พิมพ์หน้านี้ - [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 16-04-2019 01:38:01

หัวข้อ: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 16-04-2019 01:38:01
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
__________________________________________________________________________________________

(http://i65.tinypic.com/2e3mjhd.jpg)

เพียงควัน


สารบัญ
บทนำ (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3965069#msg3965069)
ตอนที่ 1 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3966050#msg3966050)
ตอนที่ 2 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3968178#msg3968178)
ตอนที่ 3 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3970046#msg3970046)
ตอนที่4 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3971594#msg3971594)
ตอนที่ 5 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3972412#msg3972412)
ตอนที่ 6 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3974099#msg3974099)
ตอนที่7 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3975777#msg3975777)
ตอนที่ 8 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3977077#msg39770779)
ตอนที่ 9  (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3980944#msg3980944)
ตอนที่ 10 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3983980#msg3983980)
ตอนที่ 11 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3986540#msg3986540)
ตอนที่ 12 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3987984#msg3987984)
ตอนที่ 13 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3990419#msg3990419)
ตอนที่ 14 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3992016#msg3992016)
ตอนที่ 15 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3993427#msg3993427)
ตอนที่16 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3994714#msg3994714)
ตอนที่17 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3995454#msg3995454)
ตอนที่ 18 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3996065#msg3996065)
ตอนที่ 19 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3996640#msg3996640)
ตอนที่ 20 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3997048#msg3997048)
ตอนที่ 21 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3997563#msg3997563)
ตอนที่ 22 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg3998468#msg3998468)
บทส่งท้าย (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=70063.msg4000616#msg4000616)



--นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องสมมติ ทุกสิ่งใดในเรื่องล้วนไม่มีอยู่จริง--

**ฝากเรื่องที่ผ่านมาด้วยค่า**
East meets North - บูรพากับองศาเหนือ [จบแล้ว] (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56758.msg3525318#msg3525318)
Let me kiss you - จูบของเรา [จบแล้ว] (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59523.msg3619207#msg3619207)
รักอิสระ [จบแล้ว] (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=57458.msg3563360#msg3563360)
Episode 1 Season 2 ธงทัพ ภูผา นาวี [จบแล้ว]
 (https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63350.0) Fight for my BAE [เรื่องสั้นมาก] (https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61955.msg3705181#msg3705181)
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 16-04-2019 01:41:03
บทนำ


"สายป่าน ลงมากินข้าว!" 

"ยังแต่งตัวไม่เสร็จค่า!"

"ทำไมยังไม่เสร็จอีก เดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายหรอก!"

"แม่! ถุงเท้าพ่อหายไปไหนหมดเนี่ย"

"ก็อยู่ในตะกร้าไง"

"ตะกร้าไหน"

"มันก็อยู่ที่ที่เคยอยู่ทุกวันนั่นแหละ ก่อนที่จะถามนี่ดูหรือยัง"

"โอเคๆ ไม่ต้องบ่น เดี๋ยวหาเอง"

"แล้วพ่อจะกินข้าวไหม"

"พ่อขอแค่กาแฟ"

"โอเค เดี๋ยวชงให้ สายป่าน! เสร็จหรือยัง! สายแล้วนะ!"

ความวุ่นวายในตอนเช้าของบ้านเราไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลยตั้งแต่เด็กจนโต พ่อมักจะมีปัญหากับการหานั่นหานี่ไม่เจอแล้วเรียกหาจากแม่ก่อนที่จะมองหาด้วยตัวเอง น้องสาวที่ทำอะไรเชื่องช้าไม่ทันเวลา และเสียงของแม่ที่คอยเร่งพวกเราขณะที่ต้องเตรียมอาหารเช้าไปด้วยอย่างหัวหมุน

ส่วนผมตื่นแต่เช้าพร้อมๆ กับแม่ และไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมายนัก ทุกวันจึงมานั่งรอที่โซฟา มองดูความวุ่นวายในบ้านที่ผมชอบเหลือเกิน ผมไม่เคยรำคาญเสียงของแม่ แอบขำตอนที่พ่อหาอะไรไม่เจอแล้วก็โดนแม่บ่นเสมอและบางครั้งก็ช่วยขึ้นไปเร่งน้องสาวจอมเชื่องช้าให้ลงมากินข้าวให้ทันเวลา 

"อ้วน เร็วๆ หน่อย สายแล้วนะ"

"..."

"ตื่นสายเพราะเมื่อคืนเอาแต่ดูซีรีส์ใช่ไหมล่ะ"

"..."

"ไปโรงเรียนสายทุกวันแบบนี้ โดนหักคะแนนจนไม่เหลืออะไรให้หักแล้วมั้ง"

"..."

"พี่พูดนี่ฟังบ้างไหมเนี่ย ไอ้อ้วน!"

ผมอยากจับน้องสาวมาเขย่าเพื่อให้สนใจคำพูดของผมบ้างหลังจากที่ถูกเมินมาตลอด จนกระทั่งเสียงของแม่ดังขึ้นอีกรอบด้วยระดับเสียงที่ดังกว่าเดิม เป็นอันรู้กันว่าแม่เริ่มโมโหแล้ว สายป่านจึงสวมถุงเท้าลวกๆ แล้วรีบออกจากห้อง ไม่ได้สนใจผมที่ยืนขวางประตูอยู่ก่อนวิ่งผ่านร่างผมไป

 

"วูบ"

 

โดยที่ผมไร้ตัวตน...

 

นับคร่าวๆ ก็เกือบสามปีที่ผมตายแล้วกลายเป็นวิญญาณ เพราะผมไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนต่อ ไม่รู้ว่าถ้าจะไปเกิดใหม่ต้องทำยังไง ไม่เข้าใจสักนิด ผมได้ยินหลายคนบอกในวันที่ผมตายว่าให้ไปที่ชอบๆ แล้วผมก็ชอบที่นี่ ผมชอบที่บ้านก็เลยอยู่ที่นี่ดีกว่าออกไปเร่ร่อนที่ไหน ใช้ชีวิตอย่างไม่มีตัวตนแม้จะไม่มีใครเห็นก็ตามแต่ผมยังคงสมมติว่าตัวเองยังเป็นส่วนหนึ่งของคนในบ้านอยู่   

"พ่อไปทำงานก่อนนะแม่"

"จ้ะ เจอกันตอนเย็น"

"หนูไปโรงเรียนแล้วนะแม่"

"จ้า ตั้งใจเรียนนะลูก"

"บ๊ายบายครับพ่อ บ๊ายบายสายป่าน" ผมว่าพลางโบกมือให้พ่อและน้องสาวที่ออกจากบ้านไปพร้อมกัน หันกลับมาหาแม่ที่เดินกลับเข้าไปในครัว แม่จัดการล้างจานและทำความสะอาดครัวนิดหน่อย ก่อนจะหยิบแก้วกาแฟที่ชงไว้นานจนเริ่มเย็นแล้วยกขึ้นดื่ม พลางเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ใช้เวลาดื่มกาแฟไม่นานก็หมดแก้ว 

เสร็จจากกิจวัตรในตอนเช้า แม่ก็เตรียมตัวลงไปเปิดร้าน แม่ผมเปิดร้านกาแฟที่ชั้นล่างของตึก ที่เราอาศัยอยู่ที่ชั้นบน ส่วนชั้นล่างก็เป็นร้านกาแฟเล็กๆ ที่แม่จัดการเองทุกอย่างโดยไม่มีลูกจ้าง ผมนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้าน มองดูแม่ที่กำลังจัดแจงข้าวของในร้านอยู่ กระทั่งเสียงมือถือดังขึ้นเรียกความสนใจจากแม่

"สวัสดีค่ะพี่อุ่น ค่ะ สี่แก้วเหมือนเดิมนะ ไปส่งได้ค่ะ"

คิดไม่ผิดว่าต้องเป็นป้าอุ่นที่มีออฟฟิศอยู่ถัดไปอีกสี่คูหา โทรมาสั่งกาแฟแม่เป็นประจำทุกเช้า เมื่อวางสายจากป้าอุ่นแม่ก็จัดการชงกาแฟทั้งสี่แก้วพร้อมส่ง แต่ในตอนที่แม่หันไปหยิบโทรศัพท์ มือก็ปัดไปโดนแก้วใบหนึ่งที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ร่วงลงกับพื้นอย่างผิดจังหวะ 

"เพล้ง!"

"แม่!"

ตั้งแต่เปิดร้านมา นับไม่ได้เลยว่าแม่ทำแก้วกาแฟแตกไปกี่ใบแล้ว ด้วยความที่แม่ไม่ค่อยระวังจนพ่อตั้งฉายาให้ว่าเป็นจอมซุ่มซ่าม ผมเห็นแม่ทำแก้วแตกจนชิน ตอนเก็บเศษแก้วก็ไม่วายจะโดนแก้วบาดมืออยู่เป็นประจำ 

"โอ๊ย!"

"ผิดคำซะที่ไหน!" ผมว่า ขณะที่แม่ยกนิ้วที่ถูกแก้วบาดขึ้นมาดูเลือดที่ไหลออกมาในทันที แม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนที่สวมอยู่อย่างลวกๆ จนผมอดจะบ่นไม่ได้

"ไปล้างแผลสิแม่"

แม่ลุกไปล้างแผลอย่างที่ผมบอก ไม่ใช่ว่าแม่ได้ยินแต่เป็นเพราะเลือดที่ไหลไม่หยุดนั่นต่างหาก

"พลาสเตอร์ยาอยู่ไหนนะ" แม่พูดพึมพำแล้วเดินหาพลาสเตอร์ยาที่ไม่เคยถูกเก็บให้เป็นที่เป็นทาง ผมจำได้ว่าคราวก่อนแม่ใส่เอาไว้ในลิ้นชักของชั้นวางทีวี ผมตรงดิ่งไปตรงนั้นก่อนที่แม่จะไปถึง ย่อตัวลงนั่งหน้าชั้นวางทีวี ใช้ความพยายามในการดึงลิ้นชักนั้นออกมา บางครั้งบางคราวผมก็จับต้องสิ่งของได้บ้างทั้งที่โดยบังเอิญและตั้งใจ ตั้งสมาธิแล้วจดจ่ออยู่กับการดึงลิ้นชักออกมา ความพยายามของผมก็ประสบความสำเร็จ ผมดึงลิ้นชักออกในตอนที่แม่เดินมาถึงตรงนี้พอดี

"ใครเปิดลิ้นชักไว้แบบนี้นะ" แม่กำลังดันปิดโดยไม่ทันได้ดูว่าสิ่งที่แม่กำลังหามันอยู่ในนั้น ผมจึงรีบบอกรัวๆ

"พลาสเตอร์ พลาสเตอร์ พลาสเตอร์"

เสียงของผมคงดลจิตดลใจให้แม่มองเข้าไปในลิ้นชักกระทั่งเจอกับพลาสเตอร์ที่หาอยู่

"อ้าว อยู่นี่เอง" แม่ฉีกซองพลาสเตอร์แล้วแปะแผลลวกๆ ก่อนจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ร้าน หยิบกาแฟสี่แก้วไปส่งให้ป้าอุ่น ผมเดินตามแม่ออกไปด้วยแต่ไม่ได้ตามไปถึงออฟฟิศป้าอุ่น เพราะผมแวะไปหา เจ้ายู่ หมาโกลเด้นท์ตัวใหญ่ที่นอนประจำอยู่ที่ร้านขายของชำของลุงหมี ผมเล่นกับมันมาตั้งแต่ตอนที่มันยังตัวเล็กๆ จนตอนนี้ตัวใหญ่กว่าลุงหมีซะอีก

"ยู่เห็นพี่ไหม"

"..."

"ไม่เห็นเหรอ"

"..."

"ไหนบอกว่าหมาจะหอนตอนเห็นผีไง โกหกกันนี่นา"

ผมยกมือลูบหัวเจ้ายู่ทั้งๆ ที่รู้ว่าจับต้องไม่ได้ เล่นกับมันอยู่พักหนึ่ง เอาจริงๆ ก็เหมือนเล่นคนเดียวมากกว่า ขณะที่กำลังพูดคนเดียวอยู่ผมก็ได้กลิ่นธูปลอยฟุ้งพุ่งเข้ามาในจมูก จึงหันไปบอกลาเจ้ายู่   

"ไปก่อนนะ แม่เรียก"

ผมรีบหายวับกลับไปที่บ้าน เห็นแม่กำลังปักธูปดอกหนึ่งที่กระถางธูปที่วางคู่อยู่กับรูปถ่ายของผม ข้างๆ กันมีขนมถ้วยวางอยู่ด้วย

"เจอขนมถ้วยเลยซื้อมาฝาก อยากกินใช่ไหมล่ะ กินเยอะๆ เลยนะ"

"ครับผม!" ตอบรับอย่างดีใจแล้วรีบคว้าขนมถ้วยยัดใส่ปาก รสชาติของมันแตกต่างไปจากตอนที่มีชีวิตอยู่นิดหน่อย มันจืดๆ จางๆ ราวกับว่าประสาทสัมผัสในการรับรสมันได้ตายไปพร้อมกับผมแล้ว ผมไม่รู้สึกหิวหรืออิ่ม แต่ก็ชอบอาหารทุกอย่างที่แม่เอามาให้กินตลอด

"แสงเทียน"

ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิบขนมกินอีกชิ้นในตอนที่แม่เรียก ใบหน้าของแม่เปลี่ยนไปจากเมื่อครู่เพราะดูหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัด

"แม่คิดถึงแสงนะ"

แม่ร้องไห้อีกแล้ว ผมทำได้แค่กอดแม่เอาไว้โดยที่แม่ไม่ได้รับรู้ถึงสัมผัสของผมเลย ผมคิดโกรธตัวเองอยู่เสมอที่ต้องตายเร็วตั้งแต่อายุยี่สิบสอง ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะอายุสั้น ไม่อย่างนั้นคงได้ทำอะไรเพื่อแม่มากกว่านี้ไปแล้ว

"แสงอยู่ตรงนี้นะแม่"

"..."

"คิดถึงแม่เหมือนกันครับ"


 

...

 

สองทุ่มของทุกวันจันทร์ถึงวันพุธ ผมต้องออกไปรอรับสายป่านที่เลิกเรียนพิเศษในเวลานั้นพอดี พ่อกับแม่ปล่อยให้น้องกลับเองเพราะโตแล้ว แต่ผมอดเป็นห่วงไม่ได้จึงต้องมาดูเพื่อให้แน่ใจว่าสายป่านจะถึงบ้านปลอดภัยดี

ระหว่างที่รอสายป่านอยู่ ผมหันไปเห็นเด็กนักเรียนคนหนึ่งที่เดินออกมาจากตึกแล้วกำลังจะข้ามถนนไปอีกฝั่ง ออกอาการกล้าๆ กลัวๆ ด้วยการก้าวเท้าออกไปแล้วก็ถอยกลับมา เห็นชัดว่าประหม่าเพราะน่าจะข้ามถนนไม่เป็น ถ้าผมเป็นคนก็คงจับมือพาข้ามไปแล้ว แต่ตอนนี้ทำได้แค่เอาใจช่วย จนกระทั่งเด็กคนนั้นตัดสินใจวิ่งข้ามไป

"ปิ๊นๆ!"

เสียงแตรรถเป็นเหตุให้เด็กคนนั้นหยุดชะงักกลางทางซะอย่างนั้น ด้วยความที่อยู่ดีๆ ก็หยุดกะทันหัน รถอีกคันที่วิ่งมาอีกเลนส์ก็บีบแตรลั่นพลางเหยียบเบรกแทบไม่ทัน ผมพุ่งตรงไปที่กลางถนนแล้วยกมือผลักร่างเด็กคนนั้นให้พ้นจากรถทั้งสองคันได้อย่างฉิวเฉียด ในเวลาแบบนี้โชคดีที่มือทั้งสองแตะต้องเด็กคนนั้นได้พอดี

เด็กคนนั้นรีบลุกขึ้นยืน แม้จะดูงงๆ ที่ถูกผลักจนร่างปลิวแต่ก็คงจะหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ ผมจึงบอกให้

"เนี่ย! เขาเรียกว่าผีผลัก"

"ขอบคุณนะครับ"

"หืม?" ผมเบิกตากว้างตอนที่เด็กคนนั้นหันมาขอบคุณ คิดไปเองว่าเด็กนั่นมองเห็นแต่ก็กระจ่างในประโยคถัดไป

"ขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยผมไว้"

พระเจ้าไม่ได้ช่วยซะหน่อย เหอะ!

ผมยกมือดีดหน้าผากเด็กนั่นไปทีหนึ่งแต่แน่นอนว่าไม่โดน ก่อนจะเดินกลับไปยืนรอสายป่านที่หน้าตึกเหมือนเดิม สักพักหนึ่งก็ถึงเวลาที่น้องเลิกเรียน ผมยืนมองสายป่านที่กำลังบอกลากับเพื่อน ก่อนจะเดินออกมาที่หน้าตึก ฝนที่ตกปรอยๆ มาตั้งแต่ตอนเย็นยังไม่หยุด ทำเอาคนที่เพิ่งออกมาเห็นว่าเม็ดฝนยังไม่ซาทำหน้ายุ่งหน่อยๆ แล้วบ่นคนเดียวเบาๆ

"หนาวจัง ไม่ชอบฝนเลย"

ตั้งแต่ผมเป็นวิญญาณก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยจนเกือบจำไม่ได้แล้วว่าความรู้สึกหนาวเย็นเป็นอย่างไร แต่มนุษย์อย่างสายป่านอาจจะไม่สบายเอาได้ถ้าโดนฝน สายป่านทำท่าจะเดินออกไปที่ป้ายรถเมล์ ผมรีบหันบอก

"กลับแท็กซี่สิอ้วน"

"..."

"กลับแท็กซี่เถอะ"

"..."

"พี่บอกให้กลับแท็กซี่ไง"

"กลับแท็กซี่ดีกว่า" ผมยิ้มกว้างในตอนที่น้องพูดออกมาเบาๆ ราวกับว่าการเป่าหูของผมมันได้ผล สายป่านเดินไปหาแท็กซี่ที่จอดอยู่ตรงนั้นพอดีก่อนจะขึ้นรถไป ผมรีบไปรอสายป่านที่หน้าบ้าน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึง เมื่อเห็นว่าน้องสาวถึงบ้านแล้วผมก็อุ่นใจ นอนกลิ้งอยู่บนโซฟาข้างๆ พ่อที่ดูละครอยู่ สักพักหนึ่งเสียงของแม่ก็ดังมาจากในครัวเพื่อเรียกเราไปกินมื้อเย็น ผมเป็นคนแรกที่เดินไปถึงโต๊ะอาหาร

"โห! แกงเขียวหวานของโปรดแสงเลย มีผัดผักบุ้งกับหมูทอดด้วย"

อาหารจานโปรดเต็มโต๊ะแต่ทำได้แค่มองก็เลยรู้สึกปวดใจอยู่หน่อยๆ ผมกระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์ครัว เพราะไม่มีใครเลื่อนเก้าอี้ให้ 

"แม่คิดถึงพี่แสงใช่ไหมเนี่ย"

พ่อกับแม่หันมองหน้าสายป่านที่พูดแบบนั้นขึ้นมา

"ก็ดูสิ วันนี้ทำแต่ของโปรดพี่แสงทั้งนั้นเลย"

แม่ยอมรับด้วยการพยักหน้า รอยยิ้มฝืนๆ ของแม่กระตุกหัวใจผมจนรู้สึกเศร้าไปด้วย พ่อเองก็ทำได้แค่ยกมือตบไหล่ปลอบใจแม่ ก่อนที่ความสดใสของน้องสาวจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น 

"ไม่เป็นไรนะแม่ เดี๋ยวป่านกินแทนพี่แสงเอง กินให้อ้วนตัวแตกไปเลย!"

"แค่นี้ก็อ้วนพอแล้วลูก"

"แม่!"

"ล้อเล่นน่า"

"กินข้าวกันเถอะ"

ผมหันมองสายป่านที่ยัดหมูทอดเข้าปากตัวเองแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ด้วยความที่เป็นคนตัวอวบนิดๆ แก้มทั้งสองข้างจึงขยายพองจนน่าบีบ ผมขยับตัวเดินไปยืนข้างๆ สายป่าน อดไม่ได้ที่จะยกมือบีบแก้มน้อง ก่อนเลื่อนมือไปลูบหัวเบาๆ

"ดูแลพ่อกับแม่แทนพี่ด้วยนะอ้วน...โอ๊ะ!" ผมเผลอตกใจในตอนที่มือของผมแตะต้องกับผมของสายป่านได้ ขณะที่สายป่านเองก็หยุดชะงักยกมือลูบหัวตัวเองเบาๆ ผมแอบดีใจที่สัมผัสของผมส่งไปถึงสายป่านแม้เจ้าตัวจะไม่รับรู้ก็ตาม

...

 

เพราะเป็นผีจึงไม่มีความรู้สึกง่วงนอน ในตอนที่คนอื่นกำลังหลับ ผมพาตัวเองออกมาเดินเล่นข้างนอกแก้เบื่อ ผู้คนยังคงเดินไปมาราวกับว่าเมืองนี้ไม่เคยหลับใหล ผมเดินสวนกับผู้คนที่มองไม่เห็นผมไปเรื่อยๆ ก่อนหันไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ขณะเดินอยู่ด้วย สายตาผมมองไปเห็นฝาท่อระบายน้ำที่ชำรุด ผู้หญิงคนนั้นไม่ทันได้มองเกือบจะก้าวไปถึง ด้วยสัญชาตญาณผมจึงร้องลั่นแล้วดึงเสื้อเธอเอาไว้จากด้านหลัง

"ระวัง!"

ผู้หญิงคนนั้นชะงักกึก หันมองซ้ายมองขวาเดาว่าคงมองหาว่าใครเป็นคนดึงเสื้อตัวเองเอาไว้ เมื่อไม่พบใครก็รีบเดินจ้ำอ้าวออกไปจากตรงนี้เลย บ่อยครั้งที่ผมมักจะไปวุ่นวายกับความเป็นไปของมนุษย์ แล้วทุกๆ ครั้งที่ผมอยากช่วยเหลือใคร มือคู่นี้มันก็เป็นใจให้หยิบจับหรือแตะต้องคนอื่นได้โดยไม่มีเหตุผล

ผมเผลอคิดไปเองว่าที่ตัวเองยังไปเกิดไม่ได้ น่าจะเป็นเพราะตอนมีชีวิตผมไม่ค่อยได้ทำดีอะไรมากมาย จึงติดแหง็กอยู่ในสภาพนี้ นรกก็ไม่รับ สวรรค์ก็ไม่เอา แล้วถ้าผมช่วยเหลือคนเอาไว้มากๆ ก็อาจจะสร้างกุศลส่งให้ผมไปเกิด หรือไม่ก็มีสักหนทางทำให้ผมหลุดพ้นจากการเป็นวิญญาณแบบนี้ก็ได้

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ตึกร้าง มองหาผีหรือวิญญาณตนอื่นๆ เผื่อว่าจะหาใครมาคุยแก้เหงาได้บ้างแต่ไม่มีใครเลย ตั้งแต่ผมตาย ผมเจอวิญญาณตนอื่นน้อยมาก หรือบางทีก็คุยกันได้ครั้งสองครั้ง เขาก็พร้อมจะไปเกิดใหม่ หลุดพ้นบ่วงกรรมอะไรสักอย่างที่ผมหาไม่เจอว่าเหตุผลของตัวเองที่ทำให้ยังอยู่ที่นี่คืออะไร 

"เฮ้อ" ทำได้ถอนหายใจเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แต่เมื่อเลื่อนสายตาจากท้องฟ้าไปยังดาดฟ้าของตึกร้าง ผมมองเห็นเด็กคนหนึ่งที่สวมชุดนักเรียนยืนอยู่ตรงนั้น

คงไม่ได้คิดที่จะ...

"เฮ้ย! อย่านะ!" ผมร้องลั่นเมื่อคนตรงนั้นกำลังก้าวขาข้างหนึ่งออกจากขอบตึก รีบหายวับขึ้นไปยังตรงนั้น ยกสองมือขึ้นกอดร่างนั้นเอาไว้ แตะต้องได้แต่ช้าเกินไป ผลสุดท้ายทั้งวิญญาณของตัวเองและร่างของคนคนนี้จึงทิ้งตัวดิ่งจากดาดฟ้าของตึกร่วงลงสู่พื้นในช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียว 

 

"ตุ้บ!"


 

ผมได้ยินเสียงพูดคุยเข้ามาในหูที่ยังอื้ออึง ขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ ก่อนขมวดคิ้วแน่นเมื่อเจอกับแสงจ้าจากหลอดไฟ สติที่พลันหายไปค่อยๆ กลับมาประติดประต่อทีละนิด ผมเริ่มรู้สึกตัวในตอนที่รู้สึกเจ็บนิดๆ กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง หันมองสภาพแวดล้อมรอบข้างที่ไม่คุ้นตา ดวงตาค่อยๆ เบิกกว้างอย่างสับสน ก่อนรีบลุกพรวดขึ้นจากเตียงในตอนที่ความมึนงงโถมเข้าใส่อย่างเต็มที่ ขยับร่างกายทีหนึ่งก็สะเทือนไปถึงหัวที่เจ็บแปลบเหมือนถูกทุบ และเหมือนกับว่าความเจ็บปวดเหล่านี้กำลังย้ำเตือนให้ผมรู้ตัว...ผมกลับมามีลมหายใจอีกครั้ง...

 

...ในร่างของคนอื่น



TO BE CONTINUED.



____________________________________________

สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับสู่ไหดองของเต้าหู้ไข่ ขออนุญาตเปิดเรื่องไว้ก่อน ตอนต่อไปเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ค่ะ 55555

ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่า

รักเสมอ --- เต้าหู้ไข่   
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-04-2019 07:48:58
 :pig2:
 :3123:
อื้อ  แสงจะได้กลับมาแล้ว ดีใจด้วย
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-04-2019 08:17:12
 :3123: :pig2: :pig2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 16-04-2019 16:01:04
แสงจะมีอะไรทำแก้เบื่อแล้ว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 16-04-2019 19:22:11
รออ่านต่อน้าา  :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 17-04-2019 16:58:01
แสงได้ร่างเฉยเลย แสดงว่าเด็กคนนั้นตายเหรอ ;_;
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: พันหมื่นอักษร ที่ 17-04-2019 17:47:19
อห.เอาไงละทีนี้ นี่คิดว่าเจ้าของร่างคงไม่ได้สนใจร่างของตัวเองเพราะตั้งใจที่จะตาย แต่ปัญหาคือแสงเทียนจะทำยังไงต่อ เคยอ่านนิยายแนวนี้มีสองทางคือ ไปต่อในร่างนี้ หรือ กลับไปที่เดิม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 17-04-2019 23:33:57
ก็คือออ มาเจิมเรื่องใหม่แย้วววว ได้อ่านนิยายแนวที่ไม่เคยคิดจะอ่านจากนักเขียนที่ชอบตลอดเลย คุณเต้าหู้ไข่55555555 ปกติชอบอ่านแต่แนวเรียลไลฟ์ สบายๆอ่ะ 55555 ติดตามนะคะ จะเป็นยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 18-04-2019 12:20:55
เย้ ... welcome back ka คุณรชา  :katai2-1:

แสงเข้าร่างคนโดดตึกแทนใช่ไหม ?? หูยยย ตื่นเต้นๆๆ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 16/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 18-04-2019 14:17:03
แล้วเด็กคนนั้นล่ะ จะใช้ชีวิตแบบแสงในแบบที่ผ่านมาหรอ แสงจะเอาไงต่อเนี่ย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน --ตอนที่ 1 -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 19-04-2019 00:31:36
ตอนที่ 1
มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย




"ผมชื่อแสง ผมเป็นวิญญาณ ผมเห็นเด็กคนนี้กำลังจะกระโดดตึกก็เลยเข้าไปช่วย รู้ตัวอีกทีวิญญาณของผมก็เข้ามาอยู่ในร่างนี้เฉยเลย"

มีเพียงใบหน้าเรียบเฉยของหมอเท่านั้นที่โต้ตอบผมกลับมาในตอนที่ผมกำลังพูดถึงเรื่องราวที่ดูไม่น่าเชื่อถือ สิ่งที่ผมพยายามจะอธิบาย สร้างความวุ่นวายให้ทั้งหมอและพยาบาลจนต้องพาผมไปตรวจสมองซ้ำแล้วซ้ำอีก วินิจฉัยกันไปถึงไหนก็ไม่รู้ บอกว่าผมมีภาวะช็อกบ้าง สูญเสียความทรงจำบ้าง แต่ยังไม่มีข้อสรุปจากปากของเจ้าของไข้และผมก็ได้แต่โวยวายอย่างดูไร้สติ เพราะผมไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น ผมเป็นแค่วิญญาณที่ติดแหง็กอยู่ในร่างเด็กคนนี้!

"ก็บอกว่าเป็นวิญญาณไง! มันเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วมันก็ออกไม่ได้ มันออกไม่ได้! ผมไม่รู้ต้องทำยังไง ผมไม่ใช่เด็กคนนี้ ผมชื่อแสง! บอกว่าชื่อแสงไง!"   

"คนไข้ใจเย็นๆ ค่ะ" ฝ่ามือของพยาบาลตบไหล่ผมเบาๆ เพื่อให้ผมสงบลงจากที่กำลังดีดดิ้นอยู่บนเตียงอย่างไม่พอใจ ก่อนเสียงนุ่มของหมอจะเอ่ยออกมาอย่างใจเย็น 

"นอนพักเยอะๆ นะครับ เดี๋ยวตอนเย็นหมอเข้ามาตรวจอีกทีนะ" 

"ตรวจอะไรอีกล่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย พาผมไปวัดดีกว่า พาให้พระไล่วิญญาณผมออกมาที" ผมว่าพลางดึงกระตุกแขนพยาบาลให้ทำตามที่ขอ อีกฝ่ายได้แต่ทำใบหน้าเหยเก แกะมือผมออกแล้วรีบเดินตามหมอออกไป

 "เดี๋ยวครับ อย่าเพิ่งไป ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากติดอยู่ในนี้ เดี๋ยวสิครับ เดี๋ยว!" ไม่มีใครสนใจสักนิด ความพยายามที่จะเดินตามพยาบาลไปจึงล้มเหลวแล้วถอยหลังกลับไปหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงอย่างจ๋อยๆ

ผมไม่เคยเข้าสิงใครมาก่อน ในตอนที่ติดอยู่ในร่างนี้ก็เลยไม่รู้ว่าต้องพาตัวเองออกมายังไง ผมค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ สูดลมหายใจเข้าออกให้สม่ำเสมอเพื่อรวบรวมสมาธิ แล้วพยายามดึงตัวเองออกมา   

"หนึ่ง! สอง! ฮึบ!"

"..."

"ฮึบ!"

"..."

"ฮึบ! ฮึบ!"

"..."

"ฮึบโว้ย! ฮึบ!"

ไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากเหนื่อยฟรี ผมนอนหงายหลังลงบนเตียง กระพริบตาปริบมองๆ เพดานขาวของห้องพักในโรงพยาบาล ความทรงจำของผมสิ้นสุดลงในตอนที่ตกลงมาจากตึก เรื่องราวหลังจากนั้นก็หายไปเหมือนภาพตัด ไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าของร่างนี้คือใคร

"น้องพลีส"

ผมยันตัวเองขึ้นมองเสียงเรียกของคนที่เปิดประตูเข้ามา เป็นผู้หญิงหน้าตาดูใจดี รูปร่างสมส่วน ประเมินอายุด้วยสายตาตัวเองก็ราวๆ สามหรือสี่สิบ ไม่แน่ใจ ผู้หญิงคนนี้อยู่กับผมในตอนที่ฟื้นลืมตาขึ้นมาจนถึงตอนนี้ก็คอยเฝ้าไม่ห่าง แต่ยังไม่ได้พูดคุยกันเลย ผมคาดเดาเอามั่วๆ จากท่าทางร้อนรนที่ดูเป็นห่วงเป็นใย คงเป็นแม่ของเด็กคนนี้ล่ะมั้ง

"น้องพลีส เป็นยังไงบ้างลูก"

"สบายดีครับแม่"

"คะ?" หัวคิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่ผมตอบออกไปแบบนั้น หน้าตาสับสนของอีกคนบอกให้ผมรู้ว่าผมคงจะเดาผิดไป ไม่ใช่แม่สินะ

"น้องพลีส...จำหน่อยไม่ได้เหรอคะ"

"หน่อย?"

"หน่อยไงคะ หน่อยเอง หน่อยเป็นพี่เลี้ยงของน้องพลีสไงคะ"

"อ๋อ พี่หน่อย"

ใบหน้านั้นเพิ่มระดับความสับสนเป็นสองเท่า ผมไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปจึงทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ไม่รู้ด้วยแล้วโว้ย!

"น้องพลีสเรียกหน่อยว่าพี่หน่อยเหรอคะ"

พยักหน้าตามน้ำไปก่อนก็แล้วกัน

"ไม่ใช่ค่ะ หน่อยเฉยๆ ปกติ เรียกหน่อยเฉยๆ ค่ะ"

"โห ไม่มีมารยาทเลยอะ"

"คะ?"

"ก็พี่ดูโตกว่าผมตั้งเยอะ เรียกชื่อเฉยๆ แบบนี้ไม่มีมารยาทเลย ไม่มีใครสั่งสอนหรือไง"

พี่หน่อยกระพริบตาปริบ แสดงออกถึงความสับสนงุนงงระยะสุดท้าย ผมเองก็จนปัญญา จะบอกว่าเป็นวิญญาณติดอยู่ในร่างน้องพลีสของเขาก็ดูจะเปล่าประโยชน์ ไม่มีใครเชื่อผมอยู่แล้ว

"คุณหมอบอกว่า น้องพลีสหัวกระแทกแรงมาก อาจจะมีสับสนอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไรนะคะ ไม่เป็นไรแล้วนะ หน่อยอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไรแล้วนะคะคนดีของหน่อย ไม่เป็นไรนะคะ"

แม้ผมจะไม่ใช่น้องพลีส แต่กลับรับรู้ได้ถึงความห่วงใยของพี่หน่อยจากอ้อมกอดและฝ่ามือที่ค่อยๆ ลูบหัวผมเบาๆ ความห่วงใยนั้นควรส่งไปถึงเด็กคนนี้แต่ดันเป็นผมที่ได้รับรู้ ยิ่งรู้สึกไม่ดีที่ต้องติดอยู่ในนี้อย่างจนปัญญาที่จะหาทางออก...จะทำยังไงดีเนี่ย

ไม่ทันได้พูดอะไรกันต่อ ประตูห้องพักก็ถูกเปิดออก ก่อนผู้ชายร่างสูงคนหนึ่งจะเดินเข้ามา แน่นอนว่าผมไม่รู้จัก คนที่หันไปทักก็คือพี่หน่อย

"มาแล้วเหรอคะคุณวิทย์"

คนที่เดินเข้ามาพยักหน้ารับ พี่หน่อยสละเก้าอี้ข้างเตียงให้ผู้ชายคนนั้นนั่งลง ก่อนใบหน้าเคร่งขรึมนั้นจะหันมองหน้าผมพลางไล่สายตาสำรวจไปทั่วร่างกายแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

"ไม่เป็นอะไรมากใช่ไหมพลีส พ่อขอโทษที่มาช้า เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ พลีสไม่เจ็บมากใช่ไหม"

เมื่อเรียกแทนตัวเองแบบนั้นผมจึงรู้สถานะว่าเขาเป็นพ่อของเด็กคนนี้ แม้ในใจอยากบอกเต็มทีว่าผมไม่ใช่พลีส แต่ก็กลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นบ้าขึ้นมาอีก เลยปล่อยให้สถานการณ์พาไปด้วยการเนียนเป็นน้องพลีสไปก่อนก็แล้วกัน

"ไม่เป็นไรแล้วครับ...คุณพ่อ"

"คุณพ่อ?"

ผิดอีกแล้วเหรอ!

ดูจากใบหน้านั่นผมก็เดาได้ว่าปกติแล้วเด็กคนนี้คงไม่เรียกพ่อแบบนั้น ผมจึงรีบเปลี่ยน ดูจากใบหน้าตี๋ๆ ขาวๆ ของคุณพ่อแล้ว งานจีนต้องมา

"ปะป๊า?"

ไม่ถูก...

"แด๊ดดี้?"

ไปเรื่อย...

"เสด็จพะ..."

"พ่อเฉยๆ"

"อ่า ครับ พ่อเฉยๆ"

ถ้าไม่เฉลยจะถวายบังคมแล้วพ่ะย่ะค่ะ ผมลอบถอนหายใจเบาๆ ความผิดปกติของผมคงดูออกง่ายๆ เพราะผมไม่ใช่ตัวตนของเด็กคนนี้ แต่คำอธิบายของหมอที่บอกว่าสมองถูกกระทบกระเทือน จึงทำให้ทุกคนพากันเชื่อว่าน้องพลีสของพวกเขาคงจะมีอาการสับสนชั่วคราว ไม่ว่าผมจะพูดอะไรออกไปก็ไร้ความน่าเชื่อถือจนต้องหุบปากเงียบเอาไว้เฉยๆ 

"น้องพลีสจะลุกไปไหนคะ"

"เข้าห้องน้ำครับ"

"มาค่ะ เดี๋ยวหน่อยพาไป"

"ไม่เป็นไรครับ ผมไปได้" พี่หน่อยประคบประหงมจนผมคิดว่าตัวเองกำลังจะเป็นง่อย อดไม่ได้ที่จะคิดไปว่า ปกติแล้วเด็กคนนี้มีชีวิตยังไง การเป็นลูกคุณหนูที่ต้องมีพี่เลี้ยงมันเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผมอยู่เหมือนกัน

ผมมองใบหน้าของเจ้าของร่างที่สะท้อนอยู่ในกระจก มองเห็นเด็กผู้ชายหน้าเล็กๆ ดวงตาชั้นเดียวที่เดาเอาว่าคงจะเป็นลูกหลานคนจีนอย่างแน่นอน ส่วนสูงพอประมาณ แต่ถ้าเทียบกับผู้ชายวัยเดียวกันหรือแม้กระทั่งส่วนสูงจริงๆ ของผมเอง น้องพลีสก็ดูจะเตี้ยไปหน่อย ร่างกายผอมบาง ผิวพรรณขาวสะอาด แม้เป็นผู้ชายด้วยกันเองแต่ผมก็อยากชมว่าเด็กคนนี้จัดอยู่ในประเภทคนน่ารักได้อย่างเต็มปาก

เด็กคนนี้รอดตายหลังจากตกลงมาจากตึกห้าชั้น นอกจากแผลที่ศีรษะด้านหลังซึ่งเย็บไปแค่หกเข็ม ร่างกายส่วนอื่นก็ไม่บอบช้ำตรงไหนเลย ทั้งที่ควรจะเจ็บหนักกว่านี้แต่นี่ไม่เป็นอะไรเลย คงต้องเรียกความไม่สมเหตุสมผลนั้นว่าปาฏิหาริย์

"น้องพลีส"

ผมหันมองเสียงเรียกของพี่หน่อย ไม่ใช่ชื่อตัวเองสักนิดแต่ร่างกายดันตอบสนองด้วยสัญชาติญาณจึงตะโกนตอบรับ

"ครับ"

"เสร็จหรือยังคะ"

ผมเปิดประตูห้องน้ำออกไปหาพี่หน่อยที่ยืนรออยู่หน้าประตู คงจะเห็นว่าผมเข้าไปนาน ผมทำได้แค่ยิ้มก่อนที่พี่หน่อยจะช่วยประคองให้กลับไปนั่งที่เตียง

"น้องพลีสทานผลไม้หน่อยไหมคะ เดี๋ยวหน่อยปอกให้"

"ไม่..."

"แอปเปิ้ลเขียว ของโปรดน้องพลีสเลยนะ"

ของโปรดแสงเทียนเหมือนกัน!

เกือบจะปฏิเสธแล้วแต่ผลไม้ชนิดนั้นทำให้ผมพยักหน้าตอบรับ พี่หน่อยใช้เวลาครู่เดียวในการปอกผลไม้แล้วมาป้อนให้ผม พอกลับมาเป็นมนุษย์มันก็มีความรู้สึกหิว ความอยากอาหาร และรสชาติของอาหารที่สามารถรับรู้ได้ ในตอนที่กัดแอปเปิ้ลเข้าไปหนึ่งคำก็ทำเอายิ้มจนแก้มปริ อร่อยเหลือเกินเจ้าแอปเปิ้ลเขียว!

"อร่อยไหมคะ"

"อร่อยมากเลยครับ"

รสชาติอร่อยแต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมไม่คุ้นเคยก็คือไอ้เหล็กจัดฟันที่อยู่ในปาก ทำให้การกินดูเป็นเรื่องยากไปเลยเพราะมีเจ้าสิ่งนี้อยู่

"เย็นนี้น้องพลีสอยากทานอะไรไหมคะ เดี๋ยวหน่อยออกไปซื้อให้"

"แกงเขียวหวานครับ" ผมตอบในแทบจะทันทีเพราะสะสมความอยากอาหารมาตั้งแต่ตอนที่เป็นวิญญาณ แล้วแกงเขียวหวานก็เป็นเมนูแรกที่ผมนึกถึง

"ทานเป็นเหรอคะ"

"มีมนุษย์คนไหนกินแกงเขียวหวานไม่เป็นด้วยเหรอครับ"

"ก็น้องพลีสไงคะ"

ผมหยุดเคี้ยวแอปเปิ้ลในปากในตอนที่ได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะรีบหาข้อแก้ตัวไปมั่วๆ

"ผมอยากลองกินดูอะครับ มันต้องอร่อยมากแน่ๆ เลย"

"อร่อยค่ะ ทานกับขนมจีนยิ่งอร่อยเลยนะ"

"ใช่ไหม! แกงเขียวหวานก็ต้องขนมจีนสิ!"

ถึงพี่หน่อยจะดูงงนิดๆ แต่ก็พยักหน้ารับ พร้อมรับปากว่าเย็นนี้จะไปซื้อขนมจีนแกงเขียวหวานให้ ผมดีใจออกนอกหน้า ไหนๆก็ยังออกจากร่างนี้ไม่ได้ คงต้องทดลองเป็นน้องพลีสสักสองสามวัน ระหว่างนั้นก็ขอยืมร่างไปสัมผัสกับรสชาติของแกงเขียวหวานที่โหยหามานานหน่อยเถอะ และทันทีที่ออกจากโรงพยาบาลได้ผมจะรีบไปวัดแล้วสาดน้ำมนต์ใส่ตัวเอง วิญญาณต้องหลุดออกมาได้แน่นอน อดทนไว้แสงเทียน!

 

...

 

ผมใช้ชีวิตเป็นพลีสอยู่ในโรงพยาบาลมาเกือบอาทิตย์ แม้ว่าหมอจะยังไม่มีข้อสรุปมาอธิบายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ก็อนุญาตให้ผมกลับบ้านได้ เห็นว่าพ่องานยุ่งมาก พี่หน่อยจึงเป็นคนจัดการทุกอย่างแทนพ่อ รวมถึงขับรถพาผมกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางผมทำได้แค่นั่งเงียบๆ นั่งมองถนนหนทางที่คุ้นตา เพราะถ้าเลี้ยวซ้ายข้างหน้าก็เป็นทางไปบ้านของผมพอดี พี่หน่อยขับรถเลยมาเรื่อยๆ ก่อนที่ผมจะหันขวับไปเห็นวัดแห่งหนึ่งที่พี่หน่อยขับผ่านมาแล้ว

"พี่หน่อย"

"คะ"

"ผมอยากไปวัด"

"ไปวัด?"

"ครับ เพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา ไปทำบุญสักหน่อยคงดีนะครับ ใช่ไหมครับ"

"แต่น้องพลีสเป็นคริสเตียนนะคะ"

"ฮะ?"

"นับถือศาสนาคริสต์ค่ะ"

อาเมน...เวรแล้วเรา

พี่หน่อยขับรถเลยวัดนั้นมาไกลในขณะที่ผมก็จนปัญญา คิดว่าน้ำมนต์สักขันจะขับไล่วิญญาณให้หลุดพ้นออกมาจากการสิงอยู่ในร่างนี้ได้แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยก็เลยต้องพักวิธีนี้เอาไว้ก่อน

พี่หน่อยขับรถมาอีกพักหนึ่งก็มาถึงบ้าน ผมเดินตามพี่หน่อยเข้าไปในนั้น กวาดสายตามองบ้านหลังใหญ่ที่บ่งบอกสถานะว่าคงจะรวยไม่ใช่เล่น ทันทีที่เปิดประตูก็เห็นหมาบีเกิ้ลตัวหนึ่งลุกพรวดพลางวิ่งเข้ามาหา ด้วยสัญชาตญาณของคนชอบหมาอย่างผมก็ย่อตัวลงรอรับแต่หมาตัวนั้นกลับเดินผ่านผมไปหาพี่หน่อยเฉยเลย

"มันแกว พี่พลีสกลับมาแล้วเห็นไหม"

พี่หน่อยจับหน้าหมาให้หันมามองผม แต่ก็ถูกเมิน ไม่สนใจผมแล้วไปคลอเคลียพี่หน่อยแทน

"เป็นอะไรไปน่ะมันแกว ปกติเห็นน้องพลีสนี่กระโดดเข้าใส่แล้ว"

ผมทำได้แค่ยิ้มเจื่อนๆ มองหน้าหมาที่กำลังทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นพี่หน่อย เจ้ามันแกวตัวนี้คงฉลาดน่าดู เพราะเหมือนมันจะรู้ว่าที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เจ้านายมัน

คนแปลกหน้าสินะ...   

"ขึ้นห้องกันเถอะค่ะ"

ผมพยักหน้ารับพี่หน่อย แล้วเดินตามเขาไป สายตามองไปเห็นเปียโนสีดำเงาวับตั้งอยู่กลางบ้านแล้วก็อดตื่นตะลึงไม่ได้ ไม่ใช่แค่เปียโน แต่ทุกอย่างในบ้านดูหรูหราเสียจนผมไม่กล้าจะเดินผ่านหรือแตะต้องอะไรเลย ผมก้าวเท้าตามพี่หน่อยผ่านห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งมาจนถึงห้องนอนที่ชั้นสอง 

"น้องพลีสนอนพักนะคะ หน่อยอยู่ข้างล่าง อยากได้อะไรก็เรียกนะคะ"

"ครับ"

ผมตอบรับก่อนที่พี่หน่อยจะเดินลงบันไดไป ผมก้าวเท้าเข้าไปในห้องอย่างระมัดระวัง กวาดสายตามองห้องนอนกว้างๆ ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ ตู้เก็บหนังสือ ชั้นวางของที่ดูเป็นระเบียบ ทีวีจอใหญ่ และเตียงนอนที่มีชุดเครื่องนอนสีเทาอ่อนๆ พับเก็บอย่างเป็นระเบียบเหมือนโรงแรมห้าดาวไม่มีผิด

ผมทิ้งตัวเองนอนลงบนเตียงที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของน้ำยาปรับผ้านุ่ม เพดานสีขาวเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็นขณะที่หัวสมองว่างเปล่า หนทางที่จะพาวิญญาณของตัวเองออกไปจากร่างนี้ก็ดูมืดแปดด้าน นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงนุ่ม เป็นมนุษย์จึงรู้จักง่วงเหงาหาวนอน เลยกะว่าจะหลับสักพัก แต่ยังไม่ทันได้หลับตาลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสองสามครั้ง 

"น้องพลีส"

"ครับ?" ผมตอบรับพี่หน่อยที่เปิดประตูเข้ามาเองเพราะไม่ได้ล็อก

"คุณพ่อคุณแม่กลับมาแล้ว ลงไปหาท่านหน่อยสิคะ"

จะปฏิเสธก็ทำไม่ได้ ผมจึงจำใจต้องเดินลงไปหาคนที่พี่หน่อยบอกว่าเป็นพ่อกับแม่ซึ่งนั่งรออยู่ที่โซฟาในห้องรับแขกแล้ว

"พลีส นั่งสิลูก"

ผมพยักหน้ารับผู้หญิงผมยาวรูปร่างดีที่เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก...คนนี้เป็นแม่สินะ

"เป็นยังไงบ้างลูก ยังเจ็บอยู่ไหม"

"นิดหน่อยครับ"

"ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว"

ผมยิ้มพลางพยักหน้ารับ ไม่อยากพูดหรือทำอะไรให้ดูมีพิรุธน่าสงสัย เพราะผมไม่ใช่พลีส คนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องดูออกแน่ๆ ผมจึงเลือกที่จะเงียบไว้ก่อน

"พลีส"

"ครับ?"

"แม่รู้ว่าพลีสอาจจะไม่อยากตอบ แต่แม่จำเป็นต้องถาม"

ผมยังนิ่ง รอฟังคำถามที่ดูจริงจังจากใบหน้าเคร่งของแม่ หัวใจเต้นตึกตักเหมือนเตรียมตัวตอบคำถามชิงรางวัลแจ็กพอตในเกมโชว์   

"พลีส"

"ครับ"

"วันนั้น พลีสตั้งใจกระโดดลงมาหรือว่ามันเป็นอุบัติเหตุ"

ไม่ได้ตั้งใจ จะไปช่วยเฉยๆ แล้วก็พลาดท่าตกลงมาพร้อมกัน...

คำตอบของผมคงเป็นแบบนั้น แต่คำตอบของพลีสคงไม่ใช่ ผมยังนิ่ง คิดหาคำตอบไม่ได้เพราะผมก็ไม่มั่นใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้ วินาทีนั้นทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมไม่ทันได้สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไม่อาจคาดเดาว่ามันคือความตั้งใจหรืออุบัติเหตุ

"ผม...ไม่รู้ครับ"

"หมายความว่ายังไงไม่รู้"

"คือ...ผมไม่แน่ใจ"

"พลีสจำไม่ได้เหรอ"

"ประมาณนั้นครับ"

"พลีสลองนึกดูดีๆ ได้ไหม ว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น"

"ผมไม่รู้"

"..."

"ผมไม่รู้ครับ"

ผมพูดได้แค่นั้น ก้มหลบสายตาที่เพ่งมองจนรู้สึกกลัว ท่ามกลางความกดดัน เสียงของคนเป็นพ่อที่เงียบอยู่นานก็เอ่ยขึ้นมา

"อย่าไปคาดคั้นอะไรลูกเลย หมอบอกว่าพลีสอาจจะยังสับสนอยู่"

"ถ้าไม่คาดคั้นก็ไม่รู้ว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้น"

"เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว พลีสก็ไม่เป็นอะไรแล้วด้วย จะรู้เรื่องวันนั้นไปทำไม"

"ต้องรู้สิ เราจำเป็นต้องรู้ปัญหาของลูก ถ้าวันนั้นพลีสคิดจะฆ่าตัวตายจริงๆ ก็แปลว่าลูกกำลังมีปัญหา คุณรู้หรือเปล่าล่ะ ว่าลูกมีปัญหาอะไร"

"ผมจะไปรู้ได้ยังไง"

"คุณน่ะควรจะรู้ อยู่บ้านทั้งวันมีเวลาใกล้ชิดกับลูกมากกว่าฉันด้วยซ้ำ แต่ไม่เคยรู้อะไรเลย"

"ผมอยู่บ้านเฉยๆ หรือไง ผมก็ทำงานของผม แค่นี้ก็ยุ่งจะตายอยู่แล้ว คุณต่างหากที่ไม่มีเวลาให้ลูกเลย"

"ฉันก็ต้องทำงาน วันนี้ก็อุตส่าห์รีบเคลียร์งานกลับมาหาลูกนี่ไง"

"แล้วเคยคิดที่จะลางานสักวันมาอยู่กับลูกบ้างไหม ลูกเข้าโรงบาลเป็นอาทิตย์เคยคิดที่จะไปเยี่ยมลูกบ้างไหม"

"ฉันโทรถามอาการลูกจากหน่อยทุกวัน"

"แค่นั้นไม่พอหรอก ถ้าวันนั้นลูกตาย คุณจะยังเลือกงานอยู่ไหม"

"นี่คุณ! พูดอะไรบ้าๆ อย่ามาหาเรื่องชวนทะเลาะนะ"

"คุณนั่นแหละที่เริ่มก่อน"

อ้าว...ตีกันเฉยเลย ผมนั่งเงียบมองสองคนนี้โต้เถียงกันไปมาราวกับผมไม่มีตัวตน ถึงจะไม่ใช่พ่อแม่ของตัวเอง แต่การมานั่งทะเลาะกันต่อหน้าลูกแบบนี้ผมก็รู้สึกไม่เห็นด้วยอยู่ดี จะพูดอะไรออกไปก็ไม่ได้ อึดอัดใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พี่หน่อยจะเดินเข้ามาหาผม

"น้องพลีส หิวหรือยัง ไปทานข้าวกันดีกว่าค่ะ"

"แต่ว่า..." ผมคิดว่าตัวเองไม่ควรเดินออกไปเฉยๆ ในขณะที่พ่อกับแม่ของพลีสยังทะเลาะกันอยู่ แต่พี่หน่อยก็รีบคะยั้นคะยอให้ผมออกมาจากตรงนั้น

"ไปเถอะค่ะ ไปค่ะๆ วันนี้มีไก่ทอดที่น้องพลีสชอบด้วยนะ"

ผมเดินตามพี่หน่อยมาที่โต๊ะกินข้าวซึ่งอยู่ถัดไปอีกห้องหนึ่งจากห้องนั่งเล่น เสียงของคนที่ทะเลาะกันยังดังแทรกเข้ามาให้ได้ยิน พี่หน่อยชวนผมคุยเรื่องอื่นแต่ผมยังละความสนใจจากพ่อกับแม่ของพลีสไม่ได้

"พี่หน่อยครับ"

"คะ"

"พ่อกับแม่ทำงานอะไรเหรอครับ"

พี่หน่อยเข้าใจว่าสมองของผมกำลังสับสน ด้วยเหตุนั้นไม่ว่าผมจะถามอะไรที่ควรจะรู้อยู่แล้วออกไป พี่หน่อยก็จะตอบทุกคำถามโดยไม่มีข้อสงสัยในตัวผมเลย

"คุณวิทย์เป็นสถาปนิกและเป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบค่ะ ปกติทำงานที่บ้านแต่ก็มีเข้าออฟฟิศบ้างเป็นบางวัน ส่วนคุณกานต์เป็นรองผู้บริหารบริษัทของคุณตาน้องพลีสค่ะ"

ลูกเศรษฐีชัดๆ ได้สัมผัสชีวิตคนรวยแล้วรู้สึกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เทียบกับชีวิตตัวเองที่มีพ่อเป็นพนักงานธนาคารธรรมดาๆ มีแม่เปิดร้านขายกาแฟเล็กๆ ที่บางเดือนยอดเงินติดลบจนต้องค้างค่าเช่า เราไม่ต้องออกจากร่างนี้ดีไหมนะ...แหะๆ

"แล้วปกติ เขาทะเลาะกันบ่อยไหมครับ"

"มีเถียงกันบ้างเป็นธรรมดาค่ะ แต่พ่อกับแม่รักน้องพลีสมากนะคะ รักเหมือนที่หน่อยรักเลย ไม่คิดมากนะคะคนดีของหน่อย ทานข้าวดีกว่าค่ะ นี่ค่ะ ไก่ทอดของโปรด หน่อยฉีกให้นะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ ผมกินเองได้"

"ได้ที่ไหนกันล่ะคะ นี่มันหน้าที่ของหน่อย มาค่ะ หน่อยทำให้"

ผมทำได้แค่ยิ้มแห้งๆ ในตอนที่พี่หน่อยกำลังใช้ช้อนและส้อมจัดการฉีกไก่เป็นชิ้นๆ ให้กินง่ายๆ ถ้าบอกว่าพี่หน่อยเป็นแม่ของพลีสยังฟังดูสมเหตุสมผลกว่า ผมนิ่งมองพี่หน่อยที่คอยหยิบจับทำนั่นทำนี่ให้จนผมแทบจะไม่ต้องขยับเขยื้อนร่างกายทำอะไรเลย ในหัวเอาแต่คิดสงสัย เด็กคนนี้อายุเท่าไร เป็นคนยังไง แล้วตอนนี้วิญญาณของพลีส...ไปอยู่ที่ไหน

"โอ๊ะ!"

"เป็นอะไรคะน้องพลีส!" พี่หน่อยถามอย่างตกใจเมื่อผมลั่นเสียงนั้นออกไปเพราะเคี้ยวอาหารไปกระทบกับเหล็กจัดฟัน ลองใช้ลิ้นดันเหล็กจัดฟันตัวหนึ่งที่เคลื่อนที่ได้ก็พบว่ามันหลุดไปแล้ว 

"เหล็กมัน...หลุดน่ะครับ"

 



เพราะไอ้เหล็กจัดฟันเจ้าปัญหาที่หลุดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ พี่หน่อยจึงต้องพาผมมาซ่อมเหล็กที่คลินิก
ทันตกรรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน พี่หน่อยจอดส่งผมที่หน้าคลินิกแล้วเลยไปซื้อของที่ตลาด ผมจึงเดินเข้ามาในคลินิกคนเดียว การมาที่นี่สำหรับพลีสมันคงไม่แปลก แต่สำหรับผมมันเป็นครั้งแรกจึงดูเก้ๆ กังๆ กระทั่งพนักงานที่เคาน์เตอร์หันมาทักผม

"อ้าว น้องพลีส คุณหมอไม่ได้นัดวันนี้นี่คะ"

"ผมทำเหล็กหลุดน่ะครับ"

"อ๋อ กินข้าวไม่ระวังอีกแล้วใช่ไหม เดี๋ยวโดนคุณหมอดุแน่ๆ"

ผมยิ้มแห้งๆ ให้พนักงานที่ขู่ขำๆ

"เดี๋ยวนั่งรอก่อนนะคะ คุณหมอออกไปทานข้าว อีกสักพักคงกลับมาแล้วล่ะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วนั่งลงตามที่พนักงานบอก หันมองสภาพแวดล้อมในคลินิกแล้วใจเต้นตุ๊บๆ ต่อมๆ จำได้ว่าตอนยังไม่ตาย ผมกลัวการไปหาหมอฟันเป็นบ้าเลย

ทำใจให้สงบด้วยการหยิบหนังสือจากชั้นข้างๆ มาเปิดอ่านเพลินๆ นั่งรออยู่ไม่ถึงสิบห้านาทีประตูก็ถูกเปิดเข้ามา ผมหันมองผู้ชายสองคนที่ก้าวเท้าเข้ามาในคลินิก เดิมทีที่หัวใจเต้นแรงอยู่แล้วกลับเพิ่มระดับความเร็วจนไม่เป็นจังหวะ ใบหน้าที่คุ้นเคยของคนคนนั้นทำให้ผมนิ่งราวกับนี่คือความฝัน นั่นคือคนที่ผมรู้จัก ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเขาไม่ชัดนักเพราะทุกอย่างอื้ออึงไปหมดในตอนนี้

"พี่ต่อ ขอตังค์กินไอติมหน่อย"

"ไม่ให้"

"โห่! อยากกินไอติมอะ"

"โตแล้วนะตาม จะมาอ้อนกินไอติมเป็นเด็กๆ แบบนี้ไม่ได้"

"ถ้าตามมีเงินตามไม่ง้อพี่หรอก ขอตังค์หน่อย ยี่สิบบาทเอง อย่ามาขี้งกน่า"

"เออๆ เอาไปแล้วก็เลิกงอแงได้แล้ว"

 

นั่นไม่ใช่แค่คนที่ผมรู้จัก...

 

...แต่เป็นคนรัก ที่ผมตายจากเขาไป

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทนำ -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-04-2019 06:42:14
โอ้!!! เทียน จะทำงัยยย
 :katai2-1:
 :3123:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 1 -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 21-04-2019 03:18:26
แงงง จะไม่ดราม่าใช่มั้ยคะคุณ :m15:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 1 -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 21-04-2019 13:04:39
คนไหนแฟนเก่าอ่ะ คนพี่หรือคนน้องนะ? ทำไงแสงเทียนจะออกมาได้เนี่ย?
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 1 -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: เปลว แว๊บแว๊บ ที่ 21-04-2019 14:03:41
แล้วน้องพลีสหายไปไหน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 1 -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-04-2019 19:46:49
มิน่าน้องพลีสถึงไม่อยากจะอยู่ พ่อแม่น่าเบื่อ
แฟนเก่าคือต่อ?
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 1 -- 19/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 21-04-2019 20:38:14
น้องพลีสไปอยู่ไหนแล้ววว พอจะรู้เหตุผลที่น้องจะโดดตึกแล้วล่ะค่ะ จะมีรีเทิร์นในร่างใหม่มั้ย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 25-04-2019 23:59:44
ตอนที่ 2
รู้ว่าต้องหนี แต่ไม่รู้จะหนีไปไหน


"เธอ"

ผู้ชายสองคนที่เปิดประตูเข้ามาหันมองหน้าในตอนที่ผมหลุดปากเผลอเรียก ในจังหวะเดียวกันผมก็ลุกพรวดจากตรงนั้นแล้วรีบเดินออกมาจากคลินิก ก้าวเท้าเร็วจนกลายเป็นวิ่งในตอนที่เกิดความรู้สึกสับสนอยู่ในหัว ผมวิ่งออกมาได้ไม่ไกลเท่าที่ใจคิดก็เหนื่อยหอบจนต้องหยุดพัก แม้จิตวิญญาณเป็นของผมแต่ร่างกายเป็นของพลีส ซึ่งบอบบางและอ่อนแอกว่าที่คิด มือไม้แกว่งไกวหาที่เกาะยึดเพื่อไม่ให้สองขาที่อ่อนแรงพากันล้ม หายใจเข้าออกไม่สม่ำเสมอเพราะความเหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ทันด้วยซ้ำ

"น้อง"

ผมหันขวับไปมองเมื่อถูกเรียกจากด้านหลัง

 

พี่ต่อ...

 

"น้องเป็นอะไรหรือเปล่า"

ผมก้มหน้าหนีในตอนที่หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ในร่างของพลีสไม่ใช่แสง พี่ต่อจะไม่มีทางรู้ว่าผมคือใคร เมื่อผมตั้งสติได้จึงเงยหน้ามองคนตรงหน้าที่ถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง

"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ"

"เปล่าครับ"

"แล้วทำไมวิ่งออกมาแบบนั้น"

"คือ...คือผม..."

"เป็นอะไร บอกพี่สิครับ"

"ผมนึกขึ้นมาได้ว่าลืมโทรศัพท์เอาไว้แถวนี้ เลยรีบวิ่งมาดูครับ" นักแสดงนำชาย สาขาโกหกยอดเยี่ยม มันอดชื่นชมตัวเองไม่ได้ในความหัวไวคิดหาเหตุผลมาแก้ตัว และเป็นเหตุผลที่ทำให้คนฟังเชื่อสนิทใจ

"อ้าว ลืมไว้ตรงไหน เดี๋ยวพี่ช่วยหา"

"แถวๆ นี้แหละครับ"

พี่ต่อพยักหน้ารับแล้วหันมองไปรอบๆ ก้มๆ เงยๆ หาโทรศัพท์ที่ผมบอก จริงจังในการมองหาอยู่ครู่หนึ่ง ผมหันมองพี่ต่อที่ไม่ทันได้สนใจผมแล้วล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมา

"ผมเจอแล้วครับ"

"วันหลังอย่าลืมอีกนะครับ ถ้าหายไปคงเสียดายแย่เลย"

"ครับ"

"แล้วนี่ เห็นว่าทำแบ็กเก็ตหลุดเลยมาหาพี่ใช่ไหม ไปเร็ว เดี๋ยวพี่ซ่อมให้"

คาดเดาเอาเองว่าแบ็กเก็ตนั่นคงหมายถึงเหล็กจัดฟัน ประเด็นสำคัญที่ผมเกือบลืมไปว่ามาคลินิกทำไม ผมเดินตามหลังพี่ต่อที่ก้าวเท้าด้วยช่วงขายาวๆ เร็วจนตามไม่ทัน ได้แต่มองแผ่นหลังนั้นแล้วคิดถึงเรื่องเก่าๆ อยู่ในใจ คิดถึงแต่เรื่องเขา...เรื่องราวของพี่ต่อ

 

"ไหนพี่ขอดูหน่อย แบ็กเก็ตตัวไหนหลุด"

"ตัวในสุดเลยครับ" ผมตอบ เพราะเหล็กจัดฟันตัวในที่ติดกับฟันกรามหลุด เส้นลวดที่ไม่มีอะไรยึดก็เอาแต่ทิ่มกระพุ้งแก้มจนเจ็บ ไม่รู้ต้องใช้เวลานานแค่ไหนผมถึงจะชินกับไอ้วัตถุแปลกปลอมที่ติดอยู่ในปากนี่สักที

"โอเค เดี๋ยวพี่ซ่อมให้ จะว่าไปก็ใกล้ถึงวันเปลี่ยนยางแล้วนี่ จะเปลี่ยนไปเลยไหม อาทิตย์หน้าน้องจะได้ไม่ต้องเข้ามาอีก"

ผมไม่เข้าใจขั้นตอนการจัดฟันที่กำลังถูกพูดถึงจึงทำได้แค่พยักหน้ารับ

"วันนี้ก็จะเอายางสีเดิมใช่ไหม"

มันต้องเปลี่ยนสีด้วยเหรอ...ไม่รู้อะไรทั้งนั้น จึงพยักหน้ารับอีกครั้ง

"เปลี่ยนสีบ้างสิ เดี๋ยวพี่เลือกให้เอาไหม"

"ได้ครับ"

"อ้าว ทำไมยอมง่ายอะ"

"ฮะ?"

"ปกติไม่ยอมเปลี่ยนสีเลย ให้ใช้แต่สีเทา"

"เอ่อ...เบื่อแล้ว เปลี่ยนบ้างก็ได้ครับ"

พี่ต่อยิ้มกว้าง ก่อนจะบอกให้ผมนอนลงบนเตียง ผู้ช่วยทันตแพทย์ใช้ผ้าปิดหน้า ปิดไว้คงดีเพราะไม่อย่างนั้นคนเป็นหมอฟันคงได้เห็นสีหน้าวิตกกังวลของผมแน่ๆ ผมจับมือเย็นเฉียบของตัวเองเอาไว้แน่น ด้วยความกลัวมันจึงสั่นเบาๆ แต่ในวินาทีนั้นก็สัมผัสได้ถึงมืออุ่นที่เข้ามาจับกับมือผม เจ้าของฝ่ามือพูดกับผมเบาๆ ที่ข้างหู

"ไม่เจ็บนะครับ ไม่ต้องกลัว"

ใช้เวลาไม่นานในการจัดการติดเหล็กและเปลี่ยนยางในปาก ไม่เจ็บสักนิดอย่างที่พี่ต่อบอก เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผ้าที่ปิดหน้าผมอยู่ก็ถูกเปิดออก 

"เฮ้ย" ผมร้อง เพราะตกใจที่เปิดมาเห็นหน้าของพี่ต่อที่ก้มลงมาใกล้เหมือนจะแกล้งกัน พี่ต่อหลุดหัวเราะชอบใจ

"ไหนลองยิ้มให้พี่ดูหน่อย"

"ครับ?"

"ยิ้มหน่อย จะดูว่าสียางสวยไหม"

เมื่อเห็นว่าผมยังอึกอักไม่ยอมยิ้ม พี่ต่อก็จัดการยกสองมือของตัวเองบีบแก้มเบาๆ แล้วดึงมุมปากให้ผมฉีกยิ้ม

"ยิ้มหน่อยน่า"

ด้วยการกระทำแบบนั้นของพี่ต่อผมจึงหลุดยิ้มออกมาซะเฉยๆ ก่อนพี่ต่อจะสั่งให้ผมมองกระจก ยิ้มจนเห็นยางจัดฟันสีม่วงอ่อนที่พี่ต่อเป็นคนเลือกให้

"เห็นไหม สวยกว่าสีเทาตั้งเยอะ"

"..."

"ชอบไหมครับ"

ผมพยักหน้าอีกครั้งขณะกำลังมองรอยยิ้มกว้างๆ ของหมอฟันอย่างพี่ต่อ ตั้งแต่ตอนที่ผมมีชีวิตจนถึงตอนนี้...พี่ต่อก็ยังอบอุ่นและใจดีเหมือนเดิมเลย

พี่ต่อเดินออกมาจากห้องทำฟันพร้อมกับผม ขณะที่ผมกำลังจ่ายเงินค่าทำฟันก็หันไปเห็นประตูที่เปิดเข้ามาด้วยมือของผู้ชายอีกคน คนที่ทำให้ผมต้องนิ่งไปอีกครั้ง...น้องชายของพี่ต่อ   

"หวัดดีเขี้ยวกุด"

"ฮึ?" ผมเผลอแสดงน้ำเสียงสงสัย เพราะเขาหันมาทักผมแบบนั้น วินาทีเดียวที่เผลอมองหน้าเขา ผมก็ต้องรีบหลบหน้าหนี หัวใจที่เพิ่งจะสงบกลับมาเต้นโครมครามอีกครั้ง ในขณะที่อีกฝ่ายละความสนใจจากผมไปคุยกับพี่ต่อแล้ว

"ไปซื้อไอติมที่ไหนมา ทำไมไปนานจัง"

"ก็เดินไปนี่ ไม่ได้เหาะไป"

"ซื้อมาฝากพี่เปล่า"

"ก็นี่ไง"

"ของตามรสวนิลาเหรอ"

"อือ ของพี่ต่อช็อกโกแลต"

"แต่พี่ชอบวนิลามากกว่า แลกกัน"

"ตามเลียทั้งแท่งแล้วจะเอาไหมล่ะ"

"โห สกปรก"

"ทำมาเป็นรังเกียจ"

ผมหันมองทั้งสองคนที่คุยกันพลางเดินไปนั่งกินไอติมในห้องที่เปิดประตูค้างเอาไว้พอให้มองเห็น โดยไม่ทันรู้ตัวผมก็พลันน้ำตาไหลออกมาเมื่อมองเห็นคนตรงนั้น เป็นคนที่ผมคิดว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้เจอกันอีกแล้ว เป็นคนที่หัวใจผมยังคงโหยหาแม้ว่าตัวเองจะตายจากไปนานแล้ว...เป็นเธอจริงๆ ด้วย

 

ตาม...

 

...

 

ผมตายตอนอายุยี่สิบสอง ตอนนั้นอยู่มหาลัยปีสุดท้ายแต่ตอนนี้กลายมาเป็นนักเรียนม.ปลาย แถมร่างกายยังหดเล็กลงจนรู้สึกว่าทุกอย่างมันบอบบางไปหมด และเพราะยังเป็นนักเรียนม.ปลาย ก็เลยต้องไปโรงเรียน พี่หน่อยมาปลุกให้ลุกอาบน้ำตั้งแต่เช้า ซ้ำยังเตรียมเสื้อผ้า ถุงเท้า นาฬิกาข้อมือ กระเป๋าสตางค์และกระเป๋านักเรียนวางเรียงเป็นระเบียบ เพื่อให้ผมหยิบจับสิ่งของพวกนั้นเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนหุ่นยนต์ถูกวางโปรแกรม

ก่อนที่ผมจะสวมเสื้อนักเรียน ก็พลันไปเห็นหนังสือเรียนวิชาคณิตฯ ระบุชั้นม.หกใกล้ๆ กันคือสมุดที่มีสัญลักษณ์ของโรงเรียนอยู่ เป็นโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนนี่นา

เอาวะ...ลองโคฟเวอร์ย้อนวัยไปเป็นนักเรียนม.ปลายดูก็น่าจะสนุกดี คิดได้อย่างนั้นจึงสวมเสื้อผ้านักเรียน หยิบกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วใส่นาฬิกาข้อมือเป็นอย่างสุดท้าย แต่ขณะที่กำลังปรับสายนาฬิกา สายตาก็มองไปเห็นรอยแผลเป็นจางๆ ที่ข้อมือข้างนั้น มันจางจนผมไม่เคยสังเกตเห็น แต่ดูจากแผลเป็นแนวขวางขนาดยาวนั้น เดาว่าต้นเหตุของแผลนั่น อาจถูกของมีคมบางอย่างบาดลึกจนทิ้งรอยไว้ อดคิดไม่ได้ว่า...มันคือการกรีดข้อมือตัวเองหรือเปล่า

"น้องพลีส เสร็จหรือยังคะ"

"เสร็จแล้วครับ" ผมละสายตาจากรอยแผลนั่น แล้วเดินออกไปหาพี่หน่อย ก่อนจะขึ้นรถที่พี่หน่อยเป็นคนขับพาไปส่งที่โรงเรียน

"น้องพลีสคะ"

"ครับ?"

"วันนี้ที่โรงเรียน ไม่ว่าเพื่อนจะพูดอะไรเกี่ยวกับน้องพลีส ก็ไม่ต้องสนใจนะคะ"

"พี่หน่อยหมายถึงเรื่องที่..."

ผมเว้นช่วงคำพูด คิดว่าตัวเองเข้าใจสิ่งที่พี่หน่อยต้องการจะสื่อมากพอ แต่ก็ออกปากย้ำไปเพื่อให้แน่ใจว่าเรากำลังนึกถึงเรื่องเดียวกัน

"กระโดดตึก"

"ค่ะ วันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ไม่ต้องโต้เถียงหรือตอบคำถามอะไร ใครจะพูดอะไรก็ทำเป็นไม่สนใจ ทำได้นะคะ"

ผมพยักหน้ารับไปอย่างนั้น ก่อนพี่หน่อยจะขับรถมาถึงโรงเรียนพอดี เพราะว่าเป็นโรงเรียนเก่าที่ผมเคยเรียนจึงรู้จักที่ทางในโรงเรียนนี้ดี ผมเดินมายังห้องเรียนม.หกทับหนึ่งตามที่พี่หน่อยบอก มีนักเรียนอยู่ในห้องนั้นเยอะพอสมควร และทันทีที่ผมก้าวเท้าเข้าไปแทบจะทุกสายตาก็สามัคคีกันหันมามอง ไม่มีคำทักทายจากใครเลยและผมไม่รู้ว่าที่นั่งของตัวเองอยู่ตรงไหน

"ไง ไอ้พลีส มึงมาเรียนได้แล้วเหรอวะ"

ผมหันขวับไปมองคนข้างหลังที่ทักขึ้นมา เดาว่าอาจจะเป็นเพื่อนของพลีสแต่สัญชาตญาณกลับโต้แย้ง ความรู้สึกแรกที่หันไปมองหน้ามันบอกผมว่าไม่ใช่...นี่ไม่ใช่เพื่อน

"มึงโดดตึกลงไปห้าชั้นแต่ไม่เป็นอะไรเลย มึงห้อยพระอะไรวะถึงได้โกงความตายได้ขนาดนั้น ไหนขอกูดูหน่อยสิ"

"เฮ้ย" ผมปัดมือของนักเรียนคนนั้นออกไป หลังจากมันยกขึ้นแหวกคอเสื้อผมออก

"อะไร กูแค่ขอดูเฉยๆ"

"ไม่มี"

"กูขอดูหน่อยน่า"

"อย่านะเว้ย!" ผมโวยลั่น ดูเหมือนว่าร่างกายผอมบางของพลีสจะไม่มีแรงมากพอที่จะขัดขืนหรือต่อสู้กับนักเรียนตัวโตคนนี้ได้เลย ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักมันออกไป แต่สองมือของมันยังกุมเสื้อของผมอยู่ ในจังหวะที่ผลักมันออกกระดุมเม็ดที่สองของเสื้อนักเรียนผมก็ขาดกระเด็นออกไปด้วย

"กูไม่ได้ทำนะโว้ย มึงผลักกูออกมาเองอะ"

ผมก้มมองกระดุมเสื้อที่ขาดแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นักเรียนคนนั้นก็ยักไหล่ใส่อย่างไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินไปนั่งที่ ผมก้าวเท้าตามมันเข้าไปในห้อง ไม่รู้ว่าต้องนั่งตรงไหน หันไปเห็นที่นั่งว่างๆ ข้างๆ กับนักเรียนหญิงที่หน้าตาดูเป็นมิตร จึงคิดที่จะหย่อนตัวเองลงนั่งตรงนั้น แต่อีกฝ่ายก็แทรกขึ้นมาก่อน

"ไม่ใช่"

"..."

"ไม่ใช่ตรงนี้"

ผมไม่ทันได้เอ่ยถามว่าที่นั่งของพลีสอยู่ตรงไหน ไอ้นักเรียนอันธพาลคนเดิมก็จะโกนเรียกผม 

"สมองมึงไหลไปตอนตกตึกเหรอวะถึงจำไม่ได้ว่าตัวเองนั่งตรงไหน ตรงนี้โว้ย ข้างหน้ากูนี่"

ไม่มีทางเลือก ไม่มีที่อื่นแล้ว ผมจึงจำใจต้องเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งเป็นตัวข้างหน้าของนักเรียนคนนั้น

"เฮ้ย"

ผมหันหลังมองไอ้นักเรียนอันธพาลที่ยกเท้าขึ้นมาถีบเก้าอี้ผม

"กูได้ข่าวว่ากบาลมึงแตก ตรงนี้เหรอวะ"

"โอ๊ย!" ผมร้องลั่นเมื่อมันยกมือกดแผลที่หลังศีรษะเข้ามาทีหนึ่ง ความเจ็บของผมดันกลายเป็นเรื่องขำขัน เมื่อมันและเพื่อนที่นั่งข้างๆ พากันหัวเราะลั่นที่ทำให้ผมร้องออกมาได้

"เลิกแกล้งมันได้แล้วไอ้ปั้น เดี๋ยวมันก็ไปฟ้องครูหรอก"

"หรือไม่มันอาจจะโกรธจนไปกระโดดตึกตายอีกรอบหนึ่งก็ได้นะ"

"โอเคๆ ไม่แกล้งก็ได้"

ไอ้ตัวหัวโจกรับคำส่งๆ ก่อนที่ผมจะหันหน้ากลับไปมองกระดานอย่างไม่ได้สนใจ แต่ในตอนนั้นเสียงกระซิบของมันก็ดังขึ้นที่ข้างหู

"วันหลังถ้ามึงอยากตายจริงๆ ก็ลองไปกระโดดตึกที่มันสูงกว่านั้นดูนะ"

ผมไม่โต้ตอบ แกล้งทำเป็นไม่สนใจทั้งที่ข้างในร้อนระอุ ทำได้แค่ระบายความรู้สึกผ่านมือที่กำหมัดแน่นด้วยความโกรธเคือง เรื่องที่พลีสตกลงมาจากตึก คงถูกแพร่กระจายโดยใครสักคนจนรู้ไปทั่วกัน ที่ผมเดาได้ว่าทุกคนรู้ ก็เป็นเพราะสายตาที่มองมาราวกับว่าพลีสเป็นตัวประหลาด มีเสียงนินทาเกี่ยวกับพลีสที่ไม่รู้ว่าพลั้งเผลอหรือจงใจให้ได้ยินกันแน่ ผมสูดลมหายใจเข้าออกเรียกสติและทำเพิกเฉย ในตอนนั้นมันทำให้ผมตั้งคำถามว่าพลีสตัวจริง...เป็นคนยังไงกันแน่

 

การกลับมาเป็นนักเรียนไม่สนุกอย่างที่คิด ครึ่งวันที่ผมได้ใช้ชีวิตเป็นพลีสกลายเป็นความทรมาน บทเรียนบางอย่างก็ลืมแล้วหมดสิ้นจนไม่รู้เรื่องอะไรเลย บางวิชาก็น่าเบื่อจนง่วงนอนแต่หลับไม่ได้ และที่สำคัญ...พลีสไม่มีเพื่อนเลยสักคน

กลางวันนี้ผมจึงต้องลงไปกินข้าวคนเดียว ในระหว่างทางจากตึกเรียนไปโรงอาหาร ไกลพอที่จะทำให้ผมได้มองนั่นมองนี่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยที่ผมเรียนอยู่บ้าง ก่อนเปลี่ยนความคิดไปนึกถึงร้านข้าวป้าพุกที่เป็นร้านโปรด ร้านนั้นจะยังอยู่ไหมนะ

หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาเปิดดู เงินจำนวนหนึ่งที่อยู่ในนั้นทำเอาผมเบิกตากว้าง เป็นเด็กม.ปลายต้องมีเงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอวะ ผมเลื่อนสายจากแบงก์พวกนั้นไปยังบัตรประชาชนของพลีส สะดุดอยู่ที่ปีเกิด ปกติแล้วอยู่ม.หก ก็ควรจะอายุสิบแปด แต่ปีเกิดของพลีสดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ ด้วยความที่คิดเลขไม่เก่งเลยจึงยกนิ้วขึ้นมานับ คำนวณอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นชัดว่าพลีสอายุยี่สิบแล้ว จึงเกิดคำถามขึ้นมาในตอนนั้น อายุยี่สิบสูงได้แค่นี้เหรอ ไม่ใช่สิ...อายุยี่สิบทำไมยังอยู่ม.หกล่ะ

 

"ตุ้บ!"

 

"โอ๊ย!"

ผมร้องออกมาในจังหวะเดียวกับที่ลูกฟุตบอลที่ปลิวมาจากไหนไม่รู้กระทบเข้ากลางหลังพอดี หันขวับไปมองจึงเห็นว่ามันเป็นคนเดิม ไอ้ปั้น!

"เฮ้ย! โทษที กูไม่ได้ตั้งใจ"

"..."

"ไม่ได้ตั้งใจให้โดนหลัง กะว่าจะให้โดนหัวมึงซะหน่อย"

ไอ้ปั้นและฝูงเพื่อนของมันหัวเราะลั่นดูชอบใจกับมุกเลวๆ ที่ล้อเล่นกับความเจ็บปวดของคนอื่น ที่ผมไม่ทำอะไรเลยนอกจากอดทนเอาไว้ เป็นเพราะผมไม่ใช่พลีส ผมไม่รู้ว่าถ้าเป็นพลีสจะทำยังไงเมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ถ้าผมทำอะไรตามใจตัวเองออกไป อาจจะส่งผลอะไรต่อพลีสในตอนที่เขากลับมาก็ได้

ผมเดินเข้ามาในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยเด็กนักเรียน กวาดสายตามองหาร้านป้าพุกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างดีใจเมื่อร้านนั้นยังอยู่ที่เดิมเลย มองอาหารหลากชนิดที่วางเรียงราย เมื่อถึงคิวจึงสั่งเมนูที่เล็งเอาไว้สองอย่าง ผัดผักที่ชอบและหมูทอดร้านป้าพุกที่อร่อยที่สุดในโลกเลย ผมเผลอมองป้าพุกที่ไม่ได้เจอหน้ากันเลยตั้งแต่ผมจบม.หก รวมๆ แล้วก็เกือบแปดปี ป้าพุกยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย 

"หนู"

"ครับ?"

"ทำไมมองหน้าป้าแบบนั้นล่ะลูก จะเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า"

"เปล่าครับ แค่คิดว่า ป้าพุกยังสวยเหมือนเดิมเลย"

"ตายจริง ปากหวาน แถมหมูให้อีกชิ้นก็แล้วกัน"

"ขอบคุณครับ" ผมยิ้มกว้าง แล้วหยิบจานข้าวเดินออกมาหาที่นั่ง กวาดตามองไปรอบๆ ยังไม่เจอที่นั่งแต่หันไปเจอสายป่านที่เรียนอยู่ที่นี่เหมือนกัน ด้วยความพลั้งเผลอไม่ทันคิดผมจึงเดินเข้าไปสะกิดเรียกน้องสาว

"อ้วน!"

คนถูกเรียกหันขวับมามอง แล้วขมวดคิ้วมุ่น

"พี่เป็นใครคะ"

"..."

"อยู่ดีๆ มาเรียกหนูว่าอ้วนได้ไง"

พลาดแล้ว ลืมตัวว่านี่คือพลีสไม่ใช่แสงเทียน ด้วยศักดิ์ศรีแห่งนักแสดงนำชาย สาขาโกหกยอดเยี่ยมผมจึงรีบหาข้ออ้าง ก่อนได้ไอเดียแถแบบเบสิกที่สุด

"ขอโทษครับ ทักผิดคน" พูดแค่นั้นแล้วหันหลังขวับ ได้ยินเสียงสายป่านกับเพื่อนคุยกันตามหลังมา 

"ใครวะแก"

"ไม่รู้เหมือนกัน ทักผิดไม่ว่า แต่มาเรียกว่าอ้วนนี่น่าตีป่ะ"

ได้ยินเสียงหัวเราะของน้องสาวที่เรื่องเมื่อครู่กลายเป็นเรื่องขำขันไปแล้ว ผมยิ้มนิดๆ แล้วนั่งลงที่โต๊ะว่างๆ เพื่อกินข้าว รสชาติของหมูทอดร้านป้าพุกพาผมหลุดออกจากทุกความคิด อร่อยจนอยากจะร้องไห้ การติดอยู่ในร่างนี้มีเรื่องดีๆ เรื่องเดียวที่ผมชอบ คือการได้กินอาหารอร่อยๆ ที่โหยหามานานนี่แหละ

"แก นั่งนี่กัน"

"หาที่อื่นเถอะ"

"โต๊ะนี้แหละน่า ตรงนี้มีคนนั่งไหม..."  คำถามชะงักเมื่อผมเงยหน้าให้เห็น ผมจำได้ว่าผู้หญิงกลุ่มนี้เป็นเพื่อนในห้องเรียนของพลีส

"ไม่มี" ผมตอบ

"แกนั่งตรงนั้นละกัน"

"แกนั่นแหละไปนั่ง"

"แกนั่นแหละ"

"นั่งได้ ไม่กัด" ผมบอก หลังจากที่ผู้หญิงพวกนั้นเอาแต่เกี่ยงกันว่าใครจะนั่งข้างๆ ผม ก่อนจะตกลงกันได้แล้วส่งหน่วยกล้าตายมานั่งข้างผม ผมหันมองผู้หญิงพวกนั้น ที่ต้องมองเพราะถูกมองก่อน ถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ จนต้องเอ่ยปากถาม

"มองอะไรกัน"

"พวกเราแค่สงสัย พลีสกินข้าวเป็นด้วยเหรอ"

"เฮ้ย คนบ้าอะไรจะกินข้าวไม่เป็น"

"ไม่เคยเห็นพลีสลงมากินข้าวเลย"

"ใช่ๆ ปกติก็เอาแต่อยู่บนห้อง"

"วันนี้คิดยังไงถึงลงมากินข้าว"

ผมไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี จึงคิดคำตอบง่ายๆ ออกไปส่งๆ

"เราหิว"

กลุ่มเพื่อนพยักหน้ารับ ไม่วายเรื่องของพลีสยังถูกพูดต่อด้วยเสียงกระซิบนินทา

"สงสัยตกตึกแล้วสมองกระทบกระเทือน"

"นั่นสิ ตอนอยู่บนห้องก็ทำตัวแปลกๆ"

ยิ่งคิดยิ่งสงสัยว่าพลีสดูเป็นอะไรในสายตาของเพื่อนที่โรงเรียน พลีสหน้าตาน่ารัก มีครอบครัวที่เพียบพร้อมทั้งพ่อแม่และฐานะการเงินที่ไม่เป็นรองใคร ดูจากผลการสอบวิชาคณิตฯ และฟิสิกส์ ที่ครูแจกคืนมาในคาบ คะแนนเกือบเต็มทั้งสองวิชานั่นก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าพลีสคงจะเรียนเก่งไม่ใช่เล่น ชีวิตของพลีส ดูเป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบแท้ๆ แต่การที่ผมใช้ชีวิตเป็นพลีสอยู่ในโรงเรียนแค่ครึ่งวัน...มันเจ็บปวดจนบอกไม่ถูกเลย

ระหว่างกำลังเหม่อลอย สายตาผมมองไปเห็นสายป่านกับเพื่อนที่นั่งอยู่อีกโต๊ะที่ไม่ไกล ความสนใจจึงเปลี่ยนไปที่น้องสาวแทน เห็นสายป่านกินข้าวอย่างอร่อย คุยกับเพื่อนอย่างมีความสุข จึงอดยิ้มออกมาไม่ได้...ใช้ชีวิตอย่างดีเลยนะอ้วน

 

...

 

ผมกลับมาที่บ้านพลีสอีกครั้งหลังจากที่หน่อยไปรับที่โรงเรียน หมดแรงจนอยากจะทิ้งตัวลงนอนเลยตั้งใจว่าจะรีบขึ้นห้องทันทีเลย แต่ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อพ่อกับแม่ของพลีสกลับมาแล้ว พี่หน่อยจึงพาผมเดินไปหาพ่อกับแม่ในห้องนั่งเล่นก่อน

"พ่อ แม่ สวัสดีครับ"

"เอ๊ะ?"

ผมคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องไหว้พ่อแม่หลังกลับมาจากโรงเรียน แต่การกระทำของผมสร้างความประหลาดใจให้พ่อกับแม่ซะงั้น ปกติพลีสไม่ทำสินะ

"เป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บแผลอยู่ไหม"

"ไม่ครับ"

"แล้วที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง"

ไม่รู้ว่าพลีสเคยพูดเรื่องนี้กับพ่อแม่หรือเปล่า หากผมออกปากบอกถึงปัญหาที่โรงเรียนอาจจะทำให้พ่อแม่เป็นห่วงก็ได้ จึงทำได้แค่ยิ้มนิดๆ

"เมื่อกี้แม่เจอแม่ของตะวัน เห็นว่าวันนี้คะแนนคณิตฯ กับฟิสิกส์ที่สอบคราวก่อนออกแล้ว คะแนนพลีสเป็นยังไงบ้างลูก"

"อ๋อ เกือบเต็มเลยครับ" ผมตั้งใจโอ้อวดเต็มที่ หยิบกระดาษคำตอบทั้งสองวิชาจากกระเป๋าส่งให้พ่อกับแม่ดู คิดว่าพลีสจะได้รับคำชื่นชม แต่สีหน้าของแม่ดูไม่ยินดี จนกระทั่งแม่พูดบางคำออกมา

"เคยทำได้ดีกว่านี้นี่"

"แต่นี่เกือบเต็มเลยนะครับ"

"ผิดข้อหนึ่งก็เท่ากับศูนย์นั่นแหละ"

ตรรกะอะไรเนี่ย!

ผมเผลอโวยในใจ ตอนที่แม่ยื่นกระดาษสองแผ่นนั้นคืนมา

"ต้องพยายามกว่านี้นะพลีส"

ผมพยักหน้ารับ ไม่มีข้อโต้แย้ง แต่พ่อกลับแทรกขึ้นมาแทน

"เกินไปหรือเปล่าคุณ ได้แค่นี้ก็ถือว่าเยอะแล้วไม่ใช่เหรอ"

"แต่พลีสเคยทำได้ดีกว่านี้ ก็ต้องรักษามาตรฐานตัวเองสิ"

"คะแนนเยอะขนาดนี้ ยังไงก็ได้เกรดสี่อยู่แล้ว ผิดบ้างสักข้อสองข้อจะเป็นอะไรไป"

"คุณก็ให้ท้ายลูกอยู่แบบนี้ไง พลีสถึงได้ไม่ตั้งใจทำข้อสอบ คราวหน้าถ้าลูกคะแนนตกลงไปอีก คุณยังจะพูดว่าไม่เป็นอะไรอยู่หรือเปล่า"

"คุณก็กดดันลูกเกินไป"

"ที่ฉันต้องกดดันก็เพราะพ่ออย่างคุณเอาแต่ปล่อยปะละเลยแบบนี้ไง"

"น้องพลีสคะ"

ผมเงยหน้ามองพี่หน่อยที่เข้ามาเรียก

"วันนี้มีการบ้านหรือเปล่า ขึ้นไปทำการบ้านในห้องดีกว่าค่ะ นะคะ ไปค่ะ" ผมไม่มีการบ้านแต่จำใจต้องลุกออกมาจากตรงนั้น พี่หน่อยก็แค่พยายามไม่ให้ผมอยู่ในสถานการณ์ที่พ่อแม่กำลังทะเลาะกัน ผมได้คำตอบที่เคยถามพี่หน่อยว่าพ่อกับแม่พลีสทะเลาะกันบ่อยไหม มันแทบจะทุกครั้งเลยที่พวกเขาเจอหน้ากัน

ผมเข้ามาในห้องนอน หย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ จดจ้องอยู่กับกระดาษคำตอบในมือ นึกไปถึงตอนที่ผมยังเป็นนักเรียน วันที่วิ่งโล่เอาคะแนนสอบวิชาคณิตฯ ที่ได้เกินครึ่งมาให้พ่อกับแม่ดู ก็ได้รับคำชมราวกับผมได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อย่างกับชนะคณิตศาสตร์โอลิมปิก ถ้าสอบได้แปดสิบคะแนนแบบนี้พ่อกับแม่คงจัดงานฉลองเลี้ยงโต๊ะจีนไปแล้ว แต่กับพลีสมันไม่ใช่เลย ผมจึงอยากถามแทนพลีส อยากรู้จริงๆ ...ต้องแค่ไหนล่ะถึงจะพอ

ทำได้แค่ถอนหายใจแล้วดึงลิ้นชักโต๊ะออกแล้วโยนกระดาษสองแผ่นนี้เข้าไป ก่อนที่ผมจะปิดลิ้นชักก็หันไปเห็นสมุดโน้ตปกสีดำเล่มหนาอยู่ในนั้น ถือวิสาสะหยิบมันขึ้นมาดูจึงเห็นว่าเป็นไดอารี่ เสียมารยาทเปิดอ่านเพราะผมอยากรู้จักพลีสมากกว่านี้อีกสักหน่อย แต่เนื้อความพวกนั้นไม่ได้เล่าถึงตัวเองมากนัก เป็นประโยคสั้นบ้างยาวบ้างที่เมื่ออ่านแล้วดูหดหู่อย่างบอกไม่ถูก

 

รู้ดีว่าถ้าอยากหลุดจากความรู้สึกนี้
ต้องมีความสุขก่อน

แต่ไม่รู้วิธีที่จะทำให้ตัวเองมีความสุขเลย

ไม่รู้จริงๆ

 



มันเป็นห้องเล็กๆ มืดๆ
มีประตูบานเดียว

แต่พอเปิดออกไปก็ไม่เจอใคร
จึงต้องกลับเข้ามาในห้องเหมือนเดิม

มันมืดจริงๆ

ไม่มีแสงสว่างเลย

 

ข้อความพวกนั้นจากไดอารี่เลอะคราบน้ำตา ทุกอย่างมันเพิ่มเหตุผลที่ทำให้ผมปักใจเชื่อว่า...

 

...เด็กคนนี้พยายามที่จะฆ่าตัวตายจริงๆ   

 

 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 26-04-2019 01:03:10
น้องพลีสสสส แสงต้องเข้ามาเผลี่ยนแปลงชีวอตพลีสแน่ๆเลย อันดับแรกก็กินเยอะๆเล่นกีฬาแล้วไปตัดการไอ้ปั้น!!! ส่วนตามนี่คือแฟนเก่าของแสงใช่มั้ยคะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 26-04-2019 10:53:20
 :z13:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 26-04-2019 17:58:28
แสง สู้ๆ นะ แสงน่าจะเป็น คนที่ทำไห้พลีส ผ่านพ้น เรื่องร้ายๆ นี้ไปได้ เป็นกำลังใจไห้ นะ ^^
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 26-04-2019 18:13:32
ความอมยิ้ม พบได้ 1 ครั้ง คือตอนที่พลีสเจอน้องอ้วน เป็นพลีสนี่มันรวยแต่ไม่มีความสุขเลยเนอะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-04-2019 20:40:40
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 27-04-2019 00:59:22
ตามจ้ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 27-04-2019 06:46:22
พี่แสงมีโอกาสกลับมาแล้ว พี่แสงต้องเปลี่ยนโลก เราเชื่อว่าพี่แสงทำได้ แก้แค้นให้น้องพลีส (บ้าไปล่ะ)
สรุปพี่แสงชอบใคร หมอต่อ น้องตาม หรือสองคนนั้นเขาอินซิส โอ้...ม่าย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 27-04-2019 08:16:57
 :3123:
หมั่นไส้ไอ้ปั้น จัดการไอ้ปั้นก่อนเลย ชอบแกล้งดีนัก
 :hao3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 01-05-2019 03:20:29
 :ling1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-05-2019 19:37:15
อยากอ่านต่อแล้ว รอออออออออออออ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: Evilkun ที่ 01-05-2019 23:25:24
น้องงงพลีสสส;;
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 2 -- 26/04/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 01-05-2019 23:35:56
แงงงงงงง อ่านต่อๆๆๆๆ :L1: :3123: :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 02-05-2019 00:53:29
ตอนที่ 3
เห็นแก่ตัวสักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไร



ในเช้าวันเสาร์ที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ผมกลับตื่นเร็วด้วยความเคยชิน เดินจากห้องนอนลงมาถึงชั้นล่างก็ยังไม่เจอใครสักคนเลย เท่าที่มีชีวิตเป็นพลีสมาสองสัปดาห์ผมเจอหน้าพ่อกับแม่ของพลีสเพียงไม่กี่ครั้ง แม่จะออกไปทำงานแต่เช้าแล้วกลับเข้ามามืดๆ บางครั้งผมก็ขึ้นห้องนอนไปแล้ว ส่วนพ่อทำงานอยู่ในบ้านแท้ๆ แต่แทบจะไม่ได้เจอกัน

ผมออกมาเดินเล่นที่สนามหญ้าหน้าบ้าน มองดูต้นไม้ดอกไม้ไปเรื่อยเปื่อยจนเดินมาถึงประตูรั้วที่เปิดค้างเอาไว้  แหงนหน้ามองฟ้าที่ดูครึ้มคล้ายว่าฝนจะตกแต่เช้า ขณะกำลังคิดอะไรวนเวียนอยู่ในหัว พลันสายตามองไปเห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งซึ่งกำลังเดินผ่านหน้าบ้าน สองขาจึงรีบพาตัวเองออกไปหาท่านด้วยความรวดเร็ว พลางเรียกเสียงดัง

"หลวงพ่อครับ!"

ดูเหมือนว่าหลวงพ่อจะตกใจนิดหน่อยที่ผมโผล่พรวดออกไปเช่นนั้น ผมยกสองมือขึ้นพนมแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าหลวงพ่อ

"มีอะไรรึโยม"

"หลวงพ่อช่วยผมด้วยครับ ผมติดอยู่ในนี้ ออกไปไม่ได้"

"..."

"วิญญาณผม...ติดอยู่ในนี้"

"..."

"ช่วยผมด้วยนะครับ"

ผมกระพริบตาปริบๆ มองหลวงพ่อที่เอาแต่เงียบ กระทั่งท้ายที่สุดท่านก็พูดบางคำออกมา

"แล้วแต่เวรแต่กรรมเถิดโยม" ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหันเดินออกไปอีกทาง ผมถอนหายใจอย่างไร้ความหวัง มองดูหลวงพ่อที่เดินออกไปไกลแล้วก่อนจะลุกขึ้นยืน ทบทวนคำพูดของหลวงพ่อก็พอจะเข้าใจได้ ที่ต้องติดอยู่แบบนี้...คงมีเวรมีกรรมมากนักสินะ

ผมไม่ได้ดีใจเลยที่ได้กลับมามีชีวิต กลับกัน ยิ่งนานวันยิ่งกังวล ผมจะออกไปจากร่างนี้ได้ยังไงแล้วตอนนี้วิญญาณของพลีสอยู่ที่ไหนกัน

ผมเดินกลับเข้ามาในบ้าน ยังคงไม่เจอมนุษย์คนไหนนอกจากเจ้ามันแกวที่นอนขวางทางอยู่ หมาตัวนี้เกลียดผมอย่างกับอะไรดี หลังจากผงกหัวขึ้นมามองหน้าก็ทำหน้าเบื่อหน่ายแล้วเมินสายตาไปทางอื่น ทั้งๆ ที่พี่หน่อยบอกกับผมว่าก่อนหน้านี้มันแกวจะสนิทกับพลีสคนเดียวโดยไม่สนใจใครเลย แต่ตอนนี้กลับเมินไม่มองแม้แต่หน้า...เอ๊ะ?

ความคิดผมสะดุดในตอนที่กำลังจะเดินผ่านมันแกวไป ผมย่อตัวลงนั่งตรงหน้า มันไม่ได้ลุกหนีไปไหนแต่ก็ไม่ได้สนใจกัน ผมพลันคิด ที่มันแกวไม่เล่นกับพลีสเหมือนเคยเพราะมันน่าจะรู้ว่าผมไม่ใช่พลีส หรือไม่บางที...

"อยู่ในนี้ใช่ไหม!"

สองมือยกขึ้นจับคอมันแกวที่ไม่ได้ขัดขืนแล้วเขย่าเจ้าหมานี่เบาๆ

"พลีสอยู่ในนี้ใช่ไหม ออกมาเลยนะ!"

"..."

"กลับมาเข้าร่างตัวเองสิ จะไปอยู่ในร่างหมาทำไม"

"..."

"ออกมานะ! ออกมาเลย! ออกมาเดี๋ยวนี้!"

"น้องพลีส!"

ทุกการกระทำหยุดกึกตอนที่พี่หน่อยปรากฏตัวขึ้น ผมปล่อยมือออกจากคอมันแกวช้าๆ แล้วหันมองหน้าพี่หน่อยที่ดูงงๆ

"น้องพลีสทำอะไรคะ"

"ผมเล่นกับมันแกวครับ"

"แต่หน่อยเห็นน้องพลีส...บีบคอมัน"

"บีบคออะไร เล่นกันครับ เล่นกันสนุกดี เนอะมันแกวเนอะ" ยกมือเคาะหัวเจ้ามันแกวสองสามที ก่อนที่หมาหน้าบูดจะเดินสะบัดตูดออกไปจากตรงนี้ ทิ้งให้ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ใส่พี่หน่อย ยังไม่วายที่จะเลิกคิดว่าวิญญาณพลีสอาจจะติดอยู่ในนั้นก็ได้ มันแกวถึงได้เกลียดขี้หน้าผมนักเพราะผมขโมยร่างของเขามา

"น้องพลีสไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้วค่ะ เดี๋ยวสายนะ"

"วันนี้วันเสาร์นะครับ"

"วันเสาร์ก็ต้องเรียนพิเศษไงคะ"

"เรียนพิเศษ?"

"ใช่ค่ะ แหม ทำเป็นลืม ปกติน้องพลีสชอบไปเรียนพิเศษมากกว่าไปโรงเรียนวันธรรมดาซะอีก ไปเตรียมตัวค่ะ แล้วเดี๋ยวลงมาทานข้าวเช้านะ"

พี่หน่อยยกสองมือจับไหล่ผมหมุนแล้วผลักให้เดินไปที่บันได ไม่รู้ว่าเป็นคนยังไง ถึงได้หลงใหลการเรียนพิเศษ แค่ผมต้องไปโรงเรียนในวันธรรมดามาเป็นอาทิตย์ก็เบื่อจนแทบจะเป็นบ้า ถ้าต้องไปเรียนพิเศษอีก สมองน้องพลีสคงได้ระเบิดก่อนที่วิญญาณจะกลับมาแน่ๆ

คิดได้อย่างนั้นจึงเริ่มแผนการที่จะทำให้ตัวเองไม่ต้องไปนั่งเรียนพิเศษ ด้วยความสามารถด้านการแสดงที่ไม่เคยยอมใคร สถานการณ์นี้ งานสำออยต้องมา

"พี่หน่อยครับ ผมปวดหัว"

"คะ"

"ปวดหัวมากเลยครับ โอ๊ย!" ยกมือข้างหนึ่งแตะขมับทำท่าเหมือนในละครตอนนางเอกปวดหัว แล้วแกล้งเซถลาไปที่โซฟาเพื่อทิ้งตัวลงนอน ร้องโอดโอยให้ดูทรมานที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

"ปวดมากหรือเปล่าคะ"

"มากครับ มากจนจะทนไม่ไหวแล้ว"

"งั้นหน่อยพาไปโรงพยาบาลนะคะ เดี๋ยวหน่อยโทรบอกคุณวิทย์กับคุณกานต์ก่อน ไม่สิ หน่อยเรียกรถพยาบาลให้นะคะ น้องพลีสอดทนไว้นะคะ!"

หืม?

ผมผงกหัวขึ้นมองพี่หน่อยที่รีบร้อนควักโทรศัพท์ออกมากดโทรหารถพยาบาลก่อนเป็นอันดับแรก

"สวัสดีค่ะ ช่วยส่งรถพยาบาลมาที่..."

"เดี๋ยวครับ!" ผมลุกพรวดแล้วจงใจจะคว้าโทรศัพท์ของพี่หน่อยเพื่อขัดขวางการโทรนั่น แต่พี่หน่อยไวกว่า ยกโทรศัพท์หนีได้ก่อนในตอนที่ผมต้องสารภาพออกมาตรงๆ   

"ผมแค่แกล้งเฉยๆ ไม่ได้ปวดหัวจริงๆ ซะหน่อย"

"หน่อยก็ไม่ได้โทรจริงๆ ซะหน่อย" ว่าแล้วก็โชว์หน้าจอมือถือที่ไม่ได้โทรออกหาใคร ผมเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่ากำลังโดนหลอก

"พี่หน่อย!"

"น้องพลีสขี้โกงก่อนนี่นา"

"พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย"

"หน่อยเลี้ยงน้องพลีสมาตั้งแต่เกิดนะคะ"

ผมเงียบไปในจังหวะนั้น ถ้ารู้จักพลีสดีขนาดนั้น ก็น่าจะรู้สิว่าผมไม่ใช่พลีส

"ไม่งอแงสิคะคนเก่งของหน่อย ไปอาบน้ำได้แล้วค่ะ เดี๋ยวหน่อยทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ทานนะ" 

"ครับ" ตอบรับอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะขึ้นห้องไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวเช้า ก่อนที่พี่หน่อยจะไปส่งผมที่เรียนพิเศษ ขณะกำลังเดินเข้ามาในตึกอย่างงงๆ หลงเพราะไม่รู้ต้องไปทางไหน เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาเรียก

"พลีส"

"หวัดดี"

"พลีสเป็นยังไงบ้าง แม่เราบอกว่า...พลีสประสบอุบัติเหตุ" ผมรู้ว่าเด็กคนนี้รู้เรื่องที่พลีสกระโดดตึก แต่เลี่ยงใช้คำอื่น ด้วยน้ำเสียงที่ดูกล้าๆ กลัวๆ ที่จะถาม ผมจึงพยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่เธอจะพูดอะไรต่อ เด็กผู้ชายอีกคนก็เดินเข้ามาเรียกอีก

"ไง พลีส หายดีแล้วเหรอ"

"อะ...อืม"

เรื่องของพลีสคงไม่ใช่ความลับเพราะดูเหมือนทุกคนจะรับรู้กันหมด ไม่รู้กันเองในกลุ่มเพื่อน ก็คงจะเป็นผู้ปกครองที่กระจายข่าวออกไป แต่เพื่อนของพลีสทั้งสองคนนี้ก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ นอกจากพาผมเดินเข้าไปในห้องเรียน บรรยากาศในคลาสเรียนพิเศษทำให้ผมสบายใจกว่าที่โรงเรียน จึงเข้าใจที่พี่หน่อยบอกว่าพลีสเองก็ชอบที่เรียนพิเศษมากกว่า อย่างน้อยๆ อยู่ที่นี่...พลีสก็มีตัวตน   

 

...

 

อากาศเย็นๆ ในเช้าวันอาทิตย์ทำให้ผมตื่นสายกว่าทุกวัน แล้ววันนี้ก็เป็นอีกเช้าที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในร่างของพลีส ไม่รู้ว่าถอนหายใจทิ้งไปเป็นครั้งที่เท่าไร ในความรู้สึกอื้ออึงและมืดแปดด้าน ผมสูดลมหายใจเรียกสติแล้วลุกออกจากเตียง แปรงฟัน แล้วลงไปข้างล่าง

วันนี้บ้านหลังใหญ่ก็เงียบสงบเหมือนทุกวัน ผมเดินเข้าไปในครัวก่อนเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่าพี่หน่อยน่าจะอยู่ในนั้น แล้วก็เป็นไปตามคาด พี่หน่อยที่กำลังวุ่นอยู่กับการทำอาหารที่หน้าเตาหันมามองตอนที่ผมเดินเข้าไปใกล้ ก่อนดวงตาทั้งสองข้างจะเบิกกว้างแล้วเรียกชื่อเสียงดัง   

"น้องพลีส!"

"ครับๆ" ผมตอบรับงงๆ ไม่รู้พี่หน่อยตกใจอะไร

"แต่งตัวอะไรคะเนี่ย!"

ผมก้มมองตัวเองที่กำลังสวมบอกเซอร์ตัวเดียว เมื่อคืนผมนอนชุดนี้แล้วก็ยังไม่ได้อาบน้ำ คิดว่าเดินอยู่ในบ้านไม่น่าจะเป็นปัญหาเพราะมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่กลับถูกพี่หน่อยตำหนิด้วยน้ำเสียงดุๆ 

"ไม่เรียบร้อยเลยนะคะ"

"ก็อยู่ในบ้านเฉยๆ นี่นา ไม่มีใครเห็นซะหน่อย"

"แต่หน่อยเห็นค่ะ"

"ไหนว่าเลี้ยงมาตั้งแต่เกิด ก็น่าจะเห็นไปหมดทุกอย่างแล้วนี่" ผมแกล้งพูดพึมพำ แน่นอนว่าพี่หน่อยได้ยินชัดเจนดีจึงดุผมอีกครั้ง

"น้องพลีส!"

ผมควรสำนึกตอนโดนดุ แต่กลับทำตรงกันข้ามด้วยการแกล้งถามอย่างหยอกล้อ

"ทำไมครับ พี่หน่อยเขินเหรอ"   

"หน่อยจะไปเขินอะไร"

"เขินผมไง ร่างกายเปลือยเปล่า เซ็กซี่ไหมครับ"

พี่หน่อยหลุดหัวเราะแล้วสวนกลับมา

"ร่างกายที่หยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ม.สาม ไม่ทำให้หน่อยเขินหรอกค่ะ"

ผมก้มมองร่างกายของพลีสอีกครั้ง ก็จริงอย่างที่พี่หน่อยบอก มันบอบบางเสียจนไม่อาจจะมองว่าเป็นร่างกายของผู้ชายด้วยซ้ำไป ผมละความสนใจจากร่างกายของพลีส แล้วเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงอาหารที่พี่หน่อยกำลังทำอยู่

"วันนี้มีอะไรกินครับ"

"ข้าวต้มกุ้งค่ะ"

ผมชะโงกมองข้าวต้มในหม้อที่กำลังเดือด กุ้งตัวใหญ่เรียกร้องความสนใจจนละสายตาไม่ได้ แสดงออกทางสีหน้าว่าอยากกินเต็มที่ ผมคิดว่าพี่หน่อยจะตักข้าวต้มให้หลังจากที่ปิดแก๊สแต่กลับหยิบฝาหม้อมาปิดแล้วหันมาพูดกับผม

"ไปแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนค่ะ"

"ขอกินก่อนได้ไหมอะ" 

"ไม่ได้ค่ะ"

"ผมหิวแล้ว"

"ไม่ได้ค่ะ"

พี่หน่อยยื่นคำขาดแต่ผมขี้เกียจตะเกียกตะกายขึ้นบันไดไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ อีกอย่างแต่งตัวแบบนี้มันก็สบายดีออก ด้วยความขี้เกียจจึงคิดที่จะต่อรองด้วยการออดอ้อน

"ขอกินก่อนนะ นะครับ นะครับพี่หน่อย"

"..."

"กินเสร็จแล้วเดี๋ยวรีบไปเปลี่ยนเลย นะครับ น้า"

ผมคิดว่าความน่ารักจากใบหน้าของพลีสทำให้พี่หน่อยแพ้จนหลุดยิ้มออกมาแล้วอนุญาตให้ผมกินข้าวขณะยังอยู่ในชุดนี้ได้ ผมเดินไปรอที่โต๊ะกินข้าว ก่อนพี่หน่อยจะเอาข้าวต้มกุ้งตัวโตๆ ยกมาเสิร์ฟให้ แค่ได้สูดกลิ่นหอมกรุ่นของมันก็อร่อยจนลอยไปดาวอังคารแล้ว

ก่อนที่ผมจะลงมือกิน ก็หันไปมองพี่หน่อยที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่ผมกินข้าว พี่หน่อยจะยืนอยู่ไม่ห่าง ยกน้ำดื่มมาให้ จากนั้นก็รอให้ผมกินเสร็จแล้วก็เก็บชาม ผมไม่เคยเห็นพี่หน่อยกินข้าวเลยด้วยซ้ำไป

"พี่หน่อยครับ"

"คะ"

"ปกติแล้ว ผมจะสั่งให้พี่หน่อยทำอะไรก็ได้ใช่ไหมครับ"

"ได้ทุกอย่างค่ะ อยากได้อะไรบอกหน่อยค่ะ"

"กินข้าวเป็นเพื่อนผมหน่อย"

"คะ?"

"กินข้าวด้วยกันนะครับ"

"แต่ปกติแล้วน้องพลีสไม่ชอบทานข้าวพร้อมใครนี่คะ"

"ตอนนี้มันไม่ปกติครับ"

"..."

"ผมไม่อยากกินข้าวคนเดียว"

ตั้งแต่อยู่ในร่างของพลีสมา ทั้งที่บ้านหรือที่โรงเรียน ผมจะต้องกินข้าวคนเดียวตลอดแล้วก็ไม่ชิน วันนี้เลยอยากให้พี่หน่อยกินด้วยกันจึงพูดออกไปแบบนั้น เป็นคำขอร้องพี่หน่อยคงปฏิเสธ แต่พอเป็นคำสั่งพี่หน่อยจึงยอมตามใจผมด้วยการไปตักข้าวต้มมานั่งกินด้วยกัน

ข้าวต้มกุ้งฝีมือพี่หน่อยอร่อยจนตาโตตั้งแต่คำแรก หรืออาจเป็นเพราะผมเพิ่งจะได้รับรู้รสชาติของมันหลังจากที่ไม่ได้กินมานานก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรข้าวต้มชามนั้นก็คือสวรรค์ของผมในตอนนี้ ขณะกำลังตั้งหน้าตั้งตากินอย่างอร่อย ผมเงยหน้าพี่หน่อยที่กำลังมองผมอยู่ เมื่อเงยขึ้นไปสบตา พี่หน่อยก็รีบหลบตาแกล้งทำเป็นตักข้าวใส่ปาก 

"พี่หน่อยมองผมทำไม"

"เปล่าค่ะ"

"เปล่าอะไร เห็นอยู่ว่ามอง"

"คือ..."

"พูดมาเถอะครับ"

"หน่อยแค่รู้สึกว่า น้องพลีสเป็นน้องพลีสที่ดูไม่เหมือนน้องพลีสเลย"

เป็นคำพูดที่ดูกำกวมแต่ผมเข้าใจความหมายที่พี่หน่อยต้องการจะสื่อ เป็นไปอย่างที่ผมเคยคิดว่าพี่หน่อยรู้จัก
พลีสดีกว่าใคร จึงเป็นไปได้ที่เขาจะรู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่พลีส หากลืมเรื่องหัวสมองกระทบกระเทือนจนความจำสับสน พี่หน่อยคงรู้ว่าพลีสเปลี่ยนไปเป็นคนละคนแน่ๆ แต่ด้วยความที่เรื่องราวมันเหลือเชื่อเกินกว่าที่ผมจะบอกกับเขา ผมจึงเลือกที่จะเงียบแทนที่จะอธิบาย ผมมั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องหลุดออกมาจากร่างนี้ได้แล้วเมื่อถึงวันนั้นน้องพลีสคนเดิมของพี่หน่อยก็จะกลับมา

"น้องพลีสรีบทานเถอะค่ะ จะได้ไปอาบน้ำแต่งตัว เดี๋ยวจะสาย"

"เดี๋ยวสาย? นี่ผมต้องไปไหนเหรอครับ อย่าบอกนะว่าต้องไปเรียนพิเศษอีกแล้ว!"

"วันนี้วันอาทิตย์ ไปโบสถ์ค่ะ"

"อ๋อ ครับๆ"

ผมพยักหน้ารับ แม้ไม่รู้เลยว่าจะต้องไปทำอะไรที่โบสถ์ แต่ด้วยความที่เอียนกับการเรียนแล้ว จังหวะนี้ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่เรียนพิเศษอะ

 

พี่หน่อยพาผมมาที่โบสถ์ซึ่งค่อนข้างไกลจากบ้าน ผมนับถือพุทธมาตั้งแต่เกิด พอได้ยินเกี่ยวกับศาสนาคริสต์มาบ้างแต่ก็ไม่เคยรู้ลึกถึงพิธีกรรมอะไรทางศาสนาเลย ผมจึงทำได้เพียงนั่งเฉยๆ ในตอนที่คนอื่นกำลังประกอบพิธี นั่งอยู่ตรงนั้นใจผมก็สงบลงไปด้วยเพราะไม่ได้คิดอะไรเลย

จนกระทั่งเสร็จพิธี พี่หน่อยขอตัวไปคุยกับเพื่อน ส่วนผมตั้งใจจะเดินออกไปรอพี่หน่อยข้างนอก ผมเงยหน้ามองสถาปัตยกรรมของโบสถ์ที่ดูสวยงามอย่างน่าสนใจ หันมองไม้กางเขนอันใหญ่แล้วคิดอะไรเล่นๆ อยู่ในใจ

คล้ายว่าผมกำลังฉีกทุกกฎของการเป็นผี ไม่กลัวพระ ไม่กลัวไม้กางเขน ไม่มีอะไรขับไล่วิญญาณผมได้เลย ไม่รู้ว่าจะต้องดีใจที่แข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หรือจะต้องร้องไห้ดีเพราะหาทางออกจากร่างไม่เจอ 

"เขี้ยวกุด"

ผมหันขวับมองเสียงที่กระซิบเรียกข้างหู ร่างกายหยุดชะงักกะทันหัน พลันหลุดปากเรียกชื่อคนที่เข้ามาทักด้วยความตกใจ

"ตาม"

"ตามอะไร เพื่อนเล่นเหรอ"

"ฮะ?"

"พี่ตามดิ นี่พี่ตาม"

"ครับ...พี่...พี่ตาม" ผมอึกอักที่จะเรียกตามแบบนั้น อายุเท่ากันให้มาเรียกพี่ก็เลยขัดกับความรู้สึกนิดหน่อย เมื่อถูกเรียกว่าพี่แล้ว ตามก็พยักหน้ารับยิ้มๆ 

"ดีมากเขี้ยวกุด"

ไม่รู้ทำไมตามถึงเรียกพลีสแบบนั้น ใจจริงก็อยากถามแต่ความสนใจของผมมันกำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องอื่น ผมยืนมองใบหน้าของตามที่ไม่ได้เห็นชัดๆ มานาน ถ้าตอนนี้ผมเป็นแสง คงโผเข้าไปกอด แต่พลีสคงไม่ทำเช่นนั้น ผมจึงทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากมอง ผ่านไปเกือบสามปีที่ไม่ได้เจอกัน เดาเอาว่าตามคงไม่ดูแลตัวเองเลย รูปร่างดูซูบผอม ใบหน้าก็ดูโทรมลงไปจากแต่ก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตามไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม หยิบอะไรได้ก็สวมเข้าไปแบบไม่คิดมาก วันนี้ตามสวมเสื้อยืดเก่าๆ กับกางเกงวอร์มปักตราโรงเรียน สามปีผ่านไปก็ยังใส่กางเกงตัวนี้อยู่ ตามก็ยังคงเป็นตาม...เป็นคนที่ผมรัก

"นี่จะกลับแล้วเหรอ"

เสียงของตามดึงผมออกจากความคิด แล้วจึงตอบกลับไป

"ยังครับ แล้วพี่...พี่มาทำอะไรที่นี่เหรอ" คำถามโคตรโง่ ตามเองก็คงรู้สึกอย่างนั้นจึงหันมาหัวเราะเบาๆ

"ถามทำไมเนี่ย ก็รู้อยู่แล้วว่ามาทำไม"

ตามเองก็นับถือคริสต์นี่นา

"เออ อาทิตย์ที่แล้วไม่เห็นมา เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่ค่อยสบายน่ะครับ"

หล่นจากตึกห้าชั้นหัวแตกเย็บหกเข็ม เรียกว่าไม่ค่อยสบายได้แหละเนอะ

"พี่ตาม!" เสียงของคนที่ปรากฏตัวขึ้นเรียกตามจากหน้าโบสถ์ ได้ยินเช่นนั้นตามจึงหันมาบอกลาผม แล้ววิ่งไปหาเด็กคนนั้น ผมยังคงยืนอยู่กับที่ มองดูตามที่กำลังยืนพูดคุยอยู่ตรงนั้น

"น้องพลีส"

เสียงเรียกของพี่หน่อยดึงความสนใจผมให้หันไปมอง

"เป็นไงคะ สบายใจขึ้นไหม"

"ครับ"

"งั้นเรากลับกันเลยนะคะ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนก้าวเท้าเดินออกไปพร้อมพี่หน่อย ขณะเดียวกันพี่หน่อยก็หันมาเรียกผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"น้องพลีสคะ"

"ครับ"

"หน่อยขอพูดถึงเรื่องวันนั้นได้ไหมคะ"

"วันนั้น?"

"วันที่น้องพลีส..."

ผมพยักหน้ารับในตอนที่เพิ่งจะเข้าใจว่าพี่หน่อยคงอยากพูดถึงวันที่พลีสตกลงมาจากตึกนั่น

"ถ้ามันเป็นอุบัติเหตุ หน่อยอยากบอกให้น้องพลีสระวังมากกว่านี้ แต่ถ้าน้องพลีสตั้งใจ..."

"..."

"หน่อยอยากขอร้อง อย่าทำแบบนั้นอีกนะคะ"

"..."

"สัญญาได้ไหมคะ คนดีของหน่อย"

มันควรจะเป็นพลีส ที่ได้รับรู้ความรู้สึกของพี่หน่อยในตอนนี้ ความรักและเป็นห่วงมากล้นจนผมเองยังรู้สึกได้ว่าพลีสสำคัญกับพี่หน่อยขนาดไหน ผมไม่อาจสัญญาด้วยคำพูดของตัวเอง ได้แต่พยักหน้ารับเบาๆ ในตอนที่พี่หน่อยกำลังเอาแต่โทษตัวเอง

"หน่อยผิดเองที่ดูแลน้องพลีสไม่ดี"

"..."

"เป็นเพราะหน่อยเอง"

"..."

"ถ้าวันนั้นหน่อยอยู่ด้วย เรื่องมันก็คงไม่เป็นแบบนี้"

 

"ถ้าวันนั้นเราอยู่ด้วย เธอก็คงไม่ต้องจากไปแบบนี้"

 

ผมหลับตาแน่นในตอนที่คำพูดของพี่หน่อยคล้ายกันกับคำพูดของตามที่ผมเคยได้ยินในวันที่ผมกลับไปหา อยู่ๆ มันก็ผุดขึ้นมาในหัวพร้อมกับเรื่องราวของตามอีกเป็นร้อยเป็นพันความคิด   
ผมกลับไปหาตามแค่ครั้งเดียวหลังจากที่ผมตาย ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องรับรู้ว่าตัวเองได้ตายจากเขาไปแล้ว แค่คิดว่าไม่มีวันที่จะได้พบกันอีกแล้ว ผมก็ร้องไห้ไม่หยุด ถ้าต้องไปเจอตามแต่ทำไม่ได้แม้แต่จะแตะต้องหรือสัมผัส มันก็เจ็บจนแทบจะขาดใจ และไม่รู้ว่าในวันนี้...ตามจะลืมผมไปหรือยังนะ


"เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ"

ผมพยักหน้ารับพี่หน่อยแล้วก้าวเท้าเดินตาม ขณะในใจกำลังคิดถึงเรื่องอื่นอย่างร้อนรน จนกระทั่งทนไม่ได้

"พี่หน่อยครับ"

"คะ?"

"พี่รอผมแป๊บหนึ่งนะครับ เดี๋ยวผมมา"

"น้องพลีสจะไปไหน อ้าว..."

ผมไม่รอให้พี่หน่อยพูดจบแล้วรีบก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้นก่อน กวาดสายตามองหาตามที่ไม่รู้ว่าเดินไปไหนแล้ว ผมกำลังคิดเห็นแก่ตัว ในตอนนี้ผมไม่ใช่แสงแต่เป็นพลีส ผมมีตัวตน ผมแตะต้องตามได้ ทำทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ มันจะผิดมากไหม หากผมจะขอใช้ร่างของพลีสเพื่อให้ผมได้ใกล้ชิดกับตาม แค่วันเดียวก็ยังดี แค่วันเดียวก็ได้...ความคิดตีกันในหัว กระทั่งความโหยหาเอาชนะทุกข้อโต้แย้ง ไม่อาจควบคุมความคิดที่เกินสติจะฉุดรั้ง...ผมยอมเห็นแก่ตัว

"เธอ"

"..."

"ตาม"

"..."

"พี่ตาม!"

เสียงดังของผมเรียกตามให้หยุดเดิน ขณะที่ผมรีบวิ่งเข้าไปหา

"มีไร เรียกดังเชียว"

"อาทิตย์หน้าพี่จะมาที่นี่ไหมครับ"

"ทำไมอะ"

"พี่จะมาไหมครับ"

"มีอะไรเปล่า"

"ผมถามว่าพี่จะมาไหม!"

"แล้วเราจะทำไม"

"ผมอยากเจอพี่!"

"ฮะ?"

"ผมอยากคุยกับพี่ อยากคุยกับพี่อีกสักครั้ง อีกแค่ประโยคเดียวก็ยังดี"

แม้ตามจะแสดงออกด้วยใบหน้าที่ดูงุนงงแต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม ฝ่ามือของตามวางลงบนหัว แม้ร่างกายเป็นของคนอื่น แต่ความรู้สึกเป็นของผม ผมจึงรับรู้ถึงสัมผัสนั่นได้ ตามลูบหัวผมเบาๆ แล้วตอบคำถามที่ผมรออยู่ 

 

"พี่จะมาครับ"


 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Carrot_t ที่ 02-05-2019 01:40:53
เหมือนจะเห็นดราม่าลอยอยู่ไกลๆ :m15:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 02-05-2019 02:18:52
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 02-05-2019 02:19:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 02-05-2019 06:43:01
น่าสงสาร บรรยากาศของทุกคนไม่ปกติเลย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 02-05-2019 08:51:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 3 -- 2/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-05-2019 19:39:29
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4 -- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 07-05-2019 00:01:21
ตอนที่ 4
ถ้าน้ำตาจะไหล ก็ต้องปล่อยให้มันไหลออกมา

           

ตอนที่ยังมีชีวิตผมเป็นนักศึกษาคณะมนุษย์ศาสตร์ เอกฝรั่งเศส หลังจากที่เข้ามหาวิทยาลัย ผมจึงไม่ได้เรียนวิชาคำนวณอย่างพวกคณิตฯ ฟิสิกส์ หรือวิชาในหมวดวิทยาศาสตร์เลย เพราะฉะนั้นการที่ผมต้องมานั่งเรียนในวิชาที่ได้กล่าวมาแบบตลอดทั้งวัน จึงต้องใช้พลังงานชีวิตสูงมาก หลังจากจบคาบสุดท้ายร่างกายก็หมดเรี่ยวแรง

ผมลากเท้าตัวเองเดินตามเพื่อนร่วมชั้นออกมานอกห้องเรียนหลังจากที่ครูปล่อยกลับบ้าน ทั้งบทเรียนที่ไม่เข้าใจสักนิด ทั้งผู้คนมากมายที่เดินวนไปวนมา เสียงดังจอแจของเด็กนักเรียน รวมถึงบาดแผลที่หัวที่อยู่ๆ ก็เจ็บแปลบขึ้นมาซะเฉยๆ ทั้งหมดนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเหนื่อยล้าจนอยากกลับบ้านเร็วๆ ใจลอยนึกไปถึงที่นอนนุ่มๆ ในห้องแอร์เย็นๆ ขณะในหัวกำลังคิดถึงเรื่องอื่น ผมจึงไม่ทันได้มองไอ้ปั้นที่ยืนอยู่ข้างหน้า แล้วแกล้งยกขาตัวเองขึ้นขัดขาผมตอนที่เดินผ่าน ด้วยเหตุนั้นผมจึงล้มหน้าทิ่ม ล้มคนเดียวไม่ว่า ดันพุ่งตัวไปโดนเด็กผู้หญิงข้างหน้าจนล้มคว่ำไปพร้อมกัน

"เฮ้ย!" ผมร้องลั่นพลันเบิกตากว้างตอนที่เห็นสภาพของผู้หญิงเคราะห์ร้ายที่ถูกผมล้มเข้าใส่อย่างไม่ได้ตั้งใจเป็นเหตุให้กระโปรงนักเรียนของเธอเปิดขึ้นอย่างน่าอาย

"ไอ้พลีส! ไอ้บ้า!" 

"เพียะ!"

หน้าผมหันไปอีกทางเพราะแรงตบจากฝ่ามือของผู้หญิงคนนั้น

"ขอ..." เธอวิ่งออกไปจากตรงนี้ก่อนที่คำขอโทษของผมจะพูดจบด้วยซ้ำไป ผมหันขวับมองเสียงหัวเราะของไอ้ตัวต้นเหตุที่เห็นเป็นเรื่องสนุก

"ไอ้พลีส ไอ้หื่น เปิดกระโปรงคนอื่นหน้าไม่อาย"

"..."

"มองอะไรเล่า ไปดิ!" ไอ้ปั้นตะคอกเสียงใส่ผม ยกมือตบหัวผมทีหนึ่งแล้วเดินออกไปอย่างไม่รู้สำนึกผิด สองมือผมกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ จากที่เคยคิดว่าผมจะไม่ใช้ร่างของพลีสทำอะไรที่ไม่เหมาะสม แต่ความอดทนของผมมีไม่มากพอ ก้าวเท้าเร็วๆ เดินตามไอ้ปั้นที่เดินนำออกไปก่อน ใช้จังหวะที่มันไม่ทันได้สนใจ ง้างมือขึ้นสูงแล้วฟาดเข้าไปที่ท้ายทอยมันเต็มแรง

"ป้าบ!"


"โอ๊ย!" คนถูกตบร้องลั่นแล้วหันขวับมาหาผม

"ไอ้พลีส! มึงตบกูทำไมเนี่ย!"

"กูตบมึง มึงเจ็บไหม"

"เจ็บสิวะ!"

"แล้วเวลามึงตบกู คิดว่ากูไม่เจ็บหรือไง ไอ้บ้า!"

"มึงเป็นเหี้ยอะไรเนี่ย ผีเข้าเหรอ!"

"เออ! ผีเข้า! เข้าแล้วออกไม่ได้ด้วยโว้ย!" เสียงดังของผมบวกกับการกระทำเหนือความคาดหมายของผมทำให้นักเรียนที่อยู่ตรงนี้หันมามองเป็นตาเดียว ในตอนที่ไอ้ปั้นมันกำลังงุนงง ผมรีบพาตัวเองเดินออกมาจากตรงนั้น ทำตัวเท่ๆ เดินออกมานิ่งๆ แต่ความจริงต้องการหนี แม้ว่าใจจะกล้าแต่ว่าร่างบอบบางของพลีสคงสู้อะไรกับไอ้ปั้นไม่ได้แน่ๆ ก่อนที่มันจะตั้งสติแล้วสวนผมกลับสักที ก็คงต้องหนีไปก่อน

"ครืด...ครืด..."

ผมหันไปมองไอ้ปั้นเพื่อแน่ใจว่ามันไม่ได้ตามมา ก่อนจะละความสนใจจากตรงนั้นมารับโทรศัพท์ที่กำลังสั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกง

"ครับพี่หน่อย"

(น้องพลีสคะ หน่อยรถเสียอยู่กลางทาง คงจะไปรับน้องพลีสช้า รอหน่อยอยู่ที่โรงเรียน อย่าไปไหนนะคะ)

"ผมกลับเองก็ได้ครับ"

(เอาอย่างนั้นเหรอคะ)

"ครับ ผมกลับเองได้"

(ถ้าอย่างนั้น ถึงบ้านแล้วโทรหาหน่อยนะคะ)

"ครับผม"

ผมตอบรับพี่หน่อย ก่อนจะพาตัวเองออกไปที่หน้าโรงเรียน ในระหว่างที่เดินผ่านกลุ่มนักเรียน สองหูก็ได้ยินบทสนทนาของเด็กๆ เหล่านั้นไปด้วย ผมจำได้ว่าผมผ่านช่วงเวลามัธยมไปอย่างมีความสุขที่สุด ในหัวพลันคิดไปถึงเพื่อนๆ ร่วมชั้น...พวกมันจะเป็นยังไงกันบ้างนะ แล้วถ้าผมยังมีชีวิตอยู่...ตอนนี้จะกำลังทำอะไรนะ

ตลอดเวลาทั้งชีวิต ไม่เคยมีวันไหนที่ผมไม่มีความสุขเลย ผมมีครอบครัว มีเพื่อน และมีคนรักที่ดี ทั้งๆ ที่มันเป็นชีวิตที่ดีและมีความสุขขนาดนั้น แต่กลับเป็นชีวิตที่แสนสั้นจนน่าใจหาย...ทำไมโชคชะตาถึงให้เวลาผมน้อยจังเลย

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ อากาศวันนี้ก็ดูครึ้มๆ บ่งบอกชัดว่าเป็นฤดูฝน ผมหย่อนตัวลงนั่งที่ป้ายรถเมล์ มองสิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างเลื่อนลอย 

เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้นะ...

ตายไปแล้วด้วยซ้ำแต่กลับไปเกิดใหม่ไม่ได้ หนักกว่านั้นคือวิญญาณเข้ามาติดในร่างของคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลใดที่จะอธิบายเรื่องราวบ้าๆ ที่เกิดขึ้นกับชีวิตผมได้เลย

เฮ้อ...

นั่งเหม่ออยู่ที่ป้ายรถเมล์ครู่หนึ่ง ก่อนตั้งใจจะกลับบ้าน ทางกลับบ้านของพลีสกับบ้านผมเป็นทางเดียวกัน ผมจึงรู้ดีว่าจะต้องขึ้นรถเมล์สายไหน แต่ในขณะที่กำลังรอรถเมล์อยู่ฝนก็ลงเม็ดลงมาซะเฉยๆ จากที่ตั้งใจจะกลับรถเมล์จึงเปลี่ยนใจไปเรียกแท็กซี่แทน 

ฝนตกปรอยๆ ตลอดทางที่นั่งรถกลับบ้าน ผมเหม่อลอยมองเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบกระจกแล้วไหลลงไปเป็นทาง ไม่ทันได้สนใจถนนหนทางรอบข้างกระทั่งแท็กซี่พาผมมาถึงทางแยก จึงพลันคิดขึ้นมาได้ว่ามีที่ที่หนึ่งที่อยากไปจึงรีบเอ่ยปากบอกแท็กซี่

"พี่ครับ! เลี้ยวซ้ายข้างหน้าเลยครับ!"

ผมลงจากแท็กซี่ตอนที่ขับมาถึง ปลายทางไม่ใช่บ้านพลีสแต่เป็นบ้านของผม ด้วยความคิดถึงจึงตัดสินใจมาที่นี่ และเพราะผมอยู่ในร่างของพลีส คนที่บ้านจะไม่มีทางรู้ว่าผมเป็นใคร

ผมยืนรวบรวมสติอยู่ที่หน้าร้านกาแฟของแม่ ก่อนจะผลักประตูเข้าไป เสียงกริ่งที่แขวนอยู่ตรงประตูดังขึ้น เจ้าของร้านที่ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ก็หันมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง

"เชิญเลยค่ะ"

ผมนิ่งมองแม่ ขณะที่อีกฝ่ายก็ยิ้มรับอยู่อย่างนั้น

แสงเองนะแม่...

"เชิญนั่งได้เลยค่ะ" คงเห็นว่าผมยืนอยู่นานแม่จึงบอกเช่นนั้น ในร้านที่มีลูกค้าแค่สองโต๊ะ ร้านจึงว่างจนเลือกนั่งได้ตามใจ ผมเลือกโต๊ะตัวที่มองเห็นแม่ได้ชัดที่สุดเมื่อแม่ยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ แม่เป็นคนเอาเมนูมาให้ผมด้วยตัวเอง ผมบังคับมือที่กำลังสั่นเทาขึ้นรับเมนูนั้นมา

"เลือกดูก่อนได้เลยนะคะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วเปิดเมนูนั้นดูผ่านๆ หันสบตากับแม่ที่เดินกลับไปยังเคาน์เตอร์ เมื่อเห็นว่าผมมองอยู่นานแม่คงคิดว่าผมพร้อมที่จะสั่งจึงทำท่าจะเดินมารับออร์เดอร์ แต่ผมรีบบอกออกไปเลย

"ขอโกโก้ปั่น..."

"ใส่โอริโอ้ไหมคะ"

"ครับ โกโก้ปั่นใส่โอริโอ้ครับ"

เมนูเด็ดของร้านแม่เลย ผมจำรสชาติมันได้ดี ถ้าได้กินอีกทีคงมีร้องไห้กันบ้าง ผมเผลอมองแม่ที่กำลังจัดการเมนูนั้นให้ผมอยู่ แม่ดูมีความสุขทุกครั้ง รอยยิ้มมักปรากฏอยู่บนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ยิ้มของแม่...สวยที่สุดในโลกสำหรับผมเสมอ

ขณะที่ผมละสายตาออกจากแม่ไม่ได้ สายป่านก็เดินลงมาจากบันไดแล้วเดินเข้าไปหาแม่ พูดคุยพึมพำได้ยินไม่ชัดนัก ขณะที่แม่ทำโกโก้โอริโอ้ปั่นให้ผมแล้ว จังหวะที่จะหมุนตัวไปหยิบแก้วก็ชนโครมเข้ากับถ้วยสำหรับใส่ไอติม

"โครม!"

"แม่!"

จอมซุ่มซ่ามของพ่อเขาล่ะ โชคดีที่มันเป็นพลาสติกจึงไม่แตก สายป่านที่ตะโกนเรียกแม่ได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วก้มลงเก็บถ้วยพวกนั้นก่อนเป็นคนอาสาเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ผมด้วยตัวเอง

"ได้แล้วค่ะ"

"ขอบคุณครับ" ผมตอบรับ ขณะที่สายป่านกำลังจะวางแก้วลงตรงหน้าแต่กลับหยุดชะงัก หัวคิ้วขมวดตอนผมเงยหน้าขึ้นมอง

"พี่..."

หัวใจผมกระตุกวูบเมื่อถูกเรียกเช่นนั้น

"พี่ที่ทักหนูว่าอ้วนในโรงอาหารใช่ป่ะ"

"เอ่อ...ครับ"

"วันนั้นหนูตกใจมากเลยนะพี่"

"ขอโทษครับ ขอโทษที่เรียกว่าอ้วนด้วย"

"โอ๊ย ไม่โกรธหรอกค่ะ ก็อ้วนจริงๆ แต่ตกใจมากกว่า เพราะคนที่เรียกหนูว่าอ้วนมีคนเดียวในโลก"

ผมเอง...

"พี่ชายหนูน่ะค่ะ"

ผมได้แต่พยักหน้ารับยิ้มๆ ก่อนที่สายป่านจะเดินกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์ มองแม่กับสายป่านยืนคุยกันขณะอ้าปากดูดโกโก้โอริโอ้ปั่นฝีมือแม่

อยากกอดแม่กับน้องจัง...คิดถึงมากๆ เลย

"หนู"

"..."

"หนูจ้ะ"

"ครับ?" ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่ยกมือจับไหล่ผมอยู่

"เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ร้องไห้ทำไม"

ขณะที่สติกำลังเลื่อนลอยไปไกล ผมไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ยกมือปาดน้ำตาแล้วใช้ศาสตร์สาขาการแสดงแกล้งพูดแก้ตัวไปส่งๆ

"โกโก้อร่อยมากเลยครับ"

"..."

"อร่อยจนน้ำตาไหลเลย"

"..."

"ไม่เคยกินอะไรอร่อยเท่านี้มาก่อนเลยครับ"

แม่กลับหัวเราะออกมาแล้วตบไหล่ผมเบาๆ สองสามที

"ถ้าอร่อย ก็มาทานบ่อยๆ นะคะ"

"ครับ"

ผมตอบรับ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าโอกาสหน้าจะได้มาอีกสักครั้งไหม แม่ละไปจากผมตอนที่ลูกค้าอีกโต๊ะเรียกเก็บเงิน ผมยังคงมองตามแม่พลางคิดอะไรอยู่ในหัว ในโลกที่ไม่มีผม ชีวิตของพ่อกับแม่และน้องก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปอย่างปกติเพราะเรารู้ดีว่าเราทำอะไรไม่ได้ แม่เอาชีวิตผมกลับมาไม่ได้ ผมพาตัวเองกลับไปหาแม่ไม่ได้ ทำอะไรมากไปกว่านั้นไม่ได้นอกจากคิดถึงกัน แม้ว่าบางครั้ง...ความคิดถึงมันจะทำให้ผมเจ็บปวดจนแทบขาดใจก็ตาม 

 

ฝนหยุดตกแล้วในตอนที่ผมเดินออกมาจากร้านแม่แล้วตั้งใจจะกลับไปบ้านพลีส ด้วยความที่มันไม่ไกลมากจึงคิดว่าน่าจะเดินไหว แต่ร่างกายไม่คิดอย่างนั้น เหนื่อยหอบจนต้องมองหาที่นั่งพัก ผมไม่เคยถามพี่หน่อยว่าพลีสมีโรคประจำตัวอะไรไหม ร่างกายถึงเปราะบางง่ายไม่เป็นดั่งใจสักอย่าง ผมยกมือทาบอกเพื่อปลอบหัวใจให้เต้นช้าลงหน่อย ขณะนั้นพลันมองไปเห็นคนที่ปรากฏตัวขึ้นในสายตา หัวใจผมก็เดือดพล่านหนักกว่าเก่า

เธอ...

