พิมพ์หน้านี้ - *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => ข้อความที่เริ่มโดย: ็Hollyk ที่ 12-01-2017 22:27:20

หัวข้อ: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 12-01-2017 22:27:20
เก็บกระทู้ไว้  -------โมดุฯ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.เมื่อนิยายจบแล้วให้แก้ไขหัวกระทู้ต่อท้ายว่าจบแล้ว


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 







เพราะหัวใจบอกว่า...รัก


เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่ลืม



สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่นิยายเรื่องที่สองที่ลงในเล้าเป็ด

เรื่องนี้จะเป็นเเนวดราม่าค่ะ
[/size][/color]

สำหรับคนเล่นทวิต ใช้ #ดิมเต

สำหรับเฟสบุ๊ค

F A N P A G E (https://www.facebook.com/Melenalikebanana/?fref=nf)

ผลงานเรื่องอื่น
#แอบลักษณ์ (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=56731.0)

สารบัญ

เพราะ...ลืม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3556235#msg3556235)
เพราะ...จำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3557340#msg3557340)
เพราะ...ย้ำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3557643#msg3557643)
เพราะ...รู้สึก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3558903#msg3558903)
เพราะ...ร่ำร้อง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3561202#msg3561202)
เพราะ...หึง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3563231#msg3563231)
เพราะ...หวง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3563992#msg3563992)เพราะ...หวง2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3564415#msg3564415)
เพราะ...ไม่จริง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3565027#msg3565027)เพราะ...ไม่จริง2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3565240#msg3565240)
เพราะ...เลือก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3565812#msg3565812)เพราะ...เลือก2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3565838#msg3565838)
เพราะ...กลัว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3566590#msg3566590)เพราะ...กลัว2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3566593#msg3566593)
เพราะ...หวัง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3567175#msg3567175)เพราะ...หวัง2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3567184#msg3567184)
เพราะ...ลอง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3568651#msg3568651)เพราะ...ลอง2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3568658#msg3568658)
เพราะ...เริ่ม (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3571753#msg3571753)เพราะ...เริ่ม2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3571765#msg3571765)
เพราะ...คิด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3572983#msg3572983)เพราะ...คิด2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3572989#msg3572989)
เพราะ...ลึก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3573723#msg3573723)เพราะ...ลึก2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3573732#msg3573732)
เพราะ...ซึ้ง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3575206#msg3575206)เพราะ...ซึ้ง2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3575220#msg3575220)
เพราะ...รัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3582427#msg3582427)เพราะ...รัก2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3582434#msg3582434)
เพราะ...เสีย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3584468#msg3584468)เพราะ...เสีย2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3584475#msg3584475)
เพราะ...เเล้ว (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3586427#msg3586427)เพราะ...เเล้ว2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3586433#msg3586433)
เพราะ...หนัก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3590885#msg3590885)เพราะ...หนัก2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3590895#msg3590895)
เพราะ...หน่วง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3622160#msg3622160)เพราะ...หน่วง2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3622330#msg3622330)
เพราะ...ตัด (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3624134#msg3624134)เพราะ...ตัด2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3624140#msg3624140)
เพราะ...ไม่ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3627557#msg3627557)เพราะ...ไม่2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57295.msg3627662#msg3627662)




บทนำ


‘เตขอโทษ  พี่ดีเกินไปสำหรับเต   เตไม่อยากให้พี่ดิมจะต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่ เพราะเต   ขอโทษจริงๆแต่เราจบกันตรงนี้เถอะนะ’

เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดเสียงสั่น  ยกมือขึ้นไหว้เขา  และทำท่าจะหันหลังเดินจากไป

เขาพูดไม่ออก  รู้สึกหัวสมองมึนชา ได้แต่เอื้อมมือไปยึดแขนของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

‘เดี๋ยวเต  เต..หมายความว่ายังไงนะ  พี่...” 

ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ไม่มีทันได้เอะใจใดๆทั้งสิ้น  เมื่อวานเขายังหัวเราะให้แก่กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ  ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้   มันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง

‘เตขอโทษ  พี่ดิม  ปล่อยเตเถอะ’ แฟนของเขาพูด พยายามบิดแขนออกจากมือของเขา  ขาก้าวออกเดินหนี   แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ  ยังคงเดินตามไปติดๆ

เสี้ยวหน้าที่เขาเห็นนั้นซีดเผือด  แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว

‘เต  ทำไมล่ะ  เกิดอะไรขึ้น  โกรธอะไรพี่หรือ  พี่ทำอะไรผิดไป...” เขาเขย่าแขน  แต่อีกฝ่ายสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุด   แล้วออกวิ่ง

เขาวิ่งตาม

 ‘เต..เต  เดี๋ยวก่อน  ทำไมล่ะ  บอกพี่มา’

   เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว  เขารีบกวดฝีเท้าวิ่งตามไป ไม่ทันระวัง  ไม่เห็นเลยว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งตรงมาด้วยความเร็ว ก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเขาอย่างแรงจนกระเด็น

   ตัวลอยหวือไปตกกระแทกพื้น  รู้สึกจุกแน่นหายใจไม่ออก  เจ็บแปลบที่ศีรษะ  เห็นลางๆว่าเด็กหนุ่มคนนั้นหันมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็หายลับสายตาไป   เขาพยายามจะเพ่งมอง แต่สายตากลับพร่าเบลอจนมองภาพไม่ชัด 

   สำนึกสุดท้ายมีเพียงใบหน้าเรียวของเด็กหนุ่มคนนั้น กับประโยคที่ก้องกลับไปกลับมาอยู่ในหูว่า ‘เราจบกันตรงนี้เถอะนะ  เตขอโทษ’ 

        จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

...



หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลืม] ตอนที่1 12/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 12-01-2017 22:59:35
เพราะหัวใจบอกว่า...ลืม






นายแพทย์รดิศ  ศัลยแพทย์ทรวงอกที่เพิ่งกลับจากอเมริกามาสดๆร้อนๆ ยกกาแฟขึ้นจิบพลางดูนาฬิกาข้อมือ....ล่วงเวลามาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว

...คุณหมอรัน  มัวแต่โม้กับคนไข้อีกตามเคย

เขานั่งรออยู่ในห้องทำงานของแฟนมาพักใหญ่   หุ่นยนต์  ตุ๊กตาและโมเดลรถคันเล็กๆวางอยู่ตามชั้นต่างๆเต็มห้อง ทำให้ต้องส่ายหัวกับตัวเอง

นี่เอาไว้ให้ผู้ป่วยเด็กน้อยทั้งหลายเล่น หรือเอาไว้เล่นเองกันแน่นะ

ประตูห้องเปิดพร้อมกับร่างของคนรักในชุดกาวน์ยาวก้าวเข้ามาในห้อง   

“กว่าจะเสร็จนะครับ  โม้น้ำลายแตกฟอง  ไม่กลัวคนไข้เขาขี้หูไหลบ้างเหรอไง”  เขาทักทันที  หมอรันจุ๊ปาก

“แหม  รอนิดรอหน่อยทำเป็นบ่นไปได้  คุยกับเด็กๆสนุกดีออก  ใครจะเหมือนคุณหมอดิมหน้าโหดล่ะ แค่เข้าใกล้เด็กก็ร้องไห้หาแม่จ้าแล้ว”  เจ้าของห้องถอดเสื้อกาวน์ออกแขวนเอาไว้

“เวอร์ไป  เอ้า  เก็บของเร็วๆสิคร้าบ   หิวข้าวจนแสบท้องหมดแล้ว  นานๆทีจะได้ออกไปกินข้างนอกโรงพยาบาล”

วิรัลย่นจมูกให้ แต่ก็รีบเก็บของเดินออกมาจากห้องแต่โดยดี  รดิศยกมือขึ้นโยกหัวของเขาเล่นเบาๆ จนต้องเอี้ยวหลบ

   “อย่าสิ  วันนี้รันเซ็ทผมอยู่ตั้งนานนะ   อ้าว....คุณแม่น้องเต้  ยังไม่กลับเหรอครับ”  เขาหันไปทักหญิงสาวผิวเข้ม หน้าคมหวาน  มารดาของผู้ป่วยเด็กชายวัย 7 ขวบ ที่เพิ่งตรวจเสร็จเมื่อครู่ใหญ่

   เธอหิ้วถุงใส่มะม่วงถุงใหญ่ส่งมาให้เขา 

   “ดิฉันเอามะม่วงมาฝากคุณหมอค่ะ  พอดีพ่อน้องเต้เขาเพิ่งแวะซื้อมาให้  สวนนี้อร่อยนะคะคุณหมอ  ขอบคุณนะคะที่ดูแลน้องเต้อย่างดี”

   รันยิ้มกว้าง  รับของกำนัลมาจากเธอ

   “ขอบคุณมากนะครับ  วันหลังไม่ต้องลำบากนะครับ  ผมเกรงใจ  แล้วนี่น้องเต้ไปไหนเสียแล้วล่ะครับ” เขามองหาเด็กชาย 

   “อยู่กับพ่อเขาน่ะค่ะ  แน่ะ  เดินมากันโน่นแล้ว  คงจะมาตาม..”  หญิงสาวหันไปกวักมือเรียก

   ชายหนุ่มร่างโปร่งเพรียวจูงมือเด็กชาย  เดินเรื่อยๆตรงมาหาอย่างไม่รีบร้อน   เด็กชายเต้ปล่อยมือบิดา วิ่งเข้าไปหากุมารแพทย์

   “ไงเรา  วิ่งได้แล้ว  เมื่อกี้ยังร้องไห้อยู่เลยฮึ...”  เขาย่อตัวลงไปพูดกับเด็กน้อยและมารดาของเด็กอีกหลายคำ  ไม่ทันสังเกตอากัปกิริยาของผู้เป็นพ่อ ที่หยุดยืนชะงักนิ่งไปในทันทีที่เข้ามาใกล้พอที่จะเห็นใบหน้าใครบางคนถนัด

   ใบหน้าเรียวซีดเผือดทันตาเห็นเหมือนถูกสูบเลือดออกไป    เขาจ้องใบหน้าของนายแพทย์หนุ่ม  ที่ยืนอยู่ข้างๆหมอที่รักษาลูกของเขาอย่างตกใจ

   ......โลกกลมเกินไปหรือเปล่า  หรือว่าโชคชะตาจงใจกลั่นแกล้งเขา......

ศัลยแพทย์หัวใจเลิกคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่าครับ  เรา....เคยเจอกันเหรอ”

00000000000000000000000000000


“พี่เต  เป็นอะไรไปคะ  เห็นเงียบมาตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาลแล้ว  หรือว่าไม่สบาย  ติดหวัดนายตัวแสบล่ะสิ”  ข้าวตังยกมือขึ้นอังที่หน้าผากของเขา  เธอสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางแปลกไปตั้งแต่แยกกับหมอรันเมื่อตอนเที่ยงแล้ว

ติณธรจับมือของเธอไว้ 

“ไม่ได้เป็นอะไรหรอก  อากาศมันร้อนน่ะ  พี่เลยรู้สึกเพลียๆ  ง่วงนอนด้วย”  เขาเสเดินไปเปิดตู้เย็น  หยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาเทใส่แก้ว

“เมื่อคืนเขียนหนังสือดึกล่ะซี   งานเร่งเหรอคะ”  หญิงสาวพูด พลางประกอบอาหารง่ายๆ ไว้ทานกันสามคนพ่อแม่ลูก
 
“อืม  ใกล้จะปิดเล่มแล้ว  พี่โดมอยากให้เพิ่มเนื้อหาอีกนิดหน่อย”  เขาหมายถึง โดม บก.นิตยสารชื่อดังที่เขาเป็นคอลัมนิสต์อยู่  หญิงสาวพยักหน้ารับ  เธอรู้จักดี  โดมแวะมาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาอาหารเย็น  พี่เตเดินลับหายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้าน  ไม่มีท่าทางว่าจะแตะต้องอาหาร  หรือไม่เขาก็คงจะลืมไปแล้ว

เธอตั้งโต๊ะอาหาร  มีเด็กชายตัวป้อมมาช่วยด้วย  เต้ถูกฝึกมาให้รู้จักทำงานบ้าน ช่วยพ่อแม่เท่าที่จะทำได้  เธออยากให้ลูกชายดูแลตัวเองได้ในภายภาคหน้า  ตอนที่เธอ...

ข้าวตังรีบหยุด  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้   เรื่องในอนาคต ใช่ว่ามันจะต้องเกิด  บางทีโชคอาจจะเข้าข้างเธอ  อย่างน้อยแค่ยืดเวลาออกไปให้นานๆจนเต้โตเป็นผู้ใหญ่ ไม่กลายเป็นภาระของพี่เตก็ยังดี

แค่นี้เขาก็เสียสละเพื่อเธอมามากเกินไปแล้ว

“คุณแม่คับ  คุณพ่อเป็นไรน่ะ  ไม่กินข้าวเหรอ”  ลูกชายตัวดี ตั้งข้อสงสัยขึ้นมาทันที  ตรงกับที่เธอกำลังสงสัยอยู่เหมือนกัน
คงเป็นเพราะเหนื่อยนั่นแหละ

“คุณพ่อเหนื่อยค่ะลูก  เดี๋ยวเต้ขึ้นไปเคาะห้องเรียกคุณพ่อกินข้าวหน่อยน้า”  เธออาศัยแรงงานตัวน้อยให้ขึ้นไปเรียกให้  รู้ดีว่าถ้าเป็นเต้   พี่เตจะไม่มีวันปฏิเสธ

ก็เขารักลูกชายยิ่งกว่าแก้วตาดวงใจนี่นะ

สักพัก ชายหนุ่มก็อุ้มเด็กชายเดินลงบันไดบ้านลงมา  สองหนุ่มหัวเราะกันเอิ้กอ้าก  หญิงสาวเงยหน้าขึ้นรับ....ทุกครั้งที่เธอเห็นพี่เตยิ้ม    หัวใจของเธอก็พลอยชื่นบานไปด้วย

“กินให้หมดนะเต้  ไม่งั้นอดเล่นเกมกับพ่อ”  เขาขู่เหมือนทุกครั้ง  และก็ได้ผลตลอด  เด็กชายเต้ติดพ่อมาก  มากกว่าติดเธอผู้เป็นมารดาเสียอีก  คงเป็นเพราะว่าพ่อทำงานอยู่กับบ้าน  ส่วนเธอต้องออกไปทำงานข้างนอก

จบมื้ออาหาร สองพ่อลูกก็หายเข้าไปในห้องนอน  เดาได้ไม่ยากว่าคงจะไปเล่นเกมกันต่อเหมือนทุกครั้ง  ได้ยินเสียงหัวเราะใสแจ๋วของเด็กน้อยปนกับเสียงทุ้มๆของคนเป็นพ่อดังแว่วๆออกมาไม่ขาดระยะ

หญิงสาวยิ้มกับตัวเอง

พักใหญ่ติณธรก็ออกมาจากห้องนอนของลูกชาย   เขากลับเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่ติดกับห้องนอน  หญิงสาวที่รอจังหวะอยู่แล้วจึงรีบยกแก้วใส่นมอุ่นๆเข้าไปให้

“ขอบใจจ้ะ”  ชายหนุ่มตอบสั้นๆ  สายตาเพ่งมองข้อความในคอมพิวเตอร์  เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มให้หญิงสาวแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มลงทำงานต่อ

“พี่เตรีบดื่มนะคะ  เดี๋ยวจะเย็น”

“ได้จ้ะ”  เขาเอื้อมมือไปหยิบแก้วขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง   หญิงสาวเม้มปาก  เธอลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความอึดอัด

ความอึดอัดขัดเขินแปลกๆที่ไม่รู้ว่ามันเริ่มเกิดตั้งแต่เมื่อไหร่  และตอนนี้มันก็สะสมเพิ่มพูนขึ้นมาจนเธอรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้งที่อยู่กับอีกฝ่ายสองต่อสอง

“มีอะไรหรือเปล่า..ตัง”  เธอสะดุ้ง  เมื่อจู่ๆชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นถาม  เขาส่งยิ้มให้เธอนิดหนึ่ง  เธอก็เผลอหลบอย่างไม่ตั้งใจ  รู้สึกใบหน้าร้อนซู่ขึ้นมาทันตาเห็น

“เอ้อ  พี่เต  เรื่องโรงเรียนของนายเต้น่ะ  ตังว่าจะย้ายนะ  ให้ไปเรียนที่โรงเรียน.......แทนดีกว่า  จะได้พื้นฐานแน่นๆ  สังคมก็ดีกว่าด้วย”

คนฟังขมวดคิ้วนิดหนึ่ง   โรงเรียนใหม่ของลูกชายเป็นโรงเรียนชื่อดัง ขึ้นชื่อว่าค่าเทอมไม่แพง แต่ค่าแป๊ะเจี๊ยะและอื่นๆแพงหูฉี่ทีเดียว

“แต่ที่นู่นค่าใช้จ่ายคงเพิ่มจากเดิมหลายหมื่นเลยนะ  พี่กลัวว่าจะส่งไม่ไหว” เขาติง

“ไม่ต้องห่วงนะพี่  ตังได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแล้ว  ตังคนเดียวก็ส่งไหว  จริงๆพี่เตไม่ต้องช่วยส่งด้วยซ้ำ”

“ได้ยังไงล่ะ  เจ้าเต้มันก็เป็นลูกพี่เหมือนกันนะ”

“แค่หลานตะหากล่ะ  พี่ไม่ใช่พ่อแท้ๆสักหน่อย”  เธอพูดเสียงอ่อน  ถึงจะปลื้มใจที่เขารักและเอ็นดูเต้เหมือนลูก  แต่ยังไงก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้  ว่าเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆของเด็กคนนั้น

“ยิ่งแล้วใหญ่เลย  ควบสองตำแหน่งทั้งพ่อทั้งลุง  แล้วจะไม่ให้พี่ส่งมันเรียนได้ไงฮึ  ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า  พี่รวยนะ  ลืมแล้วเหรอ”  ชายหนุ่มพูดแกมหัวเราะ  ลุกขึ้นจากโต๊ะโอบไหล่บางพาเดินไปส่งที่ห้องนอนของเธอที่อยู่ตรงข้ามกัน  มีประตูเชื่อมกับห้องนอนของลูกชาย

“ไม่ต้องคิดมาก  รีบนอนซะ  อ้อ  พรุ่งนี้พี่ออกแต่เช้า  เดี๋ยวหาข้าวกินเอง ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำให้  เข้าใจหรือเปล่า”  เขายีหัวหญิงสาวเบาๆอย่างเอ็นดู  แล้วถอยออกมาจากห้องนอนของเธอ 

หญิงสาวมองตามร่างที่ลับเข้าไปในห้องทำงานอีกครั้ง   เหมือนทุกที  พี่เตไม่เคยล่วงล้ำเข้าไปในห้องของเธอเลยแม้แต่ก้าวเดียว  ทั้งๆที่ทุกคนเข้าใจว่าเราสองคนเป็นสามีภรรยากันและมีลูกเล็กๆหนึ่งคน

พี่เตก็ยังคงเป็นพี่เตคนเดิม  สุภาพ อ่อนโยน  ให้เกียรติเธอและมีน้ำใจเสมอต้นเสมอปลาย  ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้  อีกฝ่ายไม่เคยแสดงออกกับเธอเกินเลยกว่าสถานะพี่ชาย-น้องสาวเลยสักครั้ง

และคงไม่มีวันคิดด้วย  ไม่เหมือนกับเธอ  ที่ไม่ระวัง เผลอใจไป  รู้ตัวอีกที ก็รักผู้ชายใจดีคนนั้น เกินคำว่า ‘พี่ชาย’ ไปแล้ว


ติณธรกลับเข้ามาในห้องทำงาน  รอยยิ้มเมื่อครู่จางหายไปเหมือนไอน้ำถูกแดด   เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างแรง  เงยหน้าขึ้นจ้องมองเพดานห้องนิ่งอยู่อย่างนั้น

เสียงทุ้มนุ่มเมื่อกลางวันดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแววตาฉงนสงสัยติดตา   คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ เมื่อมองดูเขา

.....เขาจำเราไม่ได้จริงๆสินะ   น่าขันที่เรากลับจำเขาได้ในทันทีที่เห็นเพียงแวบแรก.....

ได้ข่าวว่าเขาเรียนจบแล้ว   ไม่นึกว่าจะกลับมาอยู่เมืองไทย  หรือว่าเขาแค่กลับมาเยี่ยมบ้านกันแน่นะ ....รูปร่างสูง ช่วงบ่าและแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตอย่างดีราคาแพง  รวมถึงกางเกงและรองเท้าเข้าชุดกัน เนี้ยบกริบ  ..ผู้ชายคนนั้นคงจะมีชีวิตที่ดีมากๆทีเดียว
อย่างน้อยก็คงจะดีกว่า จบเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่โรงพยาบาลชุมชนต่างจังหวัดในเขตทุรกันดารอย่างที่คนๆนั้นตั้งใจเอาไว้ตอนแรกแน่นอน

เตเปิดลิ้นชักอันล่างสุดออกมา  ล้วงเข้าไปยังมุมที่ลึกที่สุด  หยิบกล่องใบเล็กขึ้นมาเปิดดู  ในนั้นมีนาฬิกาเรือนหนึ่งวางสงบนิ่งอยู่  สายหนังเริ่มเก่าจากการเก็บเอาไว้นาน  หน้าปัดมีฝุ่นเกาะอยู่บางๆ  เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเบาๆ

ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ราวกับเจ้าตัวมากระซิบอยู่ข้างหูซ้ำไปมา

 ‘พี่ซื้อนาฬิกาให้  เพราะพี่จะได้ใช้เวลาร่วมกับนายได้ทุกวินาทีไงล่ะ  เท่ห์มั้ย’ 

จำได้ว่าตอนนี้นั้นเขาหัวเราะแทบกลิ้งกับมุขเสี่ยวที่พี่ดิมสรรหามาเล่น   หัวเราะกลบเกลื่อนความเขินและความดีใจที่อีกฝ่ายจำวันครบรอบ 4 ปีที่คบกันได้

‘เตจะใส่ทุกวันเลย’

‘จริงๆนะ  ห้ามถอดเลยนะ’  อีกฝ่ายยิ้มหน้าบานเหมือนเด็กๆ  รอยยิ้มนั้นยังคงติดอยู่ในความทรงจำของเขา แม้ว่าจะผ่านมานานหลายปี

ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจำแม้แต่ชื่อของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ   คงเพราะอุบัติเหตุในวันนั้น  ก็ดีแล้วล่ะ  ปล่อยให้เรื่องของเรากลายเป็นอดีตที่ถูกลืมไปดีกว่า

   ชายหนุ่มเก็บนาฬิกาเรือนนั้นลงกล่องตามเดิม   วางเอาไว้ในลิ้นชัก...ที่เดิมที่มันอยู่มาเกือบ 10 ปีอย่างทะนุถนอม


0000000000000000000000000000000


นายแพทย์หนุ่มถอดเน็กไทด์เขวี้ยงลงบนเตียงแรงๆ  ระบายความหงุดหงิดที่เขารู้สาเหตุดีว่าอารมณ์ฉุนเฉียวทั้งหมดนี่เกิดจากอะไร

คนๆนั้น!   เพราะได้เจอกับคนที่เขาเกลียดที่สุดในโลกนั่นอีกครั้ง

ใบหน้าเรียวหวาน รูปร่างเพรียวบาง ท่าทางซื่อๆ  เหอะ!  ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด  อย่างกับเด็กหนุ่มเมื่อสิบปีก่อน ก้าวออกมาจากความทรงจำของเขางั้นแหละ

คนใจดำที่เขาอยากสาปแช่งทุกวัน แต่ก็ไม่ทำ  ไม่ใช่ว่ากลัวอีกฝ่ายจะมีอันเป็นไปตามที่สาปแช่งหรอก  แต่เขาเกลียดจนไม่อยากแม้แต่จะนึกถึงชื่อของไอ้เด็กนั่น

ยังมีหน้ามาลอยหน้าลอยตา จ้องหน้าเขาอีก

ยอมรับว่าเขาตกใจไม่น้อยที่จู่ๆก็ได้พบหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว    และยังต้องรับรู้อีกว่า ไอ้หมอนั่นแต่งงานแล้ว  มีลูกโตตัวเบ้อเร่อ วิ่งได้  แถมมีเมียสวยอีกต่างหาก

ข่าวใหม่ที่ได้รู้ ทำเอาเขาอึ้งพูดไม่ออกไปชั่วครู่  ตอนแรกเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นจำไม่ได้หรอก   แต่ในเมื่ออีกฝ่ายทำท่าไม่รู้ไม่ชี้ราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  เขาก็ไม่อยากขัดศรัทธา

ก็ดีเหมือนกัน  ต่างคนต่างอยู่เถอะ  ตอนนี้เขาเป็นศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังแล้ว  จะไปสนอะไรกับไอ้เด็กนั่นล่ะ  อย่างหมอนั่น...พวกอ่อนแอแบบนั้น...คงเป็นได้แต่ลูกน้อง  โดนเขาใช้ทำงานหัวหมุนอยู่วันยันค่ำนั่นแหละ

หันรีหันขวางอยู่ครู่ใหญ่  โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นอีก   รดิศก้าวเข้าไปรับ

   “ฮัลโหล  อ้อ  เจ๊ส้มเหรอครับ   ว่าจะไปวิ่งหน่อย  ก็ได้ครับ  เจอกันที่ฟิตเนสนะ”  ชายหนุ่มไล่ความคิดไร้สาระจำพวก เด็กใจดำบางคนทิ้งไปจากสมอง  เขารีบเปลี่ยนชุดออกกำลังกายแล้วขับรถจากคอนโดตรงไปที่ฟิตเนส  ตามที่นัดแนะกับเพื่อนรุ่นพี่เอาไว้

   พี่ส้มนั่งรอเขาอยู่ก่อนแล้ว ข้างๆเธอมีผู้ชายรูปร่างอ้วนใหญ่นั่งอยู่ด้วย  ท่าทางกำลังสนทนาอะไรกันอยู่อย่างสนุกสนาน   เธอรีบแนะนำชายหนุ่มคนนั้นทันที

   “ดิมจ้ะ  นี่คุณโดม  เป็นบก.นิตยสารเซเลปรายเดือน ที่พี่เคยให้สัมภาษณ์ไง  คุณโดมเขาอยากสัมภาษณ์เธอหน่อยน่ะ”

   “สวัสดีครับ   ยินดีที่ได้รู้จักคุณหมอดิมครับ   ผมชื่อดรงค์ครับ เรียกโดมเหมือนหมอส้มก็ได้”

   “หวัดดีครับ  เอ่อ  สัมภาษณ์อะไรครับ คือผมไม่ถนัดเรื่องพวกนี้  ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”

   “แหม เธอนี่ล่ะก็  อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธสิ  นิตยสารของคุณโดมเขาขายดีมากนะ  เธอจะยิ่งดังเลยล่ะ”   

   “แค่นี้ผมก็ผ่าไม่ไหวแล้ว  แทบไม่มีวันหยุดเลยนะเจ๊   ผมไม่สะดวกจริงๆ  คุณไปสัมภาษณ์คนอื่นเถอะนะ  เรื่องของผมไม่มีอะไรหรอก”  ศัลยแพทย์หนุ่มปฏิเสธอีกรอบ  แต่บก.ไม่ยอมแพ้ 

   “ถ้าเรื่องของคุณหมอ เรียกว่าไม่มีอะไรนะ  ผมก็คงไม่รู้จะไปสัมภาษณ์ใครแล้วล่ะครับ สัมภาษณ์นิดเดียวครับ สั้นๆ แค่อยากให้คุณหมอเล่าให้ฟังถึงชีวิตที่นู่น  การเรียน การทำงาน เผื่อว่าจะได้เป็นแรงบันดาลใจให้แก่คนอ่านไงครับ  แล้วก็จะแทรกความรู้ด้วยนิดหน่อย  แบบเกี่ยวกับโรคหัวใจ คำแนะนำของคุณหมอ ขอเวลาคุณหมอนิดเดียว”  เขาคะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ  จนชายหนุ่มต้องจำใจตกปากรับ เพราะเกรงใจเพื่อนรุ่นพี่ที่แนะนำด้วย

   “ก็ได้ครับ แต่คงไม่ใช่วันนี้หรอกนะ   ผมวิ่งเสร็จต้องกลับไปอยู่เวรต่ออีก”  ชายหนุ่มรีบออกตัว

   “ได้เลยครับ  วันไหนแล้วแต่คุณหมอจะสะดวกเลย”

   “ผมขอดูตารางก่อนนะ”  คุณหมอหนุ่มล้วงสมาร์ทโฟนขึ้นมาเปิดปฏิทินดูตารางงาน  ทุกช่องเต็มแน่น เพราะมีคนไข้ที่โน่นบินตามมาผ่าที่เมืองไทยด้วย  ไหนยังจะคนไข้ใหม่ที่ได้ยินชื่อเสียงของเขา แห่กันมาตรวจจนหาเวลาว่างได้ยากเต็มที

   “มีวันเสาร์หน้า  ว่างตอนช่วงเที่ยงๆ  สะดวกไหมครับ” 

   “ได้เลยครับผม  ขอบคุณคุณหมอดิมมากนะครับ แล้วจะนัดเจอที่ไหนดีครับ”

   “ขอเป็นที่ห้องทำงานผมที่โรงพยาบาล....จะได้ไหมครับ  พอดีผมมีตารางผ่าต่อตอนบ่ายๆ  ไม่อยากเดินทางไปไหน”   ศัลยแพทย์หนุ่มบอกชื่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังที่เขาทำงานอยู่ พร้อมกับเขียนสลักหลังนามบัตรเอาไว้ให้

   บรรณาธิการยิ้มกว้าง  นัดหมายจนเสร็จเรียบร้อย   ก็ขอตัวกลับออกมา โทรหาลูกน้อง....นักเขียนมือดีที่เขากำลังต้องการจะปั้นขึ้นมาเป็นรองบรรณาธิการ

   “ฮัลโหล  เตเหรอ  ต้นฉบับใกล้เสร็จยัง  เปล่าๆไม่ได้จะทวง  คืองี้  พี่มีคอลัมน์พิเศษอยากให้นายช่วยเขียนให้หน่อย.....ใช่ๆ  สัมภาษณ์คุณหมอ  ที่เคยบอกวันนั้นนั่นแหละ  คุณหมอรดิศ  ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก  เพิ่งกลับจากอเมริกา  นัดเอาไว้วันเสาร์นี้นะ  สัก 11 โมง  ....เต...นายฟังพี่อยู่หรือเปล่า?”   โดมทัก เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป

   “ฟังอยู่ครับ  แต่พี่โดม  วันเสาร์ผมไม่ว่าง......” ปลายสายพูดตะกุกตะกัก

   “เห้ย  งานนี้พี่ขอเถอะ  พี่อยากให้ออกมาดีๆ  นี่กว่าพี่จะติดต่อจนมาเจอตัวจริงได้นะ  ออกแรงไปเยอะ  ช่วยพี่หน่อยนะ  พี่ชอบงานเขียนของนายจริงๆ  พี่ไม่ไว้ใจคนอื่น”

   “ตกลงครับ....ที่ไหนนะครับ”  เสียงปลายสายเงียบไปครู่ ก่อนจะรับคำแผ่วเบา

   โดมยิ้มกริ่ม  ติณธรเป็นรุ่นน้องที่ว่าง่ายสำหรับเขาเสมอ  ไม่รู้เลยว่าหลังจากวางสายไปแล้วนั้น  ฝ่ายนั้นจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ หมดสมาธิทำงาน เพราะเอาแต่นับถอยหลัง  ภาวนาให้เวลาผ่านไปช้าๆ  ไม่อยากให้ถึงวันนั้น

00000000000000000000000000000000


   “รอสักครู่นะคะ  คุณหมอกำลังอยู่ในห้องผ่าตัดค่ะ”  พยาบาลสาวสวยพูดยิ้มๆ  เชิญให้เขานั่งรออยู่ข้างหน้าห้องทำงานของนายแพทย์หนุ่ม

   คอลัมนิสต์หนุ่มพลิกดูนาฬิกานิดหนึ่ง  บก.บอกเอาไว้แล้วว่าคุณหมอจะว่างตอนเที่ยงเท่านั้น   คิวแน่นยิ่งกว่าดาราเสียอีก  ก้มลงมอง ‘ของฝาก’ ในถุงกระดาษที่บก.ฝากให้เอามาให้ เห็นของข้างในก็เบ้ปาก

   เหอะ....องุ่นนอกราคาแพง...ผลไม้ที่ผู้ชายคนนั้นเกลียดที่สุด   แต่บก.ก็คงไม่รู้  และเขาก็ไม่คิดจะบอก

   ชายหนุ่มไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองกำลังตกอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง  ที่เสร็จจากเคสผ่าตัดเร็วกว่าปกติ   แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างคุ้นตานั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องทำงาน

   บ้าฉิบ....ไอ้หมอนั่นมาทำไมที่นี่นะ   หรือว่าป่วยเลยมาโรงพยาบาล?  แต่ท่าทางนั่งกัดเล็บแบบที่เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังตกอยู่ในความกระวนกระวายใจอย่างหนักนั้น  ทำให้คนแอบมองต้องขมวดคิ้ว

   อดรนทนไม่ไหว ต้องออกไป ‘ถาม’ เสียให้รู้เรื่อง 

   นายแพทย์หนุ่มกระแอมเสียงนิดหน่อย  เห็นอีกฝ่ายหันขวับมา เบิกตากว้าง  ท่าทางตกใจราวกับเห็นเขาจะเข้ามาทำร้าย ก็นึกหงุดหงิดในใจยิ่งกว่าเดิม   ทว่าพยายามกดเอาไว้ภายใต้ท่าทางสบายๆเป็นปกติ

   เขาปั้นหน้า ยิ้มแย้มออกมา  คล้ายกับว่าพบเข้าโดยบังเอิญ

   “อ้าว  คุณ...เอ่อ พ่อน้องเต้ใช่มั้ยครับ   น้องเต้เป็นอะไรอีกเหรอ ถึงได้มารพ.”  เขาพูดชื่อ  ‘ลูกชาย’  ของฝ่ายนั้นอย่างแม่นยำคล่องแคล่ว  เพราะบันทึกใส่สมองตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ยิน 

   คนถูกทักหน้าซีดลงอีก แล้วกลับแดงก่ำ   เขาพูดอึกอัก

   “เอ้อ  เปล่าครับ  พอดีผม...ผม...มาจากนิตยสารเซเลปรายเดือนที่ติดต่อขอสัมภาษณ์คุณหมอน่ะครับ”  คนฟังอึ้งไปครู่  แล้วก็ยิ้มรับออกมา

   “อ้อ   งั้นหรือครับ  บังเอิญจังนะครับ   คุณเป็นคนที่จะสัมภาษณ์ผมเหรอ   วันนั้นบอกอ...คุณโดม ไม่เห็นบอก   ดีครับ แล้วคุณชื่ออะไรเหรอ"  เขาแกล้งถาม  ทำหน้าซื่อ 

   นักเขียนหนุ่มมองหน้าเขา  รู้สึกเจ็บขึ้นมาวูบ  ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุครั้งนั้นก็เถอะ  แต่ก็ไม่วายจุกแน่น เมื่อรู้ว่า  เขาจำเราไม่ได้  ทั้งที่เรากลับจำเขาได้...ไม่เคยลืม

   มันก็สมควรแล้ว กับสิ่งที่เขาทำกับอีกฝ่ายเอาไว้

   “ผมชื่อติณธรครับ  ตำแหน่งคอลัมนิสต์ ยินดีที่ได้รู้จักครับ..คุณหมอรดิศ”  เขากลั้นใจอยู่ครู่หนึ่ง  พูดออกมาเรียบๆ

   นายแพทย์หนุ่มยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม  ดวงตาคมเข้มคู่นั้นพราวระยับเมื่อตอบกลับมา

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ คุณติณธร    เรียกผมว่าหมอดิม ก็ได้ครับ  เอ  ทำไมผมคุ้นหน้าคุณจังเลย  แน่ใจนะว่าเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”

   อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนๆ

   “สงสัยโบราณเรียกว่า ถูกชะตา”   สำเนียงเยาะที่ซ่อนเอาไว้ภายใต้เสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น ทำให้คนฟังสะดุดหูนิดหนึ่ง  นิดเดียวเท่านั้นแต่ก็ปล่อยผ่านไป  ไม่ได้เอะใจเลยว่าอีกฝ่ายจะจำตนได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็น

   ก็เมื่อ 8 ปีก่อน เพื่อนของนายแพทย์หนุ่มส่งข่าวมาบอกว่า อีกฝ่ายความจำเสื่อมเนื่องจากศีรษะกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตอนที่ถูกรถชน  ส่งผลให้ฝ่ายนั้นลืมเรื่องของเราไปจนหมด  จำไม่ได้เลยว่าเคยรู้จักคนที่ชื่อ เต มาก่อน

   ลืมหมดทุกอย่างรวมถึงความรักที่เคยมีต่อกันด้วย  ซึ่งก็เป็นเรื่องดี เพราะเขาในตอนนั้น  ต้องการให้เรื่องระหว่างเรามันจบลงไปแบบนี้อยู่แล้ว

   เกือบ 10 ปีที่ไม่มีการติดต่อกลับมาอีกเลย  ทำให้เตเชื่อสนิทใจว่า อดีตคนรักของเขา คงจะลืมไปแล้วจริงๆ

   ..............................................................................................


มาอัพบทนำกับตอนเเรกค่ะ
เรื่องราวของแฟนเก่าที่กลับมาพบกันอีกครั้ง
ดราม่าโรเเมนติกนะคะ
เราอัพสลับกับเรื่องแอบลักษณ์นะคะ
แล้วเจอกันค่ะ
ถ้าชอบเรื่องนี่อย่าลืมเม้นท์+โหวตด้วยน้าา
 :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...จำ] ตอนที่2 14/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 14-01-2017 15:40:17
เพราะหัวใจบอกว่ารัก...จำ







   ติณธรลอบสังเกตห้องทำงานของคุณหมอเจ้าของห้อง  ที่ขอลุกไปเข้าห้องน้ำ หลังจากให้สัมภาษณ์ได้เพียง 10 นาที  ห้องสี่เหลี่ยมตกแต่งด้วยสีโทนขาวดำ  เคร่งขรึมตามบุคลิกของเจ้าตัว   ชั้นติดผนังมีกรอบรูปจัดวางเอาไว้เป็นระเบียบ เช่นเดียวกับโต๊ะทำงาน

   รูปเจ้าของห้องกับคุณหมอประจำตัวของลูกชายยืนกอดคอส่งยิ้มสดใสมาให้เขา ทำให้แขกชะงักไปนิดหนึ่ง  อดไม่ได้ที่จะหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆ

   “นั่นคุณหมอวิรัล  ถ่ายที่อเมริกา  ตอนที่เราไปเรียนต่อด้วยกัน”  เสียงอธิบายเรียบๆดังขึ้นด้านหลัง ทำเอาสะดุ้ง  นักเขียนหนุ่มรีบวางกรอบรูปบนโต๊ะทำงานเหมือนเดิม  นายแพทย์เจ้าของห้องเดินกลับเข้ามานั่งตรงข้าม  พูดต่อด้วยท่าทางสบายๆคล้ายกำลังเล่าเรื่องให้เด็กฟัง  สายตาคมเข้มมองจับมาที่แขกยิ้มๆ

   “หมอรันเป็นรุ่นน้องผม  แต่เราเรียนแพทย์รุ่นเดียวกันเพราะผมไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน 1 ปี  พอเรียนจบ เขาก็ชวนผมไปเรียนต่อที่อเมริกา  แต่ตอนนั้นบ้านผมมีปัญหาการเงิน  ไม่มีเงินส่ง  ต้องสอบชิงทุนไปเรียนต่อ   สุดท้ายก็ได้ไปเรียนที่เดียวกัน   แต่ก็ต้องทำงานหนัก เพราะทุนไม่ได้คัฟเวอร์ทั้งหมด.....”  เขาเล่าถึงความยากลำบากในการเรียนยังต่างแดนอีกยืดยาว 

   “ถ้าไม่ได้เขาคอยช่วย  ป่านนี้ผมอาจจะยังเรียนไม่จบเลยมั้ง”   นายแพทย์หนุ่มจบประโยคด้วยรอยยิ้มอบอุ่น  แววตาซึ้งเหมือนคนกำลังรำลึกถึงความหลังที่มีความสุขที่สุด

   คนฟังกระแอมนิดหนึ่ง  รู้สึกคอแห้งผากขึ้นมากะทันหัน  เสก้มลงอ่านสคริปต์คำถาม

   “ทำไมคุณถึงเลือกเรียนต่อทางด้านผ่าตัดหัวใจครับ”

   “เดี๋ยวสิคุณ  ไหนๆก็พูดถึงหมอรันแล้ว  ผมก็อยากพูดต่อให้จบ  คุณช่วยเขียนลงไปด้วยนะ  ว่าผมดีใจและภูมิใจมากจริงๆ  ที่มีเขาเคียงข้างอยู่ด้วยเสมอ  ทุกครั้งที่ผมท้อ  เศร้า เสียใจ  ก็ได้เค้าคอยอยู่ข้างๆ  เป็นกำลังใจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผม”

   คนฟังรู้สึกจุกแน่นในอกเมื่อได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายชื่นชมถึงคนรัก...ถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจ ‘ปล่อย’ เขาไป  วันนี้คนที่เขาจะพูดถึงอย่างรักใคร่และยกย่องก็อาจจะเป็นเราก็ได้

   แต่ช่างเถอะ  เรื่องมันผ่านไปแล้ว...บอกตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่ได้นับ  แต่ที่รู้ก็คือ หัวใจของเขามันดื้อดึง  ไม่เคยยอมทำตามที่คิดเลยสักครั้ง...
   
   “คุณคงรักกันมาก....”  เสียงแปร่งแปลกหู  แต่ดูเหมือนว่าคนถูกสัมภาษณ์จะไม่สังเกต  เพราะเขายิ้มรับ  หน้าตายิ้มแย้มปลาบปลื้ม

“ครับ เรารักกันมาก....อาทิตย์หน้าก็จะครบรอบ 7 ปีที่เราคบกันแล้ว ปกติผมมีอะไรมาเซอร์ไพร์ซเขาทุกปี  ปีนี้อยากให้พิเศษหน่อย  กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะให้อะไรดี” 

สีหน้าเคลิ้มฝัน เหมือนเด็กหนุ่มที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักของคนตรงหน้าทำให้เตรู้สึกแปลกๆ มันไม่ใช่ความจุกเหมือนเมี่อครู่  แต่เป็นอะไรที่ใกล้เคียงกับคำว่า หมั่นไส้

“ก็ขอแต่งงานซะเลยสิครับ”  รักกันมากนักนี่.....คนฟังเผลอประชดออกไปเต็มเหนี่ยวแล้วก็นึกขึ้นได้  เมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว   เขารีบเสริมต่อ

“ผม...ง่า  เห็นพวกคุณรักกันมานานแล้วน่ะครับ  น่าจะถึงเวลามีข่าวดีเสียที”

“คุณติณธร?!”  นายแพทย์หนุ่มจ้องหน้าเขาเหมือนเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก  แล้วก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่  ชะโงกเข้ามาพูดด้วยเสียงกระซิบ

“ทำไมคุณรู้ใจผมแบบนี้ล่ะ   ความจริงผมก็กำลังมีแพลนว่าอยากจะแต่งงานเสียทีเหมือนกัน  แต่นี่ผมยังไม่ได้คุยกับใครเลยนะ  คุณเป็นคนแรกเลยที่ได้รู้”

คนฟังใบหน้าเผือดสีลงอีก   ทำให้คนที่ลอบสังเกตอยู่เงียบๆ แอบยิ้มเยาะในใจ

เป็นอะไรไปเต   ทำไมนายถึงมานั่งหน้าซีดอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้....หรือว่า  นายกำลังนึกเสียดายฉันอยู่  เพราะตอนนี้ฉันไม่ใช่หมอจบใหม่ ฐานะเข้าขั้นยากจน เหมือนหลายปีก่อน  หากแต่เป็นหมอผ่าตัดหัวใจระดับโลก

นี่เป็นสาเหตุที่นายเป็นคนมาสัมภาษณ์ฉันหรือเปล่า  เป็นเพราะอยากรีเทิร์นเหรอ?  หรือว่าทุกอย่างเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่นายไม่ได้จงใจ..

 “ความจริงผมคิดจะขอรันนานแล้วนะ  แต่ก็ติดงานนี่แหละ  เลยยังไม่ได้เตรียมอะไรเลย  เอาแบบนี้ดีกว่า  ในฐานะที่คุณแต่งงานแล้ว  ผมขอแอบถามเป็นแนวทางหน่อย  ว่าตอนนั้นคุณขอแฟนแต่งงานยังไง”  เขาถามยิ้มๆ  เตหลบสายตาของเขา  มองออกไปนอกหน้าต่างแทน  นิ่งอยู่สักพักก็เล่าให้ฟังเสียงเรียบเรื่อย

“ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ทำอะไรมาก   มีเงินเก็บอยู่นิดเดียวพอแค่ซื้อแหวนเพชรวงเล็กๆให้เธอ    ผมโทรชวนเธอไปที่สวนสาธารณะที่เราชอบไปวิ่งด้วยกัน  ชวนเธอวิ่งจนเหนื่อยแล้วก็ส่งผ้าขนหนูที่ผูกแหวนเอาไว้ที่มุมผ้าให้เธอซับเหงื่อ   เธอรับไป...แล้วก็กระโดดกอดผม  ตะโกนใส่หูว่าตกลง  เธอจะแต่งงานกับผม”

   นายแพทย์หนุ่มงันไป   ภาพความทรงจำเมื่อ 10 กว่าปีก่อนย้อนกลับมาแบบไม่ทันตั้งตัว   ไม่ต้องใช่ความพยายามเลยสักนิด  หรือว่าบางที เขาอาจจะไม่เคยลืมมันได้จริง

***********
   ‘น้องเต  บังเอิญจังนะครับ  ชอบมาวิ่งที่นี่เหมือนกันเหรอ’  นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 2 พูดอย่างร่าเริง  วิ่งแกมก้าวกระโดดเข้าไปทักเด็กหนุ่มตัวเล็กที่วิ่งเหยาะๆนำหน้าอยู่ก่อนแล้ว  ภายในสวนสาธารณะใกล้กับมหาวิทยาลัยชื่อดัง  เขาทำท่าราวกับว่าเพิ่งเห็นอีกฝ่าย  ทั้งที่ความจริงแล้วแอบตามหลังมาติดๆจากหอพัก   

   ‘พี่...ง่า  พี่ก็มาวิ่งเหมือนกันเหรอครับ’  เด็กหนุ่มละชื่อของเขาเอาไว้  ทำให้รุ่นพี่พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงจะจำชื่อตัวเองไม่ได้แน่ๆ   แอบนอยด์นิดหน่อยแต่ก็เข้าใจได้  ก็แหม  งานรับน้องรวมทุกคณะแบบนั้น  แค่จำหน้ากันได้ก็นับว่าเก่งแล้ว

   ‘พี่ชื่อดิมนะ  อยู่หมอปี 2 วันนั้นเราเจอกันตอนฐานหนุ่มน้อยตกน้ำไง’

   ‘อ๋อ   พี่คือคนที่ผมปาตกน้ำใช่ไหมฮะ  ฮ่าๆ  ขอโทษทีนะครับวันนั้น  ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ’ เด็กหนุ่มหัวเราะออกมา  รอยยิ้มหวานที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะไปวูบ

   ‘นี่ขนาดไม่ได้ตั้งใจนะนั่น ยังปาแม่นขนาดนี้   ถามจริงเป็นนักกีฬาหรือเปล่าเนี่ย’  เขาแกล้งถามต่อ

   ‘เคยตีแบดฮะ  แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ตีแล้ว  ไม่มีคู่ตีด้วย   ผมมาจากต่างจังหวัด เอนท์ติดที่นี่คนเดียวเลย  ไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเดิมตามมาด้วยสักคน’  เตตอบตามตรง  รุ่นพี่หน้าเข้มคนนั้นยิ้มกว้างกว่าเก่า

   ‘พอดีเลย  พี่ก็ชอบตีแบด  วันหลังมาตีกับพี่สิ  ที่ข้างหลังคณะมีคอร์ทอยู่  สนใจมั้ย’

   ‘ดีจัง  ตกลงครับ’ 

   เยส!   รุ่นพี่คนนั้นแทบจะกระโดดตัวลอย  เขาวิ่งคู่ไปกับรุ่นน้องหนุ่มน้อยที่นึกชอบตั้งแต่แรกเห็นจนถึงขั้นตามหาว่าน้องเขาชื่ออะไร เรียนคณะอะไร

   ยังจำความรู้สึกที่เห็นอีกฝ่ายครั้งแรกได้ดี....เขากำลังนั่งเบื่อๆอยู่ในกรงเหล็กที่ทำเป็นฐานหนุ่มน้อยตกน้ำ  ไม่มีเฟรชชี่คนไหนมือแม่นพอที่จะปาโดนเป้าให้เขาตกน้ำได้เลย  จนกระทั่ง..

   ผั๊วะ....ตูม!! 

   รู้ตัวอีกทีเขาก็หล่นลงไปในถังน้ำทั้งตัว   เพื่อนๆช่วยกันดึงตัวขึ้นมา ก็เจอหนุ่มน้อยหน้าหวานผมหยักศกสีอ่อนคนนั้นยืนยิ้มสำนึกผิด  ยกมือไหว้ปรกๆอยู่ก่อนแล้ว  เด็กคนนั้นยื่นผ้าขนหนูมาให้พร้อมกับรอยยิ้มที่พาหัวใจของเขาหลุดลอยออกจากตัว

   หลังจากนั้นเขาก็เฝ้าตามหาน้อง ‘เต’ จนรู้ทุกอย่างแม้กระทั่งหมายเลขห้องพัก  แอบมาเฝ้าสังเกตอยู่สองอาทิตย์ไม่กล้าจีบ  ทำทีมาวิ่งทุกวันราวกับรักสุขภาพเต็มที จนเพื่อนฝูงต่างสงสัยเพราะปกติเขาเอาแต่กิน นอน เที่ยว อยู่แล้ว จนวันนี้ถึงได้กล้าเข้ามาทักเป็นครั้งแรก

   ‘08x-xxx-xxxx’  เขาอมยิ้ม  มองดูอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู  ยิ่งเห็นคิ้วเรียวขมวดมุ่นอย่างสงสัย  เมื่อรับผ้าขนหนูจากเขาไปเช็ดหน้าหลังจากวิ่งเสร็จแล้วเห็นลายนิ้วมือขยุกขยิกของเขา เขียนเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ที่มุมผ้า

   ‘......................’  เด็กหนุ่มรุ่นน้องไม่ได้ว่าอะไร  กลับขอตัวไปซื้อน้ำมา 2 ขวด  ยื่นให้เขาขวดนึง   รุ่นพี่รับมาด้วยความปลาบปลื้ม แล้วก็ยิ่งปลื้มกว่าเก่า เมื่อสังเกตเห็นลายมือเรียบร้อยเป็นระเบียบเขียนอยู่ที่ก้นขวด

‘08x-xxx-xxxx’

            ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา ขณะที่นั่งเคียงข้างกันอยู่บนพื้นสนามหญ้า  บรรยากาศยามเย็นที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ช่างโรแมนติกเหลือเกินในความรู้สึกของนักศึกษาแพทย์หนุ่ม   วันนั้นเขาเดินตัวลอยกลับบ้าน หัวใจพองฟูจนเท้าแทบไม่ติดดิน   

***************
[/i]

   รดิศเม้มปาก   ถอนหายใจแรงๆ  ไล่ความหงุดหงิดแปลกๆที่พุ่งขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ  เขาก้มมองนาฬิกาเร็วๆ

   “ขอโทษจริงๆคุณติณธร  แต่ผมมีคิวผ่าคนไข้ต่อ  คงต้องจบการสัมภาษณ์เอาไว้แค่นี้ก่อน  เอาไว้เราค่อยนัดกันใหม่ครั้งหน้าดีไหมครับ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ   ผมคงรบกวนแค่นี้  เชิญคุณหมอเถอะครับ   ขอบคุณมากที่สละเวลามาให้ผมสัมภาษณ์  ผมรับรองว่าจะเรียบเรียงออกมาให้ดี.....” นายแพทย์หนุ่มพูดขัดขึ้นมาทันควัน

   “แต่ผมว่าผมยังตอบไม่ครบทุกคำถามเลยนะครับ   จริงไหม ผมเห็นคุณลิสต์เอาไว้ตั้งเยอะแยะ  นี่เพิ่งคุยกันไม่ถึงชั่วโมงเอง  เอาไว้...อืม  ขอผมดูตารางก่อน   เอาเป็นวันมะรืนนี้เป็นไง  เรามาสัมภาษณ์ต่อ”

   กลายเป็นว่าคนถูกสัมภาษณ์ดันอยากให้ถามต่อ แทนที่จะเป็นคอลัมนิสต์หนุ่มที่เกือบจะอ้าปากค้าง  นึกหาคำปฏิเสธไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายพูดถูก  เขายังถามไม่ครบจริงๆ

   “แล้วผมจะติดต่อมาอีกทีแล้วกัน”  เตเลี่ยงไปพลางคิดในใจ ...ถ้าคราวหน้าต้องมาจริงๆ คงต้องให้คนอื่นมาแทน “อ้อ  นี่ของฝากครับ  บก.ฝากมาให้คุณรดิศ  ทานให้อร่อยนะครับ”  คอลัมนิสต์หนุ่มยื่นถุงบรรจุผลไม้อย่างดีให้แก่นายแพทย์ที่สละเวลามาให้เขานั่งสัมภาษณ์

   รดิศรับไปถือเอาไว้  เปิดออกดูนิดนึงเห็นว่าเป็น องุ่น ผลไม้ที่เขาไม่เคยชอบก็เม้มปาก  ....นี่อีกฝ่ายลืมไปแล้วสินะ   ว่าเขาชอบอะไร  ไม่ชอบอะไรบ้าง....

   “ขอบคุณนะครับ   ของโปรดผมเสียด้วย   เสียดายจังที่วันนี้ไม่มีเวลาได้คุยจนจบ  เอาไว้วันหลังนะครับ”  นายแพทย์หนุ่มยื่นมืออกมาให้จับ

   เตชะงักเล็กน้อย แล้วก็ส่งมือออกไปสัมผัสกับฝ่ามืออบอุ่นจนเกือบร้อนนั้น   อีกฝ่ายบีบมือของเขาแน่น  นานทีเดียวกว่าจะปล่อยให้เป็นอิสระ

   “ยินดีที่ได้เจอคุณนะครับ” 

   “ครับ  เช่นกัน”  นักเขียนหนุ่มรับคำแผ่วเบา   เขารู้สึกคล้ายกับถูกอีกฝ่ายดูดพลังงานออกจนหมด จากการจับมือเมื่อครู่นี้

   หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง  ยิ่งสบสายตาคมเข้มที่เป็นมิตร ทว่าว่างเปล่าปราศจากความรู้สึกลึกซึ้งใดๆคู่นั้น   

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง  รดิศขอตัวไปเปิดรับ ก็พบว่า กุมารแพทย์หนุ่มยืนยิ้มรออยู่แล้ว  เจ้าของห้องหันมาชวนเขานิดหนึ่งตามมารยาท

   “ไปทานข้าวด้วยกันไหมครับ คุณติณธร”

   .....วูบหนึ่งที่เขาอยากตอบออกไปว่า ตกลง  แต่แล้วสติที่ควบคุมตัวเองอยู่ตลอดก็ทำให้ฝืนยิ้มกว้างแล้วตอบปฎิเสธไปอย่างสงบ

   มองดูคุณหมอทั้งสองคนเดินคู่กันออกไป  จากด้านหลังช่างเป็นคู่ที่สมกันนัก   ทั้งหน้าตารูปร่าง ชื่อเสียงเงินทอง เกียรติยศ  รวมไปถึงหัวใจ....พี่กันคงจะรักหมอรันมาก

   นั่นเป็นสิ่งที่ดี

   แต่ทำไมหัวใจถึงไม่ยอมรับเสียที  ว่าเรื่องของเรามันได้ผ่านเลยไปแล้ว....

   .............................................................. ..............................................................

   “เต  นายให้ฮอมไปสัมภาษณ์คุณหมอดิมแทนนายงั้นเหรอ  ทำไมล่ะ  มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”  บก.ดรงค์เรียกลูกน้องเข้าไปถามในห้องทำงาน ทันทีที่ทราบว่าเขาส่งต่องานที่ได้รับมอบหมายให้แก่เพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่สายเดียวกัน

   ติณธรก้มหน้าลงเล็กน้อย   ตอบแบบไม่มองหน้า

   “เปล่าครับ  ช่วงนี้ลูกชายผมป่วย  ไม่มีใครดูแล  ผมทิ้งแกอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้  พี่ฮอมก็เลยอาสาจะช่วยน่ะครับ” 
   “อ่าวเหรอ  เจ้าเต้เป็นอะไร  ก็ว่าไม่เห็นหน้าเลยพักนี้  เดี๋ยวพี่ไปเยี่ยมสักหน่อยดีกว่า  ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไรหรอก  ให้ฮอมสัมภาษณ์แทนก็ได้  แต่ว่าพี่ขอให้นายเป็นคนเขียนนะ”

   “ได้ครับ พี่โดม”  เขารับคำอย่างสงบ แล้วก็ขอตัวออกมานอกห้องทำงานขอเจ้านาย   นึกขอโทษลูกชายที่ถูกยืมชื่อมาเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธที่จะพบหน้านายแพทย์คนนั้นอีก

   ไม่ได้เจอกันน่ะดีแล้ว

   นักเขียนหนุ่มเดินใจลอยออกมาจากลิฟต์  ไม่ทันเห็นร่างสูงตรงของใครคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหน้า จึงชนเข้าเต็มแรง  ตัวเขาเป็นฝ่ายกระเด็นถอยหลังไปเกือบล้ม  ดีที่อีกฝ่ายหันกลับมาช่วยพยุงแขนเอาไว้ได้ทัน

   “คุณเต!  เป็นอะไรหรือเปล่าฮะ” ภาคย์  เจ้าของสำนักพิมพ์และนิตยสารที่เขาทำงานอยู่พูดอย่างตกใจ กวาดตามองสำรวจอีกฝ่ายทั่วตัว   เห็นว่าไม่เป็นอะไรก็ถอนหายใจโล่งอก

   “ขอโทษครับ  ผมไม่ได้ตั้งใจ” เตตอบตะกุกตะกัก   

   “ไม่ยกโทษให้ครับ   คุณชนผมแบบนี้ ผมเจ็บมากนะ” อีกฝ่ายพูดขึงขัง   เห็นคอลัมนิสต์หน้าจ๋อยลงไปถนัดก็แอบยิ้มอยู่ในใจ

   “คุณภาคย์เจ็บตรงไหนครับ  ผมขอโทษจริงๆ  ให้ผมพาไปหาหมอดีไหมครับ” 

   “หาหมออาจจะเป็นหนักขึ้นนะครับ  เอาอย่างนี้  คุณเลี้ยงหนังรอบค่ำผมสักรอบดีกว่า  ดีมั้ย เป็นการแก้ตัว  แล้วผมจะยกโทษให้”  คนพูดนัยน์ตาพราวระยับขึ้นมาทันที

   ติณธรลอบถอนหายใจเงียบๆ ....เอาอีกแล้ว  มามุขนี้ตลอด  แล้วเขาก็ต้องยอมทุกทีสิน่า....เป็นลูกน้องเขาก็อย่างงี้แหละนะ

   “ตกลงครับ”  เตรับคำอย่างจำใจ   ไม่ลืมโทรศัพท์ไปบอกข้าวตังที่บ้านว่าเขาคงจะกลับดึก

   เจ้านายหนุ่มเงี่ยหูฟังลูกน้องคุยโทรศัพท์อยู่เงียบๆ  เขารู้มาว่าอีกฝ่ายมีภรรยาและลูกชายที่น่ารักอยู่แล้ว  แต่ก็อดใจไม่ไหวทุกที  พบหน้าอีกฝ่ายทีไร  เป็นต้องหาเรื่องชวนทุกวิถีทางให้คนๆนี้อยู่ข้างๆเขานานขึ้นอีกสักนิด

   มันจะใช่ความรักหรือเปล่า....ก็ยังไม่แน่ใจ  เอาเป็นว่า  ทุกครั้งเวลาที่ได้พบหน้าผู้ชายตัวเล็กคนนี้  เขารู้สึกสบายใจ  ผ่อนคลายมากพอที่จะเป็นตัวของตัวเอง

   แค่เห็นแววตาแป๋วเวลานั่งฟังเขาบ่นเรื่องนู้นเรื่องนี้  เรื่องไร้สาระที่เขาไม่รู้ว่าจะพูดกับใคร  ทั้งที่ต่อหน้าคนอื่น เขาเป็นคนเงียบขรึม  พูดน้อย  แต่กับลูกน้องคนนี้  เขาพบว่าตัวเองสามารถนั่งเล่าเรื่องต่างๆในชีวิตให้อีกฝ่ายฟังได้เป็นชั่วโมงๆ อย่างที่ไม่เคยพบใครแบบนี้มาก่อน

   ทั้งคู่เดินเข้าไปในโรงภาพยนตร์ที่มืดสลัว  ภาคย์ยกแขนขึ้นแตะข้อศอกอีกฝ่ายอย่างสุภาพ ขณะที่พาเดินเข้าไปหาที่นั่งแล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆกัน

   หนังเริ่มฉายไปได้สักพักแล้ว   เตขยับจะวางแก้วน้ำลงในช่องข้างที่วางแขน  แต่ทว่ากลับมีแก้วน้ำของคนข้างๆวางเสียบอยู่ที่ช่องของเขาก่อนแล้ว

   เขาชะงักนิดหนึ่ง  หันกลับไปมองอีกฝั่งก็เห็นแก้วน้ำของเจ้านายวางอยู่ประจำที่  จึงหันกลับมาอีกรอบ...มองไล่ท่อนแขนในเสื้อเชิ้ตแขนยาวขึ้นไปจนเห็นเสี้ยวหน้าด้านข้างของผู้ชายคนหนึ่งในความมืดสลัว

   ....เสี้ยวหน้าคมของใครบางคนที่เขาจำได้แม่นยำ  ต่อให้มืดสลัวแค่ไหน หรือเห็นเพียงชั่ววินาทีก็ตาม....เตรู้สึกตัวเย็นเฉียบจนแทบแข็งเป็นหิน

   ผู้ชายคนนั้น!

   รีบหันกลับมา  กำแก้วน้ำพลาสติกในมือเอาไว้แน่น  ไอเย็นเฉียบกลั่นออกมาเป็นหยดน้ำเปียกชุ่มทั้งมือ  บอกตัวเองว่าอย่าหันกลับไปมองอีก 

   หัวใจของเขาเต้นรัวแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก  แม้อีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสังเกตเห็นเขาก็ตาม  จากหางตา เตเห็นคุณหมอรดิศยังคงนั่งพิงพนัก ดูหนังอย่างสบายอารมณ์  นิ้วเรียวยาวเคาะเบาๆที่ที่วางแขนเป็นจังหวะ ตามเพลงประกอบภาพยนตร์

   หันกลับไปอีกด้าน ก็เห็นเจ้านายกำลังนั่งดูอย่างตั้งอกตั้งใจเช่นกัน  มือก็ล้วงควานเอาข้าวโพดคั่วขึ้นมากินไปด้วย 

   แต่เขาดูไม่รู้เรื่อง .....ภาพที่ผ่านสายตาไปนั้นไม่ได้ถูกนำไปแปรผลที่สมองเลย  ได้แต่จ้องเขม็งไปยังจอภาพขนาดใหญ่เบื้องหน้า  หูได้ยินเสียงลมหายใจของผู้ชายคนนั้นเป็นระยะ  กลบเสียงของนักแสดงนำในเรื่องจนหมดสิ้น


***********

   ‘สอบเสร็จแล้ว มีแพลนจะไปไหนหรือยัง’ 

   รุ่นพี่ปี 2 คนนี้อีกแล้ว   มาดักรอเจอเขาทุกวันที่คณะเป็นแรมเดือน  ด้วยข้ออ้างสารพัดอย่าง ตั้งแต่มาชวนเขาไปตีแบด ไปจนถึงเรื่องเล็กเรื่องน้อยแล้วแต่ที่อีกฝ่ายจะคิดได้ในตอนนั้น

   ตอนแรกเขาก็เขินเหมือนกัน  แต่พอหลังๆมาชักชิน  ถ้าวันไหน ไม่มีรุ่นพี่หน้าคมมายืนรอ เป็นต้องเผลอมองหาให้เพื่อนฝูงได้โห่แซวทุกที

   ‘ยังไม่มีแพลนเลย  เพื่อนๆมันจะกลับไปนอนกันหมด’ เขาตอบออกไป  ทำเป็นลืมเสียว่า ตัวเองเป็นคนปฏิเสธเพื่อนเองด้วยเหตุผลเมื่อกี้นี้ 

   คนฟังสีหน้าแช่มชื่นขึ้นทันที  รีบถามต่อ

   ‘ถ้าอย่างนั้น ไปดูหนังกับพี่ไหม  พี่โดนเพื่อนทิ้งเหมือนกัน นะครับ  ไปดูเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ’   เขาพยักหน้ารับ  พี่ดิมยิ้มกว้าง เลือดฉีดจนใบหน้าแดงก่ำ   เช่นเดียวกันกับเขา

   ตั้งแต่วันนั้น ก็เหมือนกลายเป็นธรรมเนียม  ว่าทุกครั้งที่สอบเสร็จ  เขากับพี่ดิมจะต้องไปดูหนังด้วยกัน 1 รอบ  ต่อให้การสอบไม่ตรงกันก็ตาม  อีกฝ่ายก็จะหาเวลาปลีกตัวมาจนได้ทุกครั้ง

   ยังจำหนังเรื่องแรกที่ดูด้วยกันได้ดี  จนบัดนี้เขาก็ยังเก็บตั๋วเรื่องนั้นเอาไว้ในลิ้นชัก  เก็บรวมเอาไว้ไม่ได้เปิดขึ้นมานานแล้ว  นานจนเกือบลืมเสียสนิท

   พี่ดิม ที่ดูมาดแมน  กร้าวแกร่ง แต่ความจริงแล้วกลับกลัวผีจนเข้ากระดูก  ทว่าวางฟอร์มไม่กลัวกลบเกลื่อนเอาไว้  ตรงกันข้ามกับเขา ที่ไม่เคยกลัวภูตผีวิญญาณใดๆทั้งสิ้น

   เขารู้ได้ยังไงน่ะหรือ....ก็จากหนังเรื่องแรกที่อีกฝ่ายเป็นคนเลือกเข้าไปดูนั่นแหละ  ตอนแรกก็เอะใจว่าทำไมจู่ๆก็นั่งเงียบไป  สักพักก็ร้องอ๋อ เพราะฝ่ายนั้นแทบจะยกมือขึ้นมาปิดตา  แถมยังเผลอร้องออกมาเสียงดังตอนที่ผีโผล่ออกมาหลอกด้วยเสียอีก  หมดสภาพเดือนคณะสุดหล่อแห่งปีหมดเลย

   ‘เรียนผ่าอาจารย์ใหญ่แล้วทำไมยังกลัวผีอีก’  เขาเคยถาม ครั้งหนึ่งหลังจากการมาดูหนังผีครั้งที่สาม  แปลกใจว่าทั้งที่ต้องผ่าศพมนุษย์  เพื่อศึกษาดูทุกอวัยวะแท้ๆ ทำไมเจ้าตัวยังไม่ชินอีกเหรอ

   ‘นั่นยิ่งร้ายเลย  นายต้องเคยอยู่ในห้องกรอสตอนดึกๆนะ  ร่างเรียงรายเต็มพรืดไปหมดทั้งห้อง  เหลือแค่นายกับเพื่อนในกลุ่มที่ยังผ่ากันไม่เสร็จ  กลิ่นฟอร์มาลีนงี้โชยตลบอบอวล  โอย  รับรองว่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีกนะจะบอกให้  ถึงจะรู้ว่าอาจารย์ไม่ทำร้ายลูกศิษย์แน่นอนก็เหอะ’  พี่ดิมทำท่าขนลุกขนพองประกอบ

   ‘อ้าว  ทำอย่างนั้นทำไมยังมาดูหนังผีอยู่อีกล่ะ  ชวนทีไร เลือกแต่หนังผีทุกที’

   ‘ก็ฝึกเอาไว้ไง  จะได้ชาชิน  ไม่กลัวมาก’  ถึงปากจะบอกอย่างนั้น แต่อีกฝ่ายก็ยังเผลอกรีดร้อง แล้วก็ยกมือขึ้นมาปิดหูปิดตาทุกที  ให้เขาได้เก็บมาล้อเลียนอยู่ทุกครั้ง

**************

   

   ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลืม] บทนำ+ตอนที่1 12/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 14-01-2017 15:41:08
[ต่อนะคะ]




         ติณธรสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เมื่อรู้สึกถึงศีรษะของเจ้านายที่นั่งข้างๆเอนซบลงมาที่ไหล่ของเขา พร้อมกับลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่ซอกคอเป็นจังหวะ   มีเสียงกรนเบาๆลอดออกมาด้วย

   ภาพยนตร์ดำเนินไปจนใกล้จะจบเรื่องแล้ว    นี่เขาเผลอนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปไกลทีเดียว   ตอนจบของเรื่องนี้ เขารู้ดีอยู่แล้วว่าพระเอกจะต้องตาย   เช่นเดียวกับนางเอก ตายเพราะบูชาความรัก....เหอะ  ความรักแบบนั้นมันไม่มีอยู่จริงหรอก

   แอบมองไปที่คนข้างๆนิดหนึ่ง  เห็นคุณหมอยังคงจ้องไปที่หน้าจอภาพ ไม่กระดุกกระดิก  บางทีเขาอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นเราก็เป็นได้...แต่ถ้าหนังจบแล้วไฟสว่างขึ้นล่ะ....เห็นทีเขาคงต้องออกไปก่อนกระมัง

   เตเขย่าตัว ปลุกเจ้านายเบาๆ  ฝ่ายนั้นยกศีรษะขึ้นพ้นจากไหล่ของเขา  ท่าทางงัวเงีย   เขารีบกระซิบบอกขอออกไปเข้าห้องน้ำ  ภาคย์พยักหน้ารับ

   รีบลุกขึ้นก้มตัวเดินลัดเลาะจากโรงภาพยนตร์ออกมาข้างนอก   โล่งอกที่พ้นสภาวะที่น่าอึดอัดเช่นนั้นออกมาได้   พลิกนาฬิกาดูเวลา...เกือบสี่ทุ่มแล้ว   นึกเป็นห่วงลูกกับน้องสาวขึ้นมาหน่อยๆ เลยยกโทรศัพท์ขึ้นโทรหา

   “ข้าวตังเหรอ  พี่กำลังจะกลับแล้วจ้ะ   เต้หลับหรือยัง   ดีแล้ว  ตังก็นอนได้แล้วนะ  ไม่ต้องรอพี่  จ้า  ฝันดีนะจ้ะ’ กดวางสาย หันกลับมา ก็หุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อเผชิญหน้ากับใครบางคนที่เข้ามายืนซ้อนข้างหลังเงียบๆ .. ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ  ไม่รู้สึกตัวเลย

   นายแพทย์หนุ่มสอดมือล้วงกระเป๋ากางเกง  เลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ท่าทางเหมือนแปลกใจที่เจอเขาที่นี่

   “คุณติณธร?  เจอกันอีกแล้ว  โลกกลมจังนะครับ”  เขาพูดยิ้มๆ 

   คนฟังเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วก็หยุด

   “สวัสดีครับ  คุณหมอรดิศ”  ทักสั้นๆ พลางเหลียวซ้ายมองขวาหาทางหลบออกไป  แต่ดูอีกฝ่ายจะไม่คิดอย่างนั้น  เพราะเขาก้าวเข้ามาอีกก้าว

   “ผมมาดูหนังฮะ  คุณล่ะครับ  มาดูหนังเหมือนกันเหรอ?”    เตหรี่ตาลงเล็กน้อย  เห็นแววซื่อๆจริงใจในดวงตาของอีกฝ่ายก็ใจชื้น....บางทีเขาอาจจะไม่ทันเห็นว่าเป็นเราจริงๆ

   “ครับ  กำลังจะกลับแล้วครับ”

   “อ้าว หนังยังไม่จบเลยไม่ใช่หรือฮะ  ทำไมรีบกลับเสียล่ะ  หรือว่ากลัว?”  คำถามแปลกแปร่งจนคนฟังสะดุดใจ เงยหน้าขึ้นมอง   แต่ก็ยังคงเห็นแววขี้เล่นอารมณ์ดี ไม่มีเลศนัยอะไรในแววตาคมคู่นั้นอยู่เหมือนเดิม

   “กลัวอะไรครับ”  กลั้นใจถามต่อ

   “ก็กลัวว่าจะร้องไห้โฮออกมาตอนที่ตัวเอกตายไงฮะ  อายลูกชายกับภรรยาแย่เลย  นี่คุณแม่น้องเต้กับน้องเต้ยังอยู่ในโรงหรือเปล่าครับ”  คนฟังอึกอักเล็กน้อย

   “เปล่าครับ  ผมมาดูกับเพื่อน”  เลือกที่จะตอบสั้นๆ

   “อ่อ  ผมนี่แย่จริง  ขอโทษทีนะครับ  พอดีผมค่อนข้างจะติดภาพ family man จากที่เมืองนอกน่ะฮะ  ส่วนใหญ่ผู้ชายที่นั่นพอแต่งงานแล้ว เขาก็จะไปไหนมาไหนกับลูกเมียเสมอน่ะครับ”  นายแพทย์หนุ่มตอบยิ้มๆ  แต่คนฟังรู้สึกตัวร้อนสลับหนาวเยือกทั้งตัว

   นึกถึงเหตุการณ์ที่ภาคย์เอนศีรษะลงมาซบที่ไหล่ของเขาแล้วก็หน้าร้อนซู่   หรือว่าอีกฝ่ายจะเห็นแล้วจงใจพูดขึ้นมา?

   “เมืองไทยสังคมค่อนข้างแคบนะครับ   ทำอะไรก็ต้องระวังตัว  อย่าให้ใครเขาจับได้”  รดิศเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดก็พูดต่อลอยๆ   นึกแวบไปถึงภาพที่เขาเห็นในความมืดรัวๆลางๆก็ยิ่งหงุดหงิด  แถมยังมาได้ยินอีกฝ่ายหลบออกมาโทรหาลูกเมียอีก  หึ  คงจะอ้างว่าทำงานดึกอะไรทำนองนี้สินะ  แต่ความจริงแล้ว  แอบมานั่งดูหนังกับกิ๊ก!

   ....มีลูกมีเมียแล้ว  ยังไม่เลิกนิสัยชอบอ่อยแบบนี้อีกหรือไง   อยากเห็นหน้าของไอ้หมอนั่นนักเชียว   ว่าจะรูปหล่อ พ่อรวยสักแค่ไหน...

   “ผมขอตัวก่อน  ‘เพื่อน’ ผมคงจะรออยู่แล้ว”  คอลัมนิสต์หนุ่มพึมพำเสียงเบา   เขาเดินเลี่ยงจากอีกฝ่ายหายกลับเข้ามาในโรงภาพยนตร์  พบว่าหนังจบลงพอดี และไฟเปิดสว่าง   เตยืดตัวขึ้นมองหาเจ้านายที่มาด้วย  ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่ามีคนมาสะกิดด้านหลัง

   “คุณเต  หายไปห้องน้ำเสียนานเลย  ผมเป็นห่วงหมด เกือบจะลุกออกไปตามแล้ว”  ภาคย์ถือวิสาสะโอบไหล่ของเขาเอาไว้  พาเดินฝ่าผู้คนออกมาจากโรงหนัง  แล้วก็ปล่อยออกอย่างสุภาพ

   “ขอโทษครับ....เรา กลับบ้านกันเลยไหมครับ”  เตหลุดปากออกมาตามที่คิด  อีกฝ่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย

   “เป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมหน้าคุณดูซีดๆ  หรือว่าใครที่บ้านเป็นอะไร”  ชายหนุ่มสังเกตเห็นท่าทีที่ผิดแปลกไปทันที   อีกฝ่ายส่ายหัว

   “เปล่าครับ  ไม่ได้เป็นอะไรหรอก  ผมเห็นว่ามันดึกแล้ว  คุณภาคย์เองก็เหนื่อยมากแล้วด้วย   ผมเห็นหลับสนิทตั้งแต่ครึ่งเรื่องแหนะ”  เตพูดแกมหัวเราะ  เห็นฟันขาวเรียบ เรียงกันสวย  คนมองพลอยยิ้มตามไปด้วย   

   “แหม  ก็แอร์มันเย็นนี่ฮะ  ผมแพ้แอร์กับเก้าอี้ในโรงหนังที่สุดเลยล่ะ  อ้อ  คุณเต  ผมมีเรื่องขอร้องอย่างนึง  อยากให้คุณช่วยผม  จะได้ไหมฮะ”

   “อะไรล่ะครับ”

   “ไม่ยากหรอก  คุณไม่ต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้นก็ได้ ...คือผมทานข้าวคนเดียวมาหลายมื้อแล้ว  มื้อหน้าอยากมีเพื่อนทานด้วย  คุณเตช่วยมาทานข้าวเป็นเพื่อนผมพรุ่งนี้ได้ไหมครับ” เขาทำหน้าชนิดหนึ่งที่ทำให้เตรู้สึกสงสาร 

   “นะครับ  ตั้งแต่กลับมาจากอังกฤษ  ผมก็เหงามากเลย”  คนพูดหน้าม่อยลงอีก  เตมองเห็นแววอ้างว้าง โดดเดี่ยวในแววตาของอีกฝ่ายที่ปิดไม่มิดก็เลยพยักหน้ารับ

   “ตกลงครับ  คุณภาคย์” 

   “งั้นพรุ่งนี้ผมโทรหานะครับ” อีกฝ่ายยิ้มกริ่ม 

   ภาคย์ขับรถมาส่งเขาที่บ้าน   เหมือนทุกครั้งเวลาที่พาเขาไปนอกบ้าน   แม้ว่าเตจะปฏิเสธอย่างเกรงใจแค่ไหนก็ตาม  เขาก็จะอ้างว่าเป็นหน้าที่ของเขา  ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายชวนไปเที่ยวเอง

   ชายหนุ่มโบกมือให้คนมาส่ง  รอจนไฟท้ายรถลับหายไปจากสายตา ก็หันกลับเข้าไปในบ้านที่ปิดไฟมืดสนิท   ไม่รู้เลยว่ามีสายตาของคนๆหนึ่งที่นั่งอยู่ในรถสปอร์ตที่จอดซุ่มอยู่ยังฝั่งตรงข้ามไม่ไกลนักเฝ้าจับสังเกตอยู่เงียบๆ

   เขากำพวงมาลัยแน่น  แล้วก็คลายออกเมื่อรู้ตัว

   นึกถึงภาพเมื่อชั่วโมงก่อนที่เขาแอบเดินตามคนทั้งคู่ออกมาจนกระทั่งขับรถตามมาถึงบ้าน   ร่างสูงโดดเด่น หุ่นดีเสียจนเขาเองต้องยอมรับว่าสู้ไม่ได้  แถมยังมาดของผู้ชายคนนั้น ที่ดูพร้อมจะปกป้องคนใกล้ชิดอีก

   เป็นใครก็คงอดหวั่นไหวไม่ได้หรอก

   แต่มันคนละเรื่องกับผู้ชายที่มีลูกเมียอยู่แล้ว   มันผิดศีลธรรมเกินไปจนเขารับไม่ได้ 

   เลยต้องตามมาเพื่อดูให้รู้แน่นี่ไงล่ะ   ว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมันเป็นอย่างไรกันแน่   แม้ว่าจะค่อนข้างมั่นใจมากก็เถอะ ...ก็เขาจำท่าทางเวลาอีกคนฉอเลาะได้แม่นยำนี่นะ

   ยิ่งเวลาส่งยิ้มมาให้  รอยหวานวิบวับในดวงตาแบบนั้น  เขาว่าเขาดูไม่ผิดหรอก 

   โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง   รดิศกดรับ  กรอกเสียงลงไปอย่างหงุดหงิด

   “เป็นอะไรครับดิม  คนไข้อาการไม่ดีเหรอ  ทำไมเสียงหงุดหงิดจัง”  เขารีบเปลี่ยนเสียงเมื่อรู้ตัว  ตอบกลับไปเสียงหวานนุ่ม

   “นิดหน่อยน่ะรัน  ขอโทษที”

   “ดึกแล้วนะ  ยังอยู่โรงพยาบาลอีกเหรอ”  คนฟังรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากโกหกอีกฝ่ายขณะที่กำลังจะไปทานข้าวที่ห้างแห่งนั้น ว่ามีเคสคนไข้ด่วนต้องรีบกลับโรงพยาบาล  ทว่าความจริงแล้วเขาอยากจะปลีกตัวออกมา เพราะเห็นคนคู่นั้นเดินคลอเคลียเข้าไปในโรงหนังตะหาก

   “กำลังจะกลับบ้านแล้วล่ะ  เรียบร้อยทุกอย่างแล้ว  รันถึงบ้านหรือยังครับ”

   “ถึงแล้วครับ แหม ทิ้งให้เราเดินเล่นคนเดียวยังมีหน้ามาถามอีก” หางเสียงสะบัดเล็กน้อย   ดิมหัวเราะ

   “โธ่  รันก็เคยทิ้งผมไปดูคนไข้เหมือนกันแหละ  ยังไงคนไข้ก็ต้องมาก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

   “รันพูดเล่นน่ะ  ก็รู้อยู่แล้ว  ไม่กวนแล้วดีกว่า  ขับรถกลับบ้านดีๆนะครับ” 

   “ครับผม  ฝันถึงผมด้วยนะ คุณหมอวิรัล”

   “ไม่ฝันหรอก  เหอะ”  ปลายสายกดทิ้งไปแล้ว  แต่ว่าเขายังคงยิ้มค้างอยู่   รันเป็นอีกคนที่ทำให้เขาสบายใจเมื่ออยู่ใกล้เสมอ  ไม่เคยเรื่องมาก  ไม่มีปัญหาปวดหัว   รู้จักรู้ใจกันดีเพราะเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นแฟน

   มองตรงไปยังบ้านหลังนั้นอีกครั้ง  เห็นแสงไฟสว่างขึ้นที่ชั้นสอง  เดาว่าคงจะเป็นห้องนอนของสามีภรรยา  กวาดตาสำรวจบ้านเดี่ยวขนาดกลางพลางเบ้ปาก

   ...สุดท้ายก็ไปได้แค่นี้เองเหรอ   นึกว่าจะร่ำรวยมหาศาลเป็นเศรษฐี ไม่ก็เจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงานเสียอีก  หึ  ดีแล้วล่ะที่เลิกกันไปแบบนั้น   

   ชายหนุ่มสตาร์ทรถ  ถอยหลังออกจากซอยอย่างระมัดระวัง  เขาขับออกมาถึงถนนใหญ่  ตรงกลับคอนโดมูลค่าหลายล้านบาทของเขา

   ตั้งใจว่าจะไม่หวนกลับมายังบ้านหลังนั้นอีก   อนาคตของเขายังอีกยาวไกล..ไกลเกินกว่าเด็กหนุ่มผมหยิกหยักศก  ยิ้มหวาน  ท่าทางซื่อๆคนนั้นมากนัก

   ..............................................................................................


มาอัพต่อค่ะ  ขอบคุณที่เข้ามาลองอ่านกันนะคะ  เเนะนำติชมกันเข้ามาได้เลยน้าา
ชอบกดโหวต ใช่กดเม้นท์ด้วยค่าา555 :mew1:
   
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...จำ] ตอนที่2 14/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 14-01-2017 16:57:41
อยากรู้สาเหตุที่เตขอเลิกจัง หวังว่าจะมีเหตุผลที่แน่นพอนะ อ่านดูก็รู้ว่ายังรักอยู่ แล้วมาแต่งกับข้าวตังได้ไง เต้เป็นลูกของใคร
ส่วนพระเอกนี่ หลายปีผ่านไปดูดาร์คขึ้นนะ
แอบขัดใจในความ(นิสัย)นุ่มนิ่มของเต จริง ๆ ถ้ามีเหตุผลที่ดีก็ย่อมปฏิเสธคุณภาค(ใช่ไหม)ได้นะ แต่เจ้าตัวไม่รู้จักเลี่ยงเอง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...จำ] ตอนที่2 14/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 14-01-2017 18:45:18
ติดตามจ้า  สนุกดี
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...จำ] ตอนที่2 14/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 14-01-2017 18:55:40
นักเขียนระวังนิดนะคะ ติดคำว่าฮะหลายๆจุดเลย ปกติผู้ชายที่โตๆกันแล้วไม่ใช้ฮะกันค่ะ
มีอีกจุดที่เป็นการบรรยายแม้ว่าจะมาจากมุมมองของเตแต่ก็ไม่ควรใช้ว่าเรา เพราะว่าบรรยายออกมาเป็นบรุรษที่ 3 แล้ว

อ่านๆมาชวนติดตามมากค่ะ  รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ย้ำ] ตอนที่3 15/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 14-01-2017 23:01:08
เพราะหัวใจบอกว่า...ย้ำ






   นายแพทย์รดิศชะงักนิดหนึ่ง เมื่อเห็นหน้าของแขกที่มารอพบอยู่หน้าห้องทำงาน  หลังจากที่โทรศัพท์มาขอนัดสัมภาษณ์เพิ่มเติม  จากนิตยสารเซเลปรายเดือน...ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้น?

   คนที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว  รีบลุกขึ้นและแนะนำตัวทันที

   “สวัสดีครับ  คุณหมอรดิศ  ผมชื่อสมศักดิ์ครับวันนี้มาขอสัมภาษณ์คุณแทนน้องอีกคน  พอดีเขาติดธุระ...”

   “อ้อ  มาแทนคุณ...เอ่อ  อะไรนะ  คุณติณธร ใช่มั้ย?  โอเคครับ  ยินดีที่ได้รู้จักคุณ   เชิญด้านในห้องทำงานของผมดีกว่า  ผมมีเวลาประมาณชั่วโมงนึง”  รดิศพูดเรียบๆ  ยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง   เดินนำอีกฝ่ายเข้าไปภายในห้องทำงานส่วนตัวของเขา   

   การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดี  เขาสังเกตว่าคอลัมนิสต์คนนี้คงจะมีประสบการณ์สูงพอสมควร   และคงจะเอ็นดู ‘น้องเต’ อยู่ไม่น้อย  เดาได้จากการที่อีกฝ่ายพูดถึงอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะ จนกระทั่งจบการสัมภาษณ์

   “ขอบคุณมากนะครับ คุณหมอ  เรื่องของคุณน่าประทับใจมากครับ  คงจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายๆคนได้ทีเดียว  เอาไว้น้องเตเอ้อ...ผมหมายถึงติณธร...เขียนต้นฉบับเสร็จแล้ว  จะส่งมาให้คุณหมออ่านดูนะครับ  เผื่ออยากจะแก้ไขตรงส่วนไหน  แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ  เจ้าเตเป็นมือหนึ่งเรื่องงานเขียนแนวนี้เลย”  แขกพูด พลางก้มลงเก็บที่อัดเสียงและสคริปต์ลงกระเป๋า

   “คุณเตจะเป็นคนเขียนหรอครับ  ผมนึกว่าคุณจะเป็นคนเขียนเสียอีก”

   “ไม่ใช่ครับ  ผมแค่มาช่วยน้องเค้าสัมภาษณ์เฉยๆ   วันนี้น้องเขาติดธุระจริงๆครับ  เลยมาไม่ได้   ต้องขอโทษแทนด้วยนะครับ”

   นายแพทย์หนุ่มพยักหน้าเนิบๆ  ไม่ได้พูดว่าอะไร  สักพักคนสัมภาษณ์ก็ขอตัวกลับ 

   เจ้าของห้องนั่งมองโทรศัพท์มือถือของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่  ก็ตัดสินใจโทรไปหา บก.หนุ่มร่างใหญ่คนนั้น 

   “สวัสดีครับคุณโดม   ผมหมอดิมเองครับ...ครับ  เพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เองครับ”

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณหมอ” เสียงคุณบก.ชักร้อนรน ตกใจนึกว่าลูกน้องไปก่อเรื่องอะไรเอาไว้หรือเปล่า

   “เปล่าครับ  พอดีว่าผมอยากขอพบกับคนที่จะเขียนเรื่องของผมน่ะครับ  ผมอยากขออ่านก่อนที่จะตีพิมพ์”

   “อ๋อ  เรื่องนั้นได้อยู่แล้วครับ  เดี๋ยวพอเขาเขียนเสร็จผมจะส่งไปให้”

   “ผมหมายถึง...ผมขอพบคุณ ‘เต’ อีกครั้งน่ะครับ  ผมอยากจะคุยกับเขานิดหน่อย  เผื่อว่า....เขาจะได้ถ่ายทอดเรื่องราวของผมออกมาได้ถูกต้องชัดเจนที่สุดน่ะครับ”

   “อ้อ  ได้เลยครับ  เดี๋ยวผมจะบอกนักเขียนให้  แต่อาจจะต้องผ่านช่วงนี้ไปหน่อย  ได้ไหมครับ แล้วผมจะติดต่อนัดวันไปอีกทีนึง”

   “ขอภายในอาทิตย์นี้จะได้ไหมครับ  อาทิตย์หน้าผมงานยุ่งมากๆ คิวยาวเหยียดทีเดียว”  คุณหมอหนุ่มเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  ยกขาขึ้นมาไขว่ห้าง กระดิกปลายเท้าน้อยๆอย่างใจเย็น

   “พักนี้น้องนักเขียนเขายุ่งๆหน่อย  แต่ก็...ได้ครับผมจะจัดการให้เรียบร้อย  ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับหมอดิม”

   “เอ  ถ้าเขายุ่งๆอยู่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมเกรงใจ เดี๋ยวจะมองว่าผมเรื่องมากหรือเปล่า”

   “ไม่เลยครับ ไม่เลย  ผมจะจัดการให้ครับแน่นอน”  ปลายสายรีบพูดด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจเต็มที่  ทำให้ผู้ชายหน้าเข้มยิ้มมุมปาก 

   “ถ้าอย่างนั้น ขอเป็นวันพรุ่งนี้ล่ะกันนะครับ  ส่วนสถานที่....ผมยังไม่แน่ใจ”

   “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมบอกน้องเขาให้  วันพรุ่งนี้นะครับ  สถานที่คุณหมอสะดวกที่ไหน  ที่โรงพยาบาลเหมือนเดิมไหมครับ  หรือว่ายังไงเอ่ย”

    “ผมยังไม่แน่ใจตาราง  อาจจะแจ้งได้คืนนี้หลังจากออกจากห้องผ่าตัด  เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมขอเบอร์ของคุณนักเขียนเอาไว้  จะได้โทรนัดสถานที่ได้พรุ่งนี้เลย  ไม่รบกวนคุณโดม  ดีไหมครับ”

   “ได้เลย..  เบอร์นักเขียนนะฮะ  คุณเต 08x-xxx-xxxx ครับ  แล้วผมจะโทรนัดน้องเขาให้เดี๋ยวนี้เลย  ส่วนสถานที่คุณหมอดิมจะคอนเฟิร์มเองทีหลัง  ถูกต้องไหมครับ”

     “ครับผม  ตามนั้นเลย  ขอบคุณมากครับ”

   ชายหนุ่มในชุดกาวน์สีขาวกดวางสาย  หยิบสมุดเล่มเล็กที่จดเบอร์โทรศัพท์ของคนๆนั้นขึ้นมาดู....เบอร์เดิมงั้นหรือ? 

   แหม  ทีค่ายโทรศัพท์เนี่ย จงรักภักดีนักนะ  แต่ทีแฟน ทำไมถึงเปลี่ยนใจเอาเสียง่ายๆล่ะ..หึ 


   
00000000000000000000000000


   ชายหนุ่มร่างโปร่งบาง สะพายกระเป๋าเอกสารพาดบ่า  ในมือก็หิ้วโน๊ตบุ๊คมาด้วย   เขาเดินเรื่อยๆเข้ามายังรั้วมหาวิทยาลัยเดิม  ที่เขาจบมาเมื่อหลายปีก่อนพร้อมกับใบปริญญาบัตรและหยาดน้ำตา

   ไม่ได้กลับมาเยี่ยมอีกเลยตั้งแต่ตอนนั้น....ถ้าอีกฝ่ายไม่ส่งข้อความไปว่า ขอนัดคุยที่นี่  เขาก็คงไม่คิดจะเหยียบย่างเข้ามาอีก ...มันทรมานจิตใจเกินไป

   ทำไมต้องเป็นที่นี่ด้วยนะ....ก้าวเดินเข้าไปตามทางใต้ร่มไม้ร่มรื่น   ผ่านอาคารเรียนที่แม้วันเวลาผ่านไป แต่สถานที่กลับแทบไม่เปลี่ยนแปลงตาม   โต๊ะหินอ่อนเรียงรายอยู่เต็มลานหินยังคงอยู่เหมือนเดิม  โดยเฉพาะโต๊ะตัวในสุด ใต้ต้นหูกวางต้นใหญ่....โต๊ะประจำของเรา


***********

   นักศึกษาผู้ชายสองคน กำลังนั่งติวหนังสือกันอยู่อย่างเคร่งเครียด  อันที่จริง ต้องเรียกว่า คนติวเป็นฝ่ายเครียดอยู่คนเดียวมากกว่า  เพราะคนถูกติวเอาแต่นั่งกินขนมสลับกับจ้องหน้าคนติวจนชักเขิน

   “พี่ดิม  หยุดจ้องหน้าผมแล้วก็อ่านได้แล้ว  โธ่”  ขึ้นเสียงใส่นิดหนึ่ง แต่ก็ไม่วายหลบตา  เบือนหน้าหนีสายตาแพรวพราว หวานหยาดเยิ้มจนทำให้เขาใจสั่นทุกครั้งที่เผลอหันไปสบเข้า

   “ก็ใครใช้ให้นายน่ารักนักล่ะ” 

   “น่ารักแล้วรักป่ะล่ะ”  พูดไปแล้วก็นึกขึ้นได้  ว่าไม่น่าพูดออกไปเลย  สายตาของอีกฝ่ายยิ่งทวีความหวานวิบวับขึ้นไปอีกจนใจเต้นแรง   อยากยกมือขึ้นตบปากตัวเองสักเผี๊ยะ  ค่าที่ปากไวดีนัก

   “แค่พูดไม่พอหรอก  ต้องพิสูจน์”  พี่ดิมเปลี่ยนมานั่งที่ม้านั่งตัวเดียวกัน แถมยังเขยิบเข้ามาจนชิด  ทำเอาเขาตัวตกใจ  รีบยกมือขึ้นดันตัวอีกฝ่ายออกไปห่างๆ

   “มะ  ไม่ต้องพิสูจน์  กลับไปนั่งที่ได้แล้ว” 

   อีกฝ่ายมองหน้ายิ้มๆ  ยกปลายนิ้วขึ้นปัดปอยผมที่ตกลงมาระหน้าผากของเขาออก

   “กลัวอะไรพี่ หืม  ตั้งเต”

   “ไม่ได้กลัวสักหน่อย”  ถึงปากบอกไม่กลัว  แต่ใจนี่เต้นรัวเป็นกลองแล้ว  แอบหันไปรอบๆก็มีแต่โต๊ะโล่งๆ  พวกนักศึกษากลับกันไปหมดแล้ว   ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เหลือแค่พวกเขาสองคน นั่งติวหนังสือกัน

   พี่ดิมชะโงกหน้าเข้ามาเกือบชิดจนเขาผงะ  เผลอหลับตาปี๋  แต่แล้วก็รู้สึกถึงลมเป่าฟู่อยู่ข้างหู พร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆและความอบอุ่นที่ใกล้จนเกือบแนบชิด

   “พี่ไม่ทำอะไรหรอกน่า  กลัวไปได้”  เสียงทุ้มนุ่มกระซิบข้างหูแล้วก็ถอยห่างออกไป

   เขาลืมตาขึ้นมา  เห็นอีกฝ่ายกลับไปนั่งที่ม้านั่งหินตัวเดิมก็ถอนหายใจโล่งอก ...ชอบทำให้หัวใจจะวายอยู่เรื่อย...คนอะไร

   “ด่าพี่อยู่ในใจเหรอ  หึๆ  เอ้า หน้าแดงเชียว  เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย  มาพี่ตรวจให้” ทำท่าจะขยับเข้ามาอีก

   “หยุด  พอๆ  นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ  อย่าเข้ามานะ  วันนี้จะติวจบไหมเนี่ย  ผมไม่เข้าใจเลยว่าพี่จะมาให้ผมติวอังกฤษทำไม  ในเมื่อพี่ก็เทพอยู่แล้ว”

   “ใครบอกว่าพี่เทพอังกฤษ  เรียนหมอไม่ได้แปลว่าเทพอิ้งทุกคนนะเว้ย  พี่กากมากอ่ะ  ไม่งั้นคงไม่ต้องมาขอให้นายช่วยติวหรอก  ก็นี่ไง  แลกกับพี่ติวเลขให้นาย เสมอภาคกันดีออก”

   เหอะ...เชื่อพี่แกก็บ้าแล้ว  เรียนหมอแต่ไม่เก่งอังกฤษเนี่ยนะ   แต่เอาเถอะ...จะยอมเชื่อสักหน่อยล่ะกัน  อย่างน้อยก็ทำให้เราได้อยู่ด้วยกันนานขึ้นอีกนิด

   “อืม  ถ้างั้นก็ตั้งใจติวหน่อยสิครับ คุณหมอ  ผมชักเหนื่อยล่ะนะ”  เด็กอักษรศาสตร์บ่นไม่จริงจัง แต่อีกคนกลับทำหน้าเคร่งขึ้นมาฉับพลัน

   “เหนื่อยจริงเหรอ  พี่มากวนนายมากไปหรือเปล่า  หรือว่าวันนี้จะพอแต่นี้ก่อนดีไหม  นายจะได้พัก...”  สายตาและท่าทางเป็นห่วงอย่างจริงใจของอีกฝ่ายทำให้เขายิ้มออก  รีบปฏิเสธ

   “ไม่หรอก  ยังไม่เหนื่อย  แต่ถ้าพี่เล่นมากๆเนี่ย ผมก็เหนื่อยนะ”  คราวนี้ว่าที่คุณหมอเปลี่ยนท่าที กลับมาตั้งใจฟังเขาติวอย่างกระตือรือร้น  พยักหน้าและจดตาม

   เขาแอบยิ้มอยู่ในใจ  นึกเอ็นดูอีกคนขึ้นมามากๆ  ผู้ชายคนนี้มีความน่ารักแฝงเอาไว้ในตัวมากเหลือเกิน  ยิ่งรู้จักก็ยิ่งค้นพบ  มันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่เขาไม่เคยพบจากใครมาก่อน

**************

   “มานานแล้วหรือครับ” เสียงนุ่มดังขึ้นทางด้านหลัง  จนคอลัมนิสต์หนุ่มสะดุ้ง  หันกลับไปมอง   เห็นคุณหมอยืนมองเขาอยู่ก่อนแล้ว

   แวบหนึ่งที่เขารู้สึกเหมือนเห็นเเววตาคู่นั้น...แววตาคุ้นเคยที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอยู่เสมอทุกฝีก้าว  แต่เมื่อกระพริบตาอีกที  เขาก็รู้ว่าตนเองคงจะตาฝาด  เพราะดวงตาคมเข้มคู่นั้นมีเพียงรอยยิ้มเป็นมิตรแบบคนที่รู้จักกันอย่างผิวเผินเท่านั้น

   “เพิ่งมาถึงครับ  คุณหมอ”  สะกดเสียงให้ราบเรียบเป็นปกติ  ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายนิดๆและเชื้อเชิญให้นั่งบนม้าหินตัวนั้น....ตัวเดิมที่ ‘พี่ดิม’ ชอบมานั่งรอเขาทุกเย็น

   รดิศทรุดตัวลงนั่ง  กวาดตามองไปรอบๆแล้วเอ่ยยิ้มๆ

   “ผมไม่ได้กลับมาที่นี่เสียนาน   ตั้งแต่จบไป  วันนี้เลยอยากกลับมาเยี่ยมเสียหน่อย  คุณคงไม่ว่านะครับ”

   “ไม่หรอกครับ  ผม...ก็เป็นศิษย์เก่าที่นี่เหมือนกัน” 

   “อ้าว เหรอครับ  คุณจบคณะอะไร  รุ่นอะไรหรือครับ” เขาถามกลับมา  ท่าทางดีใจ

   “ผมจบอักษรฯ ครับ รุ่นน้องคุณหมอ 1 ปี”  เตตอบเรียบๆ 

   “อ๋อ  อักษรฯ ก็ตึกตรงข้ามนี้น่ะสิ  ใช่ไหมครับ   ผมแทบไม่เคยแวะมาเลย  เพราะวนเวียนอยู่แต่ในคณะ  เอ  คุณรุ่นน้องผม 1 ปีเหรอ   แต่ผมไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมันมา 1 ปี  งั้นคุณก็ต้องรุ่นน้องผมสองปีสิ”  หมอกันพูดยิ้มๆ  คนฟังเม้มปากนิดหนึ่ง

   “ครับ”   ความจริงเขาเข้าเรียนเร็วกว่าชาวบ้านสองปีด้วย...ถ้าเป็นพี่ดิมคนเดิมจะต้องรู้เรื่องนี้แน่ๆ  ....เค้าจำอะไรไม่ได้เลยสินะ   ลืมเรื่องระหว่างเราไปหมดแล้วจริงๆ...

   “ที่นี่น่านั่งจริงๆ  ผมไม่เคยมาเลย  ไม่รู้สมัยก่อนมีที่นั่งเล่นแบบนี้หรือเปล่า  หรือว่าเขาเพิ่งจะสร้าง”

   “มีนานแล้วครับ  เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย...เมื่อก่อนผมก็ชอบนั่งโต๊ะตัวนี้แหละ  มานั่งติวหนังสือเล่นนู่นนี่  เป็นโต๊ะประจำของ..ผม”  เผลอพูดออกไปยาวๆ แล้วก็หยุด  เมื่อเห็นอีกฝ่ายหันมาเอียงคอฟัง

   ท่าทางของผู้ชายคนนั้นทำให้เขาเจ็บปวดจนพูดต่อไม่ออก   ท่าทางที่เหมือนกำลังฟังเรื่องราวของคนอื่น ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับตนเองเลยแม้แต่น้อย...ฟังตามมารยาท  แล้วก็เลยผ่านไปไม่เก็บไปคิดทบทวนหรือใส่ใจ

   “ดีจังนะครับ  เหมือนมารำลึกความหลัง....อ้อ  วันก่อนทำไมคุณถึงไม่มาสัมภาษณ์ต่อล่ะครับ  ติดธุระอะไรหรือ”  ฝ่ายนั้นถามสบายๆ  เอียงตัวพิงลำต้นของต้นหูกวาง

   ติณธรสายตาพร่าไปครู่....เหมือนเหลือเกิน    เหมือนพี่ดิมคนเดิมที่พอง่วงก็จะหาที่เอนหลัง พิงต้นไม้แล้วก็นอนหลับไปซะเฉยๆ  ทิ้งให้เขานั่งเฝ้า และก็นั่งมองอย่างไม่รู้เบื่อ

   “มีอะไรหรือเปล่าครับ  เขาห้ามพิงเหรอ”  รดิศลุกขึ้นนั่งตัวตรง  หันไปมองต้นไม้สลับกับใบหน้าของคนตรงข้ามที่จ้องมาที่เขานิ่ง

   “เปล่าครับ  ไม่ใช่...ขอโทษทีครับ  เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะครับ”

   “ถามว่าคุณติดธุระอะไร   แต่ไม่เป็นไรครับ ผมออกจะถามละลาบละล้วงไปหน่อย  ขอโทษด้วย”

   “ไม่เป็นไรครับ  พอดีลูกชายผมไม่สบายเป็นไข้  เลยต้องอยู่เฝ้า”  คนฟังพยักหน้า  ถามต่อท่าทางเป็นห่วง

   “แล้วน้องเต้เป็นอย่างไรบ้างครับ  เอามาให้หมอรันเขาดูหน่อยไหมครับ  เดี๋ยวผมบอกรันให้”  เขาอาสาด้วยความมีน้ำใจ  เตยิ้มออกนิดหนึ่ง   อย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือ น้ำใจของเขา ที่เสมอต้นเสมอปลาย แม้แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักกันก็ตามที

   “ไม่เป็นไร อาการดีขึ้นแล้วครับ”

   คุณหมอพยักหน้ารับ  จากนั้นก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องบทสัมภาษณ์ของเขา   เตส่งต้นร่างให้อีกฝ่ายอ่านดู  ฝ่ายนั้นก้มลงอ่านครู่หนึ่งก็ส่งกลับมา

   “ผมอยากให้เพิ่มตรงนี้หน่อย   ผมอยากให้มีชื่อหมอรันอยู่ด้วย....” 

   คุณหมอหนุ่มชี้แก้อีกหลายจุด จากนั้นก็นั่งเท้าคางดูนักเขียนก้มหน้าก้มตาแก้ตามที่เขาบอกเอาไว้  ใบหน้าเล็กๆก้มๆเงย นัยน์ตาโตจ้องที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คอย่างตั้งอกตั้งใจ   ริมฝีปากอิ่มเต็มพึมพำบางประโยคอยู่ในลำคอคนเดียวงึมงำ  ส่วนนิ้วมือก็รัวไปตามแป้นพิมพ์อย่างคล่องแคล่ว


[ต่อด้านล่างนะคะ]
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ย้ำ] ตอนที่3 15/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 14-01-2017 23:01:59
********

   ‘เสร็จยังอ่ะเต   พี่ว่ามันก็โอเคแล้วนา  ไปกินข้าวกันเถอะ  เย็นแล้วนะครับ’

   นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 พูดชวนเป็นรอบที่สาม  แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้หินอ่อน  เขาลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ  พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา....วันนี้มีนัดติวกรอสรอบเย็นเสียด้วย  ถ้ากลับไปไม่ทันล่ะก็....

   เขายื่นมือออกไปสะกิดปลายแขนเสื้อของฝ่ายนั้นอีกครั้ง

   ‘เดี๋ยวสิพี่ดิม  จะเสร็จแล้ว  เอาอย่างนี้ ถ้าพี่ดิมหิว ก็ไปกินก่อนได้เลย ไม่ต้องรอผมหรอก’  เด็กหนุ่มหันมาบอก แล้วกลับไปแก้บางประโยคในรายงานอีกครั้ง 

   ....เป็นอย่างนี้ทุกทีเลยสิน่า  เวลาทำงานทีไร ถ้าไม่เสร็จจนเรียบร้อยพอใจเจ้าตัวแล้วล่ะก็  ไม่มีทางทิ้งเอาไว้ครึ่งๆกลางๆเด็ดขาด  ต้องมุทำจนเสร็จ....แล้วเขาจะทำอย่างไรดีล่ะ  ใจหนึ่งก็อยากไปติวอยู่หรอก  จะสอบแล้ว  แต่อีกใจ(ที่โอนเอนมากกว่า) ก็อยากอยู่กินข้าวเย็นกับ ‘ว่าที่’ แฟน แล้วคุมตัวกลับไปส่งที่หอพักเสียก่อน

   เห็นไปไหนมาไหนด้วยเป็นเงาตามตัว  รอกินข้าวด้วยตลอด  ไปรับ-ส่งราวกับเป็นผู้ปกครองของเด็กชายติณธร  แต่ความจริงแล้ว สถานะของเรายังคงเป็นเพียง รุ่นพี่-รุ่นน้อง เท่านั้นเอง 

   แม้เขาจะค่อนข้างมั่นใจว่า สถานะทางใจจะขยับขึ้นเป็นมากกว่านั้นแล้วก็เถอะ  แต่ในเมื่อเขาไม่เคยพูด  อีกฝ่ายก็ไม่เคยถาม  ก็เลยยังไม่มีการระบุสถานะที่แน่ชัดอย่างเป็นทางการเสียที  หรือบางทีมันก็อาจจะไม่จำเป็นก็ได้กระมัง  เพราะคำว่า แฟน มันก็เป็นเพียงคำนามที่ใช้เรียกแทนคนรัก ก็เท่านั้น

   ‘เสร็จแล้ว  ไปกันเถอะ..พี่ดิม  กินอะไรดีเย็นนี้’  เด็กหนุ่มเก็บของใส่กระเป๋า   ส่วนเขาแอบก้มดูนาฬิกาอีกแวบหนึ่ง....ป่านนี้อาจารย์คงเริ่มติวไปแล้วล่ะ  ช่างมันเถอะ  เดี๋ยวขอยืมที่วิรัลจดเอาก็ได้ 

   ‘พี่มีเย็นตาโฟอยู่เจ้านึง  ไม่ไกลหรอก  อร่อยมากเลยล่ะ ไป...’

   ‘ดิม  ไม่ไปติวเหรอ’  เสียงเรียกข้างหลัง ทำเอาสะดุ้งหันกลับไปแทบไม่ทัน  เจอเพื่อนรุ่นน้องยืนสะพายกระเป๋า ท่าทางรีบเร่งอยู่พอดี

   ‘อ้อ  รัน  เราไม่ไปอ่ะ  นายไปเถอะ’   เพื่อนร่วมคณะฯเหลือบมองไปทางเตแวบหนึ่งแล้วยิ้มอยู่ในหน้า

   ‘มัวแต่เล่น....อย่าประมาทนะดิม อาจารย์บอกบล็อกนี้จะออกข้อสอบใหม่หมดด้วย....เอาเถอะ  งั้นเราไปก่อนล่ะกัน’  รันยิ้มให้เตนิดหนึ่ง โบกมือให้เพื่อนแล้วก็วิ่งข้ามถนนไปยังตึกคณะฯที่อยู่อีกฟากของมหาวิทยาลัย

   รดิศหันกลับมาส่งยิ้มให้เด็กหัวหยิกข้างตัว  แล้วก็ต้องหุบยิ้ม เพราะสบสายตาเขียวปั้ดของอีกฝ่ายเข้า

   ‘มีติว?  จะสอบแล้ว  แล้วทำไมมายืนอยู่นี่ล่ะ  ไปติวสิ’  เสียงของเตฟังดูเข้มงวดแบบไม่เคยได้ยินมาก่อน  พอๆกับสีหน้าท่าทางที่แทบจะยกมือขึ้นมาเท้าสะเอว

   จู่ๆดิมก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเด็กที่แอบทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้  นึกเกรงและเอ็นดูคนตรงหน้าขึ้นมาพร้อมๆกัน

   ‘พี่อ่านจบแล้ว  ไม่ต้องติวหรอกน่า’ เขาโกหก  ความจริงยังอ่านได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ

   ‘ได้ยังไง  อุตส่าห์มีติวก็ต้องไปสิ  เพื่อนก็ไปติวกันหมด  ไปเถอะ  เอ้า ยังมายืนมองหน้าอีก’  เด็กอักษรฯพูด  ส่งแฟ้มและกระเป๋าเป้ให้เขา   

   ‘พี่หิวออก  ขอไปกินข้าวก่อนได้ไหม’ 

   ‘ไม่  เตไม่กินแล้ว  พี่หิวพี่ก็กินไปคนเดียวแล้วกัน’   หัวใจของเขากระตุกไปวูบหนึ่ง  เมื่อกี้อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่าอะไรนะ...เต...ใช่ไหม?  อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

   ‘ยังไม่ไปอีก  ยิ้มทำไม’

   ‘นายเรียกตัวเองว่าอะไรนะ’

   ‘ผมเหรอ   อะไร..งง’  อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา   น่าขัน แต่ก็น่าเอ็นดูยิ่งนักในสายตาเขา

   ‘ต่อไปนี้เรียกแทนตัวเองว่า  ..เต ...ได้ไหม’   ใบหน้าเรียวหวานนั้นซับสีเลือดขึ้นฉับพลัน 

   ‘ไม่เรียก  ทำไม ‘ผม’ ต้องเรียกด้วย’ เน้นคำว่า ผม อย่างชัดถ้อยชัดคำ แถมยักคิ้วกวนประสาทให้อีกทีนึง  แหม  มันน่า....นักนะ

   ‘อ้าว  นี่ใจดีให้เรียกด้วยชื่อแล้วนะ  หรือว่าจะเรียก เค้า – ตะเอง อ่ะ ให้เลือก’   

   ‘ไม่เลือกทั้งนั้นแหละ  มัวแต่โอ้เอ้  ไปติวได้แล้ว  ไม่งั้นไม่ต้องมาคุยกันอีกนะ  คนขี้เกียจ เอาแต่เล่น ผมไม่คุยด้วย’

   เจ้าตัวบ่นงึมงำมาอีกชุดใหญ่  ท่าทางไม่ยอมไปกินข้าวด้วยแน่ๆ ทำให้ต้องตัดใจ เดินกลับคณะฯเพื่อไปติวกรอสอย่าง
หงอยเหงา  เห้อ...เขาถึงว่า คนน่ารัก มักใจร้าย แบบนี้นี่เอง  แต่ก่อนจากเขาก็ไม่ลืมบอก

   ‘รอพี่แปบนึงนะ  ไม่เกินชั่วโมง   นายกินเสร็จก็เดินเล่นไปก่อน  ไปนั่งรอที่ห้องสมุดก็ได้  เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ’ 

   ฝ่ายนั้นก็พยักหน้าหงึกหงักสองทีเหมือนไม่สนใจนัก แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินแยกไปอีกทาง 

   และแล้ว  วันที่สำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ของเราก็มาถึง...วันที่เราสองคนตกลงเป็นแฟนกัน...เรื่องมันเริ่มต่อจากนั้นนั่นแหละ   หลังจากเขาติวกรอสเสร็จ  ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้านด้วยสมองที่หนักอึ้ง

   เวลาล่วงเลยมาเกือบสามชั่วโมงแล้วนับจากตอนที่แยกกับเต  เขาเดินลงมาจากตึกคณะฯอย่างเหนื่อยอ่อน  เป็นการติวที่หนักหน่วงเหลือเกิน    เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าตอนนั้นมืดสนิท  ฟ้าร้องครืนๆอยู่ไกลๆบอกว่าฝนคงกำลังตกหนักอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ และอีกไม่นานก็คงจะลามมาตกแถวนี้

   มองไปรอบด้านไม่เห็นใคร   เตคงจะกลับหอไปแล้วล่ะ   มันก็เลยเวลามาขนาดนี้แล้ว  อยากโทรหาอีกรอบทว่าแบตโทรศัพท์ของเขาก็หมดพอดี... เขาคิดอย่างนั้น จึงโหนรถเมล์กลับบ้าน  แต่ก็ขอแวะหอของเตที่อยู่ไม่ไกลนักเสียหน่อย...อย่างน้อยจะได้มั่นใจว่า น้องกลับถึงหอแล้วเรียบร้อย  ไม่ไปแวะเที่ยวที่ไหนให้เป็นห่วง

   พอถึงหอของเตเท่านั้นแหละ  เขาก็รู้สึกเหมือนตกอยู่กลางไฟ เพราะรูมเมทรุ่นน้องของเต ที่ชื่อโชน บอกว่า พี่เตยังไม่กลับมาเลย 

   งานเข้าแล้วไง  นี่เกือบสามทุ่มแล้ว   เตไปไหน?

   เขาเดินออกมาจากหอของน้อง  แล้วไปตามหาตามร้านละแวกนั้น...แต่ไม่พบ   ป้าขายข้าวแกงร้านประจำใต้หอก็บอกว่า วันนี้ยังไม่เห็นเด็กหนุ่มหัวหยิกผ่านมาเลย

   แรงสังหรณ์บางอย่างทำให้เขาตัดสินใจโหนรถเมล์กลับไปยังมหาวิทยาลัยอีกครั้ง   เดินแกมวิ่งเข้าไปภายใน ตึกคณะฯเรียงรายเห็นเป็นเงาตะคุ่มๆอยู่   เสาไฟตั้งเรียงกันห่างๆ สาดแสงพอเห็นทาง 

   ต้นไม้ใหญ่โบกไปมาตามแรงลม  น่ากลัวจนขนเริ่มลุก....ปกติเขาไม่ค่อยกลัวผีหรอกนะ  แต่วันนี้บรรยากาศมันพาไปจริงๆ  อูย..

   ‘เต   เตอยู่แถวนี้หรือเปล่า?’  ขาวิ่งย้อนกลับมายังใต้อาคารที่ติวกรอส  กลิ่นฟอร์มาลีนลอยลงมาจากชั้นบนยิ่งทำให้ขาชักจะแข็ง ก้าวต่อไม่ออก  แต่ทำใจสู้ เดินอ้อมอาคารสี่เหลี่ยมจนครบรอบ ก็ไม่เห็นใครอยู่ละแวกนั้น

   รอบด้านสงบเงียบ  ได้ยินเสียงสายลมกับใบไม้ที่พัดเสียดสีกัน  หัวใจของเขาเต้นแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก
   หมับ!

   เขาสะดุ้งสุดตัว  เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ไหล่ หันขวับกลับมา ยกมือขึ้นหลับหูหลับตาฟาดลงไปเต็มเหนี่ยวด้วยความตกใจพร้อมกับแหกปากตะโกนออกมาสุดเสียง

   ‘ช่วยด้วยคร้าบ..’

   ‘โอ๊ย  คุณ..อย่าๆ อย่าฟาดลงมาครับ’  มือของเขาถูกฝ่ายนั้นยึดเอาไว้แน่น  ดิมแอบหรี่ตาขึ้นมองก็เห็นรปภ.ยืนอยู่ตรงหน้า  หายใจหอบน้อยๆเพราะออกแรงสู้กับเขา

   ‘อ้าว  ลุงยาม  ผมขอโทษครับ  มาข้างหลังเงียบๆผมก็ตกใจหมด  นึกว่า...’

   ‘นึกว่าอะไรครับ  ผีเหรอ’  สำเนียงเหน่อๆของลุงยาม ทำให้เขาหัวเราะออกมาได้  ยกมือขึ้นไหวขอโทษแกอีกหลายครั้ง

   ‘แล้วนี่คุณกลับมาทำไมล่ะครับ  ลืมของเหรอ ให้ผมช่วยไหม’

   ‘อ๋อ  ผมมาตามหาคนครับ  ลุงเห็นบ้างไหม  เด็กปีหนึ่งผู้ชาย ตัวประมาณนี้  ผมหยิกๆอ่ะครับ’  เขาทำมือกะขนาดตัวของเตให้อีกฝ่ายดู

   ‘ชื่อตินๆ ตินอะไรสักอย่างใช่ไหม  ลุงเพิ่งไล่กลับบ้านไปสักชั่วโมงก่อนเห็นจะได้มั้ง   มานั่งอยู่แถวนี้คนเดียว  ไม่กลับบ้านกลับช่อง’

   ‘อ้าว  ผมไปที่หอของเขามา ไม่เห็นเจอเลย’

   ‘ถ้างั้นผมก็ไม่รู้แล้วครับ  อาจจะสวนกันระหว่างทางไปกลับหรือเปล่า’

   ‘ถ้างั้นผมขอยืมโทรศัพท์ที่ป้อมยามหน่อยได้ไหมครับ’

   เขาเห็นด้วยกับความเห็นของลุง  จึงเข้าไปขอใช้โทรศัพท์ต่อกลับไปที่หอของเด็กหนุ่ม  รอสายโอเปอร์เรเตอร์ต่อไปที่ห้องของอีกฝ่ายอยู่ครู่ใหญ่ ก็มีคนรับสาย

‘สวัสดีครับ’

‘โชน  พี่เตกลับหรือยัง’  เขาถามสวนทันทีอย่างใจร้อน

‘พี่ดิมเหรอ  พี่เตยังไม่กลับเลยพี่  พี่เจอยัง  ไม่รู้ไปไหน  นี่ฝนตกแล้วด้วย’ เด็กหนุ่มตอบกลับมา น้ำเสียงกังวลไม่แพ้กัน

‘โอเค  ไม่ต้องห่วงนะโชน เดี๋ยวพี่พาพี่เตกลับไปส่งเอง’ ปลอบใจรูมเมทของน้องเสร็จแล้ว ตัวเองก็วิ่งกลับออกมาจากป้อมยาม    ใจเสียยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า  เป็นห่วงอีกคนไปสารพัด 

ตั้งชั่วโมงนึงแล้ว..หายไปไหนของเค้านะ  หลงทาง  แวะเที่ยว  อุบัติเหตุ  โดนฉุด วิ่งราวชิงทรัพย์  ดักตีหัว จี้ปล้น  จับตัวไปเรียกค่าไถ่  หรือว่าอุบัติเหตุอะไร

ภาพเด็กหนุ่มประสบภัยพิบัติต่างๆนานาประดังประเดเข้ามาในหัวแบบไม่ยั้งจนชักจะหน้ามืด   นึกกลัวว่าจะไปเจออีกฝ่ายนอนจมกองเลือดอยู่ที่ไหนสักแห่ง ระหว่างทางข้างหน้านั่น 

เขาตัดสินใจไม่ขึ้นรถเมล์  แต่ใช้เดินแกมวิ่งเอาแทน  กวาดสายตามองสองฟากถนนไปตลอดทาง  หยุดเดินทุกครั้งที่เห็นใครที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเด็กคนนั้น

ฝนตกลงมาจนได้  แถมตกแรงเสียจนเขาเปียกโชกไปทั้งตัวในพริบตา  เรียกว่าไม่ทันหาที่หลบฝนก็เปียกเสียแล้ว  แต่รดิศเสียอย่าง  ไม่หวั่นแม้วันฝนตกหนักมากอยู่แล้ว   

รถติดแหงกทันทีที่ฝนตก  เขาเดินลัดเลาะเข้าไปในซอยหอพักของติณธร   เริ่มหนาวจนฟันกระทบกัน  ขาก็ปวดเพราะออกแรงเดินไกลหลายกิโล   แต่ก็กัดฟันเดินต่ออีกหน่อยจนเห็นไฟที่หน้าหอพักของรุ่นน้องอยู่ไม่ไกล

   ร่างของใครบางคน เดินออกมาจากใต้อาคารหอพักข้างหน้า  ในมือถือร่มเอาไว้  คนๆนั้นหันซ้ายขวา แล้วก็เดินจ้ำตรงเข้ามาหาเขาราวกับกระทิงวิ่งเข้าใส่ผ้าแดง  แต่คงจะเป็นกระทิงที่ตัวเล็กกว่าปกติสักหน่อย   น้ำที่นองอยู่ที่พื้นถนนแตกกระจายตามจังหวะก้าวเท้าของเขา

   เข้ามาใกล้ จนเห็นใบหน้าเรียวใต้ร่มคันนั้นได้ถนัด  เขาร้องเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง  ทั้งโล่งอกและดีใจ....เจอเสียที   

   ‘เต!  ไปไหนมา  พี่ตามหาตั้งนาน’ เขาพูดเต็มเสียง  ยกมือขึ้นจับไหล่บาง แต่ฝ่ายนั้นเบี่ยงหลบ เลยทำให้เขาชะงักไปนิด   สบสายตาคู่นั้น เอาเรื่องทีเดียว  น่ากลัวไม่ใช่เล่น

   ‘ผมนั่งรอพี่อยู่สามชั่วโมงจนยามมาไล่ถึงได้กลับ’ เตพูดเสียงเรียบสนิท สายฝนยังคงเทกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา  เตยืนถือร่มอยู่ห่างจากเขาประมาณสองก้าว  ใบหน้านั้นเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์  ตรงข้ามกับแววตาที่บอกว่ากำลังคุกรุ่นเต็มที่

   ‘พี่ขอโทษ  พี่นึกว่านายกลับไปแล้ว  จะโทรหาแบตก็หมด  พี่ก็เลยมาที่หอของนาย  ปรากฏโชนบอกว่านายยังไม่กลับ  พี่เลยไปที่มหาลัยอีกรอบ  เจอลุงยามบอกว่านายกลับแล้ว  พี่ก็เลยกลับมาที่หออีกเนี่ยล่ะ’  เขาพูดเร็วปรื๋อ

   เด็กหนุ่มนิ่งไปอีก แล้วก็ถามกลับมา

   ‘ทำไมถึงคิดว่าผมกลับมาแล้วล่ะ’

   ‘ก็....พี่ไม่คิดว่า...นายจะรอพี่น่ะ’  ตัดสินใจตอบตรงกับใจ   ก็ตอนนั้น  เตไม่ได้รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะอะไร  แค่พยักหน้ารับส่งๆ  อีกอย่างนึงเขาก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะอดทนรอขนาดนั้น....พอคิดมาถึงตรงนี้ กระแสอบอุ่นอย่างประหลาดก็แผ่ซ่านออกมาจากหัวใจ ขับไล่ความหนาวจากละอองฝนไปได้เกือบหมด

   ‘พี่บอกให้รอ...ผมก็ต้องรอสิ  หรือว่าพี่แค่พูดไปอย่างนั้นเอง  ไม่ได้มีความหมายอะไร’  หางเสียงสั่นไปนิดหนึ่ง  เขาขมวดคิ้ว  ก้าวเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอีกก้าวหนึ่ง

   ‘โกรธพี่หรอ  เต  พี่ขอโทษนะ  คราวหน้าพี่จะไม่ปล่อยให้นายรอแบบนี้อีกแล้ว  ยกโทษให้พี่ดิมนะ...นะครับนะ  คนดี’  เขารวบมือของอีกฝ่ายขึ้นมากุมเอาไว้  มือของเตอบอุ่นตัดกับความเย็นชื้นที่ฝ่ามือของเขา

   ‘เตมีความหมายที่สุดสำหรับพี่นะ   รู้ตัวหรือเปล่า   เมื่อกี้พอรู้ว่าเตยังไม่ถึงบ้าน พี่เป็นห่วงแทบตาย  นี่พี่วิ่งตามหานายตั้งแต่หน้ามอจนถึงที่นี่เลยนะ  รู้มั้ย   หายไปไหนมา’ สภาพเปียกปอนของเขาเป็นพยานยืนยันได้อย่างดี

   ‘ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย  ลืมว่าทิ้งผมเอาไว้ที่นู่นก็ยอมรับมาเหอะ  ทำเป็นพูดดี’ เสียงอ่อนลงมานิดหนึ่ง เป็นสัญญาณที่ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะหายโกรธ  แถมยังเขยิบร่มเข้ามาบังฝนให้เขาด้วยอีกตะหาก

   ‘มันจะไม่มีคราวหน้าอีก  สัญญา พี่จะไม่ทิ้งเตให้รอแบบนั้นอีกแล้วนะ’

   ‘หึ  ต่อไปนี้ผมก็จะไม่รอพี่แล้วด้วย  ไหนบอกชั่วโมงเดียว  หายไปสองสามชั่วโมง เงียบกริบแถมไม่ส่งข่าวอีก  ถึงเวลาก็กลับไปซะงั้น  ทิ้งผมนั่งรอเงกเลย….’   คนข้างๆบ่นต่อพึมพำ  รดิศดึงร่มจากมืออีกฝ่ายมาถือเอาไว้เสียเอง   ส่วนอีกมือก็เนียนจับมือเล็กเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

   ‘ขอโทษนะครับ  ให้ทำยังไงถึงจะหายโกรธ?’  แกล้งเอาไหล่กระแทกร่างนั้นเล่นๆ  เตเซไปนิด หันกลับมาทำตาเขียว

   ‘เล่นอะไรริมถนนเนี่ย  เดี๋ยวผมโดนรถชนทำไง’

   ‘พี่ก็หาแฟนใหม่’  นักศึกษาแพทย์หนุ่มพูดหน้าตาเฉย   อีกฝ่ายถลึงตาแล้วก็ชะงัก จ้องหน้าเขา

   ‘พูดว่าอะไรนะ’

   ‘ว้า  หัดแคะขี้หูบ้างนะ  พี่บอกว่า  ถ้านายโดนรถชนซี้ม่องเท่ง  พี่ก็หาแฟนใหม่ไง  เป็นอะไร  ทำหน้าสงสัย  มีปัญหาอะไรครับคุณตั้งเต?’ ส่งยิ้มกวนประสาท พร้อมกับยักคิ้วให้ทีนึง

   ใบหน้าเรียวหวานใต้กรอบผมหยิกหยักศกนั้นแดงก่ำขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   มือที่เขากุมอยู่ก็ร้อนจัดเหมือนอีกฝ่ายเกิดจับไข้ขึ้นมากะทันหัน

   ‘เป็นอะไรไป  หยุดเดินทำไมหืม?’

   ‘คนบ้า  อย่ามาเนียนนะ  ใครเป็นแฟนพี่ไม่ทราบ’  คำพูดงึมงำอยู่ในลำคอ เบาจนเขาต้องเอียงหน้าเข้าไปขอฟังใกล้ๆ

   ‘อ้าว  คุณไม่รู้จักแฟนผมเหรอ  ตัวเล็กหัวหยิกๆยิ้มหวานน่ะ  เฟรชชี่อักษรฯ เป็นเดือนคณะด้วย  ชื่อตั้งเต รู้จักไหมครับ’ 

   ‘ผิดคนแล้วมั้ง  คนนั้นรู้สึกว่าเขาจะยังโสดนะ  ไม่ได้มีแฟนไม่ได้เรื่อง บอกจะไปส่งแต่ปล่อยให้รอตั้งหลายชั่วโมงหรอก’  เตพูดจบก็เมินมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาเขา 

   ‘ฮ่าๆ’  คนถูกค่อนหัวเราะออกมาเต็มเสียง แล้วก็หยุดเดิน  รั้งมืออีกฝ่ายให้หยุดยืนอยู่กับที่ด้วย

   เวลาเหมือนจะหยุดไปชั่วครู่  ขณะที่เราสองคนยืนจ้องหน้ากันอยู่ริมถนน ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก 

   ‘พี่สัญญาว่าจะเป็นแฟนที่ ‘ได้เรื่อง’  ของเตนะครับ’

   ‘................’ 

   ไม่มีคำตอบจากปากของอีกคน   เรายืนมองหน้ากันนิ่งๆอีกครู่ใหญ่  ในที่สุดเตก็พยักหน้านิดหนึ่ง  นิดเดียวเท่านั้น แทบมองไม่เห็น  แต่รอยยิ้มอายๆที่ปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากและแววตาที่เมินหลบคู่นั้นก็ทำให้ใจเขาพองโต  ราวกับมีผีเสื้อเป็นร้อยๆกระพือปีกพร้อมกันในอก

   ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนท้องฟ้าที่มีเมฆครึ้ม ถูกสายลมเย็นฉ่ำพัดเอาก้อนเมฆปลิวกระจายหายไปหมด จนแสงอาทิตย์สอดส่องมายังพื้นดินเบื้องล่าง... อบอุ่นไปถึงกลางใจ

   ดิมกระชับมือที่กุมอยู่แนบแน่น  หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ  รู้สึกเหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งริหัดมีรักครั้งแรก  ทั้งที่เขาก็เคยมีแฟนมาแล้ว 2 คนสมัยมัธยม  แต่ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกับตอนนี้เหลือเกิน

   น้ำที่นองอยู่เฉอะแฉะบนพื้นถนนไม่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดเหมือนทุกครั้ง  สายฝนที่เทลงมาก็เย็นชื่นใจ  ควันท่อไอเสียรถยนต์ไม่ทำให้เขาอึดอัดหายใจไม่ออก    แค่มีคนข้างๆเดินกุมมือมาด้วย  มันทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เชียวเหรอ

   กลับถึงหอพัก  ‘แฟน’ ของเขาหายกลับเข้าไปในห้องครู่หนึ่ง แล้วก็กลับมาพร้อมกับเย็นตาโฟแห้งใส่กล่องมีฝาปิดมิดชิดส่งให้เขา

   ‘ยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่มั้ย   เตซื้อเย็นตาโฟร้านนั้นมาฝาก’

   ‘หืม  ว่าไงนะ’

   ‘ก็เย็นตาโฟแห้งที่พี่อยากกินไง  หรือไม่กิน?’

   ‘ไม่ใช่  ประโยคหลังจากนั้นน่ะ’  คนฟังหยุดคิด แล้วก็หัวเราะ  รู้ว่าเขาหมายถึง สรรพนามที่เปลี่ยนไปเป็นชื่อเล่นแทน 
 
   ‘อ๋อ  เตซื้อมาฝาก   โธ่..นึกว่าอะไร  เอ้าแล้วนี่เสื้อกางเกง เอาไปเปลี่ยนก่อนกลับบ้าน  ขืนกลับแบบนี้ ปอดบวมตายเลย  ใช่ป่ะคุณหมอ’

   ….แน่ะ  ยังมาทำเป็นเอียงคอถาม   ประเดี๋ยวก็ล๊อคคอลากเข้าห้องเสียเลยหนิ....ดิมคิดในใจอย่างหมั่นเขี้ยว  ยื่นมือไปรับถุงเสื้อผ้า กับกล่องอาหารเย็นมาถือเอาไว้

   ‘ขอรับ...เก่งสมเป็นแฟนหมอจริงๆเลยนะเนี่ย’  แกล้งเย้าเล่น  ยกมือขึ้นยีหัวที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกๆนุ่มๆนั่นแรงๆ  เตโยกหัวหลบ  หน้าแดง ทำท่าจะปิดประตูใส่   เขาเลยรีบยกแขนขึ้นดันประตูเอาไว้ 

   ยื่นหน้าเข้าไป พูดเสียงจริงจัง

   ‘เขยิบมานี่หน่อยแน่ะ  มีความลับจะบอก’  อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหรา  แต่ก็ยอมเอียงหน้ามาใกล้โดยดี

   เขายิ้มมุมปาก  ขยับเข้าไปจนเกือบชิดใบหูเล็กๆนั้น  อาศัยทีเผลอ แตะปลายจมูกและปากลงบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว  สูดหายใจเข้าจนชุ่มปอด  แล้วก็รีบผละออก ทันเวลาที่อีกฝ่ายเหวี่ยงบานประตูปิดพอดี

   ปึง!

   เขาหัวเราะเสียงดัง   เคาะที่ประตูเบาๆ

‘พี่ยังไม่ได้บอกเลยครับเต  รีบไปไหน ฮ่าๆ  พรุ่งนี้เช้าเจอกันหน้าหอนะครับ  พี่จะมารับ’

‘ไม่  ผมไปเองได้’  เสียงเบาๆ ตอบผ่านบานประตูมา  เขานึกภาพอีกคนยืนหน้าแดงพิงประตูอีกฝั่งได้อย่างชัดเจน  บางทีอาจจะกำลังยกมือขึ้นถูที่ซีกแก้มข้างนั้นอยู่ก็เป็นได้

‘แต่พี่ไปเองไม่ได้  พี่หลงทาง  หึๆ  ตามนั้นนะครับ’

เขาพูดแกมหัวเราะ   เดินหิ้วถุงผ้าและกล่องบรรจุอาหารลงมาจากหอพักอย่างสบายใจ  เสื้อผ้าเริ่มหมาดจนเขาตัดสินใจไม่แวะเปลี่ยนชุด แต่ตรงกลับหอพักของเขาเลย

กลิ่นหอมอ่อนๆของอีกฝ่ายยังติดจมูก  ชื่นใจจนอยากจะร้องเพลงออกมาดังๆ   หัวใจของเขาตอนนั้น ชุ่มฉ่ำเหมือนผิวดินที่เพิ่งได้รับน้ำฝน  รู้สึกได้ถึงรากของต้นไม้ที่ค่อยๆหยั่งลึกลงไปในผืนดินอ่อนนุ่ม  ฝังรากลงทีละนิด และเขาทั้งคู่จะช่วยกันรดน้ำพรวนดินเพื่อให้มันเจริญงอกงามที่สุดเท่าที่จะทำได้

เขาสัญญากับตัวเองเอาไว้อย่างนั้น


*************


มาอัพต่อนะคะ   ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์มากๆค่า  :hao7:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ย้ำ] ตอนที่3 15/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 14-01-2017 23:44:26
เตยังคงรักคงรักคุณหมออยู่ แต่เพราะอะไรนั้น ...

รออ่านต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รู้สึก] ตอนที่4 16/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 16-01-2017 20:42:04
เพราะหัวใจบอกว่า...รู้สึก








นักเขียนหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากแป้นพิมพ์  ชะงักนิดหน่อยเมื่อสบเข้ากับสายตาคมเข้มที่จ้องมาที่เขานิ่ง  เหลือบดูนาฬิกาข้อมือก็เห็นว่าล่วงมาเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว  ที่พวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะหินอ่อนแห่งความหลังตัวนี้   ที่มีเพียงเขาคนเดียวที่จำได้เท่านั้น....

“เรียบร้อยแล้วครับคุณหมอรดิศ  กลับได้เลยครับ  เดี๋ยวผมจะพิมพ์ย่อหน้าที่แก้ แล้วส่งไปให้คุณหมออ่านอีกทีนะครับ” 

    ...อยากจะรั้งให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนี้  ให้นานกว่านี้สักนิด  แต่มโนธรรมภายในใจบอกเขาว่า  มันไม่สมควร  ไม่ถูกต้อง   อีกฝ่ายมีแฟนแล้ว และเขาก็มีลูกภรรยาแล้ว  ถึงจะแค่ในนาม  มันก็เป็นห่วงโซ่ที่ผูกตรึงเขาเอาไว้อยู่ดี

   และที่สำคัญที่สุดก็คือ   จะรั้งเอาไว้ทำไมล่ะ  ใช่ว่าจะสามารถหมุนย้อนเวลาให้กลับมาได้   ความจริงที่ต้องยอมรับก็คือ  ความรักของเรากลายเป็นอดีตที่มีเขาจำได้ฝ่ายเดียว..

   “เย็นแล้ว  ให้ผมเลี้ยงข้าวเย็นคุณสักมื้อได้ไหมครับ”   คนฟังตอบปฏิเสธทันทีแบบไม่ต้องคิดซ้ำ

   “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก  เชิญคุณหมอเถอะครับ”

   คุณหมอหนุ่มเม้มปาก  แล้วก็เอื้อมมือไปพับโน๊ตบุ๊คของอีกฝ่ายลงดื้อๆ  พร้อมกับคว้าเอกสารของเขามาถือเอาไว้  เตตกใจ 

   “เห้ย  คุณทำอะไรน่ะ”

   “เอาไว้เป็นตัวประกัน  ถ้าคุณอยากได้คืนก็ตามผมมาแล้วกัน” 

   ติณธรอ้าปากค้าง    ศัลยแพทย์หนุ่มที่จู่ๆก็ลุกขึ้นมาทำตัวเหมือนเด็ก  รวบข้าวของของเขาแล้วหันหลังเดินหนีซะงั้น   พอหายอึ้งเขาก็รีบคว้ากระเป๋าเอกสารและออกวิ่งตามหลังอีกฝ่ายไป

   มาตามทันกันอีกฟากของถนน    รดิศก้าวยาวๆ หันไปมองคนข้างหลังที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมาติดๆก็อมยิ้มอยู่ในใจ   สอดส่ายสายตามองหาร้านเป้าหมาย....ผ่านมาหลายปี ไม่รู้จะยังขายอยู่มั้ย

   นั่นไงล่ะ...เขามาหยุดยืนอยู่หน้าร้านเย็นตาโฟเจ้าประจำ  หยุดรออีกคนให้เดินมาทัน ก็เดินนำเข้าไปในร้านบรรยากาศข้างในเปลี่ยนไปมากทีเดียว  แต่ก่อนไม่มีแอร์  ไม่ได้ตกแต่งสวยงามแบบนี้  เป็นแค่ร้านเล็กๆใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาทั้งคู่ถูกใจรสชาติจนต้องแวะเวียนกลับมากินซ้ำหลังเลิกเรียนอยู่เสมอ

   คนขายไม่ใช่ป้าแก่ๆใจดีชอบแถมลูกชิ้นกับแมงกระพรุนให้พวกเขาอีกแล้ว  แต่เป็นหญิงสาวหน้าหมวย คงจะเป็นลูกสาวของแกกระมัง 

   ลอบมองอีกฝ่ายนิดหนึ่งก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรจากตั้งเต    ใบหน้าเรียวหวานที่เริ่มมีริ้วรอยเพิ่มขึ้นตามวัยไม่แสดงอารมณ์ใดๆ  เพียงแต่กวาดตามองไปรอบๆด้วยแววตาสนอกสนใจเท่านั้น

   เด็กมารับออร์เดอร์  เขาสั่งเย็นตาโฟเส้นใหญ่แห้งของโปรด  หันไปถามอีกคน  คนตรงข้ามนิ่งไปชั่วครู่ก็สั่งเสียงเบาด้วยเมนูเดียวกัน 

   รดิศอมยิ้มนิดๆ ...เมนูนี้เป็นเมนูโปรดของเราทั้งคู่   จะเรียกว่าเป็นเมนูแห่งความหลังก็คงจะได้   ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแบบเขาบ้างไหม

   คงจะไม่ ...ขนาดพากลับไปนั่งที่โต๊ะหินตัวเดิม   ติณธรยังไม่แสดงอาการว่า ‘รำลึก’ ได้เลยสักนิด  เหอะ...คงจะทำฟอร์มไปอย่างนั้นเอง   เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะลืม

   “เคยกินร้านนี้มาก่อนไหม”  เขาแกล้งถาม  คืนข้าวของให้อีกฝ่ายรับไปใส่กระเป๋าเอกสารเอาไว้ตามเดิม 

   “อาจจะเคย  เมื่อนานมาแล้ว”  อีกฝ่ายตอบเรียบๆ

   “ผมชอบกินเย็นตาโฟมาก   จำได้ลางๆว่ามีร้านอยู่แถวนี้ เลยเสี่ยงลองเดินมาดู  มีจริงๆด้วยแฮะ  คุณติณธร..ผมขอเรียกชื่อเล่นคุณแล้วกันนะ..คุณเต  คุณชอบกินเย็นตาโฟไหมครับ”  ถามหน้าตาเฉย เหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวมาก่อน 

   “ครับ  เคยชอบ”  ตอบสั้นๆเหมือนไม่เต็มใจตอบ  แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง

   “เคยชอบ…  แปลว่าตอนนี้ไม่ชอบแล้ว?  ทำไมล่ะครับ”  รดิศยิ้มมุมปาก  ยิ่งเห็นอีกฝ่ายไม่อยากคุยเรื่องนี้เท่าไหร่  เขาก็ยิ่งอยากขุดคุ้ยลงไปอีก

   “ความชอบของคนเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  ไม่ใช่เหรอครับ  ไม่เห็นแปลกอะไร” 

   “แปลว่าคุณคงเป็นคนชอบเปลี่ยนใจบ่อยๆสินะ  ไม่เหมือนผม  ถ้าลงว่าชอบแล้วล่ะก็  ไม่เคยเปลี่ยนใจเลยสักครั้ง....”  ทอดเสียงอ่อนนุ่ม   เตสบตาเขาแวบหนึ่ง แล้วก็เมินหลบ

   “อย่างหมอรัน  ผมก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจจากเขาเลย  ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจขอเขาเป็นแฟน จนมาถึงวันนี้”

   “น่าดีใจแทนหมอรันนะครับ  มีแฟนน่ารักแบบนี้”  หางเสียงสะบัดเต็มเหนี่ยว  แล้วคนพูดก็หยุด  เงียบไปเสียเฉยๆ

   คนฟังยิ้มอีกครั้ง

   “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ  แล้วคุณเตล่ะครับ”

   “ครับ?” เสี้ยวหน้าด้านข้าง   คิ้วเรียวยาวเลิกขึ้นน้อยๆเป็นเชิงถาม ทำให้หัวใจของรดิศกระตุกไปวูบ  เหมือนเห็นเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อนกำลังนั่งอยู่ตรงหน้า  เอียงคอถาม ‘พี่ดิม’ ด้วยแววตาสงสัย น่าเอ็นดู

   เขาเสยกแก้วน้ำขึ้นจิบ

   “คุณเคยคิดเปลี่ยนใจจาก...ภรรยา...ของตัวเองหรือเปล่า”    วูบหนึ่งที่ดิมอยากเปลี่ยนคำว่า ‘ภรรยา’ เป็น ตัวเขาเอง  แต่มันก็เป็นเพียง ความคิดชั่ววูบที่น่าขัน ....จะทำอย่างนั้นไปทำไมล่ะ

   “ผมไม่เคยคิด...”  เตตอบ

   อีกฝ่ายเลิกคิ้วราวกับไม่เชื่อ   แต่ก็พยักหน้าเนิบๆ

   “ผมนี่แย่จัง  ถามอะไรคุณเตก็ไม่รู้   ขอโทษด้วยนะครับ   คือผมกำลังจะแต่งงาน  ก็เลยอยากถามผู้มีประสบการณ์เอาไว้น่ะ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ”   ดิมเม้มปาก  หงุดหงิดที่อีกฝ่ายพูดน้อยราวกับกลัวดอกพิกุลจะร่วง   แถมเอาแต่ก้มหน้าก้มตากิน  ไม่ยอมสบตาเขา

   โทรศัพท์ของฝ่ายนั้นดังขึ้น  เตก้มลงกดรับ  พูดเสียงเบา แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ได้ยิน

   “ครับ....คุณภาคย์....ผมทานแล้วครับ”  นักเขียนหนุ่มแอบมองอีกฝ่ายนิดหนึ่ง เห็นกำลังคีบลูกชิ้นในชามอยู่อย่างขะมักเขม้นก็กรอกเสียงลงไป

   “สองทุ่มเหรอครับ  ได้ครับ ...ไม่ต้องมารับหรอก  ผมไปเองได้ครับ” 

   รดิศรีบเก็บเอาไว้ในสมอง  ตั้งคำถามอยู่ในใจ...คุณภาคย์?  สองทุ่ม?  หรือว่าจะเป็นไอ้โย่งนั่น

   “ครับ  สวัสดีครับ”  เตรีบวางสาย   คนตรงข้ามวางตะเกียบ

   “เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้าน  ไม่ต้องห่วงนะครับ. สงสัยคุณแม่น้องเต้คงเป็นห่วงแล้ว  เอ้อ...หรือว่ารอกินข้าวเย็นอยู่  ตายล่ะผมนี่แย่จริงๆ  ไม่ได้ถามคุณก่อน  แฟนคุณว่าอย่างไรบ้าง” 

   “ไม่ต้องเป็นห่วงครับ   แล้วก็ไม่ต้องรบกวนคุณหมอไปส่งผมด้วย  พอดีผมมีธุระต่อแถวนี้”  ติณธรตอบเสียงเรียบ  พยายามไม่สบตาอีกฝ่ายมากนัก

   คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับ   เรียกเก็บเงิน  สักพักก็ออกมายืนอยู่ข้างหน้าร้าน  ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วแต่ย่านนี้ยังคงคึกคัก  วัยรุ่นและวัยทำงานมากมายเดินสวนกันไปมา 

   “ถ้าอย่างนั้นเราแยกกันตรงนี้นะครับ ขอบคุณมากที่ทานข้าวเป็นเพื่อนผม” คุณหมอหัวใจพูดยิ้มๆ

   “ครับ....เรื่องต้นฉบับผมจะส่งไปให้นะครับ ขอบคุณคุณหมอมากที่เลี้ยงก๋วยเตี๋ยว   ลาก่อนครับ”  เตก้มหัวให้  หมายความตามที่พูดจริงๆ  หลังจากวันนี้หนทางของเราก็คงจะไม่มีทางวกกลับมาพบเจอกันอีกแล้ว

   คุณหมอหนุ่มยิ้มกว้าง  โบกมือให้เขาแล้วเดินจากไป  ไม่นานก็กลืนหายไปในกระแสคนที่คลาคล่ำ
   
   เตมองตามจนภาพเบื้องหน้าเริ่มพร่ามัว  ขาสั่นจนต้องถอยไปหากำแพงเพื่อพิงตัว  หอบหายใจเหนื่อยอ่อน  หมดแรงราวกับถูกสูบเอาพลังงานออกไปจนหมดสิ้น

   แค่การที่ได้พบกัน  กลับไปยังสถานที่ที่เคยมีความหลังด้วยกันแค่มีกี่ชั่วโมง  ทำไมมันถึงดูดแรงกายแรงใจของเขาออกไปได้มากขนาดนี้   หรือจะเป็นเพราะการที่ต้องฝืนทำเป็นไม่รู้สึกอะไร  ทั้งที่ในใจแทบจะระเบิดออกมาด้วยความกดดัน   ทั้งความรักความหลัง ณ สถานที่แห่งนั้น   มันทำให้เขาแทบบ้า

   เหตุการณ์ระหว่างสองเรา  วกกลับมาตลอดเวลาที่ทำเป็นนั่งแก้งานอยู่ตรงข้ามกับผู้ชายคนนั้น   นึกถึงงานที่เซ็ฟเอาไว้ในโน๊ตบุ๊คแล้วก็ถอนหายใจยาว.....คงจะต้องลบ เขียนใหม่หมด  เพราะตอนนั้นเขาเขียนอะไรลงไปก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

   หลายปีที่ผ่านมาไม่ได้ช่วยเยียวยาหัวใจบ้างเลยหรือ   

   ไม่อยากยอมรับกับตัวเอง  ว่านับตั้งแต่วันที่บอกเลิกจนมาถึงวันนี้   ก็ยังคิดถึงเค้าอยู่..

   ...............................


   “เป็นอะไรหรือเปล่า  คุณเต  วันนี้ดูเหนื่อยๆชอบกล  กลับบ้านก่อนก็ได้นะครับ”

   ภาคย์ก้มลงถามคนข้างๆอย่างเป็นห่วง   ท่าทางของติณธรดูหมดเรี่ยวหมดแรงแม้ว่าจะพยายามฝืนเอาไว้แค่ไหนก็ตาม  แต่แววล้าโรยในดวงตาคู่นั้นก็ปิดไม่มิด

   นักเขียนหนุ่มหันมายิ้มให้

   “ถ้าผมกลับแล้วใครจะเป็นล่ามให้คุณล่ะครับ  ผมไม่เป็นอะไรหรอก  สงสัยคนเยอะเลยปวดหัวนิดหน่อย” 

   เจ้านายหนุ่มกวาดตามองไปรอบลอบบี้โรงแรมห้าดาวแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกน้อง    วันนี้คนเยอะจริงๆ แล้วนี่ก็เลยเวลานัดมาเกือบสิบนาทีแล้วด้วย  ทำไมลูกค้ายังไม่มาอีก

   อุตส่าห์หาอุบายพาคนข้างๆมาด้วยได้แล้วเชียว....โชคดีที่อีกฝ่ายไม่เคยรู้ว่าเขาก็พูดเยอรมันได้   ไม่อย่างนั้นเจ้าตัวคงจะไม่ยอมมาช่วยเป็นล่ามให้แบบนี้หรอก  แอบมองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างตัวแล้วลอบยิ้ม

   “เดี๋ยวผมโทรหาเค้าอีกทีดีกว่า  นี่มันเลทมากแล้ว”  ภาคย์กดโทรหาลูกค้ารายใหม่ ชาวเยอรมันอีกครั้ง  รอสายครู่หนึ่งฝ่ายนั้นก็รับ  พูดขอโทษขอโพยมาตามสาย  ภาคย์หยุดฟังนิดหนึ่งก็ส่งโทรศัพท์ให้คนข้างๆ  เตรับมาแนบหูนิ่งฟัง แล้วก็ตอบกลับไปฉะฉาน

   โต้ตอบกันอยู่ครู่  เขาก็หันมาถามเจ้านาย

   “คุณมึนสเก้บอกว่า  ขอเลื่อนนัดกะทันหันครับ   ขอโทษด้วยจริงๆ  คุณภาคย์จะสะดวกนัดอีกทีวันไหนดีครับ” 

   “พุธหน้าแล้วกัน  สองทุ่มที่เดิม  ได้ไหมครับ”

   เตหันไปพูดกับปลายสายอีกสองสามประโยค ก็วางสาย

   “เรียบร้อยแล้วครับ เป็นวันพุธสองทุ่มที่ลอบบี้โรงแรม.....นะครับ” คนฟังพยักหน้ารับ  จดบันทึกลงบนสมาร์ทโฟน  แล้วลุกขึ้นยืน พาเดินออกมาด้านนอกของโรงแรม

   “ขอบคุณมากนะคุณเต  ไม่ได้คุณ ผมก็ไม่รู้จะคุยกับพวกนั้นยังไง   คุณสำเนียงดีมากเลยครับ  เคยไปเยอรมันมาก่อนเหรอ” 

   “สมัยเรียน ผมเรียนเอกเยอรมันครับ  ก็เลยพูดได้  แต่ผมไม่เคยไปเยอรมันมาก่อนหรอกครับ ผม...ไม่เคยขึ้นเครื่องบินเลยด้วยซ้ำ”

   “จริงเหรอครับ”  เจ้านายของเขาถามซ้ำอย่างประหลาดใจเต็มที 

   “ครับ  แปลกเหรอครับ  ก็น่าอยู่หรอก  สมัยนี้ใครๆเขาก็น่าจะเคยขึ้นกันสักครั้ง”

   “เอ  แล้วเวลาคุณไปเที่ยว  คุณเดินทางยังไงละ  ขับรถไปเหรอ”

   “ครับ  แต่ผมก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหน....มัน...ไม่มีเวลาน่ะครับ”  ติณธรพูดเรียบๆแล้วเงียบไป  คล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาตามมาด้วย   คนฟังขมวดคิ้ว  จับไหล่ของเขาไว้ รั้งให้หยุดเดิน  แล้วก้มลงมาจนอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

   “คุณมีอะไรอยู่ในใจหืม  คุณเต  คุณทุกข์อะไรนักหนา   ตั้งแต่ที่ผมรู้จักคุณมา  ผมสังเกตได้อย่างนึงว่าคุณเป็นคนเศร้าอยู่ลึกๆ  แม้แต่ตอนที่คุณหัวเราะ  คุณก็ยังคิดอะไรอยู่สักอย่างตลอดเวลา...คุณเต  เราก็รู้จักกันมาพักหนึ่งแล้วนะ  ผมไว้ใจคุณ เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้คุณฟังทุกเรื่อง  เพราะมั่นใจว่าคุณจะไม่ไปเล่าให้ใครฟัง...คราวนี้  ผมขอเป็นคนรับฟังคุณบ้างจะได้ไหม....คุณมีอะไรในใจ เล่ามาให้ผมฟังเถอะ   เผื่อจะได้สบายใจขึ้น  แล้วผมสัญญาว่าจะไม่ไปเล่าให้ใครที่ไหนฟังอีก”

   ภาคย์แบมือยกขึ้นในท่าคล้ายลูกเสือสามัญ  ลูกน้องหัวเราะออกมาเบาๆ  ยกมือขึ้นปลดมืออีกข้างของอีกฝ่ายออกจากบ่าอย่างนิ่มนวล

   “ขอบคุณมากครับ  แต่ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอก  จริงๆ  เมื่อกี้อาจจะกังวลเรื่องงานนิดหน่อย”

   “ทำไมหรือ  คุณโดมใช้งานคุณหนักเหรอ  เดี๋ยวผมจะไปจัดการให้”  ภาคย์รูดแขนเสื้อขึ้นทั้งสองข้าง  ทำท่าเหมือนนักเลงคุมซอยพร้อมจะไปต่อยตี

   “ไม่ใช่ครับ  ฮ่าๆ  ไม่เกี่ยวกับพี่โดมหรอก”

   “แล้วไป  ไม่งั้นสวย” เขาลดแขนเสื้อลง 

   “ฮ่าๆ”  เตหัวเราะออกมาเต็มเสียง 

   “เวลาคุณหัวเราะแล้วโลกสดใสขึ้นนะครับ   หัวเราะบ่อยๆนะ”  จู่ๆอีกฝ่ายก็พูดขึ้น จ้องมาที่เขานิ่ง  ทำเอาเตหยุดหัวเราะกึก  นึกอึดอัดกับสายตาของอีกฝ่ายขึ้นมาเป็นครั้งแรก

   “ดึกแล้ว  เรา..กลับกันเถอะครับ”  รีบเปลี่ยนเรื่อง แล้วก้มหน้าก้มตาเดิน   ทำประหนึ่งไม่รับรู้ความหมายที่แฝงมากับสายตาคู่นั้น

   ภาคย์มองตามแล้วถอนหายใจยาว

   ทั้งคู่เดินลัดเลาะไปตามร้านรวงข้างทางที่ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก  บางครั้งร่างสูงก็ต้องเอื้อมมือไปโอบรอบบ่าเล็กบางของคนข้างๆ  เข้ามาชิดตัว  เพื่อกันเอาไว้จากผู้คนที่เดินสวนเบียดเสียดกันไปมาไม่ให้โดนเบียดจนพลัดหลงกัน

   คนที่แอบเดินตามหลังทั้งคู่มาเงียบๆตั้งแต่หน้าโรงแรมเม้มปากแน่น   

   จะเรียกว่าบังเอิญก็คงจะได้ ที่เขาดันพบกับเพื่อนเก่า เลยเข้าไปหาอะไรดื่มในคอกเทลเลาจน์ของโรงแรม  พอกลับออกมาก็เจอภาพบาดตาเข้า....ผู้ชายสองคนยืนแนบชิดกันอยู่ภายในลอบบี้ ก่อนจะเดินคลอเคลียกันออกมา  ท่าทางทางสนิทสนมบอกได้ชัดเจนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาคงจะไม่ธรรมดาแน่

   แล้วยังใบหน้ายิ้มระรื่นนั่นอีก  เจ้าเด็กนั่นส่งยิ้มหวานให้กับคนข้างตัวไม่หยุด  ผิดกับคนที่นั่งหน้างอกินก๋วยเตี๋ยวกับเขาเมื่อตอนเย็นไปเป็นคนละคน

   เผลอกำมือแน่น แล้วก็คลายออก  โทรศัพท์มือถือดังขึ้นพอดี   เขากดรับ

   “ฮัลโหล...รันเหรอ  อ้าว  ผมนึกว่ากลับบ้านไปแล้ว  ทำไมล่ะ....มีเคสด่วน?  เด็กชายธีระ  เอ๋  น้องเต้หรือเปล่า....อืม  .....ติดต่อไม่ได้งั้นหรือ?  โอเค......อืม     เดี๋ยวพี่ไปหาที่รพ. แค่นี้ก่อนนะ”

   วางสายไปแล้ว  รดิศมองตรงไปยังคนทั้งสองที่หยุดยืนดูของที่หน้าร้านเล็กๆนั่น  ผู้ชายคนนั้นหยิบอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายพวงกุญแจขึ้นมาชู แล้วเอียงคอถามร่างสูงใหญ่ข้างๆเหมือนจะขอความเห็น

   ความโกรธที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายนักแผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาราวกับจะสัมผัสได้   เรื่องที่ได้รับรู้มาจากรันยิ่งทำให้โกรธจัด....น้องเต้ไม่สบาย  สงสัยเดงกี่  เหมือนจะเข้าสเต็จช็อค รันกลัวว่าแกจะเป็นอะไร  ก็เลยอยู่เฝ้าที่นี่แหละ  นี่พ่อน้องเค้าก็ไม่รู้ไปไหน  ติดต่อไม่ได้  เหลือแต่แม่ นั่งร้องไห้อยู่เนี่ย  ริทล่ะทำอะไรไม่ถูกเลย.....

   พ่อไม่รู้ไปไหน....ก็ยืนออเซาะอยู่โน่นไงล่ะ   ลูกเมียจะเป็นจะตายไม่เห็นสนใจ   มัวแต่ไประริกระรี้อยู่กับ...ชู้หรือ?
สองคนนั่นไม่มีท่าทางว่าจะรีบไปไหนเลย  กลับเดินต่อเรื่อยๆราวกับเพลินเพลินเสียเต็มประดา   และนั่นยิ่งทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว  อยากจะตรงเข้าไปกระชากร่างนั้นแรงๆ แล้วตะคอกถามว่า  ยังมีความเป็นพ่อคน หลงเหลืออยู่บ้างไหม   

เมื่อหลายปีก่อน  ผู้ชายคนนั้นบอกเลิกเขา  และก็ทิ้งเขาให้นอนจมกองเลือดอยู่กลางถนนอย่างโหดร้ายใจดำที่สุด   หลังจากอุบัติเหตุในครั้งนั้น  ก็ไม่มีการติดต่อใดๆ  ราวกับว่าเขาทั้งสองคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
มนุษย์ที่ใจดำขนาดนี้  มีอยู่ในโลก  และเขาก็โชคร้ายสุดๆที่ดันซวยไปเจอเข้า

.....................................................................................
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รู้สึก] ตอนที่4 16/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 16-01-2017 20:43:02
[ต่อนะคะ]



   ภาคย์ขับรถมาส่งติณธรที่บ้าน    ภายในบ้านปิดไฟมืดสนิท   เตก้าวเข้าไปในบ้าน นึกสงสัยว่าทำไมบรรยากาศถึงไม่เหมือนกับทุกคืนที่ผ่านมา

   ข้าวตังหายไปไหน   เจ้าเต้ด้วย  ทำไมปิดไฟเงียบขนาดนี้นะ

   เปิดไฟที่ห้องรับแขก เห็นกระดาษโน้ตวางอยู่บนโต๊ะกระจก   ลายมือของน้องสาวเขียนเอาไว้บนกระดาษ

   ‘เต้ไม่สบายมาก  โทรหาพี่เตไม่ติด  ตังเลยพาไปหาหมอที่รพ.’

   อ่านจบ หัวใจเขาก็ร้อนรนขึ้นทันที  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมา  ปรากฏว่าแบตเตอรี่หมดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ....เตรีบกลับออกมาจากบ้าน  โชคดีที่ภาคย์ยังจอดรถอยู่ด้านนอก  เขารีบเข้าไปหา  พูดละล่ำละลัก

   “ลูกชายผมไม่สบาย   ไปรพ.แล้ว  คุณช่วยพาผมไปได้ไหมครับ”

   ชายหนุ่มตกใจไม่แพ้กัน    รีบบอก

   “คุณปิดบ้านให้เรียบร้อยก่อน  แล้วขึ้นรถ  ผมจะพาไปรพ.”  เตพยักหน้า  หันกลับไปล็อคประตูบ้าน  มือสั่นเพราะเป็นห่วงเด็กชาย  นึกโทษตัวเองที่ไม่รู้เรื่องเลย   โทรศัพท์แบตหมดก็ไม่รู้  เพราะสะเพร่าแท้ๆ

   คนขับเหลือบมองคนนั่งข้างๆที่นั่งบีบมือตัวเองแน่น  เห็นใบหน้าเรียวซีดเผือดก็สงสาร  หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองส่งให้

   “โทรถามแฟนคุณดูว่าลูกเป็นไงบ้าง”

   เตรับมากดเบอร์แล้วโทรออก  ครู่หนึ่งหญิงสาวก็รับสาย

   “ตัง  นี่พี่เตเองนะ  เต้เป็นอย่างไรบ้าง”  เขากรอกเสียงลงไป  ปลายสายตอบกลับมา

   “เต้ไข้ขึ้นตั้งแต่เช้า  แล้วจู่ๆก็ตัวเย็น  กระสับกระส่ายแปลกๆ  กินอะไรก็อาเจียนหมด  ตังเลยตัดสินใจพามารพ.ดีกว่า  นี่ถึงมือหมอแล้วค่ะ  โชคดีหมอรันยังไม่กลับเลยมาดูให้   หมอสงสัยจะเป็นไข้เลือดออกระยะช็อคเลยให้แอดมิท   แล้วนี่พี่เตอยู่ไหนคะ  ตังโทรไปเหมือนปิดเครื่อง”

   “แบตหมดน่ะ  ขอโทษด้วยจริงๆ  นี่พี่กำลังไปรพ.  แอดมิทตึกไหนห้องอะไร”

   ข้าวตังบอกหมายเลขห้อง  แล้วก็วางสายไป  เตถอนหายใจยาว เอนหลังพิงพนัก  ส่งโทรศัพท์คืนให้เจ้าของรถ  เล่าให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ  แล้วก็นั่งเงียบไปอีก

   เจ้านายของเขาจอดส่งที่หน้าโรงพยาบาล  แล้วบอกว่าจะไปวนหาที่จอดรถและจะขึ้นไปดูด้วย เตปฏิเสธอย่างเกรงใจ  อีกฝ่ายก็ยืนยันว่าจะขอขึ้นไปเยี่ยม  แต่สุดท้ายก็บอกว่าจะมาใหม่พรุ่งนี้แทน

   ติณธรก้าวเร็วๆเข้าไปในลิฟต์   ในใจเป็นห่วงเด็กชายจนร้อนรุ่ม  ไข้เลือดออกงั้นเหรอ  มันตายได้เลยไม่ใช่หรือไง  นี่เขาเป็นพ่อประสาอะไรกัน  ถึงได้ปล่อยให้ลูกอาการหนักจนถึงขั้นนี้ได้

   เดินไล่หาจนเจอห้องก็เคาะประตูแล้วเปิดเขาไป   เห็นข้าวตังยืนอยู่ข้างเตียงที่มีเด็กชายเต้นอนแซ่ว   ใบหน้าของเด็กน้อยซีดเผือด  มีสายน้ำเกลือห้อยระโยงระยาง

   “ตัง   เต้เป็นไงบ้าง”

   “พี่เต...”  น้องสาวก้าวเข้ามาหา  เขาโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน  ลูบหลังไหล่ปลอบโยนเบาๆ

   “พี่มาแล้ว   พี่ขอโทษนะ   เต้เป็นยังไงบ้าง”

   “หมอบอกว่า  ถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะแย่ได้เลยเพราะเกล็ดเลือดต่ำมาก   ตอนที่มาลูกก็ซึมนิ่งไปเลย   แต่หมอรันบอกว่าตอนนี้อาการยังทรงๆต้องรอดูอาการพรุ่งนี้   พี่เต  ฮึก   ตังกลัวมากเลยนะ   กลัวลูกจะเป็นอะไรไป”  หญิงสาวร้องไห้ออกมา   ชายหนุ่มลูบศีรษะของเธอเบาๆ

   “ลูกถึงมือหมอแล้ว  ไม่เป็นไรหรอก  ไหนขอพี่ดูลูกหน่อย”  เขาก้าวเข้าไปชิดเตียง  จับแขนเล็กๆที่มีเข็มน้ำเกลือทิ่มอยู่นั่นขึ้นมา  กัดริมฝีปากด้านในของตัวเองจนเจ็บ 

   เต้หลับสนิท   จุดเลือดออกตามตัวเริ่มจะสังเกตได้  เขารู้สึกโกรธตัวเอง

   “เพราะพี่เอง  พี่ผิดเองตัง  พี่ปล่อยให้เธอกับลูกอยู่กันสองคนทั้งที่เต้ก็ไม่สบาย”

   “โธ่  ก็ใครจะไปรู้ล่ะคะ ว่าลูกจะเป็นหนักแบบนี้  ตังก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ได้โทรบอกพี่ตั้งแต่แรก   ตังขอโทษนะคะ”

   เตถอนหายใจหนักหน่วง  จูงมือหญิงสาวมานั่งด้วยกันที่โซฟาภายในห้องพักผู้ป่วยเดี่ยว

   “โชคดีนะคะที่หมอรันยังไม่กลับบ้าน   พอรู้ว่าเต้มา แกก็รีบมาตรวจเลย  เอ้า  พูดถึงก็มาพอดี..”

   เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น  ร่างเล็กบางในชุดกาวน์ยาวของกุมารแพทย์หนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับนางพยาบาลอีกสองคน   เตรีบลุกขึ้น ยกมือไหว้

   “คุณหมอรัน  เต้เป็นอย่างไรบ้างครับ” นายแพทย์หนุ่มหันมายิ้มรับ แต่เมื่อเห็นใบหน้าของคนพูดถนัดก็ชะงัก 

   “เอ๊ะ  คุณ...เตหรือเปล่าครับ?”  เขาถามไม่แน่ใจ 

   “ครับ  นี่ลูกชายผมเองครับ  เต้”

   วิรัลมองหน้าสามคนพ่อแม่ลูกกลับไปกลับมา 

   “อ้าว  นี่รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ  เอ  วันนั้นพี่เตก็แวะเอาของมาให้หมอรันนะ  สงสัยไม่ทันเห็นหน้ากระมัง”  ข้าวตังประหลาดใจกับท่าทีของคนทั้งสอง   หมอรันดูตกใจมากกว่าจะเรียกว่าดีใจที่ได้เจอพี่เต  ส่วนพี่เตกลับดูสงบนิ่งเหมือนเดิม  มีเพียงรอยยิ้มมุมปากที่ไม่ได้เผื่อขึ้นไปยังแววตาด้วยเท่านั้น   ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

   “เอ่อ   เราเคย..รู้จักกัน เป็นเพื่อนของเพื่อนน่ะครับ   ไหนขอดูชาร์ทหน่อยนะครับ  เต้เป็นไงบ้าง”  คุณหมอรันพูดไม่สบตา  แล้วหันไปสนใจคนไข้บนเตียงแทน

   คนเป็นพ่อมองตาม   ไม่ได้พูดอะไรต่อ  เขายืนมองอีกฝ่ายตรวจร่างกายลูกชายเงียบๆจนเสร็จเรียบร้อย รันก็หันกลับมาหาผู้ปกครองของเด็ก

   “เต้อาการทรงๆนะครับ  คงต้องนอนรพ.อีกสักระยะนึง  เดี๋ยวพรุ่งนี้พยาบาลจะมาเจาะเลือดไปตรวจอีกครั้งนะครับ   คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง  ทางเราดูแลเต็มที่  คุณเตด้วยนะครับ”

   คุณหมอรันพูดจบก็รีบเดินกลับออกไปจากห้องคนไข้ทันที   ดาวประดับรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆระหว่างสามีของเธอกับคุณหมอหนุ่มคนนั้น

   “มีอะไรหรือเปล่า  พี่เต  ทำไมตังรู้สึกแปลกๆชอบกล” 

   “ไม่มีอะไรหรอก...ตังกินอะไรหรือยัง  พี่จะลงไปซื้อมาให้”  เธอตอบว่ายัง  เขาจึงกลับออกมาจากห้องพักผู้ป่วยเพื่อลงไปซื้อของกินที่ร้านด้านล่างของโรงพยาบาล

   รอจนลิฟต์มา ก็ก้าวเข้า  พอลิฟต์ลงมาได้หนึ่งชั้น ประตูก็เปิดออก....ผู้ชายคนที่เขาเพิ่งพบมาเมื่อตอนบ่ายยืนสลบนิ่งอยู่ด้านนอกลิฟต์ ประจันหน้ากับเขาพอดิบพอดี   ท่าทางของอีกฝ่ายไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นเขา

   ศัลยแพทย์หนุ่มก้าวเข้ามาในลิฟต์    ส่งยิ้มมาให้

   “คุณเต   มาดูน้องเต้เหรอครับ   ไม่รู้น้องเป็นไงบ้าง”   

   “ดีขึ้นแล้วครับ  เมื่อกี้หมอรันก็มาดู”  ดิมพยักหน้า

   “ดีแล้วครับ หมอรันเขาเป็นห่วงน้องเต้มากเลย  วันนี้ก็นอนค้างที่นี่  กลัวน้องเป็นอะไรไป”

   “ครับ  ขอบคุณมากจริงๆครับ  ถ้าไม่ได้หมอรันเจ้าเต้คงแย่กว่านี้”

   “โรคนี้อันตรายนะ...ยิ่งถ้าผู้ปกครองไม่มีเวลาดูแลด้วยแล้วเนี่ย   มัวแต่ไป...เอ่อ  ทำอย่างอื่น  กว่าจะรู้อีกที  ก็อาจจะเสียลูกไปแล้ว”

   “ครับ”  เตเริ่มรู้สึกถึงน้ำเสียงแปลกๆที่อีกฝ่ายใช้  รวมถึงสายตาที่มองมา   

   “พอแยกกับผมแล้ว  คุณไปไหนต่อหรือครับ  คุณข้าวตังถึงเป็นคนพาน้องเต้มาโรงพยาบาล” 

   “ผมไปทำงานต่อครับ  เลยกลับมาไม่ทัน”  ติณธรตอบตามความเป็นจริง   อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาตรงๆ  ก่อนจะเอื้อมมือไปกดปิดลิฟต์ชั่วคราว  ลิฟต์หยุดเคลื่อนที่    รดิศขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง  ขณะที่เตก็ถอยจนแผ่นหลังติดกับกำแพงสี่เหลี่ยมของลิฟต์โดยสาร 

   มองตอบอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ  รดิศเป็นอะไรไป ทำไมถึงจ้องเขาด้วยสีหน้าถมึงทึงขนาดนั้น  แววตาคมกริบคู่นั้นมองเขาด้วยแววยิ้มเยาะอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มองไปรอบด้านเห็นแต่กำแพงกั้นไม่มีทางหนี  ยิ่งทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นอีกด้วยความกลัว

   “งานที่โรงแรมใช่ไหมครับ  คุณติณธร?”   รดิศถามเสียงเย็น

   “คุณรู้ได้ยังไง” เตถามกลับ   แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้ว่าเขาไปช่วยเป็นล่ามให้กับเจ้านาย ถึงจะไม่เจอลูกค้าก็เถอะ

   “ใครๆเขาก็เห็นคุณเดินยิ้มระรื่นออกมากับผู้ชายคนนั้นกันทั้งนั้นแหละ ....จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของผมหรอกนะ แต่ผมทนเห็นเรื่องผิดศีลธรรมแบบนี้ต่อหน้าต่อตาไม่ได้   คุณเต  คุณทำแบบนี้ไม่กลัวบาปบ้างเหรอ  ไม่ละอายใจบ้างหรือไง”

   “คุณว่าไงนะ”  นักเขียนหนุ่มถามกลับเสียงสั่น  งงจนจับต้นชนปลายไม่ถูก  ขณะที่กำแพงรอบด้านเริ่มบีบเข้ามาหาเขาทุกทิศทุกทาง

   “คุณรู้อยู่แก่ใจดี   ว่าทำไมคุณถึงไม่ได้ดูแลลูก  คุณทิ้งให้ภรรยาของคุณ ...ให้ผู้หญิงตัวแค่นั้นหอบหิ้วลูกชายมาโรงพยาบาลตามลำพัง ขณะที่คนเป็นพ่อ  ที่ควรจะอยู่ทำหน้าที่นี้มากที่สุด กลับหายไปไหนไม่รู้  คุณคิดว่ามันถูกต้องไหมล่ะ  ผมไม่อยากก้าวก่ายเรื่องของคุณหรอกนะ  แต่คราวนี้มันเหลือทนจริงๆ”

   คุณหมอหนุ่มใส่เป็นชุด  ไม่ทันดูสีหน้าของอีกฝ่ายที่เริ่มซีด   เหงื่อแตกพลั่กออกตามไรผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน 

   “คุณเข้าใจผิด”  เตพูดเสียงเบา   เริ่มรู้สึกเวียนหัวเหมือนอากาศไม่พอหายใจ  หูเริ่มอื้อจนได้ยินเสียงของอีกฝ่ายหนึ่งดังหึ่งๆเหมือนแมลงวัน

   “เข้าใจผิด?  เหอะ  ท่าทางของคุณสองคนมันชัดขนาดนั้น  คุณไม่สงสารเมียคุณบ้างเหรอ  คุณไม่เห็นหน้าเมียคุณตอนที่เธอมารพ.ล่ะสิ  อย่างน้อยก็น่าจะสงสารลูกบ้าง  แต่ก็อย่างว่าแหละ สันดานคนมันไม่เปลี่ยน  ลงถ้าใจดำขนาดที่.....เห้ย ! เต!!”

   เขาอุทานออกมาลั่นลิฟต์ เมื่อจู่ๆอีกฝ่ายก็คอพับ ตัวอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้นเสียอย่างนั้น  รดิศก้าวพรวดเดียว เข้าไปรับตัวเอาไว้แล้วจับให้นอนลง  เขาเอื้อมมือไปกดลิฟต์ให้ทำงาน  ประตูลิฟต์เปิดออก  เขารีบหิ้วปีกอีกฝ่ายออกมาด้านนอก  พยาบาลสองคนที่อยู่เวรในวอร์ดเห็นเข้าก็รีบเข้ามาช่วย

   “เขาเป็นลมน่ะครับ  ติดอยู่ในลิฟต์”  คุณหมอพูดสั้นๆ  อุ้มร่างเล็กบางให้ลงนอนบนเก้าอี้  ปลดกระดุมเสื้อและเข็มขัดให้  พยาบาลวิ่งไปหยิบแอมโมเนียกับผ้าเย็นมาให้เขา

   รดิศจ่อสำลีชุบแอมโมเนียเข้าที่ปลายจมูกของอีกคน  พิศดูใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกผิด   ยกผ้าขึ้นซับเหงื่อให้อย่างเบามือ

   พี่ขอโทษนะเต   พี่ลืมไปว่านายกลัวที่แคบ...

   ชั่วขณะหนึ่ง ที่เขาลืมความโกรธและอารมณ์ด้านลบที่มีต่อคนๆนี้ไปเสียสนิท  เหลือเพียงแต่ความห่วงใยและกังวลที่ผุดขึ้นมาจากซอกลึกที่สุดของหัวใจ

   มุมที่เจ้าตัวเองก็ไม่เคยรู้ว่ามันยังหลงเหลืออยู่   แต่เก็บซ่อนเอาไว้จากสายตาของทุกคนแม้แต่เจ้าของอย่างมิดเม้นจนแทบไม่รู้สึก
   .
   .
   สัมผัสเย็นๆที่เช็ดอยู่รอบใบหน้า ทำให้นักเขียนหนุ่มลืมตาขึ้น  เห็นตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวที่ไม่คุ้นตาจึงลุกขึ้นนั่ง  พยาบาลสาวสวยคนหนึ่งกำลังเช็ดหน้าให้เขาอยู่  เธอถามด้วยน้ำเสียงอาทร

   “ดีขึ้นแล้วหรือคะ  คุณเป็นลมในลิฟต์น่ะค่ะ”  เธอพูดยิ้มๆ  นักเขียนหนุ่มพยักหน้า  มองไปรอบๆงงๆ

   “แล้ว...คุณหมอรดิศล่ะครับ”

   “คุณหมอกลับไปแล้วค่ะ  ฝากให้ดิฉันดูแลคุณ  คุณรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ”

   “อ้อ  ครับ  ขอบคุณมากครับ”  เขาลุกขึ้นยืน  สะบัดตัว  ความทรงจำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ...พี่ดิมขังเขาเอาไว้ในลิฟต์  ต่อว่าเขาว่าทำไมถึงไม่มาดูลูก  มัวแต่ไปทำงาน เอ๊ะ  ใช่หรือเปล่านะ  คงจะเป็นทำนองนี้แหละ ...

   เหอะ  พี่ดิมก็ยังเป็นพี่ดิมเหมือนเดิม  คนที่ไม่พร้อมจะฟังเหตุผลอะไรจากใครทั้งสิ้น  ถ้าลงเขาปักใจเชื่อไปแล้ว....ช่างเขาเถอะ  อยากจะเข้าใจยังไงก็เรื่องของเขา  ไม่เกี่ยวกับเรา

   คิดได้อย่างนั้น  ชายหนุ่มก็กลับเข้าไปในลิฟต์  ลงไปชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล

   ..........................................................................................

   “พักนี้ดิมเป็นอะไร  ดูหงุดหงิดชอบกล  เครียดเรื่องงานเหรอ”  แฟนของเขาถามขึ้น หลังจากที่เขากลับเข้ามาในห้องพักแพทย์   และเอาแต่นั่งเคาะโต๊ะอยู่กับที่   ไม่ปริปากพูดอะไรเหมือนเคย

   “หืม   เปล่าหรอก  เอ่อ...อาจจะใช่มั้ง  ตอนนี้คนไข้เยอะ  ไม่ค่อยมีเวลาพักเลย”  เขาตอบปัดไป  รันลุกจากเก้าอี้เข้ามายืนข้างหลังเขา  ยกมือขึ้นบีบนวดที่ไหล่ให้อย่างเอาใจ

   “ก็ใครให้โหมผ่านักล่ะ  รันเตือนแล้วก็ไม่เชื่อ  สม.... เอาอย่างนี้  เสาร์นี้เราไปเที่ยวทะเลด้วยกันดีมั้ย”

   “รันว่างเหรอ  ไหนว่ามีประชุมอะไรไง”   รดิศยกมือขึ้นจับมือเล็กบางของอีกฝ่ายมากุมเอาไว้   แล้วยกขึ้นจรดริมฝีปาก

   “เค้ายกเลิกไปแล้ว   รันเลยว่างไง ..ไปไหม  ตั้งแต่กลับมาเนี่ยเราไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันสองคนเลยนะ”  วิรัลโน้มตัวลงมาโอบรอบคอของอีกฝ่ายเอาไว้ทางด้านหลัง  วางคางลงบนไหล่หนา

   “ขอผมดูตารางก่อนนะ”

   “ห้ามปฏิเสธ  ไม่งั้นรันโกรธ”  กุมารแพทย์หนุ่มตวัดเสียง   ท่าทางน่ารักจนคนมองอดยิ้มออกมาไม่ได้  ดิมเอื้อมมือไปเหนี่ยวร่างของอีกฝ่ายให้เขยิบมายืนข้างหน้า  แล้วดึงให้นั่งลงบนตัก  โอบเอวเอาไว้แน่น

   “ขู่แบบนี้ ใครจะกล้าปฏิเสธกันล่ะ  ไหนหันหน้ามาซิ   ขอหอมที”

   อีกฝ่ายค้อนนิดหนึ่ง แต่ก็ยอมเอียงหน้ามาให้โดยดี   รดิศจรดปลายจมูกลงบนซีกแก้ม  แต่ทว่าความคิดกลับวกไปหาใครบางคนที่เขาปล่อยทิ้งให้นอนอยู่ที่โซฟาบนวอร์ด

   ป่านนี้คงจะหายดีแล้ว  อาจจะนอนเฝ้าลูกอยู่หรือเปล่า  หึ  ไม่แน่อาจจะ ‘ทิ้ง’ เอาไว้กับเมีย  แล้วตัวเองก็กลับไป ‘ทำงาน’ กับเจ้านายต่อ

   พวกหน้าซื่อใจคด  ไม่สิ  ใจดำตะหาก  ดำลึกยิ่งกว่าหลุมดำในอวกาศเสียอีก 

   “ดิม  เป็นอะไรไป  ทำไมทำหน้าซีเรียสจัง   ถ้าวันนี้เหนื่อยก็นอนก่อนเถอะ”  คนบนตักของเขาทัก  เมื่ออีกฝ่ายนิ่งไปเสียเฉยๆ   

   รดิศรู้สึกตัว

   “เอ้อ   ขอโทษที  ผมคงจะเหนื่อยไปจริงๆ  ขอไปอาบน้ำก่อนนะ”  รันพยักหน้ายิ้มๆ  ลุกขึ้นจากตักของเขา  ส่งมือให้จับ  พาไปส่งถึงห้องน้ำ

   แล้วก็ยืนมองประตูอย่างครุ่นคิด....ท่าทางของคนรักแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด   แถมวันนี้เขายังได้พบกับ ‘แฟนเก่า’ ของฝ่ายนั้นอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกด้วย

   หรือว่า...พวกเขาจะได้พบกันแล้ว 

   หัวใจของกุมารแพทย์หนุ่มเริ่มร้อนรุ่มขึ้นมา  วิรัลเม้มปากแน่น....เมื่อหลายปีก่อนเขาอาจจะเป็นผู้แพ้  แต่ในตอนนี้เขาคือผู้ชนะ  และเขาก็จะไม่ยอมปล่อยให้คนที่แพ้ราบคาบคนนั้น กลับมาแย่งของของเขาคืนไปหรอก

   เกมมันจบไปแล้ว...เข้าใจไหม

   ..ติณธร

   ................................................................................................


,,มาอัพต่อนะค้าาา  อ่านเเล้วเป็นยังไงบ้างคะ  แนะนำติชมได้เลยค่ะ
ไรท์จะได้เอาไปปรับปรุงนะคะ :katai2-1:
   
   
   
   
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รู้สึก] ตอนที่4 16/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: dradareal ที่ 16-01-2017 21:37:05
โอ๊ยยยย คือมันดีมากกกกกกกก
ชอบบบบบบบ ชอบความสับสนงุนงงของตัวละคร
มาขอสมัครเป็นนักอ่านหน้าใหม่ของเรื่องนี้ด้วยคน

มาต่อเร็วๆนะคะ ><
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รู้สึก] ตอนที่4 16/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 16-01-2017 21:43:11
ตอนที่เลิกกันเพราะอะไรแน่ รันมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยไหมนะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รู้สึก] ตอนที่4 16/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 16-01-2017 21:45:17
เข้มข้นมาก  สนุกมากค่ะ  ติดตามจ้า
ดิมใจอ่อนนะเนี่ย  แววว่าจะกลับมาสมหวังในความรักกับเตอีกครั้ง 
รออ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รู้สึก] ตอนที่4 16/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 16-01-2017 22:40:40
ตามค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 19/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 19-01-2017 22:31:44
 เพราะหัวใจบอกว่า...ร่ำร้อง

 

 

 

 

 

            ก๊อก ก๊อก ก๊อก

            ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทสีอ่อน  ยกมือขึ้นเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยเบาๆ  ประตูเปิดออก  คนมาเปิดเป็นหญิงสาวผิวเข้มหน้าคมที่เขาทราบมาว่าคือภรรยาของผู้ชายคนนั้น

            “สวัสดีครับ  คุณ..ดาวประดับ ใช่ไหมครับ  ผมชื่อภาคย์ เป็นเพื่อนของคุณเตครับ  มาเยี่ยมน้องเต้”

          “อ๋อ  ค่ะ....เข้ามาก่อนค่ะคุณ”  เธอเปิดประตูออกกว้าง  เดินนำเขาเข้ามาภายในห้องพักเดี่ยวของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง    แขกกวาดตามองรอบห้องแวบเดียว

            เตไม่อยู่?

          “พี่เตแวะเข้าบริษัทน่ะค่ะ  เดี๋ยวสักพักคงมา”  หญิงสาวพูดเรียบๆ  นึกเดาคำถามในสายตาของอีกฝ่ายออก

            “อ๋อ ครับ  แล้วน้องเต้เป็นอย่างไรบ้าง”

          เขาเดินเข้าไปยืนข้างเตียงคนไข้  เด็กชายเต้กำลังนอนหลับสนิท

            “เต้ดีขึ้นมากแล้วค่ะ  เพิ่งหลับไปเมื่อกี้เอง   อีกสองวันหมอรันก็ว่าจะให้กลับบ้านได้แล้ว   ขอบคุณคุณภาคย์มากนะคะที่อุตส่าห์มาเยี่ยม  คุณคงจะทำงานที่เดียวกันกับพี่เต...”  หางเสียงของเธอไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่  คนฟังขมวดคิ้วแวบหนึ่งก็คลายออก เป็นรอยยิ้มเป็นมิตร

            “ครับ  ผมกับเตทำงานที่เดียวกัน...ผมเป็นเจ้าของบริษัทที่คุณเตทำงานอยู่”

          “อ้าว  เหรอคะ  โอ เป็นพระคุณมากเลยค่ะที่กรุณามาเยี่ยม   พี่เตโชคดีจังเลยค่ะมีเจ้านายน่ารัก  เอ้า มาพอดี  พี่เตคงกลับมาแล้วค่ะ”  ท่าทางของเธอนอบน้อมเขามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าเขาเป็นเจ้านายของสามี

            คนที่เข้ามาใหม่ ไม่ใช่พี่เตของเธอ แต่เป็นคุณหมอรันและคุณหมอโรคหัวใจที่เธอพอจะดูออกอยู่ว่าคงจะเป็นมากกว่าเพื่อนแน่ๆคนนั้น   ทั้งคู่ดูแปลกตาไปในชุดลำลอง ไม่มีเสื้อกาวน์สวมคลุมแบทุกที

            “สวัสดีครับ  คุณแม่น้องเต้   พอดีผมกับหมอเตแวะเข้ามาเยี่ยมก่อนจะออกไปข้างนอกน่ะฮะ    เต้เป็นไงบ้าง  นอนหลับดีไหมครับ”

          “เต้หลับดีค่ะ  ไม่ตื่นงอแงเลย  ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ”

          กุมารแพทย์หนุ่มตรงเข้าไปตรวจอาการของผู้ป่วยบนเตียงอีกครั้ง    ส่วนผู้ชายหน้าเข้มอีกคนที่เข้ามาด้วยก็ส่งยิ้มให้กับคุณแม่ของเด็กชายบางๆ  แลเลยไปถึงคนที่ยืนอยู่ข้างๆด้วย

            ....อ้อ  ถึงกับหอบขนมมาเยี่ยมลูกเลยเหรอ  ทำคะแนนน่าดู  หรือว่าถือคติ  รักฉัน ต้องรัก(ลูก)หมาฉันด้วยหรือไง  แล้วนี่ตัวต้นเรื่องหายไปไหนเสียแล้วล่ะ   สามวันมานี้  พอเขา ‘หาเรื่อง’ เข้ามาเยี่ยมพร้อมกับรันด้วยทีไร  ไม่เคยเห็นหน้า ‘พ่อเด็ก’ เลยสักครั้ง....

            “ผมคงจะต้องขอตัวกลับก่อนล่ะครับ” ภาคย์พูดเรียบๆ  นึกแปลกใจกับสายตาแปลกๆที่คุณหมอหน้าเข้มคนนั้นเหลือบมองมาที่เขาเป็นพักๆ  แล้วก็เลยพลอยอึดอัด

          “อ้าว  รอสักครู่สิคะ  เดี๋ยวพี่เตก็กลับมาแล้วค่ะ”  หญิงสาวพูด

            “ไม่เป็นไรครับ   เดี๋ยวผมค่อยพบเขาที่ทำงานก็ได้  วันนี้ผมแวะมาเยี่ยมน้องเต้เฉยๆ   อันนี้ขนม ฝากให้น้องทานนะฮะ”  เขาส่งขนมราคาแพงหลายถุงให้แม่ของเด็ก  ข้าวตังรับมาถือไว้  พูดขอบคุณอีกหลายครั้งอย่างเกรงอกเกรงใจจนคนแอบฟังหงุดหงิด

            ....ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรบ้างเลยนะสาวน้อย   ว่ากำลังพูดกับใครอยู่   ไอ้หมอนั่นก็หน้าด้านเหลือทน   กล้ามากที่มาเยี่ยมถึงที่นี่  หรือว่านอนใจว่าไม่มีใครรู้?

          เสียงเคาะพร้อมกับบานประตูที่เปิดออกอีกครั้ง  คราวนี้เป็นร่างของพ่อของเด็ก หิ้วกระเป๋าและของกินมาเต็มสองมือ

            “อ้าว....”  อุทานได้คำเดียวก็นิ่งไป  สายตาตวัดมองไปที่คุณหมอผ่าตัดหัวใจเป็นอันดับแรก  สบตากันแวบหนึ่งก็เบือนหลบ  มองไปเห็นเจ้านายกับภรรยายืนข้างกัน    อยู่ใกล้ๆคุณหมอเจ้าของไข้ที่หันมายิ้มรับนิดเดียวแล้วก็หันไปตรวจลูกชายต่อ

            “พี่เตมาพอดี   ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะนั้น  คุณภาคย์เอาขนมมาเยี่ยมเจ้าเต้ค่ะ ส่วนคุณหมอรันกับคุณหมอรดิศก็มาเยี่ยมเหมือนกัน”  ข้าวตังเล่าให้สามีฟัง  เดินตรงเข้าไปช่วยรับของจากมือของเขาไปวางเอาไว้บนโต๊ะ    กุลีกุจอรินน้ำมาส่งให้ชายหนุ่ม  ท่าทางกระตือรือร้นของเธอทำให้ใครหลายๆคนเบือนหน้าหนีด้วยความคิดต่างกันไป

            “ขอบคุณมากนะครับ  ที่มาเยี่ยมเต้”  ชายหนุ่มพูดสั้นๆ ไม่ได้จำเพาะเจาะจงว่าพูดกับใคร  เดินเข้าไปดูลูกชาย  หมอรันถอยออกมา  พูดกับพ่อของเด็กสั้นๆเหมือนที่พูดกับแม่ของเด็ก

            “น้องเต้ดีขึ้นมาแล้วครับ  อีกสักสองวันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว  คุณพ่อสบายใจได้ครับ”  เตพยักหน้ารับ  ยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณหมอ  ทำเอาคุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นรับไหว้แทบไม่ทัน  อุทานออกมา

            “โธ่  ไม่ต้องไหว้หรอกครับ  เราคนกันเองแท้ๆ” ประโยคนั้นทำให้คนในห้องชะงัก  รวมถึงศัลยแพทย์ทรวงอกด้วย

            เตยิ้ม  ไม่ได้พูดอะไรอีก

            คนพูดเม้มปาก  แอบขัดใจที่อีกฝ่ายพูดน้อยกว่าสมัยก่อนหลายเท่า   แต่ก็ดี  ตอนนี้เขาต้องหาทางพาแฟนของเขาออกไปนอกห้องเสียก่อน....ดันบังเอิญเจอกันเสียได้  อุตส่าห์ถามพยาบาลจนแน่ใจแล้วแท้ๆว่าพ่อเด็กไม่อยู่ในห้อง

            “ถ้าอย่างนั้นผมกับหมอดิมขอตัวก่อนนะครับ  พรุ่งนี้จะมาเยี่ยมใหม่”  กุมารแพทย์หนุ่มรีบลา แล้วเดินฉับๆออกจากห้องพักคนไข้ทันที

            ...สายตาของแฟนเก่าที่เหลือบมองกัน  ถึงจะเพียงแวบเดียวสั้นๆ แต่เขาก็อดรู้สึกถึงเยื่อใยบางอย่างที่ร้อยรัดคนสองคนเอาไว้ไม่ได้

            กระแสสายตาที่เต็มเปี่ยมด้วยอารมณ์ของคนที่เดินอยู่ข้างๆเขา  แบบที่เขาไม่เคยเห็นดิมมองใครแบบนั้นมาก่อน...เวลาตั้งหลายปี  เค้ายังไม่ลืมเด็กคนนั้นอีกเหรอ  หรือว่าเขาคิดมากเกินไป?

            เผลอจับสายกระเป๋าแน่นเข้า  แล้วก็คลายออก  สะกดกลั้นอารมณ์พลุ่งพล่านของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่ ก็หันไปถามอีกคนยิ้มๆ

            “เหนื่อยหรือเปล่า  ทำไมดิมทำหน้าเครียดจัง”

            อีกฝ่ายหันมายิ้มตอบ

            “จริงเหรอ  ไม่รู้ตัวเลย  สงสัยนอนไม่พอ”  เขายกมือขึ้นลูบใบหน้า

            “หรือว่าคิดถึงเรื่อง...คุณเต”  รันตัดสินใจถามเข้าประเด็น  ไหนๆก็ดันเจอกันแล้ว  ก็ถามไปเลยจะได้รู้เรื่องกันไป  เขาจะได้หาทางตั้งรับได้ถูกด้วย

            คนฟังเงียบไปทันที  สีหน้าเครียดคล้ำกว่าเดิม

            “ก็....ไม่ได้เจอกันนาน”  ดิมตอบ  เลี่ยงไม่ยอมบอกว่าเขาได้พบฝ่ายนั้นมาหลายครั้งแล้ว

            “นั่นสิ  รันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าคุณเตเป็นพ่อของน้องเต้  ขอโทษทีนะที่รันไม่ได้บอกดิมก่อน  กลัวว่าดิมจะเครียด”   ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ  ยกมือขึ้นลูบแขนของอีกฝ่ายอย่างเอาใจ  ดิมตบลงบนหลังมือของเขาเบาๆ

            “เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว  ผมไม่ได้อะไรกับเค้าแล้วล่ะ  รันสบายใจได้  แค่แปลกใจนิดหน่อยเท่านั้น...เค้า  ไม่เปลี่ยนไปเลย”   ดิมหลุดความในใจออกมานิดหนึ่ง   คนฟังขมวดคิ้ว แต่ก็พยักหน้าเออออตาม

            “อืม  เค้าดูแลตัวเองดีนะ  แฟนเค้า...คุณข้าวตังน่ะ  ก็น่ารักดี  ไม่รู้ว่าแต่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่  ไม่ได้ข่าวเลย”

          “คงจะเป็นตอนที่เราอยู่ที่นู่นกันมั้ง   ก็ดีแล้วล่ะ  ครอบครัวเค้าก็ดูแฮปปี้ดี”  ดิมพูดเรียบๆ  พยายามไม่แสดงอารมณ์ออกไปให้อีกฝ่ายจับได้...ความหงุดหงิดที่เขาพยายามเก็บเอาไว้

            “แต่คุณผู้ชายที่ตัวสูงๆนั่นเค้าท่าทางแปลกๆเนอะ   เหมือนมีอะไรกับคุณเตสักอย่าง”

            คนรักปรารภได้ตรงกับที่เขากำลังคิดอยู่ในใจพอดี   รดิศเงียบไปอีก...จริงสิ  ขนาดรันยังสังเกตเห็นเลย  มีหรือ ‘ภรรยา’  ของฝ่ายนั้นจะไม่สังเกตเห็น แววตาอ่อนหวานห่วงใยของเจ้านายหนุ่มเวลาที่ทอดมองสามีของตน   มันดูจะเกินสถานะเจ้านาย-ลูกน้องเกินไปหน่อยหรือเปล่า

            ยังไม่นับสายตาและท่าทางของอีกฝ่ายอีกนะ.....ดวงตาอมโศกเวลามองไปยังสามีอย่างรักใคร่เทิดทูนนั้นยิ่งทำให้เขารู้สึกทนไม่ได้  ผู้หญิงคนนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน  เธอคงกำลังถูกสามีสวมเขาให้ แต่ก็กล้ำกลืนทำเป็นไม่รับรู้  ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอก

            จู่ๆเขาก็รู้สึกขยะแขยงคนคู่นั้นจนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้อีก

            “ช่างเขาเถอะ  จะทำอะไรยังไงก็ช่างเขา  ไม่ใช่เรื่องของเรา”  หางเสียงตวัดห้วน  แล้วก็เดินหนี  รันมองตาม แอบยิ้มออกมานิดหนึ่ง แม้จะยังกังวลอยู่ไม่น้อย

            ..งานนี้เขาคงจะต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดเสียแล้วสิ

          ………………………………………………………………………………….

          “ไม่ได้มาทะเลนานแค่ไหนแล้วเนี่ย  เฮ้อ  สดชื่นจัง  เนอะกันเนอะ”

          กุมารแพทย์ที่วันนี้สลัดเสื้อกาวน์ออก อยู่ในชุดเสื้อยืดลายน่ารักกับกางเกงขาสั้นรองเท้าแตะ พร้อมลงทะเลเต็มที่พูด  ยกมือขึ้นชูสุดแขน 

            ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมปลิวประจาย รดิศพยักหน้ารับ  สูดหายใจเอากลิ่นไอเค็มๆของทะเลเข้าปอด   ความเครียดและอารมณ์หน่วงๆที่เป็นมาตลอดทั้งอาทิตย์ดูจะมลายหายไปพร้อมกับสายลมแสงแดด และเกลียวคลื่น

            “รันอยากเล่นน้ำทะเลแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มร่างเล็กหันมาพูดแกมหัวเราะ

            “งั้นผมขอนั่งอยู่ตรงนี้ก่อนแล้วกัน  แดดแรงเกิน ผมไม่สู้"

            “โธ่  ฮ่าๆ  แต่แดดก็แรงไปจริงๆแฮะ  เอางี้ รันว่าเราขึ้นไปนั่งเล่นบนห้องก่อนดีกว่า  ไว้เย็นๆแดดร่มหน่อยค่อยลงมาเล่น”

          “นั่งเล่นอย่างเดียวเองเหรอ...”  ถามสั้นๆพร้อมกับมองอีกฝ่ายด้วยนัยน์ตาพราวระยับ  สื่อถึงความนัยบางอย่างที่ทำให้อีกคนใบหน้าแดงจัดขึ้นทันควัน

            “ใช่  นั่งอย่างเดียว”  กระแทกเสียงตอบแล้วก็เดินหนีแบบงอนๆ  ดิมมองตามพลางหัวเราะเสียงดัง  ก้มตัวลงหิ้วกระเป๋าเดินทางของทั้งสองคนตามเข้าไปในโรงแรม

            ภายในลอบบี้โรงแรมมีกลุ่มคนกลุ่มใหญ่ยืนสนทนากันอยู่  ที่พื้นก็มีกระเป๋าเดินทางวางเอาไว้เต็มทางเดิน  เสียงซุบซิบพูดคุยหลากหลายภาษาดังกระหึ่มไปทั่วทั้งชั้นล่างของโรงแรม

            “ช่วงนี้แขกมาพักเยอะจังนะครับ”  รันกวาดตามอง

            “อ๋อ   พอดีอาทิตย์นี้มีจัดประชุมนานาชาติที่โรงแรมของเราน่ะค่ะ   หัวข้อเรื่องเกี่ยวกับสื่อสิ่งพิมพ์   ต้องขอโทษด้วยนะคะ อาจจะคนเยอะหน่อย   แต่เราจัดโซนเฉพาะเอาไว้แล้วค่ะ  ไม่รบกวนลูกค้าท่านอื่นที่มาพักแน่นอน”  พนักงานสาวสวยตอบ  ยิ้มหวานให้ชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งสองคน

            ทั้งคู่พยักหน้ารับ  เช็คอินเสร็จก็ขึ้นไปเก็บของที่ห้องพัก....ห้องสวีต  มองออกไปเห็นทะเลสีฟ้าเวิ้งว้างออกไปไกลไม่มีที่สิ้นสุด   น้ำทะเลสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ

            รดิศโอบร่างของคนรักเข้ามาไว้ในอ้อมแขนทันทีที่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง   รันหัวเราะ ดิ้นหนีแต่สุดท้ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามแต่โดยดี

            ปล่อยให้ความรักดำเนินไปตามครรลองของมันจนสุดทาง..

           

------------------------------------

 

            ที่ลอบบี้ของโรงแรม  คอลัมนิสต์หนุ่มเดินตามเจ้านายร่างสูงใหญ่แหวกผู้คนมากมายออกมาจากห้องประชุมได้สำเร็จ  แต่ก็ต้องหยุดรอภาคย์ทักทายชาวต่างชาติหลายคนตลอดทางเป็นระยะ  และเขาก็กลายเป็นล่ามให้ชั่วคราว

            “เหนื่อยหรือยัง...คุณเต”  เจ้านายหันมาถาม  น้ำเสียงเป็นห่วง  เพราะสังเกตได้ว่าใบหน้าเรียวนั้นเริ่มซีด

          “ไม่ครับ”  เขาตอบ  สั่นหัวยืนยันอีกที  ภาคย์หัวเราะ

            “เก่งมาก  แต่ตอนนี้ผมเริ่มเหนื่อยแล้วล่ะ  คอแห้งเป็นผงเลยคุณเต”

            “เดี๋ยวผมไปหาน้ำมาให้ครับ”   เขารีบอาสา  แต่อีกฝ่ายดึงแขนเสื้อเอาไว้

            “อย่าทิ้งผมสิคุณ   แล้วผมจะคุยกับพวกเค้ายังไงล่ะฮะ    อยู่นี่ก่อน  เดี๋ยวค่อยไปเอา”    ชายหนุ่มพูด  หันไปส่งภาษาอังกฤษกับคู่สนทนาอีกครั้ง  แล้วพยักพเยิดให้เตแปลเป็นภาษาเยอรมันกับสเปนให้

            กว่าจะจบการสนทนาอันแสนยืดเยื้อยาวนาน เตก็แทบจะคอแห้งเป็นผงไปด้วยอีกคน  แถมยังเวียนหัวกับการต้องแปลภาษากลับไปกลับมาหลายรอบจนเริ่มปวดศีรษะตุบๆ

            “ยังไหวอยู่ไหมคุณเต   ถ้าเหนื่อยขึ้นไปพักก่อนก็ได้  เดี๋ยวตอนเย็นผมลุยเอง”  ภาคย์ชักจะเป็นห่วงลูกน้องขึ้นมาจริงๆ  ท่าทางของเตเหมือนพร้อมจะล้มตัวลงนอนแล้ว

          ติณธรเดินเข้าไปทิ้งตัวลงนั่งอย่างหมดแรงบนเตียง  ภายในห้องพักที่จัดเอาไว้สำหรับผู้ที่มาร่วมประชุม

            “ขอกินพาราฯสักเม็ดก่อนได้มั้ยครับ   ชักปวดหัว”  เตยกมือขึ้นนวดขมับ

            “ผมพาคุณมาลำบากแท้ๆ  ไม่นึกว่าคนจะมาเยอะอย่างนี้   งั้นคุณนั่งรออยู่ในห้องก่อนนะครับ  ผมจะไปหายามาให้”

          “ไม่เป็นไรครับ  ผมจัดการเอง  เชิญคุณภาคย์พักผ่อนเถอะฮะ”   เตพูด  เขาฝืนตัวลุกขึ้นไปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้า ล้วงหายาแก้ปวดขึ้นมากิน

            ภาคย์มองตาม  แอบรู้สึกผิดอยู่ในใจ....เป็นเพราะเห็นว่าลูกชายของอีกฝ่ายหายดี กลับบ้านได้แล้วแท้ๆ  เลยถือโอกาสนี้  หาอุบายหลอกเตมาเป็นล่ามให้  ไม่น่าทำแบบนี้เลย  ดูสิ  หน้าซีดเชียว  คงจะเหนื่อยจริงๆ  ต้องพูดกลับไปกลับมา แถมยังต้องเดินตามเขาไปทั่วทั้งงานอีก  เฮ้อ..ตัวก็นิดเดียว  น่าสงสารจังแฮะ

            “คุณนอนพักเถอะ  ผมว่าท่าทางคุณไม่ไหว”

          “แต่ว่า...คุณจะคุยยังไงล่ะครับ”

          “ไม่ต้องห่วงน่า   ผมก็ใช้ภาษาสากลไง....ภาษามือไงล่ะ  ฮ่าๆ”

          “โธ่  เอาอย่างนี้ดีกว่า  ผมขอนอนพักแปบนึง  แล้วเดี๋ยวเราลงไปงานเลี้ยงตอนเย็นด้วยกัน”

            เจ้านายเหลือบมองนาฬิกาแล้วพยักหน้า   ก็ดีเหมือนกัน  ให้นอนพักไปก่อนสักชั่วโมง คงจะดีขึ้น  ความจริงเขาก็ไม่อยากลงไปคนเดียวหรอก  คงจะเปลี่ยวแย่เลย 

            ไม่สิ...ความจริงเขาไม่อยากออกไปจากห้องนี้เลยตะหาก   ห้องที่มีแค่เราเพียงสองคนเท่านั้น

            เปลือกตาหลับพริ้มสนิท เห็นขนตายาวตรงทาบบนผิวแก้มอ่อนใส  สันจมูกโด่งคม รับกับริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มนิดๆ   เขาพิจารณาดูใบหน้าของคนหลับใกล้ๆ  นึกอยากเอานิ้วลูบลงบนรอยย่นที่ระหว่างคิ้วเรียว

            อยากรู้จังว่าเตกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่   หรือว่าเขาอาจจะกำลังฝัน....คงจะเป็นความฝันที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะใบหน้านั้นช่างเคร่งเครียดและเหนื่อยล้าเหลือเกิน

            เหมือนคนที่กำลังต่อสู้อยู่ตามลำพังและก็พบแต่ความล้มเหลวผิดหวัง..


(ต่อด้านล่าง)

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 19/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 19-01-2017 23:48:23
ต่อ???
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 20-01-2017 13:18:26

(ต่อนะคะ)

*****************

          ‘ เต เย็นนี้พี่คงไปดูหนังด้วยไม่ได้แล้วนะ  ขอโทษด้วยจริงๆ   พอดีเพื่อนพี่มันจะพาน้องไปเลี้ยงกัน’  พี่ดิมพูดมาตามสาย 

          ‘เย็นนี้น่ะเหรอ  ทำไมกะทันหันจัง   เลี้ยงน้องรหัสอ่ะนะ  ไหนว่าเลื่อนไปก่อนไงล่ะ’  เขาถามกลับตามที่ได้ยินอีกคนเล่าให้ฟังเมื่อหลายวันก่อน   เอาจริงๆเขาก็ออกจะงงกับคณะนี้เหมือนกันว่าจะนัดเลี้ยงอะไรกันมากมาย

เรียน 6 ปี  พี่รหัสปี 2-6 ต้องผลัดกันพาน้องปี 1 ไปเลี้ยง  ไล่ไปให้ครบทุกปีงี้  โหย  แบบนี้น้องปี 1 ก็ได้กินฟรี 5 ครั้ง  ปะเหมาะเคราะห์ดีเจออาจารย์ประจำสายเรียกมาเลี้ยงอีก  โอ้วโหว  เป็นคณะที่อุดมสมบูรณ์ซะจริงนะ มิน่าล่ะ พี่ดิมถึงหน้าอิ่มตัวบวมขึ้นเรื่อยๆ

‘เค้าเลื่อนเข้ามาแล้วล่ะ ฮ่าๆ  อาทิตย์หน้าจะสอบกันแล้วไง  ก็เลยคิดว่ารีบๆเลี้ยงดีกว่า จะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน’

‘อืม   แล้วเลี้ยงถึงกี่โมงอ่ะ’

‘น่าจะเลิกดึกอยู่  ขอโทษทีนะ’  คนฟังถอนหายใจ

‘อาทิตย์ นี้เราแทบไม่ได้เจอกันเลยนะ’  ปรารถเบาๆ  อีกฝ่ายตอบกลับมาทันที  เสียงร้อนรน

‘ขอโทษจริงๆ  เตก็รู้ว่าตอนนี้งานที่คณะพี่ยุ่งวุ่นวายมาก  ใกล้จะสอบปิดบล็อกแล้วด้วย  เนี่ยพี่ก็ยังไม่ได้อ่านเลย...’

‘ผมเข้าใจ  ก็ไม่ได้ว่าอะไร’

‘ไม่งอนพี่นะ  เอาอย่างนี้ อาทิตย์หน้าพี่สอบเสร็จ จะพาไปเลี้ยงแก้ตัว  ตกลงไหม’

‘สัญญาแล้วนะพี่ดิม’

‘เออน่ะ  ไม่เบี้ยวแล้ว  คราวนี้มันจำเป็นจริงๆ’

‘อืม  ไปเถอะ  กินเผื่อด้วย’  เขากดวางสายแบบเซ็งๆ  ก้มดูชุดของตัวเองที่แต่งเต็มยศพร้อมออกไปเที่ยวกับแฟนเต็มที่ก็ยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

...ทำไมไม่โทรบอกให้มันเร็วกว่านี้ห้ะ   แต่งตัวเสร็จแล้ว  เหลือแค่ใส่รองเท้าก็พร้อมปร๋อออกจากหอแล้วเนี่ย   ถอยกลับไปนั่งบนเตียงแบบหงอยๆ

อาทิตย์นี้ไม่ได้เจอหน้าพี่ดิมเลยนะ   ได้ยินแต่เสียงอย่างเดียวเลย   คิดถึงชะมัด   ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าอีกฝ่ายธุระเยอะ เรียนหนัก สอบถี่ กิจกรรมเพียบ  จะให้มารอเขาได้เหมือนเมื่อเทอมที่แล้วก็เป็นไปไม่ได้

แต่ไม่ได้เจอหน้าเลยนี่มันก็เกินไปหน่อยนะ   เขาสู้อุตส่าห์นับวันรอ จะไปดูหนังด้วยกันเย็นนี้แล้วแท้ๆ  ดันต้องล้มเลิกไปในวินาทีสุดท้ายอีก

เซ็ง..

โทรศัพท์ดังขึ้นมาอีก   เป็นเบอร์เพื่อนในกลุ่มก็กดรับ

‘ฮัลโหลเจ้  ว่าไง’  ทักไปด้วยเสียงหงอยๆที่ปิดไม่มิด และก็ไม่คิดจะปิดด้วย

‘ตายแล้ว  ทำไมทำเสียงอ่อยแบบนั้นล่ะแก  เกิดอะไรขึ้น’  เสียงพี่สาวในกลุ่มกรอกมาตามสาย

‘ไม่มีไร  เซ็งๆนิดหน่อย  โทรมามีไรป่าว’

‘จะชวนแกไปทะเล   ไปมั้ย  แก้เซ็ง  นี่ชั้นเสี่ยงลองโทรมาดู  ไม่รู้ว่าวันนี้แกมีนัดกับแฟนหมอสุดหล่อของแกหรือเปล่า’

‘มี  แต่เหลวไปล่ะ  อืม  อยากไปอ่ะ  ใครไปมั่ง  ทะเลที่ไหน ค้างมั้ย’

‘วุ้ย ถามเป็นจรวดเลย  พอพูดเรื่องเที่ยวนี่เสียงคึกคักขึ้นมาเลยนะยะ  ก็มีชั้น ยัยมุก  เชอแตม  ดีดี้  โชน   แค่นี้แหละ  ค้างคืนนึง  แกเก็บของมาเลย เจอกันที่หน้ามอ   บ่ายสอง  เร็วๆล่ะ...’  เจ้กิ่งพูดมาอีกหลายประโยค   นัดแนะกันเรียบร้อยก็กดวางสายไป

หนุ่มน้อยหันไปมองรูปถ่ายของเขากับพี่ดิมที่วางอยู่หัวเตียง  ย่นหน้าให้คนในรูปนิดนึง แล้วก็สะบัดหน้าหนี...เชอะ  ไปเที่ยวดีกว่า

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เขาก็มายืนรอเพื่อนๆอยู่หน้ามหาวิทยาลัย  จุดนัดพบที่เพื่อนจะเอารถมาจอดรับ

กำลังยืนมองรถอยู่เพลินๆ  สายตาเจ้ากรรมก็บังเอิญมองเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเดินเคียงคู่กันออกมาจากรั้วมหาวิทยาลัย   ฝ่ายชายเอื้อมมือไปหยิบหนังสือเรียนของฝ่ายหญิงมาถือเอาไว้

ทั้งคู่พูดอะไรกันสักอย่างแล้วก็หัวเราะให้แก่กัน

          สาวน้อยหน้าตาน่ารักคนนั้นคว้าแขนของฝ่ายชายมากอดเอาไว้  แล้วก็ปล่อยเปลี่ยนเป็นคล้องแขนเดิน  ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลังยืนมองตาค้างอยู่  แทบจะปล่อยกระเป๋าเสื้อผ้าที่กอดอยู่แนบอกทิ้งลงพื้น

          ความโกรธพุ่งปรี้ดขึ้นมาเหมือนมีใครมาจุดพลุแล้วระเบิดเปรี้ยงอยู่ในหัว  เตตัวชาไปทั่วร่าง สลับกับความร้อนวูบวาบ   มือสั่นจนต้องวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนพื้น   และก้าวเข้าไปหาสองคนนั้น

          เขาตรงเข้าไปยืนประจันหน้ากับคนทั้งคู่

          ‘เต?’  พี่ดิมอุทาน  หน้าตางงงวย จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจู่ๆอีกฝ่ายมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าได้อย่างไร  และนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายโกรธมากขึ้นไปอีก

          ‘ไหนว่าไปเลี้ยงน้องกับเพื่อนไง   ไหนล่ะน้อง’  ประโยคแรกที่เขาพูดออกไปเสียงดัง  หน้ามืดจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆทั้งนั้น

          ‘นี่ไง น้อง น้องเกรซ’  เขาหันไปมองสาวน้อยข้างๆที่รีบปล่อยมือออกจากแขนของพี่ดิมทันที

          ‘น้องเกรซ?’  เขาทวนคำ

          ‘ค่ะ  หนูเป็นน้องรหัสของพี่ดิมค่ะ  พี่เป็นใครคะ’  ท่าทางของเธอก็ไม่ยอมคนง่ายๆเหมือนกัน  ถามกลับเสียงห้วน  เตหันไปมองหน้าพี่ดิม

          คนกลางอึกอัก

          ‘เอ่อ   เกรซรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ  พี่ขอคุยอะไรกับเพื่อนพี่ก่อน’  หญิงสาวพยักหน้ารับ  พี่ดิมคว้าแขนของเขาลากออกมาคุยห่างๆ 

          เด็กหนุ่มสะบัดแขนออกอย่างแรง

          ‘เพื่อน?  อ๋อ  ตกลงผมเป็นแค่เพื่อนของพี่ใช่มั้ย’   ความน้อยใจที่สะสมมาตั้งแต่ต้นอาทิตย์เริ่มประดังประเดขึ้นมาพร้อมๆกันเมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดถึงสถานะของเราสองคน แค่ ‘เพื่อน’

          ‘ไม่ใช่  ฟังพี่ก่อน   พี่เพิ่งรู้จักน้องเค้า  ก็เลย...’

          ‘ก็เลยยังไง  ก็เลยจะจีบใช่ไหมล่ะ  สรุปคือพี่โสดใช่มั้ย  ผมคิดเองเออเองคนเดียวว่าเป็นแฟนพี่เหรอ  พี่ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง  โกหกผมว่าไปเลี้ยงน้องแล้วมาอยู่ที่นี่คืออะไร’  เขาพูดรัวเป็นจรวด  น้ำหูน้ำตาชักจะเริ่มมา

          ‘ก็กำลังจะไปเลี้ยงไง   พอดีน้องเกรซเขาต้องมาส่งรายงานก่อน  พี่ก็เลยมาเป็นเพื่อน....’

          ‘ผมไม่เชื่อ’  เขาสวนทันที  ทั้งโกรธทั้งน้อยใจอีกฝ่ายจนไม่พร้อมจะฟังเหตุผลใดๆทั้งสิ้น

          ‘เต  ฟังพี่ก่อน’

          ‘ไม่   พี่โกหกผม  พี่ไม่อยากไปดูหนังกับผม  ไม่ได้จะจริงจังกับผมใช่มั้ย’  คนพูดยกมือขึ้นป้ายตาแรงๆ  สะบัดตัวเดินหนี  อีกฝ่ายก็ไม่ยอม เดินตามมารั้งข้อศอกเอาไว้

          ‘เดี๋ยวสิ  จะไปไหน  เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะเต’

          ‘จะคุยอะไรอีกล่ะ  ผมไม่มีอะไรจะคุยกับพี่แล้ว  ปล่อยผม’  เตสะบัดแขนอีกครั้ง

          ‘เต ตั้งเต..รอเดี๋ยวสิ’

          เขาไม่ฟังแล้ว  ตอนนี้อย่าว่าแต่พี่ดิมเลย  ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ฉุดไม่อยู่

เด็กหนุ่มเดินหนีกลับมาหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเองที่ทิ้งเอาไว้ที่พื้นขึ้นมากอดเอาไว้    เพื่อนสนิทที่ขับรถมาถึง ต่างลงจากรถมายืนดูเหตุการณ์แบบงงๆ  เห็นท่าไม่ดีก็รีบกวักมือเรียกให้ขึ้นรถ  เตไม่สนใจเสียงเรียกซ้ำจากคนข้างหลังอีก   เขาเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถของเพื่อนที่ขับมารับ  ทิ้งให้ผู้ชายใจร้ายคนนั้นยืนมองอย่างหมดหวังอยู่บนฟุตบาท

          ‘เกิดอะไรขึ้นวะแก  ทะเลาะกันเหรอ  อ้าวเห้ย!’

          เขาไม่ตอบคำถามของเพื่อนๆ  ทันที่เข้ามานั่งข้างในรถได้สำเร็จ  น้ำหูน้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ก็ทะลักออกมาเหมือนเขื่อนแตก   เด็กหนุ่มสะอื้นฮัก

          เพื่อนๆมองหน้ากัน  ไม่พูดอะไรอีก แต่ส่งทิชชู่ให้   โชนโอบไหล่เขาเอาไว้  ส่วนดีดี้ที่นั่งข้างๆกันก็ตบหลังเบาๆ

          ทำไมพี่ดิมทำกับเตแบบนี้

          พี่ดิมไม่รักเตแล้วใช่มั้ย....

*****************




            ชายหนุ่มสองคนกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนชายหาด   คนหนึ่งมีกีต้าร์ตัวโปรดอยู่ในมือ  ส่วนอีกคนนอนหนุนแขนทอดสายตามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิท  เห็นดวงดาวพราวพร่างอยู่บนนั้นวิบวับ

            ลมทะเลพัดขึ้นมาเป็นระลอก   ได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆอยู่ห่างออกไป   ไม่รบกวนกัน

 

‘….ในคืนนี้มีดาวเป็นล้านดวง แต่ใจฉันมีเธอแค่เพียงดวงเดียว  สอดประสานสบตาเคียงข้างกัน อยากจะขอจูบดาวใต้เงาดวงจันทร์   อยู่ไหน บอกเธอที่มา ซบลงไออุ่นหัวใจ  และเธอ บอกเธอที่ไป    ฝันคงสดใส  รักอยู่ไม่ไกล จากเธอ  ร้องบอกหัวใจ มีเธอ....’

 

          เสียงนุ่มๆร้องคลอไปกับกีต้าร์   คนฟังยิ้ม รู้สึกเขินจนต้องหันหน้าหนีไปอีกทาง  ศัลยแพทย์หนุ่มที่ไม่ได้มีดีแค่ผ่าตัดหัวใจเท่านั้นหัวเราะเบาๆ   วางกีต้าร์ลงแล้วเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายจนชิด

            แกล้งเป่าลมใส่ใบหูของคนที่หลับตาปี๋นั้นเบาๆ

            “อื๋อ  อย่านะดิม  ไปร้องเพลงต่อเลย  กำลังได้ฟีล”  วิรัลพูดพึมพำ  เบนหน้าหลบ

            “รันอยากฟังเพลงอะไรล่ะ  เดี๋ยวจะเล่นให้ฟัง”  เขากระซิบข้างหู  คนฟังหัวเราะ

            “ดิมอยากเล่นเพลงก็เล่นเลย   รันฟังได้หมด”   คุณหมอเด็กตอบ  ลืมตาขึ้นสบตากับคนรักอย่างแสนหวาน  พลิกตัวเป็นนอนตะแคง  เท้าแขนดูอีกคนที่ถอยกลับไปหยิบกีต้าร์ขึ้นมาประจำที่อีกครั้ง

            รดิศสบตาเขายิ้มๆ  นิ่งไปครู่เหมือนจะนึกเพลงอยู่ในใจ จากนั้นก็กรีดนิ้วเป็นอินโทรเพลงที่ดิมไม่เคยเล่นให้เขาฟังมาก่อน

 

‘......มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา

ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน.....’

 

            เสียงของดิมนุ่มนวลชวนฟังเหลือเกิน   รันส่งยิ้มเป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย   เห็นสายตาคมเข้มทอดมองมาที่เขานิ่ง   ทว่าจู่ๆเขากลับรู้สึกราวกับว่าอีกคนมองทะลุตัวเขาไป

            ร่องรอยจดจำรำลึกถึงอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว แต่ยังคงทิ้งความทรงจำที่แสนหวานติดเอาไว้อยู่ในใจ  ปรากฏขึ้นในแววตาสีดำสนิทคู่นั้น

            ความทรงจำแสนสุข ที่ตัวเขาไม่มีส่วนร่วมด้วยแม้แต่น้อย..

            ดิมคิดถึงเรื่องอะไร  หรือว่าคิดถึง....ใครอยู่กันแน่

            วูบหนึ่งที่เขารู้สึกอิจฉา  คนที่อยู่ในห้วงความคิดคำนึงของผู้ชายคนนี้ขึ้นมาสุดหัวใจ..

 

 

................................................

ขอบคุณนะคะที่กดเข้ามาอ่าน
เมื่อวานมาต่อแล้วแต่ไม่จบเนื่องจากเน็ตหมดค่าา555
ดีใจที่มีคนรอนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 19/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 20-01-2017 19:33:27
ความจริงที่เลิกกันเพราะคำขอร้องของมือที่สามรึป่าว สงสารเตเนอะ ทำงานหนัก ก็หนักแถมมีใครบางคนเข้าใจผิดอีก อะไรจะขนาดนั้น
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 19/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-01-2017 20:35:40
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 20-01-2017 21:49:02
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: INMINTHA ที่ 20-01-2017 23:26:03
รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ร่ำร้อง] ตอนที่5 20/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 20-01-2017 23:28:28
อ่านแล้วสะดุดตรง นะฮะ มากค่ะ   คนโตแล้วเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่น่าจะใช้คำว่านะฮะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หึง] ตอนที่6 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-01-2017 21:28:43
เพราะหัวใจบอกว่า...หึง







‘...มีบรรยากาศฝนตกรถติดช่วยฉัน ยังมีมือเปล่าว่างอยู่ให้จับเท่านั้น

ลองดูที่แก้มฉัน  เธอนั้นว่ามีอะไร

วู้ว...’

         

          เพื่อนร่วมกลุ่มหยุดเล่นเพลง  ต่างคนต่างสะกิดคนข้างๆเป็นอันรู้กัน เมื่อเห็นร่างของนักศึกษาแพทย์หนุ่มเดินเลาะหาดทราย  ตรงเข้ามาทางพวกเขาช้าๆ

          ‘แฟนใครมาโน่นแล้วหว่า  สงสัยว่าจะมาง้อ’  เจ้กิ่งแซว หลิ่วตาไปทางเด็กหนุ่มผมหยิกหยองที่นั่งกอดเข่าทำหน้าจ๋อยตั้งแต่มาถึง   ตอนนี้เริ่มสังเกตได้ว่าใบหน้าเรียวหวานนั้นเริ่มกลายเป็นสีจัด

          ดวงตาบวมแดงจากการร้องไห้ชักมีประกายแวววาว   แต่ทว่าก็ยังสงวนท่าทีนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น  ไม่ยอมหันกลับไปมอง

          เพื่อนในกลุ่มพยักเพยิดกัน

          ‘ไปหาอะไรกินหน่อยดีกว่า  เตแกนั่งเฝ้าของไว้นะ’  บรรดาเพื่อนที่น่ารักทั้งหลายรีบลุกขึ้น เดินหนี ปล่อยให้เด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวตรงนั้น

          ดิมยิ้มให้เพื่อนๆของแฟนแทนคำขอบคุณ  แล้วเดินตรงเข้าไปหาคนงอนที่นั่งหน้ามู่  แต่ก็ไม่ยอมลุกหนีคนนั้น

          ‘นั่งด้วยคนได้ไหมครับ’  เขาถาม  พยายามส่งยิ้มหวานจ๋อยเข้าไปก่อน  เตไม่ตอบ

          ‘ถ้างั้นผมนั่งนะครับ’  ไม่ตอบ ก็แปลว่าอนุญาตสินะ  เขาทุรดตัวลงนั่งขัดสมาธิตรงหน้าเด็กหนุ่ม  มองใบหน้าเรียวแดงจัดนั้นตรงๆ

          ‘หายโกรธหรือยัง’  ถามออกไปลุ่นๆ  ได้ยินเสียงเหมือน ‘ฮึ’ ขึ้นจมูกตอบกลับมาจากอีกฝ่ายเบาๆ

          เขายิ้ม  ยื่นนิ้วก้อยออกไปหา

          ‘ดีกันได้ยัง’  กระดิกนิ้วนิดหน่อย เชิญชวน   แต่อีกฝ่ายกลับเม้มปากแน่น  สะบัดหน้าหนีอีก

          คนง้อถอนหายใจยาว  พูดเรียบๆ

          ‘เตครับ  พี่ไม่ได้โกหกเตนะ  เอาอย่างนี้  พี่จะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง  แล้วเตจะเชื่อพี่หรือเปล่า ก็แล้วแต่เตนะ    เมื่อตอนบ่ายพี่กับเพื่อนๆจะไปเลี้ยงน้องปี 1 ด้วยกัน  แต่ทีนี้น้องเกรซ น้องรหัสพี่มันลืมส่งรายงาน  ก็เลยต้องแยกกับกลุ่มแวะเข้าไปส่งที่คณะก่อน  แล้วก็เลยเจอเตที่หน้ามอไง  แล้วเตก็โกรธพี่หนีขึ้นรถมาซะงั้น  ไม่ฟังพี่พูดเลย’

          ‘ผมผิดสินะที่โกรธพี่อ่ะ’

          ‘ก็เรื่องมันไม่มีอะไรเลยจริงๆ’

          ‘แล้วหลังจากนั้น ไปไหนต่อ’

          ‘พี่ก็พาน้องเค้ากลับไปสมทบกับเพื่อนๆที่ร้านอาหาร  กินข้าวกัน  แล้วนี่พี่ก็ขอตัวกลับมาก่อนนะ  จริงๆเค้าไปร้องคาราโอเกะกันต่อ  แต่พี่ทนไม่ไหว  มันไม่สบายใจ ก็เลยแยกตัวออกมาแล้วก็หารถมาหาเตที่นี่แหละ’

          ‘รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่นี่’

          ‘เพื่อนนายบอก’  เขาสารภาพเสียงอ่อย  หลังจากเห็นว่าแฟนเด็กหนีขึ้นรถไปกับเพื่อน  เขาก็รีบถามน้องรหัสว่ามีเพื่อนเรียนอยู่อักษรฯบ้างไหม  โชคดีที่น้องเขามีเพื่อนสนิทเป็นแฟนกับดีดี้ เพื่อนในกลุ่มของเต เขาก็เลยหาทางติดต่อจนทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน

          แล้วก็รีบวิ่งไปท่ารถ จับรถมาที่นี่

          ‘หายโกรธกันยัง’  เขาถามอีกรอบ  คราวนี้ฝ่ายนั้นไม่หันหน้าหนีแล้ว  แต่มองหน้าเขาตรงๆ

          ‘ยัง   ผมยังติดใจอยู่อีกเรื่อง’

          ‘เรื่องอะไร’  เขาถามกลับ

          ‘พี่จริงจังกับผม…ใช่มั้ย’  เด็กหนุ่มถาม  หางเสียงสั่น   ทำเอาคนฟังอึ้งไป

          ‘ทำไมเตถึงคิดว่าพี่ไม่จริงจังกับเรา’  ถามกลับ  ยังไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร

          ‘งั้นทำไมพี่ถึงแนะนำผมต่อหน้าน้องว่าเป็นเเค่เพื่อนล่ะ’   ตั้งเตพูดรัวเร็ว  ก้มหน้างุด

          เขามองหน้าอีกฝ่าย  เพิ่งเข้าใจว่าปมที่ถูกงอน  แท้จริงมันอยู่ตรงนี้นี่เอง   พิศดูใบหน้าสีชมพูที่ก้มหลบสายตาของเขาแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ

          ‘นึกว่าเรื่องอะไร  งอนเรื่องนี้นี่เองเหรอ’

          ‘……………’  เตไม่ตอบ  เมินมองไปทางอื่น

          เขาอมยิ้ม  นั่งมองอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง   เกลียวคลื่นสีขาวม้วนเข้าหาชายฝั่ง  นกหลายตัวบินถลาเห็นอยู่ลิบๆบนท้องฟ้าสีส้มอ่อน  บรรยากาศสงบเงียบ   บนชายหาดทอดยาวสุดลูกหูลูกตามีแค่เขาสองคนเท่านั้น

          ‘เตอยากให้พี่บอกทุกคนว่าเตเป็นแฟนพี่ใช่ไหม’  ถามออกไปตรงๆ  ก็ก่อนหน้านี้เขาสังเกตเองว่าอีกฝ่ายดูอายมากเวลาที่เขาพูดว่า เราเป็นอะไรกันนี่นะ   แล้วเขาจะกล้าบอกคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกว่าเค้าเป็นแฟนเหรอ

          ‘ก็ถ้าพี่ไม่เต็มใจจะบอกใคร  ก็ช่างมันเถอะ’

          เขารวบมือนุ่มๆมากุมเอาไว้  บีบแน่น

          ‘ใครว่าพี่ไม่เต็มใจล่ะ  พี่ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก  ความจริงพี่อยากประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่าตั้งเตคนนี้เป็นแฟนพี่  อย่าว่าแต่น้องรหัสเลย’  ดิมพูดออกมาจากใจ 

          ‘แล้วทำไม...’

          ‘เพราะพี่ไม่รู้ว่าเตคิดยังไง  พี่ผิดเองที่ไม่เคยถามเรื่องนี้ก่อน  พี่กลัวว่าถ้าพี่ผลีผลามแนะนำใครต่อใครว่าเตเป็นแฟนพี่ แล้วเตจะรู้สึกยังไง  จะโอเคหรือเปล่า’

          ‘แล้วทำไมผมถึงจะไม่โอเค’

          ‘เพราะ...พี่รู้ตัวว่าพี่ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด  ยังมีคนที่เหนือกว่าพี่เข้ามาจีบเตเยอะแยะ  หรือว่าไม่จริง’

          ‘พี่พูดแบบนี้เหมือนดูถูกผมด้วย  ในเมื่อผมตัดสินใจว่าคบกับพี่แล้ว  ก็แปลว่าพี่ดีที่สุดสำหรับผม คนอื่นก็ไม่เกี่ยว’

          คนฟังยิ้มกริ่ม 

          ‘อืม  ก็ว่างั้นแหละ  พี่รู้ตัวมานานแล้วว่าพี่นี่ล่ะดีที่สุดสำหรับนาย ฮ่าๆ  งั้นต่อไปนี้พี่จะแนะนำทุกคนที่เจอว่าเตเป็นแฟนพี่แล้วกันนะ  แบบนี้ตกลงมั้ย  อนุญาตแล้วนี่’

          ตั้งเตชะงัก หันมาผลักหน้าคนพูดแทบหงายหลัง

          ‘นี่แน่ะ  ความจริงต้องการแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ  แต่ไม่ยอมพูด  มาให้เราออกปากเอง  หนอย  เจ้าเล่ห์นักนะ’

          ดิมหัวเราะร่า   ยื่นหน้าเข้าไปถามใกล้ๆ

          ‘ถามจริง  หึงพี่ใช่ป่ะ’  คนฟังหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง  สั่นหัวแรงๆ

          ‘เปล่าสักหน่อย  ใครหึง’

          ‘ก็เรานั่นแหละ   อิๆ   โอ๊ย  อย่าตีพี่นะ’  อีกฝ่ายไม่ฟังทุบลงมาบนไหล่ของเขาแรงๆ   ดิมรีบยึดมือเอาไว้  ออกแรงดึงทีเดียว  ร่างบางกว่าก็เสียหลักเอนเข้ามาปะทะอก  เขารวบแขนกอดเอาไว้แน่น

          ‘ฮื้อ  ปล่อยนะ  เดี๋ยวใครเห็นเข้า’  เสียงเด็กหนุ่มงุ้งงิ้งอยู่ที่อก จนต้องก้มลงไปฟังใกล้ๆ

          ‘เห็นแล้วไง  ก็แฟนกันอ่ะ   กอดกันผิดตรงไหน’  พูดแกมหัวเราะร่าเริง   กลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของเด็กหนุ่มในอ้อมแขนระเหยออกมาจากข้างแก้มและซอกคอที่เขาก้มลงพิสูจน์กลิ่นอย่างใกล้ชิด

          ‘โอ๊ย  จักจี้  ปล่อยเหอะ  เดี๋ยวพวกนั้นหลับมาเห็นเข้า  มันล้อตายเลย’  เตพยายามบิดตัวหนีสัมผัสจากปลายจมูกโด่งและริมฝีปากร้อนคู่นั้นที่รุกไล่ไปทั่วพวงแก้มและซอกคอของเขา

          ครู่ใหญ่ทีเดียวเขาถึงจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ   ตั้งเตเขยิบหนีไปนั่งจนเกือบริมสุดเสื่อผ้าใบ  ใบหน้าเรียวแดงก่ำแทบสุก ลามลงมาถึงลำคอ  หายใจหอบน้อยๆ

          ‘หนีไปไหน  มานั่งตรงนี้นี่  เร็ว  ดูพระอาทิตย์ตกกัน’  เขาตบมือลงบนที่ว่างข้างตัว  อีกฝ่ายส่ายหน้า

          ‘ไม่เอาแล้ว  เดี๋ยวโดนแกล้งอีก’

          ‘ไม่แกล้งแล้ว สัญญา’  เขายกมือขึ้น เลียนแบบท่าลูกเสือสามัญ  นึกเอ็นดูท่าทางหวาดระแวงเหมือนลูกกวางน้อยระวังภัยของอีกฝ่ายขึ้นมามากๆ  มากจนอยากจะรวบตัวเข้ามาฟัดอีกรอบ....แต่ก็ข่มกลั้นใจเอาไว้

          ‘สัญญาแล้วนะ  ไม่งั้นโกรธ’  เตขู่  เขาพยักหน้ารับ  ฝ่ายนั้นถึงได้ยอมเขยิบเข้ามานั่งข้างๆเขาอีกครั้ง

          ดิมโอบมือไปรอบเอวของคนข้างๆ   ดึงเข้ามาจนชิดตัว   กดปลายคางลงกับศีรษะที่ซบลงบนไหล่บอบบาง  ทอดตามองลำแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า

          หัวใจของเขาเต้นแรงเป็นจังหวะหนักแน่น  ชั่วขณะหนึ่งที่เขารู้สึกอยากให้ช่วงเวลานี้ ทอดยาวออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด  ถ้าเป็นไปได้  เขาจะยอมทำทุกอย่าง  ทำทุกทาง  ขอแค่มีคนๆนี้นั่งพิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาต่อไปอีกนานแสนนานเท่านั้น

          พระอาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้ว ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าที่มืดสนิท  ประดับด้วยแสงดาวนับร้อยพันทอประกายอยู่บนนั้น แวววาวแข่งกับประกายตาหวานฉ่ำของคนในอ้อมกอด

          ‘กี่โมงแล้วนะ  ทำไมพวกนั้นยังไม่กลับมาอีก’  เตเปรย

          ‘พวกนั้นคงจะกลับกันไปแล้วมั้ง’  เขาเดาเอา  หรือไม่ก็รู้งาน เลยไม่โผล่เข้ามาเป็นก้างขวางคอ

          ‘เรากลับกันเถอะ   เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ’  เตจำตารางเรียนของเขาได้เสมอ  แม่นยำเสียยิ่งกว่าคนเรียนเสียอีก

          ‘ขออยู่แบบนี้อีกครู่นึงนะ’  แตะริมฝีปากลงบนปอยผมหยักศกสีอ่อนยุ่งเหยิงตามลมที่พัดมาตลอดเวลา  เตนิ่งไปพักหนึ่งก็ขยับตัวยุกยิก

          ‘พอแล้ว  กลับกันเถอะ’  เขาถอนหายใจ  แต่ก็ยอมปล่อยตัวอีกฝ่ายโดยดี  ลุกขึ้น  ก้มลงเก็บของ  กีต้าร์ที่พวกนั้นทิ้งเอาไว้ยังนอนแอ้งแม้งอยู่ที่เดิม 

          ‘พี่มีเพลงจะร้องให้ฟัง  อยากฟังไหม’  เขารีบหาอุบาย  เรื่องอะไรก็ได้ที่คิดออก เพื่อที่จะหาทางรั้งอีกฝ่ายให้นั่งอยู่ตรงนี้ต่อ  อีกสัก2-3นาทีก็ยังดี   บรรยากาศแบบนี้  ไม่อยากจากไปเลยจริงๆ

          เด็กหนุ่มหันมามองกีต้าร์ สลับกับมองหน้าเขา แล้วก็หัวเราะ

          ‘พี่เล่นเป็นด้วยเหรอ’

          ‘แน่ะ  ดูถูก   อยากรู้ต้องลองฟังดู’  เด็กหนุ่มพยักหน้ายิ้มๆ  ยอมทรุดตัวลงนั่งที่เดิมข้างๆเขา  จับตามองมานิ่ง

          สายตาคู่นั้นทำให้เขาประหม่า   ใจสั่นจนลืมคีย์  ต้องนึกอยู่นาน   ในที่สุดก็เลือกเพลงที่เขาชอบที่สุด  เพลงที่ฟังทีไรก็นึกถึงใบหน้าของคนๆเดียว

          คนที่ทำให้เขาเชื่อว่า รักแรกพบ.. มีจริง

 

‘…มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง

แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา

ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน

 

ไม่มีทาง เรื่องเพ้อฝันความผูกพันอย่างง่ายดาย

รักแรกพบมีอยู่จริงในนิยาย

หนังสือนิทาน เพลงรักแสนหวาน กับความฝัน

 

แต่วันหนึ่งฉันผ่านมาพบเธอตรงนั้น

ดวงใจ เป็นเดือดเป็นร้อนช่างทรมาน

ราวกับโดนมนตร์แม่มดสะกดพลัน

นาทีนั้น ฉันรักเธอทันใด…’

 

          สายตาสองคู่ผนึกเข้าหากันราวกับมีแรงดึงดูด   ใกล้เข้ามาอีก  ใกล้อีก  จนกระทั่งไม่มีช่องว่างเหลืออยู่ระหว่างกันอีกต่อไป   สัมผัสบนริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นทำเอาเขาแทบลืมหายใจ   รดิศปล่อยกีต้าร์ทิ้งเอาไว้บนพื้นอย่างไม่ไยดี   มือทั้งสองประคองใบหน้าเรียวหวานให้แหงนเงยขึ้น รับสัมผัสของเขาอย่างเต็มที่

          รสชาติหวานแหลมยิ่งกว่าน้ำผึ้งรวงและน่าหลงใหลมากกว่านั้นเป็นร้อยเท่า   รสสัมผัสที่ทำให้เขาลืมตัวไปชั่วขณะว่าตนเองกำลังอยู่ที่ไหน  เหมือนล่องลอยออกไปยังอวกาศ  ตัวเบาหวิวไร้น้ำหนัก  ได้แต่ตักตวงเอาจากอีกฝ่ายอย่างกระหาย  ไม่สามารถควบคุมตนเองได้

          หัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะหยุดเข้าในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า  แต่เขาก็ยอม ถ้าจะต้องแลกกับการได้จูบคนๆนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก...

