอาสาเป็นไกด์ให้แมทเลยอยู่ด้วยกัน"     เดี๋ยวนะๆ ไม่ใช่ผมหรอกเหรอที่เป็นฝ่ายยื่นข้อเสนอ

"ไม่ได้เป็นอย่างที่พี่เคยพูดใช่ไหม"     ถามขึ้นขณะหรี่ตามองน้องชายตัวเอง

"ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ"       พอพี่เชนพูดจบผมหันไปมองก็เห็นคิ้วของพี่เชลด้าขมวดเป็นปมชัดเจน

"เลิกทำหน้างงได้แล้วพี่ ไว้ทำจานนี้เสร็จ ผมจะตอบทุกข้อที่พี่สงสัย"        พี่เชนหันมาบอกพี่สาวตัวเองอีกประโยคก่อนจะไปจัดการเมนูตรงหน้าต่อ พี่เชลด้าพยักหน้ารับซึ่งก็คงจะแปลว่ารับรู้ แต่ผมนี่สิยังสงสัยอยู่ เรื่องที่พาเข้ามาในร้านได้ยังไงก็ยังไม่เคลียร์ ถึงจะเจอพี่เชลด้าให้พอหายสงสัยก็เถอะ นี่ยังมีมาเรื่องเพิ่มความสงสัยมาให้อีก

"แล้วนี่กำลังทำอะไรอยู่"       พี่เชลด้าชะโงกหน้าแล้วพยายามสูดกลิ่น

"วองโกเล่ครับ"       คนหน้าเตาหันมาตอบพร้อมรอยยิ้ม

"วองโกเล่แต่เช้าเลยเหรอ"       ถามขึ้นพร้อมย่นคิ้วเล็กน้อย

“สายแล้วนะครับ”

"อ้าวเหรอ งั้นเผื่อพี่ด้วยนะ ไปนั่งตรงโน้นกันแมท อยู่ตรงนี้เสื้อเหม็นกลิ่นควันกันพอดี"      อ้าว ถามซะนึกว่าจะไม่กิน

"แปลกนะวันนี้เข้าร้านไว ปกติไม่เย็นก็ไม่ได้เห็นหน้าหรอก แล้วยังไปยืนอยู่หน้าเตาอีกยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่"      พี่เชลด้าบอกก่อนจะผายมือให้นั่ง

"นี่ร้านของพี่เชลด้าเหรอครับ"

"ใช่จ้ะ ร้านของพี่กับเชนเอง คนที่ยืนอยู่หน้าเตานั่นละหุ้นส่วนใหญ่"     อ่อ ถึงว่ามีกุญแจร้านได้

"พี่สองคนเข้าร้านทุกวันเลยเหรอครับ"       คนนี้หล่ะที่จะตอบทุกข้อสงสัยของผมได้

"ก็ทุกวันนะ ถ้าไม่มีธุระข้างนอก ส่วนเชนก็เข้าเฉพาะตอนเย็น นี่ก็ไม่เข้ามาสองสามวันละ โผล่มาก็วันนี้แหละ"       เห็นไหมครับถามหนึ่งได้ถึงสอง

"ดูท่าทางพี่เค้าทำอาหารเก่งนะครับ"      ตำแหน่งของโต๊ะสามารถมองเห็นคนหน้าเตาได้พอดี ดูคล่องแคล่วกว่าที่คิด

"เก่งแล้วก็อร่อยด้วย นานๆเค้าจะทำสักที"

"งั้นวันนี้ก็แสดงว่าแมทโชคดีสิครับ"

"พี่ก็เลยพลอยโชคดีไปด้วย"      แล้วก็หัวเราะถูกใจ สงสัยอาหารฝีมือเชฟคนนี้จะหาโอกาสทานยากจริงๆ

"อัลเลวองโกเล่มาแล้วครับ"       พอจานวางลงตรงหน้า ผมก็เก็บอาการตื่นเต้นไม่มิด มันน่าทานสมราคาคุย หอยกาบตัวโตๆ

"เชน เชือกที่ผูกไว้ที่ข้อมือหลุดไปแล้วเหรอ"       พี่เชลด้าจับแขนน้องชายตัวเองก่อนจะถามขึ้นหลังจากพี่เชนวางจาน

"ครับ ผมยังแปลกใจ อยู่ๆก็หลุด"       พูดพลางจับข้อมือตัวเอง

"ก็คงเพราะเชนสมหวังในคำอธิษฐานแล้วไง"        ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนพี่เชนจะนั่งลงเก้าอี้ข้างผม ผมละสงสัยจริงๆว่าคนตรงหน้าขออะไรไปตอนผูกเชือก แต่ผมไม่ควรถามในเมื่ออีกคนไม่อยากบอก

"เป็นไงแมท ชอบไหม"        พี่เชลด้าถามผม

"อร่อยมากเลยครับ แมทชอบทานสปาเก็ตตี้"        ผมชอบอาหารที่เป็นเส้นทุกชนิด คำแรกที่ได้ลองจานนี้มันรู้สึกได้ถึงนุ่มลิ้น เส้นก็พอดี หอยก็สดๆ ผมให้สิบดาวเลยครับ

"นี่เป็นสเปเชี่ยลเมนูของร้านเราเลยนะ ใครได้ลองก็ติดใจ ถ้าลูกค้ารู้ว่าเชนอยู่ เมนูนี้ถูกสั่งแทบทุกโต๊ะ"       ผมพยักหน้ารับขณะที่พี่เชลด้าบรรยายความขึ้นชื่อของอาหารตรงหน้าอีกครั้ง ก่อนที่จะตักเส้นเข้าปากตัวเองบ้าง

“นี่ไม่ได้ใส่ไวน์ขาวหรอกเหรอ”     อาหารจานนี้มันต้องใส่เหล้าด้วยเหรอ แค่นี้ผมก็รู้สึกว่ามันอร่อยมากแล้วนะ ถ้าครบสูตรมันจะอร่อยขนาดไหน

“เมื่อวานแมทปวดท้อง ผมเลยไม่อยากให้ทานอะไรที่มันเสี่ยง”    โธ่! พี่คร้าบ อยากจะบอกว่า ใส่มาเถ้อะ กระเพาะผมแข็งแรงกว่าที่พี่คิดเยอะ เมื่อวานมันปวดเพราะกินเกินพอดี เสียดาย! อดกินครบสูตรเลย

“เมื่อกี้ก็ว่าจะถาม แมทดีขึ้นรึยัง ได้ทานยาแล้วใช่ไหม”     พี่เชลด้าวางช้อนแล้วทำหน้าตาตื่นถามผมทันทีที่ได้ยินพี่เชนว่าอย่างนั้น

“ครับ ดีขึ้นมากเลย เมื่อวานพี่เชนไปซื้อยามาให้”     พอผมพูดจบพี่เชลด้าก็หรี่ตามองน้องชายตัวเองด้วยอาการสงสัย

"เชนเนี่ยนะ”      ผมพยักหน้ายืนยันอีกครั้ง

“อืม...แล้วนี่เชนจะเล่าให้พี่ฟังได้หรือยัง"     เล่าเลย ผมก็รอฟังอยู่

"อย่างที่พี่เคยพูดไว้ ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ต่างกันเพียงแค่ไม่ใช่ความสงสารหรือรู้สึกแค่อยากช่วยเหลือ อะไรบางอย่างในตัวเขาคงดึงดูดผมมากกว่า"      เขาคือใคร

"อะไรบางอย่างที่ว่า คงดึงดูดเชนมากเลยนะ เพราะพี่ว่าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากพอสมควรเลย"        พี่เชลด้าพูดขึ้นขณะกำลังใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ และมองมาที่ผมอย่างยิ้มๆ

"ก็ยาก แต่ก็อย่างที่ผมบอก มันยังไม่ถึงขนาดนั้น เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจ"        คนข้างๆหันมามองผมก่อนจะหันไปยิ้มกับพี่เชลด้า

"พี่ไม่ถามถึงรายละเอียดก็แล้วกันว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ แต่ถ้าเชนเชื่อว่าดี พี่ก็จะคอยเอาใจช่วยนะ"         คราวนี้เป็นพี่เชลด้าที่หันมาส่งยิ้มกว้างให้ผม แต่ผมนี่สิกำลังงงว่าทั้งคู่กำลังพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมควรจะถามออกไป เพราะมันคงดูไม่มีมารยาท

"ขอบคุณครับพี่"         พูดจบก็หันมามองหน้าผมอีกครั้ง

.......................................................................


         หลังจากทานอาหารเสร็จผมก็อาสาช่วยเก็บจาน เพราะเกรงว่ามันจะเป็นการไม่มีมารยาทหากจะนั่งเฉยๆ อะไรที่พอจะหยิบจับได้ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรทำ

“ไปกันเถอะ สายแล้ว"       ผมเดินตามอีกคนออกมานอกร้าน

"เที่ยวให้สนุกนะ"        พี่เชลด้าเดินออกมาบอกลาพร้อมโบกมือให้ที่หน้าร้าน

"ผมถามได้ไหมว่าพี่เชลด้ากับพี่คุยถึงเรื่องอะไรกัน"       รีบถามทันทีที่เดินออกมาได้สักระยะ เพราะจากการที่ทั้งคู่หันมามองผมระหว่างที่พูด มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมมีส่วนเกี่ยวข้องในบทสนทนานั้น

"เดี๋ยวเราต้องเติมเงินบัตรก่อนขึ้นรถไฟฟ้านะ พี่ว่ามันไม่น่าจะพอ"         ผมไม่ชอบเลย พี่เชนมักเลี่ยงคำถามที่ไม่อยากตอบด้วยการเปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องอื่น

"พี่ตอบที่ผมถามก่อนสิ"         ผมหันหน้าไปมองคนที่เดินอยู่ข้างตัว แต่แทนที่จะตอบกลับดันไหล่ผมให้ข้ามถนน

"วันนี้พี่จะพาไปเดอะพีคนะ จะได้นั่งรถแทรมด้วย ดีไหม"        ในเมื่อไม่ตอบก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเซ้าซี้ ผมเลือกที่จะเดินให้ช้ากว่าหนึ่งก้าว เพื่อจะมองดูอีกฝ่ายจากด้านหลัง พี่เชนหันหลังมามองผมพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเอาคำตอบจากประโยคที่เพิ่งพูดไป ผมรู้ว่าผมควรตอบ ผมไม่ใช่คนที่ชอบประชดประชัน แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงอยากจะทำแบบนี้กับพี่เชน  อยากจะประชดโดยการไม่ตอบคำถามบ้าง

.......................................................................


          คนบนรถไฟฟ้ายังคงแน่นเหมือนวันที่ผ่านมา ผมว่าขนส่งสาธารณะที่นี่ถูกใช้สอยอย่างคุ้มค่านะ ประชาการส่วนใหญ่มักเลือกวิธีเหล่านี้มากกว่าสร้างรถส่วนบุคคลแล้วเป็นภาระบนท้องถนนแบบบ้านเรา จะเห็นรถส่วนตัวอยู่ตามนอกเมืองซะส่วนใหญ่ อาจจะด้วยระบบคมนาคมที่นี่สะดวกมากก็ได้ ทำให้ใครๆที่นี่ก็เลือกใช้บริการ หรือไม่ก็เพราะสถานที่อยู่อาศัยไม่เอื้ออำนวยให้มีรถส่วนตัวก็เป็นได้ ถ้ามีสักคันคงต้องจ่ายค่าที่จอดแพงพอๆกับค่าผ่อนเลยละมั้งครับ

           ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า "เดอะพีค" เราทั้งคู่ขึ้นมาโดยใช้บริการรถแทรมซึ่งเป็นรถรางไฟฟ้าที่ค่อยๆไต่ระดับขึ้นเขา อากาศบนนี้ค่อนข้างเย็นกว่าข้างล่างพอสมควร ระหว่างทางถ้ามองออกไปจากหน้าต่างรถก็จะเห็นวิวทิวทัศน์และตึกระฟ้าในมุมที่แตกต่างออกไป พี่เชนเล่าว่า  "เดอะพีค"  คือจุดสูงสุดของเกาะฮ่องกง แต่ก่อนจะเป็นย่านหรูหราที่สุดของเมืองมีแต่เศรษฐีคนมีฐานะอาศัยอยู่ที่นี่

"แมทอยากขึ้นไปจุดชมวิวข้างบนก่อนหรือไปเดินเล่นแถวๆนี้ก่อนดี"        คนด้านหน้าหันมาถามผมขณะกำลังเดินออกจากรถแทรม

"เดินเล่นก่อนดีกว่า ขึ้นไปตอนนี้ท่าทางคนจะเยอะ"        เพราะดูจากนักท่องเที่ยวที่ออกจากรถแทรมต่างก็มุ่งหน้ากันขึ้นไปที่จุดชมวิวด้วยกันทั้งนั้น

          เราเดินเล่นตามทางบนเนินเขาไปเรื่อยๆ อากาศบนนี้เย็นกว่าที่ผมคิดไว้ค่อนข้างเยอะ แค่หายใจก็พ่นไอออกมาแล้ว บนนี้เหมือนเป็นอีกหนึ่งเมืองเล็กๆเลยนะผมว่า มีห้างสรรพสินค้าเล็กๆคอยอำนวยความสะดวก บ้านบนนี้มีไม่ได้เยอะมาก แต่หลังหนึ่งก็ใหญ่ๆทั้งนั้น คงเป็นบ้านเศรษฐีอย่างที่พี่เชนบอกจริงๆ เพราะถ้าพ้นจากบริเวณร้านค้าและจุดชมวิว แถวนี้ก็ดูสงบน่าอยู่อาศัยมาก

“เราขึ้นไปดูวิวด้านบนกันดีกว่านะพี่ว่า”        ผมพยักหน้าตอบรับ

“เป็นที่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาใช่ไหมพี่ คนถึงเยอะขนาดนี้”     ระหว่างทางที่จะขึ้นไปจุดชมวิวที่เรียกว่า  สกาย เทอเรส   ทุกชั้นจะมีทั้งร้านของฝากและขนมเต็มไปหมดและที่สำคัญคือมีคนเยอะทุกชั้น

“น่าจะอย่างนั้นนะ พี่ก็ไม่ได้มาบ่อยนักหรอก แต่มันเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของฮ่องกง คนก็ต้องเยอะเป็นธรรมดา อีกอย่างที่นี่ก็มีประวัติ เลยน่าสนใจ”     คงจะเป็นอย่างนั้น

"เป็นไง วิวบนนี้สวยไหม"       ถามผมหลังจากเดินขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆจนถึงชั้นดาดฟ้าบนสุดที่เป็นจุดชมวิว

"สวย สวยมาก"       ผมเกาะที่ราวกั้นแล้วมองวิวโดยรอบ เห็นรอบฮ่องกง 360 องศาเลยครับ วิวสวยมากจริงๆ

"ตึกที่แมทเห็นฝั่งนู้นทั้งหมดจะเป็นตึกที่เปิดไฟตอนโชว์คืนนี้ที่เราจะไปดูนะ"    ขนาดยังไม่เปิดไฟรูปร่างของตึกยังดูสวยงามขนาดนี้ ถ้าตอนกลางคืนไฟถูกเปิดตามแนวรูปร่างของตึกจะน่ามองขนาดไหน

“ผ้าพันคอไหม อากาศบนนี้หนาวนะ”     อีกฝ่ายยื่นผ้าพันคอมาให้ผมรับไว้

“แล้วพี่หล่ะ”

“แค่นี้สบายมาก แมทใช้เถอะ”     ถึงแม้ในใจผมจะอยากให้พี่เชนลดความใจดีลงบ้าง แต่พอได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบรับจากมือพี่เชนเอามาพันคอตัวเองทันที ก็อากาศมันหนาวนี่หน่า ผมก็กลัวจะหนาวตายมากกว่ากังวลมากไปจนอึดอัดตายนะ

.......................................................................


"เขาโชว์กันทุกวันเลยเหรอพี่"    ผมถามขึ้นหลังจากที่เราหาที่นั่งเหมาะๆได้แล้ว

"ทุกวัน ถ้าหากวันไหนสภาพอากาศไม่ดีหรือมีเหตุฉุกเฉินบางอย่างก็จะมีประกาศงดแสดง"    อย่างเมื่อวานนั่นเอง
รอไม่นานนักโชว์ก็เริ่มแสดง เป็นโชว์ที่สวยงามและพร้อมเพรียงมากในความรู้สึกผม ทุกตึกจะต้องให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีนะถึงจะออกมาพร้อมเพรียงขนาดนี้ได้ สำหรับผม ผมว่าผมชอบนะ

"หิวไหม"    อีกคนหันหน้ามาถามหลังจากโชว์จบ

"นิดหน่อย"

"ไปหาอะไรอร่อยๆแถวนี้กินกันไหม"

"เอ้อพี่ อยากกินวาฟเฟิลบอลกับน้ำมะม่วงปั่นอีก พาไปกินหน่อยสิ"

"พี่ว่าจะพาไปนั่งรถเปิดประทุนชมวิวรอบเมืองแต่ถ้าจะกินวาฟเฟิลบอลอาจจะไม่ทันนะ"

"งั้นนั่งรถชมเมืองก่อน แล้วค่อยไปกิน ผมยังไม่ได้หิวมากขนาดนั้น"   ผมไม่ควรที่พลาดเพียงเพราะความหิวแค่เล็กน้อย

"โอเค ตามนั้นเลยนะ พี่จะได้ไปซื้อตั๋ว"     ผมรีบพยักหน้าแล้วยกยิ้มกว้าง
.
.
.
"เนี่ยนะ รถเปิดประทุนที่พี่ว่า"      พี่เชนพยักหน้าขณะที่ผมกำลังส่ายหัว นี่ผมคงคาดหวังมากไปเองใช่ไหม
.
.
.



Chen part

หลังจากดู symphony of light จบผมก็ตัดสินใจพาคนตัวเล็กกว่าไปนั่งรถชมเมืองตอนกลางคืน เป็นรถบัสเปิดหลังคาวิ่งรอบเมือง มีทั้งกลางวันกลางคืนแต่บางสายก็จะวิ่งแค่กลางคืนรอบเดียว ซื้อตั๋วเรียบร้อยก็พาอีกคนขึ้นรถ

"ขึ้นไปนั่งข้างบนนะพี่"      มันชี้ที่บันไดแล้วเดินนำขึ้นไป

"ถ้าไม่หนาวก็เอาสิ"      แล้วก็เดินตามมันขึ้นไป

"คนเยอะ นั่งไหนดี"      เดินขึ้นมาถึงก็เห็นว่ามีคนนั่งอยู่บนรถพอสมควรแต่ก็ยังมีที่นั่งว่าง

"ท้ายสุดเลยไหม ยังว่างอยู่"      อีกฝ่ายหันมาพยักหน้าแล้วก็เดินนำไป

"ตรงนี้นะพี่"      ผมพยักหน้าแล้วก็เดินไปนั่งเกาอี้ว่างแถวเดียวกันแต่อีกฝั่งนึง

"ไปไหน มานั่งนี่"      ตบเบาะข้างๆตัวแล้วกวักมือ ผมเลยลุกไปนั่งข้างๆ

"ก็นึกว่ากลัวแขนจะเบียดแขนอีก"

"แหม จำเก่งนะเราเนี่ย เป็นคนช่างฝังใจรึไงจ้ะ"      มันตบไหล่ผมเบาแล้วจีบปากจีบคอพูดเชิงล้อเลียน

"รอบนึงใช้เวลานานแค่ไหนพี่"

"ไม่เคยนั่ง นี่ครั้งแรก"      ผมส่ายหน้าเป็นการยืนยัน

"อ้าว แน่ใจนะว่าคนแถวนี้"       ว่าจบก็คว้าเอาแผนที่ที่ได้มาตอนซื้อตั๋วไปดู

"รู้แค่ว่าตั๋วแบบที่เราซื้อถ้าลงจากรถแล้วจะขึ้นไม่ได้อีก ใช้ได้แค่รอบเดียว เพราะเราไม่ได้ซื้อแบบ Hop on Hop off ในนี้ว่าไง พี่เข้าใจถูกใช่ไหม"      ผมหันไปถามคนที่กำลังกางแผนที่เส้นทางวิ่งของรถคันนี้อยู่

"ไม่รู้หว่ะ อ่านไม่เข้าใจหรอก พี่เอาไปดูเองเหอะ ผมสกิลต่ำ แหะๆ"      ว่าจบก็ยื่นแผนที่คืนมาให้  เห็นดูอยู่ตั้งนาน นึกว่าเข้าใจ พอลองดูก็เป็นอย่างที่ว่านั่นละครับ

"เข้าใจถูกแล้ว"

"งั้นนั่งให้ครบรอบเลยละกันนะพี่"      ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย ในใจก็คิดคงจะไม่ถึงรอบหรอก หนาวขนาดนี้ แค่รถออกยังไม่ถึงห้านาทีก็เห็นว่าปากซีดปากสั่นไปหมดแล้ว แต่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มแฝงอยู่

"ชอบหรือเปล่า"      มันพยักหน้าหงึกๆ

"หนาวเหรอ"

"นิดหน่อยพี่"      หันมายิ้มบางๆให้

"เอามือมานี่สิ"      พูดจบก็คว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้ จากรอยยิ้มก็กลายเป็นขมวดคิ้วแล้ว

"อยู่เฉยๆ"       ทำท่าจะดึงมือกลับ แต่ผมยึดไว้แล้วค่อยๆถูฝ่ามืออีกฝ่ายไปมาด้วยฝ่ามือตัวเองจนเริ่มอุ่น เรายังคงมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นจนเป็นผมเองที่ค่อยๆโน้มหน้าเข้าไปใกล้ในขณะที่อีกคนก็พยายามถอยตัวหนี

"พี่ว่ามันดีแล้วเหรอ"       คิ้วที่ขมวดเป็นปมชัดขึ้น

"ถ้ามันอุ่นขึ้นก็แสดงว่าดี"    ผมเลี่ยงที่จะพูดถึงอีกเรื่องที่ผมกำลังจะทำ

"ไม่ มันไม่ดีแน่ๆ"       ยังคงพยายามดึงมือออกจากมือผม จนต้องปล่อยมือ

"ถ้าเราคิดว่ามันไม่ดี มันก็จะไม่ดี ถ้าเราคิดว่ามันไม่มีอะไร มันก็จะไม่มีอะไร"     ก็ไม่รู้ว่าผมจะพูดอะไรให้อีกคนเข้าใจยากไปทำไม ทั้งๆที่ผมเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่ามันมีอะไร

"อย่าๆ ผมงง มันจะไม่มีอะไรได้ยังไง อีกนิดเดียวถ้าผมไม่ถอยหน้าหนีมันก็จะมีอะไรแน่ๆ ผมไม่ชอบคิดอะไรซับซ้อนนะ"      ส่ายหัวไปมาก่อนจะหันหน้าไปอีกทาง แล้วต่างคนต่างก็ขยับตัวเข้าสู่ตำแหน่งที่นั่งเดิม แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เพิ่งทำให้ผมเข้าใจคำว่าสถานการณ์มันพาไป



.......................................................................



Matt part


ระหว่างทางหลังจากเหตุการณ์นั้นก็มีแต่ความอึดอัดเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปคนเดียวหรืออีกฝ่ายก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

"ใกล้ถึงที่พักหรือยัง"      ผมเริ่มที่จะขัดความเงียบขึ้นมาก่อน

"ลงป้ายหน้าเลยก็ได้ เดินต่ออีกนิดหน่อย ไหวไหม"      ผมพยักหน้ารับ ทำไมพอเปิดปากพูดกลับรู้สึกว่าอึดอัดกว่าเดิม ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะผมเองที่คิดซับซ้อนไปหรือเป็นพี่เชนที่คิดเกินเลยไปแล้วจริงๆ ตอนนี้ผมคิดได้แค่ว่ามันไม่ควร

         ลงจากรถมาได้ก็เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้ง เราเดินข้างกันโดยเว้นระยะห่างพอสมควร ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมเกลียดบรรยากาศแบบนี้ แต่ผมก็เลือกที่จะปล่อยมันไว้อย่างนั้น ต่างคนต่างก็ไม่พูดอะไรกันจนลิฟต์มาถึงชั้นที่ผมต้องลง

"พี่ขึ้นไปเลยก็ได้ ส่งแค่ตรงนี้ ขอบคุณสำหรับวันนี้ครับ"         ผมหลีกเลี่ยงบรรยากาศหดหู่ที่เกิดขึ้น ก้มหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนเลือกที่จะเดินออกจากลิฟต์มาเพียงลำพัง

“คืนนี้พี่สาวผมจะมา ผมได้แจ้งไว้ในเมล์ล่วงหน้าแล้ว พรุ่งนี้ผมคงไม่รบกวนพี่ ขอบคุณอีกครั้ง สวัสดีครับ”      ผมไม่ได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพูดตอบ รีบยกมือไหว้ก่อนจะหันหลังเดินจากมาทันที

         ที่ผมทำทั้งหมดนี้มันเป็นมารยาทที่แย่ผมรู้ แต่ในหัวผมคิดได้แค่นั้น ผมคิดได้แค่ว่าพี่เชนต้องคิดเกินเลยกับผมแน่ๆ ไม่มีเพื่อนผู้ชายที่ไหนจะคลายหนาวให้กันด้วยวิธีนั้นหรอก ผมค่อนข้างมั่นใจ ผมควรกันไว้ดีกว่าแก้และนี่จะเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่หากที่ว่ามาทั้งหมดผมคิดไปเองก็ถือซะว่าเป็นการป้องกันไว้ก่อนก็แล้วกัน

.......................................................................


❤ตอนที่ 10 แล้ว ยังไม่ก้าวหน้าเลย แอบคิดในใจว่าพี่เชนช้าหรืออนาเกริ่นเยอะไป 555
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆอย่าเพิ่งหนีไปไหนนะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณค๊า





หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 10 [11-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 11-01-2015 12:37:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 10 [11-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-01-2015 12:46:05
แมทตัดทุกช่องทาง
ทีนี้เชนจะทำไงดีล่ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 10 [11-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 11-01-2015 14:54:53
ผมว่าไม่ช้านะพึ่รู้จักกันเอง :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 10 [11-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 11-01-2015 15:55:21
ไก่ตื่นแล้วอ่า

พี่เชนนี่ไม่เนียนเลยนะ -3-
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 11 [18-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 18-01-2015 09:05:24
ตอนที่ 11


Matt part


          หลังจากขึ้นห้องมาได้สักพักพี่มัทก็โทรเข้ามาว่าถึงสนามบินฮ่องกงแล้ว อีกหนึ่งชั่วโมงให้ผมลงมารอรับ ผมเลยจัดการเก็บของเคลียร์สภาพห้องให้ดูดีขึ้นหน่อย ก่อนจะลงไปรอพี่มัทข้างล่าง ออกจากลิฟท์มาก็เห็นโซฟาตัวเดิม ผมยิ้มให้มันก่อนจะหย่อนตัวลงนั่ง โซฟาตัวนี้สินะที่ทำให้ผมเจอกับพี่เชนครั้งแรก ถึงการเจอกันวันนั้นจะไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไหร่ แต่ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นผมก็ปฏิเสธไม่ได้จริงว่าตัวเองโชคดีที่ได้มาเจอกับครอบครัวนี้ แล้วถ้าให้นึกย้อนเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาผมก็คงปฏิเสธตัวเองไม่ได้อีกเหมือนกันว่าผมรู้สึกสับสน ผมเป็นนักเขียน ผมเขียนนิยายรักแล้วผมเองก็อ่านหนังสือนิยายรักมาก็หลายเล่ม ดูหนังรักมาก็หลายเรื่อง ฟังเพลงรักเพื่อเป็นแรงบันดาลใจมาก็มากมาย ถึงผมจะไม่เข้าใจสิ่งที่พี่เชนแสดงออกทั้งหมด ท่าทีแปลกๆที่พี่เชนทำวันนี้ผมคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยจริงๆ

"แมท...แมท...แมท...ไอ้แมท!"

"เหอ หา"

"มัวเหม่ออะไรห๊ะ เอาไปถือสิ"    ผมใจลอยจนไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าพี่มัทมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว

"ถึงนานแล้วเหรอ"     ถือถุงกระดาษใบใหญ่พร้อมกับลากกระเป๋าเดินทางให้

"เพิ่งถึง เรียกตั้งหลายครั้ง มัวคิดอะไรอยู่"     ผมส่ายหัวให้แทนคำตอบก่อนจะกดลิฟต์เพื่อขึ้นไปบนห้องพัก

“เอาอะไรมาเยอะแยะ สองวันเองนะ”  ขนาดกระเป๋าอย่างกับมาอยู่เป็นอาทิตย์ ไหนจะถุงกระดาษใบโตนี่อีก

“ไม่เยอะเลยนะ ถุงใบใหญ่นั่นก็ของฝากให้เจ้าของห้องไง”    ยังจะแก้ตัวอีก

“แมทหมายถึงในกระเป๋าต่างหาก”   

“อ่อ...แหะๆ ก็เอามาเผื่อใส่ของกลับหน่ะสิ พรุ่งนี้ไปชอปปิ้งกัน”     พูดจบก็เอาหัวตัวเองมาซบที่ไหล่ผมก่อนจะถูไปมาอย่างอ้อนๆ พี่มัทมักจะทำแบบนี้เวลาจะขออะไรสักอย่างหรือแก้ตัว

“แต่แมทยังทำงานไม่เสร็จเลยนะ เหลืออีกตั้งสองสามที่ พี่มัทจะมาช่วยแมทหรือจะมาชอปปิ้งกันแน่”     ดูจากขนาดกระเป๋าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่านะผมว่า

“ก็ช่วยงานก่อนพอเก็บข้อมูลเสร็จแมทก็ไปช่วยมัทชอปปิ้งต่อดีไหม”   

“ถ้าถึงกับต้องช่วยแมทว่ากระเป๋าใบนั้นคงไม่พอแน่ๆ”     ผมส่ายหัวให้กับความคลั่งชอปของพี่สาวตัวเองก่อนลากกระเป๋าเข้าลิฟต์แล้วกดเลขชั้น

“พอสิ ก็ตั้งใจมาซื้อเครื่องสำอางมากกว่า ชิ้นเล็กๆทั้งนั้น ถ้าไม่พอก็ค่อยซื้อกระเป๋าใบใหม่”     อาการของพี่สาวผมมันอยู่ในขั้นอันตรายต่อสถานภาพทางการเงินจริงๆ

“เพลาๆหน่อย มีอยู่แค่หน้าเดียว ปากเดียว จะซื้อไปทำอะไรเยอะแยะ”      จะทาทันได้ยังไง ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดเครื่องสำอางก็มีวันหมดอายุไม่ใช่เหรอ ลิปสติกแท่งนึงก็ทาได้เป็นปีๆนะผมว่า มีหลายแท่งแล้วจะใช้ทันได้ยังไง ผมก็ได้แต่บ่น ถ้าพูดออกไปจริงๆมีหวังโดนบ่นจนหูชา

“อธิบายไปแมทก็เข้าไม่ถึงอยู่ดี”     พี่มัทสะบัดหน้าหลังพูดจบพอดีกับที่ลิฟต์มาถึงชั้นที่ผมพักพอดี

“ถึงแล้ว พี่มัทกดเปิดประตูให้หน่อยขอแมทลากกระเป๋าออกไปก่อน”       ผมบอกเพื่อให้พี่มัทกดเปิดประตูลิฟต์ค้างเอาไว้ จังหวะเดียวกันก็เห็นพี่เชลด้ายืนรออยู่หน้าลิฟต์

“สวัสดีครับพี่เชลด้า”     เป็นผมที่เอ่ยทักทายขึ้นก่อน

“อ้าวแมท พี่เคาะประตูอยู่ตั้งนานนึกว่าหลับไปแล้วซะอีก”

“แมทลงไปรับพี่สาวมาครับ” ผมแนะนำทุกคนให้รู้จักกันโดยเริ่มที่พี่มัท “ นี่พี่มัทพี่สาวแมทเองครับ ส่วนนี่พี่เชลด้าเจ้าของห้องที่เราเช่าไงพี่มัท”     

“สวัสดีค่ะคุณเชลด้า มัทค่ะ”     พี่มัทเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายขึ้นมาก่อน

“สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”       พี่เชลด้าส่งรอยยิ้มที่เป็นมิตรให้เราทั้งคู่

“ขอบคุณมากเลยนะคะที่ช่วยดูแลน้องชายมัท"    พี่มัทก้มหัวให้เล็กน้อย

"ด้วยความยินดีค่ะ แล้วนี่ทานอะไรกันมาหรือยังค่ะ ไปทานที่ร้านไหมค่ะ เชลด้ากำลังจะไปที่ร้านพอดี เชนก็อยู่ที่นั่นนะแมท"    ด้วยคำพูดสุดท้ายนี่แหละที่ทำให้ผมไม่ควรไป

"ไม่ดีกว่า ขอบคุณมากครับพี่เชลด้า"   

"อ้อ นี่ค่ะของฝาก เกือบลืมไปเลย"   พี่มัทคว้าถุงกระดาษจากมือผมยื่นให้พี่เชลด้า

"ไม่น่าต้องลำบากเลยค่ะ"   พี่เชลด้ารับไว้พร้อมกับยกมือไหว้

พี่มัทรับไหว้พร้อมรอยยิ้ม "ด้วยความยินดีเช่นกันค่ะ ถ้ามีโอกาสไปเที่ยวภูเก็ตก็บอกนะค่ะ เราจะต้อนรับเป็นอย่างดีเลย"   ผมเองก็เคยพูดแบบนี้กับพี่เชนไปเหมือนกัน ที่มากกว่านั้นคือสัญญาไปแล้วด้วย ตอนนี้ผมอยากให้อีกคนลืมไปซะจริงๆ

"ขอบคุณมากเลยค่ะ คงต้องหาโอกาสไปแล้วละค่ะ"    เราทั้งหมดยิ้มให้กันอีกครั้ง

"เมื่อกี้พี่บอกว่ามาเคาะประตู มีอะไรรึเปล่าครับ"

"เอ้อ เกือบลืมไปเลย นี่จ้ะ เชนฝากมาให้"   ยื่นถุงกระดาษใบไม่ใหญ่มากให้ผม "เห็นบอกพรุ่งนี้มีงานด่วน วันนี้คงอยู่ออฟฟิศยาว เลยฝากพี่มาให้แมทแทน"   ทำไมพอได้ยินอย่างนี้แล้วใจมันหวิวๆชอบกล หวังว่าอีกคนคงจะมีงานด่วนจริงๆ ไม่ใช่พยายามหลบหน้าแบบที่ผมทำ

"ขอบคุณครับ" 

"แล้วอย่างนี้เชนก็ไม่ได้เป็นไกด์ให้แล้วสิ"       นั่นสินะ แม้แต่ค่าไกด์ก็ยังไม่ได้ตกลงกันเลยด้วยซ้ำ

"พรุ่งนี้มัทพาน้องไปเองค่ะ รบกวนหลายวันแล้วเกรงใจจังเลย"

"อย่าเรียกว่ารบกวนเลยค่ะ แมทน่ารัก พวกเราเต็มใจค่ะ"    พอได้ยินพี่เชลด้าพูดแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกไม่ดีกับคำพูดเมื่อตอนหัวค่ำเข้าไปใหญ่

"ขอบคุณอีกครั้งนะคะ" ผมและพี่มัทก้มหัวแทนคำขอบคุณให้อีกครั้งในขณะที่อีกฝ่ายก็ทำแบบเดียวกัน

"คงต้องขอตัวจริงๆแล้ว เพราะเชนต้องรีบไปทำงาน ไม่มีใครอยู่ดูร้านค่ะ"    พูดจบก็หมุนตัวเข้าลิฟต์พร้อมโบกมือลา ผมก็ยกมือโบกกลับไป ในใจก็คิดย้อนไปว่าพี่เชนเคยขอลางานห้ามรบกวนนี่ แล้วทำไมถึงยังต้องกลับไปทำงานช่วงที่ลาอีก

.......................................................................


"เจอพี่สาวแล้วชักจะอยากเจอน้องชาย"    พี่มัทพูดขึ้นขณะรอผมเปิดประตู

"อยากเจอไปทำไม"

"ก็ถ้าเข้าท่าจะได้จีบไงยะ"

"พี่เชนเด็กกว่าพี่มัทอีกนะ"

"ใครสน"    พูดจบก็ยักไหล่เดินเข้าห้องไป จนผมต้องส่ายหัวให้ขณะเดินตามไป

"ห้องสวย กว้างกว่าที่เห็นในรูปอีกนะเนี่ย"

"พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันพี่มัท"

"เมื่อกี้ถุงอะไรเหรอ ขอดูหน่อยสิ"

"พี่มัท! ได้ยินที่แมทถามไหม"

"ว่า"

"เฮ้อ"

"รู้แล้วๆ ไหนเอาถุงมาดูหน่อยสิ"    ผมยื่นถุงให้ไปเพื่อตัดรำคาญ ไม่งั้นผมคงไม่ได้คำตอบว่าพรุ่งนี้เราต้องไปไหนกัน

"แมทฝากซื้อตั๋วเข้าดิสนีย์แลนด์เหรอ" ชูตั๋วที่มีลักษณะเป็นการ์ดรูปทอยสตอรี่สองใบให้ผมดู

"ป่าวนะ"     ผมรีบส่ายหัวทันทีที่พี่มัทถามจบ

"แล้วทำไม..."    ต่อให้พี่มัทพยามทำหน้าคาดคั้นเอาคำตอบขนาดไหนผมคงไม่มีให้ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

"มีขวดน้ำ 2 ขวดกับกระดาษในนี้ใบนึง จดหมายรึเปล่า แมทลองอ่านดูสิ"     ยกขวดน้ำสำหรับพกพาสองขวดขึ้นมาดูก่อนจะยื่นกระดาษให้ผม อย่างน้อยพี่สาวผมก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่เปิดอ่าน

ผมรับกระดาษใบนั้นมาไว้ในมือก่อนจะค่อยๆเปิดอ่านโน้ตที่มีตัวหนังสือสีเขียวเขียนเป็นภาษาไทยด้วยลายมือแบบเด็กๆ


แมท

เห็นจากแพลนว่าแมทจะต้องไปที่นี่ เลยซื้อตั๋วเตรียมไว้ แต่พี่คงไม่ได้ไปด้วย เที่ยวให้สนุกนะ เสียดายไม่ได้เห็นแมทใส่หมวกตัวการ์ตูนเลย ^^

PS. ที่นี่เอาน้ำเข้าไปได้ 1 ขวด พกไปนะ พี่เห็นแมทดื่มน้ำเยอะ ราคาน้ำที่นั่นแพงมาก

พี่เชน



"ว่าไงมั่ง"   ผมไม่ได้ตอบออกไป

"ขอมัทดูหน่อย"    แล้วก็หยิบกระดาษจากมือผมไป

"งั้นพรุ่งนี้เราก็ไปที่นี่เลยละกัน เสียดายที่เขาไม่ว่าง น่าจะไปด้วยกัน หลายๆคนสนุกดี"   พอแสดงความเห็นจบก็ลุกขึ้นไปเอาของออกจากกระเป๋า ขณะเดียวกันผมก็หยิบกระดาษนั้นขึ้นมาอ่าน และอีกครั้งที่อ่านผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมคือรู้สึกได้ว่าเจ้าของขวดน้ำไม่ได้กำลังยิ้มเหมือนสัญลักษณ์ท้ายประโยคที่เขียนมาเลยสักนิด

.......................................................................


"เสร็จรึยังพี่มัท ขนาดตื่นก่อนแมทนะ"   ผมรีบเร่งคนที่อยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

"กรีดตาอีกข้างก็เสร็จแล้ว อย่าเร่ง"     จะไม่ให้เร่งได้ยังไง ตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า นี่จะ 9 โมงอยู่แล้วยังไม่ได้ออกไปไหนเลย

"แมทหิว" เอามือกุมท้องไปด้วยเร่งไปด้วย

"เสร็จแล้วๆ"  ขนาดปากบอกว่าเสร็จแล้ว มือยังคว้าแปรงมาปัดหน้าอยู่อีก

"ขวดน้ำละ"    ผมมองหาขวดน้ำที่พี่เชนให้มา

"อยู่บนโต๊ะ มัทเติมน้ำไว้แล้ว แบกให้ด้วยนะ"     ผมพยักหน้าก่อนจะเอาขวดน้ำยัดลงไปในกระเป๋าเป้แล้วเดินออกไปรอพี่มัทหน้าห้อง

"ไปกินบะหมี่เป็ดย่างกันมัทอยากกิน"      ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะพากันเดินเข้าลิฟต์

.......................................................................


"ร้านนี้มัทอ่านรีวิวมา อร่อยแน่ๆ"  จิ้มนิ้วย้ำๆลงไปบนเมนูภาษาจีนที่ดูแล้วไม่เข้าใจ

"เคยกินแล้วเหรอ"

"ยัง ก็บอกแล้วว่าอ่านมา เขาว่ากันว่าอร่อย"     พูดอย่างกับกินเองมาแล้ว สักพักบะหมี่ก็มาเสิร์ฟ

"อืม อร่อย"      คำแรกที่ได้ชิมก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เป็ดเนื้อนุ่มหนังกรอบมาก

"เห็นไหม มัทบอกแล้วว่าอร่อย"    เงยหน้าขึ้นมารับคำชมด้วยสีหน้าภูมิใจอย่างกับเป็นเจ้าของร้านเอง

"งั้นสั่งอันนี้ด้วยดีกว่าแมทอยากกิน อันนี้ด้วย"    ยังไม่ทันรอคำตอบของพี่มัทผมก็เรียกเจ้าของร้านมาสั่งทันที

"สั่งเยอะขนาดนี้กินไม่หมดมัทไม่ช่วยนะ"     

"กำลังหิว หมดอยู่แล้วละน่า"

หลังจากกินชามแรกไปสักพัก ชามที่สองและสามก็ตามมาเสิร์ฟ แต่ตอนนี้ท้องผมมันแน่นไปหมด ถ้ายังพยายามทานต่อมีหวังเดินไม่ไหวแน่ๆ

"พี่มัท แมทอิ่ม"

"อิ่มก็พอ สั่งตอนหิวแล้วเป็นแบบนี้ทุกทีเลย"   ส่ายหน้าเบาๆสองสามทีแล้วเรียกคิดเงิน

"แมทเสียดาย"    ผมมองหน้าพี่มัทด้วยสายตาอ้อนๆ

"ไม่ต้องมองหน้าเลยมัทบอกแล้วว่าไม่ช่วยเดี๋ยวอ้วน แล้วก็ไม่ต้องเสียดาย มันเหลือก็ช่าง อย่าให้ไปเป็นขยะในท้อง"    พอได้ยินพี่มัทพูดแบบนี้มันก็พาลให้นึกไปถึงอีกคน คนที่ยอมกินของเหลือที่ผมกินไม่ไหว คนที่ยอมตามใจไม่ห้ามเวลาผมเลือกซื้อของกินเยอะแยะแล้วสุดท้ายก็กินไม่หมด คนที่ใส่ใจเรื่องปากท้องของผมตลอดสองวันที่ผ่านมา

"ลุกเลย มองชามไปช้อนมันก็ไม่ได้ช่วยย่อยบะหมี่ให้แมทหรอกนะ"  พี่มัทประชดหลังจากที่จ่ายเงินแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากร้านให้ผมต้องรีบเดินตาม

"พี่มัท"    ผมรีบเดินมาข้างๆพี่มัท

"หื้ม"

"ถ้าสมมตินะ สมมติจากสถานการณ์เมื่อกี้ ถ้าคนที่มาด้วยกันกับแมทไม่ใช่พี่มัท เขายอมให้แมทสั่งอาหารเยอะๆ แล้วพอแมทกินไม่หมด แมทก็จะต้องยัดเพราะเสียดาย เขาก็บอกจะช่วย ทั้งๆที่เขาก็ไม่ใช่คนกินเยอะ พี่มัทว่าเขาทำไปทำไม"    ผมแค่อยากลองถามดูว่าจะคิดเหมือนผมไหม

"เขาคนนั้นคงเป็นห่วงเรามั้ง"

"เป็นห่วงเหรอ"   คิดแบบเดียวกับที่ผมคิดเลย

"ใช่ เพราะถ้ากินเยอะไปมันก็อึดอัดแถมยังทรมานด้วยเขาคงเป็นห่วงเรา"

"แค่นั้นเลยเหรอ"      พี่มัทพยักหน้าแทนการตอบ

"คิดได้แค่นั้นแหละ จะเป็นเหตุผลอะไรนอกจากนี้ได้หล่ะ ไม่งั้นก็คงเพราะเขาหิวเหมือนกันละมั้ง แต่แมทบอกเองนี่ว่าเขาไม่ใช่คนกินเยอะ"

"ใช่ เขาไม่ใช่คนกินเยอะ แถมยังคอยถามเราบ่อยๆด้วยว่าหิวไหม กินอะไรรึเปล่า"

"งั้นก็แสดงว่าเขาคงเป็นห่วงเรานั่นแหละ แล้วถามไปทำไม เอาไปเขียนนิยายเหรอ"         ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ เพราะไม่ว่าจะตีความเป็นเหตุผลอย่างอื่นที่มากกว่านี้ได้อีกหรือไม่ได้ผมก็เลือกที่จะสนใจแค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือพี่เชนทำเพราะเป็นห่วง

"งั้นแหละ"    ผมพยักหน้า ดีที่พี่มัทคิดแบบนั้น ผมจะได้ไม่ต้องอธิบาย

.......................................................................


           หลังจากเปลี่ยนสายรถไฟฟ้ามาสายที่มุ่งตรงสู่ดิสนีย์แลนด์โดยเฉพาะ ทั้งขบวนรถก็เต็มไปด้วยเหล่าการ์ตูนดิสนีย์ คงถูกใจเหล่าสาวกทั้งหลาย

"ดีนะอากาศไม่ร้อน ฝนไม่ตก คนไม่เยอะมากด้วย ไม่งั้นหมดสนุกแน่ๆ" พี่มัทหันมาบอกผมขณะที่กำลังต่อแถวออกจากสถานีรถไฟฟ้า

"เดินไปทางนู้นกันพี่มัท"   ผมชี้ไปทางตู้ขายตั๋ว ทั้งๆที่มีตั๋วแล้วแต่ก็ยังเดินไปเพื่อจะดูราคา

"ราคาตั๋วขึ้นอีกแล้ว นี่แมทจ่ายเงินค่าตั๋วให้คุณเชนรึยัง"  ผมส่ายหน้ารัว

"ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาซื้อมาให้ จะไปจ่ายตอนไหน"    คิดไว้อยู่แล้วว่าจะมาดูเพื่อจะได้คืนเงินถูก ยังไงก็คงไม่ได้เจอ กะไว้ว่าจะฝากพี่เชลด้าตอนคืนห้อง

"อะไรจะใจดีขนาดนั้น"

"นั่นสิ"   ตอบออกไปแบบนั้นแต่ก็ยังทำหน้าสงสัยเพราะตัวผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกัน

"ไว้ค่อยคิด ตอนนี้ไปเล่นกันก่อนดีกว่า"     พูดจบก็ลากแขนผมเข้าไปด้านในทันที

2 ชั่วโมงผ่านไป เราเล่นเครื่องเล่นเกือบทุกอย่างที่คิวไม่ยาว สนุกไปกับทุกโซน ที่นี่เป็นสวรรค์ของคนที่ชื่นชอบดิสนีย์จริงๆ ทุกอย่างที่นี่เหมือนหลุดออกมาจากนิทานของดิสนีย์ มันสวยงาม และตรงตามจินตนาการเวลาที่เราอ่านนิทานทุกอย่าง เหมือนได้ย้อนกลับไปวัยเด็กอีกครั้ง

"เฮ้อ...เหนื่อย"    นั่งลงที่ม้านั่งหลังจากลงจากเครื่องเล่น RC Racer ที่เป็นรถแข่งอะไรสักอย่างจากเรื่อง Toy Story คล้ายๆกับไวกิ้งแต่น่ากลัวกว่านั้น เล่นเอาผมมึนหัวจนเดินต่อไม่ไหว

"ขาสั่นไปหมด ใครจะไปคิดว่าที่นี่มีเครื่องเล่นหวาดเสียวแบบนี้อยู่ด้วย มัทละกลัวรถจะหลุดจากรางจริงๆ"      ถึงกับหมดสภาพ หน้าที่แต่งมาเมื่อเช้าไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด

"เดี๋ยวเราไปโซนอื่นกันต่อเลยนะ"   

"พักเถอะ ขอน้ำให้มัทหน่อย"    ผมยื่นขวดน้ำที่พี่เชนให้มากับพี่มัท

"ดีจริงๆ" พูดพลางยกขวดน้ำขึ้นมาดูก่อนจะดื่ม "มัทเห็นราคาน้ำมาแล้ว แพงกว่าบะหมี่ที่เรากินเมื่อเช้าอีก" ผมแค่พยักหน้ารับไป

"เขาเป็นคนใส่ใจรายละเอียดมากเลยนะ แค่เรื่องเล็กๆกับคนที่เพิ่งจะรู้จัก เป็นมัทคงไม่ทำขนาดนี้หรอก"         ผมเองก็ไม่ได้อยากให้เขาทำแบบนี้เลยสักนิด มันลำบากใจมากกว่าจะรู้สึกดี

"ไปรอดูพาเหรดกัน"          แทนที่จะบอกให้พี่มัทเลิกพูดถึงพี่เชน ผมเลือกที่จะชวนไปทำอย่างอื่นง่ายกว่า

          ขบวนพาเหรดที่นี่น่าตื่นตาตื่นใจมาก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ใช่สาวกของค่ายนี้ผมยังรู้สึกเพลินไปกับตัวการ์ตูนและตัวละครที่หลุดออกมาจากนิทานเรื่องต่างๆของดิสนีย์ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ต่างก็ดูจะให้ความสนใจไปที่เดียวกันคือบนถนนที่ขบวนพาเหรดกำลังเดินผ่านไป ทั้งๆที่ต้องยืนดูแต่ผมกลับลืมความเมื่อยไปซะสนิท

"ไม่มีอะไรให้เล่นแล้วแหละ เหนื่อยแล้วด้วย"         หลังจากดูพาเหรดจบ มาเล่นเครื่องเล่นต่ออีกแค่สามสี่อย่าง พี่มัทก็ดูท่าทางจะไม่ไหว

“งั้นไปดูของฝากให้สองแฝดกันไหม”         เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอดูพลุตอนหัวค่ำ

“ดูนะ แต่ซื้อฝากไหมก็อีกเรื่อง”         แล้วก็เดินนำไปยังบริเวณที่มีร้านขายของเรียงรายกันสองข้างถนน

“นี่ขนาดเมื่อตอนสายๆคนไม่เยอะนะ”         แต่ในร้านค้ากลับมีคนเยอะแยะไปหมด พยายามมองหาร้านที่คนน้อย แต่ก็เยอะทุกร้านเลยต้องเลือกเข้าร้านที่ใกล้ตัวตอนนี้ที่สุด

“อันนี้น่ารักไหมพี่มัท ดูหน้าแมทตลกป่ะ”         ลองหยิบหมวกหน้าตัวการ์ตูนสติทช์ สัตว์ประหลาดสีฟ้าจากนอกโลกมาลองสวมหัวดูแล้วถามความเห็นจากพี่มัท

“ฮ่าๆๆๆ ไม่ตลกเลย น่ารักดี”         ไม่ตลกแล้วจะขำทำซากอะไรวะ

“อันนี้ดีกว่า เหมาะกับแมทดี เชื่อมัท”         หลังจากที่พี่มัทคาดที่คาดลงบนหัวผม ผมก็หันไปมองกระจกทันทีเพื่อเช็คตัวเอง แต่ก็ถึงกับต้องถอดออกอย่างรวดเร็ว

“พี่มัท อันนี้มันมินนี่เม้าส์ป่ะวะ มันเป็นผู้หญิงไม่ใช่รึไง มันต้องอันนี้สิ”         หยิบที่คาดผมมิกกี้เมาส์ที่วางอยู่ข้างกันมาลองคาดหัวแทน แต่ขณะที่กำลังจะหยิบอันเดิมออกก็พลันนึกไปถึงเจ้าของข้อความที่บอกเสียดายที่ไม่ได้เห็นผมใส่หมวกการ์ตูน แต่อันนี้เป็นที่คาดผมคงแทนๆกันได้แหละนะ  ผมเลยเลือกที่จะหยิบทั้งที่คาดมิกกี้และมินนี่ไปทั้งคู่

“แมทจะซื้อไอ้สองอันนั้นเหรอ”         ผมพยักหน้าพร้อมมองที่คาดผมสองอันที่อยู่ในมือ

“พี่จำได้ว่าฟินกับเฟย์ชอบโดนัลด์ดั๊กไม่ใช่คู่รักหนูสองตัวนี้นะ”

“อันนี้ของแมทเอง”

“ซื้อไปทำไมตั้งสองอัน เลือกสักอันก็พอ”

“มันต้องคู่กันสิ เอาไปแค่อันเดียวมันก็เหงาแย่”

“เอาไปฝากใครรึเปล่า"      คำถามเหมือนไม่มีอะไรแอบแฝง แต่สีหน้าและน้ำเสียงนี่แสดงความสงสัยชัดเจน

"บอกแล้วไงเก็บไว้เอง"     ยังคงหยิบลองต่อไปเรื่อยๆ

"อารมณ์ไหน เพิ่งจะรู้นะว่าชอบอะไรแบบนี้ด้วย”     ผมยังไม่รู้เลยว่าซื้อไปทำไม แต่มาแล้วก็ต้องซื้อ อาจจะเพราะอย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้มั้ง เอาไปแทนหมวกตัวการ์ตูน

"แค่อยากได้เก็บไว้ มันก็น่ารักดีไม่ใช่เหรอ"

"เออๆ น่ารักก็น่ารัก"     

.......................................................................


          พลุที่แสดงสามารถดึงดูดความสนใจของผมไปกับมันได้เกือบ 15 นาที ผมชอบในความต่อเนื่อง และความสวยงาม ถ้าเป็นแฟนดิสนีย์คงจะถูกใจไม่น้อย เพราะขนาดคนข้างผมที่ไม่ได้เป็นถึงขนาดติ่งของค่ายนี้ยังเอาพลุที่จุดแสดงคืนนี้ไปผูกกับนิทานเจ้าหญิงตอนฉากแต่งงานได้อย่างไร้ที่ติ พี่มัทบรรยายฉากเฉลิมฉลองไปพร้อมกับพลุที่กำลังจุด บรรยายไปตามเพลงที่บรรเลง แถมยังร้องคลอได้เกือบทุกเพลงอีกต่างหาก

"สวยเนอะ เพลินเลย"      ผมพยักหน้าเห็นด้วย

"นึกว่าจะไม่ชอบอะไรแบบนี้"      เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยเห็นพี่มัทชื่นชอบอะไรที่เป็นแนวเจ้าหญิงหรือการ์ตูนแฟนตาซีพวกนี้เลย

"มันเป็นนิทานขายฝัน เด็กผู้หญิงทุกคนที่เคยดูนิทานพวกนี้ต่างก็เคยฝันอยากเป็นอย่างเจ้าหญิงในนิทาน แล้วดิสนีย์เนี่ยแหละ เข้าถึงคนทุกกลุ่ม เลยกลายเป็นไอดอลของเด็กมาทุกยุคทุกสมัยยังไงหล่ะ มัทว่าเด็กไม่น้อยเลยนะที่เคยอยากเป็นซินเดอเรลลา"

"รวมถึงพี่มัทด้วยใช่ไหม"

"แน่นอน แต่สำหรับมัทไม่ใช่นางซินหรอกนะ"

"ทำไมหล่ะ"

"ก็ต้องคอยให้แม่เลี้ยงจิกหัวใช้ตั้งนานกว่าเจ้าชายจะมาสวมรองเท้าแก้วให้ แถมมัทเคยอ่านเจอนะว่านางซินแต่งงานแล้วก็ยังต้องมาคอยรับใช้แม่เลี้ยงอยู่อีก"

"งั้นพี่มัทอยากเป็นอะไร"

"ต้องออโรร่าเท่านั้น เล่นง่ายดี วิ่งเล่นไปมาในสวนกับนางฟ้า พออายุ 16 ก็นอนรอเจ้าชายมาจุมพิต เตรียมตัวฟื้น"     

"แล้วชีวิตหลังจากนั้นละ"

"ช่างเถอะ ใครจะสน อย่างน้อยก็โดนจูบแล้วแน่ๆ ฟินจะตาย ฮ่าๆๆๆ"     เฮ้ออออ ผมคงต้องไว้อาลัยให้กับความเป็นกุลสตรีของพี่มัทอย่างจริงจังแล้วสินะ

.......................................................................


           
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 11 [18-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 18-01-2015 09:06:44
         

          วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะอยู่ที่นี่แบบเต็มๆวันแล้ว พรุ่งนี้ผมก็ต้องกลับแล้ว เกือบหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาผมเจอกับเรื่องอะไรมากมายหลายเรื่อง มีทั้งเรื่องให้อึดอัด แต่นั่นมันก็เทียบไม่ได้เลยกับประสบการณ์และความรู้สึกดีดี ความอบอุ่นที่ผมได้รับจากที่นี่

วันนี้แผนมีแค่ไปอ่าวที่เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม ทั้งผมและพี่มัทเลยไม่ต้องเร่งรีบอะไรมากนัก

"ที่นี่มีเทพเจ้าอะไรบ้างพี่มัท"        ผมถามทันทีที่เราเดินลงมาถึงริมหาดที่เป็นที่ตั้งของวัดศักดิ์สิทธิ์ที่นักท่องเที่ยวนิยมมาสักการะ  พี่มัทเล่าว่ารูปปั้นเทพเจ้าที่นี่ล้วนมีความหมายและสามารถขอพรได้หมด 

"เดินตามมาเลย มัทเตรียมมาแล้ว"      ว่าอย่างนั้นผมก็เดินตามพี่มัทไปตามจุดที่ตั้งขององค์เทพเจ้าต่างๆ สักการะตามๆกันมาเรื่อยๆจนข้ามสะพานต่ออายุ

"เดินข้ามไปแล้วจะอายุยืนขึ้นอีกกี่ปีเหรอพี่มัท"

"ไม่รู้สิ บางคนก็บอกว่าหนึ่งบางคนก็บอกว่าสาม ที่แน่ๆอย่าเดินย้อนกลับก็พอ"       
 
"แสดงว่าทั้งหมดนี้พี่มัททำตามๆที่เขาบอกไว้โดยไม่สนใจแม้แต่จะหาที่มาหรือความหมายเลยใช่ไหม"

"เออน่า อย่าสงสัยเยอะ มัทตอบไม่ได้ รู้แค่นี้ก็บอกแค่นี้ แต่อันนี้สิเด็ด เดินตามมาๆ"        ผมเดินตามหลังพี่มัทไปติดๆ อยากรู้จริงๆว่าที่ว่าเด็ดคืออะไร

"นี่เลยๆ เทพเจ้าองค์นี้ให้ขอพรเรื่องความรัก เห็นไหมๆสมุดที่เทพเจ้าถืออยู่ ในนั้นนะ"        ชี้สมุดเล่มใหญ่ในมือของเทพเจ้าให้ผมดู

"อืม"      ผมพยักหน้าแล้วพี่มัทก็อธิบายต่อ

"ในนั้นจะมีชื่อผู้หญิงผู้ชายเต็มไปหมด แค่เราอธิษฐานนะแมท ท่านก็พร้อมจะประทานเนื้อคู่มาให้เราเลย มาๆ อธิษฐาน มันถึงเวลาที่เราควรจะมีคู่แล้ว"       รีบกวักมือให้ผมเดินไปอธิษฐาน

"คนเดียวรึเปล่าที่ควรมีแล้ว อย่าเอาแมทไปรวม"

"เดี๋ยวดีดหูขาดเลย แกหาว่าฉันจะขึ้นคานเหรอห๊ะ"       มีสักคำเหรอที่ผมหมายความว่าอย่างนั้น ผู้หญิงนี่นะคิดเองเออเองเก่งจริงๆ

"ถ้าอยากให้คนรักเป็นคนที่เรารู้จักอยู่แล้วหล่ะ จะอธิษฐานยังไง"

"อ่อ ก็นี่เลย สำหรับคนที่กำลังแอบชอบแล้วยังไม่ได้บอกรักนะก็ให้เอามือวางบนหินสีดำตรงนี้แล้วอธิษฐานให้คนที่เราแอบชอบอยู่มาเป็นคนรักของเรา"

"เอามือวางบนหินนี่เลยใช่ไหม"       ถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

"เดี๋ยวๆๆ ยกมือออกจากหินเดี๋ยวนี้เลย ยก! "       ได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบยกมือออกจากหินทันที

"อะไรพี่มัท โวยวายทำไม"       

"แมทแอบชอบใครบอกมัทมาเดี๋ยวนี้นะ"       นึกว่าเรื่องอะไร

"ไม่มี"
 
"ก็แล้วจะถามอีกวิธีทำไม"

"แมทแค่อยากให้เนื้อคู่แมทคือคนที่รู้จักกันดีพอแค่นั้นเอง พี่มัทคิดมากไปรึเปล่า"

"อย่าให้มัทสืบเจอก็แล้วกัน"         พูดจบก็หันหลังไปไหว้ต่อ ผมเดาว่าพี่มัทยังคงไม่หายสงสัย ยังดีที่ไม่เซ้าซี้ถามต่อ แต่ถึงจะพยายามถามยังไงผมก็ไม่มีคำตอบให้จริงๆ  ถึงแม้ว่าตอนที่พี่มัทบอกให้อธิษฐานคนแรกที่ผมนึกถึงคือพี่เชนก็เถอะ

.......................................................................


เกือบเย็นเราก็กลับมาถึงล่างตึกของห้องพัก

"มัทจะเดินเล่นแถวนี้ก่อน แมทขึ้นไปก่อนเลยก็ได้"

"ให้แมทเดินเป็นเพื่อนดีกว่าพี่มัท"

"ไม่ๆๆ แมทไปด้วยก็ต้องไปยืนรอ ไปพักเถอะ มัทไปคนเดียวดีกว่า"

"จะดีเหรอ แมทไปด้วยดีกว่า"

"เหอะน่า ไปๆ ขึ้นห้องไปก่อนเลย"    พอพี่มัทว่างั้นผมเลยต้องกลับหลังหันขึ้นห้องพักแทน
 

           เก็บของบางส่วนเข้ากระเป๋าเดินทาง สรุปข้อมูลทุกอย่างที่ได้มาจากทริปนี้ รวมทั้งของฝาก ขนาดไม่ค่อยได้ซื้อของฝากหรือของตัวเองมากมาย พื้นที่ในกระเป๋ายังเกือบจะไม่พอ ระหว่างเก็บก็พลันเห็นขวดน้ำผมต้องเก็บมันไปคืนเจ้าของสินะ ข้างๆกันมีถุงของที่ซื้อมาจากดิสนีย์แลนด์ ผมหยิบของซึ่งเป็นที่ตาดผมรูปมินนี่เม้าส์ออกมา ทั้งๆที่ซื้อมาทั้งมิคกี้และมินนี่แต่ผมกลับเลือกที่จะลองเอามินนี่มาสวมที่หัว ลุกขึ้นมองตัวเองในกระจกแล้วตลกดี ผมก็ไม่รู้นะว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้หยิบไอแพดมาถ่ายรูปตัวเองชูสองนิ้วกับไอ้ที่คาดผมหูหนูที่ตกแต่งด้วยโบว์สีชมพูอันใหญ่ ลองเปิดรูปขึ้นมาดูก็ถึงกับต้องหัวเราะ มันไม่เข้ากันเลยจริงๆ เห็นอย่างนั้นเลยจำต้องถอดออกแล้วเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม ระหว่างนั้นพี่มัทก็กลับมาพอดี

 
"ทำอะไรอยู่แมท"    ถามทันทีที่เดินเข้ามาในห้องพัก

"เก็บกระเป๋า พรุ่งนี้จะได้ตื่นสายได้หน่อย" ปิดกระเป๋าเตรียมตัวอาบน้ำ

"เหลือที่ว่างป่ะ ท่าทางกระเป๋ามัทจะเต็ม"   จะไม่เต็มได้ไง สองมือไม่ว่างขนาดนั้น

"ถือขึ้นเครื่องละกันพี่มัท แมทถือให้เอง เพราะกระเป๋าแมทก็ดูจะไม่พอ"

"ไม่ได้ๆ มัทว่าจะซื้อของที่ดิวตี้ฟรีด้วย มันจะพะรุงพะรัง"    ยังจะซื้ออีกเหรอ มีกี่ร่างวะพี่กู

"ลองยัดดูละกัน แต่คงไม่ยากสำหรับพี่มัทหรอกมั้ง"     ว่าจบผมก็หยิบผ้าขนหนูเตรียมเดินเข้าห่องน้ำ

"เอ้อ แมท มัทเห็นถุงนี่แขวนอยู่หน้าประตู เลยหยิบเข้ามา"       ยื่นถุงพลาสติกที่มีถุงกระดาษอยู่ด้านในและโน้ตใบเล็กๆที่เขียนอีเมล์เอาไว้แค่อย่างเดียว ผมเลยเปิดถุงกระดาษดูก็เห็นว่ามีวาฟเฟิลอยู่ 4 ชิ้น

"อะไรเหรอแมท"      พี่มัทถามทั้งๆที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาดูสักนิด

"ขนมวาฟเฟิล"

"กินด้วยดิ"    ทีอย่างนี้ละรีบเงยหน้าเตรียมลุกขึ้นมาแย่งเลยนะ

"ไม่ให้"

"หวงจัง ใครซื้อมาให้เนี่ย"

"พี่เชนมั้ง"

"ทำไมมั้ง ถ้าไม่มั่นใจก็โทรไปถามเขาก่อนดีไหม ไม่กลัวคนมาวางยาแกรึไง"

"คิดมากไปมั้ง"      ผมโคตรจะแน่ใจว่าขนมนี่พี่เชนเป็นคนเอามาแขวนหน้าห้องแน่นอน ถึงชื่ออีเมล์จะไม่ได้ดูเกี่ยวข้องกับชื่อเล่นหรือข้อมูลของพี่เชนที่ผมพอรู้ก็เถอะ

"ก็ดีกว่าคิดน้อยนะเว้ย ถ้าเกิดกินเข้าไปแล้วน้ำลายฟูมปากแกจะทำไง"

"ทันเหรอ"

"อะไรทันเหรอ"

"ก็ถ้าน้ำลายฟูมปากไปแล้วแมทจะทำอะไรทันเหรอ ต้องถามพี่มัทสิว่าจะช่วยแมทยังไง"

"ไม่ช่วย เพราะแกทำตัวเอง ฮ่าๆๆๆ ดีซะอีก มรดกแม่จะได้เป็นของมัทคนเดียว"     ไปกันใหญ่แล้วพี่มัท เห็นทีต้องเลิกคุย ผมเลยวางถุงวาฟเฟิลไว้ที่โต๊ะ แล้วเข้าไปอาบน้ำ

.......................................................................


"ของครบแล้วนะ"

"ครับ"      ผมลากกระเป๋าสองใบออกมาหน้าห้องก่อนที่จะล็อคประตูให้เรียบร้อย
 
"งั้นรีบไปคืนกุญแจกัน เดี๋ยวไปไม่ทันเครื่องออกนี่ก็จะ 8 โมงแล้ว"      ได้ยินอย่างนั้นก็รีบลากกระเป๋าขึ้นลิฟต์เพื่อไปคืนกุญแจ

"เครื่องออกกี่โมงพี่มัท"      ผมหันไปถามพี่มัทพอดีกับที่ประตูลิฟต์เปิด

"11 โมง รีบไปก่อนแหละดีจะได้พอมีเวลาเหลือเดินเล่นในดิวตี้ฟรี"      สาระในชีวิตก็มีแค่นี้จริงๆใช่ไหม

"กระเป๋ายังมีที่ว่างเหรอ"     

"เยอะแยะ นี่ไงเตรียมถุงผ้ามาแล้ว แถมยังมีแมทช่วยถือด้วย"      ผมถึงกับต้องส่ายหน้าให้กับความบ้าซื้อของพี่สาวตัวเอง

"อ้าวแมท จะกลับแล้วเหรอ"       เดินออกจากลิฟต์ก็เจอพี่เชลด้าพอดี

"ครับ นี่แมทจะเอากุญแจมาคืน พี่เชลด้าไปเช็คห้องเลยไหมครับ"         ผมยื่นกุญแจห้องให้พี่เชลด้ารับไว้

"อ่อ จริงๆไม่ต้องเช็คก็ได้นะ"

"เช็คเถอะค่ะ เราจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่ายนะคะคุณเชลด้า"         ผมเห็นด้วยกับพี่มัทนะ

"งั้นแมทไปลาป๊ากับม๊าได้ไหมครับ"

"ได้สิ งั้นเดี๋ยวพี่พาไป"       เราทั้งหมดพากันเดินกลับเข้าไปที่ห้องของพี่เชลด้าเพื่อบอกลาป๊ากับม๊า และในใจผมก็หวังลึกๆว่าพี่เชนจะอยู่ให้ผมบอกลา

"ป๊าม๊า แมทกับคุณมัทจะกลับไทยวันนี้แล้วค่ะ เลยแวะมาลา"

"ผมกลับก่อนนะครับป๊าม๊า ขอบคุณมากๆเลยครับที่ใจดีกับผม"        ผมยกมือไหว้ในขณะที่ตาผมก็พยายามมองหาอีกคน

"ขอบคุณมากๆอีกครั้งนะค่ะ รบกวนซะหลายอย่างเลย"         พี่มัทบอกพร้อมก้มหัวให้กับป๊าม๊า

"ยินดีๆ อย่ากังวลไปเลย สงสัยต้องหาเวลาไปเที่ยวไทยบ้าง "
 
"ถ้าไปเมื่อไหร่ให้บอกเลยนะครับป๊า ผมยินดีต้อนรับเต็มที่"

"ได้ๆ เดินทางปลอดภัยนะ"

"ไว้มาเที่ยวอีกนะลูก"        ม๊าบอก หลังจากนั้นผมและพี่มัทก็บอกลงพี่เชลด้าอีกเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าลิฟต์

 "น่ารักกันทั้งบ้านเลยเนอะ อัธยาศัยดีจัง เสียดายไม่ได้เจออีกคน"        ผมเองก็เสียดายนะ ถึงแม้จะมีอะไรบางอย่างให้ผมรู้สึกไม่สนิทใจเหมือนก่อนหน้า แต่ผมก็ยังอยากเจอเพื่อบอกลาอยู่ดี เพราะอย่างน้อยความทรงจำดีดีของการมาฮ่องกงครั้งนี้ก็มีพี่เชนอยู่ในนั้นเกินกว่าครึ่ง

.......................................................................



❤ตอนที่ 11 แมทกลับแล้ว ยังไงต่อดีหล่ะ ไม่ง่ายแล้วสินะ
❤ขอบคุณทุกความเห็นเลยนะคะที่แวะมาให้กำลังใจกัน
❤อยู่ต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ก่อนนะคะ ^^
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยค่ะ ขอบคุณค๊า



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 11 [18-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-01-2015 12:31:46
ความสัมพันธ์จะคืบหน้าช้าหรือเร็ว
คงต้องฝากความหวังไว้กับแมท
ว่าจะเก็บเมลล์ไว้เฉยๆหรือจะใช้มัน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 11 [18-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 18-01-2015 14:40:44
จะกลับแล้วน่าจะเจอกันก่อนนะแมท
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 11 [18-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: kokoro ที่ 18-01-2015 15:28:49
พี่เชนก็พยายามเต็มที่แล้วนี่นา
เหลือแมทน่ะแหละ จะต้องคิดทบทวนแล้วตัดสินใจว่าจะสานต่อหรือไม่
รีบๆคิดนะแมท
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 11 [18-01-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 18-01-2015 18:43:58
สงสารเชน. แมทแกรโง่มาก
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 12 [04-02-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 04-02-2015 09:57:15
ตอนที่ 12



"แมทโทรบอกโอ้ตแล้วใช่ไหมว่าให้มารับกี่โมง"       พี่มัทถามขึ้นขณะรอต่อแถวเช็คอิน

"ยังเลย ลืม"

"งั้นโทรก่อน เดี๋ยวมัทยื่นให้เอง"

"ไลน์ทิ้งไว้ก็ได้มั้ง"

"อย่าๆ โทรไปบอกดีกว่า แน่นอน"

"ครับๆ"

อย่างที่พี่มัทว่า ถ้าจะให้แน่นอนจริงๆต้องโทรไปบอก เพราะนี่ขนาดผมโทรไป 5 สายแล้วมันยังไม่รับเลย

"ฮัลโหล"

"มึงเข้าใจความหมายของคำว่าโทรศัพท์มือถือไหมวะโอ้ต"

"เอ้าไอ้นี่ ถามเหมือนกูเป็นเด็กป. 4 ไปได้"

"ถ้ามึงเข้าใจแล้วทำไมไม่เอามือมาถือมันเอาไว้หล่ะ"

"ให้กูทำงานบ้างเถอะครับ พอดีออกไปคุยกับลูกค้าหน้าร้านมา"

"เออ กูรอเช็คอินอยู่นะ คงถึงประมาณบ่ายสองมึงยังว่างมารับกูอยู่รึเปล่า"

"ว่างดิวะ ถ้าไม่ว่างมึงก็เบี้ยวนัดพวกกูอีก"

"เออ กูให้พี่มัทจองโต๊ะให้แล้ว แต่มึงห้ามสายนะเว้ย"

"ครับท่านครับ"

"เออ เจอกัน แค่นี้แหละ"

"รับทราบครับ"

          หลังจากนัดกับโอ้ตเรียบร้อยก็ถึงคิวเช็คอินพอดี พี่มัทยื่นพาสปอร์ตของเราสองคนให้กับพนักงาน พอดีกับที่บัตรรถไฟฟ้าหล่นจากพาสปอร์ตเพราะผมเป็นคนเสียบมันเอาไว้

"อ้าว แมทยังไม่คืนบัตรปลาหมึกอีกเหรอ"

"บัตรปลาหมึก?!? ไอ้นี่อ่ะเหรอ"       ผมหยิบบัตรขึ้นมาจากพื้นแล้วยื่นให้พี่มัทดู มันเขียนว่า octopus card ซึ่งมันก็คือบัตรปลาหมึกจริงๆอย่างที่พี่มัทว่า

"ใช่ เช็คอินเสร็จแล้วงั้นแมทพาไปคืนนะ"

ผมก็พยักหน้าก่อนจะเดินตามพี่มัทไป แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าบัตรใบนี้เป็นบัตรที่พี่เชนเป็นคนซื้อมาให้

"บัตรนี้มีอายุไหมพี่มัท"

"3 ปีมั้ง แมทซื้อวันที่มาใช่ไหมหล่ะ"       ผมทำแค่พยักหน้ารับ ไม่ได้บอกออกไปว่าบัตรใบนี้ผมไม่ได้เป็นคนซื้อเอง

"ถ้าเราไม่คืนได้ไหม"

"ได้ แต่ถ้าไม่คืนแมทก็จะไม่ได้เงินมัดจำในบัตรคืนนะ แล้วเงินที่เหลือในบัตรนี่อีก"

"มันมีค่ามัดจำบัตรด้วยเหรอ"

"อ้าว ตอนซื้อพนักงานที่ขายเขาไม่ได้บอกเหรอ แมทซื้อมา 150 ดอลล่าห์ฮ่องกงใช่ไหม ค่ามัดจำบัตรก็ 50 ดอลล่าห์ฮ่องกงไง"       ผมจะไปรู้ได้ยังไงในเมื่อผมไม่ได้เป็นคนซื้อเอง

"ไม่คืนละกันนะ แมทอยากเก็บไว้"

"ลองไปเช็คยอดคงเหลือดูก่อน แมทอาจจะอยากคืนก็ได้นะ"

"แค่เช็คว่าเหลือเท่าไหร่แต่ขอไม่คืนนะ"

"จะเก็บไว้เป็นที่ระลึกหรือไง"       ผมพยักหน้า ใช่ มันเป็นของที่ระลึกสำหรับผม

"ล่าสุดเติมเงินไปเท่าไหร่หล่ะ"       ผมเลือกที่จะเงียบเพราะทุกคำถามของพี่มัทผมตอบไม่ได้สักอย่าง ผมไม่สนด้วยว่าในบัตรใบนี้จะแลกเงินคืนได้เท่าไหร่ แค่เก็บไว้ให้มันยังอยู่กับผมก็พอ

"หรือว่าจะมาอีกเลยไม่อยากคืน"       พอพี่มัทว่าอย่างนั้นผมเลยพยักหน้าส่งๆไป

"ติดใจละสิ บอกแล้วว่าท่องเที่ยวมันสนุก"

"งั้นแหละ"       ก็ติดใจจริงอย่างที่ตอบพี่มัทไปนั่นแหละ

.......................................................................


"กูรอรับกระเป๋าอยู่นะ มึงถึงไหนแล้ว"

"กำลังรับบัตรจอดรถอยู่ เดี๋ยวกูจอดรอประตูแรกเลยนะ"

"โอเค กระเป๋ากูมาพอดี เดี๋ยวเจอกัน"       ผมรีบยกกระเป๋าลงจากสายพานแล้วเดินออกจากสนามบินเพื่อไปรอที่ประตูแรกตามที่โอ้ตบอก

"โอ้ตมาถึงรึยัง"       พี่มัทหันมาถามพอดีกับที่ผมเห็นว่ารถโอ้ตกำลังจอด"

"นั่นไงมาแล้ว"       ผมชี้ให้พี่มัทดูพร้อมกับลากกระเป๋าไปที่รถ

"เชิญครับ อย่าต้องลำบากเลย ผมขนให้เองดีกว่าครับ"      ผมกับพี่มัทถึงกับต้องมองหน้ากัน เพราะดูมันพยายามทำดีผิดวิสัย

"มึงเป็นอะไรโอ้ต"     แค่ส่ายหน้า แต่ผมเห็นถึงท่าทางที่ไม่ปกติของมัน

"โอ้ตกลัวแมทเบี้ยวของฝากเหรอ"     ผมว่าไม่น่าใช่อย่างที่พี่มัทสงสัย

"อย่าสงสัยเลย ไปขึ้นรถกันเถอะครับเจ้"     มันต้องเกี่ยวกับนัดวันนี้แน่ๆ

"โอ้ตไปส่งพี่ที่บ้านก่อนนะ ขอพี่เอากระเป๋าไปเก็บก่อน แล้วพี่จะไปที่ร้านด้วยเลย"

"ได้ครับ"      ระหว่างเดินทางไปที่บ้านผมก็มองหน้าไอ้โอ้ตไปตลอดทาง มันคงไม่ทันสังเกต เพราะหน้ามันที่ผมเห็นเวลาหันมองกระจกข้างคิ้วจะขมวดอยู่ทุกครั้ง มันต้องมีเรื่องอะไรปิดบังผมอยู่แน่ๆ

"โอ้ต โอ้ต ไอ้โอ้ต"       พี่มัทที่นั่งอยู่ข้างๆมันหันมามองหน้าผม จากสายตาที่พี่มัทมองมาผมว่าเราคิดเหมือนกัน ผมลองเรียกอีกครั้ง

"โอ้ต ไอ้เชี้ยโอ้ต"      มันก็ยังคงไม่ได้ยิน

 พลั่ก!!!

"โอ้ย! เชี้ย! ตีกูทำไม" ผมเอามือตบหัวมันไปเบาๆหนึ่งที

"กูสิต้องถามมึง มีสมาธิขับรถอยู่ป่ะเนี่ย"

"มีสิวะ ขับรถไม่มีสมาธิก็ได้ลงไปเล่นน้ำในคลองหรอกมึง"

"เหรอ... แต่พี่ว่าโอ้ตไม่มีนะ โชคดีที่ยังไม่ลงคลอง"

"น่า! ถึงบ้านแล้วเนี่ย ไปๆ ผมไปขนกระเป๋าลงก่อนนะ"       พอพี่มัทลงจากรถขณะที่โอ้ตกำลังจะเปิดประตูผมกระชากคอเสื้อมันไว้จากด้านหลังเบาะ

"โอ้ย! สัด รัดคอกู ทำขนาดนี้ฆ่ากูเลยเถอะ"      ทั้งโวยวายทั้งดิ้นไปมาจนผมต้องปล่อยคอเสื้อมัน

"มึงนี่นะ คอเสื้อกูยืดหมด"      ผมเพิ่มรู้นะว่าเนื้อผ้าของเสื้อเชิ้ตมันยืดได้ด้วย

"มึงมีอะไรจะบอกกูก่อนไหม"

"ไม่มี"

"อย่าโกหกกู"

"ไม่มีจริงๆ"

"มึงรู้ใช่ไหมว่าถ้ากูรู้เองมันจะเป็นยังไง"       มันกำลังลังเล เดี๋ยวมันต้องพูดออกมาแน่ๆและผมเชื่อในสัญชาตญาณผมว่ามันต้องมีอะไรสักอย่าง คนอย่างโอ้ตเก็บอาการไม่มิดเสมอ

"เห้ย! แมท มาช่วยมัทขนกระเป๋าสิ"        ถ้าพี่มัทไม่ขัดจังหวะซะก่อน

"ครับเจ้ โอ้ตยกให้เองครับ"       มันรีบถือโอกาสนี้เปิดประตูออกไปจากรถ แต่ผมก็ไวกว่าอยู่ดี ผมเปิดประตูมาขวางมันเอาไว้ไม่ให้เดินไปเอากระเป๋าหลังรถ

"อย่าให้กูรู้เองนะโอ้ต"       ผมปิดประตูรถแล้วรีบเดินไปยกกระเป๋าทันทีที่พูดจบประโยค

"ตกลงมึงจะช่วยกูยกไหม"

"ช่วยๆ"      มันรีบเดินมาช่วยยกกระเป๋าทันทีหลังจากนิ่งไปสักพัก ยิ่งเห็นมันนิ่งไปแบบนี้ผมยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่ามันต้องมีเรื่องอะไร

.......................................................................


"พวกมึงนัดกันกี่โมง"       หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยผมกับโอ้ตก็มานั่งรอพี่มัทที่โซฟาด้านล่าง

"ประมาณทุ่มนึง"       หันไปมองนาฬิกายังมีเวลาอีกเหลือเฟือ

"นี่ก็เพิ่งจะ 5 โมงครึ่ง คงไม่ต้องรีบ"

"รีบเถอะ เผื่อมีคนมาก่อน"

"ปกติมึงสายตลอด ทำไมวันนี้ต้องรีบ เวลาเหลือเยอะแยะ"

"กูบอกแล้วไงว่าเผื่อมีคนมาก่อน"

"กูให้โอกาสมึงอีกครั้งโอ้ต"       มันนิ่งไปสักพักก่อนที่จะฟุบหน้าลงไปกับหมอนอิงแล้วตะโกนออกมา

"อ๊ากกกกก!!!!"

"กูพร้อมจะฟังแล้ว"

"คือกูไม่รู้ไง ถ้ากูรู้กูจะไม่ทำแบบนี้เลยเว้ย"       ผมทำแค่ปล่อยให้มันพูดต่อไป

"มึงจำหลินได้ใช่ไหม"       ผมพยักหน้าแทนการตอบออกไป ทำไมผมจะจำไม่ได้ในเมื่อหลินคือผู้หญิงคนแรกที่ผมรู้สึกดีด้วยแล้วยังไปตามจีบแข่งกับเพื่อนสนิทตัวเองอีก

"คือวันนี้หลินจะมาด้วย กูไม่รู้ว่าหลินจะมา กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจทำมึงอึดอัดนะเว้ยแมท"       เอาจริงๆผมก็รู้สึกหน่วงๆนะ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว เจอกันก็ดีเหมือนกัน เพราะสำหรับผม หลินก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึง

"มึงไม่ไปก็ได้นะ การที่ต้องเจอทั้งไอ้มินทั้งหลินพร้อมกันมันคงทำให้มึงอึดอัด เดี๋ยวกูจะบอกพวกนั้นให้ว่ามึงไม่สบาย"

"กูสบายดี แล้วกูก็จะไปด้วย"       ผมรู้ว่าโอ้ตมันห่วงความรู้สึกผม

"ถ้ามึงไม่โอเคบอกกูนะ กูจะพามึงกลับบ้านเอง"       ยังไม่ทันที่ผมจะตองพี่มัทเดินลงบันไดมาพอดี

"ไปกันเถอะ ขอโทษที่ให้รอนะโอ้ต"

"กูไม่ได้คิดอะไรกับหลินแล้ว ขอบใจมึงมาก"       พูดพร้อมตบบ่ามันเบาๆก่อนจะเดินตามพี่มัทออกจากบ้านไป

.......................................................................


"มัทจองห้องเอาไว้ให้นะ ด้านในเลย จะได้เป็นส่วนตัว ส่วนอาหารจะสั่งล่วงหน้าไว้ก่อนหรือจะรอเพื่อนมาสั่งพร้อมกันทีเดียว"

"สั่งบางส่วนไว้ก่อนเลยละกัน พี่มัทไปเคลียร์บัญชีเถอะ แมทจัดการต่อเอง ขอบคุณนะครับ"       ผมเดินเข้าครัวเพื่อสั่งอาหารสองสามอย่างก่อนจะเดินมาห้องที่พี่มัทเตรียมไว้

"กูสั่งไก่ทอดซอสเลมอน ยำตะไคร้ แล้วก็ซี่โครงหมูอบช็อคโกแล็ตเผื่อมึงไปนะ จะกินอะไรเพิ่มไหม"

"หืม ที่ว่ามาทั้งหมดนี่แน่ใจว่าเผื่อกู"

"ใช่ มีกันอยู่สองคนจะให้กูเผื่อใคร"

"เหรอ ของโปรดมึงทั้งนั้นนะ ทำมาเป็นเผื่อกู"

"เฮ้ เพื่อน"      ระหว่างที่ผมกำลังถกเถียงกันเรื่องเมนูอาหารอยู่ก็มีคนเปิดประตูเข้ามา

"โม ใช่โมป่ะ"       ผมทักขึ้นมา แต่ด้วยระยะเวลาหลายปีที่ไม่เจอกัน ทำให้ผมไม่แน่ใจ

"เออ โมเอง จำไม่ได้ละสิ"       ผมพยักหน้า

"มันจะจำได้ไง ไม่เจอมึงตั้งหลายปี กูเจอมึงอยู่ทุกปีกูยังจำเค้าเดิมมึงไม่ได้เลยโม"       พอโอ้ตพูดเสริมผมเลยพอเข้าใจว่าทำไมผมแค่คุ้นๆ

"กูไม่สวย กูก็ต้องพยายามยกเครื่องให้ดูดีสิวะ"

"เหรอ...โมสมชื่อเลยนะมึง"       โอ้ตแบะปากตอบโมด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้

"เออ โลกเดี๋ยวนี้มันโหดร้ายเว้ย กูสวยขนาดนี้ผู้ชายยังไม่สน ดูไอ้หลินเป็นตัวอย่างได้เลย"       ผมกับไอ้โอ้ตมองหน้ากัน พอดีกับที่มีคนเปิดประตูเข้ามา

"โม หลินลืมเค้ก ขอกุญแจรถหน่อย"       เป็นหลินนั่นเองที่เดินเข้ามา

"หวัดดีหลิน"       ผมเอ่ยทักก่อน เพราะกลัวว่าถ้าอีกฝ่ายเห็นผมแล้วจะอึดอัด

"เอ่อ แมทใช่ไหม หวัดดี ไม่เจอกันนานเลยเนอะ"       จากท่าทางและน้ำเสียงของหลินผมสัมผัสได้ว่าเธอดูตกใจไม่น้อยที่เจอผม

"โมไปเอาให้เองจ้ะ จะเอาของไปเก็บด้วยหลินรอนี่แหละ โอ้ตไปช่วยกูยกเลย ของเยอะแยะ"       โมรีบกวักมือเรียกโอ้ตออกไป

"กูว่ามึงเลิกขึ้นเขียงให้หมอกรีดหน้าผ่าตัวแล้วหันมาพูดเพราะแบบเมื่อกี้นะ รับรองผู้ชายเลิกกินกันเองแล้วหันมามองมึงก่อนชัวร์"       ทันทีที่โอ้ตพูดจบโมก็รีบเดินไปกระชากแขนโอ้ตออกจากห้อง ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโมจะต้องรีบเร่งและรุนแรงขนาดนั้น จนตอนนี้ก็เหลือแค่ผมกับหลินอยู่ในห้องเราต่างทำแค่มองหน้ากันโดยไม่มีใครพูดออกมาก่อน มันอึดอัดเกินไป

"หลินสบายดีไหม"       ผมทนไม่ไหวเลยทำลายความเงียบลงก่อน

"สบายดี แมทหล่ะ"

"สบายดี สั่งน้ำอะไรก่อนไหม เดี๋ยวเราเดินไปบอกแม่ทำให้"       ผมลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบเมนูน้ำมาให้หลินเลือก

"ไม่เป็นไรแมท น้ำเปล่าดีกว่า"       พอหลินบอกอย่างนั้นผมก็ทำแค่รินน้ำเปล่าใส่แก้วให้

"แมทมานานแล้วเหรอ"

"มาถึงสักพักพร้อมโอ้ตเนี่ยแหละ"

"มาไวจัง เพิ่งจะหกโมงกว่าเอง"

"ครับ เห็นโอ้ตบอกว่ามินมาด้วย ไม่ได้มาพร้อมกันเหรอ"       ผมถามออกไปแบบนั้นก็เพราะอยากให้หลินสบายใจว่าผมไม่ได้ติดใจเรื่องเก่าๆแล้ว แต่หลินกลับเงียบไม่ตอบจนผมรู้สึกว่าตัวเองคงถามอะไรผิดไป

"มินคงมาพร้อมวิน"       คำตอบหลินทำให้ผมงง ทำไมมินต้องมาพร้อมน้องชายหลินด้วย แล้ววันนี้ก็นัดกันแค่เพื่อนๆ หรืออาจจะไปทำธุระด้วยกัน ด้วยนิสัยชอบสงสัยไปเรื่อยของผม ทำให้ต้องถาม แต่ยังไม่ทันได้ถาม โอ้ตกับโมก็เข้ามาก่อน เพราะวินเป็นน้องของหลินนี่หน่า มาด้วยกันก็คงไม่แปลก

"เค้กมาแล้ว"       โอ้ตวางเค้กไว้บนโต๊ะแล้วหันมาบอกผม

"มึงยังไม่เคยชิมเค้กหลินใช่ไหมวะ ขอบอกว่าอร่อยจนหม่อมหลวงยังมายกนิ้วให้เลย"       ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปมองหน้าหลิน รอยยิ้มที่ผมเห็นยังสวยเหมือนเดิม เพียงแต่มีความเศร้าที่สัมผัสได้ส่งออกมาจากแววตาที่มองมาที่ผม

"เพิ่งรู้จากโมว่าจะมาร้านแมท เกรงใจจัง ที่เอาเค้กมาให้เจ้าของร้านเค้กช่วยชิม พอดีหลินลองทำเค้กสูตรใหม่ เลยเอามาให้ชิม แต่คงสู้ของแม่แมทไม่ได้ ยังไงช่วยชิมแล้วช่วยติให้หน่อยนะ"

"ได้สิ ลองเอาไปให้แม่ช่วยชิมยังได้เลย"       หลินไม่ได้ตั้งใจเอาเค้กมาข่มร้านผมหรอก มันคงเป็นความบังเอิญมากกว่า ผมเข้าใจ

"ได้จริงเหรอ ขอบคุณมากเลยนะ งั้นหลินตัดแบ่งไปให้ตอนนี้เลยดีกว่า"

"ตอนนี้เลยเหรอ"

"ตอนนี้แหละ ตัดให้ผู้ใหญ่ก่อน ถ้าให้ทีหลังจะน่าเกลียด"

"เอ่อได้ๆ"       พอผมว่าจบหลินก็จัดแจงตัดเค้กใส่จานกระดาษที่ตัวเองเตรียมมาด้วย

"เรียบร้อยแล้ว พาไปให้แม่แมทกัน"       ผมอาสาถือจานเค้กให้ แต่หลินบอกว่าอยากให้เองกับมือมากกว่า ผมเลยทำแค่นำทางหลินไปยังร้านของแม่ ระหว่างนั้นหลินก็อธิบายสูตรเค้กของตัวเองไปด้วย ผมก็เอาแต่มองหน้าหลินไปอย่างนั้น ไม่ได้ฟังสักนิดว่าเค้กชิ้นนี้จะผสมไปด้วยอะไรบ้าง

.......................................................................


"แม่ละครับพี่อิน"       ถามหาแม่จากพนักงานที่ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม

"อยู่ด้านในเลยค่ะน้องแมท"       ผายมือเข้าไปในครัวเล็กหลังเคาน์เตอร์ร้านพร้อมรอยยิ้ม

"แม่ครับ แมทกลับมาแล้วนะ"       ผมเดินไปกอดแม่ที่ยืนอยู่หน้าเตาอบจากด้านหลัง เพราะตั้งแต่มาถึงผมก็ยังไม่ได้เจอแม่เลย

"แมท! มาถึงกี่โมงลูก โอ้ตไปรับเหรอ พี่มัทหล่ะ แล้วนี่กินข้าวมารึยัง"       แม่หันมาถามผมยาวเหยียดโดยไม่ทันมองด้วยซ้ำว่าผมพาใครมาด้วย

"ใจเย็นๆครับแม่ แมทมาถึงตอนเกือบบ่ายสามแล้ว โอ้ตไปรับ พี่มัทไปดูบัญชีอยู่ ส่วนเรื่องข้าวกำลังรอกินพร้อมเพื่อนครับ ครบยังเนี่ย"       ทำมือนับนิ้วตามไปด้วยขณะตอบเพื่อเช็คว่าตอบคำถามไปครบ

"จ้า ครบแล้ว"       แม่หัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปเอาขนมออกจากเตา แม่คงยังไม่ทันเห็นหลิน

"แม่ นี่หลินเพื่อนแมท"       แนะนำจบแม่ก็หันมามองพอดีกับที่หลินยกมือไหว้

"สวัสดีค่ะ แม่ไม่ทันเห็นโทษทีลูก"       แม่ยกมือไหว้ตอบกลับ

"ไม่เป็นไรค่ะ นี่หลินลองทำเค้กสูตรใหม่แมทเลยอาสาเอามาให้แม่ช่วยชิม"       หลินยื่นเค้กไปตรงหน้าให้แม่รับไว้

"รบกวนด้วยนะคะ หลินเป็นมือใหม่ ถ้ามีตรงไหนยังไม่ดีติได้เลยนะคะ"       แม่ยิ้มให้ก่อนจะตักเค้กชิม

"อื้ม...อร่อยมากลูก หน้าตาก็ดูดี"

"จริงเหรอคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ"       หลินยกมือขอบคุณแม่อีกครั้ง

"ทำขายได้สบายเลยนะ"       หลินรีบโบกมือปฏิเสธทันทีที่แม่พูดอย่างนั้น

"หลินยังไม่เชี่ยวชาญขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ทำเป็นงานอดิเรก เลยอาศัยเพื่อนๆนี่ละค่ะช่วยกันชิมช่วยกันทาน"

"แมทลองชิมยัง อ่ะ ลองๆ อร่อยลูก"       แม่พูดไปก็ตักเค้กมาจ่อที่ปากให้ผมต้องอ้าปากรับเค้กคำนั้น ความรู้สึกแรกคือมันนุ่มฟู หอมเหมือนเค้กของแม่เลย ความหวานก็กำลังพอดี

"เค้กหลินเป็นไงบ้างแมท"

"ว่าไงแมท ถึงกับอึ้งไปเลยเหรอลูก"

"อร่อยมากหลิน อร่อยจริงๆ"       ผมหันไปบอกหลิน ก็เห็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม

"ขอบคุณนะแมท หลินชอบเค้กของคุณน้ามากเลยนะคะ อร่อยไม่เหมือนใคร หาทานได้ที่นี่ที่เดียว แนะนำใครก็ไม่ผิดหวัง อีกอย่างเค้กของคุณน้าเป็นแรงบันดาลใจให้หลินหัดทำเค้กด้วยค่ะ"

"จริงเหรอจ้ะ น้าดีใจจัง"

"แก้มปริแล้วแม่ ชมพอแล้วหลิน มากกว่านี้เราว่าสงสัยแม่ต้องทำเค้กเพิ่มหาเงินมาซ่อมหลังคาแน่ๆ"

"เดี๋ยวเถอะแมท"       แม่หันมามองค้อนผมก่อนจะหันไปยิ้มให้กับหลิน

"ถ้าว่างก็เข้ามาที่ร้านได้นะลูก อะไรที่พอเรียนรู้จากน้าได้น้าก็ยินดีจ้ะ"

"ขอบคุณมากเลยค่ะ สงสัยหลินคงได้รบกวนบ่อยๆแน่เลยค่ะ"

"ตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะครับ งั้นไปเถอะหลิน พวกนี้คงมากันแล้วแหละ เจอกันตอนปิดร้านนะครับแม่"       แม่พยักหน้าแทนการพูดตอบ

"หลินขอตัวก่อนนะคะคุณน้า สวัสดีค่ะ"

"จ้ะ ขอบคุณนะจ๊ะสำหรับเค้ก"

.......................................................................


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 12 [03-02-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 04-02-2015 09:58:33
ตอนที่ 12

          ผมพาหลินกลับมาที่ห้องที่จองไว้ ได้ยินเสียงดังลอดออกมาจากประตู เดาว่าคงมากันครบแล้ว ผมกำลังจะเปิดประตู หันไปมองก็เห็นหลินหยุดยืนอยู่ห่างจากหลังผมไป ทำให้ผมต้องถามเพราะความไม่แน่ใจ

"เข้าไปเลยนะ"

"แมทเข้าไปก่อนเลย หลินขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"       ท่าทางที่นิ่งและสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลินทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วง

"ให้เราไปเป็นเพื่อนไหม"       แต่หลินกลับโบกมือปฏิเสธแล้วหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ เห็นอย่างนั้นผมเลยเลือกที่จะเปิดประตูเข้าห้องไป จากที่เห็นเพื่อนๆเต็มห้องก็เดาว่าน่าจะมากันครบแล้ว

"เฮ้ย! ไอ้แมทมาแล้วเว้ย"       โอ้ตทักขึ้นมาเสียงดังจนทุกคนหันมามองผมที่ยืนอยู่ตรงประตู

"เซเลบเชียวนะมึง จะนัดเจอทีนึงต้องจองคิวล่วงหน้า 4-5 ปีเลยเหรอวะ"      ผมแค่ยิ้มให้ม่อน ไม่ได้พูดตอบอะไรออกไปแล้วพาคัวเองมานั่งที่นั่งว่างข้างโอ้ตซึ่งมีอยู่สองที่

"หวัดดีพวกมึง ไม่เจอกันนาน สบายดีกันใช่ไหม"       ถามแล้วหันไปมองรอบโต๊ะบ้างก็พยักหน้าตอบบ้างก็ยกมือทำท่าโอเคจนสายตามาหยุดอยู่ที่มินซึ่งมันเองก็กำลังมองผมอยู่ ข้างๆกันเป็นคนที่ผมไม่รู้จัก แต่รู้สึกคุ้นหน้า

"แล้วมึงหล่ะ สบายดีนะ"      มินถามผม

"สบายดีสิวะ แล้วนี่อาหารมาครบยัง สั่งอะไรกันเพิ่มไหม"      ระหว่างรอคำตอบจากเพื่อนๆที่กำลังดูเมนู  ผมหันไปถามโอ้ตว่าคนข้างๆมินเป็นใคร

"น้องชายหลินไงมึง แล้วก็ควบตำแหน่งแฟนไอ้เชี้ยมินด้วยครับตอนนี้"

"เฮ้ย!"      ผมอุทานด้วยความตกใจ จะไม่ให้ตกใจได้ยังไง เจอกันครั้งสุดท้ายมินกับหลินยังเป็นแฟนกันอยู่ 4 ปีผ่านไปทำไมเปลี่ยนจากหลินมาเป็นน้องวิน ผมเริ่มจะพอเข้าใจท่าทีอึดอัดของหลินเวลาที่ผมถามถึงมินแล้วหล่ะ รวมถึงแววตาเศร้าๆที่ผมเห็นนั่นก็ด้วย ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง เป็นแบบนี้มานานแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ หลินยังไม่พร้อม ผมนั่งคิดถึงความรู้สึกของหลินไปเรื่อยๆ สักพักโมที่นั่งถัดจากเก้าอี้ว่างข้างผมก็ชะโงกหน้ามาถาม

"หลินหล่ะ"

"ไปห้องน้ำ"

"นานยัง"

"ตั้งแต่เราเดินเข้ามา"

"สักพักแล้วสิ งั้นโมไปตามหลินดีกว่า"   โมทำท่าจะลุกออกไป ผมที่ไวกว่ารีบจับไหล่โมเอาไว้

"เราไปเอง โมอยู่สนุกกับเพื่อนเถอะ เราจะไปสั่งเครื่องดื่มเพิ่มพอดี"     ผมรีบบอกโมทันทีที่โมบอกว่าจะไปตามหลิน

"ได้ๆ"      โมพูดพร้อมพยักหน้าก่อนจะหันไปคุยกับเพื่อนๆต่อ

 ผมเดินออกมาตามหลิน ระหว่างนั้นผมคิดอะไรไม่ออก จริงๆผมไม่ควรคิดอะไรด้วยซ้ำ มันก็คงไม่ดีแน่ถ้าผมจะตัดสินใครโดยที่ผมยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง

"หลิน ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้"     เดินยังไม่ทันถึงก็เห็นหลินนั่งอยู่ตรงม้านั่งที่เป็นสวนหย่อมเล็กๆใกล้กับห้องน้ำ

"แมท หลินกำลังจะเข้าไป แมทมาเข้าห้องน้ำเหรอ"       ผมนั่งลงที่ม้านั่งข้างๆหลิน

"ป่าว มาตามหลิน พร้อมแล้วใช่ไหม"

"พร้อม?!? พร้อมอะไร"       หลินมีสีหน้างงอย่างเห็นได้ชัด

"หลินพร้อมจะเข้าไปเจอเพื่อนๆแล้วใช่ไหม"      พอจบคำถามผม เราสองคนต่างก็มองหน้ากันอยู่อย่างนั้นสักพัก

"เพื่อนมากันครบแล้วเหรอ"      ผมพยักหน้า

"งั้นแมทก็รู้แล้วใช่ไหมถึงได้ออกมาตามหลิน"

"รู้ว่า"       มันอาจจะทำให้หลินรู้สึกแย่ผมเลยเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ดีกว่า

"ช่างเถอะ ยังไงก็ขอบคุณนะแมท ที่มา"       ผมทำแค่ยิ้ม

"หลินรู้ไหมว่าไม่มีใครที่หนีความเจ็บปวดได้หรอก"       ยังคงมองหน้าหลินอยู่อย่างนั้น

"ที่พูดนี่เพราะรู้หรือเพราะว่าสีหน้าหลินแสดงออกชัดเจน"        หลินหลบสายตาทันทีที่พูดจบ

"ไม่ว่าจะเพราะอะไร เราอยากให้รู้นะว่าทุกคนเป็นห่วงความรู้สึกหลิน และคงจะรวมทั้งไอ้มินแล้วก็น้องวินด้วย"

"แมทรู้ได้ยังไง"

"เรารู้สึกได้"

"ระหว่างมินกับหลินมันถึงทางตันมานานแล้ว แต่เราก็ยังพยายามเพราะคิดว่ามันจะไปรอด เรายื้อกันไปมาตั้งไม่รู้กี่ครั้ง วันนึงมันก็ไม่ไหว  มินเลือกที่จะปล่อยมันไปก่อนสุดท้ายก็มีแต่หลินที่ยังรั้งเอาไว้ เพราะคิดว่าคงไม่มีใครที่หลินจะรักได้มากขนาดนี้อีกแล้ว"

"แล้วตอนนี้หลินปล่อยไปรึยัง"

"ปล่อยไปนานแล้ว ก่อนที่มินกับวินจะมาคบกันอีก"

"แต่ที่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะกำลังยึดไว้เหรอ"

"หลินไม่ได้เสียใจที่เป็นวินนะ หลินรู้ว่าความรักมันไม่มีข้อจำกัด มินเลิกกับหลินนานแล้วก่อนที่จะมาคบกับวิน แล้วหลินก็รักวินมาก ต่อให้มินเลิกกับหลินเพราะวินหลินก็ยังยินดีในความรักของทั้งคู่อยู่ดี"

"งั้นตอนนี้หลินก็ควรจะดีใจสิ ไม่ใช่พยายามหลบหน้า ไม่ใช่เพราะหลินยังลืมมินไม่ได้หรือยังรักมินอยู่หรอกเหรอ"       มันจะมีเหตุผลอะไรไปมากกว่าการที่ยังรักอยู่เลยทนเห็นเขากับคนใหม่ไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ยิ่งพอเป็นน้องชายตัวเองมันเลยยิ่งยากเข้าไปใหญ่

"ถ้าเป็นแมท แมทจะยินดีกับความสุขของเขาที่ไม่มีเราเป็นส่วนหนึ่งอีกต่อไปแล้วได้จริงๆเหรอ"

"ก็ถ้ามองยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ พยายามไปก็ไม่รอด สุดท้ายก็เป็นได้แค่เส้นขนานอยู่ดี"

"คงเพราะเส้นขนานอย่างที่แมทว่า มินเลยยังอยู่ใกล้หลินขนาดนี้ แยกจากกันไม่ได้สักที"

"แค่ต้องยอมรับและมีความสุขไปกับมัน ถ้าหลินยังไม่ปล่อยวาง มันก็เหมือนกับหลินยังไม่ยินดีกับความรักของทั้งคู่ แล้วอย่างนี้น้องวินที่หลินบอกว่ารักมากจะมีความสุขได้ยังไง"

"ถ้าวันนั้นไม่ใช่มินแต่เป็นแมท หลินจะเจ็บขนาดนี้ไหม"       ผมไม่คิดว่าหลินจะพูดแบบนี้ เลยทำแค่เงียบไป

"หลินเดาว่าหลินคงกำลังมีความสุขแน่ๆ แมทว่าอย่างนั้นไหม"       ผมไม่ควรฉวยโอกาสใช่ไหม

"วันนึงหลินจะพบคนคนนั้นของหลิน คนที่จะทำให้หลินรู้และเข้าใจว่าทำไมคนที่ผ่านมาถึงยังไม่ใช่สักที" แล้วผมก็วางมือบนไหล่หลินเบาๆ "เราจะคอยเป็นกำลังใจให้ ขอให้หลินเจอเขาเร็วๆนะ รีบเข้าไปในห้องเถอะ โมคงเป็นห่วงหลินมาก เราจอไปสั่งเครื่องดื่มเพิ่มก่อน เดี๋ยวตามไปครับ"       หลินแยกเดินไปอีกทาง ขณะที่ผมเดินมาทางร้านของแม่เพื่อสั่งเครื่องดื่ม ผมต้องรีบพูดตัดบท เพราะผมกลัวว่าจะมีคำพูดจากหลินที่เปิดโอกาสมากกว่านี้ ผมกลัวตัวเองหวั่นไหว ครั้งนึงผมเคยผิดหวัง แต่ไม่ได้หมายความว่าลึกแล้วผมหมดหวัง ตอนแรกที่เจอหลินผมก็ยังหวังอยู่ พอเรื่องเป็นแบบนี้ผมก็ยิ่งมีความหวัง แต่หลินยังลืมมินไม่ได้ ความรู้สึกผมคงลำบากแน่ๆถ้าผมก้าวเข้าไปในวงกลมของความสัมพันธ์นี้ในตอนนี้ ผมควรปล่อยให้หลินจัดการความรู้สึกตัวเองก่อน ไม่ใช่ก้าวไปอยู่ในวงกลมวงใหม่ทั้งๆที่ขาอีกข้างก็ยังคงสลัดวงกลมวงเก่าไม่ได้ มันจะต่างอะไรกับการมีคนใหม่เพื่อให้ลืมคนเก่า มีแต่จะทำให้เจ็บไปมากกว่าเดิม

.......................................................................