อีกฝ่ายหันมาเห็นผมเข้าพอดี ยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาหา

"ไง เขี้ยวกุด"

เขี้ยวกุดคืออะไรวะเธอ...

"เลิกเรียนแล้วยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ"

"ยัง...ครับ" ปกติแล้วผมจะไม่ใช้คำว่ามึงกูกับตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่พูดจาหยาบคายใส่กันเลย การที่ผมต้องกลายมาเป็นเด็กที่อ่อนกว่าเขาหลายปี ต้องเรียกพี่แถมยังต้องพูดเพราะมันก็รู้สึกไม่ชินแฮะ

"แล้วพี่ตามมาทำอะไรแถวนี้เหรอ"

"หาอะไรกิน"

ผมพยักหน้ารับ ผมคิดว่าพลีสคงไม่ได้สนิทกับตามมากมายนัก เพราะทุกครั้งที่เจอก็เพียงแค่ทักทาย มีบทสนทนาระหว่างกันไม่กี่คำตามมารยาท อีกฝ่ายก็ต้องขอตัวออกไปก่อน ครั้งนี้ก็เช่นกัน

"พี่ไปก่อนนะ"

ไม่ให้ไป...

ผมคิดในใจแต่สองมือของตัวเองกลับยกขึ้นดึงมือของตามเอาไว้ซะอย่างนั้น อีกคนหันมองพลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วถาม

"มีอะไรเปล่า"

"ผม...ผมหิว ขอไปกินข้าวด้วยได้ไหม"

"ฮึ?"

"นะครับ"

"ได้ดิ"

ผมลุกพรวดขึ้นอย่างดีใจแล้วเดินไปกับตาม เราเดินมาหยุดอยู่ที่ริมถนนในตอนที่กำลังจะข้ามไปอีกฝั่ง ตามหันมองรถแล้วรอจังหวะข้าม เมื่อได้โอกาสก็ยื่นมือมาจับมือผมข้ามไปด้วย สองเท้าของผมจึงเดินตามเขาไปอย่างอัตโนมัติ สัมผัสอุ่นจากฝ่ามือที่จับกันอยู่พาให้ผมคิดถึงเรื่องราวของเรา

ถ้าวันนั้นเราไม่ตายจากเธอไป...วันนี้เราจะยังได้จับมือกันอยู่แบบนี้ใช่ไหมตาม...

"เขี้ยวกุดอยากกินอะไร"

"ครับ?"

"อยากกินอะไร"

"หมูทอดกับข้าวไข่เจียว"

ตามหลุดหัวเราะตอนที่ผมบอกเมนูนั้นไป

"หัวเราะอะไร"

"เป็นลูกคุณหนู กินข้าวไข่เจียวเป็นด้วยเหรอ"

"ไม่เห็นจะเกี่ยว ใครๆ ก็กินได้ทั้งนั้นแหละ"

จะว่าไปตั้งแต่เป็นพลีสมาก็ยังไม่เคยได้กินไข่เจียวจริงๆ นั่นแหละ พี่หน่อยให้กินแต่ของดีๆ แต่บางทีชีวิตผมก็ไม่ต้องการอะไรมากนอกจากข้าวไข่เจียวร้อนๆ กับซอสมะเขือเทศ อยากกินชะมัด

"หมูทอดไม่รู้จะพาไปกินที่ไหน แต่ข้าวไข่เจียวมีร้านหนึ่งเด็ด"

"ไข่เจียวหน้าธนาคาร"

"เฮ้ย รู้ได้ไง"

"ก็ร้านประจำของเราไง!"

ตามขมวดคิ้วนิดๆ ตอนได้ยินผมพูดเช่นนั้น ผมจึงรีบหาข้อแก้ตัวแบบมั่วสุดๆ

"ร้านประจำของพี่หน่อยกับผมครับ"

"อ๋อ"

คลายความสงสัยของตามผมก็เดินนำเขาเพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านที่ว่า แต่ถูกตามเรียกเอาไว้ก่อน

"ไปไหนพลีส"

"ก็ไปร้านข้าวไข่เจียว"

"ทางนี้" ตามชี้ไปอีกทาง แต่ผมเถียง

"ทางนี้ไม่ใช่เหรอ มันอยู่หน้าธนาคารไง"

"เขาย้ายไปเป็นปีแล้ว ไปอยู่ไหนมาเนี่ย ไหนว่าร้านประจำ มานี่!" ผมถูกตามดึงมือให้เดินกลับไปอีกทาง ตอบคำถามของตามอยู่ในใจว่าผมไปอยู่ที่ไหนมา ไปตายไงตาม ตายแล้วเลยไม่ได้ไปกินนาน 

ตอนที่เรียนมหาลัย ผมกับตามแทบจะฝากชีวิตเอาไว้ที่ร้านข้าวไข่เจียว มันง่ายและสะดวกแถมราคาถูก เด็กจนๆ อย่างผมต้องประหยัด ขณะที่ลูกคนรวยอย่างตามก็ถูกผมล้างสมองให้มาคลั่งไคล้ไข่เจียวทรงเครื่องด้วยกัน ผมจำเมนูไข่เจียวที่ตามชอบสั่งได้ดี ความเคยชินสั่งให้ผมพูดออกไปอย่างลืมตัว

"ใส่ปูอัดกับไส้กรอกใช่ไหม"

"รู้ได้ยังไงว่าพี่ชอบ"

คิดไม่ทัน...

แถไม่ทัน...

เอาไงดี...

"พลีสรู้ได้ยังไง"

"ผมก็ชอบเหมือนกัน จะสั่งแบบนี้แหละ พี่ตามอยากสั่งอะไรก็สั่งไปดิ" ผมร่ายยาว หยิบกระดาษจดเมนูแผ่นใหม่ให้ตามแล้วทำเป็นลืมเรื่องเมื่อครู่ไปดื้อๆ

เรานั่งรอกันอยู่ครู่หนึ่ง ข้าวไข่เจียวทรงเครื่องที่สั่งเหมือนกันก็ถูกยกมาเสิร์ฟ กลิ่นหอมของมันทำให้ผมยิ้มหน้าบาน หันมองขวดซอสมะเขือเทศที่วางอยู่บนโต๊ะ เพราะรู้ดีว่าตามไม่กินซอสมะเขือเทศจึงเป็นคนลุกไปหยิบซอสพริกที่โต๊ะข้างๆ มาส่งให้ตาม...ด้วยความลืมตัว อีกแล้ว

"รู้ด้วยว่าพี่ไม่กินซอสมะเขือเทศ"

"เปล่า ไม่รู้"

"แล้วหยิบซอสพริกให้พี่ทำไม"

"เปล่าหยิบให้พี่ กินเองต่างหาก"

"ส่งให้พี่อยู่ชัดๆ"

"ไม่ได้ส่ง ใครบอกส่ง ไม่ได้ส่งซะหน่อย เอามากินเองต่างหาก" ผมแก้ตัวข้างๆ คูๆ รู้ว่าไม่เนียนแต่มันไม่มีทางเลือกแล้ว คว้าขวดซอสพริกแล้วเทใส่ไข่เจียว โธ่...ทั้งๆ ที่ชอบกินซอสมะเขือเทศแท้ๆ ผมวางขวดซอสหลังจากที่เทใส่จนพอใจแล้ว แต่ตามยังขมวดคิ้วมองหน้าผมอยู่

"มองทำไม"

"แปลกๆ นะเราเนี่ย เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เป็นอะไรครับ"

"ไม่รู้ดิ มันดูแปลกๆ ไปไง เมื่อก่อนแทบจะไม่พูดจนพี่คิดว่าเป็นใบ้ วันนี้พูดเก่งจัง แถมยังตามพี่มากินข้าวด้วย ปกติเหรอ ถามจริง?"

"ก็..."

"ผีเข้าเหรอ"

"เปล่า!"

"เบาๆ" ตามยกมือปิดปากผมที่ปฏิเสธเสียงดังไปหน่อย ผมจับมือตามออกจากปากแล้วปฏิเสธอีกครั้ง

"เปล่า"

"ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า"

สองมือผมกุมช้อนกับส้อมแล้วเขี่ยข้าวในจานไปๆ มาๆ ก่อนที่จะติดสินใจอธิบายให้ตามฟัง จริงบ้าง เท็จบ้าง หวังว่าเขาจะเข้าใจ

"คือผมเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย"

"เฮ้ย เป็นอะไรมากเปล่า"

"ก็บอกว่านิดหน่อยไง"

"อ๋อ เออ ต่อสิ"

"หัวผมถูกกระแทกแรงมาก กระทบกระเทือนจนทำให้ความทรงจำของผมสับสน ผมก็เลยเป็นแบบนี้ ดูไม่เป็นตัวเอง"

"..."

"แต่อีกไม่นานก็จะหาย แล้วถ้าผมหายพลีสคนเดิมก็จะกลับมา"

"..."

"เดี๋ยวพลีสคนเดิมก็กลับมา...เขาจะกลับมาตอนที่ผมหายไปครับ"

"พูดไรอะ งง"

"มันน่างงตรงไหนไม่ทราบ!"

"ไม่รู้ดิ กำกวม พูดเหมือนตัวเองไม่ใช่พลีส"

"เอางี้ คิดว่าผมเป็นพลีสอีกเวอร์ชั่นหนึ่งก็แล้วกันครับ"

"มีหลายเวอร์ชั่นไปอีก"

"เออน่า กินข้าวเถอะ"

ตามพยักหน้ารับแล้วตักข้าวไข่เจียวใส่ปาก ตามเป็นผู้ชายหน้าตาแมนๆ ที่น่ารักเวลากินข้าว ผมชอบเวลาตามยัดอาหารเข้าไปในกระพุ้งแก้มแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ เหมือนกระต่าย อดยิ้มออกมาไม่ได้   

เพราะไม่เคยไปหาตามเลยหลังจากที่ตาย ก็เลยไม่รู้ว่าชีวิตของตามเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหน ทำงานอะไร มีแฟนใหม่หรือยัง เพราะตอนนี้ผมกำลังเป็นพลีส มีโอกาสได้คุยกับเขาก็เลยลองถาม

"พี่ตาม"

"ฮึ?"

"พี่ตามทำงานอะไร"

"ทำพาร์ทไทม์อยู่สองสามที่"

"พาร์ทไทม์?"

"อือ"

"พี่จบวิศวะมาไม่ใช่เหรอ"

"รู้อีกและ รู้ได้ไงเนี่ย" 

"ก็..พี่ต่อ...พี่ต่อเคยพูดให้ฟัง" โกหกแทบจะทุกห้านาที แบบนี้นรกคงรอผมอยู่แน่ๆ เลย

"พี่ต่อเนี่ยนะ"

"อื้อ พูดให้ฟังตอนไปทำฟันกับพี่ต่อไง"

"พี่ต่อขี้นินทาว่ะ "

"ไม่ได้นินทาซะหน่อย แค่พูดถึงเฉยๆ แล้วทำไมไม่ไปหางานทำแบบจริงๆ จังๆ ล่ะครับ"

"ขี้เกียจ เกาะพี่ต่อกินก็สบายดีอยู่แล้ว"

"เธอนี่มันน่าตีจริงๆ" ผมส่ายหัวยิ้มๆ ขณะที่ตามยั้งมือที่กำลังจะตักข้าวใส่ปากแล้วมองหน้าผม

"มีอะไรครับ"

"เมื่อกี้พลีสเรียกพี่ว่า...เธอ"

"ไม่ใช่ซะหน่อย ได้ยินผิดแล้ว หูไม่ค่อยดีนะพี่เนี่ย"

ตามพยักหน้ารับหน่อยๆ ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ ผมจึงปล่อยผ่านแล้วเตือนสติตัวเองว่าอย่าหลุดบ่อย ไม่งั้นคงลำบากหาเรื่องมาแก้ตัวไม่ทันแน่ๆ รีบเปลี่ยนเรื่องก่อนดีกว่า

"แล้วทำไมพี่ตามถึงเรียกผมว่าเขี้ยวกุดเหรอ"

"ก็เมื่อก่อนเรามีเขี้ยวสองข้างไง ตอนนี้พี่ต่อมันดึงเข้าไปแล้วใช่ไหม ไหนยิ้มสิ"

ผมขยับปากยิ้มตามคำสั่ง

"เออ เนี่ย ไม่มีเขี้ยวแล้ว เขี้ยวกุดไง"

ผมพยักหน้ารับหลังจากเข้าใจสักทีว่าทำไมถึงถูกเรียกแบบนั้น แล้วก็รู้ถึงสาเหตุที่ทำให้พลีสต้องติดไอ้เหล็กจัดฟันอันสุดแทนทรมานนี้เอาไว้ในปากเพราะอยากให้เขี้ยวหายไปนี่เอง

ผมพูดคุยกับตามในระหว่างที่นั่งกินข้าวไข่เจียวจนหมดจาน เวลาที่อยู่ด้วยกันรวดเร็วจนรู้ตัวอีกทีก็ฟ้ามืดไปแล้วเรียบร้อย ตามอาสาเดินไปส่งผมที่บ้าน ในระหว่างนั้นก็หาเรื่องมาคุยกันต่อ เป็นผมที่เอาแต่ถามนั่นถามนี่เพราะอยากรู้ว่าชีวิตของตามเป็นยังไงบ้าง แต่เรื่องเดียวที่ไม่กล้าถาม...ไม่รู้ว่าตามลืมผมไปหรือยัง

"พลีส รอพี่แป๊บ"

ผมพยักหน้ารับตอนที่ตามบอกให้หยุดยืนรอ อีกคนเดินไปที่ร้านขายดอกไม้ครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมดอกกุหลาบแดงกำหนึ่ง ผมมองดอกไม้นั่นสลับกับมองหน้าตาม แล้วเอ่ยปากถาม

"ซื้อให้ใครอะ"

"ยุ่ง"

"เอ้า!"

ตามยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินนำผมไป ยังอดไม่ได้ที่จะแซวต่อ

"ให้แฟนเหรอ"

"ฮึ?"

"ซื้อดอกไม้ให้แฟนเหรอ"

"อือ"

"..."

"ให้แฟน"

ผมยิ้มรับในคำตอบนั้น ทำใจเอาไว้แล้วว่าวันหนึ่งตามก็จะต้องมีคนอื่นเข้ามาเป็นคนรักแทนที่ผม ไม่ใช่ว่าผมไม่รักตามแล้ว แต่ผมเข้าใจ แม้ว่าวันหนึ่งตามจะค่อยๆ ลืมเรื่องราวของเราไปช้าๆ ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ผมก็ไม่เป็นอะไร ตามยังต้องใช้ชีวิตต่อไปอีกนาน ชีวิตตามยังต้องดำเนินไปข้างหน้า ดีกว่าจมปลักอยู่กับความรักที่ไม่มีตัวตนแล้วอย่างผม และหวังว่าเขาคนนั้นจะอยู่กับตามได้นานเท่าชีวิต ส่วนเรากับเธอ...

 

เอาไว้ชาติหน้า ค่อยมาแก้ตัวกันใหม่นะ

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-05-2019 01:34:38
อยากอ่านอีก​
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 07-05-2019 02:09:08
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 07-05-2019 04:11:31
 :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: TheDoungJan ที่ 07-05-2019 16:27:15
เจ็บแทนแสง อยากให้อัพทุกๆวันเลยค่า55555 :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 07-05-2019 16:45:48
หวังแค่ว่า แฟนจอวตามจะหมายถึงแสง  :sad4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-05-2019 20:46:41
ได้เจอกันแล้วต้องทำเหมือนไม่รู้จักกัน มันทรมานจัง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: lovenine ที่ 08-05-2019 18:03:41
เศร้า จาง ^^
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 4-- 7/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 09-05-2019 00:11:37
มาตาอ่านแล้วค้าบบบบ ยุ่งเหลือเกินช่วงนี้
ฮือออออ อยากรู้แล้วจะเป็นไงต่อ จะเป็นอย่างที่คิดไว้มั้ย หรือจะม่าอีกมั้ยเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 09-05-2019 21:18:19
ตอนที่ 5
เสียงที่ดังที่สุด คือเสียงที่อยู่ในใจ


"ตกลงว่าวันอาทิตย์พี่จะไปโบสถ์ใช่ไหมครับ"

"ไปดิ มีคนบางคนเรียกร้องขนาดนั้น"

คนบางคนที่ว่านั่นหมายถึงผม คนขี้เล่นอย่างตามแกล้งทำเสียงล้อเลียนคำพูดผมในวันนั้น

"ผมอยากเจอพี่ อยากคุยกับพี่ อีกประโยคเดียวก็ยังดี"

"พี่ตาม!"

"จะจีบพี่เหรอ"

"บ้า!"

"จีบไม่ได้นะ พี่มีแฟนแล้ว"

"รู้น่า!"

ตามหัวเราะก่อนยกมือเคาะหัวผมเบาๆ สัมผัสจากตามทำให้ผมแอบยิ้มอยู่เสมอ ตามติดนิสัยชอบแตะเนื้อต้องตัวคนอื่น ทั้งผม ทั้งเพื่อน หรือแม้แต่พ่อแม่และพี่ต่อ เผลอๆ ก็เดินเข้ามากอด มาเล่นหัว เอามือมาโอบ มาจับมือ เวลานอนด้วยกันก็ต้องมีส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายสัมผัสกันเอาไว้ให้อุ่นใจ...ในตอนนี้ ผมอยากกอดตามที่สุดเลย

"พี่กลับก่อนนะ" ตามหันหน้ามาบอกตอนที่เดินมาส่งผมถึงที่หน้าบ้าน

"ครับ"

"เจอกันวันอาทิตย์"

ผมพยักหน้ารับก่อนตามจะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม คำพูดที่ย้ำชัดว่าเราจะได้เจอกันอีกเป็นเหตุให้ผมหลุด รอยยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้...อยากให้พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์จัง

แต่เอาเข้าจริงๆ พลีสอาจจะไม่ชอบใจก็ได้ที่ผมใช้ร่างของเขามาใกล้ชิดกับตามแบบนี้ แต่ความรู้สึกผิดที่มีต่อพลีสก็ถูกตีกระเจิงด้วยความคิดละโมบและเห็นแก่ได้ ผมแค่อยากอยู่ใกล้ๆ ตาม...แค่นั้นเอง

"น้องพลีส!" เสียงของพี่หน่อยเรียกผมดังลั่นตอนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในบ้าน เจ้าของเสียงลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามาหาผมด้วยใบหน้าที่ขมวดคิ้วยุ่งคล้ายกำลังโกรธ ผมกระพริบตาปริบๆ มองหน้าพี่หน่อย ไม่รู้ตัวว่าทำอะไรให้โมโห กระทั่งพี่หน่อยพูดมันออกมา

"น้องพลีสหายไปไหนมา ทำไมกลับบ้านช้าขนาดนี้ แล้วทำไมไม่รับโทรศัพท์หน่อย"

ลืมสนิท...

ผมไม่ได้สนใจโทรศัพท์เลย ซ้ำยังลืมไปว่าพี่หน่อยรอให้ผมโทรหาหลังจากที่ถึงบ้านแล้ว ด้วยความผิดที่ไม่มีข้อแก้ตัวผมจึงทำได้แค่เอ่ยปากขอโทษ

"ขอโทษครับ"

"จะไปไหนทำไมไม่บอกหน่อยก่อน วันหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะคะ"

ผมก้มหน้ารับความผิด ขณะที่พี่หน่อยก็ยังคงสีหน้ายุ่งๆ ในความโกรธมีความเป็นห่วงเจือปนอยู่อย่างรู้สึกได้ ไม่ว่าจะโกรธกันแค่ไหนพี่หน่อยก็ยังคงไม่ละเลยหน้าที่ที่ต้องดูแลพลีสอย่างดี จึงหันมาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเมื่อครู่

"ทานข้าวมาหรือยังคะ"

"กินแล้วครับ"

"โอเคค่ะ" ตอบรับแค่นั้นแล้วหันหลังให้ทำท่าจะเดินเข้าไปในครัวแต่ผมรีบยกสองมือของตัวเองโอบร่างพี่หน่อยเอาไว้จากด้านหลัง การกระทำนั้นเป็นเหตุให้คนถูกก่อนหยุดชะงักอยู่กับที่ แล้วเอ่ยปากถาม

"น้องพลีสทำอะไรคะ"

"ง้อพี่หน่อย"

"ง้อ?"

"ก็พี่หน่อยกำลังโกรธผมนี่นา"

"..."

"ผมขอโทษครับ วันหลังจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว พี่หน่อยอย่าโกรธเลยนะ นะครับ" ออดอ้อนอยู่ครู่เดียว พี่หน่อยก็หลุดหัวเราะออกมาจนได้ ผมคลายกอดออกจากพี่หน่อยเพื่อขยับไปมองหน้าพี่หน่อยที่ยิ้มออกแล้ว

"ไม่โกรธแล้วใช่ไหมครับ"

"หน่อยไม่ได้โกรธค่ะ แค่เป็นห่วง" 

"ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงนะครับ" ผมว่าแล้วยกแขนขึ้นกอดพี่หน่อยอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของพี่หน่อยยกลูบหัวผมเบาๆ 

"น้องพลีสไม่เคยกอดหน่อยเลยสักครั้ง"

"..."

"วันนี้...ดีใจจัง"

แม้ไม่ใช่พลีสแต่การที่ทำให้พี่หน่อยดีใจได้ผมก็มีความสุขไปด้วย กระชับกอดพี่หน่อยให้แน่นขึ้น วันนี้ผมเป็นคนผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงต้องขอโทษพี่หน่อยอีกครั้ง แต่ในตอนที่ได้มองเห็นหน้าพี่หน่อยชัดๆ อยู่ครู่หนึ่งก็เพิ่งจะรู้สึกเป็นครั้งแรกว่า...พี่หน่อย หน้าตาคุ้นๆ แฮะ

 

...

 

ผมเริ่มชินกับการกลับไปใช้ชีวิตเป็นนักเรียน แม้ว่าจะไม่มีเพื่อนเลยสักคนก็ตาม ผมเคยตั้งคำถามแต่หาคำตอบไม่ได้ว่าพลีสเป็นคนยังไง ผมจึงใช้ชีวิตในโรงเรียนในแบบที่เป็นตัวผม แน่นอนว่ามันอาจจะดูแปลกไปบ้างในสายตาของเพื่อนในห้อง แต่การที่ผมเป็นผม มันก็ทำให้ไอ้ปั้นกลั่นแกล้งผมที่อยู่ในร่างของพลีสน้อยลง...น้อยลงแต่ไม่ได้แปลว่าจะไม่แกล้งเลย

"เฮ้ย!"

ผมหันขวับมองเสียงดังจากสนามฟุตบอล แน่นอนว่าเป็นไอ้ปั้นที่กำลังจะแกล้งเตะบอลมาโดนหัวผม ด้วยความไวที่ไหวตัวทัน ผมจึงยกมือคว้าบอลที่กำลังพุ่งเข้ามาได้พอดี

"ตุ้บ!"

"แม่ง เสือกรับได้อีก! ส่งคืนมาดิ!" มันตะโกนสั่งแต่ผมทำกลับกัน หันหน้าไปอีกฝั่ง โยนฟุตบอลขึ้นสูงแล้วเตะไปยังฝั่งตรงข้ามของสนามฟุตบอลด้วยแรงทั้งหมดที่มี บอลลูกนั้นจึงลอยปลิวไปไกลอย่างที่ใจคิด ตอนประถมก็เคยเป็นนักบอลเหมือนกันโว้ย!     

"ไอ้พลีส! มึงไปเก็บมาเลยนะ!"

"เก็บเองดิ"

"ไอ้พลีส!"

ผมยักไหล่ไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินเข้าไปในโรงอาหาร ข้าวกลางวันคือความสุขเดียวที่ทำให้ผมอยากมาโรงเรียน วันนี้ก็ฝากท้องไว้ที่ร้านป้าพุกเหมือนเคย วันนี้ผมสั่งไข่พะโล้กับหมูทอดที่กินได้ไม่เบื่อ เดินไปซื้อน้ำแล้วก็หาที่นั่งว่างๆ กินข้าวคนเดียว มันก็เหงานิดหน่อยแต่ความอร่อยทำให้ลืมว่าตัวเองโดดเดี่ยวไปชั่วครู่ 

"พี่"

ผมเงยหน้าขึ้นมองเสียงเรียก แม้ไม่มั่นใจว่าเป็นตัวเองเพราะไม่รู้จักใคร แต่พอเงยขึ้นไปก็เห็นว่าเป็นสายป่าน สัญชาตญาณเอ่ยปากเรียกอย่างลืมตัว

"สายป่าน"

"พี่รู้จักชื่อหนูด้วยเหรอ"

"วันนั้นได้ยินแม่เรียกที่ร้านน่ะ" ดูเหมือนว่าความสามารถด้านการโกหกจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่ใช้เวลาแค่วินาทีเดียวคิดคำตอบได้กะทันหัน

"นั่งด้วยได้ไหมคะ"

ผมพยักหน้ารับสายป่าน โต๊ะที่นั่งได้หกที่พอดีกับจำนวนสมาชิกในกลุ่มของน้อง สายป่านเลือกที่นั่งตรงข้ามผม แล้วหลุดหัวเราะตอนที่หันมาเห็นจานข้าวของผม

"กินเหมือนกันเลย"

ผมเองได้แต่หัวเราะตามก่อนที่สายป่านจะหันไปคุยกับเพื่อน ผมมองดูน้องกินข้าวอย่างอร่อยก็มีความสุขแล้ว ดีใจที่น้องเติบโตมาได้อย่างดี เป็นเจ้าอ้วนที่น่ารักเสมอ

ผมเลื่อนสายตามองสายป่านที่กำลังใช้ช้อนผ่าไข่พะโล้แล้วตักเอาแต่ไข่แดงกิน สายป่านชอบกินไข่แดง ขณะที่ผมชอบกินไข่ขาว คราวนี้ผมไม่ได้ลืมตัวแต่ตั้งใจ ตักไข่แดงในจานตัวเองให้สายป่าน

"พี่ให้"

"ให้ทำไม พี่ไม่กินเหรอ"

"พี่ไม่กินไข่แดง แต่เห็นว่าเราชอบ"

"ชอบค่ะ"

ไม่เคยปฏิเสธเรื่องกินเลยนะอ้วน

"งั้นพี่ก็คงไม่รังเกียจไข่ขาวของหนูใช่ไหม"

"เอามาเลย" ผมตอบก่อนที่สายป่านจะตักไข่ขาวในจานตัวเองส่งให้แลกกับไข่แดง ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุขที่สุด ได้กินข้าวกับน้องอีกครั้ง...แค่นี้ก็ดีแล้ว

 

...

 

ในที่สุดวันอาทิตย์ที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมตื่นแต่เช้า เตรียมตัวพร้อมสำหรับการไปโบสถ์ เดินลงมาหาพี่หน่อยในครัว เห็นกำลังยุ่งอยู่กับการทำอาหาร ผมตั้งใจจะแกล้งด้วยการค่อยๆ ย่องเข้าไปหา กะว่าพี่หน่อยคงจะตกใจ แต่ไม่ทันเนถึง คนที่ยืนอยู่หน้าเตาก็หันขวับมาก่อน

"เฮ้ย!" กลายเป็นผมที่ตกใจจนร้องลั่น

"คิดจะแกล้งหน่อยเหรอคะ"

"รู้ได้ยังไงครับเนี่ย"

พี่หน่อยชี้ไปที่ตู้เหนือเคาน์เตอร์ครัว วัสดุสีเงินเงาวับสะท้อนให้เห็นตัวเองราวกับกำลังส่องกระจก ผมทำหน้ายุ่งเพราะแกล้งพี่หน่อยไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนเรื่องไปหาของกินแทน เห็นอาหารที่พี่หน่อยกำลังเตรียมอยู่ ดูเยอะเกินกว่าที่จะทำให้ผมกินคนเดียวจึงตั้งคำถาม

"ทำไมวันนี้ทำกับข้าวเยอะจังเลยครับ"

"วันนี้คุณวิทย์กับคุณกานต์หยุดงานทั้งคู่ จะทานมื้อเช้าด้วยกันค่ะ"

"อ๋อ" ผมพยักหน้ารับ แทบจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ของพลีสเลยด้วยซ้ำ ผมอาสาเป็นลูกมือช่วยพี่หน่อยทำกับข้าว เรื่องทำอาหารผมไม่เอาไหนเลย อย่างเก่งก็ต้มมาม่าใส่ไข่ได้ จึงทำได้แค่ช่วยหยิบจับนั่นนี่แล้วตักอาหารที่เสร็จพร้อมทานใส่จานไปวางรอบนโต๊ะ

"พี่หน่อยครับ กินข้าวเสร็จเราจะไปโบสถ์กันใช่ไหมครับ"

"วันนี้เราไม่ไปโบสถ์ค่ะ"

"อ้าว!"

"คุณวิทย์กับคุณกานต์จะพาน้องพลีสไปข้างนอก เห็นว่าจะพาไปดูหนังแล้วก็กินมื้อเที่ยงนอกบ้านค่ะ"

"แต่ผมอยากไปโบสถ์มากกว่า"

"ไม่ดื้อสิคะคนดี นานๆ ทีคุณวิทย์กับคุณกานต์จะมีเวลาว่างตรงกัน น้องพลีสไม่ได้ดูหนังมานานแล้วด้วย ไปดูหนังกับคุณพ่อคุณแม่เนอะ"

"อยากไปโบสถ์"

"ไปดูหนังค่ะ"

"ไปโบสถ์ก่อนไม่ได้เหรอ ไปแป๊บเดียวก็ได้ ไปแล้วก็รีบกลับไง โห่!"

งอแงให้ตายแค่ไหนก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดผมก็ต้องออกไปข้างนอกกับพ่อแม่ของพลีสเพื่อดูหนังอย่างที่บอก

ผมแทบไม่ได้สนใจเรื่องราวของหนังเลยเพราะเอาแต่คิดไปว่า ตัวเองกำลังผิดนัดกับตามทั้งที่ย้ำแล้วย้ำอีกว่าจะไปเจอกัน โอกาสที่จะได้เจอตามมันมีไม่มาก แล้ววันนี้ผมก็เสียโอกาสนั้นไปแล้ว

หลังจากดูหนังเสร็จก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี พ่อกับแม่ขัดแย้งกันนิดหน่อยเรื่องร้านอาหาร พ่ออยากกินปิ้งย่าง ขณะที่แม่อยากกินอาหารญี่ปุ่น สุดท้ายลงเอยด้วยการให้ผมเป็นคนเลือก ผมจึงพาเดินเข้าร้านสเต็กที่อยู่ตรงหน้าในขณะนั้นพอดี

ผมกับแม่เป็นคนสั่งอาหารเผื่อพ่อด้วย เพราะพ่อยังยืนคุยโทรศัพท์อยู่หน้าร้าน นานครู่หนึ่งพ่อจึงเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายุ่งๆ เดาว่างานคงไม่ราบรื่นจนทำให้พ่อดูอารมณ์เสีย ทั้งๆ ที่เป็นวันอาทิตย์แท้ๆ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นใจให้พ่อได้หยุดงาน

"มีอะไรหรือเปล่าคุณ"

"ลูกค้าเขาอยากให้ผมแก้แบบนิดหน่อย คงต้องรีบกลับไปทำ"

"เขาไม่รู้เหรอว่าวันนี้คุณหยุด"

"เอาจริงๆ แล้วเนี่ย งานอย่างผมมันไม่มีวันหยุดหรอกนะ"

"ถึงได้ยุ่งจนไม่มีเวลาให้ลูกเลยสินะ"

"นี่คุณ ทำอย่างกับคุณมีเวลาว่างมากนัก เรามันก็บ้างานพอๆ กันนั่นแหละ"

"ก็พยายามหาเวลาให้ลูกอยู่นี่ไง แล้วที่ฉันต้องทำงานหนัก ฉันก็ทำเพื่อลูกทั้งนั้น"

"ทำเพื่อลูกหรือเพื่อตัวเองกันแน่ คุณคงอยากได้ตำแหน่งผู้บริหารก่อนที่พี่น้องคนอื่นจะแย่งไปล่ะสิ"

"นี่คุณจะมาชวนทะเลาะทำไม"

"ผมแค่พูดเฉยๆ"

"ถ้าการพูดเฉยๆ ของคุณมันทำให้เราต้องทะเลาะกัน คุณก็ไม่ต้องพูด"

"แล้วคุณ..."

"หยุดเถอะครับ" ผมเอ่ยปากเป็นประโยคแรกหลังจากที่นั่งเงียบอยู่นาน โชคดีที่เสียงของผมทำให้พ่อกับแม่เงียบลงได้ทั้งคู่ แต่หน้าตาดูไม่สบอารมณ์ พ่อหันหน้าไปทาง แม่หันหน้าไปอีกทาง ดูโมโหกันทั้งคู่

พ่อกับแม่ของผมไม่เคยทะเลาะกันเลย เถียงกันแรงที่สุดก็ตอนที่ตกลงกันไม่ได้ว่าจะตั้งชื่อสายป่านว่าอะไร ด้วยความที่ผมไม่มีประสบการณ์ว่าต้องรับมือยังไงในเวลาที่พ่อแม่ทะเลาะกัน ผมเองก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยื่นมือตัวเองทั้งสองข้างไปจับมือพ่อกับแม่เอาไว้ ทั้งสองคนหันมองหน้าผม พลีสคงไม่เคยทำแบบนี้ แต่ผมเชื่อว่าความรู้สึกที่ส่งผ่านฝ่ามืออุ่นนั้นจะทำให้พวกเขาเข้าใจ ความเงียบทำให้ใจของทั้งคู่เย็นลง ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากออกมาเป็นคนแรกในตอนที่สถานการณ์สงบแล้ว

"ผมรักพ่อกับแม่นะครับ"

"..."

"อย่าทะเลาะกันเลย"

"..."

"ผมขอร้อง"

หวังว่าคำขอร้องของผมจะมีความหมาย ในตอนที่พลีสกลับมา พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องทะเลาะกันอีก ผมทำเพื่อพลีสและตอบแทนเขาได้เพียงเท่านี้จริงๆ

 

...

 

ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนเย็น ผมยังคงค้างคาใจที่วันนี้ไม่ได้ไปหาตาม ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะติดต่อเขายังไง วันนี้ทั้งวันจึงเป็นวันเปื่อยๆ ที่ความคิดเลื่อนลอยไปไหนไม่รู้

ผมนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา แต่สายตามองไปยังมันแกวที่นอนนิ่งๆ อยู่หน้าประตู อยากเล่นกับหมาแต่หมาไม่ชอบขี้หน้าผมมันจึงไม่เล่นด้วย ผมเลื่อนสายตาไปมองพี่หน่อยที่กำลังเดินเอาเสื้อผ้านักเรียนของผมที่รีดแล้วขึ้นไปเก็บในตู้บนห้องนอน ตอนมีชีวิตผมต้องทำหน้าที่พวกนั้นเองทั้งหมดเพื่อแบ่งเบาภาระของแม่ แต่พอกลายมาเป็นพลีส ความสะดวกสบายถาโถมเข้าใส่จนผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มทำอะไรด้วยตัวเองไม่เป็น ไม่อยากให้พี่หน่อยต้องเหนื่อยเกินไปผมจึงลุกพรวดจากโซฟาแล้ววิ่งไปหาพี่หน่อยที่ขึ้นบันไดไปได้สองสามขั้น

"พี่หน่อยครับ!"

"คะ"

"เดี๋ยวผมเอาไปเก็บเองครับ"

"เดี๋ยวหน่อยไปเก็บให้ค่ะ หน้าที่หน่อย ไม่ต้องลำบากเลยค่ะ"

"ก็ผมอยากช่วยนี่"

"ไม่ต้องค่ะไม่ต้อง ไปนั่งรอหน่อยที่โซฟา เดี๋ยวเราต้องออกไปตัดผมกันนะคะ"

"ตัดผม?"

"ใช่ค่ะ ผมน้องพลีสเริ่มยาวแล้ว เดี๋ยวคุณครูจะดุเอา หน่อยเอาเสื้อผ้าไปเก็บแป๊บหนึ่ง เดี๋ยวลงมาค่ะ"

"งั้นผมไปเองก็ได้ครับ"

"เดี๋ยวหน่อยพาไปค่ะ"

"ผมขอไปเอง แค่งานในบ้านพี่หน่อยก็เหนื่อยแย่แล้ว เดี๋ยวก็ได้เวลาทำอาหารเย็นอีก ผมไปเองดีกว่า แค่ตัดผมเอง ผมไปได้ครับ"

"เอาอย่างนั้นเหรอคะ"

"เอาอย่างนั้นครับ"

"ถ้าอย่างนั้นรีบไปรีบมานะคะ"

"ครับๆ" ผมรับคำ แล้วเดินออกจากบ้านตรงไปยังร้านตัดผม มีร้านหนึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านผม ร้านประจำที่ไปตัดบ่อย ปักหมุดเป้าหมายไว้ที่นั่นแล้วเดินไปอย่างสบายๆ เพราะอากาศที่เย็นกำลังดี

 

"กริ๊ง"

 

เสียงกริ่งหน้าประตูร้านตัดผมดังขึ้นตอนที่ผมเป็นคนเปิดเข้าไป ก่อนที่คนในนั้นจะหันมาเอ่ยปากต้อนรับ

"สวัสดีครับ...เขี้ยวกุด!"

"เธอ!"

"ฮะ?"

"พี่ตาม"

ก็หลุดปากทุกทีที่เจอหน้าแล้วเรียกตามว่าเธอ ความเคยชินเรื่องนี้มันแก้ไขยาก เพราะผมเรียกตามแบบนั้นมาตั้งหลายปีก่อนที่จะตาย จะให้เปลี่ยนกันง่ายๆ คงไม่ได้เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องการเวลา ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่า จะเหลือเวลาอีกเท่าไรที่จะได้มีโอกาสเรียกตามแบบนี้

"มาทำอะไร" ตามเอ่ยถามผมก่อน

"มาตัดผม แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่"

"ทำงานสิ"

"งานพาร์ทไทม์ที่บอกเหรอ"

"อือ นั่งเลย"

"พี่เป็นคนตัดเองเหรอ"

"ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องผมแหว่งก็จะตัดให้"

"เฮ้ย"

"ล้อเล่นๆ เจ้าของร้านไม่อยู่ นั่งรอก่อนสิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วนั่งลงข้างๆ ตามก่อนอีกฝ่ายจะลุกพรวดขึ้นเมื่อคิดขึ้นมาได้

"เออ มาสระผมก่อนดีกว่า"

"สระผม?"

"ใช่ มาเร็ว"

"พี่เป็นคนสระ?"

"ใช่ดิ"

"ไม่เอา" ผมปฏิเสธ 

"สระเถอะ พี่อยากมีงานทำ นี่ว่างจนเจ้านายจะไล่ออกอยู่แล้วเนี่ย"

"แต่ว่า..."

"มาเร็ว เดี๋ยวพี่สระให้" ตามดึงผมไปยังเตียงสระผม ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วจึงยอมให้ตามสระผมให้ นึกขึ้นมาได้ว่าหัวมีแผลยังไม่หายดี ผมจึงบอกกำชับกับตาม   

"หัวมีแผลอยู่ สระเบาๆ นะ"

"ครับ คุณลูกค้า" พูดล้อเล่นด้วยรอยยิ้มก่อนจะเริ่มสระผมให้ ไม่เคยมีใครสระผมให้มาก่อนก็เลยรู้สึกแปลกๆ อุณหภูมิน้ำอุ่นๆ กำลังดี กับสองมือของตามที่ขยี้ผมอย่างเบามือตามที่ผมบอก สบายชะมัดเลย

"แหม เคลิ้มเลยนะ"

"เคลิ้มอะไร"

"เพลินล่ะสิ"

ก็จริง...เถียงไม่ได้เลยต้องยอมรับด้วยการพยักหน้าหงึกๆ

"แล้วทำไมวันนี้ไม่ไปโบสถ์"

ผมขยับหน้ามองตามที่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา

"นัดพี่ไว้ไม่ใช่เหรอ"

"คือ...ผม..."

"โกรธนะเนี่ย"

"อย่าโกรธนะ"

"โกรธไปแล้ว พี่รอเราตั้งนาน"

"ขอโทษ"

"ไหนบอกสิว่าจะง้อพี่ยังไง"

"เลี้ยงข้าวไข่เจียวเอาไหม"

"เอาดิ"

"ง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ"

"พี่จนอะ ปฏิเสธของกินไม่ได้หรอก เดี๋ยวอดตาย"

"จนอะไร พ่อแม่พี่รวยจะตาย"

"พ่อแม่พี่น่ะรวย แต่พี่จนไงครับ"

ตามหลุดหัวเราะ ขณะที่เรามองหน้ากันอยู่ สองมือของตามละออกจากหัวของผม ก่อนยื่นมือข้างหนึ่งมาแตะเข้าเบาๆ ที่ข้างแก้ม สัมผัสจากปลายนิ้วของตามทำเอาหัวใจผมเต้นตึกตัก เป็นมนุษย์มันก็มหัศจรรย์ตรงนี้ ตรงที่หัวใจเต้นได้หลายจังหวะตามสถานการณ์ของอารมณ์ ผมกำลังจะเอ่ยถามว่าตามทำแบบนั้นทำไม แต่อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

"ฟองมันติดหน้าน่ะ"

"อ๋อ...ครับ"

"หน้าแดงเลยนะ แพ้ฟองเหรอ"

"เปล่า!"

"งั้นก็แปลว่าเขินน่ะสิ"

"บ้า"

ได้ยินเสียงตามหัวเราะอยู่ในลำคอ คงสนุกที่ได้แกล้งก่อนจะลงมือสระผมต่อ ผมไม่รู้ว่าจะเอาสายตาไปวางไว้ตรงไหนจึงหลับตาลง พลันคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับตาม ภาพจำสุดท้ายก่อนที่ผมจะตาย คือวันที่ตามร้องไห้เพราะเราทะเลาะกัน ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้ตามโกรธ คิดว่าเอาไว้ขอโทษวันหลังก็คงไม่เป็นอะไร แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นวันสุดท้ายจึงไม่มีโอกาสได้แก้ตัว วันนี้ผมอยากให้ตามได้ยิน อยากให้ตามได้ยินจริงๆ แม้ว่าเสียงของผมมันจะทำได้เพียงดังก้องอยู่ในใจ...

 

เราขอโทษนะตาม

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-05-2019 21:52:08
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 09-05-2019 23:32:10
มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างน้ออออ ในอดีตของแสงกับตาม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: 15magnitude ที่ 10-05-2019 20:04:01
อยากรู้ไปหมดทุกเรื่องเลย ทั้งเรื่องแสง เรื่องพลีส  รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Wanwann ที่ 10-05-2019 20:43:13
ทำไมแสงถึงตายอ่ะ อาการอยากอ่านต่อพุ่งปรี๊ดเลยยย รอนะคะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 11-05-2019 00:09:13
เป็นเราทนมองตามที่มีแฟนใหม่ไม่ไหวอ่ะ ปวดใจ จะร้อง  :o12:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-05-2019 11:16:26
 :3123: :pig4: :3123:


 o13
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 11-05-2019 12:02:55
คุยกันหลายหนแล้ว แสงน่าจะค่อย ๆ บอกความจริง น่าสงสารตามเหมือนกันนะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 5-- 9/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-05-2019 23:48:44
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 15-05-2019 19:54:47
ตอนที่ 6
อยากเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ให้มันดีกว่านี้


 

"แสง วันนี้เธอทำตัวไม่น่ารักเลยนะ"

"เราทำอะไร"

"ทำเป็นหวงเรา ต่อหน้าพี่นัท"

"เราไม่มีสิทธิ์หวงหรือไง ใครๆ เขาก็รู้ว่าไอ้พี่นัทมันชอบเธอ"

"แต่ใครๆ เขาก็รู้ว่าเธอเป็นแฟนเรา เราจะไปชอบคนอื่นได้ยังไง"

"ไม่รู้แหละ เราโมโห เราไม่ชอบ"

"ไม่น่ารัก"

"ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก"

"มาให้เรากอดนี่มา"

"ไม่ ไม่ต้องมากอดเรา ก็บอกว่าไม่ไง ปล่อย! ออกไป!"

"ไม่ปล่อย"

"วันนี้เราไม่รักเธอแล้ว"

"แต่พรุ่งนี้จะกลับมารักใช่ไหม"

"ใช่"

"โอเค งั้นยอมให้เกลียดวันหนึ่งก็ได้"

"เออ"

"แสง เธอไม่ต้องรักเราทุกวันก็ได้นะ"

"..."

"แต่ขออย่างเดียว ให้เราแก่ตายไปด้วยกัน"

"..."

"ตกลงไหม"

 


 

"ว้าย!"

 

พรวด!

ผมลุกพรวดจากที่นอนหลังจากได้ยินเสียงร้องลั่นที่ปลุกให้ผมตื่น เสียงกรีดร้องชัดสมจริงจนไม่ได้คิดว่ามันเป็นความฝัน ผมรีบลุกจากที่นอนเปิดประตูออกไปดูว่าเป็นเสียงของใคร ก่อนก้าวเท้าไปที่บันไดก็เห็นพี่หน่อยนอนแอ้งแม้งอยู่ที่บันไดขั้นแรกพร้อมเสียงโอดโอย

"พี่หน่อย! เป็นอะไรครับ!"

"หน่อยก้าวขาพลาด ก็เลยตกบันไดลงมาค่ะ"

"ลุกไหวไหมครับ"

"ไหวค่ะ ไหว โอ๊ย!" คำพูดสวนทางกับสิ่งที่เป็น พี่หน่อยน่าจะเจ็บหนักจนลำบากที่จะลุกขึ้นยืน ผมรีบตรงเข้าไปช่วย แต่ด้วยพัฒนาการทางร่างกายที่หยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ตอนที่สัดส่วนร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ร่างของพลีสจึงตัวเล็กเกินกว่าจะช่วยอุ้มพี่หน่อยได้ จึงทำได้แค่พยุงร่างพี่หน่อยที่บาดเจ็บบริเวณข้อเท้าจากบันไดไปยังโซฟาด้วยความทุลักทุเล

"เจ็บมากไหมครับ"

"สงสัยข้อเท้าจะแพลงน่ะค่ะ"

"ไปหาหมอกันนะครับ"

"ไม่เป็นไรค่ะ หน่อยไหว น้องพลีสไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะค่ะ เดี๋ยวหน่อยจะไปเตรียมอาหารเช้าให้"

"มันใช่เวลามาเตรียมอาหารเช้าไหม เจ็บขนาดนี้ยังจะบอกว่าไหวอีก" คำพูดเจือปนด้วยความโมโหนิดๆ ทำให้พี่หน่อยเถียงอะไรไม่ออก ยังดื้อรั้นไม่ยอมให้ผมพาไปหาหมอ จึงทำได้แค่หายามาทาให้ไปก่อน พี่หน่อยบอกว่าถ้าไม่ดีขึ้นจะไปหาหมอเอง ส่วนวันนี้ผมก็ต้องไปโรงเรียนด้วยตัวเอง

เผื่อเวลารอรถเมล์จึงออกจากบ้านแต่เช้ากว่าปกติ วันนี้จึงมาถึงโรงเรียนเร็ว มีเวลาพอที่จะไปหาอะไรกินที่โรงอาหารตอนเช้า ผมมองหาของกินง่ายๆ อย่างขนมปังไส้หมูหย็องหนึ่งชิ้นกับน้ำเปล่าอีกขวด เดินกินไปในระหว่างทางจากโรงอาหารมุ่งหน้าไปตึกเรียน มัวแต่สนใจความอร่อยของขนมปังจนไม่ได้สนใจสิ่งใดรอบตัว ในตอนที่ผมกำลังก้าวเท้าเดินเรื่อยเปื่อยอยู่นั้น ก็ถูกใครบางคนที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังแล้วแกล้งผลักผมเต็มแรงจนหลุดสบถคำหยาบออกมาอย่างตกใจ

"เชี่ย!"

สองเท้าของผมยันตัวเองเอาไว้ได้จึงไม่ล้ม แต่ขนมปังหลุดมือจนหล่นไปกองกับพื้น ผมหันขวับไปเห็นไอ้ปั้นที่ยืนหัวเราะหน้าระรื่น

"ว้าย อดแดกเลย"

"ทำแบบนี้ทำไมวะ"

"สนุก"

"สนุกบ้านมึงสิ เก็บเลย!" ผมชี้ซากขนมปังที่พื้นให้มันเก็บเอาไปทิ้ง

"เรื่องอะไร มึงทำหล่นมึงก็เก็บเองดิ" ไอ้เด็กสันดานเสียยักไหล่เบาๆ อย่างไม่รู้ไม่ชี้ก่อนที่จะก้าวเท้าออกไปจากตรงนี้ แต่ผมไม่ยอมง่ายๆ ยกเท้าตัวเองขัดขามันเอาไว้ อีกคนที่ไม่ทันระวังตัวก็เกือบจะล้มหน้าทิ่ม พลางหันมาโวยลั่น

"ทำเหี้ยอะไรเนี่ย"

"เก็บ!" ผมชี้ไปที่ขนมปังอีกครั้ง

"กูไม่เก็บ"

"กูบอกให้มึงเก็บ"

"กูบอกว่าไม่เก็บไง โอ๊ย!" ไอ้ปั้นร้องลั่นตอนที่ผมยกมือขึ้นกำเส้นผมบนหนังหัวของมันแล้วดึงกลับมาก่อนที่มันจะเดินหนี ชี้ซากขนมปังแล้วพูดกับมันอีกครั้งด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ

"เก็บ ไป ทิ้ง"

"ไอ้พลีส! ไอ้ผีเข้า!"

"เออ กูผีเข้า มึงรีบเก็บก่อนไปทิ้งก่อนที่ผีในตัวกูจะทำอะไรมากกว่านี้"

"มึงจะทำอะไรกู"

"กูจะบีบคอมึงให้ตาย เอาคัตเตอร์กรีดผิวแล้วถลกหนังมึงออก กูจะเอาปากกาทิ่มตามึงให้บอดทั้งสองข้าง แล้วถีบมึงตกจากชั้นห้าของอาคารเรียน กระดูกมึงจะแหลกละเอียดเป็นท่อนๆ จากนั้นกูจะสับร่างมึงเป็นชิ้นๆ..."

"ไอ้โรคจิต! กูเก็บก็ได้!" ไอ้ปั้นสะบัดตัวไปจากการเกาะกุมของผม ก้มลงเก็บขนมปังแล้วโยนใส่ถังขยะที่อยู่ใกล้ๆ พอดี

"พอใจยัง!"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของมัน ขณะที่สายตามองไปยังนมสตรอว์เบอร์รี่กล่องหนึ่งที่ถูกยัดไว้ในกระเป๋าเสื้อของมัน

"มึงมองอะไร"

"มึงทำให้กูไม่มีข้าวเช้ากิน มึงควรจะให้นมกล่องนั้นกับกู"

"กูไม่ให้!" ไอ้ปั้นใช้สองมือกุมกล่องนมในกระเป๋าเสื้อแล้วรีบก้าวเท้าออกไปจากตรงนี้อย่างรวดเร็วจนแทบจะวิ่ง ทิ้งให้ผมหลุดหัวเราะออกมาคนเดียวอย่างขำๆ ไอ้อันธพาลหวงนมสตรอว์เบอร์รี่ น่ากลัวตายล่ะ...ไอ้เด็กเวรเอ๊ย

 

ผมเลิกเรียนคณิตฯ ตั้งแต่ตอนที่จบม.ปลาย จำไม่ได้ว่าครั้งสุดท้ายที่คิดเลขโดยไม่ใช้เครื่องคิดเลขมันเกิดขึ้นตอนไหน การที่ต้องมานั่งเรียนคณิตฯ ใหม่ ทำให้หนึ่งชั่วโมงในคาบเรียนนั้นยาวนานเหมือนหนึ่งปี ตอนเรียนยังพอไหว เปิดหนังสือตามไปด้วย ฟังครูอธิบายไปด้วยก็ยังพอถูไถไปได้ แต่ตอนสอบนี่นรกชัดๆ ผมเพิ่งผ่านการสอบเก็บคะแนนในวิชาคณิตฯ เพิ่มเติมไปเมื่อต้นคาบ ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากลอกโจทย์ลงมาเขียนซ้ำเพื่อให้กระดาษไม่ว่าง ผลสอบออกอย่างรวดเร็วในตอนท้ายคาบ เมื่อกระดาษคำตอบถูกส่งคืนผมก็รีบยัดมันใส่กระเป๋าเพราะรับไม่ได้กับคะแนนที่เขียนด้วยปากกาสีแดงบนหัวกระดาษ เลขศูนย์ตัวใหญ่ๆ ชัดๆ ย้ำให้รู้ว่าผมทำให้พลีสสอบตกอย่างช่วยไม่ได้

"ใครที่คะแนนสอบไม่ถึงครึ่ง มาเรียนซ่อมกับครูเย็นวันพุธนะครับ รู้ตัวนะ" ผมสบตากับครูพอดีในตอนที่ครูกำลังพูดประโยคสุดท้าย รีบก้มหน้าหนีแล้วสวนกลับอยู่ในใจ...รู้ตัวครับ

หมดคาบคณิตก็ถึงชั่วโมงวิชาสังคม คาบเรียนวิชานี้พอให้หายใจหายคอได้สะดวกหน่อยเพราะผมค่อนข้างถนัดและทำคะแนนได้ดีตอนสมัยเรียน แถมครูที่สอนก็ยังเป็นคนเดิมที่เคยสอนผมด้วย วิธีการสอนที่ทำให้นักเรียนสนุกจึงไม่รู้สึกเบื่อ ผมนั่งฟังครูไปเพลินๆ เผลอแป๊บเดียวก็เกือบจะหมดคาบ ก่อนที่จะหมดเวลา ครูก็สั่งการบ้านพร้อมกับแจกเอกสารเกี่ยวกับงานชิ้นนั้น ผมรับชีทพวกนั้นมาจากเพื่อนโต๊ะหน้าแล้วส่งไปยังโต๊ะหลังซึ่งเป็นไอ้ปั้น แต่กลับหันไปเจอโต๊ะว่างๆ ไม่ทันออกปากถาม เพื่อนโต๊ะข้างๆ ไอ้ปั้นก็เอ่ยปากบอกก่อน

"ไอ้ปั้นมันใช้สิทธิ์นักกีฬาโดดเรียนไปซ้อมฟุตบอล"

"อ๋อ"

"มึงเก็บชีทไว้ให้มันด้วยก็แล้วกัน"

"ฮะ?" ไม่ทันที่ผมจะได้แย้งอะไรต่อ เสียงจากครูก็ดึงความสนใจทำให้ผมต้องเงียบปากแล้วหันไปฟัง

"งานนี้เป็นงานคู่นะคะ จับคู่กันเองได้เลย แล้วมาแจ้งชื่อกับครูนะคะ"

เมื่อถูกอนุญาตให้จับคู่กันเองได้ นักเรียนที่เป็นเพื่อนกันก็จับคู่กันได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่ก็จะเลือกเพื่อนที่นั่งโต๊ะข้างๆ กันอยู่แล้ว คงมีแต่ผม ที่ไม่มีเพื่อนโต๊ะข้างๆ จึงไม่มีคู่

"ไหนใครยังไม่มีคู่คะ"

มือของผมยกขึ้นช้าๆ ตอนที่นักเรียนในห้องแทบจะไม่ได้หันมาสนใจเลย นั่นทำให้ผมคิด การที่พลีสจะถูกดีดให้กลายเป็นเศษเกิน มันคงเป็นเรื่องธรรมดา

"ถ้างั้นพันธกานต์ เธอคู่กับปณิธานก็แล้วกันนะ"

ผมมองหน้าครูเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าปณิธานคือใคร กำลังจะเอ่ยปากถามแต่ไอ้เด็กที่นั่งอยู่ด้านหลังก็สะกิดบอกผมก่อน

"คู่กับไอ้ปั้น ดีใจด้วยนะมึง"

"เชี่ย!" หลุดสบถคำหยาบในตอนที่ทั้งห้องเงียบกริบ ทุกสายตาจึงหันมามองผมเป็นตาเดียว รวมถึงครูด้วย ทำได้แค่ยกมือไหว้ขอโทษแล้วก้มหน้าลงเงียบๆ

 

ตอนเย็นหลังเลิกเรียน พี่หน่อยโทรมาบอกให้ผมกลับบ้านเองเพราะอาการข้อเท้าแพลงของพี่หน่อยหนักหนากว่าที่คิด ถึงกับต้องใส่เฝือกและพักการใช้งานเท้าข้างนั้นไปสักพัก พี่หน่อยจึงกลับไปอยู่ที่บ้านตัวเองเพื่อจะได้มีคนดูแล เพราะฉะนั้นช่วงหนึ่งในระยะนี้ผมจะต้องไปกลับโรงเรียนเอง ซึ่งคิดว่ามันไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร

ผมกะจะบอกไอ้ปั้นพรุ่งนี้ว่ามีรายงานที่ต้องทำคู่กัน แต่ก่อนที่จะกลับบ้านผมเดินผ่านโรงยิมแล้วเห็นกลุ่มนักกีฬาฟุตบอลเดินเข้าไปในนั้นพอดี จึงตัดสินใจเดินตามไปเพื่อหาไอ้ปั้น ไม่มีใครหันมาสนใจผมเลยจนตอนที่เดินไปถึงห้องพักนักกีฬา และทุกคนสามัคคีกันถอดชุดฟุตบอลออกในตอนนั้น

โอ้...มาย..ก้อด

แก้ผ้ากันอย่างนี้เลยเหรอ หนุ่มนักกีฬา ผิวแทน กลิ่นเหงื่อ...

"ไอ้พลีส!"

ขณะกำลังตื่นตะลึงกับบรรดานักกีฬาที่แก้ผ้ากันอยู่ เสียงของไอ้ปั้นก็เรียกผมให้หันไปมอง

"มึงมาทำอะไร"

"มาหามึงไง ออกมาคุยกันหน่อย"

"กูใส่เสื้อผ้าก่อน"

ไม่ต้อง...ก็ได้ม้าง...

หุ่นไอ้ปั้นนี่มันไม่ธรรมดาเลยแฮะ...ขณะกำลังยืนเกาะประตูกวาดสายตามองสิ่งที่น่าสนใจในห้องพักนักฟุตบอล เสียงไอ้ปั้นก็ดังลั่นขึ้นอีกที

"ไอ้พลีส!"

"อะไร!"

"ออกไปรอข้างนอก!"

"เออ!"

ผมตอบรับแล้วหมุนตัวออกมารอข้างนอก ครู่หนึ่งไอ้ปั้นที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมา หน้าตากวนประสาทดูรำคาญนิดๆ กระแทกเสียงถาม

"มีไร"

"กูต้องทำรายงานวิชาสังคมคู่กับมึง"

"ก็ดีดิ"

อ้าว...ผมคิดว่ามันจะไม่พอใจซะอีกที่ต้องคู่กับผมซึ่งไม่ชอบขี้หน้ากัน แต่โดนตอบกลับมาอย่างนั้นผมเลยงง ก่อนความสงสัยถูกคลี่คลายด้วยประโยคถัดไปของมัน

"มึงก็ทำแล้วใส่ชื่อกูไปด้วย โอเคนะ" มันพูดแค่นั้นแล้วหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันง่ายๆ เลยเดินตามมันออกไปด้วย ด้วยส่วนสูงที่มีน้อยและช่วงขาที่สั้นกว่าผมจึงรีบก้าวไวๆ ให้ทันมัน

"โอเคบ้าอะไร งานคู่ก็ต้องทำด้วยกันดิ"

"มึงเก่งจะตาย ทำไมต้องให้กูช่วย"

"งั้นกูไม่ใส่ชื่อมึงนะ"

"มึงกล้าก็ลองดูดิ"

"คิดว่ากูไม่กล้าเหรอ"

"หรือมึงจะเอา"

"มึงจะให้อะไรล่ะ"

"อย่ามากวนตีน"

"กูจะกวน ทำไม กูจะกวน กูจะ...ปึง!" คำพูดผมหยุดชะงักตอนที่ไอ้ปั้นมันผลักร่างผมให้ติดกับกำแพงตึก แล้วเอาตัวเองบังร่างผมไว้ ก่อนที่บาสฯ ลูกหนึ่งซึ่งลอยมาจากไหนไม่รู้จะกระแทกเข้าที่หลังของมันจนดังลั่น

"ตุ้บ!"


"โทษทีพี่!"

"ไม่เป็นไร" ไอ้ปั้นหันไปตอบเจ้าของลูกบาส ก่อนยกมือยันกำแพง คล้ายว่ากำลังใช้ท่อนแขนทั้งสองข้างกักขังผมเอาไว้ให้อยู่ในนั้นไม่ให้ขยับ ทำอะไร คิดว่าตัวเองเป็นพระเอกนิยายรักวัยรุ่นเหรอ สะเหล่อ เดิมทีหน้าตาปกติของมันก็กวนตีนอยู่แล้ว ยิ่งตอนที่มันยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้มยิ่งรู้สึกว่ากวนตี๊น กวนตีน 

"ถ้ากูไม่ช่วย หัวกบาลมึงแตกอีกรอบแน่ ขอบคุณกูหรือยัง"

"ทำเป็นช่วยกู ทั้งๆ ที่มึงพยายามจะเตะบอลอัดหน้ากูทุกวันเนี่ยนะ เรื่องอะไรต้องขอบคุณคนอย่างมึงด้วย"

"ทำไมเดี๋ยวนี้มึงขี้เถียงจังวะ ผีเข้าแล้วไม่ยอมออกเหรอ"

"เออ มันไม่ยอมออก"

ไอ้ปั้นหลุดหัวเราะ ก่อนสบตากับผมอีกครั้งแล้วยกมือตบหัวผมเบาๆ ด้วยสัญชาตญาณผมจึงสวนกลับในแบบเดียวกัน

"ไอ้พลีส!"

"มึงตบกูก่อนอะ!"

"กูตบเบาๆ"

"ก็หัวกูเป็นแผล กูเจ็บ"

ไอ้ปั้นทำท่าโมโหฟึดฟัดแล้วชี้หน้าผมพลางกัดฟันพูด

"ถ้าไม่ติดว่าหัวกบาลมึงแตกอยู่ กูจะตบให้ผีออกเลย ไอ้ห่า! ไอ้ผีเข้า!"

ผมหลุดหัวเราะก่อนทำเป็นไม่สนใจแล้วเดินต่อไป เอาจริงๆ ก็สวนกลับมันอยู่ในใจ กูก็อยากออกไปเหมือนกันแหละ แต่มันออกไม่ได้โว้ย!

 

...

 

ผมกลับมาถึงที่บ้านหลังใหญ่ที่เงียบสนิท ปกติก็เงียบอยู่แล้ว ยิ่งไม่มีพี่หน่อยอยู่ด้วยยิ่งเงียบจนน่ากลัว รถของแม่ไม่อยู่ ส่วนพ่อนั่งทำงานอยู่ในห้องที่กำชับนักกำชับหนาว่าอย่ารบกวนถ้าไม่จำเป็น ความสัมพันธ์ของคนในบ้านหลังนี้ทำให้ผมรู้สึกแย่อยู่นิดหน่อย ถ้ามันต้องเงียบเหงาเช่นนี้ทุกวัน ความรู้สึกของพลีสก็คงจะโดดเดี่ยวน่าดู

ผมเดินขึ้นห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ มีการบ้านวิชาภาษาไทยเลยตั้งใจจะทำให้เสร็จ ในระหว่างที่หยิบสมุดกับหนังสือภาษาไทยออกมา กระดาษคำตอบวิชาคณิตฯ ที่ได้ศูนย์คะแนนก็ติดออกมาด้วย

ให้แม่พลีสเห็นไม่ได้เด็ดขาด ขนาดผิดข้อเดียวก็เท่ากับศูนย์ แล้วถ้าเจอศูนย์ของจริงแบบนี้คงโดนเฆี่ยนหลังลายแน่ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รีบคิดหาที่ซ่อนก่อนเพื่อความปลอดภัย ผมดึงลิ้นชักโต๊ะเขียนหนังสือ หยิบข้าวของในนั้นออกมาก่อนแล้วยัดกระดาษคำตอบไว้ให้ลึกที่สุด ในตอนที่กำลังจะเอาของที่หยิบออกมาใส่กลับไปที่เดิม มือผมก็ไปปัดเข้ากับไดอารี่สีดำเล่มเดิมโดยไม่ได้ตั้งใจ ก้มลงหยิบไดอารี่เล่มนั้นที่หล่นพื้นแล้วเปิดไปที่หน้าหนึ่งของไดอารี่ ความสนใจของผมจึงพุ่งตรงไปที่ข้อความพวกนั้น ในหน้าแรกๆ ของไดอารี่มีข้อความที่อ่านดูแล้วรู้สึกหดหู่อย่างที่ผมเคยบอก แต่ผมไม่ทันเห็นว่ามันมีหน้าที่ซ่อนอยู่กลางๆ เล่ม เป็นข้อความสั้นๆ ที่ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา

 

12/04 ได้เจอพี่หมออีกแล้ว

20/05 เดือนนี้พี่หมอไม่มา

17/06 วันนี้โดนพี่หมอดุนิดหน่อย ขอโทษครับผม

21/07 พี่หมอซื้อไอติมให้กินด้วย

คุณหมอ...

พี่ต่อ...

น่ารักที่สุดเลย...

 

เป็นข้อความที่อ่านแล้วก็พอจะรู้ว่าพลีสคงเฝ้ารอที่จะเจอพี่ต่อเดือนละครั้ง เข้าใจได้ว่าพลีสคงชอบพี่ต่อสินะ ต้องบอกว่าไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะพี่ต่อเป็นคนดีมากคนหนึ่งผมเคยรู้จักมา เป็นคนที่อยู่ใกล้ๆ แล้วรู้สึกอบอุ่น มีความสุขทุกครั้งที่ได้คุยกัน คนที่มองโลกในแง่บวกแล้วก็มักจะมีรอยยิ้มอยู่เสมอ ภาพจำของผมที่มีต่อพี่ต่อ...มันก็เป็นเช่นนั้น

ผมไม่อยากก้าวก่ายชีวิตหรือความคิดของพลีสมากนักจึงปิดไดอารี่แล้วใส่ลิ้นชักไว้อย่างเดิม เมื่อผมได้ออกจากร่างนี้เมื่อไร พลีสก็จะได้กลับมาเจอพี่ต่อเหมือนเดิม ผมคิดเช่นนั้นก่อนรีบทำการบ้านวิชาภาษาไทย เสร็จแล้วก็เดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นานจนเกือบหลับ ก่อนที่กระเพาะจะลั่นเสียงร้องออกมาด้วยความหิวโหย

"โครก"

อ่า ยังไม่ได้กินข้าวเย็น

ผมเดินลงมาจากห้องตอนเกือบจะสี่ทุ่ม เห็นบ้านทั้งหลังมืดสนิท นอกจากแสงไฟที่ลอดออกมาจากห้องทำงานของพ่อ ทุกพื้นที่ก็มืดสนิท ผมเดินไปเปิดไฟแล้วก้าวเท้าไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องทำงานพ่อ เคาะสองสามครั้งแต่ไม่มีใครเปิดให้ เห็นว่าประตูไม่ได้ล็อกจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปเอง พ่อนั่งอยู่หน้าจอคอมพ์ดูไม่ได้สนใจอะไรเลยแม้แต่ผมที่เดินเข้าไปถึงตัว

"พ่อครับ"

"อ้าว พลีส มีอะไรหรือเปล่า จะเอาอะไร"

"พ่อกินข้าวหรือยังครับ"

"พ่อไม่กิน พลีสกินก่อนเลย"

"ครับ"

"เป็นอะไรหรือเปล่า ปกติไม่มาถามพ่อแบบนี้"

            ผมค่อยๆ รู้จักพลีสผ่านคำพูดของคนอื่นอยู่เรื่อยๆ พลีสคงเป็นเด็กเงียบๆ แล้วก็แสดงออกไม่เป็น แม้แต่พ่อกับแม่ของตัวเองก็ตาม ถ้ามีโอกาสได้คุยกับพลีส คงมีหลายอย่างที่ผมอยากให้เขาปรับปรุงพฤติกรรมของตัวเอง แต่ก็รู้ตัวว่าไม่มีสิทธิ์ ผมยิ้มให้พ่อนิดๆ แล้วบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป คิดไปว่าในระหว่างนี้ผมจะทำหน้าที่ของลูกแทนพลีสชั่วคราว

"ผมเป็นห่วงพ่อน่ะครับ"

สีหน้าของพ่อเปลี่ยนไปทันทีตอนที่ผมพูดแบบนั้น ก่อนมุมปากขยับเป็นรอยยิ้มแล้วดึงมือผมให้เดินเข้าไปใกล้กว่านั้น

"ไม่ต้องห่วงพ่อนะ พลีสไปหาอะไรกินเถอะ เดี๋ยวพ่อเสร็จงานแล้วจะกินทีหลังนะ"

"ครับ" ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกจากห้องทำงานของพ่อ ก่อนที่ประตูจะปิดสนิทผมได้ยินพ่อพูดอีกประโยคออกมาเบาๆ

"ขอบคุณนะลูก"

การกระทำและคำขอบคุณนั้น พลีสควรจะรับรู้เอาไว้ เพื่อให้พลีสได้รู้ว่า...เขาไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวบนโลกใบนี้

 

            เพราะพี่หน่อยไม่อยู่ ที่บ้านจึงไม่มีอะไรกินเลย ผมไม่มีความสามารถในการทำอาหาร เก่งสุดก็ต้มมาม่า แต่ว่าที่บ้านไม่มีอาหารสำเร็จรูปพวกนั้นเลย จึงเลือกที่จะออกมาหาอะไรกินนอกบ้าน ร้านสะดวกซื้อเป็นทางเลือกแรกของผมเพราะสะดวกซื้อสมชื่อ วันนี้ก็แค่อยากกินอะไรง่ายๆ อย่างมาม่ารสต้มยำกุ้งกับไข่ต้มสักใบหนึ่ง

"สวัสดีครับ เชิญครับ...เขี้ยวกุด!"

ขาผมชะงักตอนที่ก้าวเท้าเข้าไปในร้าน ไม่ได้สนใจคำทักทายของพนักงานในประโยคแรก แต่พอถูกเรียกชื่อแบบนั้นก็รีบหันขวับไปมองที่เคาน์เตอร์

"พี่ตาม" แม้ตกใจแต่คุมสติได้จึงไม่หลุดปากเรียกเธออย่างที่เคย ผมเบิกตากว้างมองตามที่อยู่ในชุดพนักงานร้านสะดวกซื้อพลางเดินเข้าไปหา

"งานพาร์ทไทม์อีกแล้วเหรอ"

"อื้อ"

"ทำไมผมต้องเจอพี่ทุกที่ที่ผมไปเลย"

"อะไร พี่อยู่ของพี่ดีๆ เรานั่นแหละแอบตามพี่หรือเปล่า"

"จะบ้าเหรอ แค่มาหาอะไรกิน"

"อ๋อ เชิญครับคุณลูกค้า" ทำท่าล้อเล่นผายมือให้ผมไปเดือนเลือกซื้อของ ผมก้าวเท้าไปหยุดอยู่ที่หน้าชั้นวางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กวาดสายตาลวกๆ มองหารสต้มยำกุ้ง หยิบมาหนึ่งกระป๋องแล้วเอาไปเติมน้ำร้อน ไม่ลืมที่จะหันไปหยิบไข่ต้มต้มอีกหนึ่งฟอง ก่อนจะเดินกลับมาจ่ายเงินกับตาม 

"ของกินเยอะแยะ แต่จะกินมาม่าเนี่ยนะ"

"มาม่าผิดตรงไหนอะ" ผมเถียง

"จะอิ่มเหรอ เอาขนมจีบเพิ่มเปล่า"

"ขายเก่ง"

"ซื้อสองไม้ลดราคาอยู่นะ ไม่ซื้อไม่ได้แล้วป่ะ"

ผมหลุดหัวเราะ ยอมใจพนักงานขายที่เกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ ผมจึงได้ขนมจีบกุ้งมาสองไม้ในราคาพิเศษ

"วันนี้ที่บ้านไม่มีข้าวกินเหรอ"

"ครับ ไม่มีคนทำกับข้าว"

"ไม่ไปกินข้าวไข่เจียวล่ะ"

"มันมืดแล้ว ไม่มีคนไปกินเป็นเพื่อนด้วย"

"อ๋อ งั้นเอาขนมจีบอีกสักสองไม้ไหมล่ะ จะได้อิ่มๆ"

"พอเหอะ! จะขายให้ผมคนเดียวทั้งตู้เลยหรือไง"

ผมคุยกับตามที่หน้าเคาน์เตอร์อยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งมีลูกค้าคนอื่นมาต่อแถวรอจ่ายเงิน ตามจึงรีบคิดเงินให้ผมก่อน มองดูตามหยิบจับสินค้าและคิดเงินอย่างคล่องแคล่วดูชำนาญ เดาว่าคงทำงานที่นี่มานานแล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจ เคยถามแล้วแต่อีกคนไม่ตอบ ทำไม่ไปหางานประจำทำ ถ้าหากว่าผมมีชีวิตอยู่แล้วเห็นตามวิ่งทำงานพาร์ทไทม์ที่นั่นที่นี่แบบนี้ผมคงจะบ่นจนตามหูชาแน่ๆ เลย

ผมบอกลากับตามเพื่อปล่อยให้อีกคนได้ทำงาน ส่วนตัวเองเดินออกมาที่หน้าร้าน มีเก้าอี้ให้นั่งพอดีเลยหย่อนตัวลงตรงนั้น ฉีกซองไข่ต้มใส่ไปในถ้วยมาม่าที่เส้นพองได้ที่แล้ว จากนั้นก็ลงมือกินทันที ความหิวบวกกับการที่ไม่ได้กินของแบบนี้มาเกือบสามปี อาหารง่ายๆ แบบนี้ก็กลายเป็นอร่อยจนแก้มปริ ได้ขนมจีบกุ้งไปอีกสองไม้ก็อิ่มแปล้

หลังจากกินเสร็จ ผมก็ตั้งใจจะกลับบ้าน ชะเง้อหน้าไปมองตามที่กำลังทำงานอยู่จึงไม่ได้บอกลาเพราะไม่กล้าเข้าไปรบกวน ผมเดินกลับบ้านทางเดิม ในความมืดยังพอมีแสงไฟริมทางกับรถที่ขับผ่านอยู่บ้างจึงไม่รู้สึกกลัว จนกระทั่งมาถึงถนนก่อนเข้าหมู่บ้าน ไม่มีรถสักคันแถมยังเงียบจนผมได้ยินแค่เสียงฝีเท้าของตัวเอง

ผมก้าวเท้าให้ไวกว่าเดิมนิดหน่อย เพื่อที่จะให้ถึงบ้านเร็วๆ แต่ในตอนที่กำลังก้าวเท้าให้ไว ผมได้ยินเสียงฝีเท้าของอีกคนดังมาจากด้านหลัง เมื่อผมหยุดเดินกะทันหัน เสียงนั้นก็หยุดไปด้วย เกิดเป็นความกลัวจนหัวใจเต้นตึกตัก ผมก้าวเท้าเร็วขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง คนด้านหลังก็วิ่งตาม สองขาของร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงวิ่งได้ไม่เร็วเท่าที่ใจคิด ผมสะดุดกับขาตัวเองจนล้มกลิ้งในตอนที่คนข้างหลังตามมาถึงตัวพอดี

"จะหนีไปไหน"

"..."

"มีเงินไหม"

"..."

ผมได้แต่อึกอัก ขยับตัวถอยหลังหนีชายร่างสูงที่ค่อยๆ ก้าวเท้าเข้ามาใกล้ๆ ไม่มีใครผ่านมาทางนี้เพื่อให้ผมขอความช่วยเหลือเลย หัวใจผมเต้นแรงกว่าเดิมตอนที่สองมือของชายคนนี้ตรงเข้ามาจับตรงนั้นตรงนี้เพื่อหากระเป๋าสตางค์ ในที่สุดกระเป๋าสตางค์ในกระเป๋ากางเกงก็ถูกอีกฝ่ายดึงเอาไปจนได้ ผมไม่มีแรงแม้แต่จะตะโกนเรียกขอความช่วยเหลือ หรือกระทั่งลุกขึ้นวิ่งหนี ร่างกายแข็งทื่อจนเกือบหยุดหายใจ

"มีแค่นี้เหรอ"  มันว่าพลางดึงเงินในกระเป๋าสตางค์ของผมใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง

"..."

"ถามก็ตอบสิวะ"

ผมร้องไห้แทนที่จะตอบคำถามของมัน ความรู้สึกเดียวที่มีในตอนนี้คือความหวาดกลัว ผมจึงพูดออกไปได้แค่นั้น

"ผมกลัวแล้ว"

"..."

"อย่าทำอะไรผมเลย"

"พลีส!"

ตาม...

"มึงทำอะไรวะ!"

"เหี้ยเอ๊ย!" เสียงสบถของชายคนนี้ดังลั่นก่อนที่มันจะโยนกระเป๋าสตางค์ใส่หน้าผมแล้ววิ่งออกไป ไวเกินกว่าที่ตามจะวิ่งตามไปได้ทัน ตามจึงละความสนใจจากมันแล้วรีบหันกลับมาหาผม

"พลีส"

"เธอ เรากลัว! ช่วยเราด้วย เรากลัว" ผมบอกกับตามทั้งที่ยังร้องไห้ฟูมฟายไม่หยุด สติหลุดหายจนไม่ได้สนใจว่าผมใช้สรรพนามไหนกับตาม กระทั่งตามเองก็คงจะไม่ได้สนใจเพราะสถานการณ์ในตอนนี้ที่ผมกำลังกลัวจนรีบโผเข้ากอดเขาเอาไว้แน่น ตามจึงต้องปลอบผมก่อน

"ไม่เป็นไรนะพลีส"

"เรากลัว"

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

"เรากลัวจริงๆ"

"พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร"

ลมหายใจติดขัด เจ็บปวดที่หน้าอกจนเหมือนแทบจะขาดใจ มันไม่ใช่ความผิดปกติทางร่างกายที่ส่งผลให้ผมมีอาการแบบนั้น แต่มันเป็นเพราะความเจ็บปวดในอดีตที่กำลังตอกย้ำด้วยความทรงจำ ภาพเหตุการณ์ในวันตายของผมวนมาฉายซ้ำ แม้ไม่ต้องย้ำเตือน ก็ฝังใจไม่เคยลืม...

 

...ว่าวันนั้นผมตายยังไง

 

To be continued.

 

หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Evilkun ที่ 15-05-2019 20:07:34
ฮืออ แสงถูกฆ่าตายหรอ ;;
ไม่เอาไม่ต้องกลัวนะลูก แงง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-05-2019 21:37:55
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-05-2019 22:12:43
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-05-2019 22:20:00
อ้าว แสงถูกฆ่าตายหรอกหรือ นึกว่าตายเพราะอุบัติเหตุ
ปั้นแอบชอบพลีสหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 15-05-2019 22:48:53
 o13​
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 16-05-2019 00:14:11
ต้องเกี่ยวกับพลีสแน่ๆ การตายของแสง
เพราะแสงคุ้นหน้าของพี่หน่อย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-05-2019 01:41:27
 :a5:

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 17-05-2019 16:14:57
กำลังคิดว่า แสงเทียนตายยังไง อย่าบอกว่าตายเพราะช่วยพลีสไว้นะ
เพราะบางอย่างเป็นโชคชะตา วิญญาณพลีสเลยต้องหลุดออกไป
เพื่อให้แสงได้เข้ามาแก้ไขสิ่งที่พลาดในอดีต หรือจะมาช่วยให้พลีสเข้มแข็งนะ

ชีวิตแสงดีมากเลยล่ะ ถ้าไม่ตายก่อน และไม่ทะเลาะกับตามก่อน
ชีวิตพลีสมีครบ แต่ไม่มีความสุข น้องต้องพยายามตายมากี่ครั้งกันนะ
และพลีสเจออะไรมาบ้างตอนยังอยู่ ตอนนี้วิญญาณน้องไปอยู่ที่ไหน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 6-- 15/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 17-05-2019 23:09:54
เอาาแล้ววววๆๆ อ่านแต่ละคอมเม้นวิเคราะห์แล้วตื่นเต้นหนักกว่าเดิม แสงตายยังไง ที่สงสัยอีกคือแล้วทำไมตามต้องทำพาร์ทไทม์ไม่หางานประจำทำ แล้วปั้นแอบชอบพลีสหรอ โอ้้้ยยยยอยากรู้ทุกเรื่องเลยจ้าแม่
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 21-05-2019 00:02:17
ตอนที่ 7
ใครๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะมีความสุขได้ทั้งนั้นแหละ

 

ผมถูกแทงตายจากการเข้าไปช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งที่กำลังถูกทำร้าย จำเหตุการณ์วันนั้นได้ไม่เคยลืม คมมีดในมือคนร้ายพุ่งตรงมาแทงร่างกายของผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ้อนวอนร้องขอชีวิต

แค่แผลเดียว แต่เป็นแผลลึกและคล้ายกับว่ามีดเล่มนั้นยังคงทิ่มแทงอยู่ในความทรงจำทุกครั้งที่คิดถึงเหตุการณ์ในวันนั้น ผมยังไม่ลืมความเจ็บปวดทรมาน ไม่ลืมความรู้สึกสุดท้ายก่อนที่ความตายจะพรากชีวิตผมไป ไม่ลืมลมหายใจสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะดับสิ้นลง

วันนั้นผมบอกพ่อกับแม่ว่าจะกลับบ้านช้าหน่อย บอกกับสายป่านตอนกินข้าวเช้าด้วยกันว่าจะพาไปดูหนังในวันหยุด ผมทำผิดกับตามและทะเลาะกัน วันสุดท้ายของชีวิตผมจบลงไปแบบนั้นและหลายสิ่งหลายอย่างยังคงค้างคา ผมเผลอคิดไปเองว่า เพราะความค้างคาเหล่านั้น มันจึงเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมยังอยู่ตรงนี้

"พลีส"

"..."

"ไม่เป็นอะไรแล้วนะ"

ผมเหลือบตาขึ้นมองตามที่ถามขึ้นมาเบาๆ พลันตั้งสติได้ก็เห็นว่าตัวเองกอดตามเอาไว้แน่น สองมือของตามก็โอบร่างของผมเอาไว้เช่นกัน ผมขยับตัวออกจากอ้อมกอดของตาม ยกมือเช็ดน้ำตาที่ไหลนองใบหน้า กระทั่งตามถามขึ้นมาอีกครั้ง

"โอเคไหม"

"โอเคครับ"

"โอเคแบบที่มือยังสั่นอยู่น่ะเหรอ"

ผมหลุดยิ้มออกมาตอนที่ตามเห็นความผิดปกติของมือทั้งสองข้างที่ยังคงสั่นด้วยความหวาดกลัว ก่อนที่ความอบอุ่นของฝ่ามือตามจะยกขึ้นมาจับมือทั้งสองข้างของผมเอาไว้

"ไม่ต้องกลัวนะ"

"..."

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

คำปลอบโยนของตามทำให้ใจผมสงบลงได้ จนกระทั่งรู้สึกโอเคแล้วจริงๆ ตามจึงพาผมกลับบ้าน ขณะที่มือข้างหนึ่งยังจับมือของผมเอาไว้ไปตลอดทาง ความอุ่นใจทำให้ผมสบายใจขึ้น เมื่อนึกขึ้นมาได้ก็มีคำถามหนึ่งที่เกิดสงสัยขึ้นมา

"พี่ตาม พี่เลิกงานแล้วเหรอ มาได้ยังไง"

"เลิกแล้ว พี่เห็นเรานั่งอยู่ที่หน้าร้านกะว่าเลิกงานจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน แต่เดินออกมาเรียกไม่ทันก็เลยตามมานี่แหละ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่เราจะเดินมาถึงที่บ้านพอดี

"ขอบคุณที่มาส่งนะครับ"

"ไม่เป็นไร แล้ววันหลังอย่าออกไปไหนดึกๆ คนเดียว มันอันตราย รู้เปล่า"

"ครับ"

"เข้าบ้านเถอะ"

ผมตอบกลับด้วยการพยักหน้า แต่ที่ยังไม่ยอมเดินเข้าบ้านก็เพราะว่ามือของตามยังจับมือของผมอยู่ ก่อนอีกฝ่ายรู้ตัวจึงพูดออกมาขำๆ

"อ๋อ ต้องปล่อยแล้วสินะ" ตามทำท่าจะปล่อยมือผมออก แต่กลับเป็นผมที่กระชับมือนั้นให้แน่นกว่าเดิมไม่ยอมปล่อย

"พลีส"

"..."

"มีอะไรหรือเปล่า"

ผมเข้าใจว่า ตามมีคนรักใหม่เข้ามาแทนที่ผมแล้ว ร่างกายผมสูญสลายและความทรงจำของตามอาจกำลังค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ ผมเข้าใจดี แต่สำหรับผมแล้วตามเป็นคนเดียวที่ผมรัก เป็นความทรงจำเดียวที่ผมมี ผมจึงไม่อาจเปลี่ยนใจ

ผมใช้ร่างของพลีสกระทำความผิดด้วยการตรงเข้าไปกอดตามอย่างคนเห็นแก่ตัว อย่างที่เคยบอกไปว่าแม้สัมผัสผ่านร่างกายของพลีส แต่ความรู้สึกเป็นของผม ผมจึงละโมบเก็บเอาความรู้สึกนั้นให้อยู่กับตัวเองได้นานที่สุด มีคำบางคำอยากพูดกับตาม แม้รู้ดีว่าหากพูดเช่นนั้นออกไปตามคงสงสัยและไม่เข้าใจ แต่ความรู้สึกอัดอั้นเกินจะยับยั้ง ผมจึงกระซิบบอกตามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 

"เราคิดถึงเธอนะ"

 

...

 

เย็นวันพุธที่ควรจะได้กลับบ้านเร็ว แต่วันนี้ผมมีนัดกับครูวิชาคณิตฯ เพื่อมาเรียนเพิ่มเติมหลังจากที่สอบตกคราวก่อน ผมมาก่อนเวลานัดประมาณห้านาที แต่มีคนที่มาก่อนแล้วคือไอ้ปั้น มันหันมาเลิกคิ้วใส่ทำหน้าสงสัย ก่อนเอ่ยปากถาม

"มึงมาทำอะไรวะ"

"แล้วมึงมาทำอะไรล่ะ"

"เดี๋ยวนะ มึงสอบตกเหรอ"

"ศูนย์คะแนน" ผมตอบส่งๆ แล้วเลือกที่นั่งที่ห่างจากไอ้ปั้นไปสองโต๊ะ

"ความรู้มึงไหลออกไปจากหัวตอนมึงตกตึกใช่ไหม"

"มึงเลิกพูดเรื่องตกตึกซักทีได้ไหม กูรำคาญ"

"อ้าว ไอ้นี่..."

"มากันครบแล้วใช่ไหม" เสียงครูดังขึ้นก่อนที่ไอ้ปั้นจะออกปากด่าอะไรผม ผมหันไปสนใจครูเพราะประโยคที่เอ่ยมาก่อนหน้า คำว่ามากันครบแล้วในที่นี่หมายถึงผมกับไอ้ปั้นแค่สองคนงั้นเหรอ

"พันธกานต์มานั่งตรงนี้"

"ผมขอนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ"

"กูไม่กัดมึงหรอกน่า" ไอ้ปั้นหันมาบอก ผมหมดทางเลือกจึงต้องหอบกระเป๋าขยับเข้าไปนั่งข้างๆ ไอ้ปั้น ก่อนที่ครูจะเริ่มสอน คิดว่าการสอบตกของผมคงจะสร้างความประหลาดใจให้ครูอยู่ไม่น้อย เพราะครูเอาแต่บ่นว่าเกิดอะไรขึ้นกับนักเรียนตัวท็อปอย่างพันธกานต์ ยิ่งตอนที่ครูสอนผมแบบตัวต่อตัวแล้วผมก็เอาแต่นิ่งเพราะตอบอะไรไม่ได้เลย ยิ่งทำให้ครูแปลกใจ หัวคิ้วชนกันยุ่งเพราะต้องเริ่มสอนผมใหม่ตั้งแต่ต้น นับถือความอดทนของครูที่ใจเย็นกับคนหัวช้าอย่างผมแล้วค่อยๆ สอนไปทีละขั้นทีละตอนอย่างช้าๆ แต่ก็อย่าลืมอย่างที่เขาว่ากัน ความอดทนของคนมันก็มีจำกัดนั่นแหละเนอะ

"อันนี้เราเรียนกันไปแล้วตอนม.สี่ไงครับ"

"โห่ ครู เรียนตั้งแต่ม.สี่ผมจำไม่ได้หรอกครับ"

"งั้นลองทำโจทย์พวกนี้ดู"

"ยากจังเลยครับครู ไม่เข้าใจสักข้อ"

"แต่นี่มันข้อสอบของเทอมที่แล้ว ที่เธอทำได้คะแนนเต็มไง"

"เหรอครับ ไม่คุ้นเลย"

"พันธกานต์! มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอเนี่ย!"

ขอบเขตของความอดทนจบลงในทันทีตอนที่ชื่อผมถูกเรียกด้วยเสียงดังที่ดูออกว่ามันเต็มไปด้วยความโมโห

"พักสิบนาทีก็แล้วกัน เดี๋ยวมาเริ่มกันใหม่" ครูถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไอ้ปั้นหันมาหัวเราะเยาะผม แล้วยกมือขึ้นตบท้ายทอยผมเบาๆ

"ไปกินหญ้าไป ไอ้ควาย"

ผมยกมือทำท่าจะทุบมัน แต่มันลุกหนีได้ทันซ้ำยังใช้นิ้วจิ้มหน้าผากผมจนหน้าเกือบหงายก่อนจะเดินออกไปนอกห้อง ผมตั้งใจใช้สิบนาทีที่ครูให้พักหาวิธีออกจากร่างพลีสให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นชีวิตทางการศึกษาของพลีสคงได้พังพินาศแน่นอน...ถ้าโดดตึกอีกรอบ วิญญาณจะออกจากร่างไหมนะ

 

"ครืด...ครืด..."

 

ผมหันขวับมองมือถือของไอ้ปั้นที่วางทิ้งเอาไว้บนโต๊ะ หน้าจอแสดงรายชื่อคนโทรเข้ามาว่าเป็นแม่ ผมชะโงกหน้ามองออกไปข้างนอก ไม่เห็นว่ามันอยู่ตรงนั้นจึงไม่ได้เรียก ปล่อยให้มือถือสั่นอยู่อย่างนั้นก่อนวางสายไปเอง แต่ครู่หนึ่งก็โทรเข้ามาอีก จึงเดาว่าน่าจะมีธุระสำคัญ ผมจึงถือวิสาสะกดรับแทน

(ข้าวปั้น! อยู่ไหน)

"ปั้นไปเข้าห้องน้ำครับแม่ ลืมโทรศัพท์ไว้" ผมตอบกลับแม่ของไอ้ปั้นตอนที่เกือบจะหลุดขำชื่อของมันที่แม่เรียก ข้าวปั้น...หึ!

(อ้าวเหรอ ที่โรงเรียนมีงานอะไรหรือเปล่าลูก ทำไมข้าวปั้นกลับบ้านช้าจัง)

"มีเรียนซ่อมครับ พอดีผมกับปั้นสอบตกวิชาคณิตครับ"

(ข้าวปั้นสอบตก!)

"ครับ"

(ไม่คิดจะบอกแม่เลยนะ! งั้นถ้าข้าวปั้นมา ฝากบอกว่าเลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้านเลยนะลูก)

"ครับๆ เดี๋ยวบอกให้ครับ"

ผมกดวางสายในตอนที่ไอ้ปั้นเดินกลับเข้ามาพอดี มันเบิกตาขึ้นนิดหนึ่งเมื่อเห็นว่าผมกำลังถือโทรศัพท์ของมันอยู่

"มึงทำอะไรวะ"

"แม่มึงโทรมา กูเลยรับแทน"

"เสือก"

"เอ้า! กูเห็นแม่มึงโทรหลายรอบ คิดว่ามีเรื่องสำคัญ"

"แล้วแม่ว่าไง"

"บอกให้ข้าวปั้น กลับบ้านเร็วๆ นะลูก"

"ไอ้พลีส!"

"เลิกเรียนแล้วกลับบ้านเลยนะครับข้าวปั้น" ผมแกล้งกวนตีนด้วยการเรียกชื่อเต็มๆ ของมันที่ดูน่ารักเกินกว่าจะเป็นชื่อของไอ้ยักษ์นี่ อีกฝ่ายก็ดูโมโหจนหน้าบูด

"แล้วมึงบอกแม่กูไปว่ากูทำอะไรอยู่"

"ก็บอกว่าเรียนซ่อมคณิตฯ ไง จะให้กูบอกว่ามึงไปสำรวจดาวอังคารกับองค์การนาซ่าหรือไง"

"มึงบอกแม่ว่ากูสอบตก!"

"เยส"

"ไอ้พลีส!"

"เฮ้ย!" ผมลุกพรวดกระโดดหนีไอ้ปั้นที่ตรงเข้าใส่ด้วยความโมโห หลบกำปั้นของมันที่กำลังจะยกมือทุบผมได้อย่างหวุดหวิด ผมกระโดดข้ามโต๊ะไปอีกฝั่งตอนที่ไอ้ปั้นกำลังจะวิ่งตาม วิ่งไล่กันไปมาในห้องเรียนอย่างโกลาหล

"มึงหยุดเลยนะไอ้พลีส!"

"ไม่หยุดครับข้าวปั้น"

"เลิกล้อกูสักที!"

"ไม่เลิกครับข้าวปั้น"

"ไอ้เหี้ยพลีส!" ไอ้ปั้นคำรามลั่น กระโดดข้ามโต๊ะมาดึงคอเสื้อผมเอาไว้ได้พอดี ก่อนที่เราทั้งคู่จะพากันล้มคว่ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ ผมหลับตาแน่นตอนที่ล้มลง คิดว่าหัวคงกระแทกพื้นแน่ๆ จึงหลับตาแน่นรอคอยความเจ็บปวด แต่...

 

"ฟึ่บ!"


 

ไม่เจ็บสักนิด

ผมลืมตาขึ้น กระพริบตาถี่งุนงงว่าทำไมถึงไม่เจ็บจนได้คำตอบว่า ฝ่ามือของไอ้ปั้นสอดเข้ามารองหัวผมเอาไว้ก่อนที่จะกระแทกกับพื้น ส่วนแขนอีกข้างของมันยันกับพื้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ร่างของมันล้มมาทับร่างของผมที่ล้มลงไปกับพื้นก่อน เป็นการล้มที่ดูเหมือนฉากละครมากๆ จนรู้สึกว่ามันพิลึกแปลกๆ

ใบหน้าของผมกับไอ้ปั้นอยู่ในตำแหน่งที่เราจะมองหน้ากันได้พอดี ต่างฝ่ายต่างเงียบจนกระทั่งผมเอ่ยปากพูดประโยคแรก

"ข้าวปั้น"

"อะไร"

"ถ้ามึงมองกูอีกหนึ่งวินาที มึงจะตกหลุมรักกู"

"พ่อมึงดิ!" มันตะโกนลั่นแล้วดีดตัวเองออกไปจากตัวผม ยกมือปัดเสื้อสองสามทีแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ ผมยันตัวเองขึ้นมาพร้อมเสียงหัวเราะแล้วเดินไปนั่งข้างๆ มัน

"ที่แกล้งกูทุกวันเนี่ย ชอบกูล่ะสิ"

"มึงพูดอะไรของมึง ปัญญาอ่อน มึงมันบ้า ไอ้โรคจิต..."

"ขอบคุณนะ"

คำพูดของไอ้ปั้นหยุดชะงักตอนที่ผมพูดคำขอบคุณแทรกขึ้นมา

"ขอบคุณอะไร"

"ที่มึงเอามือรองหัวกูไว้เมื่อกี้ ไม่อยากให้กูเจ็บใช่ไหมล่ะ"

"กูแค่ไม่อยากให้กบาลมึงแตกอีกรอบ ไม่งั้นสมองมึงคงไหลจนความรู้หายหมด ต้องมานั่งเรียนใหม่กับกูอีก กูรำคาญไม่อยากเห็นหน้ามึง เข้าใจไหม!"

"อ๋อเหรอ" ผมเบ้ปากใส่ไอ้ปั้นที่ร่ายยาว ก่อนที่ครูจะเดินกลับเข้ามาพอดี วิชาเรียนเพิ่มเติมดำเนินต่อไปโดยที่ผมก็ไม่เข้าใจอะไรเหมือนเดิม เราเรียนกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหกโมงเย็นจึงเลิก แน่นอนว่าเวลาแค่สองชั่วโมงที่ผ่านมาไม่เพียงพอสำหรับบทเรียนที่ผมไม่เข้าใจเลย จึงมีนัดสำหรับวันต่อไปอีกครั้ง

พอรู้ตัวว่าต้องมานั่งเรียนคู่กันอีก ไอ้ปั้นก็แสดงอาการไม่พอใจด้วยการทำหน้ายุ่งๆ ใส่ผม ผมเดินออกจากห้องพร้อมไอ้ปั้น ในตอนที่มันก้าวเท้าออกจากประตู ผมก็ก้าวเท้าออกไปในจังหวะเดียวกัน ด้วยร่างกายใหญ่โตของมัน ชนเข้ากับความบอบบางของร่างกายพลีส ผมจึงเซไปอีกทาง ไอ้ปั้นดึงแขนเสื้อผมเอาไว้ไม่ให้ล้มแล้วหันมาบ่นโวยวาย

"มึงไม่เห็นกูหรือไงวะ!"

"กูตาเล็ก เห็นไหมว่ากูตาเล็ก!" ผมเถียง ชี้ให้ดูตาตี่ๆ ที่แทบจะเป็นขีดเดียวเพราะพลีสได้เชื้อจีนจากพ่อมาเยอะ ไอ้ปั้นส่ายหัวเบาๆ แล้วเดินออกไปก่อน ผมเดินตามมันไปรอรถที่หน้าโรงเรียน ไม่วายจะหันไปแซวเล่นเพราะเห็นหน้าตาตอนโดนแกล้งของมันแล้วตลกเป็นบ้า

"รีบกลับบ้านนะข้าวปั้น คุณแม่รออยู่"

"เลิกกวนตีนกูได้แล้ว"

"ได้ครับข้าวปั้น"

มันคงหมดคำจะด่าจึงได้แต่ยกมือผลักหัวผมเบาๆ แล้วหันไปเห็นรถเมล์คันที่ต้องไปพอดีมันจึงรีบเดินไปขึ้นรถ รถเมล์คันที่ไอ้ปั้นขึ้นขับออกไปก่อนถูกแทนที่ด้วยรถยนต์สีดำคันหนึ่ง กระจกถูกลดลงพร้อมเสียงเรียกจากเจ้าของรถ

"น้อง"

พี่ต่อ...

"ขึ้นมาสิ"

"ครับ?"

"ขึ้นมาเร็ว"

ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วเดินไปเปิดประตูรถพี่ต่อขึ้นไปอย่างว่าง่าย ผมไม่รู้พลีสสนิทกับพี่ต่อขนาดไหน แต่สำหรับผมแล้วก็รู้จักกันพอสมควร เพราะตอนที่มีชีวิตผมก็ไปบ้านตามอยู่บ่อยๆ 

"ทำไมกลับบ้านช้าจังครับ"

"ผมสอบตกก็เลยต้องไปเรียนซ่อมครับ"

"ตกวิชาอะไรครับ"

"คณิตฯ ครับ"

"คณิตเหรอ เอาไว้ว่างๆ พี่มาสอนให้ไหม"

ผมหันมองพี่ต่อที่กำลังยิ้ม ความใจดีมีมากพอสำหรับจะแจกให้ทุกคนบนโลกเลยเหรอครับ ผมกำลังจะปฏิเสธอยู่แล้วเชียวแต่คิดถึงข้อความในไดอารี่ของพลีสแล้วก็ชั่งใจ พลีสจะหาว่าผมวุ่นวายไหมนะถ้าผมจะหาโอกาสให้เขาได้เจอกับพี่ต่อมากกว่าที่จะรอแค่เดือนละครั้ง เนี่ย...ก็ชอบเอาตัวเองไปวุ่นวายเรื่องของคนอื่นถึงได้ถูกแทงตายทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเด็กคนนั้นด้วยซ้ำ พูดแล้วมันก็เจ็บใจอยู่เหมือนกันนะ ถ้าไม่ขี้เสือก ไม่ตายนะเนี่ย

"ตกลงว่าไงครับ ให้พี่สอนไหม"

"ถ้าไม่รบกวนพี่ต่อ ก็ตกลงครับ"

"ฮึ?"

"ครับ?"

ผมทำหน้างง ตอนที่พี่ต่องงก่อน เรางงใส่กันจนกระทั่งพี่ต่อพูดออกมาก่อน

"เรียกพี่ว่าไงนะ"

"ก็...พี่ต่อไงครับ"

พี่ต่อหลุดยิ้มกว้าง สว่างไสวอันตรายไปทุกที่คล้ายกับมีแสงเรืองรองของความหล่อแผ่กระจายเป็นออร่า เพราะเป็นหมอฟันหรือเปล่านะ ถึงได้ยิ้มสวยเป็นบ้าเลย

"เมื่อก่อนเรียกแต่คุณหมอๆ บอกให้เรียกพี่ต่อก็ไม่ยอม วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับน้องเนี่ย"

"จะได้ดูสนิทกันมากขึ้นไงครับ"

"โอเค ถือว่าตกลงกันแล้วนะว่าจะเรียกพี่แบบนี้ ไม่เรียกคุณหมอแล้วนะ"

"ครับ ไม่เรียกคุณหมอแล้วครับ"

พี่ต่อยังคงยิ้ม พาให้ผมต้องยิ้มไปด้วยโดยไม่มีเหตุผล ผมเองไม่ค่อยมีประสบการณ์ด้านความรักซักเท่าไร เพราะตลอดชีวิตก็มีแค่ตามคนเดียว แม้ไม่แน่ใจนักแต่ก็คิดว่าเข้าใจไม่ผิด...พี่ต่อเองก็น่าจะชอบพลีสเหมือนกันนะ

ผมบอกทางให้พี่ต่อขับรถมาส่งที่หน้าบ้านพลีส ก่อนที่จะลงจากรถพี่ต่อก็เรียกผมเอาไว้ก่อน

"น้อง"

"ครับ"

"เดือนหน้ามีนัดเปลี่ยนยางวันที่เท่าไรนะ"

"สิบหกครับ"

"พี่ไม่แน่ใจว่าจะเข้าคลินิกวันไหน อาจจะต้องเลื่อนไปนะ"

"เลื่อนเหรอครับ ถ้างั้นให้พี่ที่คลินิกโทรบอกผมก็ได้ครับ"

"อยากบอกเองอะ"

"ครับ?"

"ขอไลน์น้องได้ไหม ไว้พี่จะไลน์มาบอกเอง"

"อ่า...ได้ครับ"

อย่าหาว่าพี่เสือกเลยนะพลีส...แต่พี่ต่อเป็นหนึ่งในความสุขของพลีส ผมมองเห็นชีวิตของพลีสที่เจ็บปวดมากพอแล้ว ก็เลยคิดว่ามันน่าจะเป็นวิธีที่ทำให้พลีสได้มีความสุขบ้าง เราแลกไลน์กันเสร็จเรียบร้อยก่อนที่พี่ต่อจะส่งมือถือคืนมาให้ แล้วพูดยิ้มๆ

"เจอกันวันที่สิบหกนะครับ"

"อ้าว ก็ไหนว่าเลื่อน"

"ไม่เลื่อนครับ มันเป็นมุกขอไลน์น้อง"

"พี่ต่อ!"

"พี่ร้ายนะ น้องไม่รู้เหรอ"

"อย่าร้ายกับน้องมากนะครับ น้องไม่สู้คน"

"ครับผม"

พี่ต่อยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนผมจะบอกลาพี่ต่อแล้วเดินเข้าบ้าน พลางคิดไปว่าถ้าพลีสกลับมา คงมีอะไรในชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจนน้องต้องตกใจแน่ๆ แต่อีกใจมันก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าพลีสกลับมา ผมก็จะหายไป...กลับกลายเป็นวิญญาณที่ไม่มีตัวตนเช่นเดิม

 

...

 

วันนี้วันอาทิตย์ เป็นเช้าที่ผมอารมณ์ดี ดี๊ด๊าอยากจะออกจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อไปโบสถ์ ไม่สิ เรียกว่าไปเจอตามจะถูกกว่า   

"พลีส"

"ครับ" ผมหันไปตอบรับแม่ที่นั่งอยู่ที่โซฟา พ่อก็เดินออกจากห้องมาพอดีเช่นกัน

"จะออกไปไหน"

"ไปโบสถ์ครับ"

"ไม่กินข้าวก่อนเหรอ"

"ไม่กินครับ"

"แล้วจะไปยังไง ให้พ่อไปส่งไหม หรือว่าโทรตามหน่อย"

"ไม่เป็นไรครับ ผมไปคนเดียวได้"

"แต่ว่า..."

"ไม่ต้องห่วงครับ ผมไปคนเดียวได้จริงๆ ไปนะครับ รักพ่อกับแม่นะ" ผมตัดบท ก่อนตรงเข้าไปกอดพ่อกับแม่พลีสคนละที การกระทำสร้างความแปลกใจจนทั้งคู่ทำหน้าสงสัยออกมาพร้อมกัน ผมยิ้มกว้างให้สองคนที่กำลังงง ก่อนจะวิ่งฉิวออกจากบ้านด้วยความคาดหวังว่าจะได้เจอตามอย่างเร็วที่สุด

แต่ฝันสลาย...

ใช้คำนั้นอธิบายความรู้สึกตอนนี้ก็น่าจะเหมาะสมที่สุด วันนี้ตามไม่มาโบสถ์และผมไม่มีช่องทางที่จะติดต่อเขาได้เลย อารมณ์ดีถูกตีกระเจิงกลายเป็นความผิดหวัง ทั้งๆ ที่อุตส่าห์รอคอยวันอาทิตย์อย่างใจจดใจจ่อแท้ๆ แต่ตามดันไม่มาซะอย่างนั้น ผมนั่งอยู่ในโบสถ์จนจบพิธี ก่อนจะเดินออกมาข้างนอกแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าโบสถ์

"น้องพลีส"

หันขวับไปมองเสียงเรียก ก่อนจะเห็นว่าเป็นพี่หน่อยที่ไม่รู้ว่ามาได้ยังไง ขาก็ยังไม่หายดี หนีบไม้ค้ำยันเดินกระเผลกเข้ามาหา ผมจึงรีบลุกไปประคองพี่หน่อยเข้ามานั่งที่เก้าอี้พลางเอ่ยปากถาม

"พี่หน่อยมาได้ยังไง"

"มาแท็กซี่ค่ะ"

"ขายังเจ็บอยู่เลย มาทำไมครับเนี่ย"

"ก็วันนี้..." พี่หน่อยเว้นช่วงคำพูด ก่อนมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งไม่ยอมพูดต่อ

"วันนี้ทำไมครับ"

"วันนี้หน่อยต้องไปหาคนๆ หนึ่ง เลยอยากมาชวนน้องพลีสไปด้วยกัน ถึงจะรู้ดีว่าน้องพลีสไม่อยากไปแต่หน่อยก็อยากจะมาชวนอีกสักครั้ง น้องพลีสไปกับหน่อยนะคะ ไปด้วยกันนะคะ"

ไม่เข้าใจที่พี่หน่อยพูดเลยสักนิด ไม่รู้ว่าจะต้องไปหาใคร ไม่รู้ว่าควรไปหรือไม่ควรไป แล้วทำไมพี่หน่อยถึงได้คะยั้นคะยอให้ผมไปนักหนา ด้วยความสงสัยและไม่มีคำตอบผมจึงตกลงที่จะไปในที่ที่พี่หน่อยบอกทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปที่ไหน   

พี่หน่อยพาผมนั่งแท็กซี่มาที่วัดแห่งหนึ่ง ก่อนที่จะเดินนำผมไปยังบริเวณหลังวัดซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของโกศบรรจุอัฐิ บรรยากาศคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านของตัวเองเพราะเถ้ากระดูกของผมก็ถูกเก็บไว้ที่นี่เช่นกัน พอได้ใช้ชีวิตเป็นมนุษย์อีกครั้งก็มีอะไรให้ทำเยอะแยะจนเผลอลืมเรื่องบางอย่างไปชั่วขณะ คิดขึ้นมาได้ตอนที่เดินเข้ามาที่นี่...วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของผม

"น้องพลีส"

พี่หน่อยหันมาเรียกในตอนที่ผมหยุดเดินตามเพราะกำลังคิดถึงเรื่องของตัวเองอยู่

"มีอะไรหรือเปล่าคะ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วประคองพี่หน่อยที่พาเดินเข้าไปในนั้นอย่างช้าๆ มาถึงตรงนี้ก็อดถามไม่ได้   

"เรามาหาใครเหรอครับ"

"คนที่น้องพลีสจะไม่มีวันลืมเขาค่ะ"

ขยับหัวคิ้วชนกันนิดหน่อยอย่างไม่เข้าใจ จนกระทั่งพี่หน่อยพาผมมาถึงช่องบรรจุอัฐิหนึ่งที่อยู่เกือบสุดทาง ผมนิ่งไปชั่วครู่เมื่อมองเห็นรูปถ่ายที่หน้าช่องบรรจุอัฐินั้น หัวคิ้วที่ชนกันยังไม่ทันคลายก็ต้องผูกมันให้แน่นกว่าเดิมด้วยความสงสัยไม่มีสิ้นสุด คนที่พี่หน่อยพาพลีสมาหา คนที่พลีสจะไม่มีวันลืม...

 

ทำไมถึงเป็นผมล่ะ...


 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-05-2019 01:42:48
ว่าแล้วเชียว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-05-2019 10:01:07
ผูกพันกันด้วยเรื่องนี้สินะ ชีวิตของแสงที่แลกเพื่อช่วยพลีส
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-05-2019 10:07:09
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 21-05-2019 11:03:35
 :pig4:
o13
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-05-2019 22:09:07
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-05-2019 16:56:48
เกี่ยวข้องกันแบบนี้ จะหลุดพ้นกันยังไงล่ะ
หรือถ้าได้อโหสิให้กันแล้ว แสงเทียนจะหายไป

ตอนนี้พลีสอยู่ที่ไหน ยังวนเวียนอยู่ หรือไปแล้ว

สงสารชีวิตพลีสนะ กดดันทุกอย่างเลย
มีพร้อม แต่ไม่ครบ มีคุณหน่อยก็ช่วยได้ส่วนหนึ่ง

พี่ต่อเป็นคนดีใช่ไหม ที่มาเจอพลีสแบบนี้
และเนียนขอไลน์ไว้แบบนี้ คือจริงจังเนาะ
ข้าวปั้นยังไงล่ะ โดนแซวถึงกับเป๋หรอ 5555

ตอนนี้สงสารแสงเทียน ความทรงจำยังตามมาหลอกหลอน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 7-- 21/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 24-05-2019 11:11:15
แงงงงง ทำไมจบตรงนี้ล่ะ แสงจะได้ออกจากร่างพลีสไหม อยากให้ตามรู้สึกได้ว่าแสงอยู่ในร่างพลีส  อยากให้แสงได้มีโอกาสแก้ไขในสิ่งที่ค้างคา
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 25-05-2019 23:43:11
ตอนที่ 8
จะลืมได้ยังไง หันไปทางไหนก็ยังเป็นเธอ

 

เรื่องวันนั้น ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล ผมจำได้เพียงว่าเด็กนักเรียนคนหนึ่งกำลังถูกทำร้าย ผมพยายามที่จะเข้าไปช่วยจนถูกแทงตายและถูกทิ้งให้จมกองเลือดอยู่อย่างนั้นกระทั่งหมดลมหายใจ มันจึงเป็นค่ำคืนที่มืดมิดและเงียบงันในวันสุดท้ายของชีวิต

ผมไม่ได้เห็นหน้าเด็กคนนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นตายร้ายดียังไง ไม่รู้ว่าความช่วยเหลือของผมจะทำให้เขาปลอดภัยไหม จนถึงวันนี้ครบรอบสามปีผมเพิ่งจะได้รู้ ว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่...และมีชื่อว่าน้องพลีส

"วันที่น้องพลีสถูกคนใจร้ายรังแก พี่เขามาช่วยเอาไว้แต่โชคร้ายที่พี่เขาเสียชีวิต"

"..."

"เขาจึงเป็นคนที่เราจะไม่มีวันลืมค่ะ"

"..."

"ที่ผ่านมา น้องพลีสไม่กล้ามาหาพี่เขา ไม่ว่าหน่อยจะชวนกี่ครั้งก็ไม่เคยมาเลย"

"..."

"รู้สึกผิดจนไม่กล้ามาหา กลัวครอบครัวของพี่เขาจะโกรธ น้องพลีสให้เหตุผลแบบนี้อยู่เสมอ แต่วันนี้หน่อยดีใจนะคะที่น้องพลีสตัดสินใจมา พี่เขาไม่โกรธหรอก ดูสิคะ พี่เขายิ้มให้เราด้วย"

พี่หน่อยชี้ไปที่รูปถ่ายของผม เป็นไปอย่างที่พี่หน่อยพยายามจะบอก ผมไม่เคยคิดโกรธเด็กคนนั้นเลย แน่นอนว่ามันก็มีบ้างบางครั้งที่ผมรู้สึกเสียดายชีวิต เสียดายที่ตายเร็ว เสียดายที่ยังไม่ได้ทำอะไรอีกตั้งมากมาย แต่พลีสไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ผมต้องตาย คนใจร้ายคนนั้นต่างหากที่ไม่มีหัวใจ ทำร้ายพวกเราอย่างไร้ความปราณี

ในตอนนี้ที่รู้ว่าพลีสยังมีชีวิตอยู่ ผมกลับดีใจด้วยซ้ำไป อย่างน้อยๆ ความช่วยเหลือของผมก็ดูเหมือนจะมีประโยชน์ เพื่อให้อีกคนได้มีชีวิตอยู่ต่อก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ตายฟรี 

ผมพบคำตอบที่เคยสงสัยว่าทำไมพี่หน่อยถึงหน้าตาคุ้นๆ พี่หน่อยเคยมาหาผมที่นี่และไปหาพ่อกับแม่ที่บ้าน ตอนนั้นผมไม่ทันได้สนใจอะไรคิดว่าเป็นเพื่อนของพ่อกับแม่ที่ผมไม่รู้จัก

ผมมีคำถามเยอะแยะผุดขึ้นมาในหัวเกี่ยวกับพลีส ลังเลว่าจะถามพี่หน่อยดีไหม กลัวว่าพี่หน่อยจะสงสัยว่าทำไมพลีสถึงอยากรู้เรื่องของตัวเอง แต่เหตุผลที่ความจำสับสนยังคงใช้งานได้อยู่ ผมจึงตัดสินใจที่จะถามออกไป

"พี่หน่อยครับ"

"คะ"

"เพราะเรื่องวันนั้น ทำให้ผมต้องหยุดเรียนไปใช่ไหมครับ"

"ใช่ค่ะ เพราะสภาพจิตใจของน้องพลีสแย่มากจึงต้องหยุดเรียน น้องพลีสเอาแต่ขังตัวเองไว้ในห้อง ไม่ยอมพูดจากับใคร คนดีของหน่อยที่เคยสดใสและยิ้มเก่ง น้องพลีสคนเดิมคนนั้น ไม่กลับมาหาหน่อยอีกเลย"

"..."

"ช่วงนี้หน่อยเห็นน้องพลีสยิ้มบ่อยๆ ก็เลยดีใจ หน่อยอยากให้น้องพลีสมีความสุขค่ะ"

ผมก็อยากให้พี่หน่อยดีใจแต่ต้องยอมรับความจริงว่ามันเป็นยิ้มของผม ไม่ใช่ของพลีส หากว่าพลีสกลับมา ผมคิดว่าพลีสก็ยังคงจมดิ่งอยู่กับความเจ็บปวดและเรื่องราวเหล่านั้น พอลองประกอบรวมเรื่องราวระหว่างผมกับพลีส ก็พลันคิดไปว่า การที่ผมเข้ามาอยู่ในร่างของพลีสไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หนึ่งชีวิต หนึ่งวิญญาณ ที่ผูกพันกันโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงทำให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับเรา

"พี่หน่อยครับ ผมขออะไรอย่างหนึ่งได้ไหม"

"อะไรคะ"

"ถ้าพลีสกลับมา หมายถึง ถ้าผมคนเดิมกลับมา"

"..."

"ช่วยพาผมมาที่นี่อีกครั้ง แล้วบอกกับผมว่าอย่ารู้สึกผิด พี่แสงไม่ได้โกรธ"

"..."

"บอกกับผมว่าให้ผมใช้ชีวิตให้ดี ให้สมกับที่ยังมีชีวิต"

"..."

"บอกให้พลีส...ใช้ชีวิตเผื่อพี่แสงด้วยนะครับ"


 

...

 

ผมแยกกับพี่หน่อยจากที่วัด บรรยากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนทำให้วันนี้ไม่ร้อนอย่างทุกวัน ผมจึงยังคงเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ในความคิดไม่มีจุดหมาย แต่ความรู้สึกในใจพาสองขาเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเอง ผมกำลังจะเดินถึงหน้าร้านกาแฟของแม่แล้ว แต่จู่ๆ ฝนก็ลงเม็ดลงมาซะเฉยๆ ใจหนึ่งคิดจะหาที่หลบฝนก่อน อีกใจก็อยากไปให้ถึงร้านแม่ที่มองเห็นอยู่ตรงหน้า สุดท้ายผมเลือกอย่างหลัง วิ่งฝ่าฝนไปจนถึงหน้าร้านของแม่ พลันสายตามองไปเห็นตามที่กำลังเดินผ่านตรงนั้นพอดี

"ตาม!"

ไม่ใช่ผมแต่เป็นแม่ที่เปิดประตูออกมาเรียก ตามไม่ได้ตอบรับยืนนิ่งอยู่กับที่ให้เม็ดฝนที่ตกลงมาทำเนื้อตัวเปียกปอน ก่อนที่ตามจะหันหลังให้แม่แล้วทำท่าจะเดินออกไป

"ตาม ตามหยุดก่อนลูก"

"..."

"ตาม!"

มือของแม่รั้งตามเอาไว้ไม่ให้เดินหนี 

"เข้ามาข้างในก่อนสิ ตัวเปียกหมดแล้ว"

จนในที่สุดตามก็ยอมเดินตามแม่เข้าร้านไป ในตอนที่ทั้งสองคนหันมาเห็นผมพอดีจึงชวนเข้าไปด้วยกัน ผมนั่งลงที่โต๊ะคนละตัวกับตาม เพราะดูเหมือนว่าแม่มีเรื่องอยากจะคุยกับตาม ผมที่อยู่ในร่างพลีสก็ดูจะกลายเป็นคนอื่นจึงขยับไปนั่งที่อื่น แต่มันก็ใกล้พอที่จะได้ยินบทสนทนาของแม่กับเขา

"ตามเป็นยังไงบ้าง"

"..."

"สบายดีนะลูก"

ไม่มีคำตอบจากตาม และในตอนนั้นประตูร้านก็ถูกเปิดเข้ามาพร้อมเสียงบ่นของสายป่าน   

"ฝนตกทำไมตอนนี้เนี่ย เปียกหมดเลย..." คำพูดหยุดชะงักเมื่อสายป่านหันไปเห็นตามที่นั่งอยู่ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันด้วยใบหน้าที่ดูไม่พอใจนัก คำถามห้วนๆ ถูกกระแทกเสียงใส่คนที่กำลังนั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้น 

"มาทำไม!"

"สายป่าน" เสียงดุของแม่ไม่มีผลต่อสายป่าน น้ำเสียงที่ฟังดูคับแค้นใจถูกพูดออกมาตรงๆ   

"เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับครอบครัวเราแล้ว จะมาทำไม"

"..."

"คิดว่าลืมพี่แสงไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่เคยโผล่หน้ามาหาพี่แสงสักครั้ง จะมาเอาตอนนี้ไม่คิดว่ามันสายไปหน่อยเหรอคะ!"

"สายป่าน ขึ้นห้องไป!" เสียงของแม่ดังกว่าเดิม ก่อนที่สายป่านจะหันมองตามตาขวางด้วยความไม่พอใจ แล้วเดินขึ้นห้องไปตามคำสั่งของแม่

ผมรู้ว่าน้องโกรธแทนผม การหายหน้าไปของตามหลังจากที่ผมตายจึงทำให้สายป่านไม่พอใจ เคยได้ยินน้องพูดกับแม่หลายครั้งว่าพี่ตามใจร้าย ไม่ยอมมาหาผมเลย

"ไม่ต้องไปสนใจสายป่านหรอก น้องก็แค่โกรธ อย่าไปถือสาเลย"

"ผมผิดเอง ที่ไม่เคยมาหาแสงเลย" ตามพูดออกมาเป็นประโยคแรกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ผมเข้าใจว่าทำไมตามไม่ยอมมาหาผม ก็เหมือนอย่างที่ผมไม่เคยไปหาตาม

"ไม่ใช่เพราะผมลืมแสงไปแล้ว แต่มันเป็นเพราะ..." คำพูดของตามหยุดชะงัก ก่อนค่อยๆ เอ่ยอีกประโยคที่หยุดค้างออกมาพร้อมกับน้ำตาที่ไหลในจังหวะเดียวกัน

"เพราะผมยังทำใจไม่ได้"

ผมรีบหันหน้ามองออกไปนอกร้านเพื่อไม่ให้ใครเห็นว่าน้ำตาของผมก็กำลังไหลอยู่เช่นกัน ฟังบทสนทนาของแม่กับตามที่กำลังพูดถึงผมก็ไม่อาจจะห้ามความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ได้

"ผมไม่กล้ามาหาแสง ไม่อยากบอกตัวเองให้เชื่อว่าแสงไม่อยู่แล้ว ไม่อยากรับรู้ว่าแสงไม่วันกลับมาแล้ว"

"..."

"ผมคิดถึงแสง"

"..."

"คิดถึงทุกวัน ไม่มีวันไหนไม่คิดถึงเลย"

"..."

"ยิ่งคิดถึงมากเท่าไร ยิ่งย้ำให้ตัวเองรู้ว่าแสงไม่มีวันกลับมา"

"..."

ที่ตามไม่มาหาผม ที่ผมไม่ไปหาตาม เพราะความรู้สึกโหยหาอาวรณ์ที่เรามีต่อกันมันทรมานเกินไป เราหลบเลี่ยงด้วยการไม่ขอพบหน้า แต่ไม่ได้แปลว่าเราต่างคนต่างทำใจได้

"ผมยังรักแสง แต่แสงไม่อยู่แล้ว"

"ไม่เป็นไรนะตาม"

"ถ้าวันนั้น..."

"ตาม"

"ถ้าวันนั้นผมอยู่ด้วย แสงก็คงไม่ต้องจากไปแบบนี้"

"มันไม่ใช่ความผิดของตามนะลูก"

"มันเป็นเพราะผม ทุกอย่างมันเป็นเพราะผม เป็นเพราะผมที่ทำให้แสงต้องตาย"

คำพูดของตามไหลพรั่งพรูพอๆ กับน้ำตาที่กำลังร้องไห้ฟูมฟาย เสียงร้องสะอึกสะอื้นกับถ้อยคำที่เอาแต่พร่ำโทษตัวเอง ทำผมเจ็บปวดแทบจะขาดใจ แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากกำหมัดแน่นจนมือสั่นเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้

"วันนั้นผมน่าจะอยู่ ผมควรจะอยู่กับแสง วันนั้นเราไม่น่าทะเลาะกัน ผมไม่ควรเดินหนีแสงไปเฉยๆ ผมควรจะมาส่งแสงที่บ้านเหมือนทุกวัน ถ้าผมทำอย่างนั้นแสงก็คงไม่ตาย"

"..."

"ถ้าผมอยู่ด้วยแสงก็คงไม่ตาย"

"..."

"ผมขอโทษ"

"..."

"ผมขอโทษครับ" ตามพูดแค่นั้นแล้วลุกออกจากโต๊ะก่อนเดินออกจากร้านไป ผมไม่ทันชั่งใจคิดอะไร แต่ปล่อยให้ตามเดินออกไปทั้งที่ยังร้องไห้หนักขนาดนั้นไม่ได้ จึงลุกตามไปด้วย

ฝนที่ตกลงมากระหน่ำแรงกว่าเดิมเหมือนจะแกล้งกัน ผมวิ่งฝ่าฝนไปหาตามที่เดินนำหน้าผมไปก่อนทรุดตัวลงนั่งริมฟุตบาทท่ามกลางฝนที่กำลังตกหนัก

"เธอ"

เสียงเรียกของผมทำให้ตามเงยหน้าขึ้นมามอง ภาพที่เห็นทำให้ผมไม่อาจจะนิ่งเฉย ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ แล้วกอดตามเอาไว้แน่น ตามยิ่งฟูมฟายไม่ได้สติ ปล่อยน้ำตากับสายฝนให้ไหลปะปนกัน พลางเอาแต่พูดคำว่าขอโทษผ่านเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเจียนจะขาดใจ   

"เราขอโทษ"

"..."

"เราขอโทษ แสง เราขอโทษ"

"มันไม่ใช่ความผิดของเธอ"

"..."

"มันไม่ใช่ความผิดของเธอนะตาม"

ตามยังคงร้องไห้จนไม่ได้สนใจคำปลอบโยนของผมที่จงใจพูดออกไปแบบนั้นโดยไม่สนใจว่าตามอาจจะสงสัยที่ผมใช้สรรพนามผิด มันไม่ใช่คำพูดของพลีสแต่เป็นคำพูดของผม คำพูดที่ผมอยากบอกกับตามมาโดยตลอด

 

"มันไม่ใช่ความผิดของเธอสักนิดเลย"


 

...

 

ผมกลับมาที่บ้านหลังจากอยู่เป็นเพื่อนตามจนกระทั่งเขารู้สึกดีขึ้น แต่พอถึงช่วงเวลากลางคืนผมกลับรู้สึกเป็นห่วงตามอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะผมไม่ได้ไปส่งตามถึงที่บ้าน จึงไม่แน่ใจว่าตามจะกลับบ้านแล้วหรือยัง จะยังร้องไห้ หรือเสียใจอยู่ไหมนะ

หันมองนาฬิกาที่บอกเวลาเกือบสี่ทุ่ม พลันคิดขึ้นมาได้ว่าในเวลานี้ตามน่าจะทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านสะดวกซื้อ คิดได้อย่างนั้นจึงตั้งใจออกจากบ้านไปหาตาม ถนนหน้าหมู่บ้านน่ากลัวนิดหน่อย จนผมเกือบลังเลว่าจะไปต่อดีไหม แต่เพราะความเป็นห่วงเอาชนะความกลัวไปแล้วจึงถอยหลังกลับไม่ได้ รีบก้าวเท้าเร็วๆ จนแทบจะเป็นวิ่งเพื่อให้ผ่านตรงนั้นไป

ผมเดินมาถึงร้านสะดวกซื้อแล้วเข้าไปถามหาตาม แต่พนักงานคนอื่นบอกว่าตามหยุด นั่นยิ่งทำให้ผมเป็นห่วงเข้าไปอีก แต่เพราะไม่รู้ว่าจะติดต่อกับตามยังไงก็ดูเหมือนว่าจะไร้หนทาง ผมเดินออกจากร้านมาหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าร้าน ความคิดมืดแปดด้านจนอยากจะถอนหายใจแรงๆ ออกมาสักที แต่คนข้างๆ ทำแทนไปแล้ว

"เฮ้อ"

ผมหันมองเจ้าของเสียงถอนหายใจที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัว

"สายป่าน"

"อ้าว พี่"

"มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้"

"กินขนมจีบ" ว่าแล้วก็ยกถุงขนมจีบให้ผมดู

"แล้วถอนหายใจซะดังเชียว มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า"

สายป่านพยักหน้ารับ ก่อนอ้าปากกัดขนมจีบเข้าไปทีเดียวสองลูก ไอ้อ้วนเอ๊ย!

"ไม่สบายใจอะไร เล่าให้พี่ฟังได้นะ"

"จริงป่ะคะ พี่มีเวลาฟังเหรอ"

"เรื่องมันยาวมากหรือไง"

"โคตรๆ"

"งั้นเดี๋ยวพี่ไปซื้อป๊อบคอร์นกับโค้กมานั่งกินระหว่างฟังก็แล้วกัน"

"โห่! พี่! ไม่นานขนาดนั้น เดี๋ยวหนูเล่าแบบกระชับๆ"

"อ่าๆ ว่ามา"

"คือหนูมีพี่ชายคนหนึ่ง แต่ว่าเขาตายไปแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าถึงทำตายเร็ว สงสัยรีบมั้ง"

พี่ก็ไม่ได้อยากตายเร็วหรอกโว้ย!

"วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพี่หนู แล้ววันนี้แฟนของพี่ชายหนูก็มาที่บ้าน ไม่รู้ว่ามาทำไม สามปีไม่เคยมาให้เห็นหน้าเลยนะพี่ แล้วอยู่ดีๆ ก็โผล่มา หนูโกรธอะ ก็เลยด่าไปชุดหนึ่ง"

"..."

"แต่หนูไม่รู้ว่าตัวเองพูดแรงไปหรือเปล่า"

"..."

"แต่หนูแค่โมโหอะ พี่เขาน่าจะกลับมาเยี่ยมพี่ชายหนูบ้าง เจอกันครั้งสุดท้ายที่งานศพแล้วหลังจากนั้นเขาก็หายไปแบบไร้ร่องรอยเลย ติดต่อก็ไม่ได้ แค่โทรกลับหรือส่งข้อความมาบอกว่าสบายดีสักคำก็ไม่มี หนูเป็นห่วงเขานะ แต่เขาไม่สนใจอะไรพวกเราเลย เป็นใครใครจะไม่โกรธ พี่ว่าป่ะ?"

"..."

"แต่หนูทำผิดใช่ไหมคะ ที่ว่าพี่เขาไปแบบนั้นโดยไม่ฟังเหตุผลเลย"

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ ยิ้มให้กับความคิดของสายป่านที่ยังรู้จักสำนึกผิด ตอนที่ผมยังมีชีวิต สายป่านกับตามก็สนิทสนมกันดี เด็กอ้วนกับคนขี้แกล้งอย่างตามเข้ากันได้ง่ายจนตอนนั้นไม่แน่ใจเลยว่าสายป่านเป็นน้องของใครกันแน่ นอกจากความโกรธแล้ว ผมคิดว่าสายป่านคงรู้สึกผิดหวังในตัวตาม จึงพูดออกไปแบบนั้นแล้วก็มานั่งรู้สึกผิดอยู่ตรงนี้

"เอาไว้วันหลัง เราก็ไปขอโทษเขาสิ"

"เขาคงโกรธหนูไปแล้ว"

"เขาไม่โกรธหรอก"

"พี่รู้ได้ไง"

"ก็รู้จักตามดี"

"อ้าว พี่รู้จักพี่ตามด้วยเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่สายป่านจะยิ้มออกมานิดๆ

"งั้นเดี๋ยวหนูจะไปขอโทษพี่เขานะคะ"

"ดีมากอ้วน" ด้วยความพลั้งเผลอ ผมหลุดปากเรียกสายป่านแบบนั้นยังไม่พอ ยังยกมือตัวเองขึ้นไปขยี้หัวน้องเบาๆ อย่างที่เคยชอบทำ อีกฝ่ายทำตาโตมองหน้าผม เมื่อรู้ตัวจึงรีบชักมือออกแล้วแก้ตัวไปแบบข้างๆ คูๆ

"คือ...คือพี่ติดนิสัยชอบจับหัวคนอื่น แล้วก็...แล้วก็เอ่อ...ชอบเรียกคนที่อายุน้อยกว่าว่าอ้วน"

"ใช่ พี่เคยเรียกหนูว่าอ้วนไปแล้วครั้งหนึ่งในโรงอาหาร"

"ขอ...ขอโทษ"

"ไม่เป็นไร ไม่ได้โกรธเลย แต่จะว่าไปหนูยังไม่รู้จักชื่อพี่เลยนะ พี่ชื่ออะไรเหรอ"

"พลีส"

ไม่ใช่ชื่อผมด้วยซ้ำแต่จำเป็นต้องพูดออกไปเช่นนั้น คล้ายว่าทุกอย่างกำลังย้ำเตือน นี่คือพลีส...ไม่ใช่แสง ไม่ใช่เลย

"โอเค พี่พลีส งั้นหนูกลับบ้านก่อนนะคะ ดึกแล้ว"

"สายป่าน"

"คะ?"

"ขอกอดหน่อยสิ"

"กอด? คือ...พี่จะกอดหนู แบบ...หนูกับพี่กอดกัน?"

"อือ สายป่านเหมือนน้องสาวพี่ที่ไม่ได้เจอกันนานแล้ว ก็เลยคิดถึงน้องน่ะ อยากกอดสักครั้ง..."

มุมปากของสายป่านขยับเป็นรอยยิ้มก่อนจะอ้าแขนให้ผมกอดแล้วพูดกับผมขณะที่เรายังกอดกันอยู่

"บางทีเวลาที่หนูคุยกับพี่ ก็เหมือนได้อยู่กับพี่ชายหนูเหมือนกัน"

เพราะประโยคนั้นทำให้ผมกระชับกอดสายป่านให้แน่นกว่าเดิม พลางโต้ตอบบางคำอยู่ในใจ

ก็พี่เองไง...พี่เองนะอ้วน

 

สายป่านกลับบ้านไปแล้วแต่ผมยังนั่งอยู่ที่เดิมเพราะติดฝนที่ตกลงมาอีกรอบ ขณะกำลังนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเสียงไลน์จากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา เห็นว่าเป็นไลน์จากไอ้ปั้นก็เลยกดเข้าไปดู

 

ปั้น : กูทำรายงานส่วนของกูเสร็จแล้ว ดูด้วยว่าโอเคไหม

ปั้น : ถ้าไม่โอเค มึงแก้เองนะ

 

ความกวนของไอ้ปั้นทำเอาผมหลุดสบถคำหยาบอยู่ในใจบ่อยครั้ง ไอ้เด็กนี่มันกวนตีนจริงๆ ผมส่งสติกเกอร์กลับไปตัวหนึ่ง แล้วกดออกจากไลน์ เลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปๆ มาๆ ก่อนสายตาไปจ้องอยู่กับแอพลิคชั่นเฟซบุ๊ก

ยังจำรหัสเฟซบุ๊กตัวเองได้อยู่ไหมนะ ถ้าอย่างนั้นนี่อาจจะเป็นช่องทางที่ทำให้ผมติดต่อกับตามได้ก็ได้นะ แต่...แสงตายไปแล้วนะ ถ้าขึ้นสถานะออนไลน์คนไม่ตกใจแย่เหรอวะ ผีเล่นเฟซบุ๊กเนี่ยนะ...ไม่รู้ด้วยแล้ว!

ผมคิดเพียงแค่ว่าจะใช้มันเพื่อดูความเคลื่อนไหวของตามเผื่อว่าจะมีอะไรให้เห็นบ้าง จึงออกจากระบบบัญชีของพลีสแล้วเข้าบัญชีตัวเองแทน กดเข้าไทม์ไลน์เฟซบุ๊กของตามอย่างไวแต่ไม่มีอะไรเลย เฟซบุ๊กร้างเป็นป่าช้า โพสท์ล่าสุดก็เมื่อปีก่อน ตามเลิกเล่นไปแล้วหรือไง ผมกดเข้าไปดูในช่องแชทข้อความ บทสนทนาสุดท้ายระหว่างผมกับตามทำให้ผมยิ้มออกมาตอนที่เลื่อนอ่าน ยังคงยิ้มในประโยคถัดไปแต่น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว...คิดถึงตาม คิดถึงช่วงเวลานั้น

ผมยกมือเช็ดน้ำตาพลางตั้งใจจะกดปิดแชทนั่นแต่พลันมือไวของตัวเองก็สร้างความชิบหายด้วยการไปแตะโดนเข้ากับปุ่มไลค์ในช่องแชท ส่งนิ้วโป้งนิ้วหนึ่งไปหาตามเรียบร้อย

เวรแล้ว! 

ผมลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจ ในใจเอาแต่ถามว่าทำยังไงดีวะ ทำยังไงดี ซวยแล้ว!

"เขี้ยวกุด!"

ผมหันขวับมองเสียงเรียกที่ดังลั่น คนที่กำลังคิดถึงปรากฏตัวตรงหน้าพอดี ผมหันไปมองตามที่เดินเข้ามาหา จึงละความสนใจจากเฟซบุ๊กนั่นรีบยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อน

"พี่ตาม"

"ใช่ครับ พี่ตามเองครับ"

หัวคิ้วผมขมวดเข้าหากันตอนที่ตามเดินเซๆ เข้ามาหา

"พี่เมาเหรอ"

"เละ" ยอมรับกันตรงๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งจนอยากจะถามว่ากินเข้าไปหรือเอามาอาบกันแน่

"บอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ให้กินเหล้า"

"อะไรนะ"

"เปล่าๆ แล้วทำไมไม่กลับบ้านล่ะครับ"

"กลับไม่ไหว นอนตรงนี้แหละ"

"เฮ้ย! เธอ!" ผมโวยลั่นตอนที่ตามทิ้งตังลงนอนแล้วเอาหัวมาหนุนตักผม กำลังจะบอกให้ตามลุก แต่เสียงเบาๆ ของตามเอ่ยบอกกับผมก่อน

"ขอห้านาที"

"..."

"แค่ห้านาที"

คำพูดนั้นหยุดทุกความคิดของผมแล้วปล่อยให้ตามนอนหลับตาอยู่บนตัก ดูเหมือนว่าจะหลับไปจริงๆ เพราะนิ่งสนิท เลยปล่อยให้นอนอย่างนั้นไปก่อน ในตอนนั้นพลันสายตาผมมองไปเห็นโทรศัพท์ของตามที่ยื่นออกมาจากกระเป๋ากางเกง ผมโบกมือตรงหน้าตามเพื่อให้แน่ใจว่าหลับจริงๆ แล้วค่อยๆ ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์ของตามออกมาช้าๆ 

พ่นลมหายใจอย่างแผ่วเบาตอนที่โทรศัพท์นั่นอยู่ในมือผมแล้ว โชคดีที่ตามใช้รหัสเดิมจึงกดเข้าไปได้ง่ายๆ ผมตั้งใจจะรีบหาแอพพลิเคชั่นแมสเซนเจอร์แล้วลบนิ้วโป้งที่กดส่งไปให้ตามเมื่อครู่ แต่ความสนใจทั้งหมดกลับไปจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ ตามยังใช้รูปของผมเป็นภาพหน้าจออยู่เลย ก่อนที่น้ำตาจะไหลหรือว่าตามจะตื่น ผมรีบกดเข้าแอพฯ แล้วลบแชทที่ตามยังไม่ได้อ่าน ให้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"เขี้ยวกุด"

"ครับ!" ความตกใจทำให้เผลอตอบรับเสียงดัง ก่อนที่ตามจะลุกขึ้นจากตักแล้วมองมาที่โทรศัพท์ตัวเองในมือผม

"ขโมยโทรศัพท์พี่เหรอ"

"เปล่าซะหน่อย!"

"แล้วเอาไปทำอะไร"

"จะโทรหาพี่ต่อ ให้มารับพี่ไง พี่จะนอนตรงนี้หรือไง!" เสียงดังขู่ไว้ก่อน จะได้ดูไม่มีพิรุธ

"ไม่ต้องโทร พี่กลับเองได้" ตามว่าแล้วแบมือขอโทรศัพท์คืน ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าจะเดินออกไป ได้แค่ก้าวเดียวก็เซถลาไปอีกทาง โชคดีที่ผมโผเข้าไปรับไว้ได้ทัน

"พี่เมามากเลย ให้ผมไปส่งที่บ้านดีกว่า"

ตามไม่ปฏิเสธ คงเป็นเพราะรู้ตัวว่าเดินไปสภาพนี้คงไม่ถึงบ้านแน่ๆ จึงยอมให้ผมไปด้วย ผมกำลังจะเรียกแท็กซี่แต่ถูกตามห้ามเอาไว้ บอกว่าใกล้ๆ เดินไปได้ แต่เท่าที่ผมรู้ บ้านตามไกลจากตรงนี้มาก ถามไปถามมาจึงได้ความว่าตามอยู่ที่หอ ไม่ได้อยู่ที่บ้าน และเมื่อตามพูดชื่อหอของตัวเองออกมา ผมก็รู้ทันทีว่ามันเป็นที่เดิมที่เราเคยอยู่ด้วยกัน

"เขี้ยวกุด พี่ต้องไปซื้อดอกไม้"

"ดอกไม้?"