 

‘….รักแรกพบแท้จริงเป็นอย่างไร

เพราะเธอใช่หรือไม่ เปิดใจใครที่ฉันเป็น

จากวันนั้น หัวใจรู้สึกเอง ชัดเจนว่าทุกสิ่ง

เกิดขึ้นจริงใช่ฝันไป ได้พบจึงเข้าใจ มีอยู่จริง.…’

*****************

 


            “ดิม เป็นอะไรหรือเปล่า?” รันตัดสินใจถาม  หลังจากที่อีกคนนิ่งไปนาน  ในมือยังถือกีต้าร์ค้างอยู่แบบนั้น   อีกฝ่ายสะดุ้ง  เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองเหมือนจะเรียกสติกลับคืนมา

            “ขอโทษที  ผมเล่นถึงไหนแล้ว”

            อีกฝ่ายลอบถอนหายใจ  ตอบยิ้มๆ

            “เริ่มไปสองท่อนเอง  ลืมเนื้อก็ไม่บอก  เอาใหม่ๆ  รันช่วยร้องดีกว่า”

            ดิมพยักหน้ารับ   ตั้งต้นจับกีต้าร์ขึ้นมาใหม่  กรีดนิ้วขึ้นอินโทร  แล้วก็หยุดไปอีก

            “ผมว่าเปลี่ยนเพลงดีกว่า  เพลงนี้สงสัยไม่รอด  เอ้า เลือกมาสักเพลงเร็ว”  พูดกลั้วหัวเราะ  แบบที่คนรักที่คบกันมาหลายปี และเป็นเพื่อนกันมานานกว่านั้น  ดูออกอย่างง่ายดายว่าอีกฝ่ายจงใจกลบเกลื่อนความรู้สึกบางอย่าง

            แต่เขาก็ทำเป็นไม่สังเกต 

            “รันเลือกเพลงไปก่อนล่ะกัน  ผมขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่”

            คนพูดพูดจบก็วางกีต้าร์  ลุกขึ้นเดินกลับไปทางโรงแรม  คุณหมอเด็กมองตามหลัง

            ดิมเป็นอะไรกันแน่  ทำอย่างกับว่าหนีอะไรอยู่งั้นแหละ

            ..............................................


(ต่อด้านล่างค่ะ)
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หึง] ตอนที่6 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-01-2017 21:58:12
ต่อนะคะ
................................................................................................


            ศัลยแพทย์หนุ่มเดินย่ำทรายกลับขึ้นมาจากชายหาดแบบไม่เหลียวหลัง

            จู่ๆ ความรู้สึกที่จำแนกไม่ถูกก็ถาโถมเข้ามาใส่เขา ราวกับคลื่นสึนามิที่พัดถล่มเข้าฝั่งแล้วกวาดเอาทุกสิ่งทุกอย่างราบเรียบเป็นหน้ากลอง   ความหลังที่เขาเคยบังคับตัวเองให้ลืมไปเสียให้สิ้น กลับย้อนคืนมาครบถ้วนคล้ายกับมีคนมากรอเทปซ้ำ

          เสียงหัวเราะของเด็กคนนั้น  ทุกคำพูด  สีหน้า การกระทำ  ทุกอย่างรวมถึงสัมผัสดูดดื่ม นุ่มละมุนลึกล้ำที่ริมฝีปากยังคงตราตรึงอยู่ในใจไม่วาย 

            โธ่เว้ย  ทำไมต้องเป็นอย่างนี้ด้วยวะ!  เขาเตะทรายแรงๆระบายอารมณ์  จะเรียกว่าหงุดหงิดก็ไม่ใช่  เป็นอารมณ์ที่คล้ายกับความโกรธ  แต่จะโกรธอะไร เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน   อ้อ ก็ต้องโกรธเด็กคนนั้นนั่นแหละ  ยังจะตามมาหลอกหลอนเขาอีก  ขนาดหนีมาทะเลแล้วแท้ๆ

            กลับเข้ามาภายในโรงแรม  มองหาห้องน้ำ สายตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นหลังของใครเดินไวๆผ่านลอบบี้โรงแรมไปทางลิฟต์

            หัวใจกระตุกขึ้นมาวูบหนึ่ง   หุ่นแบบนี้  ความสูงเท่านี้  ต่อให้เห็นแค่ข้างหลัง แวบเดียวก็จำได้ทันที

            เท้าไปไวกว่าความคิด  คุณหมอหนุ่มเปลี่ยนเส้นทาง  เดินตามหลังคนๆนั้นไปทันกันที่ลิฟต์   เขาเห็นร่างสูงใหญ่ของคนเป็นเจ้านายเดินมาสมทบจากอีกด้านหนึ่งของลอบบี้  จึงหลบเข้ามุมเสา  ลอบสังเกตท่าทางของคนทั้งสองที่หยุดพูดอะไรกันครู่ใหญ่   เขาเห็นภาคย์ยกมือขึ้นแตะหน้าผากของคนตัวเล็กกว่าราวกับกำลังยั่วเย้าอะไรสักอย่าง

            ....อะไรกัน สองคนนั่น  อย่าบอกนะว่าแอบมาเที่ยวทะเลกันสองคน?... เขาเผลอกำมือแน่น

สุดท้ายเจ้านายหนุ่มรูปหล่อก็โบกมือลา  เดินแยกกลับเข้าไปในห้องประชุม  ทิ้งให้คนๆนั้นยืนรอลิฟต์อยู่คนเดียว  ลิฟต์มาพอดี    รดิศรีบเดินออกมาจากหลังเสา  ตามหลังคนๆนั้นเข้าไปในลิฟต์ด้วยอย่างไม่รอช้า 

            ผู้ชายคนนั้นตกใจ  หันมาจ้องหน้าเขาเหมือนเห็นผี   คงไม่นึกว่าจะเจอกันที่นี่เช่นเดียวกัน

            “พี่ดิม!  เอ้อ  คุณหมอรดิศ”  อีกฝ่ายหลุดเรียกชื่อเขาเหมือนเมื่อสมัยก่อนออกมาคำหนึ่ง แล้วก็เปลี่ยนเมื่อรู้สึกตัว   เขายิ้ม ทำเป็นไม่สังเกต

            “สวัสดีครับ  คุณติณธร  โลกกลมจังนะครับ”  อีกฝ่ายถอยหลังจนติดกำแพงลิฟต์  แต่คราวนี้เขาไม่ก้าวประชิดหรือกดหยุดลิฟต์อีกแล้ว เพราะกลัวฝ่ายนั้นจะเป็นลมไปเสียก่อนที่จะพูดกันรู้เรื่อง  จึงยืนพิงกำแพงลิฟต์ตามสบาย  กวาดตามองอีกฝ่ายทั่วตัว

            “มาพักผ่อนกับครอบครัวเหรอ   ระวังหน่อยก็ดีนะครับ  น้องเต้เพิ่งหายไข้ เจอลมทะเลเดี๋ยวไข้จะกลับ” แกล้งพูดด้วยเสียงเป็นห่วงเป็นใย สมเป็นคุณหมอที่ห่วงใยในสุขภาพ   สังเกตเห็นสีหน้าอึดอัดจากคนฟังก็ลอบยิ้มสะใจ

            “ปล่าวครับ  ผมมาทำงาน”  เตตอบเรียบๆ  เบือนหน้าหนีเขาไปจ้องตัวเลขบอกชั้นที่ลิฟต์แทน

            “อ้อ  เหรอครับ  งั้นคงมากับคุณบก.โดม ...ผมอยากพบอยู่พอดี”  ดิมพูดต่อ หน้าซื่อ  อีก่ายอึกอักอยู่ครู่หนึ่งก็ถามกลับมา

            “คุณหมอคงมาพักผ่อนกับครอบครัว”

          “ปล่าวครับ   ผมมากับแฟน...มาทะเลก็ต้องมากับคนรู้ใจหน่อยถูกไหมฮะ  ยิ่งมากับคนรักยิ่งดีใหญ่  บรรยากาศดีๆโรแมนติกแบบนี้  เผื่ออะไรๆจะได้ง่ายขึ้น”  พูดเป็นนัย พร้อมกับสายตาที่จ้องอย่างมีความหมาย  อีกฝ่ายใบหน้าสีจัดขึ้นทันควัน  ไม่ยอมสบตาเขา

            “ผมคงต้องขอตัวก่อน  ยินดีที่ได้พบนะครับ”  เตพึมพำก้าวออกจากลิฟต์ทันทีที่ลิฟต์จอดที่ชั้นของตัวเอง   คุณหมอหนุ่มก้าวตามออกมาด้วยหน้าตาเฉย

            “คุณพักชั้นนี้เหรอ  เหมือนกันเลยครับ”  ดิมพูดลอยๆแล้วก็เดินคู่ไปด้วย ตามทางเดินที่ค่อนข้างแคบ  แขนล่ำสันแกว่งโดนตัวของอีกฝ่ายราวกับไม่ตั้งใจ   จนฝ่ายนั้นทำตัวลีบ

            “เชิญคุณหมอก่อนเถอะครับ”  นักเขียนหนุ่มหยุดเดิน  เป็นทีให้เขาเดินไปก่อน  แต่ดิมส่ายหน้า

            “เชิญคุณก่อนดีกว่า  ห้องเบอร์อะไรครับ  อ้อ  1269 เหรอ  ทางนี้นี่ฮะ”  เขาถือวิสาสะชะโงกเข้าไปดูหมายเลขห้องจากคีย์การ์ดในมือของอีกฝ่าย   แล้วเดินนำไปหยุดรอที่หน้าห้อง

          ติณธรเม้มปาก

            “คุณหมอมีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า”  ตัดสินใจถามตรงๆ เพราะเบื่อกับเกมของอีกฝ่ายเต็มที   แต่รดิศกลับเลิกคิ้วขึ้น  หน้าตาเลิ่กลั่ก

            “อะไรครับ?  ไม่มีอะไรนี่”

          “ถ้างั้นก็...ลากันตรงนี้นะครับ”  เตพูดจบก็ยกมือไหว้ แล้วลดมือลงมากอดอก  ไม่รู้ตัวเลยว่าท่าทางนั้นกลับทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง

            .....เหมือนเหลือเกิน    เหมือนน้องเตเมื่อหลายปีก่อนนั่น   เวลาโกรธชอบยกมือขึ้นมากอดอก  เม้มปากนิดๆ นัยน์ตาบอกว่าพร้อมเอาเรื่อง  ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียวแบบนี้ล่ะ  แต่ก็สู้ขาดใจ ใครอย่าริลองมีเรื่องด้วยเชียว.....

            “ครับผม”  เขาสะกดใจเอาไว้  พูดยิ้มๆ ก้มหัวให้เป็นเชิงล้อเลียน  อีกฝ่ายตวัดสายตาใส่เขาคล้ายค้อน หันกลับไปเสียบคีย์การ์ดประตูเพื่อปลดล็อค

            เตเปิดประตูห้อง

            “คุณอยู่คนเดียวเหรอครับ”  คนพูดชะโงกข้ามไหล่เข้าไปดูภายในห้อง  ความใกล้ชิดชั่วขณรดิศจงใจให้เกิดขึ้น ทำให้ตั้งเตตัวแข็ง  ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดอยู่ข้างแก้ม  วูบเดียวก็ผละออกไป

            “เชิญคุณหมอกลับห้องเถอะครับ”  เตแข็งใจหันกลับมาไล่ แต่ปลายจมูกแทบจะปะทะกับแผ่นอกที่อยู่ชิดจนต้องถอยหลังเข้าไปในห้องเพื่อเพิ่มระยะห่าง 

            “คุณอยู่ห้องคนเดียวไม่กลัวเหรอครับ”  คุณหมอหนุ่มถามยิ้มๆ  ก้าวตามอีกฝ่ายพ้นประตูห้องเข้าไปภายใน  เห็นคนตรงหน้าเริ่มมองซ้ายขวาล่อกแล่กก็ลอบยิ้มมุมปาก

            “ผมไม่กลัว ....คุณหมอกลับออกไปเถอะครับ”  เตพูดซ้ำ  เริ่มใจไม่ดี เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะถอยกลับไปเลยสักนิด  นึกเจ็บใจที่ประมาท เปิดประตูห้องเสียก่อนที่พี่ดิมจะกลับไป 

            “แต่ผมกลัว   ผมไม่อยากอยู่ที่ห้องคนเดียว  ขอผมอยู่ด้วยครู่นึงได้มั้ย”  ศัลยแพทย์หนุ่มพูดหน้าตาย   หันไปปิดประตูห้องพัก  แล้วก้าวเข้ามายืนประจันหน้ากับเจ้าของห้อง    เอียงคอมองยิ้มๆ

            “เป็นอะไรไป คุณเต  หรือว่าคุณกลัวผม?”  พูดพลางก้าวเข้ามาใกล้อีกนิด   เช่นเดียวกับเจ้าของห้องที่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เตพูดเสียงสั่นนิดๆ   ก้าวถอยหลังไปทางโทรศัพท์ของห้องพักที่ตั้งอยู่หัวเตียง

            “โอ  จะไปกันใหญ่แล้วคุณเต  ผมไม่ได้จะทำอะไรคุณนะครับ  แค่อยากคุยด้วยเฉยๆ”

          “งั้นออกไปคุยกันข้างนอกก็ได้”

            “จะดีหรือครับ   คุณคงไม่อยากให้เรื่องที่ผมจะพูดหลุดถึงหูใครต่อใครหรอกครับ  เพราะมันน่าอาย”  แววยิ้มเยาะผุดขึ้นมาในแววตา   นักเขียนหนุ่มถามกลับอย่างไม่เข้าใจ

            “คุณหมายถึงอะไร”

            “ก็อย่างเช่น...เรื่องเจ้านายกับลูกน้องหนุ่มที่มีลูกเมียแล้ว  แอบหนีมาเปิดห้องค้างคืนกันสองต่อสองริมทะเลไงล่ะ   คุณว่าเรื่องนี้มันน่าอายไหมล่ะครับ    ไม่สิ  บางทีคุณอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของคนสมัยนี้ไปแล้วก็ได้  ที่จะลักลอบกินกันเองในบริษัท  คบชู้สู่ชายอะไรทำนองนี้...หรือว่ายังไงครับ”

            คนฟังจ้องเขาเขม็ง  หน้าแดงก่ำ  พูดปากคอสั่น

            “นี่คุณพูดเรื่องอะไร  คุณหมายถึงผมกับ..”

          “เปล่าครับ  ผมก็พูดทั่วๆไป  หรือว่าคุณทำแบบนั้นล่ะ”  คุณหมอถามกลับด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ขณะที่คนฟังรู้สึกเหมือนมีใครมาปาระเบิดใส่หูดังบึ้ม  เข้าใจคำว่าโกรธจนหูอื้อคราวนี้เอง   ยกมือขึ้นชี้ไปที่ประตู  บังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่น

            “คุณออกไปเลยนะ  ออกไปเดี๋ยวนี้!”

            นอกจากจะไม่ออกแล้ว  คุณหมอคนนั้นยังก้าวเข้ามายืนจนชิด     เจ้าของห้องถอยหลังจนแผ่นหลังสัมผัสกำแพงเย็นๆ.....ไม่มีที่ให้ถอยอีกแล้ว

          “เป็นอะไรไป  โดนจับได้แค่นี้อายเหรอ   เมียคุณรู้หรือเปล่าว่าใช้ ‘สามี’ ร่วมกับคนอื่นน่ะ”  เน้นบางคำด้วยความสะใจ   ยิ่งเห็นอีกฝ่ายหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือด  เขาก็ยิ่งสาแก่ใจ

            “ผมจะเตือนคุณเป็นครั้งสุดท้ายนะ  ถ้าคุณยังทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้อยู่อีกล่ะก็  อย่าหาว่าผมไม่เตือน”

          “คุณมายุ่งอะไรด้วยไม่ทราบ...”  เขาหลุดออกมาประโยคแรก  หลังจากยืนอึ้งอยู่นาน    รดิศเลิกคิ้ว   ยกแขนขึ้นเท้ากำแพงทั้งสองข้างเอาไว้  กั้นไม่ให้อีกคนหลบไปทางไหน

            “เพราะผมทนดูคนชั่วสองคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้หญิงกับเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ได้น่ะสิ”  เตเชิดใบหน้าขึ้น  เม้มปากอย่างถือดีไม่แพ้กัน

          “อ้อ  คุณจะบอกว่าตัวเองเป็นคนดีเลอเลิศงั้นสิ  ถ้าอย่างนั้นตอนนี้แฟนคุณอยู่ที่ไหนล่ะ  คุณปล่อยให้แฟนของคุณอยู่คนเดียว ขณะที่คุณ.....เอ้อ”  คนพูดชะงัก  เมื่ออีกฝ่ายก้าวเข้ามาชิดเขาจนแทบไม่เหลือช่องว่างให้หายใจ  ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดที่ซอกคอเป็นจังหวะ

            “ขณะที่ผมทำไม?   ทำไมไม่พูดให้จบ  ขณะที่ผมกอดคุณอยู่แบบนี้เหรอ  หรือว่าขณะที่ผมจูบคุณ  หืม”  รดิศพึมพำกับซีกแก้มขาวเนียนที่เปลี่ยนเป็นสีแดงลามลงมาถึงลำคอ   เลยขึ้นไปที่ใบหูเล็ก   ขบเม้มที่ติ่งหูนั่นเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยวจนอีกคนขนลุกซู่

            ตั้งเตยกมือขึ้นดันแผ่นอกกว้างนั้นแรงๆ

            “ปล่อยผม  คุณมันแย่ที่สุด”  อีกฝ่ายไม่สะเทือนกับแรงอันน้อยนิดนั่น  รดิศก้มลงสูดกลิ่นหอมอ่อนเฉพาะตัวที่เขาไม่เคยได้กลิ่นแบบนี้จากใครมาก่อน   หัวใจเริ่มเต้นเร็วแรง

            ความรู้สึกเหมือนคนที่เดินโซซัดโซเซอยู่กลางทะเลทราย  หิวน้ำแทบขาดใจ  รู้สึกหมดหวังแล้วแบบคนใกล้ตาย แต่จู่ๆก็ได้พบโอเอซิสเข้าอย่างไม่คาดฝัน

            กระโจนเข้าไปดื่มกินอย่างกระหาย  ไม่อยากผละออกแม้สักวินาทีเดียว

            ความรู้สึกบางอย่างที่คล้ายกับความคิดถึง และอารมณ์เต็มตื้นในหัวอก  เหมือนคนที่ได้สิ่งที่คิดว่าหลุดลอยไปแล้วกลับคืนมาในอ้อมกอดอีกครั้ง   มันทำให้เขาลืมตัว  จากตอนแรกที่ตั้งใจเพียงแค่จะแกล้งและสั่งสอนเท่านั้น   แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถจะหยุดยั้งตัวเองได้แล้ว

            เช่นเดียวกับอีกคนที่ทิ้งมือลงอย่างอ่อนแรง   เงยหน้าขึ้นหลับตารับสัมผัสที่เบื้องลึกในจิตใจบอกว่าโหยหามาแสนนาน

            ....พี่ดิม   พี่ดิมกลับมาแล้วใช่ไหม....

            ได้เเต่ยกมือขึ้นโอบรอบลำคอของอีกฝ่ายอย่างเลื่อนลอย  ลูบไล้ไปทั่วเส้นผมอ่อนนุ่มนั้น  ริมฝีปากของเขาถูกสัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า  ปลายลิ้นเกี่ยวพันอย่างคนที่รู้จังหวะของกันและกันดี   หัวใจของเขาเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ  สั่นหวิวเหมือนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของยอดตึกใบหยก

            เพริดไปตามอารมณ์ที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้

            ไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง  และยืนจ้องพวกเขาค้างอย่างคาดไม่ถึง

            จนกระทั่งร่างของคนที่เกาะเกี่ยวเขาอยู่หลุดกระเด็นลงไปกองที่พื้น   ติณธรลืมตาขึ้น  ร้องเสียงหลงเมื่อเห็นเจ้านายของเขากำลังเงื้อหมัดขึ้น เตรียมจะประเคนลงบนใบหน้าของคุณหมอหนุ่ม

            “อย่าทำพี่ดิม!!”

            ประโยคเดียวที่ทำให้ทั้งคู่หยุดชะงักพร้อมๆกัน  หันมามองเขาเป็นตาเดียว

            แต่ว่าเขากลับใจสั่นหวิว  ภาพตรงหน้าพร่าเบลอ   จำได้ลางๆว่าพูดประโยคเดิมซ้ำออกไปอีกรอบ  ก่อนที่ทุกอย่างจะโคลงเคลงแล้วดับวูบ

            “เต/คุณเต!!” ชายหนุ่มสองคนร้องออกมาพร้อมกัน  รดิศไวกว่าเอื้อมไปรับตัวเอาไว้ได้ทันก่อนที่ร่างเล็กบางจะล้มฟาดพื้น

            ใบหน้าเรียวซีดไร้สีเลือด   เขาจับปลายคางสั่นเบาๆ

            “เต   ตั้งเต....คุณไปหาผ้าเย็นๆมาหน่อย  คงเป็นลม”   เงยหน้าขึ้นบอกอีกคนในห้อง แล้วออกแรงอุ้มร่างของนักเขียนหนุ่มขึ้นไปวางบนเตียง  เอือมมือไปปลดตะขอกางเกงให้

            “นั่นคุณจะทำอะไร”  ภาคย์กลับมาพร้อมผ้าเย็นในมือ ถามเสียงเข้ม  จ้องไปที่มือของเขาที่ค้างอยู่ที่เข็มขัดของคนบนเตียงเขม็ง

            “ผมจะช่วยคลายกางเกงไง    มียาดมมั้ย”  ถามเสียงห้วนๆ  อีกฝ่ายบอกไม่มี  เขาก็เดินไปด้อมๆมองๆที่กระเป๋าเดินทาง   เดาได้ไม่ยากว่าใบไหนเป็นของเต  ถือวิสาสะรูดซิปเปิดออก

            “เห้ย  นั่นคุณรื้ออะไร”  ภาคย์อุทานซ้ำ  แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ  ล้วงมือเข้าไปครู่หนึ่งก็หยิบเอาตลับยาหม่องเล็กๆออกมาจากกระเป๋าใบนั้น

            คุณหมอหนุ่มเดินกลับมา ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงข้างตัวของคนเป็นลม  เปิดตลับยาหม่อง  ล้วงขึ้นมาป้ายที่ใต้จมูกของอีกฝ่ายง่ายๆ   จากนั้นรับผ้าเย็นมาซับใบหน้าและซอกคอให้ด้วยท่าทางนิ่มนวลเกินกว่าที่จะเชื่อว่าผู้ชายหน้าคมดุจะสามารถทำได้ถึงเพียงนี้

            ภาคย์อึ้งไป   เขาจับตามองอีกฝ่ายไม่กระพริบ  นึกแปลกใจที่ฝ่ายนั้นดูคุ้นเคยกับการช่วยอะไรแบบนี้เสียเหลือเกิน....แต่ก็นะ  เขาเป็นหมอนี่  ก็ต้องเคยคุ้นกับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสิ  แต่ว่า  เค้ารู้ได้อย่างไรว่ากระเป๋าของติณธรมียาหม่องอยู่ด้วย?

            พอหายตกใจ  ความโกรธก็กลับคืนมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับความสงสัย

            ท่าทีของคุณหมอคนนี้ ไม่เหมือนกับตอนที่เจอที่โรงพยาบาลเลยสักนิด   สายตาห่วงใยที่เฝ้าจับไปที่ใบหน้าของลูกน้องของเขา  มันไม่ใช่แค่คนที่รู้จักกันอย่างผิวเผินเลย   ยิ่งภาพที่ทั้งสองคนนัวเนียใกล้ชิดกันเมื่อครู่นี่ที่ทำให้เขาโกรธจนขาดสติอีกล่ะ

            คุณหมอคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับลูกน้องของเขากันแน่

            ............................................................................................


มาต่อจนจบตอนแล้วค่ะ   ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
ฝากแนะนำติชมด้วยนะคะ จะนำไปปรับปรุงแก้ไขค่ะ


 
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หึง] ตอนที่6 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 22-01-2017 22:14:47
ขอบคุณค่ะ  ติดตามนะจ๊ะ 
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หึง] ตอนที่6 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: godofhill ที่ 22-01-2017 22:32:36
คุณหัวหน้าภาคย์นี่รู้สึกเกาะแกะ ตั้งเต มากอ่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หึง] ตอนที่6 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ketekitty ที่ 22-01-2017 23:18:17
ซับซ้อน น่าติดตามมากค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หึง] ตอนที่6 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 23-01-2017 08:28:47
ตั้งเต ช่วงนี้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เป็นลมบ่อยมาก
สงสารเต .....


ปล.ฉันอยากรู้ความจริง อะไรมันเป็นยังไง
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง] ตอนที่7 23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 23-01-2017 23:36:44
เพราะหัวใจบอกว่า...หวง

 

 

 

 

            “อย่า!!   อย่าทำพี่ดิมนะ  หยุดนะ  หยุดสิโว้ย!”

          เขาได้ยินเสียงคุ้นหูดังแว่วๆอยู่ข้างสนามฟุตบอล ขณะที่กำลังตะลุมบอนกันอยู่อย่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  เหตุเกิดจากการที่นักกีฬาทั้งสองฝั่งเกิดไปต้องตาต้องใจเชียร์ลีดเดอร์สาวสวยคนเดียวกัน  พูดจาหยอกล้อแซวกันไปแซวกันมา เกิดไม่ถูกหูกันเข้า  ก็เลยเกิดการปรับทัศนคติแบบลูกผู้ชายขึ้น

          ส่วนเขาผู้มิรู้อิโหน่อิเหน่ใดๆ เพียงแต่ร่วมซ้อมฟุตบอลอยู่ด้วยเท่านั้น กลับโดนลากเข้าไปในวงวิวาทครั้งนี้ด้วย  ได้แต่ยกมือยกเข่าขึ้นป้องกันตัว  พยายามหาทางหลบออกมาจากกลางวง

          ชะเง้อคอมองหาต้นเสียง ก็เห็นร่างเล็กบางของคนรักกำลังตรงเข้ามาร่วมวงด้วย

          “เตอย่าเข้ามา   รออยู่ตรงนั้นแหละ”  ตะโกนบอก แล้วก็หันไปรับหมัดจากฝ่ายอริอีกคนที่ตัวใหญ่กว่า   เห็นใครบางคนโผล่แวบมาข้างหลังท่ามกลางความชุลมุน  เงื้อมือขึ้นสูง  เขาพยายามจะเอี้ยวตัวหลบทว่าไม่ทันแล้ว

          โผละ!

          ร่างสูงใหญ่ของคนที่กำลังจะฟาดกำปั้นใส่เขา ล้มลงไปกองที่พื้นด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มหัวหยิกที่ถือรองเท้าผ้าใบในมือ  เตกระโจนตามเข้าไปขึ้นคร่อม  ยกรองเท้าในมือตบเข้าที่ใบหน้าและลำตัวของอีกฝ่ายไม่ยั้ง

          “นี่แน่ะ  จะต่อยพี่เดิมรอะ  หนอยแน่ะมึง”

          ทั้งเขาและคนที่กำลังสู้กันนัวต่างหันไปมองร่างเล็กอย่างอึ้งๆ  นึกสยองขึ้นมาแทนคนที่กำลังถูกเต ‘ยำ’  ไม่นึกว่าตัวแค่นี้จะสามารถปราบคนตัวใหญ่กว่าเกือบเท่าตัวลงไปนอนที่พื้นแบบหมดทางสู้ได้แต่ปัดป้อง

          “โหดฉิบ”  คู่ต่อสู้ของเขาครางแล้วผละออกไป  ได้ยินเสียงนกหวีดดังแว่วเข้ามา เป็นสัญญาณว่า ถึงเวลาตัวใครตัวมันแล้ว         

รดิศรีบกระโจนเข้าไปลากข้อมือของร่างเล็กบางที่กำลังเมามันนั้นให้ผละออกมา  ดึงให้ออกแรงวิ่งไปยังอีกทางหนึ่งของสนามฟุตบอล   ทุกคนที่ร่วมวงกันเมื่อสักครู่ต่างแยกย้ายสลายตัวกันอย่างรวดเร็ว รู้งาน

พวกเขาวิ่งออกมาจากสนาม  ดิมฉุดข้อมือให้วิ่งต่อออกมาจากจนเกือบถึงถนนใหญ่

“โอย  พี่ดิม พอก่อน  เตเจ็บเท้า”

เด็กหนุ่มร้องโอยครวญ  ฉุดมือเขาเอาไว้หอบแฮก   ดิมนึกขึ้นได้ หันกลับมามองก็เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสภาพเท้าเปล่าหนึ่งข้าง  เพราะรองเท้าได้กลายเป็นอาวุธไปเสียแล้วเมื่อครู่

“แล้วก็ไม่รีบบอก  เอ้า ขึ้นหลัง”

“ห้ะ  อะไรนะ”  เด็กหนุ่มร้องอย่างตกใจ   เขาไม่พูดซ้ำ หักหลังย่อตัวลง

“เร็วๆสิ  เดี๋ยวอาจารย์ก็ตามมาทันหรอก”  เขาร้องเร่งอีกที  ตั้งเตจึงรีบเข้ามาเกาะหลังเขาเอาไว้  ออกแรงดันตัวขึ้น แล้วก็แบกเด็กหนุ่มออกวิ่งต่อ

เตกระชับวงแขนที่โอบรัดรอบลำคอของเขาแน่นเข้า  คงจะกลัวตก

“บอกแล้วว่าวันนี้อย่ามาซ้อมๆ ก็ไม่เชื่อ”  คนที่เกาะอยู่บนหลังพูดกรอกอยู่ข้างหูดังๆ

“ก็นายมาซ้อม พี่ก็อยากมาซ้อมด้วยน่ะสิ” เขาหมายถึงอีกฝ่ายที่ได้เป็นผู้นำเชียร์ของคณะและมีซ้อมวันนี้ เช่นเดียวกับเขาที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะ

“ก็วันนี้มีลีดมาซ้อมด้วยไง  มันก็ตีกันทุกทีล่ะ”

“แล้วนี่นายซ้อมเสร็จแล้วเหรอ”

“ยังหรอก  พอเห็นท่าไม่ดีก็เลยเลิกซ้อมกันไปก่อน  เลยมาดูทางนี้กะแล้วว่าพี่ต้องร่วมวงด้วย”

“เออ  มันตกบันไดพลอยโจนนี่หว่า  ว่าแต่นายเถอะ บอกว่าให้รออยู่ข้างสนาม เข้ามาทำไม” เขาพูดเสียงเข้ม   พาเดินมาใกล้ถึงถนนใหญ่

“ก็เห็นพี่โดนรุมอ่ะ    ผมเลยทนไม่ไหว”  ตั้งเตพูดแกมหัวเราะ  กระชับแขนแน่นเข้ามาอีก  คนฟังรู้สึกหัวใจพองโต เรียกว่าแทบจะลืมความเจ็บปวดที่ถูกชกได้เป็นปลิดทิ้ง

“พอแล้ว  เดี๋ยวผมเดินเองได้แล้วล่ะ”

“เดินยังไงมีรองเท้าข้างเดียวเนี่ยนะ  ให้พี่ไปส่งที่หอเถอะ”

“ฮื้อ  ถึงถนนใหญ่แล้ว  ให้ผมขี่หลังแบบนี้  ไม่หนักเหรอ”

“โธ่  ตัวกระเปี๊ยกเดียวจะไปหนักอะไร”  เขาพูดตามที่คิด  ความจริงต่อให้แบกไปจนสุดเขตแดนสยามก็ยังไหว ขอแค่คนขี่เป็นเด็กผู้ชายหน้าหวานผมหยิกคนนี้เท่านั้น

“งั้นก็แบกไปส่งให้ถึงที่เลยนะ  ห้ามบ่น  ห้ามทิ้งไว้กลางทางด้วย”

“น่ารักแบบนี้  ทิ้งก็โง่แล้ว”  เขาพึมพำกับตัวเอง  ประทับใจน้ำใจของอีกฝ่ายที่ตรงเข้ามาช่วยเขาแบบไม่ลังเล  ไม่สนใจขนาดตัว ไม่กลัวว่าตัวเองจะต้องเจ็บตัวไปด้วยเลยสักนิด

....จะหาแบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะ….

เดินมาจนถึงหน้าหอของติณธร    เขาย่อตัวลงให้อีกฝ่ายลงยืนที่พื้น   เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วนิ่งไปนิด  ยกมือขึ้นแตะที่โหนกแก้มของเขาเบาๆ

ความรู้สึกเจ็บแปลบทำให้เขาสะดุ้งเบือนหน้าหนี

“เจ็บเหรอ   ช้ำเลยอ่ะ  พรุ่งนี้ต้องม่วงแหงๆ  แตกด้วยแฮะ  จะเป็นรอยแผลเป็นมั้ยเนี่ยคุณหมอ  เดี๋ยวหมดหล่อล่ะแย่เลย”

“ถ้าพี่หมดหล่อแล้วเตยังจะรักพี่มั้ย”  เขาถาม  จับมือของฝ่ายนั้นเอาไว้มั่น

“รักมากกว่าเดิมสิบเท่าเลยล่ะ  ดีเสียอีก ได้ไม่ต้องมีใครๆมาสนใจพี่ดิมของผมด้วย” พูดตวัดเสียงด้วยท่าทางน่ารักจนเขาอยากจะตวัดเอาร่างของฝ่ายนั้นมากอดเอาไว้แนบอก  แต่ก็ยั้งใจไว้

 “โห  จะดีใจดีไหมเนี่ย”

“ทำไมล่ะ  ต้องดีใจสิ   ผมหวงพี่มากนะ ใครกล้ามาแหยม ผมจะ ..ฉึบๆ”  ตั้งเตกำหมัดแล้วต่อยวื้ดๆในอากาศ ราวกับเล็งเป้าหมายเอาไว้

คนฟังหัวเราะ  จับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ทั้งสองข้าง

“โอ๊ย  แค่เขาเห็นฝีมือนายกระโดดคร่อมวันนี้เค้าก็กลัวกันกระเจิงแล้ว  ไม่กล้ามาแหยมด้วยหรอก  คนอะไร ตัวนิดเดียวโหดจริงๆ” 

“หึๆ  วันนี้แค่เบาะๆ  คนอื่นมาแหยมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นพี่ดิมเป็นฝ่ายวอแวเองล่ะก็....อย่าหาว่าไม่เตือนนะ”   พูดขู่เสียงเข้ม  ทำหน้าเคร่งขรึม แต่ดูอย่างไรก็น่าเอ็นดู  ไม่มีความน่ากลัวเลยสักนิด  ตรงข้ามกับฝีมือในการบู๊ที่ได้เห็นวันนี้เสียจริง

“กลัวแล้วจ้ะ  แค่นี้พี่ก็กลัวตั้งเตจะแย่อยู่แล้ว  วันก่อนรันยังทักพี่เลยว่า  มากินข้าวแค่นี้ ต้องโทรรายงานน้องเตก่อนด้วยเหรอ  ฮ่าๆ”

“จริงๆผมก็ไม่ได้จะให้พี่รายงานตัวตลอด 24 ชั่วโมงเสียหน่อย  แค่เป็นห่วงเฉยๆ กลัวพี่เอาแต่เรียน ไม่ยอมกินข้าว”  เด็กหนุ่มพูด  หน้าตาจริงจัง  แล้วก็ก้มลงเปิดหาของในกระเป๋าที่สะพายไหล่ของตัวเอง

“รอเดี๋ยวนะพี่ดิม ผมมียา เอาไปทาก่อนจะได้ไม่บวมมาก”  ขมวดคิ้วรูดซิปเปิดหาในกระเป๋าวุ่นวายจนเขาต้องจับมือเอาไว้

“ไม่เป็นไร  พี่จะกลับแล้ว  เดี๋ยวจะไปหายาทาเอง”

“เหอะ  พี่น่ะเหรอจะไปหายาทาเอง  ไม่มีทาง ผมรู้นิสัยพี่หรอก เดี๋ยวกลับไปพี่ก็อาบน้ำนอนแล้ว   เรียนหมอมาแทบตายไม่ได้ใช้เลย    อ้อ นี่ไง”  เด็กหนุ่มล้วงเอาตลับยาอันเล็กๆขึ้นมาจากซอกกระเป๋า  ส่งให้เขา

นักศึกษาแพทย์ก้มลงอ่านฉลากดังๆ

“ยาหม่อง?  โธ่เต  นึกว่าอะไร  ที่แท้ก็ยาหม่องนี่เอง  เอากลับไปเถอะ เดี๋ยวพี่ไปหาน้ำแข็งมาประคบเอง  เดี๋ยวก็หาย”

“โธ่  ดูถูก  ยาหม่องนี่แหละ  สารพัดประโยชน์นะ ผม พกติดตัวตลอด แก้ได้ตั้งแต่แมลงสัตว์กัดต่อยไปจนถึงฟกช้ำดำเขียว เอาไว้ดมชื่นใจก็ได้  นี่ไง  นี่แน่ะ”  เตควักยาขึ้นมาป้ายจมูกของเขา  กลิ่นหอมเอียนๆทำให้เขาเบือนหน้าหลบ

“ก็ได้ๆ  เอ้า ทาก็ทา  พอแล้วอย่ามาป้ายจมูกพี่อีก มันเหม็น”   เขาเอียงหน้าให้อีกฝ่ายทายาให้บางๆ  ตั้งเตบรรจงแตะยาหนืดๆเหนียวๆให้ที่โหนกแก้มของเขาอย่างเบามือ

เสร็จแล้วก็เป่าลมใส่แรงๆ

“ฟู่ๆ  หายแล้ว เพี้ยง”  หัวเราะชอบอกชอบใจ   เขาเหล่ตาดูอย่างหมั่นเขี้ยว  ชักรู้สึกว่ากำลังโดนหลอกเล่นอยู่อย่างไรชอบกล

“เป็นอะไร  ยังเจ็บอยู่เหรอ  เดี๋ยวก็หายนะ”  คนทาให้ยังหัวเราะไม่หยุด

เขาเหลียวซ้ายมองขวา เห็นจังหวะปลอดคนก็เอื้อมมือไปรั้งเอวของคนที่ยืนตรงหน้าเข้ามาชิด แล้วกดปลายจมูกลงไปบนแก้มนวลเนียนของฝ่ายนั้น สูดหายใจเข้าปอดฟอดใหญ่

“ชื่นใจที่สุด....หายเจ็บแล้ว”

“บ้า”  คนถูกขโมยหอมแก้มร้องออกมาคำเดียว ก็หันหลังวิ่งเข้าไปภายในหอพัก  เขาหัวเราะลั่น  ทันเห็นใบหน้าซับสีเลือดนั้นแวบเดียวก่อนจะลับหายเข้าไปภายในอาคาร

รู้สึกถึงของแข็งในมือ  ก้มลงดูพบว่าตลับยาหม่องอันเล็กนั่นยังคงอยู่ที่เขา   แต่เจ้าของหายลับไปแล้ว  คงลืมเสียสนิท

โคลงศีรษะนิดๆ อดยิ้มกว้างไม่ได้  เขาเปิดตลับออกดมๆดูอีกรอบแล้วย่นจมูก

“เหม็นขนาดนี้ ใครจะไปยอมทากันล่ะ”  ถ้าไม่ใช่เจ้าของมือนุ่มๆหอมๆนั่นล่ะก็   ไอ้ยาหนืดๆนี่ไม่มีวันได้สัมผัสผิวหน้าของเขาหรอก



****************



ศัลยแพทย์หนุ่มพลิกตลับยาหม่องในมือเล่น   ลูบคลำไปตามฝาโค้งมนของมันอย่างใจลอยเหมือนตกอยู่ในห้วงคำนึงที่ห่างจากปัจจุบันไปไกลแสนไกล  ไม่รับรู้ภาพคู่สนทนาที่กำลังจับจ้องอยู่อย่างพินิจพิเคราะห์

จนกระทั่งภาคย์ทนไม่ไหว ตัดสินใจถามซ้ำอีกครั้ง  ปลุกอีกฝ่ายให้กลับมายังปัจจุบัน  ที่พวกเขาสองคนกำลังยืนคุย ‘ตัวต่อตัว’ กันอยู่ที่ริมระเบียงห้องพักแห่งนั้น โดยมีร่างของตั้งเตนอนพักอยู่ในห้องด้านใน

“คุณหมอ...คงจะเคยรู้จักคุณเตมาก่อน”  ถึงจะอยากถามตรงๆมากแค่ไหน  แต่ว่าความเกรงใจในอาชีพและท่าทางถือตัวของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาต้องยั้งตัวเองเอาไว้  เลี่ยงไปถามเรื่องอื่นก่อนแทน   คนฟังเลิกคิ้วเข้มขึ้นนิดๆ

“ครับ  เราเคยพบกันมาแล้ว”  ตอบสั้นๆไว้เชิง  ทั้งที่ความจริงเขารู้สึกเสียหน้ามากที่ถูกอีกฝ่ายพบเข้าขณะที่กำลัง ‘เผลอ’ นัวเนียกับคนในห้อง   ใช่แล้ว  เขาใช้คำว่า เผลอ  เพราะมันเกิดจากความพลาดพลั้งเผลอไปชั่วครู่  หาได้เกิดจากความรู้สึกข้างในจิตใจไม่ 

ก็แค่สันดานผู้ชาย  เวลาถูกกระตุ้นเข้าหน่อย  มันก็อด....ไม่ได้  ก็เท่านั้น   คุณหมอหนุ่มคิดในใจ  แต่ก็อดหมั่นไส้ท่าทางเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของไอ้หมอนี่ไม่ได้ 

ทำตัวราวกับจะมาสืบสวนเขา ทั้งที่ตัวเองก็ผิดเต็มประตู   พา ‘สามี’ ของผู้หญิงคนหนึ่งมาพักค้างคืนกันสองต่อสอง   เหอะ....คิดว่าฉันไม่รู้ทันงั้นหรือ

“คงเป็นตอนที่คุณให้สัมภาษณ์กับนิตยสารของเราสินะครับ ....อ้อ แล้วนี่คุณหมอมาพักกับใครหรือครับ”  ภาคย์พยายามตะล่อมถามอีกฝ่ายอย่างใจเย็น   ตอนนี้ความโกรธของเขามันลดระดับลงมามากแล้ว  เหลือแต่เพียงความสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งสองเท่านั้น

และถ้าจำไม่ผิด   คุณหมอคนนี้มีแฟนอยู่แล้วด้วย...คุณหมอเด็กคนนั้นไง  หรือว่าไม่ใช่?

“ผมมากับหมอรันครับ   มาพักผ่อนสุดสัปดาห์  คุณก็คงเหมือนกันสิน่ะฮะ”  ย้อนถามอีกฝ่ายกลับยิ้มๆ

“ผมมาทำงานครับ  ประชุมนานาชาติเรื่องสื่อสิ่งพิมพ์  สามวัน  เอ  คุณเตไม่ได้เล่าให้คุณฟังเหรอครับ  ว่าเค้ามาเป็นล่ามให้ผมในงานนี้”  ภาคย์ถามกลับ   

ทำเอาคุณหมอหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ก็เก็บเอาการเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน

“อ้อ  เตเก่งเรื่องภาษามากครับ  คุณภาคย์คงจะไม่ผิดหวัง”

“ครับ  ผมถึงได้พาเขาไปด้วยเสมอเวลามีงานหรือต้องพบปะลูกค้า  เค้าช่วยผมได้มากทีเดียว   ไม่ทราบว่าคุณหมอรู้จักคุณเตมานานเท่าไหร่แล้วหรือครับ”

“ก็เกือบสิบ....สองอาทิตย์ครับ”   รดิศชะงัก  เปลี่ยนคำตอบทันควัน

“ผมรู้จักคุณเตมาเกือบสองปี   ตั้งแต่ผมมารับช่วงต่อจากคุณพ่อดูเรื่องสำนักพิมพ์  ก็เลยสนิทกับคุณเตไปด้วย  เขาเป็นคอลัมนิสต์ที่อนาคตไกลมากนะฮะ”  คนฟังพยักหน้ารับเนิบๆ

ภาคย์ลอบถอนหายใจอย่างหนักอก  อีกฝ่ายบอกว่าเพิ่งรู้จักได้สองอาทิตย์เท่านั้น   ทว่าทำไมถึงได้เข้ามาใกล้ชิดกับลูกน้องของเขาได้ถึงเพียงนี้  ขนาดที่ว่าติณธรเปิดประตูยอมให้เข้ามาในห้องพักงั้นหรือ

ท่าทางของอีกฝ่ายไม่บอกว่าจู่โจมบุกรุกเข้ามาเองแน่ๆ  ถ้าเป็นอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ต้องขัดขืนหรือดิ้นรนอะไรบ้างสิ  ไม่ใช่ยินยอมพร้อมใจ  แถมยังห้ามไม่ให้เขาจัดการไอ้คุณหมอหน้าหยกนี่อีก

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม  หรือว่าช่วงสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เขาพลาดอะไรไป   แล้วคุณหมอวิรัลที่เป็นคนรักของคนตรงหน้านี้อีกล่ะ

โอ  ทำไมมันช่างซับซ้อนเช่นนี้

“ขอโทษนะคุณหมอ  ผมคงต้องถามตรงๆแล้วล่ะ  คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเตไม่ทราบ”   เขาตัดสินใจดับเครื่องชน   ถ้าอีกฝ่ายยังมีความเป็นสุภาพบุรุษพอ ก็ควรจะตอบตรงๆ

“ผมคงต้องถามคุณก่อนว่าคุณเป็นอะไรกับคุณติณธร”  คุณหมอย้อนถามกลับ

“ผม...ก็เป็นเจ้านายของคุณเตไงล่ะ”  เขารีบตอบป้องกันตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรจะต้องตอบคุณ  เพราะเจ้านายอย่างคุณคงไม่ต้องรู้เรื่องส่วนตัวของลูกน้องทุกเรื่องกระมังครับ  นอกเสียจากว่า คุณเป็นมากกว่านั้น...” ทอดเสียงอ่อนราวกับจะเยาะ  คุณหมอหนุ่มยิ้มมุมปาก  เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งอึ้ง

          ภาคย์หันออกไปมองด้านนอกระเบียง  ครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง   ถ้าเขาคาดคั้นอีกฝ่ายมากกว่านี้ ก็เท่ากับว่ายอมรับว่าคิดอะไรกับผู้ชายคนนั้นมากกว่าสถานะ เจ้านาย-ลูกน้อง ดังที่อีกฝ่ายชิงดักคอเอาไว้ตั้งแต่แรก  แต่ถ้าจะไม่ถาม  มันก็จะยิ่งกลายเป็นเสี้ยนคาอยู่ในใจ ....เจ็บใจนัก

          ศัลยแพทย์หนุ่มลอบยิ้มมุมปาก    เคาะตลับยาหม่องลงบนราวระเบียงเบาๆ เกิดเป็นเสียงขึ้น ดังเป็นจังหวะ   เห็นอีกฝ่ายเงียบ  ไม่พูดอะไรอีกก็ขยับตัว   

            “คิดว่าเตคงจะฟื้นแล้ว  เข้าไปดูเสียหน่อยไหมครับ”  กึ่งถามกึ่งชวน แล้วเจ้าตัวก็เปิดประตูกระจกกลับเข้าไปภายในห้อง

            คนบนเตียงยังนอนนิ่งสนิท  รดิศเม้มปากนิดหนึ่ง   เดินตรงเข้าไป ยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของเค้าเบาๆ  สังเกตเห็นปลายขนตายาวงอนที่หลับพริ้มขยับนิดหนึ่งก็คลายใจ

            ....หลับเอาเชิงล่ะสิ   น่าจะฟื้นตั้งนานแล้ว  คงจะนอนฟังอยู่ล่ะสิท่า  ว่าแล้วเชียว....

            “เดี๋ยวสักพักก็คงตื่น  ไม่เป็นอะไรหรอกครับ  ผมคงต้องขอตัวก่อน”  พูดเรียบๆ  พลางหันไปก้มหัวให้ร่างสูงที่เดินมาหยุดยืนด้านหลัง 

            ภาคย์พยักหน้ารับ  เขาเดินตามไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตู

            “เดี๋ยวก่อน คุณหมอ”  เรียกเอาไว้  นิ่งไปครู่  คนฟังหยุดรอ เลิกคิ้วน้อยๆ  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง

            “ผม...จะไม่ยอมให้ใครมาทำให้คุณเตเสียใจหรอกนะ    ผมจะปกป้องเค้าเอาไว้ทุกวิถีทาง  ฉะนั้น  ถ้าคุณคิดจะ  ‘เล่นๆ’ กับคุณเต  ผมจะไม่ยอมเป็นอันขาด”  ชายหนุ่มพูดเสียงเข้ม  ดวงตาบอกชัดว่าจริงจังในทุกคำที่พูดออกไป

            “ผู้ชายคนนั้นเค้ามีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ”  คำพูดที่เหมือนปรารภกับตัวเองของอีกฝ่าย ทำให้ภาคย์นึกโกรธขึ้นมาวูบ

            “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง   คุณดูถูกคุณเตหรือ”  คนฟังยักไหล่ ท่าทางกวนประสาทจนเขาเผลอกำหมัดแน่น

          “ผมจะเตือนคุณหมอเอาไว้นะ  ว่าคุณเตมีลูกภรรยาแล้ว  อย่ามายุ่งกับเค้าอีก  ถ้าไม่อยากมีปัญหา”  พูดห้วนๆ นึกอยากชกหน้าของไอ้หมอนี่ขึ้นมาเต็มแก่

           รดิศยิ้มพราย

            “ผมว่าคุณเก็บประโยคนี้เอาไว้เตือนใจตัวเองดีกว่านะครับ   เพราะผมคงจะไม่มา ‘ยุ่ง’ กับเค้าแล้วล่ะ  นอกเสียจากว่า....เค้าเต็มใจมาเอง”

            ยิ้มมุมปากให้อีกฝ่ายนิดหนึ่ง แล้วก็หันหลังเดินผละจากไป

            ภาคย์มองตามหลัง  รู้สึกถึงไฟแห่งโทสะที่พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง เพราะนัยที่อีกฝ่ายตอบกลับมา มันหมายความว่า อีกฝ่ายก็รู้ทันเขาไม่แพ้กัน   เผลอๆอาจจะเดาได้ด้วยซ้ำ ถึงเจตนาที่หาเรื่องพาติณธรมาถึงที่นี่  นอกจากนั้นยังตอกกลับอย่างนุ่มนวลปนกับความเย้ยหยันว่าเค้าเต็มใจมาหาเอง  ไม่เหมือนเขาที่ต้องหาอุบายมา

            โธ่เว้ย  มันไม่จบง่ายๆแบบนี้แน่ ไอ้หมอหน้าหล่อ  ลงหยามกันถึงขนาดนี้แล้วล่ะก็

            ....................................................

มาต่อนะคะขอบคุณมากที่กดเข้ามาอ่านค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง] ตอนที่7 22/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 23-01-2017 23:59:10
อะไรกันๆ จะจีบน้องเตจริงๆรึคุณภาคย์

เรื่องวุ่นๆต้องเกิดขึ้นแน่ๆ ทำใจไว้เลยน้องเต อิอิ

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง] ตอนที่7 23/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 24-01-2017 02:54:37
รวดเดียวเออ(แอบ)น่าติดตามดี อิอิ!! //ก็เข้าใจดิมนะ จบ+จากกันแบบนั้น กลับมาเจอแบบนี้อีกที โกรธโมโหแค้นอยากประชดอารมณ์มาเต็ม ไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง เพราะอะไรทำไมถึง...........??มันใช่หรอ?เป็นแบบนั้นหรอ?อย่างนั้นสินะ? อ่าาา **ความไม่เข้าใจนั้นเรารอดูไปด้วยกันค่ะหมอดิม** ว่ามันเพราะใครอะไรยังไงทั้งที่รักกันมากมายขนาดนั้น ยังทำได้ลง?? ดิมเพราะด้วยอยากรู้เหตุผลที่ยังคงอยู่ติดค้างในใจหรือป่าวถึงยังไม่ยอมตัดใจลืมได้สักที แต่มันก็หลายปีนะ ไม่ม้าง คงเพราะ :L1: แต่เตนั้นรู้เหตุผลดีแต่ก็ยังไม่ตัดใจ นั่นเพราะรักจริงๆ แต่ก็นะ โลกมันกลมเว้ยยย คิกๆ //งานนี้ งานหมั่นไส้ประชดงี่เง่าไม่ยอมเคลียร์มาเต็ม (มั้ง) 55555555 //แฟนเก่าก็ยังรัก แฟนใหม่ก็ไม่ยอมปล่อย ไหนจะคนมาจีบเพิ่มอีก เออเอาเข้าไป จับไปปล้ำเลยเหอะหมอดิม ปล้ำแล้วต้องเคลียร์ตัวเองนะเว้ย บอกเลยอีกนาน นี้มันเพิ่งเริ่มต้น 55555555 //เฮ้ยๆน่าติดตามค่ะ มาค่ะมาต่อ รอตอนต่อไป F5ๆ  :katai4: :katai2-1: //ใครๆ ใครบงการให้เตทำแบบนั้น เผยตัวออกมาซะ จับหั่นซะเลย ถึงอย่างนั้นเขารักกันจริงนะเออ มึงค่ะ เข้าใจป่ะ อินในบท 55555 //แต่ว่านะ จากจูบครั้งนี้ ดิมน่าจะเอะใจว่าทำไมเตถึงยอมแล้วยังปกป้องอีก ทั้งที่มีเมียมีลูกแล้ว รึว่าจะแอบรู้สึกเหมือนตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือยัง.....อย่าพยายามหลอกตัวเองเลยน๊า 555 พอคิดเอะใจแบบนี้ถ้ายังไม่แน่ใจ ลองลวนลามแอบๆ รอดูปฎิกิริยา อิอิ แล้วค่อยสืบหาต่อไป เออน่าคิดนะว่าม่ะดิม???? //แล้วก็นะ อะไรคือผู้แพ้ รัน หรือว่าเตไปได้ยินหรือใครมาพูดให้เข้าใจผิดแล้วเตลิดเลิกไปแบบนั้น โอ๊ยยยพอๆ รอค่อยๆเดาดีกว่า เดารวบรัด เพลีย 55555 รอไรท์มาต่อดีก่าเนาะ!!
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง]100% ตอนที่7 24/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 24-01-2017 19:59:40




            “ไปไหนมา   ทำไมหายไปนานจัง”

            รันทัก หลังจากคนรักหายตัวไป ‘เข้าห้องน้ำ’ เกือบชั่วโมง   เห็นใบหน้าคมเข้มดูเหนื่อยอ่อนกว่าปกติ   สายตาคมไวตามแบบฉบับของแพทย์ที่ฝึกฝนมาอย่างดีทำให้สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติได้ทันทีในแวบแรก

            “แขนไปโดนอะไรมาน่ะ   แดงเลย...เหมือนรอยอะไรข่วน”  ดิมเหลือบมองตามแล้วดึงแขนเสื้อลงมาปิด  ตอบเสียงปกติ

            “โดนหนามต้นไม้มันเกี่ยวเอา   ขอโทษทีพอดีผม...ท้องเสีย เลยกลับมาช้า”

            “อ้าว  แล้วเป็นยังไงบ้าง กินยาหรือยัง ท้องเสียแบบไหน  กี่รอบแล้ว...”

          “เดี๋ยวใจเย็นๆคุณหมอ  อย่าเพิ่งซักผม  หึๆ ผมกินยาแล้วเรียบร้อย  ไม่ต้องเป็นห่วง”

          “แล้วตอนนี้ยังปวดท้องอยู่ไหม  หน้าซีดจัง   รันว่าต้องเป็นเพราะอาหารทะเลเมื่อหัวค่ำแน่เลย  นั่งก่อน เดี๋ยวไปหาน้ำเกลือแร่มาให้ดีไหม”   คุณหมอเด็กกระวีกระวาดลุกขึ้น แต่ว่าเขายึดข้อมือเอาไว้

            “ไม่ต้องหรอก  โธ่  ผมไม่ใช่คนไข้เด็กของคุณนะ   ผมดูแลตัวเองได้น่า”  รดิศพูดแกมหัวเราะ แล้วฉุดข้อมือของอีกคนลงนั่งข้างตัว  เอื้อมมือไปหยิบกีต้าร์ขึ้นมาถือเอาไว้อีกครั้ง

            “มา  เมื่อกี้ติดเพลงไหนเอาไว้  มาร้องต่อดีกว่า” 

            คนพูดทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  แต่ทว่าหลังจากหยิบกีต้าร์ขึ้นมาถือเอาไว้  สายตาคู่นั้นก็กลับเลื่อยลอย คล้ายกับว่ากำลังระลึกถึงอะไรสักอย่างที่รันมั่นใจว่าไม่ใช่เนื้อเพลงแน่ๆ

            “ดิม....”   ทั้งเพื่อนสนิทและคนรักเรียกชื่อของเขาเบาๆ  คุณหมอหัวใจหันไปเลิกคิ้ว   ฝ่ายนั้นกลับถอนหายใจออกมา

            “รันง่วงแล้ว  เรากลับห้องกันเถอะนะ”

            กุมารแพทย์หนุ่มพูดเสียงเบา  แล้วลุกขึ้นยืน  ก้มลงเก็บรวบรวมข้าวของมาถือเอาไว้   รดิศมองตามอย่างไม่เข้าใจ  แต่ตอนนี้เขาก็ไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเข้าใจอะไรทั้งสิ้น

            ความรู้สึกนุ่มละมุน หอมหวานยังคงติดอยู่ในฆานประสาท  ชวนให้ถวิลหาแม้ว่าจะพยายามหักห้ามใจเพียงใดก็ตาม

            แค่เผลอคิดแวบเดียว  หัวใจก็กลับเต้นแรงขึ้นมาอีก

            ความคิดถึงใครคนหนึ่งมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจคนเรามากขนาดนี้เชียวหรือ   เป็นหมอผ่าตัดหัวใจมาเป็นร้อยดวง  แต่กลับไม่เคยรู้ทฤษฎีนี้มาก่อนเลย..

            ยกมือขึ้นลูบรอยเล็บแสบๆคันๆที่อีกฝ่ายฝากเอาไว้ให้ตอนที่เขากอดจูบจนขึ้นเป็นแนวยาวที่ท่อนเเขน  รู้สึกผิดที่ต้องโกหกแฟนว่าถูกต้นไม้เกี่ยวเอา   โชคดีรันดูเหมือนจะไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย   ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหาทางแก้ตัวไม่ถูกเหมือนกัน    หวังว่าเรื่องเมื่อครู่นี้จะไม่มีใครแพร่งพรายไปถึงหูรันหรอกนะ

            วิรัลลอบมองคนข้างๆที่เดินคู่มาเงียบๆ แล้วเม้มปาก....เมื่อกี้นี้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่   เขาไม่เชื่อหรอก ว่าอีกฝ่ายจะแค่ ท้องเสีย อย่างที่กล่าวอ้าง  รอยข่วนนั่นก็เหมือนกัน   ไม่ต้องให้หมอมาพิสูจน์บาดแผลก็ดูออกว่าหาใช่รอยต้นไม้เกี่ยวไม่

            รอยเล็บคนชัดๆ  แต่ประเด็นมันอยู่ที่…ใครกัน?

          อาการเหม่อลอยเหมือนคนตกอยู่ในภวังค์นั่นก็อีก  ดิมคิดเรื่องอะไรอยู่  แล้วเขาจะหาทางสืบรู้ความจริงได้อย่างไร...

           "ดิมอาบน้ำก่อนได้เลยนะ  รันขอนอนเล่นก่อน”   เขาแกล้งพูดเมื่อกลับถึงห้องพัก   แอบเห็นท่าทางพะว้าพะวังของอีกฝ่ายนิดหน่อย ตอนที่ออกจากลิฟต์   รดิศทำท่าเหมือนจะเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง  ดีที่เขาเรียกเอาไว้ทันจึงหันกลับมา   

          “ตกลงครับ”

            คำตอบห้วนๆสั้นๆนั่นก็อีก   ถ้าเป็นดิมคนเดิมจะต้องไม่ตอบแค่นี้แน่   เขาจะต้องเข้ามากอด หรือไม่ก็อุ้มพาเข้าไปอาบน้ำด้วยกัน  ไม่ใช่คว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็เดินใจลอยเข้าห้องน้ำไปแบบนี้

            สายตาเหลือบไปเห็นตลับกลมๆเล็กที่อีกฝ่ายวางทิ้งเอาไว้ข้างกระเป๋าเสื้อผ้า   ลุกขึ้นไปหยิบมาพิจารณาดูใกล้ๆ

            ยาหม่อง?   ดิมพกอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ

            หรือว่าเขาจะท้องเสียจริงๆจนจะเป็นลมในห้องน้ำ ก็เลยพกเอาไว้นะ...

            คนในห้องน้ำไม่รับรู้ถึงความว้าวุ่นใจของคนด้านนอกเลยแม้แต่น้อย   ตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ภาพเหตุการณ์เมื่อชั่วโมงก่อนที่เล่นซ้ำไปซ้ำมา   ใบหน้าเรียวหวานหลับตาพริ้มก่อนที่เขาจะจากมา....ไม่รู้ว่าป่านนี้จะฟื้นหรือยังนะ  แต่มีคนดูแลอย่างใกล้ชิดซะขนาดนั้น คงจะดีวันดีคืนล่ะสิไม่ว่า



            เขาไม่เชื่อหรอกว่า ความสัมพันธ์ของคนคู่นั้นจะเป็นแค่ เจ้านาย-ลูกน้อง อย่างที่บอกมา  ทำเป็นอ้างว่ามาทำงาน  เหอะ   เชื่อก็โง่แล้ว   เขาไม่ใช่เด็กอนุบาลสองนะ จะได้ดูไม่ออกว่าระหว่างคนมา ‘ทำงาน’ กับมา ‘ทำอย่างอื่น’  มันต่างกัน   อย่างน้อยท่าทางที่เห็นมันก็ชัดจนเกินพอ  แค่แกล้งสะกิดนิดหน่อย  นายภาคย์อะไรนั่นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คงโมโหที่ถูกจับไต๋ได้

            หึ  ตอนเที่ยงก็ทำงานเป็นล่าม  ตอนกลางคืนก็ทำงานเหมือนกัน แต่เป็นอย่างอื่น...

            ว่าแต่จะแก้ตัวกับ ‘เจ้านาย’ ว่าอย่างไรนะ

            ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก  ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจะคิดจนหัวแทบแตกเพื่อจะหาเหตุผลมาอธิบายอีกฝ่ายแน่ๆ  แล้วเหตุผลอะไรกันนะที่เตจะยกขึ้นมาอ้าง

            จะกล้าบอกว่าเขาเป็นแฟนเก่าไหม...ไม่น่าจะกล้าหรอก   ขนาดต่อหน้ายังทำเป็นเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนซะขนาดนี้  จู่ๆจะสารภาพ ก็คงไม่

            หรือว่าจะบอกว่าโดนเขาปล้ำบังคับ...คิดมาถึงตรงนี้ก็เผลอยิ้ม  ยังจำสัมผัสจากฝ่ามือนุ่มอุ่นที่แหวกเส้นผมที่ท้ายทอยของเขาได้   ขณะที่อีกมือหนึ่งก็เกร็งจิกที่ท่อนแขนของเขาเอาไว้อย่างวาบหวาม....

            ฝืนใจงั้นหรือ   ตอนแรกอาจจะใช่  แต่ตอนหลังนี่สิ  เรียกว่า ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก   ไหนจะอาการตอบรับรอยจูบของเขา   ราวกับย้อนเวลากลับไปเมื่อครั้งนั้นอีกครั้ง ...ลองบอกว่าถูกบังคับดูสิ   พ่อจะจับจูบโชว์ต่อหน้าไอ้ตี๋นั่นเลยล่ะ  จะได้รู้ไปชัดๆเลย

            คิดอย่างครึ้มใจได้ครู่เดียว แล้วก็ต้องดึงสติกลับมา

            ไม่ได้สิ  ทำอย่างนั้นไม่ได้   ถ้าเรื่องถึงหูรันเข้า  เขานี่แหละจะแย่เอา  เรามีแฟนอยู่แล้วนะ   ออกจะน่ารักแสนดีที่หนึ่ง  จะมัวไปใส่ใจกับ ‘ของเก่า’ ที่เขาโละแล้วทำไม  แถมยังเป็นเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรมแบบนั้น  แค่คิดเขาก็ขนลุกด้วยความรู้สึกขยะแขยง

          เขากระแทกขวดแชมพูลงกับขอบอ่างอาบน้ำแรงๆ  ...คนพรรค์นั้น เขาไม่กลับไปคิดให้เปลืองสมองหรอก

            ...

            “คุณเต...ดีขึ้นหรือยังครับ  ยังเวียนหัวอยู่ไหม”

          ชายหนุ่มลุกขึ้นมานั่งบนเตียง  ส่ายหน้าเบาๆ  รับผ้าจากเจ้านายมาซับใบหน้า   เหงื่อที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายแตกพลั่กเหมือนเขื่อนแตก

            ภาคย์ทรุดลงนั่งข้างๆตัวจนเตียงยวบ   ยกมือขึ้นมาอังที่หน้าผากของเขา  ติณธรเอียงหน้าหลบอย่างอัตโนมัติ

            “ผมดีขึ้นแล้วครับ   ไม่มีอะไร”  พูดจบก็เงียบไปอีก  ฝ่ายนั้นก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน  กลับนั่งจ้องหน้าเขาเฉยๆ

            รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที   ทำเป็นหันซ้ายขวาแต่ก็หลบไม่พ้นสายตาคมที่มองมาอย่างพิจารณาปนกับความครุ่นคิดสงสัย  และคำถาม...ที่เขาไม่อยากตอบ

            “คุณหมอรดิศกลับไปแล้วครับ...เห็นบอกว่าคุณหมอวิรัลรออยู่”   ภาคย์พูด   เห็นอีกฝ่ายสะดุ้งน้อยๆเมื่อได้ยินชื่อของผู้ชายคนนั้นก็เม้มปาก

            “ครับ”  เตตอบด้วยถ้อยคำที่ไม่มีความหมาย   ไม่ขยายความ   ไม่มีคำอธิบายใดๆหลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มเต็มที่บวมแดงคู่นั้น   

            และเขาก็ยังไม่กล้าพอที่จะถามละลาบละล้วง   ถึงจะอยากรู้แค่ไหนก็ตามเถอะ   แต่จะให้เขาทำยังไงล่ะ  ถามออกไปตรงๆเหมือนคนโง่งั้นหรือ

            ทางเดียวทีเหลืออยู่....ในเมื่อเตไม่เล่า   เขาก็คงต้องปล่อยไปก่อน  ยังมีเวลาเหลืออยู่สำหรับเขาแน่นอน  คุณหมอคนนั้นก็ยังมีคนรักอยู่ทั้งคน    คงไม่ง่ายที่จะมาแย่งชิงเอาหัวใจของคนตรงหน้าไปได้

            เว้นเสียแต่ว่า เค้าจะได้มันไปครองตั้งนานแล้ว

            “คุณเตรู้จักคุณหมอดิมมาก่อนหรือครับ”  กลั้นใจลองถามอ้อมๆ   อยากรู้ว่าจะตอบตรงกันไหม

            “ก็รู้จักตอนที่ไปสัมภาษณ์เค้าครับ”   เตตอบ  ไม่ยอมสบตาเขา 

            “เมื่อสองอาทิตย์ก่อน?”  ถามย้ำอีกทีเพื่อความแน่ใจ   ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ    ภาคย์นิ่งไปครู่ใหญ่   มองอีกฝ่ายที่นั่งก้มหน้ามองมือของตัวเอง    สายตาเศร้าสร้อย คล้ายกับคนที่กำลังระลึกถึงเรื่องที่เจ็บช้ำน้ำใจที่สุด ก็ทำให้เขารู้สึกสงสาร

            เอื้อมมือออกไปกุมมือที่เย็นชืดของฝ่ายนั้นเอาไว้  เตสะดุ้งจะดึงหนีแต่แล้วก็ยินยอมให้ตกอยู่ในอุ้งมือใหญ่ของเขา   บีบเอาไว้แน่นราวกับจะถ่ายทอดความอบอุ่นไปให้

            “คุณเต...มีอะไรอยากเล่าให้ผมฟังไหม”

            “..................”

            “คิดเสียว่าผมเป็นพี่ชายของคุณก็ได้”  ทอดเสียงนุ่ม 

            ติณธรนิ่งไปนานจนเขาเกือบถอดใจ  แต่แล้วน้ำตาหยดหนึ่งก็หยดลงมาบนหลังมือของเขา ก่อนจะตามมาด้วยหยดที่สอง สาม สี่...  ทว่าไม่มีเสียงสะอื้นหลุดออกมาสักนิดเดียว  ริมฝีปากคู่นั้นเม้มแน่นเหมือนพยายามจะกลั้นน้ำตาเอาไว้  แต่ก็ไม่สำเร็จ

            เขาจับมือของลูกน้องเอาไว้แน่น   ไม่ได้พูดคำใดออกไป   เพียงแต่นั่งมองอีกฝ่ายร้องไห้อยู่เงียบๆ  ลอบถอนหายใจอย่างสะท้อนสะท้าน     บอกตัวเองว่า เคยเห็นน้ำตาของใครต่อใครมาแล้วมากมาย แต่ไม่เคยมีใครทำให้เขา ‘รู้สึก’  ได้ถึงเพียงนี้เลย

            เตร้องไห้เหมือนคนที่กักเก็บน้ำตาเอาไว้มาเนิ่นนาน  ราวกับน้ำที่อยู่ในเขื่อนจนกระทั่งวันหนึ่งมันล้นทะลักออกมา   ความเศร้าเสียใจที่เขาเองก็ไม่เคยรู้ว่า ผู้ชายหน้าหวาน ยิ้มง่ายคนนี้จะเก็บอารมณ์อัดอั้นเอาไว้ขนาดนั้น จนเมื่อมันระเบิดออกมาต่อหน้าเขา

            ภาคย์กัดกรามแน่น   ความสะเทือนใจของอีกฝ่าย ทำให้เขา ‘สะเทือน’ ลึกเข้าไปถึงกลางใจ  รับเอาความเจ็บปวดเข้ามาในหัวใจของเขาด้วยอย่างไม่รู้ตัว   พร้อมๆกับความโกรธที่ทะลักท่วมขึ้นมาอีกครั้ง

            ใครกัน ใจร้ายพอที่จะทำร้ายหัวใจของคนๆนี้  ไอ้หมอหน้าเข้มคนนั้นใช่มั้ย    โอ...มันทำให้เตเสียใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ

            เขาดึงตัวของอีกคนเข้ามากอดเอาไว้   เตซุกหน้าลงกับหัวไหล่ของเขา   ตัวสั่นน้อยๆเหมือนหนาวจัด  เขายกมือขึ้นลูบหลังไหล่เบาๆ

            “ไม่เป็นไรนะ  ไม่เป็นไร”  พูดปลอบออกไป โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะอะไร    แต่ก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้ในตอนนี้

            ความรู้สึกที่สับสนมาตลอดว่า เขารู้สึกอย่างไรกับผู้ชายคนนี้กันแน่  เพิ่งจะมาแน่ชัดเอาในตอนนี้เอง   ตอนที่อีกฝ่ายซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา  ร้องไห้จนอกเสื้อของเขาเปียกด้วยหยาดน้ำตา  ความอบอุ่น ความเป็นห่วงกังวลไปสารพัดที่พุ่งขึ้นมาในหัวใจ    ทำให้เขารู้คำตอบแล้ว

            ทำไมถึงต้องคอยเฝ้าตามติดอีกฝ่าย  ทำไมต้องออกอุบายหาทางให้เขามาด้วย  ทำไมถึงอยากใกล้ชิดนัก   ไม่ใช่แค่ถูกชะตา  ไม่ใช่แค่ชอบ  มันยิ่งกว่านั้น   อ่อนหวานและลึกล้ำกว่านั้นมากนัก

            เป็นความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนจนบรรยายออกมาไม่ถูก  รู้แต่ว่าเขาไม่ต้องการให้คนๆนี้เป็นทุกข์เลยแม้แต่สักเสี้ยววินาทีเดียว   เขาต้องการปกป้องคนๆนี้จากทุกอย่าง   เก็บเอาไว้ใกล้หัวใจอย่างหวงแหนไม่ให้ใครหรืออะไรมาล่วงล้ำ

            มันคือความรู้สึกอะไร  ตอนนี้เขารู้แล้ว...

            ครู่ใหญ่ทีเดียว กว่าเตจะสงบลง   ดันตัวออกจากวงแขนของเขา ถอยกลับไปนั่งอยู่ที่เดิม   นัยน์ตาแดงก่ำบวมช้ำมองมาที่เขาบอกแววขอบคุณ

            “โอเคขึ้นไหม” 

            ฝ่ายนั้นพยักหน้ารับ   

            “ทีนี้จะเล่าได้หรือยัง  ว่ามันเกิดอะไรขึ้น...เขาทำอะไรคุณ”  เขาในที่นี้ หมายถึงคุณหมอหนุ่มคนนั้น   ดูเหมือนเตจะเข้าใจ เพราะใบหน้าที่แดงจากการร้องไห้ กลับมีสีเลือดซับขึ้นอีก

            “....................”  ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากนักเขียนหนุ่ม   คนเป็นห่วงถอนใจ   ลุกขึ้นยืนก้มหน้าลงมองนิ่งๆแล้ว พูดแกมหัวเราะ

            “วันนี้คุณอาจจะยังไม่ไว้ใจผมพอที่จะยอมเล่าอะไรๆให้ฟัง  แต่สักวันหนึ่ง  ผมเชื่อว่า...ผมจะมีวันนั้น  วันที่คุณจะไว้ใจผมมากที่สุด   เพียงแค่คนเดียว....”  ประโยคสุดท้ายเขาลดเสียงลงเหลือแค่พูดกับตัวเอง  ภาคย์ยิ้มให้ ยกมือขึ้นตบเบาๆที่หลังมือของตั้งเต  แล้วหันหลังเดินออกจากห้องพักไปแบบไม่เหลียวหลัง

            เตมองตาม  มือกำผ้าห่มแน่น    รอยสัมผัสที่ริมฝีปากและซอกคอยังร้อนผ่าวอยู่ในความรู้สึก  ทุกสีหน้าแววตาและการกระทำของคุณหมอคนนั้น   แค่คิดน้ำตาร้อนๆก็ไหลออกมาอีก   กลั้นเอาไว้เท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จ  เขากัดริมฝีปากด้านในของตัวเองจนรู้สึกถึงรสเลือด

เจ็บ...แต่ยังไม่เท่าที่เจ็บใจตัวเอง 

            ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงทำให้เขาอ่อนแอได้ถึงขนาดนี้   เวลาก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว  ทำไมความรู้สึกของเขาถึงดื้อด้าน ไม่ยอมเปลี่ยนเลย

            ทั้งที่เขามีพันธะ  มีทั้งลูกและภรรยาที่น่ารัก ถึงจะเพียงแค่ในนาม แต่เธอก็คือภรรยาในนามของเขา  คนที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะปกป้องและเลี้ยงดูไปตลอดชีวิต   นั่นคือสิ่งที่ตนตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกับเธอ

            จากนั้นเขาก็รักษาจิตใจของตัวเองให้มั่นคงมาตลอด ไม่หวั่นไหววอกแวกไปกับใครที่เข้ามา แม้แต่คุณภาคย์คนนั้น ซึ่งเขารู้ดีว่าฝ่ายนั้นต้องการอะไร  รู้สึกอย่างไร  ความอ่อนโยนและห่วงใยอย่างเสมอต้นเสมอปลายอาจจะทำให้เขารู้สึกดีด้วย แต่ก็เป็นคนละอย่างกับความรัก

            ความรักที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน   ความรักครั้งแรกของเขา   เริ่มต้นอย่างหอมหวานและจบลงอย่างข่มขื่น  ทิ้งแผลเป็นเอาไว้ในหัวใจของเขา 

            แผลที่เขาเฝ้าหลอกตัวเองมาหลายปีว่ามันสมานกันสนิทแทบไม่เหลือรอย     จนกระทั่งได้พบหน้าเค้าอีกครั้ง   และเกิดเหตุการณ์เมื่อสักครู่ขึ้น....ความใกล้ชิดที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกคุณหมอคนนั้นหยิบมีดมากรีดที่หัวใจ ซ้ำที่รอยเดิม เพื่อที่จะพบว่ามันยังไม่หายดี   และกลัดหนองเรื้อรังอยู่ข้างใต้มานานจนเป็นโพรงลึก

            แล้วนี่เขาจะทำอย่างไรดีกับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้น   ทำไมถึงต้องเป็นแบบนี้ด้วย   เค้าลืมเราไปหมดแล้วแท้ๆ   แต่เรากลับยังจำเค้าได้  ทุกคำพูด  ทุกอิริยาบถ  เจ็บใจนัก   เจ็บใจจริงๆ

            รอยจูบของเค้ายังให้ความรู้สึกหวิวหวามเหมือนเมื่อหลายปีก่อน  ทำให้ใจเต้นแรงและวูบโหวงในช่องท้อง  เหมือนมีผีเสื้อเป็นร้อยตัวกระพือปีกพร้อมๆกันในนั้น   และสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาด้วยก็คือความรู้สึกโหยหา

          คิดถึงเหลือเกิน  ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้....

            ชายหนุ่มสั่นหัวแรงๆ ...จะบ้าเหรอ เรื่องมันเกิดขึ้นและจบลงตั้งนานแล้ว   นึกถึงเรื่องปัจจุบันดีกว่า   ตอนนี้ผู้ชายคนนั้นคงจะเข้าใจว่าเขามีอะไรกับเจ้านายแน่ๆ   แววยิ้มเยาะในดวงตาคมเข้มคู่นั้นบอกชัด 

            เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด เพราะมันเสื่อมเสียมาถึงเจ้านาย และลูกภรรยาของเขาด้วย   ตั้งเตบอกตัวเอง  พยายามไม่สนใจเสียงเล็กๆในหัวใจที่กระซิบว่า

            ความจริงแล้วที่กลัวอีกฝ่ายเข้าใจผิด  เป็นเพราะยังมีเยื่อใยอยู่ตะหาก


            ..............................................................................................

มาต่อค่ะ  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามเรื่องนี้
เห็นเม้นท์เเล้วมีกำลังใจเขียนต่อมากเลย :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง]100% ตอนที่7 24/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 25-01-2017 00:00:15
อ่านจนถึงปัจจุบันแล้ว ติดตามตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง]100% ตอนที่7 24/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-01-2017 00:22:59
เตทนไม่ไหวแล้วสินะ ดีแล้วล่ะร้องไห้ออกมาบ้างมันช่วยได้  เป็นกำลังใจให้เต
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวง]100% ตอนที่7 24/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 25-01-2017 10:45:10
จะหลบเลี่ยงเสียงเรียกร้องในใจยังไงกันละทีนี้ ความคิดถึงและโหยหามันมีอานุภาพที่พร้อมจะระเบิดอยู่รอมร่อ 555 หลบหน้าหรือว่าประชด แต่ยังไงก็เถอะ พลังโหยหาของทั้งคู่มันมีเยอะ ดิมก็ตามวอแวเต เดี๋ยวก็ดอดไปหาเขาอี๊ก เตก็แบบแอบยอมๆไรงี้ ดีใจซะอีก 55 ว๊ายยยเอาเลยจ๊ะแอบนัวกันหลังฉาก 55555555555 จะเป็นยังไงต่อละนี้ รอๆตอนต่อไปค่ะ F5ๆ //แล้วเมื่อไหร่จะรู้ความจริงกันซะทีนะ ดิมอย่ามัวเล่น(กับใจ+ความรู้สึก)เยอะ พิสูจน์ใจอะไรสักอย่าง(ว่ายังมีเยื่อใย)แล้วตามหาความจริงบ้าง ไม่งั้นไม่รู้นะเออว่าทำไมอะไรยังไงถึงทำกับฉันด้ายยยย~~ 5555 สนุกค่ะสนุก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง] ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 25-01-2017 19:13:36
เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่จริง

 

 

 



 

 

            “อ้าว คุณเต มาพักผ่อนเหมือนกันหรือครับ”   กุมารแพทย์หนุ่มทักผู้ชายสองคนที่เดินคู่กันมาที่ลิฟต์อย่างแปลกใจ     ขณะที่กำลังรอลิฟต์เพื่อลงไปรับประทานอาหารเช้าที่บุฟเฟ่ต์โรงแรมด้านล่าง   

            เตสะดุ้ง  หันไปเจอคุณหมอเด็กยืนอยู่ข้างๆก็ยิ้มให้เจื่อนๆ  รีบตวัดสายตามองรอบๆทันที กลัวว่าจะเจอเข้ากับผู้ชายคนนั้น   ซึ่งเขายังไม่พร้อมที่จะพบหน้าตอนนี้   พอไม่เห็นคนหน้าเข้มก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก 

            “ครับ  สวัสดีครับหมอรัน”  ตอบไปสั้นๆ นึกอึดอัดขึ้นมาเต็มทน จึงแกล้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่น

            คุณหมอหนุ่มเม้มปาก  อาการเหลียวมองลอกแลกของอีกฝ่ายไม่สามารถลอดสายตาของเขาไปได้    พอหายตกใจ   หัวสมองก็เริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว  สังเกตเห็นอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาเหมือนไม่อยากคุยด้วย แต่ความข้องใจของเขามันมากเกินกว่าจะยอมปล่อยไปง่ายๆ  เขาจึงหันไปหาชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนนิ่งๆอยู่ข้างๆแทน  ส่งยิ้มให้

            “คุณภาคย์...ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งครับ”  ภาคย์ก้มศีรษะให้นิดหนึ่ง แต่ไม่ตอบ

“แล้วนี่น้องเต้มาด้วยหรือเปล่าครับ”  หันไปถามพ่อของเด็กเสียงซื่อไม่แพ้ใบหน้า   คนฟังอยากถอนหายใจอีกสักครั้ง...ถามเหมือนกันเลยนะ  มาแนวนี้อีกแล้ว

            “เต้ไม่ได้มาครับ  คราวนี้ผมมาทำงาน”  ติณธรเลือกตอบให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

            “อ้อ..ครับ”คุณหมอหนุ่มพยักหน้ารับเนิบๆ   ปรายตามองชายหนุ่มร่างสูงอีกครั้ง   เห็นฝ่ายนั้นขยับตัวอย่างอึดอัด   แล้วพูดเสริมมาว่า

            “งานประชุมสื่อสิงพิมพ์นานาชาติน่ะครับ  คุณเตมาเป็นล่ามส่วนตัวให้ผม”   ภาคย์ขยายความนิดหนึ่ง เพราะเห็นสายตาแปลกๆจากคุณหมอตัวเล็กแล้วเขารู้สึกไม่สบายใจชอบกล

            ลอบมองคนตัวเล็กข้างๆ ก็เห็นดวงตาที่ยังมีความบวมช้ำเหลืออยู่ให้เห็นบ้างหลบมองไปทางอื่น ไม่ยอมสบตาใครเลย   ท่าทางเตเหมือนอยากหนีไปจากตรงนี้เต็มทน    เป็นเพราะอะไรกันนะ   เพราะว่าคุณหมอเด็กคนนี้เป็นคนรักของไอ้หมอนั่นหรือ?

            ครุ่นคิดอยู่ครู่  ชายหนุ่มก็เปลี่ยนท่าที  หันไปชวนคุณหมอคุยอย่างเป็นกันเอง

            “แล้วคุณหมอมากับใครเหรอครับ  กับครอบครัวกระมัง”  ถามยิ้มๆ   ฝ่ายนั้นก็ส่งยิ้มตอบกลับมาอย่างเต็มอกเต็มใจราวกับรอจังหวะอยู่แล้ว

            “มากับหมอดิมครับ   นานๆทีจะว่างตรงกันทั้งสองคน ก็เลยถือโอกาสมาพักผ่อนเสียหน่อย”

          “อ้อ   เรียกว่ามาเติมความหวานใช่ไหมครับ”  พูดเย้าไป   คนฟังหัวเราะ  หน้าแดงขึ้นมานิดหนึ่ง

            “ก็ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

          “แล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีล่ะครับ”   ภาคย์แกล้งถามต่อ ไม่รู้ไม่ชี้   หางตาเห็นคนข้างๆหน้าเผือดซีดลงทันควัน    ตรงข้ามกับคนถูกถามที่หัวเราะออกมาอย่างเขินอาย 

            “ที่คุยๆกันก็หน้าจะไม่เกินสิ้นปีนี้ครับ  รอฤกษ์และก็ให้เคลียร์งานกันเรียบร้อยลงตัวก่อน  นี่ผมถือโอกาสนี้ชวนคุณล่วงหน้าเลยล่ะกันนะ    คุณเตด้วย  เอ้อ...”  ริทชะงักไปนิด  คล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนเก่าของคนรัก   เขาจึงหยุดพูด  มองไปทางเตท่าทางเกรงใจ

            ภาคย์จับสังเกตได้ทันที  เขาหันไปมองลูกน้องแวบหนึ่ง

            “ยินดีด้วยครับ    แล้วนี่คุณหมอรดิศไปไหนหรือ”   เสียงเตถามเรียบๆ  ท่าทางปกติ มีแค่ดวงหน้าที่ซีดเผือดลงเล็กน้อยเท่านั้นให้เห็น   วิรัลยิ้ม....ท่าทางฉงนระคนสงสัยของภาคย์ทำให้เขาเดาว่าเตคงไม่ได้เล่าให้ ‘คู่ขา’ ฟังถึงเรื่องในอดีต ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะตอนนี้ฝ่ายนั้นยังเข้าใจว่าดิมจำตนเองไม่ได้

            “หมอดิมลงไปก่อนแล้วครับ  รออยู่ที่ห้องอาหาร   เชิญคุณเตกับคุณภาคย์นั่งด้วยกันไหมครับ  หรือว่าจะต้องนั่งกับคณะที่มาประชุม”   คุณหมอหนุ่มพูดยิ้มๆ

            “ยินดีครับผม”  ลูกน้องที่กำลังจะปฏิเสธ อ้าปากค้าง พูดไม่ออก เพราะเจ้านายชิงตกลงไปก่อนแล้ว   เขามองภาคย์เป็นเชิงขอร้อง แต่อีกฝ่ายกลับทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น

            นี่เจ้านายของเขาต้องการจะทำอะไรกันแน่...ตั้งเตคิดอยู่ในใจอย่างว้าวุ่น  จ้องมองตัวเลขในลิฟต์ นับถอยหลังลงไปเรื่อย รู้สึกเหมือนเข้าสู่แดนประหาร   ใจเต้นตึกตัก  ไม่ได้ยินเสียงสนทนาระหว่างเจ้านายกับคุณหมอเด็กอีก 

            ในที่สุดก็มาถึงห้องอาหารของโรงแรมจนได้  ติณธรสะกดใจทำสีหน้าเรียบเฉยเดินคู่เจ้านายตามหลังคุณหมอหนุ่มเข้าไปภายใน   กวาดตามองแวบเดียวก็เห็นคนหน้าเข้มนั่งอยู่ที่ริมสุดของห้อง   เขาเดินตามเข้าไปเงียบๆ

            “ดิม  รอนานไหม...ดูสิรันเจอใคร   คุณเตกับคุณภาคย์ล่ะ”  วิรัลเดินเข้าไปเกาะไหล่ของฝ่ายนั้นเอาไว้ ก้มลงพูดแกมหัวเราะ

            สายตาคมเข้มคู่นั้นตวัดมามองหน้านักเขียนหนุ่มทันที  ก่อนที่จะมีแววพราวระยับขึ้นมา แฝงด้วยนัยบางอย่างที่ทำให้เตหน้าร้อนวาบ  สะกดใจเมินหลบไปทางอื่นอย่างสงบ

            “สวัสดีครับ   ทานข้าวด้วยกันสิครับ  เชิญนั่ง”   ศัลยแพทย์ทรวงอกออกปากเชิญเองก่อนที่คนรักจะเอ่ยปากด้วยซ้ำ   รันแอบมองใบหน้าคนพูดก็เห็นแต่แววยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            ราวกับว่า ผู้ชายร่างเล็กตรงหน้า ไม่ใช่อดีตคนรักเก่าที่เขาเคยจะเป็นจะตายตอนที่ถูกบอกเลิก

            หรือว่าเราจะคิดมากไปเอง....บางที  มันอาจจะไม่มีอะไรเลยก็เป็นได้

            “ผมจะไปตักอาหารให้  คุณเตทานอะไรดีครับ”  ภาคย์ลุกขึ้นยืน  หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ  ตั้งเตเงยหน้าขึ้น เจอดวงตาคมเข้มที่มองมาจากฝั่งตรงข้ามก็เบือนหลับ  หันไปตอบอีกฝ่ายว่า

            “ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมไปตักเอง”  ขยับเก้าอี้จะลุก  แต่เจ้านายกลับจับเอาไว้  พูดแกมหัวเราะ

            “ไม่เป็นไร คุณนั่งเถอะ  ผมบริการเอง  ประเดี๋ยวคุณต้องคอยแปลนู่นนี่ให้ผมอีกทั้งวัน   ขอผมตอบแทนคุณบ้างดีกว่า   เมื่อวานคุณก็ไม่สบายด้วย”

          “อ้าว  คุณเตป่วยเหรอครับ”

          “แน่ะ  อยู่กับคุณหมอตั้งสองคน  ให้เขาตรวจหน่อยล่ะกัน   ไม่รู้เป็นอะไรครับ  ดื้อเงียบ  พูดอะไรไม่ค่อยฟัง  เดี๋ยวตัดเงินเดือนเสียเลย... ”   ภาคย์ขู่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะลุกขึ้นอีกครั้ง  ตั้งเตทรุดลงนั่งตามเดิมอย่างจำยอม   มองตามร่างสูงที่เดินไปที่โต๊ะจัดอาหารกลางห้อง

            “เป็นเจ้านายที่น่ารักจังเลยนะครับ  ดูแลลูกน้องดี๊ดี”  รดิศเคาะ   เห็นท่าทางสนิทสนมกันแล้วหมั่นไส้พิลึก    ยิ่งคนที่นั่งตรงข้ามเขาทำท่าเชื่อฟังไอ้ตี๋นั่นก็ยิ่งหงุดหงิด

            ...ทำไมต้องให้อีกฝ่ายบริการให้ด้วย  ไม่มีขาเดินเองหรือไง...

            “คุณภาคย์เป็นคนแบบนี้ล่ะครับ  ใส่ใจกับลูกน้องทุกคน”  เตเน้นคำว่า ‘ทุกคน’ ลงไปนิดหนึ่ง   คนฟังเลิกคิ้ว

            “อ้อ   เหรอครับ  คุณเตคงจะรู้จักคุณภาคย์ดีมาก เพราะทำงานใกล้ชิดกันมานาน  กี่ปีแล้วนะครับ”  แขวะกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ

            “สองปีครับ”

          “อืม  มินาล่ะ....”  ทอดเสียงยาวอย่างมีเลศนัย   เช่นเดียวกับสายตา  ตั้งเตเม้มปากแน่น   พยายามไม่ต่อปากต่อคำอีกฝ่ายต่อ   เขามองหน้า ‘พี่ดิม’ อย่างผิดหวัง

            พี่ดิมคนเดิมไม่เคยใช้น้ำเสียงค่อนขอดเขาแบบนี้เลย  พี่ดิมเป็นคนใจเย็นและเป็นสุภาพบุรุษที่สุด  ถึงจะโกรธเขา โมโหอย่างไรก็จะถามไถ่กันดีๆ   ไม่ประชดแดกดันราวกับเป็นผู้หญิงเช่นนี้หรอก

            สายตาของนักเขียนหนุ่มทำให้คุณหมอผ่าหัวใจชะงักไป  ยอมยุติการสนทนาเอาไว้เพียงแค่นั้น ...เขาไม่ชอบสายตาแบบนั้นเลย  มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองทำผิด   ทำให้ฝ่ายนั้นผิดหวัง   เขาเกลียดสายตาผิดหวังแบบนี้

            รดิศหันไปทางคนรักแทน   ถามยิ้มๆ

            “รันนั่งรออยู่นี่ล่ะกัน  เดี๋ยวผมไปตักมาให้”

          “รู้หรือว่ารันอยากกินอะไร”   กุมารแพทย์หนุ่มถามกลับ  แวววิบหวานในดวงตามองเห็นได้ชัด แม้จะนั่งสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ   ดิมหัวเราะ ลุกขึ้นจากเก้าอี้  ก้มลงไปกระซิบอะไรสักอย่างที่ข้างหูของวิรัล  ติณธรไม่ได้ยินว่าเขาพูดว่าอะไร  แต่พอจะเดาได้จากดวงหน้าของคุณหมอเด็กที่เปลี่ยนเป็นสีชมพู

            .....เรื่องหยอดแบบนี้ พี่ดิมถนัดนักล่ะ....เผลอวางแก้วน้ำแรงไปนิดจนเกิดเสียงกระแทกกับโต๊ะ รันหันกลับมา  แก้มยังแดงเรื่อ

            “เอ้อ  ขอโทษด้วยนะครับ คุณเต..”  เหลือเพียงสองคนในโต๊ะ  สองคนที่รู้เรื่องราวในอดีต  และไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่รู้จักกันมาก่อนอีกต่อไป  เพราะตัวกลางได้เดินออกไปตักอาหารแล้ว  ส่วนคนนอกอย่างภาคย์ก็ยังไม่กลับมา

            เตยิ้มนิดๆ

            “ไม่เป็นไรหรอก  เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว.....ผมยินดีกับคุณรันด้วยจริงๆนะครับ....ถ้าจะมีใครดูแลพี่ดิมได้ดี ก็คงจะเป็นคุณรันนั่นแหละครับ”   

          “ผมเสียใจด้วยจริงๆนะครับ  เอ่อ ถ้าคุณเตอึดอัดหรือยังไงรีบบอกนะครับ  ผมก็ไม่ทันคิดจริงๆตอนที่ชวนทานข้าวด้วยกัน  ”

          “ไม่เป็นไรหรอกครับ  เรื่องมันผ่านไปนานมากแล้ว”   เสียงแหบลึกทำให้รันเหลือบมองหน้าคนพูด  แต่ก็เห็นสีหน้าของเตปกติ

            “แล้วคุณเตเป็นอย่างไรบ้าง  ผมไม่ได้ข่าวคุณเลย จนกระทั่งคุณพาลูกมาหาผมนี่แหละ ถึงรู้ว่าคุณแต่งงาน   ทราบว่าตอนนั้นคุณป้าคุณลุงของคุณเสีย เลยเดาว่าคุณคงยุ่งๆอยู่แน่   เพราะผมติดต่อคุณไม่ได้  ตอนที่พี่ดิมเข้าโรงพยาบาล  ผมเลยฝากเพื่อนไปบอกอีกที  แล้วทีนี้พออาการหนักต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โน่น  ก็เลยขาดการติดต่อกับคุณไปเลย  ผมขอโทษนะครับ”  รันพูด  ท่าทางเห็นอกเห็นใจ

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ความจริงถึงผมไปเยี่ยม มันอาจจะยุ่งยากกว่าเดิมก็ได้  แถมไม่มีประโยชน์ด้วย ต้องขอบคุณคุณรันมากกว่าที่ส่งข่าวมาถึง”

          “คุณเตคงจะเสียใจมาก..ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกคุณถึงเลิกกัน  แต่ผมไม่อยากจะเชื่อเลย  พวกคุณดูรักกันมาก”  วิรัลปรารภ

          ‘เพราะเราไม่ใช่คู่กันไงครับ’   เตตอบในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะผู้ชายสองคนเดินกลับมาที่โต๊ะพร้อมกันพอดี   

            เงยหน้าขึ้นบอกขอบคุณเจ้านาย  สบตากับรดิศแวบเดียว  ต่างคนต่างก็เมินมองไปทางอื่น

            อาหารมื้อนั่นผ่านไปอย่างอึดอัดในความรู้สึกของเต  เขาพยายามที่จะใส่ใจกับอาหารตรงหน้า และคำพูดชวนคุยของภาคย์เท่านั้น  แต่หูเจ้ากรรมก็คอยแต่จะได้ยินเสียงห้าวๆที่พูดโต้ตอบอยู่กับแฟนตลอด  จนเขาไม่มีสมาธิ

            “คุณหมอกลับกันวันนี้หรือครับ  ค้างคืนเดียวเองเหรอ”   ในตอนหนึ่งที่ภาคย์พูดขึ้นมากลางวง

            “ครับ  ลาได้แค่นี้เอง  นี่ดิมก็ต้องกลับไปเตรียมผ่าตัดต่อ  เขาคิวทองมากครับ  ยิ่งกว่าซุปตาร์เสียอีก”  รันเย้า  รดิศหัวเราะ

            “คุณก็พูดไป  เดี๋ยวสรรพากรมาเก็บภาษีผมตาย  แล้วคุณภาคย์กับคุณเตล่ะครับ  กลับวันนี้พร้อมกันหรือเปล่า”

          “เรากลับวันพรุ่งนี้ครับ  เพราะคืนนี้ผมต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงก่อน”  ภาคย์ตอบ   ยิ้มมุมปากเมื่อสังเกตเห็นแววขุ่นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของคนถามทันที   หลังจากรู้ว่าเขาจะค้างคืนที่นี่อีกคืน...กับติณธร

            ...เหอะ  อย่ามาทำนิสัยเป็นหมาหวงก้างแถวนี้นะคุณหมอ  แฟนคุณก็นั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคน.....

            “แบบนี้น้องเต้คิดถึงพ่อแย่เลย”  กุมารแพทย์หนุ่มพูดยิ้มๆ   เขาแอบมองใบหน้าของแฟนที่เปลี่ยนเป็นถมึงทึง หลังจากที่รู้ว่านักเขียนหนุ่มจะค้างที่นี่อีกคืนกับเจ้านายสุดหล่อคนนั้น....หรือว่าดิมจะ..หึง?  ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่สบายใจ   รู้สึกคิดผิดที่ชวนคนทั้งสองมาร่วมโต๊ะด้วย    จากตอนแรกที่หวังเอาไว้ว่าเตจะเป็นฝ่ายหลุดท่าทีใดๆออกมาให้เห็น กลับกลายเป็นคนของเขาเองที่เริ่มเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่

            “ลูกชายของคุณเตคงจะชินแล้วมั้ง   หรือยังไงครับ?”  ดิมยังแขวะไม่เลิก   ไม่สนใจว่าสีหน้าใครจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง 

            “ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะครับ”  เตย้อนถามนิ่งๆ

            “ก็...ผมเดาเอาว่านักเขียนอย่างคุณคงต้องทำงานนอกสถานที่บ่อยๆ  เจอคนนั้นคนนู้นเยอะแยะ ก็เลยไม่ได้กลับบ้าน”

            “ส่วนใหญ่ผมก็ทำงานที่บ้านครับ  เพราะผมเขียนอย่างเดียว  ไม่ได้เป็นคนสัมภาษณ์แล้ว   นอกจากเป็นงานที่จำเป็นจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ถึงจะไป   ...ไม่ค่อยชอบออกไปไหนฮะ   เบื่อคนมากๆ  เพราะบางคนก็ทำให้เสียสุขภาพจิตจริงๆ  สู้อยู่กับบ้าน เล่นกับลูกไม่ได้”  ตั้งเตพูดเนิบๆ  ใครบางคนขยับตัวอย่างอึดอัด...เสียสุขภาพจิต?  หมายถึงใครกัน

          “จริงครับ  ผมก็เป็น  บางวันอยากอยู่เฉยๆคนเดียว ไม่อยากเจอใครให้วุ่นวาย”  ภาคย์พูด

            “คุณเตโชคดีจังเลยนะครับ  น้องเต้ก็น่ารักมาก ไม่ทราบว่าคุณแต่งงานมากี่ปีแล้วหรือครับ”  คุณหมอเด็กถามยิ้มๆ

            “ปีนี้ครบรอบ 8 ปีแล้วครับ”

          “โห  แบบนี้ก็...โทษนะครับ  นี่คุณแต่งงานตั้งแต่เรียนจบเลยเหรอ”   รดิศที่นั่งฟังอยู่หันมาถาม  สบตาคนตอบอย่างจงใจ   ทว่าฝ่ายนั้นก็เบือนหนีสายตาของเขาไปอีก  ตั้งแต่มานั่งร่วมโต๊ะกัน   นักเขียนคนนั้นไม่ยอมสบตาเขาตรงๆเลยแม้แต่แวบเดียว

            “ครับ”  อีกฝ่ายรับคำสั้นๆ  ไม่พูดต่อ  คนฟังเม้มปาก

            .....พอบอกเลิกเราอย่างโหดร้าย  เค้าก็หนีไปแต่งงานเลยงั้นเรอะ  ช่างใจคอโหดเหี้ยมเสียจริงๆ....

            “แปลว่าคุณคบกับแฟนมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วหรือครับ”  วิรัลถามต่อ   เป็นคำถามที่ตรงใจใครหลายๆคน  รดิศเหลือบมองเตนิดหนึ่ง  เห็นเขาขยับตัว  ดูออกว่าไม่อยากตอบคำถามนี้สักเท่าไหร่           

          “เรารู้จักกันมานานแล้วครับ”

          .....รู้จักกันมานานแล้ว?  ตอนไหนกัน  เขาเชื่อว่าตัวเองคือคนที่ใกล้ชิดตั้งเตมากที่สุดในเวลานั้นแท้ๆ ทำไมกลับไม่เคยรู้จักหรือระแคะระคายเลย  ว่าอีกฝ่ายมีผู้หญิงอีกคนในชีวิต   แบบนี้ก็แปลว่าตลอดเวลาที่คบกัน  เตคบคนอื่นซ้อนด้วยงั้นหรือ  แล้วสุดท้ายก็เลือกเธอคนนั้น?  หรือยังไง?.... คุณหมอหนุ่มคิดในใจอย่างเดือดดาล

            “รู้จักกันตอนเรียนหรือครับ   คงเหมือนคู่ของเรา...เอ  แล้วคุณจัดงานที่ไหนหรือครับ   ขอโทษด้วยนะครับที่ดูจะถามเยอะไปหน่อย  พอดีว่าเรากำลังจะจัดงานครับ ก็เลยอยากรู้ว่าคู่อื่นเขาทำยังไงบ้าง”  รันออกตัว  เอื้อมมือไปจับมือของคนรักกุมเอาไว้  รู้สึกได้ว่ามือของฝ่ายนั้นชื้นเหงื่อผิดปกติก็เหลือบมองหน้าแวบหนึ่ง   เห็นแววตาคู่นั้นลุกวาวจับจ้องไปที่คนที่นั่งตรงข้าม  ไม่เหลือบแลมาทางเขาที่กุมมืออยู่เลยสักนิด

            “ยินดีครับ  ถ้าคุณหมอสนใจไว้ผมแนะนำให้”  ตั้งเตตอบ ยิ้มให้รันนิดหนึ่ง รวบช้อนเป็นจังหวะเดียวกับที่คนตรงข้ามรวบช้อนพอดีเช่นกัน

            “ดิมอิ่มแล้วหรือ  กินน้อยจัง”   รันเขย่ามือข้างนั้นเบาๆ  จนคนรักรู้สึกตัว  รดิศหันมามองหน้าเขา  แววขุ่นข้องในดวงตายังไม่จางหายไป  แต่ก็เอื้อมมือมากุมซ้อนทับบนหลังมือของเขา  พูดแกมหัวเราะ

            “ผมไม่หิวข้าวเท่าไหร่   เพราะอิ่ม...อย่างอื่นแล้ว”   เว้นช่วงนิดหนึ่งอย่างมีเลศนัย  พลางเหลือบตาขึ้นมองหน้าแฟนที่ใบหน้ากลายเป็นสีชมพู  ก่อนจะค่อยๆเบือนไปสบตาผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงข้าม   จ้องมองไปที่ริมฝีปากอิ่มเต็มที่เม้มแน่นคู่นั้นอย่างอ้อยอิ่ง

            เตเขยับตัวอย่างอึดอัดอีกครั้ง  สายตาคมคู่นั้นมีแววโลมเลียมอย่างไม่เกรงใจ  ทำให้เขาร้อนวูบวาบทั้งตัว  รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้

            “ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ”   พูดแบบไม่มองหน้าใครทั้งสิ้น  แล้วจ้ำออกมาจากห้องอาหาร  หนีบรรยากาศที่เขารู้สึกสุดจะทน....ทำไมเขาจะต้องมานั่งให้ถูกแขวะเอาไม่เลิกด้วย  ไม่ใช่เรื่องเลยจริงๆ




[เดี๋ยวมาต่อดึกๆนะคะ]
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง] ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 25-01-2017 19:29:11
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง] ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 25-01-2017 20:35:54
รำคาญภาค สั้นๆ คำเดียวจบ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง] ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 25-01-2017 20:58:37
ต่อเร็วววว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง] ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-01-2017 23:13:49
ค้างงงงงงงงงงงง

อยากอ่านแล้วค่ะ

หมอรัล ดูร้ายลึกนะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง] ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 25-01-2017 23:14:42
ต่อนะคะ



             

             ชายหนุ่มก้มลงล้างหน้าแรงๆที่หน้าอ่างล้างหน้า  ไล่ความหงุดหงิดที่ก่อตัวขึ้น  ซึ่งเขาเดาเอาว่าคงจะเกิดจากสองคนนั้นถามมากเกินไป

            “ขอโทษครับ ขอหยิบทิชชูหน่อย”  ล้างหน้าเสร็จก็หันมาจะเอื้อมหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ดใบหน้า  แต่ติดตรงที่มีร่างของใครบางคนยืนบังอยู่หน้ากล่องที่ติดอยู่ตรงผนัง

            ติณธรไล่สายตาจากช่วงบ่าตึงแน่นขึ้นไปถึงปลายคางเขียวครึ้มและหยุดที่นัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น   สบตากันนิ่งๆแวบหนึ่ง  เขาก็เป็นฝ่ายเบือนหลบอีกตามเคย

            คุณหมอหนุ่มหันไปดึงกระดาษทิชชูมายื่นส่งให้สองสามแผ่น  เขาเม้มปากนิดหนึ่ง  ไม่ยอมรับน้ำใจจากฝ่ายนั้น แต่เอื้อมมือไปหยิบมาเองสามแผ่น  ยกขึ้นซับใบหน้าและซอกคอช้าๆ

            “แค่ทิชชูแค่นี้   ไม่กล้ารับจากมือผมเลยหรือ”

          “คุณหมอเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ  ขอบคุณมาก”

          “ดูคุณจะไม่ยอมรับความหวังดีจากผมเลยนะ  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม”   คุณหมอหนุ่มพูดยิ้มๆ  ทว่าแววตาไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย   เขาเดินเข้ามาใกล้แล้วเปิดก๊อกน้ำก้มลงล้างมือช้าๆ

            สบตากันผ่านกระจกเงาที่ติดอยู่กำแพง   ติณธรก้าวถอยหลังไปทางประตู 

            “ผมไม่กล้ารับความหวังดีของคุณหมอหรอกครับ....โอ๊ย!”

          ยังพูดไม่จบประโยคก็เปลี่ยนเป็นเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดแทน เพราะจู่ๆฝ่ายนั้นก็หยุดล้างมือแล้วหันมาคว้าต้นแขนทั้งสองข้างของเขาเอาไว้  เหวี่ยงทีเดียวไปกระแทกกำแพงแล้วตามเข้ามาประชิด

            แผ่นหลังของเตแนบกับผนังกระเบื้องเย็นๆภายในห้องน้ำโรงแรมที่ไร้ผู้คนอย่างน่าประหลาดใจ  ต้นแขนทั้งสองข้างถูกมือของผู้ชายคนนั้นบีบเอาไว้แน่น  รู้สึกได้ถึงหยดน้ำที่ฝ่ามือของฝ่ายนั้นซึมผ่านเสื้อจนเปียกชุ่ม

            สายตาสองคู่ปะทะกัน  คราวนี้ไม่มีใครยอมหลบก่อน

          “ปล่อยผม  ถ้าคุณไม่อยากเดือดร้อน”  กลั้นใจพูดเสียงแข็ง   หัวใจเต้นถี่รัว

          “ถ้าผมอยากเดือดร้อนล่ะ.....ช่วยทำให้ผมรู้สึก ‘ร้อน’  แบบที่ทำกับนายภาคย์นั่นบ้างจะได้มั้ย” ตอบกลับพลางก้มลงสูดความหอมหวานของซีกแก้มด้านนั้น  ตั้งเตเอียงตัวหนี  ยกแขนขึ้นมายันอกกว้างเอาไว้  แต่มือแข็งแรงที่บีบกระชับอยู่ที่ต้นแขนจนรู้สึกเจ็บบังคับให้เขาทำอะไรได้ไม่ถนัดนัก

            จะยกเข่าขึ้นจัดการกล่องดวงใจ  ฝ่ายนั้นก็เขยิบเข้ามาใกล้จนช่วงล่างแนบประชิดกันราวกับรู้ทัน  ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดอยู่แถวซีกแก้มและซอกคอ ขณะที่เขาพยายามจะหันหน้าหนีการสัมผัสนั้น  แต่ดูเหมือนว่าจะหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น  เพราะไม่ว่าจะเบือนหน้าหนีไปทางใดก็พบว่ามีปลายจมูกและริมฝีปากของฝ่ายนั้นดักรอจังหวะอยู่แล้วทั้งสิ้น

สุดท้ายเขาไม่หลบแต่จ้องตากลับ   รดิศชะงักไป

“ปล่อยผมเถอะ  ก่อนที่ผมจะผิดหวังในตัวคุณหมอมากไปกว่านี้”  ประโยคเรียบๆจากฝ่ายนั้น แทนที่จะทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง กลับยิ่งทวีความโกรธมากขึ้นไปอีก   รดิศบีบแขนเขาแรงขึ้นถามเสียงดังเกือบจะเป็นตะคอก

“ทำไม  เกิดกลัวบาปขึ้นมางั้นเหรอ ทีมาค้างคืนกับไปไอ้หมอนั่นสองต่อสองกลับไม่กลัว  หรือว่าผมมันไม่เร้าใจเท่าไอ้หน้าตี๋นั่น”  เตเม้มปาก  จ้องหน้า ‘พี่ดิม’ กลับ  ทั้งผิดหวังทั้งน้อยใจ ไหนจะโมโหอีก...ความรู้สึกเฉยชาแกมเศร้าที่เคยเป็นมาช้านานเริ่มถูกอารมณ์บางอย่างกลับเข้ามาแทนที่  เตรู้สึกเหมือนวิญญาณของเด็กหนุ่มอายุ 20 คนเดิมถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง  เขาเงยหน้าขึ้นลอยหน้าพูดกลับอย่างท้าทาย

“คุณรู้ตัวก็ดีแล้วนี่  แบบคุณน่ะเหรอ...เหอะ  ผมล่ะสงสารหมอรันแฟนคุณจริงๆ”

คราวนี้คนฟังโกรธจนควันออกหู  ประโยคไม่ไว้หน้าของอีกฝ่ายทำให้เลือดในกายเขาร้อนจนแทบจะระเหยกลายเป็นไอได้

“ผมก็สงสารภรรยาของคุณเหมือนกัน  หรือว่าเธอจะชินแล้วที่ถูกสามีสวมเขาให้”  สวนกลับอย่างเผ็ดร้อนพอกัน  ตั้งเตกำหมัดแน่น

“อย่าลามปามถึงภรรยาผม   คุณไม่มีสิทธิ”

            “แล้วใครมีสิทธิ  ชู้รักของคุณหรือไง  ถ้าอย่างนั้นขอผมเป็นด้วยคนได้ไหมล่ะ”  คนฟังสะบัดเเขนอย่างเเรงจนหลุดจากการเกาะกุมและ


            ผลั๊วะ!

          ใบหน้าหล่อเหลาของคุณหมอหนุ่มหันไปตามแรงหมัดของอีกฝ่ายที่สัมผัสครึ่งปากครึ่งจมูกเข้าเต็มๆ  รู้สึกถึงรสเลือดที่มุมปากทันที  เขายกมือขึ้นแตะดู ความเจ็บแปลบๆ จากรอยแผลยังไม่เท่าความเจ็บทั้งหมดที่เขาเคยได้รับ

“คนอย่างคุณไม่มีสิทธิอะไรทั้งนั้นแหละ    เพราะตัวคุณยังไม่เคารพสิทธิของคนอื่นเลย”  เตสวนกลับ  แววตาลุกโชติช่วงจนคุณหมอหนุ่มอึ้งไป  ความเจ็บปวดที่มุมปากยิ่งทำให้เดือดดาล

“ผมละเมิดสิทธิของคุณตรงไหน  หรือคุณจะบอกว่าผมไม่มีสิทธิจะเตือนคุณเรื่องการ ‘เป็นชู้กับเจ้านาย’ ผมว่าผมมีสิทธินะ”

“ใช่  คุณมีสิทธิเตือน แต่ไม่มีสิทธิจะมาว่าผมเสียๆหายๆแบบนี้  ต่อให้ผมเป็นชู้กับใครอีกกี่ร้อยคนก็ตาม  มันก็เป็นสิทธิของผม  คุณเป็นคนนอก  คนเดียวที่มีสิทธิก็คือ  ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”   เตพูดฉอดๆ คนฟังกัดฟันกรอดใบหน้าชา   ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังด่าเขาตรงๆว่า อย่ามาสอใส่เกือกกับเรื่องของเขา

“นอกจากคุณอยากจะ  ‘มีสิทธิ’ กับผมจริงๆ  ...ก็อาจจะได้...หน้าตาอย่างคุณผมอาจจะรับพิจารณาเอาไว้  แต่บอกไว้ก่อนว่าอย่าตั้งความหวังเอาไว้มาก  เพราะผมก็ ‘เลือก’ เหมือนกัน”

ติณธรพูดออกไปจนหมด  สะใจที่เห็นอีกฝ่ายใบหน้าแดงซ่านแล้วเปลี่ยนเป็นซีดเผือด  เลือดออกที่มุมปากตรงที่โดนเขาต่อย   นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่จู่ๆก็เกิด ‘กล้า’ ที่จะตอบโต้ขึ้นมา  ไม่เป็นฝ่ายยอมเงียบเหมือนทุกครั้ง อาจจะเป็นเพราะความอดทนของเขามีขีดจำกัดก็เป็นได้

แล้วมันก็ถูกทำลายด้วยพฤติกรรมที่น่าผิดหวังของคนตรงหน้า

ดิมเงียบไปครู่ใหญ่  คนพูดยิ้มนิดๆ  ขยับจะเดินหลีกไปที่ประตู  แต่ติดตรงที่ถูกมือแข็งแรงของอีกฝ่ายรั้งเอาไว้อีกครั้ง  เขาหันมาเผชิญหน้า  คุณหมอยกมือขึ้นลูบที่แผลมุมปากอีกครั้ง

“คุณคิดว่าทำผมเจ็บตัวแล้วผมจะปล่อยให้คุณกลับออกไปง่ายๆงั้นหรือ”  นัยน์ตาคมดุจ้องอย่างเอาเรื่อง  เตบิดตัวหลุดจากการเกาะกุม

“ถ้าคุณไม่ปล่อยผม   คุณนั้นแหละที่จะเดือดร้อน  เพราะเรื่องนี้จะถึงหูหมอรันแน่” นักเขียนหนุ่มยกเอาแฟนของฝ่ายนั้นขึ้นมาขู่

คนฟังยักไหล่

“คิดว่ารันจะเชื่อใคร ระหว่างผมกับคุณ  เอ...แล้วจะให้ผมบอกคุณภาคย์ว่าอะไร ถ้าเขาถามว่าเราหายเข้ามาทำอะไรกันในห้องน้ำนานขนาดนี้”

ตั้งเตใจหายวาบ  เขาลืมเรื่องเวลาไปเสียสนิท  เหลือบดูนาฬิกาเร็วๆก็เห็นผ่านมาหลายสิบนาทีแล้ว  ป่านนี้คนที่โต๊ะคงจะสงสัยเป็นแน่

“…………………..”

“ไม่ต้องกังวลหรอกน่า  ผมรับรองว่าจะอธิบายอย่างละเอียดเลย  ว่าเราทำอะไรกันบ้าง  เหมือนเมื่อคืนเป็นไง” ดิมพูดด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทแกมยิ้มเยาะ

“คุณพูดอะไรกับคุณภาคย์”  เตตกใจ  เขารู้สึกตัวตอนที่อีกฝ่ายคุยกัน    ได้ยินแว่วๆ แต่จับใจความไม่ได้  หรือว่านี่จะเป็นเหตุผลที่ภาคย์ดูมีท่าทีแปลกไป

“ก็....อธิบายว่าคุณ จูบผมยังไงบ้างไงล่ะ”

“คุณมัน....ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนแบบนี้”

          “ผมก็เป็นของผมแบบนี้มาตั้งนานแล้ว  แต่อย่างว่า...คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ  รู้จักกันมาหลายปี ความจริงอาจจะไม่เคยรู้จักกันเลยก็ได้  ผมเคยเจอมาแล้ว  พวกหน้าเนื้อใจเสือ ทิ้งกันได้อย่างเลือดเย็น” กระแทกเสียงหนักตามอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ  เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมเวลาอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ถึงไม่เคยควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย

          อาจจะเป็นเพราะท่าทีของอีกฝ่ายที่ดูเดือดเนื้อร้อนใจกับความคิดของชู้รักหน้าตี๋เสียเหลือเกิน!

            “คุณหมายถึงใคร”  เตเอะใจ  อีกฝ่ายยิ้มเยาะ

            “ก็หมายถึงคนทั่วๆไป   พวกที่แต่ก่อนรักกันจะเป็นจะตาย สุดท้ายก็ทิ้งไปแต่งงานกับคนอื่นหน้าตาเฉย   พอกลับมาเจอหน้ากันอีกที  ทำเป็นไม่รู้จัก  เหอะ  ตลกดีมั้ยล่ะ”

          ติณธรถอยหลังไปสองก้าว   จ้องใบหน้าของเขาเหมือนราวกับเห็นผี

            “ไม่จริง...”

          “อะไรที่ไม่จริง  เรื่องจริงทั้งนั้นแหละที่ผมพูดมาน่ะ  ทำไมล่ะ ทนฟังไม่ได้เหรอ  ไม่ใช่เรื่องของคุณเสียหน่อยนี่นะ”

          “พี่ดิม...”

          “พี่ดิม อืม...แต่ก่อนก็มีคนเคยเรียกผมแบบนี้เหมือนกัน  นานมากแล้วล่ะ หลายปีแล้ว  พี่ดิมอย่างนู้นพี่ดิมอย่างนี้  แล้วเป็นไงล่ะ  อ้าว  คุณเป็นอะไรไป  หน้าซีดเชียว  จะเป็นลมหรือครับ  ให้ผมช่วยเป่าปากให้เอาไหม”  พูดแกมเยาะอย่างสะใจที่เห็นอีกฝ่ายหน้าซีดแทบไม่มีสีเลือด ตัวสั่นน้อยๆราวกับจับไข้

            “ไม่ใช่   คุณไม่ใช่พี่ดิมคนนั้น”

          “พี่ดิมคนไหนล่ะ  คุณยังจำได้ด้วยหรือ”

          “เขาเป็นคนดีที่สุดเท่าที่ผมเคยพบมา”  ตั้งเตตอบเสียงแหบพร่า

          “เหรอ  แล้วโง่ที่สุดด้วยหรือเปล่า”   รดิศเลิกคิ้วถามกลับ  เขารู้สึกเหมือนตัวเองเบรกแตก  ก่อนหน้านี้ที่เคยคิดหมั่นไส้ว่าอีกฝ่ายทำเป็นไม่รู้จักกันมาก่อนดีนัก   งั้นเขาก็จะทำเป็นไม่รู้จักเช่นกัน  ความคิดนั้นได้ถูกลืมไปเสียสิ้น   ตอนนี้เขารู้สึกสาแก่ใจเหลือเกินที่อีกฝ่ายจ้องหน้า แทบจะอ้าปากค้างเช่นนี้

            ....ตกใจมากสินะ  ที่จู่ๆเขาก็ขุดเรื่องอดีตขึ้นมาพูด หึ คิดว่าจะสามารถทำเป็นลืมๆแล้วเรื่องก็จะหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นหรือไง...

            “ไม่ใช่แบบนั้น”

          “แล้วแบบไหน  แบบที่คุณทิ้งเขาเอาไว้กลางถนน  แต่เขาก็ยังคงพร่ำเพ้อหาแต่คุณใช่มั้ย   แบบนั้นยังไม่เรียกว่าโง่อีกเหรอ”

          “จริงเหรอ  ผมไม่เคยรู้เลย” ฝ่ายนั้นพูดเสียงเบา

          “คุณไม่รู้เพราะคุณไม่เคยมาเยี่ยม ‘พี่ดิม’ ของคุณเลยตะหากล่ะ  คุณทิ้งเขาไปเสวยสุขแล้วนี่  จะผลักให้ใครลงนรกไปบ้างยังไงคุณก็ไม่สนใจหรอก”  ดิมพูดอย่างเผ็ดร้อน

            ชายหนุ่มร่างเล็กมองเขาอย่างตะลึงงัน

            “คุณว่าผมไปบอกไอ้ตี๋หน้าโง่ เหยื่อรายต่อไปของคุณดีไหม  ว่าเราเคยเป็นอะไรกันมาแล้วบ้าง  แล้วผมเคยโดนคุณทิ้งมาก่อนยังไง เผื่อว่ามันจะได้ระวังตัวเอาไว้  เอ  หรือว่าผมควรจะเห็นแก่ความหลังครั้งเก่าของเราดีล่ะ คุณคิดว่ายังไง?”

          “พะ...พี่จำได้?  มะ...ไม่ได้ความจำเสื่อมงั้นหรือ”  เตพูดตะกุกตะกัก

          “ความจำเสื่อม?  ใคร  ผม?  หรือว่าคุณกันแน่ที่ความจำเสื่อม  ผมยังจำได้ทุกบททุกตอนนั่นแหละ แม้แต่แววตาสุดท้ายที่คุณมองผมก่อนจะวิ่งหายไป ทิ้งให้ผมนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้นถนนนั่นน่ะ”

คนฟังรู้สึกถึงกระแสเย็นเฉียบที่วิ่งจากศีรษะผ่านกระดูกสันหลังไปยังปลายเท้า แล้วตีกลับขึ้นมาในทรวงอกจนแน่นไปหมด    สมองพร่าเบลอเหมือนมีใครมาปาระเบิดใส่

“นี่พี่จำได้...ตลอดมาแล้วทำไม?..”

“ผมไม่ได้ลืมง่ายเหมือนคุณหรอกคุณตั้งเต  จะได้แกล้งทำเป็นไม่รู้จักกัน”   ดิมกระแทกเสียงกลับ  หัวใจเต้นแรง หลังจากได้พูดออกไปหมดแล้ว  เขาก็รู้สึกเหมือนได้ปลดปล่อย

แปลกใจที่อีกฝ่ายทำท่าราวกับแปลกใจเสียเต็มประดาที่เห็นเขาจำได้หมดทุดอย่าง?

            ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

            เสียงเคาะประตูถี่รัวที่หน้าประตูห้องน้ำ ทำให้คนในห้องชะงัก  ทั้งคู่หันไปมองที่ประตูพร้อมกัน   คุณหมอหนุ่มเดินผ่านอดีตคนรักไปปลดล็อคลูกบิดที่เขากดล็อคเอาไว้เองตั้งแต่ตามเตเข้ามา

            เปิดประตูออก  เจอชายหนุ่มร่างสูงเจ้านายของเตยืนอยู่หน้าประตูท่าทางร้อนรน  ถัดไปด้านหลังมีคนรักของเขายืนอยู่ด้วย  ดิมเผลอหลบตารันโดยไม่ตั้งใจ

            “พวกคุณทำอะไร   ทำไมประตูถึงเปิดไม่ได้   คุณเตอยู่ที่ไหน?”ภาคย์ถามทันที  อีกฝ่ายเเค่ยักไหล่  ไม่ตอบแต่เดินผ่านไปจับมือของรันเอาไว้  พาจูงให้เดินห่างออกมาจากห้องน้ำแห่งนั้น  ชะงักนิดเดียวเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายหน้าตี๋ร้องเรียกชื่อคนข้างในเสียงดังลั่น  ทว่าเขาก็บังคับตัวเองไม่หันกลับไปมองได้สำเร็จ

            “คุณเต  คุณเต  เป็นอะไรหรือเปล่า?”

……………………………………………………………

มาต่อจบตอนค่ะ   ขอบคุณมากนะคะที่กดเข้ามาอ่าน จะพยายามมาอัพทุกวันค่ะ
มีคนสังเกตว่าเตดูเป็นลมบ่อย ไม่ค่อยเเข็งเเรงด้วย อิอิ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-01-2017 23:29:41
พี่ดิมระเบิดอารมณ์และความรู้สึกออกมาแล้วสินะ โล่งใจใช่ไหมคะ? กลับกันในด้านของเตนั้น อึ้ง!!! เตเหมือนโดนหลอกอยู่ฝ่ายเดียว มันต้องมีความลับอะไรสักอย่างแน่ๆ.


รอตอนต่อไปแทบจะไม่ไหวแล้ววววสอยากรู้เรื่องเตกับดีมมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 25-01-2017 23:45:50
ค้างอีกละ TT
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 26-01-2017 04:15:36
โอ๊ะ!! เฮ้ย!! อ้าวว!! เผยตัวซะแล้ว ตามจริงแอบยังอยากให้หมอดิมแกล้งจำเสื่อมแล้วรวนไปอีกนิดนะ 5555  แล้วเอาไงละทีนี้ รู้กันแล้วว่าจำได้ทั้งสองคน ตอนนี้ต่างคนก็ต่างไม่รู้ว่ายังมีเยื่อใยให้กันหรือเปล่า ซึ่งต่างคนต่างมี พร้อมจะประทุผุดๆ 555 ดิมพูดไรเยอะว่ะ จับจูบจับกดแม่งเลย 5555 //เผยตัวตนก่อน แล้วยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาอีกมาก มีแววว่าจะแพ้ก่อน จุ๊ๆ!!!  //บางทีก็แอบหมั่นไส้เตนะ คือตอนนี้ยังไม่รู้ความจริงไง เลยอยู่ทีมหมอดิม ยังโกรธโมโมแค้นอยู่ เจอทิ้งไว้แบบนั้น แล้วยิ่งอะไรๆมันก็ทำให้ดิมคิดไปสะระตะอีกเช่นว่า คบซ้อนตอนเลิกกัน เรียนจบแต่งงานเลยงี้ กูพลาดตรงไหน เพิ่มความเข้าใจผิดมีน้ำโหเข้าไปอีก เป็นเราก็อาจจะเป็นแบบนีี้ (แต่จริงๆแล้วเรา จบคือจบ) แต่นี้อินกับเรื่องนี้ไง 555555 ยังไงซะก็รอมาต่อตอนต่อไปค่ะ F5 ทุกวัน //***คนที่ไม่รู้อะไรเลยคือดิมต่างหาก ช่างน่า....!!!!*** >> รึเปล่า????????? ควรจะสงสารใครดี 555555555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 26-01-2017 14:25:15
จะสงสารใครดี ?
ความจำเป็นอะไรที่ทำให้เตต้องแต่งงาน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 26-01-2017 17:27:30
มันต้องมีปมอะไรสักอย่างแน่
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 26-01-2017 22:53:23
เพราะหัวใจบอกว่า...เลือก

 

 

 

 

 

            “ดิม  เรากลับไปดูคุณเตหน่อยเถอะ  ไม่รู้เป็นอะไรหรือเปล่า”

          วิรัลกระตุกมือของคนรักเบาๆ  ฝ่ายนั้นชะลอฝีเท้าลงนิดหนึ่ง แต่ก็ยังคงจูงเขาเดินห่างออกมาจากห้องน้ำอยู่ดี

            “เค้าไม่เป็นอะไรหรอก  อย่าเป็นห่วงนักเลย  มีคนดูแลอยู่ทั้งคน คงไม่ปล่อยให้ตายอยู่กลางห้องน้ำหรอกน่ะ” ดิมกระแทกเสียงตอบอย่างหงุดหงิด   คนฟังเม้มปากหยุดเดิน  ฉุดข้อมือเขาเอาไว้

            “ไม่ได้  เราเป็นหมอนะดิม  ทำอย่างนั้นได้ยังไง  ไม่รู้แหละ รันจะกลับไปดูว่าเตเป็นอะไร   ถ้าดิมรีบมากก็กลับไปก่อนเลย”  กุมารแพทย์หนุ่มปลดมือของเขาที่กุมอยู่ออก  แล้วหันหลังเดินย้อนกลับไปทางเดิม

            รดิศมองตามหลังคนรัก...อะไรกันนักหนา   ไม่ได้เป็นอะไรหรอก เชื่อสิ  อย่างมากก็แค่เป็นลม  มุขเก่าเล่าใหม่ เอาไว้ออดอ้อนออเซาะ เรียกร้องความเห็นใจจากพวกที่ไม่รู้เท่าทัน   เหอะ....ความรู้สึกโกรธต่อสู้กับมโนธรรมในใจ สุดท้ายฝ่ายหลังก็เป็นฝ่ายชนะ   เขาเดินแกมวิ่งตามหลังคนรักกลับเข้าไปภายในห้องอาหารของโรงแรม  ทันเห็นฝ่ายนั้นช่วยภาคย์พยุงนักเขียนหนุ่มออกมาจากห้องน้ำพอดี   

ตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นชายหนุ่มร่างเล็กที่ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ช้าๆ มีใบหน้าซีดเผือดจนเกือบเขียว  หายใจหอบถี่ มือจีบเกร็งเข้าหากัน  หมอรันก้มตัวอย่างตรงหน้าติณธร  พูดช้าๆเป็นจังหวะ

            “หายใจเข้าช้าๆครับ  ตามจังหวะที่ผมบอก  เข้า—ออก—เข้า—ออก---เข้า---ออก  ดีมากครับ  ช้าๆนะครับ  เข้า---ออก---เข้า---ออก  ไม่ต้องกลัวครับ  ไม่เป็นอะไรแล้ว  ใจเย็นๆครับ  เข้า---ออก---เข้า---ออก---เข้า---ออก---เข้า---ออก.....”  คุณหมอเด็กพูดช้าๆให้เตทำตามจนอาการเริ่มดีขึ้น หลังจากผ่านไปหลายนาที การหายใจช้าลง  มือที่จีบเกร็งอยู่ในตอนแรกค่อยๆคลายออกเล็กน้อย

             คนที่เฝ้าจับตามองอยู่ห่างๆถอนหายใจยาว

            “ดีขึ้นไหมครั้บ คุณเต”  นักเขียนหนุ่มพยักหน้าช้าๆ  ภาคย์เอื้อมมือไปจับมือลูกน้องมากุมเอาไว้แน่น  หันไปถามคุณหมอด้วยเสียงเป็นกังวล

            “คุณเตเป็นอะไรไปครับ ตอนผมเข้าไปเห็นเขาหายใจเร็วๆมากแล้วก็เกร็งไปหมดทั้งตัวเลย  ผมตกใจหมดทำอะไรไม่ถูก  โชคดีที่คุณหมอกลับเข้ามาพอดี”

            “คุณเตเป็นโรค Hyperventilation syndrome ครับ หรือโรคหอบจากอารมณ์  มักจะเกิดจากภาวะกดดันทางจิตใจทำให้หายใจเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัวนะครับ  แล้วก็จะเกิดอาการตามมาอย่างที่เห็น เช่น เกร็ง  ปากชา มีมือจีบได้  แต่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตนะฮะ  ไม่ต้องกังวลครับ  คุณเตเคยเป็นมาก่อนหรือเปล่าครับ”

          คนไข้สั่นศีรษะ

            “แล้วเมื่อครู่นี้ คุณเครียด หรือว่ามีอะไรมากระทบใจหรือเปล่า”  ประโยคคำถามนั้นทำให้ผู้ฟังหน้าเคร่งขึ้นนิดหนึ่ง  ตั้งเตเหลือบมองไปทางร่างนั้นแวบเดียว  แล้วก็ตอบเรียบๆ

            “มีเรื่องตกใจนิดหน่อยครับ” ไม่ขยายความต่อ  อีกฝ่ายก็ไม่เซ้าซี้ พยักหน้าเนิบๆ

          “ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นโรคนี้แหละครับ”  หมอวิรัลสรุป

            “แล้วต้องรักษายังไงครับ”

          “วิธีรักษาก็คือฝึกหายใจครับ  แต่ก่อนหมอจะบอกว่าให้เอาถุงมาครอบเอาไว้แล้วหายใจในถุง  แต่ผลการวิจัยหลังๆออกมาแล้ว พบว่าไม่ช่วยนะครับ  ถ้าเกิดอาการขึ้นก็ให้หายใจช้าๆครับ  แล้วก็จะดีขึ้นเอง  ทางที่ดีก็คืออย่าเครียดมาครับ”  กุมารแพทย์หนุ่มพูดยิ้มๆ เหลือบมองคนรักที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แต่ก็ไม่ยอมเข้ามาใกล้แวบหนึ่ง  ใบหน้าคมเครียดเคร่งเหมือนกำลังโกรธใครอยู่

            ไม่มีใครรู้หรอกว่าคนที่เจ้าตัวโกรธ ไม่ใช่ใครอื่น แต่กลับเป็นตัวเอง ...เขาน่าจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเต  ถ้าไม่มัวแต่คิดจะทำร้ายอีกฝ่ายด้วยคำพูดให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แบบนั้น   เขาใจร้ายมากเกินไปแล้ว   นายภาคย์ก็คงไม่รู้จักโรคนี้ด้วยซ้ำ  ถ้ารันกลับมาไม่ทันล่ะ  ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือและดูแลตั้งเตได้ล่ะ  ป่านนี้น้องก็คงจะยังหอบอยู่อย่างนั้น  ดีไม่ดีอาจจะหมดสติไปเลยก็ได้

            บ้าชิบ  เกิดเตเป็นอะไรขึ้นมา จะทำยังไง

            วูบหนึ่งที่เขาลืมไปสนิทว่าตนเองรู้สึกเกลียดผู้ชายร่างเล็กหน้าหวานคนนี้ขนาดไหน  เหลือแต่เพียงความห่วงกังวลในใจที่แทบจะปิดบังแววตาไม่มิด

            เตสามารถรับรู้กระแสห่วงใยที่ส่งออกมาจากนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นได้ชั่วขณะ   ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นแววเยาะหยันน้อยๆตามเดิมอย่างรวดเร็วราวกับตาฝาดไป

เมื่อครู่นี้ตอนที่เขาเหนื่อยแทบขาดใจ  แค่เห็นร่างของผู้ชายคนนั้นที่เดินเข้ามาหยุดยืนห่างๆ  ถึงจะไม่ยอมเข้ามาแตะต้องตัวของเขาเลย  แต่เขากลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นอย่างประหลาด

            ทั้งที่ต้นเหตุของอาการทั้งหมดก็มาจากเค้านั่นแหละ

            ....พี่ดิม....

            เป็นความจริงหรือเปล่าที่พี่ดิมไม่เคยลืมเรา  พี่ดิมไม่เคยลืมเรื่องระหว่างเราเลย  จริงหรือเปล่า... ท่ามกลางความประหลาดใจถึงขีดสุด ละอองไอบางๆของความปลื้มปิติที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังจำตนเองได้อยู่ค่อยๆแทรกเข้ามาทีละน้อยแทนที่ความเศร้าหมองที่ครองอยู่เดิม

            เตหัวใจเต้นแรงขึ้น  เขาสบตาคมเข้มคู่นั้นแน่วแน่ไม่ยอมหลบ  นึกอยากให้เหลือเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้นในตอนนี้  เพื่อที่ว่าเขาจะได้ถามอีกฝ่ายให้กระจ่างแจ้งไป ว่าเรื่องทั้งหมดมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

            ทำไมพี่ดิมต้องทำเป็นจำเขาไม่ได้ด้วย...

            “แล้วต้องพาไปโรงพยาบาลไหมครับหมอ”  ภาคย์ถาม

            “ไปก็ดีครับแต่ไม่ไปก็ได้เพราะอาการดีขึ้นแล้ว  ให้พักผ่อนเสียหน่อยจะดีกว่าครับ”

            “ถ้าอย่างนั้น เห็นทีวันนี้คุณเตคงจะมาช่วยผมเป็นล่ามไม่ได้แล้วล่ะครับ  ขึ้นไปพักก่อนดีกว่า..”

          “ผมดีขึ้นแล้วครับ  คุณภาคย์”  เตพูด แล้วลุกขึ้นยืน  ทว่ารู้สึกวูบจนเซลงไปอีก  โชคดีที่หมอรันช่วยพยุงเอาไว้ทัน

            “ผมว่าไม่ไหวนะครับ  เอ  แปลกแฮะ....คุณเต  คุณตัวร้อนนี่ครับ  ไม่สบายหรือเปล่า  ผมว่าคุณไข้ขึ้นนะ”  มือที่จับแขนช่วยพยุงในตอนแรกเปลี่ยนไปอังที่หน้าผากและซอกคอของนักเขียนที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นคนไข้

            ใบหน้าเรียวที่เผือดซีด เริ่มกลายเป็นสีแดง  ..เตยกมือขึ้นจับที่ซอกคอของตัวเอง

            “ไม่เป็นอะไรครับ  เดี๋ยวกินพาราฯก็หายแล้ว”

            “ผมว่าคุณไปโรงพยาบาลดีกว่า   ไปให้หมอเขาตรวจหน่อย”  เจ้านายหนุ่มพูดอย่างกังวล  เขาชักไม่แน่ใจอาการของลูกน้องว่าเป็นอะไรกันแน่  ที่แน่ๆคือหมอที่ยืนเก้กอยู่นั่น เขาทำอะไรเต? เตถึงได้มีอาการแปลกไปเช่นนี้

            “ถ้าอย่างนั้นติดรถพวกเรากลับกรุงเทพฯไหมล่ะครับ  ยังไงเราก็ต้องกลับไปโรงพยาบาลอยู่แล้ว”  รันเสนอ  เตรีบปฏิเสธทันที

            “ไม่ต้องรบกวนหรอกครับ  เกรงใจ  ผมหายาทานเองได้ครับ  หรือไม่ก็ไปคลินิกแถวๆนี้ น่าจะมีอยู่แล้ว”

          “นั่นสิครับ  เดี๋ยวผมให้รถของบริษัทขับไปส่งได้ครับ   ต้องขอบคุณน้ำใจของคุณหมอมากนะครับ” ภาคย์รีบตอบ  เขาไม่อยากให้ติณธรนั่งรถไปกับไอ้หมอนั่น  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม  ต้องให้อยู่ห่างๆกันเข้าไว้

            “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเขาเถอะรัน...เราต้องรีบกลับแล้วนะ  เพราะผมเซ็ทเคสผ่าเอาไว้ตอนบ่าย”   รดิศพูดห้วนๆ  จบก็ก้มหัวให้ทั้งสองคนนิดหนึ่งเป็นเชิงอำลา  แล้วเดินจากไปเสียอย่างนั้น

            เตมองตามจนร่างนั้นลับสายตา   แววตาละห้อยบอกแววอาวรณ์ฉายชัดจนคนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้วยสังเกตเห็นพร้อมกัน   แต่ก็ต่างไม่พูดอะไรออกมา  รันบอกลาคนทั้งสอง  กำชับให้เตไปพบแพทย์แล้วแยกจากมา

            ระหว่างทางที่นั่งอยู่ในรถคู่กับคนขับก็ครุ่นคิดไปด้วยเงียบๆ  ความจริงแล้วสิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุดตอนนี้ ไม่ใช่เตรู้สึกอย่างไรกับดิม แต่เป็นดิมรู้สึกอย่างไรกับเตตะหาก   อารมณ์ปริศนาที่เขาเดาไม่ออก...แววตาของดิมและการกระทำที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา  วูบหนึ่งเหมือนจะหึงฝ่ายนั้น แต่อีกวูบหนึ่งก็กลับเฉยชา เยาะหยัน

            เหมือนจะเป็นห่วง  แต่กลับไม่เข้าไปช่วยเหลือใดๆ ยืนดูอยู่ห่างๆราวกับไม่สนใจทว่าสายตาคู่นั้นกลับไปละไปจากร่างเล็กบางของผู้ชายคนนั้นเลย

            ดิมคิดอะไรอยู่กันแน่  แล้วเหตุการณ์ภายในห้องน้ำเมื่อครู่นี้  มันเกิดอะไรขึ้น  ต้องเป็นอะไรสักอย่างที่ทำให้เตเกิดอาการขึ้นมาได้ .....เรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจ....สภาวะที่ทำให้รู้สึกกดดันถึงขีดสุด?

          “เมื่อกี้ในห้องน้ำนั่น ดิมได้คุยอะไรกับคุณเตหรือเปล่า”  เขาตัดสินใจถามตรงๆ

            คนขับที่สวมแว่นกันแดดสีดำบดบังแววตามิดชิด เห็นเพียงมุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยเงียบไปครู่แล้วก็ตอบกลับมา

            “ไม่ได้พูดอะไร”

          “แล้วตอนนั้นคุณเตปกติดีไหม”

            “ก็ปกติดีนี่”  เขานึกถึงใบหน้าแดงซ่านยามที่ถูกเขาสัมผัส  คิ้วเรียวขมวดมุ่นขณะพยายามเบี่ยงตัวหนีริมฝีปากของเขา   ทว่าหนีเท่าไหร่ก็หนีไม่พ้น

            “เหรอ....ถ้างั้นก็ไม่รู้ว่าอาการของคุณเตเกิดจากอะไรกันแน่  เห้อ...แล้วก็มาไข้ขึ้นอีก”

          “รันเป็นห่วงมากก็กลับไปพาเขาไปโรงพยาบาลสิ”

          “เอ๊ะ  ดิมจะมารวนเราทำไม  รันว่ามันก็เป็นน้ำใจมั้ย  นี่เผลอๆคุณเตก็ไม่ได้ไปโรงพยาบาลหรอก  คงจะหาซื้อยากินเองนั่นแหละ  รันล่ะกลัวว่าจะเป็นอะไรหนักขึ้นมาทีหลังจะลำบาก  แถวนั้นไม่มีโรงพยาบาลใหญ่เลยด้วย”

          “คุณก็พูดซะเวอร์  คุณเตนั่นอายุเกินยี่สิบมาหลายปีแล้วนะครับ  ไม่ใช่อายุสองขวบแปดเดือนอย่างคนไข้เบบี๋ของคุณเสียหน่อย  เป็นไข้แค่นี้ ไม่ทำให้ถึงกับตายหรอกน่ะ  เดี๋ยวถ้าเป็นอะไรมาก เจ้านายเขาก็ดูแลกันเองแหละ”

            คนฟังเงียบไป  ไม่พูดอะไรอีก  ส่วนคนพูด พูดจบก็กลับนึกกังวลขึ้นมาแทน  ครุ่นคิดตามคำพูดของคนรัก...จริงด้วยนะ  แถวนั้นไม่มีโรงพยาบาลเลย   แล้วเกิดอาการหนักขึ้นมาล่ะจะทำอย่างไร  เจ้าเด็กนั่นยิ่งเป็นพวกดื้อ ไม่ยอมกินยาอยู่ด้วย  แถมกลัวการไปโรงพยาบาลอย่างกับอะไรดี   ถ้ามันเป็นอย่างที่รันพูดล่ะ

            ถึงจะเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เถอะ  ก็ถ้าเกิดติดเชื้อ ไข้ขึ้นสูงมากๆ มันก็ช็อคได้เหมือนกันนี่หว่า...

            รดิศคิดอย่างว้าวุ่นไปตลอดทางจนกระทั่งถึงโรงพยาบาล  ร่ำลาคนรักเสร็จ   วิรัลแยกกลับไปเอารถขับกลับบ้านไปแล้ว  แต่เขายังคงนั่งอยู่หลังพวงมาลัยคนขับ

            มองไปที่ประตูกระจกของโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำนิ่งๆ  นาฬิกาข้อมือบอกว่า ถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าไปเตรียมตัวผ่าตัดแล้ว

            นั่งอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่  รดิศก็ตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหาแพทย์รุ่นน้องที่จะเข้าช่วยเขาผ่าตัด

            “ฮัลโหล  ผมรดิศเองนะ...ขอเลื่อนเคสไปวันพรุ่งนี้ก่อน  ไม่เร่งด่วนอะไรไม่ใช่หรือ  ใช่...แทรกเอาไว้ช่วงบ่ายวันพรุ่งนี้ก็ได้   ผมติดธุระด่วนจริงๆ ผ่าไม่ได้....”

          พูดกับรุ่นน้องอีกสองสามคำจนเข้าใจตรงกัน ก็วางสาย  ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ขณะที่ถอยรถออกมาจากที่จอดรถเพื่อขับย้อนทางเดิมกลับไป

            บอกตัวเองว่าที่ทำลงไปทั้งหมดเพราะว่าเขารู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุ ให้อีกฝ่ายต้องเกิดอาการนู่นนี่นั่นหรอกนะ  มโนธรรมในใจล้วนๆ ไม่มีความรู้สึกอื่นใดเกี่ยวข้อง

            เพราะเขาไม่ใช่พวกใจคอโหดร้ายอำมหิตอย่างฝ่ายนั้น ที่ปล่อยคนเจ็บนอนจมกองเลือดได้ตะหากล่ะ

            ***********************

          “ฮัลโหล  เต...เป็นอะไรไป  พี่เพิ่งรู้จากเพื่อนนายว่าวันนี้ไม่มาเรียน  เป็นอะไรหรือเปล่า” เขายืนอยู่ที่ใต้หอพักของแฟน  ความจริงเป็นเวลาที่เขาควรจะอยู่ในห้องเลคเชอร์แล้ว  แต่บังเอิญเจอเพื่อนของอีกฝ่ายเข้า เลยรู้ว่าตั้งเตไม่มาเรียน  แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร

          เป็นห่วงจนทนเรียนต่อไม่ไหว เลยโดดเลคเชอร์ออกมากลางคัน ขึ้นรถเมล์มาหอของน้องเพื่อดูให้ชัดว่าเป็นอะไรกันแน่

          “ไม่สบายนิดหน่อยน่ะพี่ดิม  ไม่ต้องเป็นห่วง....เอ๊ะ  นี่พี่ควรจะเรียนอยู่ไม่ใช่เหรอ”  เสียงแหบตอบกลับมา และเปลี่ยนเป็นสูงขึ้นเล็กน้อย  เขาเผลอทำคอหดลงนิดหน่อย  ตอบกลับเสียงหวาน

          “ก็พี่เป็นห่วงเรานี่  ขอพี่ขึ้นไปดูหน่อยได้ไหม”

          “ก็ได้  แล้วต้องรีบกลับไปเรียนนะ”  ตั้งเตอนุญาต แต่ไม่วายกำชับราวกับเป็นคนที่เรียนหมอเสียเอง...เตเป็นแบบนี้เสมอ  เห็นเรื่องเรียนของเขาสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

          เขาขึ้นบันไดมายังชั้น 3 หยุดยืนที่หน้าห้องของแฟนที่จำหมายเลขห้องได้ดี แม้ว่าจะเคยมาแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่เตจะเป็นฝ่ายไปหาเขาที่หอเองมากกว่า  และเตก็ไม่ค่อยอนุญาตให้ใคร แม้แต่คนรักเข้าไปในห้องด้วยถ้าไม่จำเป็น...คงเป็นอาการของพวกโลกส่วนตัวสูงที่บางทีเขาก็เข้าไม่ถึง

          เขาเคาะประตูห้องเบาๆ  ครู่หนึ่งประตูก็เปิดออก  ใบหน้าเล็กๆแดงก่ำด้วยพิษไข้โผล่ออกมาแวบหนึ่งแล้วก็ลับหายเข้าไปในห้อง  เขาเดินตามเข้าไป ปิดประตูตามหลัง

          ภายในห้องขนาดเล็กที่เตอาศัยอยู่กับน้องชาย ตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อนสดใส สมบุคลิกของเจ้าตัว  มีตุ๊กตาโดเรม่อนวางเอาไว้ตามมุมต่างๆ ของทุกอย่างจัดวางอย่างเรียบร้อย เป็นระเบียบราวกับห้องของผู้หญิง

          เจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงเดี่ยวสองชั้น เดาเอาว่าชั้นบนคงจะเป็นของน้องชาย  รอบตัวมีม้วนทิชชูวางอยู่ รวมถึงซองยา และแก้วน้ำเปล่า

          “เป็นยังไงบ้าง  ตัวร้อนจัง  กินยาไปหรือยัง”  เขาตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  ยกมือขึ้นอังหน้าผากรู้สึกได้ถึงไอร้อนที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวของฝ่ายนั้น

          ตั้งเตยิ้มให้เซียวๆ  ตาแดงๆ

          “กินแล้ว”  ตอบอู้อี้ แล้วก็หันไปคว้าทิชชู่ขึ้นมาสั่งน้ำมูกอีกครั้ง

          “กินไปเมื่อไหร่”  เขาซัก  ฝ่ายนั้นอึกอักทันที มองนาฬิกาแวบหนึ่ง

          “สัก....สองสามชั่วโมงก่อน”

          “เอาความจริง”

          “ก็..ประมาณ ตีสอง”  เตตอบอ้อมแอ้ม

          เขาคำนวณเวลาอยู่อึดใจ  ก็คว้าซองยาขึ้นมาเลือก แกะเอาเม็ดยาออกมาวางเรียงเอาไว้เต็มฝ่ามือ

          “เอ้า  กินเดี๋ยวนี้  กินให้เห็นตอนนี้ล่ะ”

          เด็กหัวหยิกหยองหยิบเม็ดยาขึ้นมาจากมือเขาอย่างเสียไม่ได้  ดิมหันไปเทน้ำส่งให้   ฝ่ายนั้นนั่งเพ่งกสิณไปที่เม็ดยาอยู่ครู่ใหญ่ ไม่ยอมกินเข้าไปเสียที

          “กินสิครับคุณตั้งเต ไม่กินยามันจะหายไหมล่ะ”  เขาดุ

          “จริงๆมันก็เริ่มดีขึ้นแล้ว”  เตตอบเสียงอ่อย จ้องไปที่เม็ดยาเหล่านั้นแล้วก็กลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ

          “จะกินดีๆ หรือว่าจะให้พี่ป้อน....แต่พี่ป้อนด้วยปากนะเตือนไว้ก่อน” เขาขู่  ได้ผลเพราะฝ่ายนั้นทำตาโต รีบรับแก้วน้ำจากเขาไปถือเอาไว้  กลั้นใจส่งยาเม็ดแรกเข้าไปปากแล้วกลืนน้ำลงคอ ท่าทางยากลำบากจนอีกฝ่ายเหนื่อยแทน

          “เร็ว อีกสองเม็ดเอง”  เตถอนหายใจนิดหน่อย ก่อนจะหยิบเม็ดที่เหลือขึ้นมาส่งเข้าปากอย่างไม่เต็มใจ  หลังจากกลืนลงคอไปได้สำเร็จก็ถอนหายใจยาวทั้งคนกินและคนที่จับตามองอยู่

          “อ้าปากซิ”

          “โธ่  กลืนลงไปแล้วน่า  ขมติดลิ้นเลยอ่ะ อี๋”  ว่าแล้วก็หยิบน้ำขึ้นดื่มอีกหลายอึก

          “อายุเท่าไหร่แล้วเราน่ะ   แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง  ทำไมไม่สบายไม่บอกพี่  นี่ถ้าพี่ไม่บังเอิญเจอดีดี้พี่จะรู้ไหม”

          “ก็ผมไม่อยากให้พี่เป็นห่วง  เออ จริงสิ  พี่กลับไปเรียนตอนนี้ทันไหม   ผมไม่เป็นไรหรอก กินยาแล้วเดี๋ยวก็หาย”

          “กลับไปไม่ทันหรอก  ไม่เป็นไรฝากเพื่อนจดให้แล้ว  ว่าแต่นายเถอะ  ป่วยอยู่ในห้องคนเดียวแบบนี้ พี่ไม่สบายใจเลย  ไปหาหมอดีกว่ามั้ย”

          “พี่ก็เป็นหมอไม่ใช่เหรอ พี่ก็ตรวจผมสิ  ไม่ต้องไปรพ.หรอก”

          “ฉันเป็นแค่นักศึกษาแพทย์โว้ย  ปี 3 เองด้วย ยังไม่ขึ้นคลินิกเสียหน่อย จะตรวจได้ยังไงเล่า  เอาอย่างนี้ ถ้าอีกสักพักไข้นายไม่ลดลงต้องไปรพ.กับพี่นะ”

          อีกฝ่ายพยักหน้าเรียบๆ เขาเขยิบให้เตล้มตัวลงนอน ห่มผ้าห่มคลุมให้เรียบร้อย  หยิบถุงขนมขบเคี้ยวออกจากข้างตัวของฝ่ายนั้น

          “ป่วยยังจะกินขนมอีก  มันแห้งรู้มั้ยมันจะทำให้ไอ  เออ ไอ้เด็กคนนี้นี่มันรู้เรื่องอะไรกับเค้าไหมเนี่ย” เตหน้าม่อยลงเล็กน้อย รีบหลับตาปี๋  ดิมหัวเราะเบาๆ

          ช่วยเก็บข้าวของจนเรียบร้อยก็กลับมานั่งข้างเตียง  จับตัวน้องดูเห็นยังร้อนอยู่....คงต้องเช็ดตัวลดไข้

          มองซ้ายขวา เห็นกะละมังวางเอาไว้ ก็ไปค้นหาผ้าขนหนูมาได้ผืนหนึ่ง  ยกกะละมังใส่น้ำมาวางข้างตัวคนป่วย

          “เต...เดี๋ยวพี่เช็ดตัวให้นะ  ได้ไข้ลดเร็วๆ”

          “อืม”  อีกฝ่ายพึมพำแล้วก็หลับตา

          เขาจึงลงมือเช็ดตัวตามหลักที่ร่ำเรียนมา(แต่ในตำรา)  ความจริงแล้วเขาไม่เคยเช็ดตัวให้ใครมาก่อนเลยในชีวิตนี้ ลูบผ้าขนหนูบิดหมาดๆไปตามใบหน้า   ลงมาที่หยุดพักที่ซอกคอ  ไล่ไปถึงท่อนแขนเรียว ย้อนกลับเข้าหาหัวใจเพื่อเปิดรูขุมขน  จะได้ระบายความร้อนได้ดี  หยุดพักที่ข้อพับครู่หนึ่ง

          ....เอาไงต่อดีล่ะ...เช็ดตัวมันก็ต้องถอดเสื้อสิจริงไหม?....

          เผลอยิ้มออกมานิดหนึ่ง โชคดีที่อีกฝ่ายหลับตาอยู่เลยไม่เห็น  เอื้อมมือไปแกะกระดุมเม็ดแรกที่ยอดอกของอีกฝ่ายช้าๆ  กระดุมหลุดออก เผยให้เห็นผิวขาวนวลเนียนชวนหัวใจเต้น

          ดิมเอื้อมมือไปแตะที่กระดุมเม็ดที่สอง  ยังไม่ทันได้แกะ  มือเรียวร้อนผะผ่าวก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา

          “ทำอะไรน่ะ”  เตรู้ตัวเสียแล้วสิ

          “พี่จะเช็ดตัวให้ไง”  เขาแก้ตัวเสียงอ่อย  สายตาของอีกฝ่ายบอกชัดว่าไม่เชื่อเลยสักนิด

          “ไม่เป็นไร  แค่นี้พอแล้ว  ขอบคุณมากครับ”  แววตารู้ทันของเตทำให้อีกฝ่ายจ๋อย  ลุกขึ้นมาเอากะละมังไปเก็บ  สักพักก็กลับมานั่งพิงที่เดิม    ลมจากหน้าต่างพัดเข้ามาเบาๆ  บรรยากาศภายในห้องเงียบสงบจนเขาอยากจะทำอะไรสักอย่าง....

          “พี่ดิม...พี่ดิมตื่นหน่อย”

          นักศึกษาแพทย์ปี 3 สะดุ้งพรวด ลุกขึ้นมานั่งอย่างตกใจ  กวาดสายตามองไปรอบห้องเห็นเจ้าของห้องนอนอยู่บนเตียง  ใบหน้าซีดเซียวหันมาทางเขา

          “เป็นอะไรเต  โทษทีพี่เผลอหลับไป”

          “ผมรู้สึกคลื่นไส้อ่ะพี่  เหมือนจะอ้วก”  สิ้นสุดคำว่าอ้วกเท่านั้น  เจ้าตัวก็อาเจียนออกมาทันที  ดิมหันไปคว้าถุงพลาสติกมาส่งให้แต่ไม่ทัน  เปื้อนที่นอนไปนิดหนึ่ง

          ตั้งเตก้มหน้าลงอาเจียนอยู่ครู่ใหญ่ เขาเอื้อมมือไปลูบหลังเบาๆ  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายยังตัวร้อนผ่าวอยู่  ยิ่งพออาเจียนออกมา  ใบหน้าก็ยิ่งซีดเซียวมากขึ้นกว่าเดิม

          “เต  พี่ว่าไปโรงพยาบาลดีกว่านะ  ไข้ไม่ลดเลย แถมอาเจียนด้วย”

          “อ้วกไปแล้ว เดี๋ยวก็หาย”

          “ความเชื่อที่ไหนกันเล่า โธ่  ไปโรงพยาบาลเหอะ  ให้หมอเขาดูหน่อย”  เขาคะยั้นคะยอ  อีกฝ่ายส่ายหัว

          “ไม่ไป  นอนนี่แหละ”  พูดจบก็ล้มตัวลงนอนอีก  ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ

          “ตั้งเต ไปเหอะน่า อย่าดื้อได้มั้ย แค่ไปโรงพยาบาลเอง  เป็นอะไรก็ไม่รู้...เอ๊ะ  หรือว่า...จะท้อง”

          “บ้า!”  คนป่วยเขวี้ยงหมอนข้างใส่เขา

          “ล้อเล่นน่า  ไปเถอะ  เร็ว  นับหนึ่งถึงสาม  ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้  ไม่งั้นพี่จะอุ้มไปนะ”  เขาขู่  อีกฝ่ายยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปงเฉย  ทำเป็นไม่สนใจ

          “หนึ่ง....สอง...สะ”  เขาพูดพลางขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นเรื่อยๆ

          ไม่ทันสาม  เตก็ลดผ้าห่มลงมา  ขยับลุกขึ้นเอง ทำหน้าบึ้งใส่เขา

          “ไปก็ได้  แค่นี้ไม่เห็นจะต้องขู่กันเลย”

          ตวัดเสียงใส่นิดหนึ่ง  ดิมหัวเราะ  เข้าไปช่วยพยุงตัวลุกขึ้นยืน

          หลังจากนั้นเขาก็ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบไปตลอดทาง กว่าจะพาคนป่วยไปถึงโรงพยาบาลได้ เพราะเจ้าตัวจะกลับท่าเดียว   แถมพอหมอบอกให้นอนรพ. 1 คืน ก็ไม่ยอมนอน ต่อรองกับหมอจนเหลือแค่ฉีดยาเข็มเดียวแล้วกลับบ้าน

         อิดเอื้อนอยู่นาน กว่าจะยอมฉีด เล่นเอาทั้งคนพามาทั้งหมอพยาบาลเหนื่อยไปตามๆกัน 

          “กลัวหมอกลัวรพ. กินยาก็ยากแบบนี้ ไม่สมเป็นแฟนหมอเลยนะ”

          “ว่าที่หมอตะหากล่ะ ไข้หวัดธรรมดาแค่นี้  ทำไมรักษาไม่ได้ฮึ  ไม่เห็นต้องถ่อมารพ.ให้เสียตังค์เลย”

          “แหม  รักษาอ่ะมันได้  ง่ายจะตาย  ก็นอนพักก็หายเองแหละ  แต่ที่อยากให้มาเพราะเป็นห่วงไง  กลัวเป็นอะไรขึ้นมา   พี่ไม่แย่เลยเหรอ”

          “ถ้าผมเป็นอะไรขึ้นมา มันก็ตัวผมเองนี่ พี่ไม่เกี่ยวซักหน่อย”

          “ไม่เกี่ยวได้ไง  ก็นายเป็นหัวใจพี่เลยนะ  ถ้าหัวใจเป็นอะไรขึ้นมา  พี่จะอยู่ยังไงอ่ะ ก็ตายอ่ะดิ”

          “อี๋ เสี่ยวสุดๆ”  เตย่นหน้า  ใบหน้าซีดเซียวเริ่มมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง 

          “เสี่ยวแล้วรักไหมล่ะ”

          “ไม่...รักก็บ้าแล้ว  ฮ่าๆ  ขอบคุณนะครับ พี่ดิมที่ดูแลผม”  เจ้าตัวเข้ามากอดแขนของเขาเอาไว้  ซบหน้าลงกับหัวไหล่ของเขา ทำเอาคนถูกอ้อนใจเต้นแรงอย่างไม่ทันตั้งตัว

          “ไม่ดูแลนาย แล้วจะไปดูแลใครล่ะ  ก็บอกแล้วไงว่านายเป็นหัวใจของพี่เลยนะ พี่ก็ต้องดูแลให้ดีสิ” เขายกมือขึ้นลูบศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกสลวยนั้นเบาๆ

          “งั้นพี่เป็นหมอหัวใจเลยดีไหม จะได้ดูแลผมได้ดีๆไงล่ะ”  เตพูดแกมหัวเราะ

          “หมอหัวใจเหรอ  หึๆ  ไอเดียดีแฮะ  ตกลง พี่จะเป็นหมอหัวใจที่เก่งที่สุดในโลกเลยดีไหม จะได้ดูแลนายได้ดีที่สุดไง”

          “ขี้โม้ชะมัด  เอาปีสามให้ผ่านไปแบบสวยๆก่อนเหอะ”  ตั้งเตย่นจมูกใส่

          “โธ่  อย่าเอาความจริงอันโหดร้ายมาพูดสิ กำลังฝันเลย....เออ  เตรู้ไหมว่า เรียนผ่าหัวใจน่ะยากที่สุดเลยนะ  รู้มั้ยทำไม”

          “ทำไมเหรอ”  เด็กหนุ่มหันมาถามอย่างสนใจ  เขากลั้นยิ้มอยู่ในหน้า ตอบกลับไปอย่างจริงจัง

          “เพราะตัดใจมันยากไงล่ะ” 

          เตนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นทุบไหล่เขาแรงๆ   ดิมหัวเราะออกมาดังๆ  จูงมือเด็กน้อยของเขาเดินเข้าไปส่งในหอ

          เห็นเตยิ้มได้ ทุบเขาไหวก็โล่งอกโล่งใจ กลับบ้านนอนหลับได้แล้วล่ะ



            ********************

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 26-01-2017 23:10:50
ต่อนะคะ



            ชายหนุ่มนอนมองเพดานห้องอยู่นานแล้ว  ถึงแม้ว่าเขาจะปวดศีรษะมากจนเหมือนมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ว่าเขากลับไม่สามารถหลับตาลงได้เลยแม้สักวินาทีเดียว

            เพราะภาพใบหน้าคมเข้มของผู้ชายคนนั้นยังติดตา   คำพูดทุกถ้อยคำที่ได้ยินยังแว่วอยู่ริมหูซ้ำไปซ้ำมา 

            ....พี่ดิมจำเราได้  เขาไม่เคยลืมเราเลยสินะ   เป็นความผิดของเราเองที่ทิ้งพี่เขาไปแบบนั้น   แต่มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนั้นไม่ใช่หรืออย่างไร    เราเคยสัญญากับตัวเองไปแล้วไม่ใช่หรือ  ว่าจะไม่มีวันเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว....ใช่  เราเคยคิดแบบนั้น  สุดท้ายมันก็เป็นแค่ความคิดแบบเด็กๆที่ไม่เคยรู้จักความผิดหวังและทรมานจากความรักมาก่อน  จนกระทั่งได้ลิ้มรสชาติมันเข้าอย่างสาแก่ใจ

            เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยคิดง่ายๆว่าจะสามารถตัดใจจากผู้ชายคนที่เป็นรักครั้งแรกได้  คงจะใช้เวลาไม่นานที่เขาจะลืมเรื่องราวระหว่างกันและกันหมดสิ้น  ทว่าความจริงมันตรงข้าม  นอกจากลืมไม่ได้สักเรื่องเดียวแล้ว  กลับยังโหยหา ทั้งอาลัยอาวรณ์อยากย้อนเวลากลับไปแก้ไขใหม่

            ใช้เวลานานหลายปี กว่าไฟในใจจะเริ่มมอดลงบ้าง  กว่าจะพอทำใจได้ว่า เรื่องที่ผ่านมาแล้วเป็นเพียงอดีตก็นานโข  แล้วเคราะห์กรรมอะไรทำให้พวกเขาต้องกลับมาเจอกันอีก

            เหมือนตะกอนที่นอนก้นถูกกวนขึ้นมาลอยฟุ้งอีกครั้ง

            ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาดีใจ...ดีใจมากที่อีกฝ่ายยังจำเขาได้อยู่   ก่อนหน้านี้ถึงจะบอกตัวเองว่าดีแล้วที่พี่ดิมลืมเรื่องทั้งหมดไปเสีย จะได้ไม่เสียใจ  แต่เขารู้ตัวดีว่าเป็นการหลอกตัวเอง   ลึกๆแล้วเขาอยากให้พี่ดิมจำได้   ไม่มีใครอยากให้คนรักลืมตัวเองหรอก  ต่อให้เป็นคนเคยรักก็เถอะ

            แม้ว่าพี่ดิมจะยังโกรธเขาอยู่  แต่เชื่อว่าถ้าเขาได้อธิบายให้ฟังถึงเหตุผลทั้งหมดแล้ว  ฝ่ายนั้นจะต้องเข้าใจ และก็ยกโทษให้เขา  เพราะสิ่งที่เขาทำลงไป  ไม่ได้เพื่อตัวเองเลย  แต่เพื่อคนที่เขารักทั้งสองคน

            คงถึงเวลาที่จะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่ดิมฟังแล้วล่ะ  ไม่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมารักกันเหมือนเดิม  เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว  เค้ามีคนรักที่สมบูรณ์แบบ  ส่วนเขาก็มีครอบครัวที่อบอุ่น   เรื่องรักใคร่คงเหลือเป็นแค่ความทรงจำ  ตอนนี้เขาจะเปลี่ยนความโกรธเคืองของพี่ดิมให้กลายเป็นความเข้าใจและให้อภัย  หลังจากนั้นเราก็จะจากกันแบบดีๆ  ไม่เหมือนหลายปีก่อนที่เต็มไปด้วยคราบเลือดและหยาดน้ำตา

            รอให้กลับกรุงเทพฯก่อน  เขาจะไปหา  ไปอธิบายให้เค้าคนนั้นฟัง

            ชายหนุ่มกลั้นใจหลับตาลงอีกครั้ง   ทว่าเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน

..................................................................................

..................



          นายแพทย์รดิศแอบมองผ่านประตูเข้าไปภายในห้องจัดเลี้ยงของโรงแรม ครู่หนึ่งก็มองเห็นร่างสูงโดดเด่นของเจ้านายของเตยืนอยู่กลางวงล้อมของสาวสวยหลายคน  ท่าทางกำลังพูดคุยกันอยู่สนุกสนานติดพัน

            กวาดตาไปรอบๆ ไม่ยักเห็นร่างโปร่งบางของใครอีกคนที่ทำหน้าที่ล่าม   เขาจึงทำทีจะเดินเข้างาน  ติดที่พนักงานที่อยู่ที่โต๊ะข้างหน้าห้องจัดงานร้องถามเสียก่อน

            “เชิญลงทะเบียนก่อนนะคะ คุณ  ขอบัตรเชิญด้วยค่ะ”

          “ผม...จะขอพบคนในงานหน่อยครับ  ธุระสำคัญ”  ชายหนุ่มหน้าเข้มหันไปตอบอย่างสุภาพ

            “ขอพบคุณอะไรคะ”

            “คุณติณธรครับ  ตำแหน่งล่ามของบริษัท...เอ่อ.. ของคุณภาคย์น่ะครับ”  ดิมลืมชื่อบริษัทของไอ้หมอนั่นเสียสนิท  โชคดีที่พนักงานต้อนรับสาวสวยดูเหมือนจะรู้จัก

            “อ๋อ  ใช่คุณเตหรือเปล่าคะ”

            “ใช่ครับ  นั่นแหละ”  เขารีบพูด  นึกสงสัยนิดหน่อยว่าสาวตรงหน้าไปรู้จักมักจี่กับผู้ชายคนนั้นขนาดเรียกชื่อเล่นกันอย่างคุ้นเคยเช่นนี้ได้อย่างไร

            “คุณเตไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงค่ะ”

          “อ้าว  ทำไมล่ะครับ”  เขาแกล้งถาม

            “ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”  เธอปฏิเสธ  ชายหนุ่มจึงขอบคุณเธออย่างสุภาพแล้วเดินแยกจากมา   ระหว่างทางก็ครุ่นคิดไปด้วย

            ...ไม่ลงมาเพราะอะไร  เพราะป่วยหนักลงมาไม่ไหวใช่ไหม  เฮอะ...นึกถึงท่าทางยิ้มระรื่นท่ามกลางสาวๆของเจ้านายหน้าตี๋ในห้องจัดเลี้ยงนั่น   นี่ถ้าตั้งเตนอนซมอยู่จริงๆอย่างที่คิดล่ะก็ เขาจะหัวเราะด้วยความสมน้ำหน้าให้ฟันหักกันไปข้างเลย...

            ขึ้นลิฟต์มาจนถึงชั้นที่นักเขียนหนุ่มพักอยู่  เดินตรงดิ่งไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักของฝ่ายนั้น  เคาะประตูดังๆอย่างไม่ลังเล   ครู่เดียวประตูก็เปิดออก

            ใบหน้าเรียวแดงก่ำด้วยพิษไข้โผล่ออกมา  มองหน้าเขานิ่งค้างราวกับงงงันแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาแดงฉ่ำแรงๆ

            “พี่ดิม?”

          “ใช่  ผมเอง  ขอเข้าไปหน่อย”  ชายหนุ่มพูด แล้วเอามือดันบานประตูให้เปิดออกแล้วก้าวเข้าไปภายในห้องพักห้องเดิม   เจ้าของห้องมองตาม ท่าทางมึนๆงงๆ สายตาจับจ้องมาที่เขามีทั้งความสงสัยและหวาดระแวง ทว่ามีความดีใจแฝงอยู่ด้วย

            ดิมกวาดตามองร่างที่อยู่ในชุดนอนคลุมด้วยผ้าห่มอีกชั้น  ผมหยิกยุ่งเหยิงล้อมกรอบใบหน้าเซียว ปากแดงเผยอนิดๆเพื่อหอบหายใจ  เจ้าตัวถอยไปนั่งบนเตียงกลางห้อง  สูดน้ำมูกฟืดฟาด ...เหอะ  ไข้ขึ้นเสียงอม

            “ไปหาหมอมารึยัง”  เขาถามเรียบๆ

            “ยัง”  ตอบสั้นๆ แล้วหลบตาเขาไปทางอื่น

            “แล้วกินยาอะไรไปบ้าง”

          “พาราฯ”  คนฟังเลิกคิ้ว  เอื้อมมือไปหยิบซองยาที่โต๊ะหัวเตียงขึ้นมาดู  เห็นเม็ดยาที่ถูกหักเหลือเอาไว้ครึ่งหนึ่งสอดอยู่ในห่อลวกๆก็นึกรู้ได้ทันที ว่าอีกฝ่ายคงจะกินเข้าไปแค่ครึ่งเม็ด ตามนิสัยกินยายากเป็นแน่

            “กินไปเท่าไหร่”

            “ครึ่งเม็ด...ก็มันไม่ได้เป็นไรมาก”  อีกฝ่ายอ้อมแอ้ม

          “ต้องให้บอกกี่รอบว่าถ้ากินไม่ครบโดส ก็เหมือนไม่ได้กินนั่นแหละ”

            “ก็มัน...ฮึ”  ขยับปากเหมือนจะเถียง แต่สุดท้ายก็พ่นลมออกมา  หันไปทางอื่น 

            “ทำไมไม่ยอมไปหาหมอ  หรือว่าเขาไม่พาไป”   รดิศเดินเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆอีกฝ่าย  น้ำหนักตัวทำให้เตียงยวบลงเล็กน้อย  คนป่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงคอ 

            “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากขนาดนั้น”  เตตอบ เสียงแหบแห้ง  คนฟังถอนหายใจออกมาแรงๆ  ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ดึงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดฟังก์ชั่นไฟฉาย สั่งเรียบๆ

            “อ้าปาก”

            “............” 

            เตไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าเหตุใดจึงยอมอ้าปากให้ฝ่ายนั้นส่องไฟตรวจคอให้แต่โดยดี คงเป็นเพราะมาดคุณหมอจอมโหดที่ฝ่ายนั้นแสดงอยู่อย่างแนบเนียนกระมัง

            ดิมลดไฟลง  ยกมือขึ้นจับที่ข้อมือของเขา  เตตกใจจะดึงมือกลับ แต่ถูกมือแข็งแรงยึดเอาไว้มั่น

            “จับชีพจร  อยู่นิ่งๆ”  พูดเสียงดุใส่ แล้วก็ก้มลงมองนาฬิกา

            ติณธรจับตามองคุณหมออยู่เงียบๆ....พี่ดิมจะรู้หรือเปล่า ว่าหัวใจของเขามันเต้นเร็วขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก  ไม่ใช่เพราะพิษไข้หรอก  แต่เพราะฝีมือหมอตรวจอย่างใกล้ชิดนี่แหละ....ผ่านไปครู่หนึ่งอีกฝ่ายก็ปล่อยข้อมือของเขาเป็นอิสระ

            “มีปรอทไหม”  คนฟังส่ายหน้า

            คนตรวจถอนหายใจอีกรอบ ยกหลังมือขึ้นอังที่บริเวณหน้าผากและซอกคอ  กระแสเลือดวิ่งซู่ขึ้นมารวมกันที่ใบหน้าจนเตมั่นใจว่ามันคงจะแดงยิ่งกว่าก่อนตรวจแน่นอน

            “นอนพักบนนี้ก่อน  ผมจะลงไปซื้อยา”

            ศัลยแพทย์หนุ่มลุกขึ้นยืน พูดห้วนๆ  แล้วเดินกลับออกมาจากห้อง   คนป่วยมองตามหลังอย่างงงๆ  เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่  พี่ดิมกลับมาจริงหรือว่าเขากำลังฝันไป?

          ถ้าอย่างนั้นจะทำแบบนี้เพื่ออะไรกันล่ะ  สายตาที่บอกว่าห่วงใย  สองมือที่สัมผัสอย่างอ่อนโยนแผ่วเบาคล้ายกลัวว่าเขาจะเจ็บ  ช่างตรงข้ามกับผู้ชายในห้องน้ำเมื่อตอนเช้าราวกับเป็นคนละคน  เตน้ำตาคลอโดยไม่รู้ตัว  ไม่รู้เลยว่าคนที่ก้าวเข้าไปในร้านขายยา สั่งซื้อยาที่ต้องการเรียบร้อยแล้วกลับเข้ามาในลิฟต์นั้น กำลังถามตัวเองอยู่เช่นกัน

            ...นี่เรากำลังทำบ้าอะไรเนี่ย  แคนเซิลเคสผ่าตัดทั้งหมดเพื่อบึ่งรถกลับมาดูผู้ชายคนนั้นเนี่ยนะ   แถมลงมาซื้อยาให้ราวกับเป็นอะไรกันงั้นแหละ  ขนาดตอนรันป่วยเขายังไม่เคยทำให้ขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ  อ้อ เพราะรันเป็นหมอ ดูแลตัวเองได้  ไม่เหมือนรายนี้ที่ขนาดกินพาราฯยังกินแค่ครึ่งเม็ดเลย

            ใช่  เพราะเขาเป็นหมอไง  จิตวิญญาณของคนในชุดกาวน์มันบังคับทำให้เขานิ่งดูดายเห็นคนป่วยไม่ได้  ต้องเข้ามาช่วยเหลือ   ใช่แล้ว  เพราะแบบนั้นนั่นเอง ... ประตูลิฟต์เปิดออก  เขาก้าวออกมา เดินไปตามทางเดิน  ชะงักเมื่อเห็นร่างสูงของเจ้านายหน้าตี๋ยืนอยู่หน้าห้องของเต

            เขาเห็นประตูห้องเปิดออก  ก่อนที่คนข้างในจะโผล่หน้าออกมา  พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้อีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบที่ซีกแก้มนั้นเบาๆ

คนแอบมองกำถุงยาในมือแน่น  เม้มปากจนแทบจะกลายเป็นเส้นตรง  ยืนมองผู้ชายสองคนนั้นถอยกลับเข้าไปภายในห้องเงียบๆ

รดิศกลับลงมาที่รถได้อย่างไร เจ้าตัวก็ไม่รู้เหมือนกัน  รู้แต่ว่าในหัวของเขามันขาวโพลน  ก้าวเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยนิ่งๆครู่ใหญ่   เพิ่งนึกได้ว่าในมือยังกำถุงยาเอาไว้แน่น  เขาเขวี้ยงมันลงกับเบาะข้างๆ  ซองยาข้างในตกกระจายลงบนพื้นรถ  แต่เขาไม่สนใจ

เหอะ...มีคนดูแลอยู่แล้วนี่   นายมันโง่ ไม่รู้จักจำ นายดิม  เห็นหน้าซีดๆเข้าหน่อยก็ใจอ่อนตลอด  โธ่เว้ย! ชายหนุ่มฟาดมือลงกับพวงมาลัยแรงๆ ระบายอารมณ์หงุดหงิดพลุ่งพล่าน

เขารู้สึกพ่ายแพ้  รู้สึกพลาดที่ตัดสินใจกลับมา   ภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้มันทำให้เขาโกรธตัวเอง   และอับอาย

ทั้งที่บอกตัวเองไม่รู้กี่รอบว่าเขาแค้นเด็กหนุ่มคนนั้น   เป็นความเคียดแค้นที่ไม่อาจให้อภัยได้  แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าของหมอนั่น เขาเป็นต้องลืมเรื่องราวต่างๆนานาที่ฝ่ายนั้นทำเอาไว้ทุกที  ขณะที่ตอนนั้นเขาเจ็บจะเป็นจะตาย  ฝ่ายนั้นก็แต่งงาน แฮปปี้มีความสุขดี  ขณะที่เขาบอกตัวเองว่าแค้นอีกฝ่ายที่ทิ้งเขาไว้อย่างโหดร้าย  แค้นจนไม่อยากเห็นหน้ากันอีกแล้ว  แต่ตัวเองกลับรีบบึ่งรถกลับมาหาเพราะเป็นห่วง  แถมฝ่ายนั้นก็ใช่ว่าจะมองเห็น   กลับมีคนดูแลอยู่แล้วแท้ๆ...มันน่าเจ็บใจนัก!

คุณหมอหนุ่มสตาร์ทรถแล้วขับปราดออกไปจากที่จอดรถอย่างเร็วด้วยความโมโห   ไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีรถเก๋งที่วิ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงไม่แพ้กัน  เสียงบีบแตรดังลั่น

รดิศหันกลับไปมองในวินาทีนั้น    ภาพสุดท้ายที่เห็นคือดวงไฟกลมๆหน้ารถสองดวงสาดแสงเข้ามาที่ตาทั้งสองข้างของเขาจนพร่าเบลอ  ตามด้วยเสียงดังโครมใหญ่  รู้สึกถึงแรงกระแทกอย่างแรงจนสะเทือนลึกเข้าไปถึงกระดูก  จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีก

...



มาต่อจนจบตอนค่ะ  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามกันมา
เจอกันตอนหน้านะคะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่จริง]100% ตอนที่8 25/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 27-01-2017 00:23:01
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 27-01-2017 03:29:15
ค้างงงง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 27-01-2017 07:04:07
หมอดิมเจออุบัติเหตุสองซ้ำสองซ้อน

จริงๆแล้วสงสารพี่ดิมมากกว่าน้องเตนะ

โดนบอกเลิก ถูกทิ้งตอนที่เจ็บตัว เจ็บทั้งตัวเจ็บทั้งใจ

ก้อไม่แปลกนะที่จะแค้นเต

อือออ. ทั้งรักทั้งแค้น

 :z3:   :z3:   :z3:   :z3:   :z3:

..
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 27-01-2017 08:47:18
พี่ดิม!!!!!!!!!!!
จะเป็นอะไรมากไหมล่ะนั่น สงสารพี่หมอมากเลย

ต่างคนก็ต่างรักกัน //ตอนนี้พี่หมอเจ็บกว่าเตเยอะเลย อุบัติเหตุครั้งนี้จะพรากความทรงจำไปหมดเลยรึป่าวนะ ?
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 27-01-2017 13:49:46
คิดว่าเตคงมีเหตุผลที่ต้องเลิกกับหมอ น่าจะเพราะน้องชายทำผู้หญิงท้อง แล้วเตเลยต้องรับเป็นลูก แต่งงานในนาม แต่กำลังสงสัยว่าหมอรันอาจมีส่วนกับเรื่องนี้ด้วยหรือเป่ล่า ดูท่าหมอรันน่าจะชอบดิมมาตั้งแต่ตอนเป็นเพื่อนกันแล้ว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 27-01-2017 15:40:52
ความแค้นบดบังเหตุผลทุกอย่าง
ไม่ถามอะไรน้องเลย ทั้งรักทั้งแค้นสินะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 27-01-2017 16:29:30
รถชนเพราะคนๆเดียวตั้ง 2 ครั้ง เป็นแมวเก้าชีวิตหรอ 55555 จะความจำเสื่อมจริงๆหรือแค่สีข้างถลอกล่ะ 555 อย่างนี้ละน๊าจะได้ฟังความจริงอยู่รำไร ไยต้องมาเจอแบบนี้ด้วย นกค่ะ!! 55 อ้าววแล้วจะเป็นไงต่อละเนี้ย ความทรงจำอันหอมหวานและขมขื่นเตดิมจะยังมีอยู่ไหม ก็หวังว่าคงไม่เป็นไรนะ ชนครั้งนี้ รอๆตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-01-2017 19:41:58
   เพิ่งมาอ่านคับ สนุกมากๆ อ่านๆไปทำให้เกิดหลากหลายอารมณ์มากๆ ทั้งหวานจากอดีต ทั้งหงุดหงิดเตที่มีบุคคลิกเป็นผู้ชายที่อ่อนมากๆ และสะใจฉากพระเอกหึง หวงเตทั้งๆที่บอกตัวเองว่าเกลียดเตมากๆเพราะยังไม่รู้ความจริง เห้อออ หมอจะตายเพราะโกรธคนรักเก่านี่ล่ะมั้ง  รออ่านตอนต่อไปคับ อ่านแล้วสะใจตัวละครมากๆ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: milky way ที่ 27-01-2017 20:45:05
พระเอก? โดนรถชนอีกละ หวังว่าคงจะไท่เป็นอะไรมากนะพี่
เต น่าจะมีอะไรในอดีตที่ทำให้ต้องทิ้งคนรักไป น่าสงสาร จนถึงปัจจุบัน แต่ทำไมทไม่ปฏิเสธเวลา โดนเจ้านายเจ้าชู้ใส่ ดูปล่อยชีวิตเกินไป อยากให้ เตสู้มากกว่านี้หน่อยนึง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เลือก]100% ตอนที่9 26/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-01-2017 03:04:27
สนุกมากกกกกกก
จัดเต็ม ครบทุกรสชาติ

ถ้ามันใช่ ก็ต้องเจอ คนที่ใช่
ถ้าไม่ใช่ ถึงจะเจอ ก็เมินหมาง
คนที่ใช่ กับไม่ใช่ ใจสวนทาง
ร้องครวญคราง ไม่ว่างเว้น เห็นคนรัก

ถูกใจ เอาไป +1 เลย
ขอบคุณฮับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว] ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 28-01-2017 11:03:34
เพราะหัวใจบอกว่า...กลัว

 

 

 

 

         

            “ระวัง!!!”

          เขาตะโกนออกไปสุดเสียง  แต่ไม่ทัน รถยนต์คันนั้นกระแทกร่างของพี่ดิมอย่างแรงจนลอยหวือขึ้นทั้งตัว  แล้วตกลงมากระแทกเข้ากับกระจกหน้ารถ ก่อนจะกลิ้งลงมากองกับพื้น

            รถยนต์คันหลังเบรกกันเป็นแถว  มีเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากผู้ที่เห็นเหตุการณ์รอบด้าน  หลายคนยกมือขึ้นปิดปากอย่างลืมตัว เช่นเดียวกับเขา

            ขาแข็งจนแทบก้าวไม่ออก  เขายืนมองร่างของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายที่นอนอยู่กลางถนน  เลือดไหลออกมามากมายเสียจนเสื้อนักศึกษาสีขาวกลายเป็นสีแดงชุ่มโชก  หัวใจของเขาเต้นรัวเร็วอยู่ในอก  รู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม  แต่ก็แข็งใจเดินตรงเข้าไปหา  ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นถนนขรุขระ เอื้อมมือไปเขย่าตัวร่างนั้นเบาๆ

            “พี่ดิม ...”  เขาพูดไม่ออก  มือสั่น

            ใบหน้าคมเข้มซีดเผือด  ค่อยๆหันกลับมามองเขาช้าๆ  เลือดสีแดงสดไหลลงมาตามขมับจนเปื้อนหลังมือของเขาที่ประคองใบหน้าของฝ่ายนั้นอยู่  ริมฝีปากแห้งผากพูดเสียงเบาจนเขาต้องเงี่ยหูฟังจนชิด

          “....................”  เสียงกระซิบแผ่วเบาจนเขาไม่ได้ยิน   ตอนนี้น้ำตาเริ่มจะเอ่อท้นขึ้นมา ทำให้ใบหน้าของคนเจ็บพร่ามัว

            “พี่พูดว่าอะไร.... ใครก็ได้  ช่วยด้วย  ช่วยพี่ดิมที  ช่วยพี่ดิมด้วย”

          เขาหันไปร้องตะโกนบอกรอบด้าน  น่าแปลกที่กลับไม่พบใครเลย  ทั้งที่เมื่อสักครู่นี้มีคนอยู่เต็มถนนแท้ๆ  ทว่าตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่เขากับพี่ดิมที่นอนจมกองเลือดอยู่เพียงแค่สองคน

            “ช่วยด้วย   ช่วยพวกเราด้วย  ขอร้องล่ะ  ช่วยพี่ดิมที  ฮือ…”  ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกอยู่ที่คอ  พร้อมกับน้ำตาที่พรั่งพรูออกมา  เขาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเสียงแหบแห้ง  แต่ก็ไม่มีใครมาช่วย

ถนนทั้งสายโล่งและว่างเปล่า

พี่ดิมหอบหายใจหนักๆหลายครั้ง  เลือดจำนวนมากทะลักออกมาจากบาดแผลบริเวณท้องและที่ศีรษะ  ไหลอาบพื้นถนนและกางเกงของเขาที่คุกเข่าอยู่ข้างๆจนกลายเป็นสีแดงฉาน  ในความเงียบได้ยินเพียงเสียงหอบหายใจและเสียงสะอื้นของตัวเองเท่านั้น

เขาจับมือที่เย็นชืดของคนเจ็บขึ้นมาแนบแก้ม

            “พี่ดิมทำใจดีๆเอาไว้   พี่ต้องไม่เป็นอะไรนะ  ถ้าพี่เป็นอะไรไป  ผม..คงทนอยู่ไม่ไหว”  เขาพูดละล่ำละลัก  แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ   เลือดยังคงไหลเนืองนองออกมาราวกับเขื่อนแตก  เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากเอามืออุดกั้นที่บาดแผลเอาไว้อย่างนั้น   ท่าทางคนเจ็บเหมือนต้องการจะพูดอะไรกับเขาสักอย่าง  ที่เขาไม่ได้ยิน

            “พี่อย่าเพิ่งพูดอะไร  รอก่อนนะ  รออยู่ที่นี่ก่อน ผมจะไปตามหมอ”  เขาตัดสินใจเด็ดขาด  ปล่อยมือข้างนั้นลงวางแนบลำตัวของคนเจ็บ  แล้วลุกขึ้นยืน

            ถ้าขืนยังเอาแต่นั่งรอความช่วยเหลืออยู่แบบนี้ ก็ไม่ต่างกับการนั่งรอความตาย  ในเมื่อไม่มีใครมาช่วย  เขาก็จะออกไปหาความช่วยเหลือเอง  คงจะมีโรงพยาบาลหรือใครสักคนที่จะช่วยเขาได้

            คิดได้ดังนั้น เขาก็รีบออกวิ่งไปตามถนนที่โล่งไร้ผู้คน   เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองไม่ได้ใส่รองเท้า  พื้นถนนที่ขรุขระบาดฝ่าเท้าของเขาทุกย่างก้าว  แต่เขาแทบไม่รู้สึกเจ็บ  เพราะใจมัวแต่พะวงถึงใครอีกคนที่นอนรอความช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง

            วิ่งเท้าเปล่ามาจนถึงตึกสี่เหลี่ยมคุ้นตา  จำได้ทันทีว่าคือตึกเรียนของเขาเองตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย  ไม่รอช้ารีบวิ่งตรงขึ้นไปบนตึก  ผ่านระเบียงที่พี่ดิมชอบมานั่งรอรับเขาตอนเย็นหลังเลิกเรียนเป็นประจำ

            “ช่วยด้วยครับ  มีใครอยู่บ้างไหม  มีคนเจ็บ  ช่วยด้วย”   

            ข้างบนตึกเงียบสงัด   โต๊ะเรียนและห้องเลคเชอร์ว่างเปล่า  ไม่มีเสียงพูดคุยอย่างเคย   เกิดอะไรขึ้น  หายไปไหนกันหมด...เขาวิ่งลงมาจากตึกเรียน  ข้างนอกนั่นกลับเป็นสวนสาธารณะที่เขาชอบมาวิ่งออกกำลังกายเป็นประจำ  มองไปเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งกำลังวิ่งเหยาะๆอยู่ไกลๆ

            เขาเร่งฝีเท้ามากขึ้นเพื่อจะได้ตามหลังผู้ชายคนนั้นได้ทัน  ทว่ายิ่งเร่งฝีเท้ามากขึ้นเท่าไหร่  ร่างนั้นกลับยิ่งไกลห่างไปมากกว่าเดิมเท่านั้น

            “คุณครับ  เดี๋ยวสิ  รอก่อน  ช่วยผมด้วย”  ตะโกนเรียกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอมหันกลับมา   ได้แต่ออกแรงวิ่งไปเรื่อยๆจนจำไม่ได้ว่ามันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว   ราวกับว่าทางมันทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด  เหมือนกับเขากำลังวิ่งเป็นวงกลมอยู่โดยไม่พบทางออก

            แต่จะหยุดวิ่งก็ไม่ได้ เพราะทางรอดเดียวของเขาก็คือผู้ชายที่เห็นหลังไวๆข้างหน้าคนนั้น  เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะช่วยพี่ดิมได้  เขามั่นใจ...เหงื่อไหลซึมลงมาเข้าตา ปนกับหยาดน้ำตา  ได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเองกับเสียงฝีเท้าที่กระทบพื้น  หัวใจเต้นแรง   เขาเหนื่อยจนแทบขาดใจ

            เหนื่อย...เหนื่อยเหลือเกิน  ทำไมวิ่งตามเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที 

            “คุณ   หยุดก่อน  รอผมด้วย”  ร้องบอกอีกครั้ง  เหมือนเดิม ฝ่ายนั้นไม่ยอมหยุดรอ  เป็นเขาที่เหนื่อยจนก้าวต่อไปไม่ไหวแล้ว  จำต้องหยุดยืนอยู่กับที่เพื่อหอบหายใจ

            เพิ่งสังเกตว่าตนเองวิ่งออกมาจากสวนสาธารณะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้  มาหยุดยืนอยู่กลางสี่แยก ที่พี่ดิมถูกรถชน  ทว่าตอนนี้กลับไม่มีร่างของคนเจ็บนอนรอความช่วยเหลืออยู่อย่างที่ควรจะเป็น

            พี่ดิมหายไปไหน

            “พี่ดิม   พี่ดิมอยู่ที่ไหน  ตอบเตหน่อย”

            เขาตะโกนจนเสียงแห้ง  แต่ไม่มีเสียงตอบรับมาจากที่ไหนบนถนนโล่งๆ  ออกแรงวิ่งอีกครั้ง เพื่อค้นหา

             ...หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ   คล้ายกับว่าอีกฝ่ายได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย  แม้แต่คราบเลือดบนพื้นถนนก็ยังหายไปด้วย   หรือว่าเขาจะตาฝาด  ไม่มีทาง เพราะคราบเลือดที่ฝ่ามือของเขายังติดแน่นอยู่เต็มฝ่ามือทั้งสองข้าง  บ่งบอกว่าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นจริง

“พี่ดิม  ผมขอโทษ  พี่กลับมาเถอะ”

หัวใจเต้นเร็วแรงเริ่มอ่อนช้าลงตามเวลาที่ผ่านไป   เช่นเดียวกับฝีเท้าที่ผ่อนลงจนหยุดนิ่งอยู่กับที่

            สุดท้ายก็เหลือเขาเพียงคนเดียวอีกแล้ว  เหมือนที่เคยเป็นมา และจะเป็นต่อไป  สุดท้ายก็ไม่เหลือใคร  พี่ดิมจากไปแล้ว  ไม่รู้เหมือนกันว่าไปที่ไหน  ไม่รู้ว่าจะไปตามได้จากที่ไหน  รู้แต่ว่าคงจะไม่มีวันได้เจอกันอีก ความรู้สึกข้างในลึกๆมันบอกอย่างนั้น   เหตุการณ์เมื่อครู่นี้คือการพบกันครั้งสุดท้ายของเราสองคน

....แว่วเสียงสะอื้นดังออกมาจากซอกลึกที่สุดของหัวใจ

มันดังก้องสะท้อนกลับไปกลับมาจนเข้าหูตัวเอง

ชายหนุ่มสะดุ้งตื่น ลุกขึ้นมานั่งหอบหายใจบนที่นอน  น้ำตายังคงไหลรินเป็นสายอาบแก้ม  ใจสั่นไหววูบอย่างรุนแรงจนต้องยกมือขึ้นกดหน้าอกของตัวเองเอาไว้   เหงื่อไหลชุ่มเนื้อตัว....นี่มันอะไรกัน  เมื่อกี้เราฝันไปหรอกหรือ 

ภาพชายหนุ่มที่นอนบนพื้น ร่างอาบเลือดไม่กระดุกกระดิกยังคงติดตา   มันเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดที่เขาพยายามจะลืม  แต่มันก็ไม่เคยลืมได้สำเร็จสักที  และกลายเป็นฝันร้ายทุกครั้งที่เขาเผลอหลับไปเองโดยไม่พึ่งยานอนหลับ ทำให้เขาต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก  ใจเต้นตุบๆ  รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปในเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง

ถ้าวันนั้นเรากลับไปช่วย...ถ้าเราไม่ตัดสินใจผละออกมา  ผลลัพธ์ในวันนี้มันจะเป็นอย่างไรหนอ

            คำถามที่ไม่มีใครตอบได้ ...ชายหนุ่มถอนหายใจยาว  หันกลับไปมองนาฬิกาพรายน้ำบอกว่าเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาเขยิบตัวลงจากเตียง   รู้สึกอาการไข้ดีขึ้นมากแล้ว  คงเป็นเพราะยาที่ภาคย์ลงไปหาซื้อมาให้

นึกสงสัยเหมือนกันว่าคุณหมอหน้าเข้มคนนั้นหายไปไหน   แต่ช่างเถอะ  เขาคงจะมีงานด่วนกระมัง  หรือไม่ก็เปลี่ยนใจตามนิสัยลมเพลมพัด เอาแน่เอานอนไม่ได้

มองไปเห็นเงาตะคุ่มของใครคนหนึ่งทอดยาวอยู่บนโซฟาหน้าโทรทัศน์  เดาว่าคงจะเป็นเจ้านายของตน   เขาจึงลดฝีเท้าลง  ก้าวเข้าไปใกล้  เห็นฝ่ายนั้นนอนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ราวกับกำลังทะเลาะกับใครสักคนในความฝัน 

ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด  ก้มลงจับผ้าห่มที่ยับย่นดึงขึ้นมาคลุมให้เรียบร้อยเหมือนเดิม  ยังไม่ทันดึงมือกลับ  มือแข็งแรงของคนนอนหลับก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือของเขา

เตตกใจ  สบตาเรียวเล็กของเจ้านายที่มองมาที่เขานิ่ง

“ตื่นแล้วหรือ คุณเต  ดีขึ้นหรือยัง”  ภาคย์ถาม

“ดีขึ้นมากแล้วครับ  ขอบคุณคุณภาคย์มากที่ช่วยดูแลผม”

“มันก็เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว  ที่จะต้องดูแลคุณให้ดี  ในฐานะ..ลูกน้อง”  อีกฝ่ายสะดุดนิดหน่อย  คนฟังยิ้มนิดๆ มองที่มือของเขาที่จับข้อมือเล็กบางอยู่  เขาจึงปล่อย

“ขอโทษที่ทำให้คุณตื่น”  เตบอก หลบตาอีกฝ่าย  เสไปมองทางอื่น   ภาคย์มองตามสายตาที่เบือนหลบอย่างไร้จุดหมายนั้น   เห็นซองยาวางอยู่บนโต๊ะ  ก็เอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู

“ไม่เป็นไร  ผมว่าคุณยังตัวรุมๆอยู่  คุณทานยาลดไข้แล้วไปนอนต่อเถอะ”  เขาถือวิสาสะยกมือขึ้นอังที่หน้าผากและซอกคอของคนป่วย   เตพยักหน้ารับถุงยาไปถือเอาไว้

“พรุ่งนี้ผมว่าคุณแวะโรงพยาบาลไม่ก็คลินิกก่อนกลับบ้านดีกว่านะ  ให้หมอเขาตรวจดูหน่อย”

“โธ่  ผมไม่เป็นอะไรหรอก  เดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าก็หายแล้วครับ  อุ้ย”  นักเขียนหนุ่มอุทานเบาๆ เมื่อเจ้านายยกมือขึ้นเคาะที่ศีรษะทุย ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกหยักศกนั้นไม่เบานัก

“อืม  กะโหลกแข็งใช้ได้  ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

“ไม่ต้องเขกหัวกันก็ได้ โธ่”  ภาคย์ยิ้มอย่างเอ็นดู ที่เห็นคนตัวเล็กกว่ายกมือขึ้นคลำศีรษะตัวเองป้อยๆ  จับที่ปลายคางเรียวแหลมของอีกฝ่าย เชยขึ้นให้สบตากันในระยะใกล้

“ผมเป็นห่วงคุณนะ  ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมคงนอนไม่หลับไปอีกนาน”  คนฟังหน้าแดงขึ้นน้อยๆ เบือนหน้าหลบมือของฝ่ายนั้น

“ขอบคุณมากครับ”  เตพึมพำแบบไม่มองหน้า แล้วรีบขอตัวเดินเลี่ยงออกมาทันทีเป็นการตัดบท   รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายมองตามด้วยสายตาตัดพ้อ   แต่จะทำอย่างไรได้  ในเมื่อเขารู้สึกอึดอัดมากว่าจะวาบหวามไปกับคำพูดของผู้ชายคนนั้น  และคิดว่าคงจะไม่มีวันนั้นด้วย  ถ้าเขายังคงฝันร้ายถึงผู้ชายในอดีตอยู่แบบนี้

ติณธรครุ่นคิด  ความกังวลบางอย่างยังคงติดอยู่ในใจอย่างไม่รู้สาเหตุ   เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนชั้นขึ้นมา รินน้ำลงไปค่อนแก้ว  แล้วหันไปหยิบซองยาขึ้นมาแกะเม็ดยาออกมา  ย่นหน้านิดหนึ่ง แอบหักยาแบ่งเป็นสองซีก...แค่ครึ่งเม็ดก็พอแล้วมั้ง

หันกลับมาหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ   

เพล้ง!

หูของแก้วน้ำเซรามิคเกิดลื่นหลุดมือ ทำให้แก้วน้ำใบนั้นร่วงลงพื้น แตกเป็นเสี่ยงๆ  น้ำเปล่าหกเลอะเต็มพื้น   ภาคย์อุทานรีบลุกเดินมาดูอย่างตกใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่า คุณเต”

“เปล่าครับ  แก้วมันหลุดมือเฉยๆ  อย่าเพิ่งเข้ามาฮะ  เดี๋ยวโดนเศษแก้วบาด”  เตรีบพูด  เดินเร็วๆไปหยิบไม้กวาดกับที่ตัดผงมาจัดการเศษแก้วที่แตก

“เดี๋ยวผมทำให้ คุณเตไปพักเถอะ  ประเดี๋ยวหน้ามืด”  ภาคย์บอกอย่างเป็นห่วง แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า   ย่อตัวลงเก็บเศษแก้วทีละชิ้นมารวมกัน

“ไม่เป็นไรครับ นิดเดียวเอง”  ปากพูดไป มือก็เก็บอย่างว่องไว  ทว่าภายใจในของเขากลับเต้นแรงด้วยสังหรณ์ประหลาด คล้ายกับว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้น

บางสิ่งที่ไม่ดีเอามากๆ ...อะไรกันนะ


............................................................................................


ชายหนุ่มร่างเล็กเดินกลับไปกลับมาหน้าห้องผ่าตัดอยู่นานแล้ว ตั้งแต่ที่ได้ข่าวว่าคนรักประสบอุบัติเหตุรถชน  เขาก็แทบล้มทั้งยืนด้วยความตกใจ  บึ่งรถจากกรุงเทพฯมาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดที่นำส่งผู้บาดเจ็บ   ถามจนได้ความว่าอีกฝ่ายอาการหนักพอดู ต้องเข้าห้องผ่าตัดโดยด่วน   เช่นเดียวกับคู่กรณี  ก็ใจหายได้แต่สวดมนต์ภาวนา

ในที่สุดประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออก

“คนไข้อาการเป็นอย่างไรบ้างครับคุณหมอ”   เขารีบถามนายแพทย์ที่เดินออกมาจากห้องทันที  ฝ่ายนั้นหันมา เห็นว่าเป็นรุ่นน้องแพทย์ด้วยกันก็จำได้  ลดหน้ากากลง

“อ้าว  รันใช่ไหม  ไม่เจอกันนาน”

          “สวัสดีครับพี่วิน  ไม่รู้ว่าพี่มาใช้ทุนที่นี่  เดี๋ยวก่อนฮะ แล้วคนเจ็บข้างใน....หมอกันน่ะครับ เป็นอย่างไรบ้าง”  วิรัลถามอย่างร้อนใจ

            “อืม  bleedเยอะหน่อย   แต่ไม่ต้องห่วง ใจเย็นๆ  นี่พี่ออกมาตามเลือดเข้าไปให้   เราจะเข้าไปดูด้วยกันไหมล่ะ”  เขาชวน   ยังไม่ทันขาดคำ

            เสียงสัญญาณเตือนดังลั่นออกมาจากข้างในห้องผ่าตัด  พยาบาลคนหนึ่งเปิดประตูออกมา  ร้องบอกหมอวินเสียงดังว่า

            “หมอคะ คนไข้arrest”

          รันใจหายวาบ  เขารีบตามคุณหมอรุ่นพี่กลับเข้าไปด้านในห้องผ่าตัด  ภาวนาด้วยความกลัวแทบขาดใจ  ได้แต่ยืนตัวแข็ง ทำอะไรไม่ถูก  ทั้งที่เคยช่วยชีวิตคนมานักต่อนักแล้ว  แต่เมื่อคนๆนั้นกลายเป็นคนที่เขารักที่สุด  สมองกลับพร่าเบลอ คิดอะไรไม่ออก นอกจาก

            ...อย่าเพิ่งนะดิม  อดทนไว้  อย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ..

            น้ำหูน้ำตากลบตาจนมองภาพวุ่นวายเบื้องหน้าแทบไม่เห็น   

            ...อย่าทิ้งเรานะ  เข้าใจไหม รดิศ...

           ...........................................................................

            เปลือกตาที่ประดับด้วยขนตาหนายาวเป็นแพค่อยๆขยับทีละน้อยจนกระทั่งลืมตาขึ้น    ชายหนุ่มขมวดคิ้วจ้องมองเพดานของห้องพักผู้ป่วยที่แปลกตา   นิ่วหน้าน้อยๆเมื่อรู้สึกเจ็บตึงที่บริเวณแขนข้างซ้ายและสะโพก   ได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่ข้างๆ จึงเงี่ยหูฟัง

            “ตื่นแล้วหรือ ดิม”  น้ำเสียงคุ้นเคยพร้อมกับใบหน้าของคนรักชะโงกอยู่ข้างตัว   รดิศค่อยๆหันไปมองช้าๆ ส่งยิ้มให้หน่อยนึง 

            “ตื่นแล้ว  คุณได้นอนบ้างหรือเปล่ารัน”  คนเจ็บถามกลับอย่างเป็นห่วง เพราะใต้ตาหมองคล้ำ แถมบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนัก รวมถึงสีหน้าอิดโรยของอีกฝ่ายบอกชัดว่าคงจะอยู่เฝ้าเขาทั้งคืน ไม่ได้หลับได้นอน

            รันส่ายหน้าน้อยๆ

            “ไม่เป็นไรหรอก  ว่าแต่ดิมเถอะ  รู้สึกยังไรบ้าง  เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

            คนเจ็บก้มลงมองตัวเอง  เห็นเฝือกอ่อนที่ดามเอาไว้ที่หัวไหล่เพียงอย่างเดียว  นอกจากนั้นก็เป็นแผลฟกช้ำดำเขียวตามตัวที่มีผ้าพันแผลเอาไว้เต็มตัว

            “ปวดนิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรมาก  ขอน้ำผมกินหน่อยได้มั้ย  คอแห้งเหลือเกิน”

          “ได้ ค่อยๆจิบนะ”  อีกฝ่ายกุลีกุจอเข้ามาช่วยปรับเตียง  ดันศีรษะของเขาขึ้นมา จ่อปลายหลอดเข้าที่ปาก  รอจนอีกฝ่ายได้ดื่มน้ำแก้กระหาย

            “ดีนะแค่แขนหักกับไหล่หลุด  ตอนรันรู้ข่าวแทบเป็นลมเลย  บุญแค่ไหนแล้วที่ไม่เป็นอะไรไปมากกว่านั้น เห็นสภาพรถแล้วแบบ....ใจหายใจคว่ำ  เป็นห่วงแทบตาย”

            “รู้แล้วล่ะ  ไม่งั้นคงไม่ยืนร้องไห้อยู่กลางห้องฉุกเฉินหรอกใช่มั้ย  หึๆ”  คนเจ็บพูดแกมหัวเราะ   คนฟังค้อนนิดหนึ่ง หน้าแดงแต่แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ยกมือขึ้นชี้หน้าคนรักเป็นเชิงคาดโทษ

            “ยังจะมาหัวเราะอีก  คนเค้าเป็นห่วงตลกหรือไง  แค่ได้ยินว่าarrestนี่ก็ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแล้ว  วิ่งเข้ามาเห็นกำลังCPR กันวุ่นเลย  รันก็ทำอะไรไม่ถูก   ใครจะไปรู้ล่ะว่าดิมอยู่อีกห้องนึง”  เขาหมายถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ที่หลังจากวิ่งตามนายแพทย์รุ่นพี่เข้ามาแล้ว  เขาก็ยืนร้องไห้โฮเพราะนึกว่าคนไข้คนนั้นคือคนรักของตน  ทว่าที่แท้ดิมกลับอยู่อีกห้องหนึ่งข้างๆตะหาก  กว่าจะรู้ก็จนกระทั่งมีพยาบาลเดินมาถามเขานั่นแหละ ว่าเป็นญาติของคนไข้ชื่ออำนวยใช่หรือไม่  ถึงได้รู้ว่าผิดคน

            อายก็อาย แต่ความโล่งใจมีมากกว่ามากมายนัก   ยิ่งได้เห็นว่าอีกคนไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่คาดเอาไว้ นอกจากเลือดตกยางออกและกระดูกแขนหักที่ต้องเข้าผ่าตัดเพื่อดามกระดูก   นับว่าอีกฝ่ายทำบุญมาดีทีเดียว   ส่วนคู่กรณีก็บาดเจ็บไม่มากนักเช่นกัน

            “แต่ผมก็ดีใจนะ ที่เห็นรันเป็นห่วงผมมากขนาดนี้”  ศัลยแพทย์หัวใจพูดยิ้มๆ เอื้อมมือข้างที่ยังดีอยู่ไปกุมมือของอีกฝ่ายเอาไว้

            “ไม่เป็นห่วงดิม แล้วจะให้รันไปห่วงใครล่ะ  ว่าแต่ดิมเถอะ  ทำไมถึงมาเกิดอุบัติเหตุที่นี่ได้  ดิมควรจะอยู่ในห้องผ่าตัดแล้วไม่ใช่หรือ”  ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจถามเรื่องที่รบกวนจิตใจของตนมากที่สุด ไม่แพ้อาการบาดเจ็บของอีกฝ่าย   คำถามที่เขาเฝ้าถามตัวเองมาตลอดคืน ระหว่างที่นั่งเฝ้าอีกฝ่ายก็คาดเดาคำตอบไปวุ่นวาย

            ใจเต้นแรงขึ้นมาขณะที่รอคำตอบ   เขายอมรับกับตัวเองว่าเขากลัว....กลัวมากว่าคำตอบจะเป็นไปตามที่ตนเองคาดเอาไว้   และนั่นหมายความว่าความรักระหว่างพวกเรากำลังสั่นคลอน

            “ผม...ลืมของเอาไว้  ก็เลยต้องกลับมาเอา”

            “ของอะไรหรือ”  สำคัญมากขนาดที่ต้องแคนเซิลเคสคนไข้  ขับรถมาจากกรุงเทพฯสองชั่วโมง เพื่อกลับมาเอาเลยหรอ  คุณหมอเด็กถามต่อในใจ

            อีกฝ่ายหลบตา  เมินมองไปทางหน้าต่างที่มีผ้าม่านสีฟ้ารูดปิดสนิท

            “................”  ไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากริมฝีปากบางที่แห้งผากและเม้มแน่น

            คนที่รอคำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อลอบถอนหายใจยาว 

            “ดิม...มีอะไรก็เล่ามาเถอะ  จำไม่ได้เหรอ  สมัยที่เราเรียนด้วยกันที่คลีฟแลนด์  เราสัญญากันว่าจะไม่มีความลับไง  จำได้มั้ย   ดิมอย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเลย   หรือว่าไม่ไว้ใจรันแล้ว”  เขายกไม้ตายขึ้นมาอ้าง   อีกฝ่ายหันกลับมาทันที

            “ไม่ใช่อย่างนั้น”

          “แล้วอย่างไหน   เล่าให้ฟังได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น   รันสัญญาว่าจะไม่โกรธ  ไม่โวยวาย โอเคมั้ย” เขายกมือขึ้นชูสามนิ้วเหมือนเป็นสัญญา   คนเจ็บหัวเราะออกมาเบาๆ

            “รู้ตัวเหมือนกันเหรอว่าชอบโวยวาย”

          “ก็พอรู้อยู่บ้าง  แน่ะ อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง  เล่ามาหน่อยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่   ดิมลืมอะไรเอาไว้...ใช่อย่างที่รันคิดหรือเปล่า?”

          “รันคิดว่าอะไรล่ะ”  ดิมย้อนถาม   ถ่วงเวลาเอาไว้ขณะที่เขานึกหาคำตอบเหมาะๆ  คงจะไม่ดีแน่ถ้าจะบอกความจริงออกไป

            “ก็อย่างเช่น....ลืมแฟนเก่าเอาไว้?”  หมอวิรัลตัดสินใจดับเครื่องชน  สังเกตเห็นชัดว่าอีกฝ่ายสะดุ้งนิดหนึ่ง แต่พยายามกลบเกลื่อนด้วยการหัวเราะ

            “แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า  เรื่องเก่าๆผมลืมไปหมดแล้ว  ไม่ใช่หรอก  คุณก็เดาอะไรไม่รู้ หึๆ  ผมลืม Ipad เอาไว้ตะหากล่ะ  เลยต้องกลับไปเอา”   เขาปดซึ่งหน้า  อีกฝ่ายทำท่าไม่เชื่อเท่าไหร่ 

            “จริงหรือ”

            “เอ้า จริงสิ  ไม่เชื่อกลับไปถามเจ้าหน้าที่โรงแรมเขาดูก็ได้ ว่าผมกลับไปถามหาจริงไหม”  แววตาใสซื่อของคุณหมอหัวใจ ทำให้อีกฝ่ายชักจะเอนเอียง...หรือว่าเราจะคิดมากไปเอง  บางทีรดิศอาจจะไม่ได้กลับไปหาติณธรอย่างที่คิดก็ได้นี่   ถ้าเค้าพูดความจริงล่ะ

            เดี๋ยวก่อน  แล้วเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นที่ห้องน้ำโรงแรมเมื่อเช้าวันก่อนล่ะ  ที่ดิมหายเข้าไปในห้องน้ำกับเตสองคนเป็นเวลานาน    จากนั้นเตก็หอบ....มันไม่มีอะไรจริงๆเหรอ

            “รัน คุณกลัวผมจะกลับไปหาเตใช่ไหม”  จู่ๆรดิศก็พูดขึ้นมาตรงๆ  วิรัลอึ้งไปไม่ตอบ  มือแข็งแรงที่จับมือของเขาอยู่บีบกระชับแน่นขึ้น

            “ผมไม่ได้รักเค้าแล้ว  คุณเชื่อผมไหม”  รดิศพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลึกจริงจัง เช่นเดียวกับสีหน้า แววขี้เล่นหยอกเย้าหายไปหมดสิ้น   ทั้งคู่สบตากันตรงๆ นิ่งไปครู่ใหญ่

            คนเจ็บผ่อนลมหายใจยาว  เขาถอนสายตาออก  มองตรงไปเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย  คล้ายคนที่กำลังรำลึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังอีกครั้ง 

            “ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้  ผมเคยรักเค้ามาก...”  ดิมขึ้นต้นเสียงเนิบๆ เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วก็พูดต่อ  “และนั่นทำให้ผมผิดหวังมากเช่นกัน เมื่อถูกเขาบอกเลิก  ผมเคยคิดว่าผมคงไม่มีวันลืมเขาได้  แต่รันรู้ไหมว่าผมคิดผิด...ตั้งแต่ที่ผมไปอเมริกากับรัน   หัวใจของรันช่วยเยียวยารักษาแผลในใจผม  จนในที่สุดผมก็ลืมเขาได้สำเร็จ ไม่เหลือร่องรอยอีก...”

          คนฟังนั่งเงียบ

            “คุณอาจจะระแวงว่าผมกับเค้ายังมีเยื่อใยอะไรกันอยู่หรือเปล่า...ไม่ผิดหรอกที่รันจะระแวง  แต่รันคงจำได้ว่ากว่าผมจะหายอกหักครั้งนั้นก็แทบตาย  คุณคิดว่าผมจะทิ้งคนที่คอยยืนเคียงข้างผมตลอดเวลา แล้วกลับไปหาคนที่เขาไม่เคยเห็นค่าอะไรผมเลยหรือ  รัน  ถึงผมจะงี่เง่านิดหน่อย  แต่ผมก็ไม่โง่ทิ้งแก้วในมือไปหรอกนะ   อีกอย่าง เค้าก็มีครอบครัวแล้วด้วย   คราวนี้เข้าใจหรือยัง   เรื่องระหว่างผมกับเตมัน..ไม่มีอะไรเลย”   

            รันพลิกมือขึ้นมาเป็นฝ่ายกุมมือของดิมเอาไว้  เงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น  พูดช้าๆ

            “ดิมรู้มั้ย   เมื่อวานนี้..รันกลัวมาก  กลัวที่สุดในชีวิต...กลัวว่าดิมจะเป็นอะไรไป   จริงๆแล้วรันไม่สนใจหรอกว่าดิมจะกลับมาที่นี่เพราะอะไร  รันแกล้งถามไปอย่างนั้นเอง ....ดิมจำที่รันเคยบอกสมัยที่เราเริ่มคบกันใหม่ๆได้มั้ย   ที่รันบอกว่ารันรู้...ว่าในใจของดิมยังมีใครอยู่ แต่รันก็รอได้  รันจะรอวันที่ใจของดิมมีแค่รันคนเดียว   แล้วรันก็อดทนรอมาตลอด....”  น้ำตาเริ่มเอ่อท้นขอบตาคู่นั้น   วิรัลพูดต่อไปด้วยเสียงที่สั่นพร่า

            “รอมาจนถึงวันนี้   รันไม่แน่ใจหรอกว่าดิมมีรันคนเดียวในใจหรือยัง  หรือว่ายังรักใครคนนั้นอยู่  แต่มันก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงรันก็ยังรักดิมเหมือนเดิมอยู่ดี”

          รดิศรู้สึกสะเทือนลึกเข้าไปในอก  น้ำตาของรันทำให้เขาใจสั่นไหว   เขาเอื้อมมือไปโอบไหล่เล็กบางของคนรักเอาไว้ ดึงเข้ามาซบที่ทรวงอกของตนเอง   รันสะอื้นจนตัวโยน  กอดตอบเขาแน่น

            “ผมขอโทษนะ..”  ดิมกระซิบที่ข้างหู  แตะริมฝีปากลงกับซีกแก้มข้างนั้น    ศีรษะนั้นส่ายไปมา

            “ไม่ต้องขอโทษหรอก  ดิมไม่ได้ผิดอะไร  รัน...ฮึก...ผิดเองที่รักดิมมากไป”

           




ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 28-01-2017 11:19:19
 
ศัลยแพทย์หนุ่มจูบที่เส้นผมนุ่มสลวยที่ซบอยู่ที่ทรวงอก   รู้สึกผิดต่อคนรักขึ้นมาเต็มหัวใจ....เขาทำอะไรลงไป  นี่เขาทำให้รันต้องเจ็บปวดขนาดนี้เลยหรือ   เป็นเพราะเขาเองที่เจ็บแต่ไม่ยอมจบ  กลับพยายามต่อความยาวสาวความยืดกับอดีตคนรักต่อ  จนทำให้คนรักในปัจจุบันของเขาต้องเสียใจ

            “รัน  ชู่ว  ไม่เอาน่ะ  ร้องไห้จนตาบวมแทบปิดแล้ว  เมื่อคืนก็ร้องทั้งคืน พอแล้วนะ  อย่าทำให้ผมต้องรู้สึกผิดกับคุณมากไปกว่านี้เลย  นิ่งเสียคนดี”  เสียงนุ่มๆของอีกฝ่ายยิ่งทำให้คุณหมอเด็กร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม

            “รัน   ฟังผมนะ  ผมไม่ได้รักเตแล้ว  ผมมีแค่รัน... คนเดียวที่ผมรัก และต้องการจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยไปตลอด ก็คือ วิรัล คุณคนเดียวเท่านั้น   จะกี่ร้อยกี่พันเตก็ไม่มีความหมายอะไรกับผมเลย  เมื่อเทียบกับคุณ  ชัดเจนพอไหม  เลิกร้องไห้ได้แล้ว  หืม  ขี้แยจัง  ร้องเก่งกว่าคนไข้ตัวเองแล้วเนี่ย”   ตอนหลังเขาพูดกลั้วหัวเราะในลำคอ   อีกฝ่ายค่อยยิ้มออกมาได้  เงยหน้าขึ้น

            “ขอโทษ ก็มันอดร้องไม่ได้นี่นา  รันเชื่อดิมนะ  เชื่อเสมอ....ได้ยินแบบนี้ก็ค่อยสบายใจ   ความจริงรันกลัวอะไรรู้ไหม”

          “อะไร? กลัวอะไรเยอะแยะจริง”  เขายิ้มเอ็นดู

          “โธ่  ดิมล่ะก็..รันกลัวอีกอย่างนึงก็คือ  ถ้าดิมยังรักคุณเตอยู่  ดิมก็จะเสียใจอีก  รันกลัวดิมเสียใจ  ก็แค่นั้นเอง”

          “ถ้าผมยังรักเตอยู่ แล้วทำไมจะต้องเสียใจ  เพราะเขามีลูกเมียแล้วอย่างนั้นหรือ”

          “อืม…ก็  ประมาณนั้นแหละ”  รันอ้อมแอ้ม

          “มีอะไรหรือเปล่า  เล่ามาเถอะ   ก็บอกแล้วไงว่าผมไม่ได้อะไรกับเขาแล้ว  เขาจะเป็นยังไงก็ไม่กระเทือนผมหรอก อย่างมากก็แค่แปลกใจเท่านั้น”

“จริงๆมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอกนะ  แต่ว่าเมื่อคืนตอนที่ดิมเกิดเรื่องน่ะ  รันพยายามติดต่อกลับมาที่คุณเต  โทรไปหา เล่าเรื่องให้เขาฟัง  อยากจะขอให้เขาช่วยไปดูดิมให้หน่อยระหว่างที่รันกำลังขับรถมาหา  ไหนๆเขาก็อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุดแล้ว  คือรันก็เข้าใจนะว่ามันก็ดึกมากแล้วล่ะ เค้าคงไม่สะดวกที่จะออกมา แต่...ไม่รู้สิ  เค้าดูไม่...อะไรเลย  อย่างน้อยในฐานะคนเคยรู้จักกัน ก็น่าจะแบบ...ช่วยอะไรบ้างอ่ะ  รันเลยรู้สึกว่าเขา...”

            คนฟังพยักหน้าเนิบๆ

            “เขาก็เป็นแบบนี้อยู่แล้วล่ะ   ก็เหมือนเมื่อแปดปีก่อนที่เขาทิ้งให้ผมนอนอยู่กลางถนนไง  รันจำไม่ได้เหรอ   ยิ่งมาตอนนี้  ผมยิ่งไม่มีความหมายกับเขาหรอก  หึๆ”  หัวเราะแค่นๆออกมานิดหนึ่ง  คนฟังขมวดคิ้ว ดิมเลยส่งยิ้มให้

            “รันไม่มีทางเข้าใจคนใจดำแบบนั้นแน่ เพราะรันไม่ใช่คนที่จะนิ่งดูดายถ้าเห็นคนเจ็บอยู่ตรงหน้า  อาจเป็นเพราะเราเป็นหมอด้วยมั้ง   แต่ไม่หรอก  จริงๆมันก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปควรจะช่วย ถ้าไม่เหลือบากกว่าแรงมากนัก   เฮ้อ...มันอาจจะไม่น่าเชื่อนะ แต่มันก็มีคนประเภทนี้อยู่จริงๆ    โชคดีแค่ไหนแล้วที่ผมรอดพ้นเค้ามาได้  เลยมาเจอคนใจดีอย่างรันไง”  รอยหวานระยับเริ่มแพรวพราวขึ้นมาในตาคมกริบ     ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังค้างอยู่ที่สองข้างแก้มของคนรักให้อย่างอ่อนโยน     แล้วประคองใบหน้านั้นเอาไว้ด้วยมือข้างเดียว

            “ผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกที่ได้มาเจอรัน   และผมก็จะรักษาความโชคดีนี้เอาไว้..  ผมขอโทษสำหรับทุกอย่างที่เคยทำให้รันเสียใจ   ต่อไปนี้ผมจะไม่ทำให้รันต้องเสียน้ำตาอีก” 

            “แค่พูดอย่างเดียวไม่พอหรอก”  ฝ่ายนั้นพึมพำ

            “ถ้าอย่างนั้นให้ผมพิสูจน์นะ   เอ  ไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะขอกลับบ้านได้หรือเปล่า?”

          “จะรีบไปไหน  นอนพักอยู่ที่นี่แหละ  รีบกลับไป ดิมก็ผ่าตัดไม่ได้อยู่ดี   ดูท่าคงจะต้องพักยาวเลยล่ะ”  วิรัลพูดพลางก้มลงมองดูแขนที่เข้าเฝือกเอาไว้คล้องสายอยู่ที่รอบลำคอหนา

“เฮ้อ...แย่จังแฮะ  เสียดายจังที่เราต้องติดแหงกอยู่ที่นี่ในวันนี้  แผนก็เลยเสียหมดเลย”  ดิมชำเลืองดูอีกคนนิดหนึ่ง เห็นฝ่ายนั้นใบหน้าเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ

“ทำไมล่ะ วันนี้มันสำคัญตรงไหน”  คุณหมอเด็กแกล้งถามไม่รู้ไม่ชี้   สุดท้ายคนหน้าเข้มก็หัวเราะเสียงดัง

“ทำเป็นไก๋  จำไม่ได้จริงๆเหรอว่าวันนี้วันอะไร?”

“ไม่รู้  จำไม่ได้”  รันเบือนหน้าหนี  แม้ว่าในใจจะเต้นเเรงด้วยความดีใจที่อีกคนไม่ลืมวันสำคัญของเรา

         ดิมอาศัยทีเผลอ ชะโงกหน้าเข้าไปจูบเร็วๆที่ซีกแก้มข้างนั้น   วิรัลสะดุ้งเฮือก หันมาผลักใบหน้าของเขาออก  เสียงหัวเราะก้องไปทั่วทั้งห้อง   จนทำให้คนที่เคาะประตูแล้วเปิดเข้ามาภายในห้องชะงักไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มออกมา

            หญิงวัยกลางคน แต่งกายภูมิฐานส่งยิ้มให้แก่คุณหมอทั้งสองคนที่หันขวับมามองพร้อมกันอย่างตกใจ  คนเจ็บบนเตียงพอเห็นผู้มาใหม่ถนัดก็ร้องออกมาอย่างยินดี

            “คุณแม่!?!  รู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”


            .........................................................................


 “พ่อกลับมาแล้ว  ว่าอย่างไรเจ้าเต้  อยู่กับคุณแม่ไม่ดื้อไม่ซนใช่ไหม”  ชายหนุ่มก้มลงกอดลูกชายที่วิ่งออกมาหาแนบแน่น ให้สมกับที่ไม่ได้เจอหน้ามาหลายวัน   หอมแก้มยุ้ยๆฟอดใหญ่  เด็กชายเต้หัวเราะ ยกมือสวัสดีแขกของบิดาโดยไม่ต้องให้บอก  ภาคย์รับไหว้  ยกมือขึ้นลูบที่ศีรษะทุยเล็กนั้นเบาๆ

            “เป็นเด็กดีอยู่แล้ว  ใช่ไหมเรา ...คุณเต  ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับ  ขอบคุณมากที่ช่วยไปเป็นล่ามให้ผมที่งานนี้   อ้อ แล้วถ้าไข้กลับล่ะก็รีบไปหมอนะฮะ  โทรหาผมก็ได้ เดี๋ยวผมมารับ”

          “ครับ  ขอบคุณมากครับ คุณภาคย์  ขับรถกลับบ้านปลอดภัยนะครับ”  นักเขียนหนุ่มเจ้าของบ้านร่ำลาเจ้านายที่อุตส่าห์ขับรถมาส่งจนถึงบ้านอย่างเรียบร้อย   แถมคอยดูแลอย่างดีมาตลอดทริปอย่างเกรงใจ    ยืนส่งจนรถคันนั้นพ้นหน้าปากซอยก็ปิดประตูบ้าน

            “คุณแม่ไปไหนหรือ  เต้  ทำไมไม่เห็นเลย”   คุณพ่อจูงมือเด็กชายเข้าไปในบ้าน

            “คุณแม่นอนอยู่ฮะ”

          เตก้มลงมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือนิดหนึ่ง  บ่ายสาม?  ปกติข้าวตังไม่นอนกลางวันนี่นะ  แปลกจัง  คิดได้ดังนั้นก็เดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับลูก   เคาะประตูห้องนอนของหญิงสาวเบาๆ  มีเสียงตอบรับให้เข้าไปได้เลย

            “พี่เต กลับมาแล้วเหรอคะ”  หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง  ใบหน้าของเธอซีดกว่าปกตินิดหน่อย  หายใจหอบน้อยๆ

            “กลับมาแล้วจ้ะ  ตังเป็นอะไรหรือเปล่า  ทำไมดูเหนื่อยๆ  ไม่สบายตรงไหนหรือ”  เขาค่อนข้างตกใจ  หญิงสาวสั่นศีรษะ

            “เปล่าค่ะ  ไม่ได้เป็นอะไร   เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย วันนี้เลยรีบกลับบ้านมานอน  พี่เตไปทำงานมาเป็นอย่างไรบ้างคะ  รู้สึกว่าซูบลงไปนิดนึง”

          “ซูบอะไรล่ะ กางเกงเอวคับแล้ว   ที่งานเขาเลี้ยงดีมาก  พี่ยังนึกเลยว่าคราวหน้าพวกเราไปเที่ยวทะเลที่นู่นกันดีกว่า  โรงแรมเขาก็ใช้ได้ทีเดียว  เป็นส่วนตัวดี”

          “พี่เตพาเต้ไปเถอะ  ตังขออยู่ที่นี่ เฝ้าบ้านดีกว่า”

          “โธ่  ทำไมเป็นงั้นล่ะ   ไม่เอาน่า   ไหนลุกได้แล้ว  เอาอย่างนี้ดีกว่า เดี๋ยวพี่ออกไปซื้อของมาทำกับข้าวให้กิน ดีไหม  วันนี้ขอโชว์ฝีมือเสียหน่อย”  ตั้งเตพูดยิ้มๆ  สังเกตเห็นว่าน้องสาวของตนดูเหน็ดเหนื่อยผิดปกติมากทีเดียว เพียงแค่เธอฝืนเอาไว้

            “ตกลงค่ะ  ถ้าอย่างนั้นตังรออยู่นี่นะ”

          “จ้ะ   ไปเจ้าเต้  ไปช่วยพ่อจ่ายตลาดหน่อยเร็ว”  เขาลากลูกชายออกมาด้วย เพื่อให้เธอได้พักผ่อน   ครุ่นคิดไประหว่างทางที่เดินไปยังตลาดเล็กๆหน้าปากซอย

            ข้าวตังเป็นอะไรหรือเปล่า  เขารู้ดีว่าเธอมีโรคประจำตัวอะไร   ถึงจะทำเป็นไม่รู้เพื่อให้เจ้าตัวสบายใจก็เถอะ   พักหลังมานี้เธอทำงานหนักขึ้น เขารู้  เป็นเพราะการย้ายโรงเรียนของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนด้วย  คงจะทำให้เธอเหนื่อยเกินไปจนไม่มีเวลาพักผ่อนเพียงพอ  ยิ่งเขาไปทำงานที่ต่างจังหวัดด้วยอีก  เธอเลยต้องควบตำแหน่งดูแลลูกคนเดียว

            บางทีมันอาจจะทำให้อาการกำเริบก็เป็นได้   หรือไม่เขาก็คิดมากไปเอง

          ..............................................................................

            นักเขียนหนุ่มกระชับแฟ้มในมือที่บรรจุต้นฉบับที่เขียนเสร็จเรียบร้อยเอาไว้แน่น  สูดหายใจเข้าลึกๆหลายที แล้วค่อยเดินตรงไปที่เคาท์เตอร์พยาบาลด้านหน้าห้องตรวจของคุณหมอโรคหัวใจ   รีรอนิดหนึ่งจนกระทั่งเธอเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัย

            “ติดต่ออะไรคะ”

“เอ่อ  ผมมาขอพบคุณหมอรดิศครับ  หน่วยศัลยกรรมทรวงอกและหัวใจ”

            “คุณหมอรดิศลาพักนะคะ  ไม่ได้ออกตรวจค่ะ”  พยาบาลสาวสวยตอบยิ้มๆ  คนฟังใจแป้วลงเล็กน้อย

            “แล้วพรุ่งนี้จะมาไหมครับ”

          “ไม่ค่ะ   คุณหมอลาพัก 1 เดือน”  คำตอบของเธอทำให้เขาแปลกใจมาก

            “เอ่อ พอทราบไหมครับว่าคุณหมอลาไปไหน”  คราวนี้พยาบาลสาวเขม้นมองหน้าเขาเขม็ง  ราวกับระแวงสงสัย  กวาดตามองเครื่องแต่งกายและแฟ้มในมือของเขาอีกรอบ 

            “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ  คุณจะมานัดตรวจหรือเปล่าคะ”

            “เปล่าครับ  ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมาก”

          รีบถอยออกมาจากเคาท์เตอร์พยาบาล  ท่าทางเธอจะเข้าใจผิดว่าเขาคงจะเป็นดีเทลยาหรือไม่ก็พวกสืบสวนราชการลับกระมัง   แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ....ว่าแต่คุณหมอดิมเขาลาพักไปไหนกันนะ ตั้ง 1 เดือน   ติดงาน ไปเรียนต่อ ประชุมต่างจังหวัด หรือว่าไปเที่ยวกับแฟน

            ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ที่เขาจำได้แม่นยำตั้งแต่วันแรกที่ได้เบอร์มา   รอสายครู่หนึ่งก็มีคนกดรับ

            “สวัสดีครับ”   ไม่ใช่เสียงของคนหน้าเข้มนี่   ใครกัน?

          “สวัสดีครับ ใช่เบอร์ของคุณหมอรดิศหรือเปล่าครับ”

          “ใช่ครับ  นั่นคุณเตใช่ไหม   ผมวิรัลนะ”  ใจกระตุกวูบหนึ่ง  อ๋อ  ที่แท้ก็แฟนรับให้นั่นเอง

            “ครับ   ขอเรียนสายกับคุณหมอรดิศได้ไหมครับ”

          “หมอดิมไม่สะดวกคุยตอนนี้ครับ  ขอโทษด้วย มีอะไรฝากเอาไว้ที่ผมก่อนก็ได้ แล้วผมจะบอกให้”  คนฟังเม้มปากนิดหนึ่ง

            “ถ้าอย่างนั้นฝากหมอรันบอกคุณหมอรดิศด้วยว่า ผมเอาต้นฉบับมาให้แล้ว  ฝากเอาไว้ที่เคาท์เตอร์พยาบาลนะครับ  ถ้ามีอะไรแก้ไขเพิ่มเติมตรงไหน บอกได้เลยครับ”

          “อ่อ  ได้ครับ  ผมจะบอกหมอดิมให้  แค่นี้ใช่ไหมครับ”

          “เดี๋ยวครับ  ทราบว่าคุณหมอรดิศลาพัก 1 เดือน  ไม่ทราบว่าป่วยหรือว่าติดธุระอะไรหรือครับ”

          “ติดธุระส่วนตัวครับ  ไม่มีอะไรแล้วใช่ไหมครับ  ถ้าอย่างนั้น แค่นี้นะครับ สวัสดีครับ”  วิรัลวางสายอย่างรวดเร็ว  ไม่รอให้อีกฝ่ายถามต่อ  พอดีกับที่คนรักของเขา...เจ้าของโทรศัพท์เดินออกมาจากห้องน้ำ   รันรีบกระวีกระวาดเข้าไปช่วยพยุงแล้วจับเสาน้ำเกลือให้

            “ใครโทรมานะรัน  ได้ยินแว่วๆ"

          “คุณเตโทรมา  บอกว่าฝากต้นฉบับเอาไว้ที่เคาท์เตอร์พยาบาล  ถ้าดิมอ่านแล้วอยากแก้ไขตรงไหนก็บอก”  คนฟังเลิกคิ้วน้อยๆ

            “แค่นี้หรือ   เขาไม่ถามหน่อยเรอะว่าผมเป็นอย่างไรบ้าง  ตายหรือยัง”  ดิมสะบัดเสียง

          “เขาก็ไม่ได้พูดอะไรนะ   หึ  เขาคงรู้อยู่แล้วมั้งว่าดิมไม่ได้เป็นอะไร  ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาจริง รันคงบอกเขาตั้งแต่แรกแล้ว”  คุณหมอเด็กพูด ช่วยพยุงอีกฝ่ายให้กลับมานั่งบนเตียงเรียบร้อย  ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ถึงอก 

            “หึ คนพรรค์นั้น  ไม่คิดถึงใครนอกจากตัวเองหรอก...”  คนป่วยพูดพึมพำในลำคอ   อีกฝ่ายได้ยิน แต่ไม่เสริมต่อ  นิ่งเงียบเอาไว้ในใจ 

            ...ถูกต้องแล้ว  ดิมควรจะรู้ได้แล้วว่าใครกันแน่ที่คอยอยู่เคียงข้างกันมาตลอด  ไม่ใช่เด็กคนนั้น  แต่เป็นเราต่างหากล่ะ ที่เหมาะสม ควรคู่กับดิมมากที่สุด...นึกถึงคำพูดที่มารดาของอีกฝ่ายพูดกับเขาเมื่อวานนี้....ขอบคุณมากนะหมอรัน  ดิมเฉียดตายมาสองครั้งแล้ว  ทั้งสองครั้งถ้าไม่ได้หมอรันช่วยเอาไว้ ก็คงจะตายแน่  แม่ไม่รู้จะขอบใจหมอรันยังไง ให้สมกับที่ได้ช่วยเอาไว้  นอกจากแม่ยินดีที่หมอรันจะมาเป็นลูกชายของแม่อีกคนนะลูก....