ผมออกมานั่งรอเครื่องดื่มที่โต๊ะนอกร้านแม่รอให้พี่ที่ร้านช่วยเตรียมให้ ระหว่างนั้นผมก็เห็นคนกำลังเดินตรงมาที่ร้าน

"ไงมึง มาทำไรตรงนี้"       มินนั่นเอง

"มารอเอาเครื่องดื่มไปให้พวกมึงนี่แหละ"

"เยอะไหม กูช่วย"

"เดี๋ยวให้เด็กช่วยยกไป มึงไปรอที่โต๊ะเถอะ"

"ให้เด็กช่วยแม่มึงเถอะ เดี๋ยวกูช่วยมึงยกไปเอง"

"เออๆ ตามใจมึง"

"ช่วงนี้มึงเป็นไงบ้าง ชีวิตดีไหมวะ"

"เรื่อยๆ แล้วมึงอ่ะ"

"ชีวิตกูก็ดีนะ ตั้งแต่มีวินเข้ามา"       รอยยิ้มของมินที่แสดงออกมาสนับสนุนคำพูดของมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

"เออกูจะถามตั้งแต่ที่โต๊ะละแต่เกรงใจน้องวิน"

"เกรงใจทำไม มีมึงคนเดียวแหละหว่ะที่ยังไม่รู้ นัดเจอทีไรมึงก็เบี้ยวตลอด"

"แล้วไปไงมาไงมึงสองคนถึงได้มาคบกันวะ"

"กูก็ไม่รู้เหมือนกัน คนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะมั้ง"

"พูดเป็นนิยายเลยนะมึง"

"เอ้า จริงนะเว้ย ตอนกูคบกับหลินก็เห็นวินอยู่ทุกวัน ไม่เคยรู้สึกอะไรด้วยสักนิด ผู้ชายอีกต่างหาก เสือกไปขุดหลุมให้กูตกตอนอยู่เมืองนอกเฉยเลย"

"แต่มึงก็มีแฟนเป็นผู้หญิงมาตลอด มันง่ายสำหรับมึงเหรอวะ คือกูหมายถึงมึงมั่นใจแล้วเหรอว่ามันคือความรักที่ไม่ใช่แค่พี่น้อง"

"เค้าว่ากันว่าแค่ 3 วินาทีชายหญิงก็ลึกซึ้ง แต่ชายกับชายมันเทียบแบบนั้นไม่ได้หรอก"

"ทำไมวะ"

"ถ้ามึงไม่ได้ชอบพวกผู้ชายด้วยกันมึงจะมองหน้าแล้วคิดไปไกลกว่าเพื่อนหรือพี่น้องเหรอวะ"       ผมพยักหน้าเห็นด้วยก่อนมันจะพูดต่อ

"กูถึงได้บอกไงว่ามันใช้เวลามากกว่านั้น กูเลยต้องขอบใจจังหวะเวลาที่มันพอดี ตอนนี้กูบอกมึงเลยว่าวินมันเป็นความสุขของกู"

"ความรักมันให้ความสุขมึงจริงๆเหรอวะมิน"

"ไม่มีใครตอบแทนใครได้หรอก สำหรับกูหลินก็คือความสุข แต่พอตอนคบกันเราทั้งคู่ก็รู้ดีว่ามันมีความทุกข์มากกว่านั้น ในเมื่อไปกันไม่ได้ พยายามกันก็หลายครั้ง มันไม่ได้ก็คือไม่ได้ กูต้องยอมรับว่าเราต้องเลิกกัน แต่พอกูเจอวิน มันทำให้กูรู้ว่าความสุขกูอยู่ที่ไหน และก็ทำให้รู้ว่าส่วนประกอบของความรักของกูนั่นก็คือวินมีค่าสำหรับกูแค่ไหน"

"แล้วกูจะรู้ได้ยังไงว่าความรักจะทำให้กูเจอเรื่องดีดีแบบมึง"

"ความรักของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอกนะ ถ้ามึงอยากรู้ว่ามันจะเป็นยังไง มึงต้องลองมีมันดู แล้วสิ่งสำคัญก่อนจะรักคือมึงต้องมีส่วนประกอบของความรักก่อนนะ"             ส่วนประกอบของความรักงั้นเหรอ

"ความรักมันก็ทำให้กูรู้ว่ากูควรคว้ามันไว้ ถ้ามันเดินทางมาหามึงเมื่อไหร่ มึงจะรับรู้ได้เอง แค่อย่าปล่อยมันไปก็พอ อ้อ ส่วนเรื่องหลิน กูไม่ขอโทษนะเว้ย เพราะถึงย้อนเวลากลับไปได้กูก็ยังเลือกจะจีบหลินแข่งกับมึงอยู่ดี"      พอมันพูดจบเด็กในร้านแม่ก็เอาถาดใส่แก้วเครื่องดื่มตามที่สั่งมาให้พอดี ผมเข้าใจเพราะตอนนั้นถึงไม่มีมันผมก็ไม่ใช่คนที่หลินเลือกอยู่ดี  ถ้าหลินจะเลือกผมหลินคงทำไปก่อนที่มินจะเข้ามาจีบ ผมเลยทำแค่มองหน้ามันโดยไม่ตอบอะไร ก่อนจะช่วยกันยกถาดพากันเดินกลับไปที่โต๊ะ

.......................................................................


"เฮ้ย! รีบๆเลยพวกมึง จะหมดแล้วนะเว้ย"       ไอ้โอ้ตตะโกนบอกปริมาณอาหารบนโต๊ะทันทีที่เห็นพวกผมเดินมา

"มึงก็หยุดกินก่อนสิ รับรองเหลือเต็มจาน"

"สัส! ว่ากูแดกเยอะ"

"ที่กูพูดนี่เรื่องจริงทั้งนั้นเลยนะ มึงสังเกตการกระจายตัวของจานกับข้าวดิ กองอยู่ตรงหน้ามึงเกือบครึ่ง"       ผมชี้จานทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าไอ้โอ้ตเพื่อตอกย้ำความตะกละของมัน

"ส่วนอีกครึ่งที่อยู่ตรงหน้าคนอื่นก็เป็นจานเปล่าที่มันส่งมาวางทั้งนั้นใช่ไหมวะ"    ขอบคุณไอ้เก้าที่ช่วยสนับสนุนคำพูดของผม

"ห่า! รวมหัวกันด่ากู"    โอ้ตพูดตอบทุกคนด้วยน้ำเสียงน้อยใจก่อนจะกินต่อ มันรู้สึกซะที่ไหน ผมหันไปมองหลินก็เห็นว่ามีน้องวินนั่งอยู่ข้างๆ และกำลังนั่งหัวเราะกันอยู่กับโมอีกคน ทุกอย่างมันคงกำลังจะลงตัว และมันคงดีแล้วที่เป็นแบบนี้

"แมท เมื่อกี้หลินเจอคุณน้า หลินเลยนัดว่าพรุ่งนี้จะมาหัดทำเค้ก แมทว่างไหม จะเข้ามาที่ร้านรึป่าว"       หลินถามขึ้นขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมเลยเดินไปที่นั่งว่างข้างๆหลิน

"ยังไม่รู้เลย แต่คิดว่าน่าจะว่าง"

"ว่างเถอะนะคะ หลินอยากให้แมทมาด้วย"    หลินหันมากระซิบข้างๆ ผมหันไปมองหน้าหลินที่กำลังส่งยิ้มมา ผมว่าผมยังชอบรอยยิ้มแบบนี้อยู่เลย คนเดิมๆกับความรู้สึกเดิมที่ยังตกค้างอยู่ มันกำลังจะกลับมาทำให้เกิดความหวั่นไหวอีกครั้งได้หรือไม่คงไม่มีใครตอบคำถามนี้ได้ดีเท่าตัวผมเอง


.......................................................................

❤ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ไม่ว่างลงเลยช่วงนี้ ขอโทษที่มาช้า แหะๆ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยน้า ขอบคุณค๊า




หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 12 [04-02-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-02-2015 00:07:00
เฮ้ยยย สงสารหลินจัง
ทำไมวินถึงปล่อยความรู้สึกไปกับมิน
รู้ทั้งรู้ว่าเป็นแฟนเก่าของพี่สาวตัวเอง
แฟนเก่า แฟนใหม่นี่ บางคู่เป็นศัตรูกัน
ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันเลยก็มีนะ เรารู้สึกว่า
หลินมีเวรมีกรรมอะไรมากมายขนาดนี้
เอ่อ ถึงจะสงสารก็อย่ามาทำให้แมทสับสนนะ
เด๋วพี่เชนก็มา บอกเลยว่าแมทหวั่นไหวกับพี่เชนแล้วนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 12 [04-02-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-02-2015 09:39:31
มารอแมทกับพี่เชน
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 10-03-2015 08:26:37
ตอนที่ 13

***ตัวหนังสือสีเขียวคือสนทนาเป็นภาษาอังกฤษนะคะ

"ไปเที่ยวมันไม่สนุกหรือไง ถึงได้กลับมาทำงานทั้งๆที่ลา รวมวันนี้ก็สามวันแล้วนะ"     ไม่บ่อยนักที่พีทจะสงสัยในการกระทำของผม

"สนุกดี แค่ไม่ต้องไปแล้วฉันก็เลยว่างมาช่วยงานนาย"      ในเมื่อไม่มีเหตุผลให้ต้องลาแล้ว การกลับมาทำงานก็น่าจะเป็นทางเลือกเดียวที่จะทำให้ผมไม่รู้สึกเบื่อ

"ปีนี้ฉันคงต้องเสนอชื่อนายเป็นพนักงานดีเด่นแล้วหล่ะเชน"       ผมยิ้มให้ในขณะที่พีทพยักหน้าเบาๆก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องทำงานผมไป

           สองวันที่ผ่านมาผมเช็คเมล์แทบจะทุกสิบนาที ด้วยความหวังว่าคนที่ผมกำลังคิดถึงจะเห็นกระดาษแผ่นเล็กที่แนบไปกับขนมวาฟเฟิลที่บ่นนักหนาว่าอยากกิน ความรู้สึกลึกๆผมหวังว่าแมทจะรู้สึกอย่างเดียวกัน แต่ผมคงหวังมากไป ก็อาการที่อีกฝ่ายแสดงออกมันชัดเจนขนาดนั้น แต่ความรู้สึกของผมมันก็ชัดเจนไม่ต่างกัน ผมคิดแค่ว่าผมไม่ควรถอย เพียงแต่ผมไม่รู้ว่าผมควรจะเดินหน้าต่อยังไง ควรใช้วิธีไหน ผมเคยรุก แต่แค่เริ่มต้นมันก็พังไม่เป็นท่า อาจจะเพราะมันมากไป พอผมถอยห่างออกมา ทุกอย่างก็ดูจะห่างเหินมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่ผมคิดอะไรเพลินๆ พีทก็กลับเข้ามาในห้องที่ผมนั่งทำงานอยู่อีกครั้งพร้อมเอกสารในมือ

"เฮ้!!! สนใจงานหน่อยเพื่อน กลับมาจากเที่ยวคราวนี้นายดูแปลกไปนะ"

"ขอโทษพีท ฉันมีเรื่องให้คิดนิดหน่อย"

"ดูท่าทางเรื่องที่นายกำลังคิดคงเป็นเรื่องใหญ่ นายถึงได้ให้ความสำคัญมากกว่างานตรงหน้า"       ผมก้มลงมองงานตรงหน้าตัวเองก่อนจะหันไปมองพีท ถูกอย่างที่พีทว่า ผมใช้เวลาอยู่กับเอกสารหน้าแรกตั้งแต่เริ่มงานจนถึงตอนนี้

"สำคัญกว่ารึเปล่าฉันไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันเอามันออกจากความคิดไม่ได้เลย"       ความรู้สึกมันเหมือนกลับตัวไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ถึง มันดูไม่มีหนทางไปหมด

"ฉันช่วยรับฟังได้นะ ถ้านายต้องการ"

"ขอบคุณมากพีท ฉันขอจัดการมันด้วยตัวเองก่อนละกัน"

"เอ่อ นายยังฟังฉันได้อยู่ไหม"     ผมเอ่ยถามพีทอีกครั้ง เพราะลังเล อยากมีคนช่วยคิด อยากฟังว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สุดท้ายผมก็ต้องจัดการมันด้วยตัวเอง

"ฮ่าๆๆ แน่นอน ว่ามาเลย ฉันรออยู่"

"นายเคยตกหลุมรักใครทั้งๆที่รู้ว่ามันผิดไหมพีท"

"ก่อนที่ฉันจะตอบนาย ฉันขอถามนายก่อนว่านายรู้ได้ยังไงว่าหลุมที่นายตกลงไปมันผิด"       ผมเงียบไม่กล้าที่จะตอบออกไป มันผิดแน่ๆอยู่แล้ว ผิดตั้งแต่ยังไม่เริ่ม ต่อให้ผมพยายามบอกตัวเองว่ามันไม่ผิด คนภายนอกก็ยังมองว่ามันผิดอยู่ดี นี่ผมกลายเป็นคนคิดเยอะ ช่างกังวลไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ผมค่อนข้างที่จะมั่นใจในความคิดความรู้สึกของตัวเองซะมากมาย

"ไม่เป็นไร นายไม่ต้องตอบ สำหรับฉันถ้าหลุมที่นายกำลังตกลงไปมีแค่เฉพาะคนที่ขุดหลุมกับนายแค่นั้น ฉันว่ามันก็ไม่ผิด แต่ถ้าหลุมนั้นมีเจ้าของอยู่แล้วหรือนายลากบุคคลที่สามหรือใครก็ตามที่ต้องทุกข์ใจเพราะหลุมที่นายกำลังจะก้าวลงไป หรือหลุมนั้นจะต้องมีมากกว่าแค่สองคน มันคงผิด นายเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังบอกใช่ไหม"       ผมพยักหน้าแทนคำตอบพร้อมกับคิดตาม ผมรู้อยู่แล้วว่าหลุมนี้ไม่มีเจ้าของ แต่บุคคลที่สาม สี่ ห้า ที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในหลุมนี้หล่ะ ผมไม่แน่ใจเลยสักนิดว่าจะไม่มี เพราะโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับคนที่ผมรัก เรายังมีสังคมอีกมากมายที่ต้องเจอ เพราะฉะนั้นผมควรจัดการฝั่งตัวผมเองให้ยอมรับและเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมในครั้งนี้ก่อน นี่คงเป็นสิ่งแรกที่ผมควรทำ

"ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว ฉันว่าฉันรู้แล้วว่าควรทำอย่างไร"

"ดี! อ้อ จำไว้อย่าง ความรักไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่คนที่ใช้มันไม่ถูกวิธีต่างหากที่ผิด และถ้านายยังอยากใช้วันลาที่เหลืออยู่ เพื่อไปอยู่กับเจ้าของหลุมรักของนายละก็ ฉันยินดีนะ"       พีทตบบ่าผมเบาๆก่อนจะหยิบแฟ้มงานตรงหน้าผมไปวางไว้ที่โต๊ะตัวเอง

"ขอบใจนายมากนะพีท"       รอยยิ้มบางๆของพีทแทนคำตอบรับได้เป็นอย่างดี เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ผมควรจะทำคือการคุยกับคนที่รักและเป็นห่วงผม คิดได้อย่างนั้นก็รีบคว้าเสื้อคลุมและกุญแจรถมอเตอร์ไซค์เพื่อไปทำทุกอย่าให้ถูกต้องและเร็วที่สุด

.......................................................................


Rrrrrrrrr

"สวัสดีครับ"       หยิบโทรศัพท์ทั้งที่ไม่ได้ลืมตามอง ใครโทรมาให้ต้องรับแต่เช้า ผมเกลียดประสาทสัมผัสอันแสนดีเกินไปของผมจริงๆ สงสัยคราวหน้าต้องปิดทั้งสั่นไปด้วย

"แมท หลินเองค่ะ"

"ครับ ว่าไงหลิน"

"ยังไม่ตื่นเหรอคะ"

"เอ่อ เพิ่งตื่นครับ"      ใจจริงอยากจะสร้างภาพ แต่เสียงพูดผมมันคงฟ้องไปหมดแล้ว

"ทายสิว่าหลินอยู่ไหน"      ง่วงจะตายอยู่แล้ว มันใช่เวลาเล่นซ่อนหาไหม

"ไม่รู้สิ อยู่บ้านมั้ง เช้าขนาดนี้"        นั่นไง การกระทำแม่งสวนทางกับความคิดเสมอแหละครับ

"ผิดค่ะ ทายใหม่สิ อิอิ"        สนุกเข้าไป ถามผมสักคำหรือยังว่าจะเล่นด้วยไหม เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบตีสอง เพราะกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว นี่เล่นโทรมาปลุกกันตั้งแต่ 7 โมงเช้า มันสมควรแล้วเหรอ

"เราไม่รู้จริงๆหลิน โทษที"

"หลินอยู่หน้าบ้านแมท ซื้ออาหารเช้ามาเยอะแยะเลย ออกมาเปิดประตูสิ"        หนักกว่าการรับโทรศัพท์คือการเผชิญหน้า แล้วข้างล่างไม่มีใครอยู่หรือไง ทำไมถึงไม่กดออดนะ

"แม่เราไม่ได้อยู่ข้างล่างเหรอ"

"ไม่รู้สิ เราไม่กล้าเรียก กลัวจะรบกวน เลยโทรหาแมทก่อน"        แล้วการแวะมาตั้งแต่เช้าขนาดนี้โดยไม่นัดล่วงหน้า ยังไงมันก็คือการรบกวนอยู่ดีไม่ใช่เหรอ

"อืม รอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวเราลงไป"        แต่ในเมื่อมาแล้ว ผมก็คงเลี่ยงไม่ได้ เลยรีบล้างหน้าแปรงฟันลวกๆ

"เฮ้ หวัดดีหลิน"        รอยยิ้มกว้างๆที่ผมเห็นคงทำให้รู้สึกดีกว่านี้ถ้าไม่รู้สึกง่วง

"หลินรบกวนแน่ๆเลย ดูท่าทางแมทจะเพิ่งตื่น"        ผมทำแค่ยิ้มแล้วเลื่อนเปิดประตูรั้วให้หลินที่ดูแปลกตากว่าเมื่อคืนไปมากเดินเข้ามาในบ้าน

"คุณน้าอยู่ในบ้านเหรอแมท"

"บ้านเงียบจัง"

"แมท แมทค่ะ"

"หะ เอ่อ ครับ หลินว่าไงนะ เราไม่ทันฟัง"       ไอ้ตอนยืนอยู่หน้ารั้วมันก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรหรอก แต่พอขยับตัวเดินเท่านั้นแหละ ใครจะไปคิดว่ากระโปรงเหนือเข่าที่ดูไม่ได้สั้นมากนักแต่พอเดินบนรองเท้าส้นสูงมันก็ถลกขึ้นกว่าเดิมแล้วพอเดินผ่านตัวผมไป เสื้อที่ดูว่าแขนยาวด้านหน้ากลับไม่มีแม้แต่เส้นด้ายด้านหลัง เว้าจนเกือบจะถึงเอวอยู่แล้ว หลินเอี้ยวตัวทีผมก็ลุ้นทีว่ามันจะเปิดไปถึงด้านหน้าหรือเปล่า แล้วนี่มันก็ยังเช้าอยู่มาก เห็นอย่างนี้ผมเรียงลำดับความสำคัญไม่ถูกจริงๆว่าทิ้งหลินไว้ตรงนี้แล้วรีบไปจัดการตัวเองหรือสงบอารมณ์บ้าๆนั่นซะแล้วพาหลินเข้าบ้าน

"หลินถามว่าคุณน้าอยู่ในบ้านเหรอ"        และพอได้ยินเสียงหลิน สิ่งที่ผมต้องทำคืออย่างหลังสินะ

"ไม่เห็นนะ ออกไปตลาดมั้ง"        แปลกปกติผมตื่นก็จะเห็นแม่อยู่ในครัวไม่ก็สวนหลังบ้าน แต่วันนี้บ้านเงียบจริงๆ

"พี่สาวแมทหล่ะ"        รายนั้นยิ่งไม่ต้องถามถึง

"คงยังไม่ตื่น อ่ะน้ำ หลินนั่งก่อนนะ ดูทีวีก่อนก็ได้ เราขอตัวไปอาบน้ำ 15 นาที"     ผมวางแก้วน้ำเปล่าให้หลินบนโต๊ะในห้องรับแขกก่อนจะพาตัวเองขึ้นไปบนห้องเพื่ออาบน้ำ

           ผมใช้เวลานานกว่าที่บอกหลินเอาไว้ ไม่ได้อยากให้รอแต่มันสุดวิสัยจริงๆ ผมเพิ่งกลับมากระเป๋าก็ยังรื้อไม่เสร็จ ห้องก็ยังรกๆ ทำให้ต้องกระโดดไปมาเพื่อหยิบนู่นวางนี่ ยิ่งบวกกับความเรียบร้อยขั้นติดลบของผมเข้าไปด้วยแล้วยิ่งเลวร้ายเข้าไปอีก

"ไปนั่งเถอะลูก เดี๋ยวแม่จัดการเอง"

 "ให้หลินช่วยเถอะค่ะแม่ นั่งเฉยๆเบื่อแย่"       ผมได้ยินเสียงแม่กับหลินคุยกันระหว่างลงบันได อะไรวะ เมื่อคืนยังเป็นคุณน้าอยู่เลย ตื่นเช้ามาเป็นแม่หลินไปซะแล้ว

"ทำอะไรกันอยู่ครับสาวๆ"        เดินมาถึงในครัวก็เห็นแม่กับหลินช่วยกันแกะถุงข้าวต้มจัดโต๊ะอาหารกันอยู่

"แมทมาๆ มากินข้าวต้มกัน หลินซื้อมาหลายถุงเลย มีที่แมทชอบด้วยนะ"        เดินไปเอามือคนข้าวต้มที่อยู่ในถ้วย ข้าวต้มกระดูกหมูคงเป็นเจ้าดังประจำจังหวัดและมันก็เป็นร้านประจำผมด้วยผมจำได้

"ขอบคุณนะหลิน"        ผมพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปถามแม่

"พี่มัทหล่ะครับแม่"

 "ยังไม่ตื่นเลย แม่ยังไม่เห็นลงมานะ เรามากินก่อนเถอะ จะได้พาน้องหลินไปซื้อของที่ร้านเบเกอรี่"        ผมขมวดคิ้วมองหน้าแม่สลับกับหลินทันที

"ไม่ต้องทำหน้างง วันนี้แม่ไม่เข้าร้าน น้องหลินแวะมาพอดี แม่เลยว่าจะสอนทำขนมให้ แมทก็อยู่จะได้ช่วยกันชิม"        ถ้าเป็นอย่างนี้แพลนผมที่พังตั้งแต่เช้าก็คงต้องพังไปทั้งวันแน่ๆ

"ครับแม่"

.......................................................................


          จากที่ตั้งใจว่าจะนอนตื่นสาย แล้วค่อยลุกมารื้อกระเป๋าเอาเสื้อผ้าไปซัก หลังจากนั้นจะได้วางโครงเรื่อง เป็นอันว่าแผนทั้งหมดต้องพับ แล้วมานั่งรอหลินไปเลือกซื้อของเพื่อทำขนมอยู่ที่ร้านกาแฟข้างๆร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่แทน

"ชาเขียวเย็น 1 ที่ครับ"        สั่งเครื่องดื่มก่อนจะหาที่เหมาะๆเพื่อนั่งรอ ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหน เดาว่าคงไม่เร็วอย่างที่อยากให้เป็นแน่นอน เพราะเมื่อได้อยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบคงใช้เวลาอยู่กับมันได้นานจนลืมเวลา ยังดีที่มีร้านกาแฟข้างๆและโชคดีที่ร้านนี้มีแอร์ นี่ยังเป็นอีกเรื่องที่ผมโคตรจะไม่เข้าใจพี่เชน อาจจะเพราะผมไม่ชอบการรอคอย ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพี่เชนถึงรอผมได้ตั้งหลายชั่วโมง ขนาดตัวผมเองที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องรอนานแค่ไหน แต่แค่เริ่มต้นรอผมก็เบื่อแล้ว

"ชำระเงินที่เคานเตอร์แล้วรบกวนคุณลูกค้านั่งรอสักครู่นะคะ"        พยักหน้าตอบรับแล้วมาจ่ายเงินก่อนเลือกที่นั่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว เอาเงินทอนยัดใส่กระเป๋าก็เหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตใบเล็กที่ถูกยัดไว้อย่างลวกๆ ผมหยิบออกมาดูก็เห็นอีเมล์ที่ถูกเขียนด้วยลายมือ พยายามคลี่ออกก็พบว่าเมล์ถูกเขียนมาไม่ครบ ครั้งแรกที่เห็นผมอาจจะมองแค่ผ่านๆเลยไม่ได้ใส่ใจ คิดในใจว่าจะบอกทำไมวะถ้าจะไม่เขียนให้ครบ เมล์นี้ดอทอะไรไม่ทราบได้เพราะมีให้มาแค่นั้น พอเห็นอย่างนี้ผมเลยพับเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม แล้วหันมาใส่ใจแก้วชาเขียวที่พนักงานเพิ่งมาเสิร์ฟ

          ผมต้องคอยบอกตัวเองให้พยายามเบี่ยงเบนความคิดเพื่อไปนึกถึงเรื่องอื่นแทน แต่พอก้มลงดูดชาเขียวจากแก้วความคิดผมก็ต้องวกกลับมาเรื่องเดิมอีกครั้งเพราะชาเขียวแก้วนี้เป็นต้นเหตุ ผมรีบลุกไปหานิตยสารใกล้ๆแถวนั้นโดยเลี่ยงที่จะหยิบพวกหัวท่องเที่ยวมาหยิบพวกนิตยสารแฟชั่นแทน หน้าแรกที่เปิดกลับเจอคอลัมน์วางแผนท่องเที่ยววันหยุดยาวซะงั้น หันกลับไปวางนิตยสารเข้าที่เดิมแล้วเลือกที่จะนั่งรอเฉยๆท่าดีกว่า แต่ผมคงลืมไปว่าการนั่งเฉยๆนี่แหละจะทำให้คนเราคิดฟุ้งซ่านได้มากที่สุด สิบนาทีที่นั่งเฉยๆผมไม่สามารถเอาพี่เชนออกไปจากความคิดได้เลย ยิ่งพยายามก็คงยิ่งจะวนเวียนอยู่ในความคิดผมแบบนี้ไปเรื่อยๆแน่ๆ ผมเลยตัดสินใจลุกเดินออกจากร้านเพื่อไปหาหลินที่ร้านข้างๆแทน

          ในร้านมีอุปกรณ์และส่วนผสมแขวนและวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด บางชิ้นผมเองก็เคยเห็นผ่านตามาบ้าง แต่บางชิ้นถ้าให้ผมเอามันไปใช้คงผิดวัตถุประสงค์ของการใช้งานเป็นแน่ อย่างที่ตีไข่ทุกวันนี้ผมยังไม่เข้าใจนะเวลาที่แม่ฝากให้มาซื้อ ทำไมต้องมีหลายขนาด หลายแฉก แต่ละแฉกแต่ละเส้นคงมีหน้าที่ในการทำงานของมันที่ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนชอบทำอาหารมาเดินอยู่ในนี้คงจะเพลินไม่ต่างกับเวลาที่ผมอยู่ในร้านหนังสือ ระหว่างที่เดินมองของในร้านเพลินๆผมก็เห็นด้านหลังของหลินเข้าพอดี ขนาดมองแค่ด้านหลังหลินยังเป็นคนสวยเลย ผมคิดไม่ตกจริงๆว่าทำไมถึงเป็นวินแทนที่จะเป็นหลิน อย่างที่มินอธิบายเมื่อวานก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ แต่มันก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ดี  จนผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะหลินรักวินมากจนยอมยกมินให้กับวิน หรือเป็นหลินเองที่หมดรักต่อมินแล้ว เพียงแต่ยังทำใจไม่ได้ถ้าคนใหม่จะอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้ ความสงสัยของผมไม่ได้เป็นไปในแง่มุมที่ดีนัก สำหรับผมเรื่องนี้ถ้าจะมีคนผิดคงเป็นไอ้มินที่เลือกจะทำตามความรู้สึกของตัวเองมากจนไม่มองความเหมาะสมหรือรู้สึกของหลิน แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมเป็นแค่คนนอก คนส่วนใหญ่วิพากย์วิจารณ์คนอื่นโดยมักจะใส่ความรู้สึกส่วนตัวเข้าไปด้วยเสมอ มันเลยกลายเป็นเรื่องใหญ่ คงไม่มีใครรู้ดีเท่าทั้งสามคนนั้น

.......................................................................


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 10-03-2015 08:28:10


"แมท อยากได้อะไรเพิ่มเหรอ"

"เปล่าๆ เราเบื่อๆหน่ะ เลยเดินมาดูว่าหลินมีอะไรให้เราช่วยรึเปล่า"

"ไม่มีๆจ้ะ หลินเสร็จพอดี ลงไปจ่ายเงินด้านล่างแล้วกลับกันเลยเนอะ"       ผมพยักหน้าแล้วเดินตามหลินไป ถึงไม่นานอย่างคิดไว้แต่ก็ทำให้ผมไม่อยากตามใครมาร้านขายของจำพวกนี้ไปอีกนาน

"เราแวะทานอะไรกันก่อนไหม แมทหิวรึเปล่า"

"นิดหน่อย แต่เราว่าซื้อเข้าไปกินที่บ้านดีกว่า"

"กินที่ร้านสิ ร้อนๆอร่อยกว่านะ"

"พี่มัทกับแม่จะได้ทานด้วยกัน เราเลยอยากซื้อกลับไปกินที่บ้านมากกว่า"

"ก็ค่อยซื้อไปฝากแม่กับพี่มัทก็ได้นี่ หลินมีร้านอาหารญี่ปุ่นเปิดใหม่อยากให้แมทลอง"

"เราเพิ่งกลับมาจากฮ่องกงเมื่อวาน ไม่ได้กินข้าวกับแม่หลายวันแล้ว เราเลยอยากกินข้าวที่บ้านพร้อมแม่เราอ่ะหลิน"       ผมหวังว่าประโยคนี้จะทำให้หลินยอมซื้อกลับไปกินที่บ้าน

"แค่มื้อเดียวเองนะคะแมท อาหารญี่ปุ่นซื้อกลับบ้านมันก็ไม่อร่อยเหมือนทานที่ร้านนะ"       แล้วทำไมถึงไม่เลือกทานอย่างอื่นที่มันกลับไปกินที่บ้านได้ก็ไม่รู้

"งั้นก็กินอย่างอื่นที่กินที่บ้านก็อร่อยดีไหมหลิน"       ผมแค่อยากกินข้าวกับแม่ กินอาหารชาติไหนก็ได้ แค่มีแม่กินพร้อมผม

"เถอะนะคะ เชื่อหลิน แล้วแมทจะติดใจร้านนี้ ไปค่ะ หลินขับให้นะ จะได้ไม่ต้องคอยบอกทาง"       คำพูดของหลินติดไปทางอ้อนๆแต่ฟังแล้วเด็ดขาด แถมยังไม่เว้นช่องให้ผมแม้แค่พยักหน้าหรือส่ายหัวเลยด้วยซ้ำ มัดมือชกกันชัดๆ ผมเลยทำได้แค่เดินตามไปขึ้นรถ

"สั่งเมนไทโกะสำหรับสองที่นะคะ คุตชิคัตสึไม่เอาหมู 1 ที่ แล้วก็โมโตยากิ 1 ที่อ้อ! น้องคะอันนี้ด้วยค่ะ เทอริยากิเซ็ต 1 ที่ด้วยค่ะแต่รบกวนแยกซอสนะคะ พี่อยากมาราดเองมากกว่า ขอบคุณค่ะ"       มาถึงร้าน หลินก็สั่งๆๆไม่แม้แต่จะเงยหน้าถามผมด้วยซ้ำว่าจะกินอะไร แต่ละเมนูก็ฟังไม่รู้เรื่องสักอย่าง คุ้นๆแค่ไอ้เทอริยากิเพราะมันคือรสชาติขนมมันฝรั่งทอดกรอบที่พี่มัทชอบสั่งให้ซื้อก็แค่นั้น

"แมทอยากทานอะไรเพิ่มไหมค่ะ"       พยายามก้มดูเมนูที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเพราะมันเป็นชื่อญี่ปุ่นทั้งหมดแถมไม่มีคำอธิบายว่าอะไรเป็นอะไร ราคาแต่ละจานก็แพงบรรลัย ราคาจานที่ถูกที่สุดนี่ราคาเป็นสองเท่าของไก่ทอดซอสมะนาวของโปรดผมในร้านพี่มัทซะอีก

"เอ๊ะ เราลืมสั่งอะไรนะ เครื่องดื่มใช่ไหมคะน้อง พี่ยังไม่สั่งใช่ไหม"       อะไรกัน ผมยังไม่ทันได้ตอบเลย

"ยังค่ะ"

"งั้นรับเป็นชาเขียวร้อนสำหรับสองที่เลยค่ะ แมทโอเคไหมคะ"       ถ้าผมไม่โอเคแล้วหลินจะเปลี่ยนรึเปล่า ได้แต่คิดไม่พูดออกไปทำได้แค่พยักหน้า

"หลินรับรองได้เลยว่าแมทต้องชอบอาหารทุกจานที่หลินสั่งมา"       จะไปชอบได้ยังไงในเมื่อแต่ละจานที่หลินสั่งมามันไม่ใช่อาหารที่ผมชอบเลยสักนิด ไม่รู้จักเลยสักอย่าง ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชายเรื่องมากนะ แต่แค่สักคำถามว่าผมชอบอะไรก็ยังดี ไม่เห็นเหมือนพี่เชนเลย เฮ้อ... อีกแล้ว เมื่อไหร่ผมจะเอาเขาออกไปจากความคิดได้สักที

"เป็นอะไรแมท วันนี้หลินได้ยินแมทถอนหายใจมาหลายครั้งแล้วนะคะ"

"คิดอะไรเรื่อยเปื่อยหน่ะหลิน"     ดีที่ชาเขียวมาเสิร์ฟ ทำให้ไม่ต้องอธิบายมากไปกว่านี้

"ชาเขียวร้อน ดีต่อสุขภาพมากเลยนะแมท"       จากนั้นหลินก็พล่ามยาว อะไรเป็นอะไรบ้างก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เพราะกำลังพยายามทำให้ไอ้ชาเขียวที่ร้อนกลายเป็นเย็น การที่ผมชอบชาเขียว ก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นแบบไหนก็ได้นะ ถ้ามันเป็นร้อนคงทรมานที่จะดื่มเกินไป แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้อีกว่าพี่เชนจะรู้สึกแบบเดียวกับผมไหมตอนที่ผมซื้อชาเขียวมาให้ ตอนนี้ผมเรียนรู้แล้วว่า การเลือกสิ่งที่ตัวเองชอบให้คนอื่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบด้วยและอาจจะทำให้เขารู้สึกอึดอัดโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่ได้ชื่นชอบในแบบเดียวกัน

          สักพักอาหารแปลกตาแต่ก็ดูท่าทางน่ากินทยอยมาเสิร์ฟ มีซอสและเครื่องเคียงเยอะแยะเต็มโต๊ะไปหมด อาหารญี่ปุ่นผมกินเป็นแค่พวกราเมนตามร้านในห้างจานละร้อยกว่าๆก็ถือว่าหรูแล้วนะ อ้อ! มาม่าอีกอย่าง นับว่าเป็นอาหารญี่ปุ่นได้ไหม ส่วนพวกประเภทจัดจานมาหรูหราแบบนี้ผมไม่สันทัดจริงๆ แล้วจานหนึ่งมีแค่ไม่กี่ชิ้นจะไปอิ่มได้ยังไง จะใส่มาให้เยอะกว่านี้ก็ไม่ได้นะ ว่าทำไมหลินถึงสั่งหลายอย่าง แล้วราคานี่คงจะแพงเพราะเครื่องเคียงละมั้ง เยอะกว่าจานหลักซะอีก

"แมทลองนี่นะ หลินชอบมากเลย"       หลินตักก้อนส้มๆที่เหมือนจะเป็นปลาแต่ก็ไม่น่าใช่ พร้อมกับข้าวที่ถูกปั้นมา 1 ก้อนวางบนจานผม

"มันคืออะไรอ่ะหลิน"       เงยหน้าขึ้นถามหลังจากพิจารณารูปร่างและดมกลิ่นแล้ว

"เมนไทโกะค่ะ เป็นไข่ปลาหมักกับพริกแล้วก็ซอสโชยุ จานโปรดหลินเลย แมทลองทานดู"       ผมตักไอ้ก้อนเหลืองๆส้มๆพร้อมข้าวเข้าปาก บอกตามตรงวินาทีนั้นแทบอยากจะอ้วก รสนิยมผมอาจไม่ถึงหรือเพราะมันไม่ใช่อาหารที่คุ้นเคย ทุกจานไม่ถูกปากผมเลยสักนิดรวมถึงไอ้ก้อนที่อยู่ในปากผมนี่ด้วย มันช่างเป็นมื้ออาหารที่ฝืนใจผมแทบจะทุกอย่าง ไม่เคยกินข้าวแล้วรู้สึกอยากให้เวลาผ่านไปเร็วกว่านี้เลยสักครั้ง เวลาสองชั่วโมงสำหรับมื้อนี้มันนานเหลือเกิน  สิ่งเดียวที่ผมคิดตอนนี้คือผมกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าคนที่ผมเคยหวังจะได้นั่งทานข้าวด้วยกันผมควรจะมีความสุขแต่ผมกลับมีอีกคนอยู่ในใจอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่ภาวะที่จะเรียกได้ว่าปกติ และความรู้สึกที่ผมมีต่อหลินคงเรียกว่าเคยรู้สึกได้อย่างเต็มปากแล้วจริงๆ

"เดี๋ยวเราจ่ายเองนะหลิน"        ผมอาสาจ่ายหลังมื้ออาหารจบลง

"ไม่ๆแมท หลินพามาให้หลินจ่ายเถอะ แถมแมทยังมาช่วยหลินซื้อของอีก ยังต้องรบกวนอีกเยอะเลย"        อีกเยอะเลยเหรอ ผมคิดในใจและไม่ได้ตอบอะไรออกไป เลือกที่จะเดินจากโต๊ะไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์แทน

"นี่ถ้ามีเวลาเยอะกว่านี้นะ หลินจะพาไปทานขนมหวานร้านอร่อย"        ห๊ะ...! ยังมีอีกเหรอ

"แมทต้องชอบแน่ๆ"        ไม่ชอบแน่ๆ ดูท่าทางแล้วรสชาติอาหารที่ชอบของเราทั้งคู่จะไม่ตรงกันเท่าไหร่

"หลินไม่ต้องไปทำงานเหรอวันนี้"

"วันนี้วันเสาร์นะแมท"

"อ้อ จริงสิ"

"ถึงกับหลงลืมวันเลยเหรอคะ"

"เหอะๆ เราไม่ค่อยได้สนใจวันเท่าไหร่หรอก"

"แมททำงานอะไรอยู่เหรอคะ"

"เราเป็นนักเขียนอิสระ ทำงานอยู่กับบ้านหน่ะ"

"ดีจัง ได้มีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะๆ"

"เยอะจนบางทีก็น่าเบื่อนะ เพราะมันอิสระเกินไป"

"แมทว่างบ่อยๆก็ดีแล้วค่ะ หลินจะได้มีเพื่อน ไว้หลินจะมาชวนไปไหนมาไหนบ่อยๆนะ"       วินาทีนี้ผมควรจะดีใจสิแต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยสักนิด

"ไปไหนมา หิวข้าวอ่ะ พาไปกินข้าวหน่อยสิ"       ทันทีที่ลงจากรถก็เห็นยัยแว่นหน้าเปียกๆยืนหารองเท้าอยู่หน้าบ้าน

"เพิ่งตื่นเหรอ แม่หล่ะ"

"อืม เพิ่งตื่น แม่ไปคุยกับป้าข้างบ้านเนี่ย"

"คุยทำไมอ่ะ ในบ้านไม่มีข้าวเหรอ"

"เห็นว่าเขาจะไปอยู่กับลูกที่กรุงเทพฯ ปล่อยขายได้ก็จะขาย ขายไม่ได้ก็ให้เช่า เลยฝากแม่ดูให้ เผื่อคนที่มาอยู่ใหม่จะได้ถูกใจเรา"       ผมพยักหน้ารับรู้ บ้านข้างๆนี่ไม่มีใครอยู่ได้นานจริงๆ เท่าที่รู้มากสุดก็สองเดือน จนสุดท้ายเจ้าของต้องมาอยู่เอง แต่จนแล้วจนรอดก็อยู่ไม่ได้

"ในบ้านมีแต่ข้าวต้ม มัทไม่ชอบ แล้วนี่ใครอ่ะ"       ชี้มาทางหลินที่ยืนอยู่ข้างผม หน้าหลินก็ดูงงๆไม่ต่างจากพี่มัท เป็นใครก็ต้องตกใจกับสภาพนี้ของพี่มัทกันทั้งนั้นแหละ

"นี่หลิน เพื่อนแมทเอง หลิน นี่พี่มัทพี่สาวเรา"       ช่างเป็นการทักทายที่ดูเจื่อนๆปนความอึดอัดมากไปนะผมว่า เพราะต่างฝ่ายต่างทำแค่ยิ้มให้กัน

"มีอาหารญี่ปุ่น กินได้ไหม"

"ไปกินมาเหรอ แกไม่ชอบพวกนี้นี่ แต่ก็ดีละ เพราะมัทชอบ ไปๆเข้าบ้าน อยู่ข้างนอกมันร้อน"

"นี่ใช่หลินที่เรียนพิเศษที่เดียวกับแมทตอนม.ปลายป่ะ"

"ใช่ค่ะ พี่จำหลินได้ด้วยเหรอค่ะ"

"จำได้สิ ก็ตอนพี่ไปรอแมท เคยเห็นผู้ชายทะเลาะกันเรื่องเธอด้วย เลยจำได้"

"เอ่อ คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดละมั้งคะ"

"ไม่นะไม่ เต็มสองตาเลย พวกเขาสองคนตะโกนบอก หลินเลือกสิ เลือกเลย อย่างงี้อ่ะ แล้วพอกลับมาบ้านไอ้น้องชายตัวดีของพี่กินข้าวกินปลาไม่ค่อยลงไปหลายวัน เพราะมันบอกอกหัก เป็นแบบนี้หลังจากที่มันยืนมองเหตุการณ์ตอนนั้น พี่เลยเดาว่ามันคงอกหักเพราะเธอ นี่คือสาเหตุที่พี่จำเธอได้แม่นเลยหล่ะ"

"ที่เรื่องอย่างนี้หล่ะจำได้เป็นฉากๆเลยนะ"       เรื่องบางเรื่องในอดีตผมก็ไม่ได้อยากให้ใครมารื้อฟื้นมันหรอกนะ แต่ก็ต้องขอบคุณหลินนะ เพราะความเจ็บปวดจากการที่หลินเคยปฏิเสธมันทำให้ผมเข้าใจความรักได้มากขึ้น

.......................................................................


"อย่าบอกนะว่าคบกันอยู่"       พี่มัทถามขึ้นมาระหว่างหลินขอตัวไปเข้าห้องน้ำ

"เปล่า"       

"เก็บไว้หลอกเด็กเถอะแมท ฉันพี่แกนะ"       พี่มัทยกนิ้วชี้ที่หน้าผมก่อนจะชี้ไปที่ตัวเองเพื่อยืนยันคำพูด

"งั้นเราคงเป็นพี่น้องที่ไม่สนิทกันเอามากๆเลยละมั้ง พี่มัทถึงดูไม่ออกว่าแมทไม่ได้รู้สึกอะไรกับหลินแล้วจริง"

"แต่แกเคยชอบเขามากๆเลยนี่หน่า ตอนนี้มีโอกาสทำไมไม่คว้าเอาไว้หล่ะ หรือตอนนี้เขามีเจ้าของไปแล้ว"

"นั่นมันเมื่อก่อน ถึงตอนนี้เขาไม่ได้มีใครแล้วก็จริง แต่ความรู้สึกแมทคงเปลี่ยนไปแล้ว"       ผมไม่รู้สึกอยากไขว่ขว้า อยากเดินตามไม่ว่าหลินจะรู้ตัวหรือไม่อย่างเมื่อก่อนอีกแล้ว

"แต่ท่าทางเขาดูชอบแกนะ"       พี่แกไปเห็นท่าทางนั้นตอนไหน แค่ไม่กี่นาทีที่เจอกันมันบอกได้ขนาดนั้นเลย

"ไหนเมื่อก่อนบอกไม่ชอบเขา"       พี่มัทเคยไม่ชอบหลินมากๆ แต่ไม่เคยบอกเหตุผล พูดแค่เพียงว่าไม่ถูกชะตา แต่วันนี้กลับมาสนับสนุนกันซะอย่างนั้น

"ฉันโตแล้วนะ ถ้าน้องมีความสุขฉันก็โอเคทั้งนั้นแหละ ต่อให้เป็นโอ้ตฉันยังโอเคเลย"

"จริงอ่ะ งั้นไปบอกไอ้โอ้ตดีกว่า จะไปบอกมันว่าพี่มัทอนุญาตให้เราสองคนคบกันแล้ว"

"เฮ้ยๆ เดี๋ยว นี่พวกแกจริงจัง"       ระหว่างที่ผมยังไม่ทันได้ตอบหลินก็ออกจากห้องน้ำและกำลังเดินมาทางโต๊ะอาหาร เป็นโอกาสดีที่ผมจะเปลี่ยนเรื่องคุย

"หลินมานั่งก่อน เดี๋ยวเราไปตามแม่ให้"

"ไม่เป็นไรค่ะแมท หลินว่าหลินจะกลับแล้ว วันนี้ตั้งใจแค่จะซื้อส่วนผสมอย่างเดียว"       ว่าทำไมถึงดูไม่รีบซื้อรีบกลับมาทำ

"อ่อ ครับ ให้เราไปส่งนะ"

"จริงๆอยากให้เป็นอย่างนั้นมากเลยค่ะ แต่พอดีหลินมีนัดกับเพื่อนแถวนี้ ไว้คราวหน้านะคะ"       ผมพยักหน้ารับไป       "หลินไปก่อนนะคะพี่มัท สวัสดีค่ะ"       

ผมทำท่าจะเดินออกไปส่งหลินที่ประตูหน้าบ้าน       "ไม่เป็นไรค่ะแมท แค่นี้เอง แมทนั่งคุยกับพี่มัทต่อเถอะ ไปก่อนนะคะ ไปก่อนค่ะพี่มัท"       แล้วหลินก็รีบเดินออกจากบ้านไป

"แมทไปส่งหลินหน่อยนะคะ นะคะ นะนะนะนะนะ คราวหน้าต้องเป็นแบบนี้แน่เลยแก เห็นไหมบอกแล้วว่าเขาชอบแก"       พี่มัทพูดด้วยเสียงล้อๆ

"อย่าเล่นหน่าพี่มัท"       ผมส่ายหน้าก่อนจะลุกเดินออกจากโต๊ะเพื่อขึ้นไปบนห้อง

"มันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละที่แกจะไม่สนใจหลิน คือแกมีใครในใจอยู่แล้ว ยอมรับความจริงซะนะคะน้องรัก ฮ่าๆๆๆ"       พี่มัทตะโกนไล่หลังมาพร้อมเสียงหัวเราะอย่าสะใจ ผมไม่รู้และไม่แน่ใจในสิ่งที่พี่มัทพูดหรอก แต่ผมไม่มีหลินอยู่ในใจแล้วจริงๆ นั่นแหละที่ผมแน่ใจ

.......................................................................



❤ ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ขอโทษที่มาช้ามากๆๆๆๆๆๆ
❤สารภาพผิด ติดแพลนทริปไปเที่ยวบวกงานประจำอันยุ่งเหยิง แต่วันนี้จะเดินทางเลยแว่บมาลงไว้ก่อน อันนี้เรียกว่าสารภาพผิดได้มั้ยคะ หรือแก้ตัว 555
❤ขอบคุณ คุณ snowboxs มากเลยค่ะที่ติดตามมาตลอด ซาบซึ้งอย่างจริงจัง เข้ามาอ่านคอนเม้นท์แล้วรู้สึกผิด แหะๆ
❤กลับมาจากเที่ยวเมื่อไหร่ จะไม่เกเรอีกแล้วนะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยน้า ขอบคุณค๊า



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: dekzappp ที่ 10-03-2015 10:32:00
เพิ่งเข้ามาอ่าน ชอบพี่เชนอะ สุภาพบุรุษในฝัน~~~ ทำไมเป็นคนเทคแคร์ดูแลเก่งอย่างนี้นะ เป็นเรานี่คงปล่อยเลยตามเลยไปแล้วละ

พี่เชนนน รีบมาเช่าบ้่นข้างๆเร็วๆ เดี๋ยวแมทโดนหลินงาบไปก่อนนะเฟ้ยย
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 10-03-2015 10:40:58
หายไปนานมากกกครับเรื่องราวของเชนและแมทยังไปไม่ถึงไหนเลย
ยังไงก็รอติดตามต่อไปนะครับ มาต่อเร็วๆนะครับ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 10-03-2015 11:06:04
โอ้ยชอบพี่มัทมากอ่ะ
ตรงแบบไม่มีโค้งมีเว้ากันเลย
รอให้กำลังใจพี่เชนรุกแมทดีกว่า

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 10-03-2015 11:14:40
รู้สึกว่าแมทอึดอัดกับหลินมาก
โดนพี่เชนตามใจจนเคยตัวละสิ อิอิ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 13 [10-03-58] ● หน้า 2
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-03-2015 21:43:14
มารอเรื่องนี้ แห่ะๆ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 14 [22-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 22-03-2015 21:55:58
ตอนที่ 14

          ไม่เคยรู้สึกว่าการต้องเผชิญหน้ากับพี่สาวตัวเองเป็นเรื่องยากขนาดนี้มาก่อน ถึงเราจะเป็นพี่น้องที่สนิทกัน แต่เราก็ถูกเลี้ยงดูให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะสามารถตัดสินใจอะไรด้วยตัวเองมาโดยตลอด การที่จะมาปรึกษากันจริงๆจังๆแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความรักและคนรัก

          ผมตอบตัวเองได้ทุกคำถามว่าทำไมต้องเริ่มต้นด้วยความพึงพอใจของคนในครอบครัว ทำไมถึงต้องพยายาม ทำไมถึงไม่เลือกทำในสิ่งที่ง่ายกว่า ไม่ใช่ว่าผมเชื่อหรือศรัทธาในคำอธิษฐานของตัวเองที่เกิดขึ้นกับเชือกที่ขาดไปเส้นนั้น ผมไม่เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะฉะนั้นคำอธิษฐานที่ผมเลือกที่จะเอ่ยออกไปจึงต้องเป็นเรื่องที่ผมไม่สามารถควบคุมได้ นั่นก็คือการได้พบกับคนรักที่พอดี ผมเชื่อมาตลอดว่าทุกคนมีคู่ที่พอดีเป็นของตัวเองแต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้เจอกันไหม มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่าย ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าแมทจะใช่คนนั้นหรือไม่ สิ่งเดียวที่ผมรู้คือผมคงต้องเสียใจถ้าต้องเสียแมทไปโดยที่ยังไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย

 ก๊อกๆๆๆ

"ว่าไงเชน"       พี่เชลด้าเปิดประตูออกมาทันทีหลังจากที่เคาะ

"ผมมีเรื่องจะปรึกษา"       อย่าอ้อมค้อมให้ยืดยาว เพราะยังไงเราก็ต้องพูดถึงอยู่ดี ยิ่งปูเรื่องก็ยิ่งทำให้เสียเวลา

"หืม เชนจะปรึกษาพี่งั้นเหรอ คงมีอะไรหนักใจน่าดู"

"พี่ว่าแมทเป็นยังไงบ้าง"       คำถามเริ่มต้นคงทำให้พี่เชลด้างงไม่น้อย หรือจริงๆแล้วการปูเรื่องเริ่มจะมีความสำคัญขึ้นมาแล้ว

"จะให้พี่ตอบยังไงดีกับคำถามนี้"       ถ้าผมต้องเป็นคนตอบก็คงไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

"ผมอยากรู้ว่าพี่มีมุมมองยังไง"

"ถ้าถามในฐานะคนที่รู้จักแมท คำตอบคงไม่ถูกใจเชนเท่ากับถามในฐานะที่เป็นพี่สาวเชนหรอก"

"แล้วพี่จะตอบว่าอะไร"

"พี่รู้ว่าเชนเป็นยังไง พี่อาจจะไม่รู้จักแมทดีนัก แต่กับเชนที่เป็นน้องพี่ หากไม่รู้สึกอะไรเลยก็คงไม่ถึงขนาดลางานไปทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ชื่นชอบ"

"ยังไงครับ"

"เชนไม่เคยลางานเพียงเพราะอยากท่องเที่ยว เชนไม่เคยสนใจลูกค้าที่จะมาเช่าห้อง เชนไม่เคยเข้าร้านมาทำอาหารในเวลาเช้าขนาดนั้น และที่สำคัญกว่านั้นเชนเกลียดการต้องนั่งรถบัสหรือรถไฟฟ้าใต้ดินเพราะมันแออัด แค่นี้คงเป็นเหตุผลที่เพียงพอแล้วใช่ไหม"

"พี่รู้ทุกอย่าง"       ผมเองก็ไม่รู้ว่าพี่เชลด้ารู้ทุกอย่างได้ยังไง

"พี่เห็นรถเชนจอดอยู่ด้านล่างทุกวัน และมันก็เพิ่งจะถูกใช้งานเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา"

"ขอบคุณที่พี่ใส่ใจผม"       นี่คือสิ่งที่ผมรู้สึกได้จากคำตอบพี่เชลด้า แม้จะไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกัน พี่เชลด้าก็ยังมีความห่วงใยแล้ามองผมอยู่ตลอด นี่ละมั้งคือความหมายอีกอย่างของคำว่าครอบครัว

"พี่คงตอบได้แค่ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพี่พร้อมจะสนับสนุนและอยู่ข้างๆเชนนะ หากรู้สึกรักก็ให้รักให้สุด จะได้ไม่เสียใจในวันที่หมดรักโดยที่ยังไม่ได้พยายาม"

"ผมห่วงความรู้สึกทุกคนในครอบครัวเรา ถึงพี่จะเข้าใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าป๊ากับม๊าจะเข้าใจ"       ความรู้สึกของของผมอาจจะเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับคนทั่วไป และนั่นอาจจะทำให้ป๊ากับม๊ารู้สึกไม่ดี

"อย่าเพิ่งรู้สึกกลัวในสิ่งที่ยังไม่ได้ลองทำสิ เป็นตัวของตัวเองหน่อย"

"ต่อให้ป๊ากับม๊าโอเค ผมก็ยังกังวลอยู่ดี เพราะก่อนกลับไปแมททำท่าเหมือนกลัวๆผม ดูเหมือนเขาไม่ได้คิดแบบเดียวกัน"

"แค่ทำในส่วนของเราก็พอนะเชน ถ้าเชนว่าแมทคือคนที่ใช่ ก็ต้องลองดู"

"ขอบคุณนะครับที่อยู่ข้างๆผม"

"ก็เราเป็นน้องพี่นี่หน่า"       รอยยิ้มที่ดูอบอุ่นนั้นได้เพิ่มความมั่นใจให้ผมอีกหลายเท่าตัว

"ขอบคุณครับ"

"ไปคุยกับป๊าม๊ากันเถอะ พี่จะช่วยเชนเอง"      ผมพยักหน้าและเดินตามพี่เชลด้าออกจากห้องไป

.......................................................................


"มาๆกินข้าวกันก่อน จะออกไปดูร้านกันเหรอ"       ม๊าถามทันทีที่เห็นเราทั้งคู่เดินออกมาจากห้อง

"ยังค่ะม๊า ว่าจะเข้าสายหน่อย พอดีกับเชนมีเรื่องจะคุยกับป๊าม๊าด้วยค่ะ"       ขอบคุณพี่เชลด้าที่ช่วยเกริ่นให้ แต่จะว่าไปผมก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย

"มีเรื่องอะไรเหรอลูก ป๊ามาฟังลูกพูดก่อน"      ม๊าเอ่ยเรียกป๊าที่กำลังค้นหารีโมททีวีเพื่อเปิดดูข่าวตอนเช้าอยู่

"พูดมาเลย ป๊าได้ยิน"       ถึงจะได้ยินอย่างนั้นผมก็ยังไม่กล้าที่จะเริ่มพูดออกไปอยู่ดี

"มานั่งนี่สิ มาตั้งใจฟังลูกพูดตรงนี้"       ดูเหมือนม๊าคงอ่านผมออกว่าสิ่งที่ผมต้องการคืออะไร

"โอเคๆ ไหนว่ามาสิมีอะไรจะบอก"       แล้วตอนนี้ทุกคนก็นั่งกับครบประจำที่ที่โต๊ะอาหาร พี่เชลด้าวางมือบนไหล่ผมพร้อมกับบีบเบาๆมันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายลงมาก

"ดูท่าทางจะเป็นเรื่องใหญ่นะ"       ป๊าวางหนังสือพิมพ์ลงก่อนจะหันมาทำท่าตั้งใจฟัง

"ทุกคนจะว่าอะไรไหมครับถ้าผมจะมีคนรัก"

"มีคนรัก"       ป๊าหันมาถามคำถามที่ผมได้พูดบอกออกไป

"ครับ มีคนรัก"

"ฮ่าๆๆๆๆ เราเลี้ยงลูกให้เครียดเกินไปรึเปล่าคุณ ลูกถึงได้กังวลแม้กระทั่งจะมีความรัก"       ป๊าหัวเราะแล้วหันไปถามม๊า

"เชนจะมีความรักก็มีเถอะลูก โตแล้ว เวลาก็เหมาะสม ป๊ากับม๊าให้อิสระเต็มที่"       ผมแน่ใจว่าสิ่งที่ป๊ากับม๊าคิดผิดไปจากที่ผมกำลังจะบอก

"ขอบคุณครับ แต่ถ้าความรักของผมมันไม่เหมือนคนทั่วไปละครับ ป๊ากับม๊าจะรับได้ไหม"       ในชีวิตผมทุกอย่างเป็นไปตามแบบแผนทั้งหมด ผมไม่เคยใช้ชีวิตอยู่บนความเสี่ยงและสร้างความกังวลให้กับคนในครอบครัว แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่ มันดูเสี่ยงไปหมด ผมเองยังไม่แม้จะคิดแผนสำรองไว้ด้วยซ้ำถ้าหากป๊ากับม๊าไม่พอใจ เพราะผมเองคงจะปล่อยให้แมทผ่านไปไม่ได้เหมือนกัน

"ยังไงหล่ะที่ว่าไม่เหมือนคนทั่วไป"       ในขณะที่ทุกคนกำลังมองมาทางผมและรอคำตอบ แต่ผมกลับหันไปหาพี่สาวตัวเองด้วยสีหน้าที่ไม่ต้องส่องกระจกก็รู้ได้ว่าความมั่นใจมีอยู่แค่น้อยนิด นี่สินะที่ใครๆมักพูดว่าเวลาที่เราอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวความเข้มแข็งที่เคยมีก็หาไม่เจอ อ่อนแอได้ในเรื่องที่ไม่ควร รวมถึงเรียกร้องหาที่พึ่งพิงอย่างที่ผมกำลังทำ แววตาของพี่เชลด้าคงกำลังพยายามส่งความกล้าให้ผม ตอนนี้ผมกำลังผิดหวังในตัวเองมากจริงๆ ผมไม่เคยนึกภาพตัวเองตกอยู่ในสภาพนี้เลยสักครั้ง

"ผมกลัวตัวเองจะทำให้ทุกคนผิดหวัง"

"ม๊าหวังเท่าที่ควรจะหวัง แต่ชีวิตทั้งหมดเป็นของเชน หน้าที่ของป๊ากับม๊าที่เหลืออยู่คือประคับประคองเวลาที่เชนกับเชลด้าล้มและคอยให้กำลังใจ เราตัดสินใจอะไรแทนพวกลูกๆไม่ได้หรอก"       ทุกอย่างที่ม๊าพูดทำให้ใจที่กำลังห่อเหี่ยวของผมพองโตขึ้นมาอีกครั้ง

"แล้วทีนี้จะบอกได้หรือยัง"       คำถามจากป๊าทำให้ผมต้องพูดออกไปทันที

"ผมชอบผู้ชายครับ"       วินาทีแรกที่คำนั้นหลุดออกจากปากผม สีหน้าของป๊ากับม๊าก็เปลี่ยนไปจากเดิมในทันที ไม่มีใครรับได้เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้แต่แรกไม่มีผิด ความรู้สึกผมตอนนี้ยิ่งกว่าคนหลงทางซะอีก ทั้งๆที่รู้ว่าเดี๋ยวจะต้องมีทางออกสักทางที่เจอแต่ทางนั้นจะเป็นอย่างไรจะใช่ทางออกจริงๆไหมก็ไม่สามารถคาดเดาได้ ผมก็แค่หวังว่าทางออกนั้นจะสวยงาม

"ผู้ชายเหรอ"

"ครับ ผู้ชาย"

"คบหากันแล้ว"

"ยังครับ เป็นผมฝ่ายเดียวที่รู้สึกชอบเขา"

"แล้วเขาไม่รู้เหรอเชน"       นี่คือคำถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงอย่างชัดเจนจากม๊า

"ผมเดาว่าเขารู้ครับ แต่เขาจะรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่าอันนั้นผมไม่รู้"

"แล้วทำไมถึงเลือกที่จะบอกป๊ากับม๊าก่อนที่จะคบกันหล่ะ"

"เพราะครอบครัวของผมสำคัญที่สุด ผมจะไม่ทำในสิ่งที่ป๊ากับม๊าลำบากใจหรือเสียใจครับ"

"งั้นถ้าป๊าบอกว่าไม่ยอมรับ เชนจะเลิกสนใจเขางั้นเหรอ"

"ไม่ครับ ผมคงจะทำแค่มองเขาห่างๆ เพราะผมเองก็คงจะไม่สามารถตัดใจได้ในทันที"

"งั้นมันจะต่างอะไรกับการที่ไปสารภาพกับเขาก่อน เพราะถ้าเขาไม่ตกลงเชนก็ไม่จำเป็นต้องมาบอกป๊ากับม๊าให้เรื่องมันยากไปกว่าเดิมด้วยซ้ำ"

"ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนครับ ผมไม่ต้องการให้ทุกคนต้องมาทุกข์ใจเพราะผม ถ้าหากป๊ากับม๊ารับความรักในแบบของผมได้ ผมก็จะทำทุกวิธีเพื่อให้เขารับรักผม แต่หากป๊ากับม๊าไม่เห็นด้วยผมก็จะจบทุกอย่างด้วยตัวของผมเองเพื่อจะได้ไม่มีใครเจ็บปวดทั้งเขาและครอบครัวของผม"

"แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเชนก็ยังจะเฝ้ามองเขาต่อไปงั้นเหรอ"

"ครับ ผมคงไม่สามารถตัดใจได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ผมจะทำเท่าที่อยู่ในขอบเขตที่ควรทำ"

"ม๊าไม่รู้จะพูดอะไรออกไปดีนะเชน จะว่าม๊าไม่ตกใจเลยก็คงไม่ใช่ ใครจะไปคิดว่าละครน้ำเน่าขัดใจลูกเรื่องความรักที่เคยดูจะเกิดขึ้นในชีวิตจริง แล้วใกล้ตัวถึงขั้นเป็นเรื่องในครอบครัวของตัวเองขนาดนี้"

"ป๊าเองก็ใช่ว่าจะรับได้ แต่ชีวิตมันก็เป็นของเชน จะสุขหรือทุกข์เชนต้องเลือกเอง ขอเวลาป๊าสักนิด เข้าใจป๊านะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ในวันเดียว"

"เฮ้อ....มาหาม๊ามา มาให้ม๊ากอดที"       แล้วม๊าก็รวบตัวผมไว้ในอ้อมกอดเดียว       "นี่ลูกชายของม๊าโตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย โตถึงขนาดม๊ากอดไม่ไหวแล้วนะ เอาเถอะ ทำในสิ่งที่ความรู้สึกของเชนบอกนะลูก พิจารณาเท่าที่เห็นสมควร ม๊าเป็นกำลังใจให้ สำเร็จแล้วพาเขามาให้ม๊ารู้จักนะ ม๊าสัญญาว่าม๊าจะรักเขาอย่างที่รักเชนนะลูก"

"ขอบคุณครับม๊า ขอบคุณครับป๊า ขอบคุณนะพี่เชลด้า"       ขอบคุณที่ผมได้มาอยู่ในครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรักและความเข้าใจ ผมรู้สึกว่าตัวเองยิ่งกว่าโชคดีที่มีพื้นฐานชีวิตที่แข็งแรงและมั่นคงขนาดนี้

.......................................................................


           ผมใช้เวลาในตอนสายไปกับการนั่งวางโครงเรื่องอยู่ที่สวนหลังบ้าน อากาศต้นปีที่ควรจะเย็นสบายใช้ไม่ได้กับที่นี่ คำจำกัดความที่อธิบายสภาพอากาศของที่นี่ได้ดีที่สุดก็ไม่ต่างกับที่หลายๆคนเคยแซวกัน ถ้าหากไม่ร้อนก็ร้อนมากหรือไม่ก็ร้อนที่สุด และถ้าแย่กว่านั้นคือฝนตกร่วมด้วยก็คงทั้งร้อนทั้งแฉะ นึกถึงตอนกลับจากฮ่องกงใหม่ก็ยังคงตลกอยู่ไม่หาย ตอนขึ้นเครื่องกลับมาใส่ซะเต็มยศ พอก้าวขาออกจากสนามบินภูเก็ตเท่านั้นแหละ แทบอยากจะลอกคราบ ผ้าพันคอพี่เชนที่ว่าช่วยกันหนาวได้เป็นอย่างดีก็ดูไร้ประโยชน์ทันทีเมื่ออยู่ที่นี่ และเรื่องสภาพอากาศเริ่มจะเป็นประเด็นรองเมื่อผู้ชายคนนี้มาวนอยู่ในหัวผมอีกครั้ง ตลอดสองสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ว่าผมจะทำอะไรมันจะต้องมีเรื่องให้เกี่ยวข้องให้นึกถึงตลอด พี่แกจะโผล่มามีความสำคัญในทุกๆเรื่องที่ผมคิดเลยใช่ไหม ในเมื่อเอาพี่ออกไปไม่ได้ผมคงต้องปล่อยความคิดแล้วทิ้งตัวลงบนพนักพิงหลังของเก้าอี้

"เฮ้อ..."      ขอบคุณพนักพิงและแสงแดดอุ่นๆที่ช่วยแบกรับน้ำหนักตัวและความรู้สึกของผม

"ถ้าเขาใช่มันก็ใช่ตั้งแต่วินาทีสองวินาทีแรกโดยที่แกไม่ต้องพยายามรู้สึกเลยสักนิดแมท เพราะฉะนั้นก็มีแค่สองอย่างคือแกไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาไม่ใช่"       พี่มัทนี่ต้องเข้ามาขัดได้จังหวะพอดีทุกครั้งเลยใช่ไหม

"คือแมทคิดงานไม่ออก ไม่ใช่กำลังคิดว่าใช่หรือไม่ใช่"        ไม่ได้เรียกว่าโกหกนะ เพียงแค่บอกไม่หมด

"อ้าว มัทก็เข้าใจว่ากำลังคิดถึงเรื่องหลินอยู่"

"เดาไปเรื่อย"

"เออๆ ทำงานต่อไปเถอะ ไม่กวนแล้วก็ได้" ถ้าเอาจริงๆที่ผมคิดงานไม่ออกก็เพราะว่าความสับสนไม่ต่างกับที่พี่มัทสงสัย ผิดตรงที่ไม่ใช่คนที่พี่มัทคิดก็แค่นั้น สามชั่วโมงที่เริ่มต้นทำงาน ผมพยายามที่จะเอาพี่เชนออกไปจากความคิดหลายต่อหลายครั้งไม่รู้ว่าพี่แกเอาเท้าทากาวตาช้างติดไว้ในสมองผมหรือเปล่า ถึงได้ไม่ขยับเขยื้อนออกจากความคิดผมเลย แล้วอย่างนี้ผมจะคิดงานออกได้ยังไง อีกสองเดือนก็ต้องส่งโครงเรื่องแล้ว เวลาก็ผ่านไปเร็วซะขนาดนี้ ถ้าผมไม่มีงานส่งนะ จะตามไปทึ้งหัวถึงฮ่องกงเลยคอยดู

"ฮึ่ย!!!"

"เอ้าๆๆ ใจเย็นๆ ไปหงุดหงิดใครมาลูก"

"แม่"      คงเป็นจังหวะที่แม่เห็นผมกำลังทึ้งหัวตัวเองอยู่พอดีถึงได้เดินมาทัก

"เป็นอะไร อากาศก็ไม่ได้ร้อนมากนักนะ"

"หืม แม่ต้องการจะสื่ออะไร"      พูดขนาดนี้แม่ด่าผมเป็นหมาบ้าตรงๆนี่จะดีกว่า ตอนนี้สมองผมเหลือพื้นที่ให้คิดเรื่องอื่นน้อยลงทุกที

"โตแล้ว คิดเอาเองสิ"

"โธ่! แม่ครับ ถ้าสมองแมทมันแบ่งล็อคได้นะ จะเก็บค่าคิดตามปริมาณพื้นที่ของความคิดที่ต้องใช้ไปเลยคอยดู มีแต่คนมาให้ใช้ความคิด"      คราวนี้หล่ะไอ้พี่เชนหมดตัวแน่ๆ

"ทำยังกับมีเรื่องให้คิดซะมากมาย"

"ก็ไม่มากหรอกครับ แต่แมทเอาออกจากความคิดไม่เลยนี่สิครับแม่"

"คงเรื่องใหญ่น่าดู คุยกับแม่ได้นะลูก"

"ใช่ๆ คุยกับมัทด้วยก็ได้ นี่ว่างฟังทั้งวันเลย"       ผมว่าผมเห็นพี่มัทกำลังจะเดินเข้าบ้าน ทำไมยังมายืนอยู่ตรงนี้อีก

"มัท!"       ขอบคุณแม่ที่ช่วยปรามพี่มัท

"ก็มัทเป็นห่วงน้อง เห็นนั่งคอตกเป็นหมาเหงาหมาหงอยตั้งแต่กลับมาจากฮ่องกงแล้วนะแม่ ไม่สิ เป็นตั้งแต่ตอนอยู่ฮ่องกงแล้ว"

"เป็นอย่างที่พี่มัทว่าเหรอแมท"

"เป็นอย่างนี้แหละแม่ ขนาดยัยหลินที่เคยพิศวาสแทบจะขาดใจเมื่อตอนสมัยมัธยมกลับมาดอด ลูกชายแม่ยังไม่หายจากอากาศซึมเศร้าเลย"

"แมทเหมือนคนซึมเศร้าเลยเหรอพี่มัท"      นี่ไอ้พี่บ้ามันมามีอิทธิพลต่อความคิดผมมากขนาดนี้เลยเหรอ

"ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก ฮ่าๆ ชั้นก็แค่คูณสิบเข้าไป"       เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว

"พอเลยๆ มัทพูดจาให้น่าฟังหน่อยนะ ดอดเดิดอะไร แม่ไม่เข้าใจ แล้วก็ไปอาบน้ำได้แล้ว จะเที่ยงแล้วเนี่ยลูกสาวบ้านนี้ยังอยู่ในชุดนอน น่าอายไหมหล่ะ"

"เดี๋ยวนะแม่ ขอสิบนาที ให้แมทมันเล่าก่อนว่าอะไรทำให้มันเป็นแบบนี้"

"ถ้ามัทยังไม่เลิกแทรกแม่ว่ามะรืนนี้แม่ก็ยังไม่รู้หรอกว่าแมทกังวลเรื่องอะไร"       ว่าจบแม่ก็หันไปเอามือปิดปากพี่มัทเอาไว้ มันเป็นภาพที่ตลก และผมคงหัวเราะไปแล้วถ้าเรื่องในหัวมันไม่สุมกันมากมายขนาดนี้

"ว่าไง ไหนเกริ่นให้แม่ฟังสิ"       สถานการณ์ตอนนี้ดูจริงจังมาก ทั้งแม่และพี่มัทต่างก็มองมาที่ผม

"คืองี้นะแม่ มีคนคนนึงเขาดีกับแมทมาก แมทยังไม่มีโอกาสขอบคุณเขาจริงๆจังๆเลย แล้วแมทก็รู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ดีกับเขาไปอีกด้วย"

"เอยอู้อึกอิดใอ่อ่ะ"       พอผมว่าจบพี่มัทก็พยายามจะพูดอะไรสักอย่างผ่านมือแม่

"อี๊ยยยย น้ำลาย มัทน่าเกลียดจังเลยลูก"       แม่รีบเอามือที่ปิดปากพี่มัทออกแล้วยื่นไปเช็ดกางเกงนอนตัวเน่าของพี่มัททันที จนผมที่นั่งมองอยู่ไม่รู้ว่าอย่างไหนมันแย่กว่ากัน

"ก็แม่ปิดปากมัทไว้นี่หน่า มัทจะบอกว่าแมทรู้สึกผิดใช่ป่ะ"

"ก็นิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้อยากจะขอโทษนะ เพราะเขาดูท่าทางจะคิดเกินเลยกับแมทอ่ะ"

"เหรอ แกคิดไปเองป่าว แบบหลงตัวเองว่าเขาชอบ คิดเข้าข้างตัวเองว่าเขารู้สึกเกินเลยไรงี้"       ท่าทางพี่มัทนี่ด่าว่าผมตอแหลยังเจ็บน้อยกว่า แต่พอลองคิดๆดูหรืออาจจะจริงอย่างที่พี่มัทว่า เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นมันเป็นผมเองที่คิดไปว่าพี่มันจะยื่นหน้าเข้ามาจูบ เลยหลบสายตาพี่เชนมาตลอด แถมยังเลือกเองว่าการไม่เจอกันจะเป็นทางที่ดีที่สุด ผมตัดสินใจทุกอย่างโดยไม่ได้ถามอีกฝ่ายสักคำ แต่ก็อีกแหละการที่พี่เชนไม่พยายามอธิบายก็ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ผมคิดมันถูกหรอกเหรอ

"คิดนานขนาดนี้สงสัยน้องมัทมันจะคิดไปเองแล้วแหละแม่ ไม่สนุกแล้ว ไปอาบน้ำดีกว่า"       ก่อนที่พี่มัทจะลุกเดินออกไปผมได้เอ่ยประโยคที่ทำให้พี่มัทถึงกลับต้องหันกลับมานั่งที่เดิมอีกครั้ง

"ถ้าเราจะไม่คาดเดาในส่วนของเขา แต่มามองในส่วนของแมทเองที่หยุดความคิดที่มีเขาอยู่ไม่ได้ นั่นแปลว่าแมทกำลังคิดถึงเขาหรือเปล่า"       พี่มัทรีบยื่นมือมาผลักหัวผมอย่างแรงจนเกือบหลบไม่ทัน

"ไอ้น้องโง่!!! นี่แกไม่รู้จริงๆหรือแกล้งโง่เนี่ย"

"มัทอย่าว่าน้อง"       ขอบคุณแม่ที่คอยปกป้องผมอยู่เสมอ       "ถ้าเป็นอย่างที่แมทบอกว่าจะทำอะไรก็มีแต่เขาวนไปวนมา ในหัวมีแต่หน้าเขามันก็แปลได้อย่างเดียวว่าคิดถึงนั่นแหละลูก"

"ไม่ดีเลยแม่"

"มันไม่ดีเพราะแมทกำลังพยายามหลอกตัวเองห้ามตัวเองให้ไม่คิดหรือเปล่า ใจเรามีอิสระมากกว่านั้นนะ แมทห้ามมันไม่ไหวหรอกลูก ปล่อยความคิดไปตามหัวใจกับความรู้สึกแม่ว่ามันจะทำให้แมทมีความสุขมากกว่านะ"

"แม่ดูแบบเชี่ยวชาญมากอ่ะแกว่าป่ะแมท สงสัยตอนสาวๆมีมาให้คิดนับไม่ถ้วน"

"ยัยมัท เดี๋ยวเถอะ รีบลุกไปอาบน้ำเลย"

"เดี๋ยวนะแม่ ขอพูดอีกประโยค"       หันไปบอกแม่แล้วก็รีบหันกลับมาหาผม       "ทำทีละเรื่องนะแมท ไปขอบคุณกับสิ่งดีๆที่เขาทำให้ และขอโทษกับพฤติกรรมแย่ๆที่แกทำกับเขา หลังจากนั้นก็ค่อยสำรวจความรู้สึกตัวเองอีกครั้ง แต่มัทว่านะยอมรับความจริงซะเถอะแมท ว่าแกชอบเขา ถ้าแกไม่รู้สึกอะไรแกจะไม่เฝ้าคิดเฝ้านึกถึงนานขนาดนี้หรอก จำไว้อย่างนะคะน้อง ความคิดและความรู้สึกนี่หล่ะห้ามยากที่สุดแล้ว ไปละ"       พูดจบก็ลุกเดินออกไปไม่ทันให้ผมได้โต้ตอบอะไรเลย

"แม่ว่าจากที่พี่มัทพูดมาแมทคงมีคำตอบให้ตัวเองแล้วใช่ไหมลูก"       ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ

"แม่เห็นด้วยกับพี่มัทนะ และแม่ก็ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับการตัดสินใจครั้งนี้นะ เพราะฉะนั้นมีแต่แมทเท่านั้นแหละที่รู้คำตอบดีที่สุด จะเจ็บปวดหรือมีความสุขแค่อย่าหลอกตัวเอง"       แล้วแม่ก็ลุกเดินออกไปอีกคน ผมแค่สงสัยในความคิดของตัวเองแค่นั้น ทำไมทุกคนพูดเตือนเหมือนผมกำลังตกหลุมรักอีกฝ่ายไปแล้วอย่างนั้น อยากรู้จริงๆถ้ารู้ว่าคนที่ผมคิดถึงเป็นผู้ชายจะยังสนับสนุนกันอยู่ไหม แล้วนี่สรุปว่าผมต้องยอมรับจริงแล้วใช่ไหมว่าผมกำลังคิดถึงพี่เชนอยู่จริงๆ แล้วพี่หล่ะกำลังคิดถึงผมอยู่เหมือนกันหรือเปล่า

.......................................................................


❤ ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤พยายามบอกแมทว่ามันจะไปยากอะไรกับแค่ยอมรับว่าจริงว่าตัวเองรู้สึกยังไง
   แต่ก็อีกแหละ มันไม่ใช่สถานการณ์ที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ลุ้นก็แค่ให้พี่เชนรุกเนอะ เพราะยังไงก็ทางสะดวกละ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 14 [22-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-03-2015 22:34:44
แมทเริ่มยอมรับความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 14 [22-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 23-03-2015 00:24:23
พี่เชนเดินหน้าแล้ว แมทก็ยอมรับความรู้สึกตัวเองสะนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 14 [22-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pinkymaprang ที่ 23-03-2015 08:46:27
ให้กำลังใจนะคะ คอยติดตามตลอดนะ สู้ๆ อารมณ์ตอนนี้ได้ละ สิ่งที่ยากที่สุดคือการรู้ใจตัวเองและยอมรับความรู้สึกของตัวเอง รออ่านตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 31-03-2015 23:02:18
ตอนที่ 15


Chen part

          ความมั่นใจนะเหรอไม่มีหรอก ตอนที่ตัดสินใจมาก็มีแค่ความตั้งใจเท่านั้น ส่วนที่เหลือจากนี้ก็เป็นเรื่องที่นอกเหนือการควบคุม ผมคงบังคับจิตใจหรือความรู้สึกใครไม่ได้ ผมจะทำในส่วนของผมอย่างที่พี่เชลด้าแนะนำ ก้าวแรกที่มาถึงสนามบินนานาชาติประจำจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย สนามบินที่อยู่ติดกับทะเลไม่ต่างจากสนามบินฮ่องกง มันเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและกังวล ผมคงไม่รู้หรอกว่าการมาคราวนี้จะเจออีกฝ่ายไหม เพราะข้อมูลที่มีอยู่มันน้อยมาก ผมมีแค่เบอร์โทรศัพท์กับอีเมล์ที่เมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้าได้มาจากพี่เชลด้า

'มีแค่เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์กับหน้าพาสปอร์ตที่สแกนเก็บไว้เอง จะพอไหมเชน'

'ครับ เอาแค่ที่มี'

'ใครจะไปคิดว่าที่อยู่ตรงปกหลังจะมีเรื่องให้จำเป็นต้องใช้'

'แค่อีเมล์ก็คงพอครับ เพราะถ้าเขาตอบที่อยู่ก็คงไม่จำเป็น'

'แต่อีเมล์นี้พี่ดูแล้วไม่น่าใช่ของแมทนะ'     

          เพราะมันไม่ใช่หรือเพราะอีกฝ่ายไม่ตอบก็ไม่รู้ และทั้งหมดนี้ก็เป็นสาเหตุให้ผมเลือกที่จะเผชิญหน้าด้วยตัวเองหลังจากรอมาสองอาทิตย์ และผมคงรอนานกว่านี้ไม่ได้แล้ว ความรู้สึกที่ผมมีมันเอ่อล้น คับแน่นไปหมด การมาเมืองไทยครั้งนี้ไม่มีเหตุผลอะไรจะสำคัญมากไปกว่าการที่ผมไม่สามารถหยุดคิดเรื่องของอีกฝ่ายได้ แค่นั้นก็แทนคำยืนยันได้มากพอ ผมคงทนรออีเมล์ไม่ไหว ผมอยากไปยืนอยู่ตรงหน้าแมทและแสดงความรู้สึกอย่างชัดเจนต่อหน้าเขาว่าผมรู้สึกอย่างไรและมันมากมายขนาดไหน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกในแบบเดียวกันผมจะกลับมายืนในที่เดิมของผม เพราะคงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบังคับจิตใจกัน อีกอย่างผมก็ไม่ใช่ผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มที่พอจะโน้มน้าวให้อีกฝ่ายใจอ่อนได้ ผมจะสมหวังก็ต่อเมื่อแมทกำลังคิดแบบเดียวกันและผมก็ภาวนาให้เป็นแบบนั้น

'ไม่ว่าม๊าจะอยากรู้ขนาดไหนว่าทำไมเชนต้องไปประเทศไทย แต่ม๊าก็จะไม่ถาม ม๊าจะรอฟังข่าวดีนะเชน'       

'ขอบคุณม๊าสำหรับกำลังใจครับ'

'ป๊าพอจะเดาอะไรได้บ้าง รอดูต่อไปละกัน คงไม่ผิดจากที่คาดไว้เท่าไหร่'       

'ป๊าอ่านผมออกเสมอ'

'ก็ลูกป๊านี่ ป๊านี่แหละที่จะต้องรู้ดีที่สุด'

'แล้วเชนจะเริ่มต้นยังไง เตรียมใจไว้บ้างหรือยัง ให้ม๊ากับเชลด้าไปเป็นเพื่อนไหม'

'ผมไม่ได้ไปออกรบนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงกันขนาดนี้ก็ได้ ผมบอกตัวเองว่าจะไม่คาดหวังอะไรทั้งนั้น ผมแค่ไปแสดงความรู้สึกของผมให้เขารู้ ถ้าหากเรารู้สึกตรงกันก็คงเป็นเรื่องดีดี'

'เอาเถอะ มีความสุขที่จะทำอะไรก็ทำ อย่ากดดันตัวเองมากนัก ป๊าเป็นกำลังใจให้เสมอนะ'

          และนี่คือคำพูดให้กำลังใจจากครอบครัวที่มาส่งผมที่สนามบิน ขอบคุณวันลาที่พีทอนุมัติเพิ่ม ขอบคุณข้อมูลส่วนตัวที่แมทใช้ในการจองห้องพักจากพี่เชลด้า ถึงแม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลย ขอบคุณป๊ากับม๊าที่สนับสนุนความรู้สึกของผม และขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้เจอกับแมท ตอนนี้ผมพกความตั้งใจมามากกว่าร้อย หวังว่าเราจะคิดตรงกัน

.......................................................................


Matt Part

          จะอาทิตย์นึงแล้วที่ผมเขียนแล้วก็ลบเขียนแล้วก็ลบไอ้โครงเรื่องเจ้าปัญหาที่ต้องส่งพี่นางในอีกสองเดือน ผมไม่เคยใช้เวลาในการเริ่มพล็อตเรื่องนานขนาดนี้มาก่อน แค่ได้วางตัวละคร บุคลิกลักษณะก็เริ่มขึ้นโครงเรื่องได้แล้ว ผิดกับเรื่องนี้ที่ยังไม่ทันจะวางตัวละครผมก็ใช้เวลาเริ่มอย่างไร้สาระกับความคิดในหัวที่ยังจัดการไม่ได้ไปกว่าสัปดาห์แล้ว

          ยังคงเป็นโต๊ะตัวเดิมกลางสวนหลังบ้านที่ผมเลือกใช้ทำงานหลังจากกลับมาจากฮ่องกง หรือเพราะเปลี่ยนสถานที่นะเลยทำให้ความคิดมันไม่แล่นเลย หรือว่าผมต้องกลับไปนั่งทำงานในห้องนอนตามเดิม คิดไปคิดมาก็ข้ออ้างอีกนั่นแหละ โทษตัวเองเถอะที่ไม่มีสมาธิเลยสักนิด แต่การที่ไม่มีสมาธิแบบนี้ก็ต้องโทษไอ้พี่บ้าที่คงกำลังยืนผัดสปาเกตตี้จานโปรดหรือบิดมอเตอร์ไซค์สบายใจเฉิบอยู่ที่ไหนสักที่ในฮ่องกง คิดแล้วมันน่าหมั่นไส้จริงๆ

"โว้ย!!!"       ไหนๆก็ไหนๆแล้วในเมื่อขึ้นโครงเรื่องในแบบที่เป็นแนวเขียนของผมไม่ได้ก็เอาเรื่องตัวเองนี่แหละมาเป็นโครงเรื่องแทนก็แล้วกัน

"เขียนมันเรื่องตัวเองนี่ละวะ"       พี่มันจีบหรือคิดอะไรไหมผมคงไม่สนใจแล้วหล่ะ ตอนนี้เขียนมันอย่างที่ตัวเองคิดน่าจะดีที่สุด ในเมื่อผมคิดว่าพี่มันจีบผมก็จะจินตนาการเป็นคนที่โดนจีบตามความเข้าใจของตัวเองในตอนแรกโดยไม่สนใจคำพูดของพี่มัทที่ว่าผมคิดไปเอง ก็ไม่รู้ว่าผมไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ แต่ผมคิดของผมอย่างนี้ ผมเข้าใจอย่างนี้ และผมก็จะเชื่อว่าที่ผมคิดต้องไม่ผิด

          แต่จะเขียนยังไงหล่ะ เอาตัวเองไปเป็นนางเอกเหรอ ตลก! เป็นผู้ชายนะเว้ย นางเอกต้องเป็นผู้หญิงดิ ผมไม่ใช่นะ แต่ทำไมผมอินบทบาทนางเอกขนาดนี้วะ รู้สึกตอนนี้อารมณ์โคตรจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดนางเอกในเรื่องที่พล็อตมันลอยอยู่ในหัวผมเต็มไปหมดแล้วเนี่ย นี่ผมกำลังรู้สึกอะไรอยู่ หรือว่าจริงๆผมก็ชอบพี่มัน มันใช่เหรอ ผู้ชายทั้งคู่แค่คิดก็จั๊กกะจี้แล้ว

"พี่มัทๆๆๆๆๆๆ"       ขอบคุณฟินที่ขัดจังหวะความคิดในเรื่องไม่เป็นเรื่องของผม

"จะเรียกหลายครั้งทำไม พี่มัทไม่อยู่ ออกไปร้าน"       

"อ้าวเหรอ พี่แมทโทรถามให้หน่อยว่าเจ้จะกลับกี่โมง"

"ธุระใครก็โทรเองดิ"

"โทรแล้ว ปิดเครื่องมั้ง"

"เรื่องสำคัญรึไง"

"ป่าวหรอก แต่จะให้ฟังฟินร้องเพลงหน่อย พรุ่งนี้ต้องสอบแล้ว"

"แล้วพี่มัทจะช่วยอะไรได้"

"ฟินไม่กล้าร้องต่อหน้าอาจารย์กับเพื่อนๆในห้อง เลยจะมาซ้อมต่อหน้าพี่มัทก่อน น่าจะน่าตื่นเต้นพอกัน"

"มันจะเหมือนกันได้ไงฟิน พี่มัทคนเดียว เพื่อนฟินทั้งห้องนะ"

"ก็เวลาพี่มัทจ้องหน้าฟินนะ อารมณ์มันน่ากลัวเหมือนตอนอาจารย์นั่งอยู่ด้วยเลย"     มันก็ช่างเอาไปเปรียบเทียบกันนะ

"พี่ช่วยฟังแทนได้ไหม"      คิดงานก็คิดไม่ออกนั่งฟังฟินร้องเพลงฆ่าเวลาไปก่อนละกัน อย่างน้อยก็คงช่วยลดความน่าเบื่อที่คิดอะไรก็ดูสับสนไปหมดลงบ้าง

"เอาจริงเหรอ อย้าล้อฟินนะถ้ามันแย่"       ผมพยักหน้ารับ คงไม่มีใครร้องแย่ไปกว่าพี่มัทแล้วหล่ะ ขอยืนยันในฐานะคนที่ต้องอดทนฟังมากว่า 20 ปี

"เออน่า ถ้าไม่ดิ่งลงบาดาลหรือตะกายยอดตึกมากก็คงพอช่วยฟังได้"

"โห่...พี่แมท ฟินไม่อยากจะคุย"

"ดีละไม่ต้องคุย ร้องเลย เสียเวลา"

"โอเคๆ ใจร้อนจริง"


สักพักทำนองจากโทรศัพท์มือถือของฟินก็เริ่มบรรเลง


"เธอไม่ใช่คนที่ฉันเฝ้ารอ
เธอไม่ใช่คนที่ฝัน
แต่ความจำเป็นทำให้เราใกล้กัน
ไม่รู้จะทำยังไง

มองทีไรก็ไม่ค่อยถูกชะตา
ตลอดเวลารู้สึกไม่ชอบด้วยซ้ำไป
แต่พอวันหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน
ลืมปิดประตูหัวใจซะงั้น

อยู่ๆ ก็มีแต่เธอมาปรากฏตัวในหัวใจ
อยู่ๆ ไม่รู้ทำไม ถึงคิดถึงเธอได้ทั้งวัน
จากที่ไม่ชอบ ก็กลายเป็นใช่
กลายเป็นคำตอบของใจฉัน
ความผูกพันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไม่ลดเลย ฉันรักเธอจัง"

"เฮ้ยๆ ฟินพอก่อนๆ"

"ทำไม ทำไม ฟินร้องแย่เหรอ"

"ร้องใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบซิ ทำนองไม่ต้องเปิดคลอนะ เอาแต่เนื้อพอ"

"เธอไม่ใช่คนที่ฉันเฝ้ารอ เธอไม่ใช่คนที่ฝัน"

"อืม"

"แต่ความจำเป็นทำให้เราใกล้กัน ไม่รู้จะทำยังไง"

"ใช่"

"มองทีไรก็ไม่ค่อยถูกชะตา ตลอดเวลารู้สึกไม่ชอบด้วยซ้ำไป"

"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะ"

"อะไรพี่แมท"      ผมไม่ตอบแต่ขยับมือเป็นเชิงให้ฟินร้องต่อ

"แต่พอวันหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน ลืมปิดประตูหัวใจซะงั้น"

"อย่างนั้นแหละ ร้องต่อเลยฟิน"       ผมเห็นนะว่าฟินมันทำหน้างงขนาดไหน แต่ความคิดในหัวผมตอนนี้มันละความสนใจไปไขความข้องใจของน้องไม่ได้จริงๆ

"อยู่ๆ ก็มีแต่เธอมาปรากฏตัวในหัวใจ
อยู่ๆ ไม่รู้ทำไม ถึงคิดถึงเธอได้ทั้งวัน
จากที่ไม่ชอบ ก็กลายเป็นใช่
กลายเป็นคำตอบของใจฉัน
ความผูกพันเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นไม่ลดเลย ฉันรักเธอจัง"

"ขอบใจมากนะฟิน เพราะมาก ขอให้สอบผ่านนะ ตั้งใจซ้อมๆ"

"พี่แมท อะไรเนี่ย ฟินยังร้องไม่จบเพลงเลยนะ...พี่แมทจะไปไหน!!!"

          คิดถึง ใช่ มันคือความคิดถึงอย่างที่แม่และพี่มัทบอก ตลอดเกือบ 3 อาทิตย์ตั้งแต่กลับมา ผมเอาแต่คิดถึงคนที่ฮ่องกง เริ่มเขียนพลอตเรื่องก็คิด เปิดดูรูปก็คิด จัดของที่ได้มาจากที่นั่นก็คิด เก็บเข้าตู้ไปแล้วก็ยังเอาออกมาวางที่โต๊ะให้เห็นมันอยู่ทุกวัน บัตรรถไฟฟ้าที่หาไม่เจอแล้วไปโวยวายหาทั่วบ้านจนแม่บ่นปวดหัวแล้วตัดรำคาญมาหาให้ก็เก็บมันไว้เป็นอย่างดีเพียงเพราะถูกซื้อโดยคนที่กำลังคิดถึง ขนาดวาฟเฟิลผมยังแรพประมาณสามชั้นแล้วแช่ฟรีซเอาไว้ ทำทุกทางที่จะไม่ให้มันเน่าเสีย ถามตัวเองว่าทำบ้าอะไร คำตอบที่ได้ก็คือไม่มี แค่ทำเถอะ อยากทำก็ทำ ถ้าจะถามหาเหตุผลกันจริงๆ คงนึกได้แค่ข้อเดียวในตอนนี้ นั่นคือเพราะทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับผู้ชายคนนั้นแล้วคำพูดของไอ้มินก็มาวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง

'หาส่วนประกอบของความรักให้เจอ แล้วมันจะให้ความสุข'

          งั้นเหรอ ทั้งๆที่ตอนนี้ผมมีแต่ความทุกข์มากกว่าไหมที่สลัดความคิดถึงพวกนั้นออกไปจากหัวไม่ได้ซะที ผมยอมรับแล้วว่าผมคิดถึงพี่เชน คิดถึงมากและถ้าจัดอันดันความคิดถึงได้ ตอนนี้มันคงอยู่ขั้นสูงมากพอที่ผมจะบอกได้ว่าผมไม่เคยคิดถึงใครที่ไม่ใช่คนในครอบครัวขนาดนี้มาก่อน

          บางทีหรือบ่อยครั้ง คนเราก็มีช่วงเวลาที่สูญเสียความเป็นตัวเอง สูญเสียการควบคุมตัวเอง หรือสูญเสียความนับถือตัวเอง แต่สำหรับผมตอนนี้ผมไม่มีสักอย่าง ผมควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้ และผมก็ไม่เคยควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้เลย แม้กระทั่งพฤติกรรมที่บ้าเก็บของที่เกี่ยวกับพี่มันก็ด้วย และพอยิ่งได้ฟังเพลงจากฟินมันก็เหมือนยิ่งกระตุ้นความรู้สึกผมให้ชัดเจนขึ้น ผมคงชอบพี่มัน ทุกอย่างที่อยู่ในเนื้อเพลงที่ฟินร้องคือความรู้สึกของผม แต่จะเป็นการชอบในรูปแบบไหนนั้นผมยังหาบทสรุปเพื่อให้ตัวเองยอมรับไม่ได้จริงๆ

.......................................................................


Chen part

"เริ่มจากตรงไหนก่อนดี"       ตอนนี้เป็นเวลาผมกำลังสับสนว่าจะเริ่มหาจากตรงไหนของหาดป่าตองดี หลังจากที่รับกระเป๋าและทำเรื่องเช่ารถเพื่อความสะดวกมากขึ้นเรียบร้อยแล้ว ผมก็กำลังอยู่บนรถและพร้อมที่จะทำตามคำแนะนำของเพื่อนเก่าสมัยเรียนเมืองไทยที่บังเอิญเจอตอนออกจากสนามบินพอดี โชคดีที่เธอทำงานอยู่ที่นี่ และโชคดีที่เรายังจำกันได้แม้มันจะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม จากคำแนะนำของเธอคือให้ผมเริ่มหาจากหาดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดก่อน นั่นคือหาดป่าตอง เพราะจากข้อมูลที่ผมมีเธอบอกว่าจะเอาไปให้คนที่รู้จักช่วยหารายละเอียดเพิ่มเติมให้ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็คงต้องช่วยเหลือตัวเองไปก่อน ผมจะลองโทรเข้าหมายเลยโทรศัพท์ที่พี่เชลด้าให้ไว้ดูเป็นอันดับแรก

"เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้"       กว่าสิบครั้งที่ได้ยินแต่ประโยคนี้ ไม่มีประโยชน์ที่จะเฝ้าโทรต่อไป เดินหน้าหาด้วยตัวเองเลยดีกว่า ผมไม่มีข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับร้านอาหารของครอบครัวแมท รู้แค่ว่าเป็นร้านไม่ใหญ่มาก มีร้านกาแฟอยู่ข้างๆในบริเวณพื้นที่เดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าผมใช้โจทย์นี้หวังว่าคงเหลือคำตอบอยู่ไม่มากนัก

"สวัสดีค่ะ กี่ท่านคะ"

"คนเดียวครับ"       เริ่มจากร้านแรก มีพนักงานใส่ชุดไทยมายืนต้อนรับ ถามจำนวนลูกค้าเป็นภาษาไทย

"เชิญด้านนี้เลยค่ะ"       ผมเดินตามพนักงานไปที่โต๊ะพร้อมกับมองสำรวจรอบๆร้านไปด้วย

"เมนูค่ะคุณลูกค้า วันนี้มีรายการอาหารแนะนำนะคะ เป็นกุ้งผัดน้ำพริกมะขามกับต้มยำซีฟู้ดยอดมะพร้าวอ่อนค่ะ"

"งั้นเอามาอย่างละหนึ่งเลยครับ ขอข้าวด้วยนะครับ"

"ค่ะ กุ้งผัดน้ำพริกมะขามหนึ่งที่ ต้มยำซีฟู้ดยอดมะพร้าวอ่อนหนึ่งที่ ข้าวเปล่าเป็นโถหรือเป็นจานดีคะ"

"ข้าวเปล่าเป็นจานละกันครับ"

"ค่ะ รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ"

"น้ำแตงโมปั่นมีไหมครับ ถ้ามีเอาน้ำแตงโมปั่นหนึ่งที่ถ้าไม่มีขอเป็นน้ำเปล่าครับ"       น้ำแตงโมคือเครื่องดื่มที่ผมมักจะเลือกสั่งทุกครั้งที่มาเมืองไทย ไม่มีที่ประเทศไหนอร่อยเท่าที่ไทยอีกแล้ว

"มีค่ะ วันนี้มีน้ำมะม่วงปั่นด้วยนะคะ"

"ไม่ครับ ขอน้ำแตงโมดีกว่า"

"ค่ะ ขอทวนรายการอาหารอีกครั้งนะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องทวนแล้ว ตามนั้นเลยครับ"       ถ้าขืนยังทวนวันนี้ผมว่าคงได้แค่ร้านเดียวแน่ๆ พนักงานร้านนี้ทำงานดีครับ แต่มันออกจะล้นไปหน่อยสำหรับคนที่เร่งรีบและมีจุดมุ่งหมายอย่างผม

"ค่ะ"

"เอ่อ ขอโทษครับร้านกาแฟด้านโน้นเป็นของที่นี่รึป่าวครับ"

"ไม่ใช่ค่ะ แต่ลูกค้าสามารถสั่งมาทานได้ พนักงานจากร้านกาแฟจะมาเสิร์ฟให้แต่จ่ายบิลแยกค่ะคุณลูกค้า"

"งั้นก็แสดงว่าคนละเจ้าของกันนะสิครับ หวังว่าคงไม่เป็นการละลาบละล้วงเกินไปที่ผมจะถาม"       ตอนนี้ผมต้องลืมคำว่าเสียมารยาทไปบ้างเพื่อให้ได้ข้อมูล

"ไม่เป็นไรค่ะ ทางร้านเปิดให้เช่าที่ไว้สำหรับบริการกาแฟสดให้ลูกค้าเพิ่มเติมค่ะ"       

"ขอบคุณครับ"       ถือว่าเป็นการทำธุรกิจที่คำนึงถึงลูกค้าและเอื้อประโยชน์กันพอสมควร เพราะมีลูกค้าไม่น้อยที่มักจะดื่มเอสเปรสโซ่หลังมื้ออาหาร และที่สำคัญไปกว่านั้นคือนี่ไม่ใช่ร้านของครอบครัวแมทแน่นอน ผมจำได้ว่าเจ้าตัวบอกว่าร้านกาแฟเป็นร้านของแม่ มันคงจะดูใจร้ายเกินไปที่จะให้แม่เช่าพื้นที่ในร้านตัวเองเพื่อเปิดร้านกาแฟแก้เหงา

          และในเมื่อไม่ใช่ร้านนี้ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะนั่งทานอาหารที่สั่งมา ผมจำเป็นจะต้องตามหาร้านต่อไปเลยบอกให้พนักงานห่ออาหารที่สั่งกลับบ้าน และขอบคุณที่ร้านนี้ทำอาหารค่อนข้างรวดเร็วทำให้ผมไม่ต้องเสียเวลาไปมากนัก

          ผมแวะร้านที่เป็นลักษณะเดียวกันอีกสองร้าน แต่ปรากฎว่ายังไม่ใช่ ร้านที่สองแค่อยู่ติดกันไม่ได้เช่าที่เหมือนอย่างร้านแรก และไม่สามารถสั่งเข้ามาทานในร้านได้ ส่วนร้านที่สามเป็นเจ้าของคนเดียว แต่เจ้าของเป็นผู้ชายและมีภรรยาทำร้านกาแฟ สรุปก็คือยังไม่ใช่ทั้งสามร้าน วันนี้ผมคงต้องพอแค่นี้ก่อน เพราะถ้าหากยังหาต่อไปท้องผมคงแตกก่อนที่จะเจอกันพอดี อีกอย่างผมก็ยังไม่มีที่พักด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้คงต้องหาโรงแรมก่อนแล้วถ้ายังไหวค่อยออกมาหาอีกรอบ


.......................................................................



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 31-03-2015 23:08:35
Matt part

          สงสัยคงจะจริงว่าห้องนอนผมนี่แหละเป็นที่เดียวที่จะทำให้ความคิดผมทำงาน ในที่สุดโครงเรื่องของผมก็เริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อย่างน้อยผมก็มีตัวละครพระนางอยู่ในหัวซึ่งก็คือตัวผมเอง ฮ่าๆๆๆ นึกถึงทีไรก็ตลกทุกที ผมคงเป็นนักเขียนคนแรกและคนเดียวเลยละมั้งที่ทำตัวประหลาดแบบนี้ เป็นผู้ชายแต่ดันประเมินตัวเองไปเป็นนางเอกซะอย่างนั้น แต่ถ้าความคิดบ้าๆแบบนี้ทำให้งานผมเดินก็คุ้มอยู่นะที่จะลองดู

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

"ครับ"

"แมท ว่างไหมลูก ออกไปรับพี่มัทแม่หน่อย"       แม่นี่เอง

"แม่ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่"       หันไปมองนาฬิกายังไม่สี่ทุ่มเลย ทำไมวันนี้แม่กลับไว

"ตั้งแต่สี่โมงเย็นแล้ว วันนี้แม่ต้องไปงานแต่งงานเลยเอารถกลับมาก่อน"       อย่างนี้นี่เอง ว่าทำไมถึงได้สวยกว่าปกติ

"ที่ไหนแล้วแม่ไปกับใครครับ"

"โรงแรมใกล้ๆร้านเรานั่นแหละ เดี๋ยวเพื่อนแม่มารับ เห็นว่าจะออกมาสักพักแล้วคงใกล้ถึงแล้วละมั้ง"

"อ่อครับ งั้นเดี๋ยวแมทไปรับพี่มัทเองครับ แล้วแม่จะกลับพร้อมเพื่อนหรือให้แมทไปรับดี"

"กลับพร้อมเพื่อนดีกว่าลูก ถ้าเลิกไวแม่ค่อยให้เพื่อนไปส่งที่ร้านแล้วกลับพร้อมลูกๆนะ"

"ได้ครับแม่"

          ในเมื่องานก็เพิ่งคิดออก เวลาก็เหลือมากพอสำหรับแค่คิดพล็อตเรื่องส่ง เพราะงั้นวันนี้ลงไปหาหนังดูข้างล่างฆ่าเวลาไปรับพี่มัทดีกว่า พักสมองซะหน่อย เพราะช่วงที่ผ่านมาผมใช้ความคิดหนักมากเกินไปแล้ว

"ดูเรื่องอะไรดีน้า"       อันนี้ดูแล้ว อันนี้เครียดไป อันนี้หนังเศร้า ไม่ชอบๆ นี่ก็ซีรี่ย์เกาหลีของพี่มัทมันยาวไป นี่ผมไม่ได้หาซื้อหนังเข้าบ้านมานานแค่ไหนแล้วนะถึงได้ไม่มีหนังอะไรใหม่ๆอยู่ในตู้เก็บเลย อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้ไปร้านขายดีวีดีหนังเลยในช่วงหลังๆเลยทำให้ไม่รู้ว่าเรื่องไหนที่ควรซื้อเก็บหรือเรื่องไหนน่าดู ผมเป็นคนชอบดูหนังมากนะ เสียแต่ไม่ชอบดูคนเดียว และนี่ก็เป็นพฤติกรรมของคนโสดเพียงอย่างเดียวที่ผมยังพยายามหัดทำแล้วแต่ก็ไม่ได้สักที จะให้ชวนโอ้ตไปดูรายนั้นก็ไม่ชอบดูหนังที่โรง เพราะฉะนั้นหนังทุกเรื่องที่ผมสนใจแต่ไม่มีใครไปดูด้วยก็จะจบลงที่การรอแผ่นดีวีดีออกถึงค่อยซื้อมาดูที่บ้านแต่ตอนนี้หนังที่ผมมีก็ดูจนหมดสต็อกไปแล้ว งั้นวันนี้ไปหาหนังใหม่ๆที่ร้านดีวีดีเจ้าประจำเลยละกัน ชวนโอ้ตไปเดินห้างด้วยดีกว่า ไม่เจอหลายวันแล้ว เดี๋ยวมันจะงอน เพราะตั้งแต่หลังกินข้าวกับเพื่อนๆวันนั้นก็ยังไม่ได้คุยกันเลย

"ไงมึง หายหัวไปเลยนะไอ้แมท!"