"อือ ดอกไม้"

"ไว้ซื้อพรุ่งนี้ก็ได้"

"ไม่ได้ ต้องวันนี้"

ดื้อจะไปหาซื้อดอกไม้ให้ได้ ผมจึงต้องพาไปเดินหาร้านดอกไม้ที่ตามเคยซื้อวันก่อน เมื่อได้ดอกไม้ที่ต้องการก็อารมณ์ดีเดินแกว่งถุงดอกกุหลาบพลางพูดคนเดียวเป็นทำนองเพลงมั่วๆ

"กุหลาบสีแดง กุหลาบสีแดงที่แฟนเราชอบ แฟนเราชอบมากๆ เลย"

หึ! เมาแทบตายยังไม่วายต้องซื้อดอกไม้ไปให้แฟน เราหึงได้ไหมเนี่ย!

เราเดินมาถึงหอพักที่เราเคยอยู่ด้วยกันตอนสมัยเรียน จริงๆ บ้านผมไม่ได้ไกลจากมหาลัยเท่าไร แต่มาอยู่กับตามเพราะอีกคนมันอ้อนจนใจอ่อน เอาจริงๆ มันก็สะดวกด้วย เพราะจากตรงนี้เดินไปมหาลัยได้สบายๆ เลย 

เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ผมมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตอนที่ตามยกมือขึ้นเปิดไฟ มันเหมือนเดิมแทบทุกอย่าง ผ้าปูที่นอน โคมไฟ ข้าวของทั้งของตามและของผม ทุกอย่างถูกวางอยู่ที่เดิมราวกับไม่มีใครอนุญาตให้มันเปลี่ยนแปลงไป

มีอย่างเดียวที่เพิ่มเข้ามา คือรูปถ่ายของผมที่วางอยู่บนโต๊ะ หน้ารูปมีดอกกุหลาบสีแดงที่ยังไม่ทันแห้งเหี่ยวปักอยู่ในแจกันแก้วใส ตามใช้มือหนึ่งดึงกุหลาบดอกเดิมออกแล้วใส่ดอกใหม่เข้าไปแทน พลางหันหน้าพูดกับรูปถ่ายของผม

"กุหลาบแดง"

"..."

"ที่เธอชอบ"

น้ำตาที่พยายามกลั้นอยู่นานพลันไหลออกมาเพราะการกระทำของตาม ผมคิดว่าตามจะทำใจได้แล้ว คิดว่าตามคงจะค่อยๆ ลืมเรื่องราวของเราไป คิดว่าตามคงมีคนรักใหม่อย่างที่เคยพูด คิดว่าชีวิตของตามจะเดินไปข้างหน้าโดยที่ไม่มีผม คิดว่าตามจะทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับผมเอาไว้ในอดีต แต่ทุกอย่างไม่ใช่เลย ตามยังทำเหมือนกับว่าผมยังอยู่ที่นี่ ดอกไม้ที่ผมชอบตามก็ยังไม่ลืม แล้วแฟนของตามที่เคยพูดถึงก็ยังเป็นผม ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับตาม...ยังคงเป็นผม

ตามเดินไปเปิดหน้าต่างที่มองออกไปเห็นท้องฟ้ามืดครึ้มด้านนอก หยิบกล้องโพลาลอยด์ตัวเก่าที่ผมซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิด ก่อนจะกดถ่ายรูปท้องฟ้านั่น ตามหยิบรูปถ่ายที่ไหลออกมาจากกล้อง แล้วรอให้ภาพมันปรากฏขึ้นมาเอง แต่เพราะมันเป็นภาพท้องฟ้าตอนกลางคืน จึงมีแต่ความมืดมิดมองไม่เห็นอะไร ตามหยิบสมุดเก็บภาพโพลาลอยด์ที่เราชอบถ่ายด้วยกันประจำ หลังจากที่ผมตายไป ตามก็มีภาพถ่ายโพลาลอยด์เก็บลงในสมุดนั่นจนถึงหน้าสุดท้าย หยิบรูปที่ถ่ายเมื่อครู่เก็บลงในนั้นแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"โลกนี้ไม่มีเธอมาสามปีแล้วนะ"

"..."

"เธอรู้ไหม ท้องฟ้าเวลาไม่มีแสง มันโคตรมืดเลย"

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 26-05-2019 00:33:12
เพื่อนเดินมาเจอ  มันว่า​ บ้าาาาา​ คนอะไรอ่านนิยายแล้วร้องไห้​
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Wanwann ที่ 26-05-2019 01:33:28
 :hao5: ร้องไห้หนักมาก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 26-05-2019 09:27:56
เศร้านะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-05-2019 09:30:30
 o18


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 26-05-2019 12:03:59
ฮือออออออออออออออ ร้องห้ายยยยยยยย เจ็บปวดดดดดด  การต้องอยู่แบบยังทำใจไม่ได้นี่โคตรแย่เลย สงสารทั้งตามทั้งแสง ไม่น่ารีบตายจากกันเลย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 26-05-2019 13:23:12
โครตหน่วงเลย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 26-05-2019 14:26:33
สงสารทุกคนเลย แสงจากไปไว อยากรู้ทำไมแสงถึงมาอยู่ในร่างพลีส ถ้าพลีสกลับมาแสงจะหายไปไหม ติดตามจ้า
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 26-05-2019 14:30:58
ไม่ไหวแล้ววว แงงงงงง อยากให้ตามรู้ว่านั้นคือแสงงงงง มิใช่น้องพลีสสสสสส ฮึก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 26-05-2019 22:03:11
พีคมากอะไรมากค่ะ แบบเศร้าสุดใจเลยล่ะ
แสงเทียนไม่เสียใจที่ได้ช่วยชีวิตคน และดีใจที่เค้ารอด
แต่คนที่อยู่ข้างหลัง ทั้งเสียใจและรอคอย แถมยังไปต่อยากอีก
สงสารทุกคนเลยค่ะ ทั้งแสง พ่อแม่ สายป่าน และตาม
ทุกคนที่ยังไม่ลืมว่า ตอนมีแสงเทียน ดีแค่ไหน

พลีสไปอยู่ที่ไหนนะ น้องจะเป็นยังไงบ้าง
น้องจะรู้ไหมว่าแสงไม่เสียใจ และอยากให้น้องใช้ชีวิตต่อไป

หรือนี่คือเวลาที่อยากให้แสงเทียนมาแก้ไขอะไร
ได้บอกลา ได้บอกคำที่ไม่ทันได้บอก น้ำตาไหลพรากแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 26-05-2019 22:08:48
เศร้าอะ แต่ก็ยังอ่าน ไหนฟิลกู้ด ไหน!!!


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 26-05-2019 22:56:29
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 26-05-2019 23:24:01
โอยใจจะขาด สงสารทุกคน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 26-05-2019 23:41:17
อ่านนิยายแล้วร้องไห้ในรอบ 3ปี  บ้าไปแล้ววววว

คนอยู่ก็คิดถึง คนไปก็คิดถึง ทำไมเศร้าขนาดนี้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: kong6336 ที่ 27-05-2019 00:05:59
กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่จริงๆ :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: porjj ที่ 31-05-2019 15:47:36
ทำไมมันเศร้าจังอ่ะ
เราว่าที่แสงยังไม่ไปไหนเพราะยังมีห่วงอยู่แน่เลย
แบบทุกคนยังยึดติดอยู่กับแสง
น้องพลีสจะกลับมาใช่ไหม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-05-2019 16:00:37
มารอจ้ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: gungchan ที่ 31-05-2019 19:16:40
ก็ไม่รู้จะให้กำลังใจใครก่อนดี ทุกๆ คนล้วนพัวฟัน ผูกพัน กับแสง และ พลีส นอกจากนั้น แสงกับพลีสเองก็มีเหตุให้ต้องเกี่ยวข้องมีกรรมต่อกัน เลยทำให้วิญญาณสลับกันแบบนี้
ขำหน่อยๆ ตรงที่แสงมึนจนคิดว่าวิญญาณพลีสมาสิงในร่างของเจ้าหมาน้อย
อ่านมาจนตอนที่๘ เดาว่าพลีสพยายามจะฆ่าตัวตาย ส่วนหนึ่งพลีสเป็นโรคซึมเศร้าด้วยไหม ยังดีที่มีพี่หน่อยเนอะ
ชอบน้องข้าวปั้น กวนๆ น่ารักดี สงสัยจะชอบพลีส ไหนจะ พี่ต่ออีก
 :call:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: koikoi ที่ 31-05-2019 22:55:20
ดิ่งมาก :monkeysad:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 02-06-2019 17:10:02
มายังอ่ะ รอนานละนะครับ อ้อนนักเขียน :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: kungverrycool ที่ 06-06-2019 23:57:11
น้ำตาแตกอีกแย๊ววว  :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 08-06-2019 20:23:29
ตอนที่ 9
กุหลาบดอกนั้นมันหลุดมือไปซะแล้ว

 

เป็นอีกเย็นที่ผมกลับบ้านช้าเพราะต้องไปเรียนวิชาคณิตฯ เพิ่มเติม ที่เก่าเวลาเดิมแต่เพื่อนร่วมชะตากรรมดันโดดเรียน ไอ้ปั้นเอาการซ้อมฟุตบอลมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะไม่ต้องเข้าเรียน ไม่รู้มันจะซ้อมอะไรของมันนักหนา ปีหน้าจะลงแข่งบอลโลกหรือไง เพราะงั้นวันนี้จึงมีแค่ผมคนเดียว การเรียนการสอนแบบตัวต่อตัวในวันนี้ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นแต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีความรู้วิชาคณิตฯ ติดตัวไว้ทำไมในเมื่อตัวเองตายไปแล้ว บางทีถ้ามีสอบครั้งหน้า ผมอาจจะออกไปจากร่างนี้แล้วก็ได้

"วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ แต่ว่าครูมีการบ้านมาให้ เอาไปทำแล้วเอามาส่งครูในคาบหรือที่โต๊ะครูก็ได้"

"ครับ"

"ครูฝากให้ปณิธานด้วยนะ"

ใจก็อยากจะแย้งว่าให้มันมาเอาเองไม่ได้หรือไง แต่ก็กลัวจะดูแล้งน้ำใจจึงรับชีทอีกชุดหนึ่งมาจากมือครูเพื่อเก็บไปให้ไอ้ปั้น

ผมเดินลงจากตึกหลังครูปล่อยให้กลับบ้าน บรรยากาศในโรงเรียนตอนนี้เงียบสงบเพราะนักเรียนกลับบ้านกันหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกนักกีฬาที่ยังซ้อมไม่เลิก ได้ยินว่าจะมีการแข่งขันกีฬาระหว่างโรงเรียนในเขตพื้นที่การศึกษาช่วงนี้นักกีฬาเลยซ้อมกันหนัก  ในตอนที่ผมเดินผ่านโรงยิมก็มองไปเห็นกลุ่มนักฟุตบอลกลุ่มเดิมที่กำลังเดินเข้าไปในนั้น ไอ้ปั้นก็น่าจะอยู่ตรงนั้นด้วยก็เลยเดินเข้าไปหา โผล่หน้าเข้าไปในห้องพักนักกีฬาที่กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่ก็เลยได้เห็นภาพเดิมอย่างคราวก่อน

ว้าว...ว้าว...ว้าว

"เฮ้ย"

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งแล้วหันไปหาคนที่เดินเข้ามาสะกิดเรียก ก่อนจะเห็นว่าเป็นหนุ่มนักกีฬาตัวโตที่สูงจนต้องแหงนมอง

"มาแอบดูอะไรพวกกู โรคจิตเหรอ"

"เปล่า! มาหาไอ้ปั้น"

"อยู่ทางโน้น" อีกฝ่ายพยักหน้าไปอีกทางเพื่อบอกกับผมว่าไอ้ปั้นอยู่ทางนั้น ผมเดินออกมาจากหน้าห้องพักนักกีฬาแล้วเดินหาไอ้ปั้น ก่อนเห็นมันกำลังยืนจับกลุ่มอยู่กับเพื่อนอีกคน ไม่มีใครหันมาสนใจผมเพราะมัวแต่สนใจสาวน้อยนักกีฬาว่ายน้ำที่กำลังเดินผ่านมา ผมค่อยๆ ย่องไปหาไอ้ปั้นไม่ให้มันรู้ตัว แอบฟังบทสนทนาที่พวกมันกำลังคุยกันอยู่

"มะนาวมาแล้วมึง เข้าไปคุยดิไอ้ปั้น"

"แต่เพื่อนเขาอยู่ด้วยนะเว้ย"

"มึงจะเขินอะไร"

"ใครเขิน ไม่มีโว้ย!"

ตอนที่ไอ้ปั้นกำลังโวย หนึ่งในกลุ่มสาวพวกนั้นก็หันมองไอ้ปั้น อมยิ้มนิดๆ ดูท่าทางเขินอาย เดาไม่ผิดผู้หญิงคนนั้นก็คงจะรอให้ไอ้ปั้นเดินเข้าไปทักอยู่

ผมยกมุมปากขึ้นยิ้มเมื่อยืนดูสถานการณ์อยู่สักพัก ก่อนที่ความคิดชั่วร้ายจะสั่งให้ผมทำอะไรบางอย่างเพื่อกลั่นแกล้งไอ้ปั้น คนอย่างมันต้องเจอแบบนี้ซะบ้าง 

"ข้าวปั้น!" ผมตะโกนลั่นโรงยิมพลางก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาไอ้ปั้น ยกสองมือขึ้นโอบคอมันแล้วใช้ร่างกายเล็กๆ ของพลีสซบเข้าไปที่อกแน่นๆ ของไอ้ปั้น แน่นอนว่าทั้งกลุ่มเพื่อนของมันและกลุ่มสาวๆ พวกนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

"คิดถึงตัวเองจัง ซ้อมเหนื่อยไหม เค้าให้กำลังใจนะ" ทำเสียงสะดีดสะดิ้งแล้วจุ๊บแก้มมันซ้ายทีขวาที ยอมเค็มเหงื่อเพื่อให้ทุกคนในที่นี้ตะลึงงันไปพร้อมๆ กัน

"ไอ้พลีส! ทำเหี้ยอะไร!"

ผมถูกสะบัดออกมาด้วยแรงควายๆ ของคนตัวโต แต่ยังไม่วายเล่นละครต่อด้วยการทำหน้ายู่ๆ กับน้ำเสียงอ้อนๆ

"เค้าให้กำลังใจแฟน เค้าผิดด้วยเหรอ"

"เชี่ยไรเนี่ย" เพื่อนไอ้ปั้นพูดออกมาพร้อมกันพลางกระพริบตาถี่คล้ายว่าไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมยิ่งเล่นใหญ่ด้วยการพูดเสียงดัง หวังจะให้สาวๆ พวกนั้นได้ยินด้วย

"ไม่รู้เหรอว่าเราเป็นแฟนข้าวปั้น ช็อกล่ะสิ เรื่องนี้ยังไม่เคยบอกใครเลยนะ"

สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ไอ้ปั้นชอบดูเปลี่ยนไป แล้วหันสะกิดเพื่อนชวนกันเดินออกไป

"ไอ้พลีส! มึงมานี่เลย!" ไอ้ปั้นใช้แขนล็อกคอผมแล้วลากผมออกมาจากตรงนั้น เรี่ยวแรงของมันมีมากพอที่จะลากผมออกมาจนตัวลอยแบบที่ผมไม่ต้องเดินเลย

"โอ๊ย! อย่ารุนแรงกับเค้า เค้าเจ็บ เมื่อคืนทำเค้าระบมไปทั้งตัวยังไม่พอใจอีกเหรอ ตัวเอง เค้าเจ็บ!"

"มานี่!"

"ไอ้ปั้น กูเจ็บ!" แน่ใจว่าพ้นสายตาคนอื่นแล้วผมจึงสะบัดตัวออกมาจากท่อนแขนของไอ้ปั้นแล้วโวยลั่น แต่ไอ้ปั้นโวยดังกว่า

"มึงเล่นบ้าอะไรวะ! ทำแบบนี้ทำไม!"

"สนุก"

"ไอ้พลีส"

"ทำไม"

"มึงรู้ไหมกูจีบมะนาวมานานแค่ไหนอะ"

"ไม่รู้ ไม่อยากรู้ แต่ที่กูอยากให้มึงรู้ มึงจะได้เข้าใจว่าเวลาโดนแกล้งแล้วมึงจะรู้สึกยังไง"

"ไอ้เหี้ยพลีส!"

"มึงแกล้งเพื่อนเพราะเห็นเป็นเรื่องเล่นๆ แต่คนถูกแกล้งเขาไม่สนุกกับมึงหรอกนะ บางทีสิ่งที่มึงแกล้งเขาอะ อาจจะฝังใจเขาไปจนตายก็ได้นะปั้น"

"มึงก็เวอร์ กูไม่ได้ฆ่าใครตายซะหน่อย"

"ถ้าวันนั้นกูกระโดดตึกตาย เหตุผลเพราะทนที่มึงแกล้งไม่ได้ มึงจะยังคิดแบบนี้อยู่ไหม"

"แค่โดนแกล้งขำๆ คงไม่ถึงกับฆ่าตัวตายเพราะกูหรอก"

"ใช่ เขาอาจจะไม่ได้ฆ่าตัวตายแค่เพราะถูกแกล้ง แต่ข้าวปั้น มึงไม่เคยรู้ว่าชีวิตคนอื่นเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง สำหรับคนที่เจอเรื่องหนักๆ ในชีวิตมาเยอะแล้ว การที่มึงไปแกล้งเขาก็เหมือนเพิ่มเหตุผลที่ทำให้เขาอยากตายมากขึ้น มันอาจจะทำให้เขาตัดสินใจที่จะตายได้ง่ายขึ้น มึงเข้าใจป่ะ"

ไอ้ปั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาสบตากับผม

"ไอ้พลีส"

"อะไร"

"กูถามมึงจริงๆ นะ มึงเป็นอะไรของมึงวะ พักนี้มึงดูแปลกไปมากเลยนะ แค่อยู่ดีๆ มึงมาพูดขึ้นมึงขึ้นกูกับกูนี่ก็แปลกแล้ว"

"อ้าว ปกติไม่พูดเหรอ"

"เออดิ มึงสุภาพจนกูหมั่นไส้เลยแหละ ตกลงมึงเป็นอะไรกันแน่วะ มันโคตรไม่ใช่ตัวมึงเลยอะ"

"ก็ผีเข้าไง"

"เอาดีๆ สิวะ กูซีเรียส"

"ก็...สมองกระทบกระเทือนไง กูก็เลยเป็นแบบนี้" ผมพูดไปส่งๆ แต่ไอ้ปั้นก็ดูเหมือนว่าจะเชื่อจริงๆ

"แล้วมึงจะหายไหมวะ"

"หายดิ เดี๋ยวก็หาย"

"ถ้ามึงหาย ก็จะกลายเป็นมึงคนเดิมใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนอีกฝ่ายจะเงียบไป เห็นว่าไอ้ปั้นไม่พูดอะไรต่อ ผมจึงเอ่ยปากขึ้นมาแทน

"ข้าวปั้น"

"เรียกปั้นเฉยๆ เหอะไอ้เหี้ย เรียกแบบนี้กูดูน่ารักไปเลยเนี่ย"

"เออ ปั้น"

"อะไร"

"ถ้ากูหายแล้ว ถ้ากูคนเดิมกลับมา"

"..."

"ช่วยทำดีกับกูหน่อยนะ"

"..."

"อย่าแกล้งกูเลย กูก็มีความรู้สึกเหมือนกัน"

ไอ้ปั้นนิ่งกว่าที่เคย หันมองผมแต่พอสบตาก็รีบหลบตา กระทั่งมันเดินออกไปจากตรงนี้โดยไม่มีคำพูดอะไร ผมเองก็ได้แต่หวังว่าคำขอของผมจะมีความหมายสำหรับมันบ้าง เผื่อว่าในตอนที่พลีสกลับมา...จะได้ไม่ต้องถูกแกล้งอีก

 

...

 

ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมติดอยู่ในร่างของพลีส ผมตั้งคำถามขณะที่ยังไม่มีคำตอบ กำลังคิดอยู่ว่าถ้าพลีสกลับมาแล้วพบว่าเวลาหนึ่งเดือนของตัวเองถูกผมขโมยมาใช้ พลีสจะทำยังไง ผมเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตพลีสไปบ้าง ในตอนที่เขากลับมาเป็นพลีสคนเดิมทุกคนคงเกิดคำถาม พลีสจะรับมือกับความสับสนเหล่านั้นได้ไหม ผมรู้สึกเป็นห่วง และอีกเรื่องที่ผมกำลังกังวลใจ ผมกำลังกลัวตัวเอง กลัวว่าการที่ได้กลับมาเป็นคนมันจะทำให้ผมโลภมาก อยากอยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ กลัวว่าตัวเองจะจมดิ่งไปกับความคิดเห็นแก่ตัว ไม่ยอมจากไป

"เขี้ยวกุด!"

ยิ่งในเวลาที่มีตามอยู่ด้วย ยิ่งไม่อยากไปไหนเลย...     

"พี่ตาม"

ความสนิทสนมระหว่างผมกับตามในตลอดหนึ่งเดือนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาจเป็นเพราะความรู้สึกผูกพันที่ผมมีต่อตามอยู่แล้ว จึงไม่ได้รู้สึกเลยว่าเราต้องเริ่มต้นความสัมพันธ์ใหม่ เราเจอกันบ่อยครั้งทั้งที่โบสถ์ ระหว่างทางกลับบ้าน ร้านสะดวกซื้อ แน่นอนว่าไม่มีครั้งไหนเกิดจากความบังเอิญ นอกเสียจากครั้งนี้ที่บังเอิญเจอกันหน้าคลินิกของพี่ต่อโดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจมารอตาม

"มาทำฟันเหรอ"

"ครับ" ผมตอบสั้นๆ ในตอนที่ตามเปิดประตูให้ ผมไม่ได้ถามกลับว่าตามมาทำอะไรที่นี่ เดาไม่ผิดคงมาก่อกวนอะไรพี่ต่ออย่างทุกวัน เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับพี่ต่อเข้าพอดี ตามรีบโผเข้าไปเกาะไหล่พี่ต่อ เอาหัวซบแล้วออดอ้อนด้วยน้ำเสียงงอแง

"พี่ต่อ ขอตังค์กินข้าวหน่อย"

"อีกแล้วเหรอ"

"อีกแล้วอะไร ไม่ได้ขอบ่อย"

"เหมือนเพิ่งให้ไปเมื่อวันก่อนเอง"

"วันก่อนของพี่ต่อคือสองอาทิตย์ที่แล้วนะ ตามเพิ่งจ่ายค่าหอไป ไม่มีตังค์แล้ว ไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อวาน ไม่สงสารเหรอ พี่ต่อไม่เห็นใจน้องชายคนเดียวของพี่เหรอ"

"ไม่น่ามีน้องชายแบบนี้เลย"

ตามทำหน้าย่นไม่พอใจ สะบัดหน้าใส่พี่ต่อหันไปอีกทางแต่ก็ยังยื่นมือข้างหนึ่งมาแบมือทำท่าขอเงิน พี่ต่อยิ้มนิดๆ แล้วยกมือตัวเองตีมือตามเบาๆ ก่อนจะหยิบเงินให้ เมื่อได้เงินแล้วที่งอนอยู่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง หันมาเกาะไหล่พี่ต่อ ขอบคุณแล้วขอบคุณอีกด้วยเสียงงุ้งงิ้งเหมือนเด็กๆ

"ขอบคุณนะ ตามรักพี่ต่อมากๆ เลย"

"ถ้ารักพี่ต่อ ก็เลิกขอตังค์พี่แล้วไปหางานทำได้แล้ว รู้ไหม"

"เกาะพี่กินง่ายกว่าหางานทำตั้งเยอะ"

"เด็กบ้า"

ผมเผลอยิ้มไปกับบทสนทนาของทั้งคู่ จนตามหันมามองหน้าจึงรู้ตัวว่าคงจะยิ้มกว้างเกินไปหน่อย หุบยิ้มเนียนๆ แล้วหันไปมองพี่ต่อที่กำลังหันมาพูดกับผมพอดี

"น้องเลือกสียางเลย"

ผมหันมองกล่องยางจัดฟันที่ถูกยกขึ้นมาให้เลือก สีสันละลานตา แบ่งเฉดจากอ่อนไปเข้ม เหมือนรวมทุกสีที่มีบนโลกเอาไว้หมดแล้ว นับจากสายตาคงไม่ถ้วนว่ามีทั้งหมดกี่สี   

"เลือกได้ไหม หรือจะให้พี่เลือกให้"

"ให้พี่..."

"เอาสีนี้ดิ สวย" คำพูดผมชะงักตอนที่กำลังจะบอกให้พี่ต่อเป็นคนเลือก แต่ตามที่ยังยืนอยู่ข้างๆ แทรกขึ้นมาก่อน พร้อมกับชี้สียางจัดฟันเป็นสีฟ้าอ่อนๆ สีนั้นจึงสวยขึ้นมาทันทีเพราะตามเป็นคนเลือก

"ครับ เอาสีนี้ก็ได้ครับ"

"โอเค"

"ตามไปก่อนนะ เดี๋ยวเข้างานไม่ทัน ไปนะเขี้ยวกุด" ผมยกมือโบกให้ตามที่หันมาบอกลา ขณะที่อีกคนกำลังจะเดินออกไปพี่ต่อก็เรียกเอาไว้ก่อน

"ตาม"

"ฮึ?"

"วันหลังอย่าอดข้าวอีก ถ้าหิวก็กลับไปกินข้าวที่บ้าน"

สีหน้าของตามนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่พี่ต่อพูดแบบนั้น ก่อนที่จะพยักหน้ารับหน่อยๆ แล้วเดินออกไป พี่ต่อจึงหันมาเรียกผมให้เข้าไปในห้องทำฟัน

"น้องเข้ามาเลยครับ"

ผมพยักหน้ารับพี่ต่อแล้วเดินตามเข้าไป จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วลดความกลัวของผมลงครึ่งหนึ่งเพราะรู้ว่าการเปลี่ยนยางจัดฟันนั้นไม่เจ็บเลยสักนิด ผมเลยทำตัวผ่อนคลาย กระทั่งพี่ต่อนั่งลงแล้วก้มลงมองผมที่อยู่บนเตียงที่ปรับลงให้นอนราบแล้ว ทั้งสายตาและใบหน้าของคุณหมอคนนี้อยู่ใกล้กว่าที่คิด ความผ่อนคลายหายวับเป็นอาการเกร็งขึ้นมาซะเฉยๆ

พี่ต่อนี่...โคตรหล่อเลยนะ 

"อ้าปากเลยครับ"

"..."

"น้อง"

"ครับ ครับพี่"

"กลัวเหรอ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วอ้าปากอย่างที่พี่ต่อสั่งอีกรอบ ผมไม่รู้จะเอาสายตาไปวางเอาไว้ตรงไหนจึงได้แต่กลอกสายตาไปมา ตอนที่พี่ต่อกำลังจดจ่ออยู่กับช่องปากของผม

"วันนี้พี่จะดึงเชนให้ มันจะตึงๆ นิดหนึ่งนะครับ เหมือนคราวที่แล้วเนอะ"

พยักหน้ารับไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้เลยว่าเหมือนกับคราวที่แล้วมันคืออะไร ผู้ช่วยทันตแพทย์ที่อยู่ข้างๆ เอาผ้ามาปิดหน้าก่อนที่พี่ต่อจะลงมือเปลี่ยนยางจัดฟัน ขณะที่ชวนผมคุยไปด้วย แต่การที่กำลังอ้าปากค้างอยู่อย่างนี้จึงโต้ตอบอะไรไม่ได้ พลางนึกขำอยู่ในใจ พี่ต่อจะให้ผมตอบยังไงเหรอ   

ใช้เวลาไม่นานก็จัดการทุกอย่างเสร็จ ผมได้รู้ในตอนจบว่าเชนคือยางจัดฟันที่ลักษณะคล้ายโซ่ ไม่ได้เป็นวงกลมๆ ที่ติดซี่ต่อซี่เหมือนทุกครั้ง แต่จะติดยาวๆ ไปสามสี่ซี่เพื่อดึงให้ฟันเข้ามาชิดกัน พี่ต่อบอกว่ามันจะตึงๆ ในตอนแรกก็รู้สึกแบบนนั้น แต่ผ่านไปสักพักมันไม่ใช่เลย มันเจ็บฉิบหายวายวอด เหมือนฟันทุกซี่กำลังเคลื่อนที่ออกจากเหงือกด้วยความเจ็บปวดระดับสุดท้าย ร้าวรานตั้งแต่ริมฝีปากยันรากฟัน   

"พี่ต่อ ทำไมมันเจ็บจัง"

"เจ็บเหรอครับ"

"เจ็บมากเลย"

เพิ่งรู้ว่าเจ็บจนน้ำตาไหลนั้นมีอยู่จริงก็ตอนที่น้ำตาไหลลงมาเป็นเม็ดเพราะทนกับความเจ็บปวดนั่นไม่ไหว พี่ต่อดูตกใจที่ผมกำลังร้องไห้

"ร้องไห้ทำไมครับ อย่าร้องสิครับ"

"เจ็บอ่า! พี่ต่อทำอะไรผมเนี่ย!"

"พี่ขอโทษ ไม่ร้องนะ ไม่ร้องนะครับ"

ผมยกมือปาดน้ำตาทิ้ง กระนั้นความเจ็บปวดก็ยังไม่หายไปง่ายๆ ในตอนที่กำลังหน้ายุ่งเพราะไม่ชอบใจยางจัดฟันนั่น พี่ต่อก็พูดอะไรขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชวนให้ผมงุนงง

"ไปกินไอติมกันไหมครับ"

"ครับ?"

"กินไอติมไง"

"กินไอติมแล้วมันจะหายเจ็บหรือไงครับ"

"ของหวานเยียวยาได้ทุกอย่างนะ"

"แต่ผมคงเคี้ยวไม่ได้"

"ไอติมไม่ต้องเคี้ยว เดี๋ยวมันก็ละลาย"

ผมชั่งใจว่าจะไปหรือไม่ไปดี แต่ประโยคถัดไปของพี่ต่อ ก็ทำเอาตัดสินใจได้ง่ายๆ

"เดี๋ยวพาไปกินร้านที่ตามทำงาน อร่อยมากเลยนะ"

การที่พี่ต่อชวนผมไปไหนมาไหนมันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ผมควรจะปล่อยโอกาสนี้ไว้ให้เป็นของพลีสในวันหลัง แต่ด้วยความเห็นแก่ตัวเพียงเพราะได้ยินชื่อของตาม ผมก็ไม่ลังเล 

"รอพี่แป๊บหนึ่งนะ"

ผมพยักหน้ารับตอนที่พี่ต่อหันไปคุยกับผู้ช่วยที่เคาน์เตอร์ แล้วจึงถอดเสื้อกาวน์ออก ทันทีที่ไม่มีเสื้อกาวน์ตัวใหญ่ๆ นั่นคลุม ผมจึงได้เห็นรูปร่างที่แท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ จากคุณหมอที่เรียบร้อยแสนสุภาพ ก็กลายเป็นนายแบบเสื้อผ้าแฟชั่นซึ่งกำลังสวมเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวดำ กางเกงยีนส์เข้ารูปกับช่วงยายาวๆ และรองเท้าผ้าใบสลิปออนสีขาวสะอาด ดูเรียบง่ายแต่ไม่อ่อนโยนกับใจเลยครับ...

"ไปครับน้อง"

ด้วยรูปร่างหน้าตาและคำพูดคำจาที่สุภาพและไพเราะพวกนั้น ผมจึงไม่อาจคิดว่าพี่ต่อนั้นเป็นมนุษย์...เทพบุตรแน่นอน เทพบุตรชัดๆ 

 

...

 

พี่ต่อพาผมมาถึงร้านกาแฟที่อยู่ไม่ไกลจากคลินิกมากนัก ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปก็มองเห็นตามเป็นคนแรก ซึ่งกำลังยืนอยู่ในเคาน์เตอร์ เปลี่ยนไปสวมชุดที่เรียบร้อยกว่าปกติกับผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนดูน่ารักผิดหูผิดตา ผมแอบอมยิ้มนิดๆ ตอนที่เดินตามพี่ต่อเข้าไปยังหน้าเคาน์เตอร์

"มาทำไมเนี่ย"

"ทำน้องเจ็บฟัน เลยต้องพามาเลี้ยงไอติมปลอบใจ"

"อ๋อ เอาอะไรอะ"

"ไอติมไมโลที่ตามเคยสั่งให้พี่กินอะ เอาแบบนั้น"

"ไมโลซันเดย์นะ"

"น้องเอาน้ำอะไรครับ"

"โกโก้ปั่นครับ" ผมเอ่ยปากบอกโดยไม่ได้ดูเมนูในร้าน แต่เป็นเพราะชอบเมนูนั้นเลยไม่ได้เลือก

"ส่วนพี่เอาอะไรก็ได้ที่ไม่หวาน"

"น้ำเปล่าละกันงั้นอะ"

พี่ต่อยื่นมือไปเขกหัวตามแต่อีกคนโยกหัวหลบทันอย่างกับว่าโดนบ่อยจนรู้ทันคนเป็นพี่ไปแล้ว มองดูสองคนนี้หยอกกันด้วยใบหน้ากวนๆ ผมก็พลันยิ้มออกมาอีกรอบ แกล้งกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะมีลูกค้าอีกคนเข้ามาต่อคิว ตามจึงเลิกเล่นแล้วหันไปคิดเงินพร้อมส่งใบเสร็จให้พี่ต่อ

"ทั้งหมดหกร้อยแปดสิบห้าบาท"

"เดี๋ยว! ทำไมมันแพงจังอะ"

"ตามบวกค่ากาแฟที่ตามค้างจ่ายไปด้วย ขอบคุณครับ" ว่าแล้วก็รีบดึงแบงก์พันจากมือพี่ต่อไปอย่างฉับไว จัดการทอนเงินก่อนจะเชิญให้เราไปนั่งรอ ได้ยินพี่ต่อด่าตามไปคำหนึ่ง อาจจะเป็นคำด่าที่หยาบที่สุดเท่าที่พี่ต่อคิดได้ แต่สำหรับคนฟังแน่นอนว่ามันไม่มีทางสะทกสะท้าน ส่วนผมเผลอคิดว่าคำด่านั่น น่ารักเป็นบ้าเลย

"ไอ้ลูกหมา!"

            ระหว่างที่นั่งรอของที่สั่ง พี่ต่อชวนผมคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ผ่านน้ำเสียงนุ่มและถ้อยคำแสนสุภาพ เหมือนผมได้พูดคุยกับคนที่ดูมีมารยาทดีมากๆ เลยรู้สึกเกร็งแปลกๆ หรือเปล่านะ หรือไม่บางทีผมอาจจะไม่ทันได้สนใจเรื่องราวเหล่านั้น เพราะบ่อยครั้งที่สายตาแอบเผลอมองตามในบทบาทพนักงานร้านกาแฟที่ดูแปลกตา

            เอาจริงๆ ตอนที่ผมยังมีชีวิตและได้ใกล้ชิดกับตามจนรู้นิสัยใจคอมากพอระดับหนึ่ง ตามไม่ใช่คนที่ผมคิดว่าเขาจะขยันวิ่งทำงานหลายๆ ที่เพื่อหาเงินแบบนี้แน่ๆ ตามเรียนเก่งและเป็นลูกคนรวย มีชีวิตที่สุขสบายมากพอที่จะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้ ทุกครั้งที่เห็นภาพทำงานแบบนี้จึงคิดสงสัย ด้วยเหตุใดที่ทำให้ตามเลือกใช้ชีวิตแบบนี้กันนะ

"พี่ต่อครับ"

"ครับ?"

"พี่ต่อรู้ไหมว่าทำไมพี่ตามเขาไม่ทำงานประจำ ทั้งๆ ที่ก็เรียนจบมาแล้ว"

"ตามเคยบอกว่าทำงานประจำไม่ค่อยมีเวลา จะลางานนานๆ หรือบ่อยๆ ก็ไม่ได้"

"ทำไมต้องลางานนานๆ ด้วยครับ"

"ตามชอบเที่ยวน่ะ เก็บเงินได้ก็เอาไปเที่ยว ทำงานประจำลางานยากก็เลยทำพาร์ทไทม์ไปเรื่อยๆ ถ้าลางานไม่ได้ก็ลาออกเลยแล้วก็ไปเที่ยว เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เรียนจบแล้วล่ะครับ"

"ไปเที่ยวเหรอครับ"

"ครับ ชอบบอกว่าไปกับแฟน แต่ตามขี้โม้อะ พี่ต่อยังไม่เคยเห็นแฟนตามสักครั้งเลย"

 

"ตาม ถ้าเรียนจบแล้ว เราเก็บเงินไปเที่ยวกันไหม"

"ไม่ไป ขี้เกียจ"

"จะให้เราไปคนเดียวเหรอ"

"ไม่ให้ไป เป็นห่วง"

"งั้นก็ไปด้วยกันสิ"

"เธออยากไปเหรอ"

"อื้อ อยากไปเที่ยวไกลๆ กับเธอ"

"ก็ได้ งั้นก็ไปด้วยกัน รอบโลกเลย"


 

คิดถึงบทสนทนาในวันเก่าขึ้นมาซะเฉยๆ และเป็นเพราะว่าผมรู้ว่าความรู้สึกของตามยังไม่เคลื่อนไหวไปไหน จึงรู้ว่าแฟนของตามที่พี่ต่อพูดถึงนั่นคือใคร ขณะมองเหม่อลอย ผมพลันพูดชื่อของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว

"แสงไงครับ"

"..."

"แสงเทียน"

"แสงเทียน?"

"..."

"คือใครเหรอครับ"

สติผมกลับมาในตอนที่พี่ต่อโต้ตอบกลับมาแบบนั้น ความงุนงงปรากฏชัดตอนที่ทบทวนคำพูดของพี่ต่ออีกครั้ง ตอนยังมีชีวิต ผมได้เจอกับพี่ต่ออยู่บ่อยครั้งและเขาต้องจำผมได้ ไม่น่าจะลืมกันไปง่ายๆ แบบนี้ แต่พี่ต่อพูดเหมือนคนไม่เคยพบกัน...

"โกโก้ปั่นได้แล้วค่ะ" เสียงของพนักงานดังขัดความสงสัยของผมไป ก่อนที่จะได้ถามหรือพูดอะไร ความสงสัยข้อนั้นก็พลันหายไปตอนที่พี่ต่อชวนคุยเรื่องอื่นแล้ว เราใช้เวลาอยู่ในร้านเกือบๆ ชั่วโมง ก่อนที่พี่ต่อจะชวนผมกลับ ใจจริงอยากรอให้ตามเลิกงานแล้วกลับพร้อมกันแต่ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรนั่งอยู่ตรงนี้ไปจนถึงสามทุ่ม ก็เลยเป็นอันต้องบอกลาตามตรงนั้นแล้วให้พี่ต่อไปส่งที่บ้าน

"ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ขอบคุณที่เลี้ยงไอติมด้วย"

"ยินดีครับ"

"งั้นผมเข้าบ้านก่อนนะ"

"น้องครับ"

"ครับ?"

"ถ้าน้องยังไม่หายเจ็บฟัน มาให้พี่ต่อเลี้ยงไอติมไถ่โทษอีกนะครับ"

ผมพยักหน้ารับก่อนที่พี่ต่อจะขับรถออกไป ยิ้มกว้างออกมาซะเฉยๆ ตบหัวใจตัวเองเบาๆ เพราะอยากบอกให้พลีสรับรู้ พี่ต่อเขาชอบพลีส รับรู้ไว้ด้วยนะ เจ้าหัวใจของน้องพลีส

แต่ถึงอย่างนั้นความสงสัยก็วนกลับเข้ามาอีกครั้งตอนที่นึกถึงคำพูดของพี่ต่อที่ร้านกาแฟ ทำไมพี่ต่อถึงลืมชื่อผมไป...ทำไมพี่ต่อถึงไม่รู้จักผม

 

 

...

 
ต่อด้านล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 8-- 25/05/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 08-06-2019 20:23:55

ผมรับรู้ในตอนที่เติบโตขึ้น ว่าความบังเอิญนั้นสร้างมันได้ด้วยตัวเอง เป็นอีกวันที่ผมแกล้งออกมารอตามเพราะรู้เวลาเลิกงาน เดินเตร็ดเตร่มาเรื่อยๆ จนถึงร้านสะดวกซื้อที่ตามทำงานอยู่ คำนวณเวลาได้อย่างแม่นยำตอนที่มองไปเห็นตามเดินออกมาจากร้านพอดีๆ ตามไม่ทันได้มองเห็นผมเพราะกำลังสนใจของกินที่อยู่ในมือ หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าร้านแล้วกัดโดนัทเข้าไปคำโต 

"พี่ตาม"

"อ้าว เขี้ยวกุด"

"เพิ่งเลิกงาน..."

"กินเร็ว" ตามยื่นโดนัทชิ้นหนึ่งจ่อถึงปากก่อนที่ผมจะพูดจบ

"ฮะ! ไม่เอา ไม่หิว"

"มันจะหมดอายุในอีก ห้า! สี่! สาม!"

"อื้อ!" ผมงับโดนัทชิ้นนั้นเข้าปากตอนที่ตามเร่งเวลาพาให้ผมตกใจไปด้วย ทันทีที่กัดเข้าไปแล้วตามก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ

"หมดอายุพอดี"

"พี่ตาม! หลอกให้กินเหรอ!"

"ล้อเล่น เพิ่งซื้อมา" ตามว่าพลางเอาโดนัทที่เหลือครึ่งอันยัดใส่กระพุ้งแก้มแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อยู่กับของกินทีไรน่ารักจนอยากหยิกแก้มทุกที แต่ด้วยใบหน้าที่ดูซูบผอม แก้มของตามจึงไม่พองเท่าเมื่อก่อน ร่างกายของตามเปลี่ยนแปลงไปจากคนตัวนุ่มๆ ที่มีความสุขกับการกินมากกว่าการออกกำลังกาย ตอนนี้ผอมลงจนเห็นสันกรามชัด แขนก็เล็กลงจนข้อมือเหลือนิดเดียว เป็นเพราะเธอทำงานหนักเกินไปหรือเปล่านะ...

"ทำไมถึงผอมจัง"

"ฮึ?"

"พี่ตามน่ะ ผอมลงไปเยอะเลยนะ กินเยอะๆ สิครับ"

"เลี้ยงข้าวพี่ดิ"

"ครับ?"

"เออ เราติดเลี้ยงข้าวไข่เจียวพี่อยู่นะ"

"เรื่องกินนี่ไม่เคยลืมเลยนะ"

"เพื่อของกินแล้วพี่พร้อมเสมอ เมื่อไรดี"

"วันอาทิตย์ได้ไหมครับ พี่ไม่ต้องทำงานใช่ไหม"

ตามพยักหน้าหงึกๆ เพราะปากเต็มไปด้วยโดนัทชิ้นใหม่ที่กัดเข้าไปเต็มปากอีกที

ความน่ารักของคนที่กำลังเคี้ยวเป็นกระต่ายทำเอาผมหลุดยิ้ม และด้วยความพลั้งเผลอ ผมยื่นปลายนิ้วหัวแม่มือเช็ดริมฝีปากที่เลอะเศษขนมปังออกให้ ตามชะงักตัวไปนิดหนึ่ง ผมจึงรู้ตัวแล้วรีบดึงมือกลับ

"คือ...ปากพี่เลอะน่ะครับ"

ตามพยักหน้าหน่อยๆ ยกแขนเสื้อตัวเองเช็ดริมฝีปากทีหนึ่ง เราไม่ได้พูดอะไรต่อกระทั่งเราทั้งคู่หันไปให้ความสนใจกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินจูงหมาโกลเด้นท์ตัวใหญ่มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ชี้นิ้วสั่งให้หมาตัวนั้นนั่งลงพลางกำชับเสียงดุ

"นั่งรอตรงนี้ แม่เข้าไปซื้อของแป๊บหนึ่ง อย่าตามมานะ"

"โฮ่ง!"

"ไม่เอา อย่าตามมาสิ นั่งตรงนี้ นั่งลง!"

"เดี๋ยวผมจับไว้ให้ก็ได้ครับ" ผมเสนอตัวเพราะชื่นชอบหมาเป็นพิเศษอยู่แล้ว

"ได้เหรอคะ ขอบคุณมากเลยค่ะ ฝากแป๊บหนึ่งนะคะ"

"ตามสบายครับ"

เจ้าของหมาเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ผมนั่งลงตรงหน้าหมาตัวใหญ่ เจ้าหมาตัวนี้ก็เชื่องพอที่จะยอมให้ผมลูบหัวเบาๆ นั่งลงอย่างนิ่งๆ ดูเป็นหมาใจดีพาให้นึกถึงเจ้ายู่ที่อยู่ที่ร้านลุงหมี

"เหมือนยู่เลย" ผมหันมองตามที่คิดเหมือนกันแล้วตอบออกไปด้วยความไม่ยั้งคิด

"ใช่ไหม กำลังคิดอยู่เลย"

"พลีสรู้จักยู่ด้วยเหรอ"

"คือ...เอ่อ...ผมไปร้านกาแฟตรงนั้นบ่อย ก็เลยเห็นยู่บ่อยๆ น่ะครับ"

ตามพยักหน้าหน่อยๆ ดูไม่ได้คลาแคลงใจอะไร ก่อนจะย่อตัวลงนั่งแล้วยื่นมือมาทำท่าจะลูบหัวหมา แต่ผมรีบห้ามเอาไว้ก่อน

"นี่! แพ้ขนหมาไม่ใช่หรือไง"

"รู้ได้ไง"

นะ...นั่นสิ

"พี่ต่อบอก" เผลอทีไรก็โยนให้พี่ต่อเอาไว้ก่อน

"พี่ต่อบอกอีกแล้ว ไปบอกตอนไหน"

"ตอนทำฟันไง"

"ทำฟันแค่ไม่กี่นาทีมีเวลาเล่าชีวประวัติพี่เยอะแยะ นี่พลีสรู้จักพี่มากกว่าพี่รู้จักตัวเองอีกนะ"

"บ้า!"

"แล้วไม่มีเรื่องอื่นจะคุยเหรอ ถึงได้คุยแต่เรื่องพี่เนี่ย"

ผมยิ้มแห้งๆ ก่อนที่ตามจะใช้จังหวะนั้นยื่นมือมาขยี้หัวหมาทำท่าล้อเล่นแต่ดูจะรุนแรงไปหน่อย ผมยกมือตัวเองตีมือตามไปทีหนึ่ง

"อย่าแกล้งน้อง"

ตามไม่สนใจคำต่อว่าของผม พลางยื่นมือมาแตะหัวหมาอีกครั้ง คราวนี้แค่วางมือลงเบาๆ มีรอยยิ้มจางๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้า ก่อนจะดึงมือตัวเองออกไปช้าๆ

คิดถึงอะไรอยู่เหรอตาม...คิดถึงเราหรือเปล่านะ

เจ้าของหมาเข้าไปซื้อของครู่เดียวอย่างที่บอก ก่อนจะเดินออกมา ผมส่งหมาคืนให้ก่อนจะบอกลา เธอขอบคุณผมสองสามครั้งแล้วพาเจ้าหมาตัวใหญ่เดินออกไป ผมหันมองตามที่ยกมือค้างเพราะกำลังบ๊ายบายหมาอยู่ เมื่อหันมาเห็นผมก็ดึงมือตัวเองลงแล้วหันมาบอกผม

"กลับบ้านกัน"

"ครับ"

"แล้วนี่มาทำอะไรเนี่ย มารอพี่เหรอ"

"มาหาอะไรกินต่างหาก ทำไมผมต้องมารอพี่ด้วย มั่วๆ"

"อ๋อเหรอ เห็นพี่เลิกงานทีไรเจอเราทุกที นึกว่ามารอรับพี่กลับบ้านซะอีก"

"บ้าดิ"

อย่างที่บอกว่าความสนิทระหว่างเรามีมากขึ้นทุกวัน ผมจึงพูดคุยกับตามได้อย่างไม่ติดขัด เราพูดคุยกันไปเรื่อยๆ ตลอดทางด้วยเรื่องสัพเพเหระ ตามเล่าเรื่องที่ทำงานบ้าง ผมเล่าเรื่องที่โรงเรียนบ้าง เราผลัดกันพูดจนบทสนทนาของเราไม่ขาดตอน กระทั่งมาถึงร้านดอกไม้ที่ตามจะต้องแวะทุกวัน ควักเงินจากกระเป๋ากางเกงจำนวนหนึ่งแล้วตรงเข้าไปในร้าน ครู่เดียวก็ออกมาพร้อมดอกกุหลาบในมือ แต่วันนี้สีของดอกกุหลาบทำเอาผมแปลกใจนิดหน่อย คงเห็นว่าผมมองแบบนั้นอีกฝ่ายก็บอกออกมาก่อน

"สีแดงหมดน่ะ เหลือแต่สีขาว"

"อ๋อ"

ตามทำหน้ายุ่งๆ มองดูดอกกุหลาบสีขาวในมือแล้วพูดออกมาเบาๆ

"จะชอบหรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ชอบสิ เธอให้อะไรก็ชอบหมดแหละ"

"ฮึ?"

"หมายถึงแฟนพี่ตามต้องชอบสิ พี่ตามให้อะไรแฟนพี่ก็ชอบหมดแหละ เชื่อผม"

"ก็หวังว่าจะชอบแหละ"

"ผมยังชอบเลย"

"ชอบเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่ตามจะยกกำกุหลาบขึ้นมอง หยิบดอกที่ใหญ่ที่สุดในกำนั้นออกมาแล้วยื่นให้ผม

"พี่ให้"

"..."

"ไม่เอาเหรอ"

"เอาครับ!" ผมรีบตอบ ก่อนจะรับกุหลาบดอกนั้นมา จากครั้งสุดท้ายที่ได้รับกุหลาบจากมือตามมันก็นานมากๆ แล้ว ผมเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มเพื่อไม่ให้ตามเห็นว่าผมกำลังดีใจมากขนาดนี้ กำดอกกุหลาบดอกนั้นเอาไว้แน่น แล้วก้าวเท้าเดินตามตามไป มองแผ่นหลังของคนตรงหน้าแล้วก็พลันคิดอะไรผิดบาปอยู่ในใจ

เมื่อการได้พบตามไม่ใช่ความฝัน ผมก็เริ่มอยากโกงชีวิต อยากโกงพลีส ไม่อยากออกจากร่างนี้แล้ว ไม่อยากไปไหนเลย...

ผมเดินมาส่งตามถึงที่หอ แล้วก็แยกกันตรงนั้น จริงๆ ผมเดินกลับบ้านได้แต่นั่งรถเมล์ไม่กี่ป้ายก็ไวกว่า ขณะกำลังเดินออกจากหน้าหอของตาม เสียงมือถือในกระเป๋ากางเกงก็ดังขึ้นมา เดาว่าเป็นพี่หน่อยโทรตามแน่ๆ แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด

(น้องพลีส จะกลับหรือยังคะ ดึกแล้วนะ)

"กำลังจะกลับแล้วครับ"

(หน่อยออกไปรอที่หน้าปากซอยนะคะ รีบมานะคะ)

"ครับผม"

ผมกดวางสายจากพี่หน่อย ขณะสายตามองไปเห็นรถเมล์อีกฝั่งพอดี รีบร้อนวิ่งข้ามถนน ไม่ทันได้มองรถอีกเลนส์ที่วิ่งตรงมาและในตอนนั้นความประมาทเลินเล่อของตัวเองก็กำลังสร้างเรื่องให้แล้ว

 

"โครม!"

 

แรงกระแทกจากรถที่เบรกไม่ทันชนร่างผมลอยเคว้งก่อนกระแทกกับพื้นถนน วินาทีเดียวเท่านั้นทุกอย่างก็พลันอื้ออึงจนรับรู้สิ่งใดรอบตัวไม่ได้ ฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้งลืมขึ้นช้าๆ ภาพเดียวที่เห็นตรงหน้าคือกุหลาบขาวดอกนั้นหลุดลอยจากมือหล่นสู่พื้นถนน รถคันหนึ่งวิ่งเหยียบจนกลีบกุหลาบปลิวกระจาย

แม้ผมจะไม่รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเลย แต่ทุกอย่างกำลังมืดมิดลงช้าๆ เปลือกตาหนักเกินกว่าจะฝืนกระทั่งมันปิดลงพร้อมสติที่ตัดดับไปชั่วขณะ สลบคาที่ ฟื้นอีกทีที่โรงพยาบาล...

 

วิญญาณออกจากร่างเรียบร้อย...

 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-06-2019 20:50:40
 :ling3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 08-06-2019 21:34:55
อ้าว ๆ ออกจากร่างพลีสแล้วไปไหนล่ะ
พลีสจะได้กลับมาหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: wanida023 ที่ 08-06-2019 21:41:20
 :serius2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 08-06-2019 21:50:56
 :katai1: :katai1: :katai1: ยังไงเนี่ยยยย !
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 08-06-2019 22:59:49
 :a5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 09-06-2019 00:55:36
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: Hayvril ที่ 09-06-2019 05:49:08
 :katai1: :ling1:  :katai4: คุณคะ เรากรี้ด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 09-06-2019 10:53:43
 :sad4: คืออะไร มันคืออะไร พลีสจะได้กลับมาแล้วหรอ

สงสารแสงเทียนนะ แต่เหมือนตามรู้ ถึงให้กุหลาบมา

ใจคอไม่ดีแล้วค่ะ ไม่รู้ใครจะอยู่ ใครจะไป
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 9-- 08/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 11-06-2019 11:47:21
ออกจากร่างแล้ววววว จะเป็นยังไงต่อละเนี่ย พลีสจะกลับมาไหม แล้วตามจะได้รู้มั้ยว่าพลีสก่อนหน้านี้คือแสง แงงงงงง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 19-06-2019 23:55:03
ตอนที่ 10
เด็กชายผู้ไม่เคยเปลี่ยนสียางจัดฟัน


พลีส :

 

เพราะเป็นคนตื่นง่ายด้วยเสียงนาฬิกาปลุกเพียงแค่ครั้งเดียว ในทุกๆ เช้าผมจึงไม่เคยตื่นสายหรือต้องรีบร้อนที่จะเตรียมตัวไปโรงเรียน เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเดินลงมาข้างล่างก็เห็นหน่อยกำลังเตรียมอาหารเช้าไว้รออยู่แล้ว ผมนั่งลงที่โต๊ะอาหารมองแซนด์วิชไส้ทูน่าที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กพอดีคำกับนมรสจืดกล่องหนึ่ง

เบื่อแซนด์วิชของหน่อยชะมัด

ผมเลือกดื่มแค่นมแล้วปล่อยแซนด์วิชให้คาอยู่ในจานแบบนั้น เมื่อคนทำหันมาเห็นว่าผมไม่แตะต้องสักชิ้นก็อ้าปากเตรียมจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่สนใจด้วยการหันไปหาแม่ที่เดินลงมาจากบันไดพอดี เสียงเรียกของผมหยุดแม่ที่กำลังดูรีบร้อนนั่นเอาไว้

"แม่"

"ว่าไงลูก"

"วันนี้แม่จะไปงานประชุมผู้ปกครองของพลีสหรือเปล่า"

เดาได้จากการที่แม่นิ่งไปครู่หนึ่งนั้น แน่นอนว่าแม่ลืม

"วันนี้แม่มีประชุมสำคัญมาก พ่อก็คงจะยุ่ง ให้หน่อยไปแทนก็แล้วกัน"

"หน่อยเป็นผู้ปกครองพลีสหรือไง"

"เอาน่า หน่อยรู้เรื่องพลีสดีทุกอย่างนั่นแหละ ฝากด้วยนะหน่อย"

หน่อยรับคำก่อนที่แม่จะเดินออกไป จริงอย่างแม่ว่า แม้ไม่ใช่บุพการีแต่หน่อยก็รู้เรื่องของผมดีกว่าพ่อแม่ซะอีก แล้วงานประชุมผู้ปกครองของปีนี้ก็เป็นอย่างเช่นทุกครั้ง หน่อยไปทำหน้าที่แทนพ่อกับแม่ แม้ความจริงผมอยากให้พ่อกับแม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมบ้างแต่ก็เรียกร้องอะไรไม่ได้เลย

 

งานประชุมผู้ปกครองจัดขึ้นตอนบ่าย กินเวลาเนิ่นนานจนต้องงดการเรียนการสอนในช่วงบ่ายไป หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมผมจึงรอกลับพร้อมหน่อย ดูเหมือนว่าหน่อยจะชอบงานที่โรงเรียนมากถึงได้พูดถึงไม่หยุด

"ประชุมวันนี้สนุกดีนะคะ ได้เจอผู้ปกครองของเพื่อนๆ น้องพลีสเยอะเลย คุณครูประจำชั้นของน้องพลีสปีนี้ก็ดูใจดีมากๆ ด้วย คุณครูบอกว่าตอนอยู่ที่โรงเรียนน้องพลีสไม่มีปัญหาอะไร ได้ยินแบบนั้นหน่อยก็สบายใจค่ะ"

หึ...ครูจะไปรู้อะไร

"หน่อยได้ฟังเรื่องโครงการส่งเสริมกิจกรรมหลังเลิกเรียนแล้ว ฟังดูน่าสนใจนะคะ ถ้าน้องพลีสไม่อยากไปเรียนพิเศษ ก็น่าจะเข้าร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนนะคะ หน่อยเอาเอกสารที่คุณครูแจกมาด้วย น้องพลีสลองดูสิคะว่าชอบชมรมไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า ถ้าเบื่อพวกวิชาการแล้วลองดูเป็นชมรมศิลปะไหมคะ ชมรมถ่ายรูปก็น่าสนใจ น้องพลีสจะได้ออกไปถ่ายรูปสถานที่สวยๆ ด้วย น่าจะสนุกนะคะ แล้วก็..."

"หน่อย"

"คะ?"

"หยุดพูดเถอะ"

"..."

"พลีสรำคาญ"

"ค่ะๆ" สิ้นเสียงรับคำ ในรถก็เงียบกริบไปตลอดทางอย่างที่ผมต้องการ จริงๆ แล้ว ผมมีเรียนพิเศษทุกวันหลังเลิกเรียน ตามบัญชาของแม่ที่สั่งให้หน่อยจัดการสมัครเรียนให้โดยที่ไม่เคยถามผมก่อน สะสมความเบื่อหน่ายและเหน็ดเหนื่อยมานานสักพักหนึ่ง ความอดทนของผมก็สิ้นสุดลงด้วยการตัดสินใจโดดเรียนไปซะดื้อๆ ทุกๆ วัน ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีรายชื่อในคลาสอีกต่อไป

ผมบอกให้หน่อยรู้และขอร้องไม่ให้บอกกับแม่ เล่นละครด้วยการออดอ้อนนิดๆ หน่อยๆ คนใจอ่อนอย่างหน่อยก็ยอมช่วยปกปิดเรื่องนี้ให้ แต่ถึงแม้จะไม่มีเรียนแล้วก็ใช่ว่าจะกลับบ้านเร็วได้ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ทุกๆ วันผมจึงต้องหาเรื่องไปอยู่ที่อื่นก่อนที่จะถึงเวลากลับบ้าน ผมไม่มีเพื่อนหรือกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก ชีวิตจึงมักวนเวียนอยู่ไม่กี่ที่ บ่อยที่สุดก็ร้านหนังสือ ร้านกาแฟและคลินิกทำฟัน

"จะให้หน่อยมารับไหมคะ"

"พลีสกลับเองครับ"

"ดูเหมือนว่าฝนจะตก น้องพลีสพกร่มไปด้วยสิคะ มีร่มอยู่หลังรถ เดี๋ยวหน่อยไปหยิบ..."

"ปึง"

ผมปิดประตูรถก่อนที่หน่อยจะพูดอะไรต่อ และไม่ได้รอร่มคันนั้นเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น หน่อยดูแลผมมาตั้งแต่เกิด ดูแลดีเสียยิ่งกว่าคนเป็นพ่อแม่ แต่ขณะเดียวกันหน่อยก็ทำเหมือนกับว่าผมไม่เคยโตขึ้นเลย จึงมีหลายครั้งที่ผมรู้สึกรำคาญใจ เพราะผมไม่ใช่เด็กห้าขวบที่ทำอะไรไม่เป็นอีกแล้ว

 

วันนี้ผมเลือกที่จะใช้เวลาอยู่ในร้านหนังสือ เดินวนอยู่ในร้าน เปิดอ่านหนังสือเล่มที่สนใจผ่านๆ อย่างไม่จริงจัง ก่อนที่จะมองไปเห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่กำลังถูกหลายคนพูดถึงอยู่ในโซเชี่ยล เป็นหนังสือเกี่ยวกับการท่องเที่ยวที่นำเสนอในมุมมองที่แตกต่างจากหนังสือนำเที่ยวปกติ ผมเคยอ่านบทความตัวอย่างแล้วพบว่ามันน่าสนใจ จึงไม่ลังเลที่ยกมือขึ้นหยิบเล่มนั้นมาดู 

"โอ๊ะ!"

มือของผมชะงัก พอๆ กับคนข้างๆ ที่ดึงมือตัวเองออกไปตอนที่เขากำลังจะหยิบหนังสือเล่มเดียวกับผมพอดี หนังสือยังวางอยู่บนชั้น ผมกับเขามองหน้ากันไปมา แล้วหันมองหนังสือเล่มนั้นพร้อมกัน

เหลืออยู่เล่มเดียว

พนักงานบอกกับเราอย่างนั้นตอนที่ผมเป็นคนเดินไปถาม และตอนนี้หนังสืออยู่ในมือของผู้ชายคนนั้น เขามองมันแล้ว มองมันอีก คิดว่าคงลังเลอยู่ไม่น้อยที่จะยกมันให้กับผม

"น้องเอาไปก็ได้"

"ไม่เป็นไรครับ พี่หยิบก่อนนี่"

"เอาไปเถอะ ดูราคาแล้วมันแพงไปหน่อย พี่คงไม่ซื้อ"

เขาพูดแค่นั้นแล้วยื่นหนังสือใส่มือผม ก่อนจะเดินออกจากร้านไป ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือหลอกเรื่องราคาที่บอกว่าแพงไป แต่ก็รู้สึกขอบคุณอยู่ในใจที่เขายกหนังสือเล่มนี้ให้เป็นของผม

 

ผมได้หนังสือเล่มนั้นมาเป็นเพื่อนระหว่างรอ นั่งอ่านไปได้สักพักก็ถึงเวลากลับบ้าน เก็บกระเป๋าออกมาจากห้างก็เห็นว่าฝนกำลังตกปรอยๆ ในใจก็เกิดก่นด่าตัวเองขึ้นมาซะเฉยๆ น่าจะเชื่อหน่อยแล้วเอาร่มมาหรือไม่ก็น่าจะให้หน่อยมารับสิ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ จึงต้องยอมเปียกฝนนิดหน่อยแล้วเดินไปขึ้นรถเมล์

กลับถึงบ้านก็ตั้งใจจะรีบขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่หน่อยจะเห็นเข้า ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่บ่นอีกแน่ๆ

"โฮ่ง!" สิ่งมีชีวิตชนิดแรกที่หันมาทักทายผมคือมันแกว เจ้าหมาตัวโปรด ขาสั้นๆ วิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาหาพร้อมส่งเสียงเรียกไม่หยุด

"ชู่ว!" ผมสั่งให้มันเงียบขณะก้มลงจุ๊บหัวมันเบาๆ กระซิบบอกว่าเดี๋ยวจะลงมาเล่นด้วย แล้วรีบวิ่งขึ้นห้องอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ผมเดินไปหยิบผ้าขนหนู เสียงเรียกของแม่ก็ดังขึ้นที่หน้าห้อง

"พลีส! พลีส!"

ไม่รู้แม่โวยวายอะไร จึงเปิดประตูออกไปหา

"พลีส!"

"มีอะไรครับ" ผมเอ่ยถามตอนที่เห็นแม่กำลังแสดงสีหน้าโกรธๆ กับเสียงเรียกที่ดังกว่าเดิม ข้างๆ กันก็เห็นหน่อยที่เดินตามมาด้วยทำหน้าซีด เมื่อผมหันมองก็ก้มหน้าหนีไปซะเฉยๆ

"วันนี้แม่ไปที่เรียนพิเศษพลีสมา แต่เพื่อนพลีสบอกว่าพลีสไม่ได้ไปเรียน"

"ฝนมันตก พลีสเลยไปเรียนไม่ทัน"

"อย่ามาโกหกแม่นะพลีส แม่รู้หมดแล้วว่าพลีสไม่ได้ไปเรียนเลย ไม่มีรายชื่อพลีสในคลาสเรียนด้วยซ้ำ!"

คิดอยู่แล้วว่าสักวันความจริงคงถึงหูแม่แน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เตรียมที่จะรับมือ ผมหมดทางที่จะโกหกต่อแล้วก็เลยต้องรับความจริงอย่างตรงไปตรงมา

"ครับ พลีสไม่ได้ไปเรียน"

"พลีสทำแบบนี้ทำไม"

"ก็พลีสไม่อยากเรียน ขี้เกียจ เหนื่อย ไม่ชอบ"

"แล้วทำไมไม่พูดกับแม่ตรงๆ ไม่ใช่มารวมหัวกับหน่อยหลอกแม่แบบนี้!" เป้าหมายของแม่หันไปที่หน่อย คนที่ถูกดุกลายเป็นหน่อยและหน่อยก็ไม่เคยเถียงอะไรแม่ได้เลยนอกจากคำขอโทษจากความผิดของผม

"ทำไมไม่บอกฉัน"

"ขอ...ขอโทษค่ะ"

"พลีสสั่งไม่ให้บอก ก็เลยไม่บอกงั้นเหรอ ตกลงนี่เชื่อฟังพลีสมากกว่าฉันแล้วเหรอ รับเงินเดือนจากพลีสหรือไงฮะ หน่อย!"

"หน่อยขอโทษค่ะ"

"ตามใจพลีสจนเคยตัว รู้ไว้เลยนะถ้าพลีสเสียคนมันก็เป็นเพราะหน่อย!"

"แม่ พลีสผิดก็ด่าพลีสสิ"

"ก็ทั้งคู่นั่นแหละ!"

"เสียงดังอะไรกัน" เราทั้งหมดหันมองพ่อที่เดินเข้ามา ผมไม่ได้พยายามที่จะขอความช่วยเหลือจากพ่อ เพราะรู้อยู่แล้วว่าพ่อคงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แล้วอีกอย่าง พ่อก็ไม่มีความสามารถพอที่จะหยุดยั้งแม่ตอนที่กำลังโกรธได้เลย 

"ก็พลีสน่ะสิ  โกหกว่าไปเรียนพิเศษทุกวัน แต่จริงๆ ไม่ได้ไปเลยสักวัน"

"ทำไมทำอย่างนั้นล่ะพลีส"

"ก็พลีสไม่อยากไปเรียน เรียนไปก็ไม่เห็นจะได้อะไรเลย"

"จะไม่ได้อะไรได้ยังไง ใครๆ เขาก็เรียนกันทั้งนั้น เรียนพิเศษน่ะดีกว่าเรียนในห้องเรียนปกติเป็นไหนๆ คนที่เรียนเขาก็เกรดดีขึ้นทั้งนั้นแหละ"

"พลีสไม่ได้เรียนก็เกรดดีอยู่แล้ว คะแนนเต็มร้อยพลีสก็ทำได้ร้อย เรียนพิเศษไปก็ใช่ว่าจะได้มากกว่านั้นซะหน่อย"

"ก็จริงอย่างลูกว่า พลีสก็ได้คะแนนดีอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียนก็ค่าเท่ากัน"

"แล้วถ้าไม่เรียนแล้วจะเอาเวลาไปทำอะไร ไปเที่ยวเล่นไร้สาระน่ะเหรอ"

"ก็ลูกไม่อยากเรียนก็ไม่ต้องไปเรียนสิ คุณก็เอาแต่กดดันลูกอยู่นี่แหละ"

"กดดันเหรอ นี่ว่าฉันเหรอ"

"ก็ใช่น่ะสิ"

"ที่ฉันต้องกดดันก็เป็นเพราะฉันห่วงลูก ไม่ใช่เอาแต่ละเลยลูกอย่างคุณนี่ ลูกพูดอะไรคุณก็เชื่อไปหมด เคยคิดอะไรเองได้ไหม หรือเคยคิดที่จะทำอะไรเพื่อลูกบ้างไหม!"

"อย่ามาพาลได้ไหมคุณ!"

"ก็มันจริงนี่!"

เมื่อไรที่พ่อแม่ถกเถียงกัน มันจะนำไปสู่การทะเลาะที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้ง ผมเบื่อที่จะฟัง เบื่อที่จะเห็นอะไรแบบนี้จึงเปิดประตูเข้าห้องแล้วล็อกแน่นสนิท ทว่าเสียงทะเลาะจากห้องของพ่อและแม่ก็ยังดังเข้ามาให้ได้ยินอยู่ หูฟังชนิดครอบหูกับเพลงที่เปิดดังสุดความสามารถของเครื่องเล่นเพลงในมือถือ เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้ผมหลุดพ้นจากเสียงเหล่านั้นได้

ไม่รู้กี่เพลงต่อกี่เพลงที่เล่นต่อเนื่องไปยาวนานจนกระทั่งจิตใจผมสงบลง รู้สึกหนาวขึ้นมาตอนที่เพิ่งจะรู้ตัวว่ากำลังนอนขดอยู่ข้างเตียงบนพื้นห้องขณะที่เนื้อตัวยังเปียกชื้น ผมปิดเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม แล้วยันตัวเองขึ้นนั่งพิงเตียง ถอนหายใจออกมาเบาๆ

ผมหันมองประตูห้องที่ล็อกอยู่ ผมรู้ว่าหน่อยจะยังอยู่ตรงนั้นจนกว่าผมจะออกไปเปิด คิดได้เช่นนั้นจึงลุกไปเปิดประตู และเป็นไปอย่างที่คิด หน่อยนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูเงยหน้าขึ้นมองผมแล้วลุกขึ้นยืน เสียงบ่นอันเป็นนิสัยก็ดังขึ้นพร้อมๆ กัน

"น้องพลีส ทำไมยังไม่อาบน้ำอีกคะ เดี๋ยวก็ไม่สบายจนได้"

"กำลังจะไปอาบแล้ว"

"งั้นหน่อยจะอยู่ที่นี่จนกว่าน้องพลีสจะอาบน้ำเสร็จเลย"

"หน่อย"

"จะอยู่ตรงนี้ค่ะ" ยืนยันคำเดิมพร้อมกับเดินเข้าห้องผมแล้วทิ้งตัวลงนั่งที่ปลายเตียง ไม่รู้จะจัดการยังไงกับคนคนนี้ดี ทำได้แค่เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วตรงเข้าห้องน้ำ ผมใช้เวลาอาบน้ำอยู่พักหนึ่ง พอเดินออกจากห้องน้ำ หน่อยก็ยังอยู่ตรงนั้นเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มมาคือถาดอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือ

"น้องพลีสยังไม่ได้ทานข้าวเย็นเลย"

"พลีสไม่หิว เอาลงไปเถอะ อยากนอนแล้ว"

"แต่หน่อยทำไก่ทอดเอาไว้ให้นะคะ"

"..."

"ทอดสุดฝีมือเลยนะ"

"..."

"ถ้าน้องพลีสไม่กิน คนทำเขาก็คงเสียใจ"

หน่อยเป็นแบบนี้ทุกทีเลย!

ผมจงใจถอนหายใจแรงๆ เพื่อให้อีกคนได้ยิน ทิ้งผ้าขนหนูลงบนเตียงแล้วขยับไปนั่งที่โต๊ะหนังสือเพื่อกินข้าวที่หน่อยยกมาให้ ไก่ทอดถูกฉีกเป็นชิ้นพอดีคำอย่างที่หน่อยทำให้เสมอ แม้ผมจะยอมกินข้าวแล้วแต่ก็ยังมีเรื่องอื่นให้หน่อยบ่นไม่หยุด

"ต้องเช็ดผมให้แห้งก่อนนอนนะคะ"

"พลีสรู้"

"รู้ แต่ก็ทำไม่ได้" พูดขำๆ แล้วเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ผมโยนไว้นั่นขึ้นมา ก่อนจะใช้มันเช็ดผมให้ ผมปล่อยให้หน่อยเป็นคนเช็ดผมให้ ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ มือของหน่อยที่โอบอุ้มผมมาตั้งแต่เด็กๆ ค่อยๆ ขยี้ผมเบาๆ ด้วยผ้าขนหนู ก่อนจะเปลี่ยนเป็นมือเปล่าที่ลูบหัวผมเบาๆ

"คืนนี้นอนให้สบาย หลับให้สนิท ไม่ต้องคิดมากเรื่องไหนนะคะ"

"..."

"จะมีหน่อยอยู่กับน้องพลีสตรงนี้เสมอเลยค่ะ"

หน่อยพูดแค่นั้นแล้วเดินเอาผ้าขนหนูไปตากที่ราว ผมหันมองแผ่นหลังของคนตรงนั้นแล้วโต้ตอบอยู่ในใจ เป็นคำที่ไม่เคยพูดออกไปตรงๆ ไม่เคยพูดให้หน่อยได้ยินสักครั้งเลย...

 

ขอบคุณนะครับ

 

...

 

ไม่ค่อยมีเหตุผลที่ทำให้ผมอยากมาโรงเรียน ที่นี่ไม่มีแม้แต่เพื่อนสักคนเลย อาจเป็นเพราะผมอายุมากกว่านักเรียนในห้อง ด้วยเหตุที่ต้องหยุดเรียนไปถึงสองปี บวกกับนิสัยที่ไม่ค่อยสุงสิงหรือพูดคุยกับใครได้นานนัก ก็คงมีส่วนทำให้ผมมักจะถูกกีดกันออกจากสังคมในห้องเรียนอยู่เสมอ ผมไม่เคยถูกเลือกเมื่ออาจารย์สั่งให้จับคู่ทำงาน ไม่เคยได้กินข้าวในโรงอาหารหรือใช้ชีวิตอย่างปกติในโรงเรียนเหมือนที่คนอื่นเขาทำกัน

และต่อให้อายุมากกว่า แต่ตัวเล็กที่สุดในบรรดาเพื่อนผู้ชายในห้อง ร่างกายก็ดูไร้เรี่ยวแรงจนเหมือนจะลุกขึ้นยืนไม่ไหวด้วยซ้ำไป ผมมักถูกกลั่นแกล้งโดยไม่มีเหตุผล ซ้ำไปซ้ำมาจนไม่รู้สึก...

"ตุ้บ!"


สองขาหยุดชะงักตอนที่บอลลูกหนึ่งกระแทกเข้าที่กลางหลัง ก็เจ็บแต่ไม่ได้ร้องออกมา ทำได้แค่ก้มลงเก็บลูกบอลแล้วโยนกลับไปให้ไอ้ปั้นกับเพื่อนที่ยืนหัวเราะอยู่ในสนาม

...จนไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว 

เดินผ่านสนามฟุตบอลหน้าโรงอาหารไปซื้อนมหนึ่งกล่องสำหรับมื้อกลางวันของตัวเอง หนึ่งชั่วโมงสำหรับชั่วโมงพัก ยาวนานกว่าความเป็นจริง เพราะผมไม่รู้จะทำอะไรในหนึ่งชั่วโมงนั้น เมื่อดื่มนมหมดกล่องก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ส่งการบ้านวิชาฟิสิกส์ จึงเดินไปยังห้องพักครูหมวดวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีใครอยู่เลย ผมเลื่อนสายตามองบนโต๊ะของครูประจำวิชาแต่ไม่เห็นว่ามีรายงานของคนอื่นวางอยู่เลย แต่ไม่ได้เอะใจอะไรเพราะผมมักจะเป็นคนแรกที่ส่งงานในทุกๆ วิชาอยู่แล้ว ส่งรายงานเสร็จก็เดินกลับไปที่ห้องเรียน ก่อนความเงียบในชั่วโมงพักถูกแทนที่ด้วยเสียงเอะอะของคนในห้องเมื่อถึงเวลาเรียนคาบต่อไปแล้ว

            ผมมักได้รับคำชื่นชมจากครูเสมอว่าเป็นคนตั้งใจเรียน สนใจในสิ่งที่ครูสอนและไม่เคยพูดคุยในเวลาเรียนเลย แม้เป็นคำชื่นชมแต่ผมกลับรู้สึกเวทนาในตัวเองอยู่เล็กน้อย นั่นเป็นเพราะ...ผมไม่มีเพื่อนสักคนให้พูดคุยด้วยต่างหาก

ชั่วโมงเรียนในคาบบ่ายดำเนินไปอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งถึงวิชาสุดท้าย ซึ่งเป็นวิชาฟิสิกส์ เมื่อครูเดินเข้ามาในห้องแล้ว แต่เสียงพูดคุยยังไม่หยุดลง นักเรียนบางคนยังหันมาคุยกับเพื่อนที่โต๊ะหลัง อ่านหนังสือวิชาอื่นหรือแม้กระทั่งนั่งเล่นมือถือ ครูประจำวิชาฟิสิกส์เป็นครูผู้ชายวัยใกล้เกษียณ สวมแว่นอันใหญ่ ผมหงอกขาว เคลื่อนไหวเชื่องช้าและมักจะพูดจาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ คงเป็นเพราะลักษณะนิสัยที่ดูใจดีนั้นทำให้นักเรียนส่วนใหญ่หลงลืมที่จะเกรงกลัวครูท่านนี้ไป

"ก๊อกๆๆ"

เสียงปากกาเคาะโต๊ะสองสามครั้งเป็นสัญญาณบอกว่าครูพร้อมที่จะสอน แม้ไม่เกรงกลัวแต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคารพกัน เด็กในห้องจึงเงียบเพื่อที่จะเริ่มต้นการเรียนการสอนในวิชานี้ บทเรียนถูกสอนไปเรื่อยๆ ด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาและเนื้อหาที่ไม่ได้น่าสนใจนัก นักเรียนบางคนฟุบหลับ บางคนยกหนังสือขึ้นกางเพื่อบดบังว่ากำลังเล่นเกมในมือถือ บางคนก็ก้มทำงานวิชาอื่น

"รายงานที่สั่งไปคราวก่อน ครูนัดส่งวันนี้ใช่ไหม"

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ แต่ไม่ได้รับความสนใจเพราะเสียงใสๆ ของนักเรียนหญิงหน้าห้องคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมาก่อน

"อาทิตย์หน้าค่ะ"

"ใช่ค่ะ อาทิตย์หน้า"

"ครูบอกอาทิตย์หน้าครับ"

ทั้งหมดในห้องเออออกันเป็นเสียงเดียวราวกับนัดกันมาแล้ว

"แล้วทำไมถึงมีคนเอามาส่งครูวันนี้" ครูหยิบรายงานของผมขึ้นดู ขยับแว่นหรี่ตามองชื่อที่แสดงอยู่หน้าปก ก่อนอ่านออกเสียงเบาๆ

"พันธกานต์"

"เชี่ย..." เสียงสบถจากไอ้ปั้นที่นั่งอยู่ด้านหลังดังขึ้นทันทีที่ครูอ่านชื่อผมออกมา นักเรียนในห้องทุกคนก็หันมองเป็นตาเดียวราวกับว่าผมได้ทำเรื่องผิดพลาดเรื่องใหญ่ไปแล้ว

"สรุปว่าครูนัดส่งวันนี้ใช่หรือไม่"

ไม่มีเสียงตอบจากใครเลย ก่อนที่ครูจะเป็นคนหาคำตอบด้วยตัวเองด้วยการเปิดกองชีทบนโต๊ะ เดาว่าครูคงจะจดมันเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง สายตาเพื่อนในห้องยังมองไม่ละ ขณะที่ครูเองก็พบคำตอบนั้นแล้ว

"นี่ไง ครูจดเอาไว้ว่าส่งวันนี้ นี่คิดจะโกหกงั้นเหรอ"

มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เพื่อนคนอื่นๆ จะนัดกันเลื่อนส่งงานด้วยเหตุผลที่ว่าครูมักจะจำไม่ได้ว่าตัวเองสั่งงานเอาไว้หรือมีกำหนดส่งวันไหน แต่ครั้งนี้ผมไม่รู้ การส่งรายงานตามกำหนดที่ควรจะเป็นเรื่องปกติของนักเรียน จึงกลายเป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ผมกำลังสร้างความเดือดร้อนให้ทุกคนในห้องเข้าแล้ว

"คิดว่าครูจำไม่ได้ก็นัดกันไม่ส่งงานงั้นเหรอ เอาล่ะ ทุกคนไปทำเพิ่มกันมาอีกคนละเล่ม ยกเว้นพันธกานต์"

"โห่!"

"ไม่ต้องมาโห่ เอามาส่งวันศุกร์ ครูจะจดไว้ตัวใหญ่ๆ ตรงนี้เลย"

เมื่อครูเดินออกจากห้องไปแล้ว เสียงจอแจของเพื่อนในห้องก็ดังขึ้นในประเด็นที่ผมตกเป็นผู้ราย ไอ้ปั้นที่นั่งอยู่ข้างหลังถีบเก้าอี้ผมทีหนึ่งเพื่อให้หันไปหามัน

"ไงล่ะมึง คนเขานัดกันบอกครูว่าเลื่อน มึงเสือกไปส่งทำเหี้ยอะไร"

"สาระแนชิบหาย"

"อยากเป็นนักเรียนดีเด่นมากเหรอ"

"ทำคนอื่นเขาเดือดร้อน"

"สมควรแล้วที่ไม่มีใครคบอะ"

มีบางคนที่ก่นด่าอย่างไม่พอใจ บางคนที่เกลียดชังอยู่แล้วก็เพิ่มเหตุผลที่จะเกลียดเข้าไปอีก บางคนก็นิ่งเฉยไม่สนใจ แต่ไม่มีคนไหนเลย...ที่จะเห็นใจกันบ้าง

ผมถอนหายใจเบาๆ เก็บของใส่กระเป๋าลวกๆ แล้วลุกออกจากโต๊ะ ไม่ทันจะเดินไปไหน ไอ้ปั้นก็ดึงแขนผมเอาไว้ก่อน

"ทำผิดแล้วหนีเลยเหรอวะ"

"นั่นดิ ไม่ขอโทษพวกกูสักคำเหรอ"

จากที่ทนเงียบมานานก็จำเป็นต้องพูดอะไรออกไปบ้าง แม้มันจะแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดผมก็ควรได้รับความยุติธรรม

"เราไม่รู้ว่าทุกคนนัดกัน"

"มึงไม่ได้อ่านไลน์กลุ่มหรือไงวะ"

"นั่นดิ เขาก็พูดกันชัดแล้วนะ"

"หรือมึงไม่สนใจอ่านวะ"

ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วโต้ตอบด้วยความใจเย็นที่สุดเท่าที่จะทำได้

"เราไม่ได้อยู่ในกลุ่มไลน์"

"..."

"ในกลุ่มนั้นน่ะ..."

"..."

"ไม่มีเรา"

 

...

มีต่อค่ะ

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 19-06-2019 23:55:51



ผมเคยมีเพื่อน เคยมีคนที่ผมรัก เคยมีทุกอย่างที่คนอื่นมี แต่น่าเสียดาย...มันกลายเป็นอดีต ถึงแม้ว่าในตอนนี้ผมจะสามารถมีทุกอย่างที่ผมต้องการหากว่าสิ่งนั้นมันหามาได้โดยการใช้เงินซื้อ แต่หากเป็นสิ่งอื่นที่หัวใจผมโหยหาก็ไม่อาจได้มาครอบครองแม้เพียงอย่างเดียว

ผมถูกพ่อแม่โกหกด้วยคำหลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเราเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ มีรูปลักษณ์ที่ไม่ได้น่าเกลียด มีครอบครัวที่ไม่ขัดสน มีผลการเรียนที่ดี มีชีวิตที่ใครๆ ก็ควรอิจฉา ด้วยภาพลวงหลอกตาเหล่านั้น ทำให้คนที่ไม่รู้จักต่างปักใจเชื่อว่าชีวิตของผมนั้นดีพอแล้ว แต่ความจริงสวนทางทุกอย่างที่คนอื่นคิด ไม่ว่าข้างนอกจะแสดงออกมาว่าเป็นเช่นไร แต่ข้างในกลับกลวง ย่อยยับไม่มีชิ้นดี ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร แต่รู้ตัวอีกที...โลกมันก็ใจร้ายกับผมทุกเรื่องไปแล้ว

 

หลังจากที่แม่รู้ความจริงเรื่องที่ผมไม่ได้ไปเรียนพิเศษแล้ว ผมก็สามารถกลับบ้านเวลาไหนก็ได้โดยไม่ต้องโกหกอีก แม้ว่าแม่จะยังโกรธเรื่องนั้นอยู่บ้าง ซ้ำยังกำชับให้ผมทำคะแนนสอบให้ดีอย่างที่พูดไปว่าไม่ต้องเรียนพิเศษก็ทำได้ แต่วันนี้ผมก็ยังไม่อยากกลับบ้าน จึงเดินเล่นไปเรื่อยๆ ในวันที่อากาศไม่ร้อนเพราะเมฆฝนเหล่านั้น ผมมาหยุดอยู่ที่สนามเด็กเล่นหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีเครื่องเล่นเก่าๆ กับบรรยากาศเงียบงันเพราะไม่มีใครเลย ผมจึงตั้งใจที่จะเดินเข้าไปนั่งเล่นที่นี่

"ปรื้ด!"


"เหวอ!"  ตกใจร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งลื่นลงมาจากสไลด์เดอร์อันใหญ่นั่น ตอนที่ผมกำลังเดินผ่านไปตรงนั้นพอดี เราต่างคนต่างตกใจผงะกันไปทั้งคู่ ก่อนอีกฝ่ายหันมาให้เห็นหน้าชัดๆ ผมจึงจำได้ว่าเขาคือผู้ชายที่ยกหนังสือให้ผมวันก่อน เขาเองก็คงจะจำผมได้เช่นกันจึงเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน

"อ้าว น้อง"

ผมทำได้แค่ก้มหัวให้ด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนเราทั้งคู่เอาแต่มองหน้ากันไปมา ก่อนที่ผมจะเดินไปนั่งลงที่ชิงช้าตัวหนึ่ง เขาเองก็นั่งลงที่ชิงช้าอีกตัวหนึ่ง ผมมองดูผู้ชายคนข้างๆ ที่สวมเสื้อพละของโรงเรียนแห่งหนึ่งแต่ใส่กางเกงกีฬาขาสั้น กับรองเท้าแตะ ดูจากทรงผมหรือว่าหน้าตานั้นแล้ว เดาไปเองว่าเขาน่าจะเลยวัยที่จะเป็นเด็กม.ปลายแม้ว่าจะอยู่ในชุดนั้นก็ตาม

เรามองหน้าแล้วก็ยิ้ม ยิ้มแล้วก็มองหน้า ดูเหมือนว่าเราทั้งคู่จะไม่มีความสามารถเรื่องการเข้าหาคนเหมือนกัน คงอึดอัดที่จะเอาแต่เงียบเฉย สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายชวนผมคุยก่อน

"บ้านอยู่แถวนี้เหรอครับ"

"ครับ"

"แล้ว...ไม่กลับบ้านเหรอ"

"อยากนั่งเล่นก่อนน่ะครับ"

"อ๋อ"

แล้วก็พากันเงียบอีกครั้ง คนข้างๆ เริ่มขยับชิงช้าแล้วโยกตัวเบาๆ ขณะที่ผมก็เอาแต่มองฟ้าครึ้มๆ ที่ภาวนาอย่าให้ฝนตกลงมาตอนนี้ ขณะนั้นเองก็คิดขึ้นมาได้ว่า วันนี้ผมเอาหนังสือเล่มที่เขายกให้วันนั้นติดมาด้วย และผมเพิ่งจะอ่านจบไปเมื่อกลางวันเลยคิดที่จะส่งต่อมันให้กับเขา เปิดกระเป๋าแล้วล้วงเข้าไปหยิบ แต่ในจังหวะนั้นปลายนิ้วก็ถูกจิ้มกับอะไรสักอย่างที่อยู่ในกระเป๋า จนเผลอร้องออกมาจนคนข้างๆ ตกใจไปด้วย   

"โอ๊ย!"

"เป็นอะไรครับ"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ หยิบต้นเหตุของความเจ็บนั่นออกมาดูก็เห็นว่ามันเป็นปากกาที่ไม่น่ามีพิษภัย อาจเป็นเพราะตอนที่เก็บกระเป๋าลวกๆ จึงไม่ได้กดเก็บปลายปากกา แค่เพียงปลายปากกานั่นปนเปกับจังหวะซวยๆ ของชีวิต นิ้วผมก็ได้แผลจนเลือดซึมออกมาเป็นจุด

"เลือดเลย" ผมพูดออกมาเบาๆ แต่คนข้างๆ ตกใหญ่เสียใหญ่โต

"เลือดเหรอ!"

ผมยังไม่ทันได้ตอบรับ อีกฝ่ายก็ลุกจากชิงช้าแล้ววิ่งพรวดออกไปจากตรงนี้ท่ามกลางความงุนงงของผม

"ฟึบ!"

"ปะ...ไปไหน..."

ผมมองตามผู้ชายคนนั้นที่วิ่งข้ามถนนไปจนลับตา ไม่เข้าใจว่ารีบร้อนอะไร ก่อนจะยกมือเช็ดเลือดที่ปลายนิ้วออก เลือดไหลออกมาแค่นั้นและไม่ได้เจ็บปวดอะไรเลย ผมนั่งอยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง ก่อนหันไปเห็นคนที่วิ่งออกไป กำลังวิ่งกลับมาด้วยท่าทางเหนื่อยหอบแล้วยื่นบางอย่างให้ผม

"อะไรครับ"

"พลาสเตอร์ไง เอาไว้แปะแผล"

"ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย"

"เลือดออกไม่ใช่เหรอ"

"ก็แค่นิด..."

"มันหยุดไหลหรือยัง!" อีกคนสวนกลับมาเสียงดังตอนที่ผมกำลังจะยื่นนิ้วตัวเองให้ดู ไม่รู้ว่าท่าทีร้อนรนนั่นคืออะไร แต่มันกลับทำให้ผมเผลออมยิ้มออกมาซะเฉยๆ รวบฝีปากกลั้นรอยยิ้มแล้วรับพลาสเตอร์มาจากเขา

"มันหยุดไหลแล้ว ขอบคุณนะครับ"

สีหน้ายังดูกังวลแปลกๆ แต่ก็พยักหน้ารับ แล้วหย่อนตัวลงนั่งที่ชิงช้าตัวเดิม เรายังคงนั่งอยู่ด้วยกัน แต่ก็เงียบใส่กันไปเรื่อยๆ ผมเริ่มไกวชิงช้าเบาๆ อย่างที่เขาทำ เงยหน้ามองท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ

ผมก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนอย่างทุกวัน


"น้อง"

"ครับ"

"กลับบ้านช้าแบบนี้ พ่อแม่ไม่ว่าเอาเหรอ"

"ไม่ว่าหรอกครับ"

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ครับ?"

"เห็นทำหน้าเศร้าๆ"

"พี่แอบมองหน้าผมเหรอ"

"อือ"

เขายอมรับออกมาตรงๆ แม้ว่าผมตั้งใจจะพูดเล่น อีกฝ่ายหลุดยิ้มกว้าง ด้วยนิสัยที่ผมเป็น มันทำให้ผมเข้ากับคนได้ยากมากๆ เป็นปกติอยู่แล้ว การพูดคุยกับคนรู้จักยังเป็นเรื่องยากเลย ยิ่งถ้าต้องพูดคุยกับคนแปลกหน้า ผมยิ่งไม่กล้า แต่วันนี้ด้วยความอัดอั้นตันใจหรืออะไรก็ตาม มันทำให้ผมเลือกที่จะพูดกับคนคนนี้ออกไปอย่างเปิดเผย

"ผมถูกเพื่อนที่โรงเรียนเกลียด ทุกคนเกลียดผมครับ"

"มีเหตุผลหรือเปล่า"

"ไม่รู้สิครับ แต่บางครั้งผมก็รู้สึกว่า..."

คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมาจากปากกลับดูยากเย็นและกลืนหายไปซะเฉยๆ ผมสูดลมหายใจเบาๆ แล้วกลั้นใจพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้มันเป็นปกติทั้งๆ ที่ผมเกือบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว

"เหมือนกับว่าผมต้องตกเป็นเหยื่อของคนที่จงใจทำร้ายผม ทั้งๆ ที่ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลย"

"..."

"สาบานได้ ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยจริงๆ นะครับ"

ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง หันมองคนข้างๆ ที่กำลังยื่นมือเข้ามาจนเกือบจะถึงหัวของผม พลันรู้ตัวผมจึงถอยหนีมือของเขาด้วยความตกใจ อีกฝ่ายก็ดูตกใจไปด้วยจึงดึงมือตัวเองกลับไป

"แค่...แค่อยากจะปลอบใจน่ะ"

"ขอโทษครับ ผมตกใจ"

เขาพยักหน้ารับยิ้มๆ เมื่อฝ่ามือนั้นถูกดึงกลับไป การปลอบใจจึงกลายเป็นคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ออกมาแทน

"พี่ปลอบใจใครไม่ค่อยเก่ง แต่เข้าใจนะ"

"..."

"รู้ว่ามันยากแต่...สู้ๆ นะ"

"..."

"ต้องสู้นะ โอเคไหม"

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่ปลอบใจใครไม่เก่งอย่างที่บอกจริงๆ ด้วย ความพยายามที่จะปลอบใจด้วยท่าทางเหล่านั้นทำให้ผมยิ้มรับแล้วกล่าวคำขอบคุณอีกครั้ง กระทั่งเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงเป็นฝ่ายขอตัวกลับก่อน ไม่ลืมที่จะล้วงลงไปในกระเป๋าแล้วหยิบหนังสือเล่มนั้นออกมาอีกครั้ง

"ผมอ่านจบแล้ว มันเป็นหนังสือที่ดีมากเลย ถ้าเก็บไว้อ่านคนเดียวคงรู้สึกผิดแน่ๆ ผมให้พี่ครับ"

"ให้พี่เหรอ"

"ครับ"

"ขายต่อ?"

"ให้ครับ"

            ผมยื่นหนังสือให้แต่ความเกรงใจถูกแสดงออกผ่านใบหน้าเก้ๆ กังๆ ที่จะรับนั่น ผมจึงยัดหนังสือเล่มนั้นใส่มือเขาไปเลย

"แลกกับพลาสเตอร์ครับ"

ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะเดินออกมา หันไปมองอีกครั้งในตอนที่ได้ยินเสียงของเขาดังไล่หลังมา

"ขอบคุณนะครับ"

ผมเพิ่งเข้าใจ คำว่าขอบคุณมันมีค่ามากขนาดนี้...ขนาดที่ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวเลย 

 

...

 

เย็นวันนี้ผมมีนัดทำฟัน และอาจจะเป็นเพราะว่าผมกำลังรู้สึกรอคอย ตอนเย็นของวันนี้จึงมาช้ากว่าทุกวัน ยกนาฬิกาที่ข้อมือขึ้นดูครั้งแล้วครั้งเล่า ทันทีที่ได้เวลาจึงรีบไปให้ถึงคลินิกอย่างไม่รอช้า ใช่ว่าผมจะชอบการทำฟันที่เจ็บปวดนั่นเท่าไรนัก แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางสิ่งบางอย่างที่นี่กำลังดึงดูดผม สักพักใหญ่ๆ ที่ผมรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเพื่อจะพาตัวเองมาที่นี่แม้เพียงเดือนละครั้ง และมันก็เป็นหนึ่งครั้งที่ทำให้ทั้งเดือนของผมมีความสุขขึ้นมาซะเฉยๆ 

ใช่...อาจจะเป็นเพราะคุณหมอคนนั้น

"น้องพลีส"

ชื่อเรียกของผมผ่านเสียงของคุณหมอนั้นคุ้นหู ผมยิ้มบางๆ แล้วยกมือไหว้อย่างทุกครั้ง

"มาเร็วจังเลยนะครับ"

ผมไม่ได้ตอบ ได้แต่พยักหน้า ยอมรับว่ายังหุบยิ้มไม่ลง

"เลือกสียางไหม"

"เอาสีเดิมครับ"

"อีกแล้วเหรอ พี่เลือกให้ไหม"

"ไม่เอาครับ"

"สีชมพูไหม"

"สีเทาครับ"

"ฟ้าก็สวยนะ"

"สีเทาครับ"

"ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง"

"สีเทาครับ"

"ยอมแล้ว!" คุณหมอแกล้งทำหน้าบึ้งใส่ พยักหน้าให้ผมเดินตามเข้าไปในห้องทำฟัน ผมนอนลงที่เก้าอี้ทำฟัน ตอนที่คุณหมอกับผู้ช่วยกำลังเตรียมการอะไรบางอย่าง ครู่เดียวเสียงนุ่มทุ้มหูของคุณหมอด้วยประโยคเดิมที่ได้ยินทุกครั้งก็ดังขึ้นข้างๆ หู

"อ้าปากเลยครับ"

แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยชิน น้ำหอมกลิ่นเดิมจากตัวของคุณหมอบอกให้ผมรู้ตัวว่าเราอยู่ใกล้กันแค่นี้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม หัวใจผมพลันเต้นตึกตักทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ ผมจึงหลับตาลง คิดเรื่องอื่น เพื่อไม่ให้จิตใจจดจ่ออยู่ตรงนี้ พาความคิดไปให้ไกลจากตรงนี้ สมมติว่าเราไม่ได้อยู่ใกล้กัน ไม่ได้กำลังใกล้ชิดกับคุณหมอ...ไม่มีเขาอยู่ตรงนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องจริง

 


ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนไข้คนสุดท้ายในวันนี้ ทันทีที่เสร็จจากเคสของผม พนักงานในคลินิกก็เตรียมตัวเก็บของและปิดคลินิก ผมหันไปมองคุณหมออีกทีขณะที่กำลังจ่ายเงิน คนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นดึงหน้ากากอนามัยลงเพื่อให้ผมได้เห็นรอยยิ้มกว้างๆ ที่ดูใจดีอยู่เสมอ

คนคนนั้นน่ะ...น่ารักที่สุดเลย

ผมกลั้นยิ้มไม่อยู่ ริมฝีปากจึงหลุดอมยิ้มออกมานิดๆ จนกระทั่งเดินออกมาจากประตู รอยยิ้มจึงหุบลงอัตโนมัติตอนที่เห็นว่าฝนกำลังตก ผมยกกระเป๋าขึ้นบังฝนแล้ววิ่งข้ามถนนไปยังป้ายรถเมล์ แต่ชั่วโมงฝนตกแบบนี้รถติดหนัก รถเมล์มาช้า แท็กซี่ก็หายากตามตามแบบฉบับ จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องยืนหลบอยู่ใต้หลังคาป้ายรถเมล์ที่ไม่ได้คุ้มฟ้าคุ้มฝนได้ดีเท่าไรนัก ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดซ้ำยังตกหนักกว่าเดิมจนเม็ดฝนเริ่มสาดกระเซ็นให้ผมเปียก ผมถอยหลังอีกก้าวเพื่อพยายามที่จะหลบฝน ขณะเดียวกันก็มองเห็นเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามายืนข้างๆ เงยขึ้นมองหน้าเจ้าของเท้าคู่นั้นที่กำลังยิ้มกว้างพลางยื่นร่มในมือบังฝนให้

"คุณหมอ"

"เรียกพี่ต่อสิ"

"ครับ?"

"บอกกี่ทีแล้วให้เรียกพี่ต่อ เรียกคุณหมออยู่ได้"

"เป็นคุณหมอนี่นา ไม่ได้เป็นพี่ซะหน่อย" ผมเถียงเบาๆ แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือนิ้วมือเรียวที่จิ้มเข้าเบาๆ ที่หน้าผากพร้อมคำตำหนิกวนๆ

"ดื้อที่สุดในโลก"

พูดจบก็ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกนิดเพื่อให้ร่มในมือของเขาได้กันฝนให้ทั้งผมและตัวเขา แต่ด้วยความใกล้ชิดอันไม่เคยชินนั้น เป็นเหตุให้ผมต้องขยับเท้าห่างออกมาจากเขาก้าวหนึ่ง คุณหมอหันมองด้วยใบหน้างงๆ แล้วก็ขยับตามมาอีก เมื่อผมขยับหนีอีกก้าว เขาก็ตามมาอีกจนผมหมดทางหนีเพราะตรงนี้ไม่มีหลังคาป้ายรถเมล์ช่วยกันฝนแล้วจึงต้องเอ่ยปากห้าม

"อย่าตามมาสิครับ"

"เดี๋ยวก็เปียกหรอก"

"ผมไม่เป็นไร"

"แล้วจะหนีพี่ไปไหนอะ"

"คือ...ผม..."

"เข้ามาเร็ว"

มือข้างหนึ่งของผมถูกดึงให้เข้าไปอยู่ใต้ร่มคันเดียวกัน ขณะที่เราใกล้จนไหล่ชนกันไม่มีช่องว่าง คุณหมอก็ไม่ยอมปล่อยมือผมออก หัวใจเต้นแรงขึ้นราวกับไม่มีขีดจำกัดที่จะสิ้นสุดความรุนแรงนั้น และก่อนที่มันจะระเบิดผมต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ก่อน พลันสายตาหันไปเห็นรถเมล์ที่เข้ามาจอดเทียบพอดี ผมดึงมือออกจากมือคุณหมอแล้ววิ่งขึ้นรถเมล์โดยไม่ได้เอ่ยคำลา เมื่อหันไปมองอีกครั้ง คุณหมอยังคงยืนยิ้มและโบกมือให้ ก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไป แม้แต่จะยิ้มก็ยังทำไม่ได้...เป็นแบบนี้ไม่ดีเลย

ผมกลับมาถึงบ้านในสภาพที่เนื้อตัวเปียกฝนนิดหน่อยเพราะระยะทางจากป้ายรถเมล์มาถึงนี่ไม่มีร่มอะไรที่จะคุ้มกันฝนได้เลย เมื่อหน่อยหันมาเห็นก็ทำเป็นเรื่องใหญ่ ใส่อารมณ์เกินกว่าเหตุ

"น้องพลีส ทำไมเปียกแบบนี้ล่ะคะ หน่อยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้พกร่มไปด้วย"

"ลืม"

"แล้วทำไมไม่โทรให้หน่อยไปรับคะ"

"รถมันติด กว่าหน่อยจะไปถึงก็ช้า พลีสขี้เกียจรอ"

"งั้นรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยค่ะ ถ้าไม่สบายขึ้นมาเดี๋ยวจะแย่"

"ไม่เป็นอะไรซะหน่อย"

"จะไม่เป็นอะไรได้ยังไงคะ น้องพลีสไม่สบายง่ายจะตาย โดนฝนนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นหวัดแล้ว ไปอาบน้ำเลยค่ะ เดี๋ยวนี้ค่ะ"

"ไปแล้ว ไปแล้วนี่ไง โอเคไหม" ตัดปัญหาเสียงบ่นมากมายนั่นด้วยการทำตามคำสั่งก็จบ ผมจึงตรงเข้าห้องตัวเองเพื่อจะไปอาบน้ำ เท้าก้าวได้ช้าลงตอนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง ทิ้งตัวเองลงนั่งที่ปลายเตียงขณะที่สมองกำลังคิดถึงเรื่องอื่น

 

"แล้วจะหนีพี่ไปไหนอะ"
"เข้ามาเร็ว"


 

ผมยกมือของตัวเองขึ้นมองอยู่อย่างนั้น พลันหัวใจก็กลับมาเต้นแรงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะชื่นชอบหรือเคอะเขิน แต่เป็นเพราะอาการต่อต้านที่เกิดจากเหตุผลบางอย่างซึ่งฝังลึกอยู่ในใจ

ผมลุกจากที่นอน ตรงเข้าห้องน้ำแล้วเปิดน้ำล้างมือตัวเอง ทั้งล้าง ทั้งถู ขยี้เสียรุนแรงเพื่อหวังว่าจะลบล้างความรู้สึกที่กำลังเกิดอยู่ในใจได้

ผมไม่ชอบให้ใครเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ไม่ชอบการถูกแตะเนื้อต้องตัว และแน่นอนว่าไม่ชอบ...ที่มันเป็นเช่นนั้น ไม่ได้อยากเป็นแบบนี้เลยแต่อาการบ้าๆ นั่น ก็ก่อเกิดขึ้นมาทุกครั้งที่ตัวเองเริ่มรู้สึกกับใครและไม่เคยเอาชนะมันได้ ไม่เคยก้าวผ่านมันไปได้ แม้ว่าคนที่ใกล้ชิดกับผมจะเป็นเขา แม้ว่าจะเป็นคุณหมอ...เป็นพี่ต่อ


เป็นคนที่ผมชอบเขาเหลือเกิน...


 

To be continued.

 


 ___________________________________________________________________________________

แวะมาทักทายกันนิดหน่อย ในที่สุดก็กลายเป็นนิยายรายเดือนอีกจนได้นะคะ น่ารักที่สุด 555555

 

วันนี้ อยากพูดถึงฉากหนึ่งในตอนนี้ที่รู้สึกติดค้างอยู่ในใจมานาน เป็นฉากที่เพื่อนในห้องของพลีสรุมด่าด้วยเหตุผลที่ว่าพลีสเอางานไปส่งก่อนโดยไม่รู้ว่าเพื่อนนัดกันไว้ เหตุการณ์นี้เรานำมาจากเรื่องจริงตอนเรียนม.ปลายเมื่อสิบกว่าปีก่อน ผ่านไปแล้วสิบปีแต่ยังจำได้ไม่เคยลืมเลย ยาวหน่อยนะคะ อัดอั้นมาก 5555

ในห้องเรียนหนึ่งห้อง มักจะมีนักเรียนที่เรียนเก่งๆ คนหนึ่งแล้วตกเป็นที่หมั่นไส้อยู่ตลอด ไม่รู้สมัยนี้ยังจะมีไหม นะคะ แต่สมัยที่เราเรียน คนที่เป็นเด็กเรียนหนึ่งคนจะถูกคนในห้องไม่ชอบด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่รู้

เรื่องมันเกิดขึ้นในคาบฟิสิกส์ ด้วยความที่อาจารย์เป็นคนใจดีมาก สั่งงานแล้วก็ชอบลืมว่านัดส่งวันไหน แล้ววันหนึ่งก็มีงานชิ้นหนึ่งขึ้นมา จำได้ว่ามันเป็นรายงานแต่ไม่รู้แล้วว่าเกี่ยวกับอะไร เหมือนว่ามันจะยากหรือเยอะมากจนทำไม่ทันกันสักคนอะไรประมาณนี้ค่ะ แกนนำในห้องก็เสนอขึ้นมาว่าจะเลื่อนส่งโดยบอกว่าอาจารย์นัดวันอื่น ทุกคนตกลงกันเรียบร้อย แต่เด็กเรียนดีคนนั้นไม่รู้ เพราะเขาไม่มีเพื่อนเลย ใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ตลอด ก็เอางานไปส่งปกติ จนอาจารย์จับได้ว่าทั้งหมดในห้องโกหกเลยถูกทำโทษ จริงๆ ตอนนั้นเพื่อนในห้องโดนตีค่ะ (สมัยนั้นยังครูยังตีนักเรียนได้อยู่) ฟาดกันไปคนละที ก็กลายเป็นความโกรธเคืองกัน จบคาบก็รุมด่าเด็กนักเรียนคนนั้นด้วยถ้อยคำหยาบคาย เรื่องบานปลายไปจนถึงครูที่ปรึกษา ครูเรียกไปคุยกันเพื่อหาเหตุผลว่าทำไมนักเรียนในห้องถึงไม่ชอบเด็กเรียนดีคนนั้น เรียกถามทีละคน ทุกคนต่างมีเหตุผลของตัวเองก็สาดใส่กันเต็มที่ เด็กเรียนดีคนนั้นนั่งฟังเฉยๆ โดยไม่โต้ตอบอะไร บอกให้คนรู้ว่าฟังอยู่ด้วยการพยักหน้ารับตามทุกประโยคที่เพื่อนพูดเลย จนกระทั่งครูเปิดโอกาสให้เขาพูดบ้าง จำได้ไม่ชัดนักแต่เขาพูดประมาณว่า ถ้าทุกคนไม่ชอบเรา มันก็แปลว่าเราไม่ดีนั่นแหละ ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงเหมือนกันแต่ก็ขอโทษนะ หลังจบเทอมนั้นแล้วเปิดเทอมใหม่ ทุกคนไม่เจอเด็กเรียนดีคนนั้นแล้วเพราะเขาย้ายโรงเรียนไปโดยไม่บอกใคร เด็กคนนั้นถูกลืมโดยไม่มีใครพูดถึงอีกเลย บางครั้งบางคราวเราก็เกือบไปแล้วว่าเขาชื่ออะไร

อย่างที่บอกในเรื่องค่ะ ในหนึ่งห้องเรียนจะมีเด็กเรียนดี มีเด็กเรียนไม่ค่อยดี มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ๆ ที่เป็นแกนนำความคิดเห็นต่างๆ มีคนที่เอาแต่เกลียดคนอื่นแล้วด่าทอ มีคนที่เกลียดคนอื่นเพราะเพื่อนเกลียด มีคนที่ทำได้แค่นั่งมองเฉยๆ โดยไม่คิดเห็นอะไร

และเราเป็นหนึ่งในคนที่นั่งมองอยู่เฉยๆ ค่ะ ทั้งๆ ที่ เราเองก็คุยกับเด็กคนนั้นบ่อยกว่าใคร ทั้งๆ ที่เราต่างคนต่างชอบอ่านนิยายและมักจะแชร์กันเสมอ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนแรกที่อ่านนิยายที่เราเขียน ทั้งๆ ที่เราน่าจะเข้ากันได้ดีแท้ๆ แต่เขาก็ค่อยๆ ถอยห่างเราออกไปแล้วใช้ชีวิตคนเดียวอยู่ตลอด วันที่อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกไปคุย เราจำไม่ได้เลยว่าเราพูดอะไรออกไปบ้าง แต่วันที่เพื่อนรุมด่าหรือว่ามีปัญหากันทุกครั้ง เรามักจะนั่งมองเฉยๆ โดยไม่พูดอะไรเลย บางครั้งบางคราวเราไม่ได้สนใจด้วยซ้ำไป กระทั่งมาคิดได้เมื่อเวลาผ่านไปหลายปี อยู่ดีๆ เราก็คิดถึงเพื่อนคนนี้ขึ้นมา พยายามหาทางติดต่ออยู่หลายๆ ครั้งแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้เขาจะทำอะไร อยู่ที่ไหน

เราคิดมาตลอดว่า วันนั้นเราน่าจะพูดอะไรสักอย่าง เราน่าจะทำให้เขารู้ว่าอย่างน้อยๆ มีเราที่อยากเป็นเพื่อนเขา มีเราที่ไม่ได้เกลียดเขา เผื่อว่ามันจะช่วยเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ต้องย้ายโรงเรียนไปด้วยความทรงจำแย่ๆ แบบนั้น  ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้ง จะยังจำกันได้ไหม แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะขอโทษแล้วก็อยากจะอวดว่า เด็กบ้านิยายที่ลองเขียนให้แกอ่านวันนั้น มีหนังสือเป็นของตัวเองแล้วนะ เจ้าเพื่อนบ้า. 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-06-2019 01:10:12
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 20-06-2019 12:33:27
ทำไมพี่ต่อจำแฟนน้องไม่ได้นะ
หรือจริงๆอะไรๆมันสลับกัน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 20-06-2019 15:54:10
สงสารน้องพลีส  :katai1: เราก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันค่ะ เพื่อนในกลุ่มไม่ชอบใคร เราก็ไม่ชอบตามเค้าไปด้วย ทั้งที่จริงๆเราก็ไม่ได้ไม่ชอบเค้า นคกแล้วก็เสียใจเหมือนกันค่ะ :hao5: ว่าแต่พี่แสงไปไหนแล้วเนี้ยย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 20-06-2019 20:11:10
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 20-06-2019 21:33:49
เป็นพลีสไม่ง่ายเลยเนาะ
ยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกเยอะเลย

นี่ก็ผ่านชีวิตมัธยมมานานมาก ๆ สุขหรือทุกข์ก็จำไม่ได้แล้ว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: mab ที่ 21-06-2019 01:29:45
สงสารตาม สงสารพลีส  :ling3:  :ling3:

จริงๆ แหละ เพื่อนเรียนดีในห้องมักถูกเพื่อนๆหมั่นไส้
ยิ่งถ้าเป็นคนเงียบๆ ไม่สมาคมกับใครด้วยแล้วยิ่งโดนรุม  :m15:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: suck_love ที่ 21-06-2019 12:25:04
อ่านแล้วเราก็อยากให้พลีสกลับมาเข้าร่างค่ะ แต่ก็สงสารแสงด้วย

แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม แง้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: Seilong2 ที่ 21-06-2019 13:17:52
แสงจะได้กลับมาไหม พลีสก็น่าสงสาร
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 23-06-2019 00:49:28
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 23-06-2019 07:46:25
อยู่บนความสมบูรณ์แบบที่เป็นของนอกกาย
แต่ใจกลับไม่เคยได้รับการเติมเต็ม
มีทั้งพ่อแม่ มีทั้งเงินทอง พร้อมทุกอย่าง เสียดาย

สงสารพลีสนะคะ น้องต้องเจอกับอะไรที่ร้ายแรงมากนะ
คนๆหนึ่งจะอยู่กับเรื่องนี้คนเดียว ลำพัง และก้าวผ่านไป
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และคงถึงขีดสุดแล้ว
น้องถึงเลือกทางแห่งความตาย

ปัญหาที่เป็นอยู่ไม่ได้แก้ไข พลีสต้องเจออะไรมานะกับอดีต
ขนาดแค่การสัมผัสจากคนที่รัก พลีสยังทำใจรับไม่ได้เลย

แสงเทียนจะปลอดภัยไหม หรือจะหายไปอยู่ตรงไหนอีก
พลีสจะได้กลับมาใช้ชีวิตอีกไหม จะได้เจอคนที่รักและเข้าใจ

บางทีก็สับสน ตามจำแสงได้ พี่หมอก็รู้จัก แต่พอถามถึงแสงเทียน
ทำไมทำเหมือนไม่รู้ ระหว่างทาง เกิดอะไรขึ้นกันนะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: มะเขือม่วง ที่ 24-06-2019 10:32:13
สนุกมากๆค่ะ รอมาต่อน้าาาา

 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 28-06-2019 01:48:18
แต่ละคนโตมาในสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกัน จึงโตมามีความคิดและนิสัยต่างกัน ตัวเราเองไม่ได้เป็นแบบพลีสก็ไม่ค่อยเข้าใจ ส่วนตัวคิดว่าบางทีเพื่อนก็มักจะได้มาจากการที่เราลองเขาหาคนอื่นบ้าง ทำให้ตัวเองมีสภาพภายนอกน่าเข้าใกล้สักหน่อย ซึ่งดูแล้วพลีสไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่พลีสก็ไม่ผิดหากจะอยากใช้ชีวิตอยู่คนเดียวจริงๆ และสังคมก็ไม่ควรรุมแกล้งเค้ามันใจร้ายกับเค้ามากจริงๆ


//รอๆอ่านต่อไปคับบ รายเดือนก็รอ เค้าก็อ่านช้าเหมือนกันขอโทษเรื่องนี้ด้วย555555
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 28-06-2019 01:55:38
 :katai5: รอจ้ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: ROCKLOBSTER ที่ 28-06-2019 10:11:03
รออยู่น๊าาา
 :call:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 28-06-2019 11:12:44
 :katai5: :katai5: :katai5: รออออออออ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 28-06-2019 14:01:46
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: gungchan ที่ 29-06-2019 01:32:45
พลีสสสสส :call:
เอาใจช่วยให้พลีสทลายเกราะป้องกันตัวเองลงได้บ้าง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 29-06-2019 11:02:11
เอาใจช่วยแสงเทียน เเสงเทียนต้องกลับมานะ  :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 30-06-2019 05:19:37
สนุกดีค่ะ ติดตามๆ :mew1:

สงสัยหลายอย่างมากกก รอลุ้นจะเป็นอย่างไรต่อไปแล้วกันน

แสงวิญญาณก้ออกจากร่างน้องพลีสแล้ว พลีสจะกลับมาไหมนะ ลุ้นเลยค่าาา

 :mew1: :pig4: :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 10-- 19/06/19
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 30-06-2019 17:18:33
น้องพลีสจะกลับมามั้ย พี่แสงจะไปอยู่ไหนนน งื้ออออ~  :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 01-07-2019 00:16:16
ตอนที่ 11
คงจะดีกว่า ถ้าวันนั้นมันเป็นแค่ฝันร้าย


            เวลาถูกถามว่าโตขึ้นอยากจะเป็นอะไร ผมไม่เคยให้คำตอบได้เพราะยังไม่รู้ความต้องการของตัวเอง แต่มีความต้องการของแม่ที่คาดหวังในตัวผมอยู่เสมอ แม่อยากให้เรียนหมอ ส่วนพ่อไม่เคยพูดอะไรแต่ดูแล้วก็คล้ายว่าจะสนับสนุนความคิดของแม่ หน่อยเห็นดีเห็นงามด้วยเป็นที่หนึ่ง เพราะอยากเห็นผมเป็นหมอในอนาคต

หน่อยสอนผมอยู่เสมอว่าทุกอย่างที่พ่อกับแม่ทำให้เป็นเพราะรักและหวังดี ถูกฝังให้เชื่อแบบนั้นมาโดยตลอด แต่ดูเหมือนว่า ความคาดหวังจะเป็นความรักที่บิดเบี้ยว เพราะมันส่งผลให้ผมรู้สึกในทางตรงข้ามกันอยู่เสมอ บ่อยครั้งผมเกิดคำถามว่าแม่กำลังคาดหวังเพื่อตัวผมหรือเพื่อตัวเองกันแน่

แต่ถึงอย่างนั้นการตั้งใจเรียนก็ดูจะเป็นหน้าที่เดียวที่ผมพอจะทำได้ อย่างที่บอกว่าผมไม่มีปัญหาเรื่องการเรียน แต่อย่างหนึ่งที่ไม่ชอบก็เวลาที่ต้องทำงานคู่หรืองานกลุ่ม มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะต้องหาคู่หรือยัดเยียดตัวเองเข้าไปในกลุ่มของใครสักคน อย่างวันนี้ในคาบวิทยาศาสตร์ก็มีงานกลุ่มที่ต้องทำรายงานและนำเสนอหน้าห้อง การจับกลุ่มถูกจัดขึ้นตั้งแต่คาบที่แล้ว ผมเป็นเศษเหลือที่ถูกอาจารย์จับยัดใส่กลุ่มของนักเรียนแถวหลังที่ยังขาดคนอยู่ด้วยความไม่เต็มใจนัก ปั้นยกตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มเหตุผลก็เพราะต้องการโยนทุกงานให้ผมรับผิดชอบ แต่อย่างไรการพรีเซนท์ของวันนี้ก็ผ่านพ้นไปแล้ว ผมคิดว่าทุกอย่างจะจบในตอนที่กำลังจะหมดคาบ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่เป็นเช่นนั้น ทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นต่างหาก...

"ปณิธาน" เสียงเรียกจากครูที่หน้าห้องดังขึ้นเรียกความสนใจของผมไปแม้ว่าจะไม่ใช่ชื่อตัวเอง เจ้าของชื่ออย่างปั้นที่นั่งอยู่ด้านหลังขานรับเสียงดัง

"ครับผม"

"กลุ่มเธอ ออกมาคุยกับครูหน่อย"

นักเรียนห้าคนรวมผม ลุกออกจากโต๊ะไปที่หน้าห้อง เราตกเป็นที่สนใจจากจำนวนสมาชิกที่เหลือในห้องทันทีเพราะไม่มีใครรู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเล่มรายงานของกลุ่มเราถูกครูโยนลงบนโต๊ะเบาๆ

"ใครเป็นคนทำรายงานเล่มนี้"

"ช่วยกันครับ" หนึ่งในกลุ่มเป็นตัวแทนตอบหลังจากที่เอาแต่มองหน้ากันไปมา

"ครูถามอีกที"

"พวกเรา...ช่วยกันครับ"

"พันธกานต์"

ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากเสียงเรียก ก่อนจะต้องก้มหน้าลงไปอีกเมื่อครูพูดต่อในประโยคหลัง

"เธอเป็นคนทำทั้งหมดใช่ไหม"

"..."

"ตอบครู"

หากผมพูดความจริง เพื่อนในกลุ่มจะซวยกันหมด แต่ถ้าผมโกหก ครูก็ต้องรู้อยู่ดี จึงทำได้แค่ก้มหน้าเงียบ ไม่มีคำตอบจากผม

"เธอทำรายงานส่งครูมากี่เล่มแล้ว คิดว่าครูจะไม่รู้เหรอ ตอนพรีเซนท์งานก็แทบจะพูดอยู่คนเดียว ครูถามอะไรก็ตอบอยู่คนเดียว ทำคนเดียวแบบนี้จะเอาคะแนนคนเดียวหรือไง!"

"เปล่านะครับ"

"แล้วทำไมไม่ให้เพื่อนช่วย"

ก็ไม่มีใครช่วย...ไม่มีใครสนใจ...ไม่มีใครตามงาน...ไม่มีเลย

"ถึงเธอจะเก่งแค่ไหนแต่มันก็เป็นงานกลุ่ม ถึงเพื่อนไม่ช่วยก็ต้องบังคับให้มันช่วย ไม่งั้นครูจะสั่งงานกลุ่มไปเพื่ออะไร พวกเธอก็เหมือนกัน ทำไมไม่ช่วยเพื่อน ทำตัวมักง่ายแบบนี้แล้วคิดว่าครูจะไม่รู้นะ"

"..."

"พันธกานต์ ครูให้เธอเลือกว่าจะเอาคะแนนคนเดียวแล้วให้เพื่อนได้ศูนย์คะแนน หรือให้คะแนนเพื่อนแล้วเธอได้ศูนย์แทน"

นึกโกรธอยู่ในใจว่าทำไมความรับผิดชอบทั้งหมดต้องตกอยู่ที่ผม ผมไม่รู้ว่าการที่เอางานมาทำคนเดียวทั้งหมดให้มันจบๆ ไปจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เราเดือดร้อนกันหมด แม้จะพยายามขนาดไหน แต่ทุกอย่างก็ยังแย่ลงอยู่เรื่อยๆ ไม่มีโอกาสให้ผมได้หายใจอย่างสะดวกในห้องเรียนที่แสนจะโหดร้ายนี่เลย

"ว่ายังไงพันธกานต์"

"ให้เพื่อนได้คะแนนครับ ผมรับผิดเอง"

"เธอจะเอาแบบนี้ใช่ไหม"

"ครับ"

มันเป็นทางเลือกที่ดูไม่มีทางเลือกเลยด้วยซ้ำ ถ้าผมเห็นแก่ตัวเองแล้วเอาคะแนนนั้นไว้คนเดียว ผมคงไม่มีชีวิตรอดจากคนพวกนี้ที่ดูจะแค้นเคืองกันราวกับเจ้าป่ารอขย้ำเหยื่อ

"พันธกานต์กลับไปนั่งที่ พวกที่เหลือคุยกับครูก่อน"

ผมพยักหน้ารับก่อนเดินกลับไปที่โต๊ะ เพื่อนในห้องยังมองมาที่ผมจนต้องก้มหน้าเดินไปนั่งที่ให้เร็วที่สุด เสียงของครูที่หน้าห้องยังคงได้ยินมาถึงตรงนี้เพราะความเงียบ เด็กพวกนั้นโดนดุเรื่องที่ไม่ช่วยงานกลุ่ม เป็นความจริงจึงไม่อาจมีใครเถียง การถูกต่อว่าต่อหน้าคนในห้องคงไม่เป็นที่ชอบใจเท่าไรนัก ในตอนที่ครูเดินออกไปแล้วหลังหมดเวลาเรียนพอดี พวกนั้นก็เดินกลับเข้ามาที่โต๊ะ ความโกรธเคืองถูกบอกผ่านสายตาที่กำลังจับจ้องอยู่นั่นจนผมรู้สึกถึงลางไม่ดีที่จะต้องเจอ หมดคาบพอดี...รีบไปจากตรงนี้ดีกว่า

"มึงจะไปไหน"

เสียงเรียกของเพื่อนคนหนึ่งหยุดทุกอย่างที่ผมกำลังจะทำ ก่อนคนในกลุ่มทั้งหมดจะมายืนรุมล้อมผมเอาไว้ ถอยหลังจนหมดหนทางหนี ผมยังคงทำได้แค่ก้มหน้าเงียบๆ

"มึงตั้งใจทำรายงานให้ครูเขาดูออกว่ามึงทำคนเดียวเหรอ"

"ไม่ใช่นะ"

"แล้วครูเขารู้ได้ไง"

"ก็ไม่รู้เหมือนกัน"

"มึงรู้ไหมทำไมคนเขาถึงเกลียดมึงทั้งห้อง เพราะมึงนิสัยแบบนี้ไง ไม่น่ารับมึงเข้ากลุ่มแต่แรกเลย ไอ้เหี้ยเอ๊ย!" คำด่าหยาบคาบมาพร้อมกับแรงผลักที่ทำเอาผมเซไปชนกับโต๊ะ เสียงดังดึงความสนใจของเพื่อนให้หันมามองอีกครั้ง

"เห็นหน้ามึงแล้วแม่ง!"

"เฮ้ย ใจเย็น" ปั้นปัดมือที่กำลังจะผลักซ้ำเข้ามาอีกทีออกไปก่อน ยืนอยู่ตรงนี้ผมเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ที่กำลังโดนรุม ไม่ได้สู้ ไม่ได้หนี ไม่มีแม้แต่สิทธิ์ที่จะโต้เถียง

คนที่ดูมีอิทธิพลที่สุดอย่างปั้นขยับเท้าเข้ามาตรงหน้าผม พวกที่เหลือจึงถอยหลังออกไป ถูกจ้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนอีกฝ่ายจะยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วพูดออกมา

"ทำไมมึงไม่บอกครูไปว่าอยากได้คะแนนคนเดียว"

"..."

"ทำแบบนี้คิดว่ากูจะขอบคุณมึงงั้นเหรอ"

"..."

"ใช่ มึงคิดถูก ขอบคุณนะ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้คะแนนฟรีๆ ดีจะตาย ประทับใจว่ะ" ว่าแล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบหน้าผมเบาๆ แล้วกอดคอเอาไว้อย่างนั้น

"คะแนนมึงหายไปแค่นี้ใช่ว่าจะไม่ได้เกรดสี่ซะหน่อย แต่พวกกูเนี่ยมีสิทธิ์ติดศูนย์ได้เลยนะ พวกมึงก็ต้องขอบคุณพลีสมันด้วย ขอบคุณเร็ว"

"ปล่อย" ผมพูดเบาๆ เพื่อบอกให้คนที่กำลังกอดคออยู่ปล่อยผมออก แต่อีกคนที่กำลังสนใจจะพูดเรื่องอื่นมากกว่าจึงไม่ได้ยิน

"ถ้าไม่ได้มันเราก็ไม่ได้คะแนนนะเว้ย"

"ปล่อย!" ผมเพิ่มเสียงให้ดังกว่าเดิม จึงได้รับความสนใจจากคนข้างๆ

"อะไร"

"ปล่อย...ปล่อยเรา"

"ทำไม แตะเนื้อต้องตัวไม่ได้เลยเหรอ"

"ไม่ชอบ...ปล่อย" ยิ่งผมถอยหนี ยิ่งขยับเข้ามาใกล้ ยิ่งผมพยายามพาตัวเองให้หลุดพ้น ยิ่งถูกกอดรัดให้แน่นกว่าเดิม

"ปั้น ปล่อยเถอะ"

"มึงวิเศษมาจากไหน ถึงได้รังเกียจอะไรกูนักหนา ถูกเนื้อถูกตัวแค่นี้ไม่ได้ มึงเป็นอะไร"

"เราไม่ชอบ"

"แต่กูชอบ ไม่อยากปล่อยเลย" เสียงหัวเราะของคนอื่นๆ ดังขึ้นตอนที่ปั้นกำลังแกล้งผมมากขึ้นด้วยการกอดแน่นกว่าเดิม กระทั่งยื่นปลายจมูกเข้ามาเฉียดใบหน้าทำท่าจะหอมแก้ม

การใกล้ชิดอย่างจงใจเป็นเหตุให้ผมตัวสั่น หัวใจขยับจังหวะเต้นแรงขึ้น สติหลุดจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะความหวาดกลัว

"ปั้น ปล่อยเราเถอะ ปล่อย..."

"ไม่ปล่อย จะทำไม"

"ปล่อย"

"ไม่"

"บอกให้ปล่อย!" ผมใช้เรี่ยวแรงที่มีผลักปั้นขยับออกไปได้เพียงเล็กน้อย แต่คงเป็นเพราะการตะโกนสุดเสียงที่ดังจนคนข้างๆ ตกใจจึงยอมปล่อยผมออก 

"มึงเป็นอะไรเนี่ย"

"ไม่ชอบ!"

"แค่นี้มันจะตายเลยหรือไง ฮะ! มันจะตายเลยหรือไง!" มันควรจบตั้งแต่ตอนที่ผมบอกว่าไม่ชอบ แต่การถูกกลั่นแกล้งมันไม่ง่ายแบบนั้น ยิ่งรู้ว่าผมไม่ชอบ ยิ่งทำเหมือนเป็นเรื่องสนุก ปั้นดึงผมเข้าไปกอดอีกที แม้ผมจะดิ้นหนีคล้ายคนที่ต้องการเอาชีวิตรอดจากสัตว์ร้าย

"ปล่อย!" 

เสียงร้องของผมดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่เท่าเสียงหัวเราะของเพื่อนในห้องที่มองเป็นเรื่องขำขัน ทั้งที่ความจริง ผมหวาดกลัวจนแทบขาดใจ ไม่รู้จะสู้ยังไงสุดท้ายจึงร้องไห้ออกมา

"เฮ้ย! ร้องไห้ทำไมวะ"

"ก็บอกให้ปล่อยไง! บอกให้ปล่อยกู! ปล่อยกู! ไอ้เหี้ย! ปล่อยกู!" ผมโวยวายด้วยคำหยาบอย่างที่ไม่เคยพูดมาก่อน ด้วยความตกใจหรืออะไรก็ตามที ไอ้ปั้นจึงยอมปล่อยผมออก

"มึงเป็นอะไรพลีส"

"อย่ามาแตะตัวกู!"

ผมทรุดตัวลงนั่งกับพื้นสติพลันหลุดลอยหายไป ไม่สามารถหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความฟูมฟาย แม้จะถูกถามว่าเป็นอะไรก็ไม่สามารถให้คำตอบได้ ทำได้แค่ร้องไห้และอยากหนีหายให้พ้นไปจากตรงนี้...อยากไปจากตรงนี้...ไม่อยากอยู่แล้ว

 

...

 

ทุกวันอาทิตย์ หน่อยจะพาผมมาที่โบสถ์ การมาที่นี่มันทำให้ผมรู้สึกสงบและอบอุ่น ราวกับว่าทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในใจพระเจ้าจะเป็นผู้รับฟัง และต่อให้ไม่เหลือใครในชีวิต ผมยังคงเหลือความศรัทธาอยู่

"น้องพลีสคะ"

ผมหันมองหน่อยที่เดินเข้ามาเรียก หลังจากปล่อยให้ผมนั่งเล่นอยู่ที่ริมสนามฟุตบอลหน้าโบสถ์

"คุณกานต์โทรมาให้หน่อยไปทำธุระให้ เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ"

"พลีสยังไม่อยากกลับ"

"ถ้าอย่างนั้น..."

"หน่อยไปเถอะ พลีสกลับเองได้"

"หน่อยอาจจะกลับไม่ทันทำอาหารกลางวันให้ น้องพลีสหาอะไรทานเองได้ไหมคะ"

"ได้"

"น้องพลีสโอเคนะคะ"

ผมพยักหน้ารับเพื่อบอกให้หน่อยแน่ใจว่าผมโอเคกับทุกเรื่อง ก่อนที่หน่อยจะเดินออกไป สายตาผมกลับไปจ้องมองเด็กๆ ที่กำลังวิ่งเล่นอยู่ในสนาม เสียงดังจอแจแต่กลับไม่รู้สึกหนวกหูหรือรำคาญ นั่งมองอยู่นานอย่างเลื่อนลอย กระทั่งได้ยินเสียงหนึ่งในนั้นหวีดร้องเสียงดังเพราะวิ่งหกล้ม ด้วยความตกใจผมจึงลุกขึ้นยืนหวังจะเข้าไปช่วย แต่ช้ากว่าเด็กผู้ชายวัยมัธยมคนหนึ่งที่วิ่งเล่นอยู่ในสนามด้วย เด็กคนนั้นตรงเข้าไปถึงเด็กที่หกล้มก่อน อุ้มให้ลุกขึ้นยืนขณะคนตัวเล็กกำลังร้องไห้

"ไหนดูสิ เจ็บไหม"

"เจ็บค่ะ"

"เจ็บมากไหม"

"เจ็บมากค่ะ"

"ไม่เป็นไรนะ ไม่ร้อง เดี๋ยวพี่พาไปล้างแผลนะ"

ผมมองตามขณะสองคนนั้นเดินออกจากสนามเข้าไปในโบสถ์ พลันคิดไปว่า...เป็นเด็กนี่ดีจังเลย เจ็บก็บอกว่าเจ็บ ถึงจะร้องไห้ก็ไม่เป็นไร มีคนที่คอยโอบอุ้มในเวลาที่ต้องการใครสักคนมันคงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเท่าที่มนุษย์จะต้องการแล้ว ตัวผมเองแม้ความเป็นเด็กยังมีอยู่ แต่ความเจ็บปวดกลับต้องกลายเป็นความลับ ไม่สามารถบอกให้ใครรู้ได้

มันต้องโอเค แม้ในเรื่องที่ไม่โอเค มันต้องไม่เป็นอะไร...แม้ในสิ่งที่เป็นจนแทบจะขาดใจตายก็ตาม

 

            เพราะผมยังไม่อยากกลับบ้านหลังจากกลับจากโบสถ์จึงตั้งใจมาหาหนังสืออ่านสักเล่ม อีกใจก็อยากกินอะไรเย็นๆ สักแก้ว เลือกไม่ได้ว่าจะไปคาเฟ่หรือร้านหนังสือ จึงมาจบที่ร้านคาเฟ่กึ่งห้องสมุดที่มีหนังสือให้อ่านจำนวนมาก มีเครื่องดื่มและขนมอร่อยๆ กับพื้นที่บริการให้อ่านหนังสือหรือนั่งทำงานแบบเงียบๆ อีกด้วย ผมสั่งนมสดปั่นแก้วหนึ่งแล้วเดินหาที่นั่ง ตรงเข้าไปยังบริเวณด้านในที่เงียบกว่าจุดอื่น แต่วันนี้เป็นบ่ายวันอาทิตย์ที่คนค่อนข้างเยอะ โต๊ะทุกตัวเกือบจะเต็มไปหมด ขณะกำลังมองหาที่นั่งว่างๆ เสียงหนึ่งก็ดังเรียกขึ้นมา

"น้อง"

"..."

"น้องพลีส"

ผมหันมองเจ้าของเสียงก่อนพบว่าเป็นคุณหมอที่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวริม ริมฝีปากอยากขยับเป็นรอยยิ้มเพราะดีใจที่ได้เจอ แต่ทำไมได้อย่างนั้นจึงทำได้แค่ก้มหัวเล็กน้อยเป็นเชิงทักทาย คุณหมอกวักมือเรียกให้ผมเดินเข้าไปหา สองขาจึงปฏิบัติตามราวกับเป็นคำสั่ง ผมยกมือไหว้เพื่อเป็นการทักทายอีกครั้ง

"นั่งสิ"

มีที่ว่างข้างๆ คุณหมออยู่พอดี ผมจึงขยับไปนั่งลง เว้นระยะห่างเอาไว้เล็กน้อยเพื่อไม่ให้ใกล้ชิดจนเกินไป ผมวางแก้วลงบนโต๊ะ แล้วหันมองหนังสือในมือคุณหมอที่มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั้งเล่ม

"มาคนเดียวเหรอครับ"

"ครับ แล้วคุณหมอ..."

"มาคนเดียวเหมือนกันครับ วันนี้วันหยุดไม่รู้จะไปไหนก็เลยมาหาที่นั่งอ่านหนังสือเล่นๆ น่ะครับ"

"อ๋อ...ครับ"

ผมน่าจะมีความสามารถในการพูดคุยกับคนอื่นให้มากกว่านี้ เพื่อไม่ให้บทสนทนาของเรานั้นเงียบงัน ทั้งๆ ที่มีโอกาสได้พบกันแล้วแท้ๆ แต่ความเงียบก็ยังเป็นสิ่งเดียวที่เกิดขึ้นระหว่างเราในขณะนี้ แต่ความโชคดีก็อยู่ตรงที่คุณหมอพูดเก่งกว่าจึงเป็นฝ่ายชวนผมคุยได้ยืดยาว

"แล้วฟันเป็นยังไงบ้าง เจ็บไหม"

"ไม่เจ็บครับ"

"รู้ไหมน้องเป็นคนไข้คนเดียวของพี่เลยที่ไม่เคยบอกว่าเจ็บ"

ผมทำได้แค่ยิ้ม ที่จริงมันก็มีบ้างครั้งที่เจ็บมากจนเรียกว่าทรมานได้อยู่เหมือนกัน แต่ผมก็คิดเพียงแค่ว่า ต่อให้บ่นว่าเจ็บก็ใช่ว่าใครจะสนใจ ใช่ว่าความเจ็บมันจะหายไปซะหน่อย

"ถ้าเจ็บมากก็บอกพี่ได้นะ พี่จะทำให้มันเจ็บน้อยลง"

"ครับ คุณหมอ"

"จะไม่ยอมเรียกพี่เลยใช่ไหม"

ผมทำได้แค่ยิ้มตอบ ก่อนอีกฝ่ายจะทำหน้าบูดเหมือนจะงอนกัน เขาเป็นคนน่ารัก...ไม่ว่าจะทำหน้าแบบไหนก็ยังคงน่ารัก จะนิ่งเฉยหรือเผยรอยยิ้มให้เห็น ก็ดูน่ารักอยู่เสมอ มีหนึ่งคำถามที่ผมคิดสงสัยจึงใช้โอกาสนี้ถามมันออกไป

"คุณหมอ"

"..."

"คุณหมอครับ"

"ไม่เรียกพี่ ไม่หันหรอก"

"ใจร้ายจังเลยครับ"

"ฮะ? เปล่านะ! มีอะไร พูดมาสิ"

"ผมถามอะไรหน่อยได้ไหม"

"ได้ครับ"

"คุณหมออายุเท่าไรเหรอครับ"

คำถามของผมทำให้สายตาอ่อนโยนคู่นั้นเปลี่ยนเป็นมองตาขวางคล้ายจะไม่พอใจ ผมผู้ไม่รู้ความผิดของตัวเองจึงได้แต่ทำหน้างงๆ 

"ยังจะมาทำตาใส ถามอะไรออกมารู้ตัวไหม"

"ถามอายุครับ"

"โอ๊ย...ไม่ตอบครับ คำถามไม่น่ารัก"

"งั้นถามใหม่ได้ไหมครับ"

"ก็ได้ ให้โอกาส"

"ผมอายุเท่าไร"

"..."

"ตอนที่คุณหมออายุเท่าผม"

"น้อง!"

ผมยกนิ้วชี้ขึ้นเป็นเชิงให้เงียบหลังจากที่เขาแผดเสียงดังเรียกผม ผมรู้ตัวแล้วแหละว่าได้เอ่ยคำถามต้องห้ามออกไป แต่แค่แกล้งเล่น แค่แกล้งเฉยๆ น่ะ

"เอาเป็นว่าพี่ไม่ได้แก่ แต่แค่มีวุฒิภาวะ โอเคไหมครับ"

"โอเคครับ"

ให้เดาเอาเองก็เห็นได้ชัดว่าเด็กมัธยมกับหมอฟันนั้นคงอายุห่างกันพอสมควร แต่ด้วยบุคลิกและหน้าตาที่ดูอ่อนเยาว์ รวมถึงนิสัยน่ารักๆ ที่มักจะทำให้เกิดรอยยิ้มอยู่เสมอ นั่นทำให้ผมไม่ได้รู้สึกว่าเขาอายุมากไปกว่าผมสักเท่าไร ระยะห่างระหว่างวัยไม่เคยมีผลต่อความรู้สึก หากแต่เป็นเรื่องอื่นมากกว่าที่ทำให้ผมรู้สึกว่า...เราอยู่ห่างกันเกินไป

"เดี๋ยวผมไปดูหนังสือทางโน้นนะครับ"

"แล้วจะกลับมานั่งตรงนี้ไหม"

ผมชี้ไปที่แก้วนมสดที่วางทิ้งเอาไว้ เป็นเชิงตอบคำถามนั้นว่าผมจะกลับมา คุณหมอยิ้มกว้างก่อนพยักหน้าเบาๆ พ้นจากสายตาคุณหมอ ผมจึงหันหลังพิงชั้นวางหนังสือแล้วยกมือตบหน้าอกตัวเองเบาๆ

เต้นซะแรงเลยนะหัวใจ...