            ก็แน่ล่ะ  ที่ดิมมีวันนี้ได้ก็เพราะบารมีของคุณพ่อของเขาที่เป็นนายแพทย์ใหญ่ ทำให้ได้ทุนไปรักษาตัวต่อที่ต่างประเทศเมื่อหลายปีก่อน แถมยังได้ทุนเรียนต่อเฉพาะทางที่ว่ายากนักยากหนาอีก   จนกระทั่งดิมเรียนจบ มีรายได้หลักล้านบาทต่อเดือน ทำให้สามารถพามารดาของตนไปใช้ชีวิตที่ต่างแดนได้อย่างสุขสบาย   ไม่เหมือนสมัยก่อนที่แสนจะลำบากยากแค้น  แล้วจะไม่ให้แม่ของดิมมองเขาเป็นเทวดา  เต็มใจรับเขาเป็นลูกชายอีกคนได้อย่างไร

            นึกถึงผู้ชายอีกคน...แฟนเก่าของคนรัก แล้วแอบเบ้ปาก  จนถึงตอนนี้เตก็ยังเหมือนเดิม   ย่ำเท้าอยู่กับที่  ถึงจะกลายเป็นนักเขียนฝีมือดี แต่ก็ไม่มีทางเทียบชั้นกับเขาได้แน่นอน   เหมือนสมัยที่ยังเรียนอยู่นั่นล่ะ



******************



          “พี่ดิมไม่ไปจริงเหรอ  ทำไมล่ะ  ใครๆก็ไปกันทั้งนั้น”  เขาถามเพื่อนรุ่นพี่ ที่แม้จะเรียนรุ่นเดียวกัน แต่อีกฝ่ายก็แก่กว่าเขาเพราะเคยเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาก่อนที่จะกลับมาเรียนต่อ  ทุกคนในรุ่นเลยพร้อมใจกันเรียกว่า ‘พี่ดิม’  และด้วยหน้าตาที่หล่อเหลา  เรียนเก่งกว่าใครๆ จึงไม่แปลกที่ชื่อของ'รดิศ'จะหอมฟุ้งทวนลม มีแต่คนหมายปอง ทั้งในและนอกคณะ  จนกระทั่งต้องอกหักกันเป็นแถว เมื่อเจ้าตัวเปิดตัว ‘แฟน’ หนุ่มน้อยเฟรชชี่เดือนคณะอักษรฯ คนนั้น

          “ไม่เอาหรอก  นายไปเถอะ   พี่อยากอยู่ที่นี่มากกว่า”

          “พี่กลัวห่างกับแฟนใช่มั้ยล่ะ  โธ่  ไปแค่เดือนเดียวเองนะ  ไปเถอะ  ถือว่าไปหาประสบการณ์  อย่างพี่ถ้ายื่นขอทุนไปต้องได้แน่ๆ  ไปด้วยกันเถอะนะ”

          “อยากให้พี่ไปด้วยเหรอ”  ถึงจะเป็นประโยคคำถามเรียบๆ แต่กลับทำให้เขาหัวใจกระตุกไปแวบหนึ่ง หรือจะเป็นเพราะเผลอสบนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้นก็เป็นได้

          “อยากสิ  ใครๆก็อยากให้พี่ไปด้วยทั้งนั้นล่ะ  พี่ทำงานเก่ง  ภาษาก็ดี จะได้เป็นที่พึ่งของพวกผมไง” คนฟังหัวเราะเบาๆ ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม อบอุ่นจับใจ

          “เอาไว้ครั้งหน้าแล้วกันนะรัน  มันยังจัดเรื่อยๆอีกหลายครั้งนั่นแหละ  พอดีเดือนหน้าแฟนพี่มันปิดเทอมพอดีเหมือนกัน อยากพามันไปเที่ยวหน่อย   เดือนนี้สอบตลอด ไม่ค่อยได้เจอกันเลย  มันบ่นจะตายอยู่แล้ว  ขืนพี่ทิ้งมันอีกเดือนนึง มีหวังกลับมาพี่ได้กำพร้าแฟนแหงๆ”  ดิมพูดแกมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี   คำพูดที่พูดถึงคนรักอย่างเอ็นดูล้นใจทำให้เขารู้สึกอิจฉา....

          รดิศลุกขึ้นยืนเต็มตัว ก้มลงดูนาฬิกานิดหนึ่งแล้วก็พูดยิ้มๆ

          “วันนี้พี่กลับก่อนนะ คงไม่ได้ไปกินกับพวกนายด้วย  ขอโทษด้วยล่ะกัน”

          “จะรีบไปรับแฟนก็บอกมาเถอะ  หมั่นไส้วุ้ย พวกหลงแฟนไม่ลืมหูลืมตา  เด็กอักษรฯ นี่มันมีดีตรงไหนนะอยากรู้จริง”  เสียงแหลมดังมาจาก พี่ส้ม  พี่สาวประจำกลุ่มค่อนขอดมา เพราะอีกฝ่ายมักจะหายหน้าหายตาไปทุกครั้งตอนเย็น ไม่ว่าจะติดภารกิจอะไรอยู่ก็ต้องวางลงก่อน  เป็นอันรู้กันว่าต้องรีบไปส่ง ‘เด็ก’ กลับบ้าน

          ดิมไม่ตอบ แต่ยักคิ้วให้พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่ก็มีเสน่ห์เหลือร้ายในความคิดของคนมองอย่างเขา  ที่เฝ้าดูอีกคนเดินแกมวิ่งออกไปจากตึกเรียน

          “ชอบมันก็จีบเลยสิ  มัวแต่เก็บเอาไว้ในใจ  มันจะไปรู้ได้ยังไง”  เขาสะดุ้ง เมื่อจู่ๆพี่ส้มก็พูดโพล่งขึ้นมาลอยๆ เพื่อนในกลุ่มอีกสองสามคน หันมามองเขาเป็นตาเดียว  รู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาทันที  รีบปฏิเสธทันควัน

          “เห้ย  ไม่ใช่แล้วพี่  พูดอะไรไม่รู้”  พี่ส้มยิ้ม

          “สายตาแกน่ะ  ถ้าไม่ตาบอดก็ดูออกทั้งนั้นแหละน่ะ  แต่ดิมมันคงดูไม่ออกหรอก เพราะมันซื่อบื้อ”

          “พี่ดิมเค้ามีแฟนแล้ว” เขาอ้อมแอ้ม

          “เห้ย  ชั้นเชียร์แกมากกว่าไอ้เด็กอักษรฯนั่นนะ  เดี๋ยวมันก็เลิกกัน คอยดูสิ ยิ่งปีหน้าขึ้นคลินิกแล้วด้วย ยิ่งไม่มีเวลาให้หรอก  รับรองได้ ไม่เกินสิ้นปี เลิกกันแน่ๆ  เห็นมาเยอะแล้ว มีแฟนนอกคณะเนี่ย ไม่รอดสักราย” พี่ส้มพูด  ยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของเบาๆ

          “ใจเย็นๆ รอไปก่อน เดี๋ยวเจ้ช่วยเอง”  จบประโยคพร้อมกับหัวเราะ

          เวลาผ่านมาอีกสองปี  ความสัมพันธ์ของสองคนนั้นก็ดูจะยิ่งกระชับแนบแน่นมากขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะเลิกรากันไปอย่างที่พี่ส้มเคยพูดเอาไว้  จนคนพูดเองก็ถอดใจ ยอมรับ ‘แฟน’ ของดิมเข้ากลุ่มอย่างจำยอม ลืมไปเสียสนิทว่าเคยบอกว่าจะช่วยเขาอย่างไร

          สุดท้ายก็เหลือแต่เขา  ที่ต้องช่วยตัวเอง...เวลาที่ผ่านมาบอกว่า ในเมื่อพี่ดิมไม่เคยหันมาเห็นเขา  เพราะมีเด็กหนุ่มหัวหยิก  หน้าตาบ้านๆคนนั้นบดบังสายตาอยู่  มันก็เป็นหน้าที่ของเขา ที่จะต้องจัดการ ‘เขี่ย’ ผงในตาของพี่ดิมออกให้ด้วยตัวเอง

          แล้วพี่ดิมจะต้องขอบใจเขา 

          เพราะไม่มีใครเหมาะสมกับพี่ดิม  เท่าวิรัลอีกเเล้ว



                        **********************



มาต่อจบตอนนะคะ  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามกัน
เจอกันตอนหน้าค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 28-01-2017 12:54:32
นั่นไงละ ว่าแล้วว่ารันมันต้องสร้างเรื่องให้คนแตกแยกกัน ทำไมซื้อหวยไม่เคยเดาถูกอย่างนี้บ้างนะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 28-01-2017 14:12:50
เกลียดหมอรัลค่ะ

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 28-01-2017 14:23:10
ผิดเพราะรัก ถึงทำผิด ไม่คิดมาก
เคยลำบาก เพียงไหน ใจโหยหา
ทุกหนทาง ที่ย่างทำ ทุกคราวครา
เพื่อได้มา คนที่รัก ให้พักใจ

ช่วยไม่ได้ ใครให้โง่ เชื่อโป้ปด
ช่วยไม่ได้ ไม่ละลด อดสงสัย
ช่วยไม่ได้ ฉลาดน้อย บ่อยเกินไป
ช่วยไม่ได้ เป็นเหยื่อให้ เลิกลากัน

หมอรันเป็นคนสร้างเรื่อง
แต่หมอดิมกับเต
ก็เชื่อหมดทุกอย่าง

พระเอกกับนายเอกเรื่องนี้
หุหุ ถ้าสมน้ำหน้า..จะมีใครว่าเราไหม

โง่หนิ
 :katai2-1:
หึหึ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 28-01-2017 16:44:42
  ว่าล่ะหมอรันต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้เตบอกเลิกดิม ตอนนี้อ่านแบบสงสารเต แฟนเก่าเข้าใจผิด แต่ก็อดใจเอาไว้สะใจตอนเตเล่าความจริงที่บอกเลิกดิมดีกว่า
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-01-2017 16:57:39
ผิดเพราะรัก ถึงทำผิด ไม่คิดมาก
เคยลำบาก เพียงไหน ใจโหยหา
ทุกหนทาง ที่ย่างทำ ทุกคราวครา
เพื่อได้มา คนที่รัก ให้พักใจ

ช่วยไม่ได้ ใครให้โง่ เชื่อโป้ปด
ช่วยไม่ได้ ไม่ละลด อดสงสัย
ช่วยไม่ได้ ฉลาดน้อย บ่อยเกินไป
ช่วยไม่ได้ เป็นเหยื่อให้ เลิกลากัน

หมอรันเป็นคนสร้างเรื่อง
แต่หมอดิมกับเต
ก็เชื่อหมดทุกอย่าง

พระเอกกับนายเอกเรื่องนี้
หุหุ ถ้าสมน้ำหน้า..จะมีใครว่าเราไหม

โง่หนิ
 :katai2-1:
หึหึ


ใข่เลย ไม่ต้องพูดไรแล้ว 55555 //แต่ก็นะบางทีเราก็มีเผลอโง่ ความจำไม่เสื่อม แล้วงี้เตจะยังบอกความจริงอยู่ไหม บอกไปให้ความโง่สั่นคลอนบ้างเถอะ ใครพูดจริงใครตอแหล ตอนนี้ไม่เชื่อใจใคร ก็ตามหาความจริงเอง เบ้ยยย 555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 28-01-2017 18:01:16
หมอรัล จัดการได้ทั้งสองฝ่าย เอ่ออ...
+1 ค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 28-01-2017 18:31:42
ผิดเพราะรัก ถึงทำผิด ไม่คิดมาก
เคยลำบาก เพียงไหน ใจโหยหา
ทุกหนทาง ที่ย่างทำ ทุกคราวครา
เพื่อได้มา คนที่รัก ให้พักใจ

ช่วยไม่ได้ ใครให้โง่ เชื่อโป้ปด
ช่วยไม่ได้ ไม่ละลด อดสงสัย
ช่วยไม่ได้ ฉลาดน้อย บ่อยเกินไป
ช่วยไม่ได้ เป็นเหยื่อให้ เลิกลากัน

หมอรันเป็นคนสร้างเรื่อง
แต่หมอดิมกับเต
ก็เชื่อหมดทุกอย่าง

พระเอกกับนายเอกเรื่องนี้
หุหุ ถ้าสมน้ำหน้า..จะมีใครว่าเราไหม

โง่หนิ
 :katai2-1:
หึหึ


โดนใจ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 28-01-2017 18:34:33
ต่อเร็ววว เอาความกากของพระเอกมาอ่านหน่อย
สงสารเต เหมือนเมียอาการหนัก อีกไม่นานคงดีพมาก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 28-01-2017 19:15:53
เกลียดหมอรัน  ชิส์ 
ดราม่าอีกหลายตอนเลยไหมเนี่ย  แต่รออ่านนะจ๊ะ
ชอบค่ะ  เข้มข้นมาก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: oilzaza001 ที่ 28-01-2017 19:36:56
เตก็โง่ ดิมก็โง่ สุดท้ายก็เลยโดนรันปั่นหัวกันทั้งคู่ อมก. ดิมควรจะคู่กับรันคนฉลาดถูกละค่ะ จะได้ถูกควบคุมได้ง่ายๆ โง่ดี 55555 ส่วนเต ก็ปล่อยให้นางมีลูกมีเมียไป เห็นมั้ยย จบ happy end เย้เย้  o18  :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 28-01-2017 21:32:44
ลุ้นมากๆ เมื่อไหร่จะรู้ความจริงกันหนอพี่ดิม น้องเต :ling1: :ling1:
หมั่นไส้หมอรันจริงๆ  :beat: :beat:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 29-01-2017 02:31:07
หลงสงสารนางไปเก้าบท มาเจอบทที่สิบ นางเป็นตัวร้ายนี่หน่า

กลับมาคู่กันเนอะพี่ดิม_เต

 :a5:  :a5:  :a5:   :a5:

  :katai5:  :katai5:  :katai5:   :katai5:  :katai5:

..
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...กลัว]ตอนที่10 28/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 29-01-2017 02:53:00
ไรทีคะ คือรัลทำขนาดนี้นางจะได้รับผลกรรมมั้ยอ่ะ. อย่าบอกนะว่านางจะมีความสุข. สมหวังในรัก

ว่าแต่ทั้งดิมทั้งเตไหงโง่มากมายเดินตามเกมรัลอยู่ได้. ดิมคบเตมาตั้งนานไม่รู้นิสัยเตเหรอว่าเป็นคนยังงัยไม่คิดหาเหตุผลที่เตขอเลิกหน่อยเหรอ. แล้วเชื่อรัลมากไปไหม. เมื่อไหร่ดิมจะฉลาดสงสัยรัลเสียที

เตก็เหมือนกันมีอะไรก็บอกดิมไปตรงๆ. ว่าทำไมต้องเลิก ประชดกันไปมา. เข้าทางรัลเลย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 29-01-2017 10:45:37
เพราะหัวใจบอกว่า...หวัง

 

 

 

 

            ชายหนุ่มหน้าคมเข้มกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาหนังแท้ขนาดใหญ่  จับตามองไปที่เจ้าของบ้านที่กำลังเดินกลับไปกลับมาระหว่างห้องครัวกับห้องอาหารวุ่นวาย เพื่อเตรียมจัดโต๊ะอาหารมื้อกลางวันให้แก่เขา

            “ให้ผมช่วยดีกว่านะ”  ดิมพูดพลางขยับลุกขึ้นยืน แต่อีกฝ่ายรีบหันมาห้ามเอาไว้

            “ไม่ต้องหรอกจะเสร็จแล้วเนี่ย  แขนเดี้ยงแบบนั้นจะมาช่วยยังไง  เดี๋ยวทำจานรันตกแตกยุ่งหนักกว่าเดิมอีก”

          “แหม ดูถูก  ถึงแขนซ้ายง่อยก็ยังเหลือแขนขวาล่ะน่า”  คนเจ็บพึมพำกับตัวเอง  แต่ก็ยอมทรุดตัวลงนั่งที่เดิมแต่โดยดี   ครู่เดียวคนรักก็เดินเข้ามาหา

            “เสร็จแล้วเจ้านาย ไปกินข้าวได้”  พูดแกมหัวเราะร่าเริง   เข้ามาจับแขนเขาพาไปที่โต๊ะอาหาร ที่มีกับข้าวง่ายๆสองสามอย่างและข้าวสวยร้อนๆควันฉุย

            “โห  น่ากินจัง  ไหนชิมหน่อยสิ  อื้อหืม...”  แขกตักน้ำแกงจืดเข้าปาก

          “อื้อหืออะไร  อร่อยไหม อย่าเงียบสิ”  คนทำชักกังวล  ปกติเขาไม่ค่อยมีเวลาได้เข้าครัว ทำอาหารเองซะเท่าไหร่  ส่วนใหญ่อาศัยร้านอาหารนอกบ้าน  ไม่ก็อาหารในโรงพยาบาล

            “หมอรันทำทั้งที  อร่อยสิครับแหม”  พูดกลั้วหัวเราะ แล้วก็ใช้มือข้างเดียวตักอาหารข้าวสวยเข้าปาก   พ่อครัวค่อยยิ้มออก  เอื้อมมือไปตักกับข้าวใส่จานให้อย่างเอาอกเอาใจ  เห็นอีกฝ่ายตักเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆก็ยิ่งปลื้ม

            ดิมย้ายมาพักที่บ้านของเขาชั่วคราวมาเกือบอาทิตย์หนึ่งแล้ว  หลังจากที่หมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้   เขาเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หายดี   เหลือแขนข้างเดียวคงไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ถนัด จึงเสนอว่าให้เขาย้ายไปพักที่คอนโดของดิมหรือไม่ดิมก็ย้ายมาอยู่บ้านของเขาก่อน  ซึ่งตกลงกันเลือกอย่างหลัง

            อาการของคนเจ็บดีขึ้นเรื่อยๆ  เจ้าตัวบ่นอุบว่าอยากกลับไปทำงานต่อแล้ว ตามประสาคนบ้างาน  ติดที่แขนที่ใส่เฝือกอยู่ยังไม่หายดี และต้องทำกายภาพบำบัดอีก กว่าจะกลับมาใช้งานได้สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมที่จะกลับไปผ่าตัดคนไข้ต่อได้  รวมๆก็อีกเกือบเดือน 

            ปัญหามันอยู่ที่อาทิตย์หน้าเขาจะต้องไปดูงานที่ต่างประเทศนานเกือบสามอาทิตย์นี่สิ    แล้วใครจะดูแลดิมล่ะ

            “กินฝีมือตัวเองไม่ลงเหรอ”  สะดุ้งนิดหน่อย เพระมัวคิดเพลิน เห็นอีกฝ่ายวางช้อนจ้องหน้าเขาอยู่นานแล้ว กุมารแพทย์สั่นศีรษะ

            “เปล่าหรอก  กำลังคิดว่าอาทิตย์หน้าจะเอาอย่างไรดี   ไปบราซิลกับรันไหมล่ะ  ดิมยังไม่เคยไปเลยไม่ใช่เหรอ จะได้ถือว่าไปเที่ยวด้วยไง”

          “ไม่เอาหรอก  ผมไปก็ไปทำให้คุณลำบากเปล่าๆ  ไปดูงานก็เหนื่อยอยู่แล้ว  ไม่ต้องห่วงหรอกน่า  ผมดูแลตัวเองได้ มือขวาก็ยังใช้การได้อยู่   ทำนู่นทำนี่ได้อยู่แล้ว”  รดิศบอก  เขาไม่อยากให้คนรักต้องมาเสียเวลาคอยดูแลเขา  แทนที่จะได้เรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ได้มากที่สุด

            “จ้างพยาบาลมาดูไหมล่ะ”

          “ก็ดีนะ  ขอขาวๆน่ารักๆหน่อย”  รดิศแกล้งยั่ว  นัยน์ตาพราว

            “ไม่เอาดีกว่า  ชักไม่ไว้ใจ   เดี๋ยวพอรันกลับมา  ดิมก็มีแฟนใหม่ไปแล้วเรียบร้อยงี้  ไม่เอาๆ  ขอคิดดูก่อน”  คนฟังหัวเราะลั่น

            “คิดมากจัง ผมไม่ใช่คนเจ้าชู้เสียหน่อย  ผมรักเดียวใจเดียวจะตายไป”  คนฟังปรายตามองเล็กน้อย

            “นั่นแหละ  พูดแบบนี้รันยิ่งกลัวใหญ่เลย  รู้แล้ว เดี๋ยวโทรหาเจ๊ส้ม ขอพยาบาลอาวุโสมาช่วยดูแลกันดีกว่า”

            “อาวุโสเลยเรอะ   โหย  ใจร้ายจัง”  ดิมบ่นพึมพำ  แต่ดูเหมือนว่าคนรักของเขาจะตัดสินใจไปแล้ว  เพราะชายหนุ่มลุกจากเก้าอี้เดินไปยกหูโทรศัพท์ขึ้นทันที ตามนิสัยคิดไวทำไว   ดิมจับตามองยิ้มๆ รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด  เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงเขามากแค่ไหน  หลายวันที่ผ่านมา วิรัลดูแลเขาอย่างดี ทั้งที่ตัวเองก็งานยุ่งแสนยุ่ง แต่ก็ยังหาเวลาปลีกตัวกลับบ้านมาดูเขาจนได้

            ต้องขอบคุณอะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เราได้มาเจอกันจริงๆ  ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะมัวแต่หลงจมปลักอยู่กับ...แค่คิดถึงก็เผลอเบ้ปาก ...พวกใจดำอำมหิตยิ่งกว่าน้ำในคลองแสนแสบ  ดูสิ เมื่อวันก่อนก็โทรมาหาเขาอีก ถามเรื่องต้นฉบับที่อยากให้แก้ไข   รันเป็นคนรับโทรศัพท์ให้เขา บอกว่าอีกฝ่ายไม่ถามสักคำว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง  สนใจแค่งานของตัวเองเท่านั้น

            เหอะ  เตก็เป็นแบบนี้ล่ะ  เป็นมาตั้งนานแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นความรักมันบังตาอยู่ ก็เลยมองข้ามจุดนี้ไป


                                   **********************

          “โธ่เต  พี่อยู่เวรพอดี จะออกไปได้ยังไงล่ะ”  เขาพลิกนาฬิกาดูเวลา อุตส่าห์ปลีกตัวมาโทรหาแฟนให้หายคิดถึงเสียหน่อยแท้ๆ  ดันทำท่าว่าจะทะเลาะกันเสียได้

          “ไหนตอนแรกพี่ดิมบอกว่าไม่ได้อยู่เวรวันนี้ไงล่ะ”  เสียงตั้งเตบ่นมาตามสาย

          “ตอนแรกไม่ได้อยู่ แต่เพื่อนมันขอแลกเวรไง มันติดธุระสำคัญจริงๆ  พี่ก็เลยย้ายมาอยู่วันนี้แทน”

“แล้วที่พี่นัดกับผม มันไม่สำคัญหรือไง  พี่ก็เป็นแบบนี้เรื่อย ใจอ่อนตลอด  แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมก่อน นี่ผมรออยู่ที่ร้านนานแล้วเนี่ย”   เตหมายถึงร้านอาหารที่เราสองคนตกลงจะไปกินด้วยกัน

“พี่บอกเตไปแล้วเมื่อวันก่อน  ตอนที่นั่งอยู่ใต้คณะฯ...นายมัวแต่ทำรายงาน ไม่ฟังพี่เองน่ะสิ”

          “ตอนไหน ผมไม่เห็นได้ยิน ...เออ ช่างเถอะ  สรุปวันนี้พี่มาหาผมไม่ได้ใช่ป่ะ” หางเสียงตวัดเล็กน้อย บอกว่าเจ้าตัวหงุดหงิด

          “ไม่ได้จริงๆ  ไว้พรุ่งนี้พี่ค่อยไปรับที่หอตอนเช้านะ”  อีกฝ่ายเงียบไปครู่นึง แล้วก็ตอบกลับมา

          “ก็ได้  งั้นแค่นี้ก่อน  อย่าลืมหาอะไรกินด้วยนะ”  จบประโยคสุดท้าย ปลายสายก็ตัดไป  ดิมถอนหายใจออกมาเบาๆ  พักนี้เขาไม่ค่อยได้เจอหน้าแฟนเลย  เป็นเพราะตอนนี้เขาเรียนอยู่ชั้นคลินิกแล้ว  ต้องขึ้นวอร์ด ดูแลคนไข้จริงๆ ทำให้เรียนหนักขึ้นจนแทบไม่มีเวลาให้เตเหมือนเดิม  แถมยังมีขึ้นเวรอีก  บางวันกว่าจะเลิกก็ห้าทุ่ม เที่ยงคืน  แค่เดินลงจากวอร์ดก็หมดแรง อย่าว่าแต่จะไปหาใครที่ไหนเลย

          ห่ออาหารห่อหนึ่งวางลงตรงหน้าเขา  ดิมเงยหน้าขึ้นมอง  เห็นเพื่อนรุ่นน้องในกลุ่มยืนยิ้มอยู่ข้างๆ

          “ยังไม่ได้กินข้าวล่ะสิ  ผมซื้อบะหมี่หน้าโรงพยาบาลมาฝาก  เจ้านี้อร่อยมากเลยนะ  รีบกินเร็ว”  วิรัลพูดยิ้มๆ  แล้วเข้ามานั่งข้างๆเขา วางห่อบะหมี่หมูแดงของตัวเองลงบนโต๊ะ   

          “ขอบคุณมาก....เย็นแล้ว ทำไมไม่รีบกลับบ้านล่ะ”  เขาถามอย่างสงสัย เพราะเย็นวันศุกร์แบบนี้  พอราวน์เสร็จก็ต่างรีบลงจากวอร์ดกันทั้งนั้น  ถ้าไม่ติดว่าอยู่เวรอย่างเขาล่ะก็  ส่วนใหญ่บินปร๋อไปเดินเที่ยว หาอะไรอร่อยๆกินแล้ว

          “ผมอยู่เขียนรายงานน่ะ  ยังซักประวัติคนไข้ไม่เสร็จเลย”   อีกฝ่ายพูด  ขณะที่ก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ในห่อขึ้นมาใส่ปาก

          “อ้อ...” เขาพยักหน้ารับ  ไม่ได้พูดอะไรต่อ  ก้มลงรับประทานอาหารของตนเองบ้าง นึกขอบคุณความมีน้ำใจของอีกฝ่ายอยู่ในใจ

          รุ่นน้องคนนี้ถึงจะอยู่กลุ่มเดียวกับเขา  แต่ก็ไม่ได้สนิทกันมากนัก  เพราะอีกฝ่ายค่อนข้างเงียบๆ  ไม่ค่อยมีปากมีเสียงเท่าไหร่ในกลุ่ม  แต่สามารถพึ่งพาอาศัยได้เสมอ

          “ให้พี่ช่วยอะไรไหมล่ะ  หมายถึงรายงานน่ะ เขียนถึงไหนแล้ว”  เขาอาสาช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นการตอบแทน  รันยิ้มกว้าง รีบดึงกระดาษรายงานปึกใหญ่ พร้อมกับชีทและหนังสือเรียนขึ้นมาเปิดกางเต็มโต๊ะ   พร้อมกับลิสต์คำถามยาวเป็นหางว่าว

          ทำให้เขาพอจะเริ่มรู้ทันอยู่บ้างว่าจุดประสงค์หลักของอีกฝ่ายคงต้องการให้เขาติวให้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วนั่นแหละ  หึๆ

          ผ่านไปเกือบสองชั่วโมง  เขาถูกตามไปดูคนไข้สองครั้ง  กลับมาก็ยังเจอเพื่อนรุ่นน้องนั่งรออยู่ที่เดิมไม่ไปไหน  เผลอมองใบหน้าหวาน สวมแว่นตากรอบใหญ่ทำให้เห็นดวงตาคู่นั้นกลมโตยิ่งกว่าเดิม  คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น ปลายนิ้วไล่ไปตามตัวอักษรที่เรียงรายอยู่อน่างขะมักเขม้น

          “ยังไม่เข้าใจตรงไหนอีก หืม  ทำหน้าเครียดซะขนาดนั้น  อย่าย่นคิ้วมากสิ  เดี๋ยวหน้าย่นก่อนวัยหรอก”  เขาพูดแกมหัวเราะ  ทรุดลงนั่งข้างๆที่เดิม  เอื้อมมือไปดึงหนังสือเรียนเล่มหนาจากมืออีกฝ่ายมาดู

          “ตรงนี้อ่ะ  พี่ดิม  ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องให้ทาง IV ด้วย ให้ Oral ไม่ได้เหรอ...”

          เวรของเขาหมดไปกับการสอนรุ่นน้องคนนี้    เขาพบว่าอีกฝ่ายก็พูดเก่งพอดู  แถมมีความสนใจในหลายๆเรื่องที่คล้ายๆกัน ทำให้คุยกันถูกคอมากขึ้น   นึกแปลกใจเหมือนกันว่ารู้จักกันมาตั้งเกือบสี่ปี ทำไมถึงไม่เคยคุยกันแบบนี้เลย

          กว่าจะเลิกเวรวันนั้น ก็เกือบเที่ยงคืน  ฝนตกปรอยๆ ตอนที่เขาสองคนเดินกลับหอพักไปด้วยกัน  เสียงหวานๆยังพูดจ้อยๆอย่างร่าเริง  ดูเหมือนวิรัลจะอารมณ์ดีมากกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น

          “พี่ดิม  รู้ป่ะว่าข้างหน้าโรงพยาบาลตอนตีห้า จะมีโจ้กเจ้านึงมาขาย อร่อยมากเลยนะพี่  สนใจไปตื่นไปกินด้วยกันมั้ย  พรุ่งนี้”

          “โจ้กเหรอ  กำลังอยากกินเลย แต่ตีห้าจะตื่นไหวไหมเนี่ย ฮ่าๆ”

          “เดี๋ยวผมซื้อมาฝากไหมล่ะ” รันอาสาอีกตามเคย

          “ไม่เอาหรอก เกรงใจ  เอาอย่างนี้ นายมาเคาะเรียกพี่หน่อยได้ไหมตอนเช้า พี่จะไปด้วย”   ดิมพูด  เห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้าง รับคำเป็นมั่นเหมาะ

          เช้าวันถัดมา เขาก็เลยได้เปลี่ยนบรรยากาศ ลงไปกินโจ้กที่หน้าโรงพยาบาลตอนเช้าๆ โจ้กอร่อยสมกับที่คนพามากินคุยอวดเอาไว้   เขาก็เลยซื้ออีกถุงนึงจะแวะเอาไปฝากเต

          “โอ้โห  พี่จะกินสามชามเลยเหรอ”  ริทอุทาน  หลังจากที่เขาฟาดเรียบไปสองชามใหญ่

          “เปล่าหรอก พี่จะซื้อไปฝากเตมันหน่อย  อร่อยดี”  เขาตอบตามตรง  รู้สึกเขินนิดหน่อยที่เห็นสายตาของฝ่ายนั้นมองมา

          “เทคแคร์ดีขนาดนี้  ใครๆคงอิจฉาน้องเตแย่เลย”  เขายกมือขึ้นเกาแก้ม

          “ไม่ขนาดนั้นหรอก  เมื่อวานเข้าใจผิดกันนิดหน่อย เลยโดนงอน  วันนี้ต้องไปง้อสักหน่อย”  พูดไปก็มองนาฬิกาไป  เกือบหกโมงเช้าแล้ว  ป่านนี้เตน่าจะใกล้ตื่นนอนแล้วล่ะ  รีบขึ้นไปอาบน้ำบนหอแล้วไปเอาโจ้กไปฝากดีกว่า  ติดอยู่ตรงที่อีกฝ่ายยังกินไม่เสร็จนี่ล่ะ

          “ไปก่อนก็ได้พี่  ผมจะรอกินปาท่องโก๋ต่อน่ะ  ป้าเขาทอดอยู่” รันพูดยิ้มๆ  คงดูออกว่าเขาอยากไปหาแฟนแล้ว  หันไปมองกระทะปาท่องโก๋ที่เพิ่งเริ่มตั้งไฟ...คงต้องขอบาย

          “งั้นขอโทษด้วยนะ  พี่ขอไปก่อน ไว้วันหลังจะอยู่กินปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ด้วย  วันนี้รีบหน่อย  กลัวเตมันไปทำงานเสียก่อน”  รันโบกมือให้  เขารีบลุกขึ้นเดินขึ้นหอเร็วๆ  อาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็รีบเผ่นไปหาเด็กหนุ่มทันที

          พอตั้งเตเห็นโจ้กที่เจ้าตัวบ่นอยากกินมาหลายวันก็หายงอนเขาเป็นปลิดทิ้ง   หลังจากวันนั้นเขาก็ลงมากินอาหารเช้ากับรันด้วยเกือบทุกวัน กลายเป็นลูกค้าประจำของป้ากับอาซิ้มขายกาแฟหน้าโรงพยาบาลไปโดยปริยาย

                         *****************



            “รันยังกินช้าอยู่เหมือนเดิมเลยนะ  ผมจำได้ว่าแต่ก่อนต้องนั่งรอคุณละเลียดโจ้กกับน้ำเต้าหู้ประจำ   กว่าจะหมดชามได้”  จู่ๆรดิศก็พูดขึ้นมา   วิรัลเงยหน้าขึ้น  นึกตามครู่เดียวก็นึกออก

            “โห เรื่องตั้งนานแล้ว  เดี๋ยวนี้รันพัฒนา กินเร็วกว่าดิมอีก ดูสิ”    คุณหมอเด็กอวดจานข้าวที่สะอาดเกลี้ยงเกลา ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่ยังมีข้าวเหลืออยู่ครึ่งจาน เพราะทานไม่ถนัด

          “แบบนี้เขาไม่เรียกกินเร็ว  เขาเรียกกินน้อยตะหาก  ตักน้อยก็ต้องหมดก่อนสิ”  ดิมพูด  รวบช้อนเข้าไว้ด้วยกัน  รู้สึกอิ่มขึ้นมาอย่างประหลาด

            “อ้าว  ทำไมอิ่มเร็วจัง  ทานอีกหน่อยสิ”  คนทำคะยั้นคะยอ  แต่เขาส่ายหน้า

            “พอแล้ว  อิ่มแล้วล่ะ  รันรีบไปทำงานเถอะ  ใกล้บ่ายโมงแล้ว  เดี๋ยวผมจัดการที่เหลือเอง”  คนพูดลุกขึ้นยืน  ใช้มือข้างเดียวรวบจานมากองรวมกันเอาไว้อย่างคล่องแคล่ว  แต่เจ้าของบ้านรีบห้าม

          “จัดการอะไรล่ะ  ไม่ต้องเลยนะ  เอางี้  ช่วยยกไปไว้ในอ่างล้างจานก็พอ  เดี๋ยวรันกลับบ้านมาล้างเอง  ให้ดิมทำมีหวังตกแตกหมด”   

            ศัลยแพทย์หนุ่มหัวเราะในคอ  ยอมทำตามที่คนรักบอกแต่โดยดี

            วิรัลมองตามหลังร่างสูงได้สัดส่วนที่เดินเข้าไปในครัว   แอบยิ้มกับตัวเอง...ช่วงเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่เขาได้ดูแลดิมอย่างใกล้ชิด ทำให้เขามีความสุขมาก  รู้สึกเหมือนความมั่นใจที่หดหายไปตอนที่รู้ว่าอีกฝ่ายได้พบกับแฟนเก่าเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง   ถึงแม้ว่าจะยังมีบางครั้งที่เขาสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายเหม่อลอยไปบ้างก็ตาม

            เอาเถอะน่ะ   ช้าๆได้พร้าเล่มงาม  ท่องเตือนใจเอาไว้เหมือนที่เขาท่องมาตลอด 7 ปี เฝ้ารอกว่าคนคู่นั้นจะเลิกกัน  ในเมื่อตอนนั้นรักกันปานจะกลืนกิน เขายังสามารถทำให้พวกเค้าแยกกันได้  ตอนนี้มันไม่ยิ่งง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยหรอกหรือ   ดิมเชื่อใจ ไว้ใจเขามากกว่าเมื่อหลายปีก่อนหลายเท่า  แค่หาทางกันไม่ให้พวกเขาเจอกันก็จบแล้ว

            แต่สามอาทิตย์ที่เขาจะไม่อยู่เมืองไทยนี่สิ....

            “คิดอะไรอยู่ ทำหน้าซีเรียสเชียว” สะดุ้งน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายออกจากห้องครัวมายืนกอดออกอยู่ข้างๆ หันไปยิ้มรับ รีบลุกขึ้นยืน  หยิบกระเป๋าเอกสารมาถือเอาไว้

            “คิดเรื่องเคสวันนี้นิดหน่อย  รันไปก่อนนะ  เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน”

          ดิมขยับเข้ามาหอมแก้มเขาเหมือนเช่นเคย...ทุกครั้งก่อนไปทำงาน   ไม่อยากบอกเลยว่ามันทำให้เขารู้สึกดีจนไม่อยากจะออกจากบ้าน  ไม่อยากอยู่ห่างกันเลย และคงทนไม่ได้แน่นอนถ้าวันหนึ่งดิมจะต้องจากเขาไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด

            แต่ถ้าอีกฝ่ายต้องจากเขาไปจริงๆ  มันต้องไม่ใช่เพราะเด็กหนุ่มหน้าหวานผมหยิกคนนั้นแน่ 

----------------------------------------------------------------------------

“เต  บ่ายนี้ออกไปข้างนอกกับพี่หน่อยนะ  พี่จะไปเยี่ยมหมอดิม  ออกจากโรงพยาบาลเกือบอาทิตย์แล้ว ไม่ได้ไปเยี่ยมเลย”   เสียงบรรณาธิการรุ่นพี่ของเขาพูดมาตามสาย   นักเขียนหนุ่มขมวดคิ้วนิดๆ ถามกลับงงๆ

            “ออกจากโรงพยาบาล?  เอ  หมายถึงที่หมอดิมลาพัก 1 เดือนหรือครับ”

            “ใช่แล้ว  ไม่รู้เป็นไงบ้าง แต่ตัวเองเป็นหมอ แถมมีแฟนเป็นหมอด้วยกันอีก ก็คงดูแลกันดีแหละ  แต่เรารู้ว่าเขาเจ็บก็ต้องไปเยี่ยมหน่อยตามมารยาท เขาอุตส่าห์ให้เราสัมภาษณ์งานนะเต”  หางเสียงเริ่มมีแววตำหนิหน่อยๆ เพราะนึกว่ารุ่นน้องหาทางโยกโย้ ไม่อยากไป

          “หมอดิมเป็นอะไรหรือครับ” เตรีบถาม  เสียงสั่นน้อยๆ

            “อ้าว  ก็ที่รถชนไง  นอนรพ.ตั้งนาน  นี่นายไม่รู้หรอกหรือ”  อีกฝ่ายถามกลับอย่างงุงงง   นึกแปลกใจว่าทำไมรุ่นน้องถึงไม่รู้ข่าวนี้   เขารู้ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องทีเดียว  เพราะหมอส้มที่สนิทกันโทรมาเล่าให้ฟัง

            รถชน! คนฟังอุทานก้องอยู่ในใจ  มือที่จับโทรศัพท์อยู่เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้    ถามต่อละล่ำละลัก

            “แล้วหมอดิมบาดเจ็บตรงไหนบ้างครับ  ปลอดภัยดีใช่มั้ย”

          “ก็ต้องปลอดภัยสิ  ไม่งั้นจะกลับบ้านได้ยังไง  นี่นายได้ไปติดต่อต้นฉบับจริงหรือเปล่าเนี่ย  ทำไมไม่รู้เรื่อง” หางเสียงเจ้านายชักสงสัย

            “ผมโทรไปแล้วครับ  ไม่เห็นมีใครบอกเลย  หมอรันรับสายก็ไม่เห็นแกพูดอะไร”

          “คงนึกว่านายรู้เรื่องแล้วล่ะมั้ง  เออ ช่างเหอะ  ไม่เป็นไร เอาเป็นว่าบ่ายโมงเจอกันที่บริษัทก่อนนะ  จะเอารถบริษัทไป”

          “ออกจากโรงพยาบาลได้ ก็แปลว่าอาการดีขึ้นมากแล้วใช่ไหมครับ”  พยายามสะกดเสียงไม่ให้ดูอยากรู้มากเกินไป 

            “น่าจะหายแล้วนะ ไม่รู้ว่ะ  ไว้วันนี้เจอก็รู้เอง”  โดมพูดอีกสองสามคำก็ตัดบทวางสายไป

            ตั้งเตทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานภายในห้องส่วนตัวที่บ้านของตนเองช้าๆ  เอนหลังพิงพนัก  ยกมือขึ้นวางที่หน้าอก บริเวณเหนือหัวใจ  รู้สึกได้ว่าใจสั่น....รถชน?  ตอนไหน? เป็นอะไรมากมั้ย? นอนรพ.ตั้งนานงั้นหรือ?  ทำไมเขาไม่รู้เรื่องเลยล่ะ?  ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? แล้วใครดูแล?....

            คำถามเป็นสิบเรียงเข้ามาในหัว    จู่ๆก็เกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ  เหมือนเหลือเกิน..เมื่อหลายปีก่อนนั่น   ตอนที่เขาตัดสินใจทิ้งพี่ดิมให้นอนอยู่ตรงนั้น เพื่อที่จะไปหาใครอีกคนที่น่าเป็นห่วงกว่า   แล้วก็รู้สึกผิดอย่างรุนแรงทุกครั้งที่นึกถึง

            เพิ่งรู้ว่าความรู้สึกผิดมันทรมานใจยิ่งนัก  ก็ตอนที่เวลามันผ่านมาเนิ่นนานแต่ความทรงจำอันเลวร้ายกลับไม่เคยจางหายไปตามกาลเวลา  ถึงเขาจะเค้นหาเหตุผลร้อยแปดมาหักล้างเท่าใด  ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกที่ว่า  เราทำผิดกับคนหนึ่งๆเอาไว้ได้เลย  และเหตุผลที่ใช้อ้างกับตัวเองในตอนนั้น ก็ดูจะอ่อนเสียเหลือเกินในความคิดตอนนี้

            เขาเคยถามตัวเองหลายครั้งว่า ถ้าได้เจอคนๆนั้นอีก  เขาจะทำอย่างไร  จะเข้าไปขอโทษแล้วยอมรับผิดตรงๆ หรือว่าจะทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ถามกลับไปกลับมากับตัวเองหลายรอบ แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบที่น่าพอใจ

            เวลาผ่านไปเร็วอย่างน่าประหลาด  ใกล้จะบ่ายโมงแล้ว  เขาลืมอาหารกลางวันไปเสียสนิท  ช่างเถอะ ไม่สำคัญหรอก  ไม่อยากกินด้วย...

            ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ที่นั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองอยู่นาน  เปลี่ยนชุดให้เรียบร้อย พร้อมออกไปข้างนอก  ชะงักนิดหน่อยเมื่อหยิบนาฬิกาเรือนโปรดคู่ใจขึ้นมาใส่  เขาเม้มปากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถอดนาฬิกาที่ใส่ประจำเรือนนั้นออก  เดินไปเปิดลิ้นชักที่โต๊ะทำงาน  ล้วงเข้าไปด้านใน ซอกลึกสุดของโต๊ะ  หยิบเอากล่องเล็กๆติดมือออกมา

            เปิดออก ภายในเป็นนาฬิกาอีกเรือนหนึ่ง...ที่เขาหวงแหนมากที่สุด  การดูแลอย่างดีทำให้มันยังดูค่อนข้างใหม่ เมื่อเทียบกับอายุของมัน  พลิกดูด้านหลังที่เรือนโลหะ มีตัวอักษรสลักอยู่

            ‘DT4EVER’

          ถ้าใครมาเห็นเข้าก็คงจะนึกว่าเป็นรหัสของนาฬิกา หรือไม่ก็เป็นชื่อย่อของรุ่น   มีเพียงเขาและคนให้เท่านั้นที่รู้ความหมายที่ซ่อนอยู่

            เตหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมา ลูบไล้ที่สายหนังสีน้ำตาลเข้มเบาๆอย่างทะนุถนอม...ไม่รู้ว่าคนให้จะยังจำมันได้มั้ย  แต่ว่าเขาก็อยากใส่  เผื่อว่าฝ่ายนั้นจะรับรู้ได้ว่า..ที่ผ่านมาเขารู้สึกอย่างไร

 

            มาถึงที่หน้าบริษัทตอนบ่ายโมงพอดี  บก.หนุ่มร่างอ้วนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ในมือมีกระเช้าซุปไก่  บนรถมีตะกร้าผลไม้อีกอย่าง  ตามธรรมเนียมของการไปเยี่ยมไข้ครบครัน

            “รีบไปกันเถอะ  บอกหมอดิมเอาไว้บ่ายสองโมง ไม่รู้รถจะติดไหม”  เขาไม่ได้พูดอะไร รีบขึ้นรถตู้ของบริษัทตามขึ้นไป  เห็นนิตยสารเซเลปรายเดือนฉบับของเดือนนี้วางอยู่บนคอนโซลรถ  หน้าปกเป็นพระเอกดังคนหนึ่ง ก็หยิบขึ้นมาดู

            “อ้าว  เสร็จแล้วเหรอครับ  ทำไมเดือนนี้เร็วจัง”  ว่าที่รองบรรณาธิการถามงงๆ  เพราะปกติกว่าจะได้รูปเล่มออกมาอย่างสมบูรณ์ต้องใช้เวลานานกว่านี้สักสองสามวัน

            โดมยิ้มกริ่ม

            “พี่ขอมาก่อนน่ะ  จะเอาไปให้หมอดิมดู”

          คนฟังพยักหน้ารับ  ไม่อยากพูดอะไรต่อ เพราะเขาไม่อยากแสดงให้อีกฝ่ายรู้ว่าตัวเองกำลังกังวลมากแค่ไหน

            “หมอดิมคงใกล้จะกลับมาทำงานได้แล้วใช่ไหมครับ เห็นว่าลาแค่เดือนเดียว นี่ก็อีกอาทิตย์เดียวเอง”  อดไม่ได้ที่จะถามอยู่ดี  โดมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเล่มเล็กในมือ  ตอบเรื่อยๆ

            “เห็นว่าขอลาเพิ่มอีกเดือนนะ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อาจจะยังไม่หายดี”  ใจหายวาบ  รีบถามต่อ

          “เป็นอะไรมากหรือครับ  พี่พอจะรู้ไหม”

          “เห็นว่ากระดูกหัก ไหล่เคลื่อนหรืออะไรนี่แหละ  พี่ก็ฟังภาษาหมอไม่ค่อยเข้าใจ  ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นหรอก  จริงๆพี่ว่าเขารอดมาได้ก็ปาฏิหาริย์แล้วนะ  พี่เห็นรูปสภาพรถที่เพื่อนส่งมาให้ดูแล้วแบบโห เยินมากอ่ะ  ไม่ตายก็คางเหลือง   นี่เรียกว่าโชคดีแล้ว”

          “เขารถชนที่ไหนหรอพี่  ผมไม่รู้เรื่องเลย”  ประโยคสุดท้ายแผ่วลงเหมือนพูดกับตัวเอง

            “หัวหิน  เห็นว่าไปเที่ยวกับแฟน...หมอรันน่ะ   แต่โชคดีหมอรันไม่เป็นอะไรเลย”

            ชื่อคุณหมออีกคน ทำให้เขาเผลอถอนหายใจยาว

            พี่โดมพูดอะไรสักอย่างมาอีกหลายประโยค แต่เขาไม่ได้ฟัง   นั่งหันหน้ามองออกนอกหน้าต่าง   ฝนเริ่มตกพรำอีกแล้ว  เพราะเข้าฤดูฝน   หยดน้ำเกาะอยู่ที่ริมกระจกรถจนกลายเป็นฝ้าพร่ามัว   รู้สึกหนาวจนเผลอห่อไหล่

 

*********************


มาต่อค่ะ ขอบคุณนะคะ 
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 29-01-2017 11:02:40
ต่อนะคะ




พักนี้พี่ดิมไม่มาหาเขาเหมือนเคย   ถ้าเป็นวันธรรมดาก็รู้หรอกนะว่าไม่ว่าง ติดเรียน ต้องราวน์ตอนเช้าตั้งแต่ไก่โห่ แต่นี่แม้แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เค้าเคยปลีกตัวมาหาได้ตลอด ก็กลับไม่มา

พอเขาไปหาที่คณะฯก็คุยได้ครู่เดียว ก็ต้องไปเรียนต่อแล้ว  มันจะเรียนอะไรกันนักกันหนา  ไม่พักผ่อนบ้างหรือไง  ไม่เชื่อหรอกว่าพี่ดิมจะไม่มีเวลาขนาดนั้น   เป็นไปได้ไหมว่าเค้าเอาเวลาไปทำอย่างอื่น?

แล้วจะรู้ได้ไงล่ะ  อยู่คนคณะฯ จะไปเฝ้าก็น่าเกลียด  ดูเกาะติดเกินไป ไม่ชอบเลย  แต่ถ้าไม่ไป เขาก็ไม่มาหา   มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ...

“ไงเต นั่งคิดอะไรอยู่ หน้ามุ่ยเชียว  ขอชั้นทายนะ แฟนหมอไม่มาหาล่ะสิ”  เจ้กิ่ง  เพื่อนรุ่นพี่ประจำแก๊งค์ของเขาหรี่ตาลง มองเขาอย่างจับสังเกต  เขาหลบตาไปทางอื่น ตอบปฏิเสธไปแบบไม่ต้องคิด

“เปล่าสักหน่อย  ว่าแต่พี่กิ่งเถอะ  หนุ่มผมยาวคนนั้นไปไหนเสียแล้วล่ะ เห็นมาตามรับตามส่งอยู่ไม่กี่วัน เผ่นแน่บแล้วเหรอ” เปลี่ยนเรื่องเป็นเรื่องของฝ่ายนั้นแทน  หญิงสาวร่างเล็กหัวเราะ

“เจอชั้นด่า ไม่เผ่นให้มันรู้ไป  หนอย มีเมียอยู่แล้วยังจะมีหน้ามาบอกว่าโสด นึกว่าชั้นไม่รู้หรือไง” ตอบตวัดเสียง คงฟังตาโต

“อ้าว  แล้วรู้ได้ไงล่ะเจ๊ว่าเขามีเมียแล้ว”

“โถ ง่ายมาก  ชั้นมีสายสืบอยู่ทุกสารทิศ แค่โทรถามกริ้งเดียวรู้หมดใครเป็นใคร  ว่าแต่เราเถอะ  รู้บ้างหรือเปล่า”  จู่ๆเธอก็หันมามองหน้าเขาเขม็ง  เหมือนจะสื่ออะไรบางอย่าง

“รู้อะไรหรือพี่”  มองตอบแบบงงๆ  ฝ่ายนั้นเม้มปาก เงียบไปครู่ก็สั่นศีรษะ

“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร  แล้ววันเสาร์แบบนี้แกไม่ไปเที่ยวไหนเหรอ  ทุกทีไม่เคยอยู่ติดหอนี่นะ ต้องมีโปรแกรมนู่นนี่ตลอด”  เขาเผลอถอนหายใจออกมาเฮือก

“คนพาไปไม่ว่างอ่ะพี่  ติดธุระ”

“ติดธุระหรือว่าติด...อะไร ดูดีๆให้แน่นะเว้ย แล้วเดี๋ยวจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน”  หญิงสาวพูดแกมหัวเราะ ทำท่าจะเดินผละไป แต่เด็กหนุ่มรีบคว้าแขนดึงเอาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวสิเจ๊  หมายความว่าอะไร  เจ๊ไปรู้อะไรมาหรือเปล่า  บอกน้องเถอะ” พูดเร็วปรื๋อ  เพื่อนสาวรุนพี่หัวเราะอีกครั้ง  ปลดมือของเขาออกอย่างนุ่มนวล

“ไม่มีอะไรหรอกน่า ชั้นก็พูดเตือนแกไปเรื่อยเปื่อยงั้นแหละ  เอางี้ถ้าวันนี้แกว่าง เดี๋ยวเที่ยงๆเราไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน เดินชอปปิ้งสักพักค่อยกลับดีไหม”

เด็กหนุ่มนึกถึงคนรักที่หายเงียบไปสามวันแล้วก็พยักหน้ารับ  ตอบตกลงที่จะไปเที่ยวด้วย

ไม่นึกเลยว่าเพราะการตอบตกลงไปเที่ยวเจ๊กิ่งในวันนั้น  จะทำให้เขาได้รู้อะไรดีๆ  หรือไม่บางทีก็อาจจะเป็นความต้องการของเจ๊กิ่งอยู่แล้วก็ได้ ที่จงใจพาเขาไปที่นั่นในวันนั้น

“ว๊าย  ฝนตกแล้วแก หาที่หลบฝนก่อน  อ้าวไอ้ดี้เผ่นไปไหนแล้ว  เตแกเป็นหวัดง่ายอยู่รีบวิ่งเข้าร้านไอติมข้างหน้านั่นก่อนแล้วกันนะ  เดี๋ยวชั้นตามไป”

เขาพยักหน้ารับ  เพราะขืนรอเจ๊กิ่งต่อราคารองเท้าอย่างดุเดือดต่อมีหวังคงเปียกฝนไปครึ่งตัวเป็นแน่   ส่งร่มคันเล็กในมือให้หญิงสาวรับไป แล้วตัวเองก็รีบวิ่งเข้าร้านไอศกรีมที่อยู่ข้างๆแผงรองเท้าทันที

ภายในร้านคนแน่นพอสมควร  เขามองหาที่นั่งอยู่นานก็เจอโต๊ะเล็กๆพอสำหรับสามคนอยู่สุดมุมร้าน  จึงรีบตรงเข้าไปนั่งจองเอาไว้ก่อน   ระหว่างรอเพื่อนอีกสองคน ก็กวาดตาสำรวจร้านไปด้วย...ตกแต่งสวยเหมือนกันแฮะ  ไว้วันหลังต้องพาพี่ดิมมาด้วย  คงจะชอบ..

          ร่างของใครคนหนึ่งที่ดูคุ้นตาอย่างน่าประหลาดผลักบานประตูกระจกเข้ามาภายในร้าน  หมวกที่สวมอยู่ทำให้มองไม่เห็นใบหน้านั้นได้ถนัด  เขาเบี่ยงตัวให้สาวน้อยที่เดินเข้ามาทีหลังเข้าไปภายใน  เธอเดินตรงมาทางที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่พอดี

          เห็นใบหน้าสวยน่ารักนั้นเต็มตา   ตั้งเตก็ใจหาบวูบ...น้องเกรซคนนั้น หรือว่า...

          มองไปที่ผู้ชายที่เดินตามเข้ามาติดๆแล้วก็รู้สึกร้อนผ่าวในอก ใบหน้าคมเข้มคุ้นตาเสียเหลือเกิน จนไม่สามารถจะหลอกตัวเองได้ว่ามองผิดไป

          คนทั้งคู่เดินหาที่นั่งมาเรื่อยๆจนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าโต๊ะของเขาพอดี

          พี่ดิมจ้องมองมาที่เขาอย่างตะลึงงัน  ท่าทางตกอกตกใจของอีกฝ่ายยิ่งทำให้เขามั่นใจมากขึ้นไปอีก

          “เต?  เดี๋ยวก่อนนะ  มันไม่ใช่อย่างนั้น”

          จำได้ว่าตอนนั้น เขาไม่ได้พูดออกไปเลยแม้แต่คำเดียว แต่ผุดลุกขึ้นยืน มองหน้าพี่ดิมแวบเดียวด้วยสายตาผิดหวัง  กระบอกตาร้อนผ่าว แต่ก็สะกดกลั้นเอาไว้ ไม่ปล่อยโฮออกมากลางร้านให้อายใคร แล้วก็รีบรุดออกมาจากร้านโดยไม่หันไปมองใครหน้าไหนอีกทั้งนั้น

          ได้ยินเสียงพี่ดิมเรียกอยู่ข้างหลังแว่วๆ  แต่เขาไม่หันกลับไปมอง

          ฝนเม็ดใหญ่ๆตกกระทบเนื้อตัวครู่เดียวก็เปียกโชกไปหมดทั้งตัว  น้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลปะปนออกมากับหยาดฝนจนแยกไม่ออก  รู้แต่ว่าเขาเดินร้องไห้ออกมาดังๆกลางสายฝน

          เสียใจชะมัด  ทำไมพี่ดิมต้องทำแบบนี้ด้วย  พี่ไม่มาหาเราเพราะมีคนใหม่ใช่ไหม?  น้องรหัสคนสวยคนนั้น

          เสียงของเจ๊กิ่งแว่วขึ้นมาในหู

          ‘ดูดีๆให้แน่นะเว้ย แล้วเดี๋ยวจะหาว่าเจ๊ไม่เตือน’

          ใช่แน่แล้ว  พี่กิ่งคงจะรู้อะไรมาก่อนก็เลยหาทางพูดอ้อมๆเป็นนัยๆให้เขาคิด  สุดท้ายก็เลยพามาให้เห็นกับตาเสียเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป 

          เจ็บใจชะมัด  ทั้งๆที่วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ 2 ปี ของเราสองคนแท้ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้

          “น้องเต?  ทำไมมาเดินตากฝนอยู่แบบนี้ล่ะครับ”  เขาเงยหน้าขึ้นมองคนทัก  เห็นชายหนุ่มร่างเล็กหน้าหวานที่เขาจำได้ว่าเป็นเพื่อนในกลุ่มของพี่ดิม ยืนถือร่มสีเขียวอยู่ตรงหน้า  มองมาที่เขาด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก

          “พี่รัน? ผม...ลืมเอาร่มมาเฉยๆครับ”  เขาบอกปัดไป  ทำท่าจะเดินเลี่ยง  แต่อีกฝ่ายกลับเดินเข้ามาใกล้ ให้เขาได้อยู่ในร่มคันเดียวกันด้วย  พี่รันส่งยิ้มให้กับเขาบางๆอย่างเป็นมิตร

          “จะไปไหนล่ะ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”  ว่าที่คุณหมออาสาอย่างมีน้ำใจ   ทำให้เขาอึกอัก

          “ไม่เป็นไรครับ  รบกวนพี่เปล่าๆ  ผมเดินไปอีกนิดเดียวเอง”

          “ถ้านิดเดียวก็ไม่รบกวนหรอก”  ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ  พาเขาเดินไปยังป้ายรถเมล์ที่ต้องการ   ระหว่างหยุดยืนรอรถเมล์อยู่ข้างกันเงียบๆ ท่ามกลางสายฝน  ว่าที่คุณหมอก็ถามขึ้นมาตรงๆ

          “ทะเลาะกับพี่ดิมมาเหรอ”  เขาอึ้งไป  มองหน้าอีกฝ่าย  แต่การไม่พูดก็เหมือนเป็นการตอบรับไปในตัว

          “เรื่องน้องเกรซใช่มั้ย  พี่ว่าเตเข้าใจผิดนะ”  คนฟังเม้มปาก แทบจะหันหน้าหนี   นึกรู้ขึ้นมาทันทีว่าอีกฝ่ายคงจะถูกพี่ดิมส่งมาเพื่อมาอธิบาย

          “พี่ดิมไม่ได้ส่งพี่มาหรอก  พอดีพี่เห็นเหตุการณ์ก็เลยอยากช่วย เท่านั้นเอง”  พี่วิรัลพูดราวกับรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่  สบดวงตากลมดำขลับที่เต็มไปด้วยคำถามนั้นครู่หนึ่งก็พูดต่อ

          “วันนี้พวกพี่นัดเลี้ยงน้องปี 1 กัน  พอดีมันกะทันหัน เพราะพี่ส้มจะไปเที่ยวต่างประเทศมะรืนนี้  ก็เลยเพิ่งนัดเมื่อวาน   กว่าจะนัดกันลงตัวก็เกือบเที่ยงคืน พี่ดิมเห็นว่ามันดึกแล้วก็เลยไม่ได้ไปบอกเต   พอตอนเช้าไปหาที่หอ เขาบอกเตออกไปแล้ว ก็เลยยังไม่ได้บอก  ไม่คิดว่าจะมาเจอกันที่นี่”

          “อ้อ”  คนฟังหลุดมาคำเดียว แล้วก็เงียบไปอีก  รันถอนหายใจ

          “พี่ไม่ได้จะมาแก้ตัวแทนพี่ดิมนะ  แต่เห็นว่าเตเข้าใจผิด ก็เลยอยากจะมาเล่าความจริงให้ฟังเฉยๆ เตมีสิทธิจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้  แต่พี่บอกเอาไว้ตรงนี้ได้เลยว่า พี่ยังไม่เคยเห็นพี่ดิมคิดนอกใจเตเลยสักครั้ง”  แววตาจริงใจของฝ่ายนั้นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาหน่อยนึง

          “เตต้องใจเย็นๆนะ พี่รู้ว่าช่วงหลังมานี่ดิมมันไม่ค่อยมีเวลา  แต่พอว่างทีไร เค้าก็รีบไปหาเตตลอด  ขนาดเรียนหนักแทบไม่ได้นอน ก็ยังอุตสาห์ตื่นแต่เช้าเพื่อไปหาเตเลย   เห็นใจเค้าหน่อยเถอะ   เค้าต้องการกำลังใจจากเตมากเลยนะรู้ตัวบ้างไหม”   รันพูดต่อเสียงอ่อนๆ  เห็นท่าทีของอีกฝ่ายเริ่มอ่อนลงมากก็ส่งยิ้มให้

          “อย่าระแวงอะไรที่ทำให้บาดหมางใจกันไปเปล่าๆเลย  เสียเวลา เชื่อพี่เถอะนะ”

          “ขอบคุณมากนะครับ  ผมเข้าใจแล้ว...พี่ดิมโชคดีที่มีเพื่อนดีๆอย่างพี่”  เขาพูดออกมาในที่สุด  ว่าที่คุณหมอหนุ่มยิ้มกว้าง  รถเมล์แล่นมาจอดเทียบที่ฟุตบาทพอดี   รันพยักเพยิดไปทางข้างหลัง

          “โน่น พี่ดิมของเตเขาเดินมาโน่นแล้ว  เตมีทางเลือกสองทาง ว่าจะขึ้นรถเมล์หนีกลับไป หรือว่าอยู่คุยกับเขาก่อน...พี่ว่าเตอยู่คุยก่อนดีกว่านะ  เพราะพี่จะได้ดีใจว่าทำหน้าที่ได้สำเร็จ”  คนพูดๆจบก็เป็นฝ่ายกระโดดขึ้นไปยืนบนรถเมล์เสียเอง  โบกมือให้ทั้งเขาและชายหนุ่มที่เดินตามหลังมาไม่ไกล  รถเมล์คันนั้นเคลื่อนออกจากป้าย

          เด็กหนุ่มผมหยิกหัวเราะ   โบกมือตอบ แล้วหันไปมองคนรักที่เดินมาหยุดตรงหน้า  ใบหน้าคมเข้มมีรอยกังวลฉาบอยู่บางๆ

          “เป็นอย่างไรบ้าง  เข้าใจหมดทุกอย่างหรือยัง?” ฝ่ายนั้นถาม

          “เข้าใจอะไร  ไม่เห็นรู้เรื่อง”  เขาแกล้งตอบ

          “ว้า  ไม่ได้ผลเหรอ อุตส่าห์ส่งคนมาเป็นทัพหน้าก่อนแล้วนะ”

          “นั่นไง  ไหนเมื่อกี้พี่รันบอก อยากมาอธิบายให้ผมฟังเอง  ตกลงมันแผนพี่ชัดๆ”  พี่ดิมยักไหล่ ดูกวนประสาทที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา

          “พี่ก็ไม่ได้ส่งเขามาหรอก  เขาอาสาจะช่วยพี่เอง  มีเพื่อนดีก็สบายไปแปดอย่างเนอะ”

          “นั่นสิ ผมว่าพี่รันน่ารักกว่าพี่ตั้งเยอะ”  คนฟังตาเขียวขึ้นมาทันที

          “ห้ามชมใครหน้าไหนต่อหน้าพี่เด็ดขาด  นี่เป็นกฎ  เข้าใจ๊”  เขายักไหล่เลียนแบบอีกฝ่ายเมื่อครู่นี้บ้าง

          “ช่วยไม่ได้  เอางี้สิ  ผมขอตั้งกฎบ้างได้มั้ยล่ะ  ห้ามพี่ทำให้ผมเข้าใจผิดอีก  อ้อ  ห้ามไปไหนโดยไม่รายงานก่อนด้วย”

          “ขี้โกงนี่หว่า  นี่มันสองข้อแน่ะ”

          “มีปัญหาเหรอ?” เขาหันไปถามเสียงดุ  อีกฝ่ายหัวเราะ โอบแขนไปรอบไหล่ของเขา พาเดินกลับเข้ามาภายในหลังคาของร้านขายกระเป๋า  เด็กสาวสองคนลอบมองมาที่พวกเขาแล้วแอบยิ้ม  แต่เขาทำเป็นมองไม่เห็น  ทั้งที่ใบหน้าชักร้อน

          “เปล่าครับ  ยินดีครับคุณ  แหม  นี่รู้มั้ยว่าเพื่อนพี่มันล้อพี่กันใหญ่เลยว่ากลัวนายเข้าไส้  ตอนที่พี่เห็นนายในร้านไอติมนั่นพี่แทบช็อค  ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มแน่ะ”

          “เวอร์จริงๆ” พูดพลางเบี่ยงตัวออกจากวงแขนที่พาดอยู่บนไหล่

          “ไม่ได้เวอร์นะ  ตอนนั้นนายทำหน้าเหมือนจะกินหัวพี่แน่ะ ฮ่าๆ  นึกแล้วก็ตลกดี”

          “เดี๋ยวนะ  สรุปพี่ไม่ได้มากันแค่สองคนใช่ป่ะ  แต่มาเลี้ยงน้องกันทั้งกลุ่ม  ผมเข้าใจถูกไหม”

          “ถูกต้องนะคร้าบ  หลังจากนายเดินงอนตุ้บป่องออกจากร้านไปแบบไม่ดูตาม้าตาเรือนั่นแหละ  เพื่อนพี่อีกขโยงก็เข้ามาในร้าน  ทันเห็นพี่วิ่งตามนายออกมาพอดี”

          “ไม่ดูตาม้าตาเรือ? เฮอะ”  เสียงขึ้นจมูกนิดหน่อย  พี่ดิมเขยิบเข้ามาใกล้เขาอีกนิด

          “ยังไม่หายงอนอีกเหรอ  นี่พี่ทิ้งน้องรหัสออกมาง้อนายนะเนี่ย”  คนฟังหันกลับไปมองอย่างตกใจ

          “อ้าว  แล้วแบบนี้น้องเขาจะอยู่กับใครล่ะ  ทำแบบนี้ไม่ถูกนะ  รีบกลับไปที่ร้านเลย”  เขาคว้าข้อมือของชายหนุ่มดึงให้ออกแรงเดินกลับไปที่ร้านไอศกรีมแห่งนั้น  ปากก็บ่นพึมพำ  กลัวว่าน้องรหัสของฝ่ายนั้นจะรู้สึกว่ามีพี่รหัสไม่ได้เรื่อง เทคแคร์ไม่ดี

          “ทีหลังถ้าจะงอน ก็อย่าเดินหนีออกมาไกลนักสิ  ออกมารอนอกร้านก็พอ  พี่จะได้ออกมาตามง่ายๆหน่อย”  พี่ดิมกระซิบข้างหู เมื่อเดินมาหยุดที่หน้าร้านไอศกรีมแห่งนั้น  เจอพี่กิ่งกับดีดี้ที่หน้าร้านพอดี  เธอมองมาที่พวกเขายิ้มๆ แล้วก็พยักเพยิดเป็นเชิงว่าขอกลับก่อน  ตั้งเตพยักหน้ารับ  แล้วมองเข้าไปภายในร้านเห็นเพื่อนของพี่ดิมนั่งกันอยู่เป็นกลุ่มใหญ่

          เขารีบปล่อยมือจากพี่ดิมทันที  แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือของเขาไปกุมเอาไว้มั่น  เปิดประตูร้าน จูงมือพาเดินเข้าไปด้านใน  ตรงเข้าไปหาโต๊ะที่เพื่อนๆของเขานั่งกันอยู่  ทุกคนมองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว

          หน้าร้อนซู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เตรู้สึกอยากจะมุดหน้าลงใต้โต๊ะด้วยความอาย

          “ขอโทษทุกคนด้วยครับที่มาช้า” พี่ดิมพูดยิ้มๆ  ผู้หญิงร่างสูงผิวเข้มที่เขาจำได้ว่าชื่อส้ม เลื่อนเก้าอี้ใกล้ๆเข้ามาให้พวกเขานั่ง

          “คืนดีกันแล้วใช่ไหมล่ะ  ยิ้มแป้นมาเชียว”  เธอพูด  มองมาที่พวกเขาสองคน

          พี่ดิมไม่ตอบ แต่หันไปทางน้องรหัสสาวสวยที่นั่งมองเขาอยู่ด้วยนัยน์ตาไม่เป็นมิตรนัก

          “นี่แฟนพี่เอง  ชื่อเต  ถือโอกาสนี้แนะนำอย่างเป็นทางการเสียทีนะครับ”   เตส่งยิ้มให้สาวน้อยนิดหนึ่ง  เธอยิ้มตอบกลับมาแล้วก็ไม่สนใจอีก   ดิมเลื่อนเก้าอี้ให้เขานั่งรวมกลุ่มด้วย   แล้วก็หันไปสนทนากับเพื่อนๆต่อด้วยภาษาที่เขาฟังไม่รู้เรื่องเหมือนมาจากดาวอังคาร

          “ทำเป็นเล่นไป  วันก่อนเจอ @$@^$%&&#%&&$#@ ด้วยล่ะ รู้ไหมว่าผมตอบไปว่าไง  ผมตอบไปว่า #$^^^%#%#$@%^*%ล่ะ  พี่แกเงิบไปเลย”  เสียงหัวเราะครืนใหญ่ดังขึ้นเมื่อพี่ดิมเล่าจบ

          แต่เขาได้แต่นั่งมองคนนั้นคนนี้กลับไปกลับมาเพราะไม่เข้าใจมุขที่เขาเล่นกัน  มีผู้ชายอีกสองคนพูดต่อมุขของพี่ดิมอย่างครื้นเครง

          จู่ๆเตก็รู้สึกว่า เขาไม่เข้าพวกกับคนพวกนี้เลย  คนที่เล่นมุขกันด้วยภาษาที่เข้าใจกันเอง  ถึงเขาจะแวะไปที่หอพักของพี่ดิมบ่อยๆ  แต่ก็แทบไม่เคยคุยรวมกลุ่มกับเพื่อนๆของพี่ดิมเลยสักคน  อ้อ ยกเว้นพี่รันคนเดียวมั้ง   แต่เวลาอยู่กับพี่ดิม เขาก็ไม่เคยเล่นมุขหรือพูดด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจแบบนี้

          ชายหนุ่มหน้าตาดีที่นั่งอยู่ถัดไปจากเขาหันมาพูดทักทายแล้วชวนเขาคุยอย่างอัธยาศัยดี  สักพักก็ส่งแก้วเครื่องดื่มคล้ายน้ำหวานมาให้เขา

          “น้องเตทานเลยครับ  ไม่ต้องไปสนใจไอ้ดิมมันหรอก ให้มัน @#%%#$%3$%ไปเลย”  เพื่อนของพี่ดิมอีกคนที่เขาจำได้เลาๆว่าชื่อ วินบอกแกมหัวเราะ คะยั้นคะยอให้เขาดื่มเครื่องดื่มในแก้วสีสวยที่ส่งให้ แล้วพูดอะไรที่เขาฟังไม่ทันมาอีก   แต่พี่ดิมตาเขียวปั้ดรีบคว้าแก้วใบนั้นออกจากมือของเขา  หันไปจ้องหน้าพี่วินอย่างเอาเรื่อง  ทุกคนในโต๊ะเงียบกริบ มองมาที่พวกเขาเป็นตาเดียว

          “หยุดเลยนะไอ้วิน  อย่ามาทำให้น้องกูเสียคน   ไปดีกว่า  เรากลับกันเถอะเต   น้องเกรซ พี่ขอตัวกลับก่อนนะครับ”

          “เห้ย มันโกรธแล้วเว้ย ไปล้อแฟนมัน  โธ่  ไม่ได้ตั้งใจเลย  ทำตัวเป็นพวก @$@%#% ไปได้น่า  อย่างนี้มันต้อง #$@$@%%$”  เพื่อนฝูงในกลุ่มพี่กันพูดมาอีกหลายคำ แต่พี่ดิมกลับคว้าข้อมือของเขา บีบแน่นแล้วพาเดินออกมาจากร้าน  ดวงตาของพี่ดิมวาวโรจน์แบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน  ดูเหมือนพี่ดิมจะโกรธจัดทีเดียว

          “เกิดอะไรขึ้นหรอพี่   ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ  พี่คลายมือหน่อยได้ไหม เตเจ็บ”   พี่ดิมรู้สึกตัว  ผ่อนมือที่กำรอบข้อมือของเขาแน่นลง

          พี่ดิมเม้มปากนิดหนึ่ง  หันมามองที่เขาเงียบไปครู่ ก็พูดแกมหัวเราะ  แบบที่เขาดูออกทันทีว่าอีกฝ่ายยังไม่ปกตินัก

          “ไม่มีอะไรหรอก  พี่ขอโทษนะเต  เจ็บมากหรือเปล่า”  เขาก้มลงดูรอยแดงรอบข้อมือของเด็กหนุ่มแล้วจับมือยกขึ้นมาเป่าเบาๆ  ทำเอาเจ้าของมือหน้าแดง

          “ไม่เป็นไรแล้วพี่   พี่ดิม...เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ  ผมไม่เข้าใจ”  เขาตัดสินใจถามอีกรอบ

          “พวกนั้น...มัน..ไปเรื่อยน่ะ  ไม่มีอะไรหรอก” พี่ดิมบอกปัด  ไม่ยอมเล่าให้เขาฟังอยู่ดี

          “วันหลังถ้าเจอก็ไม่ต้องทักหรอกนะ  พี่ก็ไม่ค่อยสนิทกับพวกมันมากนักหรอก ทีนี้มันมาเลี้ยงด้วยกันเพราะเป็นสายรหัสโคกันไง  คนที่คุยได้ก็มีพี่ส้ม พี่ผู้หญิงผิวเข้มๆคนนั้นแหละ กับรันที่โอเค”

          “ผมชอบพี่รัน  หมายถึงพี่เขาดูเป็นกันเอง  ท่าทางใจดี”  เขารีบขยายความ เพราะอีกฝ่ายหันขวับมามองหน้าเมื่อเขาเผลอชมคนอื่นต่อหน้าต่อตา

          “อืม  รันเป็นคนมีน้ำใจมาก พี่ก็ชอบเขาเหมือนกัน” พี่ดิมดูผ่อนคลายขึ้นเมื่อเอ่ยถึงพี่รัน  พวกเขาเดินออกมาไกลพอสมควรแล้ว  สุดท้ายเย็นวันนั้นพี่ดิมก็ไปส่งเขาที่หอเหมือนเคย  ระหว่างทางก็เล่าเรื่องของคนในคณะฯหลายคนให้ฟัง รวมถึงพี่รันคนนั้นด้วย

          ใครจะรู้ว่าอนาคตของเขากับว่าที่คุณหมอหนุ่มใจดีคนนั้นจะกลับตาลปัตรกันไปได้ถึงเพียงนี้


                   ************************

มาต่อจบตอนเเล้วนะคะ 
ขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านกัน
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองเนอะ5555
ทุกคอมเม้นท์ดูอิน  ดีใจจังค่ะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]100%ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 29-01-2017 12:14:47
เล่าอดีตเยอะจนเนื้อเรื่องตอนปัจจุบันไม่ขยับไปไหนเลยสักที เซ็ง :seng2ped:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]100%ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 29-01-2017 13:47:45
ต่อให้แลก ด้วยชีวิต ไม่คิดยั้ง
ไม่คำนึง ถึงหน้าหลัง พังฉิบหาย
ขอให้ได้ ขอให้อยู่ แนบเคียงกาย
วันพรุ่งนี้ ถึงจะตาย ก็ยังยอม
#หมอรัน

ใจสัตย์ซื่อ ยังถือมั่น นั่นคนรัก
แม้รู้จัก คนอื่นอื่น เป็นหมื่นแสน
แต่ขอมอบ ทั้งหัวใจ ไว้กับแฟน
รักแน่นแฟ้น แค่คนเดียว ไม่เหลียวใคร
#หมอดิม

มองเห็นโลก ไม่โชกโชน อ่อนโยนนัก
เพิ่งรู้จัก ความรักใส ไร้เดียงสา
มีแฟนเป็น คนรักแรก รักเดียวมา
มองเห็นว่า โลกใบนี้ ช่างดีจริง
#ตั้งเต

อ่านนิยายเรื่องนี้สนุกมาก
ยังกับติดยา เสพมากขึ้นเรื่อยๆ

+1 ฮับ
#คนแต่ง จุ๊บๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]100%ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 29-01-2017 14:43:08
    สนุกมากๆคับ ยิ่งอ่านยิ่งรู้นิสัยรันมากขึ้น และก็ยิ่งอยากให้เตเล่าเรื่องที่บอกเลิกหมอดิมมากขึ้นไปด้วย คงจะสะใจมากจริงๆ
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]100%ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 29-01-2017 14:54:28
ต่อให้แลก ด้วยชีวิต ไม่คิดยั้ง
ไม่คำนึง ถึงหน้าหลัง พังฉิบหาย
ขอให้ได้ ขอให้อยู่ แนบเคียงกาย
วันพรุ่งนี้ ถึงจะตาย ก็ยังยอม
#หมอรัน

ใจสัตย์ซื่อ ยังถือมั่น นั่นคนรัก
แม้รู้จัก คนอื่นอื่น เป็นหมื่นแสน
แต่ขอมอบ ทั้งหัวใจ ไว้กับแฟน
รักแน่นแฟ้น แค่คนเดียว ไม่เหลียวใคร
#หมอดิม

มองเห็นโลก ไม่โชกโชน อ่อนโยนนัก
เพิ่งรู้จัก ความรักใส ไร้เดียงสา
มีแฟนเป็น คนรักแรก รักเดียวมา
มองเห็นว่า โลกใบนี้ ช่างดีจริง
#ตั้งเต

อ่านนิยายเรื่องนี้สนุกมาก
ยังกับติดยา เสพมากขึ้นเรื่อยๆ

+1 ฮับ
#คนแต่ง จุ๊บๆๆๆๆ

มันใช่ มันใช่เลย 555 ชอบอ่ะ ตามนั้น อิอิ!!
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]100%ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 29-01-2017 18:42:52
รอลุ้นน้องเตนะเนี่ย    อยากเห็นสีหน้าท่าทางและความรู้สึกที่ดิมเห็นนาฬิกานั่น  TD4EVER
 ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หวัง]100%ตอนที่11 29/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 30-01-2017 08:32:43
ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง?
 แล้วเหตุผลของรันที่โกหกเรื่องนั้นเรื่องนี้ของเตมาตลอด7ปีคือ?
 รักและอยากได้แฟนคนอื่น เพราะคิดว่าตัวเองเหมาะสมกว่าเหรอ. 555
 แบบนี้ก็ได้เหรอ 555
ตอนนี้ดีแล้วที่เตอยากเคลียร์

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 31-01-2017 17:40:00
เพราะหัวใจบอกว่า...ลอง

 

 

 

 

 

            “หมอรันเดินทางดีๆนะลูก  แม่เป็นห่วง  อยู่ที่โน่นก็ส่งข่าวมาหาแม่บ้างนะ  แม่คิดถึง”  หญิงวัยกลางคนแต่งกายสวยสมวัยลูบหลังคุณหมอหนุ่มรูปงามที่ก้มลงกราบที่อก   ปากก็ให้ศีลให้พรยาวเหยียด วนกลับไปกลับมาด้วยความเป็นห่วงบุคคลที่เธอรักเอ็นดูเหมือนลูกชายแท้ๆอีกคน

            “พอแล้วมั้ง  รันมันไม่ได้ไปอิรักนะครับแม่  เป็นห่วงผมที่ไม่มีคนดูแลดีกว่า”  ลูกชายตัวจริงควงแขนอีกข้างนึง พูดแกมหัวเราะ   วิรัลหัวเราะตาม

            “แหม  ดิมเก่งอยู่แล้วน่า  อ้อ ผมติดต่อพยาบาลให้แล้วด้วย  ไม่ลำบากหรอก”

          “เสียดายที่แม่ต้องตามจอร์จไปนิวยอร์ค ไม่งั้นคงได้อยู่ดูแลลูกแทนแล้ว”   เธอเอ่ยถึงสามีตาน้ำข้าวยิ้มๆ  ดิมยิ้มตอบ  เรื่องพ่อเลี้ยงไม่เป็นปัญหากับเขาแต่อย่างใด  เพราะเขาโตพอที่จะเข้าใจแล้ว และเขาก็เข้ากับสามีใหม่ของแม่ที่เป็นนักธุรกิจส่งออกได้เป็นอย่างดี  แม้ว่าจะไม่ค่อยได้มายุ่งเกี่ยว ข้องแวะกันเท่าไหร่ก็ตาม

            “ผมอยู่ได้ครับ  มือเดียวไหว ไม่เชื่อถามรันดู”  เขาแกล้งยั่วยิ้มๆ อย่างมีเลศนัย  รันหน้าแดง   ตอบสะบัด

            “ผมไปแล้วดีกว่า  ดิมอยู่ที่นี่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะ  โทรหาทุกวันด้วย ไม่งั้นโกรธ   ไปแล้วครับ  ขอบคุณมากครับคุณแม่  อ้อ พี่ดิม  อย่าลืมนะว่าวันมะรืนนี้คุณโดมกับคุณเตจะมาเยี่ยมที่คอนโดตอนบ่ายสอง....ผมไปแล้วครับคุณแม่  ไปก่อนนะพี่ดิม  แล้วเจอกันครับอีกสามอาทิตย์”  กุมารแพทย์หนุ่มพูดยิ้มๆ  เอื้อมมือไปจับมือของคนรักเอาไว้ ประสานเอาไว้แน่น ดิมดึงตัวเข้ามากอดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก็ปล่อย

            ไม่ลืมกระซิบที่ริมหูว่า “รักนะครับ”  ได้ยินเสียงตอบกลับมาจากคนที่กำลังจะไป ตอบกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน

            รันร่ำลาญาติพี่น้องที่มาส่งอีกครู่ใหญ่ หันมาโบกมือให้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็เดินหายเข้าไปในเกต

            ชายหนุ่มมองตามจนลับตา   เขาไม่อยากให้รันไปเลย  ในช่วงเวลาที่หัวใจของเขายังไม่มั่นคงเช่นนี้   อยากให้คนรักอยู่เป็นหลักในใจเขาเหลือเกิน 

            มือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของเขา  ดิมสะดุ้งน้อยๆหันไปมอง เห็นมารดาของตนมองมายิ้มๆ

            “กลับกันเถอะลูก  แม่ต้องแวะตลาดก่อน  พรุ่งนี้จะขึ้นเครื่องกลับแล้ว  ยังซื้อของไม่ครบเลย”  เธอพูด  ควงแขนลูกชายพาเดินออกมาจากสนามบิน 

            เข้ามานั่งในรถเบนซ์คันใหญ่  วันนี้มีคนขับมาด้วยเพราะเขาเหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว   นั่งอยู่เงียบๆข้างมารดาครู่  จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมาเนิบๆ

            “คุณโดมกับคุณเตนี่ใครหรือลูก”   ชื่อนั้นทำให้สะดุ้งอยู่ในอกได้เสมอ  เขาเกร็งนิดหนึ่งขณะที่ตอบกลับไป

            “เป็นบรรณาธิการนิตยสารที่ผมให้สัมภาษณ์ครับ  เขาจะมาเยี่ยม”

          “อ้อ   นิตยสารเซเลปอะไรนั่นน่ะเหรอ...แล้วนี่แม่จะได้อ่านเมื่อไหร่ล่ะ  ดังใหญ่แล้วเรา”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณแม่  เห็นเขาว่าจะเอาเล่มมาให้ผมดูวันมะรืนนี้แหละครับ เสียดายแม่กลับก่อน  ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมเมลล์ไปให้ถึงที่นู่นเลย ดีไหมครับ”

“ดีมาก อยากลืมส่งไปให้แม่ล่ะ แม่อยากอ่าน  แล้วใครเขียนให้.. คุณโดมคุณเตเนี่ยนะเหรอ”

“ครับ  คุณโดมเป็นบรรณาธิการ ส่วนคุณเตเป็นคอลัมนิสต์ที่สัมภาษณ์ผม”  ชายหนุ่มตอบอย่างระมัดระวัง  มารดาของเขาพยักหน้าเนิบๆ

“คุณเตที่ว่าเนี่ย...ใช่เตแฟนเก่าของเราหรือเปล่า”  ราวกับงูถูกตีขนดหาง เขาสะดุ้งอีกครั้ง  แปลกใจที่มารดาถามได้ตรงเป้าราวกับตาเห็น

            “แม่..ทราบได้อย่างไรครับ”  ถามอ้อมแอ้ม  ไม่สบตามารดา

            “แม่เค้นถามหมอรันเขาเองแหละ  ตั้งแต่วันที่แม่ไปเยี่ยมเราที่โรงพยาบาลน่ะ ...อะไรกัน ยังไม่เลิกราอีก จบกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ”  แม่ของเขาขมวดคิ้วน้อยๆ

            “ไม่มีอะไรจริงๆครับ  มัน...จบไปนานแล้ว”  เขาพูดเรียบๆ  คราวนี้หันมาสบตามารดาโดยไม่เบือนหลบ   เธอเพ่งพิศอยู่อึดใจก็พยักหน้าเนิบๆ

            “ดีแล้ว  แม่ได้ยินจากปากดิมแบบนี้ก็ค่อยสบายใจ   อย่าลืมว่าตอนนี้เรามาไกลขนาดไหนแล้วนะลูก  คนที่ไม่หวังดี จ้องจะเกาะเราอยู่ก็มีเยอะ  อย่าประมาท”

          “ถ้าแม่หมายถึงเตล่ะก็  เขามีงานมีการทำ เป็นนักเขียนดังไปแล้วครับ  และก็แต่งงานมีลูกแล้วด้วย”

          “โอ๊ย  เรื่องแต่งงานมีลูกด้วยกันเนี่ย เอามาเป็นข้ออ้างไม่ได้หรอก  ดูอย่างพ่อแกสิ  ก็แต่งงานมีลูกตัวเบ้อเริ่ม ยังจะไปมีเมียน้อยได้เลย  มันไม่เกี่ยวหรอกกัน”  ชายหนุ่มเขยิบตัว วางศีรษะลงบนหน้าตักของมารดาอย่างเด็กขี้อ้อน

            “โธ่ เรื่องมันตั้งนานแล้ว แม่ยังไม่หายโกรธพ่ออีกเหรอครับ”

            “หายโกรธนานแล้ว  แต่มันก็ยังฝังใจอยู่ดี คนเคยรักกันมากนี่นะ  แม่ถึงกลัวว่าดิมจะตัดใจไม่ขาดไง   แบบแม่เองถ้าพ่อแกไม่ด่วนเสียไปเสียก่อน ก็ไม่แน่ว่าอาจจะกลับไปคืนดีอีกครั้งก็ได้”   แม่ของเขายกมือขึ้นลูบศีรษะของลูกชายเบาๆ มองเหม่อออกไปด้านนอกรถ

            “ความสัมพันธ์ของคนเรามันแปลกนะ  มันไม่ได้ง่ายๆเป็นเส้นตรงหรอก ..มันซับซ้อนกว่านั้นเยอะ  คนที่เคยรักกันมากๆแล้วเปลี่ยนมาเกลียดกันน่ะ  ต่อให้ปากบอกว่าเกลียดกันขนาดไม่เผาผียังไง    เอาเข้าจริงก็ยังอดนึกถึงไม่ได้อยู่ดี  ไม่เข้าใจเหมือนกัน”  รำพึงกับตัวเอง แล้วก็วกกลับมายังเรื่องที่เป็นห่วงอยู่

            “แม่ถึงกลัวว่าถ้าดิมเจอกับเตอีกครั้ง มันจะยุ่งน่ะสิ เพราะเด็กคนนั้นก็พิสูจน์แล้วว่าไม่ได้รักดิมจริง  แม่กลัวว่าดิมจะเจ็บอีก และคราวนี้จะไม่ใช่ลูกคนเดียวที่เจ็บ  แต่จะมีคนที่ไม่ได้ผิดอะไรด้วยเลยแบบรันที่จะต้องผิดหวังด้วยอีกคน”

          “โธ่  คิดไปไกลใหญ่แล้วคุณแม่  ผมไม่มีทางกลับไปหาเตหรอก  ก็แค่ติดต่อกันเรื่องงาน แค่นั้นจริงๆ”

          “ลูกอาจจะคิดอย่างนั้น  แต่ถ้าฝ่ายนั้นเขาไม่ได้คิดแบบลูกล่ะ  ถ้าเขาอยากกลับมาจะทำอย่างไง  นี่ดูสิ ไม่เจอกันตั้งหลายปี บทจะเจอกันก็ต้องมาวนเวียนเจอกันอีกตั้งกี่ครั้งแล้ว  แม่ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่หรือเปล่า  แม่เลยกลัวว่าดิมจะพลาด  ไม่ทันเขา”

          “ไม่มีวันหรอกครับ  ผมมั่นใจ”  เขาพูดเสียงหนักแน่น  “เรื่องระหว่างผมกับเขามันจบไปแล้วจริงๆ  ไม่มีความรู้สึกรักเหลืออยู่อีก  ถ้ายังเหลือก็คงจะเป็นความเจ็บใจบ้างเท่านั้น   แต่มันก็นานมาแล้ว  ไม่มีผลกับตอนนี้หรอกครับ  แม่ไม่ต้องห่วงหรอกว่าผมจะทิ้งรันกลับไปหาเต มัน...เป็นไปไม่ได้เลย”

          “ได้ยินดิมพูดแบบนี้แม่ยิ่งกลัว   อย่าประมาทนะลูก    เด็กคนนั้นไม่ใช่คนซื่อๆธรรมดาอย่างที่ลูกคิดหรอกนะ  แม่รู้พื้นหลังของเขาดี  ตอนนั้นแม่ก็เตือนดิมแล้วด้วยว่าเด็กคนนี้จะทำให้ดิมเป็นทุกข์ไม่รู้จบ แต่เราก็ไม่เชื่อแม่  ดึงดันจะคบให้ได้  แล้วเป็นไงล่ะ”

            “ผมรู้ซึ้งดีเลยล่ะ  บทจะไปเขาก็ทิ้งผมได้หน้าตาเฉย เหมือนทิ้งรองเท้าเก่าๆที่ไม่ใช้แล้วซักคู่”

          “ตอนนั้นลูกเป็นแค่หมอจบใหม่จนๆ อุดมด้วยหนี้สินนี่นะ  ลองมาตอนนี้สิ...แม่ก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทิ้งลูกเหมือนตอนนั้นไหม  ...แต่แม่พูดไปงั้นแหละ  ดิมไม่ต้องกลับไปยุ่งกับเด็กคนนั้นเลยนะ  แม่กลัว”

            “ครับ..ผมไม่ทำหรอก”  ชายหนุ่มพึมพำกับตักของมารดา แต่ดวงตากลับเปล่งประกายแวววามราวกับคิดอะไรบางอย่างได้

            ...อะไรอย่างนั้นคงเป็นสิ่งที่มารดาของเขาไม่ชอบใจเป็นแน่…

          ………………………………………………………………………………………………

 

รถตู้มาจอดที่หน้าคอนโดมิเนี่ยมสุดหรูใจกลางกรุงในเวลาบ่ายสองพอดี  บก.หนุ่มรีบลงจากรถ  เดินนำเข้าไปภายในอาคาร  ติดต่อกับประชาสัมพันธ์ด้านล่าง  ครู่ใหญ่ถึงได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนได้  แต่ต้องมีการแลกบัตรตรวจกระเป๋าอย่างรัดกุม  เพื่อความปลอดภัย

            พวกเขาเข้ามาในลิฟต์  โดมกดที่ชั้นเกือบบนสุดของตึก  พอมาถึงชั้นที่ต้องการก็ก้าวออกมา   เดินผ่านระเบียงกระจกใสแจ๋ว   มองลงไปเห็นรถไฟฟ้ากำลังวิ่งตัดผ่านไป สมเป็นคอนโดย่านทำเลทอง  ติดรถไฟฟ้าและทางด่วน เดินทางสะดวก  แน่นอนว่าราคาต่อห้องคงจะสูงลิบ บอกรายได้ของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี

            “ห้องนี้ล่ะ 1169”  พี่โดมพูดพึมพำ หยุดอยู่ที่หน้าประตูบานใหญ่  เกือบสุดทางเดิน   เอื้อมมือไปกดกริ่งหน้าห้อง   หัวใจของนักเขียนหนุ่มรุ่นน้องเต้นแรงจนกลัวว่ารุ่นพี่จะได้ยินเข้า   เขาบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง  มันปะปนกันไปหมด ทั้งความกลัว ตื่นเต้น เป็นห่วง กังวล  แต่ก็พยายามเก็บอาการเอาไว้จนสุดความสามารถ อดทนรอครู่เดียวประตูก็ถูกเปิดออก

            ชายหนุ่มหน้าเข้มเจ้าของห้องอยู่ในชุดเสื้อฮาวายกับกางเกงขาสามส่วนง่ายๆแบบอยู่บ้าน  แต่ก็เรียบร้อยพร้อมรับแขก และดูดีเป็นบ้าในสายตาของแขกที่มองเห็น   ไม่เหลือเค้าของคนบาดเจ็บที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลเลย ถ้าไม่เหลือบเห็นเฝือกที่ใส่อยู่ที่แขนข้างซ้ายและคล้องอยู่ที่หัวไหล่   หัวใจของใครบางคนเต้นช้าลง ลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความโล่งใจ

            “สวัสดีครับ  คุณหมอ  พวกผมมาเยี่ยม  เป็นอย่างไรบ้างครับ”  บรรณาธิการร่างอ้วนทักทายเสียงใส  ส่งกระเช้าของเยี่ยมในมือให้อีกฝ่าย  แต่เห็นว่าฝ่ายนั้นแขนเจ็บจึงถือเอาไว้เสียเอง

            เจ้าของบ้านยิ้มรับ เชื้อเชิญให้เข้ามาด้านในห้อง   สายตาคมเข้มไม่เหลือบแลมายังคนข้างหลังที่เดินตามเข้ามาด้วยเลยสักนิด  ประหนึ่งว่ามองไม่เห็น  หรือไม่ก็เห็นร่างโปร่งบางเป็นอากาศธาตุ

            เตเม้มปากนิดหน่อย  อดรู้สึกน้อยใจขึ้นมาแวบหนึ่งไม่ได้  เดินตามเจ้าของบ้านเข้าไปภายในห้องชุดที่ตกแต่งด้วยโทนสีเรียบขรึม คล้ายๆกับห้องทำงานที่โรงพยาบาลที่เขาเคยเห็น  ผนังห้องนั่งเล่นเหนือโซฟาหนังขนาดใหญ่มีรูปภาพประดับเอาไว้   เป็นรูปวาดของใบหน้าใครคนหนึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้ใครก็ตามที่มองสบนัยน์ตากลมโตสดใส เป็นประกายร่าเริงคู่นั้น

            “รูปหมอรันใช่ไหมครับ  ลายเส้นคมดีจัง คุณหมอดิมวาดเองหรือเปล่าครับ”  พี่โดมทักขึ้นมาตรงกับใจเขา  รดิศมองไปที่รูปแล้วอมยิ้ม

            “ครับ ผมวาดเอง  ฝึกวาดตอนที่ไปเรียนที่นู่น”

            “สวยจริงๆ ผมว่าคุณหมอมีพรสวรรค์ด้านนี้นะครับเนี่ย  ดูจากการวาดกับแรเงาแล้ว  นายว่ามั้ยเต...เตเขามีความรู้ทางด้านนี้มากครับ เพราะตัวเขาก็ชอบวาดรูปเหมือนกัน”  โดมหันมาตบที่บ่าบอบบาง ทำเอาสะดุ้ง  ตั้งเตหันไปสบตากับเจ้าของห้องแวบหนึ่ง  เห็นฝ่ายนั้นมองมาที่เขานิ่งๆเฉยๆ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

            “ผมไม่ค่อยได้วาดรูปเหมือนเท่าไหร่ครับ ไม่ถนัด  แต่ดูจากลายเส้นแล้ว ถ้าคุณหมอมีเวลาว่าง วาดรูปขายเป็นอาชีพเสริมน่าจะรุ่งครับ”  เขาพูด   อีกฝ่ายหันมาสบตาเขาแวบหนึ่ง ราวกับว่าเพิ่งสังเกตว่ามีเขาอยู่ในห้องด้วยอีกคน  แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา  แววตาคู่นั้นคมลึก  อ่านไม่ออก

            “แต่ก่อนผมก็เคยคิดอยากวาดขายเหมือนกันครับ  แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาเลย  เพิ่งได้หยุดพักก็ตอนที่รถชนคราวนี้เอง  ถือเป็นโชคดีที่ได้หยุดพักผ่อนบ้างเสียที”  เจ้าของห้องหันไปพูดกับบรรณาธิการ แล้วชวนให้นั่งลงสนทนา

            ถามไปถามมาก็ได้ความว่าอีกฝ่ายออกจากโรงพยาบาลมาสักพักแล้ว  ย้ายไปอยู่กับแฟนหมอด้วยกันอาทิตย์หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้หมอวิรัลต้องไปดูงานที่ต่างประเทศสามอาทิตย์ เขาก็เลยย้ายกลับมาอยู่ที่คอนโดโดยมีพยาบาลพิเศษมาคอยดูแลแล้วกลับไปในตอนค่ำ

            “แล้วนี่คุณพยาบาลเขาไปไหนเสียแล้วล่ะครับ”  โดมถาม  กวาดสายตามองไปรอบห้อง

          “เขาติดธุระช่วงบ่ายครับ ผมก็เลยอนุญาตให้กลับไปก่อน  พอดีพวกคุณมาด้วย  คงไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อน”  เจ้าของบ้านเอนหลังพิงพนัก  เหลือบมองร่างโปร่งบางที่นั่งกุมมือนิ่ง ไม่สบตาใครอยู่ข้างๆโดมก็คิดในใจ

            ....เพิ่งมาเอาตอนนี้  ไม่มาเอาชาติหน้าเลยล่ะ  ถ้าเกิดเขาตายไปล่ะก็...

            หงุดหงิดขึ้นมาวูบจึงต้องเสลุกขึ้นยืน  พูดยิ้มๆแบบเจ้าบ้านมารยาทดี

            “พวกคุณมาเหนื่อยๆ เดี๋ยวผมไปหาน้ำหาท่ามาต้อนรับก่อน  นั่งเล่นไปก่อนนะครับ”

          “อุ้ย ไม่เป็นไรครับผม ...เต ไปช่วยคุณหมอเขาสิ”  ปฏิเสธอย่างเกรงใจ แล้วหันไปกระซิบสั่งรุ่นน้องที่เงียบกริบให้เข้าไปช่วยเจ้าของบ้านที่เดินหายเข้าไปในครัว   

            ติณธรรับคำอย่างจำยอม  ลุกขึ้นเดินตามหลังเข้าไปในห้องที่ทำเป็นแพนทรีเล็กๆ เห็นร่างสูงได้สัดส่วนของเจ้าของบ้านยืนถือกาน้ำร้อนด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ  อดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปช่วยทันทีตามนิสัย

            “ให้ผมช่วยเถอะ”  เตพูดแบบไม่มองหน้าอีกตามเคย   ดึงกาน้ำร้อนจากอีกฝ่ายมาถือเอาไว้เสียเอง  แล้วจัดการวางตั้งเอาไว้บนเตา

            “ที่นี่ไม่มีกระติกน้ำร้อนเหรอ”  ถามลอยๆเหมือนพูดคนเดียว  อีกฝ่ายก็ตอบกลับมาลอยๆเช่นกัน

            “เคยมี แต่เสียไปแล้ว”

          คนฟังพยักหน้านิดเดียวเป็นเชิงรับรู้  แล้วหยิบถุงชาออกมาจากกล่องที่อีกฝ่ายหยิบมาวางทิ้งเอาไว้บนเคาท์เตอร์  ใส่เอาไว้ในถ้วยแก้วเรียบร้อย  หันหลังให้อีกฝ่าย จ้องมองกาน้ำที่ตั้งอยู่บนเตาราวกับมันน่าสนใจเสียเต็มประดา  อย่างน้อยก็คงดีกว่ายืนจ้องหน้าผู้ชายคนนั้น

            ภายในห้องเงียบจนน่าแปลกใจ  ตั้งเตภาวนาให้น้ำมันเดือดเร็วๆ  จะได้ออกจากบรรยากาศที่แสนอึดอัดแบบนี้เสียที

            เสียงไอน้ำพวยพุ่งออกมาแหลมก้องในที่สุด   เขารีบปิดเตาไฟฟ้า  ยกกาน้ำลงมา เทใส่แก้วสามใบที่เตรียมเอาไว้จนครบ  เงยหน้าขึ้น  ผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่เกือบชิด  นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นจ้องมาที่ข้อมือของเขาเขม็ง

            เขามองตามสายตาของอีกฝ่าย ...นาฬิกาข้อมือเรือนนั้นนั่นเอง...

            “พี่ดิม....”  เผลอหลุดปากเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปตามความเคยชิน   ฝ่ายนั้นละสายตาจากข้อมือของเขา แล้วหันมาสบตาของเขาแทน

            หัวใจของนักเขียนหนุ่มเต้นผิดจังหวะไปวูบ  จ้องมองแววตาคมลึกที่มองมาที่เขานิ่งๆ พยายามค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในกระแสตาคู่นั้น

            ห้องเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองแผ่วเบา..

            “เชิญคุณด้านนอกดีกว่า  ขอบคุณมากที่เข้ามาช่วย”  เจ้าของบ้านขยับตัว แล้วพูดเรียบๆ  แววตาคู่นั้นกลับสงบนิ่งเหมือนทะเลที่ไร้คลื่นลม  มันสงบและเฉยชาจนคนฟังรู้สึกถึงคลื่นของความน้อยใจที่พุ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน แต่ก็กัดฟันแน่นกลั้นเอาไว้ในภายใน  ไม่แสดงออกมา  เขาพยักหน้ารับ ช่วยยกถาดที่ใส่ถ้วยน้ำชาเอาไว้ออกไปด้านนอก

            เจ้าของบ้านมองตาม  แล้วเม้มปากแน่น

...ตั้งเตใส่นาฬิกาเรือนนั้นมาทำไมกัน  ต้องการจะรื้อฟื้นความหลังระหว่างเรางั้นหรือ  หรือว่าเป็นเพียงแค่ความบังเอิญเท่านั้น   ไม่หรอก...เขาไม่เคยเชื่อความบังเอิญบนโลกใบนี้

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตามออกมา  ปรับสีหน้าเป็นปกติ



            ติณธรนั่งฟังผู้ชายสองคนคุยกันอยู่พักใหญ่   จากเรื่องนู้นไปเรื่องนั้นเปลี่ยนหัวข้อไปเรื่อยๆอย่างน่าสนใจ  เขาพบว่าพี่ดิมก็ยังเป็นผู้รอบรู้สารพัดเรื่องเหมือนเดิม และมีความสามารถในการสนทนาอย่างหาตัวจับได้ยาก

            เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว  หันมองนาฬิกาอีกทีก็เย็นมากแล้ว  ในที่สุดพี่โดมก็ขอตัวลากลับจนได้  เขาส่งนิตยสารที่รวมเล่มเรียบร้อยให้พี่ดิมอ่าน  ท่าทางอีกฝ่ายพอใจมากทีเดียว

            “เขียนดีมากครับ  อ่านแล้วผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพระเอกฮีโร่ที่มีตัวตนจริงๆ  อะไรเทือกนั้นเลย”  เป็นครั้งแรกที่เขาหันมาพูดกับนักเขียนหนุ่มตรงๆ ไม่ใช่พูดอ้อมๆลอยๆแบบทุกที

            คนฟังห้ามตัวเองไม่ทัน  รู้สึกดีใจขึ้นมาวูบ

            “ขอบคุณครับ” สะกดกลั้นอาการดีใจเอาไว้ในสีหน้า  รับคำอย่างสงบ   อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ  ไม่ได้พูดอะไรต่อ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น  เจ้าของบ้านเอื้อมมือไปกดรับ

            “ครับ...อ่าว...ไม่เป็นไรครับ  ผมอยู่ได้   ครับผม...ครับ  ไว้มะรืนนี้ก็ได้ครับ  สวัสดีครับ”   ท่าทางเขาไม่สบายใจเท่าใดนัก  โดมอดถามไม่ได้

            “มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ”

            “ไม่มีอะไรมากหรอกฮะ  พอดีพยาบาลพิเศษที่เขาดูแลผม..ลูกสาวเขาไม่สบาย ก็เลยขอลา”

          “อ้าว แล้วแบบนี้ใครจะช่วยดูแลคุณล่ะครับ”

          “ผมอยู่ได้ครับ สบายมาก  ยังเหลือมืออีกข้างนึงแน่ะ”  คุณหมอหนุ่มพูดตรงข้ามกับความกังวลในแววตา ที่แขกมองเห็นได้ชัด

            “เอาอย่างนี้ไหมฮะ  เดี๋ยวคุณหมอมีอะไรให้ช่วย  ที่มันต้องใช้มือสองข้างน่ะฮะ ก็รีบบอก เดี๋ยวพวกผมช่วยก่อน โอเคไหม”  โดมอาสาอย่างมีน้ำใจ

            “พี่มีนัดที่ร้าน....นะครับ อย่าลืม”  เตที่นิ่งฟังอยู่นานพูดเบาๆ

            “เออจริงซี  ลืมไปเลยแฮะ  เอาอย่างนี้ เต นายไม่ต้องไปหรอก อยู่ช่วยคุณหมอเขาก่อน ดีไหมครับ”

            “คุณหมอคงไม่อยากให้มีคนอื่นมาวุ่นวายในบ้านเขามั้งพี่…”  เตกระซิบตอบอย่างรวดเร็ว   รู้สึกว่าพี่โดมชักจะมีน้ำใจมากเกินขอบเขตไปหน่อยแล้ว   และคิดว่าเจ้าของบ้านคงจะปฏิเสธอย่างแน่นอน

            ทว่าเขาแทบอ้าปากค้าง  เพราะคุณหมอหนุ่มกลับรับคำยิ้มๆ

            “ถ้าไม่เป็นการรบกวนคุณเตมากเกินไป ผมก็จะยินดีมากครับ”

     “ไม่รบกวนเลยครับ  คุณหมอ  เต..นายอยู่ช่วยคุณหมอเขาหน่อยล่ะกันนะ  แล้วค่อยกลับ   ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องขอตัวก่อน   พอดีมีนัด”  พี่โดมพูดฉอดๆ คล่องแคล่วราวกับเตรียมมาแล้วอย่างงั้นแหละ   ไม่รอฟังความเห็นของเขาเลยสักนิด  ร่างอวบสมบูรณ์ก็ลุกขึ้น ร่ำลากับเจ้าของบ้าน  หันมากำชับเขาอีกที  แล้วก็ออกจากห้องไปดื้อๆ

            ....ทิ้งกันแบบนี้เลยเหรอ   ทำไมทำกันแบบนี้ล่ะ...  นักเขียนรุ่นน้องที่โดนทอดทิ้งอย่างไร้ความปราณีรำพึงอยู่ในใจ

            “คุณมีอะไรให้ผมช่วยบ้างล่ะ”   หันไปถามเจ้าของห้องห้วนๆ  อีกฝ่ายตอบกลับเรียบๆ  ไม่แสดงความรู้สึกอีกตามเคย

            “ไม่มีหรอก  คุณกลับไปเถอะ”

          …เอ้า  แล้วเมื่อกี้ให้อยู่ทำไมไม่ทราบ...เขาคิด  เริ่มไม่พอใจขึ้นมากรุ่นๆ

            อีกฝ่ายไม่สนใจเขาอีก   ก้มลงยกถาดน้ำชาด้วยมือข้างเดียว...ท่าทางทุลักทุเลทำให้คนมองต้องกระทืบเท้าเข้าไปช่วยด้วยความหงุดหงิด  คว้าถาดมาถือเอาไว้เสียเอง

            “ผมจะอยู่ช่วยล้างจาน  แค่นั้นนะ”  พูดสะบัดเสียง  แล้วถือถาดเดินกลับเข้าไปในห้องแพนทรี   ลงมือล้างอย่างว่องไว

            อีกฝ่ายเดินตามเข้ามา กอดอก พิงตู้เย็นเครื่องใหญ่  จับตามองมาที่เขานิ่งๆ

            “เหนื่อยมั้ย”  เสียงนุ่มถามลอยๆ   คนที่ล้างถ้วยชา แถมด้วยจานกองโตหันมามองแวบหนึ่งแล้วตอบ

            “ล้างจานแค่นี้ จะเหนื่อยอะไร”

            “เปล่า  ผมหมายถึงว่า..ที่คุณต้องฝืนใจตัวเอง ทำสิ่งที่ไม่อยากทำแบบนี้  มันเหนื่อยมั้ย”  คนที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานชะงัก  แล้วก้มลงเปิดน้ำก๊อก  เสียงน้ำไหลแรงกระทบจานทำลายความเงียบระหว่างที่เขากำลังคิดหาคำตอบ

            “ถ้ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ผมก็ไม่เหนื่อยหรอก”  เขาตอบช้าๆ  ยกจานที่ล้างสะอาดดีแล้วขึ้นสะบัดน้ำเบาๆ  วางเรียงเอาไว้บนชั้นอย่างเป็นระเบียบ   เจ้าของบ้านมองตามมือเรียวที่ขยับหยิบนู่นวางนี่คล่องแคล่วว่องไวอย่างพอใจ

            “อะไรบ้างที่คุณคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ต้องทำ  ..อย่างเช่นการอยู่ดูแลผมแบบนี้  ใช่สิ่งที่ต้องทำหรือเปล่า”

          “ใช่ เพราะหัวหน้าสั่งผม  ผมก็ต้องทำ”

          “ถึงแม้จะฝืนใจทำก็ตาม?”  อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ยักไหล่ 

            “มีอะไรให้ผมช่วยทำอีกไหม?”  เจ้าของบ้านจับตามองมาที่เขานิ่งๆ นานจนเกือบจะอึดอัด

          “ไม่มีแล้ว  คุณกลับไปเถอะ”  เขาพูดในที่สุด  แล้วหันหลังเดินออกจากห้องครัว ตรงไปยังโต๊ะทำงานที่วางอยู่ที่มุมด้านหนึ่ง  กั้นด้วยตู้ดีไซน์เก๋ล้ำสมัยแยกออกจากห้องรับแขก และห้องนอนเป็นสัดส่วน

            แขกเดินตามออกมา  เห็นเจ้าของบ้านพยายามจะเปิดโน๊ตบุ๊คด้วยมือข้างเดียวก็ยืนมองเงียบๆ  อยากรู้เหมือนกันว่าจะทำอีท่าไหน

            หลังจากพยายามอยู่นาน  อีกฝ่ายก็ดูจะหมดความอดทน  เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้แรงๆ  นักเขียนหนุ่มแอบหัวเราะอยู่ในใจ  เดินเข้าไปใกล้  ก้มลงเปิดฝาโน๊ตบุ๊คให้อย่างนิ่มนวล   คนหน้าเข้มเจ้าของโน๊ตบุ๊คไม่บอกขอบคุณสักคำ  แต่กลับเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือของเขา ยึดเอาไว้เเล้วบีบอย่างแรงจนเตตกใจ

            คุณหมอหนุ่มลุกขึ้นยืน  จ้องดวงตาของคนตรงหน้าด้วยแววตาวาวโรจน์  ราวกับมีกองเพลิงหรืออะไรสักอย่างสุมอยู่ภายในจนมันร้อนแรงโชติช่วง

            “ทำแบบนี้ทำไม  หรือว่าอยากแก้ตัวงั้นหรือ”  เสียงที่ปกตินุ่มนวลน่าฟัง ในตอนนี้กลับห้วนสั้นกระด้าง 

            “ปล่อยนะ  ผมเจ็บ”  ติณธรตกใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของเจ้าของห้อง  พยายามบิดข้อมือของตนออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายแต่ไม่สำเร็จ  กลับยิ่งกระชับแน่นขึ้นอีก  นาฬิกาเรือนนั้นถูกมือแข็งแรงบีบกดแน่นกับข้อมือเรียวบางจนขึ้นรอยแดง

            “ทิ้งผมไปซ้ำสอง  ใช่สิ  ผมมันก็ยังเป็นไอ้โง่คนเดิม ถึงจะเรียนจบเมืองนอกกลับมา แต่สุดท้ายก็ยังโง่!  โง่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย!”   เขาตะคอกใส่หน้าเตดังๆ   รู้สึกถึงความพลุ่งพล่านภายในอกเหมือนอยากจะระเบิดออกมา ยิ่งมองเห็นคนตรงหน้าเบิกตาโต ทำหน้าตาตื่นราวกับไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยแล้ว  ความโมโหยิ่งเพิ่มขึ้นอีก

            “พี่หมายถึงอะไร   ที่ผมบอกเลิกที่ใช่มั้ย...ผมบอกแล้วไงว่าผมขอโทษ”

          “ขอโทษที่พี่เป็นคนดีเกินไปใช่มั้ย”  เขาพูดทวนประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนและจำติดตาฝังหูด้วยความแค้นอย่างแม่นยำ  “เหมือนกับเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ผมก็เป็นคนดีเกินไปอีก   วนรถกลับไปดูคุณ  จนถูกรถชนเกือบตาย  ทั้งที่คุณก็ไม่เคยมาสนใจไยดี เหลียวแลผมเลยด้วยซ้ำ  คราวนี้คุณจะขอโทษผม เพราะผมเป็นคนดีเกินไปอีกหรือเปล่า”  คนฟังอึ้ง  มองหน้าเขาอย่างงุนงง

            “วนรถกลับ?  ไม่สนใจไยดี?  พี่หมายถึงอะไร  ผมเพิ่งรู้ว่าพี่รถชนเข้ารพ.ก็วันนี้เองนะ”

          “เหอะ  นายมีปาก จะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้วันยังค่ำ  ถ้าวันหลังคิดจะแก้ตัวอะไรซึ่งๆหน้าก็หัดคิดให้มันรอบคอบมากกว่านี้หน่อยนะ   ลืมไปแล้วหรือไงว่านายโทรมาเรื่องต้นฉบับ  รันเขาบอกผมเอง”  คนพูดเปลี่ยนจากคำว่าคุณเป็นนาย  เผลอกลับไปใช้สรรพนามเดิมที่เคยเรียกอีกฝ่ายจนชินปาก 

            “หมอรันไม่ได้บอกอะไรผมเลย”  ตั้งเตพูด  ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อแน่นอน  ดูจากแววตาคู่นั้นก็รู้แล้ว  เพราะเขาได้ทำลายความเชื่อใจระหว่างกันไปหมดสิ้น ด้วยน้ำมือตนเองไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน

            “ช่างเถอะ   ผมก็ไม่ได้สนใจนักหรอก แต่ขอบอกตามตรงว่าผมหงุดหงิดมาก  ที่คุณทำเหมือนสำนึกผิดแบบนี้  ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกเลย”

          “พี่รู้ได้ไงว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลย  พี่รู้หรือเปล่าว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องปล่อยมือคนที่เรารักที่สุดด้วยตัวเองอ่ะ”

          “คนที่รักที่สุดงั้นหรือ”  อีกฝ่ายทวนคำ แล้วหัวเราะในคอ  “ถ้ารักที่สุดก็คงไม่ทิ้งกันไปแต่งงาน เป็นแฮปปี้แฟมิลี่หรอกเนอะ  เอ..หรือว่าจะใช้คำว่าแฮปปี้ไม่ได้  เพราะดันมีฝ่ายนึงเล่นชู้เสียแล้ว”

          เผี๊ยะ!!

          ฝ่ามือที่พยายามดึงมือของอีกฝ่ายออก ยกขึ้นฟาดเข้าที่กึ่งปากกึ่งจมูกของคนพูดไม่เบานัก   ทำเอาหน้าชาไปครึ่งแถบ   มือแข็งแรงจึงบีบแน่นที่ข้อมือเล็กบาง กระชากอย่างแรงให้ยกสูงขึ้น  จ้องมองไปที่นาฬิกาข้อมือที่ถูกกดอยู่กับผิวหนัง

          “ทำไมล่ะ  พูดความจริงทำเป็นรับไม่ได้   ถามจริงเถอะ  ที่มาวันนี้นี่เพราะอะไร  อยากมาคืนดีกับผมเหรอ  ใส่นาฬิกามาด้วย  คิดว่าจะทำให้ผมใจอ่อนได้ไหมล่ะ”





ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 31-01-2017 17:57:15
 ต่อนะคะ




            ติณธรมองหน้าคนพูดอย่างผิดหวัง   นัยน์ตาแดงก่ำแต่ไม่มีน้ำตาสักหยด   เขาบิดมือออกจนเป็นอิสระจากการเกาะกุมได้ในที่สุด  แกะนาฬิกาเรือนนั้น กระชากมันออกจากข้อมืออย่างไม่ปรานีปราศรัย  และเหวี่ยงมันลงที่พื้นอย่างแรง...ไม่มีความเสียดายอยู่เลยในการกระทำนั้น 

            นาฬิกากระทบพื้นหินอ่อนดังเกร้ง  แล้วไถลนิดเดียวมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้าของผู้เป็นเจ้าของห้อง

            รดิศโกรธจัดยิ่งกว่าเดิม  แต่เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ  แต่เขาไม่สนใจ  จ้องหน้าอดีตคนรักที่ยืนหน้าซีดเผือดตรงหน้าเขม็ง

            เตจ้องกลับ  น้ำตาเริ่มคลอ พูดเสียงสั่น

            “ผมน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณเปลี่ยนไปแล้ว  ไม่ใช่พี่ดิมคนเดิมที่ผมรู้สึกผิดต่อเขา”

          “ใครมันจะไปดีเลิศเหมือนเจ้านายรูปหล่อของคุณล่ะ  ได้ทำงาน ‘พิเศษ’ ทุกสุดสัปดาห์ เงินเดือนคงจะงามสินะ    เคยสนใจบ้างหรือเปล่าว่ามีใครเจ็บปวดกับการกระทำเลวๆของตัวเองบ้าง”

          “คุณจะมายุ่งอะไรกับผมเรื่องนี้  หรือจะบอกว่าคุณเจ็บปวดที่เห็นผมไปไหนมาไหนกับใครเขา”  ตั้งเตพูด  มุมปากยกขึ้นนิดๆเป็นเชิงเยาะ  ตรงข้ามกับในหัวใจที่เริ่มร่ำร้องว่า พอแล้ว...อยากออกไปจากที่นี่เหลือเกิน

            คนฟังชะงักไปนิดหนึ่ง   นิดเดียวเท่านั้นสำหรับการคิดใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสีย  รวมถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นซึ่งเกินกว่าที่เขาจะคาดการณ์ได้  ทว่าเขาไม่สนใจ   บอกตัวเองว่า...ถึงเวลาที่เขาจะต้องเอาคืนบ้างแล้ว

            ...ขอโทษนะครับคุณแม่ รัน  แต่ผมขอเวลาไม่นาน  แค่สามอาทิตย์ก็พอ   แล้วผมจะกลับไปเป็นคนใหม่ที่ไม่มีอะไรติดค้างอยู่กับผู้ชายคนนี้อีกแล้ว...ผมสัญญา

สำเนียงและแววตาตัดพ้อของอีกฝ่ายที่มองเห็นได้ชัดเจนทำให้รดิศยิ้มมุมปาก  แทบสังเกตไม่เห็น  แล้วตอบออกมาเสียงพร่าด้วยประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายเงียบงัน

            “ถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะ  คุณจะว่าอย่างไร”

            เตมองหน้าคนพูดเหมือนเห็นผี   ทั้งแปลกใจและตกใจ สับสนวุ่นวายกันไปหมด  ยิ่งเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่มองมาด้วยนัยน์ตาเศร้าสร้อยแกมตัดพ้อต่อว่าอย่างที่เขาเคยเห็นเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขาบอกเลิก  ก็ยิ่งประหลาดใจเสียจนพูดไม่ออก

            ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็วในดวงดำขลับเรียวยาวคู่นั้นที่คุณหมอหนุ่มสังเกตอยู่อย่างไม่ยอมให้คลาดสายตา   มีทั้งความสับสนวุ่นวายใจ และสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่อย่างลึกล้ำ ทว่าก็มองเห็นได้ก็คือความดีใจ 

            เตดีใจที่ได้ยินประโยคนี้จากเขางั้นหรือ?

          วูบหนึ่งที่เขารู้สึกดีใจขึ้นมาเช่นกัน แต่สะกดเอาไว้ภายใต้สีหน้าเศร้าสลด  เป็นความดีใจที่คนละความหมายของเตอย่างแน่นอน  แม้ว่าจะมีที่มาจากเรื่องเดียวกันก็เถอะ

            ไม่ปล่อยเวลาให้ตนเองใคร่ครวญซ้ำสอง  คุณหมอหนุ่มตัดสินใจทำสิ่งที่ตนเองเคยคิดเอาไว้  ..ถ้าเตยังรักเขาอยู่  บางทีเราอาจจะ...

            “เต...พี่ไม่เคยลืมนายเลยนะ”

            ประโยคเดียวที่ทำเอาสะเทือนไปทั้งหัวใจ  เหมือนมีใครมาจับตัวเขาเขย่าแรงๆจนหัวสั่นคลอน   เตยืนมองคนพูดอย่างงุนงง  เขาไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น   เมื่อครู่นี้อีกฝ่ายยังทำท่าเหมือนโกรธเขามาจากชาติปางก่อนอยู่เลย  แต่ตอนนี้นัยน์ตาคมหวานคู่นั้นกลับมองมาที่เขาอย่างอ่อนเศร้า

            “พี่ดิม..?”  เรียกชื่ออีกฝ่ายอย่างไม่มีความหมาย   พี่ดิมขยับเข้ามาใกล้เขาอีกก้าวหนึ่ง

            “ความจริงแล้ว  สิ่งที่พี่อยากจะพูดกับนายมาตลอดก็คือ พี่ยังรักนายอยู่  ก็แค่นั้นเอง ที่พี่อยากบอก”  เหมือนหัวใจที่แห้งผากมานานเริ่มมีหยาดน้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า  เตรู้สึกชื่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด  กระนั้นมโนธรรมในใจก็ทำให้ต้องแย้งออกมา

          “แต่ว่ามัน...พี่มีหมอรันแล้ว...ผมก็มี..”

          “พี่ถึงรู้สึกผิดกับตัวเองอยู่นี่ไงล่ะ  ตั้งเต...มันยากจริงๆนะ  ยากมากจริงๆ  นายทำให้พี่เจ็บเจียนตายมาสองหน  พี่โกรธนาย แค้นนายเท่าไหร่ แต่พี่ก็ยัง...คิดถึง...นายอยู่ดี..ทำไงดีล่ะ”  ชายหนุ่มพูดเบาๆ  เงยหน้าขึ้นถามเขา  ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นราวกับหมดแรง  เตมองตาม  เห็นลำคอที่เคยตั้งตรงกลับก้มลงต่ำ   ไหล่ทั้งสองข้างลู่ลงหมดสง่าราศีคุณหมอหนุ่มที่เคยเห็น

            “แปลว่าที่ผ่านมา...พี่ดิม..”

            “...............”  ไม่มีคำตอบมาจากร่างที่เริ่มสั่นน้อยๆ

            ติณธรเม้มปากแน่น  เดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งจนชิด  โอบมือไปรอบไหล่ที่เริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้นั้น  ดิมเงยหน้าขึ้น เห็นดวงตาแดงก่ำมีเส้นเลือดขึ้นเป็นสาย   ดิมจ้องหน้าเตในระยะประชิด แล้วก็ปล่อยให้หยดน้ำตาหยดหนึ่งที่ฝืนกลั้นเอาไว้หล่นร่วงลงมาตามร่องแก้ม  เตใช้ปลายนิ้วปาดน้ำตาให้เบาๆ

            “ผมขอโทษนะพี่  ผมไม่นึกเลยว่าพี่จะยังเจ็บปวดอยู่มากขนาดนี้ ..ผม..” พูดต่อไม่ออก  ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตรงหน้ามันปนกัน ตื้อขึ้นมาในอก

          เกือบสิบปีที่เขาเป็นทุกข์อยู่ฝ่ายเดียวเพราะคิดว่าอีกคนคงจะลืมเรื่องราวระหว่างกันไปหมดแล้ว  เหลือแต่เขาที่เอาแต่จดจำเอาไว้  ลืมไม่ได้สักที  จนได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  จะเพราะอุบัติเหตุหรืออะไรก็ตามแต่   ในชั้นแรก เมื่อได้รู้ว่า ‘พี่ดิม’ ไม่เคยลืมเรื่องราวระหว่างกันเลย  สิ่งแรกที่รู้สึก คือความดีใจในส่วนลึก   แม้ว่าตอนนั้นเขาจะรู้ว่า ถึงอีกฝ่ายไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยังรักอยู่เหมือนเดิม

            ทว่าในตอนนี้  น้ำตาของรดิศเหมือนเป็นเครื่องยืนยันความเจ็บปวดที่ยังคงอยู่  ไม่จางหายไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจของเขา

          สบตากันในความเงียบอีกครั้ง         

          “เรา...กลับมาเป็นเหมือนเดิม..ไม่ได้แล้วใช่ไหม”  พี่ดิมพูดเสียงแหบๆ  เขาไม่ตอบแต่โอบศีรษะของอีกฝ่ายเข้าหาตัว   แปลกใจจนเกือบจะเรียกว่าอัศจรรย์ใจก็ได้  ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะยัง..

            นี่มันคือเรื่องจริงหรือเปล่า  หรือว่าเขากำลังอยู่ในความฝัน   ฝันว่ามีพี่ดิมอยู่ในวงแขน   ฝันว่าพี่ดิมยังรัก ยังคิดถึงเขาอยู่  ไม่เคยลืม   ..ถ้านี่คือความฝัน เขาก็ไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย  เตบอกตัวเอง..

            “มันเป็นไปไม่ได้ พี่รู้”  พี่ดิมพูดอยู่ข้างหู 

            คนฟังสะท้อนในหัวอก   ถึงใจจะอยากตอบว่า ‘เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันเถอะ’ แต่นี่คือชีวิตจริง ไม่ใช่ความฝัน   มันไม่ง่ายขนาดนั้น   โลกใบนี้ไม่ได้มีเพียงเขาสองคนอย่างที่เคยเข้าใจเมื่อยามเป็นเด็ก   ยังมีเหตุผลและข้อจำกัดหลายอย่างที่ทำให้เราทั้งคู่ไม่สามารถย้อนกลับคืนไปได้ดังเดิม  อย่างน้อยในใจของเขาตอนนี้ก็บอกว่าไม่ได้  มันไม่ถูกต้อง

            “เราเดินมาไกลแล้วพี่ดิม  กลับไปไม่ได้แล้วล่ะ”   พูดได้แค่นั้นเอง   ทั้งที่ในใจของเขามีอะไรมากมายที่อยากบอก

พี่ดิมเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของเขา   น้ำตาแห้งไปแล้ว 

             “พี่รู้...ว่าเวลาของเราสองคนมันผ่านไปแล้ว  แต่พี่ก็ยัง..เจ็บอยู่  ทุกครั้งที่เห็นหน้านาย”  พูดด้วยเสียงต่ำลึก

            “พี่ดิม  ผม...ขอโทษนะ  ขอโทษสำหรับสิ่งที่ผมทำไปเมื่อหลายปีก่อน   ผมไม่เคยมีความสุขจริงๆเลยสักครั้ง เมื่อต้องนึกว่าตอนนี้พี่จะเป็นยังไงบ้าง   แต่วันนั้นผมมีเหตุผลจริงๆนะ  ถ้าพี่อยากฟัง..”  หรือว่าเขาควรจะบอกเหตุผลที่แท้จริงทั้งหมด  ที่ทำให้เราต้องตัดสินใจแบบนั้นออกไปดี

…ถึงเวลาที่ต้องพูดแล้วใช่ไหม?

          “ชู่ว...”  คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นแตะที่ริมฝีปากของอีกฝ่ายเป็นเชิงห้าม  “พี่ยังไม่อยากฟังเหตุผลที่ทำให้เราต้องแยกจากกัน  ไว้วันหลังเถอะนะ  ให้พี่พร้อม..นายค่อยเล่าให้พี่ฟัง”

            ติณธรพยักหน้า ...เอาเถิด  รอให้พี่ดิมพร้อมที่จะฟัง  แล้ววันนั้นเค้าจะต้องเข้าใจ ถึงเหตุผลทั้งหมดที่เขาทำลงไป..

            รดิศเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาที่ตกอยู่บนพื้นตรงหน้าขึ้นมาดู  ลูบปลายนิ้วไปบนหน้าปัดแก้วที่มีรอยแตกร้าวเป็นทางเพราะตกกระทบพื้นอย่างแรง   แต่เข็มนาฬิกายังคงเดินอยู่  ได้ยินเสียงติ้กๆเบาๆ

            “ยังเก็บเอาไว้อีกเหรอ   นึกว่านายโยนทิ้งไปแล้วเสียอีก”  คนให้พูดเหมือนรำพึง   เพ่งมองกรอบสีเงินด้านหลัง สะท้อนแสงไฟวูบวาบ  ตัวอักษรที่เขาเป็นคนสั่งให้ช่างแกะสลักเอาไว้เอง ปรากฏขึ้นชัดเจน  ไม่จางหายไปเพราะมันถูกฝังลึกอยู่ในเนื้อโลหะ  เหมือนกับความเจ็บแค้นใจของเขา..ที่ยังฝังลึกอยู่ในเนื้อหัวใจเช่นกัน  ดิมบอกตัวเอง

            “ของที่พี่ให้ผม  ผมไม่เคยทิ้งเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”  ตั้งเตพูดเสียงหนักแน่น

            ...ยกเว้นหัวใจของพี่ใช่ไหม  ที่นายทิ้งได้อย่างไม่ไยดี... รดิศพูดต่ออยู่ในใจ    พร้อมกับเผยยิ้มบางๆ

            “พี่ดีใจนะ   นาฬิกาเรือนนี้ พี่ให้ในวันครบรอบ 4 ปีของเราใช่ไหม  พี่จำได้”  เขากลับไปเรียกแทนตัวเองว่าพี่อีกครั้ง เหมือนเมื่อสมัยก่อน 

           เตน้ำตาคลอ   พยักหน้ารับ  ...สีหน้าของพี่ดิม แววตา  สัมผัสของปลายนิ้วที่ยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ที่แก้มของเขา  แผ่วเบา อ่อนโยน  ช่างเหมือนเหลือเกิน...เหมือนพี่ดิมคนเดิมเมื่อ 8 ปีก่อน  เหมือนเมื่อวันที่พี่ดิมมอบนาฬิกาเรือนนี้ให้เป็นของขวัญแก่เขา

            หรือว่านี่จะไม่ใช่ความฝัน  พี่ดิมกลับมาแล้วจริงๆ?

          “พี่....หายโกรธผมแล้วใช่มั้ย”  กลั้นใจถาม   คำถามที่อยากรู้ตั้งแต่แรกเจอกันอีกครั้ง

            ศัลยแพทย์หนุ่มนิ่งไปนาน  มองหน้าเขาราวกับกำลังทบทวนความรู้สึกภายในจิตใจ   บรรยากาศเงียบลง  ชั่วขณะที่ตั้งเตรู้สึกกดดันเหมือนถูกอากาศรอบด้านกดลงมาระหว่างรอคอยคำตอบ

            “ยัง...แต่ก็คงจะหายดี ในไม่ช้านี้”  พี่ดิมตอบกลับมาช้าๆในที่สุด

            “แค่พี่ยอมพูดกับผมเหมือนเดิม  ผมก็ดีใจแล้ว”  เตพูด กลั่นออกมาจากใจจริง   เขาไม่คาดหวังอะไรมากไปกว่านี้หรอก...จริงหรือ?  เสียงเล็กๆจากซอกหลืบในหัวใจถามขึ้นมาเบาๆ

            จริง..จริงที่สุด  จะให้เขาหวังอะไรล่ะ  กลับมาคบกันเหมือนเดิมหรือ   เขามีข้าวตังกับเต้แล้ว  พี่ดิมก็มีหมอรัน  กำลังจะแต่งงานกันด้วย   จะให้กลับมาเหมือนเดิมได้อย่างไร ...เขาตะโกนตอบเสียงในใจนั้นไป   แล้วพูดกับพี่ดิมว่า

            “ผมไม่รู้จะพูดอะไร  เพราะมันจะเหมือนคำแก้ตัว  ที่พี่ก็คงจะไม่อยากฟัง...แต่ผมขอโทษ และรู้สึกผิดกับพี่จริงๆ  ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะชดใช้ให้พี่ได้...ให้สมกับความผิดของผม  ที่ผมทำให้พี่ต้องเสียใจ  ผมก็อยากจะทำ”   

            วูบหนึ่งที่เขาเห็นรอยยิ้มเยาะพาดผ่านแววตาคมกริบลึกล้ำคู่นั้น  แต่เพียงวูบเดียวก็หายไป  กลับกลายเป็นแววอ่อนเศร้าเหมือนเดิม ...คงจะตาฝาด

            “นายพูดจริงหรือ   แล้วนายจะแก้ไขความผิดของนายได้อย่างไรล่ะ”  พี่ดิมถาม   คนฟังเม้มปาก

            “แล้วแต่พี่ก็แล้วกัน”   เขาตอบกลับมาในที่สุด

            รดิศรีบเบือนหน้าไปทางอื่น   เขากลัวว่าตนเองจะสะกดกลั้นแววตาลิงโลดเอาไว้ไม่ได้    เขาเสมองไปที่นาฬิกาที่หน้าปัดแตกร้าวเรือนนั้น

            ...นายพูดเองนะตั้งเต   พี่จะถือว่านี่เป็นคำอนุญาตจากนายก็แล้วกันนะ  ถ้าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้  ก็ถือซะว่าเป็นการ ‘ชดใช้’ ความผิดของนายที่ทำเอาไว้...

            “ถ้าอย่างนั้น  เราสงบศึกทุกอย่าง...ทุกอย่างที่เราเคยโกรธเคืองกัน   พี่จะลืมมันไปให้หมด  และนายก็ต้องลืมมันไปให้หมดเหมือนกัน   แล้วเรามาเริ่มต้นกันใหม่  โอเคไหม”

          “เริ่มต้น?”

          “ใช่  ในฐานะ ‘พี่น้อง’ ไม่ก็ ‘เพื่อนเก่า’ ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”

          “แล้ววิธีนี้จะช่วยทำให้พี่..หายโกรธผมหรอ”  ดิมหัวเราะออกมา กับคำถามซื่อๆ ที่อีกฝ่ายถาม  แวบหนึ่งที่เขาเผลอนึกกลับไปถึงอดีต..เตมักจะมีคำถามที่ทำให้เขายิ้มได้เสมอ   ซื่อ..แต่ก็น่ารัก  แน่ละว่าคนซื่อๆใสๆแบบนี้เกือบทำให้เขาตายทั้งเป็นไปแล้วครั้งหนึ่ง

            “ได้สิ  อย่างน้อยพี่ก็อยากจะซึมซับความรู้สึกดีๆแบบนี้เอาไว้ ก่อนที่เรา..จะจากกันไป”  คนฟังขมวดคิ้ว           

            “หมายความว่าอะไร จากกัน?”

          “พี่หมายความว่า  จากกันแบบ...แยกย้ายกันไปตามทางของตัวเอง   แบบนายก็เป็นนักเขียน  แบบพี่...ต่อไปก็จะได้แต่งงานแต่งการกับเขาสักที...อย่างน้อยในเมื่อพรหมลิขิตให้เราได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  พี่ก็อยากจะจัดการความรู้สึกของเราสองคนที่มันค้างคาอยู่  ...พี่จะได้รู้สึกว่าพี่ได้แก้ไขอดีต  จัดการกับแผลในใจของพี่แล้ว  และระหว่างเราไม่มีอะไรตกค้างกันอีกไงล่ะ”

          พี่ดิมอธิบายวกวนไปมา แต่เตก็รู้สึกว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ฝ่ายนั้นต้องการจะสื่อ...พี่ดิมยังรู้สึก ‘ค้างคา’ กับเขาอยู่  แบบที่เขาก็ยังคงรู้สึกผิดติดค้างอยู่ใจ  ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกค้างคาของฝ่ายนั้นมันเป็นความรู้สึกแบบไหน  จะเรียกว่ายังรักอยู่ได้หรือไม่..คงไม่หรอก เพราะเขาก็มีคนรักของเขาอยู่แล้ว  มันคงเป็นเหมือนความรู้สึกที่อยากจะเก็บกวาดห้องเก็บของให้สะอาด เพื่อที่จะได้พร้อมที่จะรับเอาสิ่งใหม่ๆเข้ามาแทนที่กระมัง

            คงจะไม่เป็นไร  ถ้าเขาจะช่วยอีกฝ่าย ‘เก็บกวาด’  พื้นที่ในหัวใจที่เขามีส่วนทำให้มัน ‘รก’ เอง     และก็คงจะดีกว่า ถ้าต่อไปภายหน้า เราจะจากกันแบบพี่น้องที่เหลือแต่ความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน  ไม่ใช่ความโกรธ เกลียดชัง หรือความไม่เข้าใจอย่างที่เคยเป็นมา

            “ตกลง  เรามาเริ่มกันใหม่”  เตพูดเบาๆ 

            รดิศยิ้มกว้างออกมาเป็นครั้งแรก  นับตั้งแต่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง    รอยยิ้มที่ทำให้แก้มบุ๋มลึก และดวงตาแพรวพราว  หวานเหมือนจะหยด
         
            ..รอยยิ้มที่ทำให้เขาใจสั่นได้ทุกครั้ง

            พี่ดิมยกมือขึ้นเคาะที่หน้าผากของเรียบเนียนแล้วพูดเบาๆว่า

            “เซ็ตซีโร่”

            เตหัวเราะ  รู้สึกปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน     รดิศหยิบนาฬิกาเรือนนั้นส่งคืนให้แก่เจ้าของ   เขาเพ่งพินิจไปที่รอยแตกร้าวเป็นทางยาวที่พาดผ่านหน้าปัดนาฬิกาสี่เหลี่ยมเรือนนั้น   

            “มันจะซ่อมได้ไหมนะ”  ดิมพูดคล้ายรำพึงกับตัวเองเบาๆ  เตใส่นาฬิกากลับเข้าที่เหมือนเดิม   เงยหน้าขึ้น พูดแกมหัวเราะ

            “น่าจะได้นะพี่  พรุ่งนี้ผมจะลองไปถามร้านนาฬิกาดู”

          คุณหมอหนุ่มพยักหน้า  ส่งยิ้มให้บางๆ  ฝ่ายนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่เขาคิดนั้น  หาใช่รอยแตกที่นาฬิกาเรือนนั้นไม่  หากแต่เป็นรอยร้าวลึกในหัวใจที่เขาตั้งใจจะกรีดให้ฝ่ายนั้นด้วยตัวเองตะหาก

            ของที่มันเคยแตกร้าวไปแล้ว  จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร  จริงไหม?


          ……………………………………………………………………………


มาต่อค่ะ  ขอบคุณนะคะสำหรับคอมเม้นท์
เรื่องนี้ยังอีกยาวไกล5555 นี่เพิ่งเริ่มต้น
ขอบคุณกลอนด้วย เพิ่งเคยได้รับกลอนจากผู้อ่านนี่เเหละ
เริศศศ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 31-01-2017 18:12:58
ดราม่ากันต่อไป 
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: myapril ที่ 31-01-2017 20:20:37
set zero ..ตามนั้นเลย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 31-01-2017 20:48:23
เอามันเข้าไป !!!!!!

ชอบจริงๆดราม่าแบบนี้เนี่ย มาต่อเร็วเข้า 5555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 31-01-2017 21:35:10
บวกเป็ด ด้วยรัก ส่งให้เต
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 31-01-2017 21:58:29
สรุปว่าดิมจะใชัโอกาสที่แฟนไม่อยู่ 3 อาทิตย์มาแก้แค้นเต  อาจหลอกให้รักแล้วทิ้งเหมือนที่เตเคยทำ 

สงสารเต  คือดิมก็น่าสงสารนะ แต่ดิมมีรันเป็นแฟนแล้วงัย ส่วนเตมีแต่เมียและลูกปลอม ๆ ยังรักดิมและรู้สึกผิดกับดิมมาก  ที่ดิมทำแบบนี้เตก็นึกว่าดิมให้อภัยตัวเองจริง ๆ อยากเป็นพี่น้องกันจริง ๆ แต่ดิมตั้งใจแก้แค้นงัย สรุปงานนี้เตก็เจ็บคนเดียวอีกแล้ว

รันลอยตัว ทำชั่วแย่งแฟนเตมาตั้งหลายปี ดิมมองว่าเป็นนางฟ้า เชื่อทุกอย่าง ในขณะที่เตเสียแฟน โดนดิมเข้าใจผิดตั้งหลายปี แถมกำลังจะโดนเตแก้แค้นทำร้ายจิตใจอีก

ไรท์ เรื่องนี้จบ happy ไหม ถ้าไม่ happy บอกก่อนได้ไหม เราทนอ่านไม่ไหวอ่ะ จิตตก ถ้า happy แม้จะหน่วงช่วงนี้ แต่เราอ่านได้
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 31-01-2017 22:42:08
รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-01-2017 23:43:39
เพราะต้องลอง เจ้าของใจ ไปมีอื่น
แสร้งหวานชื่น ยืนยิ้ม กระหยิ่มผัว
แต่จริงแล้ว ในใจ สั่นระรัว
กลัวความชั่ว จะรั่วไป ให้เขารู้
#หมอรัน

เพราะคิดลอง ข้องใจ ไอ่หน้าหวาน
ให้เบิกบาน หวานจริง จะทิ้งฝัน
แต่จริงแล้ว แก้แค้นเสร็จ สำเร็จพลัน
ทำไมใจ ยังอัดอั้น มั่นรักเดียว
#หมอดิม

เพราะอยากลอง เจ้าของใจ ที่ลืมยาก
ทนลำบาก มากปี ไม่มีเขา
แต่จริงแล้ว วกวน ใจคนเรา
ยังมัวเมา เขลาหนัก ยากหักใจ
#ตั้งเต

ป้อล่อ..มีข้อสงสัย
ตอนนั้นที่ดิมคบกับเต ถึงขั้นไหนอ่ะ ใสใสหรือใส่ฟิชเจอร์ริ่งกันแล้ว
ตอนนี้ดิมยังคงคบกับรันอยู่ อยู่เมืองนอกด้วยกันมาก็หลายปี
เป็นแฟนกันแบบไหน ใช่แบบอยู่กินกันเป็นผัวเมียกันเลยใช่เปล่า
ถ้าเป็นยังงี้ก็ฟิชเจอร์ริ่งกันจนเปื่อยแล้วดิ

หุหุ ที่สงสัยอ่ะ..ไม่ใช่อะไรหรอก
อยากจะเข้าใจความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แบบว่าคนเป็นแค่แฟน กับเป็นถึงเมีย
มันต่างกันมากนะ มันจะเลิกกันง่ายๆ หรือเลิกกันยาก

แฟนกับเมีย เชี่ยะเอ้ย ไม่ต้องคิดเลยว่าดิมจะเลือกใคร
ง่ายม่อกกกกก ..ร้องไห้ กาซิกๆๆๆๆ..

 :กอด1:
+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 01-02-2017 00:38:02
อ้ากกกกก พ่นไฟ เกลียดเต ขอสักที ไอ้โง่ :katai1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลอง]ตอนที่12 31/1/60
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝัน ที่ 01-02-2017 12:51:47
รู้สึกจิตตกกับเรื่องนี้มากจริงๆ happy มั้ยค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 05-02-2017 10:19:48
เพราะหัวใจบอกว่า...เริ่ม

 

 

 

 

            ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่  รู้สึกสดชื่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายปี  เป็นคืนแรกที่เขาหลับได้เองโดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ  คงเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกระมัง

            ความรู้สึกผิดและกดดันที่เหมือนทับถมอยู่บนบ่าทั้งสองข้างมานาน   ในตอนนี้คล้ายกับว่าได้ถูกปลดเปลื้องออกไปแล้ว  ถึงจะยังไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อย  มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี...อา  ใช่แล้ว 

            ‘เรามาเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้งนะ เต’

          แค่คิดก็อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ 

            เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ ตามด้วยร่างกลมป้อมของลูกชายคนเดียวผลุบเข้ามาในห้อง โดยไม่ต้องรอคำอนุญาต

            “คุณพ่อฮะ  คุณแม่บอกว่าวันนี้ให้คุณพ่อไปส่งเต้  เพราะคุณแม่ไม่สบาย  ลุกไม่ไหว” เด็กชายเต้ในชุดนักเรียนเรียบร้อยพูดเสียงดัง  คนฟังตกใจ รีบลุกขึ้นมาจากเตียงนอน

            “อ้าว  คุณแม่เป็นอะไรไป”  ไม่รอฟังคำตอบลูกชาย  เขารีบก้าวยาวๆออกจากห้องนอนไปยังห้องนอนฝั่งตรงข้ามของหญิงสาว  ที่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น   เคาะประตูเป็นสัญญาณนิดหนึ่งก็ถือวิสาสะเปิดเข้าไปโดยเร็ว

            “ตัง  เป็นอะไร เต้บอกว่าลุกไม่ไหวหรือ”  เขาถาม  เดินตรงเข้าไปหา 

            หญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอน หนุนหมอนสูงหันมาทัก ‘สามี’ เสียงแผ่ว  ริมฝีปากซีดเช่นเดียวกับใบหน้าพูดช้าๆ

            “พี่เต...ตังไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกค่ะ  แค่..เหนื่อยๆ  พี่เตช่วยไปส่งเต้แทนตังทีนะคะวันนี้  ขอโทษด้วย..”  เธอหยุดพูด   ตั้งเตตกใจ กวาดตามองร่างของภรรยาทั่วตัว เห็นเพียงช่วงอกที่พ้นผ้าห่มออกมาเท่านั้น    เขายกมือขึ้นอังที่หน้าผากของเธอ

            “ตัวไม่ร้อนนี่  ออกจะเย็นด้วยซ้ำ  เป็นอะไรไปตัง  ไปโรงพยาบาลไหม”

          เธอสั่นศีรษะช้าๆ  ยิ้มออกมานิดหนึ่ง

            “ไม่เป็นไรค่ะพี่  พักเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว”  เธอหอบหายใจนิดหนึ่ง   ดูเหนื่อยกว่าปกติจนชายหนุ่มสังเกตได้

            “พี่ว่าตังไปโรงพยาบาลดีกว่า   เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพี่โทรไปลางานให้...ตังเปลี่ยนเสื้อผ้าไหวมั้ย  ติดรถไปกับพี่เลย   ส่งเจ้าเต้เสร็จแล้วได้เลยไปโรงพยาบาล ให้หมอเขาดูหน่อย”  ชายหนุ่มพูด  วางแผนให้เสร็จสรรพ   ทว่าคนป่วยบนเตียงปฏิเสธอย่างหนักแน่น

            “ตังไม่ไปค่ะพี่เต   ตังไม่ได้เป็นอะไร   พี่เตรีบไปส่งเจ้าเต้เถอะ  ประเดี๋ยวจะสาย ไม่ทันเข้าแถว   ไม่ต้องห่วงตัง”

          “ไม่ห่วงได้ยังไง  เหนื่อยจนลุกไม่ไหวแล้ว  ตังอย่าดื้อกับพี่นะ  พี่บอกให้ไปก็ไป  ถ้าลุกไม่ไหวพี่จะอุ้มไปเอง   รอพี่ที่นี่แหละ  พี่ขอเวลาสิบนาที”

พี่เตดุเธอเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี  สีหน้าของเขาเครียดและกังวล ดูออกว่าเขาเป็นห่วงเธอมาก...มากกว่าที่เธอคิดเอาไว้   มาตังคิด  มองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายที่ผลุนผลันออกไปจากห้องนอนของเธออย่างรวดเร็ว...ถึงจะรู้ว่าเขาเป็นห่วงเธอในฐานะน้องสาวเท่านั้น  แต่เธอก็อดดีใจอยู่ลึกๆไม่ได้อยู่ดี

แข็งใจลุกขึ้นจากที่นอน   เวียนหัวเหมือนจะหน้ามืด  เหนื่อยแทบขาดใจ แต่เธอก็ต้องฝืนเก็บอาการเอาไว้   ข้อเท้าของเธอเริ่มบวมขึ้นมาแล้ว   โชคดีที่พี่เตคงจะไม่ทันเห็น...เธอถึงไม่อยากไปโรงพยาบาลพร้อมกับเขาเลย   เธอไม่อยากให้เขารู้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอ  มันเหมือนรถยนต์ที่ชำรุด

ไม่เกินสิบนาที พี่เตก็กลับเข้ามาช่วยพยุงเธอออกไปที่รถ   ลูกชายเข้ามากอดเธอเอาไว้แน่น  ใบหน้ากลมเล็กนั้นมีริ้วรอยกังวลอย่างชัดเจน  คิ้วขมวดมุ่นราวกับว่าเจ้าตัวเป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้าที่รับผิดชอบ  ไม่ใช่เด็กอายุยังไม่ถึงสิบขวบด้วยซ้ำ

รถมาจอดส่งลูกที่หน้าโรงเรียนชั้นนำของกรุงเทพฯ ที่เธอทุ่มเทแรงใจแรงกายทำงานเพื่อส่งให้เขาได้เรียนในที่ๆดีๆ  แน่นอนว่าการทำงานหนักมากขึ้นก็คงจะเป็นตัวกระตุ้นอย่างหนึ่งที่ทำให้อาการของเธอกำเริบขึ้นมา

“โอเคไหม   ปรับเบาะเอนราบดีมั้ย”            พี่เตหันมาถามเธอ ระหว่างที่กำลังขับรถตรงไปยังโรงพยาบาล   เธอส่ายหน้า     

“ไม่เป็นไรค่ะ  นอนแล้วหายใจไม่ออก”  เธอตอบเรียบๆ คนขับหันมามองเธอแวบหนึ่ง เขาเอื้อมมือมากุมที่มือของเธอแล้วบีบเบาๆ  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ข้าวตังหลับตาลงแล้วก็กลับลืมตาขึ้นมาใหม่ สายตาไปสะดุดเข้ากับนาฬิกาหนังสีน้ำตาลเข้ม  หน้าปัดแตกร้าวเป็นสองซีกที่อยู่บนข้อมือของคนขับเรือนนั้น  เธอขมวดคิ้ว  รู้สึกคุ้นตากับเครื่องประดับชิ้นนี้  แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน

“นาฬิกาเรือนนี้..หน้าปัดมันแตกแล้วนี่คะ  ทำไมยังเอามาใส่อยู่อีก”  เธอถามอ้อมๆ   ชายหนุ่มเหลือบมองนิดหนึ่ง   แล้วตอบเรื่อยๆ

“พี่ว่าจะเอาไปซ่อมน่ะ”

“เรือนนี้ซื้อที่ไหนเหรอคะ  ไม่เคยเห็นมาก่อน”  สามีของเธอชะงักไปนิดเดียว แล้วก็ตอบออกมา

“มีคนให้มาน่ะ  นานแล้ว”  เขาดูอึดอัดที่จะตอบคำถามของเธอ   ข้าวตังตั้งข้อสงสัยอยู่ในใจ แต่ไม่ถามต่อออกมาให้มากความไปมากกว่านั้น เกรงว่าอีกฝ่ายจะไม่พอใจ 

เพ่งมองนาฬิกาเรือนนั้นอยู่พักใหญ่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นมาก่อนที่ไหน    ช่างเถอะ..

ติณธรลอบมองหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างตน   ท่าทางเธอคงจะสงสัย เพราะนาฬิกาเรือนนี้เขาเก็บมานาน ไม่เคยหยิบมาใช้อีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น   คงจะไม่ดีแน่ถ้าเขาจะต้องบอกเหตุผลที่หยิบเอาเจ้านาฬิกาเก่าแก่เรือนนี้ออกมาใส่อีกครั้ง 

บรรยากาศภายในรถคันเล็กน่าอึดอัดชอบกล  เตแทบจะถอนหายใจออกมาดังๆเมื่อมาถึงโรงพยาบาลในที่สุด  ชายหนุ่มรีบเข้าไปติดต่อ  ครู่เดียวหญิงสาวก็ได้มานั่งรอตรวจอยู่ที่หน้าห้อง   โทรศัพท์มือถือสั่นของเขาขึ้นอีกครั้ง  หยิบขึ้นมาดู  แค่เห็นชื่อที่ขึ้นด้านหน้า  ใจก็อดเต้นแรงไม่ได้  รีบขอตัวลุกเดินแยกห่างออกมา

“พี่ดิม   มีอะไรหรือเปล่าครับ?”  กรอกเสียงถามลงไป  พยายามไม่ให้ดูกระตือรือร้นมากนัก

“เต  พี่....ง่า...วานอะไรหน่อยสิ  พอดีวันนี้พยาบาลที่ดูแลพี่เขาโทรมาลาอีกวันน่ะ  นายช่วยเข้ามาช่วยพี่นิดนึงได้มั้ย  แต่ถ้าติดธุระก็ไม่เป็นไรนะ”  เสียงนุ่มๆพูดมาตามสาย แนบชิดอยู่ที่ริมหู   เตยิ้ม

“ตอนนี้ผมติดธุระอยู่   ไว้บ่ายๆได้ไหม ผมจะแวะเข้าไป”  เขาตอบเสียงอ่อน   เหลือบดูข้าวตังนิดหนึ่ง เห็นเธอลุกเดินหายเข้าไปภายในห้องตรวจแพทย์

“ตกลง  พี่จะรอนะครับ”  ปลายสายตอบกลับมา มีแววยินดีอยู่ในน้ำเสียง  แล้วกดวางสายไป   เตมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองราวกับเป็นของแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

...ทำไมแค่ได้ยินเสียงแค่นี้   หัวใจของเขาถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ...

เดินกลับเข้าไปนั่งรอภรรยาที่เดิม   พักใหญ่เธอก็เดินออกมา  ส่งยิ้มบางๆให้เขา

“หมอว่าอย่างไรบ้าง”

“ไม่ได้เป็นอะไร   แค่..พักผ่อนน้อยเฉยๆ”    เธอหลบตาเขา   ถ้าหากว่าเขาอยู่ในอารมณ์ปกติล่ะก็ คงจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากถึงแววพิรุธในสีหน้าและแววตาคู่นั้น

ชายหนุ่มพาเธอไปจ่ายเงินเพื่อรับยา   ขมวดคิ้วนิดหน่อยเมื่อเห็นปริมาณและชนิดของยาที่หญิงสาวได้รับ

“พักผ่อนไม่พอแค่นี้ ต้องกินยาเยอะขนาดนี้เลยเหรอ”  ชายหนุ่มถามงงๆ  หยิบซองยาออกมาจากถุง  แต่ดาวประดับกลับดึงเอาไว้ แล้วเก็บใส่กระเป๋าถืออย่างรวดเร็ว

            “ยาบำรุงหัวใจน่ะค่ะ   พี่เตก็รู้ว่าหัวใจตังไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

          “มัน...ไม่ได้เป็นอีกใช่ไหม  เหมือนเมื่อ 8 ปีก่อนนั่นน่ะ”  ชายหนุ่มถามด้วยเสียงกระซิบ   เอะใจขึ้นมาเพราะท่าทางของเธอดูพิกล    หญิงสาวหัวเราะ  เธอดูสดใสขึ้นมากหลังจากได้พบแพทย์

            “ไม่ใช่หรอกพี่เต  ไม่เชื่อเข้าไปถามหมอส้มดูก็ได้”

          “หมอส้ม?”  เขาทวนชื่อ

            “หมอสิริกานต์  หมอคนที่สวยๆคมๆ ที่ตังเคยมาหาเรื่องเวียนหัวไงคะ  อ้อ  วันนั้นพี่เตไม่ได้เจอ เพราะไปต่างจังหวัด”  คนฟังพยักหน้าเนิบๆ   เขารู้สึกคุ้นกับชื่อนี้ไม่น้อย  หวังว่าโลกคงจะไม่กลมถึงเพียงนั้น

            พาหญิงสาวกลับมาส่งที่บ้าน  ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ว่าจะทิ้งเธอออกไปข้างนอกดีหรือไม่   แต่หญิงสาวยืนยันว่าเธอสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว  ประกอบกับท่าทางเดินเหินและอาการเหนื่อยหอบที่ดีขึ้นจนเห็นได้ชัด

            “พี่เตไปทำงานเถอะ  ตังหายแล้ว”

          “ทำไมมันหายเร็วนักล่ะ  หมอเขาจะเก่งไปหน่อยแล้วมั้ง”  เขาไม่อยากเชื่อเท่าไหร่   ข้าวตังยืนยันมาอีกหลายคำ   เขาจึงตัดสินใจกลับออกมาข้างนอก หลังจากที่จัดการอาหารเที่ยงให้เธอเรียบร้อยแล้ว

            นั่งรถแท็กซี่มายังคอนโดของคุณหมอหนุ่ม   ผ่านหน้าเคาท์เตอร์ขึ้นไปได้อย่างราบรื่น เพราะพี่ดิมโทรลงมาบอกเอาไว้ก่อนแล้วล่วงหน้า    เขามาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพักของรดิศ

            ยืนทำใจอยู่ครู่ใหญ่ ก็กดกริ่ง

            ประตูเปิดออก   พี่ดิมในชุดเสื้อยืดกางเกงบอลยืนยิ้มแฉ่งให้เขา

            “กำลังรออยู่เลย  มาช้าจัง”  ตั้งเตก้าวตามเจ้าของห้องเข้าไปภายใน

            “มีอะไรให้ผมช่วยหรือ” 

            “นายกินข้าวเที่ยงมาหรือยัง”   เจ้าของห้องกลับหันมาถามไปคนละเรื่อง  เตกระพริบตา

            “กินมาแล้ว  พี่ดิมล่ะ  กินหรือยัง”  เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นเลยเที่ยงวันมาเกือบสองชั่วโมงแล้ว   ทว่าเจ้าของห้องกลับส่ายหน้า

            “ยัง...รอนายนั่นแหละ  นึกว่าจะมากินด้วยกัน”

          “รอทำไม  ก็ผมบอกแล้วไงว่าจะมาบ่ายๆ...แล้วแบบนี้ไม่หิวแย่เรอะ”   เขาพูด  ชักหงุดหงิดที่อีกฝ่ายยักไหล่เหมือนไม่สนใจเรื่องปากท้องของตัวเองเท่าไหร่

            ...เป็นแบบนี้อีกแล้ว   เป็นแบบนี้ตลอด   ตั้งแต่สมัยตอนเรียนแล้ว  ถ้าเขาไม่คอยเตือนให้กินข้าว    อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ใส่ใจ ไม่สมกับเป็นหมอเอาเสียเลย...

          เดินตรงเข้าไปในห้องครัวเล็กๆของฝ่ายนั้น   เปิดตู้เย็นก้มๆเลยๆอยู่พักใหญ่  สำรวจวัตถุดิบเพื่อจะมาเปลี่ยนเป็นมื้อบ่ายของอีกคน    รดิศยืนล้วงกระเป๋ามองไปที่ร่างโปร่งบางยิ้มๆ  สีหน้าเอาจริงเอาจังนั่น...

            เตคงจะไม่รู้ตัวว่าตอนนี้น่ารักมากแค่ไหน

            “เหลือแต่พวกไข่ กับหมูหยอง  มีข้าวมั้ยครับ”   เตหันมาถามเขา  ดิมรีบขยับตัว

            “ไม่มีข้าวหรอก  ที่หุงเก็บเอาไว้หมดแล้ว ไม่ได้หุงเพิ่ม”  เขายกแขนที่ใส่เฝือกเอาไว้ขึ้นมา เป็นเชิงบอกว่า เพราะติดเฝือกอยู่ไง เลยทำอะไรไม่ได้....ช่วยไม่ได้เลยแฮะ

            ..มีเฝือกข้างเดียว เหมือนเป็นง่อยเลยนะ..  ตั้งเตคิดในใจ  แต่ไม่ได้พูดออกมา  หันไปจัดการหุงข้าวเรียบร้อย   ก่อนจะลงมือตั้งกระทะ ตอกไข่ใส่ชามตีเร็วๆ

            “กินไข่เจียวแล้วกัน ง่ายดี”  พี่ดิมเป็นคนไม่เรื่องมากเรื่องการกิน  เขารู้มานานแล้ว   จะกับข้าวง่ายๆแค่ไหน พี่ดิมก็สามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อย   ไม่เคยบ่น   แถมยังเป็นลูกมือที่ดีอีกด้วย


                                                         *****************

          “หิวจังเลยครับ  มีอะไรกินบ้าง”  น้ำเสียงออดอ้อนแบบนี้มีอยู่แค่คนเดียวอยู่แล้ว   เตคิดในใจ  ละสายตาจากทิวทัศน์หุบเขาสวยงามเบื้องหน้า  หันมามองชายหนุ่มที่เดินตรงเข้ามากอดเขาจากทางด้านหลัง

          ดิมซุกหน้าลงกับซอกคอของเขา แล้วสูดลมหายใจเข้าฟอดใหญ่

          “ชื่นใจจัง”

          ไอหมอกยามเช้าลอยระใบหน้า กลั่นตัวเป็นหยดน้ำเล็กๆชื้นๆอยู่ตามเส้นผมและแก้ม  อากาศหนาวจนต้องใส่เสื้อกันหนาวสองชั้น  ทว่าเตกลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด ...ออกจะอุ่นจนร้อนมากกว่า

          “อื้อ  เดี๋ยวพวกนั้นมาเห็นเข้า”   เขาบิดตัวออกจากวงแขนแข็งแรงของพี่ดิม  กลัวว่าเพื่อนที่มาค่ายอาสาพัฒนาชุมชนบนดอยด้วยกันจะมาเห็นแล้วเก็บเอาไปล้ออีก 

          “เช้าขนาดนี้ พวกนั้นยังไม่ตื่นหรอกน่า...ขอหอมอีกทีได้มั้ย”  พี่ดิมกระซิบ   เขาส่ายหน้า  หลุดออกจากวงแขนของอีกฝ่ายได้ก็รีบเดินกลับเข้าไปภายในเพิงที่ทำเป็นครัวแบบพื้นบ้าน

          พี่ดิมช่วยเขาจุดเตาถ่านอย่างขะมักเขม้น  เขาลอบมองใบหน้าคมเข้มเป็นระยะ  สีหน้าจริงจังประหนึ่งกำลังสอบนั้นดูน่าขัน แต่ก็น่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน 

          “ยิ้มอะไรตั้งเต”  นัยน์ตาคมเข้มตวัดขึ้นมามองที่เขา   ..ใครๆก็ว่าพี่ดิมเป็นคนตาดุ  ยิ่งเวลาโกรธล่ะก็  แววตาคู่นั้นจะเหมือนมีกองเพลิงไปจุดอยู่ภายในเลย    พี่ดิมเป็นคนขี้งอน  แต่ก็ไม่ใช่คนโกรธใครง่ายๆ  ทว่าถ้าลองได้โกรธเข้าล่ะก็ แปลว่าคงถึงที่สุดแล้วล่ะ   และคนๆนั้นก็มักจะเข้าหน้าพี่ดิมไม่ติดอีกเลย

          ยกเว้นอยู่คนเดียว  ที่ต่อให้ทำให้พี่ดิมโกรธถึงขนาดไหนก็ตาม   สุดท้ายพี่ก็จะให้อภัยเสมอ....ถึงจะต้องตามง้อแทบตายก็เถอะ

          “รักพี่ดิมจัง”  เตบอกยิ้มๆ 

          แก้มแดงปลั่งด้วยเลือดฝาดรับกับแววหวานในดวงตาดำขลับคู่นั้น...รดิศรู้สึกเหมือนจะละลายกลายเป็นไอน้ำเหมือนแม่คะนิ้งที่โดนแสงอาทิตย์สาดส่อง

          “พูดแบบนี้ อยากโดนดีใช่ไหม”  ดิมแกล้งขู่ไปอย่างงั้นเอง  เด็กตรงหน้ายิ่งยิ้มหวานมากขึ้นอีก  คงจะรู้ว่าเขาแพ้ทางรอยยิ้มหวานๆนั่น   ถึงจะเห็นมาจะเข้าปีที่สามแล้ว ก็ยังไม่ชินเลย ให้ตายเถอะ

          ใจมันอดเต้นแรงไม่ได้..

          “เช้านี้กินไข่เจียวก็แล้วกันนะพี่   ผมขี้เกียจทำอย่างอื่น”  เตพูด  แล้วหันไปจัดการเตรียมของง่วนอยู่คนเดียว..เขารู้ว่าเตชอบทำอาหารมาก  พอๆกับที่เขาชอบ   แตกต่างตรงที่ เวลาเขาอยู่กับเตแล้ว  สิ่งที่เขาชอบมากกว่าไม่ใช่การทำอาหารอีกต่อไป  แต่เป็นการ ‘ดู’ คนทำอาหารตะหาก

          เตไม่เคยรู้เรื่องที่เขาทำอาหารเก่ง  เพราะเขาไม่เคยบอก  กลัวว่าอีกฝ่ายจะเลิกทำให้กินน่ะซี   ขอเป็นลูกมืออยู่แบบนี้ดีกว่า   อีกเรื่องที่เขาชอบเป็นพิเศษ แต่เก็บเอาใช้เวลาที่เห็นอีกฝ่ายไม่สนใจก็คือการแกล้งลืมกินข้าว  ถึงจะพิลึก แลดูเป็นการทำร้ายตัวเองนิดหน่อย ทว่ามันคุ้มมากเวลาเห็นอีกฝ่ายกังวล คอยถามไถ่ถึงตลอดว่า เขาทานข้าวหรือยัง  ถ้ายังก็จะรีบหานู่นนี่มาให้เขารองท้องเอาไว้  พร้อมกับคำบ่นยืดยาวที่เขาไม่เคยเบื่อที่จะฟัง   รู้ดีว่ามันเกิดจากความเป็นห่วงล้วนๆ...น่ารักไหมล่ะ แฟนเขาเองแหละ

          “หั่นหอมแดงให้หน่อย”  ตั้งเตยื่นหอมแดงมาให้เขากำมือนึง

          “ได้คร้าบ  สุดแล้วแต่จะบัญชา”   เขายิ้มใส่ตาของเด็กน้อย  เห็นอีกฝ่ายออกอาการเขินนิดหน่อยก็มีความสุขแล้ว   จะเอาอะไรมากล่ะ  อุตส่าห์แอบโดดมาค่ายกับเตทั้งที นาทีทอง หยอดได้หยอด  กอดได้กอด  จูบได้จูบ...อิๆ  โชคดีที่เตยังไม่รู้ว่าเขาโดดเรียนเพื่อมาค่ายกับเค้า   โกหกนิดหน่อยว่าอาจารย์ให้หยุดเรียน   ก็แหม  ใครจะกล้าปล่อยเด็กน่ารักขนาดนี้มาค่ายบนเทือกเขาอันไตคนเดียวล่ะ  กะเหรี่ยง(ในค่าย)ที่จ้องเดือนคณะอักษรฯตาเป็นมันมีเยอะแยะ  เห็นหลายคนแล้ว ทำทีมาถามเรื่องเรียน  หนอย  คิดว่ารู้ไม่ทันเหรอ  มันต้องผ่านศพรดิศไปก่อนเฟ้ย

          เขาคิดไปก็หั่นหอมแดงไปด้วยอย่างเมามัน ลืมนึกไปว่ามันจะทำให้แสบตาจนน้ำตาไหลพรากลงมา  ยิ่งยกมือขึ้นเช็ด ก็ยิ่งแสบ น้ำหูน้ำตาไหลออกมาเละ  หมดสภาพพี่ดิมสุดหล่อจริงๆ

          “พี่อย่าไปป้ายตาสิ  เดี๋ยวๆ ใจเย็นๆ  มาตรงนี้”  เตจำต้องผละจากหน้ากระทะมาช่วยเขา จูงมือพาไปที่โอ่งน้ำข้างเพิง  ตักน้ำขึ้นมาเต็มขัน

          “พี่เอามือออกจากหน้าเลย  ผมล้างให้เอง”  เตบอกคนหน้าเข้มที่พยายามเอามือขึ้นมาป้ายที่ตาอยู่แล้วไม่รู้แล้ว   อีกฝ่ายพยักหน้า  ยอมเอามือออกแต่โดยดี 

          เขาค่อยๆวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าให้อีกคนอย่างระมัดระวัง  นิ้วมือไล้ไปตามเปลือกตาที่ประดับด้วยขนตางอนยาวน่ากรีดเล่น  ผ่านไปครู่ใหญ่  อีกฝ่ายก็อาการดีขึ้น   พี่ดิมลืมตาขึ้นมาจ้องหน้าเขาในระยะใกล้  ตาคมกริบตอนนี้แดงก่ำ

เขาชะงัก  รู้สึกวูบวาบแปลกๆกับแววตาที่อีกฝ่ายใช้มองมา   รู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองยืนชิดกับแผ่นอกกว้างนั้น แนบสนิทไม่มีช่องว่างเหลือ   วงแขนล่ำสันโอบอยู่รอบตัวแน่นกระชับ

“เอ้อ   หายแล้วก็ปล่อยผมเถอะ  จะได้กลับไปทำกับข้าวต่อ”  พูดงึมงำอยู่กับไหล่หนา   หลบตาอีกฝ่ายไม่ยอมเงยหน้าขึ้น    เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของฝ่ายนั้นที่เป่ารดอยู่ที่ริมหู   บรรยากาศรอบตัวสงบเงียบเหมือนมีแค่เราสองคน  ท่ามกลางระไอหมอกที่ยังไม่จางหายไปในยามสาย

เสียงหัวใจของเขาเต้นตึกตัก  ดังจนกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน

พี่ดิมโอบกอดเขาเอาไว้แน่นมาก   แน่นจนรู้สึกเหมือนเนื้อตัวของเขาจะจมหายเข้าไปในอกของอีกฝ่ายได้   เสื้อกันหนาวหนาๆยิ่งทำให้เขาอบอุ่นมากขึ้นไปอีก

เขาชอบเวลาพี่ดิมกอดแบบนี้  ชอบมากเลยล่ะ

พี่ดิมไม่ได้ทำอะไรมากกว่าการกอดกันแน่นๆ  ทั้งที่กระแสตาคู่นั้นของเค้าบอกชัดว่าคงจะอยากทำอะไรสักอย่างมากกว่าการกอดแน่ๆ

ทว่าพี่ดิมก็เพียงแต่ยิ้มใส่ตาเหมือนทุกครั้ง  แล้วพูดแกมหัวเราะก่อนที่จะปล่อยเขาออกจากวงแขนว่า

“เสียดายล่ะสิ”

เบื่อคนรู้ทันจริงๆเลย  บ้าชะมัด...เขาคิดอยู่ในใจ แต่ไม่พูด  วิ่งกลับเข้าไปในเพิงเพราะความเขิน
 

                                       ***********************




“ใส่หอมแดงด้วยได้มั้ย  อยากกิน”  พี่ดิมเข้ามายืนอยู่ใกล้เขาขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่   ตั้งเตกระพริบตา    เขยิบถอยหลังไปอัติโนมัติ 

...กำลังนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นอยู่พอดี  ตกใจหมดเลย..

“มีหอมแดงที่ไหนกันเล่า   ตู้เย็นบ้านพี่อย่างกับป่าช้าแน่ะ”  พูดแบบไม่มองหน้า  เพราะหัวใจยังทำงานไม่ปกติ  เห็นจากหางตาว่าพี่ดิมอมยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้น ทานข้าวเสร็จแล้ว เตช่วยพาพี่ไปหาอะไรมาเติมตู้หน่อยได้มั้ย”  แขกพยักหน้ารับ  ก้มหน้าก้มตาเจียวไข่ให้เขา  ใบหน้าเรียวหวานแทบไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนเลย  จะมีก็แต่ริ้วรอยบางๆตามกาลเวลา และท่าทางที่ ‘ดู’ สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเท่านั้น 

ขอใช้คำว่าดู เพราะเขาพอจะดูออกอยู่บ้างว่า ภายใต้ท่าทีเคร่งขรึมนั้น  ยังมีตัวตนของตั้งเต  เฟรชชี่อักษรฯคนเดิมซ่อนอยู่อย่างมิดเม้น   และพร้อมที่จะเผยออกมาเมื่อเจ้าตัวเผลอ  อย่างเช่นเวลาอาย  เหมือนในตอนนี้

ไอ้ท่าสบตาแล้วรีบเบือนหลบ  แถมด้วยยิ้มเล็กๆที่มุมปากแบบนี้นี่มัน...น่า..ชะมัด    รดิศได้แต่คิดอยู่ในใจ   ..ไม่ได้  เขาต้องอดทนเอาไว้ก่อน  โบราณเรียก อดเปรี้ยวไว้กินหวาน   ประเดี๋ยวไก่ตื่นหมด แผนที่อุตส่าห์วางเอาไว้จะล่มเอา

“กินได้แล้ว  เอาหมูหยองด้วยไหม”

เจ้าของห้องสะดุ้ง  เพราะแขกจัดการกับโต๊ะอาหารได้ว่องไวเหลือเชื่อ   เขาเดินตามมานั่งที่โต๊ะที่มีจานข้าวสวยร้อนๆกับไข่เจียวหน้าตาน่ารับประทาน  กลิ่นหอมฟุ้งทำเอาท้องร้องขึ้นมาอีกรอบ แม้ว่าความจริงเขาจะกินอาหารเที่ยงก่อนที่เตจะมาแล้วก็ตาม

“พี่กินล่ะนะ”  ดิมหันไปบอก แล้วพยายามใช้ช้อนตักแบ่งไข่เจียวในจานด้วยมือเดียว   ท่าทางทุลักทุเลของเขาทำเอาคนที่เฝ้าดูอยู่เงียบๆชักทนไม่ไหว  ต้องคว้าช้อนอีกคันนึงมาช่วยตักแบ่งใส่จานให้

“ขอบคุณมากครับ”  เขาพูด  ตั้งเตยิ้มให้นิดหนึ่ง   จับตามองดูเขาตักอาหารเข้าปาก 

ท่าทางเอร็ดอร่อยของคนกินทำให้คนทำรู้สึก..ชื่นใจ

            ...ไม่ได้ทำอาหารให้พี่ดิมกินมานานเท่าไหร่แล้วนะ...

            “อร่อยเหมือนเดิม  พี่ไม่ได้กินฝีมือเตมานานเท่าไหร่แล้วนะ”  คนชื่อเตเกือบสะดุ้ง  เพราะอีกฝ่ายพูดออกมาตรงกับที่ใจคิดพอดิบพอดีราวกับได้ยินเสียงในหัวใจของเขารำพึง

            “ก็เกือบ..8 ปีได้มั้ง”  เตตอบเบาๆ   ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้เท่าไหร่

            “เตรู้ไหม  ว่าแต่ก่อน...ก่อนที่จะเจอเต  พี่เกลียดหอมแดงมากเลยนะ  ไม่ชอบเลย  จนกระทั่งได้กินไข่เจียวหอมแดงฝีมือเตที่ค่ายพัฒนาฯดอยตอนนั้นนั่นแหละ  พี่ถึงเพิ่งรู้สึกว่า..เออ มันก็อร่อยเหมือนกันนี่หว่า ฮ่าๆ  คิดถึงตอนนั้นเนอะ  ที่เรานั่งล้อมกองไฟกันตอนกลางคืน   หนาวจนต้องนั่งเบียดกันเพื่อเพิ่มความอบอุ่น ...คืนนั้นท้องฟ้าสวยมากเลยล่ะ”   พี่ดิมพูดเสียงนุ่ม  สายตาทอดมองไปยังเบื้องหน้า  คล้ายกับว่ากำลังมองเห็นภาพอดีตย้อนกลับคืนมาตรงหน้าอีกครั้ง

            “ครับ  คืนนั้นดาวสวยมากจริงๆ”



               ********************
ต่อด้านล่างนาาจาา
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 05-02-2017 10:45:59
ต่อนะคะ

                             ********************

 

“อยากบอกว่ารัก รักเธอเหลือเกิน

แม้วันคืนล่วงเลยพ้นเป็นปี

แต่คืนนี้จะบอกเธอนะคนดี

อยากให้เธอเชื่อฉันคนนี้ ฉันรักเธอ”

 

          เสียงกีต้าร์พลิ้วแทรกอยู่ในบรรยากาศ  เคล้าไปกับเสียงนุ่มๆของนักศึกษาแพทย์หนุ่มที่มองมาที่คนรักที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างมีความหมาย  เสียงโห่แซวดังขึ้นขัดจังหวะจนเขาหงุดหงิด

          “อิจฉาคนมีความรักจังวุ้ย  ไปดีกว่าพวก  แถวนี้หนาวฉิบ  อย่างว่า คนไร้คู่อย่างพวกเรา  อยู่ไปก็เปลี่ยวเอกา   กูไปก่อนนะกัน  น้องเตระวังไอ้ดิมให้ดีๆนะ ฮ่าๆ  หนาวเนื้อเขาให้ห่มเนื้อ....”  เพื่อนร่วมค่ายหลายคนหัวเราะ  ร้องเพลงล้อแล้วต่างลุกขึ้นจากวงล้อมรอบกองไฟที่ใกล้มอดดับ

          รดิศจุ๊ปาก  โมโหไอ้เพื่อนตัวดี ที่บังอาจมาแซว  เดี๋ยวเตกลัว หนีเขากลับไปนอนขึ้นมาทำไงเล่า  ปั้ดธ่อ  นานๆจะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้

          คนข้างกายเขายกมือขึ้นมาถูกันแรงๆ  ลมหนาวพัดมาวูบ

“หนาวเหรอเต”  เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ  เขาได้ที เขยิบเข้าไปนั่งจนชิด  เอื้อมมือไปโอบหลังของอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง

“กอดพี่แน่นๆ  จะได้หายหนาว”  กระซิบที่ริมหูของฝ่ายนั้น  เตขืนตัวเอาไว้เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมแต่โดยดี   เค้าซุกหน้าลงกับอกของเขา  เหมือนลูกแมวที่หาไออุ่นจากเนื้อตัวของแม่  ตัวสั่นน้อยๆ

“กลับเข้าไปในห้องไหมล่ะ”  เขาเสนอ  ถึงจะอยากนั่งอยู่แบบนี้ต่อแค่ไหน แต่ถ้าน้องหนาวมาก เกิดป่วยขึ้นมามันก็ไม่คุ้มเหมือนกัน   ทว่าคนในอ้อมกอดของเขาส่ายหน้าแรงๆ

“ถ้าอย่างนั้น  นั่งอยู่แบบนี้สักพักได้มั้ย  แล้วค่อยเข้านอน”  เขากระซิบ  อีกคนพยักหน้ารับ  สวมกอดอีกฝ่ายแน่นกระชับมากขึ้น

          ลมหนาวพัดมาอีกวูบ  หอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้ป่ามาด้วย  หอมตลบไปทั่วบริเวณ  แต่ก็ยังหอมสู้กลิ่นอ่อนๆเฉพาะตัวของคนในวงแขนของเขาไม่ได้  กลิ่นที่ชวนหลงใหล  ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม  ล่องลอย...เขาไม่อยากให้เวลานี้ผ่านไปเลยจริงๆ  ให้ตายสิ  ดิมคิด

          “ดาวสวยจังนะ พี่ดิม”  เตพูด  เขาเลยเงยหน้าขึ้นมองตามสายตาของอีกฝ่าย  เห็นทางช้างเผือกทอดผ่านม่านราตรีที่ดำสนิทเบื้องบน  สวยงามที่สุด จริงอย่างที่น้องบอก   สวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนตอนที่อยู่ในเมืองกรุง

เปลี่ยนสายตาลงมาสบดวงตาดำสนิท แวววาวสะท้อนแสงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายระยับคู่นั้น  เขาบอกตัวเองว่าเขาเจอสิ่งที่สวยยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า

“สวยมาก  สวยจริงๆ”  พึมพำเหมือนละเมอ  ดวงตาคู่นั้นละจากดวงดาวเบื้องบน ลงมาสบตาเขาแทน  แววฉงนในตอนแรกเปลี่ยนเป็นไหวระริกเมื่อเจ้าตัวคงดูออก ถึงความหมายในสายตาของเขา 

ตาสบตาอีกครั้ง   ตั้งเตเบือนหลบแล้วส่งยิ้มอายๆให้เขา  ให้ตายเถอะ!  เขาใจสั่น  สั่นอย่างแรงชนิด 9.8 ริกเตอร์เลยล่ะ  ตั้งแต่เรียนหมอมาหลายปี รู้กลไกของระบบในร่างกายดี   เคยเรียนมาว่าอาการใจเต้นแรงเกิดจากการกระตุ้นระบบซิมพาเทติค   เกิดขึ้นเวลาที่เราตกใจ  กลัว  ตื่นเต้น หรือว่ามีสิ่งเร้า  ไม่นึกเลยว่า รอยยิ้มเคอะเขินของเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งเร้าด้วย

ใจสั่นแล้วเป็นอย่างไรต่อ ก็มือสั่นเหงื่อแตกสิแหม  รู้สึกต้องใช้แรงใจแรงกายมากกว่าปกติหลายเท่า ไม่ให้รวบตัวคนตรงหน้าเข้ามา ‘ฟัด’ ให้หายหมั่นเขี้ยว   แน่ะ  ยังมีหน้ามายิ้มอยู่อีก

“อย่ายิ้มแบบนี้”  กัดฟันพูดเสียงเข้ม  ตั้งใจว่าถ้าไม่ฟังกันล่ะก็ เห็นทีจะต้อง...

“ยิ้มยังไงหรอ”

ตั้งเตเอียงคอ  ถามกลับมาด้วยดวงตาใสแจ๋วปนกับแววฉงนเหมือนเด็กน้อย  น่าเอ็นดูเป็นที่สุด  ริมฝีปากอิ่มเต็มเผยอขึ้นน้อยๆ เป็นเชิงถาม

ไม่ไหวแล้วโว้ย...เขาตะโกนอยู่ในใจ  คงไม่ต้องบอกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับเด็กหนุ่มคนนั้น  เอาเป็นว่าวันถัดมา เขาต้องคอยใส่หน้ากากปิดปากเอาไว้ตลอด เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามใครต่อใคร ว่าริมฝีปากไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้บวมช้ำอย่างนั้น..

                          ********************




“หน้าเตมีอะไรติดอยู่เหรอครับ  พี่ดิม” 

คุณหมอหนุ่มสะดุ้งตื่นจากภวังค์  เพิ่งรู้สึกตัวว่าเผลอยืนจ้องหน้าอีกฝ่ายอยู่นาน  เห็นเตชูถุงบรรจุมะม่วงหลายลูกให้ดู  เขารับมาถือเอาไว้  พูดพึมพำไม่มองหน้าว่า

“พอแล้วล่ะ  เตไปนั่งพักเถอะ  เดี๋ยวที่เหลือพี่ซื้อต่อเอง”  หัวใจยังเต้นผิดปกติอยู่   เพราะดันเผลอนึกถึงเรื่องราวในวันวานขึ้นมา  โดยเฉพาะในคืนนั้น   ยังจำรสจูบหวานละมุนในตอนนั้นได้อยู่เลย...บ้าจริง! ทำไมต้องดันมานึกอะไรตอนนี้นะ

"ไม่เป็นไร  ให้เตช่วยเถอะ  จริงๆคนที่ควรจะไปพักคือพี่ดิมตะหาก"

“ไม่ได้หรอก  พี่จะปล่อยให้เตซื้อของเข้าบ้านคนเดียวได้ยังไงกันล่ะ”  ประโยคนี้ทำให้ความคิดของคนฟังกระเจิดกระเจิงไปไกล  แค่มาเดินซื้อของในซุปเปอร์มาเก็ตใกล้คอนโดด้วยกัน เตก็รู้สึกแปลกๆแล้ว  มันเหมือนเป็นอะไรที่คู่รักเขาทำด้วยกันเลยไม่ใช่หรือไง  ซื้อของเข้าบ้าน  ดูพี่ดิมพูดเข้าสิ

“เป็นอะไรหรือเปล่า  หน้าแดงๆ  ไม่สบายเหรอ  หรือว่าไข้ขึ้น?”  คุณหมอแกล้งถาม  เห็นหน้าของอีกฝ่ายแดงก่ำใกล้เคียงมะเขือเทศสุกเข้าทุกทีก็ยิ่งได้ใจ  ยกมือขึ้นทำทีจะแตะที่หน้าผากของฝ่ายนั้น  แต่เตเบือนหลบ  ใบหน้าซับสีเลือดมากกว่าเดิม

....ตั้งเตกำลังเขินเขาแน่ๆ   หึ  ก็ไม่แปลกหรอก  เล่นพามาซื้อกับข้าวด้วยกันซะขนาดนี้  เดินคู่กันในซุปเปอร์ฯ  ช่วยกันเลือกผักผลไม้  ไถ่ถามกันว่าเย็นนี้อยากกินอะไร  เหมือนพ่อบ้านหรือคู่รักข้าวใหม่ปลามันที่พากันมาซื้อของเข้าบ้านในช่วงสุดสัปดาห์   รอบด้านก็มีแต่พนักงานและแม่บ้านสาวๆที่ลอบมองมาที่พวกเขาสองคนยิ้มๆ  ถ้าเตไม่เขินสิแปลก

            ก็เขาตั้งใจนี่นะ..

            “ไม่ได้เป็นอะไร  พี่ดิมไปนั่งเถอะ  จริงๆ”

          กำลังจะหาโอกาสหยอดอีกซักนิดหน่อยให้ใจหวั่นไหว  เสียงโทรศัพท์ก็ดันดังขึ้นเสียก่อน   เขาหยิบขึ้นมาดู พอเห็นชื่อที่หน้าจอก็จำต้องขอตัวเดินแยกออกมาโดยดี   ตั้งเตมองตามมา  ท่าทางราวกับจะรู้ว่าใครที่โทรมา

            “สวัสดีครับ  คิดถึงคุณจัง”  พูดออกไปอัตโนมัติ  ปลายสายหัวเราะแผ่วเบา

            “คิดถึงแต่ไม่เห็นโทรมาเลยนะ...ทำอะไรอยู่ หืม?”   คนที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งถามกลับมา         

            “ไม่ได้ทำอะไรหรอก  วันๆก็คอยรับโทรศัพท์ที่พวกรุ่นน้องโทรมาconsult  นั่นแหละ  แล้รันเป็นอย่างไรบ้าง  เวลานี้คุณควรจะนอนแล้วไม่ใช่เหรอ  ทำไมไม่พักผ่อน”  ถามเสียงเข้ม  สายตาเหลือบมองคนในซุปเปอร์ที่กำลังเดินซื้อของอยู่อย่างเพลิดเพลินแวบหนึ่ง 

            “เพิ่งเสร็จจากเคสผ่าตัดของเด็ก  ที่นี่เขาผ่าแบบส่องกล้องหมดแล้วนะ  รันได้เข้าช่วยด้วยเลยเพิ่งเลิกน่ะ  เพลียๆนิดหน่อยแต่คิดถึงดิมมากกว่า เลยแวบออกมาโทรหา   แล้วดิมอยู่ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง  พี่พยาบาลดูแลดีไหม  ขลุกขลักอะไรหรือเปล่า”  รดิศได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้ว  ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

            “โอเคอยู่  ...อืม  คืออย่างนี้  พี่คนที่มาน่ะ ลูกสาวเขาไม่สบายก็เลยลาหยุดไป   วันนี้เขาก็ขอลาอีก พี่ก็เลยคิดว่าจะเปลี่ยนคนดีกว่า  จะได้ไม่ลำบากเค้าด้วย”

            “อ้าวเหรอ  แบบนี้พี่ก็อยู่คนเดียวน่ะเรอะ  ตายแล้ว งั้นเดี๋ยวรันติดต่อพี่ส้มให้ช่วยหาพยาบาลคนใหม่มาแทนดีกว่า”

          “ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร พี่อยู่ที่นี่เดี๋ยวพี่จัดการเองเรื่องพยาบาล  นายไม่ต้องลำบากหรอก   ว่าแต่ดูงานไปถึงไหนแล้ว  โปรเฟสเซอร์ที่นั่นเจ๋งสมคำร่ำลือมั้ย....”  เขารีบเปลี่ยนเรื่อง ชวนอีกฝ่ายคุยถึงการเรียน  การใช้ชีวิตยังต่างแดนแทน  ฟังคู่สนทนาเล่าจ๋อยๆ ถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอมาอยู่พักใหญ่  วิรัลก็เป็นฝ่ายตัดบทไปเอง  ไม่ลืมเตือนเขาเรื่องติดต่อเจ้ส้ม ก่อนจะวางสายไป

            รดิศถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่   เดินตามหลังร่างโปร่งบางที่เห็นอยู่แวบๆไกลๆเมื่อครู่ หายเข้าไปแถวชั้นวางปลากระป๋อง  กวาดสายตามองหาชายหนุ่มหัวหยิกหยอง  ทว่ากลับไม่พบ

            ...หายไปไหนของเค้านะ เร็วจริง  ก็ว่าจับตาดูอยู่ตลอดแล้วนะ...  พึมพำกับตัวเองเบาๆ จ้ำเท้าเดินไปตามชั้นที่วางสินค้าโชว์เอาไว้    ไล่ตั้งแต่ชั้นแรกไปจนถึงชั้นสุดท้าย  วนกลับมาที่โซนอาหารสดอีกครั้ง

            “ไปไหนเนี่ย  เผลอแวบเดียว”  ดิมชักหงุดหงิด  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาอีกฝ่าย  ฟังเสียงรอสายไปครบสามรอบ  ไม่รับสาย  เขากดวาง  ยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิม

...มีโทรศัพท์เอาไว้ทำไม  ไม่เคยรับ  โดนตีหัวไปแล้วหรือไง  ปั้ดโธ่  กดโทรไปอีกรอบ   อดทนรอสายอีกครู่ใหญ๋  นั่นแหละ ปลายสายถึงได้กดรับ

            “อยู่ไหนแล้ว  โทรไปทำไมไม่รับ”  กรอกเสียงลงไปทันที

            “คิดตังค์อยู่  ออกมานั่งรอข้างนอกแล้ว”  ฝ่ายนั้นตอบกลับมา  เสียงห้วนพอกัน   คนฟังเม้มปาก เดินวกกลับออกมายังด้านนอกของซุปเปอร์มาเก็ต  เจอฝ่ายนั้นนั่งดูดน้ำปั่นอยู่ด้านหน้าร้านขายของ  ข้างๆมีรถเข็นที่มีถุงพลาสติกใส่ของบรรจุอยู่เต็ม

            “ออกมาก่อนทำไม  ทำไมไม่รอผม”  ศัลยแพทย์หนุ่มเดินตรงเข้ามาหา  เปิดฉากถามทันที  ฝ่ายนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ยื่นแก้วน้ำปั่นที่ตัวเองกำลังดูดอยู่มาตรงหน้าเขา  ปลายหลอดยาวแทบทิ่มจมูก  ดิมเบือนหลบ

            “อะไร?”

          “กินน้ำก่อนได้ใจเย็นๆ”  เตพูด  จับปลายหลอดมาจ่อที่ริมฝีปากของเขา  แทบจะเรียกว่าป้อน   ดิมใจกระตุกไปวูบ   แต่ก็ยอมอ้าปากดูดน้ำปั่นหวานเย็นชื่นใจไปหลายอึก  รู้สึกได้ว่าใจเย็นลงจริงตามที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้ 

            เตจับตามองยิ้มๆ  หัวเราะออกมาเมื่อคุณหมอหนุ่มที่ดูดน้ำปั่นของเขาไปเกือบครึ่งแก้ว ยกมือขึ้นมาชี้หน้า

            “มุขเดิมอีกแล้ว  คราวหน้าไม่สำเร็จหรอกนะ”

            ...หึ  เดี๋ยวก็รู้ว่าคราวหน้าจะสำเร็จไหม  มุขนี้ใช้มาตั้งแต่ปี 1 ยันตอนนี้ ก็ยังได้ผลอยู่เลย  คุณหมอหายโกรธเป็นปลิดทิ้ง ..จริงสิ  นี่เราเผลอนึกถึงเรื่องในอดีตอีกแล้วหรอ ...

            “เป็นอะไร ทำไมเงียบไป  พี่หายโกรธแล้วน่า”  พี่ดิมมองหน้าเขา

            “เปล่าหรอก  ขอโทษนะที่ออกมาก่อน  เห็นยังคุยไม่เสร็จเลยไม่อยากเร่ง”  เขาตอบยิ้มๆ  รู้อยู่แก่ใจดีว่าเค้าขอตัวไปคุยกับใคร

            อดรู้สึกผิดในใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้   ที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ เหมือนเขากำลังลักลอบฉกชิงเอาความสุขที่ควรจะเป็นของผู้ชายคนนั้นมาไว้เสียเองหรือเปล่า   แล้วถ้า ‘ตัวจริง’ ของคนๆนั้นกลับมา  เขาจะอยู่ในสภาพไหนกัน  ถึงตอนนั้นจะทำใจ ‘ปล่อย’ ได้ไหม

            ขนาดเห็นเขาโทรหากัน ยังอดสะเทือนใจไม่ได้...ความจริงที่ว่าเขาสละสิทธิไปตั้งแต่ 8 ปีที่แล้ว มันก็ยังเป็นความจริงอยู่วันยันค่ำ 

            “คิดมากอะไรอยู่...ไม่ต้องคิดเยอะหรอกน่า  เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ”  พี่ดิมพูด  ยกปลายนิ้วขึ้นมาจิ้มที่หน้าผากของเขาแรงๆ  “หน้าผากย่นหมดแล้ว รู้ตัวหรือเปล่า”  เค้าใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่หน้าผากของเขาเบาๆ ราวกับต้องการจะลบร่องรอยที่ฝังลึกอยู่บนผิวของคนคิดมากให้

            ตั้งเตหัวเราะ  เบือนหน้าหลบ  เห็นสายตาของเด็กสาวๆในร้านลอบมองมาแล้วก้มลงยิ้มกันเป็นแถว ก็ชักเขิน  เสไปจับรถเข็นออกแรงเข็นนำออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ตแทน 

            “ไปกันเถอะ   เดี๋ยวของสดเสียหมด”  พูดงึมงำ แล้วจ้ำไปที่รถคันใหญ่ของคุณหมอหนุ่ม  เก็บของใส่ท้ายรถอย่างว่องไวแล้วขึ้นไปประจำที่นั่งคนขับ

            รอเจ้าของรถที่เดินทอดน่องมาช้าๆ เปิดประตูขึ้นมานั่งบนรถ

            “วันนี้นายไม่มีธุระแล้วใช่ไหม  อยู่กินข้าวเย็นกับพี่หน่อยสิ  ซื้อของมาเยอะแยะแต่มีมือเดียว พี่จะทำกินเองได้ยังไง”

            เตสตาร์ทรถ

            “ผมซื้อข้าวเย็นสำเร็จรูปเอาไว้ให้พี่แล้ว   กินแล้วทิ้งจานไปเลยไม่ต้องล้าง  สะดวกดี”  ดิมเม้มปาก

            “อ้อ  เหรอ  แต่ยังไงพรุ่งนี้เช้าพี่ก็ต้องอยู่คนเดียวอยู่ดีนั่นแหละ”

          “พรุ่งนี้คุณพยาบาลที่มาดูแลพี่เขาก็จะมาแล้วไม่ใช่เหรอ”

            “เขาไม่ทำแล้ว   ลูกสาวเขาไม่สบายเลยต้องอยู่ดูแลยาวเลย   นี่พี่กำลังรออยู่  พี่ส้มบอกจะติดต่อพยาบาลพิเศษให้ แต่ต้องรอหน่อยสัก..สองสามวัน”  ดิมพูดช้าๆ  จับตาดูท่าทีของคนฟังก็เห็นฝ่ายนั้นเพียงแต่เลิกคิ้ว

            “หรอ  แย่จังแฮะ”  เสียงเตพึมพำ กลั้วหัวเราะน้อยๆในลำคอ   เหลือบมองคนนั่งข้างๆแวบหนึ่งอย่างรู้ทัน  เห็นฝ่ายนั้นทำหน้าจ๋อยเหมือนเด็กไม่ยอมโต

            “ใช่สิ  พี่มันโดนทิ้งตลอด..  ช่างเถอะ  อยู่คนเดียวก็ได้ ไม่เห็นต้องง้อเลย  มีมือเดียวก็ไม่ได้พิการซักหน่อยนี่  พี่ไม่รบกวนนายหรอก”

          “ก็ดีแล้ว  ฝึกเอาไว้  ไม่มีใครอยู่กับเราได้ตลอดหรอก  ต้องฝึกอยู่คนเดียวให้ได้”  เตพูด  ประโยคหลังเสียงแหบลึกราวกับพูดกับตัวเอง

            “แต่มันยังไม่ถึงเวลานั้นไม่ใช่เหรอ  พี่ยังไม่อยากอยู่คนเดียวตอนนี้นี่  นะตั้งเตนะ  อยู่กินข้าวเย็นกับพี่ก่อน แล้วค่อยกลับบ้าน”

            ติณธรรู้ตัวตั้งนานแล้ว  ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งเริ่มคบกันใหม่ๆ ว่าเขาไม่เคยปฏิเสธพี่ดิมได้สำเร็จเลย  แค่สบสายตาเว้าวอนคู่นั้น  ไหนจะน้ำเสียงนุ่มๆอ้อนๆแบบนี้อีก  ใจก็พลอยอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกไฟลน   จะว่าไป..มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาปฏิเสธพี่ดิมสำเร็จ....วันนั้นไงล่ะ  แต่ก็ต้องตัดใจวิ่งแบบไม่เหลียวหลัง จนกระทั่งพี่ดิมต้องได้รับอุบัติเหตุ

            ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ยอมข้องแวะกันอีก  แล้วเป็นไงล่ะ  สุดท้าย เขาก็มานั่งขับรถให้อีกฝ่ายอยู่นี่ไง

            “ผมต้องไปรับลูกก่อน   พี่รอผมก่อนได้ไหม แล้วผมจะกลับมาตอนเย็นๆ”  นักเขียนหนุ่มพูดออกมาในที่สุด  เขาช่วยพี่ดิมหิ้วของขึ้นไปเก็บบนห้องเรียบร้อย   เจ้าของห้องส่งยิ้มให้เขา  ท่าทางดีใจเหมือนเด็กๆ...เหมือนพี่ดิมคนเดิม

            “ก็ได้  ว่าแต่นายจะไปรับลูกยังไง”

          “แท็กซี่”  ตอบสั้นๆ  พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลาเร็วๆ  เห็นใกล้ถึงเวลาที่โรงเรียนของเด็กชายเต้จะเลิกแล้ว

            “ถ้าอย่างนั้นเอารถพี่ไปดีกว่า  แล้วเดี๋ยวพี่ขอไปด้วย”

          “ไม่เป็นไร เกรงใจพี่  ผมต้องไปส่งลูกที่บ้านก่อน  พี่พักผ่อนเถอะ”  ถึงเขาจะพูดต้านทานมาอย่างไร พี่ดิมก็ไม่ฟัง  เขาส่งกุญแจรถให้แล้วเดินคู่ออกมาจากคอนโด  ยืนยันความตั้งใจว่าวันนี้เขาจะไปรับลูกชายของอีกฝ่ายที่โรงเรียนด้วย

            “อย่าคิดมากน่า  พี่ก็อยากเจอลูกชายของนายเหมือนกัน  ชื่ออะไรนะ  เต้ ใช่ไหม  ชื่อจริงว่าอะไร”  นายแพทย์หนุ่มชวนคุย   ท่าทางเขาสบายๆ ไม่เคร่งเครียดอย่างที่เตนึกกลัวเอาไว้ล่วงหน้า

            “ชื่อธีระ  แปลว่านักปราชญ์”

            “อายุกี่ขวบแล้วนะ”

          “ปีนี้เต็ม 8 ขวบ”

            ...8 ขวบงั้นเหรอ  งั้นก็เท่ากับเวลาที่เราเลิกกันเลยน่ะสิ... รดิศคำนวณเวลาอยู่อึดใจ   หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายบอกเลิกเขาเมื่อตอนนั้น  เพราะหญิงสาวคนนั้นท้องงั้นหรือ?

          “ตอนนี้คงเรียนประถมแล้วสินะ....ตอนเจอนายอีกครั้งพี่ยังตกใจ ไม่นึกว่านายจะมีลูกโตจนวิ่งได้ขนาดนั้น   ไม่รู้ว่านายแต่งงานไปตอนไหน ไม่เห็นได้ข่าวเลย”  น้ำเสียงเรื่อยๆ ท่าทางเหมือนคุยกับเพื่อนเก่าที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง  ทำให้เตคลายใจ  จนกล้าที่จะเล่าออกมาบ้าง

            “ผมเรียนจบก็แต่งงานเลย  ไม่มีใครรู้ข่าวหรอก เพราะผมไม่ได้บอกใคร  แม้แต่เพื่อนฝูงก็ไม่ได้บอก  มัน...ค่อนข้างกะทันหัน”

          “แล้วนายไปเจอแฟนนายที่ไหน”  ดิมหงุดหงิดกับคำว่า ‘แฟน’ ที่ต้องใช้เรียกแทนตัวของผู้หญิงคนนั้น แต่ช่วยไม่ได้  ในเมื่อเขาไม่มีคำอื่นที่เหมาะสมกว่านี้

            “เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กแล้ว  ความจริงข้าวตังเป็นลูกสาวของคุณลุงคุณป้าที่เลี้ยงผมมาน่ะ  ไม่รู้พี่ดิมจำได้ไหม  สมัยก่อน  มีอยู่ปีนึงที่ลุงกับป้าลงมาเยี่ยมผมที่กรุงเทพฯ แล้วผมต้องไปดูแล..พี่คงจำไม่ได้”

          “จำได้สิ  คนที่เลี้ยงนายมาใช่ไหม  พี่จำได้ว่านายเคยเล่าให้ฟังว่าพอพ่อแม่ของนายประสบอุบัติเหตุ  ป้านายก็รับนายไปเลี้ยงจนนายเอนท์ติดเลยมาอยู่หอในเมือง  ใช่ไหม”  คุณหมอหนุ่มทวนความจำอย่างแม่นยำ  ตั้งเตไม่ค่อยเล่าถึงที่บ้านเท่าไหร่  เขารู้แค่อีกฝ่ายเป็นเด็กกำพร้า  อาศัยอยู่กับญาติๆ เท่านั้นเอง

            “ใช่”

          “แล้วทำไมพี่ไม่เคยเจอแฟนนายเลยล่ะ”

          “นานๆเขาจะมากรุงเทพฯสักที  ก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน”   คนฟังเงียบไปครู่ใหญ่   ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ก็เปลี่ยนใจ  ไม่พูดอะไรออกมาอีก

            ขับรถมาจอดที่หน้าโรงเรียนของลูกชายตรงกับเวลาที่โรงเรียนเลิกพอดี   เด็กๆและผู้ปกครองเดินขวักไขว่เต็มลานหน้าโรงเรียนไปหมด  เตเปิดประตูออกไปยืนรออยู่ครู่หนึ่ง  เด็กชายเต้ก็สะพายกะเป๋าเดินตรงมาหา  ทำความเคารพบิดาและคุณหมอหน้าเข้มที่นั่งอยู่ในรถด้วยอย่างเด็กที่ถูกฝึกมาอย่างดี

            “สวัสดีครับ คุณพ่อ  ..คุณอา”

          “เรียกคุณลุงดีกว่าครับ  ถึงหน้าลุงจะเด็กกว่าพ่อเราก็เถอะ  หึๆ ยินดีที่ได้รู้จักครับ  น้องเต้”  ศัลยแพทย์หนุ่มทักทายเด็กน้อย  ท่าทางเคยคุ้นกับการคุยเล่นกับเด็ก  สมกับที่มีแฟนเป็นหมอเด็กจริงๆ

            “โอ้โหว  รถคันใหญ่จัง  นี่รถของคุณลุงหรอครับ”  เด็กชายมองรถเก๋งสีเงินคันใหญ่ด้วยดวงตาแวววาม  เอื้อมมือไปลูบๆคลำๆ ท่าทางตื่นเต้นจนคนเป็นพ่อต้องออกปากดุ

            “อย่าไปจับเล่นสิลูก  ขึ้นรถได้แล้วครับ  คุณแม่รออยู่ที่บ้านนะ”

          คำว่า ‘คุณแม่’ ดูจะได้ผล เพราะเด็กชายก้าวขึ้นไปนั่งในรถแต่โดยดี  เตขอนั่งข้างหน้าข้างๆบิดา  ดิมเลยสละที่ให้เด็กชายนั่งด้านหน้าแทนตัวเอง   ส่วนตัวเขาก้าวขึ้นไปนั่งด้านหลัง   

            เตเอื้อมมือไปคาดเข็มขัดนิรภัยให้ลูกชาย

            “เมื่อกี้ทำไมไม่คาดให้ผมมั่ง”  คนที่จับตามองอยู่ถามรวนๆ

            “ก็คุณอายุแปดขวบหรือเปล่าล่ะ”  อีกคนตอบกลับ  หันไปสตาร์ทรถ 

            “ผมเหลือมือเดียวนี่ ไม่เหมือนก็คล้ายๆนั่นแหละ”    คุณหมอหนุ่มพูด  แกล้งเขยิบตัวมาด้านหน้า  ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นวางพาดบนพนักที่นั่งของคนขับแล้วหันไปชวนเด็กชายคุย

            “อยู่ชั้นอะไรแล้วครับ”

          “ป.2/4 ครับ  คุณลุงล่ะครับ”

            “ลุงอยู่ชั้น....รักเธอ  โอ้ว  ชั้นรักเธอ  ก็เหมือนที่เธอเคยบอกว่าอยากได้ยินทุกวัน..”  ดิมร้องออกมาเป็นเพลง  เหลือบมองสีหน้าคนขับเห็นริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นพึมพำเบาๆว่า ‘คนบ้า’ ก็ยิ้มกริ่ม

          “มันคือชั้นอะไรเหรอครับ  เต้ไม่เข้าใจ”  เด็กชายหันมาถาม  คุณหมอหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะออกมาตอบยิ้มๆ

            “ลองถามคุณพ่อดูสิฮะ  พ่อหนูน่าจะเข้าใจนะ”

            “ไม่ต้องไปสนใจหรอกเต้  วันนี้มีการบ้านอะไรบ้างเล่าให้พ่อฟังซิ”   คุณพ่อเปลี่ยนเรื่อง  พยายามไม่สนใจเสียงหัวเราะปนอวดครวญของคนที่นั่งข้างหลัง   

            รดิศนั่งฟังพ่อลูกคุยกันอยู่พักใหญ่  ท่าทางตั้งเตจะสนิทกับลูกชายมาก  รู้จักเพื่อนทุกคนในห้องของลูก แถมยังจำได้แม่นยำทีเดียวว่าใครทำอะไรที่ไหน  พอกับคุณลูกชายที่ช่างเล่าช่างจำทุกรายละเอียดพอกัน

            “แล้วเต้ทำยังไงล่ะ  ให้เจ้าบิ้กเล่นด้วยเหรอ”

          “เต้ไม่ยอมหรอก   หุ่นนั่นมันเป็นของเต้  เต้มาก่อนก็ต้องเป็นของเต้สิ  บิ้กจะมาแย่งได้ยังไง”

          “แต่เต้ก็วางทิ้งเอาไว้ไม่ใช่เหรอ  ตอนที่ไปหยิบนมมาดื่มน่ะ”  คุณหมอหนุ่มที่นิ่งฟังอยู่นานถามแทรกขึ้นมายิ้มๆ  เด็กชายครุ่นคิดไปชั่วครู่ก็ตอบออกมา

            “เต้วางไว้ชั่วคราว ไม่ได้บอกว่าจะทิ้งเลยนี่คุณลุง”

          “อ้าว  ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่หยิบติดตัวไปด้วยตอนที่ไปรับนมล่ะ”

          “มันก็ไม่ถนัดสิ   แบบนั้นเต้ก็ต้องเหลือมือเดียว  เหมือนคุณลุงอ่ะ”    คุณลุงหัวเราะ  ถามต่อ

            “จริงๆลุงว่ามันเหมือนเต้สละสิทธิไปแล้วนะ  วันหลังเอาใหม่สิ  ถ้าไม่หยิบติดมือไป  ก็แสดงความเป็นเจ้าของไว้ก่อน”

          “ทำยังไงเหรอฮะ”

            “ลองถามคุณพ่อเขาดูสิ ว่าแสดงความเป็นเจ้าของนี่เขาทำกันยังไง”

          “พ่อไม่รู้หรอกลูก  ถ้าเป็นพ่อ ในเมื่อบิ้กเขาอยากเล่นก็ให้เขาเล่นสิ   เราก็ไปหาอะไรอย่างอื่นมาเล่นแทนก็ได้นี่ ในเมื่อเราเองก็เล่นหุ่นจนเบื่อแล้วไม่ใช่เหรอ”

          “เห้ยคุณ ทำไมสอนลูกให้ยอมคนแบบนั้นล่ะ”

          “เอ้า ก็เต้วางหุ่นทิ้งไว้ก็เหมือนสละสิทธิไปแล้วอย่างที่คุณบอกไง”

          “แต่คุณจะทิ้งไปเลยแบบนี้ได้ยังไง”

          “ก็เต้เบื่อแล้วไม่ใช่เหรอ  จะไปยื้อเอาไว้ทำไมล่ะ”

          “อ๋อ  เป็นเพราะคุณคิดแบบนี้ละสิ  ตอนนั้นถึงทิ้งผมไปอ่ะ  เพราะคุณเบื่อผมแล้วน่ะเหรอ”

          “เอ๊ะ ทำไมถึงวกกลับมาเรื่องนี้ได้น่ะ  ผมไม่ได้จะหมายความถึงเรื่องนี้เลยนะ”     เด็กชายดูผู้ใหญ่สองคนเถียงกันอย่างงุนงง  แล้วก็พูดแทรกขึ้นมาตามที่คิด

            “เต้ยังไม่เบื่อเล่นหุ่นนะ”

          “ผมก็ยังไม่เบื่อเหมือนกัน”  เตหลุดปากออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้   ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันตาเห็น  หันขวับกลับไปจ้องท้องถนนเบื้องหน้า ไม่ยอมสบตาคนนั่งหลังที่จ้องมาที่เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

            “เมื่อกี้พ่อหนูเขาพูดว่าไงนะเต้  ลุงฟังไม่ถนัด”

          “พ่อบอกว่า ยังไม่เบื่อครับ”  ลูกชายของเขาตอบเสียงใส 

            “ผมหมายถึงเต้น่ะ  ยังไม่เบื่อหุ่นน่ะ....อย่าเข้าใจผิด”  คนขับรถพูดห้วนๆ รู้สึกถึงเสียงหัวเราะนุ่มๆข้างหูและลมหายใจแผ่วเบาที่มากระทบด้านหลังต้นคอ

          “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่   เอ  เพิ่งสังเกตว่าลูกชายคุณหน้าไม่ค่อยมีเค้าคุณเท่าไหร่เลย ขาวๆตี๋ๆ  แฟนคุณเขาออกคมๆไม่ใช่หรอ  แล้วเหมือนใครล่ะเนี่ย”  คนพูดเขยิบเข้ามาพิจารณาใบหน้าของเด็กน้อยเทียบกับผู้เป็นพ่อ  ลองมองดูใกล้ๆแล้ว ทั้งสองคนไม่เห็นมีส่วนคล้ายกันเลยสักนิด

          “เหมือนคุณลุงของผม  ท่านมีเชื้อจีน”  อีกฝ่ายพยักหน้ารับเนิบๆ ไม่ถามต่อ ทำให้คนตอบค่อยคลายใจ

            ...ยังก่อน   ยังไม่ถึงเวลาเล่า  เอาไว้ก่อน  แล้วเราค่อยเล่าให้ฟังก็แล้วกัน…เตคิดในใจ  ไม่มีใครพูดอะไรอีก  เด็กชายเต้ผล็อยหลับไปก่อนที่จะถึงบ้าน  จนคนเป็นพ่อต้องปลุกเรียก  แล้วหิ้วปีกพาหายเข้าไปในบ้าน 

            “พี่ดิม… จะเข้าไปในบ้านด้วยกันไหม”  รดิศส่ายหน้าอย่างไม่ต้องคิด

            “พี่ขอรออยู่ข้างนอกดีกว่า  ตามสบาย  ไม่ต้องรีบ”  เขายอมกลืนยาตายดีกว่าจะย่างเท้าเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น   แค่เห็นตั้งเตกับลูกชายในวันนี้เขาก็รู้สึกเหมือนโดนเข็มทิ่มในอกแล้ว

            ครอบครัวของเตดูอบอุ่นเหลือเกิน    ช่วงเวลาที่ผ่านมาของเค้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกชาย โดยมีภรรยาที่น่ารักเคียงข้าง  ส่วนเขาล่ะ..มีแต่อดีตอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น  ทุกคืนผ่านไปอย่างยากลำบาก ราวกับกำลังว่ายน้ำตะกายอยู่กลางมหาสมุทรที่มองไม่เห็นฝั่ง

            ถึงจะมีรันเข้ามาช่วยพยุงเอาไว้  แต่เขาก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าบาดแผลลึกล้ำนั้นไม่อาจรักษาให้หายได้ง่ายๆด้วยฝีมือของคนอื่น  นอกจากคนที่ฝากรอยแผลเอาไว้เท่านั้น

            ตั้งเต...นายจะต้องชดใช้   หลังจากนี้ตะหาก ถึงจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่แท้จริงสำหรับเขา

            รอดูไปก่อน  อีกไม่นานหรอก หึ

            ......................................................................................


มาต่อจนจบตอนค่าาา  ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
เรื่องตอนจบนั้น...บอกเลยว่าตั้งเเต่เขียนนิยายมานิยายของเราทุกเรื่องจบแฮปปี้เอนดิ้งหมดนะคะ5555
แต่ไม่ได้บอกว่าเรื่องนี้จะแฮปปี้นะคะ  ไม่อยากสปอยเด๋วไม่สนุก
เรื่องดร่าม่าเข้มค่ะ  เเละจะเข้มขึ้นอีกเรื่อยๆ
ชีวิตเตรันทดค่ะ  เลิกอ่านได้ไม่ว่ากัน  :mew4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 05-02-2017 11:17:23
 :กอด1:
เราจะดราม่าไปด้วยกัน

ตั้งเต & หมอดิม ใครจะเจ็บมากกว่ากัน หรือเท่าๆกัน

ลุ้นกันยาวๆ 
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 05-02-2017 11:43:51
ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 05-02-2017 12:43:43
หมอส้มจะมาช่วยคลี่คลายไหมอะ เห็นชื่อหลายรอบเเล้ว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 05-02-2017 13:11:33
ดราม่าเพราะรักกันที่สุด เรารับได้

มาม่ามาเถอะ จะกินให้สะใจกันไปเชียว

 :hao6:  :hao7: :hao6:  :hao7:   :hao6:  :hao7:

....

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 05-02-2017 13:48:49
ทำไมไม่พยายามทำชีวิตตัวเองให้มีความสุขนะ พี่ดิม น้องเต
 :z3:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 05-02-2017 20:02:53
  อ้าว เป็นแผนหมอดิมเหรอเนี้ย ร้ายนะ แต่ไม่เป็นไรหมอทำไปเถอะ พอรู้ความจริงจากเตวันไหนหมอจะเจ็บใจมากกว่าอีก
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ceylon ที่ 05-02-2017 21:23:34
ไหนๆก็แฮปปี้ทุกเรื่องแล้ว เรื่องนี้ก็แฮปปี้อีกซักเรื่องนะคะ 55555
แต่กว่าจะแฮปปี้นี่คงแบบ  :katai1:
สงสารเตอ่ะ เดาว่าตอนที่หมอดิมทิ้งน่าจะพร้อมภรรยาเสีย เจ็บหนักกันไปเลยทีเดียว แต่ก็เดาเฉ๊ยเฉยยยยยย
อ่านแล้วหยุดอ่านต่อไม่ได้เลย เหมือนโดนสาป 5555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 06-02-2017 20:46:47
เพราะหัวใจบอกว่า...คิด

 



 

 

 

            “ผมคงอยู่ได้ไม่นานนะพี่ดิม  ต้องรีบกลับบ้าน  แฟนไม่ค่อยสบาย”

            นักเขียนหนุ่มพูด  ช่วยเตรียมอาหารเย็นให้เจ้าของบ้าน  เขาทำอาหารง่ายๆแทนที่จะต้องทานอาหารสำเร็จรูป  รู้ดีว่าฝ่ายนั้นไม่ชอบกินพวกอาหารกล่องสักเท่าไหร่   เหมือนกันกับเขานั่นล่ะ

            “อ้าว  เป็นอะไร”  อดถามไม่ได้ ตามความเคยชิน เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมีคนป่วยอยู่ที่บ้าน

            “ไม่รู้เป็นอะไร  เห็นบอกเหนื่อยๆ  วันนี้ผมพาไปหาหมอแล้วเมื่อเช้า  ก็ไม่เห็นว่าไง  บอกว่าพักผ่อนไม่พอ แล้วก็ให้ยาบำรุงมา”   เตตอบเรื่อยๆ  มือก็เริ่มผัดข้าวผัดไปด้วย  กลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วห้องครัวเล็กๆ

            “เหรอ  ไปตรวจกับคุณหมอที่ไหนหรือ”

            “เห็นบอกชื่อหมอส้ม ชื่อสิริกัญญาหรือสิริกานต์เนี่ยแหละ  โรงพยาบาล....”  เขาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่อีกแห่งใกล้บ้าน

            าดิศขมวดคิ้ว...ทำไมโลกกลมจังแฮะ  เตพาแฟนไปตรวจกับเจ๊ส้ม  รุ่นพี่ที่เขาสนิทด้วยมากที่สุดงั้นหรือ...เดาว่าฝ่ายนั้นคงจะลืมไปแล้ว  ไม่อย่างนั้นคงจะถามแล้วล่ะว่าใช่คนเดียวกันหรือเปล่า

            “อืม  ดีแล้ว   ถ้ามีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกนะ  ไม่ต้องเกรงใจพี่”  เขาพูด ยิ้มน้อยๆด้วยท่าทางของคนดี ที่พร้อมช่วยเหลือมวลมนุษยชาติ 

            ชายหนุ่มอีกคนพยักหน้ารับ  เขายกกระทะลงจากเตา   ตักใส่จานอาหารสองจานเรียบร้อย  เจ้าของบ้านช่วยยกจานออกมาวางเอาไว้ที่โต๊ะ  เขาเดินไปเปิดโทรทัศน์เครื่องใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก  หันมาชวนแขก

            “ดูหนังกันไหม  กินไปด้วยดูไปด้วย”

            เขารู้ว่าเตเป็นคนชอบดูหนัง  เช่นเดียวกันกับเขา  แต่ก่อนเราสองคนไปดูหนังด้วยกันบ่อย  โดยเฉพาะเวลาสอบเสร็จ   เขาชอบดูหนังผีมาก  ทั้งที่เป็นคนกลัวผีขึ้นสมองนี่แหละ  ตรงข้ามกับเตที่ไม่ชอบดูหนังผี  ทว่าไม่ได้กลัวผี 

            “เรื่องอะไรเหรอ”

            ฝ่ายนั้นถามกลับมา ท่าทางสนใจ ตรงกับที่เขาคิดเอาไว้เป๊ะ  ดิมหยิบแผ่นดีวีดีขึ้นมาโชว์ให้ดู  เป็นหนังผีที่เพิ่งออกจากโรงมาได้ไม่นานนัก   กระแสดี มีแต่คนวิจารณ์ว่าออกมาดีเกินคาด

            “หนังผีอีกแล้วเหรอ..เรื่องนี้เห็นเขาบอกว่าน่ากลัวมาก   พี่ดิมกล้าดูเหรอ  ไม่กลัวหรือไง”  เตถาม  รับแผ่นไปพลิกดู   รดิศหัวเราะ

            “โธ่  ระดับไหนแล้ว  แค่นี้พี่ไม่กลัวหรอก” 

            “อย่าให้เห็นว่าเอามือขึ้นมาปิดตานะ”  เตพูดกลั้วหัวเราะ  เดินไปเปิดเครื่องเล่นซีดีให้

            ครู่เดียวพวกเขาก็มานั่งเคียงข้างกันอยู่บนโซฟา หน้าจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่  เบื้องหน้ามีจานข้าวผัดคนละจานเปล่าๆ วางทิ้งเอาไว้  สองตาจับจ้องไปที่หน้าจออย่างลุ้นระทึก

            บรรยากาศในหนังเริ่มอึมครึม  เสียงเพลงประกอบชวนขนหัวลุกไม่น้อย  รดิศเริ่มเหลียวซ้ายแลขวามองหาอุปกรณ์ที่เขาจะสามารถคว้าขึ้นมาปิดตาได้   เหลือบดูหมอนอิงใบสุดท้ายที่คนข้างตัวกอดอยู่แนบอกแล้วกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ

            นางเอกค่อยๆเดินตรงเข้าไปที่ประตูช้าๆ  ก้าวต่อก้าวคือการลุ้นจนหายใจแทบไม่ออก  มือของเธอเอื้อมไปจับที่ลูกบิดประตู   กลั้นใจนิดนึง  เสียงเพลงประกอบทำเอาใจเต้นตึกตัก

....น่ากลัวฉิบเป๋ง  ใครเลือกเรื่องนี้ฟร่ะ อ้อ เราเองนี่หว่า  ...จะยกมือขึ้นมาปิดตาก็ไม่ได้  เดี๋ยวเสียฟอร์มหมด  ทำไมเตนั่งดูได้หน้าตาเฉยอย่างนี้นะ  ไม่กลัวหรือไง....คุณหมอหนุ่มรำพึงในใจอย่างว้าวุ่น  อยากลุกหนีไปจากตรงนั้น

“อย่าเปิดนะเว้ย  อย่าเปิด”  ดิมพึมพำออกมาเบาๆ  สะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อมีสัมผัสเย็นเฉียบจับเข้าที่หลังมือของเขาที่กำลังจิกโซฟาแน่น  ก้มลงมองอย่างตกใจจนเกือบอุทานออกมา

มือของใครบางคนกุมอยู่ที่หลังมือของเขาแน่น   เจ้าของมือนั่งกอดหมอน ตาจ้องเป๋งไปที่หน้าจอแทบไม่กระพริบ  คงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังบีบมือของเขาอยู่

ศัลยแพทย์หนุ่มใจเต้นแรงหนักกว่าเดิม   พลิกมือขึ้นมาเพื่อจะได้กุมประสานกับมือเรียวได้รูปสวยของอีกคนได้ถนัด   

ทั้งสองกุมมือกันแน่นแบบนั้น จนกระทั่งจบเรื่อง   ต่างถอนหายใจยาวเหยียดออกมาอย่างโล่งอก 

...จบได้ซักที  ถ้าถามว่าเรื่องมันเกี่ยวกับอะไรคงตอบไม่ถูก  รู้แต่ว่านางเอกเซ็กซี่มาก รอดมาได้อย่างปาฎิหาริย์   และมือของเขาเปียกมาก  หึ  ไม่รู้ว่าเหงื่อใคร อาจจะเป็นของทั้งคู่กระมัง...รดิศก้มลงมองมือที่ยังคงจับกันเอาไว้มั่น   ตั้งเตทำท่าจะดึงมือกลับ แต่เขายึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

            “เอ้อ  หนังจบแล้ว”  เสียงเตพึมพำ  หลบตาเขา

            “แล้ว?”  แกล้งถามไปอย่างนั้นเอง    เห็นใบหน้าเรียวหวานเริ่มเปลี่ยนสีก็หัวเราะเบาๆ

            “ปล่อยเถอะ  ผมจะกลับบ้านแล้ว”  เตพูดงึมงำ

            “ให้ปล่อยง่ายๆ มันถูกเหรอ  อยู่ๆก็มาจับของเค้าน่ะ”  ดิมพูดออกไป แล้วก็แปลกใจตัวเอง   ปกติเขาไม่ค่อยพูดอะไรโยกโย้เล่นเหมือนเด็กๆแบบนี้   แม้แต่กับรันก็ไม่เคยพูด

            “ปล่อยเถอะพี่ดิม ดึกแล้ว ผมต้องกลับแล้วจริงๆ”  ตั้งเตพูด น้ำเสียงจริงจังขึ้น   คนที่แกล้งไม่ยอมปล่อยมือ กระแอม  แล้วยื่นข้อเสนอ

            “ปล่อยก็ได้  แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”   คนฟังเริ่มกลัว  บอกตรงๆว่าตอนนี้เตใจสั่นเสียยิ่งกว่าตอนดูหนังเมื่อครู่นี้เสียอีก  ไม่น่าเผลอจับมือพี่ดิมเลย  เป็นเพราะความเคยชินแท้ๆเชียว   ดูสายตาคมเข้มที่มีฉายแววเจ้าเล่ห์แสนกลตอนนี้สิ   น่ากลัวกว่าผีในเรื่องอีก

            “แลกเปลี่ยนอะไร”  หวังว่าจะไม่ใช่..ง่า...พวกสัมผัสอะไรทำนองนั้นอย่างที่พี่ดิมชอบทำ เมื่อสมัยก่อนหรอกนะ ...แค่คิดก็รู้สึกหน้าร้อนๆขึ้นมาแล้ว

            รดิศยิ้มกริ่ม   รู้สึกเป็นต่อขึ้นมาบ้าง  เขาหรี่ตามองคนตรงหน้าแล้วผิวปากยาวๆ

            “พี่ไม่ขออะไรมากหรอก...”  พี่ดิมเว้นวรรค  เขยิบเข้ามานั่งใกล้เขามากขึ้น จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วที่ลอยมากระทบซีกหน้าเบาๆ   มือแข็งแรงยังคงกุมมือของเขาเอาไว้แน่น ไม่ยอมปล่อย

เตบอกตัวเองว่าเขาแทบจะกลั้นหายใจรอฟังเลยทีเดียว

“…แค่อยากให้นายกลับไปเรียกแทนตัวเองว่าเตเหมือนเดิม ก็เท่านั้นแหละ  ทำให้ได้ไหม”   คนฟังถอนหายใจอย่างโล่งอก

“แค่นี้เอง  นึกว่าอะไร”

“นึกว่าอะไรเหรอ”  พี่ดิมยื่นหน้าเข้ามาถามจนชิด

“อื้อ  ไม่มีอะไร  ง่า...ปล่อยเตเถอะนะ”  รีบพูดเร็วปรื๋อ  อีกฝ่ายพอได้ยินคำเรียกแทนตัวด้วยชื่อเล่นๆ เหมือนเมื่อครั้งก่อนก็ยิ้มกว้าง

“ไม่เห็นยากเลย เห็นมะ”  เขายอมปล่อยมือออกแต่โดยดี

ติณธรรีบลุกขึ้นยืน  เก็บจานชามไปล้าง   กว่าจะเรียบร้อยหันไปมองนาฬิกาก็ปาไปเกือบสามทุ่มแล้ว   ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับตั้งแต่หกโมงเย็นแท้ๆ  ดันมาหลวมตัวนั่งดูหนังกับอีกฝ่ายเสียได้  แย่จริง

“เดี๋ยวสิ  แล้วนี่นายจะกลับยังไงล่ะ  ขับรถพี่ไปไหม”  เจ้าของห้องผู้โอบอ้อมอารีเสนอขึ้นมาอีก    เตปฏิเสธตามเคย

“ไม่เป็นไร  ถ้าอย่างนั้นแล้วใครจะขับกลับมาคืนพี่ล่ะ  ผม…เอ้อ  เต..กลับแท็กซี่เองได้ครับ”   เขารีบเปลี่ยนสรรพนามแทนตัวเองแทบไม่ทัน กลัวอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้กลับไปดีๆ 

“ก็นายไง  ขับกลับมาคืนตอนเช้าพรุ่งนี้ก็ได้น่า  ยังไงพี่ก็ไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว  เอารถพี่ไปใช้เถอะ”  พี่ดิมส่งกุญแจให้เขา   

ทว่านักเขียนหนุ่มปฏิเสธอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่รบกวน…”  คนแก่กว่าพูดขัดขึ้นมาทันควัน

“ตั้งเต อย่าดื้อกับพี่   ถ้านายไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงคนที่บ้านที่เขารอนายอยู่บ้าง     สมัยนี้โจรเยอะแยะ   อีกอย่าง...กลับบ้านดึกๆคนเดียวพี่เป็นห่วง”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘คนที่บ้าน’ หรือเพราะ ‘พี่เป็นห่วง’ ที่ทำให้นักเขียนหนุ่มยอมรับกุญแจรถจากเขาโดยดี  แต่เอาเป็นว่าตอนนี้เขามีหลักประกันว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาในเช้าวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน...ดิมคิดในใจ พลางส่งยิ้มอย่างอ่อนโยน

“รีบกลับบ้านเถอะ  ถึงแล้วโทรมาบอกพี่ด้วย  ไลน์มาก็ได้”  ชายหนุ่มเจ้าของบ้านพูดยิ้มๆ  พาเดินมาส่งที่หน้าห้องพักของเขา    “อ้อ เกือบลืม..”  เขาวิ่งกลับเข้าไปภายในห้อง  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมกับถุงพลาสติกใบเล็ก  ภายในบรรจุลูกกวาดสีสันสดใสเต็มถุง

“ฝากให้เต้หน่อย  บอกจากลุงดิม”

“เจ้าเต้คงจะดีใจ  รายนั้นชอบกินขนมหวานเป็นชีวิตจิตใจเลย”

“เหมือนนายด้วยใช่มั้ย....นี่ให้เต้นะ  ไม่ใช่พ่อเต้  อย่าแอบกินเสียหมดล่ะ”  คุณหมอแกล้งพูดขึงขัง  อีกฝ่ายหัวเราะ  ยกมือขึ้นเกาแก้ม   รู้สึกเขินอย่างไรชอบกลที่โดนดักคอ

“ผมไม่แย่งลูกกินหรอกน่า  ขอบคุณมากนะครับ   พี่ดิม”  คำขอบคุณที่เปล่งออกมาจากใจจริง ทำเอาคนฟังชะงักไปนิด   สบดวงตาใสแจ๋วฉายแววซื่อคู่นั้นก็บอกตัวเองได้ว่า   สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันระหว่างตั้งเตกับเด็กชายเต้ ก็เห็นจะเป็นแววตาใสซื่อบริสุทธิ์ราวกับเด็กน้อยนี่เอง

แววตาที่ชวนให้คนเอ็นดู  อยากโอบอุ้มอุปการะ  อยากปกป้องดูแล...เหอะ  แล้วไง  สุดท้ายก็เหมือนขนมหวานเคลือบสีฉาบพรางเอาไว้ภายนอก  สุดท้ายก็กลายเป็นพิษร้ายแก่ร่างกายเมื่อหลงหยิบขึ้นมากิน

รดิศกระพริบตา แล้วส่งยิ้มกลับคืนไปให้

“กลับบ้านดีๆนะครับ  ตั้งเต”

มองตามหลังอีกฝ่ายลับเข้าไปในลิฟต์    นายแพทย์หนุ่มถอยกลับเข้าไปภายในห้อง  มองโหลแก้วที่มีขนมห่อด้วยพลาสติกสีสดสวยอยู่ครึ่งโหลนั้น แล้วก็ยิ้มกับตัวเอง

            มีแต่เด็กเท่านั้นแหละ ที่ยังหลงยินดีกับขนมสีสันสดใสพวกนี้  เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายเลยไม่แต่น้อย   แปลกตรงที่ผู้ใหญ่บางคนก็รู้   แต่ก็ยังชื่นชมกับเปลือกภายนอก และแกะกินอย่างมีความสุข...เขาเองเคยหลงกับสีสัน  ติดใจรสชาติหวานล้ำของมันมาแล้ว   กว่าจะรู้ตัวก็เกือบสาย   ตอนนี้เป็นตาของนายบ้างแล้วเต

            นายจะ...หลงลูกกวาดจอมปลอมพวกนี้ไหม   ถ้าใช่...สิ่งที่นายจะได้รับตอบแทน  มันจะต้องมากกว่าที่ฉันเคยได้รับ

            ......................................................................................