"โอ้ต ไปเดินห้างกัน"

"ไม่ทำงานไงวะ ว่างเหรอ"

"อืมว่าง รอเวลาไปรับพี่มัท"

"เหรอ เออ งั้นมึงก็มีรถดิ"

"ใช่ วันนี้แม่กูไปงานแต่งเลยเอารถกลับบ้านมาก่อน"

"งั้นมารับกูด้วยละกัน วันนี้กูไม่ได้เอารถมา กูรอที่ออฟฟิศนะ"

"เออๆ อีก 20 นาทีเจอกัน"

          ปกติมักจะเป็นโอ้ตที่คอยขับรถมารับมาส่งเวลาจะไปไหน ที่บ้านผมเคยมีรถสองคันคือคันของพี่มัทที่ใช้อยู่ทุกวันนี้และก็คันของผมที่เป็นของขวัญเรียนจบจากคุณยาย แต่พอพักหลังๆรถของน้านิคันเก่าที่ให้น้าอิงใช้ไปทำงานเริ่มงอแงให้ต้องซ่อมอยู่บ่อยๆ แม่ก็เป็นห่วงกังวลว่าผู้หญิงอย่างน้าอิงคงลำบากที่จะแก้ปัญหาถ้ามันเกิดเสียกลางทางขึ้นมา เลยบอกให้มาเอารถที่บ้านไปใช้เพราะผมเองก็ไม่ค่อยได้ใช้ ทั้งแม่ทั้งพี่มัทก็ทำงานที่เดียวกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้รถมากขนาดน้าอิง แรกๆน้าอิงก็เกรงใจ ขอไปรอรถพนักงานของโรงแรมที่มีบริการรับส่งดีกว่า แต่น้าอิงคงลืมนึกไปว่าหากวันไหนน้านิติดงานก็จะไปมีใครคอยไปรับไปส่งสองแฝดที่เรียนพิเศษวันที่ต้องเลิกดึก เพราะเวลานั้นรถประจำทางก็แทบจะไม่ค่อยมีวิ่งแล้ว คุณยายเลยต้องใช้วิธีบอกให้น้าอิงไปส่งสองแฝดที่โรงเรียนเองทุกเช้าเพื่อส่งเสริมความอบอุ่นภายในครอบครัว พอคุณยายเอ่ยปากอย่างนั้นน้าอิงเลยปฏิเสธไม่ได้ ในเมื่อผมเองก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ รถที่จอดเอาไว้เฉยๆก็เสื่อมสภาพได้ไม่ต่างจากรถที่ถูกใช้งาน เพราะฉะนั้นให้มันทำหน้าที่ของมันแล้วเสื่อมจากการทำหน้าที่จะยังดีเสียกว่า

"เพื่อนแม่ยังไม่มารับอีกเหรอ"

"นั่นสิ รอนานแล้วเนี่ย เห็นบอกว่าอีกสักพักๆ แม่โทรไปก็สายไม่ว่าง"

"งั้นแมทรอเป็นเพื่อนแม่ก่อนก็แล้วกันครับ"

"จ้ะ แล้วนี่ลูกจะไปไหน"

"นัดกับโอ้ตว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างอ่ะแม่"

"อ่อ จ้ะ อ่ะนี่ เพื่อนแม่โทรมาพอดี"       แล้วแม่ก็รับโทรศัพท์พูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนไม่นานก็วาง

"สงสัยว่าแมทจะต้องไปส่งแม่แล้วหล่ะลูก เพื่อนแม่แวะไปรับเพื่อนอีกคนแล้วลืมหยิบซองมาด้วยเลยต้องวนกลับไปเอา แม่เลยบอกว่าเดี๋ยวให้ลูกไปส่งดีกว่าจะได้ไม่ต้องวนไปวนมาให้เสียเวลาเนอะ"

"ได้ครับแม่ งั้นแมทแวะรับไอ้โอ้ตก่อนนะ"

"โอเคจ้ะ งั้นไปกันเถอะ"

.......................................................................


"เอ้า ขับด้วย ไปโรงแรม x ตรงโค้งก่อนถึงร้านพี่มัทก่อนนะ"       เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาผมก็รีบลงจากรถแล้วพาตัวเองมานั่งด้านหลัง ปล่อยหน้าที่พลขับให้เป็นของไอ้โอ้ตแทน และไอ้โอ้ตที่คิดว่าตัวเองจะต้องหาเรื่องขัดผมตลอดเวลาก็รีบเปิดประตูด้านตรงข้ามคนขับ

"แล้วไปนั่งด้านหลังทำไมวะ ตลอดเลยนะมึงเนี่ย อ้าวแม่ สวัสดีครับ วันนี้สวยเชียว จะไปไหนครับเนี่ย"       แต่ปรากฎว่ามันไม่ว่างเพราะแม่นั่งอยู่ 

"สวัสดีจ้ะโอ้ต"

"อย่าถามมากน่า เชี้ยโอ้ตไปขับรถ"

"อะไรวะถามแม่ก็ไม่ได้"       สุดท้ายมันก็เดินไปขึ้นรถฝั่งคนขับ

"ลูกชายแม่นี่ปากจัดนะครับ"       ยังไม่ทันได้ออกรถก็เริ่มกัดผมอีกละ

"เหมือนมึงอ่ะแหละ"       ถ้ามันพูดดีๆเลิกกวนประสาท ผมคงไม่ใจร้ายพอที่จะหยาบคายกับมันหรอก

"พอกันทั้งคู่นั่นแหละ เจอกันเป็นต้องแขวะ ไม่เบื่อบ้างหรือไงแม่ถามหน่อย"

"สนุกดีครับแม่"       ผมบอก

"แต่โอ้ตไม่หนุกด้วยเลยแม่ แมทชอบว่าโอ้ตแรงๆ"

"ไอ้กระแดะ วันหลังจะกูอัดคำพูดหยาบคายไปฟ้องม๊ามึงบ้าง คอยดู!"

"แหม งอนเหรอคะทรามเชย โอ๋ๆๆๆ มาจูบปลอบใจทีมา ฮ่าๆๆ แม่ดูลูกชายแม่ดิ งอนทีปากนี่ปลิ้นเลย"

"ไอ้เชี้ยโอ้ต!!!"

"หยุดเลยๆ ยิ่งแขวะก็ยิ่งทะเลาะกัน อย่าให้แม่ได้ยินว่าพูดจาไม่ดีใส่กันอีกนะ แมทนะพูดจาให้มันดีๆหน่อย แล้วก็พอนะเรื่องออกคำสั่งกับเพื่อนหน่ะ โอ้ตก็เหมือนกัน เลิกแหย่แมทได้แล้ว"

"แต่แมทเป็นแค่กับโอ้ตคนเดียวนะแม่"

"แหม! รู้สึกวีไอพีขึ้นมาทันทีเลย โอ้ตชินแล้วแม่ ถึงมันไม่สั่งโอ้ตก็ทำให้อยู่ดีนั่นแหละครับ"

"นั่นแหละ มันจะทำให้แมทเสียนิสัย ถ้าวันนึงต่างคนต่างก็มีแฟนแล้วจะทำยังไง จะมาง้องแง้งใส่กันแบบเดิมไม่ได้แล้วนะ"

"โหยแม่ แมทยังไม่คิดเรื่องนี้เลย ถ้ามันมีแฟน แมทก็ค่อยทำตอนแฟนมันไม่อยู่สิ"

"เอ๊ะ! แมท ที่แม่สอนนี่เข้าใจจะเอาไปปรับใช้บ้างไหม"

"แม่ๆ ใจเย็นๆครับ โอ้ตก็ไม่ได้คิดเรื่องนั้นเหมือนกัน เอาเป็นว่าตอนนี้ลูกชายแม่ยังเป็นอันดับหนึ่งในใจโอ้ตเสมอนะครับ แม่ไม่ต้องกังวล"

"หยุดล้อเล่นน่าโอ้ต พูดอะไรแบบนี้เดี๋ยวม๊าโอ้ตมาได้ยินรับไม่ได้ขึ้นมาจะโดนสั่งให้เลิกคบกันหรอกคอยดู"

"ม๊าจะเชียร์แทนหน่ะสิครับ รักแมทจะตายไปครับแม่ รักมากกว่าโอ้ตอีก ตั่วเฮียลูกอี๊มีแฟนเป็นผู้ชายด้วยกันก็ไม่เห็นเขาว่าอะไรเลยนะครับ ยิ่งถ้าเป็นแมทม๊ารับได้อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ"

"แต่แม่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นกันนะ แรกๆแม่ก็เฉยๆ แต่พักหลังๆแม่ได้ยินบ่อยขึ้นนะ ใครเขาได้ยินเข้าจะเอาไปพูดกันสนุกปาก"       ไม่ใช้ม๊าของโอ้ตหรือใครต่อใครหรอกที่แม่เป็นกังวลว่าจะรับไม่ได้ แต่เป็นแม่เองมากกว่า เพราะได้ยินแม่พูดแค่นี้ผมก็พอจะเดาได้แล้วว่าแม่เองก็ใช่ว่าจะรับเรื่องแบบนี้ได้ ที่ผ่านมาคงเพราะคิดว่าไม่มีใครจะเก็บมาจริงจังแม่ก็เลยไม่ห้าม

.......................................................................


"ขอบใจมากนะลูกที่มาส่งแม่ก่อน แล้วอย่าทะเลาะกันอีกหล่ะ"

"ครับแม่"       โอ้ตรีบรับปากพร้อมตะเบ๊ะท่ารับคำ

"ได้ยินที่แม่บอกไหมแมท"

"ได้ยินแล้วครับแม่"       พอได้ยินผมตอบรับแม่ก็เดินเข้าโรงแรมไป

"อ้าวเฮ้ย! เห็นกูเป็นขี้ข้าไงวะ มานั่งข้างหน้าดิ กูไม่ใช่ลูกคนขับรถบ้านมึงนะครับ"

"เหรอ กูก็เข้าใจมาตลอดว่าใช่"

"สนุกเกินไปละ ตกลงมึงจะไม่ลุกมานั่งข้างหน้าใช่ไหม"       มันจะอะไรนักหนากับตำแหน่งที่นั่ง

"เออ ขับไปเถอะน่า กูหิวแล้วเนี่ย"

"หิวก็รีบลงมา"       ยังไม่ทันได้เถียงต่อมันก็มาเปิดประตูยืนอยู่ข้างผมและกระชากให้ผมต้องลงจากรถตามมัน

"อะไรของมึงนักหนาเนี่ย กูนั่งข้างหลังแล้วมึงจะเหยียบคันเร่งไม่ได้หรือไง"

"เออ กูไม่มีกำลังใจแม้แต่จะเข้าเกียร์เลยครับ"       ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต่อล้อต่อเถียงเรื่องปัญญาอ่อนกับมัน แค่ลุกไปนั่งตามที่มันต้องการจะได้จบๆ

"แหมยาหยีจ๋า อย่าทำหน้าเป็นตูดอย่างนั้นสิคะ ไม่เอานะๆ ยิ้มหน่อยๆ"       พูดจบก็เอามือมาดึงแก้มผมทั้งสองข้างก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นลูบหัวให้ผมต้องถอยตัวห่างจากมัน

"กูไม่ใช่เด็กๆที่จะยินดีกับวิธีปลอบใจปัญญาอ่อนของมึง เอามือออกไป"       ผมรีบสะบัดหัวออกจากมือมัน ไม่ใช่ไม่เคยทำแบบนี้ ไม่ใช่ไม่เคยชิน และไม่ได้กลัวว่าแม่จะเห็น แค่รู้สึกว่ามันไม่มีอารมณ์จะมาเล่นอะไรแบบนี้ในตอนนี้

"แม่เขาก็แค่เตือนไปตามที่ควรจะทำ ไม่ต้องคิดมากหรอก"       อย่างน้อยโอ้ตก็เป็นคนที่รู้ทันเสมอว่าผมกำลังคิดหรือหนักใจเรื่องอะไรอยู่

"อืม"       แล้วมันก็ตบหัวหนักๆอีกสองสามทีก่อนจะผายมือให้ผมเข้าไปนั่งในรถ

"กูเจ็บ"       ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ใช่ว่ามันจะใส่ใจ มันทำแค่โค้งตัวแล้วปิดประตูรถให้ก่อนจะเดินมานั่งที่ตำแหน่งคนขับ

"คาดเข็มขัดด้วยมึง เดี๋ยวกูจะดริฟท์ให้ลืมเครียดเลย"       และก็เป็นโอ้ตอีกนั่นแหละที่เอื้อมตัวมาดึงเข็มขัดแล้วคาดให้

"ขอบใจ"       ตอนนี้ผมไม่สนแม้แต่จะคาดเข็มขัดให้ตัวเอง

          ถ้ารู้แบบนี้ ผมเกลียดคำนี้ ถ้ารู้แบบนี้เราจะไม่คิดเราคงจะไม่ทำอย่างนั้นใช่ไหม แต่เพราะไม่รู้ไง ถึงไม่พยายามห้ามหรือหยุดความคิดตัวเอง ใช่ ถ้าผมรู้ว่าแม่ไม่ชอบ ผมคงจะไม่พยายามหาคำตอบให้ตัวเองว่าทำไมต้องเอาแต่นึกถึงพี่เชน แต่เพราะผมไม่รู้ และไม่รู้จนปล่อยให้ความรู้สึกมันมากเกินกว่าความคิดถึง และมันก็มากจนกลายเป็นความชอบ จนตอนนี้ก็คงต้องพูดประโยคเดิมๆอีกครั้งว่าผมไม่รู้จริงๆว่าควรทำยังไง

.......................................................................

❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ *:)
❤อีกนิดเดียวเอง...
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะ ขอบคุณค๊ะ


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pinkymaprang ที่ 31-03-2015 23:19:10
มาแล้ว... เมื่อไรจะแมทจะเจอไอ้พี่เชน รอๆๆๆๆๆนะคะ เป็นกำลังใจให้คุณสับปะรดนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 31-03-2015 23:30:20
พี่เชนนนนน บุพเพนี้จะแผลงฤทธิ์เมื่อไหร่คะนี่ รอทั้งสองคนมาจ๊ะเอ๋กันไม่ไหวแล้วน้าาา

ปูลู ตอนยาวๆแบบนี้ชอบมากกกกค่ะ :D
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 01-04-2015 08:22:16
ขอให้เจอกันเร็วๆ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-04-2015 09:13:23
แย่แล้ว แมทเพิ่งจะเข้าใจและยอมรับใจตัวเอง
จะต้องมารีบเก็บความรู้สึกไว้และตัดใจแล้วเหรอ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 01-04-2015 13:20:30
หาให้เจอนะครับพี่เชน  ไม่น่าจะยากเกินความสามารถนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: iamtsubame ที่ 01-04-2015 16:03:26
สนุกมากกกกก o13
กำลังลุ้นเลยว่าพอแมทเจอพี่เชนจะกระโดดกอดเลยหรือเปล่า แม่ดันมาพูดให้แมทคิดมากซะได้ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 04-04-2015 00:07:15
จะเจอกันแล้ววว

โอ้ยยย ลุ้นไปอีกอ่ะ

อยากรู้ว่าตอนเจอกัน น้องแมทจะทำหน้าไงนี้?

หรือว่าอาจจะมีคลาดๆกัน ไรงี้ป่ะ เหมือนมีแววงั้นเลย

 :mew1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 04-04-2015 16:38:34
เเต่งดีอะ เพิ่งมาเจอ เรารออ่านอยู่น้าาาาาา
เมื่อไหร่เค้าจะเจอกันเนี่ย
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 04-04-2015 16:56:43
โธ่ น่าสงสารแมท คงสับสนน่าดู
พี่เชนมาตามหาแล้ว... หาให้เจอเร็วๆนะ อย่าเจอตอนที่มีฉากชวนเข้าใจผิดล่ะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 05-04-2015 18:14:48
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ชอบมาก ดูเรียบๆ แต่แฝงไปด้วยความอบอุ่น  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 15 [31-03-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: MaRiTt_TCL ที่ 06-04-2015 01:14:36
ง่อวว พี่เชนเจอแมทเร็วๆน้าาา
คนเขียนมาต่อเร็วเข้าา
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 06-04-2015 23:09:32
ตอนที่ 16


Chen Part


          ผมยังไม่ได้เตรียมใจมาเพื่อจะเห็นภาพนี้ อันที่จริงผมควรจะต้องดีใจที่เห็นว่าคนที่ตั้งใจเดินทางมาเจอยืนอยู่ตรงหน้า แต่ความใกล้ชิดระหว่างคนทั้งคู่ที่ผมเห็นมันทำให้ผมพูดไม่ออก ในขณะที่กำลังเดินออกจากโรงแรมเพื่อย้ายไปพักที่บ้านของเม เพื่อนสมัยเรียนที่เมืองไทย และตั้งใจว่าจะออกไปลองขับรถวนหาร้านอีกสักรอบ แต่ก็มาเจอภาพนี้เสียก่อน ภาพที่เห็นมันทำให้ผมรู้สึกหายใจไม่ออก ผมไม่รู้ว่าควรนิยามความรู้สึกนี้ว่าอย่างไร ใจหนึ่งก็อยากปล่อยแมทไป แต่ก็เห็นแก่ตัวเกินกว่าที่จะทำแบบนั้น  อีกใจหนึ่งก็อยากเดินเข้าไปถามเอาคำตอบของความสัมพันธ์ แต่ก็ไม่กล้า  พยายามบอกตัวเองผมอาจจะเข้าใจผิดก็ได้


30 นาทีก่อนหน้า


'เฮ่ลโหลวยู อยู่ไหน'

'กำลังจะเช็คอินโรงแรมที่เมแนะนำไง'

'สต็อปเลยนะยู ถอยหลังๆ ทำตามที่ไอบอก'       อะไรของเขานะ เป็นคนบอกเองแท้ๆว่าให้มาพักที่นี่

'อะไรกันเม ผมขอเช็คอินก่อนนะ เดี๋ยวโทรกลับ'

'ไม่ต้องเลย ไม่ต้องๆ บอกว่าให้หยุด กลับหลังหันแล้วเดินออกมาจากโรงแรมเดี๋ยวนี้ อีก 10 นาทีมารอไอหน้าโรงแรมนะ'       และนั่นก็เป็นสิ่งที่นำพาให้ผมได้มาเจอกับคนที่ตามหาและภาพที่ไม่ได้เตรียมตัวมาว่าถ้าเจอแล้วควรทำอย่างไร

ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่อยู่กับแมทเป็นใคร ตอนนี้ก็ได้แต่คิดสรตะไปมากมาย และในขณะที่อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนรถออกจากหน้าโรงแรม ก็มีเสียงเรียกดึงผมออกจากความคิดถึงภาพเมื่อสักครู่

"เชน!!! เชน!!! เฮ้!!!"       เป็นเมที่ขับรถมาจอดตรงหน้าผม

"ไฮ! เม"       ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องพูดอะไรกับเมดี เลยทำแค่ยกมือทักทาย

"มองอะไรอยู่ ไอเรียกตั้งนาน เจอคนรู้จักเหรอ"       ผมส่ายหัว

"เจอคนที่มาตามหา"       ผมบอกออกไป

"ห๊ะ! คนที่มาตามหาเหรอ"       ผมพยักหน้า

"แตะ...แต่นั่นผู้ชายทั้งคู่นะ หรือไอมองผิด"       ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเมต้องทำสีหน้าตกใจขนาดนั้น

"ใช่ ผู้ชาย"

"ยูชอบผู้ชายงั้นเหรอ"       ผมขมวดคิ้วยืนมองหน้าเมผ่านกระจกรถที่ถูกลดระดับอยู่อย่างนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือคำพูดแบบไหนก่อนหน้านี้ของผมที่ทำให้เมเข้าใจไปว่าผมมาตามหาคนที่ชอบ

"แล้วจะยืนนิ่งอยู่ทำไม มัวรออะไรอยู่ ขึ้นรถมาสิเชน โยนกระเป๋าไปไว้เบาะหลังก่อน"       และจากคำพูดของเม ผมถึงได้สติว่าต้องรีบตามไป

          เมขับรถตามคนทั้งคู่ไป ระหว่างนั้นเมก็คอยถามว่าทำไมถึงต้องมาตามหา ผมจึงเล่าเรื่องให้เมฟังคร่าวๆ รวมถึงอธิบายความเข้าใจของผมที่มีต่อคนทั้งคู่ ขอบคุณที่สภาพการจราจรเคลื่อนตัวได้ไม่ดีนัก ทำให้ผมและเมตามรถของแมททัน แต่ไม่ดีสักเท่าไหร่ที่ตอนนี้ดึกแล้ว มันเลยมืดและทำให้ผมมองไม่เห็นภายในรถคันข้างหน้า คงทำได้แค่ขับตามไปเรื่อยๆ

          หลังจากที่ตามมากว่าครึ่งชั่วโมง จนมาถึงลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่ก็ไม่ได้ไกลจากโรงแรมมากนัก ทั้งสองคนลงจากรถไป ผมบอกตัวเองว่าให้พยายามทำอย่างที่ตั้งใจ อย่าลืมว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร และสุดท้ายเมก็กระตุ้นผมอีกครั้งให้เดินตามคนทั้งคู่เข้าไป

"เดินตามไปสิ เขาสองคนอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ยูคิดก็ได้"       ถ้าหากมีโอกาสที่จะได้คุยกันตามลำพังก็คงจะดี

"กาแฟเย็นๆสักแก้ว เผื่อจะช่วยให้คิดได้ว่าต้องทำไงต่อไป"       รับแก้วกาแฟจากเมมาไว้ในมือ แล้วมองหน้าเมก่อนที่เอ่ยขอโทษเมหลายต่อหลายครั้ง เพราะแทนที่การเจอเพื่อนเก่าจะได้มาคุยสอบถามสารทุกข์กันว่าชีวิตที่ต่างก็ไม่ได้เจอกันนั้นเป็นอย่างไรบ้าง กลับต้องมาช่วยผมวิ่งวุ่นทำเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตัวเอง

"จะทำแค่เดินตามต่อไปเรื่อยๆแบบนี้เหรอ เขาจะเดินกันไปถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ทำไมยูไม่เดินไปทัก"       ผมไม่รู้ว่าจะตอบอะไร เพราะตอนนี้ผมก็คิดอะไรไม่ออก

"ถ้าเป็นไอคงเดินไปถามให้รู้แล้วรู้รอด"       ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากทำแบบนั้น

"จากที่เห็นนะ เขาสองคนก็ไม่เห็นจะดูเหมือนคู่รักกันเลยนะ ดูเป็นเพื่อนกันปกติซะมากกว่า"       ถ้าเมเห็นอย่างที่ผมเห็นก่อนหน้านี้เมจะไม่พูดอย่างนี้แน่นอน

"รอให้เขาอยู่คนเดียวก่อนแล้วผมจะเดินเข้าไป"

"ขัดใจไอมาก! ยูนี่ก็ยังสุภาพเหมือนเดิมเลยนะ ความสุภาพมากเกินไปในตัวยูคงเป็นอย่างเดียวเลยละมั้งที่ไอรู้สึกว่ามันเกินพอดีมากตอนนี้"

"แล้วมันไม่ดีเหรอ"       ตอบออกไปทั้งๆที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่คนทั้งคู่

"ดี แต่มันมากไป รอไออยู่นี่นะ รออยู่เฉยๆ อย่าไปไหน เดี๋ยวไอมา"       ผมไม่รู้ว่าเมจะไปไหน ไปทำอะไร ผมแค่ยืนนิ่งๆมองคนทั้งคู่ และเมที่กำลังเดินเข้าไปสองคนนั้น

.......................................................................


Matt Part


"เลือกสักร้านไหม มึงจะเรื่องมากเพื่อคงคอนเซ็ปท์หรือไง"       โอ้ตหันมาสะกิดและท้าวสะเอวเอียงคอถามหลังจากเดินวนหาร้านอาหารมาสักพัก

"ก็กูไม่อยากกินสเต็ก ไม่อยากกินอาหารญี่ปุ่น ไม่อยากกินสปาเกตตี้นี่หน่า"       ไม่ใช่เลือกไม่ได้ แค่ไม่มีกะจิตกะใจจะเลือกมากกว่า

"ชาบู ปิ้งย่างหล่ะ"

"ไม่"

"งั้นไปแดกอาหารตามสั่งฟู้ดคอร์ทไหมมึง มีทุกอย่างให้เลือกสรร"       ผมส่ายหัว

"มึงโอเคป่ะเนี่ย"

"กูไม่โอเค ไม่โอเคเลยมึง"       ตอนนี้ผมโคตรจะไม่โอเค

"กูอยู่ตรงนี้นะเว้ย มึงต้องโอเคดิ เอางี้คืนนี้กูไปนอนด้วย อย่าคิดมากนะ เดี๋ยวพี่กล่อมนอนเองคะคืนนี้"       อย่างน้อยก็ไม่ต้องอยู่คนเดียวคืนนี้ มีมันคงทำให้ไม่ต้องคิดมาก

"ไปกินร้านพี่มัทกันเถอะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง"       และเวลานี้พี่มัทน่าจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ผมต้องการมากที่สุด

"ไอ้เพื่อนเวร มึงแดกฟรีอยู่แล้วป่าววะร้านนั้น ลากกูออกมาห้างแล้วก็กลับเนี่ยนะ นี่มึงกำลังคิดว่าสภาพการจราจรในภูเก็ตยังเหมือนเมื่อ 5 ปีที่แล้วหรือไง กว่าจะถ่อมาถึง เสือกอยากกลับนะมึง อย่าคิดว่ามึงเป็นแบบนี้แล้วกูจะไม่ด่าถ้ามึงทำตัวงี่เง่านะแมท"       ผมไม่สนใจฟังหรอกว่ามันจะบ่นอะไร รู้แค่ว่าตอนนี้อยากเจอพี่มัทมากกว่ากินข้าวอีก รู้สึกว่าตัวเองเอาแต่ใจชะมัด ถ้าไม่ใช่โอ้ตจะมีใครทนได้ไหม

"กลับหลังหันกันเถอะ ไปร้านพี่มัทกัน"       ผมคว้าไหล่โอ้ตให้หมุนตัวกลับไปที่ลานจอดรถ


พลั๊วะ!


"อุ้ย! ขอโทษค่ะ"

"ขอโทษครับ"       ทั้งผมและโอ้ตพูดขอโทษออกมาพร้อมกันกับผู้หญิงที่เราหันหลังไปชน คงเป็นเพราะเราหยุดเดินแล้วหันหลังเลยทำให้ชนเข้า แต่ก็น่าแปลกนะทำไมถึงเดินตามหลังซะกระชั้นชิดขนาดนี้

"ไม่เป็นไรค่ะไม่เป็นไร เมเดินไม่ระวังเอง"      เธอรีบหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาจากพื้นแล้วพยายามเอาผ้าเช็ดหน้าที่ดึงออกมาจากกระเป๋าเช็ดไปที่เสื้อของโอ้ต

"ไม่เป็นไรครับ"        โอ้ตเองก็พยายามจะคว้าผ้าเช็ดหน้าของอีกฝ่ายมาเช็ดเอง

"เมทำคุณสองคนเลอะเทอะและเสียเวลา ให้เมไถ่โทษนะคะ"

"ไม่เป็นไรจริงๆครับ"       ผมพยายามบอกเธออีกครั้ง

"แต่เสื้อแฟนคุณเลอะกาแฟจะทั้งตัวเลยนะคะ ให้เมชดใช้เถอะค่ะ"

"หืม?!?"       เป็นโอ้ตที่แสดงน้ำเสียงเหมือนสงสัยออกมา ผมเองก็สงสัยไม่ต่างกัน คำพูดของเธอทำให้เราทั้งคู่ถึงกับต้องรีบหันมามองหน้ากัน

"ผมว่าคุณเมกำลังเข้าใจผิด นี่คุณคิดว่าเราสองคนเป็นแฟนกันงั้นเหรอครับ"       ผมได้แต่คิดในใจว่าไอ้โอ้ตนี่ก็โง่เนอะ จะถามย้อนว่าเขาคิดว่าเราทั้งคู่เป็นแฟนกันไปเพื่ออะไร เขาก็พูดออกมาชัดเจนขนาดนั้น

"เราสองคนเป็นเพื่อนกันครับ แล้วเราก็กำลังจะกลับแล้วด้วย ไม่เป็นไรหรอกครับคุณเม"

"เอ่อ ยังไงดี ให้เมเลี้ยงข้าวเป็นการขอโทษสักมื้อดีไหมคะ"

"บอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไรจริงๆ"

"งั้นถือว่าไปทานเป็นเพื่อนเมดีไหมคะ ไปสร้างมิตรภาพใหม่กัน ดูท่าทางคุณสองคนจะหิวกันแล้วด้วย ไปกันนะคะ เมมีร้านประจำจะแนะนำค่ะ อ้อ แนะนำตัวอีกครั้ง เมชื่อเมนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งค่ะ"       อารมณ์ตอนนี้ผมไม่อยากจะร่วมโต๊ะกับใครทั้งนั้นแหละ แล้วผมก็ไม่เห็นเหตุผลว่าจะต้องสร้างมิตรภาพเลยสักนิด เรื่องแค่นี้ไม่จำเป็นต้องชดใช้ความผิด แค่ขอโทษกันไปก็น่าจะจบ อีกอย่างพวกผมเป็นฝ่ายถูกกระทำ จะคะยั้นคะยอให้มากความไปเพื่ออะไร

"พอดีพวกผมมีร้านที่ตั้งใจจะไปทานอยู่แล้วครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ"

"ไม่ต้องขอโทษเลยค่ะ เมเข้าใจ ถ้างั้นก็ไปด้วยกันเลยนะคะ"       คือคุณเมเข้าใจแต่พวกผมไม่เข้าใจไงครับ เป็นพวกขายตรงหรือไง เราไม่ได้รู้จักกัน ทำไมจะต้องทำขนาดนี้ ผมเลยรีบดันศอกโอ้ตให้รู้สึกตัวว่าควรจบบทสนทนาได้แล้ว

"คือผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ผมไม่สะดวกจริงๆ"

"ไม่ต้องเกรงใจเมหรอกค่ะ"

"โอเคครับ คุณเมอยากจะทำอะไรก็ตามสะดวกใจเลย ผมหิวแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ"       พูดจบผมก็เดินออกจากตรงนั้นมาเลย ทิ้งให้โอ้ตเผชิญหน้าต่อ ผมไม่อยากจะคุยต่อในเรื่องที่ดูท่าทางว่าจะไม่จบ แต่ไม่นานนักโอ้ตก็เดินตามผมมา รวมทั้งคุณเมนั่นด้วย

"เมเอารถมาเอง เดี๋ยวเมขับรถตามไปที่ร้านก็ได้ค่ะ"       เธอตะโกนไล่หลังบอกให้รู้ว่าจะตามมาแน่ๆ

.......................................................................


"มึงว่าเขาสนใจใคร มึง? หรือว่ากู? "       มันเป็นคำถามที่ผมยังคิดไม่ถึง

"หลงตัวเองไปนะมึง"

"ลองคิดดูนะเว้ยถ้าไม่สนใจจะอยากมาด้วยทำไม ดูพยายามมากอ่ะ"

"มาขายเครื่องกรองน้ำมั้ง พอมึงติดกับก็ต้องไปนั่งฟังเขาพูด พูดมากๆก็เคลิ้มแล้วก็โง่ซื้อมาติดเป็นวอลเปเปอร์ลายเครื่องกรองน้ำ"

"เชี้ย!!! เห็นภาพเลยมึง คิดได้ไงวะทัศนคติติดลบสุดๆ"

"เออ ขับรถไป ตามองถนนนู่น มึงจะไม่เชื่อก็ตามใจ บ้านเป็นโกดังเครื่องกรองน้ำเมื่อไหร่อย่ามาชวนกูไปช่วยกระจายของนะ"

"เพราะอย่างนี้ไง ไม่เปิดโอกาสแล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาสักที"

"มึงคิดว่ากำลังกระโดดโลดเต้นอยู่บนทุ่งหญ้าที่แซมด้วยดอกไม้แสนสวยหรือไง อีกอย่างเขาเป็นผู้หญิงนะเว้ย จะมาจีบผู้ชายก่อนเหรอวะ"

"นี่มันยุคสมัยไหนแล้ววะ เพราะโลกใบนี้มีผู้ชายแบบมึงอยู่ไงผู้หญิงเลยต้องลงมือเอง เห้ยๆๆมึง เขาตามมาจริงๆด้วยหว่ะ"

"เฮ้อ!!! ช่างเขาเถอะ"

"ถ้าไม่ใช่ขายตรงนะ กูขอให้ชีวิตนี้มึงไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจอีก"

"สัด! แช่งกูขึ้นคานยังรู้สึกดีกว่า"       ถึงมันไม่แช่งยังไงตอนนี้ผมก็ก้าวไปใกล้คำนั้นเข้าไปทุกที แช่งให้ขึ้นคานชีวิตยังจะง่ายซะกว่า

.......................................................................


"น้องแมท ยังไม่ถึงเวลาปิดร้านเลยค่ะ มารับคุณมัทไวจัง"       ยังไม่ทันเดินเข้าร้านก็พบกับผู้จัดการกำลังดูแลลูกค้าอยู่ซะก่อน

"มาทานข้าวก่อนครับ ขอโต๊ะให้ผม 2 ที่นะครับพี่ดา"

"4 ที่ค่ะ 4 ที่"       วิ่งตามมาจากทางไหนไวขนาดนี้ มาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่นั่นอีก มันดูใหญ่ไปสำหรับผู้หญิงตัวเล็กจะถือไหวนะผมว่า ขอให้ไม่ใช่พวกขายตรงเถอะ เพราะถ้าใช่วันนี้ผมคงจะหนีไม่พ้น

"สวัสดีค่ะคุณน้องเม 4 ที่นะคะ เชิญโต๊ะประจำด้านนี้เลยดีกว่า"       ผมตกใจเล็กน้อยกับคำทักทายเธอจากพี่ดา  เธอคงเป็นลูกค้าประจำร้านพี่มัทแน่ๆจากที่พี่ดาจะพาไปโต๊ะประจำรวมถึงเรียกชื่อเล่นอย่างสนิมสนมก่อนจะหันมากระซิบกับผม       "น้องแมทค่ะวันนี้ห้องวีไอพีไม่มีคนจองค่ะ น้องแมทไปรอที่นั่นก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่ดาให้เด็กเอาเมนูไปให้"

"ไม่ต้องค่ะพี่ดา เมมากับคุณสองคนนี้  4 ที่คือรวมเมไปด้วยค่ะ บังเอิญจังค่ะ ร้านเดียวกันเลย"       เธอบอกพี่ดาก่อนจะหันมาบอกผม

"แล้วคุณน้องเมมากับ"     ผมกับโอ้ตหันไปมองตามที่พี่ดาหันไป และก็สงสัยไม่ต่างกันว่าเธอหมายถึงใครอีกคน คงไม่ใช่อัพไลน์ดาวน์ไลน์หรอกนะ

"นี่ค่ะเมจะแนะนำให้รู้จัก อ๊ะ! ไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังเดินตามเมมาอยู่เลย สงสัยไปเข้าห้องน้ำ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวคงตามมา เราไปที่ห้องอาหารกันก่อนเลยก็ได้ค่ะ"       เธอรีบอธิบายอย่างกับจะมีใครแย่งพูด 

"งั้นก็เชิญตามสบายเลยแล้วกันครับ  ผมขอตัวไปดูร้านกาแฟสักครู่"       แล้วผมก็เดินออกมา ปล่อยให้โอ้ตกับพี่ดารับหน้าต่อไป

.......................................................................



Chen Part

          ต้องขอบคุณเมจริงๆ สำหรับสถานการณ์วันนี้ เป็นผมคงคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไร อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ได้รับข้อมูลที่ทำให้ใจชื้นขึ้นว่าผู้ชายที่ผมเห็นอยู่ด้วยกันไม่ใช่คนรักของแมท และพอมาถึงร้าน จากคำพูดทักทายของพนักงานหน้าร้านก็ทำให้ผมเดาว่าร้านนี้แหละที่พี่สาวแมทเป็นเจ้าของ ตอนนี้ผมนึกถึงสิ่งที่แมทเคยบอกว่าชอบชาเขียวปั่นร้านแม่ของตัวเอง ผมเลยตั้งใจจะเดินมาสั่งให้ มันเป็นรายละเอียดเพียงเล็กน้อยที่ผมอยากให้เขารู้ว่าผมใส่ใจ และที่สำคัญผมก็จำได้ว่ามันคือเครื่องดื่มที่จะทำให้เขาอารมณ์ดี

"สวัสดีค่ะ รับเครื่องดื่มอะไรดีคะ"

"สวัสดีครับ รบกวนขอชาเขียวปั่น 1 ที่ครับ"

"ได้ค่ะ นั่งรอสักครู่นะคะ"       พอได้ยินอย่างนั้นผมก็เลือกที่นั่งรอที่หลบมุมแต่มองเห็นบรรยากาศทั้งร้าน ผมจึงเลือกโซฟาที่หันหลังให้กับประตูหน้าร้าน เพื่อจะได้สังเกตอะไรในร้านได้ถนัด

"ครับ เอ่อ ขอโทษนะครับ ร้านนี้เป็นเจ้าของเดียวกับร้านอาหารหรือเปล่าครับ"

"ใช่ค่ะ ลูกค้ามาทานอาหารใช่ไหมคะ"

"ครับ"

"ลูกค้าสามารถไปรอที่โต๊ะได้เลยค่ะ เดี๋ยวทางเราจะเอาไปเสิร์ฟให้ค่ะ"

"ไม่เป็นไรครับผมรอได้ แค่ถามให้แน่ใจว่าร้านเดียวกัน จะได้ไม่มีปัญหา ขอบคุณนะครับ"

"ยินดีค่ะ ร้านนี้เป็นร้านของคุณแม่เจ้าของร้านอาหาร สามารถสั่งไปทานที่ร้านและรวมบิลเดียวกันได้เลยค่ะ"

"ขอบคุณครับ"       อย่างนี้ก็ไม่ผิดร้านแน่นอน 

.......................................................................


"พี่อินนนนนนนนน"           เสียงคุ้นหูที่ได้ยินหลังจากเสียงประตูร้านถูกเปิดออก

"ขาน้องแมท ทำไมวันนี้เข้ามาเร็วจังเลยคะ"       แมท?!? แค่ได้ยินชื่อผมก็แทบอยากจะลุกขึ้นทักทาย แต่ตัวผมกลับเหมือนโดนแช่แข็ง ไม่กล้าแม้แต่จะหันมอง

"ลูกค้าน้อยจังครับวันนี้"

"ลูกค้าเยอะมากต่างหากค่ะน้องแมท โต๊ะใหญ่เพิ่งออกไปเมื่อสักครู่นี่เอง"

"นึกว่าร้านเงียบซะอีก พี่อินกับนุ่มคงเหนื่อยแย่เลย แม่ไม่อยู่ด้วยวันนี้"

"แค่นี้สบายมากค่ะน้องแมท ทานอะไรดีคะ พี่อินจะทำให้สุดฝีมือเลยค่ะ" 

"ช่วงนี้แมทรู้สึกเหนื่อยจัง เหนื่อยมากๆอยากดื่มอะไรก็ได้ครับที่พี่อินทำอร่อยที่สุด"      น้ำเสียงที่ดูเหนื่อยล้า ตอกย้ำคำพูดได้เป็นอย่างดี         

"เป็นอะไรไปคะ ทะเลาะกับน้องมัทมาเหรอ"

"ป่าวครับ "       

"วันนี้แม่น้องแมททำเรดเวลเว็ทเอาไว้นะคะ รับไหม ทานแล้วจะได้อารมณ์ดีขึ้น"

"ครับ แต่พี่อินใส่กล่องให้แมทหน่อยนะ เผื่อแมทจะเอาไว้กินตอนคิดงานไม่ออกคืนนี้"

"ได้ค่ะ เดี๋ยวปิดร้านแล้วพี่อินเอาไปแช่ตู้เย็นที่หลังเคานเตอร์น้องมัทให้นะคะ"

"ไม่เป็นไรครับพี่อิน แมทถือไปเองเลยดีกว่า กว่าพี่อินจะปิดร้านเสร็จต้องเดินเอาไปแช่ให้แมทอีก"

"แหม แค่นี้เองค่ะ"

"พี่อินทำแบบนี้ตลอดจนแมทเสียนิสัยแล้วนะครับ เดี๋ยวแม่ก็มาว่าแมทชอบมาแอบใช้พี่อินของแม่ทำโน่นนี่นั่นให้"       

"พี่แมทค่ะ ไม่เอ่ยปากพี่อินก็ยินดีทำให้อยู่แล้วค่ะ แค่พี่แมทยิ้มหวานๆให้พี่อินก็ยอมทุกอย่าง พอพี่แมทไม่มาก็เห็นถามถึงกับป้าศิทุกวันเลยเป็นห่วงยิ่งกว่าน้องอันน้องชายแท้ๆซะอีก"       แรกๆที่เจอกัน ผมก็คิดเหมือนกันว่าแมทคงโดนตามใจจนเสียนิสัยให้ต้องทำอะไรเองไม่เป็น แต่ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าคงเพราะตัวแมทเองและรอยยิ้มนั่นที่ทำให้ใครต่อใครก็ยอมทำให้โดยที่ไม่ต้องร้องขอ และผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

"นุ่ม พี่จะห่วงน้องแมทมากกว่าแล้วแกจะทำไม อย่ามัวพูดมาก ไปเสิร์ฟเครื่องดื่มให้ลูกค้าไป"

"งั้นแมทไม่รบกวนเวลาทำงานพี่อินกับนุ่มดีกว่า ขอไปรอที่เก้าอี้หน้าร้านนะครับ"     โอกาสที่แมทอยู่คนเดียวก็มาถึง และผมก็ควรจะคว้ามันไว้

.......................................................................


"เครื่องดื่มที่สั่งได้หรือยังครับ"

"เรียบร้อยแล้วค่ะคุณลูกค้า 75 บาทค่ะ"

"นี่เงินครับ  ไม่ต้องทอนนะ ขอบคุณครับ"       ยื่นเงินให้ 100 บาทแล้วรีบหมุนตัวออกจากร้านพร้อมแก้วชาเขียวทันที

.......................................................................


ออกมาจากร้านก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งเอนตัวพิงกระจกร้านหลับตาในท่าที่สบายแต่กลับขมวดคิ้ว

"เฮ้อ!"

"เฮ้ออ"

"เฮ้ออออ"       มีเรื่องเครียดอะไรให้ต้องถอนหายใจบ่อยขนาดนั้น นี่เป็นครั้งที่สามตั้งแต่มายืนอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย โดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกด้วยซ้ำ

"ไอ้พี่เชนเฮงซวย เจอหน้านะแม่งจะต่อยให้คว่ำเลย"       ขอบคุณที่คิดเสียงดังจนทำให้รู้ว่าผมคือต้นเหตุของปัญหา และถ้าในชีวิตของแมทมีแค่เชนเดียวก็คงเป็นผมไม่ผิดแน่นอน

"เงยหน้าก่อนสิ พี่เชนมาให้ต่อยถึงที่แล้วครับ"       ผมตอบความคิดที่มีเสียงนั้นออกไปให้คนตรงข้ามดีดตัวมานั่งตัวตรงแล้วเงยหน้ามามองผมด้วยสีหน้างุนงง

"เห้ย!!! พี่เชน"       

"ใช่พี่เอง"

"พี่เชน!"

"ครับ"       ผมไม่รู้นะว่าแมทตกใจไหมที่เจอผมเพราะสีหน้าที่แมทแสดงมันดูเรียบเฉย มีเพียงเสียงเรียกชื่อให้ผมตอบรับซ้ำๆหลายๆครั้ง

"พี่เชน"       เสียงเรียกค่อยๆอ่อนลงไปพร้อมกับหน้าที่ค่อยๆก้มต่ำและลำตัวที่โค้งอ่อนตามจนต้องค้ำศอกไว้กับหน้าขาก่อนจะเอามือกุมขมับ

"แล้วตกลงจะต่อยไหม ต่อยเสร็จแล้วบอกพี่ด้วยนะว่าเหตุผลคืออะไร"

"พี่นี่แม่ง มาอยู่ที่นี่ตอนนี้ทำไมวะ"       ผมเดินไปทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ พอดีกับได้ยินประโยคที่ทำให้ผมใจเสีย

"ชาเขียวเย็นๆ จะได้อารมณ์ดีขึ้น นี่เราไม่อยากเจอพี่ขนาดนี้เลย"

"แล้วทำไมพี่ต้องจำได้ว่าเป็นชาเขียว"

"ก็มันเป็นเรื่องของแมท แล้วจะไม่ถามหน่อยเหรอว่าพี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง"       ผมยื่นแก้วให้อีกฝ่ายรับไว้

"ตอนนี้มันมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าการที่ต้องรู้วิธีที่ทำให้พี่มาอยู่ตรงนี้"

"น้องแมทขา ชาเขียวโอรีโอ้ปั่นของโปรดน้องแมทค่ะ อุ๊ย! ขอโทษค่ะ พี่คิดว่านั่งอยู่คนเดียว"

"ไม่เป็นไรครับพี่อิน ขอบคุณครับ"       แมทรับแก้วมาไว้ในมืออีกข้างที่ว่าง

"พี่ไปทำงานต่อก่อนนะคะ นี่ค่ะเค้ก"

"ขอบคุณครับพี่อิน"

"อ่ะ ชาเขียวของพี่ผมคืน ผมมีของผมแล้ว"

"กินแก้วของพี่ได้ไหม พี่ตั้งใจซื้อมาให้แมท  ส่วนของแมทพี่ขอ"

"อะไรของพี่วะ มันก็ชาเขียวทั้งคู่"

"พี่ก็แค่อยากรู้ว่าของที่แมทชอบพี่จะชอบด้วยได้ไหม"

"พี่กำลังจะเป็นผู้ชายเรื่องมากนะ รู้ตัวป่ะ"

"งั้นเหรอ"

"แล้วตกลงมาได้ไง มาเที่ยวหรือมาทำงาน ที่เจอกันนี่บังเอิญใช่ไหม"

"ไหนว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่า"

"ผม"       หันหน้ามามองผมแล้วชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง       "ไม่อยากรู้แล้วก็ได้ครับพี่"       ไม่ได้ดั่งใจก็ทำน้ำเสียงประชดประชัน เด็กจริงๆ

"พี่ไม่ได้มาเที่ยวแล้วก็ไม่ได้มาธุระ หรือจริงๆจะเรียกว่าธุระก็ได้นะ ส่วนที่เราเจอกัน มันคือความตั้งใจ"       พอผมพูดจบแมทก็มีสีหน้าที่นิ่งไป วันนี้ตั้งแต่เราเจอกัน สีหน้าที่แมทแสดงทำผมอ่านไม่ออกเลยจริงๆ

"แมทยังจำที่เคยสัญญาไว้กับพี่ได้ไหม"       ไม่มีคำตอบ เว้นแต่เพียงสีหน้าที่เรียบเฉยเหมือนเดิม

"พี่ไม่ได้มาทวงสัญญานะ แต่ที่พี่มาก็เพื่อจะพูดอะไรบางอย่าง"      ตอนนี้ผมไม่ต้องการคำพูดหรือคำตอบใดๆจากแมท แค่ฟังผมพูดให้จบก็พอ

"ไอ้แมทๆๆๆๆๆ"       แล้วโอกาสดีดีก็โดนทำลาย

"ว่าไงโอ้ต"       คงเป็นโอ้ตเพื่อนสนิท ที่แมทเคยพูดถึง

"หายมานานจังวะ ไม่เป็นห่วงกูเลยนะมึง"       ผมไม่ชอบที่จะได้ยินอะไรแบบนี้เลยจริงๆ

"กำลังจะไปแล้ว"

"ไปดิ ไปตอนนี้เลย กูหิว กูรอมึงไปสั่งข้าวให้นานแล้วเนี่ย"       โตแล้วนะต้องไปสั่งให้ด้วยเหรอ ผมไม่เข้าใจ

"เออไปๆ"       แล้วทั้งสองคนก็เดินไป

"โอ้ต...เดี๋ยว! นี่พี่เชน พี่เชนนี่โอ้ตครับ"     ขอบคุณที่ยังไม่ลืมผม

"สวัสดีครับ"       เป็นผมที่เอ่ยทักทายก่อน

"ครับ หวัดดีครับพี่"       โอ้ตยกมือไหว้ผม

"พี่เชนเป็นเจ้าของที่พักที่กูไปพักที่ฮ่องกง พี่เชนนี่โอ้ตเพื่อนผมครับ"       ผมโค้งให้กับโอ้ตอีกครั้ง

"แล้วมาเจอกันได้ไง พี่มาเที่ยวเหรอครับ แต่ช่างเหอะผมไม่อยากรู้แล้ว ว่าแต่พี่ไปกินข้าวด้วยกันไหม เดี๋ยวผมให้แมทเลี้ยงขอบคุณพี่เอง"       ผมยังไม่ทันได้ตอบก็เปลี่ยนเรื่องซะแล้ว

"ที่มึงพูดนี่คือให้กูเลี้ยงขอบคุณพี่เขางั้น?"

"ใช่"

"วันหลังมึงก็ไม่ต้องเรียงประโยคให้เหมือนเป็นคนเลี้ยงเองนะ"

"เออน่ามึง ไปกันพี่"       ถึงจะยังไม่ได้บอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้เจอกัน แค่นี้ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีมากแล้ว

.......................................................................


❤ ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจนะคะ ^^*
❤ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้น ตอนที่ 16 แล้วนะเพิ่งจะเริ่ม แหะๆ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-04-2015 23:57:21
555 ขำที่แมทคิดดังจนพี่เชนได้ยิน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: pinkymaprang ที่ 07-04-2015 21:40:05
ทำไมไม่กระโดดกอดพี่เชนล่ะแมท ขัดใจจิงวุ้ย แต่เจอกันก็ดีแล้ว รออออออออ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 08-04-2015 00:50:14
เค้าเจอกันเเล้ว กรี๊ดดดดดดดด!

เป็นกำลังใจให้นะ มาอัพบ่อยๆนะตัว
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: Moose ที่ 08-04-2015 01:15:17
พี่เชนสู้ๆๆๆๆๆ  :ling1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 08-04-2015 02:34:41
เอาใจช่วยพี่เชนคับ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: qxchanim ที่ 08-04-2015 08:20:27
เพิ่งเจอเรื่องนี้ เข้ามาตามทันจนได้ พี่เชนค่ะทำไมพี่เชนดีอย่างนี้อย่างได้อย่างนี้บ้างจัง น้องเเมทก็น่ารักคนอะไรคิดถึงเสียงดัง555555
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 08-04-2015 09:43:26
เจอกันแล้ว... ต่อไปก็ต้องคุยกันสินะ
เป็นกำลังใจให้คนเขียนจ๊ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maii ที่ 09-04-2015 09:51:08
พึ่งเข้ามาอ่านค่ะ
เรื่องน่ารักมาก อ่านแล้ว feel good สุดๆ อยากไปเที่ยวฮ่องกงเลย ^^
พี่เชนเจอน้องแล้วรีบจีบเลยนะคะ  :katai2-1:
รอฟินตอนต่อไป

 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 09-04-2015 20:45:34
เรื่องออกจะเศร้าๆนะ แต่ก็น่ารักอ่ะ 

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 16 [06-04-58] ● หน้า 3
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 12-04-2015 18:25:07
ชอบเรื่องนี้เชอบๆๆๆๆๆๆ :katai1:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 17 [14-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 14-04-2015 00:43:15
ตอนที่ 17


Matt Part

          การที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาไม่ได้หมายความผมไม่รู้สึกอะไร ตอนนั้นในหัวมันอึ้งไปหมด ผมไม่ใช่พ่อมดหรือผู้วิเศษที่คิดถึงใครแล้วจะได้เจอดั่งใจนึก ผมตกใจไม่น้อยที่เห็นพี่เชน ใครจะไปคิดว่าคนที่กำลังนึกถึงจะมายืนอยู่ตรงหน้า ผมพูดอะไรไม่ออก ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวคือดีใจ อยากลุกขึ้นไปกอด พอเจอหน้าพี่เชนแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองอ่อนแอกว่าเดิม ผมลืมไปเลยว่าก่อนหน้านี้อยากเจอพี่มัทแค่ไหน ลืมไปซะสนิทเลยด้วยซ้ำ ตอนนี้คนที่คนที่อยู่ตรงหน้าตอบโจทย์ความคิดผมได้มากกว่าพี่มัทและไม่ว่าพี่เชนจะแค่ผ่านมาแล้วบังเอิญเจอหรือจะมาเพื่อทวงสัญญาก็ช่าง ผมดีใจมาก แม้ว่านับจากวินาทีนี้ไปจะมีเรื่องให้ยุ่งยากมากกว่านี้ผมก็ยอม

          ตอนที่เดินตามหลังโอ้ตมาที่ห้องอาหาร ผมก็ทำแค่หันไปมองหน้าพี่เชนอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่กลัวว่ามันจะเป็นความฝันนะ แค่อยากจดจำเอาไว้ มองให้หายคิดถึง

"ผมไปตามแมทมาแล้วครับคุณเม เพื่อนคุณยังไม่มาอีกเหรอครับ"       โอ้ตเปิดประตูเข้าไปแล้วบอกคุณเมที่คงจะอยู่ในห้อง

"ขอบคุณครับ"       ผมหันไปบอกขอบคุณพี่เชนที่เปิดประตูให้ มองไปที่โต๊ะก็เห็นว่าอาหารถูกสั่งมาแล้วหลายจาน

"ไหนว่ารอกูมาสั่งให้"       ผมถามโอ้ต

"ถ้าไม่บอกงั้นมึงจะรีบมาเหรอแมท"       ผมโดนมันหลอกงั้นสิ

"เชน มาพอดีเลย หายไปไหนมาตั้งนาน ไปหาที่ห้องน้ำก็ไม่เจอ"       เดี๋ยวนะ นี่พี่เชนคือคนที่มากับคุณเมเหรอ

"ผมไปร้านกาแฟข้างๆมา ขอโทษทีนะเม"       ผมหันไปมองหน้าพี่เชนสลับกับคุณเมด้วยความสงสัย

"นี่คุณเมรู้จักกับพี่เชนเหรอครับ"       โอ้ตถามขึ้นมาเช่นเดียวกับความสงสัยของผม

"อ่อค่ะ เรามาด้วยกัน มานั่งทานกันดีกว่าค่ะ มัวแต่ยืนคุย อาหารเย็นชืดหมดแล้วนะคะ"

"โลกกลมจังเลยนะครับ"       ผมก็คิดอย่างโอ้ตนะ

"นั่นสิคะ คุณโอ้ตก็รู้จักกับเชนด้วยเหรอคะ"

"รู้จักสิครับ"       แหมไอ้โอ้ต เพิ่งจะทำความรู้จักกันเมื่อกี้เองนะ

"คุณแมทมานั่งนี่ดีกว่าค่ะ ตรงกับไก่ทอดซอสมะนาวพอดีเลย เห็นคุณโอ้ตบอกว่าเป็นของโปรดคุณแมท"       ยังไม่ทันได้หย่อนตัวนั่งเธอก็จัดการที่นั่งให้ตัวเองและทุกคนเสร็จสรรพ และด้วยโต๊ะที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเลยกลายเป็นผมที่นั่งตรงข้ามคุณเม ข้างผมเป็นโอ้ตที่นั่งตรงข้ามกับพี่เชน

"คุณเมทราบชื่อผม"       หลังจากนั่งลงผมก็ถามคุณเม

"ค่ะ คุณโอ้ตบอกค่ะ"       เธอตอบคำถามผมด้วยรอยยิ้ม

"อาหารที่นี่อร่อยมากเลยนะคะคุณโอ้ต เมเป็นลูกค้าประจำเลยละคะ เชนลองชิมนี่สิ อร่อยมากๆ"

"ขอบคุณครับ"       แว่บแรกที่เห็นบอกตรงๆว่าผมคิดว่าเขาสองคนเป็นแฟนกัน ทั้งๆที่คุณเมและพี่เชนไม่ได้แสดงออกชัดเจนให้ต้องคิดอย่างนั้นเลยสักนิด แต่มันก็อดคิดไม่ได้จริงๆ แล้วผมก็ชักจะเกลียดความคิดและสมองตัวเองแล้วนะที่กำลังคิดไปว่าคนทั้งคู่ดูเหมาะสมกัน

"ดูท่าทางแมทชอบทานผักนะครับ"       พี่เชนเงยหน้าจากจานขึ้นมาถามในจังหวะที่ผมกำลังมองอยู่พอดี

"ไอ้นี่มันโรคจิตครับ กำลังกายไม่ออกแต่ถ้าน้ำหนักเพิ่มก็จะทานแต่ผัก"       ไอ้โอ้ตก็พูดเกินไป มันเป็นเรื่องปกติของทุกคนนะผมว่า ถ้าเราเป็นคนชอบกิน หยุดกินไม่ได้ แล้วยังไม่ชอบออกกำลังกาย เราก็ควรจะเลือกกิน

"แต่เมว่าคุณแมทก็ตัวเล็กอยู่แล้วนะคะ"

"ไม่ใช่ตัวเล็กครับ มันเตี้ย ไอ้นี่มันเกิดในยุคที่ยาฆ่าแมลงเฟื่องฟู"

"เดี๋ยวนะคะ เมเริ่มงงแล้วค่ะว่ามันเกี่ยวอะไรกัน"       หน้าคุณเมบ่งบอกว่างงอย่างที่พูดจริงๆ

"ก็แมทมันชอบกินผักไงครับ แล้วมันก็เกิดในยุคที่ยาฆ่าแมลงกำลังฮิต มันเลยหยุดการเจริญเติบโตเหลือตัวแค่นี้เพราะผักยุคนั้นเต็มไปด้วยยาฆ่าแมลง ฮ่าๆๆๆ"       ไอ้เพื่อนชั่ว ทำไมไม่ประจานว่าผมสูงเท่าไหร่ไปด้วยเลยหล่ะ

"หึๆ"       เสียงหัวเราะแบบนี้มันเหมือนเยาะเย้ยทำให้ผมต้องมองหาต้นเสียง แล้วก็พบว่าพี่เชนกำลังยกยิ้มแล้วมองมาทางผมพอดี จากนั้นเสียงรอบตัวผมก็เงียบ ไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น ในสายตาผมตอนนี้ก็มีแค่หน้าพี่เชน ผมกำลังถามตัวเองย้ำๆว่านี่ใช่ไหมคนที่มัวแต่คิดถึง

"เฮ้ย! ไอ้แมท"

"หือ ว่าไง"       เสียงเรียกของโอ้ตดึงสติผมออกมาจากภาพนั้น

"พี่เมเขาถามว่าเรียกมึงว่าน้องได้ไหม"

"ครับ?!?"       ผมหันไปหาคุณเมทันทีพร้อมสีหน้าที่มีคำถาม

"คือเมื่อกี้น้องแมทคงไม่ทันฟัง พี่บอกน้องโอ้ตว่าสงสัยเราคงเกิดกันคนละยุค เลยถามว่าเราสองคนอายุเท่าไหร่ น้องโอ้ตเลยบอกอายุมา พี่เห็นว่าเราสองคนอายุน้อยกว่าเลยอยากเปลี่ยนการเรียกที่ไม่เป็นทางการเกินไป จะได้ไม่อึดอัดค่ะ"       นี่ผมเอาสติหลุดไปกับใบหน้าพี่เชนไปนานแค่ไหนกัน

"อ่อได้ครับ"

"งั้นก็เปลี่ยนมาเรียกว่าพี่เมกับพี่เชนเลยด้วยละกันเนอะ"       ผมจะกลายเป็นคนนิสัยไม่ดีเกินไปไหมที่จะไม่อยากได้ยินเสียงคุณเมเรียกชื่อพี่เชน

"น้องแมทไม่ค่อยคุยเลยคะ พูดน้อยจัง"

"ใช่ พูดน้อย"       แล้วการที่ต้องพูดจารับกันแบบนี้ผมก็ยิ่งไม่ชอบ ผมคงเป็นคนนิสัยไม่ดีไปแล้วจริงๆ

"เพิ่งเจอกันมั้งครับ เลยไม่รู้จะคุยอะไร"     แต่ไม่ใช่กับพี่เชนที่ผมมีเรื่องจะพูดให้ฟังเต็มไปหมด

"นั่นสินะคะ พี่เข้าใจค่ะ ว่าแต่น้องสองคนไม่โกรธที่พี่เดินชนแล้วใช่ไหมคะ"

"เรื่องเล็กครับ โชคดีที่มีเสื้อยืดแมทอยู่หลังรถ ผมเลยเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว"

"ยังไงพี่ก็ต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ อย่างที่ผมกับโอ้ตบอกแต่แรก"

"งั้นมื้อนี้พี่ขอเลี้ยงนะคะ"

"ไม่ๆพี่ คือร้านนี้"       ผมพยายามโบกมือและจะบอกว่านี่ร้านของบ้านผม ไม่ต้องจ่าย อีกอย่างก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้เลี้ยงข้าวพี่เชนด้วย แต่ผมพูดไม่ทันพี่เมจริงๆ

"ไม่ต้องขัดเลยค่ะ พี่จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพี่อีกครั้งนะคะ"     ดันทุรังจะพยายามอธิบายก็คงไม่จบ อีกอย่างพี่เมไม่เว้นช่องว่างให้ผมพูดสักนิด ปล่อยเลยตามเลยไปก็แล้วกัน

"ขอบคุณครับ แล้วนี่พวกพี่ไปไหนกันต่อครับ"       โอ้ตถาม

"ต้องไปส่งเชนไปเอารถที่โรงแรมก่อนแล้วก็กลับบ้านกันเลย น้องๆหล่ะ"       อย่างนี้ก็แปลว่าอยู่ด้วยกันเหรอ 'ไม่ๆแมทอย่าคิดไปเอง' ผมพยายามบอกตัวเองในใจอย่างนั้น

"เอ้อ แมทเมื่อกี้กูเจอพี่มัท เจ้แกบอกว่าจะเอารถไปงานวันเกิดเพื่อนนะ กลับดึกฝากบอกแม่ด้วย แล้วก็ให้กูพามึงไปส่งบ้าน"

"แต่มึงมารถกู จะไปส่งได้ไง งั้นกูไปบอกพี่มัทก่อน"

"ไม่ต้องๆ กูโทรบอกม๊าละ ม๊ากูไปงานแต่งงานเดียวกับแม่มึง ทางผ่านพอดีเดี๋ยวม๊าจะมาแวะรับเราสองคนไปส่งที่บ้านมึง"

"อืม"

"เอ่อ พี่เสียมารยาทถามนิดนึงนะคะ บ้านน้องแมทอยู่แถวไหนคะ ให้พี่ไปส่งไหม"

"ไม่เป็นไรครับพี่เม ผมบอกม๊าไว้แล้ว งานคงใกล้จะเลิกแล้วละครับ"

"ให้พี่ไปส่งที่โรงแรมก็ได้นะคะ พี่ต้องไปโรงแรมนั้นพอดี จะได้ไม่ต้องนั่งรอที่ร้านดีไหมคะ"

"เอ่อ ว่าไงมึง"       โอ้ตหันมาถามความเห็นจากผม

"แล้วพี่เมทราบได้ไงครับว่าผมจะไปโรงแรมเดียวกัน"

"เออ นั่นสิ อ่อ พอดีพี่เห็นป้ายงานแต่งหน้าโรงแรมตอนที่ไปรับเชน เลยเดาเอา ใช่โรงแรม x หรือเปล่า"       ผมพยักหน้ารับแต่ก็พลางคิดว่ามันมีป้ายด้วยเหรอ ทำไมผมไม่เห็น แต่ก็ช่างเถอะ ผมอาจจะไม่เห็นจริงๆ

"เอางั้นก็ได้ครับ ขอบคุณมากนะครับ"

"ยินดีค่ะ งั้นพี่ไปเอารถก่อน เราสองคนรอพี่ตรงนี้ก็ได้ค่ะ"

"เดินไปด้วยกันเลยก็ได้ครับ ลานจอดรถอยู่แค่นี้เอง"

"ก็ได้คะ ไปพร้อมกันเลยก็ได้"

.......................................................................


"น้องแมทมานั่งข้างหน้ากับพี่ก็ได้นะคะ ตัวเล็กๆจะได้ไม่บังกระจกข้างเหมือนคนตัวโตๆอย่างเชน"       มันเป็นแบบนั้นเหรอ ผมก็เพิ่งจะรู้นะว่าคนตัวโตตัวสูงนั่งข้างๆแล้วจะทำให้มองกระจกข้างไม่เห็น

"ครับๆ"       ทั้งผมและโอ้ตมองหน้ากันงง แต่ผมก็ยอมทำตามนะถึงแม้จะงง เพราะมันไม่ใช่เรื่องหนักหนากับแค่ตำแหน่งที่นั่ง อีกอย่างพวกผมกำลังเป็นฝ่ายขอความช่วยเหลือยิ่งไม่ควรทำตัวเรื่องมาก

"บ้านน้องโอ้ตกับน้องแมทอยู่แถวไหนเหรอค่ะ"       หลังจากออกรถพี่เมก็ถามถึงบ้านผมกับโอ้ต ผมไม่รู้นะว่าพี่เมจะถามเรื่องที่อยู่บ้านไปทำไม เลยเลือกที่จะไม่ตอบออกไป คงเสียมารยาทน่าดู

"เงียบกันทั้งคู่เลย พี่ไม่ไปปล้นบ้านเราสองคนหรอกค่ะ แค่ถามดู"       ผมก็ไม่ได้คิดว่าพี่จะไปปล้นหรอก ขับรถหรูราคาแพงขนาดนี้ คงมีฐานะอยู่พอสมควร แต่เพราะเพิ่งรู้จักกันมากกว่าผมเลยไม่อยากบอก

"แมทอยู่หมู่บ้านพฤกษ์พิมานครับ ส่วนบ้านผมอยู่แถวๆในเมืองเลยครับ"       แต่ไม่เคยทันคนปากไวอย่างไอ้โอ้ตหรอกครับ บอกบ้านเลขที่ได้มันทำไปแล้ว

"พฤกษ์พิมานพาร์คแกรนด์หรือพฤกษ์พิมานลากูนคะน้องแมท"

"พฤกษ์พิมานพาร์คแกรนด์ครับพี่"       นั่นไง ผมไม่ต้องพูดอะไรหรอกครับ นั่งอยู่เฉยๆข้อมูลส่วนตัวก็รั่วไหลได้

"บังเอิญจังเลยค่ะ หมู่บ้านเดียวกันเลย บ้านน้องแมทอยู่ซอยไหนคะ"

"อยู่ซอย 10 ครับ"

"ไอ้โอ้ต"       ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจ แต่บางทีชีวิตส่วนตัวมันมีค่านะ เพิ่งเจอกันครั้งแรก รู้ข้อมูลกันมากไปก็ไม่ดี แม้แต่พี่เชนก็ตาม

"แหม น้องแมท อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แถมยังซอยเดียวกันด้วย รู้จักกันไว้ดีกว่านะคะ แล้วน้องโอ้ตละคะ"       ดูเหมือนจะถามไปเพียงเพราะเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน เพราะตลอดเวลาที่นั่งกินข้าวจนถึงตอนนี้พี่เมดูมีคำถามกับโอ้ตเยอะแยะไปหมด จนผมแอบคิดว่าพี่เมสนใจโอ้ตด้วยซ้ำ แล้วบทสนทนาก็ดูจะผูกขาดระหว่างโอ้ตกับพี่เมไปตลอดทาง ในขณะที่ผมกับพี่เชนได้แต่เงียบฟัง ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกยินดีกับการที่ไม่ได้นั่งข้างพี่เชน เพราะถ้าได้นั่งข้างกันผมคงขัดเขินจนทำตัวไม่ถูกไม่รู้แม้กระทั่งจะวางมือไว้ตรงไหน

.......................................................................


"ผมขอโทรหาม๊าก่อนนะครับ ฮัลโหลม๊า"       แล้วโอ้ตก็เดินลงจากรถไปคุยโทรศัพท์ทันทีที่ถึงโรงแรม

"ยูไม่ต้องเอากระเป๋าลงนะ ขับตามไอไปบ้านเลยละกัน"       ผมควรจะพาตัวเองลงจากรถได้แล้ว ทำไมผมไม่ตามไอ้โอ้ตไปนะ นั่งรอทำตัวเป็นคนอยากรู้อยากเห็นอยู่ได้

"เอ่อ ผมขอตัวเลยละกันนะครับ"       จังหวะที่ผมจะลงก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่โอ้ตเปิดประตูฝั่งผมพอดี

"พี่เมครับ พี่ๆจะกลับบ้านกันเลยหรือเปล่าครับ"       ผมหันไปมองหน้าพี่เมเพื่อรอคำตอบทั้งที่ไม่รู้ว่าโอ้ตถามไปทำไม แล้วพี่เมก็พยักหน้า

"ไหนๆก็อยู่หมู่บ้านเดียวกัน ผมรบกวนติดรถไปบ้านแมทหน่อยนะครับ พอดีม๊าผมออกจากโรงแรมไปสักพักแล้ว สงสัยจะสวนทางกัน เห็นว่าจะไปสังสรรค์กันต่อ"

"ได้สิคะ งั้นพี่รบกวนโอ้ตไปนั่งเป็นเพื่อนเชนหน่อยนะ จะได้ช่วยบอกทาง"

"ยินดีครับ"       โอ้ตตอบ

"ให้ผมไปก็ได้นะครับ"       ผมบอกก่อนจะหันมองหน้าทุกคน

"ให้แมทไปกับผมก็ได้นะเม"       ผมดีใจนะที่พี่เชนพูดออกมา

"อย่างนี้แหละค่ะดีแล้ว น้องแมทจะได้ไม่ต้องขึ้นๆลงๆ ส่วนยูอยู่เฉยๆเถอะน่า ทำตามที่ไอบอกก็พอ"

"โอเคๆ"       ดูท่าทางพี่เชนจะเชื่อฟังพี่เมมาก สงสัยผมจะคิดไปเองรู้สึกไปเองอย่างที่พี่มัทว่าจริงๆ แต่ผมก็ชอบไปแล้วนี่หน่า ถึงจะหมดโอกาสและต้องเก็บความรู้สึกตัวเองเอาไว้ แต่ถึงยังไงตอนนี้ผมก็อยากไปกับพี่เชนอยู่ดี มีเรื่องที่อยากพูดเต็มไปหมด

.......................................................................


"น้องแมทกับน้องโอ้ตเป็นเพื่อนกันมานานหรือยังคะ"

"ครับ"

"ดูท่าทางสนิทกันมากเลยค่ะ"

"ครับ"

"ไม่ค่อยคุยเลย ท่าทางเป็นคนเงียบๆนะคะเนี่ย"

"ไม่นะครับ"

"งั้นพี่ถามต่อนะคะ"       ผมก็นึกว่าจะเลิกคุย แต่ดันยิ้มกว้างแล้วมีคำถามตามมาอีกมากมาย

"น้องแมทมีแฟนหรือยังคะเนี่ย"

"ยังครับ"

"แล้วน้องโอ้ตละคะ"

"เท่าที่รู้ก็น่าจะยังครับ"

"ดีจังเลยค่ะ"       พี่เมได้ยินคำตอบก็ยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ

"ทำไมถึงดีครับ"

"นึกว่าจะไม่ถามต่อซะแล้ว แสดงว่าพี่เลือกถามถูกเรื่อง"

"พี่เมสนใจเพื่อนผมเหรอครับ"       ผมพูดออกไปในขณะที่ตาก็ยังคงจับจ้องอยู่ที่กระจกข้างของรถทั้งๆที่มองไม่เห็นรถพี่เชนก็ตาม

"ก็ไม่เชิงค่ะ"       ผู้หญิงเดี๋ยวนี้เขาพูดออกมาง่ายดายขนาดนี้เลยเหรอ ถึงจะไม่ชัดเจนแต่มันก็คงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ สงสัยว่านิยายของผมที่รอแต่ให้พระเอกเข้าหาคงจะล้าหลังในอีกไม่นาน

"โอ้ตเป็นคนน่ารักครับ"       ไม่แปลกนักที่โอ้ตจะถูกสนใจ เนื่องจากมันเป็นคนอัธยาศัยดีและเข้ากับคนง่าย ใครที่ได้อยู่ด้วยก็จะต้องมีความสุข

"พี่ก็คิดอย่างนั้นค่ะ"       อันนี้ผมเริ่มไม่เข้าใจนะ ในเมื่อสนใจโอ้ตแต่ทำไมถึงผลักไสให้มันไปกับพี่เชนหล่ะ

"มีอะไรให้ผมช่วยก็บอกได้นะครับ"       ในเมื่อพี่เมก็ดูเป็นคนน่ารัก มันคงไม่มีเหตุผมอะไรที่ผมต้องต่อต้าน

"พี่ดีใจที่ได้ยินอย่างนั้นนะคะ ยิ่งทราบว่าน้องโอ้ตไม่มีใครพี่ยิ่งต้องสนับสนุนให้เพื่อนเดินหน้าต่อ"       คำตอบของพี่เมบอกว่าผมกำลังเข้าใจผิด

"เพื่อน?!? ไม่ใช่พี่เมหรอกเหรอครับที่สนใจโอ้ต"

"ป่าวค่ะ พี่ดูเป็นคนที่สนใจน้องโอ้ตเหรอคะ ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่ คนที่สนใจน้องโอ้ตคือเชนต่างหาก"

"พี่เชน?!? พี่เชนงั้นเหรอครับ"       สองคนนี้เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เองนะ

"ใช่ค่ะ ตอนแรกพี่ก็ตกใจแบบน้องแมทแหละค่ะ ไม่คิดว่าเพื่อนที่ไม่เจอตั้งนานจะเปลี่ยนใจมาชอบผู้ชายด้วยกัน นี่ถึงกับลงทุนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตามหาเลยนะคะ"       โอ้ตกับพี่เชนเนี่ยนะ เรื่องมันจะตลกร้ายเกินไปหน่อยไหม นี่ผมกำลังชอบคนที่สนใจเพื่อนตัวเองงั้นเหรอ

"ผมยอมรับครับว่าตกใจ ผมไม่คิดว่าจะเป็นพี่เชน"       นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานั่งอยู่ข้างๆพี่เมสินะ ถ้าแบ่งความคิดเป็นฝั่งร้ายและดี ฝั่งหนึ่งผมก็อยากยินดีกับโอ้ตนะ เพราะผมรู้ว่าพี่เชนเป็นคนดีที่ยังใส่ใจรายละเอียดอีกด้วย แต่อีกฝั่งหนึ่งความคิดนั้นกำลังบอกผมว่า ทำไมถึงไม่เป็นผมหล่ะ

"ตอนที่เจอกันที่สนามบินเชนบอกพี่ว่าจะมาตามหาใครสักคนเขาพูดด้วยรอยยิ้มท่าทางดูมีความสุข พี่เลยเดาว่าเขาน่าจะมาตามหาคนที่เขาชอบ และพอพี่ถามวันนี้เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร พี่เลยคิดว่าน่าจะเดาไม่ผิด"       ถ้าพี่เมบอกอย่างนี้ก็แสดงว่าสองคนนี้ต้องเคยเจอกันมาก่อนสิ แล้วทำไมโอ้ตถึงทำเป็นไม่รู้จักพี่เชนตอนที่ผมแนะนำหล่ะ

"แล้วพี่เชนบอกเหรอครับว่าคนๆนั้นคือโอ้ต"       ผมถามออกไปแต่พี่เมกลับหัวเราะแทนคำตอบ

"ผมไม่น่าถามเลยนะครับ ถ้าไม่บอกพี่เมจะทราบได้ยังไง"

"โนๆๆ คะน้องแมท พี่ทราบเองค่ะ ตั้งแต่เจอที่โรงแรมแล้ว ตอนนั้นไม่รู้หรอกนะคะว่าเชนเห็นท่าทางแบบไหนระหว่างน้องสองคนถึงได้ทำหน้าผิดหวังเอามากๆ ดูเหมือนเขาจะเข้าใจไปว่าน้องโอ้ตกับน้องแมทเป็นแฟนกัน และสายตาเชนที่พี่เห็นก็ยังมองตามน้องโอ้ตจนขึ้นรถ"

"นี่พวกพี่เจอเราสองคนตั้งแต่ที่โรงแรมแล้วเหรอครับ"       ว่าทำไมถึงรู้ว่าพวกผมจะไปหาม๊าของโอ้ตที่โรงแรมไหน

"ใช่แล้วค่ะ พี่ก็พาเชนตามไปจนถึงห้างนั่นแหละค่ะ"

"แสดงว่าการที่เราเดินชนกันมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ"

"ตั้งใจล้วนๆเลยค่ะ ก็เชนมัวแต่เดินตามน้องสองคน ไม่มีอะไรคืบหน้าพี่เลยจัดการเอง พี่ต้องขอโทษนะคะที่ทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นไป แค่อยากช่วยเพื่อน แต่ฟังแล้วคงเป็นข้อแก้ตัวที่ฟังดูแล้วไม่ดีเลยใช่ไหมคะ"       สรุปว่าเรื่องทั้งหมดคือความตั้งใจงั้นสิ ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าพี่เชนมีความพยายาม

"อีกอย่างตอนที่ทุกคนเดินเข้ามาในห้องอาหารน้องโอ้ตตอบพี่ว่ารู้จักกับเชน พี่เลยยิ่งมั่นใจว่าเป็นน้องโอ้ตแน่ๆ"       อาจจะเป็นผมก็ได้ไง ดูความเห็นแก่ตัวของความคิดผมสิ

"พี่มีความสุขจังเลยค่ะวันนี้ ได้ทำเรื่องดีดี พาคนรักให้มาเจอกัน ผลบุญคงส่งให้พี่เจอเนื้อคู่กับเขาสักที"       ท่าทางพี่เมที่ดูมีความสุขมากทำให้ผมไม่อยากขัด แม้ในใจจะอยากจะบอกออกไปว่าพี่เมเข้าใจผิด พี่เมคิดไปเอง แต่ก็กลัวว่าคนที่คิดไปเองจะกลายเป็นผมแทน

"น้องโอ้ตเคยพูดถึงเชนให้ฟังบ้างไหมคะ"       ผมเองก็อยากถามนะว่าพี่เชนพูดอะไรเกี่ยวกับโอ้ตบ้าง

"ไม่เคยนะครับ"       ผมยังไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อพี่เชนออกจากปากมัน และตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น ในหัวคิดเพียงอย่างเดียวว่าที่ผมอยากได้ยินคือพี่เมเข้าใจผิด และคนคนนั้นคือผมไม่ใช่โอ้ต ผมคิดไม่ถึงเลยนะว่าความรู้สึกชอบใครสักคนจะทำให้ผมกลายเป็นคนมีความคิดที่เห็นแก่ตัวขนาดนี้ และถึงแม้เป็นแค่ความคิดผมก็รู้สึกได้ว่ามันร้ายกาจ ผมว่าผมเริ่มจะเกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้เลย

.......................................................................

Chen Part


ภายในรถอีกคัน

"เอ่อ อึดอัดเนอะพี่"

"ขอโทษนะ พี่เองก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไร"

"นึกถึงตอนทานข้าวผมละพูดไม่ทันพี่เมจริงๆ เดาว่าถ้าไอ้แมทมากับพี่คงมีเรื่องให้คุยกันมากกว่าผม"

"อย่างนั้นละมั้ง"

"แต่ในเมื่อเป็นผมแทนที่จะเป็นมัน พี่คงแก้ไขอะไรไม่ได้ งั้นเรามาหาเรื่องคุยกันดีกว่า ตอนนี้สี่ทุ่ม พี่ขับเร็วขนาดนี้เที่ยงคืนคงถึง พอดีเลยมีเวลาคุยตั้งสองชั่วโมง"

"พี่ว่าพี่ขับไม่เร็วนะ"

"ผมก็หมายความว่าอย่างนั้นแหละครับ พี่รีบตามหลังซะมองหารถพี่เมไม่เจอเลย"

"งั้นตอนนี้พี่ควรต้องเร่งความเร็วใช่ไหม"

"ก็ถ้าพี่ขับช้าแบบมีเหตุผลหรือมีเรื่องจะคุยคงไม่จำเป็น แต่ถ้าพี่ขับช้าเพราะไม่ชินทางก็เปลี่ยนมาให้ผมช่วยขับก็ได้ เพราะดูท่าทางพี่ไม่น่าจะเป็นคนขับรถแบบเต่าคลานขนาดนี้"       สำหรับผมโอ้ตดูเป็นคนฉลาดทั้งคำพูดและท่าทาง ผมรู้ว่าเขาสงสัยในตัวผม ซึ่งผมก็มีเหตุผลที่ขับช้าจริงๆและเหตุผลนั้นก็มากกว่าที่ผมมีเรื่องจะคุยซึ่งโอ้ตเข้าใจไม่ผิด

"จริงๆพี่มีเรื่องจะถาม เอ่อ เกี่ยวกับแมท"

"ว่าแล้วไง! ผมดูสายตาพี่ออก พี่ดูเหมือนต้องการอะไรสักอย่างจากมัน"       โอ้ตตบเข่าแล้วหันมามองหน้าผมทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น

"น่าจะเข้าใจผิดนะ"       ผมมาที่นี่ไม่ใช่เพราะต้องการอะไรจากแมท

"ไม่ผิดแน่ๆ พี่คอยมองหน้ามันตลอดมื้อค่ำที่ผ่านมา แล้วสายตาที่พี่มองมันเหมือนมีอะไรอยากจะพูด แต่ดูเหมือนพี่จะยังไม่มีโอกาสละสิ"       อย่างที่ผมบอก โอ้ตเป็นคนฉลาด

"นี่คงเป็นสาเหตุที่โอ้ตมากับพี่แทนที่จะเป็นแมท"

"ผมมากับพี่ก็เพราะพี่เมเสนอ แต่จริงๆผมก็อยากรู้ว่าพี่ต้องการอะไรจากเพื่อนผม ผมอยากรู้ว่าพี่จะพูดอะไรกับมัน ผมไม่อยากเห็นมันโดนหลอก ผมต้องปกป้องเพื่อน"

"พี่เข้าใจ เพราะแมทเป็นคนที่ดูเหมือนทันคน แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่เลยใช่ไหม"

"พี่พูดเหมือนรู้จักมันดี"

"พี่พูดอย่างที่พี่เห็น และพี่มาที่นี่เพื่อแสดงความรู้สึก ไม่ได้มาเพราะต้องการอะไรอย่างที่โอ้ตเดา"

"เฮ้ย! พี่ ความรู้สึกอะไร พี่พูดเหมือนจะจีบมัน"

"ดูท่าทางพี่คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก"

"แต่เพื่อนผมเป็นผู้ชายนะเว้ย"

"พี่รู้"

"แล้วมันรู้อย่างพี่ไหม"       ผมส่ายหัว ผมเคยคิดว่าแมทรู้นะ แต่เอาจริงๆผมก็ไม่แน่ใจ

"พี่เป็นเกย์เหรอวะ"

"ก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้นะ แต่ตอนนี้คงใช่"

"คือตอนนี้ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ยังไง"

"พี่เข้าใจ"

"แต่ตอนนี้ผมต้องการคำอธิบาย"

"สำหรับอะไร"

"พี่รู้อยู่แล้วว่าควรพูดอะไรให้ผมรับรู้บ้าง แต่ผมบอกไว้ก่อนเลยนะว่าแมทมันไม่ได้เป็นอย่างที่พี่คิด แล้วการที่พี่ลงทุนข้ามประเทศมาหามันไม่ได้แปลว่าการกระทำพวกนี้จะทำให้พี่ดูดีน่าดึงดูดหรือมีความพยายามมากกว่าผมที่อยู่ข้างๆมันมามากกว่า 10 ปี"       ผมเองก็ไม่อยากคาดเดาความหมายของคำพูดโอ้ตนะ แต่ถ้ามันเป็นแบบนี้ผมก็เข้าใจเป็นอย่างอื่นไม่ได้

"นี่โอ้ตแค่หวงเพื่อนหรือรับความรักแบบนี้ไม่ได้"       ผมเข้าว่าความรักแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ

"อันนั้นก็แล้วแต่พี่จะตีความ แต่บอกไว้อย่างนะผมไม่ปล่อยให้มันเกิดขึ้นง่ายๆแน่ๆ"       ผมว่านี่มันคือสงครามที่อีกฝ่ายตั้งตัวเป็นศัตรูโดยที่ผมเพิ่งจะรู้ตัว

"จากที่ฟังโอ้ตกำลังประเมินพี่ต่ำไป"

"พี่เข้าใจอย่างนั้นถูกแล้ว"

"ถึงแม้พี่จะแค่ขอให้พี่ได้บอกในสิ่งที่พี่รู้สึกงั้นเหรอ"

"พี่อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ผมคงห้ามไม่ได้ แต่จำไว้อย่างนะว่าผมจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องมันและความรู้สึกของมัน"       ยิ่งคุยกันมากขึ้นบทสนทนาก็ยิ่งบอกผมว่าโอ้ตกำลังต่อต้านโดยที่ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหตุผล

"โอ้ตปกป้องและทำในส่วนของโอ้ตและพี่ก็จะทำในส่วนของพี่ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับแมท ไม่ว่าแมทจะเลือกอะไร พี่จะยอมรับผลของมัน"

"ถ้าพี่สบายใจจะคิดแบบนั้นก็เอาเถอะ ผมไม่ห้าม แต่มันไม่ง่ายหรอกนะบอกไว้เลย ช่วยเลี้ยวซ้ายหมู่บ้านข้างหน้าแล้วเข้าซอยสิบด้วยครับ"       ผมยอมรับว่ากำลังใจที่เตรียมมาลดลงไปกว่าครึ่งเพียงเพราะคำพูดของโอ้ต แต่ผมไม่ยอมถอยแน่ๆ แม้ว่ามันคงไม่ง่ายอย่างที่ใจต้องการก็ตาม

"พี่รู้จักบ้านพี่เมใช่ไหม ไปที่นั่นก็ได้ เดี๋ยวผมเดินกลับบ้านแมทเอง"

"พี่เพิ่งเคยมาครั้งแรก"

"ไม่รู้แล้วทำไมพี่ขับช้าวะ โทรหาพี่เมสิ"       โอ้ตหันมาถามผมด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด แล้วนี่ผมกำลังโดนออกคำสั่งใช่ไหม

"ไม่ต้องแล้ว ผมว่านั่นน่าจะเป็นรถพี่เม "       ได้ยินอย่างนั้นผมก็พารถไปจอดต่อท้ายรถของเม

"ทำไมมึงไม่ระวังตัวเลยวะ"       ได้ยินโอ้ตพึมพัมคนเดียวเบาๆก่อนจะเปิดประตูลงจากรถโดยที่ไม่พูดอะไรกับผมสักคำ

.......................................................................


 หลังจากโอ้ตลงไปผมก็พาตัวเองลงมาจากรถ พบว่าเมกำลังยืนคุยกับแมทอยู่แล้วโอ้ตก็เดินไปสมทบ

"ทำไมมาช้ากันจัง เข้าไปในบ้านพี่ก่อนไหมคะ"       เป็นเมที่เอ่ยทักขึ้นมาก่อน

"นี่บ้านพี่เหรอครับ"       โอ้ตเลิกคิ้วถาม

"ใช่ค่ะ น้องโอ้ตบอกบ้านน้องแมทอยู่ซอยนี้ หลังไหนคะ"

"บังเอิญมากอ่ะพี่ บ้านผม"       ก่อนที่แมทจะได้พูดอะไรก็โดนโอ้ตปิดปากเอาไว้ก่อน

"แมท! มึงกับกูมีเรื่องต้องคุยกัน"

"หือ"       ท่าทางแมทที่ดูงงๆไม่ต่างกับเม

"ผมจำซอยผิด บ้านแมทไม่ใช่ซอยนี้ พวกผมขอตัวก่อนนะครับพี่เม ขอบคุณมากครับสำหรับวันนี้"       โอ้ตพูดจบก็ลากแมทออกไปจากหน้าบ้าน

"เฮ้ย! ไปไหน เมาป่ะมึง ถูกแล้ว ทางนี้นี่ประตูบ้านกู"       แมทยื้อตัวไว้แล้วชี้ไปที่บ้านหลังข้างๆกันแต่กลับถูกโอ้ตที่กำลังลากมือไปอีกทางต้องปล่อยแล้วเปลี่ยนมาผลักหัวเบาๆ

"ควาย!!! นี่มึงจะโง่เอาโล่เลยใช่ไหม"       พูดจบก็ลากตัวแมทเข้าบ้าน ผมเดาว่าโอ้ตคงไม่อยากให้ผมรู้ว่าหลังถัดไปเป็นบ้านของแมท เลยพยายามลากแมทไปอีกทาง และพอไม่เป็นอย่างที่ต้องการ คงหงุดหงิดน่าดู ผมได้แต่นึกขำในใจ เห็นโอ้ตเป็นแบบนี้มันเหมือนกระจกเงาสะท้อนตัวผมเอง ถึงตอนนี้จะไม่มีอะไรคืบหน้าไปกว่าเดิมเลยสักนิด แต่อย่างน้อยผมก็อยู่ใกล้แมทมากขึ้น และแม้จะมีเกราะอย่างโอ้ตมาป้องกันแมทเอาไว้ แต่ผมก็ยังมีความมั่นใจว่าผมสามารถผ่านไปได้แน่นอน

"ขอบคุณนะเม"      ผมหันไปบอกเมพร้อมรอยยิ้มก่อนจะหมุนตัวไปหยิบกระเป๋าลงจากรถ ขอบคุณที่เราเจอกัน ขอบคุณที่บ้านเมอยู่ตรงนี้ ขอบคุณที่ทำให้อะไรๆง่ายขึ้นอีกเยอะ       

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ทุกอย่างมันมีเหตุมีผลนะ ทุกคนทำลงไปเพราะมีเหตุผลและความเข้าใจในแบบของตัวเองค่ะ 
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 17 [14-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 14-04-2015 22:55:59
อิอิ สู้ๆนะ จะให้ดี อยากเห็นคู่โอ๊ตด้วย กลัวน้องเหงา 5555.
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 17 [14-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 15-04-2015 00:31:41
เชนสู้ๆ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 17 [14-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-04-2015 15:25:38
เมทำให้เรื่องง่ายขึ้นหรือยากขึ้นล่ะเนี่ย
ถ้าโอ๊ตรู้ว่าเมเข้าใจผิดเรื่องคนที่เชนชอบ
โอ๊ตจะไม่รีบรับสมอ้างเอาความตามนั้นเหรอ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 17 [14-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 16-04-2015 18:59:43
จะเข้าใจกันยังไงละเนี่ยยย
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 21-04-2015 00:32:58
ตอนที่ 18
 

"มึงจะลากกูมาบนห้องทำไม มีไรคุยกันข้างล่างก็ได้นี่"       โอ้ตไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน แปลกมาก ตอนนี้ผมคงทำได้แค่รีบเดินตาม อย่าฝืนหรือยื้อให้มันยิ่งหงุดหงิดไปกว่าเดิม

"กูยังสำคัญกับมึงอยู่ไหมวะ"       มึงบอกกูดีๆก็ได้โอ้ตว่าให้มานั่งบนเตียง ไม่ต้องเหนื่อยทุ่มกูหรอก

"ถามอะไรของมึงเนี่ยโอ้ต"       ผมหันไปมองหน้ามันที่ตามลงมานั่งข้างๆ

"กูถามก็มึงก็แค่ตอบ"

"แต่กูไม่เข้าใจว่าทำไมมึงต้องถาม กูงงไปหมดแล้วว่ามึงเป็นอะไร เมื่อกี้ก็อีก มึงเองที่เป็นคนบอกพี่เมว่าบ้านกูอยู่ซอยนี้ แล้วอยู่ๆก็ไปบอกว่าไม่ใช่ พอกูบอกว่านี่บ้านกูก็เสือกมาด่ากูว่าควาย มึงจะเอายังไงกับกูวะโอ้ต"       ผมบอกมันไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิด แต่นั่นก็เพราะผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

"กูอยากรู้แค่ว่ากูมีความสำคัญกับมึงบ้างไหม"       ผมสงสัยนะผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันเขาถามคำถามแบบนี้กันด้วยเหรอ

"ทำไมฟังแล้วกูรู้สึกเหมือนกำลังโดนแฟนน้อยใจเลยวะ"        มันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ เหมือนโดนงอนแบบที่คนเป็นแฟนกันเขาทำกัน

"สรุปว่า?!? "

"กูก็มีมึงเป็นเพื่อนสนิทที่สุดแค่คนเดียว และคนแรกที่กูคิดถึงในทุกๆเรื่องคือมึง อย่างนี้มึงว่ามึงสำคัญไหมหล่ะ"

"อธิบายมาแล้วก็ตอบ อย่ามาต่อท้ายด้วยคำถาม"

"เออๆ แม่ง สำคัญ"

"แต่กูว่าไม่หว่ะ เพราะถ้ากูยังสำคัญ มึงจะเล่าทุกอย่างที่มึงเจอมาให้กูฟังโดยที่กูไม่ต้องมานั่งถาม"

"อ่อ นี่มึงกำลังน้อยใจ"

"นั่นคือสิ่งที่มึงคิดเหรอวะแมท คิดได้แค่นี้?"       ใช่! เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปและค่อนข้างมั่นใจว่าคิดไม่ผิด

"กูรู้ว่ามึงเป็นห่วงกู แต่มึงก็รู้นี่ว่ากูไม่ใช่คนฉลาด บอกกูตรงๆสิวะ อย่าให้กูเข้าใจไปเอง อย่าให้กูต้องคิดเอง อีกอย่างเราต่างก็ต้องมีเรื่องที่ไม่ได้บอกไม่อยากบอกหรือไม่กล้าบอกกันบ้างดิวะ "       สำหรับบางคน 'เพื่อน' คือคนที่เราคุยทุกเรื่องเล่าทุกอย่างให้ฟัง แต่สำหรับผมเรื่องที่เราทุกข์ใจในบางครั้งเราก็ไม่ควรเอาไปใส่ในใจเพื่อนให้ทุกข์ไปกับเรา

"มึงคิดเรื่องของทุกคนได้ยกเว้นเรื่องกู ยกเว้นความรู้สึกกูสินะ"       แล้วนี่ไม่ใช่อาการของคนน้อยใจหรือไง

"กูชักเริ่มงงละ มึงมีอะไรอยากบอกกูหรือเปล่า แล้วมึงแน่ใจนะว่าน้อยใจกูในฐานะเพื่อน ไม่ใช่คิดอะไรเกินเลยกับกูนะโอ้ต"

"สัด!!! ขนลุก คิดอะไรควายๆ มึงแปลความเป็นห่วงของกูเป็นแบบนั้นเนี่ยนะ นี่กูจริงจังนะเว้ยแมท กูไม่ได้เล่นเหมือนทุกครั้ง มึงมีเรื่องที่ไม่อยากบอก แต่มึงรู้ไหมว่าสำหรับกํมึงเป็นคนเดียวที่กูอยากจะเล่าทุกเรื่องของกูให้ฟัง กูบอกมึงทุกอย่างมึงก็รู้"      เอะอะผมก็เป็นควายในสายตามันตลอด

"นั่นเพราะกูไม่ขี้เสือก"

"นี่มึงหาว่ากูเสือกเหรอวะ"   
   
"กูพูดอะไรไม่ชัดเจนสินะ แล้วตกลงมึงจะไม่บอกกูใช่ไหมว่ามึงกำลังเป็นบ้าอะไร"

"กูต้องการคำอธิบายเรื่องพี่เชน เมื่อตอนเย็นที่มึงเก็บเอาคำพูดแม่มากังวลเพราะเรื่องเกี่ยวกับพี่เขาใช่ไหม"

"มึงรู้จริงหรือมึงเดา"

"กูเพิ่งรู้จากพี่เชนเมื่อกี้"

"เขาพูดอะไรกับมึง"

"เขาบอกว่ามาหามึง มาเพื่อแสดงความรู้สึก แต่กูบอกเขาไปว่ากูจะกูจะปกป้องมึง กูไม่ยอมให้เขามาหลอกมึงแน่"

"มึงนี่นะ เห็นกูเป็นผู้หญิงหรือไง"

"แล้วความรู้สึกที่ว่าคืออะไร พี่เขาบอกมึงไหม"

"นั่นมันไม่สำคัญหรอกแมท ที่สำคัญคือมึงรู้สึกอะไรไหมต่างหาก"

"อือ"

"อือคือ?"

"กูรู้สึก"        ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปิดบัง อย่างน้อยถ้ามีใครสักคนช่วยรับฟัง เรื่องที่เคยคิดว่ายากอาจจะง่ายขึ้น

"รู้สึกอะไร"

"รู้สึกดีตอนที่ได้อยู่ด้วยกัน รู้สึกใจหายตอนที่ไม่เจอ และกูก็คิดถึงเขาตลอดตั้งแต่กลับมา แม้กระทั่งทุกๆคืนก่อนนอน"

"นั่นแปลว่ามึงกำลังชอบพี่เขารึป่าววะ"       มันต้องเป็นคำถามของผมไม่ใช่เหรอ

"กูก็ถามตัวเองแบบนั้น"

"ในความคิดกูนะถ้าเราคิดถึงใครหรือเรื่องอะไรก่อนหลับตานอน แสดงว่าเขาคนนั้นหรือเรื่องนั้นต้องสำคัญกับเรามาก" มันพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความรัก อารมณ์มึงเปลี่ยนไวมากโอ้ต

"กูก็ไม่รู้ แต่สมองซื่อบื้อของกูมันก็บอกกูอย่างนั้น และกูก็หยุดคิดถึงเขาไม่ได้"

"มีนักจิตวิทยาบอกไว้เว้ย ว่าถ้าเราหยุดคิดถึงใครไม่ได้ แสดงว่าเพราะเขาก็กำลังคิดถึงเรามากๆเหมือนกัน แล้วมันก็คงจะจริง เพราะถ้าเขาไม่คิดถึงมึง เขาคงจะไม่มาตามหามึงแบบนี้" มันคงลืมความโกรธความน้อยใจเมื่อสักครู่ไปหมดแล้วสินะ ถึงได้พูดเรื่องพวกนี้ออกมา

"กูก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองแบบนั้นนะ"

"อย่างน้อยตอนนี้เขาก็มาตามหามึง ต้องดีใจดิวะ"       ผมส่ายหน้าเบาๆแทนคำพูดว่าไม่เห็นด้วย

"ถ้าเจอกันแล้วทำอะไรไม่ได้กูขอให้เราไม่เจอกันดีกว่า"

"นั่นสินะมันจะมีประโยชน์อะไรถ้าชอบแต่คบกันไม่ได้ ความรักนี่มันยากจริงๆ อึดอัดแทนทั้งมึงแล้วก็พี่เชนเลยหว่ะ"

"นี่ตกลงมึงจะสนับสนุนหรือต่อต้านเขากันแน่วะ"       ผมเลิกคิ้วมองมันด้วยสายตาสงสัย

"ตอนแรกก็กะจะเป็นศัตรูแหละ เพราะกูไม่อยากให้มึงต้องเจ็บ แต่ในเมื่อมึงเองก็รู้สึกเหมือนพี่เขากูก็ควรจะสนับสนุนไม่ใช่เหรอวะ"

"กูไม่กลัวที่ตัวเองจะต้องเจ็บหรอกเว้ยโอ้ต คนรอบข้างกูมากกว่าที่กูกลัวว่าเขาจะเจ็บปวดเพราะความรู้สึกของกู"       ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนจะหันไปมองหน้ามัน

"เฮ้อ มึงจะครองโสดไว้ให้ผู้ชายแดกก็ไม่บอกวะ กูจะได้ช่วยตัดไฟต้นลมให้ สัดเอ้ย! เสียของฉิบหาย!"       มันผลักหัวผมก่อนจะถอนหายใจแล้วเอามือสองข้างค้ำหลังไว้กับเตียง

"หมายความว่าไงวะ"

"ช่างเหอะ อธิบายไปควายอย่างมึงก็ไม่เข้าใจ"       อ้าว...ไอ้เพื่อนเวร

"เออ กูไม่อยากรู้แล้วก็ได้ ว่าแต่มึงเถอะ ไปรู้จักกับพี่เชนตั้งแต่เมื่อไหร่"

"ก็ตอนที่มึงแนะนำไง"

"แล้วทำไมพี่เมถึงบอกว่าพี่เชนสนใจมึงวะ"

"ไม่ใช่ละ เขาบอกมึงว่าไง"

"เขาบอกว่าพี่เชนมาตามหามึง ต้องเป็นมึงแน่ๆ"

"เจ้เมอะไรนั่นแม่งมั่วชัวร์ เห็นคิดเอาเองทุกเรื่องอ่ะ อ่อ เข้าใจละ กูก็ว่าทำไมคะยั้นคะยอให้กูอยู่ติดกะพี่เชนของมึงจัง"       พูดไปก็แบะปากไป ผมรู้สึกว่าเวลาคุยกับโอ้ตจริงจังทีไรให้ความรู้สึกเหมือนกำลังปรับทุกข์กับพี่สาวตัวเองยังไงอย่างงั้น

"ของกูที่ไหน"

"แหมๆ ของกูที่ไหน หน้าเปลี่ยนเป็นสีลูกปิงปองเลยนะมึง"       ผมเกลียดสายตามันเวลาเหยียดมองแล้วแบะปากท่าทางเหมือนล้อเลียน

"ลูกปิงปองบ้านมึงสิสีแดง มันสีส้มเว้ย"

"ฮ่าๆๆๆ ทำเขินเป็นเด็กแตกเนื้อสาว ทีอย่างนี้ละอวดฉลาดเชียวนะว่าลูกปิงปองสีส้ม สีขาวก็มีเหอะมึง"

"บางทีอารมณ์มึงก็เปลี่ยนไวไปนะโอ้ต จำได้ว่าเมื่อกี้ดราม่าน้อยใจกูอย่างกับตุ๊ด"

"เฮ้อ...ลำบากใจจริง มีเพื่อนเป็นผู้ชายแต่เสือกแรดอยากมีผอนะมึง"       ผมผลักมันล้มลงบนเตียงทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ด้วยท่านั่งของมันที่ไม่ทันระวังจึงง่ายต่อการโจมตีของผม

"ปากเหรอที่พูด แรงไปละมึง เดี๋ยวโดนตีนกูนี่สัด!!!"

"ที่รักก็ แค่นี้ทำเป็นรับไม่ได้ นี่ย่อให้แล้วนะคะ รับความจริงหน่อยเถอะค่ะ"

"มึงล้อกูเหรอ อย่านอนสบายเลยมึงคืนนี้"       พูดจบผมก็เอาเข่ายันท้องมันไว้ กะว่าจะลงน้ำหนักตัวให้เต็มที่

"เฮ้ยๆ อย่าเอาเข่ามาทับที่ท้อง มันแหลม เชี้ยเจ็บ เอาออก!"       มันร้องออกมาด้วยสีหน้าเหยเก

"ไม่! ถ้าวันนี้มึงไม่เจ็บตัว อย่าเรียกกูว่าแมท"       เอามือสองข้างดึงหูมันไว้ แล้วลงน้ำหนักตัวไปที่ทัองมันเต็มๆ ผมไม่ยอมให้มันปากพล่อยแบบสบายตัวอีกแล้ว ต่อไปนี้เวลามันแซวผมมันจะสำนึกว่ามันอาจจะต้องเจ็บตัว

"เออๆกูยอมแล้ว เบาหน่อยมึง"       มันชูฝ่ามือสองข้างขึ้นมาตรงหน้าผม คงทำท่ายอมไปอย่างนั้นแหละ จริงๆถ้ามันจะสู้คงเป็นผมเองมากกว่าที่ต้องพูดคำนั้น
.
.
.
"เฮ้ย! ทำไรกันอ่ะ"       ยังไม่ทันได้แก้แค้นพี่มัทก็เดินเข้ามา

"แปลกแฮะ! วันนี้ไม่เคาะประตู"       ผมหันไปถามพี่มัทที่เอามือปิดตาตัวเองอยู่ที่หน้าประตู

"ก็แม่บอกโอ้ตมานอนนี่ มัทเลยคิดว่าแมทคงไม่ล็อกห้องหรอก แล้วก็ไม่ได้ล็อกจริงๆ"       พี่มัทพูดก็ถูก ปกติผมจะล็อคประตูทุกครั้งเวลาที่อยู่คนเดียวนั้นก็เพราะผมต้องการสมาธิและความสงบในการคิดงาน ทุกคนในบ้านจะรู้กันว่าถ้าหากผมอยู่คนเดียวประตูจะล็อกและทุกคนจะเคาะแค่สามครั้ง ถ้าได้ยินและไม่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดผมก็จะลุกมาเปิดให้เอง

"เจ้เปิดตาเถอะ ถ้าจะปิดแล้วกางนิ้วห่างขนาดนั้น"       พี่มัททำท่าเหมือนคนกำลังเห็นของแสลงหรือสิ่งที่ไม่ควรมอง

"มันเรื่องของฉันโอ้ต แมท! นี่แกกำลังทำอะไร"       ผมลุกออกจากตัวโอ้ตทันทีที่พี่มัทถาม ไม่ใช่เพราะกลัวว่าพี่มัทจะเข้าใจผิด แต่ผมไม่มีอารมณ์อยากจะเล่นต่อแล้วมากกว่า เห็นหน้าพี่มัทแล้วก็ต้องคิดถึงคำพูดแม่

"เจ้คิดไปถึงไหนเนี่ย ตีตั๋วกลับมาๆ"       มันลุกขึ้นจากเตียงตามผมแล้วย้ายตัวไปนั่งที่โซฟาข้างโต๊ะทำงาน

"โอ้ตหุบปาก! จะไม่ให้มัทคิดได้ไง ขึ้นไปคล่อมกันซะขนาดนั้น"       พี่มัทท้าวสะเอวพูดด้วยท่าทางจริงจัง

"ดูละครมากไปนะเจ้ เสื้อผ้ายังอยู่ครบเห็นไหม แล้วถ้าเราสองคนจะทำจริงๆนะ ล็อคประตูไปนานแล้วไม่ปล่อยให้เจ้เปิดมาเห็นภาพบาดใจจนละอายต่อชะตาชีวิตหรอกครับ"       ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้วว่าโอ้ตนี่แหละที่ชอบเป็นคนแหย่พี่มัทให้ของขึ้นก่อน ซึ่งบางครั้งมันก็น่ารำคาญ

"ไอ้โอ้ต ไอ้ปากหมา!!!! นี่แกจะหาว่าฉันขึ้นคานเหรอห๊ะ"       ที่น่ารำคาญนั่นก็เพราะว่าพี่ผมเป็นผู้หญิง และด้วยอายุขนาดนี้แล้วเรื่องแต่งงานและคนรักจะเป็นเรื่องที่เปราะบางสำหรับพี่มัทมาก

"โห ความคิดพี่มึงนี่แม่งไวกว่าความเร็วแสงอีกหว่ะ"

"พอเลยๆ รู้ทั้งรู้ว่าปากมันไม่ดีก็ยังจะไปคุยกับมันนะพี่มัท"

"ทำไมแกไม่ด่าเพื่อนแกที่มาว่าฉันหล่ะ"

"เฮ้อ...ไหนว่าไปวันเกิดเพื่อนไง ทำไมกลับไว"       พาเปลี่ยนเรื่องดีกว่า ท่าทางจะไม่จบง่ายๆ

"งานน่าเบื่อกว่าที่คิด"

"แล้วแม่หล่ะ"

"เข้าห้องไปอาบน้ำแล้วมั้ง"

"มานี่เจ้ ยืนนานไม่เมื่อยเหรอ มานั่งนี่ มีเรื่องจะเล่าให้ฟัง"       โอ้ตมันกวักมือเรียกให้พี่มัทมานั่งข้างๆ

"อะไร!"       พี่มัทตอบเสียงแข็ง แต่ก็ไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆมันซึ่งอยู่ตรงข้ามกับผมที่นั่งอยู่บนเตียง

"น้องเจ้แตกเนื้อสาวจนจะมีคนมาจีบแล้วนะ เตรียมตัวรับมือไว้บ้างหรือยัง"       เห็นไหมผมบอกแล้ว ไอ้โอ้ตนี่แหละตัวเริ่มเลย

"ห้ามปากมึงนี่นะกูไปห้ามฝนไม่ให้ตกฟ้าไม่ให้ผ่ายังจะง่ายซะกว่า"

"หมายความว่ายังไง แกจะมีแฟนเหรอ แกจะมีความรักงั้นเหรอแมท กับใคร หลินเหรอ"       แล้วพี่มัทก็หันความสนใจจากหน้าไอ้โอ้ตมาที่ผมแทน

"พี่มึงนี่เข้าใจคำว่าแตกเนื้อสาวป่าววะ ไม่น่าคิดถึงหลินได้นะ"       นั่นสิ

"พี่กูคือมนุษย์มหัศจรรย์ที่สามารถทำให้ทุกมุกแป้กได้เว้ย มึงเพิ่งรู้เหรอ"

"เออ กูก็ว่างั้น นี่กูลืมหลินไปเลยนะ ไปถึงไหนแล้ววะ"       บางครั้งผมก็ไม่รู้ไง ไม่เจอกันตั้งแต่วันที่ไปซื้อของด้วยกัน

"ไม่รู้ กูไม่เจอมาสองสามวันแล้ว"

"กูว่าถ้ามึงชอบพี่เขามึงก็ควรจะจัดการเรื่องหลิน"

"อย่างที่เคยบอกว่ากูไม่ได้คิดกับหลินแบบเดิมแล้ว สำหรับกูหลินเป็นแค่เพื่อน"

"แล้วมึงบอกกับหลินอย่างที่บอกกูหรือเปล่า"

"ทำไมต้องบอก หลินไม่เคยถาม อีกอย่างหลินไม่ได้มาชอบมาจีบกูซะหน่อย"

"งั้นมึงก็ไม่ต้องคืนคำว่าควายมาให้กูหรอก เก็บไว้ในสมองมึงเหมือนเดิมนั่นแหละ หลินชอบมึง ดูไม่ออกเหรอไง"       ผมส่ายหัว

"นี่แหละไฟต้นลมที่กูหมายถึง และตอนนี้ใครก็ช่วยมึงดับไม่ได้"

"ใช่ มัทก็คิดอย่างนั้น"

"นี่ไงเห็นไหม เจ้ก็คิดเหมือนกัน เคลียร์ตัวเองให้ดีนะเว้ยก่อนที่จะหันไปหาคนที่ใช่"

"คนที่ใช่เหรอ"

"อืม กูก็แค่เดาเอานะว่าเขาอาจจะเป็นคนที่ใช่สำหรับมึง"

"ทำไมถึงคิดอย่างนั้น"

"เพราะนิยามคนที่ใช่สำหรับกู ไม่ใช่การตามหา ไม่ใช่คนที่เดินมาเจอกันแล้วบอกว่าใช่ แต่คือคนที่กูจะเลือกเขาจากสิ่งที่เขาเป็น ทำอะไรดีดีร่วมกันแล้วใช่ และตอนนี้พี่เขาก็กำลังทำให้กูรู้สึกว่าเขาเป็นอย่างนั้น แค่เขามองหน้ามึงแล้วไม่เห็นแม้แต่ความสวย แต่ยังรู้สึกรักหรือชอบ ก็แสดงว่ามึงใช่"       ผมรู้สึกขอบคุณนิยามคนที่ใช่ของโอ้ตนะ มันทำให้ผมหันมามองสิ่งที่ผมได้มองข้ามไป

"เดี๋ยวๆๆๆ มัทขอถาม"       พี่มัทยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามก่อนจะถามแล้วมองหน้าผมสลับกับโอ้ต

"ว่ามาเจ้"

"แมทมีคนที่ชอบ ถ้าคนคนนั้นไม่ใช่หลินแล้วเขาเป็นใคร แล้วทำไมเขาต้องมองแมทว่าสวยหรือไม่สวย"

"ชะโงกหน้าไปที่หน้าต่างสิ อยู่ข้างบ้านเนี่ย"

"ข้างไหน ฝั่งไหน อย่าบอกนะว่าพี่ที่แกพูดถึงคือพี่เม"       พี่มัทรีบกุลีกุจอลุกออกไปมองนอกหน้าต่าง

"พี่มัทรู้จักพี่เมด้วยเหรอ"       โอ้ตถาม

"ก็ต้องรู้จักสิ เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งนาน เขากลับมาเหรอ"

"อืม งั้นมั้ง พอดีเราบังเอิญเจอกัน"       ผมบอก

"อย่าบอกนะว่าแมทเพิ่งเจอเขาแล้วก็ชอบ"

"ไปกันใหญ่แล้วเจ้ แค่พี่เมเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ หรือว่าเค้าเป็นทอมหรือไงที่จะมามองว่ามันสวยไม่สวยหน่ะ แค่นี่เจ้ยังตกใจ มีให้ช็อคกว่านี้อีกนะ"

"ยังไงๆ โอ้ตพูด"       พี่มัทตบเข่าโอ้ตซ้ำๆคงจะเร่งให้มันพูด

"เฮ้ยเจ้ใจเย็นดิวะ คนที่มันชอบเป็นผู้ชายที่เป็นเพื่อนพี่เมต่างหาก"

"ห๊ะ!?! อะไรนะโอ้ต เมื่อกี้แกว่าไงนะ"

"ผมบอกว่าแมทมันชอบผู้ชาย"       แล้วพี่มัทก็นิ่งไป ไม่มีคำตอบ ผมกับโอ้ตก็เงียบตาม เราสามคนต่างก็มองหน้ากันไปมา

"ท่าทางพี่มึงคงรับไม่ได้"       จากที่เห็นหน้าพี่มัทผมก็คิดได้ไม่ต่างกัน

"ไม่ใช่ๆ ไม่ใช่มัทรับไม่ได้นะแมท แต่มัทยังงงมากกว่า"

"ในความคิดมัทนะ ถ้าแมทจะมีแฟนเป็นผู้ชายไม่น่าจะเป็นคนอื่นได้นอกจากโอ้ต"

"เฮ้ย! หรือจริงๆมึงแอบรักกูแล้วผิดหวังวะ"

"มึงก็คิดได้เนอะ"

"มัทว่าแมทควรเล่าให้มัทฟังจริงๆจังๆแล้วนะ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง"       แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่มัทกับโอ้ตฟังพร้อมๆกัน ตอนนี้ผมไม่ได้คาดหวังให้สองคนนี้รับได้ เห็นด้วยหรือเข้าใจความรู้สึกของผมนะ เพราะถ้าหากแม่ คนที่สำคัญที่สุดในชีวิตผมรับความรักในรูปแบบนี้ไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะมาคาดหวังให้คนอื่นเข้าใจ

.......................................................................