 

เราใช้เวลาอยู่ในคาเฟ่พักใหญ่ ต่างคนต่างอ่านหนังสือจบไปคนละเล่มจึงชวนกันกลับ คุณหมอเสนอตัวขับรถไปส่งที่บ้านแต่ผมปฏิเสธ เพราะรู้มาว่าบ้านเรานั้นไปคนละทางจึงเกรงใจ ชอบในความที่เขาไม่เซ้าซี้แล้วยอมแยกกันที่หน้าร้านเพื่อต่างคนต่างกลับ

"น้อง"

"ครับ"

"วันหลังว่างๆ มานั่งอ่านหนังสือด้วยกันอีกนะ"

"ครับ คุณหมอ"

"เรียกพี่ไม่ได้เหรอ"

ผมหลุดยิ้ม ยอมในความพยายามที่จะให้ผมเรียกพี่ของเขา แต่ตัวเองก็ดันไม่ใจอ่อนง่ายๆ

"ทำไมถึงอยากให้เรียกพี่จังเลยครับ"

คุณหมอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเรียบเฉย ก้มหน้าเศร้าจนผมรู้สึกแปลกใจ

"คุณหมอ..."

"จริงๆ แล้ว พี่เคยมีน้องชายคนหนึ่ง แต่เขา..."

"..."

"เขาเพิ่งตายไป"

"..."

"ก็เลยอยากให้น้องเรียกพี่ว่าพี่ เผื่อมันจะทำให้พี่คิดถึงน้องชายน้อยลง"

หัวใจผมอ่อนยวบตอนที่ได้ยินเรื่องนั้น ซ้ำสีหน้าของคุณหมอที่ดูเศร้าจนรู้สึกสงสาร แววตาอ่อนไหวคล้ายกำลังจะร้องไห้ ผมไม่รู้วิธีปลอบใจผู้คน สิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แม้ไม่เคยกล้าที่จะเรียกเขาว่าพี่ต่อ แต่ครั้งนี้ถือเป็นข้อยกเว้น ผมกำลังจะขยับริมฝีปากเอ่ยคำนั้นออกไป

"พี่..."

"พี่ต่อ!"

 

ขวับ!

 

เราทั้งคู่หันไปมองเสียงเรียกที่ดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนผู้ชายคนหนึ่งที่ผมคุ้นหน้าจะเดินเข้ามาแล้วร้องเรียกคุณหมออีกที

"พี่ต่อ! อยู่นี่เอง ตามหาพี่ไปทั่ว"

ผู้ชายที่สวมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มที่เดินเข้ามา คือผู้ชายคนที่ยกหนังสือให้ผมในร้านและเจอกันที่สนามเด็กเล่น เมื่อเขาหันมาเห็นผมก็เลิกคิ้วขึ้นทำตาโต

"อ้าว น้อง"

ผมยิ้มนิดๆ เป็นเชิงทักทาย

"นี่รู้จักกันด้วยเหรอ" เขาชี้ผมกับคุณหมอสลับกันไปมา คุณหมอทำได้แค่กัดฟันยิ้มฝืนๆ

"แล้วพี่เป็น..."

"พี่เป็นน้องชายพี่ต่อ น้องแท้ๆ เลยครับ"

ผมหันขวับมองคุณหมอที่ยังคงทำได้แค่ยิ้ม กัดฟันพูดกับน้องชายตัวเองเบาๆ

"จะโผล่มาทำไมตอนนี้!"

"มาขอตังค์"

"อีกแล้วเหรอ"

"อื้อ" ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นแบต่อหน้าคุณหมอ คนถูกขอก็ควักเงินในกระเป๋าส่งให้ง่ายๆ พร้อมกับไล่ออกไปทันที

"ขอบคุณนะครับ รักพี่ต่อที่สุดเลย" บอกรักพี่ชายเสร็จก็หันมายกมือโบกให้ผมเป็นเชิงลาก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ คุณหมอคนข้างๆ หันมามองผมช้าๆ ขณะที่ยังคงยิ้มกว้าง เรียกว่ามันคือการกัดฟันแล้วฉีกปากออกฝืนๆ ดีกว่า

"มีน้องชายกี่คนเหรอครับ คนนี้ยังไม่ตายนี่"

"ขอโทษคร้าบ! พี่แค่ล้อเล่นเฉยๆ ไม่โกรธสิครับ ไม่โกรธนะ พี่ขอโทษ"

"ไม่เห็นต้องโกหกเลย"

"ก็พี่ไม่ชอบให้น้องเรียกพี่แบบนั้นเลย แค่อยากให้เราสนิทกันมากกว่านี้เฉยๆ"

"..."

"ไม่ได้เหรอครับ"

ผมเองก็คิดสงสัยอยู่เหมือนกัน ถ้าหากว่าเรื่องระหว่างเรามันมากกว่านี้...จะเป็นยังไงนะ

"เดี๋ยวพี่เลี้ยงไอติมเป็นการไถ่โทษ"

"ครับ?"

ไม่ได้บอกซะหน่อยว่าอยากกินไอติม แต่ก็เรียกเอาไว้ไม่ทัน คุณหมอเดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อแล้วกลับออกมาพร้อมไอติมสองโคน ตอนที่ยื่นให้ผมก็ยังคงลังเล

"ทำไมล่ะ ไม่ชอบไอติมเหรอ"

"ชอบครับ แต่ว่า..."

"ถ้าน้องไม่กินมันจะละลายนะ"

"..."

"ถ้าชอบก็กินเลย ไม่ต้องมีแต่ครับ"

ผมยื่นมือรับไอติมโคนนั้นมาจนได้ กัดเข้าไปหนึ่งคำเพื่อรับรสชาติช็อกโกแลตละมุนลิ้น ไอติมจากคุณหมอทำให้ผมยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ และคงเป็นเพราะรอยยิ้มของคนข้างๆ นั่น ที่ทำให้รู้สึกหวานมากกว่าความเป็นจริง

พี่ต่อ...

ใจผมเรียกชื่อเขาอยู่อย่างนั้น

"เลอะแล้ว"

"ครับ?" ผมเงยหน้าขึ้นมอง ตอนที่คุณหมอยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดมุมปากของผมเบาๆ ร่างกายแข็งทื่อไม่เคลื่อนไหว เพราะสายตาของคุณหมอต่อที่จับจ้องผมเอาไว้อย่างนั้น ร่างกายใกล้ชิดกันตอนที่เขาขยับเท้าเข้ามาหา ปลายนิ้วที่เช็ดมุมปากขยับขึ้นเกลี่ยข้างแก้มเบาๆ แล้วเลื่อนขึ้นไปวางอยู่บนหัว ท่าทางอ่อนโยนพาผมเคลิ้มลอย ก่อนสติพลันกลับมา ผมรีบขยับหนีพลางเอ่ยเสียงดัง

"อย่านะครับ!"

ผมยกมือปัดมือของอีกฝ่ายออกไปท่ามกลางสีหน้าที่ดูตกใจ ใจผมเต้นแรง หายใจลำบากและควบคุมอาการสั่นไหวไว้ไม่อยู่

"น้อง..."

"อย่ามาแตะตัวผม!"

"พลีส"

เป็นแบบนี้อีกแล้ว...เป็นแบบนี้ทุกทีเลย



ต่อข้างล่างค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 01-07-2019 00:16:51

"น้องเป็นอะไรไป"

"..."

"ไม่ชอบพี่เหรอ"

"..."

"เกลียดพี่เหรอ"

ผมให้คำตอบได้เพียงความเงียบ เพราะไม่รู้จะอธิบายยังไงกับสิ่งที่ตัวเองเป็น เมื่อเห็นว่าผมยังคงนิ่งเฉย คุณหมอจึงก้าวเท้าถอยออกไปพร้อมกับบอกลา

"ก็ได้...งั้นพี่ไปนะ"

ปล่อยให้เขาเดินออกไปเลยก็ได้ มันควรจะเป็นอย่างนั้น แต่ใจผมกลับทำอีกอย่างด้วยการดึงแขนเสื้อเขาเอาไว้ ในจังหวะที่เขากำลังจะหันหลังไป และแรงที่มากมายจนไม่รู้ตัวของตัวเองจนทำให้เสื้อของเขาขาด

 

"แควก!"


 

"ขอโทษครับ! ผมไม่ได้ตั้งใจ! ผมขอโทษครับ!"

"น้อง"

"ผมขอโทษจริงๆ ครับ!"

"พลีส ใจเย็น ไม่เป็นอะไร"

"ผมขอโทษ"

"ไม่เป็นไร"

"ผม...ผมไม่ได้เกลียดพี่ ไม่ได้หมายความแบบนั้น..."

"..."

"ผมแค่ไม่ชอบที่...ไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้ คือผม..."

"..."

"ผมมีเหตุผลแต่ผมไม่รู้ว่า...ผมไม่รู้จะพูดยังไง..."

ผมแทบไม่รู้ตัวว่าตังเองกำลังพูดจาอะไรออกไปอย่างไม่รู้เรื่อง เห็นสีหน้าของคุณหมอที่ดูสงสัย แม้อยากจะปลอบประโลมแต่ก็ไม่กล้าแตะเนื้อต้องตัวผมอีก มือที่ยกขึ้นมาหวังจะแตะลงที่บ่าถูกดึงกลับไปช้าๆ แล้วพูดซ้ำๆ บอกให้ผมใจเย็นลง

"พี่ไม่เข้าใจที่น้องพูดเลย แต่เข้าใจว่าน้องรู้สึกยังไง ไม่ต้องอธิบายก็ได้ ไม่เป็นอะไร"

"..."

"แต่น้องไม่ได้เกลียดพี่ใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ

"ไปนั่งตรงนั้นกับพี่ไหม"

ผมพยักหน้าอีกที ก่อนคุณหมอจะเดินนำผมไปนั่งที่ป้ายรถเมล์ ใจผมยังเต้นแรงไม่หยุดจากอาการที่เกิดขึ้นก่อนหน้า เราต่างคนต่างเงียบ ไม่ได้พูดอะไรเลย รถเมล์ที่ผมต้องขึ้นกลับบ้านขับผ่านหน้าไปหลายต่อหลายคันแต่ผมยังคงอยู่กับที่ จนความรู้สึกกลับมาเข้าที่เข้าทาง ผมจึงหันไปพูดกับคุณหมอเป็นครั้งแรก

"ผมขอโทษครับ"

"ไม่เป็นไรครับ น้องโอเคแล้วใช่ไหม"

"ครับ"

"กลับบ้านไหม"

ผมพยักหน้ารับ รออยู่ไม่นานรถเมล์คันที่ผมต้องขึ้นก็มาถึงพอดี คุณหมอยังคงยิ้มให้ผมแล้วส่งผมขึ้นรถเมล์ ผมเดินขึ้นมาโดยไม่ได้บอกลา ในใจรู้สึกผิดจึงคิดที่จะหันกลับไปอีกครั้ง แต่สองขาต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคุณหมอเดินตามขึ้นมาด้วย

"นั่งสิครับ"

ผมทำตามคำสั่ง นั่งลงที่เก้าอี้แถวเกือบในสุด คุณหมอกำลังจะนั่งลงข้างๆ แต่หยุดการกระทำนั้นก่อนขยับไปนั่งอีกแถวที่ตรงข้ามกัน แม้ว่าจะอยู่ห่างกันไม่มาก แต่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่า...เขายังคงไกลออกไป

รถเมล์เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ คุณหมอหันมองออกไปนอกหน้าต่างจึงไม่เห็นว่าผมกำลังเอาแต่มองเขาอยู่อย่างนั้น เลื่อนสายตาไปที่แขนเสื้อที่ขาดวิ่นเพราะฝีมือผม พลันรู้สึกผิดและทำได้แค่ขอโทษในใจ ผมถอนหายใจเบาๆ ผ่านความคิดที่เลื่อนลอย เปิดกระเป๋าหยิบพลาสเตอร์ที่ได้มาจากพี่คนนั้นซึ่งเป็นน้องชายของคุณหมอ

ถึงรู้ว่าช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็เผลอทำอะไรโง่ๆ ด้วยการขยับเข้าไปหาคุณหมอแล้วใช้พลาสเตอร์อันนั้นแปะรอยขาดของเสื้อเอาไว้ เจ้าของเสื้อหันมามองงงๆ ตอนที่สบตากันพอดี ผมก็พูดอะไรไม่ออกได้แต่อึกอักแล้วอธิบายกับเขาเบาๆ

"มันขาดครับ"

ผมพูดแค่นั้นแล้วกลับมานั่งที่เดิม คุณหมอยังคงหันมองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ริมฝีปากคลี่ขยับเป็นรอยยิ้มกว้างๆ นิ้วเรียวยกขึ้นลูบพลาสเตอร์ตรงนั้นเบาๆ

แค่เพียงให้เขายิ้มและผมจะมองดูความสวยงามของรอยยิ้มนั้นอยู่ไกลๆ เท่านั้นคงเพียงพอ

ผมยกมือลูบอกตัวเองที่หัวใจสงบลงจนเป็นปกติ หากว่าใจยังคงเป็นแบบนี้ หากว่าอาการเหล่านั้นยังไม่อาจแก้ไขหรือก้าวข้าม เรื่องระหว่างผมกับเขาก็ไม่อาจเป็นไปได้ สิ่งเดียวที่ทำให้ความรู้สึกไกลห่างออกจากกัน...ก็เป็นเพราะตัวผมเอง

 

 

            ชีวิตในโรงเรียนน่าเบื่อมาตลอดอยู่แล้ว แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ที่นี่ไม่ต่างอะไรกับนรก เป็นนรกของความเหงาที่ราวกับมีแค่เราคนเดียวในโลกใบนี้ จากที่เพื่อนไม่ค่อยคุยด้วยอยู่แล้ว กลายเป็นถอยห่างมากกว่าเก่า ผมเดินเข้าใกล้ เขายิ่งเดินห่างออกไป ซ้ำยังพูดจาแดกดันให้รู้สึกเจ็บแสบ

"มึงอย่าไปเดินใกล้เขา เขาไม่ชอบ"

"เขารังเกียจพวกเราเหรอวะ"

"เออ อย่าไปเผลอแตะตัวเชียว เดี๋ยวผีเข้าอีก"

ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรเหมือนที่เคยผ่านมานั่นแหละ

ในคาบวิชาพละที่ไม่ได้ค่อยได้เรียนอะไรอยู่แล้ว อาจารย์ปล่อยให้เล่นกีฬาตามใจแต่ผมเป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบกีฬาเลยเดินมาหาที่นั่งเงียบๆ หลบสายตาทั้งเพื่อนและอาจารย์ เลื่อนมือถืออ่านหนังสืออีบุ๊กซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะเป็นเพื่อนกันได้ในตอนนี้ และในตอนนั้นก็พลันได้ยินบทสนทนาที่ดังขึ้นมาว่าด้วยเรื่องของตัวผมเอง

"พวกมึง กูมีเรื่องเกี่ยวกับไอ้พลีสมาเล่าให้ฟัง"

"เรื่องอะไรวะ"

"ก็วันก่อนที่มันร้องไห้จะเป็นจะตายในห้องไง กูสงสัยว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น แค่ไอ้ปั้นกอดมันไม่เห็นจะต้องโวยวาย กูก็เลยลองไปถามรุ่นพี่ที่เคยเรียนกับมันก่อนที่มันจะหยุดเรียนอะ"

"เขาว่าไง"

"มึงฟังแล้วอย่าไปบอกใครนะเว้ย"

"เออ"

"ไอ้พลีสมันเคยถูกข่มขืน"

"มึงจะบ้าเหรอ!"

"ก็รุ่นพี่บอกกูมาแบบนั้น เมื่อก่อนมันก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมันก็เลยประสาทหลอนจนต้องหยุดเรียนไปสองปีไง"

"จริงเหรอวะ"

"แล้วมีข่าวลือว่าวันนั้นมีคนมาช่วยมันแล้วก็ถูกแทงตายต่อหน้ามันด้วย มันก็เลยไม่ปกติแบบนี้ไง"

"แต่มันเป็นผู้ชายนะเว้ย ผู้ชายมันถูกข่มขืนได้ด้วยเหรอวะ"

"โดนเอาแบบไม่เต็มใจ มันก็เรียกว่าข่มขืนทั้งนั้นแหละ"

"แต่มึงบอกว่าเป็นข่าวลือนะ"

"เรื่องอื่นไม่รู้ แต่เรื่องข่มขืนนี่จริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่อย่างนั้นมันคงไม่หลอนจนใครแตะต้องตัวมันไม่ได้แบบนี้หรอก"

"งั้นมันก็น่าสงสารดิวะ"

"น่าขยะแขยงมากกว่า"

"เออ ผู้ชายถูกข่มขืน กูจะอ้วก"

โลกใจร้ายไม่หยุดเลยนะ...จะเอาอะไรกับผมนักหนา 

เรื่องจากปากคนพวกนั้นถูกพูดต่อกันไปไม่จบสิ้น ข่าวลือไปไวกว่าที่คิดจนรู้ตัวอีกทีทุกคนในห้องก็รู้เรื่องนั้นกันจนหมด มีสายตาแห่งความสงสัย สายตาของการรังเกียจและกีดกัน สายตาของคนที่มองมาไม่ว่าด้วยความรู้สึกใด มันทำให้ผมอายจนอยากหายไปจากตรงนี้อีกครั้ง ไม่มีสิทธิ์โต้เถียงหรือแก้ตัว เพราะว่าข่าวลือนั่นมันคือความจริง ในวันนั้นผมไม่ได้เพียงแค่ถูกทำร้าย แต่ถูกล่วงเกินด้วยการกระทำ...

 

ที่เลวระยำที่สุด

 

To be continued.



____________________________________________________________________________________________



ทุกคนคะ เพียงควันเป็นนิยายฟีลกู๊------------------------------------------
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 01-07-2019 01:28:14
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 01-07-2019 02:59:01
และแล้วก็จากไปด้วนอารมณ์​ค้าง​คา
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 01-07-2019 03:13:39
 :z3: :hao5:ค้างงงง แงงงงง ฮึกกก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: double9JH ที่ 01-07-2019 03:13:55
โดนรังแกจากที่โรงเรียน

ความสุขเพียงหนึ่งเดียวก็คือ พี่หมอ~

ติดตามค่าาา :mew1:  :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: angelninae ที่ 01-07-2019 16:22:57
สงสารน้องพลีสมากๆเลย ไอ้เด็กพวกนั้นร้ายมาก
คิดถึงพี่แสงแล้วนะคะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-07-2019 21:00:54
โอย ตายแล้ว ชีวิตน้องทำไมต้องเจอกับความเลวร้ายไม่สิ้นสุด
เกลียดมากสังคมนักเรียนมัธยม เคยเจอแบบนั้นเหมือนกัน งานกลุ่มที่ต้องทำเดี่ยว
เข้าใจหัวอกน้องพลีสที่สุด
แล้วเพื่อนแบบนั้นไม่รู้โตมาเป็นผู้ใหญ่แบบไหน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 01-07-2019 21:41:41
อยากกอดน้องงงงง ให้กำลังใจพลีสส
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 02-07-2019 08:16:33
เซ็งสังคมแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ไหม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 02-07-2019 20:56:13
ชีวิตพลีสทำไมเป็นแบบนี้ได้ น้องน่าสงสาร
เจ็บแต่บอกใครไม่ได้ เก็บไว้กับตัวจนล้น

คิดไว้ว่าที่พลีสมีอาการตอนมีคนจับตัวคือเรื่องนี้
แต่ก็ยังคิดบวกกว่านั้น ไม่คิดว่าจะจริง บีบหัวใจมากเลยค่ะ

เข้าใจเลยว่า บางทีคนเราเลือกความตาย
เพราะคิดว่าคือสิ่งเดียวที่จะมีความมุขมากกว่าก็ได้

รอให้แสงเทียนหลุดพ้น รอให้พลีสหลุดพ้น
เรื่องที่แสงมาเกี่ยวด้วย คือ ตอนไปช่วยพลีส ยังพอเข้าใจ
แต่ถึงขั้นมาอยู่ในร่าง ก็จะคิดมากอีกนิดว่า เชื่อมโยงยังไง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 03-07-2019 03:04:10
สงสารพลีส
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 07-07-2019 04:31:19
ตอนที่ 12
เหตุผลของการจากไปมันไม่ได้ซับซ้อน

 
**คำเตือน บางส่วนของเนื้อหาในตอนนี้ อาจมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของตัวละคร โปรดใช้วิจารณญาณนะคะ**


แม้ชีวิตจะแหลกสลายซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ผมยังไม่ตาย และไม่ว่าชีวิตจะแตกหักหรือพังยับเยินแค่ไหน โลกมันก็ยังหมุนของมันต่อไป ไม่ได้สนใจชีวิตของผมด้วยซ้ำ แม้ยังโตไม่พอแต่ผมก็เข้าใจความเป็นจริงในข้อนั้น จึงยังคงต้องมีชีวิตต่อไป หนึ่งวัน หนึ่งสัปดาห์ หรือหนึ่งเดือนที่พ้นผ่าน ยาวนานไม่ต่างกันเท่าไรนัก ไม่อาจกอบกู้ความรู้สึกและชีวิตที่ถูกความเหงารุมทำร้ายจนผมกลายเป็นหนึ่งในคนที่มีชีวิตโดดเดี่ยวอย่างน่าเวทนา

ที่โรงเรียนก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เป็นนรกขุมใหญ่ที่บั่นทอนชีวิตของผมไปช้าๆ ผมต้องการเพียงแค่รอเวลาให้จบม.ปลายไปอย่างเงียบๆ แต่ผู้คนรอบข้างไม่ปล่อยให้ชีวิตผมเป็นเช่นนั้น เรื่องราวน่าอับอายของผมยังคงถูกพูดถึงอยู่เรื่อยๆ กลายเป็นเรื่องสนุกสนานกับการเอาเรื่องพวกนั้นไปเล่าต่อราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกขบขัน ยิ่งมีคนรู้เรื่องนั้นมากเท่าไร ผมยิ่งถูกกีดกันออกจากสังคมไกลขึ้นเท่านั้น มีคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง รังเกียจและหยาบคาย...เป็นฝันร้ายที่ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำ

"เฮ้ย พลีส"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียกของปั้น ดึงหูฟังออกข้างหนึ่งเพื่อฟังอีกคนที่กำลังจะพูดต่อ

"เพื่อนเขานัดคุยกันเรื่องงานนิทรรศการวิชาการ ทำไมมึงไม่ไป"

"ไม่มีใครบอก" ผมพูดแค่นั้น ใช่ว่าไม่รู้ว่าเพื่อนนัดคุยงานแต่การไปเข้าร่วมของผมดูจะไม่มีความหมายอยู่แล้ว ผมจึงแกล้งทำเป็นไม่รู้ อยู่เฉยๆ มันก็ดีอยู่แล้ว

"ปีที่แล้วมึงเป็นคนทำบอร์ดใช่ไหม"

"..."

"ปีนี้มึงทำอีกได้ป่ะ"

"..."

"เพื่อนเขาตกลงกันว่าจะให้มึงทำ"

ผมหลุดหัวเราะในลำคอแล้วยิ้มกว้างออกมา คนตรงหน้าดูสงสัยจึงแสดงสีหน้างงๆ ออกมา

"ตกลงกัน แต่ไม่ได้บอกเราเนี่ยนะ"

"พวกมันให้กูมาบอกมึงนี่ไง มึงทำก็แล้วกันจะได้มีส่วนร่วมด้วย เดี๋ยวครูหักคะแนนไม่รู้ด้วยนะโว้ย"

"แล้วใครช่วย?"

"กูไง กูไม่ถนัดงานใช้สมอง เลยขอมาใช้แรงงานกับมึงก็แล้วกัน"

"ต่างอะไรกับทำคนเดียว"

"มึงว่าไงนะ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ปั้นย้ำถึงหน้าที่ของผมอีกที ก็ใช่ว่าจะโต้แย้งอะไรได้จึงทำได้แค่พยักหน้ารับ แล้วใส่หูฟังเข้าไปอย่างเดิม ในใจก็คิดอยากจะปฏิเสธสิ่งที่ต้องทำแต่คงไม่พ้นโดนกล่าวหาว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว จึงคิดว่าแค่ทำๆ ให้มันจบไปก็พอ

ผมใช้เวลาในเย็นวันนั้นไปซื้ออุปกรณ์สำหรับทำบอร์ดในงานวิชาการ ปั้นหายไปเลยทั้งที่ตกลงกันว่าจะมาช่วยถือของ แถมยังไม่ได้งบจากห้องสำหรับซื้อของเลยต้องควักเงินตัวเองจ่ายไปก่อน ดูเหมือนเหตุการณ์เวียนซ้ำไม่ได้ต่างจากปีที่แล้วเลย

"เขี้ยวกุด"

กลายเป็นชื่อที่ทำให้ผมต้องหันมองทุกครั้งที่ถูกเรียก มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มเมื่อหันไปเจอกับพี่ตาม น้องชายของคุณหมอ ผมเจอกับพี่ตามที่โบสถ์เมื่อวันอาทิตย์ก่อน ผลจากการไม่เคยสนใจใครเลยทำให้ผมไม่รู้มาก่อนว่าพี่ตามไปที่โบสถ์นั้นเช่นเดียวกันกับผมทุกอาทิตย์ แต่หลังจากที่ทำความรู้จักกันแล้ว พี่ตามก็กลายมาเป็นคนรู้จักอีกคนของผม ชื่อเรียกถูกตั้งให้ใหม่ว่า เขี้ยวกุด เพราะเอาแต่แซวว่าคุณหมอทำเขี้ยวสองข้างของผมหายไปแล้วจึงได้ชื่อนั้นมา

"ซื้ออะไรเยอะแยะ" คนที่เดินเข้ามาเอ่ยถามขณะมองไปยังอุปกรณ์จัดบอร์ดที่ผมหอบหิ้วดูพะรุพะรัง

"เอาไปจัดบอร์ดครับ"

"มา พี่ช่วยถือ"

ลังเลที่จะยื่นถุงในมือให้ อีกฝ่ายก็ดึงมันออกไปก่อน ผมตั้งใจจะเอาของพวกนี้กลับไปเก็บไว้ที่ห้องเรียนก่อน จะได้ไม่ต้องเอากลับบ้านแล้วก็ต้องหอบมาอีกในวันพรุ่งนี้ พอบอกกับพี่ตามอย่างนั้นอีกคนก็อาสาที่จะพาไปส่งที่โรงเรียน ทั้งที่มันเป็นโรงเรียนของผม แต่กลับเป็นฝ่ายเดินตามพี่ตามไปยังตึกเรียนของผมที่เขารู้ทางอย่างน่าประหลาดใจ

ไม่ทันได้ถามเราก็เดินมาถึงห้องเรียนของผมพอดี ผมเอาของไปเก็บไว้หลังห้องแล้วเดินออกมาหาพี่ตามที่ยืนรออยู่หน้าห้อง เขายืนมองออกไปยังสนามกว้างจากระเบียงอาคารเรียน ไม่รู้ความคิดใดพี่พาพี่ตามเหม่อลอยออกไปจนไม่ทันได้สนใจผมที่เดินออกมาจากห้องแล้ว นานครู่หนึ่งที่เราต่างคนต่างยืนเฉยๆ อยู่อย่างนั้น จนกระทั่งผมเป็นฝ่ายเอ่ยปากเรียก

"พี่ตามครับ"

"อ้าว เสร็จแล้วเหรอ"

"ครับ"

พี่ตามต้องไปรอขึ้นรถเมล์ทางเดียวกับผมพอดี เราจึงเดินออกมาด้วยกัน ดูเหมือนว่าพี่ตามจะพูดไม่เก่งเท่าคุณหมอ คนสองคนที่ต่างคนต่างหาเรื่องคุยกันไม่ได้ จึงมีแค่ความเงียบเท่านั้นในระหว่างรอ

พี่ตามหันมองผม ผมหันมองพี่ตาม เราทำได้แค่ยิ้มให้กัน...อึดอัดสินะ ผมรู้พี่ตามคงคิดแบบนั้น อยากชวนคุยอะไรก็ได้ให้คลายความเงียบตรงนี้ ผมจึงลองถามอะไรที่อยากรู้ออกไป

"พี่ตาม"

"ครับ?"

"เมื่อกี้ พี่ตามรู้ได้ยังไงว่าตึกเรียนผมอยู่ทางนั้น แถมเดินนำผมไปอีกต่างหาก"

"มีคนรู้จักเคยเรียนที่นี่น่ะ มารับมาส่งบ่อยๆ ก็เลยรู้"

"คนรู้จัก?"

พี่ตามพยักหน้ารับ ก่อนเอ่ยประโยคถัดมาด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน

"คนนิสัยไม่ดีคนหนึ่ง"

"..."

"ที่ทิ้งพี่ไปแล้วน่ะ" 

ผมอยากจะถามย้ำเพราะได้ยินไม่ชัดนัก แต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่อยากให้ผมให้ความสนใจอะไรอีกด้วยการเปลี่ยนเรื่องไปก่อน เราพูดคุยกันได้อีกไม่กี่ประโยคก็ต้องบอกลากันไปก่อนเพราะรถเมล์คันที่ผมรอมาถึงพอดี พี่ตามยิ้มกว้างให้ผมแล้วส่งขึ้นรถ เห็นยิ้มของพี่ตามแล้วก็อดคิดถึงอีกคนขึ้นมาไม่ได้

รอยยิ้มเหมือนคุณหมอเป๊ะเลย...

 

...

 

ผมใช้เวลาหลังเลิกเรียนของวันถัดมาไปกับการจัดบอร์ดสำหรับงานนิทรรศการวิชาการ เพราะโรงเรียนเลิกแล้ว นักเรียนจึงกลับบ้านกันหมด เสียงเดียวที่ได้ยินตอนนี้คือเสียงของพวกนักเรียนชายที่ยังเล่นฟุตบอลกันอยู่ในสนาม หนึ่งในนั้นคือปั้น คนที่บอกว่าจะช่วยงานผม

ไม่รู้ใช้เวลานานเท่าไร บอร์ดที่ผมทำก็กลายเป็นรูปเป็นร่างอย่างสมบูรณ์แบบในตอนที่ฟ้ามืดไปแล้ว เสียงนักเรียนในสนามฟุตบอลเงียบหายและเลิกเล่นกันไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ผมจัดการเก็บขยะไปทิ้ง แต่ในระหว่างทางเดินของอาคารไปยังถังขยะดูน่ากลัวพิลึก ไฟกลางตึกกระพริบถี่บ่งบอกว่าหลอดกำลังจะเสีย ความเงียบก่อให้เกิดเป็นความกลัวจนผมต้องเร่งฝีเท้าเดินไปให้ถึงถังขยะอย่างเร็วที่สุด ในตอนที่เดินกลับไปยังห้องจัดนิทรรศการก็รีบเร่งเสียจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง

"น้อง"

สองเท้าหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียก หันขวับไปมองจึงเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่รปภ.ที่เดินเข้ามาหา

"ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก มืดค่ำขนาดนี้มัวทำอะไรอยู่"

"กำลังจะกลับแล้วครับ"

"มืดๆ แบบนี้มันน่ากลัวรู้ไหม"

"ครับ"

"แล้วจะกลับยังไง ให้พี่ไปส่งที่บ้านไหม"

"ไม่เป็นไรครับ"

"ตอนนี้หาแท็กซี่ยากนะ"

"ไม่..." คำพูดผมหยุดชะงักตอนที่พี่รปภ.เดินเข้ามาใกล้ชนิดที่ว่าอีกนิดเดียวไหล่เราก็แทบจะชนกันอยู่แล้ว คำถามเดิมถูกถามซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย

"ให้พี่ไปส่งเถอะน่า น่ารักๆ อย่างเรา พี่ไม่คิดค่าน้ำมันหรอก" มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาวางบนไหล่ ร่างกายผมแข็งทื่อโดยอัตโนมัติ ปฏิกิริยาของความรังเกียจจึงแสดงออกไปด้วยการผลักเขาออกแล้วปฏิเสธเสียงดัง

"ไม่ครับ!"

ผมวิ่งออกมาจากตรงนั้นโดยที่ยังได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องตามหลังมา สองขาเริ่มช้าลงตอนที่วิ่งออกมาพ้นหน้าโรงเรียนแล้ว ตั้งใจจะโทรหาหน่อยให้มารับ แต่กลับไม่เจอโทรศัพท์ในกระเป๋า นึกไม่ออกเลยว่าครั้งสุดท้ายที่หยิบโทรศัพท์คือตอนไหน และผมไม่มีทางที่จะกลับเข้าไปหาโทรศัพท์ในโรงเรียนอีกแน่ จึงละความสนใจจากเรื่องนั้นแล้วหันไปหาแท็กซี่เพื่อที่จะกลับบ้าน

ระหว่างทางฝนลงเม็ดลงมาปรอยๆ ผมหันมองเม็ดฝนที่ตกลงมากระทบกระจกรถ พลางคิดอะไรอยู่ในใจไปเรื่อยเปื่อย กระทั่งเสียงของลุงคนขับรถดังขึ้นมาเพื่อชวนผมคุย

"ทำไมกลับบ้านช้าจังล่ะ"

"ครับ?"

"เพิ่งเลิกเรียนพิเศษเหรอ"

"ครับ" ขี้เกียจอธิบายอะไรยืดยาว ผมจึงตอบรับไปอย่างนั้น

"กลับบ้านดึกๆ แบบนี้มันน่ากลัวนะ ซอยเข้าบ้านเรามันเปลี่ยวด้วย"

"ครับ"

"เคยได้ยินว่ามีเด็กโดนข่มขืนแถวนี้ด้วยนะ เห็นว่าถูกฆ่าตายเลยด้วย"

ผมเงยหน้าขึ้นมองหลังจากได้ยินเช่นนั้น แม้ข้อมูลของลุงจะไม่ถูกต้องนัก แต่เหตุการณ์ที่เขากำลังพูดถึงก็พุ่งตรงเข้ามาในหัวของผมเป็นฉาก ทุกอย่างนิ่งงัน ตัวผมเองกำลังปล่อยความคิดให้จมลึกไปถึงไหนก็ไม่รู้ 

"ถึงแล้ว หลังนี้ใช่ไหม"

"..."

"ไอ้หนู หลังนี้หรือเปล่า"

"..."

ผมสะดุ้งออกจากความคิดเมื่อลุงคนขับหันหน้ามามอง สายตาที่กำลังจดจ้องทำให้ผมนึกถึงสายตาคู่หนึ่งที่ยังคงหลอกหลอน

 

"จะหนีไปไหน!"
"มึงจะหนีไปไหน"


 

"หนู"

"..."

"ไอ้หนู!"

"ผมกลัวแล้ว"

"..."

"อย่าทำอะไรผม..."

"อะไร ลุงไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ถึงบ้านแล้ว จะลงหรือไม่ลง"

สติที่เผลอหลุดลอย คิดหลอนไปไกลกลับเข้ามาตอนที่หันไปเห็นว่ารถจอดลงที่หน้าบ้านตัวเองแล้ว ผมควักเงินให้ลุงคนขับโดยไม่รอเงินทอน แล้วรีบตรงเข้าบ้าน ก้าวเท้าให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะไปให้ถึงห้องนอน ไม่ได้สนใจเสียงของพ่อที่เพิ่งจะเดินผ่าน

"ทำไมกลับช้าจังพลีส หน่อยออกไปตามที่โรงเรียน..."

 

ตุ้บ...


ทิ้งร่างตัวเองนอนลงกับพื้นข้างๆ เตียง ไม่แม้จะเปิดไฟให้สว่าง ร่างกายผมแน่นิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับ หัวใจยังคงเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ อาการเหล่านั้นมันเกิดขึ้นอย่างดูไม่มีเหตุผล แต่คงเป็นเพราะว่า จู่ๆ ความทรงจำสีดำสนิทในวันนั้น มันย้อนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกครั้ง

ในวันที่ฝนตก ผมอยากให้น้ำฝนช่วยชำระล้างความสกปรกของผมออกไปบ้าง ในวันที่เวลาผ่านพ้นไป ผมอยากให้ความทรงจำบางอย่างเลือนหายไปบ้าง แต่ทุกอย่างมันยังคงชัดเจน...ทุกวินาที

 ในคืนวันธรรมดาที่ผมเดินกลับบ้านอย่างทุกวันแต่ผมไม่รู้ว่าวันนั้นมันจะเป็นวันที่โชคร้ายที่สุดในชีวิต ผมจดจำเรื่องราววันนั้นได้ครบทุกรายละเอียด จดจำใบหน้าของคนที่ผมไม่รู้จัก สายตา และความหื่นกระหาย เสียงข่มขู่ ตะคอกและคำก่นด่าไม่เป็นภาษา ร่างกายผมบอบบางเกินกว่าจะต่อสู้แต่ยังคงดิ้นรนเอาตัวรอด ยกมือไหว้ร้องขอความเห็นใจหลายสิบครั้ง เพื่อให้เขาปล่อยผมไปแต่ไม่เป็นผล สองแขนถูกตรึงด้วยมือใหญ่ที่กำแน่นราวกับจะหักกระดูกให้แตกเป็นท่อน ใช้สองขาที่เหลืออยู่ทั้งถีบ ทั้งดิ้นให้หลุดพ้น การขัดขืนส่งผลให้เกิดความรุนแรง ใบหน้าแสบชาเพราะถูกฝ่ามือนั้นตบเข้าสุดแรง ร่างกายถูกกระแทกด้วยหมัดหนักเข้าตรงนั้นที ตรงนี้ทีไปทั่วร่าง

เมื่อร่างกายไร้แรงขัดขืน เสื้อผ้าก็ถูกฉีกขาดในพริบตาเดียว เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมไม่ต้องการอย่างไร้ความปราณี ทรมานคล้ายว่าร่างกายจะแหลกละเอียดเป็นผง เจ็บปวดจนไม่อาจแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ที่ยังคงเคลื่อนไหวได้ก็เห็นแต่จะเป็นดวงตาที่หลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุด
การกระทำระยำนั้นสิ้นสุดลง ขณะอีกฝ่ายดูเหน็ดเหนื่อยที่ออกแรงทำร้ายผมมากเกินไป ผมใช้จังหวะที่เขาหยุดหอบหายใจ เอื้อมมือไปเปิดประตูรถและตะโกนสุดเสียงขอความช่วยเหลือ

"หุบปาก!"

"ช่วยด้วย!"

"มึงอยากตายหรือไงวะ!"

"ช่วย..." คำพูดของผมกลืนหายเพราะสองมือที่ตรงเข้าบีบคอผมเอาไว้สุดแรงจนไม่อาจขัดขืน ไร้กำลังจะหยุดยั้ง ไร้เรี่ยวแรงจะร้องขอความช่วยเหลือ คงไร้หนทางที่จะเอาชีวิตรอดแล้ว...

"เฮ้ย! ทำอะไรวะ!"

"เสือกอะไรวะ!"

"หยุดนะเว้ย!"

สองมือที่ยกบีบคอผมอยู่ผลักผมให้นอนลงไปที่เดิมแล้วตบหน้าซ้ำจนได้กลิ่นคาวเลือดที่ไหลออกมาทางจมูก ก่อนละความสนใจจากผมไป ผมไม่อาจขยับเขยื้อนตัวเองหนีไปจากตรงนี้ได้เลย ได้ยินเพียงเสียงต่อสู้อยู่ชั่วครู่นาที เสียงร้องจากความเจ็บปวดดังเป็นเสียงสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบไป

"ช่วยไม่ได้ เสือกหาเรื่องตาย"

วัตถุที่ถูกใช้เป็นอาวุธต่อสู้ถูกโยนลงมาที่เบาะข้างๆ ตัวผม หันมองมีดสั้นที่ฉาบด้วยเลือดนั่น ไม่ทันที่จะได้พยายามทำอะไรสักอย่าง ร่างของผมก็ถูกโยนลงมาจากรถคันนั้น แรงกระแทกทำทุกอย่างพร่าเบลอราวกับว่าผมกำลังจะตายในวินาทีนั้น ขยับเปลือกตามองเห็นอีกร่างที่ถูกทิ้งให้นอนอยู่ข้างทาง ยื่นมือสั่นเทาไปแตะเข้าที่ร่างกายนั้น พร้อมส่งเสียงเรียกเบาๆ ด้วยเรี่ยวแรงที่มีอยู่แต่ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ

ผมได้ยินทุกอย่างที่ส่งเสียงและมองเห็นทุกอย่างที่ผ่านหน้า หากแต่ว่าสติผมเลือนหายไปอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายที่บอบช้ำนั้นควรเจ็บปวดแต่ผมกลับไม่มีความรู้สึกใด ไม่อาจแน่ใจว่าตัวเองยังคงหายใจอยู่หรือไม่ จนกระทั่งเสียงของบางคนปลุกผมขึ้นมาจากความเงียบงันเหล่านั้น ประสาทแห่งการรับรู้คงเสียหายจึงได้ยินไม่ชัด ไม่ครบถ้วนแต่พอจะเรียบเรียงความเป็นไปได้     
   
"คนไข้ที่ถูกแทง ไม่รอด"

"..."

"ยังเป็นเด็กมหาลัยอยู่เลย"

"..."

"น่าสงสารจัง"

ทุกอย่างรอบตัวของผมมันไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ผมยังคงได้ยินเสียง ยังคงมองเห็นแสงไฟจากเพดานห้อง แต่ความนิ่งงันจู่โจมความรู้สึกของผมอีกครั้ง...

"นั่นไม่ใช่แสงหรอก"

"..."

"ไม่ใช่แสงลูกของเราหรอก"

"พ่อ"

"เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวลูกกลับบ้านมาแล้วจะไม่เจอใคร"

"พ่อ! นั่นพี่แสง!"

"..."

"นั่นพี่แสง"

"..."

"พี่แสงตายแล้วพ่อ"

เป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าพระเจ้าได้ทำอะไรผิดพลาดไปครั้งใหญ่ มันต้องไม่ใช่แบบนี้ มันควรจะเป็นผมที่ต้องตายไป...ได้โปรดเอาชีวิตผมไป...เอาชีวิตผมไปแทน

"น้องพลีส"

"..."

"น้องพลีสคะ"

ผมลืมตาตื่นจากความคิดมากมายเหล่านั้น มองหน่อยที่นั่งอยู่ตรงหน้าซึ่งไม่รู้ว่าเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร

"น้องพลีสหายไปไหนมา หน่อยโทรไปก็ไม่รับสาย รู้ไหมหน่อยไปหาที่โรงเรียนมาแต่เราคงจะสวนทางกัน"

"..."

"แล้วทำไมมานอนตรงนี้อีกแล้ว ขึ้นไปนอนข้างบนสิคะ"

"..."

"พื้นมันเย็นนะ เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก"

"..."

"ไม่ดื้อสิคนเก่ง"

"พลีสขยับไม่ได้"

"อะไรนะคะ"

"ร่างกายพลีส..."

"..."

"มันขยับไม่ได้เลย"

"เป็นอะไรคะ ไม่สบายตรงไหน บอกหน่อยสิว่าเป็นอะไร"

ผมยกมือจับมือพี่หน่อยที่กำลังลนลาน ก่อนที่จะบอกบางคำออกไปเบาๆ

"พลีสนึกถึงเรื่องวันนั้น"

"..."

"เรื่องวันนั้นมันตามมาหลอกพลีสอีกแล้ว"

"..."

"พลีสอยากลืม"

"..."

"ช่วยพลีสที"

หน่อยไม่ได้พูดอะไร นอกจากก้มลงมากอดผมเอาไว้อย่างนั้น หน่อยทำให้ผมได้ทุกอย่าง แต่การที่จะลบล้างความทรงจำนั้นออกไปดูจะอยู่เหนือความสามารถของใครสักคน หน่อยจึงทำได้แค่ปลอบใจ ขับกล่อมผมให้หลับตาลงเพื่อที่จะหลับใหลให้ข้ามพ้นคืนนี้ แม้เป็นคืนเดียวที่จะลืมความทรงจำนั้นเพียงชั่วคราวก็คงจะช่วยปลอบประโลมให้ผมหายใจอย่างไร้ความรู้สึกเจ็บปวดได้บ้าง...สักคืนก็ยังดี

...

 

ผมขาดโรงเรียนไปหนึ่งวันเพราะเมื่อวานตื่นสายและหน่อยไม่มาปลุก ด้วยห่วงว่าสภาพจิตใจผมจะยังไม่พร้อม เอาจริงๆ แล้วใจผมมันก็ไม่เคยสมบูรณ์พร้อมอยู่แล้ว แต่เมื่อวานวันอ่อนแอเสียจนเกือบจะล้มเหลว ผมจึงใช้โอกาสนั้นหยุดพักไปหนึ่งวัน แล้วกลับมาเรียนในวันถัดไป เป็นวันที่มีนิทรรศการวิชาการพอดี ช่วงเช้าจึงงดการเรียนการสอน ผมไม่มีความสนใจใดๆ เกี่ยวกับนิทรรศการนั้นจึงเอาแต่นั่งอยู่บนห้องไม่ไปไหน

"พันธกานต์"

ไม่บ่อยนักที่จะถูกเรียกจากใครสักคน บวกกับความเงียบก่อนหน้านั้น เสียงนั้นจึงทำเอาผมสะดุ้ง

"ตกใจอะไร"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนครูคนนั้นจะเดินเข้ามาหา

"ของเธอใช่ไหม"

ผมเผลอลืมตากว้างพร้อมเอ่ยเสียงตกใจเมื่อเห็นโทรศัพท์ของตัวเองอยู่ในมือครู ทั้งๆ ที่ลืมทิ้งเอาไว้จนคิดว่ามันหายไปแล้ว

"มีคนเก็บมาคืนครูตั้งแต่เมื่อวาน แต่เธอขาดเรียนก็เลยไม่ได้เอามาคืน"

"ครูรู้ได้ยังไงว่าเป็นของผมเหรอครับ"

"ใช้รูปตารางเรียนเป็นวอลเปเปอร์ แถมมีชื่อเธออยู่ตรงนี้ด้วย ไม่รู้เลยมั้ง เอาไปสิ"

"ขอบคุณครับ"

"แล้วมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไม่ออกไปร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ ล่ะ"

"..."

"ครูรู้ว่าเธอชอบอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ควรมานั่งเหงาอยู่แบบนี้นะ ในงานมีอะไรน่าสนใจเยอะเลยแหละ มาด้วยกันสิ ลุกเร็ว"

ความเกรงใจทำให้ผมไม่อาจจะปฏิเสธครูที่เอาแต่คะยั้นคะยอให้ผมลงไปที่งาน แต่ครูเดินมาส่งผมแค่หน้าตึกแล้วก็แยกตัวไปอีกทาง แม้จะมีชื่อว่านิทรรศการวิชาการแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างในงานจะเกี่ยวกับวิชาการไปซะทั้งหมด มีกิจกรรมจากหลายๆ หมวดการเรียน รวมไปถึงชมรมต่างๆ โซนศิลปะและดนตรีดูจะครึกครื้นเป็นพิเศษเพราะมีการแสดงดนตรีที่กำลังดังอึกทึก ผมไม่ชอบเสียงดังหนวกหูเลยเดินเลี่ยงไปอีกทาง เดินผ่านร้านค้าของกินของใช้จากแผนกคหกรรมไปเรื่อยๆ จนสุดทาง ผมได้คุกกี้โฮมเมดมาหนึ่งชิ้นเพราะนักเรียนชั้นม.สามแจกฟรี อาจเป็นเพราะผมชอบคุกกี้อยู่แล้ว รสชาติของมันจึงอร่อยจนต้องเดินกลับไปซื้ออีกถุง แล้วคุกกี้ถุงนั้นก็กลายเป็นอาหารกลางวันของผมไป กินหมดก็ตั้งใจเอาถุงไปทิ้งที่ถังขยะหลังตึก ถุงในมือยังไม่ทันหย่อนลงถึงถัง ก็ต้องชะงักกลางคันเมื่อผมหันไปเห็นอะไรบางอย่าง ฟิวเจอร์บอด แผ่นโฟมและของตกแต่งที่ดูคุ้นตาถูกวางกองอยู่กับพื้น แม้ถูกทับด้วยถุงขยะแต่ผมมองข้ามความสกปรกนั้นแล้วปัดถุงขยะพวกนั้นออกเพื่อให้เห็นแผ่นบอร์ดนั่นชัดๆ

สิ่งที่ผมตั้งใจทำทั้งคืนเพื่องานวันนี้...ทำไมถึงถูกทิ้งอยู่ในกองขยะ

ผมเดินกลับเข้าไปในงานเพื่อตรงไปยังโซนที่จัดนิทรรศการของแต่ละห้องเรียน บอร์ดของห้องเรียนผมถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมด และแม้จะอยากได้คำตอบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปถามหาจากที่ไหน

"อ้าวไอ้พลีส นึกว่ามึงจะไม่ลงมา"

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรปั้นที่เข้ามาทัก

"กูพูดด้วยไม่พูด มึงเป็นอะไรวะ"

"..."

"ไอ้พลีส"

"ใครทำบอร์ดใหม่"

"ฮะ?"

"ถามว่าใครทำบอร์ดใหม่"

"ก็พวกเพื่อนๆ ไง"

"ทำทำไม"

"กูไม่รู้"

"บอกมา!"

ปั้นนิ่งไปตอนที่ผมเสียงดังใส่ เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกโมโหจริงๆ และเสียงที่ดูจะดังไปหน่อยของผม มันทำให้เพื่อนในห้องที่ยืนอยู่หน้าบอร์ดหันมาให้ความสนใจทั้งหมด

"มีอะไรกันวะ"

"พลีสมันโมโหที่พวกมึงเปลี่ยนบอร์ด"

"โมโหทำไม ก็มึงทำไม่สวยอะ มันซ้ำกับปีที่แล้ว มึงเล่นทำเหมือนเดิมเป๊ะเลยนี่หว่า"

"แล้วตอนที่ถามว่าจะเอาแบบไหน ทำไมไม่บอก"

"ก็นึกว่ามึงจะทำให้มันดีกว่านี้นี่"

"รู้ไหมว่าเราทำคนเดียว"

"..."

"รู้ไหมว่าทำจนถึงกี่โมง"

"..."

"มันเหนื่อยนะเว้ย!"

"มึงจะโมโหเหี้ยอะไรเนี่ย ถ้ามึงไม่อยากทำก็บอกแต่แรกดิว่าไม่อยากทำ เสือกรับปากจะทำเองทำไมล่ะ!"

"เออ! แล้วก็ทำไม่สวย ต้องมาเสียเวลาทำใหม่กันเนี่ย พวกกูหรือเปล่าที่ควรจะโมโห"

"กูน่าจะบอกครูว่ามึงไม่มีส่วนร่วม จะได้ไม่ต้องเอาคะแนน"

แม้ความโมโหมีมากแค่ไหนก็ไม่อาจเอาชนะคนส่วนมากที่ความเห็นตรงกันได้ เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกตัวเล็กนิดเดียวเมื่อถูกรุมต่อว่าและไม่สามารถโต้เถียงอะไรได้เลย

"ไม่น่ามีมึงอยู่ในห้องพวกกูเลย ไอ้ตัวปัญหา"

แรงผลักจากใครสักคนทำผมล้มลงกับพื้น ผมไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันทีเพราะเรี่ยวแรงที่มีคล้ายว่ามันจะหายไปชั่วขณะ คำด่าทอที่หยาบคาบพูดกรอกหูผมอีกสามสี่ประโยค ผมคงเป็นตัวปัญหาจริงๆ และอย่างที่คนเหล่านั้นบอกไม่ควรมีผมอยู่ ไม่ใช่ในห้องเรียน...แต่เป็นในโลกใบนี้

 

...


มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 11-- 1/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 07-07-2019 04:31:42
 

"พลีสอยากย้ายโรงเรียน"

ผมบอกกับแม่ แต่คนที่กำลังสนใจงานในมือมากกว่าไม่ได้ตั้งใจฟัง เมื่อถูกละเลยในวันที่ผมต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ผมจึงรู้สึกโกรธกว่าปกติ ตรงเข้าไปดึงเอกสารในมือแม่ออกเพื่อให้แม่หันมาสนใจ

"พลีสทำอะไร"

"พลีสอยากย้ายโรงเรียน"

"ย้ายโรงเรียน? จะย้ายไปไหน นี่มันปีสุดท้ายแล้ว โรงเรียนที่ไหนเขาจะรับเข้าเรียน"

"โรงเรียนเอกชนก็ได้หรือไม่ก็ลาออกไปเลยก็ได้!"

"พลีสเป็นอะไร"

"พลีสไม่อยากไปโรงเรียน พลีสไม่มีเพื่อน ทุกคนเกลียดพลีส พลีสถูกแกล้ง พลีสถูกด่าทุกวัน"

"แล้วเราไปทำอะไรให้เขาไม่ชอบล่ะ"

"มันไม่ใช่ความผิดพลีส!"

"แล้วมันเป็นความผิดใคร"

"..."

"บอกแม่สิว่าเรื่องนี้ใครผิด"

น่าแปลกใจ ผมให้คำตอบแม่ไม่ได้...

"พลีสไม่ชอบโรงเรียนนี้ คนที่โรงเรียนรู้เรื่องนั้นกันหมด ทุกคนรังเกียจพลีส"

"แล้วการที่พลีสย้ายโรงเรียนไป มันจะแก้ไขอะไรในวันนั้นได้ไหม"

"พลีสก็แค่อยากเริ่มต้นใหม่ ย้ายไปโรงเรียนอื่น จะได้ไม่มีคนรู้เรื่องนั้น"

"ยังไงแม่ก็ไม่ให้ย้าย"

"แม่"

"มันไม่ใช่ทางแก้"

ผมหันมองพ่อที่นั่งอยู่ด้วยแต่ไม่มีคำพูดใดจากปากพ่อเลย ผมคิดว่าการที่ผมได้พูดอะไรออกไปตรงๆ จะทำให้มีคนเข้าใจความรู้สึกของผมบ้าง แต่ไม่เห็นจะมีเลย...ไม่เห็นจะมีสักคน

 

พ่อกับแม่ปล่อยให้ผมนั่งอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น ยังคงจมอยู่กับความคิดหาคนที่จะมารับผิดชอบความผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ ผมอยากโทษทุกสิ่งที่ใจร้ายกับผม แต่กลับไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงมันคืออะไร เหตุผลที่ผู้คนรังเกียจ เหตุผลที่ไม่มีใครเข้าใกล้ เหตุผลที่ทำให้ไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับผม เหตุผลที่ทำให้ผมโดดเดี่ยว...แท้ที่จริงมันคืออะไร

ผมเหนื่อยที่จะหาคำตอบจึงปล่อยให้ความคิดส่วนนั้นมันว่างเปล่า และความว่างเปล่านั้นมันหมายถึงทั้งชีวิตของผมด้วย มันไม่เหลืออะไรเลย ไม่มีแล้วจริงๆ

ผมลุกจากโซฟา เดินไปหามันแกวที่นอนอยู่ริมประตู เมื่อผมตรงเข้าไปเล่นด้วย เจ้าหมาตัวเล็กก็คลอเคลียราวกับกำลังอ้อนกันอยู่ ผมเอื้อมมือหยิบอาหารเม็ดเทใส่จานข้าวของมันแกว เจ้าหมาที่หิวโหยตลอดเวลารีบก้มลงจัดการอาหารพวกนั้นอย่างดูเอร็ดอร่อย ขณะนั้นหน่อยก็เดินเข้ามาพอดี

"ให้กินอีกแล้วเหรอคะ เมื่อกี้หน่อยก็เพิ่งเทให้ไปเอง"

"ก็มันแกวมันหิวตลอดเวลาเลยนี่"

"..."

"หน่อยต้องให้อาหารมันบ่อยๆ นะ อย่าปล่อยให้หิว อย่าเอาอย่างอื่นให้กินนอกจากอาหารเม็ด มันแกวไม่ชอบกินข้าว แล้วก็อย่าลืมเก็บรองเท้าให้ดีด้วย มันแกวชอบรองเท้าของหน่อยที่สุดเลย ไม่รู้ว่าทำไม"

"นั่นสิคะ กัดไปหลายคู่แล้วเนี่ย"

ผมหลุดหัวเราะก่อนก้มลงลูบหัวมันแกวอีกที บอกบางอย่างกับมันในใจ...มันแกวเป็นเพื่อนที่น่ารักที่สุดของพลีสเลยรู้ไหม

"น้องพลีสจะออกไปข้างนอกเหรอคะ"

"ครับ"

"อย่าไปนาน อย่ากลับบ้านช้านะคะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วตอบกลับไปให้หน่อยได้ยิน

"ไม่กลับช้าครับ"

ผมก้มลงใส่รองเท้า หันมองหน่อยอีกครั้ง...หน่อยเองก็เป็นเพื่อนคนแรกในชีวิตพลีสเลย

 

สองขาพาผมเดินออกมาเรื่อยๆ อย่างไม่มีจุดหมาย ก่อนที่จะรู้ตัวอีกทีว่าตัวเองมาหยุดอยู่ที่คลินิกของคุณหมอ ผ่านกระจกใสและระยะห่างที่ไกลจนเขาไม่อาจมองเห็นผม ผมยังคงเห็นรอยยิ้มของคนที่กำลังพูดคุยอยู่ แม้มองจากตรงนี้ ก็ยังมองเห็นความน่ารักและความใจดีนั่นที่ทำให้ผมตกหลุมรักในวันแรกที่พบกัน

พี่ต่อ...ผู้เป็นทุกรอยยิ้มของพลีส

คุณหมอเป็นหนึ่งในความสุขเดียวที่ผมมี ราวกับว่าชีวิตอนุญาตให้มีความสุขได้แค่นั้น แต่น่าเจ็บปวดที่ความสุขแค่นั้นมันไม่เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงหนึ่งชีวิตให้หายใจต่อไปได้

 

ผมตัดใจเดินออกมาจากตรงนั้น ตรงไปเรื่อยๆ แล้วหยุดอีกครั้งที่หน้าร้านกาแฟร้านหนึ่ง ผมรู้ที่นี่คือบ้านของพี่แสง คนที่ช่วยผมเอาไว้จนเขาตาย ผมไม่เคยไปหาพี่แสง ไม่เคยเอ่ยคำขอบคุณหรือว่าขอโทษ และผมกลัวเกินกว่าที่จะเข้าไปหาครอบครัวของพี่แสง สาเหตุเพราะผม ที่พรากเอาชีวิตคนที่รักไปจากพวกเขา นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมอยากจะพูดอะไรกับพี่แสงแม้ว่าเขาจะไม่มีวันได้ยิน

"พี่แสง"

"..."

"พี่น่าจะมาเป็นผม"

"..."

"แล้วผมจะเป็นคนที่ตายแทนพี่เอง"

 

บนดาดฟ้าของตึกร้าง ผมนั่งอยู่บนนั้นคนเดียวท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของฤดูฝน ความคิดหยั่งลึกลงไปถึงทุกสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ยิ่งคิดเท่าไรความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอยู่ในปริมาณที่จัดการไม่ได้ และคงจะจริงอย่างที่แม่บอก มันไม่มีวันกลับไปแก้ไขอะไรในอดีตได้แล้ว มันไม่มีที่ให้ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่...ต่อให้เราพาตัวเองหนีไปจากคนที่ทำร้ายเราได้ แต่บาดแผลมันไม่ได้หายไปไหน

ผมไม่รู้เวลาว่าดึกดื่นขนาดไหน ผมบอกกับหน่อยว่าจะไม่กลับบ้านช้า...แต่ว่าผมจะไม่กลับไปเลยต่างหาก ผมทบทวนทุกอย่างอีกครั้งและพบว่ามันคงจะมีทางเดียวที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากความเจ็บปวดที่ไม่มีใครเข้าใจได้ ผมเข้าใจอย่างชัดเจนว่าการมีชีวิตอยู่อย่างตายทั้งเป็นมันทรมานมากกว่าการจากไปเสียอีก ผมไม่ได้คิดสั้น แต่คิดอยู่เนิ่นนานจนตัดสินใจได้แล้ว สองขาของผมจึงลุกขึ้นยืนบนขอบระเบียงของตึกในตอนที่เนื้อตัวเบาโหวง ก้มมองลงไปข้างล่างเพื่อให้แน่ใจว่า ผมจะไม่อาจเอาชีวิตรอดจากความสูงระดับนี้ได้...หากโชคดีผมคงตาย หากโชคร้ายก็คงได้พบกันอีก

เหตุผลของการฆ่าตัวตาย มันไม่ได้ซับซ้อน ผมแค่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว มันว่างเปล่า ล่องลอยและเคว้งคว้าง ไม่ต้องการอะไรแล้วจริงๆ ในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความกลัวเลยสักนิด คงเป็นเพราะความกลัวถูกใช้ไปหมดแล้วตั้งแต่วันนั้น...และหากว่าผ่านนรกขุมนั้นมาได้ ก็ไม่มีขุมไหนน่ากลัวอีกแล้ว

ความคิดตกตะกอนจนถึงขีดสุดของมันแล้ว ผมพร้อมแล้วที่จะไป ไม่ว่าจะที่ไหนหรือว่านรกขุมไหนก็ได้ เพราะคงไม่มีที่ใดทรมานกว่าที่นี่ และสุดท้าย ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพระเจ้าจะให้อภัยเด็กชายผู้น่าสงสารคนนี้...

 

"ยกโทษให้ผมด้วย"

 

 

"ตุ้บ!"

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-07-2019 05:03:20
พูดไม่ออกเลยค่ะ​ จุกไปทั้งแถบ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 07-07-2019 08:03:02
ขอเถอะนะ พ่อแม่ของเด็กในห้องของพลีส
่พ่อแม่ของเด็กที่เห็นคนถูกทำร้ายแบบพลีสน่ารังเกียจ
ต้องเป็นคนแบบไหนกัน ถึงเลี้ยงลูกมาให้เป็นคนแบบนี้
แถมเยอะซะด้วยซิ เป็นทั้งห้อง ขออย่าให้ข้าต้องอยู่ร่วมสังคม
กับคนแบบนี้เลย เห่อๆๆ อินเกินไปเปล่าหว่าเรา
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: mooping-7 ที่ 07-07-2019 09:54:25
ร้องไห้ทุกตอนเลย  สงสารอะแต่งเศร้าไปน้าา :m15:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 07-07-2019 10:10:45
 :pig4:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 07-07-2019 20:38:32
เข้าใจน้องพลีสที่สุดแล้ว เสียงของความทุกข์ทรมานที่ไม่มีใครได้ยิน
ถ้าสังคมรอบข้างน้องมันแย่ขนาดนั้นก็ไม่อยากให้หนูกลับมา
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 08-07-2019 01:42:29
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 08-07-2019 04:35:12
ปัญหาของพลีส​คือ ผู้ใหญ่ พ่อแม่ที่ไม่ใส่ใจลูก ไม่สนใจความรู้สึกลูก คุณครูที่รู้ว่ามีปัญหาแต่ไ่คิดตะแก้ไข หน่อยที่รู้ว่าพลีสแปลกแต่ไม่คิดจะถามทั้งๆที่อยู่กับพลีสมากที่สุด

แล้วก็เพื่อนพลีส นิสัยเสียทั้งห้อง ตอนเด็กๆเราเป็นคนไม่สนใจโลกค่ะ มีเพื่อน มีคนคุย แต่เราไม่ใช่คนคุยเก่ง เฉยๆมากกว่า ใครไม่ดีเราไม่คบ แล้วก็ไม่สนใจด้วย เลยทำให้ไม่โดนรังแกเลย แล้วก็ไม่เคยไปวุ่นวายกับใคร เด็กทุกคนต้องเคยโดนบูลลี่แหล่ะ เราเป็นหนึ่งในนั้น แต่ไม่เคยเก็บมาใส่ใจเลย เรามองว่าไร้สาระ เพราะตอนนั้นมีเรื่องอื่นให้คิดเยอะแยะ

พอมาเป็นพลีส เห็นนิสัยของพลีสแล้วหงุดหงิดมาก พลีสไม่สู้คน ส่วนเพื่อนของพลีสน่าจะโดนสักรอบ โมโห
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 08-07-2019 17:09:21
 o18



 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Funnycoco ที่ 09-07-2019 00:11:38
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-07-2019 01:24:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Hayvril ที่ 10-07-2019 01:22:16
เราเครียด ฮือ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 11-07-2019 02:33:58
 :mew6: :mew6: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 12-- 7/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 12-07-2019 00:58:03
เคลียร์ปมแล้ว สงสารน้องพลีสมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 17-07-2019 04:22:48
ตอนที่ 13
เรื่องราวคราวนั้นและความทรงจำที่หายไป

 

ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปนั้นมันเปล่าประโยชน์ ไม่มีความหมาย ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างที่คิด ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะนำพาคนที่อยากจากไปกลับมาที่นี่ทำไม

เมื่อการรอดตายคล้ายว่าจะเป็นปาฏิหาริย์ ความกล้าที่มีถูกใช้ไปหมดสิ้นจึงกลับกลายเป็นความกลัวเมื่อต้องกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เพราะผมไม่รู้ว่า สิ่งที่ตามมาจากการกระทำนั้นมันจะต้องรับมือยังไง   

"น้องพลีส"

เสียงเรียกคุ้นหูจากหน่อย ปลุกผมออกจากความคิด ก่อนยันตัวเองขึ้นนั่งบนเตียงของโรงพยาบาล

"เป็นยังไงบ้างคะ"

ผมเงยหน้ามองหน่อยด้วยความรู้สึกสงสัย เพราะทรงผมที่สั้นลงกว่าตอนที่ผมเดินออกจากบ้านมา หน่อยเอาเวลาที่ไหนไปตัดผม?

"น้องพลีส"

ผมไม่รู้ว่าตัวเองใช้เวลาอยู่บนดาดฟ้าตึกนั่นนานเท่าไร มองเห็นแค่ท้องฟ้ามืดสนิทและตอนนี้ฟ้าด้านนอกก็ยังเป็นเช่นนั้น เวลายังไม่ข้ามผ่านคืนนี้ไป แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่า...เวลามันผ่านไปนานกว่านั้น

"เจ็บตรงไหนไหมคะ"

นอกเหนือจากรอยถลอกที่สำรวจมองผ่านๆ ตามร่างกาย ก็ไม่มีแม้แต่บาดแผลใดที่ทำให้ผมรู้สึกเจ็บเลยสักนิด ตกจากดาดฟ้าของตึกห้าชั้น...ผมได้แผลแค่นั้นจริงๆ เหรอ

"น้องพลีส"

"..."

"น้องพลีสคะ!"

"ครับ?"

"เป็นยังไงบ้างคะ รู้สึกยังไงบอกหน่อยสิคะ"

"พลีส..."

"..."

"พลีสหิว"

"คะ?"

ไม่รู้ทำไมถึงพูดออกไปแบบนั้น แต่ว่านั่นคือความรู้สึกแรกที่ชัดเจนขึ้นมาหลังจากได้สติ หิวเหมือนไม่ได้กินอะไรมาเป็นเดือนแล้ว...หิวมากเลย

"งั้นเดี๋ยวหน่อยลงไปซื้ออะไรมาให้ทาน แต่น้องพลีสแน่ใจนะคะว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ"

ก็น่าสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลยทั้งๆ ที่ควรจะแขนขาหัก หัวแตกหรือว่าตาย แต่นี่กลับสบายดีอย่างกับผมเพียงแค่ลื่นล้มแล้วแขนถลอก ทุกอย่างมันไม่เหมือนที่คิด มันไม่ใช่...

"แล้วไปทำยังไง ถึงได้ถูกรถชนเอาได้ล่ะคะ"

"ครับ?"

"หน่อยบอกกี่ครั้งแล้วว่าข้ามถนนให้ระวังรถดีๆ ดีนะคะที่ไม่เป็นอะไรมาก ไม่อย่างนั้นคง..."

"เดี๋ยว..." ผมยกมือเบรกคำพูดของหน่อยด้วยความสงสัย

"คะ?"

"ใครถูกรถชน"

"ก็น้องพลีสไงคะ"

"พลีสตกลงมาจากตึก"

"คะ?"

"พลีส...กระโดดลงมาจากตึก"

ผมพูดให้ชัด เพื่อให้หน่อยได้รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ผมต้องมานอนอยู่ในที่โรงพยาบาลแบบนี้ก็เพราะว่าผมทำสิ่งนั้นลงไป แต่ดูเหมือนว่าหน่อยจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูด แสดงออกถึงความไม่เข้าใจผ่านใบหน้าที่ดูงุนงง

 "เรื่องนั้น..."

"..."

"มันผ่านไปเป็นเดือนแล้วนะคะ"

กลายเป็นผมที่สับสนอย่างไม่มีสิ้นสุด อย่างที่ความรู้สึกบอกกับผม ว่าดูเหมือนเวลามันผ่านไปนานกว่านั้น และนอกเหนือจากความรู้สึก วันที่บนหน้าจอมือถือและบนรายการข่าวในทีวีก็ช่วยยืนยันกับผมว่าเวลามันได้ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว ไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองชั่วโมง...แต่เป็นหนึ่งเดือน

ผมลุกออกจากเตียงแล้วก้าวเท้าไปที่หน้าต่างพลางคิดอะไรมากมายอยู่ในหัว แปลกประหลาด สับสนและไม่เข้าใจ มันเหมือนจะนานแต่มันก็เพิ่งผ่านมา ภาพสุดท้ายที่ผมจำได้และรู้ตัวดี คือการเดินออกจากบ้านด้วยความรู้สึกว่างเปล่า ตัดสินใจทำบางสิ่งที่คิดว่ามันเป็นจะเป็นจุดจบสุดท้ายของชีวิต แต่กลับลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันนี้...วันที่เวลาผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน

เหมือนได้ตื่นจากการที่จิตวิญญาณหลับใหลอย่างยาวนาน โดยที่ความทรงจำในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นกลายเป็นศูนย์...ผมจำอะไรไม่ได้เลย           

"น้องพลีส!"

 ความสับสนพุ่งชนจนความเจ็บปวดแทรกเข้ามาในหัว งุนงงจนทรงตัวไม่อยู่ ผมเกือบจะล้มลงกับพื้นแต่หน่อยตรงเข้ามารับร่างผมเอาไว้ได้ก่อน

"เป็นอะไรไหมคะ"

"พลีสไม่เป็นอะไร"

"จะไม่เป็นอะไรได้ยังไง เดี๋ยวหน่อยตามหมอให้นะคะ"

"พลีสแค่หิว"

"คะ?"

"บอกแล้วไงว่าหิวมากเลย"

"เดี๋ยวหน่อยรีบลงไปหาอะไรมาให้ทานนะคะ"

ผมพยักหน้ารับ แต่สายตากลับมองไปยังนมกล่องหนึ่งที่วางอยู่ข้างๆ กระเป๋าผ้าของหน่อย

"กล่องนี้ของหน่อย หน่อยเจาะแล้ว แต่ยังไม่ทันได้กิน"

"พลีสขอ"

"แต่ปกติน้องพลีสไม่..."

"พลีสหิว"

"..."

"มากๆ เลย"

"ค่ะ"

หน่อยหยิบนมกล่องนั้นส่งให้ผมดื่มประทังความหิวที่มีมากจนเกือบทนไม่ไหว ไม่สนว่ามันจะเป็นนมรสชาติงาดำที่เคยเกลียดอย่างกับอะไรดี แต่ตอนนี้อะไรก็ได้ที่จะช่วยบรรเทาความหิวโหยนั้นให้หายไป ก็พร้อมจะยัดลงท้องทั้งหมดเลย

หน่อยหัวเราะเบาๆ ตอนที่เห็นผมดูดนมไม่หยุด แล้วนั่งลงข้างๆ มือข้างหนึ่งยื่นมาลูบหัวเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่เอ็นดูผมเหมือนอย่างเคย

"น้องพลีส"

"..."

"กลับบ้านช้านะคะ"

สายตาผมเหลือบขึ้นมองตอนที่หน่อยพูดเช่นนั้น ประโยคสุดท้ายที่พูดออกไปว่าจะไม่กลับช้า มีความหมายว่าจะไม่กลับไปเลยซึ่งผมได้ตั้งใจให้มันเป็นคำบอกลา แต่สุดท้ายแล้วผมก็กลับมา แม้ว่าจะช้าไปถึงหนึ่งเดือน แม้ว่าจะช้าไปหน่อย...

"ครับ"

"..."

"พลีสกลับมาแล้ว"

คำว่ากลับมาของผมกับหน่อยอาจมีความหมายไม่เท่ากัน แต่ขณะนั้นผมก็รับรู้ได้ถึงความห่วงใยของหน่อยที่มีให้ผมมาโดยตลอด ผมโต้ตอบอ้อมกอดของหน่อยที่ประคองร่างของผมเอาไว้หลวมๆ ผ่านอ้อมกอดนั้น ผมอยากย้ำให้หน่อยรู้อีกครั้ง...ผมกลับมาแล้ว   

"พลีส"

เราทั้งคู่หันมองเสียงเรียกของพ่อกับแม่ที่พรวดพราดเข้ามาอย่างตกใจนิดๆ แม่ตรงเข้ามาสำรวจร่างกายของผมด้วยการจับตรงนั้นที ตรงนี้ทีแล้วถามซ้ำๆ ว่าเป็นอะไรไหม ส่วนพ่อยืนนิ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย

"ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม ไม่เป็นอะไรใช่ไหมพลีส"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของแม่ คิดว่ารอยถลอกเล็กๆ ที่แม่มองเห็นก็คงบ่งบอกได้ว่าผมไม่เป็นอะไรมาก ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนที่แม่โผเข้ามากอด ขณะที่พ่อก็เอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

"สองครั้งแล้วนะ ที่พลีสทำให้พ่อเป็นห่วงแบบนี้"

แม่กอดผมแน่นกว่าเดิม ลูบหัวเบาๆ ด้วยท่าทางทะนุถนอมอย่างที่ผมไม่เคยชิน 

ไม่บ่อย...หรือไม่เคยเลย

ที่พ่อกับแม่จะแสดงออกถึงความห่วงใยอย่างชัดเจนแบบนี้ คำว่าเป็นห่วงของพ่อทำเอาผมเกือบคิดไปว่าตัวเองได้ตายไปแล้วหรือนี่อาจจะเป็นความฝันก็ได้

"พลีสไม่เป็นอะไรนะ"

"ไม่เป็นอะไรครับ"

หมายถึงในทางร่างกาย...แต่ถ้าถามไปถึงสภาพจิตใจตอนนี้ รู้สึกเจ็บแปลกๆ 

ผมโกรธพ่อกับแม่แทบบ้า โกรธที่แม่เอาแต่กดดันให้ผมทำสิ่งนั้นสิ่งนี้เพื่อความต้องการของตัวเอง โกรธที่พ่อเพิกเฉยไม่เคยใส่ใจเรื่องของผม เบื่อที่พ่อกับแม่เอาแต่ทะเลาะกันราวกับทั้งคู่สนใจแต่เรื่องของตัวเองจนหลงลืมความรู้สึกของผม ไม่เคยสนใจเลยแม้แต่น้อย ผมเคยผิดหวังเพราะความบริสุทธิ์ในวัยเด็กหลอกลวงให้ผมเชื่อว่าความรักของพ่อกับแม่นั้นเป็นรักแท้ที่ยิ่งใหญ่ แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย...ผมจึงผิดหวัง

วันที่ผมคิดจะจากไป ผมไม่ได้บอกลาหรือคิดถึงหน้าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ ครอบครัวอาจไม่ใช่สิ่งที่ผมนึกถึงหรืออาวรณ์ คำว่าพ่อกับแม่นั้นไม่มีพลังที่จะฉุดรั้งการจากไปของผมได้เลย แต่ไม่รู้ว่าทำไม...การที่ได้กลับมาเห็นหน้าของพวกเขามันกลับทำให้ผมรู้สึกผิด...รู้สึกผิดที่คิดทำสิ่งนั้นลงไป   

 

...

 

ผมรอดตายจากการกระโดดตึก แต่ตื่นขึ้นมาอีกทีตอนที่วันเวลาผ่านไปแล้วหนึ่งเดือน ความไม่สมเหตุสมผลของสิ่งที่ผมกำลังเป็นถูกอธิบายทางการแพทย์ว่าภาวะสูญเสียความทรงจำ ผมได้แต่บอกตัวเองให้เชื่ออย่างนั้นแม้ว่าความรู้สึกจะไม่ได้เป็นไปเช่นนั้นเลยก็ตาม

ก่อนหน้านี้ผมตื่นมาพร้อมความกังวลว่าผมจะรับมือยังไงกับสิ่งที่ตามมาหลังจากที่ตัวเองได้ตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป คิดไปว่าผมอาจจะถูกจับส่งโรงพยาบาลแผนกจิตเวชหลังจากพยายามฆ่าตัวตาย ผมอาจกลายเป็นเรื่องเล่าของคนอื่นที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะถูกพูดถึงในแง่ไหน จะเห็นใจ สงสาร หรือว่าสมน้ำหน้า แต่ว่า...กลับทุกอย่างไม่เป็นเช่นนั้น

ด้วยความที่เวลามันผ่านไปนานนับเดือนแล้วและตัวผมเองไม่ได้เป็นที่สนใจของคนอื่นมากมายขนาดนั้น เรื่องวันนั้นจึงไม่ได้พูดถึงอีก ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน ความกังวล สับสนและความกลัวทั้งหมดที่มีก็ค่อยๆ ผ่อนคลายและหายไปช้าๆ ผมไม่รู้และจำไม่ได้จริงๆ ว่า ตอนที่ตื่นขึ้นมาในคราวก่อนมันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ไม่รู้ว่าผ่านมาได้ยังไง ก็อยากจะทำใจให้สบายว่าสุดท้ายมันได้ผ่านไปแล้วแต่ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดี...ว่ามันมีอะไรเกิดขึ้นในหนึ่งเดือนนั้นกันแน่

 

จากหน้าต่างของห้องเรียนที่อยู่ชั้นสี่ มองออกไปเห็นตึกสูงมากมายที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณโรงเรียน มองเห็นตึกสูงและดาดฟ้า สมองก็ย้อนคิดถึงเรื่องวันนั้นอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงรอดชีวิตมาได้ แม้จะได้รับโอกาสจากพระเจ้าให้ยังมีลมหายใจอยู่แต่ขณะเดียวกันมันก็หมายความว่า ชีวิตผมต้องกลับมาจมอยู่ในวงเวียนแห่งความทุกข์เช่นเดิม...ต้องกลับมาเป็นเช่นเดิม


"ไอ้พลีส"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียก ก่อนเจ้าของเสียงอย่างปั้นจะตรงเข้ามาหา ไม่รู้ว่าจะมาหาเรื่องอะไรอีก สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการก้มหน้าลงต่ำ ทำเป็นไม่สนใจ

"ไม่ไปกินข้าวกลางวันเหรอวะ" ปั้นถาม ขณะดึงเก้าอี้ของโต๊ะตัวข้างๆ แล้วนั่งลง ความใกล้ชิดที่ผมไม่ชอบ พาให้ผมขยับตัวหนีออกไปจนชิดหน้าต่าง

"เป็นอะไร"

ผมเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ เพื่อปฏิเสธ   

"ทำไมไม่ไปกินข้าว"

"เราไม่หิว"

"เป็นอะไร ผีเข้าผีออก"

ผมหันมองปั้นที่พูดออกมาเช่นนั้นด้วยใบหน้าสงสัย อีกคนจึงพูดต่อ

"ก็อยู่ดีๆ กลับมาพูดเพราะกับกูเฉยเลย สมองมึงกระทบกระเทือนอีกรอบเหรอ"

ไม่เข้าใจสักนิดว่าปั้นพูดถึงอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดที่จะถามอะไรต่อ ในตอนนั้นเอง ปั้นหันไปหยิบกระเป๋าของตัวเองที่โต๊ะด้านหลังผม ก่อนจะดึงชีทปึกหนึ่งออกมา

"เอาการบ้านคณิตมาลอกหน่อย"

"การบ้านอะไร"

"ก็การบ้านที่มึงไปเรียนซ่อมกับกูไง มึงเสร็จแล้วใช่ไหม เอามาลอกหน่อยเร็ว"

มันบ้าบอที่สุดที่ผมจำอะไรไม่ได้เลย ข้อมูลของหนึ่งเดือนที่ผ่านมาจึงถูกป้อนใส่สมองโดยคนอื่นอยู่เสมอ ผมเปิดกระเป๋าตัวเองแล้วหาชีทที่เหมือนกันกับในมือของปั้น ก่อนจะพบว่ามันสอดอยู่ในแฟ้มโดยที่การบ้านเหล่านั้นถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว

"เสร็จแล้วนี่หว่า เอามาลอกหน่อย"

ไม่ได้รอให้ผมอนุญาต ปั้นก็ดึงชีทการบ้านนั้นไปจัดการลอกตาม ผมเลื่อนสายตามองโจทย์คณิตเหล่านั้น คำพูดของปั้นที่บอกว่ามันคือการบ้านจากการเรียนซ่อมติดอยู่ในใจ จนต้องเอ่ยปากถาม

"ทำไมเราต้องเรียนซ่อม?"

ปั้นหยุดมือที่กำลังเขียนแล้วเงยหน้าขึ้นมองผม

"กูดิต้องถามว่าทำไมมึงถึงสอบตก"

"เราสอบตก?"

"เออดิ! แดกศูนย์ทุกข้อสอบ"

"ไม่จริงอะ" ผมเผลอแย้งออกไป โดยที่ลืมคิดไปว่า ในช่วงเวลาที่ความทรงจำหายไปชั่วขณะ ความสามารถทางด้านคณิตศาสตร์อาจจะบกพร่องไปด้วยก็ได้ และแน่นอนว่าคำพูดของผมทำให้อีกคนที่นั่งอยู่ด้วยทำหน้างุนงง วางปากกาลงบนโต๊ะแล้วหันมาจ้องผมจริงๆ จังๆ

"ผีออกแล้วเหรอ"

"ฮะ?"

"มึงไง ผีออกแล้วเหรอ แต่ออกก็ดีแล้ว กูไม่ชอบตอนมึงผีเข้าเท่าไรหรอกนะ กวนตีนฉิบหาย" ปั้นพูดขำๆ แล้วก้มลงลอกการบ้านต่อ ขณะนั้นก็เอ่ยปากเรียกผมขึ้นมาเบาๆ

"พลีส"

"..."

"มึงชอบนมรสสตอว์เบอร์รี่ไหม"

"ถามทำไม"

"กูถามก็ตอบ เสือกมาย้อน เดี๋ยวตบหูแตก"

ผมโยกตัวหลบตอนที่ปั้นง้างมือขึ้นทำท่าจะตบเข้ามาจริงๆ หลับตาแน่นอย่างกลัวๆ แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมาแล้วใช้ฝ่ามือนั้นตบเข้าที่หน้าผากผมเบาๆ ก่อนล้วงกระเป๋าหยิบนมสตรอว์เบอร์รี่ออกมากล่องหนึ่ง

"กูให้"

"ให้ทำไม"

"คราวก่อนกูหวง ก็เลยรู้สึกผิด"

"ไม่เข้าใจ"

"ก็ที่มึงบอกว่าอยากกินแล้วกูไม่ให้ไง คราวนี้กูมีสองกล่อง เอาไปดิ" ปั้นจัดการแกะพลาสติกที่หุ้มหลอด เจาะกล่องนมแล้วยื่นให้ผม ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเขา คนที่เอาแต่กลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลากลับมาทำดีด้วยราวกับว่าเราสนิทสนมกัน บทสนทนาระหว่างผมกับปั้นก็พูดคุยได้ยืดยาวโดยไม่ทะเลาะกัน นี่มันแปลกยิ่งกว่าแปลกเสียอีก

หัวคิ้วชนกันแน่นด้วยความสงสัย แต่ก็หาคำตอบไม่ได้จึงทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วหันมองไปนอกหน้าต่าง ท่ามกลางความเงียบ ปั้นเรียกผมขึ้นมาอีกที

"พลีส"

"..."

"ถ้ากูบอกว่ากูขอโทษ มึงจะเชื่อไหมวะว่ากูรู้สึกผิดจริงๆ"

"ขอโทษ?"

"อือ"

"เรื่องอะไร"

"ก็ทั้งหมด"

"..."

"ที่ผ่านมา"

เราต่างคนต่างเงียบขณะที่เอาแต่มองหน้ากัน ปั้นดูอ้ำอึ้งคล้ายว่าจะพูดอะไรออกมา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นว่าใบหน้าของคนที่เคยเย่อหยิ่งและก้าวร้าวกลับดูไม่มั่นใจและกล้าๆ กลัวๆ ผมจึงบอกให้เขาพูดมันออกมา

"พูดมาสิ"

"กูคิดได้ หลังจากที่มึงพูดกับกูคราวก่อน..."

คราวก่อน...

"เพราะคำพูดของมึงกูถึงคิดได้ กูกลับไปถามตัวเองว่าที่ผ่านมากูแกล้งมึงทำไมแล้วกูก็ถามตัวเองอีกว่ามันเป็นเพราะกูหรือเปล่าที่ทำให้มึงตัดสินใจกระโดดตึกในวันนั้น มึงไม่ต้องพูดให้กูสบายใจว่าไม่ใช่ เพราะกูรู้ดีว่ากูก็มีส่วน ใช่ไหมล่ะ"

ผมไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนั้น ปั้นเคยบั่นทอนความรู้สึกของผมด้วยการเอาแต่รังแกและกลั่นแกล้ง แม้ไม่ใช่เหตุผลหลักของการตัดสินใจแต่มันก็ช่วยเพิ่มเหตุผลที่ทำให้ผมคิดที่จะจากไปได้ง่ายขึ้น

"กูไม่ได้แก้ตัวนะ มึงอาจจะคิดว่ากูทั้งโง่ทั้งเหี้ย เหตุผลส้นตีนอะไรก็ตามแต่ แต่มึงฟังกูหน่อยได้ไหม"

"อืม พูดมา"

"กูแค่อยากให้มึงมีตัวตนอะ"

"ฮะ?"

"กูนึกไปเองแบบโง่ๆ ว่าการที่กูแกล้งมึงทุกวัน จะทำให้มึงรู้สึกมีตัวตนขึ้นมาบ้าง กูรู้เรื่องของมึงเหมือนที่เพื่อนคนอื่นรู้ เรื่องที่มึงเคยถูก..." คำพูดถูกละเอาไว้ แต่เป็นที่เข้าใจได้ว่าผมเคยผ่านอะไรมา ผมพยักหน้ารับก่อนที่ปั้นจะพูดต่อ

"ที่กูไม่สงสารมึงเลย เพราะกูไม่อยากให้มึงคิดว่าตัวเองน่าสงสาร กูก็แค่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เผื่อว่ามึงจะได้ไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีก กูยังอยากให้มึงมีตัวตนอยู่ ต่อให้เพื่อนทั้งห้องไม่คุยกับมึง แต่มีกูที่คอยแกล้งมึงทุกวันนะ ความคิดกูมันดูโง่เหี้ยๆ เลยใช่ป่ะ"

"อืม"

"..."

"เหี้ยๆ เลย"

ปั้นถอนหายใจเบาๆ ด้วยใบหน้าสลดที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา อยากให้เพื่อนทั้งห้องได้เห็นว่าเวลาอันธพาลหัวโจกมันจ๋อย หน้าตาดูน่าเวทนาขนาดไหน

"กูผิดไปแล้ว กูขอโทษ"

"..."

"กูยกนมสตรอว์เบอร์รี่ให้มึงแล้ว มึงก็ยกโทษให้กูดิ"

ผมหลุดขำเพราะคำพูดบ้าๆ จากประโยคนั้น ผมยังคงยิ้มกว้างและให้คำตอบปั้นด้วยการยกนมกล่องนั้นขึ้นดื่ม เป็นไปได้ว่า ความรู้สึกโกรธเคืองที่มีในใจลบเลือนหายด้วยนมสตรอว์เบอร์รี่เพียงกล่องเดียว ผมพลันคิดหาเหตุผลว่าทำไมจึงยกโทษให้ปั้นง่ายๆ เช่นนั้น แต่ก็ยังให้คำตอบตัวเองไม่ได้ อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากปากของคนๆ นี้ และจากที่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องกลับมาอยู่ในจุดเดิม แต่มันมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนน่าตกใจ ผมก็คงเผลอดีใจจนให้อภัยเขาง่ายๆ ไปอย่างนั้น

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ผมฉุกคิดและคาใจจากคำอธิบายยืดยาวของปั้น การพูดคุยคราวก่อนที่ผมจำไม่ได้สักนิด มันทำให้ผมคิดสงสัย ด้วยนิสัยจริงๆ ของผมแล้ว ผมอาจจะไม่ใช่คนที่พูดจาอะไรจนอีกคนกลับไปคิดได้ว่าตัวเองทำอะไรผิด ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัยไม่หยุดหย่อน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ความทรงจำของผมหายไป...มันถูกแทนที่ด้วยสิ่งใดกันแน่

 

...

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 17-07-2019 04:23:24
 

คำว่าเมื่อวานสำหรับผมมันแสนสั้นแต่เวลาที่ผ่านไปจริงๆ นั้นมันยาวนาน แม้ผมจะยังไม่อาจลืมเรื่องราวของเมื่อวานที่เพิ่งผ่านมา แต่กาลเวลาและคนรอบข้างลืมมันไปหมดแล้ว ผมจึงต้องลบความทรงจำนั้นทิ้งราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นจริง ทำตัวเองให้เป็นปกติ และใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่เคยมีชีวิตมา

"น้อง"

ผมหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวข้ามถนนเมื่อได้ยินเสียงนั้น มีคนเดียวที่เรียกผมแบบนั้น...คนที่ผมหันไปก็จะได้เห็นรอยยิ้มของเขาแน่นอน

คุณหมอ

ยิ้มกว้างๆ จากคนตรงหน้าพาให้ผมต้องเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มของตัวเองเอาไว้

"กำลังจะกลับบ้านเหรอ"

"ครับ แล้วคุณหมอ..."

"อะไร! ไหนตกลงกันแล้วไงว่าจะไม่เรียกแบบนั้น"

"ครับ?"

"ก็คราวก่อนบอกว่าจะเรียกพี่ไง"

คราวก่อน...อีกแล้ว

ผมไม่รู้จะโต้ตอบว่ายังไง และไม่รู้เหมือนกันว่าผมเอาความกล้าที่ไหนไปเรียกเขาด้วยคำว่า พี่ ใช่ว่าจะไม่อยากเรียกแบบนั้น แต่มัน...มันเขินนะ

"ตกลงกันแล้ว อย่ามาเปลี่ยนใจง่ายๆ ดิ พี่ไม่ยอมนะ จะโกรธด้วยแหละ" ว่าแล้วก็ทำเป็นสะบัดหน้าใส่ไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่โต้ตอบอะไรก็ชำเลืองตาหันมามอง มองแล้วมองอีกจนกระทั่งยอมหันหน้ากลับมา

"ไม่เรียกก็ไม่เรียก ตามใจน้องเลย พี่ไม่อยากงี่เง่า พี่โตแล้ว พี่แก่แล้วด้วย จะคุณหมอ จะทันตแพทย์อะไรก็ตามใจน้องเลย พี่ไม่มีสิทธิ์อะไรไปบังคับน้องอยู่แล้ว พี่มันก็แค่..."

"พี่ต่อ"

คนที่กำลังพร่ำพูดอะไรยาวยืดหยุดชะงักกะทันหันเมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น

"พี่ต่อครับ"

ผมเรียกชื่อเขาอีกที เพียงแค่อยากจะย้ำกับตัวเองว่าผมสามารถเรียกเขาด้วยคำว่าพี่แบบนั้นโดยไม่รู้สึกเคอะเขินจนเกินไป การถูกเรียกด้วยคำที่พอใจจึงทำให้อีกฝ่ายยิ้มกว้างให้ผม ที่ผ่านมามันเป็นยิ้มที่เยียวยาทุกอย่างที่หนักหนาในใจ และเป็นยิ้มที่ผมคิดจะละทิ้งไปอย่างตั้งใจ ตอนนี้จึงรู้สึกเสียดายขึ้นมา หากว่าตายไปจริงๆ...คงจะไม่ได้เห็นรอยยิ้มนี้อีก

"ไปกินไอติมกันไหม"

ผมเผลอแสดงสีหน้างุนงงขณะที่อยู่ดีๆ ก็ถูกชวนแบบนั้น 

"ร้านที่เราไปกินด้วยกันวันก่อนไง"

ผมไปกินไอติมกับพี่ต่อ?   

คุยกันมากกว่าสิบคำยังทำให้ใจสั่น นี่ไปนั่งกินไอติมด้วยกัน ผมไม่ไหลตายไปก่อนเหรอ ไม่มีทางที่ผมจะทำแบบนั้นได้ หรือการสูญเสียความทรงจำจะทำให้ผมสูญเสียการเป็นตัวเองไปด้วยถึงได้กล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำมากมายขนาดนั้น ผมไม่มีวันที่จะทำแบบนั้นได้อีก ผมไม่...

"ตกลงไปไหมครับ"

"ไปครับ"

บ้าไปแล้ว!

 

พี่ต่อพาผมมาคาเฟ่ที่บอกว่าพี่ตามทำงานอยู่ที่นี่ แต่ยังไม่เห็นพี่ตามเลย ผมไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรับรู้ได้ถึงความใกล้ชิดในความสัมพันธ์ของผมกับพี่ต่อ ราวกับว่าเราดูสนิทกันมากขึ้นจากการกระทำ คำพูด และการพูดคุยของพี่ต่อที่ดูใจดีมากกว่าเดิมเสียอีก มันทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายจนลืมตัวเองคนเดิมไปเลยว่าเวลาที่อยู่ข้างๆ เขาผมรู้สึกเกร็งมากแค่ไหน ผมไม่แน่ใจว่าจะอธิบายความเปลี่ยนแปลงที่ผมเองก็ไม่รู้ตัวนั้นว่าอย่างไรเหมือนกัน 

"อร่อยไหมน้อง"

"อร่อยครับ ของพี่ล่ะ"

"อร่อยมาก"

ชอบที่เขาเรียกผมว่าน้อง ชอบที่ตัวเองกล้าเรียกเขาว่าพี่...มันอบอุ่นชะมัด

"เออน้อง ไหนบอกจะให้พี่ช่วยติวเลขไง"

"ครับ?"

"วิชาเลขที่น้องสอบตกไง ว่างเมื่อไรก็ไปหาพี่ที่คลินิกได้นะ ตอนเย็นๆ ไม่ค่อยมีคนไข้หรอก"

            ด้วยความสัตย์จริง คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ผมถนัดมากที่สุด ในบทเรียนของคณิตฯ ม.ปลาย แทบจะไม่มีโจทย์ข้อไหนที่ผมแก้ไม่ได้ เป็นไปได้ว่าความรู้ในส่วนนั้นอาจแตกสลายไปในตอนที่หัวกระแทกพื้น แต่ตอนนี้ความทรงจำถูกรื้อฟื้นและทุกโจทย์คณิตก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถ

แม้ผมจะถูกสั่งสอนมาตลอดว่าการโกหกนั้นเป็นเรื่องต้องห้าม แต่วันนี้ผมละทิ้งความจริงและไม่อาจปฏิเสธข้อเสนอของพี่ต่อได้ ผมอาจถูกลงโทษจากการโกหกนี้ก็ได้ แต่ท้ายที่สุดผมก็ยอมหลอกลวงทั้งตัวเองและตัวเขาเพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกัน 

"ครับ ผมจะไปหาพี่ที่คลินิก"

"โอเค มาวันไหนก็ไลน์มาบอกพี่นะ"

ผมมีไลน์พี่ต่อด้วยเหรอ?

ถามตัวเองในใจ ก่อนที่จะหยิบมือถือขึ้นมากดดูแล้วไลน์ของพี่ต่อก็ปรากฏชัดให้เห็นเป็นชื่อแรก ไปมีไลน์เขาตอนไหนเนี่ย..บ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้ว 

"ยิ้มอะไรคนเดียว"

"ครับ?"

"เราน่ะ ยิ้มไม่หุบเลย"

ยิ่งพี่ต่อแซว ผมก็ยิ่งยิ้มกว้างกว่าเดิม ขณะนั้นพี่ต่อก็ยื่นมือมาบีบแก้มผมเบาๆ แล้วเอ่ยปากบอก 

"น้องน่ารักเวลายิ้ม"

ผมนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยความเคอะเขิน พลันสติกลับคืนรอยยิ้มผมหุบลงช้าๆ ตอนที่รู้ตัวว่าพี่ต่อกำลังแตะต้องส่วนหนึ่งของร่างกายผมอยู่

 

"ฟึ่บ!"

 

สมองที่ไวกว่าความรู้สึกสั่งให้ผมปัดมือของพี่ต่อออก พี่ต่อชะงักไปครู่หนึ่งแล้วลดมือตัวเองลงช้าๆ

"พี่ขอโทษ"

"..."

"ลืมไปว่าน้องไม่ชอบ"

            ผมเองก็ได้แต่อึกอักกับการกระทำของตัวเองแต่ไม่ได้อธิบายสิ่งใด พี่ต่อที่ดูจะเข้าใจก็ทำได้เพียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ความรู้สึกสดใสก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเอง

            จริงอยู่ที่ว่าการที่ได้ใกล้ชิดพี่ต่อ มันทำให้ผมอบอุ่นแต่ในหัวใจผมยังหนาวเย็นด้วยยังมีบางเรื่องที่ผมก้าวผ่านมันไปไม่ได้ เมื่อถูกสัมผัสหรือแตะต้อง ร่างกายยังเผลอสั่นเทา หัวใจยังคงเต้นแรง ความหวาดกลัวคงอยู่ในใจและพร้อมที่จะแสดงออกในรูปแบบของการต่อต้านทางร่างกายผ่านความทรงจำที่เลวร้ายอยู่เสมอ ถ้าการกระทบกระเทือนทางสมองจะทำให้ผมลืมบางเรื่องไป ทำไมถึงไม่เป็นเรื่องนี้...เรื่องที่อยากลืมใจจะขาด

 

"ครืด...ครืด..."

 

เสียงโทรศัพท์ของพี่ต่อที่สั่นอยู่บนโต๊ะ ทำลายทุกความเงียบตรงนี้ไป ผมดึงสติตัวเองกลับมาได้ก็ตอนที่พี่ต่อหันมาพูดกับผม

"พี่ไปรับโทรศัพท์แป๊บหนึ่งนะ"

"ครับ"

ผมมองตามพี่ต่อออกไปยังนอกร้านเพื่อมองดูเขาอยู่ไกลๆ ในขณะเดียวกันนั้นก็ต้องหันกลับมาเพราะการปรากฏตัวของอีกคนที่ตรงเข้ามาทักจนผมตกใจ

"เขี้ยวกุด!"

ไม่ทันจะได้เอ่ยทักพี่ตามที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน อีกฝ่ายก็ดึงเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ แล้วถามเสียงแข็งเหมือนกำลังโกรธเคืองกัน

"วันอาทิตย์ทำไมไม่มา"

"ครับ?"

"ก็ที่เรานัดกันไง เบี้ยวเฉยเลย ไม่โทรมาบอกสักคำ"

"พี่หมายถึงผมเหรอครับ"

"ก็คุยกับพลีสอยู่นี่ไง"

"ผมนัดกับพี่ตามเหรอครับ"

"ใช่ดิ พลีสบอกจะเลี้ยงข้าวพี่ไง ลืมเหรอ"

จากใจจริง ผมรู้จักพี่ตามแค่ผิวเผิน เราพูดคุยกันน้อยจนแทบจะนับคำได้ ต่างคนต่างไม่เก่งที่จะเข้าหากันผมจึงไม่คิดว่าเราจะสนิทกันขนาดนั้น และต่อให้ผมจะจำได้หรือไม่ได้ ผมก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าทำไมตัวเองถึงไปสนิทสนมกับพี่ตาม ไม่มีเหตุผลไหนที่จะสนับสนุนความเป็นไปในข้อนี้ ความคิดผมจึงโต้แย้งขึ้นมาซะเฉยๆ 

"พี่ตามเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ"

"พลีสเป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"..."

"คราวก่อนเรายังคุยกัน..."

คราวก่อน...กลายเป็นคำที่ผมกลัว เพราะผมไม่รู้เลยว่าคราวก่อนนั้น มันหมายถึงอะไร พี่ตามไม่ทันได้พูดอะไรต่อ พี่ต่อก็เดินกลับเข้ามา

"อ้าว ตาม พี่ก็นึกว่าวันนี้ไม่ได้ทำงาน"

"อยู่หลังร้าน" พี่ตามลุกออกจากเก้าอี้เพื่อให้พี่ต่อนั่งแทน พูดคุยกันอีกสองสามประโยคก่อนที่พี่ตามจะเดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ ขณะที่ยังไม่ละสายตาไปจากผม ในตอนที่ผมเองก็ยังคงมองหน้าพี่ตามอยู่อย่างนั้น ก็ภาพบางอย่างในหัวแทรกซ้อนขึ้นมาจนคิดว่าตัวเองตาลาย...ผมเคยเห็นพี่ตามใส่ชุดนี้และยืนอยู่ตรงนั้น

 

"เพล้ง!"

 

เสียงแก้วแตกดังสนั่นร้าน ผมได้ยินเสียงนั้นดังมากกว่าความเป็นจริง ดังเสียจนต้องหลับตาแน่นเพราะรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในหู

"ขอโทษค่ะๆ"

ผมหันมองพนักงานในร้านที่เพิ่งจะเดินชนแจกันดอกไม้หล่นจากโต๊ะ สายตาผมมองผ่านเศษแก้วที่แตกละเอียดไปยังกุหลาบสีขาวที่หล่นอยู่กับพื้น

คล้ายมีแสงสว่างวาบขึ้นในหัว พร้อมๆ กับภาพดอกกุหลาบสีขาวคล้ายกันกับดอกนี้ หล่นอยู่บนพื้นถนนและถูกรถเหยียบจนกลีบปลิวกระจาย ภาพในหัวสลับทับซ้อนจนผมไม่รู้ว่าความทรงจำพวกนั้นมันคืออะไร การพยายามที่จะคิดทำให้ความเจ็บปวดพุ่งเข้ามาจนเจ็บแปลบ

"พลีส เป็นอะไรหรือเปล่า"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ไม่อาจปกปิดอาการปวดหัวนั่นเอาไว้ได้จนต้องยอมรับออกไปตรงๆ แต่ครู่เดียวเท่านั้นความเจ็บปวดเหล่านั้นก็หายไป แม้ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่ยังคงสับสน

ในตอนที่กลับมาถึงที่บ้านแล้ว ก็เอาแต่คิดถึงมันไม่หยุด ไม่รู้ว่าภาพที่เห็นนั้นมันคืออะไร ทั้งพี่ตาม ทั้งกุหลาบดอกนั้น มันคุ้นตาราวกับว่าได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง แต่ความรู้สึกมันบอกว่านั่นไม่ใช่ความทรงจำของผม และยิ่งสับสนมากขึ้นทุกทีตอนที่หาอะไรมาอธิบายไม่ได้เลย 

มีบางอย่างยังค้างคาใจและทำให้วนคิดซ้ำไปซ้ำมา และอยู่ดีๆ ก็มีความคิดโง่ๆ โผล่ขึ้นมาในหัว ด้วยการสันนิษฐานที่ดูไม่มีข้อเท็จจริงปะปนอยู่เลยแม้แต่น้อย เรื่องราวคราวก่อนที่ใครๆ ต่างพูดถึง ตัวผมในคราวนั้น แท้ที่จริงแล้ว...

 

อาจจะไม่ใช่ผมก็ได้

 

To be continued.



____________________________________________________________________________________________
ไม่งงกันใช่ไหมคะทุกคน ก็คือเรื่องของตอนนี้ ต่อจากตอนที่แสงถูกรถชนแล้ววิญญาณออกจากร่างจากตอนที่ 9 ไม่งงเนอะ
บอกว่าจะมีแค่ 12 ตอนแต่ดูท่าว่าจะไม่จบง่ายๆ แล้วค่ะ
มาช้า แต่มานะ 55555
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-07-2019 08:54:53
พลีสกลับมาแล้วก็ใช้ชีวิตให้มันคุ้มนะลูก ส่วนพี่แสงเรร่อนไปไหนแล้ว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 17-07-2019 09:33:00
 :pig4: :pig4: :pig4:

พลีสกลับเข้าร่าง แล้วพี่แสงหายไปไหน  หรือไปเกิดแล้ว?
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-07-2019 10:53:42
ไม่งงค่ะ แต่สงสัยว่าตลอดหนึ่งเดือนพลีสไปอยู่ที่ไหนมา
และกลัวเหลือเกินว่าจะรักสามเศร้าระหว่างพี่น้อง
ยังคงปักหลักสงสารแสงเป็นที่สุด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 17-07-2019 11:35:12
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 17-07-2019 12:07:20
พลีสกลับมาละ ข้าวปั้นและสองพี่น้องจะไปแบบไหนต่อ แล้วแสงไปเกิดละหรอ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-07-2019 21:10:23
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-07-2019 21:26:49
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-07-2019 22:52:00
เอ้ายังไงนี่ จะยังไงกันลุ้นไปหมด แสงหายไปไหนแล้ว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 18-07-2019 22:05:04
ลุ้นทั้งพลีสทั้งพี่แสง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: lalilali ที่ 18-07-2019 22:08:44
สนุกมากกกกก รอตอนต่อไปนะคะ
 o13
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 18-07-2019 22:32:54
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 19-07-2019 21:12:31
ดีใจที่พลีสได้กลับมา มาเริ่มต้นใหม่
ถึงตอนนี้จะลืมอะไรไปช่วงที่แสงมาแทน
แต่ถ้าพลีสจำได้ขึ้นมาบ้าง ก็อย่าสับสนมากนะ
และอยากให้ความเป็นแสง ช่วยให้พลีสเข้มแข็งขึ้น
ปกป้องและดูแลตัวเองได้เยอะขึ้น

เป็นกำลังใจให้น้องพลีสนะคะ และสำหรับปั้น
คงไม่ได้มาหลอกกันใช่ไหม เหมือนที่เคยทำ

แสงหายไปไหนคะ ถ้าพลีสกลับมาแบบนี้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 20-07-2019 00:00:34
สงสารแสงงะ สงสารตามด้วย อยากให้เขากลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่จะทำไงได้ ฮืออออ :ling3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 13-- 17/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 20-07-2019 17:11:04
สนุกมว๊าก ซับซ้อน แต่เข้าใจ สงสารน้องพลีส เราอยากรู้ คนร้ายที่แทงน้องแสงเทียน โดนจับเข้าคุกรึเปล่า คนร้ายใจคออำมหิต แทงน้องแสงตาย ยังกล้าข่มขืนน้องพลีสอีก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 23-07-2019 23:55:55
ตอนที่ 14
รู้สึกผิดหากจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข

 

วันนี้ฝนตกหนักหน่อยจึงไปรับผมที่โรงเรียน กลับมาที่บ้านหลังเลิกเรียนทันทีวันนี้ก็เลยไม่มีอะไรทำ นั่งกอดมันแกวที่นอนนิ่งอยู่บนตักที่โซฟาห้องนั่งเล่น มองดูพายุฝนที่ยังกระหน่ำตกผ่านผนังกระจกบานใหญ่ฝั่งหนึ่งของบ้าน นอกจากเสียงฝน ก็มีแต่ความเงียบซึ่งดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของบ้านหลังนี้ ผมเคยสงสัยว่าทำไมบ้านเราต้องมีโซฟาขนาดใหญ่ที่นั่งได้เป็นสิบคน ทำไมต้องมีทีวีจอยักษ์แต่ไม่เคยเปิดดู ทำไมต้องมีโต๊ะกินข้าวหรูๆ ทั้งๆ ที่เราไม่เคยกินข้าวพร้อมกัน พ่อเป็นคนออกแบบและตกแต่งบ้านหลังนี้ด้วยอาชีพสถาปนิกของพ่อ แต่ไม่เคยเห็นพ่อใช้งานส่วนอื่นของบ้านนอกจากห้องทำงานของตัวเอง ส่วนแม่ก็ใช้เวลาอยู่ที่บริษัทมากกว่าที่บ้านด้วยซ้ำ หลายครั้งผมคิด บ้านเราหลังใหญ่เกินไป ใหญ่เกินกว่าที่คนตัวเล็กๆ อย่างผมจะอาศัยอยู่ มันก็เลยไม่อบอุ่น

"โฮ่ง!"

ผมเผลอตกใจนิดหนึ่งตอนที่มันแกวกระโดดออกจากตักแล้วเห่าเสียงดังหลังจากได้ยินเสียงรถเข้ามาจอด ผมเดินตามมันแกวไปหน้าบ้านจึงเห็นว่าแม่กลับมาแล้ว เหลือบตาดูนาฬิกาที่ผนังแล้วแปลกใจนิดหน่อยที่แม่กลับบ้านเร็วได้ด้วย

"พลีส ช่วยแม่หน่อยลูก"

ผมถูกเรียกให้ไปช่วยหยิบของที่หลังรถ แม่ซื้ออาหารสำหรับมื้อเย็นเข้ามาด้วย เยอะแยะจนผมคิดว่าจะมีใครมาที่บ้าน

"คุณตาจะมาเหรอครับ"

"เปล่าจ้ะ"

"แล้วทำไมถึงซื้อมาเยอะ"

"ของชอบพลีสทั้งนั้นเลย หยิบมาเร็วลูก เดี๋ยวเปียกฝน"

ผมรวบถุงทั้งหมดนั่นแล้วเดินเข้าบ้านตามแม่ไป  วางอาหารลงบนโต๊ะกินข้าวตัวยาว หน่อยออกมาพอดีจึงจัดการอาหารพวกนั้นใส่จานพร้อมสำหรับมื้อเย็น ถึงแม้ว่ามันจะเป็นของที่ผมชอบก็จริง แต่ปริมาณอาหารจำนวนนั้นมันมากเกินกว่าที่เราจะกินกันหมดอยู่แล้ว ตอนที่แม่ซื้อ ไม่ได้รู้สึกว่ามันมากไปหน่อยเหรอ

"พลีส ไปตามพ่อมากินข้าวสิ"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินไปยังห้องทำงานของพ่อ ไม่คาดหวังว่าพ่อจะออกมากินข้าวด้วย เพราะทุกครั้งพ่อก็เอาแต่บอกว่าขอทำงานให้เสร็จก่อน แต่คราวนี้กลับไม่เหมือนกัน ทันทีที่ผมไปเรียก พ่อก็รีบลุกจากโต๊ะทำงาน ละทุกอย่างแล้วเดินออกมานั่งที่โต๊ะกินข้าวพร้อมกัน

ไม่ชินเลยแฮะ


"หน่อย ยืนทำอะไรอยู่ มากินด้วยกัน"

"ไม่เป็นไรค่ะ ทานเถอะค่ะ อยากได้อะไรเรียกหน่อยค่ะ"

"ไม่อยากได้อะไรแล้ว มานั่งกินด้วยกัน" คำชักชวนเชิงสั่งของแม่ทำให้หน่อยต้องพยักหน้ารับแล้วตรงเข้ามานั่งข้างๆ ผม ก่อนที่มื้ออาหารในวันธรรมดาที่ดูพิเศษจะเริ่มต้น

"น้องพลีส ทานไก่ไหมคะ"

ผมพยักหน้ารับเมื่อถูกนำเสนอด้วยของโปรด หน่อยจึงตักน่องไก่ชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นวางลงบนจานของผม ผมมองหน้าหน่อย ขณะที่หน่อยก็มองหน้าผมงงๆ

"มีอะไรหรือเปล่าคะน้องพลีส"

"ไม่ฉีกให้แล้วเหรอ"

"ก็คราวก่อนน้องพลีสบอกว่าไม่ให้หน่อยทำให้อีก"

"พลีสเหรอ?"

หน่อยพยักหน้ารับ ขณะที่ผมก็ย้อนคิด จำไม่ได้อีกแล้วสินะ...เรื่องคราวก่อน

"โตแล้วก็ทำเองสิลูก"

"ก็ไม่ใช่ว่าจะทำเองไม่ได้ แต่หน่อยทำให้จนเคยตัว อยู่ดีๆ ไม่ทำให้ก็เลยสงสัย"

"..."

"หน่อยไม่รักพลีสแล้วเหรอ"

"ไม่ใช่นะคะ! มาค่ะ เดี๋ยวหน่อยทำให้!"

ผมหลุดหัวเราะตอนที่หน่อยโวยเสียงดังหลังจากที่ผมเพิ่งจะล้อเล่น ซ้ำยังรีบหยิบไก่ชิ้นนั้นไปเพื่อจะฉีกให้ แต่ผมรีบชิงคืนมาก่อน

"พลีสล้อเล่น พลีสทำเอง"

"หน่อยทำให้ค่ะ!"

"ไม่เป็นไร พลีสทำเอง"

ผมจัดการไก่น่องนั้นด้วยตัวเอง ขณะที่ทั้งพ่อกับแม่และหน่อยก็นั่งกินข้าวพร้อมกับพูดคุยไปด้วย แน่นอนว่าพ่อกับแม่ยังคงมีเรื่องให้ถกเถียงกันตลอดเวลาที่มีบทสนทนา

"กินเยอะๆ เลยพลีส ตัวจะได้โตๆ อายุยี่สิบแล้วทำไมถึงได้ตัวเล็กนักนะเรา"

ผมแอบชำเลืองมองพ่อด้วยความเคืองเล็กๆ ผมก็โกรธร่างกายของตัวเองเหมือนกันแหละ อย่างกับมันหยุดการเจริญเติบโตตั้งแต่ม.ต้น ตัวเล็กแถมผอมบาง เลยโดนแกล้งเอาง่ายๆ เป็นไปได้ก็อยากจะตัวใหญ่ๆ มีแรงเยอะๆ เอาไว้เตะบอลกับเพื่อนอยู่เหมือนกันแหละ

"ลูกคงเหมือนคุณมากไปหน่อย ถ้าเหมือนผมน่าจะดีกว่านี้"

"นี่! เรื่องส่วนสูงของลูกก็มาโทษว่าเป็นความผิดฉันงั้นเหรอ"

"ก็ดูคุณสิ ตัวเล็กนิดเดียว"

"แล้วตัวเล็กมันผิดตรงไหน ลูกเป็นแบบนี้ก็น่ารักดีจะตาย"

"ก็น่ารักอยู่หรอก แต่ถ้าสูงกว่านี้สักหน่อยก็น่าจะดี"

"ก็ถ้าคุณสูงมากนักทำไมไม่ลองแบ่งความสูงให้ลูกสักครึ่งหนึ่งล่ะ"

"นี่คุณ..."

"พอเถอะครับ เถียงกันไปก็ใช่ว่าผมจะสูงขึ้นสักหน่อย"

ทั้งพ่อและแม่เงียบไปหลังจากผมห้าม ไม่รู้ว่าจะทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องทำไม ผมทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วคิดที่จะปล่อยผ่านเพราะความเคยชิน แต่กลับต้องแปลกใจเมื่อพ่อกับแม่เอ่ยบางคำออกมาพร้อมกัน

"ขอโทษนะลูก"

"ขอโทษ?"

"พลีสเคยขอร้องไม่ให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันอีก"

"..."

"เพราะคราวก่อนที่พลีสพูดแบบนั้นเราก็เลยมาคิดได้ว่าที่ผ่านมาพ่อกับแม่คงทำหน้าที่ของตัวเองได้แย่มากๆ"

"..."

"มีหลายอย่างที่เราต้องแก้ไข มันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย แต่พ่อกับแม่สัญญา ว่าจะไม่ทำร้ายลูกอีกเลย"

"อยู่ดีๆ มาพูดอะไรแบบนี้"

"นั่นสิ เขินจัง"

ใต้รอยยิ้มแก้เขินของแม่ ผมกลับมองเห็นน้ำตาที่คลออยู่ในแววตาคู่นั้น ไม่มีสักครั้งที่ผมจะเห็นแม่ร้องไห้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่คราวนี้แม่ทำผมตกใจจริงๆ จนผมเองก็ทำตัวไม่ถูก ผมไม่รู้หรอกว่าคราวก่อนผมบอกอะไรกับพ่อแม่ไปอย่างนั้น จริงอยู่ที่ผมไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ทะเลาะกันต่อหน้าผม แต่กลับไม่เคยพูดอะไรจนมันกลายเป็นความในใจที่เก็บเงียบเอาไว้คนเดียวมาหลายปี แต่อยู่ดีๆ มันก็ออกจากปากผมไปโดยที่ผมไม่รู้และจำอะไรไม่ได้เลย

 ในตอนนี้ความเงียบทำให้เราต่างคนต่างอึดอัดได้แต่มองหน้ากันไปมา แล้วพากันเบือนหน้าหนีการสบตา กระทั่งเสียงของพ่อทำลายความอึดอัดเหล่านั้น

"แต่ผมรักคุณนะ"

แม่หันขวับมองหน้าพ่ออย่างตกใจ ทั้งผมและหน่อยก็เผลอส่งเสียงร้องอย่างประหลาดใจออกมาพร้อมกัน คนที่ไม่เอาไหนเรื่องการแสดงออกอย่างพ่อก็ได้แต่ยักไหล่หน่อยๆ แล้วตักอาหารใส่ปากไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนแม่และเราจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วกินข้าวต่อ ผมหันมองหน่อยที่เอาแต่ยิ้มกว้าง นี่เป็นครั้งแรกหรือเปล่านะที่ผมได้นั่งกินข้าวกับหน่อย เลื่อนสายตาไปมองพ่อกับแม่ที่เปลี่ยนเรื่องคุยไปเป็นเรื่องงาน ถึงอย่างนั้นวันนี้อาจจะเป็นวันแรกที่โต๊ะกินข้าวได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีที่สุด ขณะที่พ่อกับแม่อาจกำลังพยายามที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดีกว่าเดิม และผมเองก็อาจจะต้องพยายามเป็นผม...ที่ดีกว่านี้เช่นกัน

 

ผมขึ้นมาที่ห้องนอนหลังจากจบมื้อเย็น อาบน้ำเสร็จก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีการบ้านนิดหน่อยที่ต้องทำจึงจัดการให้เรียบร้อย ผมไม่ชอบดูทีวี ไม่เล่นเกม ไม่เล่นโซเชียล ไม่มีเพื่อนให้พูดคุยด้วย ชีวิตของผมจึงเรียบง่ายเกินไปจนเหลือเวลาว่างมากมายโดยที่ไม่มีอะไรทำ

ผมดึงลิ้นชักตั้งใจจะหยิบหนังสือมาอ่านบทเรียนล่วงหน้า แต่สายตามองไปเห็นไดอารี่ที่อยู่ในนั้นด้วยจึงหยิบออกมาดู ขณะเดียวกันกระดาษแผ่นหนึ่งที่คล้ายว่าจะถูกซุกซ่อนอยู่ในนั้นก็ติดออกมาด้วย เป็นกระดาษคำตอบวิชาคณิตที่ถูกขีดด้วยปากกาสีแดงแจ้งคะแนนเป็นศูนย์

ได้ศูนย์จริงๆ ด้วยแฮะ

ถ้าแม่เห็นคงบ้านแตก ผมจึงเข้าใจว่าทำไมมันถูกซ่อนอยู่ในนั้น จัดการเก็บมันเอาไว้ที่เดิมแล้วหันมาสนใจไดอารี่เล่มสีดำ ด้วยไม่มีที่พึ่งใดให้ผมได้ระบายความรู้สึกของตัวเอง ผมจึงมักจะบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้กับสมุดเล่มนี้ได้ฟัง ขีดเขียนบางอย่างลงไปคล้ายเป็นการระบายเรื่องที่อึดอัดอยู่ในใจ มันช่วยผมได้ดี

ผมเปิดผ่านๆ ไปยังหน้าสุดท้ายที่เขียนค้างเอาไว้ ก่อนต้องแปลกใจเมื่อมองไปเห็นข้อความอีกหน้าหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเขียนเอาไว้ตั้งแต่ตอนไหน

 

จงใช้ชีวิตให้ดี
ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว
ต้องมีความสุขมากๆ นะ
พลีสคนเก่ง


 

ก็เหมือนว่าจะเป็นลายมือของตัวเอง แต่กลับไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนเขียนเลย ไม่มีภาพความทรงจำในส่วนนั้น แต่เพราะหลายๆ สิ่งที่เจอมาในช่วงนี้มันสร้างความแปลกใจให้ผมอยู่ตลอดเวลา หนึ่งเดือนที่ผ่านมาผมอาจกลายเป็นคนละคน และข้อความเหล่านี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่ผมพยายามที่จะให้กำลังใจตัวเองอยู่ก็เป็นได้

ผมพับเก็บสมุดเล่มนั้นเอาไว้ที่เดิม แล้วเดินไปทิ้งตัวลงบนที่นอน พลันคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่ในหัว แม้อยากหาคำตอบมากมายให้ตัวเองขนาดไหนแต่สุดท้ายแล้วก็ไร้ซึ่งคำอธิบาย พระเจ้าคงต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในทุกๆ อย่างที่มันกำลังเปลี่ยนไป ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี จึงได้แต่หวังว่าความคลาแคลงใจที่มีจะค่อยๆ เลือนหายไปในสักวัน 

 

...

 

สำหรับที่โรงเรียน สิ่งหนึ่งที่ยังเหมือนเดิมคือการที่ผมยังคงไม่มีเพื่อน สิ่งนี้คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะเหตุผลหลายๆ อย่าง แต่ถึงแม้จะไม่มีคนคุยด้วย แม้ว่าปั้นจะยังเป็นตัวการในการคอยแกล้งผมเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกโกรธเคืองหรือเกลียดชังนั้นไม่มีอยู่แล้ว

หลังจบคาบสุดท้ายในวิชาคอมพิวเตอร์ ผมกับปั้นเป็นสองคนสุดท้ายที่ออกมาจากห้องเพราะครูเพิ่งตรวจงานของเราสองคนเสร็จ ในตอนที่กำลังจะเดินออกจากประตู ปั้นก็เดินเข้ามาแทรกจนผมเซไปชนกับขอบประตู

"เจ็บนะ"

"เอาคืนดิ"

ผมได้แค่ทำหน้าบูดบึ้งใส่ตอนที่ปั้นพูดอย่างกวนๆ ก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางเอาคืนจึงกล้าพูดออกมาเช่นนั้น ผมละความสนใจจากปั้น มองหารองเท้าที่ถอดเอาไว้หน้าห้องแต่กลับเหลืออยู่เพียงคู่เดียวและมันไม่ใช่ของผม กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนหันไปมองหน้าปั้น ปั้นเคยแกล้งผมด้วยการเอารองเท้าไปซ่อนอยู่ครั้งหนึ่ง เดาไม่ผิด คราวนี้ก็คงจะเป็นฝีมือเด็กบ้านี่แน่ๆ 

"มองอะไร"

"รองเท้าหาย"

"กูไม่ได้ทำนะ"

"เด็กอนุบาลยังเลิกแกล้งกันด้วยวิธีนี้เลย อยู่ไหน เอาคืนมา"

"ไม่รู้! ไม่เกี่ยวกับกูนะเว้ย กูก็เดินออกมาพร้อมมึงเนี่ย ใครใส่ผิดไปหรือเปล่า หรือมึงไปถอดไว้ที่ไหนแล้วจำผิด"

"จำไม่ผิด ถอดไว้ตรงนี้"

ด้วยท่าทางของปั้นที่ช่วยผมเดินหา ทำให้ผมเชื่อว่าเขาไม่ได้เป็นคนเอาไปจริงๆ หากมีคนใส่สลับไปก็น่าจะเหลืออีกคู่เอาไว้ให้ผมใส่กลับบ้านแต่ตอนนี้ไม่มีเลย ผมจึงต้องเดินออกมาจากห้องเรียนด้วยถุงเท้าเปล่าๆ อย่างนั้น

"มึงจะกลับบ้านอย่างนี้เหรอ"

"แล้วจะให้ทำยังไง"

ปั้นถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะเรียกให้ผมเดินตาม

"มานี่ดิ"

"ไปไหน"

"มาเถอะน่า"

"จะพาไปหารองเท้าเหรอ"

อีกคนไม่ตอบอะไร ได้แต่เรียกให้ผมเดินตามไปยังลานจอดรถ ในระหว่างทางเราเดินสวนกับกลุ่มผู้หญิงสองสามคน ผมหันมองปั้นที่แสดงท่าทางพิรุธ พลางยกกระเป๋าขึ้นปิดบังใบหน้าแล้วรีบก้าวเท้าเร็วๆ คล้ายว่ากำลังหลบหน้าผู้หญิงกลุ่มนั้น

"ใครเหรอ"

"มะนาวไง"

ไม่รู้หรอกว่ามะนาวไหน แต่ที่สงสัยคือทำไมต้องหลบหน้าราวกับว่าไปทำอะไรผิดเอาไว้

"แล้วทำไมต้องหลบด้วย"

"กูไม่กล้าสู้หน้ามะนาว เพราะมึงไง!"

งงกว่าเดิมเมื่อถูกโยนความผิดมาให้ แต่ก็ไม่อาจจะเถียงเพราะไม่รู้ว่าไปทำวีรกรรมอะไรเอาไว้หรือเปล่า ไม่ต้องถาม ปั้นก็พูดมันออกมาคล้ายว่าจะด่ากันอยู่กลายๆ

"มึงอะเสือกไปบอกว่าเป็นแฟนกับกู มองหน้ามะนาวไม่ติดเลยเนี่ย อายไปยันชาติหน้า"

"เราเนี่ยนะ"

"มึงเนี่ยแหละ!" โต้ตอบอย่างรวดเร็วก่อนจะใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากผมจนเกือบหน้าหงาย ผมได้แต่ทำหน้ายุ่ง ยกกำปั้นทำท่าจะโต้ตอบ แต่ถูกคนที่ตัวสูงกว่าชี้หน้าเป็นเชิงคาดโทษซ้ำยังทำหน้าตาโหดๆ ใส่ผมจึงต้องลดมือตัวเองลงช้าๆ ไม่กล้าสู้แล้ว

"หรือจริงๆ มึงชอบกูวะ"

"จะบ้าเหรอ"

"ชอบกูล่ะสิ ฮะ หวั่นไหวเหรอ"

"ไม่"  ผมได้แต่ปฏิเสธ ก้าวเท้าเร็วๆ เดินนำปั้นออกไปก่อน แต่ในขณะที่กำลังเดินหนีคนที่เอาแต่แกล้งอยู่นั้น บอลลูกหนึ่งที่พุ่งมาด้วยความเร็วจากทิศทางไหนก็ไม่รู้ อัดเข้าที่หน้าพอดิบพอดีจนผมล้มตึงไปกับพื้น

 

"เปรี้ยง!"

 

"ไอ้พลีส!"

เสียงของปั้นลอยทะลุประสาทการรับรู้ที่ดูจะดับวูบไปชั่วขณะ ร่างที่ล้มลงกับพื้นแน่นิ่งขยับไม่ได้ แต่ในสมองของผมกำลังเคลื่อนไหวด้วยภาพความทรงจำสลับทับซ้อนไม่เป็นเรื่องราว

 

"ไม่เคยเห็นพลีสลงมากินข้าวเลย วันนี้คิดยังไงถึงลงมากินข้าว"
"ไอ้พลีส! มึงตบกูทำไมเนี่ย!"
"ทำไมเดี๋ยวนี้มึงขี้เถียงจังวะ ผีเข้าแล้วไม่ยอมออกเหรอ"
"มึงหยุดเลยนะไอ้พลีส!"
"รีบกลับบ้านนะข้าวปั้น คุณแม่รออยู่"
"เลิกกวนตีนกูได้แล้ว"
"ได้ครับข้าวปั้น"


 

"พลีส! ไอ้พลีส!"

สติผมกลับมาตอนที่ถูกปั้นตบหน้าเบาๆ กระพริบตาถี่มองคนตรงหน้าที่กำลังแสดงท่าทางร้อนรน แต่พลันคิดไปถึงภาพความทรงจำเมื่อครู่แล้วผมกลับหลุดหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น

"หึ!"

"มึงหัวเราะอะไรเนี่ย"

"ข้าวปั้น"

"อะไร!"

"ปั้น ชื่อจริงๆ คือข้าวปั้นเหรอ"

"มึงก็รู้อยู่แล้วนี่ จะขำห่าอะไรล่ะ!"

เม้มริมฝีปากกลั้นหัวเราะแต่เอาไม่อยู่ ใครจะรู้ว่าเด็กอันธพาลขี้โกงนั่นมีชื่อเล่นน่ารักขนาดนั้น เจ้าของชื่อขมวดคิ้วแน่นไม่เล่นด้วย

"มึงเป็นอะไรไหมเนี่ย นิ่งไปเลยคิดว่าตาย หัวกบาลแตกไปแล้วมั้ง"

"ไม่เป็นไร"

"กูแตะตัวมึงได้ไหมเนี่ย จะได้ช่วย"

"ไม่เป็นไร" ผมบอกซ้ำอีกทีแล้วยันตัวขึ้นมาเอง ขณะที่ปั้นก็ลดมือที่หวังจะยื่นเข้ามาช่วยลงไปช้าๆ ก้มเก็บบอลลูกนั้นโยนคืนให้เจ้าของแล้วตะโกนด่าตามนิสัย

"เล่นระวังหน่อยดิวะ ทำคนอื่นเขาเจ็บตัวเห็นไหมเนี่ย"

"ขอโทษครับพี่"

ผมโบกมือปัดๆ เป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร ก่อนที่เราจะเดินมาถึงลานจอดรถ ผมมองปั้นจากด้านหลังแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาอีกทีเมื่อนึกไปถึงชื่อเล่นจริงๆ ของเขา ไม่รู้ว่าตลกอะไร แต่ขำไม่หยุดจนถูกอีกฝ่ายหันมายกมือตีหน้าผากเบาๆ

"ขำห่าอะไรนักหนา ขึ้นมา!" ประโยคหลังหันมาสั่งในตอนที่ตัวเองก้าวขึ้นไปบนมอเตอร์ไซค์ ผมยืนเก้ๆ กังๆ อย่างงงๆ 

"ไหนบอกว่าจะพาไปหารองเท้าไง"

"ก็ขึ้นมาดิ!"

ว่าง่ายโดยไม่ได้ถามต่อ ผมขึ้นไปซ้อนมอเตอร์ไซค์ของปั้นทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าจะถูกพาไปไหนด้วยซ้ำ ขับมาไม่เกินสิบนาที ปั้นก็จอดรถที่หน้าร้านขายรองเท้า จึงเข้าใจคำว่าพามาหาร้องเท้าที่พูดถึง

"เนี่ยนะ พามาหารองเท้า"

"เออ มึงเข้าไปเลือกเอาเลย"

ผมได้แต่พยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปซื้อรองเท้านักเรียนแบบเดิมในเวลาไม่นาน เดินออกมาหน้าร้านก็เห็นปั้นรออยู่ที่เดิม

"คิดว่าไปแล้วซะอีก"

"ไปก่อนเดี๋ยวก็หาว่าไม่รอ ขึ้นมาดิ กูไปส่งบ้าน"

"ยังไม่กลับบ้าน"

"อ้าว เถลไถลนะมึงเนี่ย จะไปไหน"

"เรามีนัดที่คลินิกทำฟัน"

ปั้นไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรต่อ แล้วอาสามาส่งผมที่คลินิกของพี่ต่อด้วยเข้าใจว่าผมจะมาทำฟัน ผมเองก็ไม่ได้อธิบายเพราะคิดว่าปั้นไม่ต้องรู้ก็ได้ว่าจริงๆ แล้วแค่มีนัดกับพี่ต่อมาติวเลข ติวแบบปลอมๆ ด้วยซ้ำไป

ผมเดินเข้าไปในคลินิก ในตอนนั้นก็เห็นพี่ต่อยืนอยู่ที่เคาน์เตอร์ มือข้างหนึ่งถึงแก้วกาแฟ อีกข้างเท้ากับเคาน์เตอร์ ใบหน้าเรียบตึงดูบูดบึ้งแปลกๆ กำลังมองผมอยู่

"สวัสดีครับ"

ยักคิ้วตอบรับการทักทายของผม ทั้งๆ ที่ปกติต้องรับไหว้ผมดีๆ แต่วันนี้บรรยากาศประหลาดสุดๆ ผมเองก็ได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เขาวางแก้วกาแฟลงบนเคาน์เตอร์ ก้าวเท้าเข้ามาหาผมที่กำลังถอยหลังจนติดกำแพงแล้วก็หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ในคลินิก เงยหน้ามองพี่ต่อที่ถามเสียงแข็ง

"ใครมาส่งน้อง"

"เพื่อนที่โรงเรียนครับ"

"แล้วซ้อนมอเตอร์ไซค์ทำไมไม่ใส่หมวกกันน็อก"

"ครับ?"

"ไม่รู้เหรอว่ามันอันตราย แล้วใครใช้ให้ไปซ้อนมอเตอร์ไซค์คนอื่น ฮะ?"

"นี่พี่กำลัง..."

"หึงอะไร! ไม่ได้หึง! แต่ถามถึงความปลอดภัยเฉยๆ"

"ผมยังไม่ได้บอกว่าพี่หึงเลย"

"ฮะ? อ้าวเหรอ? พี่ร้อนตัวเหรอ?"

ผมพยักหน้าเบาๆ กับท่าทางประหลาดของพี่ต่อ เพิ่งเคยเห็นคุณหมอที่ดูเรียบร้อยและใจดีโมโหควันออกหูแบบนี้ด้วยความหึง ว่าแต่หึงเหรอ

บ้าไปแล้ว...บ้าไปแล้ว...

"ไปติวเลขกันดีกว่า" อีกคนเปลี่ยนเรื่องไปทันควัน แล้วเดินนำผมเข้าไปในห้องพัก ผมกวาดตามองห้องขนาดเล็กแต่ไม่ได้อึดอัดจนเกินไป ในห้องมีเอกสารที่เดาว่าเป็นข้อมูลของคนไข้ของคลินิกถูกวางอย่างเป็นระเบียบ เสื้อกาวน์ถูกแขวนเอาไว้บนราวสีขาวสะอาด ข้างๆ กันมีโต๊ะเล็กๆ ที่มุมห้อง มีหนังสือเล่มหนาหน้าปกเป็นภาษาอังกฤษและก้านไม้น้ำหอมที่ส่งกลิ่นหอมจางๆ วางตกแต่งอยู่ กลางห้องมีโต๊ะตัวยาวและเก้าอี้ที่สองตัวตั้งอยู่บนพรมสีเทาอ่อนๆ

ผมถูกบอกให้นั่งลงที่เก้าอี้ตัวนั้น ขณะที่พี่ต่อดึงเก้าอี้อีกตัวมานั่งข้างๆ แทนที่มันจะอยู่ตรงข้ามกันอย่างที่มันเคยอยู่ แต่ในเมื่อสถานการณ์พลิกผันมาเป็นเช่นนี้ ผมได้แต่คิด จะเอาตัวรอดจากความใกล้ชิดนี้ไปได้อย่างไร

ทันทีที่พี่ต่อนั่งลง ผมขยับเก้าอี้ตัวเองหนีออกมานิดหนึ่งแล้วแกล้งถามอย่างอื่นเพื่อเปลี่ยนแปลงความสนใจ

"ทำไมไม่มีคนอยู่เลยล่ะครับ"

"พี่ปิดคลินิกแล้ว"

"แต่ปกติแล้วยังไม่ถึงเวลา..."

"เคลียร์คนไข้ทั้งอำเภอ เพื่อรอเธอคนเดียวเลยรู้ไหม"

"ครับ?"

พี่ต่อหัวเราะกลบเกลื่อนมุกตลกของตัวเองจนผมไม่กล้าถามอะไรต่อ คนที่ดูดีจนคล้ายว่ามีคำว่าเพอร์เฟคติดอยู่บนหน้าผากก็มีมุมติ๊งต๊องอยู่บ้าง เช่นการหัวเราะให้กับมุกแป้กของตัวเองอย่างเมื่อครู่

น่ารักใช่ไหม...ใช่...น่ารักมากๆ   

พี่ต่อเริ่มติวเลขให้ผมด้วยการอธิบายโจทย์จากการบ้านที่ผมได้มา แน่นอนว่าผมทำได้อยู่แล้ว แต่ด้วยเสียงนุ่มๆ และความตั้งใจจะที่อธิบายสิ่งเหล่านั้นให้ผมฟัง มันทำให้ผมไม่กล้าที่จะโต้เถียงอะไร แม้รู้สึกผิดอยู่ในใจบ้างที่โกหกเขาว่าไม่เข้าใจ แต่ความเห็นแก่ตัวมันก็เอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้วเรียบร้อย 

"น้องลองทำข้อนี้ดูสิ เหมือนข้อเมื่อกี้ที่พี่อธิบายเลย"

"ได้ครับ" ผมรับคำ แล้วลงมือทำโจทย์ข้อนั้น ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะทำโจทย์ข้อนั้นแต่สมาธิถูกตีกระเจิงเพราะรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง เหลือบตาขึ้นไปสบตา พี่ต่อก็ไม่ยอมหลบตา เอาแต่มองผมอยู่อย่างนั้น

"พี่...มองอะไรเหรอครับ"

"เพื่อนคนนั้นเขาไม่ได้ชอบน้องใช่ไหม"

"คนไหนครับ"

"คนที่มาส่งไง"

"ไม่ใช่ซะหน่อย" ผมเถียง พลางได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ ไม่เข้าใจสักนิดว่าพี่ต่อจะติดใจอะไรกับเรื่องเล็กๆ นั่น อยากให้พี่ต่อได้รับรู้เอาไว้ นอกจากปั้นจะไม่ชอบผมแล้ว ยังเกลียดผมด้วยซ้ำไป

"ใครจะไปรู้ เขาอาจจะชอบน้องก็ได้"

"ใครจะมาชอบผมล่ะครับ ขนาดผมยังไม่ชอบตัวเองเลย"

"มีอยู่คนหนึ่งนะ"

"ครับ?"

"คนที่หล่อๆ"

"..."

"เป็นหมอฟันด้วย"

"..."

"ว้า...เขินอะ" พี่ต่อพูดยิ้มๆ แล้วฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ ทิ้งผมให้นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น คนที่ควรจะเขิน...คือผมไม่ใช่เหรอครับ พี่ต่อเล่นเขินตัดหน้าไปแล้วผมก็ทำได้แค่กระพริบตาปริบๆ สภาวะหัวใจตอนนี้น่ะเหรอ อย่าให้พูดถึงเลย หากว่ามันระเบิดได้คงคล้ายว่าจะเป็นปรมาณู

พี่ต่อยังคงติวเลขให้ผมต่อ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจอยู่แล้ว แต่บางข้อที่พี่ต่อทำให้ดูด้วยวิธีที่ต่างไป มันทำให้ผมได้ความรู้ใหม่ขึ้นมาจริงๆ มีเทคนิคง่ายและวิธีคิดที่รวดเร็วกว่าจึงน่าสนใจ กลายเป็นผมที่ร้องขอให้เขาทำให้ดูแทบจะทุกข้อจนโดนดุให้ทำเองบ้าง และหลังจากอธิบายไปหมด พี่ต่อจึงปล่อยให้ผมนั่งทำโจทย์พวกนั้นต่อด้วยตัวเอง มาถึงข้อที่ดูเหมือนว่าผมจะไม่เข้าใจจริงๆ จึงตั้งใจจะหันไปถาม

"พี่ต่อครับ ข้อนี้..."

คำพูดหยุดชะงักเมื่อเห็นว่าพี่ต่อกำลังหลับตานอนอยู่ข้างๆ นิ่งสนิทดูเหมือนว่าจะหลับจริงๆ ผมค่อยๆ วางดินสอเบาๆ หันมองหน้าพี่ต่อชัดๆ จนรู้ตัวอีกทีผมก็ใช้เวลาเนิ่นนานที่ปล่อยให้สายตาตัวเองมองดูความงดงามของใบหน้านั้นโดยไม่ละสายตาไปไหนเลย ผมถือวิสาสะยกมือตัวเองขึ้นแตะใบหน้าของพี่ต่อเบาๆ ไล่ปลายนิ้วไปจากริมฝีปากไปยังข้างแก้ม ย้ำให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน

พี่ต่ออยู่ตรงนี้...จริงๆ ด้วย

ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าผมจะได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้ หัวใจผมถูกปิดสนิทราวกับไม่คิดจะรู้จักความรักอีกเลย แต่มันกลับเปิดเผยและยอมรับจนไม่อาจปฏิเสธว่าผมรู้สึกดีกับพี่ต่อมากมายขนาดไหน

 

"ฟึ่บ"

 

ผมเผลอตกใจเบิกตากว้างเมื่อดวงตาคู่นั้นของพี่ต่อลืมขึ้นในขณะที่มือของผมก็ถูกจับเอาไว้ คล้ายเป็นโจรถูกจับได้ตอนที่แอบขโมยอะไรบางอย่าง พี่ต่อยกมุมปากขึ้นยิ้ม วางมือของผมลงบนโต๊ะแล้วกุมเอาไว้อย่างนั้น ก่อนเอ่ยปากถามเบาๆ

"พี่จับมือน้องได้ไหม"

"..."

"แค่จับมือได้ไหม"

ผมไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ในขณะเดียวกันผมว่าพี่ต่อคงรู้แล้วว่าผมรู้สึกอย่างไร เมื่อจิตใจมุ่งไปโฟกัสกับการแตะเนื้อต้องตัว อาการเหล่านั้นก็เกิดขึ้นอีกแล้วซ้ำๆ แม้ร่างกายและมือข้างนั้นจะนิ่งไม่ขยับ แต่หัวใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น  มันกำลังเต้นโครมคราม คล้ายปะทุความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแล้วพี่ต่อก็เป็นคนปล่อยมือผมออกเอง

 

"ขวับ!"


 

แต่กลายเป็นผมที่คว้ามือพี่ต่อเอาไว้แล้วจับแน่น

"ขอโทษครับ แต่ผมไม่อยากปล่อยมือพี่เลย"

พี่ต่อยิ้มให้ผมอีกครั้ง  ก่อนจะดึงมือของตัวเองออกไปจนเหลือแต่นิ้วก้อยที่ยังสัมผัสกันอยู่ พี่ต่อใช้นิ้วนั้นเกี่ยวกับนิ้วของผมเอาไว้

"แค่นี้ก็พอ"

"..."

"ไม่ต้องรีบก็ได้"

"..."

"ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปนะ"

ผมมองสองนิ้วของเราที่แตะต้องกันอยู่ เป็นเวลาเนิ่นนานที่สองมือของเรายังค้างอยู่ในสภาพนั้น ความใกล้ชิดทั้งหมดที่มีทำให้ความกลัวของผมค่อยๆ เลือนหายขณะที่หัวใจก็ค่อยๆ สงบลง ราวกับร่างกายอนุญาตให้เราสัมผัสกันได้แค่นั้น...แต่ก็เพียงพอ

มันเกือบจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เราได้ใกล้ชิดกันแล้ว แม้ผมจะไม่อาจปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อเขาได้เลยก็ตาม แต่ขณะเดียวกันนั้นผมก็มีคำถามที่แน่นอนว่าไม่มีวันจะมองข้ามไปได้เลย ไม่อาจลืมว่าตัวผมนั้นเคยผ่านอะไรมา คนอย่างผม...มีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากใครด้วยเหรอ

 



มีต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 23-07-2019 23:56:43


หน่อยพาผมมาโบสถ์ในวันอาทิตย์ ยังคงรู้สึกสงบและอบอุ่นแต่ในขณะเดียวกันก็เอาแต่คิดไปว่า ผมควรไปสารภาพกับความผิดที่คิดทำร้ายตัวเองหรือเปล่า แม้ว่าในความเป็นจริงมันจะผ่านไปนานแล้ว แต่ในความรู้สึกของผมมันยังจมอยู่กับความรู้สึกผิดที่ติดอยู่ในใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังเข้าข้างตัวเองอย่างไม่เป็นธรรมว่า พระเจ้าคงจะให้อภัยจึงได้พาผมกลับมา

ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกจากห้องโถง ผมหันไปเห็นพี่ตาม ลังเลที่จะทักทายแต่เขาก็ลุกออกไปก่อน พลันสายตาผมมองไปเห็นโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ เดาว่าเขาคงลืม เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยและพี่ตามยังคงไม่รู้ตัว ผมจึงเลือกที่จะเดินไปหยิบมือถือเครื่องนั้นเพื่อนำไปคืน

"พี่ตาม"

"..."

"พี่ตาม!"

เสียงเรียกที่ดังกว่าเดิมทำให้คนตรงนั้นหันกลับมามอง เห็นว่าเป็นผมจึงเอ่ยทักทายก่อน

"ว่าไงพลีส"

"พี่ลืมโทรศัพท์ครับ"

"อ๋อ จริงด้วย" พี่ตามเดินกลับมาหาผมที่ยื่นโทรศัพท์ให้ ในตอนที่มือของพี่ตามยื่นมาโดนโทรศัพท์ หน้าจอก็สว่างวาบขึ้นมาพาให้ผมเห็นรูปพื้นหลังของโทรศัพท์พี่ตาม มือของผมจึงหยุดนิ่งและไม่ยอมปล่อยคืนให้เขา สายตายังคงจ้องมองรูปที่หน้าจอนั่นด้วยความไม่เข้าใจ ทำไมรูปที่หน้าจอมือถือพี่ตาม...

"พี่แสง"

"อะไรนะ"

"ทำไมถึงเป็นพี่แสง"

พี่ตามนิ่งไปครู่หนึ่ง ดึงโทรศัพท์จากมือผมไปยัดใส่กระเป๋ากางเกง แต่ความคาดคั้นผ่านสายตาของผมก็กำลังกดดันเอาคำตอบ พี่ตามจึงต้องพูดมันออกมาตรงๆ

"แสงเป็นแฟนพี่"

ความรู้สึกสับสนปะปนกับความตกใจอยู่ไม่น้อย ผมทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวยาวในห้องโถง ขณะที่พี่ตามก็นั่งลงข้างๆ พร้อมเสียงถอนหายใจเบาๆ ใช้เวลารวบรวมสติอยู่เพียงครู่ ผมจึงหันไปพูดกับพี่ตาม

"แล้ว...พี่รู้ไหมว่าผมเป็นใคร"

"รู้"

"รู้มาตั้งแต่แรกเลยเหรอ"

"อืม...รู้มาตั้งแต่แรกเลย"

เป็นคนที่ทำให้พี่แสงต้องตาย...นั่นดูเหมือนจะอธิบายความเป็นตัวตนของผมผ่านการรับรู้ของพี่ตาม แต่ทำไมเขาจึงไม่เคยพูดถึง ซ้ำยังทำเหมือนไม่รู้จักผมมาก่อนในวันแรกที่เราพบกัน

"ทำไมพี่ไม่บอกผมหรือว่าพูดถึงมัน"

"พูดไปแล้วจะได้อะไร"

"..."

"เรื่องวันนั้นเราก็เจ็บปวดกันทุกคน ใครจะไปอยากนึกถึงล่ะ"

"พี่โกรธผมไหม"

"จะไปโกรธเรื่องอะไร"

"ก็มันเป็นเพราะผม ทั้งหมดเพราะผม เพราะพี่แสงมาช่วยผม เพราะว่าผมทำให้พี่แสง..."

"ใจเย็นๆ" ฝ่ามือของพี่ตามแตะเข้าที่ไหล่ของผมเบาๆ เพื่อปลอบประโลมตัวผมที่กำลังพรั่งพรูคำพูดทั้งหลายเหล่านั้นออกมาด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ

"ไม่ใช่ความผิดของพลีสเลย"

"..."

"ผิดที่ไอ้ระยำนั่นต่างหาก"

เมื่อพูดถึงเขาคนนั้นขึ้นมา ความกลัวที่มีก็ปรากฏให้เห็น ผ่านสองมือที่กำลังกำแน่น จิกเล็บมือเสียจนเจ็บแปลบเพื่อหวังบรรเทาความสั่นเทาที่แสดงออกอย่างชัดเจน สิ่งสุดท้ายที่ผมรับรู้ได้ในวันนั้นคือการจากไปของพี่แสงที่จะเป็นบาดแผลชิ้นใหญ่ในใจผม ผมไม่รับรู้อะไรอีกเลยราวกับคอมพิวเตอร์ถูกชัทดาวน์ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจุดจบของคนๆ นั้นเป็นอย่างไร ไม่อยากพูดถึงอีกเลยด้วยความกลัวทั้งหมดที่มี หากเป็นไปได้ ก็ไม่อยากจำด้วยซ้ำไป 

"กลัวเหรอ"

ผมพยักหน้ารับ

"ไม่ต้องกลัว ชาตินี้มันก็ไม่มีวันได้ออกจากมาจากคุกหรอก"

"..."

"หรือถ้าวันไหนที่มันออกมา"

"..."

"พี่จะเป็นคนฆ่ามันเอง"

คำพูดผ่านน้ำเสียงเรียบเฉย ในแววตาก็ว่างเปล่า แต่กลับรับรู้ได้ถึงความโกรธเคืองที่มีในใจ การที่ยังไม่ให้อภัยนั้นหมายความได้ว่ายังคงเจ็บปวด

"ผมขอโทษ ถ้าพี่แสงไม่เข้าไปช่วยผม เรื่องก็คงไม่เป็นแบบนี้"

"แสงต้องช่วยอยู่แล้ว ถ้าเป็นแสง..."

"..."

"ยังไงก็ต้องช่วยอยู่แล้ว"

ผมพอได้ยินเรื่องราวของพี่แสงมาบ้างจากการบอกเล่าของคนอื่น ทุกคนพูดอย่างนั้นเพื่อย้ำให้ชัดว่าพี่แสงเป็นคนดีขนาดไหน และยิ่งเขาเป็นคนดีมากเท่าไร ผมยิ่งเสียใจที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้คนดีๆ แบบนั้นต้องจากไป ความรู้สึกผิดที่ผมมีจึงยิ่งทวีความรุนแรงจนต้องแสดงออกมาเป็นน้ำตาที่ไหลนองอย่างไม่อาจควบคุม

"อย่าร้องสิ"

"..."

"เดี๋ยวพี่ก็ร้องตามหรอก"

ผมไม่อาจจะหยุดน้ำตาของตัวเองเอาไว้ได้ ขณะเดียวกันนั้นพลันน้ำตาของพี่ตามก็ไหลออกมาอย่างที่พูด คนสองคนที่ไม่มีความสามารถในการปลอบใจ พากันร้องไห้อยู่ในโบสถ์หลังใหญ่ที่เงียบสงบ เสียงสะอื้นของเราบอกให้พระเจ้าได้รับรู้ถึงความเจ็บปวด แต่ถึงอย่างนั้น...แม้แต่พระเจ้าก็ช่วยอะไรเราไม่ได้เลย

 

ฝนตกมาตลอดทางกลับบ้าน รถติดแน่นหนาอยู่บนท้องถนน ปกติแล้วผมจะหงุดหงิดกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มาก แต่วันนี้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย คงเพราะใจผมเอาแต่คิดถึงเรื่องอื่น ระหว่างที่รถยังคงจอดอยู่กับที่ ผมหันมองร้านกาแฟเล็กๆ ร้านหนึ่งแล้วนึกไปถึงที่บ้านของพี่แสงที่เป็นร้านกาแฟคล้ายๆ ตึกนี้ จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไม่เคยเข้าไปพบครอบครัวของพี่แสงหรือแม้กระทั่งไปไหว้เถ้ากระดูกของพี่แสงสักครั้งก็ยังไม่เคยเลย มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องทำในสิ่งที่ควรทำมานานแล้วสักที

"หน่อย"

"คะ?"

"คราวหน้าถ้าฝนไม่ตก หน่อยพาพลีสไปหาพี่แสงหน่อยสิ"

"ได้สิคะ คราวที่แล้วน้องพลีสก็บอกให้หน่อยพาไปอีก แต่ยังไม่มีโอกาสสักที"

"พาไปอีก? แปลว่าพลีสเคยไปแล้วเหรอครับ"

"น้องพลีสจำไม่ได้ใช่ไหม แต่ไม่เป็นไรนะคะ เดี๋ยวเราไปกันอีก"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ พลันหันมองออกไปนอกกระจกรถ หากแต่ประโยคถัดไปของหน่อย ดึงความสนใจทั้งหมดของผมกลับไปอีกครั้ง

"วันนั้นน้องพลีสบอกให้หน่อยพากลับไปที่นั่น แล้วบอกให้หน่อยพูดกับน้องพลีสว่า..."

"..."

"พี่แสงไม่ได้โกรธ และบอกให้น้องพลีสใช้ชีวิตให้ดี ใช้ชีวิตเผื่อพี่แสงด้วย"

คำพูดของหน่อยทำให้ผมคิดไปถึงข้อความบทหนึ่งที่บันทึกอยู่ในไดอารี่ สิ่งที่ต้องการจะสื่อนั้นคล้ายคลึงกันจนไม่อาจปฏิเสธว่ามันมาจากคนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน

 

จงใช้ชีวิตให้ดี ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องมีความสุขมากๆ นะ...


 

คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวผมจนมาถึงที่บ้าน ทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาด้วยสองขาที่ดูเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงไปซะเฉยๆ

"น้องพลีสเป็นอะไรหรือเปล่าคะ หน้าซีดเชียว"

"ปวดหัวครับ"

"ไม่สบายหรือเปล่าคะ ให้หน่อยดูหน่อยค่ะ" หลังมือของหน่อยแตะเข้าที่หน้าผากผมเบาๆ อุณหภูมิร่างกายที่ร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้หน่อยแสดงสีหน้าตกใจออกมาเล็กน้อย

"ตัวร้อนจี๋เลย เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย ขึ้นไปพักบนห้องดีกว่าค่ะ เดี๋ยวหน่อยเอายาขึ้นไปให้"

ผมส่ายหน้าเบาๆ ปฏิเสธที่จะเดินขึ้นห้องแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตรงนี้เลย โซฟานั้นใหญ่พอที่จะให้ผมนอนได้สบาย หน่อยจึงยอมให้นอนตรงนี้และไปหยิบผ้าห่มมาให้หลังจากที่ผมบอกว่ารู้สึกหนาว เมื่อเห็นว่าผมไม่สบาย หน่อยก็อยู่ข้างๆ ไม่ห่าง ดูแลผมดีจนผมคิดเสมอว่าชีวิตนี้จะมีใครมาแทนที่หน่อยได้ ไม่มีแน่ๆ

มีความรู้สึกสับสนปะปนอยู่กับสิ่งต่างๆ มากมายในความคิด แม้ทุกคนจะพูดเสมอว่าเรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่ความผิดของผม แต่ผมก็เป็นส่วนหนึ่งของการสูญเสียครั้งนั้น และในตอนนี้ยังมีคนที่ต้องเสียใจกับเรื่องนั้นอยู่ ถ้าไม่ให้ผมโทษตัวเอง...เป็นไปไม่ได้
ในตอนนี้ความอ่อนแอของผมก็ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้อีกต่อไป ผมกำลังร้องไห้ด้วยความรู้สึกเสียใจที่มีมากมายอย่างบอกไม่ถูก

"น้องพลีส เป็นอะไรหรือเปล่าคะ ปวดหัวมากหรือว่าเป็นอะไร บอกหน่อยสิคะ"

"หน่อย"

"คะ เป็นอะไรบอกหน่อยสิคะ"

"พลีสจะใช้ชีวิตให้ดีได้ยังไง ยังมีคนต้องเสียใจกับเรื่องที่พลีสเป็นต้นเหตุอยู่เลย"

"โธ่...น้องพลีส" หน่อยถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลงกับพื้น มือข้างหนึ่งจับมือผมเอาไว้ อีกข้างก็ตบไหล่เบาๆ เพื่อปลอบประโลมให้ผมหยุดร้องไห้

"น้องพลีสรู้ไหม เพราะเราหนีการมาถึงของวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ยังไงก็ต้องใช้ชีวิตต่อ ก็เลยต้องใช้ชีวิตให้ดี อย่างที่พี่แสงบอก ไม่สิ..."

"..."

"อย่างที่น้องพลีสบอกตัวเองนั่นแหละค่ะ"

 

อย่างที่ผม...ได้บอกกับตัวเองงั้นเหรอ

 

...

 

"พี่น่าจะมาเป็นผม แล้วผมจะเป็นคนที่ตายแทนพี่เอง"
"ผมชื่อแสง บอกว่าชื่อแสงไง"
"วิญญาณผมติดอยู่ในนี้"
"เดี๋ยวพลีสคนเดิมก็กลับมา เขาจะกลับมาตอนที่ผมหายไปครับ" 
"บอกให้พลีส...ใช้ชีวิตเผื่อพี่แสงด้วยนะครับ"
"ตาม" 
"เธอนี่มันน่าตีจริงๆ"
"อยากคุยกับพี่อีกสักครั้ง อีกแค่ประโยคเดียวก็ยังดี"
"เราคิดถึงเธอนะ"

 

พี่แสง!

 

ดวงตาผมเบิกกว้างหลังจากที่ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปเมื่อไร ภาพความทรงจำที่เห็นในหัวนั้นย้อนกลับเข้ามาเป็นฉาก ชัดเจนจนไม่แน่ใจว่านั่นเป็นความฝันหรือแท้จริงแล้วเป็นความทรงจำของใคร ความคลาแคลงใจที่หวังจะให้มันหายไปสักวันย้อนกลับมาให้เห็นชัดว่าผมไม่ได้คิดไปเอง ผมรีบร้อนลุกจากโซฟาแล้วตั้งใจจะออกไปข้างนอก ขณะที่หน่อยเรียกผมเอาไว้ก่อน

"น้องพลีส จะออกไปไหนคะ"

"ไปข้างนอกครับ"

"จะกลับช้าหรือเปล่าคะ"

เท้าที่กำลังสวมรองเท้าหยุดชะงัก ผมหันหลังกลับไปหาหน่อยที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่ดูห่วงใย

"อาจจะกลับช้า"

"..."

"แต่ว่ากลับมาแน่นอนครับ"

ผมย้ำชัด ก่อนรีบเดินออกมานอกบ้าน ผมไม่มีจุดหมายแต่ผมรู้ว่าผมต้องไปหาใคร

"พี่แสง"

"..."

"พี่แสง!"

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่ผมต้องตามหาพี่แสง แม้ไม่รู้วิธีที่จะทำแบบนั้นแต่พี่แสงต้องกลับมา ผมวิ่งวนไปทุกที่ที่คิดว่าพี่แสงจะอยู่ที่นั่น ตะโกนเรียกหาอย่างคนบ้าแม้ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา ก่อนสายตาผมจะหันไปเห็นตึกร้างตึกนั้น จึงพลันคิดขึ้นมาได้

มันเริ่มต้นจากตรงนั้น...

ผมวิ่งไปที่นั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่ร่างกายจะทำได้ แต่ร่างกายมันก็บอบบางและอ่อนแออย่างน่าหงุดหงิด มาหยุดอยู่ที่หน้าตึกด้วยความเหนื่อยหอบ หายใจลำบากหมดแรงที่จะก้าวขึ้นไปยังบันไดสูงชันเหล่านั้น สูดลมหายใจที่แสนเหน็ดเหนื่อยแล้วใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่พาสองขาก้าวขึ้นบันไดไปช้าๆ

"พี่แสง.."

"..."

"ถ้าพี่ยังคงค้างคา พี่ต้องกลับมา"

"..."

"แล้วใช้ร่างของผมแก้ไขมัน"

"พลีส!"

ผมหันขวับมองเสียงเรียกของคนที่ปรากฏตัวขึ้น

พี่ตาม...

ความตกใจปะปนกับการไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ขาของผมหยุดชะงักที่จะขยับในจังหวะที่กำลังก้าวขึ้นบันได สองมือหลุดออกจากการเกาะกุมราวบันไดและในวินาทีนั้นเองร่างกายที่อ่อนยวบก็พร้อมที่จะทิ้งตัวเองดิ่งลงมาจากบันไดขั้นนั้น

"พลีส!"

 

สติสุดท้ายบอกให้ผมอธิษฐานต่อพระเจ้า...พระเจ้าครับ ผมขออีกครั้งเดียว ช่วยผมด้วย อีกแค่ครั้งเดียว...

 

 

"ตุ้บ!"


 

ผมตกลงมาจากบันไดแต่พี่ตามรับร่างผมเอาไว้ก่อนเราทั้งคู่จะกลิ้งลงไปยังบันไดอีกชั้น สติดับวูบหายในวินาทีนั้นก่อนทุกอย่างพลันสงบนิ่ง ผมได้ยินเสียงพี่ตามตะโกนเรียกซ้ำแล้วซ้ำอีก

"พลีส! พลีส!"

ก่อนดวงตาคู่นั้นของผมจะขยับขึ้นช้าๆ สติที่หายไปก็ย้อนกลับมา กระพริบตามองคนตรงหน้าแล้วริมฝีปากของผมก็เอ่ยคำบางคำออกมาเพื่อเรียกเขา คำบางคำนั้นเรียกพี่ตามออกไปว่า...

 

"เธอ"

 

To be continued.
_______________________________________________________________

ดูสิว่าใครกลับมาาาา อิ๊อิ๊ 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 24-07-2019 00:00:23
 :pig4:
 o13
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-07-2019 00:32:44
โอ้ยย!!!!!! บีบหัวใจ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-07-2019 01:02:30
 :pig4: :pig4: :pig4:

พี่แสงกลับมาปลดล็อกพี่ตามใช่ไหม?
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 24-07-2019 01:42:39
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 24-07-2019 07:10:37
แสงกลับมาใช่มั้ยนะะะะ

สงสารตามมากๆ ดูเหมือนใช้ชีวิตปกติแต่ตอนอยู่คนเดียวจะทรมานขนาดไหนนะ

ส่วนน้องพลีสสส ต้องใช้ชีวิตให้ดีๆนะ มีความสุขมากๆ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-07-2019 08:20:35
แสงอยู่ในร่างใครก็คงไม่นำพาความเจ็บปวดมาเท่ากับอยู่ในร่างพลีส
พี่ต่อ พลีส(แสง) ตาม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 24-07-2019 20:20:52
มันก็ดีอยู่นะถ้าสองคนจะสลับวิญญาณกันเป็นบางโอกาส แต่ก็นะ พี่ต่อกับตามต้องเป่ายิ้งฉุบกันละทีนี้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 24-07-2019 20:43:24
สลับกันไปกันมา สรุปว่าจะยังไง สุดท้ายแล้วแสงแค่ยังติดค้างอะไรพอทำมันสำเร็จแล้วก็จะไปใช่มั้ย
สรุปสุดท่ายพลีสกับพี่หมอจะได้รักกัน ตามก็จะได้ใช้ชีวิตต่อไปแม้จะไม่มีแสงใช่มะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ain ที่ 24-07-2019 22:46:35
สนุกมากค่ะอินมากๆด้วย
ร้องไห้หนักมากตอนที่รู้ว่าตามยังลืมแสงไม่ได้
พลีสกลับมาแบบนี้แล้วแสงล่ะ

 :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 24-07-2019 23:03:18
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 25-07-2019 02:57:41
 :hao7:

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 25-07-2019 08:49:55
จะร้องไห้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: porjj ที่ 26-07-2019 10:32:58
มันฟีลกู้ดจนน้ำตาไหลเลย
อยากให้ทุกคนมีความสุข
แสงต้องกลับมาปลดล็อกให้ตามนะ
เราเชื่อว่าสักวันแสงกับตามต้องได้เจอกันอีก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 27-07-2019 08:08:40
สนุกมากเลย แต่ก็เศร้าจัง สงสารทั้ง2 คน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 27-07-2019 18:03:13
จะติดตาม พร้อมน้ำตา ต่อไป
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 28-07-2019 09:33:00
อ่านรวดเดียวเลยค่ะ ดำเนินเรื่องได้น่าติดตามมากๆทิ้งปมให้อยากอ่านต่อทุกๆตอน อ่านพาร์ทของพลีสทีไรเราอึดอัดทุกที เหมือนว่าเราก็เคยเจอเหตุการณ์นี้มาบ้างอะนะ คุณเต้าหู้ไข่เลยเขียนขึ้นมาเพื่อเพื่อนคนนั้น เราก็มีอะไรที่อยากแก้ไขตอนเรียนเหมือนกัน น่าเศร้าที่เพื่อนคนนั้นไม่รู้จะได้เจอกันอีกมั้ย
อย่างนี้ตอนจบก็คงเหลือแต่พลีสแน่นอน แสงต้องกลับมาแก้ไขถึงจะไปเกิดใหม่ได้ ไม่อยากให้ใครจากไปเลยแฮะ
ถ้าเกิดแสงบอกความจริงไปก็น่าจะมีคนเชื่ออยู่หรอก จากนั้นก็แก้ไขเรื่องในอดีต... สงสารทุกคนจัง ตอนนี้กำลังติดใจเรื่องที่หมอไม่รู้จักแสง คิดไม่ออกว่าทำไมถึงตอบอย่างนั้น
เราร้องไห้หลายตอนมากๆ อ่านแล้วอิน  :sad4:
ติดตามนะคะ ปกติไม่ค่อยอ่านนิยายที่ยังแต่งไม่จบ ชอบอ่านรวดเดียว ฟีลค้างก็มา แงงงง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 30-07-2019 23:32:55
ตอนที่ 15
หากยังค้างคาก็ต้องกลับมาเพื่อแก้ไขมัน

 

ผมกลับมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยอีกครั้งหลังจากวิญญาณหลุดจากร่างของพลีส มันก็ดีตรงที่ได้กลับมาอยู่บ้าน แต่การที่ผมกลับมาไร้ตัวตนมันก็สร้างความเหงาอยู่นิดหน่อย อย่างน้อยๆ ก็ต้องหาเพื่อนคุยบ้าง ผมจึงออกจากบ้านในตอนที่ทุกคนหลับหมดแล้ว ค่ำคืนเงียบงันในวันที่ฝนเพิ่งจะหยุดตกพาให้บรรยากาศหนาวเย็น ท้องถนนเปลี่ยวเหงาราวกับไม่มีผู้คน เป็นสถานที่ที่เดินผ่านแล้วต้องระแวงหลังตลอดเพราะสถานการณ์แบบนี้จะต้องมีผีโผล่มาแน่นอน

"แสง!"

ผมหันขวับเพราะเสียงเรียกนั่น ขนาดเป็นผีด้วยกันยังสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หันไปเจอ พี่มินท์  ผีสาวในชุดนักศึกษาที่รู้ประวัติภูมิหลังมาว่าเธอฆ่าตัวตายก็เลยไปเกิดไม่ได้ จึงเป็นวิญญาณที่อยู่มานานที่สุดในละแวกนี้

"ไม่เจอกันนานเลยนะแสง หายไปไหนมา"     

"ยุ่งๆ น่ะครับ" ผมตอบปัดๆ ไม่อยากจะบอกว่าไปใช้ชีวิตเป็นมนุษย์มา ไม่อย่างนั้นคงได้อธิบายกันยาว พี่มินท์ได้แต่พยักหน้ารับก่อนที่ผมจะหันไปเห็นวิญญาณอีกตนที่เป็นเด็กชายวัยรุ่นเลือดไหลนอง สมองยุบ ยืนกอดแขนข้างหนึ่งของตัวเองที่ห้อยต่องแต่งคล้ายว่ากำลังจะขาด ถึงจะเป็นผีไม่ต่างกันแต่เห็นวิญญาณสภาพนั้นก็อดที่จะสยดสยองไม่ได้

"นี่น้องใหม่ ชื่อเต้ย เป็นเด็กแวนซ์รถคว่ำตายเมื่ออาทิตย์ก่อน"

"หวัดดี...เหี้ย!" ผมสบถคำหยาบเมื่อไอ้เด็กนั่นดึงแขนข้างที่ห้อยอยู่ออกจากไหล่จนกระดูกหลุดแล้วใช้มืออีกข้างจับแขนข้างนั้นยื่นมาตรงหน้าเพื่อจะจับมือทักทายกับผม ตัวมันหัวเราะคิกคักชอบใจที่ได้แกล้ง จนถูกพี่มินท์ตบหัวเบาๆ ไปทีหนึ่ง

"ขี้แกล้งนักนะมึง เดี๋ยวชาติหน้าก็เกิดมาไม่ครบสามสิบสองหรอก"

"หยอกเล่นน่า" มันเถียงแล้วดึงแขนข้างนั้นกลับไป ใส่คืนที่เดิมไม่ได้แล้วด้วยเพราะกระดูกหลุดออกจากกันไปเรียบร้อย มันจึงกอดแขนตัวเองเอาไว้ เลือดจากแขนข้างนั้นไหลนองปนเปกับเสื้อผ้าที่ขาดวิ่น ทนดูไม่ได้จริงๆ จึงเบือนหน้าหนีไปอีกทาง มองดูผีอีกตัวที่ยืนเงียบไม่ได้พูดอะไร หน้าตาค่อนไปทางฝรั่งคล้ายว่าจะเป็นลูกครึ่ง ตัวสูงใหญ่ร่างกายดูอวบนิดๆ แต่อยู่ในสภาพดีไม่มีบาดแผลใดให้สยดสยอง ปากกำลังเคี้ยวอาหารไม่หยุด มือข้างหนึ่งถึงกล่องโดนัท อีกข้างถือน้ำปั่นสีช็อกโกแลตและมีวิปครีมสูงเป็นภูเขา 

"เขาเป็นใครเหรอ ทำไมไม่ยอมพูดอะไรเลย" ผมกระซิบถามพี่มินท์

"ปากเขาไม่ว่างน่ะ กำลังกินอยู่"

"เป็นเบาหวานตายแน่เลย"

คนที่กำลังเคี้ยวโดนัทหันขวับมามองจนผมตกใจนิดหนึ่งและรีบหุบปากเงียบ เขาจึงเอ่ยปากพูด

"โทษนะ กูยังไม่ตาย"

"ฮะ!"

"กูแค่มองเห็นพวกมึงได้แล้วอีนี่มันก็ลากกูมาด้วยเฉยๆ" ว่าพลางหันมองหน้าพี่มินท์เคืองๆ ขณะที่ผมยังงง จนพี่มินท์หันมาอธิบาย

"นี่พี่ซี เป็นเจ้าของหออยู่ใกล้ๆ นี่แหละ เขามองเห็นผีได้ คนดังเลยนะ ไม่มีผีตัวไหนในย่านนี้ไม่รู้จักเขาหรอก แสงก็รู้จักพี่เขาไว้สิ"

"พี่มองเห็นผีเหรอ!"

"ก็มองเห็นมึงอยู่นี่ไง"

อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและความสนใจทั้งหมดที่มีก็พุ่งตรงไปที่เขา ผมลองยกมือจิ้มเขาแต่มือของผมก็ทะลุผ่านร่างของเขาไปเพื่อยืนยันว่าเขานั้นเป็นมนุษย์จริงๆ

"ตายมาสามผี เพิ่งเคยเจอคนเห็นผีจริงๆ ก็วันนี้แหละ!"

พี่ซีที่กำลังกินโดนัทในปากกลับเคี้ยวช้าลงแล้วเหลือบตาขึ้นมองผม ก่อนเอ่ยถาม

"มึงตายมาสามปีแล้ว?"

"ครับ"

"ทำไมไม่ไปเกิดวะ"

"..."

"ฆ่าตัวตายเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ขณะที่พี่ซีก็ยังเอาแต่มองหน้าผมอยู่อย่างนั้นราวกับจะเค้นเอาคำตอบ สายตาดุๆ ที่ดูเหมือนจะตำหนิอะไรกันนั้นทำให้ผมไม่กล้าเงยหน้าไปสบตาด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าทำไมผมต้องกลัวตาลุงหน้าฝรั่งตัวอ้วนนี่ด้วย ผมไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย   

"ยังมีอะไรค้างคาใจหรือไง"

ผมได้แต่ส่ายหน้าอีกครั้ง

"มึงไม่รู้จริงๆ ว่าติดอยู่ที่นี่เพราะอะไร หรือมึงรู้อยู่แก่ใจแต่ไม่ยอมปล่อยวาง"

"ผมไม่รู้"

"..."

"ผมแค่ไม่รู้วิธีที่จะต้องไปเกิด แล้วพี่รู้ไหมล่ะว่าต้องทำยังไง"

"กูไม่เคยตาย"

"ก็นั่นไง ก็แค่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ"

"แล้วยังไง จะอยู่แบบเร่ร่อนไปมาแบบนี้อะเหรอ"

"ผมไม่ได้เร่ร่อนนะ ผมมีบ้าน"

"แล้วที่บ้านเขารู้หรือเปล่าว่ามีมึง"

ผมเงียบ ไม่อาจเอ่ยเถียงความเป็นจริงข้อนั้นได้เลยแม้แต่น้อย

"ต่อให้มึงมีบ้าน แต่จิตวิญญาณมึงต่างหากที่เร่ร่อน ถ้าเมื่อไรที่มึงรู้ว่ามึงติดอยู่ที่นี่เพราะอะไร ก็รีบแก้ไขแล้วก็รีบไปเถอะ ตรงนี้ไม่ใช่ที่ของมึงหรอก"

แค่คำพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยจากปากของคนที่กำลังเคี้ยวโดนัทคำโตจนแก้มพอง ทำไมมันเจ็บเหมือนตายรอบสองเลยวะ...

"โอ๊ะ!"

ผมละความสนใจคนตรงหน้าเมื่อสายตาหันไปเห็นอีกคนที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตบาทอีกฝั่ง เห็นอย่างนั้นจึงหันไปบอกลาทั้งผีทั้งคนที่ยืนอยู่ตรงนี้แล้วรีบพุ่งตัวไปหาเขา ตะโกนเรียกสุดเสียงด้วยความดีใจ

"ตาม!"

"..."

"นี่ตัดผมมาเหรอ หล่อเกินไปไหมเนี่ย" ผมหันมองทรงผมใหม่ของตาม ด้านข้างและด้านหลังสั้นจนเกือบจะกลายเป็นผมเกรียนๆ ของนักเรียนม.ปลาย แต่ด้านหน้ายังยาวจนปรกถึงคิ้ว รวมๆ แล้วมันก็เป็นทรงผมที่ทำให้ตามดูดีกว่าเก่า หน้าตาดูอ่อนวัยสดใสกว่าทรงเดิมที่ยาวรุงรังจนดูโทรม

"ชอบตรงนี้ของเธอเวลาตัดผมใหม่ๆ มากเลย" ผมว่าพลางยกมือลูบท้ายทอยเกรียนๆ ของตามที่ผมคอยแกล้งเขาเสมอเวลาที่เขาตัดผมใหม่ๆ เวลาลูบแล้วมันจั๊กจี้แปลกๆ ก็เลยชอบที่จะ...

เฮ้ย!

ทั้งผมทั้งตามสะดุ้งเฮือกพร้อมกันตอนที่นิ้วมือของผมสัมผัสกับท้ายทอยของตามแบบไม่ทะลุร่าง จริงอยู่ที่บางครั้งบางคราว ผมก็จะสัมผัสกับสิ่งของหรือกระทั่งร่างกายของมนุษย์ได้ มันเกิดขึ้นได้แต่มันควบคุมไม่ได้ ก็เลยพลอยตกใจไปด้วย แต่คนที่ตะลึงกว่าน่าจะเป็นตามที่หันขวับมองด้านหลัง พลางยกมือลูบท้ายทอยตัวเองเบาๆ ด้วยใบหน้างงๆ

"ตกใจเหรอ ขอโทษนะ"

ตามยังทำหน้ายุ่งๆ แล้วเดินต่อไป ผมเองก็เดินตามไปด้วย ในจังหวะก้าวเท้าช้าๆ สายตามองไปเรื่อยเปื่อยคล้ายไม่มีจุดหมาย ผมไม่ชอบร่างกายซูบผอมของตามในตอนนี้เลย ชอบตามเวอร์ชั่นตัวอวบๆ แก้มพองๆ ชอบตามที่มีความสุขกับการกินอะไรก็ได้ที่อยากจะกิน ไม่มีสักครั้งที่ชีวิตของตามจะต้องลำบากจึงไม่อยากให้ตามใช้ชีวิตแบบนี้เลย

"วันนี้เหนื่อยไหม"

"..."

"ถ้าเหนื่อยก็พักบ้างก็ได้นะ"

"..."

"ทำงานหนักจนผอมเหลือแต่กระดูกแล้ว แก้มพองๆ ของเธอหายไป ไม่น่ารักเลยนะ"

"..."

"ไม่ต้องไปเที่ยวรอบโลกแล้วก็ได้ เราอยากให้เธอทำงานสบายๆ มากกว่า รู้ไหม"

"..."

ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ไม่ว่าจะพูดออกไปอีกสักกี่ประโยค สิ่งเดียวที่ได้รับกลับมาก็คือความว่างเปล่า ตามไม่ได้ยินผมสักหน่อย

"อยากคุยกับเธออีกสักครั้งจัง"

ผมเดินตามตามมาจนถึงห้อง สิ่งแรกที่ตามทำคือการปักดอกกุหลาบลงในแจกันแก้วที่วางอยู่หน้ารูปถ่ายของผม ยื่นปลายนิ้วสัมผัสใบหน้าของผมผ่านรูปถ่ายนั้น มุมปากของตามขยับเป็นรอยยิ้มบางๆ

ตามละมือออกจากรูปถ่ายของผมแล้วทิ้งตัวเองลงนอนบนเตียง เปิดแอร์อุณหภูมิต่ำแล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมขาตัวเอง หลับตานอนนิ่งจนผมเผลอบ่น

"นี่ ไปอาบน้ำเลยนะ"

"ขี้เกียจอาบน้ำจัง"

ผมหลุดหัวเราะตอนที่ตามพูดออกมาคนเดียว แต่คล้ายว่ากำลังโต้ตอบกับผมอยู่ ตามคงจะเหนื่อยล้ากับงานและนี่ก็ดึกมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรตามก็เป็นคนรักสะอาดอยู่พอตัว พนันได้เลยไม่ถึงสิบวินาที ตามจะต้องลุก

ผมหย่อนตัวเองลงนั่งบนเตียง มองตามแล้วนับถอยหลังอยู่ในใจ ก่อนตัวเลขสุดท้ายจะมาถึง คนที่นอนอยู่บนเตียงก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมเสียงถอนหายใจแรงๆ

"อาบก็ได้วะ"

เผลอหัวเราะเสียงดังเพราะไม่ผิดจากที่คิดเอาไว้ ผมปล่อยให้คนรักสะอาดเข้าไปอาบน้ำ ส่วนตัวเองก็นั่งรออยู่บนเตียง ก่อนขยับไปยืนที่ริมหน้าต่าง มองออกไปยังท้องฟ้ามืดๆ นั่นพลางคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ระหว่างเราสองคน

 

"ชื่อตาม มาจากอะไร ตูมตามเหรอ"
"ไม่ใช่"
"แล้วตามอะไร"
"ก็ตามเฉยๆ ไม่ได้เหรอ"
"มันต้องมีที่มาดิ มันต้องตามอะไรสักอย่าง"
"ก็ตอนเราเกิด แม่ถามพ่อว่าจะให้ชื่ออะไรดี แล้วพ่อก็บอกแม่ว่า...ตามใจ"
"หึ!"
"อย่าขำดิ!"
"แม่เธอกวนดีว่ะ แล้วพ่อเธอก็ตกลงเอาชื่อนี้เหรอ"
"ก็ตามใจแม่ไง"
"ตลก!"
"ไม่ตลกเหอะ!"
"น้องตามใจ"
"ตามเฉยๆ"
"ตามใจๆ"
"อย่าล้อดิ เราโกรธนะ!"
"น่ารักจะตาย"
"ตรงไหน"
"ก็น่ารักดี น่ารักเหมาะกับเธอ"


 

เสียงคนที่ออกมาจากห้องน้ำทำให้ผมหันไปมองขณะที่พาตัวเองออกมาจากความคิดเหล่านั้น ตามสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนที่จะทิ้งตัวเองลงบนเตียงอีกที แต่การอาบน้ำคงทำให้ตาสว่างนอนไม่หลับ ตามจึงลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์หนึ่งกระป๋องแล้วเดินมายังริมหน้าต่างที่ผมยืนอยู่ ผมจึงขยับเท้าหนีให้ตามมายืนแทนที่ผม บานหน้าต่างถูกเปิดออก ก่อนที่ตามจะปีนขึ้นไปนั่งที่ขอบหน้าต่างแล้วเปิดกระป๋องเบียร์ยกขึ้นดื่ม

"อันตรายนะเธอ ถ้าเมาแล้วตกลงไปได้คอหักตายพอดี"

ผมส่ายหน้าเบาๆ เพราะบ่นไปตามก็ไม่ได้ยิน เมื่อก่อนตามแทบจะไม่แตะต้องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย ขณะที่ผมมักจะชอบออกไปร้านเหล้ากับเพื่อนบ่อยๆ แล้วก็โดนบ่นอยู่ตลอดเราจึงทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้อยู่เสมอ แต่ดูจากกองขวดเหล้าและกระป๋องเบียร์ที่วางอยู่ที่มุมห้องในตอนนี้แล้ว ตามน่าจะมีเพื่อนเป็นแอลกอฮอล์มากกว่าผู้คน

ผมปล่อยให้ตามนั่งดื่มเบียร์อยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินไปนั่งบนโต๊ะหนังสือ อย่างที่บอกว่าไปตั้งแต่คราวก่อนว่าข้าวของทุกอย่างของผมมันยังอยู่ที่เดิม รวมถึงความรู้สึกของเราสองคนที่มันไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า สำหรับวิญญาณอย่างผมมันไม่มีความหมายอะไร ไม่ว่ายังไงความทรงจำของผมก็หยุดอยู่กับที่ แต่สำหรับตามแล้ว การที่ตามไม่ยอมให้ความรู้สึกเหล่านั้นมันเคลื่อนไหวไปข้างหน้าเท่ากับว่าตามกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ตลอดเวลา จมดิ่งอยู่กับเรื่องราวที่ไม่อาจจะย้อนคืนและผมไม่สามารถช่วยเหลืออะไรตามได้เลย 

อย่างที่เคยได้บอกไปว่า เราทะเลาะกันในวันสุดท้ายก่อนที่ผมจะตาย ซ้ำยังจากกันไปโดยไม่ได้ล่ำลา นั่นเป็นหนึ่งเหตุผลที่ผมยังคงค้างคาใจ และยิ่งตามยังเป็นแบบนี้มันก็ยิ่งเพิ่มเหตุผลที่ทำให้ผมไม่อยากไปไหน จนกว่าผมจะแน่ใจว่าในสักวัน...ตามจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นสักที

ผมเลื่อนมือผ่านหนังสือเรียนของผมที่วางอยู่ที่เดิม ไปหยุดอยู่ที่กล้องโพลาลอยด์ตัวนั้นที่วางอยู่ เราไม่ค่อยได้ถ่ายรูปคู่กัน แต่ได้โอกาสเมื่อไรก็จะมักจะเก็บรูปของอีกคนเอาไว้ผ่านฟิล์มโพลาลอยด์จากกล้องตัวนี้อยู่เสมอ รูปเผลอๆ มักจะน่ารักกว่ารูปที่ตั้งใจถ่าย และรูปที่ออกมาจากกล้องโพลาลอยด์มันก็ยังคงอยู่ไม่ลบไม่เลือนหาย

ผมยกมือสัมผัสกล้องตัวนั้นด้วยความคิดถึงแต่แน่นอนว่านิ้วมือของตัวเองก็ทะลุผ่าน แต่ในตอนที่กำลังกดปุ่มถ่ายรูปนั้น ไอ้นิ้วมือนี่ก็ดันมีความสามารถที่จะแตะต้องวัตถุชิ้นนั้นขึ้นมาได้ซะเฉยๆ   

 

"แชะ"

 

ฉิบหาย!

 

แสงแฟลชสว่างวาบพร้อมเสียงชัตเตอร์ดังลั่นห้อง ตามมาด้วยเสียงฟิล์มที่ไหลออกมาจากกล้อง ตามหันขวับมามอง ดวงตาเบิกโตขึ้นนิดๆ อย่างดูตกใจ ก้าวลงจากขอบหน้าต่างแล้วเดินช้าๆ เข้ามาหากล้องโพลาลอยด์ วางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างๆ แจกันดอกกุหลาบ แล้วหยิบฟิล์มที่ไหลออกมาขึ้นดู ผมลุ้นตัวโก่งหวังว่าจะไม่ถ่ายติดวิญญาณ ก่อนใช้เวลาไม่นานนักภาพนั้นก็ปรากฏให้เห็น โชคดีไม่มีผมในภาพ แต่ถึงอย่างนั้นการที่กล้องกดถ่ายรูปเองได้มันก็คงไม่ใช่เรื่องปกติเท่าไร แล้วคนที่กลัวผียิ่งกว่าสิ่งในโลกอย่างตามก็ไม่อาจอยู่เฉย หันมองซ้ายมองขวาดูหวาดระแวง   

"กล้องพังมั้ง" ปลอบใจตัวเองด้วยน้ำเสียงแผ่ว ใบหน้าเหยเกค่อยๆ กลืนน้ำลายเบาๆ แล้ววางรูปนั้นลง สายตายังมองไปยังกล้องตัวนั้นด้วยสีหน้าดูไม่ไว้ใจ กำลังจะยื่นมือไปหยิบกระป๋องเบียร์แต่ด้วยความที่ไม่ทันได้หันมอง มือของตามชนเข้ากับรูปถ่ายของผมจนเกือบจะหล่น แต่อีกมือรีบร้อนรับเอาไว้ก่อนที่ตกถึงพื้น 

ตามพ่นลมหายใจอย่างดูโล่งใจ วางรูปไว้ที่เดิม แต่ในขณะนั้นสีหน้ากลับดูนิ่งไป คิ้วที่กำลังขมวดเข้าหากันดูเหมือนว่าตามกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้ความคิดของตามผ่านแววตาคู่นั้น มือของตามเอื้อมหยิบกล้องโพลาลอยด์และรูปที่ผมเป็นคนกดถ่ายเมื่อครู่มาวางใกล้ๆ แจกันดอกกุหลาบ สายตาของตามยังจดจ้องอยู่ที่สิ่งของเหล่านั้นอยู่นานครู่หนึ่ง แล้วพูดบางคำออกมาเบาๆ

"เธอเหรอ"

"..."

"แสง"

เพียงตามกระพริบตาหนึ่งครั้ง น้ำตาก็หยดลงมาทั้งที่สีหน้ายังเรียบเฉย มือข้างหนึ่งหยิบรูปถ่ายของผมแนบไว้ที่อก ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เตียงนอน และร้องไห้ออกมาอย่างไม่เก็บกลั้น ราวกับว่าน้ำตาได้กลั่นออกมาเท่าที่ความรู้สึกเจ็บปวดจะมี

"เราคิดถึงเธอ"

"..."

"เราคิดถึงเธอนะแสง"

แม้เป็นวิญญาณที่ไร้แล้วซึ่งความรู้สึก แต่น้ำตาของตามและคำว่าคิดถึงมันทำให้ผมเจ็บไปทั้งใจ ปวดร้าวซ้ำแล้วซ้ำอีกที่ยังคงช่วยอะไรตามไม่ได้ ได้แต่โต้ตอบความคิดถึงนั้นผ่านการโอบกอดที่ไร้ตัวตน ผ่านคำพูดที่ตามไม่มีวันได้ยิน 

 

"คิดถึงเธอเหมือนกัน"

 

...

 
มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 14-- 24/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 30-07-2019 23:33:28
"สุดแสนน่าเบื่อ ชีวิตช่างน่าเบื่อ"

ผมบ่นกับตัวเองมากกว่าร้อยครั้งในหนึ่งวันขณะที่กำลังนอนแช่อยู่บนโซฟาห้องนั่งเล่นอย่างไม่มีอะไรทำ พ่อกับแม่กำลังนั่งดูละครหลังข่าว ส่วนสายป่านก็เอาแต่จดจ้องอยู่กับมือถือ แอบชะโงกหน้าไปมองก็เห็นว่ากำลังคุยกับเพื่อนเรื่องนักร้องเกาหลีที่ผมไม่รู้จัก ด้วยความเบื่อหน่าย ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

"ป่าน วันนี้แม่ซื้อชูครีมมาให้ อยู่ในตู้เย็นน่ะ แม่ลืมบอก"

"กำลังอยากกินเลย"

"ไปเอามากินสิลูก"

หูผึ่งหลังจากได้ยินคำว่าชูครีม ผมรีบเดินตามสายป่านไปยังตู้เย็นก่อนที่น้องจะหยิบกล่องชูครีมไส้ทะลักจากร้านเบเกอรี่เจ้าประจำของบ้านเราออกมา หนึ่งคำที่สายป่านหยิบกินพาให้ผมเกือบน้ำลายไหลตามไปด้วย

"ขอกินบ้างสิ"

"..."

"ขอกินบ้างสิสายป่าน"

"..."

"ให้พี่กินบ้างสิ!"

สายป่านก้าวเท้าช้าลงตอนที่เดินผ่านรูปถ่ายของผม หันมองชูครีมในมือสลับกับรูปของผมแล้วพูดกับตัวเองเบาๆ

"อยากกินล่ะสิ"

"อื้อ อยากกิน!"

"ไม่ให้กินหรอก เสียของ"

"ไอ้อ้วนนิสัยไม่ดี!" ผมคำรามลั่นยกกำปั้นฟาดสายป่านรัวๆ หวังว่าจะสัมผัสแตะต้องให้น้องมันหน้าหงายไปเลย แต่แล้วมือของผมก็ทะลุผ่านร่างนั้นไปเฉยๆ โดยที่ทำอะไรไอ้น้องใจร้ายคนนี้ไม่ได้

"มันน่านัก!"

ผมโมโหฟึดฟัดเดินตามสายป่านกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ขณะกำลังจะหย่อนตัวลงนั่งที่เดิม หูก็ได้ยินเสียงแว่วราวกับมีคนมายืนเรียกอยู่หน้าบ้าน

"พี่แสง"

"..."

"พี่แสง!"

ผมรีบเดินจากตรงนี้ไปยังหน้าบ้าน มองหาต้นตอของเสียงเรียกนั่นแต่ไม่เห็นมีใคร คงจะหูฝาดไปชั่วขณะจึงไม่ได้สนใจอะไร หันหลังตั้งใจจะเดินเข้าบ้านแต่เสียงเรียกนั้นก็ดังขึ้นมาอีกที

"พี่แสง"

"..."

"พี่แสง พี่อยู่ที่ไหน"

มีคนกำลังเรียกผมจากที่ไกลๆ อย่างแน่นอน ผมหันซ้ายหันขวามองหาเสียงนั่น หลับตาลงตั้งใจฟังเสียงนั้นชัดๆ เสียงเรียกที่ค่อยๆ ไกลออกไปทำให้ผมตัดสินใจที่จะวิ่งตามออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย จนกระทั่งได้พบกับเจ้าของเสียงที่หยุดยืนด้วยความเหนื่อยหอบอยู่ริมถนน

"พลีส"

ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพลีส แต่พลีสพักเหนื่อยแค่ชั่วครู่ก็ออกวิ่งต่อพลางเรียกชื่อผมไปด้วยอย่างดูไม่มีเหตุผล

"พี่แสง"

"มีอะไรพลีส"

"พี่แสง"

"เกิดอะไรขึ้น"

"พี่แสง"

"พี่อยู่นี่ไง!"

พลีสหยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นมองตึกร้างที่ผมเจอกับเขาครั้งแรกด้วยสายตาไม่อาจคาดเดาว่าคิดอะไร ก่อนที่สองเท้าของพลีสจะออกวิ่งอีกครั้ง

"พลีส จะทำอะไร!" ผมคว้ามือพลีสเอาไว้แต่ไม่เป็นผล พลีสวิ่งออกไปแล้วขณะที่ผมยังสับสนว่าควรจะทำยังไง ขณะนั้นเองก็หันไปเห็นตามที่เดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อพอดี

"ตาม!"

ตามหันมองบางสิ่ง ไม่แน่อาจเป็นไปได้ว่าเสียงของผมอาจทำให้ตามได้ยิน หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ตามหันมองเห็นพลีสเข้าพอดี

"พลีสเหรอ" เขาพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วใช้สองขายาวๆ ของตัวเองก้าวเท้าตามพลีสที่วิ่งออกไป

"วิ่งเลยตาม! วิ่งเลย!" ผมบอกตามอย่างนั้นก่อนที่ตัวเองจะวิ่งนำตามไปให้ถึงตัวพลีสก่อน พลีสมาหยุดอยู่บันไดขึ้นตึกร้างด้วยสภาพที่ดูเหน็ดเหนื่อย ใบหน้าซีดเซียว สองมือยกจับราวบันไดเพื่อพยุงตัวเองเอาไว้ไม่ให้ล้ม ก่อนที่จะพยายามตะเกียกตะกายขึ้นบันไดด้วยสภาพร่างกายที่ไร้เรี่ยวแรงเต็มที

"พลีส จะขึ้นไปทำอะไร"

"..."

"คิดจะทำอะไร ลงมาเลยนะ!"

ผมเริ่มโมโหแล้วแต่ไม่รู้จะทำยังไงให้อีกคนได้ยินเสียงของตัวเอง กำลังจะแผดเสียงดังเพื่อหยุดพลีสอีกครั้งแต่เขากลับเอ่ยบางคำออกมาก่อน

"พี่แสง..."

"..."

"ถ้าพี่ยังคงค้างคา พี่ต้องกลับมา"

"..."

"แล้วใช้ร่างของผมแก้ไขมัน"

ว่ายังไงนะ...

"พลีส!"

ทั้งพลีสและผมหันขวับมองเสียงเรียกของคนที่ปรากฏตัวขึ้น แน่นอนว่าเป็นตาม

ไม่รู้ว่าพลีสตกใจหรือเรี่ยวแรงสุดท้ายที่มีหมดลงแล้ว สองขาของพลีสที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดกลับหยุดชะงัก ปล่อยมือออกจากราวบันได และในตอนนั้น ร่างกายก็พลาดพลั้งพร้อมจะร่วงหล่นจากบันไดขั้นนั้น

"พลีส!"

ทั้งตามและผมร้องลั่นด้วยความตกใจ ผมไวกว่าจึงเข้าถึงตัวพลีสได้ก่อนแต่โชคร้ายที่สัมผัสแตะต้องอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันนั้น ตามก็ตรงเข้ามารับร่างพลีสเอาไว้ เรากอดกันกลิ้งตกลงบันไดไปทั้งหมด

 

 

"ตุ้บ!"

 

ลืมไปว่ายังไงผมก็ไม่เจ็บ แต่ด้วยความตกใจจึงเผลอหลับตาแน่น ทุกอย่างสงบเงียบไปชั่วครู่ ก่อนเสียงของตามจะตะโกนเรียกพลีสหลายต่อหลายครั้ง

"พลีส! พลีส!"

สติหวนคืนกลับมาตอนที่ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนที่จะมองเห็นคนตรงหน้าแล้วก็งงตาแตก กระพริบตามองให้ชัดแล้วเอ่ยปากเรียกเบาๆ

"เธอ"

"พลีส"

พลีส?

ผมเบิกตากว้าง ตอนที่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของตาม รีบลุกพรวดขึ้นแล้วสำรวจมองร่างกายของตัวเองด้วยความตื่นตกใจไม่ต่างอะไรจากครั้งแรกราวกับเหตุการณ์เดจาวู

ผมเข้ามาอยู่ในร่างพลีสอีกแล้ว!

"พลีส เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ปะ...เปล่า"

"พี่เห็นพลีสวิ่งมาที่นี่ เรียกก็ไม่ฟังก็เลยตามมาดู พลีสมาทำอะไรที่นี่"

"ไม่มีอะไรครับ แค่...มานั่งเล่น"

"นั่งเล่นที่นี่เนี่ยนะ น่ากลัวจะตาย ไปเหอะ"

ผมไม่ทันได้ตอบอะไร ตามก็ดึงมือผมให้เดินออกไปจากที่นี่ ผมมองเห็นรอยถลอกที่แขนของตาม น่าจะได้แผลมาตอนที่ร่วงหล่นจากบันได ตอนที่กำลังสนใจบาดแผลของตามอยู่ สองขาเลยหยุดเดินไปซะเฉยๆ จนกระทั่งคนที่เดินนำหันมามอง  ตามเลื่อนสายตามายังมือของเราที่จับกันอยู่ ก่อนจะรีบปล่อยออก

"ขอโทษ ไม่ชอบใช่ไหม"

"เปล่านะครับ จับได้ครับ จับได้" ผมยื่นมือไปให้ตามจับอีกครั้งแต่อีกคนได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เพื่อปฏิเสธ จึงต้องลดมือตัวเองลงช้าๆ

"พี่ตามเจ็บหรือเปล่า แขนพี่เป็นแผล"

"เลือดป่ะ?"

"ไม่เลือดครับ แค่ถลอก"

"งั้นไม่เป็นไร"

ผมพยักหน้ารับแต่แอบกลั้นยิ้ม ตามไม่กลัวเจ็บแต่กลัวเลือดขั้นรุนแรง กลัวแม้กระทั่งเลือดจากยุงที่โดนตบ แค่เลือดหยดเดียวจากปลายนิ้วที่โดนเจาะก็ทำเอาผู้ชายแมนๆ คนนี้หน้ามืดเป็นลมมาแล้ว เพราะฉะนั้นให้อยู่ห่างจากเลือดจึงดีที่สุด ผมจึงไม่ได้บอกให้ตามรู้ว่าภายใต้กางเกงขายาวที่สวมอยู่ ตอนนี้หัวเข่าของพลีสเป็นแผลลึกจนเลือดไหลไปถึงปลายเท้าแล้ว

"แล้วพลีสออกมาทำอะไรดึกๆ แบบนี้"

"ออกมาหาอะไรกินครับ หิวมากเลย"

"อ๋อ"

"พี่ตามเพิ่งเลิกงานเหรอ"

"ครับ งั้นไปกินข้าวด้วยกันไหม"

รีบตอบตกลงด้วยการพยักหน้าอย่างไม่ต้องคิด ผมลืมความเจ็บปวดที่ขาแล้วก้าวเท้าเร็วๆ เดินตามคนขายาวที่เดินนำไปยังร้านข้าวใกล้ๆ หอพักของตาม เป็นอีกหนึ่งร้านประจำของเราสองคนเพราะร้านจะเปิดถึงตีสอง เอาใจนักศึกษานอนดึก ผมกลับจากร้านเหล้าก็ต้องมาฝากท้องที่นี่ก่อนเข้าหอ หรือวันไหนอ่านหนังสือดึกๆ แล้วหิวก็เดินลงมาหาอะไรกินที่นี่ได้ง่ายๆ

ผมสั่งผัดกะเพราปลาหมึกเหมือนกับตามเพื่อความรวดเร็ว ในระหว่างที่นั่งรออาหาร ผมเอาแต่มองตามด้วยความรู้สึกตื้นตันแปลกๆ ความปรารถนาที่จะได้พูดคุยกับเขาอีกครั้งบังเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตามเงยหน้าขึ้นมองผมหลังจากที่รู้ตัวว่าถูกมอง ผมหลบสายตาไม่ทัน ก็เลยจ้องกลับด้วยรอยยิ้มกว้างๆ

"มองหน้าพี่ทำไม"

"เปล่าครับ"

ตามยิ้มกลับ ขณะที่ผมยังเอาแต่มองหน้าเขาอยู่ สมองก็พลันนึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้จึงพูดออกไปอย่างไม่ได้ไตร่ตรอง

"พี่ตาม"

"ฮึ?"

"ขอโทษนะครับที่คราวก่อนไม่ได้ไปตามนัด พอดีผมมีอุบัติเหตุนิดหน่อย ไม่ค่อยสบายก็เลยไม่ได้โทรบอกพี่"

ตามนิ่งไปอย่างเห็นได้ชัด รอยยิ้มดูฝืน และคำพูดที่เอ่ยอออกมาก็ถูกปะปนด้วยความสับสนอย่างรู้สึกได้

"พลีสเป็นอะไร"

"ครับ?"

"เป็นอะไรไป"

"..."

"พลีสลืมนัดของเราด้วยซ้ำ คราวก่อนพลีสยังบอกว่าพี่เข้าใจผิด"

"..."

"พลีสทำเหมือน...เหมือนว่าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น"

"..."

"แล้วคราวนี้มาขอโทษพี่ ทำแบบนี้พี่สับสนนะ ไม่เข้าใจเลย"

กลายเป็นผมที่นิ่งเงียบ เพราะผมไม่รู้ว่าตอนที่พลีสกลับมา พลีสได้พูดคุยอะไรกับตามไปบ้าง และอันที่จริงผมเองก็ไม่ควรพูดถึงเรื่องคราวนั้นที่ผ่านไปแล้วด้วยซ้ำ บ้าชะมัด

"คือ..."

"..."

"ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ" เรียกว่าหนีก็ไม่ผิดนัก ผมลุกพรวดจากโต๊ะแล้วตรงไปเข้าห้องน้ำของในร้าน ความคิดในหัววิ่งวนปนเปจนไม่รู้จะคิดถึงเรื่องไหนก่อน เดินวนไปวนมาแล้วรู้สึกเจ็บขาจึงดึงกางเกงขึ้นมาดู เลือดหยุดไหลแล้วแต่แผลนั่นลึกพอสมควร เดาว่ามันคงกระแทกกับขอบบันไดหรืออะไรสักอย่าง ผมรีบเปิดก๊อกน้ำล้างเลือดพวกนั้นออกจากขา แล้วล้างมือตัวเองให้สะอาด ขณะเงยหน้าขึ้นมองกระจก ใบหน้าของพลีสที่สะท้อนอยู่ในกระจกทำให้ผมรู้สึกว่า...นี่มันไม่ถูกต้อง

ผมไม่ควรกลับเข้ามาในร่างของพลีสอีก ไม่ควรกลับมาสร้างความสับสนให้คนรอบข้างพลีสอีก ได้แต่มองหน้าพลีสในกระจกและเค้นคำพูดเพื่อบอกกับตัวเองและย้ำให้เข้าใจว่ามันไม่ควรจะเป็นแบบนี้

"ออกมานะแสง"

"..."

"ออกมา"

"..."

"ออกมาเลยนะ!"

กระแทกหน้าตัวเองเข้ากับกระจกนั้นไปทีหนึ่งอย่างหมดหนทาง อยากจะลงไปดิ้นกับพื้นห้องน้ำแล้วร้องไห้ให้น้ำท่วมส้วมไปเลย ทำไงดีวะเนี่ย

"ออกมา"

"..."

"บอกให้ออกมา!"

"พลีส!"

ผมหันขวับมองตามที่อยู่ๆ ก็พรวดเข้ามาในห้องน้ำ ขณะที่ตัวเองยืนแข็งทื่อ หัวยังติดกระจกเพราะโขกเข้าไปเต็มๆ

"พี่เห็นเข้ามานาน ก็เลยมาตาม พลีสทำอะไรอะ"

"..."

"เมื่อกี้พี่ได้ยินพลีสบอก ให้อะไรออกมา"

"มีอะไรเข้าตาก็ไม่รู้ครับ มันไม่ยอมออก" ความสามารถในการแถนั้นแปรผันไปตามสถานการณ์คับขันเสมอ คิดอะไรได้ก็พูดออกไปก่อน

"แล้วทำไมต้องเอาหัวโขกกระจกด้วย ทำร้ายตัวเองทำไม มานี่ พี่ดูให้"

"คือ..."

"ข้างไหน"

"ซ้ายครับ"

ผมพูดจบ ตามก็โน้มตัวลงมา ใช้นิ้วแตะเปลือกตา ดึงขึ้นเบาๆ ด้วยสายตาที่จ้องมาอย่างตั้งใจ ด้วยใบหน้าที่ใกล้เกินกว่าเหตุ และนี่อาจจะเป็นครั้งแรกหลังจากที่ผมตาย ที่ผมได้รู้สึกถึงลมหายใจของใครบางคน

ไม่มีอะไรเข้าตาผมหรอก...แต่น้ำตาผมมันไหลออกมาเอง

"เจ็บมากเหรอ"

"น่าจะออกแล้วล่ะครับ ไม่เป็นไรแล้วครับ" ผมบอกปัดพลางยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา ตามเองก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ก่อนที่ผมจะผลักไหล่ตามให้เดินออกไปจากห้องน้ำกลับไปนั่งที่เดิมในตอนที่อาหารมาเสิร์ฟรอที่โต๊ะแล้ว

ตามไม่ได้พูดถึงเรื่องที่พูดค้างเอาไว้ก่อนที่ผมจะหนีไปเข้าห้องน้ำ ผมเองก็ไม่หวังให้ตามนึกถึงมันอีกเพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ในตอนนี้ได้แต่เหลือบมองคนตรงหน้าที่กำลังอร่อยอยู่กับอาหารจานนั้น ตามน่ารักเวลากินข้าว ผมย้ำคำนั้นและบอกให้ตามรู้อยู่เสมอ เป็นอีกครั้งที่ผมได้กลับมานั่งกินข้าวกับตาม แม้ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือไม่ควรรู้สึก แต่ผมก็ลอบยิ้มออกมาไม่หยุด 

 

"พี่แสง ถ้าพี่ยังคงค้างคา พี่ต้องกลับมา แล้วใช้ร่างของผมแก้ไขมัน"

 

คำพูดของพลีสลอยเข้ามาในหัว ก่อนที่ผมจะปล่อยตัวเองจมไปกับความคิด ไม่รู้ว่าบังเอิญหรือตั้งใจ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใดหรืออาจเป็นเพราะความปรารถนาของพลีสที่ให้โอกาสผมกลับมา เพื่อทำในสิ่งที่ผมยังค้างคา สิ่งใดที่ผมจะต้องแก้ไขมัน สิ่งใดที่ผมจะต้องปล่อยวาง และเพื่อเหตุผลบางอย่าง ผมจะต้องทำบางสิ่งที่มันอาจจะขัดกับทุกกฎเกณฑ์ใดๆ ภายใต้เรื่องราวเหล่านี้...

 

ผมจะต้องบอกให้ตามรู้ว่าผมคือใคร

 

To be continued.

 
___________________________________________________________________
 

ขอขอบคุณ พี่มินท์ และ ซันนี่ ซี แขกรับเชิญกิตติมศักดิ์จากเรื่องรักนี้ผีไม่เกี่ยว คิดถึงน้าาา
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-07-2019 00:18:03
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-07-2019 00:20:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-07-2019 00:51:08
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 31-07-2019 01:51:32
กลัวตามจะชอบพลีส แล้วพี่หมอจะคู่ใคร
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-07-2019 02:01:55
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 31-07-2019 09:17:55
ควรบอกตั้งแต่แรกไหมล่ะ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป
ปล.พี่ซีก็มา เป็นฝรั่งอ้วนอีกต่างหาก โอยขำ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 31-07-2019 18:34:24
ทั้งลุ้นทั้งเศร้าไปพร้อมกัน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-07-2019 20:00:53
เศร้าอ่ะ แต่มันก็จริงนะต่างคนต่างยึดติด มันก็ทุกข์ด้วยกันทั้งคู่
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 31-07-2019 21:15:46
พลีสอยากชดใช้ ให้แสง พยายามให้สำเร็จ ทั้งผี ทั้งคน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ป่ามป๊ามป่ามปาม ที่ 01-08-2019 19:46:49
แสงรีบๆบอกเลยก่อนที่คนอื่นจะสับสนมากกว่านี้ แต่ถ้าบอกไปอาจจะช็อกกันได้ แต่เชื่อว่าต้องพิสูจน์จนได้ว่าเป็นแสงจริงๆ ทีนี้ก็จะเคลียร์กันสักที
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 01-08-2019 20:16:56
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 01-08-2019 21:16:06
 :z13:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: NongJesZa ที่ 01-08-2019 23:17:19
จะร้องไห้อะ  :hao5: ตื่นเต้น รอๆๆๆ สนุกมาก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 03-08-2019 09:02:03
สงสารทั้งตามทั้งแสง ต้องติดอยู่กับความรู้สึกเก่าๆ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 15-- 30/07/19
เริ่มหัวข้อโดย: sang som ที่ 04-08-2019 01:16:11
สงสารทุกคนเลย หน่วงมากๆ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 05-08-2019 23:45:11
ตอนที่ 16
ถ้าเธอไม่เชื่อคำพูดเรา ก็เชื่อความรู้สึกของตัวเองสิ

 

สิ่งเดียวที่ไม่ชอบเลยเวลาอยู่ในร่างของพลีสคือการต้องไปโรงเรียน ด้วยชีวิตเลยวัยมัธยมมานานมากและผมก็ขี้เกียจตื่นแต่เช้าด้วย

"น้องพลีส เร็วหน่อยค่ะ สายแล้วนะ"

"ครับๆ" ผมตอบรับตอนที่เดินลงมาจากบันไดขณะที่ยังแต่งตัวไม่เรียบร้อยดี เมื่อพี่หน่อยเห็นอย่างนั้นก็เดินตรงเข้ามาหา น้ำเสียงบ่นปนตำหนิเล็กน้อยที่ผมตื่นสายจนทำอะไรไม่ทัน พลางยื่นมือมาติดกระดุมเสื้อให้ทุกเม็ด และกำลังจะจับชายเสื้อยัดเข้าใส่กางเกงแต่ผมเบรกเอาไว้ก่อน

"พี่หน่อย! ผมทำเอง!"

"ทำไมล่ะคะ"

"ผมทำเองได้ ผมโตแล้วนะ" ว่าแล้วก็ขยับตัวหลบ ก่อนจะยัดชายเสื้อเข้ากางเกงแล้วจัดให้เรียบร้อย

"ทำเป็นเขิน อย่างกับหน่อยไม่เคยทำให้"

"ก็พี่หน่อยมัวแต่ทำทุกอย่างให้แบบนี้ พลีสก็เลยไม่โตสักที อะไรที่พลีสทำเองได้ก็ให้พลีสทำเองสิครับ"

พี่หน่อยนิ่งมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยิ้มออกมานิดๆ คงรับรู้ได้ถึงความผิดปกติในตัวพลีสอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นพี่หน่อยก็ไม่ได้ว่าอะไร

"โอเคค่ะ คราวหน้าหน่อยจะให้น้องพลีสทำเอง แต่วันนี้เราต้องไปโรงเรียนกันแล้วค่ะ สายมากแล้ว"

"กินข้าวไม่ทันแล้วใช่ไหมครับ"

"ไม่ทันค่ะ หน่อยทำแซนด์วิชให้ไปทานบนรถค่ะ"

"ไส้ทูน่าหรือเปล่า"

"ทูน่าค่ะ"

ผมแสดงท่าทางดีใจก่อนวิ่งไปรอบนรถ พี่หน่อยจัดการปิดบ้านแล้วก็ตามออกมาก่อนจะไปส่งผมที่โรงเรียนได้ทันเวลาพอดี ในระหว่างทางที่กำลังเดินไปยังห้องเรียน นักเรียนในห้องที่เดินมาพร้อมๆ กันหันมายิ้มให้ผมบ้าง หันมาทักผมบ้างก็มี

"หวัดดีพลีส"

"หวัดดี" ผมตอบกลับโดยอัตโนมัติด้วยการสวมบทบาทเป็นพลีสอย่างเต็มรูปแบบ และแอบแปลกใจเล็กน้อยที่

พลีสมีความสัมพันธ์ระหว่างคนในห้องขึ้นมาบ้าง ไม่ได้ถูกเมินเหมือนเก่า...ทำได้ดีเหมือนกันนะพลีส

ในตอนที่กำลังพึงพอใจกับความเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวนั้น ร่างผมก็ถูกไอ้ข้าวปั้นอันธพาลตัวโตแกล้งชนเข้าจังๆ จนไปติดกำแพง เจ็บจนเผลอร้องออกมาเสียงดัง

"เจ็บเหรอ"

"เจ็บดิ!"

"เอาคืนดิ" มันว่าพลางยิ้มกวนประสาท และในตอนที่มันกำลังเดินเข้าห้อง ผมก็ยกกำปั้นเล็กๆ ของพลีสทุบเข้ากลางกบาลมันเต็มๆ แรง

"โอ๊ย!" ไอ้ตัวใหญ่ร้องลั่นจนคนทั้งห้องหันมามอง

"เอาคืนไง"

"มึงกล้าสวนกูเหรอ"

"มึงทำกูก่อนอะ!"

ไอ้ปั้นนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกระพริบตามองผมคล้ายว่ากำลังพิจารณาบางสิ่ง ก่อนจะโน้มตัวลงมากระซิบถามเบาๆ

"เอาอีกแล้วเหรอมึง"

"อะไร"

"ผีเข้าอีกแล้วไง ผีตัวเดิมป่ะเนี่ย"

"เออ คิดถึงกูไหม มาให้กูกอดหน่อยเร็ว!" ผมใช้จังหวะนั้นคว้าคอมันที่โน้มตัวอยู่แล้วดึงเข้ามาแนบตัว ก่อนใช้อีกมือขยี้หัวมันเต็มแรง

"ไอ้พลีส! ไอ้เชี่ย!" แรงของพลีสไม่ได้มากพอที่จะแกล้งมันต่อได้นาน แค่มันสะบัดตัวนิดหน่อยก็หลุดออกจากแขนของผม ก่อนรีบวิ่งเข้าห้องไปนั่งที่ ผมหันมองหัวยุ่งๆ กับใบหน้ายับๆ ของมันที่มองผมอย่างหวาดระแวงแล้วหลุดหัวเราะออกมา ตัวมันก็ได้แต่ยกมุมปากขึ้นยิ้มนิดๆ ไอ้อันธพาลข้าวปั้นเอ๊ย

 

โคตรจะไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเวลาที่ผมมาเข้าร่างพลีส มันต้องตรงกับวันที่มีสอบคณิตทุกที ผมไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจและไม่มีความรู้ใดในสมองเหมือนเช่นเคย เลยสร้างความพังพินาศให้พลีสอีกครั้ง หวังว่าพลีสจะทำใจได้ตอนที่ได้เห็นคะแนนของตัวเอง ผมถอนหายใจสุดแรงหนึ่งทีตอนที่เดินออกมาจากห้อง ก่อนหันมองไอ้ปั้นที่เดินตามมา

"เป็นอะไร ดูทำหน้า"

"ทำข้อสอบไม่ได้"

"เออ หน้าหลังโคตรยากเลย"

"ฮะ! มีหน้าหลังด้วยเหรอวะ"

"อะไรของมึงวะเนี่ย ไม่ได้เปิดดูเลยหรือไง"

ผมได้แต่ส่ายหน้าหน่อยๆ แค่หน้าแรกก็เกือบจะส่งกระดาษเปล่าอยู่แล้ว มันไปมีหน้าหลังตอนไหนไม่ทราบ! ทำได้แค่ทำใจเลยต้องปล่อยวาง เดี๋ยวพอพลีสกลับมาก็ค่อยมากอบกู้คะแนนวันหลังก็แล้วกัน พี่ขอโทษจริงๆ นะ

ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะก้าวเท้าตั้งใจจะเดินไปหาอะไรกินที่โรงอาหารเพราะถึงเวลาพักกลางวันพอดี แต่มือถือในกระเป๋าที่กำลังสั่นก็ดึงความสนใจของผมไปก่อนจึงต้องหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าเป็นไลน์จากพี่ต่อ

 

พี่ต่อ : เย็นนี้เจอกันที่คลินิกนะครับ

 

นั่นแน่! ความสัมพันธ์พัฒนาไปขนาดที่ว่านัดเจอกันแบบนี้ได้แล้วเหรอ แม้ว่าจะเป็นผมที่อยู่ในร่างของพลีส แต่ผมจะพยายามไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพลีสกับพี่ต่อต้องชำรุดหรือเสียหาย ต้องรักษาไว้ซึ่งความสัมพันธ์นั้นเลยต้องตามน้ำไปก่อน ด้วยการตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว

 

พลีส : ครับ

 

ดูห้วนไปหน่อยไหมนะ น่าจะต้องตามด้วยสติกเกอร์สักตัว ตัวไหนดี ปกติพลีสใช้ตัวไหนบ่อยๆ นะ

"ไอ้พลีส!"

"เฮ้ย!" ผมโวยลั่นตอนที่ไอ้ปั้นเข้ามาตบหลังเสียงดังป้าบ มือที่กำลังเลื่อนเลือกสติกเกอร์ พลาดกดส่งไปให้พี่ต่อแล้วด้วยสติกเกอร์โคนี่ส่งจูบเป็นรูปหัวใจ สองตัวติดๆ...โคตรแรด

"ไอ้พลีส กูรู้แล้วว่ามึงเป็นอะไร"

"อะไร" ผมยัดมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วหันไปถาม

"โรคสองบุคลิก"

"ฮะ?"

"กูวิเคราะห์มาแล้วด้วยสมองอันชาญฉลาดของกู มึงมีบุคลิกที่สองที่มันแสดงออกมาโดยที่มึงไม่รู้ตัว อย่างที่มึงกำลังเป็นอยู่ที่ไง กูรู้หมดแล้วไม่ต้องมาปิดบังกู"

"เออ แล้วแต่มึงเลย"

"อ้าว! อะไรวะ แล้วมึงจะไปไหนเนี่ย"

"กินข้าวดิ"

"นี่ไง บุคลิกที่สองของมึงชัดมาก เพราะปกติมึงไม่กินข้าว กูรู้ๆ"

"วันหลังมึงก็นั่งกินข้าวเป็นเพื่อนกูดิ"

"เรื่องอะไร กูก็ไปกินกับเพื่อนกูดิ ทำไมต้องไปกินกับมึง"

"ก็กูไม่มีเพื่อนไง"

"ชินได้แล้ว" มันพูดแค่นั้น ผลักหัวผมทีหนึ่งก่อนจะเดินออกไป ผมไม่ได้สนใจอะไร เดินตรงไปที่โรงอาหารและร้านป้าพุกก็เป็นตัวแรกที่ผมเลือก ได้ข้าวแล้วก็มองหาที่นั่ง ในจังหวะเดียวกันกับที่ผมกำลังหย่อนตัวลงนั่ง ข้าวจานหนึ่งก็ถูกวางบนโต๊ะ ก่อนเจ้าของจานจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

"ข้าวปั้น"

"โต๊ะเพื่อนกูมันเต็มอะ นั่งไม่พอ"

ผมหันมองไปยังกลุ่มเพื่อนของไอ้ปั้นที่มีเก้าอี้ว่างพอที่จะนั่งได้ทั้งทีมฟุตบอลด้วยซ้ำ แต่ไอ้เด็กนี่ก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ตักข้าวกินไม่พูดไม่จา นิสัยร้ายๆ ของมันถูกตีกระจายด้วยความน่ารักเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่จนน่าเอ็นดู เลยเผลอยกมือขยี้หัวมันเบาๆ อย่างมันเขี้ยว

"น่ารักเหมือนกันนะเราเนี่ย"

มันตีมือผมเบาๆ แล้วปัดออก มองตาขวางๆ แล้วก้มลงกินข้าวเต็มปาก ก่อนมุมปากของแก้มตุ่ยๆ นั่นจะยิ้มออกมาบางๆ มันไม่ใช่ข้าวปั้นที่คอยแต่จะแกล้งพลีสตลอดเวลาเหมือนเก่า เรื่องราวตรงนี้ก็เปลี่ยนไปแล้วเหมือนกันสินะ ถึงจะเป็นไอ้เด็กเกเรขี้โวยวายไม่น่าคบก็เถอะ แต่อย่างน้อยๆ...ก็มีเพื่อนแล้วนะพลีส

 

...

 

            หลังเลิกเรียน ผมมาที่คลินิกของพี่ต่อตามนัด แต่พี่ต่อยังติดคนไข้อยู่ก็เลยให้ผมเข้ามานั่งรอที่ห้องพักก่อน เกือบสิบนาทีที่ผมรออยู่ ก่อนจะมีคนเปิดประตูเข้ามา

 

"ครืด"

 

ผมหันมองคนที่เลื่อนประตูเปิดเข้ามาแต่ว่าไม่ใช่พี่ต่อ เป็นตามที่หันมายักคิ้วให้ทีหนึ่งตอนที่เข้ามาเจอผมราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมอยู่ที่นี่ ผมไล่สายตามองตามที่สวมเสื้อยืดสีซีดกับกางเกงวอร์มและรองเท้าแตะง่ายๆ มือหนึ่งหิ้วถังน้ำ อีกมือถือไม้ถูกพื้น ยัดผ้าขี้ริ้วเอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง อีกข้างเป็นน้ำยาเช็ดกระจก

"รับจ้างทำความสะอาดด้วยเหรอครับ"

"ทำทุกงานที่ได้เงิน"

ตามพูดขำๆ แล้วหันไปจริงจังกับการทำความสะอาด วางถังน้ำไว้ที่มุมหนึ่งแล้วเริ่มต้นด้วยการถูกพื้นจากอีกฝั่ง ไม่ได้สนใจผมที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้ ในขณะเดียวกันผมก็พลันคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว

ผมต้องคุยกับตาม...มีเรื่องที่จะต้องบอกกับเขา

"หลบดิ"

"ฮะ?"

"หลบหน่อย"

เพราะมัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรไปไกล จึงไม่ทันได้เห็นว่าตามถูพื้นมาจนถึงตรงที่ผมนั่งอยู่ กำลังจะทำตามคำสั่งที่บอกให้หลบแต่คงไม่ทันใจ ตามจึงยกสองขาผมรวบขึ้นจนตัวลอยเกือบหล่นเก้าอี้

"เฮ้ย!"

"ป้าบ!"

"โอ๊ย!"

ตามร้องลั่นตอนที่ผมยกมือฟาดด้วยความเคยชิน มันเป็นการโต้ตอบโดยอัตโนมัติตอนที่ถูกตามแกล้งก็เลยไม่รู้ตัวคนถูกตีทำหน้างง คงคิดไม่ถึงว่าผมจะทำแบบนั้น

"พลีสตีพี่เหรอ"

"ใช่"

ตามเม้มริมฝีปากดูเคืองๆ ก่อนจะใช้ไม้ถูกพื้นแกล้งถูแรงๆ มาชนกับเท้าของผม จนต้องลุกขึ้นหลบ

"พี่แกล้งผมเหรอ"

"ใช่"

ผมยกกำปั้นต่อยแขนตาม ขณะที่ตามก็หันมาโต้ตอบทันทีด้วยการดีดหน้าผากผมเต็มแรง สงครามกำลังก่อตัวด้วยความรุนแรง ผมง้างมือทำท่าจะตบกลับอีกสักที แต่พี่ต่อเปิดประตูเข้ามาขัดจังหวะซะก่อน มองดูเราสองคนสลับกันไปมา

"ทะเลาะกันเหรอ"

"พี่ตามแกล้งผม"

"ก็พลีสตีพี่ก่อน"

"ก็พี่แกล้งผมอะ"

"แกล้งอะไร ก็แค่บอกให้หลบ"

"ก็พี่ทำผมเกือบตกเก้าอี้อะ!"

เราทั้งคู่พากันโวยวายใส่ราวกับเด็กที่กำลังต่างคนต่างฟ้องพี่ต่อ ผมแอบคิดอยู่ในใจว่าพี่ต่อจะเข้าข้างใครระหว่างน้องชายของเขากับคนที่ตัวเองชอบ ในขณะเดียวกันก็ย้อนคิดไปถึงตอนที่ผมยังมีชีวิต ทุกครั้งที่เถียงกับตามต่อหน้าพี่ต่อ ก็จะถูกห้ามปรามอย่างคนที่มีเหตุผลและใจเย็นอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าพี่ต่อจะยังจำได้อยู่ไหม...

 

"ใครยอมแพ้ก่อนชนะนะ"

 

ทั้งผมและตามพากันเงียบ หลังจากได้ยินประโยคนั้น เป็นคำพูดนั้น...ที่เราได้ยินจากปากของพี่ต่ออยู่เสมอ ผมหันมองหน้าตาม ในตอนที่ตามก็หันมาสบตา ราวกับว่าเรากำลังเข้าใจซึ่งกันและกัน เพียงแต่ว่าผมที่ยืนอยู่ตรงนี้ดันไม่ใช่แสงก็เท่านั้นเอง

"ยอมให้ก็ได้" ตามพูดแค่นั้นแล้วหยิบไม้ถูกับถังน้ำเดินออกไปจากห้อง ผมได้แต่ทำหน้าย่นใส่ตามหลัง ก่อนที่ตามจะหันขวับกลับมาจึงต้องปรับสีหน้าเป็นปกติ แต่คนที่ย้อนกลับมาไม่ทันได้สนใจเพราะตั้งใจมาพูดกับพี่ต่อ

"เสร็จแล้ว ไปนะ"

"พรุ่งนี้มาอีกนะ"

"จ่ายเงินด้วย"

"ใส่ไว้ให้ในกระเป๋าแล้ว"

"ขอบคุณครับ"

พี่ต่อส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะหันมาหาผม

"น้อง วันนี้พี่คงไม่ได้ติวให้แล้ว"

"อ้าว ทำไมล่ะครับ"

"พี่มีคนไข้เข้ามา ไม่อยากให้น้องรอนาน เอาไว้วันหลังได้ไหมครับ"

"วันหลังก็ได้ครับ"

"ไม่โกรธนะ"

"ไม่โกรธครับ"

"เดี๋ยววันหลังพี่พาไปเลี้ยงไอติม"

"สัญญาแล้วนะ งั้นวันนี้ผมกลับก่อนนะครับ" ผมว่าก่อนจะหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง แต่เสียงของพี่ต่อหยุดผมเอาไว้ก่อน

"เออ น้อง"

"ครับ?"

"สติกเกอร์ที่ส่งมา น่ารักดีนะ"

"..."

"เหมือนน้องเลย" เสียงทุ้มอบอุ่นกับมือนุ่มที่ยกขึ้นบีบแก้มผมเบาๆ ทีหนึ่งในระยะเวลาอันสั้นนั้น ได้สร้างพลังทำลายล้างที่ดูเหมือนว่าจะพาให้ผมเผลอเคลิ้มไปนิดหน่อย

พี่ต่อนี่มันแบบ...

"ไปนะครับ" พูดแค่นั้นแล้วเลื่อนประตูออกมาจากห้องพัก ใจเต้นตึกตักอย่างไม่มีเหตุผล ผมไม่ได้ชอบพี่ต่อสักนิด หรือว่า...เพราะมันเป็นหัวใจของพลีสกันนะ มันเลยมีความสุขขนาดนี้

"เป็นไรเขี้ยวกุด"

ผมหันขวับมองตามที่เอ่ยทัก รวบริมฝีปากที่กำลังยิ้มแล้วปรับสีหน้าเป็นปกติ ส่ายหน้ายิกๆ ปฏิเสธส่งๆ แต่ไม่วายถูกแซวด้วยน้ำเสียงกวนๆ

"เขินบิดเลยน้า"

"อะไรเล่า!"

ตามยักไหล่หน่อยๆ ก่อนยกกระเป๋าในมือขึ้นสะพายแล้วเดินออกจากคลินิกไป ผมเองก็รีบเดินตามไปด้วย ใจคิดแต่ว่าต้องหาโอกาสคุยกับตามให้ได้

"พี่ตาม!"

"อะไร ตามมาทำไมเนี่ย"

"ไปกินข้าวกันไหมครับ"

"กินข้าว ตอนนี้อะนะ"

"ผมเลี้ยง"

"พี่เลือกร้าน"

ผมหลุดหัวเราะตอนที่อีกคนโต้ตอบกลับมาทันควันตอนที่บอกจะเลี้ยง เมื่อก่อนไม่ยอมให้ผมจ่ายเงินค่าข้าวสักมื้อ เดี๋ยวนี้ยอมให้เด็กเลี้ยงข้าวซะงั้น ผมเคยบอกว่าตามเหมือนหมูที่สวมหน้ากากมนุษย์เพราะตามจะตัวนุ่มนิ่ม จ้ำม่ำ แก้มก็พอง พุงก็ป่อง น่ารักเป็นบ้า แต่ว่าตอนนี้...มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว 

ตามเดินนำผมมายังร้านข้าวมันไก่ที่ไม่ไกลจากคลินิกมาก แต่ก่อนที่จะเดินเข้าร้านข้าวก็แวะสั่งลูกชิ้นปิ้งที่ขายหน้าร้านแล้วให้ผมยืนรอ ส่วนตัวเองตรงเข้าไปสั่งข้าวมันไก่และพูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างดูสนิทสนม เมื่อผมได้ลูกชิ้นปิ้งที่สั่งแล้วก็เดินไปนั่งกับตาม ในตอนที่ข้าวมันไก่ถูกยกมาเสิร์ฟพอดี

"โห ทำไมได้เยอะจัง จานละเท่าไรเนี่ย" ปริมาณข้าวมันไก่ในจานนั่นเยอะจนผมเผลอส่งเสียงแปลกใจ

"พี่เคยเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่อะ เขาก็เลยให้เยอะ"

"พี่ตามทำงานเยอะจัง ทำมาหมดทุกอาชีพแล้วมั้งเนี่ย" ผมว่าพลางหยิบช้อนกับส้อมส่งให้ตาม

"หาเงินเที่ยว"

"จะเที่ยวไปถึงไหน ทำไมไม่หางานทำดีๆ แล้วก็เคยบอกว่าอยากต่อโทไม่ใช่เหรอ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงปนตำหนิเล็กน้อย ก่อนจะตักไก่ที่มีชิ้นติดหนังในจานตัวเองไปใส่จานตาม เพราะผมไม่ชอบกินหนังแต่ตามโปรดปราณอะไรที่มันก่อไขมันได้ง่ายๆ ผมไม่รู้ตัว ทำไปเพราะความเคยชิน แต่ความเคยชินนั้น มันส่งผลให้อีกคนที่ไม่ชินถึงกับนิ่งไปชั่วขณะ ผมชะงักมือที่กำลังตักไก่ให้ตาม แล้วแถออกไปข้างๆ คูๆ

"ผมไม่กินหนัง คิดว่าพี่คงชอบ พี่ไม่ชอบเหรอ เอาคืนก็ได้"

ตามยกมือขึ้นจับมือผมที่กำลังจะตักไก่คืน หัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากันทำให้ใบหน้านั่นดูเคร่งขรึมแปลกๆ ตามคงไม่คิดสงสัยอะไรเพียงเพราะตักไก่ติดหนังให้หรอกนะ

"พี่ตาม ผมแค่คิดว่าพี่คงจะชอบ..."

"รู้ได้ยังไงว่าพี่อยากต่อโท"

"ครับ?"

"เมื่อกี้ที่พลีสพูดไง"

ย้อนคิดถึงคำพูดเมื่อวินาทีก่อนที่ผมไม่ทันจะรู้ตัว เพราะเอาแต่บ่นอะไรไปเรื่อยเปื่อย จึงพบว่าตัวเองทำพลาดครั้งใหญ่ด้วยการพูดออกไปแบบนั้นแล้วหาข้อแก้ตัวไม่ทันจึงได้แต่อ้ำอึ้ง

"พี่ต่อบอกเหรอ"

"ครับ พี่ต่อบอก"

"ช่วงนี้คุยกับพี่ต่อเยอะเลยสินะ"

ผมพยักหน้าหน่อยๆ ก่อนที่ตามจะปล่อยมือผมออก ลอบถอนหายใจเบาๆ ตอนที่ตามไม่ได้ถามอะไรต่อแล้วก็ตักข้าวใส่ปาก ผมลังเลว่าจะหาโอกาสบอกตามยังไง ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่จังหวะที่เหมาะสม อยู่ดีๆ ถ้าผมพูดว่าตัวเองคือแสง เป็นวิญญาณที่ตายแล้วแต่ยังไม่ไปไหนและสุดท้ายก็มาเข้าร่างเด็กคนนี้เพราะต้องการที่จะพูดคุยกับเขา ตามคงจะเชื่อหรอก แต่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลาอยู่ที่นี่มากพอขนาดนั้น ถ้าผมยังไม่พูด ผมอาจจะเสียโอกาสครั้งนี้ไป หรือไม่บางที อาจจะไม่มีโอกาสแล้วก็ได้... 

เอาวะ!

"พี่ต่อไม่แก่ไปหน่อยเหรอ"

"ฮะ?" สติหลุดตอนตามพรวดขึ้นมาก่อน ไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าพูดอะไร

"ห่างกันสิบบวก"

"อะไรสิบบวก"

"อายุของพี่ต่อกับพลีสไง ห่างกันสิบกว่าปี"

"พี่ต่อหน้าเด็กกว่าพี่ตามอีก"

"เดี๋ยวก็ต่อยเหล็กหลุดเลย"

"หลุดก็ดี จะได้ไปหาพี่ต่อที่คลินิก"

"เหอะ!" ตามทำหน้าไม่พอใจ ก่อนจะตักข้าวใส่ปากคำใหญ่

"ทำไมล่ะ ไม่ชอบพลีสเหรอ"

"เปล่า"

"หรือว่าหวงพี่ต่อ"

"อือ"

"ก็น่าหวงอยู่หรอก พี่ต่อทั้งหล่อ อบอุ่น หุ่นดี ยิ้มหวาน แถมยังใจดี...อื้อ!" คำพูดผมชะงักด้วยการที่ตามตักไก่สองสามชิ้นยัดใส่ปากผม

"อี๋! ติดหนังด้วย!"

"กินๆ เข้าไป พูดอยู่ได้ ปกติไม่พูดมากขนาดนี้นี่เราอะ"

ผมกำลังจะอ้าปากเถียง แต่เสียงมือถือของตามดังขัดขึ้นมาก่อน เมื่อเจ้าของหยิบมือถือขึ้นมาดู ดวงตาก็เบิกกว้าง ดูตกใจจนแทบจะสำลักข้าวที่กินเข้าไปคำโต

"ฉิบหายละ!"

"มีอะไรเหรอ"

"ลืมไปทำงาน โดนด่าแน่เลย พี่ไปก่อนนะ"

"อะ...อ้าว"

"เสียดายไก่" ตามว่าแล้วตักไก่ในจานที่เหลืออยู่ยัดเข้าไปคำเดียวจนแก้มจะแตก

"เดี๋ยวก็ติดคอหรอก!"

"ไปละ!" ควักแบงก์ร้อยใบหนึ่งวางบนโต๊ะ ก่อนจะรีบวิ่งออกไปจนผมเรียกเอาไว้ไม่ทัน

"ก็บอกว่าจะเลี้ยงไง" ผมพูดเบาๆ ก่อนยื่นมือไปหยิบเงินนั่น สายตาพลันไปเห็นถุงลูกชิ้นปิ้งที่ตามยังไม่ได้แตะสักคำ ดูเหมือนว่าจะอยากกินมากด้วย ช่วยไม่ได้แฮะ หาเรื่องเอาไปให้ที่ทำงานดีกว่า

ผมหลุดยิ้มก่อนลุกไปจ่ายเงินค่าข้าวมันไก่แล้วเดินออกมาจากร้าน ใจคิดแต่ว่าจะไปหาตาม ก่อนที่สองขาจะหยุดชะงักเมื่อต้องเลือกทางที่จะไปต่อ

ตามไปทำงานที่ไหนวะ

ด้วยความที่ตามทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง รับพาร์ทไทม์เยอะจนผมไม่แน่ใจว่าที่ตามรีบร้อนออกไปนั่นคือที่ไหน ก็เลยต้องไปทุกที่ เริ่มจากร้านกาแฟก่อนเพราะอยู่ใกล้ แต่พนักงานในนั้นบอกว่าตามไม่ได้ทำงานวันนี้ ผมจึงไปต่อที่ร้านตัดผมเพราะเป็นทางผ่านก่อนจะถึงร้านสะดวกซื้อ เช่นกันว่าไม่เจอตามที่นั่น แต่เจอสิ่งมีชีวิตสุดแสนน่ารักอย่างเจ้าหมาสามตัวที่เดาว่าน่าจะเป็นแม่ลูกกัน ทั้งหมดตัวซูบผอมเหมือนไม่ได้กินอะไรมาหลายวันโดยเฉพาะตัวแม่ คนรักหมาอย่างผมไม่อาจมองดูแล้วผ่านไปเฉยๆ นั่งลงลูบหัวเด็กๆ พวกนั้นที่ดูเชื่อง ในมือของผมมีลูกชิ้นปิ้ง แต่กลับลังเลที่จะยกให้หมาเพราะว่ามันเป็นของตาม

หมาหรือตาม...หมาหรือตาม...

"ขอโทษนะที่รัก หมาดูหิวกว่าเธอเยอะเลย" ผมว่าก่อนจะหยิบลูกชิ้นปิ้งทั้งหมดนั่นรูดออกจากไม้ให้หมาพวกนี้กิน มองดูเจ้าสามตัวกินอย่างเป็นระเบียบไม่แย่งกัน อดยิ้มกับความนิสัยดีของเจ้าหมาจรจัดพวกนี้ไม่ได้ สุดท้ายเมื่อพวกมันกินหมดก็เลยลุก บอกลาแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น

ไม่มีข้ออ้างไปหาตามแล้วแต่ก็ยังอยากไปหาอยู่ดี ไหนๆ ก็ไหนๆ เดินไปอีกหน่อยก็ร้านสะดวกซื้อแล้ว เลยทำตามใจตัวเองด้วยการแอบไปดูตามทำงานสักหน่อย แต่ในตอนที่ผมเดินเข้าไปไม่ได้มีใครหันมาสนใจเพราะลูกค้าในร้านค่อนข้างเยอะ ผมหลบเข้าไปในมุมชั้นวางของเพื่อมองดูตามในบทบาทของพนักงานร้านสะดวกซื้อ

ในขณะนั้นก็มีลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาสั่งบุหรี่ยี่ห้อหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าตามจะไม่รู้จักเลยทำหน้าเอ๋อไปครู่หนึ่ง ก่อนหันซ้ายหันขวา ในขณะที่ทุกเคาน์เตอร์กำลังวุ่นๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาพอดี ตามจึงเอ่ยปากถามกับผู้ชายคนนั้น ไม่เพียงแค่บอก แต่ชายคนนั้นเดินไปหยิบบุหรี่แล้วคิดเงินให้ลูกค้าด้วยตัวเอง ก่อนจะหยิบป้ายงดให้บริการเคาน์เตอร์มาวางแล้วเรียกตามไปที่หน้าห้องพนักงาน ผมขยับตัวหลบอีกชั้นใกล้ๆ เพื่อให้ได้ยินบทสนทนานั่น

"มึงทำงานมานานแค่ไหนแล้ว ยี่ห้อบุหรี่แค่นี้มึงจำไม่ได้เหรอ ต้องให้บอกอีกกี่ครั้ง"

"ขอโทษครับ"

"แล้ววันนี้มึงก็มาสายอีก มึงไม่รู้เหรอวะว่าตัวเองต้องทำงานกี่โมง เดือดร้อนคนอื่นเขาต้องมาอยู่กะแทนเนี่ย ไม่สำนึกบ้างเหรอ ความรับผิดชอบอะไรไม่เคยมี เรื่องแค่นี้มึงทำไม่ได้มึงก็ออกไปเลยไป"

"ผมขอโทษครับ"

"ไปถูพื้นไป"

"ครับ" ตามรับคำแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าไปในห้องนั้น ก่อนที่ผู้ชายคนนั้นจะพูดอีกประโยคที่ดังพอจะให้คนอื่นได้ยินทั่วกัน

"กระจอกอย่างมึงจะไปทำมาหาแดกอะไรได้วะ"

กลายเป็นผมที่โกรธจนมือสั่นเพราะไอ้นั่นบังอาจมาต่อว่าตาม ซ้ำยังพูดต่อหน้าคนอื่นทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะมายืนด่าตรงนี้ด้วยซ้ำ ตามของผมไม่สมควรที่จะโดนดูถูกแบบนี้

ผมรีบก้าวเท้าออกมาจากร้านด้วยความโกรธที่พุ่งถึงขีดสุด ถ้าตอนนี้เป็นผีจะหลอกไอ้นั่นให้หัวโกร๋นแต่ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากยืนกำหมัดแน่นด้วยความโมโห ขณะที่ผมกำลังโกรธ ไอ้เวรนั่นก็เดินออกมาจากร้านเพื่อสูบบุหรี่ ผมรีบหันหลังให้ก่อนในใจจะคิดอะไรได้บางอย่าง  ผมถูกสอนให้ทำดีมาทั้งชีวิต แต่คิดบาปก็สักครั้งคงไม่เป็นไร จะสาปส่งให้ผมตกนรกก็ได้แต่ครั้งนี้ผมขอละกัน 

ผมเหลือบตามองไอ้คนที่หันหลังสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหามันแล้วยกมือข้างหนึ่งฟาดกบาลเข้าไปเต็มๆ

"เฮ้ย! ไอ้ปั้น!"

"ป้าบ!"

"โอ๊ย!" ไอ้ตัวโตร้องลั่นยกมือกุมหัวตัวเองก่อนหันขวับมาหาผมอย่างดูเอาเรื่อง บทบาทที่คิดเอาไว้ในแผนตั้งแต่แรกก็เริ่มแสดงด้วยความสามารถในการแถที่ผมสั่งสมมานาน

"ขอโทษครับ! ผมนึกว่าเป็นเพื่อน!"

"น้องตบหัวพี่เต็มๆ เลยนะ!"

"ผมจำผิด คิดว่าพี่เป็นเพื่อนผมน่ะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ" ทำท่าร้อนรนราวกับสำนึกผิด ใบหน้าของพลีสน่ารักอยู่แล้ว แค่ทำเป็นอ้อนหน่อยๆ ก็เรียกร้องความสงสารให้อีกคนยอมให้อภัยง่ายๆ ด้วยการพยักหน้ารับ

"เออๆ ไม่เป็นไร คราวหลังก็ดูดีๆ หน่อยแล้วกัน"

"ครับ ขอโทษอีกทีนะครับ" ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้นแล้วปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หันกลับไปมองอีกทีไอ้นั่นยังคงยกมือลูบหัวตัวเองอยู่เดาว่าน่าจะยังไม่หายเจ็บ พอๆ กับผมที่ต้องยกมือขึ้นสะบัดเบาๆ...มือชาเลยแม่ง

หลุดหัวเราะกับเรื่องบ้าๆ ที่ตัวเองก่อไปเมื่อครู่ ก่อนจะนั่งลงที่ขั้นบันไดของตึก มองย้อนกลับไปแล้วคิดถึงตามขึ้นมาอีกครั้ง ไม่อยากให้ใครมาแตะต้องตามของผมแบบนั้น ไม่อยากให้ชีวิตของตามลำบากแบบนั้น และเรื่องที่ผมจะบอกตามก็ยังไม่ได้พูดออกไป

 

เอาไว้คราวหน้านะ...เอาไว้คราวหน้าจะบอก


 

มีต่อค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 05-08-2019 23:46:01

วันอาทิตย์วนมาอีกครั้ง ผมจำเป็นต้องไปโบสถ์ด้วยไม่อาจหาข้ออ้างปฏิเสธพี่หน่อย แม้ความจริงจะไม่ได้ยับถือคริสต์ก็ตามแต่ก็กระทำด้วยความยินดี เพราะคิดว่าผมต้องทำสิ่งนี้ทดแทนให้กับพลีสในช่วงเวลาที่เขาไม่อยู่ และการมาที่นี่ในวันอาทิตย์ มันก็ทำให้ผมได้เจอกับตามที่มาที่นี่เป็นประจำด้วย

หลังจบกิจกรรม ผมบอกให้พี่หน่อยกลับไปก่อนแล้วย้อนกลับเข้าไปในโบสถ์อีกที ผมมองหาตามก่อนไปเห็นตามกำลังคุกเข่าก้มหน้าภาวนาหรืออธิษฐานอะไรบางอย่างที่ผมไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเป็นพิธีใดในศาสนา ตามใช้เวลาอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่งก่อนเดินออกมา ผมก็ใช้จังหวะนั้นตรงเข้าไปทักทันที

"พี่ตาม"

"ไง" คำโต้ตอบที่ดูเฉื่อยชากับใบหน้าไร้อารมณ์ทำให้ผมแปลกใจนิดๆ

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

ตามส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนจะยิ้มให้ แต่ก็อย่างที่เห็น เป็นยิ้มที่ฝืนจนดูออก ก่อนที่ตามจะเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ผมไม่ได้เดินตามเพราะมัวแต่คิดว่าตามเป็นอะไรไป แต่ยังไม่ทันได้คำตอบใดจากความคิดนั้น ตามก็หันมามองแล้วเอ่ยปากถาม

"ไม่กลับเหรอ"

"กลับครับ" ผมตอบรับแล้วก้าวเท้าเข้าไปหา ไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างเรานั้นเงียบก็เลยชวนคุยด้วยบทสนทนาโง่ๆ ที่คิดได้ในตอนนี้พอดี

"เมื่อกี้พี่ตามทำอะไรอยู่เหรอ"

"ก็รู้อยู่แล้วนี่"

ไม่รู้ซะหน่อย...

"สารภาพบาปไง"

โชคดีที่ตามพูดต่อ ผมจึงเข้าใจในสิ่งที่เขาทำเมื่อครู่ แต่ไม่เข้าใจว่าตามไปทำผิดอะไรมา เพราะคนอย่างตาม แม้ยุงสักตัวยังไม่คิดจะตบเลยด้วยซ้ำไป

"พี่ตามไปทำผิดอะไรมาเหรอ"

"ไม่รู้สิ..."

"..."

"ใจหนึ่งก็บอกว่าผิด อีกใจก็บอกว่าไม่ผิด" เหมือนตามกำลังพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะสนทนากับผม ความสับสนในตัวเองถูกแสดงออกให้เห็นผ่านสีหน้ายุ่งๆ นั่น ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอยากรู้อยู่ดีว่าตามหมายถึงอะไร

"บอกได้ไหมว่าอะไร"

"อยากรู้?"

"ก็เผื่อผมจะช่วยคิดว่ามันผิดหรือไม่ผิดไง"

ตามหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยอมพูดออกมา

"กำลังคิดจะนอกใจใครบางคนอยู่น่ะ"

จบคำพูดนั้นมันกลับทำให้ผมเผลอคิดไปว่าไม่น่าถามเลย หัวใจผมกลับเต้นแรงด้วยความไม่พอใจอย่างไร้เหตุผล ก็มันหมายความว่าตามกำลังนอกใจผมอยู่ไม่ใช่เหรอ...

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดบ้าๆ นั่น เผลอโกรธเคืองจนลืมไปว่าตัวผมเองนั้นได้ตายไปแล้ว และความปรารถนาหนึ่งที่ผมมี ก็คือการรอให้ตามเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นแล้วมันก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว ผมควรจะยินดีด้วยซ้ำไป ก่อนที่ความคิดในสมองจะค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดเหล่านั้นและสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ตามกำลังชอบใครบางคนอยู่สินะ ผมไม่คิดไขว่คว้าหาคำตอบว่าคนๆ นั้นจะเป็นใคร ขอแค่ใครก็ได้ที่จะทำให้ตามหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานจากการไม่กลับมาของผมสักที...

"พี่กลับก่อนนะ"

"เดี๋ยวครับ!" ผมคว้าแขนตามเอาไว้อย่างไม่ทันคิด เพราะยังไม่อยากให้เขากลับไปตอนนี้

"ว่าไง"

"ไปกินข้าวกันไหมครับ"

"ชวนกินข้าวอีกแล้ว?"

"ครับ ยังไม่ได้เลี้ยงพี่สักที วันนี้ผมจะ..."

"ไม่ดีกว่า"

"ครับ?"

"พี่อยากกลับบ้าน" ตามดึงมือตัวเองออกไปจากการจับมือของผม แล้วทิ้งผมเอาไว้ตรงนี้ ความสนิทใจที่ผมมีให้ตามมันมากมายเกินกว่าความจริงที่ควรจะเป็น เพราะผมคิดว่าตัวเองคือแสงไม่ใช่พลีส แต่กับตามแล้ว พลีสอาจจะไม่ใช่คนที่ตามสนิทสนมด้วยขนาดนั้น อีกอย่างตามก็รู้ว่าพลีสกับพี่ต่อมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร การที่ผมเอาแต่ชวนตามไปกินข้าวด้วยกันทุกครั้งที่เจอหน้า อาจจะทำให้ตามอึดอัดก็ได้ ผมลืมที่จะคิดถึงความเป็นจริงข้อนี้ไป

ความคิดสับสนเพราะเรื่องราวยุ่งยากพวกนั้นที่ทำให้ผมคิดไม่ออกว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป ได้แต่ถอนหายใจแล้วทิ้งตัวเองลงนั่งกับพื้นฟุตบาทตรงนั้น การปฏิเสธของตามทำเอาผมเสียใจจนเกือบจะร้องไห้ราวกับได้สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป

ก็แค่อยากอยู่ใกล้ๆ เธอให้นานที่สุดเท่านั้นเอง 

ความคิดผมหยุดชะงักในตอนที่เท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามาหาแล้วหยุดอยู่ตรงหน้า ผมเลื่อนสายตาขึ้นมองตามที่เดินย้อนกลับมา ก่อนเขาจะเอ่ยปากพูด

"ก็ได้"

"..."

"ไปกินข้าวกัน"

ความคิดทั้งหลายถูกตีกระเจิงเพียงเพราะรอยยิ้มจากคนตรงหน้า ผมลืมที่จะคิดเรื่องอื่นไปชั่วขณะ เพราะความเห็นแก่ตัวบอกผมว่า ผมต้องคว้าโอกาสที่จะได้อยู่กับตามเอาไว้ก่อน จึงรีบลุกขึ้นแล้วเดินตามเขาไป

ครั้งนี้ผมขอเป็นคนเลือกร้านเอง เพราะตั้งใจจะเลี้ยงก็เลยพามากินอะไรดีๆ อย่างที่เมื่อก่อนเคยชอบ พลีสคงไม่ว่าถ้าผมจะขอยืมเงินของเขานิดหน่อย แม้ว่าจะไม่มีโอกาสใช้คืนให้ก็เถอะนะ

"เดี๋ยวเขี้ยวกุด นี่มันไม่แพงไปเหรอ" ตามดึงมือผมเอาไว้ก่อนที่จะเดินเข้าร้าน

"นานๆ ที"

"แต่ราคามัน..."

"มีแซลมอล"

ไม่เคยลืมว่าของโปรดที่สุดในชีวิตของตามคืออะไรจึงพามาที่นี่ และดูเหมือนว่าความสนใจในอาหารที่มีจะทำให้ตามลืมเรื่องราคาไปชั่วขณะ ผมรีบร่ายมนต์ให้อีกคนหลงกล

"มีบุฟเฟต์แซลมอล แซลมอลแบบพรีเมี่ยม แซลมอลแบบ..."

ผมหลุดหัวเราะตอนที่ตามเดินเข้าร้านก่อนผมจะเป่าหูจบด้วยซ้ำ ตามเลือกที่นั่งและสั่งอาหารเรียบร้อย รอไม่นานอาหารที่สั่งก็มาเสิร์ฟ ผมหลุดยิ้มกับแววตาเป็นประกายเมื่อมองแซลมอลสีส้มตรงหน้า ตะเกียบกำลังจะทำงานแต่หยุดชะงักแล้วเหลือบตาขึ้นมองผม 

"กินเลยนะ"

"กินเลยครับ"

ตามกับอาหารเป็นสมการของความน่ารักที่ไม่เคยปฏิเสธได้ลง แม้ว่าจะดูผอมลงไปเยอะแต่แก้มก้อนนั้นก็ยังน่ารักตอนถูกอาหารยัดเข้าไปแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ ตะเกียบกับปากผลัดกันทำงานไม่หยุด เป็นคนที่กินบุฟเฟต์ได้คุ้มค่า สมฉายา...ตามใจร้านเจ๊ง

วันนี้ตามไม่ต้องทำงานที่ไหนก็เลยเป็นวันสบายๆ ที่ไม่เร่งรีบ เมื่ออิ่มจากแซลมอลแล้วก็มาต่อด้วยชาไข่มุกอีกคนละแก้ว ก่อนที่ตามจะชวนผมกลับ แต่ในระหว่างที่กำลังนั่งรถเมล์ ฝนก็เทลงมาอย่างหนัก จนคนข้างๆ หลุดปากบ่นพึมพำ

"ฝนตกอีกแล้ว"

"ไม่ชอบฝนเหรอ"

"ฝนมันทำให้เหงาน่ะ"

"คิดถึงพี่แสงเหรอครับ"

"ที่สุดเลย" ตามพูดยิ้มๆ แล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยแววตาเลื่อนลอย หากผมเป็นแสงในตอนนี้ ผมจะกอดตามให้ความเหงานั้นหายไป กระนั้นผมก็ยับยั้งชั่งใจที่จะเพิกเฉยไม่ได้จึงยื่นมือตัวเองไปกุมมือของตามเอาไว้หลวมๆ คนข้างๆ หันมองแต่ไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้ดึงมือออกไป แล้วก็ยิ้มออกมาบางๆ

ใช้เวลาไม่นานรถเมล์ก็มาถึงป้ายที่เราจะต้องลงพอดี ในตอนที่กำลังจะก้าวลงจากรถ ตามดึงมือให้ผมรีบกระโดดลงเพื่อตรงไปหลบฝน แต่ขาพลีสสั้นเกินกว่าจะทำเช่นนั้น ในจังหวะที่ผมก้าวขาพลาด ตัวเองจึงล้มกลิ้งลงไปกองกับพื้นถนนแถมดึงมือตามให้ล้มลงมาด้วยกันอีก เวรชะมัด! 

"เฮ้ย! พลีสเป็นไรเปล่า"

"ไม่เป็น...โอ๊ะ..." ปากอยากจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ร่างกายสวนทางกันเพราะผมดันเอาหัวเข่าข้างที่เคยเจ็บอยู่แล้วลงไปกระแทกซ้ำอีกที โชคดีที่เลือดไม่ออกแต่ความเจ็บเป็นเหตุให้ลุกไม่ขึ้น จนตามต้องช่วยพยุงให้ลุกขึ้นแล้วพาเข้าไปหลบฝน แต่ถึงอย่างนั้นเราทั้งคู่ก็เปียกชุ่มไปหมดทุกส่วนแล้ว 

"เป็นอะไรไหม" ตามย่อเข่าลงนั่งแล้วยกมือแตะหัวเข่าของผมเบาๆ

"เจ็บ...แต่ไม่เป็นไร"

"เปียกหมดเลย ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนห้องพี่ก่อนแล้วค่อยกลับนะ"

"ครับ"

"พี่อุ้มนะ"

"ฮะ? เฮ้ย!" ผมร้องลั่น ตัวลอยเพราะตามจับผมขึ้นขี่หลังอย่างไม่ทันตั้งตัว สองมือรีบโอบรัดคอตามไว้ด้วยสัญชาตญาณ ตามกระชับร่างผมให้เข้าที่ก่อนพาเดินเข้าไปในตึก ด้วยใบหน้าที่อยู่ข้างๆ กันพอดี ผมจึงพูดเบาๆ เพื่อบอกกับเขา

"ไม่ได้เจ็บขนาดนั้นซะหน่อย"

"ลุกยังไม่ไหวเลย"

"ก็เมื่อกี้มัน..."

"เฉยๆ เถอะ เดี๋ยวปล่อยทิ้งเลย"

ไม่อยากเถียงแล้ว ยอมให้ตามพาขี่หลังขึ้นห้องพัก ในตอนนี้ก็เพิ่งสังเกตเห็น...ตอนนี้เราตัวเล็กกว่าเธอขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย

 

เป็นอีกครั้งที่ผมได้เข้ามาที่ห้องตามในเวอร์ชั่นมนุษย์ ตามปล่อยผมลงแล้วเดินไปเปิดตู้เพื่อหาเสื้อผ้าให้ ปากก็หันมาสั่ง

"ไปเช็ดตัวก่อนสิ"

"ครับๆ " ผมรีบตอบรับแล้วเปิดประตูหลังไปหยิบผ้าขนหนูที่แขวนอยู่บนราว หันกลับมาเจอตามที่มองหน้าแบบงงๆ

"รู้ได้ไงว่าอยู่นั่น ยังไม่ทันบอก"

"ก็ปกติมันอยู่ตรงนี้"

"..."

"หมายถึงปกติของคนเรา ก็ต้องแขวนผ้าขนหนูไว้ที่ราวสิครับ ใช่ไหม?"

ดูเหมือนว่าความสงสัยไม่ได้หายไปตอนที่ผมอธิบาย แต่ก็ปล่อยผ่านแล้วยื่นเสื้อผ้าให้ผม ผมยื่นมือไปหยิบเสื้อนั่นแต่พลันชะงักเพราะเห็นว่าเป็นเสื้อของผม ปากก็หลุดพูดไปแล้วไม่ทันยั้ง

"เสื้อพี่แสงเหรอ"

"ทำไมถึงรู้"

"มันถูกพับไว้ เหมือนไม่ได้ใช้มานานแล้ว คงเป็นของพี่แสง"

"กลัวเหรอ งั้นเอาเสื้อพี่ก็ได้ แต่เสื้อพี่มันเก่าหน่อย..."

"เปล่าครับ ผมไม่ได้กลัว" ผมว่าแล้วหยิบเสื้อตัวนั้นมาก่อนตรงเข้าห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า พอได้สวมใส่เสื้อผ้าของตัวเองก็รู้สึกเหมือนเป็นตัวเองยังไงยังงั้น แค่ตัวเล็กลงแล้วก็หน้าตาดีขึ้น

ผมยิ้มให้ตัวเองในกระจกกับความคิดนั้น แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นตามอยู่ในชุดใหม่แล้วเช่นกัน ด้วยความที่ฝนยังคงตกหนัก ผมจึงขอตามอยู่ที่นี่สักพักก่อนแล้วเจ้าของห้องก็อนุญาต ผมหย่อนตัวนั่งที่เก้าอี้โต๊ะหนังสือ หันมองตามก็พบว่าเขากำลังมองผมอยู่พอดี แต่ในตอนที่สบตาอีกคนก็หันหน้าหนีไปอีกทาง ก่อนจะลุกไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์ให้ตัวเองหนึ่งกระป๋องและน้ำอัดลมให้ผมหนึ่งกระป๋อง

"เดี๋ยวนี้เป็นคนขี้เมาเหรอ"

"กระป๋องเดียวจะเมาได้ไง"

"เมื่อก่อนไม่เห็นแตะ"

"เมื่อก่อนรู้จักกันเหรอ"

"..."

"พี่ต่อบอก?"

ผมยิ้มนิดๆ ก่อนที่จะหันกลับไปมองโต๊ะหนังสือ ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกตัวว่าตามยังคงมองผมอยู่ ผมเปลี่ยนเรื่องหยิบสมุดเก็บภาพโพลาลอยด์ขึ้นมาแล้วหันไปหาตาม

"ขอดูได้ไหมครับ"

เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ผมจึงเปิดดู หน้าแรกๆ รู้อยู่แล้วว่ามันเป็นภาพอะไรเพราะส่วนใหญ่ผมจะเป็นคนถ่ายเอง แต่หน้าหลังๆ ส่วนใหญ่จะเป็นวิวจากเมืองต่างๆ ที่ตามไปเที่ยวมาแล้ว ผมเลื่อนสายตาดูภาพจากเกือบทุกประเทศที่ผมเคยบอกว่าอยากจะไป

"ที่นี่ที่ไหนเหรอ" ผมชี้ไปที่ภาพหนึ่งที่เดาไม่ออกว่าที่ไหน ตามขยับมามองแล้วตอบ

"ดาลัด เวียดนาม"

"สวยจัง"

"ใช่ โคตรสวยเลย" ดูเหมือนตามจะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสถานที่ที่ไปมามากมาย จึงขยับมายืนข้างๆ แล้วเล่าให้ฟังเกี่ยวกับภาพแต่ละภาพที่ชี้ให้ผมดู เล่าไปยิ้มไปดูมีความสุข...แต่คงดีกว่านี้ถ้าเราได้ไปด้วยกัน 

"พี่ตามชอบเที่ยวเหรอ"

"จริงๆ ก็ไม่ค่อยชอบ"

"..."

"แต่แสงชอบ"

"..."

"ก็เลยไปแทน"

"ไปฝรั่งเศสมาหรือยัง"

"ฮึ?"

"ที่ที่พี่แสงอยากไปที่สุดไง"

ตามนิ่งไปครู่หนึ่ง ความสงสัยก่อตัวขึ้นมาผ่านใบหน้าคิ้วขมวด ตามเอ่ยปากถามผม

"พลีสรู้ได้ยังไง"

"..."

"พี่สงสัยมาตลอดว่าพลีสรู้เรื่องของพี่เยอะแยะขนาดนี้ได้ยังไง แต่พลีสก็อธิบายได้ตลอด"

"..."

"แต่เรื่องนี้แม้แต่พี่ต่อก็ไม่รู้ แล้วพลีสรู้ได้ยังไง"

"..."

"คราวนี้พลีสจะแก้ตัวยังไง"

"เราไม่ได้คิดจะแก้ตัวอยู่แล้ว"

"หมายความว่าไง"

"เราจะไม่แก้ตัวอีกแล้ว"

"พลีส"

"เธอคิดว่าเป็นพลีสจริงๆ เหรอ"

"พลีสพูดอะไร"

"เธอไม่สงสัยจริงๆ เหรอ"

"..."

"เธอไม่เคยคิดจริงๆ เหรอ"

"..."

"เธอไม่เคยเห็นใครในตัวเด็กคนนี้จริงๆ เหรอ"

"..."

"ตามใจ"

ตามนิ่งเงียบด้วยใบหน้าที่ดูสับสน เมื่อผมลุกขึ้นยืนตามก็ก้าวเท้าถอยหลังออกไป 

"ถ้าเราบอกว่าเราคือแสง เธอจะเชื่อไหมตาม"

"พูดบ้าอะไร"

"เราไม่รู้จะทำยังไงให้เธอเชื่อว่านี่คือเรา แต่เรายังไม่ไปไหน ยังอยู่ตรงนี้ เป็นเราจริงๆ นะตาม" 

"หยุดนะ"

"เป็นเราตั้งแต่ที่โบสถ์วันนั้น เป็นเราที่ชวนเธอคุย เป็นเราที่ชวนเธอกินข้าว เป็นเราที่เอาแต่ตามเธอไปทุกที่" 

"หยุดพูด"

"เป็นเราที่อยู่ข้างๆ เธอ แม้แต่ตอนที่เป็นวิญญาณ วันที่กล้องโพลาลอยด์มันกดถ่ายเองจนเธอตกใจ วันที่เธอกอดรูปของเราแล้วร้องไห้ วันนั้นก็เป็นเรา!"

"หุบปาก!"

 

"เพล้ง!"

 

ในตอนที่ตามถอยหลังหนีผม มือของตามปัดไปโดนแจกันกุหลาบหล่นแตก ตัวตามเองก็ทรุดลงไปกับพื้นและในจังหวะเดียวกันนั้นมือของตามถูกเศษแก้วบาดเข้าจนเลือดไหลออกมาในทันที ตามนิ่งไปเมื่อเห็นว่ามือตัวเองกำลังเลอะเลือด ผมรีบคุกเข่าลงตรงหน้า หันมองหาสิ่งใดที่พอจะเช็ดเลือดได้แต่ไม่มี จึงยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดตาของตามเอาไว้   

"อย่ามองนะ"

"..."

"เธอกลัวเลือด"

ตามนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่ผมจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูมากดแผลของเขาเอาไว้ ดูเหมือนว่าแผลจะลึกพอสมควรเลือดจึงไม่ยอมหยุดไหล มือข้างเดียวของผมไม่ถนัดพอที่จะเช็ดเลือดนั่นออก จึงต้องปล่อยมือข้างที่ปิดตาตามเอาไว้ แต่ก่อนที่จะปล่อยก็ไม่ลืมที่จะกำชับ

"หลับตาไว้นะ"

"..."

"อย่าลืมตานะ เข้าใจไหม"

"..."

"ได้โปรดเชื่อเราสักครั้ง" ด้วยความพยายามที่จะขอร้อง ผมทำได้ดีที่สุดเพียงเท่านั้น ค่อยๆ ปล่อยมือที่ปิดตา จึงพบว่าตามกำลังหลับตาอยู่อย่างที่ผมขอ ผมยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ก่อนที่จะหันไปให้ความสนใจกับบาดแผลของเขา กดแผลนั้นเอาไว้จนเลือดหยุดไหล วิ่งเอาผ้าไปชุบน้ำแล้วเช็ดเลือดให้หมดทั้งบนฝ่ามือและที่หยดลงกับพื้น เอาผ้าผืนที่เลอะเลือดโยนออกไประเบียงหลัง แล้วใช้ผ้าอีกผืนที่เล็กกว่านั้นพันมือของตามเอาไว้ลวกๆ เพื่อไม่ให้อีกคนมองเห็นแผลของตัวเอง เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี จึงเงยหน้าขึ้นบอกกับตาม

"ไม่เป็นไรแล้ว"

"..."

"ลืมตาเถอะ"

เปลือกตาขยับขึ้นอย่างที่ผมบอก ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไม่ละสายตา หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ยังคงสับสน ความเงียบงันทำงานอยู่เนิ่นนาน สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวอยู่ คงจะเป็นน้ำตาของผมที่ไม่อาจยับยั้ง ก่อนที่ตามจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ แล้วสัมผัสเข้ามาที่ใบหน้าของผม พูดให้ถูกก็ใบหน้าของพลีส แต่ความรู้สึกทั้งหมดในตอนนี้

เป็นของผม...

สิ่งที่จะทำให้ตามเชื่อคงไม่ใช่คำพูดมากมายเหล่านั้น หากแต่เป็นความรู้สึกที่เรามีต่อกันซึ่งผมคิดว่าตามสัมผัสมันได้ ในตอนนั้นน้ำตาของตามก็รินไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง พร้อมกับชื่อของผมที่ถูกเอ่ยเรียกออกมาเบาๆ ผ่านน้ำเสียงที่คุ้นเคยดี... 

 

"แสงเทียน"

 

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 06-08-2019 00:19:25
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 06-08-2019 00:31:03
 :o12: :o12: :o12: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: rainiefonnie ที่ 06-08-2019 00:31:41
 :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-08-2019 00:56:23
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 06-08-2019 06:51:31
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 06-08-2019 08:34:00
เอาใจช่วยทุกคน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 06-08-2019 09:47:24
นั่นไง หวังว่าตามจะเข้าใจความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองนอกใจได้นะ
ว่าจริงๆสับสนเพราะอะไร อย่าให่ชอบพลีสจริงๆเลยนะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 06-08-2019 20:11:40
แสงเทียนในร่างพลีสที่กำลังกิ๊กกับพี่ต่อ โอ๊ยยยยยย อะไรจะเกิด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 06-08-2019 21:41:49
 จะยังไงๆ แสงจะปลดปล่อยตัวเองปลดปล่อยตามได้มั้ยนะ ยังรักกันขนาดนี้ ไปๆมาๆอย่าเป็นรักสามเส้านะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ain ที่ 07-08-2019 09:35:45
เรียกน้ำตาได้ตลอดเลย
แสงเทียน
 :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 07-08-2019 10:01:08
สงสารแสงเทียน ถ้าตามหลักการทางวิทยาศาสตร์คงจะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว เพราะว่าไม่สามารถฝืนกฎข้อที่สองของเทอร์โมไดนามิกส์ได้  เสียจุย  สู้ๆนะแสงเทียน :sad4: :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-08-2019 18:03:33
โอยๆ ใจหนอใจ หน่วงซะจริ้งจริ้ง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-08-2019 18:23:39
 o18


 :L1: :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: wutwit ที่ 07-08-2019 20:28:18
คู่แสงตามบีบหัวใจจังเลย ส่วนพลีสแอบอยากให้คู่ข้าวปั้นแทนนะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 07-08-2019 22:50:43
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 16-- 5/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 08-08-2019 06:22:27
เป็นเรื่องที่อึนและอินมาก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 09-08-2019 18:26:58
ตอนที่ 17
เพื่อชดใช้บาปกรรมที่เราแกล้งทำเป็นหลงลืม

 

"หลังจากที่เราตาย เราก็ใช้ชีวิตปกติอยู่ในบ้านเรา ตอนกลางคืนก็ออกไปพูดคุยกับผีตัวอื่นบ้างให้หายเหงา เราคิดว่าชีวิตหลังความตายจะเป็นเหมือนในละคร แบบว่าเราจะหายตัวไปนั่นไปนี่ได้ อ่านความคิดของคนอื่นได้ ทำให้ฝนตก ทำให้ฟ้าผ่าเวลาโกรธ แต่จริงๆ ไม่เป็นอย่างนั้นเลย มันก็เหมือนเดิมแค่ไม่มีใครเห็นและเป็นวิญญาณที่ไม่มีความรู้สึก ไม่เจ็บ ไม่เหนื่อย ไม่หิว ไม่ง่วงนอน เราแตะต้องสิ่งของหรือผู้คนได้เป็นบางครั้ง อย่างวันที่เราจะลูบหัวเธอเล่นแล้วดันโดนจริงๆ ตอนที่กดกล้องก็ด้วย"

"..."

"แล้วคืนนั้นเราเจอพลีสที่กำลังจะกระโดดตึก เรารีบเข้าไปช่วยเพราะคิดว่าจะแตะตัวพลีสได้ แต่สุดท้ายเราตกจากตึกพร้อมกับพลีส แล้วลืมตาขึ้นมาอีกทีในร่างของพลีส ตอนนั้นเราตกใจทำอะไรไม่ถูก เราไม่เคยสิงร่างใครมาก่อน ทำยังไงมันก็ออกจากร่างพลีสไม่ได้ จนเราได้รู้ว่าพลีสเป็นใคร และได้มาเจอกับเธอ"

"..."

"จริงๆ เราไม่ควรจะเข้าไปคุยกับเธอ เราบอกตัวเองให้อยู่ห่างจากเธอแต่ความเห็นแก่ตัวของเรามันมีมากเกินไป เราก็เลยเข้าไปหาเธอที่โบสถ์วันนั้น เวลาที่อยู่กับเธอเราไม่ได้พยายามที่จะเป็นพลีส แต่เราเผลอเป็นตัวของตัวเองจนมันทำให้เธอสงสัยอยู่หลายครั้งเลยใช่ไหมล่ะ เราคอยตามเธอไปทุกที่เพราะอยากใช้เวลากับเธอ จนถึงวันที่เราไปส่งเธอที่หอแล้วก็นัดเจอกันในวันอาทิตย์ ตอนขากลับเราถูกรถชน วิญญาณหลุดออกมา เราก็เลยไม่ได้ไปหาเธอ"

"..."

"พลีสกลับมาเป็นพลีส เธอเองก็คงจะสับสน แต่หลังจากวันนั้นเราก็ยังไปหาเธอทุกวัน ไปที่ทำงานของเธอ ไปส่งเธอให้ถึงหอ คิดว่าอยากคุยกับเธออีกสักครั้ง จนกระทั่งเรากลับมาอยู่ในร่างของพลีสอีกตั้งแต่วันที่ตกบันไดที่ตึกร้าง เรื่องมันก็เป็นแบบนี้แหละ เราหาโอกาสที่จะบอกเธออยู่นานเพราะไม่รู้จะทำยังไงให้เธอเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ เรารู้ว่าจริงๆ แล้วเราไม่ควรบอกเธอ ไม่ควรทำให้เรื่องมันยุ่งยาก แต่เรามีเรื่องอยากคุยกับเธอ มีเรื่องที่ต้องพูดกับเธออีกเยอะเลย"

ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้ตามฟังอย่างยืดยาว ขณะที่อีกคนก็เอาแต่มองด้วยใบหน้าเรียบเฉยไม่อาจคาดเดาความรู้สึก ตามไม่ยอมพูดอะไรเลยแม้แต่ตอนที่ผมถาม

"เธอเชื่อเราใช่ไหม"

"เชื่อ"

"แล้วทำไมไม่ยอมพูดอะไรเลย"

"..."

"ยังโกรธเราอยู่เหรอ"

"..."

"โกรธมากใช่ไหม"

"..."

"เกลียดเราหรือเปล่า"

"คิดถึง"

"..."

"คิดถึงต่างหาก"

พูดจบก็ดึงผมเข้าไปกอด เพราะว่ามันเป็นร่างกายของพลีส สำหรับตามมันอาจจะยากหน่อยที่จะรู้สึกว่าผมคือแสงจริงๆ แต่สำหรับผมแล้วคนที่อยู่ตรงหน้า ยังไงก็คือตาม เป็นตามของผม ที่อยากกอดมาโดยตลอด

"เราน่าจะกลับมาให้เร็วกว่านี้"

"..."

"สามปีมันคงนานมากเลยใช่ไหม"

ตามพยักหน้ารับ ในแววตาที่ยังคลอไปด้วยน้ำตา ตามฝืนยิ้มแล้วบอกกับผม

"ชีวิตที่ไม่มีเธอ"

"..."

"หนึ่งนาทีมันก็นานมากแล้ว"

กลายเป็นผมที่น้ำตาร่วงอีกรอบ ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะหยุดร้องไห้กันไปแท้ๆ แต่ในสถานการณ์นี้คงต้องยอมให้น้ำตาไหลออกมาจนกว่าความเจ็บปวดจะบรรเทาลงไปบ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี ตามยังคงกอดผมเอาไว้ภายใต้ความคิดถึงจำนวนมากมายมหาศาลเหล่านั้น ผมทำได้เพียงเอ่ยคำว่าขอโทษ ซ้ำแล้วซ้ำอีก

"เราขอโทษ ขอโทษนะตาม ขอโทษที่ต้องทิ้งเธอ"

"..."

"ขอโทษที่ต้องจากไป"

 

...

 

เย็นวันนี้ผมมีนัดกับพี่ต่อ ก็เลยตรงไปคลินิกทันทีหลังเลิกเรียน และในระหว่างทางที่กำลังเดินอยู่ริมฟุตบาท ผมก็หันไปเห็นตามที่เดินอยู่อีกฝั่งถนน หาจังหวะที่ถนนว่างจึงรีบวิ่งตรงเข้าไปทัก

"เธอ!"

"เฮ้ย!" ตามสะดุ้งเฮือก ปล่อยของในมือร่วงลงกับพื้น ก่อนผมจะเห็นว่ามันคือลูกชิ้นปิ้งหนึ่งไม้ที่ยังไม่ได้กินสักลูกเลย ตามหันขวับมามองตาขวาง   

"ไม้ละตั้งสิบบาท"

"ขอโทษ ไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนี้"

"หลอกทั้งตอนเป็นผี เป็นคนเลยนะ" ตามบ่นพึมพำพลางหยิบลูกชิ้นไม้นั้นไปทิ้งขยะที่อยู่ใกล้ๆ

"เราไปหลอกอะไรเธอ"

"ก็กล้องโพลาลอยด์ไง ตกใจแทบช็อก"

"เห็นหน้าเธอแล้ว ซีดเป็นไก่ต้ม"

ตามเบ้ปากใส่ก่อนหยิบลูกชิ้นไม้ใหม่ส่งให้ผม ก่อนหยิบอีกไม้ใส่ปากตัวเอง หลุดยิ้มกับลูกชิ้นสองลูกที่ยัดอยู่ข้างกระพุ้งแก้ม ก่อนตามจะใช้ปากที่ยังเคี้ยวตุ้ยๆ หันมาพูดกับผม

"นี่จะไปไหนอะ" 

"มีนัดกับพี่ต่อ บอกว่าจะพาไปกินข้าว"

"พี่ต่อมันว่างมากมั้ง วันๆ คิดแต่จะพรากผู้เยาว์"

"พลีสอายุยี่สิบแล้วเหอะ!"

"เธอไปในฐานะพลีสนะ อย่าไปหลงรักพี่ต่อเชียว"

"เราตายไปแล้ว จะมาหึงอะไรล่ะ"

ตามยักไหล่หน่อยๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

"แล้วเธอล่ะ ไปทำงานเหรอ"

"ไปทำความสะอาดคลินิกให้พี่ต่อก่อน แล้วค่อยไปทำงาน"

"ทำไมถึงใช้ชีวิตแบบนี้"

"ไรนะ?"

"เธอน่ะ ทำไมปล่อยให้ชีวิตเป็นแบบนี้ ทำไมไม่หางานดีๆ ทำ ทำงานประจำให้เป็นหลักเป็นแหล่ง เธอจะได้กินข้าวให้อิ่ม นอนหลับให้สบาย ไม่ใช่ทำงานหนักจนร่างกายผอมเหลือแต่กระดูกแบบนี้ เธอต้องถูพื้นร้านสะดวกซื้อ เก็บขยะอยู่หลังร้านกาแฟ ก้มหัวให้คนอื่นเขาดูถูก เราโคตรจะไม่ชอบเลย!" ผมไม่สามารถยับยั้งอารมณ์ที่กำลังหงุดหงิด แต่อีกคนกลับหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ

"ขี้บ่นแบบนี้สิ โคตรจะเป็นเธอเลย"

"ตาม เราจริงจังนะเว้ย! ลาออกจากร้านสะดวกซื้อนั้นก่อนเลย"

"ให้เราเก็บเงินก่อนสิ เกือบจะได้ไปฝรั่งเศสแล้ว"

"ช่างหัวฝรั่งเศสเถอะน่า"

"ช่างได้ไง เธออยากไป"

"แต่ถ้ามันลำบากขนาดนั้นก็ไม่ต้องไปหรอก"

"เราจะไป!"

ผมหยุดกึกตอนที่ตามหันมาเสียงดังใส่ ตกใจจนตาค้าง ตามถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ

"เราต้องไป"

"..."

"ก็เพื่อเธอ"

"ก็...ก็ได้"

จะเอาอะไรมาเถียงล่ะ ในเมื่อตามทำเพื่อผมขนาดนั้น แม้เป็นความฝันที่ควรจะปล่อยให้มันตายไปพร้อมกันด้วยซ้ำ แต่ตามทำทุกอย่างที่ผมยังไม่ได้ทำ หากแต่สิ่งที่ตามทำให้ มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีใจเท่าไรนัก เพราะตามกำลังใช้ชีวิตเผื่อผม...จนไม่มีชีวิตเป็นของตัวเอง

"กินชาไข่มุกป่ะ"

"อะไรนะ" ผมเงยหน้าถามเพราะไม่ทันได้ฟัง ก่อนที่ตามจะพยักหน้าไปยังร้านชาไข่มุกที่เดินมาหยุดอยู่ตรงนี้พอดี ไม่รอคำตอบจากผมแล้วกำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่ในตอนนั้นคนข้างในก็เปิดออกมาพอดี เมื่อเป็นคนที่รู้จักก็พลั้งปากเรียกด้วยความเคยชิน 

"อ้วน"

"อ้วนไร เดี๋ยวตีเลย" สายป่านพูดขำๆ ก่อนยกกำปั้นทุบแขนผมเบาๆ พลันเลื่อนสายตาไปหาตามที่อยู่ข้างๆ เกิดเป็นความอึดอัดระหว่างกันที่เห็นได้ชัด ต่างคนต่างหลบตา ผมคิดขึ้นมาได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เจอกันในวันครบรอบวันตายของผม สายป่านด่าตามเละเทะ แล้วมาบอกกับผมว่าอยากจะขอโทษ เดาว่าตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกันจนถึงตอนนี้

"พี่ตาม"

ตามยิ้มนิดๆ ดูเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก จึงทำท่าจะเดินไปสั่งชาไข่มุกแต่ถูกสายป่านดึงมือเอาไว้ก่อน

"หนูมีเรื่องอยากคุยกับพี่"

ตามหันมองผมนิดหนึ่ง ก่อนที่ผมจะพยักหน้าเป็นเชิงว่าให้ไปคุยกัน ส่วนตัวผมจะไปที่คลินิกพี่ต่อก่อน คิดว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยได้ เพราะสำหรับสายป่านผมก็ยังคงเป็นพลีส

 

ผมมานั่งรอพี่ต่อที่คลินิกอยู่พักหนึ่ง ไม่นานนักตามก็มาถึงแล้วเข้ามารายงานให้ผมฟังว่าคืนดีกับสายป่านเรียบร้อย คิดอยู่แล้วว่ามันคงไม่ยาก เพราะตามก็เอ็นดูสายป่านเหมือนน้องสาวมาโดยตลอด ส่วนความโกรธเคืองที่สายป่านมีก็เป็นเพียงจุดเล็กๆ ในใจที่ละทิ้งได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องพยายามด้วยซ้ำ หลังจากนี้ตามกับสายป่านก็คงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้เหมือนเดิม

"ตาม เราถามอะไรหน่อยสิ"

ตามเลิกคิ้วขึ้นมอง ก่อนที่ผมจะถามในเรื่องที่อยากรู้

"ครอบครัวเราไม่รู้จักพลีสเหรอ"

"รู้จักแต่ชื่อ ไม่เคยเห็นหน้า"

"ไม่เคยเลยเหรอ"

"ไม่เคยเลย ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องพลีสก็ไม่ยอมเจอหน้าใครเลย"

"ถึงว่า ทั้งแม่ทั้งสายป่านไม่เคยพูดอะไรตอนที่เราเข้าหาด้วยร่างของพลีส"   

"แล้วทำไมเมื่อกี้เธอไม่เข้าไป"

"คิดว่าเธอควรจะคุยกับน้องแค่สองคนมากกว่า"

"น่าจะเข้าไปแล้วบอกว่าเธอคือใคร "

ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ

"เธอไม่ได้คิดจะบอกคนที่บ้านเหรอ"

"ไม่ล่ะ คิดว่าไม่ดีกว่า"

หัวคิ้วของตามขยับเข้าหากันคล้ายว่าจะสงสัยอะไรบางอย่าง ตามเป็นคนฉลาดและการเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นคงไม่ได้ยากจนเกินไป ความสงสัยจึงกลายเป็นคำถามที่ผมรู้อยู่แล้วว่าตามจะต้องพูดในสักวัน   

"เดี๋ยวเธอก็ต้องไปใช่ไหม หมายถึงเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดไปใช่ไหม"

"อืม...ใช่"

สีหน้าแห่งความผิดหวังแสดงออกจนเห็นได้ชัด ตามไม่ได้พูดอะไรอีก ในขณะที่พี่ต่อเปิดประตูเข้ามาพอดี เอ่ยปากทักตามก่อน แล้วหันมาพูดกับผม

"พี่ไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง น้องไปรอที่รถก็ได้ครับ"

"ครับ" ผมตอบรับก่อนพี่ต่อจะเดินออกไป ตามก็ยังคงไม่พูดอะไร จนผมลุกขึ้น

"เราไปก่อนนะ"

มือของผมถูกรั้งเอาไว้จากอีกคน ในตอนที่กำลังจะเดินออกมา

"ไม่ไปได้ไหม"

"ไม่อยากให้เราไปกับพี่ต่อเหรอ"

"เปล่า"

"..."

"ไม่อยากให้เธอไปจากที่นี่"

"..."

"เธออยู่ตรงนี้ตลอดไปไม่ได้เหรอ"

"ตลอดไปไม่ได้หรอก"

"แต่เธอเพิ่งจะกลับมา"

"..."

"จะต้องไปจริงๆ เหรอ"

ผมเห็นแววตาของตามที่ดูเหมือนจะร้องไห้ อยากจะกอดเขาในตอนนี้ แต่สถานการณ์ไม่ยอมให้เป็นไปเช่นนั้น พี่ต่อเดินกลับมาเรียกผมอีกที ผมจึงต้องเดินออกมาจากตรงนั้นก่อน และหันบอกกับตามผ่านเสียงแผ่วเบาเพื่อปลอบใจ   

"ยังไม่ไปหรอก"

"..."

"ยังไม่ใช่วันนี้"

ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องไปตอนไหนหรือเหลือเวลาอีกนานเท่าไร แต่ถ้าผมมีสิทธิ์ที่จะร้องขอหรืออ้อนวอนจากใครสักคน ผมก็คงภาวนาให้ช่วงเวลาที่เหลือนั้น...นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ 

 

...

 

พี่ต่อพาผมมากินข้าวในร้านอาหารหรูบนชั้นเกือบจะสูงสุดของโรงแรมที่มองเห็นวิวเมืองได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ผมเคยเห็นร้านแบบนี้ผ่านละครที่พ่อกับแม่ชอบดู การตกแต่งร้านหรูๆ มีดนตรีคลาสสิกบรรเลงในบทเพลงที่พาเคลิ้มลอยไปได้ไกล มีราศีแห่งความร่ำรวยจากผู้คนที่เข้ามากินอาหารที่นี่ ผมโผล่หน้าออกมาจากเมนูอาหารเล่มใหญ่ที่บดบังทั้งตัวของผมได้ตอนที่กางออก ก่อนกระซิบบอกพี่ต่อ

"พี่ต่อ"

"ครับ"

"ไม่เห็นต้องมาร้านหรูแบบนี้เลย พี่ดูผมสิ ยังอยู่ในชุดนักเรียนด้วยซ้ำ"

"ชุดนักเรียนก็น่ารักดีนี่ครับ"

จะละมุนละไมอะไรก็ดูสถานการณ์บ้างเหอะ! ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ในร่างของพลีสที่มีทั้งหน้าตาและผิวพรรณจัดอยู่ในประเภทที่ดูออกว่าเป็นลูกคนรวยก็เถอะ แต่ตอนนี้ความมั่นใจหดหายไปหมดสิ้นไม่ชินกับอะไรแบบนี้เลย   

"แต่ร้านนี้มันแบบ..."

"พี่อ่านเจอในรีวิวมา เขาบอกว่าบรรยากาศเหมาะที่จะมาเดต พี่อยากให้น้องประทับใจ เวอร์ไปเหรอ"

ช่างน่าเอ็นดู...

เห็นหน้าจ๋อยๆ ของเขาผมก็ไม่กล้าจะว่าอะไรอีก พี่ต่อดูเหมือนเด็กที่เพิ่งหัดออกเดต เท่าที่ผมจำได้พี่ต่อก็ไม่เคยมีแฟนเลยเพราะทุ่มเทกับงานเสียมากกว่า พลีสคงมีความพิเศษอะไรบางอย่างที่ทำให้พี่ต่อสนใจอย่างแน่นอน

"อยากไปร้านอื่นไหม"

"ไม่เป็นไรครับ ร้านนี้ก็ได้"

ไม่อยากทำลายความตั้งใจของเขา ก็เลยต้องเลยตามเลย ยิ้มให้เขาแล้วมุดกลับไปดูเมนู แค่เห็นราคาก็จุกแล้วเนี่ย 

"เลือกได้หรือยัง จะสั่งเลยไหมครับ"

"ไม่รู้ว่าอะไรอร่อย พี่สั่งให้ผมหน่อย"

"งั้นพี่เลือกให้นะ"

            ถึงแม้ผมจะอ่านเมนูที่เป็นภาษาอังกฤษออก แต่ก็ไม่รู้สักนิดว่าหน้าตามันเป็นยังไง เลยปล่อยให้พี่ต่อเป็นคนจัดการสั่ง รอนานสามชาติครึ่ง อาหารก็ถูกยกมาเสิร์ฟ เป็นอาหารยุโรปหน้าตาหรูหราสองจาน ซุปครีมข้น และน้ำผลไม้คั้นสดร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมก้มมองจานที่ถูกวางตรงหน้า มีเนื้อชิ้นเล็กๆ วางอยู่บนซอสสีน้ำตาลอ่อนๆ  ข้างๆ จานมีเห็ดสไลด์บางเฉียบกับหน่อไม้ฝรั่งหนึ่งชิ้นและโรยด้วยใบสะระแหน่ โอ้ไม่สิ...เปปเปอร์มินต์

"กินเลยสิครับ"

"ครับ"

ผมตอบรับ ก่อนเอามีดเขี่ยไอ้เนื้อก้อนเล็กๆ นั่น อันที่จริงงับคำเดียวก็หมดชิ้นแล้ว แต่ด้วยความสุภาพและเป็นผู้ดี เลยต้องทำให้มันกินได้หลายๆ คำ ดื่มด่ำรสชาติและบรรยากาศในตอนที่ท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนสีไปช้าๆ เพลงบรรเลงเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศเช่นนี้ ผมอยากให้เป็นพลีสที่ได้อยู่ตรงนี้กับพี่ต่อ...เพราะมันโคตรจะโรแมนติกเลย 

 

หลังจบมื้อเย็นพี่ต่อก็มาส่งผมที่บ้าน ก่อนจะลงจากรถก็กำชับให้นอนเร็ว ห่มผ้า และอย่าตื่นสาย จบการเดตที่ไม่หวือหวาแต่ว่าอบอุ่นเพราะเป็นพี่ต่อ ในความคิดของผมแล้ว ช่วงอายุที่ห่างกันนั้นดูไม่เป็นปัญหา และเด็กชายที่น่าสงสารอย่างพลีสก็เหมาะสมที่จะมีคนที่อบอุ่นและใจดีอย่างพี่ต่อคอยดูแล คงจะดีถ้าพี่ต่อได้เข้ามาเป็นรอยยิ้มและสว่างให้ชีวิตสีเทาของพลีสได้มีความสุขขึ้นมาบ้าง

ผมยืนรอจนกว่าพี่ต่อขับรถออกไปจากหน้าบ้าน หันหลังตั้งใจจะเข้าบ้านแต่เสียงร้องของความหิวโหยก็หยุดสองขาของผมเอาไว้ก่อน

 

"โครก"

 

รสชาติอาหารระดับมิชลีนสตาร์กลับไม่ถูกปากผมสักนิด ซ้ำปริมาณยังไม่มากพอที่จะทำให้อิ่มได้ ผ่านไปไม่ถึงชั่วโมงกระเพาะก็โอดครวญร้องหาอาหารประทังความหิว ผมจึงเปลี่ยนใจที่จะเข้าบ้าน แล้วเดินออกไปหาอะไรกินที่ร้านสะดวกซื้อ ยังไม่ทันได้เดินเข้าร้าน ก็เห็นตามนั่งกินข้าวกล่องอยู่หน้าร้าน เมื่ออีกคนหันมาเห็นผมก็ยกมือทักเพราะปากไม่ว่าง 

"รอแป๊บหนึ่ง" ผมบอก ก่อนพุ่งตัวเข้าไปในร้าน หยิบมาม่าถ้วยใหญ่กับไข่ต้มสองฟอง คิดเงินเสร็จก็เดินออกไปนั่งข้างๆ ตาม

"ไหนบอกไปกินข้าวกับพี่ต่อไง"

"ไม่อิ่ม"

"พี่ต่อพาไปกินอะไรมา"

"ร้านหรูหราห้าดาวมิชลีน"

"มันอ่านรีวิวมาแน่เลย" 

ผมพยักหน้าหงึกๆ แล้วหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับตาม ระหว่างที่รอเส้นมาม่าสุกก็หยิบไข่มาปอก ผมชอบไข่ต้มแต่ไม่ชอบไข่แดงเลยยื่นไปใส่กล่องข้าวของตาม อีกคนเงยหน้ามอง ยกมุมปากขึ้นยิ้มพลางหัวเราะในลำคอเบาๆ

"หัวเราะอะไร"

ตามไม่พูดอะไรได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ แต่ผมเดาความคิดของเขาออก ด้วยผลของการกระทำเมื่อครู่มันคงย้ำให้ตามแน่ใจว่าผมเป็นผมที่เขารู้จักจริงๆ ก่อนที่เส้นมาม่าของผมจะสุกได้ที่พอดีจึงจัดการตักใส่ปากทั้งที่ยังร้อนๆ พ่นควันออกมาจนตามหลุดหัวเราะ

"เป่าก่อนไหมล่ะ"

โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ ตามหยิบถ้วยมาม่าไปจากผม เป่าให้คลายร้อนแล้วส่งคืนมาให้ เราต่างคนต่างจัดการอาหารในมือตัวเอง เป็นมื้อเย็นรอบที่สองด้วยอาหารง่ายๆ ในร้านสะดวกซื้อ ใช้เวลาไม่นานก็หมดเกลี้ยงและอิ่มแปล้ ผมเก็บกล่องข้าวและถ้วยมาม่าลุกไปทิ้งขยะก่อนจะหันไปถามตาม

"ไอติมไหมตาม"

"เอาวนิลา"

ผมพยักหน้ารับก่อนเดินเข้าไปซื้อให้ไอติมสำหรับเราคนละอันเป็นของหวานหลังมื้ออาหาร ระหว่างนั้นผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปถามคนข้างๆ   

"ตาม ทำไมพี่ต่อจำเราไม่ได้"

"ฮึ?"

"เราเคยพูดชื่อตัวเองอยู่ครั้งหนึ่งในร้านกาแฟ แต่พี่ต่อบอกว่าไม่รู้จักเรา พี่ต่อจำเราไม่ได้เหรอ"

ตามนิ่งไปหลังจบคำถามนั้น สีหน้าที่แสดงออก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่ผมตายไปแล้วแน่นอน

"เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

"พี่ต่อรถคว่ำวันเดียวกับที่เธอตาย"

ดวงตาผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ผมไม่รู้มาก่อนเลย...

"พอพี่ต่อฟื้นก็จำอะไรไม่ได้ ความทรงจำปะปนกันมั่วไปหมด แต่ผ่านไปไม่นานพี่ต่อก็เริ่มจำอะไรๆ ได้บ้าง แต่เรื่องบางอย่างก็หายไปเลย เรื่องของเธอเป็นหนึ่งในนั้น ที่มันไม่กลับมา"

ผมได้แต่พยักหน้ารับ ด้วยเหตุนั้นพี่ต่อจึงไม่รู้จักผม แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่าไรนัก เพราะว่าเรื่องของผม เรื่องราวที่เกี่ยวกับผม...คงเป็นเรื่องที่พี่ต่อไม่อยากจำ

และผมไม่รู้มาก่อนเลยว่า วันเดียวกับวันที่ผมตายจะมีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้นอีก ไม่รู้เลยว่าในวันนั้น ผมได้ทิ้งตามเอาไว้กับเรื่องราวโหดร้ายเหล่านั้นเพียงลำพัง

"วันนั้น มันคงแย่มากเลยสินะ"

ตามพยักหน้ารับ

"มันผ่านไปแล้วนะ"

"ไม่เลย"

"..."

"ไม่เคยผ่านไปได้เลยสักวัน"

ผมไม่อยากเห็นตามต้องร้องไห้อีก แต่ก็หนีไม่พ้นต้องเป็นคนทำให้ตามร้องไห้จนได้ ตามก็คงจะหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อยที่ต้องเสียน้ำตาบ่อย จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วยกไอติมที่ไหลละลายเลอะมือขึ้นมาให้ผมดู

"ไอติมละลายเลยแม่ง"

ผมหลุดหัวเราะพลางยกมือขึ้นปาดน้ำตาให้ตาม บทสนทนาแห่งความสงสัยยังคงไม่จบ คราวนี้ตามเป็นฝ่ายถามผมบ้าง

"ที่เธอมาเข้าร่างพลีสได้ เป็นเพราะเธอเป็นคนช่วยพลีสเอาไว้ใช่ไหม"

"จริงๆ เรามารู้ทีหลังว่าพลีสคือเด็กคนนั้น"

"พลีสรู้สึกผิดเรื่องเธอมากเลยนะ"

ผมได้แต่พยักหน้ารับ เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าผมจะช่วยพลีสได้ก้าวผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง ผมพยายามที่จะบอกผ่านคนอื่น กระทั่งฝากบางข้อความเอาไว้เพื่อให้พลีสได้รู้สึกดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าความรู้สึกผิดที่มีในใจของพลีสมันอยู่ในปริมาณที่มากเกินจะผ่านไปได้ง่ายๆ คงไม่มีสิ่งใดเยียวยาความรู้สึกของพลีสได้นอกจากเวลา ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าต้องนานอีกสักเท่าไร 

"แล้วเธอรู้สึกตั้งแต่เมื่อไรว่าพลีสไม่ใช่พลีส"

"ก็สงสัยมาตลอดแต่ไม่ได้คิดว่าเป็นเธอ เรารู้จักพลีสตั้งแต่วันที่เธอตาย พลีสเป็นเด็กน่าสงสาร ทั้งเศร้า ทั้งหดหู่ดูไม่มีความสุขเลย เพราะสิ่งที่พลีสต้องเจอมันคงทรมานไม่ต่างกับความตาย"

"นั่นสินะ"

"แล้ววันดีคืนดี พลีสก็ดูสดใสแปลกๆ เข้ามาคุยกับเราก่อน หาเรื่องชวนกินข้าว ไปไหนก็เจอทุกที่ บางทีก็พูดจาประหลาด รู้จักเราไปซะทุกเรื่อง แต่ที่เราคาใจที่สุดก็ตอนที่เรียกเราว่า เธอ"

"หลุดปากน่ะ"

ตามได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนที่จะเกิดความเงียบ ผมก็หยิบยกบทสนทนาขึ้นมาอีกเรื่อง

"ตาม เรื่องที่เธอพูดที่โบสถ์น่ะ"

"เรื่องไหน"

"ที่บอกว่ากำลังนอกใจเรา"

"..."

"เป็นพลีสใช่ไหม คนที่เธอกำลังชอบอยู่"

ตามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพูดออกมา

"โกรธหรือเปล่า"

"ไม่โกรธสักนิด เธอไม่ได้ทำบาปอะไรทำไมต้องรู้สึกผิดด้วย"

"ก็เราไม่เคยเลิกกัน"

"แต่เราไม่อยู่แล้ว เธอจะรักใครก็ได้"

"แต่ไม่ใช่พลีสหรอก"

"ไม่ใช่...พลีสเหรอ"

"ตอนแรกก็คิดว่าใช่ แต่ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่าไม่ใช่"

"หมายความว่าไง"

"มันเกิดขึ้นตอนที่เรารู้สึกว่าพลีสเริ่มเหมือนเธอเข้าไปทุกที ตอนที่พลีสเป็นพลีส เราไม่เคยรู้สึกอะไรเลยนอกจากความสงสาร"

"..."

"แต่ตอนที่พลีสไม่ใช่พลีสมันทำให้เราคิดถึงเธอ คิดว่าตัวเองกำลังอยู่ใกล้ๆ และได้พูดคุยอยู่กับเธอ แล้วมันก็คือเธอจริงๆ"

"..."

"เพราะงั้นคนที่เราชอบไม่ใช่พลีส แต่เป็นเธอ"

"..."

"เป็นเธอ"

"..."

"เสมอ"

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 09-08-2019 18:27:53
ผมตั้งหน้าตั้งตารอเย็นวันศุกร์เพราะตั้งใจว่าจะไปค้างกับตาม ได้โอกาสที่แม่ไม่กลับบ้าน ส่วนพ่อก็ไปตรวจไซด์งานที่ต่างจังหวัดพอดี ทางก็เลยสะดวก คนเดียวที่ผมต้องขออนุญาตก็คือพี่หน่อยที่ตอนนี้กำลังทำอาหารเย็นให้ผมอยู่ในครัว

"พี่หน่อยครับ"

"ไงคะ หิวแล้วเหรอ นั่งก่อนสิคะ อีกแป๊บเดียวก็เสร็จแล้ว"

"เปล่าครับ คือผมมีเรื่องอยากขอน่ะครับ"

"ขออะไรคะ"

"วันนี้ผมไปนอนบ้านเพื่อนได้ไหมครับ"

"เพื่อนคนไหนคะ"

เพราะพี่หน่อยรู้ดีว่าพลีสไม่ได้มีเพื่อนคนไหนที่สนิทพอที่จะไปนอนค้างที่บ้านได้ ผ่านสายตาคาดคั้นนั้นผมเองก็ได้แต่ก้มหน้างุด คิดข้ออ้างไม่ได้

"ไปเถอะค่ะ หน่อยไม่ถามก็ได้"

"ให้ไปจริงนะ"

พี่หน่อยพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนเดินเข้ามากอดแล้วลูบหัวผมเบาๆ

"มีอะไรต้องทำเยอะเลยสินะคะ"

"ครับ?"

"รีบไปเถอะค่ะ เพื่อนน่าจะรออยู่"

ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกมาจากบ้าน เป็นเพราะพี่หน่อยเลี้ยงพลีสมาตั้งแต่เกิด แม้แต่การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็สังเกตเห็นได้ ถึงจะมีคำอธิบายอย่างมีเหตุผลมากมายว่าผมสูญเสียความทรงจำบ้าง สมองกระทบกระเทือนบ้าง แต่นั่นคงไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้คนๆ หนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคนถึงเพียงนี้ และพี่หน่อยก็คงรู้ดีมาตั้งแต่แรกว่าคนที่อยู่ตรงนี้...ไม่ใช่น้องพลีสของเขา

 

เพราะร้านตัดผมที่ตามทำงานกำลังปิดปรับปรุงชั่วคราว เย็นนี้ตามก็เลยว่างเพื่อให้เราได้ใช้เวลาด้วยกัน ฝนตกลงมานิดหน่อยตั้งแต่ตอนที่ผมมาถึงหอตาม เราพากันนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอย่างคนขี้เกียจ มีเรื่องให้ผมพูดเป็นร้อยเป็นพันเรื่อง พูดถึงเรื่องตอนเป็น เล่าทั้งเรื่องตอนตาย ริมฝีปากที่พูดไม่หยุดมาพักหนึ่งเงียบลงตอนที่หันไปเห็นว่าตามกำลังหลับตาอยู่

"หลับแล้วเหรอ"

"เปล่า"

"เห็นเธอหลับตา"

"นึกถึงหน้าเธออยู่"

"..."

"หน้าตาของเธอตอนที่กำลังพูดแบบนี้"

ใบหน้าของผมคงปรากฏอยู่ในจินตนาการของตาม ผ่านน้ำเสียงของพลีสที่กำลังพูดไม่หยุดปาก ตามคงหมดความสงสัยใดและเชื่ออย่างสนิทใจ เพราะเรื่องราวบางอย่างมีเพียงเราเท่านั้นที่รู้ แม้ว่าผมจะไม่เหลือร่างกายและใบหน้าเดิมให้ตามได้สัมผัส แต่ความรักยังคงอยู่เพื่อโอบกอดกันและกันผ่านความรู้สึกในใจอยู่เสมอ   

"หน้าตาเธอไม่เปลี่ยนไปใช่ไหม"

"ไม่เปลี่ยนสิ เหมือนเดิมเลย"

"งั้นก็คงน่ารักแบบนี้ไปตลอดเลยสินะ"

ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนพลิกตัวขึ้น ยันแขนเอาไว้กับที่นอนแล้วใช้มือข้างหนึ่งจิ้มแก้มตามจนอีกคนลืมตาขึ้นมา

"แต่เธอเปลี่ยนไป แก้มเธอหายไป"

"หุ่นดีจะตาย"

"ผอมอย่างกับผีเหอะ ทำไมเธอไม่กลับไปอยู่บ้านล่ะ บ้านเธอรวยจะตาย ทนลำบากอยู่ทำไม"

"มันต้องลำบากสิ มันถึงจะเรียกว่าชีวิต"

"ไม่ต้องมาทำเท่เลย ทะเลาะกับพ่อแม่เพราะไม่ยอมทำงานดีๆ ล่ะสิ"

"โห! รู้ดีเหมือนผี มาแอบสิงอยู่หลังบ้านเราหรือไงถึงได้รู้ดีไปหมด"

"เดี๋ยวเหอะ!" ผมโวยลั่น ทำท่าจะทุบแต่ตามไวกว่า ยกสองมือขึ้นรวบแขนผมแล้วดึงเข้าไปซบอก ใช้ขาข้างหนึ่งพาดเอาไว้ไม่ให้ขยับ

"ตอนนี้เธอตัวเล็กชะมัด"

"ขออะไรอย่างหนึ่งสิตาม"

"อะไร"

"ใช้ชีวิตให้ดีกว่านี้ได้ไหม เราจะได้ไม่เป็นห่วง"

"ถ้าทำให้เธอห่วง เธอจะไม่ไปไหนใช่ไหม"

"จริงจังได้ไหมเนี่ย"

"ก็จริงจังอยู่นี่ไง"

"เหมือนเรากำลังทำให้ชีวิตของเธอต้องเสียเวลา ชีวิตเธอมันควรจะก้าวไปข้างหน้า มีอนาคตที่ดีกว่านี้ กลับไปเรียนต่อหรือหางานดีๆ ทำ เธอควรจะไปรัก..."

"ไม่ต้องบอกให้เราไปรักคนอื่น"

คำพูดของผมหยุดชะงักตอนที่ตามแทรกขึ้นมาก่อนที่จะพูดจบ 

"เราจะทำชีวิตของเราให้ดีอย่างที่เธอขอ แต่ไม่ต้องไล่ให้เราไปรักใคร"

"..."

"เราทำไม่ได้"   

ตามว่าแล้วยกขาที่พาดออกไป พร้อมกับคลายกอดให้หลวมกว่าเดิม สองมือของตามยกขึ้นประคองใบหน้าของผม นิ่งมองอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งแล้วหลับตาลง ตามดึงหน้าผมเข้าไปหาช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเราจะสัมผัสกันในช่วงเวลานาทีหนึ่ง ความทรงจำในวันเก่าปรากฏชัดราวกับมันเพิ่งเกิดเมื่อวาน ราวกับว่าตัวเองยังไม่ได้ตายจากไปไหน ตามค่อยๆ คลายจูบนั้นช้าๆ แล้วพูดออกมาเบาๆ 

"ไม่ได้จูบพลีสนะ"

"..."

"จูบเธอ"

 

...

 

ผมชวนตามออกมาหาข้าวเย็นกิน ขณะที่ตามดึงดันจะกินข้าวไข่เจียวแต่ผมไม่ยอม จะขุนตามให้กลับไปอ้วนเป็นหมูก็เลยลากมาที่ห้างแล้วเสนอตัวว่าจะเลี้ยงพิซซ่า

"พิซซ่ามันแพงนะ กินข้าวได้ตั้งหลายมื้อ"

"ยืมเงินพลีสก่อน"

"แล้วใครใช้คืน?"

"เธอไง"

"เฉยเลย!"

"เถอะน่า" ผมว่าแล้วดึงมือตามตรงไปยังร้านพิซซ่า แต่ว่าอีกคนรั้งผมเอาไว้ให้หยุดเดินก่อน

"มีอะไร"

"เรารู้วิธีที่จะได้กินพิซซ่าฟรีแล้ว"

"ยังไง"

ตามยกมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนจะปล่อยมือผมแล้วก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาคนรู้จักที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านกาแฟ

"พี่ต่อ!"

แก้วกาแฟในมือพี่ต่อเกือบจะหล่นเพราะความตกใจ แต่มือไวของตามรับเอาไว้ได้ก่อน โทษฐานทำให้ตกใจเลยถูกกำปั้นทุบเข้ากลางกบาลไปหนึ่งที

"พี่ต่อเลิกงานแล้วเหรอ"

"ฝนตกอะ ไม่มีคนไข้ก็เลยปิดเร็ว แล้วนี่ทำไมมาด้วยกันได้" พี่ต่อพูดประโยคหลังในตอนที่หันมามองผม ไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ เลยใช้ทักษะการแถแก้ตัวไปอย่างรวดเร็ว

"เจอกันข้างหน้าน่ะครับ ผมเลยชวนพี่ตามมากินข้าวด้วยกัน"

"พี่ต่อซื้อพิซซ่าหน่อยสิ"

"เรื่องอะไร?"

"พลีสอยากกิน"

เมื่อตามโยนมาให้ ผมก็ตามน้ำไปด้วยการพยักหน้ารับ และในทันทีที่พี่ต่อเข้าใจเช่นนั้น ก็ตกลงเอาง่ายๆ ด้วยการพาพวกเราไปเลี้ยงพิซซ่า แต่ว่าที่ร้านคนเยอะมากจนไม่มีที่นั่ง

"ไม่เป็นไร ตามเอาไปกินที่ห้องก็ได้ เนอะพลีส"

"ได้ครับ"

"ไปด้วยกันเหรอ?"

"ใช่"

"งั้นพี่ไปด้วย"

"พี่ต่อยุ่ง"

"ยุ่งอะไร ก็จะไปด้วย"

"ก็ตามจะไปกินกับ...พลีสไง" ตามเว้นวรรคไปครู่หนึ่งเกือบจะหลุดชื่อผมออกมาดีว่ารู้ตัวทัน

"ทำไมพี่จะไปด้วยไม่ได้ พี่เป็นคนจ่ายเงินนะ" รวบรัดตัดบทก่อนที่พี่ต่อจะจัดการสั่งพิซซ่าและจ่ายเงินให้พวกเราเรียบร้อย ตามทำหน้ายุ่งแล้วหันมากระซิบบอก

"ไม่น่าเข้าไปทักเลย"

ผมได้แต่ยิ้มหน่อยๆ กับสถานการณ์นี้ จริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไรกับพี่ต่อ แต่ว่าการที่ผมต้องเป็นทั้งพลีส เป็นทั้งแสงในเวลาเดียวกันมันค่อนข้างจะลำบาก ไม่สามารถแสดงออกถึงตัวตนใดตัวตนหนึ่งออกมาได้อย่างชัดเจน คงจะต้องระวังตัวมากขึ้นหน่อย

เราทั้งหมดกลับมาที่ห้องของตามหลังจากซื้อของกินมาเรียบร้อย เมื่อเข้ามาถึงสิ่งแรกที่พี่ต่อเอ่ยปากถึงก็คงหนีไม่พ้นความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องรกๆ ของตาม 

"ห้องรกมากเลยนะตาม นี่เคยกวาดห้องบ้างไหม ดูฝุ่นสิเนี่ย"

"แบบนี้ถึงได้ไม่อยากให้พี่ต่อมาห้องไง มาถึงก็บ่นเลย"

"ผ้าปูที่นอนซักบ้างหรือเปล่า จานนี่กี่วันแล้วทำไมไม่ล้าง แล้วผ้านี่ซักหรือยัง ทำไมไม่แยกกันไว้ อะไรที่ไม่ใช้แล้วก็ทิ้งไปสิ แล้วขวดเบียร์นี่คืออะไร กินเบียร์ทุกวันเลยหรือไง"

"พี่ต่อ หยุดคุ้ยห้องตามสักที!"

"แล้วทำไมมันรกแบบนี้เล่า!"

"ก็ตามอยู่คนเดียว"

"อยู่คนเดียวแล้วไม่ต้องสะอาดหรือไง"

"ตามอยู่ได้ก็แล้วกัน"

"ทำความสะอาดที่ทำงานได้ แต่ห้องตัวเองทำไม่ได้"

"ก็ทำแล้วมันไม่ได้ตังค์นี่"

"เงียบไปเลย"

พี่ต่อปล่อยให้เรานั่งกินพิซซ่า ส่วนตัวเองละความสนใจไปทำความสะอาดห้องให้ตามทั้งที่ปากก็ยังบ่นไปด้วยไม่หยุด เริ่มจากเอาจานไปล้าง เก็บผ้าใส่ตู้ กวาดถูพื้นและจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ รวมถึงเก็บพวกขวดและกระป๋องเบียร์รวมไว้กับกองขยะแล้วกำชับให้ตามเอาไปทิ้ง ห้องเรียบร้อยกว่าเดิมมากแต่ดูเหมือนยังไม่พอใจ พี่ต่อหันมองไปยังโต๊ะหนังสือที่ข้าวของไม่เป็นระเบียบ ก่อนที่จะก้าวเท้าไปยังตรงนั้น 

"ตรงนั้นไม่ต้องยุ่ง!" ตามว่าพลางลุกขึ้นไปยืนขวางไม่ให้พี่ต่อเข้าไปถึงที่โต๊ะตัวนั้น แต่ช้าเกินกว่าจะหยุดสายตาของพี่ต่อได้ มีสิ่งหนึ่งที่ตามไม่อยากให้พี่ต่อเห็นและลืมที่จะซุกซ่อนมันเอาไว้ก่อน นั่นคือรูปถ่ายของผมที่วางอยู่ตรงนั้นและพี่ต่อไม่ทันที่จะได้สังเกตเห็นแต่แรก แต่ในตอนนี้มันกลายเป็นความสนใจเดียวที่พี่ต่อมี 

"ใครเหรอ"

"พี่ต่อไม่รู้จักหรอก" ตามหยิบรูปนั้นมาไว้กับตัว แต่ถูกพี่ต่อดึงกลับไปเพื่อจ้องมองด้วยแววตาที่ทั้งดูสงสัยและสับสนในคราวเดียว

"แต่พี่เคยเห็นหน้า"

"ไม่เคยหรอก พี่ต่อจำผิดแล้ว"

หนึ่งสิ่งที่ผมรู้คือพี่ต่อจำผมไม่ได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่ผมมั่นใจคือตามไม่อยากให้พี่ต่อจำผมได้...ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง

หัวคิ้วของพี่ต่อขมวดเข้าหากันแน่น ร่างกายยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ครู่หนึ่ง ด้วยใบหน้าที่สับสน จากความพยายามที่จะคิดถึงความทรงจำที่เลือนหายไปนานแล้ว ดูเหมือนความเจ็บปวดก่อตัวขึ้นในตอนที่พี่ต่อยกมือข้างหนึ่งกุมขมับแน่น 

"พี่ต่อไม่รู้จักหรอก ไม่ต้องคิด ช่างมันเถอะ"

"พี่รู้จัก"

"ก็บอกว่าไม่..."

"แสงเทียน"

ชื่อของผมถูกเอ่ยออกมาจากปากพี่ต่อ ก่อนที่ตามจะนิ่งเงียบไป เรื่องราวที่เกี่ยวกับผมย้อนคืนมาสู่ความทรงจำของพี่ต่อทั้งที่เราทั้งหมดไม่อยากให้มันเป็นเช่นนั้น

            ร่างกายของพี่ต่อนิ่งงันไม่เคลื่อนไหว ในตอนที่ตามก้าวเท้าเข้าไปหา พี่ต่อก็ถอยหลังหนีตามไปก้าวหนึ่ง เพียงก้าวเดียวที่ขยับ ก่อนร่างของพี่ต่อจะล้มลงกับพื้นในตอนที่สติเลือนหาย

 

"โครม!"

 

"พี่ต่อ!"

ทั้งผมและตามตรงเข้าไปหาพี่ต่อที่ล้มลงหมดสติ ตามร้องเรียกพี่ต่อหลายครั้งก่อนนิ่งชะงักเพราะเลือดที่ไหลออกมาจากหัวของพี่ต่อ 

"ตามหันหลังไป!"

ทำตามที่ผมบอกด้วยการไม่มอง ผมประคองพี่ต่อที่ไม่ได้สติขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองนั้นตัวเล็กเกินกว่าจะทำอะไรได้ไหว ผมจึงเงยหน้าขึ้นเรียกตาม

"ตาม เราต้องการเธอ"

"แต่..."

"พี่ต่อต้องการเธอ!"

ความกลัวของตามถูกแทนที่ด้วยความเป็นห่วงที่มีให้พี่ต่อ ตามจึงหันกลับมา ก่อนที่ตามจะพาพี่ต่อไปยังโรงพยาบาลได้ด้วยตัวเอง ส่งพี่ต่อถึงห้องฉุกเฉิน ตามก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วเลือดที่เลอะร่างกายนั่นด้วยมือไม้ที่สั่นเทา ผมรีบตรงเข้าไปช่วยจัดการเลือดนั่นให้สะอาด

ตามทรุดตัวลงนั่งกับพื้นห้องน้ำ กระพริบตาสองสามทีแล้วสั่นหน้าเบาๆ เรียกสติ ความกลัวยังคงไม่หายและสองมือนั่นก็หยุดสั่นไม่ได้เลย ผมจึงต้องคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วกุมมือตามเอาไว้ ก่อนที่ตามจะซบหน้าลงมาบนไหล่แล้วกอดผมเอาไว้แน่น

"ไม่เป็นไรแล้วนะ"

"..."

"ไม่เป็นไรแล้วที่รัก"

"..."

"ไม่เป็นไร"

เมื่อตามได้สติ เราจึงพากันมานั่งรอพี่ต่ออยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ตามยอมโทรหาพ่อกับแม่เป็นครั้งแรกในรอบปีเพื่อที่จะบอกเรื่องพี่ต่อ ไม่นานนักพ่อกับแม่ของเขาก็มาถึงที่นี่ แต่ตามถอยห่างออกมาไม่ยอมพูดจากับพ่อแม่ตัวเอง ไม่รู้ว่าความขุ่นเคืองใจที่มีต่อกันมันเป็นเรื่องราวใหญ่โตแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้ว่าตามกำลังอุ่นใจที่พ่อกับแม่อยู่ที่นี่ด้วย

พ่อกับแม่ของตามเป็นหมอทั้งคู่ ตามเคยบอกว่าเขาเป็นคนเดียวในครอบครัวหมอที่ผ่าเหล่าผ่ากอมาเรียนวิศวะ ให้ตามเรียนหมอคงไม่เหมาะ ทั้งกลัวเลือด กลัวผี กลัวเข็ม กระทั่งกลิ่นแอลกอฮอล์เช็ดแผลยังทำตามอ้วกแตกได้เลย อยู่ให้ไกลจากโรงพยาบาลไว้คงดีที่สุดสำหรับตามแล้วแหละ ในตอนที่ผมเอาแต่มองตาม คนข้างๆ ที่เพิ่งจะรู้ตัวก็หันมาถามหน้ายุ่งๆ

"มองอะไร"

"เธอเก่งมากเลยนะที่พาพี่ต่อมาที่นี่ได้"

"เก่งตรงไหน เราไม่ช็อกตายก็บุญแล้ว"

"แค่นี้ก็เก่งแล้ว"

"แต่มีครั้งหนึ่งนะที่เราไม่กลัวเลือดเลย"

"ตอนไหน"

"ตอนที่เข้าไปกอดศพเธอ"

ผมไม่ทันได้เห็นตอนนั้น ด้วยเพราะวิญญาณผมยังหลงทาง ไม่รู้ตัวว่าตาย กว่าจะหาทางกลับบ้านได้ก็วันสุดท้ายที่งานศพ ก่อนที่ร่างกายของตัวเองจะถูกเผามอดไหม้เหลือเพียงเศษกระดูกและเถ้าถ่าน ผมจึงเข้าใจในตอนนั้นว่า ความตายไม่ได้เจ็บปวดอะไรหากเทียบเท่ากับความรู้สึกของคนที่ยังอยู่ คนที่ทรมานไม่ใช่ผมแต่เป็นคนที่รักผมต่างหาก 

"เราไม่น่าจากกันไปแบบนั้นเลย ทั้งๆ ที่เราก็รักกันมากแท้ๆ แต่วันนั้นเรากลับทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย"

"เราเป็นคนทำให้เธอเสียใจ"

"แต่เราก็ไม่น่าโกรธเธอมากขนาดนั้น"

"เป็นใครก็ต้องโกรธ"

"..."

"ถ้าเห็นแฟนตัวเองไปจูบกับคนอื่น"

เพราะความผิดในวันนั้น มันทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดไปมีชีวิตใหม่ ผมทำผิดกับตามเอาไว้และยังไม่ได้ขอโทษเขาสักคำ และผมค้นพบเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ผมต้องติดอยู่ที่นี่...

"เป็นคนอื่นเราคงเจ็บปวดน้อยกว่านี้ แต่ดันเป็นเขา..."

 

...ก็เพื่อชดใช้บาปกรรมที่ผมแกล้งทำเป็นหลงลืม

 

"ดันเป็นพี่ต่อ"

 

To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: evanescence_69 ที่ 09-08-2019 19:12:58
อะไรเนี่ย อีรุงตุงนังไปหมด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 09-08-2019 19:16:52
โอยตายล่ะ ชุลมุนอะไรกันขนาดนี้ แสงนอกใจตามไปจูบพี่ต่อ จนทะเลาะกัน
พี่ต่อลืมเรื่องแสงเพราะรู้สึกผิดกับตาม
พี่ต่อจีบพลีสที่บางทีก็มีแสงมาอาศัยร่าง
555555อยากหัวเราะหรืออยากร้องไห้ก็ไม่แน่ใจ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 09-08-2019 19:37:35
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-08-2019 20:19:50
คดีจะพลิกเหรอ
แล้วจูบนั่นเกิดจากอะไรอ่ะ
พี่ต่อเกิดอุบัติเหตุเพราะเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 09-08-2019 20:27:45
โอ๊ยยย อีรุงตุงนัง  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 09-08-2019 22:42:06
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 09-08-2019 23:28:00
 :เฮ้อ:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 09-08-2019 23:52:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

ตะหงิดตั้งแต่ตอนแรก ๆ แล้วว่า พี่ต่อกับแสง ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลหล่ะ  แต่คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าจะเป็นเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 10-08-2019 00:49:28
ตามกับแสงนี่อ่านไปจะร้องไห้ไปมันเศร้าอ่ะ น้ำตาจะไหล
แต่เรื่องพี่ต่อนี่มันอิรุงตุงนังไปหน่อยแล้วจะยังไงกัน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 10-08-2019 07:13:00
ไม่ใช่ว่าพี่ต่อตกหลุมรักแฟนน้องนะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 10-08-2019 08:46:31
ปมคลี่คลายหมดแล้ว ซิเนอะ โล่งใจ ความหน่วงๆ ปลิวหายในสายลม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 10-08-2019 20:41:25
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Cardiac ที่ 10-08-2019 21:24:30
ตื่นเต้น
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 17-- 9/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 11-08-2019 11:49:45
เค้าดองไว้นานเพราะงานยุ่ง กลับมาอีกทีอีรุงตุงนังจริงด้วย แงงงงงง แสงกับตามก็รักกันดีแท้ๆไม่น่าเป็นแบบนี้เลย สงสารตาม ส่วนเรื่องพี่ต่อวันนั้นก็อาจจะต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆถึงได้ไปจูบกันได้ //ส่วนฉากที่พี่ซีโผล่มาคือขำ กะแล้วตั้งแต่เห็นผีที่ชื่อมิ้นท์ ว่าเป็นมิ้นท์เดียวกันมั้ย55555555 คิดถึงพี่ซี
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 11-08-2019 21:29:13
ตอนที่ 18
มนุษย์มักจะคิดได้ ก็ในวันที่สายไปทุกที

 

 

สามปีที่แล้ว

 

(พี่แสง วันนี้กลับบ้านหรือเปล่า)

"ไม่กลับครับ"

(โห่!)

"ทำไม จะเอาอะไร"

(เปล่า แค่อยากให้พี่แสงกลับบ้านเฉยๆ วันนี้แม่ทำแกงเขียวหวานกับหมูทอด แถมพ่อซื้อไก่ย่างมาตัวหนึ่งด้วย ไม่งั้นหนูจะกินคนเดียวให้หมดเลย)

"ยังอ้วนไม่พอมั้ง"

(ไอ้พี่แสง!)

"ไม่สุภาพ!"

(ชิ! ตกลงจะไม่กลับจริงๆ ใช่ไหม)

"พี่บอกตามไว้แล้วไงว่าวันนี้จะนอนด้วย"

(รำคาญคนติดแฟนอะ)

"อะไร อาทิตย์นี้ได้อยู่ด้วยกันวันเดียวเอง"

(ไม่รู้แหละ! พี่ไม่มีเวลาให้หนูเลย พรุ่งนี้กลับมากินข้าวที่บ้าน นี่เป็นคำสั่ง!)

"ก็ได้"

(ชวนพี่ตามด้วยนะ เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ บาย!)

"จ้า" ผมตอบรับสายป่านก่อนอีกฝ่ายกดวางสายไปก่อน ยิ่งโตยิ่งอ้อนแถมเอาแต่ใจแต่ก็โทษน้องไม่ได้เพราะดันเลี้ยงมาแบบตามใจไม่มีขัด โดยเฉพาะผมที่แพ้ทางไอ้อ้วนเต็มๆ ด้วยความขี้อ้อนของมัน

ผมยัดมือถือใส่กระเป๋ากางเกง ในระหว่างที่กำลังจะเดินไปยังหอพักของตาม พลันสายตามองไปเห็นรถยนต์คันหนึ่งตรงเข้าไปจอดที่หน้าตึก ความสนใจพุ่งไปยังคนที่เปิดประตูออกมาก่อน ตามมาด้วยคนขับที่เปิดประตูลงมาด้วยและเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ผมก็รีบก้าวเท้าตรงเข้าไปทันที

"ขอบคุณนะครับพี่นัท ที่ให้ติดรถมาด้วย"

"ไม่เป็นไร ทางเดียวกันอยู่แล้ว"

"ทางเดียวกันตรงไหน หอพี่อยู่ไกลไปอีกสองกิโล" เสียงแทรกนั่นแน่นอนว่าเป็นผมที่เสนอหน้าเข้าไปขัดบทสนทนาของสองคนนั้น ก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามอง หนึ่งในนั้นคือตามของผม ส่วนอีกคนคือ พี่นัท เป็นรุ่นพี่ในเอกผม ที่ควรจะเรียนจบไปแล้วด้วยซ้ำแต่ปีที่แล้วดรอปเรียนไปก็เลยจบช้า แล้วเขาก็รู้จักกับตามด้วย เหตุเพราะตามไปหาผมที่คณะบ่อยๆ ก็เลยได้ทำความรู้จักกันตั้งแต่ปีหนึ่ง

"อ้าว แสงเทียน"

ผมฉีกริมฝีปากฝืนยิ้มแล้วเข้าไปยืนข้างๆ ตาม สายตาของอีกฝ่ายมองมาอย่างรู้ดีว่าผมกำลังแสดงความเป็นเจ้าของ ความไม่พอใจของเขาปกปิดไม่มิดผ่านมุมปากที่ขยับขึ้นยิ้มข้างหนึ่ง เห็นไหม มันยิ้มแบบตัวร้าย!

"ถ้าวันหลังเลิกเรียนเวลานี้ ก็กลับพร้อมพี่ได้นะ"

"ครับ"

"เอาไว้ถ้าตามว่าง ไปกินข้าวด้วยกันบ้างนะ"

"ตามไม่ว่างหรอกครับ"

ผมคงจะไม่เสียมารยาทแบบนี้ถ้าพี่นัทมันเป็นเพียงรุ่นพี่ที่คณะเฉยๆ แต่ดันเป็นรุ่นพี่ที่คอยตามจีบตามมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ทั้งๆ ที่เขาก็รู้ดีว่าตามมีผมอยู่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าไอ้หน้ากากหมูแก้มสีชมพูนี่มันจะเสน่ห์แรงจนทำให้รุ่นพี่ที่ทั้งหล่อ ทั้งรวยนี่มาสนใจไม่เลิกรา

"งั้นพี่ไปก่อนนะตาม"

"เชิญครับ" เป็นผมที่ตอบรับด้วยน้ำเสียงขับไล่ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายไม่ได้พูดกับผมสักนิด เหมือนมีกระแสไฟฟ้าพุ่งออกมาจากสายตาของเราสองคนราวกับไม่ชอบหน้ากันมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว พอหันไปมองตามก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มหวานได้รวดเร็วเหมือนสับสวิตซ์ ก่อนที่จะหันไปขึ้นรถแล้วขับออกไป ผมจะทำอะไรได้นอกจากหันหลังเดินขึ้นตึกด้วยอารมณ์ขุ่นๆ ทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนที่ตามจะเอ่ยปากพูด แม้จะด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แต่ก็กำลังต่อว่าผมอยู่

"แสง วันนี้เธอทำตัวไม่น่ารักเลยนะ"

"เราทำอะไร"

"ทำเป็นหวงเรา ต่อหน้าพี่นัท"

"เราไม่มีสิทธิ์หวงหรือไง ใครๆ เขาก็รู้ว่าไอ้พี่นัทมันชอบเธอ"

"แต่ใครๆ เขาก็รู้ว่าเธอเป็นแฟนเรา เราจะไปชอบคนอื่นได้ยังไง"

"ไม่รู้แหละ เราโมโห เราไม่ชอบ"

"ไม่น่ารัก"

"ไม่น่ารักก็ไม่ต้องมารัก"

"มาให้เรากอดนี่มา"

"ไม่ ไม่ต้องมากอดเรา ก็บอกว่าไม่ไง ปล่อย! ออกไป!" ผมหนีอ้อมกอดของตามไม่ทัน ครั้นจะดีดดิ้นก็ไม่ยอมหลุดเพราะแรงของอีกคนที่มากกว่าโอบร่างผมเอาไว้แน่น 

"ไม่ปล่อย"

"วันนี้เราไม่รักเธอแล้ว"

ตามหัวเราะในลำคอเบาๆ เอาคางมาเกยที่ไหล่แล้วเอ่ยปากถาม

"แต่พรุ่งนี้จะกลับมารักใช่ไหม"

"ใช่" ผมพูดตามตรงเพราะไม่คิดจะโกรธตามนาน

"โอเค งั้นยอมให้เกลียดวันหนึ่งก็ได้"

"เออ"

"แสง เธอไม่ต้องรักเราทุกวันก็ได้นะ"

"..."

"แต่ขออย่างเดียว ให้เราแก่ตายไปด้วยกัน"

"..."

"ตกลงไหม"

ผมหันมองตามที่อยู่ๆ ก็พูดออกมาเช่นนั้น แต่ด้วยน้ำเสียงจริงจังและแววตาที่เรียบนิ่งกว่าที่เคย มันก็ทำให้ผมยอมที่จะหายโกรธในหนึ่งวินาทีนั้นได้เลย จึงพยักหน้ารับแล้วยิ้มออกมาจนได้

"เธอน่ารักที่สุดเลย" ตามว่าแล้วกดปลายจมูกเข้ามาที่ข้างแก้มของผมทีหนึ่ง ผมหันไปเอาคืนที่ริมฝีปาก ก่อนที่ตามจะโต้ตอบจูบนั้นพลางกระชับอ้อมแขนที่โอบกอดร่างกายของผมเอาไว้ไม่ให้ขยับ อาจจะเป็นจูบครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้าน แต่ในทุกๆ รอยจูบนั้น มันยังคงตื่นเต้น นุ่มนวล หอมหวาน...และพาเราเคลิ้มลอยไปไกลเหมือนในทุกครั้ง 

 

...

 

ผมเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายที่ผ่านการฝึกงานมาแล้วเรียบร้อย ในเทอมสุดท้ายของผมจึงไม่ค่อยมีวิชาใดให้เครียดหรือเป็นกังวล แถมคณะของผมยังไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์เหมือนคนอื่นเขาอีกด้วยก็เลยเป็นเทอมที่สบายๆ รอสอบปลายภาคอีกครั้งก็จบโดยสมบูรณ์ แต่ในระหว่างเทอมนี้คณบดีเสนอทุนการศึกษาให้ไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสสำหรับนักศึกษาปีสุดท้าย ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสที่ดีก็เลยคิดจะลองดู ด้วยเกรดที่ไม่ได้แย่และความสามารถในภาษาฝรั่งเศสที่ร่ำเรียนมาตั้งหลายปีทำให้ผมผ่านการคัดเลือกจากการสอบข้อเขียนในรอบแรก เหลือเพียงสอบสัมภาษณ์อีกครั้งก็รู้ผล หากว่าโชคดีผมก็จะมีช่วงเวลาในเทอมสุดท้ายที่แสนวิเศษไปเลย ช่วงนี้ผมก็เลยต้องเตรียมตัวด้วยการร่างคำตอบและซ้อมคร่าวๆ เพื่อเตรียมตัวสำหรับสอบสัมภาษณ์อาทิตย์หน้า

"โอ๊ย! เลือด!" 

ผมละสายตาจากกระดาษในมือไปมองตามที่ซุกหน้าเข้ามาซบ ขณะกำลังนอนดูซีรีส์เกี่ยวกับการแพทย์แล้วก็เจอเข้ากับฉากเลือดกระจายเต็มจอ

"อี๋! ศพ!" 

มุดเข้ามาหนักกว่าเดิมเมื่อฉากนั้นเป็นศพที่ทำออกมาซะเหมือนจริงจนน่าขนลุก   

"กรี๊ด!"   

"ตาม! จะมุดไปถึงไหนเนี่ย!" 

"ก็มันน่ากลัว!"

"น่ากลัวแล้วดูทำไม"

"ก็มันสนุกอะ" ปากเถียงผม พลางยกมือขึ้นปิดตาแต่ก็แหวกนิ้วมองด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มี ก่อนจะหลับตาปี๋เพราะมีฉากที่ศพโผล่มาอีกที

"เลยฉากศพไปยัง" 

"ไปแล้ว" 

"ไม่หลอกนะ"

"ไม่หลอก" ผมบอกตามตรง ก่อนที่ตามจะค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง

"กลัวทำไม ก็รู้อยู่ว่าเป็นละคร"

"ก็มันทำเหมือนอะ"

"พอเราตาย เราก็กลายเป็นศพแบบนี้ เธอจะกลัวไหม"

"กลัวดิ! เธอเป็นผีนะ!" 

ผมได้แต่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่ตามจะหันไปดูซีรีส์ต่อแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมขาราวกับว่ามันจะปลอดภัยถ้าผีจะโผล่มาตอนนี้ ตามเป็นลูกหมูตัวโตที่ขี้กลัวไปซะทุกอย่าง ทั้งกลัวเลือด กลัวเข็ม กลัวผี กลัวแมงมุม กลัวตุ๊กแก ร่างกายอ่อนแอ แพ้ขนหมา รวมอยู่ในคนๆ เดียวทั้งหมดแบบไม่แบ่งใคร ตอนพระเจ้าสร้างตามคงลืมที่จะใส่ความเท่มาให้บ้าง หรือไม่บางทีพื้นที่ในร่างกายคงไม่เหลือพอ เพราะพระเจ้าเทความน่ารักอัดแน่นจนล้นไปหมดแล้วมั้ง ผมยิ้มนิดๆ ก่อนยกมือหยิกแก้มพองของตามเบาๆ อีกคนก็จับมือผมไปกุมเอาไว้ให้คลายความกลัว...แบบนี้อุ่นใจดีนะ     

 

...

 

วันสอบสัมภาษณ์กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ เย็นวันนี้นักศึกษาทั้งหมดที่มีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ถูกอาจารย์ในคณะเรียกไปเพื่อแจ้งเปลี่ยนกฎการสอบสัมภาษณ์จากภาษาฝรั่งเศสไปเป็นภาษาอังกฤษ แม้เราทั้งหมดจะทักท้วงว่ามันกะทันหันจนกว่าจะเตรียมตัวได้ทันแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะทางคณบดียื่นคำขาดมาแบบนั้น จึงได้แต่โอดครวญไม่เป็นภาษาตอนที่ออกมาจากห้องพักอาจารย์ ด้วยเหตุผลเดียวกันทั้งหมดว่าถึงแม้ทักษะทางภาษาฝรั่งเศสของเราจะดี ก็ใช่ว่าความสามารถในภาษาอังกฤษจะดีไปด้วย โดยเฉพาะกับผม มุ่งมั่นแต่กับวิชาเอกมาโดยตลอด ภาษาอังกฤษแค่พอไปวัดไปวา ให้มาด้นสดสอบสัมภาษณ์ โอกาสก็คงพลิกเป็นศูนย์ หรือไม่ก็อาจจะติดลบด้วยซ้ำ

"ไม่เข้าใจเลย ทุนไปฝรั่งเศสดันให้สอบภาษาอังกฤษ ทำไมไม่สัมภาษณ์เป็นภาษาญี่ปุ่นไปเลยล่ะ"

"แล้วมาบอกเอาวันสุดท้าย ใครจะไปเตรียมตัวทันวะ" 

"กูสละสิทธิ์เลยก็แล้วกัน ไม่สงไม่สัมมันละ"

"กูว่านะ ทุนนี้มันอาจจะไม่ได้มีเพื่อเรามาตั้งแต่แรกว่ะ" เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนปรายสายตาไปยังพี่นัทที่ยืนอยู่ห่างๆ เขาเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่ยื่นทุนนี้และมีสิทธิ์สอบสัมภาษณ์ด้วย ทุกคนในเอกรู้ดีว่าพี่นัทพูดภาษาอังกฤษได้ดีขนาดไหน เพราะปีที่แล้วที่ดรอปเรียนไปก็เพราะได้ทุนมหาลัยไปเรียนที่อังกฤษตั้งหนึ่งปี งานนี้เราทั้งหมดคงผิดหวัง เพราะมีผู้ชนะตั้งแต่ยังไม่ได้แข่งด้วยซ้ำไป   

"กลับกันเหอะ"

ผมพยักหน้ารับเพื่อน ก่อนเราจะแยกกันตรงนั้น เดินเรื่อยเปื่อยคิดอะไรเพลินๆ ออกมาจากตึกคณะก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวมันเบาๆ แปลกๆ 

"เวร ลืมกระเป๋า" สบถกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินย้อนกลับเข้าไปในตึก แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปยังห้องพักอาจารย์ ก็เห็นพี่นัทกับอาจารย์ในเอกและรองคณบดีคณะบริหารฯ ที่เป็นแม่ของพี่นัทยืนคุยกันอยู่ตรงนั้น 

"ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ"

"ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ ธนัทเขาเก่งอยู่แล้ว ได้ใช้ความสามารถของตัวเองแน่นอนค่ะ"

ดูเหมือนการเปลี่ยนกฎกะทันหันคงไม่ใช่ความคิดเห็นของคณบดีคณะผม แต่เป็นรองคณบดีคณะอื่นที่เข้ามาก้าวก่ายอย่างไม่เป็นธรรม ข่าวลือของปีที่แล้วที่เล่ากันว่าพี่นัทได้ทุนมหาลัยเพราะอำนาจของแม่ก็ดูจะเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเข้าใจดีว่าเรื่องเส้นสายกับสังคมเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันมาอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ทำไมต้องเป็นพี่นัท...ทำไมต้องเป็นเขาด้วย

ผมเดินผ่านคนพวกนั้นเข้าไปหยิบกระเป๋าโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก่อนที่จะเดินออกมากลับถูกพี่นัทเรียกเอาไว้ก่อน

"แสงเทียน"

ผมหันไปมอง ไม่ได้ยินดีนักที่จะมีบทสนทนาด้วยจึงแสดงออกผ่านใบหน้าขุ่นเคือง

"พรุ่งนี้สัมภาษณ์แล้ว พร้อมหรือเปล่า"

"พร้อมมาตลอดก่อนที่จะมีคนโกง"

พี่นัทดึงแขนผมให้ก้าวเท้าออกไปให้พ้นหน้าห้อง เพื่อที่จะได้แสดงความเป็นตัวเองออกมา เปลี่ยนใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครู่เป็นแววตาดุดันพลางแสยะยิ้ม     

"โกงตรงไหน เขาก็วัดกันที่ความสามารถ"

"ความสามารถที่แม่พี่สร้างให้เหรอครับ"

"คนอย่างพี่ ถ้าอยากได้อะไรจริงๆ ก็แย่งมาได้ทั้งหมดนั่นแหละ ถ้าแสงเก่งจริง ก็มาแข่งกันสิ"

ผมเลียนแบบใบหน้าแสยะยิ้ม หัวเราะในลำคอเบาๆ แล้วโต้ตอบด้วยความโกรธแค้น 

"ไม่ล่ะครับ ยกให้"

"..."

"พี่นัทได้ทุนก็ดีเหมือนกัน พี่จะได้ไปไกลๆ ส้นตี..."

"..."

"หมายถึงไปเรียนไกลๆ น่ะครับ ยินดีด้วยล่วงหน้านะครับ" ทั้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะรีบเดินออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ไม่อยากนั้นคงได้กระโดดถีบใครสักคนเพื่อระบายความโมโห เหมือนไฟค่อยๆ ลุก พรึบพรับในทุกจังหวะที่สับขาเดิน ความโมโหไม่ลดลงแม้แต่ขีดเดียวจนกระทั่งผมเดินมาถึงหอตาม เปิดประตูเข้าห้องแล้วเผลอกระแทกสุดแรงตอนปิด จนคนข้างในสะดุ้งเฮือก ปากที่กำลังเคี้ยวอาหารหยุดชะงักหันมองผมตาโต   

"เป็นอะไร"

"โมโห!"

ตามรีบทิ้งอาหารในมือ ก่อนลุกขึ้นเดินเข้ามา อ้าแขนพร้อมจะกอด ผมได้แต่ทำหน้าบูด โต้ตอบอ้อมกอดนั่นแต่ก็ยังอารมณ์เสีย ตามรู้ว่าอารมณ์ของผมยังไม่ลงมาคงที่ จึงทั้งกอดทั้งจูบ ลูบหัวให้ใจเย็น จนกระทั่งผมรู้สึกดีขึ้น 

"ที่รักของเราเป็นอะไร"

"โกรธแล้วพาลไปหมด"

"ใครทำอะไรเธอ"

"เรื่องทุนน่ะ" ตามเปิดโอกาสให้ผมเล่า ผมก็ใส่ทุกอารมณ์ที่มีผ่านคำอธิบายถึงสาเหตุของอารมณ์ขุ่นมัวนั้น ไม่ลืมที่จะพูดถึงพี่นัทซึ่งเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมโมโหมากที่สุด

"แม่พี่นัทต้องเป็นคนบอกให้เปลี่ยนการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษแน่ๆ "

"อาจจะไม่จริงก็ได้ อย่าเพิ่งพูดไป เธอไม่มีหลักฐาน คนอื่นเขาอาจจะว่าเธอคิดเองก็ได้"

"มันชัดซะขนาดนั้น"

"แล้วเธอจะไปสัมภาษณ์หรือเปล่า" 

"ไปให้แพ้เหรอ โคตรเกลียดมันเลย!" 

"อย่าโกรธเลยนะ"

"จะโกรธ!" ผมหันไปโวยตอนที่ตามแย้งไม่หยุด มันก็ฟังดูมีเหตุผลแหละ เพียงแค่มันไม่ถูกใจผม เพราะผมไม่ชอบที่ตามมองไม่ออกว่าคนๆ นั้นมันไม่ใช่คนดีอย่างที่ตามคิด   

"เธอคิดว่าเราเกลียดเราโดยไม่มีเหตุผลเหรอ"

"ก็ไม่ได้ว่าเธอ"

"เธอไม่รู้จักเขาดีพอ"

"ก็เลยไม่ตัดสินไง"

"นี่เธออยู่ข้างใครกันแน่เนี่ย!"

"ก็อยู่ข้างเธอนี่ไง!"

กลายเป็นผมที่เงียบเพราะตามโต้ตอบด้วยเสียงที่ดังกว่า ก่อนสองมือของตามจะยกขึ้นกอดผมเอาไว้ แล้วย้ำอีกครั้ง

"อยู่ข้างๆ เธอนี่แหละ"

"..."

"ไม่โมโหแล้วนะที่รัก"

"..."

"ไม่น่ารักเลย"

ด้วยริมฝีปากที่กดเข้ามาเบาๆ ที่หน้าผากของผม อารมณ์ขุ่นเคืองจึงถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มบางๆ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพาลใส่ตามอย่างไร้เหตุผล ได้สติจึงพยักหน้ารับ ขอโทษเขาหนึ่งครั้งที่เกือบทำให้ความรู้สึกต้องพังเพราะความใจร้อนของตัวเอง

"เอาไว้เดี๋ยวเราพาเธอไปเอง เราจะทำงานเก็บเงินเยอะๆ เลย ไปเที่ยวด้วยกันอย่างที่เคยสัญญาไว้ไง"

"รอบโลกเลยนะ"

"อื้อ รอบโลกเลย ไปดาวอังคารด้วยก็ยังได้"

"บ้า" ผมยกมือทุบตามเบาๆ ก่อนตามจะทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วดึงผมเข้าไปนอนหนุนแขน 

"ยังมีเรื่องต้องทำด้วยกันอีกเยอะเลยเนอะ"

"นั่นสิ กี่ปีถึงจะพอนะ"

"สิบปี"

"ไม่น่าพอ"

"ยี่สิบ"

"ต้องมากกว่านั้น"

"ห้าสิบ"

"ขออีกนิดหนึ่ง"

"จะเอาเท่าไร"

ผมพลิกตัวขึ้น ยันตัวเองเอาไว้ด้วยสองแขนเพื่อจะได้มองหน้าตามที่นอนอยู่ข้างๆ ยิ้มกว้างแล้วถามหนึ่งคำถามออกไป

"ตลอดไปได้ไหม"

ตามพยักหน้ารับแล้วตอบกลับในทันที ด้วยประโยคนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า แม้บางครั้งผมจะทำตัวไม่ดีไปบ้าง และชีวิตก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบเท่าไรนัก แต่การที่มีตามอยู่ด้วยมันทำให้ผมนั้น...ได้กลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก     

 

"เราให้เธอได้ทั้งชีวิตเลย"

 

...

 

เมื่อคืนผมกลับมานอนที่บ้าน เช้านี้เลยได้กินข้าวเช้ากับสายป่านที่กำลังงอแงขอให้ผมพาไปดูหนังวันหยุดนี้

"หนูชวนพ่อแล้วแต่พ่อบอกว่าไม่ชอบหนังการ์ตูน แม่ก็บอกว่าไม่ว่าง แต่หนูอยากดูมากเลยนะ พี่แสงพาหนูไปนะ"

"พาไปแล้วพี่จะได้อะไร"

"หนูจะไม่ดื้ออีกต่อไปเลย"

"เห็นพูดอย่างนี้ทุกที"

"คราวนี้พูดจริง!" ดวงตากลมมองผมด้วยความอ้อนวอน พยักหน้าหงึกๆ ยกมือเกาะแขนแล้วเขย่าเบาๆ เรื่องความอ้อนนี่ไม่มีใครเกิน สิ่งเดียวที่ผมทำได้ก็คือการตามใจน้องอย่างที่เป็นมาตลอด

"ก็ได้ เดี๋ยววันเสาร์พี่พาไป"

"เย้!" ทำท่าดีใจแล้วตักข้าวใส่ปากไปหนึ่งคำ ก่อนที่ผมจะเอ่ยปากใช้งาน

"ไปหยิบน้ำให้พี่หน่อยสิ"

"เรื่องอะไร พี่แสงอยู่ใกล้กว่าก็ไปหยิบเองสิ"

"หนูจะไม่ดื้ออีกต่อไปเลย" ผมแกล้งเลียนแบบประโยคที่สายป่านเมื่อครู่ ก่อนที่อีกคนจะย่นจมูกใส่แล้วรีบลุกไปหยิบน้ำมาเทใส่แก้วให้เรียบร้อย ก่อนที่แม่จะเข้ามาเร่งให้สายป่านรีบกินข้าวเพราะน้องต้องไปโรงเรียนพร้อมกับพ่อที่เตรียมตัวเสร็จแล้ว ส่วนผมไม่ได้รีบร้อนอะไร กินเสร็จก็มีเวลาพอที่จะช่วยแม่ล้างจานก่อน เสร็จจากตรงนั้นก็เดินออกมาหาแม่ที่กำลังยืนชงกาแฟอยู่ที่เคาน์เตอร์ เพื่อไปส่งให้ป้าอุ่นที่เป็นลูกค้าประจำของร้าน

"จะไปแล้วเหรอแสง"

"เสร็จยัง เดี๋ยวแสงไปส่งเอง"

"เหลืออีกสองแก้ว เดี๋ยวแม่ไปส่งเองก็ได้ แสงไปเถอะ"

"ไม่เป็นไร รอได้"

"จะสายเอานะ"

"ไม่สายหรอกน่า" ผมว่าก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ มองดูแม่ที่กำลังเร่งมือชงกาแฟ ความรีบร้อนของแม่อาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุอะไรก็ได้ เพราะแม่เป็นคนซุ่มซ่ามที่หนึ่ง เห็นว่าแม่กำลังรีบเกินกว่าเหตุเลยต้องออกปากบ่น

"ไม่ต้องรีบขนาดนั้น เดี๋ยวก็ทำแก้วแตกอีกหรอก"

"ขี้บ่นน่า"

"ร้านเราไม่เหลือกำไรเพราะต้องเอาเงินไปซื้อแก้วใหม่ แม่รู้ตัวไหม"

"ใครบอก กำไรเยอะจะตาย"

"ถ้าเงินเหลือเยอะก็เอาไปซื้อเสื้อผ้าดีๆ ใส่บ้างสิ เมื่อไรจะเลิกใส่ตัวนี้สักที" ผมบ่นเรื่อยไปยังเรื่องอื่น เพราะเสื้อผ้าที่แม่ใส่มักจะมีแต่ตัวเดิมๆ แม่เป็นคนที่แต่งตัวง่ายๆ ด้วยเสื้อยืดตัวหลวมๆ กับกางเกงขายาวสีพื้นๆ ผมไม่เคยเห็นแม่แต่งหน้า แต่แม่เป็นคนตัวขาว ผิวพรรณดี และมีใบหน้าที่ก็ดูอ่อนกว่าวัยแม่จึงสวยอยู่เสมอในสายตาของผม 

"เสร็จแล้ว"

ผมรับกาแฟสี่แก้วมาจากแม่ แล้วบอกลากันอย่างทุกวัน

"แสงไปก่อนนะแม่"

"จ้า ตั้งใจเรียนนะลูก"

"ครับ" รับคำแม่แล้วเดินออกจากร้านตรงไปยังออฟฟิศป้าอุ่นที่อยู่ไม่ไกลมาก ป้าอุ่นเป็นลูกค้าที่อุดหนุนแม่มาตั้งแต่เปิดร้านใหม่ๆ รู้จักผมดีเพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ประตูออฟฟิศเปิดเอาไว้อยู่แล้วผมจึงเดินเข้าไป ไม่ทันจะเอ่ยปากเรียกป้าอุ่นก็เดินออกมาพอดี 

"อ้าวแสง วันนี้มาเองเลยเหรอลูก"

"ครับผม" ผมตอบรับแล้ววางกาแฟไว้บนโต๊ะ

"นี่กำลังจะไปเรียนเหรอ"

"ใช่ครับ"

"ปีสุดท้ายแล้วสิ เดี๋ยวก็สบายแล้วเนอะ ทั้งเก่งทั้งขยันแบบแสง อนาคตดีแน่นอน"

ผมพยักหน้ายิ้มๆ รับป้าอุ่นที่คอยออกปากชื่นชมผมอยู่เสมอ มันก็เป็นคำชมที่ทำให้ผมภาคภูมิใจในตัวเองอยู่บ้าง แต่เล่นชมทุกครั้งที่เจอหน้ามันก็ทำเอาเขินแปลกๆ เหมือนกัน

"เออแสง เมื่อคืนป้าลองอบขนม ทำตามสูตรในหนังสือน่ะ ลองผิดลองถูกแต่ว่าพอกินได้ แสงลองชิมดูสิ" ไม่รอให้ผมตอบรับอะไร ป้าอุ่นหันหลังไปหยิบขนมปังชิ้นหนึ่งแล้วมายื่นให้ถึงปาก ผมก็เลยต้องกัดเข้าไปหนึ่งคำแต่ปรากฏว่ามันอร่อยเลยเผลอทำตาโตมองป้าอุ่น

"เป็นไง"

"อร่อยครับ"

"เอาไว้ป้าทำเก่งๆ จะไปฝากขายที่ร้านแม่เรานะ"

"มาเลยครับ ต้องขายดีแน่นอน"

"งั้นเอาไปกินอีกชิ้นสิลูก"

ผมไม่ได้ปฏิเสธตอนที่ป้าอุ่นยื่นขนมปังให้อีกชิ้น เป็นขนมปังไส้กรอกที่เห็นแล้วนึกถึงตาม รสชาติแบบนี้ตามต้องชอบมากแน่ๆ จึงคิดจะเก็บเอาไปฝาก ผมบอกลาป้าอุ่นก่อนจะเดินออกมานอกร้านไปยังป้ายรถเมล์ แต่ในระหว่างนั้นก็ต้องหยุดชะงักเพราะเจ้าหมาโกลเด้นท์ตัวใหญ่ที่รู้จักเข้ามาทักด้วยการพุ่งเข้าใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว

"โฮ่ง!"

ผมนั่งลงทักทายหมาตัวใหญ่ที่กำลังดมตรงนั้นที ตรงนี้ที 

"ยู่ เดี๋ยวเสื้อพี่แสงก็เลอะหมดหรอก" ลุงหมีเจ้าของหมา ดุยู่หน่อยๆ แล้วดึงเชือกที่รัดคอให้เจ้านี่ถอยห่างผมไปนิดหนึ่ง แต่เจ้าตัวดูท่าจะไม่ยอม เพราะปกติยู่จะได้ของกินจากผมเป็นอาหารว่างอยู่เสมอ ตอนนี้สายตาคู่นั้นก็กำลังมองมายังขนมปังไส้กรอกในมือ ไม่ อันนี้ของพี่ตาม

"เอาไส้กรอกไปก็แล้วกัน"

ผมแพ้ดวงตาใสปิ๊งของเจ้าหมาโกลเดนท์หน้าเด๋อจึงยอมจำนน แกะไส้กรอกจากขนมปังให้ยู่ก่อนที่จะถึงตาม แล้วดูเหมือนว่ารสชาติจะถูกใจ กินเสร็จก็เอาหน้ามาคลอเคลียน่ารักน่าเอ็นดู

"ไว้วันหลังเอามาให้อีกนะ" ผมลูบหัวยู่สองสามทีแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนที่ลุงหมีจะเอ่ยปากชวนพูดคุย

"กำลังจะไปเรียนเหรอแสง"

"ใช่ครับ"

"กินข้าวเช้าหรือยัง เอานมไปกินสิ"

"ครับ?"

"เอารสอะไร สตรอว์เบอร์รี่ไหม" ลุงหมีถามเองตอบเอง พลางล้วงถุงในมือแล้วหยิบนมให้ผมกล่องหนึ่ง

"ไม่เป็นไรครับลุง ผมกินข้าว..."

"เอาไปเถอะน่า"

"ไม่เป็นไรครับ..."

"เอาไว้เผื่อหิวตอนนั่งเรียนไง"

"แต่ลุงครับ..."

"เอาไป" ลุงหมีทำเสียงดุเหมือนตอนดุยู่ แล้วยัดนมกล่องนั้นใส่กระเป๋าเสื้อนักศึกษาของผม ตบไหล่เบาๆ สองทีก่อนจะพายู่เดินออกไป ผมได้แต่ขอบคุณลุงหมีอีกที โบกมือลายู่แล้วเดินไปที่ป้ายรถเมล์ ทีแรกก็คิดว่าจะไม่สาย แต่ทำไปทำมาเหลือเวลาอีกไม่นานซะแล้ว ในตอนที่กำลังยืนรอรถเมล์ก็ถูกสะกิดเรียกจากคนที่ไม่รู้จัก

"หนู ป้าจะไปโรงพยาบาลนี้ เรียกแท็กซี่แต่ไม่มีคันไหนรับเลย ป้านั่งรถเมล์ไปได้ไหม"

ผมก้มมองชื่อโรงพยาบาลที่ถูกจดใส่เศษกระดาษด้วยลายมือโย้เย้และถูกกำจนยับย่น โรงพยาบาลนั้นอยู่ค่อนข้างไกลจากตรงนี้ ถ้าจะโดยสารด้วยรถเมล์ก็ค่อนข้างนานและไม่มีสายไหนตรงไปถึงที่นั่น การต่อรถค่อนข้างจะซับซ้อน ผมชี้ตัวเลขที่แสงสายรถเมล์บนป้ายให้ป้าดู และพยายามจะอธิบายช้าๆ ให้ป้าฟัง   

"ป้าขึ้นรถเมล์สายนี้นะครับ แล้วไปลงที่หน้าโรงเรียนใหญ่ๆ โรงเรียนจะอยู่ซ้ายมือนะครับ แล้วก็ข้ามไปอีกฝั่ง ขึ้นรถเมล์สีส้มๆ สังเกตป้ายหน้ารถมันจะบอกทางไป..."

ผมหยุดคำอธิบายไว้กลางคัน เพราะใบหน้าของป้าดูไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพูดสักนิดเลย ก่อนที่อีกคนจะล้วงกระเป๋าหาปากกาขึ้นมาจดลงบนฝ่ามือตัวเอง

"ขออีกทีได้ไหมลูก ป้าต้องขึ้นรถเมล์สายไหน..."

"เอางี้ครับป้า เดี๋ยวผมไปส่ง"

เป็นการตัดสินใจในนาทีนั้นจนลืมคิดไปว่า ถ้าไปส่งป้าถึงโรงพยาบาลนั่นผมคงเข้าเรียนไม่ทันแน่ๆ แต่ความเดือดร้อนของคนตรงหน้าทำให้ไม่อาจมองข้าม รถเมล์ที่จะต้องไปมาถึงพอดี ผมจึงจูงมือป้าขึ้นไปโดยไม่ได้สนเรื่องอื่น

"ป้าจ่ายค่ารถให้นะจ้ะ"

"ไม่เป็นไรครับป้า"

"ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าจ่ายให้เอง หนูมีน้ำใจมาส่งป้า ช่างใจบุญเหลือเกิน"

ผมได้แต่ยิ้มนิดๆ ด้วยความเคอะเขิน ก่อนที่ป้าจะเป็นคนจ่ายเงินค่ารถให้ผม ในระหว่างทางผมก็เป็นฝ่ายชวนคุยไปเรื่อยเปื่อยจึงได้ความว่า ลูกสาวของป้าที่ทำงานอยู่ที่นี่เกิดป่วยกะทันหันและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนั้น ได้ข่าวก็เลยรีบมาหาลูก ด้วยไม่มีญาติพี่น้องคนอื่นก็เลยต้องมาคนเดียว เรื่องราวของป้ามันทำให้ผมรู้สึกว่า จะโดดเรียนสักคาบก็คงไม่เป็นไรหรอก

ผมมาส่งป้าจนกว่าจะได้เจอหน้ากับลูกสาว โชคดีที่อาการป่วยของลูกป้าดีขึ้นมากแล้วก็เลยหายห่วงขึ้นมาได้บ้าง ผมได้รับการตอบแทนเป็นคำขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำอีกจนใจผมมันล้นไปด้วยความเอิบอิ่มยินดี ก่อนที่จะเดินออกมาจากโรงพยาบาลนั้น ตั้งใจจะหยิบมือถือขึ้นมาดูเวลา แต่ปรากฏว่าหน้าจอโชว์เบอร์ที่ไม่ได้รับสายเกือบสิบสาย เก้าในสิบคือเบอร์ของตามที่ทำเอาผมต้องรีบโทรกลับ ปลายสายกดรับในแทบจะทันที   

(เธออยู่ไหนเนี่ย! เพื่อนเธอโทรมาบอกว่าเธอไม่ได้เข้าเรียน โทรไปก็ไม่รับ แม่เธอบอกว่าเธอออกมาแล้ว นี่เป็นอะไรหรือเปล่า)

"ใจเย็นๆ" ผมต้องยับยั้งอารมณ์ของตามเอาไว้ขณะที่รัวคำถามใส่ไม่เว้นวรรค

(แล้วอยู่ไหน)

"กำลังจะไปมหาลัยแล้ว เดี๋ยวเจอกันจะเล่าให้ฟัง"

(ได้ เราเรียนเสร็จแล้วจะไปหาที่คณะ)

"ครับๆ" ผมตอบรับตาม แล้วเดินออกมารอรถเมล์เพื่อกลับไปมหาลัย ด้วยเส้นทางนี้ห่างไกลกับมหาลัยคนละฟากฝั่ง ซ้ำรถยังติดยาวทำเอาถึงมหาลัยอีกทีก็เกือบจะเที่ยง ผมตรงไปยังโรงอาหารคณะที่เพื่อนบอกว่ารออยู่ที่นั่นแล้ว เดินไปถึงก็เห็นลูกหมูสวมเสื้อช็อปวิศวะสีแดงเด่นสะดุดตากว่าใครเพื่อนนั่งรออยู่ตรงนั้นด้วย     

"ไงไอ้แสง มึงหายหัวไปไหนมา"

"ฟังกูก่อนเพื่อน"

"แล้วเราโทรไปทำไม่ไม่รับ"

"ใจเย็นที่รัก"

ยกมือเบรกทั้งเพื่อนทั้งแฟนที่รุมถามไม่เปิดโอกาสให้อธิบาย ไม่คิดว่าการหายไปของผมแค่สองสามชั่วโมงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่โตไปซะได้ ผมจึงต้องอธิบายให้ทุกคนฟังตั้งแต่ต้นจนจบแบบละเอียดยิบ

"มึงก็ใจดีเหลือเกิน ยอมโดดเรียนไปส่งเขาเนี่ย"

"ถ้ากูไม่ช่วยแล้วใครจะช่วยเขาวะ"

"เออ! ไอ้พลเมืองดี แต่ตัวเองกำลังเดือดร้อนนะ รู้ตัวไหม"

"ทำไมวะ"

"มึงลืมใช่ไหมว่าวันนี้มีควิซ"

"ฉิบหาย!" นึกขึ้นมาได้ตอนที่สายไปแล้ว ผมลืมเรื่องควิซไปสนิท ห้าคะแนนดิบไม่หารปลิวหายไปแล้วต่อหน้าต่อตา หมายความว่ามีโอกาสที่ชวดเกรดเอได้เลยนะนั่น

"ไงล่ะ ชอบพาตัวเองไปยุ่งเรื่องของคนอื่นดีนัก"

"เออ ครั้งสุดท้ายแล้ว จะไม่ยุ่งเรื่องของใครอีกแล้ว"

"พูดแบบนี้ทุกที" ตามว่าพลางส่ายหน้ายิ้มๆ จนผมต้องขยับเข้าไปซบไหล่แล้วทำเสียงอ้อน

"ที่รักกำลังช้ำ อย่าตอกย้ำให้เจ็บกว่านี้"

ตามหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือเคาะหัวผมสองสามที

"ไม่เป็นไร ทำดีแล้ว"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่จะหันไปสนใจเพื่อนที่กำลังเปลี่ยนเรื่องคุย

"เออ เย็นนี้เพื่อนในชมรมนัดเจอกันว่ะ พี่พลมาหา บอกว่าจะพาไปเลี้ยงเหล้า"

"พี่พลมาเหรอ" ผมเด้งหัวที่ซบตามขึ้นมาหลังจากได้ยินชื่อนั้น พี่พลเป็นรุ่นพี่ในคณะที่จบไปแล้ว รวมถึงเป็นอดีตประธานชมรมอาสาพัฒนาชนบทที่ผมเป็นหนึ่งในสมาชิกด้วย เป็นรุ่นพี่ที่ผมเคารพรักมาก ความดีใจแสดงออกนอกหน้าตอนที่รู้ว่าพี่พลกลับมาหา

"มึงไปใช่ไหมเย็นนี้"

"ไปดิ ไม่เห็นต้องถาม"

"ถามเหอะ ถามคนข้างๆ มึงก่อน"

ผมหันมองตามที่กำลังทำสีหน้าเรียบเฉย เมื่อเพื่อนหันมองก็ฝืนยิ้มออกมาบางๆ เพราะตามไม่ค่อยชอบเวลาที่ผมจะออกไปเจอกับเพื่อนที่ร้านเหล้า แต่ผมมีเพื่อนต่างคณะค่อนข้างเยอะทั้งที่รู้จักกันในชมรมและกิจกรรมต่างๆ ที่ชอบเข้าร่วม และการนัดเจอกันมันก็มักจะไม่พ้นร้านเหล้าซึ่งทำให้ตามไม่พอใจอยู่เสมอ 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 11-08-2019 21:30:43
 

"ต้องไปเหรอ"

"อืม"

"ไม่ไปก็ได้นี่"

อารมณ์ที่อีกคนเก็บกั้นมาตั้งแต่ที่มหาลัย ถูกปลดปล่อยออกมาตอนที่กลับถึงหอ ตามไม่พูดต่อหน้าเพื่อนของผมว่าไม่ชอบใจแต่กลับมาถึงก็ใส่อารมณ์ผ่านสีหน้าบูดบึ้ง

"นานๆ ทีพี่เขาจะมาหาไง เราก็ต้องไป อยากคุยกับพี่เขาเรื่องงานด้วย"

"คุยกันที่อื่นก็ได้ ทำไมต้องร้านเหล้า"

"ก็เพื่อนคนอื่นเขาตกลงกันที่นั่นไปแล้ว เธอจะให้เราไปขัดได้ไง"

"ทุกที"

"แล้วจะให้เราทำยังไง"

"ทำไมเธอต้องไปรู้จักกับคนพวกนั้นด้วย เราไม่ชอบเลย"

"นี่พาลแล้วนะตาม"

"แล้วไงอะ มันไม่ใช่ปีละครั้งหรือเดือนละครั้ง แต่นี่มันแทบจะทุกอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ เธอชอบมากเหรอร้านเหล้าอะไรนั่นอะ"

"เออ ชอบ"

"อย่ามาประชด"

"ก็ชอบจริงๆ นี่มันเป็นความสุขของเราอะ เธออย่ามาก้าวก่ายได้ไหมล่ะ"

"ถ้าเป็นเรื่องดีเราคงไม่ยุ่งหรอก"

"แล้วมันไม่ดีตรงไหนอะตาม เราไม่ได้ทำอะไรเสียหายก็แค่ออกไปเจอกับเพื่อน หรือเธอไม่คิดจะให้เรามีเพื่อนบ้างเลยหรือไง"

"ถ้ามีแต่เพื่อนแบบนี้ ก็ไม่ต้องมีดีกว่า"

"อ้าวตาม! ทำไมพูดแบบนี้อะ"

"ไว้คุยกันทีหลังเหอะ เราอารมณ์ไม่ดีแล้ว"

"เราก็ไม่ได้ต่างจากเธอหรอกนะ"

ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราก็ทะเลาะกันอีกจนได้ จริงอยู่ที่เรามักจะมีเรื่องถกเถียงกันบ้างเป็นธรรมดา มีทั้งเรื่องที่เราไม่ชอบ เรื่องที่ไม่พอใจ กว่าที่เราจะปรับเปลี่ยนเพื่อให้เราเข้ากันได้มันใช้เวลา แต่ในทุกครั้งที่เราะทะเลาะไม่ว่าด้วยเรื่องอะไร เราจะใช้เวลาไม่นานเพื่อกลับมาคืนดี ไม่ต้องการปล่อยให้ค้างคาเพราะเราต้องหาทางออก ในตอนนี้เราต่างคนต่างเอาแต่เงียบ ตามก็ดูจะอารมณ์ไม่ดีอย่างที่พูดจริงๆ ผมจึงเลือกที่จะไปจากตรงนี้ก่อน เผื่อว่ามันจะช่วยให้ตามใจเย็นลง

 

ผมยังคงเลือกที่จะไปตามนัด เพราะไม่ได้คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ผมแค่ออกมาเจอเพื่อนของผม เหมือนตอนที่ตามออกไปเจอเพื่อนของตาม เรามีที่ว่างตรงนั้นให้กันมาตลอด ผมแค่รู้สึกว่าตามกำลังค่อยๆ ยึดพื้นที่ตรงนั้นจนผมไม่สามารถจะทำอะไรตามใจตัวเองได้เลย ครั้งนี้เราคงต้องปล่อยให้ความโกรธทำงานยาวนานกว่าทุกครั้ง     

 

"ครืด...ครืด..."

 

ผมวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะแล้วหยิบมือถือที่กำลังสั่นขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นแม่เลยลุกจากโต๊ะออกไปหาที่เงียบๆ รับสาย

"ครับแม่"

(แสง คืนนี้จะกลับบ้านหรือเปล่า)

"กลับครับ แต่ช้าหน่อย"

(ดึกแล้ว นอนกับตามก็ได้นะ)

"..."

(แสง ได้ยินไหม)

"แม่จะเอาอะไรหรือเปล่า"

(โน้ตบุ๊กพ่อใช้งานไม่ได้อีกแล้ว เป็นเหมือนคราวก่อน พ่อเขาจะให้แสงกลับมาดูให้หน่อย)

"ได้ครับ เดี๋ยวแสงกลับ ดึกๆ หน่อย"

(โอเค แม่แบ่งกับข้าวเก็บไว้ให้ในตู้เย็น มีชูครีมด้วย ถ้ากลับมาแล้วหิวก็อุ่นกินนะ)

"ครับ"

(เรื่องเหล้าก็เพลาๆ ลงหน่อยล่ะ)

"โห! แม่ รู้อีก"

(ก็เพลงดังขนาดนั้น ยังไงก็กลับบ้านดีๆ ล่ะ พ่อกับแม่รออยู่นะ)

"ครับผม"

ผมกดวางสายจากแม่แล้วกำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้าน แต่ในตอนนั้นก็หันไปเจอเข้ากับคนรู้จักจึงตรงเข้าไปทักก่อน

"พี่ต่อ"

"อ้าว แสง"

"พี่ต่อเข้าร้านเหล้าเป็นด้วยเหรอ"

"วันเกิดเพื่อนมันเลยชวนมา"

"เมาป่ะเนี่ย"

พี่ต่อส่ายหน้าปฏิเสธ ด้วยรอยยิ้มกว้างๆ นั่นทำเอาผมเกือบเชื่อแล้วแต่เห็นใบหน้าแดงๆ จากผิวขาวจัดนั่นก็ดูออก ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดคงมากพอที่จะทำให้พี่ต่อเมาแต่ไม่รู้ตัวแน่นอน

"แสงมากับใคร ตามมาหรือเปล่า"

"น้องชายพี่ไม่มาที่แบบนี้หรอกครับ"

"นั่นสิ คงจะเข้าแต่ร้านหมูกระทะ"

ทั้งผมและพี่ต่อหัวเราะออกมาเบาๆ

"แล้วนี่จะกลับหรือยัง ไปนอนกับตามหรือเปล่า พี่ไปส่งไหม"

"ไม่เป็นไรครับวันนี้ผมกลับบ้าน"

"อ้าว"

"ตามคงไม่ให้นอนด้วย"

แค่ประโยคนั้นพี่ต่อก็คงรู้สถานการณ์ ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวยาว พยักหน้าเป็นเชิงให้ผมนั่งลงตามไปด้วย

"ทะเลาะกันเหรอ"

ผมพยักหน้ารับคำถามที่พี่ต่อยิงมาตรงๆ น่าแปลกที่ผมมักจะได้พูดคุยกับพี่ต่อ เฉพาะเวลาที่ความสัมพันธ์ของผมกับตามมีปัญหา พี่ต่อให้คำปรึกษาผมหลายครั้งในเวลาที่เราทะเลาะกัน พี่ต่อมักจะบอกกับเราว่าใครยอมแพ้ก่อนจะเป็นคนชนะ ตามจึงเอาชนะผมทุกครั้งด้วยการเป็นฝ่ายแกล้งแพ้ไปก่อน และนั่นมันทำให้ผมเคยตัวกับการที่ตามจะเป็นคนยอม แต่ทว่า...

"ครั้งนี้ ตามไม่ยอมแพ้ให้ผมครับ"

"ให้พี่พาไปหาตามไหม"

"ไม่เป็นไรครับ ตามบอกว่าให้เราคุยกันทีหลัง เอาไว้เดี๋ยวค่อยคุยครับ"

"..."

"เอาไว้ก่อน"

ได้ยินเสียงพี่ต่อถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะไหล่ผมด้วยความพยายามที่จะปลอบใจ

"ทำไมเราต้องทะเลาะกันด้วย"

"..."

"เรารักกันอย่างเดียวไม่ได้เหรอ"

ผมเงยหน้ามองพี่ต่อที่พูดออกมา ใบหน้านิ่งๆ ดูเหมือนว่าไม่ได้คิดอะไรมากมายกับคำพูดนั้นเพียงแค่สงสัย แต่ในคำพูดนั้นมันทำให้ผมย้อนคิดไปไกลถึงเรื่องราวต่างๆ มากมายในความสัมพันธ์ เราถกเถียง หึงหวง เอาชนะกันด้วยเรื่องไร้สาระ และทำร้ายกันด้วยความไม่เข้าใจ...ทำไมเราต้องทะเลาะกันด้วย

"ทำไมพี่ต่อถึงไม่มีแฟนเหรอ"

"เพราะพี่หลงใหลในฟันคุดมากกว่าที่จะมีความสัมพันธ์กับมนุษย์"

"พี่ต่อ"

"ล้อเล่นครับ"

"พี่ชอบคนแบบไหนเหรอ"

"ชอบเด็กตัวเล็กๆ น่ารักดี "

"พี่คงรู้ว่าคุกไปทางไหน"

พี่ต่อหันมองตาขวาง ก่อนหลุดยิ้ม

"พี่ต่อคงชอบที่จะดูแลคนอื่น มากกว่าที่จะให้คนอื่นมาดูแล"

"คงใช่ พี่คิดว่าถ้าพี่จะมีแฟน พี่จะต้องเป็นฝ่ายดูแลเขานะ"

"แล้วพี่ก็จะถอนฟันคุดให้เขา"

"ขูดหินปูนทุกหกเดือนแถมฟอกสีฟันให้ด้วย ถุย!"

ผมหัวเราะลั่นเพราะไม่คิดว่าพี่ต่อจะเล่นมุกเป็นด้วย ภาพพจน์ที่ผมเห็นเขามาตลอดคือหมอฟันที่ดูเรียบร้อย ใจดี ยิ้มเก่ง อบอุ่น ดูใจเย็นและมีเหตุผล ในตอนนี้ดูเป็นพี่ต่อที่น่ารักขึ้นด้วยแก้มแดงๆ จากฤทธิ์แอลกอฮอล์และความขี้เล่นที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว...พี่ต่อนี่น่ารักดีแฮะ

"ตามน่าจะเหมือนพี่ต่อนะครับ"

"ก็เหมือนอยู่นะครับ"

พี่ต่อยิ้ม และเมื่อเห็นรอยยิ้มนั้นก็พลันคิดถึงอีกคนขึ้นมาเฉยๆ

พี่ต่อกับตาม...ยิ้มเหมือนกันเป๊ะเลย


วินาทีนั้น จิตสำนึกของผมถูกช่วงชิงด้วยความคิดชั่ววูบ โน้มใบหน้าเข้าหาพี่ต่อแล้วสัมผัสริมฝีปากของพี่ต่อที่ค่อยๆ หุบยิ้มลงช้าๆ สติเลือนหายทุกอย่างกลายเป็นภาพนิ่ง ก่อนกลับมาเคลื่อนไหวในตอนที่...

พี่ต่อสนองตอบรอยจูบของผม

รสสัมผัสที่ริมฝีปากปะปนความขื่นขมของแอลกอฮอล์ ทั้งผมและพี่ต่อมึนเมากับความคิดที่มืดสนิท ไร้สติที่จะครุ่นคิด...ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่

ทำไมเราจึงไม่หยุดมัน


นี่มันเป็นความพลาดพลั้งหรือตั้งใจ เหตุใดเราจึงปล่อยให้การกระทำนั้นมันเลยเถิดล่องลอยไปไกลจนกระทั่งความปรารถนาจบสิ้นลงจึงรู้ตัว

คลายริมฝีปากออกจากกันช้าๆ สติผมกลับมาแต่ร่างกายนิ่งงันไม่เคลื่อนไหว พี่ต่อคงไม่ต่างอะไรจากผม ความพลั้งเผลอทำให้เราไม่หยุดยั้งแต่เราต่างคนต่างรู้ดีว่าที่ทำลงไปมันผิด

มันผิดมหันต์

"พี่ขอโทษ"

"ผมขอโทษ"

เราพูดได้แค่คำนั้น ในตอนที่ร่างกายยังคงแข็งทื่อ พี่ต่อขยับตัวออกห่างจากผมช้าๆ และในตอนนั้นทุกอย่างก็พังทลายด้วยการก้าวเข้ามาของคนอีกคน

"ทำอะไร"

"ตาม"

"เธอทำอะไร!"

ผมลุกจากเก้าอี้เข้าไปหาตามที่ยืนนิ่ง แววตาแข็งกร้าวกับน้ำเสียงแห่งความโกรธเคืองเอ่ยถามผมอีกครั้ง

"มันคืออะไร"

"มันไม่...มันไม่มีอะไร" ผมอธิบายได้ไม่เต็มปาก เมื่อตามได้เห็นมันด้วยตาตัวเองไปแล้วคงยากที่จะทำให้ตามนั้นเชื่อว่า สิ่งที่เขาเห็นมันเป็นการเข้าใจผิด

"ตาม ฟังพี่..."

"ไม่ฟัง"

ตามตัดบทขณะที่พี่ต่อก้าวเข้ามาอธิบาย ก่อนหันหลังเดินออกไปจากตรงนี้ ผมขอพี่ต่อเป็นคนตามไปคุยกับเขาเอง แต่ดูเหมือนว่าความโกรธของตามจะไม่อาจหยุดยั้งได้ด้วยคำพูดของผมเลย

"ตาม เดี๋ยวก่อน ตาม ใจเย็นๆ ก่อน"

"ใจเย็นเหรอ"

"..."

"ให้เราใจเย็น ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะเห็นเธอจูบกับคนอื่น ไม่ดิ ไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นพี่ชายเรา! เธอจูบกับพี่ชายเรา! ทั้งเธอทั้งเขาไม่ได้คิดที่จะหยุดด้วยซ้ำ เราเห็นตั้งแต่แรก เธออย่าบอกให้เราใจเย็น!"

"ตาม"

"เธอทำแบบนี้กับเราได้ยังไง"

"..."

"ทำได้ยังไงวะ"

"..."

"เธอโคตรใจร้ายเลย"

ตามทิ้งผมเอาไว้กับความรู้สึกผิดที่ผมมี แม้แต่คำขอโทษผมยังไม่กล้าเอ่ยเพราะคิดว่ามันคงไม่พอที่จะชดใช้ความผิดที่ผมทำ

"เดี๋ยวพี่ไปคุยกับตามเอง"

"พี่ต่อ"

พี่ต่อเดินออกไปเร็วเกินกว่าที่ผมจะโต้ตอบอะไร เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยแต่ผมกลับดึงเขาเข้ามาอยู่ในวังวนของความพลาดพลั้งที่มันกำลังจะเป็นต้นเหตุให้เขากับตามต้องผิดใจกัน ตามมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้อภัยผม แต่ตามจะต้องไม่โกรธพี่ต่อ...ผมขอแค่นั้น

 

"กลับหรือยัง เดี๋ยวเราไปรับ"
ผมเพิ่งจะได้อ่านข้อความของตามที่ส่งมาให้ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตามมาหาที่ร้าน ยังคงเป็นห่วงแม้ว่าเราจะทะเลาะกัน นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกผิดมากขึ้นไปอย่างไม่มีสิ้นสุด ผมได้ทำให้ความรู้สึกของตามบอบช้ำมากขนาดไหนกันนะ 

ผมพาตัวเองกลับบ้านด้วยการเดินไปเรื่อยๆ ตามท้องถนนที่เงียบงัน พลันคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้ผมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย ผมทำแบบนั้นทำไม ทำลงไปได้ยังไง ให้โทษเหล้าก็คงไม่ได้ แม้ว่าความเมามายจะพาเรื่องราวเลยเถิดไปไกลจนกลายเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่แต่ผมไม่อาจแก้ตัวและกล่าวโทษสิ่งใดนอกจากตัวเอง

เราผิดเอง...เป็นความผิดของเราคนเดียว

"ช่วยด้วย!"

ขาผมหยุดชะงักตอนที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือนั่น ยกมือปาดน้ำตามองหาต้นตอของเสียง ก่อนที่จะดังขึ้นมาอีกครั้ง

"ช่วยผมด้วย!"

ไม่ทันยั้งคิด ผมรีบวิ่งไปยังจุดที่ได้ยินเสียง ก่อนที่จะมองเห็นเด็กคนหนึ่งตะโกนร้องขณะพยายามที่จะหนีออกมาจากใครบางคนในรถยนต์คันนั้น

"เฮ้ย! ทำอะไรวะ!"

"เสือกอะไรวะ!"

"หยุดนะเว้ย!"

เพราะผมเป็นคนเดียวที่อยู่ตรงนี้จึงไม่อาจที่จะอยู่เฉย ตรงเข้าไปเพื่อหวังจะช่วย ดึงผู้ชายที่กำลังทำร้ายเด็กคนนั้นออกมา ก่อนที่ผมจะถูกผลักเต็มแรง แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้มีร่างกายใหญ่โตแต่แรงเยอะเกินกว่าที่ผมจะสามารถหยุดยั้ง เป็นฝ่ายพลาดพลั้งโดนทั้งหมัดทั้งเท้าถีบกระแทกจนเจ็บแปลบไปทั่วร่าง ยันตัวเองลุกขึ้นจากพื้นแล้วใช้โอกาสนั้นฟาดหมัดเข้าไปที่หน้าจนมันถอยเซ ผมกำลังจะต่อยซ้ำแต่ถูกสวนกลับมาก่อน และในจังหวะเดียวกันท้องของผมก็ถูกกระแทกเข้าอย่างแรงจนตัวงอ พยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ความเจ็บในวินาทีต่อมาไหลแล่นไปทั่วร่างจนทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้ง ก้มมองเลือดที่ไหลนองออกมาจากท้อง ผมจึงรู้ตัวว่าแรงกระแทกเมื่อครู่เกิดจากของมีคมที่ผมไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำไป

"ช่วยไม่ได้ เสือกหาเรื่องตาย"

ความเจ็บปวดปรากฏชัดขณะเดียวกันกับที่เลือดข้นไหลนองออกมาจากแผลในปริมาณที่มากเสียจนร่างกายผมเริ่มไม่อาจทนทานต่อความเจ็บปวดนั่นไหว หูอื้อจนไม่ได้ยินเสียงใด ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับปลายนิ้ว ในตอนที่ผมเริ่มไม่รับรู้ถึงจังหวะการหายใจของตัวเอง หัวสมองที่ว่างเปล่าก็เริ่มเกิดความคิด

ผมกำลังจะตายใช่หรือเปล่า...

ยังไม่อยากตายตอนนี้เลย ผมต้องกลับบ้าน ต้องกลับไปกินกับข้าวของแม่ กลับไปซ่อมโน้ตบุ๊กให้พ่อ แล้ววันเสาร์ต้องพาสายป่านไปดูหนังด้วย ผมกำลังจะเรียนจบ กำลังจะได้ตอบแทนสิ่งที่พ่อกับแม่ได้ทุ่มเทให้ผมมาทั้งชีวิต ผมต้องอยู่ดูแลครอบครัวของผม และยังมีสิ่งที่ผมต้องทำกับพวกเขาอีกตั้งเยอะ...   

ใจผมยังต้องการดิ้นรนให้รอดพ้นจากความตาย แต่มองไม่เห็นหนทางที่จะมีชีวิตรอดได้เลย ขณะนั้นทุกสิ่งในสมองของผมก็จมลึกลงไปในห้วงของความคิดภายใต้สติสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ 

ผมชอบเอาตัวเองไปยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่บ่อยครั้ง แต่นี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ ผมใช้ชีวิตในหนึ่งวันสุดท้ายเหมือนเป็นหนึ่งวันธรรมดา โดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องตาย มันกะทันหันจนไม่ทันตั้งตัว วินาทีเดียวแต่โลกเปลี่ยนไปตลอดกาล

และผมยังไม่ได้ขอโทษตามเลย เราไม่ควรจากกันไปแบบนี้ ผมไม่ควรทำให้เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้ ผมอยากขอโอกาส ให้ผม
ได้แก้ตัว


เราจะจดจำทุกสิ่งที่เธอไม่ชอบ และจะพยายามไม่ทำมันอีก จะเป็นฝ่ายยอมเธอบ้างในวันที่เราต้องทะเลาะกัน จะไม่ทำอะไรที่มันร้ายเธอ ไม่ทำให้หัวใจของเธอต้องเจ็บปวด จะเป็นเราที่ดีกว่านี้เพื่อเป็นที่รักของเธอตลอดไป

 

แต่มันคงจะสายไปแล้ว...



To be continued.
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 11-08-2019 21:50:46
 :katai1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 11-08-2019 22:12:00
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 11-08-2019 22:22:55
ร้องไห้ได้มั้ย สงสารตามอีกแล้วววววว เพราะแสงเป็นคนดีเกินไปหรือป่าวเลยตายไว 5555555555
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ain ที่ 11-08-2019 22:24:24
แสงงงง ทำไมทำแบบนี้ พี่ต่ออีกคน
ย้อนมาตอนแสงจะตายแบบนี้ก็ร้องไห้สิคะรอไร
 :sad4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 11-08-2019 22:36:26
 :pig4: :pig4: :pig4:

นี่ใช่ไหม  สิ่งที่ค้างคา  สิ่งที่ทำให้ไม่ไปเกิด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 11-08-2019 23:03:38
เพราะรุ้สึกติดค้างตามสินะ ถึงได้ไปไหนไม่ได้ แต่มันจะเศร้าแค่ไหน ทำยังไงก็อยู่ด้วยกันไม่ได้อีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 11-08-2019 23:30:25
 o18


 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 11-08-2019 23:41:42
ตอนที่แสงจากไปอยากให้ตามมูฟออน แต่ดูยังไงก็มูฟออนยากเหลือเกิน ทั้งชีวิตให้เขาไปแล้วจริงๆ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 12-08-2019 00:02:58
เฮ้อ เศร้า สงสารทุกคน สงสารพลีสที่ถึงแม้แสงจะตายก็ยังไม่รอดพ้นไอ้คนชั่ว สงสารตามทีต้องเจ็บปวดจากหลายทางในวันเดียวกัน แถมยังไม่มีใครบอกอะไรได้อีก สงสารพี่ต่อที่อยู่ดีๆ ก็ดึงเข้าไปในวงจรแสนเศร้า คนที่น่าสงสารน้อยสุดคือแสงเทียน รู้สึกว่าตอนเป็นคนก่อนตายไม่ค่อยถูกใจนะ ทำอะไรตามความต้องการตัวเองเป็นหลัก พอเป็นผีดีขึ้นมากมาย แห่ะๆ อินไปนิด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 12-08-2019 06:31:41
เหมือนที่ตามพูด เรื่องในวันนั้นทุกคนล้วนเจ็บปวด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 12-08-2019 08:55:40
เจ็บปวดทุกคน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 12-08-2019 19:20:41
แสงก่อนตายก็ร้ายพอตัวนะ
มันก็น่าจะติดค้างอย่างเยอะแหละ
นี่ถ้าไม่ตาย กับพี่ต่อ กับตามก็ไม่รู้จะลงเอยยังไง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-08-2019 20:50:54
อึ้งงงงงงง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-08-2019 21:26:57
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 12-08-2019 21:46:33
เนื้อเรื่องบีบอารมมาก

เสียดายเพิ่งได้อ่าน

ขอเป็นแฟนคลับเรื่องนี้ด้วยคน

รักตัวระครทุกตัว โดยเฉพาะ พลีสกับแสง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 18-- 11/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 13-08-2019 13:40:45
 :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :sad11: :sad11:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 13-08-2019 21:42:32
ตอนที่ 19
ตั้งแต่ที่เธอจากไป เราก็ใช้ชีวิตอยู่กับความทรงจำ

 

ตาม :

 

"ตาม!"

ผมไม่ได้ฟังเสียงเรียกของแสงที่พยายามจะรั้งผมเอาไว้ เดินออกมาจากตรงนั้นด้วยอารมณ์โมโหไม่มีสิ้นสุด ก่อนที่จะหันไปเห็นพี่นัทด้วยความบังเอิญ ผมรีบเดินเข้าไปหาก่อนที่อีกฝ่ายจะปิดประตูรถ

"พี่นัท ไปส่งตามหน่อย"

"ฮะ? เดี๋ยว"

ผมกำลังจะเดินไปขึ้นรถอีกฝั่ง แต่ถูกพี่ต่อวิ่งตรงเข้ามาเรียกพลางดึงแขนผมเอาไว้ 

"ตาม!"

ผมสะบัดมือพี่ต่อทิ้ง ไม่ได้โต้ตอบอะไรแล้วรีบขึ้นรถ ท่ามกลางความงุนงงของเจ้าของรถ ผมสั่งให้เขารีบขับออกไป ขณะที่พี่ต่อพยายามที่จะเรียกและวิ่งตามมา

"ไม่ต้องจอดเหรอ"

"ไม่ต้องครับ"

"ใครเหรอ"

"คนบ้า"

ความโกรธทำให้ผมเลือกที่จะไม่สนใจใครทั้งนั้น ผมยังไม่พร้อมที่จะฟังคำอธิบายจากสิ่งที่ผมได้เห็นกับตา แม้ทบทวนเป็นร้อยครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่าเหตุผลของการกระทำนั้นมันคืออะไร ผมหวังให้มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมเพียงแค่โกรธเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็หาย ผมบอกตัวเองแบบนั้น

"มีเรื่องอะไรหรือเปล่าตาม"

"..."

"เล่าให้พี่ฟังได้นะ"

ผมหันมองมือของพี่นัทที่ปล่อยจากพวงมาลัยแล้วเลื่อนมากุมมือผมเอาไว้ อาจต้องการปลอบโยนกันแต่ผมกลับไม่รู้สึกเช่นนั้นจึงรีบดึงมือตัวเองออก

"พี่นัทจอดที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าก็ได้"

"เดี๋ยวพี่ไปส่งที่หอ"

"ไม่เป็นไรครับ ตามจะลงข้างหน้า"

"เห็นพี่เป็นแท็กซี่หรือไง ถ้าตามมีเรื่องไม่สบายใจ เดี๋ยวเราไปหาที่เงียบๆ คุยกัน มีอะไรเล่าให้พี่ฟังก็ได้ เดี๋ยวคืนนี้พี่อยู่เป็นเพื่อน"

"ตามจะลงข้างหน้า"

ผมได้รับคำโต้ตอบเป็นเสียงถอนหายใจแรงๆ ที่จงใจให้ผมได้ยิน ก่อนพี่นัทจะเบรกกะทันหันจนเกือบหัวทิ่ม ไม่ทันจะถึงป้ายรถเมล์ที่ผมขอให้เขาไปส่งด้วยซ้ำ   

"ขอบคุ..."

"ไม่ต้องขอบคุณ ลงไป"

ดูท่าว่าผมจะทำให้พี่นัทอารมณ์เสียแต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณที่เขาพาผมออกมาจากตรงนั้นอย่างได้จังหวะ ผมก้าวเท้าช้าๆ เดินต่อไปยังป้ายรถเมล์ที่ทั้งเงียบและมืด ดึกดื่นเกินกว่าจะเป็นเวลาที่ผู้คนจะสัญจรจึงแทบจะไม่มีรถผ่านมาตรงนี้สักคัน ท่ามกลางความเงียบในระหว่างที่นั่งรอนั้น มือถือผมสั่นเพราะสายเข้า รวมถึงข้อความทางไลน์ที่ดังไม่หยุด 

 

"ตามอยู่ไหน พี่จะไปหา"
"ตามตอบพี่หน่อย"
"รับสายพี่สิ"


 

สมองผมว่างเปล่าเกินกว่าจะตอบโต้กับใครในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นใครที่โทรมา ผมก็ไม่พร้อมที่จะพูดคุย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้งแล้วลุกขึ้นยืน ตัดสินใจที่จะเดินกลับหอแทนที่จะนั่งรออย่างดูไม่มีจุดหมาย

ผมคิดว่าตัวเองเดินมาไกลแต่มันยังไม่ได้ถึงครึ่งทาง คงเพราะสมองกำลังย้ำคิดถึงเรื่องของแสงและพี่ต่อวนเวียนอยู่อย่างนั้น ร่างกายผมจึงค่อยๆ ช้าลง ในบางวินาทีผมหยุดอยู่กับที่โดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป   

 

"ครืด...ครืด..."

 

 มือถือที่เงียบไปสักพักใหญ่สั่นขึ้นมาอีกรอบ ผมคิดว่าตัวเองสงบลงกว่าเมื่อครู่แล้ว ไม่ว่าใครจะโทรเข้ามา ผมก็คงจะใจเย็นพอที่จะพูดคุยกับ...

 

"พ่อ"


 

หัวคิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อสายที่โทรเข้ามากลายเป็นพ่อ จึงรีบคลายความสงสัยด้วยการกดรับ ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากว่าอะไรพ่อก็พูดขึ้นมาก่อน

"พี่ต่อรถคว่ำ พ่อกับแม่กำลังจะไปโรงพยาบาล ตามอยู่ที่ไหนลูก" ด้วยประโยคนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า ประสาทการรับรู้ของตัวเองนั้นชำรุดเสียหายจึงได้ยินไม่ชัดนัก ผมไม่เข้าใจที่พ่อพูดเลย

"ตาม"

"..."

"ตาม!"

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรพ่อ ไม่ได้สนเสียงเรียกของพ่อพลางลดมือข้างที่ถือโทรศัพท์ลงช้าๆ หยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับลืมวิธีที่จะเคลื่อนไหว

โรงพยาบาล

เป็นคำแรกที่คิดขึ้นมาได้ตอนที่สติหวนกลับคืน ผมรีบพาตัวเองไปที่นั่นให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะเห็นพ่อกับแม่ยืนอยู่แล้วที่หน้าห้องฉุกเฉิน 

"ตาม"

"พี่ต่อเป็นไงบ้าง"

"หมอยังไม่ออกมาเลย"

"พ่อกับแม่เข้าไปดูไม่ได้เหรอ"

"เราเข้าไปไม่ได้นะลูก"

"พ่อกับแม่เป็นหมอไม่ใช่เหรอ ต้องเข้าไปได้สิ แค่เข้าไปดูว่าพี่ต่อเป็นยังไง!"

"ตามใจเย็นๆ"

"แต่พี่ต่ออยู่ในนั้น!"

"ใจเย็นๆ แล้วนั่งลง!" เสียงดังของพ่อดุผมพลางกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน ความคิดในหัวผมพลุ่งพล่านเกินกว่าจะนั่งใจเย็น แต่สองมือของพ่อบีบไหล่ผมแน่นให้อยู่กับที่จนเจ็บแปลบ อ้อมกอดของแม่ช่วยบรรเทาความวู่วามจนกระทั่งทั้งร่างกายและความคิดสงบลงอย่างช้าๆ

"พี่ต่อไม่เป็นอะไร เชื่อพ่อสิ"

คำปลอบโยนของพ่อบอกกับผมอย่างนั้นก่อนที่ผมจะตั้งสติได้ การรอคอยหน้าห้องนั้นเนิ่นนานกว่าความเป็นจริง เพราะใจเอาแต่คิดถึงความปลอดภัยของคนที่อยู่ข้างใน จนกระทั่งคนเป็นหมอเดินออกมา ด้วยสัญชาตญาณ สองตาผมหลับแน่นพลางเบือนหน้าหนีคราบเลือดที่เลอะเสื้อกาวน์สีขาว ทั้งพ่อและแม่รู้ดีถึงความกลัวจึงดึงให้ผมถอยห่าง แต่สองหูผมยังได้ยินชัดถึงอาการของพี่ต่อที่หมอพูดถึง ผมไม่เข้าใจศัพท์ทางการแพทย์ที่เกิดขึ้นในบทสนทนาของคนที่เป็นหมอทั้งหมดที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่สุดท้ายผมจับใจความได้ว่าอาการของพี่ต่อยังไม่พ้นขีดอันตราย ก่อนถูกย้ายตัวไปอีกห้อง

"ไหนพ่อบอกพี่ต่อไม่เป็นไร"

"พี่ต่อไม่เป็นอะไร พี่ต่อจะต้องไม่เป็นอะไร"

พ่อแค่ย้ำให้ผมเชื่อแบบนั้น ทั้งที่ความจริงแม้แต่พ่อหรือแม่เองก็คงกังวลอยู่ไม่น้อย มันเจ็บปวดตรงที่ ทั้งพ่อและแม่ทำได้แค่ยืนอยู่เฉยๆ ไร้ความสามารถที่จะช่วยเหลือเพื่อให้พี่ต่อดีขึ้นกว่านี้ ผมไม่อาจทนมองพี่ต่อที่นอนอยู่ในสภาพนั้นได้นานกว่านี้ จึงถอยออกมาหลบมุมนั่งอยู่ห่างๆ พลันความคิดกำลังก่อตัวเป็นความว้าวุ่น

ผมเพิ่งจะเจอกับพี่ต่อ พี่ต่อยังโทรหาผม ส่งข้อความหาผม พี่ต่อกำลังจะมาหาผม...เพราะว่าเขากำลังจะมาหาผม

"แสงเทียน!"

ผมหลุดออกจากความคิดหลังจากได้ยินชื่อนั้น จริงสิ...แสงเทียน

เรื่องของพี่ต่อทำให้ผมลืมแสงไปเลย ไม่รู้ว่าป่านนี้จะถึงบ้านหรือยัง แม้ว่าผมจะยังโกรธเคืองแค่ไหนแต่ในตอนนี้กลับรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล แค่อยากมั่นใจว่าคืนนี้แสงจะถึงบ้านอย่างปลอดภัยจึงหยิบมือถือขึ้นมากดโทรหา เสียงรอสายดังอยู่นานและสุดท้ายไม่มีคนรับ

"นั่นไม่ใช่แสงหรอก ไม่ใช่แสงลูกของเราหรอก"

"พ่อ"

"เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวลูกกลับบ้านมาแล้วจะไม่เจอใคร"

บทสนทนาจากหน้าห้องฉุกเฉินผ่านน้ำเสียงที่ผมรู้สึกคุ้นเสียจนต้องลุกเดินไปดู ก่อนที่จะเห็นครอบครัวของแสงยืนอยู่ตรงนั้น แทนที่จะรีบตรงเข้าไปหา แต่สองเท้าผมกลับเดินช้าลง เพราะประโยคถัดมาของสายป่านที่ดังชัด

"พ่อ! นั่นพี่แสง!"

"..."

"นั่นพี่แสง"

"..."

"พี่แสงตายแล้วพ่อ"

เท้าของผมเดินไปถึงหน้าห้องนั้นพอดีหลังจบประโยคนั้น ทุกสิ่งรอบกายกลับมาอื้ออึงอีกครั้ง และคราวนี้ทุกอย่างหยุดนิ่งอยู่เนิ่นนาน กระทั่งเสียงของแม่แสงเอ่ยเรียกผม

"ตาม"

"..."

"ตามเข้าไปไม่ได้นะลูก!"

ไม่ได้ฟังเสียงห้าม ผมเดินผ่านครอบครัวของแสงตรงเข้าไปยังเตียงผู้ป่วยที่มีหนึ่งคนนอนนิ่งอยู่บนนั้น ผมสะบัดทุกฝ่ามือที่เข้ามาเกาะกุม ไม่สนทุกเสียงร้องห้าม แล้วก้าวเท้าเข้าไปมองหน้าคนตรงนั้นและการมองเห็นนั้นมันก็ย้ำให้ชัดว่านั่นคือแสง ไล่สายตามองแสงหัวจรดเท้าด้วยร่างกายที่ไม่ยอมขยับเคลื่อนไหว

ทั้งสิ่งที่ผมเห็นและเสียงของใครสักคนที่ย้ำให้ได้ยินว่าแสงตายแล้วแต่ผมไม่เชื่อ ถ้าผมลองเรียกแสงดูสักครั้ง แสงอาจจะตื่นก็ได้

"แสง"

ถ้าหากว่าแสงได้ยินเสียงของผม แสงจะต้องลุกขึ้นมาแน่ๆ

"แสง"

บางทีเสียงของผมอาจดังไม่พอให้แสงได้ยิน หากว่าผมจะลองเรียกอีกสักครั้ง

"แสงเทียน"

ถ้าหากว่า...

"พอได้แล้ว"

เสียงของคนข้างๆ บอกกับผมอย่างนั้น ความเงียบงันบอกให้ผมได้รู้และย้ำทุกอย่างให้ชัดจนไม่อาจโกหกตัวเองได้อีกต่อไป เป็นครั้งแรกที่ผมเพิกเฉยต่อรอยเลือดที่อาบทั้งร่างของคนตรงหน้า ไม่มีความกลัว ไม่มีทั้งน้ำตาและคำพูดใด ก่อนโน้มตัวลงโอบกอดร่างกายที่ยังอบอุ่นแต่ไม่ไหวติง กระชับกอดแน่นราวกับกลัวว่าจะมีใครมาแย่งชิงเอาแสงของผมไป...อย่าเอาแสงของผมไป...ได้โปรดอย่าเอาเขาไปจากผมเลย

 

ชั่วโมงก่อนแสงยังยืนอยู่ตรงหน้าผม เรายังมองหน้ากันอยู่ เรายังคุยกันอยู่ แล้วทำไมตอนนี้แสงถึงเหลือเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจ จากผมไปโดยไม่ล่ำลา ผมคาดหวังให้มันเป็นแค่ความฝันแต่สมองดันรู้ดีว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง ถึงอย่างนั้นร่างกายมันก็ยังไม่ตอบสนองต่อความเสียใจ ยังคงไม่มีแม้แต่หนึ่งหยดน้ำตาหรือว่าคำพูดใดที่จะฟูมฟายออกมาให้การสูญเสียครั้งนี้ คงเป็นเพราะผมไม่อาจทำใจให้เชื่อ...แค่ไม่อยากเชื่อว่ามันเกิดขึ้นจริง

 "ตาม"

"..."

"ตามลูก"

ผมเงยหน้ามองทั้งแม่ของแสงและแม่ของผมที่เดินเข้ามาหา ขณะที่ผมกำลังนั่งอยู่กับพื้นของโรงพยาบาลเพื่อรอให้พ่อกับแม่ของแสงจัดการเรื่องต่างๆ ให้เรียบร้อย   

"ตามกลับไปอาบน้ำก่อน เนื้อตัวเลอะเลือดไปหมดแล้ว"

"..."

"ตามกลัวไม่ใช่เหรอ รีบไปล้างตัวเถอะนะ"

สิ่งเดียวในตัวแสงที่หลงเหลืออยู่กับผม มีเพียงคราบเลือดที่ผมหวาดกลัวเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่การจากไปของแสงมันทำให้ผมหลงลืมที่จะต้องกลัวหรือรู้สึกอะไร 

"มันเป็นเลือดของแสงครับ"

"..."

"เป็นเลือดของแสง"

แม่ของแสงมอบความอบอุ่นให้ผมด้วยอ้อมกอดหลวมๆ ไม่มีความเข้มแข็งหลงเหลืออยู่ในตัวผม ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะโต้ตอบอ้อมกอดนั้นด้วยซ้ำไป

"กลับบ้านกันก่อนนะตาม เดี๋ยวแม่ไปส่ง" แม่ดึงมือผมให้ลุกขึ้น ก่อนผมจะทำตามที่บอกด้วยการยอมกลับบ้านก่อน ทว่าในตอนนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่ายังมีอีกคนที่ผมต้องห่วง     

"พี่ต่อล่ะครับ"

"พ่อจะอยู่กับพี่ต่อ ตามไม่ต้องห่วง"

พระเจ้าประทานหนึ่งวันที่โหดร้ายเกินกว่าที่ผมจะรับไหว ผมมองเห็นทั้งความเจ็บปวดและการจากไปของคนที่ผมรัก ผมตะโกนให้พระเจ้าช่วยแต่พระเจ้าไม่ฟังคำขอของผมเลย ทุกสิ่งยิ่งตอกย้ำทำให้รู้ว่าตัวผมไร้ความสามารถที่ช่วยเหลือหรือปกป้องใครเอาไว้ได้ และยิ่งไปกว่านั้น หัวใจผมมันเอาแต่โทษตัวเองไม่หยุดพัก อย่างกับผมเป็นต้นเหตุของทุกเรื่องราวที่มันเกิดขึ้น ถ้าผมกับแสงไม่ทะเลาะกัน ถ้าผมไปส่งแสงที่บ้าน ถ้าพี่ต่อไม่มาหาผม...ทุกอย่างจะไม่เป็นแบบนี้เลย

            ...

 

ที่งานศพของแสง ผมคิดว่าตัวเองจะฟูมฟายร้องไห้ พรั่งพรูคำพูดพร่ำเพ้อถึงแสงที่จากไป แต่กลับตรงกันข้าม ทั้งร่างกายและความคิดนิ่งสนิทกว่าที่ควรจะเป็น ผมคาดเดาเอาอย่างไม่มีหลักการว่าเพราะทุกอย่างมันเกิดขึ้นรวดเร็วเกินกว่าจะตั้งตัวทัน สมองของผมจึงเผลอหยุดทำงานและไม่รับรู้ถึงความเสียใจใดๆ ที่มันควรจะเกิดขึ้น 

ด้วยเพราะนับถือคนละศาสนา ผมจึงไม่ได้เข้าร่วมพิธีกรรมอะไรมากมายนักในงานศพของแสง แต่ก็พยายามที่จะอยู่ข้างๆ พ่อกับแม่แสงตลอดเวลา เผื่อว่าจะเรียกใช้หรือช่วยอะไรได้บ้างในหนึ่งวันที่วุ่นวายอยู่ไม่น้อย หลังจากผู้คนทยอยกลับเมื่อจบงานศพในคืนนั้น ผมช่วยงานอยู่บนศาลาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรให้ทำ จึงเดินหลบมาโทรศัพท์หาพ่อเพื่อถามถึงอาการของพี่ต่อ วันนี้พี่ต่อก็ยังไม่ฟื้น พ่อย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องห่วง พี่ต่อไม่เป็นอะไร ก็เพื่อให้ผมสบายใจไปอีกหนึ่งวัน 

ในตอนที่ผมกำลังเดินกลับเข้าไปในศาลา จึงหันไปเห็นกับพ่อแม่ของแสงที่ดูท่าทางรีบร้อนเหมือนกำลังจะออกไปไหนจึงรีบก้าวเท้าเข้าไปหา

"มีอะไรหรือเปล่าครับ"

"ตำรวจโทรมาบอกว่าจับคนร้ายได้แล้ว เดี๋ยวพ่อกับแม่กลับมา ตามอยู่ที่นี่นะ"

"ผมไปด้วยครับ"

"ไม่ต้องไป"

"ผมต้องไป! ผมต้องรู้ว่ามันเป็นใคร!"

"รู้แล้วยังไงล่ะตาม เราจะทำอะไรได้ จะไปฆ่ามันหรือไง"

"ถ้าทำได้ผมก็จะทำ!"

"ถ้าทำได้ พ่อจะเป็นคนทำเอง!" เสียงตะคอกของพ่อแสงดังขึ้นในจังหวะที่ดึงแขนผมเอาไว้ให้อยู่กับที่ ความโกรธแค้นของเรามีไม่ต่าง แต่สติที่ควรยั้งคิดของผมนั้นวู่วามจนเกินไป 

"คิดว่าพ่อไม่อยากฆ่ามันเหรอ แต่เรารู้ดีว่าเราทำอะไรไม่ได้ ตามเองก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นอยู่รอที่นี่ เดี๋ยวพ่อกับแม่จัดการเรื่องนี้เอง"

มือที่กำแน่นค่อยๆ คลายออกช้าๆ ในตอนที่พ่อของแสงช่วยดึงสติของผมเอาไว้ ก่อนที่แม่ของแสงจะย้ำอีกครั้งเพื่อให้ผมรออยู่ที่นี่

"อยู่ที่นี่นะตาม"

"..."

"อยู่เป็นเพื่อนแสงนะ"

ผมพยักหน้ารับ เพื่อทำในสิ่งที่พ่อกับแม่ของแสงขอ ผมเดินกลับขึ้นไปบนศาลา แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นและอยู่ไม่ห่างจากโลงศพของแสง มองดูรูปถ่ายที่หน้าศพและนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดจะพูดกับเขา

"ยิ้มอะไร"

"..."

"คนใจร้าย"

ผมรู้สึกว่าคืนนี้มันหนาวกว่าปกติ ไม่รู้ว่าด้วยอากาศที่เย็นลงหรือเป็นเพราะความว่างเปล่ารอบกายและการหายไปของคนที่ผมรัก ภายใต้ดวงตาที่หลับสนิท ผมเอาแต่คิดถึงการจากลาครั้งสุดท้าย เราไม่น่าจากกันไปแบบนั้นเลย ทำไมแสงต้องทิ้งผมเอาไว้กับความทรงจำสุดท้ายที่มันเจ็บปวดแบบนั้น ทำไมเรื่องของเรามันถึงจบลงแบบนี้...

 

ทำผิดเอาไว้ยังไม่ขอโทษสักคำแล้วก็หนีไปแบบนี้ เธอกลัวว่าเราจะโกรธเหรอ ไม่ต้องกลัวหรอก กลับมาเถอะ เราไม่โกรธเธอก็ได้ ครั้งนี้เราจะยอมให้ กลับมาเถอะที่รัก เราไม่โกรธเธอแล้ว ไม่โกรธเธอสักนิดเลย

 

"แสง!"

ผมลืมตาขึ้นพลางยกมือจับแขนคนที่อยู่ตรงหน้า

"หนูเอง"

ผมคลายมือนั้นออกเมื่อเห็นว่าเป็นสายป่านที่กำลังเข้ามาคลุมผ้าห่มให้ผม

"หนูนึกว่าพี่หลับ กลัวว่าพี่จะหนาว"

"ขอบคุณนะ แล้วทำไมยังไม่ไปนอน"

"หนูนอนไม่หลับ" สายป่านว่าก่อนขยับมานั่งข้างๆ ผมกางผ้าห่มเพื่อคลุมร่างของเราทั้งคู่เอาไว้ให้คลายความหนาวเย็น สายป่านทิ้งหัวเล็กๆ ลงมาซบที่ไหล่ผม

"พี่ตาม ทำไมพี่ถึงไม่ร้องไห้เลย"

"..."

"หนูอยากเข้มแข็งแบบพี่ แต่ทำไม่ได้เลย คิดถึงพี่แสงจัง"

ในตอนนั้นน้ำตาของสายป่านก็ไหลออกมาพร้อมเสียงสะอื้น ผมได้แต่ปลอบประโลมผ่านการยกมือโอบไหล่แล้วตบเบาๆ ผมไม่ได้เข้มแข็งตรงกันข้ามคือผมกำลังอ่อนแอมากกว่าใคร ความอ่อนแอทำให้ผมต่อต้านความเป็นจริง ความอ่อนแอทำให้ผมไม่ยอมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น และความอ่อนแอยังทำให้ผมยังหลอกตัวเอง...ว่าผมไม่เป็นอะไร     

           

...

 

สองสามวันที่งานศพของแสงเต็มไปด้วยความยุ่งวุ่นวาย ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องคดี ผมได้เห็นหน้าของคนที่ฆ่าแสงแล้ว นอกจากแสงแล้วยังมีเด็กเคราะห์ร้ายอีกคนที่ถูกมันทำร้ายด้วยเพราะความเมามายจากฤทธิ์ของยาเสพติด แม้โกรธแค้นจนไม่คิดให้อภัยแต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย สำหรับผมต่อให้โทษสูงสุดของมันคือการประหารชีวิตก็ยังไม่เพียงพอกับความผิดที่มันได้ทำ ผมอยากให้มันได้รับโทษที่มากกว่านั้นอีกเป็นร้อยเป็นพันเท่า

และในช่วงเย็นๆ ของวัน ผมแวะมาหาพี่ต่อที่โรงพยาบาลเพราะรู้สึกเป็นห่วงที่ไม่ได้มาเยี่ยมด้วยตัวเองเลย พ่อบอกว่าอาการของพี่ต่อดีขึ้นแต่ภาพที่ผมเห็นก็ยังเป็นพี่ต่อที่ไม่ยอมตื่นขึ้นมาแม้ว่าผมจะลองเรียกอยู่หลายครั้ง ในขณะที่พี่ต่อหลับไปนานขนาดนั้น ผมยังไม่ได้นอนสักวันเลย ไม่มีวันไหนที่จะข่มตาลงเพื่อจะหลับได้เลย 

"พี่ต่อนอนนานเกินไปแล้ว รีบตื่นเถอะ"

"..."

"ตอนนี้ตามต้องการพี่มากเลย"

"ตาม"

ผมหันมองพ่อที่เดินเข้ามาเรียก

"ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก ใกล้จะถึงเวลาเผาศพแสงแล้วนะ ทำไมยังไม่รีบไป"

ผมรู้ดีไม่ได้ลืม คิดอยู่แล้วว่าจะไป แต่ในตอนนั้นผมก็มีเรื่องที่อัดอั้นอยู่เต็มอกจนต้องพูดมันออกมาให้พ่อฟัง

"พ่อ"

"ว่าไงลูก"

"ตามทะเลาะกับพี่ต่อก่อนที่พี่ต่อจะรถคว่ำ"

"ทะเลาะกัน? ทะเลาะกันเรื่องอะไร"

"พี่ต่อจูบแสง"

"อะไรนะ"

"หรือแสงอาจจะจูบพี่ต่อก่อนก็ได้"

"..."

"ตามทะเลาะกับแสง ตามก็เลยไม่ได้ไปส่งแสงที่บ้าน ตามโกรธพี่ต่อ พี่ต่อก็เลยขับรถมาหาตาม"

"ตาม ไม่เป็นไรนะ..."

"พ่ออย่าบอกว่าไม่เป็นไร เพราะตามเป็นแน่ๆ แสงถูกแทงตาย พี่ต่อก็ยังไม่ฟื้น ทั้งหมดมันเป็นเพราะตาม เป็นความผิดของตาม เป็นเพราะตามคนเดียวเลยพ่อ"

"อย่าโทษตัวเองสิตาม"

พ่อยกสองมือขึ้นจับไหล่ หมุนตัวให้ผมหันไปมองหน้าพ่อ แม้ผมจะไม่ได้ร้องไห้แต่ความเสียใจแสดงออกชัดอย่างที่พ่อรู้จักผมดี

"ตามแค่กำลังเสียใจ ตามก็เลยเอาแต่โทษตัวเอง"

"..."

"แต่ตอนนี้ตามต้องไปงานศพของแสงก่อน เพราะถ้าตามไม่ไป ตามจะเสียใจมากกว่านี้ รู้ไหม"

ผมพยักหน้ารับคำพ่อก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนั้น ก่อนที่จะไปถึงงานศพของแสง ผมแวะร้านดอกไม้และสั่งกุหลาบช่อใหญ่ที่สุดเท่าที่ทางร้านจะจัดให้ได้เพื่อเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายสำหรับแสง

ผมมาถึงงานในตอนที่พิธีสวดทางศาสนาจบแล้ว แต่ยังทันที่จะส่งร่างแสงเข้าสู่เตาเผา ดูเหมือนว่ากุหลาบแดงในมือผมจะสะดุดตาจนคนในงานต่างพากันหันมอง

"ตาม หายไปไหนมา"

ผมไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนคนหนึ่งที่หันมาเห็นผม แล้วก้าวเท้าเข้าไปในตอนที่ผู้คนเหล่านั้นถอยหลบให้ผมได้ไปยืนอยู่ที่หน้าโลงศพของแสงที่ถูกเปิดออกเพื่อให้เห็นใบหน้าของเขาเป็นครั้งสุดท้าย พ่อกับแม่ของแสงถอยห่างเพื่อให้ผมได้เข้าไปใกล้กว่านั้น หากเป็นก่อนหน้านี้ ผมคงไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ศพ แต่พอเป็นแสงความโหยหามันก็ถูกแทนที่ด้วยความกลัวที่ผมมีจนผมต้องการที่จะเข้าไปหาให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมก้มมองช่อกุหลาบในมือ เผยรอยยิ้มชื่นชมความสวยงาม ก่อนพูดออกมาเบาๆ

"กุหลาบแดง"

"..."

"ที่เธอชอบ"

ช่อกุหลาบในมือถูกวางลงในโลง ก่อนนิ้วมือของผมจะเลื่อนไปสัมผัสใบหน้าของร่างกายที่เย็นเฉียบและแข็งทื่อซึ่งกำลังหลับใหลอยู่ในนิทรา และในวินาทีนั้นมันเป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้เพราะการจากไปอย่างไม่กลับมาของแสง คล้ายจิตสำนึกของผมเพิ่งรู้ตัวว่าร่างกายของผมจะต้องหลั่งน้ำตาเพื่อให้ผมยอมรับเสียทีว่า...ผมกำลังเสียใจ

ในวังวนของความคิด ผมไม่รู้ว่าต้องรู้สึกอย่างไร มีความโกรธเคืองปะปนกับความโศกเศร้าและเสียใจ มีคำขอโทษและความรู้สึกผิดที่ผมทำให้แสงต้องจากไป และยังมีความรักจากผมอีกมากมายที่ยังไม่ได้แสดงออกหรือบอกให้แสงได้รับฟัง

 

ไหนว่าจะแก่ตายไปด้วยกัน แล้วทำไมถึงตายก่อน ไหนว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แล้วทำไมตลอดไปของเธอมันถึงได้สั้นจนน่าใจหายแบบนี้ หรือไม่บางทีสวรรค์คงจะอิจฉาที่เรารักกันมาก ถึงได้พรากเธอไปจากเรา หากว่าเธอกำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง ขออย่าได้บาดเจ็บหรือว่าหลงทาง ไปถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยโดยไม่ต้องห่วงกังวล แล้ววันหนึ่งในไม่ช้า...เราจะตามหาเธอให้เจอจนได้

 

"ลาก่อนที่รัก"

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 13-08-2019 21:43:55
ผมเคยได้ยินว่า การรับรู้กับการเข้าใจนั้นมันต่างกัน ผมรู้ดีว่าแสงจากไปและไม่มีวันกลับมา แต่ยังไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องเป็นแสง แม้ว่าแสงจะเป็นคนอารมณ์ร้ายและเอาแต่ใจอยู่บ้างแต่แท้จริงแล้วแสงของผมเป็นคนดีเกินกว่าที่จะแสดงออกให้ใครเห็น น่าเสียดายที่การเป็นคนดีของแสงตอบแทนเขาด้วยการพรากเอาชีวิตเขาจากไป แม้ไม่สามารถต่อรองอะไรได้ แต่ถึงอย่างนั้นผมยังไม่สูญสิ้นศรัทธาต่อพระเจ้า ทุกวันผมยังคงอธิษฐานขอให้พระเจ้าดูแลแสงที่อยู่แสนไกล ฝากให้พระเจ้าดูแลแสงที่รักของผมด้วย

 

"ครืด...ครืด..."

 

ช่วงนี้ผมไม่เคยละเลยเสียงโทรศัพท์มือถือที่โทรเข้ามา เพราะผมยังรอคอยปาฏิหาริย์ที่จะช่วยให้พี่ต่อหายดี และทุกครั้งที่พ่อหรือแม่โทรเข้ามา ผมหวังว่าจะได้ยินข่าวดีจากพวกเขาในสักวัน 

(ตาม อยู่ไหนลูก)

"อยู่ที่โบสถ์ครับ"   

(ตามรีบมาที่โรงพยาบาลได้ไหม)

"พี่ต่อเป็นอะไร! พี่ต่อเป็นอะไรหรือเปล่าแม่!"

(พี่ต่อถามหาตามใหญ่เลย)

"พี่ต่อถาม..."

(...)

"พี่ต่อถามหาตาม!" เมื่อเข้าใจในประโยคนั้นก็เผลอเสียงดังด้วยความตกใจ ก่อนที่จะรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นโดยไม่ได้ล่ำลาใครเพื่อตรงไปยังโรงพยาบาล ระยะทางจากโบสถ์ไปถึงโรงพยาบาลนานกว่าที่ใจคิด และในตอนที่ผมไปถึงพ่อกับแม่ก็ไม่อยู่ในห้องกับพี่ต่อแล้ว ผมก้าวเท้าเข้าไปใกล้ๆ เตียงเพื่อมองดูพี่ต่อที่นอนหลับตาอยู่ สิ่งแรกที่ผมทำคือการเอ่ยปากเรียกชื่อเขา

"พี่ต่อ"

เพียงเสียงเรียกแผ่วเบา เปลือกตาคู่นั้นก็ขยับขึ้นลืม มุมปากคลี่ออกเป็นรอยยิ้มแล้วโต้ตอบกับผมด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย

"ตาม"

ไม่น่าปล่อยให้ผมรอนานขนาดนี้ น่าจะตื่นขึ้นมาตั้งแต่วันแรกที่ผมร้องเรียก ไม่ควรทำให้เป็นห่วงมากมายขนาดนี้ พี่มันนิสัยไม่ดี...

"พี่ต่อเป็นไงบ้าง"

"ไม่เป็นอะไรแล้ว"

ผมไม่อาจละสายตาไปจากใบหน้าที่ยังปรากฏร่องรอยของบาดแผลและยังดูบวมช้ำ ไม่มีร่างกายส่วนไหนได้รับความเสียหายนอกเสียจากบาดแผลบนหัวที่แตกยับจนบาดเจ็บไปจนถึงสมองที่พ่อบอกว่ามันถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก แต่ในตอนนี้พี่ต่อก็ดูเป็นพี่ต่อที่ปกติดีทุกอย่าง     

"ไม่เป็นอะไรจริงๆ นะ"

"จริงๆ สิ"

โคตรแปลกใจตัวเองเลย ผมไม่ร้องไห้ในวันที่พี่ต่ออาการโคม่า แต่กลับเสียน้ำตาในตอนที่พี่ต่อหายดี บ้าชะมัด

"พี่ไม่เป็นอะไรแล้ว มานี่สิ" พี่ต่อบอกกับผมแล้วยกสองมือขึ้นเป็นเชิงให้ผมเข้าไปหา ก่อนมือคู่นั้นจะโอบกอดผมอย่างที่เคยเป็นมาตลอด

"แล้วนี่ ตามไม่ไปโรงเรียนเหรอ"

ผมเงยหน้าขึ้น ยกสองมือปาดน้ำตาแล้วทวนคำถามของพี่ต่ออีกครั้ง

"ว่าไงนะ"

"ไม่ไปโรงเรียนเหรอ"

"พี่ต่อ...ตามเข้ามหาลัยแล้วนะ"

"อ๋อ"

พี่ต่อตอบรับ ทว่าสีหน้ากลับดูงุนงงยิ่งกว่าเก่า ก่อนที่ความสงสัยจะถูกเปล่งออกมาเป็นคำถาม

"ตั้งแต่เมื่อไร"

เกิดเป็นความเงียบระหว่างเราสองคน ต่างคนต่างพากันไม่เข้าใจในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พ่อเป็นคนแรกที่ผมคิดถึง จึงเอ่ยปากเรียก

"พ่อ"

"ตาม" ผมไม่ได้ฟังเสียงเรียกของพี่ต่อ แล้วเปิดประตูออกมาตามหาพ่อ มือไม้ลนลานหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาพ่อแต่ไม่รับสาย ผมรู้ว่าห้องทำงานของพ่ออยู่ที่ไหนแต่สมองพร่าเบลอ พาสองขาของผมหลงทางไม่รู้จะไปทางไหนต่อ

"พ่ออยู่ไหน พ่อ!"

"ตาม!"

"พ่อ!" ผมตรงเข้าไปหาพ่อที่ยืนคุยอยู่กับใครสักคนแต่ไม่ได้สนใจ ดึงมือพ่อออกมาจากตรงนั้นแล้วพรั่งพรูคำถามที่ผมไม่เข้าใจสักนิด

"เกิดอะไรขึ้นกับพี่ต่อ! ทำไมพี่ต่อถึงจำอะไรไม่ได้!"

ก่อนหน้านี้ผมก็เองก็เอาแต่คิดอยู่ว่า ผมจะพูดเรื่องวันนั้นกับพี่ต่อยังไงและผมจะบอกพี่ต่อยังไงว่าแสงไม่อยู่แล้ว แต่พี่ต่อจำไม่ได้ ไม่ใช่แค่บทสนทนาของวันนั้น แต่เป็นเรื่องราวทั้งหมดเลยที่พี่ต่อลืมมันไป บางทีการที่พี่ต่อสูญเสียความทรงจำบางส่วน คงไม่ใช่แค่สมองแต่เป็นจิตใจที่ถูกกระทบกระเทือนไปด้วย จึงเป็นกลไกการป้องกันตัวอย่างหนึ่งที่สมองของพี่ต่อตั้งใจให้เป็นแบบนั้น ครึ่งหนึ่งของความรู้สึกของผมคือความตกใจและเป็นห่วงพี่ต่อ ส่วนอีกครึ่งกลับรู้สึกอิจฉา การจะลืมอะไรสักอย่าง...มันง่ายดายขนาดนั้นเลยเหรอ   

 

...

 

ผมเองต้องกลับไปใช้ชีวิตต่อแม้ว่าชีวิตมันจะเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว ผมตั้งคำถามบ่อยครั้งว่า มีใครบนโลกไหมที่ไม่เคยคิดอยากจะย้อนเวลา อาจจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรบางอย่างหรือไม่ก็ย้อนกลับไปใช้เวลาในช่วงที่ดีที่สุดของชีวิตให้คุ้มค่ากว่าเคย หลายเดือนที่ผ่านมานี้ผมมีความคิดเช่นนั้นเป็นร้อยเป็นพันครั้ง อยากกลับไปกอดแสงให้แน่นกว่าเดิม แน่นเกินกว่าที่แสงจะสูญหายตายไปจากผมได้

 

"ครืด...ครืด..."

 

มือถือที่กำลังสั่นหยุดขาผมที่กำลังจะเดินข้ามถนน ถอยหลังกลับมาก้าวหนึ่งแล้วกดรับเมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนที่มหาลัย

"ว่าไง"

(ตาม ไอ้ปัตถ์บอกกูว่ามึงจะไม่ไปงานรับปริญญาเหรอวะ)

"อือ จะไปเที่ยว"

(ไปเที่ยวเนี่ยนะ)

"บาหลี"

(กูไม่อยากรู้หรอกว่ามึงจะไปไหน แต่ต้องไปวันนั้นด้วยเหรอ)

"กูจองตั๋วไปแล้วไง"

(มึงคิดอะไรอยู่เนี่ย ชีวิตมึงจะได้รับปริญญาสักกี่ครั้ง)

"แล้วชีวิตกูจะได้ไปบาหลีสักกี่ครั้ง"

(ชุดครุยมึงก็ตัดไปแล้ว พวกกูอยากให้มึงมานะเว้ย)   

"เดี๋ยวกูฝากของขวัญไปให้"

(ไอ้ตาม!)

"เออ แค่นี้ก่อน กูยุ่งอยู่" ผมรีบกดวางสายจากเพื่อนก่อนที่จะโดนบ่นยืดยาวกว่านั้น ผมตัดสินใจแล้วจะไม่เข้าร่วมงานรับปริญญา จองตั๋วไปเที่ยวล่วงหน้าก่อนกำหนดการจะออกด้วยซ้ำ ก็เลยเสียดายเงินแล้วก็ไม่อยากทิ้งความตั้งใจ อีกอย่างพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไรด้วยเพราะถึงยังไงผมก็เรียนจบแล้ว   

ผมหาจังหวะที่จะข้ามถนนไปอีกฝั่งได้อีกครั้ง ก่อนเดินไปยังร้านตัดเสื้อที่ตั้งใจมาแต่แรก หยิบชุดครุยที่ได้รับมาเมื่อวันก่อนให้ช่างดูเพราะอยากแก้ไขมันสักหน่อย

"ผมอยากให้ความยาวกับแขนเสื้อสั้นลงกว่านี้หน่อยครับ"

"แต่นี่มันก็พอดีตัวน้องแล้ว สั้นกว่านี้จะไม่เหมาะเอานะ"

"ผมไม่ได้ใส่เองครับ"

หากผมบอกใครว่า ผมตั้งใจจะเอาชุดนี้ให้กับแสง คงถูกด่าว่าเป็นความคิดที่โง่เขลาไม่เข้าท่า แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่สุดท้ายเสื้อครุยตัวนั้นมันก็ถูกแก้ไขให้อยู่ในขนาดที่ผมคาดเดาเอาด้วยตัวเองว่าแสงจะต้องใส่ได้

หนึ่งวันก่อนถึงวันรับปริญญา ผมมาหาแสงที่วัด วางชุดครุยสีสาวสะอาดกับกุหลาบสีแดงหนึ่งดอกไว้ที่หน้าช่องบรรจุอัฐิของแสง ผมเผลอคิดจินตนาการ หากว่าแสงได้สวมมันจริงๆ ก็คงจะดูดีเป็นบ้า มองรูปถ่ายตรงนั้นที่ยังคงปรากฏรอยยิ้มที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป

"เธอยิ้มอีกแล้วนะ"

"..."

"เอาแต่ยิ้มอยู่ได้ ทั้งๆ ที่คนอื่นกำลังร้องไห้เนี่ยนะ"

"..."

"ใจร้ายไม่หยุด"

ผมยกมือดีดเข้าที่หน้าผากแสงในรูปนั้นอย่างโกรธเคือง ยกมือปาดน้ำตาตัวเองที่รินไหลให้แสงบ่อยครั้งเกินกว่าจะควบคุม ช่วงหลังๆ มานี้ผมเริ่มไม่หาเหตุผลที่ทำให้คนต้องร้องไห้ แต่เข้าใจได้ว่าไม่เพียงแค่ความเสียใจเท่านั้นที่จะกลั่นน้ำตาออกมาได้ บางเวลาแค่ยืนมองฟ้าก็ใจสั่นพลันน้ำตาไหลร้องไห้ไม่รู้ตัวแล้ว

 

การไปเที่ยวคนเดียวไม่เคยอยู่ในความคิดของผมเลยสักนิด ผมชอบอยู่บ้าน นอนตื่นสาย กินอาหารอร่อยๆ บนเตียง ใช้ชีวิตเป็นก้อนไขมันขี้เกียจๆ แค่นั้นก็มีความสุข แต่แสงทำให้ผมต้องออกเดินทาง ผมทำในสิ่งที่แสงอยากทำ ไปในที่ที่แสงอยากไป ยกเวลาเหล่านั้นให้เพื่อทนแทนเวลาที่แสงต้องสูญเสียมันไป ใช้ชีวิตเผื่อแสงเท่าที่จะทำได้ การท่องเที่ยวเริ่มทำให้ผมสนุก บางคราวมันช่วยคลายความเศร้าเสียใจให้ลดน้อยลง แต่ในทางตรงกันข้าม ความคิดถึงที่มีต่อแสงจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ต้องเดินทางไปเพียงลำพัง   

แน่นอนว่าผมต้องพบเจอผู้คนมากมาย มีคนที่หน้าตาคล้ายๆ แสง คนที่นิสัยเหมือนกับแสง คนที่น่ารักพอๆ กัน แต่คนเหล่านั้นไม่ใช่แสง ไม่มีทางเป็นเขาได้เลย ผมยังคงไม่รู้ว่าแสงหายไปไหน จะอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุขหรือกำลังทุกข์ทน จะอยู่ตรงนั้นอย่างเดียวดายหรือว่าสบายดี แม้คิดถึงเกินกว่าจะทนได้ไหวแต่โอกาสเดียวที่เราจะพบได้ก็มีแค่ในฝัน...

และทำได้เพียงควานหาอยู่ในจินตนาการ

 

To be continued.
 

จริงๆ เขียนตอนของตามออกมาตอนเดียว แต่ยาวมาก เลยแบ่งเป็นสองตอนค่ะ ครึ่งตอนที่เหลือขอไปเกลาให้เข้าที่ก่อน เดี๋ยวตามมาอัพให้นะคะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 13-08-2019 21:58:21
เศร้าสุดๆ สงสารตาม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-08-2019 22:29:10
 :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-08-2019 22:37:58
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :mew6: :mew6: :mew6: :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 13-08-2019 22:49:44
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-08-2019 22:59:25
เป็นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตที่นั่งร้องไห้น้ำตา​ไหล​พรากยามอ่านนิยายสักเรื่องสักตอน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 13-08-2019 23:08:42
คนที่ยังมีลมหายใจและต้องอยู่กับความทรงจำทั้งเจ็บปวดและน่าสงสาร
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 13-08-2019 23:18:30
ขอให้ไอ้ฆาตกร


ตายในคุกได้ใหม


มันทำลายชีวิตคนถึง2คน


คนนึงตายไปแล้วส่วนอีกคนตายทั้งเป็น


สิ่งที่ไอ้หื่นเมายาควรโคนคือโดนข่มขืน


เหมือนที่มันทำกับพลีสและมันถูกฆ่า


ตายในคุกเหมือนที่มันทำกับแสง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nut2557 ที่ 13-08-2019 23:52:44
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 14-08-2019 07:07:03
อย่างอึนอะตอนนี้ คนอยู่มันทรมานจริง ๆ นะกว่าจะผ่านมันไปได้ แต่ถึงผ่านไปสุดท้ายในใจก็ไม่ลืม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ain ที่ 14-08-2019 09:57:20
เราร้องไห้หนักมากค่ะตอนตามเรียกแสงในห้องฉุกเฉิน
ไม่รู้เม้นอะไรดีค่ะ ฮือออ
ㅜㅡㅜ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-08-2019 13:08:25
ตามเข้มแข็งมากเลยนะ
อยู่กับทุกความรู้สึกในเวลาเดียวกันยกเว้นความสุข
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 14-08-2019 18:08:53
 :heaven


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 14-08-2019 18:19:26
  :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 14-08-2019 20:16:17
ตามเข้มแข็งจริงๆ อยากให้ความสุขกับผู้ชายคนนี้เยอะๆแบบที่ไม่ใช่แค่การมูฟออน อยากให้เขามีความสุขกับแสงจริงๆ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 14-08-2019 23:11:51
ฮืออออ รอนะ รอออออ อ่านรวดเดียวเลย การบ้งการบ้านไม่ทำแน้ววว เส้าาาาา สงสารตามที่สุด ไม่อยากให้แสงไปเลยแต่รู้แหล่ะว่าต้องไปป ฮือออออ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 19-- 13/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-08-2019 07:40:45
ทำไมชีวิตคนเราถึงเศร้าแบบนี้นะคะ
สี่คนพัวพันกันไปหมด ไม่ได้จากลา ไม่ได้บอกกล่าว
เลยต้องกลับมาอยู่ในวังวนของกันและกัน

แสงเทียนคงต้องแก้ไขอีกรอบนะ ก่อนจะต้องจากไป

ร้องไห้น้ำตาไหลพรากเลยค่ะ ว่าพลีสเศร้าแล้ว หนักแล้ว
ยิ่งตอนที่ตามเศร้า ยิ่งหนักไปอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 15-08-2019 20:07:12
ตอนที่ 20
เธอกลับมาก็เพื่อที่จะจากไป


ตาม :


 

"เย็นนี้กลับมากินข้าวที่บ้านนะ"

 
ข้อความจากแม่ปลุกผมให้ตื่นทั้งที่เพิ่งจะหลับไปไม่ถึงชั่วโมงก่อน ผมเริ่มกินนอนไม่เป็นเวลาเพราะว่าต้องทำงานพาร์ทไทม์ที่ตารางเวลาไม่เคยซ้ำกันในแต่ละวัน งานประจำทำให้ผมลาหยุดไม่ได้ตามที่ใจต้องการ ผมจึงเลือกทำงานแบบนี้เพราะมันง่ายที่จะลาออกเมื่อผมเก็บเงินได้มากพอที่จะไปเที่ยวและใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานๆ เงินที่พ่อกับแม่ยังส่งให้อยู่เป็นส่วนที่ผมกินและใช้ในแต่ละวัน ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะประหยัดและกินให้น้อยลง ต้องงดทั้งอาหารและของหวานที่เคยชอบด้วยราคาที่แพงเกินไป ในเวลาเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมาน้ำหนักของผมค่อยๆ ลดลงจนแก้มอวบๆ ที่เอาไว้ยัดอาหารนั้นซูบหาย ถ้าวันไหนที่แม่ชวนกลับไปกินข้าวที่บ้าน ผมจึงไม่เคยลังเล ต่อให้ตอนนี้เหนื่อยแทบลุกไม่ไหวก็จะพาตัวเองไปถึงบ้านให้ได้

"มีอะไรกินบ้างครับ" ผมถามหาอาหารก่อนที่จะทักทายพ่อกับแม่ด้วยซ้ำ ขณะสายตามองไปยังของกินบนโต๊ะที่เต็มไปด้วยของชอบอย่างที่พ่อกับแม่รู้ดี 

"ของโปรดตามทั้งนั้น" แม่ว่าขณะวางกุ้งชุบแป้งกับปีกไก่ทอดที่เพิ่งตักออกมาจากกระทะร้อนๆ ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่ประจำแล้วหันไปหาพ่อที่ยืนอยู่ข้างๆ หม้อหุงข้าวพอดี

"พ่อขอข้าว"

"ไม่รอพี่ต่อก่อนเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ แบมือขอข้าวจากพ่อด้วยท่าทางที่ดูหิวโหยมามากกว่าสิบปี พ่อกับแม่จึงปล่อยให้ผมกินข้าวก่อนโดยไม่รอพี่ต่อที่ยังไม่เลิกงาน

"นี่น้ำหนักลดไปกี่กิโล"

"สิบ...สิบสองมั้ง"  ผมไม่ได้ชั่งน้ำหนักมาสักพักหนึ่ง แอบคิดถึงเจ้าพุงน้อยๆ ที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตอยู่เหมือนกันนะ   

"โอ้โห งั้นต้องกินเยอะๆ เลย" พ่อว่าแล้วตักกับข้าวใส่จานจนต้องบอกให้พอ ไม่ใช่ว่าผมจะกินไม่หมด แต่กลัวว่าถ้าพี่ต่อกลับมาจะต้องต้มมาม่ากินน่ะสิ

"แม่ว่าจะคุยเรื่องงานกับตามพอดี"

ผมเงยหน้าจากอาหารเพื่อมองแม่ที่พูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา ขณะที่พ่อเอ่ยแทรก

"ให้ลูกกินข้าวเสร็จก่อน แล้วค่อยคุยกันสิ"

"กินไปคุยไปก็ได้"

ผมเคี้ยวอาหารได้ช้าลงเพราะรู้ดีว่าเรื่องที่แม่จะพูด กำลังจะทำให้ผมกินข้าวไม่อร่อย 

"ที่โรงงานของน้าต่ายกำลังรับสมัครวิศวกรอยู่ แม่ว่าน่าสนใจเลยคิดว่าตามน่าจะลองดู"

"แต่ตามไม่มีประสบการณ์"

"ก็ต้องเริ่มหาประสบการณ์ที่นี่ไง อีกอย่างน้าต่ายเป็นคนเสนอมาเอง แม่ก็เลยตกลงไป"

"แม่ตกลงแบบที่ไม่ถามตามเนี่ยนะ"

"ก็แม่เห็นว่ามันเป็นโอกาสของตาม"

"แต่ตามยังไม่อยากทำงาน ไม่อยากทำกับน้าต่ายด้วย ไม่อยากเป็นเด็กเส้น" ผมพูดปัดขณะวางช้อนในมือลง หันมองพ่อขอความช่วยเหลือเพื่อให้แม่หยุดพูดเรื่องนี้ แต่ไม่ทันที่พ่อจะได้ว่าอะไร แม่ก็พูดขึ้นมาก่อน   

"ตามจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน"

ผมรับรู้ได้ถึงความไม่พึงพอใจผ่านน้ำเสียงเรียบและใบหน้านิ่งเฉย ก็รู้มาตลอดว่าแม่ไม่ชอบใจนักที่ผมใช้ชีวิตแบบนี้ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา แม่ยอมให้ผมมาหนึ่งปีแต่ดูเหมือนว่าวันนี้แม่จะไม่ปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นแล้ว

"จะใช้ชีวิตแบบนี้ไปอีกนานไหม" 

"ตามขอเวลาหน่อยสิแม่ ตามต้องพาแสงไปเที่ยวก่อน เราสัญญากันแล้วไงว่าจะไปด้วยกัน"

"ก็ไปมาเยอะแล้วนี่"

"แต่ยังมีที่ที่แสงอยากไป แล้วตามยัง..."   

"แสงตายไปนานแล้ว ยอมรับสักที!"   

"แม่" เสียงเรียกของพ่อพยายามยับยั้งแม่เอาไว้แต่ดูจะไม่เป็นผล และคำพูดของแม่มันที่ตอกย้ำการจากไปของแสงมันก็กำลังทำให้ผมโกรธอย่างไม่รู้ตัว

"ลืมเรื่องวันนั้น แล้วกลับมาใช้ชีวิตของตัวเองสักทีได้ไหม ต่อให้ตามใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดแสงก็ไม่ฟื้นขึ้นมาหรอกนะ!" 

"ตามก็ไม่ได้ทำเพื่อให้แสงฟื้นขึ้นมา ตามแค่กำลังใช้ชีวิตเผื่อแสง ตามแค่ทำในสิ่งที่แสงยังไม่ได้ทำ ตามผิดตรงไหนเหรอแม่"

"ผิดตรงที่นี่มันเป็นชีวิตของตามไง มันไม่ใช่ชีวิตของแสง!"

"ถ้ามันเป็นชีวิตของตาม แม่ก็ไม่ต้องยุ่งสิ!"

"ตาม!"

"ใจเย็นๆ ก่อนตาม" ผมเผลอสะบัดมือพ่อที่เข้ามาจับมือผมเอาไว้เพื่อให้ใจเย็นลง แต่ในตอนนี้ผมไม่รู้วิธีที่จะใจเย็นลงได้เพราะคำพูดของแม่มันทิ่มแทงความรู้สึกของผมโดยที่แม่ไม่พยายามที่จะเข้าใจอะไรเลยสักนิดเดียว 

"ตามรู้ตัวไหม ที่ตามเป็นแบบนี้ก็เพราะว่าตามเสียใจ แล้วตามก็เสียใจมามากพอแล้ว"

"มันไม่พอหรอก มันยังไม่พอ"

"งั้นตามก็สนใจแต่คนตาย ไม่ต้องมาสนใจคนเป็นที่ยังอยู่ข้างตามแบบแม่หรอก ถ้าคิดว่าจะใช้ชีวิตแบบนั้นไปตลอดได้ ก็ไปเลย ไม่ต้องกลับมาที่นี่ เพราะที่จริงตามก็ไม่เคยเชื่อฟังอะไรแม่อยู่แล้ว"

"ตามไม่ใช่พี่ต่อนี่"

"..."

"ตามไม่ใช่พี่ต่อที่จะทำอะไรถูกใจแม่ไปทุกเรื่อง"

"..."

"ตามไม่ใช่พี่ต่อที่จะลืมเรื่องวันนั้นไปได้ง่ายๆ!"

"ตาม!"

ผมไม่ฟังเสียงเรียกของพ่อแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น พี่ต่อที่เดินเข้าบ้านมาพอดีพยายามที่จะดึงแขนผมเอาไว้แต่ถูกผมผลักออกจนเซล้ม ผมไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้นก้าวเท้าเร็วจนกลายเป็นวิ่งให้ออกมาไกลเท่าที่จะทำได้ ก่อนอารมณ์โกรธเพิ่มพูนเป็นทวีคูณเมื่อออกมาเจอฝนที่กระหน่ำตกหนักลงมาพอดี ให้มันได้อย่างนี้สิวะ!   

ผมทิ้งตัวลงนั่งที่ป้ายรถเมล์แม้ว่าตัวจะเปียกไปแล้วก็ตาม ก้มมองเท้าเปล่าของตัวเองที่รีบร้อนเดินออกมาจนลืมที่จะสวมรองเท้าด้วยซ้ำ ความโกรธทำให้ผมหน้ามืดตามัวได้ถึงเพียงนั้น

หรือแท้ที่จริง...มันคือความเสียใจต่างหาก

ผมแค่เสียใจกับคำพูดของแม่ แม่ตอกย้ำในสิ่งที่ผมรู้ดีว่าแสงตายจากไปนานแล้ว ผมเสียใจที่แม่มองว่าสิ่งที่ผมกำลังทำมันกลายเป็นเรื่องผิด ผมเสียใจที่แม่แม่ขับไล่และทอดทิ้งทั้งที่ความจริงผมยังต้องการครอบครัวมากกว่าสิ่งใด ผมเสียใจที่อารมณ์โมโหทำให้ผมพาลโกรธเคืองพี่ต่อและพูดจาประชดประชัน และพอรู้ตัวว่ามันเป็นความเสียใจ ผมก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาที่พร้อมจะไหลลงมาผ่านความรู้สึกที่ยังคงอ่อนแอ ทั้งๆ ที่มันคือความเสียใจแท้ๆ แต่ผมกลับแสดงออกด้วยความโกรธและก้าวร้าว...ผมจึงเสียใจที่ทำลงไปแบบนั้น

ผมนั่งเหม่อลอยมองเม็ดฝนที่ตกกระทบพื้นจนกระทั่งซาลง น้ำตาพลันแห้งหายไปพร้อมกับสายฝนที่หยุดตก ผมได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ร่างกายผมยังคงไม่ขยับไปไหน แต่สายตาเงยขึ้นมองท้องฟ้าที่กลับมามีแสงสว่าง จังหวะนั้นผมจึงหันไปเห็นใครบางคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยเนื้อตัวที่เปียกปอน 

"พี่ต่อ"

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พี่ต่อยืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ยอมเข้ามาหา จนกระทั่งเสียงเรียกที่เอ่ยปากเมื่อครู่ทำให้พี่ต่อก้าวเท้าเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าผม

"โอเคไหม"

"..."

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

สมองมันไม่ยอมคิดคำพูดที่จะโต้ตอบ ไม่แม้แต่จะส่ายหน้าบอกว่าผมไม่โอเค แต่ถึงอย่างนั้นพี่ต่อคงเข้าใจ ไม่มีคำพูดใดจากพี่ต่อเช่นกัน นอกเสียจากการกระทำของเขาที่ทำให้ผมหยุดเคลื่อนไหวทั้งร่างกายและความคิด พี่ต่อคุกเข่าลงตรงหน้าผม ก่อนจะถอดรองเท้าของตัวเองแล้วสวมให้ผมแทน

"รีบขนาดไหน ก็ไม่ควรเดินเท้าเปล่าออกมาสิ"

"..."

"เดี๋ยวจะเจ็บเท้าเอานะ"

สายตาของผมเลื่อนมองคนตรงหน้าแต่ว่าพูดอะไรไม่ออก พี่ต่อรู้จักผมดี รู้ว่ามันมีบางอย่างที่คงค้างอยู่ในใจ และดูเหมือนว่าพี่ต่อจะได้ยินสิ่งที่พูดกับแม่เมื่อครู่     

"พี่ทำอะไรให้ตามโกรธหรือเปล่า"

"..."

"มีอะไรที่พี่ลืมไปงั้นเหรอ"

ผมเอาแต่มองพี่ต่ออยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน ความคิดในตอนนั้นมันควบคุมไม่ได้ ผมอยากคิดถึงเรื่องที่พี่ต่อทำให้ผมโกรธ แต่ความคิดพาผมย้อนกลับไปในอีกหนึ่งความทรงจำที่อยู่ๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว

 

"เย็นนี้พี่ต่อจะไปรับตามที่โรงเรียนหรือเปล่า"
"ไปครับ รอพี่ที่เดิมนะ อย่าไปซนที่ไหนล่ะ เดี๋ยวพี่หาไม่เจอ"

 

"พี่ต่อ ตามทำการบ้านไม่ได้"
"มานี่สิ เดี๋ยวพี่สอนให้"

 

"พี่ต่อ พรุ่งนี้มีงานประชุมผู้ปกครอง พี่ต่อไปแทนพ่อกับแม่ได้ไหม"
"ได้สิ พี่ลางานไว้แล้ว"

 

"พี่ต่อ ตามไม่อยากเรียนหมอ"
"ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่คุยกับพ่อแม่ให้ ไม่ต้องเครียด"

 

"พี่ต่อ ตามปวดฟัน"
"ไหนมาดูสิมีฟันผุหรือเปล่า พี่บอกแล้วไงให้แปรงฟันดีๆ"

 

"พี่ต่อ ขอตังค์กินข้าวหน่อย"
"หยิบเอาสิ แค่นั้นพอเหรอ เอาไปอีกสิ ไปซื้ออะไรอร่อยๆ กิน"   


 

"ไอติม"

"ว่าไงนะ"

"พี่ต่อบอกว่าจะซื้อไอติมให้"

"..."

"แล้วพี่ก็ลืม"

พี่ต่อลุกยืนขึ้นแล้วยื่นมือข้างหนึ่งมาให้ผม

"ลุกขึ้นสิ"

"..."

"ไปกินไอติมกัน"

ผมพยักหน้ารับ แล้วจับมือพี่ต่อลุกขึ้นก่อนก้าวเดินออกไปจากตรงนั้นด้วยกัน เพราะการจากไปของแสง มันทำให้ผมเสียใจจนลืมว่าตัวเองจะต้องโกรธใคร เรื่องราวในวันนั้น หากว่าพี่ต่อเลือกที่จะไม่จำ ผมก็จะทำเป็นลืมไปด้วย ให้เรื่องวันนั้นมันตายไปพร้อมกับแสง หลอกตัวเองว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง เผื่อว่ามันจะทำให้เราทั้งคู่...เจ็บปวดน้อยลง

 

...
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 15-08-2019 20:07:59
"ตาม"

"..."

"ตาม!"

เสียงเรียกดังลั่นข้างหูปลุกผมตื่นจากความคิดเหม่อลอยก่อนหันขวับมองคนที่อยู่ข้างๆ

"พลีส ไม่สิ...เธอต่างหาก"

ผมเชื่อหมดใจว่านี่คือแสงเทียน แต่ทุกครั้งที่หันไปเจอใบหน้าของพลีสก็อดจะสับสนไม่ได้ อยู่ดีๆ แสงก็กลับมาในร่างของคนอื่นมันก็เลยไม่ชิน

"พ่อเธอเรียกน่ะ"

ผมหันมองพ่อที่ยืนรออยู่อีกทาง จึงรีบเดินเข้าไปหา ผมยังติดต่อกับพ่ออยู่บ้าง บางครั้งก็แอบไปหาอยู่เรื่อยๆ โดยที่แม่ไม่รู้ ผมไม่ได้อยากให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวถูกตัดขาดยาวนานขนาดนั้นแต่แม่ยังไม่ยอมให้อภัยผม ผมคิดอยู่เสมอว่า จนกว่าผมจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ด้วยตัวผมเองแล้ววันนั้นผมจึงจะกลับไปหาแม่

"พี่ต่อเป็นไงบ้างครับ"

"ไม่เป็นไรแล้วล่ะ แค่หัวแตกเฉยๆ พักสักคืนก็คงดีขึ้น ตามกลับไปนอนเถอะ"

แค่อยากแน่ใจสักหน่อยว่า พี่ต่อจะไม่เป็นอะไรจริงๆ ผมจึงขอเข้าไปหาก่อนที่จะกลับ ภาพของพี่ต่อกับเตียงโรงพยาบาลยังฝังลึกอยู่ในหัวด้วยความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไรนัก ผมไม่อยากเห็นพี่ต่อต้องเจ็บปวดอย่างในวันนั้นอีกแล้ว จึงเอ่ยปากขอร้องเบาๆ

"แค่คืนเดียวนะพี่ต่อ"

"..."

"นานกว่านั้นไม่ได้นะ"

ผมขอให้พ่อส่งข้อความบอกผมในตอนที่พี่ต่อฟื้นแล้วเพื่อที่ผมจะได้สบายใจ คืนนั้นผมจึงได้รับข้อความตอนเที่ยงคืนกว่าๆ จึงหลับตานอนลงได้อย่างโล่งใจ ผมหันมองแสงที่นอนอยู่ข้างๆ แอบสะดุ้งนิดหนึ่งเพราะคิดว่าหลับไปแล้วแต่ดันหันไปเจอดวงตากลมโตของพลีสที่กำลังใช้มองผมด้วยแววตาใสเหมือนลูกแมว

"พี่ต่อโอเคแล้วใช่ไหม"

"อื้อ ไม่เป็นไรแล้ว"

"งั้นก็นอนได้แล้ว"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่แสงจะขยับตัวเข้ามาใกล้ผมกว่าเดิม กอดของผมจึงโอบอุ้มร่างกายเล็กๆ ของพลีสเอาไว้พลางหลับตาคิด หากว่านี่เป็นแสงจริงๆ ทั้งจิตวิญญาณและร่างกาย คงดีกว่านี้เป็นไหนๆ 

"ตาม"

"ฮึ?"

"เรื่องวันนั้น พี่ต่อไม่ผิดนะ เราผิดเอง"

"รู้ว่าผิดแล้วทำทำไมอะ"

"เราไม่ได้ตั้งใจ...หรือเราอาจจะตั้งใจก็ได้" ประโยคหลังน้ำเสียงแผ่วลง ผมก้มลงไปมองเห็นแสงทำหน้าเศร้า เดาว่ามันยากที่จะอธิบาย

"ยังไงวะ งง"

แสงถอนหายใจ ก่อนลุกขึ้นนั่ง ผมขยับตัวลุกขึ้นตามไปด้วยเพื่อพร้อมที่จะฟังคำอธิบายจากอีกคนที่กำลังตั้งใจพูด

"ก็ตอนแรกเราไม่ได้ตั้งใจ เราสูญเสียจิตสำนึกไปชั่ววูบหนึ่ง แต่เราก็ไม่รู้ว่าทำไมสุดท้ายแล้วเราถึงไม่หยุดมัน เราผิดเอง ให้เราพูดกี่ครั้งเราก็ยืนยันว่าเราผิดเอง"

"ก็ทั้งคู่นั่นแหละ พี่ต่อมันก็ควรจะห้าม แต่เสือกเคลิ้มตามเฉยเลย แต่อย่างว่าแหละ เธอน่ารักอะ ใครจะอดใจไหวล่ะ"

"ตาม"

ผมหุบปากเงียบเพราะเสียงเรียกดุๆ นั่นที่ทำให้ผมรู้ตัวว่าล้อเล่นไม่ถูกเวลา

"เราไม่น่าดึงพี่ต่อเข้ามาเกี่ยวด้วยเลย เรากลัวว่าเธอจะโกรธพี่ต่อ กลัวแทบตาย"

"เธอตายแล้ว"

"เออ!"

ผมหลุดหัวเราะเบาๆ ตอนที่แสงทำหน้ายุ่งเข้าไปใหญ่

"เราก็เคยโกรธพี่ต่อ โกรธที่เขาหลงลืมเรื่องที่ทำให้เราเจ็บปวดฝังใจ แต่สุดท้ายพี่ต่อก็ยังเป็นคนที่เราต้องการอยู่ดี ในตอนที่คนรอบตัวเราค่อยๆ หายไปทีละคน แต่พี่ต่อไม่เคยไปไหนเลย ความโกรธของเรามันเลือนหายไปนานแล้ว ทั้งพี่ต่อ ทั้งเธอ ไม่โกรธสักนิด"

"สำหรับเธอมันผ่านไปสามปี แต่กับเรามันเพิ่งเกิดวันนี้เอง ความทรงจำของวิญญาณที่ชัดเจนที่สุดก็คือวันตาย เพราะว่ามันเป็นวันสุดท้ายที่ได้มีชีวิต ความรู้สึกผิดมันจึงไม่เคยหายไปไหนเลย"

"..."

"ที่เรายังไปไหนไม่ได้ ไม่ใช่เพราะเราไม่รู้วิธีที่จะไป แต่เรื่องใหญ่ที่สุดที่เรายังค้างคาใจ คือเรายังไม่ได้ขอโทษเธอสักคำเลย"

แสงยกมือข้างหนึ่งสัมผัสเปลือกตาของผมเบาๆ เพื่อให้หลับลง ก่อนเลื่อนสองมือขึ้นโอบร่างผมเอาไว้ ผมเข้าใจว่าแสงกำลังต้องการให้ผมคิดถึงใบหน้าของเขา ก่อนที่ทุกอย่างมันจะเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ปรากฏอยู่ในความคิด แต่ราวกับว่าแสงกำลังนั่งอยู่ตรงหน้าของผม ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงที่กำลังกระซิบบอก   

"เราขอโทษ"

ได้ยินแล้ว...

"เราขอโทษนะตาม"

เข้าใจแล้ว...

"เราขอโทษจริงๆ"

ให้อภัยเธอแล้ว...

แม้รู้ดีว่านี่เป็นเพียงจินตนาการ แต่ผมยังอยากที่จะจ้องมองใบหน้านั้นให้นานแสนนาน ใช้ความรู้สึกสัมผัสร่างกายสมมติ โอบกอดและบรรจงจูบ ด้วยความรัก โหยหา อาวรณ์และคิดถึง ผมตอบกลับคำขอโทษของแสงจากความรู้สึกที่แท้จริงในหัวใจเพื่อช่วยให้ความรู้สึกผิดที่แสงมีมาอย่างยาวนานได้จบสิ้นลง

"ไม่เป็นไร"

"..."

"ไม่เป็นไรแล้วนะที่รัก"

 

...

 

"ตึก...ตึก...ตึก..."


ไม่มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นในชีวิตผมมานาน แต่การเดินกลับเข้าบ้านตัวเองมันกำลังทำให้ใจผมสั่นไม่เป็นจังหวะอย่างกล้าๆ กลัวๆ ก่อนจะมาที่นี่แสงบอกกับผมให้ใช้โอกาสนี้คืนดีกับแม่ เป็นหนึ่งในความปรารถนาที่แสงต้องการให้ผมทำ แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะทำได้ไหม แค่จะเดินเข้าบ้านผมยังเกือบเปลี่ยนใจหันหลังกลับเลย

นี่มันบ้านเราเองนะเว้ย!

ผมเรียกกำลังใจให้ตัวเอง ก่อนรวบรวมความกล้าที่มีผลักประตูบ้านเข้าไป ทั้งพ่อและแม่ที่นั่งอยู่ในนั้นหันมอง คนเป็นพ่อรีบลุกขึ้นต้อนรับ ส่วนแม่เบือนหน้ามองทางอื่นไม่สนใจ

"มาแล้วเหรอตาม"

"พี่ต่อล่ะ" ผมถามถึงคนที่ผมตั้งใจมาหา ก่อนพ่อจะชี้ขึ้นไปยังห้องชั้นบน ผมต้องกลับมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับพี่ต่อ พี่ต่อไม่ยอมเจอหน้าผมเลยตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล จริงๆ ก็ไม่ยอมเจอหน้าใครเลย ไม่ไปทำงาน ไม่ออกจากห้อง ไม่พูดไม่จา พ่อบอกว่าตั้งแต่กลับมากินข้าวไปแค่มื้อเดียว ด้วยเพราะพี่ต่อรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้วแต่รับไม่ได้ คล้ายๆ กันกับตอนที่สมองของผมไม่ยอมรับความจริง พี่ต่อคงกำลังตกอยู่ในภาวะนั้น ผมจึงต้องรีบช่วยเขาออกมา 

ผมเดินผ่านทั้งพ่อและแม่ขึ้นไปยังห้องของพี่ต่อ ประตูที่ถูกล็อกบอกให้รู้ว่าพี่ต่อไม่ต้องการพบใคร ผมลองเคาะอยู่สองสามครั้ง

"พี่ต่อ ตามเอง"

"..."

"เปิดประตูให้หน่อยไม่ได้เหรอ"

ผมถอนหายใจเบาๆ เมื่อยืนรออยู่ครู่หนึ่งแต่คนข้างในไม่โต้ตอบกลับมา ผมจึงทรุดตัวลงนั่งกับพื้นพิงประตู เอาหัวโขกไปหนึ่งทีแรงๆ ให้คนข้างในตกใจ

"รู้หรอกว่าอยู่ตรงนี้"

ไม่ต้องมองลอดเข้าไปผมก็รู้ว่าพี่ต่ออยู่ที่หน้าประตูเช่นกัน เพราะฉะนั้นทุกคำที่ผมจะพูดจึงแน่ใจว่าเขาจะได้ยิน

"พี่ต่อ ตามรู้นะว่าพี่เสียใจ ถึงพี่จะเพิ่งจำได้แต่เรื่องมันก็ผ่านไปนานมากแล้ว และมันก็ไม่ใช่ความผิดของพี่เลย เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องนะ ออกมาหาตามหน่อยได้ไหม"

"..."

"พี่ต่ออย่าเป็นแบบนี้เลยนะ ออกมาเถอะ ออกมากินข้าวแล้วค่อยกลับเข้าไปก็ได้"

"..."

"รู้ไหม คนไข้ที่คลินิกเขาก็รอพี่อยู่ พ่อกับแม่ก็เป็นห่วง"

"..."

"แล้วตามก็ต้องการพี่"

ผมหวังว่าคำขอร้องของผมจะทำให้พี่ต่อใจอ่อน แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ผมนั่งรออยู่นานจนกระทั่งพ่อขึ้นมาดูสองสามครั้งพี่ต่อก็ไม่ยอมออกมา

"ไม่มีกุญแจห้องพี่ต่อเหรอพ่อ"

"พ่อทำหายไปนานแล้ว ลืมว่าเก็บเอาไว้ที่ไหน"

"โธ่ พ่อ ถ้าพี่ต่อเป็นอะไรขึ้นมาจะช่วยทันไหมเนี่ย พังประตูเข้าไปเลยดีไหม"

"ใจเย็นๆ ก่อน บางทีพี่ต่ออาจจะยังไม่พร้อมก็ได้นะ"

ผมถอนหายใจออกมาเบาๆ จริงอยู่ที่ผมควรจะให้เวลาพี่ต่อ แต่รอนานขนาดนั้นไม่ได้

"ผมต้องคุยกับพี่ต่อวันนี้"

ผมบอกกับพ่อแค่นั้นแล้วเดินเข้าห้องตัวเอง เพราะคิดอีกวิธีที่จะเข้าไปยังห้องพี่ต่อโดยที่ไม่มีอะไรเสียหายขึ้นมาได้ ไม่ยอมเปิดให้ก็ปีนเข้าไปซะเลย 

จากหน้าต่างห้องผมไปยังหน้าต่างห้องพี่ต่อ มีทางเดียวที่จะปีนไปหากันได้ก็ต้องไต่ขอบหน้าต่างที่หนาไม่ถึงห้านิ้วนั้นไป ผมคิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรที่มันโง่ฉิบหายเลยแต่ไม่มีทางเลือกแล้ว ขาข้างหนึ่งก้าวข้ามไปยังขอบหน้าต่างห้องพี่ต่อ อีกข้างค้างอยู่ที่ขอบประตูห้องตัวเอง มือข้างหนึ่งเกาะอยู่ที่ขอบบน ส่วนอีกข้างขยับไปเลื่อนหน้าต่างห้องพี่ต่อ

"ล็อกอีก"

ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่า ผมตัดใจที่จะใช้วิธีนั้นแล้วจึงก้าวขาข้างนั้นกลับมาที่ขอบหน้าต่างห้องตัวเอง แต่จังหวะนรกมักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เราไม่พร้อมรับเสมอ 

"กรี๊ด!" กรีดร้องคอแตกตอนที่ก้าวขาพลาด แต่มือข้างหนึ่งคว้าขอบหน้าต่างเอาไว้ได้ทัน

"ตาม!"

"พี่ต่อ! ช่วยตามด้วย!"

ผมร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ต่อที่เปิดหน้าต่างมาด้วยความตกใจ ในสภาพห้อยต่องแต่งพร้อมเอาหัวโหม่งพื้น แขนข้างเดียวของผมไม่มีแรงมากพอที่จะเกาะยื้อเอาไว้ได้นานและในจังหวะนั้นพี่ต่อก็ยื่นมือมาคว้าแขนผมเอาไว้ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เขามีฉุดผมขึ้นไป ก่อนคว้าคอได้ก็กระชากสุดแรงจนเราทั้งคู่พุ่งลงไปกองกับพื้น วินาทีเฉียดตายทำผมตกใจ แต่ไม่เท่าคนข้างๆ ที่หันมาดุดังลั่น

"เล่นบ้าอะไร! เกือบตายแล้วเห็นไหม!"

"ก็พี่ไม่ยอมเปิดประตูให้อะ!"

"ก็พี่ไม่อยากคุยกับตาม!"

"แต่ตามอยากคุยกับพี่!"

เราพากันเงียบหลังจากที่เสียงดังใส่กันไปมา ก่อนที่ผมจะตั้งสติได้ แล้วดึงมือพี่ต่อมานั่งบนเตียง มองดูใบหน้าและริมฝีปากที่ซีดเซียว ขอบตาดำคล้ำเหมือนคนไม่ได้นอน

"พี่ต่อ ตามรู้พี่กำลังเสียใจ ตามเข้าใจว่ามันยาก แต่พี่จะเป็นแบบนี้ไม่ได้ พี่จะต้อง..."

"ไม่ใช่พี่หรอก"

คำพูดของผมหยุดชะงักตอนที่พี่ต่อเอ่ยแทรกขึ้นมา

"ไม่ใช่พี่แต่เป็นตามต่างหากที่ต้องเสียใจ พี่ลืมเรื่องวันนั้นไปง่ายๆ ทั้งๆ ที่พี่ทำร้ายตามเอาไว้ขนาดนั้น"

"ตามรู้ว่าที่สมองพี่ถึงสั่งให้ลืม ก็เพราะว่าพี่รู้สึกผิด ตามเลยคิดว่ามันก็ดีแล้วที่พี่ลืมมันไป"

"แล้วตามเก็บความเจ็บปวดนั้นเอาไว้คนเดียวได้ยัง ปล่อยให้พี่เห็นแก่ตัวขนาดนั้นได้ยังไง"

"ก็ตามไม่อยากให้พี่จำได้ ตามไม่อยากเอาพี่มาเจ็บด้วย แค่พี่ต้องเกือบตายเพราะเรื่องวันนั้นมันก็มากพอแล้ว"

"แต่พี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ตามกับแสงต้องทะเลาะกัน แล้วแสงก็..."

"มันไม่ใช่ความผิดพี่! ไม่ใช่ความผิดใครทั้งนั้น!"

เสียงดังของผมทำให้พี่ต่อเป็นฝ่ายเงียบไป ไม่กี่ครั้งในชีวิตที่ผมจะเห็นพี่ต่อร้องไห้ แม้มันไม่ใช่การฟูมฟายร่ำร้องเจียนขาดใจ เป็นเพียงแค่หยดน้ำตาที่ไหลผ่านใบหน้านิ่งและแววตาว่างเปล่า แต่มันทำให้ผมรู้สึกสงสารพี่ต่อแทบบ้า

"พี่ขอโทษที่เห็นแก่ตัว ทิ้งให้ตามต้องเสียใจคนเดียว ไม่รู้ว่าตามต้องเจ็บปวดขนาดไหน ไม่รู้เลยจริงๆ เป็นพี่ประสาอะไร..."

"ไม่เป็นไรพี่ต่อ มันผ่านไปแล้ว"

"แต่ความทรงจำนั้นมันยังทำร้ายตามอยู่เลย"

ผมขยับตัวเข้าไปหาพี่ต่อแล้วยกมือโอบร่างเขาเข้ามากอด

"ไม่มีอะไรทำร้ายตามแล้ว "

"..."

"เพราะตามมีพี่ต่ออยู่ตรงนี้ด้วยไง"

ใบหน้าของพี่ต่อซบลงที่ไหล่ของผม ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ผมปล่อยให้เวลาผ่านพ้น เพียงพอที่น้ำตาของพี่ต่อจะรินไหลจนความเสียใจถูกบรรเทาลง เพื่อทำให้พี่ต่อหยุดร้องไห้ ผมจึงต้องช่วยให้เขายิ้มได้

"ไม่ร้องแล้วพี่ต่อ น้ำตาเปียกไปถึงกางเกงในตามแล้ว"

"ไอ้บ้า" พี่ต่อยิ้มทั้งน้ำตาตอนที่ดึงใบหน้าตัวเองออกไปจากไหล่ผม

"คนอะไร ร้องไห้ยังหล่อฉิบหาย"

พี่ต่อส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตา

"ท่าสูดขี้มูกยังเท่เลย"

"พอเลย"

"ไปกินข้าวกันไหม ตามหิวอะ"

พี่ต่อพยักหน้ารับ แต่ไม่ยอมลุกตามผมที่เดินมาหน้าประตูแล้ว

"ตามไปก่อนเลย"

"ทำไม"

"แขนพี่โดนขอบหน้าต่างบาดตอนดึงตามขึ้นมา"

"จริงเหรอ! เป็นอะไรหรือเปล่า!"

"เลือดไหล"

"ดูแลตัวเองก็แล้วกัน!" ผมพูดแค่นั้นแล้วเผ่นแนบ สองขาที่กำลังจะวิ่งลงบันไดหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนทิศทางตรงเข้าห้องตัวเองที่เมื่อครู่ไม่ทันได้สนใจมอง ผมไม่ได้กลับมาที่นี่นานมาก แต่ห้องนอนสะอาดเอี่ยม ข้าวของก็ถูกจัดวางเป็นระเบียบ ผ้าปูที่นอนยังมีกลิ่นหอมของน้ำยาปรับผ้านุ่มเหมือนถูกซักใหม่ๆ เป็นแม่แน่ๆ เพราะมีแม่คนเดียวที่รู้ว่าน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นนี้

ผมเดินออกจากห้องในตอนที่พี่ต่อเดินออกมาพอดี เลื่อนสายตาไปที่แขนพี่ต่อก็เห็นว่าแผลถูกแปะด้วยพลาสเตอร์แล้วเรียบร้อย ก่อนที่เราจะเดินลงบันไดไปด้วยกัน และในตอนที่ทั้งพ่อและแม่หันมาเห็นเรา ก็ทำให้ทั้งคู่ยิ้มกว้างออกมาพร้อมกัน ก่อนที่แม่จะปรับสีหน้าเมื่อหันมาเห็นผม แสร้งทำเป็นอ่านหนังสือในมือไม่สนใจกัน

โกรธได้โกรธดี!

ผมแอบทำหน้ายุ่งใส่แม่ ก่อนหันไปพาพ่อที่เอาใจผมมากกว่าแม่แล้วถามถึงอาหารทันที

"มีอะไรกินไหมพ่อ ตามหิวข้าว"

"ยังไม่มีอะไรกินเลย อยากกินอะไรกัน"

"ไข่เจียวก็ได้ครับ หิวมากเลย" พี่ต่อบอกแล้วนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว

"ได้ๆ รอแป๊บหนึ่งนะ เดี๋ยวพ่อทำให้"

"ตามอยากกินข้าวผัดอะ พ่อทำเป็นป่ะ"

"พ่อทำไม่เป็นน่ะสิ พ่อว่าพ่อออกไปซื้อให้ดีกว่า ทนไหวไหม พ่อไปแป๊บเดียว"

"ไม่ต้องไปหรอก"

เราทั้งหมดพากันเงียบตอนที่ได้ยินเสียงแม่พูดขึ้นมา หนังสือในมือถูกพับแล้ววางลงบนโต๊ะ ก่อนแม่จะพูดต่อ

"เดี๋ยวแม่ทำให้"

ผมเผลอยิ้มตอนที่แม่ก็หันมายิ้ม เกือบจะร้องไห้แต่ต้องกลั้นเอาไว้เพราะช่วงนี้ผมใช้น้ำตาเปลือง จึงแสร้งมองไปทางอื่นแต่ปากยังพูดกับแม่อยู่ 

"ข้าวผัดไส้กรอกนะ"

"รู้"

ใช้เวลาไม่นาน ข้าวผัดไส้กรอกของแม่กับไข่เจียวฟูๆ ของพ่อก็ถูกยกมาเสิร์ฟให้ผมกับพี่ต่อ เพียงหนึ่งคำแรกที่ผมตักข้าวใส่ปาก น้ำตาที่กดกลั้นก็ไหลทะลักพรวดลงมาอย่างกับถูกเปิดก๊อก ทั้งหมดรู้ดีว่าที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะคิดถึงแม่ คิดถึงบ้าน คิดถึงอาหารที่พ่อกับแม่ทำ แม่หยิบทัพพีจากจานข้าวผัดแล้วเขกเข้ามาที่หัวผมทีหนึ่ง

"ไม่ต้องมาร้องเลยไอ้ตัวดี" ถึงปากจะด่าแต่ว่าแม่ก็ตรงเข้ามากอดผมเอาไว้ ตักไข่เจียวคำใหญ่ใส่ปากให้ผมกิน ท่ามกลางรอยยิ้มของทุกคนในบ้าน ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมแสงถึงขอให้ผมทำสิ่งนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวแสงเอง...แต่ทั้งหมดก็เพื่อผมต่างหาก

เรารักษาบาดแผลที่เจ็บสาหัสด้วยการให้อภัย แล้วเยียวยามันด้วยความเข้าใจ วันหนึ่งมันจึงหายดี ส่วนแผลเป็นที่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ ไม่ใช่เพื่อให้เรากลับไปเจ็บปวดกับมันอีก แต่เพื่อไม่ให้หลงลืมช่วงเวลาที่ได้บาดแผลนั้นมา เพื่อจดจำเป็นบทเรียน แล้ววันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ผมจะได้บอกกับตัวเองว่า...ผมผ่านมันมาได้อย่างไร

 

...

 

ผมรีบกลับไปหาแสงที่รอผมอยู่ที่ห้อง ในระหว่างทางผมแวะซื้อแอปเปิ้ลเขียวของโปรดแสงและกุหลาบแดงเป็นของแถมด้วย ตอนที่แสงรับมันไปจากมือผมก็หลุดยิ้มกว้าง ผมเผลอหลับตาคิดถึงใบหน้าที่แท้จริง แสงคงยิ้มไม่ต่างจากตอนนี้เลย

"มีดอยู่ไหน เดี๋ยวเราปอกแอปเปิ้ลให้"

"น่าจะอยู่ในลิ้นชัก" ผมตอบ ก่อนที่แสงจะเดินไปหามีด ปากก็เอ่ยถามถึงเรื่องที่บ้าน ผมจึงเล่าทุกอย่างให้แสงได้ฟัง เพื่อแชร์ความรู้สึกที่ตัวเองกำลังมีความสุขเหมือนแต่ก่อนที่เรามักจะแลกเปลี่ยนเรื่องราวให้กันและกันฟังอยู่ตลอด ผมย้อนคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ความรู้สึกต่างๆ มากมายของผมที่สะสมมาอย่างยาวนาน ถูกปลดล็อกออกจากหัวใจที่คับแคบจนอดคิดไม่ได้ว่าที่ทุกอย่างมันดีขึ้นได้ ก็เพราะว่าแสงกลับมา เพราะมีแสงอยู่ด้วย ชีวิตของผมจึงมีความสุขได้อีกครั้ง 

"ขอบคุณที่กลับมานะ"

"..."

"แสงเทียน"

แสงเงยหน้าขึ้นมองผม แต่รอยยิ้มนั้นถูกหยุดชะงัก ก่อนแทนที่ด้วยความนิ่งงัน มีดในมือของแสงร่วงหล่นลงกับพื้น ตอนที่ร่างกายก็ทรุดฮวบลงไปด้วย

"แสง!"

สองมือของแสงยกกุมท้องผ่านใบหน้าที่ดูเจ็บปวด

"เธอเป็นอะไร"

แสงให้คำตอบผมไม่ได้ นอกจากอาการเจ็บปวดทรมานที่ถูกแสดงออกมา ลมหายใจหอบถี่และติดขัดคล้ายกำลังหายใจไม่ออก ร่างกายนิ่งเกร็งก่อนดิ้นทุรนทุรายด้วยเสียงโอดครวญอยู่ในอ้อมกอดของผมที่กำลังลนลานจนแทบบ้า   

"แสง! เธอเป็นอะไร! ได้ยินเราไหม! แสงเทียน!"

"ตามหันไป"

"อะไรนะ"

"หันไป อย่ามอง!"

"ทำไม!"

"เลือด"

"..."

"เลือดเรา..."

แสงหงายสองมือที่กุมท้องออก ก่อนพร่ำบอกให้ผมหันหนีไปจากตรงนี้เพราะตัวเองเลือดไหลไม่หยุด แต่ทว่า...ผมมองไม่เห็นเลือดเหล่านั้นที่แสงพูดถึง ความสับสนถูกปะปนด้วยความคิดเป็นร้อยเป็นพันที่กำลังหลุดลอยก่อนเสียงร้องของแสงเรียกสติผมกลับคืน ผมโผเข้ากอดแสงเอาไว้ แล้วปลอบประโลมด้วยคำพูดเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา   

"ไม่มีอะไรนะแสง เธอไม่เป็นไร เธอไม่เป็นไร ไม่มีเลือด เธอไม่เป็นไร ไม่เป็นไรที่รัก เธอไม่เป็นไร"

จนกระทั่งอีกฝ่ายสงบลง แสงยกสองมือขึ้นมองด้วยความสับสน สองมือสั่นเทากำเสื้อของผมเอาไว้แน่นพลันน้ำตาล้นทะลักออกมาอย่างฟูมฟาย

"ตาม"

"..."

"เราเจ็บเหมือนกำลังจะตาย"

"..."

"เรารู้สึกเหมือนเราจะตายเลยตาม" 

ผมกอดแสงเอาไว้แน่น แน่นยิ่งกว่าตอนที่แสงจากผมไป สถานการณ์มันบอกกับผมโดยไม่ต้องพยายามคิดหาคำตอบ ความเจ็บปวดของแสง อาการที่แสดงออกถึงความเจ็บเจียนตาย ทั้งหมดนั้นคือสัญญาณเตือนเพื่อบอกกับผมว่า คงใกล้ถึงเวลาแล้วใช่ไหม...

 

ที่แสงกำลังจะจากผมไปอีกครั้ง


 

To be continued.   
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 15-08-2019 20:48:00
 :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-08-2019 20:53:13
โอ้ยเครียด กลัวพี่ต่อมาเห็นร่างพลีสอยู่กับตามจัง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 15-08-2019 21:08:00
ร้องไห้เหมียนหมาที่แท้ อยากให้แฮปปี้เอนด์แต่เป็นไปไม่ได้เลยกี๊ด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-08-2019 21:22:09
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 15-08-2019 21:29:25
ตามจะต้องเจ็บซ้ำ ๆ อีกกี่ครั้งที่ต้องมองคนรักจากไปอีกหน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 15-08-2019 21:45:41
ตอนนี้ดิ่งมาก สงสารทุกคนเลย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 15-08-2019 22:49:39
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 15-08-2019 23:15:10
 :mew5: :mew5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 15-08-2019 23:40:46
อย่างหน่วงที่สุด
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 16-08-2019 00:17:23
อาไรรรร๊ ใกล้แล้วเหรอ ฮื๊อออ สู้นะตามม แง แสงงง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 16-08-2019 00:50:13
 :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 16-08-2019 01:39:42
 :m15:



 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 16-08-2019 02:55:47
  :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 16-08-2019 07:18:00
ตายซ้ำตายแล้วตายอีก สงสารตาม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 16-08-2019 08:03:32
 :hao5:
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 16-08-2019 18:15:28
มิสชั่นคอมพลีต แสงเลยจากไปเหรอ เสร้าเลย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 20-- 15/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 16-08-2019 18:39:47
 :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 17-08-2019 21:35:01
ตอนที่ 21
เสียใจให้พอเพื่อที่จะยอมรับความเป็นจริง


แสง :

 

เป็นหนึ่งเช้าที่ผมตื่นได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องถูกปลุกด้วยสิ่งใด ไม่รู้ว่าหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ตื่นมาพร้อมความรู้สึกเต็มอิ่มเหมือนหลับได้สบายกว่าทุกวัน อุณหภูมิแอร์ที่เย็นกำลังสบาย กลิ่นหอมอ่อนๆ จากปลอกหมอนและผ้าห่มพาให้ผมต้องหลับตาลงไปอีกครั้ง อยากซุกตัวอยู่ในนี้ไปอีกสักพัก แต่แสงสว่างที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา บอกกับผมว่าถึงเวลาต้องตื่นแล้ว ผมหรี่ตาขึ้นช้าๆ ก่อนมองเห็นตามยืนมองผมอยู่ ใบหน้าดูเคร่งเครียดด้วยหัวคิ้วที่ขยับแทบชนกัน แววตาก็ดูสับสนคล้ายกำลังคิดกังวลอะไรสักอย่าง

ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะที่รัก...

ผมยกมือขึ้นแตะใบหน้านั้น สัมผัสอุ่นจากผิวเนื้อบอกกับผมว่านี่คือความจริง มุมปากของตัวเองจึงยกขึ้นยิ้มบางๆ ก่อนได้ยินเสียงเรียกของอีกคน

"แสง"

"..."

"เป็นเธอใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่ตามจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ถอนหายใจพลางคลายสีหน้ากังวล ผมเข้าใจความคาดหวังของตาม คงกำลังภาวนาให้ผมลืมตาขึ้นมาแล้วยังคงเป็นผมอยู่

"เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับอีกที ก่อนยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำก่อนที่ผมจะหลับไปวนเข้ามาในความคิดตอนที่นึกขึ้นได้ มีความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย ผมมองเห็นเลือดข้นไหลนองออกมาจากบาดแผลที่ถูกแทง มันเจ็บปวดเกินทนไหว ทรมานไม่ต่างกับวันที่ตายคล้ายกำลังถูกพรากเอาชีวิตไปอีกครั้ง

ในความเงียบระหว่างเรา ผมรู้ว่าตามคิดไม่ต่างไปจากที่ผมกำลังคิด หากเราเข้าใจไม่ผิด นั่นคงจะเป็นสัญญาณเตือน

"ตาม นี่มันคง..."

"ไม่ต้องพูด"

"คงใกล้จะหมดเวลาแล้ว"

"บอกว่าไม่ต้องพูดไง!"

"เราคงต้องไปแล้ว"

"เราไม่ให้เธอไป"

"แต่เราอยู่อย่างนี้ต่อไปไม่ได้"

"แต่เราไม่ให้เธอไปไง!"

ผมดื้อรั้นต่อโชคชะตาและยื้อเวลามามากพอ หากฝืนต่อไปก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ทั้งวิญญาณและร่างกายของพลีสจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ หรือไม่บางทีในตอนสุดท้ายมันอาจจะไม่เหลือทั้งผม ไม่เหลือทั้งพลีสเลยก็ได้ เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงไม่อาจเห็นแก่ตัว

ผมขยับลงไปนั่งที่พื้นข้างๆ ตาม ดึงเขาเข้ามากอดแต่ตามไม่ยอมมองหน้าผม เบือนหน้าหนีไปอีกทาง เพียงกระพริบตา หยดน้ำตาก็ไหลลงมาทั้งที่ยังทำหน้าบึ้งตึง

"ตาม เหลือเวลาไม่มากแล้ว ครั้งนี้เรามาจากกันไปด้วยดีเถอะนะ"

"..."

"ต่อไปนี้ เธออย่าเจ็บปวดอีกเลยนะ"

"จะไม่ให้เจ็บได้ยังไง เธอจากไปทั้งคน"

ตามผละตัวออกจากอ้อมกอดของผม กดกลั้นน้ำตาแล้วพูดออกมาด้วยอารมณ์โกรธ

"เธอกลับมาเพื่อที่จะจากไปอีกครั้ง เหมือนเธอกำลังฆ่าเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่เห็นใจเราบ้างหรือไง!"

"แต่...ตาม..."

"เราไม่ให้เธอไปไหนทั้งนั้น!"

การไม่ยอมรับทำให้ตามต่อต้านความเป็นจริง แต่ผมเข้าใจ เพราะมันจริงอย่างที่ตามว่า ผมกลับมาก็เพื่อที่จะจากไป เพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองยังไม่ได้ทำ เพื่อให้ผมได้ปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองอย่างไม่ค้างคา แต่ทว่าการจากไปอีกครั้งมันคงทำให้ตามต้องเจ็บปวดซ้ำอีก แต่ถึงอย่างไรแล้วก็ไม่อาจฝืนโชคชะตาที่ให้เวลาผมแค่นั้น สิ่งเดียวที่ผมทำได้ ก็คงต้องไขว่คว้าหาโอกาสสุดท้ายเพื่อให้เราได้จากกันไปด้วยดี...เมื่อเวลานั้นมาถึง 

 

...

ผมยังต้องมาโรงเรียนทั้งที่ไม่ได้อยากมา อยากเอาเวลาไปทำสิ่งอื่นมากกว่าที่จะมาเสียเวลานั่งเรียนไปอีกหนึ่งวัน แต่ผมยังคงเป็นพลีส มีรายงานสำคัญที่ต้องส่ง มีงานกลุ่มที่ขาดพลีสไปไม่ได้ ผมจึงต้องรักษาหน้าที่นี้เอาไว้ด้วย

"ไอ้พลีส!"
 
พลั่ก!

สองขาผมทรุดฮวบลงกับพื้นตอนที่ไอ้ปั้นตรงเข้ามาตบไหล่ผมอย่างแรง ได้แต่เงยหน้ามองตาขวางก่อนที่มันจะช่วงพยุงผมขึ้นมา แล้วยืนกอดอกทำท่ารับโทษ คงคิดว่าผมจะสวนกลับแน่ๆ แต่วันนี้ไม่มีอารมณ์เล่นด้วยก็เลยทำได้แค่ถอนหายใจใส่หน้ามันเบาๆ

"อ้าว นี่พลีสเวอร์ชั่นหนึ่งเหรอ"

"อะไร"

"ผีออกไปแล้วรึไง"

"กูยังอยู่"

"แล้วเป็นอะไรวะ ปกติด่ากูลั่นตึกไปแล้ว"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ ก่อนเดินตรงไปโรงอาหารพร้อมปั้น กลายเป็นเรื่องปกติที่เราจะนั่งกินข้าวด้วยกัน แต่ในระหว่างนั้น ผมได้แต่นั่งเขี่ยข้าวไปมาเพราะกินไม่ลง

"พลีส มึงเป็นอะไรวะ ทำหน้าเหมือนคนกำลังจะตาย"

"ใครจะตาย! ไม่ตายโว้ย!"

"อะไรของมึง กูแค่เปรียบเทียบไง ดูมึงทำหน้าเข้าสิ"

ผมปัดมือไอ้ปั้นที่ยกขึ้นดึงแก้มจนเล่นเอาเจ็บ ก่อนที่มันจะกลับไปกินข้าวในจานตัวเองต่อ ส่วนผมยังเอาแต่เขี่ยข้าวในจานไม่หยุด

"ไม่แดกเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ ปั้นจึงยกส้อมตัวเองมาจิ้มเอาไก่ทอดในจานของผมไป ก่อนดูดนมสตรอว์เบอร์รี่ที่มันชอบตามเข้าไป ไอ้บ้านี่มันกินนมแทนน้ำด้วยซ้ำ ตัวถึงได้สูงเป็นเปรตแบบนี้ใช่ไหม

"มึงเป็นอะไร ใครทำอะไร ใครแกล้งเดี๋ยวกูไปต่อยให้"

"ในโรงเรียนนี้ไม่มีใครแกล้งกูนอกจากมึงแล้วล่ะ"

"แน่นอน ไม่มีใครเจ๋งเท่ากู"

"ไม่มีใครสันดานเหมือนมึงมากกว่า"

"เออ! แล้วมึงเป็นอะไร ซึมเศร้าไหม จะโดดตึกหรือเปล่า"

"มึงนี่!"

ไอ้ปั้นโยกตัวหลบกำปั้นของผมที่หวังจะทุบกบาลสักที มันหัวเราะหยอกเป็นเชิงว่าล้อเล่น ก่อนปรับสีหน้าจริงจังแล้วถามผมอีกครั้งว่าเป็นอะไร ไหนๆ ก็ไหน หลังจากวันนี้ผมอาจจะไม่ได้พูดคุยกับมันแล้ว วันนี้ก็เลยยอมบอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้เด็กนี่ฟัง

"เสียดายชีวิตว่ะ"

"หืม?"

"ยังไม่อยากตายเลย"

"หืมเข้าไปอีก"

"ยังใช้ชีวิตไม่พอเลย"

"หืมสุดๆ ไปเลย" 

ไอ้เวรนี่ไม่ใช่ผู้ฟังที่ดีเลย กูพูดตรงนี้...

"มึงพูดอะไรเข้าใจง่ายๆ หน่อยดิ ขี้เกียจหืมแล้ว"

"สมมติว่ากูกำลังจะตาย แล้วกูก็กำลังระบายความรู้สึกของกูให้มึงฟังอยู่ โอเคไหม"

"มึงไม่ได้จะตายจริงๆ ใช่ไหม แค่แบบ อยากพูดคุยปรัชญาชีวิตอะไรแบบนี้ใช่ปะ"

"เออ ประมาณนั้น"

"อ่าหะ"

"กูยังมีอะไรที่ยังไม่ได้ทำอีกตั้งเยอะ ทั้งๆ ที่กูก็รู้ว่าวันหนึ่งกูต้องไปจากที่นี่ แต่พอถึงเวลาจริงๆ กูกลับไม่อยากทำใจยอมรับ กูอยากเป็นคนอายุยืน อยู่กับคนที่กูรักไปนานๆ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็อยากจะใช้ชีวิตให้คุ้มกว่านี้"

ผมหันมองไอ้ปั้นที่กำลังดูดนมจนหมดกล่อง จริงจังกับการดูดจนหยดสุดท้ายแล้วหลุดหัวเราะเรียกให้ผมดูกล่องที่บิดเบี้ยวเพราะถูกดูดเอาอากาศออกไปหมด 

"ดูดิๆ"

"มึงได้ฟังกูบ้างไหมเนี่ย"

มันหัวเราะอีกทีแล้วเปลี่ยนจากดูดกล่องเป็นเป่าลมเข้าไปให้กล่องพองเป็นรูปร่างเดิม

"รู้งี้กูไปพูดกับหมาดีกว่า"

"โห่ มึงจะคิดมากไปทำไมวะ จะตายวันนี้พรุ่งนี้หรือไง"

ผมคงไม่สามารถอธิบายให้ปั้นเข้าใจไปมากกว่านั้นได้ ก็เลยทำได้แค่พยักหน้ารับ ทำเหมือนกับว่าเราแค่เพียงสนทนาปรัชญาชีวิตจบไปก็พอ 

"มึงจะเอาอะไรมากกับชีวิต เราเพิ่งอายุสิบแปดเอง"

"กูยี่สิบละ"

"เออ มึงแก่กว่ากูตั้งสองปี จริงๆ ต้องเรียกพี่ปะเนี่ย"

"ได้ก็ดี"

"พี่พลีส อย่างเนี้ยเหรอ"

"ทำได้ไหมล่ะ"

"ยากตรงไหน พี่พลีส"

เราทั้งคู่หลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน ก่อนผมจะยกมือขยี้หัวไอ้ปั้นและบอกกับมันด้วยคำที่มักจะพูดอยู่เสมอ

"มึงก็ใช้ชีวิตให้ดี"

"..."

"มีความสุขมากๆ นะข้าวปั้น"

ตอนที่ผมอายุเท่ากับปั้นก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องของความตาย คิดว่ายังมีเวลาอีกตั้งมากมายจึงไม่ได้รีบร้อนที่จะใช้ชีวิต อายุขัยไม่ใช่เรื่องราวที่จะหยั่งรู้ได้ ความตายก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัว อาจมีบางคนที่กำลังดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ต่อและมีอีกคนที่กำลังเลือกจะจบชีวิตลงอย่างไม่เสียดาย สุดท้ายความตายก็พลัดพรากใครบางคนจากไปอยู่เสมอ...และผมก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นที่ต้องจากไป 

 

...

 

"พี่ต่อ"
"สบายดีไหมครับ"


 

ผมก้าวเท้าเดินไปตามถนนพลางมองมือถือที่เพิ่งจะส่งข้อความหาพี่ต่อแต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับหรือกระทั่งเปิดอ่าน ตั้งแต่วันที่พี่ต่อกลับมาจำเรื่องราวของผมได้ เขาก็หายเงียบไปไม่ติดต่อมาเลย อาจยังมีความเสียใจหลงเหลืออยู่ในความรู้สึกจนทำให้พี่ต่อไม่พร้อมคิดถึงเรื่องอื่นกระทั่งไม่คิดถึงพลีสด้วย ผมกำลังสมมติว่าตัวเองเป็นพลีสและพยายามคิดว่าควรทำอย่างไรกับการเงียบหายไปเฉยๆ ของพี่ต่อ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเอาความรู้สึกของตัวเองมาตัดสินอยู่ดีว่าพี่ไม่ควรหายไปแบบนี้สิ...พลีสไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย

ผมถอนหายใจยาวก่อนเก็บมือถือใส่กระเป๋าแล้วเงยหน้าขึ้นมองถนน สองขากำลังพาผมเดินไปยังหอพักของตาม แต่ไม่รู้ว่าตามจะอยากเจอหน้าผมไหม จะใจเย็นลงหรือยัง ก็เลยลังเลว่าจะหันหลังกลับตอนนี้หรือจะไปต่อให้ถึงดี เป็นสถานการณ์ที่ทำได้เพียงแต่ถอนหายใจไม่สิ้นสุด 

"เฮ้อ" 

 

"ฟิ้ว!"

 

"หืม?"

ผมหันขวับมองใครบางคนที่วิ่งฉิวผ่านหน้าผมไปด้วยความเร็วที่ทำเอางงว่านั่นคนหรือผี เห็นหลังไวๆ เกือบคิดว่าเป็นตามแล้วด้วยสรีระรูปร่างที่คล้ายกันแถมเสื้อยืดกับกางเกงวอร์มนั่นยังเหมือนชุดที่ตามชอบใส่ไม่มีผิด แต่คิดขึ้นมาได้ว่าตามไม่มีทางวิ่งเร็วขนาดนั้นแค่ขึ้นบันไดเจ็ดแปดขั้นยังหอบเป็นหมา 

"จับมันไว้!" 

"โอ๊ย!"

"อยู่เฉยๆ ไอ้หัวขโมย!"

เสียงเอะอะจากที่ดังมาจากอีกมุมถนนดึงความสนใจทั้งหมดของผมไป ก่อนรีบก้าวเท้าไปยังตรงนั้น ภาพที่เห็นคือตามกำลังโดนผู้ชายตัวใหญ่จับแขนไขว้หลังแล้วกดลงกับพื้น ผู้หญิงรูปร่างท้วมวัยกลางคนอีกคนก็ตรงเข้ามาร่วมด้วย

"อะไรเนี่ย! โอ๊ย! เจ็บนะ!"

"เอาเงินกูคืนมานะ!"   

ใช้เวลาชั่ววินาทีผมก็เข้าใจสถานการณ์นั้นได้จึงรีบเข้าไปช่วยตาม     

"เข้าใจผิดแล้วครับ! จับผิดคนแล้ว!"     

"มันนี่แหละขโมย กูเผลอหน่อย กวาดเงินในร้านมาเกลี้ยง!"

"ผมเปล่านะ!" ตามออกปากเถียงก่อนโดนชายคนนั้นคว้าคอแล้วกระแทกลงไปกับพื้น แรงจนตามร้องเสียงหลง การกระทำนั้นทำเอาผมไม่อาจอยู่เฉย ตรงเข้าไปผลักตาลุงนั่นออกจากตาม 

"ปล่อยเลยลุง เข้าใจผิดแล้ว" 

"ไอ้หนูอย่ามายุ่ง!"

ผมถูกผลักไหล่ให้ออกมาจากตรงนั้น ก่อนป้าจะก้มลงไปล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างของตาม ควักออกมาเป็นแบงก์ยี่สิบสามสี่ใบกับเหรียญอีกจำนวนหนึ่ง หาเงินที่ว่าไม่เจอก็คว้าคอเสื้อแล้วดึงตามขึ้นมา ทั้งทุบทั้งด่าด้วยถ้อยคำหยาบ

"เอาเงินกูคืนมา! ไหน! มึงเอาไปซ่อนไว้ไหน!"

"ไม่ใช่ผม!"

"อย่านะป้า" ผมพยายามคว้ามือป้าที่เอาแต่ทุบตามโดยไม่ฟังความอะไรเลย แต่พลีสตัวเล็กเกินไป เจอป้าสะบัดทีเดียวเล่นเอาเซ

"ดูสภาพก็รู้แล้วว่ามึงติดยา นี่จะขโมยเงินกูไปซื้อยาใช่ไหม ไอ้เด็กเปรต! ขยะสังคม! เอาเงินกูคืนมา!" ตามได้แต่ยกแขนป้องตัวเองตอนถูกตี ร้องโอดโอยไม่เป็นคำพูด เสียงร้องของตามทำเอาผมคำรามลั่นด้วยความโกรธสุดขีด

"พอได้แล้ว!"   

"มึงไม่เกี่ยว! หลบไป๊!"

"นี่แฟนผม!"

มือของป้าค้างกึกกลางอากาศ ก่อนผมจะดึงตามให้ถอยออกมาแล้วก้าวเท้าไปเผชิญหน้ากับป้าร่างท้วมด้วยความโมโห

"ผมบอกแล้วไงว่าเข้าใจผิด ขโมยมันวิ่งหนีไปเป็นชาติ ป่านนี้เอาเงินไปใช้หมดแล้ว เพราะมัวแต่จับคนผิดเนี่ย!"

"แต่กูจำมันได้!"

"ป้าจำผิด!"

"กูจำได้!" 

"ไปตัดแว่น!"   

เสียงตะโกนที่ดังกว่าของผมทำเอาป้าเงียบ ก่อนพูดอึกอัก เถียงได้ไม่เต็มปาก 

"กู...กูจำมันได้จริงๆ"   

"ป้าน่าจะจำผิดจริงๆ นั่นแหละ น้องคนนี้เขามาซื้อข้าวร้านหนู ยืนรออยู่ตั้งนานเพิ่งจะได้ข้าวไปเนี่ย" เสียงจากพี่เจ้าของร้านข้าวช่วยเข้ามาเป็นพยาน ตามพยักหน้าหงึกๆ พลางหันมองข้าวกล่องที่หล่นเละเทะอยู่ข้างๆ แอบเห็นนะว่าทำหน้าเสียดายกะเพราปลาหมึก ก่อนหันขวับกลับไปมองตาขวางใส่ลุงกับป้าที่ยืนหน้าจ๋อย     

"ขอโทษจ้ะ ขอตัวไปจับขโมยก่อนนะ"

"อ้าว เฮ้ย!" ผมโวยตอนที่ลุงกับป้าจับมือกันวิ่งออกไปจากตรงนี้หน้าตาเฉย ไทยมุงสลายตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พี่เจ้าของร้านข้าวก็ใจดีเก็บกล่องข้าวนั่นไปทิ้งให้ ตามยังมองกล่องข้าวตาละห้อยด้วยความอาลัยยิ่ง ใจผมก็ยังเดือดพล่าน โมโหไม่หยุด

"อะไรของเขาวะ มากล่าวหาคนอื่นแบบนี้ได้ไง" 

"นั่นดิ!" ผมหันมองตามที่โพล่งขึ้นมา ดูเหมือนว่าผมจะไปจุดชนวนความโมโหให้เขาอีกคน หรือไม่ก็เพิ่งนึกได้ว่าต้องโวยวายจึงพ่นคำพูดออกมาเสียงดังลั่น

"หาว่าเราเป็นขโมยแถมบอกสภาพเราเหมือนคนติดยา หน้าเราเหมือนคนติดยาเหรอ เหมือนเหรอ!" 

"นิด...นิดนึงมั้ง"

"ติดยาเนี่ยนะ! ข้าวกล่องละสี่สิบบาทยังไม่มีตังค์ซื้อเลย จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อยา! ด่าเราเป็นขยะสังคม เกิดมายังไม่เคยโดนด่าแรงขนาดนั้นเลย ขยะสังคมเนี่ยนะ!"   

"ใจเย็นๆ" กลับกลายเป็นผมที่ต้องพูดปลอบพลางลูบหลังเบาๆ

"เขาทำร้ายร่างกายเราด้วย แทบจะหักแขนเราเลย จับเรากระแทกพื้นด้วย ป้านั่นก็ทุบเราไม่หยุด เจ็บไปทั้งตัวเลยเนี่ย" ตามทำเสียงไม่พอใจ ใบหน้าบูดบึ้ง ผมเองก็โมโหจนมองข้ามบาดแผลที่ตามได้มาตอนถูกหน้ากระแทกพื้น รอยถลอกทำเลือดไหลซิบ ซึ่งดูเหมือนจะยังไม่รู้ตัว ในตอนที่ตามกำลังงอแงบ่นเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ผมจึงยกสองมือกางออกเป็นเชิงโอ๋ ก่อนตามจะโน้มตัวลงมาซบ   

"เจ็บไปหมดเลย เจ็บแขนด้วย พรุ่งนี้ต้องช้ำไปทั้งตัวแน่ๆ เลย"

"ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็หาย" ผมพูดปลอบใจพลางใช้จังหวะนั้นเช็ดเลือดออกจากหน้าตามก่อนที่อีกคนจะรู้ตัว ในตอนที่ผมก้มมองให้แน่ใจว่าไม่มีเลือดตรงไหนแล้ว ตามก็เหลือบตาขึ้นมองผม สบตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ตามจะรีบผละตัวออกไปจากผม ปรับสีหน้าเป็นนิ่งเฉยแล้วพูดเสียงแข็ง

"อ้าว พลีส"

ผมขมวดคิ้วมองหน้าตาม

"โทษทีพี่เข้าใจผิดคิดว่าพลีสเป็นคนอื่น ที่แท้ก็พลีสนี่เอง นี่มันพลีสชัดๆ"

"กวนตีน"

"เมื่อกี้พลีสบอกว่าเป็นแฟนพี่เหรอ มาเป็นแฟนพี่ตอนไหน แฟนพี่ตายแล้ว"

"นี่"

"พี่ไปก่อนนะพลีส"

"จะไปไหน"

"ถามทำไม เราไม่ได้สนิทกันนะพลีส พลีสกลับบ้านพลีสไปเถอะ" ตามทิ้งความกวนตีนเอาไว้ก่อนสะบัดหน้าเดินหนีไปอีกทาง ก้าวไปได้สักระยะหนึ่งก็หันหลังกลับมา เห็นว่าผมยังยืนอยู่ที่เดิมก็สะบัดหน้าใส่อีกที เพราะหมั่นไส้ความกวนประสาทนั้น ผมจึงก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาแล้วยกฝ่ามือขึ้นตบกบาลไปหนึ่งทีเน้นๆ 

 

"ป้าบ!"

 

ตามยืนนิ่งอยู่กับที่ เงยหน้ามองพลางกระพริบตาปริบๆ ผมยักไหล่หน่อยๆ แล้วเดินออกมาก่อนเอ่ยปากเรียก

"ไปกินข้าวกัน"

"ไม่ไปโว้ย!"

"เดี๋ยวเลี้ยง"

ผมพูดโดยไม่ได้หันไปมอง ก่อนได้ยินเสียงเท้าเดินตามมา ช่วงขายาวๆ ของตามไม่กี่ก้าวก็เดินเข้ามาอยู่ข้างๆ ผม แสร้งหันมองไปทางอื่น แต่ปากบอกกับผม

"อยากกินสเต็ก"

"..."

"สเต็กร้านนั้นอะ"

"..."

"พลีสคงไม่รู้จักหรอกมั้ง"
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 17-08-2019 21:35:42
ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนคว้ามือตามเดินข้ามถนนเพื่อตรงไปยังร้านสเต็กที่พูดถึง เป็นร้านสเต็กที่นิยมมากๆ ในหมู่นักศึกษา ร้านถูกตกแต่งด้วยสไตล์มินิมอลนิดๆ มีมุมสวยๆ สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป บางวันลูกเจ้าของร้านก็มานั่งเล่นกีตาร์อะคูสติกร้องเพลงให้ฟัง ที่สำคัญราคาอาหารไม่แพงแต่ได้เยอะจุใจ เนื้อชิ้นใหญ่ถูกเสิร์ฟมาพร้อมกับเครื่องเคียงที่เลือกเองได้ว่าจะเอาข้าวสวย สปาเก็ตตี้ ไส้กรอก ไข่ดาว หรือมันฝรั่งอบ อยากกินไปหมดทุกอย่างแต่สั่งแค่สเต็กก็เพียงพอ เพราะความสามารถในการกินอาหารของผมมันลดลงตอนที่อยู่ในร่างพลีส คิดว่ากระเพาะของเขาคงเล็กนิดเดียว แต่สำหรับตามที่กินจุยิ่งกว่าพายุถล่มก็สั่งทุกอย่างรวมกันมาในจานขนาดเกือบเท่ายูเอฟโอ 

"หูว!" น้ำเสียงน่ารักๆ เปล่งออกมาผ่านใบหน้าที่กำลังมองอาหารตาวาว ผมได้แต่มองแล้วอมยิ้ม ก่อนหันไปรับส้อมและมีดจากพนักงานเสิร์ฟ แต่ในจังหวะนั้นมันเกิดความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างกับร่างกายผม หัวใจเต้นแรงขึ้นมาซะเฉยๆ มือที่ถือมีดอยู่ก็พลันสั่นระริก อาจเป็นเพราะปลายมีดแหลมคมนั่นทำให้ผมหวาดกลัว   

 

เคร้ง!


 

ทั้งมีดทั้งส้อมหล่นกระทบจาน เสียงดังของมันเรียกสติผมกลับคืนมา ตามมองหน้าผมสลับกับมีดในจานก็เข้าใจได้ทันที จึงรีบเอื้อมมือมาคว้ามีดไปให้พ้นสายตาผม ผมสั่นหน้าเรียกสติอีกครั้ง ก่อนยิ้มกว้างให้ตามเพื่อบอกกับเขาว่าผมไม่เป็นอะไร ตามอมยิ้มนิดๆ ก่อนรีบปรับสีหน้าเป็นปกติ ทำหน้านิ่งแต่ยื่นมือมาหยิบจานสเต็กของผมไป

"หันหน้าไป"

"เราไม่เป็นอะไร"

"หันไป"

ไม่อยากขัด ผมจึงแสร้งหันไปอีกทาง แต่รู้ว่าตามกำลังใช้มีดหั่นสเต็กในจานให้ผมอยู่ ปากก็พูดพึมพำแต่ดังพอจะได้ยิน

"เวลาที่เธอสั่งให้เราหันหน้าหนีเลือด ความรู้สึกมันเป็นแบบนี้นี่เอง"

"ชอบใจเหรอ"

"หันไป!"

"ครับๆ"

ตามใช้เวลาไม่นานก่อนเรียกผมให้หันกลับไป สเต็กทั้งสองจานถูกหั่นเรียบร้อยแล้ว ส่วนมีดทั้งสองเล่มก็ถูกซ่อนเอาไว้หลังกล่องทิชชูเพื่อไม่ให้ผมเห็น หลุดยิ้มกับความน่ารักเล็กๆ น้อยๆ ของคนที่ยังเก๊กหน้านิ่งอยู่

"อย่ามายิ้ม เราโกรธเธออยู่"

"ไม่โกรธได้ไหม เราเสียใจนะ"

"หึ!"

"ตาม"

"..."

"ที่รัก"

"ถ้ารักก็อย่าไปไหนสิ" ตามพูดแค่นั้นแล้วจิ้มเนื้อสเต็กเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่พูดไม่จาอีกเลย ผมเองก็ได้แต่ก้มหน้าเงียบใช้ส้อมเขี่ยชิ้นเนื้อไปมา

"ถ้าเราเลือกได้"

"..."

"เราก็ไม่อยากไปไหนเหมือนกัน"

ตามก้มหน้าหนีสายตาของผม จิ้มเนื้อยัดเข้าปากชิ้นแล้วชิ้นเล่า

"ถ้าเป็นไปได้"

"..."

"เราก็อยากแก่ตายไปพร้อมเธอ"

 

เคร้ง!

 

ผมสะดุ้งนิดหนึ่งตอนที่ตามจงใจทิ้งช้อนในมือลงบนจาน เงยหน้ามองผม ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ ผมคงหลุดขำกับใบหน้าของตามที่แก้มป่องได้ที่เพราะถูกยัดเข้าไปด้วยอาหารแต่กลับตลกไม่ออกเพราะแววตาสองข้างของอีกคนกำลังเอ่อล้นด้วยน้ำตาพร้อมจะไหล ตามกำลังกดกลั้นมันเอาไว้ด้วยการกัดริมฝีปากสั่นของตัวเองพลางขบกรามแน่น ดูเหมือนตามจะสงบใจลงได้ หันหน้ามองไปทางอื่นแล้วพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ แต่วินาทีเดียวก็หันขวับกลับมามองผมแล้วถามน้ำเสียงหงุดหงิด

"เราร้องไห้ได้ไหม"

"..."

"เราทนไม่ได้ว่ะ"

กลายเป็นผมที่ชิงน้ำตาไหลไปก่อนตาม ขณะที่อีกคนก็หลับตาลงช้าๆ ให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ตั้งแต่ที่ผมกลับมา เราพูดคุยกันด้วยน้ำตาบ่อยกว่าบทสนทนาเสียอีก ทั้งที่ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลยแต่เราก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเสียใจโดยที่เราทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ   

"เราไม่รู้จะทำยังไงแล้วแสง"

"..."

"เรารักเธอมาก"

"..."

"เราไม่อยากให้เธอจากไปไหน"

"..."

"แต่เราไม่รู้วิธีที่จะรักษาเธอเอาไว้ให้นานที่สุด"

ผมได้รับความรักจากตามมามากมายในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ และได้รู้ว่ามันคือรักแท้ในวันที่ผมได้ตายจากไป เขายังทำให้ผมรู้สึกเสมอว่าผมคือคนที่โชคดีที่สุดในโลก ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกสักกี่ครั้งก็ยังไม่รู้เลยว่าจะมีคนที่รักผมได้เท่ากับตามไหม ผมไม่เคยลืมสัญญาที่บอกว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป แม้ร่างกายถูกเผามอดไหม้ วิญญาณต้องสูญสลายไปแต่ความรักของผมยังอยู่ มันจะไม่มีวันหายไปไหนและนั่นคือคำว่าตลอดไปที่ผมให้ตามได้

"แสง"

ผมเงยหน้ามองตามในตอนที่เรียกผมด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

"เธอน่าจะบอกให้เราเคี้ยวก่อนพูด"

"ฮะ?"

"หมูเกือบติดคอ"

ผมหลุดขำพรืด ไม่ทันตั้งตัวกับมุกตลก ไม่แน่ใจว่าขำได้ไหมเลยพยายามจะกลั้น แต่ก็หัวเราะออกมาอีกจนได้ตอนที่ตามเองก็ยิ้มทั้งน้ำตาแล้วเคี้ยวชิ้นเนื้อที่ยัดแน่นอยู่ในปาก เคี้ยวหมดปากก็เรียกผมอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง

"แสง"

"..."

"เวลาที่เหลืออยู่"

"..."

"มาใช้มันให้คุ้มกันเถอะ"

ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ในที่สุดแล้วตามก็เป็นคนที่เข้มแข็งอยู่เสมอ เราต่างเสียใจจนพอเพื่อที่จะยอมรับความเป็นจริง หลังจากนี้ไปผมจะใช้ทุกวินาทีอย่างดีที่สุด...   

"สั่งเพิ่มได้ป่ะ อยากกินไส้กรอกอีก"

"ได้สิ"

"เธอจ่ายนะ"

"ยืมเงินพลีสก่อนไง เดี๋ยวเธอใช้คืน"

"แง้! ไม่มีตังค์!"

และเมื่อถึงวินาทีที่ไม่มีผมแล้ว ขอให้ตามอย่าได้เจ็บปวดหรือร้องไห้อีกเลย...ขอแค่นั้นจริงๆ

 

...

 

"เออ แล้วพี่ต่อเป็นยังไงบ้าง"

ตามหันมองผมที่ถามถึงพี่ต่อขึ้นมาในระหว่างทางที่กำลังเดินกลับไปส่งตามที่หอ

"คุยกันรู้เรื่องแล้ว แต่เขาก็ยังเสียใจอยู่ คงต้องใช้เวลาสักหน่อย นี่ยังไม่ยอมไปทำงานเลย"

"ถึงว่าล่ะ ไม่ยอมติดต่อมาเลย"

"ทำไมพี่ต่อต้องติดต่อกับเธอด้วยไม่ทราบ!"

"ก็ผมคือพลีสนี่ครับ"

"อ๋อ...เออ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ขณะที่ตามแสดงสีหน้าจ๋อยๆ ก่อนพูดความรู้สึกตัวเองออกมา

"ถ้าเธอไปแล้ว เราไม่รู้จะมองหน้าพลีสยังไงเลย"

"ทำไมอะ"

"เราเคยจูบพลีสด้วยนะ ถ้าพี่ต่อรู้ไม่เอาเราตายเหรอ"

"เธอจูบเราต่างหาก"

"แต่นั่นมันปากพลีสนะ"

"..."

"โคตรนิ่มเลยแหละ"

"นี่!" ผมยกมือฟาดแขนตามไปทีหนึ่งเพราะความทะเล้นนั้น ก่อนอีกคนจะคว้ามือนั้นเอาไปจับไว้ แล้วเดินต่อไปด้วยกัน ก่อนที่เราจะพากันหยุดเพราะมองไปเห็นกลุ่มคนที่ยืนล้อมเป็นวงอยู่ที่มุมถนน แสงไฟกระพริบจากรถกู้ภัยบ่งบอกว่านั่นคงจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้น ตามจึงรีบดึงมือผมไปอีกทาง

"ไปเหอะ น่ากลัว"

"อื้อ"

ผมตอบรับเพราะเห็นด้วย แต่ในจังหวะนั้น มีหนึ่งคนที่ยืนอยู่ถอยหลบ สายตาผมจึงหันไปเห็นคนเจ็บที่นั่งอยู่กับพื้น ขาผมหยุดชะงัก ปล่อยมือออกจากตามแล้วรีบก้าวเท้าเข้าไปตรงนั้น

"สายป่าน"

ผมฝ่าวงล้อมของผู้คนเข้าไปหาสายป่านที่นั่งอยู่กับพื้นถนน ผมไล่สายตาสำรวจร่างกายที่เต็มไปด้วยรอยถลอกและแผลลึกที่มีเลือดไหล เลื่อนสายตาไปยังคนเจ็บอีกคนที่ดูจะอาการหนักกว่าซึ่งกำลังถูกหน่วยกู้ภัยรุมช่วยเหลือ รอยเลือดเลอะถนนทำเอาผมต้องหันขวับกลับไปมองคนที่มาด้วย ตามยืนนิ่งวางสายตาอยู่ที่สายป่านแต่ความกลัวทำให้ไม่กล้าเดินเข้ามา ผมจึงต้องบอกให้เขายืนอยู่ตรงนั้น เพราะเดี๋ยวจะต้องลำบากหน่วยกู้ภัยเก็บไปอีกศพ

"สายป่าน"

สายป่านเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงเรียก ทันทีที่เห็นผมบอน้ำตาก็แตกทะลัก

"พี่พลีส!"

ผมคุกเข่าลงกับพื้นก่อนสายป่านยกสองแขนโผเข้ากอดผมทันที

"พี่พลีส เพื่อนหนู นั่นเพื่อนหนู"

ผมเลื่อนสายตามองเด็กนักเรียนอีกคน ไม่อาจคาดเดาอาการบาดเจ็บของเด็กคนนั้นแต่ก็ทำได้เพียงปลอบใจสายป่านที่กำลังฟูมฟาย

"ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่แล้ว"

"หนูกลัว"

"ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่ ไม่ต้องกลัว ไม่เป็นไรนะอ้วน"

"พี่..."

"แล้วหนูเป็นอะไรไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า"

ใบหน้าเลอะน้ำตาเงยขึ้นจ้องหน้าผมแต่ไม่ยอมตอบ มองนิ่งอยู่อย่างนั้นจนผมต้องยกแขนเขย่าร่างพลางถามเสียงดัง

"อ้วน! เจ็บตรงไหน! บอกพี่สิ!"

"เจ็บขา หนูเจ็บขา"

จบคำสายป่าน คนจากหน่วยกู้ภัยก็ตรงเข้ามาช่วยเหลือ ผมถูกกันให้ออกมาจากตรงนั้นแต่สายป่านไม่ยอมปล่อยมือผม

"ไม่เป็นไร พี่อยู่นี่"

ได้แต่ปลอบใจเพียงเท่านั้น ปล่อยให้คนตรงนั้นช่วยปฐมพยาบาลให้สายป่าน ผมได้ยินว่าน้องอาจจะขาหักก่อนทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สายป่านถูกนำตัวขึ้นรถกู้ชีพเพื่อพาไปยังโรงพยาบาล

ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ตามเข้ามาดึงมือพาขึ้นแท็กซี่แล้วรีบตามไปที่โรงพยาบาล ความห่วงกังวลทำจิตใจไม่เป็นสุข แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องรวบสติให้อยู่กับที่ หยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์แม่ที่จำได้ดีเพื่อโทรบอกให้รีบมา ไม่ลืมที่จะให้ความสนใจอาการของเด็กนักเรียนอีกคนที่ได้ยินว่าปลอดภัยดีเพื่อที่จะได้บอกกับสายป่านให้สบายใจ ความร้อนรนของใจลดลงช้าๆ ในตอนที่สถานการณ์สงบลงจึงคลายกังวล ผมหายใจได้ทั่วท้องแล้วหันมองคนข้างๆ ที่ยืนอยู่ด้วย 

"ตาม"

"ฮึ?"

"ไหวป่ะ

"อือ" ตามตอบรับอยู่ในลำคอ ผ่านใบหน้าซีด เหงื่อผุดเป็นเม็ด ผมจึงรีบดึงมือตามมานั่งที่เก้าอี้ก่อนหน้ามืดเป็นลมไป ปกติตามจะมีอาการแบบนี้เฉพาะเวลาที่มองเห็นเลือด ถ้าเลือดพ้นสายไป ครู่เดียวก็หาย แต่นี่พักใหญ่ๆ แล้วยังไม่ทุเลาซ้ำยังดูเหมือนจะอาการหนักกว่าเมื่อครู่อีก

"ไม่เป็นไรนะ ตรงนี้ไม่มีเลือดแล้ว"

ตามฝืนยิ้ม หันหน้าหนีไปอีกทางแล้วยกนิ้วชี้มาที่ตัวผม เมื่อก้มลงมองก็สบถคำหยาบลั่น ดีดตัวออกมาจากตามด้วยความเร็วแสง

"เชี่ย!"

เสื้อนักเรียนที่สวมอยู่เลอะไปด้วยเลือด คงเปรอะเปื้อนตอนที่กอดสายป่าน

"แล้วทำไมไม่บอก!"

"ก็เราอยากอยู่ข้างๆ เธอนี่"

ความหวังดีทำผมเถียงอะไรไม่ออก ได้แต่ถอยห่างออกมาก่อนเพื่อความปลอดภัยของตาม ตามยังเงยหน้ามอง ทำปากเบะยื่นมือข้างหนึ่งมาหาผม

"อยากอยู่ใกล้ๆ"

"ไม่ต้องเลย อยู่ตรงนั้นแหละ"

ตามก้มหน้าหงอย ไม่ฝืนร่างกายที่กำลังแย่ และในตอนนั้นก็มีบุรุษพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาเรียกหาญาติของสายป่าน ผมลืมตัวจึงตอบรับแล้วเดินตามเข้าไปหาสายป่านที่เตียงคนไข้ สายป่านยิ้มได้ตอนที่รู้ว่าเพื่อนปลอดภัย ส่วนตัวเองขาหักแน่นอนและกำลังรอย้ายไปยังห้องเอ็กซเรย์

"เจ็บไหม"

"มันชาๆ ค่ะ ขาหนูใหญ่กว่าเดิมอีก ดูสิ"

"อ้วนเอ๊ย"

สายป่านยิ้มจนตาหยี ก่อนยกแขนมองคล้ายกำลังสำรวจรอยแผลที่ได้มา

"พี่โทรหาพ่อแม่ให้แล้ว พ่อแม่กำลังมานะ"

สายป่านเงยหน้ามองผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ

"พี่รู้เบอร์พ่อแม่หนูได้ไง โทรศัพท์หนูพังยับเลย"

ในหัวกลวงไม่มีคำพูดเหมือนทักษะการแก้ตัวเลือนหายไปชั่วขณะ ก่อนสายป่านจ้องหน้ารอเอาคำตอบ ผมจึงพูดไปอย่างข้างๆ คูๆ

"พี่โทรเข้าไปที่ร้านน่ะ หาเบอร์จากอินเตอร์เน็ตก็เลยเจอในเพจเฟซบุ๊ก"

"ไม่มี"

"ฮะ?"

"ร้านแม่ไม่มีเพจเฟซบุ๊ก"

จริงด้วย...

"พี่เอาแต่เรียกหนูว่าอ้วน"

"..."

"พี่กอดหนู"

"..."

"พี่เป็นห่วงหนู"

"..."

"เหมือนพี่เป็น..."

"สายป่าน!" คำพูดของสายป่านถูกแทรกด้วยเสียงของพ่อที่รีบร้อนเดินเข้ามาพร้อมกับแม่ ได้จังหวะที่ผมจะเอาตัวรอดก็เลยรีบบอกลา

"พ่อกับแม่สายป่านมาแล้ว พี่ไปก่อนนะ" พูดอย่างไวก่อนก้าวเท้าออกมาให้ไวกว่า แต่เสียงของสายป่านที่เอ่ยเรียกผมเอาไว้มันทำให้สัญชาตญาณตอบสนองด้วยการหันหลังกลับไปในทันทีเพราะน้องกำลังเรียกผม...หมายถึงเรียกชื่อที่แท้จริงของผม...

 

"พี่แสง"


 

To be continued.

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-08-2019 22:17:24
 :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 17-08-2019 22:35:39
 :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 17-08-2019 22:51:07
จะจากกันยากขึ้นไปอีก เศร้านะแต่เราก้หนีความเป้นจริงไม่พ้น สุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดีจะช้าจะเร็ว  :ling3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-08-2019 22:59:29
บีบหัวใจอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 17-08-2019 23:09:21
นักอ่านทุกคนมากอดกันกงนี้
ไม่ว่ามันจะจบยังไงก็ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องนี้ขึ้นมา แง
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 17-08-2019 23:24:06
มีเรื่องให้บีบหัวใจทุกตอนเลย
ทีนี้พ่อแม่มาครบแล้ว
แสงน่าจะถือโอกาสพูดคุยร่ำลากัน
หรือแสงควรจะอยู่ แล้วพลีสควรจะไป
ไม่มีทางไหนดีเลย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-08-2019 00:22:07
บอกเถอะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-08-2019 00:53:03
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: PKT ที่ 18-08-2019 01:31:42
โอยยย แบกคนเดียวไม่ไหว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 18-08-2019 02:03:17
 o18


 :L2: :pig4: :L2:

 o13
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 18-08-2019 08:44:16
เนื้อหาไม่ดิ่งมาก แต่โคตรเศร้าเลยเวลานึกถึงตอนที่ต้องจากกันอีกครั้ง TT
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 18-08-2019 09:51:04
เนื้อหาแบบอึน ๆ ไปทุกวันอะ อ่านแล้วเครียดตาม
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 18-08-2019 10:35:09
แสงทำเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจ

ให้หมดเถอะ

แล้วเวลาพลีสกลีบมา

พลีสจะได้ไม่รู้สึกผิดไปมากกว่านี้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 18-08-2019 17:32:33
เสียน้ำตาอีกล๊าววว
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 18-08-2019 21:57:58
 :monkeysad: :monkeysad: ร้องไห้ทุกตอน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 21-- 17/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: AkuaPink ที่ 19-08-2019 14:43:10
 :hao5:
 :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 21-08-2019 02:44:29
ตอนที่ 22
จะรักแค่เธอไปจนวันตาย


"พี่แสง"

"..."

"นั่นพี่ใช่ไหม"

ผมไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปต่อความสงสัยของสายป่านที่ตั้งคำถามขึ้นมาตรงๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว สายตาของพ่อกับแม่ต่างมองมาด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนสายป่านจะหันบอกกับพวกเขา

"พ่อ แม่ นั่นพี่แสง พี่แสงของเรา"

"พูดอะไรเพ้อเจ้อน่ะสายป่าน"

"เขาคือพี่แสงจริงๆ นะแม่ ต้องเป็นพี่แสงแน่ๆ อะ!"

เสียงดังของสายป่านที่เอาแต่พูดซ้ำๆ ว่าผมคือแสงทำให้ถูกพ่อดุไปหนึ่งครั้งจึงยอมเงียบ ก่อนที่ทั้งพ่อและแม่จะหันมาหาผมที่ยังเอาแต่นิ่ง

"หนูคือคนที่โทรหาป้าใช่ไหมจ้ะ"

"ครับ"

"ขอบคุณมากเลยนะคะที่โทรมาบอกแล้วก็ยังอยู่เป็นเพื่อนสายป่านด้วย"

"คือ..." ผมอึกอัก พูดอะไรไม่ออก หันมองสายป่านที่ยังจ้องมาไม่ละ

"ที่สายป่านพูดน่ะ อย่าไปสนใจเลย สงสัยจะหัวกระแทกหรือไม่ก็คิดถึงพี่ชายตัวเองมากไปหน่อย ก็เลยพูดอะไรเพ้อเจ้อออกมา ยังไงลุงกับป้าต้องขอบคุณเราอีกครั้งนะ" พ่อพูดขำๆ ก่อนแม่พยักหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม แต่ความสับสนกำลังทำให้ผมลังเลใจ ควรเลือกที่จะเงียบต่อไปหรือตัดสินใจบอกว่าสิ่งที่สายป่านคิดมันไม่ผิดแม้แต่น้อย

"ผม..."

"เชิญทางนี้เลยครับ" บุรุษพยาบาลคนเดิมก้าวเข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนา ก่อนที่ทั้งพ่อและแม่จะหันไปสนใจสายป่านก่อน แม่หันมาบอกขอบคุณผมอีกครั้งแล้วเดินตามสายป่านกำลังถูกย้ายไปอีกห้อง สายตาของน้องยังหันมองแม้ถูกพาออกไปไกลแล้ว ผมจึงตอบคำถามนั้นด้วยเสียงแผ่วเบาที่สายป่านคงจะไม่ได้ยิน

"พี่เอง"

"..."

"นี่พี่เอง"

 

ในระหว่างทางที่กำลังเดินกลับ ความคิดที่กำลังสับสนทำทุกอย่างอื้ออึงอยู่ในหัวอย่างน่าอึดอัด ไม่ได้พูดคุยอะไรกับตามที่เดินตามหลังผมมาเงียบๆ เพราะเสื้อผ้าที่เลอะเลือดของผม ทำให้ตามต้องทิ้งระยะห่างไกลไปจากผมสามสี่ก้าว แต่ก็คงพอที่จะได้ยินคำพูดของผมในระดับเสียงปกติ

"ตาม"

"ฮึ?"

"เราไม่รู้ว่าเราคิดผิดหรือเปล่าที่ไม่ยอมบอกกับครอบครัวว่าเราเป็นใคร เราเลือกที่จะไม่บอกเพราะเราไม่คิดว่าเราจะอยู่ได้นานกว่านี้และต่อให้เราบอกพวกเขาจะเชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ เราตายไปตั้งนานแล้ว บางทีพ่อกับแม่อาจจะอยู่ในจุดที่กำลังทำใจได้แล้วมันจึงดีกว่าถ้าเราเลือกที่จะไม่บอกว่าเรากลับมา อีกอย่างเราอยู่ในร่างพลีส ไม่ใช่คนอื่นแต่เป็นเด็กคนนั้นที่พ่อแม่เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วพลีสอาจจะไม่ได้อยากมาหาพ่อกับแม่เรา ไม่ได้อยากให้ครอบครัวเรารู้จัก แล้วมันจะเป็นยังไงถ้าวันหนึ่งพลีสกลับมา แล้วถ้าการจากไปอีกครั้งของเรามันทำให้พ่อกับแม่ต้องเจ็บปวดอีกครั้งเหมือนที่เราได้ทำกับเธอ แค่กับเธอเราก็รู้สึกผิดมากแล้ว แค่เธอคนเดียวเราก็..."

คำพูดผมหยุดชะงักทำได้แค่ถอนหายใจออกมาแทน ความอัดอั้นของผมถูกร่ายยาวออกมาอย่างไม่มีเว้นวรรคก็เพื่อระบายความรู้สึกทั้งหมดที่ผมมีให้ตามฟังแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่รู้จริงๆ ว่าผมควรจะทำยังไงดี 

"เราไม่รู้แล้วว่าเราต้องทำอะไรไหม"

"..."

"เราไม่รู้จริงๆ เราแค่..."

"..."

"เราก็แค่..."

"..."

"อยากกอดเธอว่ะ"

ความปรารถนาถูกพูดออกไปในวินาทีเดียวสองแขนของคนข้างหลังก็ยกขึ้นโอบกอดผมอย่างที่หัวใจร้องขอ ผมนิ่งไปครู่หนึ่งด้วยไม่รู้ว่าตามขยับมายืนใกล้ขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร การถูกโอบกอดจากด้านหลังทำให้ผมไม่ได้มองหน้าของตาม แต่ได้ยินเสียงชัดเจนดี เสียงที่กำลังปลอบผมเบาๆ 

"ไม่เป็นไรนะ เรารู้ว่ามันยาก แต่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรหรอก"

เราต่างคนต่างไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นยังไงแต่คำว่าไม่เป็นอะไรมันก็ช่วยปลอบโยนให้ความรู้สึกที่อึดอัดเบาบางลง เพื่อเหลือพื้นที่ในความคิดให้ผมได้ค้นหาคำตอบว่าผมจะตัดสินใจกับเรื่องนี้ยังไงดี

เราเดินต่อเรื่อยๆ จนมาถึงหอตาม ตามดึงดันจะเป็นฝ่ายไปส่งผมที่บ้านแต่ผมยืนยันจะส่งตามตรงนี้ เถียงกันไปมาก็จบลงด้วยการยอมบอกลากันตรงนี้

"กลับดีๆ นะ"

"อื้ม"

"เราขึ้นห้องแล้วนะ"

"โอเค"

ตามหันหลังให้ผมแล้วเดินเข้าตึกไป ผมเองก็ก้าวเท้าออกมาจากตรงนั้น ในจังหวะเดียวกันฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ มาก่อนหน้านี้ก็พลันตกซู่ลงมาเม็ดหนาเหมือนจะกลั่นแกล้งกัน หรือไม่บางที...ก็เป็นใจให้กัน

ว้า...กลับไม่ได้ละ

ผมรีบก้าวเท้าเร็วๆ เข้าไปในตึก พุ่งตัวไปหาตามที่หันมาตกใจเล็กน้อย

"ฝนตก กลับไม่ได้ละ"

"ฮะ เดี๋ยว..."

"เราขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ" ว่าแล้วก็คว้ากุญแจห้องจากมือตามแล้ววิ่งนำไปก่อน จัดการถอดเสื้อผ้าเลอะเลือดโยนไประเบียงหลังแล้วเปลี่ยนตัวใหม่ ผมไม่ได้กะจะนอนที่นี่เพราะไม่ได้บอกที่บ้านพลีสเอาไว้ก่อนแล้วพรุ่งนี้ก็ยังต้องไปโรงเรียนด้วย จึงตั้งใจจะกลับตอนที่ฝนหยุดตก

ผมทำตัวตามสบายเหมือนกับว่านี่เป็นเพียงหนึ่งวันธรรมดาที่ได้อยู่กับตามเฉกเช่นตอนที่ยังมีชีวิต ม้วนตัวอยู่ในผ้าห่มผืนเดิม นอนกลิ้งอยู่บนเตียงนุ่ม พูดคุยเรื่องที่อยากคุย เปิดเพลงเพราะฟังเคล้าคลอเสียงฝน บรรยากาศแบบนี้มันโคตรจะ... 

"น่ากินเบียร์"

"ฮะ?" ผมเด้งตัวขึ้นจากที่นอนเมื่อได้ยินตามพูดอย่างนั้น

"อากาศแบบนี้น่ากินเบียร์" ไม่พูดเฉยๆ ยังเดินไปหยิบเบียร์หนึ่งกระป๋องจากตู้เย็น เปิดกระดกหน้าตาเฉย ตามเดินไปเลื่อนบานหน้าต่างเปิดออกเล็กน้อยแล้วยืนจิบเบียร์อยู่ตรงนั้น

"เมื่อก่อนเธอไม่เคยคิดจะแตะแอลกอฮอล์สักหยด เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนขี้เมาได้ไง"

"ไม่ได้ขี้เมาซะหน่อย"

"อยากลืมเราเหรอ"

ตามหันกลับมามองผม เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ ดูสงสัยกับประโยคก่อนหน้า

"ก็กินให้เมาเพื่อที่จะได้ลืมเราไง"

มุมปากของตามขยับขึ้นยิ้มนิดๆ แล้วสวนกลับ

"เวลาเมา คิดถึงกว่าเดิมอีก" พูดแค่นั้นแล้วหันกลับไปเหม่อมองนอกหน้าต่างอย่างเดิม ผมเองเผยยิ้มบางๆ ก่อนเดินไปยืนข้างๆ

"ขอกินบ้างสิ"

"ไม่ได้"

"ทำไมไม่ได้"

"พลีสยังเป็นนักเรียน"

"พลีสอายุยี่สิบแล้ว"

"เธอรู้จักร่างกายพลีสดีพอหรือเปล่า กินเข้าไปจะเป็นอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้"

"ไม่เป็นอะไรหรอกน่า เราไม่ได้กินเบียร์มาสามปีแล้วนะ นานจนลืมรสชาติมันไปแล้วเนี่ย"

"ลืมไปเถอะ ไม่ใช่รสชาติที่ต้องจดจำ"

"โธ่!"

"ไม่ให้กิน"

"กระป๋องเดียว"

"ก็บอกว่าไม่..." คำพูดของตามหยุดชะงักตอนที่ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนปลายจมูกแทบชน ความน่ารักจากใบหน้าพลีสและความออดอ้อนจากจริตของผม พูดจาด้วยอารมณ์ดราม่าเพื่อทุบหัวใจแข็งๆ ของอีกคนให้อ่อนยวบ

"นี่มันอาจจะเป็นเบียร์กระป๋องสุดท้ายก่อนที่เราจะต้องจากโลกนี้ไปก็ได้นะ"

"..."

"ตามใจ"

"หึ!" ตามทำหน้าบึ้ง ก่อนยื่นกระป๋องเบียร์ในมือส่งให้ ปริมาณที่ยังเหลืออยู่มากกว่าครึ่งกระป๋องเพียงพอต่อความต้องการของผม ยกเบียร์ขึ้นดื่มรับรสชาติที่ขาดหายไปจากชีวิตนานกว่าสามปี จิบเบียร์เย็นเฉียบท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำและลมเย็นที่พัดกระทบใบหน้า หากแต่ว่าร่างกายอบอุ่นด้วยท่อนแขนของตามที่โอบเอวผมเอาไว้ให้เราได้ยืนคู่กันอย่างชิดใกล้...เวลานี้ดีชะมัด 

 

"พรึบ!"

 

"กรี๊ด!"

ผมหลับตาแน่นเพราะเสียงกรีดร้องของตามดังกระแทกแก้วหูเนื่องมาจากไฟที่ดับกะทันหัน มือที่โอบเอวกลายเป็นรัดแน่น ร่างกายที่ชิดใกล้กลายเป็นเบียดจนแทบจะเข้ามาสิงร่าง แม้มืดสนิทจนมองไม่เห็นอะไรแต่ผมก็เดาได้ว่าตามกำลังทำหน้ายังไง   

"ปล่อยเราก่อน เดี๋ยวเราไปหยิบมือถือ"

"ไม่เอา!"

"งั้นก็อยู่มืดๆ แบบนี้แหละ"

"ก็ไม่เอา!"

"งั้นก็ปล่อยสิ"

"ไปด้วยกันๆๆ" ตามพูดรัว ก่อนกุมมือผมเอาไว้แล้วเดินช้าๆ ไปควานหาโทรศัพท์ที่อยู่บนเตียง ก่อนเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์ห้องจึงสว่างขึ้นมา ถึงอย่างนั้นตามก็ยังไม่ยอมปล่อยมือผมออก   

"กลัวอะไร"

"กลัวผี"

"เราก็ผีนะ"

ตามนิ่งไปตอนได้ยินผมพูดเช่นนั้น เลื่อนสายตามองมือที่ยังกุมกันอยู่ ผมจึงยกสองมือของเราขึ้นมาตรงหน้า

"เธอจับมือผีอยู่นะเนี่ย"

ตามยิ้มออกมาบางๆ แล้วนั่งลงบนเตียง ผมเองก็พลอยต้องนั่งลงตามไปด้วยเพราะมือที่ไม่ยอมปล่อยซ้ำยังจับแน่นกว่าเดิม ความเงียบทำงานอยู่เนิ่นนาน ผ่านใบหน้าเรียบเฉยของตามผมรู้เพียงแค่ว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง แต่ไม่อาจคาดเดาว่ามันคืออะไร ขณะเดียวกันในหัวผมเองก็มีหนึ่งความคิดผุดขึ้นมาเช่นกัน ไม่ใช่ผีทุกตัวที่จะชอบความมืด อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ผีแบบผม เพราะยิ่งมืดเท่าไรก็ยิ่งเดียวดายเท่านั้น

"จริงๆ ความมืดไม่ได้น่ากลัวเท่าไรหรอก..."

"ความเหงาต่างหาก"

ผมหันมองตามที่โต้ตอบกลับมาในทันทีที่ผมเว้นวรรคประโยค ราวกับว่าเมื่อครู่เรากำลังคิดเรื่องเดียวกันอยู่จึงเข้าใจความรู้สึกนั้น ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาตามต้องใช้เวลาไปกับความเหงามากมายเท่าไรแล้วหลังจากนี้ไปจะมีวันที่ตามต้องกลับไปเหงาอีกหรือเปล่า ผมเองไม่อาจอยู่เพื่อเฝ้าดูหรือว่าปลอบใจ สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำได้ก็คงจะมีแค่คำขอร้องโง่ๆ

"ตาม ต่อไปนี้อย่าเหงาอีกเลยนะ"

"..."

"อย่าร้องไห้อีก"

"..."

"อย่าเศร้าหรือว่าเสียใจถ้าเราไม่อยู่แล้ว"

"..."

"ทำได้ไหม"

ใครจะไปทำได้วะ...เหมือนผมได้ยินคำนั้นผ่านใบหน้าของตามที่กำลังแสดงให้เห็น แต่แล้ววินาทีเดียวตามก็ปรับสีหน้าเป็นเผยรอยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับ

"อืม...ทำได้"

แม้รู้ดีว่ามันเป็นคำตอบที่เพียงเพื่อให้ผมสบายใจแต่ผมก็เชื่อว่าในสักวัน ตามจะทำเช่นนั้นได้จริงๆ เพราะตามของผมเข้มแข็งที่สุดในโลกเลย เรายิ้มให้กันอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะหันมองไฟที่คิดว่ามันดับนานเกินไปแล้ว ตั้งใจจะลุกไปที่หน้าต่าง เพื่อดูว่าบริเวณยังดับอยู่เหมือนกันไหม แต่ในตอนที่ลุกขึ้นก็เกิดอาการมึนเหมือนหัวหมุนติ้ว ทิ้งร่างลงกลับไปนั่งที่เดิมคล้ายคนกำลังหมดเรี่ยวแรง

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

ผมได้ยินเสียงตาม แต่ไม่ชัดนัก

"แสงเป็นอะไร"

ผมไม่ได้ยินเสียงตามอีกแล้วเพราะในหูถูกแทนที่ความอื้ออึง ดวงตาก็พร่าเบลอเหมือนใบหน้าของตามกำลังเลือนหายไปช้าๆ ราวกับสติสุดท้ายกำลังจะดับลง...

"แสง!"

"..."

"แสงเทียน!"

ทั้งเสียงและภาพกลับมาชัดเจนรวมถึงสติที่ย้อนกลับมา ผมกระพริบตาถี่มองตามที่แสดงสีหน้าตกใจ ถามผมซ้ำแล้วซ้ำอีก

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เหมือนจะเมา"

"เมา?"

"อือ มึนหัว" อาจจะเป็นเพราะร่างกายของพลีสเพิ่งจะทำความรู้จักกับแอลกอฮอล์เป็นครั้งแรกจึงตอบสนองด้วยความมึนเมาได้อย่างง่ายดาย ผมคิดไปอย่างนั้น และทั้งๆ ที่ถูกเตือนแล้วว่าอย่าดื่มแต่ผมยังดื้อก็เลยโดนดุไปตามระเบียบ

"ก็บอกแล้วไงว่านี่มันร่างกายพลีส"

"ก็ใครจะไปคิดว่าคอจะอ่อนขนาดนี้เล่า ครึ่งกระป๋องเองเมาได้ไงวะเนี่ย" ผมบ่นอุบ เหลือบตามองตามที่ยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้า ปากกำลังจะบ่นต่อแต่ผมเบรกเอาไว้ด้วยการยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากแล้วส่ายหน้าเบาๆ ตามจึงกลืนคำพูดพวกนั้นลงไปแล้วถอนหายใจออกมาแทน

"งั้นเดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน"

"ไม่กลับแล้ว"

"ไม่กลับได้ไง เดี๋ยวที่บ้านพลีสว่าเอา"

"ก็เราจะนอนกับเธอ"

"ไม่ได้"

"ได้!"

"ก็บอกว่าไม่ได้ อย่ามาดื้อ ลุกเร็ว!"

"ไม่เอา ไม่กลับๆๆๆ!" ผมโวยลั่นตอนที่ตามกำลังดึงผมให้ลุก แล้วขัดขืนด้วยการทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียง จะฝังร่างกายอยู่ตรงนี้ไม่ขยับไปไหนแต่ลืมไปว่าพลีสตัวเล็กนิดเดียว สองมือของตามยื่นเข้ามาช้อนตัวอุ้มผมออกจากเตียงอย่างง่ายดาย ผมจึงได้แต่ดิ้นพล่าน

"เราไม่กลับอะ! เราจะนอนที่นี่!"

"ไม่ได้นะ"

"ขืนกลับไปสภาพนี้ มีหวังโดนหนักกว่าไม่กลับอีก เดี๋ยวเราโทรบอกพี่หน่อยเองว่าจะนอนบ้านเพื่อน พี่หน่อยรู้ พี่หน่อยเข้าใจ"

"แน่ใจนะ"

"แน่ใจสิ วางเราลงได้แล้ว"

ตามพยักหน้ารับ ก่อนเดินกลับไปที่เตียงเพื่อวางผมลงบนนั้น จังหวะที่ตามปล่อยมือออกผมยกสองแขนของตัวเองขึ้นคล้องคอตามเอาไว้แล้วโน้มลงมาใกล้ อีกฝ่ายเผลอตกใจแล้วใช้สองแขนยันตัวเองเอาไว้กับเตียงเพื่อเว้นระยะห่าง ทำได้เพียงมองหน้า มองให้ลึกลงไปในแววตาคู่นั้นที่สบสายตากันอยู่เนิ่นนาน อีกไม่นานนับจากนี้ผมก็จะไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าตามอีกแล้ว ช่วงเวลานี้จึงมีความหมาย

ผมไม่แน่ใจว่าสติที่เกือบจะดับวูบไปเมื่อครู่มันใช่อาการมึนเมาหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมหวั่นกลัว ครั้งนี้ผมอาจจะหลับไปแล้วไม่ได้ตื่นขึ้นมาในร่างของพลีสอีก คืนนี้ผมจึงไม่อยากกลับบ้านเพราะมันอาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่จะได้อยู่กับตามแล้ว 

นิ้วมือของผมยกขึ้นสัมผัสใบหน้าของตาม ลากไล้ปลายนิ้วไปทุกส่วนตั้งแต่ข้างแก้ม ริมฝีปาก ปลายจมูก จนไปหยุดอยู่ที่ดวงตา เรารู้ดีว่าเราติดอยู่ในหนึ่งข้อจำกัดที่ทำให้เราไม่ควรใกล้กันกว่านั้นด้วยเหตุผลที่ว่ามันไม่ใช่ร่างกายของผม แต่ความปรารถนาที่รบเร้าอยู่ในใจก็ทำให้ผมต้องโกงพลีสด้วยการหยิบยืมริมฝีปากของเขามาใช้อีกครั้ง

ปลายนิ้วสัมผัสเบาๆ ที่เปลือกตาของตามก่อนเขาจะหลับตาลง ผมบรรจงจูบตามผ่านริมฝีปากของพลีส แต่ความรู้สึกที่หยั่งลึกลงไปมันก็ยังคงเป็นของผม เมื่อเราหลับตาจิตนาการจึงพาเราล่องลอยวนกลับคืนไปสู่อดีตในวันที่ยังมีเรา ในภาพลวงที่ห้วงแห่งความคิดได้สมมติขึ้น ผมได้ร่างกายผมกลับคืนเพื่อให้ผมกับตามได้สัมผัสใกล้ชิด รอยจูบนั้นเติมเต็มความปรารถนาอย่างลึกซึ้งและยาวนาน ให้มันเป็นจูบลาก่อนที่ผมจะตายอีกครั้ง ให้มันเป็นจูบสุดท้าย...ก่อนที่ผมจะหายไปตลอดกาล

 

...

 

"ตื่นได้แล้ว"

         
เสียงเรียกของใครบางคนปลุกผมให้ตื่นทั้งที่ยังไม่อยากลุก ยื้อเวลาหลับตาต่อแต่ก็ถูกเรียกอีกซ้ำๆ จึงต้องขยับเปลือกตาขึ้นมอง แสงในตอนเช้าที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามานั้นไม่สว่างพอที่จะเห็นอะไรได้ชัดเจน สติที่ยังไม่ตื่นดีกับดวงตาที่พร่าเบลอกำลังจ้องมองใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดกำลังเท้าเอวมอง...ยมทูตเหรอ

"ยังไม่ไปได้ไหมครับ"

"ไม่ได้"

"ขอเวลาอีกหน่อยไม่ได้เหรอ"

"ไม่ได้"

"ใจร้ายจัง" ผมพูดเบาๆ ก่อนหลับตาลงไปอีกที มีคำสั่งสั้นๆ ให้ผมลุกขึ้นในตอนนี้ จึงต้องปฏิบัติตามอย่างไม่อาจขัดขืนในโชคชะตา วันนี้แล้วสินะที่ผมต้องไป...

"เธอต้องไปโรงเรียนนะ"

"ฮะ?"

"เดี๋ยวก็สายหรอก"

เด้งพรวดขึ้นจากที่นอนตอนที่ตื่นเต็มตา ก้มมองร่างกายตัวเองสลับกับตามที่ยืนเท้าเอวอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ตามจะย้ำอีกทีให้ผมรู้ตัวแน่ชัดว่ายังมีชีวิต

"เราเรียกตั้งนานไม่ยอมลุกสักที เกือบจะทุบให้ตื่นอยู่แล้ว แล้วยังจะมาขอเวลาอะไร"

"ก็...อากาศดีไง ยังไม่อยากตื่น"

"จะสายแล้ว รีบไปอาบน้ำ เราซักชุดนักเรียนเมื่อคืนให้แล้วแต่รีดไม่เป็น ใส่ได้ไหม"

"ไม่เป็นไร ใส่อย่างนั้นก็ได้"

ผมบอกกับตามแล้วเดินเข้าห้องน้ำ จัดการอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดเมื่อวาน ก่อนที่ตามจะออกมาส่งผมด้วย ทั้งที่ผมงอแงอยากอยู่กับตามมากกว่าที่จะมาโรงเรียนก็เถอะแต่สุดท้ายก็ถูกลากมาถึงโรงเรียนจนได้

"ตั้งใจเรียนนะลูก เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมารับ" พูดล้อเล่นพลางยกมือเคาะหัวผมเบาๆ ผมจึงสวนกลับด้วยคำพูดล้อเล่นเช่นกัน ถึงความหมายที่พูดนั้นมันจะจริงก็ตาม

"อยากอยู่กับพ่อมากกว่า ไม่อยากมาโรงเรียนเลย"

"อย่าดื้อสิลูก เดี๋ยวพ่อตีเลย"

"ก็อยากอยู่กับพ่อ! อยากอยู่กับพ่อ! หนูจะอยู่กับพ่อ!"

 

"เพียะ!"

 

คำพูดหยุดชะงักตอนถูกดีดหน้าผากจนหน้าเกือบหงาย ตามหัวเราะลั่นตอนที่ผมได้แต่ยกมือลูบหน้าผากพลางมองตาขวางแล้วโต้ตอบด้วยใบหน้าบูดๆ

"ไปแล้ว!"

"มาให้พ่อกอดที"

ผมหลุดยิ้มขยับตัวเข้าไปกอดตาม สองมือของตามก็โอบร่างผมเอาไว้แน่น แล้วพูดเบาๆ ที่ข้างหูด้วยประโยคที่ทำให้หัวใจของผมได้รู้สึกเช่นเดียวกัน

 

"อีกสักวันก็ยังดีเนอะ"

 

...

 

"พี่พลีส"

ผมหันไปมองไอ้ปั้นที่นั่งอยู่ข้างหลัง ปากมันเรียกพี่แต่เอาตีนสะกิดตูดผม มันน่าตบให้หัวทิ่มจริงๆ

"การบ้านคณิตเสร็จยัง"

"ระดับกู"

"ลอกหน่อย"

"มึงควรพยายามทำอะไรด้วยตัวเองบ้างนะ" ผมพูดแค่นั้นแล้วหันกลับมา ไอ้ปั้นโน้มตัวมาด่าใกล้ๆ หู ผมกำลังจะสวนกลับแต่มือถือที่วางอยู่ใต้โต๊ะสั่นขึ้นมาก่อนจึงละความสนใจจากมันไปรับโทรศัพท์

"ครับแม่"

(พลีส เมื่อคืนหน่อยบอกว่าพลีสไปนอนบ้านเพื่อนเหรอ)

"อ๋อ...ครับ"

(พลีสไปสนิทกับเพื่อนขนาดไปนอนบ้านเขาได้เลยเหรอ)

"ครับ ก็...สนิทกันครับ"

(เพื่อนคนไหน)

"คือ..."

(เพื่อนชื่ออะไร)

"ข้าวปั้นครับ"

ทันทีที่ผมพูดชื่อมัน ไอ้ปั้นก็ชะโงกหน้าเข้ามาอย่างสอดรู้

(ให้แม่คุยกับเพื่อนหน่อยได้ไหมลูก)

"แม่...แม่จะคุยกับปั้นเหรอ"

ไอ้ปั้นทำตาโต ชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง ก่อนที่ผมจะขอร้องให้มันช่วยด้วยการบอกผ่านใบหน้าออดอ้อน จนแทบจะยกมือไหว้เพราะแม่พลีสเอาแต่พูดซ้ำว่าอยากคุยกับมัน ไอ้ปั้นจึงยอมตกลงแล้วคว้าโทรศัพท์ไปจากมือผม

"สวัสดีครับคุณแม่ ครับ ผมข้าวปั้นครับ เมื่อคืนพี่พลีสนอนบ้านผมครับ สนิทกันครับ โอ๊ย สนิทกันมาก ทำไมมานอนบ้านผม...อ๋อ ติวเลขครับ พี่พลีสมาติวเลขให้ สอนการบ้านผมด้วยแล้วเมื่อคืนฝนตกหนักก็เลยชวนนอนที่บ้านครับ ครับ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ไม่ได้ไปเกเรที่ไหนแน่นอนครับ ได้ครับคุณแม่ ครับผม"

ขอบคุณการแสดงอันแนบเนียนของปั้นที่ทำให้เอาตัวรอดจากเรื่องนี้ได้ เมื่อปั้นกดวางสาย ผมจึงยื่นมือไปขอโทรศัพท์คืนแต่อีกฝ่ายไม่ยอมคืนให้ซ้ำยังดึงมือหนีพลางหรี่ตามองแล้วเอ่ยปากถาม

"มึงไปนอนที่ไหนมา"

"เรื่องของกู"

"เรื่องของมึงแล้วเอาชื่อกูไปอ้างทำไม"

"เออน่า! เอามือถือคืนมา"

"เอาการบ้านคณิตมาแลก"

ผมได้แต่ส่งเสียงไม่พอใจก่อนต้องยอมเอาการบ้านไปแลกเพื่อตอบแทนที่มันช่วย ปั้นคืนโทรศัพท์มาให้แต่ยังไม่วายทำเสียงแซวด้วยความกวนตีน

"แรดเหมือนกันนะเราเนี่ย"

"ไอ้ห่า!"

"พลีส" เสียงเรียกของเพื่อนอีกคนดังแทรกเข้ามา ผมจึงหันไปมองก่อนที่เธอจะยื่นม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งให้ผม

"ครูฝากมาคืน"

"อะไรเหรอ"

"ก็ภาพที่พลีสวาดในวิชาศิลปะแล้วได้โชว์ที่บอร์ดไง เขาเปลี่ยนภาพชุดใหม่เลยเอาของเก่าคืนให้"

ผมฟังคำอธิบายจากเพื่อนคนนั้นพลางกางภาพนั้นออกแล้วเผลอตกใจเมื่อได้เห็นภาพวาดฝีมือพลีส เป็นภาพลูกแอปเปิ้ลระบายสีไม้ที่เหมือนของจริงอย่างกับภาพสามมิติ ไม่รู้ว่ามีพรสวรรค์ด้านนี้ด้วย ผมเผลอออกปากชื่นชมความสามารถของพลีสจนอีกฝ่ายทำหน้างงๆ ว่าผมจะชมตัวเองทำไม จึงม้วนกระดาษนั้นเสียบเข้าไปในกระเป๋าแล้วทำได้แค่ยิ้มนิดๆ ให้เพื่อน

 

หนึ่งวันที่โรงเรียนผ่านไปอย่างช้าๆ อาจเป็นเพราะว่าผมคิดรอคอยเวลาเลิกเรียนมากเกินไป หันมองนาฬิกาอยู่บ่อยครั้งจนแทบไม่ได้สนใจบทเรียนจนกระทั่งการรอคอยสิ้นสุดลงตอนที่หมดชั่วโมงสุดท้าย ผมเก็บกระเป๋าออกจากห้องเป็นคนแรกๆ แล้วรีบเดินยังไปยังหน้าโรงเรียน กวาดสายตามองหาตามที่บอกว่าจะมารับ หันไปเห็นตามก็รีบวิ่งเข้าไปหาอีกคนที่กางแขนรอ แล้วรวบร่างผมเข้าไปกอด

"รอนานไหม"

"ไม่นานเลย"

"ไปไหนกันดี"

"หาอะไรกิน" ตามบอกแล้วเปลี่ยนเป็นจับมือผมพาเดินออกไปจากหน้าโรงเรียน เราตกลงกันว่าจะกินข้าวไข่เจียวร้านประจำ เป็นหนึ่งมื้อที่เรียบง่ายก่อนตบท้ายด้วยไอติมอีกคนละแท่ง ก่อนที่ผมจะเดินมาส่งตามที่หน้าหอเหมือนเคย

"พรุ่งนี้เจอกันไหม"

มันยากที่จะตอบคำถามง่ายๆ นั้น เพราะไม่มีอะไรที่จะยืนยันว่าวันพรุ่งนี้ของผมจะมาถึงจึงไม่อาจให้สัญญา

"ถ้ายังมีพรุ่งนี้"

"..."

"คงได้เจอกัน"

ตามพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนปล่อยมือออกจากผมแล้วบอกลา ผมถอยหลังออกมาแล้วแต่ก็ก้าวกลับเข้าไปอีกเพื่อขอกอดอีกสักที

"ขอกอดหน่อย"

ตามอ้าแขนรับแต่ในวินาทีนั้นก็ผลักผมออกจนตัวปลิวแล้วตะโกนลั่น 

"ไปไกลๆ เลย!"

 

"ฟึ่บ!"

 

ร่างของผมที่เกือบจะล้มแต่ถูกรับเอาไว้ด้วยสองมือของใครบางคน จากที่กำลังงงว่าตามทำอย่างนั้นทำไม ก็เข้าใจกระจ่างตอนที่เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของฝ่ามือที่รับร่างของผมเอาไว้

"พี่ต่อ"

พี่ต่อปล่อยมือออกจากผม ขณะที่ตามก็ทำหน้าเลิกลัก แก้ไขสถานการณ์ด้วยการแถรัวๆ ให้พี่ต่อฟังโดยที่พี่เขายังไม่ได้เอ่ยปากถาม   

"พลีสมาตื้อให้ตามพาไปหาพี่ต่ออยู่ได้ บอกว่าไม่ไปๆ ก็ตามมาถึงนี่เลย"

เล่นใหญ่เอาเรื่อง...

"นี่ไง พี่ต่อมาพอดี ไปคุยกันสิ ไปเลยๆ"

ผมเบิกตากว้างมองตาม อีกคนก็ส่งซิกด้วยการพยักเพยิดใบหน้า คิดว่าพี่ต่อจะไม่เห็นหรือไงวะ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ตัดสินใจชวนพี่ต่อมานั่งคุยเพราะมีบางเรื่องต้องพูดกับเขาอยู่เหมือนกัน แต่สถานการณ์ช่างน่าอึดอัดเหลือเกินเพราะพี่ต่อนั้นเอาแต่เงียบ ผมก็ได้แต่ถามอะไรโง่ๆ

"พี่ต่อมาหาพี่ตามเหรอครับ"

"ครับ อยู่บ้านแล้วเหงา ก็เลยว่าจะมาชวนตามกินข้าว"

"อ๋อ แล้วพี่หายดีแล้วใช่ไหมครับ ที่ล้มวันก่อน"

"ครับ"

เดดแอร์...

หลังจากคิดทบทวนดูแล้วก็รู้ตัวว่าผมไม่ควรปล่อยให้เรื่องระหว่างพี่ต่อกับพลีสเป็นแบบนี้ แอบถอนหายใจเบาๆ แล้วหันไปหาเขาอีกที

"พี่ต่อหายไปเลย ไม่เห็นติดต่อมา ไม่ตอบข้อความผมด้วย"

"ขอโทษครับ"

"พี่เป็นอะไรหรือเปล่า"

"พอดีพี่งานยุ่งๆ"

"พี่ไม่ได้ไปทำงานตั้งหลายวันแล้ว ผมรู้"

พี่ต่อก้มหน้าเงียบ ผมจึงยกมือขึ้นแตะปลายคางให้พี่ต่อเงยหน้าขึ้นมอง

"พี่เป็นอะไรครับ"

"..."

"บอกผมเถอะ"

"พี่เพิ่งจะจำอะไรบางอย่างได้"

"..."

"เป็นเรื่องไม่ดีเลย"

ผมพยักหน้ารับเพื่อให้เขาได้พูดต่อ

"พี่ไม่รู้ว่านอกจากเรื่องนั้นมันยังมีอะไรที่พี่ลืมมันไปอีกหรือเปล่า ถ้าหากว่าพี่เคยเป็นคนไม่ดีหรือเคยทำอะไรที่แย่กว่านั้นมันก็คงจะน่าผิดหวัง"

ผมยังคงรู้สึกผิดที่ดึงเอาพี่ต่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ความผิดของเขาสักนิดเลย เราทุกคนต่างเอาแต่โทษตัวเองอย่างไม่จบสิ้น พี่ต่อก็เช่นกัน ในตอนนี้ผมละทิ้งความพยายามที่จะเป็นพลีส แล้วยืนอยู่หน้าพี่ต่อในฐานะของแสง เอ่ยบางคำที่ผมสมควรจะพูดมาเนิ่นนาน

"ผมขอโทษนะครับ"

พี่ต่อแสดงสีหน้าสงสัยเมื่อผมพูดคำนั้นออกไป

"ให้อภัยผมด้วย"

ถึงสีหน้านั้นจะดูไม่เข้าใจเลยแต่พี่ต่อก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ผมยื่นมือไปจับมือพี่ต่อเอาไว้เพื่ออยากให้เขาได้มั่นใจ

"พี่ต่อ"

"..."

"พี่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นอีกแล้วและไม่มีเรื่องไหนที่พี่จะต้องผิดหวังในตัวเองหรือว่าใครจะต้องผิดหวังในตัวพี่"

"..."

"เพราะว่าพี่เป็นคนดีจริงๆ"

"..."

"เชื่อผมนะครับ"

ใบหน้าที่นิ่งเงียบๆ เผยรอยยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับ บทบาทของการเป็นแสงจึงจบลงเพียงเท่านั้น ผมกลับไปเป็นพลีสแล้วแกล้งทำเป็นพูดด้วยน้ำเสียงงอนๆ

"แต่พี่หายไปแบบนี้ ไม่ดีเลยนะครับ"

"พี่แค่รู้สึกแย่กับตัวเองเลยไม่อยากให้น้องรู้สึกไม่ดีไปด้วย พี่ขอโทษนะครับ"

"ยิ้มให้ผมก่อน"

"ครับ?"

"ยิ้มกว้างๆ เลย"

พี่ต่อหลุดยิ้มให้ผมเห็น เป็นยิ้มที่อบอุ่นอย่างที่เขาเคยเป็น ผมหวังว่าหลังจากนี้พี่ต่อจะละทิ้งเรื่องราวในวันนั้นและกลับมาเป็นพี่ต่อที่แสนดีคนเดิม

"ว่าแต่..."

ผมเลิกคิ้วขึ้นมองพี่ต่อที่เว้นวรรคคำพูด ก่อนยกมือที่ประสานจับกันอยู่ขึ้นมาตรงหน้า

"เราจับมือกันแบบนี้ได้แล้วเหรอครับ"

"เอ่อ..."

"ถ้าทำได้ พี่ไม่ปล่อยแล้วนะ"

ผมรีบดึงมือตัวเองออกมาก่อนแล้วสวนกลับไป

"ไว้ผมมาบอกวันหลังว่าได้หรือไม่ได้"

หรือมีความหมายจริงๆ ว่าเอาไว้ให้พลีสตัวจริงมาบอกดีกว่า...
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 21-08-2019 02:45:03
ผมบอกลาพี่ต่อตรงนั้นแล้วกลับมาที่บ้านพลีสอีกครั้ง เจอพ่อกับแม่นั่งอยู่ที่โซฟาพอดี แอบโดนแม่ดุนิดหน่อยที่กลับบ้านซะดึกดื่นแต่ถูกพ่อเปลี่ยนความสนใจไปที่ม้วนกระดาษซึ่งโผล่ออกมาจากกระเป๋านักเรียน   

"ภาพวาดเหรอพลีส"

"ใช่ครับ"

"ขอพ่อดูหน่อยสิ"

พ่อดึงม้วนกระดาษนั้นไปแล้วกางออก ก่อนส่งเสียงตกใจเล็กๆ เมื่อได้เห็นภาพวาดนั้นแล้วพลิกโชว์ให้แม่ดูด้วย

"สวยจัง"

"ผม...ผมวาดเอง" ได้ทีก็เลยโอ้อวดเสียหน่อย ทั้งๆ ที่ความจริงพลีสเป็นคนวาดก็เถอะ

"เก่งนี่ ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพลีสวาดภาพได้ดีขนาดนี้"

"เก่งมากเลยลูก"

คำชื่นชมของพ่อกับแม่พลีสทำให้ผมเผลอยิ้มกว้างราวกับตัวเองเป็นเจ้าของภาพวาดนั้น สงสัยว่ารอยยิ้มของผมมันจะกว้างเกินไปหน่อย จึงถูกพี่หน่อยแซวเข้าอย่างล้อเล่น

"ยิ้มใหญ่เลยนะคะ"

"ครับ มีความสุขครับ"

ผมนึกไปถึงคราวก่อนที่เคยเอาผลสอบวิชาคณิตให้พวกเขาดู ทั้งๆ ที่มันได้คะแนนเกือบเต็มแต่ตอนนั้นกลับถูกกดดันให้พยายามมากกว่าเก่า เทียบกับวันนี้ที่ถูกชมไม่หยุดปากผมจึงดีใจแทนพลีส หากว่าพลีสได้ยินก็คงจะยิ้มกว้างไม่ต่างจากผม เมื่อพ่อกับแม่หันมองผมจึงได้บอกบางอย่างกับพวกเขาไป

"เวลาที่ผมทำอะไรได้ดี ก็อยากให้พ่อกับแม่ชมผมบ้าง"

"..."

"ถึงจะไม่ใช่คำชื่นชมที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันก็ทำให้เด็กคนหนึ่งได้รู้สึกภูมิใจในตัวเองและผมหวังว่าพลีส...หมายถึงผมจะทำได้ดีกว่านี้ครับ"

ฝ่ามือของแม่ยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ด้วยรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น

"เข้าใจแล้วจ้ะ"

"..."

"คนเก่งของแม่"

รับรู้ถึงหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมาเฉยๆ จึงคิดว่าเจ้าของหัวใจนั้นคงจะได้ยินมันเช่นกัน...รู้สึกดีใช่ไหมล่ะพลีส   

 

...

 

เช้าวันนี้ผมถูกปลุกให้ตื่นด้วยความเจ็บปวดบางอย่างในร่างกาย ปวดหัวตุบๆ เปลือกตาหนักอึ้งยากที่จะขยับลืม คล้ายเหมือนตอนเป็นไข้ ลมหายใจก็ร้อนผ่าว แต่เพราะความร้อนที่รับรู้ได้ผ่านลมหายใจนั้น กลับทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาซะเฉยๆ...ได้อีกวันสินะ 

ลุกจากเตียงแล้วตรงเข้าห้องน้ำ แต่ในจังหวะที่ผมถอดเสื้อออกก็เกิดความรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่ท้องข้างที่โดนแทง ก้มมองไปยังตรงนั้นก็พลันตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง ไม่เพียงแค่ความเจ็บปวดแต่ยังปรากฏบาดแผลและเลือดที่ไหลนอง สองขาผมทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยความเจ็บปวด ผมกัดฟันลุกขึ้นยืน ตั้งสติแล้วบอกกับตัวเองว่ามันเป็นแค่ภาพสมมติ ทั้งบาดแผลและความเจ็บปวดนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง ความเจ็บปวดจึงค่อยๆ เลือนหายแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมานอกอก ผมยันตัวเองนั่งพิงกับผนังห้องน้ำเพื่อให้ร่างกายได้สงบลง

การแจ้งเตือนจากเบื้องบนสร้างบาดแผลสมมติให้ผมได้เจ็บปวดแต่ร่างกายที่อ่อนแรงลงเพราะพิษไข้นั้นเป็นเรื่องจริงและทั้งหมดนั้นมันก็ทำให้ผมรู้ตัวเป็นอย่างดีว่าเวลานั้นมันใกล้เข้ามาทุกที 

"น้องพลีส"

"ครับ"

ผมหันมองพี่หน่อยที่เรียกผมเอาไว้ก่อนที่จะออกจากบ้าน

"ลืมแซนด์วิชค่ะ"

"จริงด้วย" ผมว่าแล้วรับถุงแซนด์วิชที่พี่หน่อยอุตส่าห์เตรียมให้เป็นอาหารเช้า ก่อนพี่หน่อยจะไล่สายตามองผมหัวจรดเท้าคล้ายสำรวจความเรียบร้อยและเจอจุดบกพร่องที่รองเท้าข้างหนึ่งซึ่งผูกเชือกเอาไว้ลวกๆ

"เดี๋ยวก็เดินสะดุดจนได้"

"ผมทำเองครับ!" ผมกำลังจะชักเท้าหนีแต่ไม่ทันพี่หน่อยที่ก้มลงผูกเชือกรองเท้าข้างนั้นให้เรียบร้อย ทั้งรู้สึกขอบคุณและขอโทษอยู่ในใจที่ต้องปล่อยให้พี่หน่อยทำเรื่องเล็กน้อยแบบนั้นให้แต่ถึงอย่างไรพี่หน่อยก็ยังลุกขึ้นมายิ้มให้ผมเสมอ เมื่อผมก้าวเท้าออกมาจากบ้านและหันกลับไปอีกครั้งพี่หน่อยก็ยังยืนมองอยู่ตรงนั้น

"พี่หน่อยครับ"

"คะ"

"ผมไปแล้วนะครับ"

อาจเป็นคำล่ำลาครั้งสุดท้ายและดูเหมือนว่าพี่หน่อยจะเข้าใจความหมายที่ผมสื่อออกไปได้ดี ก้าวเท้าเข้ามาหาแล้วยกมือขึ้นกอดผมแน่นๆ หนึ่งที

 

"โชคดีนะคะ"

 

...

 

ตามโทรหาผมในระหว่างที่เดินทางมาโรงเรียน บอกกับผมว่าจะมารับในตอนเย็นนั่นทำให้ผมนึกถึงสมัยก่อนตอนที่เรายังเป็นเด็กม.ปลาย ตามขี่มอเตอร์ไซค์มารับผมที่โรงเรียนเกือบทุกวัน ทั้งๆ ที่โรงเรียนตัวเองอยู่ไกลมาก วันหยุดก็โผล่มาที่บ้าน หอบเอาวัตถุดิบสำหรับทำอาหารมาอ้อนให้แม่ผมทำกับข้าวให้กินบ่อยๆ ตอนนั้นแม่ผมคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตามร่างกายจ้ำม่ำน่ากอดแบบนั้นสินะ

"ไอ้พี่พลีส!"

 

"วิ้ง"

 

ผมได้ยินเสียงตะโกนของปั้นดังกว่าความเป็นจริงก่อนถูกแทนที่ด้วยเสียงวิ้งในหูจนต้องหลับตาแน่นในจังหวะที่สองขาหมดแรงทรุดฮวบลงกับพื้นอย่างไม่อาจควบคุม

"เฮ้ย! กูยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเว้ย!"

ผมสั่นหน้าเรียกสติก่อนเงยขึ้นมองปั้นที่ยกมือค้างยังไม่ได้ทันได้แตะต้องตัวผมเลยสักนิด ก่อนมันจะใช้มือค้างนั้นที่ค้างอยู่ยื่นมาจับแขนผมช่วยพยุงขึ้น

"เป็นอะไรป่ะเนี่ย"

"ตกใจเสียงมึงนั่นแหละ"

"เวอร์!"

"ก็จะตะโกนทำไมล่ะ"

"ไม่สบายป่ะเนี่ย ตัวร้อนเชียว"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธก่อนเดินเข้าห้องเรียน อาการปวดหัวมาทักทายเป็นระยะในระหว่างวันแต่ยังพอทนไหว ไม่คิดว่าปั้นมันจะสนใจสังเกตอาการของผม เพราะอยู่ดีๆ มันก็ลงไปห้องพยาบาลแล้วเอายามาให้ ได้ยาสองเม็ดนั้นช่วยไว้จึงรู้สึกดีขึ้น เห็นมันชั่วอย่างนี้ก็พึ่งพาได้เหมือนกันแฮะ

และก็เป็นอีกวันที่หันมองนาฬิกาเพื่อรอเวลาเลิกเรียนอย่างใจจดใจจ่อ หมดคาบสุดท้ายปุ๊บก็ไม่รออะไร วันนี้ออกจากห้องเป็นแรกเลยด้วยซ้ำ เดินไปยังหน้าโรงเรียนก่อนทั้งสายตาและสองขาจะไปหยุดอยู่ที่ใครบางคน เป็นคนที่ผมมองหาซึ่งเข้ามาปรากฏอยู่ในสายตาแต่กลับสร้างความแปลกใจ

ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นตามแต่การแต่งกายนั้นไม่คุ้นตา ด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสวมทับด้วยกางเกงสีดำขนาดพอดีตัวจึงเห็นช่วงขายาวๆ ได้ชัด รวมไปถึงรองเท้าสีเดียวกันที่ทำให้ตามดูเรียบร้อยผิดหูผิดตาไปมาก ผมก้าวเท้าช้าๆ เข้าไปหาด้วยไม่แน่ใจว่าเป็นตัวจริงหรือเปล่า ก่อนที่รอยยิ้มกว้างของอีกฝ่ายจะยืนยันกับผมว่านั่นคือตาม

"แต่งตัวหล่อไปไหนเนี่ย"

"มารับเธอไง"

"ต้องขนาดนี้?"

ตามยักไหล่หน่อยๆ ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงให้ผมเดินตามไปหยุดอยู่ที่รถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ริมถนน รีโมทในมือตามถูกกดเพื่อปลดล็อกก็ยิ่งงงหนักเข้าไปอีก ผมคิดว่าผมรู้จักตามดีพอ ตามไม่ใช่คนที่จะทำตัวหล่อเพื่อมารับผมอย่างเดียวหรอก สภาพแบบนี้ต้องมีอะไรมากกว่านั้นแต่ไม่ยอมบอกกับผมแน่ๆ เมื่อผมถามซ้ำก็เอาแต่ยิ้มกลบเกลื่อน และด้วยสายตาของผมที่เอาแต่จ้องมองแม้แต่ตอนที่เปิดประตูรถเข้าไปนั่งแล้ว ตามจึงต้องจำนนยอมบอกกับผม

"ไปสัมภาษณ์งานมา"

"จริงเหรอ!"

"เออ จ้องอยู่ได้"

"แล้วได้งานไหม"

ตามพยักหน้ารับก่อนที่ผมจะหลุดยิ้มกว้าง ยกสองมือขึ้นขยี้หัวตามด้วยความดีใจ

"เก่งจริงๆ เลยไอ้ลูกหมู!"

"ไม่ใช่หมูแล้ว"

"น้องตามใจโคตรหล่อที่สุดเลยคร้าบ!" เลื่อนจากหัวลงมาขย้ำแก้มสองข้างอย่างมันเขี้ยว ก่อนที่ตามจะปัดมือผมออกด้วยหน้ายุ่งๆ

"พอเลย"

ผมลดมือตัวเองลงแต่ปากยังหุบยิ้มไม่ได้ก่อนที่ตามจะขับรถออกไป ในตอนนั้นก็ยังเอาแต่มองหน้าตาม ความชื่นชมถูกเอ่ยออกมาอีกครั้งจากใจจริง

"เธอเก่งจริงๆ เลยนะ"

"เก่งอะไร ยังไม่ได้เริ่มงานเลย บางทีอาจจะโดนไล่ออกตั้งแต่อาทิตย์แรกก็ได้"

"แล้วทำไมอยู่ดีๆ ถึงไปสัมภาษณ์งาน ไม่เห็นบอกกันบ้างเลย"

"จริงๆ แม่เอาใบสมัครมาให้สักพักหนึ่งแล้วแหละ แต่เราเพิ่งตัดสินใจ"

ผมพยักหน้าตาม ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

"คิดว่ามันคงจะถึงเวลาแล้วที่จะทำให้พ่อกับแม่สบายใจ แล้วเธอก็จะได้ไม่ต้องห่วงด้วย"

ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนยกมือขึ้นลูบหัวตามเบาๆ เพื่อบอกกับเขาว่าสิ่งที่ตามได้ทำมันดีที่สุดแล้ว

"แต่เราไม่ลืมฝรั่งเศสนะ วันหนึ่งเราจะไป ถึงจะไม่ได้ไปด้วยกัน..." ประโยคหลังเสียงแผ่วลงไปนิดดูผิดหวังเล็กน้อย ผมจึงโต้ตอบด้วยคำปลอบโยน

"ไปสิ"

"..."

"เราจะไปกับเธอทุกที่นั่นแหละ"

ตามปล่อยมือข้างหนึ่งจากพวงมาลัยแล้วกุมมือผมเอาไว้ไปตลอดทาง ตามบอกว่าจะพาผมไปกินข้าวที่อร่อยที่สุดในโลก ผมเดาไม่ออกว่าเป็นที่ไหนเพราะตอนที่อยู่กับตามก็ไม่เห็นว่าจะมีร้านไหนที่ไอ้ลูกหมูมันไม่อร่อยเลยสักร้าน จนกระทั่งรถถูกจอดที่หน้าร้านแห่งหนึ่งซึ่งคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมนิ่งไปครู่หนึ่งตอนเห็นหน้าร้านแล้วหันมองตาม

"ร้านนี้?"

"อือ"

"บ้านเราเนี่ยนะ!"

"ใช่ กับข้าวของแม่เธอ อร่อยที่สุดในโลก" พูดหน้าตาเฉยแล้วเปิดประตูรถลงไปก่อน ผมเองก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกช้าๆ สายตายังจับจ้องไปที่ร้าน ขณะลังเลที่จะเปิดประตูรถลงไป ตามก็เดินมาเปิดให้

"ตาม"

"ลงมาเถอะ"

"แต่ว่า..."

"ไม่ใช่เราคนเดียวที่เธอจากไปโดยไม่ได้บอกลา"

คำพูดของตามทำลายทุกความลังเลทั้งหมดที่มี ตามช่วยคิดคำตอบที่ผมเคยถามด้วยความสับสนว่าผมควรจะทำอย่างไรดีกับเรื่องนี้ มือที่กำลังจับมือผมแล้วพาเดินเข้าไปช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผมได้ก้าวเท้าเข้าบ้านอย่างกล้าหาญ ทันทีที่เปิดประตูร้านเข้าไป ก็ถูกต้อนรับด้วยรอยยิ้มของพ่อแม่และสายป่าน

"มากันแล้วเหรอ"

"เข้ามาเลยลูก"

สายป่านกระโดดเข้ามากอดผมโดยไม่ได้สนขาที่กำลังใส่เฝือก ถึงจะยังไม่ได้บอกความจริงให้รู้ แต่ผมคิดว่าน้องคงปักใจเชื่อไปแล้วว่าผมคือใคร

"พี่" สายป่านเรียกผมแค่นั้นโดยไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ในความรู้สึกราวกับว่าผมได้ยินเสียงเรียกผ่านแววตาคู่นั้น เสียงสมมติของสายป่านจึงปรากฏขึ้นในหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก

พี่แสง....พี่แสง...

"ครับ"

"..."

"พี่เอง"

สายป่านกอดผมแน่นกว่าเดิม ก่อนที่แม่จะเอ่ยปากพูด

"สายป่านทำไมไปกอดพี่เขาแน่นขนาดนั้นล่ะลูก"

"ก็หนูรักพี่"

"ปล่อยพี่เขาได้แล้ว อึดอัดแย่"

"ไม่ปล่อย"

"เด็กคนนี้นี่!" เมื่อพ่อยกมือท่าจะตี สายป่านจึงยอมปล่อยผมออก ก่อนถูกตามชวนเข้าไปยังเคาน์เตอร์เพื่อทำเครื่องดื่มกิน หรือความจริงแล้วก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผมได้คุยกับพ่อแม่แต่พอเหลือแค่เราสามคนผมก็เกร็งจนเอาแต่ยืนนิ่ง

"นั่งก่อนสิจ้ะ"

ผมหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกตัวอย่างเก้ๆ กังๆ หันมองพ่อที่เอ่ยปากถาม

"หิวหรือยัง"

"ยังครับ"

"ตามบอกว่าจะชวนพลีสมากินข้าวด้วย ลุงกับป้าก็ดีใจ จะได้ตอบแทนที่พลีสช่วยสายป่านเอาไว้วันก่อน"

"ผมก็ดีใจครับ"

"ที่จริง เราเคยเจอกันแล้วใช่ไหม"

ผมเงยหน้าขึ้นมองแม่แต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่แม่จะอธิบายต่อ

"ป้าจำเราได้ คนที่กินโกโก้แล้วอร่อยจนน้ำตาไหล"

ผมหลุดหัวเราะ คิดไปถึงวันที่มาหาแม่ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างพลีสครั้งแรก ผมเผลอร้องไห้ตอนมองหน้าแม่อย่างไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้และดูเหมือนว่าในตอนนี้ความรู้สึกนั้นมันก็วนกลับมาอีกครั้ง

"ผมขอโทษที่ไม่ได้กลับมาอีก"

"ที่บอกว่าจะกลับมากินโกโก้อีกเหรอจ้ะ"

ผมได้แต่ยิ้มเมื่อแม่เข้าใจไปแบบนั้น ก่อนคำพูดที่เหลือของผมจะถูกพูดต่อ

"ขอโทษที่ไม่ได้กลับมานะครับ"

"..."

"ขอโทษที่ต้องผิดสัญญา"

"..."

"ขอโทษที่ทำให้พ่อกับแม่ต้องรอ"

จบคำพูดนั้นทั้งพ่อและแม่ก็พากันเงียบไป สายตานิ่งงันจ้องมองผมอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนที่ผมจะเห็นแววตาของแม่เอ่อไปด้วยน้ำตาแต่ว่ากลับถูกรอยยิ้มกลบเกลื่อน

"ป้าคงจะเพ้อเจ้อไปเหมือนสายป่าน เพราะพลีสดูเหมือนแสงมากจริงๆ"

"ลุงก็คงจะเป็นบ้าไปด้วย เพราะตอนที่มองหน้าพลีส เหมือนลุงได้ยินว่าเรากำลังบอก ผมนี่แหละแสง ผมคือแสง บ้าจังแฮะ" ทั้งพ่อและแม่พากันหัวเราะแต่มันก็แค่ชั่วครู่เดียวก่อนที่สีหน้าของทั้งสองคนจะกลับมานิ่งเงียบ ผมหลับตาลงช้าๆ พลันน้ำตาก็ไหลออกมาจนได้ ไม่อาจบังคับน้ำเสียงที่สั่นเครือ ก่อนเอ่ยเรียกคนตรงหน้า

"พ่อ"

"..."

"แม่"

"..."

"แสงเอง"

แค่เพียงเท่านั้น อ้อมแขนของพ่อกับแม่ก็โผเข้ากอดโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม เราสื่อสารกันผ่านน้ำตาและอ้อมกอดที่โหยหา ร้องไห้จนเพียงพอต่อความคิดถึงจึงคลายกอดออกจากกันช้าๆ พ่อกับแม่ยังไม่ทันได้พูดอะไรก็ถูกแทรกด้วยเสียงของสายป่านที่ทิ้งไม้ค้ำยันแล้วกระโดดเข้ามากอดผมจากด้านหลัง เรียกว่าล็อกคอดีกว่า

"หนูบอกแล้วไม่มีใครเชื่อ!"

"อ้วน"

"พี่แสงจริงๆ ด้วย! พี่แสงของหนู!"

"อ้วน! พี่จะตายแล้ว!" ผมยกมือตบแขนอวบๆ ของสายป่านที่ล็อกคอผมอยู่ ก่อนน้องจะปล่อยผมออกท่ามกลางเสียงหัวเราะของพ่อกับแม่และตามที่ยืนยิ้มอยู่ห่างๆ

"ผมขอโทษที่เพิ่งจะมาบอก"

"..."

"ในวันที่มันช้าไปแล้ว"

เราทั้งหมดพากันเงียบไปอีกที ด้วยทั้งหมดเข้าใจดีกว่าผมไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานกว่านี้ ผมเพียงกลับมาเพื่อบอกลาแล้วก็จากไป ระยะเวลานั้นสั้นเสียยิ่งกว่าความฝันแต่ถึงอย่างนั้นพ่อกับแม่ก็ยังคงยิ้มออกมาและเอ่ยถ้อยคำปลอบใจ

"ไม่เป็นไรลูก"

"..."

"แค่กลับมาเพื่อบอกลา แค่นี้ก็พอแล้ว"

หยดน้ำตาพลันไหลลงมาอีกครั้งเมื่อพ่อกับแม่เข้าใจผมดี คนที่ผมเป็นห่วงก็คือสายป่านที่แสดงสีหน้าผิดหวังออกมาแต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม สองแขนยกขึ้นโอบผมเอาไว้อีกครั้งแล้วซบหน้าลงมาที่ไหล่

"หนูเคยเสียพี่ไปแล้ว"

"..."

"อีกครั้งก็คงไม่เป็นไร" 

เจ้าอ้วนของผมเข้มแข็งกว่าที่คิดจึงหมดห่วง ผมได้กลับมากินกับข้าวฝีมือแม่ที่ทำแต่ของโปรดของผมเอาไว้ น้ำตาและความเสียใจถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะผ่านบทสนทนาเรื่องวันวานที่ยังตรึงอยู่ในความทรงจำ จบจากมื้ออาหารก็มานอนดูหนังกับสายป่าน ซึ่งเป็นคำขอสุดท้ายของน้องที่จะทดแทนในสิ่งที่ผมเคยผิดสัญญาเอาไว้คราวก่อน ระหว่างนั่งดูหนัง ผมหันฟังสองคนข้างๆ ที่กำลังงอแงใส่กันแล้วหันมาฟ้องผม   

"พี่แสง พี่ตามแย่งขนมหนู"

"แบ่งมั่งสิ"

"พี่ก็เอาถุงใหม่สิ"

"ขี้เกียจแกะ"

"พี่อะ!"

"อย่ามาหวงน่า กินคนเดียวอ้วนนะ"

สายป่านทำหน้ายุ่ง ก่อนยอมทิ้งตัวลงนอนข้างๆ ตามแกล้งหันไปกอดน้องแล้วหยิกแก้มด้วยใบหน้าที่ดูมันเขี้ยว สายป่านกอดกลับแล้วออกปากบ่น

"พี่ตามผอมแล้ว กอดไม่อุ่นเลย"

"ผอมแต่แข็งแรงนะ มานอนนี่มา" ตามว่าแล้วกางแขนออกให้สายป่านมานอนหนุนแขน รวมถึงอีกข้างให้ผมได้หนุนด้วย ก่อนความสนุกของหนังจะดึงความสนใจให้สองคนนั้นเลิกเถียงกันได้ ส่วนผมไม่ได้สนใจหน้าจอนั้นมากนัก เพราะเอาแต่คิดถึงอะไรหลายๆ อย่าง

ผมเพิ่งเข้าใจว่าความปรารถนาจะยิ่งใหญ่ในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ ผมเคยฝันไกลและต้องการอะไรมากมายกว่านี้ แต่พอถึงวินาทีที่จะต้องตาย ชีวิตกลับก็ไม่ขออะไรเยอะ แค่ได้กินกับข้าวกับครอบครัวสักมื้อ นอนดูหนังดีๆ เรื่องหนึ่งกับคนที่ผมรัก...มันก็เพียงพอแล้วจริงๆ

แม้มันอาจจะยากที่จะต้องบอกลาโดยที่เราทั้งหมดรู้ดีว่าผมจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแต่ผมว่าเราทำได้ดีด้วยการที่เรายังคงยิ้มได้ ทั้งพ่อแม่และสายป่านรวมถึงตัวผม ผมบอกทุกอย่างที่อยากพูดไปหมดแล้ว ไม่ลืมที่จะบอกให้แม่ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและทำแก้วแตกให้น้อยลง บอกให้พ่อซื้อโน้ตบุ๊กใหม่จะได้ไม่เสียบ่อย บอกให้สายป่านตั้งใจเรียนและดูแลพ่อกับแม่แทนผมและคงไม่คำล่ำลาคำไหนดีไปกว่าการบอกรักในตอนที่ยังมีโอกาสได้พูดอยู่ ผมจึงไม่ลังเลที่จะเอ่ยคำนั้นซ้ำไปซ้ำมา สวมกอดกันอีกครั้งจนกระทั่งถึงเวลาที่ต้องกล่าวลากันจริงๆ

"ผมไปนะครับ"

"ไปดีนะแสงเทียน"

"โชคดีนะลูก"

"บ๊ายบายพี่แสง"

หลังจากนี้พวกเขาอาจจะร้องไห้ก็ได้ แต่วันนี้เราจากลากันไปด้วยรอยยิ้ม เพื่อให้ผมได้จดจำภาพเหล่านั้นเป็นวันสุดท้าย แทนที่ภาพจำของความทรมานสาหัสที่เคยฝังลึกอยู่ในใจ ซึมซับทุกอย่างตรงนี้เอาไว้เพื่อเติมเต็มความทรงจำให้สวยงาม โอกาสที่ผมได้รับมาในช่วงเวลาหนึ่งนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผมได้ปลดปล่อยทุกความรู้สึกที่ผมมีและยินดีที่จะจากโลกนี้ไปอย่างไร้กังวล



"ลาก่อนครับ"
 

...

 

ผมมาอยู่ที่หอตามอีกครั้ง อีกไม่นานตามก็จะต้องย้ายออกจากที่นี่เพื่อกลับไปอยู่ที่บ้าน เราจึงอยากใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้ายเพื่อให้เราได้นึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่รวมกันอยู่ตรงนี้ ผมเพิ่งจะซื้อแจกันสำหรับใส่ดอกกุหลาบใบใหม่มาแทนใบเก่าที่แตกไป แล้ววันนี้ผมก็ได้รับดอกกุหลาบจากตามที่ไม่เคยหลงลืมว่าผมชื่นชอบมันขนาดไหน

"จริงๆ เธอไม่ต้องซื้อกุหลาบให้เราทุกวันก็ได้ หรือไม่ก็ใช้ของปลอมสิ จะได้อยู่ได้นาน"

"ของปลอมมันไม่สวย"

"แต่ซื้อทุกวันมันก็เปลืองเงิน"

"ไม่เป็นไร"

"..."

"เจ้าของร้านดอกไม้สวยดีก็เลยอยากอุดหนุน"

"เดี๋ยวเหอะ!"

ตามหลุดหัวเราะก่อนปักกุหลาบหนึ่งดอกลงในแจกัน ผมตั้งใจลุกไปหยิบแก้วเพื่อจะเอาน้ำมาใส่แจกัน แต่พอเดินเข้าไปถึงห้องน้ำก็เกือบล้มลงเพราะขาที่ไร้แรงไปซะเฉยๆ ดีที่สองมือของผมค้ำขอบอ่างล่างหน้าเอาไว้ได้ทัน สะบัดหัวที่หนักอึ้งและฝืนดวงตาที่เกือบจะปิดลงครั้งแล้วครั้งเล่า รวบสติมองหน้าพลีสที่เห็นอยู่ในกระจก

อีกแป๊บเดียว...ขออีกแค่แป๊บเดียว...ช่วยพี่ด้วยนะพลีส  

ผมเดินกลับไปที่เดิม เทน้ำลงในแจกันในปริมาณที่คิดว่าพอดีแล้ว ก่อนเดินไปนั่งข้างๆ ตามที่หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นแล้วเปิดให้ผมดูดอกกุหลาบแห้งดอกหนึ่งที่ถูกทับเอาไว้ในนั้น

"กุหลาบที่เธอปลูก"

"มันออกดอกด้วยเหรอ" ผมตื่นเต้นเพราะตอนที่มีชีวิตไม่เคยประสบความสำเร็จในการปลูกกุหลาบให้ออกดอกเลยสักต้น

"ใช่ แต่ไม่นานมันก็ตายตามเธอไป"

ผมยิ้มนิดๆ ขยับปลายนิ้วลูบกลีบกุหลาบที่แห้งเหี่ยวนั้นอย่างเบามือ

"มันตายแล้ว"

"..."

"แต่มันก็ยังสวยอยู่เลยนะ"

ผมเลื่อนสายตามองตามที่กล่าวคำนั้นออกมา อาจไม่ได้หมายความถึงกุหลาบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งที่ตามกำลังสื่อสารผ่านแววตาคู่นั้น ผมเข้าใจเป็นอย่างดี

"ตาม"

"ฮึ?"

"ถ้าเป็นวันนี้ล่ะ"

เป็นคำถามสั้นๆ ที่ไม่ต้องขยายความ ตามก็เข้าใจดี ขยับตัวไปนั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับดึงมือผมไปด้วย ขยับปลายนิ้วโป้งจากมืออุ่นที่เกาะกุมเอาไว้ลูบไล้หลังมือผมเบาๆ แล้วบอกกับผม

"ที่จริงเราก็สูญเสียเธอไปแล้ว ที่เธอกลับมาคงจะเป็นพรจากพระเจ้าที่ประทานให้เราเพียงชั่วคราว มันเป็นฝันที่ยาวนานและดีที่สุดสำหรับเราแล้ว"

"..."

"ถ้าต้องเป็นวันนี้"

"..."

"ก็ไม่เป็นไร"

ตามรักษาสัญญาที่บอกกับผมว่าจะไม่ร้องไห้อีกผ่านความเข้มแข็งทั้งหมดที่เขามี เราจึงทำได้แค่ยิ้มให้กัน และนี่คงจะเป็นนาทีที่ผมต้องเอ่ยคำล่ำลาอย่างที่ได้ทำกับคนอื่น

"ตาม เธอเป็นความรักที่ดีที่สุดสำหรับเราเลยนะ"

"เธอก็เหมือนกัน"

ตามกระชับกอดแล้วพูดต่อให้ผมได้ฟัง

"ขอบคุณนะ ที่วันนั้นเธอเปิดประตูร้านให้เราเข้าไปหลบฝน"

นั่นเป็นวันแรกที่ทำให้เราได้รู้จักกัน...

"ขอบคุณสำหรับโอวันติลร้อน ผ้าขนหนู และรอยยิ้ม ทั้งหมดนั่นมันทำให้เราหลงรักเธอ"

อันที่จริงผมหลงรักตามก่อนและทั้งหมดนั้นคือความตั้งใจ...

"ขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเธอเข้ามาเป็นแสงที่สว่างที่สุดในชีวิตเรา"

กลายเป็นผมที่ไม่อาจกลั้นน้ำตาแต่ว่ากลบเกลื่อนมันเอาไว้ด้วยรอยยิ้มแล้วหันไปหยิบกระเป๋าสตางค์เพื่อเปิดเอาบางอย่างจากในนั้นออกมา เป็นแหวนหนึ่งวงที่ตามเคยให้ผมเอาไว้ในตอนที่ยังมีชีวิต เมื่อเขาเห็นก็จำมันได้ในทันที

"อยู่ที่เธอได้ไง"

"แม่ให้เรามา แม่บอกว่าถอดมาจากศพเราเลย ยังมีเลือดติดอยู่เลยเนี่ย"

"แสง!"

ผมหลุดหัวเราะที่ได้แกล้ง ก่อนใช้อีกมือดึงมือตามมาจับเอาไว้

"เรื่องของเราในชาตินี้มันจบลงแล้ว ขอโทษที่เราไม่อาจมีชีวิตยืนยาวกว่านี้ได้"

"..."

"ความทรมานยาวนานพอแล้ว หลังจากนี้เธอมีชีวิตเป็นของตัวเองนะ"

ผมค่อยๆ สวมแหวนวงเดิมนั้นให้กับตาม น้ำตาไหลผ่านใบหน้าแล้วหยดลงบนฝ่ามือข้างนั้นพอดี ผมบอกกับตามด้วยคำพูดสุดท้าย

"ตัวเราจากไปแต่จะทิ้งความรักเอาไว้กับเธอ"

"..."

"ไว้เจอกันใหม่ในฝันนะตาม"

ตามยกมือประคองหัวผมให้ซบลงบนไหล่แล้วกระชับกอดเอาไว้อย่างอบอุ่น แสงสุดท้ายดับลงช้าๆ ขณะที่ดวงตาหลับลงอย่างไม่อาจทนฝืน ภาพความทรงจำทั้งหมดปรากฏชัดก่อนที่เลือนหายและเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก็คือคำบอกลาจากตามที่เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา

"ลาก่อนที่รัก"

วันพรุ่งนี้ตามก็จะต้องตื่นฟื้นจากความฝัน ส่วนผมก็จะหลับใหลไปชั่วนิรันดร์...คงเหลือไว้เพียงควัน เถ้าถ่าน และความทรงจำ

 

 

 
________________________________________________________________________________________

เรื่องของตามกับแสงจบลงตรงนี้อย่างไม่มีปาฏิหาริย์แต่ก็หวังว่าจะทำให้ทุกคนได้ประทับใจไปกับการจากลาที่เราได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่แรกนะคะ ส่วนตอนหน้าจะเป็นบทสรุปสุดท้ายของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เอาไว้มาบอกลากันในตอนหน้านะคะ 

 
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 21-08-2019 03:21:21
 :pig4: :pig4: :pig4:

แสงปลดพันธนาการทุกอย่างแล้ว 

รอดูบทสรุปของพลีสหล่ะ  เชื่อว่าเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแน่นอน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 21-08-2019 03:38:03
มันไม่สนุกเลยนะ​ กับการต้องมานอนร้องไห้​ลั่นห้องตอนตีสามตีสี่อย่างนี้​ หายใจไม่ออก​ ตาก็ปวดหัวก็ปวด​ จะนอนก็นอนไม่ได้เพราะอารมณ์​เสียใจยังเต็มพิกัดอยู่​
**นานมากแล้วนะที่ไม่ได้ร้องไห้หนักเพราะอ่านนิยายอย่างนี้​ เรื่องนี้มันสุดยอดจริงๆค่ะ o13 o13 o13​ ให้สามนิ้วกับความหมอนเปียกน้ำตา
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nonlapan ที่ 21-08-2019 09:17:09
เจ็บปวดหัวใจจังค่ะ  :hao5:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 21-08-2019 09:48:45
ยิ้มทั้งน้ำตา

อบอุ่นในหัวใจทั้งที่เศร้าแทบตาย


โอ๊ย ฉันสงสารทุกคน
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 21-08-2019 10:52:06
บีบหัวใจมาก
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 21-08-2019 13:59:34
เข้าใจว่าไม่มีปาฏิหาริย์เรื่องแสงกับตามแน่ ตั้งแต่ที่บอกว่าเผาร่างแสงไปแล้วน่ะ
แต่ที่กลัวใจคือ กลัวเรื่องราวของตาม พลีส และพี่ต่อ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 21-08-2019 14:10:06
 มันเป็นบทสรุปที่ดีของทุกคน โอกาสหลังความตาย สำหรับคนติดในบ่วงทุกข์ที่สามารถกลับมาคลายปมทุกอย่างในชีวิตได้
เป็นความมหัศจรรย์ที่ไม่อาจมีได้ในชีวิตจริง แต่โลดแล่นได้ในตัวหนังสือ อ่านแล้วสนุก รอคอยในทุกตอน
  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: beedy ที่ 21-08-2019 15:21:34
ขอบคุณนิยาดีๆแบบนี้นะครับ เหมือนที่มีคำกล่าวว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา มีพบต้องมีจาก มันเป็นกฏของธรรมชาติ เชื่อว่าทั้งแสงและตาม รวมถึงครอบครัวต่างก็มีความสุข เพราะความรักกำเนิดขึ้นภายในหัวใจและจะอยู่ไปชั่วนิจนิรันด์
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 21-08-2019 16:15:46
 :mew2: :mew2: :mew2: :mew2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 21-08-2019 18:00:54
ไม่หน่วง แต่เราร้องไห้ ทำไมลึกซึ้งมากมายขนาดเน้
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 21-08-2019 20:15:28
ลาก่อนแสง
ฉันรู้จักเธอฝ่ายเดียว
เลยเป็นฉันที่ร้องไห้คนเดียวหน้าคอมฯ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 21-08-2019 20:42:54
 o18

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ain ที่ 21-08-2019 22:06:56
จุกค่ะไม่รู้จะเม้นอะไรดี
 :z3:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-08-2019 23:36:31
 :mew6: :mew6: :mew6: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-08-2019 15:46:02
รอ

อยู่

นะ


และ


ที่


สำ


คัญ


รอ


เรื่อง


ใหม่


ด้วย
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- ตอนที่่ 22-- 21/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 29-08-2019 19:41:15
ชีวิตก็มีเท่านี้จริงๆ ค่ะ การจากลา ไม่ว่าใครก็ไม่อยากเจอ
แต่อย่างน้อย แสงก็ได้มาบอกลา ได้บอกสิ่งที่ยังค้างคา
ให้ตัวเองได้หมดห่วง และให้ทุกคนได้ไปต่อ

สงสารตามมากเลย ทำทุกอย่างเพื่อแสง ใช้ชีวิตเพื่อแสง
ดีใจกับตามที่หลุดพ้นนะ อย่างน้อยแค่ได้คิดถึง
แต่ไม่ฝังตัวเองอยู่กับความเสียใจไปตลอด ก็ดีกับตามมากกว่า

ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้แสงได้กลับมาแก้ไข
และส่งต่อให้พลีสได้มีชีวิตที่เข้มแข็ง
หวังว่าพลีสจะรับรู้ได้ และดีขึ้นจากสิ่งที่เป็นอยู่
และจากอดีตที่ผ่านมา

ปั้นก็เป็นเด็กดีนะ อยู่กับพลีสด้วยล่ะ
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทส่งท้าย -- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 31-08-2019 00:56:58
บทส่งท้าย
เราทุกคนล้วนสวยงามแม้ในความไม่สมบูรณ์แบบ


พลีส :      

 

ผมหยุดเรียนไปสองสามวันเพราะอาการป่วย จนวันนี้หายดีแล้วหน่อยจึงมาส่งที่โรงเรียนแต่เช้า ผมเคยเกลียดการมาโรงเรียนยิ่งกว่าอะไร แต่ความรู้สึกเหล่านั้นมันค่อยๆ เลือนหายไปเองโดยที่ผมก็ไม่ได้พยายามจนในที่สุดแล้วการเดินเข้าโรงเรียนในตอนเช้ามันก็ไม่ใช่เรื่องลำบากใจสำหรับผมอีกต่อไป เมื่อมาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเรียนก็เผลอกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ในใจ จริงๆ ก็ไม่เคยจากไปไหนแต่รู้สึกเหมือนไม่ได้มาที่นี่ซะนาน

"เฮ้ย!"

ถึงจะไม่ใช่การเรียกชื่อแต่ผมก็รู้ว่ากำลังถูกเรียกและคนเดียวที่มักจะทักทายผมแบบนั้นก็มีแค่ปั้น ช่วงขายาวๆ ก้าวมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ

"หายแล้วเหรอ"

"หายแล้ว"

"ดีเลย ไม่มีคนให้ลอกการบ้านมาสามวันแล้ว" ว่าแล้วก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นตบไหล่ให้ผมเดินต่อ แต่ตบแรงไปหน่อยจึงทำเอาผมเซเกือบจะล้มและคนที่ตบผมก็เป็นคนเดียวกันที่ช่วยดึงแขนผมเอาไว้ไม่ให้ล้ม

"แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย ล้มตลอด"

"ก็ปั้นเล่นแรงนี่"

"ก็ปกติ"

"แต่มันเจ็บนะ"

"เอาคืนดิ" พูดจากวนๆ อย่างที่ชอบพูด พลางโน้มไหล่ให้ผมตบคืน แต่ผมไม่คิดเอาคืนเพราะตบไปก็เจ็บมือเองเปล่าๆ จึงทำได้แค่เบ้ปากใส่นิดๆ แล้วทำท่าจะเดินต่อ แต่ดูเหมือนว่าการที่ผมไม่สวนคืนจะทำให้ปั้นสงสัยจนต้องยกสองมือคว้าไหล่ผมเอาไว้ให้หันกลับไปที่เดิม

"เดี๋ยวๆ"

"อะไร"

สายตาของปั้นจ้องมองผมอยู่อย่างนั้น หัวคิ้วขมวดแล้วก็คลายออกก่อนเกิดเป็นคำถาม

"มึงกลับมาแล้วเหรอ"

"อะ...อะไรนะ"

"พลีสเวอร์ชั่นหนึ่งไง ผีออกไปแล้วเหรอ"

ปั้นคงปักใจเชื่อกับความคิดที่ว่าผมมีสองบุคลิกอยู่ในตัวหรือไม่ก็ผีเข้าผีออกอยู่ตลอดเวลาแต่เอาจริงๆ แล้วความคิดนั้นก็ไม่ได้ผิดเท่าไร ผมจึงพยักหน้าตอบรับ 

"อืม"

"..."

"เรากลับมาแล้ว"

อีกฝ่ายพยักหน้ายิ้มๆ ปล่อยมือออกจากไหล่ผมแล้วตบเบาๆ ให้เดินต่อ ยังคงหันมามองแล้วก็หลุดยิ้มออกมาอีกทีจนผมต้องหันไปถาม

"ทำไม ชอบเราแบบเวอร์ชั่นสองมากกว่าเหรอ"

"โอ๊ย! ไม่ชอบหรอก ขี้เถียงไม่เคยยอม มือก็หนัก พูดจาก็ไม่เพราะด้วย แบบนี้แหละดีแล้ว"

ผมเผลอยิ้มออกมาบางๆ พลางคิดถึงบุคลิกที่ปั้นกำลังพูดถึงแม้เจ้าตัวจะดูไม่ชอบแต่ทั้งหมดก็เป็นเพราะเขาที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้...เป็นเพราะพี่แสง

"แต่ก็เอาเหอะ จะนิสัยแบบไหนยังไงมันก็เป็นมึงอยู่ดีอะ พี่พลีส"

"ฮะ?"

"หมายถึงยังไงมันก็คือพี่พลีสไง"

"เดี๋ยว...ปั้นเรียกเราว่า..."

"พี่พลีสไง"

"ไม่เอานะ!"

"ก็ตกลงกันแล้วนี่"

"ไม่เอา"

"ทำไมเล่า ก็แก่กว่าไม่ใช่เหรอ พี่พลีสน่ะถูกแล้ว"

"ไม่! ไม่เอานะปั้น! ข้าวปั้น!" ปั้นไม่ได้สนใจเสียงโวยวายของผมแม้แต่น้อย เดินเข้าห้องเรียนอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ก็จริงที่ว่าผมอายุมากกว่าเขาถึงสองปีแต่การถูกเรียกพี่จากคนที่นั่งเรียนด้วยกันมันก็ทำให้รู้สึกประหลาดเล็กน้อย ถึงผมจะไม่ค่อยพอใจก็เถอะแต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจสักนิด สุดท้ายก็ต้องยอมรับการถูกเรียกแบบนั้นอย่างช่วยอะไรไม่ได้

"พี่พลีส! พี่พลีส!"

ถูกเรียกมาครึ่งวันมันก็เริ่มชินไปเอง อือ...พี่ก็พี่

"พี่พลีส"

"อะไร"

"ไปกินข้าวกัน"

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วตั้งใจจะหยิบการบ้านขึ้นมาทำแต่ถูกปั้นเบรกเอาไว้ด้วยการจับสมุดผมยัดกลับเข้าไปที่เดิม

"เรากินข้าวด้วยกันทุกวันนะพี่"

"ฮะ?"

"กูทิ้งเพื่อนคนอื่นมานั่งกินข้าวกับพี่เนี่ย แล้ววันนี้จะมาเทกูเหรอ" นอกจากสับสนกับสรรพนามที่ใช้มั่วซั่วอย่างเอาแต่ใจแล้วยังสับสนอีกว่าทำไมปั้นถึงมานั่งกินข้าวกับผมทุกวัน

"ไปเร็ว หิวแล้ว"

"..."

"พี่พลีส"

"อืม ไปก็ไป"

เพราะถูกเรียกแบบนั้นหรือเปล่านะ ถึงได้ทำเอาใจอ่อนได้ง่ายๆ และถึงจะไม่รู้ว่าพี่แสงไปทำยังไงปั้นถึงได้ยอมมานั่งกินข้าวด้วย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้ผมได้กลับมานั่งกินข้าวในโรงอาหารอีกครั้ง...ได้อย่างสบายใจ

 

คาบเรียนในช่วงบ่ายของวันนี้ถูกงดเพราะมีกิจกรรมแนะแนวการศึกษาต่อจากรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว อย่างที่รู้กันว่าผมหยุดเรียนไปสองปีเพราะฉะนั้นรุ่นพี่ที่มาร่วมกิจกรรมในวันนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นเพื่อนผมทั้งนั้น

กิจกรรมเริ่มต้นจากการให้ทำความรู้จักกับรุ่นพี่ จากนั้นก็ถูกแบ่งกลุ่มออกเป็นคณะ สาขาที่พวกเขากำลังเรียนอยู่ เพื่อให้คำปรึกษากับนักเรียนที่สนใจ เพื่อนที่รู้จักส่วนใหญ่แล้วจะเรียนต่อในคณะแพทย์ พยาบาล เภสัชฯ ที่นักเรียนส่วนใหญ่ให้ความสนใจและเลือกเข้าไปฟังคำแนะแนวกันก่อน

"พี่พลีส จะไปฟังคณะไหน"

"ไม่รู้สิ แล้วปั้นอยากเรียนอะไร"

"กูไม่เรียน บ้านกูรวย เดี๋ยวพอพ่อตายมรดกก็ต้องตกเป็นของกูคนเดียวอยู่ดี ไม่เห็นต้องเรียนให้ลำบากเลย"

"อุดมการณ์มั่นคงดีแต่ทรพีไปหน่อย"

"โห! นั่นด่าป่ะ!"

ผมยักไหล่หน่อยๆ ก่อนที่จะหันมองหาว่าจะไปนั่งฟังรุ่นพี่กลุ่มไหนดี ส่วนตัวผมไม่ได้สนใจคณะไหนเป็นพิเศษรวมถึงปั้นที่ดูไม่ได้สนใจการเรียนต่อเลยด้วยซ้ำ ก็เลยพากันไปนั่งฟังรุ่นพี่ในกลุ่มที่คนน้อย จนกระทั่งหมดเวลาช่วงกิจกรรม ผมได้พูดคุยกับเพื่อนเก่าที่เข้ามาทักทายนิดหน่อยแต่ไม่ทันได้คุยอะไรกันมากมาย เพราะยังมีนักเรียนบางคนสนใจในการเรียนต่อจึงเข้ามาขอคำปรึกษาจากพวกเพื่อนๆ ผมเป็นส่วนตัว เราจึงต้องแยกกันไปก่อน ส่วนข้าวปั้นหายตัวไปจากตรงนี้อย่างไร้ร่องรอย ทิ้งผมให้ยืนเคว้งไม่รู้จะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหนดี

"ไอ้ตี๋เล็ก!"

ด้วยหน้าตาที่ได้มาจากพ่อซึ่งเป็นลูกหลานคนจีนแท้ๆ ทำให้ผมไม่อาจปฏิเสธการถูกเรียกแบบนั้นได้ว่ามันหมายถึงผมและคนๆ เดียวที่เอาแต่เรียกผมแบบนั้นตั้งแต่สมัยเรียนก็คือเขา...

"ไอ้บ้าติณ" ผมหันขวับไปเรียกชื่อ เติมคำยกย่องให้อีกสักหน่อยเพื่อให้สมกับความเป็นเขา คนถูกเรียกหัวเราะชอบใจก่อนก้าวเท้าเข้ามาหา ผมเลื่อนสายตามองติณหัวจรดเท้า อาจจะเป็นเพราะชุดนักศึกษาจึงทำให้เพื่อนคนนี้ดูโตกว่าผมไปเยอะ ไม่เกี่ยวกับส่วนสูงที่มากกว่าผมเกือบยี่สิบเซ็นฯ นั่นหรอกนะ   

"ไงตี๋"

"ไปอยู่ไหนมา เมื่อกี้ไม่เห็นเลย"

"ไปหาขนมกินที่โรงอาหารมา" 

"มันใช่เวลาไหม คนอื่นเขาทำกิจกรรมกันอยู่เนี่ย"

"คนอย่างกูจะไปให้คำแนะนำใครได้ กูเลยแอบไปหาอะไรกินดีกว่า"

ผมพยักหน้ารับก่อนติณจะหาที่นั่งชวนผมคุยหลังจากที่ไม่ได้เจอกันนาน ติณก็เป็นหนึ่งในนักศึกษาคณะแพทย์ ถึงสมัยเรียนจะดูไม่ค่อยได้สนใจการเรียนเท่าไรเพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเล่นกีฬามากกว่า แต่ผลการเรียนกลับเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด หลังจากที่ผมหยุดเรียนไปจึงไม่ได้ติดต่อกับใครในห้องเลยแต่ติณเป็นคนเดียวที่ผมได้คุยด้วย ในตอนที่ผมยังต้องรักษาบำบัดกับจิตแพทย์หลังจากเหตุการณ์วันนั้นและจิตแพทย์คนนั้นก็เป็นแม่ของติณ เราจึงบังเอิญได้เจอกันบ้างหรือบางครั้งก็ตั้งใจ เรื่องราวของผมติณเองก็รู้ดีแต่มักจะแกล้งทำเป็นไม่รู้ หาเรื่องอื่นมาชวนคุยเสียมากกว่า อย่างในตอนนี้ก็เช่นกัน เอาแต่พูดเรื่องร้านข้าวในโรงอาหารไม่หยุด

"กูโคตรคิดถึงร้านขนมหวานของป้าอ้อยเลย มึงจำได้ป่ะที่พวกเราไปถ่ายรูปหน้าร้านป้าอ้อยลงหนังสือรุ่นด้วยอะ เลย ที่สุดของความทรงจำสมัยมัธยมแล้ว"

"หนังสือรุ่น?"

"เออ อยู่หน้าสุดท้ายที่เป็นภาพรวมๆ อะ"

"เราไม่มีหนังสือรุ่นเล่มนั้น"

"..."

"ก็ไม่ได้จบพร้อมกันซะหน่อย" 

ติณเงียบไปเพราะประโยคนั้นของผม ดูเหมือนอีกคนเพิ่งจะรู้ตัวและคิดได้ ต่างฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่อีกคนจะรีบเปลี่ยนเรื่องไปซะก่อน

"แล้วมึงเลือกยังว่าจะเรียนต่อคณะไหน"

"เราเรียนอะไรก็ได้"

"อะไรก็ได้?"

"อืม อะไรก็ได้" ในคำว่าอะไรก็ได้มันมีความหมายที่แท้จริงว่า อะไรก็ได้ที่แม่เลือกให้ ถึงแม้ว่าตอนนี้พ่อกับแม่จะดูเข้าใจผมมากขึ้นแต่ผมคิดว่าความคิดของแม่เกี่ยวกับอนาคตของผมยังไม่เปลี่ยนไป ยังไงแล้วผมก็คงต้องเดินต่อในเส้นทางที่แม่ได้เลือกไว้ให้แล้ว   

"อะไรก็ได้ไม่ได้หรอกนะ"

ผมหันมองคนข้างๆ อย่างไม่เข้าใจในประโยคสั้นๆ นั้น ก่อนที่เขาจะพูดต่อ

"แม่มึงเลือกให้ใช่ไหมล่ะ"

ติณรู้ดีอยู่แล้ว ผมจึงทำได้แค่พยักหน้ารับ

"มึงเคยบอกแม่มึงไหมว่ามึงอยากหรือไม่อยากเรียนอะไร"

"เราก็ไม่รู้"

"ไม่ใช่ไม่รู้หรอกแต่มึงไม่เคยคิดต่างหาก เพราะมึงเชื่อไปแล้วไงว่ามึงต้องทำอย่างที่แม่มึงบอกไง มึงบอกว่าอะไรก็ได้แต่มึงแน่ใจใช่ไหมว่าทำได้โดยที่มึงไม่ได้ฝืนใจ มึงลองกลับไปคิดดูดีๆ นะตี๋ นี่มันชีวิตของมึง"

ผมได้แต่เงียบไปเพราะประโยคเหล่านั้น ดูเหมือนสิ่งที่ติณพูดจะทำให้ผมได้คิดขึ้นมาบ้างว่าผมจะยังคงยืนหยัดอยู่บนความคาดหวังของแม่ต่อไปหรือว่าจะลองเลือกเส้นทางใหม่ด้วยตัวเองดูบ้าง 

"ติณ!"

ทั้งผมและติณหันมองผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินเข้ามาเรียก ดูเหมือนว่าพวกรุ่นพี่จะทยอยกลับกันแล้ว ติณจึงหันมาบอกลาผม   

"ไปก่อนนะตี๋"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่อีกคนอ้าแขนออกทำท่าจะเข้ามากอด ผมจึงโต้ตอบกอดนั้นด้วยสองแขนของตัวเองเช่นกัน ก่อนติณจะใช้มือที่โอบร่างผมอยู่ตบหลังผมเบาๆ แล้วพูดกับผม

"กอดได้แล้วนี่"

"..."

"หายดีแล้วนะ"

ติณคลายกอดออกจากผมไปขณะที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่าผมได้โต้ตอบอ้อมกอดนั้นอย่างไม่ลังเลที่จะให้ใครมาแตะเนื้อต้องตัวอย่างที่เคยเป็นมาก่อนหน้านี้ ติณบอกลาผมอีกทีก่อนจะเดินออกไปจากตรงนี้ ผมยังย้อนกลับไปคิดถึงการกระทำของตัวเองเมื่อครู่อย่างสงสัย ไม่รู้จริงๆ ว่า การโอบกอดกับใครสักคน มันกลายเป็นเรื่องง่ายไปตั้งแต่เมื่อไร

"แฟนเหรอ"

ผมเผลอสะดุ้งเพราะเสียงกระซิบข้างหูจากปั้นที่ไม่รู้มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไร

"แฟนอะไร"

"คนเมื่อกี้ไง"

"เพื่อนเหอะ"

"เพื่อนที่ไหนกอดกัน"

"ทำไมเพื่อนจะกอดกันไม่ได้"

"กูกอดมึงได้ป่ะล่ะ"

"เฮ้ย..." ผมถอยหลังหนีปั้นที่ทำท่าจะเข้ามากอด อีกฝ่ายยกมุมปากขึ้นยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนลดมือตัวเองลง แต่ในจังหวะนั้นกลายเป็นผมที่ขยับตัวเองเข้ายืนข้างๆ แล้วจับแขนข้างหนึ่งของปั้นขึ้นคล้องไหล่ตัวเอง

"ทำอะไรวะ"

"อย่าปล่อยสิ!" ผมทำเสียงดุนิดหน่อย เจ้าของแขนที่ผมยกขึ้นมาคล้องเอาไว้เฉยๆ ก็ขยับมือกอดไหล่ผมเอาไว้โดยไม่ต้องร้องขอ ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นอย่างไม่คิดขยับหนี หัวใจก็เต้นเป็นปกติทั้งๆ ที่เราใกล้กันขนาดนั้น ความมั่นใจหลั่งไหลจากไหนก็ไม่รู้และมันมากพอที่จะทำให้ผมยกสองมือขึ้นโอบเอวปั้นเพื่อกอดเอาไว้จนอีกฝ่ายโวยลั่น   

"เฮ้ย! พี่พลีส!"

"เฉยๆ น่า"

"พี่ทำอะไรวะ!"

แค่อยากมั่นใจว่าผมสามารถทำแบบนั้นได้โดยไม่มีอาการต่อต้านหรือหวาดกลัวอย่างที่เคยเป็น แล้วทุกอย่างก็ปกติเสียจนตัวผมเองยังสงสัย หรือว่าอาการเหล่านั้นมันจะหายดีแล้วจริงๆ

"ไอ้พี่พลีส ถ้ามึงไม่ปล่อยกูจับทุ่มจริงๆ ด้วยนะ"

"เอาสิ"

"คิดว่ากูไม่กล้าเหรอ!"

"ก็เอาสิ!"

ผมเสียงดังสู้ปั้น อีกคนก็ได้แต่กระทืบเท้างอแงไม่กล้าจับผมทุ่มจริงๆ นอกจากขยับปากด่าแล้วบ่นพึมพำ

"ผีเข้าอีกแล้วหรือไงวะ"

คำพูดของปั้นทำให้ผมคิดถึงคนที่เคยเข้ามาอยู่ในร่าง ตอนที่พี่แสงอยู่ในตัวผม มันเหมือนกับว่าจิตวิญญาณของผมเองก็ไม่ได้หายไปไหนและในบางครั้งบางคราวก็มีความทรงจำของพี่แสงโผล่เข้ามาในหัวของผมเป็นภาพทับซ้อนราวกับผมและพี่แสงได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน ผมว่าผมได้คำตอบจากสิ่งที่พยายามถามตัวเองว่าความกล้าและความมั่นใจเหล่านั้นมันมาจากไหน...น่าจะเป็นพี่แสงที่ทิ้งมันเอาไว้ให้ผม 

 

...

 
ผมเคยบอกกับตัวเองว่า บ้านพี่แสง จะเป็นที่สุดท้ายในโลกนี้ที่ผมเลือกจะไป ด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อเขาอย่างมากมายมันทำให้ผมไม่สามารถที่จะพาตัวเองไปพบเจอกับครอบครัวของเขาได้ ไม่แม้แต่จะกล้าสู้หน้าเพื่อจะเอ่ยคำว่าขอโทษหรือขอบคุณและไม่เคยหวังที่จะได้รับการให้อภัยแต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...สุดท้ายแล้วผมก็มายืนอยู่ที่นี่จนได้

มาถึงที่นี่แล้วแต่ความลังเลยังปะปนอยู่ในความสับสนจนไม่กล้าพอที่จะเปิดประตูร้านเข้าไป ผมยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นนานพอควร ก่อนรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มีก้าวเท้าไปที่หน้าประตู ในตอนที่มองเห็นภาพสะท้อนของตัวเองผ่านประตูกระจกนั่น พลันคิดถึงใครบางคนขึ้นมาเมื่อจ้องมองเข้าไปในแววตาของตัวเอง

 

พี่แสง...ช่วยผมด้วยนะ

 

"กริ๊ง"

 

เสียงกระดิ่งที่ประตูพาให้สายตาของคนที่อยู่ในร้านหันมามองผม ก่อนเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ประตูจะหันมาร้องเรียก ผมรู้ว่านั่นคือสายป่าน น้องสาวพี่แสง

"พี่!" ร้องเรียกผมเสียงดังพลางลุกขึ้นยืน แต่ด้วยขาที่กำลังใส่เฝือกและลุกอย่างไม่ทันระวังจึงทำเอาเกือบล้ม ดีที่ผมพุ่งตัวเข้าไปเข้าไปรับเอาไว้ได้ก่อน 

"พี่...พลีส"

ชื่อของผมถูกเอ่ยออกมาด้วยเสียงที่เบาลงคล้ายอีกฝ่ายกำลังรู้ตัวว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่พี่แสงแล้ว สายป่านปล่อยมือออกจากผมแต่ยังคงยิ้มให้ แล้วชี้ให้ผมนั่งที่เก้าอี้อีกตัวด้วยความเป็นมิตร

"นั่งก่อนสิคะ"

ผมพยักหน้ารับแล้วหย่อนตัวลงนั่งช้าๆ ก่อนที่สายป่านจะยื่นหน้าเข้ามาถาม

"กินอะไรดีคะ"

"ไม่เป็นไรครับ พี่แค่..."

"ไม่สั่งไม่ให้นั่งในร้านนะ" พูดเป็นเชิงล้อเล่นแล้วยิ้มจนตาหยี ความน่ารักของน้องพี่แสงทำเอาผมเผลอยิ้มตามไปด้วย ก่อนคะยั้นคะยอให้ผมสั่งน้ำสักแก้ว ผมจึงเอ่ยปากสั่งเมนูโกโก้โอริโอ้ปั่นด้วยเป็นเมนูเดียวที่คิดขึ้นมาได้

"ป่าน มาดูมือถือให้พ่อหน่อยสิ ทำไมพ่อต่อไวไฟไม่ได้"

"อีกแล้วเหรอพ่อ"

สายป่านตอบรับพ่อพี่แสงที่เดินเข้ามาเรียก ก่อนใช้ไม้ค้ำยันพาตัวเองเดินไปหาพ่อที่โต๊ะอีกตัว ไม่นานนักแม่ของพี่แสงก็เป็นคนเดินเอาน้ำแก้วนั้นมาเสิร์ฟ ไม่มีบทสนทนาใดนอกเสียจากรอยยิ้มและคำทักทายเล็กน้อย ด้วยทั้งหมดรู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่พี่แสงอีกต่อไปแล้วและที่สำคัญพวกเขายังไม่รู้ว่าผมคือเด็กคนนั้น คนที่พี่แสงช่วยเหลือเอาไว้ ผมได้แต่มองหน้าแม่พี่แสงแล้วเอาแต่เงียบ แต่อีกฝ่ายคงรู้ดีว่าผมมีบางอย่างที่ต้องการจะพูด จึงเอ่ยถามเบาๆ

"มีอะไรหรือเปล่าจ้ะ"

ก่อนที่จะตอบ ผมเลื่อนสายตามองไปยังพ่อของพี่แสงกับสายป่านที่โต๊ะอีกตัว ความในใจของผมถูกแม่พี่แสงอ่านออกอย่างง่ายดาย

"อยากคุยกับพวกเขาด้วยใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งหมดจะมานั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกัน ด้วยสายตา ด้วยความเงียบ ด้วยความรู้สึกอะไรหลายๆ อย่างมันกลับทำให้ผมไม่กล้าสบตา ได้แต่อึกอักลังเลไม่รู้จะเริ่มตรงไหน

"คือ...พี่แสง..."

"แสงไปแล้ว พวกเรารู้ดี"

ผมเงยหน้าขึ้นมองเมื่อพ่อพี่แสงพูดประโยคนั้น ก่อนสายป่านจะหันมาถาม

"แล้วพี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมอะ ที่พี่แสงเขาแบบ...มาเข้าร่างพี่"

"ไม่เป็นไรครับ"

ทุกคนยังเอาแต่ยิ้มให้เพราะไม่มีใครรู้ถึงความจริงที่เกิดขึ้น ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องปกปิดมันเอาไว้และผมก็จะพูดมันออกไปอย่างที่ได้ตั้งใจมาตั้งแต่แรก

"ผมขอโทษ"

"..."

"ผมขอโทษครับ"

"ขอโทษเรื่องอะไรจ้ะ"

"ผมคือเด็กคนนั้น"

"..."

"คนที่พี่แสงช่วยเอาไว้"

จบประโยคของผมทุกคนก็พากันเงียบ ผมเองได้แต่ก้มหน้าลงต่ำเผลอหลับตาเพื่อยอมรับทุกการโต้ตอบไม่ว่าผมจะถูกต่อว่า ด่าแรงๆ หรือตบหน้าผมสักครั้ง ผมก็จะ...

"ขอบคุณนะพลีส"

การโต้ตอบที่ผมได้รับกลับมา มันผิดจากที่ผมคิดไปมากมาย   

"เพราะอย่างนี้นี่เอง พลีสเลยเป็นคนพาแสงกลับมา ขอบคุณที่ทำให้พวกเรามีโอกาสได้คุยกับแสงอีกครั้งนะ"

คำขอบคุณถูกเอ่ยอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มของทุกคนในครอบครัวพี่แสงอย่างที่ผมรู้สึกได้ว่าคำขอบคุณนั้นดูจริงใจเหลือเกิน แต่ด้วยรอยยิ้มและความอ่อนโยนจากคนในครอบครัวพี่แสงมันกลับทำให้หัวใจของผมรู้สึกผิดมากยิ่งกว่าเก่า ผมไม่คู่ควรกับคำขอบคุณนั้น...ไม่คู่ควร   

"มันเป็นเพราะผม"

ผมไม่ได้ทำให้พวกเขาได้กลับมาคุยกับพี่แสงอีกครั้ง แต่ผมทำให้พวกเขาหมดโอกาสที่จะได้คุยกับพี่แสงไปตลอดชีวิตต่างหาก

"เป็นเพราะผม พี่แสงถึงได้..."

คำพูดของผมหยุดชะงักตอนที่แม่พี่แสงยื่นมือมากุมมือผมเอาไว้ ถ้อยคำปลอบโยนถูกพูดออกมาจากทุกคนในครอบครัวของพี่แสง 

"ไม่ใช่เพราะพลีส" 

"ไม่ใช่ความผิดพลีสเลย" 

"พี่พลีสไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย" 

เพียงเท่านั้นผมก็ไม่สามารถกักเก็บความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในใจแล้วหลั่งระบายออกมาเป็นน้ำตาที่ยากเกินกว่าจะกลั้นเอาไว้ อีกฝ่ายยังคงมีแต่รอยยิ้ม เป็นรอยยิ้ม...ที่แสนอบอุ่นและอ่อนโยน

และมันทำให้ผมคิดได้ว่าที่ผ่านมาผมมัวทำอะไรอยู่ ผมเพิกเฉยต่อความรู้สึกของพวกเขาเพียงเพราะเอาแต่คิดถึงความรู้สึกของตัวเองที่ไม่อาจยอมรับได้ว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่แสงต้องจากไป ผมเอาโทษตัวเองแต่คนที่ต้องสูญเสีย...ไม่เคยคิดโทษผมเลย และแม้จะรู้ดีว่าคำว่าขอโทษไม่อาจชดใช้ให้ชีวิตที่ต้องจากไปได้แต่ผมก็ยังคงพูดมันออกมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก   

"ผมขอโทษครับ"

"..."

"ผมขอโทษจริงๆ ครับ"

"ไม่ต้องขอโทษแล้ว ไม่มีใครโกรธพลีสหรอกนะ รู้ไหม" มือที่กุมมือผมเอาไว้เลื่อนขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ไหลนองหน้าผมเบาๆ ผมเผลอมองใบหน้าของแม่พี่แสงอยู่นานครู่หนึ่ง แม้ว่าผมจะไม่ได้รู้จักพี่แสงเลยสักนิดแต่ผมรู้ว่าเขาเป็นคนดี ด้วยความรักจากครอบครัวที่เขามีทำให้เขาเป็นพี่แสงที่แสนดี แม้ในวินาทีสุดท้ายที่ต้องจากไป

"ถ้ามีอะไรที่ผมพอจะทำได้เพื่อชดใช้ให้กับพี่แสง ช่วยบอกผมเลย ผมจะทำทุกอย่าง"

"แค่พลีสใช้ชีวิตให้ดีแล้วก็มีความสุขมากๆ ก็พอแล้ว"

"..."

"แสงเองก็คงต้องการแค่นั้น"

 

จงใช้ชีวิตให้ดี  ไม่ต้องหนี ไม่มีอะไรต้องกลัว ต้องมีความสุขมากๆ นะ...

 

ผมพยักหน้ารับก่อนหยดน้ำตาจะไหลออกมาอีกครั้ง ชีวิตผมเคยหมดความหมายคิดเพียงแค่ว่ายิ่งตายเร็วเท่าไรได้ก็ยิ่งดี มันไร้ค่าเสียจนผมเคยคิดที่จะจบชีวิตด้วยตัวผมเอง แต่มันจะไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว พี่แสงจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ผมจะใช้ชีวิตนั้นเพื่อตัวผมเองและใช้มันเผื่อให้กับพี่แสง จะใช้ชีวิตให้ดี...ให้สมกับที่ยังมีชีวิต

 

"กริ๊ง"

 

เสียงกริ่งที่หน้าประตูดังอีกครั้งก่อนที่ลูกค้ากลุ่มใหญ่จะเดินเข้ามานั่งเต็มทุกโต๊ะ แม่พี่แสงเลยต้องกลับเข้าไปในเคาน์เตอร์โดยที่พ่อพี่แสงก็ลุกไปช่วย ส่วนสายป่านยังนั่งอยู่กับผมพลางสะกิดให้กินโกโก้ปั่นที่วางอยู่ตรงหน้า

"รีบกินเลยพี่พลีส ละลายหมดแล้ว"

ผมพยักหน้ารับแล้วก้มลงดูดน้ำตรงหน้า ด้วยความอร่อยของรสชาติที่เพิ่งเคยลองเป็นครั้งแรกทำเอาผมเผลอทำตาโตแล้วยกแก้วขึ้นมาดูดอีกครั้ง

"อร่อยไหมคะ"

"อร่อยมากครับ"

"เมนูเด็ดของแม่เลย พี่รู้ได้ไงว่าต้องสั่งอันนี้"

"พี่แสงบอก"

"พี่แสงนี่ขี้โม้จริงๆ" สายป่านหลุดขำพลางส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเสียงเรียกของแม่พี่แสงจะดังขึ้น

"สายป่าน! มายกไปเสิร์ฟที"

"แม่! หนูขาหักอยู่!" คนตรงนี้ตะโกนตอบหน้ายุ่ง ผมจึงวางแก้วในมือลงแล้วลุกไปที่หน้าเคาน์เตอร์เพื่ออาสาช่วยเสิร์ฟเอง

"ผมช่วยครับ"

"จะดีเหรอพลีส ป้าไม่อยากใช้งานหนูนะ"

"ให้ผมช่วยเถอะครับ"

"งั้นยกไปเลยจ้ะ ระวังด้วยนะ" ผมพยักหน้ารับพลางยกถาดแก้วน้ำนั้นอย่างระวังอย่างที่แม่พี่แสงบอกแล้วเดินไปเสิร์ฟ ด้วยลูกค้าที่เต็มร้านทำให้ผมไม่หมดหน้าที่แค่นั้น หันไปรับเมนูใหม่ที่อีกโต๊ะสั่งเดินไปส่งที่เคาน์เตอร์ แล้วรับเมนูที่ทำเสร็จแล้วเดินกลับมาเสิร์ฟ วนไปวนมาจนกว่าทุกโต๊ะจะได้เครื่องดื่มครบตามที่สั่ง เมื่อหันไปเห็นลูกค้าใหม่ที่กำลังจะเข้ามาในร้าน ผมที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดีจึงเปิดประตูให้พลางกล่าวต้อนรับด้วยสัญชาตญาณ

"เชิญครับ"

"ขอบคุณจ้ะ" ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้ผมนิดหน่อยก่อนเดินไปที่เคาน์เตอร์ ดูท่าทางว่าจะรู้จักกับแม่พี่แสงดีเพราะทักทายกันอย่างคนสนิท สั่งกาแฟเสร็จก็ชวนคุยในระหว่างรอ

"ได้แล้วค่ะพี่อุ่น"

"เท่าไรจ้ะ"

"กาแฟสี่สิบ โกโก้ปั่นสี่สิบห้า เค้กชิ้นละยี่สิบห้า สามชิ้นก็..."

"ร้อยหกสิบบาทครับ"

ทั้งแม่พี่แสงและป้าคนนั้นต่างหลุดหัวเราะที่ผมคำนวณราคาทั้งหมดและพูดออกไปได้ไวกว่าเครื่องคิดเงินนั่น ผมจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนความเก้อเขิน

"นี่เด็กเสิร์ฟใหม่เหรอ"

แม่พี่แสงไม่ทันได้ตอบ คงเพราะไม่รู้ว่าจะแนะนำผมว่าอย่างไร ผมจึงพยักหน้ารับ เพราะเพิ่งจะแอบคิดเล่นๆ อยู่ในใจว่า ผมได้กลายเป็นเด็กเสิร์ฟมืออาชีพไปแล้ว

"น่ารักจังเลย"

ผมหลุดยิ้มตอนที่ได้รับคำชมนั่น เหมือนไม่ได้ยินคำนั้นมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่นิสัยผมเริ่มเปลี่ยนแปลงไป ผมก็ทำตัวไม่น่ารักใส่คนรอบข้างมาตลอดจนกระทั่งคำว่าน่ารักไม่เหมาะกับนิสัยของผมเลย

"พลีสคิดเลขไวมากเลย ชอบเรียนคณิตเหรอลูก"

"ชอบครับ"

"ต่างกับพี่แสงมาก พี่แสงนี่ไม่ได้เรื่องเลย เลขสองหลักยังต้องใช้เครื่องคิดเลขคิดส่วนเกรดวิชาคณิตนี่ไม่ต้องพูดถึง ตกทุกเทอมจริงๆ"

"จริงครับ" ผมตอบรับขำๆ ก็เพราะพี่แสงทำผมสอบตกคณิตมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนเลย

"เก่งจังเลย" รอยยิ้มของผมกว้างขึ้นตอนที่ได้รับคำชื่นชมเล็กๆ น้อยๆ นั่นบวกกับฝ่ามือของแม่พี่แสงที่ยกขึ้นลูบหัวผมเบาๆ ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าแค่การบวกเลขง่ายๆ มันจะสามารถทำให้ผมได้กลายเป็นคนเก่งในสายตาของใครสักคนหนึ่ง

ผมอยู่ช่วยงานที่บ้านพี่แสงจนกระทั่งลูกค้าทยอยกลับหมดร้าน เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้วและดูเหมือนว่าฝนทำท่าจะตกด้วยพ่อแม่พี่แสงเลยบอกให้ผมกลับบ้านเพราะกลัวจะต้องเปียกฝน ยังคงมีรอยยิ้มให้ผมจนกระทั่งตอนที่ผมบอกลาแล้วก้าวเท้าออกมา สองขาของผมหยุดเดินแล้วหันกลับไปมองอีกที

"ถ้าไม่ว่าอะไร...ผมมาที่นี่อีกได้ไหมครับ"

"ได้เลย!" เสียงดังของสายป่านตะโกนตอบเป็นคนแรก พ่อกับแม่พี่แสงก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง ผมหันหลังกลับไปหยุดอยู่ที่ประตู กระจกใสบานเดิมสะท้อนใบหน้าของผมที่กำลังยิ้มได้กว้างกว่าที่เคย

พี่แสงทิ้งอะไรเอาไว้ให้ผมหลายอย่าง ทั้งชีวิตและความเชื่อมั่น คล้ายกับว่ามีตัวตนของพี่แสงคงค้างอยู่ในร่างกายของผมรวมถึงจิตวิญญาณ ผมจึงมั่นใจที่จะเดินต่อไปและใช้ชีวิตเพราะคิดว่ามีพี่แสงอยู่ตรงนี้ด้วย นอกจากคำว่าขอโทษที่ผมได้พูดออกไปแล้วคงมีอีกคำที่อยากให้พี่แสงได้ยินจริงๆ

 

ขอบคุณนะครับ...พี่แสง

 

...
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 31-08-2019 01:02:04
ผมกลับมาถึงบ้านได้ทันเวลาก่อนที่ฝนจะลงเม็ดลงมาพอดี เผลอยิ้มให้กับความโชคดีของตัวเองที่ไม่ต้องเปียกฝน ก่อนที่จะเดินเข้าบ้านแล้วจึงได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่

"ขยับไปทางซ้ายนิดหนึ่งค่ะ"

"โอเคยัง"

"อีกนิดหนึ่งค่ะ โอเคค่ะ"

ผมก้าวเท้าช้าลงตอนที่มองไปยังพ่อกับพี่หน่อยที่ยืนอยู่ตรงนั้น พ่อก้าวลงจากเก้าอี้แล้วถอยหลังออกมาดูกรอบรูปที่เพิ่งจะขึ้นไปติดบนผนัง ก่อนขยับมุมปากยิ้มอย่างดูพอใจ ผมเลื่อนสายตาขึ้นมองภาพนั้นก่อนเผลอส่งเสียงตกใจนิดหน่อยเมื่อเห็นว่ามันเป็นรูปวาดในวิชาศิลปะของผม

"นี่มัน..."

"พ่อเห็นว่าสวยดีก็เลยเอามาติดตรงนี้ เหมาะเลยใช่ไหมล่ะ"

ผมเลื่อนสายตากลับไปมองรูปวาดนั้นอีกที ตอนที่มันติดอยู่ในบอร์ดห้องศิลปะ ไม่ได้สนใจที่จะเงยหน้ามอง เพราะไม่ได้คิดว่ามันสวยงามหรือพิเศษไปกว่ารูปวาดของคนอื่นแล้วปกติก็ไม่เคยเอารูปวาดพวกนั้นกลับมาที่บ้านด้วยซ้ำ

"ไม่เคยเห็นพลีสวาดรูปมาก่อน ไม่นึกว่าจะฝีมือดีขนาดนี้"

"ก็แค่...แค่แอปเปิ้ลเอง" ผมตอบกลับเบาๆ พลางยิ้มแก้เขินคำชื่นชมของพ่อที่พูดเกินจริงไปหน่อย คงเป็นเพราะพ่อทำงานอยู่ในสายของการวาดภาพและออกแบบก็เลยก็เลยชื่นชอบศิลปะมากเป็นพิเศษล่ะมั้ง

"เก่งจริงๆ เลยลูกพ่อ"

ผมเงยหน้ามองพ่อช้าๆ ดั่งภาพสโลวโมชั่น พลันคิดอยู่ในหัวว่าเมื่อครู่ผมได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่าจึงถามซ้ำ

"พ่อชมพลีสเหรอ"

"ก็พลีสเป็นคนวาด จะให้พ่อชมใคร"

ไม่หูฝาดก็อาจจะฝัน...

"ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ"

"พ่อทำพลีสเซอร์ไพรส์นิดหน่อย"

"หืม? ยังไง?"

ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ แทนคำตอบแล้วเดินไปนั่งที่โซฟาโดยที่พ่อเดินตามมาด้วย ขณะเดียวกันแม่ก็เข้าบ้านมาพอดีพร้อมเสียงบ่นพึมพำว่าด้วยเรื่องของฝนที่ตกติดต่อกันมาหลายวันแล้ว

"เมื่อไรฝนจะหยุดตกสักทีเนี่ย เบื่อรถติดจริงๆ เลย หน่อยเอานี่ไปใส่จาน" ประโยคหลังหันไปบอกกับหน่อยพลางยื่นถุงขนมที่ถือติดมือมาด้วย ผมแอบหันมองด้วยความคาดหวังว่าจะมีของที่กำลังอยากกิน ชูครีม...อยู่ดีๆ ก็อยากกินชูครีม

"ชูครีมน่ะ เห็นว่าน่ากินเลยซื้อมา"

"เยส!" เสียงดีใจของผมทำพ่อกับแม่หันขวับมามอง ผมจึงรีบก้มหน้าลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก่อนที่แม่จะเดินมานั่งข้างๆ ผมแล้วเปิดบทสนทนาด้วยประโยคที่ไม่ได้ยินเสียนาน

"เมื่อกี้แม่เจอแม่ของตะวัน..."

ผมแทบจะไม่เคยคุยกับตะวันที่อยู่ห้องเดียวกันแต่แม่ของตะวันทำงานที่บริษัทของแม่ผมและคอยรายงานเรื่องที่โรงเรียนให้แม่ฟังอยู่เรื่อย เวลาที่แม่ตะวันพูดเรื่องอะไรให้แม่ฟัง ผมมักจะรู้สึกถึงลางไม่ดีตลอดเลย

"เห็นบอกว่าวันนี้มีงานแนะแนวการศึกษาเหรอ"

"ครับ"

"แล้วพลีสสนใจอะไรเป็นพิเศษไหม"

คำพูดของติณวนกลับเข้ามาในหัวให้ผมได้ครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน จริงๆ ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่ติณบอกว่าผมไม่เคยคิดว่าอยากจะเรียนอะไรเพราะผมเชื่อไปแล้วว่าผมต้องสอบติดหมอให้ได้อย่างที่แม่ต้องการ คำถามของแม่จึงทำให้ผมหยุดยั้งคิด ถ้าวันนี้คำตอบของผมไม่ถูกใจแม่ล่ะ...มันจะเป็นยังไง

"พลีสเลือกได้ด้วยเหรอ"

"..."

"ถ้าไม่ใช่หมอล่ะครับ"

จบประโยคนั้นมันก็มีแต่ความเงียบงัน สีหน้าของแม่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วหันมองหน้าพ่อที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด ผมเองก็ได้แค่ยิ้มบางๆ ยอมรับในสิ่งนั้นอยู่แล้ว หากแต่คำตอบของแม่ที่สวนกลับมา มันเหนือความคาดหมายของผมไปมากเสียจนน่าตกใจ

"ไม่ใช่หมอก็ไม่เป็นไร"

"..."

"ให้พลีสเลือกเอง"

วันนี้ประสาทการได้ยินของผมคงไม่ดีเท่าไร ได้ยินอะไรไม่ถนัดนักเหมือนกำลังหูฝาดซ้ำซ้อน ก่อนที่พ่อจะย้ำอีกครั้งให้มั่นใจว่าผมได้ยินแม่พูดไม่ผิด

"พลีสเลือกเองเลย เลือกที่อยากเรียน พ่อคุยเรื่องนี้กับแม่แล้ว" ผมคิดว่าพ่อไม่เคยสนใจ ไม่เคยออกความคิดเห็นหรือโต้แย้งความคิดของแม่เลย แต่พ่อกลับเป็นคนที่พยายามทำให้แม่เข้าใจเพื่อที่จะให้อิสระกับผม พ่อทำผมเซอร์ไพรส์อีกแล้วและครั้งนี้ประทับใจเสียจนน้ำตาไหลเลย

"พลีสร้องไห้ทำไม"

"เปล่าครับ"

"ก็เห็นอยู่ว่าน้ำตาไหล"

"อยากกินชูครีมครับ" ผมพูดปัดพลางเช็ดน้ำตาออก แล้วรีบยื่นมือไปหยิบชูครีมในจานที่หน่อยเดินเอามาวางบนโต๊ะพอดี กัดเข้าไปคำใหญ่เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกที่กำลังมีแต่ก็ไม่อาจปิดบังมันเอาไว้ได้ ผมจึงร้องไห้ออกมาอย่างจริงจังจนทั้งสามคนตรงต้องนี้รีบเข้ามารุมปลอบใจเหมือนตอนที่ผมเป็นเด็กๆ

"โอ๋ๆ ไม่ร้องนะคะคนดีของหน่อย"

"ไม่เป็นไรนะพลีส ไม่ต้องร้องไห้"

"หยุดร้องนะ เดี๋ยวแม่ตีหรอก"

"นี่คุณ!"

ผมหลุดหัวเราะเพราะคนที่ถูกตีกลับเป็นพ่อที่เอาแม่มาขู่ผมให้หยุดร้องไห้ กระทั่งน้ำตาได้ไหลจนเพียงพอผมจึงหยุดร้องไปเองโดยไม่ได้พยายาม ความในใจที่ได้พรั่งพรูออกไปในตอนที่ยังฟูมฟาย คงทำให้พ่อกับแม่ได้เข้าใจว่า จริงๆ แล้วชีวิตผมต้องการเพียงความเข้าใจจากพ่อกับแม่...แค่เท่านั้น

"กินอีกไหม"

"เอาครับ" ผมรับชูครีมอีกชิ้นที่แม่หยิบให้ เพราะความอร่อยของมันทำให้อยากกินอีก ก่อนที่ผมจะคิดขึ้นมาได้ว่ามีอีกเรื่องที่ต้องบอกให้คนในบ้านในฟัง

"วันนี้พลีสไปบ้านพี่แสงมาด้วย"

คราวนี้คงเป็นพวกเขาที่คิดว่าตัวเองกำลังหูฝาด จนแม่ต้องถามซ้ำ

"ไปไหนมานะ"

"บ้านพี่แสงครับ ไปหาครอบครัวเขาเพื่อทำในสิ่งที่ควรทำมาตั้งนานแล้ว"

"..."

"พลีสได้ขอโทษแล้ว"

"..."

"และได้รับการให้อภัยแล้วครับ"

จบประโยคนั้นพ่อกับแม่ก็ยกมือขึ้นกอดผมเอาไว้และได้รับคำชื่นชมอย่างที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน เป็นคำที่ทำให้คนที่เคยอ่อนแอและเปราะบางได้รู้สึกภาคภูมิใจกับความกล้าหาญที่รอคอยมานานเหลือเกิน

"เก่งมากพลีส"

"..."

"เก่งมากเลยลูก"


 

...

 

 

            วันนี้ผมมีนัดกับพี่ต่อหลังเลิกเรียน หลังจากที่เขาเอาแต่พูดถึงร้านอาหารที่เจอมาจากเพจรีวิวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเดาเอาว่าเขาคงจะอยากไปก็เลยเป็นฝ่ายชวนเองแต่ตอนนี้พี่ต่อยังไม่เลิกงาน ผมจึงไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือและตอนที่เดินออกมาจากร้านก็หันไปเห็นพี่ตามที่เดินผ่านหน้าผมไปพอดี สายตาที่มองไกลออกไปข้างหน้าไม่ทันได้สนใจมองเห็นผม ผมเดินตามเขาไปจนถึงร้านสะดวกซื้อ ก่อนพี่ตามจะไปหยุดยืนอยู่หน้าตู้ไอติม ยืนมองตู้นั้นอยู่นานแต่ไม่ตัดสินใจหยิบสักที ผมจึงเอ่ยปากบอกเบาๆ   

"อันนี้อร่อยครับ"   

พี่ตามหันมองก่อนมุมปากขยับเป็นรอยยิ้มในทันที ใช้เวลามองนานกว่าที่ควรจะเป็น ก่อนรอยยิ้มกว้างเปลี่ยนเป็นยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยปากเรียกเรียกชื่อผมเบาๆ   

"พลีส"

เราต่างคนต่างรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับช่วงเวลาที่ผ่านมา พี่ตามอาจจะนึกถึงใครอีกคนในทุกครั้งที่มองหน้าผมแต่เขาก็พยายามที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ ยอมรับได้และรู้ตัวดีว่าต่อจากนี้จะไม่มีพี่แสงอยู่ในร่างของผมให้เขาได้พูดคุยเหมือนเก่า เราจึงกลับมารู้จักกันอย่างที่เคยรู้จักและทักทายกันอย่างที่เคยพบเจอเพื่อให้เราทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองต่อไป

"ตกลงเอาอันไหนครับ" ผมมองกลับไปที่ตู้ไอติม ก่อนที่พี่ตามจะหยิบอันที่ผมเพิ่งจะบอกว่าอร่อยแล้วหันมาทำเสียงขู่ 

"ถ้าไม่อร่อยจริงโดนตีแน่"

"เลี้ยงผมด้วย" ผมว่าแล้วหยิบไอติมอีกอันให้พี่ตามจ่ายเงิน

"เรื่องอะไร!" 

"พี่แสงติดหนี้ผมอยู่แต่บอกให้มาทวงกับพี่"     

"โห่!"

"อันนี้ดอกเบี้ย" ผมว่าพลางพยักหน้าให้เขาเป็นคนจ่ายเงิน คนข้างๆ ทำหน้าบูดควักแบงก์ร้อยส่งให้พนักงาน ปากก็บ่นพึมพำ 

"รวยจะตายยังจะมาคิดดอกเบี้ย กลั่นแกล้งคนจน" 

ผมส่ายหน้าหน่อยๆ แล้วดึงมือพี่ตามให้หลบคนข้างหลังที่กำลังมาจ่ายเงินต่อ ก่อนจะพากันไปนั่งกินไอติมที่เก้าอี้หน้าร้าน ผมเริ่มชวนคุยด้วยการถามเรื่องงานที่ได้ยินมาจากพี่ต่อว่าเขาเพิ่งจะเริ่มทำงานประจำได้สักพัก

"งานเป็นยังไงบ้างครับ"

"เหนื่อย" เป็นคำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ความหมายชัดเจนด้วยทั้งน้ำเสียงและหน้าตาที่แสดงออก ก่อนสีหน้านั้นจะเปลี่ยนไปนิดๆ แล้วหันมากระซิบบอก 

"แต่เงินเดือนเยอะ"

ผมหลุดหัวเราะพร้อมกับพี่ตามที่ยิ้มกว้างออกมาก่อนกัดไอติมเข้าไปอีกคำ พยักหน้าเบาๆ เพราะพึงพอใจกับรสชาติของมันซ้ำยังหันมาบอกให้ผมรู้     

"อร่อยจริง"

"พี่ตามกับพี่ต่อชอบกินไอติมเหมือนกันเลยนะครับ พี่ต่อเจอหน้าผมทีไรก็ชวนกินไอติมตลอด"

"พี่ต่อมันปลูกฝังพี่มาว่าไอติมเยียวยาได้ทุกอย่าง"

ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แม้แต่ตอนที่เจ็บเพราะเหล็กจัดฟันยังบอกให้ผมไปกินไอติมเลย

"ปรัชญารสวานิลลาของพี่ต่อมันกล่าวไว้ว่า ไอติมมันเป็นของกินที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของเวลาว่ารอนานไม่ได้ ถ้าไม่รีบกินมันจะละลาย"

"แต่โลกนี้มีตู้เย็นนะครับ"

"..."

"มีช่องฟรีซด้วย"

"กวนตีนป่ะเนี่ย!"

ผมหัวเราะอีกทีตอนที่แกล้งไปขัดกับปรัชญาอันลึกล้ำของพี่ต่อ ก่อนที่จะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างจึงฝากไอติมในมือไว้กับพี่ตามแล้วเปิดกระเป๋าหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา

"ให้พี่ตามครับ"

อีกคนทำหน้าสงสัยก่อนหยิบหนังสือในมือผมไปแลกคืนกับไอติมที่ฝากไว้ เมื่อพี่ตามเห็นหน้าปกหนังสือก็ยกมุมปากขึ้นยิ้ม

"ได้ยินว่าพี่จะไปฝรั่งเศส"

พี่ตามได้แต่พยักหน้ารับยิ้มๆ พลางเปิดดูหนังสือผ่านๆ

"ผมอ่านแล้วสนุกดีแนะนำที่เที่ยวเยอะแถมมีวิธีเดินทางอย่างละเอียดด้วย"

"ขอบคุณนะครับ"

"แล้วพี่ตามไปเที่ยวคนเดียวเหรอครับ"

หนังสือในมือพี่ตามถูกปิดลง นิ้วมือเรียวลูบตัวอักษรตรงชื่อหนังสือที่เป็นภาษาฝรั่งเศสเบาๆ แล้วหันมาตอบคำถามของผม

"ไปกับแสง"

เป็นคำตอบที่ทำให้ผมต้องเป็นฝ่ายเงียบไปเอง กดสายตาลงต่ำมองนิ้วมือพี่ตามที่ยังวางอยู่บนปกหนังสือ เลื่อนสายตามองแหวนเงินที่นิ้วพี่ตามซึ่งเพิ่งสังเกตเห็นเป็นครั้งแรก อย่างไม่ต้องคาดเดาก็รู้ดีว่าแหวนวงนี้ต้องเป็นของพี่แสง พี่ตามทำให้ผมเข้าใจว่า การมีอยู่ของความรักจะทำให้คนๆ หนึ่งมีตัวตนทั้งที่ไม่มีชีวิตอยู่จริงและความรักของพี่ตามก็งดงามยิ่งกว่าคำพูดใด ผมได้แต่อวยพรให้พี่ตามเที่ยวให้สนุก พาความรักของพี่แสงออกเดินทางไปยังที่แห่งนั้นอย่างที่เคยฝันและผมเชื่อว่าพี่แสงที่เฝ้ามองอยู่บนฟ้าไกลๆ นั่น...จะต้องมีความสุขมากๆ อย่างแน่นอน     
หัวข้อ: Re: เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: เต้าหู้ไข่ ที่ 31-08-2019 01:02:46
...

ดูเหมือนว่าคนไข้รายสุดท้ายของพี่ต่อจะใช้เวลานานกว่าที่คิด พี่ต่อเลยส่งข้อความมาบอกให้ผมไปรอที่คลินิกก่อน พี่ๆ ในคลินิกรู้จักผมดีหลังจากมาที่บ่อยๆ โดยไม่ใช่ในฐานะคนไข้ ผมเดินผ่านห้องทำฟันที่ถูกเปิดประตูค้างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เผลอมองพี่ต่อที่อยู่ในนั้นและชื่นชมเขาในบทบาทของการเป็นหมออยู่เสมอ เป็นหมอฟันนี่เท่ชะมัด ผมคงยืนมองอยู่นานไปหน่อยพี่ต่อจึงหันมาเห็นผมเข้าพอดี แม้จะเห็นแค่ดวงตาแต่ผมก็รู้ว่าเขากำลังยิ้ม ก็เพราะว่านั่นคือพี่ต่อ...ผู้เป็นรอยยิ้มของผม

ผมเดินผ่านห้องนั้นเข้าไปยังห้องพัก หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ตัวเดิม ในความเงียบของห้องนี้จึงทำให้ได้ยินเสียงจากห้องข้างๆ เสียงเครื่องมือทำฟันดังสลับกับเสียงของพี่ต่อที่มักจะชวนคุยทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าคนไข้ตอบอะไรไม่ได้ คิดว่ามันอาจจะเป็นวิธีที่หมอฟันใช้เพื่อให้คนไข้ลดความตื่นกลัวหรืออะไรสักอย่างแต่สำหรับผมแล้ว การได้ยินเสียงนุ่มๆ ของพี่ต่อข้างๆ หู บางครั้งทำให้ใจเต้นยิ่งกว่าเสียงเครื่องมือทำฟันซะอีก

"น้อง"

ผมเงยหน้ามองคำเรียกนั้นจากคนที่ยืนอยู่หน้าประตู มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นยืนตอนที่พี่ต่อพยักหน้าเป็นเชิงเรียก

"ขอโทษนะครับ รอนานเลย"

"ไม่เป็นไรครับ"

"ไปครับ"

"จะไปเลยเหรอครับ"

พี่ต่อหันมาทำหน้างงๆ คงสงสัยว่าผมจะต้องรออะไร จริงๆ แล้วเป็นเขาเองต่างหากที่ควรทำบางอย่างก่อนจะไป

"ผมนึกว่าพี่จะถอดเสื้อกาวน์ออกก่อน"

คนที่เพิ่งรู้ตัวทำตาโตแล้วถอยหลังกลับเข้าไปในห้องเพื่อถอดเสื้อกาวน์แล้วเดินออกมาด้วยรอยยิ้มเขินๆ จึงอดแกล้งไม่ได้

"กลัวคนไม่รู้ว่าเป็นหมอฟันเหรอครับ"

"อย่าแซว"

"คุณหมอเด๋อ"   

โดนกำปั้นทุบหัวเบาๆ ทีหนึ่งเป็นการทำโทษ ก่อนผมจะเผลอยิ้มกว้างกับการที่เขามักจะหลุดคาเรคเตอร์หล่อๆ ด้วยความติ๊งต๊องเล็กๆ อยู่ตลอด ตอนที่ก้าวเท้าพ้นจากหน้าคลินิกอีกคนก็หันมาบ่นยาวๆ ผ่านใบหน้ายุ่งๆ

"วันนี้คนไข้เยอะมาก พี่ยังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยนะเนี่ย หิวมากเลย" ลากเสียงยาวพลางเอียงหัวมาซบคล้ายจะอ้อน ผมก็เผลอยกมือแตะหัวเบาๆ ไม่เกี่ยวกับใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยแต่ในบางครั้งพี่ต่อดูเหมือนเด็กๆ ด้วยนิสัยบางอย่างที่เขามักแสดงออกกับผม มันเลยทำให้ผมลืมระยะห่างของอายุที่ตัวเขาเองไม่ได้สนใจตั้งแต่แรกอยู่แล้วเช่นกัน  พอพี่ต่อยกหัวที่ซบออกไปก็หันมามองผมคล้ายกำลังสังเกตเห็นอะไรบางอย่างก่อนพูดออกมา

"ตัดผมเหรอครับ"

"หืม?" เผลอส่งเสียงด้วยความประหลาดใจ จริงอยู่ที่ผมสั้นลงแต่อย่าเรียกว่าตัดเลยแค่เล็มผมด้านหน้าออกนิดเดียวเพราะรำคาญที่มันเกือบจะทิ่มตาแต่ไม่รู้ว่าพี่ต่อจะสังเกตเห็นด้วย

"ทำไมพี่ถึงเห็น"

"ก็พี่มองเราอยู่ตลอดแหละ"

"ทำไมต้องมองตลอดด้วย"

"ก็น้องน่ารักนี่"

บ้าไปแล้ว...

เวลาถูกชมแบบนั้น บางทีก็เขิน บางทีก็ไม่ เพราะในความรู้สึกลึกๆ ผมก็ยังคิดว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับคำชื่นชมแบบนั้นอยู่ดีและมักจะคิดมากไปว่า พี่ต่อจะรู้สึกยังไง ถ้าหากว่าจริงๆ แล้วตัวผมอาจไม่ได้น่ารักอย่างที่เขาคิด และอีกหนึ่งคำถามที่มักจะถามตัวเองอยู่บ่อยครั้งอย่างไม่อาจแกล้งทำเป็นลืมอดีตอันแสนสกปรก คนอย่างผม...มีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากใครแล้วหรือยัง

"โอ๊ะ!" เสียงตกใจดังพร้อมกับสองขาของพี่ต่อที่หยุดชะงัก พาให้ผมหยุดเดินไปด้วยก่อนคนข้างๆ หันมาบอก 

"พี่ลืมกระเป๋าสตางค์ รอแป๊บหนึ่งนะครับ"

ผมพยักหน้ารับก่อนพี่ต่อจะเดินกลับเข้าไปในคลินิก ผมหันมองตามแล้วหันหน้ากลับมาในจังหวะนั้นก็ตกใจเกือบหงายหลังเพราะคนที่โผล่มาทักอย่างไม่ทันตั้งตัว

"ไอ้ตี๋เล็ก!"

"ไอ้..." ผมกำลังจะสวนกลับไอ้บ้าติณที่ทำให้ตกใจแต่สายตาพลันไปเห็นคนที่เดินมาพร้อมกับมันด้วย คำพูดจึงหยุดชะงักแล้วเปลี่ยนเป็นยกมือไหว้คนข้างๆ ที่มีฐานะเป็นแม่ของติณหรืออีกฐานะหนึ่งก็คือจิตแพทย์ที่ผมเคยรักษาด้วย

"ไงคะ คุณพันธกานต์"

"เรียกพลีสก็ได้ครับ"

"เป็นยังไงบ้าง"

ผมตอบคำถามนั้นด้วยการพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แม่ของติณที่รู้จักผมดีกว่าใครก็คงจะดูออกแล้วว่ามันหมายความชีวิตของผมดีขึ้น...ดีขึ้นมากแล้วจริงๆ

"แล้วมึงมาทำอะไรแถวนี้วะตี๋"

"ติณ" เสียงเรียกเรียบๆ จากคนเป็นแม่กับนิ้วเรียวที่ยกขึ้นแตะปากติณเบาๆ เป็นอันเข้าใจได้ว่าติณกำลังถูกดุเพราะคำพูดที่ฟังดูไม่เพราะจากปากเขา จึงรีบเปลี่ยนคำถามใหม่ด้วยคำพูดไพเราะที่ฟังแล้วขัดหูเป็นบ้าเลย

"นายมาทำอะไรแถวนี้เหรอพันธกานต์"

ไอ้บ้าติณ...

"มาทำ...ทำฟัน" ผมโกหก เพราะถ้าติณรู้ว่าจริงๆ ผมมาทำอะไรที่นี่มีหวังโดนแซวไม่หยุดแน่ 

"ที่คลินิกพี่ต่อเหรอ"

"ติณรู้จักพี่...เอ่อ...หมอต่อด้วยเหรอ"

"รู้ดิ เป็นญาติกัน"

คำตอบของติณทำเอาผมเงียบไปกับความคิดที่อยู่ๆ ก็พุ่งเข้ามาในหัวขณะเลื่อนสายตาจากติณไปมองแม่ของเขา ถ้าติณเป็นญาติพี่ต่อก็หมายความว่าแม่ของติณก็ต้องรู้จักกับพี่ต่อด้วย หากว่าเขาทั้งหมดรู้จักกันแล้วเรื่องราวของผมที่ทั้งคู่นั้นรู้ดี...

"พี่ต่อ!"

ผมหันมองคนที่ติณเอ่ยปากเรียกซึ่งกำลังเดินเข้ามา ในหัวมันวุ่นวายคิดอะไรไม่ออกและสิ่งแรกที่ผมเลือกทำคือการพาตัวเองหนีไป

"ผมไปก่อนนะครับ!"

"น้อง!"

ไม่ได้สนเสียงเรียกของพี่ต่อแล้วเดินออกมาให้ไวจนแทบจะกลายเป็นวิ่ง ก่อนมาหยุดยืนนิ่งเมื่อคิดว่าพาตัวเองหนีออกมาไกลแล้ว หลบแอบอยู่ในมุมตึกเงียบๆ ที่ปราศจากผู้คน ก่อนทิ้งตัวลงนั่งที่ขั้นบันไดของตึกตรงหน้า หยิบมือถือจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมองเบอร์ของคนที่โทรเข้ามาแต่ทำได้แค่เพิกเฉยจนอีกฝ่ายวางสายไป นิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานแต่ถึงอย่างนั้นความวุ่นวายในหัวก็ไม่ได้คลายกังวลลงเลยแม้แต่น้อย

เพิ่งรู้ว่าโลกกลมๆ มันได้พาผู้คนที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันมาให้ผมพบพานและเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่รู้ตัว ผมคิดอยู่แล้วว่าไม่ช้าก็เร็วพี่ต่อจะต้องรู้เรื่องนั้นไม่ว่าจากปากผมเองหรือจากคนอื่น แทบไม่มีความคาดหวังเลยที่จะให้พี่ต่อยอมรับ แต่พอถึงเวลาที่เขาควรจะรู้จริงๆ ผมกลับทำได้แค่หลบหนี ผมกลัว สับสน แล้วก็รู้สึกอับอาย อีกทั้งยังรู้สึกผิดที่วิ่งหนีออกมาเฉยๆ...ผมไม่ควรทำอย่างนั้นเลย

 

พี่ต่อครับ ผมมีธุระด่วน เอาไว้เจอกัน...

 

ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วกดลบข้อความที่ยังพิมพ์ไม่เสร็จเพราะเปลี่ยนใจที่จะส่งหาเขา ผมไม่อยากโกหกแต่ก็ยังไม่อยากอธิบาย ได้แต่ถอนหายใจอีกทีพลางทิ้งหัวตัวเองพิงกับราวบันได หลับตาลงช้าๆ แล้วพูดกับตัวเองเบาๆ                                 

"พี่ต่อครับ ผมขอโทษ"

"..."

"ผมขอโทษครับ"

"ได้ยินแล้วครับ"

เสียงที่ตอบรับทำผมเบิกตากว้างพลางลุกพรวดขึ้นเมื่อลืมขึ้นไปเห็นพี่ต่อที่ยืนอยู่ตรงหน้า ด้วยจังหวะลุกที่ทำเอาเกือบล้ม สองมือของพี่ต่อจึงรีบคว้าไหล่ของผมเอาไว้ให้หยุดอยู่กับที่

"พี่ต่อ"

"เป็นอะไร ทำไมถึงเดินหนีออกมา"

ผมไม่ตอบ ตั้งใจยกมือขึ้นปัดมือพี่ต่อออกจากไหล่เบาๆ แต่เขายิ่งจับแน่นกว่าเดิม

"น้อง"

"..."

"พลีส"

ไม่กี่ครั้งที่เขาจะเรียกผมด้วยชื่อแบบนั้น ความจริงจังในแววตาทำให้ผมไม่กล้าที่จะมองได้นาน แต่เมื่อผมก้มหน้าลงต่ำพี่ต่อก็จับให้เงยขึ้นมอง

"เป็นอะไร บอกพี่สิ"

"พี่ต่อ..."

"พูดมาครับ"

"ผมไม่ใช่คนน่ารักและผมก็ไม่มีค่าพอให้พี่หรือว่าใครก็ตามรักเลย"

"..."

"เพราะพี่ไม่รู้จักผมดี มีบางเรื่องที่พี่ต้องรู้"

"..."

"เรื่องที่แม้แต่ตัวผมยังรังเกียจตัวเอง แล้วพี่เองก็คงจะ..." คำพูดหยุดชะงักและกลืนหาย เมื่อพี่ต่อดึงตัวผมเข้าไปกอด กอดแน่นจนไม่อาจถอยหนี ทั้งร่างกายและความรู้สึกถูกตรึงให้อยู่กับที่ผ่านอ้อมกอดของพี่ต่อ ยอมแพ้ให้กับความอ่อนแอและน้ำตาที่ไหลออกมาแม้ว่าพยายามจะฝืนเอาไว้แล้ว

"พี่ต่อ มันเป็นเรื่องที่พี่ต้องรู้ ผมตั้งใจจะบอกพี่..."

"ไม่ต้องบอกก็ได้"

"แต่พี่ต้องรู้"

"พี่รู้"

ผมเงียบเมื่อได้ยินเช่นนั้น คลายกอดจากพี่ต่อแล้วเงยหน้ามองเขา ผมถามย้ำอยู่ในแววตาเพื่อให้แน่ใจว่าผมได้ยินไม่ผิดแล้วเขาก็ตอบผ่านการพยักหน้าว่าเรื่องราวเหล่านั้น...เขารู้อยู่แล้ว

"ถ้าพี่รู้แล้ว ทำไมพี่ยังอยู่ตรงนี้"

"แล้วทำไมพี่ต้องไปไหนด้วย"

"เพราะคนอย่างพี่ไม่ควรจะอยู่ใกล้ๆ คนอย่างผมไง"

"..."

"ผมไม่มีค่าพอ ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับความรักจากใคร ทั้งสกปรกแล้วก็น่ารังเกียจ พี่ควรจะ..."

"เลิกดูถูกตัวเองสักทีได้ไหม!"

ผมเงียบเพราะเสียงดังของพี่ต่อและนี่คงจะเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นสีหน้าเวลาที่เขาโมโห แม้ว่าจะพยายามกลั้นอารมณ์ด้วยการหลับตาลงช้าๆ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่อาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้จึงหันมาพูดต่อด้วยเสียงเข้มที่คล้ายว่ากำลังดุผมอยู่ 

"ใครบอกว่าพลีสไม่มีค่า ใครบอกว่าพลีสไม่มีสิทธิ์ได้รับความรัก ใครมันพูด"

"ผม...ผมคิดอย่างนั้น"

"คิดไปเองไง เลิกพูดว่าตัวเองไม่ดี เพราะพี่ไม่เคยสนใจเรื่องนั้น แล้วก็ไม่ต้องมาคิดแทนด้วยว่าพี่จะรังเกียจ พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น ครั้งเดียวก็ไม่เคย เห็นพี่เป็นคนยังไง ฮะ?"

กลายเป็นผมที่พูดอะไรไม่ออกและดูเหมือนว่าพี่ต่อก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเมื่อครู่เขาเผลอเสียงดังใส่ผม จึงรีบปรับทั้งสีหน้าและอารมณ์ก่อนหันมาบอกกับผม

"พี่ขอโทษ พี่เสียงดังป่ะ"

ผมพยักหน้ารับเบาๆ

"พี่ไม่...ไม่ได้ดุนะ ไม่ได้อารมณ์เสียด้วย"

"ระ...เหรอครับ"

เพราะพี่ต่อหันมายิ้มให้ ผมจึงเผลอลืมไปว่าเมื่อครู่กำลังรู้สึกยังไง ได้แต่ยิ้มตามด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนที่พี่ต่อจะปรับสีหน้าจริงจังแล้วหันมาพูดกับผมอีกครั้ง

"พี่รู้ว่าพลีสรู้สึกแย่กับอดีตของตัวเองเพราะพี่ก็เคยทำเรื่องไม่ดี พี่ก็เคยผิดหวังในตัวเองแต่พี่ก็เปลี่ยนอะไรมันไม่ได้ พลีสเองก็เหมือนกันแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือไม่ว่าพลีสจะผ่านอะไรมาคนตรงหน้าพี่มันก็ยังเป็นพลีสอยู่"

"เป็นผม?"

"ครับ เป็นน้องพลีสที่พี่ชอบ"

"..."

"พลีสไม่ควรกีดกันตัวเองจากความรักของคนอื่น อย่างน้อยๆ ก็เอาความรักจากพี่ไปและไม่ว่าพลีสจะมีเรื่องเจ็บปวดหรือบาดแผลอะไร ถ้ามันยังไม่หายดี พี่จะเป็นคนรักษาให้"

"..."

"พลีสอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองน่ารักมากแล้วพลีสก็ควรค่าแก่การได้รับความจริงๆ"

การได้รับความรักที่แม้แต่ตัวเองยังไม่เคยคิดจะรักตัวเองขนาดนั้น มันทำให้ผมรู้ตัวว่าการรังเกียจตัวเองนั้นเป็นเรื่องโง่เง่า ผมปล่อยให้อดีตที่ดำมืดกัดกร่อนความรู้สึกจนไม่เคยคิดมองไปข้างหน้า จึงไม่รู้เลยว่ายังคงมีบางคนที่เห็นคุณค่าของผมอยู่

"ช่วยอนุญาตให้คนอย่างพี่ ได้อยู่ใกล้ๆ คนอย่างพลีสได้ไหมครับ"

คำขอของพี่ต่อทำให้ผมได้แต่ยิ้มทั้งที่น้ำตายังไหลอยู่ ผมปัดน้ำตาออกจากหน้าลวกๆ ก่อนพยักหน้ารับ

"ได้ครับ"

"..."

"ถ้าพี่สัญญาว่าจะไม่ดุผมอีก"

"พี่ไม่ได้ดุซะหน่อย!"

"หน้าพี่อย่างหงุดหงิดเลย คิดว่าพี่จะต่อยผมซะอีก"

"เวอร์"

พี่ต่อยกนิ้วจิ้มหน้าผากผมเบาๆ ก่อนพูดต่อด้วยประโยคที่ทำให้ผมถึงกับไปไม่ถูก

"พี่ชอบพลีสมากเลยนะ"

จบคำนั้นเราก็เอาแต่เงียบก่อนที่พี่ต่อจะหลุดหัวเราะออกมาพลางยกสองมือขึ้นแตะหน้าตัวเองที่ผิวหน้าเปลี่ยนเป็นสีชมพูอ่อนๆ พลางพูดออกมาเบาๆ

"เขิน"

"พี่ติ๊งต๊อง"

คนข้างๆ หันขวับมามอง ขณะที่ผมรีบยกสองมือขึ้นอุดปากตัวเองเพราะพูดออกไปอย่างไม่รู้ตัว พี่ต่อทำหน้ายุ่งก่อนเปลี่ยนเรื่อง

"ไปกินข้าวกันเถอะ พี่หิวจนกระเพาะพี่มันจะฆ่าตัวตายอยู่แล้ว"

"ครับ" ผมตอบรับก่อนพี่ต่อจะเดินนำผมออกไปจากตรงนี้ ก่อนที่จะหันมาพูดกับผมอีก

"เมื่อกี้ที่พี่กอด ขอโทษนะที่ไม่ได้ขออนุญาตก่อนแต่พี่ไม่อยากให้พลีสวิ่งหนีพี่ไปอีก"

พี่ต่อยังคงให้ความสำคัญกับระยะห่างทางร่างกายที่เคยเป็นข้อจำกัดของผมอยู่ แต่ในตอนนี้ผมได้ก้าวผ่านความรู้สึกนั้นมาแล้วจึงตอบกลับไป

"ไม่เป็นไรครับ เพราะถ้าพี่ไม่กอด ผมก็คงวิ่งหนีไปจริงๆ แล้วก็..."

ผมเว้นช่วงประโยคก่อนยื่นมือไปจับมือพี่ต่อเอาไว้ แล้วตอบคำถามที่เขาเคยถาม

"ทำแบบนี้ได้นะครับ"

วันนี้รอยยิ้มของเราทำงานหนักด้วยความรู้สึกดีๆ ที่เติมเต็มให้กัน ให้เรื่องระหว่างเราและความรักค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอย่างไม่รีบร้อน ผมไม่เคยคิดว่ามือคู่นี้จะสามารถกุมมือกับใครได้อีกและไม่เคยคิดว่าคนที่พร้อมยอมจับมือผมจะเป็นคนคนนี้...เป็นคนที่ผมชอบเขามากมายเหลือเกิน

 

"ขอบคุณนะครับพี่ต่อ"


 

...

 

 

พี่ต่อมาส่งผมที่บ้านหลังจากกินข้าวเสร็จ ผมจะรู้สึกว่าตัวเองเด็กกว่าเขามากๆ ก็ตอนที่เขามักจะทำตัวเป็นผู้ปกครองคอยกำชับผมเรื่องนั้นเรื่องนี้ก่อนที่จะบอกลา อย่างเช่นว่า อย่านอนดึก อย่าเล่นมือถือในที่มืด อย่าตื่นสายและที่สำคัญอย่าลืมแปรงฟันให้สะอาด

"เพราะเราใส่เหล็กจัดฟันอยู่เลยต้องดูแลมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะจุดที่แปรงสีฟันปกติเข้าไม่ถึง..."

"คุณหมอครับ"

คำพูดของพี่ต่อหยุดชะงักตอนถูกเรียก

"หมดเวลางานแล้วครับ"

"พี่แค่ย้ำไง"

"พี่สอนผมทุกครั้งที่ไปเปลี่ยนยางแล้วไง จำขึ้นใจแล้วเนี่ย"

"ถ้าคราวหน้าพี่เห็นว่าฟันไม่สะอาด พี่ดุจริงๆ นะ"

"รู้แล้วครับ รู้แล้ว"

"แล้วนี่นัดเปลี่ยนยางวันเสาร์หน้าใช่ไหม"

"ผมยังจำไม่ได้เลย พี่จำได้ไงเนี่ย"

"ก็พี่เป็นคนนัดเอง"

"โห คนไข้ตั้งกี่สิบคนจำหมดได้ไงครับ"

"ใครบอกจำได้หมด จำของน้องคนเดียวต่างหาก"

ผมเม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้มเพราะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นั่นมันกลับทำให้ผมเขินจนเสียอาการ และพี่ต่อดูออกจึงบอกให้ผมยิ้มออกมาพลางยกมือดึงแก้มผมเบาๆ ให้ริมฝีปากฉีกออก

"จะยิ้มก็ยิ้ม ไม่เห็นต้องเก๊ก"

ผมก็ยิ้มกว้างออกมาจนได้ บอกลากันอีกครั้งก่อนพี่ต่อจะขับรถออกไป ผมจึงเดินเข้าบ้าน เดินผ่านมันแกวที่นอนอยู่หน้าประตูพอดีจึงคว้าขึ้นมาอุ้มแล้วฟัดเบาๆ แล้วปล่อยลงกับพื้นให้กินอาหารที่หยิบมาเทให้ ขยี้หัวมันแกวอีกทีก่อนตั้งใจจะเดินขึ้นบันได แต่สายตาหันไปเห็นรูปวาดของตัวเองที่พ่อติดเอาไว้ที่ผนัง ก็หลุดยิ้มออกมาไม่มีเหตุผล ดูไปดูมาก็สวยดีแฮะ

"ไปอารมณ์ดีมาจากไหนคะเนี่ย"

"ครับ?" ผมหันขวับมองพี่หน่อยที่เอ่ยปากทัก

"ไปเจออะไรดีๆ มาเหรอคะ"

"ดูออกเลยเหรอครับ"

"หน้าบานผิดปกติน่ะค่ะ"

ผมรีบยกสองมือขึ้นแตะหน้าตัวเองแล้วบีบเบาๆ ให้หน้ายุบแต่ดูเหมือนว่าหน้าผมจะบานกว่าปกติจริงๆ นั่นแหละเพราะวันนี้ยิ้มจนเมื่อยแก้มไปหมด

"พี่หน่อยรู้จักพลีสดีจริงๆ"

"หืม? พี่หน่อย?"

ผมพยักหน้ารับเพราะใครบางคนบอกให้ผมเรียกพี่หน่อยอย่างนั้นและดูเหมือนว่าคนถูกเรียกก็จะชอบมากเหมือนกันเพราะกำลังยิ้มหน้าบานไม่ต่างจากผมเลย

"ชอบเหรอ"

"ชอบค่ะ"

"พลีสน่ารักไหมครับ"

"ที่สุดในโลกค่ะ"

"บ้าไปแล้ว!" ผมยกมือตีพี่หน่อยเบาๆ อย่างหยอกๆ ก่อนรีบวิ่งขึ้นบันไดแล้วพุ่งเข้าห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงด้วยความอารมณ์ดี กลิ้งไปกลิ้งมาก่อนเสียงไลน์จะดังขึ้น จึงล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู

 

ข้าวปั้น : พี่พลีส พรุ่งนี้มาโรงเรียนเร็วๆ นะ กูจะลอกการบ้านเลข

 

ผมยิ้มนิดๆ กับข้อความจากปั้นแล้วตอบกลับไป

 

พลีส : ทำเองดิ   

 

แค่เท่านั้นข้าวปั้นก็รัวข้อความมาหาผมจนต้องโยนมือถือทิ้งแล้วกลิ้งตัวลงจากเตียงไปทำการบ้านเลขที่โต๊ะหนังสือ ใช้เวลากับการบ้านอยู่พักใหญ่ๆ ก็เสร็จเรียบร้อย ยังมีเวลาว่างก่อนเวลานอนอีกนิดหน่อยเลยเอาหยิบเอาหนังสือชีวะมาอ่านทบทวนเนื้อหาที่ได้เรียนไปวันนี้ ระหว่างนั้นสมาธิก็เผลอหลุดลอยเพราะหันไปเห็นเอกสารที่ได้รับมาจากงานกิจกรรมแนะแนวการศึกษา มีกระดาษที่ผมต้องกรอกความสนใจในการเรียนต่อเพื่อไปส่งอาจารย์ที่ปรึกษาไว้เป็นข้อมูลและช่วยแนะแนวทางการศึกษาต่อให้ ผมทบทวนอะไรบางอย่างอยู่ในหัวเล็กน้อย ก่อนหยิบปากกามาเขียนข้อมูลแทนที่ความว่างเปล่าในกระดาษแผ่นนั้นด้วยความตั้งใจ

 

คณะที่นักเรียนสนใจ : ทันตแพทยศาสตร์   

 

หวังว่าผมจะเท่แบบพี่ต่อนะ...ผมหัวเราะกับตัวเองเบาๆ ก่อนเก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่แฟ้ม สายตาหันไปมองไดอารี่เล่มเดิมที่วางอยู่ใกล้ๆ จึงหยิบมาเปิดผ่านๆ ผมมักจะบันทึกความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ในนี้เสมอ ที่ผ่านมาคงเป็นเรื่องราวที่ไม่น่าอ่านนักแต่หลังจากนี้ผมคงได้แบ่งปันเรื่องดีๆ ให้ไดอารี่เล่มนี้ได้อ่านบ้าง เริ่มต้นจากวันนี้ที่มีอะไรอยากเขียนเยอะแยะแต่เรียบเรียงไม่ถูก ผมเลยสรุปสั้นๆ ด้วยข้อความที่คิดว่ามันอธิบายความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ได้ด้วยประโยคนั้น 

 

มีความสุขจัง   

 

พลิกกระดาษจากหน้าปัจจุบันไปยังหน้าสุดท้ายที่ผมไม่ได้เป็นคนเขียนแต่ทุกตัวอักษรในหน้านั้นทำให้มันเป็นหน้าที่ดีที่สุดในไดอารี่เล่มนี้เลย

 

ขอบคุณพลีสที่ทำให้พี่มีช่วงเวลาที่ดีที่สุดก่อนจากไป
พี่ไม่ได้บอกที่บ้านว่าพลีสเป็นใครแต่ถ้าพลีสอยากบอกหรือมีโอกาส คนที่บ้านพี่จะต้อนรับพลีสเสมอ
พลีสเองก็ใช้ชีวิตให้มีความสุขนะ อย่างที่พี่เคยบอก ไม่ต้องหนีและไม่มีอะไรต้องกลัว
อย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใคร ยังมีคนที่รักพลีสอยู่นะ
และต่อให้เศร้าหรือเสียใจแค่ไหน ก็อย่าเฉียดเข้าไปใกล้ตึกนั่นเชียวนะ!
วันแย่ๆ มันมักจะตามมาด้วยช่วงเวลาที่ดีขึ้นเสมอแหละ
ไม่ต้องรู้สึกผิดถ้าชีวิตจะมีตำหนิบ้างและใช้ชีวิตที่เหลือให้ดี
หวังว่าพี่จะช่วยเป็นแสงเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตพลีสสว่างขึ้นนะ

ปล.1 ถ้าเรียกพี่หน่อยว่าพี่หน่อย พี่หน่อยจะชอบมากกว่านะ
ปล.2 พี่ใช้เงินพลีสไปจำนวนหนึ่ง ไปเอาคืนที่พี่ตาม
ปล.3 ฝากทักทายพี่ตามบ้าง ถ้ามีโอกาส
ปล.4 พี่เผลอจับมือพี่ต่อ ไปบอกเขาด้วยนะว่าจับได้หรือไม่ได้
ปล.5 ถ้าไปบ้านพี่ อย่าลืมสั่งโกโก้โอริโอ้ปั่น
ปล.สุดท้าย ยินดีที่ได้รู้จักครับ   
   

 

 

ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันครับ...พี่แสง

 

...

 

ผมเชื่อแล้วว่าพี่ต่อเป็นแฟนตัวยงของเพจรีวิวอาหาร เพราะทุกร้านที่พาผมไปกินข้าวก็มาจากการอ่านรีวิวแล้วก็ชวนมาลอง วันนี้เป็นคิวของร้านอาหารยุโรปที่มีเมนูเด็ดเป็นแฮมเบอร์เกอร์ พี่ต่อไม่พลาดที่จะสั่งเมนูแนะนำอย่างเบอร์เกอร์เนื้อชิ้นโตสองชั้นที่มาพร้อมเบคอนทอดกรอบๆ และชีสเต็มๆ แผ่น แค่เห็นหน้าตาผมก็รู้เลยว่ามันอร่อยแต่ไม่สามารถกินได้สักคำ เพราะผมเพิ่งจะผ่านการทำฟันมาเมื่อชั่วโมงก่อน ยางจัดฟันดึงทุกซี่ให้ตึงเข้าหากันชนิดที่ว่าแค่อ้าปากยังเจ็บไปจนถึงฟันกราม และคนที่ทำให้ผมเจ็บก็คือคนที่กำลังยัดเนื้อครึ่งชิ้นเข้าปากแล้วย้ำกับผมเป็นรอบที่ห้าว่า โคตรอร่อย

"ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ เจ็บมากเหรอ"

"ไม่ได้เจ็บฟันหรอก เจ็บใจที่พี่แกล้งผมเนี่ย"

พี่ต่อหลุดหัวเราะก่อนหยิบหลอดจากแก้วบลูเลม่อนโซดาที่วางอยู่ตรงหน้าผมจ่อให้ถึงปาก ผมก็ทำได้แค่ดื่มน้ำนั้น ดีที่ว่ามันอร่อยก็เลยทำให้อารมณ์ดีขึ้น 

"ปกติไม่เคยเห็นน้องบ่นเจ็บเลย"

"ผมก็เจ็บทุกครั้งแหละ แต่ไม่กล้าบอกพี่"

"ทำไมครับ"

"กลัวไม่เท่"

"ตัวแค่นี้เอาอะไรมาเท่"

ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ นึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า ทำไมผมจึงไม่เคยบอกกับเขาเลยว่าผมเจ็บ อาจเป็นเพราะในทุกครั้งพี่ต่อจะพูดกับผมเสมอว่า เจ็บนิดหนึ่งนะครับ ต้องอดทนนะครับ เดี๋ยวก็หายนะครับ เดือนหน้าไม่เจ็บแล้วนะครับ และคำปลอบโยนที่เรียบง่ายจากความอ่อนโยนที่เขามีมันก็ทำให้ผมไม่กล้าบ่นเลยสักครั้งและจนถึงตอนนี้พี่ต่อยังคงเป็นเช่นนั้นเสมอมา

การชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่พบไม่ใช่เรื่องราวที่ดูเกินจริงเพราะว่ามันเกิดขึ้นแล้วกับผม แต่ในตอนนั้นความใจดีที่เขามีให้คนอื่นเหมือนๆ กันมันทำให้ผมคิดว่าเขาเองก็เป็นเช่นนั้นกับทุกคนอยู่แล้วและผมก็มีความสุขดีกับการรอพบเขาเพียงเดือนละครั้งในวันที่ถูกนัด แต่สุดท้ายโดยที่ไม่รู้ตัวพี่ต่อก็ขยับเข้าใกล้ผมขึ้นเรื่อยๆ จนทำลายระยะห่างของคำว่าหมอและคนไข้ ผมไม่เคยถามเลยสักครั้งว่าตั้งแต่เมื่อไรที่พี่ต่อรู้สึกว่าเรื่องระหว่างเรามันดูพิเศษ หรือไม่บางทีมันอาจจะเป็นคำถามที่ไม่จำเป็นนักเพราะถึงยังไงพี่ต่อก็เข้ามาใกล้...จนผมไปไหนไม่รอดแล้ว

"เออ พี่ต่อครับ ผมมีการบ้านคณิตจะถามพี่ด้วย"

"ได้ครับ" ตอบรับแล้วลุกจากเก้าอี้ตัวตรงข้ามมานั่งข้างๆ ผมหันขวับมองอย่างตกใจนิดๆ ที่อยู่ๆ เขาก็ย้ายที่มาก่อนจะให้เหตุผลว่าแบบนี้มันสอนถนัดกว่าแล้วก็เสริมด้วยเหตุผลทะเล้นๆ ที่ก้มลงมากระซิบข้างหู

"พี่อยากเนียนอยู่ใกล้ๆ ด้วยแหละ"

"พี่นี่..."

"ไหนๆ การบ้านอะไร"

เปลี่ยนเรื่องไปให้ความสนใจการบ้านที่ผมจะถาม ก่อนได้คำอธิบายจนเข้าใจจึงทำการบ้านข้อนั้นเสร็จและใช้เวลาระหว่างรอพี่ต่อกินแฮมเบอร์เกอร์ทำการบ้านวิชาอื่นไปด้วยเลย คนข้างๆ หยิบสมุดการบ้านคณิตไปเปิดดูผ่านๆ ก่อนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ 

"พี่ขำอะไร"

"เรียนคณิตเก่งนี่"

"..."

"เก่งมานานแล้วด้วย"

ผมคว้าสมุดการบ้านเล่มนั้นคืนมาหลังจากโดนพี่ต่อจับได้ว่าผมหลอกให้เขาติวคณิตให้ พยายามจะหาคำอธิบายที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดแต่ก็คิดหาข้อแก้ตัวไม่ได้เลยยอมบอกออกไปตรงๆ   

"ผมก็อยากเนียนอยู่ใกล้ๆ พี่เหมือนกันแหละ"

กลายเป็นพี่ต่อที่แสดงอาการเขินผ่านผิวหน้าที่เปลี่ยนสี พี่ต่อหน้าแดงง่ายมากจนผมเริ่มคิดว่าตัวเองหน้าด้านแล้นะเนี่ย อีกคนรีบกลบเกลื่อนด้วยการเก๊กหล่อก่อนวางมือลงบนมือของผมแล้วกุมเอาไว้เบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยบอกกับผมผ่านรอยยิ้มบางๆ อย่างอบอุ่นในแบบที่เป็นเขา

"ถ้าตอนไหนอยากให้พี่อยู่ใกล้ๆ ก็บอกพี่เลย"

"..."

"พี่จะไปอยู่ตรงนั้นทันที"

ผมจะไม่หลบหนีความรู้สึกอะไรก็ตามที่ตัวเองมีและต่อจากนี้ก็คงจะไม่ต้องกลัวอะไรอีกเลย ผมยังยืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ห้องเดิม ด้วยรู้สึกว่าตรงนั้นมันปลอดภัยแต่ความมืดถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างจากความรักของคนรอบข้างที่หยิบยื่นให้ และเมื่อผมเปิดประตูออกไปก็จะเจอกับคนเหล่านั้นอยู่เสมอ ผมในตอนนี้ผมสามารถอนุญาตให้ใครบางคนเดินเข้าห้องของผมเพื่อมายืนอยู่ข้างๆ กันได้ ในห้องนั้นมันจึงอบอุ่นกว่าที่เคยเป็น

ผมตื่นจากฝันร้ายในวันที่พายุฝนซึ่งตกลงมาอย่างยาวนานได้หยุดลง ได้เงยหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้มที่ค่อยๆ เปลี่ยนสี ได้เข้าใจในข้อเท็จจริงหนึ่งข้อว่า หากขึ้นชื่อว่าแสง ยังไงมันก็สว่าง เฝ้ามองตั้งแต่แสงแรกไปจนถึงแสงสุดท้ายจึงได้เห็นความงดงามของท้องฟ้าและสามารถพูดได้ว่า...ท้องฟ้าในเวลาที่มีแสง...มันสวยงามจริงๆ ด้วย

 

-END-

 
_________________________________________________________________________________________
 

เป็นบทส่งท้ายที่ยาวเหลือเกินค่ะ 555555 ไม่อยากตัดตอนก็เลยเก็บไว้ลงทีเดียวเลย สุดท้ายก็จบจนได้นะคะ ตอนแรกก็คิดว่ามันเป็นนิยายฟีลกู๊ดเพราะตอนที่แต่งรู้สึกสนุกจริงๆ ค่ะ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนุกด้วยเลย 5555 ต้องขอโทษเอาไว้ตรงนี้ที่พยายามสื่อออกมาได้ไม่ดีเท่าไรนัก ทั้งๆ ที่อยากให้ทุกคนได้สนุกไปด้วยกันแท้ๆ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานอยู่เหมือนกันเนอะ ขอบคุณตั้งแต่คอมเมนท์แรกจนถึงคอมเมนท์สุดท้าย ขอบคุณที่เข้ามาทักทายและพูดถึงนิยายเรื่องนี้กับเรา ขอบคุณเอาใจช่วยตัวละครทุกตัวให้ผ่านพ้นทุกเรื่องราวไปได้ ขอบคุณที่รู้สึกไปกับพวกเขาและขอบคุณที่เสียน้ำตา หัวใจของพวกคุณอ่อนโยนจริงๆ ค่ะ หากมีโอกาสคงได้พบกันเรื่องหน้านะคะ

 

รักทุกคนจนกว่าโลกจะสิ้นแสง – เต้าหู้ไข่
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kunt ที่ 31-08-2019 01:59:10
เป็นฟิลกู๊ดจริงๆ แต่เป็นฟิลแบบยิ้มทั้งน้ำตานะ อ่านไปก็มีน้ำตาซึมกันไปบ้าง เพราะตัวละครแสง เป็นแสงเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่สำหรับบางคน ขอบคุณเรื่องราวที่แบ่งปัน thanks
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 31-08-2019 02:07:37
น้ำตาจะไหลเช่นเคย​ แต่สุดท้่ายก็ยังยิ้มได้ค่ะ
ความรู้สึก​ยามอ่านจนจบคำสุดท้าย​ เหมือนใบไม้พลิใบใหม่เลยค่ะ​ แสงส่องสว่างลอดใบกระเป็นแสงระยิบระยับเลย​ เหมือนว่าทุกชีวิตจะเกิดขึ้นใหม่แล้ว
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-08-2019 02:36:32
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 31-08-2019 03:10:24
เป็นเนื้อเรื่องที่อบอุ่น เศร้า เคล้าหยาดน้ำตา รัก และขอบคุณผู้แต่ง ที่สร้างสรรค์งานจินตนาการ ให้คนอ่านได้เสพความสุข ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 31-08-2019 03:42:31
 :katai2-1: o13 :katai2-1:



 :กอด1: :L2: :L1: :pig4: :pig4: :pig4: :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: AeAng11 ที่ 31-08-2019 05:50:24
ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 31-08-2019 06:39:45
เป็นบทส่งท้ายที่ยาวและเคลีร์ยมากค่ะ
การมีชีวิตที่ดีและมีความสุขของพลีส
ช่วยเยียวยาการตายของแสงได้เยอะเลยค่ะ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: moslovelove ที่ 31-08-2019 07:52:55
เป็นเรื่องที่สนุกมากเลยครับ ชอบมากๆครับ :impress2:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Ti0590 ที่ 31-08-2019 08:13:22
เป็นเรื่องที่ดีมากๆเลยค่ะ ได้คิดอะไรหลายๆอย่างจากตัวอักษรของรชาเลย แต่ต้องยอมรับก่อน ว่าหยุดอ่านไปพักนึง อ่านต่อไม่ไหว พอเห็นคำว่า end เลยกดอ่านทีเดียวเอาให้น้ำตาไหลทีเดียวคุ้มกว่า
เป็นนิยายที่ดีนะคะ ดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: OrangeryLemon ที่ 31-08-2019 09:44:07

ขอบคุณมากๆเลยนะคะ สำหรับนิยายดีๆ มีบทสรุปที่อบอุ่นสำหรับทุกๆชีวิต

คนแต่งอยากจะแต่งให้เรื่องมีชั้นเชิง โดยการจบแบบเศร้า ทิ้งปริศนาให้คนอ่านคิดเองก็ได้

แต่เราชอบแบบนี้นะคะ มันสุข อบอุ่น น้ำตารื้น แบบกระพริบตาเร็วๆก็หายไป

ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 31-08-2019 10:36:13
อบอุ่น


จนน้ำตาไหล


มีความสุขมากๆนะพลีส


หนูไม่ได้สกปรก


หนูไม่ได้ผิด


คนที่ผิดคือไอ้เลวที่มันทำกับหนูต่างหาก


ทุกคนรักหนูนะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 31-08-2019 11:18:22
ก็ฟิลกู๊ดแหละ แต่น้ำตาคลอบ่อยมาก
เป็นเรื่องที่เข้ามาอ่านแบบไม่ได้ตั้งใจ แต่กลายเป็นเฝ้ารอคอยตอนต่อไป พอจบก็อดเสียดายไม่ได้ ในเรื่ิองนี้ สงสารตามที่สุด

ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: หมอตัวเปียก ที่ 31-08-2019 11:45:59
ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: wan_sugi ที่ 31-08-2019 12:30:32
แล้ว “แสง” ก็ลาลับขอบฟ้าไป ทิ้งไว้เพียงรอยทรงจำอันหลากหลาย
เมื่อเริ่มต้นอรุณรุ่ง ทุกชีวิตย่อมพบ “แสง” แห่งวันใหม่ที่งดงามไม่แพ้กัน
 :pig4: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 31-08-2019 18:29:07
 :L2: :L1: :3123:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 31-08-2019 19:09:03
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆจ้า  :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 31-08-2019 19:49:05
 :pig4: :pig4: :กอด1: :กอด1: :3123: :3123:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Pattza13 ที่ 31-08-2019 21:10:39
 :hao5: น้ำตาท่วมมือถือ ขอบคุณนะคะที่แต่งนิยายดีๆให้อ่าน
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: MeiHT ที่ 31-08-2019 21:30:19
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆที่แต่งขึ้นมานะคะ ไม่เคยคิดว่าจะรักความหน่วงได้ขนาดนี้มาก่อน เป็นกำลังใจให้ตาม ต่อ พลีส และทุกคนในเรื่อง แม้แสงจะไปแล้วแต่ขอให้ทุกคนมีความสุขตลอดไปเลยนะ ในเรื่องนี้คือชอบตามมาก รักเขา อยากให้เขามีความสุขตลอดไป
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Leenboy ที่ 31-08-2019 21:34:07
เป็นฟีลกู๊ด ที่อึมครึมมาก  แต่พาร์ทสุดท้ายคือสว่างมากไม่อึมครึมแล้ว  แสงเทียนได้ทำหน้าที่ของแสงคือการส่องสว่างให้หลายๆชีวิตแล้ว   รักไรท์เตอร์มาก  มาเขียนให้อ่านบ่อยๆด้วยนะ  ปล. เรื่องนี้ทำให้เรารู้สึกว่า อยากทำอะไรให้รีบทำ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: malula ที่ 01-09-2019 00:52:46
ยาวมาก สรุปทุกประเด็น ดีใจที่พลีสเป็นพลีสในวันนี้ ขอบคุณแสงที่ส่งต่อความดี ความเข้มแข็งให้พลีส
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 01-09-2019 08:10:53
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ อ่านไปยิ้มไปร้องไห้ไป  :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 01-09-2019 12:58:14
ร้องไห้หนักมาก
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Miawncha ที่ 01-09-2019 14:06:23
ว่าจะไม่ร้องไห้แล้ว คิดว่ายังไงก็ต้องจบแบบสวยงาม แต่พอเจอประโยคที่แสงบันทึกไว้ในไดอารี่พลีสเท่านั้นแหละ ร้องไห้เลย เพิ่งรู้ว่าจริงๆคิดถึงแสงมากเหมือนกันนะเนี่ย พอความจริงแล้วไม่มีแสงอยู่มันก็เศร้านิดหน่อย ส่วนพลีสยินดีกับน้องด้วยที่ผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้อย่างดี รู้สึกเลยว่ากลับมารอบนี้ความคิดพลีสเปลี่ยนไปหมด สามารถมองเห็นความสุขเล็กๆน้อยๆรอบตัวได้แล้ว แถมตอนนี้มีพี่ต่อคอยช่วยเยียวยาหัวใจ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: KizzllKizz ที่ 01-09-2019 14:16:59
อ่านไปน้ำตาซึมไปด้วยเลยค่ะ ขอบคุณที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้ให้อ่านนะค้า
เอาใจช่วยในเรื่องต่อๆไป เย่

 :L2:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Cardiac ที่ 01-09-2019 15:09:36
 :L1: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: brapair ที่ 01-09-2019 17:02:55
อ่านรวดเดียวจนจบเลยค่ะ ร้องไห้ตั้งแต่ต้นจนจบ555555
ชอบมากกก แงงงง เรารักความเป็นตามแล้วก็สงสารด้วย ฮือออออ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Kanni ที่ 03-09-2019 00:53:58
แม้จะเป็นแค่แสงเทียน แต่มันก็สว่างเมื่ออยู่ในความมืด ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ น้ำตาท่วม
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: mamameya ที่ 03-09-2019 00:57:33
ขอบคุณนะคะ  เสียน้ำตาเกือบทุกตอนเลย สนุกมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: naezapril ที่ 03-09-2019 02:30:58
ดีมากเลยย​ ที่สุด​ ร้องไห้ไม่หยุดเลยอ่ะ​ แต่ฟิลกูดมากกกกกกกกกกกกกก​ ๆๆ​ มาก​ มาก​ ขอบคุณ​มาก​นะ​ ตีสองกว่าแล้ววววว​
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ReiiHarem ที่ 03-09-2019 14:37:23
น้ำตาไหลเลย พี่แสง กอดดดดดดนะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: BuzZenitH ที่ 07-09-2019 12:40:42
 :hao5: โคตรทัชใจ ฮืออออ อ่านแรกๆแอบหน่วง แต่พอสามตอนสุดท้ายคือน้ำตาไหลพรากๆเลย แต่มีความสุขแบบฟินๆนะคะ #รัก
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: $VAN$ ที่ 08-09-2019 00:23:55
ฟิลกู๊ดจริงๆนะ แต่น้ำตานองหน้าก็จริงด้วย 555
อยากให้มีชาติหน้า ให้ตามกับแสงได้รักกันอีก :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: FaX ที่ 08-09-2019 19:43:19
จบดี จบฟินมากเลยค่ะ เนื้อหาสมุทม๊ากมาก ยอมรับการจากไปของแสงอย่างไม่มีเงื่อนไข มีความสุขทุกฝ่าย ขอบคุณนิยายดีๆแบบนี้นะคะ
ปล. เรื่องนี้เจอพี่ซีด้วยง่า อ่านตอนแรกตกใจมาก เอ้ามาอยู่ในเรื่องนี้ด้วย ❤❤
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: piengtavan ที่ 09-09-2019 12:21:48
ดีจังเลยเรื่องนี้ เรามีกำลังใจทำงานต่อแล้วล่ะ
อยากเป็นคนคิดดีแบบแสงบ้าง เราจะพยายาม แงงงงงงงงงงงงงง
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: monzos ที่ 09-09-2019 22:43:20
เป็นเรื่องที่ีดีมากเลย อาจจะมีน้ำตา แต่ก็มีรอยยิ้ม ขอบคุณคนเขียน ที่เขียนเรื่องนี้มา ขอบคุณมากนะคะ  :sad11: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 09-09-2019 23:25:48
เป็นเรื่องที่สนุกและน่าติดตามทุกตอนเลย สุข เศร้า เคล้าน้ำตาครบรสจริงๆ สงสารแต่แสงกับตามที่ไม่สมหวังในความรัก ทำใจยากถ้าใครเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า ขอบคุณมากค่ะสำหรับนิยายดีๆ :pig4:  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 11-09-2019 15:07:41
ฟิลกู๊ดจนตาปูดตาบวมเลย  :m15:

อบอุ่นหัวใจกับความรักของตามและแสง ครอบครัวที่น่ารักของบ้านแสง ความเปลี่ยนแปลงของบ้านพลีสรวมถึงเพื่อนอย่างข้าวปั้น

ทุกคนดูเติบโตและก้าวผ่านปัญหาที่ไม่เคยพูดเลยได้ดี  o13 รักเรื่องนี้เพิ่มในรีสอีกแล้ว  :จุ๊บๆ:

ขอบคุณจ้า   :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: noina ที่ 11-09-2019 20:14:42
สงสารคนอยู่อ่ะ 
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 17-09-2019 01:51:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 17-09-2019 08:22:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nikpook ที่ 17-09-2019 22:12:18
ร้องไห้เหมือนเขื่อนแตก ทิชชู่หมดไปครึ่งม้วน :hao5: ขอบคุณที่คุณนักเขียนเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เข้าใจเลยว่าความรักที่เติบโตในใจมันเป็นยังไง :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mookpichh ที่ 18-09-2019 03:09:19
อ่านมาจนถึงตรงนี้ ขอพูดแค่ประโยคเดียว

ยินดีที่ได้รู้จักเธอนะแสงเทียน..
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: littlepink ที่ 18-09-2019 09:34:51
เรื่องนี้ดีมากจริงๆ  น้ำตาไหลพราก แต่่่่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจริง ๆ ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ ถ้าไม่ได้อ่านคงน่าเสียดายมาก
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 22-09-2019 05:02:43
จริงๆ ก็สนุกมากเลยค่ะ แต่ไม่ได้หัวเราะหรือยิ้มได้ตลอด
เพราะถึงตอนเศร้า มันก็เศร้ามาก ยิ่งตอนพลีสต้องเจอเรื่อง
กับตอนแสงจะต้องไปแล้ว น้ำตาต้องมาค่ะ ไม่ร้องไม่ได้เลยน่ะ

ดีใจที่พลีสเข้มแข็ง และทุกคนพร้อมอยู่เคียงข้าง
ดีที่พลีสเข้าใจ และยอมเปิดใจ พร้อมจะมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นแสงส่งพลังให้ หรือเพราะพลีสอยากสู้เอง
แต่ทำได้ดีมากแล้วค่ะ เอ็นดูพลีสมาก

ขอบคุณมากนะคะ นิยายดีมาก สนุกมาก เข้าถึงทุกอารมณ์เลย
เป็นกำลังใจให้ต่อไปนะคะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 23-09-2019 23:11:52
 :hao5:  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: pearlluv ที่ 24-09-2019 03:23:28
ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ที่แต่งนิยายดีๆแบบนี้ออกมาให้ได้อ่าน ประทับใจมากๆเลยยค่ะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nattknc ที่ 24-09-2019 12:37:00
อ่านแล้วไม่รู้จะต้องรู้สึกยังไงก่อนเลย ทั้งซึ้ง ทั้งเศร้า  แต่รวมๆแล้วคือดีมากกกกกกกก :mew2:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nrbtst1997 ที่ 11-10-2019 17:35:50
ขอบคุณ​ที่แต่งให้อ่านนิยายสนุกมากจริงๆ​  ร้องไห้ไป2ตอนเลย​ สู้ๆต่อไปนะไรท์แต่งได้เก่งมากๆ

 :impress2: :mew6:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: ปาลี ที่ 14-01-2020 23:54:57
ดีมาก ๆ ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: piakunaa ที่ 15-01-2020 21:30:18
ร้อง
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 16-01-2020 14:25:31
น้ำตาท่วมเลย
เป็นนิยายที่ดีๆมากๆค่ะ
ขอบคุณคนเขียนค่ะ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 21-01-2020 03:32:53
 :-[
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nyxca ที่ 19-03-2020 03:30:20
น้ำตาจะไหล55555. เป็นนิยายที่เติมเต็ม เราเชื่อว่าคงมีคนคิดเล่นๆแหละว่าสมมุติวันนี้เราจากไปแบบกระทันหันทั้งที่ยังไม่ได้ลา ไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำ คงเป็นอะไรที่เสียดายมากๆ แต่แสงได้รับโอกาสนั้น โอ้ย ตอนเราอ่านเรามีหลายความคิดมากในหัวแต่ตอนนี้ไม่มีอะไรจะพิมพ์ค่ะ555 มันซึ้งแหละ


คนที่เราเห็นใจที่สุดคือตามอะนะคะ ตามดูเหมือนจะมูฟออนไปไม่ได้เลย ถึงในตอนจบแล้วตามก็ยังไปฝรั่งเศส(ใช่ปะ?)ตามที่แสงอยากจะไปอยู่ แต่ไม่เป็นไรนะตาม ถ้าตามมีความสุข เราก็จะส่งกำลังใจให้เหมือนกัน ><

ขอบคุณคนเขียน ฟีลกู้ดมากจริงๆ
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 10:31:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Spoypopoy ที่ 20-06-2020 15:20:15
อินมากๆ แบบว่า เหมือนเป็นคนไปยื่นตากฝนกับพี่ต่อและตามด้วย ไปนั่งอยู่ในห้องเรียนของทั้งพลีสและแสง แล้วก็ยินดีด้วยจริงๆที่พลีสดีขึ้นมากขนาดนี้ ครอบครัวพลีสยังไม่สายเกินไปที่จะปรับปรุงตัว หรือเลือกที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ดีจริงๆเลยน้าาา
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: Mr. Coron ที่ 21-06-2020 03:12:17
เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แต่งได้ดีมากกกกกก แต่เราไม่ชอบเท่าไรเพราะเราชอบจบแบบ Happy Ending น่าจะมีตอนพิเศษแบบเกิดใหม่มาเจอกันอีกครั้ง แสงอายุประมาณ16 เจอกับพระเอกตอนอายุประมาณ40 อ้ายยยยยย หนุ่นแก่กินหญ้าอ่อนฟินไปอีกแบบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: wipor ที่ 26-06-2020 02:17:36
เขียนดีมากๆเลยค่ะ ภาษาดี ซีนที่ไปหาพ่อกะแม่ นี่น้ำตาซึมเลย สุดท้าย ยังงงๆเรื่องโพซิชั่น
หัวข้อ: Re: [END] เพียงควัน -- บทส่งท้าย-- 31/08/19
เริ่มหัวข้อโดย: C.Tansakul ที่ 02-04-2021 17:45:30
สุดๆ บ่อน้ำตาแตก ฟิลกู๊ดตรงหนายยยยยยยย TT ขอบคุณมากๆค่ะ สำหรับนิยายดีๆค่ะ แนะนำๆๆๆอย่าเผลอเข้ามาอ่านเพราะชื่อนักเขียนนะ เตรียมทิชชู่ไว้เยอะเลยค่ะ ><