            นักเขียนหนุ่มขับรถกลับมาถึงที่บ้านก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว  ต้องขอบคุณคุณหมอใจดีคนนั้นที่ให้ยืมรถกลับมา  ไม่อย่างนั้นเขาก็คงจะต้องผจญกับฝนที่เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาตั้งแต่ครึ่งทาง

            “กลับมาแล้วเหรอคะ พี่เต   นั่นรถใครน่ะ”

            หญิงสาวทักขึ้นข้างหลังเขาจนเกือบสะดุ้ง   หันกลับมาพบร่างเล็กบอบบางในชุดนอนยืนเกาะประตูห้องครัวอยู่   สายตาของเธอจ้องมองมาที่เขาราวกับต้องการค้นหาอะไรบางอย่าง

            “รถคุณหมอที่พี่ไปสัมภาษณ์น่ะ   เขาให้ยืมมา  เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเอาไปคืน”

            “หมอคนไหนหรอคะ  ทำไมใจดีจัง  ให้ยืมรถกลับมาทั้งคันเลยหรือ”

          “หมอเขาก็ใจดีแบบแหละ  เขา..ง่า..มีรถหลายคัน  เห็นฝนตกด้วยเลยให้ยืมกลับมาก่อนน่ะ   ตังยังไม่นอนอีกเหรอ   วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง  หายเหนื่อยหรือยัง  ลุกขึ้นมาเดินได้แล้วแบบนี้แปลว่าค่อยยังชั่วแล้วใช่มั้ย”  เขารีบเปลี่ยนเรื่อง    ถามถึงสุขภาพของเธอแทน 

            เดินเข้ามาโอบไหล่ พาขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน 

            “ดีขึ้นแล้วค่ะ  ได้พักก็หาย  พี่เตล่ะ  วันนี้กลับดึกจัง”  เธอยอมเปลี่ยนเรื่อง  แม้ว่าจะยังคงติดค้างอยู่ในหัวใจ

            “งานเร่งน่ะ   เดี๋ยวพี่จะต้องกลับมาเขียนต่ออีก  ตังเข้านอนเถอะจ้ะ   ไม่ต้องห่วง พี่ปิดบ้านเอง”   ชายหนุ่มเดินมาส่งเธอที่หน้าห้องนอนเหมือนทุกคืน   หญิงสาวยึดข้อมือของเขาเอาไว้

            เตเลิกคิ้ว

            “พี่เต...ยังจำสัญญาของพี่...ตอนที่จดทะเบียนรับเต้ได้มั้ย”

          “จำได้สิ   พี่สัญญาว่าพี่จะดูแลเต้อย่างดีที่สุด   ให้เหมือนเป็นลูกแท้ๆของพี่เอง   ตังถามทำไมเหรอ”   ชายหนุ่มทวนคำได้อย่างแม่นยำ เพราะเขาตั้งใจเอาไว้ว่าอย่างนั้นจริงๆ

            “เปล่า...ไม่มีอะไร   ตังแค่...จู่ๆก็นึกขึ้นมาเฉยๆ”   หญิงสาวพูด  ก้มหน้าลง  ไม่ยอมสบตาเขา

            เตเชยคางของเธอขึ้น   ดวงตาคู่นั้นไหวระริก มีน้ำตาคลอครองอยู่

            “เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า   เล่าให้พี่ฟังเถอะ...ดาวประดับ”  เสีนงทุ้มอบอุ่น และสัมผัสที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนของอีกฝ่ายทำให้น้ำตาของเธอไหลริน   ข้าวตังสะอื้นฮัก  โผเข้ากอดเขาแน่น

           ติณธรกอดตอบ  ยกมือขึ้นลูบหลังของเธอเบาๆ

          “เป็นอะไรไป  เอ้า  ร้องออกมา  ร้องให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดนะ”

          เอาอีกแล้ว  พี่เตก็เป็นอย่างนี้ทุกที  สัมผัสของพี่ แววตาของพี่  การกระทำของพี่  ที่เห็นเธอเป็นน้องสาวอยู่ตลอดเวลา มันยิ่งทำให้เธอเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก   พี่เตไม่เคยรู้  ไม่เคยรู้เลยว่าความจริงแล้วเธอรู้สึกอย่างไร   ไม่สิ...เมื่อแปดปีก่อนเธอรู้สึกอย่างไรตะหาก



                              ******************



          “พี่เต ตังดีใจจังค่ะ ที่ได้เจอพี่”  เธอจับมือของพี่ชาย...ลูกพี่ลูกน้องของเธอเอาไว้แน่น   ลอบพิศดูร่างกายสูงเพรียวสมส่วนของเขาด้วยความภูมิใจ

พี่เตส่งยิ้มให้เธอ  ยิ้มที่ทำให้เธอใจละลายเหมือนขี้ผึ้งถูกไฟลน

“พี่ก็ดีใจเหมือนกัน   ตังมาคนเดียวเหรอ  ทำไมคุณลุงคุณป้าไม่มาด้วย”   เขาถามหาพ่อแม่ของเธอ  เด็กสาวเบ้ปาก  ตอบกระฟัดกระเฟียด

“ป๊ากับแม่ไปธุระที่ขอนแก่น  ตังเลยมาคนเดียว”

“เดี๋ยวนะ  นี่อย่าบอกว่าตังแอบมาโดยไม่บอกคุณลุงคุณป้าเหรอ”  เด็กหนุ่มตกใจ  รีบถามต่อ

“ไม่เห็นจะต้องบอก  ยังไงป๊ากับแม่ก็ไม่สนใจตังอยู่แล้ว”  เธอพูด  ท่าทางไม่สนใจ

คนฟังใจหายวาบ   นี่น้องสาวของเขาแอบหนีออกจากบ้านมาตอนที่ลุงกับป้าไม่อยู่งั้นเรอะ   แล้วนี่เขาควรจะทำอย่างไรดีล่ะเนี่ย

          น้องสาวตัวดีบุกมาถึงหอพักของเขา ได้อย่างไรก็ไม่ทราบ นึกชมความเก่งกาจของเธอ  แต่มันใช่เวลาจะมาชื่นชมไหมเต   ตอนนี้ต้องหาทางส่งเธอกลับบ้านไป ก่อนที่ญาติผู้ใหญ่จะรู้

          “ตัง  ง่า...เธอมาที่นี่..อยากมาเที่ยวใช่ไหม”  ตะล่อมถาม  พยายามนึกหาหนทางส่งเธอกลับไป 

          “อยากมาเจอพี่เตด้วย  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน  คิดถึง”  เธอกอดพี่ชายเอาไว้แน่น   เขาขยับตัวอย่างอึดอัด แต่ก็กอดตอบ

          “ตัง   พี่ว่า..ทำอย่างนี้มันไม่ถูกต้องนะ   เอ  เอาไงดีล่ะ”  นัยน์ตาเหลือบมองไปเห็นเพื่อนสนิทกับรุ่นน้องสองคนเดินลงบันไดมาพอดี   เขารีบเรียกเอาไว้

          “โชน  ก้อง  มานี่หน่อยๆ”  สองคนนั้นทำหน้างงๆ  แต่ก็ยอมเดินมาหาแต่โดยดี  ตั้มลากทั้งสองคนนั้นออกมาคุยห่างๆ

         


ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เริ่ม]ตอนที่13 5/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 06-02-2017 20:58:22
ต่อนะคะ



“มีอะไรวะเต  เอ๊ะ ไหนว่าวันนี้จะไปดูหนังกับแฟนไม่ใช่เหรอ  ทำไมยังอยู่นี่อีกล่ะ”  ก้องถามเขา  โชนยักคิ้ว ตอบกลับมา

          “ยังไปไม่ได้เพราะนู่นไง  สาวน้อยหน้าคมคนนั้นไง  แหม พี่เต มีแฟนอยู่แล้วยังจะโปรยเสน่ห์ใส่เด็กอีกเหรอ  เดี๋ยวจะฟ้องพี่ดิมเสียเลย” เขาบุ้ยใบ้ไปทางเด็กสาว  เตจุ๊ปาก

          “น้องสาวฉันเองโว้ย  พวกนายช่วยฉันหน่อยสิ  ช่วยอยู่เป็นเพื่อนเธอสักพักได้ไหม”

          “อ้าว ทำไมล่ะพี่”

          “ฉันจะไปหาพี่ดิม  แปบเดียวเท่านั้น  ไม่เกินครึ่งชั่วโมง นะๆ  ไหว้ล่ะ”  เขาเกือบจะยกมือขึ้นมาไหวจริงๆ  แต่เพื่อนทั้งสองรีบรั้งเอาไว้

          “เห้ยๆ  ไม่ต้องไหว้ๆ แล้วทำไมไม่พาน้องสาวไปด้วยล่ะ”

          “ที่บ้านยังไม่รู้ว่าฉันมีแฟน”  เตจำใจตอบออกมา   ทั้งสองคนหัวเราะลั่น

          เด็กสาวเหลียวไปมองผู้ชายสามคนนั้นอีกครั้ง  พวกเขากระซิบกระซาบอะไรกันสักอย่าง  สุดท้ายพี่เตก็เดินเข้ามาหาพร้อมกับผู้ชายสองคนนั้น

          “ตัง  นี่เพื่อนพี่เอง ก้องกับโชน สองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทของพี่  ไอ้โชนนี่เป็นรุมเมทพี่ด้วย  ง่า..พอดีว่า..คืออย่างนี้...วันนี้พี่มีธุระต้องรีบไปทำ  ประมาณไม่เกินชั่วโมงเท่านั้น  ตังรออยู่ที่นี่ก่อนได้ไหม  ให้สองคนนี้อยู่เป็นเพื่อนก่อน แล้วพี่จะรีบกลับมา”  เขาพูดเร็วปรื๋อ 

          เด็กสาวพิจารณาดูเด็กหนุ่มสองคนตรงหน้า  คนหนึ่งท่าทางเรียบร้อยน่าไว้ใจ ส่วนอีกคน...คนที่ยักคิ้วให้เธอ ดูกวนไม่ใช่เล่น   เธอหันไปมองหน้าพี่เตอีกครั้ง

          “พี่เตจะไปไหน  หนูไปด้วยสิ”  คนฟังอึกอัก

          “พี่ไปธุระสำคัญจริงๆ  ขอโทษด้วย ตังนั่งรออยู่แถวนี้ก่อนได้มั้ย”

          “งั้นให้ตังขึ้นไปรอที่ห้องพี่ได้ไหม”  เตอยากเอามือขึ้นมากุมขมับ  เขาเหลือบดูนาฬิกาข้อมือเร็วๆ  จะสายแล้ว   เดี๋ยวพี่ดิมงอนขึ้นมาล่ะยุ่งเลย

          “ไม่ได้ๆ  ห้องพี่มัน..ง่า..พี่อยู่กับเจ้าโชนมัน  พี่ว่ามันไม่ค่อยงามเท่าไหร่  ตังนั่งรอพี่ข้างล่างนี่แหละ ดีแล้ว   เอาล่ะ ฝากด้วยนะ  จะรีบกลับมา”  พี่เตโบกมือให้เธอแล้วรีบวิ่งออกไปจากหอพักอย่างรวดเร็ว

          เด็กสาวมองตามงงๆ  เธอหันไปถามเพื่อนของพี่ชายทั้งสองคน

          “พี่เตเขาติดธุระอะไรเหรอคะ  ดูรีบจัง”

          “พี่แกรีบไปหาพ่อน่ะ”

          “พ่อ?  พ่อพี่เตเสียไปแล้วนี่คะ”  สาวน้อยถามทันที  ก้องเพิ่งรู้ตัวว่าหลุดปากอะไรออกไป  หันไปหารุ่นน้องข้างๆทันที  โชนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

          “พ่อทูนหัวน่ะน้องตัง  ช่างเถอะ อย่าไปสนใจเลย  มานั่งทางนี้ดีกว่า   นี่น้องเป็นน้องสาวแท้ๆของพี่เตเหรอ  หรือว่าเป็นญาติฮะ”  เด็กหนุ่มชวนเธอไปนั่งคุยที่โซฟารับแขกของหอพัก  ผ่านไปเกือบชั่วโมง  เด็กสาวก็พบว่าตัวเองคุยกับเพื่อนรุ่นพี่สองคนนี้ได้อย่างสนิทใจ

          พี่เตกลับมาก่อนครบหนึ่งชั่วโมงจริงตามที่บอกเอาไว้  แต่ใบหน้าเรียวหวานนั้นกลับมีรอยกังวลบางๆ  ได้ยินพี่โชนกับพี่ก้องถามแว่วๆ ว่าเหมือนจะโดน ‘พ่อ’ งอน หรืออะไรซะอย่าง

          “พ่อนี่คือใครเหรอคะพี่เต”  เธอตัดสินใจถามขึ้นมาในที่สุด   เพื่อนสนิทของพี่หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน  สังเกตได้ว่าพี่เตหน้าแดง   เขาถลึงตาใส่พี่ๆทั้งคู่  แล้วหันมาตอบจืดๆ

          “พ่อคือ..เอ่อ  คนที่มหาวิทยาลัยน่ะ  แกชอบทำตัวเหมือนพ่อ  ไอ้พวกนี้ก็เลยเรียกว่าพ่อ  ง่า...ไม่ต้องสนใจหรอกตัง   ว่าแต่เราเถอะ  จะอย่างอย่างไรดี  คืนนี้คงกลับไปไม่ทันแล้วล่ะ   อาจจะต้องค้าง..”  เขาพูดอย่างครุ่นคิด   สมองคำนวณหาทางจัดการกับญาติสาวที่มาโดยไม่ได้นัดหมาย

          “ตังนอนกับพี่เตก็ได้  ไม่เป็นไร  เมื่อก่อน ตอนเด็กๆก็นอนด้วยกันออกบ่อย”  เด็กสาวพูดง่ายๆ

          “เห้ย  ไม่ได้หรอก  นั่นมันตอนเด็กๆ นี่เธอโตเป็นสาวแล้ว  ขืนลุงกับป้ารู้ว่าฉันให้เธอนอนด้วยมีหวัง...เอาอย่างนี้ดีกว่า  คิดออกแล้วล่ะ”  พี่เตลุกขึ้นยืน   เดินนำเธอขึ้นไปยังชั้นสามของหอพัก  มีเพื่อนสนิทของเขาเดินตามมาด้วย   ตรงไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องห้องหนึ่ง

          เคาะประตูเรียก พักเดียว ก็มีหญิงสาวตัวเล็กเปิดประตูออกมารับ

          “อ้าว เต โชน ก้อง  มีอะไร ยกขโยงมาหน้าห้องฉันน่ะ”  เธอคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหลมใส  สายตามาหยุดที่เด็กสาวแปลกหน้าที่ยืนยิ้มแหยๆอยู่

          “เจ๊กิ่ง  ช่วยผมหน่อยสิ  นี่น้องสาวผมเอง ชื่อข้าวตัง   มาจากต่างจังหวัด  ขอมานอนกับเจ๊กิ่งด้วยคืนหนึ่ง ได้ไหม”  พี่เตพูด  หญิงสาวที่มีนามว่า ‘เจ๊กิ่ง’  เขม้นมองเธอ 

          สาวน้อยรีบยกมือไหว้ 

          ได้ยินฝ่ายนั้นดึงพี่เตเข้าไปกระซิบถามแว่วๆ จับใจความไม่ถนัด จากนั้นเธอก็หันมายิ้มให้  รอยยิ้มใจดีและเป็นมิตร ตรงข้ามกับท่าทางที่น่าเกรงขามของเธอ ทำให้เด็กสาวค่อยคลายใจ

          “สวัสดีจ้ะ  พี่ชื่อกิ่งนะ  เป็นพี่รหัสของเตมัน  เป็นน้องสาวของเตเหรอ  ชื่ออะไรล่ะ”

          ข้าวตังแนะนำตัวเอง

          สุดท้ายคืนนั้น  หลังจากที่พี่เตพาเธอไปหาอะไรอร่อยๆกินตอนเย็น  เธอก็พักค้างคืนกับพี่กิ่งนั่นเอง  นับเป็นคืนที่ทำให้เธอได้รู้อะไรหลายๆอย่าง  เกี่ยวกับพี่เต   แค่เธอถาม พี่กิ่งก็พร้อมที่จะเล่าออกมาทั้งหมด  รวมถึง...

          “ปกติพี่เตทะเลาะกับพ่อบ่อยเหรอคะ”  สาวน้อยแกล้งถาม  หญิงสาวหัวเราะร่วน พยักหน้ารับ

          “รู้เรื่องพ่อมันแล้วเหรอ  หึๆ  ก็บ่อยนะ  รู้สึกฝ่ายนั้นจะขี้งอนพอๆกับพี่ชายของเธอนั่นแหละ”  ...ขี้งอนงั้นหรือ   พ่อแบบไหนกันนะที่ถูกพูดถึงว่าขี้งอนแบบนี้

          “พี่เตไม่ค่อยเล่าเรื่องพ่อให้ฟังเลยค่ะ  ทำไมเรียกว่าพ่อล่ะคะ”

          “เตมันเขินน่ะซิ  จะมีอะไร  ที่เรียกว่าพ่อก็เพราะพวกพี่เรียกล้อกันเองแหละ  ลองไปเรียกต่อหน้ามันดูสิ มันโกรธตายเลย”

          “แปลกดีนะคะ  ไม่ค่อยได้ยินคนเรียกกันว่าพ่อเท่าไหร่”

          “ใช่  แต่มีแฟนเหมือนมีพ่อแบบนี้ก็นะ  ฮ่าๆ”

          แฟน!!  อย่างที่สงสัยจริงๆด้วย  นี่เองที่พี่เตดูปิดๆบังๆชอบกล  แล้ววันนี้ที่ทิ้งเธอเอาไว้ให้อยู่กับเพื่อน ก็เพราะจะรีบไปหา ‘พ่อ’ คนนั้นสินะ

          จู่ๆน้ำตาของเธอก็ไหลลงมาเอง 

พี่กิ่งหยุดหัวเราะ  เข้ามาจับแขนของเธออย่างตกใจ

          “เป็นอะไรไปตัง  ร้องไห้ทำไม”   เด็กสาวไม่ตอบ  แต่ก้มหน้าร้องไห้ออกมาดังๆ  สะอื้นจนตัวโยน

          ….ที่เธออุตส่าห์ลงทุนนั่งรถข้ามจังหวัดมาตั้งหลายชั่วโมงเพื่อมาหาพี่เต  มาเจอหน้า  เพราะพี่เตเป็นเหมือนความหวังเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้  เป็นที่พึ่งที่เดียวที่เธอนึกออกแท้ๆ  แต่สุดท้ายแล้วพี่เตก็มีคนอื่นที่สำคัญกว่าเธอ

          “โอย  เป็นอะไรไปหืม  เด็กน้อย  ตายแล้ว”  หญิงสาวเจ้าของห้องทำอะไรไม่ถูก  จึงตัดสินใจโทรหาพี่ชายของเด็กสาวคนนี้  ครู่เดียว เตก็มาเคาะประตูอยู่ที่หน้าห้อง  กิ่งเปิดประตูรับ  เห็นเขามองน้องสาวตัวเองอย่างตกใจ

          “เป็นอะไรไปตัง  เกิดอะไรขึ้น  พี่กิ่งทำอะไรตัง”  เขาหันไปถามหญิงสาวเจ้าของห้อง

          “ว๊าย มาใส่ความชั้นได้ไง  ไม่รู้เหมือนกัน  อยู่ดีๆน้องเธอก็เป่าปี่ซะงั้น   เคลียร์กันเองแล้วกัน  ชั้นจะไปซื้อของข้างล่าง”  เจ๊กิ่งพูดเสียงแหลม  เดินออกจากห้องไป

          เหลือแค่เขากับน้องสาวยืนประจันหน้ากัน   ข้าวตังยังคงน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ  มองหน้าเขาด้วยแววตาผิดหวังอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

          “เล่าให้พี่ฟังได้ไหมตัง  มีเรื่องอะไร  หรือว่าลุงกับป้า?”

          “ตัง...ฮึก...ฮือ”  เด็กสาวร้องไห้ออกมาอีก  เตถอนหายใจเฮือกใหญ่   เดินเข้าไปหา โอบกอดเธอเข้ามาไว้แนบอก   เธอขืนตัวเอาไว้เล็กน้อย  แต่แล้วก็ยอมแต่โดยดี  ใบหน้าเล็กๆซุกที่แผ่นอกของเขาจนน้ำตาเปียกเป็นวงกว้าง

          “เอ้าร้องออกมา  ร้องจนน้ำตาหมดตัวไปเลย ดีไหม”   ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือของเขาลูบที่หลังไหล่แผ่วเบา   เด็กสาวสะอื้นอยู่นาน  ในที่สุดก็สงบลง

          “ไหนดูซิ  ร้องไห้เป็นเด็กขี้แยจัง  โตแล้วนะเราน่ะ”

          “โตพอจะมีแฟนแล้ว  เหมือนพี่เตใช่ไหมคะ”  คนฟังอึ้งไป มองหน้าเธออย่างตกใจ

          “ตังรู้แล้ว  พี่กิ่งบอกตังเอง  คนที่พี่เตรีบไปหาวันนี้ใช่ไหม  ที่พี่โชนเรียกว่าพ่อ  ตัง...ทำไมพี่เตไม่บอกตัง”

          “พี่ไม่รู้จะบอกยังไง  พี่..ขอโทษนะ”  เตพูดเสียงแหบ  ขยับตัวอย่างอึดอัด   ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าที่น้องสาวร้องไห้มันเกี่ยวกับการที่เขามีแฟนอย่างไร

          “ตังเสียใจ   พี่รู้มั้ยว่าตังมาที่นี่ทำไม”  เธอกรีดเสียงถาม  คนฟังเงียบ

          “เมื่อวานป๊าทะเลาะแม่  ป๊าจะพาผู้หญิงคนใหม่เข้ามาอยู่ด้วย  แต่แม่ไม่ยอม  วันนี้พวกเค้าไปขอนแก่นเพราะจะหย่ากัน  พี่เตรู้มั้ย”

          เด็กหนุ่มแทบจะอ้าปากค้าง  เขาพอจะรู้อยู่บ้างว่าชีวิตคู่ของลุงกับป้าไม่ราบรื่นนัก  แต่ไม่นึกว่าจะรุนแรงจนถึงขั้นนี้ 

          “ตังห้ามเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครฟังตังเลย  ทั้งสองคน! ทุกคนมีความต้องการของตัวเอง แต่ไม่มีใครเคยคิดถึงตังเลย พี่เต   ตังมีแต่พี่เตคนเดียวที่คอยฟังตังมาตลอด  แต่ตอนนี้ตังรู้แล้ว  ตังไม่เหลือใครเลย  ไม่เหลือใครเลยจริงๆ”  เด็กสาวร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง

          เตอึ้งไปนาน  เขาโอบกอดเธอเอาไว้ในวงแขน  ใจเต้นแรงด้วยความสงสาร  ....นี่เขาไม่รู้เลยว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นบ้าง  มันคงร้ายแรงจนน้องสาวของเขาต้องระเหเร่ร่อนมาหาเขา ทั้งที่อยู่ไกลขนาดนี้

          ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสาร...

          คืนนั้นพี่เตพูดปลอบใจและอยู่เป็นเพื่อนเธอทั้งคืน  จนเช้าเขาก็ติดต่อกลับไปที่พ่อกับแม่ของเธอ   ได้ความว่าพวกเขาคืนดีกันแล้ว  นัยว่าป๊ายอมเพราะแม่จะขอแบ่งสินสมรส  สุดท้ายก็เลยไม่ยอมหย่ากัน

          พี่เตพาไปส่งที่ท่ารถ  นับว่าการมากรุงเทพฯคราวนี้ของเธอทำให้เธอได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง  รวมถึงการได้พบกับใครบางคน...คนที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล



           
                   ************************




            “ดีขึ้นไหม  ทีนี้เล่าให้พี่ฟังได้หรือยังว่ามันเกิดอะไรขึ้น”  ชายหนุ่มพูด  ชักกังวลกับอาการของน้องสาวขึ้นมาหน่อยๆ   หรือว่าจะเป็นเพราะอาการป่วยของเธอ?

          ข้าวตังหยุดร้องไห้ไปแล้ว  เธอผละจากอกที่ซบอยู่  เงยหน้าขึ้นมาชายผู้เป็นทั้งพี่และผู้รับรองบุตรของเธอในฐานะบิดา

            “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ วันนี้มัน..เหนื่อยๆ ก็เลยนึกถึงเรื่องเมื่อก่อนขึ้นมา   ขอบคุณนะคะ  ที่อยู่ข้างตังมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงตอนนี้  พี่เตเป็นคนที่ประเสริฐที่สุดเท่าที่ตังเคยพบมา  ไม่เหมือน...”  เธอกลืนคำพูดที่เหลือลงไป   เตยกมือขึ้นจับตนแขนของเธอเอาไว้

            “อย่าคิดมากเลย  เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว   ปล่อยไปเถอะตัง”  พูดเสียงนุ่ม

            “ตัง..ไม่เคยทำได้สักที  ทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก  มันก็คอยผุดขึ้นมาอีก  ตังเกลียดมันจังพี่เต   ทำไมตังต้องมาเจอคนเลวๆแบบมันด้วย”  หญิงสาวกรีดเสียง

            “ไม่เอาน่ะ  พี่บอกแล้วไงว่าอย่าไปจองเวรกัน   อโหสิให้มันไปเถอะนะ  เลิกคิดเรื่องนั้นได้แล้ว”  เขาพยายามปลอบใจหญิงสาว  เหมือนที่ทำมาตลอดหลายปี

            “ตังจะพยายามค่ะพี่เต....แต่ตังไม่เก่งเหมือนพี่เต   พี่เตเสียสละเพื่อตังมามาก  ตังไม่เคยตอบแทนอะไรพี่เลย”

          “ตังจะตอบแทนอะไรพี่อีก  ที่ตังคอยดูแลพี่  ให้พี่อยู่ที่บ้านนี้ด้วย  ยอมให้พี่ได้รัก ได้ดูแลเจ้าเต้   แค่นี้ก็ยิ่งกว่าตอบแทนแล้ว   พี่...ไม่ได้สละอะไรเลย”   เสียงของเขาแหบพร่าลง  ....ก็ถูกแล้ว  เขาไม่ได้สละอะไรเลย  เพราะไม่มีอะไรเป็นของเขามาตั้งแต่ต้น

            “ไม่จริง  ตังรู้ว่าพี่เตต้องเสียอะไรไปบ้าง  เพื่อมาช่วยตัง   ตังรู้ว่าพี่เตยอมทำเพราะคำขอของป๊ากับแม่ก่อนตาย   ทั้งที่พี่เตเพิ่งเรียนจบ  ยังมีอนาคตอีกมากมายแต่ก็ต้องมาจมปลักอยู่กับเด็กใจแตกที่ท้องไม่มีพ่อ!”  หญิงสาวร้องไห้ออกมาอีก 

            “พี่ว่าวันนี้เธอเหนื่อยเกินไป   เข้าไปพักผ่อนเถอะ”  ชายหนุ่มตัดบท  เขาไม่อยากรื้อฟื้นเรื่องราวในอดีตขึ้นมาอีก   มันทรมานจิตใจกันเกินไป  ทั้งเขาและสาวน้อยตรงหน้าด้วย 

            ข้าวตังสะอื้น แต่ก็ยอมกลับเข้าไปในห้องโดยดี   เธอมองเขาด้วยดวงตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาคลออยู่เต็ม  ริมฝีปากบางเผยอน้อยๆ ราวกับต้องการจะเอ่ยคำใดออกมา

            “................”

            สุดท้ายเธอก็ไม่พูด  หันหลังกลับเข้าไปในห้อง    ชายหนุ่มปิดประตูตามหลังให้อย่างแผ่วเบา    ยืนพิงประตูห้องนั้นอยู่นานกว่าจะมีแรงเดินกลับเข้ามายังห้องส่วนตัวของตนเองที่อยู่ตรงข้าม

            ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวโปรด   เงยหน้าขึ้นหลับตานิ่งๆ

            …ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวหรอก ที่ยังมีอดีตลอยวนเวียนอยู่ให้เจ็บช้ำเสียใจ  เขาเองก็ยังทำใจไม่ได้   ไม่รู้ว่าการนำตัวเองกลับเข้าไปพัวพันกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้ง  จะยิ่งนำมาซึ่งความเจ็บปวดมากกว่าเดิมหรือจะเป็นการรักษาให้หายขาดกันแน่.. แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า   ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนั้น   ท่ามกลางความสับสนภายในใจ  สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนออกมาคือความสุขที่เขาสัมผัสได้   ความอิ่มเอมและชื่นใจอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาหลายปี

          เสียงเตือนไลน์ดังขึ้น   เขาลืมตาขึ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู  จริงสิ  เราบอกว่าถ้ามาถึงบ้านแล้วจะไลน์บอกนี่นะ

            พี่ดิม : ถึงบ้านยังเอ่ย

          ตั้งเต : เพิ่งถึงบ้านครับ

            พี่ดิม : อาบน้ำเร็ว  จะได้รีบนอน

          ตั้งเต : พี่ดิมก็เหมือนกันนะ   นอนได้แล้ว

            พี่ดิม : นี่นอนคุยอยู่บนเตียงเนี่ย

          ตั้ง้เต : ถ้างั้นก็...ฝันดีครับ

            พี่ดิม : พรุ่งนี้มากินข้าวเช้าด้วยกันนะ  พี่จะรอ

            ตั้งเต : ตกลงครับ

            กดส่งข้อความประโยคสุดท้ายไปแล้วก็นั่งเพ่งมองอยู่นาน   อีกฝ่ายส่งสติ้กเกอร์รูปกระต่ายชูนิ้วโป้งกลับมาให้  จากนั้นก็ไม่มีข้อความอะไรส่งมาอีก   ฝ่ายนั้นคงจะเข้านอนไปแล้ว

            วางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะทำงาน  แล้วเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมา   ถึงเวลาที่เขาจะต้องทำงานแล้วสินะ  วันนี้ออกไปข้างนอกทั้งวัน  ไม่มีเวลาได้เขียนหนังสือเหมือนเคย

            ติณธรทำงานเป็นคอลัมนิสต์มาหลายปีแล้ว  เขียนให้กับนิตยสารหลายฉบับ  ไม่ใช่แค่ของเซเลปรายเดือนหรอก   แต่ทุกฉบับก็อยู่ในเครือเดียวกันหมด  มีพี่โดมเป็นบรรณาธิการ และคุณภาคย์เป็นผู้บริหารสูงสุด ที่คอยดูแลงานทุกอย่าง 

            ความจริงสมัยเรียนเขาไม่เคยอยากเป็นนักเขียนแบบนี้   เขาอยากเป็นครู  ได้สอนนักเรียน  โดยเฉพาะนักเรียนชนบท บนดอยอะไรเทือกนั้น   เขาอยากออกไปหาประสบการณ์ชีวิต  พบเจออะไรใหม่ๆ  แต่ในเมื่อโชคชะตาเล่นตลกให้ต้องมาติดแหงกอยู่กับบ้าน   เลี้ยงลูกอ่อนและดูแลภรรยาที่ร่างกายไม่แข็งแรง  เขาก็จำต้องเปลี่ยนเป้าหมายของตัวเอง  มองหาอาชีพที่สามารถอยู่ที่บ้านได้

            สุดท้ายก็มาลงเอยกับการเขียนนั่นเอง

            เอาเถอะ..อย่างน้อย  เขาก็ยังมีโอกาสได้ออกนอกบ้าน ไปสัมภาษณ์คนอื่นๆบ้าง  นอกจากนี้ บทเรียนในชีวิตของหลายๆคนที่เขาเคยพูดคุยด้วยจนนำมาเขียนเป็นบทความ  หลายเรื่องก็ทำให้เขาปลงตกได้มากขึ้น

            แน่นอนว่ามันยังไม่มากพอที่จะปลงตกทุกอย่าง  ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กลับไปหาพี่ดิม

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในความเงียบ

            ชายหนุ่มชะงักปลายนิ้วที่กำลังรัวบนคีย์บอร์ด   เหลือบมองชื่อที่โชว์อยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ...ภาคย์   จริงสิ  ตั้งแต่กลับมาจากทะเลคราวนั้น ก็แทบไม่ได้เจอกันอีกเลย   ได้ข่าวว่าเขาไปประชุมที่ต่างประเทศด้วย  ก็เลยเงียบหายไป

            เตรีรออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็กดรับ

            “สวัสดีครับ คุณภาคย์”

            “คุณเต...  ไม่เจอกันนานเลย  คิดถึงผมไหมครับ  ล้อเล่นน่ะครับ  ผมกลับมาจากฝรั่งเศสแล้วนะ  มีของฝากมาให้คุณด้วย   พรุ่งนี้คุณจะเข้าออฟฟิสหรือเปล่าครับ  หรือว่าให้ผมแวะเอาไปให้ที่บ้านดี?”  เจ้านายของเขาพูดแกมหัวเราะมาตามสายอย่างอารมณ์ดี   คนฟังขยับตัว

            “เอ้อ  ไม่รบกวนดีกว่าครับคุณภาคย์”

          “ไม่รบกวนนี่หมายความว่า ไม่เอาของ หรือว่าไม่ให้ไปที่บ้านครับ”

            “ทั้งสองอย่างครับ  หึๆ”   เตหัวเราะในลำคอ   ปลายสายหัวเราะเช่นกัน  “ขอบคุณมากนะครับที่นึกถึงกัน”  เขาพูดต่อ

          “ผมไม่ได้นึกถึงคุณนะครับ  ผมคิดถึงคุณตะหากล่ะ   คุณเต   เอาอย่างนี้แล้วกัน  พรุ่งนี้เช้าผมไปรับที่บ้าน แล้วเราไปหาข้าวเช้าทานกัน  นะครับ  ผมอยากทานมื้อเช้ากับคุณ”   ภาคย์อ้อนวอนมาอีกหลายประโยค   

            เกรงใจก็เกรงใจ  แต่เขามีนัดทานอาหารเช้าแล้วกับใครบางคน

          “พรุ่งนี้เช้าไม่สะดวกจริงๆครับ”

            “ถ้าอย่างนั้น  ตอนเที่ยงแทนได้ไหมครับ  นะครับ  อย่าให้ผมต้องผิดหวังซ้ำสองภายในเวลาไม่ถึงสองนาทีเลยนะ  คุณเต”

            เตหัวเราะ  อ่อนใจกับความพยายามของอีกฝ่าย  จนต้องยอมใจอ่อนตกปากรับคำ

            “ก็ได้ครับ   เป็นตอนเที่ยงนะครับ  เจอกันที่ไหนดี”

          “ให้ผมไปรับนะ”

          “เอ้อ  อย่าดีกว่าครับ  ผมไปเองสะดวกกว่า”

            ภาคย์ไม่เซ้าซี้อีก   เขาบอกชื่อร้านอาหารเปิดใหม่สไตล์อิตาเลี่ยนที่กำลังดัง  นักเขียนหนุ่มจดเอาไว้ในบันทึกเรียบร้อย   ฝ่ายนั้นชวนคุยต่ออีกกว่าเขาจะหาทางตัดบทได้สำเร็จ ก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง

            เตวางสายลงอย่างเหนื่อยอ่อน   เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไร  รู้สึกอย่างไรกับเขา ...ถ้าเป็นเมื่อก่อน  ตอนที่เขายังไม่มีพันธะ   ชายหนุ่มคนนี้จะเป็นคนที่เขาจะพิจารณาเป็นคนแรก ต่อจากพี่ดิม  ทว่าในตอนนี้  ทั้งลูกชายและภรรยา  ไหนจะคนรักเก่าที่กลับมา ‘ปรับความเข้าใจ’ กันอีก  มันยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับผู้ชายรูปหล่อ นิสัยดีคนนี้

            ขอโทษด้วยจริงๆ คุณภาคย์

            ..................................................................................

            “พี่เตไม่ทานข้าวก่อนเหรอคะ”  ข้าวตังทักอย่างแปลกใจ  เพราะปกติแล้วถ้าพี่เตตื่นเช้า  เขาจะต้องทานอาหารเช้าพร้อมหน้าพร้อมตากับเธอและลูกชายก่อนไปโรงเรียน

            ชายหนุ่มที่ก้มลงสวมถุงเท้าอยู่  เงยหน้าขึ้นบอกเธอ

            “ขอโทษด้วยจ้ะ  วันนี้พี่ต้องรีบไปจริงๆ เต้ กินข้าวให้หมดนะ  เข้าใจมั้ยครับ”  เขาเปลี่ยนสายตา หันไปพูดกับลูกชายแทน   เด็กชายเต้พยักหน้ารับคำ แล้วตั้งหน้าตั้งตาตักข้าวต้มเข้าปาก

            คนเป็นพ่อยิ้มนิดๆ  เขาโบกมือลาข้าวตัง แล้วเดินไปสตาร์ทรถของคุณหมอหนุ่มที่ให้ยืมมาตั้งแต่เมื่อคืน   ขับรถออกจากบ้าน  รู้สึกว่าเช้าวันนี้สดใสอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

            มาถึงหน้าห้องพักของพี่ดิมตอนเกือบแปดโมง   กดออดหน้าห้องครั้งเดียว ประตูก็เปิดออก ราวกับว่าคนข้างในรอคอยอยู่แล้ว 

            พี่ดิมยังอยู่ในชุดนอน  แต่ใบหน้าสะอาดสดชื่น  ส่งยิ้มกว้างมาให้เขา

            “อรุณสวัสดิ์  เข้ามาเร็ว   กำลังรออยู่เลย  กลัวนายจะไม่มา”

          “ยังไงผมก็ต้องมาคืนรถพี่อยู่แล้วน่า”  เตตอบยิ้มๆ  เดินเข้าไปในห้องแพนทรีอย่างคุ้นเคย  ลงมือประกอบอาหารเช้าง่ายๆ อย่างที่ถนัด  และรู้ว่าพี่ดิมชอบ

            กลิ่นไข่ดาวและเบคอนหอมฟุ้งไปทั่วห้อง  คุณหมอหนุ่มใช้มือข้างเดียวช่วยเขาปิ้งขนมปัง   ตั้งเตชงชาให้สำหรับสองคน

          “อืม  หอมมาก  นี่มันกลิ่นที่พี่ชอบเลย  จำได้ว่าเคยดื่มตอนที่ไปหานายที่หอแล้วติดใจ   หลังจากนั้นพี่ตามหามาตั้งหลายปีก็ไม่เคยเจอกลิ่นกับรสนี้อีกเลย”   เตยิ้มกว้าง  เขารู้ว่าพี่ดิมไม่ชอบดื่มกาแฟ   แต่เพราะการเรียนอันแสนหนักหน่วง  อดนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ จนต้องพึ่งคาเฟอีน  เขาก็เลยไปหาชามาให้ดื่มแก้ง่วงแทนตั้งแต่สมัยเรียน  พี่ดิมก็เลยติดชาแทนติดกาแฟมาตั้งเต่นั้น

            “ยี่ห้อนี้มันไม่ได้วางขายทั่วไปน่ะพี่  ต้องรู้แหล่งซื้อ”  เตตอบยิ้มๆ  ไม่ยอมบอกว่าซื้อมาจากที่ไหน

            ทั้งสองคนรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน   มื้อแรกนับตั้งแต่ที่ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ....ไม่สิ  เราเคยทานอาหารเช้าด้วยกันมาแล้ว  ตอนที่ไปเจอกันโดยบังเอิญที่ทะเลยังไงล่ะ  เพียงแต่ตอนนั้นไม่ได้มีแค่สองคนอย่างในตอนนี้....เตคิดในใจ   เกือบสะดุ้งเพราะอีกคนถามขึ้นมาตรงกับที่คิดพอดี

            “แล้วเจ้านายของนาย  คุณภาคย์ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”  ดิมถาม เสียงเรื่อยๆ  เตเหลือบตามองแวบหนึ่ง ก็เห็นฝ่ายนั้นกำลังบรรจงหั่นเบคอนอย่างประณีตด้วยมือข้างเดียว

            “เพิ่งกลับจากประชุมที่ฝรั่งเศสครับ”  ตอบเสียงเรียบพอกัน   ดิมพยักหน้า  ไม่ถามว่าอะไรต่ออีก ผิดไปจากความคาดหมายของคนฟังพอสมควร

            “เดี๋ยวทานอาหารเสร็จแล้ว นายมาช่วยอะไรพี่ทีนะ”  คุณหมอหนุ่มพูด  เขาจัดการอาหารตรงหน้าจนเกลี้ยงจาน   ตั้ง้ตล้างจานให้เสร็จ หันมาเจออีกฝ่ายยืนรออยู่ก่อนแล้ว

            เขากระพริบตาปริบๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเปลือยท่อนบน อวดมัดกล้ามแน่นเรียงตัวสวย  ครึ่งล่างมีผ้าขนหนูพันเอาไว้รอบลำตัว

            “เอ่อ  พี่ดิมจะให้ผมช่วยทำอะไร”  เตถาม พยายามไม่มองเนื้อตัวของอีกฝ่ายมากนัก   พี่ดิมไม่ตอบ  แต่กวักมือเป็นเชิงให้เดินตามหลังไป  เขาเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ  หันกลับมาพูดยิ้มๆ

            “เตช่วย...พี่อาบน้ำทีสิ  มือเดียวมันไม่ถนัด”

          …………………………………………………………………

มาต่อจบตอนนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามกัน
ขอบคุณคอมเม้นท์ด้วย  อิอิ
ความรักก็ทำให้คนต่บอดเยี่ยงนี้เเลค่ะ
ดราม่ากันต่อไป 5555 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 06-02-2017 21:38:12
รอดราม่าตอนหน้านะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 06-02-2017 22:39:25
พอๆกันอะ ทั้ง ตัง และ รัน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 06-02-2017 23:14:41
   เตหลวมตัวไปล่ะ จะเล่าความจริงที่เลิกกันก็ไม่เล่า หลวมตัว หลวมใจกับหมอดิมอีก
   รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 07-02-2017 01:04:23
เตตามเกมหมอดิมไม่ทันเสียแล้ว



เตรียมน้ำตาเช็ดหัวเข่าได้เลย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ceylon ที่ 07-02-2017 01:26:02
ไม่ได้รออะไรเลยจุดนี้ รอซ้ำเติมดิม 5555 #ทีมเต
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...คิด]ตอนที่14 6/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 07-02-2017 09:11:22
สนุกมาก  แต่อยากรู้ว่า อีกหลายตอนไหมคะกว่าจะจบ จะได้ทำใจหน่วงถูก  ว่าต้องหน่วงอีกกี่ตอน 555 ขอให้เรื่องนี้จบแฮปปี้นะ เพราะทั้งดิมและเต เจ็บมามากแล้ว เจ็บมา 8 ปี ทั้งที่ทั้งคู่ไม่ผิดไรเลย ต่างคนต่างน่าสงสารอ่ะ แต่ทำไมเตไม่พูดความจริงเสียที อมพะนำอยู่นั่นแหละ

ท้ายสุด แผนแก้แค้นของดิม คงทำให้เตเจ็บปวดมาก แต่ดิมจะเจ็บด้วยอีกคนหรือป่าวตอนที่รู้ความจริง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 07-02-2017 18:56:37
เพราะหัวใจบอกว่า...ลึก

 



 

 

            สีหน้าของคนฟังทำให้คุณหมอหนุ่มหัวเราะก้ากออกมาดังลั่นห้อง   ใบหน้าเรียวหวานนั้นแดงก่ำ จะเพราะตกใจ  ประหลาดใจ หรือว่าอายก็ไม่อาจทราบได้  ปากอ้าค้างแต่ไม่มีคำพูดหลุดออกมา  ดวงตาเบิกกว้าง  หึ ช่างเป็นสีหน้าที่เขาอยากถ่ายภาพเก็บเอาไว้ดูยามว่างเสียจริง

            “พี่พูดเล่น  ดูทำหน้าเข้าสิ  ฮ่าๆ  ตกใจมากหรือเด็กน้อย”   เจ้าของห้องถามกลั้วหัวเราะ  ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมหยักอ่อนนุ่มที่ปกคลุมบนศีรษะทุยสวย

            เตโยกหลบ   ตวัดสายตามองอีกคนเร็วๆ  ปากขมุบขมิบ บ่นอยู่ในใจ  ...บ้าชะมัด  จู่ๆก็ลุกขึ้นมาถอดเสื้อผ้า  คาดแต่ผ้าขนหนู แล้วยังมีหน้ามาขอให้เราอาบน้ำให้อีก  คนเค้ายิ่ง...

            “บ่นอะไรพี่อยู่ฮึ”

            “แล้วพี่ดิมจะให้ช่วยอะไร”  ถามเสียงขึ้นจมูกหน่อยๆ   

            รดิศหยุดหัวเราะ   ยืนมองเตนิ่งๆครู่หนึ่งแล้วก็เอียงศีรษะของตนเองเข้าไปใกล้ใบหน้าของอีกฝ่าย

            “ดมให้หน่อย ว่าหัวพี่เหม็นหรือยัง”   เตถอยหลังไปก้าว  ตอบทันควัน

            “ไม่เหม็นหรอก  ไม่ต้องดมก็ได้”

          “ฮื้อ   ยังไม่ดมแล้วจะรู้ได้ยังไง  ทำไมอ่ะ  ให้ช่วยแค่นี้ ทำไม่ได้หรือยังไง”   คุณหมอหนุ่มพูดเสียงเข้ม

            “ไม่!  ถ้าพี่ดิมว่าเหม็น พี่ดิมก็สระเลยสิ  ไม่เห็นต้องรอถามเลยว่าเหม็นมั้ย”

            “โป้ะเช้ะ  นั่นแหละถูกต้อง   เตครับ...ช่วยพี่ดิมสระผมหน่อยสิครับ  นะครับ   หรือว่าเตจะดมพิสูจน์กลิ่น  ว่าเหม็นหรือเปล่า  ถ้าเตดมแล้วว่าไม่เหม็น พี่ก็จะไม่อ้อนวอนขอให้เตช่วยสระให้หรอก”  ดิมพูดแกมหัวเราะยั่วๆ  เขาอยากรู้เหมือนกันว่าเตจะยอมไหม

            “สระผมทำไมต้องให้ผมช่วยด้วย   ถึงมีมือเดียวก็สระได้  ถูกมั้ย”  ก็ถูกแหละ  แต่คนมันอยากให้สระให้นี่นา  ดิมคิดในใจ

            “ใช่ซิ   พี่มันคนอนาถานี่นะ  ต่อให้มีมือเดียวก็ต้องอดทน  หัวเหม็นจนเน่าต้องไม่ตาย  ไม่เป็นไรหรอก  พี่ก็ลืมคิดไปว่าพี่ไม่ควรจะรบกวนเตมากขนาดนั้น”

            ชายหนุ่มในผ้าขนหนูผืนเดียวเบือนหน้าหนี  ริมฝีปากเชิดขึ้นน้อยๆเป็นเชิงบอกว่ากำลัง ‘งอน’ อยู่   จบประโยคด้วยน้ำเสียงต่ำลึกบอกความดราม่าเต็มที่   เล่นเอาคนฟังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเครียดหรือขำดี   เมื่อเจออีกฝ่ายทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโตขึ้นมาแบบนี้

            พี่ดิมหันหลังเดินเข้าห้องน้ำไป  เหลือบตามองมาที่เขาอีกรอบ  แล้วก็หันไปคว้าฝักบัวขึ้นมาเปิดน้ำ   ก้มหน้าลงยกฝักบัวขึ้นล้างศีรษะตนเองด้วยมือข้างเดียว  จากนั้นก็วางฝักบัวแล้วหยิบแชมพูขึ้นมาเทราดบนเส้นผมเปียกๆนั้นทั่วๆ  ไม่ลืมหันมามองเขาอีกนิดหนึ่ง แล้วสะบัดหน้าหนี  อย่างที่เรียกว่า ‘ค้อน’ นั่นล่ะ

            ตั้งเตหัวเราะแผ่วเบาอย่างอ่อนใจ   ทำไมจู่ๆคุณหมอผู้เชี่ยวชาญถึงได้ลุกขึ้นมาทำตัวขี้ประชดประชันราวกับเด็กๆไปได้   จะแข่งกับลูกชายของเขาหรืออย่างไร 

            ยืนมองดูความพยายามสระผมอย่างทุลักทุเลของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ  จนกระทั่งฝ่ายนั้นอุทานออกมาเพราะฟองสบู่ไหลเข้าตา

            “โอย แสบ”  รดิศพยายามล้างฟองออกจากดวงตา   ยังไม่ทันหายเคืองก็มีมือลึกลับช่วยวักน้ำขึ้นมาลูบที่ใบหน้าและดวงตาทั้งสองข้างให้อย่างนิ่มนวล

            ลืมตาขึ้นมาเห็นผู้ชายผมหยิกหยองยืนอยู่ตรงหน้า  อ้าปากจะพูด ฝ่ายนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

            “นั่งพิงอ่าง แล้วเอาคอพาดขอบอ่างเอาไว้ เร็วๆสิ”  เตสั่งผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นให้หันหลังพิงอ่าง  เอาศีรษะพาดเอาไว้กับขอบอ่างอาบน้ำในท่านั่งเงยคอ  เพื่อที่เขาจะได้ทำงานได้ถนัด

หยดน้ำเปียกชื้นเกาะอยู่ตามลำตัวที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงอย่างผู้ชายที่รักในการออกกำลังกาย  ไรขนอ่อนๆจากหน้าอกเรียงต่ำผ่านกล้ามเนื้อหน้าท้องสวยเป็นลอนลงไปยังสะดือ และหายลับไปในขอบผ้าขนหนูสีขาวตัดกับผิวสีแทนเข้ม  ภาพที่เห็นทำให้คนตรงหน้าดูเซ็กซี่เหลือร้าย   ทำเอาคนที่เผลอมองใจสั่น

            “แบบนี้มันเมื่อยนะเต  พาดตักนายแทนไม่ได้เหรอ”  เงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาออดอ้อน   อย่างที่เขาแพ้ทางมาตลอด

          “ไม่ได้  เมื่อยก็ต้องทน!”  เขาแว้ดกลับไปเต็มเสียงปกปิดความอาย  พี่ดิมทำคอย่น   ตอบกลับมาว่า “กลัวแล้วค้าบ” เสียงเบา   เขาเกือบหัวเราะออกมา แต่ก็ตีหน้าเคร่งเอาไว้ได้

            ลงมือล้างฟองที่ตกค้างอยู่บนศีรษะนั้นให้อย่างแผ่วเบา   ปลายนิ้วสางไปตามเส้นผมดำหนานุ่มลื่น   

            “นวดครีมนวดให้ด้วยได้มั้ย”

          “ผมสั้นแค่นี้ ยังต้องใช้ครีมนวดอีกเรอะ”  เตแทบจะพ่นลมออกมาทางจมูก   มือแข็งแรงยกขึ้นชี้ไปทางเคาท์เตอร์ที่มีขวดสารพัดยี่ห้อวางอยู่เต็ม

            “ขวดสีน้ำเงิน  ครีมนวด”  คนที่หลับตาเงยหน้าให้อีกฝ่ายสระผมให้อย่างสบายพึมพำ คนสระทำเสียงจิ๊กจั๊กในคอ  แต่ก็ยอมลุกจากขอบอ่างที่นั่งอยู่   เดินไปหยิบขวดครีมนวดผมกลับมา  เทใส่ฝ่ามือแล้วนวดให้

            “อืม  ดีมาก   ขอทางซ้ายอีกหน่อย   ดีๆ  ลงมาตรงท้ายทอยนิดนึงซิ  อา  เยี่ยมเลย”

          “สบายมากมั้ย”  เตกึ่งถามกึ่งประชด   ชักหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ  รู้สึกเหมือนเขาพลาดอย่างไรก็ไม่รู้

            “สบายมาก   เดี๋ยวจะตั้งให้เป็นช่างสระผมประจำตัวเลย”  อีกฝ่ายหลับตา พูดยิ้มๆ

            “อึ๋ย  ไม่เอาหรอก  ขอตำแหน่งที่มันเข้าท่ากว่านี้ได้มั้ย”

          “อยากได้ตำแหน่งอะไรล่ะ”

          “อยากได้...อืม...”  นักเขียนหนุ่มลากเสียง  ครุ่นคิดอยู่ในใจ

            รดิศลืมตาขึ้นมา   ดวงตาทั้งสองสบกัน  ชั่วขณะหนึ่งที่เตรู้สึกเหมือนเวลาถูกหยุดนิ่ง   จนแม้แต่ลมหายใจของเขาก็พลอยจะหยุดไปด้วย

            “ตำแหน่งเจ้าของหัวใจพี่ เอาไหม”

          “พี่ดิม!!!”  เตอุทาน  ลุกขึ้นจากขอบอ่าง  ละมือจากศีรษะนั้นอย่างตกใจ   ดิมผงกหัวขึ้นมาจ้องหน้าเขา

            “ทำไมล่ะ   เตไม่อยากได้เหรอ”

          “ไม่.. ไม่อยาก..พี่ดิมอย่าพูดอย่างนี้เลย”  เสียงของเขาสั่นอย่างช่วยไม่ได้   ใจเต้นแรงขึ้นมาจนต้องพยายามสะกดกลั้นใจให้สงบลง

            แววอะไรอย่างหนึ่งวูบผ่านไปในดวงตาคมเข้มคู่นั้น  เป็นอีกครั้งที่เตถามตัวเองว่า  พี่ดิมกำลังคิดอะไรอยู่ในใจกันแน่   เขาเดาไม่ออก   แปลความหมายไม่ทัน

            สุดท้ายพี่ดิมก็หัวเราะออกมาเบาๆ

            “พี่ล้อเล่นน่า   พี่รู้อยู่แล้วว่านายต้องปฏิเสธ...ตกใจมากเหรอ  ร้องเสียงหลงเชียว”

          “ไม่ตลกนะพี่   ผม...ไม่ชอบเลย”  เตพูดเสียงแผ่ว   เขยิบเข้ามาบรรจงล้างครีมนวดผมออกให้อย่างเบามือ   เงียบกันไปทั้งคู่    มีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวเท่านั้นที่ดังก้องในห้องน้ำแห่งนั้น 

            มันไม่ดังพอที่จะกลบเสียงภายในหัวใจของเขา  เตบอกตัวเอง....เขาไม่อยากเป็นเจ้าของหัวใจของพี่ดิมหรอก   เขาตะโกนก้อง   ทว่าเสียงเล็กๆในมุมมืดก็กระซิบตอบกลับมาด้วยคำถามเดิมอีกครั้งว่า

            ‘จริงเหรอ?   นายไม่อยากได้จริงหรอ  หัวใจดวงนั้นน่ะ   ดวงที่นายเคยทอดทิ้งไปด้วยความจำใจเพราะเหตุจำเป็นบังคับ  หัวใจที่นายปรารถนาที่จะได้กลับคืนมามากที่สุดถ้าทำได้   หัวใจของคนที่นายนึกถึงใบหน้าของเขาทุกคืนก่อนที่จะข่มตาหลับลงและพบกับเขาทุกครั้งในความฝัน   นายไม่อยากได้มันจริงๆเหรอตั้งเต’

          ไม่  ฉันไม่อยากได้หรอก   หัวใจที่มีเจ้าของที่เหมาะสมแล้วน่ะ    เค้าเห็นฉันเป็นเพียงบาดแผลจากอดีตที่ยังหลงเหลือร่องรอยอยู่เท่านั้นเอง  ที่เค้าพูดออกมาก็เกิดจากความคะนองปาก  แค่พูดเล่นเท่านั้น  อย่าหลงไปกับความรู้สึกชั่ววูบเลยเต   ชายหนุ่มเม้มปากแน่น   

            เสียงเล็กๆจากซอกที่ลึกที่สุดกระซิบบอกมาเป็นประโยคสุดท้ายว่า

            ‘นายปฏิเสธความปรารถนาที่อยู่ลึกที่สุดในหัวใจของนายไม่ได้ตลอดไปหรอกเต’    จากนั้นทุกอย่างก็หยุดนิ่ง

            ดวงตาคมเข้มล้อมด้วยขนตาหนายาวสบตาเขาในระยะใกล้    ใกล้มากจนเตตกใจ   ไม่รู้ตัวว่าเขาเผลอก้มลงไปชิดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่   เขยิบตัวจะถอยห่าง  ทว่าแรงดึงดูดบางอย่างที่ส่งผ่านกระแสตาคู่นั้น ดึงดูดเขาเอาไว้ไม่ให้ถอยออกมา

            ก้มลงไปอีก  นิดเดียวเท่านั้นเองสำหรับแรงปรารถนาในหัวใจ   ใกล้จนเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในแก้วตาใสแจ๋วที่เขาจ้องมองอยู่อย่างเผลอไผล

            ลมหายใจอุ่นๆลอยมาปะทะใบหน้า

            เข้ามาอีกสิเต...ใกล้กว่านี้   ฉันรู้ว่านายก็ต้องการมันเช่นกัน  ฉันดูออกจากแววสั่นไหวในดวงตาของนาย   ตั้งเต  อย่าห้ามใจตัวเองอีกเลย   นายยังรักฉันอยู่เต็มหัวใจ  ใช่ไหม?  ทำให้ฉันเชื่อสิ...ดิมตะโกนในใจ 

            ริมฝีปากอิ่มเต็มแตะสัมผัสที่ริมฝีปากของเขาในที่สุด  ถึงจะแผ่วเบา  ทว่าก็ทำให้หัวใจของคุณหมอหนุ่มไหววูบ  รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับพันกระพือปีกพร้อมกันในอก   มือแข็งแรงยกขึ้นเหนี่ยวลำคอของอีกฝ่ายให้โน้มลงมามากยิ่งขึ้น เพื่อที่ว่าเขาจะได้บดประชิดริมฝีปากของตนตอบกลับอย่างสนิทแนบเป็นเนื้อเดียวได้  พอสบจังหวะก็ส่งปลายลิ้นเข้าไปสำรวจโพรงปากของคนที่จูบเขาก่อน  รัดรึง ดูดดื่มและร้อนแรง

            เตสำลักนิดหนึ่ง   ขยับถอยออกนิดเดียวเท่านั้นสำหรับการขัดขืน  จากนั้นแขนเรียวก็เป็นฝ่ายโอบรัดเขาเข้าหาตัว  มือลูบไล้ไปตามลำตัวของเขาด้วยอารมณ์วาบหวาม   เช่นเดียวกับเขาที่ตักตวงเอาความความหอมหวานจากริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง  ไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้

            หัวใจทั้งสองดวงเต้นแรงแทบจะหลุดออกมานอกอก   ลมหายใจเริ่มหอบถี่ตามอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว  อีกฝ่ายจงใจใช้ประสบการณ์ทั้งหมดที่มีเล้าโลมให้อีกคนคล้อยตาม   เตโอนอ่อนตามไปอย่างเคลิบเคลิ้ม   หรือจะเกิดจากความต้องการส่วนลึกในใจของเขาจริงๆก็เป็นได้

ใบหน้าของเด็กชายคนหนึ่งแวบเข้ามาในดวงจิตที่กำลังล่องลอย   จิตใต้สำนึกที่ถูกลืมเลือนไปชั่วขณะก็กลับคืนมาอีกครั้ง   เตชะงัก  รู้สึกตัวขึ้นมา

            ...นี่เรากำลังทำอะไรอยู่   เราเคยทำให้ผู้ชายคนนี้ผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว  อย่าให้มีครั้งที่สองเกิดขึ้นเลย  เพราะถึงจะรักมากแค่ไหน  ก็ไม่มีทางกลับไปได้   สายเกินไป   นี่มันไม่ถูกต้อง...

ติณธรตัดสินใจในวินาทีนั้น  ดันตัวออกมาจากวงแขนแข็งแรงที่รัดรอบกาย  พยายามสะกดกลั้นความอาลัยอาวรณ์และอารมณ์เพริดที่เขารู้ดีว่า  ถ้ายังขืนปล่อยตัวไปตามใจ   คงจะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง และคนที่เจ็บที่สุด ก็จะเป็นเขาเอง       

            ถอยหลังไปหลายก้าว  หันหลังให้ชายหนุ่มที่ยังคาดผ้าขนหนูเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่คนนั้น   รับรู้ได้โดยไม่ต้องหันไปมองว่าอีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขาด้วยสายตาตัดพ้อ และเต็มไปด้วยคำถาม

            “สระผมเสร็จแล้ว  ผมขอออกไปรอข้างนอกก่อนนะ”

          พูดจบด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า  ก็รีบก้าวออกไปจากห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

            ศัลยแพทย์หนุ่มนิ่งอยู่ในท่าเดิม  ได้แต่มองตามหลัง  พูดพึมพำแหบๆออกมาว่า

            “เต  เดี๋ยว..”

เขารู้สึกเหมือนโดนเตต่อยหมัดฮุกเข้าที่หน้าท้องจนจุก  ขยับตัวไม่ไหว  กว่าจะรู้สึกตัวและลุกขึ้นตามอีกฝ่ายออกมาจากห้องน้ำ  ก็พบว่าร่างโปร่งบางหายไปจากห้องแล้ว  มีเพียงข้อความทางไลน์ส่งมาว่า

 

          ‘ผมติดธุระ  ขอโทษด้วยที่กลับออกมาก่อน  กุญแจรถคืนไว้บนโต๊ะ  ขอบคุณมากนะครับ  ขอให้หายเร็วๆ’

 

          ดิมแทบจะเหวี่ยงโทรศัพท์มือถือทิ้งทันทีที่อ่านจบ  ขอให้หายเร็วๆงั้นหรือ?  ใจคอเค้าจะไม่กลับมาแล้วใช่มั้ย

เขาเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาแรงๆระบายอารมณ์โกรธ...ไม่สิ  ไม่ใช่ความโกรธอย่างเดียว   น่าจะเป็นความผิดหวัง ผสมด้วยความเจ็บใจที่ไม่อาจทำได้สำเร็จด้วย 

            อีกสิ่งหนึ่งที่เขารู้สึก แต่ไม่อยากยอมรับคือความเสียดายและความรู้สึกวูบโหวงลึกๆอยู่ในอกที่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดจากอะไรกันแน่  คงเป็นเพราะเขาถูกอีกฝ่าย ‘ทิ้ง’ ไว้กลางทางอีกแล้ว  เหมือนเมื่อหลายปีก่อน

ทำไมกัน  เพราะอะไร??

            ทั้งที่ดูเหมือนว่าจะไปได้สวยแล้วแท้ๆ  ทำไมจู่ๆเตถึงชะงัก  หรือว่าเจ้ากวางน้อยจะเกิดกลัวใจตัวเองขึ้นมา  ก็เลยรีบเผ่นหนีไปเสียก่อน

            แล้วความรู้สึกแปลกประหลาด  จุกแน่นอยู่ในอกนี่อีก  ทำไมถึงไม่หายไปเสียที   มันอึดอัดคับแน่นเหมือนคนหายใจไม่ออก   ราวกับว่ามีอะไรทับอยู่บนอก

            ขอบตาร้อนผ่าว   ชายหนุ่มเม้มปากแน่น ไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา

            “เป็นบ้าอะไรไป รดิศ  ไม่เห็นจะต้องโกรธขนาดนั้นเลย  บ้าจริง”  เขาพูดกับตัวเอง  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาอย่างโกรธๆ ใช่แล้ว  เขาโกรธ   คงโกรธเตมาก  ทั้งโกรธทั้งแค้นเสียจนน้ำตาไหล

       ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาจนมันเหือดแห้งไปเอง   รดิศหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถือเอาไว้

            ..คงเป็นเพราะช่วงนี้รันไม่อยู่แน่ๆ  อารมณ์ของเขาถึงได้อ่อนไหวเป็นพิเศษแบบนี้ ..

            กดโทรทางไกลไปหา รอสายอยู่นานค่อยนึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ที่นั่นคงเป็นเวลาใกล้เที่ยงคืน   รันคงจะหลับไปแล้ว   ช่างเถอะ...อย่าไปรบกวนเค้าเลย

            แล้วเรื่องระหว่างเขากับเต มันจะเป็นอย่างไรต่อ  จะยอมจบง่ายๆแบบนี้งั้นเหรอ  ถ้าเป็นแบบนั้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับอดีตเลยสิ

            ตั้งเตเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้ายเพราะอะไรกันแน่นะ 

            .................................................................................


            “คิดอะไรอยู่หรือ คุณเต  หรือว่า....คิดถึงผม”  นักธุรกิจรูปหล่อ เจ้าของสำนักพิมพ์และกิจการในเครือมากมายถามชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามยิ้มๆ  เห็นอีกฝ่ายนั่งเหม่อตั้งแต่มาถึง

            “เอ้อ  ขอโทษครับ”  เตรู้สึกตัว   ดึงความคิดกลับมาจากผู้ชายหน้าเข้มที่เขาทิ้งเอาไว้ในห้องน้ำเมื่อเช้า...ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง   อาจจะโกรธเขามากกว่าเดิมกระมัง 

            “ขอโทษทำไม  ถ้าคิดถึงผม ผมไม่ว่าหรอก  แต่ถ้าคิดถึงคนอื่นอยู่ก็..ไม่แน่”  ภาคย์ส่งยิ้มให้อีก    ตักอาหารใส่จานให้อีกฝ่าย

            “ทานเยอะๆหน่อย  คุณดูซูบไปนะพักนี้  เป็นอะไรหรือเปล่า  หรือว่าไม่สบาย”  คนฟังฝืนยิ้ม

            “ผมน้ำหนักเท่าเดิมนะ  คงเป็นเพราะผมยาว  ว่าจะไปตัดเหมือนกัน”   เตยกมือขึ้นลูบท้ายทอยของตัวเอง..เอาอีกแล้ว  เผลอแวบกลับไปถึงเส้นผมนุ่มลื่นเปียกชื้นฝ่ามือ  แค่คิดก็เหมือนจะได้กลิ่นแชมพูหอมอ่อนๆลอยมาตามลม

            “ดีเลยครับ  ผมไปด้วย  เราใจตรงกันจัง”  เตพยักหน้ารับยิ้มๆ

            ดีเหมือนกัน   มีคนมาคอยชวนคุยด้วย  จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน  ไม่คิดมากอีก   เรื่องนั้นก็ปล่อยทิ้งเอาไว้ก่อนแล้วกัน  เขายังไม่อยากคิดให้ปวดหัวตอนนี้

            ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น  ทว่าขณะที่เขาตัดผม  ดูหนัง  ทานอาหาเย็นกับภาคย์   เตกลับพบว่าตนเองคอยแต่จะเผลอคิดคำนึงถึงบุคคลที่ไม่ได้อยู่ตรงหน้าด้วยตลอดเวลา

            ความรู้สึกผิดที่เคยลดลงเมื่อสองวันก่อน  กลับเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง  แล้วคราวนี้มันมากกว่าเดิมเสียอีก

            ...นี่เราทำร้ายพี่ดิมซ้ำหรือเปล่า  ผู้ชายคนนั้นเคยถูกเราทอดทิ้งมาแล้ว   เค้าอุตส่าห์ขอร้อง อ้อนวอนเราทั้งน้ำตาให้ช่วย ‘เยียวยา’ บาดแผลที่เราเคยสร้างเอาไว้ในหัวใจของเขา   แต่วันนี้เพราะมโนธรรมภายในใจและเหตุผลอีกหลายอย่าง ก็ทำให้เขาต้อง ‘ทิ้ง’ ฝ่ายนั้นมาอีกครั้ง...

            ‘เต  เดี๋ยว..’

          เค้าจะพูดว่าอะไรกันนะ

            “คุณเต?  คุณเตฮะ  ถึงบ้านแล้วครับ  เอ  สงสัยวันนี้คุณจะเพลีย  ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนดีกว่า  นี่ครับของฝากจากฝรั่งเศส  มีผ้าพันคอฝากให้คุณข้าวตังครับ และถุงนี้ขนมให้น้องเต้   ส่วนกล่องนี้ของคุณ...กลับไปเปิดที่ห้องนะครับ  หวังว่าคุณจะชอบ และก็ใช้มัน”   ภาคินส่งถุงกระดาษสวยงามให้เขารับมาถือเอาไว้

            เตไม่มีทางปฏิเสธ  ได้เเต่ขอบคุณและรับมาแต่โดยดี   บอกลาผู้ชายใจดีคนนั้น

            “คุณเต..สู้ๆนะครับ  อย่างน้อยวันนี้ผมก็ทำให้คุณหัวเราะออกตั้งสองครั้งนะ   ถือว่าประสบความสำเร็จ แค่นี้ผมก็ดีใจแล้ว ...ฝันดีนะครับ คุณเต”

            ติณธรน้ำตาคลอ  เขาโบกมือให้ชายหนุ่ม  ยืนรอจนรถของฝ่ายนั้นเคลื่อนลับไปจากสายตา

            ใครบางคนจับตามองร่างโปร่งบางที่ถือของพะรุงพะรังเดินเข้าไปในบ้านอยู่เงียบๆ ในความมืด เขากำมือแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นปูดโปน   ภาพที่เห็นผ่านกระจกรถแท็กซี่ที่เขาอาศัยนั่งมาดักรออีกฝ่ายที่หน้าบ้านทำให้รดิศกัดกรามจนขึ้นสันนูน

            เขารู้เหตุผลแล้ว  ว่าทำไมเตถึงผละจากเขามาเสียดื้อๆแบบนั้น   ความจริงเขาก็น่าจะรู้อยู่แล้ว  ทำไมถึงคิดไม่ถึงนะ   กลับคิดไปได้ว่าอีกฝ่ายหักห้ามใจได้   เพราะต่างคนต่างมีพันธะ  เพราะเขายังมีรันอยู่ เช่นเดียวกับเตที่มีทั้งลูกทั้งภรรยา  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ก็นับว่าอีกฝ่ายมีมโนธรรมมากพอที่จะควบคุมอำนาจใฝ่ต่ำได้   น่านับถือและน่าเห็นใจระคนกัน

            และนั่นเป็นเหตุผลที่เขาตัดสินใจมาหาเต  เพื่อจะมาขอโทษ  และจะยอมยกโทษให้ทั้งหมด   ที่เคยทิ้งเขาไปในอดีต....ถ้าเด็กชายและหญิงสาวคนนั้นคือเหตุผลของเต  เขาก็จะทำใจยอมรับ   และยินดีด้วยที่อีกฝ่ายคิดถึงลูกเมียได้ถึงขนาดนี้    จะขออวยพรให้ครอบครัวของเค้ามีแต่ความสุข และไม่กลับมารบกวนเกี่ยวข้องกันอีก

            ให้เรื่องทุกอย่างเป็นอดีตที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น

            ทว่าทำไมเขาถึงนึกไม่ถึงนะ  ว่ามันอาจจะมีเหตุผลอื่นด้วย  ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาก็เป็นคนค้นพบพิรุธของคนคู่นี้เองแท้ๆ

            คงเป็นเพราะเขามองอีกฝ่ายในแง่ดีเกินไป



ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 07-02-2017 19:12:55
ต่อนะคะ


                     **********************



          เขาเดินผิวปากมาตามทางวิ่งในสวนสาธารณะที่เขากับคนรักจะมาวิ่งด้วยกันเสมอๆ   วันนี้ตั้งเตโทรเรียกเขาออกมา  บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย 

          ...คงจะเป็นเรื่องที่เตเรียนจบแล้วจะขอไปทำงานต่างจังหวัดแน่ๆ  ไม่อยากบอกฝ่ายนั้นเหมือนกันว่า  เขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่า  ต่อให้เตไปทำงานที่ไหน  เขาก็จะไปด้วย  จะขอย้ายไปใช้ทุนที่นั่นซะเลย  เพื่อที่เราสองคนจะได้ไม่ต้องอยู่ไกลกัน

          เตยังไม่รู้เรื่องนี้หรอก   เขายังไม่ได้บอกใครเลยว่าตนเองตัดสินใจเลือกแล้วว่าฃจะไปใช้ทุนต่างจังหวัด  ไม่เรียนต่อเฉพาะทางหรือรับทุนเป็นอาจารย์เเพทย์ต่ออย่างที่อาจารย์และใครๆหลายๆคนหวังเอาไว้

          ‘ผมอยากให้คุณใช้ทุนที่นี่ แล้วเรียนเฉพาะทางไปด้วยเลย  เกรดเฉลี่ยแบบคุณอยากเรียนอะไรก็ได้อยู่แล้ว   พอเรียนจบจะได้เป็นอาจารย์  ผมจะสนับสนุนคุณเต็มที่   หรือว่าคุณจะสอบไปต่อบอร์ดที่เมืองนอกก็ได้  แล้วแต่คุณ  แต่ความเห็นผม..คุณไปต่อบอร์ดเลยประหยัดเวลากว่า  ได้กลับมาทำประโยชน์ให้กับคนไข้และประเทศชาติเร็วๆ  เชื่อผมเถอะ’  เสียงอาจารย์ที่ปรึกษาดังขึ้นอีกครั้ง  แต่ชายหนุ่มสั่นศีรษะ ไล่ความคิดนั้นออกไปอย่างง่ายดาย

          ความฝันของเขาไม่ได้อยู่ที่การเรียนต่อจนจบเป็นสุดยอดปรมาจารย์  ไม่ได้อยากรับการยกย่องให้เกียรติขนาดนั้น   เขาต้องการแค่ใครสักคนที่อยู่เคียงข้างให้เขาดูแลรักษายามแก่เฒ่า   แค่นั้นก็เพียงพอและคุ้มค่าแล้วกับการเรียนแพทย์

          เขาจะเป็นถึงขั้นนั้นทำไม  ถ้าถึงตอนนั้นเขาไม่เหลือคนที่เขารักไว้ให้รักษาอีกแล้ว   รดิศคิดแบบนี้มาตลอด  แต่ดูเหมือนคนรอบข้างจะไม่คิดเหมือนเขาเอาเสียเลย

          แม้แต่กับเต  ใช่   เตอยากให้เขาเรียนต่อเฉพาะทาง  ขณะที่ตัวเองกลับอยากเดินตามความฝันด้วยการไปเป็นครูในชนบทที่ห่างไกล

          แล้วใจคอเตจะทิ้งเขาอยู่ที่นี่คนเดียวได้ลงคอเชียวหรอ  เขาไม่ยอมหรอก  เรื่องอะไร  จีบมาตั้งหลายปี  ถึงเวลาจะทิ้งกันไปดื้อๆแบบนี้  ไม่มีทางเสียล่ะ  เตไปไหน เขาก็จะไปด้วย

          อ้อ...คิดถึงก็มาพอดี

          ร่างโปร่งบางเดินตรงเข้ามาหาเขา  วันนี้เด็กหนุ่ม  ไม่สิ เค้ากำลังจะเป็นบัณฑิตอยู่รอมร่อแล้วไม่ได้อยู่ในชุดออกกำลังกายเหมือนเคย  กลับอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ต กางเกงแสล็คเรียนร้อย เหมือนคนทำงาน

          “เต  ทำไมใส่ชุดนี้มาล่ะ  มีธุระต่อเหรอ”  เขาทักทันที  สังเกตเห็นใบหน้าของฝ่ายนั้นซีดกว่าปกติ  ทว่าไม่ได้เอะใจ

          “เดี๋ยวผมมีที่นึงต้องรีบไปน่ะ...พี่ดิมล่ะ  วันนี้มีซ้อมรับปริญญาไม่ใช่หรอ  ตอนบ่ายใช่มั้ย”  เตจำตารางของเขาได้แม่นยำเหมือนเดิม

          บัณฑิตแพทย์และบัณฑิตอักษรศาสตร์เดินคู่กันมาเรื่อยๆ  สวนกับนักศึกษาหลายคนที่มาวิ่งออกกำลังกายยามเช้า     สายลมแผ่วๆพัดมาทำให้ว่าที่คุณหมอหนุ่มรู้สึกสดชื่นปลอดโปร่งในอารมณ์เหลือเกิน

          “มีอะไรหรือเปล่า ถึงเรียกพี่มาก่อน  ไว้รอคุยกันเย็นนี้ไม่ได้ หืม?”  ถามยิ้มๆ  อีกฝ่ายหันมามองหน้าเขาแวบหนึ่ง  แต่ไม่พูดอะไร

          เราเดินต่อจนมาถึงตอนหนึ่งที่เป็นลานสนามหญ้าโล่งๆ  เขาพาเตเดินมาหยุดยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้...ต้นไม้แห่งความทรงจำเราสองคน  ในวันแรกที่เขาส่งผ้าขนหนูที่มีเบอร์โทรของเขาเขียนอยู่ให้กับฝ่ายนั้น และเตก็ส่งขวดน้ำกลับมาให้  แค่คิดก็เผลอยิ้มกว้างออกมา

          “จำต้นไม้ต้นนี้ได้มั้ย  หลายปีก่อนพี่แลกเบอร์เตตรงนี้นะ  จำได้หรือเปล่า   พอมาคิดๆดูตอนนั้นพี่โคตรเชยเลย  เขียนใส่ผ้าเช็ดหน้า ฮ่าๆ”   เขาหัวเราะขำตัวเอง  แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่หัวเราะตามไปด้วยเหมือนทุกครั้ง  ริมฝีปากอิ่มเต็มคู่นั้นเม้มแน่นและซีดเผือด

          “เต  นายเป็นอะไรหรือเปล่า  ไม่สบายตรงไหน  หน้านายซีดจัง หรือว่าจะเป็นลม”  รีบถามอย่างห่วงใย  เขากุลีกุจอเข้าไปหาร่างตรงหน้า  จับหัวไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้  แต่อีกฝ่ายกลับดันตัวเขาออก

          เงยหน้าขึ้น จ้องมองเขาด้วยดวงตากลมดำขลับที่มีแววประหลาดแฝงอยู่

          “พี่ดิม...ผมมีเรื่องจะบอกพี่”  เสียงของเตแหบกว่าทุกวัน  ใจของคนฟังเต้นแรงขึ้น  สังหรณ์บางอย่างบอกตัวเองได้ทันทีว่านี่มันไม่ปกติ 

          “อะไรหรือเต?”  นายอย่าทำหน้าแบบนี้สิ  เขารำพึงในใจ  กลั้นใจรอฟังคำพูดที่กำลังจะออกมาจากฝ่ายนั้น

          เตเงียบไปครู่ใหญ่ ราวกับต้องการใช้เวลาทบทวน  แต่สุดท้ายเสียงแหบพร่าก็หลุดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มสนิท

          “เต...ขอโทษ  ..พี่ดิมดีเกินไปสำหรับเต  เตไม่อยากให้พี่จะต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่เพราะเต   ขอโทษจริงๆแต่เราจบกันตรงนี้เถอะนะ”

เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดเสียงสั่น รวดเดียวจบราวกับท่องจำมา  ก่อนจะยกมือขึ้นไหว้เขา  และทำท่าจะหันหลังเดินจากไป

เขาพูดไม่ออก  รู้สึกหัวสมองมึนชา แม้ว่าจะเอื้อมมือไปยึดแขนของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น

“เดี๋ยวเต   เต..หมายความว่ายังไงนะ  พี่...”

ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า  ไม่มีทันได้เอะใจใดๆทั้งสิ้น  เมื่อวานเขายังหัวเราะให้แก่กันอยู่เลยไม่ใช่เหรอ  ทำไมตอนนี้ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้   มันต้องมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง

“เตขอโทษ  พี่ดิม  ปล่อยเตเถอะ" แฟนของเขาพูด พยายามบิดแขนออกจากมือของเขา  ขาก้าวออกเดินหนี   แต่เขาไม่ยอมปล่อยมือ  ยังคงเดินตามไปติดๆ

เสี้ยวหน้าที่เขาเห็นนั้นซีดเผือด  แต่ไม่มีน้ำตาสักหยดเดียว

“เต  ทำไมล่ะ  เกิดอะไรขึ้น  โกรธอะไรพี่หรือ  พี่ทำอะไรผิดไป...”  เขาเขย่าแขน  แต่อีกฝ่ายสะบัดแขนอย่างแรงจนหลุด   แล้วออกวิ่งเต็มฝีเท้า

เขาวิ่งตาม

          “เต เดี๋ยวก่อน  ทำไมล่ะ  บอกพี่มา”

          เด็กหนุ่มคนนั้นวิ่งข้ามถนนไปอย่างรวดเร็ว  เขารีบกวดฝีเท้าวิ่งตามไป ไม่ทันระวัง  ไม่เห็นเลยว่ามีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งตรงมาด้วยความเร็ว ก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเขาอย่างแรงจนกระเด็น

          ตัวลอยหวือไปตกกระแทกพื้น  รู้สึกจุกแน่นหายใจไม่ออก  เจ็บแปลบที่ศีรษะ

          “เต เดี๋ยว  กลับมาก่อน…ตั้งเต  อย่าทิ้งพี่”

          เขาตะโกนลั่น  แต่เสียงที่สะท้อนกลับเข้ามาแก้วหูของตัวเองกลับแผ่วเบาแทบไม่ได้ยิน   พยายามเพ่งมองร่างเล็กบางที่วิ่งตัดถนนขึ้นไปยืนที่ฟุตบาทอีกด้าน   เห็นลางๆว่าอีกฝ่ายจ้องมองมาที่เขา

          หูแว่วเสียงคนหวีดร้อง และพูดคุยจอแจอยู่รอบตัว  รดิศอยากตวาดให้ทุกคนเงียบซะ  แต่เขาไม่เหลือแรงพอ

          ‘เต อย่าไป’  ริมฝีปากขยับนิดๆเท่านั้น กับความพยายามครั้งสุดท้ายของเขาในการรั้งอีกฝ่ายเอาไว้   สายตาที่เริ่มพร่าเลือนมองไม่เห็นร่างของคนรักอีกต่อไป  ความรู้สึกชาแล่นไปทั่วร่างพร้อมกับอาการหนักศีรษะจนอยากจะหลับตาลง

          สำนึกสุดท้ายมีเพียงใบหน้าเรียวของเด็กหนุ่มคนนั้น กับประโยคที่ก้องกลับไปกลับมาอยู่ในหูว่า ‘เราจบกันตรงนี้เถอะนะ  เตขอโทษ’

จากนั้นเขาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

มาฟื้นอีกทีก็อีกหลายวันต่อมาที่โรงพยาบาล  ใบหน้าแรกที่เขาเห็นคือใบหน้าของเพื่อนสนิท..รัน...หาใช่ใบหน้าเรียวหวานที่ติดอยู่ในความทรงจำที่แสนเจ็บปวดของเขาไม่

“เตล่ะ  รัน  เตอยู่ที่ไหน  เขาทิ้งพี่ไป”   ประโยคแรกของคนเจ็บที่เอ่ยออกมาในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น คล้ายกับอยู่ในความฝัน   เพื่อนสนิทของเขายิ้มอย่างดีใจ   แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา

“พี่ดิม  ฟื้นแล้ว  ผมเป็นห่วงพี่มากเลยนะ  นอนเงียบไปเลยตั้งสามวันสามคืน  เดี๋ยวผมขอไปตามอาจารย์ก่อน”  รันพูด รีบวิ่งออกไปจากห้อง  ครู่เดียวก็กลับมาพร้อมอาจารย์แพทย์และทีมพยาบาล

อาจารย์เข้ามาตรวจเขาอย่างละเอียด และส่งไปสแกนสมองเพราะเขาได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างแรง  ไม่นับกระดูกซี่โครงและแขนขาที่หักหลายท่อนต้องดามเฝือกเอาไว้ทั่วทั้งตัว  ปอดและตับฉีกแต่ได้รับการผ่าตัดด่วนไปแล้วตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง

ได้ยินเสียงคุยกันแว่วๆก่อนที่เขาจะหลับไปอีกเพราะฤทธิ์ยาว่า

‘ดิมมีเลือดออกที่ก้านสมอง  ที่โรงพยาบาลของเราผ่าตัดไม่ได้  ต้องส่งตัวไปอเมริกา ที่นั่นยินดีรับ…’

หลังจากนั้นเขาก็ครึ่งหลับครึ่งตื่นมาตลอด  ไม่ได้สติอีกเลย  และทุกครั้งที่เขารู้สึกตัว  ประโยคแรกที่เอ่ยออกมาก็จะเป็นข้อความซ้ำๆเดิม ราวกับเทปที่ถูกกรอซ้ำ  รวมถึงใบหน้าที่มักโผล่เข้ามาในความล่องลอยพร่าเบลอ ก็มักจะเป็นใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนั้น

เพราะเจ้าตัวฝังใจ

“เตอยู่ไหน  เขาไปไหน”   

หลายเดือนกับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลชั้นนำของโลก  ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมาจากความฝัน ได้รับการบอกเล่าแค่เขาถูกส่งตัวมารักษาต่อที่นี่ด้วยบารมีของบิดาของรัน  รวมถึงค่ารักษาพยาบาลด้วย

ในตอนแรก  ชายหนุ่มหมดอาลัยตายอยากในชีวิต   เขาไม่อยากอยู่แล้ว  ในเมื่อเตทิ้งเขาไปอย่างไม่ไยดี  ไม่!  แม้แต่จะส่งข้อความมาเยี่ยม หรืออะไรก็ได้แม้เเต่ถามถึงสักหน่อยก็ยังดี   แต่นี่อีกฝ่ายหายเข้ากลีบเมฆไปเสียเฉยๆ

ถามความจากเพื่อนสนิทก็ได้เพียงว่า เด็กหนุ่มคนนั้นไม่มางานวันรับปริญญา ไม่ได้ไปทำงานที่ไหน  ติดต่อไปทางเพื่อนฝูงก็ไม่มีใครได้พบอีกเลย  ราวกับหายสาบสูญไปจากสังคม

้เขาต้องได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์หลายครั้ง  กว่าจะยอมทำกายภาพบำบัดและยอมรับการรักษาต่อ   ตลอดช่วงเวลาที่ยากลำบาก  เขามีเพียงคุณแม่และรันเท่านั้นที่อยู่เคียงข้าง

ในที่สุดชายหนุ่มก็หายดี และกลับมาเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้ง   ตัดสินใจที่จะฝังอดีตของเด็กหนุ่มใจดำคนนั้นเอาไว้ในหลุมที่ลึกที่สุดในหัวใจของเขาและจะไม่ขุดมันขึ้นมาคิดถึงอีกแล้ว

          ให้นึกเสียว่าเราตายจากกันไปเลยก็แล้วกัน

          เมื่อตั้งใจเอาไว้อย่างนั้น   รดิศจึงเลือกสอบเข้าเรียนต่อที่โรงพยาบาลที่เขามารับการรักษานั่นเอง  โชคดีที่สมองของเขายังคงปราดเปรื่องเหมือนเดิม  การเรียนในสาขาที่ว่ายากเย็นแสนเข็ญนั้นจึงไม่ยากเกินไปสำหรับเขา

          ส่วนรัน...ชายหนุ่มซาบซึ้งในบุญคุณของอีกฝ่ายจนบรรยายไม่ถูก  ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทดแทนทุกอย่างที่ทำได้  และสิ่งหนึ่งที่เขารู้ก็คือ...รันรักเขา

และนั่นก็เพียงพอแล้ว   เขายินดีที่จะอยู่เคียงข้างรันไปตลอดชีวิต   ให้สมกับที่อีกฝ่ายอยู่เคียงข้างเขาตลอดมา

ทว่าในคืนที่ดึกสงัด  ในเวลาที่เขาเหนื่อยมากๆ จากงาน จากการเรียน  กลับหอมานอนหลับตานิ่งๆ เขามักจะแว่วเสียงนุ่มเคยคุ้นที่ริมหู คอยไถ่ถามเขาอย่างห่วงใยปนหยอกเย้าอยู่เสมอ

‘ดึกแล้ว  นอนได้แล้วน่า  จะเรียนอะไรนักหนา ดูสิ ตาคล้ำยังกับหมีแพนด้าแล้ว’

“เต!”

เหมือนเคย  เมื่อเขาลืมตาขึ้นมา ก็จะพบว่าห้องนั้นว่างเปล่าและเย็นเยียบ...เช่นเดียวกับหัวใจของเขา



                           **********************




“เต!”  คุณหมอหนุ่มสะดุ้งตื่น  ได้ยินเสียงตัวเองเรียกชื่ออีกฝ่ายดังลั่นห้อง

เขาปิดตาลงแล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง  นอนนิ่งๆอยู่บนเตียงขนาดคิงส์ไซส์ภายในห้องนอน  ฟังเสียงเครื่องปรับอากาศทำงาน

เขานอนแบบนี้มานานแล้ว อาจจะหลายชั่วโมง หรือหลายวัน    ก็ไม่รู้เหมือนกัน

ที่รู้ก็คือเขารู้สึกเจ็บปวดในอก  หมดเรี่ยวแรง  หรือจะเรียกว่า เฮิร์ท ก็คงจะได้  ที่จริงมันก็ไม่เชิงอกหักหรอก  ไม่ใช่แบบนั้น เขาบอกตัวเอง   ก็เขาไม่ได้รักเตแล้วนี่นา  จะได้อกหักเพราะถูกปฏิเสธ

มันคงเป็นความรู้สึกคล้ายๆกับความผิดหวัง   เวลาที่เราตั้งความหวังกับอะไรอย่างหนึ่งมากเกินไป   อืม...เป็นเพราะเขาตั้งความหวังกับการแก้แค้นเอาไว้มาก   ทว่ายังไปไม่ถึงครึ่งทาง แผนก็มีอันต้องล่มเพราะอีกฝ่ายถอนตัว

ไอ้เราก็อุตส่าห์คิดในแง่ดีว่า  ฝ่ายนั้นคงจะมีมโนธรรมสูงส่งจนสามารถยับยั้งชั่งใจจากกามราคะที่เขาจงใจเสนอให้   แต่ที่ไหนได้...เขาทิ้งเราไปเพราะไอ้หน้าตี๋ใส่สูท เจ้านายของเค้าตะหาก

ทำไมล่ะ  เขาสู้ไอ้หมอนั่นไม่ได้ตรงไหน  หรือว่าลีลาไม่ร้อนแรงถึงอกถึงใจพอ ...ร่างโปร่งบาง ผิวนวลเนียน  สัมผัสนุ่มนิ่มที่คร่อมตัวเขาอยู่ด้านบนแวบกลับเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้ง   ฝ่ามือที่ลูบไล้ไปตามร่างกาย สำรวจมัดกล้ามของเขาราวกับเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็น   ดวงตาฉ่ำปรือและเรียวปากอิ่มชื้นที่หวานหอมคู่นั้น

ให้ตายสิ  แค่คิด..บางส่วนในร่างกายของเขาก็ปวดหนึบ

            ภาพใบหน้าของผู้ชายขาวตี๋ดูกวนประสาทแวบเข้ามาอีก  เขากำลังโน้มลงไปเพื่อสัมผัสริมฝีปากอิ่มเต็มของเตที่เผยอน้อยๆรอการสัมผัส....

            “โว้ย!! ไม่ไหวแล้วว้อย”

          ศัลยแพทย์หนุ่มผุดลุกขึ้นจากเตียงนอน  เขาคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาเพื่อนแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกที่เป็นเจ้าของไข้ของเขา

            “ฮัลโหล   พี่รุจ  ช่วยอะไรผมหน่อย  ผมอยากเอาเฝือกออกแล้ว”

            ..............................................................................................

            ชายหนุ่มร่างโปร่งเพรียวนั่งทำงานอยู่ในห้องส่วนตัวของตนเองเหมือนทุกวัน  ปลายนิ้วเรียวยาวพรมไปบนแป้นคีย์บอร์ดรัวเร็วตามกระแสความคิดที่พรั่งพรูออกมาในยามดึกสงัด   เขาหยุดชะงักนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆที่หน้าห้อง  ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก

            ภรรยาของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วบรรจุนมอุ่นๆ  เธอเดินมาหยุดตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขา  วางถ้วยแก้วลง

            “ขอบคุณมากจ้ะ  ตัง”  เงยหน้าขึ้นบอกยิ้มๆ แล้วรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ต่อ

            “งานเร่งหรือคะ พี่เต  พี่ไม่ออกจากห้องมาสองวันแล้วนะ”  หญิงสาวถามอย่างเป็นห่วง  พิศดูใบหน้าเรียวที่ซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัด   ไรหนวดขึ้นเขียวครึ้มเพราะเจ้าของไม่ดูแล  ใต้ตาดำคล้ำราวกับเขาไม่ได้นอนเลยตลอดสองวันที่ผ่านมา

            “จ้ะ  จะปิดเล่มแล้ว  พี่โดมเร่งมา”  พี่เตบอก  สบตาเธอแวบหนึ่ง

            “เร่งขนาดไม่ต้องกินข้าวกินปลาเลยเหรอคะ  พี่เต  ตังไม่เชื่อหรอก  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า  ทุกทีต่อให้งานเร่งแค่ไหน พี่ก็ไม่เคยทำแบบนี้นี่”  เธอเท้าแขนลงกับโต๊ะ  ชะโงกลงมาบังหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อบังคับให้เขาหยุดพิมพ์แล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ

            “ไม่มีอะไรหรอก  ช่วงก่อนนี้พี่ไม่ค่อยได้เขียนน่ะ  เลยเขียนไม่ทัน  ตังไม่ต้องเป็นห่วงพี่หรอก  คอยดูแลสุขภาพของเราก็พอแล้ว  วันนี้ยังเหนื่อยอยู่อีกไหม”  เขาเปลี่ยนเรื่อง   สาวรุ่นน้องกัดริมฝีปาก  แต่ก็ยอมตอบ

            “ไม่เหนื่อยแล้วค่ะ  ยาที่หมอให้มาดี   พี่เต...พรุ่งนี้มีประชุมผู้ปกครองของเต้   ตอนแรกตังจะมาชวนพี่เตไปด้วย  แต่ดูแล้วพี่คงไปไม่ได้”

          “ขอโทษทีนะจ้ะ  พี่ทำงานไม่เสร็จจริงๆ  ไว้คราวหน้านะ”  เตพูดเสียงอ่อน  ลุกขึ้นจากเก้าอี้  ฝืนอาการวิงเวียนหนักศีรษะที่คงเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียง  เดินไปโอบไหล่น้องสาวพาออกจากห้องของเขาไปส่งยังห้องของเธอ

            หญิงสาวยอมเข้านอนโดยดี  ไม่ลืมเตือนให้เขารีบพักผ่อนบ้างและออกมาทานอาหารเช้ากับเธอพรุ่งนี้

            ติณธรรับปาก    เดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิม เงยหน้าขึ้น หลับตา ถอนหายใจยาวเหยียด

            สองวันแล้ว  ที่เขาไม่มีกระจิตกระใจจะออกไปไหน ทำอะไร แม้แต่จะหาอะไรเข้าปาก   เหมือนมันอิ่มตื้อไปเสียเฉยๆ   อยากนอนนิ่งๆ  ทว่าพอล้มตัวลงนอน  ภาพเหตุการณ์ในห้องน้ำก็จะผุดขึ้นมาทุกครั้ง

            ใบหน้าคมเข้มที่จ้องมองเขาด้วยแววตาเศร้าสลด  ทั้งผิดหวัง เสียใจ และไม่เข้าใจ   มันหลอกหลอนเขา  ติดตาพอๆกับภาพใบหน้าเปื้อนเลือดที่มองมายังเขาอย่างอ้อนวอน ขอร้องเมื่อหลายปีก่อน

            และทั้งสองเหตุการณ์ก็จบลงที่เขาวิ่งหนีจากมาเหมือนกัน  ทิ้งผู้ชายคนนั้นเอาไว้

            เขาทำผิดซ้ำสองใช่มั้ย?  เขาทิ้งพี่ดิมอีกแล้วหรือเปล่า  ทั้งที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ขอร้องให้เขากลับไปช่วยเยียวยาแผลใจ  ทั้งที่เขาตั้งใจจะกลับไปเพื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน

            เพื่อที่เราสองคนจะได้ไม่ต้องจากกันด้วยความไม่เข้าใจ  ความกังขา หรือความโกรธเกลียดกัน 

            สัมผัสนุ่มนวลแต่ร้อนแรงอยู่ในทีของพี่ดิมยังคงติดอยู่ในความทรงจำ   เตเชื่อว่าถ้าวันนั้นตนเองไม่ผละออกมา  เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น คงจะต้องไปต่อจนสุดทางเป็นแน่  เพราะเขาคงไม่สามารถปฏิเสธใจตัวเองได้  และคนที่จะเสียใจ ในคราวนี้ก็จะไม่ได้มีแค่เขากับพี่ดิมอีก  แต่จะมีข้าวตัง  เต้  หมอรัน.... คนที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรเลย  แต่ก็ต้องมารับความเจ็บปวดนี้ด้วย

            ถึงกระนั้น  จะให้ติดใจ ‘ทิ้ง’ อีกฝ่ายออกมาแบบนี้เสียเฉยๆ  เขาก็ไม่สบายใจอยู่ดี    นี่เขาควรทำอย่างไรดีนะ

            ลืมตาขึ้นมา  จ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เปิดค้างเอาไว้  ตัวอักษรที่เรียงรายอยู่เต็มพรืดแต่ไม่มีความหมายอันใด   ไร้ความปะติดปะต่อ เพราะคนเขียนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

            เตกดลบทิ้งอีกครั้ง   

            ถ้าความรู้สึกของเรา สามารถกดลบทิ้งได้ง่ายๆ แบบนี้ก็คงดี

            เช้าวันรุ่งขึ้น  ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองเผลอนอนหลับอยู่บนเก้าอี้ทำงานนั่นเอง   บิดตัวอย่างเมื่อยขบ  หันไปมองนาฬิกาก็ตกใจ...เกือบแปดโมงกว่าแล้ว

            รู้สึกปวดศีรษะจนแทบระเบิด   เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้  เปิดประตูออกมาด้านนอกเพื่อหายาแก้ปวดทาน   พบว่าภายในบ้านเงียบกริบ...ข้าวตังกับเต้คงจะไปโรงเรียนกันแล้ว  วันนี้มีประชุมผู้ปกครองนี่นะ

            กล้ำกลืนฝืนกินยาเม็ดใหญ่เข้าไปเม็ดหนึ่ง   ถอยกลับเข้าไปภายในห้องนอนอีกครั้ง  ไม่รู้สึกหิวเหมือนเคย  จึงเดินไปหย่อนตัวลงที่เก้าอี้ทำงาน

            เสียงแตรรถยนต์บีบดังขึ้นด้านนอกบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงกดกริ่ง     

            เจ้าของบ้านหนุ่มถอนหายใจยาว  คงจะเป็นพี่โดมมาทวงต้นฉบับกระมัง  ...ทำไมถึงไม่โทรมาก่อนเหมือนทุกทีนะ

            “กำลังลงไปครับ”  เขาตะโกนลงไปบอกด้านนอกหน้าต่าง  แล้วเดินแกมวิ่งลงมาจากชั้นสอง มาที่ประตูหน้าบ้าน  เปิดออกไป  ชะงักนิดหน่อยเพราะรถของคนมาหาที่จอดอยู่ด้านนอกรั้วไม่ใช่รถของพี่โดม

            รวมถึงร่างของคนที่ยืนเกาะประตูรั้วอยู่ด้วยเช่นกัน

            สบนัยน์ตาคมเข้มคู่นั้น  เตนึกอยากถอยกลับเข้าไปในบ้านเสียจริงๆ   ผู้ชายที่อยู่ในความคิดคำนึงของเขา ทำเอากินไม่ได้ นอนไม่หลับมาสองวันกลับมายืนอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง อย่างไม่ทันตั้งตัว

            “พี่ดิม..?”

          ………………………………………………



มาต่อนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามอ่าน
มีนักอ่านถามว่าจะหน่วงอีกกี่ตอน...เอ่อ  ก็เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวประมาณ30กว่าตอนค่ะ แหะๆ
ค่อนข้างดราม่า  ขอบคุณที่อินขนาดนี้5555
เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ :impress2:
ปล.ถ้าชอบเรื่องนี้อย่าลืมเม้นท์หรือกดถูกใจ บวกเป็ดนะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 07-02-2017 19:25:12
ไม่ค่อยถนัดแนวดราม่ายาวนาน ขอรอจบก่อนนะคะ
ให้กำลังใจคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 07-02-2017 20:05:29
อยากให้ผ่านช่วงหน่วงไปเร็วๆ จังเลยค่ะ ฮ่าๆๆ
แต่ถึงจะหน่วง ก็ยังตามอ่านอยู่ดี
ชีวิตก็เป็นอย่างนี้นี่แหละนะคะ
เราก็รู้อยู่แค่มุมมองของตัวเองนี่แหละ
ไม่มีทางรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรได้เลย
เพราะเราไม่สามารถพูดทุกอย่างที่คิด ที่รู้สึกได้
ก็เลยเกิดความไม่เข้าใจกันอย่างนี้
เอาใจช่วยพี่ดิม น้องเตค่ะ
 :mew4: :mew4:

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 07-02-2017 20:40:24
ขอบคุณนะคะ


รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ceylon ที่ 07-02-2017 21:02:38
30 ตอน... นี่พึ่ง 15 โอ้ย   :katai1:
สู้ๆนะเตนะ ยังมีเวลาชีวิตดราม่าอีกหลายตอน เราอยู่ข้างนายเสมอ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-02-2017 23:40:49
   เวลามีปัญหาอะไรไม่ว่าเกี่ยวกับแฟนหรือในครอบครัวก็ช่าง มีอะไรก็ต้องพูดตรงๆไปเลย จะบอกเลิกแฟน ถ้ามีคนมาพูดอะไรก็คุยกับแฟนตรงๆไปเลย จะได้เข้าใจและช่วยกันแก้ไข นี่แค่นิยายนะ
  รออ่านต่อไปว่าตั้งเตจะทำยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 07-02-2017 23:50:23
สัญชาตญาณ ฆานประสาท ประกาศก้อง
มันเรียกร้อง จ้องจับเหยื่อ เมื่อเกิดหิว
ร่างกายสั่ง ดังในใจ ไล่ปลิดปลิว
เล็บห้านิ้ว เข้าหิ้วเหยื่อ เมื่อแน่ใจ

สันดานดิบ กระซิบบอก ให้หลอกเหยื่อ
พูดเกลี้ยกล่อม ให้ยอมเชื่อ เมื่อหลงไหล
น้าวธนู ยิงลูกดอก วิ่งออกไป
ปักหัวใจ ไม่มีพลาด ขาดใจตาย

สัตว์ย่อมกระหายในสัตว์

คนก็เช่นเดียวกัน

ไม่แตกต่างกันเลย
หุหุ
 :mew2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 09-02-2017 19:42:07

เพราะหัวใจบอกว่า...ซึ้ง

 

 

 

 

            “พี่ดิม..?”   เจ้าของบ้านหลุดชื่อแขกผู้มาเยือนออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว    ผู้ชายหน้าเข้มตรงหน้าจ้องมองมาที่เขานิ่ง  ดวงตาคมกริบคู่นั่นหรี่น้อยๆราวกับกำลังพิจารณาดูท่าทีของเขาอยู่

            “พี่มีเรื่องจะคุยด้วย   ขอเข้าไปคุยข้างในหน่อย”   รดิศพูดออกมาในที่สุด    น้ำเสียงเรียบ   เรียบเกินไปเหมือนคลื่นในมหาสมุทรที่กำลังจะก่อตัวกลายเป็นพายุร้ายโหมกระหน่ำซัดเข้าหาฝั่ง   เตคิดในใจ   สัญชาตญาณสั่งให้เขาถอยหลังไปสองก้าว  ไม่ยอมเปิดประตูเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามา

            “คุยตรงนี้ก็ได้   พอดีข้างในไม่สะดวก”  เจ้าของบ้านพูดสั้นๆ  พยายามไม่สบตาคมๆคู่นั้นมากนัก

            “ถ้าอย่างนั้นไปคุยในรถพี่ได้มั้ย   ตรงนี้มัน...แดดร้อน”  พี่ดิมเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์เวลาแปดโมงกว่าที่แผดจ้าลงมายังพื้นโลกอย่างไม่ปรานีปราศรัย  เหงื่อเม็ดโตเริ่มไหลลงมาตามขมับและหางคิ้วเข้ม 

            เตไม่อยากเข้าไปนั่งคุย ‘ในรถ’ กับฝ่ายนั้น  แต่เมื่อเทียบกับการให้พี่ดิมเข้ามานั่งคุย ‘ในบ้าน’ ที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียวแล้ว   คิดว่าอย่างไหนมันจะปลอดภัยมากกว่ากันล่ะ

            มั่นใจได้ว่าพี่ดิมจะต้องกำลังโกรธเขาอยู่มากๆแน่ๆ  ก็เล่นผละออกมาเสียดื้อๆแบบนั้น ....เหลียวซ้ายแลขวาหาทางที่ดูจะเหมาะที่สุด  จากนั้นชายหนุ่มก็ชี้ไปที่ต้นไม้สูงที่แผ่ร่มเงาอยู่ริมรั้วบ้าน

            “เราคุยกันตรงนั้นก็ได้”  ดิมมองตาม   แล้วขมวดคิ้ว

            “นี่นายไม่ไว้ใจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ  กลัวอะไรไม่ทราบ  คิดว่าฉันจะปล้นหรือบีบคอนายตายหรือไง  ไม่เห็นหรือว่าฉันมีแค่แขนเดียว จะทำอะไรได้”  พี่ดิมเปลี่ยนมาเรียกแทนตัวเองว่า ‘ฉัน’ เหมือนทุกทีเวลาที่ยั้วะจัด   ยกแขนที่มีผ้าคล้องไหล่อยู่ขึ้นมา

“เปล่า  ไม่ใช่อย่างนั้น”  ตั้งเตรีบปฏิเสธ  เหลือบตามองไปที่รถเก๋งคันใหญ่ของฝ่ายนั้น  เห็นผู้ชายอีกคนเดินป้วนเปี้ยนอยู่  เดาว่าคงจะเป็นคนขับรถที่ฝ่ายนั้นจ้างมาขับให้ระหว่างที่มือใช้การไม่ได้ 

อย่างน้อยเค้าก็เป็นพยานให้ได้ ถ้าเขาถูกอีกฝ่ายฆ่าหมกศพขึ้นมา

“ไปคุยในรถเถอะ”   เตตัดสินใจ   เขาเปิดประตูบ้านออกมา แล้วก็รีบปิดล็อค ราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะแอบมุดลอดเข้าไป    รดิศที่ยืนจับตาดูอยู่เม้มปากนิดหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา   เขาพาอีกฝ่ายไปที่รถที่จอดเยื้องๆไม่ไกลจากหน้าบ้าน  เปิดประตูข้างคนขับให้เตก้าวขึ้นไปนั่ง  ส่วนเขาเดินอ้อมไปขึ้นประจำที่คนขับ

ภายในรถเปิดแอร์ทิ้งเอาไว้เย็นฉ่ำผิดกับสภาพอากาศด้านนอก   ตั้งเเตบอกตัวเองว่าเขาควรจะรีบพูดให้จบ ก่อนที่อะไรหลายๆอย่างที่อัดแน่นอยู่ในอกมันจะปะทุออกมา

“พี่ดิม  เรื่องวันนั้น  ผมขอโทษ   ผมไม่ได้ตั้งใจ....ผมรู้ว่ามันผิด  พวกเราไม่ควรทำอย่างนั้น   เป็นเพราะผมผิดเองที่ไม่ควบคุมตัวเองให้ดี”   นักเขียนหนุ่มพูดรัวเร็ว

คนฟังเลื่อนมือไปกดล็อคประตูโดยไม่ให้อีกฝ่ายทันสังเกต  แล้วหันไปยิ้มนิดๆ

“พี่รู้   พี่คิดมาตลอดสองวันว่าทำไมนายถึงได้ทิ้งพี่ไปแบบนั้น  แล้วในที่สุดพี่ก็เข้าใจ  ว่านายไม่ได้ตั้งใจ   เพราะว่านายมีคนที่นายจะต้องซื่อสัตย์กับเค้าไปตลอดชีวิตแล้ว  พี่รู้ว่านายรู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น”  ศัลยแพทย์หนุ่มพูดเสียงนุ่มผิดความคาดหมายของอีกคนจนแทบอ้าปากค้าง  เขาเตรียมใจมาแล้วว่าจะต้องเผชิญกับความเกรี้ยวกราดดุดัน  ไม่ยอมรับเหตุผลใดๆทั้งสิ้นตามแบบฉบับของคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงทะลุเพดาน

“ขอบคุณนะครับพี่ดิม  แล้วก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ  พี่...ไม่โกรธผมใช่ไหม”

“พี่จะโกรธนายทำไม  มีแต่ต้องชื่นชมนายเสียมากกว่า  พี่ก็ผิดเองที่ไม่มีสติ  จนเกือบทำให้เราทั้งคู่ต้องพลาดไป  แล้วก็จะทำให้คนของนายเสียใจ”  มีแววเยาะแฝงอยู่ในประโยคนั้น  แนบเนียนจนเตไม่รู้สึก   เพราะมัวแต่ดีใจที่อีกฝ่ายไม่ได้โกรธตน

“ค่อยยังชั่ว  นึกว่าพี่จะโกรธผมมาก   ผมเลยไม่กล้าไปขอโทษพี่”

“ตั้งเต  ถึงเราจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว  แต่พี่ก็ยังเห็นนายเป็นน้องชายเสมอนะ  ไม่มีพี่ชายคนไหนโกรธน้องชายได้นานหรอก”  ยกเว้นเสียแต่ว่า เขาคนนั้นจะไม่ได้คิดเป็นพี่ชาย-น้องชายจริงๆ   แต่เป็นคนใจดำที่ควรได้รับบทเรียนตอบแทนบ้าง

“พี่ดิม...”  เตเอ่ยแค่นั้น แล้วก็น้ำตาคลอ   จ้องมองเขาด้วยสายตาที่ทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องกลั้นหายใจและรู้สึกจุกแน่นในอก  วูบหนึ่งที่เขาอยากถอยกลับ  ไม่อยากทำตามที่ตั้งใจเอาไว้แล้ว  อยากปล่อยอีกฝ่ายไป

“ผมดีใจที่พี่ยังนับว่าผมเป็นน้องอยู่” เสียงเครือสั่นด้วยอารมณ์ตื้นตันจากข้างใน   เขาไม่นึกมาก่อนเลยว่าอีกฝ่ายจะยังคงมองเขา  ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนแก้มของเขาเบาๆด้วยความอ่อนโยนถึงเพียงนี้

สัมผัสแผ่วเบาที่มีผลต่อหัวใจของเขาอย่างรุนแรง

ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่ายพุ่งสูงขึ้นมาอีก    ยิ่งเห็นดวงตาคมของฝ่ายนั้นแดงก่ำ  ใบหน้าโทรมราวกับคนไม่ได้นอนก็ยิ่งรู้สึกผิดต่ออีกคนจับใจ

พี่ดิม....  ผมทำให้พี่เจ็บปวดอีกแล้ว  แต่พี่ก็ยังให้อภัยผม

ภายในรถตกอยู่ในความเงียบ 

ตั้งเตมองมาที่เขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความขอบคุณและสำนึกผิด  ให้ตายสิ!  มันทำให้เขาอึดอัดจนอยากจะลงจากรถแล้วหนีไปไกลๆ  ทำไมถึงเชื่อคนง่ายอย่างนี้?  คิดว่าคนเราจะหายโกรธ  ยกโทษให้กันง่ายๆหรืออย่างไร

อ้อ..คงเป็นเพราะเห็นว่าสิ่งที่ทำกับเขา มันเป็นเรื่องเล็กขี้ประติ๋ว ง่ายต่อการให้อภัยสินะ   ใช่ไหมล่ะเต  ไม่เห็นจะยากตรงไหนกับการให้อภัยคนที่ทิ้งตัวเองอย่างโหดร้ายแบบนั้น

“ตอนแรกผมก็ว่าจะกลับไปขอโทษพี่ดิม  แต่ติดงานเร่งเลยยังไม่มีเวลากลับไป”   ติณธรทำลายความเงียบ  เสียงยังเครืออยู่  สูดน้ำมูกฟุดฟิด

รดิศพยักหน้าเนิบๆ...งานเร่ง? แต่มีเวลาไปกินข้าว ซื้อของเต็มสองมือกับนายภาคย์อะไรนั่น  งานเร่งมากเลยนะ  เห็นเขาโง่เป็นควายหรือไงไม่ทราบ

“ไม่เป็นไรหรอกน่า   พี่เข้าใจ...วันนี้ก็เลยมาหาเตเองเลยไง  แล้วทำงานเสร็จหรือยังล่ะ”   กัดฟันถามยิ้มๆ บอกตัวเองว่าเขาจะต้องไม่ปล่อยโอกาสงามๆหลุดไปอีก  โดยการทำให้ไก่ตื่น

“ยังเลย  ถ้าอย่างนั้นผมขอกลับไปทำงานต่อก่อนนะพี่ดิม”  เต0ยกมือไหว้    เขาเห็นแววอะไรบางอย่างวาบผ่านไปในดวงตาของอีกฝ่าย  ก่อนที่จะสังเกตเห็นว่าประตูรถถูกล็อคเอาไว้

“ช่วยปลดล็อคหน่อยครับ...มันล็อคอยู่”  หันไปบอกอีกคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย  เห็นฝ่ายนั้นเลิกคิ้ว ท่าทางประหลาดใจ

“อ้าว  สงสัยข้อศอกจะไปโดนน่ะ  รอสักครู่นะ”  พี่ดิมพยายามใช้แขนข้างที่ยังดีอยู่  กดปลดล็อคแต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เกิดอะไรขึ้น   เตลองเปิดประตูดูอีกที

“ยังเปิดไม่ได้เลย พี่ดิม”    นักเขียนหนุ่มบอก   เริ่มสัมผัสความไม่ชอบมาพากลบางประการได้   เขาใช้นิ้วดันล็อคฝั่งที่นั่งของเขา  แต่คนนั่งฝั่งคนขับกลับกดล็อคซ้ำ

“พี่ดิม...เล่นอะไรครับเนี่ย  ผม...”   ตั้งเตหันไปพูดเสียงสั่น

“ขอโทษที  พี่กดผิดจังหวะน่ะ   อ่ะ...ได้แล้ว”  รดิศลอบยิ้มอยู่ในใจเมื่อเห็นวี่แววหวาดหวั่นในดวงตาเรียวสวยคู่นั้น  ดูเหมือนเตจะเกิดกลัวขึ้นมา 

พอคุณหมอหนุ่มปลดล็อครถให้   อีกฝ่ายก็รีบเปิดประตูก้าวลงมาจากรถทันที

“เป็นอะไรไปเต   กลัวอะไร?”  คำถามแกมหัวเราะของเค้า  ทำให้เตรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นโรคประสาทอ่อนๆ   ...จริงด้วยสิ  เขาจะกลัวอะไร  ในเมื่ออีกฝ่ายยังใส่เฝือกอยู่อย่างนั้น  และถ้าพี่ดิมจะขังเขาเอาไว้จริงๆ ก็คงไม่นั่งเท้าพวงมาลัยอย่างสบายแบบนี้หรอก

            “ขอโทษด้วยครับพี่ดิม  เอ้อ ...ถ้าอย่างนั้น  ผมขอกลับเข้าบ้านก่อนนะครับ”  พูดปากคอสั่น   ขณะที่อีกฝ่ายพยักหน้าให้แล้วปล่อยเสียงหัวเราะตามหลังมาเบาๆ  ทำเอาตั้งเตยิ่งรู้สึกอายในความคิดของตัวเอง

            บ้าไปแล้ว...เห็นพี่ดิมเป็นพวกพระเอกในละครตบจูบหรือยังไง   นี่มันชีวิตจริงนะเต  กลัวว่าเขาจะจับใส่รถแล้วพาไปขังไว้เรอะ  บ้าชะมัด

          “รีบทำงานนะครับ  แล้วไว้เจอกัน”  พี่ดิมพูดตามหลังมา  เขาบังคับตัวเองให้หันไปยิ้มให้  แล้วรีบเผ่นกลับเข้าบ้านไปด้วยความใจหายใจคว่ำ

            แอบมองจากหน้าต่าง เห็นผู้ชายอีกคนที่คงเป็นคนขับรถเดินกลับไปที่รถ    พี่ดิมก้าวลงจากรถแล้วย้ายไปนั่งข้างคนขับแทน  สักพักรถเก๋งคันนั้นก็เคลื่อนที่

            เตถอนหายใจยาว  เขาคิดมากไปเอง กลัวอะไรไม่เข้าท่า   เช่นเดียวกับชายหนุ่มที่เจ้าของรถ ที่คิดคำนึงปนเยาะหยันอยู่ในใจยาวเหยียด...สำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว   เขาตัดสินใจที่จะ ‘เริ่มเกมใหม่’  หลังจากคิดแผนอย่างรอบคอบรัดกุมเกือบค่อนคืน   ยังไงหนนี้ตั้งเตจะต้องได้รับรู้ความเจ็บปวดจากการเป็นฝ่ายถูก ‘ทิ้ง’ เสียบ้าง

            “ข้างนอกร้อนชะมัดยาด  นี่ไอ้ดิม  แกให้ฉันมาขับรถให้แกเนี่ยนะ  ชักจะเหิมเกริมมากไปจริงๆ เจ้าเด็กนี่   เฝือกก็ถอดแล้ว ไม่เข้าใจว่าจะยังพันผ้าแล้วคล้องแขนอยู่แบบนี้ต่อทำไม”  นายแพทย์รุจ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกพูดอย่างเคืองๆปนสงสัย  เพราะถูกรุ่นน้องโทรมาอ้อนวอนขอให้เขาช่วยถอดเฝือกให้ตั้งแต่เช้า  แถมยังขอร้องให้เขาช่วยขับรถพามาที่นี่อีก  แลกกับข้อเสนอที่จะช่วยให้เขาคืนดีกับแฟน

            “ก็พี่รุจบอกเองว่าถึงผมจะถอดเฝือกแล้ว  แต่ก็ยังไม่หายดีพอที่จะใช้งานนี่   เอาน่า เดี๋ยวผมจะหาทางช่วยให้พี่ง้อน้องเกรซสำเร็จ โอเคมั้ย”   รดิศพูดยิ้มๆ  เขายกข้อต่อรองที่จะช่วยอีกฝ่ายคืนดีกับน้องรหัสตัวเองขึ้นมาอ้าง   และมันก็ได้ผล

            “นั่งแท็กซี่มาเองก็ได้นี่หว่า   เออ  แล้วอย่าลืมที่รับปากเอาไว้ก็แล้วกัน  ถ้าน้องเกรซไม่ยอมมาพบฉันล่ะก็คอยดู    ว่าแต่เด็กหนุ่มเมื่อกี้นี่ใคร  กิ๊กใหม่หรือไง  หน้าตาจิ้มลิ้มเชียว  แหม ไอ้รันไม่อยู่หนูร่าเริงเลยนะ”   คนฟังจุ๊ปาก

            “ฮื้อ  กิ๊กเกิ๊กอะไร  เค้าเป็นคอลัมนิสต์ที่มาสัมภาษณ์ผมตะหากล่ะ   แล้วเมื่อไหร่ผมจะกลับไปผ่าตัดได้เหมือนเดิมล่ะพี่”  ชายหนุ่มรีบเปลี่ยนเรื่อง 

            “กายภาพบำบัดต่ออีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์ก็โอเคแล้ว  เท่าที่ดูกล้ามเนื้อก็ไม่ได้ลีบอะไร  จะรีบไปไหน ได้ข่าวว่าลางานตั้งสองเดือนไม่ใช่เหรอ”

          “รู้ได้ไงเนี่ย”

          “ไม่รู้ได้ไง  คนไข้มาบ่นกับฉันจนหูชาเลย  แต่ละคนกว่าจะได้คิวกับหมอกันรอตั้งนาน ถึงเวลาหมอดันลาป่วยซะนี่”   รุจกระแทกเสียง  ขณะเปิดไฟเลี้ยว พาเพื่อนรุ่นน้องกลับไปส่งที่คอนโด 

            “แหม  ผมก็ไม่ได้อยากจะเป็นอย่างงี้หรอก   จะทำอะไรก็ไม่ถนัด”   จะจับเด็กซักคนก็ติดขัดไปหมด   เซ็งชะมัด  หึๆ  แต่หลังจากนี้...ไม่รอดแน่ตั้งเต

            “คนบ้างานอย่างแก  ให้มานั่งๆนอนอยู่เฉยๆคงเบื่อตายเลย  ทำไมไม่หาอะไรทำล่ะ  วิจัยเรื่องโรคหัวใจรั่วอะไรของแกไปถึงไหนแล้ว”

            “ก็เรื่อยๆน่ะพี่  ผมผ่าไม่ได้แบบนี้ก็ต้องรอไปก่อน  เสียดายเหมือนกันที่นำเสนอไม่ทันงานประชุมครั้งนี้  ไม่เป็นไรผมรอได้”  ศัลยแพทย์หนุ่มยกนิ้วขึ้นเคาะขอบกระจกอย่างครุ่นคิด

          “เออดีแล้ว  จะรีบไปไหน  รอเพื่อนฝูงบ้างสิวะ  หนุ่มๆได้เป็นศาตราจารย์ก่อนนี่ดูแก่ตายชักเลย”

          “ไม่ค่อยอยากทำแล้วอ่ะพี่รุจ  พักนี้มัน...เหนื่อยๆ”  เขาเผลอถอนหายใจยาว   คนข้างตัวหันมามองแวบหนึ่ง แล้วอมยิ้ม

            “ให้ฉันทายนะ  ไม่ใช่เพราะไอ้รันหรอก  แต่เป็นเพราะไอ้หนุ่มหน้าหวานที่แกไปเกาะประตูรั้วมองตาละห้อยเมื่อกี้นี้นั่นแหละ   เฮ้อ   โบราณเขาบอก  สามวันจากนารีเป็นอื่น  คงจะใช้กับแกได้เหมือนกัน  สงสารไอ้รันจริงๆ มันจะรู้ไหมเนี่ย”

          “เห้ย  พี่ก็พูดไป  ไม่ใช่หรอก  อย่าไปเล่าให้รันฟังสุ่มสี่สุ่มห้าเชียวนา เดี๋ยวเค้าคิดมาก   ผมไม่ได้เหนื่อยเรื่องเตเสียหน่อย  เหนื่อยเพราะต้องมาใส่เฝือกบ้าๆนี่ตะหาก”  เขาหงุดหงิด

            “อ้อ  ชื่อเตเหรอ  เอ๊ะ  ชื่อคุ้นๆแฮะ  เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน....หรือว่า?”  จากที่คิดว่าเคยเห็นหน้าของผู้ชายร่างโปร่งบางเจ้าของบ้านหลังนั้นที่ไหน    เมื่อมารวมกับชื่อที่อีกฝ่ายหลุดปากออกมา  รุจก็นึกออกขึ้นมาฉับพลัน

            “น้องเต?  เดือนอักษร ..ใช่หรือวะ?”  หันมาถามเพื่อความแน่ใจ   รดิศขยับตัวทันที   นึกเจ็บใจที่ไม่ทันระวัง  เพราะไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะความจำดีเป็นเลิศซะขนาดนี้  เรื่องตั้งหลายปีแล้ว ยังอุตส่าห์นึกออกอีก

            “อืม  คนนั้นแหละ”  จำใจยอมรับ เพราะไม่อยากโกหก

            “เลิกกันไปตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ  ทำไมกลับมาเจอกันได้ล่ะ  แล้วนี่รันรู้เรื่องนี้หรือเปล่าว่าแกยังติดต่อกับแฟนเก่าอยู่”

          “รู้แล้ว   ก็ไม่มีอะไรนี่  เราบริสุทธิ์ใจเสียอย่าง   ที่เจอกันอีกก็เพราะงานเท่านั้นเอง”   รดิศพยายามบอกปัด  ไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดเรื่องนี้อีก แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะติดใจ ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

          “ฉันไม่เชื่อหรอกว่า คนเคยรักกันจะกลับมาเจอกันแบบบริสุทธิ์ใจจริงๆ  อย่ามาหลอกเสียให้ยาก  ดูหน้าแกก็รู้แล้ว   ต้องให้บอกมั้ยว่าตอนแรกที่ไปรับแกที่คอนโด หน้าแกยังกับศพเดินได้ แต่พอมาเจอน้องเตเข้าหน่อย หน้าตาสดใสผิดไปเป็นคนละคน   ไม่รู้ตัวล่ะสิ”

          “จริงเหรอ”  เขาเอามือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อ   มือสัมผัสกับไรหนวดเคราที่ไม่ได้โดนมาหลายวันจนรู้สึกสากๆ

            “แกยังรักเค้าอยู่ใช่มั้ย”   คุณหมอหนุ่มถามตรงๆ  ตรงเสียจนคนฟังอยากจะกระโดดออกไปนอกรถ  เพื่อจะได้ไม่ต้องตอบคำถามที่แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจในคำตอบ

            “มันก็...ไม่ได้รักแล้ว   แค่...”  เสียงขาดหายไปในลำคอ   ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิดหาคำตอบที่ตรงกับใจตัวเองในตอนนี้ที่สุด    ไม่ได้รักแล้ว...ใช่  นั่นถูกต้อง  แล้วแค่..แค่อะไรล่ะ...แค่โกรธใช่มั้ย  ใช่   ทั้งโกรธทั้งแค้น

            แค่นั้นแน่เหรอ   เสียงเล็กๆถามขึ้นมาจากซอกมุมในหัวใจ   ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าความโกรธของเขาในตอนแรกจางหายไปหมดเมื่อได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายหนึ่ง   ใบหน้าเรียวดูซูบหมองไป  ใต้ตาดำคล้ำ คล้ายกับว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้นอนเหมือนกัน   แต่จะเป็นเพราะเหตุผลเดียวกันกับเขาหรือเปล่า  เขาก็ไม่อาจทราบได้  มันทำให้ใจที่มีความโกรธคุกรุ่นอยู่เย็นลงด้วยความสงสาร   ทว่าเพียงแค่วูบเดียวเท่านั้นแหละ

            เหอะ  อาจจะไม่ได้นอน เพราะ ‘ทำงาน’ ให้เจ้านายอย่างหนักกระมัง

            หรือว่าจะเป็นเพราะคิดเรื่องของเราจนนอนไม่หลับ?

          ไม่หรอก   เราไม่ได้สำคัญอะไรกับเค้าขนาดนั้นนี่   เกิดเรื่องตั้งสองวันแล้ว  ถ้าเราไม่มาหาที่บ้าน ฝ่ายนั้นก็คงไม่มีความคิดจะกลับไปหาเราหรอก

            คิดมาถึงตรงนี้  ชายหนุ่มก็หน้าเครียดขึ้นมาอีก  ในสายตาที่เฝ้ามองอยู่อย่างจับสังเกต รุจบอกตัวเองได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในความสับสนอย่างหนัก   บางทีอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตนเองต้องการอะไร รู้สึกอย่างไรกันแน่

            “เอาเถอะ  ค่อยๆคิด  ฉันรู้ว่าแกเป็นคนเจ้าอารมณ์นะดิม  ใจร้อนด้วย  ให้ตายสิไม่รู้ว่าคนแบบนี้มาเป็นหมอผ่าตัดมือหนึ่งได้ยังไง   แต่ฉันก็อยากให้แกใจเย็นๆเอาไว้  ค่อยๆค้นหาว่าจริงๆแล้ว ใจของแกรู้สึกยังไงกันแน่   อย่าเอาอคติหรือทิฐิอะไรขึ้นมาบังหน้า เข้าใจ๊   ฉันเป็นกำลังใจให้” 

            รถมาจอดที่หน้าคอนโดของรดิศพอดี   รุจยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของอีกฝ่ายเบาๆ   คุณหมอหัวใจยกมือขึ้นไหว้  พึมพำว่าขอบคุณ  จากนั้นก็ก้าวลงจากรถเดินกลับเข้าไปภายในคอนโด

            คนขับมองตามหลังไปอย่างครุ่นคิด....คราวนี้ท่าทางจะยุ่งหนักแล้วล่ะสิ   เพราะดูท่าว่าคุณหมอที่เก่งกาจเรื่องหัวใจ รักษาคนไข้ให้หายมาแล้วนักต่อนัก กลับจะมาตกม้าตายด้วยโรคหัวใจของตนเองที่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังป่วยหนัก

            ในฐานะรุ่นพี่ที่หวังดี และมีวิรัลเป็นสายรหัสโคที่เขาเอ็นดูเป็นพิเศษ  เห็นทีงานนี้เขาคงจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้วล่ะ   ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ค้นหาชื่อของนายแพทย์รุ่นน้องแผนกกุมารเวช

            ..........................................................................

            ตั้งเตกลับเข้ามาในห้องเพื่อปั่นต้นฉบับอีกครั้ง  คราวนี้เขามีสมาธิมากขึ้นจนน่าประหลาดใจและน่าหวั่นใจในคราวเดียวกัน....ผู้ชายคนนั้นมีอิทธิพลต่อเขามากขนาดนี้เชียวหรอ

            แค่เห็นหน้า....ได้รับรู้ว่าพี่ดิมไม่โกรธเขา   รับฟังและเข้าใจเหตุผลทุกอย่าง   ผิดความคาดมหายไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ   แปลว่าอะไร   แปลว่าพี่ดิมใจเย็นพอที่จะรับฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วใช่มั้ย  คิดมาถึงตรงนี้  หัวใจของเขาก็เบิกบานเหลือเกิน

           ในที่สุดก็ถึงเวลาที่เราจะได้เข้าใจกันเสียที

            วันถัดมามีคนมากดกริ่งหน้าบ้านของเขาอีกครั้งตอนเช้า   ข้าวตังยังคงนอนพักผ่อนอยู่ข้างบน  ส่วนเด็กชายเต้ก็นั่งดูการ์ตูนอยู่ในห้องรับแขก   เตกำลังแต่งตัวอยู่ในภายในห้องส่วนตัว  เขาวางขวดน้ำหอมยี่ห้อดังสำหรับผู้ชายที่ภาคย์ซื้อมาฝากเขาจากฝรั่งเศสลงบนโต๊ะ  เดินแกมวิ่งออกมายังที่ประตูรั้ว  เห็นผู้ชายคนเดิมยืนเกาะประตูรั้วอยู่   วันนี้พี่ดิมดูสดใสกว่าทุกวันที่เคยเห็นมา

            “พี่ดิม  มาทำไมเอ่ย”

          “คิดถึง ก็เลยมาหา”  เขาตอบแกมหัวเราะ    เจ้าของบ้านเผลอเบือนสายตาหลบแววกรุ้มกริ่มในดวงตาคมเข้มนั้น  รู้สึกว่าพี่ดิมดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

            “พูดเล่นไปได้  กินข้าวมาหรือยัง”  หลุดปากถามออกไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคงไม่เหมาะเท่าไหร่ที่จะชวนอีกฝ่ายกินข้าวด้วย   ฝ่ายนั้นหัวเราะ

            “เห็นหน้าก็ชวนกินข้าวตลอดเลยนะ  ขอบคุณมาก  ทานมาแล้วครับ  ตั้งเต...พี่มีอะไรอยากให้ช่วยหน่อย  นายว่างไหมวันนี้”  เขาเกริ่น  เตพยักหน้ารับ

            “ว่างครับ พี่ดิมมีอะไรให้ผมช่วยหรือ”   ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ

            “พี่จะชวนไปปิกนิกที่....  สนใจไหม”  เขาพูดชื่อจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องชายหาดสวยงามและน้ำทะเลใสแจ๋ว  ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากนัก

          “ชวนจริงเหรอ  หลอกผมหรือเปล่าเนี่ย”   คำว่า ‘หลอก’ ทำให้คนชวนชะงักไปนิดหนึ่ง  แต่แล้วก็กลบเกลื่อนได้ทันด้วยรอยยิ้ม   ลอบสังเกตท่าทางของคนพูดไม่ได้สงสัยอะไรก็โล่งใจ

            “ไม่ได้หลอก  พี่อยู่แต่ในคอนโดเบื่อจะตาย   อยากจะไปเที่ยวบ้าง  จะไปคนเดียวก็กระไรอยู่  ก็เลยอยากจะชวนนายไปด้วยกัน   อีกอย่างหนึ่ง  มีงานอยากให้นายช่วย”

          เตเลิกคิ้วน้อยๆเป็นเชิงถาม    ยิ้มพรายประดับอยู่บนกลีบปากอิ่มเต็ม....รอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานาน  ทำเอาคนมองลืมหายใจไปชั่วขณะ  ก่อนที่จะกลับมาตั้งสติได้ทัน

            “ง่า...อยากให้นายช่วยพิมพ์รายงานวิจัยให้หน่อย  ไม่เยอะหรอก  ช่วยหน่อยนะ”  ดิมจบประโยคด้วยเสียงอ่อยๆ  ส่งยิ้มอย่างประจบไปให้

          “พิมพ์ที่นี่เลยไม่ได้เหรอ ทำไมต้องไปทำถึงนู่นด้วย”  เตถาม

            “ความจริงแล้วยังขาดข้อมูลบางส่วนที่โรงพยาบาลจังหวัดน่ะ  พี่ต้องแวะไปเอาเอง   ฮ่าๆ  ไหนๆก็จะไปแล้ว เลยอยากชวนนายไปเที่ยวด้วยกัน   ไปนะครับ”  อ้อนเสียงนุ่มพร้อมจ้องอีกฝ่ายอย่างเว้าวอน

            ติณธรเงียบไปครู่  ครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างรวดเร็ว  เหลือบมองเฝือกของอีกฝ่ายที่มีผ้าโปร่งคล้องแขนอยู่  จากนั้นก็ชะเง้อคอมองไปที่พาหนะคู่ใจของอีกฝ่ายที่จอดอยู่หน้าบ้าน  พร้อมกับร่างของผู้ชายที่คงเป็นคนขับรถยืนอยู่ใกล้ๆ

“ไปเช้าเย็นกลับใช่ไหม”

       “ครับผม  ไม่ได้ค้างหรอก”

            “ก็ได้  ขอผมไปเก็บของก่อน”

            “เยส  ดีใจจัง”  พี่ดิมกระโดดเหมือนเด็กๆ  ยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม   เตยิ้มแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน   ตรงขึ้นไปเคาะประตูห้องของภรรยา  ได้ยินเสียงตอบรับก็เปิดเข้าไป  เห็นหญิงสาวเจ้าของห้องกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง

            “ข้าวตัง...พี่ไปธุระที่ต่างจังหวัดนะครับ  กลับเย็นๆ ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”  ตั้งเตพูด  ก้มลงมองเธอใกล้ๆ สังเกตเห็นใบหน้าเล็กรูปหัวใจซีดกว่าปกติก็เป็นห่วง

            “เป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดแปลกๆ  หรือว่าเหนื่อยอีก?”  เธอยิ้มแล้วสั่นศีรษะ

            “เพิ่งตื่นนี่คะ จะให้สวยเช้งได้ยังไงเล่า  พี่เตไปเถอะ  ไม่ต้องห่วงตังกับเต้  แล้วเจอกันเย็นนี้”

            ได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยโล่งใจ  พูดคุยอยู่อีกครู่ก็ขอตัวออกมาเก็บของที่ห้อง  ไม่อยากยอมรับเลยว่าเขาใจเต้นแรง  ตื่นเต้นราวกับไม่เคยไปทะเลมาก่อน  ทั้งๆที่ก็เพิ่งไปมาเมื่อไม่นานมานี้เอง

            คงเป็นเพราะคนชวนกระมัง    แถมยังสถานที่ที่ไปอีก....ที่ๆเราสองคนฉลองครบรอบ 4 ปีด้วยกัน  ที่ๆพี่ดิมให้นาฬิกาเรือนนี้แก่เขา ...มือเรียวเอื้อมไปเปิดลิ้นชักล่างสุด  ล้วงมือเข้าไปหยิบกล่องนาฬิกาหน้าปัดร้าวเรือนนั้นขึ้นมาดู  จากนั้นก็เปลี่ยนไปหยิบอัลบั้มรูปที่เก็บมานานจนกระดาษเริ่มซีดเหลือง  เปิดดูรูปกลางเล่มที่เขาจำได้ดี   จ้องมองภาพคนสองคนที่นั่งเคียงข้างกันอยู่บนขอนไม้กลางชายหาด  ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นตนเองต้องนั่งหน้าตรง นิ่งราวกับถ่ายรูปติดบัตรประชาชนอยู่บนขอนไม้ผุๆถลึงตาใส่กล้องขนาดนี้

            คงจะเป็นเพราะเขากำลังเขินเต็มทน

            นานแล้วนะที่ไม่ได้กลับไปเลย   ถ้าพูดให้ถูกก็คือไม่กล้ากลับไปมากกว่า   แต่วันนี้เขาจะกลับไปยังสถานที่แห่งความหลังนั้นอีกครั้ง   โดยมีชายหนุ่มหน้าเข้มที่นั่งตีหน้าเฉยแต่แววตาเจ้าเล่ห์แสนกลในรูปคนนี้กลับไปด้วยกัน

            วันนี้แหละ  เขาจะบอกพี่ดิม ...เรื่องราวทั้งหมดที่เขาเก็บมาตลอด 8 ปี

            เตแวะไปหาลูกชายครู่หนึ่ง แล้วจึงกลับออกมาจากบ้าน  ปิดประตูรั้วเรียบร้อย  พี่ดิมยืนรอเขาอยู่แล้วที่หน้าบ้าน   เค้าเปิดประตูให้เตขึ้นไปนั่งด้านหลังก่อน แล้วเค้าก็ก้าวตามขึ้นมานั่งเคียงข้าง

            ผู้ชายที่เขาเดาว่าเป็นคนขับรถก้าวขึ้นมานั่งประจำที่คนขับ   

            รดิศหันไปยิ้มให้ชายหนุ่มที่นั่งข้างๆเขาน้อยๆ  ยิ้มที่แฝงด้วยแววมุ่งมาดปรารถนาบางประการที่อีกฝ่ายไม่มีทางที่จะตามทัน

            หึ... แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน  นายไม่เคยได้ยินคำโบราณว่าไว้เลยเหรอตั้งเต

            ...................................................................................

          ลมหายใจแผ่วเบา สม่ำเสมอที่เป่ารดอยู่ข้างแก้ม ทำให้ชายหนุ่มต้องขยับตัวมาจนชิดขอบประตูรถอีกฝั่งอย่างอึดอัด    เบี่ยงตัวหนีสัมผัสอุ่นๆของท่อนแขนล่ำสันที่วางแนบประชิดลำตัวของเขาราวกับไม่ตั้งใจ   ได้ยินเสียงกรนเบาๆลอดออกมาจากริมฝีปากสีสดของฝ่ายนั้นเป็นระยะ  บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงจะกำลังหลับสนิท

            หันไปมองวิวข้างนอกหน้าต่าง  เผื่อว่าจะทำให้หัวใจของเขาสงบลงบ้าง  แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะใบหน้าคมเข้มเอียงซบมาที่ไหล่ของเขาอีกครั้ง...ไม่มีที่ให้ขยับหนีอีกแล้ว

            กลุ่มผมนิ่มเคลียอยู่ที่ปลายคางและซีกแก้ม    เปลือกตาปิดสนิทเห็นแพขนตาหนารับกับจมูกและปากได้รูปสวยราวกับเป็นใบหน้าของผู้หญิงสาวสักคน   เว้นเสียแต่ว่ามีไรหนวดเขียวครึ้มเหนือริมฝีปากบางคู่นั้นที่ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายดูเข้มคมขึ้น

            ใบหน้ายามหลับของพี่ดิมดูอ่อนเยาว์  ไม่เคร่งเครียดเหมือนยามที่เจ้าตัวตื่น  ...เหมือน ‘พี่ดิม’ เมื่อแปดปีก่อน  เตถอนหายใจยาว

            จรดริมฝีปากของตนลงบนหน้าผากของคนหลับเบาๆ  ไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว



                     ********************

ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ลึก]ตอนที่15 7/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 09-02-2017 20:05:56

ต่อนะคะ
   

                        ********************



          “เตแอบจูบแก้มพี่หรือ”  คนที่หลับอยู่ลืมตาขึ้นมาทันควัน  ทำเอาคนที่แอบลักจูบสะดุ้ง  รีบผลักอีกคนที่นอนซบไหล่ของเขาอยู่ออกทันที  หน้าร้อนซู่  ปฏิเสธพัลวัน

          “เปล่าสักหน่อย  อย่ามาตู่นะ”   เตเสหันไปมองนอกรถแทน

          “แต่พี่รู้สึกนะเมื่อกี้ ยอมรับมาเถอะน่า  ลูกผู้ชายกล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ”   รอยยิ้มยั่วเย้าในดวงตาคมคู่นั้นทำให้เขาเขินหนักกว่าเดิม   ทำไมพี่ดิมจะต้องมาคาดคั้นอะไรด้วยเนี่ย ทำเป็นไม่รู้ตัวไม่ได้หรือยังไงนะ

          “เออ  ผมจูบพี่เองแหละ  พอใจยัง”  พูดงึมงำแบบไม่มองหน้า  คนฟังยิ้มกว้าง  สนุกที่เห็นใบหน้าเรียวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันตาเห็น

          “ไม่พอใจ  คนทำผิดต้องโดนเอาคืน”  แกล้งพูดขึงขัง  เขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น  เตเบิกตา  แต่ไม่มีที่ให้ขยับเพราะนั่งติดหน้าต่างบนรถทัวร์คันใหญ่ที่กำลังพาพวกเขาสองคนไปยังสถานที่ๆพี่ดิมต้องการจะพาเขาไปฉลองครบรอบ 4 ปีที่เราคบกัน

          “ใจร้าย…อื้อ”  เขาเบิกตาโตยิ่งกว่าเดิม เพราะอีกฝ่ายไม่รอให้เขาพูดจบ แต่ชะโงกเข้ามาจูบเขาที่ริมฝีปากเร็วๆแบบไม่ให้ตั้งตัว   จากนั้นก็ถอยออกไปยิ้มร่าราวกับบรรลุภารกิจอะไรสักอย่าง

          “พี่ดิม! จะบ้าเหรอ เดี๋ยวใครเห็น”  เตรีบมองไปรอบๆ เห็นผู้โดยสารบนรถต่างหลับสนิทกันหมดก็ค่อยเบาใจ  หันมาถลึงตาใส่คนรักที่ดูไม่สำนึกผิดเลยสักนิด

          “เห็นก็เห็นไปสิ  ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”  ว่าที่คุณหมอหนุ่มดูจะไม่เดือดร้อนอะไรจริงๆตามที่เขาว่าเอาไว้  ทอดขาเหยียดยาวอย่างสบาย  อ้าปากหาวน้อยๆและหลับตาลง  ครู่เดียวก็หลับสนิทไปอีก

          เตบ่นพึมพำขมุบขมิบในลำคอ  รู้ว่าอีกฝ่ายเหนื่อยมากจากการเรียนอย่างหนักในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา  แต่ก็อดขวางในใจไม่ได้

          ....พาเรามาเที่ยวทั้งที  ดันเอาแต่หลับ  แถมหลับไม่หลับเปล่า  ดันเอนมาซบกันอีก  แล้วแบบนี้เขาจะไปหลับลงได้อย่างไรกัน  ถ้าใจมันสั่นไหวขนาดนี้....



                                ***************




            สัมผัสอุ่นๆที่หน้าผากทำให้คนหลับรู้สึกตัวขึ้นมา   รับรู้ได้ว่าตนเองกำลังเอนซบไหล่แบบบางของคนนั่งข้างๆอยู่  จะว่าไม่ตั้งใจ  ก็คงพูดได้ไม่เต็มปากนัก  เอาเป็นว่ามันเป็นความเคยชินของเขามากกว่า ....ความเคยชินเมื่อหลายปีก่อน  เช่นเดียวกับอีกฝ่ายที่เคยชินกับการแอบลวนลามเขาเวลาหลับทุกที

            แต่เขาไม่บ่นหรอกนะเรื่องนั้น

            รดิศขยับตัวนิดหนึ่ง  ไม่ได้ผละออก แต่กลับซุกใบหน้าของตนลงกับซอกคอหอมกรุ่นของฝ่ายนั้น  ลอบสูดกลิ่นหอมแสนแปลกเข้าปอด   ขมวดคิ้วนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกว่ากลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของอีกฝ่ายที่เขาจดจำได้ดีนั้นผิดแผลกไป

            เตใส่น้ำหอมด้วยเหรอ?   ถามตัวเองอยู่ในใจ  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายขยับตัวขยุกขยิกจึงลืมตาขึ้นช้าๆ คล้ายกับว่าเพิ่มตื่นเต็มตา

            “ถึงแล้วหรือ..เอ้อ  ขอโทษที  พี่..เผลอหลับไป”   ดันตัวลุกขึ้นมานั่งตรงๆ  เห็นผิวแก้มของอีกฝ่ายกลายเป็นสีชมพูด้วยเลือดฝาดก็อมยิ้ม

            “ใกล้ถึงแล้วล่ะ”  เตพึมพำ  ไม่ยอมมองหน้าเขาอีกตามเคย  คงจะกำลังเขินอยู่  คุณหมอหนุ่มชะโงกหน้าเข้าไปหาอีกฝ่ายที่สะดุ้งเฮือกหลับตาปี๋ด้วยความตกใจ

            “เป็นอะไรไเต”  พูดกลั้วหัวเราะในคอ   ยกมือขึ้นปัดปอยผมหยิกให้พ้นหน้าผากแล้วส่งยิ้มให้  ตั้งเตหน้าแดงกว่าเดิม   เอียงตัวหนีสัมผัสของเขา

            “ไม่เป็นอะไร  ขอบคุณมาก  ง่า...พี่ดิมเขยิบไปฝั่งนู้นหน่อยได้มั้ย  ผม..ร้อน”    พี่ดิมไม่รู้หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่  ว่าตอนนี้หัวใจของเขามันเต้นแรงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว   คิดผิดหรือคิดถูกกันแน่ที่ยอมมากับพี่เนี่ย

            รดิศเขยิบออกห่างอีกฝ่ายอย่างว่าง่าย   ติณธรพยักหน้าอย่างพอใจ...อย่างน้อยเค้าก็คงไม่ได้มีเจตนาอะไร  ไม่อย่างนั้นคนอย่างพี่ดิม ไม่ยอมถอยหรอก   

            “เดี๋ยวช่วยแวะที่โรงพยาบาล....ก่อนนะครับ”  พี่ดิมชะโงกไปบอกคนขับรถ  ให้เขาเลี้ยวเข้าเขตตัวเมืองก่อน  ครู่ใหญ่ก็มาถึงที่หมาย   เตก้าวตามอีกฝ่ายเข้าไปภายในโรงพยาบาลขนาดกลางที่มีผู้คนพลุกพล่าน   เห็นคุณหมอหนุ่มเดินเข้าไปติดต่อที่กับพยาบาล  ท่าทางคุ้นเคยกันดี    จากนั้นก็หันมาบอกเขาว่า

            “นายรอที่นี่ก่อนก็ได้  หรือว่าจะไปเดินเล่นๆรอบๆโรงพยาบาล  ข้างนอกมีสวนหย่อมอยู่  พี่ขอเข้าไปคุยกับผอ.ก่อนครู่นึง”   เตพยักหน้า มองตามร่างอีกฝ่ายที่เดินลับหายเข้าไปด้านใน

            ส่วนตนเองก็ตัดสินใจเดินเลียบเรื่อยลัดเลาะออกมาจากแนวเก้าอี้ที่มีผู้ป่วยนั่งรอคิวตรวจอยู่อย่างแออัด   ลงบันไดมายังชั้นล่างที่มีแนวร่มไม้สีเขียวเย็นสบายตาตัดกับไม้ดอกสีสดใสที่ปลูกแซมเอาไว้อย่างมีศิลป์

            ไม่เกิน 15 นาที พี่ดิมก็กลับออกมาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ  ท่าทางเขายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับถูกใจอะไรบางอย่าง   เดินตรงเข้ามาหาเขา

            “รอพี่นานมั้ย  เสร็จแล้วล่ะ ดูนี่สิว่าพี่ได้อะไรมา”  เขาแกว่งกุญแจพวงใหญ่ชายหนุ่มดู

            “กุญแจ?  อะไรน่ะพี่ดิม”  เตถาม  เอื้อมมือไปรับแฟ้มมาช่วยถือให้ ระหว่างเดินกลับไปที่รถ

            “กุญแจบ้านพักกับเรือ  ผอ.ท่านให้ยืมมา....ไปนั่งเรือเล่นกันเต”  เอ่ยชวนอย่างร่าเริง   แล้วล้วงกุญแจรถขึ้นมาส่งให้นักเขียนหนุ่มที่รับมาถือเอาไว้อย่างงงๆ

            “อ้าว  แล้วคนขับรถของพี่ล่ะครับ”

          “เขากลับไปทำงานแล้วล่ะ  พี่ขอแรงเขามาช่วยเฉพาะช่วงขามากับขากลับ”  พี่ดิมตอบยิ้มๆ  คนฟังพยักหน้า ไม่ได้ถามต่อ  รับกุญแจมาสตาร์ทรถแต่โดยดี 

            ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ  เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามที่เริ่มมีเมฆบางส่วน  ตรงตามที่กรมอุตุฯทำนายเอาไว้   จากนั้นก็เปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งข้างคนขับ

            บอกทางให้ตั้งเตขับไปตามป้าย   จนกระทั่งพวกเขามาถึงหน้าบ้านพักตากอากาศหลังงามของผู้อำนวยการโรงพยาบาล....รุ่นพี่ของเขาเป็นเจ้าของอยู่ และยินยอมให้รุ่นน้องมาพักได้ตามสะดวกด้วยความยิ่งกว่าเต็มใจ...จะไม่ให้รู้สึกอย่างนั้นได้อย่างไร  ในเมื่อเขาเป็นคนผ่าตัดหัวใจให้กับมารดาของรุ่นพี่คนนั้นจนท่านสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติมาถึงทุกวันนี้

            “สวยจังเลยฮะ”  ตั้งเตหันมาบอกกับเขา   ลมทะเลพัดแรงจนเส้นผมหยิกหยองปลิวยุ่งเหยิง  แต่นั่นยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ลงราวกับเจ้าตัวย้อนเวลากลับไปเป็นหนุ่มน้อยคนนั้น...คนที่เขาต้องวิ่งวุ่นขอแลกเวรกับเพื่อนแทบตายเพื่อจะหาเวลาพาเด็กน้อยมาเที่ยวทะเลด้วยกันเมื่อหลายปีก่อน

            “ชอบใช่มั้ยล่ะ  เข้าไปข้างในกันเถอะ”  เขาพูด   เอื้อมมือไปช่วยอีกฝ่ายอุ้มแฟ้มและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คเข้าไปภายในบ้าน   ทุกอย่างอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เรียบร้อยตรงตามที่รุ่นพี่บอกเอาไว้เมื่อวันก่อน  ตอนที่เขาติดต่อมา

            “ข้างนอกเป็นระเบียง  ยื่นออกไปตรงชายหาดส่วนตัว  ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารบกวนเลยล่ะ”  ร่างโปร่งบางที่เดินสำรวจรอบบ้านอย่างตื่นเต้นพยักหน้ารับ  เปิดประตูระเบียงออกไปด้านนอก  กลิ่นเค็มๆของทะเลทำให้เขาเหนียวตัวแต่ก็รู้สึกดีพอๆกัน   พิศดูท้องทะเลเบื้องหน้าที่สะท้อนแสงแดดระยิบระยับ 

            “ออกไปเดินเล่นกันสักพักไหมเต   หรืออยากลงเรือ  มีโรงเก็บเรืออยู่ข้างๆเนี่ยแหละ”   พี่ดิมถามยิ้มๆ  ท่าทางเขาผ่อนคลายไม่แพ้กัน    ใบหน้าคมเข้มมีแว่นตาและหมวกสานสวมเอาไว้พร้อม

            “ไปเดินเล่นกันก่อนก็ได้  ผมอยากเห็นรอบๆ”  เขาบอก  กลั้นหัวเราะแทบแย่ที่เห็นพี่ดิมดูตื่นเต้นและเตรียมพร้อมเหมือนเด็กๆ   เค้าหันไปเปิดกระเป๋าใบใหญ่ที่เตเพิ่งสังเกตเห็นด้วยความแปลกใจว่าแค่มาเที่ยววันเดียว ทำไมจะต้องเตรียมของมาขนาดนั้น แต่พอเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายล้วงออกมาจากกระเป๋าก็หลุดหัวเราะออกมา  ทั้งขำทั้งเอ็นดู

            “กางเกงว่ายน้ำ หมวก แว่นตา อย่างละสอง เอามาเผื่อนายด้วยไง  นี่มีกระป๋องทรายด้วย  กับครีมกันแดด  อ้อ เกือบลืม  ร่มกับเสื่อผ้าใบ   ลูกบอลชาดหาด แล้วก็...ห่วงยาง  ฮ่าๆ”  พี่ดิมก็คงจะขำตัวเองอยู่ไม่น้อย   กับห่วงยางรูปเป็ดน้อยยังไม่ได้เป่าลมที่หยิบออกมาเป็นอันสุดท้าย

            “ก็แหม  พี่แขนเดี้ยงอยู่นี่ จะว่ายน้ำยังไงล่ะ  ไม่ต้องมาหัวเราะเลย  เอ้า  กางเกงว่ายน้ำ  เอาไปเปลี่ยนซะ  พี่เลือกไซส์มา...น่าจะได้นะ”  คนฟังหน้าแดงก่ำในฉับพลัน   กางเกงว่ายน้ำตัวเล็กสีน้ำเงินสดที่อีกฝ่ายส่งมาให้ดูใหม่เอี่ยมน่าใช้  แต่ประเด็นก็คือ...

            “เอ้อ...ขอบคุณมากพี่ดิม  แต่ไม่เป็นไร  ผมไม่ว่ายน้ำหรอกครับ”  จะให้เขาใส่กางเกงว่ายน้ำลงเล่นน้ำทะเลกับอีกฝ่ายเนี่ยนะ   คุณพระ...แค่คิดก็ใจหวิวๆชอบกล

            “อ้าว  ทำไมล่ะ  แต่พี่อยากเล่นน้ำน่ะ  เล่นคนเดียวจะไปสนุกอะไร”   พี่ดิมพูด  หน้าจ๋อยลงถนัด  แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้คนมองใจอ่อน  จำต้องรับกางเกงว่ายน้ำตัวนั้นมา 

            “ก็ได้  เลิกทำหน้าแบบนั้นเถอะน่า  ว่าแต่เรามาทำงานไม่ใช่เหรอ  พี่จะให้ผมช่วยพิมพ์งานให้ไม่ใช่หรือไง”  นักเขียนหนุ่มถามอย่างเอาการเอางาน   เหลือบมองไปที่แฟ้มเอกสารที่วางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะข้างๆคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค   คนฟังยิ้มกว้าง...เตเป็นห่วงงานก่อนอีกตามเคย   คิดถูกแล้วที่เลือกเหตุผลนี้ตอนที่ชวนมา

            “เอาไว้ค่อยกลับมาทำก็ได้น่า  นานๆเราจะมาทะเลด้วยกันนะ  ไปเดินเล่นสูดอากาศกันก่อน  สมองจะได้ปลอดโปร่ง  ทำงานได้ดีไงครับ   หรือจะเถียงหมอ?”

            เตยักไหล่   พึมพำว่า “แล้วแต่เลย ก็งานของพี่นี่นะ”  จากนั้นก็หยิบกางเกงว่ายน้ำขึ้นมาถือเอาไว้  มองซ้ายขวาหาที่เปลี่ยนชุด 

            “มีห้องน้ำอยู่มุมนู้น  นายเปลี่ยนตรงนั้นก็ได้”  รดิศพยักพเยิดไปที่มุมซ้ายสุดของห้องที่มีประตูห้องน้ำปิดสนิทอยู่ 

            ติณธรหายเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำครู่หนึ่ง ก็กลับออกมาในชุดเสื้อยืดตัวเก่าและกางเกงขาสั้นสีซีด   เขาสวมกางเกงว่ายน้ำสีน้ำเงินสดที่พอดีตัวจนน่าแปลกใจซ่อนไว้ด้านใน   รู้สึกขัดเขินเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนนั้นอยู่ในกางเกงว่ายน้ำรัดแนบเนื้อตัวเดียว  อวดกล้ามเนื้อขาแข็งแรง  ช่วงบนเปลือยเปล่าโชว์ลอนหน้าท้องสวยงาม

            นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นพี่ดิมในลักษณะแบบนี้ก็จริง  แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ชินอยู่ดี  ทั้งๆที่อีกฝ่ายก็เป็นผู้ชาย มีอะไรๆเหมือนๆกันกับเขานั่นแหละ

            หรือจะเป็นเพราะสายตาคู่นั้นที่กวาดมองมาที่เขาทั่วตัวกันนะ

            “อ้าว  ทำไมใส่ซะเต็มยศอย่างนั้นล่ะเต”  พี่ดิมทักมายิ้มๆ  แล้วส่งหลอดครีมกันแดดมาให้เขา  ไม่ได้รอคำคอบ ราวกับว่าเค้ารู้อยู่แล้ว  พี่ดิมก็พูดต่อ “ช่วยทากันแดดให้พี่หน่อย”

            คนฟังอึ้งไปนิดหนึ่ง  แต่ก็รับมาถือเอาไว้โดยดี   ร่างสูงล่ำสันนั้นลงไปนอนคว่ำเหยียดยาวบนโซฟา  เป็นเชิงบอกว่าให้เขาทาแผ่นหลังให้    เตกลั้นใจบีบครีมกันแดดเนื้อข้นลงบนฝ่ามือแล้วลูบไล้ลงไปบนแผ่นหลังเรียบเนียนสีแทนเข้มนั้นเบาๆจนทั่ว 

            รู้สึกว่าบรรยากาศมันชักจะเงียบแปลกๆพิกล  เงียบจนได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นตึกตัก

            “เสร็จแล้ว”  เขาพูดสั้นๆ  รีบถอยห่างออกมาจากร่างที่นอนอยู่บนโซฟา  พี่ดิมดันตัวลุกขึ้น  หันมาถามเขาบ้าง

            “แล้วนายล่ะ  ทากันแดดหรือยัง  ให้พี่ช่วยมั้ย” 

            “เรียบร้อยแล้วครับ”  เขายอมถูกแดดเผาเป็นมะเร็งผิวหนังตายเสียยังดีกว่ายอมให้พี่ดิมทาครีมกันแดดให้แบบนี้   บ้าน่ะสิ  จะได้หัวใจวายตายก่อนประไร 

            คนหน้าคมยิ้มมุมปากราวกับรู้ทัน  แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา   เขาลุกขึ้นยืน  สวมกางเกงขาสั้นทับกางเกงว่ายน้ำตัวนั้น ทำให้คนแอบมองสบายใจขึ้นมาก   ทว่าท่อนบนของร่างล่ำสันมีเพียงเสื้อฮาวายสวมคลุมเอาไว้ง่ายๆ   อวดซิคแพ็คที่เจ้าตัวภูมิใจอยู่นั่นเอง 

           ดิมหันไปเก็บของใส่กระเป๋าหยิบหมวกสานขึ้นมาสวมแล้วเดินนำออกไปจากบ้าน    ไม่ลืมหันมาบอกลอยๆว่า

            “ครีมกันแดดพี่วางเอาไว้บนโต๊ะ  ทาซะล่ะ”

            .....................................................................

            เม็ดทรายนุ่มๆที่รองรับทุกย่างก้าวทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผ่อนคลายลงมาก   ลมทะเลหอบเอากลิ่นเกลือเค็มๆมาด้วย   แต่มันก็สดชื่นเสียจนอดสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดไม่ได้   ชายหาดเบื้องหน้าที่ทอดยาวออกไปลิบๆเห็นเงาของนักท่องเที่ยวสองสามคนเดินเล่นอยู่บนหาดทราย  บ้างก็ลงเล่นน้ำทะเล ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมาตามลม     

            คุณหมอหนุ่มที่ลงมาก่อน จัดการปูเสื่อผ้าใบผืนใหญ่ไว้ใต้ร่มเงาของต้นมะพร้าว  วางข้าวของเตรียมเอาไว้แล้วเตเดินเข้าไปหา และก้มลงดูบรรดาปูเผา กุ้งเผา และปลาหมึกย่างใส่จานเปลวางเอาไว้บนเสื่ออย่างประหลาดใจ

            “เอามาจากไหนเนี่ยพี่ดิม  แถวนี้มีขายเหรอ”

            คนเป็นพี่ยิ้มแปล้   ตบมือลงที่ว่างข้างตัว

            “พี่เสกขึ้นมา...ล้อเล่น   แม่บ้านของผอ.น่ะ  เขาทำมาให้   เอ้า นั่งเร็ว  พี่หิวแล้ว”

เตหัวเราะ   ทรุดตัวลงนั่ง หยิบปูม้าเผาตัวใหญ่ไปแกะเปลือกส่งให้คนที่เหลือมือข้างเดียวอย่างคนเคยคุ้นต่อการบริการคนอื่นก่อน   ท่าทางพี่ดิมจะเอนจอยกับการกินอาหารทะเลแบบครบเครื่องมื้อนั้นมากทีเดียว    ใบหน้าคมเข้มเริ่มแดงก่ำ สูดน้ำมูกฟืดฟาดเพราะความเผ็ดเปรี้ยวถึงใจของน้ำจิ้มซีฟู้ด   

“ทำไมนายแทบไม่กินเลยล่ะ  ของชอบไม่ใช่เหรอ ปูเผาเนี่ย”  ดิมทัก เพราะเห็นอีกคนเอาแต่แกะเนื้อปูขาวๆส่งให้เขา ทว่าตัวเองกลับกินน้อยจนเขาสังเกตเห็น

“ไม่ค่อยหิวน่ะครับ”  เตตอบ  ความจริงแล้วเขามีความสุขมากเสียจนรู้สึก ‘อิ่ม’ คงเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า อิ่มอกอิ่มใจกระมัง   แค่เห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยวตุ้ยๆแบบนี้   บางทีเขาอาจจะประสาทกลับไปแล้ว  ไม่เห็นมันจะเกี่ยวกันตรงไหน  เตดุตัวเอง  สังเกตเห็นว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดเปื้อนที่ขอบปากของอีกคน

เขาหยิบกระดาษทิชชูส่งให้พี่ดิมซับรอยเลอะที่มุมปาก  แต่อีกฝ่ายกลับเอียงหน้า  ยื่นริมฝีปากมาให้   เขาก็เช็ดให้แบบไม่ลังเลคิดมาก  กระทั่งพี่ดิมหยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาและชี้ไปที่มุมปากของเขาบ้าง  พร้อมกับขยับเข้ามาจนชิด

“พี่เช็ดให้”  อีกฝ่ายเอ่ยเสียงนุ่ม

 ....บ้าชะมัด  จู่ๆเตก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกลายเป็นตัวละครในซีรี่ย์อะไรสักอย่าง  ที่จะต้องมีฉากให้พระเอกซับมุมปากของนางเอกให้    แต่ก่อนไม่เคยเข้าใจว่าฉากเช็ดปากให้กันนี่มันโรแมนติกตรงไหน จนกระทั่งรับรู้จังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นรัวแรงนี่แหละ

มันไม่ใช่เพราะสัมผัสทางกาย แต่มันคือสัมผัสทางใจที่ส่งผ่านทางแววตาตะหาก  เหมือนกับข้อความอะไรสักอย่างที่ส่งผ่านแววตาวิบวับของพี่ดิมมายังเขา   ทั้งยั่วเย้าขี้เล่น และอ่อนโยนแทบลืมหายใจ 

ชั่วขณะที่มือแข็งแรงยังคงแตะอยู่ที่เรียวปากของเขา  สัมผัสนุ่มละมุนของทิชชูที่แนบอยู่ที่เนื้ออ่อน กดย้ำเบาๆราวกับต้องการ ‘เช็ด’ ให้สะอาด   

เตกลับรู้สึกเหมือนกำลัง ‘ถูกจูบ’

            เมื่อพี่ดิมดึงมือกลับไป  เขาถึงได้รู้สึกตัวว่าเผลอจ้องหน้าเข้มคมอยู่นาน   ใบหน้าร้อนซู่อย่างช่วยไม่ได้

“ชิ้นนี้น่าจะ...หวานมาก”  ฝ่ายนั้นพูดยิ้มๆ ยกกรรเชียงปูในมือขึ้นมาใส่จานให้เขา  แต่สายตาเจ้าเล่ห์ที่มองวนเวียนอยู่ที่ริมฝีปากของเขาบอกชัดว่าไม่ได้หมายถึงเนื้อปูแน่ๆที่น่าจะ ‘หวาน’

“ผมขอไปเดินเล่นตรงนั้นก่อนนะ”  ไม่รอให้ถามว่า ตรงนั้น มันคือตรงไหน   นักเขียนหนุ่มรีบผุดลุกขึ้นมาจากเสื่อทันที   เดินจ้ำอ้าวออกมาจากที่ปักหลักก่อนที่หัวใจของเขาจะโลดออกมานอกอก  ไม่สนใจวาอีกฝ่ายจะตะโกนเรียกให้กลับไปอย่างไร  และเนื้อปูชิ้นนั้นจะหวานจริงหรือไม่

โอ๊ย...ไม่น่ามาเลย  ทำเขาถึงต้องเผลอไปหวั่นไหวกับเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้ด้วยนะ  พี่ดิมไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ   ก็แค่เช็ดปาก!  ...นายเป็นบ้าอะไรไปตั้งเต    คิดอะไรอยู่   ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิด ยกเท้าขึ้นเตะทรายแรงๆ   เขาเดินหนีมาไกลพอสมควร หันกลับไปมองก็เห็นร่างของคุณหมอหัวใจเดินตามหลังมาอย่างไม่รีบร้อน

ดิมแทบจะกลั้นหัวเราะไม่ไหว  ยิ่งเห็นใบหน้าเรียวแดงก่ำแข่งกับสีของกระดองปูเผามากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งสนุก  ยิ่งอยากแกล้ง    อยากเข้าไปสัมผัส อยากค้นหา  อยากรับรู้และลองชิมทุกรสชาติที่อยู่ในตัวของคนๆนั้น

ไม่ได้รู้สึกแบบนี้กับใครมานานแล้ว   หรือถ้าจะให้ยอมรับตรงๆ ก็ต้องบอกว่า ไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใคร  นอกจากผู้ชายหัวหยิกหน้าหวานคนนี้

“้เต...ไปเล่นเรือกันเถอะ”  เขาตะโกนบอกคนที่เดินจำอ้าวอยู่ข้างหน้า     อีกฝ่ายหันกลับมาแล้วโบกมือแทนคำปฏิเสธ

“จะเดินไปไหนน่ะ   กลับมาเหอะน่า”  เขาตะโกนอีกรอบ  แต่อีกฝ่ายไม่ยอมหยุด และไม่หันกลับมา

“ถ้าอย่างนั้นก็กลับบ้านเองนะ  พี่ไปล่ะ”   เขาแกล้งตะโกนไปอีกครั้ง    คราวนี้ร่างโปร่งบางทิ้งตัวลงนั่งบนทราย  ตวัดสายตามาทางเขาเร็วๆ   ปากขมุบขมิบคงจะกำลังบ่นเขาอยู่

เตปรายตามองศัลยแพทย์หนุ่มเดินมาทิ้งตัวลงนั่งเคียงข้าง  ทอดขาเหยียดยาวอย่างสบาย  เท้าแขนข้างที่ดีไปด้านหลัง

            “อุ้ย!”  คุณหมออุทานเสียงหลง  คนนั่งข้างๆหันขวับไปมองอย่างตกใจ  เห็นฝ่ายนั้นชักแขนกลับมา กำมือเอาไว้แน่น

            “เป็นอะไร”   ถามทันที  ฝ่ายนั้นแบมือออก   เห็นเปลือกหอยสีสดฝาเดียวรูปหัวใจฝังแน่นอยู่ใจกลางฝามือ   คงเป็นเพราะเจ้าตัวเท้าแขนลงไปทับพอดีเมื่อกี้นี้

            “ติดแน่นเลยแฮะ”  ดิมคว่ำมือลงแต่เจ้าเปลือกหอยก็ไม่ยอมหลุดออกมา  ต้องส่งให้อีกคนช่วยหยิบออก  เห็นเป็นรอยแดง กดลึกลงไปกลางฝ่ามือของเขาคล้ายรูปหัวใจพอดี   คุณหมอยกมือของตนขึ้นมาพิศดูใกล้ๆแล้วหัวเราะ

            “แบบนี้เค้าเรียกว่า..ฝังใจ”  พูดยิ้มๆ  รู้สึกได้ทันทีว่าคนนั่งข้างเกร็งตัวขึ้นมานิดหนึ่ง  จึงแกล้งพูดต่อ “เดี๋ยวรอยมันก็จางไปเอง  ใช่มั้ยเต”

            “ไม่รู้สิ  ผมไม่ใช่หมอนี่”

          “ไม่เอาน่า  รอยกดที่ผิวหนังแบบนี้ ไม่ใช่หมอก็ต้องรู้   ไม่เหมือนรอยในหัวใจหรอก  ลงถ้าเป็นรอยเมื่อไหร่  รักษายาก  เผลอๆไม่หายติดเชื้อวุ่นวาย หรือแย่ไปกว่านั้นดันกลัดหนองอยู่ข้างใน  กว่าจะรู้ตัวอีกที หัวใจก็แหว่งเละไปหมดแล้ว   ถึงตอนนั้นต่อให้หมอเทวดาก็รักษาให้ไม่ได้   หรือถ้าโชคดีรักษาได้ ก็ต้องมีแผลเป็นติดตัว  ไม่มีทางกลับมาดีเหมือนเดิม”  ศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดหัวใจและทรวงอกพูดเรื่อยๆเหมือนเล่าให้คนไข้สักคนฟัง

            คนฟังเม้มปากแน่น

          “น่าสงสารคนพวกนั้นนะเต  นายว่าไหม”  เขาหันมาถาม

            ติณธรไม่ตอบ   เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร  เหม่อมองออกไปยังเกลียวคลื่นที่พัดเข้าหาฝั่งเป็นระลอก   บางครั้งก็ซัดสูงขึ้นมาจนเกือบถึงที่ๆพวกเขานั่งอยู่

            ดวงอาทิตย์ถูกเมฆบดบังไปหมดแล้ว  เหลือแต่แสงมัวๆทึบทึมทั้งที่เป็นยามบ่าย  ทำให้บรรยากาศริมทะเลแห่งนี้ดูเศร้าซึมลงอย่างประหลาด  หรือจะเป็นเพราะหัวใจของเขาเอง

 


***************************

มาต่อจนตบตอนนะคะ
ดราม่ากันต่อค่ะ555
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ดีใจมากเลยที่ยังหลงเหลือผู้รอดชีวิตที่จะอ่านกันต่อ
ไม่รู้ว่าเจอตอนหน้าเข้าไปแล้วจะยังอ่านกันอยู่หรือเปล่า555555
บึ้ม กลายเป็นโกโก้ครั้นช์ไปเล้ยย :katai4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 09-02-2017 20:52:48
เล่นกับความรู้สึกก็แบบนี้ล่ะ
น้ำตาอาบแก้มทั้งคู่รึป่าวนะ หึหึ


หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 09-02-2017 21:16:02
ย้อนความหลังกัน

พี่ดิมรักเต เตก้อรักพี่ดิมมาก.

แล้วเมื่อไหร่จะได้คุยกันจริงๆจังๆน้าาาา

 :ling1:   :ling1:  :ling1:  :ling1:   :ling1:
 ....
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 09-02-2017 21:53:42
รออ่านวันที่เตจะเล่าความจริง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-02-2017 22:30:50
เค้าก็ยังมีคนของเค้าอยู่แล้วทั้งคน
จะเป็นอะไรที่มากไปกว่านี้..ได้เหรอเต

แล้วก็ยังไม่มีเหตุผลอะไร..ที่จะทำให้เค้าสองคนเลิกกัน
เตจะไปต่อกับเค้า..ได้ยังไง

รักกันเหรอ..ไม่ใช่..นั่นมันอดีต
ปัจจุบันไม่ใช่เรา..แต่เป็นคนอื่นไปแล้ว อย่าลืมดิ

มันจะมีแต่เจ็บ..และเจ็บ..โคตรเจ็บ
หุหุ ไม่ยักกะรู้ว่าเป็นมาโซ นะเต

อิพี่หมอดิม..ตรูไม่ขอเม้นท์ถึงแต่อย่างใด
เพราะตรูเอือมและเบื่อกับพฤติกรรมของฮีมาก
รู้ป่ะ..รู้เอาไว้เลย

ไม่ปลื้มผู้ชายโลเล..มากใจ
ห่วยแตก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 09-02-2017 22:35:03
เมือ่ไหรจะเล่านะ ><
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 10-02-2017 09:23:40
เรื่องนี้ทั้งเตและดิมน่าสงสารนะ รักกันแต่ต้องเลิกกันไป 8 ปีเพราะคนอื่น เราว่าทั้งรันและตังเห็นแก่ตัวนะ รันวางแผนแย่งชิงดิม ส่วนรันท้องไม่มีพ่อต้องให้เตทิ้งดิมมารับผิดชอบ
แต่คนที่เราโกรธก็คือรัน เพราะดูแล้วตังไม่มีความสุขเท่าไหร่ แถมดูท่าจะป่วยหนัก แต่รันมีความสุขมาถึงแปดปี  นางแย่งชิงทุกอย่างไปจากคนที่รักกันมาก ๆ สองคน แย่งชิงตำแหน่งแฟน ความสุข การใช้ชีวิตร่วมกันมาจากเต

**ท้ายนี้ หวังว่ารันจะได้รับผลกรรมในสิ่งที่นางทำอย่างสาสม
**กว่าพระเอกจะรู้ความจริงนี่คือ เกือบจบเลยใช่ไหม โฮ  หน่วงอีกเกือบยี่สิบตอน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ซึ้ง]ตอนที่16 9/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-02-2017 13:44:23
หน่วงมากๆ ครับ
หน่วงเนื้อเรื่องไม่เท่าไหร่ แต่หน่วงพฤติกรรมของตัวละครมากกว่า
พอดีผมอ่านรวดเดียวจนถึงตอนปัจจุบัน ขออนุญาตวิจารณ์นิดหน่อยนะครับ คือจริงๆ เรื่องนี้เขียนได้ดีเลยครับ โดยเฉพาะในเรื่องภาษาและการบิ้วท์อารมณ์ แต่มีจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากให้ช่วยพิจารณาหากจะมีการรีไรท์หรือใช้ตอนเขียนเรื่องใหม่

- การ flashback ไปเล่าเรื่องอดีต จริงๆ ก็ดีนะครับ มันทำให้เกิดอารมณ์ร่วมได้ดีกว่าเป็นคำบอกเล่าเฉยๆ แต่ถ้ามากไปมันจะทำให้ดูเรื่องดูวนไม่ไปไหน เรื่องดราม่าๆ แบบนี้ คนอ่านจะใจจดจ่ออยู่กับการเดินเรื่องในปัจจุบัน พอเนื้อหาในอดีตมันยาว จะรู้สึกอึดอัดได้ว่าไม่ไปไหนซักที ลองปรับลดดูให้แค่พอคลายปมและเสริมอารมณ์ของเรื่องเป็นระยะๆ ที่เหลือในรายละเอียดเก็บไว้เป็นตอนพิเศษหลังจากเรื่องคลี่คลายแล้วน่าจะอิ่มใจกว่าครับ

- เหตุการณ์ช่วงแรกๆ มันบังเอิญไปเจอกันตามที่ต่างๆ บ่อยไป มันก็ไม่ผิดอะไร แต่นึกๆ ดูแล้วกรุงเทพมันกว้างขนาดนี้ก็ดูจะพรหมลิขิตไปหน่อย ถ้าเขียนสถานการณ์หรือเหตุผลรองรับบ้างน่าจะสมจริงขึ้นครับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 19-02-2017 16:23:49

เพราะหัวใจบอกว่า...รัก

 

 

 

 

           “จะไปไหนหืม  มานี่เร็ว”  นักศึกษาแพทย์หนุ่มหล่อประจำคณะเอื้อมมือไปโอบเอวของคนรักเอาไว้แน่น ไม่ให้ดิ้นหลุดไปไหน   แม้ว่าอีกฝ่ายจะทั้งทุบทั้งหยิกแต่เขาก็หายั่นไม่   แรงแค่นี้ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก

          “โอ๊ะ!!”  ถ้าอีกฝ่ายไม่ศอกเข้าที่ท้องของเขาจังๆแบบนี้น่ะนะ 

          ร่างโปร่งบางฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายงอตัวลงด้วยความเจ็บปวดจนเผลอคลายวงแขน ดันตัวเองออกมาให้ห่างจากมือที่ไวยิ่งกว่าปลาหมึกเสียอีก  กระโดดออกไปเสียห่างหลายก้าว

          รดิศหรี่ตามอง  แล้วแกล้งสูดปากร้องคราง  ยกเท้าขึ้นมากุมเอาไว้

          “โอ๊ย  เจ็บจัง  สงสัยเปลือกหอยมันบาดเอา”

          เด็กน้อยของเขามองด้วยความไม่แน่ใจ  เพราะเคยชินกับความเจ้าเล่ห์แสนกลของเขาดี  แหม  ไว้ใจกันหน่อยก็ไม่ได้  น้ำตาเม็ดหนึ่งร่วงลงมาจากหางตาทำเอาอีกคนเชื่อสนิทใจ ก้าวเข้ามาด้วยความเป็นห่วง

          “พี่ดิม เจ็บจริงเหรอ  ไหนขอดูหน่อย โดนตรงไหน”  เตก้มลงมองที่ฝ่าเท้าของเขาซึ่งมีมือแข็งแรงกุมปิดเอาไว้เกือบมิด  ดิมรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้พอ  ก็รวบตัวอีกคนเอาไว้ในอ้อมแขน

          “หลอกผมอีกแล้วใช่มั้ย  ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ  คนเต็มหาดเลยไม่อายหรือไง” ตั้งเตพูดเร็วปรื๋อ ทั้งโกรธทั้งอาย  ยิ่งเห็นชาวต่างชาติที่คงเป็นนักท่องเที่ยวหลายคนมองมาที่พวกเขาอย่างสนใจก็ยิ่งเขินหนักเข้าไปอีก 

          “อายทำไม เรามาฉลองครบ 4 ปีกันนะเต ไม่เห็นต้องอาย  เอ้า มองกล้องหน่อย”  พี่ดิมบังคับให้เขาหันหน้าไปทางชาวต่างชาติคนนึงที่ยกกล้องโพลาลอยด์ขึ้นเล็งมาที่พวกเขา

          “ไม่เอา  ไม่ถ่าย  ปล่อยนะพี่ดิม” เตกระแทกเท้าลงบนปลายนิ้วของพี่ดิมแรงๆ  จนเค้าต้องยอมปล่อย  ก่อนที่จะถูกถ่ายรูป   พี่ดิมมองค้อนเขาแล้วเดินตรงเข้าไปหาชาวต่างชาติคนนั้น พูดคุยอะไรกันครู่หนึ่งก็เดินยิ้มร่ากลับมา

          “เต  คุณอัลเบิร์ตเขาจะช่วยถ่ายคู่ให้เราใบหนึ่งล่ะ  เร็วเข้า ยิ้มให้กล้องเร็ว”  ติณธรทั้งตกใจและแปลกใจ  เขาหันไปมองผู้ชายตัวใหญ่ลงพุงที่มีกล้องสะพายอยู่คนนั้นอย่างงงๆ เห็นฝ่ายนั้นยิ้มอย่างเป็นมิตรมาให้

          “จะดีเหรอพี่  ไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย”

          “เค้าชอบถ่ายรูป เห็นคู่เราน่ารักดีก็เลยอยากถ่ายให้น่ะ  เอาน่า  หาโลเคชั่นก่อน เอาตรงขอนไม้นี่แหละสวยดี  นายนั่งตรงนี้”  พี่ดิมจัดแจงพาเขาขึ้นไปนั่งบนขอนไม้ผุๆที่มองไม่เห็นว่ามันสวยตรงไหน  จากนั้นเค้าก็สวมกอดจากทางด้านหลังแน่น   คนโดนกอดโวย

          “ไม่เอา  ไม่เอาท่านี้  พี่ดิมไปนั่งตรงโน่นเลยนะ”  ชี้นิ้วไปยังปลายสุดของขอนไม้  คนแก่กว่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ แต่ก็ยอมขยับถอยไปโดยดี  ทว่าก็ไม่ห่างมากอย่างที่เขาต้องการ ตากล้องที่รออยู่นานแล้วตะโกนเย้ามาคำนึง  คล้ายๆกับแซวว่าพี่ดิมกลัวหรืออะไรสักอย่าง  โหนกแก้มของพี่ดิมแดงจัด

          เขาขยับเข้ามานั่งจนชิดแล้วตะโกนตอบฝรั่งคนนั้นไปด้วยเสียงอันดังว่า

          “ผมไม่ได้กลัวแฟน แค่รักมากจนไม่อยากขัดใจ”

          ช่างภาพคนนั้นหัวเราะอย่างถูกใจแล้วกดชัตเตอร์  ไม่สนใจว่าใบหน้าของ ‘แฟน’ จะแดงก่ำและบิดเบี้ยวเพราะเขินสุดขีดเพียงใด

          พี่ดิมเดินเข้าไปรับรูปมาดู  หัวเราะออกมาลั่นหาดเมื่อเห็นใบหน้าเรียวงอง้ำและแดงก่ำแม้จะเป็นเพียงภาพโพราลอยด์  เขาซื้อน้ำมะพร้าวเลี้ยงฝรั่งคนนั้น  จากนั้นเราก็แยกออกมาเดินเล่นริมทะเลในยามเย็น 

          “พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วล่ะ ดูสิ”  พี่ดิมชี้ชวนให้ดูขอบฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มเข้ม  เขาพาปีนขึ้นไปบนโขดหิน  จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดในหาด

          เรานั่งเคียงข้างกันอยู่บนนั้น ลมทะเลพัดมาไม่ขาดสาย  แต่เขากลับไม่รู้สึกหนาวเลยสักนิด  อาจจะเป็นเพราะอ้อมแขนอบอุ่นของใครบางคนที่โอบล้อมอยู่หลวมๆก็เป็นได้  เตคิดขณะที่แนบใบหน้าลงกับแผ่นอกของอีกฝ่ายเพื่อฟังเสียงหัวใจดวงนั้น   

          มันเต้นแรงทว่าเป็นจังหวะหนักแน่น

          เหมือนๆกับคำบอกรักของพี่ดิมที่กระซิบข้างหูเขา ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้า

          “พี่รักเตนะ”

          เรียบง่าย  ไม่มีคำสัญญาหรือสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างเขาไปชั่วนิรันดร์  เป็นเพียงแค่คำบอกเล่าความรู้สึกธรรมดา ที่สะเทือนลึกไปถึงกลางใจ  ก็แค่นี้เองไม่ใช่เหรอ   แค่ ‘พี่รักเต’  แค่พี่ดิมรักเขา  แค่นี้ก็พอแล้ว

          เขาไม่ได้ตอบ แต่เงยหน้าขึ้นจากอกกว้าง  แตะริมฝีปากของตนเองที่ปลายคางเขียวครึ้มนั้นเบาๆ  ก่อนจะเลื่อนมาสัมผัสที่เรียวปากใต้ไรหนวดคู่นั้น...

          หวังว่าพี่ดิมรับรู้ได้ ถึงความรู้สึกของเขา


               ********************


               น้ำทะเลซัดขึ้นมาสูงจนถึงบริเวณที่พวกเขานั่งอยู่    ชายกางเกงของคุณหมอหนุ่มเปียกชุ่มทว่าเขาไม่ใส่ใจ   สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่คนนั่งข้างเพียงคนเดียวเท่านั้น

            ใบหน้าของตั้งเตดูเหม่อลอย ทอดตามองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมาย  ปลายนิ้วเรียวไล้ไปตามขอบหยักแข็งของเปลือกหอยรูปหัวใจนั้นเล่น   แล้วถอนหายใจออกมาแผ่วเบา

            “รอยแผลเป็นในหัวใจ ไม่มีทางรักษาเลยหรอ”  จู่ๆนักเขียนหนุ่มก็พูดขึ้นมา

          “ก็มีทางนะ  ผ่าตัดเนื้อที่เสียตรงนั้นทิ้งไปซะ  แค่นี้ก็เรียบร้อย  ถ้าได้หมอเก่งๆ ก็ไม่ยาก   แต่มันก็มีรอยมีดหมอเหลือทิ้งเอาไว้อยู่ดี”

          “คงจะเจ็บมาก...”  เตพึมพำ

            “เจ็บมากทีเดียว   ตอนผ่าน่ะไม่รู้เรื่องหรอกเพราะดมยาสลบ  แต่ว่าตอนฟื้นนี่สิ  เจ็บเจียนตาย”  เสียงคนพูดพร่าสั่นไปนิดหนึ่ง   คล้ายกับว่าเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ ‘เจียนตาย’ ขึ้นมาได้  “...แต่ก็คุ้มนะ   ดีกว่าปล่อยเอาไว้”  เขาจบประโยค  กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากขึ้นมากะทันหัน  รีบเปลี่ยนเรื่อง

            “เล่นน้ำกันดีกว่าเต”  อีกคนสะดุ้งขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   เขายิ้มใส่นัยน์ตาที่เบิกกว้างคู่นั้น  เอื้อมมือไปกุมมือเย็นเฉียบที่ถือเปลือกหอยข้างนั้นเอาไว้ บีบแน่น

            “มาทะเลทั้งที  จะเอาแต่นั่งเล่นอยู่บนหาดได้ยังไงกันเล่า  เอ้า  ลุกเร็ว”  รดิศเปลี่ยนจากกุมมือเป็นดึงรั้งให้อีกคนลุกขึ้นยืนตาม     “ทิ้งความไม่สบายใจทั้งหลายทั้งแหล่ลงทะเลไปให้หมดดีกว่านะ  อย่าไปแบกเอาไว้เลย” เขาปลดเปลือกหอยในมือของอีกฝ่ายออก  แล้วเหวี่ยงแขนด้วยท่าของนักกีฬาเบสบอลขว้างเปลือกหอยรูปหัวใจอันนั้นลงทะเลไป

            ก้มลงใช้มือวักน้ำทะเลใส่ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มแบบไม่ให้ตั้งตัว  อารมณ์เปลี่ยนโดยฉับพลัน

            “พี่ดิม!” ตั้งเตอุทานเบี่ยงตัวหลบ แต่ไม่พ้น  ละอองน้ำเย็นฉ่ำกระทบผิวหน้าและลำคอ ทำให้สดชื่นขึ้นอย่างประหลาด   คนที่ลอบประทุษร้ายเขาออกเดินหนีลงทะเลไปเกือบครึ่งตัวแล้ว   หัวเราะร่า

          “อยู่ทางนี้ครับผม...มาเร็ว”  พี่ดิมตะโกน  กวักมือเรียกเขา

            “ลงไปคนเดียวเถอะ  ผมไม่ตามลงไปหรอก”  ตั้งเตตะโกนตอบ...เรื่องอะไรจะลงไปให้โดนแกล้งอีกเล่า    คิดแล้วก็ทิ้งตัวลงนั่งบนผืนทรายอีกครั้ง 

            พี่ดิมส่งเสียงเรียกมาอีก  แต่เขาไม่สนใจ  ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจะเปิดดูข้อความ  ทว่าหน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้ากลับดำมืด ไม่มีการตอบสนอง

            “แบตหมด?  โธ่  ลืมชาร์ตซะได้”  บ่นอีกสองสามคำ เขาก็เอะใจ  เพราะบรรยากาศรอบตัวดูเงียบผิดปกติ....ได้ยินเพียงเสียงลมกับคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเท่านั้น   มันเงียบเกินไป ...พี่ดิมอยู่ไหน?

            กวาดสายตามองหาไม่เห็นร่างล่ำสันที่กวักมือเรียกเขาอยู่ในทะเลเมื่อครู่นี้เลย

            “พี่ดิม..อยู่ไหนน่ะ   อย่ามาเล่นแบบนี้นะ”  ตะโกนออกมาดังๆ  พร้อมกับเพ่งมองไปยังทะเลเบื้องหน้า  ได้ยินแต่เสียงตัวเองกับเสียงลมวู่แว่ว คล้ายเสียงขอความช่วยเหลือ

            “เต...ช่วยด้วย  ตั้งเต”  ไม่ผิดแน่  ชายหนุ่มหันขวับไปตามเสียงเรียก  เพ่งมองไปเห็นมือของใครบางคนโบกไหวๆผลุบๆโผล่ๆอยู่กลางทะเล   พร้อมกับเสียงเรียกแว่วๆ

            ติณธรไม่รู้ตัวว่าเขาลงมาอยู่ในทะเลได้อย่างไร  จะวิ่งลงมา  เดินลงมาหรือกระโจนลงมาก็นึกไม่ออก  รู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังออกแรงว่ายน้ำอย่างสุดกำลัง ยิ่งกว่าเมื่อสมัยว่ายแข่งกีฬามหาวิทยาลัยเสียอีก  ขาสองข้างถีบน้ำกระจายตรงเข้าไปหาร่างที่กำลังจะจมแหล่ไม่จมแหล่ที่เห็นนั้น

            หัวใจเต้นรัว สูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกาย  น้ำทะเลเค็มๆเข้าตาจนแสบแต่เขาไม่สน

            ในที่สุดก็เข้าถึงตัวของอีกฝ่ายจนได้  ตรงเข้าจับแขนข้างหนึ่งขึ้นมาพาดไหล่และล็อคคอเงยหน้าขึ้น ตามแบบที่เคยเรียนมา   เห็นใบหน้านั้นซีดเผือด เปลือกตาปิดสนิทก็ยิ่งใจเสีย รีบใช้แขนอีกข้างพุ้ยน้ำพยุงตัวเข้าหาฝั่ง 

            ดูเหมือนว่าคลื่นลมวันนี้จะแรงเป็นพิเศษ  หรือไม่ก็คงเป็นเพราะร่างกายของอีกฝ่ายใหญ่เกินไป ทำให้ยิ่งเขาออกแรงพากลับเข้าหาฝั่งมากเท่าไหร่  กลับเหมือนยิ่งลอยห่างออกมาจากฝั่งมากกว่าเดิมเท่านั้น

            กว่าชายหนุ่มจะสำเหนียกถึงความผิดปกตินี้  ก็พบว่าตนเองตกอยู่ในอ้อมแขนแข็งแรงของคนที่กำลังจะจมน้ำตายเมื่อครู่นี้เสียแล้ว   แว่วเสียงหัวเราะแผ่วนุ่มดังขึ้นข้างหู   หันไปมองหน้าอีกฝ่ายเห็นดวงตาคมจ้องมองเขาอยู่แล้วในระยะประชิด 

            “พี่ดิม! นี่พี่แกล้งจมน้ำเหรอ”  แผดเสียงถามอย่างลืมตัว  ยกมือขึ้นดันอกกว้างแรงๆ  แต่เหมือนเสียแรงเปล่า  ฝ่ายนั้นไม่กระเทือนเลยสักนิด   กลับยิ่งโอบกอดเขาเข้าหาตัวมากขึ้นไปอีกจนแทบไม่เหลือที่ว่างระหว่างทั้งสองคน 

            “ใครว่าแกล้ง  เมื่อกี้พี่จะจมน้ำจริงๆนะ”  ดิมกระซิบตอบที่ริมหู  ก่อนที่จะจรดริมฝีปากลงที่ซีกแก้มข้างนั้นแผ่วๆ  รับรู้ได้ว่าคนในอ้อมแขนตัวสั่นนิดๆ

            “ปล่อยเถอะ  เดี๋ยว..จมน้ำกันพอดี”  ตั้งเตพึมพำกับทรวงอกที่มีหยดน้ำเกาะพราวนั้น    บอกตัวเองว่า จมน้ำน่ะไม่กลัวหรอก  เขากลัวอย่างอื่นมากกว่า

            “กลัวอะไร”  สะดุ้งเพราะอีกฝ่ายถามต่อมาราวกับได้ยิน  เบือนหน้าหนีประกายตาวิบวับคู่นั้น   พี่ดิมแนบปลายคางขรุขระลงที่หน้าผากของเขา  รู้สึกได้ถึงสัมผัสของท่อนขาแข็งแกร่งที่สะบัดอยู่ใต้น้ำ เพื่อพยุงให้ร่างของทั้งคู่ลอยตัวอยู่ได้

            “ไม่ได้กลัว  แค่..มันไม่เหมาะ”  ใช่  มันไม่เหมาะ  เข้าใจมั้ยเต..   ใครก็ได้ช่วยตะโกนกรอกหูเขาดังๆทีเถอะ  เผื่อว่าจะได้มีแรงดันตัวออกมาจากวงแขนของอีกฝ่ายได้  ไม่ใช่อ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงเช่นนี้

            “พี่ขอสักวันได้ไหม  แค่วันนี้วันเดียว....”  นัยน์ตาทั้งสองสบกันอีกครั้ง  คนหนึ่งอ่อนหวานเว้าวอน  อีกคนพยายามปฏิเสธ แต่ก็อ่อนแรงเต็มทีด้วยแรงปรารถนาในหัวใจ 

            “...ขอพี่กลับไปเป็นพี่ดิมคนนั้นอีกครั้ง  ได้หรือเปล่า”

            ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้เลย  เหมือนที่เคยเป็นมาและจะเป็นไป  ผู้ชายคนนี้มีอิทธิพลเหนือจิตใจของเขาเสมอ 

            ในเมื่อที่แห่งนี้ไม่มีใครเลย  ทั้งอดีต ปัจจุบัน และใครในอนาคตของเขา  ที่แห่งนี้มีเพียงเราสองคนเท่านั้น  แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ

            ขอตามใจตัวเองอีกสักครั้ง

            “แค่วันเดียว...”  ตั้งเตพึมพำกับริมฝีปากบางเฉียบคู่นั้น ก่อนที่มันจะสัมผัสกับเรียวปากของเขา 

                        ................................................................

            “พิงมาที่พี่ก็ได้   เริ่มจะเมาแล้วซี  บอกแล้วว่าอย่าดื่มๆ ก็ไม่เชื่อ”  ชายหนุ่มหน้าคมเข้มบ่นเบาๆ โอบแขนไปรอบตัวของคนนั่งข้างที่เริ่มเอนไปเอียงมาตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่ผ่านลำคอเข้าสู่กระแสเลือดตั้มเอนตัวมาพิงที่ไหล่ของเขาแต่โดยดี   มือยังกำขวดเครื่องดื่มเอาไว้แน่น

            “อยากดื่ม...นานๆที”  อีกฝ่ายพูด  ทอดสายตามองเขาด้วยแววตาเยิ้มฉ่ำอย่างที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายปี    และคงจะไม่มีวันได้เห็น ถ้าอีกฝ่ายไม่เมาขนาดนี้

            “พี่ดิมเชื่อมั้ยว่า...ตั้งแต่เราเลิกกัน..ผม  ไม่เคยดื่มอีกเลย” เสียงแหบชักอ้อแอ้  ทว่าประโยคที่เอ่ยออกมายังพอจับใจความได้อยู่

            ....ท่าจะคออ่อนกว่าที่คิดแฮะ   ตอนแรกแค่กะจะให้มึนๆแค่นั้นเอง   นายแพทย์หนุ่มคิดในใจ  หลังจากที่เล่นน้ำทะเลกันจนฟ้ามืด  เขาก็พาเตกลับขึ้นมาบนบ้านพักตากอากาศเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  เตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ  ระหว่างที่โทรเรียกคนขับรถให้มารับ  เขาก็ ‘บังเอิญ’ พบเครื่องดื่มเย็นเจี๊ยบแช่อยู่ในตู้เย็นเข้าเสียก่อน

            ชวนอีกคนนั่งจิบเป็นเพื่อนเบาๆ ตากลมที่ระเบียงรอให้ตัวแห้งก่อนไปอาบน้ำ  ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง สภาพของอีกฝ่ายก็เป็นอย่างที่เห็น...ใบหน้าเรียวหวานแดงเรื่อ  ดวงตาฉ่ำด้วยฤทธิ์น้ำเมา หรือเพราะความรู้สึกในใจก็ไม่อาจรู้ได้   ขณะที่เขายังมีสติเต็มพร้อมสมบูรณ์

            ร่างโปร่งบางของคนที่นั่งพิงไหล่เขาอยู่เอนซบลงมาอีก  มือเรียวยกขึ้นโอบรอบเอวของเขาแล้วแนบใบหน้าลงกับอกกว้าง   ถูใบหน้าไปมาแล้วพึมพำในลำคอ  ทว่าคนฟังกลับได้ยินชัดเจน

            “ผมดีใจที่ได้เจอพี่อีก  โคตรดีใจ...ที่พี่ยกโทษให้ผม”  ความใกล้ชิดเมื่อยามบ่ายที่เกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจ และความหวานจากอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง 

            ผู้ชายข้างๆเขากลับไปเป็นเฟรชชี่คณะอักษรศาสตร์...คนที่เขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นคนนั้นอีกครั้ง  ทั้งท่าทางขี้อ้อน   สายตาอ่อนหวาน   คำเรียกคำก็ ‘พี่ดิม’ สองคำก็ ‘พี่ดิม’  ราวกับกาลเวลาไม่เคยลบเลือนความทรงจำในอดีตของเราได้เลย 

          สายลมพัดมากระทบตัว   คุณหมอหนุ่มโอบกระชับร่างในวงแขนเข้าหาตัวแน่นขึ้นอีก   สบตาหวานแพรวพราวราวกับจะแข่งกับดวงดาวบนท้องฟ้าในคืนนี้แล้ว  ภาพในวันวานก็ย้อนกลับเข้ามาในความทรงจำ

                  ****************

            ‘เอาละ ช่วงเวลาสำคัญมาถึงแล้ว  หลับตาเร็วเต  พี่มีของขวัญจะให้ล่ะ’  รดิศมองเห็นตัวเองนั่งเคียงกับเด็กหนุ่มหน้าหวานคนนั้น   ลมทะเลพัดแรงจนผมหยิกยุ่งเหยิง แต่ก็น่าเอ็นดูที่สุดในสายตาของคนมอง

          ‘ไม่หลับตาได้ป่ะ  ผมอยากเห็นแล้ว’  อีกคนต่อรอง  ท่าทางตื่นเต้น

          ‘ไม่ได้ ต้องหลับตา  ถ้าไม่หลับเองเดี๋ยวพี่จะช่วยปิดตาให้  เลือกเอาว่าจะปิดเองหรือให้พี่ช่วย’ เขาพูดยิ้มๆเหมือนพี่ชายใจดี ตรงข้ามกับแววตาเจ้าเล่ห์แสนกลที่อีกคนดูออกและรีบปิดตาปี๋ทันที ก่อนที่จะรับบริการ..ปิดตา  จากเขา

          ดิมหัวเราะในลำคอ   ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเป้ที่วางข้างตัว ควานหากล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กอยู่ครู่หนึ่งก็หยิบขึ้นมา  ยื่นไปด้านหน้าจนเกือบชิดปลายจมูกโด่งของอีกคนแล้วยิ้มกว้าง

          ‘อ้ะ  เปิดตาได้’ เปลือกตาปิดสนิทเบิกโพลง  จ้องมองกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กนั้นอย่างแปลกใจปนกับความดีใจที่กลั้นเอาไว้ในสีหน้าไม่มิด

          ‘อะไรอ่ะ  แหวนเหรอ  อย่าบอกนะว่าจะขอผมแต่งงาน’  อีกฝ่ายแกล้งพูดกลั้วหัวเราะ แต่เขาก็ดูออกว่าฝ่ายนั้นกำลังเขินจะแย่อยู่แล้ว  ดูจากเลือดฝาดสองข้างแก้มลามลงมายังลำคอก็รู้

          ‘ถ้าขอ...แล้วจะแต่งไหมล่ะ’  แกล้งถามกลับ  รู้สึกตัวเองใจเต้นไม่ใช่เล่น  ลุ้นกับคำตอบแม้จะเป็นเพียงแค่การถามหยอกเย้าเท่านั้น

          ‘ก็ลองขอก่อนสิ แล้วจะบอก’  เตพูดเสียงขึ้นจมูกน้อยๆ

          ‘ฮ่าๆ’  เขาปล่อยเสียงหัวเราะออกมาเต็มเสียง  แล้วเปิดฝากล่องขึ้น  แสงไฟจากบังกะโลด้านหลังสะท้อนเข้ากับหน้าปัดนาฬิกาเป็นประกายระยิบระยับ  สายหนังสีน้ำตาลเข้มเป็นมันปลาบ สวยเหลือเกินในสายตาของคนที่ตั้งใจไปเลือกซื้อมาให้

          ‘รู้อย่างนี้ซื้อแหวนมาดีกว่า  ไม่น่าซื้อนาฬิกาเลยแฮะ  ผิดหวังหรือเปล่า?’ ถามไปอย่างนั้นเอง ดูจากสีหน้าของอีกฝ่ายเขาก็พอจะรู้คำตอบอยู่แล้ว

          ‘ผิดหวังอะไรล่ะ...นี่มัน...สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย พี่ดิม’  หยาดน้ำตาคลออยู่ในหน่วยตากลมโตคู่นั้น  บอกถึงความปลาบปลื้มในหัวใจได้ชัดเจนเกินกว่าคำพูดอื่น  แค่นี้คนให้ก็หัวใจพองคับอก

          ‘พี่รู้ไหม  ผมนึกว่าพี่ดิม...จะลืมวันครบรอบของเราเสียแล้ว’  ตั้งเตพูด  น้ำตาเริ่มไหลลงมาตามผิวแก้ม ‘เมื่อวานตอนที่ผมไปรอพี่ที่โรงพยาบาลแล้วเพื่อนพี่บอกว่าพี่ต้องอยู่เวรวันนี้น่ะ  ผมเกือบร้องไห้แน่ะ  ผมนึกว่าพี่ลืมไปแล้วจริงๆ’ เตพูดกระท่อนกระแท่น

          ‘โธ่  พี่จะลืมได้ยังไงเล่า  เมื่อคืนพี่ไปเคาะเรียกรันตอนตีสองเพื่อขอแลกเวรวันนี้เลยนะ  จะได้พาเตมาทะเลได้ไง  พี่ไม่ลืมหรอก  ว้า...อย่าเพิ่งร้องไห้สิ ...ไหนลองใส่นาฬิกาดูซิ’  เขาใช้ปลายนิ้วเช็บน้ำตาให้อีกฝ่าย แล้วหยิบนาฬิกาเรือนนั้นขึ้นมาใส่ให้ที่ข้อมือของคนรัก

          มันเข้ากับเตมาก  อย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้เลย  นักศึกษาแพทย์หนุ่มยิ้มกว้าง

          ‘รู้ไหมว่าทำไมพี่ซื้อนาฬิกาให้’

          ‘เพราะผมชอบนาฬิกา?’

          ‘นั่นก็ส่วนหนึ่ง...แต่เหตุผลหลักก็คือ  พี่ซื้อนาฬิกาให้  เพราะพี่จะได้ใช้เวลาร่วมกับนายได้ทุกวินาทีไงล่ะ  เท่ห์มั้ย’

          ‘ฮ่าๆ  พูดอะไรเนี่ย’  เด็กอักษรหัวเราะจนตัวโยน  สองแก้มแดงก่ำ  ปลายนิ้วลูบคลำนาฬิกาที่ประดับบนข้อมือของเขาอย่างเหมาะเจาะด้วยความถูกใจ 

          ‘โธ่  อย่าหัวเราะสิ  ก็พักนี่พี่ไม่ค่อยได้อยู่กับนายเท่าไหร่  ก็ขอให้เจ้านาฬิกาเรือนนี้อยู่กับนายแทนพี่ไปพลางๆก่อนแล้วกัน  อดทนอีกนิดนะเต...อีกไม่นาน’  ชายหนุ่มพูดเสียงทุ้มลึก   เขาหมายความตรงกับที่พูดจริงๆ  อีกไม่นาน...เขาก็จะเรียนจบเป็นแพทย์ใช้ทุน  แล้วเขาก็จะขอเตแต่งงาน   แล้วเราจะไม่ต้องแยกห่างจากกันอีก 

ทุกเช้าเขาจะได้เห็นหน้าอีกฝ่ายเป็นคนแรก  ทานอาหารเช้าด้วยกันก่อนไปทำงาน  ตกเย็นกลับบ้านมีรอยยิ้มหวานๆรอรับ  คงจะทำให้เขาผ่อนคลายความเคร่งเครียดจากงานไปไม่น้อย   ตกดึกเขาก็จะมีร่างนิ่มๆอบอุ่นให้นอนกอดทุกคืน   แค่คิดก็ชื่นในหัวอก

‘เตจะใส่ทุกวันเลย’  อีกฝ่ายพูด

‘จริงๆนะ  ห้ามถอดเลยนะ’  เขาถามย้ำ   อีกฝ่ายไม่ตอบแต่ชะโงกเข้ามาจุมพิตที่ริมฝีปากของเขาเบาๆแทนคำสัญญา

คนถูกจูบอย่างไม่ทันตั้งตัวร้องประท้วงเล็กน้อย   ไม่ใช่ไม่ชอบ  แต่มันสั้นและรวดเร็วเกินไปตะหาก...เขาคิดในใจขณะที่เขยิบตัวเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบางที่ขยับถอยห่างไปทันทีราวกับรู้ทัน

          เอาเถอะ  คืนนี้เขายังมีเวลาอีกทั้งคืน....

             **********************

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-02-2017 16:27:26
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 19-02-2017 16:30:52
  ต่อนะคะ




            ศัลยแพทย์หนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ  ยกขวดเครื่องดื่มในมือขึ้นจิบนิดหนึ่ง  รสขมปร่าช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง  แต่ไม่มากพอจะลบความขมขื่นในใจออกไป

            ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะยังจะรายละเอียดของเรื่องในคืนนั้นได้แม่นยำขนาดนี้  จำได้แม้กระทั่งว่าอีกฝ่ายใส่เสื้อสีฟ้าอ่อน  กางเกงขาสั้นสีเนื้อ  และเรานั่งริมทะเลกันทั้งคืน  ร้องเพลงและนอนอิงแอบแนบชิดกันแบบไม่กลัวยุง   พูดคุยกันราวกับไม่ได้คุยกันมาเป็นปีๆ  จากหัวข้อเรื่องนู้นไปเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น  พอเหนื่อยก็จิบเบียร์แก้คอแห้งแกล้มด้วยปลาหมึกย่าง   จำได้ว่ามันหวานอร่อยที่สุดที่เคยกินมา...เป็นค่ำคืนแสนพิเศษที่ยังจดจำได้มาจนถึงทุกวันนี้

            “ถ้าตอนนั้นพี่ดิมล้วงแหวนออกมาแทนก็คงจะดีนะ....เรื่องของเราคงไม่เป็นแบบนี้”  จู่ๆคนในอ้อมแขนของเขาก็พูดขึ้นมา  เสียงเบาเหมือนพูดกับตัวเอง ทว่าเขาก็ได้ยินชัดเจนเช่นเคย

            “ทำไม?..”  ถามกลับสั้นๆ และรอคำตอบ

อีกฝ่ายเงียบไปนาน   คล้ายกับกำลังครุ่นคิดถึงเหตุผลในอดีต  ลมหายใจแผ่วรดที่ริมขมับเป็นจังหวะพร้อมกับกลิ่นแอลกอฮอล์ระเหยออกมาจางๆก้มลงมาใกล้ชิดมากขึ้น  เตสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วผ่อนออกมาช้าๆ  กระดกขวดเครื่องดื่มในมือขึ้นอีกครั้ง เทของเหลวที่เหลือลงคอจนหมด   หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บลึกในอกได้บ้าง

            “เพราะผมจะได้ไม่ต้องเลือก”   ช่างเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากและเปลี่ยนชีวิตของเขาไปอีกโดยสิ้นเชิง   ชายหนุ่มถามตัวเองอีกครั้ง  ว่าถ้าเขาย้อนเวลากลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน  เขาจะเลือกหนทางเดิมหรือไม่ 

            ....คิดไปก็ป่วยการ  ไม่มีประโยชน์อะไร....จิตใต้สำนึกกระซิบ  ตั้งเตสะบัดศีรษะนิดหนึ่งพยายามไล่ความมึนงงจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ซัดเข้าไปเต็มเหนี่ยวอย่างที่ไม่เคยมาหลายปี    ขยับตัวพยายามจะดันร่างของตนออกมาจากการนั่งซุกอยู่ในวงแขนแข็งแรงของอีกฝ่าย   แต่กลับไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด

            คล้ายกับว่าลึกๆแล้ว เขาไม่ต้องการจะผละไปไหน   ไม่อยากขยับออกจากที่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ...พื้นที่ที่ควรจะเป็นของเขา

          “เลือกระหว่างอะไรกับอะไร”  นายแพทย์หนุ่มกลั้นใจถามต่อ  เตคงไม่รู้ว่านี่เป็นคำถามที่เขาเฝ้าถามตนเองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

            เต ‘เลือก’ ที่จะทิ้งเขาจริงๆหรือ   เค้า ‘เลือก’ จะทำแบบนี้เองใช่มั้ย   หรือว่ามีใครบังคับหรือเปล่า   เขายังหวังมาตลอดว่ามันจะเป็นแบบนั้น   ตั้งเตไม่ได้ตั้งใจที่จะทิ้งเขาไป 

            อยากรู้  แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก... 

            “ระหว่างตัวผมเองกับ...”  ใคร...บอกมาสิ  พูดออกมาสิ   รดิศแทบจะเขย่าร่างที่เริ่มโงนเงนน้อยๆแต่ก็พยายามจะทรงตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงนั้น

            “...ข้าวตัง ... ผมรักเธอ”  ประโยคที่หลุดออกมาเป็นห้วงๆ สั้นแต่ได้ใจความ   คนฟังตาเบิกโพลงเพราะคิดไม่ถึง   

            “ข้าวตัง?”  เขาครางออกมา  ชื่อของหญิงสาวผู้เป็นภรรยาหลุดออกมาจากปากของอีกฝ่ายโดยที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน    ใจวูบเกือบจะใกล้เคียงกับคำว่าผิดหวัง   ตัวเลือกของเตไม่มีชื่อของเขาอยู่เลยสักนิด   กลับเป็นสาวหน้าคมที่เป็นแม่ของลูกชายเค้า

            “แล้วพี่ล่ะเต”  หูได้ยินเสียงใครคนหนึ่งถามออกมา   ดิมแทบไม่เชื่อหูว่ามันเป็นเสียงของตนเอง ..ทำไมถึงได้อ่อนเบาและหมดหวังเช่นนี้   

            “ไม่...พี่ไม่เคยอยู่ใน...ตัวเลือกของผม”             เสียงแหบพร่าตอบกลับมา   ตั้งเตดันร่างออกจากวงแขนของเขาได้สำเร็จ  และทรงตัวลุกขึ้นยืนช้าๆ  พยายามเดินกลับจากระเบียงเข้าไปภายในห้อง 

            ดิมมองตาม  หัวใจที่เต้นช้าลงเมื่อครู่กลับเต้นเร็วแรงขึ้นมาใหม่ตามคลื่นโทสะที่เริ่มแผ่ซ่านขึ้นมาจากทรวงอก....ไม่เคยอยู่ในตัวเลือกงั้นหรือ?

          “อย่าเพิ่งไป”  เขาลุกขึ้น  เดินตามร่างโอนเอนที่ก้าวช้าๆอย่างไม่มั่นคงนั้นกลับเข้าไปภายในห้องรับแขกของบ้านพักตากอากาศ    เป็นจังหวะเดียวกับที่นักเขียนหนุ่มก้าวสะดุดห่วงยางเป็ดน้อยที่วางทิ้งอยู่ที่พื้นเข้าจนหน้าคะมำ

           รดิศก้าวพรวดเดียวคว้าเอวของอีกคนเอาไว้ได้ ดึงกลับเข้ามาในอ้อมแขนอย่างแรง ทั้งคู่ชะงัก  ติณธรเบิกตากว้างอย่างตกใจ

            “พี่ดิม”  เรียกชื่อที่ติดอยู่ในหัวใจมานานปี  และไม่เคยลบเลือน  สบดวงตาคมเข้มที่จ้องมองมาที่เขาด้วยกระแสแรงกล้า 

          “...................”

พี่ดิมไม่พูดแต่กลับแนบริมฝีปากลงมาอย่างร้อนแรง   ปลายลิ้นสอดแทรกเข้ามาสำรวจโพรงปากของเขาทุกซอกส่วนพลางดันตัวเขาให้ถอยหลังไปเรื่อยๆจนกระทั่งชนกับขอบโซฟา และหงายหลังล้มลงไป

ร่างของพี่ดิมทาบทับตามลงมาทันที   ริมฝีปากของเขาถูกอีกฝ่ายรุกรานเต็มที่  พี่ดิมจูบเขาอย่างที่ไม่เคยจูบมาก่อน   มันทั้งรุนแรงก้าวร้าว  แต่ก็วาบหวานในคราวเดียวกัน  สัมผัสนั้นไล่เลยลงมายังติ่งหูและซอกคอ   มือของอีกฝ่ายลูบไล้ไปตามสรีระของเขาที่มีเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเล็กปกปิดอยู่เท่านั้น 

ความรู้สึกวูบวาบอย่างประหลาดในช่องท้องทำให้เตเกร็งตัวหนีสัมผัสนั้น  ทว่าอีกคนไม่ยอม

“อื้อ  พี่ดิม”  เรียกชื่ออีกฝ่ายได้เพียงเท่านั้น  ริมฝีปากของเขาก็ถูกปิดสนิทอีกครั้ง   สติที่ยังหลงเหลือของนักเขียนหนุ่มบอกว่า ...มันไม่ถูกต้อง   แต่ว่าร่างกายกลับตอบสนองรับทุกสัมผัสที่อีกฝ่ายมอบให้ 

มันอ่อนโยน  เนิบนาบ  แต่ก็ร้อนระอุ  เหมือนกำลังลอยขึ้นไปสูงลิ่ว  เข้าใกล้ดวงอาทิตย์เข้าไปทุกที

“นายใส่น้ำหอมด้วยหรือเต”  ฝ่ายนั้นพึมพำ ขณะซุกไซ้ที่ซอกคอของเขา  สูดเอากลิ่นหอมประหลาดที่คละเคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวของนักเขียนหนุ่มเข้าปอด   

            “หืม..น้ำหอม...อ้อ  ใช่..”  เตพึมพำอย่างเลื่อนลอย  สมองพร่าเบลอแล่นช้าลงเต็มทีน่าขัดใจ   ตรงข้ามกับอารมณ์ลึกลับที่พุ่งสูงขึ้นทุกขณะ   รู้สึกเย็นวาบเมื่อท่อนล่างเปลือยเปล่าเพราะฝ่ายนั้นจัดการกับกางเกงว่ายน้ำของเขาอย่างรวดเร็ว 

            คุณหมอหนุ่มผละออกครู่เดียวเพื่อจัดการกับกางเกงว่ายน้ำของตนเองบ้าง   บางส่วนในร่างกายถูกกระตุ้นจนเริ่มปวดหนึบ   

            ตั้งเตหวานเกินไป   หวานไปหมดทั้งตัว  ทุกซอกทุกมุมที่เขาสัมผัสและลิ้มชิมรสอย่างหลงใหล   ผิวเนียนละเอียดในร่มผ้าอมเลือดฝาดเป็นสีชมพูอ่อนจาง  เกิดจากอารมณ์เพริดที่เขาปรนเปรอให้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ   รู้แต่ว่าเขาเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ไหวแล้ว   มึนเมายิ่งกว่าดื่มเหล้าเข้าไปทั้งขวดเสียอีก   

          “นึกออกแล้ว...น้ำหอม   ของฝากคุณภาคย์”  จู่ๆ คนใต้ร่างก็โพล่งออกมา  ทำเอาเขาชะงัก

            ของฝาก? ของคุณภาคย์?

ที่มาของกลิ่นหอมแปลกๆที่ติดอยู่บนนวลเนื้อขาวเนียนคือของกำนัลจากชู้รักที่เจ้าตัวรับมาด้วยความยินดีและใช้อย่างเต็มใจงั้นหรือ

อารมณ์ของคุณหมอหนุ่มพุ่งทะยานขึ้นฉับพลัน เพราะประโยคนั้น

เตรับรู้ว่าตนเองคงใกล้จะสัมผัสดวงอาทิตย์เต็มที  ไอร้อนที่โอบล้อมรอบกายทำให้เขารู้สึกเหมือนจะละลาย   ความร้อนแรงที่ถาโถมเข้ามาหาอย่างไม่ยั้งทำให้เขาเจ็บปวด  แต่ก็มีความสุขเหลือเกิน   แสงสว่างแผดจ้าจนตาพร่า  แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวระยิบระยับคล้ายเกลียวคลื่นที่สะท้อนไอแดดเมื่อตอนบ่าย

            ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสกับดวงอาทิตย์   เปลวไฟบนนั้นไม่ทำให้ระอุพองอย่างที่คิด แต่กลับอุ่นสบายและกลายเป็นความเย็นฉ่ำเมื่อร่างของเขาลอยผ่านกลุ่มเมฆบางเบาที่กลั่นตัวเป็นหยดน้ำพร่างพรมลงบนร่างของเราทั้งคู่

                       .................................................................................

มาต่อจนจบตอนค่าา  หายไปสอบมา555
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์เเละคำแนะนำดีๆนะคะ  จะนำไปปรับปรุงค่ะ
หวังว่าจะยังไม่ลืมเรื่องนี้กันนะคะ
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 19-02-2017 17:40:18
ความสุขแค่ชั่วคราวสินะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 19-02-2017 18:40:04
สงสารเต แต่บางทีก็แอบรำคาญ คือมีอะไรทำไมไม่พูด อมพะนำอยู่นั่นแหละ จะพูดก็ผลัดวันประกันพรุ่ง ที่เรื่องราวมันเลยเถิดและแย่จนเจ็บปวดกันไปทุกคน จริง ๆ แล้วต้นเหตุเกิดจากเตเลยนะ (แม้จะมีรันชักใยอยู่เบื้องหลังด้วยก็เหอะ)
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: monnam0309 ที่ 19-02-2017 20:22:50
โง่ทั้งคู่ ไม่คุยกัน เลยโดนหลอกจากคนไว้ใจ
อยากให้รันได้รับผลกรรมที่ทำเอาแบบสุดๆไปเลย มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เลวหน้าซื่อมาก  :z6:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 19-02-2017 21:03:02
เคลียร์ๆกันทีเถอะขอร้องงงงงงงง
มันหน่วงมาก
อยากให้พูดความจริงกันสักที  :katai1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 19-02-2017 22:20:18
  เบื่อจริงๆนะคนอมพะนำ ไม่ยอมพูดอะไร นี่มันสมัยไหนแล้ว
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: INMINTHA ที่ 20-02-2017 00:28:57
เตลำไยอะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 20-02-2017 11:26:58
ชอบเรื่องนี้มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

อินสุดๆน้ำตาไหลพราก สงสารนายเอก  :mew6:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...รัก]ตอนที่17 19/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-02-2017 20:19:27
รอยแผลฝัง หยั่งลึก ผนึกแน่น
รอยความแค้น แม่นมั่น กระสันหา
รอเอาคืน ยื่นยัด เต็มอัตรา
ไม่รู้ว่า เข้าใจผิด ใจบิดเบือน

เพราะรักมากจึงต้องแค้นมาก
ถ้าไม่รักเลยอาจจะให้อภัยกันได้ง่ายกว่านี้

รักหนอเกลียดหนอ
หุหุ

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-02-2017 18:04:59

เพราะหัวใจบอกว่า...เสีย

 









  “เทอมหน้าพี่ต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดแล้วนะเต  ไม่อยากไปเลย”

          เสียงนุ่มๆสั่นสะเทือนผ่านแผ่นอกกว้างที่เขาแนบชิดอยู่  ผสานกับเสียงหัวใจของอีกฝ่ายที่เต้นเป็นจังหวะหนักแน่น  สม่ำเสมอ

          เตชอบความรู้สึกนี้  ชอบเวลาที่แนบหูฟังเสียงหัวใจของพี่ดิม  ชอบเวลาที่พี่ดิมโอบกอดเขาเอาไว้แน่นๆ  ชอบลมหายใจอุ่นๆที่กระทบที่ขมับ

          “พูดอย่างกับอยู่คนละโลก  นั่งรถสามชั่วโมงก็ถึงแล้ว”  เขาตอบกลับไป  ห่อตัวลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายเมื่อลมเย็นๆพัดมาอีกครั้ง

          “แต่มันไม่มีเวลาไง   แถมนายก็ต้องเรียนหนัก เพราะเป็นเทอมสุดท้ายอีก  เต...สัญญาได้มั้ยว่าเราจะไม่เปลี่ยนไป”  พี่ดิมยังคงกังวล 

          “ผมไม่สัญญาหรอก  คนเราก็ต้องเปลี่ยนไปอยู่แล้วทุกเมื่อเชื่อวัน  ไม่ใช้หุ่นสต๊าฟเอาไว้นี่”

          “โธ่  งั้นพี่ขอแค่นายไม่เปลี่ยนใจก็พอ  ตกลงไหม”

          คนฟังไม่ตอบ   แต่ยกข้อมือเรียวที่มีนาฬิกาประดับอยู่ขึ้นมาในระดับสายตา

          “ผมจะนับถอยหลังรอวันที่พี่กลับมาใช้เวลาร่วมกันกับผม”

          นักศึกษาแพทย์คนนั้นยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม  ชื่นในหัวอก  กำลังใจเต็มเปี่ยมจนแทบล้นออกมา....เด็กหนุ่มหัวหยิกในอ้อมกอดคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาจริงๆ

          รุ่งเช้าแล้ว...เราสองคนนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกันเงียบๆ  แสงสีทองอ่อนๆทอประกายสะท้อนเกลียวคลื่น และอาบไล้ผิวกายของเรา อบอุ่นเข้าไปถึงข้างในหัวใจ  ถึงแม้อนาคตจะเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้  ทว่าพวกเขาก็หากริ่งเกรงไม่  ตราบใดที่ยังมีอ้อมแขนของกันและกันคอยโอบประคองอยู่เช่นนี้

          “เราจะไม่ทิ้งกันนะเต”

          รอยยิ้มอบอุ่นและน้ำเสียงหนักแน่นของพี่ดิมยังคงติดอยู่ในหัวใจของเด็กหนุ่มคนนั้นต่อมาอีกนาน



              ************************




            ชายหนุ่มพลิกตัวนอนตะแคง ทว่าอะไรบางอย่างแข็งๆที่ดันอยู่ที่เอวทำให้เขาต้องเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้  หรี่ตาลงเพราะแสงแดดที่ลอดหน้าต่างเข้ามาแยงตา  ครู่หนึ่งก็ปรับสายตาได้  ควานมือไปที่เอว พบว่าเป็นนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่ถอดทิ้งเอาไว้เมื่อไหร่ไม่ทราบ  เขารีบลุกขึ้นมาแล้วก็ขมวดคิ้วเมื่ออาการปวดศีรษะแล่นขึ้นมาเป็นริ้วๆ

            ยกมือขึ้นกุมที่ท้ายทอยและขมับขณะที่กวาดตามองไปรอบห้องแปลกตา   เขากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงขนาดใหญ่  ท่อนบนเปลือยเปล่ามีผ้านวมคลุมท่อนล่างเอาไว้ทำเอาใจหายวาบ   ชายหนุ่มรีบพลิกตัวลงมาจากเตียง

            “โอ๊ย  อูย..อะไรเนี่ย”  อาการเจ็บแปลบที่บริเวณช่วงล่างทำให้เขาตกใจมากกว่าเดิม   ค่อยๆทรุดตัวลงนั่งบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง   นึกทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วยความมึนงง

            “เมื่อวานเรากลับมาอาบน้ำเตรียมกลับบ้านนี่  แล้ว....อ่า  พี่ดิมชวนดื่มเป็นเพื่อน  แล้วจากนั้น...”  ใบหน้าร้อนวาบเมื่อภาพบางอย่างย้อนกลับเข้ามาในความคิดฉับพลัน

            เสียงลมหายใจเข้า-ออกเป็นจังหวะ   กลิ่นเหงื่อและคำพูดหวานๆที่พร่ำอยู่ริมหู  รวมถึงสัมผัสวูบวาบร้อนแรง...ตั้งเตสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่   ก้มลงดูร่างกายของตนเอง เห็นรอยแดงๆกระจายอยู่ทั่วตัวโดยเฉพาะบริเวณ.....

            เขามองหาร่างของผู้ชายอีกคนที่อยู่ด้วยกันเมื่อคืนนี้   ทว่าทั้งห้องว่างเปล่า  รีบค้นเสื้อผ้าจากกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ปลายเตียงขึ้นมาสวมใส่ด้วยมือสั่นเทา   รู้สึกเจ็บร้าวระบมไปทั่วตัวแต่ก็อดทน  กลั้นใจแต่งตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาที่นอกห้องนอน

            ....เงียบ   ไม่มีใครเลย  คล้ายกับว่าบ้านพักตากอากาศทั้งหลังมีเขาอยู่เพียงคนเดียว....ชายหนุ่มเดินวนรอบบ้านพักอีกครั้ง  ชะโงกออกไปนอกระเบียงเพื่อมองหาร่างล่ำสันสมส่วนนั้น

            “พี่ดิม....อยู่ไหนน่ะ”   ตะโกนก้องไปทั่วทั้งบ้าน  ทว่ามีเพียงความเงียบและเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งเท่านั้น   ลมทะเลพัดแรง  ทำให้ผ้าม่านปลิวไสว  แสงแดดส่องเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นที่ควรจะมีกระเป๋าของใครคนนั้นวางอยู่   แต่กลับไม่มี

          กระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะกระจก  มีแก้วน้ำวางทับเอาไว้

            เตก้าวเข้าไปหยิบขึ้นมาอ่าน

            ‘ยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวด  กินซะนะ’

          ถ้วยยาใบเล็กที่มีเม็ดยาอยู่สองเม็ดวางอยู่ใกล้ๆแก้วน้ำ ติณธรย่นจมูกให้ยาพวกนั้น  หักแบ่งเม็ดยาครึ่งหนึ่งใส่ปากแล้วกลืนน้ำตาม    จากนั้นหยิบกระดาษขึ้นมาถือเอาไว้

            “พี่ดิมไปไหนนะ”  เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ

            เสียงก๊อกแก็กที่ประตูบ้านพักตากอากาศทำเอาสะดุ้ง  รีบหันขวับไปมอง   ประตูถูกเปิดออกพร้อมกับร่างของผู้หญิงวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มสีเทา  ก้าวเข้ามาในบ้าน  เธอมองมาที่เขาอย่างแปลกใจพอๆกัน

            “อ้าว   คุณเป็นแขกของท่านผอ.เหรอคะ   ฉันนึกว่ากลับไปแล้ว  เห็นมาคืนกุญแจ”  เธอถาม

            “คืนกุญแจ?  เอ่อ  แขกที่ว่าหมายถึงหมอรดิศหรือครับ”  เตถามกลับงงๆพอกัน   ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ

            “ค่ะ  คุณหมอหน้าคมๆ คนนั้นแหละค่ะ  ฉันเห็นเค้าเอากุญแจไปให้ผอ.ที่โรงพยาบาลเมื่อตอนเช้ามืดน่ะ  ผอ.ท่านเลยให้กุญแจฉันมาทำความสะอาดเหมือนทุกที”

          “แล้วตอนนี้คุณหมอคนนั้นเค้าอยู่ที่ไหนหรือครับ  อยู่ที่โรงพยาบาลหรอ”  เตถามต่อ

            “ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันนะ  เห็นขับรถออกไปจากโรงพยาบาลแล้วตั้งแต่ตีห้า  ถ้าไม่ได้กลับมาที่นี่  อาจจะแวะไปที่ไหนหรือเปล่า  ลองโทรถามดูสิคะ”

            ตีห้า!  พี่ดิมกลับไปแล้วตั้งแต่สองชั่วโมงก่อนงั้นหรือ?

          นักเขียนหนุ่มกรากเข้าไปที่กระเป๋าเป้ของตัวเอง  ล้วงหาโทรศัพท์มือถือวุ่นวาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันแบตหมดไปตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว   ถอนหายใจเฮือกใหญ่กวาดตามองไปเห็นเครื่องโทรศัพท์บ้านวางอยู่ไม่ไกลจากห้องรับแขก   จึงมองไปที่ป้าเป็นเชิงถาม

            “โทรได้ค่ะคุณ”  เธอตอบยิ้มๆ

             ติณธรกดเบอร์โทรศัพท์มือถือที่เขาจำได้ขึ้นใจ    เสียงรอสายดังขึ้นเป็นจังหวะ   เขาเฝ้ารออย่างอดทน  ใจเต้นตึกตัก  .. คงเป็นความเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง  พี่ดิมคงจะเอากุญแจไปคืนเอาไว้ก่อนเพื่อความสะดวก   ตอนนี้คงจะกำลังกลับมา  หรือไม่ก็แวะตลาดสักที่ซื้อของสดของฝากก่อนกลับบ้านพร้อมกัน  เตบอกตัวเอง

            รอจนสุดท้ายก็เป็นเสียงให้ฝากข้อความเอาไว้   เขาวางสายแล้วกดโทรออกอีกครั้ง   ไม่มีคนรับเหมือนเดิม  คราวนี้เขากรอกเสียงลงไป

            “พี่ดิม   อยู่ที่ไหนน่ะ   ผมจะรออยู่ที่หน้าบ้านถึง 10 โมงนะ  ถ้าไม่มา ผมจะกลับเอง” กดวางสาย  จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกที่ที่ควรจะโทรไปบอกกล่าว

            ป่านนี้ข้าวตังคงตกใจและเป็นห่วงเขาแย่ที่ไม่กลับบ้าน

            กดเบอร์โทรศัพท์บ้าน  รอสายอยู่นานแต่กลับไม่มีคนรับเช่นกัน ....เค้าไปไหนกันหมดนะ  หรือว่าตังไปส่งเจ้าเต้อยู่   คิดในใจเช่นนั้นจึงวางสายลง   หันไปมองป้าแม่บ้านที่จับตามองเขาอยู่แล้ว

            “ติดต่อไม่ได้เลยครับ   เอ้อ   ป้าจะทำความสะอาดใช่ไหม    เชิญเลยครับ  ผมจะออกไปรอข้างนอก”  ชายหนุ่มพูด   เอื้อมหยิบเป้ขึ้นมาสะพายและคว้าโน็ตบุ๊คมาถือเอาไว้    เดินย้อนกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อสำรวจดูเผื่อลืมอะไร

            สภาพเตียงทำให้เขาอดรู้สึกหน้าร้อนซู่ขึ้นมาไม่ได้   หมอนสองใบมีรอยหนุนวางอยู่เคียงกัน  ผ้าห่มกองอยู่ที่พื้นเผยให้เห็นผ้าปูที่นอนด้านล่างยับยู่ยี่   รอยคราบอะไรบางอย่างเลอะอยู่บนเนื้อผ้าปนกับรอยคล้ำคล้ายคราบเลือดเป็นทาง    ราวกับเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้นบนเตียงเมื่อคืนนี้จนถึงขั้นเลือดตกยางออก

            รอยสัมผัสและอารมณ์วาบหวามยังคงค้างอยู่ในส่วนลึก   ยิ่งเห็นร่องรอยเมื่อคืนแล้ว  ก็ยิ่งคิดเลยเถิดไปกันใหญ่   หัวใจเต้นตึกตักเพียงแค่นึกถึงเท่านั้น  ทั้งที่จำรายละเอียดของเหตุการณ์แทบไม่ได้เลย 

            ป้าแม่บ้านตามเข้ามาในห้องนอนด้วยเมื่อไหร่ไม่ทราบ  เธอกวาดตามองที่เตียงแวบหนึ่งแต่ไม่เอ่ยอะไรอย่างมารยาทดี   ก้มหน้าก้มตาถอดผ้าปูที่นอนออกมากองรวมกันเอาไว้ข้างเตียงตามหน้าที่   แขกรีบเดินออกมาจากห้องนั้น   อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี

            เขาหอบของเอาไว้แล้วเปิดประตูออกมาจากบ้านพักตากอากาศหลังงามนั้น   เดินไปนั่งรออยู่ที่ม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่หน้าบ้าน  เอนตัวพิงพนักหินอ่อน  จับตามองไปที่โค้งริมถนนหัวมุมแล้วถอนหายใจยาว

            นึกภาวนาให้รถของพี่ดิมเลี้ยวโค้งเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านเสียที   บางทีอาจจะอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี่ล่ะ  ตอนนี้พี่ดิมคงกำลังเลือกปลาหมึกแห้งของโปรดอยู่แน่ๆ   กลับไปคราวนี้เขาตั้งใจว่าจะต้มข้าวต้มใส่เนื้อปลาหมึกหวานๆให้ทาน   คงจะอร่อยน่าดู...

            ความหวาน  ความอ่อนโยน  ความนุ่มนวลโอนอ่อน  ทว่าก็เร่าร้อนแทบละลายยังคงติดอยู่ในหัวใจทุกเมื่อที่เผลอนึกย้อนกลับไป   เตบอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรกันแน่   แต่เขารู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม

            คล้ายกับอะไรบางอย่างที่เขาทำหายไปเมื่อ 8 ปีก่อนได้กลับคืนมาอีกครั้ง  และคราวนี้มันเต็มบริบูรณ์ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า

            เขารู้สึกมีความสุข   มากที่สุดในรอบหลายปี  ถึงแม้บางครั้งภาพของหญิงสาวหน้าคมและเด็กชายตัวเล็กจะแวบกลับเข้ามาในความคิด  แต่ชายหนุ่มก็พยายามปัดทิ้ง 

            ขอเถอะ...เขาเสียสละตัวเองมาตั้งหลายปีแล้ว   ขอสักครั้ง   ความสุขของเขาได้มอบให้กับคนอื่นมามากพอแล้ว  ควรจะถึงเวลาที่เขาจะมอบให้ตัวเองบ้าง

            ติณธรมองไปที่หัวมุมถนนอีกครั้ง  แสงแดดเริ่มแรงกล้าสะท้อนกับพื้นถนนจนชักแสบตา   อีกไม่กี่นาทีนี้แหละ...พี่ดิมจะกลับมา  เพื่อที่จะได้มาฟังความจริงจากปากของเขา   ความจริงในใจที่เขามีให้พี่ดิมมาตลอดหลายปี และไม่เคยเปลี่ยนใจเลยแม้แต่วันเดียว

            อีกฝ่ายคงจะแปลกใจ และจะต้องดีใจมากเมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมด....ใบหน้าหวานของกุมารแพทย์หนุ่มแวบเข้ามาในความคิด...หมอรัน   เขารู้ว่ารันคือคนที่เข้ามาดามหัวใจพี่ดิมในช่วงที่ฝ่ายนั้นเจ็บหนักที่สุดในชีวิต   จึงไม่แปลกที่พี่ดิมจะคบกันผู้ชายคนนั้น

            แต่การคบกัน เป็นแฟนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่ดิมรักหมอรันจริงๆนี่...พี่ดิมจะลืมรักแรกของตัวเองได้ลงคอเหรอ ถึงมันจะจบไม่สวยก็เถอะ...จู่ๆเสียงเล็กๆในซอกมุมมืดสนิทของหัวใจก็โพล่งถามออกมา  ราวกับว่ามันกำลังรอคอยจังหวะอยู่

            พี่ดิมยังรักเราอยู่....สัมผัสเมื่อคืน  คำพูดที่พร่ำบอกออกมาไม่ขาดปาก   ความหวานลึกล้ำที่เค้ามอบให้   หึ..คงปฏิเสธความจริงข้อนี้ไปไม่ได้

            เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียจริง  เขาก้มมองดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง  พี่ดิมลงเรือไปตกปลาเองหรือเปล่า   หรือว่ากำลังทอดแหอยู่ไม่ทราบ  ทำไมถึงได้ช้าขนาดนี้   เขาเริ่มจะปวดศีรษะตุบๆแล้วจากการที่ต้องนั่งเพ่งสายตาสู้แสงแดดแรงกล้าเช่นนี้

            หรือว่าพี่จะเซอร์ไพรซ์อะไรเรา   คิดได้ดังนั้น   เขาก็เปลี่ยนใจ  ลุกขึ้นมาจากม้านั่งหินอ่อน    เดินลงไปบันไดไปที่ชายหาดแทน     มันว่างเปล่าไร้ผู้คน  เวลาเช่นนี้ไม่มีใครคิดจะลงเล่นน้ำทะเลให้ถูกแดดเผาเกรียม

            ถอยกลับมาเดินวนเวียนที่เดิม  ป้าแม่บ้านเปิดประตูออกมาร้องทักแกมเป็นห่วง

            “พ่อหนุ่ม  เข้ามานั่งในบ้านก็ได้  ข้างนอกมันร้อนออก  ดูซิ  หน้าเน่อแดงเหงื่อแตกซิกไปหมดแล้ว”  เธอกวักมือเรียก  แต่เขาส่ายหน้า

            “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก  แต่เดี๋ยวเพื่อนผมก็มาแล้วล่ะ”  ตอบยิ้มๆ

            “ถ้าอย่างนั้นเข้ามานั่งในรั้วก่อนก็ได้   นั่งตรงนั้นมันร่มก็จริง แต่ไอร้อนจากถนนมันจะตีขึ้นเอา”   ตั้งเตพยักหน้า  ย้ายที่เข้ามานั่งด้านในที่เย็นกว่านิดหน่อยเพราะเป็นทางลม    จับตามองไปยังถนนที่เดิม   

            เผลอหลับไปวูบ สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะมือของใครคนหนึ่งมาแตะที่ไหล่   หันไปมองอย่างยินดีแล้วก็ต้องใจแป้วลงเมื่อเห็นใบหน้าใจดีของป้าคนเดิม

            “มันจะเที่ยงแล้วนาพ่อหนุ่ม   ฉันว่าคุณหมอคงจะกลับไปแล้วล่ะ  อาจจะมีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า   ไปหาข้าวกินก่อนเถอะ”  เธอพูด  แววตามีประกายประหลาดชอบกล

            “ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่หิว”  เขาพูดตามตรง   ในท้องมันตื้อๆแน่นๆไปหมด  ไม่มีความหิวเลยสักนิด  พลิกดูนาฬิกาอีกทีแล้วก็ลุกขึ้นยืน

            “ผมคงไปที่ท่ารถเลย  ไม่รอแล้วล่ะ  เค้าคงมีธุระด่วนรีบกลับไปก่อนแล้วจริงๆ   ขอบคุณมากนะป้า”

            “ซ้อนรถเครื่องฉันไปก็ได้  ฉันจะไปท่ารถพอดี”  ตั้งเตยกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง  ตื้นตันกับน้ำใจที่ป้ามีให้เขา แม้จะไม่รู้จักกันมาก่อน  เดาได้ว่าป้าคงจะสงสารเขาเต็มทน

            เหมือนกับที่เขากำลังสงสารตัวเอง 

            เตเหลือบมองไปที่ริมถนนอีกครั้ง   ก่อนที่จะก้าวขึ้นไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของหญิงสูงวัย 

            ถ้านักเขียนหนุ่มกวาดตามองอย่างละเอียดอีกสักนิด  ก็คงจะเห็นเงาของร่างผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงต้นมะพร้าวอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล  จับตามองมาที่หน้าบ้านอยู่นานแล้ว  อาจจะตั้งแต่ก่อนที่คนนั่งรอเผลองีบหลับไปด้วยซ้ำ

            ผู้ชายคนนั้นมองตามหลังร่างโปร่งบางที่ซ้อนท้ายรถคันนั้นไป   เขากลับขึ้นรถยนต์ของตนเองอีกครั้ง  แอร์ที่เป่าแรงไม่สามารถบรรเทาความร้อนรุ่มภายในใจของเขาได้เลย  แม้ว่าเหงื่อที่แตกชุ่มแผ่นหลังจะระเหยไปอย่างรวดเร็วแล้วก็ตาม

            เขาจะทำอย่างไรดี    ความจริงแล้วเขาควรกลับถึงกรุงเทพฯแล้วด้วยซ้ำตามแผนเดิมที่วางเอาไว้  ทว่าพอเอาเข้าจริง  กลับตัดใจ ‘ไปไม่รอด’ ต้องวกกลับมาใหม่

            เสียงฝากข้อความที่เตฝากเอาไว้  ทำให้เขาอยากรู้เหมือนกัน  ว่าชายหนุ่มจะรอเขาอย่างที่บอกหรือไม่   ทุกนาทีที่เห็นสายตาคู่นั้นจับจ้องไปที่หัวมุมถนนหน้าบ้านตาไม่กระพริบ    เขาแทบจะห้ามตัวเองไม่ไหว  ไม่ให้ลงจากรถและตรงเข้าไปหาผู้ชายคนนั้น

            เข้าไปกอดและสัมผัสให้สมรัก   สมกับความรู้สึกโหยหา   ความต้องการของเขาที่ดูราวกับจะไม่สิ้นสุด เมื่อได้แนบชิดกับร่างของคนๆนั้นเข้า   

            เพราะอะไรกัน   ทำไมเขาถึงรู้สึกแบบนี้    อาลัยอาวรณ์ต่อรสเสน่หาที่ตักตวงได้จากร่างโปร่งบาง   ผิวขาวเนียนละเอียดอย่างไม่น่าเชื่อ   อาการเกร็งและผวาน้อยๆราวกับเด็กเล็กๆ ยิ่งทำให้เขาหลงมัวเมามากขึ้นไปอีกร้อยเท่าพันทวี  ราวกับติดอยู่ในรวงผึ้งที่เต็มไปด้วยน้ำหวานจากเกสรดอกไม้นานาชนิด   เตหวานไปทั้งตัวจริงๆจนเขาอยากจะกลืนกินเข้าไปในอกถ้าทำได้...

            สุดท้ายก็ตัดใจ ‘ทิ้ง’ ไม่ลง  บ้าชะมัดเลยรดิศ   ไหนว่าได้แล้วจะทิ้งให้สาสม  ไหนว่าจะทำให้เค้ารู้สึกเจ็บแสบที่สุดเท่าที่จะทำได้   แล้วอะไรคือการที่เขามานั่งเฝ้ามองอีกฝ่ายอยู่แบบนี้  แถมยังต้องจ้างวานแม่บ้านให้ขับรถไปส่งเด็กที่ท่ารถให้อีก

          ทั้งที่แผนเดิมมันไม่ใช่แบบนี้เลยด้วยซ้ำ   โธ่เว้ย!

          ชายหนุ่มฟุบใบหน้าลงกับพวงมาลัยรถ    หงุดหงิดตัวเองที่เอาแต่คิดถึงรสสัมผัสเมื่อคืน  แทนที่จะระลึกถึงความแค้นที่อีกฝ่ายฉีกหัวใจของเขาไม่เหลือชิ้นดี

            โทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง   คุณหมอหนุ่มมองเบอร์ที่ขึ้นโชว์อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงวางโทรศัพท์ทิ้งเอาไว้บนเบาะข้างตัว   รอจนเสียงเรียกเข้าเงียบไปเอง

            สตาร์ทรถแล้วขับตรงไปตามเส้นทางที่ไปยังท่ารถ   ทันเห็นร่างโปร่งเพรียวคุ้นตาเดินหายเข้าไปในฝูงชนแวบๆ  คงจะไปซื้อตั๋ว....เจอกันที่กรุงเทพฯก็แล้วกันนะเต

            ไม่สิ!!  ไม่เจอกันอีกแล้วตะหาก    ครั้งนี้จะเป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย  จากนั้นเราจะไม่เกี่ยวข้องกันอีก  มันจบแล้ว  เข้าใจไหมรดิศ

            นี่จะต้องเป็นการทิ้งที่โหดร้ายที่สุด  เท่าที่เขาจะทำได้   และเตจะต้องรู้รสชาติของความเจ็บปวดครั้งนี้ 

            .............................................................................................

            นักเขียนหนุ่มก้าวลงจากรถแท็กซี่ในเวลาเย็นย่ำ   เขาตรงเข้าไปไขประตูรั้วอย่างอ่อนแรงหลังจากต่อรถหลายต่อเพื่อกลับมาถึงบ้าน  ศีรษะปวดตุบๆพอๆกับร่างกายที่ปวดเมื่อย  หนาวๆร้อนๆไปทั้งตัวเพราะไข้ขึ้น   ถอนหายใจหนักๆหลายทีขณะที่พยายามไขกุญแจ

            รถยนต์คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบที่หน้าบ้าน  แสงไฟรถสาดมาที่ร่างของเจ้าของบ้านจ้าจนตาพร่า ต้องยกมือขึ้นบัง ปรับสายตาครู่หนึ่ง พอดีกับที่ร่างสูงโปร่งเปิดประตูรถยนต์ก้าวตรงมาที่เขาอย่างร้อนรน

          “คุณเต  โอ  ผมหาทางติดต่อคุณแทบตาย   หายไปไหนมาครับ”  เสียงเจ้านายเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ทำงานด้วยถามมาอย่างรวดเร็ว  สองมือวางทาบลงบนไหล่ของเขาทั้งสองข้างบีบแน่น

            “คุณภาคย์  เอ้อ  ผมไปธุระที่ต่างจังหวัดมาครับ  ง่า...เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”  ถามอย่างไม่แน่ใจ สังเกตเห็นอาการของอีกฝ่ายดูร้อนใจผิดปกติก็ชักใจไม่ดี

            “ผมหาทางติดต่อคุณมาทั้งวันเลย  ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วด้วย...คุณข้าวตังไม่สบายมากครับ   เข้าโรงพยาบาลไปเมื่อคืน”

          “อะไรนะฮะ  ข้าวตังเข้าโรงพยาบาล!”  เตอุทานอย่างตกใจ “ตังเป็นอะไรไป  เกิดอะไรขึ้นครับคุณภาคย์”

            ร่างสูงโปร่งก้มลงอธิบายอะไรสักอย่างยืดยาว   ยกมือขึ้นปัดปอยผมที่หน้าผากคล้ายจะซับเหงื่อให้ก่อนที่จะคว้ามือเรียวบางไปกุมเอาไว้   รู้สึกเหมือนร่างกายของตั้งเตจะสั่นนิดๆจากสายตาของผู้สังเกตการณ์ที่แอบมารออยู่แล้วที่หน้าบ้าน 

            รดิศจับตามองร่างเล็กบางที่ถูกอีกคนประคองเข้าไปนั่งในรถ   แสงจากเสาไฟฟ้าข้างทางส่องให้เห็นใบหน้าค่อนข้างกังวลของผู้ชายคนนั้นแวบหนึ่งก่อนที่รถจะแล่นออกไป

            ศัลยแพทย์หัวใจทิ้งตัวพิงพนักอย่างแรง

            ต้องไม่ใช่เขา  ต้องไม่ใช่   คนที่จะถูกทิ้งในเกมนี้  ต้องเป็นเตเท่านั้น ...ถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น   แต่ทำไมเขาถึงไม่มั่นใจเอาเสียเลย

                     ......................................................................................