Chen Part

"ยูนอนห้องนี้นะ เก็บของอะไรได้ตามสบายเลย เดี๋ยวไอลงไปหาอะไรอุ่นๆให้ดื่ม"

"ไม่เป็นไรเม แค่นี้ผมก็เกรงใจมากแล้ว"

"นิดหน่อยน่า ไม่ใช่เรื่องลำบาก เจอกันข้างล่างนะ"       ผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะรบกวนเมมากไป


.......................................................................


ผมเดินลงมาด้านล่างหลังจากจัดของและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เห็นเมนั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ที่โซฟารับแขก

"เมอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวเหรอ"       เท่าที่เห็นบ้านหลังนี้ถูกตกแต่งคุมโทนสีเทา แต่กลับดูอบอุ่น ผมรู้สึกได้ว่ามันคือบ้านสำหรับครอบครัวมากกว่าบ้านที่อยู่เพียงคนเดียวลำพัง

"จริงๆไอไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้หรอก ปกติให้เช่า ผู้เช่าย้ายออกพอดี ไอแวะเข้ามาปรับปรุง มะรืนไอก็กลับกรุงเทพฯแล้ว"

"ถ้าอย่างนั้นผมขอเช่าต่อสักอาทิตย์เมจะว่าอะไรไหม"

"ไม่ต้องหรอกยู อยู่ได้เลยตามสบาย ยังไม่มีคนติดต่อเช่า บ้านว่างอยู่แล้ว"

"ไม่ได้หรอก ผมเกรงใจ"       จริงๆผมตั้งใจจะพักโรงแรมอยู่แล้ว แต่ในเมื่อบ้านแมทอยู่ข้างๆก็ไม่เห็นเหตุผลว่าจะต้องไปอยู่ให้ไกลออกไป แต่ครั้นจะให้อยู่ที่นี่หลายวันผมก็เกรงใจ ขอเช่าที่นี่ซะน่าจะเป็นข้อเสนอที่ดี

"อย่ามาตลกน่า เพื่อนกันนะ จริงสิ พูดถึงเรื่องบ้าน มาคุยเรื่องนี้กันดีกว่า"       ผมขมวดคิ้วแสดงความสงสัยว่าเมต้องการคุยเรื่องอะไร

"ยูเคยเล่าให้ไอฟังตอนเราเจอกันครั้งแรกใช่ไหมว่าคนที่ยูมาตามหามีร้านอาหารอยู่ที่นี่"       ผมพยักหน้ารับ

"ใช่ ร้านอาหารของพี่สาวที่มีร้านกาแฟของแม่อยู่ข้างๆ"

"คืองี้นะยู ไอว่าไอมีเรื่องให้ต้องอายแล้วหล่ะ"       ผมตั้งใจฟังเมพูดต่อไป

"ยูได้ยินเหมือนไอใช่ไหมว่าบ้านข้างๆเป็นบ้านของน้องแมท"

"ครับ"

"ร้านอาหารที่เราตามสองคนนั้นไป คือร้านที่ไออยากพายูไปนั่นแหละ มันบังเอิญมากที่เขาทั้งคู่ไปร้านนั้นพอดีซึ่งร้านนั้นก็เป็นร้านของครอบครัวน้องแมทที่เป็นเพื่อนบ้านไอ นั่นก็หมายความว่าคนที่ยูมาตามหาคือน้องแมทไม่ใช่น้องโอ้ต ถูกไหม"

"ใช่ ผมรู้ว่าเป็นร้านของแมทตั้งแต่ตอนเราอยู่ที่นั่นแล้ว"

"แล้วทำไมยูไม่บอกไอหล่ะ ไอไม่เคยเจอน้องแมทมาก่อน ไอเคยเจอแค่แม่กับน้องมัท เอ่อ ไอหมายถึงพี่สาวน้องแมทหน่ะ"       ท่าทางของเมดูเป็นกังวล

"ไม่มีช่องว่างให้ผมได้พูดกับแมทเลยด้วยซ้ำ"

"งั้นก็แสดงว่าแมทคือคนที่ยูชอบ"       ผมพยักหน้า

"โอ้ย! ตายๆๆๆๆ ถ้าโลกกลมๆมันจะทำร้ายไอขนาดนี้"

"ผมไม่เข้าใจ"

"ไอสิต้องไม่เข้าใจว่าไปบอกน้องแมทว่ายูชอบน้องโอ้ตไปได้ยังไง พูดไปเยอะมากเลยด้วย"       อย่างนี้นี่เอง

"นี่หมายความว่าเมเข้าใจว่าคนที่ผมมาตามหาคือโอ้ต"

"แน่สิ ตอนถามที่ร้านอาหารน้องโอ้ตบอกว่ารู้จักยูในขณะที่น้องแมทไม่พูดอะไรสักคำ"       สัญชาตญาณคิดไปเองนี่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนต้องมีเลยใช่ไหม

"หึหึ"

"แย่มากๆเลยยู ปล่อยให้ไอกลายเป็นตัวตลกได้ยังไงกัน ไม่ได้การละ ต้องไปคุยกับน้องเขาใหม่ ต้องไปขอโทษที่เข้าใจผิดด้วย"

"ไม่เป็นไรหรอกเม มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังบอกทัน ผมว่าแมทเขาคงเข้าใจ"       นี่มันก็จะเที่ยงคืนอยู่แล้ว

"คงเข้าใจเหรอ ถ้าเขาเข้าใจผิดหล่ะ อย่างนี้มันก็เหมือนไอทำให้ยูเสียคะแนนเลยนะ"

"เม ถ้าพวกเขาได้คุยกันโอ้ตต้องรู้อยู่แล้วว่าผมกับเขาไม่เคยเจอกันมาก่อน จะเป็นโอ้ตไปได้ยังไง"

"แล้วถ้าเขาไม่คุยกันหล่ะ"       ผมค่อนข้างแน่ใจจะว่าโอ้ตต้องถามแมท

"อย่ากังวลไปก่อนเลยนะ ดึกแล้วเมไปนอนเถอะ ผมรบกวนเมมาเยอะแล้ว"

"งั้นพรุ่งนี้ไอจะรีบไปคุยกับน้องแมทให้เข้าใจนะ ไอขอโทษนะ"

"คำขอโทษผมจะรับไว้นะเม ส่วนเรื่องที่เมจะไปอธิบายผมขอเป็นคนไปบอกเองได้ไหม ผมอยากเป็นคนพูดให้แมทฟังเอง ให้แมทรับรู้ความรู้สึกผมจากปากของผม เมเข้าใจผมนะ"       เมพยักหน้าตอบรับเหมือนเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการ

"มันเกินหน้าที่สินะ ไอเข้าใจแล้ว ไว้ไอค่อยอธิบายหลังจากนั้นก็ได้"

"ขอบคุณอีกครั้งนะเม สำหรับทุกเรื่อง"


.......................................................................


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 21-04-2015 01:00:34
          ผมรีบตื่นเช้าเพื่อไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ผมว่าคนที่มีบ้านอยู่เมืองไทยน่าอิจฉา เขาสามารถมีบ้านที่มีบริเวณไว้ปลูกต้นไม้ได้ เทียบกับคนฮ่องกงแล้วโอกาสที่จะมีแบบนี้คือน้อยมากนะ ก็เลยตั้งใจจะสำรวจเอาไว้ ถ้าหากอะไรต่อมิอะไรลงตัวหมู่บ้านนี้ก็น่าสนใจอยู่ นี่ไม่ใช่การวางแผนนะ ผมเพียงแค่ลองคิดเล่นๆเท่านั้น

          เดินพ้นจากรั้วบ้านเมผมก็เห็นคนที่ผมตั้งใจมาเจอ เพราะฉะนั้นแผนเดินสำรวจคงต้องพับไปก่อน แล้วพาตัวเองมายืนอยู่หน้าประตูรั้วบ้านอีกฝ่าย บอกตัวเองว่าไม่ควรรอโดยที่ไม่ทำอะไรเลย ผมจะสร้างเหตุหรือปัจจัยเพื่อไปเจอ  อยากเจอก็เดินเข้าไปคุย อย่าทำให้ยาก ไม่ต้องประดิดประดอย ถ้ามัวแต่ทำอย่างนั้น ความรักก็จะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น อย่าให้ความรักดีดีและคนรักที่ใช่กลายเป็นเรื่องยากที่จะหากันเจอ

"กู้ด มอร์นิ่งครับ"       ผมเอ่ยทักจากนอกรั้ว เมื่อเห็นว่าแมทกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่

"พี่เชน"       ผมพยักหน้า

"พี่พูดกับผมเหรอ"       มองซ้ายมองขวาก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง

"ครับ"

"พี่ตื่นเช้านะ นี่เพิ่งจะ 6 โมงกว่าเอง"

"สำหรับฮ่องกงมัน 7 โมงครึ่งแล้วนะ กำลังจะสายแล้วครับ"

"แต่ที่พี่ยืนอยู่มันประเทศไทย"

"โอเคครับ เช้าก็เช้า"

"พี่เมละครับ"

"คงยังไม่ตื่นมั้ง ไม่รู้สิไม่ได้นอนห้องเดียวกัน"       ประโยคหลังนี่ผมตั้งใจอธิบายนะ

"อ่ออ...งั้นเหรอครับ"       คนตรงหน้ากำลังประชดผมพอดูออกจากการเลิกคิ้วแล้วเหล่มอง

"รดอยู่ต้นเดียวจนน้ำท่วมกระถางแล้วนะ จะไม่เปิดประตูให้พี่เข้าไปหน่อยเหรอ"       ไม่ใช่แค่แมทที่ทำตัวไม่ถูก ผมเองก็กำลังเป็นแบบนั้น

"เอ่อ"       ส่งเสียงแค่นั้น? ทั้งที่ได้ยินคำขอให้เปิดประตูแต่อีกฝ่ายกลับวางสายยางรดน้ำแล้วหันหลังวิ่งห่างจากรั้วไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนที่ผมจะเรียก แมทก็เดินกลับมา ไม่ได้มาเปิดประตู แค่มายืนอยู่ตรงหน้าใกล้กว่าเดิมเท่านั้น แต่มันก็ยังมีรั้วกั้นอยู่ดี

"พี่มีเรื่องจะคุยด้วย"

"ครับ"


"เราจะยืนคุยกันแบบนี้เหรอ"

"แบบนี้ก็ได้ยิน พี่พูดมาเถอะ"       แต่ที่ผมต้องการมันไม่ใช่แบบนี้นะสิ

"แน่ใจนะว่าจะให้พี่พูดตรงนี้"       ถ้าในเมื่อเจ้าตัวต้องการแบบนั้น เรียกร้องมากไปก็กลัวจะไม่ได้บอกกันพอดี นี่ก็คลาดมาตั้งหลายครั้งแล้ว

"แมทคะ"       ในที่สุดผมก็คงต้องเจอกับสถานการณ์แบบเดิม

"เปิดประตูให้หลินหน่อยค่ะ"       ผมหันไปมองเจ้าของเสียงก็ผมผู้หญิงผมยาวหน้าหวานและท่าทางดูดีอยู่ในชุดเดรสสั้น

"หลินมาแต่เช้าเลย"

"วันนี้เจอแมทหน้าบ้าน แปลกใจจังค่ะ ปกติหลินมายังไม่ตื่นเลยนะคะ"        ผมเองก็แปลกใจไม่ต่างจากเธอ ด้วยงานของแมทไม่น่าใช่คนที่ตื่นเช้าไหว

"เข้ามาก่อนสิหลิน"

"แมทคุยธุระกับเพื่อนให้จบก่อนก็ได้ค่ะ"       เพื่อนงั้นเหรอ ไม่ใช่สักหน่อย

"ไม่ๆ พี่เขาอยู่ข้างบ้านเรานี่แหละ" 

"อ่อเหรอค่ะ สวัสดีค่ะ"       เธอสวัสดีผมโดยที่ไม่หันมามองผมด้วยซ้ำ ทำให้ผมเห็นสายตาเธอที่จดจ้องอยู่ที่หน้าแมท
 
"หลินนัดแม่เราไว้เหรอ"

"ค่ะ จริงๆนัดไว้ที่ร้าน แต่หลินตั้งใจจะมาทานข้าวเช้าพร้อมแมท เลยมาหาที่บ้านดีกว่า นี่ค่ะ หลินทำอาหารเช้ามาให้ลองชิมเยอะแยะเลย"       ผมกำลังพยายามห้ามความคิดตัวเองอย่างหนัก

"เอ่อ ครับ เราช่วยถือนะ"       แมทรับถุงจากคุณหลินมาถือไว้แล้วนำทางเธอเข้าบ้าน

ทั้งคู่คงลืมว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ ผมเองก็อยากเดินตามเข้าไป แต่มันคงเป็นการเสียมารยาทน่าดูที่อยู่ๆก็เดินเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับเชิญสงสัยวันนี้เรื่องที่ผมจะพูดคงถูกพับเก็บอีกตามเคย

"พี่เชน"       จู่ๆก็ได้ยินเสียงเรียกตอนที่กำลังหันหลังเดินกลับไปที่บ้านของเม

"ครับ"

"จะไม่เข้ามาใช่ไหม ผมจะได้ปิดประตูรั้ว"       อย่าทิ้งโอกาสที่ถูกยื่นให้ตรงหน้า ผมบอกตัวเองอย่างนั้น แล้วก็เดินตามแมทเข้าบ้านไป

.......................................................................



"ดีนะที่วันนี้แม่ตื่นสาย เลยยังไม่ได้ทำมื้อเช้า ไม่งั้นอาหารเช้าของแม่คงต้องไปนอนในถังขยะแน่เลย"       เดินตามเจ้าของบ้านมาถึงโต๊ะทานข้าวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ภายในบ้านของแมทที่มีเค้าโครงเหมือนบ้านของเม ต่างก็เพียงการตกแต่งภายในที่ดูสีสันสดใสและสื่อถึงครอบครัวมากกว่า

"โธ่ แม่คะ อาหารเช้าของแม่ต้องดีกว่าของหลินอยู่แล้วค่ะ"       จริงๆวันนี้ผมยังไม่ทันได้เตรียมตัวอะไรมาเลย ของติดไม้ติดมือสักอย่างก็ไม่มี ถึงทุกอย่างไม่เป็นไปอย่างที่คิด แต่ผมก็ถอยไม่ได้อยู่ดี

"แม่ครับ" 

"แมทไปปลุกพี่มัทไปลูก"       เธอพูดไปพร้อมกับจัดโต๊ะอาหารโดยที่ไม่ได้หันมาทางเราสองคนเลยสักนิด

"ครับแม่"

"บอกพี่มัทอาบน้ำก่อนลงมากินข้าวนะ เพราะวันนี้เรามีแขก"

"ไม่เป็นไรค่ะแม่ บอกพี่มัทตามสบายเถอะคะแมท"       คุณหลินบอกกับคุณแม่ก่อนที่จะหันมาบอกแมทด้วยรอยยิ้ม

"ไม่ได้หรอกจ้ะหลิน ปกติลูกบ้านนี้ทานข้าวเช้ากันทั้งชุดนอน แต่วันนี้เรามีแขกแม่ว่ามันไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่"       ถึงจะลงมาทั้งชุดนอนก็คงไม่แตกต่างนะในเมื่อคุณแม่พูดมาแล้วเหลือก็แต่รับรู้ด้วยสายตา และผมก็บอกตัวเองว่าควรจดจำข้อมูลไว้       "บอกพี่มัทว่าแม่สั่งให้อาบน้ำก่อนลงมา วันนี้เราต้องไปวัดกันด้วย"

"ไปวัดเหรอคะ จะเป็นอะไรไหมคะถ้าหลินขอไปด้วย"       พูดจบเธอก็มองมาที่แมทก่อนจะมองเลยมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ ผมอ่านสายตาเธอไม่ออกว่าต้องการจะสื่ออะไร

"ได้สิลูก"       เหมือนคุณแม่ของแมทยังไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของผม

"อ้าวแมท ทำไมยังยืนอยู่อีก แล้วนี่เพื่อนแมทเหรอ แม่ไม่เคยเจอเลยค่ะ"       ขอบคุณครับที่ในที่สุดก็เห็นผมสักที

"ครับ เอ่อ แม่ แมทอยากแนะนำพี่เชนให้รู้จัก"       รู้สึกดีที่ได้ยินแบบนี้

ผมยกมือไหว้ ตามด้วยก้มหัวเชิงทักทายให้กับคุณหลิน       "สวัสดีครับ"       ผมทำในสิ่งที่ม๊าเคยสอนได้เสมอ เราควรเอ่ยทักทายผู้ใหญ่ก่อน

"สวัสดีค่ะ มาทานข้าวเช้าด้วยกันเลยนะลูก วันนี้บ้านแม่ครึกครื้นน่าดู สมาชิกเยอะแยะไปหมด"       เธอเอ่ยด้วยสีหน้าแต้มยิ้ม ผมชอบรอยยิ้มคุณแม่นะ รอยยิ้มที่เหมือนแมท รอยยิ้มสดใสในแบบที่แมทมี

"แม่นี่พี่เชนครับ พี่เชนที่เป็นเจ้าของที่พักที่แมทไปพักในฮ่องกง"

"อ๋อๆ แม่จำได้ลูก ที่แมทเล่าว่าช่วยเป็นไกด์พาไปเที่ยวใช่ไหม"       คุณแม่วางจานที่กำลังจัดก่อนจะเดินมาตรงหน้าผม
"ครับแม่ "

"แม่ขอบคุณมากนะคะพี่เชนที่ช่วยดูแลแมทตอนอยู่ที่โน่น"       คุณแม่ยื่นมือมากุมมือผมเอาไว้ แล้วลูบเบาๆ นี่คงเป็นความอบอุ่นในแบบที่แมทได้รับมาตลอด

"ยินดีครับ"       ผมก้มหัวให้แม่อีกครั้ง

"งั้นดีเลย มาทานข้าวเช้าด้วยกัน เดี๋ยวแม่ทำอะไรเพิ่มสักอย่างสองอย่างดีกว่า แล้วเย็นนี้ไปทานข้าวที่ร้านแม่นะลูก แม่จะเลี้ยงมื้อเย็นแทนคำขอบคุณ"

"ได้ครับคุณแม่"       ท่านบอกพร้อมรอยยิ้มที่ดูจริงใจ และ ในเมื่อท่านแทนตัวเองว่าแม่ ก็ไม่ถือว่าผมกำลังฉวยโอกาสใช่ไหม

"ยังไม่ไปอีกแมท"       แมทหันมามองผมด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ

"ครับๆแม่"       แล้วก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป

"มาค่ะมานั่งนี่พี่เชน แมทไม่ยอมบอกแม่ เลยไม่ได้เตรียมตัว วันนี้แม่ก็ตื่นสายซะด้วยสิ" เธอดึงมือผมให้ไปนั่งข้างๆคุณหลิน ผมหันไปยิ้มให้เธอก่อนจะนั่งลง แต่สิ่งที่ผมได้รับกลับกลายเป็นใบหน้าที่นิ่งเฉยกับสายตาที่ดูแข็งกร้าวมากขึ้น ซึ่งผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง

"ไม่เป็นไรหรอกครับ เป็นผมต่างหากที่รบกวน"       และผมก็จำต้องหลบสายตาเธอ ก่อนจะหันความสนใจมาอยู่ที่คุณแม่แทน

"งั้นแม่ทำอะไรง่ายๆอย่างพวกออมเล็ตเพิ่มดีกว่า พี่เชนทานได้ไหมคะ"       แรกๆผมก็รู้สึกแปลกที่ถูกแม่ของแมทเรียกว่าพี่เชนนะ แต่พอฟังหลายๆครั้งเข้าผมว่าก็น่ารักดี

"ได้ครับ ให้ผมช่วยไหมครับคุณแม่"

"จริงเหรอลูก พี่เชนเป็นผู้ชายนะคะ ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ" 

"ครับคุณแม่"       จริงๆมีผู้ชายตั้งมากมายนะครับที่ทำอาหารได้ดี ตรรกะเดิมที่ผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายเข้าครัวมันเปลี่ยนไปแล้วเผลอๆผู้ชายบางคนทำได้ดีกว่าซะอีก

"น่าอายแทนแมทจริงๆเลย ลูกชายแม่นะรินน้ำยังหกเลยค่ะพี่เชน"       ประโยคนี้เรียกเสียงหัวเราะได้จากทั้งผมและคุณหลิน ผมได้ยินแต่ไม่กล้าหันไปมองเธอ

"ท่าทางแมทจะไม่ชอบทำอาหารนะครับ"

"ทานเป็นอย่างเดียวเลยค่ะ ลูกสาวแม่ก็ด้วย"

"หลินเข้าใจว่าพี่มัทเก่งเรื่องเข้าครัวนะคะ เพราะเปิดร้านอาหาร"

"ผิดถนัดเลยจ้ะ พี่มัทกับแมทนะ แย่พอกันเลยลูก น่าอายจริงๆ"       ทำไม่เป็นนั่นแหละครับผมว่าดีแล้ว

"คุณแม่พอจะมีผักไหมครับ"       ผมจำได้ว่าเมื่อคืนโอ้ตบอกว่าแมทกำลังทานผักในสัดส่วนที่มากกว่าอาหารอย่างอื่น

"เรียกแม่ก็พอค่ะพี่เชน เติมคุณมาด้วยนี่แม่ไม่ค่อยชิน"       แม่พูดไปก็ยิ้มไป ผมว่าเธอน่ารักนะครับ ดูอารมณ์ดี แมทก็คงเหมือนแม่
"ครับแม่"

"จริงๆแม่เกรงใจนะคะเนี่ย"       เธอพูดพลางตบไหล่ผมเบาๆ สิ่งที่เธอทำผมรู้สึกคลายกังวลลงไม่มาก มันทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นกันเอง

"ผมชอบทำอาหารครับ ผมยินดีช่วย"

"ถ้าอย่างนั้นแม่ไม่เกรงใจนะคะ ตามแม่มาที่ตู้เย็นเลยค่ะ"
 
"จริงๆเช้านี้แม่ตั้งใจทำข้าวผัดไข่ง่ายๆให้เด็กๆรองท้องก่อนไปวัด กะว่ามื้อเที่ยงค่อยไปหาทานเอาแถวนั้น เพราะแม่ยังไม่ได้ไปตลาด เลยไม่ค่อยมีอะไรในตู้เย็น"       ผมนั่งยองๆลงข้างตู้เย็นเพื่อช่วยค้นวัตถุดิบ

"มีแค่นี้พอไหวไหมคะ แต่ผักแม่มีเยอะนะคะ แมทเขาเน้นทานผักช่วงนี้ในตู้เย็นแม่เลยมีผักเยอะหน่อย"       จากที่เห็นมีแค่ไข่ไก่ กับไส้กรอก นอกจากนั้นก็เป็นผักทั้งหมด ผมเลยจัดการนำผักที่มีออกมา และจากที่เห็นอาหารที่คุณหลินนำมาก็เป็นสปาเก็ตตี้กับแซนด์วิชผมเลยคิดว่าสลัดผักน่าจะเข้ากันที่สุด

"แค่นี้ก็พอครับ"       ผมสงสัยนะ ตอนอยู่ฮ่องกงแมทดูเป็นคนทานเก่ง ตัวก็เล็กแค่นั้น ไม่น่าจะกังวลกับเรื่องน้ำหนักตัวให้มากมาย

"งั้นพี่เชนจัดการได้ตามสบายเลยนะคะ เดี๋ยวแม่จะทำออมเล็ตเพิ่มอีกสักอย่าง" 

          ผมเริ่มจากการเลือกที่จะต้มไข่และฟักทองก่อน แล้วนำไข่แดงมาบดรวมกับเนื้อฟักทองผสมน้ำต้มสุกกับน้ำมันมะกอก เพิ่มมะนาว ซอสปรุงรสและตามด้วยพริกชี้ฟ้าซอยละเอียดก็จะได้น้ำสลัดฟักทองไข่แดงแบบข้นหน่อย ส่วนไข่ขาวที่เหลือกับไส้กรอกก็นำมาหั่นเป็นลูกเต๋าเล็กๆโรยบนผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด  เร้ดโอ้คและกรีนโอ้ค พร้อมกับมะเขือเทศเชอรี่
 
"แม่ดูแล้ว พี่เชนดูหยิบจับอะไรคล่องมากเลยนะคะ แม่มองยังเพลินเลย ว่าไหมจ้ะหลิน"       ผมหันไปยิ้มให้กับคำพูดนั้นก่อนจะมองเลยไปที่คุณหลินซึ่งผมก็ได้ผมกับสีหน้าแบบเดิม เธอนิ่งจนผมสงสัยว่าผมเคยทำอะไรให้เธอผิดใจหรือเปล่า

"อาจจะเพราะมีโอกาสได้เข้าไปช่วยที่ร้านบ่อยๆมั้งครับ"

"พี่เชนเปิดร้านอาหารด้วยเหรอคะ"

"ครับ เป็นร้านเล็กๆ ผมเปิดร่วมกับพี่สาว ถ้ามีโอกาสก็แวะไปทานได้นะครับ ผมยินดีต้อนรับ คุณหลินด้วยนะครับ" ผมบอกแม่แล้วหันไปบอกคุณหลิน ผมรู้ว่าเสียมารยาทที่พูดโดยไม่หันไปมองหน้าเธอ แต่ผมก็ยังทำ นั่นก็เพราะผมไม่ต้องการเห็นสีหน้าท่าทางที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอะไรสักอย่างในตัวผม ผมเองไม่ใช่พวกมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็ใช่ว่าทั้งโลกที่เห็นจะดูสวยงามจนมองข้ามสายตาอคติที่เธอมีให้

"ขอบคุณมากเลยค่ะ หลินจะไปชิมถ้ามีโอกาสนะคะ"       เพราะผมกำลังมองเธออยู่เลยทำให้ผมเห็นท่าทางแปลกๆที่เธอทำกับผม และผมเองก็มั่นใจว่าไม่ได้คิดไปเอง เห็นอย่างนั้นผมก็บอกตัวเองให้เลิกสนใจแล้วหันมาทำสลัดต่อ

"เรียบร้อยแล้วครับ"

"ออมเล็ตแม่ก็เสร็จพอดีเลยค่ะ ตายละ น่าทานจัง"       แม่พูดบอกหลังจากชะโงกหน้ามาดูในชามผสมสลัดของผม

.......................................................................


"ป้าศิขา ฟินหิว"       เด็กผู้หญิงวันรุ่นๆสองคนที่หน้าตาเหมือนกันเดินเข้ามาพร้อมกับนมในมือคนละกล่อง

"อะไรกัน ยังอยู่ในชุดนอนอีกเหรอ"       แม่วางจานออมเล็ตลงบนโต๊ะแล้วเดินไปจับไหล่ของหนึ่งในแฝดแล้วหมุนตัวน้องไปมา

"ป่าวนะคะ อาบน้ำแล้ว นี่พร้อมจะไปวัดแล้วด้วย"

"จะไปวัดแต่งตัวแบบนี้เหรอฟิน"

"ทำไมคะ วัดเขาห้ามคนใส่ชุดนี้เข้าเหรอคะป้าศิ"

"อย่างกับชุดนอนดูสิ กระโปรงอะไรหลวมโพรกขนาดนี้ หน้าก็สั้นหลังก็ยาวอีก กินข้าวเสร็จไปเปลี่ยนเลยนะ"       ผมมองว่าชุดที่น้องใส่ก็น่ารักดีนะ ดูสมวัย ถึงจะค่อนไปทางชุดนอนอย่างที่แม่ของแมทเปรียบเทียบก็ตาม

"ฮ่าๆๆๆ เฟย์เตือนฟินแล้วนะ"

"ก็มันเป็นสไตล์อ่ะ"       พอแม่หันหลังไปหยิบของ เจ้าของชุดถึงกับทำท่าเซ็ง วัยรุ่นก็เป็นแบบนี้

"ป้าไม่มองไม่ใช่ไม่รู้นะ พอเลยๆ มากินข้าว"       ผมถึงกับหลุดยิ้ม อย่างนี้พอจะใช้ได้กับสำนวนที่ว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนไหม

"นี่ไปไหนกันหมดคะ แล้วพี่สองคนนี่ใครอ่ะป้าศิ"

"เพื่อนของพี่แมท นี่พี่เชน แล้วนี่ก็พี่หลิน"       ผมรับไหว้น้องทั้งคู่ จากท่าทางที่เห็นน้องคงสงสัยไม่น้อยว่าผมคือใคร แต่ก็ไม่ได้รับคำอธิบาย

"เฟย์ไปตามพี่ๆสิ นี่ให้แมทไปปลุกก็หายไปด้วยเลย ทิ้งแขกเอาไว้เสียมารยาทจริงเชียว"

"นั่นไงมาพอดีเลย"       ทุกคนลงมาพอดีก่อนที่น้องจะได้ขึ้นไปตาม

"เฮ้! แฝด"

"หวัดดีค่ะพี่โอ้ต เมื่อคืนนอนที่นี่เหรอคะ"       โอ้ตพยักหน้า ผมว่าโอ้ตคงยังไม่ทันเห็นผมนะ

"มานั่งมาเร็ว ปล่อยให้แขกรอทานข้าวได้ยังไง"

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ หลินว่าดูเป็นกันเองดีออกค่ะ"       ถ้าหากผมไม่เห็นสายตานั้น ผมว่าคุณหลินเธอก็เป็นคนน่ารักคนหนึ่ง

"เฮ้อ...จ้ะ กันเองก็กันเองจ้ะ ตายแล้ว!ยัยมัท นี่อาบน้ำหรือยังเนี่ย"       แม่ที่พูดไปพลางถอนหายใจ ก่อนจะเห็นลูกสาวตัวเอง นี่คงเป็นคุณมัท เธอใส่แว่นและมัดหางม้า และอยู่ในชุดที่ก้ำกึ่งระหว่างชุดนอนกับชุดอยู่บ้าน ผิดจากภาพที่ผมคิดไว้ค่อนข้างมาก

"ยังอ่ะแม่ มัทว่าจะไม่ไปวัด เมื่อคืนคุยกับไอ้สองคนนี้ดึกไปหน่อยเลยว่ากินข้าวเสร็จแล้วจะนอนต่อ"

"จะนอนต่อแม่ไม่ว่า แต่เรามีแขกมัทว่ามันเหมาะสมไหม"

"เพื่อนแมทไม่ใช่เหรอ มัทโอเคน่าแม่"

"ดูพูดเข้า แม่ขอโทษหลินกับพี่เชนแทนลูกแม่ด้วยนะ"

"พี่เชน!" แล้วผมก็ได้รับสายตาสงสัยจากคุณมัท

"อืมมม พี่เชน"       คุณแม่บอก

"นี่แหละพี่เชน"       โอ้ตพูดพลางมองมาที่ผมก่อนจะเปลี่ยนไปมองแมท

"จ้ะพี่เชน จะสงสัยกันอีกนานไหม เสียมารยาทจริงๆ"       แม่บอกอีกครั้ง คุณมัทยังคงมองหน้าผมนิ่งๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มให้ผมต้องยิ้มตาม

"โหแม่ ฟูลคอร์สมากอ่ะวันนี้ ถ้ารู้ว่าอาหารจะเพรียบพร้อมขนาดนี้นะ มัทจะจัดราตรียาวลงมาเลย"

"ฮ่าๆๆๆ พี่มัทเอาแค่อาบน้ำลงมากินข้าวให้ได้ก่อนเถอะ ไม่มีใครเขาคาดหวังกันขนาดนั้นหรอก"       ทุกคนร่วมตลกกับคำพูดของหนึ่งในคู่แฝดที่ผมแยกไม่ออก

"ตั้งแต่นี้ไปกูจะมานอนบ้านมึงบ่อยๆ เบื่อมากอ่ะปาท่องโก๋กับข้าวต้มทุกเช้าเลย"       โอ๊ตว่า

"แต่วันนี้ข้าวเช้าป้าศิดูเลอค่ากว่าทุกวันจริงๆ ฟินนึกว่าตัวเองมาผิดบ้านซะอีก"

"เพราะปกติเราจะได้กินแต่ข้าวใช่ไหมฟิน"

"ใช่พี่มัท ฮ่าๆๆๆ"       คนนี้คือน้องฟิน

"พูดแบบนี้พรุ่งนี้ก็ตื่นมาหากินกันเองนะจ้ะ แม่จะได้มีเวลานอนเพิ่ม"       แม่พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆก่อนจะเหล่มองมาที่ลูกสาวตัวเอง

"โอ๊ะๆๆๆ ไม่เอาค่ะไม่ทำแบบนี้นะคะ ถ้าคุณศิตาทำแบบนั้นก็ลำบากท้องไส้ลูกหลานแย่เลยค่ะ"       ท่ามกลางบทสนทนาที่ผมได้ยิน แต่สายตาผมกลับมองเห็นแค่แมท คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม

"งั้นก็กินเข้าไปแล้วเลิกพูดมาก"       จากประโยคนี้ก็ทำให้ทุกคนหยุดพูดต่อแล้วหันมาสนใจอาหารที่อยู่หน้าแทน

"แล้วตกลงนี่ใครทำมาคะป้าศิ"       ผมไม่แน่ใจว่าน้องคนที่ถามชื่ออะไร ผมยังแยกระหว่างน้องฟินกับน้องเฟย์ไม่ออกจริง

"หืม สปาเก็ตตี้นี่คือดีอ่ะ ละมุน ชิมดูไอ้แมท"       หลังจากโอ้ตพูดจบ แมทก็เลือกที่จะตักสปาเก็ตตี้เป็นจานแรก ผมเข้าใจนะ ก็เพราะว่าแมทชอบอาหารที่เป็นเส้น อีกทั้งโอ้ตแนะนำ ผมเข้าใจ ถึงลึกๆในใจจะอยากให้แมทตักสลัดเป็นจานแรกก็เถอะ

"หลินเขาทำสปาเกตตี้กับแซนวิชมาให้ วันนี้แม่เลยสบาย"

"เป็นไงมึง สปาเกตตี้หลินอร่อยป่ะ"

"ของพี่เชนอร่อยกว่า"

"คะ" คุณหลิน

"หืม" คุณแม่

"หือ" สองสาวแฝด

"ห๊ะ" คุณมัท

"โอ้ว" โอ๊ต

ใช่ว่าแค่ทุกคนเท่านั้นที่ตกใจ ผมเองก็ด้วยและจากที่ผมเดาจากสีหน้าที่เห็นของแต่ละคน คงมีเหตุผลที่ต่างกัน แต่สำหรับผม รอยยิ้มอย่างมีความสุขแสดงอารมณ์ตอนนี้ได้ดีที่สุด

"เอ่อ อร่อยครับ ของหลินอร่อย เราก็ชอบ คือเราจะบอกว่ามันคนละแบบ เราเคยกินของพี่เชนครั้งนึงคือเราชอบแบบนั้น เอ่อ แต่ไม่ใช่ว่าของหลินไม่อร่อยนะ อร่อย แต่เราชอบแบบของพี่เชน คือ หลินนึกออกไหม"       มาทั้งคำอธิบายและท่าทางประกอบ ผมจะคิดว่าคงไม่อยากให้เธอรู้สึกไม่ดี

"ไม่ช่วยเลยสักนิด หนักกว่าเก่าอีก"       คุณมัทพูดออกมาพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

"เราลองสลัดดีกว่านะ ต้องอร่อยแน่เลย"       ท่าทางจะไม่รู้ว่าจานนั้นฝีมือผม

"เป็นสกิลการปลอบใจที่แย่สัดอ่ะ"       ขณะเหล่มองหน้าแมท

"อร่อยจริงๆด้วยหลิน น้ำสลัดแปลกดีอ่ะ"

"เป็นไงอ่ะพี่แมท ฟินชิมหน่อย"       แมทใช้ส้อมจิ้มผักสลัดป้อนให้น้องฟินพร้อมอธิบายรสชาติไปด้วย

"เปรี้ยวๆเผ็ดๆเหมือนยำเลยแต่มันข้นๆสมกับเป็นน้ำสลัด อร่อยมากจริงๆนะ หลินทำน้ำสลัดเองใช่ไหม เราให้สิบดาวเลยจานนี้ ชอบมากๆ"       ถึงกับยกนิ้วให้

"จานนั้นคุณเชนทำค่ะแมท ไม่ใช่หลิน"       น้ำเสียงที่เรียบและนิ่งกำลังบอกแมทในขณะที่สายตานั้นกลับจับจ้องมาที่ผม

"ฮ่าๆๆๆ ฝังตัวเองเถอะมึง กูว่าวะระสุดท้ายแล้วหล่ะ"

"มัทขอไว้อาลัย เฮ้อ...โง่ซ้ำซากจริงๆน้องฉัน"

.......................................................................


ออด~ ออด~ ...

ผมว่าแมทควรต้องขอบคุณคนที่มากดออดที่ช่วยให้หลุดพ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้

"ใครมาหน่ะ แมทไปดูสิ"       แม้แต่แม่เองก็ยังพยายามช่วย

"เฟย์ไปเปิดเองค่ะ"       เสียแต่ว่าน้องเฟย์ไม่เข้าใจ

"แต่แม่ชอบสปาเก็ตตี้หลินนะลูก แม่ยังไม่เคยกินของพี่เชนนะ แต่แม่ว่าของหลินอร่อย"

"แม่ๆ ไม่ดีขึ้น ไม่พูดๆ"       คุณมัทโบกมือให้กับแม่เป็นเชิงห้าม

"แม่ชมจริงๆ งั้นเปลี่ยนเรื่องดีกว่า นี่พี่เชนมาเที่ยวเหรอคะ"

"ครับ แล้วก็มาทำธุระนิดหน่อยด้วยครับ"       ผมหันไปมองหน้าแมท เป็นจังหวะเดียวกับที่แมทก็กำลังมองมา ตาคู่นั้นทำให้ผมลืมความอึดอัดบนโต๊ะอาหารเมื่อสักครู่ไปเสียสนิท

"ป้าศิพี่เมมา"       เสียงเรียกจากน้องเฟย์ทำให้ทุกคนหันไปมองคนมาใหม่ รวมทั้งช่วยดึงสติผมจากใบหน้าแมท

"อ้าวน้องเม มาตั้งแต่เมื่อไหร่ลูก"

"สวัสดีค่ะน้าศิ เมมาถึงเมื่อวานค่ะ

"อ่อจ้ะ นี่กำลังทานมื้อเช้ากันอยู่เลย น้องเมมาทานด้วยกันนะ"

"งั้นเมขอร่วมแจมด้วยคนนะคะ พอดีเพื่อนเมหนีไปไหนก็ไม่ทราบค่ะ"       เมควรจะรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้นะ

"ผมอยู่นี่ครับ"       แล้วผมก็พูดบอกออกไป

"เชน...ไอตามหายูตั้งนาน มาหลบอยู่นี่เอง"       ผมไม่ได้หลบเลยนะ แค่ออกมาเดินเล่น แล้วทุกอย่างมันก็ลงเอยแบบนี้

"นี่น้องเมกับพี่เชนเป็นเพื่อนกันเหรอคะ"

"ใช่ค่ะน้าศิ"       สีหน้าของแม่ดูแล้วยังไม่คลายความสงสัย

"พี่เม สวัสดีค่ะ"       เสียงทักทายจากคุณมัทและน้องฟิน

"น้องมัท ไม่เจอกันเลย พี่เมคิดถึง เมื่อคืนไปทานข้าวที่ร้านก็ไม่เจอ"       เมหันไปสนใจทักทายคุณมัทโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีถึงสองคนที่กำลังมองเธอด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน แม่ที่มองแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย และคุณหลินที่มองด้วยสายตาแบบเดียวกับที่มองผม

"อ้าวเหรอคะ มัทไม่เห็นรู้เลยค่ะ"

"ค่ะ ไม่เจอน้องมัทแต่เจอน้องแมทกับน้องโอ้ตแทน"       เมพูดไปก็ยิ้มไป

"นี่น้องเมรู้จักแมทกับโอ้ตแล้วเหรอลูก"       ผมไม่รู้ว่าทำไมแมทกับเมถึงไม่เคยเจอหรือรู้จักกันมาก่อน แต่นี่คงทำให้แม่ยิ่งสับสนในความสัมพันธ์ของทุกคนมากกว่าเดิม

"ค่ะ เพิ่งรู้จักเมื่อคืนเองค่ะ"

"ดูสิ อยู่บ้านข้างกันมาตั้งกี่ปี น้าไม่เคยได้แนะนำแมทให้รู้จักเลย เขาค่อนข้างเก็บตัวผิดกับมัท"

"ไม่เป็นไรค่ะน้าศิ อาจจะเพราะไม่ได้เจอกันเลยต้องมีเรื่องให้เข้าใจผิด พี่ต้องขอโทษน้องแมทด้วยนะคะ พูดไปซะมากมายเลย"

"อ่อครับ ไม่เป็นไรครับ"

"ทีนี้ก็ชัดเจนแล้วนะมึง"

"ชัดเจนมากเลยค่ะน้องโอ้ต"       ผมไม่ชอบรอยยิ้มแบบนี้เลย รอยยิ้มของเมเป็นรอยยิ้มแบบที่ผมคาดเดาไม่ได้ ไม่ใช่รอยยิ้มกรุ้มกริ่มและไม่ใช่รอยยิ้มอ่อนหวาน แต่เป็นรอยยิ้มแบบที่มีความคิดบางอย่างแฝงอยู่

"จ้ะๆๆ มากินข้าวกันดีกว่านะ มัวแต่ทักทายกัน หลินเบื่อแย่แล้วมั้ง ใช่ไหมจ้ะหลิน"       แม่คงพยายามทำให้คุณหลินไม่รู้สึกอึดอัด

"ไม่หรอกค่ะ หลินเข้าใจ"       เป็นอีกครั้งที่ยิ้มอ่อนหวานถูกส่งให้ทุกคนยกเว้นผม

"ถ้าวันนี้น้องเมกับพี่เชนไม่ไปไหน เราไปวัดทำบุญด้วยกันนะคะ"

"ยินดีเลยค่ะ เมว่างค่ะ เชนก็ว่างด้วยค่ะ ใช่ไหมยู"

"ครับ ว่างครับ"

"ดีจ้ะ ไปกันหลายๆคน ไปให้หลวงพ่อพรมน้ำมนต์ให้นะลูก"

และทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกัน

"ค่ะ"

"ครับ"

ก่อนที่จะลงมือทานอาหารเช้ากันต่อ โดยบทสนทนาถูกผูกขาดโดยแม่ของแมทที่เล่าเรื่องของวัดและน้ำมนต์ให้ทุกคนฟังแทนการสนใจที่จะทำความรู้จักกัน


.......................................................................



❤  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤ถึงเนื่อเรื่องช่วงนี้จะเรื่อยๆสักแค่ไหนก็อย่าเพิ่งเบื่อแล้วทิ้งกันไปก่อนน้า ขออนาดำเนินต่ออีกนิ้ดดดด l กระพริบตาถี่ๆ อ้อนวอน l
❤เบื่อความด๋อยของตัวเองมากเลย เริ่มลงตอนนี้ตั้งแต่ 5 ทุ่มกว่า เสร็จตี 1 -"- ทึ้งหัวตัวเอง!!!
❤จริงๆตอนนี้ต้องยาวกว่านี้ค่ะ เพราะตอนเขียนมันจบตอนไม่ได้ เอาตัวละครมาทำความรู้จักกันมากไปหน่อย แหะๆ ทนๆอ่านอนาพล่ามไปก่อนนะสำหรับตอนนี้ แล้วตอนหน้าเราจะเจอกันไวๆแบเคลียร์ไปเลยน๊ะ
❤อนามีทวิตเตอร์ล้าววววว อิอิ @iamanana_anana อย่าลืมแวะมาติดแท็ก #รักระหว่างทาง พูดคุยกันเนอะ ^^
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 21-04-2015 01:32:13
เฮ้ยยย! มาตามม เราจำเรื่องนี้ได้เเล้วนะ อิอิ.
นายเอกชื่อเเมท เเม่นๆ

โล่งใจไปหน่อยที่โอ๊ตเเค่ห่วงเพื่อนมากกเท่านั้นเอง. ดีมากโอ๊ต จงทำดีๆ
ส่วนหลิน(ชะนีที่ค่อนข้างจะไม่มีใครให้นางอยากมีบท 555) คาดว่าคงจำจัดไปไม่ยาก เพราะเเมทติดใจฝีมือเชนเอามากกๆๆ ทำให้หลินตกเป็นรองไปอย่างง่ายดาย เเต่ถ้านางด้านจะอยู่มาก ต้องให้โอ๊ตเเท็คทีมกับเม เผลอน่าจะได้มัทเข้ามาช่วยด้วย


คิดถึงคนเเต่งจุง เเต่ช่วงนี้ลาสอบ เเต่ก็ยังอ่านในนิยายในเล้าตลอดนะ. ^^
รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 21-04-2015 10:11:14
ดีนะที่แค่หวงเพื่อน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-04-2015 13:03:17
ดีมากค่ะโอ๊ต ห่วงแบบเพื่อน
มากันครบทีมเลยคราวนี้
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 21-04-2015 23:28:45
 :katai4:
กำลังจะเกิดเรื่องแน่ๆ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 18 [21-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 22-04-2015 00:29:47
พี่เชนครับ สู้ๆๆครับ เอาใจช่วยอย่างแรง
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 28-04-2015 00:09:02
ตอนที่ 19
 

Chen Part

"แมทเอาตะกร้าดอกไม้กับถาดขนมไปใส่หลังรถไว้ก่อนไปลูก จะสายแล้ว"

"มัทโทรไปตามเด็กที่ร้านให้แม่แล้วใช่ไหม ทำไมกับข้าวยังไม่มาอีก"       แม่ดูวุ่นวายกว่าใครหลังมื้อเช้า ในขณะที่ทุกคนได้แต่นิ่งมอง

"นี่ยังไม่ถึงเวลาฉันท์เพลเลยนี่คะน้าศิ เพิ่งจะ 9 โมงเองค่ะ"       เมบอก

"วัดนี้พระท่านฉันท์มื้อเดียวจ้ะน้องเม ประมาณสิบโมง"       ถึงผมจะนับถือศาสนาพุทธแต่เรื่องเหล่านี้ค่อนข้างจะห่างไกลตัวมาก อยู่ที่ฮ่องกงผมไม่ค่อยได้เข้าวัดสักเท่าไหร่

"อ่อค่ะ งั้นเมไปเอารถออกก่อนดีกว่าค่ะ ว่าแต่นี่เราจะไปกันยังไงคะ"       เมดันหลังผมเบาๆก่อนจะหันไปถามทุกคนก่อนออกจากบ้าน

"น้องมัทไม่ไป รถน้าก็พอดี น้องเมกับหลินขับตามไปดีไหม"       แม่ออกความเห็น คุณหลินที่ถูกพูดถึงก็หันมายิ้มให้กับเม

"เอางั้นก็ได้ค่ะ"       เมตอบตกลงในขณะที่คนอื่นๆทำแค่พยักหน้า ผมมองเลยมาที่แมทแล้วเห็นคุณหลินที่ยืนอยู่ข้างกัน สายตาเธอยังมองผมนิ่งๆขวางๆแบบเดิมก่อนจะหันไปคุยกับโอ้ตและแมทพร้อมส่งรอยยิ้มที่หวานเยิ้ม ตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าเธอใช้สายตาแบบนี้กับแค่ผมหรือเปล่า แต่พอเห็นแบบนี้และหลายครั้งเข้ามันทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าคงเป็นแค่ผมจริงๆที่ได้รับสายตาและท่าทางแบบนั้น

"กับข้าวมาส่งแล้วค่ะแม่ เรียบร้อยแล้วมัทขอตัวขึ้นไปนอนก่อนนะคะ"       เสียงคุณมัททำให้ผมละสายตาจากทั้งคู่

"งั้นเรารีบไปกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะสายนะ" แม่บอกทุกคนก่อนจะเดินนำไปที่รถ

.......................................................................

 
"แมทไปนิมนต์ท่านเจ้าอาวาสที่กุฏินะลูก แม่จัดอาหารเรียบร้อยแล้ว"       

"ครับแม่"       รับปากแม่แล้วก็เดินหันหลังออกจากศาลาไป ผมมองแผ่นหลังแมทที่ค่อยลับตาไปเรื่อยๆก็พลันคิด ผมไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอกาสได้บอกสิ่งที่ตั้งใจมาสักที ผมรู้ว่าไม่ควรคิดเรื่องนั้นตอนนี้นะ แต่มันเป็นเป้าหมายของผมในการมาที่นี่ ผมคงห้ามความคิดตัวเองไม่ได้จริงๆ

"สาวๆมาช่วยป้าจัดดอกไม้ดีกว่านะ"        เสียงแม่ที่เรียกทำให้ผมหันความสนใจมาที่โต๊ะอาหารอีกครั้ง

"ให้ผมช่วยยกนะครับ"        ผมอาสาเข้าไปช่วยยกจานอาหารเพื่อจัดเรียงที่โต๊ะ

"ขอบคุณค่ะพี่เชน"

"ตายละ แม่ลืมขนมหวาน สงสัยอยู่ในรถ"

"ผมไปยกมาให้ครับ"        ผมอาสาอีกครั้ง ถ้าให้ยังนั่งอยู่ตรงนี้ผมคงฟุ้งซ่านน่าดู

"ไปด้วยพี่ ผมจะไปเข้าห้องน้ำ"        โอ้ตยกมือขึ้นเพื่อขอไปด้วย

"หลินไปด้วยค่ะ ขอไปหยิบผ้ามาคลุมขาเวลานั่งดีกว่าค่ะ หลินเกรงจะไม่สุภาพ"        คุณหลินวางก้านดอกไม้ลงบนโต๊ะก่อนจะลุกตาม

"น่ารักมากจ้ะหลิน เรียบร้อยจริงๆ ไปเถอะจ้ะ รีบไปรีบมานะ"        แม่หันมายิ้มพร้อมเอ่ยชม
 
.......................................................................


ในขณะที่โอ้ตไปเข้าห้องน้ำ คุณหลินที่บอกว่าจะมาหยิบผ้าคลุมกลับมายืนอยู่ด้านข้างผมซึ่งกำลังก้มหยิบถาดขนม ท่าทางเธอเหมือนมีอะไรอยากจะพูด

"คุณมีอะไรอยากพูดกับผมหรือเปล่าครับคุณหลิน"       ผมหันไปถาม

"เปล่านี่คะ"        เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

"การที่คุณมายืนตรงหน้าแล้วมองผมตาขวางแบบนี้ คุณจะไม่ให้ผมรู้สึกอะไรเลยคงเป็นไปไม่ได้"       ผมวางถาดขนมลงที่เดิมแล้ว เราคงต้องพูดคุยกันอย่างจริงจัง

"หลินแสดงออกชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอคะ"       ชัดเจนมากจนผมคิดว่ามันไม่น่าใช่การแสดงออกในภาวะปกติ

"ผมคงไปทำอะไรขัดใจคุณเข้าหล่ะสิ"       ตอนนี้ผมคงคิดออกแค่อย่างเดียว

"เฮอะ! อย่าถามทั้งๆที่รู้เลยค่ะ"       เธอพ่นลมหายใจก่อนจะมองไปทางอื่น

"เพราะผมไม่รู้ต่างหากครับถึงถาม เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกเองนะคุณหลิน"       ตาสบตา ผมรอฟังเธอพูดต่อ

"หลินแค่จะบอกว่าอย่าหวังอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ"        เธอแสยะยิ้ม

"คุณหลินรู้ได้ยังไงครับว่ามันจะเป็นไปไม่ได้"
       
"อย่าเอาความผิดปกติของของคนอย่างพวกคุณมาทำให้คนอื่นไขว้เขวด้วยเลยดีกว่าค่ะ"        ความผิดปกติงั้นเหรอ? ผมมองเธอด้วยความสงสัย

"อย่างไหนเหรอครับที่คุณว่าผิดปกติ"

"หลินดูสายตาคุณออก ปฏิเสธสิคะถ้ามันไม่ใช่"

"จะให้ผมปฏิเสธทั้งๆที่ไม่รู้งั้นเหรอครับ"

"อย่าแกล้งโง่เลยค่ะ ท่าทางฉลาดอย่างคุณเชน หลินพูดแค่นี้น่าจะเข้าใจ"

"ผมจะทำความเข้าใจเฉพาะเรื่องที่ผมควรจะเข้าใจเท่านั้น ซึ่งเรื่องของคุณผมดูแล้วเห็นว่าคงไม่จำเป็น ที่ผมถามก็เพราะเกรงว่าจะเสียมารยาท แต่ผมว่าสำหรับคุณผมคงไม่ต้องรักษามันแล้วหล่ะมารยาทอะไรนั่น ผมขอตัวครับ"        ในเมื่อเธอไม่อธิบายหรือเข้าประเด็นเสียทีก็ไม่ควรที่ผมจะทนฟังคำเสียดสีต่อไป

"เดี๋ยวค่ะ!"       เธอเอ่ยขึ้นเสียงแข็งขณะที่ผมเตรียมหันหลัง

"..."

"เลิกยุ่งกับแมทซะเถอะคะ"       ถ้าผมเข้าใจคำพูดเธอไม่ผิด สุ้มเสียงที่แสดงความไม่พอใจแบบนี้คงเป็นเพราะเธอชอบแมทเหมือนกันงั้นเหรอ ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับคู่แข่งในเรื่องความรักที่เป็นเพศตรงข้าม

"ทำไมผมต้องทำแบบนั้นครับ"       ผมถามเธอกลับ

"แมทชอบผู้หญิงค่ะ ไม่ใช่ผู้ชายแบบคุณ"        สีหน้าและแววตาเธอบ่งชัดถึงความไม่พอใจที่มีมากขึ้น

"นั่นคือสิ่งที่คุณคิดไปเองหรือเปล่าครับคุณหลิน ถ้าหากแมทชอบผู้หญิงจริงๆ งั้นผมก็ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกังวล"        คนที่กังวลควรเป็นผมต่างหาก นั่นคือสิ่งที่ผมคิด

"เพราะคนอย่างพวกคุณเลยทำให้คนปกติกลายเป็นคนไม่ปกติ"

"อะไรของผมที่ทำให้คุณมองว่าผิดปกติ"

"คุณเป็นเกย์ คุณมันพวกวิปริต แล้วคุณก็จะมาทำให้แมทเป็นไปด้วย"

"นั่นคือสิ่งที่คุณมอง และผมคงไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติคุณได้"

"งั้นคุณก็ไม่ควรมาเปลี่ยนแมท อย่าใช้ความไม่ปกติอันเลวร้ายของคุณมาแพร่ใส่คนอื่น"

"ผมไม่ใช่เชื้อโรค และผมเดาว่าคุณคงไม่มีความมั่นใจ คุณถึงได้มาคอยห้ามผมลับหลังแมทแบบนี้"

"ถ้าไม่มีคุณ หลินคงเป็นคนเดียวที่อยู่ในสายตาแมทตอนนี้ ทำไมต้องเป็นคนแบบพวกคุณตลอดเลยนะ พวกคนน่ารังเกียจ"       น้ำเสียงที่ฟังดูเกรี้ยวกราดมากขึ้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลดละ

"หลิน พูดอะไรออกมาหน่ะ"        เสียงทุ้มที่เอ่ยขัด เป็นโอ้ตที่เพิ่งเดินเข้ามาถามขึ้น

"โอ้ต!"        ท่าทางคุณหลินดูตกใจไม่น้อยที่เห็นโอ้ต

"ถึงจะเป็นเพื่อนก็ควรมีขีดจำกัดกันบ้างนะหลิน"

"ถ้าไม่มีเขา ป่านนี้แมทคงเลือกหลิน หลินคงไม่ได้เป็นแค่เพื่อน"        แววตาที่อ่อนลง ไม่แข็งกร้าวเหมือนตอนที่คุยกับผม

"นั่นมันขึ้นอยู่กับไอ้แมท แล้วที่สำคัญเธอเป็นคนที่เคยทำให้มันถูกเป็นตัวเลือกมาก่อน แล้วตอนนี้เธอจะเป็นตัวเลือกบ้างก็ควรจะยอมรับนะ"        ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งคู่พูดถึง มันหมายความว่าแมทเคยชอบหลินมาก่อนงั้นเหรอ

"แต่หลินมาก่อนเขานะ"        คุณหลินพูดจบโอ้ตก็เอามือสะบัดหัวตัวเองก่อนจะท้าวสะเอวด้วยท่าทางจริงจัง

"ทำไมชอบอ้างว่ามาก่อนกันด้วยวะ มาก่อนไม่ได้หมายความว่าเขาต้องเป็นของเรานะเว้ยหลิน ความรักไม่ได้เลือกจากคนที่มาก่อนมาหลัง ถ้าคำนี้มันอ้างได้นะทั้งหลินกับพี่เชนไม่ได้มายืนทะเลาะกันแบบนี้หรอก"        ที่โอ้ตพูดมามันถูกต้องทุกอย่าง พูดจบโอ้ตก็เสมองไปทางอื่น

"พี่ไม่ได้ทะเลาะ แค่ปรับความเข้าใจ"       ผมอธิบาย

"โอ้ตพูดเหมือนแมทมีตัวเลือกมากกว่าหลินกับคุณเชน"        คุณหลินถาม

"ใช่ เรานี่ไง แล้วเราก็มีข้องอ้างเยอะกว่าทุกคนตรงนี้ด้วยนะ ข้ออ้างแรกเรามาก่อนทุกคน เราเจอมันก่อนที่มันจะเจอหลิน ข้ออ้างที่ 2 เรามีเวลาอยู่กับมันมากกว่าใคร ข้ออ้างที่ 3 เราเข้าใจกันทุกเรื่อง โดยที่ไม่ต้องพูดออกมา แค่มองตาก็เข้าใจ แค่นี้มันควรจะเพียงพอแล้วใช่ไหมหล่ะหลินถ้าข้ออ้างพวกนี้มันทำให้ใครสักคนมารักเราได้ แต่มันไม่ใช่ไง ต่อให้ทั้งหลินและเรามีอีกสิบอีกร้อยข้ออ้างก็ไม่พอ เพราะข้ออ้างเดียวเท่านั้นที่จะเพียงพอคือเราต้องเป็นคนแรกที่มันคิดถึง ไม่ว่าจะทำอะไร และตอนนี้มันก็ไม่ใช่ทั้งเราแล้วก็หลิน เข้าใจแล้วใช่ไหม"        ผมตกใจไม่น้อยที่รู้ว่าโอ้ตเองก็ชอบแมท ผมรู้สึกได้ถึงความเสียใจของโอ้ตนะ รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของโอ้ตฟังดูเศร้าต่างจากสีหน้าที่เคร่งขรึม

"ทำไมชีวิตต้องมาเจอแต่คนพวกนี้ด้วยนะ"        เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

"ไม่ใช่ใครอยากจะเป็นก็เป็นนะหลิน มันเป็นเรื่องของความรู้สึก เรื่องของจิตใจ สำหรับบางคนก็เป็นผู้ชายคนไหนหรือใครก็ได้ แต่สำหรับบางคนต้องแค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้น แค่คนนี้เลยทำให้เขาเป็นแบบนี้ความรักรูปแบบนี้มันก็เหมือนผู้หญิงกับผู้ชายนั่นแหละ อย่าใจแคบสิหลิน ถึงเราจะไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างมินกันหลินเป็นยังไง แต่หลินก็ไม่ควรเอาเรื่องไอ้มินมาตัดสินคนทั้งโลก แล้วอีกอย่าง การที่เรามีความรู้สึกต่อใครสักคนในรูปแบบนี้ก็ไม่ใช่โรคติดต่ออย่างที่หลินว่าพี่เชนไปเมื่อกี้ด้วย มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ซึ่งถ้าหลินดีพอ หลินก็ควรจะมั่นใจ"       ผมไม่รู้ว่าโอ้ตยืนฟังอยู่นานแค่ไหน ถึงได้ยินแม้กระทั่งคำถากถางพวกนี้

"นี่โอ้ตกำลังจะบอกให้หลินปล่อยมืองั้นเหรอ"        โอ้ตพยักหน้าแทนคำพูด

"การต้องปล่อยไปทั้งที่ใจไม่อยากนี่มันเศร้านะหลิน เราเข้าใจ แต่รู้ไหมอะไรที่แย่กว่านั้น"        คุณหลินที่น้ำตาเริ่มคลอเหมือนจะร้องไห้ และน้ำเสียงของโอ้ตที่ทำให้ผมเชื่อว่าโอ้ตเองก็คงรู้สึกเศร้าไม่ต่างกัน

"ก็คือการไม่พร้อมจะปล่อยมันไป ทั้งที่ไม่มีหวังที่จะยึดถือหรือไขว่คว้าเอาไว้กับตัวไงหล่ะ"        การที่คุณหลินร้องไห้ออกมาแบบนั้นมันทำให้ผมรู้สึกไม่ดีจริงๆ มันเหมือนผู้ชายสองคนกำลังรังแกผู้หญิงตัวเล็กๆอยู่ ถึงความจริงจะไม่ใช่อย่างนั้นก็ตาม

"หยุดเถอะ ไอ้แมทเองก็เคยเจ็บปวดกับหลินมามากมาย หลายครั้ง แล้วตอนนี้มันถอยมาอยู่ในที่ของมัน อย่ากลับมาอีกเลย เราเหนื่อยที่จะปกป้องมันแล้ว"       คำพูดของโอ้ตที่ทำให้ทุกคนต่างก็เงียบและมองหน้ากัน

"หลินขอตัว ฝากบอกแม่กับแมทด้วย"       การที่เห็นเธอยอมถอยง่ายๆ แต่ความเป็นจริงแล้ว มันอาจจะไม่ง่ายสำหรับเธอผมเข้าใจ และมันก็ไม่ง่ายสำหรับเราทุกคนที่เผชิญหน้ากันอยู่ตรงนี้ด้วย

"เอ่อ"        ผมไม่รู้ว่าควรพูดอะไรตอนนี้ดี

"พี่ไม่ต้องพูดอะไรหรอก ผมโอเค"        โอ้ตยกมือเป็นเชิงห้าม

"ที่บอกว่าเหนื่อยที่จะปกป้องแมท"       ผมถาม

"เหนื่อย ใช่ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเลิกทำ ผมเหนื่อยก็แค่พัก ถ้าหากวันนึงพี่ทำมันเจ็บ ผมนี่แหละที่จะลุกขึ้นมาปกป้องมันอีกครั้ง ระวังตัวไว้ด้วยละกัน"        ถึงมุมปากของโอ้ตจะเหยียดยิ้ม แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความหวังดีผ่านคำพูด

"พี่ขอบคุณนะที่โอ้ตคอยปกป้องแมทมาตลอด"        โอ้ตต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกันนะที่จะพยายามปกป้องความรู้สึกของคนที่ตัวเองรักโดยไม่ล้ำเส้น

"ผมไม่ได้ทำเพื่อพี่ ผมทำเพื่อตัวเอง ไปกันเถอะ แม่คงบ่นถึงขนมแย่แล้ว"        พูดจบก็เดินนำไปโรงครัว สิ่งที่ผมได้ยินจากโอ้ตวันนี้ทั้งๆที่ใจอยากแต่ผมคงยังไม่สามารถคิดเข้าข้างตัวเองได้ และสิ่งหนึ่งที่ผมรู้คือโอ้ตเป็นคนดีกว่าที่ผมคิด อย่างน้อยเขาก็ไม่ใช่คนฉวยโอกาสในความสัมพันธ์โดยใช้ความใกล้ชิด

.......................................................................

       
"หายไปไหนมาวะ หลวงพ่อฉันท์จะเสร็จแล้วเนี่ย"       แมทถามโอ้ตหลังจากรับถาดขนมจากมือผมไป

"แม่ครับ หลินขอตัวกลับก่อนนะครับ เห็นว่ามีธุระด่วน"       โอ้ตเลือกจะหันไปบอกแม่แทนที่จะตอบแมท

"อ้าวเหรอจ้ะ สงสัยคงรีบมากจริงๆ แล้วโอ้ตกับพี่เชนหายไปไหนมาตั้งนาน"

"รอกันไปรอกันมา ยืนคุยกันจนลืม เพิ่งนึกออกตอนหลินจะกลับนี่แหละครับว่าแม่ให้มาเอาขนม"       แม่มองค้อนโอ้ตอย่างไม่จริงจังนัก

"บอกกูมาว่ามึงหายหัวไปไหน"       แมทกระซิบถามที่ข้างหูโอ้ตแต่มันดังจนไม่เป็นเสียงกระซิบ เพราะผมที่นั่งห่างออกมายังได้ยิน

"เออน่า สนใจโน่นเถอะ"       โอ้ตไม่ได้ตอบคำถามและพยักเพยิดหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่พระท่านนั่งอยู่

.......................................................................


"วันนี้เป็นวันดีนะลูก ได้มาวัดกันพร้อมหน้าพร้อมตา ขาดก็แต่ยัยมัทคนเดียว"       แม่พูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม

"ใช่ค่ะน้าศิ นี่เมเองก็ไม่ได้เข้าวัดมานานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้"

"ต้องหมั่นทำบุญทำทานกันบ้างนะลูก ประคองจิตให้อยู่ในรสพระธรรมจะได้รู้จักผิดชอบชั่วดี"       พอแม่พูดจบ แมทก็เดินไปกอดคอโอ้ตแล้วถามขึ้น

"ที่แม่กูพูด มึงได้ยินไหมวะโอ้ต"

"หึ"       โอ้ตเหล่มองคนข้างตัวก่อนจะพูดประโยคหนึ่งออกมาด้วยรอยยิ้ม

"ถ้าคนอย่างกูไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ตอนนี้มึงกับกูอาจจะไม่ใช่เพื่อนกันแล้วก็ได้"       สังเกตเห็นท่าทางสงสัยของทุกคนที่มีกับประโยคที่คงไม่มีใครเข้าใจนอกจากเจ้าตัวและผมที่เพิ่งรับรู้มันเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา ผมคิดว่าคงตีความหมายไม่ผิด ผมอยากรู้ว่าโอ้ตเหนื่อยไหมที่ต้องทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกอะไรต่อหน้าแมท

"จ้ะๆ ลูกแม่ดีกันทุกคนเลย"       แม่เอ่ยขึ้นทำลายความสงสัยของทุกคน

"โธ่! ป้าศิ ขัดทำไมคะ อย่างนี้ฟินก็อดรู้เลยว่าพี่โอ้ตหมายความว่ายังไง"      ท่าทางเบะปากเหมือนเด็กเอาแต่ใจของน้องฟินเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคน

"แล้วหลานละคะดีหรือเปล่า"       น้องเฟย์ถามขึ้น

"จ้า ทั้งลูกทั้งหลานเลย เอ้อ เกือบลืมไปเลย วันนี้แวะไปทานข้าวเย็นที่ร้านนะลูก พี่เชนกับน้องเม แม่จะเข้าครัวเองเลยเพื่อเลี้ยงขอบคุณพี่เชนที่ช่วยดูแลแมทแล้วก็ป้าจะได้คุยกับน้องเมเรื่องบ้านด้วยนะลูก"

"ยินดีเลยค่ะ เมทนรอถึงมื้อเย็นไม่ไหวแล้วนะคะเนี่ย คิดถึงอาหารฝีมือน้าศิจะแย่แล้วค่ะ"       เสียงหัวเราะของเมที่ล้อไปกับคำพูดสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนได้เป็นอย่างดี

"เสียดายจังเราสองคนต้องไปเรียนพิเศษ หยุดก็ไม่ได้ ต้องสอบอาทิตย์หน้าแล้วด้วย"       สองแฝดสาวบึนปากหลังพูดจบแสดงอาการเสียดายดูแล้วน่ารักสมวัย จนทำให้ผมยิ้มตาม

"เลิกกี่โมงหล่ะ เดี๋ยวพี่ไปรับ"       แมทถาม

"ทุ่มครึ่งอ่ะพี่แมท จะไปรับน้องจริงๆเหรอ"       แมทพยักหน้าแทนคำตอบให้กับคำถามของน้องฟิน

"ไม่ใช่แล้วฟินจำผิด วันนี้อาจารย์นัดสอนเพิ่ม เราต้องเลิกสองทุ่มต่างหาก แล้วก็ไม่รู้ว่าสองทุ่มจะทำแบบฝึกหัดเสร็จทันรึป่าว"       เดี๋ยวนี้เด็กมัธยมต้องเรียนหนักกันขนาดนี้เลยเหรอ

"ถ้าอย่างนั้นพี่ว่าสั่งใส่กล่องไว้ให้ดีกว่า ฮ่าๆ ตั้งใจเรียนนะเด็กๆ"       โอ้ตพูดพลางลูบหัวน้องเฟย์ ทำให้น้องต้องมองเหล่ด้วยหางตา

"เสียดายอ่ะ แต่เฟย์บอกแม่ให้มารับแล้วแหละพี่แมท ไม่เป็นไรค่ะ อดกินข้าวฝีมือป้าศิสักวันคงไม่ทำให้กระเพาะเราสองคนเป็นกรดน้อยลงหรอกเนอะฟินเนอะ"       น้องฟินพยักหน้าเห็นด้วย

"เดี๋ยวเถอะ ไปๆ ขึ้นรถกลับบ้าน เจอกันที่ร้านตอนเย็นนะจ้ะน้องเมกับพี่เชน"

"ครับ"

"ค่ะป้าศิ"       ทั้งผมและเมยิ้มตอบพร้อมกัน

.......................................................................


โอ้ตเดินมารั้งแขนผมไว้ขณะที่กำลังจะขึ้นรถ

"พี่! อะไรที่รับรู้ไปวันนี้ไม่ต้องบอกมันนะ เก็บไว้อย่างนั้นแหละ หรือจะลืมไปเลยก็ได้"       พูดด้วยเสียงที่เบาคล้ายจะกระซิบ

"ทำไมหล่ะ"       ผมเลิกคิ้วถาม

"ผมไม่อยากให้มันลำบากใจ"       โอ้ตตอบด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความหวังดี บนใบหน้าที่ดูจริงจัง
 
"พี่อยากรู้จริงๆว่าโอ้ตต้องใช้ความพยายามมากขนาดนั้นที่จะไม่ล้ำเส้นเกินคำว่าเพื่อน"

"เหอะๆ ไม่ใช่ผมหรอกที่พยายามไม่ล้ำเส้นแต่เป็นมันมากกว่าที่มองข้าม คงเพราะผมอยู่ใกล้เกินไป"

"สำหรับมันผมเป็นได้แค่เพื่อนนี่แหละดูท่าจะเหมาะที่สุดแล้ว"        คำพูดกับท่าทางที่ดูฝืนๆว่ายอมรับ ผมคงไม่สามารถอดทนได้ขนาดนี้

"โอ้ตใจกว้างกว่าที่พี่คิดนะ"

"ไม่หรอกพี่ ผมแค่กลัวว่าถ้าเปลี่ยนตัวเองไปอยู่ในสถานะอื่นแล้วมันจะไม่มีเพื่อนดีๆที่คอยดูแลมันต่างหาก"       ทั้งรอยยิ้มและความรู้สึกที่แสดงออกทางแววตา บอกให้ผมมั่นใจว่าสิ่งที่โอ้ตมีให้แมทคือความจริงใจจนผมสัมผัสได้จริงๆ

.......................................................................


Matt Part

"มึงไปคุยไรกับพี่เชน"

"กูไปทำหน้าที่เพื่อนที่ดี บาปฉิบเลยกูวันนี้ ทำบุญยังไม่ทันกรวดน้ำก็สร้างบาปซะละ ต่อไปนี้มึงคงต้องยกย่องกู"       ผมเกลียดรอยยิ้มมุมปากที่ดูกวนประสาทของมันจริงๆ

"เมื่อไหร่จะเลิกพูดอะไรงงๆสักทีวะ"             ผมเบื่อคำพูดของมันที่ให้ต้องแปลความ

"เออ ไม่มีไรหรอก แวะส่งกูที่บ้านก่อนด้วยนะ มื้อเย็นวันนี้กูคงไม่ได้ไป"

"อ้าว ทำไมวะ"        ผมอยากให้มันอยู่ด้วยนะ มีมันแล้วผมอุ่นใจกว่า

"ยังไม่ได้เคลียร์งาน หลายอย่างเลยมึง"

"วันนี้วันหยุดมึงไม่ใช่เหรอ"

"เออ กูมีหลายงานมึงไม่รู้หรอก สนใจตัวมึงเองเถอะ มีโอกาสแล้ว คุยกับพี่เขาให้เข้าใจนะเว้ย อย่าเก็บปัญหากับความไม่สบายใจเอาไว้ที่มึงคนเดียว และไม่ว่าจะหัวหรือก้อยกูก็จะอยู่ข้างๆคอยช่วยมึงเอง"        พูดซะอย่างกับว่าผมกำลังผิดใจกับคนรักอย่างนั้นแหละ

"อย่ามาพูดทำซึ้ง"

"พี่ซึ้งได้มากกว่านี้อีก ลองไหมคะ"       พูดไปก็ยิ้มไป ผมหมั่นไส้รอยยิ้มหวานๆของมันที่คงโปรยไปทั่วแบบนี้จริงๆ

"พอเลย แม่กูมองตาเขียวแล้วโน่น"       ชี้มือไปทางแม่ที่ยืนรออยู่ข้างรถก่อนจะย้ายมือมาตบลงไปที่บ่ามันเบาๆ       "แต่ยังไงก็ขอบใจมึงมากนะที่เข้าใจกู"

"ก็มึงเป็นเพื่อนกูนี่หว่า"        นอกจากมัน คงไม่มีใครเข้าใจผมขนาดนี้ ชีวิตนี้ผมคงหาเพื่อนแบบมันไม่ได้อีก

.......................................................................


❤  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤ อยู่ด้วยกันก่อนนะ ^^ อย่าเพิ่งทิ้งกันไป ทนความน่าเบื่อและเรื่อยๆอีกแปบ แหะๆ คนอ่านบอกนี่น่าเบื่อและเรื่อยๆมาตั้งแต่ต้นเลยนะ จะ 20 ตอนละพระนายยังไม่ได้จีบกันจริงจังซะที นี่นะจะบอกว่าอิคนแต่งก็เฝ้ารอเหมือนกัน ไม่อยากเก็บความฟินไว้ลำพังเลย ฮ่าๆๆๆ
❤ อย่าลืมแวะมาติดแท็ก #รักระหว่างทาง พูดคุยกันเนอะ ^^
❤ แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 28-04-2015 06:03:50
เห็นใจโอ๊ตอยู่นะ
แต่โอ๊ตก็คงมีความสุขบ้างตามประสา
แมทน่ะซื่อจะตาย คงไม่ได้คิดอะไร
ก็เลยไม่รู้ว่าโอ๊ตคิดกีบตนมากกว่าเพื่อน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: Celestia ที่ 29-04-2015 18:03:39
ดีนะที่หลินจะยอมถอยอะ อย่างน้อยก็ยังมองหน้ากันติด แต่ที่ว่าเหมือนความเป็นเกย์นี่แพร่เชื้อได้เนี่ย ไม่โอเลย เหมือนคนพาลมาก

ป.ล. โอ๊ตอกหักแบบนี้ สนใจคนดามใจไหมคะ? พี่เมหรือหลินดี??55555
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: gwaiplay ที่ 29-04-2015 18:15:08
หลินทำถูกแล้ว  o13
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 29-04-2015 18:55:07
พี่เชนยังไปไม่ถ๖งไหนเลยอะเมื่อไหร่จะได้บอกนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 29-04-2015 19:36:50
โอ๊ต ใจนายหล่อมาก
วอนหาเนื้อคู่ปลอบใจที
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 29-04-2015 22:24:40
สงสารโอ้ต

อย่าทำให้แมทเสียใจนะพี่เชนไม่งั้นให้ให้โอ้ตเอาคืน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 19 [28-04-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 29-04-2015 23:08:19
 :-[ :-[
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 03-05-2015 22:03:00
ตอนที่ 20


Matt Part


          ยังไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับหลินให้เข้าใจเลย ดันกลับไปซะก่อน ผมต้องเคลียร์ตัวเองอย่างที่โอ้ตบอก ถ้าลำพังตัวผมเองคงไม่รู้หรอกว่าใครจะรู้สึกยังไง ผมมองไม่ออก มันไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น ในความคิดผม การจะชอบใครสักคนเราควรบอกเขาตรงๆไปเลยสิ จะมาอิดออดแอบๆทำ อีกฝ่ายเขามีสัมผัสที่ 6 เหรอ หรืออ่านใจใครได้ เขาถึงจะสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เพราะผมคิดแบบนี้ นิยายที่ผมเขียนเลยมักจะต้องให้การกระทำมันควบคู่ไปกับคำพูดคำอธิบายบ้าง ในชีวิตจริงก็เช่นกัน ผมคงไม่กล้าทึกทักเอาเอง ถ้าคิดน้อยกว่าที่เป็นก็คงไม่เท่าไหร่แต่ถ้ามันมากเกินไปหล่ะ มันคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

          ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมเหนื่อยนะ ไม่ใช่เหนื่อยที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหรือทำอะไรต่อมิอะไร แต่มันเหนื่อยที่หัวใจมันเต้นเร็วจนเกินไป สาเหตุมันก็มาจากพี่เชน ทุกรอยยิ้มกับสายตาที่บังเอิญมองตรงกัน มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น ใจเต้นเร็วขึ้นทุกครั้ง แล้วมันก็เกิดขึ้นบ่อยด้วยสิ ผมเองก็จำไม่ได้หรอกว่าตอนรู้สึกชอบหลินเมื่อก่อนนั้นหัวใจผมมันสูบฉีดเลือดรวดเร็วขนาดนี้ไหม แต่ถ้าเท่าที่จำได้ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พี่เชนเป็นคนแรกที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ เป็นความรู้สึกใจสั่นแบบที่แตกต่างจากตอนแข่งวิ่งสมัยมัธยม ตื่นเต้นกว่าตอนสอบเอนทรานซ์ ใจเต้นแรงกว่าตอนเสนอพลอตนิยายเรื่องแรกซะอีก นี่ผมคงทิ้งห่างความรู้สึกรักชอบมานานมากเกินไป ถึงได้รู้สึกแปลกใหม่ได้ขนาดนี้

"แมท"

"ครับแม่"       ผมมัวแต่จมอยู่กับความคิดจนแม่เดินเข้ามาในห้องตอนไหนยังไม่รู้ตัวเลย

"นี่คิดงานหรือมัวนั่งคิดอย่างอื่นอยู่"       แม่เดินมายืนข้างผมที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน

"ทำไมแม่ถึงคิดว่าแมทคิดอย่างอื่นอยู่ละครับ"       แม่พูดไปพลางใช้นิ้วโป้งนวดคลายปมระหว่างคิ้วผม

"ไม่รู้สิ เท่าที่แม่เห็นทุกครั้งแมททำงานด้วยรอยยิ้มนะไม่ใช่ขมวดคิ้วแล้วนั่งกัดเล็บแบบนี้"       ถึงกับสะดุ้งแล้วเอานิ้วห่างจากปากทันที

"แม่รู้จักแมทดีเกินไปแล้ว"       พูดพลางเงยหน้าขึ้นมอง

"นี่แม่นะ ไม่รู้จักลูกตัวเองก็แสดงว่าคงไปฝากใครเลี้ยงมาแล้วแหละ"       จับไหล่ผมแล้วก็ยิ้ม

"แม่ๆ ที่แม่เคยบอกแมทกับพี่มัทว่าจะมีแฟนยังไงก็ได้ โตแล้วแม่ไม่ห้ามแค่อย่าพากันเสียก็พอ แม่ยังจำได้ไหม"       ผมเริ่มถามในสิ่งที่กังวล

"จำได้สิ"       แม่พยักหน้าก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างโต๊ะทำงาน

"แล้วที่แม่เคยบอกว่าอยากให้แมทมีแฟนแบบที่ดูแลแมทได้หล่ะ แม่คิดอย่างที่เคยบอกจริงๆรึเปล่า"       ผมถามขึ้นระหว่างพาตัวเองไปนั่งข้างๆแม่

"อะไรทำให้แมทต้องมาถามแม่เรื่องนี้ หืม"       ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่กำลังใช้ฝ่ามือจับเข้าที่ข้างแก้มผม

"แม่ แม่รักแมทไหม"       ผมเอาแต่มองตาแม่อยู่อย่างนั้น

แม่ยิ้มก่อนจะตอบ       "รักสิ"

"งั้นแม่ตอบแมทมาตามความจริงนะ"

"จ้ะ"

"แม่รู้สึกยังไงเวลาเจอคนที่แม่รัก"

"ก็คงรู้สึกดีมากๆละมั้ง ว่าแต่คนที่รักในรูปแบบไหนหล่ะที่แมทต้องการคำตอบ"

"ไม่รู้สิแม่ คนที่เรารักทั้งหมดนั่นแหละ รูปแบบไหนก็ได้"

"มันเหมือนกันซะที่ไหนหล่ะลูก"

"เฮ้อ..."       ผมถอนหายใจก่อนจะทิ้งตัวนอนหนุนตักแม่เอาไว้

"แม่"       

"หืม"       แม่ตอบขณะที่ก้มลงมองหน้าผม

"แม่ตื่นเต้นไหมตอนเจอพ่อครั้งแรก"       แม่หัวเราะเล็กๆกับคำถามผม

"แม่ก็จำไม่ค่อยได้หรอก รู้แต่ว่าพ่อทำให้แม่ยิ้มบ่อยมากเลยนะตอนนั้น"       ผมก็เชื่ออย่างนั้น ขนาดตอนนี้แค่เล่าให้ฟังแม่ยังยิ้มเลย

"แล้วแม่ใจสั่นไหมตอนพ่อจีบ"       แม่ยิ้มแล้วลูบหัวผมเบาๆ

"ไม่นะ"       แม่ส่ายหน้า       "พ่อไม่เคยบอกว่ามาจีบแม่"     

"อ้าว ไหนแม่เคยบอกว่าพ่อจีบแม่ก่อนไง"     

          ผมขมวดคิ้วสงสัย นานมาแล้วสมัยที่พ่อยังมีชีวิตอยู่เรื่องนี้เคยเป็นประเด็นที่พ่อกับแม่มักจะแย่งกันอธิบายให้ผมกับพี่มัทฟัง พ่อก็มักจะบอกว่าแม่มาจีบพ่อ แม่ก็มักจะบอกว่าพ่อชอบมาหามาเฝ้าจีบถึงหน้าโรงเรียน เถียงกันไปมาสุดท้ายพ่อก็มักจะบอกว่าพ่อยอมแพ้แล้ว พ่อนี่แหละไปจีบแม่ก่อนก็ได้ นึกถึงตอนนั้นแล้วก็ทั้งตลกทั้งคิดถึง

"แม่ต้องพูดให้ตัวเองดูสวยไว้ก่อนสิ"       แม่พูดพร้อมรอยยิ้มและเชิดหน้าเล็กน้อยแสดงความภาคภูมิใจ

"สรุปคือแม่จีบพ่อก่อนสินะ ต้องไปบอกพี่มัทละว่าแม่ทำประวัติศาสตร์ผิดเพี้ยน"       แม่หัวเราะก่อนนะบีบจมูกผมเบาๆ

"ใช่ที่ไหน ตอนนั้นพ่อมาหาเพื่อนที่อยู่บ้านข้างๆบ้านยาย มาทุกวัน เลยเจอกันทุกวัน เห็นหน้าจนชินพอจะคบกันจริงจังเลยไม่ค่อยตื่นเต้นละมั้ง"

"แล้วที่พ่อเคยบอกว่าพ่อกับแม่รักกันเพราะเกิดฝนตกพายุเข้าพัดหลังคาร้านขนมหวานที่พ่อกับแม่เจอกันปลิวตกลงมาบาดหน้าพ่อ จนแม่ต้องพาไปทำแผลที่บ้านยาย แล้วแม่ก็ให้พ่อยืมร่มกลับบ้านตอนฝนตก บังเอิญมือพ่อกับแม่มาสัมผัสโดนกัน เลยสปาร์คจนคิดว่าคงเป็นเพราะความรักนี่เรื่องจริงหรือเปล่า"       ผมชักเริ่มจะไม่แน่ใจในประวัติบันทึกรักของพ่อกับแม่แล้ว

"นี่ยังเชื่อเรื่องนี้กันอยู่อีกเหรอ พ่อเขาก็พูดไปเรื่อย เห็นบ้างไหมหล่ะรอยแผลเป็นบนหน้าพ่อ"       ผมยกหัวจากตักแม่ขึ้นมานั่งในท่าปกติทันทีที่ได้ยิน ผมเคยสงสัยนะ แต่ก็ลบมันด้วยความเข้าใจที่ว่าวิวัฒนาการทางการแพทย์มันก้าวไกล คนห่วงหล่ออย่างพ่อคงไม่ปล่อยให้ตัวเองมีรอยแผลเป็นบนหน้าหรอก

"แสดงว่าไม่ใช่เรื่องจริงหน่ะสิแม่"

"ก็ใช่นะสิ"       นี่สรุปว่าพลอตของนิยายรักเรื่องแรกในชีวิตผมนี่มันมาจากจินตนาการพ่อล้วนๆเลยงั้นสิ

"แล้วเรื่องจริงคืออะไร แม่เล่าให้ฟังหน่อย"

"พ่อมาหาเพื่อนแต่พอดีเพื่อนไม่อยู่บ้านแล้วฝนตกก็เลยมากดออดบ้านยายเพื่อขอยืมร่ม แม่ก็เลยเอาออกไปให้พ่อยืม"

"แล้วรักกันได้ไงอ่ะ"       ผมทิ้งหัวลงบนตักแม่อีกครั้ง

"ยืมกันคืนกันมาหลายๆครั้งเข้าเพื่อนพ่อเลยเชียร์ให้คบกัน แม่เลยบอกลองดูก็ได้"

"โห! แม่ ตกลงง่ายไปนะ"

"ถ้าทำให้ยากแล้วแมทจะมานอนอยู่ตรงนี้ไหม"

"แม่ทำลายความภาคภูมิใจของลูกหมดจนไม่เหลือเลย"       ผมพูดด้วยน้ำเสียงแสร้งว่าผิดหวังแต่แม่กลับหัวเราะ

"แม่เคยเตือนแล้วนะว่าเวลาพ่อเล่าอะไรให้ฟังต้องหารร้อย ถ้าหน้าพ่อจริงจังหน่อยต้องหารพัน"       พ่อนะพ่อ

"มาคุยเรื่องของแมทดีกว่า ที่ถามแม่แบบนี้ แมทมีอะไรในใจใช่ไหม"       อยู่ๆแม่ก็เปลี่ยนประเด็นไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว

"แม่ครับ แมท..."       ผมก็ยังอึกอักที่จะตอบ ถึงแม้มือแม่จะกำลังลูบหัวผมนั้นมันทำให้รู้สึกสบายใจที่จะพูดออกมามากขึ้นก็ตาม

"นี่แม่นะแมท เห็นแม่เป็นนางแม่มดอยู่หรือเปล่าลูก แม่กลายเป็นคนที่น่ากลัวไปแล้วเหรอ หืม แมทถึงมีอะไรในใจแล้วไม่กล้าพูดออกมา"       แม่เลื่อนมือมาเกลี่ยผมก่อนจะวางมือไว้บนหน้าผากผมนิ่งๆอย่างนั้น

"แมทรักแม่นะ"       พูดบอกขณะสบตาแม่ ผมอยากให้แม่รับรู้ว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

"ถ้าแมทจะพูดกับแม่เรื่องโอ้ตก็พูดออกมาเถอะ"       แม่ยิ้มแล้วขยับเคาะปลายนิ้วบนหน้าผากผมเบาๆ

"ทำไมแม่ถึงคิดว่าแมทจะพูดเรื่องโอ้ตหล่ะ"

"เด็กคนนี้แม่เลี้ยงมาเองกับมือ เก็บปากถนอมคำตั้งแต่ไปส่งแม่ที่โรงแรมเมื่อวานแล้ววันนี้ก็มานั่งกอดเข่ากัดเล็บ ทำไมแม่จะดูไม่ออกว่าแมทกำลังกังวลหรือคิดอะไรอยู่"

"แมทรักแม่จัง"       ผมเอื้อมมือมากอดเข้าที่เอวแม่ ก่อนจะซบหน้าเข้ากับท้อง

"แล้วไม่โกรธเหรอที่แม่ห้ามเราสองคน"     ผมชอบเวลาแม่ลูบหัวให้แบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกว่าเรื่องใหญ่จะต้องกลายเป็นเรื่องเล็กๆได้เสมอ

"ไม่โกรธครับ เพราะถ้าแม่ห้ามจริงๆ แมทก็จะทำตามที่แม่บอก เพียงแต่ตอนนั้นมันรู้สึกเหมือนเพิ่งเจอทางออกแต่ด้านหน้าทางออกนั้นดันกลายเป็นเหวมากกว่า"

"แล้วเหวที่แมทเจอก็คงเป็นคำของพูดของแม่ละสิ"

"ไม่ใช่อย่างนั้น"

"ฟังแม่ดีดีนะแมท แม่ไม่ห้ามเลยถ้าลูกแม่จะรักใครหรือจะเป็นยังไง แม่ยอมรับได้ แต่จะต้องไม่มีใครเจ็บปวดหรือเดือดร้อนเพราะความรักของลูกนะ"       ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตาอีกครั้งหลังแม่พูดจบ

"แล้วถ้าแมทจะคบกับโอ้ตจะมีใครเดือดร้อนละครับแม่ ในเมื่อถ้าแม่เองก็ยอมรับได้"

"คิดง่ายๆนะแมท โอ้ตเป็นครอบครัวคนจีน ถึงจะแค่เสี้ยวหนึ่งก็เถอะ ยังไงเขาก็ต้องการให้ลูกชายคนเดียวของเขาสืบสกุลอยู่แล้ว การที่แมทจะมีความรักแบบนี้แมทต้องคำนึงถึงครอบครัวด้วยนะลูก"       นี่ขนาดครอบครัวโอ้ตแม่ยังกังวล แล้วถ้าเป็นครอบครัวพี่เชนหล่ะครึ่งๆเลยนะ เขาจะรับเรื่องแบบนี้ได้ไหม ถ้าแม่รู้แม่คงห้ามยิ่งกว่านี้แน่ๆ

"แล้วแม่ไม่อยากให้แมทสืบสกุลบ้างเหรอ แม่ไม่อยากมีหลานเหรอครับ"       แม่ชอบเด็กแม่น่าจะมีความสุขนะผมว่า

"คิดเอาเองทั้งนั้น อยากมีมันก็อยากมี แต่แม่อยากให้ลูกแม่มีความสุขมากกว่า แม่ไม่ไขว่คว้าหรือแบ่งปันความรักไปให้คนในอนาคตที่เขายังไม่เข้ามาหรอกนะ แม่อยากมีหลานก็จริง แต่ตอนนี้แม่ก็มีความสุขกับลูกๆที่แม่มั่นใจว่าจะให้ความสุขกับแม่ได้ แล้วอย่างนี้แม่จะต้องการมีมากกว่านี้ไปทำไมหล่ะ"       แม่ตอบพร้อมรอยยิ้ม

"งั้นถ้าแมทเกิดไปชอบผู้ชายเข้าจริงๆแม่ก็จะไม่ห้ามแมทงั้นเหรอ"

"มันก็ต้องดูเป็นกรณีไปนะลูก อย่างแมทกับโอ้ตแม่เตือนแม่ห้ามก็เพราะแม่รู้ว่าเราทั้งคู่ยังเป็นแค่เพื่อนกัน แม่ต้องเตือนตั้งแต่แมทยังไม่ได้คิดเกินเพื่อน แต่หากวันหนึ่งเราสองคนหลวมตัวรู้สึกกันไปมากกว่านี้ ทุกอย่างก็จะยุ่งยากขึ้น เพราะงั้นอะไรที่แม่จะป้องกันความเจ็บปวดที่จะเข้ามาหาลูกของแม่ได้ แม่ก็จะทำทุกอย่าง แมทเข้าใจที่แม่พูดไหมลูก"

"เข้าใจครับแม่"

"แมทดีใจนะที่แม่รับได้ คนคนนั้นไม่ใช่โอ้ตอย่างที่แม่เข้าใจหรอกครับ แล้วแมทเองก็ยังไม่มั่นใจเลยสักนิดว่าครอบครัวเขาจะรับได้ไหม แมทควรจะหยุดความรู้สึกตัวเองเพื่อไม่ให้เขาลำบากใจใช่ไหมแม่"

"ถ้าทางเขารับได้ แม่จะไม่ห้ามแมทเลยสักนิดลูก แต่ถ้าเขารับไม่ได้แม่จะไม่บอกให้แมทพยายามทำให้เขารับได้หรอกนะ แม่จะไม่พยายามทำในสิ่งที่แม่รู้ผลลัพธ์ของมัน เพราะถ้าเขารับไม่ได้มันก็เหมือนแม่ส่งลูกของแม่ไปทำให้เขาเดือดร้อน ต้องทุกข์และลำบากใจ และลูกแม่เองก็ต้องทุกข์ใจไม่ต่างกัน"

"นั่นสินะ แล้วแมทควรทำยังไงดีครับ" ผมไม่รู้จริงๆ ผมกลัวไปหมด

"ทุกทางออกของปัญหาแมทเท่านั้นที่เป็นคนเลือกนะลูก แม่ทำได้แค่แนะนำไม่ใช่นำทาง ถ้าแมทถามคนอื่นๆ คำตอบก็จะต้องเป็นไปในแนวทางของเขา มันอาจจะไม่ถูกใจแมทไม่ใช่ในแบบที่แมทต้องการหรือถ้าถูกใจก็ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาใช้ในสถานการณ์จริงของแมทได้เสมอไป ชีวิตมันอาจจะราบรื่นหรือขุระ แมทต้องยอมรับมัน แม่เตือนแม่ห้ามหรือแม่เห็นด้วยก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการตัดสินใจเท่านั้น สุดท้ายแมทก็ต้องเป็นคนเลือกเอง แต่ถ้าทุกอย่างมันราบรื่นแม่ยินดีรับเขาเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวเราจ้ะ"       รอยยิ้มของแม่ทำให้ผมรู้สึกว่าแม่หมายความตามที่พูดจริงๆ

"แล้วถ้าคบไปวันหนึ่งแมทต้องผิดหวัง แม่จะอยู่ข้างๆแมทไหม"       แม่พยักหน้า

"แม่นี่แหละที่คอยปลอบใจลูกเอง"       และรอยยิ้มของแม่ก็สนับสนุนคำพูดได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็ไร้บทสนทนาใดๆจากเราทั้งคู่ มีแค่อ้อมกอดอันอบอุ่นและปลอดภัยที่ไม่ว่าจะโตกว่านี้สักแค่ไหนผมก็จะยังกลับมาพักพิงตรงนี้ได้เสมอ

.......................................................................


แม่ไม่เข้าครัวทำอาหารเองที่ร้านมานานมาก แต่วันนี้คงอยากให้มันพิเศษถึงได้ทั้งทำและกำกับเองทุกขั้นตอน

"น่ากินทุกอย่างเลย ชักจะอิจฉาแขกของแม่แล้วนะเนี่ย"       ผมพูดหลังจากก้มสำรวจอาหารแต่ละจานของแม่

"อิจฉาทำไม มีของโปรดแมทด้วยนะ"       พูดจบแม่ก็ยื่นจานไก่ทอดซอสมะนาวมาให้ผมเลยต้องพาตัวเองมาดมใกล้ๆโต๊ะเตรียมอาหารกลางครัว

"แล้วของมัทละคะแม่"       พี่มัทที่เพิ่งเดินเข้ามาในครัวเบะปากถามหาจานโปรดของตัวเองก่อนจะมายืนข้างผมที่ยืนพิงผนังข้างโต๊ะใกล้ๆเตาทำอาหารที่แม่ยืนอยู่

"นี่ไงๆ แม่ไม่ลืมหรอกน่า"       แม่ยื่นจานกุ้งผัดซอสมะขามข้ามโต๊ะเตรียมมาตรงหน้าพี่มัท

"แค่เห็นก็หิวแล้วอ่ะ ไม่รู้ว่าพี่เมกับคุณเชนมากันหรือยังเนอะแม่เนอะ"       พูดกับแม่แล้วทำไมต้องชายหางตามามองผม

"พี่เชนชอบทานอะไรรู้ไหมแมท แม่เลือกทำหลายอย่างไม่รู้จะถูกใจหรือเปล่า"       แม่ก็อีกคน ถึงจะไม่ใช้สายตายแบบที่พี่มัทมองผมก็เถอะ

"แมทไม่รู้หรอกแม่ มันยากไป ง่ายๆแค่ใจยังไม่รู้เลยมั้ง"       มองมาเต็มๆตาเลยเหอะ เหล่อยู่นั่น

"พูดอะไรเข้าใจยากจังมัท"       แม่ขมวดคิ้วถาม

"ว่าแต่พูดถึงพี่เชนนี่แม่ชอบเขานะ แม่ว่าเขาหล่อ สุภาพ มีมารยาท พูดเพราะ น่ารักดี"       แม่พูดบอกในขณะพี่มัทกำลังนับนิ้วตาม

"โห! แม่ นี่เจอครั้งเดียวข้อดีเยอะแยะ นิ้วหมดไปข้างนึงเลยเนี่ย"       พูดไปก็ถลึงตาทำท่าตกใจไปด้วย แสดงออกเกินคำพูดตลอด

"ก็พี่เชนเขาดีจริงนี่ ผิดกับลูกแม่ที่เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ"       แม่ถึงกับพูดไปส่ายหน้าไป

"อยากได้เป็นลูกเขยไหมแม่ ถ้าชอบขนาดนี้"       เมื่อกี้ก็เหล่มอง แล้วตอนนี้ก็มายิ้มกรุ้มกริ่มอีก

"พูดจาให้มันพองามมัท"       แม่บอกพร้อมหรี่ตามอง

"ออกไปหน้าร้านเถอะไป แม่ไล่นี่ไม่ต้องน้อยใจนะ เพราะมัทชอบพูดอะไรที่ต้องทำให้แม่ปวดหัวทุกที"       แม่สะบัดมือเป็นเชิงไล่ แต่อย่างพี่มัทเหรอจะน้อยอกน้อยใจ กลับกันสิ เชิดหน้าระรื่นแถมก่อนออกจากครัวยังมากระซิบข้างหูผม

"มัทไม่ได้หมายถึงเขยของมัทซะหน่อย เนอะแมทเนอะ"       แล้วยังหัวเราะตามหลังเสียงดังอีก ผมบอกตัวเองไม่ให้คิดตามคำพูดพี่มัท

.......................................................................


โต๊ะที่มองเห็นวิวทะเลเต็มไปด้วยอาหารฝีมือแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ข้างซ้ายมือของแม่คือพี่มัทกับผมที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ส่วนพี่เชนก็นั่งอยู่ตรงข้ามผมข้างๆพี่เม

 "อร่อยเหมือนเดิมเลยค่ะน้าศิ"       พี่เมเอ่ยชมฝีมือแม่ด้วยรอยยิ้มทั้งปากทั้งตา

"อร่อยจริงๆครับ"       พี่เชนยิ้มบอก

"นี่สินะรอยยิ้มแบบเทพบุตรที่แม่ว่า"       ผมกระซิบบอกพี่มัทที่นั่งข้างๆ

"เหรอ?!? แกบอกเองป่ะแมท แม่พูดคำว่าเทพบุตรด้วยเหรอ ความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆเลยหรือเปล่า"       ทำไมต้องพูดเสียงดังแล้วหรี่ตามองผมอย่างนั้น ถึงแม่ไม่ได้พูดคำนี้แต่เอาทั้งหมดที่แม่บอกมารวมกันก็คงไม่ต่างเท่าไหร่หรอก

"อะไรกันสองคนนี้"       แม่หันมาถามเราสองคนพี่น้อง แต่ผมกลับพี่มัทกลับส่ายหน้า แม่เลยหันไปอีกทางแทน

"แม่ขอบคุณพี่เชนอีกครั้งนะคะสำหรับเรื่องแมท"       

"ยินดีครับ"       ก้มหัวแบบนี้สินะคือความสุภาพแบบที่แม่ชอบ

"พี่เชนชอบทานอะไรแม่ก็ไม่ทราบ ถามแมทก็ไม่บอก หวังว่าอาหารฝีมือแม่จะถูกใจพี่เชนนะคะ"       พี่เชนจะมองหน้าผมทำไมก็ไม่รู้ ผมไม่ได้ไม่บอกซะหน่อย แค่ไม่พูดเพราะผมไม่รู้ต่างหาก

"ถูกใจมากเลยครับ อร่อยทุกอย่าง"       

"แม่ดีใจจังค่ะที่ได้ยินแบบนี้"       แม่ผมยิ้มแก้มจะปริแล้วนั่น

"น้าศิบอกเมที่วัดว่าจะคุยเรื่องบ้านใช่ไหมคะ"       

"อ่อจ้ะ"       ขอบคุณพี่เมที่ทำให้แม่ผมไม่ต้องฉีกยิ้มมากไปกว่านี้

"มีคนจะเช่าเหรอคะหรือว่าสนใจซื้อ"       พี่เมหันมาถามแม่

"น้านี่แหละค่ะน้องเม ว่าจะซื้อเอาไว้เอง"       แม่วางช้อนแล้วหันไปคุยกับพี่เมอย่างจริงจัง

"แล้วใครอยู่ละคะน้าศิ หรือว่าน้าศิจะปล่อยเช่า"

"แม่คงซื้อเก็บไว้เผื่อลูกออกเรือนแหละค่ะพี่เม นี่ก็ใกล้ละ เนอะแมทเนอะ"       มาพยักหน้าใส่ผมทำไม ผมไม่รู้ด้วยซะหน่อย หันมาสนใจจานอาหารตรงหน้าดีกว่า

"ใครกันคะ น้องมัทหรือน้องแมท"       คำถามนี้ทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็เจอกับสายตาพี่เชนเข้าพอดี

"มัทก็พูดไปเรื่อยแหละค่ะ น้องเมลองเอาไปตัดสินใจดูนะคะ"       ผมได้ยินที่แม่พูดนะ แต่คนตรงหน้านี่สิจ้องกันขนาดนี้ผมก็ละสายตาไม่ได้เหมือนกัน พอเลิกคิ้วแทนคำถามกลับแค่ยักไหล่ซะงั้น

"แฮะแฮ่ม ฮึ่มๆ~"

"เป็นอะไรมัท"       แม่ถาม

"ก้อนน้ำตาลในอาหารคงสะกิดคอหน่ะค่ะ จั๊กกะจี๋จัง"       หรี่ตามองมาทางผมอีกแล้ว หลายครั้งแล้วนะพี่มัท

"มันละลายไปหมดแล้ว จะมาติดคอได้ไงมัท"       แม่ถาม

"สะเก็ดน้ำตาลมันคงปลิวมาจากนัยน์ตาคนแถวนี้ละมั้งคะแม่"       หืม! วิเคราะห์ได้ล้ำมากพี่มัท

"สงสัยจะจริงอย่างที่น้องมัทว่าค่ะ เมก็เริ่มจะติดคอแล้วเหมือนกัน"       พี่เมพูดกับแม่ แต่กลับชายหางตาไปทางพี่เชน

"นี่คงมีแค่แม่ที่ไม่เข้าใจใช่ไหม"       แม่เลิกคิ้วถาม

"ค่ะ"       พี่มัทและพี่เมตอบก่อนะหัวเราะออกมาพร้อมกัน

.......................................................................


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 03-05-2015 22:04:45
         

          หลังจากช่วงเวลาที่แสนวุ่นวายได้ผ่านพ้นไป วันนี้ผมควรเริ่มทำงานที่ค้างไว้สักทีก่อนที่ดินจะพอกหางผมไปมากกว่านี้ ว่าแล้วก็รีบตื่นมารดน้ำต้นไม้แต่เช้าก่อนจะไปทานข้าวเช้ากับแม่และพี่มัทแล้วขึ้นมาทำงานบนห้อง แต่นั่งทำไปสักพักก็รู้สึกว่าความคิดตันมาก ขนาดวันนี้อากาศไม่ค่อยร้อนยังคิดอะไรไม่ค่อยจะออกเลย เพราะงั้นผมเลยย้ายตัวเองออกจากห้องพร้อมขนโน้ตบุ๊คคู่ใจลงมารังสรรค์งานที่สวนหลังบ้านน่าจะดีกว่า จากวันนี้เป็นต้นไปผมคงได้ใช้เวลากับงานอย่างจริงๆจังๆสักที รู้สึกว่าตอนนี้ความขี้เกียจมันเริ่มปกคลุม สมาธิก็จะหายไป แต่ในที่สุดผมก็เปิดเกมส์แทนที่จะเปิดงาน เฮ้อ...ขยันไม่มีใครเกิน

"แมท"       

"เฮ้ย!"       อะไรของพี่เชนวะ อยู่ๆก็โผล่มาข้างหลัง ทำไมเป็นคนชอบมาแบบเงียบๆ

"พี่นั่งด้วยคนสิ"        เลื่อนตัวเองมาด้านข้างของโต๊ะที่มีโน้ตบุ๊คกับสมุดพลอตงานผมวางอยู่ก่อนจะค้ำมือลง

"เข้ามาได้ไงอ่ะ"       ผมเงยหน้าถาม ก่อนจะถอยตัวห่างออกมาอีกนิด อยู่ใกล้กันแบบนี้มันอันตรายเกินไป

"ก็เห็นประตูมันเปิดทิ้งไว้ เดาว่าแมทนั่งอยู่ตรงนี้เลยเดินมาหา"       เดาเก่งไปมั้ง ไม่ใช่ไปถามแม่มาหรอกนะ

"พี่คิดว่าจะเดินเข้าบ้านใครก็ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านหรือไง"

"งั้นขอนะ นั่งได้แล้วใช่ไหม"       ผมยังไม่ทันอนุญาตแต่พี่เชนก็พาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้สนามฝั่งตรงข้ามผม

"เรื่องของพี่เหอะ"       จะหย่อนก้นนั่งอยู่แล้วยังมาถาม

"เรายังไม่มีเวลาคุยกันจริงๆจังๆเลยนะ"       ผมปล่อยพี่เชนพูดไป ส่วนตาก็จับจ้องอยู่กับเกมส์ตรงหน้า

"ครับ พี่สบายดีรึเปล่า"       ผมถามคำถามตามมารยาทออกไปทั้งๆใจจริงอยากจะถามว่า 'พี่รู้ไหมว่าผมคิดถึงพี่มากแค่ไหน' มากกว่า

"เมื่อวานตอนเช้าที่พี่มาหา"       ถึงผมจะถามไปอย่างนั้นแต่ผมก็ยังต้องการคำตอบนะ ไม่ใช่มาเปลี่ยนเรื่องเอาดื้อๆแบบนี้

"ครับ"       ผมตอบรับ

"พี่จะมาถามว่าคุยกับโอ้ตรู้เรื่องแล้วใช่ไหม"       

"ทำไมถามงั้น"

"ก็ดูโอ้ตหงุดหงิดตอนลากแมทเข้าไปในบ้าน"       โหยพี่ มาถามช้าไปป่ะเนี่ย ผมคิดในใจ

"ก็ทะเลาะกันนิดหน่อย"       จริงๆแล้วไม่ใช่เลยสักนิด คนอย่างโอ้ตมันก็ดราม่าไปเรื่อย สักพักมันก็หาย ที่จะโกรธหรือทะเลาะกันจริงจังหน่ะไม่มีหรอก

"อย่างงั้นเหรอ"       พี่เชนตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสบายใจ ผมรู้สึกได้

"เสียงพี่ฟังดูก็ไม่ได้กังวลนะ"       ปากผมพูดในขณะที่ตาก็พยายามหลบสายตาพี่เชน ผมเลือกที่จะจับจ้องอยู่ที่เกมส์ทั้งๆที่ไม่ได้มีสมาธิจะเล่นด้วยซ้ำ

"ก็ไม่มีอะไรที่น่ากังวล"

"พี่รู้ป่ะ ผมคงมีสมาธิทำงานมากกว่านี้ถ้าพี่เลิกมองผมซะที"       พี่ไม่รู้หรือไงว่าถ้าโดนคนที่เราแอบชอบมองแบบนี้มันทำให้เขินมากนะ มันสูญเสียสมาธิไปมากเลย แม้จะแค่เล่นเกมก็เถอะ

"หึหึ"

"หัวเราะไรของพี่วะ สบายใจที่ผมจะทะเลาะกับโอ้ตหรือไง"

"เปล่า"

"งั้นคงแค่ถามไปงั้นละสิ"

"ก็ไม่ขนาดนั้น พี่พอรู้ว่าโอ้ตทำไปเพราะอะไร"

"เพราะอะไร"       ปากพูด ตาผมกลับจ้องหน้าจอ เกมส์บ้าอะไรวะทำไมยากขนาดนี้ แพ้มาสี่ตารวดแล้วนะ

"เขาก็แค่ปกป้องเพื่อนของเขา"

"อย่างที่พี่เคยทำกับผม ตอนที่เราเจอกันครั้งแรก"       ครั้งนั้นยังจะดูใจร้ายกว่าที่โอ้ตทำด้วยซ้ำ แถมยังพูดจาไม่น่าฟังกับผมอีก

"คงใช่ โอ้ตคงแค่กันท่าพี่เพราะไม่ไว้ใจเหมือนกัน"

"พี่ก็รู้ตัวสินะ ว่าเคยทำตัวไม่น่ารัก เคยต่อต้านเพราะไม่ไว้ใจผม"       พี่จะยิ้มทำไมเนี่ย ลานสายตาผมกว้างพอที่จะเห็นหน้าพี่นะ ทำให้เขินอยู่นั่นแล้วเมื่อไหร่ผมจะกล้ามองหน้าพี่หล่ะ

"มันก็ไม่เหมือนกันซะทีเดียวนะ"       สำหรับผมมันก็ไม่ต่างกันนะ

"แล้วหลินหล่ะ ได้คุยกันบ้างหรือยัง"

"ทำไมถามถึงหลิน"

"ก็พอดีได้คุยกันนิดหน่อย"

"คุยอะไร"

"แมทเคยชอบหลินมาก่อนเหรอ"       ไปรู้มาจากไหนเนี่ย ไม่พ้นปากไอ้โอ้ตแน่ๆ

"ช่างเถอะเรื่องนั้น เมื่อวันที่เราเจอกันโอ้ตมันบอกว่าพี่มาที่นี่เพราะมีอะไรจะพูดกับผม"

"ครับ"

"พูดสิ ผมว่างฟังแล้ว"

"เงยหน้าขึ้นมาฟังพี่พูดก่อนได้ไหม"       หืมมม ถ้าพี่จะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานแบบนี้เอาไฟมาลนผมเถอะ ยวบไปทั้งตัวแล้วเนี่ย

"ผมกำลังรีบทำงาน เล่นมาหลายวันแล้ว เดี๋ยวไม่เสร็จ พี่พูดมาได้เลยผมฟังอยู่"       ผมรู้นะว่ามันเป็นการเสียมารยาทมาก แต่มันเขินนี่หว่า แค่เสียงพี่ผมยังยวบยาบ เพราะงั้นผมไม่ควรมองตาพี่มันอาจจะทำให้ผมแข็งแกร่งขึ้น

"เลิกเล่นเกมส์ก่อนได้ไหม เล่นต่อก็แพ้อีกอยู่ดี ฟังพี่ให้จบแค่เดี๋ยวเดียว แล้วพี่จะช่วยเล่นให้ชนะ"       เหย!!! รู้ได้ไงวะ

"แอบแช่งให้แพ้ป่ะเนี่ย อ่ะๆ ฟังละ ว่ามา"       ละสายตาจากเกมส์ แต่ไม่ได้มองหน้าอีกฝ่าย แล้วนั่งไขว้ห้าง รอฟังพี่เชน ไม่อยากใช้คำกริยาสะดีดสะดิ้งของผู้หญิงกับสภาพท่าทางตัวเองเลย แต่มันอธิบายผมตอนนี้ได้ที่สุดแล้ว

"พี่ขอชอบแมทนะ แล้วพี่ก็อยากให้เราคบกัน"      ได้ยินคำนี้แล้วผมแทบหยุดหายใจ ตอนนี้สภาวะหัวใจผมมันไม่ปกติเลยจริงๆ

"นี่ถึงกับต้องขออนุญาต?"       ผมขมวดคิ้วแล้วมองหน้าพี่เชนขณะที่ถาม

"พี่ไม่ได้ขออนุญาต พี่บอกแบบสุภาพ"       หน้าพี่โคตรจริงจังอ่ะ

"เฮ้อ...สุภาพอีกแล้วเหรอ พักบ้างก็ได้นะ ความสุภาพของพี่"       พูดแค่นี้ทำไมต้องยิ้ม

"พี่ไม่กลัวผมปฏิเสธหรือไง"

"กลัว แต่ถ้าแมทยอมคบกับพี่คนที่มีความสุขมากๆบนโลกใบนี้ก็จะมีเพิ่มขึ้นอีกสองคน แต่ถ้าแมทปฏิเสธคงมีคนนึงที่ทุกข์มากแน่ๆ แต่อีกคนพี่ยังไม่แน่ใจ รู้ว่ามีข้อดีขนาดนี้แล้วจะปฏิเสธเหรอ"       ตรรกะของพี่นี่ต้องตั้งใจฟังดีดีนะ น่างงมาก

"พี่! อธิบายอีกรอบ เข้าใจยาก"

"รักพี่แล้วแมทจะมีแต่ความสุข เพราะฉะนั้นก็ตอบตกลงดีกว่านะ"

"ตรงอ่ะ"       

"พี่ไม่อยากเสียเวลาต่างหาก"       อยากเอาสก๊อตเทปไปแปะปิดรอยยิ้มพี่จริงๆ

"ลืมไปแล้วเหรอว่าผมเคยเป็นคนจรจัดในสายตาพี่นะ"      ใจสั่น จะพูดจะมองก็สั่น ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองก้องไปหมด

"ทำไมไม่เลือกจำแต่เรื่องดีดีหล่ะ"

"ผมจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่นั่นแหละ"      ผมหมายความตามนั้นจริงๆนะ

"เหมือนกับพี่ที่จำเรื่องแมทใช่ไหม"      ถามขณะที่ย้ายตัวเองเข้ามานั่งด้านซ้ายมือผมแทนฝั่งตรงกันข้าม พี่เชนกำลังค่อยๆเลื่อนตัวเข้ามา มันทำให้เราใกล้กันมากขึ้นๆเรื่อยๆ

"งั้นพี่ต้องจำไว้ด้วยนะ ความรู้สึกที่ผมเคยให้หลินมันคืออดีต"      พี่เชนหันมามองแล้วยกยิ้มก่อนจะจับมือผมไว้

"พี่เป็นแค่คนที่ชอบแมทฝ่ายเดียว พี่รู้ว่าไม่มีสิทธ์ิไม่พอใจ"

"ใครบอกว่าพี่ชอบอยู่ฝ่ายเดียว"

"หื้ม?!?"

"ถ้าไม่พูด งั้นพี่ก็จะคิดเข้าข้างตัวเองเลยก็แล้วกัน"      ทำเลยเถอะ ก่อนหน้านี้ผมคิดมามากกว่าพี่อีก จนตอนนี้เชี่ยวชาญการเข้าข้างตัวเองมากอ่ะ

"จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ"

"พี่เห็นหน้าผมป่ะ"       ผมชี้นิ้วมาที่หน้าตัวเอง

"เห็นสิ"

"ผมมีหนวดนะเห็นไหม"       ใช้นิ้วชี้มาที่ไรหนวดเหนือริมฝีปากตัวเอง

"เห็น"       พี่เชนพยักหน้า

"ดูที่คอผมมีลูกกระเดือกนะรู้จักไหม"       เลื่อนนิ้วลงมาชี้ที่คอ

"รู้จัก"

"รู้จักแล้วเห็นไหม"       ผมเลิกคิ้วถาม

"เห็น"

"ผมนี่สั้นด้วยนะ"       ยกมือรูดผมตัวเองชี้ขึ้นตั้งแต่โคนถึงปลายเพื่อขยายความคำว่าสั้นอีกครั้ง

"อื้ม"

"แล้วถ้าจะไว้ผมยาวมันจะติดไปทางซกมกมากกว่าสวยนะ"       ใช้มือข้างที่ไม่ได้โดนจับไว้ลูบผมอีกครั้งตั้งแต่โคนมาถึงปลายลากยาวเลยลงมาถึงลาดไหล่

"ก็น่าจะน่ารักดีนะ"       ตีลังกามองหรือไง แต่เอาเถอะ เห็นรอยยิ้มมุมปากแบบนี้คงจะเข้าใจมากขึ้นแล้วสินะ ผมเลยอธิบายต่อ

"แล้วก็"       แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจบ

"พอเถอะ พี่รู้แล้วว่าแมทเป็นผู้ชาย"       นั่นแหละที่ผมต้องการจะบอก

"ถ้ารู้ว่าเป็นผู้ชายแล้วทำไมยังจะจีบผมหล่ะ"

"พี่บอกไปแล้วไงว่าพี่ชอบแมท"

"เห้ยพี่! มั่นใจแล้วเหรอ คิดให้แน่ใจก่อนไหม"       ผมค่อยๆบอกพี่เชนอย่างระมัดระวัง

"พี่มั่นใจ ไม่งั้นคงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ แล้วแมทหล่ะ มีอะไรที่พี่พอจะทำให้แมทเชื่อพี่ได้บ้าง"

"พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าเป็นผม แน่ใจเหรอว่าเราจะคบกันได้"       สิ่งแรกที่ผมคิดว่าหากคบกันมันจะไหวเหรอ สังคมรอบข้างเราจะรับได้ไหม ป๊ากับม๊าพี่อีกหล่ะ แค่ความรักมันต้านกระแสสังคมไม่ไหวหรอก

"ถ้าไม่แน่ใจคงไม่นั่งอยู่ตรงนี้ เรายังไม่ลองเลยแล้วจะรู้ได้ไงว่าเราไหวหรือเปล่า"       เรื่องของความรักมันทดลองกันได้ที่ไหนหล่ะ

"ผมเป็นภาระพี่ได้เรื่อยๆเลยนะ"       นี่คือคำพูดที่ไอ้โอ้ตมันคอยกรอกหูผมอยู่เป็นประจำ

"พี่เองก็ไม่เคยมีภาระมาก่อนนะ แต่ถ้ามีแมทแล้วแถมภาระพี่ก็จะลองมีดูสักครั้ง"

"ชีวิตพี่นี่ดูง่ายไปหมดเลยเนอะ"       ผมเหล่มอง

"คงไม่ทำให้ชีวิตยากขึ้นหรอกมั้ง"       พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันมามองผม

"เฮ้อ...ผมคงจะรู้สึกดีหรอกนะ"

"แต่พี่รู้ไหมว่าผมใจแข็งนะ"        ผมไม่รู้ว่าพี่เชนเข้าใจหรือเปล่าว่าที่พูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่ากำลังตอบรับแต่ก็ไม่ได้แปลว่ากำลังปฏิเสธเช่นกัน

"แล้วแมทรู้ไหมว่าใจของแมทมันยังแข็งไม่มากพอ"       ผมขมวดคิ้ว พี่เชนเลยอธิบายต่อ

"มือคู่นี้ยังอยู่กับพี่"       ยกมือข้างที่จับมือผมไว้ขึ้นมาตรงหน้า       "โดยที่แมทไม่ได้พยายามดึงออก แล้วการที่บอกให้พี่รู้ว่าใจแข็งพี่ถือว่าแมทให้โอกาสพี่และกำลังบอกให้พี่พยายาม"       ผมเห็นรอยยิ้มพี่เชนที่ออกมาพร้อมกับพูด ทำให้หัวคิ้วของผมค่อยๆคลายปมออก

"พี่แม่ง! โคตรเป็นคนเข้าใจไปเอง"       ผมหลบสายตาอีกครั้งก่อนจะพูดออกมา       "งั้นพี่ลองจีบผมดูก่อน"

"จีบเหรอ"

"อืม จีบ ตั้งแต่วันนี้ที่พี่อยู่ที่นี่จนวันที่พี่กลับถ้าทำสำเร็จผมจะตกลงคบกับพี่"       ไม่ได้จะเล่นตัวหรอกนะ แต่ที่ผมตั้งเงื่อนไขแบบนี้ทั้งๆที่ผมรู้ความรู้สึกตัวเองนั่นก็เพราะผมอยากแน่ใจ นับจากวันนี้ผมจะได้พิสูจน์ทั้งความรู้สึกทั้งของผมเองและของพี่เชน

"ครับ ตกลง พี่ต้องการจากแมทแค่นี้ แค่อยากให้เราลองเปิดใจ หลังจากนั้นพี่จะพยายามเข้าไปเอง...นะ"       ผมทำแค่หันหน้าไปยิ้มอีกทาง ไม่มีคำพูดตอบใดๆหลังจากนั้น

"ยังจะเล่นต่อไหม"

"หืม"

"เกมส์หน่ะ"       ทำหน้าพยักเพยิดมาทางจอโน้ตบุ๊กของผม

"อ่อๆ เอาดิ แต่ปล่อยมือก่อน พี่จะเล่นไม่ถนัด"       แทนที่จะปล่อยมือ แต่พี่เชนกลับกระชับมันให้แน่นขึ้นจนผมหันไปมองหน้า เราสบตากันอยู่อย่างนั้นสักพัก นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นพี่เชนก็ทำให้ผมสั่นไม่เป็นปกติมากกว่าเดิมขนาดนี้ วันต่อๆไปผมกลัวใจตัวเองจะทนไม่ไหวจริงๆ

"ไม่เป็นไร มือซ้ายก็ชนะได้ กลัวปล่อยแล้วเดี๋ยวแพ้"       ยิ้มอยู่นั่น ผมเองก็ยอมแพ้ไม่ได้ด้วยสิ ยิ้มสู้เลยก็แล้วกัน

          ผมยิ้มให้พี่เชนและเรายังคงสบสายตากัน ในดวงตาคู่นั้นมันดูมีความหมาย แต่สุดท้ายก็เป็นผมที่ทนสู้สายตาไม่ไหวจนต้องหลบมาก้มลงมองมือตัวเองที่ยังจับมืออีกฝ่ายเอาไว้ สิ่งเหล่านี้คงพอแทนคำตอบได้บ้างแล้ว การเปิดใจให้ใครสักคน ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลพิเศษ ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไร แค่เชื่อมั่นในความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ก็พอ เชื่อ...อย่างที่ผมกำลังทำ

.......................................................................


❤  ขอบคุณที่ติดตามค่ะ ^^*
❤ พี่เชนเป็นมนุษย์โรแมนติกเนอะว่ามั้ย ถ้าต้องให้มาจีบทุกวันจะทนใจไหวเหรอ ถาม?!?
❤ อย่าลืมติดแท็ก #รักระหว่างทาง คุยกันๆ
❤ แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะค้า ขอบคุณค๊ะ



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: patchylove ที่ 03-05-2015 22:48:41
 :-[พี่เชนน่าร้ากกกกก
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 03-05-2015 23:08:15
ชอบพี่เชน เชียร์ๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 04-05-2015 14:13:18
พี่เชนน่ารักกก
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 04-05-2015 15:02:00
ก้าวหน้าไปอีกนิดแล้วสินะพี่เชน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 04-05-2015 18:35:33
ฟิน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-05-2015 19:57:08
ขนาดจีบอย่างไม่เป็นทางการ
ยังน่ารัก น่าเขินขนาดนี้เลยอ่ะ
ถ้าจีบอย่างเป็นทางการ รับรองเลยว่า
นิยายเรื่องใหม่ของแมท มดต้องขึ้นแน่ๆ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 20 [03-05-58] ● หน้า 4
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-05-2015 20:40:05
คิดถึงน้องแมทกับพี่เชนแล้วนะคะ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 15-05-2015 22:35:39
ตอนที่ 21


Matt Part


          รอ...รอ รอ นี่ก็ผ่านมาจะ 24 ชั่วโมงแล้วนะ คนจะจีบกันเขาทำกันแบบนี้หรอกเหรอ ไม่มีแม้แต่สายเรียกเข้า เดินไปรดน้ำต้นไม้ตอนเช้าก็ไม่เจอ หรือว่าพี่เชนจะไม่เข้าใจคำว่าจีบ จริงสิ! พี่เชนอาจจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าจีบก็ได้ แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจทำไมถึงบอกมาว่าให้อยู่เฉยๆแล้วจะพยายามเข้ามาเองหล่ะ โอ้ย!!! ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัวนะ เดินลงไปหาอะไรกินข้างล่างดีกว่า เผื่อจะฟุ้งซ่านน้อยลง

"ถือแต่โทรศัพท์จังเลยนะ รอใครโทรมาอยู่เหรอคะน้อง"       ยังไม่ทันจะได้ก้าวขาลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้ายก็ได้ยินเสียงแซะแซวจากพี่มัทที่นั่งอยู่ก่อนแล้วที่โต๊ะอาหาร แต่ผมเลือกที่จะไม่สนใจแล้ววางโทรศัพท์ไว้ที่โต๊ะแทน

"โทรศัพท์แมทต้องพังแล้วแน่ๆเลยพี่มัท"       ผมถามขึ้นหลังจากนั่งลงฝั่งตรงข้ามพี่มัท

"เรื่องที่ถามก็ยักไม่ตอบ แล้วรู้ได้ไงว่ามันพัง"       พี่มัทวางแก้วนมลงแล้วมองค้อนผมก่อนจะพยักเพยิดหน้ามาทางไอ้ฮีโร่

"ยังไม่มีใครโทรเข้ามาเลยวันนี้ พังแน่ๆอ่ะ"       ผมบอกพี่มัทก่อนจะยกมันขึ้นมาเคาะลงไปกับโต๊ะสองถึงสามครั้งหวังจะให้มันหายเงียบ

 พี่มัทกลับส่ายหน้าก่อนจะเอามือท้าวคางค้ำไว้กับโต๊ะแล้วบึนปากก่อนจะถามผม       "ตรรกะไหนของแกแมทที่ไม่มีใครโทรมาแล้วจะแปลว่าโทรศัพท์พัง"

"ไม่รู้อ่ะ มันต้องพังแน่ๆ พาไปซื้อเครื่องใหม่หน่อย"       ผมพูดบอกก่อนจะยื่นมันให้กับพี่มัท

"ซื้อสมาร์ทโฟนนะ เอารุ่นใหม่ล่าสุดไปเลย"       พี่มัทบอกหลังจากลองจิ้มๆอยู่สองสามที

"ไม่เอาๆ เอาแบบเดิมนี่แหละ แค่ให้มีสายโทรเข้ามาก็พอ"       ผมต้องการแค่นั้นจริงๆมีออพชั่นแอพชั่นเสริมมากมายไปก็ใช้ไม่เป็นอยู่ดี

"งั้นก็ไม่ต้องแก้ที่โทรศัพท์หรอกแมท มัทว่าแก้ที่คนจะโทรเข้ามาดีกว่า ประสาทจริงน้องฉัน"       พูดจบก็วางไอ้ฮีโร่ลงตรงหน้าผม แล้วลุกเอาแก้วนมไปเก็บที่อ่างล้างจาน

.......................................................................


ในขณะที่ผมกำลังจ้องมองมันอยู่เงียบๆ มันก็แผดร้องเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของการเป็นโทรศัพท์ออกมา

กริ๊งงงง! กริ๊งงงงง!

"ฮัลโหลๆ"       ผมรีบรับทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น

"แมท"       และก็คาดหวังอยู่ลึกๆว่าขอให้เป็นคนที่ผมกำลังคิดถึงทั้งๆที่เขาคนนั้นหายตัวไปทั้งวัน

"ครับ"       ผมตอบรับ

"ทำไมวันนี้พูดเพราะจังวะ"       พูดแบบนี้ไม่ใช่แล้วแหละ

"ไอ้เชี้ยโอ้ต"       โคตรจะผิดหวัง

"นี่คงคิดว่าคนที่รออยู่โทรมาละสิ รีบรับจนไม่ได้ดูเลยด้วยซ้ำ"       พี่มัทพูดแทรกขึ้นมาขณะเดินออกจากห้องครัว และที่พี่มัทพูดก็ถูกต้องทุกอย่าง นี่เลยเป็นสาเหตุที่ผมผิดหวัง

"มึงจะด่ากูทำไมครับเนี่ย"       'ก็เพราะเป็นมึงไง เลยผิดหวังแบบนี้ จะไม่ให้ด่าได้ไง' ทั้งหมดนี้ทำได้แค่คิดในใจ และถึงแม้มันจะทำให้ผมผิดหวัง แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่ความผิดมันอยู่ดี

"เออๆ โทษที นี่มึงโทรหากูยากไหม ต้องโทรหลายครั้งหรือเปล่า"       ผมถามมันเพราะอาจจะเพราะสัญญาณไม่ดีพี่เชนอาจจะติดต่อผมยาก

"ไม่นะ นี่ครั้งเดียว ติดเลย"

"งั้นโทรศัพท์กูก็ไม่ได้เสียหน่ะสิ"       แล้วทำไมพี่มันถึงปล่อยผมไว้เฉยๆแบบนี้วะ ไม่แม้แต่โทรมา อยู่ใกลล้กันแค่นี้ด้วย

"ถ้าเสียแล้วกูจะโทรติดได้ไงวะ โชว์โง่อีกละ"       เออ! พูดบ่อยเหลือเกินนะ เรื่องโง่เนี่ย

"แล้วตกลงมึงโทรมาทำไม"

"พอดีกูจะไปคุยกับเอเย่นต์ที่เช่าจอดเรือ แล้วก็กะว่าจะไปลองเครื่องเรือด้วย เผื่อมึงอยากไปเลยโทรมาชวน"

"ก็อยากไป"

"เออดี งั้นเดี๋ยวกูไปรับ ชวนพี่เชนด้วยนะ จะได้ถือโอกาสพาไปเที่ยวเลย"       จะชวนไปทำไม วันนี้ทั้งวันยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย

"กูคงไปคนเดียว"

"อ้าวไมวะ"

"เออน่า มารับกูก่อน"

"โอเคๆ อีก 10 นาทีเจอกัน กูอยู่แถวบ้านมึงพอดี"

ได้ยินว่ามันอยู่แถวนี้ผมเลยรีบไปเปลี่ยนชุดแล้วหยิบของ เพื่อจะได้ไม่ต้องให้มันรอนาน

"จะไปไหนกัน"       พี่มัทถามขณะที่ผมกำลังจะวิ่งขึ้นบันได

"โอ้ตชวนไปดูที่เช่าจอดเรือ"       ต้องหยุดวิ่งก่อนแล้วหันมาตอบพี่มัท

"แล้วคุณเชนหล่ะ"       ถามถึงกันอยู่นั่น ตอนนี้ไปผุดอยู่แถวไหนก็ไม่รู้

"สนใจทำไม ไปหยิบเป๋าตังค์ก่อน ถ้าโอ้ตมาแล้วพี่มัทบอกมันรอแป๊บนะ"       พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปที่ห้องตัวเองทันที

.......................................................................


"รอนานยังมึง"       ถามมันทันทีที่ขึ้นรถแล้วรัดเข็มขัดเรียบร้อย

"นิดหน่อย"       ค่อนข้างเป็นคำตอบในแบบที่ผมไม่คิดว่าจะได้รับ ไม่ใช่ว่าจะไม่พอในในคำตอบ เพียงแต่มันไม่เคยตอบแบบนี้มาก่อนไม่ว่าจะรอนานสักแค่ไหน

"โทดทีมึง กูหาโทรศัพท์ไม่เจอ ลืมไปว่าวางไว้ข้างล่างตอนลงมาคุยกับพี่มัท"

"สนใจจะตามหาโทรศัพท์ด้วยเหรอวะเดี๋ยวนี้"       ที่มันถามแบบนี้เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่ใช่คนที่สนใจจะพกโทรศัพท์ แต่วันนี้กลับอยากถือมันไว้นั่นก็เพราะว่าเผื่อใครบางคนจะติดต่อมา

"เมื่อก่อนกูก็สนใจนะ"       เลยตอบแย้งแบบแถไปทั้งๆที่รู้ว่าสิ่งที่มันพูดนั้นถูกต้อง

"เหรอ"       คำพูดที่เหมือนจะประชดแต่น้ำเสียงเบาบางซะจนไม่น่าใช่

"เออดิวะ"

.......................................................................


          โอ้ตพาผมมาอีกอำเภอหนึ่งของจังหวัดภูเก็ต เป็นอำเภอที่อยู่ติดกับจังหวัดพังงา ที่ที่มันพาผมไปเป็นที่จอดเรือพวกเรือใบ เรือยอร์ช เรือสำราญส่วนตัวขนาดเล็ก เป็นท่าเรือที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ถูกแบ่งซอยออกเป็นช่องๆไว้เป็นที่จอดเรือและมีทางให้เดินเป็นไม้ดูแข็งแรงสำหรับเดินไปขึ้นเรือได้ มันพาผมมานั่งที่ศาลาเล็กๆใกล้ๆทางลงไปสะพานเชื่อมกับทางเดินไปลงเรือ

"เช่าแพงไหมวะที่นี่"       ที่ผมถามก็เพราะก่อนหน้านี้มันบอกว่าเรือที่จอดอยู่ทั้งหมดนี้คือต้องมาเช่าที่จอดเอา

"ก็พอประมาณ"

 "แต่เจ๋งหว่ะมีคนมาดูแลคอยล้างเรือให้เราด้วย ฟูลเซอร์วิสมาก"       ผมเห็นบางลำมีคนที่ดูท่าทางน่าจะเป็นชาวบ้านแถวนี้กำลังล้างทำความสะอาดเรืออยู่

"อืม นี่ใส่แว่นกันแดดเอาไว้ แดดมันแรง  เดี๋ยวปวดตา"       มันพูดพลางถอดแว่นกันแดดยื่นมาให้

"ไม่เอาอ่ะ มึงใส่เหอะ ให้กูแล้วมึงจะใส่อะไร อีกอย่างมันมืด กูไม่ชอบ"       ผมตอบปฏิเสธไป

"อย่าดื้อดิวะ ใส่ไป กูมีอีกอัน"       ไม่รอให้ผมรับ มันกลับเอามาสวมเข้ากับหน้าผมแทน

"นั่งเล่นแถวนี้ไปก่อนนะมึง กูไปเช็คเรือกับสัญญาแป๊บเดียว"       มันพยักหน้าตอบแล้วบอกให้ผมนั่งรอก่อนจะเดินไปยังกลุ่มคนที่ยืนเช็คสภาพเรืออยู่ไม่ไกลมากนัก

"ไปด้วยไม่ได้เหรอวะ ไม่อยากนั่งรอตรงนี้คนเดียวเลยมึง"       มันส่ายหน้า

"ตรงนั้นมันแดดร้อน แค่ 5 นาทีนะ เดี๋ยวกลับมา"       ในความคิดผมมันก็ร้อนเหมือนกันแค่มีหลังคากับไม่มีหลังคาแค่นั้นเอง ถ้าผมไปด้วยอย่างน้อยก็ไม่ต้องยืนอยู่คนเดียว แต่ในเมื่อทำแบบนั้นไม่ได้ผมก็ไม่ควรทำตัววุ่นวายมาก ต้องเข้าใจว่ามันมาทำงาน ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรมากไปกว่านั้นมันก็เดินกลับมา

"ไวจังวะ"       ผมพูดบอกพลางก้มมองนาฬิกา       "5 นาทีจริงๆด้วย"

 "กูกลัวมึงรอนาน"

 "เห้ย! ไม่เป็นไร กูเข้าใจว่ามึงมาทำงาน กูรอได้"       ผมโบกมือเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร

"เสร็จแล้วๆ ไปดูที่เรือกัน"       พูดจบก็เดินนำผมไปที่ท่าเรือ

"เรือพวกนี้มีเจ้าของหมดเลยเหรอวะ"       เรือทุกลำดูหรูหราแม้กระทั่งลำเล็กๆ

"ใช่"

"มีป้ายบอกขายด้วย มึงซื้อสิโอ้ต"

"เอาเงินที่ไหนซื้อวะ ลำนึงนี่เลี้ยงมึงได้สิบชาติ"       ปัจจัยชีวิตผมมีมูลค่าถูกกว่าไอ้เรือนี่อีกเหรอ ทำไมมันโชคดีจังวะ เกิดมาก็มีราคา ดูมีคุณค่าเชียว

"แล้วมึงมาติดต่อที่นี่ไว้ทำอะไร"       ในเมื่อบ้านมันทำธุรกิจสปีดโบ้ทก็ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรือจำพวกนี้นะ

"ก็กูกะจะทำพวก premium tour ให้กับลูกค้าวีไอพีที่เอาเรือมาจอดที่นี่แล้วสนใจจะทัวร์เมืองหรือชายหาดแบบส่วนตัว ผู้จัดการที่นี่เลยให้ลองทำแผนมาเสนอดู เขาจะช่วยเสนอลูกค้าให้"       อย่างนี้นี่เอง

"อ่อ กูก็นึกว่ามึงมาเช่าที่จอดเรือซะอีก"

"นั่นก็ด้วย เฮียกูตั้งใจจะซื้อเรือต่อจากเพื่อนแฟนเขา เลยจะถามเช่าที่จอดแล้วก็ถามเผื่อปล่อยเรือให้เช่าด้วย เพราะกลัวว่าซื้อมาแล้วจะไม่คุ้ม"       นี่แค่ถามเล่นๆนะ เป็นเรื่องจริงซะงั้น ผมรู้นะว่าบ้านนมันครอบคลุมธุรกิจท่องเที่ยว แต่ไม่คิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้ ที่ผ่านมามันมีเวลามาเล่นมาหาผมบ่อยๆได้ไง คงเป็นแค่มันละมั้ง ส่วนคนอื่นคงยุ่งกันหมด

"เฮียคนไหนวะ"       ที่ผมถามก็เพราะพี่ชายของโอ้ตมีหลายคนมาก เท่าที่รู้ญาติๆมันมีลูกชายเยอะกว่าลูกสาว มันเคยเล่าว่าถึงกับขาดแคลนจนขาดทุนกันได้เลยทีเดียวถ้าต้องแต่งออกไป

"เฮียเอยไง ลูกของโกหนาน"

"อ่อโกหนานพี่ชายแป๊ะหนุนป๊ะ"       ผมลองที่จะล้อมัน เพราะวันนี้มันดูนิ่งๆกว่าที่เคย

"เออ แป๊ะหนุนพ่อกูนี่แหละ"       แปลกแฮะ ปกติถ้าเรียกพ่อมันว่าแป๊ะมันจะด่าผมกลับ เพราะมันบอกว่าถ้าเรียกแบบนั้นจะทำให้พ่อมันดูแก่ แต่วันนี้มันกลับไม่เถียง ไม่ด่า ไม่มีแม้แต่น้ำเสียงประชดประชันด้วยซ้ำ

"ทำไมวันนี้มึงแปลกๆวะ"       ผมหันไปมองหน้ามันที่กำลังมองตรงไปข้างหน้า แต่เนื่องจากมันใส่แว่นกันแดด ผมเลยไม่เห็นว่าสายตามันเป็นแบบไหน

"แปลกยังไงวะ"

"ไม่รู้ดิ กูอาจจะคิดไปเองมั้ง ไม่มีอะไรหรอก ไปทางโน้นกันเถอะมึง"       ผมชี้ไปตามทางเดินที่เป็นซอยเล็กๆสำหรับขึ้นเรือที่จอดเรียงรายกันอยู่เพื่อให้มันนำทางผมไป ที่สงสัยนั้นผมคงคิดมากไปเอง เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องคงดีกว่า

"เอาดิ"

"ที่นี่สวยเนอะ กูไม่เห็นเคยรู้มาก่อนเลยว่ามีที่สวยๆแบบนี้ด้วย อย่างกับในหนังเลยมึง"       เราค่อยๆเดินใกล้เรือขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่มีแค่เรือกับเสียงคลื่น ไม่มีความวุ่นวาย เพราะมีแค่คนดูแลเรืออยู่ไม่ถึงสิบคน ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะ มันเงียบ สงบ แต่ก็ไม่ใช่บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่าอยู่คนเดียว

"กูรู้ว่ามึงชอบไง เลยชวนมา"       ผมยิ้มตอบก่อนจะตบบ่ามันเบาๆ โอ้ตเป็นแบบนี้เสมอ มันรู้ว่าอะไรที่ผมชอบ และมันก็รู้ว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะกับผม ยังไม่เคยลองคิดดูเลยสักครั้งว่าหากขาดมันชีวิตผมคงยากขึ้นแน่ๆ

"พี่"       มีเสียงเรียกของเด็กหนุ่มที่กำลังล้างเรืออยู่เอ่ยเรียกมาทางผมกับโอ้ตจนเราทั้งคู่หันมามองหน้ากันก่อนที่โอ้ตจะหันไปมองหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้งแล้วชี้มาทางผมให้เด็กคนนั้นส่ายหน้ามันเลยเปลี่ยนมาชี้ตัวเอง

"พี่นั่นแหละ จำผมไม่ได้ละสิ"       โอ้ตส่ายหัวทำให้เด็กคนนั้นวางสายยางแล้วกระโดดลงมายืนตรงทางเดินข้างเรือที่เราสองคนยืนอยู่

"จำไม่ได้ พี่เคยเจอน้องเหรอ มึงรู้จักป่ะแมท"       มันหันมาถาม ผมเลยส่ายหน้าแสดงให้มันรู้ว่าไม่รู้จักเหมือนกัน

"โหพี่ เพิ่งเจอกันไม่นานยังไม่ถึงเดือนเลยนะครับ"

"โทษทีๆจำไม่ได้จริงๆ ไหนลองเล่ามาสิว่าเราไปรู้จักกันได้ยังไง"

 "ก็ที่พี่มาด่าผมตอนอุบัติเหตุตัดหน้ารถเมื่อปลายปีที่แล้วไง"       หน้าโอ้ตยังคงขมวดคิ้วต่อไป ไม่แปลกหรอกที่มันจะงง เรื่องที่เพิ่งผ่านมาเมื่อวานมันยังจำไม่ค่อยจะได้ นี่ผ่านมาตั้งเกือบสามอาทิตย์มันคงลืมไปแล้วแหละ ที่เป็นแบบนี้นั่นก็เพราะมันเป็นคนไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องในอดีตสักเท่าไหร่นั่นเอง

"อ่อๆ นึกออกแล้ว ไอ้เด็กไร้ความรับผิดชอบนี่เอง"       แปลกแฮะ จำได้ด้วย หรือว่ามันโดนตัดหน้าเอง แต่ก็ไม่น่านะถ้ามันโดนเองทำไมผมถึงไม่รู้

"แหมพี่ ผมเลิกแล้วน่า ตั้งแต่มีความรับผิดชอบชีวิตก็ดีขึ้นเยอะเลย"

"เออ ดีขึ้นก็ดีแล้ว มีความรับผิดชอบมันเป็นเรื่องที่ดี แล้วคู่กรณีเป็นไงบ้างหล่ะ หายดีแล้วใช่ไหม"

"หายดีแล้ว ตอนนั้นคุณเขาถามหาพี่ด้วยนะ"

"เขาจะถามหาไปทำไม เวลาแบบนั้น ไม่น่าจำกันได้ด้วยซ้ำ"

"อันนั้นผมก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ผมบอกคุณเขาไปว่าผมจำพี่ได้ ถ้าเจออีกทีผมจะพาพี่ไปเจอเลย"

"อย่าดีกว่า แล้วไม่ต้องบอกเขานะว่าเจอ ไปละ โชคดีนะเว้ย"       มันพูดจบก็หันหลังให้กับเด็กคนนั้น ผมเลยต้องรีบเดินตามมันไป

"ขอบคุณนะพี่ที่ไม่ปล่อยผมไป"       น้องตะโกนไล่หลังในขณะที่โอ้ตทำแค่โบกมือให้โดยไม่หันไปมองสักนิด

.......................................................................


          ในขณะเดินมาเรื่อยๆตามทางเดินระหว่างที่จอดเรือ ผมก็คอยมองหน้ามันอยู่ตลอด ในใจก็นึกอยากจะดึงแว่นกันแดดออก จะได้รู้ว่ามันมองอะไรอยู่ถึงไม่รู้ว่าผมกำลังมองด้วยความสงสัย

"อย่าให้กูต้องถาม"       ในเมื่อมันจำได้แต่ไม่ยอมอธิบาย ผมก็ควรเริ่มทำตัวเป็นคนขี้สงสัยได้แล้ว

"กูว่าแล้วว่ามึงต้องอยากรู้ ทำหน้าเป็นหมางงเชียว ฮ่าๆๆๆ"       ท่าทางที่ดูสบายใจของมันจนล้อผมเล่นแบบนั้นต่างจากอารมณ์นิ่งๆของมันก่อนหน้านี้ และเรื่องที่มันคุยกับน้องเขาคงไม่ใช่เรื่องใหญ่นักแต่ผมก็หยุดความอยากรู้ไม่ได้อยู่ดี

"ไอ้สัด เล่ามาเลย"       ผมพูดบอกมันด้วยน้ำเสียงบังคับพร้อมด้วยตบหัวมันเบาๆเพื่อตอกย้ำ

"นี่กูตามใจมึงมากเกินไปป่ะวะ ตบหัวกูซะแรงเลยนะ"       พูดเกินจริงตลอด แค่ผลักเบาๆเองนะ

"อย่าเปลี่ยนเรื่อง เล่ามาเลย"

 "ไอ้น้องคนตะกี้มันขับรถมอเตอร์ไซค์ตัดหน้ารถยนต์คันหนึ่งจนเสียหลัก ตัวมันเองไม่เป็นไรหรอกแค่ถลอกนิดหน่อย แต่คู่กรณีนี่สิหักหลบข้างทางแล้วก็นิ่งไปเลย กูเลยเข้าไปเสือก ตะโกนเรียกน้องมันเอาไว้ไม่ให้หนี บอกให้มันรับผิดชอบก่อน"

 "แค่นั้น"       สรุปมันไม่เกี่ยวสินะ เป็นแค่คนเข้าไปเสือก

"เออ มึงจะเอาแค่ไหน วันหลังอยากได้มากกว่านี้ก็บอกแต่แรก กูจะได้แต่งเพิ่ม"       มันส่ายหัวเบาๆแล้วหันไปมองอีกทาง

"กูไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น กูได้ยินน้องมันบอกว่าคู่กรณีน้องเขาถามหามึง"

"อย่าไปสนใจเลยมึง วันนั้นกูเคาะกระจกอยู่ตั้งหลายครั้งก็ไม่ตอบ ดีนะประตูไม่ได้ล็อค เปิดประตูไปเขย่าตัวตั้งนานตบหน้าตั้งหลายทีก็ยังไม่รู้สึกตัว กูเลยปล่อยไว้งั้นอ่ะ เพราะกูต้องรีบไปรับมึงด้วย"

"ไปรับกูเหรอ"       ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองขณะทวนคำพูดมัน

"ใช่ วันที่มึงกลับจากฮ่องกง"

"ไม่เห็นมึงจะเล่าให้กูฟังเลย"       ผมขมวดคิ้วถาม

"ก็มันไม่ได้สำคัญอะไรนี่หว่า"

"งั้นแสดงว่าท่าทางมึงที่ดูแปลกๆวันนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า จริงๆมึงเป็นห่วงคนที่โดนชนใช่ไหม่ไม่ใช่แค่เรื่องที่หลินมากินข้าวด้วยวันนั้น"

"ไม่เกี่ยวเลย กูไม่ได้รู้จักเขาซะหน่อย จะเป็นห่วงไปทำไม ที่ช่วยก็แค่ทำตามหลักมนุษยธรรมเฉยๆเหอะ"

"แต่ที่จริงมึงอยู่ช่วยเขาก่อนก็ได้นี่หว่าบอกกูกูก็เข้าใจได้นะเว้ย"       ผมพยายามสังเกตท่าทีของมัน แต่มันกลับทำแค่มองไปข้างเหมือนนกำลังจ้องมองอะไรสักอย่าง คนอย่างโอ้ตเนี่ยนะจะลงไปยุ่งเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับมัน

"ตำรวจมาพอดี กูจะอยู่ทำไม ที่สำคัญกว่านั้นคือกู..."

ตูม!!!

"เห้ยมึง!" มีคนตกน้ำ"       หลังจากที่ได้ยินเสียงผมก็รีบบอกโอ้ต แต่นั้นคงช้าไปเพราะคนข้างตัวผมวิ่งไปปลายท่าและเตรียมจะกระโดดตามลงไปแล้ว

"เดี๋ยวกูไปตามคนมาช่วยนะมึง"       รีบตะโกนตามหลังมัน นี่คงเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้

.......................................................................


          ผมรีบวิ่งมาตามคนไปช่วยมัน ทั้งที่เดินมาไม่ได้ไกลแต่ตอนวิ่งกลับมาทำไมถึงยังไม่ถึงสักทีก็ไม่รู้ แต่พพอได้เห็นศาลาที่ยืนรอมันตอนแรกมีคนนั่งอยู่ผมจึงรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

"ขอโทษนะครับ ขอความช่วยเหลือหน่อยครับ มีคนตกน้ำอยู่ด้านโน้นครับ"

"เด็กล้างเรือหรือเปล่าน้อง มันคงร้อนแล้วลงไปเล่นน้ำละมั้ง"

"ไม่น่าใช่นะครับพี่ เขาหันหลังทิ้งตัวลงทะเลไปเลย นี่เพื่อนผมกระโดดลงไปช่วยอยู่ พี่ช่วยไปดูหน่อยนะครับ"

"อ้าวเห้ย พวกมึงไปดูหน่อยสิ"

"ขอบคุณครับพี่"       ผมยกมือไหว้ขอบคุณทันทีที่พวกพี่เขายินดีจะไปช่วย

"ทางไหนน้อง"

"ทางนี้ครับ ทางนี้"       ผมชี้นิ้วไปทางซอยเล็กๆตรงข้ามที่พวกพี่ๆเขานั่งกันอยู่ซึ่งเป็นทางที่ผมวิ่งมา

.......................................................................

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 15-05-2015 22:37:35
         

          ในขณะที่ผมนำทางไปที่เกิดเหตุในหัวผมก็คิดแค่เป็นห่วงไอ้โอ้ต ผมพะวงไปหมดกลัวมันจะเป็นอะไรไปอีกคน  ถึงมันจะว่ายน้ำเก่งแค่ไหนผมก็อดเป็นห่วงมันไม่ได้อยู่ดี


"นั่นไงครับพี่"       ผมรีบบอกด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหอบ และชี้ไปที่ปลายท่าทันทีที่วิ่งมาถึง แต่ปรากฎว่าเห็นโอ้ตช่วยคนที่ตกน้ำขึ้นมาแล้ว ผมเลยรีบวิ่งไปหามันที่กำลังลุกขึ้นยืนพอดี

"เป็นไงบ้างวะมึง"       ผมมองหน้าถามมันที่เดินมาทางผมก่อนจะมองเลยไปทางคนที่มันช่วยขึ้นมาซึ่งดูท่าทางว่าจะรู้สึกตัวแล้ว

"ฝากด้วยนะครับ ท่าทางยังงงๆอยู่"       มันไม่ตอบผมแต่กลับหันไปเอ่ยบอกพี่ที่วิ่งตามผมมาแทนก่อนจะจับไหล่ผมสองข้างให้หมุนตัวเดินไปอีกทาง

"มึงไม่อยู่ดูอาการเขาก่อนเหรอวะ"

"กัดปากกูได้เลือดซิบขนาดนี้คงไม่เป็นไรมากแล้วหล่ะ"

"แล้วเขากัดปากมึงทำไมวะ"

"คงตกใจละมั้ง"       ผมพยักหน้าให้ แต่มันกลับรั้งผมไว้ให้หยุดเดิน

"หยุดเดินทำไมวะ"

"ถ้าเหนื่อยก็พักหายใจก่อน เป็นห่วงกูหรือไง"

"เออดิ ถามอะไรปัญญาอ่อนวะ ถ้าจอดเรือได้น้ำคงไม่ตื้นแน่ๆ เสื้อชูชีพก็ไม่มี ห่วงยางมึงก็ไม่ได้เอาลงไป"       ผมรีบอธิบายทั้งที่ยังหายใจไม่ทัน

แต่มันกลับยิ้มบอก       "ใจเย็นมึง ค่อยๆพูดก็ได้"

"กูมีแบบนี้แค่คนเดียวนะเว้ย จะไม่ให้กูเป็นห่วงได้ไงวะ"

"ขอบใจนะ แค่นี้กูก็พอใจแล้ว เพราะแบบมึงกูก็มีแค่คนเดียวเหมือนกัน"       พูดจบก็เอามือมาขยี้หัวผมให้รู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม

"รีบไปเปลี่ยนชุดเลยมึง มีติดรถมาไหม ชักช้าเดี๋ยวหวัดแดกแน่มึง"       ผมรีบผลักไหล่มันให้รีบเดินนำไป จะได้รีบเปลี่ยนชุด

"มีคร้าบคุณแมท จะรีบไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้เลยครับ"       มันยื่นหน้ามาบอกมห้ผมส่ายหัวเบาๆ ผมละเกลียดเวลามันเสียงประชดประชันพร้อมกับร้อยยิ้มเต็มหน้าทั้งปากทั้งตาแบบนี้ของมันจริงๆ

"เออใช่ เมื่อกี้ก่อนมีคนตกน้ำ มึงพูดว่าไรวะ กูไม่ค่อยได้ยิน"

"พูดเรื่องไรวะ"

"ก็ที่มึงบอกว่า 'ที่สำคัญกว่านั้นคือ' แล้วก็ตามด้วยอะไรสักอย่าง แต่กูได้ยินเสียงคนตกน้ำพอดีเลยไม่ค่อยได้ยิน"

"อ่อ ไม่รู้สิ กูลืมไปละ อย่าไปสนใจเลย รีบไปกันเหอะ"       ผมที่รอฟังคำอธิบายอยู่กลับถูกปฏิเสธแล้วแทนที่ด้วยการที่มันใช้มือดันหลังผมเบาๆเพื่อเดินไปที่รถแทน

"เออๆ ก็ได้วะ"       ผมเลยต้องพยักหน้ายอมๆไปทั้งๆที่ยังไม่ได้คำตอบ นี่คือเรื่องผิดปกติอีกอย่าง โอ้ตเคยเป็นพวกชอบอธิบาย แต่สิ่งที่มันกำลังทำตอนนี้กลับกลายเป็นเหมือนพวกชอบหลีกเลี่ยงการอธิบายซะอย่างนั้น

.......................................................................


          ระหว่างทางกลับบ้าน ผมก็รู้สึกว่ายังไม่อยากกลับ แค่อยากลองหายไปให้อีกคนกระวนกระวายใจบ้าง น่าตลกตัวตัวเองจริงๆ ทั้งที่ยังไม่ได้เป็นอะไรกันก็ยังคิดเข้าข้างตัวเอง แถมยังเอาแต่ใจตัวเองไดถึงขนาดนี้ ไม่รู้สักนิดว่าอีกฝ่ายจะคิดถามหาหรือวุ่นวายใจอย่างที่ผมเป็นอยู่บ้างหรือเปล่า

"มึง"       ผมหันไปเรียกโอ้ต

"ว่าไงคะ"

"หือ มึงพูดเพราะนะวันนี้"       ไม่ใช่ไม่ชินที่มันชอบคะขาหรือพูดเพราะกับผมนะ แต่วันนี้ผมว่ามันบ่อยเกินไป

"กูพูดออกจะบ่อย มึงไม่เคยจะถาม"       ทำไมผมรู้สึกแค่วันนี้ที่บ่อย

"เหรอวะ งั้นมั้ง แวะหาไรกินก่อนกลับป่ะ"

"ไปกินแถวบ้านดีกว่าไหม นี่เย็นแล้ว กูไม่อยากส่งมึงถึงบ้านดึกไป"       ผมเหล่ตามองมันที่กำลังขับรถอยู่ พลางคิดในใจว่าอะไรของมันกลับตี 2 ยังเคยมาแล้ว นี่เพิ่งจะ 6 โมงเย็น มันดึกตรงไหน

"ไม่เป็นไร กูยังไม่อยากกลับบ้าน มึงรีบไปไหนป่ะ"       ผมถามขณะที่ตามองตรงไปบนถนน

"รีบ"       ผมตกใจหันไปมองหน้ามันทันทีที่ได้ยินคำตอบนี้

"อ้าวเหรอ เห้ย งั้นกลับบ้านเลยก็ได้"       คำตอบของมันทำให้ผมรู้สึกเกรงใจจริงๆ แค่วันนี้มันชวนผมออกมาด้วยทั้งที่มาทำงานก็เกรงใจมากพอแล้ว

"ฮ่าๆๆ กูล้อเล่น งานกูเสร็จแล้ว มีเวลาอยู่กับมึงทั้งคืนเลยจ้ะ"       หืม หัวเราะซะน่าถีบ นี่ถ้าไม่ขับรถอยู่นะ

"ต้องอย่างนี้สิ ค่อยสมกับที่เป็นมึงหน่อย"       พูดบอกพลางตบไหล่มันเบาๆ

"ครับๆ แล้วอยากจะกินอะไร"

"ส้มตำก็อยากกิน ปูนึ่งก็น่าอร่อย กินไรดีวะ"

"แล้วแต่มึงเลย อยากกินไรหล่ะ"

"ปูนึ่งละกัน ส้มตำอยู่คนเดียวก็กินได้ แต่อยู่กับมึงต้องกินปู"       ผมหันหน้าไปฉีกยิ้มให้มันเพื่อย้ำให้มันพูดหน้าที่เวลาผมอยากกินปูออกมา

"วันนี้กูไม่แกะ อยากแดกก็แกะเอง"

"เห้ย! ไรว้า กูไม่กินแล้วก็ได้"       กอดอกพลางเหล่มองมันด้วยหางตา ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่ในใจก็คิดอยากจะให้มันล้อเล่น

"เออๆ แกะก็แกะ แกล้งนิดแกล้งหน่อยนี่หมาหงอยเชียวนะมึง"

"มึงอ่ะ หลายเรื่องละนะ"       ไม่ว่าจะท่าทางที่ดูมีความลับ นิ่งเงียบ แล้วยังจะปฏิเสธผมเรื่องปูอีก

"โอ๋เอ๋ ไม่งอนน้า เงยหน้าหน่อย คว่ำจะถึงพื้นรถแล้วหน่ะ"       ผมเลือกจะหันไปมองข้างทางแทนมือมันที่ยื่นมาสะบัดอยู่ตรงหน้า

"อย่าทำแบบนี้อีกนะ กูไม่ชอบเลย"

"คร้าบ แล้ววันนี้คนที่มึงเฝ้าคิดถึงหายไปไหนวะ ถึงมาอยู่กับกูได้ทั้งวัน"       คิดจะเปลี่ยนเรื่องก็ไม่ได้สรรหาสิ่งที่ดีขึ้นมาถามเลยนะ

"ไม่รู้เว้ย อย่าถาม อารมณ์เสีย"

"เขาไปทำอะไรให้มึงอีกอ่ะ"

"เปล่าหรอก"       เปล่าหรอก

"เปล่าก็เปล่า"       นี่ก็อีก ปกติมันต้องอยากรู้สิ มันทำตัวประหลาดหลายเรื่องแล้วนะ

"ก็พี่เชนดิแม่ง เมื่อวานบอกกูว่าขอคบกับกู"       ผมเปลี่ยนจากมองข้างทางไปมองหน้ามัน

"..."       มันเงียบ ผมเลยเริ่มเล่าต่อ

"กูเลยบอกว่าให้จีบกูก่อน ถ้าทำสำเร็จกูจะยอมคบด้วย"

"..."

"เขาเลยบอกกูว่าแค่กูเปิดใจให้เขาก็พอ... แล้วเขาจะพยายามเข้ามาเอง"       เล่าไปมองหน้ามันไปอยู่อย่างนั้น รอดูว่ามันมีปฏิกิริยากับเรื่องที่ผมกังวลอยู่แค่ไหน

"..."       แต่มันกลับยังคงเงียบ

"ไอ้โอ้ต มึงฟังที่กูพูดอยู่หรือเปล่าวะ"       ผมเลยถามมันพร้อมด้วยผลักหัวมันไปอีกทางเบาๆ

"เออ ฟัง ก็ดีแล้วนี่หว่า"       ต้องให้ลงไม้ลงมือก่อนนะถึงจะตอบได้

"ดีห่าไรหล่ะ หายหัวไปเลยตั้งแต่ตอนนั้น ถึงตอนนี้ก็เลย 24 ชั่วโมงมาแล้วนะเว้ย"       ยกนาฬิกาขึ้นมาดูพลางนับนิ้วไปด้วย คนอะไรคิดจะจีบแต่ดันหายหัวไปเป็นวัน

"พี่เขากำลังไปหาวิธีตั้งรับมึงอยู่หรือเปล่า มึงไปทำอะไรให้เขากลัวตอนอยู่ฮ่องกงบ้างไหมหล่ะ"

"ขนาดนั้นเลยเหรอวะมึง กูเป็นคนรับมือยากขนาดนั้นเลยเหรอวะ"       ผมเอียงคอถามมันด้วยความสงสัย

"มึงลองนับดูสิว่าตอนนี้มีเพื่อนสนิทกี่คน"

"คนเดียวคือมึง"       เท่าที่นับดูก็มีแค่มันนี่แหละ คนอื่นก็แค่เพื่อนแต่ไม่สนิท

"นั่นแหละ ขนาดเพื่อนยังขยาด เขาจะมาเป็นแฟนนะ ให้เวลาเขาเตรียมตัวหน่อย"

"ไอ้เพื่อนเลว ที่กูไม่มีเพื่อนสนิทเยอะ เพราะกูไม่อยากให้ความสำคัญกับใครหลายๆคนพร้อมกันต่างหาก"

"อย่างนี้สินะ ขนาดกูโทรไปมึงยังคิดว่าเป็นเขาเลย"       ในขณะที่ผมกำลังจะโกรธแต่มันกลับพูดอกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบางๆ

"เออกูยอมรับว่ากูคิดว่าเป็นเขา แต่ก็ไม่ใช่ว่ากูจะไม่ดีใจที่เป็นมึงนี่หว่า"

"เหรอออออ ช่างเหอะ แล้วทำไมมึงไม่โทรหาเขาก่อนหล่ะ"      ประชดซะชัดเจนเลยนะ

"เรื่องดิ เขาจีบกู เขาก็ต้องโทรหากูดิวะ"

"เล่นตัวเป็นผู้หญิงไปได้นะมึง"       ในความคิดผม ผู้ชายก็เล่นตัวได้นะ

"เห็นกูมีนมไหมหล่ะสัด! หรือว่าเขาจะไม่เข้าใจคำว่าจีบวะ"

"เขาไม่เข้าใจคำว่าจีบหรือว่าเขายังไม่มีเบอร์มึงกันแน่วะ"       จริงสิ ยังไม่เคยให้เบอร์ไปเลย แล้วผมจะว้าวุ่นใจไปทั้งวันเพื่ออะไรเนี่ย

"ไม่งั้นเขาก็คงมีธุระกับพี่เมละมั้ง นี่ยังไม่ทันคบกันมึงก็คิดมากขนาดนี้ แล้วถ้าได้คบกันมึงจะไม่สติแตกเหรอวะ"       โอ้ตหันมาถามผม มันยังคงมองผมสลับกับถนนท่าทางเหมือนรอคำตอบ

"กูก็กลัวหว่ะ มึงก็รู้ว่ากูคิดเยอะ"

"งั้นก็เลิกคิด เลิกกังวลด้วย ปล่อยให้มันเป็นไปอย่างที่มันควรเป็นเหอะมึง แต่ถ้าสักสองสามวันยังเป็นอย่างนี้กูจะไปจัดการให้มึงเอง"       นี่ตกลงจะให้ปล่อยหรือไม่ปล่อยกันแน่

"ไม่ต้องหรอกมึง ถ้าเขาหายไปนานขนาดนั้นก็แสดงว่ากูคิดไปเองคนเดียวแล้วหล่ะ"

"เชื่อกูสิ พรุ่งนี้เดี๋ยวเขาก็มายืนโผล่หน้าอยู่หน้าบ้านมึงเองแหละ"

"เปลี่ยนเรื่องเถอะ มึงได้คุยกับหลินบ้างป่ะ ตั้งแต่ที่วัดแล้วกูยังไม่ได้เจอเลย"

"เพิ่งเจอเมื่อวาน"

"เหรอวะ กูว่ากูคงต้องหาเวลานัดหลินทานข้าวสักครั้ง"

"ไม่ต้องหรอกมึง ปล่อยไปเถอะ"       ได้ยินมันพูดแบบนั้นผมเลยต้องหันไปมองหน้า

"ทำไมวะ หลินก็เพื่อนกู แค่กินข้าวกันเอง"       ผมถามกลับด้วยน้ำเสียงแสดงความสงสัย

"เชื่อกูสักครั้ง มึงเห็นแค่ด้านที่หลินอยากแสดงให้มึงเห็นก็พอแล้ว กูไม่อยากให้มึงต้องเจออย่างที่ไอ้มินเจอ"       คำพูดที่เหมือนมันรู้อะไร แต่กลับพูดบอกออกมาด้วยน้ำเสียงสบาย

"ตอนหลินคุยกับกูก็ดูเข้าใจเรื่องมินดีนี่หว่า เขาบอกกูว่ายินดีกับความรักทั้งคู่ด้วยซ้ำ เรื่องนี้หลินก็คงเจ็บปวดไม่แพ้ไอ้มินหรอก โดนทำร้ายกันทั้งคู่ มินมันยังมีวิน แต่หลินไม่มีใครนะเว้ย"

"นั่นคือด้านที่หลินอยากให้มึงเห็น ทั้งๆที่จริงๆหลินต่างหากที่เป็นคนทำร้ายไอ้มิน"

"นี่เป็นความจริงหรือมุมมองของมึง"       ผมไม่เข้าใจ มันพูดเหมือนกับไม่ชอบใจหลิน นั่นยิ่งทำให้ผมอยากรู้

"จะมุมกูหรือมุมใครก็ช่างเถอะ ต่างคนต่างอยู่ ให้หลินค่อยๆหายไปจากชีวิตมึงอย่างนี้แหละดีแล้ว ถึงแล้ว มึงลงไปสั่งอาหารก่อน กูไปจอดรถแป๊บ"       ผมยังอยากจะถามต่อแต่ถึงร้านพอดี เลยต้องหยุดและคิดว่าจะทำตามที่มันบอก มันคงมีเหตุผลที่เตือน เก็บไว้ดีกันเป็นเพื่อนกันต่อไปน่าจะดีกว่ารู้อะไรมากมายแล้วความสัมพันธ์มันแย่ลง

"โอเคๆ รีบตามมา"

.......................................................................


"มึงสั่งอาหารไปยัง"       โอ้ตที่เดินมาทางด้านหลังผมถามขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆผม

"สั่งแล้ว ทำไมไม่ไปนั่งฝั่งโน้น"       ผมหันไปถามมัน

"นั่งนี่แหละจะได้แกะปูให้มึงถนัด"       ผมขมวดคิ้วเพื่อสื่อให้มันรู้ว่าไม่เข้าใจเหตุผลของมัน

"นั่งฝั่งโน้นมันไกล นั่งข้างๆมึงจะได้ยื่นง่ายๆ มึงจะได้กินเยอะๆ"       อย่างนี้นี่เอง ผมพยักหน้าบอกให้รู้ว่าเข้าใจ

"กูสั่งกุ้งผัดซอสมะขามให้มึงด้วยนะ ของโปรดมึง กูจำได้"       ยิ้มทั้งปากทั้งตาแบบนี้คงถูกใจมัน

"ส่วนเรื่องหลิน กูจะทำตามที่มึงพูดนะ กูเชื่อว่าสิ่งที่บอกต้องเป็นทางที่ดีที่สุด"       ผมยิ้มบอกในขณะที่โอ้ตพยักหน้าแทนคำตอบแล้วสายตามันก็เบนความสนใจเลยหน้าผมไป

"ปูของมึงมาแล้ว"       โอ้ตยื่นมือไปรับปูจากพนักงานเสิร์ฟมาวางที่โต๊ะ อันที่จริงผมไม่ได้อยากกินปูนักหรอก ไม่อยากให้มันต้องมาลำบากแกะให้ด้วย แต่นี่คงเป็นอาหารอย่างเดียวที่น่าจะใช้เวลากินนานที่สุด และมันจะทำให้ผมไม่ต้องรีบกลับบ้าน ไม่ว่าจะรู้สึกดีขึ้นแค่ไหนที่ได้หาเหตุผลมาแก้ไขว่าพี่เชนไม่ติดต่อมาหลังจากนั้นเพราะอาจจะติดธุระหรือไม่มีเบอร์โทรศัพท์ผม แต่ผมก็ยังรู้สึกไม่อยากเจอหน้าอยู่ดี พี่เชนกำลังทำเหมือนมีเวลาตั้งมากมายที่จะทำให้ผมแน่ใจและเลือกที่จะคบกับเขา แต่เขาคงลืมไปว่าต้องกลับไปฮ่องกง ต่อให้อยู่ที่นี่ได้นานแค่ไหนก็คงไม่มากไปกว่า 1 อาทิตย์  และผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาเองก็รู้ว่ามีเวลาไม่มากนักที่จะชนะใจผม แต่กลับทิ้งเวลา 1 วันไปโดยไม่พยายามทำอะไรเลย มันรู้สึกแย่นะที่อยู่ก็เงียบหายไปเฉยๆ

"แมท กินดิมึง"       ผมคงจมอยู่กับความคิดตัวเองนานไป และมันก็นานจนโอ้ตแกะปูให้ผมเสร็จไปแล้วหนึ่งตัว

"มัวคิดอะไรอยู่วะ กูเรียกตั้งนาน ขนาดโทรศัพท์ดังยังไม่ได้ยิน"       ได้ยินมันพูดอย่างนั้นผมเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

"แม่โทรมา"       ผมยื่นหน้าจอแสดงสายโทรเข้าให้มันดู

"ให้กูดูเพราะผิดหวังเหรอ"       มันถามในขณะที่มือก็แกะปูไปด้วย

"ป่าว ให้ดูเพราะคิดว่าแม่คงโทรมาตามแน่ๆ ตอนกูออกมาก็ไม่ได้บอกว่าจะไปไหน มีแค่พี่มัทที่รู้"     ผมบอกมันขณะกำลังต่อสายหาแม่

"ครับแม่"

'แมทอยู่ไหน'

"อยู่ถลางแม่ กำลังกินข้าวกับโอ้ตอยู่ครับ"       ผมบอกชื่ออำเภอแม่ไปก่อนจะอ้าปากรับปูที่โอ้ตป้อนให้

'กินเสร็จแล้วรีบกลับนะ แม่มีเรื่องจะคุยด้วย'       จากน้ำเสียงของแม่ฟังดูแล้วคงเป็นเรื่องสำคัญ

"แมทขอโทษนะแม่ที่ไม่ได้บอกแม่ก่อนออกมา"       ผมเดาว่าแม่อาจจะดุเรื่องที่ไปไหนไม่บอก

'รีบกลับมานะ แม่จะรออยู่ที่บ้าน'       คำพูดของแม่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกกังวล

"เห้ย โอเคป่ะมึง กินก่อนๆ"       คงเพราะผมเงียบไปสักพัก

"โอเค"

"โอเคก็กินดิวะ อ่ะนี่ปู กูแกะให้เต็มจานเลย"

"กลับกันเถอะมึง ท่าทางคงมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย น้ำเสียงฟังดูเครียดๆ"

"อ่อๆ ได้ งั้นให้ห่อกลับบ้านนะ"       มันชี้นิ้วไปที่อาหารแต่ผมกลับส่ายหน้า

"ไม่เป็นไรอ่ะ กูอยากกลับบ้านมากกว่า ไม่อยากรอแล้ว"       มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก แต่ผมก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี ขอบคุณโอ้ตที่มันเข้าใจและพาผมกลับบ้านตามที่ต้องการโดยไม่เซ้าซี้ที่จะอยู่ทานต่อ



❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤อดทนอ่านตอนนี้ไปก่อนนะ เราเข้าใจว่าคนอ่านรออะไร แต่ช่วยอดใจรออีกนิดนะ #โดนถีบ
❤คนอ่านบอกนี่ชั้นก็รอมากว่า 20 ตอนแล้วนะ 555 นะนะ อีกนิดๆ
❤ตั้งใจจะลงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่ไฟล์หาย ฮรืออออ คือสะเพร่ามาก
❤แต่ตอนนี้กู้มาได้สามตอนแล้ว จะรีบปั่นให้กลับมาเหมือนเดิม ยังมีคนรอเราอยู่ใช่มั้ย อิอิ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 15-05-2015 23:10:38
เเอบเชียร์ให้คนที่โอ๊ตไปช่วยเป็นคนที่จะทำให้โอ๊ตหายเศร้า

ปล.ตอนนี้พระเอกหาย พี่เชนนนนนนน ตั้งหลักไกลไปรึป่าว
เเม่อย่ามาม่านะ รึพี่เชนไปขอเเมทกับเเม่ อะไรยังไง
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-05-2015 23:44:43
บอกตรงๆ เสียดายปูในจานแมทมากมาย

แล้วนี่พี่เชนตัวหาย เฮ้ย หายตัวไปไหนนะ
รู้มั้ยน้องแมทเปิดใจรอให้มาจีบอยู่
แม่มีเรื่องอะไรกันนะ ดูเครียดๆ

โอ๊ตจะเจอเนื้อคู่แล้วใช่ป่ะ คนที่กัดปากนะ
และน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ช่วยเรื่องรถด้วยใช่ป่ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 16-05-2015 01:39:54
อ่านเรื่องนี้ละโคตรหิวเลยค่ะ กรี๊ด
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 16-05-2015 13:08:56
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกมากๆ เนื้อเรื่องน่ารักดี

แม่มีเรื่องไรคุยกับแมท ท่าทางจะสำคัญมาก
มาต่อไวๆนะ อยากรู้มาก
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: maii ที่ 17-05-2015 23:43:05
รอๆ ชอบทั้งสองคู่เลย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 21 [15-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: maew189870 ที่ 22-05-2015 17:38:14
เอาขันหมากมาแน่ๆ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 22-05-2015 21:56:54
ตอนที่ 22


Matt Part


"แมท ถึงบ้านแล้วมึง"       ผมค่อยๆรู้สึกตัวจากการที่โอ๊ตเขย่าเบาๆที่ไหล่

"อื้อๆ ตื่นแล้ว"       ตอบมันก่อนจะก้มลงมองนาฬิกา ทุ่มครึ่งแล้ว

"ให้กูเข้าไปเป็นเพื่อนไหม"       มือมันยังคงวางบนไหล่ผมอย่างนั้น และที่มันพูดคงจะเพราะเป็นห่วง

"ไม่เป็นไร คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ขอบใจนะ วันนี้กูสนุกมาก"       ผมบอกมันก่อนจะปลดเข็มขัดออก ขอบคุณที่วันนี้ผมมีมันอยู่ข้างๆ

"โทรหากูนะ กูจะรอ"       ผมพยักหน้ารับขณะที่มันกำลังใช้มือที่ยังวางอยู่บนบ่าตบลงเบาๆ

"กูไปนะ ขับรถดีๆ"       บอกมันด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มบางๆระบายอยู่แล้วพาตัวเองลงจากรถ

"อืม"       มันตอบก่อนที่ผมจะปิดประตูรถ

.......................................................................


   เปิดประตูเข้ามาในบ้านก็เห็นแม่นั่งอยู่ตรงโซฟารับแขกหน้าทีวี ท่าทางเรียบเฉยแบบนั้นที่แม่มักแสดงออกเวลามีเรื่องไม่พอใจหรือไม่ชอบใจในการกระทำบางอย่างของใครสักคนในบ้าน และวันนี้ที่แม่เรียกผมกลับบ้านคงเพราะมีอะไรให้ไม่พอใจและต้นเหตุของความไม่พอใจของแม่นั้นคงเป็นผมไม่ผิด

"แม่ครับ"       ผมเอ่ยเรียกแม่ด้วยน้ำเสียงเบาๆ สิ่งที่ผมกังวลอยู่ในใจตอนนี้คือแม่คงรู้เรื่องพี่เชนแล้วอาจจะไม่ชอบใจ ลึกๆในใจภาวนาให้เป็นเรื่องอื่น เพราะเรื่องระหว่างผมกับพี่เชนยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ อย่าเพิ่งให้มันจบลงตอนนี้เลย

"มานั่งนี่สิ"       แม่ตบลงบนที่นั่งข้างๆตัวให้ผมเดินลงไปนั่งก่อนจะหันมามองหน้าแล้วจับมือผมเอาไว้

"แมท"

"ครับ"

"พอเดาออกไหมว่าเรื่องสำคัญที่แม่จะพูดคืออะไร"

"นึกไว้ แต่ก็ไม่อยากให้เป็นเรื่องเดียวกับที่แม่จะพูดเลย"

"จริงๆแม่ไม่อยากยุ่งเรื่องของเด็กๆหรอกนะลูก แต่มันทำให้แม่ไม่สบายใจ"       แม่จับมือผมขึ้นมาลูบไปมายิ่งทำให้ผมคิดไปถึงเรื่องที่คาดเดาไว้ แม่รู้และอาจจะกำลังพยายามปลอบใจ

"ครับ"

"แมทกำลังล้อเล่นกับความรู้สึกของใครอยู่หรือเปล่า"       คำถามที่ทำให้ผมถึงกับขมวดคิ้ว

"แม่หมายถึง..."       ผมเว้นวรรค รอให้แม่พูดออกมา

"น้องหลิน"

"หลินเหรอครับ"       ท่าทางจะไม่ใช่อย่างที่คิด

"ใช่ นี่แมทกำลังทำร้ายความรู้สึกใครโดยที่ไม่รู้ตัวอยู่หรือเปล่า"       ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ไม่ชอบเลยความรู้สึกที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ ความรู้สึกแย่ที่ตัวเองเป็นต้นเหตุที่ไปทำให้ใครสักคนรู้สึกไม่ดี

"เดี๋ยวนะครับ แม่อธิบายให้แมทฟังก่อนได้ไหม"       เพราะเรื่องมันผิดจากที่ผมคิดไว้

"เมื่อวานแม่มีนัดสอนน้องหลินทำขนม เรานัดกันตอน 10 โมงที่ร้าน แต่แม่รอจนเที่ยงแล้วหลินก็ยังไม่มา แม่เลยโทรไปถาม หลินเขาบอกแม่ว่าขอโทษด้วยที่ไม่ไปตามนัด ยังไม่พร้อมจะมาเจอทุกคนในครอบครัวเรา แม่เลยนัดเขาไปเจอที่ห้าง แม่ไม่อยากให้ครอบครัวเราเป็นสาเหตุให้เขาต้องรู้สึกไม่ดี แต่แม่ก็ยังสงสัยอีกอย่างนะ เพราะตั้งแต่วันที่ไปที่วัดแล้ว เรื่องนี้แม่ไม่ได้ถามหลิน ที่อยู่ๆเขาก็รีบกลับ แมทกับหลินมีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าลูก"       แม่เปลี่ยนจากมือมาจับที่ไหล่ผมด้วยสีหน้านิ่งๆอย่างเดิม ในขณะที่ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ

"หลินเล่าให้แม่ฟังแค่นี้เหรอครับ"

"ก็มีมากกว่านี้ แต่แม่อยากลองฟังจากแมทก่อน"       ถึงจะไม่ชอบใจยังไงแต่แม่ก็มักให้โอกาสผมอธิบายเสมอ แม่จะไม่ดุด่าว่ากล่าวทันทีที่ได้ฟังจากใครต่อใครมา

"เอาจริงๆแมทยังไม่รู้เลยว่าหลินเป็นอะไร ตั้งแต่วันนั้นแมทก็ยังไม่ได้เจอหลินเหมือนกัน ถ้าจากที่แม่บอกว่าเป็นเรื่องสำคัญที่อยากคุยกับแมท และที่แม่เล่ามา ก็แสดงว่าแม่เข้าใจว่าแมทกำลังเป็นคนทำร้ายจิตใจหลิน...หรือเปล่าครับ"

"แม่เองก็พอรู้มาบ้างนะว่าแมทเคยชอบหลิน แต่มันก็นานมาแล้ว แม่ก็ไม่รู้ว่ามันยังเหมือนเดิมหรือเปล่า แล้วคนที่แมทเคยพูดให้แม่ฟัง แม่ก็เดาว่าคงไม่น่าจะเป็นหลินไปได้ แม่ไม่ได้เชื่อที่หลินเขาพูดทุกอย่างหรอกนะ เพราะแม่เองก็มีด้านที่อยากจะเข้าข้างลูกของตัวเองเหมือนกัน แต่ถึงยังไงแม่ก็อยากให้แมทไปปรับความเข้าใจกับหลินซะ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ก็มีแต่จะคาราคาซัง เมื่อวานที่แม่เห็นหลินร้องไห้แม่ยังรู้สึกเจ็บปวดตามไปด้วย"       แม่ยังรู้สึก แล้วเจ้าตัวจะเจ็บปวดขนาดไหนกัน

"แมทจะหาเวลาไปคุยกับหลินครับ"       แม่พยักหน้า

"หลินเขาพร้อมเมื่อไหร่ก็คงติดต่อมาเอง เพราะเขาบอกแม่ก่อนจะกลับบ้านว่าคงจะคุยกับแมทอีกทีหลังจากพี่เชนกลับไปแล้ว"

"ทำไมต้องรอพี่เชนกลับไปแล้วละครับ"       ผมเอ่ยด้วยความสงสัย

"นั่นหน่ะสิ แม่ก็ไม่เข้าใจ เอาเถอะ เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แม่ขอแค่ให้เราทั้งคู่ได้คุยกันให้เข้าใจก็พอ แค่นี้แม่ก็สบายใจแล้ว"

"ครับแม่"       ผมตอบตกลง แต่ในหัวก็คิดไม่ตกว่าทำไมถึงต้องรอจนพี่เชนกลับไป ถ้าหากหลินมีเรื่องไม่สบายใจหรืออยากปรับความเข้าใจจริงๆก็ควรรีบมาคุยกัน คนเราจะทนอยู่กับเรื่องที่เราไม่สบายใจได้ยังไง ถ้าเลือกจะรอแบบนี้ก็แสดงว่าเรื่องที่หลินไม่สบายใจต้องเกี่ยวกับพี่เชนหรือเปล่า

"แล้วนี่วันนี้หายไปไหนมาทั้งวัน"

"โอ้ตชวนไปท่าเรือครับ เบื่อๆก็เลยไปกับมันด้วย"

"เบื่อนี่เพราะว่างหรือไงหื้ม งานเราเสร็จแล้วเหรอ"

"ใกล้จะเสร็จแล้วครับแม่ เหลืออีกนิดหน่อยก็น่าจะไปส่งได้ ก่อนกำหนดด้วย"

"ดีแล้ว ถ้ามันว่างแล้วก็น่าเบื่อขนาดนั้นก็พาพี่เชนไปเที่ยวสิ หัดทำตัวน่ารักตอบแทนที่เขาดูแลเราที่ฮ่องกงซะบ้าง"       ผมไม่อยากทายเลยจริงๆว่าถ้าแม่รู้ว่าพี่เชนไม่ได้มาแค่เพราะต้องการจะท่องเที่ยวอย่างที่แม่เข้าใจ แม่จะยังสนับสนุนอยู่ไหม

"ถ้าอยากไปเขาก็เดินมาบอกเองแหละ วันนี้หายไปไหนทั้งวันแมทยังไม่รู้เลย"

"อ้อ...ใช่ พูดถึงพี่เชนหายไปทั้งวันแม่ก็เกือบลืมไปเลย ชาเขียวปั่นโอรีโอ้ของแมทอยู่ในตู้เย็น ไปหยิบมาชิมสิ"       ได้ยินอย่างนั้นผมก็รีบพุ่งตัวไปที่หน้าตู้เย็นทันที

"แม่นี่น่ารักจริงๆเลย แม่รู้ไหมว่าสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตแมทคืออะไร"       หยิบชาเขียวจากตู้เย็นที่น้ำแข็งเริ่มละลายก่อนจะกลับมานั่งข้างแม่เหมือนเดิม

"อะไรหล่ะ"

"คือแม่ไง แม่แบบนี้ แบบที่เอาใจใส่แมท แบบที่รู้ว่าตอนนี้แมทต้องการอะไร"       เอนหัวไปพิงที่ไหล่แม่ในขณะที่ปากก็ดูดชาเขียวไปด้วย ละลายไปบ้างแล้วก็ยังอร่อย

"เดี๋ยวอีกไม่นานคงจะไม่พูดแบบนี้"       แม่บอกก่อนจะหยิบรีโมทมาเปิดทีวี

"พูดตลอดไปนั่นแหละ ใครจะแทนแม่ได้"       พูดจบก็เงยหน้าขึ้นไปหอมแก้มแม่ฟอดใหญ่

"แม่เขินนะเนี่ย แล้วเป็นไงชาเขียวอร่อยไหม"

"โหแม่ แค่ได้กลิ่นก็รู้แล้วว่าอร่อย โอรีโอ้แบบไม่ละเอียด แม่รู้ใจแมทที่สุด"       เคี้ยวโอรีโอ้ที่ยังพอเป็นชิ้นอยู่ก่อนจะยิ้มกว้างให้แม่

"สงสัยจากวันนี้ไปคงมีคนรู้ใจแมทเพิ่มอีกคนแล้วละมั้ง"       เลิกคิ้วและเงยหน้าเล็กน้อยไปมองก็เห็นแม่ที่กำลังมองผมด้วยหางตา นี่คงไม่ใช่การประชดหรอกนะ จะมีใครที่จะรู้จักผมดีขนาดนี้ได้อีก พี่มัทเหรอ มองผ่านได้เลย เพราะขนาดตัวพี่แกเองยังไม่ค่อยจะเข้าใจ

"ใครอ่ะแม่ ไม่มีๆ รสชาตินี้มีของแม่คนเดียว กินที่ไหนก็ไม่เหมือนหรอก"

"แล้วแก้วนี่เหมือนไหมหล่ะ"

"เหมือนสิ ก็แม่ทำนี่ อร่อย"       พยักหน้าเพิ่มเพื่อยืนยันคำตอบ

"ใช่ที่ไหน"

"อ้าว ไม่ใช่แม่แล้วใครทำ"       เคยลองให้พี่อินทำตามสูตรแม่ ยังไงก็ไม่เหมือน

"พี่เชนทำต่างหาก"

"ห๊ะ! พี่เชน"       ยังมีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่แม่ยังไม่ได้พูดอีกไหมเนี่ย

"แปลกใจละสิ วันนี้ไปหาแม่ที่ร้านแต่เช้าเลย แล้วอยู่ๆก็บอกว่าอยากให้แม่สอนทำชาเขียว"

"ทำไมต้องให้แม่สอนหล่ะ"

"เห็นเล่าให้แม่ฟังว่าแมทเคยคุยเอาไว้ว่าชาเขียวแม่อร่อย พี่เชนได้ชิมแล้วก็เลยอยากหัดทำ"

"แล้วหลังจากนั้นพี่เชนไปไหนต่อเหรอ แม่รู้ไหม"

"ไปไหนต่ออันนี้แม่ไม่รู้นะ แต่ก่อนแม่ออกมาจากร้านก็เห็นคุยอยู่กับมัท"

"เหรอครับ"

"จ้ะ น่าจะกลับมาแล้วละมั้ง เพราะตอนแม่เข้าบ้านมาเห็นประตูรั้วเปิดอยู่"

"งั้นเดี๋ยวแมทมานะแม่"       พูดจบก็ลุกเดินออกมาจากบ้านทันที นี่เพิ่งจะสองทุ่มครึ่ง คงยังไม่ดึกเกินไปที่จะคุยกัน

.......................................................................


11 ชั่วโมงก่อนหน้านี้

   ผมอาสาไปส่งเมที่รีบกลับไปทำธุระที่กรุงเทพฯตั้งแต่เช้า เลยถือโอกาสผ่านทางร้านของคุณมัท

"คุณแม่สวัสดีครับ"

"อ้าว...พี่เชน ทำไมมาแต่เช้าคะ ร้านแม่ยังไม่เปิดเลย"

"ผมไปส่งเมที่สนามบินมาครับเลยลองผ่านทางนี้ดูเผื่อมีร้านอาหารน่าสนใจ พอดีเห็นพนักงานยืนอยู่หน้าร้าน เลยคิดว่าเปิดแล้วครับ"       ความจริงผมตั้งใจอยู่แล้วว่าบ่ายๆเข้ามาหาคุณแม่กับคุณมัทที่ร้าน ผมจะเริ่มต้นทำความรู้จักและเรียนรู้อีกฝ่ายจากคนในครอบครัว ถ้าได้พูดคุยกันคงน่าจะซึมซับอะไรได้บ้าง

"ร้านมัทเปิดเช้ากว่าค่ะ ส่วนร้านแม่เปิดประมาณ 11 โมงเลย แล้วนี่น้องเมกลับกรุงเทพฯเหรอคะ"

"ใช่ครับ"       ผมได้ยินเมบอกว่าจะกลับไปจัดการงานประมาณหนึ่งอาทิตย์

"แล้วนี่พี่เชนทานข้าวเช้ามาหรือยังคะ ให้แม่ทำอะไรง่ายๆให้ทานรองท้องก่อนไหม"

"ไม่เป็นไรครับแม่ ผมรองท้องด้วยกาแฟกับขนมปังมาแล้วเมื่อเช้าครับ"       ผมยิ้มบอก

"แค่นั้นจะไปพออะไร มานั่งนี่มาพี่เชน รอ 15 นาทีเดี๋ยวแม่ยกมาให้"       แม่กวักมือเรียกให้ไปนั่งที่โต๊ะใกล้ตู้เค้กของร้าน

"เอางั้นก็ได้ครับ แต่ขอผมไปแอบล้วงความลับหน่อยได้ไหมครับ"       ผมตอบตกลงและเลืกที่จะเดินตามแม่ที่กำลังยืนอยู่ที่ประตูหน้าร้านแทน

"ได้สิคะ เมนูของแม่ไม่เป็นความลับหรอกค่ะ "       พูดจบแม่ก็เดินนำผมออกไปทางร้านคุณมัท

"ทำยากไหมครับ"       แม่ของแมทเป็นคนน่ารัก เป็นผู้ใหญ่ในแบบที่ผมอยู่ด้วยแล้วรู้สึกไม่อึดอัด

"ไม่ยากเลยจ้ะ แค่สิบนาทีก็เสร็จ"       แม่หันมาตอบคำถามผมพร้อมกับยกฝ่ามือสองข้างขึ้นมาเพื่อขยายความคำว่าสิบ

"สงสัยต้องให้แม่สอนแล้วหล่ะครับ"       พอผมพูดจบแม่ก็ยิ้มกว้างแล้วตอบกลับมา

"ยินดีมากค่ะ รับรองพี่เชนลืมทั้งกาแฟแล้วก็ขนมปังปิ้งที่ว่าง่ายไปได้เลย"

.......................................................................


   พนักงานที่อยู่ในครัวมีแค่สองคนซึ่งกำลังเตรียมผักและเครื่องปรุงให้อยู่ตรงตำแหน่งที่ใกล้มือพ่อครัวหรือแม่ครัวมากที่สุด ภาพเหล่านี้ผมพอคุ้นชินมาจากที่ร้านตัวเองบ้าง แต่อาจจะมีการจัดการบางอย่างที่ออกจะแตกต่างกันเล็กน้อย พอเข้ามาด้านในแม่ก็จัดการหยิบเนื้อหมูออกมาจากตู้แช่และไข่ไก่สองฟอง จากนั้นก็ตักข้าวสวยจากหม้อหุงข้าวใบใหญ่ใส่ลงไปในหม้อใบขนาดกลางๆ ไม่เล็กไม่ใหญ่มากนัก

"นี่ค่ะพี่เชน ใช้ข้าวสวยนะคะ จะได้ไม่เสียเวลารอต้มข้าวจนเมล็ดพอง เราเอาข้าวใส่ลงไปในหม้อก่อนแล้วค่อยใส่น้ำตามลงไปจนท่วมเลยนะคะ โรยเกลือลงไปเล็กน้อยแล้วตั้งไฟอ่อนไว้เลยค่ะ ข้าวจะดูดน้ำจนค่อยๆนิ่มเอง"       แม่พูดอธิบายพร้อมกับทำไปด้วยตามที่พูดจนครบแล้วยื่นหม้อมาให้ดูก่อนจะตั้งลงบนเตาที่มีอยู่ถึงสี่หัวแบบในร้านอาหารใหญ่ๆทั่วไปแล้วจึงจุดไฟ จากนั้นก็ใช้หม้อขนาดเล็กใส่น้ำแล้วต้มข้างๆกันจนน้ำเริ่มจะเดือด

"เคล็ดลับของแม่อยู่ตรงนี้จ้ะ ลวกหมูสับพอสุกแล้วเอามาผัดกับน้ำมันหอยใส่ซอสปรุงรสเล็กน้อยนะคะพี่เชน ทีนี้เนื้อหมูก็จะไปเพิ่มรสชาติให้ข้าวที่เราต้มไว้โดยไม่ต้องปรุงเพิ่มเลย"       หลังจากพูดจบแม่ก็เอาหมูสับที่มีอยู่แล้วลงไปลวกในน้ำร้อนให้พอสุกตามที่แม่อธิบาย ก่อนจะเปลี่ยนจากหม้อมาเป็นกระทะ แล้วแม่ก็จัดการผัดมันกับนน้ำมันหอยและซอสปรุงรสตามที่ได้อธิบายให้ผมฟังจนเสร็จก็ตักใส่จานพักไว้ อาหารจานนี้ดูเหมือนจะมีหลายขั้นตอนแต่ทุกขั้นตอนสามารถทำพร้อมกันได้และใช้เวลาไม่นาน เพราะจากที่ผมหันไปดูหม้อที่แม่ต้มข้าวเอาไว้ก็ดูจะเริ่มเดือด และข้าวก็ดูจะพองตัวอย่างที่แม่บอกจนเกือบจะเต็มหม้อ

"ครับ"

"ส่วนไข่เราก็ต้มไว้ประมาณ 5 นาทีระหว่างรอต้มข้าว"       จากนั้นก็เอาหม้อมาตั้งไฟบนหัวเตาที่เหลือ แล้วใส่น้ำลงไปไม่เยอะมากพอใส่ไข่ตามลงไปก็ดูเหมือนแค่พอท่วมฟองไข่

"ดูเหมือนข้าวจะได้ที่แล้วพี่เชนช่วยตักใส่ถ้วยให้แม่หน่อยนะค่ะ"       แม่บอกพร้อมชี้มาทางถ้วยที่ถูกเรียงกันอยู่บนชั้นวาง

"ถ้วยนี้เลยนะครับ"       ผมหยิบมาแล้วถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง

"จ้ะ"       หลังจากได้รับการยืนยันผมก็จัดการตักข้าวที่ดูนิ่มลงแต่ยังมีสภาพเป็นเมล็ดสวยลงในถ้วยตามที่แแม่บอก แล้วยกไปวางบนโต๊ะเตรียมอาหารด้านหลังแม่ที่กำลังจะตักไข่ที่ต้มผ่านไปแล้ว 5 นาทีขึ้นมาจากหม้อ

"ทีนี้เราก็ตอกไข่ที่ลวกพอสุกเอาไว้ เรียกว่าไข่ยางมะตูมค่ะ ใส่ลงไปในถ้วยเลยแบบนี้นะคะ"       แม่จัดการตอกไข่ลงไปในถ้วยข้าวต้มที่ยังร้อนอยู่

"ครับ"

"ทีนี้ไข่โดนข้าวที่เพิ่งต้มร้อนๆก็จะสุกมากขึ้นอีกนิดหน่อย เราก็ตักหมูที่ผัดเอาไว้มาราดด้านบนแค่นี้ก็เรียบร้อยค่ะ"       ชี้ให้ผมดูไข่ขาวที่เริ่มกลายเป็นสีขุ่นขึ้น ก่อนจะตักหมูสับจากในจานที่พักไว้มาราดด้านบน

"อ้อ พี่เชนทานต้นหอมผักชีไหมค่ะ"       แม่เงยหน้าจากจานข้าวต้มที่ดูน่าทานขึ้นมาถามผม

"ทานครับ"       ผมพยักหน้าตอบ

"งั้นก็โรยเพิ่มไปบนหมูสับเลยนะคะ เด็กๆที่บ้านไม่ชอบผักโรยแม่เลยต้องถามก่อน"       แม่เปิดตู้เย็นหยิบต้นหอมผักชีออกมาหั่นอย่างละต้นก่อนจะโรยลงในถ้วยให้ดูมีสีสันเพิ่ม

"นี่จ้ะ อาหารเช้าจานด่วนของแม่ ข้าวต้มหมูสับใส่ไข่ร้อนๆ"       แม่ยื่นถ้วยข้าวต้มที่มีจานรองใบเล็กอยู่มาตรงหน้าให้ผมรับไว้ หน้าตามันดูดีจนรู้สึกน้ำย่อยในกระเพาะกำลังถูกกระตุ้น

"ขอบคุณครับแม่ แต่ดูท่าทางแล้วน่าทานจนไม่คิดว่าจะทำง่ายๆเลยนะครับเนี่ย"       พูดจบก็ลองตักขึ้นมาชิม

"เป็นไงคะ ถูกใจไหม"

"อร่อยครับ"       ผมพยักหน้าตอบ

"อย่าแกล้งชมแม่นะคะ เพราะฝีมือแม่อร่อยแค่ในครัวเรือนส่วนบุคคลเท่านั้นแหละค่ะ"       แม่เอียงคอพูดด้วยรอยยิ้มและท่าทางน่ารัก

"ไม่เลยครับผมชอบ"

"เราไปนั่งทานที่โต๊ะตรงระเบียงม่านน้ำดีกว่าค่ะ ยืนทานในครัวเดี๋ยวจะเมื่อยเอา"       ผมพยักหน้าแล้วถือถ้วยข้าวต้มเดินตามมาบริเวณริมสุดของร้านคุณมัทที่ติดกับร้านกาแฟของแม่ซึ่งถูกกั้นด้วยม่านน้ำให้ดูสดชื่นพร้อมกับมีธารน้ำเล็กๆที่น่าจะไหลมาจากมุมน้ำตกหน้าร้าน

"ผมเดาว่านี่ต้องเป็นเมนูโปรดของทุกคนในบ้านเลยใช่ไหมครับ"       ผมถามขึ้นหลังจากที่วางข้าวต้มลงบนโต๊ะแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามแม่

"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ มัทกับแมทเป็นคนทานยาก  โจ้ก ข้าวต้มพวกนี้เขาจะไม่ค่อยชอบทานเท่าไหร่ แมทเขาชอบพวกอาหารเส้นๆ ข้าวต้มหมูของแม่หน่ะเขาทานเพราะแม่ทำหรือชอบจริงๆก็ไม่รู้นะคะ"

"คงจะเพราะชอบฝีมือแม่ครับ เพราะที่ฮ่องกงเขาก็เลี่ยงที่จะไปทานโจ้ก"       ผมเล่าไปพร้อมกับค่อยทานข้าวต้มในถ้วยไปด้วย

"นี่ดื้อกับพี่เชนด้วยเหรอคะ ปกติกับคนที่เพิ่งเจอ ไม่ค่อยสนิทเขาจะปากหนักนะ ชอบไม่ชอบอะไรไม่ค่อยจะพูดหรอกค่ะ เป็นคนชอบเก็บความรู้สึก ต้องให้คอยถาม เหมือนจะมีแค่โอ้ตคนเดียวแหละค่ะพี่เชนที่เขายอมเล่าอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง ตายละ นี่แม่มานั่งเม้าท์ลูกๆให้พี่เชนฟัง น่าเบื่อแย่เลย คนแก่ก็งี้แหละค่ะ"       ผมยิ้มตอบ

"เล่าเยอะๆเลยก็ได้ครับแม่ ผมชอบฟัง"

"พี่เชนนี่น่ารักจังเลยนะคะ"       แม่ยกยิ้มทั้งใบหน้าทำให้ผมรู้สึกว่าเธอรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ

"นี่ถ้าลูกสาวแม่ครบเครื่องกว่านี้แม่คงเชียร์ยัยมัทให้แล้วหล่ะคะ"

"ขอบคุณครับ"       ผมก้มหัวเล็กน้อยพร้อมบอกขอบคุณ

"แต่แม่เปลี่ยนใจไม่สนับสนุนแล้วดีกว่า แม่สงสารพี่เชน"       แม่บอกก่อนจะโบกมือเป็นเชิงปฏิเสธ

"ยังไงครับ"       ผมถามกลับด้วยความไม่เข้าใจ

"อย่างที่พี่เชนพอเห็นมาบ้างนั่นละค่ะ แม่ขอถามอะไรหน่อยสิคะ"

"ครับ"

"แม่สงสัยหน่ะค่ะ พี่เชนพูดไทยชัดจนแม่ไม่คิดว่าเป็นคนฮ่องกง"       แม่หรี่ตาถาม

"แม่ผมเป็นคนไทยครับ ส่วนพ่อผมถึงเป็นคนฮ่องกงก็พูดไทยได้ เราใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกันในบ้านครับ"

"แต่หน้าพี่เชนนี่ดูตี๋อินเตอร์มากเลยนะคะ ไม่บอกไม่รู้เลยว่ามีเชื้อไทย คุณแม่คงสวยคมมากๆแน่เลยใช่ไหมคะ"

"ก็ถ้าในสายตาผมเธอสวยมาก คงไม่ต่างกันกับแม่ในความคิดของแมทนะครับ"       ผมยิ้ม และมองหน้าแม่อยู่อย่างนั้น แมทกับแม่เหมือนกันมาก

"ไม่จริงหรอกค่ะ ถ้าเขาไม่ใช่คนขี้อ้อนนี่แม่คงไม่ได้ยินคำว่าสวยจากปากเขาแน่ค่ะ"       แม่บอกพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

"แต่สำหรับผมแม่สวยนะครับ ดูแล้วแมทเองก็คงได้มาจากแม่ไม่น้อย"

"แม่นี่เหรอคะ ปากหวานจริงค่ะพี่เชน"       เธอยกมือขึ้นทาบอกแล้วถามซ้ำ และผมพยักหน้าเพื่อยืนยันครับตอบ

"ทานเยอะๆนะคะ"       เธอพูดบอกด้วยรอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม

"ขอบคุณครับแม่"       พยักหน้าตอบแล้วทานข้าวต้มในชามต่อ

.......................................................................



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 22-05-2015 21:58:12

"แม แม๋ แม่ แม่อยู่ไหน"       คุณมัทที่ส่งเสียงเรียกทั้งๆที่ยังไม่เห็นตัว

"อยู่นี่มัท เรียกทำไม"       สายตาแม่ที่มองผ่านหัวไปด้านหลังผมจนต้องหันมองตาม แล้วก็พอคุณมัทที่กำลังเดินมา       

"อยู่นี่เอง แอบมาเต๊าะพี่เชนเหรอแม่ นี่รุ่นลูกเลยนะ"       คุณมัทที่พูดแซวแม่ทั้งๆที่ตัวยังเดินมาไม่ถึง

"เห็นไหมละคะ เจอแบบนี้ไปพี่เชนจะกลายเป็นผู้ชายที่น่าสงสารทันทีเลยละค่ะ แม่กลับร้านดีกว่าค่ะ"       แม่ยกมือป้องปากยื่นหน้าผ่านโต๊ะมากระซิบบอกผมก่อนจะลุกขึ้นยืนให้ผมลุกตาม

"แม่พูดอะไรมัทไม่ได้ยิน แล้วนั่นจะไปไหนละคะ"       พอแม่ลุกคุณมัทก็รีบเร่งฝีเท้าให้ถึงโต๊ะที่ผมกับแม่ยืนอยู่ไวขึ้น

"นั่งทานเถอะค่ะพี่เชน แม่ไปก่อนนะคะ ทานให้อร่อยนะ ทานเยอะๆ"       พูดจบแม่ก็เหลือบตามองหน้าคุณมัทก่อนจะส่ายหน้าในแบบที่ดูไม่จริงจังนัก

"ขอบคุณมากๆครับแม่"       ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วแม่ก็เดินออกจากโต๊ะไปทางร้านกาแฟ

"เมื่อกี้แม่กระซิบอะไรเหรอคะคุณเชน"       คุณมัทเลือกจะนั่งที่เดิมที่แม่ลุกออกไป

"ไม่มีอะไรหรอกครับ"       ผมส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

"อะไรกันคะ ไม่ทันไรก็ไปเป็นพวกแม่แล้วเหรอ"       ท่าทางกอดอกและใบหน้าที่ดูรั้นๆเหมือนกับแมทตอนถูกขัดใจเรื่องกินเเยอะเกินไปไม่มีผิด

"ป่าวหรอกครับ"       ผมตอบปฏิเสธไป เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญนัก

"แล้วนั่นทานอะไรอยู่ค่ะ"       ตามองและชี้มาทางถ้วยตรงหน้าผม

"ข้าวต้มครับ คุณมัททานด้วยกันไหม"

"ไม่ละคะ ตามสบายเลย มัทเรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกจากบ้านแล้วหล่ะคะ แล้วนี่พี่เมไม่มาด้วยเหรอคะ"

"เมไปกรุงเทพฯตั้งแต่เช้าแล้วครับ"       พูดตอบก่อนจะตักข้าวต้มขึ้นมาทานเป็นคำสุดท้าย มันออกจะอึดอัดไปสักหน่อยที่จะต้องทานข้าวต่อหน้าใครสักคน

"อ่อคะ แล้วนี่คุณเชนมาหาแมทเหรอคะ"

"ป่าวครับ ผมผ่านทางนี้เลยแวะเข้ามา"

"นึกว่านัดกันซะอีก แต่คงไม่ใช่เพราะก่อนมัทออกมาเห็นออกไปกับโอ้ตแล้ว"

"ครับ ดีแล้วหล่ะครับ"       ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมอยากใช้เวลา 1 วันตามหาสิ่งที่แมทชอบและสนใจ หากแมทไปเที่ยวกับโอ้ตอย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องสนใจว่าทำไมวันนี้ผมหายไปและไม่พยายามไปเอาชนะใจคนที่กำลังจีบอยู่ หากมีอะไรให้ทำ แมทอาจจะลืมไปและข้อดีคือผมจะได้ไม่ติดลบในความรู้สึกเขา

"ดีงั้นเหรอคะ"       คุณมัทขมวดคิ้วถาม

"เอ่อ คุณเชนคะ มัทขอเสียมารยาทถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ"       วางฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะ แล้วยืดตัวขึ้นหลังตรงตามด้วยสายตาที่มองผมอย่างจริงจัง

"ครับ"

"คุณเชนชอบน้องชายมัทเหรอคะ"       ผมไม่คิดว่าเธอจะถามตรงขนาดนี้

"ครับ"       ผมพยักหน้าตอบ

"แล้ว 'ครับ' นี่คือย้อนถามหรือคำตอบคะ"       คุณมัทเอียงคอถามแสดงให้เห็นว่ากำลังสงสัย

"ผมชอบแมทครับ ตอนนี้กำลังพยายามจีบอยู่"       ผมเดาว่าเธอคงจะพอรู้หรือดูออกถึงได้กล้าถาม และในเมื่อผมชอบและต้องจีบตามที่เจ้าของเงื่อนไขต้องการก็ไม่มีเหตุผลที่จะปิดบัง

"โอ้โห ไม่มีอ้อมค้อมเลยนะคะ พยายามจีบนี่แสดงว่าแมทมันเล่นตัวงั้นเหรอคะ"       ผมกลับไม่คิดอย่างนั้นนะ ผมรู้สึกแค่ว่าเงื่อนไขของแมทอาจจะเกิดจากความกังวลและความไม่แน่ใจ เรื่องนั้นผมพอเข้าใจได้

"คงไม่ใช่หรอกครับ เขาอาจจะต้องการเวลาปรับตัว"       และหากเขาต้องการพิสูจน์ผมก็แค่ทำตามที่เขาต้องการ

"แหม คำพูดคุณเชนทำให้น้องชายมัทดูดีขึ้นโขเลยค่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ งั้นมัทจะช่วยเองคะ"       ผมดีใจที่ได้ยินคำนี้ เพราะนั่นก็แปลว่าคุณมัทไม่ได้รังเกียจ และอาจจะยอมรับผมกลายๆ

"คุณมัทไม่ว่าอะไรเหรอครับที่แมทจะรักชอบกับผู้ชายด้วยกัน"       ผมว่ามันคงไม่ง่ายที่จะทำความเข้าใจ

"แล้วคุณเชนมาเพื่อรักน้องมัทจริงๆหรือมาเล่นๆละคะ"       เธอถาม

"ผมจริงจังครับ"       และผมก็ตอบออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง

"นี่ไงค่ะ มัทเองก็ดูออก ถึงแม้จะต้องพยายามทำความเข้าใจสักหน่อยแต่ถ้าคุณทำให้น้องชายมัทมีความสุขมัทก็โอเคค่ะ"       เธอยิ้มบอก

"ขอบคุณมากครับ งั้นผมขอรบกวนคุณมัทสักเรื่อง"

"หลายเรื่องก็ได้ค่ะ มัทบอกแล้วไงคะ ว่ามัทยินดี"

"ตอนนี้ผมอยากให้เขายอมรับผม และผมก็อยากจะค่อยๆเรียนรู้ตัวตนของเขาด้วยตัวผมเองก่อนครับ"

"ทำไมฟังแล้วมัทรู้สึกตัวเองจุ้นจ้านจังค่ะ แหะๆ"       ท่าทางที่กำลังยิ้มแหยๆทำให้ผมต้องรีบอธิบายต่อ

"ไม่หรอกครับ ผมอยากรับความช่วยเหลือของคุณมัทมาก แต่มันดูไม่ค่อยพยายามเท่าไหร่ถ้าหากคนผมเอาแต่จะเรียนรู้แมทจากการถามไถ่คนใกล้ตัวเขาเพียงอย่างเดียว ตอนนี้ผมยังพอมีเวลาที่จะค่อยๆเรียนรู้ในสิ่งที่เขาชอบและความสนใจของเขา คุณมัทช่วยผมแค่อย่างเดียวก็พอ"

"อะไรคะ"       เธอเลิกคิ้วถาม

"ผมอยากได้นิยายที่แมทเขียนทั้งหมดครับ"       คุณมัทพยักหน้าก่อนจะพูดต่อ

"ดูคุณเชนใส่ใจรายละเอียดจนมัทชักจะรู้สึกอิจฉาน้องชายตัวเองขึ้นมาแล้วค่ะ แต่เอาเถอะค่ะ ถ้าคุณเชนต้องการแค่นั้น เดี๋ยวมัทจะโทรให้เฟย์ขนนิยายของแมทไปให้ที่บ้านนะคะ"

"ขอบคุณมากครับ"

.......................................................................


ออด!!! ออด!!!

   จริงๆก็ยังไม่รู้เหตุผลหรอกว่าพาตัวเองมายืนอยู่หน้าบ้านพี่เมทำไม เพราะชาเขียวแก้วนี้ละมั้งที่นำทางผมมา และอีกอย่างคงเป็นเรื่องหลิน

"แมท"

"พี่เชน"       ยิ้มทั้งปากทั้งตาแบบนี้คืออะไร โมโหตัวเองจริงๆ ทำไมไม่เตรียมป้องกันตัวเองมาก่อน พี่เชนเป็นคนมีความสามารถในการละลายใจแค่ไหนก็เคยเจอมาบ้าง นี่แค่ยิ้มให้ก็ลืมเหตุที่มายืนอยู่ตรงนี้ไปหมดแล้ว

"มาหาพี่ใช่ไหม"       พี่เชนถามขึ้นขณะกำลังเลื่อนประตูรั้วเหล็กที่สูงแค่ไหล่

"ใช่"       อยากต่อยปากตัวเองที่พูดออกไปไวกว่าที่ใจคิด ผมขมวดคิ้วแต่พี่เชนกลับยิ้มแล้วยื่นหน้ามากระซิบใกล้หู

"ขอบคุณนะ"       ผมรู้สึกหลังจากพี่เชนดึงตัวเองกลับไปว่าทำไมตัวเองถึงไม่ถอยตัวหนี

"อือ...อืม ขอบคุณทำไม"       พยักหน้ากลับไปแบบเก้อๆ

"แค่อยากขอบคุณ เข้าไปในบ้านก่อนไหม"       แล้วผมก็พยักหน้า พี่เชนก็หันหลังเดินนำเข้าไป ในขณะที่เดินตามผมรู้สึกตัวช้าอีกครั้ง ทำไมใจง่ายได้ขนาดนี้

"แมทกินข้าวเย็นมาหรือยัง"

"พี่หายไปไหนมาทั้งวัน"       เราทั้งคู่พูดออกมาพร้อมกัน

"ที่ถามนี่เพราะรอพี่อยู่หรือเปล่า"       พี่เชนถามขึ้นพร้อมยกยิ้มมุมปาก ทำไมผมรู้สึกเหมือนคนที่กำลังโดนจับผิดเลย หรืออาจจะเพราะสายตาที่เหล่มองมาแบบนั้น

"เปล่าเลย วันนี้ไปเที่ยวกับโอ้ตมาทั้งวัน สนุกมาก"       ผมส่ายหน้าก่อนจะอธิบาย

"ดีแล้วครับ แล้วตกลงว่าทานข้าวเย็นมาหรือยัง"

"นิดหน่อย"

"งั้นก็ดีเลย ตามพี่มานี่สิ"       พูดจบก็เดินนำไปทางห้องครัว

"พี่ทำอะไร"       ผมถามขึ้นหลังจากเห็นของสดวางอยู่เต็มเคานเตอร์ครัว

"ตอนแรกกะจะทำอะไรง่ายๆ แต่พอแมทมาก็เลยว่าจะเปลี่ยนเป็นสปาเก็ตตี้ ดีไหม"       พี่เชนเงยหน้าขึ้นมาถามหลังจากค่อยๆขยับของบนเคานเตอร์ให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น

"ทำไมต้องเปลี่ยน ผมไม่ได้จะมากินข้าวเย็นกับพี่ซะหน่อย"

"วิธีจีบของพี่ต้องเริ่มจากการเดทกันก่อน และกินข้าวด้วยกันมันเป็นจุดเริ่มต้นของการเดทนะ หรือแมทจะให้พี่ข้ามขั้นไปจับมือหรือกอดเลยไหมหล่ะ พี่จะได้ทำเลย"       พูดจบก็ยื่นแขนสองข้างแล้วเดินมาทางที่ผมยืนอยู่ให้ต้องรีบยกมือห้าม

"เออๆๆ เริ่มจากกินข้าวก่อนก็ได้ แล้วนั่นพี่จะทำสปาเก็ตตี้อะไร"       ผมพยักเพยิดหน้าไปทางของที่วางอยู่บนเคานเตอร์เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

"คาโบนาร่าไหม"       แค่นึกภาพตามก็เห็นเบคอนลอยไปลอยมาแล้วอ่ะ

"ก็ดีนะ"

"ได้ครับ งั้นแมทไปนั่งที่โซฟาก่อนก็ได้ เสร็จแล้วพี่เรียก"

"นั่งรอในนี้ไม่ได้เหรอ"       ผมถามขึ้นด้วยความสงสัย

"พูดออกมาตรงๆก็ได้ไม่ต้องอายหรอก แค่บอกพี่ว่าอยากอยู่ใกล้ๆ อ่ะตรงนี้เป็นไงใกล้พอไหม"         พี่เชนพูดไปก็เดินไปลากเก้าอี้บาร์ทรงสูงที่วางอยู่ข้างเคานเตอร์ครัวมาวางข้างเตาที่ตนเองยืนอยู่แทน

"แค่อยากรู้ว่าพี่จะทำยังไงต่างหาก ผมค่อนข้างแน่ใจแล้วหล่ะว่าพี่มันพวกเข้าข้างตัวเองเต็มขั้นจริงๆ"       พูดจบผมก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้ที่พี่เชนลากมาไว้ใกล้ๆเตา ถ้าพี่เชนเป็นพวกเข้าข้างตัวเองแล้วอย่างนี้ผมควรเรียกตัวเองว่าอะไรดี

"ปกติกินข้าวเย็นเยอะไหม"       พี่เชนหันมาถามขณะกำลังหยิบกระเทียมมาสับแล้วตามด้วยหอมใหญ่มาหั่นจนมันกลายเป็นลูกเต๋า

"แล้วแต่ ถ้าอร่อยก็กินเยอะ"       ผมตอบในขณะที่ตาก็จ้องไปที่เขียง พี่เชนหั่นหอมใหญ่ไวมาก และที่สำคัญคือขนาดมันดูใกล้เคียงกันซะจนดูผ่านๆเหมือนเท่ากันทั้งหมด ความเชี่ยวชาญมันเป็นแบบนี้นี่เอง

"แล้วกำลังลดน้ำหนักอยู่เหรอ"       พี่เชนหยุดหั่นแล้วเงยหน้าขึ้นมาถาม ออกจะขัดใจผมเล็กน้อยที่กำลังเพลินอยู่กับฝีมือการใช้มีดของพี่เชน

"ไม่หรอก ถ้าอยากก็กิน"       ถามคำผมก็ตอบไปคำ เพราะความสนใจของผมทั้งหมดมันอยู่บนเขียงนั่นต่างหาก ซึ่งตอนนี้มันเปลี่ยนเป็นเห็ดที่ถูกฝานจนบางเฉียบ

"พี่ว่าแมทต้องกินให้เยอะกว่านี้รู้ไหม เราผอมไป"

"อืมๆ พี่ไม่ต้มเส้นก่อนเหรอ"       ผมพยักหน้ารับส่งๆ แล้วถามเรื่องเส้น เพราะเท่าที่เคยรู้มาเส้นมันต้องใช้เวลาต้มนานพอสมควร ทำไมพี่เชนถึงไม่ต้มเส้นก่อน ปากก็ถามไป ส่วนสายตาก็จับจ้องอยู่ที่เขียงเหมือนเดิมแต่ตอนนี้เปลี่ยนจากเห็ดมาเป็นเบค่อนแทน

"เอ้าพี่ หยุดทำไม ทำต่อดิ"       อยู่ๆพี่เชนก็หยุดหั่นทั้งๆที่เบค่อนยังเหลืออีกตั้งครึ่งท่อน ผมถามอะไรผิดไปงั้นเหรอ

"เส้นพี่ต้มไว้แล้ว อยู่ที่อ่างล้างจาน และที่หยุดเพราะดูเหมือนเบค่อนนี่จะน่าสนใจกว่าสิ่งที่พี่พูด"       ผมละสายตาจากเขียงมามองหน้าพี่เชนแทน

"ก็ยังไม่เคยเห็นคนใช้มีดเก่งใกล้ๆขนาดนี้มาก่อนเลย พี่โคตรจะเป๊ะ!"      พอผมอธิบายจบพี่เชนกลับยิ้มกรุ้มกริ่มก่อนจะหยิบกระทะไปวางบนเตา

"อย่างอื่นก็เก่ง เดี๋ยวแมทก็ค่อยๆรู้เอง เรายังมีเวลาอีกเยอะ"       นี่รวมเป็นประโยคจำพวกเดียวกับที่ใช้พูดเพื่อจีบได้ไหม เพราะผมกำลังเข้าใจแบบนั้นถึงแม้มันจะค่อนไปทางเข้าข้างตัวเองของพี่เชนสักหน่อย

"อือๆ ทำเถอะ เตาร้อนแล้วนั้นอ่ะ"       ผมพยักเพยิดหน้าที่กำลังอมยิ้มไปทางเตาด้วยความเขิน

"หยิบเนยให้พี่หน่อยสิ"       ลงจากเก้าอี้แล้วหยิบเนยไปส่งให้

"ใส่เบค่อนเยอะๆนะ ผมชอบ"       แล้วพี่เชนก็ยิ้มพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะหันไปจัดการใส่เนยในกระทะก่อนตามด้วยเบค่อนเยอะๆตามที่ผมต้องการแล้วค่อยๆผัดไปเรื่อยๆจนมันกลายเป็นสีเหลืองทอง

"ขอถามอะไรหน่อย"       ผมพอเห็นว่าพี่เชนกำลังมองหน้าผมอยู่ แต่เบค่อนในกระทะที่กำลังสะดุ้งตัวดูแล้วน่าสนใจกว่าพี่เชน

"ว่ามาสิ"       สายตาผมจับจ้องอยู่ที่กระทะและมือพี่เชน ถึงหูฟังแต่สมาธิมันก็ถูกจับจดอยู่ที่อาหารตรงหน้ามากกว่า

"แมทไม่ได้เล่นไลน์แล้วเหรอ"       ผมส่ายหน้าโดยไม่ได้มองหน้าพี่เชน มองแค่มือที่กำลังใส่หอมใหญ่ลงไปผัดกับเนยที่ผสมน้ำมันจากเบค่อนและตามด้วยกระเทียมสับ จนมีกลิ่นหอมดึงดูดให้รู้สึกหิวอีกครั้ง

"ไม่อ่ะ ไม่รู้จะเล่นกับอะไร แมทคืนไอแพดพี่มัทไปแล้ว"

"อะไรนะ"       คำถามของพี่เชนทำให้ผมต้องเบนความสนใจจากกระทะมาอยู่ที่ใบหน้าของคนที่กำลังถือมันแทน

"บอกว่าคืนไอแพดพี่มัทไปแล้ว โทรศัพท์ที่ใช้อยู่ถ่ายรูปยังไม่ได้เลย คงไม่ต้องพูดถึงโซเชียลหรอกนะ"       แล้วผมก็หันมาสนใจกระทะอีกครั้งซึ่งตอนนี้พี่เชนกำลังเทครีมลงไปจนท่วม แล้วค่อยๆเคี่ยวมัน

"อันนั้นได้ยินแล้ว"       พี่เชนตอบพร้อมรอยยิ้ม

"แล้วพี่จะถามซ้ำทำไม"

"เหมือนพี่จะได้ยินเราแทนตัวเองว่าแมท อยากให้ทำต่อไป"       ผมเงียบแล้วมองหน้าพี่เชนนิ่งๆ

"มันไม่ค่อยชินนะ เอาไว้ผมยอมคบกับพี่เมื่อไหร่ผมจะแทนตัวเองอย่างที่พี่ต้องการละกัน"

"งั้นก็ฝึกไว้ก่อนก็ได้ อีกไม่นานหรอก จะได้ชิน"       พูดจบก็ยิ้มที่มุมปากก่อนจะหันไปหยิบถ้วยชีสมาโรยในกระทะที่ครีมกำลังเดือด       

"โห! มั่นเนอะ"       พี่เชนยิ้มรับด้วยสีหน้ามีความสุข ทำอย่างกับไม่รู้ว่าผมกำลังประชด

"ใช่สิ พี่จะถามอีกอย่าง"

"พี่นี่ก็ช่างสงสัยนะ"

"พี่เคยโทรมาหาแมท แต่ไม่มีคนรับสาย"       พี่เชนถามในขณะที่มือก็กำลังคนซอส

"พี่รู้เบอร์ผมเหรอ"       ผมตาโตถามด้วยความสงสัย

"ก็เบอร์ที่ให้ไว้ตอนจองที่พัก"       พี่เชนพูดไปก็คนซอสที่เริ่มดูข้นๆหนืดๆในกระทะไปด้วย ก่อนจะหันตอกไข่สองฟองใส่ถ้วยแล้วตี

"นั่นมันเบอร์พี่มัท ไม่แปลกหรอกที่จะไม่มีคนรับ ใส่ไข่เพิ่มอีกฟองได้ไหม"       ผมอธิบายสาเหตุที่ไม่มีคนรับสายก่อนจะขอเพิ่มไข่ลงไปอีกสักฟอง     

"คุณมัทไม่ค่อยใช้โทรศัพท์เหรอ"       พี่เชนถามในขณะที่ตอกไข่ใส่ลงไปเพิ่มแล้วตีสักพักก่อนจะเทลงในกระทะ แล้วค่อยๆคนจนมันผสมกันตามด้วยโรยเกลือเล็กน้อย

"ใช้ แต่พี่มัทไม่รับเบอร์แปลก"

"อย่างนี้นี่เอง ซอสคาโบนาร่าเสร็จแล้ว"       พี่เชนปิดเตาแล้วใช้ช้อนเล็กๆตักซอสยื่นมาให้

ผมรับมาไว้ในมือ ความรู้สึกแรกที่ได้ชิมคือมันกลมกล่อมและ       "อร่อย"       ผมยิ้มตอบ มีอาหารจานไหนที่ผู้ชายคนนี้ทำไม่อร่อยบ้าง อร่อยแม้กระทั่งชาเขียว

"พี่"       ผมหันไปมองพี่เชนพร้อมเรียกทันทีที่นึกเรื่องที่ตั้งใจมาถามได้

"ครับ"       ลุกไปหยิบแก้วชาเขียวที่วางไว้ตรงเคานเตอร์ครัวมาชูตรงหน้าพี่เชน

"แก้วนี้แม่บอกว่าสอนพี่ทำ"

"ครับ"       พี่เชนพยักหน้าแล้วหันไปใส่เส้นที่หยิบมาจากตะกร้าที่อ่างล้างจานลงไปในกระทะ แล้วใช้ช้อนส้อมคลุกเคล้าซอสกับเส้นจนทั่วก่อนจะตักใส่จาน

"ทำไมพี่ถึงทำมันได้อร่อยเหมือนที่แม่ทำ ทั้งๆที่พี่ที่ร้านลองหัดทำเหมือนที่แม่บอกทุกอย่าง แต่...มันไม่เหมือน"       ผมส่ายหัวเป็นท่าทางประกอบคำพูด

"จำที่แมทเคยบอกพี่ได้ไหมว่าเพราะอะไรชาเขียวของแม่ถึงมีมากกว่าความอร่อย"       พี่เชนยกจานที่มีสปาเก็ตตี้มาวางบนเคานเตอร์ครัวแล้วโรยชีสเพิ่มลงไป       

"เพราะใส่ใจ"       พี่เชนพยักหน้าและยกยิ้มอย่างอ่อนโยน

"ถึงแม้พี่จะไม่รู้ว่าแม่ใส่ใจลงไปแค่ไหน หากวัดปริมาณได้ ของพี่ก็คงมากมายไม่ต่างกัน"       คำพูดที่ผมทำได้แค่ยิ้มตอบ ยิ้มอย่างคนที่กำลังมีความสุขเพราะถูกใส่ใจ ผมไม่รู้แม้แต่จะพูดอะไรต่อ ทำแค่ใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ในจาน เอาแต่หมุนช้อนอยู่อย่างนั้นจนมันกลายเป็นก้อนใหญ่ขนาดที่ไม่น่าเอาเข้าปากไหว หวังในใจแค่ว่าพี่เชนคงจะดูไม่ออกว่าผมกำลังเขิน

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤พี่เชนกลับมาแล้วววววว แอบหายไปเตรียมตัว
❤ตั้งใจให้มินวินเป็นดราม่าเรื่องเดียวในชีวิตที่จะเขียน แต่มันแอบโหดร้ายเกินไปจนเขียนต่อไม่ไหว เลยพักเอาไว้ก่อน เปลี่ยนมาเขียนเรื่องโอ้ตแทน ตอนนี้ไปได้เกือบครึ่งทาง แต่อ่านทวนแล้วเครียด 555 ไม่ค่อยชอบแนวนี้เลย รู้สึกมันมีความหดหู่แฝงอยู่ตลอดเวลา อนาชอบแบบเรื่อยๆ สบายๆ ตอนแรกกะจะลงเป็นตอนพิเศษของเรื่องนี้ มีสัก 10 ตอน แต่จบไม่ลงค๊ะ ตามสไตล์เวิ่นๆของอนา เพราะงั้นเอาเป็นเรื่องใหม่เลยละกันเนอะ แต่รอให้พี่เชนกับแมทเค้าตกลงปลงใจกันก่อน เพราะถ้าโอ้ตมาแทรกตอนนี้กลัวความสัมพันธ์มันจะระส่ำ เกี่ยวมั้ย แหะๆ นี่คิดเอาเองล้วนๆ
❤ซาวน์เสียงระหว่างมิน-วิน vs โอ๊ต-... ขอเชิญแฟนคลับที่มีน้อยนิดผู้น่ารักและเหนียวแน่นของอนาลงคะแนนเสียงได้เลยค่ะ ^^
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 23-05-2015 10:54:39
ที่แท้พี่เชนไปฝึกการจีบแมทนี่เอง

อนาจะว่าอะไรไหม
ถ้าคนอ่านจะบอกว่า
อยากอ่านทั้งมินวินและโอ๊ต-
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 23-05-2015 12:33:05
พี่เชนสู้ๆได้ใจไปเยอะละ   :mc4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 23-05-2015 15:35:52
พี่เชนนี่น่ารักดีนะครับ ดูอบอุ่น ใส่ใจแมทดี
ขอให้จีบสำเร็จไวๆนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: donutnoi ที่ 23-05-2015 18:36:15
พี่เชนใส่ใจทุกรายละเอียด ชอบๆๆๆ  :mew1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 23-05-2015 21:40:15
พี่เชน 'ใส่ใจ' ขนาดนี้ เป็นเราเก็บข้าวของตามกลับฮ่องกงแล้วล่ะ น้องแมทอย่าปล่อยหลุดมือเชียวววว

ปล.แอบสงสารหลิน ชอบใครก็กลายเป็นของชายอื่นไปหมด 555 แต่ดูนางจะร้าย(ลึก)นะ

เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก และขอมานั่งรอตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 23-05-2015 22:46:26
เขินไหมละ อ่านเเล้วอยากกินชาเขียวเลยอะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 24-05-2015 01:26:00
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 22 [22-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 26-05-2015 11:41:06
พี่เชนน่ารักจังง

หลินนี้นางมีแผนการอะไรหรือเปล่า รู้สึกเกลียดนางมากขึ้น :m16:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 30-05-2015 22:47:40
ตอนที่ 23


Matt Part


          แล้วผมก็กลายเป็นมนุษย์ที่หุบยิ้มไม่ได้ไปกว่า 10 ชั่วโมง แม้กระทั่งในฝันผมยังยิ้ม แล้วเมื่อวานก็มัวแต่เขินไร้สาระจนลืมเรื่องที่จะไปถามเสียสนิท สรุปว่าเพราะอะไรหลินถึงอยากให้พี่เชนกลับไปก่อนถึงค่อยมาเจอผมก็ไม่ได้รู้ มัวแต่เสียสติกับความสุขที่วิ่งชนเข้าอย่างจัง เวลาเขียนให้นางเอกในนิยายเขินยังไม่รู้สึกอยากจะจิกเล็บขนาดนี้ แต่นี่ถึงกับตื่นเต้นใจสั่น เหมือนร่างกายกำลังสูญเสียการควบคุม ความเขินนี่ก็น่ากลัวไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ

          วันนี้ก็อีก ชะตาชีวิตเหมือนสาปให้ช่วงนี้ชีวิตต้องตกอยู่ในสภาวะไร้การควบคุม ทุกคนรอบข้างดูจะเป็นใจกับการปล่อยให้ผมไปใช้เวลากับพี่เชนซะเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น

"แมท ไปชวนพี่เชนมาทานข้าวเช้ากัน"

"แมท ชวนพี่เชนไปเก็บมังคุดที่สวนสิ จะได้มีอะไรทำ"

"แมท วันนี้มีตลาดนัดอาหารทะเล ชวนพี่เชนไปเดินเล่นไหม"

"แมท เอาขนมจีนแกงปูไปให้พี่เชนหน่อยไป"

          และอีกหลายแมทที่เรียกเพื่อให้ไปทำอะไรเกี่ยวกับพี่เชนตั้งแต่เช้าจนเที่ยง แต่มีอยู่อันหนึ่งที่ออกจะแปลกไปซะหน่อย

"พี่แมท ไปบ้านพี่เมกัน"       เฟย์ถามขึ้นก่อนจะนั่งลงที่โซฟาข้างๆผม

"เฟย์ พี่แมทไม่ควรไป พี่แมทอยู่บ้านนิ่งๆนะ อย่าออกไปเพ่นพ่าน มีงานก็หาทำ จนกว่าจะ 4 โมงเย็น"       สิ่งที่ฟินพูดนี่แหละ สิ่งที่ผมว่ามันแปลก

"ทำไมหล่ะ จะแอบไปทำอะไรกันหรือไง"       ผมถามฟินที่ยืนเกาะประตูหน้าบ้านอยู่

"ก็ไม่ถึงกับแอบหรอก เออน่า อยู่แค่บ้านพี่เมนี่เอง"       บ้านพี่เม แต่ตอนนี้พี่เมไม่อยู่ ก็แสดงว่าไปหาพี่เชนงั้นเหรอ สองแฝดที่แทบจะไม่ค่อยได้คุยกับพี่เชนจริงๆจังๆ แล้วไปสนิทกันตอนไหน

"ถ้าไม่บอกเดี๋ยวแอบไปนะ"       ผมหันไปมองหน้าเฟย์แต่เฟย์กลับหันไปมองฟินต่ออย่างมีพิรุธ

"แค่จะให้พี่เชนสอนภาษาอังกฤษให้หน่ะ ไปเถอะเฟย์เดี๋ยวการบ้านไม่เสร็จ"       ฟินกวักมือเรียกเฟย์ให้รีบลุกตามแต่ผมขว้าแขนเฟย์เอาไว้ก่อน

"ให้พี่สอนให้ก็ได้"       ปกติเคยมีพี่เชนอยู่ช่วยซะที่ไหนก็เห็นเรียนมาได้จนจะจบม.ปลาย

"ไม่ต้องอ่ะ อยู่บ้านไล่ tense ให้ครบ 12 อันก่อนเถอะ"       ผมปล่อยแขนเฟย์ทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น ไม่ได้โกรธนะ แค่กำลังอึ้ง ฟินมันรู้ได้ยังไง อย่างกับมีสัมผัสที่หก ยังไม่ทันจะได้ถามต่อ สองแสบก็ออกจากบ้านไปเรียบร้อยแล้ว และผมก็คงไม่ตาม ในเมื่อสองคนนั้นไปทำการบ้าน ผมก็ไม่ควรจะตามไป ขืนพี่เชนพูดจาอะไรทำนองเมื่อคืนต่อหน้าสองแฝดมีหวัง ความลับแตกถึงหูแม่แน่นอน มันยังไม่ถึงเวลาที่แม่จะรู้

.......................................................................


Chen Part


   วันนี้ผมจะเริ่มภารกิจที่ 2 และผมก็ต้องการความช่วยเหลือ นั่นก็คือจากน้องแฝด อันที่จริงผมอยากใช้เวลากับมันให้มากพอ ผมอยากเรียนรู้และเข้าใจในสิ่งที่เขารักและถ่ายทอดมันออกมาด้วยตัวผมเอง แต่เวลาที่ผมมีมันจำกัด ภาษาไทยที่พออ่านได้ก็ไม่ค่อยจะดีมากนัก กลัวว่าจะตีความผิด อีกอย่างภาษาในนิยายค่อนข้างยากสำหรับคนที่ไม่ค่อยคล่องหรือได้อ่านหนังสือภาษาไทยบ่อยๆ ผมจำเป็นต้องมีผู้ช่วย

"พี่เชนอยู่ไหมคะ"

"ครับ"       ผมรีบเดินออกจากครัวไปก็เห็นน้องทั้งคู่ยืนอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว

"พวกเรามาเร็วไปไหมคะ"

"ไม่ครับ พี่อบเค้กเพิ่งจะเสร็จพอดี ฟินกับเฟย์จะได้มีอะไรทานระหว่างช่วยพี่"

"ดีจังเลยค่ะ หอมขนาดนี้ต้องอร่อยแน่เลย"       ผมช่วยยกลังหนังสือที่ขอเอาไว้มาวางที่โต๊ะหน้าโซฟา

"น่าจะมาบอกให้พี่ไปช่วยยกนะครับ"       ผมบอกน้องทั้งคู่หลังจากวางลังหนังสือลงแล้ว

"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่นี้เอง เราสองคนยกได้ ปีนึงพี่แมทเขียนแค่เล่มสองเล่ม สบายมากค่ะ"       น้องเฟย์ยกหนังสือนิยายของแมทขึ้นมาโชว์ประกอบการอธิบายหนึ่งเล่ม

"ว่าแต่พี่เชนอ่านออกเหรอคะ นี่มันเป็นนิยายภาษาไทยนะคะ"       น้องฟินขมวดคิ้วถามให้ผมยิ้มตามกับท่าทางสงสัยนั้น

"จริงๆพี่ก็พออ่านได้ แต่อาจจะไม่ค่อยคล่อง พี่เลยขอความช่วยเหลือนี่แหละครับ"

"แล้วทำไมพี่เชนต้องอยากอ่านนิยายพี่แมทด้วยละคะ หรือว่าจะเป็นแฟนคลับ"       ผมยิ้มให้อีกครั้งกับท่าเอียงคอถามที่ดูน่ารักของน้องเฟย์

"จะใช่ได้ไงเฟย์ ถ้าเป็นแฟนคลับก็ต้องเคยอ่านสิ เป็นแฟนเฉยๆมากกว่าละมั้ง ใช่ไหมคะพี่เชน"     

"ทำไมพูดอะไรแบบนั้นฟิน พี่เชนก็เป็นผู้ชาย พี่แมทก็เป็นผู้ชาย จะเป็นแฟนกันได้ยังไง"       ผมได้แต่ฟังแล้วมองหน้าน้องทั้งคู่สลับกันไป

"ทำไมจะไม่ได้หล่ะ เฟย์นี่ไม่รู้อะไร ก็เนี่ยพี่เชนมาที่นี่ก็เพราะมาหาพี่แมทโดยเฉพาะเลย"       เสียงพูดที่ไม่ได้เบาเลยสักนิดมันช่างดูขัดกับทาป้องปากกระซิบของน้องฟิน

"ฟินไปเอาจากไหนมาพูด เกรงใจพี่เชน เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้"       น้องเฟย์ก็กระซิบถามตามกันก่อนจะเหลือบตามามองหน้าผมให้รู้สึกเหมือนกำลังโดนนินทาแต่ดันได้ยินทุกอย่าง

"งั้นถ้าเฟย์คิดว่าฟินโกหกก็หมายถึงเฟย์คิดว่าป้าศิโกหกด้วย เพราะเรื่องนี้ป้าศิบอกฟินเอง"       

"เอ่อ อะไรนะครับ"       

"นี่พี่เชนก็ไม่รู้เหรอคะว่าป้าศิรู้ว่าพี่เชนมาจีบพี่แมท"       ในที่สุดผมก็ได้มีส่วนร่วมในการสนทนา

"รู้ถึงขั้นนั้นแล้วเหรอครับน้องฟิน"       ผมถาม

"ค่ะ แต่ป้าศิบอกว่าให้เก็บเป็นความลับค่ะ"       น้องฟินพูดบอกผมด้วยท่าทางจริงจัง

"เป็นความลับแล้วมาบอกพี่เชนทำไมหล่ะฟิน"       นั่นสิ

"ตายแน่ๆ ฟินต้องโดนป้าศิดุแน่ๆ"       คงจะเพิ่งนึกออกว่าตัวเองหลุดปากเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา

"น้องฟินไม่ต้องกังวลไปหรอก พี่ไม่พูดหรอกครับ แต่ยังไงก็ขอบคุณนะที่หลุดปาก"

"งั้นเรื่องที่พี่เชนมาจีบพี่แมทก็เรื่องจริงหน่ะสิคะ"

"ครับ"

"อีกแล้วที่มีแค่เฟย์คนเดียวที่ดูไม่ออก  ทุกคนรู้กันหมดเลย"

"ไม่เป็นไร ไม่เสียใจนะ ตอนนี้เฟย์ก็รู้แล้วไง รู้ช้าแต่ก็รู้"       อีกคนที่ก้มหน้าเสียใจอีกคนก็คอยปลอบ คนเป็นแฝดกันเขาดูแลเข้าใจกันดีนะ ดูแล้วอบอุ่น

"ฟินไม่แปลกใจบ้างเหรอ ผู้ชายทั้งคู่คบกันได้ยังไง"       ดูเหมือนน้องทั้งคู่จะลืมไปแล้วว่าผมนั่งอยู่ใกล้ๆแถวนี้

"ไม่แปลกใจหรอกเฟย์  เพื่อนเราที่ชอบแบบนี้ก็มีตั้งเยอะแยะ ป้าศิก็บอกว่าไม่แปลก"       แล้วจู่ๆบทสนทนาก็จบลงด้วยการที่น้องฟินยื่นหนังสือนิยายหนึ่งเล่มมาให้ผม

"นี่เป็นเล่มแรกที่พี่แมทเขียนค่ะ เริ่มอ่านเลยค่ะ"       ผมไม่กล้าที่จะถามเรื่องที่เพิ่งคุยกันไปต่อ ทำได้แค่รับนิยายมาไว้ในมือแล้วเริ่มเปิดอ่าน


.......................................................................


   ผมเริ่มอ่านนิยายของแมทไปทีละเล่ม เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง นิยายของแมทส่วนใหญ่จะเป็นนิยายที่ไม่ได้มีแค่เรื่องความรัก ผมรู้สึกได้ว่าแมทให้ความสำคัญกับทุกเรื่องรอบตัว แต่มีสิ่งหนึ่งที่โดดเด่นจนน่าสงสัย ตัวเอกในนิยายของแมททุกเรื่องจะว่ายน้ำไม่เก่งหรือไม่ก็ค่อนไปในทางไม่เป็น ชอบทะเลแต่ก็เลี่ยงที่จะอยู่ใกล้ทะเลจนฟ้ามืด มันชัดเจนจนเกินไป เพราะอะไรแมทถึงเลือกที่จะสื่อความกลัวนี้ในทุกเรื่องที่เขียน นอกเสียจากเจ้าตัวจะรู้สึกกลัวเสียเอง

"แมทกลัวทะเลเหรอ"       ผมถามขึ้นหลังจากปิดนิยายเรื่องสุดท้ายและวางลง

"ไม่มั้งคะ ก็เห็นไปทะเลได้ปกตินะคะ"       น้องฟินส่ายหน้า

"แล้วแมทเคยลงเล่นน้ำไหม เท่าที่พี่อ่านดูเหมือนจะกลัวทะเลตอนก่อนจะมืดไปจนมันมืดสนิทนะ"

"เฟย์ไม่แน่ใจนะคะ พี่แมทเคยไปว่ายน้ำที่ทะเลด้วยกันหนนึง แต่ก็ตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนก็ไม่เคยเห็นไปนะคะ แต่ใครจะไปทะเลตอนกลางคืนกันหล่ะคะ"

"อันนี้ฟินว่าก็คงเหมือนคนอื่นๆนั่นแหละค่ะ ทะเลกลางคืนไม่มีอะไรให้น่ามอง จะไปเห็นอะไร ใครๆก็คงคิดเหมือนกันว่าทะเลตอนกลางคืนมันน่ากลัวนะคะพี่เชน"       ถ้าแค่เฉพาะกลางคืนมันคงไม่น่าห่วงขนาดนี้ แต่ที่ผมอ่านๆดูแมทน่าจะกลับตั้งแต่ก่อนพระอาทิตย์ตกดินเลยด้วยซ้ำ ในนิยายเล่มหนึ่งเขียนว่า 'หากฉันมีโอกาสสักครั้งในชีวิต ฉันอยากจะเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลกับคนที่ฉันรัก แต่นั่นคงเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะความหวาดกลัวในใจฉันมันช่างเอาชนะได้ยากเย็นเสียเหลือเกิน'

"หรือพี่เชนไม่คิดงั้นคะ"

"ครับ พี่คิดว่าแมทคงกลัวจริงๆ"       ความกลัวมีมากมายหลายร้อยชนิด แมทถ่ายทอดมันออกมาในนิยายจนผมรู้สึกได้ แมทพยายามกล่อมให้คนอ่านเป็นพวกของตัวเองและพยายามบอกคนอ่านว่าความกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องประหลาด เขาทำเพื่อให้ตัวเองรู้สึกสบายใจว่าการกลัวทะเลในเวลากลางคืนนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไร หากมันถูกเขียนไว้อยู่แค่ในนิยายแค่เรื่องเดียวมันอาจจะเป็นพล็อตเรื่องปกติ แต่มันอยู่ในแทบจะทุกเรื่องที่อ่านผมว่ามันไม่น่าใช่ และสิ่งเดียวที่จะยืนยันความสงสัยผมได้คือการพิสูจน์


.......................................................................


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 30-05-2015 22:57:25

   
          ผมเลือกที่จะปรึกษาเพื่อนที่เป็นจิตแพทย์อยู่ที่ฮ่องกง เพื่อนผมแนะนำให้ลองพาแมทไปในที่ที่เราคิดว่าเขากลัว หากมันเป็นเรื่องจริงสิ่งแรกที่เขาแสดงออกคืออาการต่อต้าน และปฏิเสธ หรืออาจจะรุนแรงกว่านั้นขึ้นอยู่กับความทรงจำหรือเรื่องฝังใจ

"แมท"       ผมเรียกให้อีกฝ่ายหันมา หลังจากวางโทรศัพท์ก็รีบวิ่งไปที่บ้านแมท อีกครึ่งชั่วโมงก็จะ 6 โมงแล้ว เห็นคนที่ต้องการเจอกำลังยืนจัดรองเท้าที่ตู้ข้างที่จอดรถ

"ไปข้างนอกกับพี่หน่อยสิ"       ผมพยักหน้าเอ่ยชวน

"ไปตอนนี้เลยเหรอ ไปที่ไหน"       คนที่กำลังนั่งยองๆเรียงรองเท้าเข้าตู้อยู่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เริ่มจะเปลี่ยนสี

"ตอนนี้แหละดีแล้ว"       ค่อยๆเดินเข้าไปใกล้แล้วขว้าข้อมือเพื่อดึงให้ลุกขึ้นยืน

"ไปสิไป ไปก็ได้"       แมทพยักหน้างงๆแล้วก็เดินตามมา       

"ไปรถพี่นะ จอดอยู่หน้าบ้านแล้ว"       ดันหลังคนตัวเล็กกว่าให้พ้นประตูรั้ว

"พี่จะไปไหน"        แมทถามขึ้นขณะที่ผมกำลังเปิดประตูรถให้ ผมไม่ตอบและเลือกที่จะไปประจำที่นั่งคนขับแล้วออกรถ

"นี่มันถนนเลียบทะเลนี่ มีธุระที่โรงแรมแถวนี้เหรอ ทำไมไม่มาตั้งแต่ตอนกลางวัน นี่มันเย็นมากแล้วนะ"       คนข้างๆก็เริ่มมีคำถามเมื่อขับมาถึงถนนที่เลียบหาดไปเรื่อยๆ

"ตอนเย็นนี่แหละดีแล้ว แล้วพี่ก็ไม่ได้จะมาโรงแรม แต่พี่มาทะเล"       ผมยิ้มตอบเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะกังวล

"แล้วทำไมต้องไปทะเล ทะเลตอนกลางคืนมันน่ากลัวนะ"       ท่าทางขมวดคิ้วที่แสดงออกมาอย่างนั้นมันทำให้ผมเองก็รู้สึกกังวล

"ทะเลนี่แหละดีแล้ว"       ผมตอบด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

"พี่จะไปทะเลที่ไหน"       ผมลังเลที่จะตอบเพราะกลัวว่าคำตอบจะทำให้แมทเปลี่ยนใจ แต่หากไม่ตอบผมก็กังวลว่าแมทจะไม่พอใจ ตอนนี้ผมเสียคะแนนไม่ได้ซะด้วยสิ

"หาดกะตะ แมทรู้จักใช่ไหม"       สุดท้ายผมก็เลือกที่จะบอกออกไป ถ้าแมทปฏิเสธหรือต่อต้านมันก็จะเป็นข้อมูลที่ดีให้กับผม

"เห้ย! พี่ไม่ไปที่นั่นได้ไหม"       แล้วมันก็เกิดขึ้น

"ที่นั่นแหละดีแล้ว"       ใช้หางตาลอบมองก็เห็นสีหน้ากังวลที่ฉายชัดขึ้น

"พี่พูดเป็นอยู่คำเดียวหรือไงวะ อะไรๆก็ดีแล้วๆ ผมขอใช้สิทธิ์ในการที่พี่จีบผม ให้พี่กลับรถแล้วพาผมกลับบ้านเดี๋ยวนี้"       คำพูดที่ต่อต้านและออกคำสั่งแต่น้ำเสียงกลับตรงกันข้าม มันค่อยๆอ่อนลงๆเรื่อยๆ จนรู้สึกได้ว่าน่าจะเป็นประโยคขอร้องเสียมากกว่า

"ต่อให้สิ่งที่พี่กำลังทำ จะเป็นสิ่งที่ทำให้แมทไม่ตกลงคบกับพี่ พี่ยอม"       ผมตอบออกไปก่อนจะตั้งใจขับรถไปตามทางที่จำมาจากแผนที่

"พี่เชน..."       เสียงเรียกที่อ่อนลงกว่าเดิม ให้ผมต้องหันไปมองแล้วเลื่อนมือข้างซ้ายไปกุมมือแมทเอาไว้

"เชื่อใจพี่สักครั้งนะ"       ผมประสานมือให้แน่นขึ้นก่อนจะส่งสายตาให้เป็นความหมายเดียวกับคำพูด

"พี่บอกก่อนดิว่ามาทำอะไรที่นี่ตอนนี้"       คนที่นั่งอยู่ข้างๆถามขึ้นทันทีที่รถจอดสนิท

"แมทกังวลอะไรบอกพี่ได้ไหม"       ส่ายหน้าแต่กลับขมวดคิ้ว

"ไม่ได้กังวล แค่ไม่ค่อยชอบ"       เอื้อมตัวเอามือข้างขวามากุมมือคนที่กำลังกังวลเอาไว้แล้วใช้มือซ้ายลูบหัวเบาๆเป็นเชิงปลอบ

"พี่อยู่ตรงนี้ ถ้ากลัวอะไรก็แค่บอกพี่"       ผมไม่รู้ว่าแมทเจออะไรมา ผมไม่รู้ว่าอะไรที่ฝังอยู่ในใจเขา ผมรู้แค่ว่าผมอยากเป็นคนพาให้เขาผ่านไป และผมก็เชื่อว่าแมทเองก็อยากจะผ่านมันไปให้ได้

"ไม่หนุกหรอก กลับเหอะ"       ยังคงขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้นผมจึงตัดสินใจปล่อยมือแมทและลงจากรถ ผมเดินมาเปิดประตูรถอีกฝั่งแล้วก้มตัวลงมาคว้ามือคนที่กำลังขมวดคิ้มเป็นปมมากขึ้น

"พี่รู้ว่าแมทอยากมองทะเลคู่กับท้องฟ้าที่กำลังเปลี่ยนสี ถ้าแมทกังวลก็มีพี่อยู่ข้างๆไง ไปดูด้วยกันนะ"       

"พี่รู้ได้ยังไงว่าผมอยากเห็น"       ถึงจะลุกขึ้นมายืนตามแรงดึงแต่ก็ยังฝืนตัวเองไม่ยอมเดินตาม

"ไปดูด้วยกันก่อนนะ แล้วพี่จะบอก"

"โอเคพี่ ผมจะบอกว่าไม่ การที่ผมจะเห็นหรือไม่ได้เห็นมันไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตผมดีขึ้นหรือแย่ลง เพราะงั้นถ้าพี่อยากดูพี่ก็ลงไปคนเดียว ผมจะรออยู่ตรงนี้"

"พี่คงไม่ถามว่าเพราะอะไรแมทถึงกลัว ไม่สิ แค่ไม่ชอบใช่ไหม แต่แค่เดินลงไปด้วยกัน มันก็ไม่น่าใช่เรื่องยากไม่ใช่เหรอ"

"พี่คงไม่เข้าใจผมจริงๆ โอเค ผมยอมรับว่าผมกลัว แล้วนี่มันก็ใกล้จะมืดแล้ว ผมทำใจให้เดินลงไปกับพี่ไม่ได้จริงๆ ผมขอโทษ"

"ไม่เห็นต้องขอโทษเลย แค่เผชิญหน้ากับมัน และไว้ใจพี่นะ พี่บอกแล้วไงว่าพี่จะอยู่ข้างๆ"

"พี่ไม่ได้มาเห็นอย่างที่ผมเห็นนี่ ถ้ามันง่ายขนาดนั้นผมคงทำไปนานแล้ว"

"พี่รู้ว่ามันคงไม่ง่าย เอางี้ ถ้าลงไปแล้วแมทไม่ไหวจริงๆเราจะกลับทันที และพี่สัญญาว่าพี่จะไม่พยายยามฝืนใจแมทอีก"       ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเชื่อใจผมหรือเพราะอยากผ่านมันไปให้ได้เช่นกันถึงได้ยอมเดินตามมา ผมกุมมือแมทเอาไว้หลวมๆ และเริ่มรู้สึกว่ามันแน่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อเราเดินใกล้ทะเลมากขึ้น

"ไปตรงโขดหินตรงนั้นกันนะ"       ผมหันไปถามคนข้างตัวที่เริ่มมีเหงื่อซึมบริเวณขมับ และมือที่ผมกุมเอาไว้ก็เริ่มชื้นขึ้น ผมเลยเปลี่ยนจากการกุมเป็นค่อยๆประสานนิ้วแล้วจับให้แน่นขึ้น อย่างน้อยก็อาจจะช่วยให้เขามั่นใจว่าไม่ได้เผชิญหน้าเพียงลำพัง

"นั่งไหม"       ผมถามขึ้นอีกครั้งหลังจากเดินมาถึงบริเวณโขดหินเล็กใหญ่ที่เรียงรายกันอยู่

"ไม่ ผมอยากเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าชัดๆ"       ทั้งที่พูดอย่างนั้นแต่กลับเอาแต่ก้มหน้า

"ถ้าก้มอยู่อย่างนั้นจะเห็นได้ยังไง วันนี้พระอาทิตย์จะตกตอน 6 โมง 42 นาทีนะ นี่ก็ 37 นาทีแล้ว เหลืออีก 5 นาทีเองนะ เงยหน้าขึ้นมามองสิ"       ถึงผมจะบอกอย่างนั้น แต่คนข้างตัวกลับยังก้มหน้าอยู่อย่างเดิม เหงื่อที่มือก็เริ่มเยอะขึ้น ไม่รู้เพราะเราจับมือกันแน่นเกินไปหรือเพราะความกังวลกันแน่

"เงยหน้าขึ้นนะ ไม่ว่าแมทจะเห็นอะไร ให้คิดว่าพี่เห็นอย่างเดียวกัน เราจะเห็นไปพร้อมๆกัน ถ้ามันเลวร้าย แมทจะเห็นมันพร้อมกับพี่ พี่สัญญาว่าจะไม่ปล่อยมือ พี่จะไม่ปล่อยให้แมทเห็นเพียงลำพัง"       พอพูดจบแมทก็เงยหน้าหันมามองผมที่กำลังยิ้มและพยักหน้าให้ ผมรู้ว่าผมทำอะไรไม่ได้มาก เพราะผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าเรื่องที่แมทฝังใจมันหนักหนาแค่ไหน แต่สิ่งที่ผมทำได้ตอนนี้คือยืนอยู่ข้างๆ และปลอบใจให้แมทรู้ว่าเขาจะไม่ต้องเจอเรื่องเลวร้ายเพียงลำพังอีก


.......................................................................

         
           เหลือเวลาอีกแค่สองนาที ผมยังมองหน้าแมทอยู่อย่างนั้น ผมจะไม่เร่งให้เขาผ่านมันไปให้ได้ เพราะหากวันนี้ทำไม่ได้ พรุ่งนี้ก็จะลองใหม่ ผมจะลองไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆจนกว่าแมทจะยอมแพ้ หรือถ้าแมทจะยอมแพ้ตั้งแต่วันนี้ผมจะยอมรับมัน อย่างน้อยก็ให้ผมได้พยายามให้แมทลองเผชิญหน้าและรับมือกับมันแล้ว จากที่ผมเห็นอาการกลัวและกังวลของแมทไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ได้ฟังตัวอย่างจากเพื่อนมา เขาแค่หลีกเลี่ยงการต้องอยู่ใกล้แค่ในบางช่วงเวลา ไม่ใช่ตลอดเวลาจนมีปัญหากับการใช้ชีวิตอย่างที่เจ้าตัวพูด และเพราะมันไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตผมเลยคิดว่าคงจะไม่คะยั้นคะยอถ้าหากแมทไม่อยากทำมัน

"แมท พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว ดูสิ"       ผมกระตุกมือให้แมทเงยหน้าขึ้นมามอง พอดีกับที่แมทกำลังค่อยๆเงยหน้า

"ตอน 10 ขวบผมมาที่นี่ แล้วระหว่างรอแม่จอดรถผมเดินลงมาก่อน ผมยืนมองทะเลตอนพระอาทิตย์ใกล้ตกแบบนี้"       แมทค่อยๆเล่าในขณะเดียวกันพระอาทิตย์ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวลงมาใกล้กับผิวน้ำ

"มีคนวิ่งมาจากด้านหลังชนเข้าที่ไหล่ขวาจนผมล้มก่อนจะหันมามองหน้าผมแล้ววิ่งในทะเลต่อไป"      ปล่อยให้แมทเล่าทุกอย่างออกมา ผมทำเพียงแค่กุมมือเขาไว้แล้วฟังอย่างเงียบๆ

"เขาค่อยๆเดินลงไปในทะเล ค่อยจมหายไปพร้อมๆกับพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้า"       ผมเอื้อมมืออีกข้างไปซับเหงื่อที่ข้างขมับของแมท ก่อนจะเลื่อนลงมาลูบที่บ่าไปมาเบาๆ

"พอท้องฟ้ามืดสนิท ทั้งผู้ชายคนนั้นและพระอาทิตย์ก็หายไป ผมรอนานแค่ไหนไม่รู้แต่รู้ว่าผมกลั้นหายใจไปพร้อมกับตอนที่เขาจมหายไป จนผมกลั้นต่อไปไม่ไหวเขาก็ยังไม่โผล่ขึ้นมา สิ่งเดียวที่ผมคิดในตอนนั้นคือ เขาอาจจะว่ายน้ำไปโผล่ที่ไหนสักที่ที่ผมไม่เห็นแล้วขึ้นมาจากน้ำแล้วแน่ๆ"       พอแมทเล่าถึงตอนนี้พระอาทิตย์ก็กำลังจะลับสุดขอบฟ้าไปทั้งดวงพอดีกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนจากสีแดงส้มเป็นสีน้ำเงินครามและค่อยๆมืดลงเรื่อยๆ

"แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีคนพบศพถูกซัดขึ้นมาบนชายฝั่ง ลักษณะเสื้อผ้าในข่าวหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่ผมเห็นเป็นแบบเดียวกันกับที่เขาใส่คืนนั้น"       

"หลังจากนั้นผมก็ฝันเห็นภาพเดิมวนซ้ำทุกคืนๆ มันถูกฉายซ้ำอยู่อย่างนั้นจนผมกลัวที่จะมาที่นี่ในเวลาเดียวกันแบบนี้ และ 10 ปีหลังจากนั้นผมก็ลองพิสูจน์ความกลัวเหล่านั้นด้วยตัวเองอีกครั้งนะ ผมมาที่นี่ในเเวลาเดียวกันนี้ แต่ผมกลับทำใจให้ยืนอยู่จนพระอาทิตย์ตกไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าผมคงทำไม่ได้อีก ผมเลยละความพยายามแล้วปล่อยมันไว้ลึกๆในความทรงจำแล้วค่อยๆถ่ายทอดมันออกมาในนิยายเพื่อปลอบใจตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ผมจะมายืนที่ชายหาดในเวลานี้ไม่ได้  ไม่ใช่เรื่องประหลาดที่เราจะไม่มาทะเลในเวลากลางคืน และไม่ใช่เรื่องประหลาดที่จะไม่มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่ริมทะเลแบบนี้อีกต่อไป"       สายตาที่ทอดมองออกไปกลางทะเล และน้ำเสียงที่ฟังดูหดหู่ทำให้ผมรู้สึกเสียใจไปกับเรื่องที่แมทเคยเจอ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายกับการที่ต้องเจอสิ่งเลวร้ายเพียงลำพังแล้วยังฝังใจตั้งแต่เด็ก

"แต่ตอนนี้แมททำได้แล้วนะ"       ผมพยายามพูดให้เขารู้สึกดีขึ้น

"ขอบคุณนะ ที่เหลือก็รอแค่ว่าผมจะยังฝันแบบเดิมอยู่ไหม เพราะเมื่อ 5 ปีที่แล้วที่ผมลองมาที่นี่อีกครั้ง ผมก็ยังเก็บเอาไปฝันอยู่อย่างเดิม"       ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งอยากไปอยู่ข้างๆ สิ่งที่ผมกำลังกังวลคือเขาจะผ่านคืนนี้ไปได้ไหม ในเวลาที่เขากำลังฝันมันจะะเลวร้ายแค่ไหน ผมไม่รู้ว่าจะทำให้แมทอุ่นใจขึ้นได้บ้างไหม แต่ผมก็อยากอยู่ตรงนั้น

"ความฝันบางครั้งมันก็มาจากจิตใต้สำนึกนะ ตอนนี้แมทผ่านมันไปได้แล้ว แมทอาจจะไม่ฝันแบบเดิมๆแล้วก็ได้"       ถ้าหากคำพูดมันช่วยได้ ผมก็อยากจะโน้มน้าวให้แมทได้ฟังแต่ความเห็นในทางที่ดี

"พี่นี่ก็วิเคราะห์เก่งนะ อย่างกับเป็นจิตแพทย์"       อย่างน้อยก็ยิ้มออกมา มันทำให้ผมเบาใจ

"ป่าวหรอก พี่ถามเพื่อนมา แล้วตอนนี้พี่คิดว่าอาการ Thalassophobia ที่แมทเป็นอยู่คงจะค่อยๆดีขึ้นแล้วหล่ะ"       มันเป็นลักษณะอาการที่เพื่อนผมบอก ชื่อที่ฟังดูเฉพาะ แต่มันก็มีอยู่จริง

"อาการอะไรนะ"       แมทถามซ้ำ คงสงสัยไม่ต่างกับที่ผมได้ยินมันครั้งแรก

"อาการกลัวทะเลที่แมทเป็นอยู่ไง ประมาณว่ากลัวทะเลที่ลึกๆหรือมืดจนมองไม่เห็นอะไรทำนองนี้"      ผมอธิบาย

"ว่าแต่พี่รู้ได้ยังไงว่าผมกลัวทะเลเวลานี้"       แมทหันมามองหน้าผมแล้วถามขึ้น ท้องฟ้าตอนนี้เริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ ยังดีที่พอมีแสงไฟจากถนนอยู่บ้าง

"แล้วมีใครที่รู้เรื่องนี้บ้างหล่ะ"       ผมถาม เรื่องสำคัญขนาดนี้คนในครอบครัวรวมทั้งโอ้ตน่าจะรู้

"มันน่าอาย ผมเลยไม่เคยบอกใคร"       ความกลัวไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยสักนิด

"น่าแปลกนะ กลัวขนาดนี้แต่กลับไม่มีใครรู้"

"ทะเลกลางคืนมันไม่มีอะไรให้ดูมากนัก และคงไม่มีใครมาขอให้ผมพามาทะเลตอนใกล้จะมืดแบบนี้หรอก มันปฏิเสธที่จะไม่มาง่าย ผมเลยไม่จำเป็นต้องเล่าให้ใครฟัง ว่าแต่พี่เถอะ รู้ได้ยังไง"       คำถามที่ออกมาทั้งที่ไม่ได้มองหน้าผม เอาแต่มองพื้นแล้วใช้เท้าเขี่ยทรายไปมา

"นิยายที่แมทเขียนไง"       ผมอยากจะเอื้อมมือไปโอบไหล่แมทเอาไว้นะ แต่เรายืนห่างกันเกินไป เลยทำได้แค่ค่อยๆขยับไปยืนให้ใกล้กว่าเดิม

"นี่พี่กำลังเอาชนะใจผมโดยการศึกษาตัวตนผมจากนิยายที่ผมเขียนงั้นเหรอ"       ในที่สุดก็ละความสนใจจากทรายบนโขดหินมาที่หน้าผมแทน

"เรียกว่าเรียนรู้จะดีกว่า ถ้าเราต้องการจะรู้คาแรกเตอร์และนิสัยของตัวละครในนิยายเราก็ต้องอ่านเรื่องนั้นไปเรื่อย  แต่ถ้าหากเราอยากรู้จักตัวตนของคนที่เขียน เราก็ต้องอ่านนิยายที่เขาเขียนให้ครบทุกเรื่อง"       ผมยิ้มให้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเข้าไปใกล้อีกฝ่ายโดยใช้สิ่งที่เขาชอบเป็นตัวช่วย

"นี่พี่อ่านครบทุกเรื่อง"       ผมพยักหน้าตอบ

"ใช่ และก็โชคดีที่พี่เห็นตัวตนแมทผ่านนิยายที่แมทถ่ายทอดจริงๆ อย่างเรื่องนี้ก็ด้วย"

"พี่เชน"       ลากเสียงเบาๆพร้อมเลิกคิ้วมองหน้าผมให้ยิ้มตอบ

"แมทยอมแพ้แล้ว ไม่ต้องจีบแมทแล้วนะ"       

"นี่พี่ทำอะไรไม่ถูกใจแมทหรือเปล่า"       ผมผูกปมระหว่างคิ้วแล้วเอ่ยถาม ผมกำลังทำพลาดใช่ไหม

"เปล่าเลย ไม่ต้องเสียเวลาจีบแล้ว คบกันเลยนะ แมทไม่สนเงื่อนไขอะไรที่อยู่ในหัวก่อนหน้านี้แล้ว แมทเชื่อว่าถ้ามีพี่อยู่ข้างๆแล้วแมทจะผ่านมันไปได้แน่นอน"       ขอบคุณที่ไม่ใช่อย่างที่ผมคิด คำพูดของแมททั้งหมดนี้ทำให้ผมกล้าที่จะขยับตัวไปยืนชิดอีกฝ่ายมากขึ้น มือที่ยังกุมอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มที่กว้างขึ้นกว่าเดิม คำเรียกแทนตัวเองที่เปลี่ยนไป และคนตรงหน้า ทั้งหมดนี้เป็นของผม

.......................................................................


Matt Part


          ฟ้าที่เริ่มมืดลงเรื่อยๆ ท้องฟ้ายามค่ำคืนแบบนี้ผมไม่รู้มาก่อนว่ามันสวย จริงไม่รู้ขึ้นเพราะได้ยืนมองจากริมทะเลที่มีคลื่นซัดสาดเข้ามาหรือเพราะมีคนข้างๆยืนมองมันด้วยกัน ในที่สุดผมก็ได้มองอาทิตย์ลับขอบฟ้าอย่างที่เคยตั้งใจไว้ได้แล้ว คงต้องขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราเจอกัน ขอบคุณตัวผมเองที่เป็นคนขี้ลืมไม่รอบคอบ ขอบคุณที่เลือกจะช่วยเหลือผม ขอบคุณที่มองเห็นผม มองเห็นตัวตนและอะไรหลายๆอย่างในตัวผม ขอบคุณที่เดินตามผมไปที่รถไฟฟ้า ขอบคุณที่มาหาผมถึงที่นี่ ความรักของผมตอนนี้มันอาจจะเร็วไปสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมมันเกิดขึ้นแล้ว นับตั้งแต่นี้ต่อไปผมจะใช้หัวใจมอง ผมจะไม่ใช้เรื่องเพศมาตัดสินความรู้สึกที่ผมมีให้ ผมจะเชื่อในความรักที่ผมเลือก และคนตรงหน้าที่รวมความรักให้มันเกิดขึ้น

"กอดกันไหม"      ผมถาม

"ทำไมถึงคิดว่าเราควรทำอย่างนั้น"

"สัญชาตญาณมั้ง"      ไม่ต้องพูดอะไรต่อ ผมหันหน้าไปหาพี่เชนแล้วจับไหล่อีกฝ่ายให้โน้มตัวเข้ามาใกล้ และผมเองก็ขยับตัวเข้าหา วินาทีแรกที่ตัวเราค่อยๆสัมผัสกัน รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ผมปล่อยให้พี่เชนนำผมไป ผมคว้าไหล่กว้างนั้นไว้อย่างแน่นราวกับกลัวว่ามันจะหายไปและพี่เชนก็กระชับอ้อมกอดกลับมา ต่อจากนี้ผมจะไม่หนีอีกแล้ว

เรากอดกันอย่างนั้นอยู่สักพัก       "พอไหม"       ผมถาม

"อยู่แบบนี้สักพักก่อนนะ"       พี่เชนกลับกอดแน่นขึ้น เรากอดกันอย่างไม่รู้สึกเมื่อย ขอบคุณก้อนหินที่ทำให้เราสูงเท่ากัน ขอบคุณมันที่ทำให้เรากอดกันอย่างไม่ลำบาก

"ติดใจอ้อมกอดแมทขนาดนั้นเลยเหรอ"       ผมพูดก่อนจะผละออกมา และตอนนี้ผมไม่รู้ว่าตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหน พี่เชนถึงได้ยิ้มให้อย่างอบอุ่นแบบนี้


"พี่อยากแน่ใจว่าสัญชาตญาณของแมทเป็นสิ่งที่พี่เชื่อได้"      พูดจบพี่เชนก็คว้าเอวผมแล้วแล้วดึงตัวเข้ามากอดอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันแน่นกว่าเดิม แน่นจนอบอุ่นใจ และแน่นแบบที่ผมไม่รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด

"เพราะอะไรแมทถึงยอมรับพี่"       พี่เชนค่อยๆลดคางลงมาวางบนไหล่ผม

"ลองทายดูสิ"       ผมตอบด้วยรอยยิ้มที่อีกฝ่ายไม่เห็น

"เพราะพี่พยายามเหรอ ดูเหมือนจะเป็นอย่างเดียวที่พอทำให้แมทมองเห็นได้"

"ไม่ใช่เลยสักนิด ความใส่ใจต่างหาก ความใส่ใจในทุกๆเรื่องเกี่ยวกับตัวแมท ตังแต่ที่ฮ่องกงจนถึงที่นี่ตอนนี้"       ถ้าพี่เชนมีแค่ความพยายามแต่ไม่มีความใส่ใจทุกอย่างมันคงดูไม่มีความหมาย พี่เชนใส่ใจแม้กระทั่งผมทานข้าวเช้าไปเยอะแค่ไหน ถึงเวลาต้องทานข้าวเที่ยงก็วิ่งไปซื้อเบอร์เกอร์มาให้ จำได้ว่าผมชอบเครื่องดื่มอะไร ใส่ใจแม้กระทั่งความหนาวเย็นทั้งๆที่ผมก็เป็นผู้ชาย ตอนนี้ผมมรู้แล้วว่าเพราะอะไรผมเอาแต่คิดถึงผู้ชายคนนี้

"พี่ทำทั้งหมดก็เพราะพี่อยากทำ ทำเพราะว่าเป็นแมท เข้าใจไหม"       ผมพยักหน้าอยู่บนไหล่พี่เชนอย่างนี้นี่เอง เพราะเป็นผม คำพูดนี้มันทำให้รู้สึกดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

"แมทดีใจนะที่เราต่างก็คิดถึงกันและกัน"

"หึหึ...ความคิดถึงนี่มันน่ากลัวจริงๆ"       พี่เชนหัวเราะออกมาเบาๆ ใช่...ความคิดถึงมันน่ากลัว มันเคยทำให้ผมไม่มีแม้แต่เวลาจะไปคิดถึงเรื่องอื่นเลย

"ขอบคุณที่พี่พยายาม ขอบคุณจริงๆ แมทไม่รู้จะพูดอะไรดีนอกจากคำว่าขอบคุณ และขอโทษนะครับที่แมทไม่พยายามจะทำอะไรสักอย่าง และยังไม่กล้าพอ  ไม่กล้าแม้แต่ในความคิด"

"พี่ก็ต้องขอบคุณ ขอบคุณที่เราซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง"       ผมเคยเป็นคนที่ตั้งความหวัง คาดหวังอะไรไว้มากมายกับความรัก ผิดกับตอนนี้ ความรักในแบบที่ไม่เคยคิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้มันอาจจะผิดจากที่คิดไว้ แต่ทั้งหมดนี้เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจเราทั้งคู่ ไม่ได้ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรทั้งนั้น ความสุขมันก็แค่นี้เอง แค่เรายอมรับและซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง

"ขอบคุณครับ"       อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่ามันออกมาจากใจจริงๆ

"พี่ไม่อยากปล่อยเราเลย"       ผมก็ไม่อยากเอาตัวเองออกจากอ้อมกอดนี้เช่นกัน แค่กอดนี้ก็ตอบคำถามในใจผมได้ทุกอย่าง

"อย่าปล่อยนะ กอดแมทเอาไว้ให้แน่นๆ อย่าปล่อยให้แมทจากพี่ไปไหนอีก"       อย่าให้เราต้องทรมานเพราะความคิดถึงกันอีกเลยนะ  ตอนนี้ผมทั้งอบอุ่น มีความสุข และสบายใจ นี่คือความรู้สึกที่ผมรับรู้ได้เมื่ออยู่ในอ้อมกอดนี้

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤อยากมีสัญชาตญาณแบบนี้บ้าง ฮรือๆๆๆ เขียนเองก็อิจฉาเอง
❤อย่าเพิ่งย่ามใจไปกับความดีของพี่เชนนะ หึหึหึ !!! อนาขอเตือนไว้ นี่มันเพิ่งเริ่มต้น แค่ความรักมันไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ด้วยกันได้นะ ความฝันก็สำคัญเช่นกัน แอบสปอย เหอะๆ กลัวคนอ่านทิ้งเรา
❤ขอบคุณนะคะ คุณ snowbox เร็วๆนี้เตรียมตัวเจอความน่ารักของโอ้ตกับหนุ่มปริศนาได้เลย เพราะตอนนี้พี่เชนกับแมทเค้าตกร่องปล่องชิ้นกันไปครึ่งทางละ อิอิ
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-05-2015 23:14:20
 :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 30-05-2015 23:22:58
คบกันแล้ววว ดีใจด้วยนะพี่เชน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: milkteabeige ที่ 31-05-2015 00:43:07
หือออ จะวางใจได้ไงคะ ถึงตกร่องปล่องชิ้นแล้ว แต่เดี๋ยวพี่เชนกลับฮ่องกงอีก ฮรืออออ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-05-2015 02:24:55
ไม่ต้องจีบเเล้ว คบกันเลยเถอะ
ดีลูกดี 555 รออะไรผู้ชายดีๆ เดี๋ยวหนูจะถูกน้องนีคาบไปก่อน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 01-06-2015 00:41:28
อ่านจบนี้ก็เขินเลย

แต่มันมาสะดุดตรงที่คุณอนาบอกสิคะ
คุณอนาจะทำร้ายคนอ่านหรือคะ :z3:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 01-06-2015 02:08:38
ในที่สุดก็คบแล้ว ต่อจากนี้จะเป็นยังไงนะ

ซึ้งอ่ะ ตอนนี้ น้ำตาจะไหล
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 23 [30-05-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 01-06-2015 11:10:11
นี่แค่เริ่มคบกันเองนะ
ขอหวานๆเพื่อเป็นกำลัง
ในการกินมาม่าสัก 2 3 ตอนนะ

ว้าวๆๆๆคู่โอ๊ตจะมาแล้ว ขอน่ารักๆนะ
เพราะคนอ่านหวงโอ๊ตมากๆเลยแหล่ะ
แอบสงสารบุคคลปริศนาล่วงหน้าแล้วนะ
ก็โอ๊ตรักแมทมาตั้งนาน จะเปลี่ยนใจ
ไปรักคนอื่น คงต้องใช้เวลาและความผูกพันธ์
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 24 [08-06-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 08-06-2015 23:30:32
ตอนที่ 24


Chen Part


          คบกันแล้วมีความสุขกว่าตอนที่ทำได้แค่คิดถึงอย่างเดียวอีกนะ ว่ากันว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ผมไม่อยากให้ช่วงเวลาเหล่านี้มันรีบผ่านไปเลย ไม่เคยคิดมาก่อนว่าการกอดผู้ชายด้วยกันก็ทำให้รู้สึกดีได้ ผมว่ามันคงเป็นเรื่องของความรู้สึกแล้วหล่ะ ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร ขอแค่เป็นคนที่เรารู้สึกรัก รู้สึกดีด้วย ก็จะรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆ อยากโอบกอดไว้ตลอดเวลา เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมไม่อยากปล่อยมือจากคนข้างตัวเลย แค่อยากทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เอื้อมแขนไปกอดแล้วขว้ามืออีกฝ่ายมาจับไว้ มันดีกว่านั่งห่างๆกันตั้งเยอะ

"เมื่อยแล้วอ่ะ"       ผมยังคงกอดแมทไว้อย่างนั้นทั้งๆที่เราดูหนังจบไปแล้วถึงสองเรื่อง ผมชวนแมทมาดูหนังด้วยกันตั้งแต่เช้า เพราะความสุขมันจุกอกผมทั้งคืนจนต้องตามหาต้นเหตุให้มาอยู่ใกล้ๆเผื่ออาการจะดีขึ้น
       
"งั้นพี่เปลี่ยนไปนั่งฝั่งโน้นนะ จะได้สบายขึ้น"       เสนอตัวเพื่อเปลี่ยนที่นั่ง ก่อนจะลุกย้ายฝั่งมาตามที่พูดแล้วสอดแขนเข้าที่ระหว่างหลังแมทกับโซฟารั้งให้คนข้างตัวเข้ามาใกล้ การที่ต้องต้องนั่งเอียงตัวอยู่ข้างเดียวเป็นเวลานานก็พอเข้าใจว่ามันเมื่อย และในเมื่อผมไม่อยากจะปล่อยผมก็ควรหาทางให้อีกคนนั่งได้สบายขึ้น ก่อนจะกอดไว้อย่างเดิม

"นั่งข้างๆอย่างเดียวได้ป่ะ มันอึดอัด"       ผมคิดว่านั่นคงเป็นเพราะแมทยังไม่ชิน การกอดมันคือการแสดงความรักอย่างหนึ่ง ถ้าเรารักกันแล้วก็ควรทำบ่อยๆ มันเหมือนกำลังถ่ายทอดและส่งต่อความรัก

"ไหนเมื่อวานยังบอกว่าให้กอดแน่นๆ อย่าปล่อยให้แมทไปไหนอีก พี่ก็ทำอยู่นี่ไง"       ผมยังจำคำพูดทุกอย่างที่แมทพูดเมื่อวานได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องนี้ผมก็ยกมันมาเพื่อเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น

"ปล่อยบ้างก็ได้"       แต่รอยยิ้มที่เห็นดูเหมือนจะไม่อยากให้ปล่อย ซึ่งแน่นอนผมคิดเองโดยไม่ได้ถาม และเริ่มรั้งแขนเพื่อดึงตัวแมทเข้ามาใกล้ขึ้น

"แต่การกอดกันมันช่วยยกระดับความสัมพันธ์นะ"       จริงๆผมก็อ้างไปเรื่อย ไม่รู้หรอกว่ามันช่วยมากแค่ไหน ตอนนี้คิดแค่อยากกอด ทำมากกว่านี้ก็ยังไม่กล้า

"ก็เข้าใจ"       พยักหน้าไปด้วยทั้งที่ตายังคงจดจ้องอยู่ที่จอทีวี

"การกอดมันแสดงให้เห็นว่าพี่ยังอยู่ที่นี่ ตรงนี้ข้างๆแมทนะ"       ผมรู้สึกตัวเองกำลังเป็นคนน่าสงสาร หนังตรงหน้าดึงดูดความสนใจคนข้างตัวได้มากกว่า

"ก็เห็นอยู่"       ปากบอกว่าเห็นทั้งๆที่ตาไม่ได้แม้แต่จะมอง

"พี่ว่าหนังมันก็เหมือนกันทุกเรื่องนะ นั่นอ่ะ นางเอกกำลังงอน เดี๋ยวอีกสักพักก็ต้องง้อ มันมีแพทเทิร์นของมัน แต่พี่ไม่มีแพทเทิร์นนะ ดูพี่อาจจะตื่นเต้นกว่าก็ได้"       ตลกตัวเองชะมัดที่พูดอะไรแบบนี้ออกไป เหมือนโฆษณาชวนเชื่ออะไรสักอย่าง
 
"เดี๋ยวนะ เมื่อเช้าพี่ไปชวนแมทมาดูหนังเองไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้แมทก็กำลังเข้าถึงอารมณ์หนัง พี่ก็มาขัด อะไรของพี่วะ"       หลังจากกดรีโมทหยุดหนังก็ยกขาขึ้นมาขัดสมาธิบนโซฟาโดยหันตัวเข้าหาผมแล้วมองด้วยสีหน้าและท่าทางที่จริงจัง

 "หนังมันก็แค่ข้ออ้าง ที่ชวนมาก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ ไม่คิดว่าหนังจะน่าดึงดูดกว่าพี่"       ใครจะไปคิดว่าแมทจะไม่เข้าใจเจตนาของผม พูดจบก็แบะปากก้มหน้า ผู้ชายตัวโตๆอย่างผมทำท่าทางแบบนี้ถ้าได้เห็นตัวเองในกระจกคงอยากทุบให้แตก แต่ก็ต้องกลั้นใจทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ

"พี่นี่ก็มุ้งมิ้งเหมือนกันนะ วันหลังจะให้มาทำอะไรก็พูดให้มันชัดเจน ไม่ต้องหาอะไรมาบังหน้า เข้าใจนะ"       ถึงจะไม่ได้เชยคางให้ขึ้นมามองหน้ากันให้ดูอ่ออนหวาน แต่การก้มลงมาช้อนมองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์แบบที่ไม่เหมาะกับแมทเลยสักนิดนั้น ก็ทำให้ผมที่กำลังก้มหน้าอยู่ถึงกับหลุดยิ้มออกมา ผู้ชายด้วยกันนี่นะ จะไปคาดหวังความอ่อนหวานอะไรอย่างนั้น

"มุ้งมิ้งคืออะไร"       คำศัพท์ที่ผมไม่คุ้นชิน อาจจะเป็นศัพท์ใหม่หรือแสลงที่ผมไม่เข้าใจ แต่มันก็เป็นคำที่น่าฟัง

"มุ้งมิ้งก็แบบนี้ไง"       พูดจบก็ใช้มือทั้งสองข้างมาประคองหน้าผมก่อนจะโยกไปมาโดยที่เจ้าตัวนั้นยิ้มหยีทั้งปากทั้งตา แล้วก็โยกหน้าตาม สักพักก็หยุดแล้วยื่นหน้ามาทำปากจู๋แบบที่ม๊าชอบบอกให้ผมทำตอนเด็กๆ ดูแล้วน่ารัก ผมชักจะชอบคำว่ามุ้งมิ้งซะแล้ว

"มุ้งมิ้งบ่อยๆนะพี่ชอบ"       ขยิบตาให้หนึ่งครั้งพร้อมรอยยิ้ม เดาว่านี่คงรวมอยู่ในจำพวกเดียวกับมุ้งมิ้ง

"ฮ่าๆๆ ทำไรของพี่เนี่ย ตลก ไหนว่ามาสิแพทเทิร์นของพี่น่าสนใจกว่าหนังที่ผมดูตรงไหน"       ถามจบก็หันตัวไปนั่งห้อยขาอย่างเดิม แมทคงอยู่คนเดียวมาจนชิน สงสัยคงต้องค่อยๆใส่ความโรแมนติกให้ซึมซับบ่อยๆ

"พี่บอกไปแล้วไงว่าคนอย่างพี่ไม่มีหรอกแพทเทิร์น มันเลยน่าค้นหา อย่างวันนี้พี่อยากกอดพี่ก็จะกอด เพราะการกอดมันก็เหมือนการเริ่มต้นก่อนจะทำสิ่งต่อไปด้วย"       ยังคงพยายามดึงดูดความสนใจต่อไป ในขณะที่อีกคนก็สนใจแต่จะกดรีโมทเพื่อเล่นหนังต่อ

"อืม"       คำตอบกลับสั้นๆทำให้ผมตัดสินใจที่จะทำสิ่งต่อไปอย่างที่พูด ว่าแล้วก็เอื้อมแขนไปคว้าเอวคนข้างตัวแล้วออกแรงลากมาใกล้ๆ ก่อนจะโน้มตัวลงไปหอมแก้มฟอดใหญ่
 
"หือ"       รีโมทที่หลุดมือและท่าทางเหวอๆอ้าปากตาโตแบบนั้นคงจะตกใจ แสดงว่าผมเรียกร้องความสนใจสำเร็จสินะ     

"พี่เชน"       ก้มหยิบรีโมทที่หลุดมือขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วหันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนยังอึ้งอยู่

"ครับ"       ผมยิ้มตอบอย่างคนมีความสุข

"ฉวยโอกาสหว่ะ"       ผมว่าแล้วว่าอย่างแมทคงไม่ปล่อยให้ผมทำโดยที่ตัวเองทำแค่ยิ้มเขินอย่างเดียวแน่ ต้องโดนบ่นบ้างแต่ก็คุ้ม

"ยอมรับ"       และถ้าผมปฏิเสธก็คงโดนว่าต่อ ยอมรับไปซะแมทจะได้ชินคราวหน้าจะได้ไม่เรียกว่าฉวยโอกาส เพราะสำหรับผมมันคือการแสดงความรัก

"งั้นมาให้เอาคืนเลย"       พูดจบก็วางรีโมทแล้วโน้มตัวลงมาค้ำกับพนักพิงโซฟาก่อนจะก้มลงหอมแก้มซ้ายของผม
 
"ถ้าจะทำแบบนี้บอกดีๆเดี๋ยวยื่นหน้าให้"       ผมยิ้มกว้างก่อนจะหันอีกข้างให้แมททำอย่างเดียวกันแต่เจ้าตัวกลับส่ายหน้าแล้วถอยตัวกลับไปนั่งอย่างเดิมตามด้วยหยิบรีโมทมากดเล่นหนังต่อ ผมคิดในใจว่าน่าเสียดาย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย

"พี่"       แล้วสายตาก็กลับไปจดจ้องอยู่ที่ทีวีอย่างเดิม

"ครับ"       ผมตอบก่อนจะก้มลงเลือกแผ่นหนังเรื่องต่อไป ทั้งๆที่สุดท้ายมันจะถูกสนใจมากกว่าผมก็ตาม

"หิวแล้วอ่ะ"       ได้ยินอย่างนั้นผมก็เงยหน้าขึ้นมองนาฬิกา บ่ายโมงกว่าแล้วผมเองก็ลืมดูเวลา นี่ผมปล่อยให้คนที่กินได้ตลอดเวลาลืมมื้ออาหารของตัวเองได้ยังไง

"กินอะไรดี"       วางแผ่นหนังกลับลงไปที่เดิม ตอนนี้เรื่องปากท้องของคนข้างๆสำคัญกว่ากองหนังตรงหน้า

"อะไรก็ได้ง่ายๆ"       

"มีขนมปังในตู้เย็น พี่ทาแยมให้เอาไหม"       ผมถามคนที่เอาแต่สนใจดูหนัง ไม่ใช่ว่าหนังมันไม่น่าสนใจนะ แต่แผ่นที่เมมีผมดูมาหมดแล้ว รวมทั้งเรื่องที่แมทกำลังดูอยู่นี่ด้วย

"ไม่เอาอ่ะ มันไม่อยู่ท้อง"

"แต่ที่นี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากขนมปังกับนม งั้นออกไปข้างนอกกันไหม"       ผมไม่คิดจะซื้ออะไรตุนเอาไว้เยอะ ผมมาอยู่ที่นี่แค่ไม่นาน ออกไปทานข้างนอกน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

"ไปข้างนอกมันร้อน ไปบ้านแมทดีกว่า ในตู้เย็นน่าจะพอมีอะไรให้กิน"       ระหว่างที่พูดก็กดหยุดหนังแล้วลุกขึ้นไปปิดทีวี แล้วก็เดินออกจากบ้านไปให้ผมต้องรีบเดินตาม ช่างเป็นคนที่ตัดสินใจไว คิดจะทำอะไรก็ทำอย่างที่คิดเดี๋ยวนั้น ผมยังไม่ทันได้ตอบตกลงสักคำ แต่ในเมื่อแม้แต่พยักหน้าตกลงยังไม่ทันก็ทำได้แค่รีบปิดล็อกประตูบ้านแล้วเดินตามไป

.......................................................................


          คงเพราะเป็นเวลาบ่ายแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครอยู่สักคนบ้านเลยเงียบขนาดนี้ ผมเดินตามเข้ามาในบ้าน เดินมาจนถึงในครัว มองหาแต่ก็ไม่เจอคนที่บอกว่าหิว มันคงเป็นอย่างที่ผมคิดไว้ แมทใช้ชีวิตอิสระและคนเดียวมาตลอด การจะให้มารออีกคน มาอยู่ใกล้กันตลอดเวลาคงยังไม่ชิน ผมเข้าใจนะว่าคนที่เป็นแฟนกันไม่จำเป็นต้องตัวติดกันตลอดเวลา แต่ก็อยากให้รู้สึกว่ายังมีอีกคนอยู่นะ ไม่ได้อยู่คนเดียวแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องใช้เวลาปรับตัว นี่ผมไม่ได้กำลังจะกลายเป็นผู้ชายที่ชอบน้อยใจแฟนใช่ไหม

"พี่เชน แมทไปเก็บผ้าหลังบ้านก่อนนะ ดูเหมือนฝนจะตก"       เสียงเรียกของแมทที่ถือตะกร้าออกมาจากประตูห้องข้างครัวที่มีเครื่องซักผ้าอยู่ด้านใน จากสิ่งที่กำลังเห็น ทำให้คิดได้ว่าก่อนหน้านี้ผมอาจจะคิดมากไป อาจจะเพราะฝนกำลังจะตก แมทเลยต้องรีบมาเขาคงไม่ได้ลืมผมหรอก

"ให้พี่ไปช่วยนะ"       ผมเดินอ้อมโต๊ะทานข้าวเพื่อจะไปช่วยยกตะกร้า

"ไม่ต้องหรอก พี่ลองดูในตู้เย็นไปก่อนนะ เดี๋ยวมา"       แมทยกมือข้างที่ไม่ได้หิ้วตะกร้าขึ้นมาเป็นเชิงห้ามผมไว้ ผมเลยพยักหน้าแล้วเดินไปที่ตู้เย็น ผมคงคิดมากไปเอง บอกตัวเองให้เลิกคิดแล้วเปิดตู้เย็นหาอะไรที่พอทำเป็นอาหารได้ดีกว่า
ตู้เย็นที่ดูเป็นระเบียบมาก ของทุกอย่างถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่ไว้เป็นอย่างดีจนไม่อยากจับต้อง กลัวมันถูกสลับตำแหน่งแล้วไม่เรียบร้อยเหมือนเดิม ลองเปลี่ยนมาดูที่ช่องแช่แข็งด้านล่าง คงพอมีเนื้อสัตว์ให้ทำอะไรง่ายๆได้บ้าง พอเปิดดูก็เห็นมีแค่ปลาอยู่ในกล่องพลาสติกที่มีล็อค 4 ด้านถูกจัดเรียงเป็นชั้นๆ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เข้าพวก  นั่นก็ถุงพลาสติกใสที่มีห่อกระดาษอยู่ด้านใน ที่น่าตกใจคือถุงนั้นมีโลโก้ร้านผมอยู่

"เฮ้ออ...เหนื่อย สงสัยต้องไปออกกำลังกายซะบ้าง เก็บผ้าแค่นี้ก็หอบแล้ว"       แมทที่ถือตะกร้าผ้าเดินเข้ามาพร้อมถอนหายใจและเสียงบ่น

"ฝนต้องตกแน่ๆเลย อากาศร้อนขนาดนี้ ดีนะที่ผ้าแห้งแล้ว"       ผมทำแค่หันไปมองก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือเข้าไปหยิบถุงที่ว่านั้นออกมาดู

"แมทเอาผ้าไปเก็บข้างบนก่อนนะ อย่าเพิ่งทำหล่ะ จะลงมาช่วย"        ผมพยักหน้าแล้วแมทก็เดินขึ้นไปพอดีกับที่ผมหยิบถุงนั่นออกมาได้ จริงๆมันออกจะเสียมารยาทนะที่มาเปิดดูแบบนี้ แต่ด้วยโลโก้ที่ประทับอยู่บนถุงมันทำให้ผมอยากรู้ว่าข้างในมันคืออะไร  ถุงที่ถูกมัดไว้เบาเริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งเล็กๆเกาะอยู่รอบๆ เปิดออกมาก็เป็นห่อกระดาษอย่างที่เห็นจากนอกถุง ผมค่อยๆเปิดห่อกระดาษนั้นเบาๆ เห็นภายในเป็นวาฟเฟิลบอลแบบที่มีขายที่ฮ่องกงถูกห่อแรปเอาไว้ และผมคงจะไม่คิดว่ามันเป็นชิ้นเดียวกับที่ผมซื้อให้ถ้าหากไม่มีกระดาษแผ่นเล็กๆที่มีชื่ออีเมล์ของผมถูกจดเอาไว้ น่าแปลกนะที่กระดาษแผ่นนั้นถูกแปะด้วยเทปใสเอาไว้ที่ข้างห่อวาฟเฟิลทั้งๆที่ก่อนหหน้าผมแค่ใส่มันไว้ที่ก้นถุง แสดงว่าแมทคงเห็นอีเมล์แล้ว นั่นทำให้ผมยิ่งสงสัยว่าทำไมถึงไม่ติดต่อกัน

"พี่เชนดูนี่ดิ มีตั้งสองอันแน่ะ"       ผมหันไปมองตามเสียงเรียกเห็นคนที่พยายามทำตัวน่ารักโดยการเอาหูมิกกี้เม้าส์มาใส่เอาไว้ที่หัว ที่บอกว่าพยายามน่ารักก็เพราะมันเป็นภาพที่ผมเคยอยากเห็นและคิดว่ามันต้องน่ารักแน่ๆ ยังไงผู้ชายก็คือผู้ชาย จะให้มาใส่แล้วดูน่ารักเหมือนเด็กหรือผู้หญิงก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ผมกลับชอบนะ มันดูเหมาะกับแมทมากเลยทีเดียว กลับไปผมจะซื้อให้ครบทุกแบบ ให้ใส่แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ แค่เห็นก็ทำให้ยิ้มได้กว้างๆแล้ว

"งั้นอีกอันพี่ขอ"       ผมเอ่ยขอหูมินนี่ย์เม้าส์อีกอันที่อยู่ในมือแมท แล้วแมทก็ยื่นให้แล้วผมก็รับไว้ทั้งที่ในมือนั้นถือถุงวาฟเฟิลที่ถูกแช่แข็งเอาไว้จนไม่น่าจะอร่อยต่อให้เอามาอุ่นแล้วก็ตาม

"นั่นมัน"       ชี้มาที่ถุงในมือผมก่อนจะกระชากกลับไปซ่อนเอาไว้ด้านหลังของตัวเอง

"น่าน้อยใจ ทั้งที่อีเมล์ก็มีแต่ไม่ยอมติดต่อ"       ผมมองหน้าแมทพร้อมกับคำพูดตัดพ้อก่อนจะวางหูมินนี่ย์ไว้บนโต๊ะทานข้าว

"แล้วให้มาแค่นั้นใครจะไปตอบกลับได้หล่ะ คราวหน้าจะให้ใครก็หัดเขียนให้มันครบๆสิ ไม่ๆๆ คราวหน้าต้องไม่ไปให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วนะ"       ที่พูดออกมาแบบนี้หมายความว่าหวงหรือเปล่า

"จะไปให้ใครอีกได้ละครับ เพิ่งลองให้เป็นคนแรกยังผิดหวังขนาดนี้"       ผมยิ้มมุมปากก่อนจะดึงแขนแมทให้ขยับตัวมาใกล้ๆ

"อ่อยเหรอ"       ผมขมวดคิ้วกับคำศัพท์แปลกๆของแมทอีกครั้ง

"ไม่เข้าใจอ่ะดิ ว่าแล้ว ม๊าพี่คงสอนแต่คำที่ไพเราะดูเรียบร้อยละมั้ง เลยไม่รู้จักคำนี้"

"ใช่เฟลิตหรือเปล่า"       ผมลองทายออกไปแล้วก็กลายเป็นแมทที่ขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นเกาหัวแทน

"ไม่น่าจะรู้จักได้นะ"       พึมพัมก่อนจะส่ายหัวเบาๆสองสามทีแล้ววางถุงวาฟเฟิลลงบนโต๊ะทานข้าว

"ในนิยายแมทเขียนคำนี้ไว้เยอะแยะ แค่ลองหาในอินเตอร์เน็ตก็รู้แล้วว่าแปลว่าอะไร"       ผมอธิบายในขณะเดียวกันก็คว้ามือคนที่กำลังเดินผ่านหน้าไปหาตู้เย็นให้ต้องหันมาสบตากันก่อนพยักหน้าไปทางที่คาดผมที่อยู่บนหัว

"แล้วไอ้ที่ใส่อยู่บนหัวนี่เรียกอ่อยด้วยหรือเปล่า"       พอผมพูดจบหูมิกกี้เม้าส์บนหัวก็ถูกถอดลงมาวางบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว

"ไม่ได้เรียกอ่อย เขาเรียกเซอร์วิสเพราะเคยมีคนบ่นว่าอยากเห็น แต่ตอนนี้คงไม่จำเป็นแล้วละมั้ง"       ปลดมือผมออกจากมือตัวเองแล้วเดินไปทางตู้เย็น

"จำเป็นสิ เดี๋ยวกลับไปจะไปเหมามาให้ครบทุกแบบเลย"       ผมพูดบอกพลางหยิบหูมินนี่เม้าส์บนโต๊ะมาคาดให้ตัวเองบ้าง

"สิ้นเปลืองน่าพี่ มีอยู่แล้วตั้งสองอัน"       น้ำเสียงคนที่กำลังเปิดตู้เย็นฟังแล้วเหมือนกำลังน้อยใจปนหงุดหงิดเล็กๆ

"ไม่พอหรอก ต้องผลัดกันเซอร์วิสบ่อยๆถ้ามีแบบเดียวคงน่าเบื่อ"       ผมค่อยๆเดินไปยืนข้างประตูตู้เย็น

"อืม พี่คงเบื่อง่ายละสิ"       มีกระแทกเสียงตรงท้ายประโยคให้พอสัมผัสได้ว่ากำลังงอน

"ไม่นะ น่ารักขนาดนี้จะเบื่อได้ไง ลองหันมาดูสิ"     เตรียมชูสองนิ้วพร้อมยิ้มหวานๆก่อนจะใช้มืออีกข้างดันประตูตู้เย็นเพื่อปิด เป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝ่ายหันหน้ามาพอดี

"ท่าจะบ้า"     ปากก็ว่าทั้งที่กำลังอมยิ้ม

"หิวจนแก้มแดงเลย ลืมหิวไปแล้วหรือเปล่า"     ผมเอ่ยแซวคนแก้มระเรื่อที่กำลังเดินผ่านหน้าไปที่โต๊ะทานข้าว

"ลืมไปเลยว่ากำลังหิว"     คนที่ดูท่าทางจะเขินลากเก้าอี้ออกมานั่งก่อนจะเอื้อมมือไปคว้าโหลใส่คุ๊กกี้มาเปิดออก

"คงไม่ต้องกินแล้ว สงสัยว่าจะอิ่มความรักจากพี่"     พูดจบก็เดินตามไปยืนข้างๆอีกคนก่อนจะค้ำมือข้างหนึ่งลงกับพนักพิงหลังของเก้าอี้และอีกข้างไว้กับโต๊ะตามด้วยก้มตัวลงใกล้ๆ

"ต่อไปคงต้องป้อนให้บ่อยๆ"     กระซิบเบาๆที่ข้างหู     

"พอเลยถ้าพี่ยังไม่เลิกเล่นแมทจะออกไปกินข้าวคนเดียว"       พูดจบก็หยิบคุ๊กกี้ออกจากโหลแก้วมาเข้าปากแล้วหมุนเกลียวปิดฝาลุกออกจากโต๊ะจนผมต้องรีบถอดหูมินนี่ย์บนหัวแล้วเดินตามไป

.......................................................................


          แมทเป็นคนขับรถพาผมมายังร้านอาหารเล็กๆไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก สั่งอาหารทานไปแค่อย่างสองอย่าง ทุกอย่างอร่อยแต่รสจัด ทานไปไม่เยอะก็เริ่มจะไม่ไหวเพราะอิ่มน้ำแทนข้าว จำที่แม่เคยเล่าให้ฟังได้ว่าอาหารทางภาคใต้ของประเทศไทยจะมีรสชาติเผ็ดเครื่องเทศที่ร้อนแรง ผมยังนึกไม่ออกในตอนนั้น แต่วันนี้ได้ลองสัมผัสมันทำให้ผมอยากจะนำเอาส่วนผสมพวกนี้ไปปรับใช้ที่ร้านดูบ้าง อาจจะถูกใจลูกค้าบางกลุ่มที่ชอบอาหารรสชาติจัดจ้าน

          อากาศข้างนอกค่อนข้างร้อน เราใช้เวลาทานข้าวไม่นานนัก เลยตัดสินใจว่าจะไปเดินเล่นที่ห้างกัน ลองเปลี่ยนบรรยากาศไปลองเจอผู้คนเยอะๆดูบ้าง ห้างที่นี่มีสัดส่วนชาวต่างชาติที่เดินอยู่เยอะพอๆกับคนไทย เผลอๆอาจจะมากกว่าเพราะผมแยกไม่ออกว่าคนไทยในสายตาผมนั้นอาจจะเป็นชาวต่างชาติ หรือไม่ชาวต่างชาติที่ผมคิดอาจเป็นคนไทยก็ได้ เพราะจากที่เห็นกลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่าน ให้ผมทายคงคิดว่าเป็นจีน เกาหลี ไม่ก็ญี่ปุ่นแถบๆนั้น แต่พอได้ยินพวกเขาคุยกันเป็นภาษาไทยมันทำให้ผมประหลาดใจเล็กน้อย

"พี่อยากดูอะไรเป็นพิเศษป่ะ"       แมทถามขึ้นพลางตักไอศกรีมที่แวะซื้อมา 1 สกู๊ปก่อนเดินขึ้นบันไดเลื่อน

"พี่อยากดูหนังสือ แต่ตอนนี้พี่อยากได้กาแฟสักแก้วก่อน"       ตั้งแต่เช้ามากาแฟยังไม่ตกถึงท้อง นี่ก็บ่ายแล้วถ้าได้ดื่มสักแก้วน่าจะดี

"กาแฟอะไรก็ได้ใช่ไหม"       คนที่เดินอยู่ข้างๆหันมาถาม

"พี่ทานแค่อเมริกาโน่อย่างเดียว"       ผมบอก

"หวานไหม"       

"หวาน"       ผมยิ้มตอบ

"หวานมากไหม"       

"ต้องลองชิมดูก่อน"

"พี่ครับ รบกวนคุยเรื่องเดียวกัน แมทถามถึงกาแฟ"       เสียงถอนหายใจเบาๆและคำพูดเชิงประชดที่แสดงออกมาทั้งสีหน้า ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างขึ้น

"ไปซื้อด้วยกัน เดี๋ยวพี่สั่งเอง"       ผมบอกด้วยรอยยิ้มแต่แมทกลับหยุดเดินแล้วชี้ไปด้านซ้ายมือผม

"พี่รอที่ร้านหนังสือนี่แหละ แมทไปสั่งให้ ตกลงหวานไหม"

"เอาแบบที่แมทอยากให้พี่ชิม"

"แน่ะ ชิมแก้วของแมทแล้วระวังจะลืมกาแฟถ้วยเก่านะ"       ผมหัวเราะเบาๆให้กับท่าทางขยิบตาแล้วยิ้มกรุ่มกริ่มแบบนั้น ดูๆแล้วแมทคงไม่ค่อยเหมาะกับการทำท่าทางแบบนี้ ให้ยิ้มกว้างๆตาหยียังจะดูน่ารักซะกว่า

"ครับ รีบไปรีบมานะพี่อยากให้แฟนอยู่ข้างๆตลอดเวลา"       ยิ้มมุมปากก่อนจะหยิบธนบัตรให้

"ทำตัวเป็นเสี่ยไปได้ เมื่อกี้ก็จ่ายค่าข้าวแล้วแก้วนี้แมทเลี้ยงเอง"       ผมไม่อยากคะยั้นคะยอเลยเก็บธนบัตรไว้ในกระเป๋าสตางค์ตามเดิม

"รีบไปรีบมานะครับ"       ผมย้ำอีกครั้ง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะไปด้วยซะมากกว่า แต่หากทำแบบนั้นก็กลัวจะทำให้อีกคนรำคาญ เว้นระยะห่างบ้าง จะได้ไม่อึดอัด

"อยู่ชั้นสองนี่เอง ตอนนี้บ่ายสาม ไม่เกิน 20 นาทีนะ เผื่อมีลูกค้าต่อคิว"       แมทก้มลงมองนาฬิกาอย่างกับกำลังจะเริ่มต้นแข่งแรลลี่ก่อนจะชี้นิ้วลงไปชั้นถัดจากที่เรายืนอยู่หนึ่งชั้น ผมมองตามก่อนจะพยักหน้ารับรู้ แล้วแมทก็เดินลงบันไดเลื่อนไป ผมเลยเดินเข้าร้านหนังสือบ้าง

.......................................................................

มีต่อหน้าถัดไปนะคะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 24 [08-06-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 08-06-2015 23:37:14
Matt Part

          ตั้งแต่ตกลงคบกันพี่เชนก็ดูจะทำตัวน่ารักมากขึ้น หยอดกันได้ตลอดแทบจะทุกนาที ผมก็เขินจนเริ่มจะรังเกียจท่าทางของตัวเองแล้ว ไม่รู้ว่าต่อหน้าพี่เชนจะหูแดงหน้าแดงไปถึงไหน และที่อาสาลงมาซื้อกาแฟให้ก็เพราะอยากเอาใจ อยากดูแลอยากทำให้พี่เชนประทับใจบ้าง แค่พี่เชนหานิยายผมมาอ่านทั้งๆที่ภาษาไม่แข็งแรงผมก็เป็นปลื้มมากพอแล้ว ถ้าผมใช้เวลาอยู่กับผู้ชายคนนี้ไปเรื่อยๆผมจะต้องมีความสุขมากขึ้นๆแน่ๆ ผมสัมผัสได้ว่าพี่เชนเป็นผู้ชายที่น่ารัก ใส่ใจรายละเอียด ช่างเอาใจ และผมเองก็กำลังเรียนรู้ที่จะทำแบบนั้นเพื่อเอาใจพี่เชนบ้าง รวมถึงกาแฟแก้วนี้ผมก็หวังว่าจะถูกใจและถูกปากพี่เชน

"อเมริกาโน่เย็น 1 แก้วครับ"       โชคดีที่ไม่มีลูกค้าต่อคิว ผมเลยไม่ต้องรอ

"85 บาทค่ะคุณลูกค้า"       พนักงานคิดเงินบอกราคา ผมเลยหยิบเงินให้

"นี่ครับ เอ่อ รบกวนใส่น้ำเชื่อมแค่ 10 มิลลิลิตรพอนะครับ"       ผมจำได้ว่าพี่เชนดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แต่ด้วยผมเป็นคนไม่ดื่มกาแฟเพราะมันขม ผมเลยขอให้พนักงานใส่น้ำเชื่อมลงไปนิดหน่อย และหากบอกเป็นปริมาตรน่าจะง่ายต่อการกะความหวานในครั้งต่อไปของผม ตอนนี้ผมอยากลองดื่มดูบ้าง อยากลองชอบในสิ่งที่พี่เชนชอบ อยากดื่มกาแฟจากแก้วเดียวกัน ดูดจากหลอดเดียวกัน แค่คิดก็โรแมนติกแล้ว

"ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า"       หลังจากคิดภาพโรแมนติกไว้ในหัวเรียบร้อยกาแฟก็เสร็จพอดี
 
"แมท"       ยังไม่ทันจะเดินพ้นเขตร้านก็ได้ยินเสียงเรียกให้หันไปมอง

"อ้าวหลิน มาทำอะไรที่นี่"       บางทีก็อยากด่าตัวเองที่ชอบถามอะไรโง่ๆ มาห้างจะมีสักกี่อย่างให้ทำ

"มาซื้อของ"       และนี่คือเหตุผลที่เหมาะสมกับสถานที่และสิ่งของที่เต็มมือทั้งสองข้างของหลินที่สุด

"หลินมาคนเดียวเหรอ"       ก็เห็นว่ามาคนเดียว แต่ผมก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อ

"ใช่ค่ะ"       ตอนนี้ผมอยากจะไปร้านหนังสือแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะเสียมารยาทพูดออกไป

"เอ่อ งั้นเราไปก่อนนะหลิน เอาไว้เจอกัน"       ผมบอกเพื่อตัดบท

"แมทพอจะมีเวลาสักเดี๋ยวไหม หลินมีเรื่องอยากคุยด้วย"       อันที่จริงผมเองก็มีเรื่องที่ค้างคาใจกับหลิน แต่ในเมื่อหลินพูดเองว่ายังไม่อยากคุยตอนที่พี่เชนอยู่ที่นี่ แล้ววันนี้ผมกับพี่เชนก็มาด้วยกัน ถึงผมจะไม่รู้เหตุผลที่หลินต้องการให้เป็นอย่างนั้น แต่ผมก็ควรเลี่ยงไม่ให้ทั้งคู่เจอกันคงดีกว่า

"ขอโทษทีนะหลิน พอดีเราไม่ค่อยสะดวก"

"แค่ 10 นาทีเอง นะคะ คิดว่าช่วยถือของไปส่งหลินที่รถก็ได้ นะคะนะนะ"       แล้วคำพูดที่ว่า 'แมทไปส่งหลินหน่อยนะคะ นะคะ นะนะนะนะนะ' ของพี่มัทก็ลอยมา ถึงมันจะไม่เหมือนที่พี่มัททล้อซะทีเดียว แต่ก็ให้ความรู้สึกถึงอารมณ์คนพูดไม่ต่างกัน

"ครับ หลินเอาของมา เราช่วยถือ"       ไปแค่ 10 นาทีคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง กาแฟก็ไม่ต้องรอคิว คงกลับมาทันเวลาที่บอกพี่เชนไว้พอดี

.......................................................................


          ช่วยถือของหลินลงมาที่ลานจอดรถบริเวณที่ถูกจัดไว้สำหรับผู้หญิง เดินตามไปเรื่อยๆก็เห็นรถที่ไฟกระพริบตามสัญญาณจังหวะพอดีกับที่หลินกดรีโมท ระหว่างที่เดินผ่านมาผมก็ถูกมองด้วยสายตาสงสัยจากพนักงานรักษาความปลอดภัยที่คอยตรวจตราอยู่บริเวณนี้ ผมแค่เดินมาส่ง คงไม่เป็นปัญหาอะไร

"หลินเปิดหลังรถสิ เราจะเก็บของให้"       ผมบอกหลินก่อนจะเดินไปหลังรถ

"แมทเอาแก้วกาแฟมานี่ก็ได้ค่ะ หลินถือให้"       ผมยื่นแก้วกาแฟให้หลินที่เดินตามมา

"เรียบร้อยแล้ว"       ผมเอื้อมมือจะปิดกระโปรงหลังรถแต่หลินยกมือห้ามไว้

"อย่าเพิ่งปิดค่ะ ขอหลินเปลี่ยนรองเท้าก่อน"       หลินวางแก้วกาแฟไว้ที่อีกฝากหนึ่งของที่เก็บของหลังรถซึ่งเต็มไปด้วยรองเท้า รถผู้หญิงก็ต้องเป็นแบบนี้ มีของพร้อมใช้งานตลอดเวลา แต่ผมว่ามันคงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ที่จะเอาแก้วกาแฟไปวางไว้ตรงที่ที่เต็มไปด้วยรองเท้าที่ถูกใช้งานแบบนั้น ผมเอื้อมมือไปหมายจะหยิบแก้วกาแฟมาถือไว้ แต่หลินกลับโน้มตัวมาบังเพื่อหยิบรองเท้าส้นแบนมาวางไว้ที่พื้นก่อนถอดรองเท้าส้นสูงที่ผมเห็นแล้วรู้สึกทรมานแทนออก ทำให้ผมไม่สามารถเอื้อมมือไปหยิบแก้วกาแฟได้

"อุ้ย!"       จังหวะที่หลินกำลังงอเข่าขวายกเท้ามาด้านหลังเพื่อให้ใกล้มือจะได้ปลดสายที่รัดข้อเท้าออก หลินก็เซแล้วเอียงตัวเหมือนจะล้มให้ผมต้องเข้าไปประคองไว้ ผมไม่แน่ใจว่าเพราะหลินอยู่บนรองเท้าส้นสูงเพียงข้างเดียวเลยทำให้เธอยืนลำบากหรือเปล่าถึงได้ยิ่งเซมาทางผมมากขึ้น

"ไหวไหมหลิน ให้เราช่วยถอดไหม"       ผมถามขึ้นขณะใช้มือประคองไหล่หลินเอาไว้

"ไม่เป็นไรค่ะ หลินคงยืนไม่ดีเอง"       หลินพยายามฝืนตัวไปยืนตัวตรงแล้วทำท่าจะยกเท้าที่ยังมีส้นสูงอีกข้างอยู่ขึ้นมา

"เดี๋ยวเราถอดให้ หลินจับที่ไหล่เราไว้ก็ได้"       พูดจบผมก็ก้มตัวลงนั่งยองเงยหน้าบอกหลินให้เอามือมาเกาะไว้ที่ไหล่ผม พอหลินทำตามผมเลยก้มลงใช้มือยกข้อเท้าหลินขึ้นก่อนจะปลดสายรัดที่ข้อเท้าตามด้วยปลดรองเท้าออกจากเท้าหลินแล้วใส่รองเท้าส้นแบนอีกข้างให้

"เมื่อกี้ที่เกือบล้มหลินปวดข้อเท้าไหม"       ท่าทางที่เซขนาดนั้นผมคิดว่าอาจจะส่งผลให้ข้อเท้าแพลงได้เลยลองจับที่ข้อเท้าทั้งสองข้างเบาๆแล้วถามดู

"โอ้ย! อย่ากดแรงค่ะแมท"       ทั้งที่ผมกดน้ำหนักเบาๆแต่หลินกลับส่งเสียงร้อง แสดงว่าคงต้องมีอาการปวดอย่างแน่นอน

"หลินเจ็บข้างนี้เหรอ มากไหม"       ผมชี้ที่ข้อเท้าข้างซ้ายที่เพิ่งเอามือออก

"นิดหน่อยค่ะ"       ผมลุกขึ้นยืนหลังจากได้ยินคำตอบ

"ทำไงดี อย่างนี้จะขับรถไหวไหม"       ผมรู้สึกกังวล รองเท้าเท้าผู้หญิงนี่อันตรายนะ ทำไมต้องพยายามใส่สูงกันขนาดนี้

"แมทช่วยประคองหลินไปที่รถก็พอค่ะ"       ผมทำตามที่เธอขอ โดยไม่ลืมคว้าแก้วกาแฟของพี่เชนที่อยู่กระโปรงหลังออกมาด้วยก่อนที่จะเอื้อมมือไปปิดฝากระโปรงหลังรถลง แล้วยื่นแก้วกาแฟให้หลินช่วยถือไว้

"ค่อยๆเดินนะหลิน"       ท่าทางที่ดูกะเผลกแบบนั้นเธอคงจะขับรถไม่ไหวผมเลยประคองให้เธอมานั่งฝั่งข้างคนขับแทน

"ทำไมมาทางนี้หล่ะคะแมท หลินต้องเดินอ้อมไกลขึ้นนะคะ"       ผมเปิดประตูรถให้เธอเข้าไปนั่ง

"เราไปส่งหลินเอง ท่าทางคงขับรถไม่ไหว เราเป็นห่วงไม่อยากให้หลินขับกลับเอง"       ผมปิดประตูรถหลังจากอธิบายจบ ผมรีบเดินอ้อมมาฝั่งคนขับแล้วเปิดประตูขึ้นรถ

"ขอบคุณนะคะแมท"       รอยยิ้มของหลินยังน่ารักสำหรับผมเสมอ ไม่ว่ายังไงเธอก็คือรักครั้งแรกของผม ไม่ว่ากี่ครั้งที่เธอยิ้มให้ก็ยังทำให้ผมรู้สึกอยากยิ้มตามไปด้วยทุกครั้ง

"นี่คะกาแฟ แมททานก่อนไหมคะ ละลายจะหมดแล้ว"       ทันทีที่หลินยื่นแก้วกาแฟในมือมาให้ผมก็คิดถึงอีกคนทันที นี่ผมลืมพี่เชนไปได้ยังไง แย่จริงๆ แล้วนี่ถ้าผมไปส่งหลินแล้วพี่เชนหล่ะ ผมก้มลงมองนาฬิกาอีกครั้ง ผ่านมา 40 นาทีแล้ว ป่านนี้พี่เชนจะตามหาผมหรือเปล่า เบอร์โทรศัพท์ของผมพี่เชนก็ไม่มี เบอร์โทรศัพท์ของพี่เชนผมก็ไม่มี

"แป๊บนึงนะหลิน"       ผมลงจากรถแล้วปิดประตู หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหามิน มันเป็นคนเดียวที่ผมนึกออกเวลานี้

'ฮัลโหลมิน'     

'ฮัลโหลว่าไงแมท'       ผมรู้สึกดีใจมากที่ได้ยินเสียงมันรับสาย

'มึงอยู่ไหนวะ'       

'กำลังจะออกไปห้าง C มีไรป่าวมึง'       ผมยิ่งรู้สึกดีใจยิ่งกว่าเดิมอีกที่มันกำลังจะมาห้างเดียวกับที่ผมอยู่ตอนนี้

'คืองี้เว้ยมิน กูมีเรื่องให้ช่วย พอดีกูเจอหลินแล้วหลินขาแพลง กูเลยว่าจะขับรถไปส่ง แต่พอดีกูมากับอีกคนหว่ะ แล้วกูก็ทิ้งเขาไม่ได้ด้วย'       ผมอธิบายให้มินฟังอย่างติดๆขัดๆ

'ที่บอกว่าทิ้งเขาไม่ได้นี่หมายถึงหลินหรือคนที่มึงมาด้วยวะ'     

'เอ่อ คนที่กูมาด้วยหว่ะ กูเลยจะรบกวนมึงมาพาหลินกลับบ้านได้ไหมวะ'       ผมตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม

'เออ ได้ดิวะ กูไปกับพี่กูพอดี เดี๋ยวกูพาหลินกลับบ้านเอง'

'โอเค ถึงแล้วโทรมานะ กูอยู่เป็นเพื่อนหลินก่อนละกัน'

'ได้มึง เจอกัน'       แล้วผมก็กดวางสายไป วิธีนี้คงช่วยแก้ปัญหาได้ เดินกลับมานั่งที่ประจำคนขับอีกครั้งแล้วปิดประตูสตาร์ทรถ

"หลินขอบคุณแมทมากเลยนะคะ"       เธอเอ่ยขอบคุณด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

"ไม่เป็นไรครับ"       

"งั้นกลับกันเลยนะคะ หลินอยากกลับบ้านแล้ว"       เธอบอกขณะดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาด

"เราไม่ได้ไปส่งหลินแล้ว เราขอโทษนะ เราโทรให้มินมารับหลินแล้ว"       ผมบอกเธอ

"ทำไมแมททำแบบนี้คะ แมทก็รู้ว่าหลินกับมินเราเลิกกันแล้ว"      เธอขมวดคิ้วถามพร้อมกับน้ำเสียงที่เริ่มดังขึ้น   

"เราขอโทษนะหลิน แต่เรามากับพี่เชน เราทิ้งพี่เขาไว้คนเดียวไม่ได้"

"แมทก็โทรไปบอกพี่เขาสิคะว่าต้องไปส่งหลิน"

"พอดีเราไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของพี่เชน พี่เชนไม่น่าจะมีเบอร์ไทยนะ"

"หลินไม่เข้าใจว่าทำไมแมทต้องเทคแคร์คุณเชนนั้นดีขนาดนี้คะ ทั้งๆที่เป็นแค่เจ้าของที่พักที่แมทเคยไปพักแค่นั้นเอง"

"ไม่ใช่แค่นั้นหลิน ที่เราดูแลพี่เชนดีเพราะพี่เชนก็ดูแลเราดีเหมือนกันตอนอยู่ที่นั่น"

"หวังว่าคงแค่นั้นจริงๆนะคะ ไม่ใช่ไปเป็นแบบเดียวกับพวกมินพวกโอ้ต ยังไงๆชีวิตนี้หลินก็หลีกหนีคนจำพวกนี้ไม่พ้นใช่ไหมคะ"       หลินพูดออกมาด้วยเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเหยียดหยามและคำพูดที่ผมไม่ค่อยจะเข้าใจ

"เกี่ยวอะไรกับมินแล้วก็โอ้ตเหรอหลิน"

"ก็พวกชอบเพศเดียวกันไงค่ะ พวกทำตัวผิดธรรมชาติทำตัวน่ารังเกียจ"      แล้วไอ้โอ้ตไปรวมอยู่ในพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่

"หลินกำลังหมายถึงเราหรือเปล่า"       ผมถามออกไปด้วยความสงสัย

"หลินหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่แมทค่ะ"

"ไม่หรอก ที่หลินพูดถึงก็มีเรารวมอยู่ด้วยนั่นแหละ ที่เราต้องเทคแคร์พี่เชนขนาดนั้นก็เพราะว่าเขาเป็นแฟนเรา"       ผมไม่รู้ว่าไปรวบรวมความกล้าแบบนี้มาจากไหนถึงได้ตัดสินใจบอกความสัมพันธ์ที่ยังไม่พร้อมและไม่ได้เตรียมใจจะบอกใครกับหลินไป อาจจะเพราะคำพูดที่เธอกำลังดูถูกคนอื่น

"เฮอะ!"       ถอนหายใจออกมาก่อนจะเปิดประตูเดินลงจากรถให้ผมเดินลงจากรถตามโดยไม่ลืมหยิบแก้วกาแฟติดมือมา

"แล้วข้อเท้าหลินหล่ะ"       ผมถามหลังจากปิดประตูรถผมเห็นหลินเดินอย่างรวดเร็วมาที่ประตูฝั่งผม ดูกระเผลกไปบ้างแต่ไม่เท่าตอนแรก

"ตลกนะคะแมท ผู้ชายยังไงก็คือผู้ชายวันยังค่ำ หลินไม่ได้ใช้ข้อเท้าซ้ายเหยียบคันเร่งนะคะ"       ผมมองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้ยังไง การที่เธอพูดแบบนั้นมันเหมือนกำลังตอกหน้าผมด้วยคำว่าโง่เลย เพียงเพราะเป็นห่วงเลยลืมคิดถึงข้อนี้ไป สำหรับรถเกียร์อัตโนมัติเท้าซ้ายเราไม่ได้ใช้งานเลยด้วยซ้ำ

"ขอตัวนะคะ ช่วยหลบด้วยค่ะ"       ผมถอยหลังให้กับหลิน ตามที่เธอต้องการ ถอยออกมาให้พ้นหน้ารถเธอ ความรู้สึกตอนนี้คือผิดหวัง คนที่ผมเคยชื่นชมและหลงรักทำไมถึงได้พูดจาไม่น่าฟังแบบนี้ ผมผิดหวังกับทัศนคติเธอด้วย ลืมเรื่องที่อยากจะมาคุยและปรับความเข้าใจไปเสียสนิท แต่ก็ดีแล้ว หากได้คุยกับคนที่มีทัศนคติที่ติดลบและไม่เปิดใจแบบนั้นคงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดหรืออธิบาย

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤ #พี่เชนมุ้งมิ้ง มาคอยดูความมุ้งมิ้งของพี่เชนกันต่อนะ อย่าเพิ่งทิ้งเค้านะ ขอโทษที่มาช้า แฮ่ๆ
❤แอบเป็นห่วงกาแฟพี่เชนจัง น้ำแข็งจะละลายหมดแล้ว
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 24 [08-06-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-06-2015 03:10:53
เกลียดนางจริงๆ ยัยหลินนนนน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 24 [08-06-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-06-2015 12:30:28
ตอนท้ายมาขัดความฟินของเราหายวับไปเลย
รู้เรื่องแล้วนะแมท เรื่องหลินน่ะ เลิกกังวล
ก่อนเข้าห้าง แนะนำให้ทิ้งกาแฟแก้วนั้นไปซะ
ไม่ได้กลัวว่าน้ำแข็งละลายแล้วจะกินไม่อร่อย
แต่เจ้าหล่อนเอาไปวางรวมกับรองเท้า
มันดูไม่เหมาะสมอย่างรุนแรงเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 24 [08-06-58] ● หน้า 5
เริ่มหัวข้อโดย: Yara ที่ 09-06-2015 13:28:02
โดนผู้ชายบอกว่า เป็นแฟนกับผู้ชายอีกคน เป็นใครก็คงเสียความรู้สึกล่ะนะ
แต่คิดมั้ยว่า ตัวเองก็ทิ้งเค้าไปเลือกคนอื่น ยังจะมาให้เค้าเลือกตัวเองอีกรึไง
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 25 [13-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 13-06-2015 22:58:21
ตอนที่ 25


Matt Part


"ฮัลโหลมิน"       ต่อสายหามินอีกครั้งเพื่อบอกมันว่าหลินกลับบ้านแล้ว

"กูใกล้ถึงแล้ว รอก่อนๆ"       ทั้งรู้สึกผิดและเกรงใจในเวลาเดียวกัน มันไม่ควรจะต้องมาทำตามที่ผมขอเลยด้วยซ้ำ

"ไม่ต้องแล้วมิน หลินกลับไปแล้วหว่ะ โทษทีมึง"

"อะไรวะ กูมาช้าเหรอ นี่ก็ออกจากบ้านทันทีที่มึงโทรมาเลยนะ"       ยิ่งมันพูดแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกอยากขอโทษมันยิ่งขึ้นไปอีก

"หลินบอกว่าเขาไม่ได้ใช้เท้าซ้ายเหยียบคันเร่งหว่ะมึง"       มันเป็นประโยคที่ตอกหน้าผมมากจริงๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนโง่เลย

"กูงง แต่เออกลับเองได้ก็ดีละ มึงเองก็จะได้ไปหาคนที่มึงทิ้งเขาไม่ได้ซะ"       ไม่รู้ว่ามันกำลังเปรียบเปรย ประชดหรือพูดตามที่ผมเคยบอก ตอนนี้ผมไม่มีแม้แต่อารมณ์จะแก้ตัวหรืออธิบาย

"ขอบใจมึงมากนะ"       ผมเอ่ยขอบคุณมันอีกครั้งก่อนจะวางสาย

        ย้อนกลับไปนึกถึงคำที่แม่เคยพูดว่าไม่สบายใจและอยากให้ผมไปปรับความเข้าใจกับหลิน สิ่งที่ผมทำตอนนี้อาจจะกำลังทำร้ายความรู้สึกหลินโดยที่ผมไม่รู้ตัว ก่อนหน้าที่เรายังไม่เจอกันผมเองก็รู้สึกเป็นห่วงและรู้สึกผิดในใจอยู่ตลอดถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเรื่องที่ทำให้หลินเสียใจคือเรื่องอะไร สุดท้ายวันนี้เราก็ยังไม่ได้คุยกันให้เข้าใจ แต่ท่าทางที่หลินแสดงออกมาว่าไม่พอใจแบบนั้น รวมถึงการที่หลินไม่อยากเจอพี่เชนก็คงหนีไม่พ้นเรื่องที่พี่เชนมาหาผมที่นี่ หลินคงดูออกว่าพี่เชนรู้สึกยังไง ผมผิดที่ไม่ชัดเจนเอง การที่ผมเข้าไปปลอบใจเธอวันนั้นมันอาจจะเป็นการทำให้เธอยังเข้าใจว่าผมยังรักยังชอบเธออยู่ อีกทั้งเธอก็ยังคงเสียใจกับเรื่องมินอยู่ไม่น้อย อารมณ์ที่ยังอ่อนไหวและอ่อนแออาจจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้างถ้าผมไปปลอบและบอกว่ายินดีจะอยู่ข้างๆเธอ เวลาที่เราต้องเห็นใครกำลังอ่อนแอสุดๆ สิ่งที่เราทำได้ในตอนนั้นก็คือไม่ทิ้งให้เขาต้องอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว การแสดงออกแบบนั้นอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด รวมไปถึงการที่คนเราจะพูดอะไรให้ใครฟังหรือจะบอกอะไรกับใครสักคนเราควรพูดให้ชัดเจน ไม่มีใครมาคาดเดาในสิ่งที่เราคิดได้เสมอไป รู้สึกยังไงหรือคิดแค่ไหนก็ควรพูดบอก อย่างน้อยถ้าไม่ใช่ อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องคิดไปเอง แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่เข้าใจคือทำไมหลินจะต้องพูดถึงโอ้ตว่าเป็นแบบเดียวกับทั้งผมและมิน

        ตอนนี้ในหัวผมมีแต่คำพูดและท่าทางที่ดูไม่น่ารักของหลิน ไม่ว่าตัวเองจะเจ็บปวดแค่ไหนกับเรื่องราวในอดีตก็ไม่น่ามาแสดงออกแบบนั้นกับอีกคน ผมไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ในอดีตของเธอ ผมเอาแต่คิดเรื่องนี้ทั้งๆที่รถของหลินก็ออกไปตั้งนานแล้ว ผมลืมไปหมดทุกเรื่อง แม้แต่แก้วกาแฟที่มีหยดน้ำเกาะจนทำให้เปียกไปทั้งมือก็ยังถูกลืม ใช่! แก้วกาแฟของพี่เชน ก้มมองนาฬิกาอีกทีก็เป็นเวลาสี่โมงเย็นแล้ว ผมบอกว่าจะมาแค่ 20 นาที นี่มันปาไป 1 ชั่วโมงแล้ว ป่านนี้พี่เชนคงตามหาผมอยู่แน่ๆ

ครืด ครืด       ~ โทรศัพท์ที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง หยิบขึ้นมาดูเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้น  แต่ก็กดรับเพราะผมไม่ใช่พี่มัทที่จะไม่รับเบอร์แปลก

"สวัสดีครับ"       กรอกคำทักทายลงไปในขณะเดินผ่านลานจอดรถกลับไปที่ประตูห้างอีกครั้ง

"แมท พี่เองนะ แมทอยู่ไหน"       ผมไม่รู้หรอกว่าพี่เชนมีเบอร์ผมได้ยังไง แต่ตอนนี้แค่ได้ยินเสียงก็ทำให้ผมรู้สึกผิดที่หายมานานขนาดนี้แล้ว

"พี่เชน"       ผมเรียกพี่เชนแค่นั้น ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงว่าผมหายไปไหน

"แมทอยู่ไหน เดี๋ยวพี่เดินไปหา"       เสียงที่ฟังดูร้อนรนยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด

"แมทอยู่ที่ลานจอดรถ พี่เชนรอแมทที่ร้านหนังสือนะ แมทกำลังเดินกลับไป"

"พี่เห็นแมทแล้ว ยืนรออยู่ตรงนั้นก่อนนะ"       ถ้าพี่เชนมองเห็นผมนั่นก็หมายความว่าพี่เชนอยู่แถวนี้ ซึ่งก็แปลว่าพี่เชนตามหาผมงั้นเหรอ

"แมท"       ผมหันไปตามเสียงเรียกก็เห็นพี่เชนที่รีบวิ่งมาทางผม

"แมทมาซื้อกาแฟแล้วนะนี่ไง พอดีแมทเจอ..."       ยังไม่ทันที่ผมจะอธิบายจบพี่เชนก็ยกมือห้ามพร้อมเสียงหายใจหอบ

"ไม่เป็นไร ยังไงพี่ก็เจอแมทแล้ว พี่ผิดเองที่ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของแฟนตัวเอง"       ผมมองหน้าพี่เชนอยู่อย่างงนั้น มองด้วยความสงสัยว่าทำไมพี่เชนถึงไม่โทษผมสักคำ ทั้งๆที่คนผิดเป็นผมต่างหากมองยังไงพี่เชนก็ไม่ผิดสักนิด ยิ่งเจอแบบนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหลงรักผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นไปอีก ขีดจำกัดความรักผมมีแค่ไหนกันนะ มีจุดสิ้นสุดเหมือนปรอทวัดอุณหภูมิหรือเปล่า ถ้ามันครบร้อยแล้วความรักมันจะเพิ่มขึ้นได้อีกไหม ในเมื่อพี่เชนทำให้ผมรู้สึกดีได้ตลอดเวลาขนาดนี้ แค่ร้อยก็คงจะไม่พอ

"แมทอยากกลับบ้านแล้วพี่เชน เรากลับบ้านหรือไปร้านพี่มัทก็ได้ นะ"       ผมไม่อยากแม้แต่จะเดินเล่นหรือดูอะไรต่อแล้ว คิดออกแค่อยากกลับบ้าน

"โอเคครับ กลับบ้านกัน นี่กาแฟของพี่ใช่ไหม ไหนขอลองชิมหน่อยว่าจะลืมกาแฟถ้วยเก่าได้อย่างที่คุยไว้หรือเปล่า"       ยื่นมาตรงหน้าผมเพื่อรับแก้วกาแฟ

"ไม่ได้ๆมันละลายหมดแล้ว แมทไปซื้อให้ใหม่ดีกว่านะ"       ผมเลือกที่จะไม่ยื่นแก้วกาแฟให้พี่เชนและดึงเข้าหาตัวมากที่สุด

"ไม่เป็นไรครับ แก้วนี้แหละ พี่อยากดื่มจากแก้วแรกที่แมทตั้งใจสั่งให้มากกว่า"

"แมททำมันพังหมดเลย แมทอยากให้มันอร่อยนะพี่ แต่มันละลายหมดแล้ว อีกอย่างมันถูกวางอยู่ข้างๆรองเท้าไปแล้วด้วย"       ก้มหน้าลงมองแก้วกาแฟที่เคยถูกสลับมือไปมา ไม่อยากจะเดารสชาติมันเลยจริงๆ

"ไม่เป็นไรนะ ลายแล้วก็ไม่เป็นไร ถูกวางข้างรองเท้าแต่กาแฟอยู่ในแก้วนี่ ฝาปิดก็มี พี่เปลี่ยนหลอดก็ได้"       ถ้าพี่เชนแสดงอาการไม่พอใจที่ผมหายไปนานหรือรู้สึกโกรธสักนิดที่ผมทำกาแฟละลายขนาดนี้ผมคงจะไม่รู้สึกผิดมากนัก

"งั้นพี่รออยู่ตรงนี้นะ แมทขึ้นไปบนห้างแป๊บเดียว ไม่ดีกว่า พี่ไปสตาร์ทรถรอก่อนเลยเดี๋ยวแมทเดินตามไปที่รถ"       ผมควรชดเชยและใส่ใจกลับไปบ้าง อย่างน้อยก็เรื่องเล็กๆแบบนี้

"พี่ไปด้วยดีกว่า"       พี่เชนทำท่าจะเดินตามผมมา

"แมทไปแค่แป๊บเดียวพี่ไปรอที่รถนะ"       ผมยกมือห้ามอีกครั้งพร้อมกับสายตาเชิงขอร้อง

"ครับ เอางั้นก็ได้"       ได้ยินพี่เชนตอบออกมาแบบนั้นผมก็รีบเปิดประตูวิ่งขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นของห้างเพื่อไปยังร้านกาแฟร้านเดิม ผมรู้ว่าผมทำพัง ไม่พอแค่นั้นยังหายไปนานทำให้พี่เชนตามหาอีก ตอนนี้ผมอยากแก้ตัว เลยตัดสินใจว่าจะมาขอหลอดแล้วสั่งกาแฟที่เหมือนเดิมอีกแก้ว ผมอยากทำตัวเป็นคนที่ใส่ใจพี่เชนบ้าง กาแฟแก้วที่ผมถืออยู่ตอนนี้รสชาติมันคงแย่เกินกว่าที่จะดื่มได้แล้ว น้ำแข็งมันละลายจะหมดแก้ว ถ้าให้พี่เชนดื่มมันคงไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่ากลิ่นกาแฟ เพราะงั้นถ้าพี่เชนดื่มแก้วนี้แล้วไม่อร่อย ผมก็ยังมีอีกแก้วไว้แทนกัน แก้วที่ยังมีความเป็นกาแฟและไม่ได้ไปถูกวางข้างรองเท้าใคร

.......................................................................


"อเมริกาโน่เย็น 1 แก้วครับ"       เป็นโชคดีอีกครั้งที่ไม่มีลูกค้าต่อคิว

"ใส่น้ำเชื่อม 10 มิลลิลิตรเหมือนเดิมใช่ไหมค่ะคุณลูกค้า"       พนักงานรับออเดอร์คนเดิมกับที่สั่งแก้วแรกยิ้มถาม

"ครับ ขอบคุณครับที่จำได้"       ผมยิ้มตอบ

"จำได้สิคะ เคยได้ยินแต่ลูกค้าสั่งหวานน้อย เพิ่มหวาน แต่ระบุแบบนี้เพิ่งเจอเป็นคนแรกค่ะ"       เธออธิบาย

"ครับ"       ผมพยักหน้า ถ้าไม่ระบุเวลาไปสั่งที่อื่นหรือทำเองที่ร้านแม่ความหวานก็จะไม่เท่าเดิม

"ได้แล้วค่ะคุณลูกค้า"       เธอส่งกาแฟแก้วใหม่มาให้ผมยื่นมือไปรับ

"ขอโทษนะครับ ผมขอหลอดเพิ่มอีกอันได้ไหมครับ"

"ได้ค่ะ"       ระหว่างพนักงานหันไปหยิบหลอด ผมวางกาแฟทั้งสองแก้วลงบนเคานเตอร์จ่ายเงินอีกครั้งแล้วดึงหลอดจากกาแฟแก้วเก่าออก พอได้หลอดมาก็จัดการเปลี่ยนมัน แล้วหยิบทิชชู่สำหรับให้ลูกค้าหยิบมาห่อหลอดอันเก่าเอาไว้

"ขอบคุณมากเลยครับ ผมฝากทิ้งด้วยนะครับ"       ยื่นหลอดที่ถูกห่อด้วยทิชชู่ไปให้ พนักงานก็รับไว้ด้วยสีหน้าที่ดูแปลกใจ เธอคงสงสัยว่าผมจะซื้อกาแฟเหมือนกันไปทำไมตั้งสองแก้ว แถมในเวลาที่ห่างกันแค่ 1 ชั่วโมงอีก แก้วเดิมก็ดูปริมาณไม่ได้ลดลง ผมทำแค่ยิ้มให้แล้วรีบเดินออกจากร้าน

        เดินกลับมาทางเดิม ลงบันไดเลื่อนเดียวกันกับที่ขึ้นมาเมื่อสักครู่ แต่พอลงมาได้ครึ่งทางผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมจำตำแหน่งที่จอดรถไม่ได้ แล้วผมต้องเดินไปทางไหน ปกติถ้ามาห้างคนเดียวก็จะใช่สมุดจดตำแหน่งที่จอดเอาไว้ แต่วันนี้มากับพี่เชนเลยคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องทำ ผมลืมคิดถึงข้อบกพร่องของตัวเองในเรื่องนี้ไปซะสนิท

        ผมบอกกับตัวเองว่าไม่ได้ ผมจะทำตัวเป็นภาระแบบเดิมไปตลอดไม่ได้อีกแล้ว ผมต้องรู้จักปรับตัว ระหว่างที่คิดอยู่นั้นก็เห็นพี่พนักงานรักษาความปลอดภัยยืนอยู่ ตั้งใจจะรบกวนให้พี่เขาช่วยถือแก้วกาแฟให้ก่อน แล้วผมจะโทรหาพี่เชนว่าที่จอดรถอยู่ตรงไหน แค่นี้พี่เชนก็ไม่ต้องเดินมาหาผมเพื่อพาไปที่รถแล้ว คิดได้อย่างนั้นก็รีบเดินลงบันไดเลื่อนมาแล้วตรงไปที่พี่พนักงานยืนอยู่

"ขอโทษนะครับ รบกวนถือแก้วให้ผมหน่อยนะครับ พอดีผมจะหยิบโทรศัพท์โทรหาเพื่อน"

"ครับ ได้ครับ"       พี่พนักงานตอบด้วยรอยยิ้มพร้อมรับแก้วกาแฟไปถือไว้ ผมเลยหยิบโทรศัพท์จากกกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเพื่อต่อสายหาพี่เชน

"ครับ"       รอสายไม่นานพี่เชนก็รับ

"พี่เชน เราจอดรถตรงไหนนะ พี่บอกเลขข้างเสามาเดี๋ยวแมทเดินไป"       พอรู้เลขข้างเสา ผมก็จะถามพี่พนักงานคนที่ช่วยถือน้ำให้ว่ามันอยู่ตรงไหน แค่นี้ก็ไม่ต้องลำบากพี่เชนเดินมารับแล้ว

"พี่อยู่ข้างหลังแมท หันมาสิครับ"       ผมหันหลังตามที่พี่เชนบอก แล้วก็พบคนตัวสูงที่ผมโทรหากำลังยืนถือโทรศัพท์แนบหูตัวเองอยู่

"บอกว่าให้ไปรอที่รถไง"       ผมลดโทรศัพท์ลงแล้วกดวางก่อนจะหันไปรับแก้วกาแฟจากพี่พนักงานแล้วเดินไปหาพี่เชน

"เพราะพี่รู้ว่าแฟนพี่ต้องจำที่จอดรถไม่ได้แน่ๆเลยยืนรอ อีกอย่างกุญแจก็อยู่ที่แมทนะ"       พี่เชนยกยิ้มแล้วขยับเดินมาใกล้ๆ ผมขมวดคิ้วมองหน้าพี่เชนนิ่งๆและคิดในใจ บ้าจริงๆบอกให้พี่เชนไปรอที่รถทั้งๆที่กุญแจยังอยู่ที่ตัวเองได้ยังไง

"..."       ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี มันมีความสุขที่พี่เชนทำแบบนี้นะ แต่ก็ยังเป็นกังวล

"ขมวดคิ้วแบบนี้กำลังคิดว่าตัวเองเป็นภาระอยู่หล่ะสิ"       พี่เชนยกมือมาขยี้หัวผม

"แมทกลัวว่าถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ พี่จะชอบแมทน้อยลง"       ผมก้มหน้าพูดบอกเบาๆด้วยท่าทางไม่มั่นใจ

"คิดมากน่า บอกแล้วไงถ้ามีแมทแล้วแถมภาระพี่ก็รับไว้ ขอแค่มีแมทก็พอ"       พี่เชนยื่นมือมาจับแก้วกาแฟไปถือไว้เองก่อนจะเดินนำไปที่ประตูทางออก ไม่รู้หรอกว่าพี่เชนจะทำให้ผมต้องตกหลุมรักไปอีกสักกี่ครั้ง รู้แค่ว่าตอนนี้หลุมนั้นยิ่งลึกมากขึ้นเรื่อยๆจนยากที่จะขึ้นมาได้เพียงแค่พยายามปีน

.......................................................................


Chen Part


"เอากุญแจมาให้พี่ขับให้ดีกว่าครับ"       ผมยื่นมือที่ถือแก้วกาแฟแก้วใหม่ให้คนข้างตัวเพื่อแลกกับกุญแจรถ

"พี่รู้ทางเหรอ แมทขับให้ดีกว่า"       รับแก้วกาแฟไว้แต่ปฏิเสธที่จะให้กุญแจมา

"ไม่รู้หรอก แมทบอกพี่สิ อีกอย่างแมทจะได้เล่าเรื่องที่ไปเจอมาก่อนหน้านี้ด้วย"       ผมอยากให้แมทมีความมั่นใจว่าเขาเองก็ทำอะไรได้หลายอย่าง เขาไม่ได้เป็นภาระ และผมเองก็ยังมีเรื่องต้องพึ่งพาเขา

"แล้วแต่พี่ละกัน จริงๆแมทขับไปเล่าไปได้นะ"       ผมเดาว่าไม่น่าจะได้นะ และก็ไม่อยากลองด้วย

"พี่แค่อยากดูแลแฟน"       ผมพูดแค่นั้นก่อนจะยื่นมือไปรับกุญแจอีกครั้ง แล้วอีกฝ่ายก็ยื่นมาให้ ผมไม่อยากใช้เหตุผลว่าเป็นห่วงหรืออะไรก็ช่างที่จะส่งผลให้ความมั่นใจของแมทลดลง ถ้าผมบอกว่าเป็นห่วงมันก็ไม่ต่างอะไรกับการไม่ไว้ใจเขา แต่หากถ้าผมบอกว่าอยากดูแลมันจะให้ความรู้สึกที่ดีขึ้นอีกเยอะ คนเป็นแฟนกันก็ควรจะดูแลกัน มันเป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่าย

"ก็ได้"       วางกุญแจลงบนมือผมพร้อมรอยยิ้ม ผมเดินกุมมืออีกฝ่ายไปพร้อมกับกุญแจอย่างนั้นไปเรื่อยๆ เราเอาแต่ยิ้มโดยมองไปที่ทางข้างหน้า ผมแน่ใจว่าแมทก็กำลังยิ้มเหมือนกัน

"ถึงแล้ว"       แมทบอก

"เห็นไหม เดินมาเรื่อยๆ แค่เราเดินมาด้วยกันยังไงๆก็ไม่หลงทางหรอก"       ผมหันไปพูดบอกเป็นนัยๆให้คนข้างตัวที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับคำพูดของผมฟัง แมททำแค่ยิ้มแล้วเดินไปยืนที่ประตูรถฝั่งข้างคนขับ

"ไม่ต้องเดินมา แมทเปิดเองได้"       รีบพูดห้ามผมที่กำลังจะเดินเข้าไปหา และเพราะประโยคนั้นทำให้ผมที่กำลังจะเดินไปเปิดประตูให้ต้องถอยหลังกลับมาเปิดประตูฝั่งตัวเองแล้วขึ้นรถ

"เข็มขัดนี่ก็รีบใส่จัง พี่ไม่เคยบริการทันเลย"       ขึ้นรถได้ก็เอียงตัวจะไปคาดเข็มขัดให้แต่อีกฝ่ายกลับทำมันเรียบร้อยแล้ว ไม่เคยจะทันสักครั้ง

"ตรรกะอะไรทำไมต้องคอยคาดคอยปลดเข็มขัดคอยเปิดปิดประตูให้กัน ก่อนหน้าที่จะมีแฟนก็เคยทำเองได้ พี่เชนอย่าทำอะไรแบบนี้นะ ถ้าแมทต้องไปไหนมาไหนคนเดียวกลัวจะเสียนิสัย"       คนที่นั่งอยู่ข้างๆอธิบายซะยืดยาวขณะที่ผมกำลังคาดเข็มขัดและสตาร์ทรถ

"ดีสิ แมทจะได้คิดถึงพี่ตลอดเวลา"

"ทั้งที่พี่ก็รู้ว่าความคิดถึงมันโคตรจะทรมานเนี่ยนะ"       จริงอย่างที่แมทพูด เราไม่ควรทำให้อีกฝ่ายผูกติดกับกันและกันมากเกินไป ถ้าต้องทำอะไรก็คิดถึง ชีวิตคงยากขึ้น

"พี่จะระวังนะ"       ผมยิ้มตอบ ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าต่อจากวันนี้ชีวิตความเป็นอยู่ของเราจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เราควรจะจัดการยังไงกับความรักของเรา ผมอาจจะไม่ได้อยู่กับแมทตลอดเวลา เราอาจจะต้องห่างกันบ้าง ผมไม่ควรเอาความเป็นห่วงและหวังดีมาทำร้ายกันและกัน

"แมทเข้าใจนะว่าพี่เชนอยากทำให้ บางครั้งมันคงจะดี น่าตื่นเต้น แต่ถ้าพี่ทำทุกครั้ง แมทกลัวตัวเองเสียนิสัย"       ผมพยักหน้าและยิ้ม ผมใช้ชีวิตอยู่แต่กับรถมอเตอร์ไซค์ ไม่เคยมีความคิดจะซื้อรถยนต์เลยสักครั้ง เวลาดูหนังผมก็เคยคิดไว้ว่าอยากลองทำอะไรแบบนี้ให้แฟนดูบ้าง มันคงโรแมนติดและน่ารักดี เหมือนเรากำลังใส่ใจแม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าผมไม่ทำตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าถ้าไปที่ฮ่องกงผมจะมีโอกาสได้ทำหรือเปล่า เพราะผมไม่มีรถยนต์

.......................................................................




หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 25 [13-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 13-06-2015 22:59:26

"พี่ขอลองชิมกาแฟหน่อยสิ เอาแก้วแรกนะ"       ผมบอกก่อนจะออกรถ ที่ย้ำเพราะอยากลองแก้วแรกมากกว่า มันเป็นแก้วที่แมทตั้งใจไปซื้อให้ ผมไม่สนเรื่องรสชาติอะไรทั้งนั้นแหละ

"แค่ชิมก็พอนะ แล้วค่อยกินแก้วใหม่ที่แมทเพิ่งซื้อมาดีกว่า"       ยื่นให้หลอดของกาแฟแก้วแรกมาใกล้ปาก คำแรกที่ดูดขึ้นไปคือมันแทบไม่มีรสชาติกาแฟแล้ว

"พอละ กินแก้วนี้แทนนะ"       ยังไม่ทันได้ดูดจนสุดลมหายใจคนป้อนก็ดึงหลอดออกไปเสียก่อน จนเกือบจะสำลักออกมา พอกลืนคำแรกไปจนหมดหลอดของอีกแก้วก็มาจ่ออยู่ที่ปากแล้ว เลยก้มลงเพื่อดูดกาแฟจากแก้วใหม่

"เป็นไงๆ อร่อยไหมพี่เชน"       น้ำเสียงตื่นเต้นที่ถามขึ้นทันทีที่ผมกลืนคำแรกหมด

"ขอลองอีกที"       พอบอกอย่างนั้นอีกคนก็จับหลอดมาใกล้ที่ปากผมอีกครั้ง ผมดูดกาแฟจากหลอดไปอีกหลายอึก ผมไม่ชอบกาแฟที่ใส่น้ำตาล แค่คำแรกที่ชิมก็รู้สึกได้ทันทีว่าทั้งสองแก้วต้องมีสารให้ความหวานอยู่แน่ๆ มันไม่ถึงกับไม่อร่อย ไม่ถึงกับดื่มไม่ได้ แต่ที่ยังอยากชิมเพิ่ม ก็เพราะว่าคนป้อนที่น่าดึงดูดมากกว่า เลยอยากให้ป้อนสักหลายๆครั้ง

"อร่อยไหม"       คำถามที่ผมไปเหลือบไปมองหน้า

"ทำไมเอาแต่ถามว่าอร่อยไหม"       ผมถามกลับ

"ไหนขอแมทชิมหน่อย"       พูดจบก็ดึงหลอดออกจากปากผมไปแบบกระทันหันอีกครั้ง

"ขอพี่ชิมอีกที"       ผมเอ่ยขออีกครั้ง

"อันนี้เรียกชิมไม่ได้ละมั้ง สามครั้งแล้วเนี่ย"       ผมเคยดูในหนังนะว่าเวลาได้ใช้หลอดต่อกันมันก็เหมือนกับการจูบทางอ้อม ได้ยินอย่างนั้นครั้งแรกนี่คิดว่าไร้สาระชะมัด แต่พอได้ลองทำจริงๆมันดีนะ มันให้ความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แต่ผมว่าอย่างแมทคงไม่คิดถึงขั้นนั้นหรอก เผลอๆอาจจะไม่คิดเลยด้วยซ้ำ

"ไหนๆ แมทลองชิมอีกทีสิ"       ยังไม่ทันไรก็ดึงหลอดออกไปจากปากผมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันดันหลุดออกจากปากตอนที่ผมกำลังดูดกาแฟขึ้นมาทำให้กาแฟกระเด็นออกจากปากเล็กน้อย

"ฮ่าๆๆ เลอะเลย ขอโทษๆ เดี๋ยวแมทเช็ดให้นะ"       เอื้อมตัวไปหยิบทิชชู่จากหลังรถมาซับกาแฟที่เลอะให้ ผมไม่โกรธเลยสักนิด ผมชอบเวลาแมททำอะไรแบบนี้ให้มันเหมือนเรากำลังดูแลกันและกัน แล้วก็ชอบเวลาแมทหัวเราะอย่างมีความสุขแบบนี้ด้วย

"ดื่มกาแฟด้วยเหรอเรา"       แมทส่ายหน้าหลังจากใช้ทิชชู่ซับให้เรียบร้อยแล้วก็ดูดกาแฟต่อจากผมอีกครั้ง

"พี่ชอบรสชาติแบบนี้ไหม"       ผมพยักหน้า

"ดื่มได้แต่ถ้าไม่หวานเลยจะชอบมากกว่านี้"       ผมตอบพร้อมเหลือบไปมองคนข้างตัวที่กำลังทำหน้าแหยๆกับแก้วกาแฟที่อยู่ตรงหน้า

"แล้วอันนี้มันแย่มากป่ะ นี่ก็โคตรจะไม่หวานแล้วนะพี่"       ผมไม่ชอบทานอะไรที่หวานๆ ยิ่งสำหรับกาแฟด้วยแล้วถ้าไม่เพิ่มหวานเลยมันทำให้เราได้รับรสชาติของกาแฟที่ชัดเจนกว่า

"ไม่แย่ แบบนี้ก็ได้"       ผมตอบทั้งรอยยิ้มในขณะที่ตายังคงมองถนนด้านหน้า

"อืม"       พยักหน้าก่อนจะก้มดูดกาแฟอีกครั้ง

"ตกลงกาแฟแก้วนี้ใช่ของพี่หรือเปล่า"       ชิมกันไปชิมกันมาไปอยู่ในท้องแมทซะเกือบครึ่งแก้วเห็นจะได้

"เอ้อ โทษทีพี่ ของพี่อ่ะแหละ แหะๆ"       หัวเราะเบาๆก่อนจะยื่นแก้วกาแฟแก้วเดิมที่มีหลอดที่มีรอยกัด เห็นแล้วผมก็หลุดหัวเราะออกมา

"เป็นเด็กไฮเปอร์เหรอเรา ถึงชอบกัดหลอด"       ผมดูดกาแฟต่อจากหลอดที่โดนกัดนั่นแหละ แล้วก็โดนแมทแย่งไปอีกครั้ง ผมหันไปมองก็เห็นเจ้าตัวดึงหลอดให้สลับด้านกัน มันไม่ไดดดีกว่าเมื่อกี้เลยสักนิด

"ไม่ดื่มกาแฟก็ไม่ต้องพยายามหรอกนะ ถ้าคบกันแล้วต้องเปลี่ยนต้องฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบคงต้องอดทนน่าดู พี่ไม่อยากเห็นแมทไม่มีความสุข"       ผมพูดบอกขณะที่อีกฝ่ายกำลังจะเอาปากคาบหลอดไว้อีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อกี้จะกลับด้านหลอดทำไม ถ้าจะดูดต่ออีกสักพักแมทก็คงกัดหลอดอีก

"พี่เชนยังลองชาเขียวที่แมทชอบเลย แถมยังหัดทำอีก แมทก็เลยอยากลองสั่งให้เป็นดูบ้าง แมทจำได้นะว่าพี่ดื่มกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แต่ถ้าไม่ใส่เลยแมทก็ดื่มด้วยไม่ได้ มันขมไป ถ้าใส่หวานในแบบที่แมทดื่มได้พี่เชนต้องคายทิ้งแน่ๆ เลยใส่ให้พอรู้สึกว่าพอมีความหวาน เอาแบบที่เราจะดื่มจากแก้วเดียวกันได้ แมทอยากเรียบรู้ในสิ่งที่พี่เชนชอบ อยากให้เราชอบในสิ่งเดียวกัน"       ผมระบายยิ้มออกมาขณะที่แมทเล่าก่อนจะยกมือซ้ายไปลูบหัวเบาๆด้วยความรู้สึกรัก ได้ยินอย่างนี้ผมคงถอนตัวจากความรักครั้งนี้ไม่ได้เลย

"อย่าทำตัวน่ารักเกินไปรู้ไหม"       ถ้ามากกว่านี้คงไม่อยากกลับไปฮ่องกงแน่

"แมทเรียนรู้มันมาจากพี่นะ แมทไม่เคยมีแฟน แมทไม่อยากให้มันพังเพียงเพราะแมทไม่รู้หรือไม่ใส่ใจ เพราะงั้นแมทจะเรียนรู้ความสัมพันธ์ครั้งนี้จากทุกอย่างที่พี่ทำให้"       ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่าเรากำลังพยายามไปด้วยกัน มันทำให้รู้สึกเหมือนเรารักกันมากขึ้น

"แล้วถ้าพี่เลิกใส่ใจ หรือเลิกทำให้หล่ะ"       ไม่ใช่คำถามที่ตั้งใจจะให้รู้สึกไม่ดี แต่อะไรที่จะเกิดขึ้นผมคาดเดาไม่ได้ ผมเป็นคนในความสัมพันธ์ก็ย่อมอยากได้ความมั่นใจ อีกอย่างผมไม่อยากเริ่มต้นใหม่บ่อยๆ รักแล้วก็อยากรักยาวๆ ตลอดไปได้ยิ่งดี

"มันขึ้นอยู่กับว่าตอนนั้นแมทยังรักพี่อยู่ไหม ถ้ายังรัก แมทคงไม่ฝืนยืนเฉยๆมองพี่โดยที่ไม่ทำอะไรจริงๆให้ตอบตอนนี้คงตอบไม่ได้ทั้งหมด แมทไม่ได้ล่วงรู้อนาคต แค่ทำให้มันดีในแต่ละวันก็พอแล้ว พรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันใหม่"       ผมดีใจที่ได้ยินอย่างนั้น ผมเองก็ไม่อยากสัญญาอะไรออกไป เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะคบคนๆหนึ่งได้นานสักแค่ไหน ผมรู้แค่ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจะได้ไม่รู้สึกเสียดายเวลา ขอเพียงแค่ได้อยู่ได้ดูแลกันไปเรื่อยๆในทุกๆวันก็เพียงพอแล้ว

"ขอบคุณนะครับ"       พูดจบก็จับมือแมทเอาไว้

.......................................................................


"น่าแปลกนะ ว่าอย่างนั้นไหม"       ผมปล่อยมือแมทก่อนจะค่อยๆหมุนพวงมาลัยเข้าที่จอดรถร้านคุณมัท

"อะไรแปลก"       คนข้างๆเลิกคิ้วถาม

"ตอนเราเจอกันครั้งแรกพี่ไม่ชอบหน้าแมทเอามากๆ ไม่ถูกชะตาเลยสักนิด แล้วดูสิผ่านไปไม่นานก็มาทำให้พี่ตกหลุมรักซะงั้น พี่ขอโทษนะกับกริยาแย่ๆในวันแรกที่เราเจอกัน"        ทั้งสายตาท่าทางและคำพูดที่มีแต่ความอคติได้ถูกแสดงออกมาทั้งหมดในวันแรกที่เราเจอกัน และก็เป็นแมทเองที่ทำให้ความรู้สึกและท่าทางเหล่านั้นหายไป เพราะความเป็นตัวของตัวเอง เป็นธรรมชาติและน่ารัก

"ไม่เป็นไร เข้าใจได้ ให้มาเจอใครก็ไม่รู้ที่แค่รับผิดชอบตัวเองกับเรื่องง่ายๆยังทำไม่ได้ก็ต้องรู้สึกไม่ชอบใจเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่างแมทก็ด่าพี่ไว้เยอะเหมือนกัน แค่ไม่ได้พูดออกไปพี่เลยไม่รู้"       หลังจากรถจอดสนิทผมก็คว้ามือแมทมากุมไว้อย่างเดิม ผมรู้สึกตัวเองกลายเป็นคนร้ายกาจขึ้นมาทันทีหลังจากได้ยินที่แมทพูด ผมไม่โกรธเลยที่แมทจะด่าว่าผมในใจ ผมเองก็ผิดที่ตัดสินแมทจากครั้งแรกที่เห็น นั่นก็เพราะด้านล่างที่พักมักจะมีคนจรจัดมาแอบนอนตรงโซฟาหน้าลิฟต์อยู่บ่อยๆ ทั้งๆที่ทางการรัฐได้จัดสถานที่และดูแลในหลายๆอย่างให้แต่ก็มักหลบหนีออกมาเป็นอย่างเดิมเพียงเพราะรู้สึกอิสระกว่า ผมเลยรู้สึกไม่ค่อยถูกใจสักเท่าไหร่ ถึงท่าทางแมทจะไม่เหมือนแต่มันก็อดคิดไม่ได้ เวลาดึกขนาดนั้นถ้าไม่ใช่คนจรจัดก็ควรจะกลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง ใครจะคิดว่าจะมีนิสัยส่วนตัวที่แปลกประหลาดขนาดนี้ แค่เลขชั้นเลขห้องมันไม่น่าจะยากขนาดนั้น แต่ก็นะเรื่องที่เราทำได้และเห็นเป็นเรื่องปกติหากต้องพบว่ามีใครสักคนที่ทำมันไม่ได้ความคิดแรกสำหรับผมคือการตัดสินว่าคนคนนั้นโง่ไปแล้ว

"พี่ขอโทษนะ"       แมททำให้ผมเปลี่ยนความคิดในหลายๆเรื่อง เห็นอะไรในหลายๆมุม ทุกอย่างที่แมทแสดงออกทำให้คนที่มองอยู่อย่างผมรู้สึกได้ถึงความจริงใจ แมทวางตัวต่อหน้าผู้ใหญ่ได้เหมาะสม ไม่แปลกที่ทุกคนในบ้านผมจะเอ่ยปากชม โดยเฉพาะป๊าที่ดูจะถูกชะตาเป็นพิเศษ แมทไม่ได้ทำตัวเป็นภาระอย่างที่เจ้าตัวคิดเอาเองอยู่บ่อยๆ ตอนที่ได้ยินแมทคุยกับคุณมัทระหว่างทางเดินไปรถไฟฟ้ามันทำให้ผมเห็นว่าแมทได้พยายามแล้วจริงๆ ไม่เอ่ยขอความช่วยเหลือจากผม เป็นผมเองซะอีกที่เสนอตัวเข้าไปช่วยซะเอง

"ทำไมพี่ถึงชอบแมท ไม่ดิ ต้องถามว่าทำไมพี่ถึงตามมาที่สถานีรถไฟฟ้าก่อน"

"ความคิดแรกพี่แค่อยากรู้ว่าแมทจะทำยังไงต่อไป แต่ก็ไม่รู้ว่ามันเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ มันกลายเป็นพี่กังวลว่าแมทจะหลงทางหรือเปล่า มันถูกเปลี่ยนเป็นความเป็นห่วง"

"ขอบคุณนะ ถ้าไม่ได้พี่ตอนนั้นแมทคงแย่เหมือนกัน"       ผมกำมือแมทให้แน่นขึ้นก่อนจะยกมือที่เรากุมกันไว้ขึ้นมาพลิกไปมา รู้สึกดีที่เราได้จับมือกันไว้แบบนี้

"ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคนที่ทำให้เชือกหลุดได้จะเป็นแมท"       คนที่ทำให้เชือกที่ยังคงมีสภาพแน่นหนาคลายหลุดออกได้เพียงไม่กี่วันที่เราพบกัน และผมคงจะไม่มั่นใจขนาดนี้ถ้าความรู้สึกของผมเองไม่ได้เปลี่ยนไป

"เหรอ พี่อธิษฐานว่าอะไร"       ยกนิ้วชี้เข้าหาตัวและทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ

"พี่ขอให้มันหลุดในวันที่พี่เจอคนที่ใช่ ขอให้มันหลุดออกราวกับปาฏิหาริย์ในวันที่พี่รู้ใจตัวเอง"       ผมไม่รู้และไม่แน่ด้วยซ้ำว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับแมทในตอนนั้นเรียกว่าอะไร อาจจะแค่สงสารหรือหวังดีในฐานะเพื่อนหรือน้องชายคนหนึ่ง แต่เพราะเชือกที่ดันมาหลุดออกอย่างง่ายดายในช่วงเวลาเดียวกันมันทำให้ผมเริ่มแน่ใจและลองทำตามความรู้สึกและหัวใจดู ซึ่งมันก็คุ้มค่าอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้

"ถึงแมทจะไม่แน่ใจว่าแมทจะใช่คนคนนั้นที่พี่อฐิษธานไว้จริงๆไหม แต่แมทดีใจมากนะที่ได้ยินอย่างนั้น แมทจะพยายามทำให้มันยังคงเป็นแมทตลอดไป มาพยายามด้วยกันนะ"       แค่ได้ยินก็ทำให้ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เป็นช่วงเวลาดีดีที่เราได้นั่งคุยพร้อมกับกุมมือและมองหน้ากัน ได้เห็นความสุขที่ส่งผ่านทางสายตาของกันและกันมันเพียงพอแล้วสำหรับวันนี้

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤อาทิตย์อนาจะลง #รักระหว่างรอ นะคะ ชื่อเรื่องนี้เช้ยเชย 555 มารอเจอโอ้ตกันได้นะ อนาสปอยไว้บ้างในทวิตเตอร์ เรื่องนี้จริงๆแต่งก่อนที่จะแต่งรักระหว่างทาง เป็นเรื่องที่เล่าโดยบุคคลที่สาม แต่งไปแต่งมารู้สึกหดหู่ แหะๆเลยพับโครงการ แต่ตอนนี้เราพร้อมจะเปิดตัวละ
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 25 [13-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 14-06-2015 00:08:32
มุมหวานๆมาแล้วพี่เชนและแมทไม่อยากให้พี่เชนกับฮ่องกงเลยอะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 25 [13-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 14-06-2015 00:44:29
หวานนนนนจนมดขึ้นกาเเฟ 555
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 25 [13-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 15-06-2015 01:21:19
แมทรักพี่เชนก็ให้พี่เชนหลงอยู่ด้วยนานๆนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 25 [13-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-06-2015 10:20:15
รักกันมากขึ้น รักกันทุกวัน รักกันตลอดไป
ไม่ได้เปลี่ยนเพื่ออีกฝ่าย แต่เป็นการปรับเพื่อทั้งคู่
อยากรู้จัก และไปอยู่ในโลกของอีกฝ่ายบ้าง
แต่ไม่ได้ตลอดเวลา และไม่ได้ฝืนใจทำ
อะไรๆก็มีความสุขกันได้เนอะ
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 28-06-2015 23:13:10
ตอนที่ 26


Chen Part


          อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาลูกค้าในร้านเลยไม่เยอะนัก เราปล่อยมือกันตั้งแต่ก่อนจะลงจากรถ ผมยังอยากจะจับไว้อย่างเดิมติดที่อีกคนไม่ยอม สำหรับผมไม่ได้สนใจว่าใครจะมองยังไงแต่แมทคงไม่ได้คิดแบบเดียวกัน แมทบอกว่าเพราะครอบครัวยังไม่รู้ กลัวว่าแม่จะตกใจ แต่ที่ผมได้ยินจากน้องฟินน้องเฟย์คือแม่น่าจะรู้เหตุผลที่ผมมาที่นี่แล้ว เหลือก็แค่ให้เราไปบอกท่าน ผมเดาว่าแม่คงต้องการอย่างนั้น

"ตกลงไปเจอกันที่ไหนคะคุณเชน"       เสียงคุณมัทที่เอ่ยทักเมื่อเห็นเราเดินเข้ามาในห้องทำงานของเธอ

"พี่มัทรู้เหรอ"       คนข้างๆชะโงกหน้ามากระซิบถามระหว่างเดินไปนั่งที่โซฟา

"ครับ พี่โทรมาขอเบอร์แมทจากคุณมัท"       เป็นแฟนกันแต่กลับไม่มีเบอร์โทรของกันและกัน แต่ก็นะ อาจจะเป็นเพราะเราแทบจะอยู่ด้วยกันตลอดเวลาตั้งแต่ตกลงคบกัน

"ว่าไงคะ หาแมทเจอที่ไหน"       เธอเงยหน้าจากโต๊ะขึ้นมาถามอีกครั้ง

"ลานจอดรถครับ"

"อ้าว ไหนคุณเชนบอกว่าตามหาทุกชั้นแล้วไม่มีนี่คะ"       

"น่าจะเป็นเพราะแมทอยู่ตรงที่จอดเฉพาะผู้หญิงมั้งครับ ผมเลยหาไม่เจอ"       ผมบอกก่อนจะนั่งลง

"อ้าว แล้วแมทไปทำอะไรตรงนั้น"       เธอเปลี่ยนจากการมองหน้าผมไปหาแมทที่กำลังยืนพิงตู้เอกสารข้างโต๊ะทำงานแทน

"เดินไปส่งหลิน"       แมทตอบโดยที่ไม่มองหน้าคุณมัท สายตาของแมทกำลังจับจ้องอยู่ที่ซองจดหมายที่เพิ่งหยิบติดมือไปตอนเดินผ่านโต๊ะทำงาน       

"อ้าว แล้วไปเจอหลินได้ไง"       

"เจอที่ร้านกาแฟ จะอ้าวอีกไหมพี่มัท"       ซองจดหมายที่ถูกคนถืออ่านเพียงจ่าหน้าแล้วซองสลับไปเรื่อยๆก่อนจะถูกยัดมันไว้ในกระเป๋ากางเกง ทั้งผมและคุณมัทกำลังมองการกระทำของแมท ผมไม่รู้ว่าเรากำลังคิดเหมือนกันหรือเปล่า แต่ผมกำลังคิดว่าจดหมายปึกนั้นคุ้นตาและดูเหมือนเจ้าของมันก็คือคนที่เพิ่งยัดมันทั้งปึกใส่ลงไปในกระเป๋า

"เออไม่อ้าวแล้วก็ได้ ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย ดีนะที่ยุ่งๆเลยหยิบโทรศัพท์มารับแบบไม่ทันได้ดู"       เธอท้าวสะเอวขณะที่กำลังนั่งอยู่แล้วมองแมทด้วยสายตาเชิงตำหนิ

"ขอบคุณมากเลยนะครับที่กรุณา"       แมทส่ายหน้าเบาๆก่อนจะพาตัวเองมานั่งลงข้างๆผม

"เอ้อ ใช่ค่ะ เมื่อวานมัทเช็คเมล มีเมลที่ไม่รู้จักเข้ามา พอลองเปิดดูก็เลยรู้ว่าไม่น่าจะส่งถึงมัทนะคะคุณเชน"       ผมรู้ว่าสิ่งที่คุณมัทพูดนั้นเธอตั้งใจจะบอกให้ผมรู้ว่าเธอกำลังพูดถึงเมลที่ผมส่งมา

"ผมเห็นไม่มีใครตอบ ลองเช็คจากชื่อดูก็ผิดคนจริงๆด้วยครับ"       ชื่อจริงของทั้งคุณมัทและแมททำให้ผมแยกไม่ออก ครั้งแรกที่ผมเห็นอักษรภาษาอังกฤษสามตัวแรกของชื่อเมลทำให้ผมคิดว่านั่นคือชื่อของแมท แถมท้ายเมลก็มีแคค่ชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไม่ได้มีคำนำหน้าชื่อที่บอกเพศของเจ้าของอีเมล จนได้ลองอ่านเมลที่ส่งมาเป็นเมลแรกในตอนหลังว่าคนที่จะมาพักนั้นคนละชื่อกันกับชื่อเมล แต่กว่าที่ผมจะรู้ก็ส่งมาตั้งหลายสิบเมลแล้ว

"คุยเรื่องไรกัน"       แมทหันมามองหน้าผมเหมือนจะคั้นเอาคำตอบ ในเมื่อทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีก็ไม่จำเป็นจะต้องไปพูดถึงมันอีก

"เห็นแม่ว่าจะกลับบ้านไว มีเรื่องจะคุยด้วยนะแมท"       คุณมัทพูดขัดขึ้นมาระหว่างการรอคำตอบของแมท

"เหรอ งั้นแมทไปหาแม่ดีกว่า"       และขอบคุณที่สิ่งที่คุณมัทพูดดูน่าสนใจกว่า ทำให้ผมไม่ต้องตอบคำถาม

"เดี๋ยว มาช่วยมัทดูเรื่องภาษีป้ายร้านก่อน"       เสียงเรียกของคุณมัทห้ามคนที่เพิ่งนั่งอยู่ข้างผมไม่ให้เดินออกไป

"ก็ได้"       แมทตอบแล้วปล่อยที่จับประตูให้ปิดกลับไปเหมือนเดิม

"งั้นพี่ไปเข้าห้องน้ำนะ"       แมทพยักหน้าตอบผมก็เดินออกมาทันที ผมถือโอกาสนี้เดินไปคุยกับแม่ ไม่ว่าจะรักกันแบบไหนสำหรับธรรมเนียมไทยคงไม่ชอบให้ทำอะไรข้ามหน้าข้ามตาอยู่ดี

.......................................................................


"สวัสดีครับ คุณแม่ศิอยู่ไหมครับ"       ถามพนักงานหน้าเคานเตอร์คิดเงินหลังจากเดินเข้ามาในร้าน

"กำลังอบเค้กอยู่ด้านในค่ะ รอสักครู่นะคะพี่อินไปเรียกให้"       

"ถ้าผมขอเข้าไปได้ไหมครับ"       ผมรู้ว่ามันดูไม่มีมารยาทเท่าไหร่ที่โพล่งขอออกไปแบบนั้น ในนั้นเป็นเหมือนพื้นที่ส่วนตัวเกินกว่าแขกอย่างผมจะถือวิสาสะเข้าไป

"พี่อินขอไปบอกก่อนนะคะ เผื่อกำลังยุ่งๆ"       สีหน้าของเธอก็ดูลำบากใจ แต่เรื่องที่ผมตั้งใจจะพูดก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะพูดในที่ที่มีคนมากมายนั่งอยู่ ผมอยากให้เป็นส่วนตัว

"ได้ครับ"       ระหว่างรอคำตอบผมก็ยืนคิดว่าจะเริ่มต้นพูดยังไง จะให้บอกว่า 'ผมรักแมท' ผมเป็นคนฟังเองก็คงพูดอะไรไม่ออก

"เชิญด้านในเลยค่ะ"       ยังไม่ทันได้คิดอะไรพี่อินก็เดินออกมาบอกให้เข้าไปได้       

"ครับ"       ผมตอบรับแล้วเดินเข้าไปด้านใน ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งตื่นเต้นและกังวล ผมรู้สึกมากกว่าตอนบอกให้ครอบครัวรู้ซะอีก

.......................................................................


"แม่สวัสดีครับ"       ผมยกมือไหว้ทักทายขณะที่กำลังเดินไปเพื่อยืนใกล้ๆ

"พี่เชน"       สีหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ทำให้ผมลำบากใจไม่น้อยที่จะเอ่ยออกไป

"ผมมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่ครับ"       พอผมพูดจบแม่ก็วางถาดคุ๊กกี้ในมือที่เพิ่งเอาออกมาจากเตาอบลงบนโต๊ะ

"จ้ะ"       

"ผมไม่แน่ใจว่าแม่พอจะเดาหรือทราบเหตุผลแท้จริงที่ผมมาที่นี่ไหมครับ"       ผมเริ่มคำถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ

"จ้ะ"       ไม่รู้ว่าคำตอบรับนี้หมายความว่าอย่างไร

"ผมตั้งใจจะมาบอก เอ่อ ผมอยากขออนุญาตครับ"       ทุกอิริยาบทของแม่อยู่ในสายตาผม

"จ้ะ"       ทั้งๆที่จับตามองขนาดนั้นผมยังอ่านไม่ออกว่าแม่กำลังคิดอะไรอยู่

"ผมชอบแมทครับ ผมตั้งใจมาที่นี่เพราะจะมาหาแมท ผมอยากบอกความรู้สึกที่ผมมีกับแมท แล้วตอนนี้เรารู้สึกตรงกัน ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกแม่แต่แรก"       สีหน้าที่เรียบนิ่งไม่มีแม้แต่อาการตกใจหรือสงสัย

"เพราะอะไรถึงไม่บอกแม่แต่แรกหล่ะคะพี่เชน"       ยิ่งน้ำเสียงเรียบนิ่งเข้าไปด้วยยิ่งทำให้ผมกังวลมากขึ้นกว่าเดิม

"ผมไม่มีคำตอบครับ ผมผิดที่ไม่พูดออกไปเอง ผมขอโทษครับ"       แม่หันหลังไปวางโถผสมกับไม้พายลงในอ่างล้างจาน ทำให้ไม่รู้ว่าแม่แสดงสีหน้าแบบไหนออกมาหลังจากที่ผมเอ่ยขอโทษ

"ดีแล้วค่ะที่ไม่พยายามหาข้ออ้าง"       มือทั้งสองข้างของผมถูกประสานกันแน่น

"ผมชอบแมทได้ไหมครับ"

"แม่ว่าพี่เชนควรมาถามแม่ก่อนจะจีบแมทนะ"       

"ผมไม่ทำตามขั้นตอนเพราะผมอยากแน่ใจความรู้สึกของแมทก่อน ถ้าแมทไม่ได้รู้สึกอะไรผมก็แค่กลับไป"

"พี่เชนกลัวว่าถ้าแมทไม่รู้สึกเหมือนกัน การที่บอกแม่ก่อนจะทำให้แม่กังวลอย่างนี้หรือเปล่าคะ"

"ถ้าผมแน่ใจแล้วว่าแมทไม่ได้รู้สึกอย่างเดียวกันผมก็จะกลับไป ทุกคนที่นี่ก็จะได้ไม่สงสัยในตัวแมท หรือกังวลว่าแมทจะทำให้ผิดหวัง"

"มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ แล้วความรู้สึกของพี่เชนหล่ะ"

"การจัดการความรู้สึกตนเองเป็นสิ่งที่ผมยังทำได้ อาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่ถ้าหากคนอื่นต้องมารู้สึกไม่ดีกับความรู้สึกของผมไปด้วย ผมคงจัดการได้ไม่ง่ายนัก"

"แล้วตอนนี้พี่เชนแน่ใจแล้วเหรอคะว่าแมทกำลังรู้สึกเหมือนกัน"

"ไม่เหมือนกันแน่ครับ ผมแน่ใจแค่ว่าเรากำลังรู้สึกไปในทิศทางเดียวกัน"

"ยังไงคะ"

"แมทอาจจะแค่ชอบผมยังไม่ถึงขั้นรัก ส่วนผมรู้สึกมากกว่านั้นไปแล้วคือรัก"       เราอาจจะไม่ได้รู้สึกเหมือนหรือเท่ากัน แต่มันเป็นในทางเดียวกัน เริ่มต้นได้แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

"เพิ่งจะพบกันไม่นานเองนะคะ การที่รู้สึกแบบนั้นมันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ"

"ผมเองก็เฝ้าถามตัวเองอย่างนั้น แต่คำตอบของทุกครั้งมันไม่เคยต่างไปจากนี้เลย ผมแน่ใจว่าความรู้สึกของผมมันไกลไปกว่าคำว่าแค่ชอบ เพราะฉะนั้นความรู้สึกที่ผมเป็นอยู่ก็ควรถูกนิยามได้กับแค่คำคำเดียวคือรัก"

"ถ้าพี่เชนกับแมทรู้สึกเหมือนกันแต่แม่ไม่เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้หล่ะคะ ไม่ใช่แค่เฉพาะแม่นะ รวมไปถึงครอบครัวพี่เชนด้วย"

"ครอบครัวผมทราบเรื่องนี้แล้วครับ ตอนนี้ผมอยากให้แม่เห็นด้วย ผมอยากให้คนสำคัญทุกคนของแมทยอมรับ"       ถ้าแม่ยอมรับ คนที่ผมรักก็จะสบายใจ

"มีตั้งมากมายที่เขารักกันโดยไม่ต้องมานั่งใส่ใจ ให้รักกันราบรื่นแล้วค่อยมาบอกจะไม่ดีกว่าเหรอคะ"

"ผมคงเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้หรอกครับ เท่าที่ผมสัมผัสแม่สำคัญสำหรับแมทมาก และถ้าหากทุกคนยอมรับ ไม่ว่าปัญหาอะไรที่จะเกิดขึ้นนับจากวันที่เราคบกัน มันจะเป็นปัญหาที่เกิดจากแค่เรา ผมไม่อยากให้คนที่ผมรักต้องมานั่งเสียใจในวันที่เรารักกันมากกว่านี้"

"ถึงโลกจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหน แต่ความรักแบบนี้ก็ยังเป็นจุดสีดำบนผ้าขาวอยู่ดีนะคะ"

"ครับ"

"พี่เชนกับน้องจะยังเป็นความแตกต่างในกลุ่มคนหมู่มากที่เรียกตัวเองว่าปกติ ความแตกต่างแบบนี้ก็จะถูกมองเป็นความไม่ปกตินะคะ"

"ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองไม่ปกติ และผมก็ไม่เคยเอาความรักของผมไปเปรียบเทียบกับความรักของใคร ผมจะรักในแบบของผม ผมแค่อยากให้ทุกคนในครอบครัวเข้าใจ เพราะทุกคนคือคนสำคัญ"

"แล้วถ้ามันไปไม่รอด แล้วถ้าวันนึงพี่เชนเบื่อแมทหล่ะคะ"

"ผมคงยังตอบไม่ได้หรอกครับ เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้คิดถึงช่วงเวลาที่ไม่มีแมท"

"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแม่ขอแค่อย่าทิ้งแมทไว้กลางทาง ถ้าทนไหวก็พากันเดินต่อไปนะ ปลายทางมันยังอีกยาวไกล ไม่ว่าระหว่างทางอุปสรรคมันจะมากมายแค่ไหนแม่ขอให้ช่วยกันประคับประคอง"

"ถ้าเดินไปต่อไม่ไหวก็พากลับมาส่งให้ถึงมือแม่นะคะ"

"ผมรับปากครับ"

"ไม่คิดมาก่อนเลยว่าต้องมาพูดอะไรแบบนี้กับแฟนแมท นึกว่าจะได้ใช้แค่กับมัทซะอีก"

"ผมเข้าใจว่าแม่อนุญาตแล้วได้ไหมครับ"

"คะ เรียกว่าแม่ยอมรับดีกว่าค่ะ 'อนุญาต' มันฟังดูเหมือนแม่เป็นเจ้าของชีวิตน้องเลย แมทเขาโตแล้ว ตัดสินใจเองได้แล้วค่ะ"

"ขอบคุณแม่มากนะครับที่ไว้ใจผม"

"แม่เองก็ประเมินพี่เชนมาสักพัก ตั้งแต่วันแรกที่เจอกันถึงวันนี้ แม้จะเป็นเวลาที่ไม่นานมากนักแต่แม่ก็พอจะมั่นใจได้ว่าพี่เชนจะไม่ทำให้แม่ผิดหวัง"

"แม่รู้แต่แรกแล้วเหรอครับ"

"ก็แค่พอมองออกค่ะ สายตาพี่เชนบอกอย่างนั้น"       ผู้ใหญ่ยังไงก็มีประสบการณ์มากกว่าอยู่วันยังค่ำ

"แม่ก็มองออกใช่ไหมครับว่าแมทรู้สึกยังไง ไม่อย่างนั้นคงไม่อนุญาตให้ผมทำต่อ"

"แม่ไม่ทราบขนาดนั้นหรอกค่ะ แม่แค่เห็นว่าแมทดูเป็นตัวเองเวลาอยู่กับพี่เชน เขาดูมีความสุขและสบายใจเหมือนเวลาอยู่กับคนในครอบครัว แต่นี่มันเพิ่งเริ่มต้น นิสัยส่วนตัวบางอย่างของน้องอาจจะทำให้พี่เชนรู้สึกเบื่อหรือรำคาญได้ อย่าตามใจนะคะแม่ขอ บอกให้เขาปรับ ช่วยเขาเปลี่ยนนะคะ"       

"ครับ"

"แล้วจากนี้พี่เชนมีแผนจะทำยังไงต่อคะ ในเมื่ออยู่กันคนละที่"

"ขั้นแรกผมอยากพาแมทไปเจอทุกคนในครอบครัวผมอีกครั้ง ผมบอกทุกคนไว้ก่อนมาว่าจะพาแมทกลับไปเจอ แล้วหลังจากนั้นผมคงพาแมทกลับมาส่ง"

"แล้วหลังจากนั้นอีกล่ะคะ"

"ผมคงไปๆมาๆครับ"

"แม่เข้าใจนะคะ ไม่ว่าพี่เชนจะมีความคิดที่ดูโตสักแค่ไหน แต่ในสายตาของแม่ พี่เชนกับแมทก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี"       พูดจบแม่ก็ยกมือมาลูบหัวผม สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นผ่านฝ่ามือนั้น เธอเข้มแข็งมากจริงๆที่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคนมาลำพัง

"การที่ต้องไปๆมามันอาจจะทำให้พี่เชนเหนื่อยมากๆในสักวันหนึ่ง อย่าแบกภาระทั้งหมดไว้ที่ตัวเองคนเดียวนะคะ ให้แมทเขาช่วย คิดจะรักกันต้องช่วยแบ่งเบาภาระกัน"

"ดูแม่จะกังวลว่าแมทจะทำให้ผมลำบากเลยนะครับ"

"เพราะแม่รู้ไงคะว่าลูกแม่เขาเป็นยังไง จำไว้นะคะ ถ้าจะเหนื่อยหรือจะทุกข์ก็ต้องแบ่งปันกัน"

"ครับ ผมสัญญา"

"ไม่ต้องสัญญาหรอกลูก ถ้าต้องมาคอยจำคำสัญญากันมันเหนื่อย แม่ขอแค่ให้นึกถึงคำพูดแม่บ้างในวันที่พี่เชนเหนื่อยกับแมทหรือเริ่มรู้สึกว่าต้องใช้ความอดทนบ้างก็พอ"       ผมพยักหน้าพร้อมกับจับมือของแม่เอาไว้เพื่อให้แม่รู้สึกมั่นใจว่าทุกคำที่แม่พูดวันนี้มันจะอยู่ในใจผม

"ผมจะพยายามจับมือแมทให้แน่นที่สุดครับแม่"

"แม่ไม่รู้นะคะ ว่าแน่นของพี่เชนมันแค่ไหน แม่จะบอกแค่ว่าถ้ามันแน่นไปพี่เชนต้องเรียนรู้ที่จะคลาย และถ้าหากแน่นไม่พอพี่เชนก็ต้องเรียนรู้ที่จะกระชับด้วยนะลูก"       ทุกอย่างที่แม่พูดมาทั้งหมดมันทำให้ผมรู้ว่าแม่รักและเป็นห่วงแมทแค่ไหน ที่สำคัญกว่านั้นคือเป็นห่วงกระทั่งความสัมพันธ์ของเรา     

.......................................................................




หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 28-06-2015 23:18:24
Matt Part

"เรียบร้อย ยังมีอย่างอื่นอีกไหม แมทจะได้ดูให้ทีเดียว"

"ไม่ละ"       เงยหน้าขึ้นมาจากจอโน้ตบุ๊คก็เห็นพี่มัทที่ย้ายตัวเองไปนั่งที่โซฟาหน้าโต๊ะทำงานกำลังมองผมอยู่

"มองอะไร"       ผมถามก่อนจะหลบตา สายตาพี่มัทมันนิ่งเกินไปจนผมไม่กล้ามองต่อ

"นี่แมทจริงๆเหรอ"

"ทำไมถามงั้น"       หันไปสบสายตากับพี่มัทอีกครั้ง

"ไม่รู้สิ"       พี่มัทส่ายหน้าแล้วพาตัวเองอ้อมโต๊ะทำงานมายืนพิงตัวกับขอบโต๊ะที่ข้างโน้ตบุ๊ค

"พูดมาเถอะพี่มัท"       ผมพิงหลังไปกับเก้าอี้เพื่อมองพี่มัทชัดๆ

"ในที่สุดน้องมัทก็ต้องมีคนดูแลจริงๆ มันผิดที่มัททำให้แมทเป็นแบบนี้หรือเปล่า"       มือที่ค้ำขอบโต๊ะถูกเปลี่ยนมาขยี้หัวผมก่อนจะถูกดึงไปค้ำที่เดิมอีกครั้ง

"คิดอะไรอย่างนั้น"

"ไม่รู้สิ ถ้ามัทปล่อยให้แมททำทุกอย่างด้วยตัวเอง แมทอาจจะพอปกป้องใครได้"       เรามองตากัน สายตาเรากำลังส่งผ่านความรู้สึกหลากหลาย

"พี่มัทฟังแมทนะ ที่แมทเป็นแบบนี้ก็เพราะแมทรู้ว่ามีแม่กับพี่มัทอยู่ข้างๆ ถ้าวันหนึ่งคนที่เข้ามาไม่ใช่พี่เชนแมทก็รู้ว่าแมทจะต้องทำอะไร แต่ถึงจะเป็นพี่เชนแมทก็คงไม่ทำตัวเหมือนตอนอยู่กับแม่กับพี่มัททุกอย่างหรอก แมทต้องปรับตัว พี่เชนเพิ่งเข้ามาในชีวิตแมทได้ไม่นาน เขาไม่เคยเรียนรู้ว่าแมทใช้ชีวิตยังไง แมทเองก็ไม่เคยเรียนรู้ว่าเขาเป็นยังมาก่อนที่เราจะเจอกัน จากนี้ไปเป็นสิ่งที่แมทต้องเรียนรู้"       ผมกับพี่เชนเราไม่ได้รู้จักกันดีขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ผลักเราเข้าหากันตอนนี้คือความรัก ที่เหลือจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเรียนรู้กันและกันและพร้อมจะปรับตัวเข้าหากันมากแค่ไหน

"พี่เชนของแมทนี่ก็เก่งเนอะ ทำให้คนที่สะเพร่ามาตลอด 25 ปีคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากรู้จังว่าใครไปร่ายมนต์ใส่ใครก่อน"       เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว

"ตลกแล้วพี่มัท แมทแย่ขนาดนั้นเชียว"       

"ไม่หรอก มัทแค่คิดว่าแมทไม่น่าจะดูแลใครได้ แล้วตอนนี้ก็เหมือนเจออะไรที่เหมาะ เขาก็ดูจะฝากฝังให้ดูแลแมทได้"

"ทำไมถึงคิดว่าพี่เชนจะต้องเป็นฝ่ายดูแลแมท อาจจะเป็นแมทก็ได้นะ หรืออาจจะเป็นเราที่ดูแลกันและกัน"       และมันก็ควรต้องเป็นอย่างหลังมากกว่า

"แหวะ! อยากจะอ้วก ร้อยวันพันปีไม่เห็นเคยจะพูดถึงใครแบบนี้ ผู้ชายคนนี้เปลี่ยนน้องมัทมากไปแล้ว เขาดีขนาดไหนกันเชียว"       ผมยิ้มออกมากับท่าทางโก่งคออ้วกที่เกินจริงของพี่มัท

"เขาเป็นคนที่ทำให้แมทรู้สึกว่าแมทเป็นคนสำคัญ รู้สึกว่าตัวเองถูกรัก แมทมีความสุขเวลาอยู่กับเขา"       แม่เคยบอกว่าเราจะเจ็บปวดหรือมีความสุขก็แค่อย่าหลอกตัวเอง

"ดีแล้วหล่ะที่แมทเลือกจะซื่อสัตย์กับความรู้สึกตัวเอง"

"นั่นก็ต้องขอบคุณพี่มัทนะที่ทำให้แมทเจอกับพี่เชน"       พี่มัทขมวดคิ้วทันทีที่ผมพูดจบ

"มัทเหรอ"       ชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะเอ่ยถาม

"ใช่ ถ้าพี่มัทไม่จองที่นั่น แมทจะเจอพี่เชนได้ไง"       ถ้าไม่ใช่เพราะพี่มัทวันนี้เราอาจจะไม่รู้จักกัน ครั้นจะให้บังเอิญเดินสวนกันคงเป็นไปไม่ได้ วิถีการดำเนินชีวิตของพี่เชนนั่นไม่มีทางที่จะทำให้เราเจอกันได้เลย

"นั่นสินะ รักกันให้ดีให้สมกับที่มัทแผลงศรให้หล่ะ"       พูดจบก็กอดอกเชิดหน้าเหมือนกำลังภาคภูมิใจ

"เอ้อพี่มัท เมื่อตะกี้ที่พูดถึงอีเมล"       ผมรีบถามหลังจากที่ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วเจอจดหมาย

"อ่อ มัทส่งเข้าเมลแมทหมดแล้ว"

"พี่มัทเปิดอ่านหรือเปล่า"

"ฉันไม่สอดรู้ขนาดนั้นย่ะ จะดูไหมว่ามันยังไม่ถูกอ่าน"

"มันมาร์คว่ายังไม่อ่านได้นะ เรื่องเมลแมทมีความรู้ อย่ามาหลอก"

"เออ อ่านไปแค่อันแรกอันเดียว น่าอิจฉา คุณเชนนี่โคตรจะมีความพยายาม เมื่อไหร่นะที่มัทจะเจอแบบนี้บ้าง"

"ก็อย่าเลือกมากนักสิ"

"ถามว่ามันมีมาให้เลือกบ้างไหมจะดีกว่า"

"คนปากแข็ง ทั้งที่ตัวเองเลือกเยอะแท้ๆ"

"แล้วจดหมายพวกนี้หล่ะ มันอยู่กับพี่มัทนานแล้วเหรอ"       ดึงซองจดหมายที่เริ่มจะยับตรงมุมเพราะถูกยัดลงไปในกระเป๋ากางเกงที่เล็กกว่าขนาดซอง

"ทยอยมา ตอนแรกก็ไม่แน่ใจ แต่ดูจากปลายทางแล้วก็จ่าหน้าซองที่เป็นชื่อแมทก็เลยแน่ใจ ว่าจะหหยิบกลับบ้านแต่ลืมทุกที"       จดหมายทุกซองยังไม่ถูกเปิด ไม่รู้ว่าถ้าผมได้อ่านมันก่อนที่พี่เชนจะมาเรื่องราวมันจะเปลี่ยนไปจากนี้ไหม จะเป็นผมที่เลือกเป็นฝ่ายไปตามหาคำตอบด้วยตัวเองหรือเปล่า แต่ถึงเรื่องระหว่างทางจะเปลี่ยนไปแต่ผมก็มั่นใจว่าปลายทางจะเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่แน่นอน

"ถ้ามัทเจอดีดีแบบคุณเชนตรงหน้ามัทก็ไม่เลือกเยอะหรอกนะแมท ยังเสียดายอยู่เลย ถ้ามัทไปด้วยยตั้งแต่วันแรก คุณเชนอาจจะตกหลุมรักมัทก่อนก็ได้นะ"       รอยยิ้มพี่มัทนี่มันไม่น่าไว้ใจจริงๆ

"พี่มัท นั่นของน้อง"

"ชิ! รู้แล้วหล่ะนะ ทำเป็นหวง"       มองผมด้วยหางตาก่อนจะยื่นมือมาผลักหัวเบาๆ

"พี่มัท"       ผมเรียกพี่มัทเบาๆ ยังมีเรื่องที่ผมยังสงสัยและหนักใจ

"หื้ม"

"ความรักแบบนี้มันยากใช่ไหม"

"อะไรกัน นี่เพิ่งจะเริ่มต้น กังวลแล้วเหรอ"       พี่มัทมองผมด้วยรอยยิ้ม เราอาจจะไม่ได้นั่งคุยกันแบบนี้มานานมากแล้ว ทั้งสายตาและรอยยิ้มนั้นทำให้ผมนึกถึงสมัยที่เรามีเวลามานั่งคุยกันทั้งครอบครัว

"แมทจะแปลกไหม คนอื่นจะมองแมทยังไง"

"แมทจำหนังสือเจ้าชายน้อยที่พ่อเคยซื้อให้เราอ่านได้ไหม"       หนังสือเล่มแรกที่ได้จากพ่อเป็นของขวัญวันเกิดตอนที่ผมเริ่มอ่านออก หนังสือที่พ่อย้ำอยู่ตลอดว่าอยากให้อ่านให้จบ หนังสือที่ผมต้องใช้ความพยายามทั้งหมดที่มีในตอนนั้นทำความเข้าใจกับมัน

"จำได้สิ"

"แล้วแมทจำภาพวาดงูตอนต้นเรื่องได้หรือเปล่า"       

"อื้ม งูที่เหมือนหมวก"       ผมพยักหน้าพร้อมตอบ

"นั่นแหละ แมทฟังพี่นะ คนเราทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีหรอกที่จะคิดเหมือนกันทุกอย่าง ต่อให้จับมานั่งเล่นเกมทายใจ คำตอบที่ตรงกันแต่รายละเอียดความคิดอาจจะไม่เหมือนกันก็ได้"       อาจจะเพราะว่าอายุเราไม่ห่างกันมาก และความเคยชินที่เรียกแทนตัวเองด้วยชื่อกับพ่อและแม่ เพราะงั้นทุกครั้งที่พี่มัทแทนตัวเองว่าพี่นั่นหมายถึงว่ากำลังจริงจัง ไม่บ่อยนักที่พี่มัทจะเรียกแทนตัวเองแบบนี้

"เหมือนอย่างที่เขาหัดวาดภาพตอนอายุ 6 ขวบไง เมื่อเขาโชว์ภาพงูเหลือมที่กลืนกินช้างเข้าไปให้ผู้ใหญ่ดู"       เป็นภาพงูเหลือมตัวยาวๆที่ท้องป่องเพราะกินช้างเข้าไปโดยไม่เคี้ยว มันกำลังนอนย่อยเหยื่อของมัน

"เขาถามว่ารูปของเขาน่ากลัวไหม"       ผมพูดคำถามหลังจากที่เขาโชว์ภาพวาดให้พี่มัทฟัง

"ใช่ คำตอบที่เขาได้คือหมวกจะทำให้กลัวได้ไง"       แม้แต่ผมเองยังมองไม่ออกด้วยซ้ำว่ามันคืองู ภาพมันดูเหมือนหมวกปีกรอบซะมากกว่า

"เขาก็เลยวาดรูปที่เห็นช้างอยู่ในท้องงูมาเพิ่ม"       ผมบอก

"แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ใช่ไหมหล่ะ ถึงแม้จะมีคำอธิบายมาเพิ่ม คนเราเห็นต่างกันไปนะ ถ้าเขาอยากจะฟังอยากจะรับรู้หรืออยากจะเชื่อในแบบไหน แมทก็ไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ทั้งหมดหรอก  เรื่องของแมทก็เหมือนกัน สังคมอาจจะไม่ได้มองไปในแบบที่แมทอยากจะให้เป็นแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่แมททำมันผิด ถ้าหากความสุขของแมทมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนะก็ทำไปเถอะ แมทจะเลือกทำแบบในเรื่องที่ละทิ้งอาชีพจิตรกรอันสูงส่งไปเลยก็ได้ หรือจะเลือกไม่สนใจความเห็นที่ไม่เคยตรงกับภาพที่แมทวาด สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับแมทตัดสินใจ ไม่มีความเห็นใครมาเปลี่ยนใจเราได้หรอก"       นั่นสิ ไม่มีความเห็นใครมาเปลี่ยนใจเราได้ เพราะสิ่งที่เราทำตามความเห็นเหล่านั้นก็คือแค่ถอยออกมา แต่สุดท้ายใจเราก็ไม่ได้เปลี่ยนไปอยู่ดี

"แล้วพี่มัทหล่ะ เห็นมันเป็นงูหรือหมวก"       ที่ถามออกไปก็แค่อยากรู้ความคิดพี่มัท

"นี่ตกลงที่มัทพล่ามมาตั้งนานแมทไม่เข้าใจใช่ไหม"       ผมเม้มปากแน่น ไม่ใช่ไม่เข้าใจหรอก แต่เรามักจะอยากรู้อยากเข้าไปนั่งอยู่ในความคิดของคนที่เรารักเสมอ

"เข้าใจ แต่แมทก็อยากรู้ว่าพี่มัทคิดยังไง"       เพราะเราไม่อยากให้คนรอบตัวเราที่เรารักไม่มีความสุขในสิ่งที่เราเลือก

"อย่าสนเลยว่าพี่จะคิดยังไง เพราะพี่รักแมท ไม่ว่าแมทจะวาดอะไรพี่ก็จะเห็นมันอย่างที่แมทอยากให้พี่เห็น"        คำตอบของพี่มัททำลายความกังวลในใจผมจนแทบจะหมด       

"ต่อให้คนอื่นบอกว่ามันผิดงั้นเหรอ"        พี่มัทพยักหน้าก่อนจะยื่นมือมาประคองแก้มสองข้างของผมเอาไว้

"ใช่ ต่อให้ต้องหลับหูหลับตาพี่ก็จะมองในมุมเดียวกันกับน้องพี่"        นั่นสินะต่อให้ใครมองว่าเรากำลังทำผิด แค่หันหลังกลับมามองครอบครัวก็จะเจอคนที่พร้อมเข้าใจ

"ขอบคุณนะพี่มัท"       นี่คือความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง ตราบใดที่ไม่มีใครเข้าใจความรักของผม แต่ก็ยังมีแม่และพี่มัทที่ยืนยันจะอยู่เคียงข้างกัน ไม่ใช่ความรักแบบหวังผลตอบแทน และเราจะได้รับมันจากคนในครอบครัวเท่านั้น

"พี่แกเจ๋งใช่ไหมหล่ะ"        พี่มัทไม่เคยปล่อยให้สถานการณ์ระหว่างเราอยู่ในภาวะอารมณ์ซึ้งได้นานเลยจริงๆ

"เจ๋งที่สุด"        ผมยกนิ้งโป้งสองข้างยื่นไปตรงหน้าพี่มัท เสียงหัวเราะของเราทั้งคู่ที่สัมผัสได้ถึงความสุขในเสียงนั้น

"ไม่เห็นโอ้ตเลยนะช่วงนี้"        ถ้าพี่มัทไม่ถามถึงผมก็ลืมมันไปแล้วเหมือนกัน ทั้งที่มันหายไปแค่ไม่กี่วันผมก็รู้สึกนะว่ามันนาน อาจจะเพราะก่อนหน้านี้เราเจอกันทุกวันละมั้ง

"ลองโทรหามันดีกว่า"        ล้วงฮีโร่จากกระเป๋าออกมาเพื่อจะต่อสายหาโอ้ต

"ระวังจะโดนเพื่อนน้อยใจนะ"        ผมเงยหน้าเหลือบตาไปมองพี่มัทที่ยืนพิงโต๊ะอยู่สูงกว่า เพื่อนกันจริงๆเขาไม่น้อยใจกันหรอก ผมกับโอ้ตเราคบกันมานานเกินกว่าจะมาน้อยใจกันเพราะเรื่องแค่นี้แล้ว

"มันไม่รับสายอ่ะ"        ถ้าพี่มัทไม่พูดออกมาแบบนั้นผมคงจะไม่ใส่ใจกับการที่มันไม่รับสาย

"เดี๋ยวก็โทรกลับมาเองแหละ ใส่ใจแฟนก่อนไหมไปเข้าห้องน้ำซะนานเลย"        นั่นสิ พี่เชนบอกก่อนออกไปว่าจะไปเข้าห้องน้ำ นี่มันชั่วโมงกว่าแล้วทำไมยังไม่กลับมา

"งั้นแมทไปหาพี่เชนก่อนดีกว่า"        ผมลุกจากเก้าอี้เดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันที่จะเปิด

"เจอแฟนแล้วก็อย่าลืมเพื่อนหล่ะ ไม่รับสายก็ไม่ได้แปลว่าไม่ได้กำลังรออีกสายนะ"        ผมหยุดฟังประโยคที่พี่มัทพูดจนจบ ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็เดาได้ว่าพี่มัทกำลังหมายถึงโอ้ต จากที่ไม่ได้กังวลก็ทำให้ผมต้องมาคิดอีกครั้งว่าตั้งแต่ผมมีพี่เชนเข้ามาทำให้ผมกำลังลืมมันอยู่หรือเปล่า

.......................................................................


          หลังจากเดินออกมาจากห้องพี่มัทก็เห็นพี่เชนเดินมาจากทางร้านกาแฟแม่ ผมเลยรีบเดินเข้าไปหา

"พี่เชน ทำไมมาเข้าห้องน้ำตั้งนาน"       

"แมท"       พี่เชนแค่เรียกชื่อผมพร้อมรอยยิ้มก่อนจะเดินมาจับมือแล้วพาไปทางลานจอดรถ

"เดี๋ยวๆพี่"       ยังไม่ทันจะได้พูดหรือถามอะไรก็โดนลากมาจนถึงรถแล้ว

"กลับบ้านกันนะ"       ไม่รู้หรอกว่าที่ดูเหมือนรีบให้กลับบ้านนี่เพราะอะไร แต่ดูท่าทางคงเป็นเรื่องเร่งด่วนมาก

"ทำไมต้องรีบขนาดนี้"       ผมถามขึ้นหลังจากขึ้นรถคาดเข็มขัดนิรภัยและปิดประตูเรียบร้อย

"พี่ไปขออนุญาตแม่มา"       พี่เชนหันหน้ามาตอบคำถาม

"แม่แมทเหรอ"

"ใช่ แม่รับรู้และยอมรับความรักของเรานะ"

"จริงเหรอพี่"       ผมกำลังรู้สึกเต็มตื้น มันพูดอะไรไม่ออก แค่แม่กับพี่มัทยอมรับมันพอแล้วจริงๆ

"ครับ พี่เลยอยากรีบกลับบ้านเพื่อจะได้วิดีโอคอลกับพี่เชลด้า"

"พี่เชลด้ารู้เหรอ"       ผมถามออกไปด้วยความสงสัย

"ป๊ากับม๊าก็รู้ เหลือแค่พี่พาไปเจอ"       ถ้าทุกคนรู้มันแปลว่าพี่เชนเตรียมทุกอย่างก่อนจะมาที่นี่แล้วจริงๆ ทำไมถึงมีความพยายามและตั้งใจขนาดนี้นะ ผมซะอีกที่ได้แต่คิดไม่แม้แต่จะทำอะไรเลยสักอย่าง

"พี่เชน"       ผมเรียกชื่อคนตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวไปดึงไหล่อีกฝ่ายเข้ามากอด

"แมทขอบคุณมากนะพี่เชน ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"       ผมพูดบอกก่อนจะเลื่อนมือที่โอบไหล่พี่เชนอยู่มาปลดเข็มขัดนิรภัยให้เรากอดกันถนัดขึ้น

"พี่ขอเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นอย่างอื่นได้ไหมครับ"

"ได้สิ อะไรก็ได้ ว่ามาเลย แมทจะไปหาซื้อมาให้"       ผมอยากได้ยินคำขอจากชัดๆเลยผละอออกจากกอดนั้นแล้วมองหน้าพี่เชน ตอนนี้ผมอยากเป็นฝ่ายที่พยายามบ้าง แค่ให้บอกว่าต้องการอะไร

"ไม่ต้องซื้อ แค่อยู่นิ่งแล้วทำตามพี่ก็พอ"       พูดจบหน้าพี่เชนที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบก็ขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิมก่อนจะแตะปากลงมาบนแก้มผม พี่เชนนิ่งอยู่อย่างนั้นสักพักแล้วจึงค่อยๆถอนออก สายตาที่เรากำลังมองกันอยู่ตอนนี้มันสื่อความหมายมากมาย เหมือนเรากำลังพูดคุยกัน รอยยิ้มที่เหมือนเรากำลังเข้าใจกันทุกอย่าง

"แมทเคยกอดพี่เพราะสัญชาตญาณใช่ไหม"       ผมพยักหน้ารับ เรากอดกันครั้งแรกเพราะสัญชาตญาณของผม ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากกอดคนคนนี้เอาไว้ อย่างให้ร่างกายเราส่งผ่านความรู้สึกถึงกัน

"ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พี่อยากแน่ใจว่าสัญชาตญาณของแมทเป็นสิ่งที่พี่เชื่อได้"      พูดจบพี่เชนก็ประคองหน้าผมเข้ามาใกล้อีกครั้ง ก่อนจะเอียงหน้าประทับริมฝีปากลงมาบนกลีบปากผมเบาๆอย่างเนิ่นนาน ก่อนจะเปลี่ยนมาขบเม้มริมฝีปากล่างตามด้วยริมฝีปากบนอย่างอ้อยอิ่งให้ผมคล้อยตามจนต้องขยับตัวเข้าไปใกล้อีกนิดพร้อมกับคล้องมือไว้กับคอพี่เชนเพื่อให้เราอยู่ใกล้กันมากขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างมันว่างเปล่าไปหมด ผมลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราใกล้กันมากขึ้นอีกก้าว ความกังวลลดลงไปอีกขั้น ทุกอย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้มันดีมากกว่าที่คิดไว้จริงๆ ผมไม่รู้ว่าจูบที่ดีควรเป็นอย่างไร แต่พี่เชนทำให้ผมรู้ว่าจูบที่ผมต้องการที่สุดในชีวิตผมจะหาได้จากใคร

.......................................................................


❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤โล่งกันไปอีกเปราะ หายไปอาทิตย์นึง เก๊าขอโทดดดดดด
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤อนาลงตอนแรก #รักระหว่างรอ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47447.msg3099283#msg3099283) ไปแล้วน้า พรุ่งนี้จะมาลงต่อตอนสอง แวะไปอ่านกันได้นะคะ
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 29-06-2015 08:55:16
ก้าวหน้าไปเยอะแล้ววว  รีบๆเข้าห้องหอนะ :hao6:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: nikkou ที่ 29-06-2015 08:57:08
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 29-06-2015 14:08:01
อยากอ่านอีเมลล์จุง หวานขนาดไหน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: 4559 ที่ 29-06-2015 20:25:42
หวานมาก
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 30-06-2015 17:12:08
 :pig4: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 30-06-2015 17:28:46
น่่ารักละมุนละไม ใส่ใจกันและกัน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 04-07-2015 15:07:45
หวานกันมากๆ จูบกันแล้วด้วย แอบฟินๆ 55555+
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 04-07-2015 23:55:07
ตอนที่ 13

รู้สึกไม่โอเคกับหลินเลย
ทำให้แมทเป็นถึงขนาดนี้ อืม นางไม่ได้สนใจอะไรเลย
ทีแรกคิดว่าน่าจะดีนะ พอเจอตอนนี้เข้าไปถึงกับ...  o22
อืมมม ก็นะ คิดถึงพี่เชนแล้ว จะมาเจอกันได้ยังไงนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 05-07-2015 00:36:23
ตอนที่16
อะไรคือการเจอพี่เชนแล้วแมททำแบบนั้น...
อ่า ใจร้ายจริงเชียว
รอชมตอนต่อไป
/่อ่านต่อรัว ๆ
ชอบมากเลยค่ะ
เป็นนิยายฟีลกู้ดอีกเรื่องนึงเลย อ่านแล้วรู้สึกดี  :3123: :mew1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 05-07-2015 00:50:56
ตอนแรกก็โอเคกับพี่เมอยู่หรอก
พอมาพูดว่าพี่เชนชอบโอ๊ต นี่ถึงกับ   :a5:
โถ ชีวิต  :ling1:
เมื่อไหร่จะได้ปรับความเข้าใจเนี่ย หือออ  :katai1:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 05-07-2015 01:24:38
ตอนที่18
จะขำดี รึไม่ขำดี
สงสารหลิน แต่ก็นะ... น่าสงสารนาง ไปซะเถอะค่ะ
ตัวจริงของพี่แมทกลับมาแล้วนะคะ ถถถถถถถถถ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 05-07-2015 04:06:51
อตอนที่ 23

ทนอ่านไม่ไหวแล้วอะ  :z13:

มันเป็นอะไรที่แบบละลายใจ ใส่ใจ ละมุน มันคืออะไร ความรู้สึกพวกนี้
ทอดอารมณ์และความรู้สึกความเป็นตัวละครอยากที่พี่เชนพูดออกมาได้ดีมาก
เขียนให้สื่อความรู้สึก สื่อทุกอย่าง ออกมาได้อย่างดี มันเหมือนอยู่ในที่ที่แบบ อบอุ่น
เวลาอ่านแล้วเหมือนกลืนเราเข้าไปอยู่กับแมทกับพี่เชนเลย

ปลื้มใจที่ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ ได้มาเจอ ขอบคุณนะคะที่มีเรื่องราวดี ๆ แบบนี้
อินมาก ๆ ในใจเรา เราชอบตรงนี้ ทำให้ความรู้สึกเล็ก ๆ ในบางเรื่อง ในใจ
กลายเป็นมวลบางอย่างที่ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนท้ายสุดมันก็โอบล้อมหัวใจเราไว้

เรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ แต่มีความหมาย ใส่ใจในทุกรายละเอียด
พี่เชนจะใส่ใจแมทได้ถึงขนาดนี้ เป็นที่คนเขียนเองก็ใส่ใจเหมือนกัน เก็บเล็กเก็บน้อย
มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวละครทุกตัวนี้เต็มไปด้วยความหมาย ชัดเจน


ชอบมาก ๆ นะคะ  o13 o13

------------

เพิ่มเติม

กำลังพูดกับเพื่อนเลยว่าอยากหาเรื่องที่ชื่นชอบ ถูกใจตัวเองจริงๆ ที่เป็นแนวเบาสบาย ไม่หนักใจ ไม่หนักอารมณ์ แต่ลึกซึ้งและละเอียดอ่อน
หาเนื้อหาแบบนี้มาสักพักแล้ว จำไม่ได้ว่าเคยเจอไปหรือยัง เราก็ลืมไปแล้ว แต่ #รักระหว่างทาง ทำให้เรารู้สึกว่า เฮ้ย!! เรื่องแบบนี้มันยังมีบนโลกอีกหรอ เรื่องราวแบบนี้ ตัวละครอุปนิสัยประมาณนี้ แล้วดำเนินเรื่องแบบนี้ กินใจเรามากจริง ๆ ไม่รู้ว่าจะสรรหาคำไหนมาอธิบายดี

อย่างที่บอกไปข้างต้นนั่นล่ะค่ะว่าชอบ รู้สึกถูกใจ
มาเริ่มครอบงำ(?)ใจเราก็ตอนที่พี่เชนอ่านนิยายของแมทนี่ล่ะค่ะ แล้วรู้สึกได้ถึงสิ่งที่ต้องการจะสื่อ เป็นตอนที่สะกดจิตที่สุดเลยค่ะ


แต่อาจจะมีติบ้างในบางคำผิด คะ ค่ะ ตรงช่วงนี้เท่านั้น
 

ป.ล. ถ้าใครมีนิยายเรื่องไหนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้ หรือคล้ายกัน ก็ฝากแนะนำได้นะคะ เรื่องเก่าๆก็ได้หมดเลยค่ะ


/เนื้อหาข้างต้นอาจจะวนไปวนมาบ้างนะคะ แก้ไปแก้มา คงจะเป็นกันใช่มั้ยล่ะคะ เวลาที่รู้สึกถูกใจกับอะไรแล้วจะพูดวนเรื่องเดิมซ้ำๆน่ะค่ะ ฮะๆ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: Kaewkaew ที่ 05-07-2015 14:24:24
คงจะเป็นตอนสุดท้ายที่หลินจะมีบทแล้วใช่หรือเปล่า...  :ling2:
ไม่ปลื้มนางเกิน ร้ายกาจ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 26 [28-06-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 07-07-2015 11:52:12
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 11-07-2015 03:36:58
ตอนที่ 27


Matt Part

         เช้าวันนี้ผมตื่นมาด้วยสภาพอารมณ์ที่แตกต่างไปจากทุกๆวัน มันแตกต่างไปในทางที่ดีนะ คงเพราะผมตอบคำถามให้กับตัวเองได้ทุกคำตอบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอีเมลที่ได้มาแค่ครึ่งๆกลางๆ นั่นก็เพราะว่าความเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนได้รับเมลฉบับแรกที่ตอบกลับการเข้าพัก พี่เชนเลยเดาว่าผมคงจะรู้ได้เองเลยเขียนมาแค่นั้น เรื่องเบอร์โทรศัพท์ที่ถามเอามาจากพี่มัท  เรื่องเชือกผูกข้อมือที่หลุดออกมาช่วยสนับสนุนความรู้สึกในใจของพี่เชน เรื่องที่ผมกังวลความรู้สึกของแม่กับพี่มัท ทุกอย่างมันถูกคลายออกหมด ไม่มีความกังวลในใจที่หลงเหลืออยู่อีก เหลือก็แค่จดหมายในมือตอนนี้ จดหมายกว่าสิบฉบับที่ถูกส่งมาในระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่เกือบเดือนที่เราไม่เจอกัน จดหมาย 15 ฉบับนี้เหมือนจะถูกเขียนและส่งมาวันเว้นวันเลยด้วยซ้ำ

        ฉบับที่ 1 เวลาที่ถูกส่งมาห่างจากวันที่ผมกลับมาเพียงแค่สองวัน เนื้อความในจดหมายที่ได้อ่านทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมา วันที่พี่มัทมาแล้วผมปฏิเสธพี่เชนไปผมไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ากำลังทำให้อีกคนรู้สึกแย่ขนาดนี้

'พี่ขอโทษที่พี่รุกแมทจนเกินไป พี่คงดูแย่ในสายตาแมท ความรู้สึกที่ถูกสร้างขึ้นในใจพี่กำลังส่งให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่พี่ก็ทรยศความรู้สึกนั้นไม่ได้เหมือนกัน'

         ผมดีใจนะที่พี่เชนไม่ทรยศความรู้สึกตัวเอง และดีที่พี่เชนไม่นึกโกรธในการกระทำอันงี่เง่าของผม แค่ลองคิดในทางกลับกันถ้าเป็นผมที่โดนผลักไสอย่างนั้น ความรัก โลภ โกรธ หลง ในใจผมคงสั่งให้เกลียดคนที่ทำแบบนั้นไปแล้ว

        ฉบับที่ 2 ถูกส่งมาห่างเพียง 2 วัน เนื้อความในจดหมายมีแค่ข้อความสั้นๆที่จับใจผมมาก แม้เป็นเพียงแค่ตัวหนังสือก็ตาม

'พี่กำลังห้ามไม่ให้ตัวเองคิดถึงแมท แต่รู้ไหมว่าทำไม่ได้เลย'

         ผมถอนหายใจหนักๆออกมาหนึ่งครั้งหลังอ่านจบ ไม่ใช่เพราะความหนักใจ แต่มันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดซะมากกว่า ประโยคสั้นๆแค่นั้นแต่มันบรรยายความคิดถึงได้มากมายเหลือเกิน

        ฉบับที่ 3 ระยะเวลาความห่างมากกว่าเดิมถึง 4 วัน ข้อความในจดหมายฉบับนี้เหมือนกำลังเล่าให้ผมฟังกิจวัตรในแต่ละวัน เจออะไรน่าสนใจ ทำอะไรบ้าง และจบที่ประโยคสุดท้าย

'พี่ขอโทษที่หายไป ต่อไปพี่จะพยายามแบ่งเวลาให้ดีกว่านี้ พี่อยากเขียนหาแมททุกวันถึงแม้ไม่รู้ว่ามันถึงหรือไม่ พี่ขอแค่ให้แมทได้อ่านนะ ไม่ต้องตอบก็ได้ แค่ได้อ่านพี่ก็ดีใจแล้ว'

         ทำไมพี่เชนถึงไม่โทษผมนะ ทำไมถึงเก็บความผิดไว้แค่ที่ตัวเอง ถ้าผมไม่ตอบแล้วพี่เชนจะดีใจได้ยังไง พี่จะรู้ได้ยังไงว่าผมได้อ่านแล้ว จดหมายทุกฉบับที่เหลือที่ได้อ่านรวมไปถึงอีเมลที่พี่มัทเพิ่งส่งให้ แทบทุกฉบับไม่มีตัวอักษรไหนที่ถ่ายทอดออกมาให้ผมต้องรู้สึกผิดเลย แต่ความรู้สึกที่อยู่ในใจผมตอนนี้กลับรู้สึกผิดอย่างมากมาย มันเหมือนผมกำลังทำร้ายความรู้สึกอีกฝ่ายโดยที่ผมไม่รู้ตัว แม้กระทั่งพี่เชนเองก็เหมือนไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกทำร้ายความรู้สึกหรือกำลังรู้สึกแย่เลยสักนิด พี่เชนยังส่งมาเหมือนผมได้อ่านมัน ยังไม่ถอดใจเหมือนมั่นใจว่ากำลังได้พูดคุยอยู่กับผม

        มองจดหมายนั่นซ้ำๆก่อนจะหากล่องมาเก็บมัน คนที่ถูกรักเขาต้องรู้สึกกันแบบนี้แน่ๆ ไม่ใช่ความรู้สึกแบบหวิวๆเหมือนมีผีเสื้อบินในท้องอย่างที่ใครๆรู้สึกกัน  ผมรู้ว่านี่คือผมกำลังรู้สึกมีความสุข ตื้นตันเหมือนมีอะไรสักอย่างมาเติมเต็มใจ มันเกิดขึ้นเพราะสิ่งที่ผมสัมผัสมันได้ผ่านข้อความที่พี่เชนเขียนมา ตัวอักษรที่สวยงามราวกับกำลังคัดลายมือประกวด ถึงแม้จะสะกดผิดบ้างถูกบ้างแต่ผมก็เข้าใจมัน คำบอกเล่าของสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตพี่เชนในแต่ละวัน ทุกประโยคที่ได้อ่านเหมือนผมกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เหมือนเรากำลังเจอเรื่องราวเหล่านั้นด้วยกัน เหมือนผมเองก็เป็นตัวละครสำคัญที่ยืนอยู่ข้างๆพี่เชนในทุกเหตุการณ์ เหมือนตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน ผมนึกไม่ออกจริงๆว่าถ้าได้อ่านจดหมายและอีเมลพวกนี้ก่อนที่พี่เชนจะมาทุกอย่างจะเปลี่ยนไปไหม ความรู้สึกผมในตอนนี้จะเป็นอย่างไร คิดว่ามันคงเป็นความรักแบบที่เป็นอยู่นี่แหละ แต่อาจจะต่างตรงที่รักมากแค่ไหนเท่านั้นเอง

"แมท พี่เชนมารออยู่ข้างล่างนะลูก ตื่นหรือยัง"       เสียงเรียกของแม่ที่ดังขึ้นด้านนอกห้องทำให้ผมกดปิดโน้ตบุ๊คและเก็บกล่องจดหมายไว้ในลิ้นชัก

"ครับแม่"       ผมตอบรับเสียงเรียก

"แม่เข้าไปนะ"

"ครับ"       ผมลุกจากเก้าอี้โต๊ะทำงานเพื่อจะเดินไปหาแม่ที่ประตู

"ตื่นนานแล้วเหรอ ทำไมวันนี้ยังไม่ลงไปข้างล่างอีก"       แม่เดินเข้ามาในห้องแล้วปิดประตูลงก่อนจะถามผมที่ยังอยู่ในชุดนอน

"ใช่ ยังไม่มีใครรดน้ำต้นไม้เลย งั้นแมทลงไปรดก่อนดีกว่า"       เพราะมัวแต่ซาบซึ้งและปลาบปลื้มใจกับจดหมายเลยลืมต้นไม่หน้าบ้านไปเสียสนิท

"ไม่เป็นไรหรอกลูก ไม่รดสักวันมันคงไม่ตายหรอก ว่าแต่ลูกแม่เถอะ เช้านี้มีคนมารอรดน้ำให้อยู่ข้างล่างแล้วนะ จะไม่รีบลงไปรับความชุ่มชื้นหน่อยเหรอ"       แม่พูดพร้อมเบะปากยิ้มกรุ่มกริ่มก่อนจะลากมือผมมานั่งบนเตียง

"แม่..."       คำพูดของแม่ตอนนี้คงยืนยันคำบอกเล่าเมื่อวานจากปากพี่เชนได้เป็นอย่างดี แม่รู้ว่าเราคบกันแล้วจริงๆ

"วันนี้ตื่นสายหรือไง หรือเพราะเมื่อคืนฝันดี"

"..."       ผมขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ

"อยากรู้จริงๆว่าในฝันยังมีแม่อยู่หรือเปล่า"       และท่าทางแม่ก็ดูเหมือนไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของเรา

"แม่อ่ะ พูดอะไร"       ผมก้มหน้าหลบสายตาแม่

"เขินเหรอ"       เรียกว่าเขินคงไม่พอ ผมไม่คิดว่าแม่จะแซว

"ป่าว แมทไปอาบน้ำดีกว่า"       ผมเลือกที่จะเดินหนีไปเข้าห้องน้ำแทน

"อาบให้สะอาดตัวหอมๆนะ ถ้าไม่หอมแม่จะไปช่วยอาบให้ใหม่ แม่กลัวพี่เชนไม่รักลูกแม่"

"แมทโตแล้วนะแม่"       แม่ชอบทำเหมือนผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย แล้วก็ตลกนะที่พี่เชนจะไม่รักเพียงเพราะอาบน้ำแล้วไม่หอม อย่างกับคำพูดหลอกเด็กเลย

"จ้ะๆ รีบไปอาบน้ำไป"       ผมเหลียวหลังมองแม่จนสุดขณะกำลังเดินเข้าห้องน้ำ แม่ยิ้มไม่เหมือนทุกวัน ยิ้มเหมือนคนยิ้มไม่สุด ผมส่งยิ้มให้แม่อีกครั้งก่อนลับประตูห้องน้ำ แม่ยิ้มกลับมาให้อีกครั้ง มันเป็นรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม ผมอาจจะคิดไปเอง

        ช่วงเวลาที่คนเราอยู่เพียงลำพัง ความคิดมากมายหลายอย่างจะแล่นเข้ามาในหัวเราเสมอ มันเหมือนเราได้อยู่กับตัวเองแล้วใช้เวลาทบทวนสิ่งที่ผ่านเข้ามา ผมมักจะเป็นแบบนี้เวลาอาบน้ำกับก่อนนอนเท่านั้น เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เราไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องงาน ทำให้เรื่องที่ส่งผ่านเข้ามาในเวลานั้นคือเรื่องที่เคยถูกพับเก็บไว้เวลาต้องคิดเรื่องงาน และตอนนี้ผมก็กำลังมีจดหมายที่อ่านก่อนหน้านี้ และเรื่องราวของแฟนหมาดๆอยู่ในหัว

        พี่เชนเป็นคนมีเสน่ห์และอบอุ่นอันนั้นผมพอรู้ แต่จากจดหมายพี่เชนทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เชนเป็นคนโรแมนติก น่ารัก ใส่ใจ จนผมอยากเก็บพี่เชนไว้ในที่ลับตาคน ไม่อยากให้ใครได้เจอ อยากให้พี่เชนมองเห็นผมแค่คนเดียว ฟังดูเห็นแก่ตัวใช่ไหม อย่างนั้นแหละ ผมก็เหมือนเด็กขี้หวงคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าแฟนเก่าพี่เชนเขายอมปล่อยให้พี่เชนไปจากเขาได้ยังไง ผมคงไม่กล้าปล่อยให้คนแบบนี้หายไปจากชีวิตง่ายๆหรอก คนแบบที่อยากและพยายามจะเข้ามาอยู่ในชีวิตเรา เรียนรู้ชีวิตเรา พร้อมจะเข้าใจเราแบบนี้ ผมเจอแล้วก็ควรจะหาทางรักษาเอาไว้ให้คนที่เขาอยากจะเรียนรู้ยังเป็นเราตลอดไป

"อ้าวแม่ยังไม่ไปอีกเหรอ"       ออกจากห้องน้ำหลังอาบน้ำเสร็จก็เห็นแม่นั่งรออยู่บนเตียงพร้อมหนังสืออะไรสักอย่างในมือ

"แม่รอพาแมทไปส่งให้พี่เชน"

"หืม"       ผมส่งเสียงในลำคอออกไปพร้อมสีหน้าสงสัย

"ก็พี่เชนรออยู่ข้างล่าง แม่เลยจะพาไปส่ง"

"ทำไมต้องไปส่งอ่ะแม่"       ผมถามขณะเดียวกันกับที่แม่วางหนังสือในมือลงที่โต๊ะข้างเตียง

"ดูสิว่าลูกชายแม่โตเป็นหนุ่มแล้ว น่ารัก น่ากอด"       ผมถึงกับขมวดคิ้วหรี่ตามองด้วยความสงสัยในคำพูดของแม่ที่ไม่ได้สนใจจะตอบคำถามผมเลยสักนิด

"คุยเรื่องเดียวกันก่อนไหมแม่"       ผมท้าวสะเอวเอียงคอถามทั้งที่ยังอยู่ในชุดผ้าขนหนูห่อตัวแค่ผืนเดียว

"อื้อ"       แม่ส่ายหน้าแรงๆก่อนจะลุกจากเตียงเดินมาหาผมแล้วสวมกอดไว้

"แม่ให้แมทไปแต่งตัวก่อน เดี๋ยวผ้าขนหนูหลุด"       ผมจับไหล่แม่ที่เตี้ยกว่าผมเล็กน้อยเอาไว้เพื่อจะผลักออกแต่แม่กลับกอดแน่นขึ้นแล้วเอียงหน้าซบลงบนอกของผม

"ไหล่ลูกแม่ก็ไม่ได้แคบ อกก็แน่นกอดแล้วอบอุ่น ตัวก็ห้อมหอม ทำไมน้าถึงได้มีแต่ผู้ชายมาสนใจ"       ผมไม่เห็นสีหน้าของแม่ตอนที่พูดประโยคนี้ แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วเหมือนไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ปากพูดชมออกมา

"กอดแล้วอบอุ่นก็กอดบ่อยๆสิครับ แมทก็ชอบกอดแม่เหมือนกัน"       ผมยิ้มตอบพลางกอดแม่ให้แน่นขึ้น

"อืม อ้อมกอดแมทต้องมีไว้ให้แค่แม่กับพี่มัทนะ"

"อ้าว แล้วถ้าแมทอยากได้อ้อมกอดบ้างหล่ะ"

"อันนั้นแมทต้องขอเอาจากพี่เชนเองนะ แม่เหมาะกับกอดการถูกกอดเท่านั้น อ้อมกอดแม่คงอุ่นไม่เหมือนพี่เชน"       แม่พูดก่อนจะผละตัวเองออกจากอ้อมกอด

"ทำไมพูดเหมือนน้อยใจเลยคะคุณผู้หญิง"       ผมก้มลงมองแม่ที่แสดงสีหน้าเหมือนกำลังน้อยใจจริงๆ

"ไม่ถึงกับน้อยใจหรอก แค่หวิวๆ"       ปากคว่ำหน้าง้ำขนาดนั้นยังเรียกว่าไม่น้อยใจอีก แม่นะแม่

"แมทแค่มีแฟนนะแม่ ไม่ได้หนีหายไปไหนซะหน่อย"

"เหมือนกำลังปล่อยมือลูกให้คนอื่นเลย"       เรามองตากันผมสัมผัสได้จริงๆว่าแม่รู้สึกอย่างที่กำลังพูด

"รู้สึกเหมือนกับกำลังส่งลูกเข้างานแต่งงี้เหรอ"       ผมแซว

"เปล่า เหมือนส่งลูกให้ไปเป็นเครื่องราชบรรณาการมากกว่า"

"แม่..."       สงสัยว่าแม่คงดูละครย้อนยุคมากไป

"จริงๆนะ ไม่รู้พี่เชนจะพาแมทไปฮ่องกงถาวรเลยหรือเปล่า"       นี่เป็นสิ่งที่แม่กังวลสินะ

"ถ้าพี่เชนพาไปหล่ะ แม่จะไม่ให้แมทไปเหรอ"

"แม่ไม่ห้ามหรอก แต่แม่ไม่รู้จะทนคิดถึงแมทไหวไหม ถ้าแมทต้องไปอยู่ที่นั่นตลอดไปมันจะต่างอะไรกับแมทเป็นเครื่องราชฯที่แม่ส่งไปให้พี่เชนหล่ะ จะได้กลับมาก็คงยาก"       ไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่คิดมากขนาดนี้

"รักแมทหวงแมทขนาดนี้เลยเหรอ"       แม่พยักหน้า

"ลูกแม่นะ ไม่รักได้ไง ถ้าเป็นพี่มัทแม่คงไม่ห่วงขนาดนี้"       แม่พูดพร้อมใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างจับไว้ที่แก้มผม

"ทำไมแม่ถึงเป็นห่วงแมทมากกว่าพี่มัทหล่ะ แมทเป็นผู้ชายนะแม่"

"แม่ไม่ได้ห่วงเรื่องเดียวกับที่แมทกำลังคิด แม่ห่วงที่แมทยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนเลย แมทอาจจะต้องปรับตัวเยอะ แม่เป็นห่วงนะลูก"

"แมทก็กังวลนะแม่"       เพราะความสัมพันธ์มันยาก ผมเองก็กังวลไม่ต่างกัน

"แมทต้องรู้จักเรียนรู้คนอื่นแล้วนะลูก"

"แมทไม่รู้ว่าแมทควรทำตัวยังไง แมทไม่รู้ว่าคนที่รักกันเขาจะต้องดูแลกันแบบไหน"

"แม่ก็ตอบไม่ได้หรอกว่าแมทควรทำตัวยังไง แมทต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับพี่เชนด้วยความรักของแมทกับพี่เชนที่มีให้กัน"

"..."        ผมค่อยๆคิดตามสิ่งที่แม่พูด

"แมทต้องเริ่มเปิดใจ จากนี้ไปแมทจะต้องหัดเรียนรู้คนข้างตัวนะลูก พี่เชนไม่ใช่แม่กับพี่มัท พี่เชนอาจจะไม่เข้าใจกรอบที่แมทสร้างมาไว้ครอบตัวเอง ถ้าคิดจะคบกันแมทเองต้องรู้จักเปิดประตูมาต้อนรับพี่เชนด้วย ไม่ใช่ให้พี่เชนค้นหาประตูเพื่อเข้าหาแมทเพียงฝ่ายเดียว"

"..."

 "โลกส่วนตัวที่แมทมีอยู่แมทต้องเรียนรู้ที่จะให้พี่เชนค่อยๆเดินเข้ามา อย่าอยู่แต่กับตัวเองจนเขาต้องไปสร้างโลกอีกใบ อย่าปล่อยให้ความรักต้องมีช่องว่าง เข้าใจไหม"

"ครับ"

"ไปแต่งตัวไป พี่เชนคงรอนานแล้ว แม่ลงไปดูก่อนนะ"       ผมพยักหน้าแล้วแม่ก็เดินออกจากห้องไป

.......................................................................


        ผมรีบแต่งตัวไม่นานก็เดินตามแม่ลงมาข้างล่าง เห็นพี่เชนกับพี่มัทนั่งคุยกันอยู่ พี่มัทในชุดนอนปล่อยผมยุ่งๆใส่แว่นกรอบโบราณที่พี่มัทชอบเถียงว่ามันเป็นแฟชั่นทั้งๆที่อายุการใช้งานของมันนานกว่า 10 ปีแล้วไม่เคยคิดจะเปลี่ยน สภาพที่ดูสบายๆของพี่มัทแบบนั้นทำให้ผมรู้สึกสบายใจไปด้วย รอยยิ้มของทุกคนเวลาคุยกับพี่เชนทำให้ผมดีใจที่พี่เชนเข้ากับทุกคนในบ้านผมได้เป็นอย่างดี เวลาที่เรารักใครเราก็ย่อมอยากให้คนในครอบครัวรักเขาด้วย

"กว่าจะลงมาได้ต้องให้แม่ไปตามนะ"       ยังไม่ทันก้าวขาถึงโต๊ะอาหารก็ถูกพี่มัททักเสียก่อน

"ตื่นสายอ่ะ"       ผมตอบ

"สงสารต้นไม้หน้าบ้านเนอะแม่ มันคงน้อยใจน่าดู ต้องมาคอยลุ้นว่าต่อไปนี้ไม่รู้ว่าเขาจะลืมรดน้ำมันอีกหรือเปล่า"       ผมเหล่ตามองท่าทางเบะปากพร้อมน้ำเสียงพี่มัทที่ฟังดูเหมือนประชดประชันแบบนั้น แค่ตื่นสายวันเดียวเอง ความดีที่รดน้ำมาจนมันโตกลับไม่ถูกจำ ยังมีท่าทางกลั้นขำของพี่เชนอีก น่าสงสารตัวเองจริงๆ

"อย่างน้อยแมทก็รดมาจนมันโต แต่พี่มัทนี่สิจำได้บ้างหรือเปล่าว่าบ้านเรามีต้นอะไรบ้าง"       ผมถามกลับคนที่ตื่นสายแทบทุกวัน ตื่นก่อนวันเดียวนี่แทบจะทับถมกัน

"พอๆ เลิกเถียงกัน ออกช้ากว่านี้ก็ไม่มีอะไรให้กินนะ"       แม่ปราม

"ออกไปไหน"       ผมถาม

"ไปกินข้าวเช้าไง"       พี่มัทตอบ

"ทำไมเราไม่กินข้าวที่บ้านหล่ะ"       เห็นอยู่ว่ามีทั้งติ่มซำขนมปัง

"แม่บอกให้พี่เชนพาแมทออกไปหาอะไรกินข้างนอกเองแหละ  จะได้พาพี่เชนไปเที่ยวด้วย"       ผมหันไปมองหน้าแม่ด้วยสีหน้าสงสัย

"จริงๆเรากินที่บ้านก็ได้นะแล้วเราค่อยออกไปเที่ยวกัน"

"แม่ไม่ได้ทำเผื่อนะ พี่เชนยังไม่ได้ไปลองอาหารอร่อยๆข้างนอกเลย พาพี่เชนไปเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"       พูดจบแม่ก็ตบไหล่พี่เชนเบาๆให้ลุกขึ้นยืนแล้วดันไหล่เราทั้งคู่ออกมานอกบ้านตามด้วยคำเตือนให้ขับรถดีๆ

.......................................................................





หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 11-07-2015 03:38:09


"แม่ทำตัวแปลกๆว่าไหม"       ขึ้นรถได้ผมก็ถามพี่เชนที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับรถทันที

"ยังไงครับ"

"ปกติแม่ชอบให้กินข้าวฝีมือแม่จะตาย แต่วันนี้กลับไล่ให้ออกมากินข้างนอก"

"แม่คงอยากให้เรามีเวลาอยู่ด้วยกันมั้ง"       พี่เชนตอบขณะกำลังคาดเข็มขัด

"แล้ววันนี้พี่จะไปไหนต่อ"       ในเมื่อคำตอบของพี่เชนไม่ใช่ในแบบที่ผมคิดว่าจะใช่ผมเลยไม่ถามต่อ เปลี่ยนคำถามเลยดีกว่า

"ไม่รู้สิ แมทว่าไงหล่ะ"       รถที่กำลังเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆทั้งๆที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังจะไปไหน

"แมทก็ไม่ค่อยไปเที่ยวไหน ไม่รู้ว่าพี่เชนจะสนุกหรือเปล่า"       สำหรับผมนอกจากบ้านกับร้านพี่มัทก็ไม่มีที่ไหนน่าไปแล้ว

"ไปกับแมท ที่ไหนก็ได้"       นี่แหละคือเรื่องถนัดของพี่เชน คำพูดที่ทำให้ผมต้องยิ้ม

"โอเค งั้นเราไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า"

.......................................................................


         อาหารเช้าสำหรับคนภูเก็ตก็ไม่ได้แตกต่างกับที่ฮ่องกงเท่าไหร่ เพราะสัดส่วนของคนพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน เพราะฉะนั้นร้านอาหารเช้าส่วนใหญ่ที่มีก็จะเป็นร้านติ่มซำไม่ก็แต่เตี้ยมซึ่งเดาว่าพี่เชนคงกินบ่อย ร้านโจ๊กกับหมี่ซั่วก็ตัดออกไปเลยเพราะผมไม่ชอบ เหลือก็แค่ขนมจีน แต่ผมก็ไม่อยากกินขนมจีนตอนนี้ อีกอย่างที่มีมากพอๆกับร้านติ่มซำคือโรตีที่เป็นอาหารเช้าของคนที่นี่เช่นกัน เพราะที่นี่มีชาวมุสลิมในสัดส่วนเยอะพอๆกับชาวไทยเชื้อสายจีน หลังจากนั่งนึกๆรายการอาหารแล้วผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการเป็นเจ้าบ้านแล้วนำเที่ยวแนะนำหาร้านอาหารอร่อยๆนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ

"พี่เชนกินอะไรดี มีติ่มซำ บักกุดเต๋ โจ๊ก ข้าวต้ม หมี่สั่ว มาม่า โรตี มะตะบะ แล้วก็ขนมจีน"       ให้พี่เชนเลือกเองนี่แหละดีที่สุด

"เยอะจัง"

"ชอบสัญชาติไหนก็เลือกเลย"       ตอนนี้กรอบมันกว้างมาก อาหารเช้าที่นี่มีให้เลือกเยอะเพราะคนที่นี่ก็มีหลากหลาย

"หมี่สั่วกับมาม่าคืออะไรครับ"       พี่เชนหันหน้ามาถาม

"หมี่สั่วเป็นหมี่สีขาวนิ่มๆมาต้มกับหมูสับเหมือนข้าวต้มแต่ไม่ใช่ข้าวใช้เส้นหมี่สั่วนี่แทน พอเข้าใจไหม"       พี่เชนพยักหน้าหลังผมอธิบายจบ

"แล้วมาม่าหล่ะ"

"ทำไมถึงไม่รู้จักมาม่า ดังออกจะตายไป บะหมี่เส้นหยักๆที่มีผงปรุงรสไง"

"อินสแตนท์นู้ดเดิ้ลหรือเปล่า"

"เออใช่ มาม่ามันเป็นยี่ห้ออ่ะ หมี่กึ่งนั่นแหละเอามาต้มกับหมูไก่ทะเลใส่ผัก"       มาม่าสำหรับคนที่นี่ก็ถือเป็นอาหารเช้าอย่างหนึ่ง ผมไม่รู้หรอกว่าเขารวมมันเป็นอาหารเช้าตั้งแต่เมื่อไหร่ เคยเห็นมันเป็นเมนูอยู่ในร้านโจ๊กร้านติ่มซำแต่เตี้ยมที่เปิดขายแค่ครึ่งวันมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ถ้าอยากกินหลังเที่ยงก็จะหายาก ต้องเป็นร้านอาหารตามสั่งเท่านั้น

"ขนมจีนนี่พี่เคยเห็นในรูปนะที่ราดน้ำสีเหลืองๆส้มๆใช่ไหม"       ผมพยักหน้าให้กับคำถามพี่เชน

"งั้นพี่เลือกขนมจีน อยากลอง"       และนี่ก็เป็นความผิดพลาดของผม ถ้าเลือกให้แต่แรกผมก็ไม่ต้องกินอะไรที่ไม่อยากกิน

.......................................................................


        ผมบอกทางพี่เชนด้วยความสามารถขั้นต่ำ เราวนหาจนพี่เชนเกือบถอดใจกินข้าวแกงร้านข้างทางที่ผ่านแทน แต่สุดท้ายเราก็เจอทั้งๆที่ใช้เวลาเกือบชั่วโมงกว่าจะมาถึงร้านขนมจีนขึ้นชื่อ เกือบจะได้เป็นมื้อเที่ยงแทนมื้อเช้า ร้านนี้เป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดขายตั้งแต่เช้าถึงเที่ยง บางครั้งยังไม่ทันเที่ยงก็หมดซะก่อนแล้ว ในความคิดผม ผมว่าร้านนี้เป็นร้านที่อร่อยที่สุดในจังหวัด ผมไม่ค่อยชอบกินขนมจีนแต่ถ้าอยากกินร้านนี้ก็จะเป็นร้านแรกที่นึกถึง อีกอย่างคือร้านนี้ให้เราสามารถราดน้ำแกงได้เองตามใจชอบรวมถึงมีผักและเครื่องเคียงให้เลือกเยอะมาก

"พี่กินเผ็ดได้ไหม"       ผมหันไปถามคนข้างหลังจากเดินลงจากรถ

"ถ้าไม่เผ็ดมากก็พอได้ แมทหล่ะ"       ผมส่ายหน้า

"กินเผ็ดมากๆแล้วมันทรมาน แทนที่จะได้กินเยอะๆก็ต้องแบ่งกระเพาะไว้เผื่อดื่มน้ำ"       สำหรับผมความอร่อยไม่จำเป็นต้องแลกด้วยความทรมานขนาดนั้น

"ครับ พี่จะจำไว้"       พี่เชนพูดออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแต่ผมนี่หลุดยิ้มออกไปแล้ว  คนมีความรักต้องเป็นแบบนี้ใช่ไหม แค่คำพูดที่แสดงความใส่ใจนิดๆหน่อยๆก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว

.......................................................................


"อันไหนอร่อยครับ"      พี่เชนถามขึ้นหลังจากแม่ค้ายื่นจานขนมจีนเปล่าๆให้เราเลือกตักน้ำแกงราดด้วยตัวเอง

"แมทชอบน้ำแกงปู มันไม่เผ็ดมาก อันนี้แกงไตปลาจะเผ็ดมากใช้เครื่องในปลามาทำแล้วใส่ผักเยอะๆเป็นแกงของภาคใต้ อันนี้แกงเขียวหวานไก่แมทว่าพี่น่าจะรู้จักนะ ส่วนอันนี้น้ำยาปลา เป็นน้ำกะทิผสมเนื้อปลาเผ็ดพอๆกับแกงปูเนี่ยแหละ และก็อันสุดท้ายนี่เขาเรียกว่าน้ำยาพริก อันนี้ไม่เผ็ดมีถั่วผสมออกหวานหน่อยๆ พี่อยากลองอันไหน"       ถ้าจะให้แนะนำคงอยากให้ลองทั้งหมด เพราะแต่ละอันมันรสชาติต่างกัน ขนมจีนภาคใต้นี่แหละที่ผมว่ามีน้ำแกงเยอะสุดแล้ว

"งั้นพี่ลองไตปลา"       ผมเอื้อมมือไปตักแกงไตปลามาราดในจานพี่เชนแค่นิดหน่อย เพราะมันเผ็ดมากในความรู้สึกผม และผมว่าพี่เชนก็คงทานเผ็ดไม่ได้มากเท่าไหร่หรอก

        ได้ขนมจีนกันมาคนละจานพร้อมกับไก่ทอดและปาท่องโก๋เรียบร้อยก็เดินมาหาโต๊ะนั่ง ทั้งๆที่เริ่มสายแล้วแต่ก็ยังมีคนแน่นร้าน โชคยังดีที่มีโต๊ะว่างสำหรับสองคนอยู่ด้านในสุดผมเลยเดินนำพี่เชนไปนั่งที่โต๊ะนั้น พอนั่งลงก็มีพนักงานในร้านมาถามเมนูเครื่องดื่มทันที

"กาแฟร้อนไหมพี่ เป็นกาแฟโบราณ"       อย่างหนึ่งที่ผมจำได้ดีคือกาแฟมื้อเช้าของพี่เชน

"ก็ดีครับ"       ได้ยินอย่างนั้นก็หันไปสั่ง

"กาแฟดำร้อนหนึ่ง ชานมเย็นหนึ่งครับ"       พนักงานจดเครื่องดื่มที่ผมสั่งลงไปในกระดาษแล้วก็เดินไปส่งให้กับคนที่ยืนประจำอยู่ที่เคานเตอร์สำหรับทำเครื่องดื่มโดยเฉพาะ

"ไม่ได้เอาปาท่องโก๋มากินกับกาแฟเหรอ"       คำถามของพี่เชนเมื่อเห็นผมฉีกปาท่องโก๋ลงไปในจานขนมจีน

"แบบนี้แหละอร่อย ก็เหมือนๆกับที่คนแถวบ้านพี่เอาไปกินกับโจ๊กอ่ะ"       ตอบไปมือก็ฉีกไปเผื่อในจานพี่เชนไปด้วยจนหมดชิ้นถึงนึกขึ้นได้ว่าทำอะไรลงไป

"แมทขอโทษ ไม่ได้ถามเลยว่าพี่กินหรือเปล่า ใช้มือฉีกด้วย แมทไปเอาจานใหม่ให้ดีกว่า"       ผมลืมตัว ทุกครั้งที่มากินผมก็จะฉีกให้แม่ฉีกให้พี่มัทรวมไปถึงโอ๊ตด้วยความเคยชิน โดยไม่ทันระวังว่าพี่เชนถือหรือเปล่า

"ไม่เป็นไรครับ"       คำพูดแค่นั้นของพี่เชนที่พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มกับมือที่ยื่นมากุมมือผมเพื่อรั้งเอาไว้มันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เป็นไรจริงๆ แค่รอยยิ้มก็บอกความรู้สึกได้โดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม

"เมื่อกี้พี่เห็นคนก่อนหน้าแมทเขาราดสองอย่างลงไปพร้อมกัน มันทำได้เหรอ"       พี่เชนถามขึ้นโดยที่ยังไม่ยอมปล่อยมือที่กุมไว้จนผมต้องค่อยๆดึงออก ผมยังไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่ที่จะแสดงออกในที่สาธารณะ แต่การต้องดึงมือออกแบบนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ผมกลัวว่าความไม่กล้าของผมจะทำให้พี่เชนรู้สึกไม่ดี

"ทำได้สิ คนที่นี่ชอบราดแบบผสมกัน สองอย่างบ้าง สามอย่างบ้าง อร่อยนะพี่อยากลองไหม"       อาจจะเป็นเรื่องแปลกสำหรับใครหลายๆคน แต่คนต่างพื้นที่ก็ต้องรู้สึกอยู่แล้ว วัฒนธรรมการกินแม้ในประเทศเดียวกันก็ยังต่างกัน ผมว่าที่คนที่นี่กินนแบบนี้มันก็คล้ายๆกับข้าวที่ราดแกงหลายๆอย่างนั่นแหละ

"ไม่ดีกว่า แค่นี้ก็น่าจะอิ่มมากแล้ว พี่ไม่ชอบทานมื้อเช้าหนักมาก"       ผมเองก็ลืมไปเลยว่าบางทีพี่เชนก็ดื่มแค่กาแฟแก้วเดียว ถ้ากินก็น้อยมาก ตอนที่พาผมไปกินมื้อเช้าที่ฮ่องกงก็กินนิดเดียว คนเราต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนนะที่จะจดจำและเรียนรู้นิสัยและความชอบของคนที่ตัวเองรัก ผมว่ามันยาก และตอนนี้ผมก็ยังทำได้ไม่ดีเลย

"พี่เชน เดี๋ยวเราไปเที่ยววัดกันไหม วัดที่ขึ้นชื่อของที่นี่"       อากาศร้อนขนาดนี้จะให้ไปทะเลมันคงไม่สนุกเท่าไหร่นัก

"ครับ"

"พี่เชน พี่ว่าโอ้ตจะน้อยใจไหม ตั้งแต่พี่มาแมทก็ไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไหร่เลย นี่ก็ไม่ได้โทรหามันมาตั้งสองวันแล้ว มันเองก็ไม่โทรมา พี่ว่ามันจะงอนแมทไหม"       ผมถามโดยที่ไม่ได้หันมองหน้าพี่เชนเพราะมัวแต่สนใจขนมจีนในจาน

"..."

"พี่เชน"       พอไม่ได้ยินเสียงตอบผมเลยเงยหน้าก็พบว่าพี่เชนไม่ได้สนใจกับอะไรสักอย่าง เหมือนไม่ได้ฟังที่ผมพูดด้วยซ้ำ

"ครับ"       เสียงตอบรับและท่าทางงงๆหลังจากที่ผมเรียกพร้อมสะกิดที่มือ

"พี่กำลังฟังที่แมทพูดอยู่ไหม"       ผมถาม

"มะรืนนี้พี่ต้องกลับฮ่องกงแล้วนะ"       ผมไม่คิดว่าจะได้ยินประโยคนี้เร็วขนาดนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงมันก็ต้องเกิดขึ้น

"เรากำลังคุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า พี่กำลังพยายามเข้าใจสิ่งที่แมทรู้สึกไหม"      ทั้งแม่ทั้งพี่เชนเลย เอาแต่พูดเรื่องที่ตัวเองอยากจะพูด ไม่สนใจจะตอบคำถามผมเลยสักนิด

"พี่อยากให้แมทกลับไปพร้อมกับพี่"       แล้วพี่เชนก็พูดออกมาในสิ่งที่ต้องการ

"พี่ช่วยทำความเข้าใจสิ่งที่แมทพูดตอนแรกก่อนสิ"       ทั้งๆที่ผมพูดออกมาก่อนแต่กลับไม่ถูกสนใจ น่าน้อยใจชะมัด

"ก่อนที่พี่จะมาเจอแมทที่นี่ พี่บอกป๊ากับม๊าเอาไว้ว่าถ้าพี่ทำสำเร็จพี่จะพาแมทไปเจอ"       ประโยคที่พี่เชนพูดบอกทำให้ผมหยุดพยายามที่จะให้พี่เชนพูดเรื่องเดียวกับผมมาเป็นผมเปลี่ยนไปพูดเรื่องเดียวกับพี่เชนแทน

"แล้วนี่ป๊ากับม๊ารู้เหรอว่าพี่มาที่นี่ทำไม"       ผมถาม

"รู้ครับ"

"แล้วป๊ากับม๊ารู้หรือเปล่าว่าเป็นแมท"

"ป๊าน่าจะรู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือพี่เชลด้า"

"แมทจะไปได้ไง งานยังไม่ได้คุยให้เรียบร้อยเลย"       จริงๆต่อให้งานเสร็จผมก็ยังไม่พร้อมจะไป ดีใจนะที่รู้ว่าครอบครัวพี่เชนรับรู้ แต่ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมว่าครั้งแรกที่ไม่อยากไปแค่ไหน ครั้งนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

"พี่อยากให้ทุกคนยอมรับความรักของเรา พี่อยากให้ป๊ากับม๊ารักแมทอย่างที่พี่รัก ไปกับพี่นะ เหลืออย่างเดียวที่ป๊ากับม๊ายังไม่รู้คือคนที่พี่รักเป็นแมท พี่ขอแม่ไปแล้วด้วยเมื่อเช้า"

"เพราะอย่างนี้เองแม่ถึงพูดอะไรแปลกๆ แม่ยอมให้แมทไปเหรอ"       ทั้งสายตาท่าทางและคำพูดของแม่บอกทุกอย่าง เป็นผมเองที่คิดไม่ถึงและดูไม่ออก

"ครับ พี่บอกแล้วว่าแค่พาไปเจอครอบครัวแล้วจะพากลับมาส่งด้วยตัวเอง"       ผมพยักหน้ารับ แต่ไม่ได้หมายความว่าตกลง ไม่รู้สิ ผมยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อม ไม่ใช่ไม่อยากไปนะ ใครๆก็ต้องอยากให้ครอบครัวคนที่เรารักยอมรับเราให้ได้อยู่แล้ว

"ต้องเร็วขนาดนี้เลยเหรอ เราเพิ่งตกลงคบกันได้ไม่กี่วันเองนะ"       ถ้าจะให้นับจริงๆมันก็ไม่ได้เร็วไปในส่วนที่พี่เชนจะต้องกลับ เพราะจะว่าไปพี่เชนก็ลางานมาตั้งเกือบอาทิตย์แล้ว แต่ที่มันเร็วคือพี่เชนจะพาผมไปแนะนำตัวนี่แหละ

"อย่าไปนับอย่างนั้นเลย ม๊าพี่รอต้อนรับแมทอยู่นะ ทุกคนในครอบครัวพี่ชอบแมทมากแมทก็รู้ พี่อยากทำให้ถูกต้อง"

"ก็ได้"       รอยยิ้มพี่เชนหลังจากที่ได้ยินคำตอบทำให้ผมเผลอยิ้มตามไปด้วย ดูพี่เชนมีความสุขที่ผมตอบตกลง

"พี่ดีใจนะที่ได้ยินแมทตอบตกลง ขอบคุณนะครับ"       พี่เชนดีใจแต่ผมกลับมีความกังวลเล็กน้อย ตอนที่เรากำลังจะรักกันเรามองข้ามสิ่งที่กำลังจะเป็นอุปสรรคทุกอย่างไปหมดเลยจริงๆ ผมลืมคิดว่าเราจะรักกันยังไงทั้งๆที่เราอยู่ห่างกันขนาดนี้ ผมมองข้ามว่าในความเป็นจริงแล้วเราอยู่กันคนละที่ ความรักคือการคอยแก้ปัญหาไปเรื่อยๆเหรอ พอปัญหาหนึ่งผ่านไปยังไม่ทันไรก็มีความกังวลใหม่เข้ามา ในโลกของความเป็นจริงคนเราจะผ่านพ้นทุกความกังวลใจเเพียงเพราะความรักได้จริงๆหรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ผมยังสงสัย แต่ในเมื่อความรักครั้งนี้เป็นเรื่องของเราทั้งคู่ พี่เชนมีความพยายามตั้งมากมาย ผมเองก็ควรพยายามบ้างเช่นกัน

.......................................................................



❤ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
❤มาเอาใจช่วยแมทให้ผ่านความกังวลเยอะแยะมากมายที่สร้างขึ้นเองด้วยเถอะค่ะ เพราะแมทเป็นคนไม่เคยมีความรักมาก่อน อะไรๆก็กังวลไปซะหมด ต่อให้เขียนนิยายมาเยอะแค่ไหนแต่ของจริงกับสิ่งที่จินตนาการอยากให้เป็นมันต่างกันสำหรับแมทค่ะ ไม่รู้ว่าเพราะเขียนมาเยอะเลยกังวลไปซะหมดก็ไม่รู้นะคะ อันนี้ต้องติดตามกันต่อไป 
❤อธิบายเรื่องอาหารเช้าของคนภูเก็ตกันนิดนึงนะคะ ส่วนใหญ่จะทานติ่มซำกันเป็นอาหารเช้าค่ะ อันนี้ขึ้นชื่อเลย คนภูเก็ตจะเรียกกันว่า "เสี่ยวโบ้ย" มีให้เลือกทั้งนึ่งสดแล้วก็นึ่งไว้แล้ว ส่วนแต่เตี้ยมก็คล้ายๆกับโรงน้ำชา มีอาหารทุกอย่างเลยค่ะ แต่เน้นๆก็จะมีติ่มซำอีกตามเคย ขนมจีนกับมาม่าก็ถือว่าเป็นอาหารเช้าเหมือนกันนะคะ ขนมจีนอาจจะไม่ค่อยแปลก แต่มาม่าอาจจะแปลก ที่ภูเก็ตเค้าจะต้มแบบทรงเครื่องเลยค่ะมีครบไข่หมูไก่ผัก
❤ขอบคุณ Kaewkaew นะคะ สำหรับคอมเม้นย้าวยาว อนาอ่านแล้วมีความสุขมากๆค่ะ อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายๆรอบอ่านไปก็ยิ้มไป ขอบคุณที่ชอบรักระหว่างทางนะคะ และก็ขอบคุณทุกคอมเม้นที่อยู่ด้วยกันมาตลอดด้วยค่ะ คอมเม้นทุกอันสำคัญสำหรับอนามากจริงๆ เป็นกำลังใจชั้นดีเยี่ยมเลยค่ะ 
❤ฝากไว้สุดท้ายค่ะ 'ทะเลที่ราบเรียบไกลๆลิบตาอาจแทรกไว้ด้วยคลื่นลูกใหญ่ที่พร้อมจะกระหน่ำ' แหะๆ #วิ่งหลบชามมาม่า
❤อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
❤แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า


หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-07-2015 12:03:19
เป็นกำลังใจให้พี่เชนกับแมท
ผ่านพ้นทุกๆอุปสรรคไปได้ด้วยดี
ในระหว่างทางรักของทั้งคู่
ขอให้ความรัก ความใส่ใจ
ช่วยก่อเกิดความเข้าใจ
ให้กับทั้งคู่ด้วยนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-08-2015 13:24:44
หายไปนานเลยคราวนี้
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: jamesnaka ที่ 11-08-2015 15:00:15
ชอบพี่เชนจังค่ะ ส่วนแมทบางครั้งก็เอ๋อไปนะลูก อิอิ

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ชอบ การดำเนินเรื่องดี สนุก อ่านเพลินเรื่อยๆ ขอเป็นกำลังใจให้คนเขียนจ้า

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 11-08-2015 15:05:37
คิดเยอะไปก็ไม่ดีนะแมท




ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 11-08-2015 16:08:47
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 12-08-2015 01:19:54
ฉันหลอนนึกว่าอัพ TT หายไปนานจัง
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 13-08-2015 19:40:11
สวัสดีค่ะ

อนาเองนะคะ ขอโทษทุกคนด้วยนะคะที่ไม่สามารถมาลงนิยายตอนต่อไปได้ในช่วงนี้ ตอนนี้อนามีสอบไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคมเลยค่ะ เป็นความผิดอนาเองที่ไม่ได้มาแจ้งไว้ในนี้ อนาแจ้งไว้แค่ในทวิตเตอร์ค่ะ พอดีเข้าไปส่องเมนในทวิตเตอร์เพื่อคลายเครียดแล้วเจอเมนชั่น ฮรืออ รู้สึกผิด ขอโทษอีกครั้งนะคะ แต่อนาจะกลับมาลงตอนต่อไปอีกครั้งตอนต้นเดือนกันยายนแน่นอนค่ะ

รออนาก่อนนะคะ พลีสสสสสส   :mew2:

หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-08-2015 20:17:05
รับทราบจ้า สู้ๆนะเป็นกำลังใจให้

น่าจะเปลี่ยนหัวข้อว่าแจ้งข่าวด้วยเนอะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-09-2015 22:56:47
คิดถึงแล้วนะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-09-2015 19:19:28
จะมาต่อยังนะ

คิดถึงทั้งระหว่างทางและระหว่างรอเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 27 [11-07-58] ● หน้า 6
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 06-10-2015 17:09:48
 :ling3:
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 16-12-2015 20:16:22
ตอนที่ 28


Matt Part


   เหมือนทุกอย่างกำลังจะเข้าที่เข้าทางไปทีละนิด ความรู้สึกที่เคยกังวลก็ค่อยๆหายไป ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมกำลังเปิดใจพาพี่เชนเข้ามามากแค่ไหน แต่ผมเองกำลังพยายามเรียนรู้การมีใครสักคนอยู่ ใครสักคนที่ไม่ใช่ครอบครัว ใครสักคนที่เป็นมากกว่าเพื่อน คนที่นับจากนี้ไปผมจะต้องแบ่งปันความรู้สึกอีกมากมายด้วยกัน
   เวลาที่มีอะไรให้ต้องคิดคนแรกที่ผมนึกถึงมักจะเป็นโอ้ตเสมอ แต่ดูเหมือนช่วงนี้เราจะไม่ค่อยได้เจอกัน เหมือนว่าเวลาของผมกับมันที่เคยคาบเกี่ยวกันมันค่อยๆหายไป ไม่รู้เพราะว่ามันไม่ว่างหรืออาจจะเป็นผมที่ลืมมันไป

"ฮัลโหล"       เสียงทักทายที่ดังขึ้นทันทีที่ผมโทรไป
"เอ้อ มึง"       ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นตอนนี้คืออะไร มันเหมือนจะอึดอัดก็ไม่ใช่ จะว่าเกรงใจยิ่งไม่ใช่เข้าไปใหญ่
"เออว่าไง"       
"เย็นนี้ว่างป่ะ มารับกูไปกินข้าวหน่อยสิ"       ผมบอกในสิ่งที่ต้องการไป จริงๆมันอาจจะปกติ เป็นผมที่อาจจะคิดไปเอง
"วันนี้เหรอ เออๆได้แต่รอหน่อยนะ กูนัดลูกค้าไว้ตอนเย็นน่าจะเสร็จประมาณเกือบทุ่ม"
"อือ ได้ รอที่บ้านนะ"
"โอเคๆ"
"บาย"

   จะว่าแปลกไหมก็แปลก แต่หากจะมองว่ามันไม่แปลกก็ไม่แปลก อาจจะเพราะสิ่งที่อยู่ในใจตอนนี้ทำให้รู้สึกว่าระหว่างผมกับมันไม่เหมือนเดิม แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ ผมอาจจะคิดไปเอง ตอนนี้เลยต้องพยายามบอกตัวเองว่าเลิกคิดนะ โอ้ตเป็นเพื่อนที่ผมรักมาก อย่าเอาความห่างหรือความคิดงี่เง่าของผมมาทำให้มีความรู้สึกที่มีค่าระหว่างเรากลายเป็นเรื่องไม่สะดวกใจเลย

"นั่นเตรียมตัวจะไปไหน"       เสียงแม่ที่ถามขึ้นเมื่อผมก้าวลงมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย
"นัดโอ้ตไปกินข้าว ไม่เจอหลายวันแล้ว คิดถึง"
"ดีแล้ว หายหน้าหายตาไปเดี๋ยวโอ้ตจะงอนเอานะ"       นี่ขนาดแม่ยังพูดแบบนี้ออกมาเลย เจ้าตัวเองก็อาจจะรู้สึกเหมือนกัน แต่ก็ขอให้ความรู้สึกนั่นเกิดขึ้นแค่กับผม เพราะมันคงแก้ไขง่ายกว่าหากเป็นตัวผมเอง

   ผมไม่รู้หรอกว่าดึกๆหน่อยของมันคือกี่โมง เพราะตอนนี้ก็เพิ่งจะหกโมงครึ่ง และผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะมาตามที่รับปากไหม ความกังวลใจที่เกิดขึ้นมันมาจากความรู้สึกที่ผมสร้างขึ้นมาเอง ผมไม่เคยออกมายืนรอโอ้ตหน้าบ้านแบบนี้มาก่อน ส่วนมากมักจะเป็นมันที่มาถึงก็จอดรถแล้วเป็นฝ่ายเข้าไปรอ มันคงแปลกใจแน่ๆถ้าเห็นผมมายืนอยู่ตรงนี้ แค่นึกถึงหน้ามันก็ตลกแล้ว แต่ถ้ามันไม่มาผมคงเก้อแน่

.......................................................................


   ยืนคิดอะไรอยู่สักพักเกือบครึ่งชั่วโมงก็เห็นแสงไฟจากรถยนต์กำลังมุ่งหน้ามาทางที่ผมยืนอยู่ แต่เพราะแสงไฟมันสว่างมากจนมองไม่ค่อยชัดว่านั่นเป็นรถใคร จะใช่รถของโอ้ตหรือเปล่า ถึงผมจะบอกตัวเองว่ารอได้ แต่ผมก็หวังว่านั่นจะใช่รถมัน

"ออกมายืนทำอะไรข้างนอกวะ"       และก็เป็นมันจริงด้วย ผมเลือกที่จะเปิดประตูขึ้นไปนั่งก่อนที่จะตอบคำถามหรือทักทายมัน
"กูถามว่ามึงออกมาทำอะไรข้างนอก อย่าบอกนะว่ามายืนรอกู"     
"ไหนว่าดึกๆหน่อย นี่มันเพิ่งจะทุ่มนึงเอง"       เลี่ยงที่จะตอบคำถามมันอีกครั้ง
"มึงคิดว่านี่กูมารับมึงเหรอ"       มันหันตัวมาโดยใช้มือข้างซ้ายมาค้ำเบาะที่ผมนั่งอยู่ ส่วนมืออีกข้างก็ยันไว้กับพวงมาลัย ก่อนจะจ้องหน้าจนผมต้องหลบสายตามัน
"..."       การที่มันเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าจริงจังมันทำให้ผมรู้สึกอยากจะพาตัวเองออกจากรถมันซะตอนนี้ แต่ถ้าทำแบบนั้นความกังวลใจที่ผมมีอยู่ก็จะไม่ได้หายไป เลยทำแค่นั่งก้มหน้า และต่อให้มันไล่ผมลงจากรถ ผมก็ไม่มีทางลงเด็ดขาด
"ดูทำหน้าเข้า นี่ถ้ากูไล่มึงลงแล้วบอกว่ากูแค่แวะมาบอกว่ากูไม่ว่างนะงานยังไม่เสร็จ มึงจะร้องไห้ไหมวะแมท"       มันบ่นเบาๆพร้อมส่ายหัว ก่อนจะหันไปออกรถ
"มึงไม่ว่างเหรอวะ"       ผมถามคำถามที่หวังว่าคำตอบจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับคำถาม
"นิดนึงว่ะ ลูกค้าเหมือนจะคุยไม่รู้เรื่อง ได้อย่างแม่งก็จะเอาอีกอย่าง ถ้ากูอยู่คุยต่อมีหวังได้ฟาดกันตรงนั้นแน่"       โอ้ตเป็นคนมีความรับผิดชอบ ติดก็แค่ถ้าลูกค้าเรื่องมากเมื่อไหร่สติมันก็จะหลุดทุกครั้ง
"แล้ว..."
"เอมอยู่จัดการต่อ กูเลยออกมารับมึงไปกินข้าวดีกว่า"       ผมพยักหน้าตอบรับประโยคบอกเล่าของมันโดยไม่คิดจะต่อบทสนทนาใดๆ เท่าที่ดูคงเป็นผมเองที่กังวลจนคิดไปเองว่ามันไม่เหมือนเดิม
"แล้วตกลงเมื่อกี้มึงออกมายืนทำอะไร"       มันหันมาเอาคำตอบจากคำถามเดิมอีกครั้ง
"ไปกินหอยย่างกันไหมมึง แต่ส้มตำก็อยากกิน หลายอย่างเลยว่ะ เหมือนคนอดอยากเลยกู"       ผมเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง
"อะไรก็ได้แล้วแต่มึง ตอนนี้กูว่าง"
"มึงมีอะไรที่อยากกินไหม วันนี้กูให้มึงเลือก"       มันหันมามองพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
"เออ ไม่ต้องงง กูให้มึงเลือก"       ผมแค่รู้สึกว่าทำตัวเอาแต่ใจมาตลอด ไม่เคยตามใจมันเลยสักครั้ ง และผมก็รู้ว่าการที่ผมทำแบบนี้มันช้าไปแต่ก็ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ
"งั้นสิ่งที่กูเลือกก็คือสิ่งที่มึงอยากกินนั่นแหละ"
"นี่กูกำลังให้โอกาสมึงอยู่นะ"       
"เออ กูอยากกินอย่างที่มึงอยากกินไง"       ยังคงพูดอย่างเดิม ผมอยากให้มันได้มีโอกาสตัดสินใจบ้าง ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองเผด็จการเกินไป อันที่จริงถ้าเมื่อเช้าผมไม่คิดเรื่อยเปื่อยจนมาถึงเรื่องมันผมคงปล่อยให้ทุกอย่างระหว่างเราเป็นแบบนี้ต่อไปโดยที่ไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังละเลยมัน
"งั้นเราไปกินร้านหอยย่างกัน ร้านที่มึงเคยบอกว่าชอบ ดีไหม"       ทั้งที่ผมพยายามจะยื่นข้อเสนอร้านโปรดของมันไปในตอนแรก แต่น่าแปลกที่มันไม่แม้แต่จะตอบตกลงจนผมต้องลองถามอีกครั้ง
"จะเอาใจกูหรือไง แต่ไปกินร้านนั้นก็ดีนะ ตั้งแต่ไปกินกับมึงคราวก่อนก็ยังไม่ได้ไปอีกเลย พูดถึงก็น้ำลายไหลละ"
"งั้นก็ไปกินร้านหอยย่างกัน"
"ครับผม หอยย่างๆๆๆ"       ท่าทางที่ดีใจจนดูเหมือนออกนอกหน้าแต่ผมก็รู้สึกว่ามันกำลังรู้สึกดีใจอย่างที่แสดงออกมาจริงๆ ผมชักจะเริ่มเกลียดตัวเองที่เอาแต่ใจกับมันมากเกินไปมาตลอดแล้ว ทำไมตัวเองถึงใจร้ายได้ขนาดนี้
"พรุ่งนี้ไปกรุงเทพฯกับกูไหม"       ผมตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปส่งต้นฉบับให้เรียบร้อยก่อนที่จะไปฮ่องกง และผมก็ไม่ได้อยากจะชวนพี่เชนไปเท่าไหร่นัก ผมยังอยากจะชดเชยให้โอ้ตก่อน ชดเชยให้กับความละเลยที่ผมทำต่อมัน
"ไปทำไมวะ ส่งงานเหรอ"
"ใช่ แต่ไปเช้าเย็นกลับนะ ส่งงานตอนเช้าแล้วไปหาอะไรกินอร่อยๆแบบที่เคยตอนอยู่ที่นู่น"
"มึงพูดมากูก็คิดถึงร้านข้าวหน้าเป็ดหน้าคอนโดเราเลย"
"งั้นพรุ่งนี้เราไปกินกัน"
"จะไม่ถามหน่อยเหรอว่ากูว่างไหม"
"ยังไงมึงก็ต้องว่าง กูรู้"       ถึงจะดูมัดมือชกไปหน่อยแต่ผมก็เชื่ออย่างนั้นจริงๆว่ามันจะว่างถ้าผมขอ
"แล้วมึงจองตั๋วแล้วเหรอ"       
"ยังอ่ะ ค่อยไปซื้อที่สนามบินเอา มันกระทันหันไปหน่อยกูเพิ่งตัดสินใจเมื่อวานว่าจะไปส่งต้นฉบับ"
"ทำไมวะ สำนักพิมพ์เขาเร่งเหรอ"
"ป่าวหรอก กูจะไปฮ่องกงกับพี่เชน ยังไม่รู้ว่ากี่วันแต่ก็อยากจะจัดการงานให้เรียบร้อยก่อนจะได้ไปแบบสบายใจ"
"ไปฮ่องกงเหรอ ไปทำไมวะ ข้อมูลไม่พอเขียนงานเหรอ"       มันหันมามองหน้าขณะที่รถกำลังติดไฟแดง
"ครอบครัวพี่เชนเขาอยากเจอกู"       ผมตอบพร้อมกับมองตรงไปที่ถนน ผมพอมองมองเห็นจากทางหางตาว่ามันยังคงมองผมอยู่
"เอ่อ...กูไม่รู้ว่าต้องถามมึงยังไงดีวะ กูไม่รู้ว่ากูต้องเริ่มจากรู้อะไรก่อน"       ผมเข้าใจสิ่งที่มันกำลังสงสัยนะ แต่ผมก็ไม่รู้จะเริ่มอธิบายมันยังไงดีเหมือนกัน
"กูคบกับพี่เชนแล้วนะ"       พูดออกไปตรงๆน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
"...."       
"...."       และมันก็อาจจะเป็นทางเลือกที่สร้างความอึดอัดที่สุดเช่นกัน
"...."       ต่างคนต่างลอบมองกันแต่ไม่พูดอะไรออกมา ผมกำลังรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้น
"ตกลงว่าไปกับกูนะ"       ผมถามซ้ำอีกครั้ง
"เดี๋ยวนะ ทีละเรื่องนะแมท ขอกูใช้ความคิดทีละเรื่อง"
"อืมๆ คิดทีละเรื่อง"
"ทำไมกูจัดระเบียบความคิดตัวเองไม่ได้วะ"       ผมเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังเป็นนัก ผมไม่รู้ว่ามันกำลังรับไม่ได้หรือกำลังตกใจกับสิ่งที่ผมพูดบอกไปหรือเปล่า
"มึงอาจจะกำลังรับไม่ได้ แต่เข้าใจกูหน่อยนะ ความรู้สึกของกูมันเกิดขึ้นไปแล้ว และมึงเองก็สำคัญกับกูเกินกว่าที่กูจะนิ่งเฉยโดยไม่พูดไม่บอกอะไรเลย"
"กูไม่ได้รับไม่ได้ กูรู้นะว่ามึงกำลังกังวลอะไร แต่กูไม่ได้กำลังรู้สึกอย่างนั้น"     
"แล้วอะไรที่มึงกำลังรู้สึก"       ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังคาดคั้นมันอีกแล้ว
"มึงแน่ใจเหรอว่ามึงอยากรู้สิ่งที่กูกำลังคิดกำลังรู้สึก"       คำถามมันทำให้ผมกลัว
"ตอนนี้ไม่อยากรู้แล้ว"       ผมรู้แค่ว่ามันไม่ได้รังเกียจ ผมควรรับรู้ในสิ่งที่สบายใจแค่นั้นก็พอ
"อืม ถ้ามึงยืนยันอย่างนั้น จริงๆมันก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่มันน่ากังวลอะไรหรอก อย่าไปใส่ใจเลยมึง เล่าเรื่องของมึงมาดีกว่า กูพร้อมจะฟังละ อ้อ! ตกลงว่าพรุ่งนี้ไปกรุงเทพฯกันนะ แล้วมึงไปฮ่องกงเมื่อไหร่ละ นัดพี่เชนมากินข้าวกันก่อนไปสักมื้อดีไหม หรือยังไงดี"       โอ้ตเป็นแบบนี้เสมอ เวลามีอะไรรบกวนความคิดมันจะระบายโดยการพรั่งพรูคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องออกมา
"โอ๊ต..."       เราต่างก็เงียบหลังจากที่ผมเรียกชื่อมัน
"กูขาดอะไรเหรอแมท กูไม่มีอะไรที่เขาไม่มีวะ"       ผมกำลังพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่มันเพิ่งพูดออกมา
"มึงหมายถึงใคร"       ผมถาม
"เพราะมึงก็เป็นอย่างนี้ เป็นคนแบบที่คอยมองข้ามอะไรที่กูอยากให้มึงมองตลอดเลย ช่างแม่งเหอะ อย่าไปรับรู้มันเลย พูดแล้วก็เครียด ไปแดกหอยดีกว่า"       ผมไม่รู้ว่าผมกำลังเข้าใจถูกไหมว่ามันกำลังน้อยใจ ผมไม่รู้ว่าผมควรคิดให้มากกว่านั้นไหม มันเหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกให้ผมเลือกคิด สิ่งที่โอ้ตได้พูดออกมามันสายเกินกว่าที่ผมจะย้อนกลับไปทำอะไรได้แล้ว                                                                                                                                                                                                                       

   บทสนทนาก่อนหน้านี้ในรถกำลังส่งผลให้มื้ออาหารระหว่างผมกับมันกร่อยลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าผมจะพยายามหยิบจับอะไรให้มันก็ดูจะขัดหูขัดตาไปเสียหมด เหมือนกับว่าการนั่งเฉยๆให้มันคอยทำทุกอย่างให้จะเป็นสิ่งที่ผมควรทำในตอนนี้
"อ่ะ แดกดิ สุกละ"       เสียงเปลือกหอยที่กระแทกลงบนจานอย่างไม่รุนแรงนัก แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกได้ว่ามันกำลังประชด
"แดกไม่ลงเลยสัด!"       ผมพ่นออกมาเบาๆไม่ให้มันได้ยิน
"แดกๆเข้าไปเหอะน่า"
"วางเบาๆไม่ได้หรือไงล่ะ"       ยังคงบ่นในลำคอเบาๆเหมือนเดิม
"เรื่องมาก"       เหมือนมันจะได้ยินทุกอย่างที่ผมบ่น และเหมือนว่ามันก็กำลังพยายามอยู่เหมือนกันที่จะไม่เอาอารมณ์หรือความรู้สึกไม่ดีมาลงกับอาหารมื้อนี้

   ความอึดอัดยังคงไม่หายไปถึงแม้ว่ารถจะพาผมและมันมาจนถึงหน้าบ้านของผมแล้วก็ตาม ผมกลัวว่าความอึดอัดนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันแย่ลง แต่การที่ผมจะแก้ไข ก็ควรรู้ก่อนว่ามันเกิดขึ้นจากอะไร ถ้าผมเป็นมันผมคงรู้สึกน้อยใจไม่น้อยที่เพื่อนที่น่าจะเข้าใจกันมากพอกลับมาถามทั้งๆที่ควรจะรู้

"มึง"       ผมเรียกมันเบาๆก่อนจะพาตัวเองลงจากรถ
"หืม"       
"พรุ่งนี้..."
"ไม่ต้องห่วงน่า กูบอกว่าไปก็ไปสิ กูรับปากมึงไปแล้วนะ"       มันตอบขึ้นทันที่ที่ผมยังไม่ทันได้ถาม อย่างนี่เรียกว่าเพื่อนที่รู้ใจใช่ไหม
"กูกลัว"
"กลัวอะไร กูพูดแล้ว ต่อให้กูไม่ได้บอกว่าจะไปแต่แค่มึงมาบอกขอให้กูไปด้วย กูก็ไม่มีทางปฏิเสธมึงหรอก มึงรู้ใช่ไหม"       คำพูดของมันทำให้รู้สึกว่าทำได้แค่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ทำไมอะไรๆก็ดูจะเป็นใจให้ผมรู้สึกขอโทษมันไปหมด
"ลงไปได้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเจอกัน สักกี่โมงดี"       มันหันหน้ามาถาม
"...."       แต่ผมกลับเอาแต่ก้มหน้า
"ตกลงว่ายังไงครับ"
"สัก 9 โมงไหม เผื่อมึงจะได้ตื่นสายหน่อย"       ผมบอก
"แล้วแต่ กูตื่นเช้าได้นะ จะให้กูตื่นตี 5 ยังได้เลย"       ถ้านี่เป็นภาวะปกติระหว่างเรา ปกติแบบที่ไม่มีเรื่องอะไรในใจอย่างตอนนี้ผมคงหันไปแกล้งมันแล้วว่าเจอกันตี 5 ละกัน แต่ตอนนี้แค่จะหันมองหน้ามันยังไม่กล้าเลย
" 9 โมงนั่นแหละดีแล้ว กูไปก่อนนะพรุ่งนี้เจอกัน"       พูดจบผมก็รีบลงจากรถทันทีโดยไม่ได้ฟังมันพูดอะไรต่อจากนั้น

   โจทย์สำหรับคืนนี้คือผมต้องแก้ให้ได้ว่าโอ้ตกับผมมันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติไป อะไรในแบบที่ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดถึงหรือจริงๆแล้วมันอาจจะไม่มีอะไรเลย ผมเหมือนเพื่อนที่เห็นแก่ตัวละเลยความรู้สึกมันมาโดยตลอด วันนี้มันชัดเจนแล้วว่าโอ้ตเองก็มีความรู้สึก ไม่ใช่สิผมควรบอกว่าโอ้ตมันก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทุกคนมีความรู้สึกเพียงแต่จะรู้สึกถึงมันหรือไม่ ผมคิดเอาเองฝ่ายเดียวมาตลอดว่ามันไม่ได้คิดอะไร และวันนี้สถาณการณ์ทุกอย่างได้บอกผมหมดแล้วว่ามันเองก็รู้สึก

.......................................................................



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-12-2015 20:21:06
 :z13:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 16-12-2015 20:22:05


"เห้ออออ"
"ถอนหายใจหนักขนาดนี้คิดถึงพี่หรือมีเรื่องไม่สบายใจกันแน่ครับ"       เสียงที่ดังขึ้นด้านหลังระหว่างที่ผมกำลังเลื่อนเปิดประตูรั้วบ้าน
"พี่เชน......"       ผมเรียกชื่อคนที่ยืนอยู่ในรั้วบ้านข้างกันด้วยเสียงเนือยๆหลังจากหันไปตามเสียงที่ได้ยิน
"ทำไมเสียงแฟนพี่ถึงฟังดูเหนื่อยขนาดนั้นละครับ"       ถ้าแค่เหนื่อยกายเสียงหวานๆแบบนี้คงทำให้ผมหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง
"พี่เชน..."       ผมยังคงเอาแต่เรียกชื่อพี่เชนเพียงอย่างเดียว
"มานี่หน่อยสิ"       ทั้งๆที่อยากเข้าบ้านไปอาบน้ำให้สมองโล่ง แต่พอพี่เชนเรียกผมก็เดินตามเสียงไปเพื่อยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าของเสียงเรียกนั้น เหมือนหมาที่ติดเจ้าของเลย
"พี่เชนนนนน..."       เสียงเรียกที่เอื่อยและฟังดูอ้อยอิ่งขึ้น รู้สึกหมั่นไส้ตัวเองขึ้นมานิดหนึ่งหลังจากได้ยินเสียงที่ตัวเองเรียกออกไป
"เป็นอะไรไปครับ"       รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้าพี่เชนมันทำให้ผมปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆว่ามันดูดีมากๆและมันกำลังทำให้ผมยิ้มตาม ผมเอาแต่มองตามรอยยิ้มนั่นจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าพี่เชนพาผมเดินเข้ามาในบ้านได้อย่างไร
"ดูทำหน้าเข้าสิ"       พี่เชนพูดก่อนจะเอามือบีบที่ปลายจมูกผมเบาๆ
"กอดหน่อย"       พอผมบอกอย่างนั้นพี่เชนก็ดึงตัวผมเข้าไปในอ้อมกอดทันที กอดเบาๆที่ทำให้รู้สึกอบอุ่น กอดแบบที่ผมอยากได้
"ทำไมเป็นแบบนี้...หื้ม"       ผมไม่ได้ตอบออกไป ทำแค่กระชับอ้อมกอดพี่เชนให้ใกล้และแน่นขึ้น
"..."       ตอนนี้รู้แค่อยากกอด ไม่อยากตอบไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น
"ไหนปล่อยก่อนสิ คุยกันก่อนว่าเป็นอะไร"       ไม่พูดเปล่าพี่เชนเอื้อมมือไปดึงแขนผมที่ประสานกันไว้ที่ด้านหลังตัวเองออกก่อนจะจับไหล่ผมแล้วก้มหน้าตัวเองลงเล็กน้อยเพื่อให้สายตาเราอยู่ในระดับเดียวกัน
"หนักใจอะไรไหนบอกพี่สิ"       ผมเงยหน้าขึ้นมองตาพี่เชน สายตาที่ถ่ายทอดความอบอุ่นออกมาทำให้ผมรู้สึกเบาใจขึ้น
"โอ้ต...โอ้ตไม่เหมือนเดิม...และสาเหตุน่าจะมาจากแมท"       เพราะเรามองตากันขณะพูดทำให้ผมรู้ว่าสายตาพี่เชนเปลี่ยนไปเมื่อสิ้นเสียงคำสุดท้าย
"..."       
"แมทกลัว"       
"..."       พี่เชนไม่ตอบอะไร ทำแค่ดึงตัวผมเข้ามากอดอีกครั้ง
"พี่ว่าแมทคิดมากไปไหม"       ผมถาม
"ทำไมแมทต้องเป็นฝ่ายคิดมากคนเดียวล่ะ ในเมื่อแมทไม่ใช่คนผิด"       พี่เชนพูดแล้วลูบหัวผมเบาๆไปด้วย
"แมทคิดเพราะที่ผ่านมาแมทไม่เคยคิดเลยไงล่ะ แมททำร้ายความรู้สึกมันมาโดยที่ไม่รู้ตัวตลอดเลย ว่าแต่ทำไมพี่ถึงบอกว่าแมทไม่ผิดล่ะ"       ผมสงสัยในคำพูดของพี่เชน พี่เชนพูดเหมือนคนที่รู้เรื่องทุกอย่างดี
"เมื่อรู้สึกเองก็ต้องรับผิดชอบเอง แมทเข้าใจที่พี่พูดไหม"       ผมส่ายหน้าทั้งๆที่ยังซบอยู่บนอกพี่เชนอย่างนั้น
"แมทรู้หรือเปล่าว่าโอ้ตกำลังรู้สึกกับแมทแบบไหน"       สิ่งที่พี่เชนถามทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดอะไรต่อเลยจริงๆ
"พี่อยากให้เรื่องนี้เป็นความลับตลอดไปนะ แต่ถ้ามันกำลังกวนใจแมทพี่คิดว่าแมทก็ควรรู้ไว้ พี่ไม่อยากให้แมทไม่มีความสุขหรือกังวลใจ ถ้าความสุขของพี่ไม่มีความสุขแล้วพี่จะยังมีความสุขอยู่ได้ยังไง"       ผมกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นหลังจากพี่เชนพูดจบ แค่นี้แหละที่ผมต้องการ คนที่พยายามจะทำให้ทุกวันของเรามีแต่ความสุข
"ขอบคุณนะพี่เชน ขอบคุณที่ความสุขของพี่คือแมท"
"เพราะคนที่พี่รักคือแมท ความสุขของพี่ก็คือแมทไม่มีทางเป็นคนอื่นแน่นอนครับ"       

.......................................................................


   ผมตื่นขึ้นมาอย่างไม่สบายใจนัก แน่ล่ะเรื่องโอ้ตยังคาราคาซังในใจอยู่เลย จะให้ตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุขเพียงเพราะคำพูดหวานหูของพี่เชนก่อนนอนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ วันนี้ระหว่างเราทั้งคู่คงอึดอัดมากแน่ๆ ผมภาวนาเพียงอย่างเดียวว่าอย่าให้เป็นอย่างที่พี่เชนคิด ผมยังคิดไม่ตกเลยว่าควรรู้สึกอย่างไรหากมันเป็นเรื่องจริง
   
   และไม่ผิดจากที่คาดเอาไว้ โอ้ตมาก่อนเวลาเสมอ อย่างที่เคยบอกว่าไม่มีครั้งไหนเลยที่ผมต้องเป็นฝ่ายไปรอมัน ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมลงมาข้างล่างก็เห็นมันนั่งคุยกับแม่อยู่ก่อนแล้ว ทุกอย่างดูปกติจนเหมือนจะเป็นผมเองที่รู้สึกว่ามันไม่ปกติ
"แมทมาพอดี มากินข้าวเร็ว โอ้ตมารอสักพักละนะ"       แม่บอกก่อนลุกออกจากเก้าอี้ ผมทำแค่พยักหน้าเบาๆกลับไป ผมเดินเข้าไปตบเบาๆบนบ่าของโอ้ตที่นั่งหันหลังอยู่ก่อนจะเดินเลยไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
"เก้าโมงแล้ว"       มันพูดทั้งๆที่ยังก้มหน้ามองแผ่นขนมปังบนจาน
"กูตรงเวลา มึงมาก่อน"       ก็ในเมื่อบอกว่าเก้าโมง ผมเจอหน้ามันตอนเก้าโมงตรงพอดี ก็ถือว่าตรงเวลาสินะ ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังรู้สึกอายแก่ใจนิดๆอยู่ดี
"กูก็ยังไม่ได้จะว่าอะไรเลย แค่บอกให้มึงรู้ว่าเก้าโมงแล้ว"       มันพูดด้วยท่าทางนิ่งๆ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆหลังจากนั้น ผมเองก็ไม่มีคำพูดใดจะตอบกลับไป
"แล้วนี่จะให้ใครไปส่ง"       แม่ถาม
"คงจอดรถไว้ที่สนามบินแหละครับเพราะกลับเย็นนี้เลย ใช่ไหม"       มันตอบแม่ในสิ่งที่ผมคิดแล้วตามด้วยทิ้งทายโดยการถามมาทางผม
"ครับแม่ แค่ส่งงานเสร็จหาอะไรอร่อยกินแล้วคงกลับเลย"       แม่พยักหน้ากับคำตอบ
"รีบกินสิ จะได้มีเวลาไปหาอะไรอร่อยกิน"       ได้ยินมันพูดอย่างนันผมก็รีบยัดขนมปังปิ้งในจานเข้าปากก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วลาแม่
"ไปก่อนนะแม่ ถึงแล้วแมทจะโทรหาครับ"       พูดบอกทั้งที่ขนมเต็มปากแล้วคว้าแขนโอ้ตให้เดินตามออกมา
"ทีงี้ละรีบเชียวนะมึง"
"อือ กูอยากกินอะไรอร่อยๆกับมึง"
"แค่เนี้ย..."       ผมก็อยากจะบอกว่ามันก็ไม่ใช่แค่นี้ ผมอยากใช้เวลาอยู่กับมันให้นานๆแบบเมื่อก่อนต่างหาก แต่กลับไม่กล้าพูดออกไป เลยทำแค่เงียบแทนคำตอบ

.......................................................................


   ทันทีที่ถึงกรุงเทพฯผมก็รีบเข้าไปส่งงานก่อนเป็นอันดับแรก เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ อะไรๆก็ดูจะราบลื่นไปหมด พี่ชัยตรวจงานอย่างคร่าวๆเสร็จไวราวกับต้นฉบับนั้นมีแค่ 10 หน้ากระดาษเท่านั้น ผมไม่ต้องเอางานกลับมาแก้ ไม่ต้องกลับมาส่งงานซ้ำ เหลือแค่ส่งพิสูจน์อักษรทุกอย่างก็จะเรียบร้อย นี่เป็นผลดีจากการที่ส่งพลอตเรื่องล่วงหน้าและทยอยส่งเรื่องเข้ามาคุยกับพี่นางเป็นระยะๆ งานเลยไม่มีจุดที่ต้องแก้มากนัก อะไรที่มันขัดๆหรือผิดพลาดก็ถูกแก้ไขไปหมดแล้ว

   หลังจากออกจากออฟฟิศพี่ชัยมาผมกับโอ้ตก็พากันไปที่เดิมๆที่เราเคยไปด้วยกัน พากันไปกินร้านอาหารร้านประจำของเรา มันดีมากเลยนะที่เราได้เหมือนย้อนกลับไปหาช่วงเวลาเดิมๆอีกครั้ง มันคงไม่รู้ว่าผมดีใจมากแค่ไหนที่มันจำร้านโปรดของผมได้ทุกร้าน เรียกได้ว่า 1 วันนี้เราได้ใช้เวลาด้วยกันอย่างเต็มที่ เราแบ่งปันเวลาร่วมกันอย่างเมื่อก่อนที่เคยเป็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปคือความอึดอัดใจที่ไม่รู้ว่ามีแค่ผมหรือเราทั้งคู่กำลังรู้สึก
   
   ผมพยายามหลายต่อหลายครั้งที่จะถามมัน แต่ก็กลัวจะทำให้บรรยากาศระหว่างเราที่กำลังดีอยู่ตอนนี้มันแย่ลงไป ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรบรรยากาศระหว่างเราถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ ไม่สิผมไม่แน่ใจต่างหากไม่ใช่ไม่รู้ ความคิดในหัวถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง ฝั่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีบอกให้ผมเริ่มต้นปรับความเข้าใจกับมัน อีกฝั่งที่ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าดีหรือไม่บอกว่าอย่าไปฟื้นฝอยอย่าไปสะกิดอะไรที่ไม่ควรรู้หรือไม่ควรพูดถึงมัน แต่ดูเหมือนฝั่งที่อยากให้ปรับความเข้าใจจะกินพื้นที่ความคิดไปกว่าครึ่ง ผมควรจะคุยกับมันสินะ นั่นสินี่คงเป็นวิธีที่จิตใต้สำนึกของผมเลือกให้ทำเพื่อที่รักษาเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตไว้
   
"โอ้ต"       ผมเรียกชื่อมันด้วยน้ำเสียงจริงจังหลังจากที่เครื่องขึ้นไม่นานและสัญญาณรัดเข็มขัดที่นั่งดับลง
"หืม"       มันเงยหน้าขึ้นมาตอบพร้อมกับเลิกคิ้วเชิงสงสัย
"ถามจริงๆนะ"
"อือ...ว่า"       มันตอบพร้อมพยักหน้า
"ไม่ดีเลยว่ะในขณะที่กูกำลังมีความสุขแต่อีกมุมนึงกูก็เห็นมึงเหมือนไม่โอเค มึงกำลังน้อยใจกูอยู่หรือเปล่าวะ"       ผมถามออกไปพร้อมกับมองหน้ามัน
"ใช่"       มันตอบขึ้นมาทันทีที่ผมพูดจบ ไม่คิดว่าคำตอบจะออกมาเป็นรูปแบบนี้       
"อะไรเป็นสาเหตุวะ ตัวกูเหรอ มึง...กูขอโทษ"       ผมกังวลมากเมื่อได้ยินคำตอบนี้ บอกตรงๆว่ามันไม่ใช่คำตอบในแบบที่คิดว่าจะได้
"ทำไมมึงคิดแบบนั้นหล่ะ"       มันพูดก่อนจะหยิบนิตยสารด้านหน้าที่นั่งมาอ่านแทนที่จะมองหน้ากัน
"ถ้ารู้สึกก็แค่พูดออกมา ไม่เห็นต้องพยายามกลบเกลื่อนเลยนี่หว่า มึงไม่ใช่คนเก็บอาการ แต่นี่มึงนิ่งกับทุกเรื่องที่กูเล่าให้ฟัง แถมยังไม่ค่อยมีความเห็น แล้วมึงที่เคยเป็นคนที่พร้อมจะอธิบายทุกเรื่องที่กูสงสัย แต่ตอนนี้มึงกลับบอกปัดว่าอย่าไปรู้เลย ทำไมมึงเป็นแบบนี้วะ"       ผมพยายามก้มหน้ามองมันเพื่อขอคำตอบ ในขณะที่มันกลับก้มหน้าอ่านหนังสือด้วยท่าทีนิ่งๆ
"กูดูเหมือนคนกำลังกลบเกลื่อนเหรอวะ ไม่เอาน่า อย่ากลายเป็นคนคิดมากดิ"       มันทำแค่ระบายยิ้มและส่ายหัวเบาๆ
"แต่กูรู้สึกแปลกๆ"       ทำไมดูเหมือนมีแค่ผมที่กังวล ดูเหมือนมีแค่ผมที่รู้สึกแปลกๆ
"มึงเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าแปลกเหรอวะ มึงกำลังจะไปรักคนอื่น มึงรักเขาโดยที่มองข้ามความรักความรู้สึกของกูไป เพราะกูรักมึงไม่มากพอหรือเปล่า กูถึงต้องมานั่งเสียใจที่มึงกำลังจะไปจากกู"       ความคิดของผมหยุดแล่นทันทีที่มันพูดจบ
"มึง..."       ผมเรียกมันเบาๆ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ผมควรพูดหรือรู้สึกอะไร ผมไม่มีคำตอบสำหรับทุกคำถามที่มันพูดมา
"..."
"..."       ทั้งผมและมันต่างเงียบ
"..."
"โอ้ต..."       ผมเรียกชื่อมันขณะที่พยายามมองหน้ามันอยู่อย่างนั้น มองให้แน่ใจว่าทุกอย่างที่ผมคิดมันเป็นเรื่องจริง
"ฮ่าๆๆ หน้างงเลยสัด รู้สึกผิดหรือไง"       เสียงหัวเราะดังขึ้นหลังจากมันหันมาสบตาผม
"ใช่เรื่องล้อเล่นเหรอวะ"       ผมรู้สึกได้ว่านี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ผมสัมผัสได้ว่าทุกคำพูดที่มันเอ่ยมาเป็นเรื่องจริง
"เออๆ กูขอโทษ กูอาจจะยุ่งๆเรื่องงานละมั้ง จะสิ้นเดือนแล้วด้วย ลืมๆที่กูพูดไปเถอะ มึงก็มีพี่เชนแล้วนี่หว่า อย่างอแงดิวะ"       มันยื่นมือมาจับหลังมือผมที่วางอยู่บนตักตัวเอง
"กูไม่ได้งอแงนะ กูรู้สึกจริงๆ"       
"โอเคๆ กูจะมีเวลาให้มึงมากขึ้นดีไหม งั้นเริ่มจากถึงบ้านแล้วไปกินไอติมกันเลยป่ะ"       มันคงไม่มีประโยชน์ถ้าเจ้าตัวเองก็ทำเหมือนอยากจะให้ลืมมันไป
"เนี่ยๆๆๆ มึงไม่รู้สึกตัวเหรอวะโอ้ต ชื่อเรียกสารพัดผู้หญิงที่มีให้แค่เฉพาะกูหล่ะหายไปไหนแล้ววะ ไหนจะน้ำเสียงเนือยๆนี่อีก มันมีตรงไหนที่เรียกว่าไม่เปลี่ยนไปวะ"       เปลี่ยนไปงอแงเรื่องใหม่คงจะอึดอัดน้อยกว่า
"โอเคค่ะ โอเค แม่ยอดขมองอิ่มของพี่ ไปแดกไอติมให้หายงอนดีกว่านะจ๊ะ"
"ใช่ ปกติมันต้องแบบนี้"       ผมพยักหน้าพร้อมพูดบอกมัน
"นี่ตกลงกูหรือมึงกันแน่วะที่กำลังน้อยใจ"       ผมเลือกที่จะปล่อยให้คำถามของมันเป็นตัวปิดบทสนทนาของเราโดยการไม่ตอบ ผมรู้ว่าผมควรพาความคิดตัวเองไปอยู่ตรงจุดไหน ผมไม่อยากคิดว่าถ้าหากไม่มีพี่เชนระหว่างผมกับมันจะเป็นยังไง ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ ไม่สิผมไม่ควรคิดถึงมัน และผมก็ไม่ควรเอ่ยขอโทษ ไม่รู้ว่านี่เรียกว่าเห็นแก่ตัวไหม แต่มันมาช้าไป ความรู้สึกทั้งหมดที่พอจะรู้สึกได้มันกลายเป็นของพี่เชนไปหมดแล้ว

.......................................................................


♡ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
♡ขอโทษที่หายไปนานนะคะ ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนอกจากคำว่าขอโทษจริงๆค่ะ ไม่อยากจะใช้คำว่าหายไปเพื่อหาแรงบันดาลใจเลย เพราะมันไม่ใช่ทั้งหมด หายไปเพราะติดพันอะไรบ้างอย่างด้วยแหละ ให้อภัยเรานะ ㅠㅠ
♡ความผิดอีกอย่างคือหายไปโดยไม่ได้เข้ามาแจ้งเลย กลับมาอีกทีรักระหว่างรอก็โดนลบไปแล้ว เพราะงั้นอนาเลยคิดว่าจะทำให้ดีทีละเรื่องดีกว่า ขอพักเรื่องรักระหว่างรอไว้ก่อนนะคะ ขอโทษคนอ่านด้วยน้า
♡ไปคุยกันเกี่ยวกับนิยายหรือความเห็นได้ในทวิตเตอร์นะคะ @iamanana_anana อนาคิดไว้ว่าอีกสักพักจะทำเพจออกมาเพื่อไว้ติดต่อพูดคุยกัน ขอบคุณที่ยังอยู่อ่านรักระหว่างทางไปด้วยกันนะคะ
♡แวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง พูดคุยกันได้เหมือนเดิมนะคะ
♡แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า



หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 16-12-2015 20:58:35
 :pig4: :pig4: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-12-2015 21:05:46
หายไปนานมว้ากกกกกกกกกก

แต่เราเข้าใจ ชีวิตมันเรื่องเยอะ ><

อย่าหายไปนานๆอีกนะคะ ชุ้บ
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 16-12-2015 21:47:22
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-12-2015 19:30:42
ถ้าแมทไม่ได้คิดจะรักพี่เชน
แมทมั่นใจมั้ยว่าจะรักโอ๊ตได้แบบที่โอ๊ตรัก
ถ้าแมทสามารถรักโอ๊ตได้ โคตรสงสารโอ๊ตเลย
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 18-12-2015 00:00:21
ก่อนแม่หลินจะขับรถออกตัวจากลานจอดรถ ฉันก็พาร่างท้วมๆเข้าไปยืนขวางรถของแม่เด็กหลิน ฉันเห็นสีหน้าประหลาดใจปนเศร้าเพราะตาขาวดูแดงๆเหมือนจะร้องไห้

ป้าก็เดินเข้าไปแล้วสะบัดมือขึ้นพองานเคาะกระจกข้างด้านที่แม่หลินอยู่

กระจกก็ค่อย/เลื่อนลง

ฉันไม่รีรอให้แม่หลินถาม

ก็ยกมือขวาขึ้นแล้วยื่นเข้าไปดีดกระโหลกแม่หลินเบาๆ

"หล่อนมันห่วย"

นี้ป้าพูดอะไรออกไป แต่ก็รู้ว่าตัวเองกำลังมองหน้านังเด็กคนนี้ พร้อมกับแบะคว่ำปาก ด้วยแววตายิ้มอ่อนๆแต่มองแรงใส่ตอนท้าย

แล้วก็สะบัดหน้าเดินออกไป
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 18-12-2015 11:29:42
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 28 [16-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 18-12-2015 16:35:11
เราเป็นโอ๊ตก็คงไม่บอกรัก เพราะอาจจะไม่ได้รักตอบ และเสียเพื่อน คงต้องทำใจอย่างเดียว
หัวข้อ: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 29 [28-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 28-12-2015 22:47:19

ตอนที่ 29


Matt Part


"4 ชั่วโมงต่อจากนี้พี่จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ"       ประโยคแรกหลังจากเครื่องทะยานตัวขึ้นฟ้า ความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ ความรู้สึกหัวใจพองโตของคนที่กำลังมีความรักประทุอยู่ในอกผมอีกครั้ง
"พี่เชน"       
"ครับ"
"พี่เชน"
"แมทกลัว"
"พี่ไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าแมทกลัวเครื่องบินด้วย"
"ไม่ใช่"
"งั้นก็กลัวความสูงเหรอหรือว่ากลัวที่แคบ"
"แมทกลัวสิ่งที่เรากำลังจะไปเจอต่างหาก"
"หมายถึงครอบครัวพี่เหรอ"
"แมทควรเก็บอาการให้ได้ดีกว่านี้ แมทควรตั้งสติให้ได้ แมทขอโทษนะพี่เชน มันไม่ง่ายเลยจริงๆ"
"พี่เข้าใจนะว่าแมทกำลังรู้สึกยังไง แต่พี่อยู่ข้างๆ เชื่อใจพี่สิ"
"เชื่อแต่มันคนละประเด็นกันนะ"
"ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าแมทจะต้องเจออะไร ระหว่างเราจะยังเหมือนเดิม"       ยอมรับว่าคำพูดพวกนี้มันทำให้อุ่นใจแต่ในเมื่อสถานการณ์มันเปลี่ยนไป จะให้วางใจว่าครอบครัวเขาจะมองเราได้แบบเดิมไหมนั่นมันก็กลายมาเป็นคำถามกวนใจอยู่ตลอดเวลา
"ขอบคุณนะ"       รอยยิ้มที่ไม่ค่อยเต็มยิ้มแบบนี้คงทำให้พี่เชนไม่ค่อยสบายใจนัก แต่ผมก็ฝืนเก็บมันไว้ไม่ได้จริงๆ
"หลับสักพักไหมเผื่อจะได้ดีขึ้น"       ผมไม่อยากตอบอะไรทั้งนั้น สิ่งที่ผมเลือกทำคือหลับตาลงแล้วจมอยู่กับความคิดตัวเอง       

   สำหรับผมแน่นอนว่าครอบครัวมีส่วนสำคัญต่อการตัดสินใจในทุกๆเรื่อง แล้วกับครอบครัวพี่เชนล่ะในเมื่อผมให้ความสำคัญกับครอบครัวผมก็อยากจะรักคนที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเช่นเดียวกัน ต่อให้มีความคิดสมัยใหม่แค่ไหนมันก็ไม่ง่ายนักหรอกที่จะรับให้ได้เมื่อเรื่องราวเหล่านั้นมันใกล้ตัวไม่ใช่สิมันยิ่งกว่าใกล้ มันคือเรื่องในครอบครัวมันคือเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเราเอง แน่ล่ะว่ามันอาจจะทำใจยาก ผมไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตอนนี้ได้เลย ที่ฝ่ามือก็เต็มไปด้วยเหงื่อราวกับคนวิตกจริต 

.......................................................................


   ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปตอนไหน ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนข้างๆก็กำลังหลับตาอยู่เช่นกัน ยังดีที่พี่เชนเลือกเที่ยวบินดึก ยังพอให้เคลิ้มหลับได้ง่าย แต่ถ้าเป็นตอนกลางวันผมคงกระสับกระส่ายน่าดู หลังจากพยายามปรับสายตาให้ชินกับแสงได้แล้วก็ค่อยๆเขย่าตัวคนข้างๆเบาๆ
"พี่เชนๆ"       ส่งเสียงเรียกเบาๆเพราะกลัวว่าจะไปรบกวนคนข้างๆ
"..."       ดูเหมือนพี่เชนจะไม่รู้สึกตัว
"พี่ตื่น ใกล้ถึงแล้ว"       ไฟในห้องโดยสารถูกเปิด สัญญาณรัดเข็มขัดที่นั่งก็แสดงขึ้น ตอนนี้คงใกล้จะถึงฮ่องกงแล้วการเดินทางจากภูเก็ตไปยังฮ่องกงใช้เวลาราว 3 ชั่วโมงครึ่ง เป็นระยะเวลาที่ไม่นานมากแต่รู้สึกได้ว่านอนหลับเต็มตื่น
"..."       คนข้างๆยังคงนิ่ง คงหลับลึกมากจนไม่ได้ยินเสียงผมไปแล้ว
"ตื่นได้แล้วครับพี่"       ผมเรียกพี่เชนอีกครั้งหลังจากพนักงานต้อนรับเดินมาบอกให้ปรับพนักพิงเก้าอี้ให้ตั้งตรง
"อื้อ ใกล้ถึงแล้วเหรอ"       พี่เชนสะดุ้งตื่นเหมือนคนที่สะดุ้งตัวเพราะตกใจก่อนจะปรับพนักเก้าอี้ให้ตั้งตรงเหมือนเดิม มันออกจะตลกไปสักหน่อยทั้งที่อยากจะขำแต่กลับขำไม่ออก พี่เชนดูเหมือนคนที่กำลังเหนื่อยมากๆ
"คงใกล้ละ เหนื่อยเหรอ"       พี่เชนกลับทำแค่ส่ายหน้าแล้วก็ยิ้มก่อนจะเอื้อมมือมาคว้ามือด้านขวาของผมไปกุมไว้แล้วค่อยๆหลับตาลงเหมือนเดิม

   สภาวะอารมณ์ที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้คือ ตื่นเต้น กังวล และดูเหมือนมันจะเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้ด้วย สิ่งแรกที่ผมควรทำก่อนที่เครื่องจะลงจอดคือควบคุมอารมณ์ตัวเอง สงบจิตใจและความรู้สึกให้ความตื่นเต้นลดลงเพื่อไม่เพิ่มความกังวลและลำบากใจให้พี่เชน ในเมื่อพี่เชนเคยบอกว่าครอบครัวพี่เชนรู้อยู่ก่อนแล้ว เรื่องมันอาจจะง่ายกว่าที่ผมกังวลไปก่อนก็เป็นได้
   
   ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกตัวเองว่าความรักทำให้ผมมองข้ามอุปสรรคทุกอย่างไป เพราะความรักอุปสรรคทุกอย่างจะดูเล็กลงไปจนแทบจะไม่สร้างความกังวลและปัญหาใดๆให้เราทั้งคู่ ครั้งนี้ผมจะทำแบบเดียวกัน และผมก็ยังหวังว่าความรักระหว่างเราจะทำให้ผ่านพ้นความกังวลใจไปได้อีกครั้ง     

.......................................................................


Chen Part


   ท่าทางแมทที่ดูประหม่าตั้งแต่ขึ้นเครื่องมาจนถึงตอนนี้เป็นเวลา 4 ทุ่มแล้ว ตอนที่เรากำลังเดินออกจากสนามบินเพื่อเรียกแท็กซี่กลับบ้าน ท่าทางที่ดูกังวลดูเหมือนจะลดลงแต่ก็ยังฉายชัดในแววตาอยู่ดี อันที่จริงผมก็ไม่รู้ว่าควรทำยังไงให้แมทรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้แมทกำลังกังวลที่จะไปเจอครอบครัวผมหรือกำลังกังวลกับการเดินทางมาต่างประเทศอีกครั้งกันแน่

"เรากลับมาเป็นผู้ร่วมทางกันอย่างเป็นทางการอีกครั้งแล้วนะ"       นับจากนี้เป็นต้นไปทุกการเดิน
ทางของผมจะมีคนตรงหน้าเคียงข้างไปในทุกๆที่
"พูดอะไรจริงจังขนาดนี้"       ดูท่าทางก็รู้ว่าที่พูดออกมาแบบนั้นก็เพื่อกลบอาการเขิน
"ฮึๆ เรารีบกลับบ้านกันเถอะ อยากอวดแฟนจะแย่แล้ว"       คว้ามือคนข้างมากุมไว้แล้วออกเดินไปที่จุดจอดรถแท็กซี่
ทั้งที่อากาศยังคงหนาวอยู่แต่เจ้าของมือที่ผมกุมอยู่นั้นกลับมีเหงื่อตามไรผม รวมถึงมือที่ผมกำลังกุมอยู่นี้ด้วย
"อย่าไปกังวลในสิ่งที่ยังไม่ได้เจอเลย เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัวอีกแล้ว"       เอนตัวไปกระซิบใกล้หู ผมอยากทำทุกอย่างให้แมทคลายกังวล ครอบครัวผมไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่เพราะผมเองก็เคยต้องรวบรวมความกล้าตอนไปเจออีกฝ่ายมาแล้ว ผมเลยเข้าใจว่ามันไม่ง่ายสำหรับแมทเลย แต่มันก็ไม่ได้ยากจนต้องกังวลอย่างที่แมทกำลังเป็น

   รอยยิ้มที่ค่อยๆระบายบนใบหน้าของแมทมันไม่ได้เป็นรอยยิ้มที่เป็นรอยยิ้มแห่งความสุขซะทีเดียว เรียกว่ายิ้มเพื่อให้ผมสบายใจน่าจะดีซะกว่า

   ผมเองก็ไม่ได้มั่นใจซะ 100% ว่าม๊าจะตกใจแค่ไหน ม๊าเป็นคนเดียวที่ไม่รู้ว่าคือแมท ถึงผมจะไม่แน่ใจว่าป๊ารู้หรือไม่ว่าเป็นใครแต่ป๊าก็นิ่งเกินกว่าจะจัดอยู่ในกลุ่มของคนที่ต้องกังวล ในความสบายใจผมก็ยังเจือความกังวลอยู่บ้าง แค่อยากให้ทุกคนยอมรับและรักแมทอย่างที่ผมรัก
"ไม่ว่าใครจะมีอาการยังไงหลังจากเห็นแมท พี่อยากให้แมทมั่นใจว่าพี่ไม่มีทางเปลี่ยนใจ"       ความมั่นใจที่ผมอยากให้แมทจัดระเบียบมันใส่ความคิดตอนนี้ ไม่ว่าทุกคนจะเปลี่ยนความคิดความรู้สึกไปจากวันที่ผมบอกหรือไม่ แต่ตัวผมเองจะไม่มีทางเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
"เพราะพี่ความมั่นใจของแมทเลยเพิ่มขึ้น ขอบคุณนะ"         ผมยิ้มให้กับแมทอีกครั้งก่อนจะขึ้นแท็กซี่ อุปสรรคที่เขามาไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหนผมเชื่อว่ามันจะทำให้ความรักเรามั่นคงมากขึ้น และที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดคือความเข้าใจ ซึ่งสิ่งที่แมทกำลังรู้สึกตอนนี้ผมอาจจะช่วยได้ดีที่สุดแค่แสดงออกว่าเข้าใจและให้ความมั่นใจว่าผมจะคอยอยู่ข้างๆเขาไปตลอด

.......................................................................


   เสียงออดประตูที่ผมเป็นคนกดดังขึ้นเป็นเสียงยาวต่อเนื่อง เราทั้งคู่มาถึงบ้านโดยไร้บทสนทนาใดๆบนรถแท็กซี่ ทำแค่จับมือกันเพื่อส่งผ่านความมั่นใจให้อีกคน
"เชนนี่เอง นึกว่าจะมาถึงดึกกว่านี้ซะอีก"       พี่เชลด้าเป็นคนออกมาเปิดประตู คนข้างๆผมรีบดึงมือออกจากมือผมไปไหว้พี่เชลด้าพร้อมรอยยิ้มที่ดูไร้ความมั่นใจอย่างชัดเจน
"สวัสดีค่ะแมท ในที่สุดก็พามาให้พวกเราได้เจอ ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะคะ"       คำทักทายยาวๆของพี่เชลด้าแต่แมทกลับทำแค่ยกมือไหว้อีกครั้ง ดูท่าทางเหมือนแมทจะเกร็งมากกว่าที่ผมคาดเดาไว้ ผมจะคิดเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเพราะรักมากเลยทำให้แมทกังวลที่จะเจอครอบครัวผมมากขนาดนี้
"เข้าไปในบ้านเถอะ ป๊ากับม๊ารออยู่"       พี่เชลด้าเดินนำเข้าไปในบ้าน ผมผายมือให้แมทเดินเข้าไปก่อนที่ผมจะเดินตามไป
"ใครมาน่ะเชลด้า เชนหรือเปล่า"       เสียงม๊าที่ถามทั้งๆที่กำลังหันหลังให้อยู่ในส่วนของครัว
"ม๊ามาดูเองสิคะ"       พี่เชลด้าตอบพร้อมกับอมยิ้มน้อยๆ
"ไหนขอดูหน่อยสิว่าใช่อย่างที่เดาเอาไว้ไหม"       เสียงป๊าดังขึ้นก่อนที่จะปรากฎตัว
"สวัสดีครับคุณลุง เอ่อ...ป๊า...เอ่อผม"       คนข้างๆก็รีบทักทายทำความเคารพทันทีที่ป๊าพาตัวเองพ้นจากประตูห้องน้ำ
"ใช่อย่างที่คิดจริงๆด้วย ฮ่าๆๆเรียกอย่างที่เคยเรียกสิ จริงๆต้องเรียกอย่างที่เคยเรียกนะ อย่างนั้นล่ะมันถูกต้องแล้ว ฮ่าๆๆ"       น้ำเสียงและท่าทางที่หัวเราะไปทั้งตัวแบบนั้นดูก็รู้ว่าป๊าถูกใจเหมือนกับครั้งแรกที่เจอกับแมท ผมยังบอกอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าท่าทางที่ถูกใจแบบนั้นกำลังถูกใจที่เป็นแมทหรือถูกใจที่ตัวเองเดาถูก แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน รอยยิ้มที่ฉายชัดอยู่บนหน้าแมทมันกว้างขึ้นและไม่อึดอัดเหมือนก่อนหน้านี้
"ไหนขอม๊าดูหน้าลูกชายคนใหม่ของบ้านเราหน่อยสิ"       ประโยคและน้ำเสียงที่อบอุ่นของม๊าทำให้ใบหน้าที่เคยกังวลของคนตัวเล็กข้างๆผมคลายลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่น่าตกใจหรอก คนคุ้นเคย"       ป๊ารีบตอบก่อนที่ม๊าจะเดินพ้นจากส่วนครัวออกมา
"หืม"       เสียงตอบรับของม๊าที่เหมือนสงสัย ทันทีที่ม๊าเดินผ่านผนังที่กั้นครัวออกมาแล้วหันมามองทางผมและแมทสีหน้าของม๊าก็เหมือนมีคำถาม ม๊าขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปรับให้ราบเรียบเป็นปกติ
"น้องแมท"       ม๊าเอียงคอเรียกชื่อแมทด้วยท่าทีงงๆ
"ครับ สวัสดีครับม๊า"       แมททักทายกลับตามด้วยยกมือไหว้
"เอ่อขอโทษนะจ้ะ ม๊าตกใจนิดหน่อย ผิดจากที่ม๊าคาดไปเยอะเลย"       ทุกคนหันมามองหน้าม๊า ผมไม่รู้ว่าทุกคนกำลังสงสัยแบบเดียวกับผมไหม
"ไม่เห็นน่าตกใจ ป๊าทายถูก ฮ่าๆๆ"       ป๊ายังคงแสดงออกถึงความภาคภูมิใจออกมา
"ม๊าคาดไว้ยังไงเหรอครับ"       ผมถาม
"มันออกจะไวไปหน่อยไหมถ้าเป็นน้องแมท"
"จะไวจะช้าก็ความรักจะไปคิดอะไรให้มากมาย มองไปที่อนาคตสิ"       ป๊าพูดบอกพลางลูบไหล่ม๊าหลังจากม๊ามานั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ
"ม๊าก็มองอนาคตนะป๊า ตั้งแต่เชนมาบอกว่ามีคนรักม๊าก็คาดเดาอนาคตของครอบครัวเราทุกวันเลยนะรู้ไหม"       ผมค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินอย่างนั้น ผมรักแมทและอยากให้มันค่อยเป็นค่อยไป การทิ้งความคาดหวังกับความรักมากไปมันมักจะสร้างความอึดอัดใจเสมอ
"จะไปคาดเดามันทำไม ชีวิตของลูกเป็นของลูก เราไม่ควรไปวุ่นวาย"       ผมเห็นด้วยกับสิ่งที่ป๊าพยายามพูดบอกม๊า
"ม๊านึกภาพไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไง ม๊าพยายามหาหนังสือมาอ่านหาละครหรือหนังมาดูสุดท้ายทุกๆเรื่องมันมีวิถีแตกต่างกันไปหมด คงเพราะพื้นฐานของแต่ละบุคคลแตกต่างกันเลยทำให้ม๊าจับจุดไม่ได้ว่าควรจะมองอนาคตของลูกๆเป็นแบบไหน"
"ผมขอโทษครับที่ทำให้ม๊าลำบากใจ"
"ไม่ๆเลยจ้ะ อย่าคิดอย่างนั้น ต่อให้เชนคบกับผู้หญิงม๊าก็ต้องมองอนาคตไว้อยู่ดีเพียงแต่มันคงมองออกง่ายกว่านี้ อย่าคิดมากเลยนะน้องแมท"       ต่อให้เป็นผมที่คิดน้อยอยู่แล้วได้ฟังยังต้องคิดมากกับประโยคนี้เลย แล้วคนตัวเล็กข้างๆผมนี่ล่ะ จะรู้สึกไปขนาดไหนแล้ว สีหน้าเรียบเฉยและเปื้อนยิ้มฝืนๆแบบนั้นไม่ต้องเดาแล้วล่ะ คิดไปไกลแล้วเแน่ๆ ผมควรจบบทสนทนานี้แล้วพาแมทไปนอนได้แล้ว
"เดินทางมาเหนื่อยๆไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่ ยินดีต้อนรับอีกครั้งนะแมท"       ขอบคุณป๊าสำหรับประโยคที่ช่วยให้ผมไม่ต้องเป็นคนจบบทสนทนาครั้งนี้ด้วยตัวเอง
"ไปที่ห้องกันเถอะแมท จะได้อาบน้ำพักผ่อน ห้องพี่อยู่ซ้ายมือนี้นะ เดี๋ยวพี่ตามเข้าไป"       ผมชี้บอกให้แมทเดินเข้าห้องไปก่อน
"เดี๋ยวนะ ทำไมไปนอนด้วยกัน ม๊านึกว่าจะให้น้องนอนห้องพักแขกซะอีก"       ม๊าพูดขัดขึ้นมาก่อนที่แมทจะออกเดิน
"แต่เป็นผู้ชายทั้งคู่จะแยกกันนอนทำไมละคะม๊า"       สิ่งที่พี่เชลด้าถามคือสิ่งที่ผมเองก็สงสัย
"ม๊าจัดห้องไว้ให้แล้ว ถ้านอนห้องแขกจะสบายกว่าไหมจ้ะ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ห้องผมก็ไม่ได้แคบขนาดนั้น"       ผมออกเดินพร้อมดันหลังแมทให้เดินไปข้างหน้าเพื่อเข้าไปยังห้องนอนของตัวเอง

.......................................................................


"พี่ไม่รู้ว่าแมทกำลังกังวลอะไรอยู่ แต่ดูท่าทางมันคงมากพอให้คิ้วผูกกันได้ขนาดนี้"       ผมกำลังใช้นิ้วหัวแม่มือคลายปมระหว่างคิ้วให้คนตรงหน้า
"ความคิดมันไม่ได้ห้ามง่ายขนาดนั้น"       คำตอบที่หลุดออกมาจากปากแมทบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังกังวลและยังคงคิดมากอยู่
"พี่รักแมทนะ รู้ใช่ไหม"       คนตรงหน้าพยักหน้าเบาๆทั้งสีหน้าเรียบเฉยอย่างนั้น
"ครับ"
"เข้าไปอาบน้ำพักผ่อนนะ พี่ขอไปคุยเรื่องร้านพี่เชลด้าก่อน"
"ครับ"
"อย่าลืมโทรบอกที่บ้านด้วยล่ะ"       ลูบหัวไปมาเบาๆก่อนจะจูบเบาๆลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายแล้วเดินออกจากห้องมาหาพี่เชลด้า

.......................................................................


"ไม่ง่ายอย่างที่คิดละสิ"       นี่คือประโยคแรกที่ได้ยินหลังจากเดินเข้ามาในห้องพี่เชลด้า แทนที่จะถามว่าไปประเทศไทยครั้งนี้เจออะไรมาบ้าง กลับกลายเป็นถามเรื่องที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ และดูเหมือนพี่เชลด้าจะเห็นเหมือนกันกับผม
"พี่ก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ"       พี่เชลด้ารีบพยักหน้ารับทันทีที่ผมถามจบ
"พี่แค่รู้สึกว่าม๊าพูดอะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่อยากคิดในแง่ร้าย"       
"ผมก็คิดอย่างนั้น"
"แต่ก็อย่าคิดไปก่อนเลย มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้"       จริงๆแล้วผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแม้แต่ในความคิดด้วยซ้ำ
"นั่นสินะ ว่าแต่ร้านเป็นไงบ้าง พรุ่งนี้ตอนเช้าว่าจะเข้าบริษัทก่อน แพทอาจจะกำลังอยากจะบ่นผมที่หายไปนาน"       ผมลานานกว่าที่เกริ่นกับแพทเอาไปไปสามวัน ไม่รู้ป่านนี้จะหัวหมุนกับงานไปแค่ไหน
"พี่ว่าเชนเข้าบริษัทก่อนก็ดีนะ แล้วก็พาแมทออกไปหาอะไรอร่อยๆทาน"
"จริงๆผมตั้งใจว่าหลังจากนั้นจะพาแมทมากินข้าวที่ร้านแล้วเย็นๆเราพาป๊ากับม๊าออกไปกินข้าวนอกบ้านกันไหม"       ครอบครัวผมไม่ได้ทานข้าวนอกบ้านกันมาสักพักแล้ว และนี่ก็ดูเหมือนจะเป็นโอกาสดีที่จะได้ออกไป
"ก็ดีนะ เอางั้นก็ได้ เรื่องร้านไม่ต้องเป็นห่วงหรอก พี่ว่างมากพอที่จะทำมันให้ดี"       พี่เชลด้าพูด
"ขอบคุณพี่มากนะที่ไม่ไล่ผมออกซะก่อน"
"ใครจะกล้าทำแบบนั้นกัน พี่ซะอีกสิที่ต้องคิดอย่างนั้น ไปนอนเถอะดึกมากแล้ว"
"ครับ ฝันดีนะครับ"
"ฝันดีจ้ะฝากบอกแมทด้วย"       ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะเดินออกมาจากห้อง

.......................................................................


   ทันทีที่เข้ามาในห้องนอนของตัวเองก็พบว่าคนช่างกังวลชิงหลับไปก่อนแล้ว ผมทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียงข้างๆนั่งมองคนรักที่กำลังหลับไม่รู้สึกตัว เห็นแล้วก็นึกถึงวันที่เจอกันครั้งแรกท่านอนของแมทตอนนี้เตือนให้นึกถึงภาพวันนั้น อันที่จริงแมทไม่เหมือนคนจรจัดเลยสักนิด หน้าตาท่าทางก็ดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะเป็น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ผมพูดกระทบกระแทกออกไปแบบนั้น ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าการได้นั่งมองใครสักคนนอนหลับจะรู้สึกมีความสุขแบบนี้ รู้สึกได้ว่ากำลังยิ้มมุมปากแล้วค่อยๆกว้างขึ้นเรื่อยๆ ถ้าในหัวผมตอนนี้คือกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น คำเดียวที่อยากจะระบายลงไปก็คือ 'น่ารัก' ไม่ว่างจะมองท่าไหนคนตรงหน้าผมก็เหมาะกับคำว่าน่ารักมากอยู่ดี คงเพราะรักละมั้งถึงได้รู้สึกอย่างนี้

   ค่อยๆเอื้อมมือไปคลายปมระหว่างคิ้วของแมทที่ขมวดเอาไว้ ในขณะที่ผมมีความสุขจนแทบจะล้น แต่คนที่ผมรักกำลังฝันถึงอะไรทำไมถึงได้นอนขมวดคิ้วอย่างนั้น
"อื้อออออ"       รีบกระตุกมือกลับทันทีที่ได้ยินเสียงจากลำคอของคนที่นอนขดตัวอยู่ตรงหน้า
"พี่เชน"       เสียงเรียกหลังจากที่แมทค่อยๆลืมตาแล้วยันตัวขึ้นนั่ง
"กำลังฝันถึงอะไรอยู่หื้ม"
"เข้ามานานแล้วเหรอ"       ดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่ผมถาม คงเป็นปกติของคนที่กำลังสลึมสลือละมั้ง
"สักพักละมั้ง ยังกังวลอยู่อีกเหรอ"       ผมถาม
"ก็มันไม่ง่ายที่จะปล่อยวาง"       ผมไม่อยากให้แมทต้องคิดมาก ทุกอย่างมันกำลังไปได้สวย แม้ผมจะไม่เข้าใจนักว่าแมทกำลังกังวลอะไรแต่มันคงไม่พ้นปฏิกริยาที่ม๊าแสดงออกก่อนหนานี้
"พี่คงไม่เก่งพอที่จะห้ามความคิดแมทได้ ดูเหมือนสิ่งเดียวที่พี่ทำได้ตอนนี้คือทำให้แมทมั่นใจและอุ่นใจ"       พูดจบผมก็คส้าตัวคนตรงหน้ามาอยู่ในอ้อมกอด กลิ่นหอมของสบู่และแชมพูที่เคยใช้พอมาอยู่บนตัวของแมทมันกลับให้ความรู้สึกน่าลุ่มหลงหลังจากได้กลิ่น
"แมทขอโทษที่ทำให้พี่เชนเหนื่อยใจ"
"ตัวก็เล็กแค่นี้ แต่ทำไมเวลากอดนี่อบอุ่นจัง"       กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย ผมไม่อยากให้แมทมาขอโทษกับสิ่งที่แม้แต่ตัวแมทเองก็ควบคุมมันไม่ได้
"งั้นก็ต้องกอดแค่แมทแล้วก็ต้องกอดไปนานๆเลยนะ"       เปลี่ยนจากมือที่ประคองกอดที่หลังเอาไว้มาลูบหัวเบาๆหลังจากได้ยินคำพูดที่ฟังดูน่ารัก
"ขอแค่นี้เองเหรอ"       คนในอ้อมกอดทำแค่พยักหน้าอยู่บนบ่าผม
"สิ่งที่แมทขอเป็นสิ่งที่พี่พร้อมจะทำอยู่แล้ว อย่างที่เคยบอกว่าพี่จะไปสัญญาอะไรทั้งนั้น อย่างเดียวที่จะผลักให้พี่ทำในทุกๆอย่างคือมันจะต้องเป็นความสุขของแมท"       แม้ไม่มีคำตอบใดใดหลุดออกมาแต่กอดที่ผมได้รับถูกกระชับให้แน่นขึ้นแค่นั้นก็แทนคำตอบที่ต้องเปล่งเสียงออกมาได้แล้ว
   
.......................................................................



♡ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ^^*
♡มาแล้ววววว อิอิ ไม่ได้ลงนานอ่ะเนอะ ลืมเฉยเลย 5555 ทำไมเป็นคนแบบนี้?!?
♡สวัสดีปีใหม่ล่วงหน้านะคะ เจอกันตอนต่อไปปีหน้าเลย ขอให้เที่ยวให้สนุก อย่าลืมพักผ่อนเอาแรงไว้ลุยงานกันต่อปีหน้า เย้ๆ สู้ๆนะคะทุกคน...รัก ^^
♡อย่าลืมแวะไปติดแท็ก #รักระหว่างทาง กันด้วยน้า
♡แนะนำติชมได้ตามสะดวกเลยนะคะ ขอบคุณค๊า
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 29 [28-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-01-2016 13:12:41
มาลงตั้งหลายวันแล้ว แต่คนอ่านเพิ่งจะได้อ่าน

นั่นซิใครเห็นท่าทางคำพูดม๊า
ก็ต้องคิดมากไม่ต่างกับแมทหรอก
ชอบวิธีการเติมกำลังใจให้กันและกัน
หัวข้อ: Re: รักระหว่างทาง : ตอนที่ 29 [28-12-58] ● หน้า 7
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 08-04-2016 17:58:00
คิดถึงเรื่องนีิ
หัวข้อ: แจ้งข่าว
เริ่มหัวข้อโดย: anana ที่ 11-04-2016 18:44:31
สวัสดีค่ะ
      จะมาแจ้งว่ายังไม่ทิ้งเรื่องนี้นะ ยังไงก็มีตอนจบแน่นอน แต่อยากเขียนให้จบให้เป็นรูปเป็นร่างจริงๆก่อนแล้วค่อยเอามาลงทีเดียว ไม่งั้นเราก็จะต้องวนลูปเดิมแน่ๆเลย คือพอหมดสต็อกก็หายไปสักพักอีกเหมือนเคย ขอโทษทุกคนที่ติดตามเรื่องนี้สำหรับความไม่สม่ำเสมอของเรา ㅠㅠ มีคำถามว่าเมื่อไหร่แมทจะตื่น ฮ่าๆๆๆ คำตอบคือยังไม่อยากกำหนดระยะเวลาเลย แต่ใกล้ความจริงแล้ว
     ยังไงก็แวะไปคุยไปคอมเม้นกันที่ทวิตเตอร์ @iamanana_anana หรือเพจ Anana ได้เลยนะคะ

ขอบคุณสำหรับการติดตาม ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านด้วยนะคะ

รัก
อนานา
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าวค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: why yyy ที่ 11-04-2016 23:53:55
ขอบคุณ :)
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าวค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 25-08-2016 23:46:46
มาต่อหน่อยจน้า...คิดถึง..
หัวข้อ: Re: แจ้งข่าวค่ะ
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 29-08-2016 00:10:03
ยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นะคะ