            “...พอดีผมมาหาคุณเตที่บ้านเมื่อเย็นวาน  กดออดหลายครั้งไม่มีใครมาเปิดประตูเลยทั้งที่แสงไฟก็เปิดอยู่   โทรหาคุณก็ปิดเครื่อง   ผมก็เลยจอดรถรออยู่หน้าบ้านคุณสักพัก  ได้ยินเสียงลูกชายคุณเรียกคุณข้าวตังลั่นเลยแล้วก็ตะโกนช่วยด้วย   ผมใจไม่ดี  กดออดหลายรอบไม่ได้ เลยปีนรั้วบ้านคุณเข้าไป”

          “ปีนรั้วบ้านผม?”  เตทวนคำอย่างแปลกใจ  นึกภาพคุณภาคย์ปีนรั้วเข้าไปในบ้านของตนไม่ออก  ถ้าเป็นอีกคนล่ะก็ว่าไปอย่าง...เอาอีกแล้ว  เผลอคิดถึงเค้าอีกแล้ว   เขาพยายามหยุดความคิดถึงผู้ชายหน้าเข้มเอาไว้แค่นั้น    ตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดก็คือข้าวตังตะหาก

            “ครับ...ขอโทษนะครับ  แต่ผมเห็นว่ามันผิดปกติจริงๆ  พอเข้าไปในบ้านได้ เห็นคุณข้าวตังนั่งคู้ตัวอยู่ที่พื้น  มีน้องเต้อยู่ข้างๆ  คุณข้าวตังดูเหนื่อยมาก  ผมก็เลยอุ้มเธอออกมาแล้วขับรถพาไปส่งโรงพยาบาล”

            “ขอบคุณคุณภาคย์มากจริงๆนะครับ   นี่ถ้าไม่ได้คุณช่วย   ข้าวตังจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้  เจ้าเต้ก็ยังเด็กเกินไป...  ผมผิดเองที่ทิ้งเธอไปต่างจังหวัด  ทั้งที่รู้ว่าอาการของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่..”  นักเขียนหนุ่มยกมือขึ้นปิดใบหน้า  รู้สึกผิดต่อผู้หญิงที่เป็นทั้งน้องสาวและภรรยาสุดหัวใจ

            ...เพราะเขาเห็นแก่ตัว   เห็นแก่ความสุขของตนทำให้มาตังอาการทรุดหนักลงแบบนี้   เพราะเขาไม่ดูแลเธอให้ดี 

            เสียงคุณลุงคุณป้าที่เคยพูดเอาไว้ก่อนที่จะเสียชีวิตอย่างกะทันหันไปทั้งคู่ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ยังก้องอยู่ในหูของเขา



ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-02-2017 18:17:58
      ต่อนะคะ             
       


                 *******************

            ‘ป้าฝากข้าวตังไว้กับเตด้วยนะ  ดูแลน้องด้วย’  ป้าของเขาพูดเอาไว้เป็นประโยคสุดท้าย ก่อนที่เธอจะสิ้นลมที่โรงพยาบาล ตามหลังคุณลุงที่เสียชีวิตในที่เกิดเหตุภายในไม่กี่ชั่วโมง

          ตอนนั้นเด็กหนุ่มได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ มือเย็นเฉียบกุมมือบอบบางของน้องสาวเอาไว้แน่น  เสียงร้องไห้โหยหวนของเธอทำให้เขาต้องพยายามเข้มแข็งเอาไว้  เพื่อเป็นหลักให้แก่เธอ

          เตต้องวิ่งวุ่นติดต่อญาติพี่น้องที่ยังหลงเหลืออยู่  หลายคนเห็นใจเข้ามาช่วยเหลือจัดการงานศพให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย   พินัยกรรมทำเอาไว้สมบูรณ์แล้วราวกับคุณลุงคุณป้าจะรู้อนาคต เหลือเพียงลูกสาวคนเดียววัย 18 ปีที่เคว้งคว้างไร้ที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

          ช่วงนั้น เด็กหนุ่มต้องขึ้นล่องระหว่างกรุงเทพฯ-อีสาน ทุกอาทิตย์เพื่อคอยไปเยี่ยมน้องสาวที่ไปพักอยู่กับญาติชั่วคราว   สุดท้ายก็ทำเรื่องขอย้ายน้องสาวมาเข้าโรงเรียนใกล้ๆมหาวิทยาลัยของตนได้สำเร็จ   และเปลี่ยนบ้านหลังเดิมให้คนเช่าแทน

          วันเวลาผ่านไปอย่างยากลำบากสำหรับเด็กหนุ่มที่ต้องดูแลน้องสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเพิ่มอีกหนึ่งคน   ข้าวตังย้ายเข้ามาอยู่ในหอพักเดียวกันกับเขาด้วย  และค่อยๆเริ่มปรับตัวกับชีวิตใหม่ โรงเรียนใหม่เพื่อนใหม่ ได้ในที่สุดจนเตหมดห่วง

          จนกระทั่งวันหนึ่ง

          “เป็นอะไรไปเต เสียงดูกังวลชอบกล  ใกล้สอบแล้วเหรอ”  พี่ดิมจับสังเกตได้ทันทีตั้งแต่ได้ยินเสียงของเขาคำแรก ผ่านโทรศัพท์  คนฟังถอนหายใจยาวเหลือบดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง  แล้วชะเง้อออกไปมองด้านนอกหอพักที่เขายืนรออยู่

          “เปล่า...จะห้าทุ่มแล้วพี่ดิม  น้องยังไม่กลับบ้านเลย  โทรไปก็ไม่รับสาย”  ปกติน้องสาวของตนเป็นเด็กตรงต่อเวลามาก   เลิกเรียนถ้าวันไหนไม่มีเรียนพิเศษก็จะกลับบ้าน   ถ้าจะแวะที่ไหนก็มักจะโทรบอกพี่ชายก่อนทุกครั้ง   ไม่เคยเหลวไหลเลย

          “ลองโทรถามเพื่อนสนิทน้องเค้าดูสิ”  พี่ดิมแนะ   ตั้งเตกวาดตาดูรายชื่อเพื่อนสนิทของน้องสาวพร้อมเบอร์โทรศัพท์อีกรอบ

          “โทรไปหมดแล้วพี่ ทุกคนแยกกันที่เรียนพิเศษเมื่อตอนสองทุ่ม  ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน  ผมละกลุ้มใจจริงๆ  พักหลังมานี้น้องดูเหมือนมีอะไรปิดๆบังๆผมอยู่”

          “จะอะไรได้  มีแฟนชัวร์  ลองแยบถามดูสิ  พี่ว่านะ  เอาอย่างนี้สิ....เอ่อ....ครับผม”  ได้ยินเสียงผู้หญิงเรียกพี่ดิมจากปลายสายแว่วๆ ว่าหมอคะๆ  จากนั้นอีกฝ่ายก็บอกขอโทษแล้วกดวางสายไปอย่างรวดเร็วเหมือนหลายๆครั้งที่โดนพยาบาลตาม ขณะที่เรากำลังคุยกัน

          อีกครั้งที่ตั้งเตรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ตัวคนเดียวบนโลก   พี่ดิมไม่มีเวลาให้เขาเหมือนหลายปีที่ผ่านมาแล้ว   เค้าเรียนหนัก  ต้องไปฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดทำให้เราสองคนแทบไม่เจอหน้ากันเป็นเดือนๆ  ได้แต่โทรคุย  ซึ่งก็มักจะจบลงด้วยการที่พี่ดิมมีเหตุจำเป็นต้องวางสายก่อนเสมอ

          ชะเง้อมองหน้าปากซอยเป็นรอบที่ร้อย ก็ยังไม่เห็นวี่แววของน้องสาว เขาเกือบตัดสินใจจะแจ้งตำรวจแล้ว ตอนที่เห็นน้องของตนเดินคู่มากับร่างสูงโปร่งของผู้ชายคนหนึ่งเลี้ยวหัวมุมเข้ามาภายในซอย  ท่าทางสนิทสนมนั้นทำให้เตชะงัก  รอจนคนทั้งสองเดินเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าถนัดก็ยิ่งแปลกใจ

          “ข้าวตัง   ก้อง   ไปไหนกันมา”  เขาลุกขึ้น กรากเข้าไปยืนดักหน้าคนทั้งคู่เอาไว้   เด็กสาวเบิกตากว้าง ปล่อยมือจากท่อนแขนล่ำสันที่จับอยู่   ไม่สบตาเขา

          “พี่เต  เอ้อ...ตัง  ไปดูหนังกับพี่ก้องมาค่ะ”

          “ดูหนัง?”  เตทวนคำ  มองหน้าเด็กหนุ่มรุ่นน้องอีกคนที่สบตาเขาไม่หลบ แล้วตอบรับเสียงหนักแน่น

          “ครับพี่เต  ผมพาข้าวตังไปดูหนังเอง  ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกพี่ก่อน”

          “รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วงเราแค่ไหนน่ะ  โทรไปก็ไม่รับ  จะไปไหนพี่ไม่ว่า  แต่ทำไมไม่โทรบอกพี่ก่อนฮึ”  เตรู้สึกโกรธ  ทั้งเป็นห่วงน้องสาวทั้งหวงที่น้องไปกับเพื่อนผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันไม่นาน  ถึงจะเป็นเพื่อนของเขาเองก็เถอะ

          “หนูขอโทษค่ะ  พี่เต” ข้าวตังก้มหน้าลง   น้ำตาสองสามหยดไหลลงมาตามแก้มนวลเนียน  พี่ชายเห็นแบบนั้นก็ใจอ่อน ดุไม่ลง

          “กลับขึ้นห้องไปได้แล้ว  พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน”  พูดเพียงเท่านั้น  สาวน้อยก็เดินเร็วๆจากไปทันที  เหลือแต่เพื่อนหนุ่มรุ่นน้องที่ยืนประจันหน้าเขาอยู่  กั้งสบตาเขาอย่างเปิดเผย

          “เล่ามาให้ฟังได้มั้ย   ทำไมนายถึงไปดูหนังกับน้องสาวฉันได้”

          “ผม...ชอบข้าวตังครับ”  เตแทบไม่เชื่อหูตัวเอง   จ้องหน้าคนพูดเขม็ง

          “หมายความว่าไง   นายมีแฟนอยู่แล้วนี่”

          “เลิกกันแล้วครับ  เพิ่งเลิกกันเมื่ออาทิตย์ก่อน”  เขาพูดหน้าตาเฉย  คล้ายกับการบอกเลิกผู้หญิงสักคนเป็นเรื่องธรรมดา  ทว่าแววยอกแสยงที่ฉายวาบขึ้นมาก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของคนที่จับสังเกตอยู่ได้

          “ทำไมถึงเลิกกันล่ะ  ไหนว่าเรียนจบจะแต่งกันแน่ไม่ใช่หรอ”

          “เราไปกันไม่ได้ครับ”  ก้องตอบสั้นๆ  เมินหลบสายตาของเขาไปทางอื่น  ท่าทางแบบนั้นยิ่งทำให้เตมั่นใจในความคิดของตนมากยิ่งขึ้น

          “แล้วนายชอบน้องสาวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่”

          “ก็ชอบมาตลอด  ตั้งแต่เห็นหน้าครับ ...พี่เต   กรุณาให้โอกาสผมคบกับน้องข้าวตังเถอะนะครับ  ผมชอบน้องเค้าจริงๆ”

          “ตังยังเด็กเกินกว่าจะคบกับใคร  เธอเพิ่งเรียนมอปลายเอง”

          “ถ้าอย่างนั้นผมขอดูแลเธอในฐานะพี่ชายก็ได้  นะครับ”

          เตจำไม่ได้เสียแล้วว่าตอนนั้นตัวเองตอบเด็กหนุ่มไปว่าอะไร   จำได้แต่ว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น  เขาก็จับเข่าคุยกับน้องสาว  เธอยอมรับว่าชอบก้องมาก  รู้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งเลิกกับแฟน  เธอก็เลยอยากเป็นคนปลอบใจเขา

ในเมื่อน้องสาวพูดแบบนั้น  เขาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร  นอกจากยินยอมให้คนทั้งสองคนดูแลกันได้ในฐานะ พี่ชาย-น้องสาว  ตั้งแต่นั้นข้าวตังกับก้องก็ตัวติดกันราวกับฝาแฝดอินจัน  การเรียนของเธอไม่ตกต่ำลงอย่างที่เขาเป็นห่วง  กลับดีขึ้นเรื่อยๆเพราะมีติวเตอร์พิเศษส่วนตัวคอยช่วยติวให้ก่อนสอบ  เด็กสาวสดชื่น  มีชีวิตชีวาเหมือนช่วงก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะเสีย  ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่ทำให้เตหนักใจมากเท่าที่ควร

          ตรงกันข้ามกับความสัมพันธ์ของเขากับพี่ดิม  ที่ดูจะเหินห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะทางที่ห่างไกลกัน  หลายครั้งที่เขาแอบน้อยใจอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นรูปที่พี่ดิมกับเพื่อนๆไปเที่ยวกัน  โดยที่ไม่บอกให้เขารู้เลย  แม้จะเข้าใจว่าอีกฝ่ายเรียนหนัก  เวลาพักก็ควรจะได้พักผ่อน เที่ยวเล่นบ้างก็ตาม

เราสองคนไม่ได้โทรคุยกันทุกวันเหมือนช่วงแรกๆที่พี่ดิมไปต่างจังหวัดแล้ว  เว้นห่างขึ้นเป็นวันเว้นวัน  ต่อมาก็สามวันครั้ง  นานๆเข้าก็กลายเป็นอาทิตย์ละครั้ง  จนในที่สุดก็เหลือแค่นานๆครั้ง 

เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไรกันแน่   เขาก็ยังคงคิดถึงพี่ดิมทุกวันเหมือนเคย   เพียงแต่คร้านที่จะโทรไปเพื่อจะได้ยินคำว่า ‘กรุณาฝากข้อความ’  หรือไม่ก็เป็นการสนทนาสองสามคำแล้ววางสายไปเพราะฝ่ายนั้นติดธุระอันแสนมากมายมหาศาล

ในตอนแรกก็ทรมานใจเพราะคิดถึง  อยากรู้ว่าเค้าทำอะไรอยู่  กินข้าวหรือยัง  เมื่อคืนได้นอนบ้างมั้ย  งานหนักหรือเปล่า   แต่พอไม่ได้คำตอบ   ไม่มีการโทรกลับมานานๆเข้า  มันก็กลายเป็นความเฉยชาและเคยชินในที่สุด

ไม่ใช่ว่าพี่ดดิมจะเรียนหนักอยู่ฝ่ายเดียวนี่นะ   เขาเองก็เป็นนักศึกษาปีสุดท้ายแล้ว   งานหนักกว่าเดิมหลายเท่า ไหนจะต้องคอยดูแลน้องสาวอีก  บางทีก็อาจะเป็นความโชคดีของเขาที่มีก้องมาช่วยแบ่งเบาภาระนี้ไป

เขารู้ว่าตัวเองคิดผิดก็ตอนที่น้องสาวซบหน้าลงกับตักของเขาแล้วร้องไห้จนตัวโยนนั่นแหละ...

 สองอาทิตย์ก่อนหน้านั้น  ข้าวตังกับก้องเริ่มมีท่าทีแปลกไป ไม่ทำตัวติดกันเหมือนอย่างเคย  หลายครั้งที่เขาเห็นน้องสาวนั่งเหม่อลอย  ถอนหายใจยาวเหยียดราวกับมีอะไรกังวลอยู่ในใจ   พอถามก็บ่ายเบี่ยง  ยอมบอกแค่ทะเลาะกับพี่ชายรูปหล่อคนนั้นเท่านั้น

          เตต้องแอบไปสืบเอง  จากเจ้กิ่งเจ้าแม่ผู้รู้ทุกเรื่อง  เธอเฉลยให้เขาฟังว่าแฟนเก่าของก้องคิดจะรีเทิร์นกลับมาขอคืนดีด้วย  ตามไปง้องอนถึงคณะฯ  ทำเอาเจ้าตัวเครียดเพราะลึกๆแล้ว เจ้กิ่งมั่นใจว่าเค้าก็ยังตัดใจจากแฟนเก่าไม่ได้  สุดท้ายที่เจ้กิ่งทายเอาไว้ก็เป็นจริง เพราะก้องกลับไปคบกับแฟนเก่าของเค้าอีกครั้ง ทิ้งให้น้องสาวของเขาต้องอกหักดังเป๊าะกับรักครั้งแรก

          พี่ชายพอรู้เรื่องเข้าก็พลอยเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วย  ต้องตามหานายก้องเพื่อเคลียร์กันให้รู้เรื่องไป  เพราะน้องสาวของเขาเอาแต่ร้องไห้  ไม่ยอมพูดท่าเดียว ตามไปเจอตัวที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใกล้ๆมหาวิทยาลัย  เห็นภาพร่างสูงโปร่งเดินเคียงคู่กับหญิงสาวขาวหมวยแฟนเก่าที่คบกันมาหลายปี  ท่าทางของของทั้งคู่ทำให้ตั้งเตต้องถอยกลับไปปลอบใจน้องสาวเงียบๆ

          ไม่มีทางที่น้องสาวของเขาจะสู้ผู้หญิงคนนั้นได้เลย 

          และตอนนั้นเอง ที่ตัวละครลับตัวสุดท้ายโผล่ขึ้นมามีบทบาท  อาจะเป็นเพราะว่ามันใกล้จะถึงจุดจบของเรื่องนี้แล้ว


             *******************


มาต่อจบตอนค่ะ 
อาจจะดูย้อนอดีตกันเยอะนิดนึงนะคะ  เพราะอดีตกำหนดปัจจุบันและส่งผลถึงอนาคต
ความดรามา่ยังไม่จบ บางทีมันอาจจะเพิ่งเริ่มต้นขึ้น555
ขอบคุณมากๆที่่ติดตามอ่านกันมาจนถึงตอนนี้ :katai2-1:
เจอกันตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 22-02-2017 20:44:18
อ้าว ทำไมหล่ะ นี่เรานึกว่ากำลังจะจบดราม่า เตจะได้มีความสุขเสียที ที่ไหนได้ ดราม่ากำลังจะเริ่ม นี่เราสงสารเตจนไม่รู้จะสงสารยังงัยแล้ว แต่เตก็ดีแต่เก็บเงียบ ถ้าพูด ถ้าเล่าไปก่อนหน้านี้ ก็น่าจะเข้าใจกันนานแล้ว

แต่ได้อ่านตอนนี้มุมเต เลยได้รับรู้ว่าก่อนเลิกกัน ดิมเองก็สนใจเตน้อยลง แม้จะยังรักเตมากๆ อยู่ แต่ความสนใจที่มีให้ก็ลดน้อยลง นอกจากหมดไปกับเรื่องเรียนก็หมดไปกับเพื่อน

ขอให้รันได้รับผลกรรมหนัก ๆ นะ เพราะเดาว่าตัวละครตัวสุดท้าย น่าจะรันนี่แหละ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 22-02-2017 21:13:42
  อ่านตอนนี้แล้วสะใจมากๆ สงสารเตก็สงสารนะ แต่เตมัวไปกับแฟนเก่าจนลืมน้องสาวที่ป่วยกับลูกชาย อ่านแล้วแบบมึงห่วงน้องสาว ห่วงหลานมั้ย 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ มีกันอยู่แค่3คน แทนที่จะห่วงกันยังจะเริงเมืองกับแฟนเก่าเนาะ เอาดราม่าให้เตเลย ฮ่าๆ
 
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 22-02-2017 22:28:24
 :katai1: :katai1: ตัวละครลับ??
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 22-02-2017 23:42:32
ดราม่าาาาาาา สงสารเเต
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-02-2017 23:45:23
เล่นกับไฟ ใจลวกร้อน ตอนแผดเผา
เล่นกับเงา มัวเมาจับ ภาพสั่นไหว
เล่นกับคน ที่ยังรัก เล่นปักใจ
คนเล่นไฟ เล่นความรัก มักเจ็บเอง

พี่ดิมเล่นแบบนี้
แล้วจะรู้สึก..สำนึกว่า(กรู)เจ็บ
หุหุ
 o18

+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 22-02-2017 23:46:16
สะใจใครก็ไม่รู้55555

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 23-02-2017 00:03:08
 :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เสีย]ตอนที่18 22/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 23-02-2017 11:35:41
ก็อย่างที่หลายๆเม้นข้างบนว่าไว้ สะใจดี  :laugh:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่18 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 25-02-2017 13:12:24

เพราะหัวใจบอกว่า...แล้ว

 

 

 

              “เซอร์ไพรซ์    คิดถึงดิมจัง  ดิมล่ะคิดถึงรันบ้างหรือเปล่า?” 

            นายแพทย์หนุ่มเจ้าของคอนโดก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อร่างโปร่งบางของคนรักโถมเข้ามาในอ้อมกอด ขณะที่เขาเดินมาเปิดประตูตามเสียงกริ่งในยามเช้าตรู่

            ทั้งตกใจและแปลกใจที่อีกฝ่ายกลับมาถึงกรุงเทพฯก่อนกำหนดเกือบสี่วัน

            “คิดถึงสิ  ทำไมกลับมาก่อนไม่บอกล่ะ  จะได้ไปรับที่สนามบิน  แล้วตามกำหนดมันต้องวันศุกร์ไม่ใช่เหรอ  เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำไมกลับมาเร็ว”  ดิมถามมึนๆงงๆ   เขาไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว   เรียกว่านอนไม่หลับจะถูกต้องกว่า

            ตามันค้าง  เบิกโพลง  พอฝืนปิดเปลือกตาทีไรก็จะเห็นภาพใบหน้าเรียวหวานหลับตาพริ้ม  ผิวขาวผ่องนวลเนียน หอมกรุ่นใต้ริมฝีปากและฝ่ามือของเขาที่ลูบไล้สัมผัสตามหลอกหลอนอยู่ไม่วาย  ราวกับถูกคุณไสยเข้า

            วิรัลกวาดตามองอีกฝ่ายแล้วเม้มปาก

            “ทำไมล่ะ  ไม่ดีใจหรือไงที่รันกลับมาเร็ว”  คนฟังจับอารมณ์หงุดหงิดปนระแวงในน้ำเสียงนั้นได้ทันที  ฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ

            “ไม่ใช่หรอก  ดีใจอยู่แล้ว  แค่แปลกใจเฉยๆ ตอนแรกผมว่าจะบินไปเยี่ยมด้วยซ้ำ  แต่รันกลับมาก่อน”

          “บินไปเยี่ยม?  ดิมพูดจริงหรอ”  รันเบิกตากว้าง

            “พูดจริงๆ  ผมจัดของเตรียมเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ  อยากไปหาคุณ  ผมคิดถึงคุณมากนะรัน คุณกลับมาได้แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน  ผมจะได้หมดกังวล  เลิกคิดมากเสียที”  ประโยคสุดท้ายเบาลงคล้ายพูดกับตัวเอง  คนฟังขมวดคิ้ว  ได้ยินไม่ถนัด

            “คิดมากเรื่องอะไรเหรอ  หรือว่าเรื่องแขนหัก  อย่าบอกรันนะว่าแขนดิมจะไม่กลับใช้งานได้เหมือนเดิมน่ะ”   ชายหนุ่มก้มลงมองเผือกอ่อนที่คล้องแขนอีกฝ่ายอยู่อย่างตกใจ   ดิมหัวเราะ ขยับมือให้ดู

            “หายแล้ว  ดูสิ  ผมกายภาพเองทุกวัน  อาทิตย์ หน้าก็จะกลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้วล่ะ”  วิรัลทำท่าถอนหายใจอย่างโล่งอก  ถามเรื่องการรักษาอีกสองสามคำก็เปลี่ยนเรื่อง

            รดิศพยักหน้ายิ้มรับคำพูดของอีกฝ่ายที่เล่าจ๋อยๆถึงการไปเยี่ยมชมงานที่ต่างประเทศครั้งนี้   ฉับพลันใบหน้าหวาน ตากลมโตของอีกฝ่ายก็ค่อยๆพร่าเลือนกลายเป็นใบหน้าเรียวได้รูป  ดวงตารียาวดำขลับที่มีแววซื่อของใครอีกคนแทน

            ริมฝีปากอิ่มเต็มแดงเรื่อๆเพราะถูกสัมผัสซ้ำๆจนนับไม่ถ้วนเผยอขึ้นน้อยๆเห็นไรฟันขาวสะอาดเรียงเรียบเป็นระเบียบ   แผงขนตายาวตรงทาบอยู่บนพวงแก้ม  ทำให้ใบหน้านั้นดูอ่อนเยาว์เหมือนย้อนวัยกลับไปเมื่อสมัยที่ยังเป็นเฟรชชี่

            เด็กหนุ่มคนที่ส่งเขาตกลงไปกองที่ก้นถังในฐานหนุ่มน้อยตกน้ำคนนั้น   คนเดียวกับที่ทำให้เขาตกหลุมรักทันทีตั้งแต่แรกเห็น   คนเดียวกับคนที่ทิ้งเขาไปอย่างโหดร้าย  คนเดียวกับคนที่เขาตั้งใจจะฝากรอยเอาไว้แล้วตีจาก   ทว่าในตอนนี้กลับกลายเป็นเขาเองที่ยัง ‘จาก’ ไปไหนไม่ได้ วนเวียนคิดถึงแต่คนๆนั้น  ทั้งที่เค้าไปกับใครอีกคน หรือหลายต่อหลายคนแล้ว

            ภาพชายหนุ่มหน้าตี๋ร่างสูงโปร่งที่มารอรับนักเขียนหนุ่มที่หน้าบ้านแวบกลับเข้ามา   เค้าคนนั้นคงทำให้อีกฝ่ายลืมเขาไปแล้ว    ผ่านมาหลายวันไม่มีทีท่าว่าอีกคนจะติดต่อกลับมาอย่างที่เขาหวังเอาไว้

            ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร  ใจของเขากลับยิ่งทุรนทุรายเหมือนอยู่ในกองเพลิง

            “....ดิม?  คิดอะไรอยู่  เรียกตั้งหลายที ไม่ได้ยิน”  เจ้าของห้องสะดุ้ง  หันกลับไปมองคนนั่งข้างๆ  เห็นสายตาของอีกฝ่ายมองมาอย่างสงสัย   ขยับตัวนิดหนึ่งแล้วก็เสลุกขึ้นยืน  พูดแกมหัวเราะ

            “คิดเรื่องงานน่ะ  ไม่ได้ผ่าเสียนาน กลับไปจะมือตกไหมเนี่ย  หึๆ   เที่ยงแล้ว  เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า  เดี๋ยวผมขอไปแต่งตัวใหม่ก่อนแปบนึงนะ”   ศัลยแพทย์หนุ่มพูด  ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในห้องนอน

            แขกมองตามหลังครุ่นคิดอยู่ในใจ   คำพูดของรุ่นพี่ที่โทรทางไกลไปหายังก้องอยู่ในหู

            ‘เรานี่ก็ใจกว้างดีนะ  ยอมให้แฟนไปเจอแฟนเก่าได้ด้วย  พี่ล่ะนับถือจริงๆ  ของพี่นะถ้ายัยเกรซกลับไปหาแฟนเก่าที่บ้านล่ะก็  พี่คงทนไม่ไหวแหงๆ’

          ‘อะไรน่ะพี่  แฟนเก่าที่ไหน  พี่ดิมน่ะเหรอ  ไปหาแฟนเก่า?’  จำได้ว่าตัวเองทวนประโยค แล้วก็เข้าใจทันทีเพราะความที่ระแวงอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

            ‘อ้าว  อย่าบอกนะว่าเราไม่รู้เรื่องด้วยน่ะ  ตายละ  นี่พี่เอาความลับมันมาเปิดเผยหรือเปล่าเนี่ย   จะโดนไอ้ดิมปาดคอเอามั้ย’

‘เล่ามาเลยนะพี่  ผมเป็นน้องรหัสสายพี่นะ  พี่ต้องเห็นใจผมสิ’

‘ก็ได้  แต่แกอย่าไปเผลอบอกว่ารู้มาจากฉันล่ะ’ 

แล้วรุ่นพี่คนนั้นก็เล่าให้ฟังจนหมดเปลือก   ทำเอากุมารแพทย์หนุ่มเครียดจนทนอยู่ต่อที่โน่นไม่ไหว รีบติดต่อขอกลับประเทศไทยก่อน  เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทันที  ยิ่งกลับมาเจอสภาพของแฟนหนุ่มหน้าดำคล้ำหมอง  ใต้ตาดำเหมือนไม่ได้นอน   หนวดเครารกเรื้อแบบคนไม่ดูแลตัวเอง  บวกกับท่าทีเหม่อลอยของเค้าก็ยิ่งใจเสีย

เกิดอะไรขึ้นกันแน่  ระหว่างที่เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ 

เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพี่ดิมกับผู้ชายคนนั้น



                          *************************



เสียงโทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้นอีกครั้ง   รันชะโงกเข้าดูเห็นชื่อของเด็กหนุ่ม แฟนของเพื่อนสนิทโชว์หราอยู่ ก็เหลือบมองไปทางห้องน้ำที่ดิมเดินหายเข้าไปพักใหญ่แล้วแวบหนึ่ง  ได้ยินเสียงน้ำจากฝักบัวกระทบพื้นบอกว่าเจ้าตัวคงจะยังอาบน้ำไม่เสร็จ

เร็วเท่าความคิด  มือของเขาเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์เครื่องนั้นขึ้นมาถือเอาไว้   เสียงเรียกเข้ายังดังอยู่อย่างต่อเนื่อง  อีกฝ่ายคงจะถือสายรออยู่สินะ

รันกดตัดสายทิ้ง   จากนั้นก็เปิดดู missed call ที่บันทึกอยู่ในเครื่อง   กดไล่ดูเห็นมีชื่อของเตอยู่ห้าครั้ง  เขาไม่ลังเลเลยที่จะกดลบบันทึก missed call นั้นทิ้ง  แค่นี้ดิมก็จะไม่รู้แล้วว่ามีใครโทรมา ‘รบกวน’ บ้าง

“ใครโทรมาน่ะรัน”  เขาสะดุ้ง  หันขวับกลับไปเห็นเพื่อนสนิทในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย ก้าวออกมาจากห้องน้ำ  นัยน์ตาคมมองมาที่โทรศัพท์มือถือในมือของเขาอย่างสงสัย

“เอ้อ  คงจะเป็นพี่เด้นท์  พอดีกดรับไม่ทันน่ะ  วางสายไปเสียก่อน   ดิมรีบไปเถอะ  จะได้เวลาขึ้นเวรแล้ว”   ดิมพยักหน้ารับ  ท่าทางไม่ติดใจอะไร  คว้ากระเป๋าได้ก็เผ่นขึ้นไปบนวอร์ด

รันหันไปมองกรอบรูปที่วางอยู่บนหัวเตียงนอนของเพื่อนสนิทอีกครั้ง  หยิบขึ้นมาเพ่งพินิจดูคนในรูปทั้งคู่ที่นั่งเคียงข้างอยู่ริมทะเล  พี่ดิมยิ้มกว้างขณะที่คนข้างๆทำหน้าหงิกชอบกล   น่าเกลียดที่สุดในสายตาเขา  ไม่เข้าใจเลยว่าดิมเห็นดีเห็นงามอะไรกับเด็กหนุ่มคนนั้น

          หึ   ช่างเถอะ   เขาวางกรอบรูปเอาไว้ที่เดิม    ทอดสายตามองไปที่ใบหน้าเรียวหวานในภาพนั้น  แล้วกระตุกยิ้มมุมปากนิดหนึ่ง

          นายกำลังจะกลายเป็นอดีตที่ถูกลืม   เสียใจด้วยนะเต...

          ดิมบ่นกับเขาหลายครั้งเรื่องที่เตไม่ยอมโทรมาหาบ้างเลยในระยะหลังๆ  พอโทรกลับไปก็บอกไม่ว่างคุย   ไม่รับสาย  เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่กำลังสั่นคลอนอย่างรุนแรงเพราะอุปสรรคที่มีชื่อว่า ความห่างไกล   ซึ่งทำให้หลายคู่ต้องเลิกรากันมานักต่อนัก

          คู่ของดิมและเตก็คงไม่ต่างหรอก   เขาก็มีหน้าที่แค่ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี เพื่อรอเวลาเท่านั้นแหละ  บางทีเขาอาจจะเป็นคนกระตุกปมเชือกที่ผูกรัดคนทั้งคู่อยู่เองก็ได้  ถ้ามีโอกาสที่เหมาะ

          โอกาสมาถึงในรูปของผู้หญิงวัยกลางคน  ท่าทางใจดีในเช้าวันหนึ่ง...แม่ของพี่ดิม

          “ดิมพักนี้เขาเป็นอะไรน่ะรัน ทำไมแม่สังเกตดูเค้าหงุดหงิดแปลกๆ  ตั้งแต่แม่มาเยี่ยมนี่ยังไม่คุยกับแม่สักคำเลย”  มารดาของดิมเอ่ยทัก  เมื่อลูกชายขอตัวลุกออกไปโทรศัพท์ข้างนอกด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

          “อยู่เวรหนักน่ะครับ  ไม่ค่อยได้นอนก็เลยหงุดหงิด”

          “ฮื้อ  แม่ไม่เชื่อหรอกว่าแค่นั้น  ดูรันสิ  รันก็เรียนหนัก  ยังหน้าตาแจ่มใสอยู่เลย  แม่ว่าดิมต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ  นั่นเค้าโทรคุยกับใครอยู่เหรอลูก”

          วิรัลมองตาม  แล้วตอบยิ้มๆ

          “คุยกับน้องเตครับ   คงจะทะเลาะอะไรกันสักอย่าง”  เขาพูดแค่นั้นก็หยุด   คนฟังเบิกตากว้าง

          “เต?  เด็กหัวหยิกหน้าจืดๆคนนั้นน่ะเหรอ  นึกว่าเลิกกันไปแล้วเสียอีก  เอ๊  ทำไมดิมพูดไม่รู้เรื่องนะ   แม่บอกให้เลิกตั้งนานแล้ว”  เธอบ่นพึมพำ   อีกฝ่ายหูผึ่ง

          “อ้าว ทำไมล่ะครับ  น้องเตน่ารักดีนะครับ”  เขาพูดอย่างแนบเนียน

          “แม่ไม่ชอบเด็กคนนี้   ไม่ถูกชะตา   ดิมยังมีอนาคตอีกไกล  แม่ไม่อยากให้มาหยุดที่เด็กคนนี้เสียก่อน”  ได้ยินมารดาของอีกฝ่ายพูดสั้นๆแค่นั้น ก็เข้าใจ  ชายหนุ่มสะกดกลั้นความลิงโลดเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉย แกมเห็นอกเห็นใจ    ปลอบใจหญิงสูงวัยไปตามเรื่องตามราว

          พักใหญ่ๆดิมก็กลับเข้ามาในห้อง  สีหน้าไม่สดชื่น และออกจะเคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก  มารดาของเขาเรียกตัวเอาไว้ ขอคุยด้วย  เขาจึงปลีกตัวออกมาตามมารยาท  ให้แม่-ลูกเขาอยู่ด้วยกัน

          เขาไม่รู้ว่าวันนั้นแม่ของเขาพูดกับดิมว่าอะไร หลังจากนั้นแม่ก็กลับไปและมาเยี่ยมบ่อยขึ้นอีก  ทุกครั้งพี่ดิมก็จะพาไปเที่ยว โดยที่มีเขาและเพื่อนอีกสองสามคนติดไปด้วยเสมอ

          ที่แน่ๆที่เขารู้ก็คือ  ความสัมพันธ์ของดิมกับเตถูกเฉือนให้บางลงทุกขณะ



                   *********************




            เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้นอีกครั้ง  ศัลยแพทย์หนุ่มที่เพิ่งกลับมาจากดินเนอร์กับคนรักถอนหายใจยาว   ถอดเสื้อแจ็กเก็ตตัวนอกออก  เดินไปที่ประตูอย่างเบื่อหน่าย 

            เขาอยากอยู่คนเดียวเต็มที   แต่ก็ไม่สำเร็จ  คนรักตามกลับมาค้างที่คอนโดจนได้    เพิ่งจะได้อยู่เงียบๆก็ตอนที่รันเดินเข้าห้องน้ำไปนี่แหละ   แล้วใครมาอีกล่ะ...ส่องดูที่ตาแมว  เห็นใครบางคนยืนสงบนิ่งอยู่หน้าห้องก็หัวใจกระตุกวาบ  เอื้อมมือไปจับลูกบิดจะเปิดประตูห้องทันที    แต่ก็นึกขึ้นได้  จึงแสร้งทอดเวลาอีกนิดแล้วค่อยๆเปิดประตูออก   มองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบเฉย

            “พี่ดิม   ผม...” แขกผู้มาเยือนยามวิกาลพูดไม่ออก  เมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าของห้อง ที่ดูเย็นชาผิดความคาดหมายเหลือเกิน

            “เต   มีอะไรหรือเปล่า”  คำถามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมายิ่งทำให้เขาผงะ    ติณธรมองหน้าคนพูดอย่างงุนงงแกมผิดหวัง

            “ทำไมพี่ถึง...ขอเข้าไปคุยในห้องได้มั้ย”       เขาเปลี่ยนเรื่อง    อีกฝ่ายสั่นศีรษะ

            “ไม่ต้องหรอก  คุยกันตรงนี้ก็ได้   มีอะไรหรือ”

            ตั้งเตมองหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหู  อีกฝ่ายถามเขาว่า  ‘มีอะไรหรือเปล่า’  แถมยังไม่ยอมให้เข้าไปในห้อง  ราวกับเป็นคนละคนกับพี่ดิมที่ริมทะเลนั่น

            “เอ้อ...คือว่า....ที่วันนั้นพี่ดิมกลับมาก่อน ง่า...เพราะว่า  เอ่อ..”นักเขียนหนุ่มกลายเป็นคนพูดตะกุกตะกักไป  เขาไม่นึกมาก่อนว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้   ที่เขาอุตส่าห์รีบปลีกตัวมาหาพี่ดิมทันทีที่เรื่องของข้าวตังเรียบร้อย ก็เพราะอยากจะมาถามถึงเรื่องราวของเราที่ค้างคาอยู่   พี่ดิมไม่ได้ตั้งใจใช่มั้ย  เขาแค่ต้องการคำยืนยันให้แน่ใจ   แล้วจากนั้นเขาจะได้ปรึกษาพี่ดิมในฐานะศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญถึงโรคของข้าวตังเสียที

            คิ้วเข้มเลิกขึ้นน้อยๆ  นัยน์ตาคมกริบทอดมองเขานิ่งๆ  ไม่บ่งบอกอารมณ์

            “พี่ติดธุระน่ะ  ขอโทษด้วยที่ทิ้งนายเอาไว้อย่างนั้น   ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่ก็ขอตัวนะ”    ชายหนุ่มเจ้าของห้องทำท่าจะปิดประตู  แต่อีกฝ่ายเอื้อมมือไปรั้งเอาไว้   ดิมก้มลงมองมือเรียวที่ยึดอยู่ที่ท่อนแขนของเขาเอาไว้แล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมือ  ส่งสายตาเป็นเชิงถาม

            เตเม้มปาก  อึกอักอยู่ครู่ก็โพล่งถามออกไปตรงๆ

            “แล้วเรื่องของเราล่ะ”  พูดออกไปแล้วใบหน้าก็กลับร้อนซู่   ไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มสมใจพาดผ่านดวงตาคมเข้มคู่นั้น   ดิมย้อนถามกลับ

            “เรื่องของเรา?  หมายถึงอะไรเหรอ”

            เตอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี  แต่ในเมื่อเขาพลาดที่บากหน้ามาถามอีกฝ่ายก่อนเอง  ก็ต้องลุยต่อไปให้สุด   อย่างน้อยก็จะได้ไม่ค้างคาใจ

            และจะได้มั่นใจว่าสังหรณ์ของเขาคงไม่ผิด

            “คืนนั้น...ที่บ้านพัก…”

            “อ๋อ   เรื่องคืนนั้น.... ก็ไม่มีอะไรนี่”  พี่ดิมเหยียดยิ้ม   เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนมองหน้าชา “...นายอยากได้คำขอโทษจากพี่เหรอ   งั้นพี่ก็ขอโทษด้วยนะ  พี่ไม่ได้ตั้งใจจริงๆ  คงเป็นเพราะเมาด้วยแหละ   นายเองก็เมาเหมือนกันนี่    คงต้องโทษตัวเองด้วยแล้วล่ะ  ถือซะว่าสนุกๆละกัน   ถ้าวันหลังนายอยากไปปิกนิคอีกก็ได้นะ ... โอ๊ะ!!”  ใบหน้าของคนพูดสะบัดไปตามแรงตวัดมือของคนฟัง   ดิมรู้สึกหน้าชาไปทั้งแถบ  หูลั่นกริ่งไปหมด   คนตรงหน้าหน้าแดงสลับซีด  หายใจถี่เร็ว

            สายตาคู่นั้นมองมาที่เขา ทั้งผิดหวังทั้งเสียใจจนเขาใจหาย   ทว่าแห้งผากไม่มีน้ำตาสักหยด

            “ทำไมล่ะ  นายต้องการอะไร  เรื่องของเรา? ...มันก็จบไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้วไงเต   ที่เหลือมันก็แค่...”

          “ใครมาน่ะดิม ให้เข้ามาคุยในห้องก็ได้นะ  รันไม่ว่า”  เสียงพูดแกมหัวเราะดังขึ้นจากทางด้านหลัง   รดิศใจหายวาบ   เขาลืมรันไปเสียสนิท   จากหางตาเห็นอีกฝ่ายในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำค่อยๆเดินมาหยุดข้างๆเขา แล้วเบิกตากว้างทักเตอย่างแปลกใจ

            “อ้าว  คุณเต  นึกว่าใคร   เข้ามาคุยข้างในห้องก็ได้นะฮะ  ขอโทษด้วยที่ผมแต่งตัวไม่เรียบร้อย   ตามสบายนะครับ”  พูดแค่นั้น เจ้าตัวก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน

            ตั้งเตมองลอดผ่านช่องว่างของประตูที่มีเจ้าของห้องยืนบังอยู่เข้าไปด้านใน   เห็นทุกสิ่งได้ถนัดชัดเจน เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งแก่ใจดี   

            เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจของเขาตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเมื่อ 8 ปีก่อนจนถึงบัดนี้   ราวกับจะจดจำเอาไว้เป็นครั้งสุดท้าย  เขาเม้มปากแน่น   กัดริมฝีปากด้านในเอาไว้อย่างแรงจนรู้สึกถึงรสเลือดอุ่น    กระบอกตาร้อนผ่าว   บังคับตัวเองสุดแรงเกิดให้หันหลังกลับและเดินออกจากมาช้าๆ 

            ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากคนที่ตัวสั่นเทิ้มนั้น  นัยน์ตาที่จ้องมาที่เขาเป็นครั้งสุดท้ายแห้งผากและแดงก่ำ   มือทั้งสองข้างกำแน่น   เตไม่พูดอะไรเลยอีกเลย  ตอนที่หันหลังเดิน เข้าลิฟต์ไป 

ทำไมเตถึงไม่ลงไปร้องไห้ตีอกชกตัว  ทำไมเค้าถึงไม่ถาม ไม่พยายามฉุดรั้งเขาเอาไว้เลยล่ะ  ทำไมเตทำเหมือนยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้โดยดุษณี    ประหนึ่งว่าเขาเตรียมใจเอาไว้แล้วว่ามันจะเป็นอย่างนี้

แล้วทำไมตัวเขาเองกลับรู้สึกวูบโหวงแบบนี้ล่ะ    รดิศยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาดู  ปลายนิ้วมือสั่นน้อยๆอย่างควบคุมไม่ได้   มือของใครคนหนึ่งแตะที่บ่าทำเอาสะดุ้งน้อยๆ  หันกลับไปเจอคนรักยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

“จบแล้วใช่ไหมดิม  รันยอมให้ดิมแค่นี้นะ”   กุมารแพทย์หนุ่มพูดแค่นั้น  ดิมไม่ตอบแต่คว้าเสื้อแจ็กเกตที่เพิ่งถอดขึ้นมาสวมใส่   เปิดประตูเดินออกมาจากห้องพักโดยไม่เหลียวมองหน้าคนรักที่ยืนนิ่งขึงอยู่ภายใน

เขาลงลิฟต์มาถึงชั้นล่าง  ทันเห็นร่างโปร่งบางเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งบนรถแท็กซี่จากนั้นรถคันนั้นก็ขับออกไปในความมืดอย่างรวดเร็ว  เห็นแต่แสงไฟท้ายลางๆ

ดิมรู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งจะทำสิ่งที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตไปบางอย่าง  และไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร

คนในรถแท็กซี่คนนั้นยังคงตัวสั่นน้อยๆ สายตาของเขาพร่าเบลอไปหมดแล้วเพราะหยาดน้ำตาที่เริ่มคลอขึ้นมา  พยายามสะกดกลั้นเอาไว้ไม่ให้มันไหลออกมาจนสำเร็จ   ร้าวในอกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นควักหัวใจออกมาฉีกแยกออกเป็นชิ้นๆ 

....ทำไมพี่ดิมทำแบบนี้กับเรา....

เพราะอะไร   หัวใจถึงได้เจ็บขนาดนี้   มันยิ่งกว่าตอนที่ต้องเป็นฝ่ายบอกเลิกพี่ดิมเสียอีก   หรือนี่คือความรู้สึกตอนที่พี่ดิมถูกเราบอกเลิกตอนนั้น  มันเจ็บถึงเพียงนี้เชียวหรือ   นี่คือเหตุผลที่พี่ดิม ‘เอาคืน’ ใช่ไหม

ภาพเหตุการณ์เมื่อครู่วนกลับเข้ามาอีกครั้ง   สีหน้าเย็นชาและเหยียดหยันของพี่ดิมทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกกระชากร่างลงไปเฆี่ยนกลางลานประหาร  ก่อนที่จะถูกจบชีวิตด้วยถ้อยคำแกมหัวเราะที่บาดลึกถึงจิตใจ

‘เรื่องของเรา? ...มันก็จบไปตั้งแต่เมื่อ 8 ปีก่อนแล้วไงเต   คงต้องโทษตัวเองด้วยแล้วล่ะ  ถือซะว่าสนุกๆละกัน..’

ใช่แล้ว  โทษใครไม่ได้เลยนอกจากตัวเอง  เพราะหัวใจของตัวเองที่หลงระเริง เพริดไปด้วยคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายยังมีใจให้  เป็นความคิดแบบเด็กๆที่ยังหลอกตัวเองให้ติดอยู่กับความหวานของลูกกวาดจอมปลอม   แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยฟันผุหมดปาก

หมอรันก็คือคนที่สุดท้ายที่พี่ดิมเลือกสินะ  เค้าก็เหมาะสมกันดีทุกอย่าง  เราไม่มีสิทธิจะไปแข่งอะไรกับเค้าตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ เพราะเราก็เหมือนนักกีฬาที่สละสิทธิ์ก่อนลงสนามไปแล้ว  แม้ว่าจะไปถึงสนามก่อนก็ตาม

เพราะความหลงวูบเดียวเท่านั้น   ทำลายทุกอย่างให้พังราบไปในพริบตา  ความรู้สึก  ความทรงจำดีๆแต่หนหลังที่เขาเฝ้าเก็บทะนุถนอมเอาไว้อย่างดี ถูกทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย กลายเป็นเศษขยะไร้ค่า  ไร้ความหมาย   ก็แค่ของเล่นสนุกๆฆ่าเวลาระหว่างรอ ‘ตัวจริง’  เขากลับมา ก็เท่านั้นเอง

มือสะดุดเข้ากับนาฬิกาสายหนังหน้าปัดแตกร้าวเรือนนั้นที่เขายังสวมติดข้อมือเอาไว้  แม้ว่ามันจะหยุดเดินเพราะน้ำทะเลเข้าไปแล้วก็ตาม   เตถอดมันออกมา  เพ่งมองเข็มนาฬิกาที่นิ่งสนิทหยุดอยู่ที่เวลาบ่ายสอง 

            ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ก็คงดี  เขาจะขอย้อนกลับไปในช่วงที่เราสองคนเพิ่งพบกันอีกครั้ง  เขาจะได้ปฏิเสธพี่โดมไปว่าเขาจะไม่เขียนคอลัมต์นี้แน่นอน   เขาจะได้ไม่ต้องพบหน้าคนๆนั้นอีก 

            แม้ว่าจะคิดถึงใจแทบขาดก็ตาม

            อย่างน้อยเขาก็จะได้หลงเหลือความทรงจำดีๆเมื่อ 8 ปีก่อนเก็บเอาไว้ให้นึกถึง  ไม่ใช่ถูกทำลายป่นปี้ไปหมดเหมือนตอนนี้   

            พี่ดิมที่แสนดีคนนั้น  เค้าตายไปแล้ว  เหมือนนาฬิกาเรือนนี้นั่นแหละ....

            คุณหมอหนุ่มจ้องมองเงาของคนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่คันหน้าเขม็ง  เห็นฝ่ายนั้นเปิดหน้าต่างออกมา แล้วขว้างของบางสิ่งออกไปนอกรถ  ลอยลงไปในถังขยะสีเขียวริมถนนอย่างแม่นยำ   ก่อนที่ไฟแดงจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียว

            เขารีบบอกคนขับให้จอดรถแอบข้างทาง  โชคดีที่เวลาตีสามเป็นช่วงที่ถนนโล่ง  ดิมรีบเปิดประตูลงไปดูถังขยะใบนั้น  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดไฟฉายส่องดู  แสงไฟสะท้อนเข้ากับหน้าปัดนาฬิกาสว่างวาบเข้าตา   เขามองนาฬิกาเรือนนั้นอย่างไม่เชื่อสายตา

            มันจบแล้วจริงๆ

            .................................................................................


ต่อด้านล่างนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 25-02-2017 13:21:15
ต่อนะคะ





               หญิงสาวที่นอนห่มผ้าคลุมถึงปลายคาง เห็นเพียงใบหน้ารูปหัวใจซีดเผือดนั้นน่าสงสารยิ่งนัก   ข้างกายของเธอมีสายน้ำเกลือและสายอะไรต่อมิอะไรระโยงรยางค์รุงรังไปหมด  ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังราคาแพงลิบดูเปล่าเปลี่ยวและหนาวเหน็บเมื่อมีเธอนอนอยู่คนเดียว

            เธอลืมตาขึ้นแล้วหันไปมองโซฟาที่ว่างเปล่าริมสุดห้องอีกครั้ง   ...พี่เตหายไปไหนเสียแล้ว    ทุกทีเขาจะอยู่เฝ้าเธอตรงนั้นไม่ไปไหนนี่นะ

            ถอนหายใจช้าๆ  เสียงเครื่องวัดชีพจรดังขึ้นนิดหนึ่ง   เธอขยับตัวในท่ากึ่งนั่งกึ่งนอน  อย่างทรมาน  อยากออกไปจากที่นี่เสียที  เธอนอนมานานแค่ไหนแล้ว  อาทิตย์เดียวหรือนอนมาเป็นปีกันแน่  ทำไมมันถึงยาวนานเหลือเกิน  และเธอจะได้กลับบ้านใช่มั้ย

            เมื่อไหร่เต้จะมา  เต้...ผู้ชายคนเดียวที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวในหัวใจ   คนเดียวที่เป็นของเธออย่างแท้จริง  ไม่มีใครสามารถแย่งเอาไปได้

            แค่คิดมาถึงตรงนี้  น้ำตาก็ไหลออกมาทางหางตา  ไม่มีใครเลยที่จะเป็นของเธอจริงๆ ตลอดชีวิตที่ผ่าน  ตั้งแต่ผู้ชายคนแรกที่ทำให้ได้รู้จักกับความรักที่หอมหวานและดื่มด่ำ   และก็ทำให้รู้จักรสชาติของความผิดหวังเพราะรัก   ตามมาด้วยผู้ชายคนที่สองที่ทำให้เธอต้องลิ้มรสกับความผิดหวังซ้ำสองและเจ็บแค้น   สิ่งที่ดีที่สุดที่เขาเหลือทิ้งไว้ก็คือ เด็กชายเต้นั่นเอง

            และผู้ชายคนที่สาม...โอ  คนที่คอยยืนหยัดอยู่ข้างเธอตลอดมา  ไม่ว่ายามไหน  ตอนที่เธอสูญเสียพ่อแม่  ตอนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม   ตอนที่ว้าเหว่  ตอนที่เสียใจที่สุด ก็ยังมีคนๆนั้นคอยอยู่เป็นกำลังใจเสมอมา   คนที่เธอเคยหลงรักมาก่อนที่จะรู้เดียงสา   ผู้ชายในอุดมคติของเธอ   สุดท้ายเธอก็ตกหลุมรักเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่นเอง

            “ตื่นแล้วเหรอ  ตัง”  เสียงคุ้นหูดังขึ้นพร้อมกับร่างเพรียวบางของชายหนุ่มที่เป็นทั้งพี่ชายและผู้รับรองบุตรของเธอในฐานะบิดา   ตั้งเตวางถุงอาหารไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วเดินเข้ามาเธอ  ข้าวตังสังเกตเห็นได้ว่าเค้าดูซูบผอมลงไปมาก   จากเดิมที่ค่อนข้างผอมอยู่แล้ว   ตาลึกโหลคล้ายคนอดนอนติดต่อกันมาเป็นเวลานาน

            “พี่เต  ไปไหนมาคะ ....”  พูดได้นิดเดียวก็ต้องหยุด เพราะเหนื่อย  เธอพักครู่หนึ่งก็พูดต่อ “เต้ไม่มาเหรอ”  ชายหนุ่มยิ้ม  แกะถุงพลาสติกบรรจุโจ้กเหลวๆเทใสถ้วยเล็กๆแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างเธอ

            “เดี๋ยวเย็นๆก็มาจ้ะ  พี่จะไปรับที่โรงเรียน   เห็นพยาบาลบอกว่าเธอไม่ยอมกินข้าวเลย  ทำไมล่ะ  ไม่อร่อยใช่ไหม...พี่ซื้อโจ้กเจ้าประจำมาฝาก  กินหน่อยนะ”  เขาใช้ช้อนตักโจ้กขึ้นมาคำเล็กๆ ป้อนให้หญิงสาวที่ยอมกินโดยดี   เธอกินสองสามคำก็ทำท่าคลื่นไส้ จึงต้องหยุดเพียงแค่นั้น  ชายหนุ่มมองอย่างสงสารแกมลำบากใจ

            “ถ้าตังกินไม่ได้  หมอเขาบอกว่าจะต้องใส่สายให้อาหารทางจมูกนะจ้ะ  พี่ว่ามันน่าจะทรมานมากเลย  ตังแข็งใจกินอีกนิดนึงนะ  กินนมก็ยังดี”

          “ตังเหม็นค่ะ...  ไม่อยากกินเลย  จะอ้วก”

          “ถ้าตังไม่กิน  ร่างกายของตังก็จะไม่แข็งแรงพอที่จะผ่าตัดนะ   แล้วก็ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆนะตัง  เอาเหรอ”   

            “ตังไม่อยากผ่าตัดแล้ว ….. แค่ครั้งนั้นครั้งเดียวตังก็เหมือนจะตาย  …… ตังกลัวว่าถ้าตังผ่าคราวนี้ตังจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก”  เธอพูดไปหอบไป   “  ….. แล้วตังก็จะไม่ได้เห็นหน้าเต้กับพี่เตอีกแล้ว”   เตถอนหายใจยาว   ช่วยปรับเตียงขึ้นให้น้องสาวหายใจได้สะดวกขึ้น 

            “ตังต้องฟื้นสิ   เดี๋ยวนี้การแพทย์พัฒนาไปตั้งไกลแล้ว  ดีกว่าเมื่อ 8 ปีก่อนเยอะ   แล้วคุณหมอที่นี่ก็เก่งที่สุดเลย  เขาจะต้องผ่าให้ตังได้สำเร็จแน่ๆ”

          “ตังไม่อยากผ่า  พี่เตพาตังกลับบ้านเถอะ  นะคะ   ไม่อย่างนั้นส่งตังไปให้หมอส้มรักษาก็ได้  หมอส้มต้องรักษาตังได้แน่”   

          “ไม่ได้หรอกตัง  หมอส้มเป็นหมอที่ใช้ยารักษา  ไม่ใช่หมอผ่าตัด  โรคของตังต้องผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจใหม่ถึงจะหาย   หมอส้มผ่าให้ไม่ได้  ต้องให้หมอผ่าตัดหัวใจเขาผ่าให้”

          “แต่ตังไม่ชอบหมอธนพลเลย  ท่าทางเค้าดูไม่ค่อยใส่ใจตัง  เวลาตรวจก็ตรวจส่งๆยังไงไม่รู้  เหมือนจะรีบไปไหน บอกไม่ถูก  เค้าจะผ่าให้ตังได้เหรอ”

            “ตังต้องมั่นใจสิ   คุณหมอธนพลนี่เค้าเก่งมากเลยนะ  พี่ไปสืบดูแล้ว   ท่าทางเค้าอาจจะเป็นอย่างนั้นเอง   เอาน่า   อย่าเพิ่งไปคิดถึงตอนนั้น  คิดแค่ว่าทำอย่างไรให้เราแข็งแรงพร้อมผ่าตัดมากที่สุด เท่านั้นแหละตัง”   ชายหนุ่มตัดบท  เขาเริ่มปวดศีรษะขึ้นมาอีกแล้ว   เอาอาหารไปแช่ตู้เย็นเสร็จก็เดินเลี่ยงออกมาจากห้อง  เปิดกระเป๋าล้วงหายาแก้ปวดขึ้นมากิน

            ซองยาสีแดงสดถูกยื่นมาตรงหน้า   เขาเงยหน้าขึ้น เห็นภาคย์ยืนยิ้มอยู่  สายตาคู่นั้นบอกชัดว่าเป็นห่วง

            “ปวดหัวใช่ไหม เห็นคุณกุมขมับ หน้าซีดมากเลย  นี่ยาแก้ปวดครับ”   เตยิ้มนิดหนึ่ง  รับยามาถือเอาไว้

            “คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง  นอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วนี่   หมอเขาจะให้กลับหรือยัง”  เขาถามต่อ  ขณะที่ทั้งคู่เดินเรื่อยมานั่งตรงเก้าอี้รับรองด้านนอกวอร์ดผู้ป่วยพิเศษ

            นักเขียนหนุ่มถอนหายใจเบาๆ  เล่าให้อีกฝ่ายฟังว่าหญิงสาวไม่อยากผ่าตัด   ต้องการจะกลับบ้านท่าเดียว

            “ผมเข้าใจคุณข้าวตังนะ  เธอคงกลัว   ช่วงนี้คุณคงต้องให้กำลังใจเธอมากหน่อย   แล้วงานของคุณเป็นอย่างไรบ้าง   อีกสองอาทิตย์จะปิดเล่ม  เขียนทันไหม  ถ้าคุณเขียนไม่ทันก็บอกนะ  ผมจะได้หาคนช่วย  ไม่ต้องห่วง  ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี   ไม่เจอกันอาทิตย์เดียว...นี่น้ำหนักคุณลงไปกี่กิโลเนี่ย  ข้อมือเหลือนิดเดียวเอง”  เจ้านายกำมือรอบข้อมือเล็กบางเพราะความผ่ายผอมของอีกฝ่ายเอาไว้แน่น  พูดแกมหัวเราะแม้นัยน์ตาจะมีประกายกังวลแฝงอยู่ลึกๆ

            เตดูเหมือนคนที่กำลังจะตาย ....มากกว่าข้าวตังเสียอีกในความรู้สึกของเขา   นัยน์ตาเรียวยาวดำขลับคู่นั้น  เดิมทีแม้จะแฝงความเศร้าเอาไว้ลึกๆ แต่ก็เป็นประกายแวววามด้วยน้ำหล่อเลี้ยง  ตรงข้ามกับตอนนี้ที่แห้งผาก  เห็นเเต่เส้นเลือดแดงก่ำ

            “มันเหนื่อยๆ ก็เลยกินไม่ค่อยลงน่ะฮะ  ไม่ต้องใส่ใจหรอก  ดีเหมือนกันได้ผอมเพรียว  หุ่นดี”  นักเขียนหนุ่มพูดยิ้มๆ  ตบที่หลังมือของอีกฝ่ายเบาๆ

            “หุ่นดีอะไรล่ะ  เหมือนโครงกระดูกเดินได้น่ะสิ   เอาอย่างนี้ ผมว่าเที่ยงนี้ผมพาคุณไปกินอะไรที่มันดีกว่าโรงอาหารของโรงพยาบาลหรือข้าวกล่องหน้าตลาดดีไหม  เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาอีกคนแล้วทีนี้ข้าวตังกับเต้จะทำยังไงล่ะ  เร็ว  ไปกันเถอะ  ผมรู้จักอยู่ร้านนึง  ทำซุปอร่อยมาก  จะได้ซื้อมาฝากคุณตังด้วย”

          ติณธรลุกขึ้นเดินตามแรงฉุด   ไม่รู้ตัวเลยว่าอยู่ในสายตาของใครบางคนที่นั่งมองอยู่เงียบๆนานแล้วที่มุมหนึ่ง   ผู้ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนและเดินเข้ามาหยุดที่ด้านหน้าห้องพักผู้ป่วยที่มีชื่อว่าระดับดาว  พยาบาลสองคนรีบเดินเข้ามาหา พร้อมกับนายแพทย์อีกคนที่ยกมือไหว้แล้วเข้ามาหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ  พวกเขาเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในห้องพักของผู้ป่วย...

            .............................................................................

            “ไม่ถูกปากหรือครับ  คุณเตไม่ค่อยกินเลย   หรือว่ากังวลเรื่องคุณตัง...ไม่ต้องห่วงหรอกครับ  หมอที่นี่เก่งที่สุดในประเทศแล้วก็ว่าได้  เรื่องค่าใช้จ่ายผมพร้อมจะช่วยคุณเต็มที่”   ภาคย์พูด  เขาเป็นห่วงเตมากเหลือเกิน   อยากช่วยแบ่งเบาภาระอะไรก็ตามที่ผู้ชายที่น่าสงสารคนนี้แบกเอาไว้บนบ่าบางๆนั้นเอาไว้เสียเองถ้าทำได้

            เตยิ้มให้เขา  แล้วส่ายศีรษะช้าๆ

            “ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกเรื่องนั้น  เรื่องค่าใช้จ่ายด้วย  ผมพอมีเงินเก็บอยู่บ้างครับคุณภาคย์”   ตั้งเตปฏิเสธความช่วยเหลือของเขาอีกตามเคย  จะว่าไปสิ่งเดียวที่เตยอมรับความช่วยเหลือจากเขามีแค่ยอมให้ข้าวตังพักรักษาตัวในห้องพิเศษที่เขาติดต่อมาได้ เท่านั้นเอง

            “ตามใจคุณ  แต่ถ้าคุณมีปัญหาอะไร  ผมขอให้คุณบอกผมเป็นคนแรก ได้ไหม”  แววตาจริงใจของคนตรงหน้าทำให้ตั้งเตก้มศีรษะรับแต่โดยดี   ฝืนตักอาหารเข้าปากเอาใจคนพามากินได้ไม่กี่คำก็ผะอืดผะอมจนต้องหยุด

            “อิ่มมากจริงๆครับ   ไม่ไหว”  พูดแค่นั้นก็รวบช้อน  เสมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่นัยน์ตาคมเฉี่ยวที่จับสังเกตเขาอยู่เงียบๆ  ลอบถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด   

            เค้าคงรู้สึกได้ว่าเรามีอะไรในใจ   ความจริงก็ไม่มีอะไรนี่...ทุกอย่างมันจบสิ้นไปหมดแล้ว  ตั้งแต่คืนนั้น    เขาได้ปลดเปลื้องบาปผิดและความรู้สึกต่างๆนานาไร้สาระทั้งหลายทิ้งไปภายในคืนเดียว

            นึกถึงกล่องกระดาษที่บรรจุอัลบั้มรูปกับของจุกจิกที่เขาเฝ้าเก็บรักษาเอาไว้อย่างทะนุถนอมมาหลายปี   นึกแล้วก็น่าขำ  สิ่งของที่แต่ก่อนเคยคิดไปเองว่าสูงค่า  เต็มไปด้วยความหมายทางจิตใจ  มาบัดนี้กลับไร้ค่า หมดราคา  จะเอาไปชั่งกิโลขาย  ก็คงได้ไม่กี่สตางค์  ครั้นจะเก็บเอาไว้ก็หมดประโยชน์ รกบ้านเปล่าๆ  สุดท้ายก็จบลงที่การบริจาคไปเสีย

            เสียเวลาเก็บกวาดนานหน่อย แต่ก็คุ้มกับความสบายใจที่ได้รับกลับคืนมา...จบแล้ว  ไม่มีอะไรต้องคิดถึงอีก  หมดสิ้นกันเสีย

            บางทีเขาอาจจะต้องเข้าวัด ทำบุญเสียบ้าง...

            “คุณเตเหนื่อยเกินไปหรือเปล่า   กลับไปพักที่บ้านก่อนดีไหมครับ  นอนค้างที่โรงพยาบาลแบบนั้นคงนอนไม่หลับหรอก”  เตกระพริบตา  หันไปมองหน้าคนขับรถที่ทอดสายตามาที่เขาอย่างห่วงใย  เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังนั่งอยู่บนรถจอดติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกพอดี

            “ไม่เป็นไรหรอกครับ  ผมเป็นห่วงตังด้วย  อยู่คนเดียวที่นั่น..”  เขาหยุดพูดเสียเฉยๆ  แต่ภาคย์ก็ไม่ได้ทักอะไร   เขาเพียงตั้งข้อสังเกตเพิ่มเอาไว้ในใจเท่านั้น

            เตต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง   เรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของเค้าเป็นอย่างมาก  น่าจะมากกว่าเรื่องที่ภรรยาป่วย    ไม่ใช่เรื่องงานด้วย...ท่าทางล่องลอยเหมือนเจ้าตัวกำลังปล่อยความคิดไปไกลแสนไกล  ความหม่นหมองในสีหน้า   แต่ที่ชัดที่สุดก็คือแววตาแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาคู่นั้น  ถึงเตจะพยายามกลบเกลื่อนท่าทีด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงอย่างไร  ก็ปิดไม่สำเร็จ 

            มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่  ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน แววตาคู่นั้นยังวาววาม เปล่งประกายสดใสอยู่เลย 

            “ถ้าอย่างนั้น  ผมว่าเราเลยไปรับน้องเต้เลยดีกว่า  ใกล้เวลาโรงเรียนเลิกแล้วล่ะ  คุณจะได้ไม่ต้องย้อนกลับออกมาอีก”

          “ไม่รบกวนดีกว่าครับ  เผื่อคุณภาคย์มีธุระ  ผมไปรับลูกเองได้”  เตพูดเรียบๆ  คำปฏิเสธออกมารอที่ริมฝีปากของคนฟัง แต่แล้วเขาก็กลับไม่พูดอะไรอีกครั้ง

          “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจคุณ   งั้นผมส่งคุณที่โรงพยาบาลนะครับ”

            นักเขียนหนุ่มพยักหน้าอย่างพอใจ  ภาคย์ดีตรงนี้เอง  เขาเป็นคนไม่เซ้าซี้ใคร  เป็นส่วนดีอีกข้อที่ทำให้เขาเต็มใจที่จะคบหากับผู้ชายคนนี้ต่อในฐานะกึ่งเจ้านายกึ่งเพื่อน                           

            กว่าเขาจะกลับมาก็เกือบบ่ายสามแล้ว   มือทั้งสองหอบหิ้วอาหารและผลไม้เต็มสองมือ  กลับเข้ามาภายในห้องพักของน้องสาว   เห็นร่างสูงโปร่งของคุณหมอธนพลยืนชิดขอบเตียงหันหน้ามาทางเขา  ตรงข้ามกับร่างสมส่วนของใครบางคนที่ยืนหันหลังให้ 

            หัวใจที่เต้นอย่างเฉื่อยชาคล้ายหยุดเต้นไปวูบหนึ่ง แล้วก็กลับมาเต้นเร็วแรงไม่เป็นจังหวะ...

            “คุณเตมาพอดี   คุณเตครับ  ผมมีข่าวต้องแจ้งให้ทราบ   ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ คือผมติดประชุมสำคัญที่ต่างประเทศในช่วงเดือนนี้พอดี   ปลีกตัวไม่ได้เลย   เค้าแจ้งมากะทันหันมาก   คงอยู่ผ่าตัดให้คุณข้าวตังไม่ทัน    ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ”   คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นไหว้เขา  ทำเอาเตรีบยกมือรับไหว้แทบไม่ทัน 

            “แล้วข้าวตัง...”  เขารู้คำตอบก่อนที่อีกฝ่ายจะพูดเสียอีก  เมื่อคนที่ยืนหันหลังให้ในตอนแรก ค่อยๆหันหน้ากลับมาเผชิญหน้าเขาช้าๆ  ใบหน้าคมเข้มนั้นเรียบเฉย แต่ดวงตาเป็นประกายวาววับ

            “ผมจะเป็นคนผ่าตัดให้เธอเองครับ ....ผมนายแพทย์รดิศ  ศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจ อเมริกันบอร์ดครับ    คุณเป็นสามีของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ”

            ทำไม...ทำไมถึงไม่ยอมจบเสียที


            ....................................................................

มาต่อจนจบ
ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามอ่าน
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนองค่ะ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 25-02-2017 15:29:56
จะว่าอะไรไหมถ้าจะบอกว่า เกลียดทุกตัวละคร มีแต่คนเห็นแก่ตัว :fire: :fire: :fire: :fire: :fire: :fire:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 25-02-2017 19:06:45
^
^
ความเห็นข้างบน น่าคิดตามแหะ
+1

ใช่..เมื่อคนเราเห็นแก่ตัวเองมากขึ้นๆๆๆๆๆๆๆ
ก็จะหันไปทำร้ายคนรอบข้างตัวเอง ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
เพียงเพื่อให้ได้มาทุกสิ่งที่ตัวเองต้องการ

ใจร้ายกันจังเลยยยยยยยยย รักตัวเองจนไม่เห็นหัวใคร

แต่ชอบอ่านเรื่องนี้มากกกกกกกกกก
+1 ให้คนแต่ง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 25-02-2017 21:16:21
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 25-02-2017 22:37:37
เกลียดดดดดดดดด (ความคิดแรกที่อ่านตอนนี้จบ)

ไม่รู้จะเกลียดใครมากกว่ากันดี 55555

ลุ้นกันยาวๆ

ใครใจอ่อนคนนั้นแพ้รึเปล่า?


หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 25-02-2017 23:17:34
 :a5:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...แล้ว]ตอนที่19 25/2/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 25-02-2017 23:28:44
  หมอดิมนี่ไม่ยอมหยุดนะ เอาตัวเองมาหาเตเองเลย เตจะทำไงอะ
  ถ้าบุคคลิกเตพูดหรือแสดงอารมณ์ออกมากว่านี้ เตก็คงไม่ดราม่าล่ะ 555
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่19 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 04-03-2017 00:33:02

เพราะหัวใจบอกว่า...หนัก

 

 

 

 

            ชายหนุ่มลุกจากเตียงขึ้นแล้วบิดขี้เกียจ

วันนี้เป็นวันที่เขามีความสุขที่สุด   คือช่วงเวลาที่เขารอคอยมานานแสนนาน   ในที่สุดอดีตคนรักที่เคยทิ้งเขาไปอย่างโหดร้ายเมื่อหลายปีก่อนก็ได้รับรู้รสชาติของการถูกหักหลังเสียที   หึ..สาสมใจเสียนี่กระไร  รู้สึกอิ่มเอมกับความสำเร็จของตัวเองเสียจนนอนไม่หลับ

            ใบหน้าเรียวหวาน ดวงตาแดงก่ำที่จ้องมองมาที่เขาด้วยความเจ็บช้ำ   อา...เสียใจมากสินะ  เข้าใจหรือยังล่ะว่าตอนนั้นฉันรู้สึกอย่างไร..   

            สายตาไปปะทะเข้ากับสิ่งที่วางอยู่ข้างหมอน...นาฬิกาหน้าปัดร้าวที่เพิ่มรอยบิ่นที่ตัวเรือนสีเงินเพราะแรงกระแทกกับขอบถังขยะริมถนน  หยิบขึ้นมาพิศดูใกล้ๆ  นิ่วหน้านิดหนึ่งเพราะยังได้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์อยู่นิดๆ    เขาหันไปหยิบแอลกอฮอล์และสำลีที่มีติดห้องตามนิสัยรักสะอาดขึ้นมาบรรจงเช็ดซ้ำอีกรอบ

            เตไม่ควรทิ้งของๆเขาแบบนี้   ต่อให้โกรธเขามากมายแค่ไหนก็ตามที  อย่างน้อยของที่เขาให้ก็เป็นความทรงจำดีๆที่เตควรจะเก็บเอาไว้ไม่ใช่หรือไง 

            รู้บ้างมั้ยว่ากว่าจะได้นาฬิกาเรือนนี้มา  เขาต้องอดตาหลับขับตานอนทำงาน รับสอนพิเศษเด็กมัธยมปลายตั้งกี่ชั่วโมง  ต้องจ้างเค้าสลักตัวอักษรเพื่อความพิเศษ  ต้อง...ต้องและต้องอีกมากมายหลายสิ่ง   รวมถึงของทุกอย่างที่เขาเคยเสาะหามาให้ตั้มด้วย   ทุกสิ่งมีความหมาย  มีคุณค่าทางใจ 

ใช่แล้ว  ทุกอย่างที่เขาให้  ตั้งเตไม่เคยเห็นค่าของมันหรอก  คงเป็นเพราะมันไม่มีราคาค่างวดอะไรมากมาย  ได้จากน้ำพักน้ำแรงเท่าที่นักศึกษาคนหนึ่งจะเจียดเงินแต่ละเดือนมาซื้อได้เท่านั้นเอง  ไม่เหมือนของกำนัลของใครบางคน  ที่คงแพงลิบลิ่วถูกใจคนรับอย่างเช่นน้ำหอมจากฝรั่งเศส อะไรพวกนั้น

หึ  มาตอนนี้เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาอีกต่อไปแล้ว  อยากได้ซักกี่ขวดล่ะ  เอาเป็นลิตรเลยมั้ย  ชโลมให้ทั่วตัว  อาบแทนน้ำเช้าเย็นเลยก็ยังได้   แต่ฉันไม่ซื้อให้นายหรอกเต  เสียใจด้วยนะ  ฉันจะซื้อเป็นกำนัลให้แก่คนที่ฉันรัก...คนที่คู่ควรกับความรักของฉันเท่านั้น

            ส่วนเจ้านาฬิกาไร้ค่าเรือนนี้   ช่างเถอะ...เก็บเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน  ไว้ว่างๆค่อยเอาไปขายของเก่า  ให้มันพ้นหูพ้นตาไปซะ...เขาวางนาฬิกาเจ้าปัญหาลงที่โต๊ะหัวเตียง    เหลือบเห็นกรอบรูปสีขาวที่มีรูปคู่ของเขากับรันยืนยิ้มคู่กันอยู่

รัน...คนที่อยู่เคียงข้างเขามาตลอด   ตั้งแต่วันแรกจนถึงบัดนี้   และจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป  มันต้องเป็นเช่นนั้น

นายแพทย์หนุ่มผ่านมื้อเช้าไปอย่างไม่ไยดี    เขาไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด  ความสุขในใจเขามันมากเสียจนอิ่มทิพย์กระมัง   ในอดีตมีหลายครั้งที่เขาเคยนึกสงสัยว่า  ถ้าเขาสามารถทำให้เตได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแบบนั้นบ้าง  เขาจะรู้สึกอย่างไร

วันนี้เขาได้คำตอบแล้ว....มันก็ตื้อๆ ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้อาจจะเรียกว่า อึนๆ กึ่งๆฝันกึ่งจริง ไม่อยากเชื่อตัวเองเท่าไหร่   ก็แหม  แต่ก่อนเขารักเตจะเป็นจะตายนี่นะ   แค่เห็นน้ำตาของอีกฝ่ายปริ่มขอบตา ใจก็ละลายแทบจะไหลลงไปกองแทบเท้า   เสียดายที่เมื่อคืนเตไม่ร้องไห้

ไม่อย่างนั้น เราอาจจะใจอ่อนก็ได้

‘พี่ดิม  แล้วเรื่องของเราล่ะ  คืนนั้น...ที่บ้านพัก’  เสียงคุ้นเคยๆดังขึ้นริมหูขณะที่เขากำลังใส่เสื้อผ้าอยู่  มันชัดเจนจนเขาสะดุ้ง  ขนแขนลุกชัน หันไปมองรอบห้อง ...ไม่มีใคร

            บ้าชะมัด  อีกนิดเดียวเขาจะนึกว่าตัวเองประสาทหลอนแล้วนะ

            ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม ทุกภาพ ทุกการเคลื่อนไหว  ทุกสีหน้า ทุกอารมณ์ที่ผู้ชายคนนั้นแสดงออกมา  เขาถึงจดจำได้แม่นยำนัก  จะว่าเป็นเพราะตัวเองความจำดี  มันก็แปลกที่กับคนอื่นเขาไม่ยักจะจำได้ติดตาแบบนี้เลย   เหอะ ..คงจะแค้นฝังหุ่นมาก   ทั้งโกรธทั้งเจ็บใจมาหลายปี

            เราก็อดทนดีไม่ใช่เล่นแฮะ

“เก่งมากรดิศ”   เขาพูดออกมาดังๆ ส่งยิ้มให้ตัวเองในกระจก  พิศดูความหล่อเหลาที่สวรรค์บรรจงปั้นให้เขา  หนวดเคราครึ้มเพราะขี้เกียจโกน  เพิ่มความเข้มคมให้แก่ใบหน้าขึ้นอีก   เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหาคนรัก

            หมดเวลาสำหรับตัวประกอบแล้ว   ถึงเวลา ‘ตัวจริง’ ของเขาเสียที

            ........................................................................................

            คนตรงหน้าเขาเหม่ออีกแล้ว!  สายตาคมเข้มทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ทะลุผ่านตัวเขาไปราวกับเขาเป็นอากาศธาตุ  ไม่ก็เป็นมนุษย์ล่องหนที่ไม่มีตัวตน   ดิมทำเหมือนกับว่าตัวเองออกมาทานข้าวคนเดียว  ไม่ใช่เป็นฝ่ายไปง้อเขาถึงที่บ้านเพื่อชวนมาดินเนอร์ขอคืนดีแบบนี้

            “ดิม  อิ่มแล้วเหรอ”  คุณหมอเด็กกลั้นใจถามซ้ำอีกรอบ  อีกฝ่ายสะดุ้งอย่างเห็นได้ชัด แม้จะพยายามซ่อนเอาไว้ใต้ท่าทางสบายๆเหมือนเช่นทุกครั้ง   ใบหน้าคมซีดเซียวเล็กน้อยคล้ายคนพักผ่อนไม่เพียงพอ

            “ยังหรอก  ยังไม่ทานของหวานเลย  คุณอิ่มแล้วหรือรัน”  รดิศถามกลับ  หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาจิบนิดหนึ่ง   

            “เห็นดิมทานน้อยจัง  พ่อครัวที่นี่ฝีมือตกหรือเปล่าเนี่ย  หึ  แล้วทำงานวันแรกเป็นอย่างไรบ้าง  ดีไหม ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”  เขาพยายามชวนอีกฝ่ายสนทนา   

            “ก็เรื่อยๆ  วันนี้นัดคนไข้เก่ามาตรวจก่อน  ยังไม่ได้ตรวจเคสใหม่   อ้อ  มีเคสของไอ้ปอนที่โอนมาให้ช่วยดูแลต่อสองเคส  ผมยังไม่เห็นแฟ้มประวัติเลย  ว่าจะกลับไปดูคืนนี้ ก็คง...ไม่มีอะไรมาก”

            เอาอีกแล้ว  ปากบอกไม่มีอะไรมาก แต่แววตาคมกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยสักนิด  ท่าทางของกันทำให้รันสนใจเคสผู้ป่วยของปอนขึ้นมาทันที

            “ทำไมถึงต้องโอนมาให้ดิมด้วยล่ะ  ปอนผ่าไม่ได้เหรอ”

            “เค้าจะไปประชุมที่ต่างประเทศน่ะ  แล้วเคสก็ด่วนต้องรีบผ่าตัดจะดีกับคนไข้มากกว่า   ก็เลยขอให้ผมช่วย”  ชายหนุ่มพูดเรียบๆแล้วเปลี่ยนเรื่องไป

            วิรัลเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ  ยอมเปลี่ยนเรื่องคุยตามใจอีกฝ่าย   เสียงเครื่องดนตรีดังพลิ้วแทรกมาในบรรยากาศ   รับกับแสงเทียนวูบไหวยามต้องลม   ร้านนี้เป็นร้านโปรดของเราทั้งคู่  ทว่าวันนี้กลับเขากลับไม่รื่นรมย์เหมือนเคย   เหลือบมองคนที่พามาก็เห็นใบหน้าคมเครียดเคร่งอีกครั้งราวกับมีอะไรกังวลอยู่ในใจไม่คลาย

            “เต้นรำไหม”  รันถามเสียงหวาน

ดิมขยับตัวนิดหนึ่ง  พยักหน้ารับ  ส่งมือไปจับมือของอีกฝ่าย พาเดินตรงไปที่ฟลอร์ด้านล่าง   โอบแขนไปรอบตัวคล้ายกำลังกอดกลายๆ  รันวางคางลงกับไหล่ของเขา  ขยับก้าวเดินตามจังหวะเพลงช้าๆ

“ดิมเป็นอะไรไป  ยังคิดเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”  เสียงแผ่วหวานกระซิบถามอยู่ที่ริมหู   รดิศพยายามดึงสมาธิกลับมาที่คนในอ้อมแขน แต่ดูเหมือนว่ามันจะยากลำบากเหลือเกิน   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่  ความคิดของเขาเอาแต่ล่องลอยออกไปไกลแสนไกล

.         ..ป่านนี้จะทำอะไรอยู่   จะร้องไห้หรือเปล่า   หรือว่าไม่ร้องเลยเพราะเราก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรขนาดนั้น....รดิศตั้งสติหน่อยสิ!  เขาดุตัวเอง  เรื่องมันแล้วไปแล้ว  ก็เป็นคนตัดความสัมพันธ์เน่าๆนั้นทิ้งไปเองแล้ว  ยังจะไปคิดถึงอีกทำไม  ป่านนี้จะทำอะไรอยู่น่ะเหรอ  หึ  ก็คงจะกำลังนั่งเฝ้า ‘เมีย’ อยู่ที่โรงพยาบาลไง  หรือไม่ก็อาจจะกำลัง ‘นอน’ เฝ้าเจ้านายอยู่ก็เป็นได้ ใครจะรู้

ใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องของเราอยู่ดี  คนที่เราควรจะต้องสนใจและใส่ใจมากที่สุดก็คือ  ผู้ชายร่างเล็กหน้าหวานในอ้อมแขนของเราตอนนี้ไม่ใช่หรือ?

คนที่เรากำลังจะขอเค้าแต่งงาน....

“เรื่องไหนล่ะ  ตอนนี้ที่ผมคิดอยู่ก็มีแต่เรื่องคุณ”  เขาตอบออกไป  ส่งยิ้มให้นิดหนึ่ง

“เรื่องของผม?   เรื่องอะไรหรอ”  คำถามพร้อมรอยยิ้มฉอเลาะแบบนี้ของอีกคนเคยเป็นท่าไม้ตายสำหรับเขามาก่อน  แปลกที่ตอนนี้เมื่อเห็นแล้วกลับรู้สึกเฉยๆ หรืออาจเป็นเพราะเขาเคยชินเสียแล้ว

“ผมกำลังคิดอยู่ว่า  ถ้าเราแต่งงานกัน  เราจะไปฮันนีมูนที่ไหนกันดีนะ?”  ใบหน้าของคนในอ้อมแขนเริ่มซับสีเลือดบางๆ  รันหลบตาเขา

“ฮื้อ  รีบคิดอะไรตอนนี้ล่ะ  อีกตั้งนาน”

ศัลยแพทย์หนุ่มยิ้มนิดๆ เขาหยุดเต้นรำ   คลายวงแขนออกปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ  วิรัลมองตามด้วยความมึนงงเมื่อเห็นอีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงครู่เดียวก็หยิบกล่องเล็กสีแดงสดออกมา

รดิศทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าที่พื้น  ท่ามกลางสายตาของบรรดาแขกเหรื่อภายในร้านอาหารที่มองมาเป็นตาเดียว  เสียงสูดลมหายใจด้วยความตื่นเต้นร่วมกับเสียงกรีดเบาๆจากคนรอบข้างยิ่งทำให้เลือดสูบฉีดไปทั่วร่างของคนที่ยืนตรงหน้าและรู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“ผมว่าคุณต้องคิดเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วล่ะรัน....แต่งงานกับผมนะครับ”   ภายในกล่องเล็กๆใบนั้นมีแหวนสีเงินฝังเพชรเม็ดงามวางสงบอยู่  สะท้อนแสงวูบวาบจับตา

วิรัลกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  เขาทั้งดีใจและประหลาดใจจนพูดไม่ออกได้แต่พยักหน้ารับ   มองดูคนรักสวมแหวนให้ที่นิ้วนาง  แล้วโถมตัวเข้าหาอ้อมแขนของฝ่ายนั้น   ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อาย

“รัน ฮึก  รันนึกว่าดิม ฮึก  จะเปลี่ยนใจซะแล้ว  รู้มั้ยว่ารันกลัวแค่ไหน   รันกลัวว่าดิมไม่รักรันแล้ว”  คนฟังหัวเราะเสียงแหบห้าว

“จะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไง   ผมรักรันคนเดียว  รักมาก...รักที่สุด”  ดิมพูดอยู่ริมหูซ้ำๆ ราวกับต้องการจะย้ำให้อีกฝ่ายจดจำ เช่นเดียวกับที่ย้ำกับตัวเองอีกรอบ....เรารักรัน รักรันคนเดียว  รักที่สุดแล้ว

“รันก็รักดิม  หมดทั้งหัวใจของรัน  รวมชีวิตของรันด้วย รันให้ดิมคนเดียว  พอไหม”

“สำหรับคนที่เคยถูกเขาทิ้ง  มองไม่เห็นค่ามาก่อน  แค่นี้ของรันมันเกินพอเสียอีก   คุณเป็นคนฉุดผมขึ้นมาจากความทรมานในตอนนั้น  ในวันที่หนทางของผมมืดมน รันคือแสงสว่าง  ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ได้  ผมไม่เคยลืมความดีของรันเลย”   รดิศพูดจบก็แนบริมฝีปากของเขาลงไปบนเรียวปากบางที่เผยอน้อยๆนั้นครู่หนึ่งก็ผละออก

ดิมขมวดคิ้วแวบเดียว แววอะไรบางอย่างพาดผ่านแววตาคมกริบรวดเร็วจนมองไม่ทัน  คนในอ้อมเเขนส่งยิ้มให้เขา  ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติทางใจที่ซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน

“ดิมวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้วเหรอ  ที่ชวนรันออกมาดินเนอร์ด้วยกันคืนนี้  นึกว่าดิมแค่จะง้อเรื่องคืนนั้นเสียอีก”  รันเอ่ยแกมหัวเราะอย่างมีความสุข  จูงมือเขาพาเดินกลับมาที่โต๊ะอาหาร  คนฟังส่งยิ้มให้บางๆ

“ผมอยากขอคุณตั้งนานแล้ว  ตั้งแต่วันเกิดคุณตอนนั้น  แต่มันยังไม่ลงตัว  ปล่อยเวลาเสียเปล่ามาตั้งนาน  ถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่า..ไม่ขอไม่ได้แล้วล่ะ   เซอร์ไพรซ์มั้ย”

“มากเลยล่ะ   บอกตรงๆรันเห็นหน้าดิมวันนี้แล้วกลัวมาก  นึกว่าจะบอกเลิกกันเสียอีกนะ”  คนฟังหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ

“ผมไม่เคยมีความคิดจะเลิกกับคุณเลย  รัน”  ..คุณคือคนที่ผมเลือกแล้ว   ศัลยแพทย์หนุ่มยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว   แล้วยกขึ้นเป็นสัญญาณให้บริกรเข้ามาเติมอีก

“ดื่มฉลองกันหน่อยนะ  ไม่เมาไม่เลิก”  รดิศพูดติดตลกแล้วยกแก้วขึ้นดื่มอีก  วิรัลหัวเราะตาม  อะไรดูจะกลายเป็นสีชมพูสวยงามน่าเพลิดเพลินไปเสียหมด   พินิจดูประกายวาววามของเพชรกลางเรือนแหวนแล้วก็อดยิ้มกว้างไม่ได้

ดิมรสนิยมดีเสมอ...อดนึกแวบกลับไปถึงนักเขียนหนุ่มแฟนเก่าของอีกคนครู่หนึ่ง  หึ  สุดท้ายเตก็ต้องแพ้  ยังจำภาพที่เห็นใบหน้าเรียวหวานจ้องเขม็งมาที่คนรักของเขาในคืนนั้นได้ติดตา   ดวงตาเรียวดำขลับแดงก่ำคู่นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ...จะว่าสะใจก็สะใจล่ะนะ  แต่วูบหนึ่งก็อดสงสารไม่ได้ เตคงเสียใจมาก   เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างคนทั้งคู่   และก็ไม่อยากรู้แล้วด้วย  เพราะตอนนี้เขาก็คือผู้ชนะอย่างใสสะอาด  แค่นี้ก็พอแล้ว

            ชายหนุ่มหน้าเข้มยกแก้วขึ้นดื่มเงียบๆ  ไม่มีใครรู้ว่าในสมองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกและความคิดแสนซับซ้อนของเขาคิดอะไรอยู่บ้าง  บางทีมันอาจจะซับซ้อนมากเสียจนแม้แต่เจ้าตัวก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร  หรือไม่มันก็อาจจะง่ายดายเสียจนเจ้าตัวไม่อยากเชื่อ และไม่ยอมรับความจริง

          รันเป็นฝ่ายขับรถมาส่งเขาที่คอนโดเพราะฤทธิ์ไวน์ที่เขาดื่มเข้าไปหลายแก้วทำให้มึนไม่น้อย   ก่อนที่เขาจะลงจากรถ  รันก็เขยิบเข้ามาแตะริมฝีปากแผ่วๆที่แก้มของเขา

            “วันนี้รันมีความสุขที่สุดในโลก  ขอบคุณนะครับ”  รอยยิ้มวับหวานในดวงตากลมโตคู่นั้นบอกถึงความสุขทางใจเต็มเปี่ยมของเจ้าตัวได้ดีเสียยิ่งกว่าคำพูด   รดิศยิ้มรับ

            “คุณคือความสุขของผม”  พูดสั้นๆ จากนั้นก็โน้มตัวเข้าไปแตะริมฝีปากที่หน้าผากเนียนของอีกฝ่ายเบาๆ

            หัวใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ...ดิมเห็นภาพตัวเองโน้มลงไปจูบหน้าผากของใครอีกคนที่นอนหลับสนิทในอ้อมแขนของเขาในค่ำคืนนั้น   สัมผัสบางเบาแต่ดื่มด่ำ   เต็มไปด้วยความรู้สึกทางใจ   ความรู้สึกลึกซึ้งที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้   เขารู้สึกอยากทะนุถนอมอีกฝ่ายเอาไว้  ราวกับร่างโปร่งระหงในอ้อมแขนคือแก้วเนื้อบางที่สามารถแตกร้าวได้ทุกขณะ   คือสิ่งสูงค่าที่เขาพร้อมจะปกป้องด้วยชีวิต...ไม่ใช่   กับรัน...มันไม่ใช่ความรู้สึกแบบนั้น

            อีกครั้งที่นายแพทย์หนุ่มรู้สึกสับสนในใจ   เวลาที่เขาจูบเต  เวลาที่เราสัมผัสกัน  อะไรบางอย่างในอกด้านซ้ายของเขามันจะเต้นแรงขึ้น  ไม่เหมือนกับความรู้สึกมึนๆชาๆเช่นในตอนนี้เลย

            เพราะอะไรกันแน่?

           ดิมผละออก  อีกฝ่ายมองตามอย่างไม่เข้าใจ  สายตาของกุมารแพทย์หนุ่มทำให้อีกคนรู้สึกตัว  ดิมฝืนยิ้มให้  พูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “กู้ดไนท์ครับ  ขับรถกลับดีๆนะ  ถึงบ้านแล้วโทรมาบอกด้วย”  ดิมพูดพร้อมกับเปิดประตูลงมาจากรถ

“พรุ่งนี้ไปทำงานด้วยกันนะ  รันจะมารับ  แล้วค่อยไปเอารถที่ร้านกัน”  คุณหมอเด็กพูดยิ้มๆ โบกมือให้เขาแล้วขับรถออกไป

            รดิศมองตามหลังจนไฟท้ายรถลับสายตา  คิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นขึ้นมาอีก   เขาวิ่งตามเตลงมาอย่างไร้สติ   ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก  เเค่เห็นเตกลับขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นไปแล้ว เขาก็รู้สึกใจหาย   ไม่อยากปล่อยให้มันจบแบบนี้ 

            แล้วตอนจบแบบไหนกันล่ะที่เขาต้องการ   ไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่หรือไง   เขาเอาคืนเตไปแล้ว  กำลังจะแต่งงานสมใจแล้วด้วย  การงานก็กำลังรุ่งโรจน์   เขายังไม่พอใจอีกเหรอ

            มันยังขาดอะไรอีก

            ชายหนุ่มกลับขึ้นไปบนห้องพักคล้ายคนหมดแรง  ไม่เข้าใจความรู้สึกบ้าๆแบบนี้เหมือนกัน   ความโหยหาแปลกๆ  ราวกับใจของเขามันแหว่งไป   ทั้งที่เขาควรจะมีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่หรือ  อย่างที่ผู้ชายทุกคนที่กำลังจะแต่งงานควรจะรู้สึกอย่างนั้น

            หรือเป็นเพราะว่าเขาพักผ่อนไม่เพียงพอ  ร่างกายก็เลยไม่สดชื่นเท่าที่ควร

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง  ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อของนายแพทย์หนุ่มรุ่นน้องก็กดรับ

            “สวัสดีครับคุณปังปอน  มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”   แกล้งพูดเสียงขึงขัง

          “โธ่  พี่ดิม พูดอะไรอย่างนั้น  ผมจะไปกล้าใช้พี่ได้ไงเล่า  ผมแค่ขอความช่วยเหลือจากพี่เฉยๆ  เพราะพี่คือคนที่ผมเชื่อมือที่สุด  นะครับ  ช่วยหน่อยนะ   ผมขอแค่สองเคสนี้เอง   มีเคสนึงสวยมาก  พี่เอาเข้าโครงการวิจัยของพี่ได้เลย  ช่วยน้องคนนี้หน่อยนะ  คิดซะว่าเห็นแก่เด็กตาดำๆ”

          “ถ้าฉันจะช่วยก็คงไม่ได้เป็นเพราะเห็นแก่เด็กตาดำๆอย่างนายหรอกนะ  แต่เห็นแก่คนไข้ตะหาก  แหม  เห็นประชุมวิชาการสำคัญกว่าคนไข้ได้ไง   เอาเถอะ  ส่งสรุปประวัติมาคืนนี้ก่อนล่ะกัน แล้วพรุ่งนี้ฉันจะไปดูแฟ้มเองอีกที”   ดิมพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ   ความจริงคนไข้ของเขาก็ล้นมือจนแทบไม่มีเวลาพักอยู่แล้ว   แต่เห็นแก่รุ่นน้อง   ไหนๆก็ได้โอกาสไปแสดงผลงานที่ต่างประเทศแล้วทั้งที   แถมยังลงทุนมาอ้อนวอนเขาหลายรอบ

            “เย่  ขอบคุณมากครับพี่ดิม   พี่ใจดีเสมอ แล้วผมจะซื้อของมาฝากเยอะๆเลย  ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะพาพี่เข้าไปดูคนไข้นะครับ  คนไข้คงไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว  อ้อ  เกือบลืม  คู่พี่กับพี่รันเมื่อไหร่จะแต่งฮะ   ผมเชียร์มาหลายปีแล้วนะเนี่ย”  เสียงปลายสายสดใสขึ้นทันควัน   ตรงข้ามกับคนฟังที่เผลอขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว

            “ยังหรอก   ยังไม่รีบ”  ทำไมเขาไม่ตอบออกไปว่าเร็วๆนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกัน   ทั้งที่เพิ่งขอแต่งงานไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วแท้ๆ

            “พี่ใจเย็นจัง  สงสัยเป็นเพราะคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนเนอะ  ดีกว่ามาเจอกันตอนทำงาน  ของผมนะ คบกันแปบๆ เลิกแล้ว  นี่วันก่อนผมก็เพิ่ง....”  อีกฝ่ายชวนคุยเรื่องรักๆเลิกๆของตัวเองอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยวางสายไป  ไม่ลืมย้ำว่าจะส่งสรุปประวัติคนไข้มาให้เขาทางอีเมล์คืนนี้

           ดิมวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะหัวเตียงข้างๆนาฬิกาเก่าคร่ำเรือนนั้น   เขารู้สึกเหนื่อยขึ้นมาอย่างประหลาด  อยากล้มตัวลงนอนนิ่งๆ  ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น  แม้แต่การรับเคสคนไข้ที่รุ่นน้องบอกว่าน่าสนใจนักหนา  เขาก็ไม่กระตือรือร้นเหมือนทุกครั้ง  ราวกับเรี่ยวแรงของเขามันถูกสูบออกไปหมด

เผลอหลับพักก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง   ฝืนตัวเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจนเรียบร้อยก็เดินมาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน   เปิดดูอีเมล์เห็นจดหมายมากมายรวมถึงไฟล์เอกสารที่รุ่นน้องแนบมาให้

นายแพทย์หนุ่มดาวน์โหลดเอกสารที่แนบมาขึ้นเปิดอ่าน  สายตาคมไวไล่ไปตามตัวอักษรที่สรุปเรื่องราวทั้งอาการและแผนการรักษาเบื้องต้นของคนไข้คนแรก  เขาเก็บลายละเอียดทั้งหมดเอาไว้ในสมอง ออกจะเห็นด้วยกับรุ่นน้องว่านี่เป็นเคสที่น่าสนใจมากทีเดียว  เหมาะที่จะนำไปร่วมในงานวิจัยของเขา

รดิศจดบันทึกเรียบร้อยก็เปิดดูเคสคนไข้คนที่สอง   กวาดสายตาอ่านชื่อของผู้ป่วยที่อยู่บรรทัดบนสุด  พร้อมกับรูปถ่ายเล็กสี่เหลี่ยมที่มุมบนซ้ำอีกรอบ

นางสาวดาวประดับ  ศรีศรวล

ดวงหน้ารูปหัวใจเข้มคมคุ้นตาอย่างประหลาด  เขาเพ่งดูอีกรอบแล้วเอนตัวพิงพนักเก้าอี้  ถอนหายใจออกมาแรงๆ....โลกจะกลมไปมั้ย   อย่าบอกนะว่าผู้หญิงสาวคนนี้คือ ภรรยา...มารดาของลูกชายของคนๆนั้น     

เขาไม่ได้กลัวหรอกนะ  แค่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวอีก  ในเมื่อเขาอุตส่าห์ตัดบ่วงผูกพันระหว่างเขากับเตไปแล้ว  เหตุใดจะต้องนำตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีกล่ะ  ถ้าเป็นไปได้ เราก็ไม่ควรจะพบกัน  อยู่กันคนละโลกไปเลยจะดีที่สุด

ขยับจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหารุ่นน้องเพื่อปฏิเสธการรักษา  คิดหาข้ออ้างอะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนรักเก่า    สายตาเจ้ากรรมก็ดันเลื่อนไปเจอตัวอักษรที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าเข้า

-          เมื่อ 8 ปีก่อน (วันที่....../....../.....) เข้ารับการผ่าตัดครั้งแรก...

เจ้าของห้องหนุ่มรู้สึกหนาวขึ้นมาฉับพลัน  ราวกับมีใครมาแอบปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศภายในห้องจนติดลบโดยไม่ทันตั้งตัว    จ้องมองดูวันที่ที่ปรากฏอยู่ในประวัติของผู้ป่วยหญิงตรงหน้านิ่งค้าง  ไม่อยากเชื่อสายตา

วันนั้น...มันเป็นวันเดียวกับที่เตบอกเลิกเขา  วันที่เขาประสบอุบัติเหตุ   วันเดียวกันเลยนี่!!

            เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ?

............................................................................................


อันนี้จะเป็นพาร์ทย้อนกลับไปก่อนที่พี่ดิมจะไปโผล่ที่ห้องข้าวตังตอนที่เเล้วนะคะ

ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 04-03-2017 00:46:57
ต่อนะคะ




เขาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องพักผู้ป่วยพิเศษชั้น 7 ห้องริมสุดทางระเบียง  เพ่งมองผ่านบานกระจกเล็กๆสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ประตูห้อง  มองเข้าไปด้านใน  ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ   คงมีหญิงสาวนอนอยู่คนเดียวเป็นแน่

            ครุ่นคิดอยู่นานว่าควรจะเปิดเข้าไปภายในห้องเลยดีมั้ย   อาศัยจังหวะที่ไม่มีญาติเฝ้าอยู่นี่ล่ะ  จะได้สอบถามความจริงที่ค้างคาใจเขาจนทำให้นอนไม่หลับ ต้องรีบเผ่นมาที่โรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดเช่นนี้

            ความจริงเมื่อ 8 ปีก่อน  อาจมีเรื่องที่เขาไม่รู้

            เข้าไปถามตรงๆเลยดีไหม  หรือว่าปล่อยให้เรื่องมันกลายเป็นอดีต  ไม่จำเป็นต้องไปขุดคุ้ย  จะไปรื้อฟื้นขึ้นมาทำไมล่ะ   ไม่มีประโยชน์อะไร    ตอนนี้เราก็มีความสุขดีอยู่แล้ว...

ลึกสุดใจ  รดิศไม่อยากยอมรับว่าเขากำลังกลัว....กลัวว่าเขาจะทำผิดพลาดอะไรบางอย่างไปแล้ว เพราะความไม่รู้...ความรู้สึกของใครบางคนที่เขาอาจจะทำลายทิ้งไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์   สังหรณ์ของเขาบอกว่า  มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่ข้าวตังเข้ารับการผ่าตัดในวันนั้น   วันเดียวกับที่ตั้งเตบอกเลิกเขา

เรื่องบังเอิญไม่เคยมีอยู่จริง

เสียงคนเดินคุยโทรศัพท์มาตามทางเดิน   เขาจำเสียงของใครคนหนึ่งได้แม่นยำ  ใจเต้นรัวราวกับกลอง   โอกาสของเขาหมดไปแล้วอย่างน่าเสียดาย   มองซ้ายขวาหาที่หลบก็เห็นเพียงเก้าอี้รับแขกที่วางเป็นแนวอยู่หลังตันไม้ประดับข้างๆห้อง   จึงรีบสาวเท้าเข้าไปนั่ง    ได้ยินเสียงอีกฝ่ายพูดนัดแนะกับใครสักคนก่อนที่จะเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วย

นั่งคิดหาวิธีเข้าถึงตัวข้าวตังอยู่พักใหญ่  ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง  นักเขียนหนุ่มกลับออกมา   พอดีกับที่นายภาคย์มาถึง  ร่างสูงตรงเข้ามาประคองตั้งเตให้เดินเข้ามานั่งพักที่อีกด้านของแนวเก้าอี้   กลายเป็นว่าพวกเขากำลังนั่งหันหลังให้กัน โดยที่มีแนวต้นไม้ประดับบังสายตาไว้หลวมๆ   นายแพทย์เอื้อมมือไปหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมากางทำทีเป็นอ่าน

ทว่าตัวอักษรที่เรียงรายเต็มพรืดกลับไม่เข้าสู่สมองเขาเลยสักนิด  มีเพียงเสียงสนทนาของคนสองคนที่ถึงจะพูดเบาแสนเบา  เขาก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเข้าจนได้

“คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง  นอนโรงพยาบาลมาหลายวันแล้วนี่   หมอเขาจะให้กลับหรือยัง.......ผมเข้าใจสถานการณ์ของคุณดี   ไม่เจอกันอาทิตย์เดียว...นี่น้ำหนักคุณลงไปกี่กิโลเนี่ย  ข้อมือเหลือนิดเดียวเอง”  ดิมมองผ่านหนังสือพิมพ์เห็นอีกฝ่ายคว้าข้อมือบางไปกุมเอาไว้   เขาเผลอกำกระดาษหนังสือพิมพ์แน่นจนยับ   เกิดเสียงดังกรอบแกรบ   แต่ดูเหมือนว่าสองคนนั้นจะไม่ได้ยินด้วยซ้ำ   ราวกับโลกทั้งใบเหลือแค่พวกเค้าเพียงสองคน

            เหอะ  เมียนอนป่วยอยู่ในห้องพัก ยังมีหน้ามา ‘สวีท’ กันหน้าห้องอีกเหรอ   คุณหมอหนุ่มคิดในใจ  เม้มปากแน่น  เงี่ยหูฟังได้ยินเสียงสนทนากันแว่วๆ

“ผมว่าเที่ยงนี้ผมพาคุณไปกินอะไรที่มันดีกว่าข้าวกล่องของโรงพยาบาลหรืออาหารตามสั่งหน้าตลาดดีไหม   เกิดคุณเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร”  นายภาคย์พูดขึ้นแล้วออกแรงฉุดร่างโปร่งบางแทบปลิวลมให้ลุกขึ้นยืน 

เตออกเดินตามแรงฉุดของฝ่ายนั้นแต่โดยดี ไม่มีการขัดขืน

เขากำหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจนมันยับยู่ยี่คามือโดยไม่รู้ตัว  อารมณ์ฉุนเฉียวที่ไม่รู้มาจากไหนมากมายถาโถมเข้ามาใส่เมื่อเห็นคนทั้งสองเดินเคียงคู่ไปด้วยกัน

            ชายหนุ่มข่มอารมณ์อยู่ครู่ใหญ่จนใกล้เคียงกับปกติแล้ว  จึงเดินมาหยุดยืนที่หน้าห้องของหญิงสาวอีกรอบ   ครั้งนี้นายแพทย์รุ่นน้องมาถึงพอดี

“พี่ดิม  ขอโทษครับที่มาช้าไปนิดหนึ่ง   รถติดครับ  พี่ได้รับข้อมูลที่ผมส่งให้แล้วใช่ไหมครับ”  ธนพลถาม  หายใจหอบน้อยๆ  เพราะวิ่งขึ้นบันไดมาจากที่จอดรถ  เนื่องจากพยาบาลโทรไปบอกว่านายแพทย์รุ่นพี่มาถึงก่อนนานแล้ว  และเขารู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่า เป็นคนตรงต่อเวลาแค่ไหน   ยิ่งเห็นใบหน้าคมเครียดขรึมผิดปกติก็ยิ่งใจเสีย

            “ได้รับแล้ว  ห้องนี้ใช่ไหม”   ดิมพูดเรียบๆ  อีกฝ่ายรีบกุลีกุจอเคาะประตูห้องและเดินนำเข้าไปด้านใน    ศัลยแพทย์รุ่นพี่ชะงักนิดหนึ่ง   นิดเดียวเท่านั้นสำหรับการตัดสินใจอีกรอบ

            หลังจากนี้เขาจะไม่เสียใจใช่ไหม   มันจะเป็นอย่างไรต่อ?...คำถามที่ไม่มีใครรู้คำตอบ   เพราะไม่มีใครสามารถล่วงรู้อนาคตได้  เหมือนกับที่ไม่มีใครสามารถแก้ไขเรื่องราวในอดีตได้เช่นกัน

            .................................................................................................

“ผมจะเป็นคนผ่าตัดให้เธอเองครับ ....ผมนายแพทย์รดิศ ศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจ อเมริกันบอร์ด   คุณเป็นสามีของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ”  เขาแกล้งพูดราวกับไม่รู้จักอีกฝ่ายมาก่อน   สบตาของเตยิ้มๆ  ส่งมือไปให้จับ   อีกฝ่ายนิ่งไปอึดใจ ก็ส่งมือบางมาให้

เราจับมือกัน  ฝ่ามือของเขาร้อนชื้นเหงื่อ  ตรงข้ามกลับอีกฝ่ายที่เย็นเฉียบ

“ยินดีครับ”  เตพูดเสียงเบา  ไม่สบตาเขา   ดิมยิ้มมุมปาก

“เดี๋ยวผมคงต้องขอซักถามประวัติเพิ่มนะครับ ....”  นายแพทย์หนุ่มหันไปทางคนป่วยที่นอนมองเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่เงียบๆ   ข้าวตังส่งยิ้มเซียวมาให้เขา  วูบหนึ่งที่เขารู้สึกสงสารเธอ   พร้อมๆกับคำถามที่ต้องการหาคำตอบ

ดิมพยายามเต็มที่ที่จะเพ่งสมาธิอยู่ที่คนป่วย  ทว่าก็อดวอกแวกไปที่ผู้ชายตัวเล็กที่ยืนกุมมือภรรยาอยู่ไม่ห่างไม่ได้   

“ผมขออนุญาตตรวจร่างกายก่อน  เชิญญาติรอด้านนอกนะครับ”  เขาพูดเรียบๆ  พยักหน้าให้พยาบาลช่วยจัดการให้เรียบร้อย   เตถอยออกไปรอนอกม่านแต่โดยดี

จากการตรวจร่างกาย  เขาก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวต้องการการผ่าตัดโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้   ร่างกายของเธอเหมือนรถยนต์ที่ชำรุดและใกล้พังเต็มที  รอยแผลเป็นที่กลางอกบอกเขาว่าเธอเคยผ่าตัดมาก่อนแล้ว  ตรงตามที่เขาได้อ่านประวัติของเธอมา

“เหนื่อยใช่ไหมครับ  นอนพักก่อนครับ   ไม่ต้องกังวลเรื่องผ่าตัดนะครับ  หมอจะทำให้ดีที่สุด”  เขาพูดยิ้มๆ  หญิงสาวยกมือขึ้นจับแขนของเขาเอาไว้  เงยหน้าขึ้นพูดเสียงเบา

“ฉันไม่ผ่าได้ไหมคะหมอ   ไม่อยากผ่าเลย”

“ทำไมล่ะครับ  คุณไม่อยากรักษาเหรอ”

“อยากค่ะ  อยากหาย  แต่ไม่อยากผ่า  ตังกลัวว่าคราวนี้ตังจะไม่โชคดีเหมือนเมื่อ 8 ปีก่อน”  คำว่า 8 ปีก่อนตรงใจของนายแพทย์หนุ่มเข้าพอดี   การผ่าตัดครั้งแรกที่เขาอยากจะรู้เรื่องราวความเป็นไปทั้งหมด  รวมถึงชีวิตของผู้หญิงคนนี้ก่อนที่จะมาลงเอยกับเตด้วย

เตพบเธอที่ไหน  รักกันเมื่อไหร่   นี่คือเหตุผลที่ทิ้งเขามาใช่หรือไม่

พิศดูสภาพของผู้ป่วยแล้วก็ข่มใจกลั้นความอยากรู้เอาไว้ในสีหน้า ถามเสียงนุ่ม

            “เมื่อ 8 ปีก่อนเกิดอะไรขึ้นหรอครับ  เล่าให้หมอฟังได้มั้ย”  เธอพยักหน้ารับ “ตอนนั้นฉันเหนื่อยมาก  คล้ายๆตอนนี้เนี่ยแหละ  ฉันอาเจียนทั้งวันเพราะแพ้ท้อง...”  หญิงสาวหยุดพูดแล้วหลับตา   ท่าทางเธอเหนื่อยเกินกว่าจะเล่าอะไรได้ยาวๆ

            “ไม่เป็นไรครับ   ไว้พรุ่งนี้ผมจะมาเยี่ยมคุณอีก  แล้วค่อยเล่าให้ผมฟังก็ได้  สำหรับวันนี้พักผ่อนมากๆนะฮะ.....”  แนะนำผู้ป่วยอีกหลายคำ  ขณะที่ญาติเอาแต่ยืนก้มหน้าไม่ยอมสบตาเขา

            นายแพทย์หนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้า ‘สามี’  ของคนไข้   กวาดตามองร่างโปร่งบางคร่าวๆครั้งเดียวก็เก็บลายละเอียดได้หมด

            “ไว้ผมจะมาใหม่นะครับ  มีอะไรสงสัยอยากถามหรือเปล่า”  เขาจงใจถามเตตรงๆ  เห็นฝ่ายนั้นเงยหน้าขึ้นสบตาเขาแวบเดียวก็เมินหลบไปพูดกับผนังเสียงเบา

            “ไม่มีครับ  ขอบคุณคุณหมอมาก”

            “ด้วยความยินดีครับ  แล้วพบกัน”  เขาลงเสียงหนัก   แล้วหันไปยิ้มให้คนไข้สาวที่มองมาที่พวกเขาสองคนด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก    จากนั้นนายแพทย์หนุ่มก็เดินออกมาจากห้องพร้อมกับแพทย์รุ่นน้อง   เดินออกไปดูคนไข้ห้องอื่นด้วยกันจนเสร็จสิ้น

            “พี่ดิมว่าอย่างไรครับ  ผมขอถามความเห็นเคสคุณดาวประดับ  ควรรีบผ่าใช่ไหม”

          “ใช่  ดูจากอาการแล้วถ้าปล่อยเอาไว้นานกว่านี้อาจจะผ่ายากกว่าเดิม  โอกาสรอดก็น้อยลงด้วย  เอาล่ะ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  พี่จะดูแลให้อย่างดี ทั้งสองเคส”     คนฟังยกมือขึ้นไหว้

            พูดคุยกันอีกนิดหนึ่งก็แยกย้ายกันกลับไปทำงานของตนเอง ดิมกลับไปตรวจคนไข้ของตนเองต่อจนเย็น   เขาลืมไปที่คนรักนัดว่าจะมารับไปเสียสนิทจนกระทั่งรันมาเคาะที่ห้องทำงาน

            “ตรวจเสร็จหมดแล้วใช่มั้ย   ดิม..เมื่อเข้าลืมอะไร  รู้หรือเปล่า”   ชายหนุ่มพยายามนึก แต่นึกไม่ออก  อีกฝ่ายจึงบอกกระเง้ากระงอด

            “โธ่  ก็รันบอกว่าจะไปรับแล้วไปเอารถที่ร้านอาหารด้วยกันไง   เมื่อเช้าพอไปถึง แม่บ้านก็บอกว่าดิมออกไปแล้ว”   วิรัลพูดด้วยท่าทางกระเง้ากระงอดแต่ก็เดินเข้ามาโอบเขาเอาไว้หลวมๆ     

            “ขอโทษพันครั้ง  พอดีรับเคสใหม่เลยยุ่งจนลืม  ยกโทษให้พี่ดิมนะครับคนดี”  เขาพูด  เหลือบมองนาฬิกาแวบนึง  เย็นแล้ว  คงเป็นเวลาที่เตจะต้องไปรับลูกชายที่โรงเรียน  และเป็นช่วงเวลาปลอดที่เขาจะสามารถพูดคุยกับข้าวตังได้โดยที่ไม่มีใครรบกวน

            “ไปทานข้าวกันนะ  รันมีร้านเปิดใหม่มาแนะนำด้วยล่ะ ...”

          “รันครับ   คือผมมีเคสที่อาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่  ต้องเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดหน่อย  วันนี้คงไปไหนไกลๆไม่ได้   ไว้วันหลังได้ไหม”   เขาโกหกหน้าตาย  พยายามไม่สบตาอีกคนมากนัก

            วิรัลหุบยิ้ม จับความผิดปกติได้ทันที  แต่ก็ฉลาดพอที่จะทำเป็นไม่สังเกต   เขายิ้มกลบเกลื่อน

            “ได้อยู่แล้ว   ร้านนี้อร่อยมากเลยนะดิม  ไว้วันหลังก็ได้  ถ้าอย่างนั้นดิมคงจะค้างที่นี่ล่ะสิ  งั้นผมขอไปหาอะไรกินกับเพื่อนๆล่ะกันนะ”  แฟนหนุ่มพยักหน้ารับ   เก็บความโล่งใจเอาไว้ไม่มิด    รดิศรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีเพื่อนหลายกลุ่มให้ไปแฮงค์เอาท์ด้วยเสมอ

             “จ้ะ   แล้วเดี๋ยวดึกๆผมโทรไปหา”   ดิมพูด   ชะโงกหน้าเข้าไปจูบแก้มอีกฝ่ายเหมือนเคย   รอจนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับออกไปแล้ว  จึงยกหูโทรศัพท์ภายใน โทรลงไปหาพยาบาลที่ดูแลวอร์ดผู้ป่วยพิเศษอยู่

            “สวัสดีครับคุณปุ่น  ผมหมอรดิศนะฮะ   รบกวนคุณปุ่นดูให้ผมทีว่าญาติของห้องหมายเลข 9 คุณดาวประดับ อยู่หรือเปล่าครับ   ผมอยากคุยด้วย”  พยาบาลสาวรับคำ  รีบไปดูให้ ครู่เดียวก็กลับมา พูดใส่โทรศัพท์ว่า

            “ไม่อยู่ค่ะ  รู้สึกจะไปรับลูกชาย  เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง   ถ้ากลับมาแล้วให้ดิฉันโทรบอกคุณหมอให้ไหมคะ”  เพิ่งออกไปงั้นหรอ   ชายหนุ่มคำนวณเวลาที่อีกฝ่ายต้องใช้เดินทางเร็วรี่

          “ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก”  ดิมวางสาย  เขารีบลุกขึ้นยืน  ถอดเสื้อกาวน์สีขาวตัวยาวแสนจะสะดุดตาออก   เหลือแค่เสื้อเชิ้ตเรียบกริบตัวในกับกางเกงแสล็คพอดีตัว    แค่นี้เขาก็กลายเป็นชายหนุ่มวันทำงานธรรมดาไม่ใช่ศัลยแพทย์แล้ว

            ชายหนุ่มใช้บันไดหนีไฟที่มีประตูเปิดข้างๆห้องของพักของข้าวตังพอดี   เขากลั้นใจเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยที่มีเพียงหญิงสาวร่างบอบบางนอนอยู่บนเตียง  เธอหันมามองเขา กระพริบตาอย่างแปลกใจ

            “คุณข้าวตัง   ดีขึ้นไหมครับ...”  เขาค่อยๆเข้าสู่เรื่องที่ต้องการอย่างแนบเนียน   เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆปรากฎตรงหน้าเขา  คล้ายกับพรมผืนเก่าเก็บที่ถูกม้วนทิ้งเอาไว้ในห้องเก็บของ   และในวันนี้ถูกเจ้าของนำมาคลี่สะบัดออกอีกครั้งเพื่อทำความสะอาด

            รอยเว้าแหว่งบางส่วนทำให้ลวดลายบนพรมไม่สมบูรณ์  แต่ส่วนที่เหลือก็มากพอที่จะมองออกว่าลายเดิมของมันคืออะไร

            มากพอที่จะทำให้เขาอึ้ง...เงียบกริบไป

            “คุณหมอ...มีอะไรอยากถามตังอีกไหมคะ”    หญิงสาวที่ตอนเย็นดูอาการดีขึ้นมากแล้ว   เพราะฤทธิ์ยาหลายขนานถามซ้ำอีกรอบ   ทว่าคนฟังกลับพูดไม่ออก

            นิ่งอึ้งราวกับถูกค้อนเหล็กทุบเอาแรงๆ  รดิศใช้เวลานานกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ

            “ไม่มีแล้วครับ   ไม่มี..”

            หญิงสาวมองหน้าคุณหมออย่างประหลาดใจ   เห็นใบหน้าคมคล้ำลงไปทันตาเห็นหลังจากที่เธอเล่าเรื่องจบก็ยิ่งแปลกใจ  เก็บความสงสัยเอาไว้เงียบๆ  เอาไว้พี่เตกลับมาค่อยถามก็แล้วกัน

            “ผมขอตัวก่อน  ขอบคุณมาก”  เสียงของนายแพทย์หนุ่มแหบพร่า และเบาแทบไม่ได้ยิน  ร่างสมส่วนลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง เดินออกไปจากห้องพักของเธอช้าๆ  คล้ายกับคนไม่มีแรง   ตรงข้ามกับขามาราวกับเป็นคนละคน

            ครู่ใหญ่ทีเดียวประตูห้องพักก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับร่างเล็กกลมป้อมของเด็กชายเต้ที่เขย่งก้าวกระโดดเข้ามาเกาะเตียงมารดาทันที

“คุณแม่  เต้มาแล้วครับ”  เด็กน้อยพูด  ก้มลงให้แม่หอมแก้มฟอดใหญ่

พ่อของเด็กเดินหิ้วของตามเข้ามาทีหลัง  เขามองไปที่สองแม่ลูกยิ้มๆ  หญิงสาวรอให้อีกฝ่ายเก็บข้าวของเรียบร้อยค่อยเล่าเรื่องที่คุณหมอหน้าเข้มมาเยี่ยมให้ฟัง

ติณธรเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ

“แล้วเค้าถามว่าอะไรบ้าง”

            “ก็ถามเรื่องที่ตังผ่าตัดเมื่อคราวที่แล้ว”  เธอตอบ

            “ตังเล่าอะไรไปบ้าง  เล่าให้พี่ฟังได้ไหม”   หญิงสาวมองไปทางลูกชายแวบหนึ่ง  เตก็เข้าใจ  เต้เริ่มโตแล้ว  คงไม่เหมาะที่จะเล่าออกมาตอนนี้   เขาจึงเปลี่ยนเรื่อง  ชวนทั้งสองแม่ลูกทานข้าวเย็นแทน

            “กินข้าวกันดีกว่า  เต้หิวยังครับ”

          “หิวมาก เต้ไม่ได้กินขนมเลย จะรีบมาหาคุณแม่”  ได้ยินแค่นี้  คนเป็นแม่ก็ชื่นใจ  มีกำลังใจขึ้นมาก  เธอจับตามอง ‘สามี’ จัดอาหารใส่จาน   พิศดูใบหน้าเรียวขรึมแกมเศร้านั้น  นึกในใจเงียบๆ

            ‘ขอโทษนะคะ  พี่เต  แต่ตังต้องทำแบบนี้   ไม่อย่างนั้นตังอาจจะต้องเสียพี่ไปก็ได้  ยกโทษให้ตังนะคะ’

          ...


มาต่อจนจบตอนค่ะ
ขอบคุณมากที่ติดตามกันมานะคะ 
ช่วงนี้อัพช้าหน่อย  ขออภัยค่ะ
เจอกันตอนหน้านะคะ :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 04-03-2017 01:23:45
อ้าวยัยนิ ถ้าอาการดีนิวอนโดนตบมากนะคะ
ส่วนรัน เกลียดค่ะ สั้นๆ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: polkadot ที่ 04-03-2017 08:58:00
เพราะคนเห็นแก่ตัว 2 คน ทำลายคนโง่ๆ อีก 2 คนอย่างง่ายดาย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 04-03-2017 10:08:05
 :z3: :z3: :z3:
สงสารนายเอกวุ้ย
เรื่องนี้คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดไม่ใช่ใครจากไหนค่ะ
ข้าวตังไง จะใครล่ะ หึ  :m16:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: kutelittlepoly ที่ 04-03-2017 11:20:24
งง กับชื่อตัวละครนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยว ดิม กัน ตั้ม
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 04-03-2017 11:54:00
งง กับชื่อตัวละครนิดหน่อยค่ะ เดี๋ยว ดิม กัน ตั้ม


ขออภัยด้วยนะค้าา  พอดีเป็นเรื่องที่นำมารีไรท์ใหม่ค่ะ  เปลี่ยนชื่อตัวละครใหม่ด้วยก็เลยอาจจะมีผิดพลาดไปบ้าง
ขอบคุณนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: ปลายฝัน ที่ 04-03-2017 11:57:21
มีความเห็นแก่ตัวกันทุกคน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 04-03-2017 14:08:08
ตอนแรกด่าแต่รัน ตอนนี้ขอด่าตังด้วยละกัน. เตดีกะแกมาตลอดรับเป็นพ่อให้ลูกแกด้วย. แกทำงี้เหรอ จะตายอยู่แล้วแทนที่จะคิดได้ หาคนมาดูแลเตต่อ เหอะเห็นแก่ตัวพอกันทั้งรันะทั้งตัง ไรท์เราหวังว่าตังและรันจะได้รับผลจากการกระทำบ้างนะ ขอหนักๆด้วย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 04-03-2017 14:33:21
แต่ละคน เฮ่ย....เหนื่อยแทนอ่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 05-03-2017 14:51:24
  หมอดิมเพิ่งมาฉลาดถามความจริงเอาตอนนี้เหรอ จะแต่งงานอีกไม่กี่วันล่ะนี่
  รออ่านตอนต่อไปคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หนัก]ตอนที่20 4/3/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-03-2017 23:39:15
ตอนเธอกอดฉันหัวใจเธอกอดใครที่รัก
เธออยู่กับฉันแล้วใจเธอ มันยังคงเป็นของใคร
อย่าฝืนเลยที่รัก ถ้าเธอรักใคร พาร่างกายเธอตามไป
ไปซะไปหาคนนั้นของเธอ
#ใจเธอกอดใคร
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 24-04-2017 12:49:18

เพราะหัวใจบอกว่า...หน่วง

 

 

 

 

            น้ำตาไหลออกมาทางหางตา  หญิงสาวที่มีสายน้ำเกลือโยงที่แขนสะอื้นเบาๆ ทว่าได้ยินชัดเจนในความเงียบ   ดังมากพอที่จะปลุกชายหนุ่มร่างโปร่งระหงที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟาใกล้ๆให้ลืมตาขึ้นมา

            “เป็นอะไรไปตัง  เหนื่อยเหรอ  หรือว่าปวดตรงไหน”  เขาผุดลุกขึ้น เดินมาเกาะที่ขอบเตียง  ถามภรรยาด้วยน้ำเสียงห่วงใย  เช่นเดียวกับสายตาที่ทอดมองอย่างเอื้ออาทร  และนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายร้องไห้หนักขึ้นอีก

            “เกิดอะไรขึ้นตัง  ร้องไห้ทำไม”  คนเป็นห่วงยิ่งห่วงมากขึ้นกว่าเดิม   แม้ว่าในระยะหลังมานี้หญิงสาวจะร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง   แต่ไม่มีครั้งไหนที่ร้องไห้หนักจนตัวโยนเยี่ยงนี้

            เตก้มลงโอบน้องสาวเข้ามาแนบอก   กดปลายคางลงกับหน้าผากคล้ำเนียนนั้น  ข้าวตังกอดตอบแน่น

            “ตัง  ฮึก   ตังฝันร้ายค่ะพี่เต   เลยตกใจตื่น”  เธอพูดแกมสะอื้น   ชายหนุ่มหันไปมองร่างของลูกชายที่นอนอยู่บนเตียงเสริมไม่ไกลนัก  เห็นยังเด็กน้อยขยับตัวพลิกตัว

            “ชู่ว  ไม่เอาน่ะ  แค่ฝันเอง  อย่าร้องไห้เลย เดี๋ยวลูกตกใจตื่นขึ้นมานะ”  เขาลูบหลังปลอบโยนเธอ 

            “แต่ตัง...ตังกลัวว่าฝันร้ายจะกลายเป็นจริงขึ้นมา  กลัวมาก  ฮือ”  หยดน้ำตาไหลรินลงมาอีกตามสองข้างแก้ม    พี่ชายลอบผ่อนลมหายใจเบาๆ  หันไปลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเตียง กุมมือคนป่วยเอาไว้แน่น

            “กลัวอะไรเป็นเด็กๆไปได้   ไหนเล่ามาซิว่าตังฝันว่าอะไร  แล้วพี่จะทำนายฝันให้  พี่ทายแม่นนะตังก็รู้”  ชายหนุ่มพยายามพูดติดตลก 

            “ตัง...ฝันว่าพี่เตจะทิ้งตังไปค่ะ”  เธอพูดเสียงอู้อี้  สูดน้ำมูกนิดหนึ่ง   คนฟังเลิกคิ้ว

            “พี่น่ะหรือ   แล้วพี่จะทิ้งตังไปไหนล่ะ”  ย้อนถามกลับยิ้มๆ 

            “ตังฝันว่ามีคนมาจูงมือพี่ไป  แล้วพี่เตก็ไปกับเค้า....ทิ้งตังกับลูกเอาไว้ในบ้าน   ตังพยายามรั้งเอาไว้  ฮึก  พี่เตก็ไม่หันมามองเลย   สุดท้ายก็เหลือแค่ตัง  กับเต้สองคน”  น้ำตาไหลพรากออกมาอีก 

            “ใครจะมาจูงมือพี่ไปได้เล่า  ตัง  ฝันอะไรไปใหญ่แล้ว  ชีวิตพี่มีแค่เธอกับเต้เท่านั้น  คนอื่น...ไม่มีความหมายหรอก  อย่าคิดมากเลย   มันไม่ใช่เรื่องจริง  เป็นแค่ฝัน   ไม่มีทางเป็นเรื่องจริงด้วย”  เขาพูดเสียงแหบ   ย้ำประโยคสุดท้ายหนักแน่น

            ดวงตาคมดำขลับคู่นั้นสบตาเขาอย่างค้นคว้า   ราวกับต้องการให้แน่ใจว่าเขาหมายความอย่างที่พูดจริง

            “สัญญากับตังได้มั้ยคะ   ฮึก  ว่าไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น  พี่เตจะไม่ทิ้งตังกับเต้”  ท่าทางของเธอจริงจังจนชายหนุ่มแปลกใจ

          “ตังพูดอย่างกับว่ามันจะมีเรื่องอะไรงั้นแหละ”   ข้าวตังหลบตาของเขาทันที  เธอเสมองไปที่ลูกชายคนเดียวที่กำลังหลับสนิท  ไม่มีทีท่าว่าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะเสียงสนทนา

            “ตังไม่รู้...ตังก็พูดเผื่อไว้ก่อน   ตังไม่รู้จริงๆว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น    ตังเลยกลัว...พี่เตสัญญากับตังได้มั้ย   ต่อให้ตังผ่าตัดแล้วเกิดตายขึ้นมา  พี่เตก็ต้องไม่ทิ้งเต้นะ”

          “พูดอะไรแบบนั้นตัง!”   คนฟังอุทาน  เขาเชยคางน้องสาวขึ้นมา  ดุเสียงเข้ม “อย่าพูดอะไรเป็นลางแบบนี้อีก  ตังจะต้องหายดี   ต้องอยู่ต่อให้พี่ดูแลไปอีกร้อยปี  เราจะอยู่เป็นคุณเทียด เลี้ยงหลานให้เจ้าเต้ด้วยกัน  เข้าใจหรือเปล่า”   หญิงสาวยิ้มออกมาได้บางๆ

            “ถือว่าพี่เตสัญญาแล้วนะ”

            “พี่สัญญา”  ชายหนุ่มพูด  “แต่ตังก็ต้องสัญญากับพี่ด้วยเหมือนกัน  ว่าจะต้องอยู่ต่อไปนานๆ  สัญญาไหม”

            “โธ่   เรื่องแบบนั้นจะไปสัญญาได้ยังไงกัน”

            “เขาบอกว่า  ถ้าเราคิดอะไร   ร่างกายจะตอบสนองได้อย่างนั้นล่ะ   เอาละ  นี่ดึกมากแล้ว  นอนได้แล้วคนดี  ประเดี๋ยวนอนไม่พอ  จะโดนหมอดุเอานา”  นักเขียนหนุ่มพูด  ช่วยขยับตัวน้องสาวให้เอนลงนอน   

            “วันนี้หมอก็มาหา  เออใช่ ตังยังไม่ได้เล่าให้พี่เตฟังเลยว่าหมอดิมคุยเรื่องอะไรบ้าง”   มือที่ช่วยดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้น้องสาวชะงักไปนิดหนึ่งแทบไม่สังเกต    รอยยิ้มบางๆบนใบหน้าเรียวหวานจางลงเหมือนดอกไม้ที่ถูกแดด   ทว่าเพียงครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ   เตหันไปถามน้องสาวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “หมอเขาว่าอย่างไรบ้างล่ะ”

            “เขาก็ถามเรื่องทั่วไป  แบบตังทำงานอะไร พักผ่อนพอมั้ย วันล่ะกี่ชั่วโมง  โรคประจำตัว  การผ่าตัดคราวที่แล้วเป็นไงบ้าง  ทำไมถึงผ่า  ประมาณนี้”  หญิงสาวพูดเรื่อยๆ   ลอบสังเกตอากัปกิริยาของอีกฝ่ายไปด้วยเงียบๆ “หลังๆก็ถามว่าตังแต่งงานเมื่อไหร่   มีลูกตอนไหน   ตังก็เลยเล่าให้เขาฟังหมด”

          “ตังเล่าแค่ไหน  ทั้งหมดเลยงั้นหรอ”  คนฟังเผลอหันขวับมาถามเสียงดัง   แล้วก็ลดเสียงลงอย่างรู้ตัว “เอ้อ  เล่าเรื่องเต้ด้วยหรือเปล่า”

          ข้าวตังพยักหน้ารับ    ตั้งเตใจหายวาบ

            “ตังเล่าหมดเลย  หมอดิมบอกว่ายิ่งตังเล่ามากเท่าไหร่ ก็จะมีดีผลต่อการวางแผนการรักษามากเท่านั้น  และหมอก็จะเก็บรักษาเอาไว้เป็นความลับ  ไม่มีใครรู้แน่นอน....หมอดิมเค้าน่ารักนะพี่  เค้าดูใส่ใจตังมากๆเลย”

          “ตังก็เลยเล่าให้ฟังหมด..”  เตต่อประโยคเสียงแผ่ว   เขามองหน้าอีกฝ่าย  ไม่อยากเชื่อหู   แววตาของตังบอกเขาว่าที่เธอพูดมาเป็นความจริงทุกคำ

            “ไม่เป็นไรหรอกพี่เต   ถึงหมอเขารู้ก็ไม่เป็นไรไม่ใช่หรือ....พี่เตกังวลเรื่องอะไร?”  เธอถาม  คิ้วขมวดน้อยๆด้วยความสงสัย  เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเผือดซีดลงแล้วกลับแดงเข้ม

            “พี่...เรื่องตังกับเต้มันสำคัญกับการรักษาตรงไหน  พี่ไม่เข้าใจ”  เขาพูดตะกุกตะกัก

            “ตังไม่ทราบเหมือนกัน   พี่ลองไปถามคุณหมอเค้าดูเองสิ  แล้วมาเล่าให้ตังฟังด้วยนะ   ความจริงมันก็แปลก...พอมาลองคิดดูแล้ว   ตอนที่ตังเล่าเรื่องเต้ให้คุณหมอฟัง   เขาเงียบไปเลย   หน้าเครียดสุดๆเล่นเอาตังตกใจ  ไม่รู้พูดอะไรผิดหรือเปล่า” เธอลดเสียงลงคล้ายพูดกับตัวเอง   เห็นอีกฝ่ายเม้มปากแน่นราวกับพยายามกลั้นสะกดกลั้นอะไรสักอย่างเอาไว้

            “พี่เตเป็นอะไร   ไม่ต้องคิดมากหรอกค่ะ    หมอเค้าก็คงถามไปอย่างนั้น  อาจจะเครียดเรื่องอื่น”

            ชายหนุ่มเห็นสายตาสงสัยของน้องสาวก็รู้สึกตัว  เขากลบเกลื่อนสีหน้าของตนเองให้เรียบสงบ  หารู้ไม่ว่าไม่อาจซ่อนแววตาสับสนกดดันจากสายตาคมไวของน้องสาวได้   เตห่มผ้าคลุมร่างกายบอบบางของเธอให้จนถึงปลายคาง  โน้มตัวลงจูบที่หน้าผากเบาๆ เหมือนทุกครั้งก่อนที่จะกล่าวราตรีสวัสดิ์

            “นอนเถอะนะน้องพี่  ฝันดีครับ”

            หญิงสาวบีบมือของเขาแน่นแล้วคลายออก  เธอดูผ่อนคลายลง  สักพักก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย  ทิ้งให้ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างเตียงของเธอ  พิศดูใบหน้ารูปหัวใจ คิ้วคางคมเข้มแบบไทยแท้  ขนตาหนาเป็นแพทาบอยู่บนผิวแก้มเนียนละเอียดอยู่เงียบๆ

            ‘ทำไมพี่ถึงไม่รักเธอนะตัง   ไม่อย่างนั้นเรื่องทุกอย่างก็คงไม่ยากเย็นแบบนี้’

          เหนือขึ้นไปจากห้องพักผู้ป่วยสองชั้น  ยังคงมีชายหนุ่มอีกคนหนึ่งนั่งเอนพิงพนักเก้าอี้  เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องทำงานนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานานไม่ขยับ

            พูดให้ถูกก็คือ  เขาไม่มีแรงจะขยับตัวมากกว่า

            คำพูดของหญิงสาวคนนั้นมันทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกผลักตกลงไปทะเลลึก  รอบด้านเต็มไปด้วยความกดดันทุกทิศทุกทาง   พยายามดิ้นรนหาทางหนีเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถหนีรอดแรงบีบเค้นนั้นได้   ขณะที่ออกซิเจนที่ใช้หายใจก็ลดน้อยลงทุกที   เขามองเห็นตัวเองดิ้นทุรนทุรายอยู่ใต้น้ำอย่างน่าสมเพช

            มันเร็วเกินไป  ไม่สิ  มันช้าเกินไปตะหาก   ถ้าเขารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนั้น   ถ้ารู้เรื่องนี้ก่อนที่เขาจะทำอะไรโง่ๆลงไป...ถ้าเขารู้...ก่อนที่จะทำแบบนั้นกับตั้ม...ถ้าเขา...

            ‘พี่เตเป็นคนเดียวที่ช่วยตังได้   ตอนนั้นตังไม่เหลือใครเลย   ก็มีพี่เตเนี่ยแหละที่คอยดูแล  เป็นกำลังใจให้ทุกอย่าง   ตังไม่รู้จะขอบคุณเค้ายังไง  เค้าไม่ได้เป็นพ่อของลูกตัง  แต่เขาก็รับเป็นพ่อ...’



                                  *****************************************

            “พี่ดิมทำอะไรอยู่  ว่างคุยแล้วเหรอ”  เสียงแหบๆที่ได้ยินมาตามสายมีแววยินดีเจืออยู่  แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหน็บกลับไปด้วยความน้อยใจ

          “ว่างสิ  พอว่างพี่ก็โทรหานายทันทีนั่นล่ะ  ไม่เหมือนนายหรอก  ลืมพี่ไปแล้วหรือเปล่า” 

          “พี่ตะหากล่ะที่ลืมผมไปแล้ว  ผมโทรไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยโทรกลับมาเลยสักครั้ง”  ปลายสายโต้กลับมา

          “นายโทรมาวันไหน  เต..พี่ไม่เคยเห็นเลยว่านายโทรมา”  เขาพูดความจริง

          “มัวแต่ไปเที่ยวก็เลยไม่เห็นหรือเปล่า   สนุกมั้ยล่ะ  ไหนว่าเรียนหนักไม่มีเวลาไง”   เตคงหมายถึงเหตุการณ์ที่เขาพาคุณแม่ไปเที่ยวปราสาทหินเมื่ออาทิตย์ก่อนกระมัง

          “ก็แม่พี่มาเยี่ยม  นานๆทีท่านจะมา  แล้วเพื่อนก็ขอแลกเวรพอดี  พี่ก็เลยว่างพาแม่ไปเที่ยว  แค่วันเดียวเท่านั้นแหละ  นายพูดเหมือนพี่มีเวลาไปเที่ยวทุกวัน  รู้หรือเปล่าว่าวันนึงพี่ยุ่งมากแค่ไหนน่ะฮึ”  เขาอธิบาย  อดพูดเสียงเข้มในตอนท้ายไม่ได้

          “ผมก็ยุ่งเหมือนกันล่ะ  ไม่ได้มีแค่พี่คนเดียวที่ยุ่งนี่”

          “ยุ่งมากขนาดไม่โทรหาพี่เป็นเดือนเลยเนี่ยนะ  อืม  จะเอาเกียรตินิยมใช่ไหม  พี่เข้าใจล่ะ”

          “พี่ดิมอย่ามาประชดผม   ผมโทรหาพี่ตลอดอ่ะ  มีแต่พี่แหละที่ไม่เคยรับ  ไม่เคยโทรกลับ  ไม่เคยติดต่ออะไรกลับมาเลย!  ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน  ไม่ใช่แฟนพี่  แต่เป็นแค่คนเคยรู้จักกัน   หรือว่าพี่เห็นผมเป็นแบบนั้น...”  ตั้งเตพูดเสียงขาดเป็นห้วงๆ  “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องโทรมาแล้วล่ะ  ผมไม่อยากรบกวนเวลาอันมีค่าของพี่หรอก  ช่างเถอะ”

          ติณธรตัดสายเสียอย่างนั้น  หางเสียงมีรอยสะอื้นปนน้อยๆจนเขาใจหาย  ยังไม่ทันได้พูด  อีกฝ่ายก็ชิงวางหูก่อน  รดิศถอนหายใจยาว  เขาอุตส่าห์ลดทิฐิของตัวเองลงเพื่อโทรหาอีกฝ่ายก่อนแล้วแท้ๆ

          ทำไมเตไม่ฟังอะไรเลยล่ะ

          “พี่ดิม  เสาร์นี้อาจารย์อนุญาตให้หยุดพักได้  รันจะไปกรุงเทพฯ  พี่จะไปด้วยไหม”  รุ่นน้องที่กลายมาเป็นเพื่อนสนิทถามเขายิ้มๆ  หลังจากที่รอให้เขาคุยโทรศัพท์จนเสร็จ

          “จริงหรอ  ไปสิ”  จังหวะเหมาะจริงๆ  เขาจะได้ไปเซอร์ไพรซ์เตที่นู่นเลย   น้องจะต้องดีใจแน่ๆแล้วก็หายโกรธเขา   ไม่ได้เจอกันตั้งนาน   คิดถึงเป็นบ้า

          แล้ววันที่เขารอคอยก็มาถึง.....

          นักศึกษาแพทย์หนุ่มปีสุดท้ายสะพายเป้ตรงไปที่หอพักของคนรักทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ  เขาอยากไปหาเตก่อนกลับไปเจอหน้ามารดาด้วยซ้ำ   เด็กหนุ่มลงจากรถเมล์เดินเข้าซอยไปอย่างตื่นเต้น

          เราไม่เจอกันเกือบ 5 เดือนแล้ว  ไม่รู้ว่าเตจะเป็นอย่างไรบ้าง

          “ชื่อรดิศ มาพบนายติณธร ห้อง 669 ครับ”  เขาแจ้งกับป้าแม่บ้านที่เขม้นมองเขา  เธอพยักหน้า  ยกหูโทรศัพท์เรียกไปที่ห้องพักที่ต้องการ  รออยู่นานทว่าไม่มีใครรับสาย

          “รอหน่อยนะ  คงไม่อยู่”

          “เขาไปเรียนเหรอครับ”  เขาส่งยิ้มหวาน อวดลักยิ้มสองข้างแก้มประจบผู้สูงวัยเอาไว้ก่อน   ดูเหมือนว่าจะได้ผล  ป้าเต็มใจจะตอบเขามากกว่าเดิม

          “น่าจะใช่นะ  เห็นใส่ชุดนักศึกษาออกไปเมื่อเช้า”   ได้ยินดังนั้น  ดิมจึงเดินออกไปหาอะไรรองท้องก่อน เพราะยังไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เช้า   ท้องอิ่มก็กลับมานั่งรออยู่ใต้หอพักของคนรัก

          เผลอหลับไปหลายพัก สะดุ้งตื่นเพราะมีมือของใครบางคนมาสะกิดแรงๆที่หัวไหล่  ลืมตาขึ้นมาเจอใบหน้าเรียวหวานที่ซูบลงไปเล็กน้อย  แต่รอยยิ้มนั้นยังคงเหมือนเดิม   เหมือนที่ผ่านๆมา

          “เต!!  กลับมาแล้วหรอ”  เขาเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงดัง  ผุดลุกขึ้นยืนแล้วดึงร่างของอีกฝ่ายเข้ามากอดเต็มรัก

          “ดีใจจัง  พี่ดิมมาได้ไงเนี่ย”  ตั้งเตพูดอู้อี้อยู่กับอกเสื้อของเขาก่อนจะร้องไห้ออกมาจนเขาตกใจ

          “เป็นอะไร  ร้องไห้ทำไม โธ่  ไม่เอาน่า”  เรากอดกันแน่นมาก  ให้สมกับความคิดถึงที่เก็บเอาไว้มานาน  เตร้องไห้ออกมาอีก  สูดน้ำมูกฟืดฟาด

          “เป็นอะไรไปคนดี   ที่ร้องนี่ดีใจใช่มั้ย”  เขาจับต้นแขนของเตเอาไว้  ก้มลงถาม   อีกฝ่ายพยักหน้า  น้ำตาไหลเต็มสองข้างแก้ม  สะอื้นน้อยๆ

          “คิดถึงพี่มากจริงๆ  ฮือ  รู้รึเปล่า”

          กลายเป็นว่าเขาต้องเป็นฝ่ายปลอบโยนอีกฝ่ายอยู่นานกว่าเตจะเลิกร้องไห้เป็นท่อประปาแตก  ตรงข้ามกับที่คิดเอาไว้โดยสิ้นเชิง  นึกว่าจะต้องมาง้อเด็กเสียแล้วเชียว  แบบนี้ก็ดีเหมือนกันแฮะ

          “คิดถึงเหมือนกัน”  เขาก้มลงไปกะจะประทับจูบให้หายคิดถึง  ร่างโปร่งบางก็ดันอกเขาแรงๆ

          “ฮื้อ  นี่ใต้หอนะ คนเยอะแยะ”

          “งั้นขึ้นไปข้างบนได้มั้ย”  เสียงของนักศึกษาแพทย์หนุ่มลิงโลดอย่างออกนอกหน้า  แต่นั่นยังไม่เท่ากับนัยน์ตาคมที่ฉายแวววิบวับเจ้าชู้ขึ้นมาทันที

          เรื่องอะไรจะให้ขึ้นไปล่ะ...

          หน้าร้อนขึ้นมาเพราะเขิน  เขาเมินหลบสายตาของพี่ดิมอีกครั้ง  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออกง่ายๆ

          “นั่งคุยตรงนี้แหละ  ข้างบนนั่นไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่”  มีหลายเหตุผลทีเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่สะดวก   แต่ยังก่อน   เพิ่งเจอกันแท้ๆ  คุยเรื่องที่ทำให้เบิกบานสบายใจก่อนดีกว่า

          “แล้วนี่พี่ดิมมาได้ยังไง  ไม่มีเรียนหรอ”  เขาถามปัญหาข้องใจก่อนอันดับแรก   พี่ดิมยิ้ม  ยักคิ้วให้เขา

          “โดดมา  ล้อเล่น  อย่าทำหน้าดุงั้นสิ  อาจารย์ให้หยุดหลังสอบเสร็จน่ะ   พี่เลยรีบมาหาเต  ว่าแต่นายเถอะ  วันนั้นวางหูใส่พี่ทำไม”  พี่ดิมถามกลับ

          “เตขอโทษครับ  วันนั้นไม่สบายใจหลายเรื่องก็เลย...”  เขายกมือขึ้นไหว้   ฝ่ายนั้นรับไหว้แล้วรวบมือของเขาไปกุมเอาไว้

          “พี่ไม่เคยโกรธนายได้นานอยู่แล้ว  ไม่งั้นจะวิ่งมานี่เหรอ  เอาละ  ไม่สบายใจเรื่องอะไร  เล่าให้พี่ฟังซิ”  พี่ดิมก็ยังเป็นพี่ดิมคนเดิมที่ห่วงใยเขาเสมอมา    หัวใจของเขาเริ่มกลับมาอบอุ่นขึ้นทีละนิด

          เขายังไม่อยากให้พี่ดิมพลอยไม่สบายใจกับเรื่องไม่เป็นเรื่องของเขาไปด้วย

          “พี่ดิมเล่าให้เตฟังก่อนดีกว่า  ไปอยู่ที่นู่นเป็นไงบ้าง  เรียนหนักมั้ย  รู้สึกว่าพี่ผอมไปนะ”  แค่เห็นอีกฝ่ายแวบเดียวเขาก็บอกได้ทันทีว่าฝ่ายนั้นคงน้ำหนักลดไปหลายกิโลกรัม  ดูจากสันกรามที่ขึ้นเด่นทว่ากลับเพิ่มความเข้มคมให้แก่ใบหน้าของเค้ามากขึ้นนั้นก็ได้

          “นายก็ผอมลงไปเหมือนกัน  ตั้งเต...พี่อยู่นู่นจริงๆก็สบายดีนะ  มีแม่บ้านหอคอยดูแลทุกอย่าง  พวกพี่มีหน้าที่ตื่นขึ้นมาทำงานอย่างเดียว   พยาบาลที่นู่นก็ดี  ทำงานเก่ง  ทุ่นแรงเราไปได้เยอะ  ขึ้นเวรก็วันเว้นสองวัน  สอบทุกสามอาทิตย์  เนื้อหาก็คล้ายๆเดิมล่ะ เน้นปฏิบัติมากกว่า อาจารย์ที่นู่นดีนะ  ดูแลเราดีมากๆ  จริงๆดีทุกอย่างแหละ แต่อาหารไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่  ต้องอาศัยฝากท้องเอาไว้กับ.....”

          เตนั่งฟังพี่ดิมเพลิน  เสียงนุ่มๆฟังรื่นหู  แววตาของพี่ดิมดูสดใสเวลาพูดถึงงานต่างๆที่ต้องทำ...ท่าทางพี่ดิมมีความสุขกับที่นั่นจริงๆ  ไม่ได้ลำบากยากแค้นเหน็ดเหนื่อยขนาดนั้น   เห็นแบบนี้เตก็ค่อยเบาใจแล้วก็พลอยมีความสุขไปด้วย

          พี่ดิมเล่าเรื่องตลกของคนที่เจอ  เรื่องเพื่อน  เรื่องคนไข้  ฯลฯ  ทุกเรื่องที่พี่เค้านึกออก และอยากให้เตได้รู้ด้วย  พี่ดิมเล่าออกมาหมด




เดี๋ยวมาต่อ
พักกินข้าวแปบบบ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 24-04-2017 12:59:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: ชมรดา ที่ 24-04-2017 16:05:50
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 24-04-2017 18:52:43



“......สรุปว่าคืนนั้นไม่มีใครได้นอนเลย  ต้องคอยสะดุ้งตื่นตลอด กลัวแมลงสาบไต่หน้า  ฮ่าๆ  รันถึงขั้นเอาหมวกไหมพรมมาคลุมหน้านอนเลยล่ะ  พี่ลองทำดูแล้วหายใจไม่ออก  ไม่รู้เขาทำได้ไง”  พี่ดิมหัวเราะออกมาอีก  แล้วหยุดหัวเราะไปดื้อๆ  หันมามองหน้าเขา

          “ที่นั่นดีจริงๆนะ  เสียอย่างเดียวคือ ไม่มีนาย....เต”  สายตาของพี่ดิมที่ใช้มองเขามีแววลึกซึ้งอย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

          อีกฝ่ายกุมมือของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตั้งแต่แรกพบหน้ากัน จนผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว  พระอาทิตย์ตกดิน  ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิท

          “แล้วอยู่ที่นี่เป็นไงบ้าง  นายไม่เห็นเล่าเท่าไหร่เลย  มีปัญหาอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า  ปรึกษาว่าที่คุณหมอคนนี้ได้นะครับ”

          เตขยับจะเล่า  แต่ก็เปลี่ยนใจ

          พี่ดิมเรียนหนักมากแล้ว  ปัญหาพวกนี้เขาสามารถแก้เองได้  ไม่จำเป็นต้องให้พี่ดิมต้องมาเดือดเนื้อร้อนใจไปด้วยหรอก   เขารู้ดีว่านิสัยพี่ดิม ลงถ้าได้รู้เรื่องเข้าละก็  เป็นต้องช่วยสุดตัวแน่นอน

          อีกสองเดือนเอง...

          “เตอยู่ที่นี่ก็เหมือนเดิมล่ะพี่  ไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่หรอก  ตื่นเช้าไปเรียน  อ้อ มีเพิ่มมาคือปีสุดท้ายต้องทำวิจัย...”  เขาเล่าเรื่องของตัวเองไปเรื่อยๆ  ระวังไม่ให้มีส่วนไหนของเรื่องไปเกี่ยวพันกับปัญหาใหญ่เข้า

          พี่ดิมนั่งฟังยิ้มๆ  เขาเป็นผู้ฟังที่ดีเสมอ

          “แล้วน้องสาวของนายล่ะ  ชื่ออะไรนะ  ขอโทษทีพี่จำชื่อไม่ได้”

          “อ๋อ  ก็ย้ายมาอยู่ที่นี่แล้วล่ะ  เรื่อยๆ ไปตามเรื่องตามราว”  เขาปดแล้วเปลี่ยนเรื่อง “...ที่นี่ก็ดีทุกอย่าง  เสียอย่างเดียวคือคิดถึงพี่ดิมเหลือเกิน”  เขาพูดออกมาจากใจเช่นกัน  พี่ดิมอาศัยจังหวะที่เขาเผลอตัว  คว้ามือเขาขึ้นไปแตะริมฝีปาก  จูบที่กลางฝ่ามือของเขาแรงๆ

          “ไม่มีใครเห็นหรอกน่า  ถึงเห็นก็ช่างเถอะ   อีกแค่สองเดือนเท่านั้น  เราก็จะเรียนจบแล้ว ...ตั้งเต   พี่รู้ว่านายอยากไปเป็นครูบนดอยใช่มั้ย  พี่จะไปด้วย  แพทย์ชนบทยังขาดแคลนอีกมาก”   คำพูดของดิมทำให้หัวใจของคนฟังพองโต

          นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้ายที่เต็มไปด้วยความหวังและอุดมการณ์อันแน่วแน่พูดซ้ำอีกครั้ง

          “เรียนจบแล้ว...เราแต่งงานกันนะ”

          ตั้งเตน้ำตาคลอ พยักหน้ารับ  บีบมือของพี่ดิมเอาไว้แน่น  เขารู้สึกตื้นตันจนพูดไม่ออก  ความคิดที่จะเล่าเรื่องของน้องสาวจางหายไปกับสายลม   นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องหนักใจแบบนั้นเลยเลยสักนิด  ถึงพูดไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรหรอก

          อนาคตของเราสองคนมองเห็นอยู่ตรงหน้าแล้ว  รอให้ก้าวขาเดินออกไปบนเส้นทางโรยด้วยกลีบกุหลาบเท่านั้น

          เราคุยอะไรกันอีกบ้าง เขาก็จำไม่ได้  รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้า  ไม่ได้นอนทั้งคืน แต่ก็ไม่ง่วงเลย  เราร่ำลากันหลายรอบกว่าพี่ดิมจะตัดใจกลับไปแวะเยี่ยมมารดาที่บ้าน และตรงกลับโรงพยาบาลที่ต่างจังหวัดเย็นวันนั้น

          คำพูดเดียวของพี่ดิมที่ทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมา  ท่ามกลางปัญหาทั้งเรื่องน้องสาว  เรื่องการเรียน และเรื่องการเงินที่เริ่มกลายเป็นปัญหา  เมื่อไม่มีรายรับ  มีแต่รายจ่ายที่เพิ่มขึ้นเพราะไอ้โชนย้ายออกจากหอไปดื้อๆเมื่ออาทิตย์ก่อน  ไม่มีการบอกกล่าว   ทิ้งให้เขาต้องหาเงินมาจ่ายค่าห้องพักคนเดียว ไม่มีคนหารด้วยอีกแล้ว 

          จะหาใครมาเช่าด้วยก็ไม่ไว้ใจ เพราะมีน้องสาวพักอยู่ด้วยอีกคน

          อีกสองเดือน  เราจะไปอยู่กับพี่ดิมแล้ว  ถึงตอนนั้น เขาคงจะได้เป็นครูสมใจ  และคงมีเวลาทำงานอดิเรกที่ชอบ  มีบ้านเป็นของตัวเอง  มีสวนดอกไม้รอบบ้านให้เดินเล่นกับพี่กัน  อากาศบนดอยคงจะสะอาดสดชื่นมากแน่ๆ   แค่นึกก็หัวใจเต้นแรงแล้ว

          “พี่เต....ตังขอโทษค่ะ  พี่เตนั่งรอตังอยู่ใช่ไหม”  เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง  ตั้งเตสะดุ้ง  หันไปมองเห็นน้องสาวของตนยืนก้มหน้าอยู่ 

          จริงสิ....นี่เช้าแล้วนี่ ข้าวตังไปไหนมา? เขาก็มัวแต่คุยกับคนรักเพลินจนลืมไปเลยว่าน้องสาวยังไม่กลับบ้าน

          “เกิดอะไรขึ้นตัง  ทำไมเพิ่งกลับเอาเช้าป่านนี้”   ติณธรถามเสียงดุ  เขาคงต้องเข้มงวดกับเธอให้มากกว่านี้เสียแล้ว   แค่นั้นน้ำตาของสาวน้อยก็ไหลรินลงมาอาบแก้ม

          เธอสะอื้นฮัก

          “ไม่ต้องมาร้องไห้  กลับขึ้นไปบนห้อง  เราคงต้องคุยกันจริงๆเสียทีแล้วล่ะ”   สาวน้อยเดินร้องไห้ขึ้นไปบนห้องพัก  ส่วนเขานึกหาคำพูดเหมาะๆที่จะปลอบใจเธอให้หายเฮิร์ท

          เธอคงยังเสียใจเรื่องที่ก้องกลับไปหาแฟนเก่า   ทำไมยังทำใจไม่ได้อีกนะ  เรื่องมันผ่านไปเกือบสองเดือนแล้ว...คิดในใจอย่างหงุดหงิด  เปิดประตูเข้าไปในห้อง  เห็นน้องสาวนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น

          “ลงไปนั่งที่พื้นทำไม  ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้สิตัง”  เผลอพูดเสียงอ่อนเพราะความสงสาร  เขาเดินไปนั่งบนเตียง ประจันหน้ากับน้องสาว 

          เด็กสาวเงยหน้าขึ้น  สองตาแดงก่ำ บวมช้ำบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก   ทำเอาพี่ชายใจอ่อนยวบ

          “เป็นอะไรไปตัง  พูดกันดีๆก็ได้  ไม่ต้องร้องไห้ พี่ไม่ฆ่าเธอหรอกนะแค่ไม่กลับบ้านคืนเดียว...”  เสียงของเขาขาดหายไปในลำคอ  เพราะเด็กสาวปล่อยโฮออกมาอีกรอบ   เธอยกมือขึ้นปิดใบหน้า  ก้มลงไปจนแนบพื้นกระเบื้อง

          เตเริ่มใจเสีย  ท่าทางของตังบอกเขาว่าเกิดเรื่องผิดปกติอะไรขึ้นสักอย่าง   ที่หนักหนาเกินกว่าที่เด็กอายุ 18 ปีจะรับมือไหว

          เขาขยับลงมานั่งข้างเด็กสาวที่พื้นห้อง ยกมือขึ้นลูบหลังไหล่บอบบางที่สั่นไหวนั่นเบาๆ   ปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่นานจนพอใจ  ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน

          “พี่ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่พี่อยู่ข้างตังนะ โอเคไหม  เล่ามาเถอะ”  เขาปลอบถามอีกหลายคำ  ในที่สุดเด็กสาวก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว

          “พี่เต   ตังขอโทษ   ฮึก...มันเป็นความผิดพลาด....ไอ้เลวนั่นมันหลอกตัง....”

          “ไอ้เลวที่ไหน  บอกมา”  คนฟังทั้งงงทั้งโกรธ

         น้องสาวส่ายศีรษะ  เธอร้องไห้ออกมาอีกรอบ  คราวนี้ยาวนานกว่าเดิม  เด็กหนุ่มอดทนรอจนน้องสาวพร้อมที่จะพูดอีกครั้ง

          “เล่ามาเถอะ  ดาวประดับ”

         เธอรับกระดาษทิชชูจากเขาไปสั่งน้ำมูก และเช็ดน้ำตาอยู่อีกครู่ใหญ่   มองหน้าเขานิ่งไปอึดใจ  สุดท้ายก็บอกออกมาเสียงสั่นฟังแทบไม่เป็นคำ

          “พี่เต....ตังท้อง”

เตรู้สึกเหมือนหัวใจตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม  มือที่ถือกล่องทิชชูอยู่ร่วงผล็อยลงกับพื้นอย่างไม่รู้ตัว  จ้องหน้าน้องสาวพูดไม่ออก

          เงียบจนแทบได้ยินเสียงเข็มตก  ตั้งเตหาเสียงของตัวเองเจอ  เขาพูดเสียงแหบพร่า

          “แน่ใจเหรอ”

          หญิงสาวล้วงมือเข้าไปหยิบที่ตรวจการตั้งครรภ์ด้วยปัสสาวะจากในกระเป๋ากระโปรงขึ้นมาส่งให้  พี่ชายรับมาดู  หูอื้อตาลาย   สมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ  แปลไม่ออกว่าสองขีดแดงๆบนแถบขาวนั้นมันแปลว่าอะไรกันแน่ 

          “ตังขอโทษ  พี่ยกโทษให้ตังเถอะนะ”  เด็กสาวร้องไห้ออกมาอีก

          “ใคร  มันเป็นใคร...ไอ้ก้องใช่มั้ย”   คนแรกที่เขานึกออก  คือเด็กหนุ่มรูปหล่อรุ่นน้องที่เคยคบกับน้องสาวของเขา   หลังจากนั้นก็ทิ้งน้องของเขากลับไปหาแฟนเก่าหน้าหมวยอย่างไม่ไยดี   

เตโกรธอย่างที่ไม่เคยโกรธแบบนี้มาก่อน   ข้าวตังเป็นน้องสาวคนเดียวที่คุณลุงคุณป้าฝากเอาไว้ให้ดูแล ก่อนที่ท่านทั้งสองจะจากไป

          “พี่จะไปเอาเลือดหัวมันออก”  ประกาศลั่นแล้วผุดลุกขึ้นยืน   เด็กสาวรีบฉุดข้อมือของพี่ชายเอาไว้  พูดปนสะอื้น

          “ไม่ใช่พี่  ฮือ  ไม่ใช่พี่ก้อง” 

          “ถ้างั้นใคร  เธอไม่ต้องไปปกป้องมัน  บอกชื่อออกมา  มันใช้กำลังกับเธอใช่มั้ย  บอกพี่มาไม่ต้องอาย  ใคร!!!”  เขาฮึดฮัด อยากสะบัดมือน้องสาวที่รั้งข้อมือของเขาเอาไว้แน่นออก  เด็กสาวเม้มปากแน่น  เธอจะบอกดีหรือไม่?

          “ช่างมันเถอะพี่  หนูโง่เองที่ไปหลงเชื่อมัน  ฮึก  หนูไม่อยากกลับไปเกี่ยวข้องกับมันอีกแล้ว  ฮือ”

          “ไม่ได้  มันทำแกท้อง  มันก็ต้องรับผิดชอบสิ  อย่างน้อยก็ให้ฉันได้ทำอะไรสักอย่างให้มันสาสมกับที่มันทำกับน้องฉันบ้าง”

          เด็กสาวอึ้ง  เธอไม่เคยเห็นพี่ชายใจดีอย่างเตโกรธจัดแบบนี้มาก่อน  ร่างโปร่งระหงนั้นสั่นเทิ้ม ใบหน้าแดงก่ำบึ้งตึง  ท่าทางเหมือนพร้อมจะระเบิด...ความจริงเธอก็ไม่อยากปิดบังพี่เตหรอก  ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องของเธอ  แต่รู้ไปแล้วมันจะเกิดประโยชน์อะไรขึ้นล่ะ  ในเมื่อเธอเพิ่งถูกเขาตัดบททางโทรศัพท์เมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง

          ‘ท้อง?  ไหนตังว่าตังคุมไว้ไงล่ะ’

          ‘ตังไม่รู้  พี่โชน ช่วยตังด้วย ตังไม่กล้าบอกพี่เต   ตังไม่รู้จะทำยังไง  พี่อยู่ที่ไหน  ตังจะไปหา’

          ‘ขอโทษด้วยนะตัง  แต่พี่ไม่สะดวกจริงๆ ถ้างั้นตังก็ไปเอาออกล่ะกัน  คลินิกแถวนั้นเยอะแยะ  ไม่แพงหรอก’

          ‘พี่โชน!  นี่ลูกของเรานะคะ!’  เธอพูดอย่างตกใจ  น้ำตาเริ่มไหลลงมาเป็นทาง

          ‘โธ่  ไม่เอาน่าตัง  เราก็โตๆกันแล้วนะ  เราก็แค่ปลอบใจกันและกันไง  ตังจำไม่ได้เหรอว่าตังเคยพูดกับพี่ว่ายังไง   ตังขอให้พี่ช่วยทำให้ตังลืมไอ้ก้อง  พี่ก็ช่วยแล้วไงล่ะ....ตังอย่าไปคิดมากเลยน่า  สมัยนี้ทำแท้งมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดหรอก  แปบเดียวก็เสร็จแล้ว    เอ้อ  ตัง  แค่นี้ก่อนนะ  พี่มีธุระ’  ปลายสายตัดบททิ้งวางสายไปดื้อๆ

          หลังวางสาย  เธอโทรกลับไปหลายรอบ  ไม่มีใครรับ เดาว่าเขาคงหักซิมทิ้งไปแล้ว

          เธอน่าจะเอะใจตั้งแต่จู่ๆเขาก็เก็บข้าวเก็บของย้ายออกจากหอไปเสียเฉยๆแล้ว  ตอนนั้นเขาบอกเธอว่าเขาไม่อยากให้พี่เตรู้เรื่องระหว่างเราสองคน  เพราะเขายังไม่พร้อม  ถ้าขืนยังอยู่ห้องเดียวกันต่อ สักวันพี่เตก็จะรู้เข้าจนได้แน่ๆ ขอเวลาเขาสักนิด  แล้วเขาก็จะเป็นฝ่ายบอกพี่ชายของเธอเอง

          ขอเวลานานแค่ไหนล่ะ  สุดท้ายมันก็เก็บกระเป๋าหายเงียบไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   เธอไปดักรอพบตามสถานที่ต่างๆที่สืบมาจากเพื่อนๆของชายหนุ่มแต่ก็ไม่เคยเจอกัน  พยายามติดต่อทุกทางก็สูญเปล่า  เค้าทำเหมือนเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน  จะโทษใครได้  ก็เธอมันโง่เอง  ไปหลงเชื่อคารมของคนพรรค์นั้น   เค้าไม่สนใจว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ...จะให้เธอไปเอาออกหรอ   แค่คิดเธอก็ขนลุกทั้งตัว  มัน....มันน่ากลัวเกินไป

เหลือบมองหน้าพี่ชาย เห็นสีหน้าของเขา  ท่าทางของเขาก็นึกสงสารจับใจ  มากพอๆกับที่สงสารตัวเอง...พี่เตคงจะผิดหวังในตัวเธอมาก

          “พี่เต...”  พูดไม่ออก  ก้อนสะอื้นแล่นมาจุกที่ลำคอ  เธอเงยหน้าขึ้นมอง  เห็นแววหม่นเศร้าในดวงตาเรียวยาวสีดำสนิทคู่นั้น  แววคุกกรุ่นเริ่มจางลงไปแล้ว  แทนที่ด้วยแววอะไรอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นในยามที่หนาวเหน็บเหลือเกิน  เธอรับรู้ได้ว่า  อย่างน้อยในวันที่ไม่มีใคร  ก็จะยังมีผู้ชายคนนี้พร้อมเคียงข้างเธออยู่

          เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาให้เธอที่ผิวแก้มช้าๆ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้น้ำตาของเธอไหลออกมามากกว่าเดิม

          “ไม่เป็นไร  เรื่องมันเกิดไปแล้ว  หาทางแก้ดีกว่า”  เสียงพี่เตขาดเป็นห้วงๆ  เหมือนคนที่เหนื่อยเกินกว่าจะเปล่งเสียงออกมา   เขาลูบหลังไหล่ของเธอเบาๆ

          ติณธรนึกอะไรไม่ออก  ครั้นจะปลอบใจน้องสาว  ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี  เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนน็อคแบบไม่ทันตั้งตัว  รู้อยู่ว่าพักนี้น้องสาวกลับบ้านไม่ตรงเวลา  มีท่าทางแปลกๆไป  ทว่าไม่เคยนึกเลยว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้  พอคิดจะตักเตือนก็สายไปเสียแล้ว

          เขาเป็นพี่ชายที่ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ  น้องสาวคนเดียวยังดูแลไม่ได้...

          “แล้วเธอคิดจะทำอย่างไรต่อ   จะเอาออก...”

          “ไม่ค่ะ   ตังไม่กล้า”  เด็กสาวรีบพูดออกมา   เห็นพี่ชายถอนหายใจยาวเหยียด

          “ถ้าอย่างนั้น  เรื่องมันจะยากขึ้นนะ  ตังยังเรียนไม่จบเลยนะ  อีกตั้งหลายเดือน...”  ปัญหาที่จะตามมายาวเป็นหางว่าว  เตเป็นห่วงอนาคตของน้องสาวมากกว่าสิ่งอื่นใด   ถ้าข้าวตังต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน  ก็เท่ากับว่าเธอมีวุฒิแค่มัธยมต้นเท่านั้น

          “ตัง...ไม่รู้จะทำยังไง”  น้องสาวยกมือขึ้นปิดใบหน้า

          “พี่ก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน  ตัง...ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนก็แล้วกันนะน้อง   ขอพี่คิดก่อน”   พี่ชายลุกขึ้นยืน  เบือนหน้าหนีภาพเด็กสาวที่สร้างเรื่องให้แก่เขาไม่รู้จบ  วูบหนึ่งที่เขารู้สึกโกรธน้องขึ้นมา

          ....ทำไมจะต้องทำตัวมีปัญหาด้วยนะ  เด็กคนอื่นที่เขากำพร้าก็ไม่เห็นจะมีปัญหาแบบนี้เลย....มองเห็นภาพตัวเองในอดีตเมื่อหลายปีก่อน   ตอนที่เขารู้ว่าตัวเองกลายเป็นเด็กกำพร้า  แทบจะเรียกได้ว่าเหลือตัวคนเดียว หัวเดียวกระเทียมลีบ  ถ้าไม่ได้คุณป้าคุณลุงให้มาอยู่ด้วย   เขาก็คงเคว้งยิ่งกว่านี้  บางทีอาจจะกลายเป็นคนเข็นผักอยู่ในตลาดไปแล้วก็ได้  พอคิดมาถึงตรงนี้ บุญคุณของผู้ใหญ่ทั้งคู่ก็ทำให้เขาสำนึกได้

 ถึงจะไม่ได้สะดวกสบายใจเหมือนอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ  แต่พวกท่านก็ดูแลส่งเสียเลี้ยงดูหลานกำพร้าอย่างดีที่สุดแล้ว  ได้เรียนต่อมาจนจะจบมหาวิทยาลัยเข้าปีนี้   เขาก็ควรจะนึกถึงบุญคุณของท่านทั้งสองเอาไว้ให้มาก....

          เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ  เตยังคิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดีกับน้องสาวกับชีวิตน้อยๆในครรภ์ของเธอ   เขาจับเข่าคุยกับก้องเรียบร้อยแล้ว  มั่นใจว่าไม่ใช่ฝีมือของหมอนั่นแน่  ผู้ชายอีกคนที่ป้วนเปี้ยนใกล้ชิดข้าวตังที่เขานึกออก   คนเดียวที่หลบลี้หนีหน้าเขาไป  คนไว้ใจที่เขาไม่อยากเชื่อ   แต่มันก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะใช่   เขาสืบข่าวไอ้หมอนั่นจากเพื่อนๆหลายคน  จนสุดท้ายก็หมดหวังจะตามตัวกลับมารับผิดชอบน้องสาวของตน  เพราะมันเผ่นไปไกลลิบ  อีกซีกโลกหนึ่งแล้ว

          ตั้งเตเครียดจนไม่เป็นอันทำอะไร  เช่นเดียวกับน้องสาว  เธอหยุดเรียนไปหลายวันเพราะเริ่มมีอาการแพ้ท้อง  เด็กสาวทรมานกับการตื่นขึ้นมาอาเจียน วิงเวียนศีรษะ ทำอะไรก็ไม่คล่องแคล่วเหมือนเดิม   บวกกับความทุกข์ในใจ ยิ่งทำให้เธอกลายเป็นคนเก็บตัวเงียบ  ไม่เหลือเค้าเด็กสาวน่ารักสดใสช่างพูดช่างเจรจาคนเดิม

          “ตัง  พี่มาลองคิดดูแล้ว....พี่รู้ว่ามันยากที่จะต้องทำแบบนั้น  แต่มันเป็นทางเดียวที่ดีที่สุดในตอนนี้นะตัง   ถึงการมีลูกจะไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ว่า...” เขาตัดสินใจพูดขึ้นบนโต๊ะอาหารในเย็นวันหนึ่ง   เด็กสาวก้มหน้าไม่สบตาเขา   พูดสวนขึ้นมาทันควัน

          “ตังตัดสินใจแล้วค่ะพี่เต”   เธอเงยหน้าขึ้น  แววตามีประกายเด็ดเดี่ยว  “ตังจะเอาลูกออกค่ะ”  เธอพูดเสียงเรียบไร้อารมณ์   คนฟังอึ้ง มองหน้าเธอไม่อยากเชื่อหู

          “ตังคิดดีแล้วค่ะพี่  ถ้าตังยังเก็บเด็กคนนี้เอาไว้ ก็รังแต่จะสร้างปัญหา  ตังอยากจบปัญหานี้ค่ะ”

          “จะบ้าเหรอมาตัง   เธอรู้มั้ยว่าทำแท้งมันอันตรายมากแค่ไหน  แล้วนี่ก็ลูกแท้ๆของเธอนะ  หลานของฉันด้วย”  เตตวัดเสียงด้วยความฉุนเฉียว  อารมณ์ของเขาเหมือนเส้นด้ายที่ขึงตึง  ถึงตอนแรกเขาจะเห็นด้วยกับวิธีแก้ปัญหาของข้าวตัง   แต่เอาเข้าจริง  เขาก็ทำใจไม่ได้ถ้าจะยอมให้น้องสาวทำแท้ง

          มันคงจะกลายเป็นตราบาปของหญิงสาวไปชั่วชีวิต  และกลายเป็นบาดแผลในใจของเขาด้วย

          “แล้วพี่เตจะให้ตังทำยังไง  ตังไม่อยากอุ้มท้องแล้ว  ตังทรมาน   ตังอยากกลับไปเจอเพื่อน   อยากกลับไปเรียนหนังสือ   พี่ไม่สงสารตังบ้างเหรอ”  เด็กสาววางช้อนส้อม  ร้องไห้ออกมา

          “สงสารสิ  พี่ถึงไม่อยากให้ตังตัดสินใจฆ่าเด็กคนนี้ตั้งแต่อยู่ในท้องไง  เพราะพี่รู้ว่าอีกหน่อยตังอาจจะต้องเสียใจมากกว่านี้อีก   ทำไมพี่จะไม่อยากให้ตังกลับไปเรียน   ถ้าพี่ทำได้พี่อยากเอาเด็กคนนี้ออกมาเองด้วยซ้ำ  แต่นี่พี่ทำไม่ลง  ยังไงมันก็มาเกิดแล้ว  มีชีวิตแล้ว   ตังทำใจได้เหรอ   พี่ทำไม่ได้หรอก”

          “แต่ตังไม่อยากให้ใครรู้ว่าตังท้องไม่มีพ่อ  ตังเกลียดตัวเอง  ตังไม่อยากเป็นแบบนั้น  ฮือ  พี่เต”   เด็กสาวทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น  ซบใบหน้าลงร้องไห้กับตักของเขา   ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มสลวยของน้องสาวแผ่วเบา   ทอดสายตามองไปเบื้องหน้าอย่างใจลอย

          ….เขาคงปล่อยให้ใครมาเรียกน้องสาวว่าท้องไม่มีพ่อไม่ได้หรอก  แต่จะทำอย่างไรดีล่ะ  จะหาใครมาเป็นพ่อของเด็กในท้องของเธอได้   ไหนจะเรื่องการเรียนของเธออีก  คงจะต้องดรอปเอาไว้ก่อน   รอให้คลอดแล้วค่อยว่ากันว่าจะเอาอย่างไรดี  ยังไงก็คงต้องเก็บเด็กคนนี้เอาไว้   เขาไม่ใจไม้ไส้ระกำพอที่จะกำจัดมารหัวขนตัวนี้ทิ้ง....ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับอีก 7 เดือนสินะ....ส่วนเรื่องพี่ดิม

          ‘อีกสองเดือนก็เรียนจบแล้ว...เราแต่งงานกันนะเต’

          พี่ดิมจะต้องเข้าใจถ้าเขาอธิบายให้ฟัง   พี่ดิมจะต้องรอได้   รอกันมาตั้งหลายปี  เพิ่มอีกแค่ไม่กี่เดือนทำไมจะรอไม่ได้...

          “ตัง  ใจเย็นๆก่อนนะค่อยๆคิด  พี่รู้ว่าตอนนี้น้องกำลังเสียใจ  กำลังเครียด  ก็เลยตัดสินใจแบบนั้น  น้องลองค่อยๆคิดทบทวนดูให้ดีนะ   อย่างน้อยเขาก็มาเกิดในท้องของเราแล้ว  แปลว่ามีบุญร่วมกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  ถ้าน้องทำลายชีวิตของเขา ก็เท่ากับน้องฆ่าคนตาย  บาปกรรมจะติดตัวน้องไปภายหน้า  แล้วเชื่อพี่สิ น้องจะไม่มีวันมีความสุขหรอก”   เตพูดเสียงอ่อน   อีกฝ่ายสั่นศีรษะกับตักของเขาแรงๆ

          “เด็กคนนี้คือความผิดพลาดของตัง  ตังไม่อยากเลี้ยงมัน  ไม่อยากเห็นหน้ามัน  ตังไม่ต้องการมันหรอก  ถ้าพี่ไม่เห็นด้วย  ตังก็จะจัดการเอง”

          “อย่านะ!!”  คนฟังตกใจ “อย่าทำอะไรที่จะเสียใจภายหลัง  เธอทำพลาดมาครั้งหนึ่งแล้ว  อย่าทำผิดครั้งที่สองเลยนะ   ถือซะว่าพี่ขอร้อง”   น้องสาวไม่ตอบ  เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบเดียวก็เมินหลบ  ลุกขึ้นจากพื้น เดินไปเก็บจานข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะไปล้าง

          เตมองตาม  รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี  ไม่อยากปล่อยเธอเอาไว้คนเดียวเลย   จะทำอย่างไรดี   พรุ่งนี้ก็มีสอบสำคัญแต่เช้าเสียด้วย  ครั้นจะปล่อยเธอเอาไว้คนเดียว...

          “ตัง  พรุ่งนี้ถ้าไปโรงเรียนไม่ไหว  ไปมหาวิทยาลัยกับพี่มั้ย  พี่มีสอบตัวสุดท้ายแล้ว  สอบเสร็จได้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน  เปลี่ยนบรรยากาศดีไหม”  เขาพยายามพูดอย่างร่าเริง  ในใจก็คิดอย่างรวดเร็วว่าจะหาทางพาน้องสาวไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลอย่างไรดี

          “ตังขออยู่บ้านดีกว่าค่ะ  เหนื่อยๆไม่อยากไหน” เด็กสาวบอกสั้นๆ  ทำธุระเสร็จก็เดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนเงียบๆ

          เตกลุ้มใจ   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากโทรศัพท์ห้องพัก  เขาเดินไปรับ   เสียงนุ่มที่ดังมาตามสายทำให้ใจชื้นขึ้นมาก  เขาคิดถึงคนปลายสายมากแค่ไหน  รูปพี่ดิมในกระเป๋าสตางค์คงจะเป็นพยานได้ดี

          “พี่ดิม  สวัสดีครับ”

          “เต  เป็นอะไรไปเสียงเหนื่อยจัง”  ปลายสายทัก  เขาขยับจะเล่าเรื่องให้อีกฝ่ายฟัง  แต่ฝ่ายนั้นรีบพูดมาก่อนโดยไม่รอคำตอบของเขา

          “เตรู้มั้ย   พี่จะโทรมาบอกว่าพี่เลือกจังหวัดที่จะไปใช้ทุนได้แล้วนะ  พี่ไปสืบจากรุ่นพี่มาแล้ว  เค้าบอกว่าจังหวัดแพร่ดี น่าอยู่  พี่ก็ว่าน่าสนใจมาก  เมืองน่าอยู่มากเลยนะ  รับรองว่านายจะต้องชอบ  พี่เคยไปเที่ยวสองสามครั้งสมัยเรียน....หวังว่าวันจับฉลากจะไม่มีคนเเย่งกันเยอะนะ  เตว่าไง ไม่อยากไปเหรอ?”   เตรู้สึกตัว จึงรีบกรอกเสียงลงไป

          “อยากสิพี่  เตชอบอยู่แล้วล่ะ”

          “ใช่มั้ยล่ะ   พี่ก็ว่าเตต้องชอบภาคเหนือ   เต...พรุ่งนี้นายสอบตัวสุดท้ายแล้วใช่มั้ย  แปลว่าจะจบแล้วสิ  รอพี่อีกสองเดือน  ไม่สิ อีกเดือนนิดๆ แล้วเราจะไปอยู่โน่นด้วยกันนะ”

          “อืม…พี่ดิม   ผมมีเรื่องจะบอก...”

          “อะไร  เรื่องที่นายได้เกียรตินิยมเหรอ  พี่รู้มาตั้งแต่ปีหนึ่งแล้วว่านายต้องได้  ฮ่าๆ  เก่งมากเลยล่ะ  นี่พี่แอบแวบออกมาโทร  เดี๋ยวต้องกลับไปอยู่เวรแล้ว   ไม่ได้นอนมาสองวันล่ะ  แต่นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ  พี่ยังไหวอยู่”  พี่ดิมรีบพูดต่อ คงกลัวว่าเขาจะเป็นห่วง

          คนฟังกลืนน้ำลายคงคอฝืดๆ  รู้ว่าอีกฝ่ายงานยุ่งจนไม่มีเวลา  แถมงานก็เครียดมาก  จำเป็นหรือที่เขาจะต้องเอาเรื่องยุ่งยากไปใส่สมองของอีกฝ่ายอีก

          ยังก่อน  ยังรอก่อนได้  ถึงตอนนั้นอะไรๆก็คงจะดีขึ้นแล้วล่ะ  บางทีเขาอาจจะพาข้าวตังไปอยู่ที่แพร่ด้วย  ที่นั่นอากาศดี  คงจะดีต่อเด็กในท้อง

          “ดีแล้วล่ะ  สู้ๆนะพี่ รักพี่นะครับ”  เขารู้ว่าอีกฝ่ายคงกำลังยิ้มหน้าบานอยู่แน่ๆ

          “รักน้องเตเหมือนกันครับ  บายก่อนนะ”  พี่ดิมพูดกลั้วหัวเราะแล้ววางสายไป  เขายิ้มออกมาได้ในรอบหลายวัน   อะไรๆคงจะค่อยๆดีขึ้นเองนั่นแหละนะ

          เตไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิด



                         ***************************




          ติณธรยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยสวยของเด็กน้อยที่นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงเสริม  กระตุกยิ้มนิดๆเมื่อเจ้าหนูยกมือขึ้นคล้ายบิดขี้เกียจแล้วหลับต่ออย่างสบาย   เขารู้สึกตึงๆที่มุมปากคล้ายกล้ามเนื้อที่ใช้ในการยิ้มมันบังคับยากขึ้นทุกที  นี่เขาไม่ได้ยิ้มมานานเท่าไหร่แล้วนะ  กี่วัน กี่เดือน  หรือว่ากี่ปีกันแน่

            ถอนหายใจยาว   เป็นอีกคืนที่เขาหลับไม่ลงเช่นเคย   เวลาช่างผ่านไปช้านัก  ทำอย่างไรถึงจะเร่งวันเร่งคืนให้ผ่านไปเร็วๆได้

            แต่จะเร่งไปทำไมล่ะ  ในเมื่อเขาไม่เหลืออะไรให้หวังอีกแล้ว  ไม่เหลือเลยจริงๆ  แม้แต่จิตวิญญาณของตัวเองก็คล้ายถูกความเศร้าหมองกัดกินไปทีละนิดจนเกือบหมด  เหมือนเขาสูญเสียความเป็นตัวเองไป...ชายหนุ่มปิดประตูห้องพักอย่างแผ่วเบา  เขาเดินออกมาตามทางเดิน   บรรยากาศภายในโรงพยาบาลยามค่ำคืนไม่พลุกพล่านไปด้วยผู้คนเหมือนเช่นตอนกลางวัน   หากแต่เงียบสงัด   แสงไฟสว่างนวลที่บริเวณเคาท์เตอร์พยาบาลส่องให้เห็นนางพยาบาลสองคนนั่งเท้าคางอย่างเงียบเหงา

            เป็นคืนที่เปล่าเปลี่ยวจริงๆ

            เขาเดินไปหยุดยืนที่หน้าต่างกระจกบานใหญ่สุดระเบียงอีกด้านหนึ่งของห้องพักผู้ป่วย  กระจกใสสะท้อนเห็นแสงไฟวิบวับเบื้องล่างจากอาคารบ้านเรือนและเสาไฟฟ้า   อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้าวันใหม่แล้ว  ถนนข้างล่างก็จะกลับมาเต็มแน่นด้วยรถราอีกครั้ง

            ทุกคนล้วนแต่มีจุดหมายในการเดินทาง  บางคนไปทำงาน  บางคนไปเรียน  หลายคนก็กำลังค้นคว้าหาคำตอบของชีวิต  ว่าตนเองเกิดมาเพื่ออะไร  หรือเพื่อใคร

            บางทีเขาน่าจะรู้แล้วตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน  ว่าเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อใครคนนั้น   หากแต่เกิดมาเพื่อดูแลผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กผู้ชายคนหนึ่งตะหาก 

            ควรถึงเวลาที่เขาควรจะตัดใจอย่างจริงๆจังๆเสียที   น่าแปลกที่เขาไม่โกรธอีกฝ่ายเลยสักนิด  ทั้งๆที่ถูกทำร้ายจิตใจแบบนั้น  หรือว่าหัวใจของเขามันด้านชาจนไม่เหลือความรู้สึกแล้ว 

            เงาของใครบางคนปรากฎขึ้นในกระจก  เค้าเข้ามาหยุดยืนเยื้องอยู่ข้างหลัง   ไม่ใกล้แต่ก็ไม่ห่างเกินไปจนมองไม่เห็นแววตาคมคู่นั้น 

            เราสบตากันผ่านเงาสะท้อนในกระจก 

            ผู้ชายคนนั้นเป็นฝ่ายหลบตาเขาก่อน   

...


มาต่อจนจบตอนแล้วค่่าาาา
หายไปเดือนกว่าๆ ติดธุระยุ่งเหยิงมากเลย
ยังจำเรื่องนี้กันได้อยู่มั้ย อิอิ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ  ต่อไปนี้จะกลับมาอัพแล้วนะ
สำหรับคนเล่นทวิต #ดิมเต นะคะ   :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 24-04-2017 22:16:21
รอๆๆๆๆๆๆ :mew2: :L2: :เฮ้อ: :sad4:
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 24-04-2017 22:21:16
รางรถไฟจะไม่มาบรรจบกัน
เปรียบเมือนดิมกับเต
ความรักดั่งเส้นขนาน
หุหุ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 24-04-2017 23:33:10
ดีใจมาก คิดว่าจะไม่มาต่อแล้ว ได้อ่านแล้วสบายใจ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 25-04-2017 00:15:42
พี่ดิมกับเตจะเข้าใจกันแล้วซินะ.

แต่เรื่องราวที่ผ่านมา จะก้าวข้ามไปในอนาคตด้วยกันยังไง

ตอนนี้หน่วงจริง แต่จริงๆก้อหน่วงมาเกือบทั้งเรื่องละนะ. ฮืออออ

 :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:  :ling3:

....
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...หน่วง]ตอนที่21 24/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: manamon ที่ 25-04-2017 02:56:20
โอยยย น้ำตาแตกแล้วแตกอีก  :hao5:
เดาทางต่อไม่ถูกเลย :katai1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 27-04-2017 11:10:30
เพราะหัวใจบอกว่า...ตัด



 





            “ข้าวตัง  พี่กลับมาแล้ว  ไปหาอะไรกินกัน”  ห้องพักเงียบผิดปกติ  ไฟกลางห้องถูกเปิดทิ้งเอาไว้  ตั้งเตขมวดคิ้ว  เดินเข้าไปดูในห้องนอนและห้องน้ำ  ทว่าไม่เห็นน้องสาวแม้แต่เงา

          ตังไปไหน?

          กระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆแปะอยู่ที่ตู้เย็น  ลายมือของน้องสาวเขียนเอาไว้เป็นระเบียบ

          ‘ตังไปเดินเล่น  กลับเย็นๆ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ’

          ไปเดินเล่น?  ทำไมไม่รอเขาก่อนนะ  กำลังท้องกำลังไส้ไปคนเดียว เกิดเป็นลมหน้ามืด หรือหกล้มขึ้นมาจะทำยังไง  พี่ชายบ่นพึมพำ

เมื่อสองอาทิตย์ก่อนกว่าเขาจะหาทางหว่านล้อม ทั้งขู่ทั้งปลอบพาเธอไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลได้สำเร็จ  ก็เหนื่อยแทบจะลมจับราวกับจะเป็นคนท้องเสียเอง  โชคดีที่ผลตรวจออกมาปกติดีทุกอย่าง  แต่ยังไม่รู้ว่าเจ้าหลานในท้องของน้องสาวเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย เพราะอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป

หมอบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญ ต้องดูแลมารดาให้ดี  เตก็เลยไปซื้อหนังสือการปฏิบัติตัวสำหรับว่าที่คุณแม่มานั่งอ่านเองเสียยกใหญ่  และก็ขนซื้ออาหารมาบำรุงน้องสาวอย่างดี  ถึงว่าที่คุณแม่ตัวจริงจะไม่ค่อยกระตือรือร้นเรื่องนี้นักก็เถอะ   ฮึ...คิดแล้วก็หงุดหงิด

เขาตัดสินใจเดินลงมาซื้อข้าวเย็นที่ร้านอาหารตามสั่งใต้หอพักก่อน  ระหว่างนั่งรอป้าผัดก๋วยเตี๋ยว สายตาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาววัยกลางคน แต่งกายดีเดินเข้ามาหยุดยืนมองรอบหอพัก   คล้ายสำรวจบางอย่าง  จากนั้นเธอก็เดินตรงเข้าไปติดต่อที่ป้าแม่บ้านเฝ้าหอพัก

เตขมวดคิ้วอย่างฉงน เมื่อเห็นป้าแม่บ้านชี้มือมาที่เขาพร้อมกับเธอผู้นั้นมองตามมา  เขาหันไปรับก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊วและจ่ายตังค์  พอดีกับที่สาวใหญ่คนนั้นเดินมาหยุดตรงหน้าเขาพอดี

“สวัสดีจ้ะ   เธอชื่อเต...ติณธร   ใช่ไหมจ้ะ”  เค้าหน้าของเธอดูคุ้นตาอย่างประหลาด  ราวกับเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่คิดไม่ออก...ชายหนุ่มยกมือขึ้นไหว้

“สวัสดีครับ  เอ่อ...”

“ฉันเป็นแม่ของตาดิมจ้ะ  พอดีดิมเล่าเรื่องเธอให้ฟังบ่อยๆ  ฉันก็เลยอยากทำความรู้จักน่ะ   สะดวกหรือเปล่าจ้ะ”  สายตาของเธอเหลือบมองห่อก๋วยเตี๋ยวในมือแวบหนึ่ง เตรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบใจบางอย่างในแววตาคู่นั้น

“ยินดีครับ คุณ...ง่า..คุณป้า” เตไม่กล้าเรียกคุณแม่  เพราะเจ้าตัวก็ไม่ยอมเรียกแทนตัวเองว่า ‘แม่’ เลยสักคำ  เขาเชิญมารดาของคนรักไปนั่งคุยกันที่มุมรับแขกที่อยู่มุมหนึ่งของอาคาร   บรรยากาศค่อนข้างเงียบเป็นส่วนตัว แต่เขากลับรู้สึกอึดอัด

สีหน้าของอีกฝ่ายแม้จะยิ้มแย้ม ดูใจดี  ทว่าแววตาคมกริบคู่นั้นกลับไม่ยิ้มตามไปด้วยเลย   เธอดูไม่เหมือนแม่พี่ดิมในความคิดของเขาที่เคยจินตนาการเอาไว้จากคำบอกเล่าของฝ่ายนั้นเลยสักนิด  ท่าทางภูมิฐาน  ไว้ตัวน้อยๆ นั่น....ตลอด 4 ปีที่คบกันมา  พี่ดิมไม่เคยพาเขาไปเจอหน้าครอบครัวของเค้าเลย   นี่เป็นครั้งแรก...หรือว่าครั้งนี้เขาจะทำผิดอะไรเอาไว้  แม่พี่ดิมเลยอยากเรียกมาคุย...แค่คิดก็เริ่มใจไม่ดี

“ขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้บอกก่อนว่าจะมา”  แขกผู้มาเยือนพูดยิ้มๆ ...ทำไมเตกลับมั่นใจว่าเธอจงใจทีเดียวที่จะมากะทันหัน  ไม่ให้เขาได้ตั้งตัวแบบนี้   “ได้ข่าวว่าเธอสอบเสร็จแล้ว  แปลว่าเรียนจบแล้วล่ะซี  ใช่ไหมจ้ะ”  เธอถามต่อ

“ครับ”  เตรับคำสั้นๆ

“เก่งมากเลยจ้ะ  ได้ข่าวว่าเกียรตินิยมด้วยใช่ไหม  เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อจ้ะ  ทำงานเลยหรือว่าเรียนต่อ”  คนฟังอึ้งไปนิด   ทำไมแม่ของคนรักถึงถามเช่นนี้   หรือว่าเธอจะยังไม่รู้แพลนที่พี่ดิมวางเอาไว้สำหรับเราสองคนกันนะ...จริงสิ  ก็พี่ยังไม่เคยพาเราไปเปิดตัวกับผู้ใหญ่เลยนี่นา  บางทีพี่ดิมอาจจะยังไม่ได้บอก..

“เอ้อ  ยังไม่ทราบเลยครับ  เพราะพี่ดิมบอกว่าอยากไปจังหวัดแพร่  อาจจะต้องรอดูทางโน้นก่อน”  เขาลองตอบอ้อมๆ

“อ้อ  เธอก็จะย้ายไปแพร่เหมือนกันเหรอ  ไม่เห็นดิมบอกแม่เลย”  เธอทำหน้าประหลาดใจ  คนฟังอึ้งไปอีกครั้ง  แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า...เอาน่า  พี่ดิมอาจจะยังไม่ได้บอกไง  คงยุ่งๆ...

“ครับ  ง่า...” คิดอะไรไม่ออกก็เลยหยุดเอาไว้แค่นั้น

“แล้วเธออยากจะทำอะไรหรือ   รับราชการครูหรือเปล่า”  เตรับคำเบาๆ  เธอพยักหน้า  “ก็ดีนะ  เป็นอาชีพที่ดีและมีเกียรติ  เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ  จังหวัดแพร่ก็น่าอยู่มาก”  เธอหยุดนิดหนึ่ง  มองหน้าเขา  เตรู้สึกได้ว่าเธอกำลังจะเข้าสู่จุดหมายหลักที่มาหาเขาในวันนี้แล้ว

“เสียดายที่ดิมคงไม่ได้ไปใช้ทุนที่นั่นแล้วล่ะ  เพราะอาจารย์เขาขอตัวเอาไว้  เขาอยากให้สอบทุนไปเรียนต่อต่างประเทศจะได้กลับมาเป็นอาจารย์แพทย์ต่อ”  มารดาของดิมพูดเสียงเรียบเรื่อย  “ดิมอาจจะยังไม่ได้บอกเธอ  เพราะเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้  ก็แปลกดีนะ โอกาสมารออยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆกลับไม่รีบคว้าเอาไว้  ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเค้าคิดอะไรอยู่   ไหนๆเธอก็สนิทกับเค้ามาก  พอรู้มั้ยว่าเพราะอะไร ดิมถึงไม่ยอมไป”   เธอวกกลับมาถามหน้าตาเฉย

คนฟังพูดไม่ออก   เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วถึงจุดประสงค์ที่มารดาของอีกฝ่ายอุตส่าห์มาหา   เธอไม่ยอมรับความสัมพันธ์ฉันคนรักระหว่างเขากับพี่ดิมด้วยซ้ำ....สนิทกันมากงั้นหรือ?  หึ

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ  พี่ดิมไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง”

“อืม  ฉันก็คิดว่าอย่างนั้นล่ะ....ถ้าอย่างนั้นฉันฝากเธอลองคุยกับเค้าหน่อยสิ  เผื่อว่าเค้าจะเปลี่ยนใจบ้าง   เธอก็คงอยากเห็นอนาคตของเค้าไปได้ไกลกว่านี้เหมือนกับฉันใช่มั้ยล่ะ”

ติณธรรู้ว่าตัวเองควรจะตอบว่าอย่างไร  แต่ไม่รู้ว่าได้ตอบออกไปหรือเปล่า  ความรู้สึกร้อนวูบวาบสลับกับเย็นเยียบแล่นพล่านไปทั่วตัว  สมองมึนชา  จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าได้ร่ำลาและแยกกับมารดาของพี่ดิมตั้งแต่เมื่อไหร่   รู้ตัวอีกทีเขาก็นั่งอยู่บนเตียงภายในห้องพักของตัวเอง

มือกำห่อก๋วยเตี๋ยวที่เย็นชืดแน่น  หายใจเข้าออกช้าๆ  พยายามสงบอารมณ์  ความรู้สึกจุกแน่นในอกตีขึ้นมาเป็นระลอกจนอยากอาเจียน

สิ่งที่แม่พี่ดิมพูดมา   มีความหมายเดียวเท่านั้น   ชัดเจนแจ่มแจ้งเสียจนเด็กสามขวบก็เข้าใจ  แม่เค้าไม่ยอมรับเขาในฐานะแฟนของลูกชายยังไม่พอ  ยังต้องการจับแยกกันอีก

พี่ดิมรู้หรือเปล่า  เขาควรโทรบอกอีกฝ่ายเรื่องนี้มั้ย   หรือว่าโน้มน้าวให้พี่เค้าไปเรียนต่างประเทศตามที่แม่เจ้าตัว ‘ฝาก’ เอาไว้ดี 

แล้วเขาล่ะ   แล้วเรื่องของเราล่ะ  หรือว่าเขาควรจะย้ายตามไปต่างประเทศด้วย?  หรือทำตามแพลนเดิม ไปใช้ทุนที่แพร่ด้วยกัน  ถ้าเป็นแบบนั้น  เขาจะเป็นตัวถ่วงอนาคตของพี่ดิมหรือเปล่า?  พี่ดิมจะอดไปเรียนต่อ  อดเป็นอาจารย์แพทย์เพราะเขางั้นหรือ?

ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดอยู่ในท่าเดิมจนกระทั่งน้องสาวกลับมา  เธอเปิดประตูเข้ามาเห็นพี่ชายนั่งหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมอยู่ริมขอบเตียงก็ตกใจ

“พี่เต  ตังกลับมาแล้วค่ะ  พี่เป็นอะไร  จะเป็นลมหรอ  หรือเป็นเพราะว่าเป็นห่วงตัง  ตังขอโทษนะคะ พอดีตังเบื่อๆเลยออกไปเดินเล่น”  เธอกระวีกระวาดเข้ามาช่วยเขา  ดึงห่ออาหารออกไปจากมือ  ท่าทางพี่ชายของเธอดูตึงเครียดอย่างหนัก

“พี่ไม่ได้เป็นอะไร  ตังกลับมาก็ดีแล้ว  ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วล่ะ”   เขาพูดแล้วก็รีบลุกขึ้นเดินหายเข้าไปทางห้องครัว   หญิงสาวมองตามอย่างหนักใจ....หรือว่าพี่เตจะรู้?

ล้วงกระดาษเล็กๆที่มีที่อยู่ของสถานที่แห่งหนึ่งเขียนเอาไว้ขึ้นมาดู...วันนี้เธออุตส่าห์ลอบออกไปพบเพื่อนเก่าที่เธอรู้มาว่าเคยประสบปัญหาตั้งครรภ์ในวัยเรียนเช่นเดียวกันกับเธอมาก่อน   และเพื่อนที่แสนดีนั้นก็ได้ให้ทางออกที่ดีที่สุดนี้มาให้

‘แกไปได้เลย  ท้องอ่อนๆแบบนี้แปบเดียวก็เสร็จแล้ว  ไม่เจ็บ  ไม่อันตรายหรอก  ไม่งั้นชั้นก็ตายไปแล้วสิ’  เสียงแหลมใสของเธอคนนั้นยังก้องอยู่ในหู  ข้าวตังพับกระดาษใบเล็กที่ท่องข้อความในนั้นได้ขึ้นใจลงในกระเป๋าสตางค์   ลุกขึ้นเดินตามพี่ชายเข้าไปในครัว

“มีอะไรให้ตังช่วยมั้ยคะ”  เห็นเขากำลังเตรียมอาหารบำรุงครรภ์สำหรับเธออยู่ก็อาสาจะช่วย    เค้าหน้าพี่เตดูหมองๆชอบกล  แม้กระทั่งยามยิ้ม

“ไม่ต้องหรอก  เธอไปนั่งพักเถอะ  กลับมาเหนื่อยๆ  จะเสร็จแล้วล่ะ   คืนนี้อย่าลืมดื่มนมด้วยนะ  พี่ซื้อมาเพิ่มให้แล้ว”  เขาพูดเนือยๆ   แต่ท่าทางไม่ได้สงสัยอะไรที่เธอหายตัวไปวันนี้   คงจะเครียดเรื่องอื่นอยู่กระมัง   สาวน้อยค่อยเบาใจ  ถอยออกมาจากครัว   เดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร

เตมองตาม  ความจริงเขาอยากถามเธอเหมือนกันว่าวันนี้ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้าง   แต่ตอนนี้เขาไม่พร้อมจะรับฟังเรื่องอะไรของใครทั้งนั้น   แค่เรื่องของตัวเองยังดูท่าจะไม่รอดเลย...

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว   พี่ดิมโทรมาหาเขาวันเว้นวัน  แต่เขาก็ยังไม่มีโอกาสได้เปิดปากเล่าเรื่องที่มารดาของเค้ามาหา  พอจะพูดเรื่องนี้ทีไร  ความกระอักกระอวนใจแปลกๆก็ทำให้พูดไม่ออกทุกที  ยิ่งผ่านไปนานวันเข้าก็ยิ่งพูดยากขึ้นตามลำดับ   ส่วนพี่ดิมเองก็ไม่เคยเอ่ยปากพูดเรื่องทุนอาจารย์แพทย์เช่นกัน

          จริงๆแล้วเขายังคิดไม่ตกด้วยซ้ำว่าจะเอาอย่างไรดี   เขาก็ไม่อยากกลายเป็นตัวถ่วงอนาคตของใคร  ทว่าก็ไม่อยากเสียอีกฝ่ายไปเช่นกัน   ดูเหมือนว่าอย่างหลังจะมากกว่า

          “พี่เต  วันนี้ตังจะออกไปซื้ออาหารเองนะคะ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  หมอบอกว่าถ้าตังขยับตัวทำอะไรบ้างก็จะคลอดง่ายขึ้นค่ะ”   เด็กสาวรีบเสริมเมื่อเห็นพี่ชายอ้าปากจะค้าน

          “ก็ได้จ้ะ  ที่จริงรอพี่อีกนิดนึงไม่ได้เหรอ   พี่กำลังปั่นต้นฉบับอยู่ จะเสร็จแล้ว”  ตอนนี้เขารับงานเขียนคอลัมต์ให้นิตยสารเล่มหนึ่งอยู่   ที่ได้งานนี้ก็เพราะได้รุ่นพี่ช่วยหาให้เนื่องจากรู้ว่าเขากำลังมีปัญหาด้านการเงิน   อย่างน้อยก็เป็นรายได้เสริมอีกทาง  นอกเหนือจากการรับสอนพิเศษให้เด็กมัธยมทุกวัน

          ข้าวตังเข้ามากอดเขา แล้วเดินออกจากห้อง   เตส่ายศีรษะอย่างอ่อนใจ  แต่ก็โล่งใจ....น้องสาวของเขาดูสดชื่นขึ้นมาก  เธอดรอปเรียนเอาไว้ก่อนเนื่องจากปัญหาสุขภาพมาเกือบสองเดือนแล้ว  ตอนนี้เธอไม่ร้องไห้อีก  หันกลับมาดูแลสุขภาพของตัวเองและลูกในท้องตามที่พี่ชายบอกเป็นอย่างดี 

          เธอคงจะทำใจได้แล้ว....

          แต่เขานี่สิ...อาการหนักลงไปทุกวัน  ต้องตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายใจ  หันไปทางไหนก็ไม่รู้จะปรึกษาใครดี  เจ้กิ่งก็ไปทำงานต่างประเทศ ได้สามีเป็นฝรั่งอยู่สุขสบายไปแล้ว  เขาแทบนึกออกเลยว่าเธอจะพูดว่าอย่างไรถ้าเขาเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง

          ‘โอ๊ย  ไม่เห็นจะยากเลยเต  แกก็บินตามผัว  เอ๊ย ตามแฟนหมอของแกมานี่ด้วยเลยสิยะ  ดีออกอยู่นี่ได้ไม่ต้องมีแม่สามีมาคอยตามรังควาน’

          ใจหนึ่งก็อยากทำอย่างนั้นหรอกนะ  แต่อีกใจหนึ่งก็รู้ดีว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้  เขาไม่มีวันหักหาญน้ำใจมารดาของพี่ดิมได้   และเขาก็ไม่อยากให้พี่ดิมขัดใจแม่ด้วย

          เตจำได้ว่าตอนเด็กๆเคยดื้อกับพ่อแม่หลายครั้ง  ชอบขัดใจ  ทำตรงข้ามกับที่พ่อแม่ต้องการทุกอย่าง  ทว่าวันหนึ่ง  เมื่อเขาต้องสูญเสียท่านทั้งสองไปอย่างไม่มีทางหวนกลับ  สิ่งหนึ่งที่เขาอยากทำก็คืออยากขอโทษพ่อแม่สักครั้งที่เคยไม่เชื่อฟัง   แต่เขาก็ทำไม่ได้  ถึงอยากแก้ตัวแค่ไหน  โอกาสนั้นก็ได้หมดไปแล้ว 

          เตเลยไม่อยากให้พี่ดิมกับคุณแม่ต้องผิดใจกัน  ไม่อยากให้คนรักต้องพลาดโอกาสดีๆในชีวิตไป

          ยังไงวันนี้เราก็จะได้เจอหน้าพี่ดิมแล้ว  เห็นหน้ากันตรงๆคงดีกว่าพูดกันทางโทรศัพท์  จะได้ตกลงกันไปเลยว่าจะเอาอย่างไรดี  ไม่แน่พี่เค้าอาจมีทางออกระหว่างเราเอาไว้แล้วก็เป็นได้

          เตลุกขึ้นแต่งตัว  รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากกว่าทุกวัน  เสียงโทรศัพท์หอพักดังขึ้น  เขารีบเข้าไปรับ

          “คุณตั้งเตครับ  มีแขกมารอพบคร้าบ  เรียนเชิญลงมาเร็วๆ” เสียงคุ้นเคยแกมหัวเราะดังมาตามสาย  เตใจเต้นแรง

          “พี่ดิม!! ไหนว่ามาเย็นๆไงฮะ”

          “ก็คนมันคิดถึง ก็เลยรีบมาหา อิๆ  ลงมาเร็ว  หิวแล้ว”  พี่ดิมบ่นมาอีกสองสามคำ   เตรีบวางสาว หยิบกระเป๋า ปิดห้องพักอย่างรวดเร็ว  หัวใจพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาหลายเดือน

          กระโดดลงบันไดลงมาชั้นล่างก็เจอร่างสูงสมส่วนของคุณหมอหนุ่มยืนยิ้มรออยู่แล้ว  ใบหน้าของพี่ดิมอิ่มเอิบ เต็มไปด้วยความสุข   หัวเราะร่าเมื่อเห็นหน้าเขา   เรากอดกันแน่น

          “เต  พี่คิดถึงมากเลยรู้เปล่า  สองเดือนสุดท้ายนี่แทบตายเลย  อ้อ  พี่เรียนจบ เป็นคุณหมอเต็มตัวแล้วนะครับ”  พี่ดิมพูดความภาคภูมิใจ  คนฟังน้ำตาคลอ  พี่ดิมคงไม่รู้หรอกว่าเตดีใจมากแค่ไหนกับความสำเร็จของพี่

          “เอ้า  ร้องไห้ทำไม  เสียใจเหรอ”  อีกฝ่ายแกล้งเย้าเล่น  คนขี้แยยิ่งเบะปาก น้ำตาไหลออกมาเป็นทาง

          “ดีใจตะหาก”  เตยกมือขึ้นป้ายน้ำตา  พี่ดิมหัวเราะอีก  ยื่นหน้าเข้ามาจนชิด แตะริมฝีปากที่หางตาของคนในอ้อมแขนเร็วๆ

          “ชิมน้ำตาหน่อย  อืม  เค็มเหมือนเดิม  ยังงกไม่เปลี่ยนใช่มั้ยเราน่ะ”

          “ฮื้อ  อะไรเนี่ย คนตั้งเยอะแยะ   อย่านะ”  พูดไปงั้นเอง  พูดเสร็จก็แตะริมฝีปากของตัวเองเข้าที่ซีกแก้มเขียวครึ้มของอีกฝ่ายบ้าง

          “แน่ะ  ให้เอาคืนหลายฟอดๆก็ได้  พี่ไม่งกเหมือนเราหรอกน่า  ฮ่าๆ   ดูซิเนี่ย  ผอมลงไปตั้งเยอะ  ทำงานเก็บเงินสร้างเรือนหอ จะไปสู่ขอพี่หรอจ้ะ”  พี่ดิมกวาดสายตาสำรวจดูร่างโปร่งบางที่ยิ่งดูบางลงอีกจากคราวที่แล้วอีกรอบ    เขาขมวดคิ้วน้อยๆ  สังเกตเห็นความผิดปกติของเตได้ทันทีที่พบกัน

          “ใครว่า  ผมไม่ไปสู่ขอพี่หรอก”

          “ก็ถูกแฮะ  ต้องเป็นพี่ตะหากที่จะไปสู่ขอนาย  ฮ่าๆ  โอ้ย  ไม่ต้องเขินแล้วรุ่นนี้  พี่จีบมาหลายปี ยังไม่ชินอีกเหรอน้อง”  พี่ดิมวางมือลงบนศีรษะของเขาแล้วโยกเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว

          เราคุยกันอย่างสนุกสนาน  อีกฝ่ายโอบไหล่พาเขาพาไปเดินเที่ยว  หาอะไรอร่อยๆทานกัน   เตมีความสุขมากเสียจนไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆแบบนี้เลย 

          จนกระทั่งพี่ดิมเป็นฝ่ายเปิดประเด็นนั้นขึ้นมาเอง  ขณะที่เรากำลังนั่งเล่นอยู่ในสวนสาธารณะแห่งความหลัง  ที่ๆอีกฝ่ายเริ่มจีบเขาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก

          “เต...เรื่องไปใช้ทุนที่จังหวัดแพร่น่ะ  นายพร้อมแล้วใช่มั้ยที่จะไปกับพี่”  คุณหมอจบใหม่พูดอยู่ข้างหูของเขา

          “พี่ดิม  แล้วเรื่องทุนอาจารย์แพทย์..”  เขาพูดเบาๆ

          “นายไปรู้มาจากไหน”  คนฟังขยับตัวทันที   มองหน้าเขาอย่างฉงนปนค้นคว้า

          “ง่า...ได้ยินมา  พี่ดิมไม่สนใจเหรอ”   เขาถามลองเชิงดูก่อน   อีกฝ่ายหลบตาเขาแล้วตอบกลับมาห้วนกว่าทุกครั้ง

          “ไม่สนใจ  พี่อยากไปใช้ทุนต่างจังหวัดมากกว่า”   ท่าทางของพี่ดิมทำให้เขาใจแป้ว  เขารู้จักอีกฝ่ายมาหลายปี ทำไมจะดูไม่ออกว่าเค้ากำลังพยายามโกหกเขาอยู่ 

          “ทำไมพี่ไม่อยากเป็นอาจารย์ล่ะ  เตว่าน่าสนใจออกนะ”

          “ไม่อยากเป็นก็คือไม่อยาก   นายอยากให้พี่เป็นมากนักเหรอ  อาจารย์แพทย์น่ะ”    พี่ดิมถาม  บรรยากาศชักจะตึงเครียดขึ้นมาจนเตใจไม่ดี   ก็เลยฝืนหัวเราะออกไปเบาๆ

          “หึๆ  ก็เท่ดีออกนา  อยากก็อยากหรอก  แต่อยากให้พี่ดิมอยู่กับเตมากกว่า”  พูดแค่นี้ พี่ดิมก็ท่าทางอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด  โอบเขาเข้าหาตัวเหมือนเดิม

          “เรียนต่อน่ะไปเมื่อไหร่ก็ได้  อีกหน่อยเราไปด้วยกันก็ยังได้  แต่พี่ยังไม่อยากไปตอนนี้  รอให้อะไรๆมัน...มั่นคงกว่านี้ก่อน” เสียงพี่ดิมสะดุดนิดหนึ่งแทบไม่สังเกต   เขาพยักหน้ารับ   ความกังวลที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ลดน้อยลงอย่างน่าประหลาดใจ  เพียงแค่คำพูดหนักแน่นของอีกฝ่ายเท่านั้น

          “เตไม่ต้องคิดมากนะ   อ้อ  พรุ่งนี้แต่งตัวหล่อๆนะครับ  พี่จะพาไปพบคนสำคัญของพี่”  พี่ดิมเอ่ยยิ้มๆอย่างมีเลศนัย   เตรู้ทันทีด้วยสัญชาตญาณว่าใครคือคนที่อีกฝ่ายต้องการจะพาเขาไปพบ

          ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น  เพราะรู้ดีว่านี่หมายความว่าอย่างไร ขณะเดียวกันความไม่สบายใจก็โถมเข้ามาจนบดบังความตื่นเต้นดีใจเสียหมด   โชคดีที่พี่ดิมไม่สังเกตเห็น

          กว่าจะแยกกับคนรักก็ดึกมากแล้ว  เตเดินกลับขึ้นหอพักอย่างเหนื่อยอ่อน  พรุ่งนี้เขาจะต้องไปพบกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว  คนที่เขารู้ดีว่าไม่ยินดีสักนิดที่จะให้คบกับลูกชายของเธอ

          เปิดประตูเข้ามาภายในห้องพัก  เห็นเงาตะคุ่มๆอยู่บนเตียง  คงเป็นข้าวตังที่เข้านอนนานแล้ว  ชายหนุ่มลดเสียงฝีเท้าลง กลัวน้องสาวตื่น   อาศัยความเคยชินคลำทางเดินไปห้องน้ำอย่างแม่นยำ  เขาจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยก็ออกมาล้มตัวลงนอนที่พื้นหน้าเตียงของน้องสาว...ที่ประจำของเขา

          หลับไปด้วยความคิดที่วุ่นวายสับสน

          ตื่นเข้าขึ้นมาไม่เห็นร่างของน้องสาวเหมือนเคย  มีแต่กองผ้าห่มกองอยู่   เขาลุกขึ้นเดินหารอบห้อง  ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเป็นวันที่ต้องไปพบแพทย์ตามนัด  ซึ่งวันก่อนน้องสาวเป็นคนบอกเขาว่าจะไปด้วยตัวเอง

          ดีเหมือนกัน   เธอต้องหัดรับผิดชอบตัวเองบ้าง  โตจนจะเป็นแม่คนแล้ว...

          พี่ชายคิด  จากนั้นก็กลับมาคิดเรื่องตัวเองอีกครั้ง   เขาอาบน้ำแต่งตัวอย่างใจลอย ครุ่นคิดตลอดเวลาว่าจะรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นอย่างไรดี

          พี่ดิมมารับตอนสายๆ  เพื่อพาไปทานอาหารกลางวันที่บ้านของเค้า  เป็นครั้งที่สามที่เขาได้มาบ้านของอีกฝ่าย  เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นขนาดกลาง  แวดล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่นและน่าอยู่ไม่น้อยในความคิดของเขา

          พี่ดิมดูตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก  ท่าทางของเค้าเหมือนเด็กๆเวลาต้องการจะอวดของเล่นใหม่ต่อหน้ามารดา  และเขาก็คือของเล่นชิ้นนั้น...

          “ไม่ต้องเกร็งนะเต  แม่พี่อาจจะดูดุหน่อย  แต่ความจริงใจดีมาก  โธ่  ดูสิ หน้าซีดหมดแล้ว  ไม่ต้องกลัว”    เขาแอบบีบมืออีกสองทีเป็นกำลังใจ ก่อนที่ประตูรั้วจะเปิดออกพร้อมกับร่างของผู้หญิงวัยกลางคน แต่งกายดียืนยิ้มรับอยู่

          “สวัสดีจ้ะ  เต  กินอะไรมารึยัง  เข้ามาเร็ว  นี่รันอยู่ในครัวแน่ะดิม  มาช่วยแม่ทำอาหารแต่เช้า”  ทักประโยคแรก จากนั้นก็หันไปบอกลูกชายว่าเพื่อนสนิทกำลังช่วยนางทำกับข้าวอยู่ในครัว

          “อ้าว  รันมาด้วยหรือครับ  ไม่เห็นบอก”

          “พอดีเค้าแวะเอาของมาให้  แม่เลยชวนเค้าอยู่ทานข้าวด้วยกัน  เข้ามาก่อนจ้ะ  เตชอบทานอะไร  แกงส้มชอบมั้ย”  ติณธรพยักหน้ารับคำเสียงเบา  ชักเริ่มรู้สึกอึดอัดชอบกล   หันไปเห็นสีหน้าของคนข้างๆยิ้มแย้มเป็นปกติดีก็กัดฟันทนไปก่อน

          เจอพี่รันเพื่อนสนิทของคนรักในห้องครัว  เห็นฝ่ายนั้นมีผ้ากันเปื้อนคาดเอวอยู่ กำลังหยิบจับอาหารในครัวด้วยท่าทางทะมัดทะแมงและคุ้นเคยกับมารดาของเพื่อนดี   พี่ดิมเอ่ยแซวพี่รันหลายคำโดยมีแม่ของเขาร่วมวงด้วย  พี่รันก็โต้ตอบกลับมาอย่างทันๆกัน  ช่วยไม่ได้เลยที่จู่ๆเตจะรู้สึกเหมือนตนเองเป็นส่วนเกินของครอบครัวนี้

          “หิวแล้วล่ะซี  เงียบเชียว  เป็นอะไรหรือเปล่าหืม?”   ช่วงหนึ่งที่พี่ดิมหันมาเห็นเข้า   เค้ายกมือขึ้นเสยผมให้อย่างนุ่มนวล  ก้มลงถามอย่างอ่อนโยน  ทำให้หัวใจที่แกว่งเป๋ไปครู่เริ่มกลับมาปกติ

          “เปล่า...ผมขอเข้าห้องน้ำหน่อยได้มั้ยครับ”  ขอเข้าไปสงบสติอารมณ์นิดนึงเถอะ   พี่ดิมพยักหน้า  จูงมือออกมาจากห้องครัว พาไปส่งที่ห้องน้ำชั้นล่างใต้บันได

          “เสร็จแล้วรีบออกมานะ  อย่ามัวขี้แยอยู่ล่ะ”

          “บ้า  คนเขาปวดฉี่ตะหาก”  เตย่นจมูกเพราะถูกอีกฝ่ายดักคอ  พี่ดิมหัวเราะเสียงนุ่ม  โบกมือให้แล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัว 

          พอกลับออกมาก็มาหยุดยืนด้านนอก  ได้ยินเสียงมารดาของอีกฝ่ายเจื้อยแจ้วอยู่ข้างใน

          “รันเขาก็ได้ทุนเหมือนกัน  ดีออกนะดิมได้ไปเรียนด้วยกันไง  ทุนนี้ไม่ได้มีทุกปีนะ  ไม่ใช่ใครอยากได้ก็ได้  ถ้าผ่านปีนี้ไป ปีหน้าเขาก็ต้องให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ที่จบก่อนอีก  หรือดิมยังห่วงเรื่องน้องเต   เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวแม่พูดให้เอง”

          “คุณแม่จะพูดอะไรกับเตครับ   ผมขอล่ะ  อย่าทำแบบนั้น”  พี่ดิมพูดเสียงแข็งขึ้นมาทันที

          “ดิมไม่เอาน่ะ  พูดดีๆสิ”  เสียงเพื่อนสนิทดังขึ้นบ้าง

          “ไม่เป็นไรจ้ะรัน  แม่ชินแล้วล่ะ  ถ้าเป็นเรื่องของเด็กคนนั้นล่ะก็  แม่แตะไม่ได้ทีเดียว  ทำไมล่ะดิม  ถ้าเด็กคนนั้นรักดิมจริงเขาก็ต้องอยากให้ดิมได้ดีสิ”

          “ถ้าอย่างนั้นผมก็จะเอาเตไปด้วย  ถ้าคุณแม่อยากให้ผมไปมากนักล่ะก็”

          “เธอจะไปอยู่กันยังไงสองคน  ไม่รู้เหรอว่าค่าครองชีพที่นั่นมันแพงแค่ไหน   จริงอยู่ว่าเธอได้ทุนเรียน  แต่ทุนมันก็ไม่ได้คัฟเวอร์ทั้งหมดหรอกนะ  เผลอๆต้องทำงานตัวเป็นเกลียวด้วยซ้ำ  แล้วถ้าจะต้องมาหาเลี้ยงอีกคนอีก  ไม่มีทางเรียนจบ”

          “เตเขาก็ทำงานได้”

          “เขาจะทำงานอะไร  สอนภาษาที่โน่นเหรอ  ดิมลองคิดดูดีๆนะ  มันไม่ง่ายหรอกนะ  ที่โน่นมันไม่เหมือนบ้านเรา”

          “แต่ผมจะไม่ทิ้งเตเอาไว้ที่นี่  ไม่งั้นผมก็ไม่ไป   ผมจะไปอยู่แพร่”  เสียงพี่ดิมเฉียบขาดยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยได้ยิน   เตกำมือแน่น   พี่ดิมกำลังปกป้องเขาอยู่อย่างสุดกำลัง  แล้วเขาล่ะ?

          เขาทำอะไรเพื่ออีกฝ่ายบ้าง...

          “ดิม...เราว่าอย่าเพิ่งมาทะเลาะกันแบบนี้เลยดีกว่านะ   คุณแม่ท่านหวังดีกับดิมนะ  ทุกคนก็หวังดีกับดิม   ใจเย็นๆก่อนดีกว่าเนอะ”   เสียงพี่รันพูดช้าๆ  “เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนก็ได้  ยังพอมีเวลาอยู่   อาจารย์ให้เวลามาตัดสินใจถึงอาทิตย์หน้า ดิมค่อยๆไปคิดดูก็ได้   ถ้าไปก็จะได้ไปเรียนด้วยกัน   ถ้าไม่ไปก็ไม่เป็นไรหรอก   จริงๆเป็นหมอชนบทก็เป็นความคิดที่ดีมากๆนะครับคุณแม่   ถ้าผมไม่ติดว่าขัดใจคุณพ่อไม่ได้ล่ะก็  ผมก็คงไปใช้ทุนกับดิมแล้ว”

          “ก็เรามันเด็กดีไง  อยู่ในโอวาทของพ่อแม่  คนแบบนี้ทำอะไรก็เจริญทุกคนล่ะหมอรัน   แม่ละอิจฉาคุณพ่อของเราจริงๆ  ทำบุญมาด้วยอะไรนะถึงมีลูกเก่งและดีแบบนี้   ยังไงมาเป็นลูกแม่อีกคนเสียเลยดีไหมล่ะ”  เสียงผู้หญิงคนเดียวในห้องพูดแกมสัพยอก   ได้ยินเสียงพี่รันหัวเราะเบาๆตอบกลับอย่างสุภาพ   ส่วนพี่ดิมเงียบกริบ

          เตยืนนิ่งพิงกำแพงอยู่ด้านนอกห้องครัวนั้นอยู่นาน   เงยหน้าขึ้นมองเพดานที่ประดับด้วยโคมไฟแบบเรียบๆนั้น  เพ่งมองแน่วนิ่ง  ขอบตาร้อนผ่าว   เขาเม้มปากแน่น

          “ผมขอไปดูเตก่อนนะครับ  หายไปนานแล้ว”  ได้ยินเสียงพี่ดิมพึมพำ    ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าห้องรีบกรีดน้ำตาที่หางตาทิ้ง  สูดลมหายใจเข้าลึก  เดินถอยหลังไปสามก้าว  ทำเหมือนเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำออกมา

          “พี่ดิม...”

          “เต  หายไปนานเชียว  นึกว่าหลงทางไปไหนเสียแล้ว”  พี่ดิมขมวดคิ้วแวบหนึ่ง  คงสังเกตเห็นว่าตาเขาแดงกว่าปกติกระมัง   แต่ช่างเถอะ   อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือ  ไม่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วงกังวลมากเกินไป

          “ไม่ได้หลงหรอก  กำลังดู...ง่า  ภาพวาดในห้องน้ำอยู่  สวยดี”  เขาพูดส่งๆไป  พี่ดิมพยักหน้ารับ  คงไม่สงสัยอะไร  พาเดินกลับเข้าไปในครัว 

          เตเข้าไปช่วยมารดาและเพื่อนสนิทของพี่ดิมจัดโต๊ะอาหาร  พี่ดิมแทบไม่ปริปากพูดออกมาเลย  ตรมข้ามกับพี่รันที่แทบเป็นฝ่ายควบคุมการสนทนาเอาไว้   แต่พี่ันก็น่ารักตรงที่ไม่ลืมชวนเตคุยด้วย  ไม่ปล่อยให้เขานั่งเด๋ออยู่คนเดียว   ทุกคนไม่มีใครเปิดปากเรื่องการไปใช้ทุนของพี่ดิมอีกเลย

          แม้แต่พี่ดิมเองก็ไม่พูด   กระทั่งกลับมาส่งเขาที่หอพักแล้วก็ตาม

         
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 27-04-2017 11:21:44
         


          “พี่...  เตถามจริงๆเถอะ  เรื่องที่พี่จะไปใช้ทุน  พี่ดิมยัง....”

          “ชู่ว...”  พี่ดิมยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากของเขาเป็นเชิงห้าม  ยิ้มนิดๆ

          “นายก็รู้ว่าพี่เป็นคนไม่เปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ   เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก   นายแค่เตรียมตัวหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามพี่ไปอยู่แพร่ก็พอ  เข้าใจมั้ย”

          “หนีตามอะไรกันเล่า  โธ่”  เขาหัวเราะออกมาได้หน่อยนึง    พี่ดิมหัวเราะออกมาบ้าง   นัยน์ตาคมคู่นั้นมีแววกังวลฉาบอยู่บางๆ พลางด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นของเค้า

          “เราต้องสู้นะครับ  คนดี  อย่าเพิ่งยอมแพ้เสียก่อน    พี่รักเตมากนะ  รู้หรือเปล่า”  พี่ดิมกระซิบ

          “ผมก็รักพี่ดิมมาก”  ...รักมากกว่ารักตัวเอง....ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกไป   หากแต่เงยหน้าขึ้น ใช้สัมผัสทางกายส่งผ่านความรู้สึกนั้นไปยังเขา  ความอบอุ่นที่ห้อมล้อมอยู่รอบกาย   ความหวานที่คุ้นเคยทว่าไม่เคยรู้สึกเพียงพอและความสับสนวุ่นวายใจอยู่ลึกๆที่เขาสามารถรับรู้ได้ผ่านสัมผัส

          พี่ดิมกำลังลังเล...

          เช่นเดียวกันกับเขา


          “คืนนี้พี่คงนอนไม่หลับเพราะต้องนอนคนเดียว”  พี่ดิมกระซิบนัยน์ตาพราว

          “อดทนไปก่อนนะ  ฝันดีครับ”  เตกระซิบตอบ  ก่อนที่เราจะแยกจากกัน   เขายืนมองร่างของพี่ดิมเดินออกไปจากหอจนลับสายตา    ถอนหายใจเฮือกใหญ่  เดินกลับเข้าไปในอาคาร

          “พ่อหนุ่มๆ  เรานั่นแหละ  มานี่ก่อน  มีคนโทรมาฝากเรื่องเอาไว้”  ป้าแม่บ้านกวักมือเรียกเขาทันทีที่เห็นหน้า   ติณธรขมวดคิ้ว  เดินเข้าไปหา  นางหยิบกระดาษโน้ตขึ้นมาส่งให้

          “เขาโทรมาจากเบอร์นี้  บอกให้เราโทรกลับด่วน”    สังหรณ์ใจอย่างประหลาด  เตรีบยกหูโทรศัพท์หอขึ้นกดเบอร์โทรตามหมายเลขที่ปรากฏอยู่บนกระดาษ

          “สวัสดีค่ะ  คุณติณธรหรือคะ   เป็นญาติของคุณน้องดาวใช่มั้ยคะ  ที่นี่คลินิก.....”   เตกำลังจะเอ่ยปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นญาติอะไรกับน้องดาว   ทว่าเรื่องราวที่อีกฝ่ายพูดมามันทำให้เขาขนลุกทั้งตัว  รู้เองโดยไม่ต้องถามว่าน้องดาวที่อีกฝ่ายพูดหมายถึงคือใคร

          “……………รีบมานะคะ  น้องตกเลือดมาก”   อีกฝ่ายย้ำเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ชายหนุ่มจะวางหูอย่างมึนงง 

          “ว่าไงพ่อหนุ่ม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า   นั่งก่อนมั้ย  นี่ป้ามียาดม  อ้าว”  เขาเผลอปัดมือที่ส่งยาดมให้เขา  เดินเร็วๆออกมาด้านนอก ทั้งที่ใจหวิวๆชอบกล  กึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมายังถนนใหญ่  ยกมือขึ้นโบกเรียกแท็กซี่

          ภาวนาให้ตนเองไปทัน  ขออย่าให้ข้าวตังเป็นอะไรไป

                   นั่งรถมาจนถึงสถานที่ที่ปลายสายบอก  ด้านนอกเป็นอาคารตึกแถวสองชั้นติดถนนใหญ่  มีป้ายเขียนเอาไว้ว่าเป็นคลินิกรักษาโรคทั่วไป  ไม่มีตรงไหนที่จะทำให้คนผ่านไปผ่านมารู้ได้เลยว่า  แท้จริงแล้วคลินิกนี้รักษา ‘โรค’ อะไรกันแน่

          เตผลักประตูไปภายในห้องสองคูหานั้น  แอร์เย็นฉ่ำที่สัมผัสร่างไม่สามารถทำให้หัวใจร่อนรุ่มของเขาเย็นลงได้  หญิงสาวแต่งกายสวยงามที่คงเป็นพนักงานต้อนรับของที่นี่จ้องมองเขาอย่างฉงน  ก่อนจะฉีกยิ้มรับ

          “ติดต่ออะไรคะ  มาพบคุณหมอหรือเปล่า”

          “ผม...เป็นญาติของคนไข้...น้องดาว  ที่เมื่อสักครู่นี้มีคนโทรไปบอกว่าเธอ...ง่า...กำลังอาการหนัก”  สิ้นประโยคนั้น เธอก็พยักหน้ารับทันที  ยกโทรศัพท์ขึ้นคุยสองสามประโยค จากนั้นก็วางสาย  หน้าตาของเธอเคร่งเครียดทีเดียวตอนที่บอกให้เขาขึ้นไปยังชั้นสองของคลินิก

          “ตามคุณคนนั้นไปขึ้นบันไดทางด้านหลังนะคะ”  หญิงสาวอีกคนที่โผล่มายืนอยู่ข้างๆเขาอย่างเงียบเชียบพยักหน้าให้นิดหนึ่ง  ก่อนจะเดินนำเขาไปทางด้านหลังของคลินิก  ผ่านห้องว่างๆหลายห้องที่เขาเดาว่าคงจะเป็นห้องตรวจคนไข้และบันไดขึ้นไปชั้นสอง  ทว่าเธอกลับเดินนำเขาผ่านบันไดไปข้างหลัง

          เปิดประตูเล็กออกมาเจอเข้ากับบันไดวนแคบๆ  ค่อนข้างมืด  กลิ่นคาวบางอย่างลอยลงมาเตะจมูกทันทีที่เดินตามหลังคนนำทางขึ้นไปยังชั้นสอง   เตขนลุกไปทั้งตัวเมื่อเดาได้ว่านี่คือกลิ่นของอะไร 

          ใจเต้นแรง  คิดกลัวไปสารพัด   ตังน้องพี่จะเป็นอย่างไรบ้าง  เลือดอาบท่วมตัวหรือเปล่า  เขาจะไปทันมั้ย  เธอจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย

          “ห้องนี้ค่ะ   เข้าไปได้เลย”  จู่ๆเธอคนนั้นก็หยุดกึก  ตรงหน้าห้องที่มีป้ายเขียนแปะที่บานประตูเก่าซีดเอาไว้ลวกๆว่า ‘ไม่ว่าง  ห้ามรบกวน’   เตกำมือแน่น  เหงื่อออกจนชื้น   กลั้นใจยกมือขึ้นเคาะที่บานประตูไม้เบาๆ  ได้ยินเสียงพูดจากด้านในว่า “เชิญค่ะ”

          เขาไม่เคยลืมวินาทีนั้นเลย  ตอนที่เห็นร่างของน้องสาวนอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง  ไม่มีคราบเลือดอย่างที่นึกกลัว   ใบหน้ารูปหัวใจซีดเผือดแทบจะเท่าๆกับปลอกหมอนที่ขาวที่หนุนอยู่  ความคิดแรกที่แล่นเข้ามาก็คือ  เธอตายแล้วหรือ...ไม่จริงใช่ไหม

          ชายหนุ่มยืนนิ่งเหมือนถูกตรึง จนกระทั่งได้ยินเสียงแหลมเล็กของผู้หญิงอีกคนที่เขาไม่ทันสังเกต ดังขึ้นข้างตัว

          “คุณเป็นญาติของคุณน้องดาวใช่ไหม  น้องดาวเลือดออกมาก  โดยที่เรายังไม่ทันได้เริ่มทำหัตถการใดๆเลย  จู่ๆเธอก็มีเลือดไหลออกมาทางช่องคลอดเอง  ทางเราก็เลยให้น้ำเกลือไปแล้วก็พยายามห้ามเลือด....”

          “เธอ...ยังไม่ตายใช่มั้ย”  เตถามเสียงเบาราวกับกระซิบ  เดินเข้าไปหา  ยกมือขึ้นแตะที่ซีกแก้มนวลซีดเซียว

          “ยังค่ะ  แค่เสียเลือดก็เลยเพลียนอนหลับไป”   ลมหายใจของเธอกระทบเข้าเบาๆที่ปลายนิ้วของเขา ยืนยันคำพูดของหญิงสาว   แพขนตาหนาขยับน้อยๆ

          เตค่อยๆผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ  อย่างน้อยตังก็ยังมีชีวิตอยู่

          “คุณเป็นหมอที่ดูแลเธอหรือครับ”  เขาถาม  แต่ไม่ได้ยินคำตอบเลยหันไปมองข้างตัว  ไม่พบร่างของหญิงสาวเมื่อครู่อีก   ขนลุกเกลียวขึ้นมานิดหนึ่ง  ขยับจะมองหาก็พอดีน้องสาวลืมตาขึ้นมา

          เธอมองหน้าเขาอย่างตกใจ  แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา

          “พี่เต.....ตังขอโทษ  ตังผิดไปแล้ว   ตังมันเลวเอง  ตังเลวยิ่งกว่า....”  เธอบริภาษตัวเองอย่างรุนแรง  จนคนได้ยินตกใจ

          “ตัง!  พูดอะไรอย่างนั้น”

          “มันยังน้อยไปด้วยซ้ำกับที่ตังทำกับลูก  พี่เต ฮือ  ตังฆ่าลูกตัวเองไปแล้ว  ลูกไม่ได้อยู่กับตังแล้ว  ฮือ”  เธอยกมือขึ้นปิดหน้า พูดขาดเป็นห้วงๆ  พี่ชายพยายามจะจับใจความของประโยคอย่างยากลำบาก

          “แล้วหมอเขาว่ายังไง”

          “ที่นี่ไม่มีหมอ  มีแต่ใครไม่รู้พี่  ฮือ  น่ากลัวมาก  ตังกลัวเหลือเกิน”  เธอตัวสั่นน้อยๆ  พูดวกไปวนมาจนชายหนุ่มเริ่มกังวลว่าเธอจะโดนยาอะไรเข้าหรือเปล่า  ตัดสินใจได้ว่าควรจะรีบพาน้องสาวไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด  คิดได้ดังนั้นเขาจึงก้มลงช้อนตัวน้องสาวขึ้นมาอุ้มเอาไว้

          “ไปจากที่นี่กันเถอะ”  เขาพูดสั้นๆ  กลั้นใจอุ้มน้องสาวเดินลงบันไดแคบๆทะลุออกทางด้านหลัง  แปลกใจที่ไม่พบใครเลย  ชายหนุ่มอุ้มน้องสาวออกมายังด้านนอกอาคาร   ยกมือก็โบกรถ   

          “อดทนนิดนะตัง”   เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง  ในที่สุดก็มีรถแท็กซี่จอดรับพวกเขาสองคน  เตรีบบอกที่หมาย  ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็มาถึงโรงพยาบาลเอกชนขนาดเล็กแห่งหนึ่งที่ใกล้ที่สุดที่เขานึกออก

          หญิงสาวถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินทันที  เตทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ด้านหน้าห้องฉุกเฉินนั้นอย่างคนหมดแรง   คราบเหนียวๆสีแดงเข้มอุ่นติดอยู่บนอกเสื้อและกางเกง  รวมถืงมือของเขาทั้งสองข้าง   คงเป็นเลือดของหญิงสาวที่ไหลออกมาอีกตอนที่เขาอุ้มมาที่นี่

          กลิ่นคาวของมันทำให้เขาใจสั่นหวิวเหมือนจะเป็นลม  เป็นห่วงน้องสาวและลูกในท้องของเธอจับใจ  แม้จะค่อนข้างมั่นใจว่าคงจะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าหลานแล้วก็ตาม   ตอนนี้ขอแค่น้องสาวรอดชีวิต  เขาก็ดีใจที่สุดแล้ว

          เตนั่งมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนังตรงหน้าเขา  เข็มนาฬิกาขยับไปเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป  เขาไม่รู้ว่านั่งอยู่ตรงนี้มานานเท่าใดแล้ว  สายตาจดจ้องแต่สมองกลับไม่รับรู้  เขานั่งเหม่อเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่ประตูห้องที่น้องสาวหายเข้าไปจะเปิดออกมาเสียที

          ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา  แม้จะเป็นยามค่ำคืน  แต่ที่โรงพยาบาลก็ยังคึกคัก  ญาติผู้ป่วยหลายคนนั่งกอดเข่ารออยู่ด้านนอก  สายตาก็คอยเหลือบมองไปยังประตูห้องที่ญาติมิตรสหายหรือคนรักของพวกเขาหายลับเข้าไป  บ้างก็ยกมือขึ้นสวดมนต์ภาวนา  คงอธิษฐานขอให้คนข้างในรอด  เหมือนที่เขากำลังขอ

          ชายหนุ่มสบตากับหญิงชราผู้หนึ่งที่นั่งตรงข้ามเขา  ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์โศกราวกับเดาได้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น  เมื่อประตูเปิดออกมา  เธออาจจะไม่ได้พบหน้าบุคคลอันเป็นที่รักของเธออีกแล้ว

          “มารอใครหรือ พ่อหนุ่ม”  เธอถามขึ้นมาเบาๆ

          “รอน้องสาวครับ  คุณยายล่ะครับ”  เขาถามกลับ  อย่างน้อยการที่มีคนคุยด้วยน่าจะช่วยลดความฟุ้งซ่านของเขาลงไปได้บ้าง

          “ยายมารอตา  เขาหายเข้าไปนานแล้วนะ”  เธอหยุดถอนหายใจ

          “คุณตาเป็นอะไรมาหรือครับ” 

          “เขานอนหลับน่ะ  นอนกลางวันเหมือนเคย  แต่วันนี้เขาไม่ยอมตื่น  ยายเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น”  เสียงเธอเครือสั่นน้อยๆ  ชายหนุ่มจึงยื่นมือออกไปกุมมือเหี่ยวย่นที่วางอยู่บนตักของเธอแล้วบีบเบาๆ

          “คุณตาจะต้องตื่นขึ้นมาแน่ๆฮะ  วันนี้คุณตาคงจะเหนื่อยก็เลยนอนเพลินไปหน่อย”

          “ยายก็ว่าอย่างนั้น  ตานี่เป็นอย่างนี้ประจำ  ชอบทำให้ฉันเป็นห่วง”  น้ำตาคลอขึ้นมาในดวงตาที่ขุ่นมัว  หญิงชรามองหน้าเขาแต่คล้ายมองทะลุผ่าน  ย้อนกลับไปในความทรงจำของตนเอง  “ตั้งแต่หนุ่มๆแล้ว  ชอบไปไหนไม่บอก  มาตอนนี้ก็ทำท่าจะทิ้งฉันไปดื้อๆอีก”

          “คุณยายมีลูกไหมฮะ”

          “ไม่มีหรอก  อยู่กันสองคนตายาย  ...พ่อหนุ่มล่ะ  รอน้องสาวอยู่เหรอ   เป็นอะไร”

          “เธอไม่สบายมากครับ  เป็นเพราะผมเอง...ที่ดูแลเธอไม่ดีพอ”  ชายหนุ่มพูดออกมาจากใจ  “ผมมัวแต่หมกมุ่นเรื่องของตัวเองจนลืมเธอไป   ผม...เห็นแก่ตัวมาก”  เสียงของเขาแตกพร่า  เตเสียใจจริงๆที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับน้องสาวโดยที่ตัวเขาเองไม่สามารถช่วยอะไรน้องได้เลย

          “น้องสาวอายุเท่าไหร่แล้วล่ะ”

          “18 ย่าง 19 แล้วครับ”  เธอพยักหน้ารับ

          “โตแล้ว...เขาก็มีชีวิตของตัวเอง...อ้าว  หมอออกมาแล้ว”  เตหันไปมอง เห็นประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพร้อมกับร่างของนางพยาบาลและแพทย์   เขาช่วยพยุงหญิงชราให้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้าไปหาด้วยกัน

          “ญาติของนายปรีดา......หรือเปล่าครับ”  เขาเอ่ยชื่อผู้ชายคนหนึ่ง  หญิงชรารับคำอย่างสงบ  “ผมเป็นแพทย์ฉุกเฉินที่ดูแลรักษาคุณปรีดานะครับ  ผมขอแสดงความเสียใจด้วยครับ  ตอนที่มาถึงโรงพยาบาลคุณปรีดาหัวใจหยุดเต้น  ทีมแพทย์ได้พยายามช่วยจนถึงที่สุดแล้ว แต่อาการของคุณปรีดาค่อนข้างหนัก และมาโรงพยาบาลช้าเกินไป......”  คุณหมอคนนั้นพูดอะไรต่อมาอีกหลายประโยค  คนฟังได้แต่พยักหน้ารับเงียบๆ  ไม่ได้ซักถามอะไร  คุณยายคนนั้นไม่พูดอะไรเลย  เธอเดินเข้าไปในห้องด้านในเพื่อไปพบสามีเป็นครั้งสุดท้าย

          “ส่วนคุณดาวกระดับ  คุณเป็นญาติของคุณดาวประดับใช่ไหมครับ”  เตรับคำ “คุณดาวประดับมีอาการเลือดออกมากทางช่องคลอด  ตอนที่มาถึงโรงพยาบาล  ผู้ป่วยมีความดันค่อนข้างต่ำทางเราจึงได้ให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำไปนะครับ  ส่วนเลือดที่ออกตอนนี้หยุดแล้ว  จากที่อัลตราซาวน์ดูทารกในครรภ์  หัวใจยังเต้นปกติดีนะครับ  อย่างไรก็ตามต้องปรึกษาสูตินารีแพทย์เพื่ออัลตราซาวน์ซ้ำคอนเฟิร์มอย่างละเอียดอีกที   ยังไงก็คงต้องช่วยมารดาของเด็กก่อนนะครับ....เอ่อ  คุณครับ  ผมอยากขออนุญาตซักประวัติเพิ่มเติม…..”  คนฟังสะดุ้ง  เขามัวแต่โล่งอกที่รู้ว่าคนที่รักทั้งสองปลอดภัยดี

          หมอซักประวัติเพิ่มหลายอย่าง ซึ่งเตก็ตอบออกไปตามตรงว่าน้องสาวไปคลินิกทำแท้งเถื่อนมา  ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำอะไรไปบ้าง  ครู่ใหญ่เขาก็ได้เข้าไปหาน้องสาวที่นอนอยู่ด้านใน

          ใบหน้าของเธอมีสีเลือดขึ้นมาบ้าง  แต่ยังคงหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน  สองมือมีเข็มน้ำเหลือแทงอยู่   เสียงเครื่องมอนิเตอร์ดังติ้ดๆเป็นจังหวะ  เตจับมือของเธอบีบแน่น  พูดไม่ออก

          เขาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง  ยกมือขึ้นปัดเส้นผมให้พ้นใบหน้าของเธอ  สงสารน้องสาวจับใจ   เธอคงจะต้องเครียดมากแน่ๆ  ในขณะที่เขาผู้เป็นพี่ชายที่สัญญากับพ่อแม่ของเธอเอาไว้ว่าจะดูแลเธออย่างดี  กลับมัวแต่คิดเรื่องตัวเอง 

          แต่จะทำไงได้....อีกครั้งที่ใบหน้าคมเข้มของคนรักผุดวาบเข้ามาในความคิด   เวลาของเราสองคนงวดเข้ามาทุกที  ถึงเวลาที่เขาควรจะตัดสินใจแล้ว

          เตรู้ตัวเองดีว่ารักพี่ดิมมาก  และคงทนไม่ได้แน่ถ้าตัวเขาจะกลายเป็นตัวถ่วงอนาคตของพี่ดิมเสียเอง  เขารู้ว่าพี่เค้าลังเลอยู่  ไม่ใช่ว่าไม่รักเต  แต่กับอนาคตของเค้าทั้งชีวิตที่เหลือ  ระหว่างอาจารย์แพทย์กับแพทย์ใช้ทุนธรรมดาต่างจังหวัด  มันก็เลือกลำบากอยู่ดี  ไหนจะต้องขัดใจมารดาอีก

          ส่วนข้าวตัง  ในชีวิตของเธอไม่เหลือใครเลย นอกจากเขากับลูก  เขาจะใจร้ายปล่อยเธออยู่คนเดียวได้เหรอ  แต่งงานกับพี่ดิม  ย้ายไปใช้ชีวิตสงบสุขที่ต่างจังหวัด  ถึงเขาจะพาตังไปด้วย  แต่เธอจะมีความสุขหรือเปล่า  การกระทำของเธอที่ผ่านมาก็บอกชัดอยู่แล้วว่า  เขาไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้

          แล้วเขาต้องรอถึงเมื่อไหร่?  กว่าน้องสาวจะเข้มแข็ง

          แล้วตัวเขาเอง   จะเข้มแข็งพอที่จะตัดสินใจปล่อยพี่ดิมไปจากชีวิตหรือ....ไม่มีทาง

          ที่เตียงข้างกันมีผ้าม่านล้อมอยู่  เขาเห็นร่างของหญิงชราที่นั่งคุยกันเมื่อครู่ยืนนิ่งๆอยู่หน้าม่าน  เตลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ  ใบหน้าเหี่ยวย่นไม่มีน้ำตาสักหยด  ทว่าเขากลับสัมผัสได้ถึงความโทมนัสของเธอ

          “คุณยาย  ผมเสียใจด้วยนะครับ”

          “จ้ะ  เขาไปสบายแล้ว  ไปดีแล้วล่ะ”  ยายพึมพำ “ทำใจไว้แล้ว   แต่มันก็อดใจหายไม่ได้นะ  เห็นกันอยู่ทุกวัน”

          “คงต้องใช้เวลา”  เตพูดเสียงเบา

          “ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้ไปไหนไกลหรอกพ่อหนุ่ม  อยู่ในนี้แหละ”  คุณยายยกมือขึ้นทาบอกตัวเองเบาๆ  แล้วยิ้มให้เขา   “ชาติหน้าก็คงเกิดมาเจอกันอีก....”

          ชาติหน้าเลยเหรอ  ทำไมคุณยายถึงได้มั่นใจนัก  ขนาดเขาแค่ชาตินี้ก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า  ถ้าแยกกับพี่ดิม เราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

เส้นทางเดินระหว่างเขากับอีกฝ่ายก็คงจะแยกจากกันอย่างไม่มีวันกลับมาบรรจบกันได้อีก 

แล้วเขาจะทนได้เหรอ

          “ทานข้าวต้มกุ้งกันไหม”  เตเพิ่งสังเกตเห็นปิ่นโตในมือคุณยาย  เธอถามเขายิ้มๆ  “ยายทำมาให้ตาเขาน่ะ ตั้งใจว่าจะให้เขากินตอนเช้าถ้าเขาฟื้น  เห็นบอกว่าอยากกินมาหลายวันแล้ว  ยายก็มัวแต่ผัดวัน ขี้เกียจทำ   เสียดาย...”  น้ำตาของคนพูดรื้นขึ้นมานิดหนึ่ง  “ถ้ารู้ก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงรีบทำให้กินไปนานแล้ว”

          เตปฏิเสธอย่างสุภาพ  หญิงชราส่งยิ้มให้เขา  เหลือบมองน้องสาวที่นอนอยู่บนเตียงแวบหนึ่ง

          “ดูแลเธอดีๆล่ะ  จะได้ไม่ต้องเสียใจทีหลัง  ประเดี๋ยวยายไปติดต่อเขาก่อน  ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ต้องช่วย....ขอบคุณมากนะพ่อหนุ่ม”  เตจับมือของเธอส่งกำลังใจให้อีกครั้ง มองดูเธอเดินออกไปจากห้องด้วยท่าทางมั่นคง

          เป็นคนที่เข้มแข็งมากทีเดียว  แล้วเขาล่ะ  จะทำใจ ‘จาก’ คนรักได้แบบที่คุณยายทำได้หรือ  ทั้งที่นี่คือการ ‘จากตาย’  ชาตินี้ไม่มีทางได้พบหน้ากันอีกแล้วแท้ๆ  คุณยายยังสามารถยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียว   แล้วถ้าเขาต้อง ‘จากเป็น’  ต้องเป็นฝ่ายตัดความสัมพันธ์ก่อน

          เขาทำไม่ได้หรอก   ให้ตายก็ทำไม่ได้ 

          พี่ดิมต้องเสียใจมาก  คิดมาถึงตรงนี้  เขาก็ทนไม่ไหวแล้ว...

          “พี่เต...”  เสียงเล็กเบาดังมาจากร่างที่นอนนิ่งสงบอยู่ด้านหลัง   เตหันไปมอง  เห็นสาวน้อยคนเขาเป็นห่วงกังวลมาทั้งคืนนอนลืมตา  ท่าทางยังอิดโรยอยู่มาก   เขารีบเดินเข้าไปหา

          “ตัง  เป็นไงบ้าง  ตื่นแล้วเหรอ”  กุมมือน้องสาวเอาไว้มั่น   ดวงตากลมโตมีหยาดน้ำตาคลอช้อนเงยขึ้นสบตาเขา

          เธอพยักหน้านิดหนึ่ง แล้วเม้มปากแน่น

          จากนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามชวนคุย ซักถามอย่างไร เด็กสาวก็ไม่ยอมตอบอีกเลย   เธอเอาแต่ร้องไห้เงียบๆ  แม้แต่นายแพทย์ที่มาดูอาการก็ยังกลุ้มใจ  เพราะคนไข้ไม่ยอมพูดคุยด้วย  ไม่ยอมให้ความร่วมมือในการตรวจรักษาใดๆ

          อาการทางกายของเธอค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ   ทารกในครรภ์ปลอดภัยดีราวกับมีปาฏิหาริย์  ตรงข้ามกับอาการทางใจที่กลับทรุดลงไปเรื่อยตามเวลาที่ผ่านไป  หญิงสาวไม่พูดคุย  ไม่ขยับตัว  ไม่แม้แต่จะหันมาสบตาพี่ชายของตัวเอง  เธอเอาแต่นั่งเหม่อเป็นวันๆ  บางทีก็นอนร้องไห้

          แพทย์เจ้าของไข้ส่งเธอเข้าพบจิตแพทย์   เตเครียดกับอาการของน้องสาวจนแทบจะเป็นบ้าตามไปด้วย  เขาต้องงดการสอนพิเศษเด็กมัธยมไป เหลือแค่งานเขียนเป็นชิ้นๆช่วยรุ่นพี่เท่านั้น

          ส่วนเรื่องของพี่ดิม…


         *******************************

มาต่อจนจบตอน ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่ะ
 :hao5:

         


หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 27-04-2017 11:24:15
ขอฝากนิยายอีกเรื่องหนึ่งของผู้เขียนเอาไว้ด้วยนะคะ
ลองอ่านดูนะคะ แนวดรามาโรเเมนติก
แอบรักเพื่อนประมาณนั้น
Hidden Wood ..#แอบลักษณ์  อ่านเลย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56731.0)
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 27-04-2017 18:43:45
คลายปมอดีตเลย ที่แท้แม่ดิมกับรันใช่มั้ยที่ทำให้ดิมกับเต ต้องแยกกัน
 รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-04-2017 23:42:48
ร้ายเพราะรัก#หมอรัน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 28-04-2017 01:25:05
คุณแม่ตัวต้นเหตุรัป่าวคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: godofhill ที่ 28-04-2017 09:32:19
เตน่าสงสารที่สุด ดิมเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 28-04-2017 13:01:16
อยากให้เตมีความสุขสักที :o12:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ตัด]ตอนที่22 27/4/60
เริ่มหัวข้อโดย: manamon ที่ 28-04-2017 18:06:19
บีบคั้นหัวใจมากมาย เป็นเหมือนทางเลือกที่'จำ'ต้องเลือก
เฮ้อออออ  :katai1: :mew6:
รอต่ออยู่นะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 02-05-2017 18:29:13
เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่

 

 

 

 

แสงจากภายนอกรัวรางส่องเข้ามาต้องร่างที่ยืนอยู่ริมกระจกเกิดเป็นเงารูปคนที่ใหญ่กว่าความเป็นจริง  โครงหน้าตั้งแต่หน้าผากลาด จมูกโด่งคมและริมฝีปากอิ่มเต็มได้รูปสวยนั้นเห็นชัดเจนแม้จะอยู่ในความสลัว    บางทีอาจเป็นเพราะเขาจำอีกฝ่ายได้ขึ้นใจก็เป็นได้

จำได้ทุกอย่าง  ทุกเรื่อง  ทุกรายละเอียด   ไม่เคยมีบทไหน ตอนไหนในชีวิตที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายหน้าหวานผมหยิกคนนี้ที่เขาลืมได้เลย...ต่อให้ตัวเองจะอยากลืมมากแค่ไหนก็ตาม

หรือต้องโทษที่เขาความจำดีเกินไป?

สบสายตากันผ่านเงาสะท้อนในกระจก   แววอะไรอย่างหนึ่งในดวงตาดำสนิทแห้งผากคู่นั้น ทำให้เขาต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน   เพราะความรู้สึกผิดในใจ...ผิดที่ไม่รู้

“ทำไมตอนนั้น  นายไม่บอกเรื่องน้องสาว”  หลุดปากออกไปแผ่วเบาเสียจนตัวเองยังแปลกใจกับน้ำเสียงที่พร่าสั่น ไร้ความมั่นใจ  และคำถามที่ดูโง่ชอบกล  แต่เขาก็ยังอยากรู้คำตอบจากปากของอีกฝ่ายอยู่ดี

“................”  เตไม่ตอบ หากแต่ยิ้มนิดๆ

“ทำไมนายถึงแก้ปัญหาเองคนเดียว  ทั้งที่พี่พร้อมจะช่วยนายทุกอย่าง  ฮึ  เต  ทำไมนายไม่บอกพี่”  เสียงของเขาดังขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เปลี่ยนไป    อีกฝ่ายยังคงยิ้มน้อยๆอยู่เหมือนเดิม  ไม่มีคำอธิบายออกจากปากของเค้า

รดิศก้าวเข้าไปประชิดตัวอีกฝ่าย  จับหัวไหล่เล็กบางบังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้า

“นายทำทุกอย่างคนเดียว  ตัดสินใจเองคนเดียว  นายไม่คิดจะถามพี่เลยเหรอว่าพี่ต้องการอะไร  นาย...ไม่รู้ใจพี่เลยเหรอ”   เขาพูดเสียงดังในตอนแรกแล้วกลับแหบพร่าลง 

ทั้งสองสบตากันราวกับต้องการจะค้นคว้าหาความจริงที่ถูกปกปิดมานานหลายปี

“เพราะผมรู้ไง...ผมถึงทำแบบนั้น”   ประโยคแรกที่หลุดออกมาจากริมฝีปากอิ่มที่เม้มแน่นนั้นทำให้คนฟังชะงัก   มองหน้าด้วยความไม่เข้าใจ  “ผมรู้ดีว่า ถ้าพี่รู้เรื่องน้องสาวผม  พี่จะไม่มีทางทิ้งผมให้อยู่คนเดียว  พี่จะไม่มีวันยอมไปเรียนต่อ  แล้วผมกับน้องก็จะกลายเป็นภาระของพี่ไปไม่สิ้นสุด”

“แต่พี่เต็มใจ  พี่เต็มใจรับภาระนั้น”

“แต่ผมไม่เต็มใจให้พี่ต้องมาแบก  ผม...ไม่ต้องการเป็นตัวถ่วงของพี่  ไม่ว่ากรณีใดๆ”  เสียงของเตกลับเฉียบขาดขึ้นมา  ท่าทางเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ  ตรงข้ามกับอีกฝ่ายที่กลับดูอ่อนแรงลงเรื่อยๆ

“นายไม่ใช่ตัวถ่วง...โธ่  เต  ทำไมถึงคิดแบบนี้  ทำไมตอนนั้นพี่ถึงไม่รู้ว่าเราคิดแบบนี้กันนะ”  ดิมยกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองแรงๆ

“ปล่อยผมเถอะ”  เตพูด   เหลือบตามองมือของอีกฝ่ายที่ยังคงบีบแน่นที่ต้นแขนเล็กบาง

“ไม่...” รดิศกลับรวบตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้แทน   ซบใบหน้าลงกับซอกคอของเขา   “ในเมื่อพี่รู้เรื่องทั้งหมดแล้ว  พี่จะไม่ยอมปล่อยนายไปหรอก”  ชายหนุ่มพูดออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ   คนฟังแนบใบหน้าลงกับแผ่นอกกว้างแล้วหลับตาลง 

.....ขอแค่นี้เอง  ขออยู่ตรงนี้แค่ครู่เดียว   ขอพักหน่อยเดียวเท่านั้น    ขอซึมซับไออุ่นเป็นครั้งสุดท้าย  คงไม่เป็นไรใช่มั้ย....

            “ปล่อยผมเถอะ”  ติณธรดันตัวออกในที่สุด   เงยหน้าขึ้นมองสบตาอีกฝ่ายตรงๆ  เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแวววูบไหวในดวงตาคมกริบคู่นั้น   ดิมยอมคลายอ้อมแขนออก

            “พี่จำคืนนั้นได้มั้ย   ที่ริมทะเล”  เตพูดช้าๆ  คุณหมอหนุ่มพยักหน้า   เขาไม่มีวันลืมเหตุการณ์นั้นได้อยู่แล้ว...คืนแรกของเรา...  มันติดอยู่ในความทรงจำของเขาแม้ยามหลับ

            “ผมบอกพี่ว่า  พี่ไม่เคยอยู่ในตัวเลือกของผม”   คนฟังแทบจะกลั้นหายใจ   เตหยุดไปนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ  “ผมยังยืนยันคำเดิม...”  อีกฝ่ายรีบพูดขัดขึ้นมาก่อนที่เขาจะพูดจบ

          “เต....ถ้านายโกรธ   เรื่องที่พี่ทำกับนาย  พี่ขอร้อง...”

“ผมไม่ได้โกรธ   แต่เรื่องระหว่างเรามันจบไปแล้วตั้งแต่ 8 ปีก่อนจริงๆ”  ประโยคที่อีกฝ่ายพูดใส่เขาในคืนนั้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง   เตจำได้อย่างแม่นยำราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน     เขาปลดมือที่จับอยู่ที่ต้นแขนตัวเองออก   รู้สึกได้ว่ามือของอีกฝ่ายสั่นน้อยๆและชื้นไปด้วยเหงื่อ

“เต   พี่ขอโทษ  ที่พี่ทำไปทั้งหมดก็เพราะว่าพี่เสียใจที่นายทิ้งพี่ไปนะ   นายคิดเหรอว่าพี่จะไม่เจ็บปวดเหมือนกัน  พี่...เสียใจยิ่งกว่านายอีก”   รดิศพูดเสียงสั่น   สีหน้าและท่าทางสงบนิ่งของตั้งเตในคืนนี้ทำให้เขาใจเสีย  สู้ให้อีกฝ่ายร้องไห้ออกมาเสียยังดีกว่าทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแบบนี้

“ผมก็เสียใจ...มากเกินไปแล้วสำหรับชีวิตหนึ่ง   ผมว่าเราสองคนมาถึงจุดที่...ควรจะหยุดได้แล้ว”  ราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ   คนฟังได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างมึนงง    นักเขียนหนุ่มถอยหลังไปสองก้าว   ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดเรียบๆ

“ผม...อยากขอให้คุณหมอรักษาภรรยาของผมอย่างสุดความสามารถด้วยครับ   เธอ...เป็นคนสำคัญของผม   ได้โปรดช่วยเธอให้หายเป็นปกติด้วยครับ”

ติณธรพนมมือขึ้นไหว้เขาแล้วเดินผ่านออกไปเงียบๆ 

ทิ้งให้คุณหมอยืนนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่างนั้นจนกระทั่งแสงทองลำแรกของดวงอาทิตย์สาดส่อง   รดิศจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องนอกอย่างไร้จุดหมาย  ฝ่ามือยกขึ้นนาบกับแผ่นกระจกเย็นๆ  ทว่ายังอุ่นกว่าหัวใจเขา

ดูเหมือนเตจะมีคำตอบสำหรับตัวเองแล้ว  แต่เขาเองกลับไม่รู้แม้แต่หนทางที่จะหาคำตอบ

จะทำอย่างไรต่อไปดี?

            ...........................................................................

            “คุณหมอดิม  หมอดิมคะ   คุณหมอ..”  ศัลยแพทย์หนุ่มสะดุ้งรีบหันไปหาคุณพยาบาลสาวสวยที่ส่งเสียงเรียกเขาอยู่

            “ไม่สบายหรือเปล่าคะนั่น  หน้าซี้ดซีด   ยังเหลือคนไข้อีกสิบกว่าคนแน่ะค่ะ”  พยาบาลหน้าห้องของเขาบอก  มองหน้าเขาอย่างเป็นห่วง นายแพทย์รดิศฝืนหัวเราะออกมานิดหนึ่ง  ยกมือขึ้นลูบใบหน้า

            “สบายดีหายห่วง  สงสัยเมื่อคืนจะ...หนักไปหน่อย”  พูดแกมหัวเราะ ขณะที่คุณพยาบาลสาวค้อนขวับ

            “แอบไปเที่ยวหรอคะ  เดี๋ยวดิฉันจะฟ้องแฟนคุณหมอ”  เธอส่งแฟ้มตรวจคนไข้ให้เขารับไว้

          “แฟนคนไหนหรือครับ  ไม่เห็นมี”  แกล้งพูดเล่นต่อ

            “แน่ะ  แปลว่ามีหลายคนล่ะสิคะ  ดีล่ะ  เดี๋ยวหมอวิรัลมาจะฟ้องให้หมดเลย” เธอยกมือขึ้นขู่เขา  ชายหนุ่มหัวเราะออกมาอีก 

            “อย่าเลย  สงสารผมเถอะ   แค่นี้ผมก็...จะไม่ไหวแล้ว”   เสียงแผ่วลึกทำให้คนฟังเงยหน้าขึ้นมองอย่างตกใจ  ทว่าเมื่ออีกฝ่ายกลบเกลื่อนด้วยท่าทางขี้เล่นเหมือนทุกครั้ง  ก็ทำให้คุณพยาบาลสาวค้อนเขาอีกครั้ง

            “น่าสงสารมากเลยค่ะหมอ”  เธอลงเสียงหนักแล้วหัวเราะ  เข้าไปช่วยพยุงคนไข้เข้ามานั่งด้านใน 

            รดิศตรวจคนไข้ต่อจนเย็น   เขาขอเลื่อนเคสที่ต้องผ่าตัดพรุ่งนี้ออกไปเป็นวันอาทิตย์หน้าด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่พร้อมและเคสก็ไม่เร่งด่วนอะไร   ท่ามกลางความสงสัยของเหล่าเพื่อนแพทย์และพยาบาล   ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายแพทย์ที่ขยันที่สุดของโรงพยาบาลกันแน่

            รันมาเยี่ยมเขาตอนเย็น   ดิมรู้ว่าพยาบาลคงแอบกระซิบบอกหมอรันเรียบร้อยแล้วถึงอาการผิดปกติของเขา  อีกฝ่ายถึงได้ทำท่าจับสังเกตเขาแบบนี้

            “ได้ข่าวว่าข้าวปลาไม่กิน  เป็นอะไรไปน่ะ .. ดิม”

          “คนไข้เยอะ  เลยอยากรีบตรวจให้เสร็จ   ขี้เกียจพักกินข้าว”

            “จริงเหรอ   หลอกเด็กสามขวบยังไม่เชื่อเลย” วิรัลพูดแกมหัวเราะ   พิศดูใบหน้าคมเข้มที่ซีดเซียว  เครารกครึ้ม ใต้ตาเขียวคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอน 

            “ไม่เชื่อก็ตามใจ   คนเราก็ต้องมีวันที่ฟิตกันบ้าง”

          “ถ้าฟิตจริงแล้วทำไมเลื่อนเคสผ่าพรุ่งนี้ล่ะ”  รันจี้  อีกฝ่ายยักไหล่ไม่ยอมตอบ   เอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ 

            “คนเขาสงสัยกันใหญ่ว่าคุณหมอดิมเป็นอะไรไป.....อ้อ  แล้วเคสภรรยาของคุณเตล่ะ  จะเลื่อนด้วยมั้ย” รันสังเกตเห็นว่ามือที่ถือถ้วยกาแฟอยู่นั้นสั่นน้อยๆ  อีกฝ่ายวางถ้วยลงกับโต๊ะทำงาน

            “ก็ดูก่อน ....ว่าผมพร้อมมั้ย”   ตอบเรียบๆ  ดิมไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องข้าวตังแล้วแม้เขาจะไม่ได้เล่าให้ฟัง   สำหรับคนรักที่ทำงานที่เดียวกัน  เรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับอีกคนย่อมแพร่ไปถึงอีกฝ่ายเร็วยิ่งกว่าเชื้อหวัดเสียอีก

          “อะไรที่ทำให้ไม่พร้อมล่ะ”

รดิศยักไหล่อีกครั้ง   เขาเอื้อมไปหยิบกระเป๋าแล้วลุกขึ้นจากโต๊ะทำงาน   หันมาพูดกับคนรัก

“วันนี้ผมหงุดหงิดนิดหน่อย  ขอโทษด้วยนะ  ไว้เจอกันพรุ่งนี้ล่ะกัน”   พูดแค่นั้นก็ผลักประตูเดินออกไปด้านนอก  รันมองตามหลัง  เม้มปากแน่น....ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนยังคงติดตา

ดิมรั้งแฟนเก่าเข้าไปกอดเอาไว้แน่น   แม้จะแอบมองอยู่ห่างๆจนไม่ได้ยินว่าทั้งสองพูดคุยว่าอะไรกัน  แต่เขาก็พอเดาออกจากท่าทางของคนทั้งคู่   เจ็บใจที่คนรักของตัวเองกลับเป็นฝ่ายเหนี่ยวรั้งและอ้อนวอน   แทนที่จะเป็นอีกคน!

นี่เหรอ คนที่เพิ่งขอเขาแต่งงาน   คนที่บอกว่ารักเขาคนเดียว  เหอะ!!

ชายหนุ่มสะกดกลั้นความไม่พอใจเอาไว้เต็มที่  ฝืนตัวเองไม่ให้กระโจนลงไปร่วมวงแล้วจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน   เขาหลบไม่ทันเมื่อเตหันหลังเดินกลับออกมา   จึงประจันหน้ากับอดีตคนรักของดิมเข้าเต็มๆ  เรามองหน้ากัน    ใบหน้าของเตนิ่งเฉยๆ เหมือนใส่หน้ากาก  ทว่าสายตาคมไวของเขากลับสังเกตเห็นได้ว่ามือทั้งสองของเค้ากำแน่นจนปลายนิ้วจิกเข้าไปในฝ่ามือ

ไม่ได้พูดอะไรกัน  เตก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อยแล้วเดินย้อนกลับไปตามทางเดิน  ส่วนเขายืนอยู่ที่เดิมเพื่อจับตามอง ‘คนที่เขาจะแต่งงานด้วย’ ยืนก้มหน้านิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงนั้น....

          รันไม่รู้ว่าร่างสูงสง่ายืนอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน   เพราะเขาเจ็บจนทนยืนดูคนรักอยู่แบบนั้นต่อไปไม่ไหว....ดิมยังคงตัดใจไม่ได้   เหมือนเขา...ที่ไม่เคยตัดใจจากดิมได้เลยแม้แต่วันเดียว

            กุมารแพทย์หนุ่มเดินตามอีกฝ่ายออกมาทันกันที่ลิฟต์   เขาคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้  พูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเหมือนทุกครั้ง  ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “ดิม....ถ้าเซ็งๆล่ะก็  เราไปเที่ยวกันไหมล่ะ”

          “รันไปเถอะ  ผมเบื่อผับเต็มที”

          “ใครว่ารันจะชวนไปผับเล่า  รันจะชวนขึ้นดอยตะหาก   ที่ดิมเคยบอกว่าอยากไปไง  เป็นของมูลนิธิเพื่อเด็กยากไร้ของโรงพยาบาลเรานี่ล่ะ   เขาจะไปบริจาคของให้เด็กๆกันสุดสัปดาห์นี้   ทีนี้รันจะไปออกหน่วยตรวจเด็กๆด้วย  คุณสนใจไปด้วยกันมั้ย  ไปนะไหนๆพรุ่งนี้ก็ว่างแล้ว”    วิรัลยิ้มอยู่ในใจเพราะคนฟังชะงักไป  ท่าทางสนใจอย่างเห็นได้ชัด  รีบคะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ  ในที่สุดอีกฝ่ายก็ตกลงใจที่จะไป

            “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้รันไปรับที่คอนโดดิมนะ  แล้วเราค่อยไปแอร์พอร์ตด้วยกัน”   ดิมพยักหน้ารับ   เขามองตามหลังร่างของคนรักอย่างพอใจ   อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ต้องจับทั้งสองคนแยกกันเอาไว้ก่อน 

            พลิกนาฬิกาข้อมือดูเวลา...เกือบห้าโมงกว่าแล้ว   ดีเหมือนกัน  เขาจะได้อาศัยจังหวะนี้แวะไป ‘เยี่ยม’ อดีตคนรักของรดิศและภรรยาเสียหน่อย

           

            วิรัลเคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายในห้องพักผู้ป่วยพิเศษโรคหัวใจ   ร่างของหญิงสาวนอนอยู่คนเดียวกลางห้องพัก   เธอกำลังหลับสนิท   เขาจรดฝีเท้าเดินเข้าไปใกล้ๆ

            “หมอรัน”  นายแพทย์เด็กสะดุ้งเฮือก  ไม่ทันเห็นร่างของใครอีกคนที่เพิ่งก้าวออกมาจากห้องน้ำ   ชายหนุ่มหันไปยิ้มให้บางๆ

            “คุณเต   ขอโทษที  ผมไม่ทันเห็น”  เขาบอก  กวาดสายตาสำรวจดูอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว   บอกกับตัวเองได้ว่าเตผอมลงไปมากจริงๆ  ท่าทางไม่ต่างกับคนรักของเขาเลยสักนิด...หึ

            “คุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้างครับ  พอดีผมเพิ่งรู้ข่าว”  เขาถาม   อีกฝ่ายหันไปมองหน้าภรรยาแล้วถอนหายใจเบาๆ

            “ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม...ก็  กำลังรอผ่าตัดอยู่ครับ   คงเร็วๆนี้”   เจ้าของห้องผายมือไปทางโซฟาที่อยู่มุมห้อง  ตัวเดียวกับที่เขาใช้นอนเฝ้าข้าวตังนั่นแหละ 

            “ออกไปคุยข้างนอกดีกว่าครับ  จะได้ไม่รบกวนคุณข้าวตังด้วย...เอ้อ  ว่าแต่คุณเตต้องรีบไปรับลูกหรือเปล่าฮะ”  รันถามขึ้นมา 

            “อีกสักครึ่งชั่วโมงครับ  คุณมีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่า”  ติณธรพูด  วิรัลพยักหน้า  พาเขาเดินออกมาจากห้องพัก  ตรงไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกที่ตั้งเรียงเป็นแนวยาวด้านหน้าวอร์ด   ตั้งเตประสานมือเข้าหากัน  เม้มปากน้อยๆ  เขากำลังนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนกันแน่

            หรือว่าพี่ดิมส่งมา...?

          “เมื่อคืนนี้....”  วิรัลตั้งต้น “พอดีผมบังเอิญเดินผ่านมา  ก็เลยเห็น  เอ่อ  พวกคุณสองคน....คุยกัน”   เขาพูด  เห็นอีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างสงบ  ก็ถามต่อ  “ผมขอทราบได้มั้ย  ว่าพวกคุณคุยเรื่องอะไรกัน  คงไม่ได้เป็นความลับใช่ไหม”

          นักเขียนหนุ่มเลิกคิ้ว  จู่ๆวิรัลก็รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนที่ละลาบละล้วงเรื่องของชาวบ้านแทน  ทั้งที่อีกคนควรจะเป็นฝ่ายอายเพราะไปยืนคุยลับๆล่อๆกับแฟนของเขา

            “ไม่ได้เป็นความลับหรอกครับ....เราแค่คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ   คุณหมอคงใจกว้างพอจะไม่เข้าใจผิดใช่ไหมครับ”

            “มันไม่ได้เกี่ยวกับว่าผมใจกว้างหรือเปล่า   แต่ภาพที่ผมเห็น  มันไม่ควรจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ...เรา....ผมกับดิม   เรากำลังจะแต่งงานกัน   ผมคิดว่าคุณควรรู้...”  เตเหลือบมองแหวนที่ประดับอยู่บนนิ้วของอีกฝ่ายแวบหนึ่ง  แสงเพชรวาววับจับตาทีเดียว   เขาพยักหน้ารับอย่างสงบอีกครั้ง

            “ยินดีด้วยครับ  ขอให้คุณทั้งสองครองรักกันไปนานๆ”  คนฟังไม่รู้เหมือนกันว่าถูกอีกฝ่ายประชดรึเปล่า  เพราะสีหน้าและแววตาของคนพูดตอนที่เอ่ยประโยคนี้ดูจริงใจเหลือเกิน   ไม่มีท่าทีว่าจะรู้สึกใดๆในทางลบกับเรื่องดังกล่าว ทั้งที่เกี่ยวกับเจ้าตัวโดยตรงแท้ๆ 

            ถ้าผู้ชายคนนี้ไม่เก็บอารมณ์เก่งมากๆ  ก็เหลืออีกอย่างเดียวคือ  เขา...ไม่เหลือใจให้อดีตคนรักแล้ว

            “ขอบคุณครับ  ผม...คงไม่ได้เชิญคุณไปงานนะฮะ  เข้าใจว่าคุณคงไม่สะดวก”

          “ครับ....ถ้าอย่างนั้น  ผมขอตัวก่อนนะครับ”   พูดจบนักเขียนหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนแล้วเป็นฝ่ายเดินกลับไปก่อน   จบการสนทนาที่แสนฝืดเฝื่อนนี้ไปภายในเวลาไม่ถึงสิบห้านาที

            ช่างเถอะ   อย่างน้อยเราก็ได้ตีวงกั้นเตเอาไว้เปลาะหนึ่งแล้ว  ที่เหลือก็แค่ รดิศ คนเดียวเท่านั้น

          ...

            “เสร็จแล้วค้าบ  คนเก่ง  ไม่ร้องไห้แล้วนะ  โอ๋  คนต่อไป  เด็กหญิงอองตองจ้า  อยู่ไหนเอ่ย  โอ๊ยทำไมงามแต๊งามว่างามผี้หลี้เน้ออองตอง”  เสียงใสๆพูดแกมหัวเราะ  รดิศส่ายหัว ยกนิ้วให้กับความสามารถหลอกเด็กของคนรัก

            สมแล้วที่เรียนมาด้านนี้โดยเฉพาะ

            เขาหันไปยิ้มให้เด็กน้อยอีกคนหนึ่งที่ยืนยิ้มอายๆอยู่กับมารดา  เธอหัวเราะคิกเห็นฟันหน้าหายไปสองซี่  แล้ววิ่งหนีจู้ดไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้

            “ดิมกับเด็กนี่ไม่ค่อยถูกกันจริงๆด้วยแฮะ  ฮ่าๆ”  กุมารแพทย์แซวลอยๆ อีกฝ่ายหัวเราะ  ยอมรับแต่โดยดี

            “ก็คงจริง  เอาเถอะ  ตรวจผู้ใหญ่ก็ได้  ยังมีป้าๆลุงๆคุณตาคุณยายให้ตรวจอีกเพียบ” 

            กว่าจะตรวจกันเสร็จครบทั้งหมู่บ้านก็เกือบเย็นแล้ว   คนในหมู่บ้านช่วยกันจัดหาสำรับอาหารมาเลี้ยงดูคณะที่มาช่วยออกตรวจยังดินแดนที่ทุรกันดารแห่งนี้   อากาศบนนี้ยิ่งมืดยิ่งหนาวเย็นลงเรื่อยๆ  พอตะวันลับขอบฟ้า ก็คล้ายจะพาความอบอุ่นไปจนหมด   ศัลยแพทย์หนุ่มห่อตัวลง  นึกดีใจที่ติดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่มาด้วย

            “เอาผ้าพันคอหน่อยมั้ยดิม”  คนรักของเขาส่งผ้าพัอคอไหมพรมสีเข้มมาให้  เขารับเอาไว้  ตวัดชายผ้าคลุมไปด้านหลัง

            “ขอบคุณมากนะรัน”

          “เรื่องเล็กน่า   รันรู้ว่าดิมไม่ได้เอาผ้าพันคอมาแน่ๆก็เลยเอามาเผื่อ”  ร่างเล็กที่อยู่ในชุดกันหนาวพร้อมพูดพลางกอดอก  มองออกไปเบื้องหน้าเห็นแสงไฟจากหลังคาบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ใกล้ๆกันเป็นหย่อมๆ  เสียงหรีดหริ่งเรไรเริ่มดังขึ้นด้านหลังแนวไพรที่แวดล้อมอยู่โดยรอบ

            “ดิมหมายถึงที่รันชวนมาหน่วยออกตรวจด้วยกัน  ขอบคุณมากนะ”  ไม่บ่อยที่คนรักจะเรียกแทนตัวเองด้วยชื่อเล่นแบบนี้   รันยิ้มเขยิบเข้าไปใกล้อีกฝ่ายแล้วซบศีรษะลงกับไหล่แข็งแรงนั้น  อีกฝ่ายโอบแขนไปรอบตัวเขา กอดเอาไว้หลวมๆ

            ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณคนรักจริงๆ  อย่างน้อยก็ช่วยให้เขามีเรื่องอื่นให้คิดบ้าง...

            “นิดหน่อยเอง  ดิมชอบรันก็ดีใจ....พักนี้เห็นดิมเบื่อๆ  เลยหาอะไรมาเปลี่ยนบรรยากาศ  รู้สึกดีขึ้นหรือยัง”  เงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากที่ปลายคางรกครึ้มนั้นแผ่วเบา  อีกฝ่ายจูบตอบที่ขมับของเขา   พึมพำ

            “ผมโชคดีจัง  ที่มีรันอยู่เคียงข้างทุกครั้งที่ไม่สบายใจ”

            ....ได้แค่อยู่เคียงข้างเท่านั้น  แต่ไม่เคยได้อยู่ในใจของดิมเลยใช่ไหม....บอกรันทีสิว่าดิมยังรักรันอยู่  รักรันคนเดียว  ทำให้รันมั่นใจ....

          “ดิม...รักรันไหม”  สุดท้ายก็ต้องกลับมาที่คำถามโง่ๆที่เขาเคยนึกยิ้มเยาะเวลาได้ยินคนรักเขาถามกัน    ต้องยอมรับว่ามันตรงประเด็นที่สุดแล้ว

            อีกฝ่ายเงียบไปนานจนเขาชักใจหาย  หรือว่าเค้าจะไม่รักเราแล้วจริงๆ ....ไม่เคยรัก?

          “รันมีบุญคุณกับผมมาก  สิ่งที่ผมรู้สึกกับรัน  มันยิ่งกว่าคำว่ารักไปมากมายนัก”  เสียงของคนพูดแหบลึกอยู่ในอก   วิรัลซบใบหน้าลงกับแผ่นอกนั้น  ถอนหายใจยาว

            “รันไม่ต้องการอะไรมากมายขนาดนั้นหรอก  แค่คำว่ารักจากดิม   ก็พอใจแล้ว”  เขาพูดเบาๆ  นิ่งอยู่ในท่านั้นครู่หนึ่งก็ผละออก   เงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ

            “เข้าไปช่วยข้างในแยกของกันดีกว่า  พรุ่งนี้จะได้เอาไปให้เด็กๆที่โรงเรียนกัน”  คุณหมอเด็กพูดแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านพักทันทีโดยไม่รออีกฝ่าย    รดิศมองตาม  เขาสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าเต็มปอดอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปในบ้านพัก

            ของที่เตรียมมาบริจาคปะปนกันไปหมดเพราะการเดินทาง   พวกเขาช่วยกันแยกของออกเป็นกองๆ อุปโภคบริโภค   ดิมนึกทึ่งที่เห็นของบริจาคมากมายขนาดนี้   หลายชิ้นอยู่ในสภาพดีเยี่ยมราวกับเพิ่งซื้อมาใหม่โดยเฉพาะ   หญิงสาวที่เป็นพนักงานของมูลนิธิเห็นเขาหยิบของขึ้นมาพลิกดูอย่างประหลาดใจก็หัวเราะ

            “ของใหม่ยังดีทั้งนั้นเลยค่ะคุณหมอ”

          “นั่นสิ  ผมก็กำลังแปลกใจ บางชิ้นเหมือนเพิ่งซื้อมาเลย  นี่คือของบริจาคแน่เหรอ”

          “บางคนเขาก็ใช้วิธีซื้อของมาให้เลยค่ะ  เขารู้ว่ามูลนิธิของเราจะเอามาแจกน้องๆทุกปี  เขาก็จะซื้อมาให้ประจำ  ถ้าของใหม่ๆน้องๆก็จะได้ใช้ได้นานๆ  แต่ถึงเป็นของเก่าเราก็ไม่ทิ้งหรอกนะคะ   เราคัดชิ้นที่ยังสภาพดีเอามาให้  ถ้าอันไหนเก่าเกินไป หรือพวกของเล่นที่มันเล่นไม่ได้แล้ว  เราก็ไม่ได้เอามาบริจาคค่ะ”   เธออธิบาย  หยิบลูกเทนนิสที่ดูออกว่าคงจะมีอายุหลายปีขึ้นมาส่งให้เขา

            “อันนี้ยังสภาพดีอยู่เลยค่ะ  ถึงจะเก่าไปหน่อย  แต่เด็กก็น่าจะได้ใช้”

          ดิมรับมาพลิกดู   ข้างลูกเทนนิสมีตัวอักษรเขียนเอาไว้   คล้ายๆตัวเลขบอกวันที่...เขาขมวดคิ้ว

“--/--/--”   วันที่ที่เขียนเอาไว้ทำให้เขาใจเต้นแรงด้วยสังหรณ์ประหลาด   กวาดสายตามองกล่องใบนั้นที่เจ้าหน้าที่สาวกำลังล้วงหยิบของในนั้นขึ้นมาดู ....ผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองเพราะความเก่า

“ผม....ขอดูหน่อยได้ไหมครับ”   เขาไม่อาจบังคับเสียงและมือตัวเองไม่ให้สั่นได้   เธอส่งผ้าผืนนั้นให้เขาอย่างงงๆ ชายหนุ่มรับมาคลี่ดูที่มุมผ้า 

ตัวเลขยึกยือที่เขาบรรจงเขียนเอาไว้เอง.....ผ้าซับเหงื่อกับแผนแลกเบอร์โทรของเขา...วันที่เขาได้รู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจอยู่บ้างเหมือนกัน...

เจ้าหน้าที่สาวมองคุณหมอที่จู่ๆก็เอื้อมมือไปคว้ากล่องกระดาษใบนั้นขึ้นมาถือเอาไว้อย่างประหลาดใจ  ใบหน้าคมเข้มนั้นแดงก่ำ   เขาหันมาบอกเธอเสียงสั่น

“ผมขอกล่องใบนี้ไปก่อนได้ไหมครับ  แล้วผมจะชดใช้เป็นเงินแทนให้”

“เอ้อ  ไม่เป็นไรค่ะ  ไม่ต้องชดใช้  เป็นของบริจาคน่ะค่ะ”

“ใครเป็นคนเอามาบริจาค คุณทราบมั้ย”

“ต้องดูรายชื่อก่อนค่ะ  มีสมุดรายชื่ออยู่ที่คุณแป๋ว  เอ่อ  ดูเหมือนว่าคุณแป๋วจะออกไปข้างนอก....คุณหมอ”  รดิศไม่รอแล้ว  เขามั่นใจเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ารู้ชื่อเจ้าของที่แท้จริงของกล่องใบนี้ 

“ยังมีของจากกล่องใบนี้อีกหรือเปล่า”

“น่าจะไม่นะคะ  เพราะดิฉันก็เพิ่งเปิดเทปกาวออกเมื่อกี้นี่เอง”

ศัลยแพทย์หนุ่มพยักหน้ารับ  เขาเก็บลูกเทนนิสและผ้าเช็ดหน้าฝืนนั้นกลับใส่กล่องเหมือนเดิมแล้วอุ้มกล่องใบนั้นขึ้นแนบอก  เดินจ้ำออกมาด้านนอก   เหลียวซ้ายขวาเห็นแคร่ไม้ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านพักก็เดินตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่ง  จ้องมองกล่องใบนั้นด้วยความอัศจรรย์ใจ

ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด  ดูเหมือนว่ากล่องใบนี้จะเป็นของ....

มือเร็วเท่าความคิด  ชายหนุ่มเปิดฝากล่องออกดูของภายในนั้นทีละชิ้น....ร่มคันเก่าสีซีด  ตุ๊กตาวาเลนไทน์   ก้อนหินทับหนังสือ  เปลือกหอยรูปร่างต่างๆ  อัลบั้มรูปหลายเล่มที่วางเรียงเป็นระเบียบอยู่ที่ก้นกล่อง  ฯลฯ  ที่เขาหยิบขึ้นมาดูทีละอย่าง

ของบางชิ้นเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามันมีความสำคัญยังไง  หรือมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น แต่เจ้าของกล่องใบนี้ได้เขียนวันที่เอาไว้ด้วยทุกชิ้น  ถึงสิ่งของจะเก่าตามกาลเวลาแต่สภาพของมัน ใครก็ดูออกว่าถูกเก็บรักษาเอาไว้ด้วยความทะนุถนอมอย่างดียิ่ง

เจ้าของสิ่งเหล่านี้จะต้องรักมันมาก....เขาบอกตัวเอง    แล้วเหตุใดมันจึงมาอยู่ที่กองบริจาคได้...?

            เขาหยิบสมุดเล่มสุดท้ายขึ้นมาเปิดออกดู....ลายมือของเขากับเตยังเขียนเอาไว้เต็มหน้า    เป็นตอนที่เขาขอให้อีกฝ่ายติวหนังสือให้นั่นเอง   ....รู้สึกจุกแน่นในอกคล้ายคนหายใจไม่ออก   ดิมล้วงมือลงไปสำรวจจนทั่วกล่องให้มั่นใจว่าไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่อีก

            ปลายนิ้วสะดุดกับขอบแข็งๆที่ยื่นออกมานิดหนึ่ง  เขายกกล่องขึ้นดูกับแสงไฟ  เห็นขอบของอะไรสักอย่างคล้ายสมุดปกแข็งสอดอยู่ที่ก้นกล่อง  ซ่อนจากสายตา

            ชายหนุ่มใช้นิ้วแงะขอบของกล่องกระดาษออกแล้วคว่ำลงเขย่าแรงๆจนของสิ่งนั้นหล่นลงมาที่ตัก   

            สมุดปกแข็งสีน้ำทะเลวางแผ่อยู่ตรงหน้า   กระดาษเริ่มกลายเป็นสีเหลืองอ่อนๆ แต่ตัวอักษรที่เขียนเอาไว้ด้วยหมึกสีดำยังเห็นชัด  ไม่จางหาย

ลายมือเรียบร้อยที่เขาจำได้ขึ้นใจว่าเป็นของใคร เขียนอยู่ที่หน้าแรกว่า

…ไดอารี่ของตั้งเต…






ยังไม่จบตอน
มาต่อดึกๆค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 02-05-2017 19:31:13
เข้าใจตั้งเตเลย บางทีทั้งสองคนก็มาไกลเกินกว่าจะย้อนกลับไปจริงๆ  :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 02-05-2017 19:51:44
ไม่อยากให้คนเลวๆแบบรัลสมหวัง. และอยากให้ดิมรู้สิ่งที่รันทำ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: godofhill ที่ 02-05-2017 20:44:08
หาจุดที่จะเชื่อมให้ทั้งสองคนกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่เจอ TvT
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 02-05-2017 20:46:59
วันที่ --/--/--

         

          ......วันนี้คุณหมอมาตรวจตังอีกครั้งตอนบ่าย  เค้าบอกว่าเธอมีความผิดปกติอะไรบางอย่างที่หัวใจ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยมากกว่าคนท้องทั่วไป  หมอบอกต้องตรวจละเอียดอีกทีด้วยเครื่องคล้ายๆอัลตราซาวน์   ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆอาจจะต้องผ่าตัดก็ได้   แต่ก็หลังจากที่เธอคลอดก่อน......

.....ตังยังไม่ยอมพูดกับหมอเหมือนเดิม  แม้แต่กับเรา  ก็ยอมพูดด้วยไม่กี่คำ  วันๆเอาแต่นอนนิ่งๆ เราเป็นห่วงเธอจริงๆ......

......พี่โดมชวนเราไปทำงานกับนิตยสารของเค้า  เรายังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าจะไปทำด้วยดีมั้ย  ที่เดิมก็ดีอยู่แล้ว  วันก่อนเจอพี่เปิ้ลที่ธนาคาร  เธอชวนไปทำงานที่โรงเรียนของเธอ   อยู่จังหวัดสกลนครแน่ะ  อยากไปอยู่เหมือนกัน  แต่ติดที่ตังกับ......

......เรื่องพี่ดิมทำให้เรานอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว   คิดไม่ตกว่าจะเอาอย่างไรดี  จนถึงตอนนี้เราก็ยังไม่ได้เล่าเรื่องตังให้เขาฟัง  ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้าเล่า  ทั้งที่เป็นเรื่องของน้องสาวเราเองแท้ๆ  หรือเป็นเพราะเหตุนี้?

 

วันที่ --/--/--



........เรามาวิ่งที่สวนสาธารณะคนเดียวตอนค่ำ  หลังจากเพิ่งแยกกับพี่ดิมเมื่อบ่าย  เราไปกินข้าว....พี่ดิมพาไปถ่ายรูปติดบัตรด้วยกัน   อาทิตย์หน้าจะได้ไปทำเรื่องย้ายไปแพร่  เราจะย้ายไปที่นั่นด้วยกันได้จริงๆเหรอ  ในเมื่อน้องสาวของเรายังนอนโรงพยาบาลอยู่ที่นี่?

เรายังไม่ได้บอกพี่ดิมเลย  ถ้าบอกไปก็คงเกิดเรื่องยุ่งยากวุ่นวายขึ้นมาอีก   จะย้ายตังไปแพร่ด้วยกัน  โรงพยาบาลที่นู่นก็มีเครื่องไม้เครื่องมือไม่พร้อมเหมือนที่นี่  เกิดน้องเป็นอะไรขึ้นมาก็ต้องส่งตัวเข้ามาในกทม.อีก  ยิ่งตอนนี้เธออ่อนแอลงไปมากจริงๆ  จนเราอยากจะให้เธอแท้งไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด   แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก  เพราะลูกในท้องของเธอทำให้เธอยอมมีชีวิตอยู่ต่อ

บางทีเราก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า   ทำไมเราไม่ปล่อยพี่ดิมไปล่ะ  ความคิดนี่เริ่มเข้ามาในหัวเราบ่อยขึ้นทุกที  เห็นเพื่อนพี่ดิมบางคนเตรียมตัวไปเรียนต่างประเทศ  ได้ยินพี่รันเล่าว่ามีอาจารย์มาชวนพี่ดิมไปเรียนต่อถึงบ้าน  แต่พี่เค้าก็ปฏิเสธไป  เราอึดอัดใจจัง  รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นอะไรไม่รู้ที่ถ่วงพี่ดิมเอาไว้  แล้วยังมีหน้ามาดีใจที่จะได้อยู่กับพี่เค้าอีก

            ถึงพี่ดิมจะบอกว่าเขาอยากไปกับเราก็เถอะ  แต่มันก็ไม่ใช่มั้ยล่ะ   แม่พี่ดิมพูดถูก   ถ้าเรารักพี่ดิมจริง  ก็ต้องอยากเห็นพี่เค้ามีอนาคตที่ไกลกว่านี้สิ.......

 

         วันที่ --/--/--   


          ทุกอย่างดูติดขัด  ไม่ลงตัวไปหมด  ข้าวตังต้องเข้ารับการผ่าตัดจริงๆ  ลิ้นหัวใจของเธอรั่ว  แต่ติดตรงที่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่ และเธอต้องการลูกมาก   น่าแปลกดีเหมือนกันสำหรับคนที่เคยคิดทำแท้งมาก่อน  ที่วันนี้จะรักและหวงแหนบุตรในครรภ์ได้มากขนาดที่ยอมอดทนแม้ว่าตัวเองจะไม่สบายมาก

          วันนี้แม่พี่ดิมมาหาเราอีกครั้งหนึ่ง   เธอพูดทั้งน้ำตาว่า ได้โปรดเห็นแก่อนาคตลูกของเธอ   เธออยากให้พี่เค้าไปเรียนต่อจริงๆ   เธอบอกว่าที่บ้านมีหนี้สินมากเหลือเกินเพราะต้องกู้มาให้พี่ดิมเรียน  แค่ทุนของคณะฯไม่เพียงพอที่จะส่งพี่เค้าเรียนจนจบ 6 ปีหรอก...เราก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่ดิมมีหนี้ติดตัวมากขนาดนี้  พี่ดิมไม่เคยเล่าให้ฟังเลย...แม่พี่ดิมบอกว่าการไปเรียนต่อครั้งนี้จะเท่ากับการปลดหนี้  เพราะหลังจากเรียนจบแล้ว  ค่าตอบแทนของพี่เค้าจะสูงมากเสียจนสามารถใช้หนี้ได้หมดภายในเดือนเดียว   แต่ถ้าพี่ดิมอยู่ทำงานใช้ทุนต่างจังหวัด  คงต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะปลดหนี้ได้

          และที่สำคัญก็คือ  พี่ดิมเก่งเกินกว่าจะมาใช้ชีวิตอยู่เป็นหมอทั่วไปตามโรงพยาบาลอำเภอ   เขามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นอาจารย์แพทย์  คงน่าเสียดายมากถ้าจะยอมให้เขาทิ้งอนาคตเอาไว้ข้างหลังแบบนี้   ทุนที่พี่ดิมได้เป็นทุนที่พิเศษและได้ยากมาก   แม่พี่ดิมบอกว่าบางคนวิ่งเต้นใช้เส้นสายแทบตายก็ยังไม่ได้ทุนนี้  แต่พี่ดิมนอนมาขนาดว่าอาจารย์เป็นคนเสนอชื่อให้เองเลยด้วยซ้ำ

          เราสงสารแม่พี่ดิมมากและเข้าใจด้วย  เรารู้ว่าเธอไม่ชอบเรา แต่วันนี้เธอลงทุนอ้อนวอนเราอยู่นานกว่าจะกลับไป  เรารู้ว่านี่คงเป็นไม้สุดท้ายของเธอแล้วจริงๆ

          เราเห็นใจหัวอกของคนเป็นแม่   ถึงแม้เราจะเจ็บเพราะรู้สึกว่าเป็นเราที่กลายเป็นตัวถ่วงลูกของเขาก็ตาม

          เราคงต้องตัดสินใจแล้วล่ะ  ในเมื่อทุกอย่างมันมีอุปสรรคไปหมด   ทั้งปัญหาของเราเอง  ทั้งของพี่ดิม  ต่อให้เราดื้อแพ่งจะอยู่ด้วยกัน  เราก็คงไม่มีความสุขหรอก  ในเมื่อเรารู้ดีว่าเรากำลังมีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้หญิงถึงสองคน  ไม่สิ  ของเราด้วย....เราคงโทษตัวเองไปตลอดชีวิตแน่ๆ

          ต้องตัดสินใจจริงเหรอ   ไว้พรุ่งนี้ได้มั้ย.....

 

 

         วันที่ --/--/--

          ..........เรานั่งรื้อของที่พี่ดิมเคยซื้อให้ตลอด 4 ปีกว่าๆที่คบกันมา  ไม่น่าเชื่อว่าระหว่างเราจะมีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นได้ขนาดนี้   นึกถึงวันแรกที่เราได้เจอกันแล้วตลกชะมัด   วันนั้นเราไปสายเพราะแวะซื้อของเป็นเพื่อนพี่กิ่ง  พอถึงงานรับน้อง  หลายฐานก็เลิกเล่นกันไปแล้ว  มองไปเห็นแต่ฐานหนุ่มน้อยตกน้ำของคณะแพทย์ที่ยังจัดอยู่  มีผู้ชายคนนึงนั่งหาวหวอดอยู่เหนือถังน้ำนั่น   ตัวแห้งสนิทผิดกับชื่อฐานไปมาก  คงไม่มีใครสามารถทำให้เค้าตกน้ำได้สำเร็จ

          วันนั้นเราแค่อยากแกล้งพี่เขาเท่านั้น    เห็นง่วงดีนัก  ลงไปแช่น้ำเย็นๆเสียหน่อยแล้วกันจะได้สดชื่นขึ้นบ้าง  สภาพของเขาตอนขึ้นมาจากถังน้ำยังติดตาอยู่เลย  หัวลีบๆแบนๆหน้าตาเหรอหรา   ตลกชะมัด  พอขึ้นมาได้ก็โวยวายใหญ่ว่าใครปาโดนเป้า   เค้าคงไม่รู้หรอกว่าตอนที่หันมามองหน้าเราตอนนั้น  เราเขินขนาดไหน   แถมยังจะยืนมองเรายิ้มๆอยู่อีก   เราโดนเพื่อนเก็บเอาไปล้อหลายวันเลยนะ  รู้บ้างหรือเปล่าฮึ!

          แล้วเราก็เจอกันอีก  น่าแปลกที่เราเจอกันบ่อยมากจนเรารู้สึกว่าคงเป็นพรหมลิขิตแล้วล่ะ  เราไม่กล้าเข้าไปทักเขาหรอก  ได้แต่ยกมือไหว้บ้าง  เพื่อนเราไปสืบมาให้ว่าเขาชื่อรดิศ  ชื่อเล่นว่าดิม  เป็นเดือนคณะแพทย์ปี2ที่โคตรป๊อบ  สาวๆกรี้ดกันทั้งมอ  เป็นนักกีฬาฟุตบอลด้วย   เสียดายที่เราเล่นบอลไม่เก่ง  เล่นเป็นแต่แบต  ไม่งั้นจะรีบไปสมัครเข้าทีมไปแล้ว   ได้แต่หาเรื่องไปแถวสนามบอล  แอบมองอยู่ห่างๆข้างสนาม

          บังเอิญมากที่พี่ดิมดันชอบไปวิ่งที่สวนสาธารณะเดียวกันกับเรา  ตอนที่เห็นเขาครั้งแรกที่นั่น ดีใจสุดๆ แม้ว่าจะแกล้งทำเป็นจำชื่อเค้าไม่ได้  ฮ่าๆ  จริงอยู่ที่การเจอกันครั้งแรกอาจเป็นเรื่องบังเอิญ  แต่ครั้งถัดๆมา...เป็นเราเองที่จงใจไปวิ่งที่นั่นทุกวัน  หวังแค่จะได้เห็นหน้าเขาบ้างก็ยังดี 

          ไม่อยากเชื่อเลยที่พี่ดิมแลกเบอร์กับเราด้วยมุขผ้าเช็ดหน้านั่น  เป็นวันที่เรามีความสุขที่สุดนับตั้งแต่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯเลยล่ะ   เราพับผ้าผืนนั้นไว้ใต้หมอน  ดีใจที่หัวใจเราตรงกัน   พี่ดิมมีใจให้เราเหมือนที่เราแอบปลื้มพี่เค้ามานานแล้ว

          หลังจากนั้นเราก็ได้เป็นแฟนกัน

          ทะเลาะกันบ้าง  ดีกันบ้างตามประสา  แต่พี่ดิมก็เป็นทั้งคนรัก  ทั้งเพื่อน ทั้งพี่(บ้างครั้งเป็นพ่อด้วย) ที่ดีที่สุดสำหรับเรา   หลายครั้งที่เรามีปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม  เขาก็ช่วยให้ผ่านไปได้  แม้บางครั้งเค้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังมีปัญหาอยู่...เรารู้ว่าเค้าเรียนหนักมากจริงๆ  บางเรื่องที่เราว่าเราแก้เองได้  เราก็ไม่อยากเล่าให้เค้าฟังหรอก  จะหนักใจไปด้วยเปล่าๆ...

          ถ้าถามว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตของเราคือตอนไหน  เราตอบได้อย่างไม่ลังเลเลยว่า  ตอนที่เป็นแฟนพี่ดิมนี่ล่ะ   เราว่ามันเป็นช่วงที่เราได้เรียนรู้ที่จะรัก  และได้ความรักตอบแทนกลับมา   ทุกครั้งที่เห็นหน้าเค้า  หัวใจของเราเต็ม  ทุกครั้งที่มีปัญหา  เรารู้ว่าเค้าอยู่ข้างๆเราเสมอ   

          เราถึงเสียดายเหลือเกินที่จะต้องปล่อยช่วงเวลานี้ให้เลยผ่านไป   มันไม่มีทางแล้วหรอที่จะเก็บรอยยิ้ม  เสียงนุ่มๆ  แววหวานๆในดวงตาคู่นั้นเอาไว้กับตัวได้ตลอดไป  จะมีทางไหนมั้ย  เรายอมแลกทุกอย่าง

          ทุกประตูล้วนปิดตายสำหรับเราแล้วจริงๆ  ไม่ใช่ว่าเราไม่พยายามจะเปิดมันออก  เราพยายามแล้ว   เราตะกุยจนเลือดออกเลยด้วยซ้ำ  แต่บานประตูเหล่านั้นล้วนถูกปิดล็อคด้วยหยาดน้ำตาของคนที่เรารัก  และคนที่พี่ดิมรัก  เราไม่สามารถจะทิ้งคนเหล่านั้นเอาไว้ข้างหลังเพื่อความสุขของตัวเองได้  มันใจร้ายเกินไป

          เรากดโทรศัพท์ไปหาพี่ดิมกลางดึก   เสียงของเขาร่าเริงเหลือเกินตอนที่เราชวนไปดูหนังและทานข้าวด้วยกัน....เป็นครั้งสุดท้าย   เรายังไม่เข้มแข็งพอที่จะบอกลาเค้าหรอก   

          เรายังไม่พร้อมจะปล่อยมือเขาไป 

         

          วันที่ --/--/--

          วันนี้พี่ดิมใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้า  กางเกงสีน้ำตาลอ่อนพอดีตัว  ดูสดใสกว่าทุกวัน  เราไปดูหนังเรื่อง……..ด้วยกัน   คราวนี้เราเป็นฝ่ายเลือกเรื่อง  เวลาแบบนี้อะไรจะเหมาะสมไปกว่าหนังรักโรแมนติกที่จบอย่างแฮปปี้เอนดิ้งกันล่ะ

          เราจับมือพี่ดิมเอาไว้ตลอดเวลา  ตั้งใจไว้ว่าเราจะตักตวงเอาความสุขจากวันนี้เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้  เก็บเอาไว้เป็นความทรงจำดีๆ  ในยามที่เราจะต้องจากกัน

          รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของพี่ดิม  สัมผัสของพี่ตอนที่เขาจูบเรา  มันทำให้เราน้ำตาซึม  พี่เค้าตกใจใหญ่ว่าเราร้องไห้ทำไม  เราทำได้แค่ยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร

          เราขอให้พี่ดิมพาไปทานข้าวร้านที่เราเคยมากินด้วยกันครั้งแรก   ไม่รู้พี่เค้าจำได้หรือเปล่า  อาหารวันนี้ไม่อร่อยเหมือนเมื่อ 4 ปีก่อนเลย   อันที่จริงเราไม่รู้รสชาติของมันด้วยซ้ำ   เพราะเราเอาแต่นั่งมองหน้าพี่อยู่อย่างนั้น   นึกสงสัยว่าอีกนานแค่ไหนกัน  เราจะได้กลับมานั่งกินข้าวด้วยกันอีก

          เคยได้ยินคนบอกว่า  พอเรามาถึงจุดจบ  เราก็จะเริ่มคิดถึงจุดเริ่มต้นอีกครั้ง....  คงจะจริง  คืนนี้เรานึกเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเค้าได้หมด  แม้แต่บางเรื่องที่ลืมไปแล้ว  ก็กลับผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่วัน  ไม่ใช่ผ่านมายาวนานเกือบ 5 ปีอย่างนี้   

เราเอากล้องถ่ายรูปไปด้วย  แต่กลับไม่ได้ถ่ายเลยสักรูป  บางครั้งเราก็รู้สึกว่า  เราอยากเก็บภาพทั้งหมดเอาไว้ในใจเรามากกว่า   รูปถ่ายของพี่ไม่จำเป็นสำหรับเราเลย  เพราะเรามองเห็นใบหน้าของเค้าในมโนภาพชัดยิ่งกว่าในภาพถ่ายมากมายนัก....

โรงพยาบาลโทรมาหาเรา บอกว่าอาการของตังทรุดลง  เรารีบออกจากหอไปเยี่ยมเธอตั้งแต่เช้า  เธอจับมือเราแน่น  พูดกับเราเป็นประโยคแรกว่า  อย่าทิ้งเค้ากับลูก 

แค่นั้นเราก็น้ำตาไหล  สงสารน้องจับใจ   เธอไม่เหลือใครแล้วจริงๆ  มีแค่เราเท่านั้นที่จะช่วยเธอได้...

หมอบอกว่าอาการของเธอค่อนข้างอันตรายมาก  ไม่สมควรจะตั้งครรภ์ต่อไป  เราอยากให้เธอหยุด  เราอ้อนวอนเธอแต่เธอไม่ยอม  เธอบอกเราว่าเธอจะสู้ต่อ  เราเข้าใจเธอนะ  คนเราก็ควรจะต้องมีจุดมุ่งหมายในชีวิต  เป้าหมายอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกว่า ตนเองยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อสิ่งนั้น   ทำให้รู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า.....สิ่งที่ตังรู้สึก  ไม่ต่างกับความรู้สึกในใจของเราเลย   เราก็เลยตกลง  เพราะเด็กคนนี้ก็คืออนาคตที่เราเลือกแล้วเหมือนกัน ....เรารับอาสา   ในเมื่อพ่อที่แท้จริงของมันไม่สนใจ  เราก็จะเป็นพ่อของเด็กคนนี้เอง

ถึงเวลาแล้ว  เรารู้ทันทีว่าเราต้องเลือก  ระหว่างความสุขในชีวิตของตังรวมถึงอนาคตของเธอ  กับความสุขของเรา  ที่ผูกติดไว้ด้วยอนาคตของพี่ดิมเช่นกัน...

เราตัดสินใจในเช้าวันนั้นเอง  ท้องฟ้าสดใสมากตรงข้ามกับหัวใจของเรายามที่กดโทรไปหาพี่ดิม  เราขอนัดพี่เขาออกมาคุยที่สวนสาธารณะ...ที่ๆเรามีความสุขที่สุดในชีวิต  กลับไปยังจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์อันยาวนาน  เราจะพบ..เพื่อจากกันที่นั่น 

ที่ๆเราจะยอมปล่อยมือพี่เค้าไปจริงๆเสียที

ระหว่างนั่งรถโดยสารประจำทางไปที่นั่น  เราครุ่นคิดหาคำพูดดีๆ ประโยคที่จะบรรยายความรู้สึกของเราออกมาอย่างแจ่มชัด ทว่าไม่เปิดโอกาสให้เค้าซักถาม  สั้นกระชับได้ใจความ  เพื่อที่เราจะได้ไม่เผลอร้องไห้ออกมาต่อหน้าเค้า

พอเห็นหน้าพี่ดิมแล้วเราพูดไม่ออก  แวบหนึ่งที่เราคิดว่าการเขียนจดหมายหรือบอกทางโทรศัพท์อาจจะดีกว่า  เราจะได้ไม่ต้องยืนสบตาเค้า  เห็นรอยยิ้มของเค้าแบบนี้  มันยากสำหรับเราที่จะต้องเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคบอกลา  คำพูดที่เตรียมมาหายแวบออกไปจากสมองหมด   เหลือแค่คำพูดที่ตะโกนอยู่ในใจ

‘พี่ครับ  ผมขอโทษ  ผมไม่รู้จะทำยังไงดี  ผมเสียใจมาก  พี่ดิม...  พี่ได้ยินใช่มั้ย’

          แน่นอนว่าพี่ดิมไม่ได้ยิน  เพราะคำพูดเหล่านั้นมันไม่ได้ผ่านริมฝีปากของเราออกมาเลยซักนิด  มีเพียงประโยคบอกเลิกดาษดื่นที่ได้ยินพร่ำเพรื่อในละครน้ำเน่า....พี่ดีเกินไปสำหรับผม  ผมขอโทษด้วย.....

          จะพูดอะไรออกไปมากกว่านี้หรือเปล่า  ก็จำไม่ได้  เพราะเรารีบหันหลังกลับแล้ววิ่งจากมาก่อน   เรารู้ดีว่าถ้าขืนยังยืนอยู่ตรงนั้น  มองเห็นสีหน้าผิดหวังแกมเสียใจในแววตาคู่นั้นต่อ...เราจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ

          แย่ตรงที่พี่ดิมวิ่งตามเราออกมาด้วย   เราไม่รู้จะทำยังไง  ตอนนั้นสายตาเราพร่าเบลอไปหมดเพราะหยาดน้ำตา  เราอยากร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ก็เกรงว่าพี่ดิมจะได้ยิน  เลยได้แต่เม้มปากเอาไว้แน่น  รีบเผ่นหนีเขาออกมา

          เสียงรถชนข้างหลังดังมาก  เราใจหายวาบ  ภาวนาอยู่ในใจว่า อย่าเป็นเขา!   แต่คำภาวนาของเราไม่เคยเป็นจริงมานานมากแล้ว  พี่ดิมถูกรถชน!  เราตัวแข็งเกร็งไปหมดด้วยความตกใจ  จะก้าวเข้าไปหาเขาก็ก้าวไม่ออก  ยืนนิ่งค้างมองร่างอาบเลือดของเขานอนกองบนพื้นถนนอยู่อย่างนั้นเหมือนคนโง่เง่าทำอะไรไม่ถูก

          สายตาอ้อนวอนของเขามองมาที่เราเป็นครั้งสุดท้าย  เรารู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น  รอบด้านมีคนมากมายพุ่งตรงเข้าไปช่วยเขา แต่คล้ายกับว่ามีเพียงแค่เรากับเค้าสองคนประจันหน้ากัน

          แล้วเราก็ทำสิ่งที่แม้แต่เราเองก็ไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้   เราถอยหลังกลับแล้ววิ่งหนีออกมา  อย่างคนที่ขี้ขลาดที่สุด  เรากลัว...เพราะเรารู้ดีว่า  ถ้าเราวิ่งเข้าไปหาเค้า  เราจะไม่มีวันแยกจากเค้าได้อีก

          เราวิ่งสะเปะสะปะออกทะลุซอยร้านตลาดวกวน  ถูกมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวล้มลงไปกองที่พื้นครั้งนึง  แขนถลอกเป็นแนวยาวจนเลือดซึมแขนเสื้อที่ขาวสะอาด  แต่เรากลับไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด

          เราพาตัวเองมาถึงโรงพยาบาลจนได้   เราเข้าไปหาน้อง   หมอบอกว่าน้องต้องผ่าตัดด่วนวันนี้อาการของเธอทรุดฮวบลงกะทันหัน  และคราวนี้เขาอาจต้องเลือกระหว่างตังหรือลูก  หรือไม่ก็อาจไม่มีทางให้เลือกเลยก็ได้

          เรานั่งรอน้องอยู่ข้างหน้าห้องผ่าตัดนั่นเอง  นั่งเฉยๆไม่ได้ทำอะไร  นึกแปลกใจในโชคชะตาของตัวเองที่ไม่มีความพอดีเอาเสียเลย  ทำไมชะตาชีวิตถึงลิขิตให้เราต้องมาเจอเรื่องร้ายซ้ำซากแบบนี้ด้วย

          เป็นห่วงพี่ดิมเหลือเกิน  ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง  เลือดออกเต็มตัวขนาดนั้น  ถ้าพี่เขาเกิด..ตายขึ้นมาละ  มันเป็นเพราะเราคนเดียวเลยเต  ทั้งพี่ดิม ทั้งข้าวตังกับลูก  ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป  ก็เป็นเพราะเรา

          เราจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลย...

 

          วันที่--/--/--

          เราตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่อจะพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนเดียว  ที่หลังมือมีสายน้ำเกลือปักอยู่  เราถามพยาบาลอย่างมึนงงว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง  เธอบอกว่าเราสลบไป  ไม่รู้ว่าเป็นอะไร...เรานอนหลับไปหนึ่งวันเต็มๆ

          สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือชื่อของพี่ดิม ตามด้วยข้าวตัง...เราลุกจากเตียง  ดึงสายน้ำเกลือทิ้ง  ยังมึนหัวอยู่นิดหน่อยแต่ใจเราร้อนเป็นไฟ  ตามไปถามพยาบาลจนในที่สุดก็ได้ความว่า น้องสาวเราผ่าตัดสำเร็จแล้ว...ปลอดภัยดีทั้งแม่ทั้งลูก

          เราดีใจมาก  อ้อนวอนขอไปเยี่ยมเธอ  คุณหมอใจดีอนุญาตให้เราไปหาเธอได้  แวบแรกที่เห็นหน้าซีดเซียวนั้น  เราเพิ่งรู้ว่าเรารักผู้หญิงคนนี้มาก  อาจจะมากที่สุดรองจากแม่ของเราก็ว่าได้  เราเป็นห่วงเธอ  กังวลเรื่องเธอ  เธอกลายเป็นญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้  และเป็นคนสุดท้ายที่เราตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่เพื่อดูแลเธอต่อจากนี้

          เรากุมมือเธอไว้แน่น    เธอขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น...เราส่งยิ้มให้เธอ   ยิ้มแรกของเราในรอบหลายเดือน

          ‘ดีใจที่เจอเธออีก  พี่สัญญาว่า จะไม่ทิ้งเธอกับลูกไปไหนอีกแล้ว’

          ข้าวตังยิ้มตอบเรานิดๆ แล้วหลับตาลง

          เรากลับออกมา  หาทางติดต่อไปทางพี่รัน  เราอยากรู้อาการของพี่ดิม   อย่างน้อยเราก็อยากไปเยี่ยมเขา  อยากเห็นกับตาว่าเขาสบายดี

          พี่รันฝากเพื่อนอีกคนที่เราไม่รู้จักมาบอกว่า  พี่ดิมสมองกระทบกระเทือนมาก  ทำให้ความจำเสื่อม  ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงมหาวิทยาลัยไปทั้งหมด  รวมถึงเรื่องของเราด้วย  พี่ดิมจำชื่อตั้งเตไม่ได้ด้วยซ้ำ

          เราตกใจมาก  เย็นวันนั้นเราแอบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล   พี่ดิมอยู่ในห้องที่เราเข้าไปไม่ได้  เราได้แต่เกาะกระจกบานเล็กๆข้างประตู  ชะเง้อมองเข้าไปภายในห้องนั้น  เห็นแต่สายระโยงรยางค์กับจอมอนิเตอร์เต็มไปหมด  เราพยายามขอเยี่ยม  แต่พยาบาลไม่อนุญาต

          เราดักรอพบพี่รัน แต่ไม่สำเร็จ  พี่รันฝากเพื่อนอีกคนมาบอกว่า อย่ามาเยี่ยมพี่ดิมเลย  พี่ดิมจำอะไรไม่ได้  ถ้าเห็นหน้าเรา  พี่เค้าอาจจะสับสนและอาการแย่ลงอีก....

          พี่ดิมลืมเราไปแล้ว  บางทีนี่อาจเป็นเรื่องดีก็ได้  เขาจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เราทำลงไป

          แต่เราสิ  เราเจ็บจนขนาดจะร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก  เหมือนกับน้ำตามันแห้งหายไปดื้อๆ    คิดถึงที่สุดแต่ก็ไปหาไม่ได้... สุดท้ายพี่รันส่งข่าวมาบอกว่า  พี่ดิมต้องไปรักษาที่อเมริกา  เพราะมีเลือดออกในสมอง  เราฟังภาษาแพทย์ไม่รู้เรื่อง  รู้แค่ว่าพี่ดิมอาการหนักมาก     

          นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการเลย  ทุกอย่างผิดพลาดและลงเอยด้วยความเจ็บปวดของเราเพียงคนเดียว  เราต้องอยู่กับความเจ็บปวดนี้ไปอีกนานแค่ไหนหนอ

          ก่อนนี้เราเคยหวังลมๆแล้งๆว่าเราจะสามารถกลับมาเจอกันได้อีก  เมื่อเวลาของเราทั้งสองกลับมาบรรจบกันอีกครั้ง   เมื่อทุกอย่างคลี่คลายลง   เมื่อพี่ดิมกลับมา  เราเคยคิดว่าพี่จะกลับมาหาเรา  ถึงตอนนั้นเราก็จะยังรอพี่อยู่ที่เดิม

เมื่อเวลานั้นมาถึง   เราก็จะได้กลับมารักกันอีกครั้ง

          มันกลายเป็นแค่ความฝันยามที่เราครึ่งหลับครึ่งตื่นเท่านั้น   เราไม่มีหน้าจะไปพบพี่ดิมอีกแล้ว  หลังจากที่พี่ดิมเกือบตาย   เรื่องที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือ พี่ดิมความจำเสื่อม

          จะได้ลืมเรื่องของผู้ชายที่ใจร้ายที่สุดคนนี้ทิ้งไปให้หมด  ดีแล้ว  ดีจริงๆ  เราก็จะฝังเรื่องราวของเราสองคนเอาไว้ในซอกที่ลึกที่สุดในหัวใจ  ไม่นานเราก็จะลืมได้สำเร็จ  ถึงตอนนั้น  เราคงจะได้มีความสุขจริงๆเสียที...

 

           

         วันที่ --/--/--


ความรักของเราตายไปครั้งหนึ่งและมันเกิดขึ้นในใหม่ในรูปของเด็กทารกเพศชายที่เรารักตั้งแต่แรกเห็น  เราตั้งชื่อให้เขาว่า เต้   

เจ้าเต้เป็นเด็กที่น่ารักมาก  ตัวแดงแก้มยุ้ย  หน้าตาน่ารักน่าชัง  พอมีเต้  ก็ทำให้เราไม่เหลือเวลาคิดอะไรฟุ้งซ่านอีก  วุ่นวายกับมันได้ทั้งวัน ข้าวตังก็มีความสุข   เรารับรู้ได้ผ่านแววตาของเธอ  ถึงจะยังไม่แข็งแรงเหมือนเก่าแต่เธอก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เราขายบ้านที่ขอนแก่นทิ้ง แล้วใช้เงินที่ได้ซื้อบ้านหลังเล็กๆในกรุงเทพฯแทน  ที่ๆเราทั้งสามคนจะตั้งต้นชีวิตใหม่ด้วยกัน   เราตกลงเป็นนักเขียนประจำให้กับคอลัมต์ของนิตยสารสองฉบับ   ไม่รู้ว่าเราจะทำได้ดีมั้ย   แต่มันเป็นทางเดียวที่เราจะสามารถอยู่ดูแลลูกและตังได้ด้วย

ส่วนพี่ดิม...ถ้าบอกว่าเราลืมเขาไปแล้วก็คงโกหก  เรายังคิดถึงเขาทุกวัน  โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน  ตอนที่เต้และตังหลับไปแล้ว  เวลาที่ทุกอย่างเงียบสงัด   เราก็จะได้ยินเสียงหัวใจของเราเอง

เฝ้าสงสัยว่าป่านนี้พี่ดิมจะเป็นอย่างไรบ้าง  ผ่าตัดไปดีขึ้นมั้ย   เราอยู่ทางนี้ก็สบายดีทุกอย่าง  ไม่ดีอย่างเดียวคือ 

ผมไม่รู้ว่าจะลืมพี่ยังไง



*********************



คนอ่านทิ้งมือที่ถือบันทึกเล่มนั้นลงข้างตัวอย่างหมดแรง    บันทึกสิ้นสุดลงแค่นี้   เขาถอนหายใจออกมาแรงๆขับไล่อาการจุกแน่นในอก    พลิกเปิดดูบันทึกอีกรอบ  ซองจดหมายใบหนึ่งร่วงลงมาจากท้ายเล่ม  มันคงถูกสอดเอาไว้นานแล้ว

จดหมายเขียนจ่าหน้าซองด้วยลายมือสวยเรียบร้อย  เป็นชื่อของเขาเอง...รดิศ  แต่ตรงที่อยู่กลับเว้นว่างเอาไว้ราวกับคนเขียนไม่รู้จะเขียนว่าอย่างไร

ศัลยแพทย์หนุ่มมือสั่น  เขาแกะจดหมายปิดผนึกออก   ข้างในมีกระดาษแผ่นหนึ่งพับสอดอยู่

 

‘ถึงพี่ดิม

ผมเตเอง  ...พี่สบายดีมั้ย  หายดีหรือยัง  ผมได้ข่าวว่าพี่ผ่าตัดสำเร็จแล้ว  ผมดีใจมาก   อยากไปเยี่ยมพี่สักครั้ง  แต่ก็อย่าดีกว่า   ไม่รู้ว่าจะไปยังไง  เอาเป็นว่ารอพี่กลับมาค่อยเจอกันดีกว่าเนอะ

ส่วนผมก็สบายดี   ตอนนี้ผมเป็นครูอยู่บนดอย อย่างที่ผมเคยเล่าให้พี่ฟังเมื่อนานมาเเล้วว่าผมอยากเป็น   ผมสอนวิชาภาษาไทยกับอังกฤษล่ะ  พี่ก็รู้ว่าผมสอนเก่งแค่ไหน   ผมเป็นคนติวพี่เลยนะ  ชาตินี้คงเอาไปโม้ได้นานเลยว่าเป็นคนติวหมอที่เก่งที่สุดของรุ่น  เจ๋งไหมล่ะ   เด็กๆที่นี่น่ารักมาก  ผมเจอบ้านหลังนึงอยู่บนเนิน  ตรงตามที่เราเคยฝันถึงเป๊ะ   ข้างหลังเป็นสวน   ตอนเช้าตื่นขึ้นมามองเห็นทะเลหมอกอยู่หน้าบ้าน  พี่รู้สึกอิจฉาผมล่ะสิ   ผมยังอิจฉาตัวเองเลย

อากาศที่นู่นเป็นยังไงบ้าง  หนาวมากไหม  อย่าลืมใส่เสื้อหนาๆด้วยล่ะ   พี่จะออกจากโรงพยาบาลหรือยัง   แล้วเมื่อไหร่พี่จะกลับมา  ไม่สิ  พี่คงจะเรียนต่อสินะ   พี่เคยบอกว่าอยากเป็นหมอรักษาหัวใจที่เก่งที่สุด  จะได้รักษาผมที่เป็นหัวใจของพี่ได้ดีที่สุดไง...ผมจำแม่นไหมล่ะ   ไม่รู้ว่าพี่จะยังจำได้หรือเปล่า

พี่หายโกรธผมหรือยัง  ผมมีเหตุผลที่ทำแบบนั้น  ถึงตอนนั้นผมจะยังไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้  แต่เชื่อเถอะว่า ถ้าเราได้พบกันอีกครั้ง  ผมจะเล่าให้พี่ฟังทุกอย่าง  ถ้าพี่ยังอยากฟังอยู่

ผมเคยคิดจะพยายามลืมพี่  แต่มันยากเกินไป ผมพยายามแล้ว มันไม่เคยสำเร็จ   ผมเลยเลือกที่จะเก็บพี่เอาไว้ในความทรงจำต่อไป  แบบนี้คงจะดีกว่า 

ไม่รู้จะคุยอะไรแล้ว  ถ้าได้เจอหน้ากันก็คงดี  ผมหวังว่าเราจะได้กลับมาเจอกันอีก   แค่ครั้งเดียว....พี่ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะ  ผมมีความสุขมาก   ขอให้พี่มีความสุขมากๆเช่นกัน

                                                                                                             
          คิดถึงพี่ดิมเสมอ

                                                                                                                                                                                                                                     
เต’

.........................................................................................


จบตอนนี้ค่ะ  ขอบคุณมากๆที่ติดตามอ่านนะคะ
จดหมายของเตที่ไม่เคยได้ส่งฉบับนี้ทำเราน้ำตาซึมตอนที่เขียน  สงสารเตมาก
เห้อออ  ใครเล่นทวิตเจอกันได้ใน #ดิมเต นะคะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ   :hao5:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: 205arr ที่ 02-05-2017 21:00:43
น้ำตาท่วมจอ :o12: :o12:
เราเห็นใจเตมากกว่าพี่ดิมนะ
คนที่รู้ทุกอย่างน่าจะเจ็บปวดมากที่สุด
เจ็บเพราะเลือกทำจนผลออกมาเป็นแบบนี้
บางทีฟ้าก็ไม่มีตา ไม่เห็นใจคนเจ็บปวดบ้างเลย
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 02-05-2017 21:14:07
ขอเศร้ากว่านี้อีกได้ไหม?

ความรักเจ็บจังเลย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 02-05-2017 21:53:00
ฟ้ากำหนด สะกดอยู่ ทั้งรู้เห็น
ฟ้าให้เป็น เล่นกลเล่ห์ ห่างเหหาย
ฟ้ากลั่นแกล้ง ให้ทุกข์ทน จนถึงตาย
ฟ้าใจร้าย หมายชะตา หาไม่เจอ

เศร้ากันขนาดนี้คงต้องโทษคนบนฟ้าแล้ว
ฟ้าลิขิตแน่ๆ

เศร้าจัง
+1 ฮับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 02-05-2017 22:54:57
 :beat: สงสารทั้งเตทั้งดิมเลย คนหนึ่งก็ไม่รู้ความจริง อีกคนหนึ่งก็ไม่บอกความจริงกับแฟน ไม่รู้จะเก็บความลับไว้ทำไม บอกๆไปให้รู้ให้เข้าใจไปเลย รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Caramel Syrup ที่ 03-05-2017 08:59:23
 อยากให้เตมีความสุขจริงจริงสักที  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 03-05-2017 09:22:37
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ฮืออออออออออออออออออออออออ
สงสารเตตั้งแต่ต้นเรื่องจนถึงตอนนี้ :mew4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่]ตอนที่23 2/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: manamon ที่ 03-05-2017 10:30:52
น้ำตามาเป็นปี๊บ  :o7: :m8:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 05-05-2017 12:36:41


เพราะหัวใจบอกว่า...ขาด

                           

 

 

 

            “พี่เตคะ   ตังมีเรื่องอยากถามเรื่องนึง....”   หญิงสาวที่นั่งหันหลังให้เขาแปรงผมให้ถามขึ้นเบาๆ  ชายหนุ่มผู้เป็นสามีเพียงในนามยิ้มนิดๆ  ลากแปรงลงมาตามแนวเส้นผมหยักศกที่เริ่มยาวจนขึ้นเป็นเงาสลวย

            “ถามมาสิ”  เขาตอบ  ขยับตัวเอื้อมไปหยิบประป๋องแป้งมาส่งให้หญิงสาว  เธอเอี้ยวตัวมารับ   สบตากันแวบหนึ่ง  ตั้งเตเห็นแววไม่มั่นใจในดวงตาดำสนิทคู่นั้น  เขายกมือขึ้นจับที่บ่าทั้งสองข้างของเธอ บีบเบาๆ  แล้วลุกขึ้นจากเตียงผู้ป่วยที่เขาถือวิสาสะขึ้นไปนั่ง  หมุนตัวให้เธอหันมาเผชิญหน้ากับเขา

            “ถามมาได้เลย  อย่าเก็บเอาไว้  เราไม่ควรมีความลับต่อกันไม่ใช่หรือ”  พี่ชายถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ

            “ตัง....ไม่ถามแล้วดีกว่า”  เธอครุ่นคิดอยู่นาน  แล้วก็เปลี่ยนใจเสียดื้อๆ ทว่าคนฟังไม่ยอม  เขาโน้มตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน

            “ถ้าตังไม่ถาม  พี่จะงอนแล้วนะ”

          “.................”   คนป่วยไม่ยอมปริปาก   นักเขียนหนุ่มยักไหล่  หันไปเก็บข้าวของที่วางอยู่ระเกะระกะให้เข้าที่    หญิงสาวจับตามองอีกฝ่ายครู่ใหญ่ ก็อดรนทนไม่ไหว ต้องถามออกมา

            “พี่เตเคยรู้จักกับ...หมอดิม มาก่อนหรือเปล่าคะ”  ตัดสินใจถามพรวดออกไปรวดเดียว   เห็นมือของอีกฝ่ายกำลังพับเสื้อของเธอชะงักไปนิด...นิดเดียวเท่านั้นแทบไม่สังเกต  เขาเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้บางๆ  ใบหน้าเรียวหวานนั้นไม่มีความผิดปกติอะไรให้เธอสัมผัสได้

            “เคยสิ  พี่เคยสัมภาษณ์เขาไง...เมื่อหลายเดือนก่อน   ตังถามทำไมเหรอ”  แววตาคู่นั้นยังคงแกมเศร้าเหมือนทุกครั้ง   คนถามหลบตา  อึกอัก  เธอไม่คิดว่าเขาจะเก็บอาการได้เก่งขนาดนี้  หรือไม่บางที...เขาอาจจะทำใจได้แล้ว?

            “เอ่อ   คือตังได้ยินพยาบาลเค้าคุยกันว่าหมอดิมเก่งมาก  ก็เลยอยากรู้เฉยๆ”

          “อืม   เขาเก่งมาก   จะเรียกว่าเป็นมือหนึ่งด้านนี้ก็ได้มั้ง   ตังสบายใจได้  ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า”  เขาปลอบ  คงนึกว่าเธอกังวลเรื่องการผ่าตัดจริงๆ  ไม่ก็เป็นวิธีเปลี่ยนเรื่องอย่างแนบเนียนของเขา

            พี่เตเล่าเรื่องคุณหมอรดิศเพิ่มอีกสองสามอย่าง  เขาเสริมว่าได้รู้มาตอนที่ไปสัมภาษณ์....คำพูดของเค้าทำให้เธอสับสน     ดูราวกับว่าพี่เตกับหมอดิมจะเป็นแค่คนรู้จักกันเฉยๆเท่านั้น   หาได้มีความสัมพันธ์อะไรลึกซึ้งอย่างที่เธอคิด   ไม่มีความผูกพันอยู่เลยในน้ำเสียงและสายตาของเขายามที่เอ่ยชื่อนั้น

            แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น.....รูปที่เธอเคยแอบเห็นในลิ้นชักของพี่เตเมื่อนานมาแล้วล่ะ  รูปผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าใกล้เคียงคุณหมอกันราวกับฝาแฝด   คนที่เธอนึกว่าเขาคงจะหายสาบสูญไปแล้วเพราะพี่ชายไม่เคยเอ่ยถึงอีกเลย  จนกระทั่งเมื่อเธอได้พบกับคุณหมอรดิศเป็นครั้งแรก  จริงอยู่ว่าในตอนแรกอาจจะจำไม่ได้  แค่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นใบหน้าแบบนี้ที่ไหน   ทว่าในเวลาต่อมาก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆว่าเขาคือ ‘พ่อ’ แฟนของพี่เตสมัยเรียนแน่นอน  และมาพิสูจน์ตอนที่ลองเล่าเรื่องในอดีตทั้งหมดให้เขาฟัง  แล้วพบว่าคุณหมอ หน้าซีดเผือดราวกับกระดาษ

ใช่จริงๆ  ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ  คุณหมอที่รักษาเธอคือคนที่เธอแอบรู้สึกผิดต่อเขามาตลอด   เมื่อหลายปีก่อนเธอรู้ดีว่าพี่เตมีแฟนอยู่แล้ว   แต่เธอไม่เหลือใครเลยในเวลานั้น  พี่เป็นผู้ชายคนเดียวที่เธออยากอยู่เคียงข้างมากที่สุด   ความเห็นแก่ตัวทำให้เธอทำทุกทางไม่ให้พี่เตไปไหน   และทางเดียว...หนทางเดียวจริงๆ ที่เธอทำได้ก็คือ....  เธอไม่นึกหรอกว่า อีกฝ่ายจะเลิกกับผู้ชายคนนั้นเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเธอจริงๆ   เธอไม่รู้ว่ามีอะไรตื้นลึกหนาบางมากกว่าการที่พี่เตเป็นห่วงเธอหรือเปล่า   แต่เธอก็ไม่สนใจหรอก  ตราบใดที่พี่เค้ายังอยู่กับเธอ  แค่นั้นเธอก็พอใจแล้ว

            พี่เตอาจเลิกกับแฟนเพราะเธอจริงๆ   นั่นเป็นสาเหตุที่เขาไม่เอ่ยถึงแฟนเก่าอีกเลย   ครั้นกลับมาพบกันอีกครั้ง  ท่าทางของพี่ชายในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด  ใบหน้าเรียวหวานนั้นสดใสขึ้น  ความสุขในแววตาของเขาที่เธอไม่เคยเห็นมาช้านานกลับมาปรากฏขึ้นอีกครา....เพราะผู้ชายคนนั้น

พี่เตไม่รู้หรอกว่าเธอทุกข์ใจแค่ไหน เมื่อปะติดปะต่อเรื่องได้  นาฬิกาหน้าปัดแตกเรือนนั้น  ภาพในอัลบั้ม  คุณหมอที่พี่ไปสัมภาษณ์และใจดีให้ยืมรถกลับมา  การไปทำงานต่างจังหวัดที่พี่โดมและคุณภาคย์ไม่รู้เห็นด้วย  เดาไม่ยากเลยว่าเขาไปกลับใคร    เธอครุ่นคิดเรื่องนี้กลับไปกลับมาตลอดเวลา   พยายามทำตัวปกติเพื่อจับพิรุธของเขาทั้งที่ทั้งรักทั้งหวงเขาแทบบ้า  ยิ่งรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นเธอเป็นอื่นนอกจากพี่น้อง  เธอก็ยิ่งทุรนทุราย

ต้องทนปฎิบัติต่อเค้าเยี่ยงพี่ชาย-น้องสาว  ถึงจะมีเต้เป็นเหมือนโซ่ทองคล้องใจ  แต่เต้ก็หาใช่สายเลือดที่แท้จริงที่จะพันผูกหัวใจของเตเอาไว้ได้   หัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่เธอ...ไม่เคยอยู่

            “เป็นอะไรไป  ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว  คิดอะไรอีกล่ะ   บอกแล้วว่าให้ปล่อยวางบ้าง   พี่ว่าเพราะเราเครียดเกินไปนั่นแหละ  ก็เลยทรุด   ออกจากโรงพยาบาลคราวนี้พี่ว่าย้ายเจ้าเต้กลับมาโรงเรียนเดิมดีกว่า   เธอจะได้ไม่เหนื่อยมาก”  พี่เตพูด

            ...อย่างน้อยเขาก็เป็นห่วงเธอ   เหมือนทุกที

            “ค่ะ   ตังเห็นด้วย   เหนื่อยเกินไปจริงๆ  ตังน่าจะเชื่อพี่ตั้งแต่แรก”  เธอช้อนตาขึ้นมองหน้าเขา

            “อย่างกับเราเคยเชื่อฟังพี่นักนี่  หึ  อ่านหนังสือไหม  พี่หยิบให้   พี่จะไปรับเจ้าเต้แล้วล่ะ ใกล้เวลาเลิกเรียนแล้ว”  เขาลูบศีรษะเธออย่างเอ็นดู   เดินไปหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งมาส่งให้เธอ   จากนั้นก็หยิบกระเป๋าเตรียมออกไปข้างนอก 

            “พี่เต  อย่าเพิ่งไปค่ะ”  เขาเลิกคิ้ว  แต่ก็ยอมเดินกลับมาหาโดยดี   

            หญิงสาวเอื้อมมือขึ้นแตะที่ข้างแก้มของเขา   สบดวงตาดำสนิทคู่นั้น  มีเพียงแววรักเอ็นดู  แบบพี่น้อง  แบบญาติสนิท   แบบเพื่อน...ไม่มีฉายรอยคิดเป็นอื่น   เขาไม่รู้สึกหวั่นไหวกับความชิดใกล้ เหมือนเธอที่ใจเต้นแรงเลยสักนิด

            ชายหนุ่มเลิกคิ้ว  เมื่อเห็นน้องสาวมองหน้าแล้วกลับนิ่งเงียบไป

            “ไม่มีอะไรค่ะ   เดินทางปลอดภัย  รีบกลับมานะคะ”  เธอชะโงกเข้ามาจูบที่แก้มของเขาแผ่วเบาแล้วผละออก   ชายหนุ่มยิ้ม  ยกมือขึ้นลูบเส้นผมนุ่มเป็นเงาของเธออีกครั้ง

            “พี่จะรีบกลับมาจ้ะ  นอนพักได้แล้ว”   

            ไม่เลย  ไม่มีทางเลยที่จะรั้งพี่เตเอาไว้ได้  ถ้าเขาคิดจะไป....

            .............................................................................................

            นักเขียนหนุ่มนั่งแท็กซี่มารับลูกชายที่โรงเรียนในเวลาเย็น   เขารับไหว้คุณครูประจำชั้นของเต้แทบไม่ทัน  กวาดสายตามองหาลูกชายไปทั่วบริเวณสนามฟุตบอลด้านหน้าโรงเรียน   ได้ยินเสียงเด็กๆที่กำลังเล่นบอลส่งเสียงร้องเรียก หัวเราะกันเสียงดัง ราวกับกำลังสนุกสุดขีดก็แปลกใจ

            “สวัสดีค่ะ  คุณพ่อน้องเต้   น้องเต้อยู่ในสนามบอลค่ะ  กำลังเล่นกันสนุกเลย  วันนี้มีผู้ปกครองลงเล่นด้วยหลายคน  เด็กๆเลยสนุกกันใหญ่”  เตเพิ่งสังเกตเห็นร่างของผู้ชายเดาว่าคงเป็นบรรดาพ่อๆ กำลังวิ่งไล่ลูกฟุตบอลกับเด็กๆด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

            “เล่นด้วยกันมั้ยครับ  น้องเต”   คนชื่อเตสะดุ้ง   หันไปตามเสียงเรียก  เห็นผู้ชายหน้าเข้ม  ร่างสูงสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้น  ร้องเท้าสตั้ดพร้อม หยุดยืนอยู่ขอบสนาม  เหงื่อไหลชุ่มทั้งใบหน้าและลำตัว

            ...ใจหล่นวูบด้วยไม่ทันตั้งตัว  ตั้งเตสูดลมหายใจเข้าลึกเรียกสติกลับมา

            “คุณหมอ    สวัสดีครับ”

          “มารับเต้ใช่มั้ย   อยู่โน่นแน่ะ”   เขาชี้ไปที่อีกฟากของสนามฟุตบอล  คุณครูประจำชั้นขอตัวเดินแยกออกไปแล้ว  เหลือแค่เขายืนประจันหน้ากับคุณหมอสองคน

            ติณธรทำตัวไม่ถูก   เสมองตามมือไปอีกด้าน  เห็นลูกชายตัวเองกำลังวิ่งไล่บอลอย่างสนุกสนานก็ถอนหายใจยาว

            “ขอบคุณครับ”  ตอบสั้นๆ  แล้วขยับออกเดิน  ทว่ามือแข็งแรงชื้นเหงื่อของอีกฝ่ายกลับจับแน่นที่ต้นแขนของเขาเสียก่อน

            “จะไม่ถามหน่อยเหรอ  ว่าพี่มาที่นี่ทำไม”  อีกฝ่ายถามด้วยเสียงต่ำ เตเหลือบมองมือที่ยึดต้นแขนไว้

            “ผมไม่อยากรู้   ขอโทษด้วยครับ  ช่วยปล่อยผมด้วย” 

            “สวัสดี  ขอบคุณ  ขอโทษ  ดูเหมือนว่านายจะชอบใช้คำพวกนี้กับพี่เสียจริงๆนะ...เต  ขอคุยด้วยหน่อยได้มั้ย”  รดิศพูดเสียงอ่อนลง    มองมาที่อีกฝ่ายอย่างอ้อนวอน

            คนถูกมองเม้มปาก  ไม่ยอมสบตาคู่นั้นเพราะรู้ตัวดีว่าจะต้องใจอ่อนอย่างแน่นอน

            “ผมไม่ว่าง  ต้องรีบกลับ  ไม่อยากปล่อยให้ภรรยาอยู่คนเดียว”  เน้นบางคำอย่างจงใจ   พี่ดิมหน้าซีดลงไปนิดหนึ่ง

            “พี่ขอแค่ 5 นาที  ไม่ได้เหรอ”

          “เราคุยกันจบแล้ว   ผมขอตัวก่อนครับ”  ตั้งเตบิดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างนิ่มนวล  แล้วเดินลิ่วๆตัดสนามฟุตบอลเข้าไปเรียกลูกชาย   ไม่ยอมหันกลับมองว่าคนผู้นั้นเดินตามมาหรือไม่  หรือว่าตะโกนว่าอะไร   หูทั้งสองของเขาอื้อไปหมด   พอคว้าข้อมือของลูกชายได้ก็พาจูงเดินออกมาด้านนอกโรงเรียนทันที

            “คุณพ่อเป็นอะไรฮะ  หน้าซีดจัง หรือว่าหิวไอติม”  เด็กน้อยกระตุกมือเขา  พูดเสียงดัง   คุณพ่อหันกลับมาส่งยิ้มให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวน

            “เต้หิวอยากกินล่ะซี   เอาไหมล่ะ พ่อซื้อให้”   เด็กชายเต้พยักหน้า ยิ้มกว้าง  จูงมือพ่อตรงไปที่รถเข็นด้านหน้าโรงเรียน    เตช่วยลูกเลือกไอศกรีมอย่างใจลอย

            “คุณพ่อ  คุณพ่อครับ  10 บาทครับ  ขอตังค์เต้หน่อย”  คนเป็นพ่อเพิ่งรู้สึกตัว  ล้วงประเป๋ากางเกงหยิบเหรียญสิบมาส่งให้คนขาย   พาเด็กชายเดินกินไอติมอย่างมีความสุขข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง

            “คุณพ่อมองหาใครหรือครับ   แท็กซี่อยู่ทางนี้”  เตสะดุ้ง  เหลียวกับมาอีกด้าน  เพิ่งรู้ว่าเขาเอาแต่มองกลับไปทางด้านโรงเรียน    ไม่อยากยอมรับว่าตัวเองหวังจะมองเห็นร่างของใครสักคนเดินตามออกมา

            “เปล่าจ้ะ  รถมาแล้ว”  เขาโบกมือเรียกแท็กซี่   ส่งเด็กชายก้าวขึ้นไปบนรถ  แล้วก้าวตาม  ยังไม่ทันปิดประตูก็พบว่ามีผู้บุกรุกก้าวพรวดตามขึ้นมานั่งเบียดข้างเขาที่เบาะหลังรถแท็กซี่ด้วยกัน   เตตกใจ

            คนๆนั้นปิดประตูรถ  หันมาพูดหน้าตาเฉยว่า

            “ผมขอติดรถกลับโรงพยาบาลหน่อยสิ  ไม่ได้เอารถมา”  คนฟังเกือบจะอ้าปากค้าง   ลูกชายที่นั่งอยู่อีกข้างชะโงกเข้ามาทักทายราวกับสนิทกันมาแรมปี

            “คุณลุง!   ดีใจจังฮะ  กินไอติมมั้ย  คุณพ่อแวะซื้อให้เต้ด้วยล่ะ”  เตนึกอยากเปลี่ยนที่นั่งกับลูกชายขึ้นมาฉับพลัน   เขาขยับตัวอย่างอึดอัดเพราะอีกฝ่ายเบียดเข้ามาเต็มที่  อีกนิดเดียวเขาก็แทบจะขึ้นไปนั่งเกยตักอีกฝ่ายแล้ว

            “ออกรถเลยครับ  ไปโรงพยาบาล......ฮะ”  คุณหมอหนุ่มพูดกับคนขับแท็กซี่ที่กำลังงง  เขามองหน้าคนขึ้นก่อนเป็นเชิงขอความเห็น  เตจำใจพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ 

“ไหนดูสิ  ไอติมรูปแตงโม  ของโปรดลุงเลยนะ  แต่ก่อนลุงซื้อกินทุกวัน”  ดิมคุยกับเด็กชาย  ข้ามศีรษะคนที่นั่งคั่นอยู่ไปเฉยๆราวกับไม่สนใจ  แอบเห็นใบหน้าเรียวหวานเริ่มบูดบึ้ง  “เต้เล่นบอลเก่งใช้ได้เลยนะเรา  ใครสอนหรอ  คุณพ่อหรือเปล่า”  ชวนเด็กน้อยคุยต่อ

“คุณพ่อเล่นบอลไม่เป็นหรอก   เต้ไม่เคยเห็นพ่อเล่นเลย   เอาแต่อ่านหนังสือ”

“แล้วเต้อ่านหนังสือมั้ย   ขยันเรียนหรือเปล่า  จะได้เรียนเก่งๆไง”

“เต้ก็อ่านบ้าง..   คุณลุงล่ะอ่านหนังสือเยอะมั้ย”   เด็กชายย้อนถาม  คุณหมอหนุ่มยิ้มอย่างพอใจ    เขาเอี้ยวตัวไปรูดซิปปิดกระเป๋าสะพายข้างตัว  ล้วงเอาสมุดเล่มหนึ่งออกมา  ปกสีฟ้าน้ำทะเลที่ค่อนข้างเก่าบอกอายุของมัน   ดิมชูขึ้นสูง พูดยิ้มๆ

“เห็นลุงเล่นบอลเก่งแบบนี้  ลุงก็ชอบอ่านหนังสือนะ  นี่เล่มโปรดของลุงเลย   อ่านหลายรอบจนจำได้ขึ้นใจแล้ว”  หางตาเห็นคนข้างๆหันขวับมาจ้องหน้าเขาราวกับเห็นผี   แต่เขาทำเป็นไม่สนใจ  “เต้อยากเอาไปอ่านบ้างไหม  ลุงให้ยืม”   แกล้งทำเป็นยื่นส่งให้เด็กชายเต้ที่เอื้อมมือมารอรับ  เบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น

“ไม่เอาลูก  อย่าไปยุ่งของคุณหมอเขา”   ‘คุณพ่อ’ พูดเร็วปรื๋อ  จับมือของลูกชายเอาไว้  เค้นเสียงพูดกับผู้ใหญ่อีกคนที่เที่ยวเอาบันทึกของชาวบ้านมาถืออวดราวกับเป็นของๆตัวเองหน้าตาเฉย  แถมยังมีหน้ามาบอกว่า อ่านแล้วจนจำขึ้นใจอีก

            “เอาคืนมาให้ผมนะ”  พูดรอดไรฟัน   อีกฝ่ายเพียงแต่เลิกคิ้ว

            “อะไร  ไดอารี่นี้มันเป็นของผมแล้ว  ผมได้มาอย่างถูกต้อง”

          “ผมบริจาคไปแล้ว  คุณไปเก็บมาได้ยังไง”

            “คงเป็น...พรหมลิขิต  ล่ะมั้ง  เหมือนที่ดลให้พี่กับนายได้กลับมาเจอกันอีกไง”  ประโยคนั้นคล้ายคลึงกับในบันทึกมาก   เตหน้าร้อนวาบ  เม้มปากแน่น ข่มอารมณ์

            “เอาของผมคืนมา  ผมขอคืน”  พูดซ้ำอีกรอบ   ขอบตาเริ่มร้อนผ่าว ทว่าฝืนกลั้นเอาไว้สุดความสามารถเพราะยังมีลูกชายนั่งมองตาแป๋วอยู่ด้วยอีกคน   แต่ถึงไม่มี....เขาก็ไม่คิดจะเสียน้ำตาให้ผู้ชายคนนี้อีกแล้ว

            “นายบริจาคก็เท่ากับสละไปแล้ว   พี่เป็นคนได้รับมันมา  ฉะนั้นมันก็ต้องเป็นของพี่โดยสมบูรณ์  นายไม่มีสิทธิ์มาทวงคืนแล้ว”  ดิมยิ้มนิดๆ

            “แล้วของที่เหลือ...?”

          “ก็เป็นของพี่เหมือนกัน....ทุกอย่างที่เป็นของนายต้องเป็นของพี่”  ประโยคหลัง เขาเอียงหน้าเข้ามากระซิบที่ริมหูของเต ทำเอานักเขียนหนุ่มขนลุกซู่   รู้สึกใบหน้าซีกนั้นร้อนจัด   เขาชะโงกหน้าไปบอกคนขับแท็กซี่ทันที

            “ช่วยจอดข้างหน้าด้วยครับ”  คนขับแท็กซี่รับคำ รีบชะลอรถจอดเทียบข้างทาง   “ถอยออกไป  ผมจะลงจากรถ”  เขาหันมาพูดกับคนที่นั่งติดประตู

            “พี่ไม่ให้ลง   พี่ครับ  ออกรถเลยครับ ไปส่งที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม”  คุณหมอพูดกับแท็กซี่  ไม่ขยับตัว

            “ผมเป็นคนจ่ายเงิน  ผมจะลงตรงนี้  นี้ครับเอาเงินไป”  ตั้งเตควักธนบัตรสีแดงออกมาหลายใบส่งให้คนขับรถ  ทว่าอีกฝ่ายก็ล้วงเอาธนบัตรขึ้นมาบ้างเหมือนกัน  รดิศหยิบแบงค์พันขึ้นมาส่งให้คนขับแท็กซี่

            “ผมเหมาพี่วันนี้เลย  ออกรถเดี๋ยวนี้”    คนขับรถอึกอัก  ขยับจะออกรถต่อ  ทำเอานักเขียนหนุ่มหัวเสียอย่างหนัก  เขาเขยิบไปฝั่งที่ลูกชายนั่งอยู่แทน  เอื้อมไปเปิดประตูรถออก 

            “อย่านะเต  ฝั่งนั้นรถมันวิ่งเร็ว  ดูรถด้วย  โธ่เว้ย!”   ดิมอุทานอย่างโกรธจัด เมื่ออีกฝ่ายไม่ฟัง  เปิดประตูได้ก็ลากลูกชายลงจากรถมาด้วย  โชคยังดีที่ตอนนั้นไม่มีรถวิ่งตามมา  ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่อยากจะนึกเหมือนกัน ว่าคนที่พรวดพราดลงไปแบบนั้นจะโดนรถชนตายเอามั้ย

            เขายัดธนบัตรใส่มือแท็กซี่แล้วเปิดประตูลงไปบ้าง  เดินแกมวิ่งตามอีกฝ่ายไปจนทัน  คว้าแขนเอาไว้ดึงให้หันกลับมา

            “ทำบ้าอะไร  เสียสติไปแล้วหรือไงถึงได้พรวดพราดลงมา  ถ้ามีรถตามมาจะเป็นยังไง  ไม่โดนรถทับแบนไปแล้วทั้งคู่หรอ   ถ้านายไม่ห่วงตัวเองก็ห่วงลูกบ้าง”  เขาพูดเสียงดัง   อีกฝ่ายสะบัดแขน  ไม่สบตาเขา  จับมือลูกชายพาเดินต่อ

            “เต  หยุดก่อน  ตั้งเต  ฟังพี่พูดหน่อย   เต”  เขาก้าวตาม  ไม่สนใจว่าคนข้างทางจะมองมาที่พวกเขาอย่างไร   

          “อย่ามายุ่งกับผม  กลับไปซะ  เราต่างคนต่างอยู่”   ติณธรพูด  น้ำตาเริ่มปริ่มขอบตา...นี่มันมากเกินไปแล้ว   พี่ดิมจะมายุ่งอะไรด้วยนักหนา   จบๆไป ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้หรอ...

            “ไม่ได้  พี่ทำแบบนั้นไม่ได้   ก่อนหน้าที่พี่จะอ่านบันทึกเล่มนี้  พี่หลอกตัวเองมาตลอดว่าพี่ทำได้  พี่สามารถอยู่โดยไม่มีนายได้  แต่หลังจากอ่านแล้วพี่ก็รู้ว่าพี่คิดผิดมาตลอด   พี่อยู่โดยไม่มีนายไม่ได้  เต  นายเองก็เสียใจไม่ใช่เหรอ  ทำไมเราไม่กลับมา..เริ่มต้นกันใหม่ล่ะ”   เขาพูดอย่างมีหวัง

            “..........................”  ไม่มีคำตอบ   คนฟังเร่งฝีเท้าขึ้นอีก   จนลูกชายต้องร้องประท้วงให้ช้าลงหน่อย

            “พี่เพิ่งรู้ว่านายอดทนทำเพื่อพี่ขนาดนี้  พี่โง่เองที่ไม่รู้เลย   หลงเชื่อใจคนผิด คิดว่านายทิ้งพี่ไปจริงๆ  ทั้งที่นายไม่เคยทิ้งพี่ไปเลย  เต  พี่ขอร้อง   ขอโอกาสให้พี่ได้แก้ตัวสักครั้ง   นะครับ”

          ร่างเล็กหยุดเดิน   หันมามองหน้าคนพูด   รดิศใจเต้นแรง  เขารอคอยคำตอบด้วยความหวังเต็มเปี่ยม   ตั้งเตยังรักเขาอยู่  เขารู้  นั่นเป็นสิ่งที่แม้แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธไม่ได้

            “โอกาสนั้นหมดไปแล้ว  ผมเสียใจด้วยจริงๆ ...เตคนที่เขียนบันทึกเล่มนั้น กับเตที่ยืนตรงนี้เป็นคนละคนกัน....มันผ่านมานานเกินไป  ผมเสียใจมามากพอแล้ว  ขอให้ผมได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเถอะ”

          “นายแน่ใจเหรอว่านายจะมีความสุขจริงๆ  พี่ไม่เชื่อหรอกว่านายเปลี่ยนไปแล้ว   ทุกครั้งที่มองตา  พี่ยังเห็นเงาของเตคนเดิม  เฟรชชี่อักษรคนนั้นยังอยู่ข้างในตัวนาย   นายโกหกใครก็โกหกได้ แต่นายโกหกตัวเองไม่ได้  นายรู้อยู่แก่ใจ  เหมือนที่รู้เมื่อหลายปีก่อนว่านายจะไม่มีวันมีความสุข  เต....เลิกทำตัวเป็นพระเอกนิยายน้ำเน่าเสียทีได้มั้ย  เลิกเสียสละเพื่อใครต่อใครแล้วทำตามความต้องการของตัวเองบ้าง   ได้หรือเปล่า”  เขาทอดเสียงอ่อนลง   พิศดูสีหน้าอีกฝ่าย  เตหลุบตาจนมองไม่เห็นแววตาที่ซ่อนเอาไว้

            “จริงอยู่ว่าคราวที่แล้ว  ผมทำเพื่อคนอื่น  แต่คราวนี้ผมทำเพื่อตัวเอง   พี่ดิม...ผมขอเรียกพี่เป็นครั้งสุดท้าย ....ผมดีใจที่ได้ยินพี่พูดแบบนั้น   แต่เราเดินมาไกลเกินไป ....มันไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ   ตอนนี้ผมมีหน้าที่ๆต้องรับผิดชอบ  มีคนที่ผมต้องดูแล   ผมไม่สามารถทิ้งไปได้  และมันก็เป็นความต้องการที่แท้จริงของผมด้วย   ให้ผมได้ดูแลพวกเค้าเถอะนะ   พี่ดิม....เรื่องของเราเป็นความทรงจำที่ดีมาก   จนผมแทบไม่อยากเชื่อ  แค่ได้เป็นแฟนกับพี่ผมก็มีความสุขมากพอแล้ว...”  เตหยุดครู่หนึ่ง  ราวกับครุ่นคิดหาถ้อยคำ “เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะนะ...”  เขาจบห้วนๆ  ไม่พูดต่อ   เงยหน้าขึ้นสบตาผู้ชายตรงหน้าแวบหนึ่ง   แล้วก็หันไปโบกมือเรียกแท็กซี่อีกคันที่วิ่งผ่านมาพอดี 

            ดิมมองอีกฝ่ายก้าวขึ้นไปนั่งบนรถพร้อมลูกชายแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว   เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  แดดร่มเมฆครึ้มบดบังแสงอาทิตย์ ทว่าเขากลับรู้สึกร้อนอบอ้าวอย่างประหลาด   ดวงตาเริ่มพร่าเบลอด้วยหยดน้ำ...คงเป็นเหงื่อที่ไหลพลั่กออกมาเข้าตากระมัง

            เขายกนิ้วขึ้นแตะซับที่หัวตาอย่างแปลกใจ...ไม่ใช่เหงื่ออย่างที่คิด   คงเป็นฝุ่นละอองข้างถนนเข้าตาจนเคือง   กันยกมือขึ้นขยี้ตา   ยิ่งเช็ด  น้ำตากลับยิ่งไหลออกมาไม่หยุด

            เขาร้องไห้หรือนี่?

       นานแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ได้ปล่อยอารมณ์ออกมาแบบนี้    กี่ปีแล้วที่ต้องกักเก็บความรู้สึกเอาไว้ภายใต้สีหน้าท่าทางปกติ

            คิดแล้วก็ตลกดี...อุตส่าห์พยายามแทบตายจนได้เป็นหมอผ่าตัดหัวใจที่เชี่ยวชาญ    ตรวจคนไข้มาเป็นร้อย  ฟังเสียงหัวใจที่เต้นผิดปกติ   ต่อให้เสียงเบาแสนเบาแค่ไหน  ถ้าเป็นหูเทพของคุณหมอรดิศฟังเข้าล่ะก็ เป็นต้องเจอ รักษาจนหายดีทุกราย  ขึ้นชื่อว่าเป็นมือหนึ่งด้านนี้แท้ๆ   ทว่ากลับไม่เคยฟังเสียงหัวใจของตัวเองเลยสักครั้ง

            กว่าจะได้ยิน    กว่าจะรู้ว่าหัวใจของตัวเองมีแผลกลัดหนองซ่อนอยู่   หนองก็กินลึกจนไม่รู้จะรักษายังไงแล้ว  ทำได้อย่างเดียวคือต้องตัดหัวใจทิ้ง   แล้วใครที่ไหนจะตัดทิ้งกันได้ล่ะ  ในเมื่อหัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดในร่างกาย   คนเราจะอยู่โดยไม่มีหัวใจได้ยังไงกัน

            ชายหนุ่มยกมือขึ้นทาบที่แผ่นอก  รู้สึกถึงก้อนเนื้อขนาดกำปั้นที่เต้นช้าๆเป็นจังหวะอยู่ข้างใต้นั้น   หัวใจของเขาก็ยังคงเต้นอยู่  แต่เหตุใดเขาถึงรู้สึกเหมือนมันหยุดเต้นไปแล้วนะ

            ......................................................................................



            “ดิมเป็นอะไรไป  ตั้งแต่กลับจากดอย  ดิมก็เงียบๆไป   มีเรื่องอะไรหรือเปล่า   พูดกับรันตรงๆได้นะ”  กุมารแพทย์ยกมือขึ้นแตะที่ไหล่ของคนรักที่นั่งพิงโซฟามองหน้าจอโทรทัศน์นิ่งๆคล้ายไม่รับรู้ภาพเคลื่อนไหวในจอสี่เหลี่ยมเบื้องหน้า

            อีกฝ่ายดูหมดอาลัยตายอยาก อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน   ไม่สิ...อาการแบบนี้เขาเคยเห็นครั้งนึง  เมื่อนานมาแล้วตอนที่ดิมฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ และเอาแต่ชะเง้อหาคนรักที่ทอดทิ้งตัวเองไป ...หรือว่าครั้งนี้ก็จะเพราะเหตุนั้น?

          “รันนวดให้เอามั้ย   เผื่อจะได้สบายตัวขึ้น”  เขาออกแรงบีบหนักๆที่ช่วงบ่าตึงแน่นทั้งสองข้าง   ดิมขยับตัวแล้วเบี่ยงตัวออกจากมือของเขาอย่างนุ่มนวล  พูดเสียงเรียบ

            “ไม่เป็นไร  ขอบคุณมาก  รันกลับไปก่อนเถอะ  ดึกแล้ว   เดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปทำงานไม่ไหว”

          ดิมไล่เขา!  รันคิดอย่างเจ็บใจ  หลังจากกลับมาจากดอย อีกฝ่ายก็ทำตัวแปลกไปจากเดิม  ความจริงความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงมาสักพักแล้ว   ตั้งแต่ดิมได้พบกับเด็กคนนั้น   ทว่าครั้งนี้มันแย่กว่าเดิม  ดิมเย็นชา  ทำเหมือนกับว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา   ราวกับว่าเราไม่ใช่คนที่กำลังจะแต่งงานกัน

            “เป็นอะไรไป   หงุดหงิดเรื่องอะไรกันแน่  พูดมาตรงๆสิ  ดิมทำแบบนี้รันไม่เข้าใจหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น  โกรธผมเรื่องอะไร”  เขาไม่เคยต้องง้อใครมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในชีวิตที่พรั่งพร้อมบริบูรณ์มาตั้งแต่เกิด   อยากได้อะไรแค่เอ่ยปากก็มีคนสรรหามาประเคนให้ถึงที่   พี่ดิมเป็นคนเดียวที่เขาต้องง้อ  ต้องลงทุนทำอะไรหลายๆอย่างที่ชาตินี้ไม่คิดว่าตัวเองจะทำด้วยซ้ำ   แต่เขาก็ทำ....เพื่อพี่ดิม

            “คุณกลับไปก่อนเถอะ  เชื่อผม”  เสียงเขาดูจริงจังแปลกจากทุกครั้ง  รวมถึงแววตาที่มองมานั้นด้วย   มันทำให้แขกที่ถือวิสาสะเข้ามารอในคอนโดหลังเลิกงานโดยไม่รอให้เจ้าของเชิญเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆ ชอบกล 

            “ก็ได้  แต่พรุ่งนี้เช้ารันมารับนะ  แล้วเราจะได้ไปโรงพยาบาลด้วยกัน”

          “ไม่เป็นไร  ต่างคนต่างไปก็ได้ สะดวกดี”  เอาอีกแล้ว  อีกฝ่ายปฏิเสธน้ำใจของเขาอย่างไร้เยื่อใย   ชายหนุ่มคิดอะไรไม่ออกจึงได้แต่ลุกขึ้นหยิบกุญแจรถของตัวเองกลับออกมาจากห้องพักของคนรัก

            อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเดินออกมาส่งเขาที่หน้าประตูเหมือนทุกครั้ง   เค้าไม่หันหน้ามามองเลยด้วยซ้ำตอนที่เขาออกจากห้องมา

            เจ็บ...มันเป็นความเจ็บที่จะเรียกว่าคุ้นเคยก็คงได้ แต่ไม่เคยชินเสียที  เจ็บที่รู้ว่าอีกฝ่ายยังคงมีคนอื่นอยู่ในใจตลอดมา   เจ็บที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยตัดใจได้ 

            แต่ที่เขาเจ็บยิ่งกว่านั้น  ทั้งเจ็บทั้งแค้นก็คือ...ตัวเอง   เจ็บปวดทุกครั้งที่ถูกอีกฝ่ายเมิน   อยากจะทิ้งอีกฝ่ายไปเสียไกลๆ แต่ไม่เคยทำได้  เจ็บใจที่ไม่เคยหยุดรัก  แค้นที่ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไร  พยายามแค่ไหน   หัวใจของดิมก็ไม่เคยเป็นของเขาเลย  ที่ตลกกว่านั้นก็คือ หัวใจดวงนั้นไม่เคยเป็นของเจ้าตัวเองด้วยซ้ำ  เพราะมันเป็นของใครอีกคนมาตลอด  คนที่เขาอิจฉา....คนที่ต่อให้ทำร้ายดิมจนเจ็บช้ำปางตายแค่ไหน  ต่อให้ดิมโกรธจนไม่อยากมองหน้าอีก  ต่อให้ทิ้งเขาไปอีกสิบรอบ...ดิมก็จะยังรักผู้ชายคนนั้น 

            ทำไมเตถึงโชคดีอย่างนี้..

           

            ...........................................................................



ยังไม่จบตอนเด้อ  พักกินข้าวก่อนแปบบ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: xxxspai ที่ 05-05-2017 17:57:42
รันคะ ทำตัวเป็นตัวร้ายแล้วจะหวังอยากได้อะไรมากมาย หือ
กลับไปนั่งที่เงียบๆเลย จะดูพี่ดิมกับเต


ว่าแต่ คนเขียนกินข้าวอิ่มยัง :katai5:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 05-05-2017 21:29:55
  มาต่อนะคะ




              ชายหนุ่มหน้าคมเข้มทว่าเผือดซีด  หนวดเครารกเรื้อไร้การดูแล นอนเหยียดยาวอยู่กลางเตียงขนาดคิงไซส์คนเดียวในความมืด  ได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศทำงานสลับกับเสียงลมหายใจเข้า-ออกอย่างไร้จุดหมายของเขา

            เขากำลังครุ่นคิด

            ความรู้สึกภายในใจตอนนี้มันตื้อจนอธิบายไม่ถูก   อยากออกไปตามหาคนๆนั้น  ตามไปพูด  ไปคุยให้เข้าใจ  แต่ขณะเดียวกันก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร   มันสายเกินไปแล้ว

            จริงอย่างที่เตบอก   มันสายไป

            ถ้าย้อนกลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน   ถ้าตอนนั้นเขายอมปล่อยความแค้นโง่ๆพวกนั้นไปเสีย  ถ้าเขารับโอกาสที่เตมอบให้ด้วยใจจริง  ตอนนี้เขาก็คงไม่ต้องมานั่งเสียใจซ้ำสองแบบนี้

            คงจะมีความสุข  เหมือนที่ตอนนั้นมี....ความสุขที่แค่นึกถึงก็ทำให้หัวใจเต้นแรง...ร่างอบอุ่นนุ่มนิ่มในอ้อมแขน  กลิ่นหอมอ่อนๆทุกซอกทุกมุมที่เขาแตะริมฝีปากลงไปสัมผัส  ท่าทางเขินอายสะดุ้งน้อยๆอย่างคนไม่เคย  แต่กลับยั่วอารมณ์ของเขาให้คลั่งได้ในพริบตา

            ผิวนวลเนียนใต้ร่มผ้าที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะอ่อนละมุนถึงเพียงนั้น  เสียงลมหายใจที่ถี่ขึ้นพร้อมกับเสียงครางแหบหวานที่เร้าอารมณ์จนเขาอยากจะฝังร่างของตัวเองลงไปให้ลึกที่สุดและนานที่สุด  เหมือนกับที่เขาได้ฝังหัวใจของตัวเองลงไปแล้วกับผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานคนนั้นตั้งแต่แรกเจอ

            เตไม่รู้หรอกว่าเขาต้องใช้แรงใจมากแค่ไหนที่จะผละออกมาในเช้าวันนั้น   ใบหน้าเรียวหลับตาพริ้ม  อมยิ้มน้อยๆราวกับคนที่กำลังนอนหลับฝันดี   จะฝันถึงเค้าหรือเปล่า  ก็ขอเดาเอาเข้าข้างตัวเองว่าน่าจะใช่   ก้มลงไปเฝ้าจูบจอมถนอมเกล้าอยู่อย่างนั้น  ตัดใจลุกไม่ได้เสียที

            เข้าใจความรู้สึกของคนที่ได้ของรักกลับคืนมาก็ตอนนั้นเอง

            ถ้าตอนนั้นเขาลดทิฐิลง  ถ้าเขาวางความแค้นลงสักนิด  เขาก็คงจะยอมรับกับตัวเองได้ว่านี่คือสิ่งที่เขาเฝ้าฝันหามาตลอด   ผู้ชายในอ้อมกอดคนนี้คือสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเขา 

            ถ้าเขานอนต่ออีกหน่อย  รอให้อีกฝ่ายลืมตาตื่นขึ้นมา  รอให้เราได้สบตาและยิ้มให้กันในตอนเช้า   ความสัมพันธ์ของเราคงจะไม่ต้องจบแบบนี้   

            ทุกอย่างเป็นเพราะเขาเอง   เพราะความใจร้อน เพราะทิฐิและความโง่เง่าที่เอาแต่ความแค้นขึ้นมาบดบังสายตา  ทำให้เขาพลาด   ทำสิ่งที่เขาตามหามาตลอดหลุดมือไป

            กว่าจะรู้สึกตัว....ก็สมน้ำหน้าแล้วล่ะ

 

            ลุกขึ้นจากเตียงอย่างเนือยๆ  สมุดบันทึกและสิ่งของต่างๆในกล่องใบนั้นยังวางกระจายอยู่เต็มเตียง   เขาหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง   นึกถึงเจ้าของลายมือเรียบร้อยที่เขียนทุกความรู้สึกลงไปในกระดาษแล้วก็จุกแน่นในอก

ขนาดเขาเพิ่งรู้เรื่องทั้งหมดแค่ไม่กี่วัน  ยังเจ็บปวดร้อนรนเหมือนอยู่กลางกองเพลิง  แล้วเจ้าตัวที่เป็นคนตัดสินใจเรื่องทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวล่ะ

เตอดทนผ่านเรื่องราวเหล่านี้มาได้อย่างไร

คนที่ท่าทางอ่อนๆซื่อ  คนที่มีรอยยิ้มหวานรับอยู่เสมอ   แม้ว่าจะถูกใครเข้าใจผิดอย่างไร   ผู้ชายตัวเล็กที่เลือกจะทำทุกอย่างเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง   เป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ   ที่แม้แต่เขาก็ต้องยอมแพ้...เต   พี่คิดถึงนายเหลือเกิน...

เขาไม่มีอารมณ์ที่จะเก็บของใส่กล่องเหมือนเดิม   ความจริงเขาไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรด้วยซ้ำ ...อยากนอนนิ่งๆอยู่แบบนี้ไปเรื่อยๆ

            เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง   เขาเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาดู  ชื่อที่หน้าจอโชว์หราพร้อมกับใบหน้าหวานส่งยิ้มมาให้เขา...รัน

            เขากดปิดโทรศัพท์มือถือ

            รู้อยู่หรอกว่าเขาไม่ควรจะทำแบบนั้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่หมั้น    คนที่เขาเป็นคนตัดสินใจขอแต่งงานเอง  แต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ   ก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้ความจริงนี่   ทว่าตอนนี้เขารู้แล้ว....เหตุผลที่เตไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลย ....เขารู้สึกโกรธ   ข้อความจากบันทึกของอดีตคนรักบอกชัดถึงสิ่งที่เขาเฝ้าสงสัยมานาน   บันทึกนั่นคงไม่โกหก  เพราะเตไม่มีทางรู้เลยว่าวันนึงเขาจะมาอ่านมันเข้า

แล้วจะให้เขาทำหน้าอย่างไรกับคนที่แทงข้างหลังกันแบบนี้ล่ะ

ช่วงหลายวันมานี้รันพยายามชวนเขาพูดคุย  มาหาที่คอนโด  ชวนไปทานข้าว  แต่เขาปฏิเสธ   ทุกครั้งที่เห็นหน้ารัน   ความโกรธมันก็ยังคงอยู่    ออกจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ 

ทำไมรันถึงทำกับเขาได้  ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าตอนนั้นเขาอยากเจอตั้งเตมากแค่ไหน  รันรับรู้ทุกอย่างว่าเขากระวนกระวาย ทุกข์ใจแทบตาย  อยากจะพบหน้าคนรักเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมถึงทิ้งเขาไป  กี่เดือนที่เขาโวยวาย ทุรนทุรายเหมือนจะคลั่ง   แต่รันก็ทำ...จิตใจวิรัลทำด้วยอะไร

เขาไม่นึกว่าคนที่ไว้ใจที่สุด  จะทำกันได้ลงคอแบบนี้ ....คนที่เขาเคยคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า  คนที่จะเข้ามารักษาหัวใจที่แหลกเละของเขา

            แต่กลับทำให้เขาเจ็บมากกว่าเดิม

            โทรศัพท์เครื่องเล็กอีกเครื่องที่เขามีไว้ติดต่องานดังขึ้น   เขาหยิบขึ้นมาดู  เป็นเบอร์โทรของแพทย์รุ่นน้อง....เขาต้องกดรับ  กรอกเสียงลงไปอย่างจำใจ

            “ฮัลโหล  ว่าไง...”  รับฟังรุ่นน้องเล่าเคสคนไข้เพื่อขอความเห็นของเขาอยู่ครู่หนึ่ง  ฝ่ายนั้นอ้อนวอนขอให้เขาช่วยมาดูให้หน่อย   สุดท้ายเขาก็กรอกเสียงลงไป  “ก็ได้   ขอเปลี่ยนชุดก่อน   อีกสักครึ่งชั่วโมงจะตามไป” 

          นายแพทย์หนุ่มหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำ    ปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกายไปเรื่อยๆ  ความคิดคำนึงวิ่งทวนกระแสน้ำย้อนกลับไปใครคนนั้นอีกแล้ว....ครั้งหนึ่งเตเคยสระผมให้เขาที่ตรงนี้ 

            ยังจำท่าทางตกใจของอีกฝ่ายได้ติดตา   ตัวสั่นน้อยๆ ใบหน้าแดงจัดตอนที่เราสัมผัสกัน    เตไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด   เขารู้ว่าอีกฝ่ายเกลียดพวกสกินชิพพวกนี้เป็นที่สุด  เพราะมันทำให้เค้าหวั่นไหว   และนั้นก็เลยกลายเป็นจุดอ่อนที่เขาเอามาใช้กับอีกฝ่ายเสมอ

            เผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ....คงดีถ้าจะได้มีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้ง

            เขารีบมาที่โรงพยาบาล   โทรติดต่อให้รุ่นน้องอีกครั้ง  ฝ่ายนั้นบอกว่ารอเขาอยู่ที่ห้องทำงาน  รดิศแปลกใจนิดหน่อยแต่ก็เดินตามไปห้องทำงานของตัวเอง   เปิดประตูห้องเข้าไปก็เจอร่างของใครคนหนึ่งยืนหันหลังพิงโต๊ะทำงานของเขาอยู่แล้ว

            วิรัล...

“ดิม....เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป   คุยกันก่อน”   รันพูดเสียงอ่อนลง   เขารู้ทันทีว่านี่คงเป็นแผนของอีกฝ่ายที่จะเรียกเขาออกมาพบ   หลังจากที่เขาหาทางหลบหน้ามาตลอดหลายวันที่ผ่านมา

“คุณให้นัทโทรไปหาผมสินะ”   พึมพำกับตัวเองเบาๆ   รันเดินเข้ามาหาเขา  ช่วยไม่ได้เลยที่เขาเผลอก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง   รันทำหน้าเสียใจที่เห็นแบบนั้น

เขาก็เสียใจ

“รันขอโทษที่หลอกดิมมาที่นี่   แต่ดิมไม่ยอมเจอหน้ารันเลย  รันติดต่อไปดิมก็ปิดเครื่อง   รันก็ไม่รู้จะทำยังไง....ดิม  ดิมโกรธอะไร บอกมาตามตรงได้มั้ย”

คนฟังเม้มปาก  เมินมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่ดวงตากลมโตที่มีหยาดน้ำตาคลออยู่

“รันจะเป็นบ้าอยู่แล้วนะดิม  เป็นอะไร  ไม่คุยกับรันยังไม่เท่าไหร่  แต่ดิมไม่ยอมมาทำงาน  คนไข้อะไรดิมก็ทิ้งหมด  เลื่อนผ่าตัดออกไปแบบไม่มีกำหนดแบบนี้  มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”   เสียงของอีกฝ่ายเริ่มสั่นเครือ   หยดน้ำตาเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม   เจ้าตัวยกมือขึ้นปาดทิ้ง  “ดิมโกรธรันมากขนาดหน้าก็ยังไม่ยอมมองเลยใช่มั้ย  รันทำอะไรผิดหรอ...ฆ่าคนตายหรือไง” 

คนฟังส่ายหน้า   เอ่ยปากพูดเป็นประโยคแรก

“เปล่า  คุณไม่ได้ฆ่าใคร    เป็นผมเองที่ฆ่า   จะเรียกว่าคุณสมรู้ร่วมคิดก็คงได้กระมัง”  รันเบิกตากว้าง  มองเขาอย่างแปลกใจระคนกับแววหวาดกลัวบางอย่างที่วูบไหวอยู่ในดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

“ฆ่าอะไร  รันไม่เข้าใจ”  เสียงของอีกฝ่ายเบาลงจนเหมือนกระซิบ

“เมื่อ 8 ปีก่อน  ตอนที่ผมนอนอยู่โรงพยาบาล.... เตมาเยี่ยมผมใช่มั้ย”  กุมารแพทย์หนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น   เขากำมือแน่น  เหงื่อแตกโดยไม่รู้ตัว

ดิมรู้แล้ว?....เห็นใบหน้าเข้มเครียดนั่นก็รู้  ดิมรู้แล้วสินะ....นี่เองคือสิ่งที่เขาเคยคิดว่าวันนึงมันอาจเกิดขึ้น   แล้วมันก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ

“ดิมหมายถึงอะไร  รันไม่เข้าใจ”  เขาพูดรัว  ใจเต้นแรงจนแทบจะโลดออกมานอกอก   สังหรณ์บางอย่างบอกว่านี่อาจเป็นการพูดกันครั้งสุดท้ายระหว่างเขากับอีกฝ่าย

“รันให้ใครไปบอกเตว่าผมความจำเสื่อม”   คนฟังหัวใจหล่นวูบ...ดิมรู้หมดแล้วจริงๆด้วย   ไม่รู้ว่าไปรู้มาได้อย่างไร  หรือว่าเตบอก?

“เตบอกดิมว่าอะไร   รันไม่รู้ว่าดิมไปได้ยินเรื่องอะไรมา”   ปากคอเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่  เขาพยายามคิดหาทางหนีทีไล่  หนทางที่จะรั้งคนตรงหน้าเอาไว้ต่อไป 

“เตจะบอกผมว่าอะไรก็ช่าง  แต่ผมอยากได้ยินจากปากของคุณ   รันบอกผมได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”  สายตาคู่นั้นเหมือนจะเฆี่ยนเขาให้ปางตายด้วยความรู้สึกผิด   ดิมรู้เรื่องหมดแล้วแต่ก็ยังอยากให้เขาสารภาพออกมา 

“ดิมจะฟังรันเหรอ  ในเมื่อดิมก็เชื่อเตอยู่แล้ว  คำพูดของรันไม่มีความหมายสำหรับดิมหรอก   อย่าคิดว่ารันไม่รู้นะว่าหลายเดือนที่ผ่านมานี่ดิมแอบทำอะไรลับหลังรันบ้าง” 

รดิศมองอีกฝ่ายอย่างผิดหวัง   เขาแค่ต้องการให้รันพูดออกมาตรงๆแค่นั้นเอง

“รัน..”  เขาเรียกชื่ออีกฝ่าย  แต่ฝ่ายนั้นเหมือนคนเบรกแตกไปแล้ว

“ดิมไม่เคยเห็นรันอยู่ในสายตา   รันดูแลดิมแทบตายกว่าดิมจะกลับมาเหมือนเดิม  ขณะที่นายเตทิ้งดิมไปไม่เคยกลับมาดูดำดูดี   แต่ดิมก็ยังรักเค้า  รันไม่เข้าใจ   เค้ามีเมียมีลูกไปแล้ว  ดิมก็ยังไปตามตื๊ออยู่ได้   เป็นดิมที่โง่หรือว่ารันเองที่งั่ง   ...เอาแต่รักคนที่ไม่เคยรักตัวเองเลยสักนิด”   ประโยคสุดท้ายคล้ายพูดกับตัวเอง  รันก้มหน้าลงครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น   นัยน์ตาทั้งคู่แดงก่ำน้ำตาคลอ

“ดิมบอกขอเวลาหน่อย  รันก็ยอม  รันรอดิมมาตลอด   แต่ดิมไม่เคยตัดใจอย่างที่ปากพูดเลยสักครั้ง   คิดว่ารันไม่รู้เหรอว่าดิมกลับเมืองไทยมาทำไม  ทั้งๆที่อยู่ที่โน่นดิมมีโอกาสกว่าที่นี่ตั้งเยอะ   ดิมอย่ามาทำเป็นพูดเลยว่าคิดถึงบ้าน  ไม่ต้องอ้างเรื่องวิจัยด้วย  รันรู้ว่าดิมทำที่อเมริกาก็ได้   แต่ดิมก็กลับมา   เพราะอะไร  ถ้าไม่ใช่เพราะ..ดิมต้องการจะกลับมาหาเค้า!”  คนพูดกระแทกเสียงทั้งน้ำตา    ใจความของมันเสียดแทงหัวใจของคนฟังเข้าเต็มๆ

ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะรู้....เหตุผลที่เขากลับมา   เหตุผลที่ถึงเขาจะชักแม่น้ำทั้งห้ามาหลอกรันรวมทั้งหลอกตัวเองด้วย  แต่สุดท้ายก็เหมือนที่รันพูด 

เขากลับเมืองไทยด้วยเหตุผลเดียว...

“ดิมยังลืมเค้าไม่ได้...  ต่อให้ดิมไม่บอก  รันก็รู้   ทุกครั้งที่ดิมเห็นคนที่คล้ายๆกับเค้า  กันเป็นต้องมองตาม  ทุกครั้งที่ดิมเผลอ  แววตาดิมมันฟ้องว่าดิมคิดถึงใครอยู่    หรือแม้แต่เวลาที่เรานอนด้วยกัน   รันก็รู้ว่าดิมคิดถึงคนอื่นที่ไม่ใช่รัน...ดิมรู้มั้ยว่ามันเจ็บนะ   รันคือคนที่ดิมขอแต่งงาน  แต่ดิมไม่เคยทำให้รันรู้สึกเลยว่ารันคือคนที่ดิมอยากใช้ชีวีตด้วยจริงๆ”

รันสะอื้นออกมาดังๆ  ทำให้คนที่ยืนอึ้งอยู่ต้องก้าวเข้าไปประชิด ยกมือขึ้นโอบรอบตัวอีกฝ่ายเข้ามาแนบอก   อีกฝ่ายขืนตัวเอาไว้

“รัน  ผม....ผมขอโทษ”

“ดิมไม่ต้องขอโทษ   เพราะรันโง่เองที่รักดิมหัวปักหัวปำ   รักมาตั้งแต่ที่ยังเป็นได้แค่เพื่อนสนิท   ดิมรู้มั้ยว่ารันอิจฉาคนๆนั้นแค่ไหนที่ได้รับความเป็นห่วงจากดิม  ได้ความรักทั้งหมดจากดิมไปโดยที่เค้าไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย   ขณะที่รันต้องเสียสละอะไรมากมาย   มัน...มันไม่ยุติธรรมเลย”  วิรัลร้องไห้หนักมาก  เสียงสะอื้นของเขาคงจะดังออกไปนอกห้องอย่างไม่ต้องสงสัย   แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่รดิศวิตก   สิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาต่างหาก....เขาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายเก็บงำความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้มากมายขนาดนี้

“รัน ผมไม่เคยรู้เลย...”  เขาคราง   เสียใจที่เห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้  นี่เขาเผลอทำร้ายจิตใจของรันด้วยสินะ    ศัลยแพทย์หนุ่มรับรู้ถึงความใจร้ายของตัวเอง   

น่าสงสาร....เป็นความจริงที่ว่า  เขาไม่เคยรักรันเลย....

“ดิมอยากรู้ใช่มั้ยว่ารันทำอะไรลงไปเมื่อ 8 ปีก่อน    ก็ได้  ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว  รันจะบอกให้ ฮึก...รันเป็นคนส่งคนไปบอกเตเองล่ะว่าคุณความจำเสื่อม  รันเองที่บอกเตว่าไม่ต้องมาเยี่ยมดิมแล้ว  ฮึก  แล้วก็รันนี่แหละที่โกหกดิมว่าเตไม่เคยมาเยี่ยมทั้งๆที่เตมาทุกวันเป็นอาทิตย์ๆกว่าจะยอมถอดใจกลับไป ฮึก  รันเป็นคนบอกพยาบาลว่าไม่ให้เตเข้าเยี่ยม  รันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ของดิมใหม่  ลบเบอร์ของเตทิ้ง  ฮึก  รันขอให้พ่อส่งดิมไปรักษาเมืองนอก  เพื่อที่ดิมจะได้ไม่ต้องเจอกับเค้าอีก   และก็รันนี่แหละที่ฉีกจดหมายทุกฉบับที่จ่าหน้าซองถึงดิม   รันกลัวแทบแย่ว่าดิมจะรู้ว่ารันทำอะไรลงไป....ฮึก   ปล่อยผม”  รันตวาดเมื่อคนฟังยกมือขึ้นปิดปากเขาเอาไว้   คนฟังหน้าซีดเผือดมือสั่น   มองเขาอย่างตกใจ

“พอแล้ว  ไม่ต้องพูดแล้ว...”   รดิศพูด  อีกฝ่ายยกมือขึ้นปัดออก

“ทำไมล่ะ  ยังมีอีกเยอะ  ที่รันทำลงไปเพื่อคุณ.....ดิมไม่อยากรู้เหรอ  ฮือ”    น้ำตาของรันไหลอาบใบหน้าที่เคยมีแต่รอยยิ้มนั้น     เขาร้องไห้เหมือนเขื่อนแตก   ระเบิดความลับที่เจ้าตัวเก็บเอาไว้มาเนิ่นนานออกมาไม่ขาดปาก    รดิศรวบตัวอีกฝ่ายเข้าไปกอดเอาไว้แน่น 

ไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไรดี   ความโกรธก็ยังมีอยู่  ขณะเดียวกันก็สงสารอีกฝ่ายเช่นกัน

“ทำไมคุณต้องทำขนาดนี้”  เขาเหมือนพูดกับตัวเอง   อีกฝ่ายดันตัวออกจากวงแขนของเขา  นัยน์ตาแดงก่ำบวมช้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยแววทั้งรักทั้งเจ็บปวด    รันก้าวเข้าไปประชิดโต๊ะทำงาน  หยิบกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขาเสมอขึ้นมา...รูปคู่ของเขากับรันเมื่อครั้งที่ยังอยู่ที่นู่น   กรอบรูปที่เขาวางเอาไว้บนโต๊ะเพื่อที่จะได้มองเห็นง่ายๆเวลาที่เหนื่อย ...กำลังใจของเขา

“ดิมก็รู้อยู่แล้วว่าเพราะอะไร...”  วิรัลกระซิบแล้วเขวี้ยงกรอบรูปลงพื้น  เสียงกระจกแตกกระจายดังเพล้ง    คนทำไม่หันมามองเลยตอนที่ก้าวเท้าเดินออกไปจากห้องนั้น

รดิศมองกรอบรูปที่แตกเป็นเสี่ยงๆที่ปลายเท้า  เศษกระจกกระจายเกลื่อนเต็มพื้น   รูปคู่ของเขากับรันกระเด็นออกมานอกกรอบ   เขาก้มลงเก็บขึ้นมา

กระดาษแข็งสี่เหลี่ยมใบเล็กอีกใบที่ซ้อนอยู่ด้านหลังรูปคู่ของเขากับรันมานานแสนนานตกลงมาแทบเท้า   คนในภาพที่มีใบหน้าเหมือนเขาส่งยิ้มกว้างมาให้ราวกับกำลังมีความสุขที่สุดในชีวิต  เช่นเดียวกับผู้ชายร่างเล็กที่กำลังส่งยิ้มหวาน ผมหยิกสลวยปลิวตามแรงลม  คนทั้งคู่นั่งเคียงข้างกันอยู่ริมทะเล

รูปของเขา...กับเต

            ดิมน้ำตาไหล  เขาทรุดตัวลงนั่งที่พื้น  ไม่สนใจว่าเศษกระจกจะบาดผิวอย่างไร   หยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดูใกล้ๆผ่านม่านน้ำตาที่พร่ามัว   

            รันพูดถูก...  เขาไม่เคยลืมเตได้เลย

         
            ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะลืมยังไง


            ....................................................................................

มาต่อจบตอนนะคะ  ไปกินข้าวเย็นมาค่ะ 555555
ขอบคุณที่ติดตามนิยายเรื่องนี้นะคะ มันจะหนักหน่วงหน่อย 
แนะนำติชมมาได้เลยเน้อที่คอมเม้นท์หรือจะในทวิต #ดิมเต ก็ได้นะคะ
เจอกันตอนหน้า วันนี้อัพสองเรื่องนะคะ เรื่องนี้กับ #แอบลักษณ์  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 05-05-2017 22:00:43
หนักเกินไป สงสารดิม


เพราะว่ารัก...จึงต้องยอมเจ็บ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 05-05-2017 23:04:29
เพราะ"รัก"คำเดียว
ทำให้มีเรื่องราวต่างๆมากมายบนโลกใบนี้

มีอานุภาพมหาศาลจริงๆ

รัก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 05-05-2017 23:52:06
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 06-05-2017 00:39:37
เลิกก็เลิกกับหมอรันไปเลย เลิกเลย สงสารหมอดิม มารู้ความจริงตอนนี้ก็คิดได้ว่าตัวเองเดินหมากผิดวิธีไปแล้ว
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Apple_matinie ที่ 06-05-2017 00:50:05
โอยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยฃ
หน่วงอารายเบอร์นั่น
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่24 5/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 06-05-2017 01:40:25
เตจะกลับมาไหม
กลับซิ. ขอให้กลับมาหาพี่ดิมเถอะ.
คนดีอย่างเต ควรได้รับสิ่งดีๆนะ

 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:
.....

.
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เธอ]ตอนที่25 7/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 07-05-2017 23:26:26


เพราะหัวใจบอกว่า...เธอ

 

 

 

 

            “อาการของคุณข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง  พักนี้ผมไม่ค่อยมีเวลาเลย   งานที่สำนักพิมพ์ยุ่งมาก”  ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้มลงถามคนที่เดินเคียงข้างกันมาเงียบๆ  ชายหนุ่มที่ตัวเล็กกว่ายิ้ม ยกมือขึ้นปัดปอยผมหยิกสลวยที่เริ่มยาวให้พ้นใบหน้า   เงยหน้าขึ้นตอบ

            “อาการทรงๆอยู่เหมือนเดิม  กำลังรอผ่าตัดอยู่...ปกใหม่เป็นไงบ้างฮะ  ไปถึงไหนแล้ว”  นักเขียนหนุ่มถาม   เขาไม่ได้เข้าไปที่บริษัทเกือบเดือนแล้วเพราะติดต้องดูแลภรรยา  ได้แต่ส่งต้นฉบับผ่านทางอีเมล์ไปให้พี่โดม 

            “เกือบเสร็จแล้วล่ะ...เดี๋ยวขอกลับมาเรื่องคุณข้าวตังก่อน  ไหนตอนแรกว่าจะผ่าตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วไม่ใช่เหรอ  นี่มันเกือบสองอาทิตย์แล้วนะ  มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”  ภาคย์ขมวดคิ้วน้อยๆ  ตั้งแต่เขารู้ว่ามีการเปลี่ยนตัวแพทย์ที่จะทำการรักษาภรรยาของเต  เขาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมา   ไม่ได้เป็นเพราะกลัวฝีมือแพทย์คนใหม่จะด้อยกว่าหรอก   รู้ว่ามือเหนือชั้นกว่าคนเดิมเสียอีก   แต่เป็นเพราะว่าเป็นคุณหมอคนนั้นตะหาก

            ผู้ชายหน้าเข้มที่ดูเหมือนว่าจะมีความสัมพันธ์แปลกๆกับติณธร   

            “ไม่มีอะไรหรอก  หมอเขาบอกให้รอหน่อย  คงรอให้อาการคงที่ก่อนมั้ง”  ท่าทางคนพูดไม่แน่ใจเท่าไหร่

            “หมอเขาพูดว่ายังไง  เล่าให้ผมฟังหน่อย”  ภาคย์ถือวิสาสะจับที่ข้อศอกของคนข้างๆพาเดินตรงไปนั่งที่เก้าอี้ริมสวนของโรงพยาบาล  เหมือนบอกในทีว่าเรื่องนี้คงต้องพูดกันยาว

            “เขาก็บอกว่า....ง่า...อาการยังไม่คงที่เท่าไหร่  ผ่าตัดตอนนี้จะไม่ปลอดภัย  ให้รอไปก่อน   ประมาณนี้แหละ”

          “อันนี้หมอรดิศพูดกับคุณเองเลยใช่มั้ย   แล้วทำไมตอนแรกบอกว่าต้องรีบผ่า ถึงจะดีกับคนไข้มากกว่าล่ะ”   เขาซัก   คนฟังส่ายหน้า

            “ไม่รู้เหมือนกัน  หมอเขาว่าอย่างนี้   ความจริงแล้วผมไม่ได้เจอกับเขาเองหรอก  เค้าเข้ามาคุยกับตังน่ะ  ตังเป็นคนเล่าให้ผมฟังอีกที” 

            “ให้ผมไปคุยกับเขาให้ไหม”  ภาคย์เสนอตัว   สัมผัสได้ถึงความยุ่งยากใจบางอย่างเวลาที่อีกฝ่ายเอ่ยถึง ‘คุณหมอ’ คนนั้น  คล้ายกับว่าเจ้าตัวโล่งใจที่ไม่ได้เจอหน้าหมอมากกว่า

            “ไม่ต้องๆ ไม่มีอะไร  ตอนนี้ตังก็อาการดี  รอไปอีกหน่อยก็ได้” เตปฏิเสธออกมาทันทีจนน่าแปลกใจ

            ...ระหว่างนักเขียนของเขากับไอ้หมอนั่นต้องมีปัญหาอะไรกันอยู่แน่ๆ   พิศดูใบหน้าเรียวหวานที่ซูบผอมลงจนกระดูกโหนกแก้มขึ้นสันชัดเจนนั้น  เห็นหัวคิ้วขมวดมุ่น แววตากังวลแกมเศร้าปนกับอารมณ์หลายๆอย่างที่เขาอ่านไม่ออก   ภาคย์ก็ลอบถอนหายใจยาว  ยกมือขึ้นแตะที่หัวคิ้วขมวดลูบเบาๆ ให้คลายปม   อีกฝ่ายตกใจเล็กน้อย แต่ก็ยอมให้เขาใช้นิ้วโป้งเกลี่ยที่หัวคิ้วให้แต่โดยดี

            “ย่นหมดแล้ว   ไม่เจอคุณสองอาทิตย์นึกว่าแก่ลงไปสักสิบปี   กังวลอะไรอยู่หืม  อาการของคุณตังหรอ? ก็บอกเองเมื่อกี้ว่าอาการดีไง  ถึงมือคุณหมอแล้วไม่ต้องห่วงหรอก   เอ...หรือว่าจะกังวลเพราะเรื่องคุณหมอนี่ล่ะ”  เขาตัดสินใจส่งหมัดแย็บเข้าไปเบาๆ

            ผลที่ได้แรงยิ่งกว่าหมัดฮุกเสียอีก   คนฟังเงยหน้าขึ้นทันที  สบตาเขาแล้วคล้ายจะเพิ่งรู้สึกตัว   แววไหววูบในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสงบขรึมแกมเศร้านิดๆเหมือนเดิม

            “ก็...ไม่หรอก  ไม่มีอะไรจริงๆ”

          ไม่มีอะไร แล้วทำไมต้องทำหน้าเครียดกว่าเดิมด้วย?  คำถามที่ชายหนุ่มถามในใจ  ไม่กล้าถามอีกฝ่ายต่อ  ในเมื่อเตบอกว่าไม่มี  ต่อให้เขาง้างปากบังคับ   คำตอบของอีกฝ่ายก็คงจะยัง ‘ไม่มี’ เหมือนเดิม

           ติณธรใจแข็งแค่ไหน  เขาคิดว่าตัวเองก็พอจะมองออกอยู่บ้าง   ภายใต้ท่าทางนิ่มนวล เรื่อยๆ  ใต้รอยยิ้มหวานอ่อนโยนที่ดูเหมือนคนที่พร้อมจะโอนอ่อนผ่อนตามใครๆนั้น  เขาเชื่อว่ามีหัวใจเพชรซ่อนอยู่...ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนที่จะมา ‘เล่นๆ’ด้วยได้  เป็นเหตุผลที่เขาระวังตัวเองเหลือเกิน  กลัวว่าจะเผลอไปทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายเข้า  แล้วเขาก็จะไม่มีโอกาสได้แก้ตัวอีกเลย

            “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว....เอาล่ะ  อูย  แสบท้องจัง  เลี้ยงข้าวหน่อยสิ”  ในเมื่อเตไม่บอก  ก็ไม่เป็นไร  เรื่องแค่นี้เดี๋ยวเขาไปสืบต่อเองก็ได้   หาทางเปลี่ยนเรื่องตามสไตล์  ยกมือขึ้นลูบท้องสูดปาก...ยังไงวันนี้อีกฝ่ายก็ต้องออกไปทานข้าวกับเขา   ในฐานะที่ทำให้คิดถึงมาตลอดหลายวัน

            คนฟังหัวเราะ  จุ๊ปาก

            “เมื่อกี้เล่าว่าเพิ่งกินมาไม่ใช่เหรอ   มาหิวอะไรอีกล่ะ”

          “โอ๊ะ  จริงด้วยแฮะ ลืมสนิทเลย  ทำไมหิวอีกแล้วล่ะ  หรือว่าเป็นเพราะเจอหน้าคุณเต  ท้องไส้เลยปั่นป่วนอีกแล้ว.....น่านะ  ไปทานข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ   ผมเหงา...”  ผู้ชายหน้าตี๋พูดเสียงออด

            จะเป็นเพราะเขารู้สึกหิวอยู่เหมือนกันหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเขาก็รู้สึกเหงาเช่นกัน เลยทำให้เขาตัดสินใจยอมออกมาทานอาหารเย็นกับเจ้านายด้วยจนได้   ติณธรพยายามตั้งสติอยู่กับคนที่นั่งทานข้าวผัดกระเพราไข่ดาวอย่างเอร็ดอร่อยตรงหน้า  ทว่าจิตใจก็เอาแต่คอยจะล่องลอยออกไปถึงใครอีกคนที่ไม่ได้นั่งอยู่ที่นี้ด้วย

            ไม่เฉียดกรายมาให้เห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ  ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมา  ราวกับว่าผู้ชายคนนั้นตายจากโลกนี้ไปแล้ว....หึ  แค่โลกของเขาคนเดียวนะ  เพราะเจ้าตัวมาเยี่ยมข้าวตังได้ทุกวันตามประสาแพทย์ที่ดี   แต่เราสองคนกลับไม่เคยพบหน้ากันอีกเลยตั้งแต่วันนั้น

            ถ้าบอกว่าฝ่ายนั้นไม่ได้จงใจหลบหน้าเขา  ก็คงจะโกหกแล้วล่ะ

            ความจริงเขาควรจะยินดีไม่ใช่หรือ  ที่อีกฝ่ายไม่มาคอยตามตอแยอีกแล้ว...จบสิ้นกันไปตามที่เขาอยากให้มันเป็น   ทว่าทำไมภายในใจกลับไม่ยอมสงบเหมือนท่าทางที่แสดงออกมาเบื้องนอก   มันปั่นป่วนราวกับอยู่กลางมหาสมุทรที่มีพายุโหมกระหน่ำ

            หรือเวลายังไม่มากพอที่จะทำใจ?....แล้วนี่เขาต้องใช้เวลาเท่าไหร่ล่ะ   คบกันไม่ถึง 5 ปี ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะลืมกันได้   ผ่านมา 8 ปีแล้ว  นานเท่าอายุเจ้าเต้...ความทรงจำพวกนั้นยังแจ่มชัดอยู่เลย   ไหนจะความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นใหม่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาอีกล่ะ

            หรือว่าต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของเขา  ถึงจะลืมผู้ชายที่เป็นเหมือนรักแรกคนนั้นได้ ...มันไม่นานไปหน่อยเหรอ?

            ชายหนุ่มเผลอถานหายใจยาว  วางช้อนลงเพราะความอยากอาหารหมดไปแล้ว   เป็นอย่างนี้ทุกทีที่คิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา

            “เจ้านี้ไม่อร่อยหรอ   หรือว่าไม่ถูกปาก”  คนที่นั่งตรงข้ามทักทันทีราวกับจับสังเกตอาการของเขาอยู่ตลอดเวลา  เจ้าตัวจัดการกับอาหารของตัวเองจนหมดแล้วภายในเวลาอันรวดเร็ว  ขณะที่เขากำลังนั่งเขี่ยข้าวไปมาจนรวบช้อน

            “อร่อยดี แต่ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่   อิ่มแล้วเหรอ  สั่งเพิ่มมั้ย...เห้ย!”  เตอุทาน  เมื่ออีกฝ่ายเอื้อมมือมายกจานของเขาไปวางตรงหน้าตัวเองแล้วใช้ช้อนตักไข่ดาวที่เหลืออีกครึ่งฟองเข้าปากหน้าตาเฉย  ตามด้วยข้าวและหมู  ไม่ถึงสองนาที ข้าวก็หมดจาน

            “ทำไมไม่สั่งใหม่ล่ะ  กินของเหลือทำไม”  ติณธรถามเสียงแข็ง   คนฟังยักไหล่

            “ไม่เห็นเป็นไรนี่  ก็คุณไม่กินแล้วไม่ใช่เหรอ  ผมก็ไม่อยากให้เสียของไง  ชาวนาปลูกข้าวลำบากนะคุณ  มากินเหลือทิ้งๆได้ไง”

          “แต่ผม....”

          “เอาน่า ผมไม่ถือ   ทำไมล่ะ  คุณถือหรอ...ถ้าคุณถือก็วางมันลงเหอะ   เดี๋ยวแก่เร็วไม่รู้ด้วยนะ”  ภาคย์พูด ยักคิ้วให้เขา  ดีดนิ้วเรียกบ๋อยมาเก็บเงิน  แล้วก็พาเขาเดินออกมาจากร้านอาหารตามสั่งใกล้โรงพยาบาลนั้น   ตั้งเตเม้มปาก  ส่ายหน้ากับตัวเอง

            “แวะกินไอติมก่อน”   เจ้านายของเขายกมือขึ้นชี้ที่รถเข็นไอศกรีม  ท่าทางคล้ายกับเด็กชายวัยไม่เกินสิบขวบอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ   ไม่เหมือนตรงที่เด็กน้อยคนนั้นดึงแขนของมารดาแรงๆ  ขณะที่ผู้ชายร่างสูงข้างเขาเพียงแต่ยกมือขึ้นกอดอกแล้วมองมาที่เขาด้วยสายตาที่ทำให้เตต้องพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้

            “ยังไม่อิ่มอีกเหรอ”  เตบ่นแล้วก็ก้มลงเลือกไอศกรีมแท่งภายในรถเข็นคันนั้น   ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่ร้องอยากกินตอนแรกแอบมองแล้วลอบยิ้มอยู่ในใจ

            กินข้าวไม่ลง  กินขนมแทนก็แล้วกัน  ดูท่าคงจะชอบเสียด้วย  ตั้งใจเลือกรสพอๆกับไอ้หนูตัวกระเปี๊ยกข้างๆนั่นเลย    แบบนี้สงสัยต้องขุนด้วยของหวานบ่อยๆเสียแล้ว...ภาคย์คิด

            “ผมเลือกได้แล้วนะ  เอาแท่งนี้  คุณล่ะ”  ภาคย์กระพริบตา   ใบหน้าเรียวหวานที่เงยขึ้นถามเขาในระยะใกล้ทำเอาใจกระตุกไปแบบไม่ทันตั้งตัว   เขากระแอมเรียกสติ  ทำทีเป็นก้มลงเลือกไอศกรีมในรสเข็น....ของหวานที่เขาไม่เคยชอบ

....ไม่ชอบ   แต่นับต่อจากนี้  มันคงกลายเป็นของโปรดของเขา  ชายหนุ่มคิดในใจขณะที่เดินกินไอศกรีมหวานเย็นเคียงข้างนักเขียนในสังกัดย้อนกลับไปทางเดิมด้วยกัน   ฟังเสียงเด็ก  เอ้ย  ผู้ใหญ่ตัวเล็กข้างๆกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อย  เขาก็มีความสุขจนอยากจะหยุดเวลานี้เอาไว้

รู้อยู่หรอกว่าเตไม่เคยสนใจเขาในแง่ที่เกินเลยกว่าคำว่าเจ้านายและเพื่อน   แต่มันก็อดคิดไม่ได้  ห้ามใจตัวเองไม่ได้  ทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้..เขาอยากให้ตัวเองบินได้   หรือไม่ก็ทำอะไรก็ได้สักอย่างที่มันพิเศษสุดๆ  เฉพาะให้เค้าคนเดียว

ผู้ชายทุกคนก็คงอยากทำอะไรที่พิเศษให้กับคนที่ตัวเองรัก...

“มะรืนนี้ตอนเย็น  ผมขอจองคิวคุณไว้ก่อนได้มั้ย”   ภาคย์เอ่ยปาก    เขาหยุดยืนที่หน้าห้องพักผู้ป่วย  ส่งยิ้มให้คนที่กินไอศกรีมรสส้มจนริมฝีปากเลอะกลายเป็นสีส้มตาม  น่าขัน...แต่ก็น่ารักที่สุดในสายตาคนมอง

อยากก้มลงไปเช็ดให้...ด้วยปาก  ทว่าก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น

“ทำไมเหรอ  มีงานหรือครับ”  อีกฝ่ายถามกลับ  เจ้านายหนุ่มจุ๊ปาก...เอะอะอะไรก็คิดแต่เรื่องงานๆๆ  ทำไมไม่คิดว่าเขาก็มีเรื่องอื่นที่อยากให้เตทำเหมือนกัน

“ไม่ใช่หรอก  จะแจกโบนัสพนักงานดีเด่น   ตกลงไปนะครับ”  เขาถามเสียงอ่อน   เตเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พยักหน้า 

“ถ้าอย่างนั้นผมมารับที่โรงพยาบาลนะครับ ตอนทุ่มนึง”  ภาคย์ยิ้มกว้างรีบชิงนัดหมายเอาไว้   หัวใจเต้นแรง....ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งแล้วสินะ    แค่นี้ก็พอใจแล้ว

“ถ้างั้น ผมกลับก่อนนะครับ”  คนฟังพยักหน้าอีก  ยกมือโบกให้ยิ้มๆ  เขาเฝ้ามองร่างของอีกฝ่ายผลุบหายเข้าไปในห้องพักผู้ป่วย     รู้ดีว่าวันมะรืนนี้เป็นวันสำคัญแค่ไหน

....วันเกิดของเต....

การที่อีกฝ่ายยอมออกมาฉลองร่วมกับเขาถือเป็นความสำเร็จย่อมๆเลยนะ   มีแต่คนพิเศษเท่านั้นไม่ใช่เหรอ ที่เราอยากใช้เวลาร่วมกันกับเขาในวันพิเศษๆอย่างเช่น วันเกิด

อดยิ้มกว้างออกมาไม่ได้   ทว่าก็ต้องรีบหุบยิ้มอย่างรวดเร็วเมื่อประจันหน้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่คงยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ซักพักแล้ว   สบดวงตาคมเข้มคู่นั้นนิ่งๆ  บอกตัวเองได้ทันทีว่าวันนี้คงมีเรื่องแน่แล้ว

“คุณหมอ...?  กำลังอยากพบอยู่พอดีเลยครับ”

“เช่นกันครับ  เชิญที่ห้องทำงานของผมดีกว่า  จะได้คุยกันสะดวก”  ผู้ชายในเสื้อกาวน์ตอบ   ยิ้มนิดๆที่มุมปาก  เห็นลักยิ้มข้างแก้มบุ๋มลึก.. เป็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายเห็นทีไรก็นึกคันมือคันเท้าขึ้นมาทุกครั้ง 

เกลียดรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ แฝงด้วยเลศนัยภายใต้หน้ากากนิ่งขรึม ทรงภูมิของหมอนี่จริงๆ  สังหรณ์เขาคงถูกต้องแล้วตั้งแต่แรกที่รู้สึกได้ว่า ไอ้หมอนี่มันไม่ธรรมดาแน่ๆ

และที่สำคัญก็คือ...สิ่งที่เขาอยากรู้มากที่สุด

ผู้ชายคนนี้มีความสัมพันธ์อย่างไรกับเตกันแน่

เขาเดินตามคุณหมอหนุ่มเข้ามาภายในห้องทำงานที่อยู่ชั้นถัดไป   เจ้าของห้องผายมือเป็นเชิงให้นั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามโต๊ะทำงาน   ภาคย์ทรุดตัวลงนั่งและเริ่มเปิดประเด็นแบบไม่เสียเวลา

“คุณหมออยากคุยกับผมเรื่องคุณเตใช่ไหมครับ”  อีกฝ่ายพยักหน้ารับ  เขาจึงพูดต่อ  “เราเคยคุยเรื่องนี้กันแล้ว  คุณหมอคงจำได้   เมื่อครั้งที่ไปทะเล....ตอนนั้นผมถามคุณหมอว่า  คุณมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเต   ซึ่งคุณหมอก็ไม่ยอมตอบผม  ถูกไหมครับ”  รดิศพยักหน้ารับ  ถามกลับ

“ถูกต้อง  แล้วคุณภาคย์ล่ะครับ  คุณยังยืนยันคำเดิมอยู่หรือเปล่าว่าคุณกับคุณเต เป็นเพียงแค่เจ้านายกับลูกน้องกันเท่านั้น”

 “คุณหมอครับ  ผมขอให้เราพูดกันตรงๆแบบลูกผู้ชาย  คุณหมอ...ผมขอเรียกคุณรดิศดีกว่า  เรามาเคลียร์กันให้กระจ่างไปเลย   จะได้ไหมครับ”

“นั่นเป็นจุดประสงค์ที่ผมเชิญคุณมาที่นี่วันนี้  คุณภาคย์”

“ถ้าอย่างนั้น  ผมก็จะขอยอมรับแบบตรงๆว่าผม..ชอบคุณเตมาก   อาจจะถึงขั้นรักเลยก็ว่าได้”  คนพูดพูดด้วยท่าทางมั่นใจอย่างคนที่ซื่อตรงต่อหัวใจตัวเองเสมอมา  ขณะที่คนฟัง...แม้จะรู้อยู่แล้ว  ก็ไม่วายหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่ได้ยินจากปากอีกฝ่ายชัดถ้อยชัดคำแบบนี้

“เตมีภรรยาแล้ว  มีลูกแล้วด้วย”  เขาสะกิด

“ผมรู้ แต่จะแปลกอะไรล่ะ  ผมมีความสุข  แค่นั้นผมก็พอใจ”  คนฟังเม้มปาก   รู้สึกถึงเส้นเลือดเต้นอยู่ที่ริมขมับตุบๆ

“ความพอใจของคุณมันทำให้หลายคนไม่สบายใจ  คุณรู้บ้างไหม  อย่างน้อยก็ภรรยาของเค้าคนหนึ่งล่ะ”

“รวมถึงคุณด้วยใช่ไหม  คุณรดิศ”  อีกฝ่ายสวนกลับทันที

“ใช่  เพราะผมเป็นเจ้าของไข้  ถ้าคนไข้ของผมไม่สบายใจจนอาการทรุด  ไม่ว่าเพราะเหตุใด  ถ้าแก้ได้  ผมก็อยากจะแก้”

“โอ้โห  นี่คุณเป็นหมอผ่าตัดหัวใจหรือว่าเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดคลับฟรายเดย์กันแน่  ถึงต้องมาแก้ปัญหาเรื่องความรักของคนไข้ด้วย   คุณหมอ....พูดมาเถอะว่าคุณหมอก็ชอบคุณเตอยู่เหมือนกัน”  เสียงของภาคย์กวนประสาทคนฟังจนคิ้วเข้มๆกระตุก  รดิศพยายามควบคุมสติอารมณ์ไม่ให้ลุกขึ้นมาต่อยไอ้หมอนี่

“ผมพูดแทงใจดำล่ะซิ  ผมรู้นะว่าคุณหมอก็เล็งคุณเตอยู่   ตั้งแต่ตอนไปทะเลแล้วมั้ง...ผมขอเตือนคุณหมอด้วยความหวังดีนะว่า  คุณเตไม่ใช่คนง่ายๆหรอก   ผมรู้จักคุณเตมาเกือบสองปีแล้ว  บอกเลยว่ายากมาก   คุณหมอก็มีแฟนอยู่แล้ว  คิดให้ดีๆดีกว่า  ส่วนผม...ยังไงผมก็ไม่หวังหรอก   ลูกคุณเตผมก็รัก  แฟนคุณเตผมก็ชอบเธอ  ไม่อยากให้เธอเสียใจเหมือนกัน   ผมก็แค่....”  ภาคย์ยักไหล่เหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง

รดิศถอนหายใจยาว    เคาะนิ้วลงบนโต๊ะทำงานเป็นจังหวะคล้ายคนที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนักหน่วง

“คุณหมอ   ผมตอบส่วนของผมไปหมดแล้ว   ถึงตาคุณหมอบ้างแล้วนะ....คุณหมอมีความสัมพันธ์อย่างไรกับคุณเตกันแน่ครับ  แค่คนรู้จัก..สามีของคนไข้  หรือว่ามากกว่านั้น”

“ถ้าผมบอกว่า   มากกว่านั้นล่ะ”   เขาตอบออกมาในที่สุด  หลังจากคิดอยู่นาน   เห็นทีคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว  นอกจากพูดกันตรงๆ

ถึงจุดนี้  เขายอมทำทุกอย่าง   เอาทุกทาง  เพื่อให้ได้ตั้งเตกลับคืนมา....

คนฟังเลิกคิ้ว  แววประหลาดใจพาดผ่านไปแวบหนึ่ง  ราวกับเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะยอมรับออกมาง่ายๆแบบนี้

“มากแค่ไหน?”

“เตเป็นคนของผม”  คำตอบของคุณหมอทำให้อีกฝ่ายโกรธจัดจนเลือดขึ้นหน้า  ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วกระชากคอเสื้อคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ดึงข้ามโต๊ะเข้าหาตัวอย่างแรง   สายตาของผู้ชายทั้งสองคนปะทะกัน  คนหนึ่งขึ้งเครียดด้วยความโกรธเกรี้ยว  ส่วนอีกคนท้าทายทว่ามีความสลดแฝงอยู่นิดๆ

“พูดแบบนี้ได้ยังไง  มีสิทธิอะไรพูดถึงคุณเตแบบนี้   คุณเตไม่ใช่ของใคร  หรือถ้าจะใช่  ก็ต้องเป็นของคุณข้าวตัง  ไม่ใช่คนที่มีแฟนแล้วแต่แค่หวังเคลมอย่างคุณ!”

ดิมยกมือขึ้นจับมืออีกฝ่ายที่ยืดคอเสื้อของตนเองแน่นอยู่  กดที่เส้นเอ็นแรงๆแบบคนสู้เป็นจนฝ่ายนั้นร้องโอ๊ย  ต้องยอมปล่อยมือจากปกเสื้อของเขา

“คนไม่รู้อะไรอย่างคุณไม่มีสิทธิพูดแบบนี้กับผมเหมือนกัน   คุณภาคย์  ผมจะบอกให้ว่าถ้าคุณไม่อยากเจ็บปวดกับเกมนี้  คุณรีบถอนตัวออกไปก่อนดีกว่า   ก่อนที่คุณจะโดนลากเข้ามาด้วย”

“เกมอะไร   ผมไม่เข้าใจ  คุณพูดอะไร”

“มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับเต”

“แล้วแฟนของคุณ รู้เรื่องระหว่างคุณกับคุณเตบ้างหรือเปล่า”   ภาคย์ย้อนถามเสียงเยาะ

“ผมกับรัน  เราเลิกกันแล้ว....คุณเป็นคนแรกที่รู้”  ดิมตอบเรียบๆ  คนฟังอึ้ง   ไม่นึกว่าคู่ที่ดูเหมาะสมกันทุกอย่างถึงขั้นมีแพลนแต่งงานจะมาถึงจุดจบได้ง่ายๆแบบนี้

            “แล้วยังไง  คุณเลิกกับหมอรัน  แล้วก็เลยจะมาคว้าคุณเตแทนอย่างนั้นหรือ   ให้ตายเหอะคุณหมอ  มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไง   อย่าบอกนะว่าที่พักหลังมานี้คุณเตดูแปลกไปก็เพราะเหตุผลนี้”

          “.............”  ศัลยแพทย์หนุ่มไม่ตอบแต่ยักไหล่   ชายหนุ่มอีกคนเม้มปากแน่น

            “ผมจะไม่ถามคุณ  ว่าเรื่องของคุณกับเตเกิดอะไรขึ้น  แต่ผมจะไม่ยอมให้คุณมาทำให้คนที่ผมรักเสียใจหรอก     คุณหมอ  คุณตะหากที่ต้องไป  ไม่ใช่ผม”  ภาคย์พูดเสียงหนัก    ขยับจะหันหลังกลับออกไปจากห้อง  ทว่าสายตาคมไวของเขาเหลือบเห็นกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานสี่เหลี่ยมเข้าพอดีในตำแหน่งที่คนนั่งทำงานจะสามารถเงยหน้าขึ้นมองเห็นได้ทุกเมื่อ

กรอบรูปดีไซน์แปลกตานั้นยังไม่ทำให้เขาชะงักได้เท่ากับภาพคนในรูป....คนสองคนที่นั่งยิ้มเคียงข้างกันอยู่   นี่มัน....!

เงยหน้าขึ้นสบตาคมเข้มของเจ้าของห้องที่มองมาที่เขาอยู่ก่อนแล้ว   ภาคย์แทบจะอ้าปากค้างกับสิ่งที่เพิ่งค้นพบ

“รูปนี้.... คุณ...กับคุณเต  พวกคุณเคย....?”  เสียงของเขาเบาลงราวกับกระซิบ  เอื้อมมือไปหยิบกรอบรูปนั้นขึ้นมาเพ่งดูใกล้ๆอีกครั้ง  ในใจนึกหวังให้คนที่นั่งยิ้มหวานอยู่ข้างๆคุณหมอในภาพจะไม่ใช่นักเขียนของเขา  ทว่าเค้าหน้าเรียวคางแหลม  จมูกโด่งคมและรอยยิ้มสวยเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบนั้นไม่อาจมองเป็นใครอื่นได้  นอกจากนักเขียนหนุ่ม...ติณธรคนนั้นคนเดียว

“นะ..นาน..แค่ไหนแล้ว”  คำถามจากคนที่ยังงุนงงตะกุกตะกัก  ..พอจะเดาได้อยู่หรอกว่า  ระหว่างเตกับคุณหมอคนนี้คงจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรบางอย่าง   แต่ไม่นึกเลยว่าความสัมพันธ์ที่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วขนาดนี้  คะเนอายุเอาจากรูปก็คงเกือบสิบปีหรือมากกว่านั้น

เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่แค่พี่น้องแน่ๆ  ต่อให้เขาพยายามจะคิดเข้าข้างตัวเองอย่างไร  อากัปกิริยาของคนในรูปมันก็ฟ้องตำแหน่งความสัมพันธ์อยู่ทนโท่   คงไม่มีพี่น้องที่ไหนถ่ายรูปคู่แล้วมองกันด้วยสายตาหวานซึ้งขนาดนี้หรอก

“ถ้ารวมเวลาที่รู้จักกันมาก็เกือบ 13 ปี   เป็นแฟนกัน 4 ปี 5 เดือน  เป็นแฟนเก่า 8 ปี 2 เดือน...”  ชายหนุ่มเจ้าของห้องพูดเรียบๆ  ยกปลายนิ้วขึ้นสัมผัสที่ซีกแก้มของคนในภาพ  ยิ้มนิดๆ  ขณะที่คนฟังยืนนิ่งเหมือนถูกสาป  ได้แต่มองหน้าอีกฝ่ายอย่างเหลือเชื่อ

รดิศละสายตาจากคนในภาพ หันมายิ้มให้เขา

“เค้าว่ากันว่า..คนเรามักจะตกหลุมรักคนเดิมซ้ำๆ  คุณคิดอย่างนั้นไหม”

คุณหมอหนุ่มมองใบหน้าซีดเผือดของอีกฝ่ายอย่างสะใจ 

ถึงเขาจะรู้ดีว่าโอกาสที่เตจะกลับมา ‘ตกหลุมรักคนเดิมๆ’ อย่างเขาซ้ำอีกครั้งนั้นค่อนข้างริบหรี่  แต่ครั้นจะปล่อยอีกฝ่ายไปอย่างนั้น เขา...รดิศคนนี้ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน

สายตาของตั้งเตที่สบกับเขาเมื่อไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก่อน  ตอนที่เจ้าตัวยืนคุยกับภาคย์ที่ข้างหน้าห้องของข้าวตังนั่น  ...นอกเหนือจากแววเศร้านิดๆที่เหมือนเป็นลักษณะประจำตัวแล้ว  ยังมีแววถือดีและท้าทายปะปนอยู่ด้วย...เราสบตากันแวบเดียว   แต่ก็นานพอที่เขาจะแปลความหมายของนัยน์ตาคู่นั้นออก  วูบเดียวที่เขามองเห็นพร้อมกับที่อีกฝ่ายพยักหน้ารับคำเชิญของภาคยื  เขาก็เข้าใจเหตุผลที่เตทำ


เตจงใจทำให้เขาเจ็บปวด  เอาเถอะ  เขาจะยอมรับความเจ็บปวดนั้นโดยดี  เป็นสิ่งที่เขาควรรับอยู่เเล้ว ...ชดใช้ช่วงเวลา 8 ปีกับสิ่งที่เขาทำให้เตเสียใจทั้งหมด   เขาเชื่อว่าตัวเองจะทนได้  แต่ไม่มีทางที่เขาจะปล่อยให้ ‘คนอื่น’ มาเสวยสุขบนความเจ็บปวดของเขาหรอกนะ     

..........................................................................



มาต่อนะคะ  ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ    ยังไม่จบตอนนะเหลืออีกครึ่งนึง แต่ไม่ไหวล่ะง่วงงงง
วันนี้อัพสองเรื่องนะคะ  #ดิมเต กับ #แอบลักษณ์
 :hao5:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 7/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 08-05-2017 00:22:51
รักกันแล้วต้องเจ็บปวดขนาดนี้เหรอ
ถ้าอย่างนั้นจะมีรักไปทำไม?

ความรัก กับ ความเห็นแก่ตัว
คือสิ่งไหนกันแน่
หรือคือสิ่งเดียวกัน
หุหุ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 7/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: pearlypear ที่ 08-05-2017 01:13:19
ไม่อยากให้ เต กลับไป  :ling3: :ling3: :ling3: :ling3: :ling3:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 7/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 08-05-2017 01:26:32
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 7/5/60 (50%)
เริ่มหัวข้อโดย: เจเจจัง ที่ 08-05-2017 20:16:33
เราสงสารเตนะ แต่ก็สงสารดิมด้วย เตเจ็บมา 8 ปี แต่ตลอด 8 ปี ดิมก็เจ็บนะ  ควรให้โอกาสดิม ที่ผ่านมาเตรู้ก็เลยเจ็บ  แต่ดิมเพราะไม่รู้ถึงเจ็บนะ อย่าคิดว่าความเจ็บปวดของตัวเองจะมากกว่าดิมนะเต  มีโอกาสได้กลับมาคบกัน ก็คบกันไปเถอะ เจ็บมามากแล้ว ทำปัจจุบันให้มีคววมสุขที่สุดดีกว่านะ

ป.ล. ความชั่วของรัน ดิมยังรู้ไม่หมดนะไรท์ ตอนที่คบกันเตโทรมาแล้วรันลบข้อมูลการโทรอ่ะ แล้วที่วางแผนให้เลิกกันที่ไรท์ยังไม่ยอมบอกอ่ะ ว่ารันทำยังงัย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 09-05-2017 23:25:05
ต่อนะคะ




             ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณหมออย่างใจลอย   เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้ทำให้เขารู้สึกเกือบจะใกล้เคียงกับคำว่า ช็อค

ติณธรกับหมอรดิศเคยเป็นแฟนกันมาก่อน   รู้จักกันมานานกว่าอายุของลูกชายอีกฝ่ายเสียอีก   ถึงคุณหมอจะไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าเหตุใดพวกเขาถึงเลิกกัน  และเขาก็ปากหนักไม่ยอมถาม   คิดว่าตัวเองพอจะเดาได้ไม่ยาก...เตแต่งงานทันทีหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย  นั่นคือเรื่องที่เขารู้มา  ประกอบกับอายุของเด็กชายเต้แล้ว  เรื่องก็ดูจะสมบูรณ์ด้วยของมันเอง

เตมีลูก  นั่นเป็นเหตุให้พวกเขาเลิกกัน   ส่วนใครจะเป็นฝ่ายบอกเลิกอะไรนั้น  เขาไม่สนใจหรอก  เอาเป็นว่าทั้งคู่เคยเป็นแฟนเก่ากันมาก่อน   และนั่นแปลว่าคุณหมอหนุ่มคนนั้นได้เปรียบเขามากขึ้นไปอีก

ความจริงเขาก็เคยนึกว่าข้าวตังคือคู่แข่งที่สำคัญที่สุดของเขา   ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะแย่งชิงเตออกมาจนครอบครัวเล็กๆนั่นให้บ้านแตกสาแหรกขาดหรอกนะ   เขาก็แค่...อยากมีความสุขบ้าง  เล็กๆน้อยๆ  ความสุขที่ได้จากการใกล้ชิดผู้ชายผมหยิกหยองนัยน์ตาเศร้าคนนั้น   ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าติดใจอะไรนักหนาถึงได้ถอนตัวไม่สำเร็จเสียที

ถอนตัวงั้นหรือ....เหอะ   ไม่มีทางเสียล่ะ

ต้องขอบคุณความลับที่ได้รู้มาวันนี้   เขาไม่ได้รู้สึกท้อแท้อะไรเลย  มันกลับยิ่งทวีความท้าทายมากยิ่งขึ้น  ถึงคุณหมอจะเคยเป็นแฟนเก่า   แต่แฟนเก่าก็คือแฟนเก่า  เหมือนของเก่าที่ตกยุคแล้ว  ไม่มีวันกลับมาเหมือนใหม่ได้  ต่อให้เตตกหลุมรักคนๆเดิมซ้ำอีกครั้ง  มันก็จะไม่มีทางลงเอยกันได้แบบแฮปปี้เอนดิ้งแน่

เขาจะต้องไปสืบให้ได้ว่าทำไมพวกเค้าถึงเลิกกัน  แล้วเขาก็จะใช้มันให้เป็นประโยชน์กับตัวเองให้มากที่สุด

ทางด้านคุณหมอหนุ่ม หลังจากที่อีกฝ่ายพ้นประตูห้องออกไปแล้ว  เขาก็ถอนหายใจยาว  ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานอย่างหมดแรง    ทอดสายตามองกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะนั้นนิ่งๆ  ยิ้มนิดๆมุมปากให้คนในภาพทั้งคู่

คิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นจริงๆ   จะทำอย่างไรให้ย้อนกลับไปได้กันนะ....

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  เขาเอื้อมมือไปรับ...ธนพล  แพทย์รุ่นน้องที่ฝากเคสคนไข้เอาไว้ที่เขา

“ฮัลโหล  เป็นไงบ้าง....อืม  ก็สบายดี  เคสแกอ่ะหรอ  ผ่าไปแล้วคนนึง เหลืออีกคน   เรียบร้อยดี   ยังไม่ต้องรีบผ่าหรอก  รอได้อยู่.....เมื่อไหร่จะกลับล่ะ   อีกสองอาทิตย์เลยเหรอ...อืม   ได้ๆ  เดี๋ยวฉันดูแลให้ ไม่ต้องห่วง  แกห่วงเรื่องประชุมดูงานอะไรของแกเถอะ   กลับมาแล้วไปพบผอ.ด้วย  พูดถึงแกเช้าเย็นจนฉันเบื่อ...”  พูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันอีกครู่   ปลายสายที่โทรทางไกลมาก็วางไป

....หลายคนคงจะสงสัยว่าทำไมช่วงนี้คุณหมอรดิศถึงไม่ยอมจับมีดผ่าตัดเลย  เคสที่ไม่ฉุกเฉินเร่งด่วนถึงชีวิตถูกเลื่อนการผ่าตัดออกไปหลายเคส   ไม่มีคำอธิบายนอกจากคำว่าแพทย์ไม่พร้อมผ่าตัด  ไม่มีใครรู้ว่าทำไมแพทย์จึงไม่พร้อม

มีเพียงตัวเขาเองที่รู้เหตุผล...เพราะเขากำลังป่วยเป็นโรคหัวใจเช่นกัน   ถึงจะคนละอย่างกับคนไข้ของเขา  แต่ก็อาการหนักไม่แพ้กัน  เข้าขั้นวิกฤติด้วยซ้ำ   เขาหมดเรี่ยวหมดแรง   ไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร

รันหายหน้าหายตาไปหลังจากที่พูดเปิดใจกันวันนั้น  และเขาก็ยังไม่พร้อมที่จะกลับไปปรับความเข้าใจกับอีกฝ่าย   ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายค่อนข้างสับสนปนเปกันระหว่างความโกรธและความละอาย  เขารู้ว่าที่รันทำลงไปทั้งหมด  เกิดจากความรักที่มีให้   ทว่าเขาก็ทำใจยอมรับไม่ได้อยู่ดี  และเขาก็รู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายเช่นกัน  เป็นเขาเองไม่ใช่หรือที่บอกว่ารักรัน  อยากแต่งงานกับรัน   ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าความจริงในใจเป็นอย่างไรกันแน่

เขาโกหกทุกคน รวมถึงใจของตัวเองด้วย..

รดิศเปิดแฟ้มคนไข้ของเขาออกอ่าน   อาการของดาวประดับค่อนข้างคงที่  ไม่ทรุดลง แต่ก็ไม่มีทางดีขึ้นถ้าไม่ได้รับการผ่าตัด   ความจริงเขาควรจะผ่าตัดให้เธอเร็วกว่านี้  ทว่าอะไรบางอย่างในจิตใจของเขา....อาจเป็นความดำมืดที่ซ่อนอยู่ในซอกลึกที่สุดของจิตใจซึ่งมนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีอยู่  ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสามารถบังคับกักเก็บสิ่งนี้เอาไว้ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น....เจ้าสิ่งนั้นมันบังคับให้เขาเลื่อนการผ่าตัดของหญิงสาวออกไปอย่างไม่มีกำหนด

มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากเสียจนตัวเขาเองยังตกใจกับความคิดของตัวเอง    เขา...คนที่ดำรงวิชาชีพแพทย์  มีหน้าที่รักษาพยาบาลคนป่วยให้หายไข้    เหมือนได้ทำบุญด้วยการช่วยเหลือคนอื่นทุกวัน   ทว่าขณะเดียวกันก็เหมือนเป็นดาบสองคม  เขาสามารถกลายเป็นฆาตกรได้ในชั่วพริบตาเพียงแค่...ไม่ทำอะไรเลย   และที่แย่ที่สุดก็คือ  เขากำลังทำสิ่งนั้นกับหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนหนึ่ง  เพียงเพราะว่า  เขารักสามีของเธอ 

ความรู้สึกผิดบาปถาโถมโรมรันเข้าใส่ความต้องการส่วนลึกในใจ  ความเห็นแก่ตัวและความสงสาร   ความรักและความโหยหาอาลัยอาวรณ์...เขารู้สึกทรมานเหมือนตกอยู่ในนรกทั้งเป็น

ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับโต๊ะทำงานเนิ่นนาน

.....................................................................................

วันนี้เป็นวันพิเศษของเขา....ชายหนุ่มร่างเล็กลุกขึ้นจากโซฟาที่นอนทั้งคืนด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าผิดไปจากทุกวัน  หันไปมองที่เตียงภรรยาตามความเคยชิน  ก็เห็นฝ่ายนั้นนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงคนไข้  ใบหน้ารูปหัวใจมีสีเลือดจางๆ...อาการของข้าวตังดีขึ้นเรื่อยๆแม้ว่าจะยังไม่ได้ผ่าตัดก็ตาม

ตั้งเตเดินเข้าห้องน้ำจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เดินลงไปซื้ออาหารเข้าที่ด้านหน้าโรงพยาบาลตั้งแต่เช้ามืดเหมือนทุกวัน    ไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกอยู่ในสายตาของใครบางคนเงียบๆ อยู่ตลอดเวลา

ภาคย์โทรมาหาเขาอีกครั้ง  ย้ำเรื่องนัดทานข้าวเย็นนี้แล้วก็วางสายไปเพราะกำลังติดประชุมที่บริษัท   เขามองโทรศัพท์ของตัวเองนิ่งๆ  ไม่รู้เหมือนกันว่าตัดสินใจผิดหรือเปล่าที่ยอมไปดินเนอร์กับผู้ชายคนนี้  ทั้งที่ความจริงคำปฏิเสธมารออยู่ที่ริมฝีปากแล้ว ถ้าไม่เผอิญเหลือบไปเห็นร่างสูงสมส่วนในชุดสีขาวของใครบางคนยืนมองอยู่ข้างหลังไม่ใกล้ไม่ไกล  เดาได้ว่าคงจะได้ยินเสียงสนทนากันทั้งหมด 

สบตาพี่ดิมแวบเดียว   คำปฏิเสธก็กลืนหายไปกลายเป็นพยักหน้ารับ  โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน

บางทีอาจเกิดจากอารมณ์ลึกลับบางอย่างที่อยู่ในใจ   แววตาคมเข้มคู่นั้นมีแววผิดหวังปรากฏขึ้นเมื่อเห็นว่าเขาตอบรับอีกฝ่าย   ทำให้หัวใจของเขากระตุกเบาๆคล้ายสมใจแม้จะบอกตัวเองว่า  ไม่สนใจอีกแล้วก็ตาม

          ชายหนุ่มตักข้าวเข้าปากเคี้ยวช้าๆ  ลิ้นไม่รับรสว่ามันอร่อยหรือไม่   กลั้นใจกินได้ไม่กี่คำก็อิ่ม ลุกขึ้นเก็บจานไปล้างเหมือนทุกวัน          ก่อนจะเดินไปเขย่าตัวปลุกลูกชายที่นอนหลับอุตุอยู่ที่เตียงเสริม ...อยากพาเจ้าเต้กลับบ้าน แต่ติดตรงที่ไม่มีใครดูแลข้าวตัง 

            เด็กชายเต้ลุกขึ้นอย่างงัวเงีย  เดินเข้าห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวจนเสร็จก็ออกมาทานอาหารเข้าที่เขาเตรียมเอาไว้ให้บนโต๊ะ  ทานเสร็จเขาก็พานั่งรถไปส่งที่โรงเรียน  ก้มลงหอมแก้มใสนิ่มเป็นพวงสองข้าง  สูดลมหายใจเข้าปอดลึก

            “ตั้งใจเรียนนะครับ  เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับ”

          “ครับ  สวัสดีครับคุณพ่อ”   พูดยังไม่ทันจบก็ผละไปเล่นกับเพื่อนที่มายืนรออยู่แล้ว   ตั้งเตมองตามหลังหลานชายคนเดียวที่เขารักเหมือนลูก เพราะเลี้ยงดูอุ้มชูมาตั้งแต่เกิด  เขาคงทำใจลำบากถ้าวันหนึ่งเขาต้องแยกจากเจ้าเต้ไป   คงไม่มีวันนั้นหรอก   แต่ใครจะรู้อนาคต?

            นั่งรถกลับมาที่โรงพยาบาลเหมือนเดิม   รู้สึกปวดท้องหน่อยๆ  อาการปวดแบบนี้เขาเป็นมานานแล้ว  เพียงแค่พักหลังมานี้มันถี่ขี้น  ปวดมากขึ้น   ทว่าเขาก็ไม่คิดจะไปหาหมอให้ตรวจอะไร   ก็คงเป็นอาการของโรคกระเพาะธรรมดาที่เขาเป็นมาตั้งแต่สมัยเรียน

            ข้าวตังตื่นแล้วตอนที่เขากลับไปถึง  เธอกวักมือเรียกเขาเข้าไปใกล้   ยกมือขึ้นประคองที่ซีกแก้มของเขา  พูดยิ้มๆ

            “สุขสันต์วันเกิดค่ะ พี่เต   ขอโทษด้วยนะคะ  เพราะตังป่วย พี่เตเลยต้องมาติดแหงกอยู่ที่โรงพยาบาล  แทนที่จะได้ไปเที่ยว ฉลองวันเกิดเหมือนทุกปี”

          “เราพูดอย่างกะว่า วันเกิดพี่จะได้ฉลองอะไรงั้นแหละ  ทุกทีก็เป่าเค้กอยู่ที่บ้านกับเธอไง”  เขาลูบศีรษะของน้องสาวแผ่วเบา

            น้ำใสๆไหลออกมาทางหางตาของหญิงสาว 

            “เพราะตังใช่ไหมคะ  พี่เตเลยไม่ได้ออกไปไหนเลย  ....พี่เสียสละเพื่อตังมามากเหลือเกิน   จน...จนตังรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวมากที่เอาแต่เรียกร้องจากพี่ฝ่ายเดียว”   เสียงของเธอขาดหายไปในลำคอ   หลายคืนแล้วที่เธอตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วมองไปเห็นร่างของพี่ชายนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หันหลังให้กับเธอและลูก    ทีแรกเธอเข้าใจว่าเขาคงนั่งทำงาน  แต่เมื่อสังเกตให้ดี  ถึงได้รู้ว่าหลังไหล่ทั้งสองข้างนั้นสั่นสะท้าน   คล้ายกับคนที่กำลังหนาวจัด   ฝ่ามือถูกยกขึ้นปิดปากแน่นเพื่อกลั้นเสียงสะอื้นไม่ให้ถึงหูเธอ

            พี่เตนั่งร้องไห้...ร้องไห้คนเดียวแบบนี้ทุกคืน   กว่าเค้าจะเข้านอนด้วยความเหนื่อยอ่อน   และตื่นมาตอนเช้าเพื่อยิ้มและปลอบใจเธอ   พี่เตทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  ทั้งที่เธอรู้ว่าเขากำลังทุกข์ใจ

            ครั้งนี้มันต่างจากเมื่อหลายปีก่อนตรงที่...ความทุกข์ของพี่ชายมันส่งผ่านมาถึงหัวใจของเธอด้วย  เห็นเขาเจ็บ...เธอก็เจ็บไม่แพ้กัน 

          มันควรถึงเวลาแล้วหรือเปล่า?   ความเห็นแก่ตัวของเธอควรถึงกาลสิ้นสุดเสียที

            “ตัง....เย็นนี้พี่มีธุระข้างนอกนะจ้ะ   กลับไม่ดึกหรอก   ถ้ามีอะไรก็โทรบอกพี่นะ”  ชายหนุ่มพูดเรียบๆ  คนฟังพยักหน้ารับราวกับรู้อยู่แล้ว

            “ค่ะ  รีบกลับนะคะ  ตังเองก็มีของขวัญวันเกิดให้พี่เหมือนกัน”  เธอพูด  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาออก 

            แล้วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ   วันนี้นายแพทย์รดิศขอลาหยุด 1 วัน   ตั้งเตรู้เพราะหญิงสาวเอ่ยถามคุณพยาบาลถึงคุณหมอที่ดูแลเธอ   เขากับข้าวตังไม่ได้พูดอะไรกันเกินความจำเป็น  พอถึงเวลาเขาก็กลับออกมาเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียน

            “อ้าว  เห็นมีคุณลุงมารับเด็กชายเต้ไปแล้วนี่คะ  เห็นเขาบอกว่าคุณพ่อไม่ว่าง”  คุณครูประจำชั้นบอกกับเขา  มองหน้างงๆ

            “อะไรนะครับ  คุณลุงที่ไหน”

          “คุณลุง...ที่เคยมาเล่นกับน้องเต้น่ะค่ะ  เห็นน้องเต้ก็รู้จักกับเขานะคะ  นี่คุณพ่อไม่ให้เขามารับแทนหรอกหรือคะ”  เสียงคุณครูเริ่มสั่น  ท่าทางตื่นตระหนกเมื่อเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ให้ใครมารับลูกชายแทน

            เตใจร้อนราวกับไฟเผา   รู้ทันที่ว่า ‘คุณลุง’ ที่ว่านั้นคือใคร   มีอยู่คนเดียวที่เคยมาเล่นกับเต้  ‘ตีซี้’  ทำเนียนราวกับเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน  เหมือนจะรักเด็กมากทั้งที่ตัวจริงเกลียดเด็กเข้าไส้

          มือสั่นรีบล้วงหาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรหา   ถึงจะลบเบอร์ของผู้ชายคนนั้นทิ้งไปแล้ว  ทว่าสมองก็ยังจดจำได้แม่นยำ   ติณธรกดเลขหมายสิบตัวอย่างรวดเร็ว

            รอสายอยู่นานจนขึ้นเสียงให้ฝากข้อความ   ไม่มีคนรับ   เขากรอกเสียงลงไป

            “คุณรดิศ  อย่าเล่นแบบนี้  ผมขอลูกคืน   คุณอยู่ที่ไหน”   เขาโทรกลับไปอีกหลายรอบ  แต่ก็เหมือนเดิม ปลายสายไม่มีคนรับ  มีแต่สัญญาณให้ฝากข้อความ

            “ทางโรงเรียนขอโทษด้วยนะคะ  เป็นความประมาทเลินเล่อของคุณครูเอง  ทางเราจะรีบประสานงานกับตำรวจเพื่อค้นหาน้องเต้ให้นะคะ”  อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนรีบมาขอโทษขอโพยเขา  ยืนยันว่าจะช่วยตามหาน้องเต้ให้ถึงที่สุด  คุณครูประจำชั้นของลูกชายยกมือไหว้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า  หน้าซีดเผือดไม่มีสีเลือด 

            “ผมจะไปตามหาลุงคนที่ว่านั่น   ถ้ามีอะไรคืบหน้าช่วยโทรบอกผมด้วยครับ” เตฝากหมายเลขโทรศัพท์ของตัวเองเอาไว้  แล้วรีบกลับออกมาจากโรงเรียน  ยกมือขึ้นโบกรถแทกซี่ได้ก็บอกที่อยู่ของคอนโดฝ่ายนั้น

            มือเย็นเฉียบ  ความรู้สึกของเขาปะปนกันทั้งความตกใจและโกรธ    อีกอย่างคือความกลัว   ถ้าคนที่พาเต้ไปไม่ใช่เค้าล่ะ   เกิดเป็นคนอื่นขึ้นมา   ข่าวลักเด็กเรียกค่าไถ่ก็มีให้เห็นอยู่แทบทุกวัน  กว่าพ่อแม่จะเจอ ลูกก็กลายเป็นศพไปแล้ว   คิดไปถึงตรงนี้  เขาก็ตัวสั่น    กระหน่ำโทรเข้าเครื่องของอีกฝ่ายหลายครั้ง....ขอร้องล่ะ  รับสายสิ 

            ข้าวตังโทรมาหาเขา   เตกดรับ  เธอสงสัยว่าทำไมทั้งเขาและเต้ถึงยังไม่กลับมาอีก   ชายหนุ่มไม่กล้าบอกว่าลูกหาย กลัวว่าเธอจะอาการกำเริบหนัก  ได้แต่โกหกไปว่าพาเต้มากินขนม  กำลังจะกลับ

            โรงเรียนโทรมาบอกเขาว่า แจ้งตำรวจไปแล้ว  ทางตำรวจจะช่วยหาอีกแรง 

            รถติดอย่างหนักเพราะเป็นเย็นวันศุกร์   แถมยังมีฝนโปรยปรายลงมาอีก  เตทนนั่งอยู่บนรถที่ไม่ขยับเขยื้อนมาเกือบชั่วโมงไม่ไหว   เขาขอลงจากรถ  ไม่สนใจว่าสายฝนจะทำให้ตัวเองเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้าเพียงใด 

            ความหนาวจากภายนอกยังไม่เท่าความร้อนรนในใจ   เขาเดินจ้ำลุยน้ำที่เริ่มขังอยู่ริมถนน ไปเกือบห้าป้ายรถเมล์  จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่หน้าคอนโดของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง

            เข้าไปในลอบบี้    พนักงานต้อนรับขอตรวจบัตรประชาชนเพื่อความปลอดภัย  กว่าจะขึ้นมาได้ก็ยุ่งยากอยู่นาน   ระหว่างที่รอลิฟต์   เตเพิ่งเข้าใจหัวอกความเป็นพ่อ  มันเป็นแบบนี้นี่เอง

            ได้แต่ภาวนาขอให้เต้อยู่ที่นี่   ถ้าเต้ไม่อยู่  เขาก็ไม่รู้จะไปตามหาลูกชายที่ไหนแล้ว 

            ณ จุดนั้น   ถ้าเต้เป็นอะไรไป   เขานี่แหละที่จะทนไม่ได้

            ลิฟต์จอดที่ชั้นที่ต้องการ  นักเขียนหนุ่มก้าวออกมาจากลิฟต์  เดินตรงไปตามทางที่คุ้นเคย  ความทรงจำครั้งสุดท้ายที่มาที่นี่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง....ถ้าไม่ใช่เพราะลูก  เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีกแล้ว

            หยุดที่หน้าห้องพักของชายหนุ่ม  กลั้นใจยกมือขึ้นกดกริ่งเรียก....รออยู่นาน  สุดท้ายประตูก็ถูกเปิดออก 

            ใบหน้าของเจ้าของห้องมีความแปลกใจในแวบแรก ก่อนจะกลายเป็นดีใจ  อย่างคนที่ไม่คาดคิดมาก่อน

            “เต?   มาได้ยังไง”

          “พี่ดิม  เต้อยู่ที่นี่หรือเปล่า?”  เตรีบถาม

          สีหน้าของคนฟังทำให้เตใจหายวูบ   ตัวสั่นจนควบคุมไม่อยู่   พี่ดิมมองตอบเขากลับมางงๆ  ยกมือขึ้นจับที่ไหล่ทั้งสองข้างของเขา   ก้มลงถามอะไรสักอย่าง  แต่เขาหูอื้อเสียแล้ว

             เต้ไม่ได้อยู่ที่นี่...


             ................................................................................... 


มาต่อค่ะ 50%ที่เหลือ 5555  ขออภัยที่หายไป   ติดธุระครัช
ขอบคุณที่คอมเม้นท์ละกดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันน้าาา
เจอกันตอนหน้าครัชช :hao5:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-05-2017 00:50:38
จะกลับไปรักกันต่อได้ยังไง
ยังไม่เห็นหนทางเลย

มืดมิดไปหมด
ทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 10-05-2017 08:58:22
 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 10-05-2017 09:22:57
ใครมารับเต้ ลุ้นๆ ไปกับตัวละคร
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-05-2017 13:49:46
อะไรกันอีก!!!!!!!!!!
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: โอ ที่ 10-05-2017 15:22:24
พ่อแท้ๆของน้องรึเปล่า. ว่าไปนั่น  :call:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-06-2017 01:08:48
ตามมาจากแอบลักษณ์ กับเรื่องนี้ดราม่าก็จริงแต่ในความดราม่าก็ยังมีความน่ารำคาญของตัวละครอยู่นะ ทั้งเต ทั้งดิม ทั้งรัน ทั้งแม่ดิม ทั้งตัง ทั้งภาค /ม่เว้นแม้กระทั่งโดม เลยรู้สึกว่าแอบลักษณ์มันพีคกว่าในความรุ้สึก

มาถึงตอนล่าสุดนี้ให้เดาเราว่าคนที่มารับเด็กน่าจะเป็นรัน ก็รันเป็นหมอรักษาย่อมสนิทกับเด็กเป็นธรรมดา ทีนี้ก็อยู่ที่ว่ารันจะทำอะไรนี่แหละ แต่อย่างที่หลายๆคนบอกคือดิมกะบเตนี่หาจุดบรรจบยากนะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 13-06-2017 13:47:30
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 22-06-2017 14:34:48
 :mew2: :mew2: :katai4: :katai4: :ling1: :ling1: :hao7: :hao7: :call: :call: :call:รอน่าๆๆๆมาต่อๆๆๆๆๆๆๆๆน่าาาา :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่27 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-06-2017 22:31:24
เพราะหัวใจบอกว่า...ไม่ใช่

 

 

 

 

            “โอเค   ใจเย็นๆก่อนนะเต  เข้ามาในห้องก่อน  หนาวจนตัวสั่นหมดแล้ว”   เจ้าของห้องพูดช้าๆ  พาแขกที่ยืนตัวสั่นน้ำตาคลอเข้ามาภายในห้องพักของตน   เขากดไหล่ให้อีกฝ่ายทรุดตัวลงนั่งที่โซฟากลางห้อง  ส่วนตัวเองเดินเลยไปยังห้องครัว  ลงมือชงชาร้อนมายื่นส่งให้พร้อมกับผ้าขนหนู

            “เช็ดผมแล้วก็ดื่มน้ำชาก่อน    หรือว่าจะเปลี่ยนชุดก็ได้นะ  พี่มีให้เปลี่ยน”  อีกฝ่ายสั่นศีรษะ  รับผ้าขนหนูและชาร้อนไปจิบอึกเดียวก็วาง

            “ผมจะทำยังไงดี   ผมไม่รู้ว่าจะไปตามเต้ที่ไหนแล้ว”

          “แล้วทำไมถึงคิดว่าพี่พาเต้มาล่ะ”  ชายหนุ่มเจ้าของห้องถามแกมหัวเราะ   คนฟังหลบตาเขา  ใบหน้าเริ่มซับสีเลือดน้อยๆ  คงเกิดจากได้ชาอุ่นๆเข้าไปกระมัง

            “ก็พี่เป็นคนเดียวที่เคยไปเล่นกับเต้ที่โรงเรียน   ผมก็นึกว่า....”  เสียงเตขาดหายไปในลำคอ

          “นึกว่าอะไร   นึกว่าพี่พาเต้มาที่นี่เพื่อล่อให้นายมาหาใช่มั้ย”   ถ้าใช่ล่ะก็...ก็ถือว่าเป็นแผนที่ได้ผลทีเดียวแฮะ  ทำไมเขาไม่เคยนึกมาก่อนหน้านี้นะ

            “....................”  ไม่มีคำตอบจากคนที่กำลังใช้ผ้าขนหนูขยี้เช็ดผมที่เปียกชื้นยุ่งเหยิงนั้น     ตั้งเตหลบตาเขาอีกแล้ว   รดิศคิดในใจ...รู้สึกแปลกดีเหมือนกันที่อีกฝ่ายนึกถึงเขาก่อนเป็นคนแรก  แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องในทางที่ดีก็เถอะ   อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่คิดถึงเลย   เขาควรจะดีใจใช่มั้ย?

            นิ่งคิดอยู่ครู่  ชายหนุ่มเจ้าของห้องก็ลุกพรวดพราด  ย้ายที่มานั่งข้างแขกที่รีบยกขาขึ้นทำตัวลีบ  ทว่าอีกฝ่ายแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น 

          “ขอเบอร์โทรศัพท์ที่โรงเรียนหน่อย  เบอร์คุณครูประจำชั้นกับครูใหญ่  แล้วก็ขอรูปของเต้ด้วย  พี่จะติดต่อให้”   คนเป็นพ่อบอกหมายเลขโทรศัพท์ให้พร้อมกับหารูปของลูกชายในโทรศัพท์มือถือที่แบตใกล้หมดเต็มที

            รดิศไล่โทรหาตามเบอร์ที่ได้รับมา  คิ้วเข้มคมขมวดมุ่นขณะที่ติดต่อประสานงานกับทางโรงเรียนและตำรวจ  เขาส่งรูปไปให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยดูให้   ขอเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆในห้องเต้จากครูประจำชั้นเพื่อโทรไปถามทีละคน  เผื่อว่าเต้จะติดรถไปกับเพื่อนคนไหน   เป็นสิ่งที่เตไม่เคยคิดมาก่อนเลย

            “ครับ  คุณพ่อน้องก้องใช่มั้ยฮะ  ผมเป็นลุงของน้องเต้ครับ  ใช่ครับ....รบกวนถามนิดหนึ่งฮะ    ไม่ทราบว่าคุณพ่อ....”

            ติณธรลอบมองชายหนุ่มหน้าคมในชุดเสื้อกางเกงบอลเก่าๆสบายๆ ตรงข้ามกับท่าทางเครียดขรึม  ลุกเดินกลับไปกลับมาระหว่างพูดคุยโทรศัพท์นั้นเงียบๆ  ขยับจะช่วยโทรอีกแรงทว่าแบตโทรศัพท์ก็ดันมาหมดเอาตอนนี้  จะใช้โทรศัพท์บ้านอีกฝ่ายก็ไม่ยอม  โบกมือไล่ให้เขาไปนั่งพัก...เสียงนุ่มๆนั้นเอ่ยถามคำถามเดิมๆซ้ำๆไม่รู้กี่รอบ   ท่าทางของเขาร้อนใจมากราวกับเต้เป็นเหมือนลูกหลานอีกคนของตน   ไม่ใช่แค่หลานของคนรู้จักกัน  แถมยังเป็นคนรู้จักที่ขอร้องให้จบสิ้นความสัมพันธ์กันอีกด้วย

            ท่ามกลางความกังวลและเป็นห่วงสารพัดนั้น   อะไรอย่างหนึ่งค่อยๆแผ่ซ่านไปทั่วขับไล่ความหนาวเหน็บออกจากหัวใจของนักเขียนหนุ่มทีละน้อย  ที่ตรงนี้ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียวที่เดือดเนื้อร้อนใจ  ไม่ใช่เขาคนเดียวที่ต้องวิ่งแก้ไขปัญหาทั้งหมด  หากแต่ยังมีใครอีกคนที่กระโจนเข้ามาในปัญหาเพื่อช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ทันทีโดยไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก

            คนที่ทำตัวเป็นเหมือนทั้งเพื่อน และพี่  คอยปลอบประโลม คอยแก้ปัญหาให้  ทุกเมื่อที่เขาต้องการ...ผู้ชายคนนี้ ที่เขาเลือกที่จะตัดรอนเพราะหัวใจเจ็บเกินทน....

            เวลาที่ผ่านไปแปรผันตรงกับความล้มเหลวที่เพิ่มมากขึ้น   ไม่มีใครเห็นเต้เลยสักคน  ตั้งเตน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ  ขณะที่ดิมยังไม่ละความพยายาม   เขาโทรหาเพื่อนที่มีพ่อเป็นนายพลตำรวจ เพื่อขอร้องให้ช่วยหาหลานให้ที

            “ไปสถานีตำรวจกันนะเต   เพื่อนพี่จะช่วยออกตามหาให้ แต่เราต้องไปแจ้งความด้วยตัวเองก่อน”   สุดท้ายชายหนุ่มก็วางสายลง แล้วหันมาบอกเขา   ตัวเองผุดลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินไปเปลี่ยนชุด   

          “พี่ดิม....”  เตยืดแขนแข็งแรงนั้นเอาไว้    อีกฝ่ายหันมามอง  เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

            “พี่ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้  เดี๋ยวเตไปเอง”   คนฟังขมวดคิ้ว

            “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเล่นแง่กันนะเต  พี่รู้ว่านายไม่อยากให้พี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม  แต่เรื่องนี้พี่ขอ...พี่ก็เป็นห่วงเต้เหมือนกัน”

          “ไม่ใช่อย่างนั้น”  เตส่ายหน้าอย่างอัดอั้นตันใจ  ยืดแขนข้างนั้นแน่นไม่ยอมปล่อย

            “ถ้างั้นก็รีบลุกเถอะ  ไม่รู้ป่านนี้เต้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว....เอ้อ  เกือบลืม  นายโทรบอกคุณข้าวตังไปหรือเปล่า”

            “ยังไม่ได้บอก”   คนฟังถอนหายใจยาว

            “ดีแล้ว  เดี๋ยวเธอตกใจ  เอาไว้ค่อยบอก  ...พี่จะไปเปลี่ยนชุดก่อน   นายจะเปลี่ยนด้วยไหม”  เขากวาดตามองทั่วร่างโปร่งบางเร็วๆ  เห็นเสื้อผ้าเริ่มหมาดแล้วเพราะไอตัว  ก็พยักหน้าราวกับพูดกับตัวเอง “เปลี่ยนแต่เสื้อก็แล้วกัน   เดี๋ยวไม่สบายล่ะแย่เลย”   พูดจบก็เดินหายเข้าไปในห้องนอน  ครู่เดียวก็กลับออกมาในชุดพร้อมออกจากบ้านเรียบร้อย  ส่งเสื้อเชิ้ตให้เขาตัวหนึ่ง

            “รีบใส่แล้วตามออกมานะ”

            คนพูดคว้ากุญแจรถได้ก็เดินออกมาข้างนอก  เตคงไม่รู้ว่าที่เขารีบออกมาเพราะกลัวว่าจะบังคับตัวเองไม่ได้อีกต่อไป...ความรู้สึกข้างในมันท่วมท้นแทบล้นออกมาตั้งแต่ตอนที่ฝ่ายนั้นเหนี่ยวแขนเขาเอาไว้แล้ว   แววตาและสีหน้าของอีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหวอย่างรุนแรงจนเกรงว่าถ้าขืนยังอยู่กับเตสองต่อสองในห้องนั้นต่อ   เขาอาจจะอดใจไม่ไหว  รวบร่างเล็กๆนั่นมากอดเอาไว้แนบอกให้สมรักก็เป็นได้

            ยืนรออยู่ครู่หนึ่ง  คนข้างในก็ไม่ออกมาเสียที  จึงย้อนกลับเข้าไปดู  เห็นอีกฝ่ายกำลังจดๆจ้องมองหาอะไรอยู่

            “พี่ดิม  มีที่ชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือมั้ย    มือถือผมแบตหมดแล้ว  กลัวว่าจะมีคนโทรมาแล้วไม่ได้รับ”   ชายหนุ่มเจ้าของห้องก้าวยาวๆเข้าไปในห้องนอน แล้วก็กลับออกมาพร้อมกับแบตเตอรี่สำรอง   ยื่นส่งให้

            “ชาร์ตอันนี้ไปก่อน  ไปชาร์ตในรถก็ได้”  ถือวิสาสะเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่ายพาจูงเดินออกมาจากห้องพัก   แม้กระทั่งตอนที่อยู่ในลิฟต์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ   แอบเหลือบมองมือเย็นชื้นเหงื่อของเขาที่ถูกมืออุ่นจนเกือบร้อนของอีกฝ่ายกุมอยู่ 

            ติณธรใจเต้นแรง  สมองสั่งให้บิดมือออกจากการเกาะกุม  แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม  เพราะมันเชื่อฟังหัวใจมากกว่า  เพราะหัวใจของเขาบอกว่า...ไม่เลย  ไม่อยากปล่อยมือเลยสักนิด

            ทั้งคู่เดินจูงมือมาถึงรถของดิมที่จอดอยู่ยังที่จอดรถชั้นล่าง   คุณหมอเปิดประตูรถให้เขาขึ้นไปนั่งก่อนด้วยท่าทางเคยคุ้นราวกับทำอยู่เป็นประจำทุกเมื่อเชื่อวัน   เตก้าวขึ้นไปนั่ง อดรู้สึกแปลกในใจไม่ได้

            ความสัมพันธ์ของเราสองคนอยู่ที่จุดไหนกันแน่

            จุดที่เขาคิดถึงอีกคนก่อนเป็นคนแรก  (ถึงตอนแรกจะนึกว่าอีกฝ่ายเป็นตัวการก็เถอะ) จุดที่เค้าช่วยเหลือเราอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อแม้  หรือจุดที่เราเข้าใจกันแม้เพียงสบตาแค่แวบเดียว

            โทรศัพท์มือถือของเขาเปิดติดจนได้หลังจากชาร์ตไฟไปได้ครู่หนึ่ง  มีมิสคอลเป็นชื่อภาคย์และข้าวตัง.....จริงสิ  วันนี้เขามีนัดทานอาหารเย็นกับภาคย์นี่นะ  มองนาฬิกาเกือบสองทุ่มแล้ว.... เขาเลือกโทรหาข้าวตังก่อน

            รอสายไม่นาน อีกฝ่ายก็กดรับ  กรอกเสียงมาตามสายร้อนรน

            “พี่เต เป็นอะไรหรือเปล่า  นี่ตังอยู่กับคุณภาคย์  คุณภาคย์มากับเต้   เขาบอกว่ากะจะไปรับเต้ให้แล้วพามาเซอร์ไพรซ์ฉลองวันเกิดพี่เตที่โรงพยาบาล   แต่รถดันติดก็เลยเลท  พอโทรไปพี่เตก็ปิดเครื่อง  ก็เลยไม่รู้จะทำยังไง   นี่พี่อยู่ไหนแล้ว”   เตถือโทรศัพท์ค้างเอาไว้  สูดลมหายใจเข้าออกยาวๆ ระบายความโกรธที่พุ่งขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน   เหลือบไปมองคนข้างๆที่ขับรถอยู่ ก็เห็นคุณหมอหนุ่มกำลังคร่ำเคร่งกับการจราจรที่ติดขัดในคืนวันศุกร์

            “แบตโทรศัพท์พี่หมดน่ะ   แล้วนี่เต้อยู่ที่โรงพยาบาลใช่มั้ย”  ถามย้ำอีกที  รดิศหันมามอง  เงี่ยหูฟังพลางขมวดคิ้ว

            “ใช่ค่ะ  ทุกคนรอพี่เตอยู่เนี่ยแหละ  พี่อยู่ที่ไหนแล้วคะ”

          “พี่ออกมาตามหาเจ้าเต้   ตกใจหมดเลยนึกว่าหายไปไหน   ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปที่โรงพยาบาลนะ  ขอฟังเสียงเต้หน่อยสิ”

          “เต้อยู่นี่ครับ  รีบๆกลับมานะคุณพ่อ  เต้อยากกินเค้กแล้ว”   เสียงเด็กน้อยลอดออกมาได้ยินชัดเจนในรถที่เงียบสงบ  ดิมเลิกคิ้วมองหน้าเขาเป็นเชิงถาม   ตั้งเตวางสายลง หันไปบอกเรียบๆ

            “สรุปเต้อยู่ที่โรงพยาบาลแล้วครับ  คุณภาคย์ไปรับที่โรงเรียนมาส่งให้  เผอิญไม่ได้บอกกันก่อน  มือถือเตก็ดันแบตหมดอีก  เลย...ไม่รู้กัน”  เขาจบประโยคด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ  รู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายต้องลำบากวุ่นวายโทรติดต่อแถมยังออกมาตามหาด้วยเช่นนี้   คนฟังได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจยาว

            “โล่งอกไปที    เอ้า  ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ  ไม่ดีใจหรอ”  ดิมถามงงๆ  เห็นอีกฝ่ายหน้าจ๋อยชอบกล

            “ก็เตรู้สึกผิดนี่  เตไม่ได้เรื่องเองแหละ   ก็เลยพลอยทำให้พี่ดิมต้องลำบากไปด้วยเลย”  คนฟังยิ้มนิดๆ  รถจอดติดไฟแดงพอดี   เขาเลยหันไปมองหน้าคนพูดตรงๆ  เห็นเสี้ยวหน้าเรียว จมูกโด่งขึ้นสันคมเป็นเงาทาบกับใบหน้า  เปลือกตาหลุบต่ำมองไม่เห็นแววตาทั้งสองข้าง   แผงขนตาหนายาวปิดบังอารมณ์ที่แท้จริง  แม้ว่าจะพอจับได้จากน้ำเสียงที่สั่นพร่านั้น

            “ไม่เห็นจะลำบากอะไรแค่นี้เอง  ลำบากกว่านี้...เพื่อนาย  พี่ก็ทำมาแล้ว”   เขาตอบเรื่อยๆ  สังเกตเห็นปลายขนตายาวเป็นแพนั้นสั่นน้อยๆ

            ภายในรถเงียบจนแทบได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง

            “เต...ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย”    เสียงนั้นพึมพำอยู่ในลำคอ  แผ่วเบาแต่เขาก็ได้ยินชัดเจน    เขาเอื้อมมือไปสัมผัสที่ซีกแก้มข้างนั้น  เตสะดุ้งน้อยๆแต่ไม่ผละหนี   ผิวแก้มนุ่มเนียนละเอียดในอุ้งมือของเขาทำให้ความรู้สึกโหยหาอาวรณ์พุ่งขึ้นมาแน่นตื้อไปหมดในหัวอกจนเขาพูดต่อไม่ออก   ความรู้สึกที่มีต่อผู้ชายตรงหน้ามัน....

“.................”

            พี่ดิมไม่พูดอะไรอีก แต่ชะโงกหน้าเข้ามาสัมผัสริมฝีปากของเขา  เพียงแตะเบาๆคล้ายปัดผ่าน ...เบาบางราวกับปีกผีเสื้อที่โฉบผ่านกลีบดอกไม้หวานหอม   ทว่าทำให้เขาสะเทือนลึกเข้าไปภายในทรวงอก   เหมือนหัวใจถูกบีบแน่นแล้วคลายออก ....มีเพียงผู้ชายคนนี้คนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเช่นนี้ได้   เราผละออกเพื่อสบตากันในระยะประชิด    นัยน์ตาทั้งคู่สะท้อนเงาของกันและกัน   เหมือนมีข้อความบางอย่างส่งผ่านกระแสตาเหล่านั้น

แล้วพี่ดิมก็แนบริมฝีปากลงมาอีกครั้ง  จากความบางเบาคล้ายฉาบฉวยในตอนแรก  ค่อยๆเปลี่ยนเป็นลึกซึ้งขึ้น  แนบแน่นทว่านุ่มนวลและแสนอ่อนโยน   ราวกับจะบอกเขาถึงความรู้สึกในใจที่พี่ดิมไม่รู้จะพูดออกมาอย่างไร

........รัก........

จูบของพี่ดิมบอกเขาว่าอย่างนั้น

คล้ายกับว่าลมหายใจของเขากลายเป็นของพี่ดิมไปหมดสิ้น   สุดท้ายพี่ดิมก็ถอยกลับไปนั่งที่เดิมหลังพวงมาลัย   ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวพอดี   คนขับออกรถเงียบๆ  ไม่หันกลับไปมองคนข้างๆอีก  แต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังร้องไห้ 

“ใกล้จะถึงโรงพยาบาลแล้ว    หยุดร้องเถอะเต”  เขาหยิบทิชชูส่งให้    วนหาที่จอดรถเรียบร้อย  หันไปมองคนข้างๆนั่งน้ำตาคลอ  จมูกแดงก่ำ   ก็ถอนหายใจยาว 

ใช่ว่าคนอย่างเขาจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เสมอไป  เขาก็อยากร้องไห้ออกมาดังๆเหมือนกัน  ถ้าขืนยังนั่งมองหน้ากันอยู่แบบนี้ต่อไปล่ะก็...

“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้กับเตด้วย”  ติณธรพูดเสียงเครือ

“แล้วทำไมนายถึงยังเรียกแทนตัวเองว่าเต เวลาที่พูดกับพี่ด้วยล่ะ  ทำไมนายถึงนิ่งให้พี่จูบ  ทำไมนายถึงมาหาพี่เป็นคนแรก....เต   ตอบพี่มาทีสิว่าทำไม”   ดิมจบประโยคด้วยน้ำเสียงห้วนๆ

คนฟังอึ้ง   ไม่ยอมตอบ  หันไปเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วเดินกลับเข้าไปภายในโรงพยาบาลโดยไม่รอเขา   รดิศอยากจะสบถออกมาดังๆ  รู้สึกพลุ่งพล่านไปหมด  เขารีบลงจากรถแล้วเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปทันกันที่ลิฟต์  คุณหมออาศัยความเร็วแทรกตัวเข้าไปทันก่อนที่ประตูลิฟต์จะปิดพอดี

ภายในลิฟต์มีเพียงแค่พวกเขาสองคน

ตั้งเตไม่ได้ร้องไห้แล้ว  แต่นัยน์ตาแดงก่ำนั้นเห็นเส้นเลือดชัดเจนฟ้องอยู่ในตัวว่าไม่กี่นาทีมานี้ได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก   เขายืนงอตัวน้อยๆ นิ่วหน้าจนไม่อาจรอดสายตาของแพทย์ไปได้

“เป็นอะไรไป  ปวดท้องหรอ”  นายแพทย์หนุ่มถามทันที   เปลี่ยนความตั้งใจเดิมที่ต้องการจะคาดคั้นเอาความในใจจากตั้งเตให้ได้เป็นการซักถามอาการปวดท้องของอีกฝ่ายแทนด้วยความเป็นห่วง   นักเขียนส่ายหน้า 

“ปวดนิดหน่อย  ไม่ได้เป็นอะไร”  ปากบอกนิดหน่อย  แต่เหงื่อที่ซึมอยู่ตามขมับและไรผมก็บอกชัดว่าเจ้าตัวคงจะไม่ได้แค่ปวด ‘นิดหน่อย’ อย่างที่พูด

“ปวดตรงไหน  ขอพี่ดูหน่อยได้มั้ย”  ดิมก้าวเข้าไปหา   ทว่าอีกฝ่ายกลับถอยจนแผ่นหลังแนบกับผนังลิฟต์

“ไม่ต้อง...เดี๋ยวก็หายเอง.....ดีขึ้นแล้ว”  เตพูดพร้อมกับยืดตัวขึ้น  เอามือดันแผ่นอกของอีกฝ่ายให้ถอยออกไป  ลิฟต์จอดที่ชั้นที่ต้องการพอดี  พวกเขาก้าวออกมาจากลิฟต์

            “เต    ถ้าเจอเต้แล้ว  พี่ขอเวลาคุยด้วยก่อนครู่เดียวได้มั้ย”   นายแพทย์หนุ่มเอ่ยถาม   ติณธรยังไม่ได้ตอบ  เขาเดินมาถึงหน้าห้องพักของภรรยา  เคาะประตูแล้วเปิดเข้าไปภายใน  ได้ยินเสียงเด็กชายหัวเราะพร้อมกับร่างกลมป้อมวิ่งเข้ามาหา

            “คุณพ่อ  มาแล้ว”  เตก้มลงกอดรัดร่างนั้นแน่น  รู้สึกโล่งอกโล่งใจจนอยากหัวเราะออกมาดังๆ   ลูกพ่อ....นึกว่าโดนลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เสียแล้ว....เงยหน้าขึ้นมองร่างสูงโปร่งของเจ้านาย  ต้นเหตุที่แท้จริงที่ทำให้หาเด็กชายเต้ไม่เจอนั้นยืนยิ้มทำหน้าสำนึกผิดอยู่ข้างๆ 

            “ขอโทษด้วยจริงๆคุณเต  ผมสะเพร่าเองที่ไม่โทรบอกคุณก่อน  ตอนแรกกะว่าจะเซอร์ไพรซ์คุณ  แต่รถมันติด  ก็เลยกลับมาไม่ทัน  คุณออกไปรับเต้เสียก่อน    คุณคงตกใจแย่  ขอโทษด้วยนะครับ” ภาคย์พูดเสียงอ่อนอย่างรู้สึกผิด  เห็นอีกคนตาแดงก่ำเหมือนเพิ่งผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาก็ยิ่งเสียใจ

            “ไม่เป็นไรครับ  แค่เต้ยังอยู่ผมก็โอเคแล้ว   ต้องขอบคุณคุณหมอด้วยที่ช่วยตามหา”  เตหันไปพูดกับ ‘คุณหมอ’  สบตากันแวบเดียวก็เมินผ่าน 

            จาก ‘พี่ดิม’ กลายเป็น ‘คุณหมอ’ เสียแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าบุคคลที่สาม  รดิศคิดในใจ  ยิ้มนิดๆอย่างขมขื่น

            “ตังล่ะ  เป็นไงบ้าง  ทานข้าวเย็นหรือยัง”  ตั้งเตลุกขึ้นจากพื้น จูงมือลูกชายไปที่เตียงของน้องสาว  เธอส่งยิ้มให้เซียวๆ  เหลือบมองไปยังคุณหมอหนุ่มแวบหนึ่ง

            “ทานแล้วค่ะ  รอพี่เตนั่นแหละ  ตังอยากกินเค้กจะแย่อยู่แล้ว   ตังกินเค้กได้ใช่ไหมคะคุณหมอ”  ประโยคหลังเธอหันไปถามคุณหมอเจ้าของไข้   ชายหนุ่มก้มศีรษะรับ

            “ได้ครับคุณตัง   ตามสบาย”

          “คุณหมออยู่ทานเค้กด้วยกันก่อนสิคะ  วันนี้วันเกิดพี่เต”   เจ้าของวันเกิดขยับจะท้วง  รู้สึกผิดหวังที่เห็นอีกฝ่ายทำหน้าประหลาดใจราวกับไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา.....เค้าลืมไปแล้วสินะ   ใช่สิ  เราไม่ได้สำคัญขนาดนั้นหรอก    เค้าคงจะจำได้แต่วันเกิดของคุณหมอเด็ก แฟนของเขานั่นล่ะ...

            “อ้าว  หรอครับ...สุขสันต์วันเกิดนะครับ คุณเต”  ชายหนุ่มหันไปบอกยิ้มๆ   ด้วยมารยาทแบบที่คนรู้จักกันห่างๆจะพึงกระทำ   คนรับเม้มปาก พยักหน้ารับ  พึมพำขอบคุณเสียงเบาแทบไม่ได้ยิน

            “มาแล้วคร้าบ  แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู   แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู  ......”  ภาคย์ถือเค้กที่จุดเทียนสว่างไสวเดินเข้ามาหา   เตหันไปมอง  หน้าเค้กถูกตกแต่งด้วยตัวอักษรและรูปหน้าคน   เป็นรูปของเขา ข้าวตัง  เต้  ยืนจับมือกันอยู่ตรงกลางในวงล้อมรูปหัวใจสีชมพู

            ชายหนุ่มน้ำตาคลอ  เขายกมือขึ้นพนม  อธิษฐานในใจอยู่นานก็ลืมตาขึ้น  เป่าแรงๆจนเทียนดับพรึบพร้อมกันทุกเล่ม

            “อธิษฐานอะไรหรอคะพี่เต”    น้องสาวเอ่ยถาม  พี่ชายอมยิ้ม แล้วก้มลงไปจุมพิตที่หน้าผากของเธอ

            “ไม่บอกจ้ะ  เดี๋ยวไม่เป็นจริง”  กระซิบเสียงนุ่ม จากนั้นก็หันไปหอมแก้มลูกชายคนเดียว  ภาคย์จับตามองภาพนั้นยิ้มๆ  เขามีความสุขที่ได้เห็นรอยยิ้มปลาบปลื้มของเตในวันนี้    เจ้าของวันเกิดหันมาเห็นรอยยิ้มของเขาเข้าพอดี

            “ขอบคุณนะครับ คุณภาคย์ เค้กน่ารักมาก  ขอบคุณมากจริงๆฮะ”  เตพนมมือไหว้เขา   ภาคย์หัวเราะ

            “ไม่ต้องไหว้ๆ  ผมไม่ได้แก่กว่าคุณขนาดนั้นหรอกนะ  หึๆ  เอาล่ะ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกหน่อย”  ชายหนุ่มล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา  ขณะที่ใครอีกคนที่ยืนมองอยู่ห่างๆนานแล้วรีบพูดอาสา

            “ผมถ่ายให้ครับ”   ภาคย์ชะงัก  แต่ก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้อีกฝ่ายแต่โดยดี   จากนั้นก็ถอยเข้าไปร่วมเฟรมกับคนที่เหลือ    ข้าวตังร้องเรียกคุณหมออย่างเกรงใจ

            “อุ้ย  ไม่เป็นไรค่ะคุณหมอ  เกรงใจคุณหมอ”

          “ไม่เป็นไรครับ  ผมยินดี  1 2 3 ยิ้ม”   รดิศกดถ่ายรูปให้หลายรูป  จากนั้นก็ส่งโทรศัพท์มือถือคืนให้เจ้าของ   เขาหันไปบอกทุกคนยิ้มๆ  ไม่ได้เจาะจงใครเป็นพิเศษ

            “ผมกลับก่อนนะครับ  พอดีมีธุระต่อ   เอ่อ  คุณเต...มีความสุขมากๆนะครับ”  ประโยคหลังเขาพูดกับเจ้าของวันเกิดโดยที่ไม่ได้สบตา   แล้วร่างสูงสมส่วนก็รีบเดินออกจากห้องไปเสียเฉยๆ

            เตเม้มปาก  มองตามจนลับสายตา  นึกน้อยใจจนน้ำตาเกือบจะไหลออกมาอีกรอบ....วันเกิดของเขา  จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  แต่แค่อยู่ทานเค้กด้วยกันก่อนแค่นี้ ก็ไม่ได้เลยใช่มั้ย....รู้อยู่แล้วว่า ธุระที่อีกฝ่ายบอกมันเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้นเอง 

            “คุณหมอคงมีธุระรีบจริงๆ  พี่เตทานเค้กกันค่ะ”  ข้าวตังเรียกเขาเอาไว้  เตกลับไปร่วมวงด้วย   ภาคย์สั่งอาหารจากห้องอาหารโรงแรมหรูให้มาส่งถึงห้อง  เพื่อที่หญฺิงสาวจะได้ทานด้วยได้  ทำให้เตซึ้งในน้ำใจของอีกฝ่ายที่คิดถึงคนรอบข้างของเขาด้วย 

            ไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนที่ขอตัวกลับไปก่อนนั้น  เขาไม่ได้ไปไหนไกลเลย  ทว่ายังคงยืนพิงกำแพงข้างประตูห้องอยู่นั้นเอง   ท่ามกลางวอร์ดที่เงียบสงัด  มีเพียงห้องของดาวประดับเท่านั้นที่ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังออกมาแว่วๆ...เสียงแห่งความสุข

            วันนี้เขาเพิ่งได้เห็นตั้งเตยิ้มอย่างเต็มที่ก็ตอนที่ก้มลงกอดเต้ และเห็นเค้กของภาคย์นั่นเอง   ใบหน้าเรียวยิ้มหวานราวกับกลับไปเป็นเด็กหนุ่มเมื่อหลายปีก่อน   แววตาแวววาวเป็นประกาย คงลืมเรื่องที่ปวดท้องและอะไรก่อนหน้านี้เสียสิ้น

            เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกทนไม่ได้....ทนยืนยิ้มอยู่ในห้องนั้นราวกับเป็นหุ่น หรือไม้ประดับอะไรสักอย่างที่อยู่ตามมุมห้องไม่ไหว   ทนมองเห็น ‘ครอบครัว’ ที่อบอุ่น พ่อแม่ลูก  รวมถึงผู้ชายอีกคนที่ดูจะเข้ากับครอบครัวของเตได้ดีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งอย่างไม่เคอะเขิน    ขณะที่เขาได้แต่ยืนอยู่วงนอก  มองดูคนที่เขารักยิ้ม หัวเราะมีความสุขกับคนอื่น ที่ไม่ใช่เขา

            มันเจ็บลึกๆอยู่ในอก  คล้ายกับมีอะไรแหลมๆค่อยๆแซะเข้ามาผ่านผนังหัวใจของเขาทีละน้อย  ยิ่งตอนที่อาสาถ่ายรูปให้นั้น   เขารู้สึกว่า ตนเองได้กลายเป็นส่วนเกินของชีวิตอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

            เตพูดถูก....เราเดินมาไกลมากเกินไป   ไกลจนต่างคนต่างมีทางเดินของตัวเอง   จะย้อนกลับก็ลำบาก   เตมีครอบครัวที่อบอุ่น  เค้ามีความสุขดีแล้วโดยปราศจากเรา

            น่าขันตรงที่เมื่อหลายเดือนก่อน  เขาเป็นฝ่ายคิดทะนงตนไปเองว่า อีกฝ่ายคงอยู่อย่างไม่มีความสุขนักหรอก ถ้าไม่มีเขาอยู่ด้วย   ทว่าในตอนนี้มันกลับตาลปัตร   จูบเมื่อครู่ก็บอกชัดว่าเขาแพ้เตราบคาบ   

คำตอบที่เขาเคยอยากรู้เหลือเกินเมื่อหลายปีก่อน  ครั้นได้คำตอบมาแล้ว มันกลับทำให้เขาเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าเดิมเสียอีก   ถ้ารู้แบบนี้ เขาคงไม่กลับ  คงไม่เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้อาการของเขาทรุดหนักลงไปกว่าเดิมจนเกินความสามารถที่จะเยียวยา

            เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะอยู่ต่อไปได้อย่างไรและเพื่อใคร

            ก็ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นเหมือนที่หมายในชีวิตมาตลอด   ถึงแต่ก่อนจะไม่ยอมรับ  ปฏิเสธหัวชนฝาว่าหมดรักไปแล้ว  เหลือเพียงความแค้นฝังหุ่น อยากจะแก้แค้นเพียงอย่างเดียวเท่านั้น   ถึงกระนั้นในใจของเขาก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้ว  เขาไม่เคยโกรธอีกฝ่ายได้จริง   ทุกอย่างในชีวิตของเขาที่ผ่านมา  ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับผู้ชายผมหยิกหยองคนนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

            ไม่ใช่เพราะผู้ชายคนนี้หรอกเหรอ  ที่ทำให้เขาเลือกเรียนผ่าตัดหัวใจ  กัดฟันเรียนในสาขาที่ยากแสนยากชนิดน้อยคนนักจะสามารถเรียนได้  ไม่ใช่คนๆนี้หรอกหรือที่ทำให้เขาอยากที่จะกลับมาประเทศไทยนักหนาทั้งที่อยู่ที่อเมริกาเขาสามารถทำรายได้มากกว่าล้านเหรียญต่อปีด้วยซ้ำ

            ไม่ใช่เพราะตั้งเตหรอกเหรอ  ที่ทำให้เขาไปไหนไม่ได้เสียที  กลายเป็นคนป่วยเรื้อรังทางใจมาตลอด 8 ปีแบบนี้ 

เตบอกให้เขาตัดใจ  แต่จะทำอย่างไรได้  เขาเป็นหมอ  มีหน้าที่รักษาหัวใจ  เขาจะไปตัดหัวใจตัวเองทิ้งได้อย่างไร   มันสุดฝีมือของเขาที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หายแล้ว  หมดใจที่จะรักษาตัว

คงต้องปล่อยให้อาการกำเริบหนักจนทนไม่ไหว ขาดใจตายไปเองกระมัง  ถึงจะหายขาดจากโรคที่เกิดจากความผูกพันทางใจนี้ได้เสียที

ชายหนุ่มลากขากลับมาถึงห้องทำงานของตัวเองจนได้   ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ประจำอย่างเหนื่อยอ่อน   หางตาเหลือบเห็นกล่องสี่เหลี่ยมใบเล็กที่วางแอบอยู่บนโต๊ะข้างกรอบรูปกรอบนั้น....ของขวัญที่เขาเตรียมเอาไว้ให้ใครบางคนในวันเกิด  อุตส่าห์ลางานเพื่อหาโอกาสจะนำไปมอบให้ตั้งแต่เช้า....เขาอยากเป็นคนแรกที่ให้ของขวัญ แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว

เขาไม่กล้าเดินเข้าไปหาเต   ไม่รู้ว่าเพราะอะไร

ชายหนุ่มเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมาเปิดออกดู

แสงไฟจากหน้าต่างข้างนอกสะท้อนเข้ากับหน้าปัดสีเงินแวววาว  กระจกแก้วใสไร้รอยแตกร้าวเพราะเขาส่งซ่อมมาเรียบร้อยแล้ว  สายหนังสีน้ำตาลเข้มถูกขัดถูและเคลือบเงาเหมือนใหม่  เข็มนาฬิกากลับมาเดินอีกครั้งเป็นจังหวะ บอกเวลาสี่ทุ่มตรง

รดิศยกนาฬิกาขึ้น  พลิกดูด้านหลัง มีตัวอักษรสลักเอาไว้แทนใจ   อดนึกถึงวันที่มอบให้คนๆนั้นขึ้นมาไม่ได้...ก้มลงจุมพิตที่หน้าปัดเบาๆ  ความเย็นชื้นที่สัมผัสริมฝีปากพาให้นึกถึงความอบอุ่นอ่อนนุ่มที่เรียวปากของใครอีกคน  ไม่มีอีกแล้ว....เขาหมดใจที่จะสู้ต่อ   มองไม่เห็นเลยว่าเราสองคนจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างไร

มันสายเกินไป   ไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรน

น้ำตาลูกผู้ชายไหลอย่างสุดกลั้น   ชายหนุ่มซบใบหน้าลงกับท่อนแขน   ปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดออกมาดังๆ อย่างไม่กลัวใครจะได้ยิน 

นาฬิกาเรือนเก่ากลับมาบอกเวลาเที่ยงตรงได้อีกครั้งเหมือนกับหัวใจของเขาที่จำต้องยอมรับกับตัวเองเงียบๆว่า....เขาไม่อาจรักใครได้อีก  นอกจากเจ้าของนาฬิกาเรือนนี้  คนเดียวเท่านั้น

....................................................................

ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ขาด]ตอนที่25 9/5/60 (100%)
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-06-2017 22:35:38


ต่อนะคะ






“เดี๋ยวผมเอาขยะไปทิ้งข้างนอกห้องดีกว่า  เกรงใจแม่บ้านเค้า”  ชายหนุ่มเจ้าของวันเกิดรวบรวมเศษอาหารและกล่องเค้กกล่องขนมใส่ถุงดำใบใหญ่ มัดปากถุงเรียบร้อยเตรียมเอาออกไปทิ้ง โดยมีเจ้านายร่างสูงโปร่งคอยช่วยอยู่ด้วยไม่ห่าง 

“ผมเอาไปทิ้งเองดีกว่า  คุณอยู่ที่นี่แหละ”  ภาคย์ฉวยเอาถุงขยะมาถือเอาไว้เสียเอง  แต่อีกฝ่ายไม่ยอม ดึงคืนกลับมา

“ได้ยังไง  คุณภาคย์อุตส่าห์เลี้ยงข้าว  ยังจะไปทิ้งขยะให้อีกเหรอ   คุณนั่งนี่แหละฮะ  เดี๋ยวผมมา   ข้าวตังเอาอะไรมั้ย พี่จะแวะเซเว่นก่อนขึ้นมา  เต้ล่ะลูก”   หญิงสาวส่ายหน้าปฏิเสธ  ส่วนลูกชายคนเดียวรีบฝากซื้อน้ำอัดลมทันที  คนเป็นพ่อจุ๊ปาก

“ไม่ได้   เดี๋ยวพ่อซื้อน้ำผลไม้ให้ดีกว่า  เอะอะก็จะกินแต่น้ำอัดลม  กัดกระเพาะแถมอ้วนด้วย”  เด็กน้อยหน้าม่อยไปนิดหนึ่ง  ภาคย์หัวเราะ  เอ่ยปลอบใจ

“เอาอย่างนี้   เดี๋ยวลุงซื้อช็อคโกแลตมาให้  ดีไหมครับ”  เต้พยักหน้า รีบยกมือไหว้

“เพิ่งกินเค้กไป  จะกินขนมอีกเหรอ  ไม่ต้องหรอกครับ”  คนเป็นพ่อท้วง

“นิดหน่อยเองน่าคุณ  เด็กกำลังโต  เค้ากินได้ก็ปล่อยให้เค้ากินไปเถอะ....ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ   จะได้ซื้อของมาฝากเต้ด้วย”   ภาคย์พูดยิ้มๆ  ฉวยถุงขยะกลับคืนมาแล้วเปิดประตูออกจากห้องไป  ตั้งเตเม้มปาก  หงุดหงิดไม่น้อยที่อีกฝ่ายสปอยลูกชายของตนเอง   แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังไง  หันไปมองหน้าแป๋วแหววของลูกก็เอ็นดู   สุดท้ายก็ต้องตามใจอีกเหมือนเคย

หญิงสาวบนเตียงคนไข้มองตามหลังร่างของชายหนุ่มทั้งสองคนที่เปิดประตูห้องเดินออกไป  เธอถอนหายใจยาว  กวักมือเรียกลูกชายให้มานั่งข้างๆ  โน้มตัวลงกอดร่างกลมป้อมเอาไว้แน่น

“เต้  วันหลังถ้ามีคนอื่นไปรับที่โรงเรียน...ที่ไม่ใช่พ่อหรือแม่  หนูอย่ามากับเขานะลูก  พ่อกับแม่ไม่เคยให้ใครไปรับหนูแทนนะคะ   ถ้าวันไหนให้ใครไปรับแทนก็จะบอกก่อน  ไม่ก็โทรบอกคุณครูเอาไว้  เข้าใจมั้ยลูก”  เด็กชายพยักหน้ารับ   เธอรู้ว่าเขาเข้าใจที่เธอพูด  เต้เป็นเด็กฉลาดเฉลียวและเลี้ยงง่าย   เป็นโชคของเธอที่มีลูกน่ารัก

ยกมือขึ้นลูบศีรษะทุยที่มีเส้นผมดำสลวยเหมือนเธอเบาๆ  คิดถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อครู่นี้....สายตาของนายแพทย์หนุ่มที่เธอเหลือบไปเห็นเข้าพอดี    แววตาที่ชายหนุ่มผู้นั้นใช้มองพี่เตมันทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ   มันเป็นแววตาของคนที่หมดหวังอย่างแท้จริง  เหมือนมองสิ่งที่สุดเอื้อม  เกินความสามารถที่จะไขว่คว้ากลับมาได้แล้ว   ครั้นจะตัดใจก็ทำไม่ได้   ได้แต่อาลัยอาวรณ์อยู่นั่นเอง

สงสารเหลือเกิน....สิ่งที่คุณหมอหน้าเข้มคนนั้นเจอคงเต็มไปด้วยความผิดหวังและน้ำตา   ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนที่เธอใช้ความสงสารของพี่เตชิงอีกฝ่ายมาเงียบๆ จนมาถึงบัดนี้  ที่เธอก็ยังคงยึดพี่เตเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่นด้วยคำว่าหน้าที่และความรับผิดชอบ  ทั้งที่ความจริงแล้วเค้าไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย

ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน  เธอเชื่อว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของฝ่ายนั้นและพี่ชายตัวเองดี   ทั้งคู่ต่างเจ็บปวดไม่แพ้กัน   ไม่มีใครเลยที่รอดพ้นความทรมานใจไปได้  แม้แต่เธอ...ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีวันที่พี่เตจะเป็นของเธอได้จริง   ต่อให้ไม่มีแฟนเก่าโผล่กลับมา  ต่อให้ไม่มีคุณภาคย์   หัวใจของพี่เตมีที่ให้เธอยืนในตำแหน่งน้องสาวแค่นั้น

            เหมือนกับที่คุณภาคย์เป็นได้แค่คนรู้จัก  มากสุดก็คือ พี่ชาย  นั่นแหละ

            ชายหนุ่มที่เดินตามหลังคนผมหยิกหยอยมาตามทางเดินเงียบๆก็กำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน    เขาอยากจะเชื่อว่าตัวเองเข้าใกล้เตได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว  แต่ก็เหมือนเตก้าวถอยหลังไปสองก้าว   ทำให้ระยะห่างระหว่างเราเพิ่มมากขึ้นหนึ่งก้าว  ทั้งๆที่เขาตั้งใจเต็มที่แล้ว

            “คุณเต...นั่งเล่นตรงนี้สักครู่ดีไหมครับ  ลมเย็นดี”  ตรงนี้หมายถึงเก้าอี้บริเวณสวนหย่อมชั้นล่างของโรงพยาบาล  ห่างจากร้านสะดวกซื้อมาไม่ไกลนัก   ติณธรพยักหน้า  ทรุดตัวลงนั่งข้างๆกัน    ยังมีคนเดินผ่านไปผ่านมาบ้างพอสมควร  แต่ก็มีความเป็นส่วนตัวพอที่จะพูดคุยกันได้

            “วันเกิดปีนี้สนุกมาก  ขอบคุณมากนะครับ  คุณภาคย์”  เตพูดสั้นๆออกมาจากใจ   เป็นวันเกิดที่แปลกที่สุด  ไม่ใช่เพราะจัดที่โรงพยาบาลอย่างเดียวเท่านั้น  แต่เป็นเพราะคนที่มาร่วมงานต่างหาก....แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ทว่าทำให้เขาดีใจและเสียใจไปพร้อมๆกัน 

            “คุณเตชอบ ผมก็ดีใจ....เค้กเจ้านี้อร่อยมั้ยฮะ”  ภาคย์อยากจะเขกหัวตัวเองที่ปากเจ้ากรรมดันหลุดคำถามอะไรไม่รู้ออกไป ทั้งที่ความจริงสิ่งที่เขาอยากรู้  ไม่ได้ใกล้เคียงกับรสชาติของเค้กหรืออาหารวันนี้เลยสักนิด

            “อร่อยดีนะ  ผมไม่เคยกินร้านนี้  เคยแต่ขับรถผ่าน....อาหารก็อร่อยมาก”  เตตอบแค่นั้นแล้วก็นิ่งไปอีก...เรียกว่าถามคำตอบสองคำจะได้ไหมนะ....เขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่   หวังว่าจะไม่ใช่เรื่องที่เขาคิดอยู่หรอกนะ  ชายหนุ่มเม้มปาก  ลอบถอนหายใจยาวด้วยความอึดอัด

            ไม่ใช่ไม่รู้   ไม่ใช่ไม่ได้สังเกต...แรกเห็นเตตอนที่เปิดประตูเข้ามาภายในห้องนั้นเขาก็สังเกตเห็นดวงตาแดงช้ำนั้นทันที  ไหนจะเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่ที่อีกฝ่ายใส่อยู่นี่ก็อีก  ไม่ใช่ของเจ้าตัวแน่ๆ  ที่ร้ายที่สุดก็คือ  นักเขียนของเขามาพร้อมกับผู้ชายคนนั้น!  เวลาสองชั่วโมงที่เขาติดอยู่บนถนนด้วยความไม่รอบคอบของตัวเอง  ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับชายหนุ่มคนข้างๆ

            “วันนี้ต้องขอโทษอีกทีนะคุณเต  ที่ทำให้ตกใจ  ผมสะเพร่าเองก็เลยเกิดเรื่องขึ้น....คุณคงเป็นห่วงเต้มาก   แล้วไปเจอคุณหมอดิมได้อย่างไรฮะ”  ตัดสินใจถามตรงๆแบบนี้ล่ะ    คนฟังขยับตัวนิดหน่อย  ตอบเรียบๆ

            “หมอดิมช่วยผมตามหาเจ้าเต้....ตอนแรกผมเข้าใจผิด  นึกว่าเต้ไปกับคุณหมอ”  ประโยคขยายความของนักเขียนหนุ่มทำให้อีกฝ่ายชะงัก

            “ทำไมถึงนึกว่าเต้ไปกับคุณหมอล่ะครับ”  ถามไปแล้วก็รู้สึกว่าเป็นการละลาบละล้วงอีกฝ่ายมากไปหรือเปล่า  มองหน้าก็เห็นคนฟังทำหน้าเครียดขึ้นนิดหนึ่งเลยรีบบอก “ไม่ต้องตอบก็ได้นะฮะ  ขอโทษด้วยที่ถามอะไรที่ทำให้คุณไม่สบายใจ”

          “เปล่าหรอก  ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบยังไงดี   คือ....ความจริงแล้ว...คุณหมอดิมเค้าเคย....เคยเอ้อ  เคยรู้จักกับผมมาก่อน  นานแล้วตั้งแต่สมัยยังเรียนมหาวิทยาลัย   แล้วเค้าก็เลยรู้จักเต้ด้วย  เอ่อ  ตอนนี้เค้าก็รักษาข้าวตังอยู่  ผมก็เลยนึกว่าเค้าจะไปรับเต้มา  ประมาณนี้”  ตั้งเตรวบรัด   เปลี่ยนใจไม่อยากเล่าให้อีกฝ่ายฟัง

            ภาคย์ถอนหายใจยาว  ก้มหน้าครู่หนึ่งแล้วก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะออกมาดังๆจนคนแถวนั้นหันมามอง

            “ฮ่าๆ  แบบนี้นี่เอง  ฮ่าๆ”

          “คุณหัวเราะทำไม  มีอะไรน่าขำเหรอ”  เตงง

          “เปล่า  ความจริงผมอยากทำตรงข้ามต่างหาก”  เขาหยุดหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืน   ก้มลงมองคนที่นั่งอยู่ตรงหน้านิ่ง   พูดเสียงต่ำ  “คุณเต  ผมขอถามคุณคำถามเดียวเท่านั้น   ขอให้คุณตอบตามความจริง   จะได้ไหม”

          นักเขียนหนุ่มขมวดคิ้ว  แววตาของคนพูดเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึมแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน   เขาพยักหน้ารับ  อยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะถามว่าอะไร

            “เย็นวันนี้  ตอนที่เต้หายไป....คุณคิดถึงผมบ้างมั้ย   แค่แวบหนึ่งก็ยังดี....ที่คุณคิดว่าควรจะโทรหาผม  หรือนึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับผมอยู่”

            ติณธรอึ้ง  คำตอบฟ้องอยู่บนสีหน้าและแววตาจนคนถามรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ   ความเข้าใจของเขาถูกต้องแล้ว....เตไม่เคยมีเขาอยู่เลยแม้เพียงสักนิด  ในเวลาที่เดือดร้อนหรือทุกข์ใจ  อีกฝ่ายไม่เคยนึกถึงเขา

            เหมือนกับที่เตไม่ไว้ใจเขามากพอที่จะเล่าเรื่อง คุณหมอคนนั้นให้เขาฟัง  แต่เลือกที่จะบอกว่าเคยรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น....

            ทำไมถึงยากนักนะ   ขอแค่เศษเสี้ยวของหัวใจเอง  ก็ยังไม่ได้เลยงั้นหรือ....ภาคย์ยิ้มกับตัวเองนิดๆ    เขาเอื้อมมือไปหยิบถุงขนมที่เพิ่งซื้อมาถือเอาไว้  พูดแบบไม่มองหน้า

            “ขึ้นไปกันเถอะ   คุณตังกับเต้คงรอแย่แล้ว”  พูดจบก็ออกเดินนำเข้าไปในลิฟต์    อีกฝ่ายเดินตามมาเงียบๆ  ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนกระทั่งกลับมาถึงห้องพักของหญิงสาว    เขาเอ่ยปากขอตัวกลับก่อน

            เตก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ 

            “หายเร็วๆนะฮะคุณข้าวตัง   ลุงไปก่อนนะเต้   แล้วพบกันครับ”  ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับนักเขียนหนุ่มรุ่นน้อง ก่อนที่จะเปิดประตูเดินออกมา  ภาคย์ตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่านั่นจะเป็นประโยคสุดท้ายจริงหรือเปล่า

            เขาแค่สับสน   ต้องการถอยกลับมาทบทวนอีกครั้งถึงเรื่องราวทั้งหมดและความรู้สึกในใจ ....ความรู้สึกแน่นๆนี้คือความผิดหวังใช่ไหม   เป็นสิ่งเดียวกับที่เรียกว่า อกหัก  ใช่หรือเปล่า

            ถึงเตจะไม่ได้ปฏิเสธเขาออกมาตรงๆ  แต่แค่นั้นก็เกินพอแล้ว....เวลาสองปีกว่า  เป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานเมื่อเทียบกับความสัมพันธ์ของคนในอดีตของเขาที่เคยผ่านมา  แต่ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับของใครอีกคน....จู่ๆเขาก็รู้สึกเห็นใจคุณหมอดิมขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

            แล้วเขาควรทำอย่างไรต่อไป  จะคอยตามดูแลเตอยู่อย่างนี้  วางตัวเป็นทั้งเจ้านายทั้งเพื่อนที่แสนดีต่อไปหรือ

            ความจริงเขาไม่หวังได้เตมาครอบครองตั้งแต่แรก  มันเป็นไปไม่ได้ในเมื่ออีกฝ่ายมีพันธะผูกพันอยู่แน่นหนา  แถมเขาเองพอได้รู้จักกับทั้งข้าวตังและเต้แล้ว ก็อดที่จะรักเอ็นดูเหมือนเป็นน้องสาวและหลานชายอีกคนไม่ได้   เขาจึงต้องการแค่อยู่ข้างๆเต    เป็นที่ปรึกษา   เป็นคนแรกที่เตนึกถึงเมื่อมีปัญหา....ต้องการกอดร่างโปร่งบางเอาไว้ในอ้อมแขน  สัมผัสริมฝีปากอิ่มเต็มที่คงจะนุ่มละมุนที่สุด  สูดกลิ่นหอมอ่อนๆเฉพาะตัวให้ชื่นปอด....ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าเรียวพร้อมรอยยิ้มหวานเป็นคนแรก และได้รับจุมพิตเบาๆที่หน้าผากเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนเข้านอน

            อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของเขากันแน่?  ความรู้สึกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายมันลึกซึ้งถึงเพียงไหน   เขาก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน...รู้แค่ตอนนี้เขาเจ็บปวดเหลือเกินกับความจริงที่ว่า  เขาควรถอยออกมาจากติณธรได้เเล้ว

            ...............................................................................

            ผู้ชายที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของใครหลายๆคนก็กำลังคิดพะวงถึงเรื่องหัวใจอันแสนยุ่งเหยิงของตนเองอยู่เช่นกัน  แม้จะบอกตัวเองเป็นรอบที่ล้านแปดว่า  เขาเลือกเส้นทางที่จะเดินเคียงข้างผู้หญิงและเด็กชายไปแล้ว  ทว่าในใจก็ไม่วายคิดกลับไปกลับมาอยู่นั่นเอง

            ทำไมเส้นทางที่ถูกต้อง  ถึงพ่วงมากับความทุกข์ขนาดนี้ล่ะ  เขาไม่มีความสุขเลยซักขณะจิตเดียว  ลองข่มตาลงเพื่อเข้าสู่นิทราก็หาสำเร็จไม่   ดวงตาคมซึ้งแกมตัดพ้อของใครบางคนคอยแต่จะตามหลอกหลอนอยู่ทุกครั้งที่หลับตา

            พี่ดิม....ขอโทษด้วยที่ผมทำให้พี่เสียใจอีกแล้ว   แต่ผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร   อีกไม่นานพี่ก็จะทำใจได้แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเอง   พี่มีคนที่รักพี่  พร้อมที่จะดูแลพี่อยู่แล้ว   เราควรปลดห่วงความสัมพันธ์อันยาวนานนี่ทิ้งเสีย  แล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆเสียที

            เขาลุกขึ้นจากโซฟา   ห้องพักผู้ป่วยมืดสลัว   แสงไฟจากด้านนอกลอดผ้าม่านหนาหนักเข้ามาได้เพียงลางๆ  เห็นร่างของหญิงสาวนอนนิ่งอยู่บนเตียงเคียงข้างกับลูกชายที่กำลังหลับสนิท

            ชายหนุ่มจรดเท้าออกมาจากห้อง   เดินเรื่อยๆมาตามระเบียงที่คุ้นเคยมาแรมเดือน    เขาไม่เคยชอบบรรยากาศของโรงพยาบาลในตอนกลางวันเพราะเกลียดความพลุกพล่าน  ตรงข้ามกับบรรยากาศในตอนกลางคืนที่คล้ายจะเปลี่ยนไปอยู่ในอีกโลกหนึ่ง  เงียบสงัดและหนาวเย็นจนตัวสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ

            หยุดยืนที่สุดระเบียงอีกครั้ง  ที่เดิมที่คืนนั้นเขาได้พบกับใครอีกคนโดยบังเอิญ  เงาในกระจกสะท้อนใบหน้าของตัวเองเหมือนตอนนั้น  ต่างกันตรงที่คืนนี้มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่

            พี่ดิม.....

       บทสนทนาในรถย้อนกลับมาอีกครั้ง

‘ทำไมพี่ดิมต้องทำแบบนี้กับเตด้วย’

‘แล้วทำไมนายถึงยังเรียกแทนตัวเองว่าเต เวลาที่พูดกับพี่ด้วยล่ะ  ทำไมนายถึงนิ่งให้พี่จูบ  ทำไมนายถึงมาหาพี่เป็นคนแรก....เต   ตอบพี่มาทีสิว่าทำไม’

.....ถ้าเตรู้    เตก็คงไม่ถามพี่หรอก  หรือถึงเตรู้  เตก็จะฝืนทำเป็นไม่รู้อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ  จนกว่า...จนกว่าอะไรดีล่ะ....จนกว่าเตจะทนไม่ได้เองจะดีไหม 

หรือว่าจนกว่าพี่ดิมจะตัดใจจากเตไปแล้วจริงๆ

            รู้สึกหนาวขึ้นมาอีกจนต้องห่อไหล่ ยกมือขึ้นกอดอกแน่น   ปวดที่ขมับสองข้างตุบๆพร้อมๆกับอาการปวดท้องที่กำเริบขึ้นมาอีกครั้ง  คงเป็นเพราะวันนี้เขาทานอาหารมากที่สุดในรอบปีเลยมั้ง

            ติณธรเริ่มรู้สึกคลื่นไส้  อยากอาเจียนขึ้นมากะทันหัน  แต่ก็ปวดท้องจนก้าวขาไม่ออก  ตาเริ่มพร่าเบลอ  เหงื่อแตกพลั่กตรงข้ามกับความหนาวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ   เขาทรุดลงไปนั่งที่พื้น   เส้นเลือดข้างขมับเต้นตามจังหวะหัวใจที่ถี่รัว    ลมหายใจเริ่มเป็นห้วงสั้นๆถี่กระชั้น

            เขาเกิดความกลัวขึ้นมาจับใจ   กำแพงรอบด้านคล้ายบีบเข้าหาตัวราวกับต้องการประทุษร้าย  อากาศเหลือน้อยลงทุกที   เขารู้สึกเหมือนกำลังจะขาดใจตาย  โดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย

            เงาดำๆโผล่วอบแวบที่หางตา  ในช่วงเวลาที่ใกล้จะถึงขีดสุดนั้น  เขารู้สึกได้ถึงวงแขนแข็งแรงอบอุ่นที่ช้อนลอยขึ้นจากพื้นทั้งตัว   ตั้งเตซบใบหน้าลงกับอะไรแข็งๆที่แนบอยู่นั้นแล้วถอนหายใจยาว    ได้ยินเสียงเรียกแว่วๆเป็นชื่อตัวเองมาจากที่ไกลๆ

            น้ำตาไหลซึมออกมาเป็นทาง   สัมผัสอ่อนนุ่มที่บริเวณหน้าผากเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขารู้สึกก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืด


            ...................................................................................


มีคนจุดธูปเรียก55555
มาอัพต่อนะคะ  มีใครคิดถึงเรื่องนี้บ้าง
กำลังเจ้มจ้มเลยจร้าา ขออภัยที่หายไปอัพเรื่องอื่นอยู่นาน
ใครอ่าน #แอบลักษณ์  ชั้นอัพตอนจบไปเมื่อคืนนะไปอ่านได้
ส่วนเรื่องนี้ #ดิมเต เราจะกลับมาอัพต่อค่ะ ฮุ่ยเร่ฮุ่ยย
เจอกันตอนหน้า
อย่าลืมกดไลค์เพจเราด้วย  ไว้เรารวมเล่มเมื่อไหร่ใครไลค์เพตจมีส่วนลดนะเออ เอาซี่ๆ
 :katai2-1:
Melenalikefanpage (https://www.facebook.com/Melenalikebanana/)
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 22-06-2017 23:05:49
ฝากลิ้งค์นิยายอีกสองเรื่องด้วยนะคะ

Hidden Wood (http://61.19.246.96/~thaiboys/webboard/index.php?topic=56731.90) #แอบลักษณ์   (ถึงตอนจบเเล้วเหลือตอนพิเศษเด้อ)


เรื่องที่สอง ยักษ์ยอกรัก #แอบยักษ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60426.0#lastPost) 
เป็นเรื่องที่สองในเซ็ทคนแอบรักนะคะ 


เเนวโรเเมนติกดราม่านะคะ  แต่ว่าจะเบากว่าเรื่องดิมเตเยอะ55555
ใครชอบเเนวนี้สนใจกดเข้าไปอ่านได้น้าาา  ขอบคุณมากค่ะ

อย่าลืมกดไลค์เพจเราด้วย555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 22-06-2017 23:28:23
 :mew2:


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-06-2017 23:40:26
เศร้าได้ทุกตอนเรื่องนี้


แต่ชอบมากกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-06-2017 23:57:55
นี่กำลังกลัวว่าเตจะเป็นอะไรร้ายแรงเพราะเห็นปวดท้องบ่อยมาก ส่วนเรื่องรักนี่อีรุงตุงนังมากคนโน้นก็ยื้อ คนนี้ก็อยากกลับมา อีกคนก็คอยตื้อ โอ้ยย ปวดหัวมาก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 23-06-2017 08:15:28
 :3123: :กอด1: :mew4: :mew3: :impress2: :impress2:
ไรท์น่ารักกกๆๆๆๆรอๆๆๆ :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 23-06-2017 17:17:56
 รอนานมากๆ หลายเดือนเลย คิดว่าจะไม่มาต่อซะแล้ว ดีใจที่ได้อ่านอีก ตอนนี้ซึ้งมากๆ
  รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ▶August5th◀ ที่ 25-06-2017 20:02:45
ชอบเรื่องนี้มาก เดี๋ยวนี้ดราม่าแบบนี้หาอ่านยากมาก
ขอบคุณคนแต่งมากๆ ขอให้แต่งต่อจนจบด้วยน๊า
บอกตรงร้องไห้หลายตอนมากๆ ตอนอ่านไดอารี่นี่ อยู่ๆน้ำตาไหล สงสารทุกคนเลย

แต่ตอนนี้ในเมื่อมีโอกาส ก็ควรทำตามหัวใจตัวเองนะ
ในเมื่อทั้งสองก็ทุกข์มานาน ควรคิดถึงตัวเองและมีความสุขซะที

กลัวเตจะป่วยเป็นอะไรนี่สิตอนนี้ เฮ้อ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 25-06-2017 20:11:37
รอๆๆๆๆๆน่าๆๆๆ :กอด1: :3123: :L1: :katai2-1: :mew1: :z3: :z2: :z10: :กอด1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 02-07-2017 23:54:13
เจ็บปวดกับความรักจนบอบช้ำ เตยังมาป่วยอีก ความสุขทำไมมันยากจริง พี่ดิมช่วยน้องเตด้วย
เรื่องนี้หน่วงมากๆ เลยค่ะ อึดอัดแต่ก็สนุกมาก เพิ่งอ่านทัน สงสารทั้งคู่ เจ็บกันมาหลายปี
แต่ความรักเขามั่นคงมากจริงๆ คนรอบข้างทั้งรัลและตังยอมรับเถอะนะ ทำใจซะ
เอาใจช่วยน้องเต เศร้ามามากแล้วอยากให้มีความสุข ตอนดิมอ่านไดอารี่เราร้องไห้เลย

ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 03-07-2017 06:45:44
เรื่องนี้มีแต่คนเห็นแก่ตัว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 03-07-2017 07:56:43
 :mew3:ะ :call: :call: :call: :z10: :กอด1: :mew4: :katai2-1: :3123: :L1:
รอๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆมาน่าๆๆๆๆๆ :mew1: :mew1: :o8:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 10-07-2017 00:46:59
ผ่านมา 17 วันละ.  เตเป็นอย่างไรบ้างน้ออออ

จะเป็นพี่ดิมมาอุ้มไป หรือใครมาบังเอิญพบเจอ...ใครกัน

ปลดห่วงในใจให้กลับมารักกันตามใจตัวเองไม่ได้เหรอ..

เพ้ออ่ะ เพราะดึกละ. ..

 :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:  :hao5:

....
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ไม่ใช่]ตอนที่22 22/6/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 10-07-2017 01:28:41
 :mew1: :katai5: :hao7: :katai2-1: :katai2-1: :z2: :mew1: :mew1:มาต่อๆๆให้จบน่าๆๆยังรอน่าๆๆๆ :call: :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 10-07-2017 22:06:26
เพราะหัวใจบอกว่า...ฝัน

 

 



             

            ‘พี่ดิม?  มาได้ยังไง  เตนึกว่ากลับไปแล้ว’

            รดิศค่อยๆวางร่างของเขาลงบนความอ่อนนุ่มอย่างหนึ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร   เขายกมือขึ้นรั้งอีกฝ่ายเอาไว้เมื่อรู้สึกว่าพี่ดิมทำท่าจะลุกหนี 

            ‘นอนอยู่ตรงนี้ก่อน   พี่จะไปตามพยาบาล’  ได้ยินอีกฝ่ายพูดในมโนสำนึก  ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากข้อมือนั้นอยู่ดี   ออกแรงดึงน้อยๆพร้อมกับงอตัวลง

            ‘อย่าเพิ่งไปไหน  อยู่เป็นเพื่อนเตก่อน’   เหงื่อแตกซึมตามขมับและไรผม  อาการปวดท้องเริ่มกลับมาเยือนอีกเป็นระลอก   คนหน้าเข้มยิ้มนิดๆคล้ายอ่อนใจ   ยอมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเขา   เอื้อมมือมาลูบที่ใบหน้าและเสยปอยผมที่ลงมาปรกหน้าผากให้พ้น   

            ‘พี่ไปครู่เดียว’

          ‘ครู่เดียวก็ไม่ได้  เตไม่อยากให้พี่ไปไหนอีกแล้ว’  เขาพูดอย่างดื้อดึง   อย่างที่ไม่คิดว่าตัวเองจะพูดออกมาได้ถ้าอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายจริงๆ   โชคดีที่นี่เป็นเพียงความคิดของเขาเองเท่านั้น

            พี่ดิมยิ้มกว้างจนเห็นรอยพับที่หางตา   

            ‘พูดจริงหรือเปล่า?’

            ในความสะลึมสะลือคล้ายอยู่ในห้วงฝันนั้น  เตกล้าทำในสิ่งที่หัวใจเรียกร้องที่สุด  เขาดึงเนคไทของอีกฝ่ายเข้าหาตัว  และแตะริมฝีปากของตนเองลงไปบนเรียวปากของอีกฝ่าย

            ‘แค่นี้จริงพอไหม’

            อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่ตวัดวงแขนโอบรอบตัวดึงเขาเข้าไปกอดแนบอก....สนิทแน่นจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างกัน   ลมหายใจอุ่นๆของพี่ดิมเป่ารดอยู่ที่ขมับเป็นจังหวะ   แผ่นอกกว้างที่เขาแอบอิงอยู่มีเสียงตึกตักของอวัยวะภายในช่องอกที่บีบคลายเป็นจังหวะเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย...มันถี่เร็วแต่หนักแน่น   ตรงข้ามกับเขาที่รู้สึกหวิวๆ ใจสั่นเต้นไม่เป็นจังหวะ

            ‘อย่าทำอย่างนี้....เพราะมันจะทำให้พี่ปล่อยนายไปไม่ได้’  เสียงนุ่มๆที่วันนี้แหบกว่าปกติกระซิบอยู่ที่ริมหู ก่อนที่จอนหูและซีกแก้มข้างนั้นจะถูกจูบ

            ‘ก็ไม่ต้องปล่อย’  เตพึมพำ  กระชับวงแขนไปรอบลำตัวของอีกฝ่ายแน่นเข้า   เงยหน้าขึ้นจุมพิตที่ปลายคางที่เต็มไปด้วยหนวดเคราขรุขระนั้น   อาการปวดท้องหายไปเป็นปลิดทิ้งราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

            เหลือเพียงแค่คนที่โอบกอดและสัมผัสเขาอยู่เท่านั้น  ที่อยู่ในความคิดตอนนี้

            ‘พี่ทำอย่างนั้นได้ด้วยหรือ  ไม่ปล่อยนายไปได้ใช่มั้ย’  เหมือนอีกฝ่ายพูดกับตัวเอง  ‘นายไม่รู้หรอกว่าพี่คิดกลับไปกลับมากี่หนแล้ว   ถ้าทำได้ พี่อยากย้อนเวลาด้วยซ้ำ  กลับไปตอนที่เราเพิ่งคบกันใหม่ๆ...ตอนที่พี่มีความสุขที่สุด’

          ‘เตก็เหมือนกัน’  เขายอมรับออกมาง่ายๆ  หลับตาพริ้มรับสัมผัสละเมียดละไมจากริมฝีปากอ่อนนุ่มของอีกฝ่ายที่พรมจูบลงบนเปลือกตา  หน้าผาก  ไล้เบาๆลงมาตามสันจมูกและข้างแก้ม  ก่อนจะจบลงที่ริมฝีปากที่เผยอน้อยๆรอรับอยู่แล้วตามใจปรารถนา   ดูดดื่มและค้นคว้าหาคำตอบที่ซ่อนอยู่ในหัวใจ  หอมหวานยิ่งกว่าสิ่งใดที่เขาเคยลิ้มรสมา

            ราวกับจูบของพี่ดิมได้ดูดกลืนเอาพลังวิญญาณของเขาไปหมดสิ้น   ตั้งเตซบใบหน้าลงกับซอกคอของอีกฝ่ายอย่างอ่อนแรง  หายใจหอบ  จมูกโด่งนั้นยังคงตามมีเคล้าเคลียอยู่ไม่ห่าง   ฝ่ามือแข็งแรงลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังของเขา

            ทว่าจู่ๆ  พี่ดิมก็หยุดชะงักและปลดมือของเตที่โอบรอบตัวอยู่ออก

            ‘.............’  ไม่มีเสียงลอดออกมาจากลำคอที่แห้งผากของเขา  ได้แต่มองพี่ดิมอยู่อย่างนั้น   จ้องมองเข้าไปภายในแก้วตาสีน้ำตาลเข้มแกมดำ  มองเห็นเงาสะท้อนของตนเองคมชัด 

            ‘พี่ต้องไปแล้ว....’

            น้ำตาร้อนๆไหลรินทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น  ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแล้วว่าต้องจบแบบนี้   ในเมื่อหนทางระหว่างเรามันมีแต่ทางตัน 

            ‘ไม่ไป...ได้มั้ย?’  อดตามออกมาไม่ได้   อีกฝ่ายยิ้มนิดๆ  ยกหัวแม่มือขึ้นปาดน้ำตาที่แก้มให้

            ‘นายรู้เหตุผลดีอยู่แล้ว   ไม่มีประโยชน์ที่จะร้องไห้’  คนพูดพูดออกมา  ขณะที่เตสังเกตเห็นว่านัยน์ตาคมคู่นั้นเริ่มมีน้ำหล่อใส  เส้นเลือดขึ้นแดงก่ำราวกับคนที่กำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้สุดกำลัง

            เขายกมือขึ้นลูบที่ใบหน้าคมเข้มที่แนบประชิด   ปลายนิ้วสัมผัสไล้บนสันคิ้วและเปลือกตาของเค้าเบาๆ  คล้ายการปลอบประโลม   พี่ดิมหลับตาลงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาผ่านปลายนิ้วของเขาเป็นทาง  ตั้งเตจรดริมฝีปากลง ‘เช็ด’  รอยน้ำตานั้นที่ข้างแก้มของอีกฝ่ายแผ่วเบา  รสเค็มปร่าทำให้เขารู้สึกว่ามัน  ‘จริง’ เกินกว่าจะเป็นความฝัน

          ‘พี่จะลืมเตมั้ย?’   คำถามที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจมานานแสนนาน 

            ‘ไม่มีวัน...เหมือนที่พี่ไม่มีวันเลิกรักเตได้’  คำตอบหนักแน่น  เหมือนกับสายตาของพี่ดิมที่มองตรงมายังเขา   แววตาที่เต็มไปด้วยความรักและความอาลัยอาวรณ์

            ‘นี่ผมฝันอยู่ใช่มั้ย?’  พูดปนทอดถอนลมหายใจ  เขาก้มหน้าลง

          ‘น่าจะใช่’   เสียงนั้นกระซิบตอบใกล้หู  ก่อนที่สัมผัสอบอุ่นที่โอบล้อมอยู่รอบตัวจะหายไป  เหลือทิ้งเอาไว้เพียงความเย็นเยียบ และอาการปวดท้องที่เริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง

            น้ำตาร้อนๆไหลลงมาอีกทางหางตา    เขาปล่อยให้เสียงสะอื้นลอดออกมาเบาๆ

            ‘แค่ฝันก็พอแล้ว’  จิตใต้สำนึกของเขาบอกกับตัวเอง

            ................................................................................................

          แสงไฟจากเพดานทำให้ชายหนุ่มที่ค่อยๆรู้สึกตัวตื่นขึ้นจากความฝันอันยาวนานต้องหรี่ตาลงด้วยความแสบตา   เขาปรับสายตาอยู่ครู่หนึ่ง  ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ยังคงค้างอยู่เป็นคราบที่หางตาออก 

“คุณเต....ตื่นแล้วหรือครับ  เป็นอย่างไรบ้าง?”  เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นข้างตัว   เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงพูด...ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดสูท  เจ้านายของเขานั่นเอง

“คุณภาคย์...”  เสียงที่ลอดผ่านริมฝีปากของตัวเองออกมาแหบพร่า   ติณธรรู้สึกคอแห้งผาก   อีกฝ่ายรีบหยิบแก้วน้ำ  จ่อปลายหลอดมาให้ชิดริมฝีปากอย่างรู้ใจ

“ขอบคุณครับ”  พึมพำเบาๆ  ภาคย์เข้ามาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นนั่งเอนๆ  เตเพิ่งสังเกตว่าตนเองนอนอยู่บนเตียงพร้อมกับอยู่ในชุดคนไข้...เหมือนที่ข้าวตังใส่   หลังมือข้างซ้ายมีเข็มน้ำเกลือปักอยู่ต่อกับขวดน้ำเกลือข้างเตียง 

            “คุณเป็นลมหมดสติไป   คุณหมอก็เลยให้แอดมิท”  ภาคย์บอกเรียบๆ  รับแก้วน้ำคืนไปวางที่เดิม   เขาเดินไปหยิบถาดอาหารเข้ามาวางเอาไว้ตรงหน้าคนป่วย  จากนั้นก็นั่งลงข้างๆเตียง

            “ผม...หลับไปนานเท่าไหร่”  นักเขียนหนุ่มขมวดคิ้ว  มองหานาฬิกาที่ผนังห้องแต่ไม่พบ 

            “เกือบสองวัน... คุณเป็นลมไปเมื่อคืนก่อนแล้วก็นอนยาวจนมาตื่นเอาเช้าวันนี้”  คนฟังพยักหน้า ถามต่อ

            “ใครเป็นคนเจอผม  เจอที่ไหน”

          “คุณพยาบาลเป็นคนเจอน่ะ  เห็นเขาบอกว่าพบคุณนอนอยู่บนโซฟาหน้าคุณตังนี่เอง”  ประโยคบอกเล่าที่แปร่งแปลกสะกิดใจคนฟังรวมถึงคนเล่าเองด้วย  ภาคย์อดสงสัยไม่ได้ว่าคำบอกเล่าของคุณพยาบาลจะเชื่อได้จริงหรือไม่....ใครที่ไหนจะไปเป็นลมอยู่บนโซฟากันล่ะ  และถ้ามีใครผ่านมาเห็นว่าคนนอนอยู่บนโซฟา  จะมีสักกี่คนกันที่จะคิดว่าเค้าเป็นลม  ไม่ใช่นอนหลับธรรมดา

            เตเม้มปากนิดๆ หลุบตาลงต่ำซ่อนแววตาเอาไว้ให้พ้นจากอีกฝ่าย   เงียบไปนาน

            “คุณเต?  ไหวหรือเปล่า  เดี๋ยวผมไปตามหมอก่อน”  ชายหนุ่มทำท่าจะผละไปตามแพทย์มาดูอาการ   เห็นท่าทางคนป่วยยังดูมึนงงเหมือนยังไม่ตื่นรู้ตัวเต็มที่  แต่คนบนเตียงเรียกเอาไว้เสียก่อน

            “เดี๋ยวครับ...แล้วนี่ผมอยู่ที่ไหน  ข้าวตังล่ะครับ” เตถามออกมาหลังจากพยายามสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างเอาไว้ภายในใจได้สำเร็จ  ความรู้สึกปวดหน่วงๆในท้องเริ่มกลับคืนมาอีกครั้ง

            “คุณข้าวตังนอนอยู่ชั้นบนครับ   พอดีวอร์ดพิเศษห้องไม่พอ  คุณก็เลยต้องนอนพักที่นี่ก่อน  คุณเต...คุณโอเคไหม  หน้าคุณยังซีดอยู่เลย”  คนที่นั่งเฝ้ามาทั้งคืนถามอย่างเป็นห่วง  เห็นเหงื่อเม็ดเล็กแตกเป็นฝอยอยู่ตามไรผมและซอกคอของคนป่วย

            “ผม..ปวดท้อง...”  ตั้งเตบอกเสียงเบา  งอตัวลง   ภาคย์ตกใจ....เขารีบกดออดที่หัวเตียงเรียกพยาบาลเข้ามาดูอาการ  ครู่เดียวนางพยาบาลก็เข้ามาดูคนไข้ที่นอนตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง  นิ่วหน้าคิ้วขมวดยุ่งไปหมด...เตคงจะปวดมากทีเดียว  ไม่ต้องบอกก็รู้

            “รอสักครู่นะคะ  จะตามคุณหมอให้”  พยาบาลสาวบอกเรียบๆ แล้วเดินออกไปจากห้อง   ไม่ถึงอึดใจ  ผู้หญิงร่างสูงใหญ่ผิวเข้มหน้าคมในชุดกาวน์สีขาวก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง  เธอแนะนำตัวอย่างง่ายๆ

            “สวัสดีค่ะ  หมอเป็นหมอที่ดูแลคุณติณธรนะคะ  เรียกหมอส้มก็ได้  คุณติณธรเป็นอย่างไรบ้างคะ  ปวดท้องอีกหรือ”  เธอเดินเข้ามาหา  ชายหนุ่มบนเตียงพยักหน้ากดฝ่ามือลงกับหน้าท้องของตัวเองราวกับจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงได้บ้าง   รู้สึกคุ้นหน้าหญิงสาวคนนี้อย่างประหลาด...

            แพทย์สาวลงมือตรวจร่างกายอย่างคล่องแคล่ว  มีแววกังวลซ่อนอยู่ในดวงตาคมหวานคู่นั้น  แต่เธอไม่ได้พูดอะไร บอกเพียงว่าจะฉีดยาแก้ปวดและให้ทานยา

            “คุณเตเป็นโรคอะไรครับ   ปวดท้องขนาดนี้ ไม่ใช่ไส้ติ่งใช่ไหมฮะ”  ภาคย์ที่กลายเป็นญาติของคนไข้คนเดียวเอ่ยถาม   หญิงสาวตอบกลับยิ้มๆ

            “ไม่ใช่ไส้ติ่งอักเสบค่ะ  อาการปวดของคุณติณธรไม่เหมือนนะคะ  แล้วก็ผลอัลตราซาวน์ดูไส้ติ่งก็ปกติดีค่ะ   คิดว่าน่าจะมาจากสาเหตุอื่นมากกว่า   อย่างเช่นโรคกระเพาะที่คนไข้เป็นอยู่เดิม....เห็นจากในประวัติเดิม คุณติณธรรักษากับคุณหมออติรุจอยู่หลายปีแล้วใช่ไหมคะ”  เธอถามคนไข้ที่สีหน้าเริ่มดีขึ้นหลังจากที่คุณพยาบาลเข้ามาฉีดยาให้

            “ครับ   ผมเป็นโรคกระเพาะมาหลายปีแล้ว  ไม่หายเสียที  คงเป็นเพราะกินอาหารไม่ค่อยตรงเวลา  พักนี้ก็เครียดๆเรื่องภรรยาไม่สบายด้วยครับ   เลยทำให้เป็นหนัก”  คนป่วยพูดเอง  เขารู้ดีว่าอะไรที่จะทำให้อาการของโรคแย่ลงบ้าง    ทว่าของบางอย่าง  รู้ว่าไม่ดี..ก็ยังทำ

          หมอส้มซักประวัติเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกหลายอย่าง   ตั้งเตตอบตามตรงว่าเขาน้ำหนักลดฮวบฮาบในช่วงสองเดือนมานี้เกือบ 7 กิโลกรัม   เบื่ออาหารและนอนไม่หลับจนต้องพึ่งยานอนหลับตลอด   แต่ก็ยังนอนไม่ค่อยหลับอยู่ดี   ส่วนอาการปวดท้องนั้นเป็นมาตลอด   เพิ่งมาพักหลังๆมานี้ที่ปวดมากขึ้น  ไม่ได้สังเกตว่ามีเลือดปนมากับอุจจาระหรือเปล่า   มีคลื่นไส้อาเจียนบ้างบางครั้ง...

            “อืม.....เท่าที่ฟังดูอาการทั้งหมด  หมอคิดว่าจะต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อการวินิจฉัยนะคะ   เช่นการส่องกล้องดูแผลในกระเพาะอาหารเสียหน่อย  เพราะคุณก็ทานยามานานแล้ว แต่กลับไม่หายเสียที  อาการปวดก็ค่อนข้างรุนแรง...จะได้สบายใจด้วยกันทุกฝ่าย”  คุณหมอสรุปในตอนท้าย 

            “ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกครับ  ผมรู้ตัวเองดี....ผมขอขึ้นไปเฝ้าภรรยาผมได้ไหมครับ  เธออยู่คนเดียว  ลูกชายผมด้วย  ไม่รู้ว่าเป็นยังไง....”

          “เรื่องลูกชายคุณ  ผมอาสารับส่งที่โรงเรียนให้แล้วฮะ  ไม่ต้องห่วง  ส่วนเรื่องภรรยาของคุณ....คุณหมอดิมเพิ่งบอกเมื่อเช้านี่เองว่ากำหนดวันผ่าตัดเป็นวันที่ 2 นี้ฮะ  ก็คืออีกสามวัน”  ภาคย์เล่า   คนฟังเบิกตากว้างดีใจ

            “จริงเหรอครับ  ดีจัง....ผมขอขึ้นไปหาภรรยาได้มั้ยครับ  ตอนนี้ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว  นะครับ”  นักเขียนหนุ่มคล้ายหายเป็นปลิดทิ้ง   ข่าวที่ได้รับรู้ทำให้ลืมความเจ็บป่วยของตัวเอง    เหลือเอาไว้แต่ความเป็นห่วงน้องสาว  หรือภรรยาในนาม

            แพทย์หญิงนิ่งคิดแล้วก็พยักหน้าอนุญาต

            “ก็ได้ค่ะ  เท่าที่ตรวจดู อาการตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว  ส่วนเรื่องส่องกล้องดูทางเดินอาหารหมอขอนัดทำวันพรุ่งนี้จะสะดวกไหมคะ”

          “พรุ่งนี้หรอครับ  ผมขอเลื่อนไปก่อนได้มั้ยฮะ  รอให้ภรรยาผมผ่าตัดเสร็จเรียบร้อยก่อน”  เตต่อรอง  สีหน้าของคุณหมอมีความลำบากใจบางอย่างแฝงอยู่

            “อาทิตย์หน้าหมอคิวแน่นมากเลยค่ะ   เป็นวันพรุ่งนี้นี่แหละค่ะ  หมอลัดคิวให้ จะได้รู้ผลกันไปเลย”  ท่าทางของคุณหมอทำให้คนฟังชักเอะใจ

            “ทำไมต้องรีบขนาดนั้นด้วยครับ   หรือว่าคุณหมอสงสัยว่าผมจะเป็นอะไรร้ายแรงหรือเปล่า”   ชายหนุ่มอีกคนในห้องที่ยืนฟังอยู่เงียบๆหันไปมองหน้าหมอทันที   หญิงสาวยิ้ม  บอกปัดนิ่มๆ

            “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ....เอาเป็นว่าเป็นพรุ่งนี้นะคะ   เดี๋ยวเช้านี้คุณขึ้นไปเยี่ยมคุณภรรยาก่อน แล้วตอนบ่ายคุณค่อยลงมาเตรียมตัวส่องกล้องพรุ่งนี้   ไม่เกินชั่วโมงค่ะ  เร็วมากๆ   อาจจะตัดชิ้นเนื้อบางส่วนไปตรวจด้วยนะคะ   ส่วนรายละเอียดอื่นๆเดี๋ยวจะแจ้งอีกทีตอนบ่าย”  เธอรวบรัด  ไม่รอให้คนไข้ได้ค้านออกมาอีกรอบ   ขอตัวออกมาจากห้องเพราะไม่อยากจะต้องบ่ายเบี่ยงประเด็นอีก

            เธอยังไม่อยากให้คนไข้ใจเสีย....ถ้าเธอตอบความจริงไปว่าเธอกำลังสงสัยว่าเขาเป็นอะไร

            ประจันหน้ากับคุณหมอหนุ่มรุ่นน้องที่หน้าลิฟต์เข้าพอดี   อีกฝ่ายทำท่าราวกับเป็นการพบกันโดยบังเอิญ  แต่เธอรู้ดีว่าเขาตั้งใจยืนรออยู่แล้ว   อดไม่ได้ต้องพูดออกมาด้วยความหมั่นไส้

            “ไงจ้ะ  คุณหมอสุดฮอตวันนี้ว่างเหรอ  ถึงมายืนเฝ้าลิฟต์ได้” คนฟังยักไหล่  ยกหนังสือพิมพ์ในมือขึ้นมาโชว์ให้ดู

            “ผมลงมาเอาหนังสือพิมพ์....พี่ส้มล่ะ  มาตรวจคนไข้หรอ”  ถามหน้านิ่งราวกับไม่ใส่ใจ   คนฟังลอบยิ้มอยู่ในใจ....ลงมาเอาหนังสือพิมพ์เนี่ยนะ  เชื่อก็บ้าแล้ว....เธอเลือกตอบสั้นๆ

            “อืม  จะไปตรวจโอพีดีต่อแล้ว  ไปก่อนนะ...”  หญิงสาวก้าวเข้าไปในลิฟต์   อีกฝ่ายรีบก้าวตามเข้ามาทันที

            “คนไข้เมื่อคืนก่อนเป็นอย่างไรบ้าง”   เขาถามออกมาในที่สุด  กระนั้นก็ยังไม่ยอมพูดชื่อของผู้ชายคนนั้นออกมา

            “คนไหนล่ะ  คนที่อาเจียนเป็นเลือดเหรอ  ตอนนี้ดีแล้วล่ะ  กว่าจะหยุดเลือดได้ bleedไปเป็นลิตรๆ....”  ส้มพูดหน้าตาเฉย   อีกฝ่ายจุ๊ปาก  มองคล้ายๆจะค้อนใส่เธอ 

            “พี่ก็รู้ว่าผมหมายถึงใคร....เต..เป็นไงบ้าง”  จำต้องพูดออกมาจนได้   คนฟังหัวเราะคิก  ยกมือขึ้นปิดปาก  เธอรู้สึกถึงชัยชนะเล็กๆ  เห็นอีกฝ่ายบีบมือเข้าหากันด้วยความกระวนกระวายก็พอจะรู้ว่าคงจะเป็นห่วงใครคนนั้นมาก

            “ก็....บอกพี่มาก่อนสิว่าพวกเธอไปเจอกันอีกได้ยังไง  แล้วทำไมภรรยาของเตถึงกลายเป็นคนไข้ของเธอได้  แล้วเรื่องของพวกเธอมันเกิดอะไรขึ้น  ทำไมเธอไม่เล่าให้ฉันฟังเลยฮึ ดิม  ....จะถามตั้งแต่เมื่อวานก็หลบหน้าพี่   หนอยแน่ะ  โทรมาตอนตีสองให้ลุกมาดูคนไข้ให้   แต่ถึงเวลากลับเงียบจ้อยไปเลยนะยะ”  เธอเหวี่ยงเต็มที่ เพราะยังฉุนไม่หายที่รุ่นน้องโทรมาปลุกตอนตีสองให้ช่วยมาดูคนไข้ให้หน่อย ทั้งที่เธอเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศมาเหนื่อยๆ  อยากนอนหลับให้เต็มอิ่ม  ทว่าน้ำเสียงกระวนกระวายของเขาทำให้เธอต้องแหกขี้ตาตื่นออกจากบ้านมาเพื่อจะพบกับความประหลาดใจว่า คนไข้ที่ว่าคือ อดีตคนรักของอีกฝ่ายที่เลิกรากันมาเกือบ 8 ปีแล้ว

            ใบหน้าคมเข้มจัดของคนฟังซีดลงเล็กน้อย  ความทุกข์ทรมานใจและความหดหู่แผ่ซ่านออกมาจากเนื้อตัวของผู้ชายที่เธอแทบไม่เคยเห็นความอ่อนแอของเขาเลยตลอดเวลาสิบกว่าปีที่รู้จักกัน   เธอมองเขาอย่างตกใจ

            อะไรทำให้ชายหนุ่มที่สดใส เปี่ยมด้วยพลัง เป็นไปได้ถึงเพียงนี้?

          “แวะห้องทำงานพี่ก่อน   เราต้องคุยกันหน่อยแล้วล่ะ”  ชายหนุ่มรุ่นน้องพยักหน้าอย่างจำยอม   เขาเดินตามเพื่อนรุ่นพี่ที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันไปที่ห้องทำงานของเธอ  ส้มเปิดประเด็นตรงๆตามสไตล์

            “เธอกลับมาคบกับเตเหรอ”  คนฟังสะดุ้ง

            “เปล่า  ไม่ใช่อย่างนั้น....จะเป็นไปได้ไง  เค้าแต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้ว”  ดิมปัด

          “ถ้างั้น  พวกเธอกลับมาเกี่ยวข้องกันได้ยังไง  แล้วที่พี่ได้ยินมาว่าเธอกับรันเลิกกันแล้ว  เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”  ไม่แปลกใจที่พี่ส้มจะรู้ข่าวเขากับรัน   เพราะวันก่อนพี่รุจพี่รหัสของรันก็เพิ่งโทรมาคาดคั้นเอาความจริงจากเขาไป  ป่านนี้ข่าวคงแพร่กระจายไปทั่วครบวงแล้ว

            “เตเค้ามาสัมภาษณ์ผม  ก็นิตยสารเซเลปรายเดือนที่พี่แนะนำผมนั่นแหละ  เตเขาเป็นนักเขียนอยู่...”  ชายหนุ่มเล่าออกมา   คนฟังยกมือขึ้นทาบอก

            “ต๊าย   จริงเหรอ  ทำไมโลกกลมอย่างนี้ล่ะ   พี่รู้จักกับคุณโดมมาตั้งนานแล้วนะ  ไม่เห็นรู้เลยว่าเตทำงานกับเค้าด้วย”

            “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  ก็ตลกดีนะ  สุดท้ายเราก็ได้พบกันอีกจนได้”  พบเพื่อจาก...แต่ก็ยังดีที่ได้พบกัน   ชายหนุ่มถอนหายใจยาว  ยกมือขึ้นคลึงขมับ

            “....แล้วทีนี้คุณข้าวตัง  ภรรยาของเตเขาก็เกิดไม่สบายขึ้นมา  จริงๆเขาเป็นคนไข้ธนพลแต่มันไปประชุม  ผมก็เลยรับดูให้....”  คำบอกเล่าของชายหนุ่มนั้น  ไม่ต้องให้คนที่สนิทอย่างเธอก็ดูออกว่าเขาจงใจเล่าข้ามไป  ไม่เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองให้ออกมามากนัก ทว่าเมื่อได้ฟัง  ได้สัมผัสอารมณ์จากสีหน้าท่าทาง และคำพูดของชายหนุ่มแล้ว  เธอก็ได้ข้อสรุปในใจ....จากตอนแรกที่นึกว่าเป็นเพียงแค่อาการถ่านไฟเก่าคุเท่านั้น   ความจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่   หากคือไฟกองเดิมที่ไม่เคยมอดลงเลยตลอดเวลาที่ผ่านมาตะหาก

            ไฟที่สุมอยู่ในอกของเจ้าของอยู่เงียบๆ  กัดกร่อนหัวใจทีละน้อยราวกับไฟสุมขอน   จนเมื่อเจ้าของรู้ตัว  ก็สายเสียแล้วที่จะหาทางดับ   

            “ดิม  พี่ว่าเราดูไม่ค่อยโอเคเลยนะ”  หญิงสาวท้วง  เห็นท่าทางรุ่นน้องแล้วก็นึกเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆ....เธอได้ยินมาพักหนึ่งแล้วว่าเขาหยุดผ่าตัด  ตอนแรกก็นึกว่าเพราะกำลังมีปัญหากับรันอยู่  ก็เลยหมดกะจิตกะใจจะผ่า   ไม่เคยคิดเลยว่าสาเหตุที่แท้จริง   จะเป็นชายหนุ่มหน้าหวาน อดีตหวานใจของเจ้าตัวที่เธอเองก็เคยรู้จักดี

            ร่างสูงสมส่วนที่นั่งเอนพิงพนัก เงยหน้าขึ้นทอดสายตามองเพดานอย่างไร้จุดหมาย  ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ไกลตัวอยู่ในใจ   ริมฝีปากเม้มแน่นแทบเป็นเส้นตรง   คิ้วคมเข้มขมวดน้อยๆจนเห็นริ้วรอยกลางหว่างคิ้วที่คงจะเกิดขึ้นมาสักพักแล้ว  ชายหนุ่มดูหมดเรี่ยวหมดแรงและตกอยู่ในความคิดหนักหน่วง

            “ผมไม่รู้จะอธิบายยังไง  พี่ส้ม...ที่ผมรู้สึกอยู่ตอนนี้...ผมบอกไม่ถูก   ผมว่าผมรู้ว่าต้องทำยังไงแต่.....ผม...ทำไมถึงต้องเป็นผม... ที่เจ็บปวด”   คำถามที่คนฟังก็ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเหมือนกัน   หญิงสาวเอื้อมมือไปตบเบาๆที่ไหล่ของรุ่นน้องอย่างให้กำลังใจ 

            “ไม่ใช่ดิมคนเดียวที่เจ็บปวดหรอก”  เธอคิดถึงชายหนุ่มอีกคนแวบหนึ่ง “เพียงแต่ว่ามันคงต้องใช้เวลาหน่อย   เดี๋ยวอะไรๆก็ดีขึ้นเอง”

          “ผมก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกันพี่  ตอนที่ผมอยู่ที่นู่น   ผมต้องลุกขึ้นมาทำกายภาพบำบัดทุกวันทั้งที่ปวดทรมานแทบตาย  แต่ความเจ็บทางกายยังไม่เท่าที่ผมรู้สึกในใจ  ผมได้แต่ปลอบใจตัวเองว่ามันคงจะค่อยๆดีขึ้นเอง  เวลาจะรักษาทุกอย่าง   ที่ไหนได้....เวลาที่ผ่านมาทั้งหมดไม่มีความหมายเลย....”  เสียงของนายแพทย์หนุ่มขาดหายไปในลำคอ   ส้มได้แต่มองอย่างสงสาร  เธอเข้าใจผิดมาตลอดว่ารุ่นน้องคงทำใจได้นานแล้ว

            “โชคชะตาคนเราก็ตลกดีเนอะ   แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อไป”

            “ก็คงรักษาภรรยาเค้าให้หายดีก่อน  แล้วก็จากนั้นก็...”  ชายหนุ่มยักไหล่แทนคำพูด

            “ไม่คิดจะชิงกลับมาเหรอ”  ลองแหย่ถามดูอีกครั้ง  แววถือดีวาบขึ้นในดวงตาคมกริบคู่นั้นก่อนจะจางลงไปอย่างรวดเร็ว

            “ไม่...ผมตัดสินใจแล้วพี่”   เหตุการณ์ในคืนวันนั้นย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง   คำพูดของเขา  สีหน้า ท่าทาง  มันทำให้เขามั่นใจว่าเตยังคงรักเขาอยู่  ไม่เปลี่ยนแปลง  และนั่นยิ่งทำให้เขาละอายใจ

            เตรักเขา  แต่ก็เลือกที่จะทำเพื่อครอบครัวมากกว่าเพื่อตัวเอง    เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อนที่เตเลือกที่จะทำเพื่อเขา  โดยที่เขาไม่เคยรู้อะไรเลย

            เขาเคยสงสัยว่าคนแบบนี้มีอยู่จริงด้วยหรือ   คนที่เสียสละความสุขของตนเองเพื่อคนอื่นตลอดเวลา   คนแบบนี้...ก็เพราะแบบนี้ไม่ใช่หรือ   เขาถึงตัดใจไม่ได้  ได้แต่ถลำลึกลงไปทุกทีราวกับคนที่กำลังจมน้ำ

            แล้วเขามีทางเลือกด้วยหรอ?

            ภาพผู้ชายคนนั้นนอนร้องไห้บนโซฟาในคืนนั้นทำให้หัวใจของเขาเหมือนถูกบีบเล็กนิดเดียว  ความคิดที่จะแย่งชิงเตกลับมาไม่เหลืออยู่เลย... เพิ่งรู้ว่าการทนเห็นคนที่ตัวเองรักไม่มีความสุข มันทรมานเสียยิ่งกว่าตัวเองไม่มีความสุขเสียอีก 

            ทรมาน...แต่ก็ทำอะไรไม่ได้  อยากทำตามหัวใจทว่าต้องเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย    เหตุผลและความรู้สึกที่ขัดแย้งกันมันทำให้เขาแทบบ้า   แค่คิดว่าจะปล่อย...ใจก็เหมือนจะขาด   แต่ถ้ารั้งเอาไว้กับตัว... แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีความสุขอีก  เพราะเตก็คงจะไม่มีความสุขเช่นกัน

            เขาไม่ต้องการให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลอีกแล้ว   ความผิดพลาดต่างๆนานาที่แล้วมามันยังไม่พออีกหรือ   เขาทำร้ายเตทั้งทางตรงทางอ้อมมานานเกินไป

            ดิมตัดสินใจในคืนนั้นเองว่าเขาจะจบเรื่องราวของเราทั้งหมด  คงดีกว่าถ้าเตจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ‘จริงๆ’  เสียที

            ส่วนเรื่องของเรา  ก็ขอให้มันกลายเป็นความทรงจำที่ถูกลืม  หรือถ้าเตอยากจำ  ก็ขอให้มันเป็นความทรงจำที่ไม่เหลือความเจ็บปวดเอาไว้อีก   เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต   ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป

            สักครั้ง...ให้เขาได้ทำเพื่อเตบ้าง

            “ผ่าตัดคุณข้าวตังเสร็จแล้ว  ผมจะกลับอเมริกา”   และไม่กลับมาอีก...ชายหนุ่มต่อประโยคในใจ

            .......................................................................


ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 10-07-2017 22:18:57
 







           “พี่เตเป็นอย่างไรบ้าง  ตังตกใจหมดเลยตอนที่ตื่นมาแล้วไม่เจอพี่   โชคดีที่คุณหมอส้มเข้ามาบอกตอนเช้าพอดี”  หญิงสาวพูด  ยกมือเขาขึ้นแนบแก้มของเธอ  ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เห็นว่าเขาสบายดี   ไม่ได้เจ็บป่วยอะไรร้ายแรงอย่างที่เธอกลัว  แม้จะยังมีท่าทีอิดโรยอยู่บ้าง

            ชายหนุ่มยกอีกมือที่ยังมีรอยเขียวช้ำจากการแทงเข็มน้ำเกลืออยู่จางๆขึ้นลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ

            “พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก   ก็น่าจะโรคเก่ากำเริบน่ะ   เดี๋ยวต้องไปเตรียมตัวส่องกล้องพรุ่งนี้แล้วก็จบ กินยาเหมือนเดิม  ไม่มีอะไร”  เตปลอบใจน้องให้คลายกังวล  “ว่าแต่เธอเถอะ  จะผ่ามะรืนนี้แล้ว  ตื่นเต้นไหม”

          “ตื่นเต้นสิคะ  กลัวด้วย.... จู่ๆคุณหมอดิมก็เข้ามาบอกว่าจะผ่าแล้ว...บทจะผ่าก็ไม่ทันตั้งตัวเลย   ตอนแรกอุตส่าห์ดีใจนึกว่าไม่ต้องผ่าแล้วแท้ๆ”

            ชายหนุ่มไม่ออกความเห็น   แววตาของเขาหม่นเศร้าลงคล้ายมีเมฆบัง   หญิงสาวสังเกตเห็นได้ชัดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม  เธอรวบมือของพี่ชายมากุมเอาไว้ทั้งสองข้าง  เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขา  สบตาตรงๆ

            “พี่เต....หลังจากผ่าตัดครั้งนี้  ถ้าตังรอด  ตังมีเรื่องอยากจะขอพี่ได้ไหมคะ”   คนฟังอุทาน

            “พูดอะไรอย่างนั้นตัง  เธอต้องมีชีวิตอยู่ต่อช่วยพี่เลี้ยงเจ้าเต้นะ  ถ้าเธอพูดอย่างนี้อีก พี่จะโกรธเธอจริงๆด้วย”   ตั้งเตพูดอย่างไม่พอใจที่น้องสาวเอ่ยอะไรเป็นลาง 

            “โธ่พี่เต  หมอดิมก็บอกเองว่าโอกาสในการผ่าตัดครั้งนี้ 60/40  เพราะตังเคยผ่ามาแล้ว  ครั้งนี้ก็เลยยากกว่าเดิม  พี่เตก็รู้นี่คะ   แต่ตังไม่ได้หมายความว่าตังจะไม่รอดนะ  ตังหมายความว่าถ้าตังรอด  ตังอยากขอให้พี่ช่วยตังเรื่องนึงค่ะ”

          “ถ้างั้น   ไว้ผ่าตัดเสร็จแล้ว  เราค่อยมาคุยกันก็ได้”  พี่ชายตัดบท  ทำท่าจะเดินหนี แต่น้องสาวไม่ยอมปล่อยมือ

            “ไม่เอาค่ะ  ถ้าพี่ไม่สัญญา  ตังก็จะไม่ผ่า”

          “ว่าไงนะ? ...ตัง  ทำไมเอาเรื่องความเป็นความตายของเธอมาขึ้นกับพี่แบบนี้ฮึ  มันไม่ถูกต้องนะ”

          “ไม่รู้ล่ะ  พี่ต้องสัญญามาก่อนว่า  หลังผ่าตัดสำเร็จแล้ว..ไม่ว่าตังขออะไร พี่ก็จะให้”   คนฟังชะงัก  สบดวงตาคมที่มีแววเด็ดขาดปรากฎอยู่อย่างแน่วแน่ก็ถอนหายใจยาว

            “เธอจะขออะไรพี่  ตัง...บอกพี่มาก่อนก็ได้  ไม่ต้องรอหลังผ่าตัดหรอก”

          “ไม่ได้ค่ะ  หรือว่าพี่เตกลัวว่าตังจะไม่ได้อยู่บอกตอนนั้น”  เธอเอียงคอมอง

          “เห้ย  ไม่ใช่อย่างนั้น  แต่ถ้าเธอขออะไร...ง่า...พี่จะได้มีเวลาเตรียมตัวไง”

          “ตังไม่ขออะไรที่พี่ให้ไม่ได้หรอกค่ะ”  เธอพูดอย่างมั่นใจ   ทว่าคนฟังนี่สิ  กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก  เดาไม่ออกว่าเธอต้องการสิ่งใดจากเขากันแน่  “ตกลงพี่สัญญากับตังนะคะ  ว่าพี่เตจะให้ ‘ทุกอย่าง’ ที่ตังขอ”

            ชายหนุ่มเงียบไปนาน  ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจน้องสาวของตนเอง  แต่อะไรกันหนอที่สำคัญมากพอที่เธอจะยอมเอาชีวิตของตัวเองมาแลก  สิ่งที่เธอยากได้....

            “ตกลง....ไม่ว่าตังขออะไร  พี่จะให้ตัง..มีข้อแม้เดียวก็คือ   เธอต้องผ่าตัด แล้วก็กลับมาเป็นมาตังคนเดิมของพี่   ช่วยกันเลี้ยงหลานเจ้าเต้   เข้าใจมั้ย” 

          ดาวประดับยิ้มกว้าง   เป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดตั้งแต่เธอเข้าโรงพยาบาลมาเลยทีเดียวในความรู้สึกของคนมอง  อดสงสัยไม่ได้ว่าสิ่งที่เธอขอนั้นคืออะไรกันแน่   เป็นสิ่งที่เขาสามารถให้ได้แน่นอนด้วย...อะไรกันนะ

            ...

            ภาคย์กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเขาในตอนเย็น  หลังจากที่เขาแยกกลับมาจากห้องข้าวตังเพื่อเตรียมตัวส่องกล้องเช้าวันพรุ่งนี้   ชายหนุ่มไปรับลูกชายที่โรงเรียนให้เขา   ติณธรรู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเขามากจนไม่รู้จะทดแทนยังไง

            “คุณก็อยู่ทำงานให้นิตยสารของผมต่อไปเรื่อยๆ  ห้ามลาออก   แค่นั้นแหละ  วิธีทดแทนบุญคุณของผม”  ภาคย์พูดแกมหัวเราะ   ลงมือช่วยเจ้าเต้ประกอบตัวต่อเป็นรูปเรืออย่างตั้งใจอยู่ที่โซฟาริมห้อง     

            เตหัวเราะออกมา

            “แหม  แค่นี้เองเหรอฮะ  สบายมาก”

          “จริงๆอยากได้มากกว่านี้ แต่เกรงว่าคุณจะไม่ยอม...”  เขาหันมาพูดขึงขัง  สบตากันแวบหนึ่ง  เตก็เป็นฝ่ายเบือนหลบไปก่อน   

            “ผมขอโทษครับ  ผมหมายถึง...”  ภาคย์ขยับจะอธิบาย  แต่อีกฝ่ายโบกมือแล้วเปลี่ยนเรื่อง

            “พรุ่งนี้คุณมีประชุมรวมเล่มตอนเช้าใช่ไหมครับ..”

          “อ๋อ  ใช่ๆ  ไม่ต้องเป็นห่วงนะคุณ  ผมจะรีบไปส่งเจ้าเต้ก่อนแล้วค่อยวนกลับไปประชุม  ทันถมเถน่า”  เขารีบเสริมเมื่อเห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว   ก็ระยะทางระหว่างโรงเรียนเต้กับที่ทำงานของเขามันใกล้ๆกันเสียที่ไหน  แถมรถติดมหาโหดอีกตะหาก  ปกติไม่ต้องรีบเข้าบริษัทก็เลยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่

            “ง่า...ผมว่ามันจะเป็นการรบกวนคุณมากเกินไป”

          “แล้วคุณจะไปส่งเต้เองหรือไง  คุณก็ไปไม่ได้ไม่ใช่หรือ   ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า....คุณเต...จำที่ผมถามคุณวันนั้นที่สวนข้างล่างได้มั้ย”

          ทำไมเขาจะจำไม่ได้  ประโยคคำถามที่สะกิดหัวใจของเขาอย่างแรง...คุณเคยคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?....ในเวลาที่เดือดร้อนหรือทุกข์ใจ   ภาพในใจของเขามีเพียงคนๆเดียวเท่านั้นที่ชัดเจนอยู่ในหัวใจ  มันชัดเสียจนเขากลัว...

            “ผมจำได้”  ตอบสั้นๆ 

            “นั่นแหละ  ผมกลับไปนั่งคิดทั้งคืน  แล้วในที่สุดผมก็คิดออก  ว่าผมตัดสินใจที่จะอยู่ที่เดิมต่อไป.....อยู่ตรงนี้ข้างๆคุณ   จนกว่าสักวันหนึ่ง  ที่คุณจะมองเห็นผม  แล้วก็นึกถึงผมเป็นคนแรก”   คนฟังอึ้งไป   ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะตัดสินใจออกมาในรูปแบบนี้ ....เลือกที่จะรอเขาเนี่ยนะ?

            “คุณคิดดีแล้วเหรอ  มัน...มันอาจจะไม่มีประโยชน์เลยก็ได้นะ  คุณจะเสียเวลาเปล่า”

          ห้องเงียบสงัด  เด็กชายเต้ลุกไปเข้าห้องน้ำ  เหลือเพียงเขานั่งประจันหน้ากันอยู่สองคน 

            “ผมเลือกแล้ว   มันเป็นที่ๆผมมีความสุขที่สุดในขณะนี้  ถ้าต่อไปในอนาคต  ผมเจอที่ๆมีความสุขมากกว่า  ผมก็จะไป...แต่ตอนนี้ผมขอสงวนที่ข้างๆคุณเอาไว้นิดนึงได้มั้ย  ผมตัวไม่ใหญ่หรอก   ไม่กินที่อะไรเลย”    คนฟังน้ำตาคลอ...ผู้ชายคนนี้ช่างให้เกียรติเขาเหลือเกิน    น่ารักและน่าสงสารไปพร้อมๆกันจนเขาทำตัวไม่ถูก    ได้แต่สบตาเขาอย่างขอบคุณ

            ภาคย์ไม่พูดอะไรอีก   พร้อมๆกับที่เด็กชายเต้วิ่งกลับเข้ามาต่อของเล่นชิ้นใหม่   จนได้เวลาเข้านอน  ชายหนุ่มก็อาสาพาเด็กชายเต้ไปส่งที่ห้องของข้าวตัง

            สวนกับนายแพทย์เจ้าของไข้ของหญิงสาวที่กำลังจะออกจากห้องเข้าพอดี   รดิศก้มศีรษะให้เขาเป็นเชิงทักทาย  แล้วย่อตัวลงคุยกับเด็กชายเต้

            “สวัสดีครับ คุณลุง”  เต้ยกมือขึ้นไหวก่อนแบบเด็กที่ถูกฝึกมาอย่างดี  ดิมยิ้มกว้างยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กน้อย

            “ไงเรา  คืนนี้นอนไหน  ห้องคุณแม่หรือคุณพ่อ?”

          “นอนกับคุณแม่ครับ  คุณลุงมาเยี่ยมคุณแม่หรอ”

          “ใช่จ้ะ  เดี๋ยวคุณแม่เราจะหายป่วย ได้กลับบ้านแล้วนะ  ดีใจมั้ย”  เต้ยิ้มจนตาหยี   คุณหมอหนุ่มหัวเราะแผ่วเบา  ยืนมองเด็กน้อยเข้าไปหามารดาภายในห้อง   ทิ้งให้สองหนุ่มยืนมองหน้ากันเงียบๆ

            “มาตรวจคุณข้าวตังหรือครับ”  ภาคย์เป็นฝ่ายพูดก่อน   รดิศพยักหน้ารับ  “เห็นว่ากำหนดวันผ่าตัดแล้ว  ดีจังเลยนะครับ  เธอจะได้หายเป็นปกติเสียที...”   เขาพูดต่อเรื่อยๆ  ขณะที่เดินคู่มาตามระเบียง  ทำเป็นไม่รับรู้ว่าอีกฝ่ายแสดงท่าทางอยากขอตัวไปก่อนมากแค่ไหน

            “คุณมีธุระอะไรหรือเปล่า”  อดรนทนไม่ได้ต้องถามออกไปตรงๆ 

            ภาคย์หยุดเดิน   หันมามองหน้าเขานิ่งไปครู่หนึ่งคล้ายกับใช้เวลาครุ่นคิด  แล้วเขาก็พูดเรียบๆ

            “พรุ่งนี้เช้าคุณหมอว่างไหมครับ”

          “ทำไมหรอครับ”

          “ช่วยไปส่งเจ้าเต้ที่โรงเรียนให้หน่อย  พอดีผมติดธุระสำคัญจริงๆ ไปส่งไม่ได้....ขอบคุณนะครับ”  พูดจบก็ล้วงกระเป๋าเดินเข้าลิฟต์ไปแบบไม่รอคำตอบ 

            รดิศอ้าปากค้าง  ทำความเข้าใจกับคำพูดของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ถอนหายใจยาว   ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อกาวน์   เดินเข้าไปในลิฟต์อย่างอ่อนใจ  กดที่ชั้นที่ทำงานของเขา  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ  แวะที่ชั้นที่ใครบางคนนอนพักอยู่ก่อน

            เดินเรื่อยๆไม่รีบร้อนมาหยุดที่หน้าห้อง  อ่านชื่อที่เขียนอยู่ที่ประตูว่าถูกต้อง  ก็แอบชะเง้อเข้าไปมองผ่านกระจกใสริมประตู  หวังจะเห็นคนที่อยู่ข้างในนั้น

            “ก็เข้าไปเยี่ยมเลยสิ  จะมายืนชะเง้อชะแง้อยู่ตรงนี้ทำไม”  เสียงดังมาจากข้างหลัง ทำเอาสะดุ้ง  หันขวับมาเจอรุ่นพี่สาวสวยยืนกอดอกอยู่   ดิมอึกอักหาข้อแก้ตัวไม่ทัน

            “ปากก็บอกว่าจะตัดใจ จะไปอเมริกาแล้วงู้นงี้   ถ้างั้นมายืนแอบดูอยู่ทำไม”

          “ผมไม่ได้แอบดูเขา  ผมมาหาพี่ส้มตะหาก”  แถไปข้างๆคูๆ  คนฟังยิ้มอย่างรู้ทัน   เธอยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนจะเปิดเข้าไป  ไม่ลืมลากข้อมือรุ่นน้องให้ตามเข้ามาด้วย  รดิศตาเหลือกรีบปรับสีหน้าเป็นเคร่งขรึมแทบไม่ทัน

            “คุณเต  เป็นอย่างไรบ้างคะ  เห็นบอกพยาบาลว่ายังปวดท้องอยู่เหรอ   ขอหมอตรวจหน่อยนะคะ”  ส้มพูด ก่อนลงมือตรวจร่างกายอย่างคล่องแคล่ว 

            คนป่วยพยายามรักษาระดับสายตาให้โฟกัสอยู่ที่หมอส้มเท่านั้น  แต่เผลอที่ไร เขาก็อดไม่ได้ต้องมองเลยไปเห็นร่างสูงสมส่วนของใครอีกคนที่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องทุกที

            “ดิม  หยุดเดินหน่อย  พี่เสียสมาธินะ”  หญิงสาวเงยหน้าขึ้นกระซิบพลางถลึงตาใส่รุ่นน้อง  รดิศเพิ่งรู้สึกตัว  เขาหยุดเดินกลับไปกลับมาแต่เปลี่ยนเป็นยืนบีบมืออยู่ข้างเตียงแทน

            สิ่งเดียวที่เหมือนกันระหว่างเขากับเตก็คือ  เราทั้งสองคน ต่างพยายามไม่สบตากันเลย

            ส้มขอให้คนไข้เปิดเสื้อขึ้นเพื่อตรวจหน้าท้อง   ดิมเหลือบมองแวบหนึ่ง   เห็นร่างกายของอีกฝ่ายซูบลงไปกว่าเดิมมาก   ภาพของเตในคืนนั้นที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาริมทะเลย้อนคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว   ตอนนั้นอีกฝ่ายไม่ได้ผอมจนเห็นซี่โครงชัดเจนแบบนี้  ไม่ได้ดูซีดเซียวและอ่อนเพลียขนาดนี้ด้วย

            กัดริมฝีปากด้านในจนเจ็บ....แอบมองใบหน้าของพี่ส้มตอนตรวจ ก็เห็นแววกังวลลางๆซ่อนอยู่  เธอตรวจเสร็จก็เงยหน้าขึ้นพูดยิ้มๆ

            “เดี๋ยวหมอให้ยาแก้ปวดนะคะ  คืนนี้คุณเตนอนพักผ่อนให้เต็มที่นะ  พรุ่งนี้เช้าจะมีรถมารับไปห้องส่องกล้องชั้นล่างนะคะ   ขั้นตอนทั้งหมดมีคนมาอธิบายแล้วเนอะ....โอเค  ทำใจให้สบายค่ะ”

            “ขอบคุณมากครับหมอส้ม” คนป่วยตอบ  ทำราวกับมองไม่เห็นคุณหมออีกคนที่ยืนอยู่ด้วย  รดิศเม้มปาก  เดินตามรุ่นพี่สาวออกมาจากห้อง  เขารีบรั้งแขนของหญิงสาวเอาไว้ทันที

            “ไปคุยที่ห้อง”  เธอพูด  เหลือบมองภายในห้องพักแวบหนึ่ง

            ทั้งคู่กลับเข้าไปมาภายในห้องทำงานของหญิงสาว  ชายหนุ่มก็เปิดฉากทันที

            “พี่ส้มสงสัยว่าเตเป็นอะไรกันแน่  แค่ส่องกล้องโรคกระเพาะแค่นี้ไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนี้ก็ได้  แถมเตก็ดูป่วย...มาก”

            “เธอก็เป็นหมอนี่  เธอดูแล้วคิดถึงโรคอะไรล่ะ  อาการของเตเธอก็ทราบดีอยู่แล้ว  ไม่จำเป็นต้องมาถามพี่ด้วยซ้ำ”

          “ถ้างั้นผมถามใหม่   พี่ส้มคิดว่าพรุ่งนี้ส่องกล้องลงไปแล้วจะเจออะไร?  ตอบผมตามตรงได้มั้ย”  เขามองหน้าเจ้าของห้องอย่างคาดคั้น  หัวใจเต้นรัวแรงแทบจะโลดออกมานอกอก

          “เธอคิดยังไง  ชั้นก็คิดอย่างงั้นนั่นแหละ”  พูดจบอีกฝ่ายก็ทิ้งตัวลงไปนั่งบนโซฟาของเธออย่างแรง  ราวกับหมดเรี่ยวแรงกะทันหัน   เขายกมือขึ้นก่ายหน้าผากแล้วหลับตาลง

            “อย่าเพิ่งคิดมากน่า  รอดูผลพรุ่งนี้ก่อนสิ  อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้”  รุ่นพี่สาวปลอบใจ

            รดิศไม่ตอบ   เขานั่งนิ่งๆอีกพักใหญ่ ก็ค่อยลุกขึ้นยืน กลับห้องตัวเอง   สราลีมองตาม  เธอมองเห็นความทุกข์ของเขาแผ่ซ่านออกมาจากเนื้อตัวและทุกย่างก้าวที่ออกเดิน ....ดิมกำลังป่วย   

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นปลุกเธอออกจากภวังค์  หญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบขึ้นมา เห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอแล้วก็ต้องเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ

            ...รันเหรอ?...


            .....................................................................................           

มาต่อเเล้วจร้าา 
ขอโทษที่เอาแต่ใจ ไม่ต้องการมาช้าเหมือนกัน อิอิ
ตอนนี้ก็ยังคงหนักหน่วง แงๆ
ขอบคุณทุกคนที่ยังรอเรื่องนี้อยู่นะคะ 
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
 :hao5:

ปล.ฝากเรื่องใหม่ในเซ็ท #แอบยักษ์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60426.90#top)  ด้วยนะคะ  สนุกนะบอกเลอออ
เป็นเเนวใสๆวัยทำงาน  มุ้งมิ้งเบาๆค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 10-07-2017 23:31:49
เอ๋.. ขอโทษที่เอาแต่ใจ ไม่ใช่เวลามาง้อๆกัน หรือเปล่าคับคนเขียน 5555+

เมื่อไหร่จะพ้นช่วงหน่วงซักที แล้วรันโทรมาทำไมมีแผนชั่วอีกหรือเปล่า รอครัช..
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 11-07-2017 00:52:31
เห้อออ ทำงานงกๆต้องมานอนโรงบาลทั้งผัวทั้งเมีย สงสารเต้อะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 11-07-2017 08:24:48
 :mew6: :mew6: :mew1: :mew1: :heaven :heaven มาต่อๆๆน่าๆๆๆเตไม่เป็นไรน่าๆ :L2: :3123: :กอด1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-07-2017 09:00:28
 :เฮ้อ:
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 11-07-2017 18:44:28
เตเป็นมะเร็งหรือเปล่า เดาจากอาการเอาอะ อ่านๆไปเริ่มคิดแล้วว่าอาจจะแบดเอนด์ก็ได้ แบบต่างคนต่างแยกทางกันเดินไรงี้
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 18-07-2017 13:47:39
มารอคู่นี้ อ่านรวดเดียวจนจบ ค้างคาน้ำตาไหลพราก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 18-07-2017 14:28:54
จบแบบ happy ได้ไหม หน่วงมาทั้งเรื่องขอตอนจบ happy ก็ได้ สงสารดิมกับเต ได้โปรด
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: มาม่าหมูสับ ที่ 14-08-2017 08:50:35
อ่านรวดเดียว เรื่องนี้สนุกมาก หน่วงกับตัวละครหลายๆตัวเลย ติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 14-08-2017 10:00:09
ยังไม่มาหรอคับ มาปักรอหมอดิมกับเต ยอให้สมหวังซักทีเถอะ เจ็บปวดกันมามากพอแล้ว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 18-08-2017 06:53:01
ครบเดือนละนะ. หายไปนานเลย

อาการของเต ดูแล้วจะดราม่าไหมนะ.

ชีวิตจริงมันก้อโหดร้ายอยู่แล้ว. อย่าให้ชีวิตในจินตนาการมันเศร้าลึกเลย

แต่ก้ออ่ะ.... เตรียมใจไว้ละ.  มาต่อเถอะ ตามพล๊อตที่วางไว้นั่นแหละ

รอ รอ รอ

...

 :katai4:   :katai4:   :katai4:   :katai4:   :katai4:

..

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 18-08-2017 21:40:39
เรื่องนี้ สุดท้ายแล้ว หมอรัลคือชนะเลิศทุกสิ่ง
ใช่ไหม คนแต่ง

ดิมเต เศร้ากันไปสองคนเนอะ

แต่คนสมหวังกลับเป็นหมอรัลไปซะ
โอ้วววววววว..บาปกรรม ไม่มีจริง
มีแต่หมาไน ไฮยีน่า อย่างเดียวเลย

..กาซิก..
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ฝัน]ตอนที่23 10/7/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 18-08-2017 22:19:58
 :mew1: :katai4: :katai5: :katai5:มารออๆๆๆน่าๆๆๆมาต่อๆๆๆๆๆๆคิดถึงๆๆๆ :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 20-08-2017 19:25:04
เพราะหัวใจบอกว่า...เป็น

 

 

 

 

            ไม่ใช่คืนแรกที่ชายหนุ่มนอนไม่หลับ  แต่เป็นคืนแรกที่เขาไม่พยายามฝืนตัวเองให้หลับตาลง  หรือว่าหยิบยานอนหลับโยนใส่ปากเข้าไปสักเม็ดสองเม็ด  เพื่อสยบความทรมานที่ประสบอยู่

            เขาไม่แน่ใจว่าคนทั่วไปเค้ามีวิธีการสงบสติอารมณ์ไม่ให้คิดฟุ้งซ่านในยามค่ำคืนกันอย่างไรบ้าง  จะลุกขึ้นมาสวดมนต์นั่งสมาธิ มันก็ไม่ใช่ตัวเขาเท่าไหร่  ครั้นจะออกไปท่องราตรีหาใครสักคนมาช่วยให้คืนนี้ผ่านพ้นไปได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก   เขาก็ไม่ใช่ผู้ชายมักง่ายประเภทนั้น

นายแพทย์หนุ่มที่เคยเชื่อว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุเพิ่งสามสิบ  มีหน้าที่การงานที่ดี  มีเงินทองกองท่วมหัว  มีคนรักที่เข้าใจเขา...ต้องเปลี่ยนความคิดเมื่อได้พบว่าแท้จริงแล้วตนเองยังไม่เคยเข้าใกล้ความสำเร็จเลยด้วยซ้ำ  ถ้าความสำเร็จที่ว่า..หมายถึงความสุขในชีวิตละก็   เขายังห่างไกล  บางที...อาจจะอีกนานถึงจะมีวันนั้น

          ถอนหายใจยาว   ชายหนุ่มลุกจากเตียงเดินมาหยุดที่ริมหน้าต่าง  มองลอดม่านออกไปจากระเบียงคอนโดเห็นพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวลอยอยู่กลางท้องฟ้า  รูปทรงคล้ายคนที่กำลังทำหน้าบึ้ง  ปากเบะคว่ำใส่เขาราวกับกำลังไม่พอใจ  หรือไม่ก็โกรธ

            แม้แต่พระจันทร์ก็ยังโกรธเขา...ก็คงไม่เท่าเขาที่กำลังโกรธตัวเองหรอก

            เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น....ดึกป่านนี้แล้ว  คงจะเป็นรุ่นน้องแพทย์สักคนโทรมาขอปรึกษาอีกตามเคย...ชายหนุ่มถอยกลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา  ชื่อที่หน้าจอทำให้เขาชะงักไปครู่  ก่อนจะกดรับ

            “สวัสดีครับ...คุณแม่”

          “ดิม...ยังไม่นอนจริงๆด้วย  แม่ลองเสี่ยงโทรมาดู...เป็นอย่างไรบ้าง  เสียงดูเหนื่อยๆชอบกล  งานหนักเหรอ”  เสียงของผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขาเจื้อยแจ้วมาตามสาย

            “นิดหน่อยครับ....”  เขาพูดไม่ออก   ความรู้สึกภายในใจมันขัดแย้งกัน  ทั้งที่อยากเล่าเรื่องที่ประสบมาทั้งหมดให้เธอฟังแท้ๆ  แต่เสี้ยวหนึ่งในใจก็ยังมีความโกรธแฝงอยู่  จากความจริงที่ได้รับรู้ว่าเธอเองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องระหว่างเขากับเตต้องกลายเป็นเช่นนี้

            “พักผ่อนบ้างนะจ้ะ  เราน่ะชอบหักโหม  ไม่ค่อยดูแลตัวเองเลย...แล้วเราโอเคมั้ย..เรื่องรัน”  ไม่แปลกที่มารดาของเขาจะรู้เรื่องแล้ว   แต่ที่แปลกคือคำถามว่า เขาโอเคหรือเปล่า นี่ล่ะ   คำพูดนี้ทำให้ขอบตาร้อนผ่าว  ไม่ใช่เรื่อง ‘รัน’ หรอกที่ทำให้เขารู้สึกแบบนี้   เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก...เรื่องที่เกี่ยวเนื่องและส่งผลต่อหัวใจเขาโดยตรง

เรื่องที่เธอไม่เคยถามความรู้สึกของเขาเลยสักครั้ง

            “................”

          “แม่เข้าใจ  คงต้องใช้เวลาหน่อย...แต่แม่ก็รู้ว่าดิมจะผ่านไปได้นะจ้ะ  ลูกแม่เข้มแข็งแค่ไหนแม่รู้ดี...ถ้ายังไง  บินมาเยี่ยมแม่หน่อยก็ดีนะ   ที่นี่อากาศกำลังเย็นสบายน่าเที่ยว”  น้ำเสียงของมารดา...วี่แววบางอย่างในน้ำเสียงที่คล้ายกับความเหงาทำให้หัวใจของเขาที่แข็งกระด้างขึ้นมาชั่วขณะอ่อนลงได้

          “ขอบคุณครับแม่  แล้วผมจะไปเยี่ยม...เร็วๆนี้”  อึกอักเล็กน้อยคล้ายคนที่ยังตัดสินใจไม่เด็ดขาด   แม่ของเขาหัวเราะ

            “แม่จะรอนะจ้ะ....ดิม...คราวนี้ไม่ว่าลูกจะตัดสินใจยังไง  จะเลือกทางไหน   แม่จะไม่ขัดและก็จะสนับสนุนเต็มที่นะ” เธอเว้นจังหวะไปครู่ “...แม่รู้ว่าเมื่อ 8 ปีก่อน แม่ทำผิด   แม่อยากแก้ตัวนะจ้ะ”

          “คุณแม่?”  ลูกชายอุทานอย่างแปลกใจ   จู่ๆมารดาของเขาก็พูดเรื่องเมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา ทั้งๆที่เธอไม่เคยเอ่ยถึงมานานมากแล้ว   เผลอกำมือเข้าหากันแน่น  รู้ว่าเหตุการณ์คราวนั้นแม่ทำเพราะรักเขามาก   เข้าใจเหตุผลของเธอทุกอย่าง   แต่มันก็ยังยากสำหรับเขาอยู่ดี...

แล้วการที่แม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาหมายความว่าอย่างไร  แม่รู้เรื่องของเตแล้วใช่มั้ย?

            “แม่อยากให้ลูกมีความสุขนะ  เรื่องอื่นก็..ช่างมันเถอะ    มีอะไรอยากให้แม่ช่วยมั้ย”  มีหลายอย่าง...แต่แม่ก็คงช่วยเขาไม่ได้   ไม่มีใครช่วยเขาได้  นอกจากพระพรหมจะเห็นใจช่วยลิขิตชะตาชีวิตให้เขาเสียใหม่

            แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้  เวลาล่วงเลยมาจนป่านนี้แล้ว  ชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งปลายเตียงประคองโทรศัพท์เอาไว้แนบหู  ทอดสายตามองนาฬิกาติดผนังเรือนใหญ่นิ่งๆ  เข็มวินาทียังคงเดินต่อไปตามกลไกที่ถูกกำหนดเอาไว้  ได้ยินเสียงติ๊ก ติ๊ก เบาๆเป็นจังหวะ

...ไม่มีใครย้อนเวลาได้   มีแต่ต้องก้าวเดินต่อไปข้างหน้าเท่านั้น   โดยทิ้งอดีตเอาไว้เบื้องหลัง

ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกหนาวขึ้นมาฉับพลันจนเผลอห่อไหล่   เขายังไม่พร้อมที่จะออกเดินทางไปไหนทั้งนั้น   เขาต้องรอก่อน...ใช่แล้ว   ผลการส่องกล้องนั่น   การผ่าตัดขอข้าวมาตัง  ไหนจะงานวิจัยของเขาอีก   คงไม่ง่ายนักที่จะทิ้งทุกอย่างแล้วไปจากที่นี่ตามที่ปากว่าเอาไว้   คงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

          “ดิมลูก...ฟังอยู่หรือเปล่า”  แม่ทักขึ้นมาหลังจากที่เขาเงียบไปนาน   รดิศถอนหายใจเฮือก...เปล่าประโยชน์ที่จะมาขึ้งโกรธคนที่ปรารถนาดีต่อเราอย่างจริงใจ   และอาจเป็นคนสุดท้ายที่พร้อมจะเคียงข้างเขาทุกกรณี

            “ผมอยากกลับไปกอดแม่  นอนหนุนตักแม่อีกครั้ง”  ตอบเสียงแหบพร่า  ในยามที่เขารู้สึกคล้ายเหลือตัวคนเดียวในโลก  ความจริงแล้วยังมีใครอีกคนหนึ่งที่อยู่เคียงข้างเขาอยู่เสมอแม้เขาจะมองไม่เห็นตัว 

            “ไม่เป็นไรนะลูก  แล้วมันจะผ่านไป  ดิมของแม่เก่งอยู่แล้ว   แม่เชื่อในตัวของลูก”  ชายหนุ่มนึกอยากให้ตัวเองอยู่ต่อหน้าผู้หญิงคนนี้เสียเดี๋ยวนั้น   เพื่อที่เขาจะได้ขอกำลังใจจากเธอมาเติมเต็มช่องว่างๆกลางอกที่ว่างเปล่าของเขา

            แม่พูดปลอบมาอีกสองสามประโยคก็วางสายไป...ดิมเชื่อว่าแม่คงรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว  อาจจะจากรัน  หรือไม่ก็จากเพื่อนๆของเขาที่แม่รู้จักทุกคน...แม่คงรู้ว่าเขากำลังเจ็บหนัก  ก็เลยโทรมาปลอบใจ   ทั้งๆที่แม่ไม่พูดถึงชื่อของเตเลยสักคำ   แต่สำหรับคนที่รู้จักเธอมาตลอดชีวิต  เขารู้ว่าแม่รู้สึกผิดต่อเต

            เกือบรุ่งเช้าพอดี...เขาตัดสินใจอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแทนที่จะล้มตัวลงนอนอีกสักสองชั่วโมง  รู้ตัวเองดีว่าฝืนอย่างไรก็คงจะนอนไม่หลับ    ชายหนุ่มมาถึงโรงพยาบาลเช้ากว่าทุกวัน 

            หยุดยืนด้านหน้าห้องพักของคนไข้ของตนที่มีกำหนดจะผ่าตัดวันพรุ่งนี้   ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ

            “คุณดาวประดับ  ตื่นแล้วเหรอครับ  เป็นอย่างไรบ้าง”  เข้าไปตรวจร่างกายของเธอ  หญิงสาวส่งยิ้มอ่อนๆมาให้เหมือนยังไม่ตื่นดีนัก   ข้างๆกันนั้นมีร่างกลมป้อมของเด็กชายเต้นอนหลับสนิทอยู่

            “คุณหมอ  มาเช้าจังค่ะ”   คนป่วยพูด  เขายิ้มรับ

            “เช้านี้คุณภาคย์ติดธุระนะครับ  ไปส่งน้องเต้ไม่ได้”   บอกยิ้มๆ  ฝ่ายคุณแม่เลิกคิ้วงงๆ ตั้งตัวไม่ทัน   หลังจากประมวลผลครู่หนึ่งเธอก็พยักหน้า   พูดเนิบๆ

            “ถ้าอย่างนั้น ตังขอรบกวนคุณหมอได้ไหมคะ   แต่ถ้าคุณหมอไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ   หยุดโรงเรียนสักวันคงไม่เป็นอะไร”   ในเมื่อมารดาของเด็กพูดเสียอย่างนี้แล้ว   จะให้เขาตอบอย่างไรได้

            “ไม่รบกวนหรอกครับ  เดี๋ยวผมไปส่งน้องเต้ให้เอง”

            หญิงสาวพึมพำว่าเกรงใจ  แล้วหันไปเขย่าตัวลูกชายที่นอนอยู่เตียงเสริมข้างๆให้ตื่นขึ้น  ใช้เวลาไม่นาน เด็กชายก็อยู่ในชุดนักเรียนพร้อมไปโรงเรียนได้   เขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับเด็กสักเท่าไหร่   นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พาเด็กคนหนึ่งไปส่งที่โรงเรียนตอนเช้า

            ประหลาดใจอยู่เหมือนกันที่ตัวเองสามารถนั่งรอเด็กชายคนหนึ่งนั่งทานอาหารเช้าจนเสร็จ  ทั้งๆที่เป็นคนขี้รำคาญ      นอกจากรันแล้ว เขาไม่เคยอดทนรอใครกินข้าวได้นาน  รวมถึงการแวะซื้อขนมโตเกียวหน้าโรงเรียนก่อนที่จะถึงเวลาเข้าแถวหน้าเสาธง   เขาก็ยืนรอเป็นเพื่อนเจ้าเต้ได้โดยไม่นึกหงุดหงิดอย่างที่ควรจะเป็น

            คงเป็นเพราะเต้เป็นเด็กฉลาดและมีมารยาท  ทำให้เขาไม่อึดอัดและรำคาญอย่างเด็กทั่วไปกระมัง..

            “ลุงกลับก่อนนะครับ  นี่เงินค่าขนม..ลุงให้เพิ่มเผื่อซื้อไอติมตอนเย็นนะ   อ้อ  แล้วเย็นนี้ถ้าลุงไม่ได้มารับ ก็เป็นลุงภาคย์มารับเหมือนเดิม  ไม่มีคนอื่นมานะ  เข้าใจไหมเต้”  เขาย่อตัวลง  ล้วงธนบัตรสีเขียวมาส่งให้เด็กน้อยที่ตาโตรีบพนมมือรับทันที

            “ครับ  เต้ไปก่อนนะฮะ  คุณลุง”  พูดจบ เด็กชายเต้ก็ชะโงกหน้าเข้ามาแตะปลายจมูกกับริมฝีปากเล็กๆนั่นที่ข้างแก้มของเขาทีนึงด้วยท่าทางเคยคุ้น  ก่อนจะวิ่งออกไปรวมกับเพื่อนๆคนอื่น   ไม่ลืมหันมาโบกมือให้เขาอีกที

            คุณหมอหนุ่มยกมือขึ้นลูบแก้มที่ถูกเด็กหอมอย่างแปลกใจ  ความรู้สึกบางอย่างอุ่นวาบค่อยๆไหลรินเข้ามาเติมเต็มในใจ  เขาโบกมือกลับ ยิ้มกว้างเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์

            “เย็นนี้ลุงมารับนะ”  ตะโกนเสียงดัง   เห็นเต้พยักหน้ารับก็โบกมือให้อีกทีแล้วค่อยกลับไปที่รถ   ระหว่างทางที่เขากลับมายังโรงพยาบาล   ความคิดอย่างหนึ่งก็แวบเข้ามา...มันเลวร้ายจนเข้าสะดุ้ง  ต้องรีบปัดความคิดชั่วร้ายและแสนเห็นแก่ตัวนั้นออกไปทันที

            ...จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าการผ่าตัดของข้าวตังไม่สำเร็จ...ด้วยฝีมือของเขา?

          ...........................................................................................

            เวลาผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกินในความรู้สึกของคนรอ  ในที่สุดร่างโปร่งบางจนเกือบติดเตียงก็ถูกเข็นออกมาจากห้องส่องกล้อง   รดิศกวาดตามองสำรวจเห็นอีกฝ่ายเรียบร้อยดี  เปลือกตาหลับพริ้มเพราะความอ่อนเพลียนั้นขยับน้อยๆเหมือนจะลืมตาขึ้นมา ก็รีบถอยไปหลบอีกมุมหนึ่ง   เจอรุ่นพี่แพทย์สาวเดินสวนออกมาพอดี

            “พี่ส้ม  เป็นไงบ้าง?”

            “ดิม?  วันนี้ไม่มีผ่าหรอ?”  หญิงสาวถามงงๆ  เมื่อเห็นหนุ่มรุ่นน้องที่คิวแน่นยิ่งกว่าดารามาปรากฎตัวที่ระเบียงทางเดินหน้าห้องส่องกล้องของเธอได้

            “ไม่มี  ....พี่ส้ม  ว่าอย่างไรบ้าง”  เขาถามซ้ำ  ท่าทางของหญิงสาวดูลำบากใจชอบกลคล้ายกับไม่อยากพูดถึง

            “ดิม  จริงๆแล้วมันเป็นความลับของคนไข้นะ  พี่คงยังบอกเธอไม่ได้ตอนนี้  ขอโทษด้วยนะ”  เธอพูดแค่นั้น  โดยไม่สบตาเขา  “พี่ขอตัวก่อนนะ มีอีกสองเคสรออยู่”  พูดจบพี่ส้มก็เดินเลี่ยงเข้าไปอีกห้องทันที  ทิ้งให้เขายืนงง ทำความเข้าใจกับคำว่า ‘ความลับของคนไข้’ อยู่นาน   

          ความลับของคนไข้อะไรกัน ..ที่ผ่านมาเขาก็รับรู้อาการของเตมาตลอด  พี่ส้มเป็นคนพาเข้าไปตรวจเลยด้วยซ้ำ แล้วทำไมจู่ๆ เธอถึงเอาเรื่องนั้นมาอ้างล่ะ  หมายความว่าอย่างไร

            ชายหนุ่มขยับจะเข้าไปถามให้รู้เรื่อง  แต่ถูกโทรตามตัวจากแพทย์รุ่นน้องให้เข้าไปช่วยกู้สถานการณ์ฉุกเฉินในห้องผ่าตัด    ซึ่งเป็นเคสที่เหนื่อยยากเอาการ ดึงทั้งแรงและเวลาไปจากเขาจนเกือบหมดวัน กว่าทุกอย่างจะสำเร็จเสร็จสิ้น   

            รดิศกลับห้องทำงานอย่างหมดแรง   เขาอยากล้มตัวลงนอนสักงีบแต่ก็ต้องลุกขึ้นเดินไปตรวจคนไข้ของตัวเองที่นอนอยู่    แวะห้องของดาวประดับเป็นห้องสุดท้าย  เด็กชายเต้นั่งดูดโค้กอยู่กลางห้อง กำลังดูการ์ตูนในโทรทัศน์  ส่วนคนไข้ของเขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง  สีหน้าค่อนข้างสดชื่นกว่าทุกวัน

“คุณลุงมาแล้ว  ไหนบอกจะไปรับเต้ไม่เห็นมาเลย...เต้ก็รอ”  เด็กชายเต้ทักเขาพร้อมบ่นหงุงหงิง

คุณลุงยิ้มกว้าง  ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเด็กน้อย

“ขอโทษด้วยครับ  ลุงติดธุระจริงๆเลยออกไปรับไม่ได้  แล้วใครไปรับครับเนี่ย”  รดิศรู้สึกผิดขึ้นมาหน่อยๆที่ปล่อยให้เด็กรอ    แต่เขาก็ออกมาจากห้องผ่าตัดขณะนั้นไม่ได้จริงๆ  ได้แต่ฝากนางพยาบาลมาบอกคุณแม่ของเต้ให้ว่าเขาไปรับไม่ได้

“คุณภาคย์แวะไปรับแล้วพามาส่งให้ค่ะ”  มารดาของเต้ หรือคนไข้ของเขาตอบแทน   นายแพทย์หนุ่มลุกขึ้นยืนเดินไปหาคนไข้ที่จะต้องผ่าตัดในวันพรุ่งนี้  รอพยาบาลหยิบอุปกรณ์เข้ามาให้ จึงลงมือตรวจอย่างละเอียด

“พรุ่งนี้แล้วสินะคะคุณหมอ  ตื่นเต้นจังค่ะ”   หญิงสาวพึมพำ

“ทำใจสบายๆครับ  ไม่ต้องกังวล  คืนนี้นอนหลับให้สนิท  พรุ่งนี้... ผมจะทำเต็มที่ไม่ต้องห่วงนะครับ”   เขาให้ความมั่นใจกับคนไข้เหมือนทุกที  ทว่าคราวนี้อะไรอย่างหนึ่งในใจมันต่างออกไป  คล้ายกับว่าเขาพูดได้ไม่ค่อยเต็มปากเท่าที่ควร  ว่าจะทำ ‘เต็มที่’

“คุณหมอ....ตังมีเรื่องอยากขออย่างหนึ่งได้ไหมคะ”   สีหน้าและแววตาของหญิงสาวทำให้เขาเผลอขมวดคิ้ว

“อะไรเหรอครับ”

สิ่งที่เธอตอบกลับมาด้วยเสียงกระซิบ ทำเอาเขามือเย็นเฉียบ...ราวกับเธอผู้นี้มีญาณทิพย์ ล่วงรู้ความในใจของเขาได้หมดสิ้น  หัวใจเต้นแรงคล้ายจะโลดออกมานอกอก

รดิศกลับออกมาจากห้องของหญิงสาว   สวนกับร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งที่เขากำลังคิดถึงอยู่พอดี   คนที่ประจันหน้ากันโดยบังเอิญทั้งสองยืนสบตากันนิ่งไปครู่ คล้ายกับทำตัวไม่ถูก  ก่อนที่คุณหมอจะเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

“เต...เป็นไงบ้าง  ยังปวดท้องอยู่หรือเปล่า”  อยากถามผลจากเจ้าตัว  ทว่าอีกใจหนึ่งเขาก็เกิดความกลัวขึ้นมา   เกิดมันไม่ได้ ‘ดี’ อย่างที่อยากให้เป็น  แล้วเขาจะทำอย่างไร  ลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่ายก็เห็นใบหน้าเรียวซีดน้อยๆ ใต้ตาดำคล้ำอย่างคนพักผ่อนไม่เพียงพอ

“ไม่ค่อยปวดแล้ว  ขอบคุณนะครับที่ไปส่งเต้ให้เมื่อเช้า”  เสียงแหบตอบกลับมา  ทำท่าจะเลี่ยงเข้าไปในห้องพักของภรรยา

“เอ้อ....ผลส่องกล้องเป็นอย่างไรบ้าง”  เขาหลุดปากถามออกมาจนได้  แล้วก็ใจเต้นระทึกลุ้นกับคำตอบ

“ยังไม่รู้ผลเลย  หมอส้มบอกว่าต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อนครับ”

          “อ้อ  เหรอ”  ดิมเลิกคิ้ว  ประหลาดใจเต็มทน  ทุกอย่างมันผิดแผลกจากปกติไปหมด  สังหรณ์ของเขาบอกว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ  พี่ส้มถึงได้บ่ายเบี่ยงไม่ยอมบอกแบบนั้น   คงต้องไปเค้นถามด้วยตัวเอง..

“....เอ้อ  คุณหมอ   พรุ่งนี้...ผมขอฝากภรรยาของผมด้วย   ผมเชื่อมือของคุณหมอนะครับ”

คุณหมอ!  คุณหมอ!  คุณหมอ!  เรียกว่าคุณหมอทุกคำเลยนะ  ก็รู้หรอกว่าอีกฝ่ายให้เกียรติ  แต่มันคงจะรื่นหู...คงจะชุ่มชื่นหัวใจกว่านี้  ถ้าเปลี่ยนเป็นคำว่า  พี่ดิม  แทนเหมือนทุกครั้ง

หยุดคิดไร้สาระแบบนั้นได้แล้ว...เสียงหนึ่งตวาดอย่างเฉียบขาดออกมาจากซอกหนึ่งของสมอง   รดิศพยายามส่งยิ้มที่ดูคล้ายมุมปากกระตุกไปให้ครั้งหนึ่ง   ค้นหาเสียงตัวเองจนเจอในที่สุด

“ผมจะพยายามเต็มที่  ไม่ต้องเป็นห่วง....”    อยากพูดต่อ  ทว่าเปลี่ยนใจ   สิ่งที่เขาพูดคุยกับภรรยาของอีกฝ่ายเป็นความลับระหว่างเขากับเธอ   ถึงจะเกี่ยวเนื่องกับเตโดยตรงแต่เขาก็ไม่สามารถเปิดปากพูดออกไปได้

 “ขอตัวก่อนนะครับ”   นักเขียนหนุ่มพูดพึมพำ ไม่สบตาเขา แล้วเบี่ยงตัวเข้าไปในห้อง  รดิศมองตามหลังจนลับสายตา จึงค่อยตรงไปยังห้องทำงาน  ไม่ใช่ของเขา  แต่เป็นของพี่ส้ม

ไฟในห้องยังเปิดสว่างอยู่  เขายกมือขึ้นเคาะ  ได้ยินเสียงคล้ายคนในห้องหยุดสนทนากันชั่วขณะ

“เข้ามาเลย  ไม่ได้ล็อคจ้ะ”  ชายหนุ่มบิดลูกบิดประตู  เปิดเข้าไปภายในห้อง  เห็นร่างของหญิงสาวเจ้าของห้องยังคงนั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือและแฟ้มกระดาษเต็มแน่นไปหมดจนไม่เหลือพื้นที่ว่าง

“เจ้ส้ม  ผมอยากมาถามผลส่องกล้องของ...”  เสียงของเขาขาดหายไปชั่วขณะ  เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นร่างของแขกอีกคนภายในห้องของรุ่นพี่

คนๆนั้นนั่งอยู่ที่โซฟารับแขกอีกด้านของห้อง   เขาก็เลยไม่ทันสังเกตเห็นแต่ทีแรก  เค้าลุกขึ้นยืนแล้วมาหยุดที่ตรงหน้าของเขา

“รัน...กลับมาแล้วเหรอ?”  บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกของเขาตอนนี้มันเป็นอย่างไรกันแน่  ที่รู้คือ ไม่ใช่ความยินดีที่ได้เห็นคนที่เป็นทั้งเพื่อนและคนรักเก่ากลับมาเจอกันอีกครั้งอย่างที่ควรจะเป็น   วิรัลไม่ยิ้มเลยตอนที่ทักเขา

“อ้อ  ดิม  ไม่เจอกันนาน”  คล้ายกับจะหมดคำพูดไปแล้ว 

หลังจากเหตุการณ์ในห้องทำงานของเขาที่อีกฝ่ายระเบิดอารมณ์ทั้งหมดออกมา  เขาก็ไม่ได้พบกับรันอีกเลย  รันขอพักงานและไปต่างประเทศในวันรุ่งขึ้น   ไม่มีการติดต่อ  ไม่รู้ความเคลื่อนไหวใดๆ  หรือเป็นความผิดของเขาเองด้วยที่ไม่สนใจก็ไม่รู้   ราวกับความรักที่เคยคิดว่ามีให้อีกฝ่ายจนเต็มเปี่ยมถึงขั้นคุกเข่าขอแต่งงานได้  มันกลับเหือดหายไปคล้ายกับไม่เคยมีอยู่จริง...

“รันเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ  พอดีแวะมาหาพี่ก่อน  ว่าจะบอกเธออยู่เหมือนกัน ..พวกเราไปหาอะไรดื่มกันหน่อยมั้ย  รื้อฟื้นความหลังไง  นานๆจะได้กลับมาเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตา”    เจ้าของห้องพยายามแก้ไขสถานการณ์ที่น่าอึดอัดให้ดีขึ้น   ทว่ามันกลับแย่ลงในความรู้สึกของคนมาใหม่

“ผมต้องกลับบ้าน  ขอโทษด้วยครับ”  รันพูด   เดาว่าคงรู้สึกไม่ต่างกันเท่าไหร่  กุมารแพทย์หนุ่มถอยกลับไปหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย  เหลือบตามองอดีตคนรักแวบเดียวตอนที่พูดขอตัวลาเจ้าของห้องออกมา

ดิมมองตาม

“ไม่ไปคุยกับเขาหน่อยหรอ   พี่ว่าเขาตั้งใจแวะมาหาเธอนะ”  รุ่นพี่พูดลอยๆ  เห็นรุ่นน้องหน้าเข้มเม้มปากแน่นยืนนิ่ง   สุดท้ายก็ขยับเดินตามหลังร่างของอดีตคนรักไปทันกันที่หน้าลิฟต์

วิรัลหันมามอง  ท่าทางไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เห็นอีกคนเดินตามมา





ต่อด้านล่าง
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 20-08-2017 19:27:24






            “รัน  ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”   คนฟังพยักหน้ารับ  เดินแยกออกมายืนที่ระเบียงริมหน้าต่าง  รันเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นที่เดียวกันกับตอนที่เขาบังเอิญเดินผ่านมาเห็นคนรักยืนกอดกับแฟนเก่าอยู่ตำตาในคืนนั้น

            ดูเหมือนดิมจะไม่ทันสังเกต

            “ผมขอโทษนะ”   จู่ๆคนตรงหน้าก็โพล่งออกมา รันไม่อยากเชื่อว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายขอโทษเขาก่อน  ทั้งๆที่ความจริงแล้วควรจะเป็นเขามากกว่าที่จะต้อง ‘ขอโทษ’

            “เรื่องอะไร   ดิมไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก   รันเองต่างหากที่ผิด...หลงรักดิมจนขาดสติ”  เสียงเขาแผ่วลงเหมือนพูดกับตัวเอง  เวลาที่ได้พักทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขามองเห็นตัวเองชัดขึ้น  ได้เห็นว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างโดยไม่เคยยั้งคิดถึงผลที่ตามมาเลยสักครั้ง  ไม่เคยสนว่ามันจะกระทบใคร  สิ่งที่เขาทำกับเต  ไม่ต่างอะไรกับการแทงข้างหลัง  ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองอยู่เหนือชายหนุ่มผู้นั้นมาตลอดแท้ๆ  ทว่าเขากลับต้องใช้กลโกง  ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับคนแบบนั้น  มันทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง 

ทำไมเขาถึงต้องลงทุนขนาดนั้น  ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้ ‘ใจ’ ของคนตรงหน้ามาครอง

            เพื่อที่สุดท้ายแล้วจึงได้รู้ว่า  สิ่งที่เขาได้มานั้นมีแต่เปลือกชั้นนอกสุดที่ห่อหุ้มหัวใจของอีกฝ่ายเอาไว้เท่านั้น  เขาไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของดิมเลย

            มันยิ่งกว่าความเจ็บปวด  เพราะเขาเหมือนคนที่ทุ่มเทลงไปทั้งหมดใจ  ไม่เหลืออะไรเก็บเอาไว้กับตัวเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ศักดิ์ศรี

            คนตรงหน้าเอื้อมมือมารวบมือของเขาทั้งสองข้างไปกุมเอาไว้  มือใหญ่แข็งแรงนั้นอุ่นจัด

            “เป็นเพราะผมเองด้วยรัน ผมหลอกตัวเอง...หลอกคุณด้วย”  หลอกตัวเองว่ารัก...การหลอกที่ไม่เคยสำเร็จจริงสักครั้ง   

            “จริงๆรันไม่ได้จะกลับมาเพื่อยอมแพ้หรอกนะ  ริรันทอยากกลับมาขอโอกาสจากดิม  แต่ว่าเรื่องที่รันเพิ่งได้รู้มา  มันทำให้รันตัดใจได้เด็ดขาด”  คุณหมอเด็กถอนหายใจแผ่วเบา   “เมื่อตอนบ่าย  รันแวะไปเยี่ยมคุณตังมา   ก็เลยได้รู้ความจริงบางอย่างเพิ่มขึ้น”

คนฟังขมวดคิ้ว  มาตังไม่ได้เล่าเลยสักคำว่าชายหนุ่มไปเยี่ยม

            “ความจริงอะไรหรือ”

          “ความจริงที่ว่าเต้ไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณเต  แต่เป็นลูกของน้องสาว... ดิมรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรือเปล่า?”   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

          “รันไม่รู้มาก่อน  รันก็เลยยอมแพ้....แพ้หัวใจของคุณเต  รันสู้ไม่ได้จริงๆ  ไม่มีทางสู้เลย”   เขาจะเอาอะไรไปสู้กับคนใจเพชรคนนั้น...คนที่มีหัวใจเอาไว้เพื่อคนอื่นอยู่เสมอ  คนที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง....กับเขาที่คิดถึงตัวเอง  ทำเพื่อตัวเอง...มันไม่มีทางเทียบกันได้เลย 

            ความคิดที่เคยใช้อ้างตัวเองตลอดมาว่า  ชายหนุ่มผู้นั้นก็ทิ้งอีกฝ่ายไปแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้ว  ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรคนของเขานักหรอกนั้น  ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก  เขาเพิ่งเข้าใจและอดทึ่งกับความกล้าหาญที่จะเผชิญความเจ็บปวดอย่างเด็ดเดี่ยวของคนๆนั้นไม่ได้

            ขณะเดียวกันก็ละอายกับความคิดในแง่ลบที่เคยมีต่อฝ่ายนั้นตลอดมา   

            เงยหน้าขึ้นพิศดูใบหน้าคมเข้มของอดีตคนรัก  เห็นแต่ความซูบและหมองคล้ำตรงตามที่พี่ส้มบอก   ว่าดิมไม่ดูแลตัวเองเหมือนอย่างเคย  อยากยกมือขึ้นแนบประคองใบหน้านั้นเอาไว้อีกสักครั้งแล้วปลอบใจ

....อีกสักครั้ง  จะผิดมากมั้ย...

            “อย่าคิดมากเลย   เรื่องมันผ่านไปแล้ว   ผมดีใจที่รันกลับมา...ถึงอย่างไรรันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม” 

            “ถึงอย่างไร?  หมายถึงว่า ถึงรันจะเลวแค่ไหน   รันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิมใช่มั้ย  หึๆ”  หมอเด็กพูดแกมหัวเราะ  รดิศยิ้ม

          ริทหงายมือขึ้น  แล้วเป็นฝ่ายกุมมือใหญ่ของเขาเอาไว้เสียเอง  ดวงตาคู่นั้นมีแววที่เขาอ่านไปไม่ออกแฝงอยู่ 

            “ดิม...ความจริงแล้วมีอีกเรื่องหนึ่ง  ที่รันรู้มาโดยบังเอิญ”

          “เรื่องอะไรเหรอ”   วิรัลเงียบไป คล้ายคนที่กำลังตัดสินใจ  แล้วเขาก็บอกออกมาในที่สุด   ประโยคที่ทำให้คนฟังหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่  แล้วก็กลับมาเต้นใหม่ด้วยจังหวะที่รัวแรงกว่าเดิม  ขณะที่เดินเร็วๆย้อนกลับไปยังห้องทำงานของอายุรแพทย์หญิง

            ‘เรื่องที่คุณเตป่วย....  รันไม่รู้รายละเอียดมาก  รู้แค่ว่า...ดิมเตรียมใจไว้หน่อยก็ดีนะ’

            กุมารแพทย์หนุ่มมองตามหลังร่างสมส่วนในชุดกาวน์ยาวที่ขอตัวผละจากเขาไปดื้อๆ  รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก  คำพูดของตัวเองเมื่อครู่ย้อนกลับมาในความคิด

            ...ถึงรันจะเลวแค่ไหน   รันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิม...ใช่มั้ย?...

            ................................................................................................

            ‘พี่ก็ยังบอกอะไรไม่ได้มากนักหรอก  ยังไงก็ต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อนอีก 2 อาทิตย์’  พี่ส้มพูดกับเขา  ความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่าต้องการเลี่ยง  ท่าทางของเธอไม่อยากพูดเรื่องนี้และกำลังหาทางตัดบทเพื่อไล่เขาออกจากห้อง

            ‘พี่พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า   ผมรับได้’   เขาจ้องหน้าเธอเขม็ง

            ‘แน่ใจเหรอว่าเธอจะรับได้จริงๆ’  หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระซิบ   ทำเอาใจหล่นวาบ...อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเรื่องจริง

            สายตาของพี่ส้มทำให้เขาพูดไม่ออก  ความเป็นห่วงและความสงสารของเธอที่ส่งออกมาผ่านแววตา และอากัปกิริยาทอดถอนลมหายใจนั้น ยิ่งทำให้หัวใจของเขาหดเล็กลงไปอีก

            ‘ผมไม่เชื่อ   ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง’  ถึงปากจะบอกว่าไม่เชื่อ   แต่ความจริงเชื่อไปแล้วเกิน 70 เปอร์เซ็นต์     ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาภายในห้องของแพทย์หญิงรุ่นพี่ราวกับเสือติดจั่น   มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว

            ‘รอผลให้ชัวร์ก่อนดีกว่ากัน’  พี่ส้มพูดเสียงอ่อนอย่างปลอบใจ

            ‘ยังรักษาได้ทันใช่มั้ย    แล้วต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่   จริงสิ  ต้องให้คีโมหรือเปล่า ...แล้ว... เขาจะอยู่ได้อีกนาน...ใช่มั้ย?’  คำถามที่หลุดออกมาขาดเป็นห้วงๆ ไม่ปะติดปะต่อ เพราะเจ้าตัวเรียบเรียงความคิดไม่ทัน   คำถามอีกมากมายค้างอยู่ที่ริมฝีปาก

            หญิงสาวเจ้าของห้องมองหน้าเขานิ่งไปนานจนเขาเกือบจะเปลี่ยนใจเดินออกจากห้อง   จนกระทั่งได้ยินประโยคสุดท้ายจากเธอ  ตอบคำถามท้ายสุดของเขาเพียงคำถามเดียว

            ‘เหลือเวลาไม่มากแล้วล่ะ...ดิม’

            ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ หวังว่ามันจะช่วยคลายความอึดอัดในอกได้บ้าง   ครุ่นคิดถึงคำพูดของพี่ส้มในห้องทำงานเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั้นอีกครั้ง   สิ่งที่แพทย์รุ่นพี่พูด...ถึงเธอจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ทว่าในฐานะแพทย์ด้วยกัน...เขาก็เข้าใจได้

            เตกำลังป่วยหนักและคราวนี้ก็อาจจะไม่รอด

            เหลือเวลาไม่มากแล้ว?   ไม่มากที่ว่ามันแค่ไหนกันล่ะ  3 เดือน  6 เดือน  หรือว่า 5 ปี  เมื่อกี้ก็มัวแต่ตกใจเลยลืมถาม   แต่จะเท่าไหนก็แล้วแต่....ทำไมสวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับคนๆนึงได้ขนาดนี้

            คนที่เสียสละความสุขของตัวเองทุกอย่าง  เขาควรจะได้พบความสงบสุขในบั้นปลายมิใช่หรือ  เหตุใดจึงตอบแทนเขาด้วยโรคร้ายและความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้...   

            หรือเป็นเพราะแบกรับความทุกข์เอาไว้มากมาย ก็เลยกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคโดยไม่รู้ตัว   แบบนี้เขาก็มีส่วนทำให้ฝ่ายนั้นป่วยน่ะสิ?

            นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่  ลุกขึ้นจากโซฟาที่ทิ้งตัวนอนเหยียดยาวตั้งแต่กลับถึงที่พัก   เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย  สวมรองเท้ากีฬาเพื่อลงไปออกกำลังที่ฟิตเนส   อย่างน้อยก็คงดีกว่าปล่อยตัวเองให้นอนจมปลักอยู่ท่ามกลางหนทางตัน 

            โชคดีที่ฟิตเนสของที่นี่เปิดยาวนานถึงเที่ยงคืน เพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนที่พักอาศัย   ดึกจนใกล้ปิดทำการเต็มทีแล้ว  พนักงานหญิงนั่งสัปหงกอยู่ที่เคาท์เตอร์  ภายในห้องกว้างๆของฟิตเนสมีเครื่องออกกำลังกายชนิดต่างๆวางแยกอยู่เป็นสัดส่วน  เทรนเนอร์คนหนึ่งส่งยิ้มมาให้เขาอย่างคุ้นหน้า  แต่ไม่ได้เข้ามารบกวน

เขาเลือกวิ่งสายพาน   การวิ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุด   ปกติเขาจะพยายามหาเวลามาวิ่งเสมอยามว่าง   เหมือนได้ก้าวเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีเพียงเสียงลมหายใจเข้า – ออกของตัวเองกับเสียงฝีเท้าที่กระทบกับสายพานเป็นจังหวะ   ไม่มีใครมารบกวน   ไม่ต้องคิดอะไรวุ่นวาย  แค่ปล่อยให้เท้าก้าวตามไปเรื่อยๆตามเส้นทางตรงแน่วของสายพาน  ไม่คดเคี้ยววกวน  ไม่ขรุขระ  ด้วยความเร็วที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

เขาอยากให้ชีวิตของตัวเองราบรื่นเหมือนเวลาที่กำลังวิ่งอยู่บนสายพานตอนนี้   ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ  ไม่ต้องนึกถึงอดีต  ไม่ต้องกังวลอนาคต  ไม่ต้องคิดถึง....

รู้ว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก  ชอบวางแผนระยะยาว   ตอนเรียนมัธยมปลายก็คิดเสมอว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยอะไร  เรียนคณะไหน  พอเอนท์ติดได้เรียนสมใจก็วางแผนล่วงหน้าอีก   จะเรียนอะไรต่อ  จบไปจะทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่  แม่จะอยู่ที่ไหน  ครั้นพอมีแฟน...ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะวาดฝันถึงอนาคตร่วมกัน

มันถึงเจ็บปวดมากที่ฝันนั้นต้องพังทลายลงทั้งที่ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ   ทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจจนกระทั่งได้กลับมาเจอกันอีก...แล้วเขาก็วางแผนอีกครั้งตามนิสัย   ทว่าคราวนี้ตั้งใจเต็มที่ที่จะมาเอาคืน   และมันต้อง ‘สำเร็จ’

สุดท้าย   ผู้ชายคนเดิมที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะ ‘ฟันแล้วทิ้ง’ อย่างเลือดเย็นที่สุด   ก็เป็นฝ่าย ‘ทิ้ง’ เขาเป็นครั้งที่สอง ด้วยเหตุผลที่เขาต้องยอมรับอย่างจำใจ  และคนที่เจ็บปวดก็คือตัวเขาเอง

มันเจ็บมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ  เพราะเขาได้สร้างความผูกพันเพิ่มขึ้นมาใหม่  ฟั่นเกลียวความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ให้แน่นเข้าโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะรัดคอตนเองทีละน้อย   กว่าจะรู้ตัวก็เริ่มหายใจไม่ออก   ยิ่งพยายามดิ้นรนแก้  ปมก็ยิ่งรัดแน่น

นัยน์ตาเรียวหวานแกมโศกคู่นั้นกลับเข้ามาในความคิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม...คนๆนั้นคงยังไม่รู้หรอก  ว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไร   เขารู้ว่าฝ่ายนั้นมีเลือดของนักสู้เต็มตัว   ภายใต้ท่าทางนิ่มนวลนั้นมีหัวใจที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่  ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถก้าวผ่านเรื่องราวในอดีตมาได้  แต่ว่าครั้งนี้มันต่างออกไป

คนที่กล้าเลิกกับเขาหน้าตาเฉยทั้งๆที่รักมาก   กล้ารับลูกของน้องสาวมาเป็นลูกตัว เลี้ยงดูเสมือนเป็นพ่อแท้ๆ   คนที่กล้าเสียสละอนาคตของตนเองเพื่อคนที่รัก....คนแบบนี้  ถ้าได้รับรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย   เขาจะกล้าทำอะไร หรือ  ไม่กล้าทำอะไรบ้างหนอ

แล้วเขาล่ะ   จะกล้าทำอะไรได้บ้าง

เสียงหวานใสแวบกลับเข้ามาในความทรงจำ

‘ถ้าพรุ่งนี้ตังเป็นอะไรไป....ขอฝากเต้ด้วยนะคะ’  จำได้ว่าตัวเองจ้องมองคนไข้บนเตียงอย่างตกตะลึง

เธอรู้!  เธอรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่.... แค่คำพูดฝากฝังไม่กี่คำ กับแววตาของเธอที่มองมาที่เขา  ทั้งรู้ทัน   ยอมรับและขอร้องอ้อนวอนในเวลาเดียวกัน   มันทำให้เขาจุกแน่นพูดอะไรไม่ออก   ความละอายใจแล่นวาบจนไม่อาจทนสบตาเธอต่อไปได้

‘ตังขอแค่นี้.....คุณหมอคงรับฝากนะคะ’

            สีหน้าของหญิงสาวติดตาเขาจนถึงบัดนี้   รอยยิ้มน้อยๆที่แต้มอยู่ที่ริมฝีปากคล้ายคนที่ปลงตก   ความหมายของกระแสตาของเธอบอกเขาว่า

          ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น  เธอพร้อมยอมรับ  และจะไม่โทษเขา...

            เธอเปิดทางให้เขาแล้ว  แต่ตัวเขาเองนี่สิ   ถ้ายังคิดจะใช้อาชีพของตนเองเพื่อทำตามใจที่เห็นแก่ตัว  ก็ไม่สมควรจะเป็นแพทย์ต่อ  ไม่สิ....ไม่สมควรจะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ

            ...แต่ถ้าเธอผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่   คนๆนั้นก็ไม่มีวันยอมละทิ้งเธอกับหลานชายให้อยู่กันเพียงลำพังแน่นอน   ไม่มีวันที่เขาจะสมหวัง   ในขณะที่เวลาของฝ่ายนั้นก็เหลือน้อยลงทุกที 

            นานมาแล้วที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย   เขาแอบสะกดรอยตามหลังร่างโปร่งบางอยู่เงียบๆ  เพราะประทับใจตั้งแต่แรกเห็น  เพราะอยากทำความรู้จัก  จึงสู้ดั้นด้นสืบหาหนทางเข้าใกล้ฝ่ายนั้น

            ใช้การ ‘วิ่ง’ เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี   มิตรภาพที่ค่อยๆงอกเงยขึ้นมาจากความประทับใจซึ่งกันและกัน  ก่อให้เกิดเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้ง  หยั่งรากลึกลงกลางใจยากจะไถ่ถอน

            รอยยิ้มหวานๆ  รับกับดวงตาวิบวับมีชีวิตชีวาคู่นั้น  เสียงแหบเสน่ห์ที่เวลาหัวเราะทีไรก็พลอยทำให้คนรอบข้างอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้  เส้นผมหยักสลวยทั้งศีรษะที่เขารู้ดีว่ามันอ่อนนุ่มเพียงใด  ริมฝีปากอิ่มเต็มและร่างกายนุ่มนิ่มหอมกรุ่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว

ท่าทางเขินอายยามที่เราสัมผัสกัน...

ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน   ถึงต่อให้ตอนนี้เตไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มคนเดิมอีก   เขาก็ยังคงจดจำและหลงรักคนๆนี้อยู่ดี   เพราะตัวตนข้างในก็ยังคงเป็นเตคนเดิม   

ทุกอย่างกำลังจะหมดไป   เขายอมรับได้ถ้าเตต้องไปจากเขาเพราะความรับผิดชอบที่มีต่อผู้หญิงและเด็กคนหนึ่งที่เตรัก   แต่เขาทำใจยอมรับไม่ได้ ถ้าเขาต้องเสียอีกฝ่ายไปเพราะสิ่งที่เขาไม่อาจป้องกันแก้ไขอะไรได้

ตอนนั้นเขาเข้าใจผิดเพราะไม่รู้   แต่ตอนนี้ ทั้งที่รู้แล้วเต็มอก  ทว่าบางทีมันก็อาจจะสายเกินไป....เขาที่เป็นหมอแท้ๆ  รักษาคนเจ็บให้รอดตายมานักต่อนัก   กลับไม่อาจตรวจพบสิ่งผิดปกติในตัวของเตได้   ทั้งๆที่หลายเดือนมานี้  เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเต  ได้รู้เห็นอาการของเตมาตลอด....ท่าทางอ่อนเพลียง่าย  เบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ  อาการปวดท้องนั่น...

เขากลับไม่เคยเอะใจ  ไม่เคยคิดว่านั่นคือสัญญาณเตือน   เขาชะล่าใจเกินไป  ขณะที่มุ่งแต่จะแก้แค้น  จะเอาชนะ   อยากให้อีกฝ่ายเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด   เขาลืมไปว่าอีกฝ่ายก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง    เมื่อหัวใจร้าวหนัก...ร่างกายก็ย่อมทรุดตาม   

คิดแล้วมันยิ่งเจ็บใจ...เจ็บใจตัวเอง

            มันควรจะเป็นเขา...

 

เหงื่อเค็มๆไหลเข้าตาจนแสบไปหมด  ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดลวกๆ  หากยิ่งเช็ด เหงื่อก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้นทุกทีจนมองตัวเลขบอกระยะทางและความเร็วที่แผงหน้าจอเบื้องหน้าไม่เห็นอีกต่อไป

สองขายังคงก้าวต่อไปไม่ยอมหยุด  แม้จะมองไม่เห็นทาง  ออกแรงสาวเท้าไปบนลู่วิ่งอย่างบ้าคลั่ง   รู้สึกเจ็บร้าวที่กล้ามเนื้อต้นขา   และปวดแปลบที่น่องทั้งสองข้างแต่เขาไม่คิดจะหยุด 

หัวใจเต้นรัวราวกับตีกลอง  ได้ยินเสียงตึก  ตึก  ดังก้องอยู่ในอก  ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด  สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือ   เขาจะต้องสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไปอยู่ดี

 

          เต...เตของพี่...

            ...



มาต่อแล้วจร้าาา  หายไปนาน แหะๆๆ  สลับๆกันอัพหลายๆเรื่องเนอะ  เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง

ตอนนี้ค่อนข้างดรามาหนักหน่วง   มีใครรอเรื่องนี้อยู่บ้างคะ  แสดงตัวหน่อยเร็ว

ใครชอบเรื่องนี้อย่าลืมเม้นต์หรือโหวตน้าา  เป็นกำลังใจให้กับคนเขียนนะคะ 

ใครเล่นทวิต เจอกันใน #ดิมเต

ใครเล่นเฟสบุ๊ค  อย่าฃืมไลค์เพจเรานะ

ปล.พรุ่งนี้อ่านเรื่องอะไรกันดีคะ :katai2-1:

Melenalike
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 20-08-2017 20:36:59
สนุก  เข้มข้นเช่นเคย 
ลุ้น ว่าเต  จะเป็นไรไหม  ห้ามให้เตตายนะ
เตควรจะมีความสุขกับใครๆเขาบ้างนะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 20-08-2017 21:28:08
มาบ่อยๆๆๆๆๆน่าๆๆๆๆๆรอๆๆๆๆๆสงสารเตๆๆๆๆไม่เศร้าๆๆๆๆอยากให้เตสมหวังจังๆๆๆไรท์มาต่อน่าาๆๆๆ :katai4: :กอด1: :กอด1: :L2: :3123: :pig4: :pig4: :mew4: :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 20-08-2017 22:37:13
รออ่านเรื่องนี้นานมากๆ ชอบเรื่องนี้มากๆ ตอนต่อไปมาเร็วๆนะ ค้าง
สงสาร เจ็ดลิน ทั้ง ตัง ทั้งเต จะจากไปเพราะโรคร้าย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 27-08-2017 08:26:32
หนักหน่วงจริงๆ ตลอดเรื่องเลย

จะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่ ขออย่างเดียวอย่าให้ดิมละทิ้งจรรยาบรรณแพทย์แล้วทำอย่างที่คิด อันนั้นรับไม่ได้จริงๆ แค่มีความคิดนี้ก็รู้สึกว่าดิมไม่เหมาะจะเป็นพระเอกแล้ว

ส่วนเรื่องเต ทรมานมาเยอะขนาดนี้ยังไม่หมดอีกเหรอ แต่แอบเห็นอะไรลางๆ ขึ้นมา หวังว่าจะเป็นอย่างที่คิด
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่24 20/8/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 27-08-2017 15:06:52
รออยู่น่าาาๆๆๆคิดถึงๆๆมาต่อน่าาๆๆ :ling1: :hao7: :กอด1: :L2: :katai2-1: :call: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 31-08-2017 21:54:56
เพราะหัวใจบอกว่า...จริง

 

 

 

 

 

            ชายหนุ่มร่างโปร่งบางเดินกลับไปกลับมาด้านหน้าห้องผ่าตัดที่ภรรยาของเขาเพิ่งหายลับเข้าไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง   ยกมือขึ้นเสยผมหยิกให้ยุ่งเหยิงหนักขึ้นกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว  มันเป็นกิริยายามเผลอตัวที่เขาชอบทำเวลาเก้อเขินหรือกังวลใจ  ซึ่งในตอนนี้เป็นเพราะเหตุผลอันหลัง

            “มานั่งเถอะ คุณเต   คงอีกนานกว่าจะผ่าตัดเสร็จ  คุณเดินแบบนั้นเดี๋ยวก็เป็นลมหรอก”  ชายหนุ่มร่างสูงอีกคนพูดขึ้นมา  เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่วางเรียงเป็นแนวยาวเอาไว้สำหรับญาติของคนไข้โดยเฉพาะ

            นักเขียนหนุ่มถอนหายใจเฮือก  ยอมเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆอีกฝ่าย  บีบมือของตนเองเข้าหากันแน่น

            “เอาหนังสืออ่านเล่นๆมั้ย   หรืออะไรรองท้องหน่อยเป็นไง   เมื่อเช้าคุณทานไปนิดเดียวเองนี่  เอาไหมผมจะไปซื้อมาให้”  เจ้านายของเขาที่วันนี้ยอมเข้าที่ทำงานสายเพื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเขาก่อนเสนอขึ้นมาอีก   มองมาด้วยแววตาเป็นห่วง

            “ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่หิวเลย   ง่า...คุณภาคย์รีบกลับไปทำงานเถอะ  ผมอยู่คนเดียวได้”  เตพูดอย่างเกรงใจ

            “ผมจะนั่งรอเป็นเพื่อนคุณอีกสักพัก”  อีกฝ่ายตอบ  เหยียดขายาวเต็มพื้นที่  ยกมือขึ้นกอดอก  ท่าทางบอกชัดว่าคงจะปักหลักอยู่ข้างๆเขาอีกนาน

            ติณธรรับหนังสืออ่านเล่นของภาคย์มาพลิกอ่าน  กวาดสายตามองผ่านตัวอักษรที่เรียงรายอยู่บนหน้ากระดาษ  เผื่อว่ามันจะช่วยลดความวิตกกังวลของตัวเองลงไปได้บ้าง   เวลาก็ช่างเดินช้าเสียจริง  หนึ่งนาทียาวนานราวกับหนึ่งชั่วโมง...

            ‘คืนนี้พี่เตนั่งข้างๆตังไปเรื่อยๆได้มั้ยคะ   ตังอยากนั่งคุย  ไม่อยากนอนเลยค่ะ’  เมื่อคืนหญิงสาวพูดกับเขา พลางรั้งมือของเขาเอาไว้   ใบหน้ารูปหัวใจมีความเศร้าหมองปนอยู่  ยามที่สบตากัน เขามองเห็นแววอาลัยอาวรณ์ในดวงตาของเธอ

            ชายหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งข้างๆเธอ   ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบา  ยิ้มให้

            ‘พี่จะนั่งอยู่ตรงนี้จนตังหลับแล้วกัน  นอนเถอะ  พรุ่งนี้จะได้สดชื่นมีแรง’

            ‘ตังกลัวจังค่ะ  เหมือนกับว่า  ถ้าตังหลับตาลงไปแล้ว  ตังจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีก’  เธอพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง

            ‘ตังคิดมากไปเอง   ไม่มีอะไรหรอก  เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว’  พี่ชายตอบ

            ‘พี่เตคิดอย่างนี้เสมอไหมคะ  เวลาที่เจอเรื่องร้ายๆ....เดี๋ยวมันก็ผ่านไป...’  จู่ๆเธอก็ถามขึ้นมาหลังจากเงียบไปนานจนเขาเกือบนึกว่าเธอหลับไปแล้ว   ดวงตาคู่นั้นมีหยาดน้ำคลออยู่บางๆ

            ‘พี่เคยคิดปลอบใจตัวเองแบบนั้น   มันก็ได้ผลนะ   อย่างน้อยเราก็ยังมีความหวังอะไรอยู่บ้าง’  สบตาเธอแวบเดียวเขาก็เมินไปมองหน้าต่าง   ผ้าม่านหนาหนักปิดทึบทำให้บรรยากาศในห้องดูทึบทึมและเศร้าหมองกว่าปกติ   ‘แต่สำหรับน้องสาวของพี่  พี่เชื่อว่ามันจะต้องผ่านไปด้วยดีแน่นอนจ้ะ’  เขาเบือนหน้ากลับมาส่งยิ้มให้เธอ  หญิงสาวส่งยิ้มบางๆตอบกลับมา

            ‘ผลส่องกล้องของพี่เตเป็นอย่างไรบ้างคะ  ตังก็ว่าจะถามตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว’  ข้าวตังวกกลับมายังเรื่องที่ชายหนุ่มกำลังกังวลอยู่พอดี

            ‘หมอบอกว่าต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อน  อีกสองอาทิตย์น่ะ  ไม่ต้องทำหน้าอย่างนั้นหรอก  พี่ไม่ได้เป็นอะไร  กินยาเดี๋ยวก็หายน่า   ถ้าเป็นหนักหมอเขาก็บอกมาแล้วสิ’   เขาตอบ  อดคิดแวบกลับไปถึงบทสนทนาระหว่างตนเองกับแพทย์หญิงคนนั้นไม่ได้...

            ‘ค่อยยังชั่วหน่อย  ตังก็เป็นห่วง ถ้าพี่เตเป็นอะไรไปอีกคน  เจ้าเต้คงแย่เลย’  ประโยคท้ายทำให้คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากัน  เหลือบมองหน้าคนพูดอย่างสงสัย   ‘ตังหมายความว่า  ระหว่างที่ตังพักฟื้นอยู่  จะไม่มีใครดูแลรับส่งเต้น่ะค่ะ’  หญิงสาวรีบพูดแก้ ก่อนที่พี่ชายจะเข้าใจผิด

            เงียบกันไปทั้งคู่  คล้ายกับว่าต่างคนต่างก็มีเรื่องที่ต้องครุ่นคิดและปิดบังจากอีกคนอยู่   แม้จะด้วยจุดประสงค์เดียวกันก็คือไม่อยากให้อีกฝ่ายกังวล ไม่สบายใจก็ตาม

            ปลายนิ้วเรียวที่มีเล็บตัดสะอาดลูบไล้บนหลังมือของหญิงสาวเล่นอย่างใจลอย   สลับกับการถอนหายใจแผ่วเบา  ขณะที่คนบนเตียงมองหยดน้ำเกลือในขวดที่หยดลงมาทีละหยด...ทีละหยด

            ‘พี่เต....ถ้าพรุ่งนี้ตังเป็นอะไรไปขึ้นมา...ฝากเต้ด้วยนะพี่’  เป็นหญิงสาวที่ทำลายความเงียบขึ้นมาก่อน   คนฟังหันมามองอย่างตกใจ

            ‘พูดอะไรอย่างนั้นตัง  พี่เคยบอกแล้วไงว่าเธอต้องรอด’  เขาเอ็ดเสียงเข้ม

            ‘ตังรู้  แต่ตังก็อดคิดไม่ได้  ตังขอเถอะ....’

          ‘พี่ไม่ฟัง  ถ้าเธอพูด  พี่จะลุกจากตรงนี้’  ติณธรยื่นคำขาด    ทำให้หญิงสาวต้องเงียบไปอีกครั้ง   ‘พรุ่งนี้พี่สัญญากับเธอเอาไว้  ว่าพอเธอฟื้น   พี่จะทำตามที่เธอขอร้องอย่างนึง  ยังจำได้หรือเปล่า’  เขาทวนความจำ

            คนฟังพยักหน้า

            ‘ถ้าอย่างนั้น   ก็ช่วยอยู่ทวงคำขอของเธอด้วย   อย่าให้สัญญาของพี่กลายเป็นลมปากไม่มีความหมาย’  ตั้งเตพูดห้วนๆ  เขารู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเพราะท่าทางของน้องสาวที่ทำเหมือนว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้อีกต่อไป

            ‘พี่เตเป็นคนเข้มแข็ง...ตังอยากทำได้แบบพี่บ้าง  สักครึ่งนึงก็ยังดี’

            ‘พี่น่ะเหรอเข้มแข็ง...หึ’  เขาหัวเราะในลำคอ  ....ถ้าเข้มแข็งจริงก็คงไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดอยู่แบบนี้หรอก   เขาไม่ใช่คนเข้มแข็งเลย   ไม่อย่างนั้นก็คงตัดใจได้ไปนานแล้ว

            ‘ตังรู้นะคะว่าพี่เสียสละอะไรเพื่อตังบ้าง   ตังอยากขอโทษพี่นะ  ที่ทำให้ชีวิตของพี่ต้องมาติดแหงกอยู่กับตัง แทนที่จะได้ทำตามความฝันที่พี่อยากเป็น....รวมถึงความรักของพี่ด้วย’

            เตเลิกคิ้ว  เขาไม่ประหลาดใจที่น้องสาวรู้เรื่องราวความรักของเขา  แต่แปลกใจที่เธอพูดถึงมันขึ้นมาในคืนนี้

            ‘ความรักของพี่มันมารวมอยู่ที่เต้กับเธอแล้ว มาตัง’   หากความรักของคนเราแบ่งได้เป็นหลายส่วน  เขาก็ไม่ผิดที่จะพูดเช่นนั้น   แม้ว่าจะรู้แก่ใจดีว่าความรัก ‘ส่วนที่เหลือ’ นั้นไปตกอยู่กับใคร   จะแปลกอะไรในเมื่อมีเพียงตัวเขาเองที่รู้อยู่ในใจ

            บางทีอาจจะไม่ใช่เขาคนเดียว.....เตเปลี่ยนความคิดเมื่อสบสายตารู้ทันของน้องสาว

            ‘ขอบคุณค่ะพี่เต 8 ปีที่ผ่านมาตังมีความสุข...มากกว่าที่ตังจะเคยคิดเอาไว้เสียอีก   จนบางทีตังก็รู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่า’

          ‘มนุษย์ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว  มันเป็นสัญชาตญาณแห่งการเอาตัวรอด....เธออย่าไปคิดอะไรมากเลย   พี่ว่าช่วงนี้เธอคิดอะไรมากไป จนพี่ก็ตามความคิดของเธอไม่ทัน....คงเป็นเพราะนอนอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปไหนกระมัง   ไว้หายดีแล้ว เราไปเที่ยวทะเลกันดีไหม  หรือตังอยากไปไหน พี่จะพาไป’  เขาค่อยๆเปลี่ยนเรื่อง   อีกฝ่ายก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม

            ‘ตังอยากกลับบ้านก่อนค่ะ   มานอนโรงพยาบาลเสียนาน คิดถึงบ้านจัง....อีกสองเดือนเจ้าเต้ก็จะปิดเทอมแล้ว  ตังคงแข็งแรงมากพอ   เราค่อยคิดอีกทีว่าจะไปไหนดีมั้ยคะ’

            ‘สองเดือนเลยเหรอ   ไปพักตากอากาศเสียหน่อยดีกว่ามั้ย  จะได้ฟื้นตัวเร็วขึ้น’   เขาอยากไปจากกรุงเทพฯเต็มที  เบื่อบรรยากาศเดิมๆ  เบื่อมลภาวะ   เบื่อคน  เบื่อทุกสิ่งทุกอย่าง...อยากไปไหนสักที่ไกลๆ  ที่ๆเขาจะสามารถพัก ‘หัวใจ’ ได้อย่างแท้จริง   เขาเหนื่อยมามากเกินไปแล้ว

            ‘ไว้เราค่อยคิดก็แล้วกันนะคะ’  เธอบอก

            เตนึกมาถึงตรงนี้แล้วก็สะดุ้งเพราะฝ่ามือของใครคนหนึ่งตบเบาๆที่หัวเข่า   เขาละสายตาจากตัวหนังสือที่ไม่ได้ผ่านเข้าหัวสมอง  หันไปมองเจ้าของมืออย่างงุนงง

            “คุณอ่านหน้านี้มาเกือบสี่สิบนาทีแล้วนะ”  ภาคย์พูดแกมหัวเราะ   คนโดนทักยิ้มออกมาได้   ส่ายหน้ากับตัวเอง

            “ผมก็มัวแต่คิดอะไรเพลิน   เอ๊ะนี่มันเกือบสิบเอ็ดโมงแล้วนี่ครับ  ไม่รีบไปประชุมหรอ”  เขาดูนาฬิกาข้อมือ....ดาวประดับหายเข้าไปในห้องผ่าตัดเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว  ส่วนคนข้างๆเขาก็ไม่มีท่าทีจะขยับตัวไปไหน

            “ผมไม่ไปแล้ว  เปลี่ยนใจอยู่เป็นเพื่อนคุณดีกว่า”  ภาคย์พูดง่ายๆ....เขาเห็นท่าทางของชายหนุ่มนั่งเหม่อลอย  ดวงตาลึกโหลจ้องไปยังกระดาษอย่างว่างเปล่าแล้วก็ตัดใจทิ้งไปไม่ลง 

            .....ผู้ชายคนนี้น่าสงสารเกินไป   แล้วเหตุใดเขาต้องมารักปักอกปักใจกับคนที่ไม่เคยมีหัวใจให้ใครอื่น แม้แต่ตัวเอง แบบคนๆนี้ด้วยนะ  หรือเพราะอีกฝ่ายเป็นคนแบบนี้  เขาถึงได้รัก?....เจ้าของสำนักพิมพ์คิดในใจ

            นักเขียนของเขาไม่ตอบ  แต่ส่งยิ้มบางๆที่มีความหมายว่า ขอบคุณ  อยู่ในนั้นมาให้แทน

            แค่นี้ก็คงเพียงพอแล้ว  มากที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้   แค่นั่งข้างๆอยู่แบบนี้....เป็นความรู้สึกกึ่งๆเจ็บปวดกึ่งๆมีความสุข  จำแนกไม่ถูก 

            เข็มนาฬิกาเดินต่อไปเรื่อยๆ เตยังคงนั่งอยู่ที่เดิม   ไม่ยอมทานข้าวแม้ว่าภาคย์จะขอร้องอ้อนวอนอย่างไรก็ตาม จนสุดท้ายต้องให้คุณหมอส้ม (ที่เผอิญเดินผ่านมาพอดี) มาขอร้องแกมบังคับให้กินข้าว  นั่นแหละ  ถึงได้ยอมทาน

            “นี่คุณข้าวตังเข้าไปนานเท่าไหร่แล้วคะ”  หมอส้มถาม

            “เกือบสี่ชั่วโมงแล้วครับคุณหมอ  ทำไมนานแบบนี้ก็ไม่รู้”  ภาคย์เป็นฝ่ายตอบให้แทนญาติตัวจริงที่เริ่มร้อนใจจนนั่งไม่ติด  ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอีกครั้ง

            “ผ่าตัดใหญ่ก็แบบนี้แหละค่ะ  อดทนรออีกสักนิดนะคะ  หมอว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้ว”  หมอส้มปลอบใจ ก่อนจะขอตัวจากไป

            เวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบห้าชั่วโมง  ในที่สุดร่างของนายแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดก็ปรากฏตัวที่ด้านหน้าห้อง   เขาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมองมาเห็นคนสองคนที่นั่งรออยู่ด้วยท่าทางกระวนกระวายใจ   ติณธรหันมาเห็นเข้าพอดีจึงรีบลุกขึ้นยืนและก้าวเข้ามาหา  ใบหน้าเรียวซูบเซียวเต็มไปด้วยความร้อนรนเห็นได้ชัดในสายตาของศัลยแพทย์ที่เพิ่งออกมา

            5 ชั่วโมงแห่งความกดดัน  ไม่ใช่แค่คนข้างนอกหรอกที่กังวล...เขาที่เป็นคนลงมีด กรีดลงไปบนผิวหนังของหญิงสาวผู้นั้น  ตัดกระดูกสันอกและเปิดผ่านสิ่งที่ห่อหุ้มหัวใจของเธอลงไปทีละชั้น   จนกระทั่งแลเห็นอวัยวะที่มีไว้สูบฉีดเลือดขนาดใหญ่กว่ากำมือกำลังเต้นเป็นจังหวะอยู่ต่อหน้าเขา

วินาทีที่ต้องหยุดการเต้นของหัวใจชั่วคราวโดยใช้เครื่องปอดและหัวใจเทียมเพื่อทำการผ่าตัดภายในหัวใจ   ชั่วเสี้ยววินาทีที่เขาเกิดความคิดขึ้นมา....ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ทุกขั้นตอน   เหตุสุดวิสัยที่ใครๆก็ต้องเข้าใจว่าเกิดได้เพราะเป็นการผ่าตัดใหญ่   คนไข้ทุกคนต้องยอมรับความเสี่ยงนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ 

จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในห้องผ่าตัดแห่งนี้   จะเป็นอย่างไรถ้าหัวใจดวงนี้ไม่กลับมาเต้นอีก  จะดีหรือไม่ถ้ามันหยุดเต้นไปตลอดกาล...

เพื่อที่เขาจะได้เป็นคนดูแลเตได้ตลอดไป....

‘ไม่ดูแลนายแล้วจะให้ไปดูแลใครล่ะ  นายเป็นหัวใจของพี่เลยนะ  ก็ต้องดูแลให้ดีๆสิ’

‘งั้นพี่เป็นหมอหัวใจเลยดีไหม  จะได้ดูแลผมได้ดีๆไง’

‘หมอหัวใจเหรอ?  ไอเดียดีแฮะ  ตกลง พี่จะเป็นหมอหัวใจที่เก่งที่สุดในโลกเลย  จะได้ดูแลนายได้ดีที่สุด’

เสียงของตัวเอง พูดโต้ตอบกับเตแว่วขึ้นมาในหูโดยไม่รู้ตัว   นานแล้วตั้งแต่วันนั้น ที่เขาตั้งมั่นที่จะเรียนผ่าตัดหัวใจเรื่อยมาไม่เปลี่ยนแปลง   จนวันนี้...เขาได้ชื่อว่าเป็นศัลยแพทย์ทรวงอกและหัวใจอย่างเต็มภาคภูมิ 

ก้มลงมองมีดในมือนิ่งๆ  เหงื่อเริ่มซึมตามไรผมที่ใส่หมวกคลุมเอาไว้  แว่นและหน้ากากที่คาดอยู่ช่วยพรางสีหน้าและแววตาของเขาจากแพทย์ผู้ช่วยและพยาบาลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  ทุกคนต่างมองมาที่เขาเป็นตาเดียวเมื่อเห็นแพทย์มือหนึ่งนิ่งไปเสียอย่างนั้น

“เกิดปัญหาอะไรหรือเปล่าครับพี่”  แพทย์รุ่นน้องถามอย่างขลาดๆ  ใครๆก็รู้ว่าในห้องผ่าตัดแล้ว คนหน้าเข้มขึ้นชื่อเรื่องความดุและความเด็ดขาดแค่ไหน

เหมือนสวรรค์จงใจแกล้งเขา   ชีวิตของผู้หญิงคนนี้อยู่ในกำมือของเขาเพียงคนเดียว...

‘.....นายรู้ไหม  ว่าเรียนผ่าหัวใจน่ะมันยากสุดๆเลยนะ   รู้มั้ยว่าทำไม....เพราะตัดใจมันยากไงล่ะ’  รอยยิ้มขวยเขินของเด็กหนุ่มยังคงติดอยู่ในความทรงจำ  รู้สึกเจ็บนิดๆที่หัวไหล่ราวกับเจ้าตัวเพิ่งเงื้อมือขึ้นทุบเขาเมื่อครู่นี้เอง

รดิศสูดลมหายใจเข้า  ขยับมีดในมือแน่น...

 

            เขาเบือนหน้ากลับมาสบตาคนตรงหน้าอีกครั้ง 

            “ข้าวตังเป็นอย่างไรบ้าง   การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีมั้ยครับ”   คนเฝ้ารอถามรัวเร็ว  และจ้องมาที่แพทย์อย่างรอคำตอบ    ความเป็นห่วงทำให้วางเรื่องระหว่างกันไปชั่วขณะ

            ใบหน้าของรดิศสงบนิ่งราวกับใส่หน้ากาก  นิ่งไปนานเหลือเกินในความรู้สึกของคนรอฟัง

            “การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีครับ  เราได้ผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจให้กับคุณดาวประดับใหม่สำเร็จเรียบร้อย  ระหว่างการผ่าตัดไม่มีปัญหาอะไรติดขัด  ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี  ตอนนี้คนไข้ถูกย้ายไปที่ CCU เพื่อพักฟื้นและรอดูอาการหลังผ่าตัดนะครับ  ญาติสามารถเข้าไปเยี่ยมได้ตามเวลา...มีอะไรสงสัยอยากถามมั้ยครับ”

            ติณธรส่ายหน้า  พูดไม่ออก  เขาดีใจและโล่งใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา   หันไปกอดเจ้านายที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ซบหน้ากับแผ่นอกกว้างนิ่งนาน 

...ข้าวตังปลอดภัย...นั่นคือสิ่งที่เขาต้องการที่จะได้ยินมากที่สุดแล้ว

ภาคย์สบตากับคุณหมอหนุ่มที่ยืนมองอยู่เงียบๆ   เขามองเห็นแววตาวูบไหวอัดแน่นด้วยอารมณ์หลากหลายในดวงตาคมเข้มคู่นั้นยามที่มองมายังคนที่กำลังกอดเขาอยู่  ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นหม่นเศร้า  คุณหมอทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมา  แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแต่ก้มศีรษะให้นิดหนึ่งแล้วเดินผ่านไปเสียเฉยๆ

เตเงยหน้าขึ้น หยาดน้ำตายังคลอครองอยู่ในหน่วยตาเรียวยาวมันขลับ   เพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังกอดคนข้างอยู่จึงรีบคลายอ้อมแขนผละออกจากร่างสูงอย่างเก้อๆ  ภาคย์ไม่แสดงท่าทางอะไรผิดปกตินอกจากแสดงความยินดีกับเขาจากใจ

“โล่งใจไปทีนะคุณเต  คุณตังปลอดภัยแล้ว”  คนฟังพยักหน้ารับคล้ายยังพูดอะไรไม่ถูก  เขาเลยเอ่ยชวน  “เราไปเยี่ยมคุณตังกันดีกว่า”

ภาพคนทั้งคู่เดินเคียงกันหายลับเข้าไปในลิฟต์ทำให้คนที่แอบมองอยู่เงียบๆถอนหายใจยาว   ศัลยแพทย์หนุ่มบิดตัวไล่ความเมื่อยขบจากการยืนผ่าตัดเป็นเวลายาวนานจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น 

ความจริงเมื่อครู่เขาอยากจะแสดงความยินดีกับเต   พูดอะไรสักอย่างที่สื่อว่าเขาดีใจที่การผ่าตัดสำเร็จลงด้วยดี  ทว่าเขาก็พูดไม่ออก   ความรู้สึกที่เขาพยายามกดกักเอาไว้ตลอดการผ่าตัดห้าชั่วโมงมันกลับพุ่งขึ้นมาเสียเฉยๆ จนทำให้เขาไม่อยากฝืนความต้องการของตัวเองอีก

แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว

เขาคงจะเลวเกินกว่าที่จะเรียกตัวเองว่า หมอ  แต่ว่าหมอก็คือ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่มีรักโลภโกรธหลง มีกิเลสตัณหาอยู่ไม่ใช่หรือ   แค่อาชีพบังคับให้ต้องมีเมตตา  ต้องรักษาเพื่อนมนุษย์ทุกคนด้วยจรรยาบรรณที่ควรมีและรักษาเอาไว้

รดิศถอนหายใจยาว....เขาไม่ได้ทำผิด   สุดท้ายมโนธรรมในใจก็เป็นฝ่ายชนะความเห็นแก่ตัวจนได้   ไม่สิ  สุดท้ายคนที่รั้งเขาเอาไว้ได้ก็คือผู้ชายคนนั้นอีกตามเคย

ช่างเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจและชีวิตของเขาอย่างที่ไม่มีใครทำได้   น่าสมเพชเหลือเกินที่เขา...ศัลยแพทย์หัวใจมือหนึ่งคนนี้ต้องเกือบจะสูญเสียความภาคภูมิใจอาชีพและความภาคภูมิใจในตัวเองไป เพียงเพราะอารมณ์ฝ่ายต่ำที่เกิดขึ้นจากความรักและต้องการครอบครอง  รวมถึงความผิดหวังที่พลาดจากรัก

เดินกลับห้องทำงานช้าๆ  แวะเยี่ยมตรวจคนไข้ของตนเองตามปกติเหมือนทุกวัน   คุณลุงคนหนึ่งทักเขาว่าเขาดูเหน็ดเหนื่อยเกินไป  ควรจะพักผ่อนดูแลตัวเองบ้าง   เขาออกจะเห็นด้วยกับคนไข้ของตัวเองอยู่เหมือนกัน   ได้แต่ยิ้มรับเจื่อนๆ

กลับมาถึงห้องทำงานของตน  เขายังเหลือข้าวตังที่ยังไม่ได้ไปเยี่ยม   แต่เดี๋ยวก่อนก็ได้   ถ้าไปตอนนี้เกรงว่าจะเก็บสีหน้าเอาไว้ไม่ไหว    กวาดตามองแฟ้มหนาหลายเล่มที่วางอย่างเป็นระเบียบอยู่บนโต๊ะทำงาน   ใบทำเรื่องขอลาออกยังคงวางทิ้งเอาไว้อย่างนั้น   แม้ว่าความคิดเรื่องการกลับอเมริกาจะเลือนหายไปแล้วตั้งแต่รู้ว่าอดีตคนรักป่วยก็ตาม

ไม่ว่าอย่างไร  เขาก็ยังอยากอยู่ดูแลเต 

คิดถึงเรื่องนี้ทีไรก็ไม่วายวูบโหวงในอก    คนๆนั้นคงจะยังไม่รู้เรื่องอาการป่วยของตนเอง   ถ้าเค้ารู้...จะเสียกำลังใจมากแค่ไหน  จะเศร้า จะกังวลมากมั้ย  จะร้องไห้หรือเปล่า?

ขนาดเขายังทำใจไม่ได้เลย

คนที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึงของรดิศในตอนนี้กำลังยืนนิ่งมองหน้าหญิงสาวคนเดียวในชีวิตอยู่ตามลำพัง   ภาคย์กลับไปแล้ว  อาสาจะไปรับเจ้าเต้มาส่งให้ด้วย   ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวภายในห้องที่ซอยออกเป็นสัดส่วนของ CCU  มีผ้าม่านกั้นอยู่บางๆระหว่างห้องพัก  แวดล้อมด้วยเครื่องอะไรต่อมิอะไรส่งเสียงติ้ดๆเป็นจังหวะอยู่เต็มไปหมด  เช่นเดียวกับสายน้ำเกลือที่ระโยงระยางอยู่

ดาวประดับกำลังหลับสนิท   จะเพราะฤทธิ์ยาหรือความอ่อนเพลียเขาก็ไม่อาจทราบได้   ทรวงอกที่มีผ้าพันแผลปิดทับหลายชั้นขยับขึ้นลงน้อยๆแทบมองไม่เห็น   แต่อย่างน้อย....เธอก็ยังหายใจ   น้องสาวของเขาที่ผ่านอะไรมามากมายด้วยกัน  เขาอยากให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที  เพิ่งรู้ว่าตัวเองรักน้องสาวมากขนาดไหนก็ตอนนี้เอง

ภาคย์พาเต้มาส่งที่โรงพยาบาล   คนป่วยยังไม่ตื่นและห้องตรงนี้ก็ไม่สามารถนอนเฝ้าได้   พอหมดเวลาเยี่ยมพวกเขาก็ต้องเดินออกมา  ทิ้งให้หญิงสาวนอนอยู่ที่นั่นคนเดียวท่ามกลางคนไข้คนอื่นและพยาบาล

เตอยากเฝ้าเธอต่อ  เขาเลือกปักหลักยังเก้าอี้ที่วางเรียงรายอยู่ด้านนอกนั้น  ตัดสินใจจะเฝ้าอยู่ตรงนี้ กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรไปตอนที่ตนไม่อยู่  แต่สภาพของเขาทำให้ภาคย์ขอร้องแกมบังคับให้กลับไปอาบน้ำ กินข้าวกินยาเสียก่อน

“ไม่มีประโยชน์อะไรที่คุณจะมานั่งหลังขดหลังแข็งอยู่ตรงนี้   ในเมื่อข้างในนั้นมีคุณพยาบาลที่ดูแลอย่างดี 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว   ทำแบบนี้มีแต่ตัวคุณที่จะป่วยไปด้วยอีกคน”  เจ้านายพูดเสียงเข้ม  บีบต้นแขนของเขาแน่น เป็นเชิงบังคับให้ลุกขึ้นยืน

“ผมอยากอยู่  เธอไม่มีใครเลย  อย่างน้อยมีอะไรผมจะได้เข้าไปทัน”

“ไม่จำเป็นเลย  ผมให้เบอร์โทรศัพท์กับคุณพยาบาลไปแล้ว  เกิดอะไรขึ้นเขาก็จะโทรตาม   คุณลงไปนอนที่ห้องพักเดิมเถอะ   อย่างน้อยก็คิดถึงเจ้าเต้ด้วย   ไม่งั้นคุณจะให้เต้นั่งตากยุงอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนคุณทั้งคืนด้วยก็ตามใจ”  เตเพิ่งนึกขึ้นได้  หันไปเห็นหลานชายยืนหน้าจ๋อยอยู่ข้างๆก็โอบไหล่เล็กๆนั่นเข้ามากอดแนบตัว

“เต้  หิวข้าวแย่แล้วใช่มั้ยลูก   พ่อขอโทษทีนะ  เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”   ชายหนุ่มจูงมือเด็กชายเข้าไปในลิฟต์แต่โดยดี  ภาคย์ลอบยิ้มมุมปาก...ตัวเองแทบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว  ยังจะดื้ออีก...

          คืนนั้นผ่านไปด้วยดี   เขากับเต้กลับไปนอนพักที่ห้องเดิมที่ยังเป็นชื่อของหญิงสาวอยู่  เช้าวันถัดมาก็กลับขึ้นไปเยี่ยมหญิงสาวที่ CCU  เธอตื่นแล้ว  สีหน้าค่อนข้างสดใสแม้ว่าจะยังซีดเซียวอยู่บ้าง

            “พี่เต...ดีใจจังค่ะ”  เสียงของเธอยังแหบอยู่  มีคนบอกว่าเพราะการใส่ท่อช่วยหายใจจากการผ่าตัดเมื่อวาน   มือเล็กบางยกขึ้นเพื่อจับมือเขา  บีบแน่น  ส่วนอีกฝั่งหนึ่งก็จับแก้มใสของลูกชายเอาไว้

            “คุณแม่  หายแล้วใช่มั้ยครับ”  เด็กชายเต้ถาม   คนป่วยยิ้มชื่นใจ

            “เต้ของแม่...แม่หายแล้วจ้ะ”  เธอตอบ




หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 31-08-2017 21:56:52
   






             อาการของหญิงสาวค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ   เธอฟื้นตัวได้เร็วทีเดียวคงเป็นเพราะมีกำลังใจดี   ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็สามารถย้ายออกจากห้อง CCU กลับมายังห้องพักพิเศษเดิมได้   ติณธรแทบไม่ได้เจอหน้าแพทย์เจ้าของไข้ตรงๆเลยสักครั้ง   มักจะสวนกันไปสวนกันมาเสมอ   แม้ว่าอีกฝ่ายจะมาเยี่ยมคนไข้เป็นประจำก็ตาม

            วันนี้ก็เช่นเดียวกัน...พอเขามาถึงห้องพักพร้อมเด็กชายเต้หลังจากที่เขาไปรับที่โรงเรียน  อีกฝ่ายก็เปิดประตูสวนกลับออกมา

          “คุณลุง  สวัสดีครับ”  ลูกชายยกมือไหว้อย่างไม่ต้องให้ใครบอก  คนเป็นพ่อก็เผลอยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน  นายแพทย์หนุ่มรับไหว้แล้วยิ้มกว้างก้มลงไปหาเด็กน้อยโดยไม่มองหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ..เตรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาวูบ

            “ไงเรา  อยากกินไอติมมั้ยล่ะ  ลุงเลี้ยง”  เต้เบิกตากว้างเมื่อถูกล่อด้วยขนมถูกใจ   เขาพยักหน้ารับทันที หันไปกระตุกมือบิดา

            “กินคับ   คุณพ่อฮะ   เต้ขอไปกินไอติมกับคุณลุงแปบนึงได้มั้ยฮะ”   เตสบตา ‘คุณลุง’ แวบหนึ่งแล้วก็เบือนหลบ

            “ไม่เอาน่ะลูก  อย่าไปรบกวนคุณลุงหมอเลย   ขอบคุณมากนะครับ  แต่ไม่ต้องหรอกฮะเกรงใจ”  ประโยคสุดท้ายเขาเงยหน้าขึ้นพูดกับอีกฝ่ายตรงๆแบบไม่มองหน้า  จำกัดสายตาตนเองอยู่ที่ลำคอแข็งแรงคล้ำแดดที่พ้นปกเสื้อขึ้นมากับปลายคางเขียวครึ้มนั้นแทน

            “ไม่รบกวนอะไรเลย  สบายมาก  คุณก็อย่าซีเรียสมากนักเลยน่า   ผมไม่วางยาลูกคุณแล้วเอาไปขายหรอก”  พูดแกมหัวเราะ  “หรือถ้าคุณกลัว ก็ไม่เป็นไรหรอก  ไว้คราวหน้าแล้วกันนะเต้”  ลูกชายหน้าจ๋อยทันตาเห็น  คนเป็นพ่อเม้มปาก

            “คุณพ่อคับ  ให้เต้ไปเถอะ”  ท่าทางของเด็กน้อยดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว  สุดท้ายนักเขียนหนุ่มก็ใจอ่อนอีกตามเคย

            “ไปกินที่ไหน”  ถามลอยๆ

            “ชั้นล่างของตึกนี้เอง มีร้านอยู่  ไปด้วยกันมั้ยล่ะ”  เอ่ยชวนลอยๆเช่นกัน   แน่นอนว่าคำตอบคือ..

            “ไม่เป็นไร...เต้ไปกับคุณลุงเถอะ   แล้วรีบกลับมานะลูก”  เสียงแข็งแล้วก็อ่อนลง   มองตามหลังร่างเล็กของเด็กชายกับแผ่นหลังกว้างของผู้ชายคนนั้น เดินจากไปด้วยหัวใจที่ยังเจ็บแปลบ

            ....ถ้ายังต้องพบปะ เจอหน้ากันแบบนี้  แล้วอีกนานแค่ไหนกัน  เขาถึงจะตัดใจได้เสียที....อาการปวดท้องนิดๆเริ่มกลับมารังควาน    เหมือนทุกครั้งที่เผลอคิดเรื่องคนๆนั้นขึ้นมา   เตปัดความคิดทิ้ง ผลักบานประตูเปิดเข้าไปภายใน   น้องสาวของเขากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง   เธอส่งยิ้มให้เขา

            “พี่เต  เสียดายเมื่อครู่คุณหมอเพิ่งกลับไปพอดี   หมอดิมบอกว่าลิ้นหัวใจที่เปลี่ยนให้ใหม่ใช้งานได้ดีมากๆเลยค่ะ  เหลือแค่รอให้แผลหายดีและก็กินยาต้านการแข็งตัวของเลือดต่อเท่านั้น  อีกไม่กี่วันก็น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว...ตังดีใจจัง”

เขายิ้มกว้าง ดีใจกับเธอ...ในที่สุดเธอก็จะหายเป็นปกติเสียทีหลังจากที่นอนรักษาตัวมานาน  คราวนี้พวกเราก็จะได้กลับบ้าน  เริ่มต้นชีวิตครอบครัวกันใหม่อีกครั้ง

“ได้กลับบ้านเสียทีนะตัง”  ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเธอแผ่วเบา   หญิงสาวจับมือของเขาเอาไว้ ดึงขึ้นไปแนบแก้ม    ชายหนุ่มก็เลยทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงนั้นเอง   

บรรยากาศภายในห้องพักดูสดใสขึ้นมากจากดอกไม้สีชมพูและขาวที่ภาคย์ซื้อมาเยี่ยม   แสงไฟฟ้าจากด้านนอกส่องผ่านผ้าม่านที่ถูกรูดค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง   กลิ่นหอมอ่อนๆที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของโรงพยาบาลไม่ทำให้รู้สึกหดหู่อีกต่อไป  คงเป็นเพราะความเคยชิน  และข่าวดีของน้องสาว

“พี่เตมีนัดฟังผลส่องกล้องเมื่อตอนบ่ายวันนี้ใช่มั้ยคะ”  หญิงสาวทวนความจำอย่างแม่นยำ   อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

“ใช่จ้ะ  พี่ไปฟังผลมาแล้วเมื่อบ่ายก่อนไปรับเต้ที่โรงเรียน”  เขารักษาน้ำเสียงให้ฟังดูสบายๆ  ซ่อนความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ในน้ำเสียง

“แล้วผลเป็นอย่างไรบ้างคะ”  เธอถามเสียงเบา  มองหน้าเขาอย่างไม่แน่ใจ  ชายหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง   เขาลุกขึ้นเดินไปหยิบแอปเปิ้ลสองลูกมานั่งปอกใส่จานให้น้องสาว   ข้าวตังอยากจะนึกว่าเขาจงใจหลบตาเธอหรือเปล่า  ตอนที่ตอบว่า

“ไม่ได้เป็นอะไรมาก  แค่เป็นแผลในกระเพาะอาหารเฉยๆ  กินยาก็หาย  ผลชิ้นเนื้อไม่เจอเนื้อร้าย...”  เตตอบเรียบๆ  ส่งจานบรรจุผลไม้ให้เธอรับมาทาน   หญิงสาวถอนหายใจยาว

“ค่อยยังช่วยหน่อยค่ะ  แล้วต้องทานยาไปอีกนานแค่ไหนถึงจะหายคะ”

“ก็กินยาต่อเนื่องสักพัก....พี่ต้องมารับยาพร้อมกับเธอด้วยในนัดครั้งหน้า   ก็ดีเหมือนกันจะได้มาโรงพยาบาลทีเดียว”   คิ้วเรียวเข้มขมวดมุ่นคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง   ข้าวตังรู้สึกเหมือนเธอกำลังถูกปิดบังความจริง   มีบางอย่างรบกวนจิตใจของอีกฝ่ายอยู่ 

อะไรกัน?

หญิงสาวเก็บความสงสัยเอาไว้   นายแพทย์ประจำตัวกลับมาที่ห้องพร้อมกับพาลูกชายของเธอมาส่งพอดี  เต้หันไปหอมแก้มคุณหมอรดิศก่อนจากกันราวกับเป็นสิ่งที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน   ผู้ใหญ่อีกสองคนในห้องนั้นต่างเมินมองภาพนั้นไปคนละทาง   ต่างคนต่างก็มีความคิดซ่อนอยู่ในใจ

“เจอกันพรุ่งนี้นะครับ  หนุ่มน้อย...  เอ้อ  คุณเต...มีใบยาของคุณตังที่คุณจะต้องเซ็นลงนามรับรู้ความเสี่ยงด้วยครับ”   ศัลยแพทย์หนุ่มหันมาพูดกับเขาโดยตรง  ตาคมเข้มจ้องเขม็งไม่ยอมให้ปฏิเสธ

“ได้ครับ....ไหนล่ะฮะ”

นายแพทย์นรดิศทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้   เขาเหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ครางออกมา

“ผมลืมเอาเข้ามาด้วย    คงวางอยู่ที่เคาท์เตอร์ข้างนอก”    พูดจบก็หันหลังเดินออกไปจากห้อง    ทิ้งให้คนในห้องมองหน้ากันอย่างงุนงง   เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง  นายแพทย์หนุ่มยังไม่กลับมา

“ตามไปมั้ยคะ  จะได้เซ็นไปเลย  คุณหมอได้ไม่ต้องย้อนกลับไปกลับมา”   คนป่วยเสนอ   เตออกจะเห็นด้วยจึงเดินตามออกไปบ้าง   เขาเห็นแผ่นหลังที่คุ้นเคยวอบแวบอยู่แถวๆเคาท์เตอร์พยาบาล   จึงเดินตามเข้าไป

“อ้อ  รอนิดนึงนะ  ผมไม่รู้เอาไปวางไว้ไหน หาไม่เจอ  กำลังจะให้เขาปริ้นซ์ให้ใหม่อยู่”   คนหน้าเข้มหันมาบอก   สบตากันแวบเดียวก็เบือนหลบ   เตไม่พูดอะไร ถอยไปยืนรอเงียบๆ

            “ในนี้ปริ้นซ์ไม่ได้ค่ะหมอ  ต้องไปปริ้นท์ข้างบนค่ะ”  ผ่านไปหลายนาที สุดท้ายคุณพยาบาลก็หันมาบอก   รดิศถอนหายใจยาวท่าทางหงุดหงิด   เขาบอกขอบคุณแล้วผละออกมาโดยมีชายหนุ่มร่างโปร่งบางเหมือนจะปลิวลมเดินตามมาข้างหลัง

            “เอาไว้เซ็นพรุ่งนี้ก็ได้  ผมต้องไปพิมพ์ใหม่ก่อน  ขอโทษด้วยที่ทำให้เสียเวลา”  จู่ๆคนเดินนำก็หยุดเดิน  แล้วหันกลับมาจ้องหน้าคนที่เดินตามหลัง   “คุยกันหน่อยได้มั้ย....เต”

          เสียงที่เรียกชื่อของเขานุ่มนวลแฝงด้วยพลังที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้  ....เหมือน ‘พี่ดิม’ คนเดิม   เตไม่ตอบ...สบตากันครู่หนึ่ง  พี่ดิมก็หันหลังออกเดินนำเข้าไปในลิฟต์คล้ายมั่นใจว่าถึงอย่างไรเขาจะต้องเดินตามไปแน่นอน   ติณธรรีรอเพียงนิดเดียวสุดท้ายก็เดินตามเข้าไป   เค้าพาขึ้นมายังห้องทำงานส่วนตัวที่อยู่อีกชั้นหนึ่ง

            เตเคยเข้ามาภายในห้องทำงานแห่งนี้แล้ว   ตั้งแต่วันแรกที่เขาขอเข้ามาสัมภาษณ์นายแพทย์หนุ่มเมื่อหลายเดือนก่อน   ยังจำความรู้สึกในครั้งนั้นได้อยู่ราวกับเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่วัน   ตอนนั้นเขาดีใจที่ได้พบอีกฝ่ายก็จริง  ขณะเดียวกันก็เสียใจเพราะรู้ดีว่าคนตรงหน้าไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาและเรื่องของเราเอาไว้เลย

            ในครั้งนี้มันต่างกันออกไป   เรื่องราวระหว่างเราย้อนกลับมาราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก  ผลักเขาให้ตกลงไปในวังวนของความคิดสับสนวุ่นวาย   รู้สึกมือไม้เกะกะไม่รู้จะเอาไปเก็บเอาไว้ตรงไหน   ได้แต่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง  ไม่กล้าเดินเข้าไป

            กลัวอะไร?....เขาก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าตนเองกำลังกลัวอะไรอยู่

            “เข้ามาสิ....นั่งก่อน”   เจ้าของห้องเลื่อนเก้าอี้ด้านหน้าโต๊ะทำงานตัวเดิมให้   เตเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่งช้าๆ   อีกฝ่ายถอยกลับเข้าไปประจำที่ด้านหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่กั้นเราไว้....ไม่ใช่แค่โต๊ะทำงานตัวนี้หรอก ...กำแพงบางอย่างที่มองไม่เห็น  หรือบางทีมันอาจจะเป็นทิฐิของเขาเอง ที่แบ่งแยกเราทั้งสองเอาไว้....อย่างที่ควรจะเป็น

            “วันนี้นายไปฟังผลมาแล้วใช่มั้ย  หมอส้มพูดว่าอย่างไรบ้าง”  ดิมถามเสียงเรียบ  เผลอกลับไปใช้สรรพนามแทนกันเหมือนเดิมยามที่ไม่มีบุคคลที่สามอยู่ด้วย

          “ขอโทษด้วย  แต่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม”  เตตอบ  บีบมือที่วางอยู่บนตักแน่น  เห็นคิ้วคมเข้มขมวดฉับ...คงหงุดหงิดกับคำตอบของเขา 

            “ผมถามเพราะผมเป็นห่วงคุณ....และผมก็เป็นหมอ   คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าผมอาจช่วยคุณได้”  เขากลับไปใช้สรรพนามที่ห่างเหินอีกครั้งคล้ายประชด

            “ขอบคุณมาก  ผมดูแลตัวเองได้   คงไม่ต้องรบกวนคุณหมอหรอกครับ”   พูดจบก็เตรียมจะขยับตัวลุกขึ้นยืน  ทว่าสายตาเหลือบเห็นกรอบรูปที่วางเอาไว้บนโต๊ะทำงานตัวนั้นในมุมที่เจ้าของจะมองเห็นได้ชัดเสียก่อน   เขาชะงักไปนิดหนึ่ง

            รดิศจับสายตาของอีกฝ่าย  เขามองตาม แล้วจับกรอบรูปกรอบนั้นคว่ำลงกับโต๊ะ  คล้ายไม่ต้องการให้ใครเห็น....แขกเม้มปากแน่นสนิท  ลุกขึ้นยืนหันหลังให้

            “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว  ผมขอตัวก่อน”  รู้สึกเสียงของตนเองแหบพร่ากว่าทุกครั้ง   นักเขียนหนุ่มจิกปลายเล็บลงไปในฝ่ามือของตนเองที่กำแน่นจนรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่แล่นขึ้น   แต่นั่นยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดในใจ…

            “เต....พี่รู้แล้วว่านายเป็นอะไร  พี่ส้มบอกพี่”  ประโยคนั้นดังมาจากเบื้องหลัง  รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายลุกจากเก้าอี้แล้วขยับตัวเข้ามาใกล้  กระไอตัวจากคนข้างหลังกระทบกับตัวเขาเบาๆ  “พี่ขอดูแลนาย..จะได้มั้ย”  รดิศต่อประโยคจนจบ  เขาก้าวเข้าไปหาร่างโปร่งบางที่ยืนนิ่งจนแผ่นอกแนบไปกับแผ่นหลังของอีกฝ่าย   กลิ่นหอมอ่อนๆโชยมากระทบจมูก   อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นนั้นเข้าปอดด้วยความคิดถึง

            “ผมไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง  ไม่จำเป็นต้องมีคนมาดูแล   ขอบคุณมากที่หวังดี”   ตั้งเตแทบจะเค้นแรงกายแรงใจทั้งหมดออกมาเพื่อพูดประโยคนั้น  ทั้งที่ใจอ่อนยวบไปหมดแล้วตั้งแต่อีกฝ่ายเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแบบที่เขาไม่เคยต้านทานได้เลย....ขยับขาจะก้าวออกเดิน ก็ถูกวงแขนแข็งแรงโอบรัดจากด้านหลังรั้งเอาไว้แนบอก   ไอตัวจากอีกฝ่ายเริ่มทำให้เขารู้สึกร้อน   

            “นี่ไม่ใช่เวลาจะมาดื้อดึงนะ   นายก็รู้ดีว่ามันต้องใช้เวลารักษานานแค่ไหน   ต้องผ่าตัด  ไหนจะต้องคีโมอีก.....”

            “ผมรู้  ก็บอกแล้วไงว่าผมดูแลตัวเองได้”   เตสะบัดตัว  ทว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อย  “ปล่อยผม   เราจบกันไปแล้วไง  พี่จำไม่ได้เหรอ”

          “พี่ปล่อยนายไปไม่ได้  ....เดี๋ยวก่อน  หันมาฟังกันดีๆ  ตั้งเต....”  รดิศพยายามรั้งตัวอีกฝ่ายเอาไว้เต็มที่  วงแขนสอดรัดเอวบางเอาไว้แน่น   “ตอนแรกพี่ก็จะปล่อยนายไป  แต่พี่ทำไม่ได้  ยิ่งรู้ว่านายป่วย พี่ก็ยิ่งปล่อยนายไปไม่ได้  เต....ให้พี่อยู่ดูแล....”

            “พี่ก็ยังมีคู่หมั้นอยู่ทั้งคน  ก็ไปดูแลเสียสิ  มายุ่งอะไรกับผม  ปล่อย!”  เขาพูดหลังจากดึงความรู้สึกของตัวเองกลับมาได้อีกครั้ง   สะบัดตัวอย่างแรง แม้ว่าจะไม่เป็นผลสำเร็จ  แว่วเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังทุ้มอยู่ข้างหู  ราวกับอีกฝ่ายอารมณ์ดีขึ้นฉับพลัน

            “พี่กับรัน....เราเลิกกันแล้ว”  รดิศพูด   แตะริมฝีปากลงไปที่ซีกแก้มที่ใกล้ที่สุด   ไล่เลยไปยังซอกหูและลำคอ   คนในอ้อมแขนของเขาชะงักไปนิดหนึ่ง   เตหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากันโดยที่เขายังไม่ยอมปล่อยมือจากเอวที่รวบเอาไว้...ใบหน้าเราห่างกันเพียงคืบ

            “ทีนี้ยอมให้พี่ดูแลนายได้หรือยัง”  รดิศกระซิบกับจมูกโด่งสวยนั้น

         ติณธรหยุดดิ้น   เขายืนนิ่งๆในอ้อมแขนของอีกฝ่าย  เม้มปากแน่น  ดวงตาเรียวยาวดำขลับคู่นั้นมีแววไม่แน่ใจแฝงอยู่

          “ไม่ได้....เพราะผมต้องดูแลตังและเต้”

          “พี่ก็ไม่ได้ห้ามนายไปดูแลใครนี่”  คราวนี้ตั้งเตเงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างงุนงง ดิมยิ้ม “พี่แค่ขอดูแลนายบ้าง  แค่ดูๆแลๆ ไม่ทำให้นายสึกหรอหรอก”  พูดเหมือนจะเย้า  “พี่ขอแค่ดูแล....แบบห่างๆก็ได้   จะไม่เข้าไปวุ่นวาย  ไม่ยุ่งเกี่ยวหรือทำให้คุณข้าวตังไม่สบายใจเด็ดขาด  ได้หรือเปล่า?”

            คนฟังเงียบไปนาน  นึกถึงคำพูดของแพทย์หญิงที่เขาเพิ่งไปพบเมื่อบ่ายวันนี้ขึ้นมา

            ‘ทำไมเรื่องมันวุ่นวายได้ขนาดนี้นะ   เต..พี่เห็นใจเธอมากจริงๆ  ตอนนั้นดิมก็ทำเกินไป...คราวนี้พี่ถึงช่วยให้ดิมได้รู้สึกตัวเสียบ้าง  แต่ว่า...พี่ก็อดสงสารมันไม่ได้   ในฐานะที่พี่เห็นดิมมาตลอดตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้  พี่บอกได้เลยว่าไม่เคยเห็นใครทุ่มเทให้ความรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย    เต...พี่ขอร้องให้เธอยกโทษให้ดิมมันหน่อยได้มั้ย  ดิมเสียใจมากนะ  เขาอยู่กับความรู้สึกสูญเสียมาตลอด’

          ‘ผมไม่ได้โกรธอะไรเค้า  ระหว่างผมกับเค้าไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว’

          ‘ถ้าเป็นแบบนั้นจริง  เธอจะขอไม่ให้พี่บอกผลการตรวจ ‘ของจริง’ ของเธอทำไมกันล่ะ  ในเมื่อเธอก็รู้อยู่แล้วว่าดิมเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน....ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เพราะเธอต้องการเอาคืนดิมหรอกหรือ’

          ‘ผมไม่ได้ต้องการเอาคืนเค้าหรืออะไรทั้งนั้น  ผมไม่รู้ว่าพี่ส้มช่วยผมแบบนั้นด้วยซ้ำ’  ได้ยินเสียงตัวเองตอบแพทย์สาวไปเสียงแข็ง

‘ดิมกังวลมากนะ  เขาเสียใจเพราะเข้าใจว่าเธอป่วยเพราะเขา   ตอนแรกเขาตั้งใจจะกลับอเมริกาเพื่อจะได้ลืมเธอ  แต่พอเข้าใจว่าเธอป่วย  เขาก็ล้มเลิกทั้งหมดเพื่ออยู่ที่นี่ต่อ   เต  เขาเป็นห่วงเธอมากจริงๆ  เธอยังทรมานเขาไม่พออีกเหรอ’

‘ผมก็ไม่เห็นว่าเขาจะเป็นอะไรนี่’

‘แล้วเธอจะทรมานตัวเองทำไม   ถึงผลส่องกล้องจะออกมาปกติ แต่ความจริงแล้วเธอป่วย   อาการปวดท้องของเธอมันเป็นของจริง... ที่พี่ส่งเธอไปพบจิตแพทย์เขาก็วิเคราะห์มาแล้วว่าเธอจะปวดท้องทุกครั้งที่คิดถึงการต้องพรากจากกันไม่ใช่หรือ   ถ้าเธอทำแบบนี้ต่อไป โรคปวดท้องของเธอก็จะไม่มีวันหาย เพราะมันไม่ได้เกิดจากร่างกาย แต่เกิดเพราะใจเธอ’

‘ผมมีลูกกับภรรยาที่ต้องดูแล’

‘นั่นเป็นข้ออ้างของเธอ   เธอคิดหรือว่าภรรยาของเธอจะมีความสุข  ถ้ารู้ว่าสามีของเขานอกใจ ....เธออย่าทำเป็นไม่รู้ดีกว่า   ว่าน้องสาวของเธอคิดอย่างไรกับเธอกันแน่  ขนาดพี่เพิ่งพบยังดูออกเลย’

‘ข้าวตังเป็นน้องสาวของผม  โปรดอย่าพูดถึงเธออย่างนั้น’

‘...เต  ถ้าเธอยังดื้อดึงแบบนี้  คนที่เจ็บจะไม่ได้มีแค่ดิมคนเดียวหรอกนะ  แต่คนที่เธอพยายามปกป้อง  อย่างน้องสาวของเธอก็จะพลอยเจ็บปวดไปด้วย  และสุดท้ายคนที่ไม่มีความสุขก็คือเธอเอง’

‘ความสุขของผมมันหมดไปนานแล้ว’   นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เขาพูดกับพี่ส้ม ก่อนที่จะจากมา


 

คนตรงหน้าจ้องมองมาที่เขาอย่างรอคอย   ดวงตาเข้มเต็มไปด้วยความหวังที่เตรู้ดีว่าไม่มีทางเป็นจริงไปได้   ใบหน้าคมตอบลงเล็กน้อย  ใต้ตาดำคล้ำเหมือนคนนอนไม่พอ   เมื่อเทียบกับเมื่อตอนที่เราได้พบกันใหม่ๆแล้ว  เขาโทรมลงไปมากพอดู

‘เธอยังทรมานเขาไม่พออีกเหรอ’  เสียงของพี่ส้มแวบขึ้นมาอีกครั้ง...

พี่ดิมรัดเอวของเขาแน่น   สบตาอย่างไม่แน่ใจอีกครั้งคล้ายต้องการค้นหาคำตอบอื่นที่ซ่อนอยู่   ครั้นเมื่อไม่พบเข้าจริงๆ  แววโทมนัสก็ผุดขึ้นในดวงตาของเขา

“นายจะไม่ให้โอกาสพี่เลยใช่มั้ย...เต”

“..................”

“พี่เคยคิดว่านายเป็นคนใจแข็ง  แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย...นายเป็นคนใจร้ายตะหาก   ใจร้ายแม้แต่กับตัวเอง   เพื่ออะไรล่ะเต  ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร  ฝืนความรู้สึกตัวเองไปทำไม” ดิมยกมือขึ้นจับที่ต้นแขนทั้งสองข้างของเตเอาไว้  บีบแน่นตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้น

“นายรู้อยู่แก่ใจพอๆกับที่พี่รู้...เหมือนที่เราต่างคนต่างรู้   เหมือนที่คืนนั้นนายกอดพี่เอาไว้แล้วบอกว่าไม่อยากให้พี่ไปไหน   นายยังจำได้อยู่ใช่มั้ยเต  คืนนั้นที่ริมทะเล...”

          เผี๊ยะ!!

          มือของคนฟังยกขึ้นสะบัดลงไปบนใบหน้าคมเข้มเต็มแรงจนหน้าหัน   รู้สึกฝ่ามือชา  แต่คงไม่เท่าความเจ็บปวดที่อีกคนได้รับ   เพราะอีกฝ่ายยอมปล่อยเขาเป็นอิสระทันที   แววตาคู่นั้นสั่นไหวรุนแรงคล้ายไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกเขาทำร้ายเอาเช่นนี้ 

            เตไม่อยากเชื่อมือของตัวเองเหมือนกัน

            “ขอโทษ...”  หลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว  รอยนิ้วปรากฏบนซีกแก้มคล้ำข้างนั้นแดงก่ำทันตาเห็น  “เราอย่าข้องเกี่ยวกันอีกเลยดีกว่า   ส่วนเรื่องคืนนั้น...”  พูดยังไม่ทันจบ  ข้อมือของเขาก็ถูกอีกฝ่ายกระชากเข้าหาตัวอย่างแรง   แววตาของรดิศวาวจ้าเหมือนมีไฟลุกโพลงอยู่ในนั้น

            “นายจะทำแบบนี้ให้มันได้อะไรขึ้นมา  ในเมื่อนายก็ยังรักพี่อยู่ ฮึ เต หรือว่านายจะปฏิเสธ?”  เขากดริมฝีปากบดเบียดลงมาทันที   ไม่เปิดโอกาสให้คนในวงแขนดิ้นหนี   ตั้งเตสำลักนิดหนึ่งเพราะตั้งตัวไม่ทัน   พยายามเบือนหน้าหนีทว่าไม่พ้น  เพราะอีกฝ่ายใช้ฝ่ามือแข็งๆบีบที่คาง บังคับให้เงยหน้าขึ้นจนเขาเจ็บ    รู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายดูดกลืนลมหายใจออกจากปอดจนหมดสิ้น   เขาหอบน้อยๆเมื่อพี่ดิมถอนปากออก  เตยกหลังมือขึ้นปาดริมฝีปากที่ยังรู้สึกอุ่นร้อนอยู่นั้นราวกับต้องการลบรอยสัมผัสเมื่อครู่ทิ้ง   แววยอกแสยงผุดขึ้นในดวงตาคมเข้มที่สานสบอยู่

            “ส่วนเรื่องคืนนั้น....” ตั้งเตพูดประโยคเดิมที่ค้างเอาไว้ต่อคล้ายกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรขัดจังหวะ  “ผมขอให้คุณลืมมันไปเสียเถอะ   เหมือนที่ผมตั้งใจจะลืมมันเหมือนกัน”  แววตาของคนพูดเปลี่ยนเป็นเฉยเมยจนคนมองใจหาย  “ผมไม่อยากรื้อฟื้นอะไรอีก คุณหมอช่วยผ่าตัดให้ภรรยาผมจนหายดี...ผมต้องขอขอบคุณคุณหมอมาก   ส่วนเรื่องอาการป่วยของผม   ผมดูแลตัวเองได้ครับ   ไม่ต้องห่วง” 

เตปัดมือที่จับต้นแขนของเขาอยู่ออกจากตัว  ก้มศีรษะให้นิดหนึ่งตามมารยาท    เขาไม่สบตาอีกฝ่าย  เดินออกจากห้องทำงานของศัลยแพทย์โดยไม่เหลียวหันไปมอง   ทิ้งให้เจ้าของห้องยืนนิ่งอยู่เบื้องหลังเหมือนถูกสาป

            ....คนใจร้ายงั้นหรือ?  หึ  เตหัวเราะแค่นๆ  เดินกลับห้องพักของภรรยาอย่างใจลอย  ...เข้าใจเลือกคำพูดนี่พี่ดิม...ถูกต้องที่สุดเลยล่ะ  ในเมื่อตอนนี้ผมไม่ต้องห่วงเรื่องข้าวตังอีกต่อไป  ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ผมจะต้องยอมอ่อนให้เพราะต้องพึ่งพี่อีก   ก็ถึงเวลาที่เรื่องของเราจะต้องถูกชำระล้าง   ผมยังไม่ลืมหรอกนะ   ว่าพี่เคยจงใจ ‘เหยียบย่ำ’ ความรักของผมยังไง   ถึงจะเป็นเพราะตอนนั้นพี่ยังไม่รู้ความจริงก็เถอะ   แต่พี่ไม่เคยรอฟังความจริงจากปากของผมเลย   พี่ไม่เคยเชื่อในความรักของผม...

            พี่คิดว่าทุกอย่างจะกลับมาดีเหมือนเดิม  ง่ายดายเหมือนการค้นเอารูปเก่าๆของเรามาใส่กรอบใหม่งั้นหรือ   ความรู้สึกของผมที่เสียไปเพราะผลของการกระทำของพี่....ความรู้สึกที่ผมเคยอยากทุ่มเทให้พี่   อยาก ‘แก้ตัว’ ใหม่อีกครั้ง  อยากตั้งต้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่   ความรักที่หอมหวานและเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ...พี่ทำลายความไว้วางใจของผมจนหมด   และมันยากที่จะเอากลับคืนมาได้ง่ายๆเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำ

หัวใจของผมมันเจ็บเสียจนชาชิน  จะเจ็บอีกนิดคงไม่เป็นไร  ....อย่างที่ผมบอกตั้งแต่แรก   ทุกอย่างมันสายเกินไป...ตั้งแต่ที่พี่ทิ้งผมเอาไว้ที่บ้านพักริมทะเลนั่นคนเดียว   ตั้งแต่ที่บอกผมว่าเรื่องของเรามันจบไปตั้งแต่ 8 ปีก่อน 

            ผมจะทำให้มันจบจริงๆ


            ............................................................................. 

มาต่อกันครัช  มีใครรออ่านเรื่องนี้อยู่บ้างมั้ยเอ่ย
บอกเลยว่ากว่าจะอัพได้ คิดกลับไปกลับมาหลายรอบมาก  คนอ่านจะเข้าใจเตมั้ย  จะคิดว่าเตงี่เง่าหรือเปล่า  แล้วพี่ดิมล่ะจะทำไงต่อ โอ๊ย ปวดหัวมากค่ะ  ตอนที่ยังเป็นพล็อตก็คิดง่ายเนอะ พอมาเขียนจริงแล้วแบบ...มันได้ป่าววะ  มันโอมั้ยอ่ะ   เกิดความไม่มั่นใจ5555  หวังว่าทุกคนคงเข้าใจ  เเค้นนี้ยังไม่ชำระ  ใครลืมเรื่อง กลับไปอ่านตั้งเเต่ตอน เพราะ...รัก ใหม่อีกรอบ  เนื่องจากโดนช่วงที่ข้าวตังผ่าตัดเข้ามาคั่น  เข้าใจว่าหลายคนอาจจะลืมพล็อตหลักได้55555
ส่วนใครที่เล่นทวิตเด้อ เจอกันใน #ดิมเต
ใครเล่นเฟส อย่าลืมไปกดไลค์แฟนเพจเค้านะ
Melenalike
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 31-08-2017 22:28:50
เตใจแข็ง เตเจ็บแล้วจำ เตสตรองพอ

แต่เต..จะลืมรักนี้ได้หรือ จะอยู่กับความเจ็บปวดตลอดไปหรือ

เตคิดหน่อย คิดสิ  คิด คิด ....

 :z3:  :z13:  :z3:  :z13:  :z3:  :z13:

...


หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: godofhill ที่ 31-08-2017 23:06:39
คิดว่าให้ดิมโดนรถชนอีกสักรอบน่าจะดีกว่า เหมือนได้กลับไปเริ่มต้นจากเรื่องทั้งหมด
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: anga ที่ 31-08-2017 23:21:45
 :angry2:รำคาญ!!!นังเต หมอดิมกลับอเมริกาไปเลย ปล่อยให้นังเตจมอยู่กับความเสียใจไปคนเดียวเลย :serius2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 01-09-2017 05:09:50
ไม่เข้าใจ เตเป็นมาโซใช่ไหม
ถึงได้ทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนอื่นอย่างนี้
ถึงจะโดนกดดันด้วยสารพัดเรื่องก็เถอะ แต่ตอนนั้นเตเป็นคนตัดสินใจทิ้งดิมไปเอง ความเจ็บปวดของดิมก็เป็นของจริง แก้แค้นกันไปแก้แค้นกันมา เมื่อไหร่จะยอมให้ตัวเองมีความสุข
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่25 1/9/60
เริ่มหัวข้อโดย: P_Methayot ที่ 28-09-2017 17:40:29
 :กอด1: :L2: :3123:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 06-10-2017 23:58:19
เพราะหัวใจบอกว่า...หรือ

 

 

 

 

            “เป็นไงบ้างคะ เรียบร้อยไหม”  ข้าวตังถามเขาทันทีที่เขาเปิดประตูเข้าไปภายในห้องพัก  เธอคงรู้สึกผิดสังเกตอยู่บ้างเพราะเขาหายออกไป ‘เซ็นเอกสาร’ นานทีเดียว  ชายหนุ่มคิด ขณะที่วางหน้าเฉยเดินเข้าไปนั่งข้างเตียงเธอ  อันเป็นที่ประจำของเขา

            “คุณหมอต้องขึ้นไปปริ้นท์เอกสารใหม่น่ะ  ก็เลยรอนาน”  หันไปหยิบหนังสือที่อ่านค้างเอาไว้ขึ้นมาถือในมือ  พูดอย่างไม่ใส่ใจ  “เธอนอนก่อนเถอะ  เดี๋ยวพี่พาเจ้าเต้เข้านอนเอง”  หางตาเห็นเจ้าลูกชายตัวดีนั่งดูโทรทัศน์อยู่ไม่ไกล   ร่างกลมป้อมยังอยู่ในชุดนักเรียนเหมือนเดิม  แสดงว่าตั้งแต่กลับมาจากทานไอศกรีม เจ้าตัวก็ยังไม่ขยับเขยื้อนไปจากหน้าโทรทัศน์เลย

            ติณธรวางหนังสือ  ลุกขึ้นยืน  เดินไปหาเด็กชาย

            “เต้  ดูอะไรอยู่ครับ”

          “ดูดราก้อนบอลฮะ  คุณพ่อ... เดี๋ยวดูจบเต้ค่อยไปอาบน้ำ  นะฮะ”  ราวกับจะรู้ว่ากำลังจะโดนดุ  เด็กน้อยรีบพูดออกมาเองด้วยความฉลาด   ดวงตาเรียวยาวดำขลับมองมาที่เขาอย่างอ้อนวอนนิดๆแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปจ้องหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ

            คนเป็นพ่อถอนหายใจยาว   ยกมือขึ้นขยี้เส้นผมอ่อนสลวยที่คลุมศีรษะเล็กๆนั้นอย่างหมั่นเขี้ยวปนเอ็นดู   กับเต้แล้วเขาเป็นต้องใจอ่อนตลอด   คงเป็นเพราะความสงสารที่มีให้นอกเหนือจากความรัก   เด็กที่พ่อแท้ๆไม่ต้องการ  แม่ก็ล้มป่วยออดๆแอดๆ  เหลือแค่ลุงอย่างเขา  ที่รายได้ไม่มากมายอะไร   มีพอแค่ใช้จ่ายภายในบ้านต่อเดือนเท่านั้น   ไม่สามารถฟุ่มเฟือย  ซื้อของนู่นนี่ปรนเปรอหลานรักคนเดียวได้อย่างที่ต้องการ   หลายครั้งที่เขารู้สึกว่าตนเองไม่สามารถ ‘ให้’ ได้เท่าที่ควร   กลัวเหมือนกันว่าหลานจะรู้สึก ‘ขาด’ หรือเปล่า       

          “วันนี้ไปกินไอติมอะไรมา  ยังไม่เห็นเล่าให้พ่อฟังเลย”  เขาทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาข้างลูกชาย   รอจนถึงช่วงโฆษณาจึงค่อยถามเด็กชาย

            “ลุงหมอพาไปกินไอติมช็อคโกแลตมาฮะ  ทำเป็นลูกบอลหลายๆลูก   มีครีมหวานๆด้วย  เต้ชอบ ลุงหมอใจดีจังฮะ ให้เต้เบิ้ลด้วย”

            ตั้งเตฟังยิ้มๆ  ยกมือขึ้นดึงแก้มยุ้ยๆนั้นแรงๆ

            “นี่แหนะ กินแต่ขนมจนจะกลิ้งได้แล้วเรา   พ่อบอกว่ายังไง  ให้ลดๆลงหน่อยไม่ใช่เหรอ”

          “ก็คุณลุงบอกว่า  กินได้ตามสบายเลยนี่ฮะ  ลุงยังบอกเลยว่าเต้ไม่อ้วนซักหน่อย”  ดูเหมือนเด็กน้อยจะปลื้มกับผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์คนนั้นมากพอดู.....ไม่อ้วนงั้นเหรอ  แล้วไอ้ลูกกลมๆที่ดันเสื้อแทบระเบิดออกมานี่มันคืออะไร

            “เต้อยากหล่อมั้ย”  เขาเปลี่ยนคำถาม  นึกหาทางตะล่อมหลอกเด็กให้เพลาๆการกินลงบ้าง

          “อยากฮะ เต้อยากหล่อแบบคุณลุงหมอ หล่อเท่ที่ซู้ดเลย”  พ่อเต้คิ้วกระตุก  นึกฉุนขึ้นมาวูบหนึ่ง   หลานใครเนี่ย  กินขนมฟรีเข้าหน่อย  ถึงกับแปรพักตร์เลยเรอะ

            “เออนั่นแหละ  คุณลุงหมอหล่อใช่มั้ยล่ะ   แล้วเต้อยากหล่อแบบลุงหมอมั้ย”

            “อยากครับ  เต้อยากใส่ชุดขาวๆ  อยากรักษาคุณแม่ได้แบบคุณลุงด้วย”  ก็น่าดีใจอยู่หรอกนะ ที่ลูกชายดันประทับใจอาชีพแพทย์เข้าให้  ถึงจะเป็นเพราะผู้ชายคนนั้นก็เถอะ

            “ถ้างั้นก็ต้องเริ่มที่การลดพุงก่อนครับ   เห็นไหมว่าคุณลุงไม่มีพุงเลย”

          “คุณลุงไม่มีพุงแบบเต้เลยหรือครับ”  เจ้าตัวพูด พลางเอามือจับพุงตัวเอง แล้วหันมามองหน้าเขาตาแป๋ว   จู่ๆผู้ใหญ่ก็หน้าร้อนขึ้นมาซะอย่างนั้น   เมื่อเผลอนึกภาพตามที่เด็กถามด้วยความไร้เดียงสา

            หน้าท้องแข็งแรง มีลอนกล้ามเนื้อเรียงตัวอยู่สวยงามจนน่าอิจฉา  ไรขนอ่อนจากสะดือไล่ลงไปจนถึง....

            “ไม่มีครับ   เต้อยากหุ่นดีแบบคุณหมอมั้ยล่ะ”  นักเขียนหนุ่มรีบดึงความคิดกลับมายังเด็กน้อยตรงหน้า

            “ก็อยาก...”  เริ่มเสียงอ่อย  เพราะรู้ดีว่าบิดากำลังจะขอให้ตัวเองทำอะไร   ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันมาหลายรอบแล้วตั้งแต่น้ำหนักยังน้อยกว่านี้10กิโลกรัม

            “งั้นก็เชื่อพ่อ   เลิกกินโค้กตอนเย็นได้แล้ว  ไอติมก็เหลืออาทิตย์ละครั้งพอ   แล้วพ่อจะพาเต้ไปสมัครคอร์สว่ายน้ำด้วยวันเสาร์อาทิตย์   เต้จะได้มีอะไรทำสนุกๆ  ไม่ร้อนด้วย ดีไหมลูก”  เขาคิดว่าการว่ายน้ำเป็นสิ่งจำเป็น   อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตตัวเองได้ถ้าเกิดอะไรขึ้น

          “ก็ได้ฮะ”  ลูกชายรับคำเสียงเบา    เต้เป็นผู้ใหญ่กว่าอายุ และพูดรู้เรื่องมากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน   เป็นเพราะการเลี้ยงดูของเขาและข้าวตังกระมัง   ยกเว้นเรื่องเดียวที่ขอกันเท่าไหร่ก็ไม่เคยสำเร็จก็คือเรื่องการกินนี่ล่ะ

            ตั้งเตนั่งคุยกับลูกชายอยู่อีกพักใหญ่ก็ไล่ให้ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน    ข้าวตังหลับไปแล้ว  เขายืนรอจนเด็กชายปีนขึ้นเตียงเสริมที่ตั้งอยู่ข้างเตียงของมารดา  ห่มผ้าให้เรียบร้อย   จึงกลับไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวที่ถูกเปลี่ยนเป็นโต๊ะทำงานมาตลอดช่วงเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา

            เปิดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คขึ้นทำงานต่อ ยังเหลืออีกหลายจุดที่เขาจะต้องแก้ไขเพิ่มเติมในบทความ...ใกล้จะถึงเวลารวมเล่มอีกแล้ว  เขาจะต้องเร่งมืออีกครั้ง

            ปลายนิ้วพรมรัวบนแป้นพิมพ์เป็นจังหวะสม่ำเสมอตามความคิดที่แล่นออกมาลื่นไหลราวกับสายน้ำ   ความเงียบสงบภายในห้องพักผู้ป่วยทำให้เขามีสมาธิกับงานเขียนที่เขารัก

            ‘นายจะไม่ให้โอกาสพี่เลยหรือเต’   เสียงนุ่มเบาดังขึ้นในความเงียบ   ชายหนุ่มชะงักนิดหนึ่ง  แต่แล้วก็พิมพ์ต่อไป  พยายามไม่ใส่ใจกับเสียงที่ไร้ที่มา

            ‘แล้วคืนนั้นที่ริมทะเล  นายยังจำได้อยู่ใช่มั้ย’

          เตหยุดทำงาน   ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำดื่มเย็นจัดมาดื่มแก้คอแห้งกะทันหัน   เขาถือแก้วน้ำเดินกลับมานั่งที่เดิม  จ้องมองตัวอักษรเรียงพรืดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์นิ่ง

            จากนั้นเขาก็ซบใบหน้าลงกับท่อนแขนที่ประสานกันเอาไว้บนโต๊ะ  อยู่ในท่านั้นเนิ่นนานในสายตาที่เฝ้ามองอยู่ของหญิงสาวคนเดียวในห้อง    เธอลอบถอนหายใจยาวอย่างหนักหน่วง  ทุกความเคลื่อนไหว...ทุกอารมณ์ของผู้ชายคนนั้นแสดงออกมาหมดทั้งทางสีหน้าและท่าทาง  โดยเฉพาะเวลาที่เขานึกว่าอยู่คนเดียว ไม่มีใครเห็น

             พี่เตไม่มีความสุข  เธอรู้....เขาอดทนเพื่อเธอ...เธอก็รู้อีก   เขาต้องการปกป้องเธอ  รวมถึงปกป้องหัวใจของตัวเองด้วย  พี่เตเป็นคนแบบนี้เอง   เขาชอบคิดคนเดียว  ทำคนเดียว   และสุดท้ายก็มักจะเจ็บเองคนเดียว

            ไม่สิ....ครั้งนี้อาจจะไม่ใช่คนเดียว

            แววตาเศร้าหมองของใครอีกคนผุดขึ้นมาในความคิด ...คนที่เธอเพิ่งได้พบเมื่อตอนบ่าย   คุณหมอรดิศคนนั้น....ท่าทางอิดโรยที่พยายามซ่อนเอาไว้ของคุณหมอไม่อาจรอดพ้นสายตาของเธอไปได้   ความเสียใจมันคล้ายจะแผ่ซ่านออกมาจากเนื้อตัวภายใต้เสื้อกาวน์สีขาวของคนๆนั้น  มากมายจนแทบสัมผัสได้ 

            ‘ขอบคุณคุณหมอมากนะคะ   ที่ให้ชีวิตใหม่กับตังอีกครั้ง’  ประโยคแรกที่เธอพูดกับเขา  ตั้งแต่นายแพทย์หนุ่มเปิดประตูเดินเข้ามาในห้อง 

            รอมยิ้มบนดวงหน้านั้นดูราวกับคนสวมหน้ากาก

            ‘เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องรักษาคุณอยู่แล้วครับ’   ชายหนุ่มตอบสั้นๆ  ซักถามอาการของเธออีกเล็กน้อยแล้วก็ลงมือตรวจร่างกายอย่างละเอียด   ตลอดเวลานั้นเขาแทบไม่เงยหน้าขึ้นสบตาเธอเลย

            ‘เรียบร้อยแล้วครับ   ลิ้นที่เปลี่ยนให้ใหม่ทำหน้าที่ได้ดีมาก  หลังจากนี้จะเป็นช่วงพักฟื้นตัว   ขอให้คุณตังปฏิบัติตัวตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดนะครับ   จะได้หายเร็วๆและไม่มีผลแทรกซ้อนตามมา’

          ‘แล้วจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่คะ’

          ‘วันจันทร์หน้า  ถ้าไม่มีอะไร  น่าจะกลับได้แล้วครับ’  เขาทำท่าจะขอตัว  แต่เธอรั้งเอาไว้เสียก่อน

            ‘เดี๋ยวค่ะ ....ตังมีเรื่องขอคุยกับคุณหมอ...ได้ไหมคะ’

          ‘เรื่องอะไรหรือครับ’  คิ้วเข้มขมวดน้อยๆ  ดวงตาคมกริบมองมาที่เธอคล้ายต้องการมองให้ลึกลงไปถึงก้นบึ้งในจิตใจ     จำได้ว่าเธอเงียบไปนานทีเดียว  กว่าจะพูดออกมา

            ‘เรื่องการผ่าตัดครั้งนี้น่ะค่ะ.....ตังรู้ว่ามันยากสำหรับคุณหมอ    สิ่งที่คุณหมอทำมันพิสูจน์หัวใจของคุณหมอให้ตังเห็นแล้วว่า คุณหมอเป็นคนที่ดีจริงๆ  ตังนับถือหัวใจของคุณหมอมากนะคะ....ถ้าจะมีใครที่มีหัวใจแข็งแกร่งเทียบเท่าคุณหมอ....ก็เห็นจะมีพี่เตคนเดียว’

            ‘คุณหมายความว่าอะไร’   คนฟังถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกระซิบ

            ‘การที่ตังยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้  ทั้งที่ตังเคยนึกว่าตังคงจะตายแน่แล้ว....มันทำให้ตังรู้สึกละอายต่อคุณหมอมากๆ   ตังรู้ว่าคุณหมอช่วยตังเต็มที่  แม้ว่ามัน....’ เสียงของเธอสะดุดนิดๆ  คล้ายเจ้าตัวเปลี่ยนใจ ‘....ตังอยากตอบแทนคุณหมอค่ะ’

          ‘ทางเดียวที่คุณจะตอบแทนผมได้ก็คือ  คุณสองคน  ไม่สิ สามคน  รวมเจ้าเต้ด้วย....ดูแลซึ่งกันและกันไปให้ดีที่สุด  เท่านั้นแหละ   นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ’

          ‘คุณหมอต้องการแค่นั้นจริงหรือคะ’   คำถามย้ำของเธอทำให้อีกฝ่ายชะงักไปนิดหนึ่ง   แต่แล้วเขาก็สามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว 

            ดวงตาคมเข้มสบตาเธอนิ่งนานคล้ายต้องการค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ในระหว่างบรรทัด   สุดท้ายเขาก็ก้มศีรษะรับอย่างสงบ

            ‘ครับ   ผมต้องการแค่นั้น’  ไม่ต้องพูดกันตรงๆให้หมองใจกันเสียเปล่า   แววตาของเขาบอกชัดว่าสิ่งที่เขาต้องการ มันตรงข้ามกับคำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากคู่นั้นอย่างสิ้นเชิง

            ‘ตังจะช่วยคุณเองค่ะ’    นั่นเป็นประโยคสุดท้ายที่เธอพูดกับเขา   หลังจากที่เงียบไปนาน  ชายหนุ่มก้มศีรษะรับ ไม่พูดว่าอะไรอีก   แต่เธอมองเห็นแววขอบคุณอาบอยู่ในดวงตาคู่นั้น

            ใช่...มันถึงเวลาแล้วล่ะ.... เธอขโมยเวลาแห่งความสุขมาจากผู้ชายคนนี้มานานแค่ไหนแล้ว

            .............................................................................................

            “จะได้กลับบ้านแล้ว  ดีใจไหมครับ”   นายแพทย์หนุ่มในชุดกาวน์ยาวสีขาวสะอาดตา รับกับใบหน้าที่วันนี้โกนหนวดเคราเรียบร้อยเกลี้ยงเกลาแปลกตาไปจากทุกวัน  ก้มลงถามเด็กชายวัย 8 ขวบที่ยืนหอบถุงขนมสองถุงใหญ่เอาไว้ในอ้อมแขนอย่างหวงแหนนั้นยิ้มๆ

            “ดีใจฮะ  แต่แบบนี้ผมก็จะไม่ได้เจอคุณลุงแล้วสิ”  ท่าทางหงอยๆนั้นเรียกความเอ็นดูจากทุกคนได้เป็นอย่างดี   ไม่เว้นแม้แต่คนที่ไม่เคยรักเอ็นดูเด็กที่ไหนเลยอย่างรดิศ

            เขายกมือขึ้นโยกศีรษะทุยสวยไปมา

            “อยากเจอลุงเหรอ   ถ้างั้นลุงไปเยี่ยมที่โรงเรียนดีไหม”

          “ลุงไปที่บ้านเต้ไม่ได้เหรอฮะ   นะฮะ  เต้อยากอวดหุ่นที่เต้สะสมด้วย”  เด็กชายพูด   ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผู้ปกครองสองคนเป็นเชิงขออนุญาต

            “ไม่เอาน่ะเต้  รบกวนคุณลุงหมอแบบนั้นได้ยังไง  ขอโทษด้วยครับ”  คนเป็นพ่อบอกเรียบๆ 

            “ไม่รบกวนหรอกครับ  ผมอยากเจอ...น้องเต้”  ทอดเสียงเรียกเด็กชายอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน   ทำเอาผู้ใหญ่อีกคนใจกระตุกแบบไม่ทันตั้งตัว

            “ถ้าอย่างนั้น  ตังว่าเรียนเชิญคุณหมอมารับประทานอาหารเย็นที่บ้านดีไหมคะ   ตังอยากเลี้ยงขอบคุณคุณหมอด้วย”

          “โอ้ย  ไม่เป็นไรหรอกครับ  คุณตังจะเหนื่อยน่ะสิครับ”

          “ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ  เดี๋ยวตังใช้วิธีสั่งอาหารเอา   นะคะคุณหมอ  ให้ตังได้ตอบแทนคุณหมอนะคะ”  คนป่วยที่วันนี้หน้าตาสดใส ผิดไปจากวันแรกที่เข้ามานอนในโรงพยาบาลเป็นคนละคน เอ่ยชวนเสียงใส คะยั้นคะยอมาอีกหลายคำ  คุณหมอเจ้าของไข้เหลือบมองหน้าชายหนุ่มอีกคนที่ยืนเม้มปากเงียบสนิทอยู่ข้างๆภรรยาแวบหนึ่ง

            สบตากันแวบเดียวแล้วก็ต่างเมินมองไปคนละทาง

            “ตกลงครับ”

          “คุณหมอสะดวกวันไหนคะ”   จัดการนัดหมายกันเรียบร้อย   ก็พอดีภาคย์ขับรถมาจอดที่ด้านหน้าพอดี    ล่ำลากันอีกครู่ใหญ่  ครอบครัวเล็กๆพ่อแม่ลูกก็ขึ้นมานั่งบนรถยนต์ของเจ้านายของเต   

            “วันศุกร์นี้เรียนเชิญคุณภาคย์ด้วยนะคะ   ตังจะเลี้ยงขอบคุณทุกคน”   คนป่วยที่เพิ่งหายหมาดๆพูดทันทีที่ขึ้นมานั่ง    เธอรู้ว่าพี่ชายไม่พอใจที่เธอชวนรดิศ  เธอก็เลยชวนชายหนุ่มผู้นี้อีกคนด้วย

            “คุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาล   มันจะไม่หนักเกินเหรอครับ  ผมว่าอย่าดีกว่า”  ภาคย์ท้วง

            “หนักอะไรกันคะ  ตังจะสั่งมากิน  แค่เทใส่จานเองไม่เหนื่อยหรอกค่ะ” 

            แน่นอนว่าภาคย์รับคำ    ติณธรนั่งฟังคนทั้งคู่คุยกันผ่านหูไปโดยไม่ได้รับรู้ถึงเนื้อหา ว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้าง   ความคิดคำนึงของเขายังคงหยุดอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลนั้นเอง

            หรือจะพูดให้ถูกก็คือ   มันหยุดอยู่ที่ผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นนั่นแหละ

            หลังจากที่พูดกันในห้องทำงานวันนั้น   พวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันเป็นการส่วนตัวอีกเลย    ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองคนคล้ายจะกลายเป็นอดีตที่ถูกลืมเข้าจริงๆ    พี่ดิมทำเหมือนเขาเป็นแค่คนรู้จัก  ...ในฐานะแพทย์...ในฐานะสามีของคนไข้   ก็เท่านั้น   ไม่มีอะไรพิเศษ   ไม่มีแววตาโหยหา  ไม่มีความอาลัยอาวรณ์หลงเหลือให้เห็น

            หรืออีกฝ่ายจะทำใจได้แล้ว  ภายในเวลาไม่กี่วัน?

          ขณะที่ความสัมพันธ์ของเราค่อยๆจางหาย  ความสัมพันธ์ระหว่างนายแพทย์กับลูกชายของเขากลับค่อยๆแนบแน่นมากขึ้นทุกที จนเขาอดนึกแปลกใจไม่ได้ 

            ดูเหมือนว่าพี่ดิมจะรักเจ้าเต้เข้าจริงๆจังๆ 

            “พี่เต...พี่เตคะ...ตกลงเราไปด้วยกันดีไหมคะ”  หญิงสาวยกมือขึ้นสะกิดที่หัวเข่าของเขา   เตสะดุ้งตื่นจากภวังค์  หันมายิ้มให้น้องสาวงงๆ

            “คุณภาคย์กำลังเล่าเรื่องที่จะทำเรื่องอนุรักษ์พันธ์ุปะการังน่ะค่ะ  แล้วก็จะพานางแบบไปถ่ายปกด้วยที่เกาะ...อีกประมาณสามอาทิตย์แน่ะค่ะ   เป็นช่วงที่ได้หยุดยาวพอดี    เราไปเที่ยวกันดีไหมคะ”

          “เธอจะไปไหวหรือ”   เขาติง  รอยแผลผ่าตัดยังอยู่ที่แผ่นอกของเธออยู่เลย

            “ไหวค่ะ   นะคะ  พี่เตเคยบอกว่าเปลี่ยนบรรยากาศแล้วจะได้ฟื้นตัวเร็วไงคะ”

          “ไปมั้ยครับ  ทริปนี้เราไปกันหลายคน  มีเจ้าหน้าที่พยาบาลไปด้วยครับ  ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีคนดูแล    คุณเตก็ไม่ได้ไปเที่ยวไหนนานแล้วไม่ใช่หรือ  ถือซะว่าเป็นการไปพักผ่อน  ฉลองที่คุณตังหายดีด้วยไงครับ”

          ติณธรไม่มีทางปฏิเสธ   เขาพยักหน้ารับ แม้จะเป็นห่วงอาการของน้องสาวมากก็ตาม   ถึงวันใกล้ๆแล้วค่อยว่ากันอีกทีก็แล้วกัน

            กลับมาถึงบ้าน   เขาแวบกลับมาทำความสะอาดเอาไว้แล้ว  จัดห้องนอนให้น้องสาวใหม่ที่ชั้นล่างของบ้าน  ตกแต่งเองอย่างที่คิดว่าจะออกมาสวยถูกใจน้องสาวที่สุด    และย้ายโต๊ะทำงานของตนลงมาชั้นล่างด้วย  เพื่อที่จะได้นั่งทำงานเป็นเพื่อนน้องสาวตอนกลางคืน   

            อาการของหญิงสาวค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ  ค่อนข้างเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ด้วยซ้ำ  เธอเกือบจะดูเหมือนคนปกติภายในไม่กี่วันหลังจากกลับบ้าน   ตอนนี้เธอสามารถช่วยเขาทำงานบ้านเบาๆบางอย่างได้แล้ว 

            “พี่เตขา  วันนี้รีบไปรับเจ้าเต้ก่อนนะคะ  ลืมหรือเปล่าเอ่ยว่าวันนี้เรานัดคุณหมอกับคุณภาคย์มาทานข้าวที่บ้าน”   เสียงของหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนเจื้อยแจ้วมาจากห้องครัว   ชายหนุ่มลดหนังสือในมือลง

            ...จริงสิ  วันนี้แล้วสินะ   ไม่ได้เจอกันเกือบสองอาทิตย์แล้ว   ถึงแม้ว่าหลายครั้งเวลาที่เขาไปรับลูกชาย จะได้ยินเต้เล่าให้ฟังว่า วันนี้คุณลุงหมอแวะมาหาที่โรงเรียน ซื้อขนมมาให้อย่างโน้นอย่างนี้  ทว่าไม่มีครั้งใดเลยที่เขาจะได้พบหน้าผู้ชายคนนั้น

            หลบหน้ากันงั้นหรือ   หรือว่าไม่อยากเจอหน้ากันอีกต่อไปแล้ว? ....ชายหนุ่มกระแทกหนังสือในมือลงกับโต๊ะทำงานอย่างแรง   รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมากะทันหัน  กับความคิดที่ว่า อีกฝ่ายคงลืมเขาไปจริงๆ

            ก็ไหนว่าเป็นห่วง   ไหนบอกว่าจะขอดูแลไง?  ....แล้วทำไมเขาจะต้องมานั่งคิดเรื่องนี้ให้เสียเวลาด้วย..

            “พี่เตเป็นอะไรหรือเปล่า   หรือว่าปวดท้องอีก  หน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”   ข้าวตังเดินเข้ามาใกล้  มองหน้าพี่ชายอย่างสงสัย    ช่วงนี้อารมณ์ของพี่ชายแปรปรวนยิ่งกว่าตอนเธอท้องเสียอีก   บางทีเธอก็ตามความคิดของเขาไม่ทันเหมือนกัน

            “หืม?  เปล่านี่  แค่หงุดหงิดเรื่องงานน่ะ”  เขาบอกปัดเธออีกตามเคย

            “รองท้องด้วยนมสดก่อนแล้วกันนะคะ”   

            “ขอบใจจ้ะ”   นักเขียนหนุ่มรับแก้วมาดื่มจนหมด   แค่นี้เธอก็พอใจแล้ว   อย่างน้อยพี่เตก็ยังรับประทานอาหารและยาตรงเวลา   เพราะเธอขู่เอาไว้ว่าถ้าเขาไม่กินยา  เธอก็จะไม่กินเหมือนกัน   เลยเหมือนเป็นการมัดมือชกทางอ้อม   ถึงอย่างไรพี่เตก็เป็นห่วงสุขภาพของเธอที่สุดอยู่ดี

            “พี่ไปรับเต้ล่ะ  ตังรออาหารมาส่งนะ  ไม่ต้องจัดใส่จานอะไรทั้งนั้น เดี๋ยวพี่กลับมาจัดการเอง  เข้าใจไหม”  เขากำชับอีกรอบ   กลัวว่าเธอจะเหนื่อยมากเกินไป

            “โธ่   ตังจะหายดีอยู่แล้ว  ไม่เชื่อเดี๋ยวให้หมอดิมคอนเฟิร์มได้เลย”  รอยยิ้มของคนฟังลดลงนิดหนึ่งจนคนพูดนึกเสียใจ

            “จ้า  ระวังด้วยล่ะกัน  มีอะไรก็รีบโทรมานะ”   ตั้งเตตัดบท   เขากลับออกมาจากบ้านเพื่อไปรับลูกชายที่โรงเรียนตอนเย็น    นั่งรถโดยสารประจำทางเพราะรายได้เริ่มไม่พอกับรายจ่าย   พอข้าวตังป่วยเธอก็ต้องหยุดงานยาว  ทำให้ขาดรายได้ไป  เหลือแค่จากเขาคนเดียว   

            ....บางทีอาจจะต้องหางานพิเศษทำเพิ่ม   อาจจะต้องรับแปลชิ้นงานเหมือนที่เคยทำสมัยเรียน   แน่นอนว่าเขาก็จะต้องเหนื่อยขึ้นอีก 

            มาถึงโรงเรียน   เด็กชายเต้นั่งรออยู่แล้วที่ด้านหน้าห้องพักครู    เขาพาเต้กลับมาถึงบ้านเห็นรถยนต์คันใหญ่คุ้นตาจอดเทียบอยู่หน้าบ้าน    เจ้าของรถเพิ่งจะเปิดประตูลงมา   ร่างสูงสมส่วนดูดีในชุดกึ่งลำลอง   ซ่อนดวงตาคมเข้มเอาไว้เบื้องหลังแว่นกันแดดสีชา

            คนๆนั้นมองมาที่เขาอย่างเพ่งพิศ   ตั้งแต่ที่เขาจูงมือลูกพาลงจากรถโดยสารประจำทางหน้าปากซอยเลยทีเดียว

            “ไม่มีรถไปรับทำไมไม่บอก”  ประโยคแรกที่เขาได้ยิน  เสียงนุ่มเข้มขึ้นเล็กน้อย   ตั้งเตยักไหล่

            “ทำไมต้องบอก   ผมยังไปรับไปส่งลูกผมได้  ไม่เดือดร้อนอะไร”  เขาตอบ    เห็นคิ้วเข้มขมวดนิดๆ แล้วก็คลายออกเมื่อเด็กชายเต้ยกมือขึ้นไหว้

            “คุณลุง  วันนี้มากินข้าวบ้านเต้  ดีใจจังฮะ   เดี๋ยวเต้จะอวดหุ่นกันดั้มของเต้ให้ดู....”  เต้พูดไม่หยุดปาก  ขณะที่อีกฝ่ายก็ก้มลงไป เอียงคอน้อยๆท่าทางตั้งอกตั้งใจฟังเสียเต็มประดา  ไม่สนใจคนที่ยืนเป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนี้อีกเลย

            “เข้าไปคุยในบ้านเถอะ  เต้”  หันไปพูดกับลูกเสียงดุแทน  แล้วตัวเองก็ก้าวฉับๆเข้าไปในบ้านโดยไม่รอคู่หูอีกสองคนที่เดินคุยกันอย่างอารมณ์ดี

            นักเขียนหนุ่มเดินเลยเข้าไปภายในห้องครัว  สวนกับน้องสาวที่ออกไปต้อนรับคุณหมอ  พร้อมกับขนมน้ำเต็มอัตราศึก   ได้ยินเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะนุ่มๆดังในห้องนั่งเล่นมาจนถึงห้องครัวที่เขานั่งเตรียมอาหารอยู่

            ร้านอาหารมาส่งให้พร้อมแล้ว  เหลือแค่ไข่เจียวหอมแดงที่เขาทำเพิ่มเองเท่านั้น

            ชายหนุ่มลงมือซอยหอมแดง    รู้สึกแสบนัยน์ตาทันควัน   น้ำตาร้อนๆไหลออกมาจากสองตาเป็นทางยาว   ตั้งเตยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดลวก  ทว่ายิ่งเช็ดก็ดูเหมือนจะยิ่งแสบมากขึ้น

           





หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 06-10-2017 23:59:19




            “มือคุณยังเปื้อนอยู่แบบนั้น  เอาไปป้ายตามันก็ยิ่งแสบสิ”   เสียงนุ่มๆพูดแกมหัวเราะอยู่ไม่ไกลนัก   เจ้าของบ้านพยายามลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก  เห็นเงาของร่างสูงสมส่วนอยู่ที่หน้าประตูห้องครัว

            “คุณออกไปนั่งรอข้างนอกเถอะ”  พูดห้วนๆ  น้ำตาไหลพรากจนลืมตาไม่ขึ้น   เขาคลำทางไปที่อ่างล้างมือด้วยความเคยชิน   เปิดก๊อกน้ำก้มลงไปวักน้ำล้างหน้าล้างตาและมือจนค่อยรู้สึกดีขึ้น

            พอหันกลับมาก็เกือบสะดุ้งเพราะคนที่เขาเพิ่งไล่ให้ออกไปนั่งรอข้างนอกตามประสาแขก กลับยืนจังก้าอยู่เบื้องหน้าเขา   จ้องเขม็งมาแบบไม่ยอมให้หลบไปทางไหน

            “ออกไปรอข้างนอก”  พูดซ้ำอีกรอบ    อีกฝ่ายกลับก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้นจนเกือบประชิด    เตถอยหลังโดยไม่รู้ตัว   แต่ติดขอบอ่างล้างมือด้านหลัง 

            ลมหายใจของเตเริ่มจะติดขัด   หัวใจเต้นแรง  ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากอีกฝ่ายโชยมาจางๆ

            “ถอยออกไป”   กัดฟันพูดคำเดิม   นานจนเหมือนเป็นชั่วโมง  กว่าอีกคนจะยอมถอยหลังออกไปยืนที่หน้าประตูตามเดิม  ทว่าไม่ยอมละสายตาไปจากเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว

            “คุณทำไข่เจียวหอมแดงหรอ?”   รดิศถามเรียบๆ

            “ใช่    ผมอยากกิน”  ติณธรตอบ   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตนเองต้องขยายความต่อท้ายด้วย   อีกฝ่ายจะคิดว่าอย่างไรมันก็ไม่สำคัญกับเขาเลยสักนิด

            “ของโปรดผม ....สงสัยเราคงจะใจตรงกัน”  รอยยิ้มบางอย่างพาดผ่านในดวงตาคมกริบคู่นั้นคล้ายกับว่าเจ้าตัวกำลังสนุกไม่น้อยที่ได้เย้าเขาเล่นเช่นนี้

            “บังเอิญจริงๆที่เป็นของโปรดของคุณภาคย์ด้วย”   เตตอบ   คนฟังเลิกคิ้ว

            “ดูเหมือนว่าคุณภาคย์จะชอบทานอะไรหลายๆอย่างเหมือนผมเลยนะ”   รดิศพูด  กวาดสายตามองกับข้าวอีกหลายอย่างที่จัดใส่จานเอาไว้เรียบร้อย   คนฟังเม้มปาก   

            “ไม่แปลกอะไรนี่  ของอร่อยใครๆก็ต้องชอบ”

          “นั่นสิ  ยิ่งถ้าได้ชิมมาแล้ว ก็ยิ่งอยากลิ้มรสชาติของมันอีก ซ้ำๆ..”   ปากพูดถึงอาหาร แต่สายตากลับมองอ้อยอิ่งอยู่ที่ริมฝีปากของเขา   เจ้าของบ้านกำมือแน่น

            “บางคนชั่วชีวิตนี้ก็มีโอกาสได้กินของดีๆแค่หนเดียวเท่านั้น”

          “จริง...แบบนั้นมันยิ่งรู้สึกโหยหานะว่ามั้ย    เหมือนมันยังไม่พอไง”    คุณหมอหนุ่มตอบกลั้วหัวเราะ   ราวกับกำลังเบิกบานเหลือเกิน

          “แต่บางอย่าง กินหนเดียวก็แทบอ้วกแล้ว  แค่คิดถึงก็ขยะแขยง” 

            แววตาของคนฟังเข้มขึ้นจนคนพูดเริ่มกลัว   ตั้งเตก้าวถอยหลังไปอีกก้าว  ทำท่าจะเบี่ยงหลบไปข้างๆ  ติดที่อีกฝ่ายก้าวพราวเดียวเข้ามาประชิดตัวเขา   แขนล่ำสันยกขึ้นเท้ากับกำแพงกักตัวเขาเอาไว้ในวงแขนของอีกฝ่ายกลายๆ

“ขยะแขยงมากงั้นหรือ”  แขกผู้มาเยือนถามเสียงต่ำลึก    ใบหน้าทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงชั่วลัดนิ้วมือ    เตกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อใบหน้าคมเข้มโน้มลงมาใกล้กว่าเดิม   หัวใจเต้นแรงอยู่ใต้ทรวงอก   อยากยกมือขึ้นดันตัวอีกฝ่ายออกไปแต่ร่างกายกลับไม่ขยับตาม  เขายืนนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น

            “เคยได้ยินโบราณว่าไว้ไหม  ว่าเกลียดอย่างไหนได้อย่างนั้น..” พี่ดิมกระซิบกับริมฝีปากที่เม้มแน่นของเขา   ใกล้เข้ามาอีกจนเขามองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดอีกต่อไป    ร่างสมส่วนเบียดเข้ามาชิดจนแทบไม่เหลือที่ว่างระหว่างกัน

            ติณธรเผลอหลับตาปี๋ 

            คุณหมอชะงักนิ่งไปอึดใจ  ก่อนที่จะเบี่ยงปลายจมูกโด่งนิดเดียวไปสัมผัสกับซีกแก้มของคนในวงแขนแผ่วเบา    เตรู้สึกถึงไรหนวดสากระคายอยู่ที่ริมหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มอุ่นที่แนบลงมา   เสียงคุ้นเคยกระซิบข้างหูปนกับเสียงทอดถอนลมหายใจ

            “คิดถึง...”   คนฟังลืมตาขึ้นอย่างงุนงง   พูดจบรดิศก็ยกมือขึ้นปัดเส้นผมที่ลงมาปรกใบหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน   จากนั้นจึงถอยออกไปยืนห่างๆ   ยิ้มมุมปากนิดหนึ่งให้คนที่ยังยืนนิ่งงัน

            ....ไม่มีความดุดันก้าวร้าวใดๆอย่างที่เตคิดว่าจะได้รับเมื่อทำให้อีกฝ่ายโกรธเกรี้ยว   ไม่มีคำพูดเชือดเฉือนฟาดฟัน  มีเพียงการกระทำและประโยคบอกความรู้สึกในใจง่ายๆสั้นๆ...ประโยคที่ไม่สัมพันธ์กับบทสนทนาตั้งแต่ต้นเลยแม้แต่น้อย  แต่ให้ตายเถอะ....มันทำให้เขาใจสั่นเสียยิ่งกว่าถูกพี่ดิมบังคับรุนแรงเสียอีก

            “ผมจะรอกินไข่เจียวฝีมือคุณนะ”   คุณหมอหนุ่มพูด แล้วเดินออกจากห้องครัวไปอย่างรวดเร็วไร้เสียงพอๆกับขามา    เจ้าของบ้านใช้เวลาพักหนึ่งจึงจะนึกออกว่าตนเองควรจะตอบโต้กลับไปอย่างไร   ทว่าอีกฝ่ายก็เดินหนีไปเสียแล้ว

            รดิศกำมือแน่นขณะที่เดินผละจากมา   เตคงไม่รู้หรอกว่าเขาต้องใช้พลังใจเท่าไหร่ จึงจะสามารถอดกลั้นความต้องการที่แทบจะล้นออกมานอกอก   สะกดความเห็นแก่ตัวและความรู้สึกเบื้องต่ำลงไป   กลั่นออกมาเพียงประโยคแทนใจสั้นๆห้วนๆเท่านั้น   เขาอยากพูดมากกว่านี้   มีอะไรอีกหลายอย่างที่เขาอยากบอกผู้ชายคนนั้น   กับหลายวันที่ผ่านมาที่เราไม่ได้พบหน้ากัน   

            คิดถึงใจจะขาด...

            “คุณหมอ   หาห้องน้ำเจอไหมคะ”  เขาสะดุ้งเล็กน้อย   เมื่อเดินเลี้ยวมุมออกมาพบกับเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงเข้า  เธอถามอย่างเป็นห่วง คงเห็นว่าเขาหายไปเข้าห้องน้ำนาน    แขกยิ้มรับ   ปรับสีหน้ารวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “เจอแล้วครับ   ขอบคุณมาก   คุณตังมีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ”   เปลี่ยนเรื่องแล้วก็ชวนคุยเรื่องอื่นไปเรื่อยๆตามสไตล์   เขาซักถามอาการของเธออย่างละเอียด  ลงมือตรวจร่างกายเล็กๆน้อยๆเท่าที่จะทำได้เป็นการฆ่าเวลาระหว่างรออาหาร 

            เสียงรถยนต์มาจอดอยู่หน้าบ้าน   ต่อให้ไม่ออกไปดู  เขาก็รู้ว่าใครมา

            “คุณภาคย์มาแล้วค่ะ  เดี๋ยวตังขอออกไปเปิดประตูก่อนนะคะ”   หญิงสาวพูด  ลุกขึ้นเดินออกไป  ชายหนุ่มมองตาม  อดนึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มอีกคนที่เป็นเจ้านายของเต   ถึงจะรู้อยู่ในใจว่าอีกฝ่ายเลือกที่จะยอมถอยให้เขาแล้วก็ตาม    เขาก็ยังไม่ไว้ใจอยู่ดี....

            ติณธรเดินออกมาจากห้องครัว  ยิ้มรับชายหนุ่มผู้มาใหม่  ท่าทางดีอกดีใจราวกับไม่ได้เจอกันมาแรมปี จนคนที่แอบมองอยู่ห่างๆเกือบจะเบ้ปาก   ปลายนิ้วเรียวยาวยกขึ้นเคาะโต๊ะกระจกเป็นจังหวะ  แบบที่เขาชอบทำเวลาที่รู้สึกขัดใจ

            ภาคย์หันมามองเขา  ทำท่าเหมือนเพิ่งเห็น....หึ

            “คุณหมอดิม สวัสดีครับ   ยินดีที่ได้พบคุณอีก”

          “ยินดีเช่นกันครับ”  พูดตอบตามมารยาทแบบถูกต้องตามหนังสือสมบัติผู้ดีแล้ว ต่างคนต่างก็ฉีกยิ้มกว้างให้แบบจริงใจที่สุด(เท่าที่จะกัดฟันทำไหว)   

            ดาวประดับรับรู้ถึงบรรยากาศอึมครึมบางอย่างระหว่างผู้ชายสองคนนี้   แทบทุกครั้งที่ทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน   เป็นต้องเกิดบรรยากาศชวนอึดอัดแบบนี้ขึ้นทุกที   เหลือบมองไปที่คนกลางที่ยังคาดผ้ากันเปื้อนยืนอยู่ข้างคุณภาคย์แล้วก็อยากถอนหายใจยาว 

            บางทีเธอก็อดรู้สึกหนักใจแทนพี่เตไม่ได้

            ความรักและความหึงหวงฉันท์คนรักไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้ว  สายใยแห่งความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่เตได้ค่อยๆแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นความรักแบบน้องสาวที่มีต่อพี่ชายคนสนิทเพียงคนเดียวอย่างที่ควรจะเป็น   ด้วยฝีมือของเธอเอง   ถึงแรกๆจะตัดใจยากหน่อย  ทว่าวันนี้เธอกลับรู้สึกว่าหัวใจของเธอสงบลงมากแล้ว 

            พี่เตคือพี่ชายของเธอ....เขาเสียสละให้เธอมากเกินพอแล้วสำหรับชั่วชีวิตนี้

          “เหลืออะไรอีกบ้างคะพี่เต  ให้ตังเข้าไปช่วยดีกว่า  ตังเป็นคนอยากเลี้ยงแท้ๆกลับให้พี่เตหัวหมุนอยู่คนเดียวเลย  แย่จริงๆ”  เธอพูด

            “หยุดเลยตัง  เธอไปนั่งพักเถอะ   หน้าเริ่มซีดแล้วเนี่ย   เอ่อ...คุณภาคย์ฮะ  ผมขอฝากดูข้าวตังสักครู่นะครับ  ขอเข้าไปจัดการในครัวต่ออีกนิดหน่อย”   เขาทำเหมือนแขกอีกคนเป็นอากาศธาตุ   ภาคย์พยักหน้ารับ ขณะที่คนโดนเมินพูดขึ้นบ้าง

            “งั้นขอฝากคนไข้ผมด้วยนะครับ  ผมจะเข้าไปช่วยคุณเตจัดจานเอง  จะได้เสร็จไวๆ”    คนชื่อเตพูดไม่ออก   มองอีกฝ่ายเดินเข้าไปครัว  ยกจานอาหารที่จัดเสร็จแล้วออกมาวางเรียงเอาไว้  ท่าทางคุ้นเคยราวกับเป็นเจ้าของบ้านเสียเอง

            แว่วเสียงหัวเราะขลุกขลักดังออกมากจากในลำคอของใครบางคน   นักเขียนหนุ่มเม้มปากแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง   เขาอยากกระแทกเท้าแรงๆระบายอารมณ์ แต่สู้อดกลั้นเอาไว้   เสียงเจ้าลูกชายตัวดีวิ่งลงบันไดลงมาทักทายคุณลุงภาคย์ดังลั่น

            อาหารมื้อนั้นผ่านไปอย่างอึดอัดในความรู้สึกของเจ้าของบ้านฝ่ายชาย  เขานั่งติดกับคุณหมอหนุ่มอย่างจำใจ   เผลอเกร็งตัวทุกครั้งที่ท่อนแขนแข็งแรงขยับมาชนโดยไม่ตั้งใจ 

            คนที่ควบคุมการสนทนาบนโต๊ะคือหญิงสาวหนึ่งเดียว   เธอกลับมาเป็นข้าวตังที่สดใสอีกครั้งโดยเฉพาะในระยะหลังๆมานี้   เขาสังเกตเห็นว่าเธอยิ้มง่ายขึ้น  หัวเราะง่ายขึ้น   แววตาของเธอดูมีความหวังบางอย่าง....อย่างที่เขาไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว 

            รวมถึงสายตาของเธอเวลาที่มองมายังเขา  มันไม่มีแววเจ็บปวดแฝงอยู่อีกต่อไป....

            “ตังไปได้ไหมคะคุณหมอ   ตังสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีเลย  นะคะ”   เสียงหวานใสถามย้ำเรื่องไปเที่ยวกับแพทย์เจ้าของไข้   เตตื่นจากภวังค์ หันไปมองรดิศงงๆ  สบตากันชั่วครู่อีกฝ่ายก็เมินหลบไปอย่างสงบ

            “ผมว่ารอก่อนดีกว่า   อย่าเพิ่งไปไหนไกลๆเลยครับ  พักผ่อนให้ร่างกายฟื้นเต็มที่ก่อน”   นายแพทย์พูด

            “แต่ตังก็หายจนเกือบเป็นปกติแล้วไม่ใช่หรือคะ  เมื่อกี้คุณหมอยังบอกตังเองเลยว่าตังฟื้นตัวเร็วดีมาก  แล้วนี่อีกตั้งสามอาทิตย์  ตอนนั้นตังก็แข็งแรงกว่านี้เสียอีก”   เธออ้าง

            “ผมบอกว่าคุณฟื้นตัวเร็วก็จริง  แต่ไม่ได้บอกว่าคุณหายสนิทเป็นปลิดทิ้งนี่ฮะ   เชื่อผมเถอะ  อย่าเพิ่งไปเลย”   คราวนี้สายตาคมเข้มเหลือบมองมาทาง ‘สามี’ ของผู้ป่วยเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

            “ผมจะดูแลเธออย่างดีที่สุดเองครับ   อนุญาตให้เธอไปเถอะ   เธอไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนมานานแล้ว  นับตั้งแต่....”  ประโยคสุดท้ายหายไปในลำคอคล้ายคนพูดเกิดความสะเทือนใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน 

            แววตาของหญิงสาวเกิดละอองไอขึ้นมาเป็นฝ้าแวบหนึ่งแล้วก็เลือนหายไป    ...บางเหตุการณ์ก็กลายเป็นหนามแหลมเสียดแทงอยู่ในใจทุกครั้งที่นึกถึง  แม้จะคิดว่าตนเองสามารถทำใจได้แล้วก็ตาม   มันเป็นความผิดพลาดในชีวิตที่ไม่อยากจดจำ  ทว่าไม่อาจลืม

            “ถ้าอย่างนั้นคุณหมอไปด้วยกันเสียเลย  ดีไหมครับ   จะได้ดูแลคุณตังด้วย  และก็ถือโอกาสนี้พักผ่อนเสียหน่อย”   ภาคย์พูดขึ้นมาท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน    คุณหมอหันไปสบตาคนพูดแวบหนึ่ง  ความนัยบางอย่างที่ส่งมาทำให้ดิมเผลอขมวดคิ้ว   แล้วก็คลายออก

            “ผมยืนยันคำเดิมว่าผมยังไม่อยากให้คุณไปไหนไกลๆ  ส่วนเรื่องที่ชวนผม   ผมต้องกลับไปเช็คตารางงานของผมก่อนเลยยังตอบคุณไม่ได้  ขอโทษด้วยนะครับ”

          เป็นอันว่าจบหัวข้อนี้ไปโดยปริยาย     หลังจากนั้นนักเขียนหนุ่มก็ไม่ค่อยได้ฟังเท่าไหร่ว่าใครพูดอะไรบ้าง   เขาตักข้าวเข้าปากอย่างแกนๆ  ทั้งที่เป็นเมนูโปรด    ความอยากอาหารมันหายไปเสียดื้อๆ

            รับประทานอาหารเสร็จแขกทั้งสองคนก็ช่วยเขาลำเลียงจานกลับเข้าไปในครัว   เจ้าของบ้านปฏิเสธอย่างแข็งแรงว่าไม่ยอมให้แขกล้างจานให้  ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนต้องล่าถอยกลับไปยังห้องรับแขกแทน   สักพักเตก็กลับออกมาจากห้องครัว   เขาพบว่าในห้องรับแขกเหลือน้องสาวนั่งเอนหลังอยู่คนเดียว

            “อ้าว  คุณภาคย์กับคุณหมอไปไหนแล้วละตัง”   เขาถามงงๆ  หญิงสาวพยักพเยิดออกไปด้านนอกบ้านแทน  เขาชะเง้อมองผ่านหน้าต่างก็เห็นร่างของชายหนุ่มสองกับเด็กอีกหนึ่งกำลังเตะลูกบอลกันอย่างสนุกสนาน   

            “เล่นกันสนุกเลยค่ะ  ไม่ยักรู้ว่าคุณหมอก็เตะบอลเก่ง”

          “เค้าเคยเป็นนักกีฬาฟุตบอลของคณะฯมาก่อนน่ะ”  ตั้งเตเผลอตอบออกไป  ก่อนจะนึกขึ้นได้   เหลือบมองหน้าคนฟังก็เห็นคนฟังมีสีหน้าเฉยๆ  ไม่ได้แปลกใจอะไร

            “ตังก็ว่าแล้วเชียว   เล่นเก่ง   คุณภาคย์ก็ไม่เบานะคะ   ท่าทางคล่องแคล่วทีเดียว”  หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “พี่เตออกไปเล่นด้วยสิคะ  ไม่ต้องห่วงตังหรอก  ตังนั่งๆนอนๆอยู่ตรงนี้แหละ”

          ชายหนุ่มส่ายศีรษะ พูดแกมหัวเราะ

            “ไม่ล่ะ  ตังก็รู้ว่าพี่เล่นไม่เป็น  ขืนออกไปร่วมสนามด้วยมีหวังได้กลายเป็นลูกบอลให้สามคนนั้นเตะแน่  ฮ่าๆ”   คนฟังยิ้ม  ปรารภต่อ

          “คนเราก็แปลกดีนะคะ  ลูกบอลลูกเดียว...แย่งกันอยู่ได้”

          “เอ้าเธอ  ก็มันเป็นกีฬา  เล่นสนุกๆไง”  เตพูด  ก้มลงช่วยห่มผ้าคลุมให้น้องสาว   พลางหันไปปลอกแอปเปิ้ลให้อย่างเอาใจ

          “ค่ะ ตังรู้   แต่เห็นแล้วตังก็อดคิดไม่ได้เวลาดูบอลทีไร  อยากซื้อลูกบอลแจกให้เสียเลยคนละลูก”

          “ถ้าทุกคนมี  ก็ไม่ต้องแย่งกันอีก  มันก็ไม่สนุกสิตัง”

            “จริงค่ะ  แย่งกันไปแย่งกันมา... บางทีถ้าลูกบอลพูดได้   มันอาจจะอยากบอกก็ได้นะคะ  ว่าอยากเลือกไปอยู่ที่ตรงไหนของสนาม”   

            ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ   ยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องสาวเบาๆ  เขาจัดการเก็บของจนเรียบร้อยจึงค่อยเดินออกมาสมทบกับสามหนุ่มด้านนอกบ้าน   ภาคย์ส่งบอลมาให้เขา   ลูกบอลกลิ้งมาหยุดอยู่ที่ปลายเท้า

            นักเขียนหนุ่มก้มลงหยิบขึ้นมาถือเอาไว้ในมือ

            “มาเล่นด้วยกันสิคุณเต  เตะมาเลย”  เจ้านายของเขาพูด  กวักมือเรียก   ขณะที่คุณหมอเดินตรงเข้ามาหาเขา 

            “ถ้าไม่เล่นก็อยู่เชียร์ข้างสนามก็ได้....เหมือนที่เคยไง”  ผู้ชายหน้าเข้มพูด  ยิ้มนิดๆมุมปาก  รับลูกบอลไปจากมือของเขา   มือต่อมือสัมผัสกันแวบหนึ่ง   กระแสอุ่นวาบกระทบจนเกือบเผลอชักมือออก

            ....เหมือนเคยงั้นหรือ....นานแค่ไหนแล้วหนอที่เขาเคยหาโอกาสทำทีไปเดินรอบสนามฟุตบอลของมหาวิทยาลัยตอนเย็นเพื่อมองหาใครคนหนึ่ง   คนที่เขารู้ว่าจะต้องมาซ้อมเตะทุกวันที่นี่   เพียงเห็นร่างคล้ำสมส่วนในชุดนักกีฬา   เห็นรอยยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลึกข้างแก้ม....ดวงตาคมเข้มแพรวพราวหวานราวกับจะหยดยามที่เราสบตากันริมสนามคล้ายไม่ตั้งใจ 

แค่นั้นก็ทำเอาตัวลอยๆเบาๆ  หาทางกลับบ้านแทบจะไม่ถูกแล้ว

ภาพนักกีฬาคณะฯในความทรงจำทับซ้อนขึ้นมากับภาพผู้ชายหน้าคมเคร่งในปัจจุบัน  สิ่งที่แตกต่างออกไปเห็นจะมีเพียงริ้วรอยระหว่างวัยและช่วงลำตัวที่หนาขึ้นเท่านั้น....อ้อ   และความรู้สึกของเราด้วย

หยดน้ำตาคลอขึ้นมาแวบหนึ่ง   เตรีบกระพริบไล่ความพร่ามัวออกไปอย่างรวดเร็ว   เขาไม่อยากให้ใครคนนั้นรู้ว่าเขายังคงคิดถึงช่วงเวลาในอดีตเหล่านั้นอยู่เช่นกัน

เต้วิ่งเข้ามาหาเขา  พูดปนหอบ

“คุณพ่อครับ  เต้ขอกินโค้กได้มั้ย  วันนี้เต้ออกกำลังแล้วนะ  ลุงหมอบอกว่าเต้กินได้”   ลูกชายรีบพูด  เอาชื่อคุณลุงหมอมาอ้างเพราะรู้ดีว่าน้ำอัดลมเป็นต้องห้ามสำหรับบ้านนี้    บิดาขมวดคิ้ว

“บ้านเราไม่มีโค้กแล้วเต้  พ่อทิ้งไปหมดแล้ว”  เต้มีสีหน้าเจ็บปวดเมื่อได้ยินเข้า

“งั้นเดี๋ยวลุงภาคย์พาไปซื้อหน้าปากซอย  ดีไหมครับ”  ภาคย์ที่สิ่งเข้ามาร่วมวงด้วยเสนอ   เด็กชายยิ้มกว้าง  ทำเอาคนเป็นพ่อปฏิเสธไม่ออก  ได้แต่พูดตามหลังเสียงอ่อยว่าอย่ากินเยอะนะ   มองชายหนุ่มร่างสูงโปร่งจูงมือพาเด็กน้อยเดินออกจากบ้านไปปากซอย

แว่วเสียงหัวเราะในลำคอแผ่วเบา จากอีกคนที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ   เตเหลือบมองทางหางตา  เห็นแขกที่เหลือกำลังยืนมองนกที่เกาะอยู่บนกิ่งมะม่วงใกล้ๆรางกับเพลิดเพลินเสียเต็มประดา

“หัวเราะอะไร”  เจ้าของบ้านถาม

“เห็นนกมันทำหน้าบูดบึ้งตลกดี  ก็เลยหัวเราะ ...ถามกลับบ้างนะ  ร้องไห้ทำไม?”  โดนถามกลับแบบไม่ทันตั้งตัว  นักเขียนหนุ่มชะงักหันไปมองหน้าคนถามขวับ

“ใครร้อง  ไม่ได้ร้อง”

“แล้วที่ยืนน้ำตาคลอเมื่อกี้คืออะไร”  รู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาดื้อๆ  แปลว่าทุกอิริยาบถของเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาคมไวของอีกฝ่ายไปได้เลยสินะ

“ฝุ่นมันเข้าตา”   ตอบกลับไปห้วนๆ  ยกมือขึ้นขยี้ตาแรงๆให้ดูเป็นการยืนยันอีกรอบ 

“อ้อ..”   รดิศรับคำ น้ำเสียงไม่มีความเชื่อถืออยู่เลยแม้แต่น้อย   “กลับมาเรื่องที่จะไปเที่ยวก่อนนะ  ผมยังไม่อยากให้ไปเที่ยวไหนไกลๆนะ  โดยเฉพาะเกาะไกลๆที่ไม่มีสถานพยาบาลใหญ่แบบเกาะ....ที่พวกคุณจะไปด้วย”   นายแพทย์หนุ่มเปลี่ยนเรื่อง    คนฟังเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

“ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้คิดเรื่องนี้นะ   ผมก็เป็นห่วงภรรยาของผมอยู่แล้ว   แต่การฟื้นตัวนอกจากทางร่างกายแล้ว ทางจิตใจก็สำคัญไม่แพ้กัน  ผมอยากให้เธอได้พักจริงๆบ้าง  ไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาพ้นจากบรรยากาศเก่าๆ...”

“ใครกันแน่ที่เป็นฝ่ายอยากไปจริงๆ  เพราะเหตุผลนั่น...คุณหรือว่าคุณตังกันแน่”  รดิศถาม  คนฟังชะงัก  เม้มปากแน่น   เขาจึงพูดต่อ  “ถ้าคุณไม่ยอมตอบ ก็...”  ยักไหล่ด้วยท่าทางคล้ายจะบอกว่า ช่วยไม่ได้ “แต่ผมจะบอกเหตุผลของผม  ที่ผมไม่อยากให้คุณไป...”

นายแพทย์หนุ่มก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น   

“เพราะผมเป็นห่วงคุณ....สารภาพตามตรงว่าห่วงคุณมากกว่าห่วงคนไข้ของผมเสียอีก...เต   คุณเป็นยังไงบ้าง   ยังปวดท้องอยู่มั้ย    เห็นกินข้าวนิดเดียวเอง  ผอมลงไปหรือเปล่า?”  ดิมเอื้อมมือมาเหมือนจะจับตัวอีกฝ่าย  หากแต่ยั้งเอาไว้ 

สายตาที่มองมาแฝงด้วยความห่วงใยเต็มเปี่ยมจนคนถูกมองรับไม่ไหว   เตเบือนหน้าหนี   ตอบเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก

          “ผมสบายดีแล้ว   คุณไม่ต้องมาห่วงผม”  เขาย้ำประโยคเดิมเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็คร้านจะจำ    สีหน้าของอีกฝ่ายทำให้เตมั่นใจว่าอีกฝ่ายยังคงคิดว่าเขาป่วยเป็นโรคร้ายอยู่   และแน่นอนว่า พี่ดิมกำลังโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุของส่วนหนึ่งด้วย  ที่ทำให้อาการของเขาทรุด

          เงียบกันไปทั้งคู่   เสียกนกน้อยร้องจิ้บๆอยู่ไม่ไกล....ไม่ได้ช่วยให้บรรยากาศขุ่นข้นดีขึ้นเลยสักนิด

            “เต   พี่ขอร้อง   อย่าทำแบบนี้เลยนะ  ถึงนายจะไม่ยอมให้พี่ยุ่งด้วย  แต่พี่ขอให้นายดูแลตัวเองบ้าง   พี่รู้มาจากพี่ส้มว่านายไม่ยอมไปหาหมอตามนัดมาสองครั้งแล้ว   ทำไมล่ะ”   เขากลับไปใช้สรรพนามเดิมที่เคยชิน  ใบหน้าเรียวหวานของคนที่เขาหลงรัก   ต่อให้ต้องผจญกับความเจ็บปวดมากมายแค่ไหน   ก็บอกตัวเองว่าไม่ยอมตัดใจนั้น  ซูบเซียวลงอีก   ช่วงตัวบางซ่อนอยู่ใต้เสื้อยืดเนื้อนิ่ม ยิ่งส่งให้รูปร่างดูผอมกว่าความเป็นจริง 

 

..............................

 

            ‘ดิม   พี่มีเรื่องจะฟ้อง   คนไข้พี่ไม่ยอมมาตรวจตามนัดเลยกัน   ดิมก็รู้ว่าโรคนี้ยิ่งรักษาเร็วเท่าไหร่  ยิ่งดีเท่านั้น’   เสียงพี่ส้มดังขึ้นในความเงียบ  ตามด้วยแสงไฟในห้องทำงานของเขาถูกกดเปิดสว่างจ้า 

          ‘นั่งอยู่ทำไมมืดๆ ฮึ ดิม  ตายแล้ว   นี่ได้นอนบ้างมั้ยเนี่ย ถามจริง’    เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าอย่างอ่อนล้า

          ‘ได้สิเจ้  ก็ผมกำลังนอนอยู่เนี่ย  เจ้ก็เปิดประตูพรวดเข้ามา’

          ‘จ้า  เชื่อจ้า  อีกหน่อยคงย้ายไปอยู่กับช่วงช่วงหลินฮุ่ยได้แล้วล่ะ   กลับมาเรื่องคนไข้พี่ก่อน   ดื้อเหลือเกิน  นัดก็ไม่ยอมมาตรวจ  ทีภรรยาตัวเองล่ะพามาพบหมอซะดีเชียว   เธอไปล็อคตัวพามาพบพี่เลยได้ไหม’

          ‘จะไปได้อย่างไรเล่าเจ้ส้ม  เขาบอกปาวๆว่าไม่อยากให้ผมยุ่งเกี่ยวอะไรกับเรื่องของเค้าอีก’

          ‘แล้วเธอทำได้เสียที่ไหนล่ะ  ไหนดูซิ  นี่อะไร   กำลังค้นอะไรอยู่.....’  เธอหยิบกองกระดาษที่เขาวางสุมๆเอาไว้ข้างโน๊คบุ๊คขึ้นมาอ่าน   ชายหนุ่มไม่มีแรงจะขยับตัวไปแย่งคืนมา  จึงปล่อยให้เธอสำรวจดูตามสบาย

          ‘มีแต่เรื่องมะเร็งทั้งนั้น  ดิม...พี่ว่าเธอเข้าไปคุยกับเตให้รู้เรื่องเลยดีกว่า  หรือให้พี่ไปคุยให้   เตจะได้รู้ไงว่ามีใครห่วงเขาจะเป็นจะตายขนาดนี้’   พี่ส้มสะบัดเสียง 

          เธอทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามเขา   จ้องมองเขาเงียบๆครู่หนึ่ง  ก็ยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลมาให้

          ‘ผลชิ้นเนื้อของเต....ผลการตรวจ   ประวัติการรักษาทุกอย่าง....ที่ตอนแรกพี่ไม่ยอมให้เธอไปเพราะว่าเตขอเอาไว้   แต่ตอนนี้พี่กลัวว่าจะมีคนตายเสียก่อน  ก็เลยเอามาให้’  หญิงสาวพูดจบก็ลุกขึ้นเดินจากไป

          ชายหนุ่มเหลือบมองซองกระดาษบนโต๊ะกระจกตรงหน้านิ่งนาน   จริงอยู่ว่านั่นคือสิ่งที่เขาอยากได้ที่สุด  เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือตั้งเตได้อย่างตรงจุดกว่าเดิม   แต่ถ้าความจริงที่อยู่ในนั้น....มันเลวร้ายเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้ล่ะ   เขาจะทำอย่างไร....

          รดิศปวดหนึบที่หัวใจ....ถ้าเลือกได้....ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาแทน...จะได้ไหม?


…………………………..


มาอัพต่อนะคะ  คิดถึงเรื่องนี้กันมั้ยค้าาา
เรื่องราวกำลังยุ่งเหยิง  บางทีความรู้สึกของคนเรามันก็ซับซ้อน  เข้าใจยากแบบนี้ล่ะค่ะ 
ฝากเรื่องนี้เอาไว้หน่อยนะคะ
ใครเล่นทวิต #ดิมเต
เจอกันตอนหน้านะคะ
อย่าลืมเม้นท์โหวตเป็นกำลังใจให้คนเขียนด้วยนะคะ
Melenalike
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 07-10-2017 00:22:42
 เคยทำให้เจ็บปวด ใครจะอยากกลับไป เปลี่ยนพระเอกมั้ย55555 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 07-10-2017 10:55:06
มาเม้นท์เป็นกำลังใจให้นักเขียนก่อนค่ะ เรื่องนี้เราคงรอให้จบก่อนแล้วค่อยอ่านทีเดียวเลยดีกว่า
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 07-10-2017 14:32:02
ต่างคนต่างเดินเถอะ ถ้ามันลำบากขนาดนี้ เอาจริงเราเริ่มรำคาญนายเอกมาสักพัก ไม่รักตัวเองแถมยังรั้น คงรออ่านบทสรุปเลย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: GuoJeng ที่ 07-10-2017 16:07:36
มาแล้ว เย้ๆดีใจได้อ่านตอนใหม่
เตสับสนในใจเหรอ ระหว่างให้โอกาศดิมกับเลิกจริงๆ แต่อ่านๆดูเหมือนงอนๆเคืองๆกันมากกว่า
หมอดิมเร่งมือเข้า รออ่านตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: jpjiraporn ที่ 07-10-2017 17:49:38
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 07-10-2017 20:46:23
 :ling1:เย้ๆๆๆๆๆๆๆๆมาแล้ววววววววๆๆๆๆๆๆรักไรท์เลยๆๆมาบ่อยน่าาๆๆๆรออ่านนะคะๆๆจุ๊บฟๆฟๆหมอสู้ๆๆๆเตๆๆใจอ่อนได้แล้วววว :mew1: :mew1: :-[ :impress2: :กอด1: :z3: :impress2: :z2: :hao5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 10-10-2017 12:08:09
Hเย้ๆๆมานอนใหม่ละๆๆๆ :กอด1: :mew3:
เตๆๆๆใจอ่อนได้แล้วววววสงสารหมอๆๆรักไรท์มาบ่อยน่าๆๆ :L1: :กอด1: :impress2: :mew2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Shonteen ที่ 28-11-2017 18:39:13
กรี๊ดดดดดดดดดดดด มาต่อไวๆคาาาาาาาาาา ชอบเรื่องนี้มากกกกกก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-01-2018 05:12:30
เพิ่งได้เข้ามาอ่าน อยากให้ไรท์กลับมาต่อเรื่องนี้ไวๆจังค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 14-01-2018 13:19:05
มาต่อให้จบน่าๆๆๆรอน่าๆๆคนดีๆๆๆ :katai4: :katai5: :mew1: :mew1: :katai3: :กอด1: :L2:
ชอบมากๆๆๆๆ :mew4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เป็น]ตอนที่26 7/10/60
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 27-01-2018 23:26:40
มาต่อนะคะรออยู่คะ :3123:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 30-01-2018 22:52:10
เพราะหัวใจบอกว่า...ปล่อย

 

 

 

 

            “อาการของผมดีขึ้นมากแล้ว  และผมก็ต้องดูแลข้าวตังตลอด   ไม่กล้าปล่อยให้อยู่คนเดียว   ก็เลยไม่มีเวลาไปหาหมอตามนัด”   นักเขียนหนุ่มตอบเสียงเรียบเรื่อย   ไม่ยอมมองหน้าคนที่ยืนตั้งใจฟังอยู่ข้างๆแม้แต่น้อย   

            “แล้วคุณข้าวตังทราบหรือเปล่า   ว่าทุกครั้งที่ไปโรงพยาบาล    นายไม่ได้ไปเจอหน้าหมอเลย”   คุณหมอถามราวกับคาดเดาเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง   คนที่โกหกภรรยาว่าไปพบแพทย์แล้วทุกครั้งนั้นเผลอกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ   ฝืนยักไหล่เหมือนไม่แคร์อะไร

            “คุณหมอจะบอกเธอก็ได้  เพราะสุดท้ายแล้วถ้าผมไม่อยากไป  เธอก็บังคับผมไม่ได้หรอก  แม้แต่....”  น้ำเสียงแหบขาดหายไปในลำคอ   แววตาที่สื่อออกมาทำให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดเจนดีโดยไม่ต้องพูดจนจบ

            ....แม้แต่คุณ  ก็อย่าหวังว่าจะบังคับอะไรผมได้....

            “แน่ใจเหรอว่า...ไม่ได้?”  รดิศถาม  เลิกคิ้วน้อยๆ  อะไรบางอย่างในแก้วตาสีเข้มเริ่มแพรวพราวคล้ายกับแววตาของพี่ดิมคนเดิมยามที่กำลังคิดอะไรแผลงๆอยู่ในใจ   เตขยับตัวออกห่างทันควัน

            “จะไปไหน  เรายังคุยกันไม่จบ”   แขกผู้มาเยือนคว้าข้อมือของเจ้าของบ้านเอาไว้อย่างรวดเร็ว  ดึงรั้งไม่ยอมให้เดินหนี

          ติณธรพยายามบิดข้อมือออกจากการฝ่ามือแข็งๆปานคีมเหล็กนั้น แต่ยากเต็มที

            “ถ้าพี่ยังพูดไม่จบ   นายก็ยังไปไหนไม่ได้หรอกตั้งเต”   เสียงนุ่มพูดแกมหัวเราะ    อีกฝ่ายเงื้อมือขึ้นสูง  รดิศจึงยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้  “จะตบเหรอ   ก็ตบสิ..ตบเลย   แต่หลังจากตบแล้วพี่ขอเอาคืนนะ”

            ไม่ต้องบอกว่าจะเป็นการ ‘เอาคืน’ แบบไหน   สำหรับพี่ดิมแล้ว  มันมีสารพัดรูปแบบซึ่งเขาไม่พร้อมเสี่ยงทั้งนั้น   เตลดมือลง   อีกฝ่ายจึงยอมปล่อยมืออีกข้างที่ยึดอยู่แต่โดยดี

            “ก็แค่นี้เอง   โตๆกันแล้ว  ทำไมคุยกันดีๆไม่ได้   ชอบวิ่งหนีให้ต้องตามอยู่เรื่อย   ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ  อายุอานามเลย 20 มาหลายปีแล้วด้วย   ถึงพี่จะยังหล่อเหมือนเดิมก็เถอะ....”  คนฟังแอบเบ้ปากอย่างลืมตัว

            “จะพูดเรื่องอะไรก็รีบๆพูดมาเหอะ  ผมอยากเข้าบ้านจะแย่แล้ว”

          “พี่จะพูดว่า   ถ้านายยังดื้อพาทั้งตัวเองและคนไข้ของพี่ไปเที่ยวเกาะนั่นล่ะก็.....พี่ก็จะตามไปด้วย   นายคงรู้นะว่าถ้าพี่ไปด้วย.....มันจะเป็นทริปที่สนุกแค่ไหน”

          “หึ.....เอาเลย  ตามใจ   อยากไปก็ไปสิ   เคลียร์ตารางงานให้ได้ก่อนเถอะนะ  แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้”  เตสะบัดเสียงด้วยความหมั่นไส้เต็มเหนี่ยว   ความใกล้ชิดและท่าทีคุ้นเคยทำให้เขาหลุดท่าทางของ ‘น้องตั้งเตของพี่ดิม’  สมัยก่อนออกมา   มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ตามไปแน่นอน   ก็คุณหมอแบบพี่ดิมน่ะ....งานยุ่งจะตายไป

            “เดี๋ยวก็รู้...นายเลือกแล้วนะ   แล้วอย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งเสียใจทีหลังล่ะ”

          “ใครกันแน่...ผมไม่เคยร้องไห้ขี้มูกโป่งนะ   มีแต่พี่นั่นแหละ   เอะอะๆอะไรนิดๆหน่อยๆก็เซนซิทีฟ   น้ำตาไหลพรากแล้ว”   คนพูดย่นจมูก

            “ใช่สิ...ก็พี่แคร์เรามากนี่   คนที่แคร์มากกว่าก็เจ็บมากกว่าอย่างนี้แหละ”     

            “แล้วใครบอกว่าผมไม่เจ็บ...”  น้ำเสียงแหบสวนกลับ...จากนั้นต่างก็นิ่งไปทั้งคู่  คล้ายเพิ่งจะรู้ตัวว่าเผลอย้อนความทรงจำครั้งเก่าขึ้นมาพูดอีกแล้ว   ดูเหมือนว่ามันไม่เคยจางหายไปไหนเลย....อดีตในครั้งนั้น

            บรรยากาศรอบตัวเงียบสนิทนิ่งราวกับถูกหยุดเวลาเอาไว้ชั่วขณะหนึ่ง   หัวใจทั้งสองดวงเต้นแรงอยู่ใต้แผ่นอก  ถามตอบอยู่ในความเงียบผ่านกระแสตาที่จ้องสบอยู่อย่างเผลอไผล   ไม่มีใครรู้ว่าคนทั้งคู่สื่อสารว่าอะไร  นอกจากดวงจิตของพวกเขาเองที่รู้กันเพียงสองคน..

            “คุณพ่อ   คุณลุง  กลับมาแล้วคร้าบ”   บรรยากาศเงียบงันคล้ายมีมนตร์สะกดถูกทำลายลงด้วยเสียงสดใสของเด็กชายวัยย่างเข้า 9 ขวบ  เต้เดินแกมวิ่งเข้ามาภายในบ้านผ่านประตูรั้วที่ไม่ได้ใส่กลอน   มีภาคย์เดินตามเข้ามาด้วย   ดวงตาเรียวเล็กจับตามองคนทั้งคู่อย่างสนใจ

            เจ้าของบ้านหนุ่มขยับตัวออกห่างจากแขกอีกหนึ่งก้าว

            “กลับมาแล้วเหรอครับ...เป็นไงบ้างเจ้าเต้  ซัดอะไรไปบ้างฮึ”  เตถามภาคย์ ก่อนจะเสหลบสายตาเพ่งพิศของอีกฝ่ายไปถามลูกชายแทน   เด็กชายยิ้มกว้างส่งขวดแก้วบรรจุนมถั่วเหลืองมาให้บิดา

            “กินไปนิดเดียวเอง   นี่เต้ซื้อนมมาฝากคุณพ่อด้วย”

            “รีบเบี่ยงประเด็นเชียวนะ   ไปเรา  เข้าบ้านไปล้างมือก่อน”   นักเขียนหนุ่มรีบรุนหลังเด็กน้อยเข้าไปภายในบ้านทันที    ไม่เหลือบมองมายังใครอีกคนหนึ่งแม้แต่แวบเดียว 

            “คุณเตเผ่นเข้าบ้านไปเสียแล้ว....  นี่ครับคุณหมอ  ผมซื้อมาฝาก”   ภาคย์ส่งกาแฟเย็นมาให้นายแพทย์หนุ่มรับเอาไว้ 

            “ขอบคุณมากครับ”   บอกขอบคุณเรียบๆ  ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ   ความกระอักกระอวนบางอย่างทำให้ทั้งสองคนไม่อาจสบตากันได้เต็มที่นัก

“เรา...ง่า...เข้าไปในบ้านกันเถอะ” 

รดิศลอบถอนหายใจเบาๆ  เดินตามอีกคนเข้าไปภายในบ้านหลังนั้น   เด็กชายเต้เข้ามาชวนเขาขึ้นไปดูของสะสมข้างบนบ้าน    เขามองเจ้าของบ้านเป็นเชิงขออนุญาตอย่างเกรงใจ    หญิงสาวหนึ่งเดียวรีบพูดขึ้น

“คุณหมอขึ้นไปได้เลยค่ะ  ห้องเต้อยู่ติดกับห้องของตังเอง   เอ้อ...เอากาแฟเย็นมาก็ได้ค่ะ  เดี๋ยวตังเอาใส่ถ้วยขึ้นไปให้  จะได้ทานสะดวก”

“ไม่เป็นไรครับ  เกรงใจ”  ถึงเขาจะบอกอย่างนั้น  ฝ่ายเจ้าของบ้านก็ยังรับถุงกาแฟเย็นไปจัดการเองอยู่ดี  นายแพทย์หนุ่มเดินตามแรงจูงของเด็กชายขึ้นไปบนชั้นสองของบ้านที่ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างเรียบร้อย  กระจุ๋มกระจิ๋ม  ดูน่ารักน่าเอ็นดูไปหมดทุกมุม

ภายในห้องนอนของเด็กชายเต้ไม่รกรุงรังอย่างที่คิดเอาไว้   เต้เป็นเด็กผู้ชายที่มีระเบียบมากทีเดียว  โมเดลหุ่นถูกวางเรียงเอาไว้แยกกับรถของเล่นและหนังสือการ์ตูนอย่างเป็นสัดส่วน    เตียงเดี่ยวกลางห้องก็ปูผ้าคลุมเอาไว้สะอาดสะอ้านน่านอน    ผนังห้องมีวอลเปเปอร์สีอ่อนและโปสเตอร์การ์ตูนแปะเอาไว้

“โอ้โฮ  นี่เต้จัดห้องเองเลยหรือเปล่า   ห้องสวยมาก”  คุณหมอพูด  เดินไปหยุดที่โต๊ะอ่านหนังสือ   กรอบรูปสามอันวางเรียงอยู่  ภายในนั้นประกอบด้วยบุคคลสามคน  พ่อ  แม่ ลูก  ตั้งแต่เด็กชายตรงหน้ายังเป็นเด็กทารกตัวแดงก่ำในอ้อมแขนของเต    ถัดมาเป็นเด็กน้อยในชุดอนุบาลยืนจับมือแม่เบะปากร้องไห้  และภาพสุดท้ายเป็นภาพเดี่ยวของเจ้าของห้องยืนถือเกียรติบัตรยิ้มร่า

“นี่ได้รางวัลอะไรนะครับ”    เขาก้มลงไปอ่านตัวอักษรบนเกียรติบัตรที่ตั้งอยู่ข้างๆกรอบรูป

“รางวัลเรียงความยอดเยี่ยมฮะ”   เต้พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ

“เก่งจัง   ลุงไม่เคยได้รางวัลอะไรแบบนี้เลย”   เขาชมจากใจจริง   “สมกับที่พ่อเตเป็นนักเขียน”

“จริงๆ  พ่อช่วยเต้เขียนนิดหน่อยน่ะ  ฮ่าๆ”   เต้สารภาพ  พลางหัวเราะ  ประตูห้องนอนถูกเคาะเบาๆ  ก่อนที่จะเปิดออก  ใบหน้าเรียวหวานของเจ้าของบ้านฝ่ายชายโผล่เข้ามา

“...เอ่อ   ผมเอาเครื่องดื่มมาให้ครับ”  เตพูดเสียงเบา  ส่งแก้วมาให้แขกรับเอาไว้  มันอุ่นร้อนจนคนรับแปลกใจ  ก้มลงดูก็เห็นเป็นน้ำชาสีสวยไม่ใช่กาแฟเย็นอย่างเดิม  รดิศเลิกคิ้ว....ใครบางคนคงจำได้ว่าเขาไม่ชอบดื่มกาแฟ...

“พอดีกาแฟมันหก  ผมเลยขอเปลี่ยนเป็นชาแทน  คุณคงไม่ว่าอะไรนะครับ”   คนยกมาให้พูดหน้าตาเฉย   อีกฝ่ายก็พยักหน้ารับ  ตอบเสียงเรียบพอกัน

“พอดีผมชอบดื่มชามากกว่ากาแฟเสียด้วย   ขอบคุณสวรรค์ที่คุณบังเอิญทำมันหกพอดี” 

“..................”  เตไม่ตอบ   เขาถอยหลังกลับแล้วปิดประตูห้อง  เดินลงบันไดอย่างใจลอยจนเกือบชนกับร่างสูงโปร่งที่ยืนรออยู่ที่ปลายบันได

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า  หน้าซีดชอบกล  หรือว่าจะเป็นลม?”   ภาคย์ถามด้วยความเป็นห่วง   ติณธรส่ายหน้าส่งยิ้มให้บางๆ

“เปล่าครับ  ไม่ได้เป็นอะไร   คุณภาคย์จะกลับแล้วหรือครับ”   เขามองกุญแจรถในมืออีกฝ่ายงงๆ   ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

“ครับผม  ขอโทษด้วยนะฮะ  ดันมีประชุมต่ออีกนิดหน่อย  นางแบบที่จะไปด้วยเกิดปัญหาขึ้นมาก็เลยต้องเปลี่ยนตัวกะทันหัน   ผมก็เลยต้องเข้าบริษัทไปคุยเอง   ยังไงเรื่องต้นฉบับของคุณก็ส่งให้คุณโดมเหมือนเคยนะครับ   คอลัมต์ใหม่ที่ผมอยากให้คุณลองเขียนดู  ก็ช่วยรับเอาไว้พิจารณาด้วย   ผมเชื่อมือคุณ”  พูดคุยเรื่องงานอีกนิดหน่อย  เจ้าของบ้านก็ไปส่งแขกที่หน้าบ้าน  โบกมือให้เจ้านายคอยจนไฟท้ายรถลับสายตาจึงเดินกลับเข้ามา 

เวลาผ่านไปจนบ่ายคล้อย  คนทั้งคู่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับลงมาจากห้องเสียที  เจ้าของบ้านหนุ่มจึงขึ้นไปตามที่ห้อง  เคาะประตูแล้วเปิดออกอย่างแผ่วเบา   ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้เขาอดอมยิ้มไม่ได้

ร่างสูงสมส่วนของชายหนุ่มนอนเหยียดยาวอยู่บนพื้นข้างเตียง  มีหมอนใบเล็กหนุนศีรษะท่าทางกำลังหลับสนิท  ขณะที่ลูกชายของเขานอนกลิ้งอยู่บนเตียง  ในมือยังถือหุ่นโมเดลค้างเอาไว้....คงจะเล่นกันจนง่วงหลับไปทั้งคู่

เตถอนหายใจยาว  สืบเท้าเบี่ยงหลบร่างที่นอนขวางอยู่เข้าไปหยุดยืนใกล้ๆเตียงนอน  เอื้อมมือไปหยิบหุ่นโมเดลออกจากมือของลูกชาย   พลางจัดท่านอนให้สบายขึ้น   จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่ร่างเหยียดยาวของใครอีกคน 

ใบหน้าคมเข้มดูเหนื่อยอ่อนแม้ยามหลับใหล   รอยย่นระหว่างคิ้วจางหายไปเล็กน้อย  ทว่าก็ยังเห็นได้อยู่   ริมฝีปากบางเฉียบเม้มนิดๆคล้ายกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่อย่างลึกซึ้ง   เสียงลมหายใจแผ่วๆเป็นจังหวะดังเบาๆพอได้ยิน

เจ้าของบ้านทรุดตัวลงนั่งข้างๆ  ....อยากปลุก  แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยาก.... เขานั่งเท้าคางมองหน้าคนหลับอยู่นานทีเดียว   ก่อนที่อีกฝ่ายจะขยับตัวและลืมตาขึ้น 

เตเห็นภาพเงาสะท้อนของตัวเองอยู่ในแก้วตาใสแจ๋วของอีกฝ่ายชัดเจน

“เอ้อ....ผมกำลังจะปลุกคุณพอดี”   เขาพูดอึกอัก  กระถดตัวถอยห่างไปนิดหนึ่งแล้วรีบลุกขึ้นยืน   อีกฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อยคล้ายเพ่งพิศ   แล้วยื่นมือมาให้เขา พูดเสียงออด

“ช่วยดึงผมลุกขึ้นทีสิ”   เตก้มลงมองฝ่ามือหนาตรงหน้า   นิ่งไปนิดเดียวเท่านั้นก็ส่งมือกลับไป  รดิศกระชับมือของเขาเอาไว้แน่น  ก่อนจะออกแรงดึง   เหนี่ยวตัวลุกขึ้นจากท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนที่พื้นขึ้นมายืนเต็มความสูง   แรงดึงและน้ำหนักตัวทำให้คนฉุดเซไปเล็กน้อย    วงแขนแข็งแรงจึงโอบเข้ามาแนบอก

“ปล่อยผม”  กระซิบกับไหล่แข็งแรงกำยำนั้น   ได้ยินเสียงหัวเราะนุ่มๆสั่นสะเทือนผ่านแผ่นอกใต้เสื้อเชิ้ตที่แนบใบหน้าอยู่ 

“.............”   แขนข้างนั้นรัดเอวของเขาแน่นขึ้น แวบเดียวก็คลายออก  ปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ  คุณหมอหนุ่มขยับจะพูดอะไรสักอย่าง   แต่แล้วก็คล้ายจะเปลี่ยนใจ   ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือแทน

“ผมคงต้องขอตัวกลับแล้ว   ขอโทษด้วยที่มาเผลองีบในบ้านคุณ   มัน....เพลียๆเหนื่อยๆบอกไม่ถูก”   คนพูดยกมือขึ้นลูบใบหน้า  แล้วบิดตัวไล่ความเมื่อยขบจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น   ออกเดินนำออกมาจากห้องนอนของเด็กชายโดยมีเจ้าของห้องเดินตามออกมาด้วยเงียบๆ

ร่างบอบบางของน้องสาวนอนหลับสนิทอยู่บนโซฟาชั้นล่างจนชายหนุ่มไม่อยากจะปลุกเธอขึ้นมา   เขาเดินไปส่งแขกที่หน้าบ้าน   ตลอดทางไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากริมฝีปากที่เม้มสนิทนั้นเลย 

รดิศลอบมองดูอีกฝ่ายเป็นระยะ    เขาหยุดเดิน  แล้วหันมายืนประจันหน้ากัน   แสงแดดแผดกล้าด้านบนทำให้ต้องหรี่ตาลงเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นบังแดดให้อีกคนด้วยความเคยชิน

“ผมกลับก่อนนะ    อย่าลืมไปหาหมอด้วยล่ะ   ถ้าผมได้ยินว่าคุณเบี้ยวนัดหมออีกล่ะก็....ผมจะเป็นคนพาคุณไปรพ.ด้วยตัวเอง”  พูดเสียงเข้ม   รอยยิ้มในตอนแรกจางหายไปเหลือไว้แต่แววเคร่งขรึมในดวงตา   ดิมเบี่ยงตัวหลบให้อีกฝ่ายเข้ามายืนในร่มต้นไม้

“คุณเต  ผมขอพูดอะไรสักอย่าง ....ผมรู้ว่าที่คุณไม่ดูแลตัวเองเป็นเพราะคุณต้องการประชดผม....”

“ไม่ใช่...”

“อ่ะ  อย่าเพิ่งขัด .... พี่รู้ว่านายโกรธพี่..”  เขาเปลี่ยนมาใช่สรรพนามเดิม “และพี่ก็รู้ว่านายรู้...ว่าพี่ยังรักนายอยู่” คนฟังเม้มปากแน่นกว่าเดิม  รู้สึกใบหน้าร้อนขึ้นมาจากคำพูดที่ออกมาง่ายๆตรงๆของอีกฝ่าย “พี่ไม่ปฏิเสธหรอกนะเพราะพี่ไม่ชอบหลอกตัวเอง....ถ้าพี่รักก็คือรัก  เกลียดก็เกลียด  แต่ก่อนที่พี่ทำรุนแรงกับนายก็เพราะพี่โกรธ...โกรธตัวเองที่ตัดใจจากนายไม่ได้เสียที   พี่ก็เลยไปลงกับนายเอาแบบนั้น   พี่ขอโทษด้วยนะ  ไม่รู้ว่าพูดครั้งที่เท่าไหร่แล้ว ...”  หัวเราะเบาๆ  คล้ายอ่อนใจตัวเอง

ขณะที่คนฟังยืนนิ่ง  เงียบสนิท

“ถ้านายไม่ยกโทษให้พี่   ก็ไม่เป็นไร  นายจะทรมานพี่ด้วยวิธีไหนก็ได้  พี่ไม่เกี่ยงทั้งนั้น แต่พี่ขออย่างเดียว  อย่าเอาสุขภาพของนายมาล้อเล่นแบบนี้เลย   มันไม่สนุกหรอกนะ...”  เสียงของพี่ดิมแหบพร่าลง   ไหล่ที่เคยตั้งตรงกลับลู่ลงคล้ายคนหมดแรง  “พี่เข้าใจแล้วว่าตอนที่พี่นอนโรงพยาบาลตอนนั้นนายรู้สึกยังไง   พี่เสียใจที่ปล่อยให้นายต้องเผชิญความรู้สึกแบบนั้นเพียงลำพัง   ตอนนี้พี่เข้าใจแล้ว   เวลาที่เห็นนายเจ็บป่วยไม่สบาย...คนที่รู้สึกเหมือนจะตายมันคือพี่เอง   เต  ใจมันร้อนรุ่มไปหมด...”

“กลับไปเถอะ”  ประโยคแรกที่ลอดผ่านริมฝีปากของคนฟังออกมา  ทำเอาคนพูดชะงัก   แววเสียใจปรากฎขึ้นในดวงตาคมกริบ   “คุณเข้าใจผิด...ผมไม่ได้ใช้ความเจ็บป่วยของตัวเองมาประชดหรือแก้แค้นอะไรคุณ   คุณไม่ได้สำคัญอะไรกับผมมากขนาดนั้นหรอก...คุณหมอ”

“เต...”  รดิศครางในลำคอ

“ถ้าผมทำอะไรลงไปให้คุณเข้าใจผิดว่าผมยังมีความรู้สึกอะไรกับคุณอยู่  ผมก็ต้องขอโทษคุณด้วย  ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ   และไหนๆเราก็พูดเปิดอกกันมาถึงตอนนี้แล้ว   คุณคงไม่โกรธถ้าผมจะบอกว่าผมไม่อยากให้คุณมาที่นี่อีก”

“ไม่โกรธ....พี่ไม่มีทางโกรธนายได้หรอกเต”   ดิมพูดแผ่วเบา   

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว    อ้อ   ส่วนเรื่องที่คุณหมออยากจะตามไปที่เกาะด้วย  ผมคิดว่าก็คงจะดีเหมือนกัน   ถ้าอย่างนั้นคุณหมอก็รีบเคลียร์งานนะครับ   แล้วพบกันใหม่ครับ”   ติณธรก้มศีรษะลง  แล้วหันหลังเดินจ้ำกลับเข้ามาภายในบ้านอย่างรวดเร็วโดยไม่หันกลับไปมองอีก   

ได้ยินเสียงประตูรถปิด   ทิ้งช่วงไว้นานราวกับวัดใจก่อนที่รถจะถูกสตาร์ทแล้วขับออกไป...

...อย่าหันกลับไปนะเต   แววตาเจ็บปวดแกมตัดพ้อของเค้าทำให้ใจสั่นจนแทบจะอ่อนยวบ  หลอมละลายลงไปกองกับพื้น   อยากหันกลับไปโผเข้ากอดเสียเดี๋ยวนั้น

‘ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไรเต   ประชดพี่เหรอ....พี่เข้าใจแล้วว่าตอนที่พี่นอนโรงพยาบาลตอนนั้นนายรู้สึกยังไง   พี่เสียใจที่ปล่อยให้นายต้องเผชิญความรู้สึกแบบนั้นเพียงลำพัง....’

เสียงนุ่มๆยังตามมาหลอกหลอนแม้ว่าเขาจะกลับขึ้นมาบนห้องของลูกชายแล้วก็ตาม   เอื้อมไปหยิบแก้วเซรามิคที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ขึ้นมาดู    ยังมีน้ำชาเหลือติดก้นถ้วยนิดหน่อย   เขากำหูถ้วยชาเอาไว้แน่น

...ยังก่อน   ยังไม่ถึงเวลา....

ขณะที่ใครอีกคนที่ขับรถจากมาก็กำพวงมาลัยเอาไว้แน่นเช่นกัน   แต่นั่นยังไม่เท่าความรู้สึกในหัวใจของเขา  ที่เหมือนถูกบีบจนเหลือเล็กนิดเดียว 

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น  เขาหยิบหูฟังขึ้นมาใส่  เหลือบดูชื่อคนที่โทรมาอีกรอบ  คิ้วเข้มขมวดมุ่น

.....วิรัล.....

เขากดรับสาย

“สวัสดีครับ...รัน”

...................................................................................

“ใครลืมอะไรอีกหรือเปล่า   เต้เอากระเป๋าไปใส่รถเลยลูก   พี่เตล่ะคะ...ขาดอะไรอีกมั้ย”  ข้าวตังหันมาถามพี่ชายด้วยน้ำเสียงสดใส  มือก็ช่วยจัดของใส่ในท้ายรถเก๋งคันใหญ่ของภาคินที่มาจอดรอรับที่หน้าบ้านตั้งแต่เช้า  เพื่อเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยกัน   

“เอ...คิดก่อนนะ  กระเป๋าสองใบ  ขนม...ยา  อ้อ...ยาของเธอเอามาครบแล้วหรือยัง”  หญิงสาวเปิดกระเป๋าที่สะพายอยู่กับตัวให้เขาดู

“เอามาแล้วค่ะ   แล้วยาของพี่เตล่ะคะ”

“เออจริง  พี่ลืมของพี่เองแหละ  คุณภาคย์ครับ  ผมขอกลับขึ้นไปเอายาก่อนนะฮะ  ครู่เดียว”   เขาตะโกนบอกเจ้าของรถที่นั่งประจำที่คนขับเรียบร้อยแล้ว 

“ได้ๆ  ผมไม่รีบ  เอาให้ครบนะคุณเต”

ชายหนุ่มกลับเข้าไปภายในบ้าน   ขึ้นบันไดไปยังห้องนอนของตนเอง   หยิบกระเป๋าบรรจุของส่วนตัวรวมทั้งยาที่วางลืมทิ้งเอาไว้บนโต๊ะขึ้นมาถือเอาไว้   เดินสำรวจทั่วบ้านอีกรอบว่าไม่หลงลืมอะไรเอาไว้อีก  ใส่กลอนหน้าต่างประตูทุกบานครบถ้วนจนวางใจก็กลับมาที่รถ

ก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับภาคย์ในตอนหน้า  ให้หญิงสาวนั่งคู่กับเด็กชายด้านหลัง

“ไม่ลืมอะไรแล้วนะ  เต้ลืมอะไรมั้ย  ลุงจะออกรถแล้วนะ”  คนขับหันมาถามย้ำกับทุกคน  จากนั้นออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ได้ตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่สามอาทิตย์ที่แล้ว    เตหันไปถามหญิงสาวคนเดียวด้วยเสียงอ่อนโยน

“นั่งสบายไหมตัง  หรือว่าจะมานั่งข้างหน้าได้ปรับเบาะเอนลงได้”  เธอส่ายหน้า  ยิ้มกว้าง

“ตรงนี้สบายดีแล้วค่ะพี่  พี่เตนั่นแหละ  ปรับเบาะถอยลงมาอีกก็ได้ค่ะ  จะได้ไม่แคบไป”

“คุณลุงหมอจะไปกับพวกเราด้วยไหมครับคุณพ่อ”  คนเป็นพ่อชะงักจากการปรับเบาะ   เมื่อลูกชายตัวดีเอ่ยปากถามถึงใครอีกคนที่เขาไม่พบหน้าเลยในช่วงสามอาทิตย์ที่ผ่านมา   แม้ว่าจะพาข้าวตังไปพบตามนัดเมื่อวาน  พอหมอตรวจเสร็จก็รีบไปเข้าเคสผ่าตัดต่อทันที   คล้ายกับว่าอีกฝ่ายต้องการหลบหน้าเขา  ไม่ก็ไม่ต้องการพบกันอีกแล้ว

“คุณลุงหมองานยุ่งค่ะลูก  ไปไม่ได้ค่ะ”  มารดาหันไปตอบแทน  ยกมือขึ้นลูบหัวเด็กชายเบาๆ อย่างเอ็นดู  สบตากับคนที่นั่งข้างหน้าผ่านกระจกก็ขยายความต่อ “หมอดิมบอกตังตอนที่ไปตรวจเมื่อวานค่ะ”   เตพยักหน้าเนิบๆ ท่าทางไม่ใส่ใจมากนัก

“เอ  แล้วแบบนี้คุณหมอดิมอนุญาตให้คุณตังไปใช่ไหมครับ  ผมเริ่มกังวลแล้วนะ”  ภาคย์หันมาถามยิ้มๆ

“อนุญาตสิคะ  หมอบอกว่าตังอาการดีจนแทบจะเป็นปกติแล้วค่ะ   เหลือแค่ต้องกินยาต่อเท่านั้นเอง  ไม่ได้มีอะไรมาก  อ้อ  ได้ยินมาว่า คุณหมอจะกลับอเมริกาแล้วนะคะ   ก็เลยงานยุ่งมากๆเพราะต้องรีบเคลียร์งานก่อนกลับไป”

“อ้าวเหรอครับ   หมายถึงกลับไปแล้วจะไม่มาไทยอีกเลยหรือฮะ  หรือว่าแค่กลับไปเรียนต่อ..”  คนขับถามด้วยความประหลาดใจ  เช่นเดียวกับคนที่นั่งข้างๆที่นั่งฟังอยู่เงียบๆ...ข้าวตังไม่เคยเล่าให้เขาฟังมาก่อนเลยเรื่องนี้....

“น่าจะไปอยู่เลยนะคะ  อันนี้ตังไม่ได้ถามคุณหมอเอง   ได้ยินคุณพยาบาลเขาเม้าท์กันน่ะค่ะว่าคุณหมอจะเตรียมแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกา”

“แต่งงาน?   จริงหรือครับนี่....แต่งกับใครล่ะครับ  หมอรันเหรอ”

“อันนี้ตังก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ   ไม่ได้ถามต่อ   คุณหมอก็บอกตังแค่ว่าจะส่งเคสตังกลับไปตรวจติดตามกับคุณหมอธนพลแทนน่ะค่ะ”

ติณธรหูอื้อไปเสียแล้ว   เขาจ้องเขม็งไปยังถนนเบื้องหน้าทว่าภาพรถราที่ปรากฏแก่สายตาหาได้เข้าผ่านเข้าสู่สมองส่วนรับรู้ไม่   ...พี่ดิมจะแต่งงาน  ย้ายกลับไปอเมริกาแล้ว  พี่ดิมจะแต่งงาน...

แล้วเรื่องของเราล่ะ?  ไหนพี่ดิมเคยบอกว่าอยากอยู่ดูแลเราไง?  ตอนนั้นเขาก็ยกเลิกแพลนกลับอเมริกาไปแล้วนี่

ก็เราเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่า  อย่ามายุ่งเกี่ยวกันอีกไม่ว่ากรณีใดๆ  เราดูแลตัวเองได้?

ไม่ใช่!....มันต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันสักอย่าง   เมื่อไม่กี่อาทิตย์ก่อนพี่ดิมยังจะเป็นจะตายอยู่เลย  ทำไมตอนนี้เปลี่ยนใจเสียแล้วล่ะ   เราไม่เชื่อ....

“พี่เต..พี่เตคะ   หน้าเครียดเชียว   ปวดฉี่หรือเปล่า   แวะปั้มน้ำมันข้างหน้ามั้ย”  เตสะดุ้ง  ส่ายหน้าปฏิเสธเร็วๆ

“เปล่าจ้ะ  พี่คิดเรื่องงานเพลินน่ะ    มีใครปวดฉี่หรือเปล่าล่ะ  แวะก็ได้นะ”   เขาหันไปถามลูกชายกับสารถี   ทั้งคู่ปฏิเสธ   จึงขับเลยผ่านปั้มน้ำมันนั้นไปเสีย   

“คุณเตไม่ต้องกังวลเรื่องคอลัมต์ใหม่ที่เราคุยกันไว้นะครับ  ผมสบายๆอยู่แล้ว  ถ้าคุณไม่สบายใจจะไม่เขียนก็ได้นะฮะ  ไม่ว่ากัน”

“ผมขอลองเขียนดูก่อนดีกว่าครับ  ถ้าติดขัดยังไงค่อยคุยกันอีกที   เห็นคุณภาคย์ว่าที่นั่นมีนักเขียนประจำอยู่แล้วด้วยหรือครับ”

“ครับผม  เขาเป็นคล้ายๆนักเขียนของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นน่ะฮะ  เขียนโปรโมทสถานที่ท่องเที่ยวอะไรทำนองนี้  เขาคงจะช่วยแนะนำคุณได้    แต่ถึงอย่างไรงานหลักของคุณก็ยังเป็นการสัมภาษณ์นักอนุรักษ์ปะการังที่เราจะไปเจอกันนะครับ   เรื่องคอลัมต์ท่องเที่ยวผมยังเป็นแค่ไอเดียเฉยๆ”

“ผมก็อยากลองเปลี่ยนแนวเขียนดูบ้างเหมือนกันครับ   เขียนแต่บทสัมภาษณ์มานานแล้ว”   นักเขียนหนุ่มตอบยิ้มๆ   พูดคุยเรื่องงานต่ออีกครู่ใหญ่  หันกลับไปอีกที  ผู้โดยสารทางด้านหลังก็หลับสนิทกันไปทั้งคู่   ภายในรถเงียบจนเขาเกิดความอึดอัดขึ้นมาวูบหนึ่ง 

เจ้าของรถหนุ่มเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ  ทำลายความเงียบนั้นราวกับรู้ใจ

‘....มีจริงหรือ รักแรกพบเพียงสบตาแค่หนึ่งครั้ง  แค่แรกเห็นเดินผ่านมาไม่พูดจา  ไม่ทักไม่ทาย ไม่รู้ว่าใคร เหตุใดจึงรักกัน...’  เสียงนักร้องคลอดนตรีลอดผ่านเครื่องเสียงชั้นดีของรถออกมาไพเราะ

เตเอื้อมมือไปกดเปลี่ยนคลื่นวิทยุเป็นช่องอื่นทันควัน   เจ้าของรถเหลือบตามองแทนคำถาม

“อยากฟังเพลงฝรั่ง”  นักเขียนหนุ่มพึมพำ  มือก็กดไล่เปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ ครู่ใหญ่กว่าจะพบเพลงที่ถูกใจ   เป็นเพลงยุคเก่าสมัยที่เดอะบีทเทิ้ลกำลังดัง   เขาถอนหายใจยาว   เอนตัวไปนั่งพิงพนัก

“ไม่ยักรู้ว่าคุณชอบฟังเพลงแนวนี้ด้วย  เก่ามากทีเดียว”

“ผมฟังได้ทุกแนว  ไม่ได้มีอะไรชอบเป็นพิเศษหรอกครับ”  ตั้งเตตอบเรียบๆ  หลับตาลง  คนขับลอบมองเสี้ยวหน้าเรียวหวานผ่านกระจกมองหลัง    เห็นขนตายาวทาบทับบนผิวแก้มซีด   คิ้วคู่นั้นยังคงขมวดน้อยๆ  ดูเหมือนว่ามันไม่เคยคลายออกได้เต็มที่เลยสักครั้ง

“แล้วคุณเตชอบไปทะเลไหมครับ....เหมือนผมจะเคยถามคุณแล้ว  ตอนที่เรามาประชุมด้วยกันตอนนั้น  แต่คุณยังไม่ได้ตอบ”

เปลือกตาคู่นั้นสั่นเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมา  คนฟังเงียบไปนานราวกับคิดใคร่ครวญถึงคำตอบ

“ผมเคยชอบทะเล...ชอบมาก   แต่...นั่นมันเมื่อก่อน”  คำพูดหายไปในลำคอนานจนคนฟังเข้าใจว่าอีกฝ่ายคงจะผล็อยหลับไปแล้ว

ภาคย์อาศัยช่วงรถติดไฟแดง เอื้อมมือไปหยิบเสื้อแจ็กเก็ตของตนเองมาคลุมให้คนนั่งข้างๆอย่างอ่อนโยน   ลอบมองใบหน้าของคนหลับเงียบๆ....อีกนานแค่ไหนกัน  เขาจะตัดใจจากผู้ชายคนนี้ได้เสียที   หรือว่ามันไม่มีวันนั้น?.....

หารู้ไม่ว่าอีกฝ่ายก็กำลังครุ่นคิดถึงเรื่องเดียวกัน  แม้ว่าคนในความคิดคำนึงจะเป็นคนละคน ...เพลงๆนั้นทำให้เขาคิดถึงผู้ชายคนนั้นขึ้นมาอีก   ความคิดของคนเราก็น่าแปลก  ยิ่งพยายามลืมเท่าไหร่  กลับยิ่งจำได้ดีขึ้นเท่านั้น   ไม่ยักเหมือนเวลาที่เราอยากจำ.....บางทีความทรงจำบางอย่างก็ไม่ต้องใช้ความพยายาม   มันเกิดขึ้นและฝังอยู่ตรงนั้นไปอีกนานแสนนานราวกับไม่มีวันจางหาย   คล้ายกับรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าเก่าๆที่ซักไม่ออก

ชายหนุ่มเผลอหลับไปจริงๆด้วยความเหนื่อยอ่อน และตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อคนขับเขย่าตัวปลุกเบาๆ

“ถึงแล้วคุณเต....คุณตัง  เต้ลูก  ตื่นได้แล้ว  ถึงแล้วครับ”



หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 30-01-2018 22:53:26





             ภาพเบื้องหน้าทำให้นักเขียนหนุ่มใจเต้นแรง   สะพานทอดที่มีเรือจอดเรียงอยู่สองฟาก ทอดยาวออกไปยังเวิ้งน้ำทะเลสีฟ้าคราม   คลื่นลมสงบขณะที่แสงแดดจากเบื้องบนสาดส่องลงมาแรงกล้าจนเห็นประกายระยับแดดสะท้อนอยู่บนเกลียวคลื่น   นกนางนวลบินเล่นลมอยู่ไกลๆเห็นเป็นจุดสีขาวกลางท้องฟ้า

“โอ้โห  สวยจังเลยค่ะ”  หญิงสาวหนึ่งเดียวอุทานออกมา  เธอเปิดประตูรถลงไปยืนคนแรก  ตามด้วยลูกชายและเต   

“ที่เกาะสวยกว่านี้อีกครับ  เดี๋ยวเราต้องนั่งเรือข้ามไป”  ภาคย์หันมาพูดกับเธอยิ้มๆ   พลางส่งหมวกให้ใส่บังแดด 

“ขึ้นเรือตรงนี้เลยหรือเปล่าครับ   แล้วเราจอดรถทิ้งเอาไว้หรือเอารถไปด้วยครับ”   นักเขียนหนุ่มหันมาถาม  ปิดแววตื่นเต้นเหมือนเด็กๆเอาไว้ในแววตาไม่มิด  คนเห็นยิ้มกว้าง

“จอดรถเอาไว้ที่ฟากนี้ครับ  มีคนเฝ้าอยู่เป็นคนรู้จักของผมเอง  ส่วนเรือข้ามฟาก เราต้องรอทีมงานก่อนครับ  เขาจะมาบ่ายๆจะได้ข้ามไปด้วยกันทีเดียว  ระหว่างนี้เราหาอะไรทานแล้วก็เดินเล่นกันก่อนได้ฮะ”  ภาคย์พูด   เตหันไปช่วยน้องสาวหิ้วกระเป๋า  อีกมือก็จูงมือลูกชายเอาไว้   เดินตามร่างสูงเพรียวข้ามถนนไปยังอีกร้านอาหารติดชายฝั่งทะเลที่มองเห็นอยู่ใกล้ๆนั้น

อาหารทะเลสดๆทำให้ทุกคนเจริญอาหารมากทีเดียว  แม้แต่เตที่กินไม่ค่อยลง  ก็ยังอุตส่าห์เติมข้าวเป็นจานที่สอง   นั่นทำให้คนพามายิ้มแก้มแทบปริด้วยความดีใจ

“อร่อยไหมครับคุณเต   อิ่มหรือเปล่า  เติมข้าวอีกมั้ย”

“อิ่มมากๆเลยฮะ คุณภาคย์  ของที่นี่สดจริงๆ”  เตพูด  หันไปตักปูใส่จานลูกชาย  “ตังเอาอีกมั้ย”  ไม่ลืมถามน้องสาวที่นั่งอมยิ้มอยู่ตรงข้ามกัน

“อิ่มสุดๆ  ต้องขอบคุณคุณภาคย์มากๆเลยนะคะ  ตังไม่ได้กินมานานแล้ว”

“นี่ถ้าข้ามไปที่เกาะ  ได้ยินว่ามีหอยนางรมสดขึ้นชื่อเลยฮะ   ไม่ทราบว่าคุณตังกับคุณเตทานของดิบหรือเปล่า   แต่ผมรับรองว่าหวานยังงี้เลย  ไม่ควรพลาดเด็ดขาด”  ชายหนุ่มยกนิ้วโป้งขึ้นมา

“ตังไม่ทานหอยดิบอ่ะค่ะ”  ข้าวตังพูดเสียงอ่อยๆ  เช่นเดียวกับเตที่พยักหน้ารับ

“อ้าวเหรอครับ   กลัวพยาธิใช่มั้ยฮะ  โธ่  เสียดายจัง  แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมเอาไปลวกแล้วกินเป็นยำแทน ดีไหมครับ”

“เยี่ยมเลยค่ะ  ตังอยากกินยำแซ่บๆ....อ้าว  นั่นหมอรันหรือเปล่าคะนั่น”   หญิงสาวอุทานอย่างแปลกใจ  สายตาจดจ้องไปทางด้านหลังซึ่งเป็นทางเข้าของร้านอาหารแห่งนี้   เตเหลียวไปมองตาม  เห็นร่างเล็กบางในชุดลำลองก้าวเข้ามาภายในร้านอาหารพร้อมกับมองซ้ายขวาราวกับหาใครสักคน

เป็นวิรัลจริงๆ ไม่ผิดแน่...

“เอ๋  จริงด้วย  หมอรันมากับใครนะ”  ภาคย์ถามแผ่วเบา   ราวกับพูดกับตนเอง   ประโยคคำถามที่ทุกคนต่างสงสัยถูกเฉลยเมื่อร่างสูงล่ำสันของใครอีกคนเดินตามเข้ามาภายในร้าน   ผู้ชายคนนั้นเดินไปแตะแผ่นหลังของกุมารแพทย์นิดหนึ่ง  ก่อนจะพาเดินเข้าไปยังอีกด้านของร้านคนละฝั่งกับที่พวกเขานั่งกันอยู่   ท่าทางสนิทสนมและบุคลิกโดดเด่นของทั้งคู่ดึงดูดสายตาของคนครึ่งร้านให้หันไปมอง

“หมอดิมนี่นา....ไหนว่าไม่ว่างมา”

คำถามของข้าวตังช่างตรงกับใจของเขาเหลือเกิน ...เตคิดในใจ  พร้อมกับประโยคบอกเล่าที่ดังขึ้นในหัวเองโดยไม่ต้องมีใครพูดซ้ำ

‘.....คุณพยาบาลเขาเม้าท์กันน่ะค่ะว่าคุณหมอจะเตรียมแต่งงานแล้วก็ย้ายไปอยู่อเมริกา....’


 “เอ๊ะ หรือว่าคู่นี้เขาจะแต่งกันจริงๆคะ”  หญิงสาวพูดขึ้นเบาๆ  เหลือบมองหน้าคนที่นั่งตรงข้ามอย่างเกรงๆ ก็เห็นเพียงใบหน้าเรียบเฉยเป็นปกติของพี่ชาย  ไม่แสดงอารมณ์ใดๆเหมือนเคย  ชายหนุ่มเอื้อมมือไปตักปลานึ่งใส่จานให้น้องสาว

“กินอีกหน่อยสิตัง”   เขาพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา 

“อิ่มแล้วค่ะพี่เต   เอ้อ  คุณภาคย์ละคะ  ทานอีกมั้ย”  เธอหันไปถามคนนั่งข้างแทน  จำใจละหัวข้อสนทนาเดิมเอาไว้เพียงเท่านั้น เพราะไม่มีใครสานต่อ

เสร็จจากมื้ออาหาร ภาคย์พาทุกคนมาเดินเล่นรับลมที่ริมชายหาดระหว่างรอทีมงานที่เพิ่งเดินทางมาถึงรับประทานอาหารกลางวันให้เรียบร้อยก่อน

“ตอนแรกเห็นกรมอุตุฯบอกจะมีพายุ กลัวว่าจะอดไปแทบแย่  ที่ไหนได้ไม่เห็นจะมีเลย”  หญิงสาวปรารภออกมา  เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า  แทบไม่มีเมฆสักก้อนเดียว   “ฟ้าใสดีออก   อุ้ย พี่เตดูฝรั่งตรงนั้นสิคะ.....”

ชายหนุ่มแทบไม่ได้ฟังที่น้องสาวพูด  เขาเดินเคียงข้างเธอไปบนชายหาด พยักหน้ารับคำเออออไปตามเรื่อง  ในใจเขากำลังครุ่นคิดถึงใครบางคนที่คงกำลังรับประทานอาหารอยู่อย่างเอร็ดอร่อยภายในร้านอาหารนั่น...บรรยากาศดีๆกับคนรู้ใจ....หึ

ถ้ามีคนมาถามว่าระหว่างภูเขากับทะเล ชอบอะไรมากกว่ากัน  เขาก็คงจะตอบได้ทันทีแบบไม่ต้องลังเล  เช่นเดียวกับคำตอบของผู้ชายคนนั้น...ห้วงคิดคำนึงย้อนเกลียวคลื่นกลับไปยังอดีต   ภาพนักศึกษาสองคนเดินจูงมือกันบนชายหาดยังคงติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา...น่าสมเพชจริงๆ

“พี่เตคะ  คุณภาคย์โบกมือเรียกเราแล้วค่ะนั่น   คงจะเสร็จกันแล้ว  เราไปขึ้นเรือกันดีกว่าค่ะ”  เสียงของหญิงสาวข้างกายทำเอาเกือบสะดุ้ง

“จ้ะ”   เดินตามหลังน้องสาวที่จูงมือเด็กชายย้อนกลับไปยังท่าเรือ  ร่างที่เขาจำแม่นติดใจก็ผ่านแวบเข้ามาในสายตาพร้อมกับคนที่มาด้วย   ทั้งคู่เดินหยุดคุยกับภาคย์อยู่ข้างเรือที่จะใช้ข้ามฟาก   เตชะลอฝีเท้าอย่างจงใจ

“พี่เต เร็วสิคะ  เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่าเหนื่อย?”  ข้าวตังหันมาถามอย่างงงๆเพราะจู่ๆพี่ชายก็เดินช้ากว่าปกติ   อีกฝ่ายส่ายหน้า 

“เอ้อ  พี่ลืมกระเป๋าอีกใบเอาไว้ในรถ ขอกลับไปเอาก่อนนะ”  นักเขียนหนุ่มเลี้ยวเปลี่ยนทางเดินเสียดื้อๆ  เขาเดินแยกไปอีกทาง

“อ้าว  ...ก็ได้ค่ะ  งั้นเดี๋ยวตังไปบอกคุณภาคย์ให้รอก่อน”   หญิงสาวทำท่ากังวลเล็กน้อย   เธอมองเห็นพี่ชายเดินลับไปทางที่จอดรถอยู่   

ตั้งเตสาวเท้าเร็วกว่าปกติ   เขาโกหกน้องสาวเรื่องมาเอาของเพราะจู่ๆเขาก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเสียเฉยๆ  ไม่พร้อมเผชิญหน้ากับทั้งสองคนนั่นตอนนี้   เดินกลับมาถึงรถแล้วจึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตนเองไม่มีกุญแจรถ 

สะบัดมืออย่างหงุดหงิด  เขาไม่อยากยอบรับกับตัวเองเลยให้ตายเถอะว่าตนเองกำลังรู้สึกผิดหวังกับการกระทำของคนๆนั้น   เพราะเขาคาดหวัง...ก็เลยผิดหวัง

ที่พี่ดิมพูดมาว่าอยากดูแลเขา  บางทีมันคงเป็นแค่ความสำนึกผิดของคนที่ยังมีมนุษยธรรมอยู่ก็เป็นได้   มีแต่เขาเองที่คิดเข้าข้างตัวเองไปว่าพี่ดิมยังรักเขาอยู่   เคยนึกอย่างย่ามใจด้วยซ้ำว่าพี่ดิมจะต้องตามมาทะเลด้วยแน่ๆ  ซึ่งอีกฝ่ายก็ตามมาจริงๆ...พร้อมกับผู้ชายคนนั้น

ชายหนุ่มกำมือแน่น เงยหน้าขึ้นสูง  หวังว่าน้ำตาที่เริ่มเอ่อมาที่ขอบตาจะไหลย้อนกลับไปได้บ้าง   สักนิดก็ยังดี

ครู่หนึ่งเขาจึงค่อยเดินกลับมาตามทางเดิม   ที่ท่าเรือยังมีผู้คนเดินขวักไขว่   ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้านายของเขาโบกมือเรียกให้  ติณธรกวาดสายตามองไปรอบๆบริเวณเร็วๆ  ไม่พบร่างของนายแพทย์ทั้งสองก็ลอบถอนหายใจ

“คุณเต  ไปไหนมาครับเนี่ย  ไปเร็วครับเรือจะออกแล้ว คุณตังกับน้องเต้ขึ้นเรือไปก่อนแล้วครับ”  ภาคย์พูด  ถือวิสาสะจับที่ข้อศอกของเขาเป็นเชิงพยุงช่วยให้ก้าวข้ามลงไปในเรือ   ก่อนที่ร่างสูงเพรียวจะกระโดดตามลงมาด้วยอย่างคล่องแคล่ว   เตหันไปช่วยทีมงานอีกคนยกขากล้องเข้ามา  เรือที่โคลงน้อยๆตามระลอกคลื่นทำเอาเขาเสียหลักไปนิดหนึ่ง  คนข้างๆรีบคว้าเอวเอาไว้ทันไม่ให้หงายหลังลงไป

“ระวังครับคุณเต”  ภาคย์พูดยิ้มๆ แล้วปล่อยมือจากช่วงเอวของเขา   เตกล่าวขอบคุณเสียงเบา   รู้สึกแปลกๆกับการตกเป็นเป้าสายตาของทีมงานทั้งหลายที่ร่วมเห็นเหตุการณ์อยู่   เขาขอตัวเข้าไปหาภรรยาและลูกชายที่อยู่ด้านในแทน 

เรือออกจากท่า แล่นสู่ผืนทะเลกว้างโดยมีจุดหมายคือเกาะที่เห็นอยู่เบื้องหน้าไม่ไกล

หญิงสาวกับเด็กชายรอเขาอยู่ก่อนแล้ว  ข้าวตังนอนนิ่งหลับตา ดูออกว่าคงจะเมาเรือเข้าแล้ว  ส่วนเด็กชายเต้ก็นั่งจ่อยาดมให้มารดาอยู่ข้างๆ เตตรงเข้าไปทรุดตัวลงนั่งข้างๆน้องสาว ยกมือขึ้นแนบหน้าผากเนียนที่มีเหงื่อผุดขึ้นเต็มนั้นอย่างเป็นห่วง

“เป็นไงบ้างตัง  ไหวมั้ย”  หญิงสาวพยักหน้า

“ดีขึ้นหน่อยแล้วค่ะ เมื่อกี้อาเจียนเอาอาหารออกมาหมดเลย  เสียดายจังค่ะ” เธอพูดเสียงอ่อย   ชายหนุ่มหัวเราะ

“แน่ะ ยังจะมีอารมณ์เสียดายอีก  เดี๋ยวขากลับเราแวะกินใหม่อีกรอบก็ได้น่า”  ติณธรเสยผมให้น้องสาว  “รอก่อนนะเดี๋ยวพี่จะไปขอยาแก้เมาเรือมาให้”

หญิงสาวยื่นมือมาจับที่ท่อนแขนของเขา  มือของเธอเย็นเฉียบ

“ขอบคุณนะคะพี่เต”

ชายหนุ่มส่งยิ้มให้นิดหนึ่งแล้วผละจากมาตามหา   เขาเจอโดม รุ่นพี่ร่างใหญ่ที่เป็นบก.ของเขา  โดมยิ้มทักเขาอย่างสุภาพกว่าปกติ ก่อนจะแนะนำหญิงสาวข้างกายด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยน    ตั้มยิ้มกว้างนึกเดาได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้โดมแนะนำว่าสาวน้อยร่างอวบหน้าสวยเก๋คนนี้คือใคร

“ง่า...เต  นี่น้องแพมนะ  เป็นรุ่นน้องพี่เอง  ก็เท่ากับเป็นรุ่นน้องของนายด้วยน่ะนะ...เอ่อ  น้องเขามาฝึกงานกับพี่อยู่   คือ....นั่นแหละ  แฟนพี่เอง”  พี่โดมจบประโยคด้วยใบหน้าแดงจัด  ขณะที่น้องแพมหัวเราะเสียงใสอย่างเขินๆยกมือขึ้นไหว้เขาแบบเด็กดีมีสัมมาคารวะ

เตรับไหว้พลางแนะนำตัวเองบ้าง   แล้วก็ขอตัวจากมาเพราะเดาได้ว่าทั้งคู่คงอยากจะมีเวลาร่วมกันเพียงสองคน   เขาดีใจกับพี่โดมด้วยใจจริง  สายตาของทั้งคู่บ่งบอกถึงความสุขในใจโดยไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นวาจา   ทั้งน่าอิจฉาและน่าชื่นชมไปพร้อมๆกัน 

แววตาที่พี่โดมมองหญิงสาวมันมีแววอะไรอย่างหนึ่งที่เขาเคยเห็นจากในแววตาของพี่ดิมเมื่อหลายปีก่อน   แวววิบวับที่ทำให้ใจละลายเหมือนถูกไฟลนทุกครั้งที่สบตากัน

ชายหนุ่มถอนหายใจเป็นครั้งที่เท่าไหร่ของวันก็ไม่ทราบ  เขาเดินอ้อมกราบเรือมายังอีกฝั่ง  เจอภาคย์กำลังนั่งคุยกับทีมงานกลุ่มใหญ่กันอยู่อย่างสนุกสนาน   หันมาเห็นเขาเข้าพอดีจึงลุกเดินมาหา

เตรู้สึกไม่สบายใจกับสายตาอีกเกือบสิบคู่ที่มองมายังตนเองกับ ‘บอส’ ไม่น้อย  ปกติเขาทำงานอยู่ที่บ้าน ร้อยวันพันปีถึงจะเข้าบริษัทร่วมประชุมด้วยสักทีหนึ่ง  นอกจากพี่โดมกับช่างภาพและทีมงานอีกสองสามคนแล้ว  เขาก็ไม่สนิทกับใคร   ส่วนภาคย์....แน่นอนว่าทุกคนต้องรู้จักเขา  ก็เขาเป็นทั้งเจ้าของบริษัท  เป็นคนจ่ายเงินเดือนทุกเดือนแถมยังเป็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหล่าท่าทางมีเสน่ห์  เป็นที่หมายปองของทั้งสาวใหญ่สาวน้อยและหนุ่มเก้งกวางบ่างชะนีในสำนักพิมพ์ทุกคน   ไม่แปลกที่จะเริ่มมีคนสงสัยปนหมั่นไส้ในความสัมพันธ์ของพวกเขา

“มีอะไรหรือเปล่าคุณเต    หน้าซีดๆ  เอ๊ะ หรือว่าเมาเรือ?”  เจ้านายของเขาถาม  ดูเหมือนเขาจะไม่ได้รู้สึกกับสายตาแปลกๆของเหล่าพนักงานที่เริ่มเหล่มองมาเลยสักนิด

“ผมไม่ได้เมาหรอกครับ แต่ตังน่ะสิฮะ  เมาเรือหนักเลย  คุณภาคย์พอจะมียาแก้เมาไหมครับ  ...ผมเอายามาหมดแต่ดันลืมยาแก้เมาเรือเสียได้”

“ผมพอมีติดกระเป๋าอยู่  รอสักครู่นะครับ”  เตไม่ยอมรออยู่ตรงนี้แน่  เขาเดินตามอีกฝ่ายเข้าไปข้างในด้วย   ภาคย์เดินไปยังที่วางสัมภาระของเขา ก้มลงค้นหาของในเป้ใบใหญ่ครู่หนึ่งก็หยิบถุงซิปล็อคที่ภายในบรรจุยาเอาไว้หลายแผงปนๆกัน  เขาหยิบออกมาดูชื่อยาอย่างมึนงง

“เอ๋  อันไหนละเนี่ย  ผมไม่ได้กินนานแล้วก็เลยใส่รวมกันมั่วๆ  กรรมล่ะ”  เตรับไปดู  เขาอ่านชื่อยาที่เป็นภาษาอังกฤษออก  ทว่าไม่เข้าใจสรรพคุณที่บรรยายอยู่บนนั้นเลยสักประโยคเดียว  ดูเหมือนมันจะเป็นภาษาเฉพาะทางการแพทย์ 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันแฮะ  เอ  หรือกินพาราฯไปก่อน”

“พาราฯ ไม่ใช่ยาวิเศษรักษาได้ทุกโรคนะครับคุณตั้งเต...”  เสียงทุ้มกวนประสาทดังขึ้นจากด้านหลังจนคนทั้งคู่สะดุ้ง   เจ้าของเสียงเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ส่งยิ้มมาให้ทั้งเขาและภาคย์  เตสบตาคู่นั้นแวบเดียวก็เมินหลบ   นึกหงุดหงิดอยู่ในใจ

“อ้าว  หมอดิม มาพอดีเลยฮะ  คุณตังเมาเรือมากครับ  นี่ผมกับคุณเตกำลังหายาไปให้เธออยู่”

“ผมทราบแล้วครับ  เข้าไปดูอาการให้เธอเมื่อครู่ แล้วก็จัดยาให้เธอทานแล้วเรียบร้อย  ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ”  รดิศตอบยิ้มๆ   ภาคย์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ขอบคุณมาครับ  โชคดีจริงๆที่คุณหมอมาด้วย  แล้วนี่หมอรันไปไหนเสียแล้วละครับ”  ภาคย์ถามยิ้มๆ  แสร้งเหลียวซ้ายแลขวามองหาผู้ชายอีกคนที่ขึ้นเรือมาพร้อมกับกัน 

รดิศเหลือบมองคนที่ยืนข้างภาคินแวบหนึ่งแล้วยิ้มมุมปาก

“กำลังตามหาอยู่เหมือนกันครับ  ไม่รู้แอบไปเล่นที่ไหน”  น้ำเสียงเอ็นดูที่นายแพทย์หนุ่มใช้ทำให้ใครบางคนรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม

“เซอร์ไพรซ์มากเลยที่เจอหมอกันกับหมอรันที่นี่   เห็นคุณตังบอกว่าคุณหมอไม่ว่าง” 

“พอดีเคลียร์งานเสร็จเร็วกว่ากำหนดนะครับ  แล้วรันเขาก็อยากมาเที่ยวทะเลอีกสักครั้งก่อนไปนอก  ผมก็เลยตามใจเขาเสียหน่อย”

“ก่อนไปนอก?   แปลว่าข่าวที่คุณหมอจะย้ายไปอเมริกาก็เป็นความจริงสิครับ”  ภาคย์ย้อนถามอย่างประหลาดใจ   อีกฝ่ายยิ้มรับ

“ครับ  ผมจะกลับอเมริกาแล้ว  ทางโน้นขอให้กลับ  แล้วเขาก็มีทุนให้ผมทำวิจัยต่อด้วย  คงจะอยู่อีกยาว”

“น่าเสียดายจังนะฮะ..คุณหมอเก่งๆแบบคุณ...แต่ผมเข้าใจนะ  ที่ไหนโอกาสดีกว่าก็ย่อมดึงดูดใจมากกว่า  คนเราก็ต้องการความก้าวหน้าในชีวิตอยู่แล้ว”   ภาคย์ลดเสียงลงคล้ายปรารภกับตนเอง   ขณะที่คิ้วเข้มของคนฟังขมวดเข้าหากันเล็กน้อย   ก่อนที่จะคลายออกกลายเป็นรอยยิ้มที่สร้างความหมั่นไส้ให้แก่คนมอง

“ครับ...คนเราย่อมต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองด้วยกันทั้งนั้น   คุณว่าไหม คุณเต?”  เขาหันไปถามคนที่ยืนฟังการสนทนาอยู่เงียบๆ  เป็นครั้งแรกที่ดวงตาของทั้งสองสบกัน 

“ก็เป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ทุกผู้ทุกนามอยู่แล้วนี่ครับ”  เขาไหวไหล่นิดหนึ่ง  “...ความจริงถ้าคุณหมออยู่ที่นี่ต่อยังจะแปลกเสียกว่า”

“แปลว่าคุณเห็นด้วยที่ผมจะไปงั้นสิ”  เสียงของคุณหมอเข้มขึ้น  พอๆกับแววตาคมเข้มที่เริ่มขุ่นมัว

“ความเห็นของผมมีผลต่อการตัดสินใจของคุณหมอด้วยหรือครับ   ถ้าไม่...ผมก็ไม่จำเป็นต้องตอบ”  คิ้วเข้มขมวดฉับ  ใบหน้าหล่อคมบึ้งตึงขึ้นอย่างเก็บอาการไม่อยู่   คนพูดมีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเคย  ต่างตรงที่แก้วตาดำวาววับคู่นั้นกลับวูบไหวน้อยๆคล้ายมีคลื่นอารมณ์ลมพัดผ่าน   เบาบางจนแทบสังเกตไม่เห็น

“ผมขอตัวไปดูอาการของข้าวตังก่อนนะ”  ติณธรหลบสายตาขุดค้นคู่นั้นไปอย่างสงบ  เขาหันหลังเดินออกมาเพื่อกลับไปยังห้องเดิมที่ทิ้งหญิงสาวเอาไว้   ข้าวตังนอนราบอยู่บนเตียงสนาม  มีลูกชายตัวดีนั่งจ๋องอยู่เป็นเพื่อนข้างๆผู้ชายร่างเล็กหน้าหวานอีกคน   เตชะงักไปเล็กน้อย   พอดีกับที่หญิงสาวลืมตาขึ้นมา

“พี่เต....ตังได้ยาแล้วค่ะ  หมอดิมกับหมอรันมาดูให้เมื่อกี้”  เธอเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มให้กุมารแพทย์ที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะเลยมายังเขา

“อ้อ...ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ”  เตพูดเสียงต่ำ   “ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนคุณหมอแล้วล่ะครับ  เชิญพักผ่อนเถอะฮะ  เดี๋ยวผมดูแลแม่เจ้าเต้ต่อเอง”

“ไม่รบกวนอะไรหรอกครับ....นอนหลับสักพักเดี๋ยวก็จะดีขึ้นเองนะฮะ คุณตัง....ง่า  น้องเต้  อาหมอขอยืมตัวคุณพ่อครู่นึงได้ไหมครับ”   จู่ๆคุณหมอเด็กก็หันไปถามเด็กชายเอาดื้อๆ   เต้พยักหน้ารับทันควัน

“ได้ครับ”

“เดี๋ยวก่อนคุณหมอ  คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับผมหรือ”   ‘คุณพ่อ’ถามงงๆ

“เรื่องสำคัญน่ะครับ  ผมขอเวลาคุณเตสักครู่ได้ไหมครับ?”   

เตอยากปฏิเสธ  เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณหมอหน้าเด็กคนนี้อีกแล้ว  รังแต่จะทำให้เขาอึดอัด ไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก   ทว่าอีกใจหนึ่ง  เขาก็อยากรู้เหมือนกัน   ว่าอีกฝ่ายมีเรื่องสำคัญอะไรนักหนาถึงกับต้องขอคุยกับเขาสองคน

รันพาเดินเลาะกาบเรือมายังอีกฝั่งหนึ่งที่มีคนพลุกพล่านน้อยกว่า    ภาพเกาะและชายฝั่งมองเห็นใกล้เข้ามาทุกที   เตจับราวเหล็กเอาไว้  มองเหม่อออกไปยังทะเลกว้าง  ขณะที่คนข้างๆหันหลังให้ภาพวิวทิวทัศน์นั้นเสีย  แล้วมองหน้าเขานิ่งแทน

“มีอะไรหรือคุณหมอ”  นักเขียนหนุ่มทำลายความเงียบที่น่าอึดอัด

“คุณเต....ผมขอไม่อ้อมค้อมละกันนะ   ผมกับพี่ดิมกำลังจะไปอเมริกากัน  คุณพ่อของผมท่านติดต่อกับทางโน้นด้วยตัวเอง  ขอทุนวิจัยให้พี่ดิมได้สำเร็จ  แต่มีข้อแม้ว่า…พี่ดิมจะต้องแต่งงานกับผม”   วิรัลพูดรวดเดียวจบราวกับกลัวว่าตนเองจะเปลี่ยนใจ   เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายก็เห็นเพียงปลายขนตายาวงอนที่สั่นพลิ้วตามกระแสลมเท่านั้น 

“แล้วคุณมาบอกผมทำไม?”  เสียงแหบถามขึ้นเบาๆ

“ผม....ผมแค่ไม่มั่นใจ... คุณเต   ผมเคยทำผิดต่อคุณและพี่ดิมมามาก...คิดว่าคุณคงรู้อยู่แล้ว   ผมละอายต่อทั้งพี่ดิมและคุณ ที่พ่อของผมเอาอนาคตของพี่ดิมมาผูกกับเงื่อนไขบ้าๆแบบนี้  คุณเต...”

“คุณก็คุยกับคุณพ่อของคุณสิครับ  ถ้าคุณรู้สึกละอายจริงๆละก็...”   อดไม่ได้ที่จะหลุดปากออกไปตามที่คิด..

“แต่มันก็เป็นอนาคตของพี่ดิม..ทุนวิจัยที่เขาฝันถึง   งานวิจัยที่จะช่วยต่อชีวิตผู้ป่วยโรคหัวใจ   ไม่รู้สิ...ผมไม่รู้จะทำยังไง”  กุมารแพทย์จบประโยคอย่างอ่อนล้า  เขายกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นมาปิดใบหน้าของตนเอง

“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาตัดสินใจ...หมอดิมเขาว่าอย่างไรบ้างละครับ”  เสียงคนพูดสะดุดนิดหนึ่งคล้ายริมฝีปากแห้งผากขึ้นมากะทันหัน  วิรัลเงยหน้าขึ้น ยิ้มน้อยๆ

“เขาตกลงครับ  ...นั่นแหละที่ทำให้ผมยิ่งไม่สบายใจ   คุณเต   ผมทราบดีถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่ดิม   ผมถึงลำบากใจ....เอ้อ   จะพูดอย่างไรดี”  รันพึมพำ  บีบมือของตนเองไปมา

“ความจริงไม่เห็นต้องเอาผมเข้าไปเกี่ยวเลยคุณหมอ...ก็ในเมื่อทั้งคุณและหมอดิมตกลงใจแล้ว   ผมก็ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับการตัดสินใจครั้งนี้  มีแต่จะร่วมยินดีด้วยเท่านั้นเอง  อย่าคิดมากเลยฮะ....จริงอยู่ว่าผมกับคุณหมอดิมเราเคยเป็น...คนรักกันมาก่อน  แต่ผมขอยืนยันนะว่าแค่ ‘เคย’ เท่านั้น”    เตพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

วิรัลมองเขานิ่งๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มกว้าง  ยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของเขาเบาๆ

“ขอบคุณนะครับคุณเต...ได้ยินแบบนี้ผมก็สบายใจ   คราวนี้ผมไปคงอีกนานมากๆกว่าจะได้กลับมา  หรือบางทีอาจจะไม่ได้กลับมาเลยนอกจากมาเยี่ยมบ้างเป็นครั้งคราว...แล้วผมจะแวะไปเยี่ยมคุณนะครับ”   

“ครับผม  อ้อ  ยินดีด้วยอีกครั้งนะฮะ...โชคดีครับ”

“แล้วผมจะส่งข่าวมานะ”  วิรัลพูดเป็นประโยคสุดท้าย

นักเขียนหนุ่มรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเดินจากไปแล้ว   เหลือเพียงเขาที่ยืนเกาะระเบียงเรือ จ้องหน้าออกไปมองผืนน้ำสะท้อนแสงแดดระยิบระยับเบื้องหน้า  ...แดดตรงนี้แรงเสียจนแสบตาไปหมด..เขาคิดขณะที่นัยน์ตาทั้งสองข้างเริ่มพร่ามัว

ของเหลวใสหยดหนึ่งร่วงลงต้องหลังมือของเขาที่กำราวระเบียงเหล็กเอาไว้แน่นจนข้อนิ้วซีดขาว   ก่อนที่หยดอื่นๆจะตามมา    ชายหนุ่มเม้มปากแน่นไม่ยอมให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาจากลำคอ   ยกมือขึ้นป้ายน้ำตาแรงๆ

บ้าชะมัด...บ้าที่สุด... อย่าบอกนะว่านี่คือเหตุผลที่พวกเขามาที่นี่

เพื่อมาบอกเราเรื่องนี้น่ะหรือ?

………………………………………………………………………



มาอัพต่อแล้วจ้าาา  ขออภัยที่หายไปนาน

มีใครรอเรื่องนี้อยู่บ้างคะ

เม้นท์โหวตเป็นกำลังใจให้เราเขียนจบหน่อยเต้อะ  รู้สึกกำลังใจหดหาย555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-01-2018 23:03:41
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: Peterpanss ที่ 30-01-2018 23:19:00
เราตามเรื่องนี้อยู่นะคะ แต่พอยิ่งตามเรายิ่งรู้สึกเนื้อเรื่องเริ่มหมดความน่าสนใจ คือเราไม่รู้คุณพยายามจะสืออะไรเกี่ยวกับปมความรักของดิม เต รัน รึป่าว เพราะอ่านถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกว่าเนื้อเรื่องไม่พัฒนาอะไรขึ้นมาเลย มีแต่วนอยู่ที่เดิมซ้ำไปมา ไม่ได้รู้สึกได้ว่าที่เขียนมาจนถึงตอนนี้มันน่าติดตามต่อ คงต้องขอหยุดตามเรื่องนี้นะคะ ถ้าเห็นคอมเม้นนี้แล้วทำให้เกิดความรู้สึกแง่ลบก็คงต้องขอโทษไว้ตรงนี้นะคะ แค่อยากฝากไว้ ถ้ามันปรับหรือแก้ได้ให้มันไม่ดูพายเรือในอ่างเราก็รู้สึกยินดีด้วยค่ะ เพราะเราเสียดายเนื้อเรื่องที่คุณปูมาช่วงแรกๆจริงค่ะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 30-01-2018 23:21:41
 :3123: :pig4: :ling1: :mew6: :sad4:รอๆๆสงสารๆๆๆมาต่อน่าๆๆ :katai5: :mew4: :m20:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: พัดลม ที่ 31-01-2018 08:52:24
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 31-01-2018 12:07:42
เตเป็นคนที่ย้อนแยงนะ ต้องการอะไรกันแน่นะ พอเขาดีก็ผลักไสพอเขาจะไปก็สาดเสียเทเสียว่าผิดคำพูด ถามจริงต้องการอะไรเหรอ? เราเป็นดิมเราก็ไปนะ จะทนกับคนที่พูดให้เจ็บช้ำตลอดเวลาไม่เห็นแม้กระทั่งความหวังดีไปเพื่ออะไร? สมควรออกจากวังวนนี้เสียทีอาจเจ็บมากแต่คงดีกว่าทนกับคนแบบนี้

ตามมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าเตต้องการอะไร? ทั้งๆที่น้องก็บอกว่าไม่เป็นไรไม่ต้องรับผิดชอบแล้ว จะอะไรอีก นิยมความเจ็บปวดใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็จมไปคนเดียวเถอะ เรื่องทั้งหมดเราว่าดิมไม่ผิดอะไรเลยนะ เตตัดสินใจเองทั้งนั้น

เฮ้ออ เอาเถอะเราเม้นยาวเลย หวังว่าจะมีหนทางออกจากลูปเดิมๆนี้นะ และเราขอร้องเลย เตจะเป็นยังไงก็ช่าง ให้ดิมออกมาเถอะ ขอบคุณคับ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 31-01-2018 13:28:57
ตามจ้าตาม..อย่าเพิ่งปล่อยมือกันนะ   :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 31-01-2018 18:12:18
เหมือนใกล้จะเคลียร์กันแล้ว แต่ทำไมต้องห่างกันอีกแล้วล่ะเนี่ย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 31-01-2018 18:43:13
ยกมือรายงานตัวคนรออ่านพี่ดิมกับเตคร่าาาาา

รอนานนนนนนมากกกกกก.  แต่ก้อยังรออยู่นะ

นึกว่าพี่ดิมจะเดินหน้าง้อเตเดี่ยวๆหนักๆต่อไป

ทำไมวนเอาหมอรันมาผูกติดอีกอ่ะ

แล้วเตจะเข้าใจผิด เสียใจ มีทิฐิต่อไหม

หรือบรรยากาศเกาะสวาทหาดสวรรค์จะเป็นใจให้กลับมาคืนดีกัน

5555 ไม่อยากเดา.  รออ่านต่อเนอะ

 :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:  :katai3:

....

.
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 31-01-2018 21:49:02
อย่ามาถาม ความเห็น จำเป็นไหม
ก็แล้วแต่ ตามหัวใจ อยากไปถึง
จะมาถาม เอาอะไร ถ้าดื้อดึง
สุดแต่ใจ ไม่คำนึง คิดถึงกัน

ไม่มีใคร ได้อะไร ไปทุกอย่าง
ต้องได้บ้าง ยอมเสียบ้าง ห่างความฝัน
ถ้าเลือกเขา ก็ต้องทิ้ง ปล่อยมือกัน
เลือกอะไร ได้อย่างนั้น มันความจริง

ถ้าคุณเลือกอนาคตที่คิดว่าจะก้าวไกล
ก็ต้องยอมปล่อยอีกมือ ทิ้งมันไว้..ไม่ต้องแคร์

ไม่มีอะไรที่จะได้อย่างที่ใจเราต้องการไปซะหมด
ได้อย่างก็ต้องเสียอีกอย่างนะ

เข้าใจนะหมอ อย่าเอาแต่ใจตัวเอง
จะเอาหมดเลย..หราาาาาาาาา
หุหุ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 01-02-2018 00:39:32
 :katai1: :katai1: :katai1:มต
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: พ. ที่ 03-02-2018 14:05:35
สนุกมากกกกกกกกกกกก มาต่อให้จบด้วยนะคะ จะรอ  :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: nixnix ที่ 22-03-2018 12:35:01
รออ่านอยู่นะค่ะ  :3123:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 22-03-2018 14:11:10
กว่าตั้งเตจะรู้ตัว มันจะสายเกินไปหรือเปล่า รอติดตามอยู่ฮะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 09-04-2018 17:43:52
เห็นบอกรัก จะดูแล  แต่ แล้วก็จะไปเรียนต่อ และแต่งงาน ก่ะจะไป ? งง 55 ตังพอหาย จากป่วย จะตัดใจ ทำไมไม่บอก เต ไปเลย บอกจะช่วย ช่วยตรงไหน นังรัน ไหนว่ายอมแพ้  กลับมา ทำซาก? หรือ ทุกอย่าง คือ แผน ???
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 13-04-2018 01:12:20
เพราะหัวใจบอกว่า...เรา

 

 





            “คุณเตอยู่ตรงนี้นี่เอง....เอ๊ะ  นั่นคุณเป็นอะไรไป  ร้องไห้ทำไมครับ”  ภาคย์แกล้งถามด้วยน้ำเสียงตกใจ   ยิ่งผู้ชายตรงหน้ายกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแรงๆ  เขาก็ยิ่งเป็นห่วง   ชายหนุ่มแตะมือบนไหล่เล็กบางเบาๆ    เตส่ายหน้า

          “ไม่ได้ร้องครับ  ตรงนี้ลมมันแรงเลยแสบตา  เอ่อ...นี่เราใกล้ถึงเกาะแล้วหรือยังครับ”  นักเขียนหนุ่มเปลี่ยนเรื่องทันควัน   เขยิบถอยห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย   เสมองออกไปยังชายฝั่งที่มีเรือจอดเห็นอยู่ไม่ไกลนัก

            ภาคย์ลอบถอนหายใจ   เขาเดินมาทันได้ยินบทสนทนาระหว่างเตกับคุณหมอเด็กเมื่อครู่เข้าพอดี   เห็นเหตุการณ์ตลอดแม้กระทั่งตอนที่ไหล่ลาดตั้งตรงค่อยๆลู่ลงจนเกือบงองุ้ม  คล้ายคนหมดแรง  ก่อนที่ไหล่บางจะสั่นน้อยๆ ใบหน้าก้มต่ำซ่อนหยดน้ำตา  ทว่านั่นกลับยิ่งทำให้ความเจ็บปวดของอีกฝ่าย  ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม

            และเขา...ภาคย์ คนนี้ก็ทำได้เพียงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นเท่านั้น....คำปลอบใจของเขา   ไม่มีประโยชน์สำหรับคนๆนี้ 

            “ใกล้ถึงแล้วครับ ไม่เกิน 15 นาที  คุณเตไปเตรียมตัวเถอะครับ  เก็บสัมภาระให้พร้อม  คุณตังก็น่าจะดีขึ้นแล้วล่ะฮะ   พอขึ้นฝั่ง ผมจะพาคุณไปพบกับคุณปกรณ์  เขาเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติและปะการังที่ผมพูดถึง   พักเหนื่อยกันเล็กน้อยแล้วจะได้เริ่มสัมภาษณ์กันเลย”

          “คุณบอกว่าเขาเป็นคนง่ายๆ สบายๆ ไม่ค่อยมีพิธีรีตองอะไรมากใช่ไหมครับ”  ติณธรถามเบาๆ ดึงสมาธิกลับมาจดจ่อที่งานเหมือนทุกที  การมาสัมภาษณ์ครั้งนี้เขาแทบไม่รู้จักอีกฝ่ายเลย เพราะไม่มีประวัติ  ไม่เคยลงในหนังสือนิตยสารเล่มใดมาก่อน  มีเพียงคำบอกเล่าของภาคย์เท่านั้น

          “ครับ  ผมเคยเจอคุณปกรณ์ครั้งนึง  เป็นคนสบายๆน่าคบทีเดียว  แต่ตอนแรกเขาจะไม่ค่อยพูดนะครับ ท่าทางขี้อาย  คุณเตคงจะต้องถามนำมากหน่อยนะครับในช่วงแรก  พอคุ้นกันแล้ว เขาก็จะเป็นกันเองมากขึ้น”  คนฟังพยักหน้าเนิบๆ  พวกเขาเดินกลับเข้าไปภายในห้องโดยสาร  รวบรวมข้าวของเตรียมเอาไว้  ไม่ถึงสิบนาทีเรือจอดเข้าเทียบท่าบนเกาะกลางทะเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ที่กำลังจะเริ่มโปรโมทการท่องเที่ยว

            ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านกลุ่มใหญ่มายืนรอรับอยู่แล้ว  รวมถึงร่างสูงผิวสีแทนที่ซ่อนหุ่นแข็งแรงแบบคนออกกำลังกลางแจ้งเอาไว้ในชุดเสื้อผ้าฝ้ายบางๆ กับกางเกงเลแบบง่ายๆ  ทำเอาสาวๆในคณะซุบซิบและลอบมองใบหน้าหน้าคมกริบนั้นเป็นระยะ   ผู้ชายคนนั้นยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้มบุ๋มลึกสองข้างแก้ม   เขาเดินตรงเข้ามาหาภาคย์พลางยกมือไหว้

          “สวัสดีครับ  คุณภาคย์ ผมกำลังรออยู่พอดีเลย   เดินทางเป็นอย่างไรบ้าง  มีอะไรขลุกขลักไหมครับ”   เขาทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี

          “คุณปกรณ์  ดีใจที่ได้พบกันอีกฮะ   เดินทางเรียบร้อยดีครับ  นั่งเรือกันมาก็มีเมาเรือกันบ้างนิดหน่อย   นี่พวกผมมารวมกัน 22 คนครับ   อ้อ  ทีมเรามีคุณหมอมาด้วยสองท่านครับ   นี่คุณหมอดิมเป็นคุณหมอด้านโรคหัวใจ ส่วนท่านนี้คือคุณหมอรันเป็นผู้เชี่ยวชาญโรคเด็กนะครับ”   ภาคย์ผายมือแนะนำทีมงานทีละคน ไล่มาจนถึงชายหญิงคู่สุดท้ายพร้อมเด็กชายอีก 1 คน  สายตาของปรณ์มีแววพิศวงเมื่อมองเห็นใบหน้าของผู้ชายร่างเล็กบางที่ขยับมายืนข้างหน้า

          “นี่คุณเตครับ  เป็นคอลัมนิสต์ที่จะมาขอสัมภาษณ์คุณและเขียนโปรโมทเกาะแห่งนี้  คุณเตเป็นมือหนึ่งทางด้านการเขียนบทความเลยครับ   รับรองเลยว่าพอนิตยสารเล่มนี้วางแผงแล้ว   นักท่องเที่ยวจะต้องหลั่งไหลกันมาแน่นอน....ส่วนสุภาพสตรีท่านนี้คือ คุณข้าวตัง  เป็นภรรยาของคุณเต และนี่น้องเต้  ลูกชายครับ”  คนฟังขมวดคิ้วๆน้อยคล้ายแปลกใจ แต่แล้วก็คลายออกเป็นรอยยิ้มกว้าง  ยื่นมือไปข้างหน้านักเขียนหนุ่ม

            ติณธรสบตาคู่นั้นแวบหนึ่ง  แล้วจึงยื่นมือไปสัมผัสกับฝ่ามือหนากระด้างนั้น  ปกรณ์กระชับมือของเขาแน่นก่อนจะปล่อยออก 

            “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณเต  คุณข้าวตัง  น้องเต้ ...ถ้าอย่างนั้นเชิญทุกคนพักผ่อนก่อนครับ  เราเตรียมบังกะโลเอาไว้ให้แล้ว”

          “ขอบคุณมากนะครับ   ถ้าวันนี้งานเดินเร็ว  แสงแดดเป็นใจขนาดนี้   พรุ่งนี้น่าจะเสร็จเรียบร้อยครับ...”  ภาคย์พูดยิ้มๆ   ทีมงานเดินสำรวจที่พัก  แบ่งสรรคนจนลงตัว   บังกะโลหลังสุดท้ายริมสุดติดชายหาด เป็นของเต ข้าวตัง  เต้  และ... “เอ่อ  คุณหมอดิมกับคุณหมอรันอยู่บังกะโลหลังสุดท้ายกับครอบครัวคุณเตด้วยได้ไหมครับ  เพราะเป็นหลังใหญ่ที่สุด และติดทะเลด้วย”

            นักเขียนหนุ่มอึกอัก  คำปฏิเสธมารออยู่แล้วที่ริมฝีปาก  ทว่าไม่กล้าพูดออกไป  เกรงใจเจ้าของบ้าน

          “ได้ครับ  สะดวกดีด้วยเพราะผมจะได้ดูคนไข้ผมด้วย”  รดิศพูดเรียบๆ  เหลือบมองมาแวบหนึ่ง

            “อ้าว  ใครเป็นอะไรหรือครับ”   ปกรณ์ถาม   หันกลับมามองที่นักเขียนหนุ่ม   สายตาคู่นั้นทำให้เตรู้สึกอึดอัดแปลกๆชอบกล   เขาเสหลบตามองไปทางอื่น

            “ผมเป็นแพทย์ประจำ ที่ดูแลรักษาคุณข้าวตังอยู่ครับ”  รดิศตอบสั้นๆ  หางเสียงตวัดเล็กน้อยราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง   พูดจบก็เอื้อมมือไปรับกระเป๋าของคุณหมอรันมาถือเอาไว้เสียเองแล้วเดินนำดุ่มเข้าไปภายในตัวบ้าน

          “ถ้าอย่างนั้น เชิญทุกท่านเก็บของให้เรียบร้อยก่อนนะครับ  แล้วเดี๋ยวผมจะพาเดินชมรอบๆเกาะ  จะได้หาโลเคชั่นเหมาะๆถ่ายรูปกันเลย”

          “ดีเลยครับ  เอ้า ทุกคนเร็วเข้า  ส่วนคุณผู้หญิงพักผ่อนก่อนนะครับ”  ภาคย์บอกนางแบบสองคนที่มาด้วยกัน

            เตหิ้วกระเป๋าของมาตังและของลูกชาย เดินเข้าไปในบังกะโลตามหลังคุณหมอทั้งสองคน   เขาประจันหน้ากับคุณหมอหัวใจที่หน้าประตู  อีกฝ่ายชะงักไปนิดก่อนจะเบี่ยงตัวหลบ  ท่าทางคล้ายไม่อยากเข้าใกล้ของรดิศทำให้อีกคนเม้มปากแน่น

            เขาเลือกเอาห้องนอนอีกฝั่งหนึ่งเป็นที่นอนของครอบครัว   ข้าวตังตามเข้ามาภายหลัง  เธอยิ้มให้เขาอย่างสดใสกว่าทุกวัน   เหงื่อเม็ดเล็กซึมออกมาตามไรผมและหน้าผากของเจ้าตัว

            “ตัง  นอนพักก่อนไหม  เดี๋ยวพี่จะไปทำงานก่อน”  ชายหนุ่มพูด รวบรวมสมุดและคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คขึ้นมาถือเอาไว้  หญิงสาวพยักหน้ารับ

          “ตังขอนอนพักสักงีบก่อนก็แล้วกันค่ะ  ยาที่หมอดิมให้กินเข้าไปง่วงมาก  ลืมตาแทบไม่ขึ้นแล้ว”  พี่ชายเข้ามาช่วยห่มผ้าห่มคลุมเอาไว้ให้   ยืนมองน้องสาวหลับครู่หนึ่งจึงค่อยกลับออกมา   ไม่ลืมกำชับลูกชายเข้มงวด

            “เต้  ถ้าพ่อยังไม่กลับมา  ไม่ว่าใครก็ห้ามเปิดประตูให้เขา เข้าใจมั้ยลูก   มีอะไรโทรมานะ  คอยดูแม่เขาด้วย”   ชายหนุ่มกลับออกมา   พบว่าภาคย์กับปกรณ์ยืนรอด้วยกันอยู่แล้ว   สักพักโดมก็ตามมาสมทบพร้อมกับทีมงานอีกสองคน    เจ้าภาพพาเดินชมรอบเกาะจนทั่ว  ทิวทัศน์ของเกาะทำให้เตบอกตัวเองได้ทันทีว่าหลังจากนี้ เห็นทีเกาะแห่งนี้จะกลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวแนวอนุรักษ์ธรรมชาติเป็นแน่

            “ตรงนี้คือแนวเพาะพันธุ์ปะการังที่ผมดูแลอยู่ครับ   จะเห็นว่าตลอดชายฝั่งฟากนี้ไปจนถึงตรงโน้นจะไม่มีเรือจอดอยู่เลย  เพราะเราห้ามเรือเข้ามา   ทางโน้นจะเป็นจุดดำน้ำ   มีปลาสวยๆเยอะอยู่เหมือนกัน  ถ้าใครสนใจบอกได้เลยนะครับ  ผมจะพามาดำน้ำเล่น  คุณเตชอบดำน้ำไหมครับ”  จู่ๆเขาก็วกกลับมาถามชายหนุ่มผมหยิกสลวยที่กำลังยกกล้องขนาดเล็กในมือขึ้นถ่ายบรรยากาศรอบๆ

            “ผมไม่เคยดำน้ำเลยครับ  เลยไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า”  ตั้งเตตอบตามจริง   คนฟังยิ้มกว้าง

            “งั้นดีเลย  เดี๋ยวผมสอนให้ แบบเบสิค วันเดียวดำเล่นได้เลย”   

            “ขอบคุณมากครับ”

            พวกเขาเดินย้อนกลับมาจนถึงบังกะโลที่เดิม   ตลอดเวลาเตรู้สึกได้ถึงความรู้สึกแปลกๆจากสายตาคมเข้มจากไกด์กิตติมศักดิ์ที่ชอบลอบมองมายังเขา   แม้บางครั้งเตเงยหน้าขึ้นสบตากลับตรงๆ   แววตาคู่นั้นก็จะยิ่งเพิ่มแววระยับคล้ายเจ้าตัวกำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้นมาด้วย   บอกไม่ถูกว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่  และเขาก็ไม่นึกอยากรู้ด้วย

            “คุณเตพร้อมสัมภาษณ์ผมหรือยังครับ”  ปกรณ์ถามขึ้น  เขาดูร่าเริงและเป็นกันเองมากกว่าที่ภาคย์เล่าไว้   

            “ได้ครับ   ที่ไหนดีครับ” 

          “เชิญทางโน้นดีกว่าครับ”  ปกรณ์ผายมือไปอีกทางหนึ่งตรงข้ามกับทางที่บรรดาทีมงานมุ่งหน้าไป   เตพยักหน้ารับ  ออกเดินตามหลังร่างสูงแข็งแรงนั้นไปเงียบๆ

            ปกรณ์พาเขาเดินวกกลับมายังด้านหลังของเกาะ   บรรยากาศเงียบสงบ  ลมทะเลพัดเย็นสบาย   มีโขดหินตามธรรมชาติวางเรียงอยู่ใต้ต้นมะพร้าวที่ทอดเป็นแนวยาวเลียบชายหาดอย่างเหมาเจาะราวกับมีคนจงใจมาจัดวางเอาไว้   ติณธรคิดว่าเขาจะหาที่นั่งคุยแถวนั้น  แต่เปล่า...อีกฝ่ายพาเขาเดินต่อไปอีกจนถึงชายทะเลตอนหนึ่งที่มีต้นโกงกางและพืชอีกหลายชนิดที่เขาไม่รู้จักขึ้นอยู่เป็นดง

          “คุณเตเคยมาเที่ยวป่าชายเลนไหมครับ”  ชายหนุ่มพูด  เดินนำเขาขึ้นบันได้ไม้เตี้ยๆ ไปบนสะพานไม้ที่ทอดยาวเหนือผืนน้ำกึ่งโคลนเลนด้านล่าง   ปลาตีนโผล่มาให้เห็นเป็นระยะสลับกับปูหลายตัวที่วิ่งอย่างรวดเร็วลอดใต้สะพานไม้เตี้ยๆนั่นไป    เตจับตามองอย่างสนใจ

          “ไม่เคยครับ”  เขาจับมือปกรณ์ที่ยื่นส่งมาให้เพื่อกระโดดข้ามสะพานไม้ตอนหนึ่งที่ไม้แผ่นหลุดหายไป  “สวยดีนะครับ   นี่คุณปกรณ์ดูแลเองหรือเปล่าครับ”   เขาหยุดดูไม้กาฝากที่ทอดพันรอบกิ่งไม้ออกดอกเป็นช่อสีเหลืองมีกลิ่นหอมอ่อนๆโชยตามลม

          “ก็ช่วยๆกันดูแลครับ  ร่วมกับชาวบ้านแถวนี้  จริงๆผมอยากทำเป็นโครงการที่เป็นรูปเป็นร่าง  พ่วงกับโครงการอนุรักษ์ปะการังที่ทำอยู่เดิม  แต่งบประมาณที่รัฐให้มันน้อยเหลือเกิน  ก็เลยคิดกันว่าต้องอาศัยการโปรโมทการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์นี่แหละ  เผื่อบางทีมีคนสนใจร่วมทุนด้วย  โครงการจะได้สำเร็จซักที”   ชายหนุ่มพูดเรื่อยๆ 

            สะพานไม้แห่งนั้นทอดยาวต่อเนื่องจนมาถึงจุดที่คล้ายชานพักหรือศาลา   มีเก้าอี้ไม้ตัวยาวสองตัววางตรงข้ามกับโต๊ะที่ต่อด้วยไม้หยาบๆเช่นกัน   รอบด้านเป็นป่าไม้โกงกางที่เฉอะชื้น   และเงียบสงบราวกับหลุดเข้ามาในอีกโลกหนึ่ง  ตัดขาดจากโลกข้างนอก

            “นั่งก่อนครับ   คุณเต  พักสักครู่หนึ่ง   คุณ...หน้าซีดมากเลยฮะ  เหนื่อยเกินไปเหรือเปล่า?”  ปกรณ์พูด  จ้องมองใบหน้าเรียวรูปไข่ที่มีหยดเหงื่อเกาะพราวถึงขนตานั้นอย่างเผลอตัว   สบนัยน์ตาดำขลับคู่นั้นแล้ว   ชายหนุ่มก็บอกตัวเองว่า  เขาไม่เคยพบใครที่มีแววตาเศร้าเช่นนี้มาก่อนเลย...เป็นความเศร้าที่น่าค้นหาและน่าดึงดูดอย่างประหลาด

            “เหรอครับ...คงเพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนไกลๆน่ะฮะ  พอดี ข้าวตัง...แฟนผมป่วยนอนโรงพยาบาลเป็นเดือน”  นักเขียนหนุ่มพูด  ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าทิ้ง 

            “อ้าวเหรอครับ   เธอป่วยเป็นอะไรหรือ  ขอโทษนะครับที่ถามละลาบละล้วงไป”  ปกรณ์รีบออกตัว...หรือนี่จะเป็นที่มาของแววตาเศร้าๆของผู้ชายคนนี้   เพราะภรรยาสุดที่รักป่วย...

            “ไม่หรอกครับ  เธอเป็นโรคหัวใจน่ะฮะ  แต่ผ่าตัดไปแล้ว   ตอนนี้ก็อาการดีขึ้น  เรียบร้อยแล้วครับ”

          “อ้อ  คุณหมอรดิศที่มาด้วยคือคนผ่าตัดให้หรือครับ  ใช่ไหมฮะ”   คนฟังพยักหน้ารับ   อีกฝ่ายจึงพูดต่อ “มีหมอมาด้วยแบบนี้ค่อยอุ่นใจหน่อยนะครับ”   ..หรือว่าที่อีกฝ่ายมีสีหน้าอมทุกข์นั้นเป็นเพราะเหตุที่ภรรยาป่วยนั่นเอง?  คนฟังคิด

          “ครับ  ก็ดีเหมือนกัน”  นักเขียนหนุ่มพึมพำเสียงเบา   เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้น  ถามยิ้มๆ กลบเกลื่อนร่องรอยบางอย่างในแววตาที่ซ่อนไม่มิด “กลับมาเรื่องโครงการอนุรักษ์ปะการังของคุณปกรณ์ต่อดีกว่าครับ ...ทำไมคุณถึงมาจับงานตรงนี้ได้ฮะ  รู้สึกคุณจะจบทนายมาไม่ใช่หรือครับ”

            “มันเป็นความบังเอิญน่ะครับ  จะเรียกว่าโชคชะตาก็ได้มั้ง....ความจริงคนที่เป็นคนริเริ่มทำเรื่องนี้คือแฟนของผมเองครับ”  คนฟังมีสีหน้าแปลกใจ  เขาจึงพูดต่อ  “เดิมเค้าเป็นคนของเกาะนี้ครับ  ผมมาเจอเข้าตอนที่มาเที่ยวกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัย   พอเจอกัน  ผมก็ปิ๊งเลยฮะ   จีบกันอยู่สามวันเราก็เป็นแฟนกัน  ฮ่าๆ  เร็วไปไหมครับ”   เขาหัวเราะ

            “ไม่หรอกฮะ  เรื่องแบบนี้  ไม่งั้นเค้าจะมีคำว่ารักแรกพบหรือครับ”  เตพูดเบาๆ

            “นั่นสินะฮะ  แฟนผมเขาจบทางด้าน environment โดยเฉพาะ  เค้าเป็นคนก่อตั้งโครงการนี้จนเป็นรูปเป็นร่าง   ตอนนั้นผมอยู่ช่วยเค้าเกือบปีนึง  แล้วก็ต้องกลับกรุงเทพฯ  เพราะคุณพ่อของผมเสีย”   ปกรณ์หยุดกลืนน้ำลายนิดหนึ่ง “ผมกลับไปเรียนต่อจนจบปีสุดท้าย  แล้วก็รีบกลับมาที่เกาะนี้  แต่ว่าไม่ทัน...แฟนผมเสียชีวิตไปแล้วครับ”  คนฟังน้ำตาคลอด้วยความสงสาร   ขณะที่คนเล่าทอดสายตามองเหม่อออกไปไกล

            “เขาถูกใบพัดเรือเข้าตอนที่กำลังดำน้ำ  แล้วตอนนั้นบนเกาะนี้ก็ไม่มีหมอ   เค้าเสียเลือดมากสุดท้ายก็เลยจากผมไป ก่อนที่ผมจะกลับมาเพียงอาทิตย์เดียว...”  น้ำเสียงของอีกฝ่ายหายไปในลำคอ   เตถอนหายใจยาว  ยกมือขึ้นแตะไหล่กว้างแข็งแรงนั้นเป็นเชิงปลอบ   รู้สึกจุกแน่นในอกเมื่อได้ยิน

            “คุณคงเฮิร์ตมาก”   อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

            “ครับ  ตอนนั้นผมเสียใจมาก  ถ้าผมกลับมาเร็วกว่านี้อีกสักนิด  บางที..ผมอาจจะช่วยอะไรได้บ้าง  ...แต่ก็นั่นแหละฮะ  เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มเข้ามาทำงานตรงนี้ต่อ   ...นั่นคุณเตร้องไห้หรือครับ?”  ปกรณ์ถามอย่างแปลกใจปนตกใจเมื่อเห็นคนที่จะมาสัมภาษณ์เขายกมือขึ้นเช็ดน้ำตา

            “ผมเสียใจด้วยนะครับ  ไม่นึกเลยว่าที่มาของโครงการนี้จะเจ็บปวดแบบนี้”   คนฟังยิ้ม   รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก

            “ไม่หรอกครับ มันผ่านไปเกือบสามปีแล้ว  ตอนนี้ผมก็ทำใจได้แล้วฮะ  ...ความจริง  ตอนที่ผมเห็นคุณครั้งแรก  ผมตกใจมากเลยนะ  คุณมีส่วนคล้ายกับแฟนผมที่เสียไปแล้วมากเลย”

            ...อ้อ  นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เขาชอบมองมาที่เราแปลกๆสินะ  เตคิดในใจ   แต่เดี๋ยวนะ!

            “เอ่อ  แฟนคุณ?”  ติณธรอึกอัก

            “ครับ  แฟนผมเป็นผู้ชาย..”  ปกรณ์รับคำง่ายๆ  “ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่หรือครับ สำหรับเดี๋ยวนี้  หรือคุณเตคิดว่าอย่างไร”  เขาเลิกคิ้ว   ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบ  เขาก็พูดต่อ “แล้วคุณเตละครับ   เจอกับคุณข้าวตังได้อย่างไร   แล้วทำไมถึงเลือกเป็นนักเขียนล่ะครับ  เล่าให้ผมฟังบ้างได้ไหม”

            กลายเป็นเขาที่ต้องตอบคำถามแทน   นักเขียนหนุ่มเลือกตอบอ้อมๆ ไม่ลงรายละเอียดใดๆทั้งสิ้น    ก่อนจะวกกลับมาสู่หัวข้อของการสัมภาษณ์เป็นระยะ

เวลาผ่านไปเร็วพอควร    รู้ตัวอีกทีก็ผ่านไปเกือบสามชั่วโมงเต็ม  เตยิ้มกว้างให้ผู้ชายตรงหน้า  ตลอดเวลาที่คุยกันเขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนจริงใจ   และคุยกันถูกคอจนน่าแปลกใจ

“เวลาผ่านไปเร็วจังแฮะ  ไปฮะคุณเต  เรากลับออกไปทางเดิมดีกว่า   ถ้าเดินต่อไปทางโน่นมันจะไปสุดที่หลังเกาะครับ   ไม่มีอะไร”  ปกรณ์พูดเสริมเมื่อแววคำถามในดวงตาดำขลับคู่นั้น

เขาพาอีกฝ่ายเดินกลับออกมาตามทางเดิม   ลอบสังเกตใบหน้าเล็กๆนั้นเป็นระยะ  อีกฝ่ายดูเหนื่อยกว่าขามาเสียอีก 

“ไหวไหมครับคุณเต..พักก่อนก็ได้นะ”  ชายหนุ่มพูดพลางหยุดเดิน   ท่าทางอีกฝ่ายทรงตัวไม่มั่นคงคล้ายคนจะเป็นลม  เหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผากลาดเนียนและปอยผมหยิกที่ตกลงมาปรกหน้า

“ขอพักสักครู่นะครับ”  พูดจบ  เขาก็โงนเงน  ภาพเบื้องหน้าเริ่มหมุนติ้ว   รู้สึกถึงสัมผัสบริเวณต้นแขนทั้งสองข้าง  อีกฝ่ายพยุงให้เขาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นสะพานไม้นั้น 

“ไหวมั้ยครับ เป็นยังไงบ้าง  ...เดี๋ยวผมโทรเรียกใครมาช่วยดีกว่า”  ปกรณ์พูดอย่างร้อนใจ  ล้วงโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด  “บ้าจริง  ตรงนี้ไม่มีสัญญาณอีก  คุณเต..ไหวไหมครับ  ทำใจดีๆไว้นะ”   เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อให้อีกฝ่ายที่เอนพิงศีรษะเอาไว้ที่ซอกไหล่   เหลียวซ้ายแลขวาแล้วก็ตัดสินใจขยับตัวลุกขึ้น

“ผมว่าในนี้คงมีออกซิเจนไม่พอ  ผมขออนุญาตพาคุณออกไปข้างนอกนะครับ”  พูดจบก็ก้มลงอุ้มช้อนตัวอีกฝ่ายติดวงแขนขึ้นมาทั้งตัว  ติณธรตกใจลืมตากว้าง  ยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่าย

“เห้ย  วางผมลงเถอะครับ”  เขาพูดตะกุกตะกัก  แล้วหลับตาลงเพราะเวียนศีรษะ

“ไม่เป็นไรครับ  คุณตัวนิดเดียวไม่หนักหรอกครับ....ใกล้ถึงข้างนอกแล้ว”  ปกรณ์พูด  เขาอุ้มอีกฝ่ายพาเดินลัดเลาะออกมาตามทางเพียงไม่นานก็ถึงปากทางเข้า

ผู้ชายคนหนึ่งยืนพิงต้นมะพร้าวออกอยู่ไม่ห่างไปนัก  ท่าทางราวกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง   พอเห็นคนทั้งคู่  เขาก็เดินตรงเข้ามาหา   ถามเสียงเข้มติดจะขุ่นมัว

“คุณติณธรเป็นอะไรไปหรือครับ ถึงต้องอุ้มกันออกมาแบบนี้”  เจ้าของชื่อลืมตาขึ้น  เขาเห็นใบหน้าของคนที่ไม่อยากพบหน้ามากที่สุด กำลังจ้องเขาตอบกลับมาด้วยดวงตาคมกริบที่อ่านไม่ออก

ปกรณ์มองหน้าอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ ทว่าก็ยอมตอบโดยดี 

“คุณเตเป็นลมระหว่างทางที่เดินกลับมาครับ  ผมก็เลยช่วยพาออกมา   ในนั้นมีแก๊สบางอย่างจากโคลนเลน   ทำให้หายใจลำบาก  ยิ่งถ้าคนไม่ชินด้วย”   เขาตอบเรียบๆ  ค่อยๆวางร่างของอีกฝ่ายให้ลงยืนบนพื้นทราย   เตเซไปเล็กน้อย   มือแข็งๆของคุณหมอผ่าตัดหัวใจยื่นมารับเอาไว้ทันควัน

“เดี๋ยวผมดูให้เองครับ”  รดิศพูดเรียบๆ  มือกำที่ข้อมือเล็กบางเอาไว้แน่น  ไม่สนใจแม้ว่าอีกฝ่ายจะพยายามบิดข้อมือหนี

“ให้ผมช่วยพาคุณเตไปพักที่บ้านพักดีไหมครับ”  ปกรณ์พูดยิ้มๆ

“ไม่เป็นไรครับ  เชิญคุณปกรณ์เถอะฮะ”  คุณหมอหนุ่มไล่อีกฝ่ายเอาดื้อๆ  ไม่สนใจแม้ว่าอีกคนจะเป็นเจ้าบ้านก็ตาม  ใบหน้าเข้มคมบึ้งตึงจนปกรณ์ต้องล่าถอย  เขาเอ่ยปากขอตัวลากับนักเขียนหนุ่มสั้นๆ  เก็บความประหลาดใจเอาไว้แล้วเดินจากมา

เตสะบัดข้อมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่ายอย่างแรง   แต่ก็ไม่หลุดอีกตามเคย

“ปล่อยผม  ผมจะกลับบ้าน”

“ไม่เห็นจะป่วยตรงไหนเลยนี่....เอ  หรือว่าแกล้งเป็นลม เรียกร้องความสนใจ?”  รดิศพูด  อีกฝ่ายเม้มปาก โกรธจนพูดไม่ออก

“ผมจะทำอะไรก็เรื่องของผม  บอกให้ปล่อยไง”  เขาพูด  พลางกระทืบลงไปบนหลังเท้าของอีกฝ่ายเต็มแรง  คุณหมอหนุ่มที่ชักเท้าหลบอย่างทันกันหัวเราะเบาๆ

“ตอนนี้จะให้ปล่อย   ทีเมื่อกี้ให้ไอ้หมอนั่นอุ้มมาไม่เห็นจะเดือดร้อนอะไรเลยนี่   ทำไมล่ะ  พอผมโดนตัวแล้วมันคันหรือไง”  เขากำข้อมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายแน่นขึ้นอีก

“นี่คุณหมอ...พูดอะไรให้มันระวังปากบ้างนะ”

“หึ  ถ้าผมพูดยิ่งกว่านี้ คุณจะทำอะไรผม...จะต่อยปากผมหรือไง   หรือว่าจะตบอีก...เอาสิ  เอาเลย”  เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้มากขึ้น  ขณะที่ตั้มพยายามเบนหน้าหนี  “หายเข้าไปในนั้นทำไมตั้งนานสองนาน   ทำอะไรไม่อายชาวบ้านบ้างเหรอ   ใครๆก็รู้นี่นะว่าคุณมากับภรรยา   แถมยังมีคุณภาคย์มาเสียด้วย....ใจคอคุณจะไม่เหลือเอาไว้สักคนเลยเหรอ”  รดิศพูดต่อด้วยความโกรธเกรี้ยว 

เขาตามมาที่นี่เพราะผิดสังเกตที่เห็นอีกฝ่ายหายไปนานเหลือเกิน  พอได้ความว่าทั้งคู่หายเข้าไปในป่าโกงกางนั่นด้วยกันเขาก็ยิ่งร้อนใจ  ต้องยืนเฝ้าอยู่ตรงนี้เกือบสองชั่วโมง   พอเห็นสภาพที่คนทั้งคู่กลับออกมา  มันกลับเหมือนมีอะไรบางอย่างระเบิดในหัวของเขาจนควบคุมตัวเองไม่อยู่

“คุณจะเข้าใจยังไงก็เรื่องของคุณเลย   แล้วคุณมาอยู่ตรงนี้ ไม่ทราบว่าคนที่คุณจะแต่งงานด้วยเขาไม่ว่าเอาหรอครับ”  ติณธรสวนกลับ  อีกฝ่ายเลิกคิ้ว  มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว

“คุณรู้เรื่องแต่งงานแล้วหรือ?”  เขาถามกลับ

“ใช่  หมอรันบอกผมเอง  ว่าพวกคุณจะแต่งงานกันก่อนไปเรียนต่อที่เมืองนอก”  เตบอก   เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องที่คุณพ่อของรันบอกจะให้ทุนกับรดิศเมื่อแต่งงานกับลูกชายของเขา

“อ้อ....แหม  ทำไมรันรีบบอกจัง  ผมว่าจะเป็นคนบอกกับคุณด้วยตัวเองเสียหน่อย”  รดิศพูด  คล้ายพูดกับตัวเอง   ส่วนคนฟังเผลอยืนนิ่ง  หัวใจหล่นวูบโดยไม่ทันตั้งตัว

....พี่ดิมจะแต่งงานกับหมอรันจริงๆหรือนี่....

“คุณรู้ก็ดีแล้ว...ความจริงผมก็อยากบอกคุณมาหลายวันแล้วแต่ไม่มีเวลาบอก...อ้อ  เรื่องอาการป่วยของคุณ...คุณคงรู้อยู่แล้วสินะ  ว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรมาก  แค่เป็นแผลในกระเพาะอาหารเท่านั้น....พอดีพี่ส้มบอกผม   ผมก็หลงตกใจเสียนาน   นึกว่าคุณป่วยร้ายแรงเพราะผม”   เขาพูดแกมหัวเราะ   สีหน้าคนฟังซีดลงเรื่อยๆ  “พอรู้ความจริงก็ค่อยสบายใจขึ้นหน่อย  ตอนแรกผมก็รู้สึกผิดต่อคุณนะ  เลยอยากดูแลคุณ  แต่ในเมื่อคุณบอกคุณดูแลตัวเองได้  ผมก็ออกจะเห็นด้วยเหมือนกันว่าคุณคงดูแลตัวเองกับครอบครัวของคุณได้จริงๆ”

....เขารู้แล้ว  พี่ดิมรู้แล้วว่าเขาไม่ได้ป่วยหนักร้ายแรงอะไรอย่างที่เจ้าตัวหลงคิดไปเอง  เค้าก็เลยไม่อินังอิขอบกับเราอีก   แปลว่าทั้งหมดที่ผ่านมาเกิดจากความรู้สึกผิดของเขาอย่างเดียวงั้นหรือ?...แล้วที่เขาพร่ำบอกว่ายังรักเราอยู่ล่ะ?

“หลังจากนี้คุณก็ดูแลตัวเองให้ดีละกัน....นี่คือสิ่งที่ผมจะบอก   เป็นเหตุผลที่ผมตามคุณมาที่นี่”  นายแพทย์หนุ่มจบประโยคด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ   เหลือบมองสีหน้าคนฟังที่ซีดเผือดลงจนแทบไม่มีสีเลือดนั้น  ดวงตาที่เคยหวานแวววับกลับแห้งผากและเหม่อลอยเสียจนเขาตกใจ

“เต...เป็นอะไรหรือเปล่า  หรือว่าไม่สบายตรงไหน?”  รดิศถาม

อีกฝ่ายสั่นศีรษะช้าๆ

“เปล่า...ผมแค่กำลังนึกอยู่ว่า   ผมจะพูดอย่างไรดี....แต่มันก็นึกไม่ออก   เอาเป็นว่าผมดีใจด้วยก็แล้วกันนะครับ  คุณหมอรดิศ”   ติณธรปลดมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายออกจากข้อมือของตน  รู้สึกได้ถึงหัวใจของตนเองที่เต้นอย่างอ่อนแรงอยู่ใต้แผ่นอก   สองขาหนักอึ้งราวกับถูกถ่วงด้วยตุ้มน้ำหนักเอาไว้ทว่าก็ฝืนก้าวเร็วๆ   เขาอยากออกไปให้พ้นจากตรงนี้เสียที  ไปในที่ๆเขาสามารถแสดงความอ่อนแอในใจออกมาได้เต็มที่

“เต...”  รดิศเดินตามหลังผู้ชายตัวเล็กผมหยิกนั้นมาติดๆ  อีกฝ่ายกลับเดินอ้อมไปอีกทางที่ดิมจำได้ว่าเป็นท่าเรือ  “เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป”   เขาตามไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้

“เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้วนี่ครับ  คุณต้องการอะไรกันแน่   ต้องการคำแสดงความยินดีหรือ  ผมก็บอกคุณไปแล้วนี่  หรือว่าต้องการให้ผมร้องไห้ด้วยความปลื้มปิติกับความรักอันแสนยิ่งใหญ่ของคุณสองคนกัน...คุณต้องการแบบนั้นเหรอ   หรือต้องการอะไรอีกล่ะครับ”   เตหันกลับไปพูดรัวเร็ว   อารมณ์ที่พุ่งขึ้นเอ่อล้นจนกลายเป็นหยาดใสในหน่วยตาทั้งสองข้าง 

“คุณอยากรู้ไหมล่ะว่าผมต้องการอะไร”   รดิศพูดเสียงเข้ม  อีกคนสะบัดมืออย่างแรง   ทว่าฝ่ามือแข็งแรงนั้นกลับยึดเอาไว้แน่นจนรู้สึกเจ็บ 

เตยกเข่าขึ้นหมายจะกระแทกอีกฝ่าย  แต่คุณหมอหนุ่มกลับก้าวเข้าประชิดตัวจนเขาไม่เหลือพื้นที่ให้ขยับตัว   จะดึงตัวถอยหลังก็ไม่สามารถทำได้ เพราะถูกยึดตัวเอาไว้อย่างแน่นหนา



หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ปล่อย]ตอนที่27 30/1/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 13-04-2018 01:18:41
“คุณต้องการอะไร?”  เตกัดฟันถาม  ระหว่างที่พยายามบิดข้อมือทั้งสองข้างของตนเองออกจากการเหนี่ยวรั้ง   ชั่วขณะหนึ่งที่นัยน์ตาทั้งสองข้างสบกัน   เกิดความเงียบระหว่างคนทั้งคู่

“ต้องการ....”  สายตาคมเข้มเหลือบมองบางอย่างที่ทำให้ใบหน้าของนักเขียนหนุ่มเห่อร้อนขึ้นฉับพลัน   ติณธรเม้มปากแน่น  พยายามเบี่ยงหน้าหลบใบหน้าเข้มคมที่ขยับเข้ามาใกล้จนเกินพอดี

คล้ายเวลาหยุดนิ่งไป  แม้แต่เสียงคลื่นทะเลที่ซัดสาดอยู่ในตอนนี้ เขาก็หาได้ยินไม่...มีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในอกของเขาเองเท่านั้น   

และเป็นเพราะเขาเอาแต่ก้มหน้าหลบ   จึงไม่เห็นแววตาคมเข้มที่ติดจะขุ่นมัวในตอนแรก  ค่อยๆอ่อนแสงลงจนเกือบจะเรียกว่าอ่อนโยน

“...ต้องการจะขอโทษนาย    เต   นี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเรา   เพราะหลังจากไปอเมริกาคราวนี้  พี่คงไม่กลับมาอีก”  รดิศพูดเสียงเบา

“..................”   ตั้มเงียบ   หัวใจที่เคยเต้นแรงเมื่อครู่กลับเต้นช้าลงกะทันหันจนรู้สึกวูบโหวงในอก

“พี่ไม่อยากให้เราจากกันโดยที่ยังมีอะไรติดค้างกันอยู่   เหมือนเมื่อหลายปีก่อน    เต....ถ้านายยอมรับคำขอโทษของพี่   สี่ทุ่มคืนนี้ ช่วยออกมาพบกันที่นี่นะ  ได้โปรด..พี่จะรอนายอยู่ถึงเที่ยงคืน”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะประโยคที่พี่ดิมพูดมา  หรือจะเป็นเพราะความในใจที่ส่งออกมาผ่านทางสายตา   หรือบางทีอาจะเกิดจากอารมณ์หวั่นไหว ไม่มั่นคงของเขาเอง  ที่ทำให้เขาไม่พูดปฏิเสธออกไป  ทั้งที่สมองตะโกนก้องว่า ไม่!

“อ้าว  เต คุณหมดิมมาอยู่ตรงนี้กันนี่เอง   คุยอะไรกันอยู่ครับ  ท่าทางซีเรียสเชียว”   เสียงทักดังขึ้นอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ทางด้านหลัง   ดิมไม่ได้พูดอะไรต่ออีก   เขาปล่อยตัวนักเขียนหนุ่มเป็นอิสระ   จากนั้นก็หมุนตัวเดินดุ่มๆ กลับไปทางเดิม   ทิ้งให้เตยืนอยู่กับชายหนุ่มร่างท้วม  บก.ของเขานั่นเอง

“เดินหนีไปเฉยเลยแฮะ  อะไรของเค้า....เต  เป็นอะไรหรือเปล่า   พี่เห็นหายไปนานเลยออกมาตาม”   โดมหันมาถามชายหนุ่มรุ่นน้องที่ยังคงมองตามแผ่นหลังคนที่เดินจากไปเมื่อครู่นี้

“ไม่ได้เป็นอะไรพี่   ผมสบายดี”  เสียงแหบพึมพำออกมาเบาๆ

โดมไม่เซ้าซี้ถามอีก แม้ว่าเขาจะรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมของคนทั้งคู่มากก็ตาม    จากการที่เขาแอบยืนมองท่าทางทั้งสองคนคุยกันอยู่พักนึงแล้วนั้น  ค่อนข้างมั่นใจว่านี่ไม่ใช่อากัปกิริยาของคนรู้จักกันธรรมดาเป็นแน่

เห็นแล้วก็อดนึกถึงเมื่อครั้งที่เขากับเตไปเยี่ยมคุณหมอดิมแขนหักที่คอนโดไม่ได้   ตอนนั้นเขาก็รู้สึกแปลกๆกับสายตาที่คนทั้งคู่มองกันหนหนึ่งแล้ว   แต่ตอนนั้นเขาไม่คิดอะไรมาก  คงเป็นเพราะว่าตนเองยังไม่เคยมีความรักด้วยกระมัง  เลยแปลไม่ออกว่า สายตาแบบนั้นแปลว่าอะไร   จนกระทั่งตัวเองมีแฟนนี่แหละ  ถึงเข้าใจว่าความหมายบางอย่างที่แฝงอยู่ในแววตาคมเข้มยามที่มองนักเขียนรุ่นน้องของเขา

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างสองคนนี้    ครั้งจะถาม ก็เกรงใจหนุ่มรุ่นน้อง  กลัวว่าจะเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเขามากไป

 “หิวหรือยัง  ได้เวลาอาหารเย็นแล้วนะ เราไปหาอะไรกินกันเถอะ”  เขาเปลี่ยนเรื่องอย่างนุ่มนวล  ในเมื่อเจ้าตัวไม่เล่า   เขาก็ได้แต่เอาใจช่วยอีกฝ่ายเท่านั้น 

            เตเดินตามมาอย่างว่าง่าย   พวกเขากลับไปรวมกลุ่มกับพวกทีมงานที่เหลือที่ออกมาร่วมวงอาหารเย็นกันที่ชายหาดหน้าเกาะ   มีปกร์เป็นพ่องานจัดการตกแต่งบริเวณรอบด้านเสียสวยงามด้วยดวงไฟวิบวับ   พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว   ท้องฟ้ามืดสนิทไม่เห็นแม้แต่แสงดาว

            “คืนนี้อาจจะมีพายุมั้งครับ  เมฆก็เลยเยอะ  บังดาวหมดเลย   ปกติที่นี่ดาวเยอะมากครับ  ยิ่งมืดยิ่งเห็นชัด”  คนพูดตามมาหยุดยืนอยู่ข้างๆชายหนุ่มร่างบางผมหยิกหยองที่เขาถูกชะตาด้วยตั้งแต่แรกเห็น   

            เตยิ้มนิดๆ  เปลี่ยนสายตาจากแผ่นฟ้าเบื้องบนลงมาสบตาคู่สนทนาแทน

            “ผมไม่ได้มองหาดวงดาวหรอกครับ   ผมเลิกมองหาดาวมานานแล้ว....ผมกำลังคิดอยู่ว่าคืนนี้ฝนจะตกหรือเปล่าตะหากล่ะ”   เขาตอบ  ยกแก้วน้ำเปล่าในมือขึ้นจิบนิดหนึ่ง

            “คุณเลิกมองหาดาวมานานแล้ว..ทำไมถึงเลิกละครับ?”

            “เพราะผมไม่ชอบอะไรที่เป็นอดีตไปแล้ว....คุณคงรู้อยู่แล้วว่าดาวที่เราเห็น ความจริงแล้วนั้นมันเป็นเพียงภาพจากอดีต   ตัวมันเองป่านนี้คงจะสลายกลายเป็นเศษฝุ่นในจักรวาลไปแล้วหลายนานแล้ว  เพียงแต่แสงมันเพิ่งเดินทางมาถึงเราเท่านั้น”

“แต่อดีตที่สวยงาม เราก็ควรจะเก็บเอาไว้ไม่ใช่หรือครับ”  ปกรณ์พูด 

“ครับ...ถ้ามันสวยงาม  เราก็ควรจะเก็บเอาไว้”  เตตอบเรียบๆ

“คุยอะไรอยู่คะ สองหนุ่ม”  ข้าวตังเดินเข้ามาร่วมวงด้วย  เธอหันไปบอกปกรณ์ยิ้มแย้ม   “คุณปกรณ์คะ  อาหารอร่อยมากเลยค่ะ  วิวก็สวยสุดใจ  ตังขอบคุณมากเลยนะคะ”   

“ผมตะหากครับที่ต้องขอบคุณที่คุณตังชอบที่นี่   วันหลังมาเที่ยวอีกนะครับ   เสียดายคราวนี้สุขภาพคุณยังไม่พร้อมเท่าไหร่  ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ผมจะพาคุณไปดำน้ำด้วยกัน”

“ถึงพร้อมตังก็ไม่กล้าดำน้ำหรอกค่ะ  ตังกลัวฉลาม  หึๆ  พี่เตแน่ะค่ะ  อยากดำน้ำมานานแล้ว   คราวนี้มีครูเก่งๆอย่างคุณสอน น่าจะดีนะคะ”   เธอหันไปถามพี่ชาย  เตอึกอัก  ความจริงพรุ่งนี้เขาว่าจะขอตัวจากโปรแกรมดำน้ำพวกนี้เสียหน่อย

“คุณเตอยากดำน้ำหรือครับ  ได้เลยฮะ  พรุ่งนี้ผมจะสอนให้เลย   เอ  คุณตังรับน้ำเพิ่มมั้ยครับ  ผมจะไปหยิบมาให้”   ชายหนุ่มเปลี่ยนเรื่องทันควัน   ไม่เปิดโอกาสให้นักเขียนหนุ่มได้ปฏิเสธ

“อุ้ย  ไม่เป็นไรค่ะ  ตังยังทานน้ำมากไม่ได้ค่ะ”   หญิงสาวพูดเสียงใส

“ดูแลตัวเองได้ดีมากครับ คุณตัง”  ศัลยแพทย์หนุ่มเอ่ยยิ้มๆ  เขาเดินอ้อมมาจากไหนไม่ทราบ   จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาข้างติณธรเสียเฉยๆ  ท่อนแขนแข็งแรงที่พ้นเสื้อแขนสั้นฮาวายเสียดสีที่ท่อนแขนของนักเขียนหนุ่มคล้ายไม่ตั้งใจ   เตขยับตัวถอยห่างอีกฝ่ายนิดหนึ่ง

“แน่นอนค่ะหมอดิม  ตังกลัวโดนผ่าใหม่อีกรอบจะตายไป  รอดมาได้สองครั้งนี่ก็เก่งสุดๆแล้ว”  เธอหัวเราะในโชคชะตาของตนเอง

“โห  คุณตังผ่าตัดมาสองครั้งแล้วเหรอครับ”  ปกรณ์อุทาน

“ใช่ค่ะ  ครั้งแรกตอนที่ท้องเจ้าเต้   เกือบตายเหมือนกัน  ดีนะที่ตอนนั้นมีพี่เตอยู่ด้วย   จะว่าไปแล้ว  พี่เตก็อยู่ข้างตังทุกครั้งที่มีปัญหา   ถ้าไม่ได้พี่เต  ตังคงตายไปนานแล้ว”

“พูดอะไรอย่างนั้น  ข้าวตัง”  พี่ชายเสียงเข้มขึ้นนิดหนึ่ง  น้องสาวยิ้ม  เอนศีรษะมาซบไหล่ของเขา  กอดแขนเอาไว้แน่น

“ก็จริงนี่คะ  โชคดีที่สุดในชีวิตของตังก็คือพี่เตนี่แหละ”  เตยิ้มนิดๆ  ยกมือขึ้นลูบศีรษะของน้องสาวเบาๆ   สายตาอีกสองคู่มองตาม ก่อนจะเมินมองไปทางอื่นด้วยความรู้สึกต่างกัน

“น่ารักจังเลยนะครับ  คู่ของคุณเตกับตังเนี่ย    แปลว่าก็เจอกันตั้งแต่สมัยเรียนเลยสิ  ใช่ไหมครับ”  ปกรณ์ถามยิ้มๆ 

“เจอกันตั้งแต่เด็กๆแล้วค่ะ  พี่เตดูแลตังมาตั้งแต่ตังยังไว้ผมสั้น ผูกคอซองอยู่เลย”  หญิงสาวเล่าถึงอดีตของตนอีกนิดหน่อย โดยจงใจละเรื่องบางเรื่องเอาไว้ในฐานที่เข้าใจ   ตอนนั้นเองที่นายแพทย์วิรัลถือแก้วไวน์ในมือเข้ามาร่วมวงด้วยอย่างสนใจ

“คุยอะไรกันอยู่ครับ  ท่าทางสนุกเชียว”  กุมารแพทย์ถาม  สบตากับว่าที่คู่หมั้นของตน

“กำลังคุยเรื่องคุณตังกับคุณเตอยู่ครับ    ว่าทั้งสองคนพบรักกันได้ยังไง....แล้วของคุณหมอทั้งสองล่ะครับ   พบกันตั้งแต่สมัยเรียนเหมือนคุณตังกับคุณเตหรือเปล่า”

“หึ...ให้พี่ดิมเล่าก็แล้วกัน”  วิรัลอมยิ้ม  ใบหน้าเริ่มขึ้นสีแดงจางๆ   รดิศสบตาว่าที่คู่หมั้นนิดหนึ่ง ก่อนจะมองตรงแลเลยไปยังใครอีกคนที่ยืนอยู่ถัดไป

“ก็ได้”   ทีมงานหลายคนเริ่มลากเก้าอี้เข้ามาร่วมฟังด้วย    เขากระแอมนิดหนึ่ง  ก่อนจะเล่า

“ความรักของผมเป็นรักแรกพบครับ...ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นปีที่สอง   มีงานรับน้องประจำปีที่แต่ละคณะจะต้องจัดเป็นซุ้มเล่นเกม    ผมอยู่ซุ้มหนุ่มน้อยตกน้ำ....   ”

สายตาสองคู่สบกันโดยบังเอิญ  แล้วก็หยุดค้างอยู่อย่างนั้นราวกับมีแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นผนึกสายตาของทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน   

“....เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง   จนกระทั่งได้เจอกับเขา   เหมือนผมโดนหมัดฮุกเข้าให้   รู้ตัวอีกที  ผมก็รักเขาไปแล้ว”     

ติณธรถอนสายตากลับ  เขาพึมพำอะไรสักอย่างที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับตัง  แล้วเดินออกจากวงมาเสียอย่างนั้น

รู้ว่าเสียมารยาท   รู้ดีว่ามันคงแปลกพิลึกที่จู่ๆก็ลุกเดินหนีออกมาเสียเฉยๆ   รู้...ทว่าทนฟังอยู่ตรงนั้นต่อไม่ได้จริงๆ   มันทำร้ายหัวใจกันเกินไป

ทำไม...พี่ดิมพูดแบบนั้นทำไม   ไม่สิ  เพื่ออะไร   ทำเหมือนยังรักเขาอยู่  แต่กลับจะไปแต่งงานกับคนอื่น   ...ต้องการอะไรกันแน่ 

“โธ่เว้ย  ไอ้บ้าเอ๊ย!  โอ๊ย!”  ประโยคแรก เขาเตะทรายเต็มแรง  ตามด้วยเสียงอุทานเพราะเท้าถูกเปลือกหอยบาดเข้าให้เต็มๆ 

เลือดสีแดงสดไหลซึมออกมาจากแผลที่ฝ่าเท้า  ปะปนกับเม็ดทรายที่เปื้อนอยู่   เตจุ่มฝ่าเท้าลงไปในทะเล   ล้างเศษทรายและคราบเลือดออก

ความแสบที่แล่นจากปลายเท้าเข้าสู่สมองทำให้รู้สึกสะใจอย่างประหลาด

“คุณเต  ทำไมเดินออกมาอย่างนี้ล่ะครับ”  ไม่ใช่ปกรณ์ที่ตามออกมา  ไม่ใช่ผู้ชายคนนั้นที่ทำให้เขาเจ็บปวด  ไม่ใช่พี่โดมพี่ชายใจดีของเขา   แต่เป็นภาคย์...เจ้านายของเขาเอง

“อ้อ  คุณภาคย์..พอดีผมอยากออกมาเดินเล่นน่ะครับ”  คนฟังเลิกคิ้ว  เหลือบตามองแผลที่ผ่าเท้าของเขาที่แช่อยู่ในน้ำทะเลเงียบๆ ไม่ถาม

“อากาศที่นี่ดีจังนะครับ”  ชายหนุ่มพูดเรื่อยๆ   เริ่มออกเดินเคียงข้างอีกคนที่ย่ำเท้าลงไปบนผืนทรายทั้งอย่างนั้น    รองเท้าถูกวางลืมเอาไว้ที่ไหนสักแห่งข้างบนหาด

“นั่นสิครับ   เสียดายที่พรุ่งนี้จะต้องกลับแล้ว”

“เรื่องสัมภาษณ์คุณปกรณ์เป็นอย่างไรบ้างครับ  ราบรื่นดีไหม”   ภาคย์ถาม  เอื้อมมือไปช่วยพยุงคนตัวเล็กกว่านิดหนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเซไปเล็กน้อย

“ดีครับ  ผมสัมภาษณ์ไปเกือบหมดแล้ว  เหลือแต่พวกเกร็ดเล็กๆน้อยๆ เอาไว้ค่อยถามทีหลังก็ได้”

“คุณปกรณ์เป็นอย่างไรบ้าง   ดูเหมือนคุณจะคุยถูกคอกันดี”

“คุณปกรณ์เป็นคนน่ารักครับ”  เตพูดสั้นๆ  “แล้วเรื่องถ่ายแบบของคุณล่ะ  เป็นอย่างไรบ้างครับ  เรียบร้อยดีไหม”

“วันนี้เราถ่ายเซ็ตตอนเย็นไปแล้ว  เหลือแต่วันพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้ามาถ่ายต่อ  ภาวนาให้เช้าวันพรุ่งนี้ฝนไม่ตกด้วยเถอะ”

“สาธุ...ขอให้ฝนอย่าตกเลยนะ  เพี้ยง..  ผมช่วยแล้วนะ ฮ่าๆ”  ติณธรพูดแกมหัวเราะ   ภาคย์หัวเราะตาม   เขาหยุดเดิน   หันมามองอีกฝ่ายเต็มตา

“คุณเต....ไม่ว่าพรุ่งนี้ฝนจะตกหรือแดดจะออก   ผมก็อยากเห็นคุณหัวเราะแบบนี้ตลอดไปนะครับ”  คนฟังลอบถอนหายใจยาว   เขาหลบตาอีกฝ่าย  ออกเดินต่อ

บรรยากาศคล้ายจะขุ่นข้นขึ้นเล็กน้อย    ภาคย์เหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนตัวเล็กกว่า   เห็นเพียงปลายจมูกโด่งคม และแพขนตาที่หลุบลงปกปิดแววตาคู่นั้น   ริมฝีปากอิ่มเต็มเม้มแน่น

“เรื่องคุณรดิศ...ผมว่าจะไม่ถามคุณ   แต่ก็อดเป็นห่วงคุณไม่ได้   คุณเต  คุณโอเคไหม  ถ้าคุณไม่ไหวคุณรีบบอกผมนะ  ผมจะพาคุณออกไปจากที่นี่เอง”

ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมหยิกหยองส่ายไปมาช้าๆ

“ไม่เป็นไรครับ  ขอบคุณมาก” นักเขียนหนุ่มตอบ  พวกเขาเดินมาจนเกือบสุดหาด   หันกลับไปเห็นแสงไฟจากบริเวณที่กินเลี้ยงกันลิบๆ

เตลังเลว่าจะเล่าเรื่องที่รดิศขอนัดเขาออกมาดีหรือไม่...

“ไม่มีอะไรหรอกครับ...เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้ว”   สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เล่าออกไป

          ภาคย์ยกมือขึ้นคล้ายจะสัมผัสใบหน้าของเขา  แต่แล้วก็กลับทิ้งมือลงข้างตัว   

          “อย่างนั้นก็ดีแล้ว  ...เรา...กลับกันเถอะครับ”     เตพยักหน้า   ออกเดินนำเขากลับไปตามทางเดิมอีกครั้ง   ภาคย์มองตามแผ่นหลังเล็กที่พยายามยืดตรงนั้น   เขารู้ว่าอีกฝ่ายเจ็บปวด  อาจจะมากกว่าแผลที่เท้าที่ฝ่ายนั้นจงใจย่ำลงไปในทะเลด้วยซ้ำ   ทว่าเตก็เป็นคนอย่างนั้นเอง   เขายอมรับและอยู่กับความเจ็บปวดได้อย่างหน้าชื่นตาบาน   และไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น

            อีกครั้งที่คำว่า ‘คนอื่น’  ทำให้เขารู้สึกเจ็บแปลบ  ความรู้สึกที่ทำได้เพียงแค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ  ทั้งที่ในใจอยากจะเข้าไปกอดปลอบประโลมนั้นมันช่างทรมานเหลือเกิน

            เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว   รู้ตัวอีกทีก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว....นักเขียนหนุ่มนั่งจ้องคอมพิวเตอร์ที่ว่างเปล่าของตนเองมานาน   เงี่ยหูฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของหญิงสาวและเด็กชายบนเตียงนั้นครู่ใหญ่

            เขายังตัดสินใจไม่ตกว่าจะออกไปพบกับศัลยแพทย์หัวใจคนนั้นดีหรือไม่

            ‘นี่อาจจะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายของเรา   เพราะหลังจากไปอเมริกาคราวนี้  พี่คงไม่กลับมาอีก’

          มันอาจเป็นกลลวงอะไรสักอย่างของชายหนุ่มผู้นั้น  ที่จงใจขุดขึ้นเพื่อดักเขา ให้ตกลงไปในบ่วงอีกครั้งก็เป็นได้   เหมือนที่อีกฝ่ายเคยทำมาแล้วเมื่อหลายเดือนก่อน 

          ‘พี่ไม่อยากให้เราจากกันโดยที่ยังมีอะไรติดค้างกันอยู่   เหมือนเมื่อหลายปีก่อน’

          เรื่องราวระหว่างเขากับพี่ดิมมันพันกันยุ่งเหยิงไปหมดจนยากที่จะแก้ออกทีละเปลาะ  ทางเดียวที่ง่ายที่สุดก็คือตัดปมเชือกนั้นทิ้งไปเสีย 

            ต้องยอมรับว่าลึกสุดใจแล้ว  เขายังอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้   ว่าคนๆนั้นยังรักเขาอยู่   แต่เป็นเขาเองที่คิดมาก  พยายามผลักไสไล่ส่งอีกฝ่ายออกไปด้วยทิฐิในใจ ครั้นพอฝ่ายนั้นบอกว่าอยากดูแลเขา  เพราะคิดว่าเขาเป็นโรคร้ายแรง   ตอนแรกเขาดีใจมาก  ต้องใช้ความพยายามแค่ไหนในการกักเก็บความปลื้มปีตินั้นเอาไว้ภายใต้สีหน้าเย็นชาเหมือนไม่เอาใจใส่   พยายามปฏิเสธอีกฝ่ายทั้งที่หัวใจอ่อนยวบ

            แต่พออีกคนล้มเลิกความตั้งใจ  เพราะรู้ความจริงว่าเขาไม่ได้ป่วยอะไรมากมาย   บอกว่าจะแต่งงานแล้วไปต่างประเทศ  โดยไม่กลับมาอีก  ต้องการแค่จะ ‘เคลียร์’  เรื่องราวในอดีตให้หมดสิ้น   ก่อนจะไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่เขาตัดสินใจเลือกแล้ว

            เขาก็อดเสียใจแล้วก็เจ็บใจไม่ได้...

            ทำไมเขาถึงเป็นคนแบบนี้...

            “พี่เต....ยังไม่นอนหรอคะ”   เสียงของหญิงสาวดังขึ้นด้านหลัง  ตามด้วยสัมผัสอบอุ่นรอบตัว   ข้าวตังโอบกอดเขาจากด้านหลังด้วยวงแขนเล็กๆของเธอ  เกยคางแหลมเอาไว้ที่ไหล่

            “ตัง  ทำไมตื่นขึ้นมาล่ะ  พี่ทำเสียงดังเหรอ”  เตถามกลับ   กุมมือประสานกับน้องสาวเล่น

            “เปล่าค่ะ  พอดีตังสะดุ้งตื่นขึ้นมาเอง  เห็นพี่เตนั่งหน้าเครียดอยู่เลยลุกมาคุยด้วย.... ทำงานอยู่หรือคะ”

          “อืม  หัวไม่ค่อยแล่นเลยวันนี้”  ชายหนุ่มเออออไปตามเรื่องตามราว   สบตาน้องสาวครู่หนึ่งก็รู้ว่าเธอคงมีเรื่องกังวลอยู่ในใจ  “มีอะไรหรือเปล่า  ทำหน้าเหมือนมีเรื่องจะพูดกับพี่”

          เธอหัวเราะเบาๆ

            “นี่ตังดูออกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ  หึๆ  ใช่ค่ะ  ตังมีเรื่องจะคุยกับพี่จริงๆ”    ชายหนุ่มเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง  ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงแจ่มใส

            “ตังอยากขอเลิกกับพี่เตค่ะ”


          ……………………………………………………………………


มาต่อนะจ้ะ
ใครยังรอเรื่องนี้อยู่ อย่าลืมเม้นท์เป็นกำลังใจให้เรานะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 13-04-2018 08:29:29
หนูตังบอกช้าไปไหม
ตั้งเตจะยอมหรือเปล่า
แล้วหมอดิมหละ
โอ้ยๆๆๆๆๆ หน่วงสาหัสจริงๆ
เมื่อไหร่จะเข้าใจกันซักทีหนอ
เตหนอเต .... เธอต้องลดทิฐิลงมาบ้างนะ
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 13-04-2018 09:52:54
..

เป็นเต เราก้อทั้งงง ทั้งเสียใจ

เดี๋ยวมาดี เดี๋ยวจะไป

ใจบางๆก้อฉีกขาดได้นะ

แล้วน้องข้าวตังจะมาบอกเลิกอีก

เห็นใจเตหน่อย. ให้เตได้มีที่ยืนที่พักพิง

....

สงสารกันหน่อยได้ไหม ใจมันรับอีกไม่ไหว

 :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:  :z3:

 :m15:  :m15:  :m15:  :m15:

..





หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 14-04-2018 02:11:53
 :sad4: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-04-2018 22:59:51
 :m22:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 15-04-2018 23:27:38
ดีใจๆๆๆๆมาต่อแล้วๆๆๆสงสารเตๆๆๆ :katai4: :mew4: :z3: :L2: :กอด1: :mew6: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 20-04-2018 23:43:11
เข้ามาอ่านตอนนี้แล้ว
สงสารใจตัวเอง..รู้สึกเศร้าจริงๆ

กระถดกลับ ขยับหนี มีที่ว่าง
มันยิ่งทำ ให้หมดทาง หว่างวิถึ
คงจะสุด หนทางเดิน แล้วคนดี
ไร้พื้นที่ ของสองเรา ให้ก้าวเดิน

เศร้ามากมาย..กาซิกๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 21-04-2018 01:22:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 10-05-2018 13:52:38
เมื่อไหร่จะเคลียร์ซักที
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Naam3 ที่ 10-05-2018 16:35:34
 :katai4: :katai4: :katai5: :ling1: :hao7: :mew1: :mew2: :katai2-1: :z10:
รอๆๆๆๆๆน่าๆๆๆ :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 11-05-2018 06:24:35
ติดตามจ้า :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่28 13/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: myall ที่ 20-06-2018 14:43:52
ตามอ่านจนถึงปัจจุบันแล้ว โอยพี่ดิมจะไปจริงๆเหรอ หน่วงหนักจริงๆ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 21-07-2018 21:13:58
เพราะหัวใจบอกว่า...ให้

 

 













 

เกือบเที่ยงคืนแล้วตอนที่ติณธรตัดสินใจเดินออกมาจากบังกะโลเพื่อตรงไปยังจุดนัดหมาย  ชายหาดด้านหลังของเกาะ   คำพูดของน้องสาวยังคงดังวนไปวนมาอยู่ในหัว 

            และนั่นทำให้เขาตัดสินใจออกมาพบกับผู้ชายคนนั้น

            หัวใจเต้นแรงขึ้น  แรงขึ้นทุกทีตามจังหวะการก้าวเท้าที่เข้าใกล้จุดหมายมากยิ่งขึ้น  ไฟฉายในมือสาดส่องไปทั่วๆ  โชคดีที่แสงจากบ้านพักหลายหลังยังคงสว่างออกมาพอให้เห็นทางเดินลางๆ   ลมพัดเย็นยะเยือกคล้ายกับกำลังจะมีพายุในเร็วๆนี้

            ได้ยินเสียงคนพูดกันอยู่ที่ชายหาด   เตเพ่งมองผ่านม่านมะพร้าวออกไปเห็นเงาของคนสองคนยืนพูดอะไรกันอยู่บนหาดทราย  ก่อนที่คนทั้งคู่จะกอดกันแนบแน่น 

            ความเย็นยะเยือกแล่นตลอดเส้นผมจรดปลายเท้า  นักเขียนหนุ่มดับไฟฉายในมือลง  ขยับจะหันหลังกลับ

            เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังออกมาจากเงาของหนึ่งในสองคนนั้น

            “นั่นเตใช่มั้ย    เดี๋ยวก่อน  อย่าเพิ่งไป”

            สมองแปลคำว่า อย่าเพิ่งไป  ให้กลายเป็นสัญญาณประสาทกระตุ้นให้สองขาของเขาออกวิ่ง   ติณธรพุ่งตัวออกมาจากตำแหน่งนั้นอย่างรวดเร็ว  เขาวิ่งไปบนหาดทราย  ได้ยินเสียงฝีเท้าของใครอีกคนวิ่งตามเขามา   ชายหนุ่มเร่งฝีเท้ามากขึ้น 

            “เต  รอพี่ก่อน  ฟังก่อน”   เสียงพี่ดิมร้องเรียกมาตลอดทาง   ทว่าเขาไม่ได้หันกลับไปมอง  และไม่ลดฝีเท้าลงด้วย

            ถามว่าเขาจะวิ่งไปที่ไหน    เขาไม่รู้....ถามว่าวิ่งหนีอีกคนทำไม...เขาไม่มีคำตอบให้สำหรับคำถามนั้น   รู้แค่ ความรู้สึกของเขา  บอกให้ตัวเองก้าวหนีออกมาจากที่ตรงนั้น

            “โอ๊ย!”  มีเสียงอุทานลั่นขึ้นทางด้านหลัง   จากนั้นเสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมาก็เงียบไป   เตก้าวต่อไปอีกสองสามก้าว  สุดท้ายก็ต้องยอมพ่ายแพ้แก่เสียงในใจของตัวเอง   เหมือนที่แพ้มาตั้งแต่ต้น

            เขาหยุดวิ่ง แล้วหันกลับไปมองข้างหลัง

            เงาตะคุ่มคล้ายร่างของคนๆหนึ่งนอนคุดคู้อยู่ที่ริมหาด  ส่งเสียงครางเบาๆยามที่เขาก้าวเข้าไปหาด้วยความตกใจ  ยกไฟฉายขึ้นส่อง  เห็นใบหน้าคมก้มชิดแนบอก   มือทั้งสองข้างยกขึ้นกอดรอบเข่าไว้แน่น

            “พี่ดิม  เป็นอะไรหรือเปล่า  เจ็บตรงไหนบอกเตมา”   น่าเจ็บใจที่เวลาเขาตกใจที่ไร   สรรพนามเก่าๆมักจะกลับมาโดยไม่ได้นัดหมายเสมอ 

            ร่างนั้นไม่ตอบ  ตั้งเตก้าวเท้าเข้าไปใกล้จนเกือบชิด  เขารู้สึกถึงของเหลวบางอย่างที่ไหลออกมาจากเนื้อตัวสั่นเทาของคนที่นอนขดอยู่กลางผืนทราย   ชายหนุ่มแตะมันแล้วยกขึ้นส่องใต้ไฟอย่างแปลกใจ

            สีแดงฉานและกลิ่นคาวของมันบอกชัดว่าของเหลวนั้นคืออะไร

            “พี่ดิม  เลือดมาจากไหน  พี่โดนอะไรเข้า”  เขาตะโกน   แตะไปตามผิวหนังเย็นเฉียบชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย  แว่วเสียงหายใจหอบลึกของตัวเองดังแทบไม่เป็นจังหวะ

            ความกลัวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนมากมาย หลั่งท่วมท้นออกมากลบทิฐิทุกอย่างในจิตใจจนหมดสิ้น    เขาพยายามพลิกตัวนายแพทย์หนุ่ม เลิกเสื้อขึ้นเพื่อมองหาตำแหน่งเลือดออก

            หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ  ตรงข้ามกับเลือดที่ไหลออกมาทะลักทลายอาบฝ่ามือทั้งสองข้างของเขา  กลิ่นคาวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ   เขาร้องตะโกนขอความช่วยเหลือ  ทว่ารอบด้านมีแค่คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าหาหาดทราย

            “ช่วยด้วย  ฮือ   ใครก็ได้  ช่วยพี่ดิมด้วย  ฮือ   พี่ดิม  ผมขอโทษ  ผมขอโทษจริงๆ  ฮือ”

          เขาร้องไห้ออกมาเสียงดังลั่น   น้ำตาร้อนๆไหลอาบสองข้างแก้ม   ติณธรร้องจนหมดแรง  เขารู้สึกหนาวมากขึ้นทุกทีคล้ายกับว่าร่างเย็นชืดของอีกฝ่ายดูดกลืนเอาความอบอุ่นของเขาไปหมดสิ้น

            “เต ไม่เป็นไรแล้ว  เต..”  เสียงเรียกของใครบางคนช่างเลือนรางเหมือนอยู่ในความฝัน  เตลืมตาขึ้นมาช้าๆ  รู้สึกว่าฝ่ามือของตนเองยังคงกำชายเสื้อของพี่ดิมกันเอาไว้แน่นไม่ปล่อย   เขานอนซบอยู่บนอะไรอย่างหนึ่งที่คงจะเป็น...

            หมอน?

          นักเขียนหนุ่มลืมตากว้าง  เขาพบว่าตนเองกำลังนอนตะแคงกอดหมอนข้างอยู่บนเตียง  กลางห้องพักบังกะโลริมชายหาด  ข้างตัวมีอ่างน้ำที่คงเอาไว้เช็ดตัวพร้อมผ้าขนหนูวางพาดอยู่   ภายในห้องไม่มีใคร นอกจากเขาคนเดียว   หัวใจที่เต้นรัวเร็วในตอนแรกกลับค่อยๆช้าลงจนเป็นจังหวะปกติ คราบน้ำตายังค้างอยู่ที่หางตา  ชายหนุ่มปาดมันทิ้งแรงๆ

            ....นี่เขาฝันไปหรือนี่....

            “พี่เต   ตื่นแล้วหรือคะ  ไข้ลงหรือยัง”  น้ำเสียงอ่อนหวานคุ้นเคยของน้องสาวทำให้เขาคลายกังวลลง  ข้าวตังเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับผ้าขนหนูอีกผืนในมือ  เธอเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆเตียงของเขา  ยกหลังมือขึ้นแนบกับหน้าและซอกคอ

            “ไข้ลงแล้ว  เมื่อคืนพี่เตจับไข้ทั้งคืนเลย  ตังกลัวแทบแย่”

          “เมื่อคืน?  ตอนไหน  ทำไมพี่ไม่รู้สึกตัวเลย”  เขาถาม  รู้สึกระคายคอ  หญิงสาวส่งแก้วน้ำมาให้อย่างรู้ใจ

            “ก็หลังจากที่เราคุยกัน  พี่เตก็เข้านอน  สักพักพอตังกลับเข้ามาในห้องก็เห็นพี่นอนขดร้องคราง เพ้อใหญ่เลยเพราะพิษไข้   ตังก็เลยไปเคาะห้องคุณหมอดิมกับหมอรัน แต่ทั้งคู่ไม่อยู่  ไม่รู้ไปไหน  โทรไปก็ไม่มีใครรับ  สุดท้ายตังเลยต้องนั่งเช็ดตัว  หายาแก้ไข้ให้พี่เตกินไปตามเรื่องตามราว”  เธอพูด  ท่าทางเพลียไม่น้อย  คงเหนื่อยที่ต้องดูแลคนป่วยอย่างเขาตลอดคืน

            “พี่ขอบคุณเธอมากนะข้าวตัง  ขอโทษด้วยที่ทำให้เดือดร้อนอย่างนี้ แทนที่จะได้พักผ่อน”

          “โธ่  เรื่องเล็กน่าพี่เต   ตังผิดเองแหละที่ชวนพี่คุยเรื่องเครียดๆเสียนาน  ไม่ทันดูเลยว่าพี่ไม่สบาย”  เธอพูดยิ้มๆ  ไม่สบตาเขา 

            ชายหนุ่มมองตาม ก่อนจะแลเลยไปยังนาฬิกาข้างฝาผนัง....เกือบตีสี่แล้ว   เลยเวลาเที่ยงคืนมานานโข  ....ถ้าจะไปตอนนี้ คงไม่มีใครรอพบเขาแล้วสินะ...

            “ใกล้เช้าแล้วค่ะ  แปลกจังที่คุณหมอสองคนนั้นไม่รู้ไปไหนกัน  ไม่ยักกลับห้อง  ช่างเถอะ  พี่เตไข้ลงก็ดีแล้วค่ะ  นอนพักก่อน  ตังก็จะนอนบ้างล่ะ  ง่วงจัง”   ชายหนุ่มนอนฟังเสียงน้องสาวเดินกลับไปกลับมาในห้องครู่หนึ่ง  จากนั้นเธอก็กลับมาทิ้งตัวลงนอนข้างๆเขา   เตลืมตาขึ้นอย่างตกใจ

            “ตัง..เดี๋ยวพี่ออกไปนอนข้างนอกดีกว่า”  มือนิ่มๆของเธอกลับยึดข้อมือของเขาเอาไว้

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เตนอนเถอะ   ตังไม่ใจร้ายพอให้คนป่วยนอนโซฟานอกห้องหรือว่านอนพื้นหรอกนะคะ”  เธอพูดกลั้วหัวเราะ  ดักคอเขาเอาไว้ทุกทาง

            ติณธรถอนหายใจยาว  หลับตาลง  ครู่เดียวก็หลับสนิทอีกครั้ง 

            หญิงสาวข้างกายกลับค่อยๆพลิกตะแคงตัว  จ้องมองใบหน้าของพี่ชายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานานเหลือเกิน   นานจนเธอเกือบเผลอคิดว่าเขาจะอยู่กับเธอตลอดไป

            ตลอดไปงั้นหรือ?...หึ  เชื่อไหมว่าถ้าเธอขอร้องเขาให้อยู่กับเธอตลอดไป  คนๆนี้ก็จะยินยอมที่จะทำให้คำว่าตลอดไปนั้นเกิดขึ้นได้จริง   พี่เตเป็นคนใจดี และรักเธอกับเต้มาก  น่าแปลกที่คนๆนี้กลับใจร้ายกับตัวเองและคนที่ตัวเองรักได้ลงคอ

            หลายปีก่อนเธอเคยสงสัยอยู่บ้างเหมือนกัน  ว่าถ้าวันหนึ่งเธอเกิดทำใจ ‘ปล่อย’ พี่ชายใจดีคนนี้ไปเสีย   วันนั้นเธอจะสามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวหรือเปล่า   แล้วเธอจะรู้สึกยังไง  จะเสียใจมากมั้ย  ร้องไห้ฟูมฟายหรือเปล่า  หรือว่าจิตตกเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีก

            คำตอบในวันนี้คือ ไม่ 

            คล้ายกับว่าภายในส่วนลึกของจิตใจเธอ เฝ้ารอวันนี้อยู่นานแล้ว  เพียงแต่เธอไม่รู้เท่านั้นเอง  วินาทีที่เธอขอเลิกกับเขา  เธอกลับพูดมันออกไปได้ง่ายดายราวกับกำลังขอไปจ่ายตลาดหรือดูหนังสักเรื่อง

            เป็นพี่เตเสียอีกที่ดูตกใจ และเสียใจ  เขาถามเธอหลายต่อหลายคำถาม   เขาทำผิดอะไร  เธอโกรธอะไรเขาเหรอ  ทำไมเธอถึงไม่อยากอยู่กับเขาแล้ว  ทำไม ทำไม และทำไม

            ล้วนเป็นคำถามที่เธอได้คิดเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว   และคำตอบของเธอเพียงคำตอบเดียวก็สามารถหยุดทุกคำถามของอีกฝ่ายได้อย่างชะงัด

            ‘ตังอยากมีชีวิตเป็นของตัวเองค่ะ  ตังอยาก..ใช้ชีวิตกับคนที่ตังรัก’

          พี่เตคงไม่รู้  หรืออาจจะรู้  ว่าคำตอบที่แท้จริงในใจของเธอก็คือ

            ‘ตังอยากให้พี่เตมีชีวิตเป็นของตัวเองค่ะ   ตังอยากให้พี่เต...ใช้ชีวิตกับคนที่พี่เตรัก’ 

            เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีคำตอบอย่างไร   เพราะพี่ชายไม่ได้ตอบ  เขานิ่งไปนานราวกับใคร่ครวญหาบางอย่าง   แล้วถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

            ‘ตังเจอ...คนที่ชอบแล้วเหรอ’   

          ‘ค่ะ  ตังมีคนที่ตังชอบแล้ว’   เธอตอบเขาออกไปอย่างนั้น    อีกฝ่ายพยักหน้ารับ แต่ไม่ยักถามว่าคนๆนั้นเป็นใครกัน

            บางทีพรุ่งนี้  พี่เตอาจจะมีคำตอบสำหรับ ‘เรา’



          ………………………………………………………………………



          “ดิม...มานั่งทำอะไรตรงนี้คนเดียวดึกดื่นๆ   ไม่ง่วงนอนเหรอ”   วิรัลทักคนที่นั่งทอดอารมณ์อยู่บนเก้าอี้ริมหาดคนเดียวมาหลายชั่วโมงออกไปด้วยน้ำเสียงสบายๆ  ทั้งที่ความจริงข้างในกลับร้อนรุ่มราวกับไฟแผดเผา

            มันคงไม่แปลก ถ้าจะมีใครมานั่งเล่นรับลมทะเลริมหาดทรายยามดึก  แต่มันแปลกแน่ถ้าใครคนนั้นนั่งอยู่ที่เดิมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง  ไม่ลุกไปไหน  ไม่ขยับเขยื้อน  แถมไม่มีทีท่าว่าจะกลับบ้านพัก   และยังทำท่าผิดหวังเมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เดินเข้ามาหา

            “อ้อ  รัน  ผมกำลังนั่งคิดอะไรเพลินๆนิดหน่อยน่ะ  คุณยังไม่นอนอีกเหรอ”  ชายหนุ่มพลิกนาฬิกาข้อมือดู  “เกือบตีสองแล้วนะ”  เขาพูดต่อ  พลางยกเบียร์ในมือขึ้นจิบ

            “ปกติดิมไม่ดื่มนี่  วันนี้นึกครึ้มอะไรขึ้นมา”  รันกวาดสายตามองกระป๋องเบียร์เปล่าสองกระป๋องที่กลิ้งอยู่ที่พื้นทราย 

            “บรรยากาศที่นี่มันดี  ก็เลยจิบเล่นๆนิดหน่อย   ทำไมยังไม่นอนอีก”  อีกฝ่ายเปลี่ยนเรื่อง   ถามซ้ำ

            “ก็เห็นดิมยังไม่กลับห้องเสียที ก็เลยออกมาตาม”  เขาโกหก  ความจริงเขานั่งดูผู้ชายคนนี้มาพักใหญ่แล้ว   อาจจะนานพอๆกับที่อีกฝ่ายนั่งรอใครบางคนอยู่ที่นี่ก็เป็นได้

            “ไม่ต้องห่วงหรอก  เดี๋ยวก็กลับแล้ว  คุณกลับไปนอนก่อนเถอะ”   ศัลยแพทย์หนุ่มพูด     เขาทอดสายตามองออกไปยังท้องทะเลมืดสนิทเบื้องหน้า   มันมืดมากจนมองไม่เห็นเกลียวคลื่น  ได้ยินเพียงแต่เสียงซัดสาดเท่านั้น 

            วิรัลทิ้งตัวลงนั่งข้างๆกัน   หยิบเบียร์กระป๋องที่ยังเหลืออยู่ขึ้นมาเปิด ยกขึ้นจิบนิดหนึ่ง  ปล่อยให้รสขมปร่าครอบครองปลายลิ้น...หวังว่ามันจะช่วยลดความขมในหัวใจของเขาได้บ้างสักนิดก็ยังดี..

            “เค้าไม่มาใช่มั้ย”    ประโยคเดียวที่ถามออกไป  ทำเอาอีกฝ่ายสะดุ้งราวกับถูกโบยด้วยแส้

            “ผมไม่ได้รอใคร”  รดิศตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา  แบบที่คนฟังรู้ดีว่า  มันมีไว้เพื่อปกปิดความอ่อนแอในใจของเจ้าตัวก็เท่านั้น     

            “ดิมยอมให้รัลมาด้วยครั้งนี้  ก็เพราะยอมให้รัลช่วยไม่ใช่เหรอ  แล้วทำไมถึงมาปิดบังกันล่ะ”   เขาตอบกลับ  พยายามข่มอารมณ์ในน้ำเสียงไม่ให้ฟังดูต่อว่ามากเกินไปนัก

            อีกฝ่ายเงียบไปนาน

            “ใช่   เค้าคงไม่มา”   ดิมพูดเสียงเบา   เป็นครั้งแรกที่รันได้เห็นกันในมุมนี้  มุมที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นในตัวของผู้ชายที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบไปเสียทุกอย่างแบบนายแพทย์รดิศ   เค้าดูลังเล  ไม่มั่นใจในตัวเองเอาเสียเลย

            ความรักทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความเป็นตัวเองไปมากขนาดนี้เชียวเหรอ  หรือว่าเป็นเพียงเพราะ..ผู้ชายผมหยิกหยองคนนั้น

            “อาจจะมีอะไรผิดพลาด”  เขากัดฟันพูด   ขณะที่คนฟังสั่นศีรษะเบาๆ

            “ไม่หรอก  ไม่ใช่...เค้าจงใจไม่มา   เค้า....   คงเป็นเพราะตอนบ่ายผมดันไปทำให้เขาเข้าใจผิดเพิ่มขึ้นไปอีกก็ได้กระมัง”

          “ตอนบ่ายงั้นหรือ”  วิรัลมองอีกฝ่ายเป็นเชิงถามว่าเกิดอะไรขึ้น  เท่านั้นศัลยแพทย์หนุ่มที่ใบหน้าเริ่มขึ้นสีเรื่อๆตามปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปก็คล้อยตาม เล่าให้ฟังอย่างง่ายดาย

            “ผมโกรธเค้า  ที่เค้าหายเข้าไปในป่าโกงกางกับไอ้หมอนั่นเสียตั้งนาน   แถมยังกลับออกมาแบบร่อแร่ต้องหามออกมาอีก   ผมก็เลยยอมรับไปว่าเราจะแต่งงานกัน”  คนฟังหัวใจกระตุกไปวูบ  คำว่า ‘เราจะแต่งงานกัน’ ช่างมีความหมายกับเขาถึงเพียงนี้ 

            “แล้วคุณเตว่าอย่างไร”

          “เค้าน่ะเหรอ  เค้าจะไปว่าอย่างไร คนปากแข็งใจแข็งพรรค์นั้น!...เหอะ   ก็แสดงความยินดีไง   ยินดีด้วยครับคุณหมอรดิศ  หึ  ไม่เห็นเค้าจะเดือดร้อนตรงไหน”   หางเสียงตวัดขึ้นอย่างขุ่นมัว  ชายหนุ่มกระดกกระป๋องเบียร์เข้าปากอีกครั้ง

            “รันขอโทษนะ  ที่ไปบอกคุณเตอย่างนั้น โดยที่ไม่ได้ถามดิมก่อน”  เขาพูดเสียงอ่อน   ใจหนึ่งก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะโกรธที่จู่ๆไปพูดว่าจะแต่งงานกัน  แต่อีกใจหนึ่งก็แอบหวังลึกๆไม่ได้   ว่าคำพูดประโยคนั้นจะทำให้ใครบางคนเข้าใจผิด

            ไม่นึกเลยว่ามันจะเลยเถิด  ไม่คิดว่ากันจะรับมุขสมอ้างต่อหน้าตาเฉย...บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เตไม่ยอมมาพบกัน  บางทีฝ่ายนั้นอาจจะคิดว่า  ไม่จำเป็นต้องเจอกันอีก  เรื่องของเตกับดิมอาจจะจบไปแล้ว

            บางที...นี่อาจจะ...

            “ไม่เป็นไรหรอก   ผมก็ผิดเองที่ไปย้ำแบบนั้น  ยิ่งทำให้เตเข้าใจผิดไปกันใหญ่  ทั้งที่จริงแล้ว..คนที่ผมอยากพาไปอเมริกาด้วย ก็คือเค้าเองแท้ๆ”  รดิศลดเสียงลงคล้ายพูดคนเดียว  ทว่าคนที่นั่งอยู่ข้างๆอย่างเขา ก็ดันได้ยินอยู่นั่นเอง

            รู้สึกเจ็บแปลบๆในอก

            “รันนี่แย่จริงๆนะ   เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรดิมเลย”  เขาปรารภ

            “แค่รันช่วยผมขอยืดเวลาส่งผลงานออกไป ผมก็ขอบคุณมากแล้ว  ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีเวลามานั่งอยู่ที่นี่หรอก”

          “ต้องขอบคุณคุณพ่อของรันตะหากล่ะ   ท่านช่วยติดต่อให้  รวมถึงขอเวลาขยายทุนไปอีกสองปีด้วย”  ชายหนุ่มพูดเนิบๆ  ชำเลืองมองคนข้างกายที่หันขวับกลับมามองหน้าเขาราวกับเหลือเชื่อ

            “จริงเหรอรัน  คุณพ่อของคุณช่วยขอให้ผมขยายทุนได้อีกสองปีเหรอ  คุณพูดจริงหรือเปล่า?”  รดิศถามอย่างตื่นเต้น   ท่าทางนั้นทำให้คนพูดต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ  เขารู้ว่างานวิจัยของดิมจำเป็นต้องขยายเวลาต่ออีกอย่างน้อยสองปี  เพื่อให้เก็บข้อมูลได้ครบถ้วน  และนั่นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยเลย   เขารู้ว่างานวิจัยชิ้นนี้ถ้าเสร็จสมบูรณ์จะต้องสร้างชื่อเสียงในวงการแพทย์ให้แก่เจ้าตัวในระดับโลกเป็นอย่างมาก   อีกฝ่ายพยายามขอทุนสมทบและขอเลื่อนเวลาส่งผลงานมาหลายครั้งแล้ว  ไม่สำเร็จ

            สีหน้าคาดหวัง รอคอยคำตอบของดิมทำให้เขาอึกอัก

            รู้ดีว่าคำพูดหลังจากนี้จะเปลี่ยนอนาคตของพวกเราไปตลอดกาล...รู้ดีว่าถ้าดิมรู้ความจริง  เขาจะต้องโกรธจนไม่มีทางมองหน้ากันได้ติด...รู้ดีว่าเขากำลังทำร้ายใครบางคนอย่างขี้โกงที่สุด

            รู้ดี  แต่ก็ยังจะทำ...ในเมื่อการตามติณธรมาที่เกาะครั้งนี้ของดิม อาจเป็นโอกาสสุดท้าย  แล้วจะแปลกอะไรที่เขาจะพยายามทำบางสิ่ง เพื่อไขว่คว้าโอกาสให้ตนเองบ้าง..

            “จริง...แต่มีข้อแม้ว่า   เราจะต้องแต่งงานกัน...ดิมไม่ต้องห่วงนะ  เราแต่งกันปลอมๆก็ได้  พอพ่อรันเชื่อ  แล้วดิมได้ทุนมาต่อยอดวิจัยอีกสองปี  ถึงตอนนั้น  เราก็ค่อยหย่ากัน”

            ..เพราะนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเขาเช่นกัน

            ...................................................................................
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...เรา]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: ็Hollyk ที่ 21-07-2018 21:15:33





           ติณธรตื่นขึ้นในตอนเช้า  รู้สึกดีขึ้นมากจนเกือบเท่าปกติ  กวาดตามองข้างตัวก็เห็นน้องสาวยังนอนหลับสนิท  เขาค่อยๆขยับตัวลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา  ไม่ให้เธอตื่น

            ชะโงกดูเจ้าเต้ที่นอนบนเตียงเสริมอีกฟากของห้องก็เห็นยังคงนอนหลับปุ๋ยอยู่เช่นกัน   

            ชายหนุ่มเดินออกมาจากห้องนอน   ด้านนอกเป็นห้องนั่งเล่นที่ว่างเปล่า  มีห้องครัวเล็กๆอยู่ทางด้านหลัง  ติดกับห้องน้ำและห้องเก็บของ   ตรงข้ามกับห้องนอนของเขากับครอบครัว  เป็นห้องนอนของนายแพทย์ทั้งสองคน  ประตูห้องนั้นปิดเงียบ...คงกำลังหลับสนิทอยู่กระมัง

            อยากรู้ว่าคนๆนั้นจะคิดว่าอย่างไรบ้างที่เขาไม่ได้ไปพบที่ชายหาดตามนัดหมาย  จะเข้าใจว่าเขายังโกรธอยู่  หรือเข้าใจว่าเราจบสิ้นกันแล้วจริงๆอย่างที่เขาพยายามบอกหัวใจของตัวเองอยู่เช่นกัน

            บางที  เค้าอาจจะต้องการคำอธิบายจากเรา... หรืออาจจะไม่ต้องการอะไรเลย

            ติณธรรีบจัดการธุระส่วนตัวจนเสร็จ   เขาเข้าไปในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเช้าให้น้องสาวและหลานชาย   เปิดตู้เย็นก็พบว่านอกจากน้ำเปล่าสามขวดแล้ว ก็ไม่มีอาหารสดแช่เอาไว้เลย 

            ก๊อกๆ  เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่หน้าบ้าน

            นักเขียนหนุ่มเดินไปชะโงกดูที่หน้าต่าง เห็นเจ้านายร่างสูงโปร่งยืนชะเง้อมองอยู่แล้ว   เขาจึงรีบเปิดประตูให้ชายหนุ่มเข้ามาภายในบ้านพัก

            “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณเต  เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมฮะ  ทานข้าวเช้าหรือยัง  ผมมาชวนไปตลาด”  ภาคย์พูดเร็วปรื๋อ  จนคนฟังหัวเราะเพราะเลือกตอบไม่ทัน

            “สวัสดีครับคุณภาคย์ เดี๋ยวนะครับ  ฮ่าๆ  เมื่อคืนผมก็นอนหลับดีครับ  ยังไม่ได้กินข้าวเลย  กำลังหิวทีเดียว ในตู้เย็นก็ไม่มีเสบียงเลยด้วย  คุณจะไปตลาดหรอ  ผมไปด้วยคนนะ”  พูดจบเขาก็หมุนตัวกลับเข้าไปหยิบกระเป๋าสตางค์ภายในห้องนอน   กลับออกมานอกห้องก็เห็นแขกกำลังด้อมๆมองๆอยู่ด้านหน้าห้องนอนอีกห้องหนึ่ง

            “ไม่รู้ว่าพวกคุณหมอตื่นหรือยังนะครับ   จะได้ซื้ออาหารเช้ามาเผื่อ”

          “เค้าคงหาอะไรกินกันได้เองอยู่แล้วล่ะครับ”  เตตอบสั้นๆ

            ตลาดสดอยู่ไม่ห่างจากบ้านพักมากนัก  ใกล้พอที่จะเดินไปได้  ทั้งคู่จึงเลือกเดินเลาะริมหาดไปเรื่อยๆ   ลมพัดเฉื่อยฉิวหอบเอากลิ่นไอทะเลเค็มๆชื้นๆมาด้วย ทำให้รู้สึกสดชื่นกว่าปกติ   ภาคย์เล่าเรื่องการทำงานเมื่อตอนเช้ามืดของทีมงานช่างภาพให้ฟังอย่างสนุกสนาน   ถึงจะมีอุปสรรคไปบ้างแต่สุดท้ายทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดี  งานทุกอย่างเสร็จสิ้น  เหลือแต่ทริปดำน้ำดูปะการังที่กรกฎจะพาทุกคนไปตอนสายๆวันนี้เท่านั้น

            พวกเขาเดินมาจนถึงตลาด  มีของทะเลสดๆให้เลือกซื้อมากมายจนเลือกไม่ถูก  เขาเดินแวะแผงนั้นวนแผงนี้อยู่พักใหญ่โดยมีชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นเจ้านายช่วยหอบหิ้วของให้แบบไม่ปริปากบ่นสักคำ

            “ของที่นี่สดจริงๆนะครับ คุณภาคย์  ราคาก็ถูกกว่าบนฝั่งมาก”  นักเขียนหนุ่มพูด  เขายกถุงปูนึ่งในมือขึ้นมาดูอย่างพอใจ   คนฟังหัวเราะหึๆ

            “แน่ละครับ  ก็คนขายเขาเพิ่งออกเรือไปตกมาเมื่อคืนนี่เอง   แถมขายเองแบบไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง  ผมล่ะชอบจริงๆ  คราวที่แล้วมาก็มาซื้อเอาที่นี่ตอนเช้าเหมือนกัน ...เหนื่อยหรือยังคุณเต  เหงื่อคุณโชกทีเดียว”  ภาคย์พูด  เขามองใบหน้าเรียวหวานที่มีเม็ดเหงื่อซึมตามไรผมหยิกนั้นอย่างเอ็นดู

            ติณธรหลบตา  เสมองไปทางอื่น

            “ไม่เหนื่อยหรอกครับ  สนุกดี  แดดเริ่มแรงแล้ว  เรากลับบ้านพักกันดีกว่าฮะ  ป่านนี้ข้าวตังกับเต้คง....”  คำพูดของเขาขาดหายไปในลำคอ   เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นบุคคลคู่หนึ่งกำลังเดินตรงมาทางนี้เข้า

            จะหลบหลบไม่ทัน   เตสบตาคมเข้มคู่นั้นเข้าอย่างจัง

            คิ้วคมข้างหนึ่งเลิกขึ้นเล็กน้อยคล้ายประหลาดใจ  รดิศตวัดสายตามองของในมือนักเขียนหนุ่มและคนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้น   ภาคย์เพิ่งหันมาเห็นพอดี  ร้องทักเขากับรันเสียงดังกว่าปกติ

            “อ้าว  หมอดิมหมอรัน   มาเดินตลาดเหมือนกันหรือครับ”  รันยิ้มรับ  พูดเสียงใส

            “ครับ  อรุณสวัสดิ์ครับคุณภาคย์คุณเต...ซื้ออะไรมาน่ะครับ  น่าทานเชียว”  กุมารแพทย์เอียงคอ กวาดสายตามองอาหารสดในมือของทั้งคู่  ขณะที่ติณธรลอบสังเกตผู้ชายหน้าเข้มคนนั้นเงียบๆ

            ใบหน้าคมดูอิดโรยกว่าปกติ  ไม่สดใสเท่าที่ควร  หรือจะเป็นเพราะความหมองคล้ำใต้ตากันนะ?...หัวใจของเตกลับเต้นแรง  วูบหนึ่งที่เขานึกดีใจขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย

            หรือว่า...เค้าจะรอเราอยู่ที่ชายหาดนั่นจริงๆจนดึกดื่น  ก็เลยมีสภาพโทรมๆอย่างที่เห็น

            “พวกอาหารสดน่ะครับ  ซื้อมาเยอะเพราะจะได้เผื่อตอนกลางวันไปด้วยเลย   แล้วก่อนกลับตอนบ่ายค่อยแวะซื้อกลับบ้านอีกที   อ้อ  เที่ยวเรือขากลับตอนสี่โมงเย็นนะครับ  ส่วนทริปดำน้ำ  น่าจะประมาณสิบเอ็ดโมงครับ”   ภาคย์พูดอย่างสุภาพ

            “ขอบคุณมากครับ”  รดิศตอบกลับ   มุมปากกระตุกเล็กน้อยคล้ายแยกเขี้ยวมากกว่ายิ้ม   เขามองหน้าใครบางคนนิ่งๆ  ความน้อยใจปนโกรธพุ่งปราดขึ้นมาจนต้องกัดริมฝีปากเอาไว้ไม่ให้หลุดคำพูดแรงๆออกมา

            ...เมื่อคืนไม่ยอมมาตามนัด  รุ่งเช้ากลับมาเดินควงไอ้หน้าตี๋นี่ซะงั้น  หรือว่านี่จะเป็นคำตอบของนาย..ตั้งเต

          ภาคย์กับติณธรเดินจากไปแล้ว  ทว่าศัลยแพทย์หนุ่มยังยืนอยู่ที่เดิม  เขามองตามหลังร่างของทั้งสองคนนั้นพลางเม้มปาก   แววตาฉายแววครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ

            “เราก็กลับกันบ้างดีกว่านะดิม  ทานข้าวกันก่อน ค่อยไปดำน้ำ”  คุณหมอเด็ก พูด เขามองตามสายตาของอีกฝ่ายไปเงียบๆ

            “รันจะดำแบบSCUBA ใช่มั้ย”  จู่ๆดิมก็หันถาม  คนฟังพยักหน้ารับ

            “อื้ม  ทุกทีก็ดำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”  ย้อนถามงงๆ  ปกติเวลาไปเที่ยวทริปแบบนี้   อีกฝ่ายก็ลงดำน้ำลึกด้วยกันทุกทีไม่ใช่หรือไง    พวกเขาเคยเข้าคอร์สฝึกดำน้ำด้วยกันตอนอยู่ที่นู่นหลายปีเลยด้วยซ้ำ

            “งั้นรันดำสกูบาไปก่อนนะ  คราวนี้ผมจะดำสน็อกเกิ้ลสักพัก   พอเบื่อแล้วจะตามไปดำสกูบาด้วย  ฝากจองเรือเอาไว้ให้ผมลำนึงด้วยนะ”  วิรัลขมวดคิ้ว

            “ทำไมล่ะ”

          รอยยิ้มมุมปากของผู้ชายหน้าเข้มทำให้เคนเห็นรู้สึกเสียวสันหลังวูบชอบกล   รดิศไม่ตอบ หากแต่ออกเดินตามหลังสองคนนั้นกลับไปที่บ้านพักบังกะโลเงียบๆ   

            กลับมาถึงบ้านพักก็พบว่าครอบครัวของนักเขียนหนุ่มนั่งล้อมวงทานข้าวกันอยู่แล้ว   ข้าวตังเอ่ยชวนให้คุณหมอทั้งสองร่วมวงด้วย  วิรัลอึกอักตรงข้ามกับอีกคนที่ทรุดตัวลงนั่งที่พื้นข้างๆเด็กชายเต้ทันที  ทำให้คุณหมอเด็กต้องทิ้งตัวลงนั่งข้างหญิงสาวบ้างอย่างไม่เต็มใจนัก

            “อร่อยมั้ยครับเต้  ไหนลุงกินบ้างสิ”  ดิมเรียกแทนตัวเองอย่างสนิทสนม 

            “อร่อยครับ  นี่เต้แบ่งให้”  เด็กชายแบ่งปูนึ่งในจานให้เขาครึ่งหนึ่ง   รดิศยิ้มกว้าง  พูดคุยเล่นหัวกับเด็กน้อยอย่างอบอุ่นราวกับเป็นญาติสนิท   ทว่าเขากลับไม่สนใจบิดาของเด็กที่นั่งอยู่ถัดไปเลยสักนิด

            ไม่แม้แต่จะเหลือบมองมา   คล้ายกับว่าที่ข้างตัวเต้เป็นอากาศว่างเปล่า..

            “เดี๋ยวคุณหมอจะไปดำน้ำกันไหมคะ”  ข้าวตังถามขึ้นในตอนหนึ่ง

            “ไปครับ   แต่ผมดำไม่เป็นหรอกนะฮะ”   รดิศพูดแกมหัวเราะ  ขณะที่วิรัลเหลือบตาขึ้นมองแวบหนึ่ง   แต่ไม่ได้ท้วงอะไร  เขานิ่งฟังต่ออย่างสนใจ

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  คุณปกรณ์บอกว่าจะสอนให้   หลักสูตรเร่งรัดน่ะค่ะ   ใช่ไหมคะพี่เต”  เธอหันไปถามสามีในนามที่นั่งอยู่ข้างๆ  เตเงยหน้าขึ้นจากจานอาหาร  ตอบสั้นๆ

            “ใช่”

            “อ้อ  ดีจังนะครับ  แต่ไม่รู้ว่าคุณปกรณ์เขาจะยินดีสอนให้ผมด้วยไหม  อาจจะเต็มใจสอนคุณเตคนเดียว”  จบประโยคดวงตาเรียวดำขลับก็ตวัดขึ้นมองหน้าเขาทันที   รดิศสบตาคู่นั้นแวบเดียวแล้วก็เมินหลบ

          “ต้องยินดีสิคะ   นี่ถ้าตังแข็งแรงตังก็ว่าจะดำด้วยเหมือนกัน   เสียดายจัง  ..คุณหมอรันละคะ  เรียนด้วยกันมั้ย”

          “เอ้อ...ผมดำน้ำเป็นแล้วครับ”  วิรัลพูด    เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างที่อดีตคนรักพยายามจะทำอยู่   เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกอิจฉาผู้ชายผมหยิกที่นั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่รับรู้อะไรเลยและโกรธคนข้างตัวที่ดูจะพยายามมากเหลือเกิน

            ทั้งๆที่เตก็ไม่มาแล้วเมื่อคืน  ทำไมดิมถึงยังไม่เลิกอีก..

            “ถ้ากินกันเสร็จแล้ว  เราออกไปกันเลยมั้ยคะ   เดี๋ยวพวกคุณภาคย์จะรอนาน”   ข้าวตังบอกหลังจากเห็นทุกคนรับประทานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว 

            ติณธรมองตามคนที่เดินหายเข้าไปในห้องพักของตนพร้อมกับว่าที่คู่หมั้นนั้นแวบหนึ่ง  เขาไม่อยากไปดำน้ำดูปะการังอะไรนั่นแล้วตอนนี้   ไม่อยากเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย  ไม่อยากพบ  ไม่อยากฝืนทำตัวปกติ

            ทั้งๆที่ข้างในอกมันแทบจะระเบิดออกมาเป็นจุลอยู่แล้ว

            “พี่ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ...พี่ว่า”   เขาหันไปบอกน้องสาวด้วยเสียงแหบ 

          “อ้าวเหรอคะ   หรือว่าไข้จะกลับ?”  ข้าวตังเดินเข้ามาดูเขาอย่างเป็นห่วง  ยกหลังมือขึ้นแตะที่หน้าผากและซอกคอของเขา

            “ตัวไม่ร้อนนะคะ  เอาไงดี  พี่เตไปไหวมั้ยคะ”    หญิงสาวเดินไปหยิบยามาส่งให้เขาสองเม็ด   ตั้งเตรับมาถือเอาไว้

            “พี่ขอนอนพักสักหน่อยดีกว่า  ตังไปก็ได้นะถ้าอยากไป  มีหมอไปด้วยตั้งสองคน  นั่งเล่นบนเรือเฉยๆก็ได้  ไม่เป็นไรหรอก”  ชายหนุ่มพูด  เขายกมือขึ้นบีบนวดที่ข้างขมับของตัวเองเบาๆ

            หญิงสาวทอดสายตามองคนเป็นพี่อย่างครุ่นคิด  สุดท้ายเธอก็พยักหน้ารับ       

            “ตกลงค่ะ  ถ้างั้นพี่นอนพักไปก่อนนะคะ  แล้วเดี๋ยวตังจะกลับมา   ตังเอาเต้ไปด้วยนะคะ  พี่เตจะได้พักผ่อนเต็มที่ไม่ต้องห่วงลูก   ส่วนคุณภาคย์กับคุณปกรณ์เดี๋ยวตังบอกให้ว่าพี่เตไม่ค่อยสบาย”

            ชายหนุ่มพยักหน้ารับ   เขาเอนตัวลงนอนบนเตียง ยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงคอ   ได้ยินเสียงน้องสาวเตรียมของจนเสร็จก็เดินมาหอมแก้มเขาทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไป   ได้ยินเสียงประตูปิดแผ่วเบาตามด้วยเสียงฝีเท้าของคนหลายคนลงไปจากบ้านพัก 

            จากนั้นทั้งบ้านก็เงียบสงัด

            นักเขียนหนุ่มลืมตาขึ้น  เขานอนมองเพดานอยู่พักหนึ่งตอนที่จะได้ยินเสียงฝีเท้ากลับเข้ามาภายในตัวบ้าน  ก่อนที่ประตูหน้าห้องจะถูกเคาะเบาๆสามครั้งตามด้วยเสียงไขกุญแจ  แล้วก็เปิดเข้ามาเลยแบบไม่รอให้เขาอนุญาต

            ติณธรผงกศีรษะขึ้นอย่างตกใจเมื่อเห็นผู้บุกรุก   ขณะที่อีกฝ่ายเพียงแต่ยิ้มมุมปากเท่านั้น

            “คุณ...ออกไปนะ”  เสียงลอดลำคอแห้งผากออกมาแหบพร่ากว่าทุกครั้ง   เตกระถดตัวขึ้นนั่งบนเตียงเมื่อร่างสูงสมส่วนของอีกฝ่ายเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาภายในห้องเขาอย่างสบายๆ ราวกับฟังภาษาไทยไม่ออก

            สบดวงตาคมเข้มคู่นั้น   ชายหนุ่มก็บอกตัวเองได้ว่า

            เขา..เสียท่าอีกฝ่ายซะแล้ว

            .......................................................................................

            รดิศแทบไม่แปลกใจเลยเมื่อเห็นว่าคนที่ออกจากบ้านพักมาด้วยกันนั้นจะมีเพียงดาวประดับและเต้เท่านั้น  ส่วนนักเขียนหนุ่มขอตัวนอนพักผ่อนที่ห้องเนื่องจากปวดศีรษะกะทันหัน

            “แล้วคุณเตเป็นอะไรมากไหมครับเนี่ย” ปกรณ์และภาคย์ที่ต่างมีสีหน้าร้อนรนไม่แพ้กันหันไปซักถามข้าวตังอย่างละเอียด   หญิงสาวเพียงแต่ตอบสั้นๆว่าแค่ปวดศีรษะเท่านั้น  ไม่ได้มีไข้อะไร

            “ถ้าอย่างนั้นให้ผมไปดูให้ไหมละครับ”  คุณหมอรดิศเสนอตัวขึ้นมายิ้มๆ  ทำเอาใครหลายๆคนในวงอึ้งไปตามๆกัน 

            “เอ้อ  แล้วคุณหมอไม่ดำน้ำหรอครับ”

          “ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่ถนัดดำน้ำเท่าไหร่   คนที่อยากดำคือหมอรันนู่นครับ  ผมตามมาด้วยเพราะเป็นห่วงเฉยๆ”   รดิศพูดกลั้วหัวเราะ

            วิรัลรับฟังประโยคนั้นด้วยความรู้สึกปวดแปลบในใจ  รู้อยู่เต็มอกว่าใครกันแน่ที่อีกคน ‘เป็นห่วง’  แต่ก็ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ภายใต้สีหน้ายิ้มแย้ม

            “ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอกน่า  ใช่ไหมครับคุณภาคย์”  ภาคย์มองไปที่ทั้งคู่อย่างไม่สบายใจ  เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรผิดปกติสักอย่าง   และเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ...

            รดิศกำลังหาโอกาสอยู่กับนักเขียนของเขาสองต่อสองใช่ไหม?

            “ถ้าอย่างนั้นตังฝากดูพี่เตด้วยนะคะคุณหมอดิม   งั้นก็เอาตามนี้ล่ะกันค่ะ   ขอบคุณมากนะคะ”  จู่ๆภรรยาของบุคคลต้นเหตุก็พูดขึ้นมาหน้าตาเฉย  ทำให้ ‘คนอื่น’ หมดสิทธิที่จะออกความเห็นใดๆ  จำต้องยอมรับการติดสินใจนั้น

           รดิศสบตากับคนไข้ของเขาแวบหนึ่ง  เขาค้อมศีรษะให้หญิงสาวนิดๆแทนคำขอบคุณที่ไม่ต้องเอ่ยปากบอก  เธอยิ้มตอบ  ไม่ได้พูดว่าอะไรอีก

            คุณหมอหนุ่มแยกตัวออกมาจากคณะที่พากันเดินไปขึ้นเรือที่ท่าเพื่อออกไปดำน้ำกัน  เขาลอบยิ้มอย่างสมใจเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้น

            กะเอาไว้แล้วว่าคนๆนั้นจะต้องขอถอนตัว  ไม่ไปดำน้ำด้วยแน่ถ้ารู้ว่าเขาจะไปด้วย   และเหตุผลที่อีกฝ่ายจะไม่มานั้น ก็คือ ป่วย...ช่างแสนจะลงล็อคเสียเหลือเกิน

            ชายหนุ่มเดินกลับไปที่บังกะโล  เขาใช้กุญแจที่หญิงสาวให้มาเปิดประตูเข้าไปภายในห้องของนักเขียนหนุ่มได้อย่างง่ายดาย  เกือบหลุดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสีหน้า ‘แตกตื่น’ ของคนที่ยังนอนอยู่บนเตียง

            “คุณ...ออกไปนะ”

            คนฟังเลิกคิ้ว

            “ได้ข่าวว่าปวดศีรษะ  คุณตังก็เลยให้ผมมาดูอาการของคุณ”  เขาพูดเนิบๆ  ก่อนจะเดินเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงข้างตัวอีกฝ่าย  ตั้งเตกระถดตัวหนี  ตาเรียวดำขลับเบิกกว้าง

            “ผมไม่เป็นอะไรมากแล้ว  คุณกลับออกไปเถอะ”  นักเขียนหนุ่มพูดเร็วปรื๋อ

            “อ้าวเหรอ   ถ้างั้นเราก็ไปดำน้ำด้วยกันได้แล้วสิ”

       ติณธรเกือบจะร้องไห้ออกมา  นึกรู้ทันทีว่าอีกฝ่ายคงวางแผนเอาไว้แล้วตั้งแต่ต้น  ถึงได้ดักหน้าดักหลังเขาได้หมดอย่างนี้ 

            “ผมไม่ไปไหนทั้งนั้น  ออกไปจากห้องผม”  กัดฟันพูด   พยายามจะลงจากเตียง  ทว่าท่อนแขนแข็งแรงก็เอื้อมมาพาดลำตัว  กั้นเอาไว้ไม่ให้เขาลุกหนีเสียก่อน

            แว่วเสียงหัวเราะเบาๆข้างหู   รู้สึกถึงลมหายใจของอีกฝ่ายรินรดที่ข้างแก้ม  ทำเอาเจ้าของห้องตัวแข็ง ไม่กล้าขยับตัว

            “จะไล่กันท่าเดียวเลยนะ”   ดิมกระซิบ  “นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นแหละ  จนกว่าเราจะคุยกันรู้เรื่อง”

          คนฟังเบือนหน้าหลบ   เอาแต่ก้มหน้างุดจนรดิศต้องเอื้อมมือมาเชยคางขึ้น  กระนั้นอีกฝ่ายก็ยังเลี่ยงไม่สบตาเขาอยู่ดี

            “บอกพี่ได้มั้ยว่าทำไมเมื่อคืนถึงไม่ยอมไป”  เขาพูดเสียงนุ่ม

           นักเขียนหนุ่มยกมือขึ้นปัดมืออีกฝ่ายที่จับที่คางตนเองออก  เขาอาศัยทีเผลอผลักร่างของคุณหมอที่นั่งริมเตียงอย่างหมิ่นเหม่นั้นเต็มแรงจนร่างสูงเสียหลักหงายหลังลงไปบนพื้น

            ตั้งเตรีบตะกายลุกจากเตียงแล้วเผ่นไปที่ประตู   แต่นั่นยังช้าไปเมื่อเทียบกับใครอีกคนที่ผุดลุกขึ้นด้วยความเร็วแสงแล้วหันไปรวบเอวของคนที่กำลังไปที่ประตู  กระชากทีเดียวร่างของนักเขียนก็ลอยละลิ่วติดอ้อมแขนของเขาไปกองอยู่บนเตียง

            ท่อนแขนแข็งแรงที่รัดแน่นบริเวณเอวและยึดข้อมือของเขาไว้ทำให้เตกระดิกตัวไม่ได้   เขาขยับจะยกเข่าขึ้นดันร่างของคนที่คร่อมอยู่ข้างบนทว่าอีกฝ่ายก็กลับแนบลำตัวลงมาชิดอย่างรู้ทัน

            ลมหายใจของรดิศเป่ารดที่ซอกคอทำเอาติณธรรู้สึกร้อนวูบวาบไปหมด   เขาหมดทางดิ้นรนหนี  ทำได้แค่เพียงมองสบตาคมเข้มนั้นในระยะประชิด

            มองเห็นเงาของตัวเองสะท้อนอยู่ในแก้วตาใสของกันและกัน    คล้ายมีแรงดึงดูดบางอย่างดูดดึงให้ทั้งสองไม่อาจละสายตาจากกันได้

            บางทีในจุดสีดำกึ่งกลางดวงตาคู่นั้นอาจจะเป็นหลุมดำกระมัง   ...ติณธรคิดอย่างเลื่อนลอย   ขณะที่จุดดำสนิทนั้นค่อยๆขยับเข้ามาใกล้เขาเรื่อยๆคล้ายจะดูดกลืนทุกสิ่งจนโฟกัสไม่ชัดอีกต่อไป

            เตหลับตาลง

            รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายบริเวณเหนือริมฝีปาก   รับรู้ได้โดยไม่ต้องมองเห็นว่าใบหน้าของพวกเขาอยู่ชิดกันแค่ไหน

            หัวใจเต้นแรงเหมือนทุกครั้งที่อยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้

            รู้สึกถึงสัมผัสบางเบาจากปลายนิ้วที่คิ้วทั้งสองข้าง  ไล้ลงมาที่เปลือกตาของเขาที่ปิดสนิท   ก่อนที่ขนตาจะถูกปลายนิ้วนั้นกรีดเล่น

            มันเบาบางก็จริง  แต่กลับทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวเหลือเกิน   เตอยากเบือนหน้าหนี  อยากดันตัวออกจากอ้อมกอดอบอุ่นนี้   ทว่ามันยากเหลือเกิน   ในเมื่อลึกสุดใจแล้วเขาก็รู้คำตอบของหัวใจตัวเองดีว่าเป็นเช่นไร    ไม่ใช่คำปฏิเสธหรือผลักไสอย่างที่พยายามทำมาตลอด 

            อยากผลัก  แต่อีกใจหนึ่งก็อยากกอดเอาไว้

           น้ำตาไหลออกทางหางตาเงียบๆ   ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมาผ่านริมฝีปากที่เม้มแน่น   ทว่าเขากลับได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆดังอยู่ข้างหู

            เสียงจากหัวใจของใครบางคนที่ไม่ใช่เขา

            ...............................................................


            มาต่อเรื่องนี้นะคะ 

          มีใครที่ยังรออยู่บ้าง55555+   

          คิดไปคิดมาเรื่องนี้ก็ใกล้จบมากแล้วนะ 

          ก็น่าจะเขียนต่อให้จบเนอะ

          ขอบคุณที่ติดตามกันมานานมากกกกกกกกก

          บางคนตามกันมาตั้งเเต่สมัยยังเป็นแฟนฟิค555

          เจอกันตอนหน้า  #ดิมเต 

     
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: yjm ที่ 21-07-2018 21:48:10
>_<
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: T_TARS ที่ 21-07-2018 22:11:44
หมอดิมต้องคุยกับตั้งเตให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้เลยนะ
ไม่อยากดราม่าแล้ว เสียน้ำตากับตั้งเตมาเป็นโอ่งแล้ว ขอให้มีจบสวยๆเถอะนาาาาาา
 :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 21-07-2018 22:28:37
รันเอ๊ย   มาขนาดนี้ยังไม่วาย  รู้ว่าใจสู่ แต่รู้อยู่แล้ววันว่าไม่เวิร์กก็ยังอยากที่จะทำต่อไป เพื่ออะไร?

You´ve got your chances. เคยได้โอกาศนั้นไปแล้ว เจ็บแล้วไม่จำ

มาถึงขนาดนี้แล้วเตยังจะใจแข็งอีกเหรอ  ทำเพื่ออะไร?  ลงโทษใคร?

ตามอ่านมานานในเด็กดี  ความใจแข็งของแต่ละตัวละครนี่แบบ...สุดๆ

จะใจแข็งหรือแข็งใจก็เถอะค่ะ

ยังไงก็จะตามอ่านจนกว่าจะจบนะคะ  อินมาก :katai1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Duangjai ที่ 21-07-2018 23:52:02
……

 
รอมานานมากเลย เหมือนที่พี่ดิมรอมาเจอเตนั่นแหละ. 555

อีกนิดนึงก้อจะจบแล้ว จะSad หรือจะHappy ก้อพยามให้ถึงที่สุดน้าาาา

เราก้อจะรอตอนต่อไป :)


………



 :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5:  :katai5: 


...
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-07-2018 01:01:29
รอลุ้นอ่านมานานมากเหมือนกัน
อยากรูัว่าตอนจบจะเป็นแบบไหน

good or bad ends
ยังไงก็ได้..เราคนอ่านจะยอมรับมัน

ทรมานเหมือนกันนะกับการลุ้นความรักสามเศร้าของสามคนนี้

ลงให้อ่านต่อจนจบนะ
pls

ป้อล่อ..เรารักเรื่องนี้มากเลย
กาซิก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: PrimYJ ที่ 22-07-2018 08:09:45
คุยกันให้รู้เรื่อง ให้เข้าใจกันสักทีนะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 22-07-2018 09:09:34
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Nobodylove ที่ 09-08-2018 16:55:07
 :z3: :z3: :z3: รอออออออออ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: มะลิมะลิ ที่ 09-08-2018 21:06:03
อ่านได้3ตอนขอปักไว้ก่อน งานเยอะ วันหลังค่อยมาอ่าน เนื้อเรื่งต้นๆเครียดน่าดูเลยฮือออ เค้าไม่ชอบมาม่า จบสวยๆหรือเปล่าคะ ถ้าจบ แบดเอ็นเค้าจะได้ไม่อ่านต่อ กลัว :ling3:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: jeabjunsu ที่ 12-09-2018 22:33:41
โอ๊ยยยย มีความเครียด มีความลุ้น มีความเหนื่อยมากเลยค่า อนากเห็นบทสรุปของตัวละครแต่ละตัวจะแย่แล้ว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 29-09-2018 07:59:54
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 01-10-2018 09:15:21
 :L2:
ถ้ามีเวลามาต่อเถอะอยากอ่านแล้ว
 :mew1:

หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: mareya.no7 ที่ 01-10-2018 19:14:58
ประชดกันไปประชดกันมา แล้วคนเขียนก็หายไปกับสายลมอีกครั้ง อยากรู้บทสรุปแค่นั้น เฮ้อ..  :heaven
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 11-10-2018 12:38:26
รออยู่นะ

 :กอด1:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: memozy ที่ 12-10-2018 00:32:54
มาต่อไวๆนะ :hao7:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 12-10-2018 08:59:42
 :L2: :L2: :L2:
เขามารอนะ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Mayana ที่ 12-10-2018 19:41:03
อ่านทันแล้ววว
 :a9:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 01-11-2018 19:25:49
 :z13: :z13: :z13:
มาต่อเถอะอยากอ่านมาก
 :mew2:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 13-11-2018 21:05:46
 :ling1:
 :ling1:
 :ling1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Kfc_Pizza ที่ 16-12-2018 08:04:07
 :z13: :z13: :z13:
 :mew1:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: SiHong ที่ 16-12-2018 17:26:20
รออยู่นะคะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Monnee ที่ 26-06-2019 00:40:00
 :mew6: :katai1:ฮึ​งอลกันไปประชดกันมา... จนงงไปหมดเลยย.... ถ้ายังรักก็ลดทิฐิ​บ้างก็ดีนะ... เห็นแล้วเหนื่อยแทน.. เห็นด้วยกะหมอรันเลยที่หมั่นไส้ในความรักล้นเหลือของหมอดิม.. แต่ตัวต้นเรื่องอย่างคุณน้องสาวเนี่ย.. อยู่กินสบายใจเหลือเกิน.. ไม่เห็นจะช่วยเหลือทดแทนพี่ชายที่ดูแลมานมนานเลย.. แหมก่อนผ่าตัดทำเป็นพูดเหมือนจะดี... คนเห็นแก่ตัวเนี่ยสบายใจที่สุดเลย.. ไม่โอเครกะผู้หญิงคนนี้ที่สุด.. ส่วนน้องเตก็พอได้แล้วเถอะ.. น้องทำเรื่องยืดเยื้อมานมนานแล้ววว.. เป็นฝั่งเป็นฝาได้สักทีน้องเอ๊ยยยยย
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: bnmshhhhhhh ที่ 01-09-2019 00:01:42
คู่นี้จะเป็นยังไงต่อนะ :mew6:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: itsgonnabeme ที่ 16-09-2019 23:00:53
เมเลน่าาาาาาา
คิดถึงเด้ออออออ

พี่ไม่ลืมดิมเตน้า
ถ้ามีโอกาสแวะมาทักทายกันนะคะ
เป็นกำลังใจให้เสมอ
ยังรออยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 11-01-2020 06:16:25
อ่านลัดจนมึนอ่ะเพราะรำคาญนายเอก 55555
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 11-01-2020 22:48:53
คนเขียนคงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
และลงเรื่องใหม่มาเรื่อยๆ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Rateesiri ที่ 12-01-2020 15:44:46
 ปักหมุดๆๆๆ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 13-01-2020 06:25:37
เอาคืนกันไปมา และปากแข็ง ใจแข็งกันไป
แล้วเมื่อไหร่จะได้ลงเอยกันล่ะทีนี้

รันก็ยังไม่เลิกราเนาะ ก็ยังพยายามได้อีก

ตั้งเต อย่าคิดมาก อย่านอยด์เยอะ เจ็บมาเยอะแล้ว
พี่ก็มาง้อขนาดนี้แล้ว จะดีกันแบบไหน เลือกสักทาง
ถามว่าเตผิดไหมที่ไม่เลือกเลย เพราะมีครอบครัวแล้ว
ก็ไม่ผิดนะ ทำถูกมากเลยด้วย แต่ตั้งเตมีความย้อนแย้ง

สงสารดิม ตอนรักก็รักมาก ตอนเลิกก็ไม่มีโอกาสเลือก
ตอนกลับมาเจอก็สับสน ตอนนี้รู้ความจริงและรู้ว่ายังรักมาก
ก็พยายามง้อ ขอดูแล ขอคืนดี แต่ดิมทำพลาดอย่างนึงไปแล้ว
เลยพากันหึง หวง และงอนกันไม่เลิกจ้า

ถ้าดิมไปจริง และแต่งงานจริง อย่ามางอแงนะตั้งเต
ข้าวตังเปิดทางให้ขนาดนี้แล้ว
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: กุหลาบเดียวดาย ที่ 15-01-2020 12:35:15
คุณนักเขียนแก้ไขชื่อไม่หมดหลายจุดอยู่นะคะ มาหมด ทั้งตั้ม กัน ภาคิน มาตัง ริท
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 15-01-2020 12:54:19
เรื่องนี้สนุกนะ เสียดายว่าคนเขียนคงลืมไปแล้วเลยไม่มาต่อให้จบ
เพราะมีพรอทเรื่องใหม่อยู่เรื่อย ๆ
 :hao3:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-01-2020 04:02:18
 :pighaun:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 03-02-2020 18:12:24
อยากให้คนเขียนมาต่อเรื่องนี้ให้จบอ่ะ

มันค้าง เรื่องกำลังสนุก
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 20-03-2020 07:45:04
อยากอ่านต่ออ่ะ คนเขียน

เรื่องกำลังสนุก

 :hao3:
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: tuek ที่ 20-03-2020 21:47:41
เมื่อไหร่คนเขียนจะมาเขียนต่อเรื่องนี้ติดตามคนเขียนมาหลายๆเรื่องมาต่อเถอะ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: tae1234 ที่ 22-03-2020 19:09:41
มาต่่อเถอะครับ ได้โปรด
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Yarkrak ที่ 23-03-2020 19:32:45
เขาหยุดเขียนตั้งแต่ปี ‘61

 :ruready
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: oiw08 ที่ 27-03-2020 22:55:38
สนุกมากเลยค่ะ​ สงสารทั้งคู่​ เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: Noonnaja ที่ 04-04-2020 20:59:05
เรื่องนี้จะมาต่อไหมอ่ะ
 :sad4: :sad4: :sad4:
อยากอ่าน
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: •♀NoM!_KunG♀• ที่ 06-04-2020 18:39:28
รวดเดียวจบ ยุ่งไปหมด
หัวข้อ: Re: *^*^*^*^เพราะหัวใจบอกว่า...รัก*^*^*^*[เพราะ...ให้]ตอนที่34 21/7/61
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 23-09-2020 19:15:39
 :pig4: :pig4: :pig4: