พิมพ์หน้านี้ - กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: ZIar ที่ 10-11-2011 17:04:31

หัวข้อ: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-11-2011 17:04:31
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

**************************************************

รอบนี้เปิดจองแบบยกเซ็ต 3 เรื่องเลยนะคะ เลยจะเปิดยาวๆ2เดือนเลย จะได้เก็บเงินกันทันนะคะ ^ ^


ระยะเวลาการจอง 18 สิงหาคม 2555 - 17 ตุลาคม 2555

แต่การจองรอบนี้เซียร์จะส่งหนังสือค่อนข้างช้า เพราะถึงช่วงปิดจองเซียร์ึคงจะต้องทำงานประจำแล้ว ดังนั้น เซียร์จะมีการแจ้งความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ หลังปิดการจองเท่าที่ทำได้ผ่านทาง http://www.facebook.com/ZiarNovel (http://www.facebook.com/ZiarNovel) ค่ะ



กรงเกล็ดมังกร

ภาพปก

(http://i.imgur.com/iJDGW.jpg)

(http://i.imgur.com/crxtB.jpg)

เพิ่มตัวอย่างที่คั่นหนังสือของกรงเกล็ดมังกรค่ะ

(http://i.imgur.com/TLoyP.jpg)


สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1707825.html#msg1707825")<<<

ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 500 บาท/ชุด (ชุดละ2เล่ม)

============================================





นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ใน บัลลังก์ปีกหงส์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,21932.0.html) นะคะ


สารบัญ

ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1707825.html#msg1707825), 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1726374.html#msg1726374), 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1733540.html#msg1733540), 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1738763.html#msg1738763), 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1755570.html#msg1755570), 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1773786.html#msg1773786), 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1794642#msg1794642), 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1805115#msg1805115), 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1845807#msg1845807), 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1848296#msg1848296), 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1858061#msg1858061), 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1878065#msg1878065), 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg1897128#msg1897128), 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2013845#msg2013845), 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2015232#msg2015232), 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2023012#msg2023012), 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2026587#msg2026587), 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2030849#msg2030849), 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2032065#msg2032065), 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2038831#msg2038831), 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2044534#msg2044534), 22 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2047497#msg2047497), 23 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2051072#msg2051072), 24 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2065571#msg2065571), 25 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2067490#msg2067490), 26 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2069552#msg2069552), 27 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2073985#msg2073985), 28 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2079866#msg2079866), END (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29851.msg2084128#msg2084128)
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-11-2011 17:07:03
กรงเกล็ดมังกร


-1-


   ชิงหลง จูเชว่ ไป๋หู่ เสวียนอู่ เสาหลักทั้งสี่ของฮ่องกงซึ่งปกปิดตัวตนในโลกเบื้องหลังไว้ภายใต้ฐานะนักธุรกิจใหญ่ และมีอำนาจขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในเกาะแห่งนี้ เรียกได้ว่า เพียงพวกเขาขยับมือ เกาะฮ่องกงก็พร้อมจะสั่นสะเทือน ด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่นั้นย่อมไม่อาจปล่อยไว้ในมือของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ด้วยเหตุนั้นอำนาจจึงแบ่งออกเป็นสี่ส่วน และมีการตั้งกฎเกณฑ์ระหว่างกันอย่างชัดเจน

   ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

   หากผู้ใดทำสิ่งใดไว้ย่อมต้องแลกสิ่งตอบแทนด้วยราคาเดียวกัน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามแต่ พวกเขาจะต้องจัดการกับอีกผู้หนึ่งด้วยมือของพวกเขาเองด้วยค่าตอบแทนที่เท่าเทียมกัน และจะไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ให้ผู้อื่นรับรู้ เรื่องทุก ๆ อย่างจะต้องเกิดและจบเป็นการภายใน ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อไม่ให้กลายเป็นเรื่องบานปลายและส่งผลต่อองค์กรนั่นเอง

   สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ถูกถ่ายทอดให้แก่รุ่นต่อรุ่น เด็กชายและเด็กหญิงซึ่งจะกลายเป็นผู้สืบทอดโดยชอบธรรมในอนาคต เป็นเสมือนการขีดเส้นชะตาให้แก่คนผู้หนึ่งซึ่งไม่มีโอกาสจะได้ใฝ่ฝันถึงอนาคตอันแสนหวานเช่นคนอื่นทั่วไป และต้องแบกรับภาระอันหนักหนาเฉกเช่นเดียวกับที่บรรพบุรุษก่อร่างสร้างกันมา

   ตระกูลเซิน คือหนึ่งในตระกูลหลักทั้งสี่ นับแต่บรรพบุรุษรุ่นแรกย้ายจากจีนแผ่นดินใหญ่มาปักหลักในฮ่องกงแห่งนี้ ก็ได้จับมือกับอีกสามตระกูลตั้งเป็นองค์กรขึ้นมา โดยตระกูลเซินเลือกชัยภูมิทางใต้ของเกาะซึ่งแม้มีเนื้อที่น้อยและเป็นแหลมยื่นไปในทะเล แต่ก็มีเกาะเล็ก ๆ กระจัดกระจายมากมาย ในสายตาคนอื่น ๆ มองว่าเป็นเขตที่ปกครองยากจึงยกให้แต่โดยดี ถึงอย่างนั้นสำหรับหัวหน้าตระกูลเซินผู้มองการณ์ไกลแล้ว เขาได้เล็งเห็นว่าเกาะเล็กเกาะน้อยเหล่านี้จะใช้เป็นสถานที่เก็บซ่อนสิ่งผิดกฎหมายได้ดี ยากที่หน่วยงานรัฐจะยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวและตรวจสอบได้ ด้วยเหตุนั้นทางใต้ของเกาะฮ่องกงจึงกลายเป็นถิ่นฐานของคนตระกูลเซินนับแต่นั้น พร้อม ๆ กับตำแหน่ง จูเชว่ หงส์แดงผู้ปกครองทิศใต้ตามคติจีนโบราณ

   มาถึงรุ่นปัจจุบัน ฐานอำนาจของตระกูลเซินแผ่ขยายและฝังรากลงในเกาะฮ่องกง และกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับอีกสามตระกูลที่ปกครองในแต่ละเขต ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันคือ เซินจง เขาเป็นคนหัวโบราณตัดสินใจจะใช้ชื่อจีนที่บิดาตั้งให้มากกว่าชื่อตะวันตกแม้ว่าฮ่องกงจะยังคงเป็นอาณานิคมของอังกฤษอยู่ก็ตาม

   แต่แม้เป็นคนหัวโบราณอย่างไรก็มีข้อยกเว้นเสมอ เมื่อเขาเพิ่งจะย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ไม่นาน เขาก็ได้พบรักกับหญิงสาวต่างชาติ ทั้งสองมีลูกด้วยกันโดยที่ไม่ได้แต่งงานเพราะผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงไม่เห็นด้วยที่จะให้บุตรสาวลงหลักปักฐานในเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้ สิ่งที่เธอเหลือเอาไว้ให้เซินจงจึงเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งที่มีผมสีน้ำตาล และรูปจมูก รูปปากที่เหมือนผู้เป็นแม่อย่างไม่ผิดเพี้ยน

   ในตอนที่บุตรชายเกิด มีเด็กชายหญิงหลายคนที่ไม่ได้ใช้ชื่อตะวันตกอีกต่อไป เขาจึงตั้งชื่อให้แก่บุตรชายว่า เซินหมิงเฟิ่ง

   ช่วงชีวิตของเซินจงมีหลายสิ่งเกิดขึ้นและส่งอิทธิพลต่อผู้เป็นบุตรชายเช่นกัน เขาเป็นผู้นำตระกูลเซินและหน้าที่ของเขาคือการเคี่ยวเข็ญให้เซินหมิงเฟิ่งกลายเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบ แต่เด็กน้อยย่อมต้องการความรักมากกว่าความเข้มงวด และเมื่อเซินจงตกหลุมรักอีกครั้งหนึ่งกับหญิงสาวชาวฮ่องกง เขาและเธอจึงตัดสินใจที่จะแต่งงานกันโดยไม่ฟังคำทัดทานของใครทั้งสิ้น การตัดสินใจครั้งนั้นได้ส่งผลดีกับเด็กน้อยเซินหมิงเฟิ่ง ทำให้เขาได้กลายเป็นเด็กที่สมบูรณ์พร้อม ถึงอย่างนั้นเวลาแห่งความสุขก็อยู่ได้ไม่นาน หญิงสาวจากไปด้วยโรคร้ายโดยไม่มีลูกให้แก่เซินจงแม้แต่คนเดียว ชีวิตของเซินหมิงเฟิ่งจึงกลับสู่ความเงียบเหงาอีกครั้ง

   เมื่อแม่เลี้ยงเสียชีวิต เซินหมิงเฟิ่งก็ถูกบิดาส่งตัวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ และเมื่อเขาอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เขาก็ได้กลับมาเยือนเกาะฮ่องกงอีกครั้งหลังจากที่ต้องจากไปหลายปี

-------------------->

   ไฟลท์บินจากอังกฤษเพิ่งมาถึงท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงได้ไม่นาน ชายหนุ่มคนหนึ่งทอดสายตามองรอบตัวเพื่อมองหาคนที่น่าจะพอคุ้นหน้าคุ้นตา ถึงอย่างนั้นก็คงเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์เพราะเขาไปจากที่นี่เกือบสิบปี ซ้ำตอนเขาจากไปก็ยังอายุน้อย ตอนนี้ทุกคนที่เขารู้จักคงเปลี่ยนไปหมดแล้ว

   ชายหนุ่มลากกระเป๋าใบโตยี่ห้อดังไปที่มุมหนึ่งเพื่อหลบความพลุกพล่านของผู้คน และจะได้เป็นที่สังเกตของคนที่มารับง่ายขึ้น ซึ่งมันก็ได้ผล เพียงไม่นานก็มีคนเดินเข้ามาหาเขา เป็นผู้ชายในชุดสูทสีดำดูเรียบร้อยสองคน การแต่งกายแม้ดูเป็นทางการแต่ก็ไม่ได้ผิดสังเกตจากคนอื่น ๆ ภายในท่าอากาศยาน ทำให้ไม่มีใครสนใจหันมามองพวกเขาจนดูเหมือนตัวประหลาด

   “นายน้อย พวกเรามารับแล้วครับ” ชายคนหนึ่งพูดเบา ๆ พร้อมโชว์สัญลักษณ์รอยสักที่ข้อมือเป็นรูปหงส์สีแดงให้เขาเห็น

   “ถ้าอย่างนั้น ฝากนี่ด้วยนะ” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแบบตะวันตกเลื่อนกระเป๋าให้คนทั้งสอง แล้วเดินตามไปยังรถที่จอดรออยู่ในลานจอดของท่าอากาศยาน ดูเหมือนทางบ้านเองก็จะรู้ดีว่าของน่าจะเยอะ จึงได้ส่งรถคันใหญ่มาและสามารถยัดกระเป๋าเดินทางใบเขื่องลงไปได้

   “ฝีมือเหล่าซือแน่ ๆ ใช่ไหม?” เขาถามชายในชุดดำที่เป็นคนขับ

   “ครับ พ่อบ้านหวางสั่งมาแบบนี้ครับ” เมื่อได้รับคำตอบ ชายหนุ่มก็พยักหน้าแล้วนึกขำในใจ ทั้งที่จากไปนานแต่เขาก็รู้สึกว่าคุ้นชินกับนิสัยแบบนี้ของหวางซือ พ่อบ้านประจำตระกูลเซินเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะทุกครั้งที่เขาได้รับโทรศัพท์จากทางบ้าน หวางซือมักจะกำชับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาด้วยทุกครั้งเหมือนกับเป็นพ่อคนที่สองทีเดียว นั่นยังไม่ได้รวมถึงจดหมายและพัสดุที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้เป็นประจำอีก

   เขาหวังว่าที่บ้านจะยังคงเหมือนเดิมก่อนที่เขาจะจากไป ถึงจะรู้ว่าตนเองจะไม่คุ้นเคยได้ในเร็ววันก็ตาม

   เซินหมิงเฟิ่งยังจำได้ ในวันที่ครอบครัวตัดสินใจส่งเขาไปเรียนที่อังกฤษ เขาร้องไห้และอ้อนวอนให้พ่อเปลี่ยนความคิด แต่มันก็ไม่ได้ผล พ่อของเขาใจแข็งยิ่งกว่าเพชรและที่ยิ่งกว่านั้น ยังจัดการเตรียมทุกอย่างให้เขาอย่างพร้อมสรรพ แม้แต่การอยู่กินที่ต่างแดน

   เขาถูกส่งไปอยู่บ้านแม่....แม่แท้ ๆ ที่ไม่เคยคิดว่ามีตัวตน

   ครอบครัวของแม่ต้อนรับขับสู้เขาเป็นอย่างดี ไม่มีท่าทีของการต่อต้านเลยทั้ง ๆ ที่เขาเป็นลูกนอกกฎหมาย และแม่เองก็มีครอบครัวใหม่ของตัวเองแล้ว

   การอยู่ที่อังกฤษราบรื่นกว่าที่คิด เขาสามารถเข้ากับน้องต่างพ่อได้ดีและได้เรียนรู้ประสบการณ์มากมาย จนกระทั่งพ่อเรียกตัวเขากลับ

   และตอนนี้ ยานพาหนะที่เขาโดยสารก็มาถึงรั้วบ้านหลังหนึ่งซึ่งเมื่อมองเข้าไปข้างในจะเห็นบ้านขนาดใหญ่โตจนใครผ่านไปมาก็คงรู้ฐานะเจ้าของบ้านอย่างไม่ต้องสงสัย และที่ข้างรั้วก็มีป้ายติดไว้ว่า ‘เซิน’ ใช่แล้ว นี่คือบ้านตระกูลเซิน บ้านใหญ่ที่หัวหน้าตระกูลอาศัยอยู่ บ้าน....ของเขา

   ประตูรั้วเปิดออกด้วยระบบออโตเมติก รถจึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้าไปด้านในและขยับไปหยุดนิ่งที่หน้าทางเข้าบ้าน เมื่อเซินหมิงเฟิ่งลงจากรถพร้อมกับกระเป๋าใบเขื่อง รถก็ขยับเลื่อนออกไป ไม่นานนักก็มีชายสูงวัยวิ่งออกมาจากในบ้าน เขาพินอบพิเทาเข้าไปหาเซินหมิงเฟิ่งอย่างสุภาพ

   “นายน้อย...”

   “เหล่าซือ?” เซินหมิงเฟิ่งจดจำชายสูงวัยที่เข้ามาทักทายได้ทันที เพราะแม้เวลาจะผ่านไปนานถึงเกือบสิบปีแต่ผู้ชายคนนี้ยังดูไม่เปลี่ยนไปเลย

   “โถ นายน้อยของเหล่าซือ ไม่ได้เจอกันหลายปี โตขึ้นเยอะจนเหล่าซือจำไม่ได้เลย” หวางซือ พ่อบ้านใหญ่ประจำตระกูลเซินเข้ามาลูบแขนลูบมือเป็นการใหญ่ เขามีโอกาสได้เลี้ยงดูนายน้อยคนนี้แค่เพียงวัยเด็กเท่านั้น ยังไม่ทันจะได้ย่างเข้าสู่วัยรุ่นก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศแล้ว การติดต่อก็ได้แต่ทางไกลไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันเลยนอกจากรูปถ่ายที่นาน ๆ ครั้งเซินหมิงเฟิ่งจะส่งกลับมาที่บ้าน

   “แต่ผมจำเหล่าซือได้แม่นเลย แล้วอาซิงล่ะครับ? คุณอาซานกับคุณเหม่ยด้วย” เซินหมิงเฟิ่งทวนถึงคนตระกูลหวางทุกคน หวางซิงคือหลานชายคนเดียวของหวางซือ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเซินหมิงเฟิ่งจึงเปรียบเสมือนพี่ชายที่สนิทสนมด้วยที่สุด หวางซานและฮว่าเหม่ยคือพ่อและแม่ของหวางซิง และเป็นเหมือนพ่อแม่คนที่สองของเซินหมิงเฟิ่งเช่นกัน

   หวางซือใบหน้าสลดลงเล็กน้อย

   “อาซิงยังไม่กลับจากมหาวิทยาลัย ส่วนอาซานก็ไปทำงานกับนายท่านครับ ส่วนอาเหม่ย....เสียไปได้ 5 ปีแล้วครับนายน้อย”

   เซินหมิงเฟิ่งอึ้งไป เขาขมวดคิ้ว

   “เกิดอะไรขึ้นครับ?”

   “เฮ้อ...อาซานกับอาเหม่ยตัดสินใจจะมีลูกอีกคนหนึ่ง....” หวางซือเล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยและดูเหนื่อยล้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาโศกเศร้ากับเรื่องนี้มากแค่ไหน “แต่อาเหม่ยสุขภาพไม่ค่อยดี พออาซิ่วเกิดอาเหม่ยก็เสีย แต่เหล่าซือไม่อยากให้เรื่องนี้กวนใจนายน้อยที่กำลังตั้งอกตั้งใจเล่าเรียนอยู่ทางนั้นเลยไม่ได้เล่าให้ฟัง หวังว่านายน้อยคงไม่ถือโทษเหล่าซือนะครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกใจหายวาบ ไม่คิดว่าเมื่อกลับมาจะพบเจอข่าวร้ายอย่างนี้ แต่เขาก็ถือโทษโกรธหวางซือไม่ได้ อีกฝ่ายต้องแบกรับความโศกเศร้าจากการตายของลูกสะใภ้ไปพร้อม ๆ กับการดูแลความเป็นอยู่ของคนในบ้านและยังคอยเอาใจใส่เขาที่อยู่อีกฝากโลกเสมอ การที่ไม่บอกเรื่องนี้กับเขา หวางซือคงมองว่าเป็นสิ่งที่ดีกว่า

   “เอาเถอะเหล่าซือ ผมไม่ว่าอะไรหรอก เราเข้าบ้านกันเถอะ” เซินหมิงเฟิ่งผ่อนลมหายใจออกแล้วให้ครับใช้ยกกระเป๋าเข้าไปในบ้าน “พ่อล่ะครับ?”

   “นายท่านมีงานด่วนเลยรีบไปเมื่อครู่นี้เองครับ ความจริงแล้วนายท่านอยากจะรอพบนายน้อยมาก...” เหล่าซือยังพูดไม่ทันจบ เซินหมิงเฟิ่งก็ยกมือขึ้นปรามแล้วยิ้มบาง ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าที่หวางซือพูดนั้นแค่อยากจะให้เขารู้สึกดีใจ เขารู้จักพ่อตัวเองดี เซินจงเป็นผู้ชายเจ้าระเบียบและเหมือนคนไร้หัวใจ นับแต่แม่เลี้ยงเสียชีวิตเขาก็สัมผัสได้ถึงการปิดกั้นตัวเองของผู้เป็นพ่อ ตัวเขาในสมัยเด็กแทบจะจำไม่ได้เลยว่าเซินจงเคยยิ้มให้เขาสักกี่ครั้ง เคยอุ้มชูเขาด้วยมือคู่นั้นสักกี่หน และเคยพูดสักครั้งไหมว่ารักเขามากแค่ไหน

   เป็นการกลับบ้านที่เงียบเหงาและว่างเปล่า ไม่มีใครแม้สักคนที่มารอต้อนรับแล้วกอดทักทาย...

   เซินหมิงเฟิ่งเดินนำขึ้นไปบนห้องชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอน เขาจดจำห้องนอนตัวเองได้ว่าเคยตั้งอยู่ตำแหน่งใด และมันก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมโดยไม่มีใครมาครอบครองแทนหรือถูกเปลี่ยนสถานะเป็นอย่างอื่น เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องยังอยู่ในที่ที่ควรอยู่ และถูกทำความสะอาดอย่างดีเหมือนกับห้องที่เตรียมรอรับแขกที่มาพักอยู่ทุกเมื่อ

   ชายหนุ่มเดินไปยังเตียงแล้วลูบเบา ๆ บนเนื้อไม้ก่อนพบว่าไม่มีฝุ่นจับเลยแม้แต่น้อย

   “นายน้อยครับ กระเป๋านี่....” คนรับใช้ที่ยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่ในห้องเอ่ยขึ้นเพราะไม่รู้ว่าตนควรทำอะไรต่อไป เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองแล้วยิ้มให้

   “วางกระเป๋าไว้ตรงนั้นแล้วไปทำงานต่อเถอะ ที่เหลือฉันจัดการต่อเอง”

   “แต่พ่อบ้านหวาง....”

   “ฉันสั่ง เหล่าซือไม่ว่าหรอก” เขายืนยันคำสั่งเดิมทำให้คนรับใช้ถอยออกไป เซินหมิงเฟิ่งเพียงแค่ต้องการสัมผัสสิ่งที่เป็นของเขา สถานที่ของเขาในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง เพื่อให้รู้สึกถึงความคุ้นชินในสถานที่แห่งนี้โดยเร็ว การจากไปนานแสนนานทำให้เขาแทบจะหลงลืมบรรยากาศในบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งลากกระเป๋ามาใกล้ ๆ เตียง แล้วจัดการเอาเสื้อผ้าออกมาเรียงไว้อย่างเรียบร้อย ตอนอยู่ที่บ้านแม่ที่อังกฤษ เขาถูกสั่งสอนให้ดูแลตัวเองโดยไม่มีใครมารับใช้เคียงข้างเหมือนตอนอยู่ที่นี่ กระเป๋าเดินทางจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาเลย

   ใช้เวลาเพียงไม่นานสำหรับตัวเขา เสื้อผ้าก็เข้าไปจัดเรียงในตู้อย่างเรียบร้อย ส่วนเสื้อผ้าที่ยับจนน่าเกลียด เซินหมิงเฟิ่งก็จัดแยกไว้เพื่อนำไปให้แม่บ้านรีด

   เขาคิดว่าตัวเองใช้เวลาไม่นาน แต่เมื่อมองไปที่นาฬิกา เขาก็พบว่าเป็นเวลาเย็นทั้งที่เขามาถึงหลังเที่ยงเพียงเล็กน้อย

   เสียงเคาะประตูดังขึ้น

   “ครับ?” เขาขานออกไปตามนิสัย ตอนอยู่กับแม่ เขามักจะต้องขานแบบนี้เมื่อมีคนเคาะประตูเพราะอาจจะเป็นแม่หรือสามีของแม่เป็นคนมาเคาะมากกว่าน้อง ๆ ต่างพ่อของเขา

   “ผมเองครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว เสียงไม่คุ้นหู น่าจะเป็นคนรับใช้ในบ้าน

   “มีอะไรหรือ?”

   “พ่อบ้านหวางสั่งให้ผมมาเชิญนายน้อยไปทานอาหารเย็นได้แล้วครับ”

   เป็นคนรับใช้อย่างที่คาดเดา เซินหมิงเฟิ่งไหวไหล่ เขาอาจจะต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับรูปแบบชีวิตที่ห่างหายไปนานนี้จริง ๆ ชีวิตที่จะมีคนรับใช้ล้อมหน้าหลังเหมือนกับสมัยเด็ก และคงไม่สามารถคาดหวังกับชีวิตอิสระได้เลยหลังจากนี้ไป....

-------------------->

   เซินหมิงเฟิ่งเดินลงมาข้างล่าง และในห้องอาหาร เขาก็พบโต๊ะกลมขนาดใหญ่ทำจากไม้เนื้อดี นั่งได้ราว ๆ 6 คน แต่ตอนนี้มีสำรับอาหารเพียงชุดเดียว

   “พ่อยังไม่กลับหรือครับ?” เขาหันไปถามหวางซือ

   “ระยะนี้นายท่านกลับบ้านดึกทุกวันครับ เห็นว่ามีงานมาก แล้วยังเป็นช่วงปลายปีแบบนี้ด้วย” เซินหมิงเฟิ่งฟังที่หวางซืออธิบายก็พยักหน้าเข้าใจ ตัวเขานั้นไม่ได้เรียนรู้งานบริหารเท่าไหร่นักในช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่เขาก็สามารถรับรู้เรื่องสามัญได้หลาย ๆ อย่าง อย่างเช่นการปิดงานปลายปีและการทำโครงการใหม่ ๆ จะว่าไป ตอนที่นั่งรถกลับมาจากสนามบิน เขาก็เห็นสถานที่ที่กำลังก่อสร้างอยู่ และหน้าทางเข้าก็มีสัญลักษณ์ของเครือธุรกิจตระกูลเซินประดับไว้เด่นหรา ไม่รู้ว่าเป็นการขยายเขตใหม่หรือเขตเดิมที่มีอยู่แล้วกำลังปรับปรุงกันแน่

   “ก็แสดงว่ามีผมคนเดียว” ชายหนุ่มมองโต๊ะแล้วพึมพำออกมา

   ใช่แล้ว เขาเริ่มจำได้ถึงชีวิตในสมัยเด็ก เขาเองก็มักจะต้องกินข้าวคนเดียวบ่อย ๆ เพราะพ่อติดงานยุ่งอยู่เสมอ ถึงแม้หวางซิงจะเป็นเสมือนพี่ชายแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาตให้ร่วมโต๊ะกับผู้เป็นนาย ความเหงาหงอยบนโต๊ะอาหารเป็นเหมือนชีวิตประจำวันของเขาจนกระทั่งพ่อแต่งงานใหม่ แม่เลี้ยงที่เขาแทบจะจำหน้าไม่ได้คือแขกคนสำคัญบนโต๊ะอาหารและในที่สุดก็กลายเป็นภาพที่เขาคุ้นตาที่จะมีหญิงสาวคนหนึ่งคอยหยอกล้อกับเขาระหว่างมื้ออาหาร

   แม้เมื่อเขาต้องไปอยู่บ้านแม่แท้ ๆ ที่ต่างประเทศ โต๊ะอาการที่นั่นก็ไม่เคยว่างเว้นผู้คน ครอบครัวเล็ก ๆ ที่แสนน่ารักนั้นมักจะให้ความสำคัญกับอาหารเย็นเป็นพิเศษ เพราะเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้า และเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น

   แต่ในวันนี้ เขาได้ย้อนกลับไปสู่วันวานอันเงียบเหงา ที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียว

   เซินหมิงเฟิ่งนั่งลงที่โต๊ะอาหาร และลงมือจัดการกับสิ่งต่าง ๆ บนโต๊ะที่หวางซืออุตส่าห์ทำเพื่อเขาเป็นพิเศษ อาหารแต่ละชนิดล้วนทำจากวัตถุดิบคุณภาพดี เต็มไปด้วยเครื่องบำรุงสุขภาพ กลิ่นหอมของสมุนไพรทำให้เขานึกถึงคืนวันเก่า ๆ บรรยากาศเก่า ๆ สิ่งที่เขายังไม่เคยแน่ใจว่าควรจะลืมหรือจดจำถึงจะดีกว่ากัน

---------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-11-2011 17:13:29
   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินเสียงประตูเปิดแต่ไม่มีเสียงรถเมื่อเขาจัดการกับมื้ออาหารของตนเองเรียบร้อย เขาเดินออกไปดูว่าใครมาโดยที่ในใจแน่ใจว่าไม่ใช่พ่อแน่นอน และเขาก็เดาถูก

   ชายหนุ่มรูปร่างโปร่งคนหนึ่งจูงเด็กชายเข้ามาในบ้านแล้วยิ้มทักทายหวางซือที่ออกไปเปิดรับ

   “ขอโทษที่กลับค่ำนะครับคุณปู่ ผมไม่คิดว่าจะติดงานชมรมเอาวันนี้พอดีก็เลยไปรับอาซิ่วช้าด้วย” ชายหนุ่มวัยมหาวิทยาลัยรีบเอ่ยขอโทษขอโพยด้วยความรู้สึกผิด เขารู้ดีว่าวันนี้เป็นวันสำคัญเพราะนายน้อยแห่งตระกูลเซินจะกลับมาจากต่างประเทศ ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่สามารถปฏิเสธงานชมรมที่มหาวิทยาลัยได้ และรู้ดีว่าจะต้องโดนปู่ของเขาดุเอาแน่ ๆ

   “อาซิง แกยังไม่รู้จักลำดับความสำคัญก่อนหลังของงานอีกหรือไง? ปู่สอนเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักจำเสียที” หวางซือบ่นแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย หวางซิงยิ้มรับแหย ๆ ปู่ของเขาจริงจังกับงานในบ้านก่อนทุกสิ่งเสมอจึงไม่ค่อยเข้าใจตัวเขาที่ต้องจดจ่อทั้งงานมหาวิทยาลัยและงานในบ้าน รวมถึงการเรียนรู้งานที่บริษัทไปพร้อม ๆ กันได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ถือสาเพราะในอนาคตเขาเองก็คงไม่ต่างจากปู่มากนัก

   “ยังจะมายิ้มอีก รู้ไหมว่านายน้อยน่ะ....”

   “พอเถอะครับเหล่าซือ” เซินหมิงเฟิ่งเห็นว่าหวางซือตั้งท่าจะดุว่าต่อก็รีบออกมาห้ามไว้ “อาซิง ผมกลับมาแล้วครับ” เขายิ้มให้กับพี่ชายในความเคารพที่แทบจะจำไม่ได้ หวางซิงเปลี่ยนไปมากสำหรับเขา ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและสุขุมขึ้นกว่าเดิม

   “นายน้อย...” หวางซิงหันมามองเซินหมิงเฟิ่งแล้วยิ้มกว้าง ท่าทางเหมือนอยากจะเข้ามากอดแทนความคิดถึงแต่ก็ทำไม่ได้ หวางซิงโตมากพอที่จะรู้ว่าอีกฝ่ายและตัวเองมีช่องว่างระหว่างฐานะกว้างเกินกว่าจะกลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนตอนเด็ก ๆ ได้

   “ยินดีต้อนรับกลับมาครับ” หวางซิงเลือกที่จะพูดเช่นนั้นแทนการกอด

   “แล้วเด็กคนนี้....” เซินหมิงเฟิ่งก้มลงมองเด็กคนหนึ่งที่แอบอยู่หลังหวางซิงเพราะเห็นเขาเป็นคนแปลกหน้า

   “นายน้อย นี่คืออาซิ่ว หลานของเหล่าซือเองครับ” หวางซือกวักมือเรียกหลายชายคนเล็กให้มายืนข้าง ๆ หวางซิงจึงส่งมือน้องชายให้กับปู่ หวางซิ่วมองหน้าเซินหมิงเฟิ่งแล้วรีบไปหลบหลังปู่ของตนเองทันที การพบเจอคนแปลกหน้าทั้งที่ในบ้านหลังนี้ยากที่จะพบเจอคนนอก และมักมีคนน่ากลัวเข้าออกเป็นประจำทำให้หวางซิ่วไม่ชินต่อการพบปะผู้คนแม้แต่กับเพื่อนที่โรงเรียน

   เซินหมิงเฟิ่งนั่งลงให้ระดับสายตาอยู่เท่ากับเด็กน้อยวัย 5 ขวบแล้วยิ้มให้

   “อาซิ่ว ฉันชื่อหมิงเฟิ่ง เซินหมิงเฟิ่ง ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เขายื่นมือไปด้านหน้าโดยไม่ได้คาดคั้นการตอบรับ ในตอนแรก หวางซิ่วก็ดูหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งยังยิ้มให้เงียบ ๆ โดยไม่ได้บังคับให้เขาทำอะไร เด็กน้อยก็ค่อย ๆ ยื่นมือไปจับแทนการตอบรับ

   “อาซิ่วไม่ค่อยชินกับคนแปลกหน้าน่ะครับ คงเพราะสภาพแวดล้อมด้วย” หวางซิงหัวเราะเบา ๆ แล้วจับบ่าน้องชายตนเอง

   “ฉันพอจะเข้าใจอยู่” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะตอบ ตอนเขาเด็ก ๆ เขาเองก็กลัวหลาย ๆ สิ่งในบ้านหลังนี้ บ้าน...ของมาเฟียใหญ่แห่งฮ่องกง ผู้คนที่อาศัยล้วนแต่เป็นคนรับใช้ การ์ด แต่ไม่มีญาติผู้ใหญ่แม้แต่คนเดียว หลาย ๆ ครั้งที่มีคนน่ากลัวเข้ามาในบ้าน พวกเขาคือหัวหน้ากลุ่มใต้ปกครองที่มาประชุมกันเป็นครั้งคราว ในตอนนั้นบรรยากาศรอบบ้านจะดูเคร่งเครียดกดดันมากขึ้นจนเด็กอย่างเขาต้องวิ่งขึ้นไปหลบบนห้องนอน ไม่น่าแปลกอะไรที่เด็กคนหนึ่งจะรับรู้ถึงบรรยากาศที่ผิดแปลกไปได้ง่ายกว่าผู้ใหญ่

   ตอนที่เป็นแบบนั้น เขาจำได้ดีว่าหวางซิงจะขึ้นมาหาเขาพร้อมกับแม่เลี้ยง ทั้งสามคนจะกอดกันกลมบนเตียงจนกระทั่งเขาหายกลัว

   ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หวางซิ่วก็คงเผชิญกับสิ่งที่ไม่ต่างจากนัก....

   “เราเข้าบ้านกันเถอะ ผมมีเรื่องอยากเล่าให้ฟังเยอะแยะเลย” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยชวน หวางซือและหวางซิงจึงช่วยกันต้อนหวางซิ่วเข้าบ้าน

   เซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าเด็ก ๆ มักใจอ่อนกับการให้ แต่เพราะเขาไม่รู้ว่าหวางซิ่วเกิดตอนไหนจึงไม่ได้ซื้อของฝากส่วนของหวางซิ่วมา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือ เขานำขนมที่ซื้อมาจากทางนั้นเพื่อกินเล่นยกให้หวางซิ่วแทน แน่นอนว่าเด็กชายดีอกดีใจเป็นการใหญ่ อยากจะแกะขนมออกกินซะเดี๋ยวนั้น แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้

   “กินขนมตอนค่ำไม่ได้นะ ไป ๆ ไปกินข้าวเย็นก่อน” หวางซือจัดการไล่หลานชายทั้งสองคนไปกินข้าวเย็นให้เรียบร้อย

   แต่พอหวางซือไล่หลายชายทั้งสองไปไม่นาน ก็มีเสียงรถเคลื่อนมาหน้าบ้าน เซินหมิงเฟิ่งเห็นหวางซือรีบวิ่งออกไปที่หน้าประตูทันที

   พ่อบ้านแซ่หวางคนนี้ยังกระตือรือร้นกับงานที่แสนรักเหมือนเดิม

   เซินหมิงเฟิ่งมองแล้วก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้

   เขาเดินออกไปมองฝ่าความมืดไปที่ประตูหน้า เห็นรถสีดำคันใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาเป็นขบวน เดาไม่ยากเลยว่าใครกลับมาบ้าน

   รถที่อยู่ตรงกลางขบวนขับมาจอดที่หน้าประตูทางเข้าตัวบ้าน การ์ดคนหนึ่งเปิดประตูรถออกให้ชายคนหนึ่งท่าทางภูมิฐานก้าวลงมา อีกด้านเป็นชายอีกคนที่อ่อนวัยกว่าจะดูท่าทางสุภาพอ่อนน้อม

   เซินหมิงเฟิ่งยืนอยู่ตรงนั้น มองดูชายทั้งสองเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทัก

   “สวัสดีครับ พ่อ”

   ผู้ชายที่อายุมากกว่าเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าเมื่อได้ยินเสียง เขาใช้เวลานานในการจับจ้องคนที่ไม่ได้พบกันมานานปีเพื่อเก็บรายละเอียดบางอย่างที่ปรากฏบนใบหน้านั้น บางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและปลุกความรู้สึกโหยหาอาทรที่หลบซ่อนอยู่ข้างใน

   “กลับมาแล้วหรืออาหมิง” เขาว่าแล้วส่งกระเป๋าให้คนข้าง ๆ ซึ่งน่าจะเป็นเลขา “เอาของไปเก็บก่อนอาซาน ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

   หวางซานโค้งรับอย่างเงียบ ๆ แล้วนำของเดินเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง เซินจงเดินเข้าไปหาลูกชายแล้วตบลงบนบ่าหนัก ๆ

   “โตขึ้นมาเลยนะ”

   “ครับ พ่อเองก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน” เซินหมิงเฟิ่งพูดตอบแล้วพยุงอีกฝ่ายเข้าบ้าน  พ่อเปลี่ยนไปจากในความทรงจำของเขามากจริง ๆ ทั้งท่าทางเหนื่อยอ่อนไม่กระฉับกระเฉงเหมือนสมัยหนุ่ม ๆ ผมก็ดูบางลงและแซมด้วยสีขาวประปรายทั้งที่อายุเพิ่งย่างเข้าเลขสี่ไม่นาน ซ้ำยังต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัว ดูเหมือนขาของพ่อจะมีปัญหาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ละวางท่าทีเข้มงวดเหมือนที่เคยเป็น “งานที่บริษัทเป็นยังไงบ้างครับ?”

   “แกเพิ่งกลับมาจะมาถามเรื่องงานทำไม” เซินจงปัดมือเลี่ยงการสนทนา

   “งั้น...พ่อทานข้าวมาหรือยังครับ? ผมจะให้คนรับใช้เตรียมให้ดีไหม?”

   “เรียบร้อยจากที่บริษัทแล้ว อาหมิง แกไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วจะลงมาคุยด้วย” ชายผู้เป็นพ่อกล่าวแล้วปลีกตัวจากไป เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ พ่อของเขายังเหมือนเดิมเรื่องนิสัย ลูกคนเดียวกลับมาทั้งทีไม่มีแม้แต่คำต้อนรับซาบซึ้งหรือการหลั่งน้ำตา อีกฝ่ายพูดคุยกับเขาเหมือนเขาเพิ่งออกจากบ้านไปเมื่อเช้าแล้วกลับมาในตอนเย็น

   เซินหมิงเฟิ่งเดินไปรอในห้องนั่งเล่น เมื่อมองไปรอบ ๆ เขาก็พบว่าการตกแต่งไม่คุ้นตา บางทีคงเป็นเพราะเขาจำการตกแต่งแบบเดิมไม่ได้ซะมากกว่า

   ชายหนุ่มมองไปยังมุมหนึ่งที่วางรูปไว้หลายรูป เมื่อเดินไปดูใกล้ ๆ เขาก็พบว่ามีภาพแม่ของเขาที่เคยถ่ายไว้กับพ่อด้วย ทั้งสองคนดูรักกันดี พ่อยังอายุน้อยและหัวแข็งถึงได้มีเขาออกมา แต่ก็เหมือนว่าจะมีแค่ภาพนั้น เพราะกรอบใกล้ ๆ กันเป็นภาพของพ่อกับหญิงสาวอีกคน แม่เลี้ยงของเขา...

   มีภาพผู้หญิงเพียงสองคนในที่วางนี้ เพราะต่อจากแม่เลี้ยงของเขา พ่อก็ไม่มีข่าวแต่งงานใหม่อีกเลย

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มออกมาอีกครั้ง

   มีภาพเขาสมัยเด็กอยู่ด้วย แต่เขานึกภาพพ่อจ้องมองภาพเขาด้วยความคิดถึงไม่ออกเลย พ่อของเขาเก็บความรู้สึกได้ดีเกินกว่าจะทำเรื่องแบบนั้น

   เสียงเคาะปลายไม้เท้าพร้อมเสียงก้าวเดินดังขึ้นจากทางเดิน เซินหมิงเฟิ่งวางภาพในมือลงที่เดิมแล้วเดินไปนั่งรออย่างสงบเสงี่ยม เพียงไม่นาน เซิงจงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมชุดลำลอง เขาเดินเข้ามาแล้วปิดประตูอย่างเรียบร้อยก่อนเดินเข้ามานั่งตรงข้ามกับลูกชายตนเอง

   “ไปอยู่ทางนั้น แม่แกสบายดีสินะ?”

   “ครับ แม่ฝากความคิดถึงมาด้วย” เซินหมิงเฟิ่งพยายามพูดเท่าที่จำเป็น แต่พ่อก็คงรู้เรื่องทางนั้นอยู่มากพอสมควร ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งเขาไป

   เซินจงพยักหน้ารับ เขาเงียบไปแล้วทำท่าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

   “แต่แกก็กลับมาแล้ว แกคงรู้ใช่ไหม?”

   เซินหมิงเฟิ่งฟังคำพ่อแล้วรู้สึกโหวงในอก ใช่ เขากลับมาแล้ว...พร้อมกับฐานะการเป็นทายาทของจูเชว่ หัวหน้ามาเฟียที่ครอบครองเขตทางใต้ของฮ่องกง พ่อของเขาคล้ายต้องการจะตอกย้ำเรื่องนี้เพื่อให้เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตเช่นคนปกติได้อีก ทุก ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา ราวกับจะเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น หลังจากนี้เขาต้องทำตัวเป็นทายาทของจูเชว่อย่างเป็นทางการ

   “ฉันจะให้เวลาแกปรับตัวนิดหน่อย อาทิตย์หน้าจะมีงานเลี้ยง คิดซะว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับก็ได้”

   “ครับ ผมจะเตรียมตัวไว้” เซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิปฏิเสธ ได้แต่ทอดถอนใจในอก หลังจากงานเลี้ยงครั้งนี้ ชีวิตปกติของเขาคงจะจากหายไปอย่างไม่มีวันหวนคืนจริง ๆ

   “ในงานนี้ ผู้นำอีกสามคนจะมาด้วย ถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามอาซือไว้ให้เรียบร้อย”

   “ครับ....”

   “คู่หมั้นแกด้วย”

   .......

   อะไรนะ?

   “คู่หมั้น ผมยังไม่ได้....”

   “ฉันจัดการให้แล้ว คู่หมั้นของแกเป็นลูกสาวของนักธุรกิจญี่ปุ่นที่มาลงทุนในเขตของเรา นี่รูปและประวัติ” เซินจงวางซองน้ำตาลลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้น “เตรียมตัวให้ดี” แล้วเขาก็เดินออกไป

   เซินหมิงเฟิ่งจ้องมองซองน้ำตาลตรงหน้าด้วยสมองที่ว่างเปล่า เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานเลย แต่อยู่ ๆ พ่อก็บอกว่าหมั้นให้เขาเรียบร้อยแล้ว ซ้ำยังเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา ไม่ถามเขาแม้สักคำเดียวว่าต้องการหรือเปล่า และเพราะเหตุนั้นทำให้เขาอยากรู้ขึ้นมาว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนยังไง....

   ชายหนุ่มเลื่อนซองน้ำตาลเข้ามาหาตัว เปิดซองออก แล้วนั่งศึกษาคู่หมั้นของตน...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Crossley ที่ 10-11-2011 18:37:24
 :mc4:
เปิดตัวมาก็มีคู่หมั้นล่ะ เป็นชะนีอีกตะหาก
ติดตามกันต่อไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: golove2 ที่ 10-11-2011 20:20:03
ตัวละครท่าทางจะเยอะ  จะจำได้หมดไหมเรา

ติดตามต่อจ้า

 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-11-2011 20:50:19
กรี๊ดดด คุณเซีย
นี่มันมีตัวละครเดิมๆอยู่ด้วยนี่นา
แต่ก็ยังแอบงงๆกับเรื่องอยู่นะ แล้วเซินเฟยล่ะ??
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 10-11-2011 21:12:59
งงนิดๆเหมือนกันจ้า
เป็นแนวๆโลกคู่ขนานรึเปล่าเอ่ย

แต่ดีใจที่ได้อ่านเรื่องแนวนี้อีกมากเลย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Still_14OC ที่ 10-11-2011 21:30:10
เห็น ชื่อ เซียร์ปุ๊บโดดเข้ามาอ่านปั๊บ 
ขอไปอ่านก่อน จะกลับมาเม้นต์

------------------------------------------------------------------------

อ่านแล้วพอจะเดาๆอะไรออกแระ หึหึ

เรื่องนี้ มาจากเรื่องนั้น ซินะ คนที่คุณอยากรู้ว่าใคร :o8: :-[
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: murasakisama ที่ 10-11-2011 21:46:52
อ่านแล้วคุ้นๆน้าคุณเซินก็เป็นจูเช่วนี่นา รึเป็นคนละรุ่นกัน :really2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Aimiya ที่ 10-11-2011 21:55:21
โอ๊ะโอ เรื่องใหม่มาแล้ววววว
แต่ชื่อตัวละครและบรรยากาศมันเหมือนเดิม
หรือเป็นเรื่องราวก่อนที่เซินเฟยเกิด มาเรื่องราวของพ่อบุญธรรมแทน ฮาๆ
คู่หมั้นนั่นคือนายหญิงซากุระหรือป่าว จำได้ว่าเป็นนายหญิงตามกฏหมายแสดงว่ามันต้องมีอย่างอื่นแอบแฝงในเนื้อเรื่อง(ฮาๆ)
ชอบค่ะ หุหุหุ =w= รอตอนต่อไปนะคะ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 10-11-2011 21:59:58
อ่า ไมมีชื่อคุ้นๆ แต่บางคนก็ไม่รู้จัก งงๆ 555
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Karn12 ที่ 10-11-2011 22:09:35
รอตอนต่อไปนะครับ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 10-11-2011 22:20:48
น่าติดตามมากค่ะ ตอนแรกรู้สึกงงๆเพราะเหมือนจะเคยอ่านค่ะ แล้วนี่เป็นภาคต่อหรือเปล่าคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-11-2011 03:49:21
เห็นมีหลายคนสงสัย ขอโทษค่ะที่ลืมอธิบาย ;w;
คือนี่เป็นเรื่องของรุ่นก่อนเซินเฟยรุ่นนึง ย้อนเวลาจากเรื่องบัลลังก์ปีกหงส์กลับมาน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Jacknight ที่ 11-11-2011 04:33:19
มารออ่านเรื่องใหม่คร้าบบบบ แฮ่ๆๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 11-11-2011 06:39:45
เห็นชื่อคุณเซียเลยรีบจิ้มเข้ามาอ่าน :กอด1:
เห็นชื่อจูเชว่แล้วคิดถึงเฟยเฟย
แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของพ่อบุญธรรมเฟยเฟยสินะ
รออ่านตอนต่อไปจ้า :bye2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 1 (10/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 15-11-2011 18:58:08
เพิ่งเห็นว่าเอามาลงที่นี่ ( ไปอ่านมาจากอีก web เรียบร้อยแล้ว )
ชอบชื่อเรื่องจังเลย บ่งบอกข้อสันนิษฐานบางประการที่เราจิ้นไว้จากเรื่องที่แล้ว  :laugh:
ช่างน่าติดตามเหมือนเคยนะค่ะ... o13
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 2 (20/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-11-2011 17:47:11
-2-


งานเลี้ยงต้องรับถูกจัดขึ้นอย่างใหญ่โตที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตการปกครองของจูเชว่ เชิญคนใหญ่คนโตมากหน้าหลายตาอย่างที่หาโอกาสที่คนเหล่านี้จะมารวมตัวกันได้ยาก มีนักข่าวเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้สิทธิเข้ามาในงานในฐานะผู้สังเกตการณ์โดยห้ามการนำอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงเข้ามาด้วยอย่างเด็ดขาด แน่นอนว่าการ์ดของจูเชว่สามารถจับตัวผู้ลักลอบเข้างานและอุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงขนาดเล็กได้มากมาย โดยคนเหล่านั้นและสิ่งของเหล่านั้นจะถูกโยนออกไปนอกงานทันที

เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น สำหรับเซินจงแล้วจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร เพียงแค่ต้องตรวจสอบอย่างเข้มงวดสำหรับพวกนักข่าวจอมยุ่งเท่านั้น ถึงแม้เขาจะกำชับไปกับพวกบก.ของสำนักข่าวแล้ว แต่ดูเหมือนสัญชาตญาณการสอดรู้สอดเห็นของพวกที่ทำงานหาข่าวจะบังคับกันไม่ค่อยได้

เซินหมิงเฟิ่งอยู่ในห้องน้ำ เขาแต่งตัวมาจากที่บ้านแล้วแต่ดูเหมือนสำหรับหวางซิง นั่นจะยังไม่เรียบร้อยพอ
สิ่งหนึ่งที่เซินหมิงเฟิ่งเรียนรู้ก็คือ หวางซิงกลายเป็นคนที่เจ้ากี้เจ้าการกว่าเดิมมากทีเดียว

“ทรงผมของผมมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว ถึงจะเสยยังไงก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอกครับ” เขาพยายามอธิบายให้หวางซิงฟังตั้งแต่ราว ๆ ชั่วโมงก่อน และแน่นอนว่า หวางซิงไม่ได้สนใจเลย เจ้าตัวยังคงพยายามใช้เจลจำนวนมากดึงเส้นผมเหล่านั้นให้เรียบสนิทติดหนังหัว

“มันก็ช่วยได้นิดหน่อยนะครับ” หวางซิงว่าแล้วหัวเราะเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งปั้นหน้าเหยเก

“ถ้ามันกระดกกลางงานขึ้นมา อาซิงคงไม่เอาเจลไล่ป้ายหัวผมกลางงานเลี้ยงหรอกใช่ไหม?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามซึ่งฝ่ายตรงข้ามก็ยิ้มเงียบ ๆ ไม่ได้ตอบอะไร แต่ไม่รู้ว่าทำไม เซินหมิงเฟิ่งจึงสามารถตีความรอยยิ้มนั้นได้ว่า เจ้าตัวอาจจะทำจริง ๆ

“ผมล้อเล่นน่ะครับ” หวางซิงรีบแก้ต่างให้ตัวเองเมื่อเห็นสีหน้าของเซินหมิงเฟิ่ง

“ใกล้ได้เวลาแล้วนะครับคุณหวาง” การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าหน้าห้องน้ำโผล่หน้าเข้ามาเรียก หวางซิงจึงยกนาฬิกาขึ้นดูและพบว่าใกล้เวลาเปิดงานเข้าไปทุกที แต่เขายังรู้สึกหนักใจกับผมของเซินหมิงเฟิ่งไม่หาย นายน้อยคนนี้มีผมที่เหมือนคนยุโรปมากกว่าคนเอเชีย จึงจัดทรงได้ยากกว่าปกติ แต่เมื่อเวลาไม่รอท่า เขาก็ต้องยอมโอนอ่อนให้บ้างในบางสถานการณ์ หวางซิงจัดการโปะเจลก้อนสุดท้ายลงบนผมของเซินหมิงเฟิ่งแล้วเกลี่ยให้ทั่ว ได้แต่หวังว่ามันจะไม่กระดกขึ้นมาในไม่กี่นาทีข้างหน้าเท่านั้น

เซินหมิงเฟิ่งมองตัวเองในกระจกแล้วนึกอยากจะเอาหัวจุ่มถัง เพราะผมสีน้ำตาลไหม้ของเขาเรียบสนิทตึงเป๊ะจนดูแปลกตาและคล้ายจะประหลาดมากกว่าดูดี

“รีบไปกันเถอะครับ”

“อาซิง ผมไม่คิดว่าแบบนี้จะดีนะ ดูประหลาดออกจะตายไป”

“เพราะว่านายน้อยไม่ชินน่ะสิครับ” หวางซิงให้เหตุผลที่ดูค่อนข้างน่าเชื่อถือ ในสายตาของหวางซิง เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้ดูประหลาดแต่อย่างใด

ในที่สุด เซินหมิงเฟิ่งก็ถูกลากออกมาจากห้องน้ำในสภาพที่เจ้าตัวไม่พึงประสงค์ แต่หวางซิงดูพออกพอใจ เช่นเดียวกันกับเซินจง เขายิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นผมเรียบกริบดูสุภาพสมกับงาน

เซินจงลุกขึ้นยืนแล้วกระทุ้งปลายไม้เท้ากับพื้น เสียงที่จอกแจกจอแจก็ค่อย ๆ เงียบลงอย่างช้า ๆ จนกระทั่งทุกสรรพเสียงเงียบสนิท เซินจงจึงเริ่มพูด

“ทุกท่าน ขอบคุณที่มารวมตัวกันในวันนี้ อย่างที่ทุกท่านทราบ ลูกชายของผมเพิ่งกลับมาจากประเทศอังกฤษ เขาคือลูกชายคนเดียวของผมและจะเป็นทายาทสืบทอดทุก ๆ อย่างที่ผมมี เซินหมิงเฟิ่ง” เซินจงจบการเกริ่นอย่างง่าย ๆ แล้วโบกมือให้เซินหมิงเฟิ่งขึ้นมายืนข้างตัวก่อนจะใช้มือกระตุ้นแผ่นหลังให้เริ่มพูดอะไรบางอย่าง

เซินหมิงเฟิ่งอึกอัก เขาไม่ค่อยชินกับการพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสายตาของคนแต่ละคนไม่ได้แสดงความเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย กลับกัน สายตาบางคนยังคล้ายกำลังทิ่มแทง สำรวจตรวจตรา หรือประเมินค่าตัวเขาเสียด้วยซ้ำ

“ผมขอขอบคุณทุก ๆ คนที่มารวมกันในงานวันนี้ ถึงแม้จะยังไม่เคยมีใครในที่นี้รู้จักผม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจ” เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ นึกคำพูดที่ฝึกซ้อมกับหวางซิงตลอดช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาท่องจำจนแน่ใจว่าพูดได้คล่องปาก แต่พอถึงเวลาจริงก็ยังประหม่าอยู่นิดหน่อย “ผมยังอ่อนด้อยประสบการณ์ในวงการนี้ ผมจึงหวังใจว่าทุก ๆ คนจะให้โอกาสและให้การสนับสนุนผมในอนาคต ขอขอบคุณอีกครั้งครับ”

เสียงปรบมือตามมารยาทดังขึ้นจากทั่วโถงและไม่นานก็เงียบไป

“และแน่นอนว่าวันนี้ยังมีข่าวดีอื่นอีก” เซินจงโอบมือไว้บนบ่าเซินหมิงเฟิ่ง อีกนัยหนึ่งคือการจับยึดไม่ให้เดินหนีไปเสียก่อน

มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากด้านโถง คล้ายกำลังกระซิบกระซาบกันว่าอีกข่าวนั้นจะเป็นอะไร

จากมุมที่เซินหมิงเฟิ่งยืนอยู่ เขาสามารถมองเห็นอีกด้านที่มีการเคลื่อนไหวได้ชัดเจน หญิงสาวคนหนึ่งในชุดราตรีกำลังค่อย ๆ เดินแหวกทางมายังด้านหน้าพร้อมผู้ชายที่คล้ายจะเป็นพ่อ

“ทุกท่านคงรู้จักคน ๆ นี้ดี คุณมินาโมโตะ จากญี่ปุ่นที่เพิ่งเข้ามาลงทุนกับเครือตระกูลเซินไม่กี่ปีมานี้ ผมและเขาได้ตัดสินใจร่วมกันที่จะเกี่ยวดองเป็นญาติมิตร ผมจึงขอประกาศการหมั้นหมายระหว่างลูกชายของผม กับซากุระ ลูกสาวของคุณมินาโมโตะอย่างเป็นทางการ”

เสียงปรบมือดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่หญิงสาวที่เดินแหวกทางผู้คนจะเดินขึ้นมาแล้วยิ้มให้เซินหมิงเฟิ่ง

ชายหนุ่มมองใบหน้าคู่หมั้นของตนเอง เธอเป็นผู้หญิงที่สวยและสง่างามแม้จะอายุน้อย เครื่องหน้าทุกอย่างประกอบรวมกันอย่างพอดิบพอดี และยิ่งแต่งแต้มเครื่องสำอางอ่อน ๆ พร้อมรอยยิ้มอย่างสำรวมกริยา ก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของเธอดึงดูดให้น่ามองพิศอย่างถอนสายตาไม่ได้ ถึงอย่างนั้นก็ช่างน่าแปลก ใบหน้าของเธอไม่มีเคร้าโครงของผู้เป็นพ่อเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เรือนผมของเธอก็ยังหยักศกเป็นลอนม้วนสีน้ำตาลอ่อนอย่างเป็นธรรมชาติคล้ายไม่ได้ผ่านการดัดหรือแต่งด้วยเครื่องมือเลย

กระนั้นเมื่อมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอ เซินหมิงเฟิ่งกลับสัมผัสได้ถึงความทุกข์ระทมซึ่งแอบซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ช่างเป็นผู้หญิงที่สวยงามแต่มีดวงตาเศร้าสร้อยเหลือเกิน เขาคิดเช่นนั้น

หลังจากนั้นไม่นาน บรรยากาศงานก็กลับเข้าสู่ช่วงปกติที่ทุกคนต่างพูดคุยในเรื่องของตนเอง งานเลี้ยงอย่างนี้กนับเป็นเวลาดีในหลาย ๆ สาขาอาชีพที่จะฝากฝังตัวกับผู้หลักผู้ใหญ่ หรือไม่ก็ผูกมิตรเพื่อความร่วมมือด้านต่าง ๆ ในองค์กรหรือสายอาชีพที่สังกัด

เซินจงและพ่อของซากุระพากันจากไปอีกฟากหนึ่ง ทิ้งให้ชายหนุ่มและหญิงสาวที่เพิ่งเคยพบกันอยู่ด้วยกันตามลำพังอีกด้านหนึ่งของงาน

“คงเป็นเรื่องน่าลำบากใจสำหรับคุณสินะคะ” ฝ่ายหญิงเป็นผู้เริ่มบทสนทนาก่อน เพราะเซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอย่างไรกับอีกฝ่าย แม้เขาจะศึกษาประวัติของซากุระมาอย่างดี แต่พื้นเพด้านนิสัยหรือกระทั่งความสนใจของเธอ เขากลับไม่รู้เลยสักอย่างเดียว คนที่ไม่เคยรู้จักกันเลยจนถึงเมื่อวานนี้ อยู่ ๆ ก็กลายเป็นคู่หมั้นคู่หมาย เซินหมิงเฟิ่งก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าหญิงสาวคนนี้คิดอย่างไร และเมื่อเธอเป็นฝ่ายเริ่มสนทนา เขาจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมา

“ถ้าผมบอกว่าไม่ ก็คงเป็นเรื่องโกหก ความจริงแล้วเราสองคนเพิ่งจะรู้จักกันวันนี้ ผมยังไม่มีโอกาสได้ทำความรู้จักคุณด้วยซ้ำไป” เซินหมิงเฟิ่งเลือกที่จะตอบตามตรงเพราะเขาไม่อยากเสียมารยาทกับฝ่ายหญิง

“นั่นสินะคะ แต่ฉันกลับรู้จักคุณดี”

เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

“ผมกับคุณเคยพบกันเหรอครับ?” เมื่อเขาถามออกไปเช่นนั้น ซากุระก็หัวเราะเบา ๆ

“ไม่เคยหรอกค่ะ แต่ฉันแวะไปนั่งคุยเป็นเพื่อนคุณพ่อของคุณเซินอยู่บ่อย ๆ ท่านดูเหงา ๆ ตอนคุณไม่อยู่เลยพูดถึงคุณให้ฉันฟังหลายอย่างเลยค่ะ”

พ่อของเขา....

เซินหมิงเฟิ่งเริ่มนึกหวั่นใจ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องอะไรของเขาบ้าง หวังแต่ว่าจะไม่ใช่เรื่องขายหน้าเท่านั้น

“คอแห้งหรือเปล่า ผมจะไปเอาเครื่องดื่มให้”

“ถ้าได้ก็ดีค่ะ” ซากุระกล่าวด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ว่าอีกฝ่ายประหม่าจึงขอเวลาปลีกตัวสักพัก ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่ขัดข้องอะไร เพราะซากุระรู้ดีว่าหากอีกฝ่ายไม่ประหม่า ก็อาจเป็นตัวเธอเองที่เป็นเช่นนั้น

---------------------->

เซินหมิงเฟิ่งเดินมาที่โต๊ะเครื่องดื่ม เขาถอนหายใจออกมา ซากุระไม่ใช่ผู้หญิงที่ให้ความรู้สึกกดดัน กลับกัน เธอพยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย ถึงอย่างนั้นการทำใจให้สนิทสนมกับใครสักคนทันทีกลับกลายเป็นเรื่องยากเมื่อความสัมพันธ์กระโดดข้ามขั้น หากว่าพวกเขาเพียงเป็นเพื่อนกัน คงจะสามารถทำใจให้สนิทสนมและพูดคุยกันได้สะดวกกว่านี้

“ถ้าเธออยากให้ผู้ชายคนนั้นสนใจ เธอต้องทำตัวให้มีเสน่ห์หน่อยสิ”

“พูดแบบนี้แปลว่าฉันไม่มีเสน่ห์หรือยังไงกัน”

“ฉันก็ไม่ได้พูดแบบนั้น แต่ว่าผู้ชายที่โต ๆ แล้วเขาชอบผู้หญิงที่ยั่วยวนน่ะ”

เซินหมิงเฟิ่งได้ยินเสียงสนทนาดังเข้ามาใกล้ จนกระทั่งทั้งสองมายืนที่โต๊ะเครื่องดื่ม หางตาของเขาจึงได้เห็นเด็กหนุ่มสาวที่ใบหน้าคล้ายคลึงจนสามารถระบุได้ทันทีว่าทั้งสองเป็นพี่น้องกันอย่างแน่นอน ซึ่งหากจะเจาะจงให้ชัดเจนมากขึ้น ทั้งสองน่าจะเป็นฝาแฝดกัน

“หลางเมี่ยวเจิน หลางเมี่ยวอิน?” เขาลองเรียกชื่อทั้งสอง ทำให้คู่เด็กหนุ่มสาวที่กำลังสนทนาชะงักแล้วหันมามองเขา

“เซินหมิงเฟิ่ง? ใช่จริงด้วย” เด็กหนุ่มนามหลางเมี่ยวเจินร้องขึ้นมาก่อน “เสี่ยวอิน พี่หมิงของเธอไงล่ะ”

“พี่หมิงจริงด้วยสิ ตอนเห็นไกล ๆ ไม่ทันสังเกตเลย” หลางเมี่ยวอินปรบมือเข้าหากัน

เซินหมิงเฟิ่งจำทั้งสองคนได้ค่อนข้างชัดเจน เพราะทั้งสองเป็นหลายชายและหลานสาวของเสวียนอู่คนปัจจุบัน สมัยก่อนนี้ เสวียนอู่แวะเวียนไปที่บ้านตระกูลเซินนาน ๆ ครั้ง ตัวเขาที่เป็นลูกโทนจึงเห็นเด็กทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นคนสำคัญ พอจะจากกันทีไรก็ต้องร้องห่มร้องไห้เสียทุกครั้ง พอนึกถึงตอนนั้นขึ้นมาเขาก็อดขำขันตัวเองไม่ได้ น่าเสียดายที่ขาดการติดต่อกันไปเกือบสิบปี การที่ทั้งสองยังจำเขาได้จึงนับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย

“โตจนฉันจำไม่ได้เลย”

“ก็เกือบสิบปีแล้วนี่นา” หลางเมี่ยวเจินว่าแล้วหัวเราะ “พี่หมิงเองก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกัน เห็นว่าประกาศหมั้นแล้วด้วยใช่ไหม? ผมมาช้าก็เลยไม่ทันเห็น”

“อา...จะว่าแบบนั้นก็ได้น่ะนะ คุณซากุระยืนรออยู่ทางนั้นน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งเบือนหน้าไปทางหนึ่งซึ่งซากุระกำลังยืนรออยู่ไม่ได้ขยับไปไหน “ฉันแค่มาเอาเครื่องดื่มทางนี้”

“อะไรกัน ไหมพี่หมิงว่าจะแต่งงานกับฉันไงล่ะ” หลางเมี่ยวอินพูดถึงสัญญาสมัยเด็กแล้วก็พากันหัวเราะทั้งสามคน ในตอนนั้นเซินหมิงเฟิ่งจำได้ว่าตนเองติดสองพี่น้องคู่นี้มากทีเดียว แต่ทำไมถึงพูดเรื่องแต่งงานออกไปนั้นเขาเองก็จำไม่ได้

“คุณตาเองก็มาด้วย พี่หมิงจะไปทักทายท่านหน่อยไหม?”

เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว เสวียนอู่ที่อายุมากขนาดนั้นแล้วยังอุตส่าห์มางานนี้ด้วยหรือ? เขาจะไม่ไปทักทายก็คงจะเสียมารยาทมากทีเดียว

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปบอกคุณซากุระก่อนจะดีกว่า”

“ไปด้วยกันเลยก็ได้ ฉันอยากรู้เหมือนกันว่าคู่หมั้นของพี่หมิงจะสวยแค่ไหน โอ๊ย! เจินเจิน หยิกฉันทำไมน่ะ!” หลางเมี่ยวอินร้องแล้วหันไปถลึงตาใส่พี่ชายฝาแฝดพลางลูบแขนป้อย ๆ แต่หลางเมี่ยวเจินกลับยิ้มรับเงียบ ๆ ไม่มีท่าทีจะขอโทษสักนิด

“ทั้งสองคนยังขยันทะเลาะกันเหมือนเดิมจริง ๆ” เซินหมิงเฟิ่งเห็นสองพี่น้องเล่นกันแล้วก็หัวเราะก่อนจะเดินนำไปหาซากุระที่หันมายิ้มรับทันที

“ขอโทษที่ให้รอนานนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็กำลังเหม่อ ๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย” หญิงสาวรับเครื่องดื่มจากมือเซินหมิงเฟิ่งแล้วจึงสังเกตเห็นคนที่ตามมาด้วย เธอค้อมให้ทั้งสองอย่างสุภาพ

“คุณซากุระ นี่...เป็นเพื่อนของผม หลางเมี่ยวเจิน กับหลางเมี่ยวอิน” เซินหมิงเฟิ่งหันไปแนะนำทั้งสองคนซึ่งยื่นมือออกมาสัมผัสมือกับซากุระทีละคน

“ยินดีด้วยนะครับเรื่องการหมั้น” หลางเมี่ยวเจินว่า

“ขอบคุณมากค่ะ ฉันเองก็ต้องขอแสดงความยินดีกับพวกคุณด้วย ได้ยินว่าได้รับมอบกิจการส่วนตัวให้ดูแล”

หลางเมี่ยวเจินและหลางเมี่ยวอินเลิกคิ้ว

ปีนี้พวกเขาอายุ 18 จึงได้รับมอบกิจการเล็ก ๆ ให้ดูแล คล้าย ๆ เป็นผู้จัดการสาขาย่อยเพื่อเป็นการเรียนรู้และทดสอบความสามารถการบริหารของพวกเขา ถึงอย่างนั้น ข่าวนี้ก็ไม่ได้เปิดเผยออกมาอย่างเป็นทางการ ไม่มีแม้แต่การพูดคุยในวงสนทนา เป็นเรื่องที่ผู้บริหารระดับสูงตกลงกันและจัดการบรรจุพวกเขาเข้าไปในฐานะผู้ฝึกงานก่อน ถึงอย่างนั้นซากุระกลับรู้ข่าวนี้ ช่างเป็นผู้หญิงที่ประมาทไม่ได้เลยจริง ๆ

“คุณซากุระทราบด้วยหรือครับ?” หลางเมี่ยวเจินกล่าวเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดตอน

“ฉันพอจะได้ยินมาบ้างน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบแบ่งรับแบ่งสู้ ไม่ได้เจาะจงว่ารู้มากน้อยแค่ไหนหรือรู้มาจากเส้นทางใด แสดงว่าเธอน่าจะคุ้นชินกับวิถีในโลกของพวกเขาอยู่บ้าง

“ถ้าแบบนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าดีใจนะ ฉันเองก็ขอแสดงความยินดีกับพวกเธอด้วย” เซินหมิงเฟิ่งว่า เขารู้สึกว่าบรรยากาศชักจะตึงเครียดจึงต้องพยายามเบี่ยงประเด็น “คุณซากุระ ผมจะไปทักทายคุณหลางสักหน่อย คุณจะไปด้วยกันไหม?”

“ดีสิคะ” ซากุระรับคำของอีกฝ่าย ทั้งสี่คนจึงพากันเดินไปยังจุดที่เสวียนอู่อยู่

เสวียนอู่คนปัจจุบันเป็นชายชราที่ดูโรยราไปตามวัย กระนั้นก็ให้ความรู้สึกน่าเคารพด้วยบุคลิกภูมิฐานและเหมือนคนที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ถึงแม้จะอายุมากแล้ว เขาก็ยังไปไหนมาไหนด้วยตัวเองโดยไม่ส่งตัวแทนหากว่าสามารถไปไหวและเป็นงานสำคัญ ทำให้ทุกคนต่างเคารพยกย่องเขาอยู่มาก กิตติศัพท์ของชายชราคนนี้มักจะมุ่งไปในด้านความเข้มงวด แต่ในความเป็นจริงแล้ว เจ้าตัวกลับเป็นชายแก่ที่ดูโอบอ้อมอารีกว่าที่ใคร ๆ จะคิดถึง คนที่เคยพบต่างคิดเหมือนกันว่าลักษณะภายนอกไม่เหมือนกิตติศัพท์ที่ร่ำลือเลยและเซินหมิงเฟิ่งก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 2 (20/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-11-2011 17:50:22
“คุณตา เซินหมิงเฟิ่งครับ” หลางเมี่ยวเจินเป็นคนเข้าไปหาและแนะนำเซินหมิงเฟิ่งให้อีกฝ่ายรู้จัก

“เซินหมิงเฟิ่ง” เสวียนอู่ทวนคำแล้วยิ้ม “เป็นเด็กหนุ่มที่ดูดีนะ คล้ายพ่อตอนสมัยหนุ่ม ๆ อยู่มากทีเดียว”

“ขอบคุณครับ” เซินหมิงเฟิ่งรับคำยิ้ม ๆ แล้วหันไปหาซากุระ “คุณหลาง นี่คู่หมั้นผมครับ มินาโมโตะ ซากุระ”

เสวียนอู่หันไปมองซากุระช้า ๆ แล้วพยักหน้าก่อนยื่นมือเหี่ยวย่นไปหา ซากุระตอบรับมือข้างนั้นโดยไม่ได้แสดงท่าทางประหม่าแม้คนตรงหน้าจะเป็นผู้นำตระกูลหลาง ผู้บริหารสูงสุดของเครือธุรกิจใหญ่หนึ่งในสี่ของฮ่องกง

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณหลาง”

เสวียนอู่หัวเราะเบา ๆ อย่างพอใจ

“ฉันขอแสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วยนะ แล้วจะมีข่าวดีในเร็ว ๆ นี้ไหม?”

“เอ่อ...ผม....” เซินหมิงเฟิ่งอึกอัก แค่เรื่องหมั้นก็ปัจจุบันทันด่วนแล้ว เรื่องงานแต่งเขาจึงไม่รู้เรื่องเลย พ่อของเขาคงตั้งใจจะบอกเขาเอาทีหลังให้ตื่นเต้นเล่นอีกล่ะมั้ง...

“พวกเรายังต้องการเวลาศึกษากันอยู่ค่ะ ทั้งฉันและคุณเซินต่างก็ยังเด็กเกินไปสำหรับเรื่องชีวิตคู่ แล้วฉันเองก็ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก” ซากุระทำหน้าที่อธิบายแทนเซินหมิงเฟิ่งได้อย่างดี ซึ่งนั่นได้แสดงถึงศักยภาพในการเจรจาของเธอให้ผู้นำคนหนึ่งได้ประจักษ์

เสวียนอู่หัวเราะร่าทันทีเมื่อฟังจบ

“ดูเหมือนคุณตาจะถูกใจคู่หมั้นของนายนะพี่หมิง” หลางเมี่ยวเจินขยับไปกระซิบกับเซินหมิงเฟิ่ง

“ฉันก็ว่าอย่างนั้น” เซินหมิงเฟิ่งเหลือบตามองคู่หมั้นตนเอง เขาคิดว่าคนที่พ่อหาให้จะเป็นแค่ผู้หญิงที่รูปสวย รวยทรัพย์ และไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรนัก คู่ชีวิตที่ดีสำหรับอาชีพอย่างพวกเขามีอยู่สองแบบ คือเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรกับโลกฝั่งนี้เลย หรือไม่ก็เป็นคนในโลกฝั่งนี้เต็มตัวและสามารถบริหารงานเอื้อประโยชน์ให้กัน แต่ซากุระดูเหมือนจะไม่ใช่ทั้งสองแบบ พ่อของเธอเป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาที่เข้ามาลงทุนในฮ่องกงเพื่อขยายกิจการและเปิดโรงงานในจีน ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกว่าซากุระมีอะไรมากกว่าที่เห็น

พ่อของเขาคิดอะไรอยู่นะ?

ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เขาก็เห็นหลางเมี่ยวเจินมองไปยังทางหนึ่ง เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วแล้วหันมองตามไปจึงได้เห็นกลุ่มผู้หญิงทั้งวัยรุ่นและสาวใหญ่กำลังเกาะกลุ่มกันล้อมรอบผู้ชายคนหนึ่ง เซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าคนที่อยู่กลางวงเป็นผู้ชายเพราะเขาตัวสูงมากพอและกลุ่มผู้หญิงไม่ได้หนาตามากนัก ถึงอย่างนั้นเรือนผมสีขาวโพลนก็ทำให้เกือบเข้าใจผิดว่าเป็นคนแก่

“นั่น....”

“ไป๋หู่” หลางเมี่ยวเจินตอบ “พี่หมิงคงไม่รู้จักแต่ค่อนข้างมีข่าวฉาวเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวอยู่บ่อย ๆ”

เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับ ดูจากท่าทีของผู้หญิงในงานแล้วเขาก็ไม่แปลกใจนัก

“แล้วชิงหลงล่ะ?” เพราะเขาไปอยู่ต่างประเทศเสียนาน ทำให้ไม่ค่อยรู้จักคนในวงการเดียวกันนัก หรือหากพูดว่าไม่รู้จักเลยน่าจะถูกกว่า ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้แล้วว่าจูเชว่ เสวียนอู่ และไป๋หู่เป็นใคร เหลือแต่เพียงชิงหลงเท่านั้นที่เขายังไม่เคยเห็น

“ฉันยังไม่เห็นเขาเหมือนกัน บางทีเขาคงจะไม่ได้มา”

เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว น่าแปลกที่ขาดชิงหลงไปทั้งที่เป็นงานของจูเชว่ อีกฝ่ายไม่คิดว่าจะเป็นการเสียมารยาทเกินไปหน่อยหรือ?

“ฉันเห็นตัวแทนของเขา เห็นว่าติดธุระอยู่ต่างประเทศก็เลยกลับมาไม่ทันน่ะ” หลางเมี่ยวอินเข้ามาร่วมวงด้วยเพราะเห็นว่าตาของตนเองกำลังพูดคุยกับคู่หมั้นของเซินหมิงเฟิ่งถูกคอจึงไม่อยากเข้าไปขัด

เซินเหมิงเฟิ่งเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา

ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่ผู้นำทั้งสี่คนดูเหมือนจะเฉยชาต่อกันอยู่มาก ความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็นอย่างไรกันแน่ เขาเองก็ยังไม่สามารถทำความเข้าใจได้

“กำลังคิดอะไรอยู่หรือคะ?”

เมื่อได้ยินเสียงทัก เซินหมิงเฟิ่งก็หันไปมอง พบว่าซากุระมายืนข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้

“คุณหลางบอกว่าจะขอปลีกตัวกลับก่อน คุณเซินจะไม่ไปลาเหรอคะ?”

อ้อ....

เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปเอ่ยอำลาเสวียนอู่ การที่อีกฝ่ายขอปลีกตัวกลับทั้งที่งานยังดำเนินไปไม่ถึงค่อนคืนไม่ใช่เรื่องแปลกเลย เพราะเสวียนอู่แก่ชรามากแล้ว แม้ร่างกายแข็งแรงดีแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถออกมาข้างนอกและอยู่ในงานรื่นเริงนาน ๆ ได้ ด้วยเหตุนั้น เซินหมิงเฟิ่งจึงไม่รู้สึกถือสาอีกฝ่ายแม้แต่น้อย เขายังรู้สึกเป็นเกียรติเสียด้วยซ้ำที่ชายชราซึ่งเขาจดจำใบหน้าไม่ได้ยอมมาร่วมงานของเขาด้วยตนเอง

“แล้วพวกเธอจะกลับด้วยเลยไหม?” เขาหันไปถามหลางเมี่ยวเจินและหลางเมี่ยวอิน

“ฉันจะกลับก่อน แต่เสี่ยวอินคงอยู่ต่ออีกสักพัก”

เซินหมิงเฟิ่งและซากุระเดินออกไปส่งเสวียนอู่และหลางเมี่ยวเจินด้านนอกและรอจนกระทั่งลับสายตาไป ทั้งสองเดินกลับเข้ามาในงานอีกครั้ง

“คุณเซินจะไปทักทายแขกท่านอื่น ๆ ไหมคะ? คงดูไม่ดีนักถ้าพวกเราไม่ไปทักทายพวกเขา” ซากุระเอ่ยแนะนำโดยไม่ได้แสดงท่าทีของการบังคับ เซินหมิงเฟิ่งนึกทบทวนในใจแล้วพยักหน้ารับ คงจะเป็นการไม่ดีจริง ๆ เพราะเขาเพิ่งจะกลับมา สำหรับทุก ๆ คนในวงการและในที่นี้ เขาก็เหมือนกับเด็กใหม่ที่ไม่มีใครรู้จัก แม้จะมีเครดิตว่าเป็นทายาทของจูเชว่ก็ตาม การฝากเนื้อฝากตัวเอาไว้จะทำให้เส้นทางของเขาสะดวกขึ้น เพราะไม่ว่าใครก็ชื่นชอบคนที่อ่อนน้อมถ่อมตนในช่วงเวลาที่เหมาะสม

ซากุระพาเซินหมิงเฟิ่งไปทักทายผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการก่อน การมีซากุระอยู่ข้างกายทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนมีผู้ให้คำแนะนำที่รู้ใจ หญิงสาวคนนี้รู้ถึงธรรมเนียมปฏิบัติหลาย ๆ อย่าง ทั้งยังรู้จักคนในวงการมากมาย อีกทั้งรู้วิธีเจรจาให้ผู้อื่นรู้สึกเอ็นดู

หรือว่าเหตุผลที่พ่อของเขาเลือกซากุระให้เป็นคู่หมั้นก็เพื่อให้เธอคอยชี้นำเขาที่ห่างหายจากวงการนี้ไปนานกันนะ?

“คุณซากุระ ทำไมถึงยอมหมั้นกับผมหรือครับ?”

เท่าที่เขาสังเกต ซากุระดูเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ ไม่น่าจะยินยอมกับการถูกคลุมถุงชนแบบโบราณซ้ำยังไม่มีการดูตัวกันก่อนแบบนี้ นอกจากนั้น ซากุระก็ไม่เคยเจอกับเขาเลยจนกระทั่งวันนี้ ถึงจะบอกว่ารู้จักเขาเพราะได้พูดคุยกับพ่อของเขาบ่อย ๆ แต่การรู้จักกันผ่านปากผู้อื่น กับการได้พบเจอกันจริง ๆ มันก็ไม่มีทางจะเหมือนกันได้ ผู้หญิงคนนี้แน่ใจได้อย่างไรว่าตัวเขาจะเป็นคนที่เธอรู้จักผ่านพ่อของเขาจริง ๆ

หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ เมื่อฟังคำถาม เหมือนกับว่าคำถามนั้นไม่ใช่สิ่งที่น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย

“แล้วทำไมคุณเซินถึงยอมหมั้นกับฉันล่ะคะ? ทั้งที่คุณเซินสามารถประกาศถอนหมั้นกลางงานทันทีเลยก็ได้”

เซินหมิงเฟิ่งอึกอัก แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เขาทำได้ ซึ่งเมื่อเขาทำก็จะไม่มีใครสามารถบังคับเขาได้อีกแม้จะเป็นพ่อก็ตาม แต่ว่า...การกระทำเช่นนั้นจะเป็นการหักหน้าหญิงสาวผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่คนนี้ไปด้วย

“ถ้าผมประกาศถอนหมั้น นั่นก็จะเป็นความสมัครใจของผมคนเดียว ผมน่าจะปรึกษากับคุณเรื่องนี้ก่อน แต่คุณคิดเห็นเหมือนผม เราจะคุยกับทางผู้ใหญ่ด้วยกัน”

ซากุระดูจะแปลกใจในความคิดของเซินหมิงเฟิ่งไม่น้อย เธอเลิกคิ้วแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“คุณเซินทราบหรือเปล่าคะ ความแตกต่างด้านสถานะของชายหญิงตะวันออก” เธอเกริ่นแล้วหันไปหยิบเครื่องดื่ม “ผู้ชายคือผลกำไร ส่วนผู้หญิงคือต้นทุน”

เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วสงสัย แนวคิดแบบนั้นเขาไม่เคยได้ยินจากแม่ของเขาเลยสักครั้ง

“ในสังคมสมัยเก่า ลูกชายคือผู้นำมาซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีให้แก่ครอบครัว ส่วนลูกสาวหากได้สามีที่ดีก็เป็นกำไร หากได้สามีไม่ดีก็คือขาดทุน” หญิงสาวจิบเครื่องดื่มเล็กน้อยให้รู้สึกคล่องคอก่อนจะว่าต่อ “สิ่งที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ก็คือการคืนกำไรให้ผู้เลี้ยงดู ตระกูลเซินเป็นผู้นำด้านธุรกิจในฮ่องกง ถือว่าเป็นตระกูลที่มีหน้ามีตาในสังคมระดับสูง และคุณเซินเองก็ได้รับการศึกษามาอย่างดีไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย หากฉันได้แต่งงานกับคุณก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพ่อของฉันจะภาคภูมิใจแค่ไหน”

คำตอบนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งนิ่งอึ้งไป ไม่นึกว่าหญิงสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาจะมีวิธีคิดอย่างเป็นระบบเช่นนี้ หากเขาพบหญิงคนอื่นที่ถูกคลุมถุงชน เธออาจจะตอบแค่ว่าขัดขืนไม่ได้ หรือไม่ก็แสดงความสนใจในตัวเขา แต่คำตอบของซากุระเสมือนการนั่งฟังทฤษฏีทางวัฒนธรรมในห้องเลกเชอร์

เขาควรจะรู้สึกยังไงดีนะ?

เธอแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ได้สนใจตัวเขามากเท่ากับฐานะของเขา ซึ่งความสนใจเหล่านั้นก็ไม่ได้เกิดจากตัวเธอเองแต่เป็นเรื่องของครอบครัว

แล้วความรู้สึกจริง ๆ ของซากุระล่ะ?

“แล้ว...ตัวคุณจริง ๆ คิดยังไงหรือครับ?” เขาตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ หญิงสาวจึงคลี่ยิ้มกว้างขึ้น

“ถ้าเป็นไปได้ ฉันอยากจะเป็นเพื่อนกับคุณมากกว่า ในความเป็นจริงแล้วฉันไม่เคยคิดถึงเรื่องคู่ชีวิตเลย เพราะฉันรู้ตัวดีว่าคงไม่มีสิทธิเลือกมาแต่แรก”

คำตอบของซากุระทำให้เซินหมิงเฟิ่งคิดหนัก หลาย ๆ ครั้ง คำพูดของคนในวงการนี้ก็เชื่อถือไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาแสดงเจตจำนงว่าไม่ได้ต้องการการหมั้นครั้งนี้ บางทีซากุระอาจจะแค่แสดงท่าทางให้เขารู้สึกสงสารและยกย่องความเข้มแข็งของเธอไปพร้อมกันและทำให้เขาไม่คิดจะถอนหมั้นอีก แน่นอนว่าเขากำลังรู้สึกเช่นนั้น แม้จะรู้จักกันเพียงไม่กี่ชั่วโมง ซากุระก็ทำให้เขารู้สึกชื่นชมตัวเธอได้อย่างไม่มีข้อตำหนิ ทุกการกระทำของเธอดูเป็นธรรมชาติ หากเธอกำลังแสดงละคร เธอคงไม่พ้นตำแหน่งดาราตุ๊กตาทอง

“คงไม่เชื่อสินะคะ”

เหมือนกับถูกอ่านใจ เซินหมิงเฟิ่งเผลอสะดุดลมหายใจตัวเองก่อนจะรีตีสีหน้าเป็นปกติ

“เปล่าหรอกครับ ผมกำลังคิดว่าคุณน่าชื่นชมมากทีเดียว”

“แล้วคุณเซินล่ะคะ? คิดยังไงบ้าง?” เมื่อถูกถามกลับ เซินหมิงเฟิ่งก็นิ่งไปชั่วครู่ เขาควรจะตอบอย่างไรจึงจะไม่ทำให้หญิงสาวตรงหน้ารู้สึกไม่ดีนะ หรือว่าเขาควรจะพูดความจริง แต่ว่าเขายังไม่รู้จักอีกฝ่ายดี การเปิดเผยมากเกินไปจะเป็นอันตรายเสียเปล่า ๆ

“ผมคิดว่าคุณเป็นคนแปลก ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นคงพยายามทำให้ผมรู้สึกพอใจหรือไม่ก็รู้สึกสงสาร แต่คุณเป็นคนที่ฉลาดกว่าผู้หญิงเหล่านั้น”

“นั่นถือเป็นคำชมสินะคะ?” ซากุระไม่ได้รุกเร้าว่าทำไมอีกฝ่ายจึงคิดเช่นนั้น อาจเป็นเพราะว่าในความเป็นจริงแล้ว ความคิดเห็นของพวกเขาไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่ครอบครัวพวกเขาตกลงกันเอาไว้ เป็นต้นทุนเพื่อกำไรในอนาคต

------------------->

เมื่อเริ่มดึก คนในงานก็เริ่มน้อยลงและเมื่อเลยช่วงตี 1 คนก็ทยอยออกจากงานไปจนเกือบหมด

“โชคดีนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งบอกลาซากุระเมื่อมาส่งถึงรถ

“แล้วพบกันใหม่ค่ะ” หญิงสาวกล่าวตอบก่อนจะขึ้นรถแล้วจากไป เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ เมื่อเขาได้สนทนากับซากุระแล้วก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นคนง่าย ๆ สบาย ๆ กว่าที่คิด ซ้ำยังดูไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือพิษภัยอะไร แล้วก็เป็นอย่างที่ซากุระบอกไว้ก่อนหน้านี้ พวกเขาน่าจะเป็นเพื่อนกันมากกว่า

“คุณหนูมินาโมโตะเป็นยังไงบ้างครับ?” หวางซิงเดินมายืนใกล้ ๆ แล้วกระซิบถาม

“ก็เป็นคนที่ดีนะ แต่ผมก็ยังสงสัยว่าทำไมพ่อต้องให้ผมหมั้นกับเธอด้วย สำหรับผมที่ไม่ได้ใช้ชีวิตในวงการมาแต่ต้น เลือกผู้หญิงในวงการเดียวกันน่าจะดีกว่า”

“ผมคิดว่า...อาจจะเป็นเพราะนายน้อยห่างหายไปจากวงการนานเกินไป การได้คู่ครองที่สามารถปรับตัวเข้ากับวงการธุรกิจและใต้ดินได้ และมีพื้นฐานใกล้เคียงกันน่าจะเหมาะสมกว่าล่ะมั้งครับ” หวางซิงคาดเดาความคิดของผู้เป็นนายเท่าที่คิดว่าใกล้เคียงที่สุด หากจะอยากรู้ความเห็นที่ใกล้เคียงความจริงกว่านี้น่าจะลองถามพ่อหรือปู่ของเขาที่ใกล้ชิดนายท่านเซินจงมากกว่า

“ก็อาจจะเป็นแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งไหวไหล่ “จริงสิ ถ้าที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนได้ไหม? ผมยังไม่ค่อยชินกับเวลาที่นี่เลยยังเพลีย ๆ อยู่”

“ผมคิดว่าไม่น่ามีอะไรแล้วนะครับ ถ้านายน้อยเพลียจะกลับไปพักก่อนก็ได้ ผมจะเรียนนายท่านให้เอง”

เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับแล้วเรียกการ์ดจำนวนหนึ่งให้ไปนำรถมา เขาอยู่ตะวันตกนาน พอมาอยู่ที่นี่ก็ต้องฝืนไม่หลับตอนกลางวันเพื่อที่จะได้นอนตอนกลางคืนเป็นปกติ ซึ่งการฝืนร่างกายสลับขั้วเวลาเช่นนี้ทำให้ร่างกายของเขาค่อนข้างอ่อนเพลีย กระทั่งน้ำหนักตัวยังลดลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ลำบากเท่ากับช่วงแรก ๆ ที่กลับมา บางทีร่างกายเขาคงเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วก็เป็นได้

“จะกลับบ้านเลยหรือครับ?” การ์ดที่ทำหน้าที่ขับรถเอ่ยถาม

“อืม กลับเลยดีกว่า” เซินหมิงเฟิ่งก้าวขึ้นรถแล้วผ่อนลมหายใจ เขาเรียกการ์ดมาเพียง 3 คันรถเพราะคิดว่ายามดึกดื่นแบบนี้คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำพ่อของเขาน่าจะต้องการการ์ดมากกว่า ชายหนุ่มเบือนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง เขารู้สึกว่าฮ่องกงกลายเป็นสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก ทั้งร้านรวง และความเจริญที่ก้าวหน้าไปไม่เคยหยุดหย่อน สถานที่หนึ่งเปลี่ยนไปเป็นอีกที่หนึ่ง ช่วงเวลาที่เขาจากที่นี่ไป ก็คล้ายกับว่าเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของที่นี่อีกแล้ว เขาอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะทำความคุ้นเคยทำเกาะเล็ก ๆ ที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้

เมื่อนั่งรถไปเรื่อย ๆ เซินหมิงเฟิ่งก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมา ร่างกายของเขาคงไม่ชินกับงานเลี้ยงใหญ่โตจริง ๆ จะว่าไปแล้ว ขาของเขาก็ปวดล้าไปหมดจากการเดินทกทายคนทั่วงานไปพร้อมกับซากุระ เขานึกสงสัยว่าทำไมผู้หญิงที่เดินบนรองเท้าส้นสูงถึงได้เดินทนนัก เธอดูไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อยจนกระทั่งบอกลากัน ส่วนเขากลับรู้สึกเหนื่อยจนอยากแอบกลับก่อนหลายครั้ง

ชายหนุ่มค่อย ๆ หรือตาหลังลง

เอาเถอะ...พอได้พักแล้วพรุ่งนี้เขาคงจะรู้สึกสดชื่นกว่านี้เอง...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 2 (20/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-11-2011 18:23:21
แล้วเรื่องนี้ใครจะคู่อะไรกับใครล่ะเนี่ย ยังเดาไม่ออกจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 2 (20/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 20-11-2011 18:58:10
เหมือนจะไม่มีคู่พระเอก นายเอกเลยค่ะ อ่ะนะแอบเดาเล็กๆแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้
เข้าใจแล้วว่านี่เป็นเรื่องราวที่ย้อนอดีต เพราะอ่านตอนแรกค่อนข้างแปลกๆค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 2 (20/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-11-2011 20:15:14
นี่...เป็นที่มาของคุณหนูซากุระที่กลายมาเป็นนายหญิงซากุระในเวลาต่อมาสินะ
เดาจากที่อ่าน ๆ มา ผู้หญิงคนนี้คงช่วยเหลือและเป็นกำลังให้เซินหมิงเฟิ่งมาโดยตลอด
ที่เคยสงสัยว่า เซินหมิงเฟิ่งหายไปไหน ? อะไร ? อย่างไง? ก็ต้องมารออ่านในเรื่องนี้
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 2 (20/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: MadamLilac ที่ 22-11-2011 05:40:08
งงกับตัวละคร และชื่อที่ไม่ค่อยคุ้นเหมือนกัน แต่มิเป็นไร อ่านไปเดี๋ยวก็จำได้เอง
แต่ชอบวิธีบรรยายแบบค่อยๆ เล่าเรื่องแบบนี้
ชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 3 (24/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-11-2011 18:50:47
-3-



   เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวยืดออกเพราะรู้สึกเมื่อยขบ เขาหลับไปนานมากหรือยังไงนะถึงไม่รู้สึกง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย กลับกัน เขารู้สึกเมื่อยไปทั้งตัวเหมือนนอนในท่าเดิมนานเกินไปเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นสัมผัสที่แผ่นหลังเขาก็เป็นเตียงนอน แสดงว่าเขาหลับไปในรถแล้วใครบางคนอุ้มเขามาที่เตียงงั้นหรือ? น่าแปลก ปกติแล้วการ์ดจะปลุกให้เขากลับมาที่ห้องเองถึงจะถูก เพราะการ์ดและคนรับใช้จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาที่ชั้นนี้หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นหรือเป็นคำสั่งจากคนที่มีอำนาจสั่งการในบ้าน

   เสียงกระดูกลั่นตามแขนขาบ่งบอกได้ดีว่าเขาขดในท่าเดิมมานานแค่ไหน เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวจนแน่ใจว่ากระดูกกระเดี้ยวเข้าที่ดีแล้วจึงลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ

   .....

   นี่ไม่ใช่ห้องของเขา...

   เซินหมิงเฟิ่งจดจำห้องของตัวเองได้ดี ถึงแม้จะได้นอนที่นั่นเพียงอาทิตย์เดียวนับแต่กลับมาจากอังกฤษ แต่นี่ไม่ใช่ห้องของเขาแน่ ๆ เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นไม่เหมือนเดิม มันไม่ใช่แค่การเปลี่ยนชุดเฟอร์นิเจอร์ แต่มองอย่างไรก็แน่ใจว่าไม่ใช่ห้องของเขาแน่ ๆ

   เกิดอะไรขึ้น?

   ชายหนุ่มลุกจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู ก่อนอื่นเขาต้องรู้ก่อนว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่เมื่อเขาพยายามขยับลูกบิดเขาก็พบว่ามันล็อค ซ้ำยังเป็นลูกบิดแบบไม่มีกลอนกดล็อค มีเพียงรูกุญแจที่อยู่ต่ำลงมาจากตำแหน่งลูกบิดเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากจะเปิดย่อมต้องใช้ลูกกุญแจ แต่เมื่อเขามองไปรอบ ๆ ก็ไม่พบลูกกุญแจวางอยู่ที่ใดเลย

   เขาล้วงมือลงไปในกระเป๋ากางเกงด้วยความร้อนรน ต้องโทรขอความช่วยเหลือ....แต่มือถือของเขาก็หายไป ในกระเป๋ากางเกงและกระเป๋าเสื้อของเขาไม่เหลืออะไรอยู่เลย ทั้งกระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ กระทั่งกระเป๋าสำหรับเก็บการ์ดต่าง ๆ เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปที่หน้าต่าง ห้องนี้มีหน้าต่างเพียงบานเดียวและมันถูกปิดไว้ด้วยม่าน เขาตลบมันออกและได้เห็นว่ามันถูกปิดไว้ด้วยผ้าดำทึบก่อนจะเป็นกระจกอีกชั้นหนึ่ง เซินหมิงเฟิ่งลองขยันกระจกดูและพบว่ามันถูกล็อคเช่นเดียวกัน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะดึงผ้าดำนั้นออกเพื่อดูสิ่งที่อยู่ภายนอก

   ไม่มีอะไรต้องสงสัยแล้ว เขาถูกลักพาตัวอย่างแน่นอน...

   เซินหมิงเฟิ่งพยายามเตือนสติตัวเองให้ใจเย็น แต่ก็เป็นเรื่องยากเหลือเกิน เขาไม่เคยมีประสบการณ์ถูกลักพาตัวมาก่อนและไม่เคยคิดอยากจะมีสักครั้ง เขาต้องคาดเดาก่อนว่าคนที่จับตัวเขามามีจุดประสงค์อะไรเพื่อที่จะต่อรองได้สะดวก

   เงิน?

   อำนาจ?

   พวกที่กล้าจับตัวทายาทมาเฟียอย่างเขามาคงไม่ใช่พวกพ่อค้าแรงงานเถื่อนหรืออวัยวะ บางทีเป้าหมายของคนที่ทำเรื่องนี้น่าจะเป็นพ่อของเขา หรือการสั่นคลอนอำนาจของจูเชว่ เขาไม่มีความรู้เรื่องของจูเชว่มากเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ได้ด้วยประสบการณ์สมัยเด็กว่าอำนาจในมือพ่อของเขานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แน่นอนว่ามีคนมากมายไขว่คว้าปรารถนาและพยายามเข้าหาด้วยวิธีต่าง ๆ ทั้งแบบละมุนละม่อมและรุนแรง

   แต่ทำไมเขาถึงพลาดท่าได้ล่ะ?

   การ์ดที่ทำหน้าที่อารักขาเขาอ่อนประสบการณ์ถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะการ์ดทุกคนที่ไปในงานครั้งนี้ต่างเป็นคนเก่าแก่ที่รับใช้มาตั้งแต่อายุยังน้อยและคัดเลือกอย่างดีว่าไม่มีประวัติด่างพร้อยใด ๆ นอกจากนั้นยังมีฝีมือดีอย่างหาตัวจับยากทั้งนั้น

   คนที่จับตัวเขามาสามารถฝ่าวงล้อมของการ์ดเข้ามาถึงตัวเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวได้ยังไง?

   แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ นอกจากว่า....

   เซินหมิงเฟิ่งกลั้นหายใจ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย

   หรือว่าเกลือจะเป็นหนอน...

   บ้าจริง....

   ชายหนุ่มเผลอขบเล็บตัวเองโดยแรง เพราะหากสถานการณ์เป็นเช่นที่เขาคิด มันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ หากมีคนทรยศ และคน ๆ นั้นเป็นคนในที่ใกล้ชิดกับจูเชว่ ย่อมหมายความว่าคน ๆ นั้นรู้ความเคลื่อนไหวของทางฝ่ายจูเชว่ทุกอย่าง ในขณะที่ตัวเขาไม่รู้อะไรเลยแม้แต่อย่างเดียวและไม่สามารถส่งข่าวบอกทางบ้านได้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีเขาอาจจะถูกใช้เป็นตัวต่อรองกับตำแหน่งของพ่อก็เป็นได้ เขาจะต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าใครคือคนทรยศ จากนั้นค่อยหาวิธีอื่นลักลอบส่งข่าวออกไป

   ถ้าเขามีเวลามากพอ....

   เซินหมิงเฟิ่งไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมีประโยชน์มากพอจะให้อีกฝ่ายไว้ชีวิตหรือไม่ นั่นคือปัญหาหลัก

   ไม่สิ ความจริงแล้วทั้งหมดที่เขาคิดอาจจะผิดไปทั้งหมด เพราะเขายังไม่เจอคนที่พาตัวเขามาที่นี่เลย ความจริงแล้วอาจจะไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้นก็ได้

   ต้องใจเย็นไว้ก่อน นั่นคือสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งคิดว่าต้องทำ เขาพยายามผ่อนลมหายใจเข้าออกให้เป็นธรรมชาติที่สุด แต่แล้วลมหายใจของเขาก็ต้องสะดุดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจากด้านนอก

   เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ หันไปทางประตูช้า ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้ยินเสียงไขกุญแจ

   “ไปจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน” คนที่อยู่ด้านนอกพูดกับอีกคนหนึ่ง เซินหมิงเฟิ่งได้ยินเสียงตอบรับและเดินจากไป จากนั้นบานประตูจึงเปิดออก ผู้ชายที่เดินเข้ามามีรูปร่างสูงโปร่ง รูปบ่าค่อนข้างกว้างเหมือนคนตะวันตก นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะในฮ่องกงคงหาคนที่เลือดไม่ผสมยากอยู่สักหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งกลับรู้สึกสะดุดตากับเรือนผมสีดำสนิทที่รวบไว้ด้านหลังยาวจนถึงเอว เขาไม่เคยเจอผู้ชายที่ไว้ผมยาวขนาดนี้มาก่อน กระทั่งเขาเองสมัยวัยรุ่นก็ไว้เพียงเลยบ่าไปเล็กน้อยเท่านั้น

   เจ้าตัวก็เหมือนจะรู้ว่ากำลังถูกมอง จึงเงยหน้าขึ้นสบสายตากลับมา

   “คุณเป็นใคร?” เซินหมิงเฟิ่งชิงออกตัวถามก่อน เพราะอีกฝ่ายคงรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร

   “ฉินเว่ยหลง หรือหากจะเรียกให้ถูกต้อง คือชิงหลง”

   ชิงหลง...

   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกอยากจะหัวเราะออกมา ผู้ชายคนนี้คิดจะล้อเขาเล่นหรือยังไง เอาชื่อชิงหลงแห่งฮ่องกงมาล้อเล่นแบบนี้ออกจะเกินไปสักหน่อยแล้ว

   “ผมได้ยินว่าชิงหลงติดธุระที่ต่างประเทศ”

   “แต่ก็กลับมาได้ สมัยนี้เรามีเครื่องบินใช้ หรือว่าคุณเกิดผิดยุคสมัยกัน” ฉินเว่ยหลงตอบกลับและเหน็บแนมอีกฝ่ายไปด้วย เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นทายาทของจูเชว่ที่ดูน่าเกรงขามกว่านี้ ที่ไหนได้ อีกฝ่ายไม่ต่างกับผู้ชายที่เพิ่งพ้นช่วงวัยรุ่นทั่ว ๆ ไปเลย ซ้ำยังไม่คิดจะดิ้นรนเอาตัวรอดแม้แต่น้อยทั้งที่เขาทิ้งไว้ในห้องคนเดียวตั้งนาน อย่างน้อยก็น่าจะหยิบอะไรสักอย่างเป็นอาวุธและพยายามจู่โมเขาไม่ใช่หรือ? หรือว่าอีกฝ่ายกำลังคิดบางอย่างแล้วตบตาเขาด้วยการไม่ตอบโต้ ผู้ชายคนนี้ฉลาดหรือว่าโง่กันนะ?

   เซินหมิงเฟิ่งจ้องมองคนตรงหน้าตนเอง เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกประเมินค่าซึ่งไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลย เขาค่อย ๆ ก้าวเท้าจากจุดเดิมอย่างช้า ๆ เหมือนกำลังสำรวจห้องไปในตัว

   “ถ้าอย่างนั้น ชิงหลง คุณต้องการอะไรจากจูเชว่” การที่เขาอ้างชื่อนี้ขึ้นมาไม่ใช้การกล่าวที่เกินเลย เพราะเขาคือทายาทสายตรงเพียงคนเดียว การที่มีใครสักคนคิดจะทำอะไรกับเขานั่นหมายถึงการท้าทายอำนาจของจูเชว่ด้วย ซึ่งตัวเขาก็ไม่เคยคิดว่าหนึ่งในสี่ผู้นำจะสิ้นคิดเช่นนั้น

   ชิงหลงเคลื่อนสายตามองตอบกลับมาอย่างเฉยเมย แต่ไม่ได้มีแววของการเย้ยหยันชื่อที่ถูกอ้างถึง

   “การทวงถามสิ่งแลกเปลี่ยน”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วก่อนจะเปลี่ยนเป็นการมุ่นคิ้วในนาทีต่อมา

   “ขอโทษด้วยที่ผมไม่เข้าใจ จูเชว่ไปติดหนี้อะไรคุณไว้งั้นหรือ?” เขาลองถามหยั่งเชิง ตอนนี้เขาต้องรวบรวมสิ่งที่ควรรู้ให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะตัดสินใจว่าควรทำอะไรต่อไป การที่ศัตรูคือชิงหลงเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย อีกทั้งอาจจะนำไปสู่ความเสียหายอย่างยิ่งยวดต่อองค์กรทั้งสองหากเขาผลีผลามทำอะไรเกินตัว ถึงอย่างนั้น คนอย่างเขาที่ร้างราจากวงการนี้ไปเป็นคนธรรมสามัญแล้วเพิ่งจะกลับเข้าวงการได้เพียงอาทิตย์เดียว จะมีอะไรต่อกรกับผู้ชายที่เพียบพร้อมด้วยอำนาจและคุณสมบัติอันเหมาะสมกับตำแหน่งได้นะ?

   “ดูท่าจะไม่รู้อะไรจริง ๆ สินะ?” นัยน์ตาสีดำแหลมคมตวัดจ้องมองเขาจนรู้สึกเสียวสันหลังวาบ นั่นคือนัยน์ตาของมังกรที่สามารถทำให้คนทุกผู้สยบลงแทบเท้า เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจเข้าลึก เขาเองก็ไม่ได้มีชาติกำเนิดแตกต่างจากอีกฝ่าย แค่ห่างจากวงการนี้ไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

   เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจึงหันไปเผชิญหน้าและจ้องตอบดวงตาคู่นั้นโดยตรง

   การกระทำเช่นนั้นคล้ายจะจุดรอยยิ้มที่มุมปากของชิงหลงได้เล็กน้อยก่อนที่มันจะเลือนหายไป

   “ถ้าอย่างนั้น คุณก็ควรรู้เอาไว้ ว่าพ่อของคุณไม่ใช่คนดีอย่างที่คิดไว้หรอก” ชิงหลงว่าเช่นนั้นพร้อมกับสาวเท้าเข้าไปหาเซินหมิงเฟิ่ง เมื่อประชิดกัน ชายหนุ่มร่างสูงก็เหลือบตาลงมองคนที่ตัวเล็กกว่าเล็กน้อย เซินหมิงเฟิ่งเหลือบตาขึ้นมองตอบความเยือกเย็นนั้นโดยไม่หลบเลี่ยง

   “คุณไม่มีสิทธิมาว่าพ่อของผม ในเมื่อคุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาสักเท่าไหร่”

   “ในด้านหน้าที่การงาน ก็คงเป็นแบบนั้น” ชิงหลงไม่ได้แก้ต่างให้ตนเอง เขารู้ดีว่าจุดยืนของตนเป็นเช่นไร และไม่ได้สนใจจะมองให้มันสวยงามกว่าความเป็นจริง

   “เรื่องแบบนั้นผมรู้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้คุณมาตอกย้ำ คุณเพียงแค่เอาตัวผมมาเพื่อพูดเรื่องนี้น่ะหรือ? หรือว่าคุณอยากให้ผมสละตำแหย่งทายาทจูเชว่?”

   “เรื่องภายในของจูเชว่ผมไม่มีสิทธิเข้าไปยุ่งอยู่แล้ว”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วเข้าหากัน สรุปว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไรกันแน่?

   “เลิกพูดวกไปวนมาเถอะ ผมคิดว่านั่นไม่ใช่นิสัยของคุณหรอกจริงไหม?”

   ชิงหลงเงียบไป ไม่ได้พูดอะไรออกมาและทิ้งช่วงความเงียบยาวนานโดยที่ทั้งสองยังจ้องตากันและกันโดยไม่มีใครยอมใคร

   ลมหายใจเซินหมิงเฟิ่งเข้าและออกเป็นจังหวะหนัก เขาไม่ได้สงบอย่างที่ภายนอกแสดง แต่เขากำลังเล็งอะไรบางอย่างอยู่และพยายามมุ่งสมาธิไปที่นั่นอย่างแนบเนียน

   ดูเหมือนชิงหลงจะมีประสบการณ์กับบรรยากาศกดดันอยู่มาก เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเป็นเช่นนั้นเมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดขององค์กรหนึ่งซึ่งทรงอิทธิพลล้นฟ้า ด้วยเหตุนั้นจึงหาโอกาสที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังรออยูได้ยาก อีกฝ่ายไม่ยอมคลายความตึงเครียดรอบตัวลงแม้แต่นิดเดียว กลับกัน ราวกับจงใจให้มันดำเนินไปเช่นนั้นโดยที่ไม่ได้เพิ่มหรือลดไปกว่าเดิม

   ดูเหมือนเขาคงต้องเสี่ยงเองแทนที่จะรอเวลา

   “ผมขอถามคุณหน่อยได้ไหม?”

   ชิงหลงเลิกคิ้วในเชิงอนุญาต

   “การที่ผมมาอยู่ที่นี่ แสดงว่ามีคนทรยศ ผมอยากรู้ว่าคน ๆ นั้นเป็นใคร” เซินหมิงเฟิ่งกัดริมฝีปากเพื่อคิดต่อไปเล็กน้อยว่าควรจะพูดอะไรต่อ เขาไม่ได้คาดหวังให้อีกฝ่ายตอบทันที แต่ต้องการให้ฝ่ายนั้นมีช่วงที่ละความสนใจไปจากเขาสักเล็กน้อยก็พอ “หรือบางที คุณอาจจะไม่อยากบอกผมเพราะเกรงว่าผมจะส่งข่าวไปบอกทางจูเชว่และเก็บคนทรยศผู้ภักดีของคุณ”

   ชายหนุ่มร่างสูงมีการเคลื่อนไหวนัยน์ตาเล็กน้อยเหมือนกำลังขำขัน ชั่ววินาทีนั้น เซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าเกราะกำบังกายของอีกฝ่ายลดลงเล็กน้อยแล้ว และรีบคว้าโอกาสนั้นไว้อย่างไม่ลังเล เขาพุ่งมือไปยังกระเป๋าเสื้อสูทที่เห็นชิงหลงหย่อนกุญแจห้องเอาไว้ตอนก้าวเข้ามา

   แต่ทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้

   ชิงหลงคาดเดาไว้อยู่แล้ว เขาคว้าเข้าที่ข้อมือของเซินหมิงเฟิ่งแล้วบิดโดยแรงก่อนกระชากอีกฝ่ายให้ล้มคว่ำลงไปบนพื้นอย่างง่ายดาย

   “ยังอ่อนประสบการณ์ คุณเซิน” ชิงหลงดึงเสื้อตนเองให้เรียบร้อยพร้อมกับกล่าวตำหนิ

   เซินหมิงเฟิ่งพลิกตัวนั่งบนพื้นแล้วจับข้อมือตนเองที่ถูกบิด อีกฝ่ายไม่ยั้งแรงกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่ากระดูกข้อจะหลุดซะแล้ว

   โอกาสเล็ก ๆ หลุดลอยไปอย่างง่ายดาย เซินหมิงเฟิ่งนึกเจ็บใจตัวเองแต่พูดออกมาไม่ได้ ทำได้เพียงส่งสายตาเจ็บแค้นไปยังอีกฝ่ายและเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียว ถึงอย่างนั้นชิงหลงก็ไม่ได้แสดงท่าทีสะทกสะท้านอะไรออกมา เจ้าตัวหยิบกุญแจห้องออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้วยท่วงท่าเรียบง่าย ไม่มีท่าทีเย้ยหยันหรือดูแคลนในความพยายามอันสูญเปล่าของคนตรงหน้า

   เขาสาวเท้าไปที่ประตูก่อนจะหันกลับมาที่เซินหมิงเฟิ่ง

   “เห็นแก่ความพยายาม ผมจะตอบคำถามนั้นให้ก็ได้”

   ว่าแล้วชิงหลงก็เปิดประตูออก ทำให้เซินหมิงเฟิ่งได้เห็นคน ๆ หนึ่งยืนอยู่ที่นั่น ใครบางคนที่คุ้นตาเขาอย่างไม่น่าเชื่อ

----------------------------->

   เซินจงนั่งอยู่ในห้องโถงของบ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด การ์ดทุกคนที่ไปงานเลี้ยงในคืนที่ผ่านมาถูกเรียกตัวเข้ามาทั้งหมด แต่ละคนหน้าซีด มองหน้ากันไปมาอย่างไร้ทางออก ข่าวการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งถูกแจ้งให้ทราบเมื่อเซินจงกลับมาถึงบ้าน ด้วยความเหนื่อยล้า สุขภาพ และความชราทำให้ชายวัยกลางคนผู้เป็นเสาหลักของบ้านถึงกับทรุดฮวบลงจนต้องให้คนรับใช้ช่วยกันพาไปส่งถึงห้องนอน

   ยังไม่ทันเช้าดี เซินจงที่รวบรวมกำลังได้พอสมควรก็ลุกขึ้นมาเรียกประชุมการ์ดทุกคนโดยด่วน สีหน้าของเขายังซีดเซียวและอิดโรยเพราะไม่อาจข่มตาหลับได้แม้แต่วินาทีเดียว

   ฝ่ามือกร้านกระแทกลงกับโต๊ะไม้เนื้อแน่น ก่อให้เกิดเสียงดังเฉพาะตัวที่ทำให้ทุกคนสะดุ้งไหว

   “ไม่มีใครตอบคำถามฉันได้สักคนเลยเรอะ! แค่ทายาทคนเดียวพวกแกยังดูแลไม่ได้ ฉันจะฝากชีวิตกับพวกแกได้ยังไง!” เซินจงเค้นเสียงเฉียบขาดแล้วมองการ์ดแต่ละคนที่หายใจไม่ทั่วท้อง แต่แล้วบรรยากาศตึงเครียดก็พังทลายลงเมื่อคนรับใช้คนหนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องประชุม ทุกสายตาจับจ้องไปยังเด็กสาวที่กำลังหอบหนักเพื่อรอฟังว่าเธอนำข่าวด่วนอะไรมารายงานถึงกล้าเข้ามาในโถงตอนนี้

   “พ...พ่อบ้านหวางให้มาเรียนว่า พบรถที่นายน้อยโดยสารและทีมการ์ดที่ไปด้วยแล้วค่ะ”

   ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เซินจงก็ผุดลุกขึ้นทั้งที่ยังไร้เรี่ยวแรง แต่ก็ฝืนใช้ไม้เท้ายันตัวเองไว้

   “พวกมันอยู่ไหน?”

   “กำลังกลับมาค่ะ” คนรับใช้สาวหัวหด เสียงของนายท่านต่ำลึกและคล้ายกำลังคำราม ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากำลังโกรธได้ที่

   “พอพวกมันกลับมาถึง ให้พามาหาฉันทุกคน”

   หญิงสาวรีบรับคำแล้วถอยออกไปอย่างรวดเร็วเพราะไม่อยากโดนลูกหลงไปด้วย ทำให้บรรยากาศในห้องโถงกลับมากดดันเหมือนเดิม ถึงอย่างนั้นเซินจงกลับนั่งลงบนเก้าอี้เงียบ ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่เมื่อไม่มีคำสั่ง ก็ไม่มีใครกล้าขยับออกไปจากที่ตรงนั้น ต่างคนต่างได้แต่รอเวลา….

   ครึ่งชั่วโมงถัดมา หวางซือก็เดินเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทีนอบน้อม

   “เหล่าซือ ฉันสั่งไปไม่ชัดหรือยังไง”

   “ครับนายท่าน”

   “แล้วไอ้พวกไร้ประโยชน์พวกนั้นอยู่ไหน!” เซินจงกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะโดยแรง หวางซือเดินเข้าไปใกล้นายเหนือหัวแล้วกระซิบข้างหูเบา ๆ เรียวคิ้วหนาสีดำเทาขมวดเข้าหากันก่อนที่ชายวัยกลางคนจะค่อย ๆ พยักหน้าอย่างแช่มช้าแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้นด้วยไม้เท้าคู่กาย ทั้งสองเดินออกไปจากโถงด้วยกัน การ์ดทุกคนในโถงจึงค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมาคล้ายกับว่าตลอดช่วงการรอคอยนั้นพวกเขาไม่ได้หายใจเลยสักเฮือกเดียว จากนั้นคนที่เป็นหัวหน้าทีมจึงเดินตามเซินจงและหวางซือออกไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 3 (24/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 24-11-2011 18:52:35
   พวกเขาพากันออกมาถึงด้านนอก ซึ่งชายในชุดสีดำหลายคนถูกลำเลี้ยงลงจากรถในสภาพที่ไม่สู้ดีนัก คล้ายถูกทำร้ายสาหัสเช่นการหักกระดูกหรือถูกตีที่ศีรษะจนเลือดแตกซิบ

   “เกิดอะไรขึ้น” เซินจงกระแทกปลายไม้เท้าแล้วเอ่ยถาม

   การ์ดที่ได้รับบาดเจ็บและเล่าความได้ต่างมองกันและกันก่อนที่คนหนึ่งจะเป็นผู้บอกเล่าออกมา

   “นายน้อยเรียกพวกเรามาคุ้มกันตอนที่ตัดสินใจจะกลับก่อน พวกเราเอารถออกมา 3 คัน กับการ์ดทั้งหมด 8 คน ผมอยู่ในรถคันหลังเลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับรถที่นายน้อยนั่งอยู่ แต่อยู่ ๆ รถคันนั้นก็เบี่ยงออกจากเส้นทางปกติเหมือนมีคำสั่งให้ไปที่อื่นก่อนพวกเราจึงวิ่งตามกันไป แต่ว่ารถคันนั้นก็พาพวกเราไปจอดที่หนึ่งที่ลับตาคนและตังแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ รถของพวกเราโดนล้อมโดยคนที่มีอาวุธครบมือ” การ์ดผู้ที่เล่าเรื่องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อคิดถึงเรื่องราวตอนนั้นเหมือนกำลังพยายามเรียบเรียงความทรงจำ “พวกเขาไม่ได้คิดจะฆ่า ไม่มีการใช้อาวุธปืนหรือของมีคม แต่เป็นมืออาชีพแน่นอน พวกเราค่อย ๆ ถูกทำร้ายจนหมดสติไปทีละคนอย่างที่เห็นนี่แหละครับ”

   เซินจงรับฟังด้วยความเงียบสงบ แต่ริมฝีปากกลับค่อย ๆ ขบเม้มเข้าหากัน

   “เกลือเป็นหนอน” นั่นคือสิ่งที่เขาคิด เป็นสิ่งเดียวกับที่เซินหมิงเฟิ่งคาดเดาไว้ไม่มีผิด เพราะในการคุ้มกันที่หนาแน่นของการ์ดที่ถูกผึกมาอย่างดีซ้ำยังเป็นคนที่รับใช้มานาน มีหรือจะหละหลวมจนโดนทำร้ายไม่เป็นท่าซ้ำคนที่คุ้มครองยังถูกพาตัวไปต่อหน้าต่อตา

   “พวกแกไปกัน 8 คน แต่กลับมาแค่ 7 ใครคือคนที่หายไป ใครมันเป็นคนทรยศ!” เซินจงกระแทกปลายไม้เท้าลงกับพื้นอีกครั้งและกวาดตามองทุกคนอย่างถ้วนถี่จนกระทั่งคน ๆ หนึ่งตอบกลับมา

   “คิมหันต์ครับ”

   “คิมหันต์....” เซินจงสูดลมหายใจเข้าออกหนักหน่วง

   เจ้าคนไม่รู้คุณคน!

   “ส่งคนไปสืบมา! หามาให้ได้ว่ามันทำงานให้ใคร แต่...ทำให้เงียบที่สุด” เซินจงสั่งกับหวางซือแล้วทำสีหน้าเคร่งเครียด “อย่าให้ข่าวการหายตัวไปของอาหมิงรั่วไหลไปได้ ต้องไม่มีข่าวนี้บนโทรทัศน์ หน้าหนังสือพิมพ์ หรือกระทั่งวงซุบซิบนินทา จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยภายในวันนี้”

   “เข้าใจแล้วครับ” หวางซือรับคำแล้วรีบเร่งเดินจากไปเพื่อทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายทันที

-------------------------->

   เมื่อ 13 ปีก่อน เด็กคนหนึ่งเดินไปตามถนนที่ตนเองไม่คุ้นเคย ในตัวเขาไม่มีอะไรอยู่เลย ติดตัวเพียงเสื้อผ้าเก่า ๆ ชุดหนึ่ง ณ ที่นั่น ที่เขาได้พบกับกลุ่มคนที่ดูแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ไม่ใช่ที่ภายนอกแต่เขารู้สึกเช่นนั้น เด็กน้อยอายุสิบปีตามพวกเขาเข้าไปในซอยเล็ก ๆ และกลายเป็นประจักษ์พยานการแลกเปลี่ยนของเถื่อนอย่างลับ ๆ ซึ่งไม่ควรจะมีใครมาเห็น

   เด็กน้อยคนนั้นไม่รู้ความ จึงเผลอทำให้เกิดเสียงดังจนคนเหล่านั้นรู้ตัว

   แม้จะเป็นเด็ก แต่ก็ถือเป็นพยานได้ หากเด็กคนนี้เอาไปบอกใครเข้าจะต้องไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

   คนเหล่านั้นตัดสินใจจะปิดปากเด็กทันที และดูเหมือนเด็กชายก็รู้ได้ว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตราย เขารีบวิ่งหนีออกมาเมื่อคนเหล่านั้นหันมาจ้องมองเขาด้วยดวงตาน่ากลัวและขยับตัวหยิบบางสิ่งในกระเป๋า

   “ถ้าใช้ปืนเดี๋ยวก็แตกตื่นกันหมด” เขาได้ยินเสียงใครในกลุ่มนั้นเตือนเพื่อนเสียงกร้าว จากนั้นจึงเป็นเสียงสบถและค้นของบางอย่างจากขยะใกล้ ๆ นั้น

   เด็กชายวิ่งออกมาจากซอยเล็กแคบเพื่อเอาตัวรอด แต่ความเร็วของเด็กมีหรือจะเท่าความเร็วของผู้ใหญ่ได้ เขาถูกคว้าตัวเอาไว้ก่อนจะออกไปถึงปากทางเพียงเสี้ยววินาที แล้วถูกโยนกระแทกลงบนพื้น ท่อเหล็กฟาดเข้าที่ขาเมื่อเขาพยายามจะลุกขึ้นวิ่งหนีทำให้ร่างเล็กแกรนของเด็กชายล้มลงบนพื้นอีกครั้ง แต่กระนั้น กลับไม่มีเสียงร้องออกมาแม้แต่แอะเดียว...

   “พาเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า”

   เขาได้ยินเสียงคนเหล่านั้นคุยกัน เหมือนกำลังตกลงว่าจะเอายังไงกับเขา เด็กชายยังไม่อยู่ในวัยที่เข้าใจเรื่องเหล่านี้มากนัก แต่ก็รู้ว่าไม่น่าจะดีกับเขา

   “ปิดปากมันก่อน” คนเหล่านั้นกระซิบกันเพราะตรงนี้ใกล้ทางออกมาก หากเด็กชายร้องตะโกนขึ้นมา จะต้องมีใครสักคนเอะใจพากันมามุงดูเป็นแน่ ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่สมัยนี้จะไม่สนใจใยดีกับเรื่องของคนอื่นมากนักโดยเฉพาะกับเมืองที่เจริญด้านวัตถุอย่างที่นี่ แต่ก็อาจจะมีคนบางคนที่อยากจะทำตัวเป็นพลเมืองดีขึ้นมา ซึ่งหากเป็นแบบนั้น คงจะพากันซวยหมด

   เด็กชายเห็นว่าคนเหล่านั้นยังตกลงเกี่ยวกับตนเองไม่ได้ จึงค่อย ๆ ขยับอย่างช้า ๆ แม้ขาจะเจ็บร้าวจนไม่อยากขยับก็ตาม

   แต่ถึงอย่างนั้น....เขาก็รู้ดีว่าคงไม่สามารถหนีไปได้ไกล ดีไม่ดี หากคนพวกนั้นเห็นเขากำลังหนีคงจะตีเขาให้ตายตรงนี้แน่ ๆ เด็กชายไม่ได้อยู่ในวัยที่คิดเล่ห์เหลี่ยมได้มากมาย แต่ก็เป็นเด็กฉลาด เขากัดฟันขยับด้วยความเงียบไปยังผนังโดยไม่ได้เร่งร้อน แค่ทำท่าขยับหนีจากรัศมีท่อเหล็กโดยไม่แสดงพิรุธใด ๆ แต่ตอนนั้นเองที่มีคนหันมาเห็นเข้าพอดี เด็กชายจึงตัดสินใจในชั่ววินาที กัดฟันออกแรงผลักถังขยะเหล็กข้างตัวให้ล้มลงกระแทกพื้นเสียงดัง และเรียกความสนใจจากคนภายนอกได้อย่างชะงัด

   สายตาหลายคู่จ้องมองเข้ามาในซอยด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ทุกความเคลื่อนไหวหยุดชะงักลง

   เด็กชายเห็นโอกาส จึงรีบคลานออกมาภายนอก มือข้างหนึ่งของผู้ชายในซอยคว้าที่ผมเขา

   “เจ้าเด็กเลี้ยงไม่ซื่อ คิดจะขโมยของหรือไง!” มันเป็นมุกตื้น ๆ ที่ทำให้คนอื่น ๆ เลิกสนใจ นั่นคือการยัดเยียดความผิดให้กับผู้เป็นเหยื่อและลงมือทำร้ายโดยไม่ให้อีกฝ่ายแก้ตัวได้ทัน และทุกครั้งที่มันได้ผล...

   เด็กชายถูกจิกหัวลากกลับเข้าไป ทว่าในเวลานั้นเองที่เสียงทุ้มต่ำแทรกเข้ามาในบรรยากาศ
   “ทำอะไรกัน?”

   เด็กชายรู้สึกแปลกใจ เพราะเมื่อเสียงนั้นดังขึ้น มือที่จิกลากเขาก็ปล่อยทันที ซ้ำยังมีท่าทีคล้ายหวาดกลัวกึ่งเกรงอกเกรงใจชายตรงหน้า

   เขาเงยหน้าขึ้นมอง ได้เห็นผู้ชายคนหนึ่งที่มีใบหน้าเข้มงวดท่าทางภูมิฐานกำลังมองต่ำลงมา ข้างตัวชายคนนั้นมีเด็กชายอยู่อีกคนหนึ่งซึ่งน่าจะอายุน้อยกว่าเขาไม่มากนัก นั่นคือครั้งแรกที่คิมหันต์ได้พบกับจูเชว่และเซินหมิงเฟิ่ง ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ได้มาอยู่ที่บ้านตระกูลเซินในฐานะเด็กเลี้ยงและถูกนำไปฝึกฝนให้เติบโตขึ้นมาเป็นบอดี้การ์ดของบ้านหลัก ส่วนชื่อของเขานั้น ได้รับการบอกเล่าว่ามีกระดาษเล็ก ๆ ติดอยู่ในเสื้อของเขา เขียนด้วยอักษรไทยหวัด ๆ ที่ไม่มีใครอ่านออก แต่บังเอิญการ์ดคนหนึ่งมีเพื่อนเป็นคนไทยจึงสามารถถอดภาษาออกมาได้

   ตั้งแต่นั้นมา ตลอด 13 ปี คิมหันตืก็ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตระกูลเซินท่ามกลางสายตาคนรอบข้างมาโดยตลอดและไม่มีพิรุธใด ๆ ให้ใครรู้สึกสงสัยเลยแม้แต่ครั้งเดียว

   แต่ว่าในตอนนี้ เขากลับกลายเป็น....คนของชิงหลง

   “ทำไม....”

   เซินหมิงเฟิ่งถามขึ้นเมื่อชิงหลงออกไปจากห้องและทิ้งคิมหันต์กับเขาไว้ตามลำพัง เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าชิงหลงทำแบบนี่เพื่ออะไร เพื่อตอกย้ำให้เขารู้อย่างนั้นหรือว่าคนของเขานั้นเลี้ยงไม่เชื่องแค่ไหน กลายมาเป็นคนของผู้อื่นอย่างง่ายดายเช่นนี้ทั้งที่เลี้ยงดูมาหลายปี

   “ผมเป็นคนของชิงหลงมาแต่แรกแล้วครับ” คิมหันต์ตอบเสียงเรียบ ไม่มีคลื่นของการเสแสร้งแทรกผ่านเข้ามาแม้แต่น้อย

   “แต่เราเอาคุณมาเลี้ยง! เราดูแลคุณอย่างดี! คุณทำแบบนี้ได้ยังไง!?” เซินหมิงเฟิ่งตะคอกใส่คิมหันต์แล้วก้าวเท้าเข้าไปหาก่อนกระชากเสื้อชายหนุ่มให้เปิดออก บนอกของคิมหันต์มีรอยสักรูปหงส์แดงอยู่ เป็นสัญลักษณ์ของจูเชว่ เป็นสัญลักษณ์ที่บางบอกว่าคน ๆ นี้เป็นสมบัติของใคร “คุณคิดว่าบนร่างกายของคุณมีตราประทับของใครอยู่ ของชิงหลง หรือจูเชว่!”

   คิมหันต์ไม่ได้ตอบโต้การกระทำที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลของเซินหมิงเฟิ่ง เขาก้มหน้ารับคำต่อว่าด้วยท่าทีสงบนิ่ง

   เซินหมิงเฟิ่งสะบัดมือออกจากเสื้อของฝ่ายตรงข้ามแล้วถอยออกมาเสยผมเพื่อพยายามระงับความโกรธเคืองที่คุกรุ่น เพราะบางที อารมณ์ของเขาอาจถูกชิงหลงใช้เป็นเครื่องมือได้ เขายังไม่รู้จุดประสงค์ของผู้ชายคนนั้น ดังนั้นเขาควรจะทำตัวให้สงบและไม่เดินไปตามเกมของอีกฝ่ายจะดีที่สุด

   “เอาล่ะ คุณมีอะไรจะอธิบายให้ผมฟังไหม? อะไรที่จะไม่ทำให้ผมพยายามฆ่าคุณเมื่อมีโอกาส”

   การ์ดหนุ่มหลุบตาลง ค่าของคนทรยศมีเพียงความตายเท่านั้น เขารู้ดีและเตรียมใจไว้แต่ต้น และรู้ว่าไม่มีคำแก้ตัวใดที่จะทำให้เขาพ้นจากข้อกล่าวหานี้ไปได้

   “ผมคงไม่สามารถทวงสิทธิให้ชีวิตตัวเองได้ เพราะชีวิตผมไม่ใช่ของผมมาแต่แรก”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วแล้วนั่งลงบนเตียงก่อนประสานมือไว้ด้านหน้าอย่างครุ่นคิด

   “หมายความว่ายังไง?”

   คิมหันต์เลื่อนสายตาไปทางประตูคล้ายกำลังชั่งใจว่าตนเองมีสิทธิที่จะพูดได้ถึงขั้นไหน

   “ผมถูกลักพาตัวมาจากบ้านเกิดตั้งแต่ยังเป็นทารก นั่นคือสิ่งที่ใครบางคนเล่าให้ผมฟังในสมัยเด็ก ธุรกิจค้าขายที่ผิดกฎหมาย ทั้งเด็กและผู้หญิง แรงงานที่ถูกหลอกลวงและคนที่ถูกพรากมาโดยไม่เต็มใจ คนของท่านชิงหลงรุ่งก่อนพบผมและนำมาเลี้ยง มอบชื่อและชีวิตใหม่ให้ผม นั่นคือบุญคุณที่ผมไม่มีวันตอบแทนได้แม้จะใช้เวลาทั้งชีวิตก็ตาม ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นช่วงเวลาก่อนที่ผมจะได้พบคุณและท่านจูเชว่”

   ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกเมื่อฟังจบ เขาประติดประต่อได้หลาย ๆ อย่างจากคำพูดของคิมหันต์ ใช่...สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นแผนการที่ถูกวางเอาไว้ มันเป็นแผนการซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ 13 ปีก่อน ตั้งแต่วันที่พวกเขาได้รับเด็กชายแปลกหน้าที่น่าสงสารเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบ้านตระกูลเซิน

   แต่ว่า...มันถูกวางไว้โดยใคร? ชิงหลงรุ่นก่อนที่สิ้นลมไปแล้ว หรือว่าชิงหลงรุ่นนี้ซึ่งในตอนนั้นเป็นแค่เด็กชายคนหนึ่ง หากนี่เป็นแผนการที่ผู้ชายคนนั้นคิดขึ้นตั้งแต่ตัวเองยังเป็นเด็ก ชิงหลงก็เป็นผู้ชายที่น่ากลัวมากกว่าที่เขาคิดไว้และไม่อาจต่อกรโดยตรงได้เลย....

   แล้วมันเกี่ยวข้องกับเขาหรือพ่อของเขาตรงไหนกันนะ?

   เป้าหมายของชิงหลง เป็นเพียงการลิดรอนอำนาจของจูเชว่ หรือว่าแค่การข่มขู่เล่น ๆ กันแน่ ถึงแม้จะรับรู้ถึงแผนการที่ตนเองพลาดท่า แต่เซินหมิงเฟิ่งก็ยังไม่อาจรู้ถึงเป้าหมายได้เลย

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 3 (24/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 25-11-2011 09:47:54
ในที่สุด ชิงหลง ก็ออกมาแล้ว !!!
ไม่แปลกใจ(แม้แต่น้อย)ที่เป็นชิงหลง แต่ทึ่งกับแผนการที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน
ส่งคนมาแทรกซึมได้เป็นสิบปี(ตั้งแต่เด็กอีกต่างหาก) นี่แค่ จุดเริ่มต้นเองนะ
เรื่องนี้คงได้หักเหลี่ยม เฉือนคม สถานการณ์พลิกผัน เกินจะจินตนาการแน่ ๆ  o22
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 3 (24/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 25-11-2011 15:37:50
สนุกค่ะ แต่ชื่อจำยากไปหน่อย
ไม่เห็นแววพระเอก นายเอก
ใช้ภาษาสวย แต่อ่านแล้วเข้าใจง่าย
จะติดตามต่อไปนะคะ เป็นกำลังใจให้
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-11-2011 19:12:13
-4-



“ได้เวลาอาหารแล้วครับ” คิมหันต์เคาะประตูก่อนจะเดินเข้ามาทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่จำเป็นเลย ผู้ชายคนนี้คือคนถือกุญแจ หน้าประตูมีการ์ดเฝ้าสองคน และไม่มีทางเปิดล็อคจากด้านในได้ ถึงอย่างนั้นคิมหันต์ก็ยังเคาะประตูเช่นนี้ทุกครั้งเสมือนกับว่าที่นี่เป็นบ้านของเขาและอีกฝ่ายเป็นผู้น้อยที่ต้องทำตามกฎที่กำหนดไว้ระหว่างชนชั้นอย่างเคร่งครัด

เซินหมิงเฟิ่งนั่งเงียบ ๆ อยู่บนเตียง ข้างตัวเขามีหนังสืออยู่หลายเล่มซึ่งคิมหันต์นำเข้ามาให้อ่านแก้เบื่อ

“เจ้านายของคุณไปไหน?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถาม

“ท่านชิงหลงติดธุระอยู่ครับ คิดว่าอีกสองหรือสามวันคงจะจัดเวลาว่างมาที่นี่ได้อีกครั้ง ถ้ามีเรื่องจะถามก็ฝากไว้กับผมได้ครับ” คิมหันต์ตอบแล้ววางถาดลงบนโต๊ะ เซินหมิงเฟิ่งสังเกตชุดอาหารมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว มันถูกจัดอย่างเรียบร้อยด้วยชุดเครื่องถ้วยชามที่ดูมีระดับซ้ำอาหารยังถูกจัดแต่งอย่างสวยงาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่นี่เป็นโรงแรมอย่างแน่นอน และต้องเป็นโรงแรมที่ชิงหลงเป็นหุ้นส่วน หรือไม่ก็เป็นของตระกูลฉิน แต่คนที่จับตัวเขามาที่นี่กลับไม่ได้พักอยู่ด้วย หลังจากสนทนากับเขาเมื่อวานนี้เจ้าตัวก็หายไป แต่ก็มีการส่งเสื้อผ้าและหนังสือรวมทั้งของใช้จำเป็นมาให้ รวมทั้งที่เมื่อครู่คิมหันต์อาสาเป็นผู้รับฝากคำพูด แสดงว่าชิงหลงติดต่อกับคิมหันต์เป็นระยะแม้เจ้าตัวจะไม่ได้มาอยู่ที่นี่ด้วยตัวเอง และยังทิ้งการ์ดไว้อีกจำนวนหนึ่งด้วย

ชิงหลงไม่ใช่คนโง่เลย...

ผู้ชายคนนั้นไม่ไว้ใจคิมหันต์ แม้อีกฝ่ายจะเสี่ยงชีวิตและทุ่มเทเวลาเพื่อแสดงความจงรักภักดีและตอบแทนบุญคุณถึง 13 ปีในบ้านตระกูลเซิน แต่ชิงหลงเองก็คงรู้ดีว่าเวลา 13 ปีนั้นสามารถเปลี่ยนอะไรได้หลาย ๆ อย่าง ถึงแม้คิมหันต์จะรำลึกถึงบุญคุณของคนตระกูลฉินและชิงหลงรุ่นก่อน แต่ใครจะรับรองได้ว่าใจของคิมหันต์ที่ถูกหล่อหลอมในบ้านตระกูลเซินมาสิบกว่าปีนั้นยังสามารถคงความภักดีต่อคนตระกูลฉินได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

คิมหันต์เองก็รู้ฐานะของตนเองดี เจ้าตัวไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมาแต่ยอมที่จะถูกกักตัวไว้กับเขาโดยไม่เรียกร้องอะไรแม้แต่คำเดียว ทั้งที่ปกติคนที่ยอมสละช่วงเวลาสิบกว่าปีของชีวิตเพื่อผลประโยชน์ขององค์กรควรจะมีสิทธิเรียกร้องรางวัลให้กับตนเอง

สถานะในเวลานี้ของเขาและคิมหันต์อาจจะไม่ได้ต่างกันเลย ต่างก็ถูกจับตาดูอยู่ภายใต้สายตาของคนผู้หนึ่งซึ่งมีอำนาจและภาวะของการตัดสินใจที่พวกเขาไม่อาจหยั่งถึง

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ” คิมหันต์เองก็ดูเหมือนจะอย่างอยู่ห่างจากเขา เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเช่นนั้น บางทีการอยู่ข้างกายเขาอาจมีผลอะไรบางอย่างกับอีกฝ่ายก็เป็นได้

“เดี๋ยวก่อน”

“ครับ?” เมื่อถูกเสียงรั้งไว้ คิมหันต์ก็หยุดนิ่งกับที่แล้ววาดมือไขว้หลังเป็นท่าเตรียมรับคำสั่ง

“ตอนผมอยู่ที่อังกฤษ บ้านแม่ของผมอยู่กันเป็นครอบครัว เวลาว่างส่วนมากพวกเราจะนั่งด้วยกันในห้องรวม พูดคุยกันเรื่องต่าง ๆ ดูโทรทัศน์ เล่นกับเด็ก ๆ....น้องต่างพ่อของผม”

“ครับ” คิมหันต์รับคำเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองกำลังฟัง แม้ใจจะสงสัยว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไรแต่หน้าที่ของเขาคือการรับฟังและปฏิบัติตาม และให้ถามเมื่อคำสั่งไม่ชัดเจนเท่านั้น

“ผมหมายถึงว่า...ผมไม่ชินกับการอยู่คนเดียวนาน ๆ แล้วนี่ก็วันนึงมาแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งผายมือไปทางนาฬิกา “ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะให้คุณอยู่ด้วย อย่างน้อยก็ทานข้าวด้วยกัน พูดคุยกันนิดหน่อยจนกว่าผมจะทานเสร็จแล้วคุณก็ออกไปได้” เขายื่นข้อเสนอที่เรียบง่าย ถึงอย่างนั้นคิมหันต์กลับมีสีหน้าลำบากใจปรากฏขึ้นชั่วครู่หนึ่ง เป็นช่วงเวลาที่น้อยนิดแต่เซินหมิงเฟิ่งที่จับจ้องอยู่ก็สามารถเห็นได้

คิมหันต์ชั่งใจอยู่นานเหมือนไม่แน่ใจว่าตนเองควรทำหรือไม่

“ผมไม่ได้รับอนุญาตให้ตัดสินใจด้วยตัวเองในเรื่องนี้ ขอโทษด้วยครับ”

เซินหมิงเฟิ่งสังเกตได้ถึงความอึดอัดใจ คิมหันต์รับรู้สถานะตนเองจริง ๆ และรู้ว่าตนเองไม่ควรจะสร้างสถานการณ์ให้ตนเองถูกสงสัยเพิ่มอีก แต่สำหรับเซินหมิงเฟิ่ง คิมหันต์เป็นตัวเลือกและความหวังเดียวที่เขามีอยู่หากต้องการออกไปจากที่นี่และเปิดเผยแผนการของชิงหลงให้คนอื่น ๆ รู้ก่อนที่ชิงหลงจะลงมือทำอะไรก็ตามที่เจ้าตัวคิดอยู่ บางที คิมหันต์อาจรู้รายละเอียดก็เป็นได้

“เอาเถอะ ผมเข้าใจ” เขารู้ว่าตนเองไม่ควรกดดันอีกฝ่ายมากเกินไป หากคิมหันต์รู้ว่าเขากำลังคาดหวังอะไรบางอย่าง คงจะไม่ยอมเข้าใกล้เขาอีกต่อไป “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ให้การ์ดคนหนึ่งเข้ามาด้วย กุญแจห้องฝากไว้กับคนด้านนอก แล้วก็ปิดประตูให้เรียบร้อย จากนั้นเราควรทานข้าวด้วยกัน แน่นอนว่าผมไม่ค่อยสะดวกใจกับการกินข้าวต่อหน้าการจ้องมองแบบจับผิด แต่ถ้ามันช่วยให้คุณสบายใจได้ก็เอาแบบนี้แล้วกัน”

คิมหันต์ไตร่ตรองข้อเสนอนั้นด้วยสีหน้าจริงจังก่อนจะเดินออกไปหาการ์ดที่หน้าประตู เขาเรียกคนหนึ่งเข้ามาและเอากุญแจฝากไว้ที่อีกคน

“ผมคงทำได้แค่เป็นเพื่อนคุย เพราะผมทานเรียบร้อยแล้ว คุณเซินคงไม่ถือสานะครับ”

เซินหมิงเฟิ่งแค่นยิ้มเล็ก ๆ กับวิธีเรียก ก่อนหน้านี้เขายังเป็น “นายน้อย” แต่ตอนนี้กลายเป็น “คุณเซิน” ไปเสียแล้ว

“ไม่เป็นไร ผมแค่อยากมีเพื่อนคุยบ้างนอกจากหนังสือพวกนี้” เซินหมิงเฟิ่งทำไหวไหล่ไม่ใส่ใจ

การ์ดที่ทำหน้าที่เข้ามาเป็นพยานการสนทนาถอยไปยืนอยู่ข้างประตู คิมหันต์เลื่อนเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้เตียง แต่อยู่ในรัศมีที่เซินหมิงเฟิ่งเอื้อมไม่ถึง ทั้งที้ทั้งนั้น คิมหันต์แน่ใจฝีมือการต่อสู้ของตัวเอง แต่เขาไม่รู้ว่าเซินหมิงเฟิ่งจะมีอาวุธอะไรที่บังเอิญเจอในห้องนี้อยู่กับตัวหรือไม่ แค่ปากกาด้ามเดียวหากแทงถูกจุดเขาก็ตายได้แล้ว

“คุณเซินอยากคุยเรื่องอะไรหรือครับ?”

“นั่นสินะ” เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวนั่งที่ขอบเตียงแล้วเลื่อนถาดมาใกล้ ๆ “ฉันมองไม่เห็นข้างนอก จะบอกได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน ไม่ต้องบอกชื่อชัดเจนก็ได้ เอาเป็นว่าเป็นเขตของชิงหลงใช่หรือเปล่า?” เขารู้ว่าหากถามเจาะจง อีกฝ่ายคงไม่ยอมตอบ เขาจึงถามกว้าง ๆ ก่อน

“ใช่ครับ แต่ผมคงตอบคุณเซินไม่ได้ว่าเป็นส่วนไหน” คิมหันต์รีบดักทางก่อนจะถูกล้วงให้ลึกขึ้นโดยไม่รู้ตัว เขาจำต้องเตือนตนเองว่าอีกฝ่ายไม่ใช่นายน้อยของเขาอีกแล้ว และเขาไม่มีหน้าที่ที่จะต้องตอบคำถามทุกอย่างของอีกฝ่าย ตอบได้เพียงสิ่งที่อยู่ในขอบเขตของตนเองเท่านั้น

“ที่นี่มีหนังสือเยอะหรือ? แสดงว่าปกติชิงหลงอยู่ที่นี่น่ะสิ?”

“เปล่าครับ หนังสือพวกนี้ท่านชิงหลงสั่งให้นำมาจากบ้าน ปกติแล้วไม่ได้พักที่นี่หรอกครับ”

“อ้อ เข้าใจล่ะ” เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้า คิมหันต์ท่าทางปากหนักเอาการ กระทั่งที่อยู่ของชิงหลงยังไม่ปริปากบอกสักนิดว่าเป็นลักษณะแบบใด ถึงจะบอกว่าหนังสือถูกนำมาจากบ้าน แต่ก็ไม่มีคำไหนของอีกฝ่ายที่บอกว่าชิงหลงพักที่บ้านที่หนังสือเหล่านี้อยู่ มีความเป็นไปได้ว่าชิงหลงอาจพักที่คอนโดมิเนียมที่มีการคุ้มกันหนาแน่น หรือพักในบริษัทก็ได้ทั้งนั้น เพราะชิงหลงมักจะเดินทางออกนอกประเทศอยู่บ่อยครั้ง คงจะซื้อห้องหรืออาคารที่สะดวกต่อการเดินทางมากที่สุดและอาจจะไม่ใช่บ้านหลักของตระกูล

“แต่อาหารที่นี่อร่อยดี คุณว่าผมจะมีโอกาสออกไปจากที่นี่แบบที่ยังมีชีวิตอยู่ไหม? เพราะถ้าออกไปได้แล้วไม่มีอะไรร้ายแรง ผมคงอยากจะกลับมาทานอาหารที่นี่เป็นครั้งคราว”

คิมหันต์เงียบไปพร้อมหลุบตาลง คำตอบของคำถามเมื่อครู่ต้องใช้ความคิดหนักทีเดียว

“ในเขตของจูเชว่มีร้านอาหารและภัตตาคารมากมายครับ”

เซินหมิงเฟิ่งทำเสียงในคอแบบขัดใจ คิมหันต์ถือว่าฉลาดในการเลี่ยงตอบคำถามที่ไม่อยากตอบ กระทั่งคำพูดรับรองชีวิตของเขายังไม่มีให้ แบบนี้เขาจะมั่นใจในสวัสดิภาพได้มากแค่ไหนกันนะ?

“คิหมันต์ ผมถามอะไรคุณอีกสักอย่าง” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วทำเป็นสนใจอาหารในจานด้วยการเขี่ยมันไปมา แล้วกลอกตาหาคำพูดที่เหมาะสมก่อนจะสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย คิมหันต์นิ่งสงบและเฝ้ารอโดยไม่ลุกลี้ลุกลนเลย เซินหมิงเฟิ่งรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงเตรียมใจกับการไล่ต้อนจนปรับตัวได้แล้ว เขาคงจะต้องปล่อยไปก่อนแล้วค่อยหาโอกาสใหม่จริง ๆ เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจออกมา “คิมหันต์ ผมกับคุณอยู่ด้วยกันได้แค่ไม่นาน อืม...5 ปีได้ล่ะมั้ง? ถึงอย่างนั้นผมก็เป็นคนอ้อนวอนพ่อให้รับคุณเอาไว้ บางทีนี่คงเป็นผลกรรมของผมเอง ผมไม่โทษคุณหรอก แต่ผมอยากรู้ว่าระหว่างที่ผมไม่อยู่คุณเป็นยังไงบ้าง”

“หมายถึงอะไรหรือครับ?”

เซินหมิงเฟิ่งโคลงหัวพลางตักอาหารเข้าปาก

“ผมจำได้...ช่วงแรก ๆ ที่คุณมาที่บ้าน คุณพูดไม่ค่อยคล่อง สำเนียงก็แปลก ๆ ชื่อก็ไม่คุ้นหูออกเสียงยาก ถูกพวกเด็ก ๆ ในบ้านล้อเอาบ่อยครั้งแต่ก็ไม่เคยร้องไห้ออกมาเลย ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราพบกัน ผมประทับใจคุณตรงนั้นพ่อเองก็ด้วย พวกเราคิดว่าคุณคงจะเป็นบอดี้การ์ดที่ดีได้อย่างแน่นอน” เขาจงใจพูดย้อนไปถึงเรื่องอดีต เป็นจุดที่อ่อนไหวในความสัมพันธ์ของพวกเขาและทำให้เขาได้เห็นความหวั่นไหวในดวงตาของคิมหันต์ “คุณพัฒนาฝีมือเร็วมากจนพวกเราแปลกใจ แต่ก่อนที่คุณจะโตมากพอผมก็ถูกส่งไปต่างประเทศเสียก่อน ผมอยากรู้ว่าช่วงที่ผมไม่อยู่นั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง”

คิมหันต์ใช้ความคิดอยู่ไม่นานก่อนจะตอบโดยไม่อิดเอื้อน

“ไม่มีเรื่องอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ ผมได้รับการฝึกฝนโดยการ์ดของจูเชว่ รวมทั้งสอนให้รู้หนังสือด้วย พออายุ 16 ผมก็เข้าสังกัดทีมการ์ดทีมหนึ่ง ดูเหมือนว่าตอนนั้นคุณเซินจะจากไป 1 ปีกว่าแล้ว ภารกิจแรกของผมคือการอารักขาหัวหน้าแก๊งค์คนหนึ่งไปเจรจางานในสถานที่ใกล้ ๆ ซึ่งก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตลอดช่วงเวลานั้นผมไม่ค่อยจะได้เจอเรื่องเสี่ยงอันตรายมากนัก ทุก ๆ คนก็ดูแลผมดีมาก”

เมื่อพูดไปครู่หนึ่ง คิมหันต์ก็ชะงักไปแล้วหลบตา เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

“มีอะไรหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ ขอโทษด้วย” ชายหนุ่มว่าแล้วสูดหายใจก่อนเล่าต่อ “พออายุ 20 ผมก็ได้เลื่อนขั้นมาเป็นหัวหน้าทีมย่อย ถือว่าค่อนข้างเร็วสำหรับการ์ดด้วยกัน ผมเองก็คิดแบบนั้นแต่ท่านจูเชว่บอกว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้วเมื่อดูจากฝีมือของผม ผมทำหน้าที่นั้นมาตลอดนับแต่นั้นครับ”

เซินหมิงเฟิ่งฟังไปก็หยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก อาการชะงักของคิมหันต์เมื่อครู่นี้ทำให้เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีใจให้จูเชว่อยู่หลายส่วนทีเดียว เขายังคงมีความหวังอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

“ขอบคุณมากนะคิมหันต์ ผมคลายเหงาขึ้นเยอะเลย” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มให้อีกฝ่ายแล้วเลื่อนถาดคืน

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัวก่อนนะครับ” ว่าแล้ว คิมหันตืก็ลุกขึ้นพร้อมถาดใส่ภาชนะ สบสายตากับการ์ดอีกคนหนึ่งที่นิ่งฟังมาตลอด เขาเคาะประตูสองครั้ง ประตูก็ถูกเปิดออกโดยคนที่อยู่ด้านนอก แล้วทั้งสองก็พากันออกไปจากห้องโดยทิ้งเซินหมิงเฟิ่งไว้คนเดียวดังที่ได้รับคำสั่งมา

เมื่อคิมหันต์นำถาดไปเก็บที่รถเข็นแล้วนำออกไปไว้นอกห้องแล้ว ก็มีสายโทรเข้าโทรศัพท์มือถือเขาพอดี คิมหันต์หยิบขึ้นมาดูเบอร์ที่ปรากฏบนหน้าจอและพบว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์มือถือส่วนตัวของชิงหลง

“คิมหันต์ครับ”

“คิมหันต์ เรื่องทางนั้นเรียบร้อยดีใช่ไหม?” ชิงหลงเอ่ยถามจากต้นสายด้วยเสียงเรียบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์

“เรียบร้อยดีครับ คุณเซินเพิ่งทานอาหารเสร็จเมื่อครู่” คิมหันต์รายงานตามสถารการณ์ แต่เขาไม่แน่ใจว่าควรจะเล่าเรื่องที่เซินหมิงเฟิ่งชักชวนให้สนทนาด้วยไหม กระนั้น ในช่วงเวลาที่เขากำลังตัดสินใจ ชิงหลงกลับเอ่ยแทรกขึ้นมาโดยไม่รอให้คู่สายพิรี้พิไร

“คุณทำงานได้ดีแล้ว จากนี้คุณสามารถตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้เองตามสะดวก ผมเหลืองานอีกไม่มากแต่คงจะยุ่งจนไม่มีเวลาโทรมาเช็คได้บ่อย ๆ หวังว่าคุณจะดูแลที่นั่นให้ผมได้”

คิมหันต์กลั้นลมหายใจไว้ในปอด อยู่ ๆ บ่าของเขาก็หนักอึ้งขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ

“ผมจะทำอย่างดีที่สุดครับ”

“ดีมาก ผมภูมิใจในตัวคุณ และพ่อของผมก็เช่นกัน”

ชิงหลงกล่าวจบก็ตัดสายไป คิมหันต์เลื่อนโทรศัพท์มือถือตนเองลงแล้วจ้องมองหน้าจอจนกระทั่งดับสนิท คำพูดเพียงไม่กี่คำของชิงหลงทำให้ความรู้สึกที่เอ่อท้นจากการหว่านล้อมของเซินหมิงเฟิ่งเมื่อครู่มลายหายไปเกือบหมดสิ้น ใช่แล้ว เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องหวั่นไหว เขาคือคนของชิงหลง หนี้ชีวิตที่ไม่มีวันทดแทนได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะขอมอบชีวิตนี้ไว้ใต้บัลลังก์มังกรแห่งตะวันออกตลอดไป

------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-11-2011 19:13:57
ชิงหลงนั่งอยู่บนเก้าอี้พนักสูงทำจากหนังสีดำสนิท ทอดสายตาคมกริบมองโทรศัพท์มือถือที่เพิ่งตัดสายไปจากใครบางคน เสียงของคิมหันต์บอกเขาตั้งแต่แรกที่รับสายว่าในใจของฝ่ายนั้นมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ความมั่นคงที่มีเริ่มหวั่นไหว เขาเดาไว้ไม่ผิด เซินหมิงเฟิ่งคนนั้นไม่ใช่คนโง่ และเล็งเห็นว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องมีผลต่อจิตใจของคิมหันต์อย่างแน่นอน

ชายหนุ่มเคาะโทรศัพท์มือถือกับฝ่ามืออีกข้างพลางทอดสายตามองออกไปนอกห้องทำงาน

สำหรับเขาแล้ว คิมหันต์เปรียบเสมือนผืนผ้าที่ถูกย้อมด้วยสีสองสีที่ต่างกัน ในสายตาคนอื่นอาจมองคิมหันต์ได้สองแบบ มองว่าเป็นคนไม่รู้คุณและทรยศเจ้านายเก่ารวมถึงอาจจะทรยศเขาเมื่อใดก็ได้ หรือไม่ก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อผู้มีพระคุณและหน้าที่จนไม่ยอมให้บุญคุณอื่นมาแทนที่ได้ แต่หากจะถามเขาว่าคิมหันต์เป็นคนเช่นไร ตัวชิงหลงเองก็ตอบได้ยากเพราะเขาได้พบคิมหันต์เพียงแค่ตอนเด็กนับเวลาตั้งแต่เก็บมาเลี้ยงจนถึงวันที่ส่งไปทำงาน ก็ราว ๆ 7-8 ปี หากเทียบกับเวลาที่ไปอยู่กับจูเชว่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นมาก อีกทั้งช่วงอายุที่ไปอยู่กับจูเชว่นั้นเป็นช่วงการเปลี่ยนแปลงของชีวิตตั้งแต่เด็กสู่วัยรุ่น และวัยรุ่นสู่ผู้ใหญ่ ล้วนแต่เป็นช่วงที่มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจและพฤติกรรมทั้งสิ้น ทำให้เขาไม่อาจมองคิมหันต์ด้วยมุมมองเดียวกับคนของตัวเองได้

ถึงอย่างนั้นเขาก็เดาได้ถูกต้องเกี่ยวกับเซินหมิงเฟิ่ง คน ๆ นั้นอาจไม่โง่ แต่ยังมีความอดทนที่น้อยนิด อีกฝ่ายรีบร้อนเกินไปกับการเข้าหาคิมหันต์ทำให้เขารู้ว่าควรจะจัดการอย่างไรต่อไป คิมหันต์ยังไม่ใช่คนที่อันตราย เสียงของคิมหันต์ช่วงหลังของการสนทนาบ่งบอกเขาว่าความจงรักภักดียังหวังผลได้

ชิงหลงผ่อนลมหายใจออกมาแล้วพิงหลังบนพนักเก้าอี้ก่อนจะวางโทรศัพท์มือถือตนเองลงบนโต๊ะทำงาน ไม่นานนักก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“ขออภัยครับ”

“เข้ามาสิ”

จากการอนุญาต เลขาหนุ่มของเขาจึงเปิดเข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม ในมืออีกฝ่ายไม่มีเอกสาร สายโทรเข้า หรืออาหาร ชิงหลงเลิกคิ้ว นึกสงสัยว่ามีธุระอะไร

“มีคนมาขอพบครับ”

“ไม่ได้นัดล่วงหน้า?” ชิงหลงมุ่นคิ้ว โดยระเบียบแล้วการขอพบเขาต้องนัดพบล่วงหน้าเสมอ ถือเป็นมารยาทและการให้เกียรติ ไม่ว่าเป็นบุคคลระดับไหนก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน สิ่งที่ต่างกันคือเปอร์เซ็นต์ที่เขาจะตอบรับการขอพบ อย่างไรก็ตาม การขอพบอย่างกะทันหันนี้ใช่ว่าจะไม่เคยมีเกิดขึ้น แต่ก็เกิดขึ้นได้ในหลายสถานการณ์ เขาคิดว่าตัวเองเดาคนที่มาพบในสถานการณ์เช่นนี้ได้ไม่ยาก

ชายหนุ่มพยักหน้าแล้วโบกมือให้เลขาของตนไปจัดการให้เรียบร้อย

ผู้เป็นเลขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจ้านายของตนดูจะตกลงง่าย ๆ โดยไม่ถามว่าเป็นใคร กระนั้นเขาก็คงไม่จำเป็นต้องถามเพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว และคำสั่งก็ต้องเป็นคำสั่ง เขาจึงล่าถอยออกไปและไปปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมาให้เรียบร้อยที่สุด แม้มันจะเป็นการโบกมือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

ชิงหลงเก็บโทรศัพท์มือถือส่วนตัวใส่กระเป๋า แล้วลุกขึ้น ดึงเสื้อสูทให้เรียบตึงก่อนจะจัดแขนเสื้อให้เรียบร้อย เมื่อเห็นว่าเครื่องแต่งกายไม่มีตำหนิแล้วจึงเดินออกมาจากห้อง การ์ดสองคนยืนอยู่หน้าประตู เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเขาที่เป็นเช่นนั้น การ์ดทั้งสองค้อมตัวให้โดยไม่ได้เอ่ยปากถามอะไร เพราะพวกเขาได้ยินที่เลขาของชิงหลงรายงานแล้วและรู้ว่ามีการตอบรับ

ห้องรับแขกที่ชิงหลงเดินไปเป็นห้องรับแขกระดับ VIP สำหรับบุคคลระดับพิเศษโดยเฉพาะ การ์ดที่ยืนอยู่หน้าห้องบ่งบอกได้ชัดเจนว่าบุคคลที่มาขอพบได้รับการรับรองแล้ว

เมื่อเปิดประตูเข้าไป มีใครบางคนนั่งอยู่ที่นั่นดังคาด

ชายหนุ่มผมสีขาวดูแปลกตาและแปลกประหลาดสำหรับคนทั่ว ๆ ไป แต่ผลพวงจากพันธุกรรมที่ผิดปกติไม่ได้ลดทอนความน่าเกรงขามของผู้ชายคนนี้ลงไปเลย เมื่อใดก็ตามที่มีใครบางคนเหลียวมองความแปลกของเขา ก็จะต้องเผลอหลบตาเมื่อเขาหันมองตอบเสียทุกครั้งไป

ชิงหลงเดินเข้าไปในห้อง ชายผู้มาเยือนก็ลุกขึ้นยืน

“มีธุระด่วนถึงกับต้องขอพบโดยไม่มีการนัดเลยหรือ ไป๋หู่?” ชิงหลงเช็คแฮนด์กับอีกฝ่ายตามมารยาทแล้วเอ่ยถาม

“ก็ราว ๆ นั้น” ไป๋หู่ยกคิ้วสูงแล้วโบกมือ ท่าทีของเขาต่อชิงหลงเป็นไปในทางที่ค่อนข้างสบายและผ่อนคลาย ทั้งนี้ทั้งนั้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าชิงหลงและไป๋หู่เคยเป็นเพื่อนร่วมสถาบันและชั้นปีเดียวกันสมัยมหาวิทยาลัย อาจเป็นความบังเอิญหรือไม่ใช่ที่ทั้งสองเคยเรียนวิทยาลัยเดียวกันที่อิตาลี จากความรู้จักผิวเผินค่อย ๆ ทำให้ทั้งสองเรียนรู้กันและกันเพราะต่างรู้ฐานะของอีกฝ่ายก่อนที่จะกลับมารับตำแหน่งที่ฮ่องกงเมื่อเรียนจบ

ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วที่พวกเขาจะเรียกกันและกันด้วยตำแหน่งคล้ายการประชดประชันและหยอกล้อไปในตัว ทำให้ในเวลานี้พวกเขาไม่รู้สึกกระดากปากที่ต้องเรียกแทนกันด้วยตำแหน่งแทนชื่อจริงที่น้อยคนจะมีโอกาสได้เรียก

“มีอะไรก็รีบ ๆ พูดเถอะ ฉันไม่ค่อยมีเวลาสักเท่าไหร่” ชิงหลงผายมือให้อีกฝ่ายนั่งลงก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งเช่นกัน

“ความจริงแล้ว มันก็พูดยากนะ” ไป๋หู่ว่าพลางยิ้ม “เอาเป็นว่าฉันเพิ่งรู้ข่าวที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับทายาทของจูเชว่ แน่นอนว่ามันไม่ใช่ข่าวที่จะเผยแพร่ได้ทั่วไป แต่สายภายในของฉันเป็นคนบอกมา ฉันเดาไม่ยากเลยว่าใครเป็นคนพาตัวทายาทของจูเชว่ไป นายว่าไหม?” ชายหนุ่มผายมือออกทั้งสองข้างเป็นเชิงว่าเขาอยากจะได้คำอธิบายเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผู้ฟัง

“นายรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว นายอยากจะให้ฉันพูดอะไร?” ชิงหลงประสานมือบนหน้าตัก เป็นท่าทีของการสงวนปฏิกิริยา หรืออาจจะหมายถึงความต้องการเก็บงำคำตอบบางประการ

“อย่าคิดมากไปสิ ฉันไม่ได้อยากรู้หรอกว่าเขาอยู่ที่ไหน หรือนายคิดจะทำอะไรต่อไป” ไป๋หู่หยุดคิดไปเล็กน้อย หากเขาไม่ยิงคำถามที่ถูกจุด อีกฝ่ายคงไม่คิดจะตอบ นั่นเป็นวิธีของชิงหลงคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร จะพูดแต่เพียงสิ่งที่อยากพูดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นใครมาง้างปากก็อย่าหวังจะได้ยินคำตอบ “ฉันแค่อยากจะรู้ว่า เป็นอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า ถ้าใช่ ทุก ๆ อย่างจะได้ง่ายขึ้น การหายตัวไปของทายาทจูเชว่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ฐานอำนาจฝั่งหนึ่งคลอนแคลน พวกเราก็จะแย่ไปด้วย ทางจูเชว่กำลังพยายามปิดข่าวนี้และฉันก็กำลังตัดสินใจว่าจะช่วยสักหน่อยดีไหม”

ชิงหลงเคาะปลายนิ้วกับหลังมือตนเอง สายตาของเขาไม่ได้หลุบลงต่ำ แต่กลับจ้องมองตรงไปยังคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะด้วยสายตานิ่งสงบไม่มีวี่แววของปฏิกิริยาอื่น ๆ ในดวงตาคู่นั้น ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกันมาช่วงหนึ่ง แต่ทั้งเขาและไป๋หู่ต่างก็ไม่สามารถอ่านกันได้ขาดเลยสักครั้ง บางที การจ้องมองกันและกันผ่านความเงียบนี้ อาจเป็นการเสียเวลาเปล่าก็เป็นได้

ชิงหลงหลับตาลงในที่สุดแล้วจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมาอีกครั้ง

“ใช่ เป็นอย่างที่นายคิด”

ไป๋หู่เหน็บยิ้มบางที่มุมปากแล้วเบนสายตาไปรอบห้อง

“งานหนักเอาการแน่” เขาเปรยขึ้นมาลอย ๆ

“นายรู้อะไรที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า?” ครั้งนี้เป็นชิงหลงที่เอ่ยถามบ้าง เขาเลิกคิ้วแล้วมองหน้าอีกฝ่ายที่ทำยิ้มหน้าเป็นไม่ย้อนสายตากลับมามองเขาเสียที

“ก็ไม่เชิง วันที่นายกลับมาจากต่างประเทศเป็นวันที่มีการประกาศหมั้นระหว่างเซินหมิงเฟิ่งกับมินาโมโตะ ซากุระ”

“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว คนของฉันอยู่ที่นั่นและกลับมารายงานให้ฟังระหว่างที่ฉันเดินทางจากสนามบินกลับไปที่บ้าน แต่คนญี่ปุ่นคนนั้นกับลูกสาวดูจะไม่ใช่อุปสรรคของฉันสักเท่าไหร่” ชิงหลงว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง แล้วไขว้หลังแล้วทอดสายตาออกไป “ฉันสืบประวัติของพวกเขามาแล้ว”

“นั่นไม่ใช่ประเด็นที่ฉันต้องการจะบอก”

“หรือนายคิดว่าเรื่องที่คุณเซินมีคู่หมั้นจะทำให้ฉันอยากเปลี่ยนใจ?”

“ความจริงแล้วสิ่งที่นายไม่รู้คือ คุณหนูมินาโมโตะเป็นผู้หญิงที่ฉลาดหลักแหลมคนหนึ่ง ฉันไม่คิดว่าเธอจะนิ่งเฉยเมื่อรู้ว่าคู่หมั้นหายตัวไป” ไป๋หู่ช่วยแจกแจงให้ฟัง เขาได้สนทนากับซากุระเพียงเล็กน้อย แต่ส่วนมากเขาจะฟังเสียงร่ำลือจากคนอื่น ๆ ที่เข้ามาล้อมรอบตัวเขา และพบว่าซากุระจะถูกชื่นชมในทางที่ดีเสียส่วนมากแม้แต่สำหรับผู้หญิงด้วยกัน นั่นแสดงถึงความเฉลียวฉลาดในการแสดงออกและการเข้าสังคมของเธอ เธอรู้วิธีวางตัวให้เป็นที่รักและนั่นอาจหมายถึงเธอรู้วิธีแทรกแซงเข้าไปในความคิดของผู้อื่นเช่นกัน

“ฉันไม่คิดจะดึงคนนอกเข้ามายุ่งเกี่ยว แต่หากคุณมินาโมโตะต้องการแบบนั้นฉันก็ไม่มีสิทธิจะขัดขวาง” ชิงหลงตอบโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดให้มากมาย “แต่เมื่อเทียบระหว่างเราสองคน คุณมินาโมโตะจะไม่เข้ามาทางฉันอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าฉันและนายจะมีหมากคนละตัวซึ่งมีผลต่อจุดจบของเรื่องนี้ทั้งคู่”

ไป๋หู่ไหวไหล่ เมื่อคิดตามสถานภาพแล้ว สิ่งที่ชิงหลงพูดอาจเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขามีฉายาว่าเป็นเสือผู้หญิง ดังนั้นหากคุณหนูซากุระต้องการล้วงความจริงจากใครสักคน คน ๆ นั้นต้องเป็นเขาที่มีโอกาสสูงที่จะตกบ่วงเสน่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย

“นายมั่นใจแค่ไหนว่าคุณมินาโมโตะจะลงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย” ชิงหลงถามเพื่อย้ำความมั่นใจ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในแผนของเขา หากปล่อยให้เธอเข้ามายุ่งมากเกินไปอาจไม่เป็นผลดี แน่นอนว่าเขามีวิธีมากมายที่จะทำให้สิ่งที่ตนต้องการเป็นไปอย่างที่ควรเป็น แต่การแทรกแซงของคนนอกอาจทำให้เกิดจุดจบที่เลวร้ายกว่าที่เขาวางแผนเอาไว้ในตอนแรก

“ฉันไม่รู้ พูดจริง ๆ แล้วจูเชว่เองก็ไม่ใช่คนโง่นายก็รู้” ไป๋หู่ไม่ได้ช่วยยืนยันความมั่นใจให้ชิงหลงเลยแม้แต่น้อย “แต่ถ้าฉันคิดถูก อาจจะเป็นจูเชว่เองที่ชี้นำให้คุณหนูมินาโมโตะลงมาเล่นในเกมนี้ด้วย”

ชิงหลงหลุบตาลงครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับคนที่อยู่ในห้อง คนเพียงคนเดียวที่ดูเหมือนจะรู้ว่าเขากำลังต้องการอะไร และเป็นคนที่มีผลประโยชน์ที่สอดคล้องกันแม้เป้าหมายแท้จริงและจุดจบที่ต้องการจะเป็นคนละแบบก็ตาม

“ถ้าอย่างนั้นเรามาแข่งกันหน่อยไหม ไป๋หู่” เหมือนชิงหลงจะคิดอะไรได้ขึ้นมา “ระหว่างทายาทจูเชว่ในมือฉัน และคุณมินาโมโตะที่อาจจะเป็นหมากในมือนาย ใครจะเป็นตัวหมากสำคัญที่นำไปสู่จุดจบในแบบที่พวกเราต้องการได้ก่อนกัน”

--------------------------->

เซินจงยืนอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น เขากำลังทอดสายตาลงมองรูปภาพมากมายที่ตั้งอยู่บนชั้นวางรวมถึงที่แขวนไว้บนผนัง ภาพเหล่านี้เป็นภาพครอบครัวของเขา ตั้งแต่พ่อของเขาซึ่งเป็นจูเชว่รุ่นก่อน แม่ของเขาที่เสียชีวิตหลังพ่อจากไปไม่นาน น้องชายที่ตกเป็นสายรองเมื่อเขาขึ้นเป็นจูเชว่จึงออกจากบ้านไปมีครอบครัวของตนเอง น้องสาวที่แต่งงานไปกับคนต่างชาติและย้ายไปอยู่ในประเทศที่ห่างไกล ภรรยาคนแรกของเขาที่ถ่ายรูปร่วมกันเพียงรูปเดียวก่อนจะกลับไปกับครอบครัว ลูกชายที่เกิดจากภรรยาคนนั้นซึ่งตอนนี้ถูกใครบางคนจับตัวไปโดยไม่รู้เป็นตายร้ายดี และภรรยาคนที่สองซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว

ชายสูงวัยถอนหายใจออกมา ชีวิตเขาล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ความผิดพลาดหลายอย่างก็เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว บางสิ่งแก้ไขได้ บางสิ่งแก้ไขไม่ได้ก็ได้แต่ทดแทนไปตามความเหมาะสม บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงเป็นผลพวงจากความผิดพลาดอีกครั้งของเขาก็เป็นได้

“นายท่าน” เสียงเคาะประตูและเสียงแหบของหวางซือเรียกเซินจงให้หลุดจากภวังค์

“มีอะไร? ฉันบอกว่าอยากอยู่คนเดียวไม่ใช่หรือ?”

“ครับ แต่ว่าสายสืบของเรามีข่าวคืบหน้ามาแล้ว” หวางซือเดินเข้ามาในห้องแล้วจ้องมองไปยังรูปภาพเช่นเดียวกับที่เซินจงทำ

ชายสูงวัยพยักหน้าให้พ่อบ้านของตน

“บางที...ชิงหลง....” หวางซือเอ่ยเสียงเบาจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ สิ่งที่คนของจูเชว่สืบได้กลายเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยออกไปให้ใครรู้ได้แม้แต่คนเดียว เป็นเรื่องภายในที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถยื่นมือเข้ามาก้าวก่ายได้ แม้แต่ตัวจูเชว่เอง ก็ไม่มีสิทธิจัดการสิ่งใด เพราะนี่เป็นสิ่งที่ชิงหลงทำตามกฎแต่เก่าก่อนของผู้นำทั้งสี่คน เรื่องราวที่น้อยคนจะรับรู้ถึงความเป็นจริงเบื้องหลังความรักที่สวยงาม

“ชิงหลง....และอาจจะมีไป๋หู่ด้วย” เสียงของเซินจงดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน ตลอดสองวันที่เซินหมิงเฟิ่งหายตัวไป เขาแทบจะไม่ได้พักเลย เขาไม่อาจข่มตาหลับได้และอาจจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าทุกอย่างจะจบลง แต่การได้ยินว่าอยู่กับชิงหลง นั่นทำให้เขาสบายใจกว่าการที่อยู่ในมือของคนนอก เซินหมิงเฟิ่งเป็นลูกชายคนเดียวของเขา ชิงหลงจึงไม่มีสิทธิทำอันตรายใด ๆ ต่อทายาทเพียงคนเดียวของจูเชว่จนถึงชีวิตหรือทำให้เกิดทุพพลภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่าชิงหลงคิดจะทำอะไรกับลูกชายของเขา จิตใจของคนเป็นพ่อย่อมวิตกกังวลและเป็นห่วงเมื่อลูกชายอยู่ไกลหูไกลตาในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้

“นายท่านจะทำยังไงครับ....” แม้หวางซือจะรู้ว่าอำนาจของจูเชว่ทำสิ่งใดไม่ได้ แต่เขาก็ต้องถามออกไป

เซินจงเงียบไปนาน ก่อนจะหันกลับมาหาหวางซือ

“พรุ่งนี้ เรียกคุณซากุระมาหาฉัน”

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-11-2011 20:14:14
เข้มข้น และซับซ้อนซ่อนเงื่อนไม่เปลี่ยนเลยนะคะ อิอิ
แต้ก็ยังอยากรู้ว่าเรื่องนี้ใครพระใครนายกันแน่
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: K2KARN ที่ 27-11-2011 21:03:23
กำลังลุ้นตัวเกร็งเลยล่ะค่ะเนี่ย
สนุกซ่อนเงื่อนเหมือนเดิมเลย :')
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 28-11-2011 04:34:34
ใครพระใครนายใครจะรุกใครจะรับหล่ะเนี่ย  :undecided:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 4 (27/11/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 29-11-2011 00:19:36
อ่านบทสนทนาระหว่างชิงหลงกับไป่หู่ ยังกะตีความรหัสมอส (แผนการลับนี่เนอะ :undecided: )
คงอีกนาน(พอสมควร)กว่าความจริงเบื้องลึกเบื้องหลังจะกระจ่าง ฉนั้นรอลุ้นเหตุการณ์ที่ไม่อาจจะคาดเดากันต่อไป...
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 07-12-2011 14:26:52
-5-



   ซากุระรู้สึกแปลกใจเมื่อได้รับโทรศัพท์จากคนของจูเชว่ เธอเพิ่งจะได้พบกับพวกเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนในงานเลี้ยง จากวันนั้น เธอรู้สึกว่าหลาย ๆ  อย่างรอบตัวสงบอย่างผิดปกติจนน่าแปลก ไม่มีการติดต่อจากทางบ้านตระกูลเซินทั้งที่โดยปกติแล้ว เซินหมิงเฟิ่งน่าจะโทรหาเธอบ้างหลังจากทำความรู้จักกันไปพอสมควร แม้จะไม่ใช่โดยความต้องการของตนเอง ก็น่าจะเป็นความต้องการของจูเชว่ แต่ช่วงที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้ ไม่มีการติดต่อเลยสักครั้งเดียว แต่แล้วอยู่ ๆ กลับมีสายโทรศัพท์มาหาเธอ พร้อมคำเชิญไปที่บ้านโดยไม่ได้ระบุชื่อของเซินหมิงเฟิ่งแต่ระบุว่าเป็นคำเชิญของจูเชว่ มันยิ่งทำให้เธอแปลกใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นหรือไม่

   “ทางเราจะส่งรถไปรับในอีก 30 นาทีนะครับ”

   “ค่ะ ได้ค่ะ” แม้ซากุระจะยังกังขากับสถานการณ์ แต่เธอก็ตอบรับคำเชิญ การเดินทางไปที่บ้านของจูเชว่ อาจค้นพบคำตอบว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงได้เย็นชาและทำตัวห่างเหินกับเธอถึงขนาดนี้ แต่เธอกลับไม่คิดว่านี่เป็นสัญญาณของการถอนหมั้น เพราะหากใช่ พ่อของเธอน่าจะออกอาการบ้าง

   ภายในเวลาครึ่งชั่วโมง ซากุระรีบจัดการแต่งตัวจนเรียบร้อยแล้วลงมานั่งรอในห้องนั่งเล่น

   พ่อของเธอออกไปทำงานตั้งแต่เช้า และคงจะกลับมาตอนดึก หญิงสาวไม่คิดว่าจะต้องโทรรายงาน แต่ก็บอกฝากคนรับใช้ในบ้านไว้เผื่อว่าพ่อของเธออาจจะโทรกลับมาตามตัวให้ไปจัดการธุระบางอย่างให้ ถึงแม้โดยอายุแล้ว เธอจะยังอยู่ในเกณฑ์ศึกษาเล่าเรียน แต่เพราะพ่อของเธอบริหารงานเพียงลำพังและยากจะหาคนไว้ใจทำงานบางอย่างแทนให้ เธอจึงถูกบังคับให้สอบเทียบเมื่ออายุยังน้อย เรียกว่าอายุต่ำสุดของเกณฑ์การสอบเทียบมหาวิทยาลัยเลยทีเดียว จึงเรียนจบเร็วและเข้าสู่ชีวิตการทำงานโดยไม่มีคนที่เรียกได้ว่าเพื่อนสนิทเลยแม้แต่คนเดียว

   ซากุระค่อนข้างคุ้นชินกับหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตที่แตกต่างจากผู้หญิงวัยเดียวกันคนอื่น ๆ อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งพ่อของเธอตัดสินใจเดินทางมาที่ฮ่องกงและฝากงานที่ญี่ปุ่นให้ญาติคนหนึ่งดูแลแทนชั่วคราว ตอนแรกเธอคิดว่าจะแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ดูเหมือนเธอจะไม่มีโอกาสได้กลับสู่ชีวิตเก่า ๆ อีกเมื่อพ่อของเธอตัดสินใจยกเธอให้เป็นคู่หมั้นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น

   มาเฟีย

   คำเรียกที่ถูกต้องกว่า

   ซากุระรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนักจึงเข้าหาจูเชว่เสียแต่แรกเพื่อปรับตัวให้ได้โดยเร็วและเรียนรู้ในสิ่งที่เธอควรจะรู้ในฐานะนายหญิงของบ้านตระกูลเซินในอนาคต

   การได้พบกับเซินหมิงเฟิ่งค่อนข้างนำพาความสบายใจมาให้ ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันไม่มีท่าทีของความหยิ่งยโสและการใช้อำนาจอย่างพร่ำเพรื่อ เขาค่อนข้างจะเป็นคนสุภาพและเป็นกันเองมากกว่าที่คิด และซากุระพึงพอใจที่ได้ชายคนนี้เป็นคู่ครอง แต่จะพึงพอใจมากกว่าหากได้คบหาในฐานะเพื่อนถึงแม้จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ก็ตาม เธอดีใจที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ปฏิเสธมิตรภาพที่เธอหยิบยื่นให้

   ถึงตอนนี้ เธอได้แต่หวังว่าเซินหมิงเฟิ่งจะไม่มีปัญหาอะไร การเงียบหายอย่างน่าแปลกใจทำให้รู้สึกใจไม่ดีอยู่เล็กน้อย แต่เพราะเป็นระยะเวลาที่ไม่ได้นานผิดปกติจนเกินไป เธอถึงพยายามที่จะไม่คิดมากจนกระทั่งคนของจูเชว่โทรมาหา

   “คุณมินาโมโตะ ผมมาจากคุณเซินครับ” ชายคนหนึ่งจอดรถที่หน้าบ้านและเดินมากดอินเตอร์โฟนที่หน้าประตู

   “ดูแลบ้านให้เรียบร้อย แล้วก็ถ้าพ่อกลับมาก่อนฉัน รบกวนเรียนท่านด้วยนะว่าฉันติดธุระกับคุณเซินอยู่” เธอกำชับคนรับใช้อีกครั้งก่อนจะเดินออกไปหาคนที่มารับ “รบกวนด้วยนะคะ”

   “เชิญที่รถเลยครับ” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำเรียบกริบผายมือให้หญิงสาวไปขึ้นรถซึ่งจอดไว้ที่ทางออกและติดฟิล์มมืดสนิท เธอเขม่นมองเข้าไปด้านในแต่มองไม่เห็น จึงมองไปรอบตัวก็ไม่มีรถคันอื่น

   “อ้อ เดี๋ยวก่อนนะคะ” ซากุระยิ้มบางแล้วมองชายหนุ่มที่มารับ “โดยปกติแล้วคนของจูเชว่จะมีสัญลักษณ์บนร่างกาย ฉันไม่ทราบว่า....”

   “ขออภัยด้วยครับ” ชายหนุ่มว่าแล้วแกะกระดุมแขนเสื้อก่อนถลกขึ้น ซากุระโล่งใจนิด ๆ เมื่อเห็นรอยสักรูปหงส์สีแดงซึ่งคุ้นตาดี เมื่อเธออยู่ในฐานะคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่เต็มตัว ความระวังตัวก็ต้องเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ระบบรักษาความปลอดภัยที่บ้านยังต้องเปลี่ยนใหม่หมด แต่เดิมคนที่มารับที่บ้านก็ไม่จำเป็นต้องแสดงสัญลักษณ์ ถึงอย่างนั้นเมื่อฐานะเปลี่ยนไป เธอก็ต้องปรับตัวตาม

   ซากุระเดินขึ้นนั่งบนรถแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายพาเธอไปยังจุดหมายปลายทาง

-------------------------->

   หวางซือออกมารอต้อนรับที่หน้าประตูของตัวบ้าน เมื่อรถขับวนเข้ามาจอด ซากุระก็เดินลงจากรถ

   “สวัสดีค่ะคุณหวาง” หญิงสาวเอ่ยทักทายชายชรา “ท่านจูเชว่เรียกหาฉันกะทันหัน มีธุระอะไรเร่งด่วนหรือคะ?”

   คำถามนั้นทำให้หวางซือแสดงสีหน้าลำบากใจออกมา เขาโค้งให้ญิงสาว

   “เรื่องนั้น ผมคงตอบให้ไม่ได้ครับ เชิญคุณมินาโมโตะเข้าไปข้างในดีกว่า นายท่านรออยู่นานแล้ว” หวางซือไม่ยอมตอบออกมาทำให้ซากุระค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเรื่องสำคัญและไม่ใช่เรื่องดี เธอเดินตามชายชราผู้เป็นพ่อบ้านใหญ่เข้าไปด้านใน พวกเขาเดินผ่านห้องโถงไปยังห้องรับแขกซึ่งเซินจงนั่งรออยู่

   “นายท่าน...”

   “ให้เข้ามา” หวางซือยังรายงานไม่จบคำ เซินจงก็เอ่ยคำอนุญาตทันที เพราะเขารู้ดีว่าคนที่ตนเองเรียกมาเป็นใครและไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นคนอื่น

   “สวัสดีค่ะคุณเซิน” ซากุระเดินเข้าไปในห้องก่อนที่หวางซือจะหับประตูปิด

   เซินจงผายมือไปยังโซฟาฝั่งตรงข้ามโดยไม่ได้ลุกขึ้นยืน หญิงสาวยิ้มให้กับกิริยานั้นก่อนจะเดินไปนั่งตรงจุดที่ถูกเชิญ ใบหน้าของเซินจงบ่งบอกความลำบากใจในหลาย ๆ อย่าง เขาไล้ปลายนิ้วบนริมฝีปากแสดงถึงท่าทางของการครุ่นคิดและยังตัดสินใจไม่ได้ บางที คงจะอยู่ในท่านี้มาตั้งแต่ก่อนเธอจะเดินทางมาถึงแล้ว หญิงสาวรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการเวลาจึงเพียงแค่นั่งเฉย ๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

   หวางซือสั่งให้คนนำขนมและน้ำชาเข้ามา มันถูกนำมาตั้งก่อนที่คนรับใช้จะออกไปอย่างรวดเร็ว

   ซากุระมองดูควันร้อนที่ลอยกรุ่นพร้อมกับการรอคอยคำพูดสักคำจากผู้ชายตรงหน้า

   “ความจริงแล้ว เรื่องในวันนี้เป็นเรื่องที่พูดยาก” ไม่นานนักหลังจากนั้น เซินจงก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน ทั้งที่วันงานเลี้ยงยังดูน่าเกรงขามถึงขนาดนั้น แต่ไม่กี่วันผ่านมากลับเหนื่อยล้าผิดหูผิดตา ซากุระรู้สึกว่าลางสังหรณ์ของเธออาจถูกต้อง มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเซินหมิงเฟิ่งอย่างแน่นอน

   “เรื่องที่พวกเราจะพูดคุยกันต่อไปนี้ ผมอยากให้คุณช่วยรับปากว่ามันจะไม่แพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาด”

   ซากุระเผลอกลั้นหายใจก่อนจะรับปาก

   “ค่ะ ฉันรับรอง”

   เซินจงพยักหน้าเนือย ๆ ก่อนยกชาอุ่นขึ้นจิบให้รู้สึกคล่องคอมากขึ้น

   “คุณคงรู้ว่าผมเป็นคนบังคับให้อาหมิงตอบรับการหมั้น คุณเป็นคนฉลาด คุณต้องดูออกแน่นอนอยู่แล้ว แต่ว่าอาหมิงไม่ได้รังเกียจคุณ เขาไม่ได้ขอให้ผมถอนหมั้น”

   “ค่ะ ฉันเข้าใจ” ซากุระกล่าวเพื่อให้เซินจงสบายใจว่าเธอไม่ได้กังขากับความสัมพันธ์และการตอบรับของทางเซินหมิงเฟิ่ง

   “ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะให้เขาติดต่อกับคุณ ทำความรู้จักคุณให้มากขึ้น แต่ว่า....” เซินจงหยุดพูดไปแล้ววนมือไปมาคล้ายกำลังพยายามคิดหาคำพูดที่เหมาะสม “....เขาหายตัวไป ไม่ใช่หายตัวไปด้วยความตั้งใจของตัวเองแต่ว่า....”

   “ลักพาตัวหรือคะ?” ซากุระมุ่นคิ้ว

   “...ใช่....”

   ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมห้องรับแขก ทั้งสองต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อไปในสถานการณ์เช่นนี้ ซากุระครุ่นคิดกับตนเองเงียบ ๆ ในใจเช่นเดียวกับเซินจง

   “พอจะทราบไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น?”

   เซินจงส่ายศีรษะ เขารู้ว่าจะไม่เป็นการดีหากพูดเรื่องคิมหันต์ออกไป แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่จะไม่แพร่งพรายออกไปอย่างเด็ดขาดก็ตาม มันเป็นเรื่องของการหยามเกียรติขั้นรุนแรงสำหรับเขา คนที่เลี้ยงดูมากับมือ ให้ทำงานใกล้ชิดและผลักดันให้ก้าวหน้า กลับเป็นสุนัขที่มีเจ้าของอยู่แล้ว

   “บางที เสวียนอู่ ไป๋หู่ หรือชิงหลง อาจจะมีใครสักคนที่มีส่วนในเรื่องนี้ก็ได้สินะคะ” การกล่าวชื่อผู้ต้องสงสัยของซากุระทำให้เซินจงเงยหน้าขึ้นมองว่าที่ลูกสะใภ้ตนเอง เขาไม่ได้ชี้นำให้อีกฝ่ายคิดเช่นนั้น แต่ราวกับว่าหญิงสาวคิดขึ้นมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนมาบอกให้เสียเวลา

   “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”

   “เพราะคุณลังเลที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คุณถึงได้เรียกฉันมาเพื่อปรึกษาไม่ใช่แค่อยากจะบอกข่าวร้ายให้ฉันทราบ และ...เพราะคุณไม่มีการเคลื่อนไหวในการส่งคนของคุณออกไปตามหา มันอาจเป็นเรื่องที่คุณออกหน้าทำด้วยตัวเองไม่ได้” ซากุระกล่าวสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา เธอไม่สงสัยเลยว่าหากเป็นคนอื่น ใครสักคนที่คิดจะลักพาตัวเซินหมิงเฟิ่ง คน ๆ นั้นจะถูกตรวจสอบหาอย่างรวดเร็วและถูกจัดการอย่างเงียบสนิทที่สุด จะต้องมีเหตุผลที่ทำให้เซินจงไม่สามารถจัดการเรื่องนี้เองได้ “คุณต้องการความช่วยเหลือจากฉัน”

   เซินจงไม่รู้ว่าตนเองควรจะรู้สึกอย่างไร ลูกสะใภ้ที่เขาเลือกมากับมือเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวกว่าที่คิดเอาไว้ เขาทอดสายตาอ่อนแสงมองหญิงสาวตรงหน้าแล้วส่ายศีรษะช้า ๆ

   “ก็ไม่เชิง” เขาว่า “ฉันต้องการปิดข่าวเพราะฉันรู้ว่าจะมีคนฉวยโอกาสในสถานการณ์แบบนี้ การปิดข่าวไว้เฉพาะวงในทำให้ข่าวลือเกิดน้อยลง”

   “ฉันอยากจะช่วยค่ะ”

   “อันตรายเกินไป” เซินจงว่าแล้วโบกมือ

   “แต่คุณเชิญฉันมาที่นี่ เพราะอยากให้ฉันช่วยไม่ใช่หรือคะ? ฉันคิดว่าฉันสามารถทำได้ในสิ่งที่คนของคุณทำไม่ได้ อีกอย่าง เซินหมิงเฟิ่งเป็นคู่หมั้นของฉัน ฉันไม่อยากเป็นแค่ผู้หญิงที่นั่งรอให้คนมาปกป้อง หรือทำได้แค่นั่งสั่งงานคนอื่นไปวัน ๆ” ซากุระกล่าวแล้วยิ้มออกมา “ฉันมีวิธีการของฉันเอง ไม่ต้องห่วงไปหรอกค่ะ”

   เซินจงผ่อนลมหายใจหนักหน่วง ทั้งที่เขาคาดเดาไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นไปแบบนี้ และเขาจงใจให้เป็นไปแบบนี้ แต่ว่าเขากลับรู้สึกลังเลและหนักใจเมื่อซากุระกลับเสนอตัวเองก่อนที่เขาจะร้องขอ

   “ผมขอคำสัญญาข้อหนึ่งได้ไหม?”

   “คะ?”

   “อย่าพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับสถานการณ์อันตราย ที่...มีอาวุธและความรุนแรง อย่าเข้าไปยุ่งกับพวกระดับล่าง คนพวกนั้นไม่เข้าใจธรรมเนียมของเราและทำได้ทุกอย่างเพื่อความพึงพอใจ พยายามอยู่ให้ใกล้ชิดกับกลุ่มหัวหน้าและสืบหาจากที่นั่น” เซินจงกำชับที่คล้ายกับเป็นกฎเกณฑ์บังคับสำหรับซากุระซึ่งเป็นหญิงสาว การที่ผู้หญิงลงมือทำบางสิ่งบางอย่างด้วยตัวเองจะเกิดปัญหาหลายประการ และไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่เรียนรู้จักการให้เกียรติผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกคนที่ทำงานในตำแหน่งล่าง ๆ

   “ฉันสัญญาค่ะ” ซากุระเข้าใจความหมายของเซินจง เธอตอบรับอย่างง่ายดายและตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว พวกมาเฟียระดับล่างล้วนแต่ยากจะเชื่อใจ ถึงแม้เธอจะมีดีกรีว่าเป็นคู่หมั้นของวาที่จูเชว่ ก็ใช่ว่าจะทำให้ความเป็นผู้หญิงในตัวเธอลดน้อยถอยลงไป

   “ผมจะให้คนไปส่งที่บ้าน”

   “ขอบคุณค่ะ แล้วพบกันใหม่นะคะคุณเซิน” ซากุระเดินไปขึ้นรถที่ถูกนำมาจอดรอที่หน้าบ้าน เซินจงมองส่งจนกระทั่งลับสายตาไปแล้วจึงเดินโขยกเขยกเข้าบ้านด้วยการพยุงของหวางซาน ส่วนหวางซือเดินเลียบอยู่ใกล้ชิดไม่ยอมห่าง

   “เธอยอมร่วมกับเราแล้ว” เซินจงกล่าว แต่ทั้งที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน เขากลับไม่ได้รู้สึกสบายใจเลย...

------------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 07-12-2011 14:29:13
   ซากุระเอ่ยขอบคุณคนขับรถที่มาส่งก่อนจะเดินเข้าบ้าน เธอใช้เวลาไปไม่มากนักในการเดินทางและสนทนา ทำให้เวลานี้ยังเป็นเวลาเพียงบ่ายแก่ ๆ และพ่อของเธอยังไม่น่าจะกลับมาบ้าน คนรับใช้ในบ้านค่อนข้างแปลกใจเมื่อเห็นว่าเธอกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้

   “ไม่ได้พบคุณเซินหมิงเฟิ่งหรือคะ?” คนรับใช้เก่าแก่ในบ้านเอ่ยถามเมื่อเห็นหน้าคุณหนูของตัวเอง การที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายแยกกันกลับเร็วเช่นนี้ในการพบหน้ากันครั้งแรก ๆ ไม่ใช่สัญญาณที่ดีของความสัมพันธ์เลย

   “ฉันไม่ได้ไปพบคุณเซินหมิงเฟิ่งหรอก ฉันไปพบคุณเซินจงต่างหาก” หญิงสาวช่วยไขข้อข้องใจให้อีกฝ่ายแล้วเดินขึ้นไปบนห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว และจะล้างเครื่องสำอางออกด้วย

   “เอ๋? ทางนั้นมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ?”

   “ไม่มีหรอก แค่เรียกไปคุยตามปกติ ฉันจะอาบน้ำเสียหน่อย ช่วยลงไปเตรียมของหวานให้ฉันทีได้ไหม?” เมื่อเห็นว่าคนรับใช้ของตนเองเอาแต่ตั้งคำถามไม่ลดละ ซากุระจึงบอกปัดไปแล้วขอให้อีกฝ่ายไปทำหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบหมายแทน แม้ว่าในที่สุดคนรับใช้ที่ดูแลเธอเสมือนแม่จะยินยอมละวางความสงสัยและไปทำตามคำสั่งแต่โดยดี ซากุระก็ยังเกรงว่าเรื่องนี้หากถึงหูพ่อเธอคงไม่ดีเป็นแน่

   “เดี๋ยวก่อน คุณมิเอะ ช่วยเก็บเรื่องนี้อย่าบอกคุณพ่อด้วยนะ” เธอรีบกำชับ

   “เฮ้อ...ก็ได้ค่ะ” ตอนแรกเธอคิดจะไม่ตอบรับ แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของคุณหนูของเธอ มิเอะก็จำต้องรับปากอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนในบ้านนี้ต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าความสัมพันธ์ของคุณมินาโมโตะและลูกสาวไม่ค่อยเป็นไปในทางที่ดีนัก เหมือนกับกำลังเล่นบทพ่อลูกกันอยู่เท่านั้น หญิงรับใช้ที่ทำงานให้บ้านนี้มาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ก็ยังไม่อาจเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ห่าง ๆ

   เมื่อเห็นคนรับใช้เดินจากไป ซากุระจึงกลับเข้าห้อง อาบน้ำแต่งตัวใหม่ให้สบายตัวขึ้นแล้วจึงลงมาข้างล่าง ซึ่งมิเอะจัดเตรียมขนม นม เนย ไว้พรักพร้อมแล้ว

   “คุณมิเอะลองทำขนมเองหรือคะ?” ซากุระเห็นขนมที่วางบนโต๊ะก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่ามันเป็นขนมญี่ปุ่นไม่ใช่ขนมคนจีนอย่างที่กินเป็นประจำตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

   “ใช่แล้วค่ะ ฉันลองออกไปหาวัตถุดิบดู กินขนมแข็ง ๆ ฝืดคอพวกนั้นทุกวันก็คิดถึงขนมหวานอร่อยของที่บ้านขึ้นมา ฉันก็เลยไปค้นตำราออกมาน่ะค่ะ แต่ว่าอาจจะรสชาติไม่เหมือนกับที่ญี่ปุ่นเพราะวัตถุดิบบางอย่างฉันก็หาไม่ได้” มิเอะอธิบายไปก็จัดการจัดขนมเลื่อนไปตรงหน้าหญิงสาว “แล้วก็ชาเขียวฉันเตรียมมาเยอะก็เลยยังมีเหลืออยู่ ทานกับขนมญี่ปุ่นแบบนี้ถึงจะเข้ากันนะคะ”

   “คุณมิเอะนี่ก็ชาตินิยมเอาเรื่องเหมือนกันนะคะ” ซากุระหยอกเย้า

   “คุณหนูนี่ ฉันไม่ได้ชาตินิยมเสียหน่อย แต่ของที่เคย ๆ กันอยู่มันก็ต้องคิดถึงบ้างสิคะ” มิเอะยิ้มรับคำหยอกของคุณหนู

   “ถ้าฉันแต่งงานไปคงต้องแย่งตัวคุณมิเอะจากคุณพ่อเสียแล้วสิ”

   “โถ คุณหนู ถ้าคุณหนูแต่งงานไป ฉันก็ต้องตามคุณหนูไปอยู่ด้วยสิคะ” ซากุระยิ้มให้เมื่อมิเอะว่าเช่นนั้น แต่เธอไม่คิดว่าบ้านตระกูลเซินจะยินยอมให้คนรับใช้ของเธอไปอยู่ด้วย พวกเขาทำธุรกิจที่คนนอกไม่ควรรู้ และในบ้านหลังนั้นก็เต็มไปด้วยความลับมากมายซึ่งไม่ควรมีใครเข้าไปแตะต้องโดยไม่จำเป็น

   “คิดถึงรสหวานนุ่มแบบนี้จริง ๆ ด้วยนะคะ” ซากุระเปลี่ยนเรื่อง ถึงแม้กลิ่นรสจะเพี้ยนไปจากที่เธอจำได้ แต่การกินขนมที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศตัวเองด้วยวัตถุดิบจากประเทศอื่นก็คงคาดหวังให้รสเหมือนต้นกำเนิดไม่ได้ “ความจริงแล้วที่นี่มีห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้านำเข้าจากหลายประเทศ ฉันจะลองส่งคนไปหาของดูดีไหม?”

   “ไม่ต้องลำบากถึงขนาดนั้นก็ได้มั้งคะ” มิเอะว่าแล้วหัวเราะเบา ๆ “ไว้ว่าง ๆ ฉันลองไปดูเองดีกว่าค่ะ”
   ซากุระยิ้มบาง แม้ว่าภายนอกแล้วดูเหมือนเธอจะไม่ได้คิดอะไรและเป็นปกติ กระนั้นภายในใจของเธอกลับกำลังคิดเรื่องมากมายอยู่ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอ จะสามารถทำอะไรได้บ้างนะ? ถึงแม้จะรับปากกับจูเชว่ไปแล้ว แต่เธอก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนี่ไม่ใช่เพียงแค่การเจรจางานกับคู่ธุรกิจแบบที่เธอถนัด แต่เป็นการก้าวขาสู่โลกของมาเฟียด้วยฐานะที่ยังไม่เต็มตัว

-------------------------------->

   “เซินหมิงเฟิ่งเป็นยังไงบ้าง?” นั่นคือคำถามแรกที่ชิงหลงเอ่ยกับคิมหันต์เมื่อเขามาถึงห้องสูทที่เขาซื้อเอาไว้และดัดแปลงห้องหนึ่งเพื่อใช้งานเฉพาะอย่าง

   “คุณเซินพยายามถามเสมอว่าคุณคิดจะทำยังไงกับเขาครับ” คิมหันต์รายงานตามความจริง วันที่ผ่านมา เท่าที่เขาจำได้เมื่อนำอาหารหรือของจำเป็นเข้าไปให้ เซินหมิงเฟิ่งมักจะหาทางตะล่อมถามเขาอยู่เสมอถึงสถานการณ์ด้านนอก เขาเองก็พอเข้าใจอีกฝ่ายที่ถูกกักขังไว้เหมือนนักโทษ แม้แต่หน้าต่างก็ถูกปิดไว้สนิทจนมองไม่เห็นอะไร คนเดียวที่เซินหมิงเฟิ่งสนทนาด้วยมีเพียงเขา และเขาเป็นคนเดียวที่เป็นสื่อกลางระหว่างเซินหมิงเฟิ่งกับโลกภายนอกที่เจ้าตัวไม่สามารถติดต่อด้วยได้

   “แต่ไม่ได้อาละวาด?” ชิงหลงเลิกคิ้ว เขาคิดว่าเซินหมิงเฟิ่งจะมีความอดทนน้อยกว่านี้และคงจะอาละวาดไปแล้ว แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้รับรายงานความประพฤติที่ก่อความวุ่นวายของเซินหมิงเฟิ่งแม้แต่สายเดียว
   “ไม่มีการอาวะลาดเลยครับ แล้วยัง....”

   “ยัง?”

   คิมหันต์ถอนหายใจเฮือก

   “เหมือนคิดอะไรคนเดียวบ่อย ๆ ผมอ่านไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่”

   ชิงหลงพยักหน้ารับ คิมหันต์ไม่ใช่คนประเภทที่จะอ่านใจคนได้ เจ้าตัวถูกฝึกมาให้ทำภารกิจให้สำเร็จไม่ได้ฝึกมาให้คิดเรื่องซับซ้อน คิมหันต์อาจแสดงละครเก่งซึ่งเจ้าตัวแสดงให้เห็นแล้วจากการอาศัยอยู่บ้านตระกูลเซินถึงสิบกว่าปี แต่ก็อ่านบทละครของคนอื่นไม่ขาด

   “วันนี้ผมมาชั่วคราว เดี๋ยวต้องออกไปสะสางงานที่เหลือ” ชิงหลงบอกแล้วกวักมือเรียกการ์ดอีกคนเข้ามา “แต่ผมมีงานให้คุณทำคิมหันต์ เขาจะช่วยคุณจัดการให้เรียบร้อย”

   “ครับ...ผมเข้าใจแล้ว” คิมหันต์รับรู้หน้าที่อย่างรวดเร็ว ชิงหลงนึกชื่นชมตระกูลเซินในใจที่สั่งสอนอีกฝ่ายมาได้ดี

   “จัดการให้เรียบร้อย ผมหวังว่าเมื่อคุณกลับมา ผมจะได้เห็นในสิ่งที่ถูกที่ควร” ชิงหลงตบลงบนบ่าคิมหันต์หนัก ๆ 2 ครั้ง การสัมผัสตัวเช่นนี้จากผู้เป็นนายซึ่งอยู่ในตำแหน่งสูงเกินเอื้อมเป็นการให้กำลังใจและการฝากฝังภาระที่ทำให้ฮึกเหิมไปพร้อม ๆ กับความหนักอึ้งบนบ่า แม้ว่าคำสั่งในครั้งนี้ของชิงหลงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ กระนั้นมันก็มีผลกับตัวเขานับแต่นี้ไปจนวันตาย

   ชิงหลงโบกมือให้ทั้งสองคนออกไป เสร็จแล้วจึงเดินไปทางห้องของเซินหมิงเฟิ่ง

   “ฉันจะเข้าไปข้างในคนเดียว ไม่ต้องให้ใครตามเข้ามา” ชายหนุ่มว่าก่อนจะเปิดประตูเข้าไป

   “ทำไมพวกคุณถึงไม่หัดเคาะประตูเหมือนที่คนของคุณทำบ้าง” เซินหมิงเฟิ่งต่อว่าทั้งที่คาบแปรงสีฟันไว้ในปาก อย่างน้อยอีกฝ่ายควรให้เวลาเขาแปรงฟันให้เสร็จก่อนจะบุกรุกเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่ใช่ที่ของเขาก็ตาม

   “เพราะที่นี่เป็นห้องของผม ไปบ้วนปากให้เรียบร้อยก็ได้ ผมจะรอ” ชิงหลงว่าก่อนจะเดินไปนั่งที่เตียงแล้วหยิบหนังสือบางเล่มขึ้นมาเปิดผ่าน ๆ ทุกเล่มเป็นหนังสือของเขาและเขาเคยอ่านมาหมดแล้ว แทบจะจำเนื้อหาทั้งหมดได้เสียด้วยซ้ำ

   “ดูเหมือนว่าคุณมีอะไรจะคุยกับผมนะ หลังจากที่คุณทิ้งผมไว้ที่นี่แล้วก็หายหน้าไปหลายวัน” เซินหมิงเฟิ่งล้างปากอย่างรวดเร็วแล้วออกมาเผชิญหน้ากับคนที่เป็นผู้ร้ายลักพาตัว

   ชิงหลงวางหนังสือในมือลงบนกองแล้วประสานมือบนตักแบบที่ชอบทำเสมอเวลาที่กำลังจะพูดเรื่องสำคัญ

   “ผมได้ยินมาว่าคุณเพิ่งกลับมาจากอังกฤษ”

   “ใช่ ในรอบ 8 ปีที่ผมไม่ได้เหยียบเกาะฮ่องกงเลย” เซินหมิงเฟิ่งพ่นลมหายใจออกมาแล้วเดินไปที่หน้าต่าง “เรื่องของผม มันคงไม่ได้สำคัญเท่ากับผลประโยชน์ของคุณ ผมได้ใช้เวลาอยู่ที่บ้านแค่อาทิตย์เดียว เจอหน้าคู่หมั้นหนึ่งคืน และโชคดีก็วิ่งมาหา ได้รู้ว่าคนในบ้านตัวเองเป็นคนทรยศ และได้รู้จักชิงหลงแบบใกล้ชิด” ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะประชดประชันเมื่อเขารู้สึกเก็บกดมาสามวัน นั่นยังไม่รวมเวลาที่เขาหลับไปหลังจากถูกลักพาตัว

   “ผลประโยชน์ของผม? คุณรู้หรือว่าผมต้องการอะไร” ชิงหลงจงใจลองถาม แม้ใจเขาจะรู้ดีว่าเซินหมิงเฟิ่งไม่มีทางรู้ความจริง

   “ไม่รู้สินะ บางทีคุณอาจจะอยากตกลงบางอย่าง เช่น...แบ่งปันผลประโยชน์กับจูเชว่”

   คำพูดของเซินหมิงเฟิ่งทำให้ชิงหลงนึกขัน อีกฝ่ายรู้จักการใช้คำพูดแบบของพวกเขานั่นแสดงว่าผู้ชายคนนี้ไม่เคยลืมฐานะของตัวเองตลอดเวลาที่ไปอยู่อังกฤษ หรือไม่ เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่กลับมาก็ทำให้อีกฝ่ายสำนึกรู้ถึงจุดที่ตัวเองยืนอยู่ได้

   “ผมต้องการอะไรจากจูเชว่?”

   “เรื่องนั้นผมจะไปรู้ได้ยังไงกัน” เซินหมิงเฟิ่งไหวไหล่ “อำนาจการดูแลล่ะมั้ง?”

   “ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ คุณคาดเดาไว้แค่นี้เองหรือ?” ชิงหลงเลิกคิ้วคล้ายจะท้าทายอีกฝ่าย

   “ผมไม่คิดว่าคุณอยากจะให้ผมรู้อะไรนักหรอกนะ ไม่อย่างนั้นคุณน่าจะบอกผมแต่แรกแล้ว คุณบอกผมแค่ว่าคุณต้องการทวงถามสิ่งแลกเปลี่ยน บางทีอาจจะเป็นอะไรบางอย่างที่แลกกับตัวผมได้ล่ะมั้ง? อะไรที่มีค่าเทียบเท่ากับทายาทของจูเชว่อีก? คงมีค่าเทียบเท่ากับลูกของคุณ”

   “ผมยังไม่มีลูก” ชิงหลงว่าแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่งจากในกอง

   “งั้นผมก็เดาไม่ออกแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งกลอกตารอบหนึ่ง ความจริงเขาคาดเดาอะไรไว้มากมายแต่เขารู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องตอบอีกฝ่ายในตอนนี้ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหาจุดเชื่อมโยงกับการคาดเดาทั้งหมดไม่ได้ อุปสรรคแรกนั่นคือ ทุกครั้งที่เขาคิดขึ้นมาจะต้องมีสิ่งที่คัดค้านได้ทุกครั้ง การที่เขาจากที่นี่ไปนานและแม่ของเขาก็ไม่อยากให้เขาเอาเรื่องมาเฟียเข้าไปในบ้าน ทำให้เขาแทบไม่รู้เรื่องของทางนี้เลย พูดง่าย ๆ คือ เขารู้แค่เรื่องพื้นฐาน แต่เรื่องลึก ๆ เกี่ยวกับผู้นำแต่ละคนไม่ได้อยู่ในสมองเขาแลยแม้แต่คนเดียว

   หากว่าเขาอยู่ที่บ้าน แค่ยกหูโทรศัพท์ ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว

   หรือไม่ก็ให้หวางซือจัดการ

   เส้นสายของจูเชว่สามารถทำได้เกือบทุกอย่างที่มนุษย์ทำได้ ปัญหาก็คือ ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้อำนาจของจูเชว่ได้ และเขาไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดจะคิดได้ด้วยตัวคนเดียวเหมือนพ่อ

   ทำไมเขาถึงไม่สืบหาข้อมูลของคนอื่น ๆ มากกว่านี้นะ

   ก็แน่ล่ะ เขามองไม่เห็นอนาคต ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนทอดสายตามองไปยังชิงหลงซึ่งเปิดหนังสือในมือท่าทางสนอกสนใจ หรือไม่ อีกฝ่ายก็กำลังมองหาอะไรบางอย่าง ความจริงเขาคิดว่าชิงหลงจะมีบางอย่างจะคุยกับเขา แต่บางที อีกฝ่ายคงแค่อยากจะเข้ามาหาหนังสืออ่าน

   “ถ้าคุณเจอเล่มที่ต้องการแล้วก็เอาไปเลยแล้วกัน ผมอ่านเกือบหมดแล้ว”

   “เกือบหมดแปลว่ายังไม่หมด” ชิงหลงว่าทั้งที่ยังพลิกเปิดหนังสือในมือ

   “บางทีรสนิยมของผมกับคุณคงต่างกัน คุณอ่านแต่....” เซินหมิงเฟิ่งทำมือผายไปยังกองหนังสือแล้วตีหน้าหลากอารมณ์ “เอาเป็นว่ามันไม่ใช่อะไรที่ผมชอบอ่าน”

   “เสียใจด้วยนะ” ชิงหลงพูดเสียงเรียบตามมารยาท ไม่ได้บ่งบอกว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ เลยสักนิดเดียว ความจริงแล้วชิงหลงอาจจะกำลังคิดว่าตัวเองมีน้ำใจมากพอแล้วที่เอาของส่วนตัวมาแบ่งปันให้ตัวประกันกิตติมศักดิ์อย่างเขาร่วมใช้ด้วย เซินหมิงเฟิ่งได้แต่กลอกตาไปมาเพราะไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อ ที่แน่ ๆ คงไม่ใช่รสนิยมด้านการอ่านของเขา

   “คุณเซิน”

   “ครับ?” แต่แล้วฝ่ายนั้นกลับเป็นผู้ต่อบทสนทนาที่ขาดหายไปเสียเอง

   “คุณเคยไปอิตาลีไหม?”

   “ยัง ผมอยู่ที่อังกฤษตลอด 8 ปี นอกนั้นก็ที่ฮ่องกง คุณถามผมทำไม?” เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกแปลกใจที่อยู่ ๆ ชิงหลงก็พูดถึงอิตาลีขึ้นมา ชื่อประเทศนั้นไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นธุระระหว่างพวกเขาทั้งสองคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับเขาและจูเชว่ซึ่งไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องกับอิตาลีเลยแม้แต่ธุรกิจที่ทำอยู่

   “เวเนเซีย” ชิงหลงว่าแล้วยกหนังสือในมือขึ้น หน้าที่เปิดอยู่เป็นเมืองเวนิสในอิตาลี

   “ถ้าคุณอยากจะไปเที่ยว คุณไม่ต้องบอกผมก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งรีบโบกไม้โบกมือ เขาไม่ได้อยากจะรู้กำหนดการณ์ของอีกฝ่ายสักนิด หากว่านั่นหมายถึงการที่เขาต้องแกร่วอยู่ที่นี่ไปอีกสักหลายอาทิตย์

   “ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้จะปล่อยคุณไว้ที่นี่หรอก” คำพูดของชิงหลงทำให้เซินหมิงเฟิ่งหมุ่นคิ้ว อีกฝ่ายคงไม่ได้หมายความว่า....

   เซินหมิงเฟิ่งชิงหัวเราะออกมาก่อนอีกฝ่ายจะพูดต่อ

   “ผมไม่ยอมไปไหนกับคุณหรอกนะ”

   “แต่ผมมีวิธี ถ้าคุณไม่ยอมไปดี ๆ ผมก็ทำให้คุณไปจนได้” ชิงหลงพูดด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่ได้ทำสีหน้าลำบากใจแม้แต่น้อย ขนคิ้วสักเส้นก็ไม่กระดิก นั่นหมายความว่า อีกฝ่ายวางแผนเอาไว้หมดแล้ว และหากเขาขัดขืนอีกฝ่ายก็มีแผนสำรองมากมายในหัว

   เซินหมิงเฟิ่งกลั้นหายใจ....

   “เตรียมตัวไว้ให้ดีด้วย” ชิงหลงไม่สนใจปฏิกิริยาตอบกลับของอีกฝ่าย เขาวางหนังสือลงทีเดิมแล้วเดินไปที่ประตู “อ้อ หนังสือพวกนั้น คุณน่าจะลองอ่านดู เผื่อว่าคุณจะหาช่องทางหนีผมได้ในเวเนเซีย”

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-12-2011 14:59:55
อั๊ยยะ
ชิงหลงจะทำอะไรนะ พาคุณเซินไปอิตาลีแบบนี้
คิดอะไรกับเค้ารึเปล่าตัวเอง 555
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 07-12-2011 20:58:56
เรื่องนี้ทั้งลึก ทั้งลับจริง ๆ ผ่านไป 5 ตอนแล้ว ยังไม่มีความลับอะไรเปิดเผยมาเลย  :undecided:

ชิงหลงเอาอาหมิงมาขังแบบไม่รู้จุดประสงค์ซะหลายวัน อยู่ ๆ ก็จะพาหนีไปไกลถึงอิตาลี
แล้วแบบนี้ คุณหนูซากุระจะตามคู่หมั้นตัวเองเจอได้อย่างไง ?
 
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: MaeMoo ที่ 07-12-2011 22:44:34
เห็นชื่อเซียร์ รีบตามมาทันที
ไม่ผิดหวัง เหมือนได้เจออาเฟยอีกหน
รออ่านต่อนะคะ

 :L1:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 08-12-2011 02:33:31
ลึกลับเสียจนงงไปหมดแล้ว ต้องรอลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Jacknight ที่ 16-12-2011 01:46:48
เผยควาามลับหน่อยเหอะค้าบ สักนิดก็ยังดี

ตอนนี้คนอ่านเริ่มจะมืดแปดด้านแล้ววว

รออ่านตอนต่อไปนะคับ  มาต่อเร็วๆเน้อออ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 16-12-2011 13:58:43
กลับมาอีกครั้งกับนิยายลึกลับซ่อนเงื่อน~ จำเรื่องก่อนไม่ค่อยได้แล้วอ่ะ  ใครเป็นใครกันนะ.....
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Pizeiro ที่ 16-12-2011 14:06:57
เห็นชื่อเรื่องแล้วรีบคลิกเข้ามาอ่าน !@!

แนวจีนๆแบบนี้ชอบอ่านมาก ^^

เนื้อเรื่องซับซ้อน เดาไม่ออกเลยว่าใครจะคู่กับใคร O^o
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Whatever it is ที่ 16-12-2011 23:44:29
ชิงหลงเป็นพระเอกปะคะ เหอะๆ ถ้าใช่ ขอบอกว่าเป็นพระเอกที่กวนส้น... มากๆค่ะ 5555 อยากตื้บสักที
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Lilyrum ที่ 18-12-2011 14:58:03
เนื้อเรื่องซับซ้อนมากกก
แต่ก็ยังขอติดตาม ^^

มาอัพเร็วๆนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 18-12-2011 16:27:56
อ่านเอาเป็นเอาตายต่อไป ประเด็นมันอยู่ที่ไหน ทำไมต้องจับตัวมาด้วยล่ะ อยากรู้ๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 5 (7/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: LadyOneStar ที่ 18-12-2011 21:05:16
กำลังหนุกอยุเลย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-12-2011 17:46:04
-6-


เสียงเคาะประตูดังขึ้นในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังนั่งทอดหุ่ยอยู่คนเดียว เขากลอกตาแล้วบอกให้อีกฝ่ายเข้ามาได้ คิมหันต์จึงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง

“คุณหายไปไหนมาตั้งหลายวัน?” นั่นเป็นคำถามแรกที่เซินหมิงเฟิ่งถามเมื่อเห็นหน้าคนที่เขาไม่ได้เจอมา 2-3 วัน ทั้งที่ผู้ชายคนนี้ได้รับคำสั่งมาให้ดูแลเขา ช่วงที่หายไป มีคนอื่นเข้ามาทำหน้าที่แทนซึ่งคนเหล่านั้นต่างก็ทำหน้าเคร่งขรึมเหมือนสตาฟเอาไว้ และไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่คำเดียว แค่เอาอาหารเข้ามาแล้วก็เก็บออกไปวันละสามเวลา มันทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกกดดันเหมือนอยู่ในคุกที่มีผู้คุมเข้มงวดมากกว่าเดิม

“ผมได้รับคำสั่งให้ไปทำงานน่ะครับ” คิมหันต์ว่าแล้วเอากระเป๋ามาวางบนเตียง “นี่สำหรับคุณ”

“เขาจะเอาผมไปอิตาลีจริง ๆ” เซินหมิงเฟิ่งเม้มปากขณะมองกระเป๋าใบนั้น

“ผมจะช่วยเก็บของนะครับ” ชายหนุ่มบอดี้การ์ดเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบของในนั้นออกมาวางเรียง “กำหนดเดินทางคือมะรืนนี้ ชิงหลงเป็นคนตรงต่อเวลามาก เขาคงไม่พอใจถ้าเราเตรียมตัวไม่ทัน”

เซินหมิงเฟิ่งมองไปยังคิมหันต์ เขารู้สึกแปลกกับอีกฝ่าย เหมือนกับว่ามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกเป็นกังวลและไม่คุ้นเคย

“เขาส่งคุณไปทำงานอะไร?”

“ขอโทษด้วยครับ” คิมหันต์ตอบเพียงสั้น ๆ ซึ่งเขารู้ว่าคำตอบเพียงแค่นี้เซินหมิงเฟิ่งก็เข้าใจความหมาย ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งกลับรู้สึกได้ถึงอาการลุกลี้ลุกลนในดวงตาของคิมหันต์ คนเราจะรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่กันนะ? เหมือนกับคนที่รู้สึกว่ามีบางอย่างใกล้ตัวเปลี่ยนแปลงไปและพยายามทำใจให้คุ้นชินกับมัน

ชายหนุ่มหรี่ตาลง มองอากัปกิริยาของฝ่ายตรงข้าม คนเรายิ่งถูกจับจ้องก็จะยิ่งแสดงพิรุธมากขึ้น

“เปิดเสื้อออกหน่อยได้ไหม?”

ทันทีที่เซินหมิงเฟิ่งสั่งเช่นนั้น คิมหันต์ก็สะดุ้งเล็กน้อยแต่ก็มากพอจะสังเกตเห็นได้ แต่ชายหนุ่มผู้เป็นบอดี้การ์ดก็รู้ว่าตนเองไม่มีสิทธิเสียงที่จะปฏิเสธ และถึงไม่เปิดเผยในวันนี้ วันอื่น ๆ ที่เขาต้องพะว้าพะวงว่าอีกฝ่ายจะรู้เมื่อไหร่ก็คงไม่จบสิ้น

คิมหันต์ยืดตัวตรง และค่อย ๆ เปิดเสื้อตนเองออก เริ่มจากเสื้อนอกและเสื้อเชิ้ต ทำให้เซินหมิงเฟิ่งได้เห็นสิ่งที่แปลกตา

รอยสักที่อยู่บนอก ที่เคยเป็นรูปหงส์สีแดงเพลิง บัดนี้กลับเปลี่ยนเป็นลายมังกรสีเขียวเข้ม

เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจเข้าลึก

“ออกไป”

“คุณเซิน ของพวกนี้....”

“ออกไป เดี๋ยวผมจัดการเอง” เสียงของเซินหมิงเฟิ่งนิ่งสนิท และราบเรียบเสียจนน่าหวั่นใจ คิมหันต์จำใจต้องเดินออกไปตามคำสั่งแม้อีกฝ่ายจะไม่ใช่นายของเขาอีกแล้ว

เซินหมิงเฟิ่งล้มนอนบนเตียง รู้สึกล้าและว้าเหว่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

การถูกกักขังทำให้เขาไร้อิสรภาพ แต่อย่างน้อยคิมหันต์ก็เป็นคนหนึ่งที่เขารู้จักดีและสามารถพูดคุยด้วยได้แม้ว่าจะรู้แก่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นคนของชิงหลงและเลือกที่จะทรยศจูเชว่ก็ตาม แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถคิดแบบนั้นได้อีกต่อไป ชิงหลงได้พรากความเป็นจูเชว่ที่เหลืออยู่เพียงหนึ่งเดียวของคิมหันต์ไปแล้ว และทำให้กลายเป็นคนของชิงหลงอย่างเต็มตัว สัญลักษณ์มังกรบนอกนั้นตอกย้ำให้เซินหมิงเฟิ่งรับรู้สถานะของตนเอง ว่าในตอนนี้ตัวเขาไม่มีอะไรสามารถปกป้องคุ้มครองได้อีกต่อไปนอกจากตัวเองเท่านั้น

ความอ้างว้างถาโถมเข้าใส่อย่างรวดเร็ว เซินหมิงเฟิ่งรีบลุกจากเตียงทันที เพราะรู้ว่าการอยู่เฉย ๆ จะยิ่งทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นชัดเจนมากขึ้น

เขามองไปยังเสื้อผ้าที่กระจัดกระจาย บางส่วนถูกวางลงไปในกระเป๋าแล้ว

เวนิส...

ชายหนุ่มเม้มปาก

ที่นั่นเขาเลวร้ายยิ่งกว่าเพราะเป็นอาณาเขตของคนอื่นโดยสิ้นเชิง เขาจะเอาตัวรอดได้ยังไง? จะออกไปจากสถานะแบบนี้ได้ยังไง?

เขาจะต้องอยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน...

---------------------->

“คุณหนู โทรศัพท์ค่ะ” มิเอะถือโทรศัพท์วิ่งเข้ามาหาซากุระและพูดด้วยเสียงที่เบาที่สุด ท่าทางของฝ่ายนั้นดูเร่งร้อนและระมัดระวัง ทำให้ซากุระเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเรื่องใด เธอรับโทรศัพท์มาแนบหู

“ฉันจะออกไปพบคุณในอีก 10 นาที” หลังจากพูดเพียงประโยคสั้น ๆ ซากุระก็ส่งโทรศัพท์คืนแก่แม่บ้านแล้วลุกขึ้น “ไม่ต้องเตรียมรถนะคะ ฉันจะออกไปคนเดียว”

“แต่ว่า....”

“ถ้าเตรียมรถ พ่อจะต้องรู้แน่ ๆ ฉันไม่อยากให้เรื่องบานปลาย ฝากดูแลด้วยนะคะ” หญิงสาวว่าแล้วก็รีบขึ้นไปแต่งตัวก่อนจะออกไปใช้บริการแท็กซี่ ในเวลาเพียงไม่นาน เธอก็เดินทางมาถึงร้านคอฟฟี่ชอปเล็ก ๆ ที่ตั้งริมทาง มีลูกค้านั่งอยู่หน้าร้านประปราย เป็นเด็กสาวเสียส่วนมาก หรือไม่ก็เป็นเด็กสาวเด็กหนุ่มกำลังนั่งกระหนุงกระหนิงกัน เพราะคอฟฟี่ชอปแห่งนี้เป็นร้านที่ตั้งเอาใจวัยรุ่นในย่านนี้ ซึ่งจะไม่มีใครให้ความสนใจใคร ทุกคนจะคุยกันอยู่เฉพาะในวงสนทนาของตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกเป็นส่วนตัวแม้จะอยู่ในที่ชุมชน

เมื่อเธอเดินเข้าไปในร้าน ก็สามารถสังเกตเห็นผู้ชายคนหนึ่งได้ทันที คนที่แตกต่างจากลูกค้าทั่วไปในร้าน แต่ไม่ได้ดูแปลกตาจนผิดสังเกต

หญิงสาวเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงตรงหน้า

“มิลค์เชคค่ะ” ซากุระออร์เดอร์กับพนักงานที่เดินเข้ามา แล้วจึงหันไปหาชายหนุ่ม “ขอบคุณที่มานะคะ”

“ผมยินดีอยู่แล้วครับ นี่ของคุณ” ชายหนุ่มยื่นซองเอกสารให้ซากุระก่อนจะหันกลับไปจิบกาแฟร้อนในแก้วของตัวเอง รอให้ซากุระเปิดของข้างในออกดู หญิงสาวไม่รอช้า ค่อย ๆ เปิดซองนั้นออกและได้เห็นรูปภาพไม่กี่ใบในซอง โดยปกติแล้ว จำนวนรูปภาพแค่นี้คงไม่เพียงพอต่อความต้องการ แต่เมื่อมองภาพดี ๆ ก็พบว่าเป็นภาพที่หาได้ยากและเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างยิ่ง

ซากุระพิจารณารูปภาพเหล่านั้นอยู่นานอย่างชั่งใจ

พนักงานนำมิลค์เชคมาเสิร์ฟ ทำให้ซากุระรีบหย่อนรูปภาพกลับเข้าไปอย่างแนบเนียน รอจนกระทั่งพนักงานเดินจากไปจึงหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง

“แปลกนะคะที่คุณได้ภาพดีถึงขนาดนี้แต่กลับไม่เอาไปขายหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์”

“ผมก็มีจรรยาบรรณอยู่นะคุณหนูมินาโมโตะ” ชายหนุ่มหัวเราะ เขาทำอาชีพนักสืบอิสระมาตั้งแต่อายุยังน้อย ย่อมรู้ดีกว่าอะไรสมควรหรือไม่ การซื่อสัตย์ต่อลูกค้าจะทำให้เขาได้รับการไว้วางใจและมีเส้นสายได้มากมาย อีกอย่าง ข่าวพวกนี้หากนำไปขายสถานีโทรศัพท์หรือสำนักข่าวอื่น ๆ ก็เหมือนขุดหลุมฝังตัวเอง เขายังไม่อยากตายก่อนวัยอันควร และสำนักข่าวพวกนั้นก็เหมือนกัน

“ขอบคุณสำหรับงานของคุณนะคะ แล้วมีอะไรฉันจะติดต่อไปอีก” ซากุระว่าก่อนจะวางซองเอกสารลงบนโต๊ะแล้วดื่มมิลค์เชคอย่างไร้พิรุธให้ใครผิดสังเกตว่ากำลังสนทนาเรื่องอะไรอยู่ หากมองเผิน ๆ พวกเขาก็เหมือนคนสองคนที่มาเดทกันตามปกติของสถานที่แบบนี้

“ผมจะไม่ถามหรอกนะครับว่าคุณคิดจะทำอะไร แต่ผมขอเตือนว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้เลยจะดีกว่า”
ซากุระยิ้มให้กับคำเตือนนั้น อีกฝ่ายคงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าเธอเป็นใคร อยู่ในฐานะไหน การเตือนนี้คงไม่ได้คาดหวังให้เธอปฏิบัติตาม เพียงแต่นิ่งดูดายไม่ได้เท่านั้น

“ฉันจะโอนเงินที่เหลือเข้าบัญชีภายในเย็นวันนี้นะคะ” เธอว่าก่อนจะลุกขึ้น “ฉันขอตัวก่อนค่ะ”
ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินไปส่งถึงแท็กซี่ ซากุระเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก่อนจะจากกัน

ระหว่างที่อยู่บนรถแท็กซี่ ซากุระก็ดึงภาพออกมาดูอีกครั้ง ชายหนุ่มสองคนในภาพดูจะเป็นมากกว่าเพื่อนกัน ผู้หญิงอย่างเธอมีเซนส์เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่ที่น่าสนใจก็คือ เธอรู้จักทั้งสองคนในภาพนั้นดี ผู้ชายตัวสูงดูโดดเด่นและเรือนผมสีขาวนั่นเป็นมากกว่าเอกลักษณ์ประจำตัว และอีกคนหนึ่งซึ่งเธอได้พบเมื่อไม่นานมานี้ บางที เธออาจจะสามารถใช้เรื่องนี้เพื่อแผนขั้นต่อไปได้

รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าบ้านพักชั่วคราวของครอบครัวมินาโมโตะซึ่งทางจูเชว่จัดหาให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึง ซากุระเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นรถคันหนึ่งซึ่งไม่ควรอยู่ที่นี่กลับจอดรออยู่เหมือนเพิ่งกลับมาและกำลังจะออกไปอีกครั้ง

ซากุระเดินเข้าไปในตัวบ้าน และเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ พ่อของเธอกลับมาและกำลังจัดกระเป๋าอยู่

“ลืมของหรือคะ?”

“ใช่ นิดหน่อยน่ะ เดี๋ยวฉันจะออกไปต่อแล้ว” ผู้เป็นพ่อกล่าวก่อนจะยกกระเป๋าลงจากโต๊ะแล้วขยับเนคไท สายตาของเขาเหลือบไปเห็นซองเอกสารในมือซากุระพอดีในจังหวะนั้น “นั่นอะไร?”

“ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่ฝากคนส่งของมาให้นิดหน่อย” เธอรีบบอกปัด

“ของที่ต้องออกไปเอาเองน่ะหรือ? เหอะ” มินาโมโตะผู้พ่อทำเสียงขึ้นจมูก “คงไม่ได้เกี่ยวกับจูเชว่หรอกนะ ไม่รู้ว่าทางนั้นจะเอายังไงกันแน่ ตั้งแต่วันงานก็ไม่ได้เห็นหัวเจ้าเด็กที่เป็นทายาทคนนั้นอีกเลย ถ้าคิดจะถอนหมั้นล่ะก็ ได้มีปัญหากันแน่”

“ไม่หรอกค่ะ หนูคิดว่าทางจูเชว่คงจะมีปัญหาติดขัดนิดหน่อย”

“ให้มันนิดหน่อยจริงก็แล้วกัน” เขาว่าแล้วก็เดินผ่านซากุระไป “อ้อ ระยะนี้พยายามตีสนิทกับพวกเสวียนอู่ ชิงหลง แล้วก็ไป๋หู่ด้วยล่ะ เผื่อจูเชว่เกิดเล่นแง่ขึ้นมาฉันจะได้หาสามีใหม่ให้ได้ง่าย ๆ”

ซากุระเม้มปากฝืนยิ้มแกน ๆ รอให้ผู้เป็นพ่อเดินออกไปแล้วจึงถอนหายใจออกมา

ผู้ชายคนนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็จะแสดงตัวเป็นพ่อที่แสนดี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ครอบครัวของเธอไม่ได้เป็นอย่างที่คนภายนอกเห็นแม้แต่น้อย พ่อของเธอเย็นชาต่อเธอเป็นอย่างมาก ไม่เคยมองดูหรือเรียกหาเหมือนลูกกับพ่อสักครั้ง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เธอกับเขาก็ไม่ได้มีความผูกพันกันทางสายเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว แม่ของเธอคบชู้ทั้งที่ยังไม่ได้หย่ากับพ่อ และเมื่อเธอเกิดมา ผู้ชายคนนี้ก็เรียกตัวเธอเป็นเงื่อนไขในการยอมให้แม่ของเธอหย่าได้ แน่นอน พ่อของเธอรู้ว่าลูกสาวนั้นใช้ประโยชน์ได้มากกว่าเงินทองของมีค่าใด ๆ ในโลกนี้ เป็นต้นทุนที่หากำไรได้อย่างไม่สิ้นสุดหากวางลงในมือของคนถูกคน

และตอนนี้ พ่อของเธอเลือกวางเธอลงในมือของจูเชว่ ผู้ทรงอิทธิพลที่สุดหนึ่งในสี่คนของฮ่องกง เพียงแต่ว่า หากพ่อของเธอรู้ว่าเซินหมิงเฟิ่งหายตัวไป จะต้องเดือดดาลมากเป็นแน่ เพราะพ่อของเธอเกลียดความไม่แน่นอนมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อวางต้นทุนก้อนใหญ่เช่นเธอลงไปแล้วเช่นนี้...

“ฉันจะขึ้นไปบนห้อง อย่าให้ใครขึ้นไปรบกวนฉันนะคะ” ซากุระหันไปสั่งกับมิเอะ “พอถึงเวลาอาหารเย็นฉันจะลงมาเอง”

“ทราบแล้วค่ะ”

เมื่อมิเอะรับคำ ซากุระก็ปลีกตัวขึ้นห้องไป หูของเธอแว่วเสียงรถยนต์เคลื่อนอออกไปจากตัวบ้าน แสดงว่าพ่อของเธอไปทำงานแล้ว และเธอจะมีเวลาเป็นส่วนตัวโดยไม่ต้องระแวงว่าอีกฝ่ายจะระแคะระคายเรื่องใด ๆ จนกว่าจะถึงช่วงค่ำหรือดึก

หญิงสาวลงกลอนประตูห้องนอนเพื่อป้องกันคนที่อาจจะเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ คนรับใช้ที่นี่ส่วนใหญ่ยังเด็กและอาจจะมีเรื่องที่รู้และไม่รู้ต่างกัน มิเอะที่มีหน้าที่สั่งสอนคงไม่สามารถกำชับข้อห้ามได้ทุกข้อ เพียงแต่หากเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมก็จะถูกดุไปตามระเบียบ

รูปภาพทั้งหมดถูกเรียงลงบนเตียง จำนานภาพไม่กี่ใบช่วยให้สามารถสรุปได้เพียงผิวเผิน กระดาษใบเล็ก ๆ ที่แนบมกับซองเอกสารบอกสถานที่และเวลาที่ได้ภาพมาอย่างแม่นยำ

เธอชื่นชมการทำงานที่ละเอียดลออของนักสืบเอกชนคนนี้ และอาจจะใช้บริการอีกหากมีอะไรที่เธอไม่สามารถค้นหาคำตอบด้วยตัวเองได้ กระนั้น ซากุระก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ยินดีนักหากถูกร้องขอให้ไปสืบสาวเอาความกับพวกมาเฟียอีกเช่นนี้ เพราะหากถูกจับได้คงไม่จบลงแค่การยึดกล้องและอุปกรณ์ทำงาน ถือเป็นการเสี่ยงชีวิตเลยก็ว่าได้ ดังนั้นหากให้สืบลึกลงไปกว่านี้ อีกฝ่ายคงไม่ยอมรับงาน

แต่ว่า...เธอกลับอยากได้ข้อมูลที่มากขึ้น

การเดินด้วยกันและความสนิทสนมอาจไม่มากพอที่เธอจะสามารถแทรกแซงเข้าไปได้ บางที เธออาจต้องลงมือด้วยตัวเองตั้งแต่ขั้นตอนนี้

ซากุระหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดโทรหาใครบางคนที่อาจจะช่วยเธอได้

ถึงแม้เธอและพ่อเพิ่งจะเดินทางมาอยู่ที่นี่ได้เพียงไม่กี่ปี แต่ก็มีเส้นสายมากพอในฮ่องกงด้วยการใช้อำนาจของจูเชว่เข้าช่วยเล็กน้อย ซึ่งมันช่วยได้ในหลาย ๆ ด้านทั้งการงานและส่วนตัว

“ฉันมินาโมโตะ ซากุระค่ะ” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปก่อนจะเม้มปากเล็กน้อยอย่างชั่งใจและกล่าวต่อ “ช่วยหาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของหลางเมี่ยวอินให้หน่อยได้ไหมคะ?”

เธอรู้สึกเหมือนปลายสายจะดูลำบากใจเล็ก ๆ

โดยปกติแล้ว เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของบุคคลเหล่านี้มักจะได้รับการดูแลปกป้องอย่างดีเพื่อป้องกันคนที่หวังจะรบกวนหรือก่อความไม่สงบ ถึงอย่างนั้น ซากุระก็ค่อย ๆ หว่านล้อมจนปลายสายรู้สึกไว้วางใจมากพอว่าเธอจะไม่ใช้ไปในทางที่อาจก่อปัญหาหรือให้สืบสาวไปถึงตัวคนประสานงานได้ เธอต้องถือสายรอถึงครึ่งชั่วโมงอย่างอดทนกว่าที่เบอร์โทรศัพท์ของคนที่เธอต้องการจะถูกส่งมาให้

หญิงสาวจดลงกระดาษแล้วทวนมันซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยการพูดแต่ไม่เมโมรี่ลงในโทรศัพท์ เพราะหากมันบังเอิญตกไปอยู่ในมือของคนอื่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่

ซากุระทวนซ้ำจนจำได้ก่อนจะจัดการฉีกกระดาษแผ่นนั้นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วทิ้งลงถังขยะ

กระนั้นเธอกลับไม่ได้กดโทรไปหาคนที่ต้องการแต่อย่างใด หญิงสาวเงยหน้ามองนาฬิกา เวลานี้หลางเมี่ยวอินน่าจะยังอยู่ในเวลางาน การโทรไปรบกวนคงไม่เป็นการดี

แต่แทนที่ซากุระจะลงไปพักผ่อนหรือหาอย่างอื่นทำ หญิงสาวกลับเดินตรงไปยังคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในห้องและเปิดให้มันทำงาน

เสียงคอมพิวเตอร์รันตัวเองอยู่ไม่กี่นาที ก่อนจะปรากฏหน้าจอเดสก์ทอปสีสบายตาขึ้นและไอคอนโปรแกรมสำคัญไม่กี่ตัว ซากุระไม่ค่อยนิยมทำไอคอนที่หน้าเดสก์ทอปนัก เพราะเธอรู้สึกว่ามันรกสายตา ดังนั้นจึงมีแต่เพียงโปรแกรมที่สำคัญและใช้งานบ่อยเท่านั้นที่จะอยู่บนนี้ได้ แต่วันนี้เธอไม่ได้สนใจโปรแกรมบนหน้าเดสก์ทอป หญิงสาวเปิดเบาว์เซอร์อินเทอร์เน็ตขึ้นมาและกดค้นหาชื่อคนคนหนึ่ง

สิ่งที่เธอต้องการตอนนี้ คือข่าวจากหนังสือพิมพ์และอื่น ๆ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่อันตรายคนนั้น โดยที่ไม่รู้เลยว่า อีกฝ่ายจะรู้เรื่องเกี่ยวกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งจริงหรือไม่ กระนั้นเธอก็ต้องลองดูและพยายามลดความเสี่ยงของตัวเองให้มากที่สุด

------------------------>
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-12-2011 17:48:17
ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงคลาคล่ำไปด้วยผู้คนแทบตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน มีเที่ยวบินมากมายจอดลงที่นี่และนำผู้คนจากทั่วสารทิศมายังเกาะเล็ก ๆ ที่เจริญไปด้วยการหมุนเวียนของเงินตราและเศรษฐกิจ แม้แต่เวลาเช้าตรู่ที่ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก

ชิงหลงอยู่ในเสื้อโค้ทยาวสีดำสนิท ทอดสายตามองไปยังขอบฟ้าไกลด้านทิศตะวันตก

เขากำลังรอเซินหมิงเฟิ่งอยู่ แน่นอนว่าเขาไม่ได้ไปรับอีกฝ่ายด้วยตัวเองเพราะเขาเพิ่งสะสางงานสุดท้ายเสร็จเมื่อเวลาดึกคืนที่ผ่านมา การได้นอนเพียง 5 ชั่วโมงทำให้เขาตัดสินใจเดินทางตรงมาที่นี่และส่งคนที่ไว้ใจได้ไปรับเซินหมิงเฟิ่งจากที่อาศัยชั่วคราวแทน เขาไม่ต้องกังวลเรื่องเวลามากนักก็จริงเพราะตั้งใจที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว กระนั้นเพราะนิสัยเจ้าระเบียบและตรงต่อเวลาทำให้เขาหงุดหงิดใจเล็ก ๆ ที่เซินหมิงเฟิ่งยังมาไม่ถึงสนามบินทั้งที่เลยเวลาที่กำหนดมา 15 นาทีแล้ว

“โทรหาคิมหันต์” เขาสั่งคนสนิทคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ

เมื่อได้รับคำสั่ง ชายหนุ่มก็ยกโทรศัพท์ขึ้นทันที แต่แล้วสายตากลับเลื่อนไปพบกลุ่มคนที่กำลังรออยู่พอดี เขาจึงลดโทรศัพท์มือถือลงแล้วกระซิบกับผู้เป็นนาย

ชิงหลงกวาดสายตาเฉียบขาดไปยังกลุ่มคนทีเดิมเข้ามา การ์ดสามคนที่มีหน้าที่ไปรับเซินหมิงเฟิ่งต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเมื่อรู้ว่าเจ้านายกำลังโกรธเรื่องเวลา ส่วนเซินหมิงเฟิ่งซึ่งเป็นตัวการกลับทำหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัดและดูเหมือนจะยังไม่ตื่นดี

“ทำไมถึงช้า”

“พวกเราต้องช่วยกันจัดกระเป๋าเดินทางใหม่ครับ” คิหันต์ตอบ “คุณเซิน...ไม่ได้จัดเอาไว้”

“งั้นหรือ” ชิงหลงรับคำสั้น ๆ ก่อนจะมองไปยังตัวต้นเหตุ “ผมเคยบอกเอาไว้แล้วคุณเซิน ว่าถึงคุณจะขัดขืนยังไง ผมก็จะทำให้คุณเดินตามที่ผมวางเอาไว้อยู่ดี เลิกทำอะไรที่เปล่าประโยชน์เสียที”

“ความจริงคงจะง่ายกว่านี้ถ้าคุณไม่กำหนดเวลาเดินทางเช้าตรู่แบบนี้” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วกอดอกก่อนจะมองไปยังการ์ดรอบ ๆ “คุณรู้หรือเปล่าว่าพวกเขาแทบจะลากผมออกมาทั้งชุดนอน”

“นั่นเป็นหน้าที่ของพวกเขา” ชิงหลงไม่นึกโทษคนของตนเองในข้อนั้น “ไปกันได้แล้ว”

เมื่อเซินหมิงเฟิ่งเห็นว่าอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเห็นใจเขาแม้แต่น้อย เขาก็ได้แต่ปลงในชะตากรรมของตนเอง ไม่รู้ว่าเมื่อไปถึงอิตาลีเขาจะเป็นยังไง บางที ก่อนที่ชิงหลงจะนึกขึ้นได้ว่าจะทำอะไรกับเขา เขาอาจจะขาดใจตายเสียเองเพราะการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยว

เซินหมิงเฟิ่งถูกพาขึ้นไปบนเครื่องบินส่วนตัวของชิงหลง ซึ่งมีที่นั่งอยู่ไม่กี่ทีสำหรับบริเวณส่วนตัวของชิงหลงและบริเวณสำหรับการ์ด

“พาการ์ดไปด้วยแค่นี้เองหรือ?” เขาเอ่ยถามเพราะอดจะสงสัยไม่ได้

“ที่เหลือจะตามไปทีหลัง” ถึงจะตอบเช่นนั้นแต่เขาก็ไม่ได้คิดจะขนการ์ดไปจำนวนมากนัก ส่วนที่มาตามมาก็มีเพียงไม่กี่คน นั่นเพราะถึงแม้อิตาลีจะอยู่นอกเขตการปกครองและค่อนข้างเสี่ยงอันตราย แต่อิตาลีก็มีกลุ่มองค์กรของตนเองในแต่ละเขตพื้นที่ซึ่งขับเคี่ยวและคานอำนาจกันอยู่แล้ว มาเฟียอิตาลีไม่ค่อยเห็นความสำคัญของมาเฟียจากซีกโลกตะวันออกมากนัก เหตุผลหนึ่งเพราะพื้นที่ที่ห่างไกลกันจนเกินไป ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีการทับซ้อนเขตพื้นที่ และภูมิภาคที่แตกต่างทำให้แทบจะไม่มีธุรกิจใด ๆ ร่วมกันเลย ดังนั้น หากให้พูดตามจริง มาเฟียอิตาลีแทบจะไม่แลตำแหน่งชิงหลงหรือจูเชว่ด้วยซ้ำไป

นอกจากนี้ ตัวชิงหลงเองมีเชื้อสายครึ่งหนึ่งเป็นชาวอิตาเลี่ยนซึ่งมาจากสายทางแม่ นั่นหมายความว่าเขามีเส้นสายอยู่บ้างในอิตาลี ตามที่มีการเล่าลือถึงเขาในวงสนทนาเรื่องที่เขาเดินทางไปอิตาลีบ่อยครั้ง

“ว่าแต่ ทำไมคุณถึงต้องพาผมไปที่เวนิส? คุณไม่ต้องบอกก็ได้ว่าที่นั่นมีอะไร” เซินหมิงเฟิ่งไม่อาจทนกับความเงียบที่น่าอึดอัดได้นานนัก สมัยอยู่อังกฤษ บ้านของแม่เขาจะมีเสียงเอะอะแทบตลอดเวลาเพราะเด็ก ๆ ที่แทบจะไม่ยอมอยู่นิ่งยกเว้นตอนหลับไปแล้ว

“ฉันมีญาติอยู่ที่นั่น”

“ญาติ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยินอีกฝ่ายว่า เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าชิงหลงนอกจากมีเส้นสายกับมาเฟียอิตาลีแล้วยังมีญาติอยู่ที่นั่นด้วย ไม่สิ หากอีกฝ่ายมีแม่เป็นชาวอิตาเลี่ยน การมีญาติคนอื่น ๆ อยู่ในอิตาลีจะมีอะไรน่าแปลก

เซินหมิงเฟิ่งเอนตัวลงบนเบาะแล้วเสมองออกนอกหน้าต่าง ชิงหลงไม่ยอมพูดอะไรต่ออีก สงสัยว่ากลัวเขาจะเอาไปใช้เป็นข้อมูลหลบหนี หรือนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในภายหลังเมื่อเขาได้เป็นจูเชว่

แต่บนเครื่องบินแบบนี้เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว

เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจหลับตาลงและนอนเก็บแรง เขาถูกลากลงมาจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่โดยไม่มีการบอกล่วงหน้า ซ้ำยังถูกโยนเข้าไปในห้องน้ำแล้วบังคับให้จัดการตัวเองให้เสร็จภายใน 5 นาที ให้ตายเถอะ แม้แต่เวลาทำธุระส่วนตัวยังถูกจำกัดจนเขาแทบจะทำทุกอย่างพร้อมกันทั้งที่สติมีอยู่ครึ่งเดียว หลังจากนั้นก็โดนโยนขึ้นรถแล้วตะบึงอย่างเร็วมาถึงสนามบิน สมองเขาโคลงเคลงไปหมดจนแทบจะอ้วกออกมา และจนถึงตอนนี้เขาก็ฝืนสังขารตัวเองมาเต็มที่แล้ว ขอพักต่ออีกสักหน่อยอีกฝ่ายคงไม่ว่าอะไร

และก็เป็นอย่างที่เซินหมิงเฟิ่งคิด ชิงหลงเหลือบมองอีกฝ่ายหลับตาลงโดยไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ถึงแม้เขาจะเข้มงวดและเจ้าระเบียบ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องกำกับการกระทำผู้อื่นไปเสียทุกอย่างทุกวินาที ในเมื่อตอนนี้เขาไม่ได้คิดจะให้อีกฝ่ายทำอะไร เขาก็ปล่อยให้พักผ่อนไปก่อน เพราะเดี๋ยวเซินหมิงเฟิ่งจะต้องเผชิญกับสภาพเวลาที่ตรงกันข้ามของสองซีกโลกทั้งที่เพิ่งปรับตัวกับเวลาของฮ่องกงได้ ถึงตอนนั้นจะเพลียยิ่งกว่านี้เสียอีก

---------------------->

เมื่อเครื่องมาถึงอิตาลีและลงจอดที่สนามบินเวนิส มาร์โคโปโล เซินหมิงเฟิ่งก็ถูกปลุกให้ตื่นหลังจากหลับ ๆ ตื่น ๆ มาตลอดทางเนื่องจากไม่ชินกับการนอนบนเครื่องบิน เขามองออกไปนอกหน้าต่างและพบว่าเครื่องบินมาถึงจุดหมายปลายทางแล้วจึงลุกขึ้นอย่างอ่อนเพลียแล้วเดินตามชิงหลงลงไป เซินหมิงเฟิ่งพบว่าด้านล่างนั้นมีคนมารอต้อนรับอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นการ์ดที่สวมเสื้อผ้าดูเคร่งขรึม และในจำนวนการ์ดทั้งหมด มีผู้ชายคนหนึ่งที่ดูแตกต่าง

คน ๆ นี้ แม้จะสวมสูทเรียบกริบแต่ก็มีท่าทีสบาย ๆ สวมแว่นดำทรงทันสมัย รูปร่างค่อนข้างสูงและมีผมสีบลอนด์ไม่เหมือนคนอิตาลีส่วนใหญ่ที่มีเชื้อสายลาตินซึ่งจะมีผมดำและรูปร่างเล็กกว่าคนยุโรปทั่วไป

ชิงหลงเดินตรงไปหาในขณะที่ฝ่ายนั้นอ้าแขนรับราวกับเป็นเพื่อนรักกันมานาน

“ไงเวย์ เพิ่งกลับไปไม่นานเองนะ” ชายหนุ่มผมบลอนด์ทักทายด้วยภาษาอิตาลี

“มีธุระนิดหน่อย ครั้งนี้คงอยู่นานกว่าเดิม” ชิงหลงตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วหันไปทำสัญญาณให้คนอื่น ๆ ไปที่รถก่อน

“เฮ้ ฉันไม่เคยเห็นหน้าสองคนนี้เลยนะ” ชายผมบลอนด์หันไปเห็นคิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่ง “ใครน่ะ? การ์ดใหม่ของนายเหรอเวย์?”

“ไม่เชิง คิมหันต์” ชิงหลงโบกมือเรียกให้คิมหันต์เดินมาหา “เขาเป็นคนของชิงหลงมานานแล้วแต่เพิ่งกลับมาทำงานได้ไม่นานนี้”

“ชื่ออะไรนะ?” ชายหนุ่มชาวยุโรปมุ่นคิ้วก่อนจะถามเป็นภาษาอังกฤษ

“คิมหันต์ครับ”

ผู้ฟังทำสีหน้าแปลกนิด ๆ เพราะลิ้นของเขาคงไม่อาจออกเสียงชื่อนี้ได้ถูกต้องอย่างแน่นอน

“หมายถึงฤดูร้อนน่ะ” ชิงหลงแปลความให้

“อ้อ เอสตาเต” ชายหนุ่มร่างสูงพูดออกมาเป็นภาษาอิตาลีแล้วหัวเราะ “เรียกแบบนี้ง่ายกว่าเยอะ แล้วอีกคนล่ะ? ดูไม่เหมือนการ์ดเลยนะ”

“นั่นเซินหมิงเฟิ่ง จะอยู่ในฐานะไหนคงบอกนายไม่ได้ เอาเป็นว่า เขาคือสาเหตุที่ฉันต้องมาที่นี่” ชิงหลงไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ ให้อีกฝ่ายรู้ นั่นเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องเปิดเผย เขาเพียงแต่มาอาศัยเขตพื้นที่ของตาตัวเองและคน ๆ นี้เป็นคนดูแลในฐานะดอนคนใหม่เท่านั้น ทั้งเขาและผู้ชายคนนี้ต่างเป็นมาเฟียโดยสายเลือดด้วยกันทั้งคู่จึงต่างรู้ขอบเขตของตนเองดีและไม่คิดจะก้าวก่ายกันมากเกินควร

“เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มว่าก่อนจะยกมือแล้วขยับผ้าคล้องคอ “ตามที่นายบอก ฉันเตรียมโรงแรมไว้ให้นายโดยเฉพาะ ฉันจะไปกับนายด้วยแล้วเดี๋ยวเราไปเยี่ยมอเล็กซานโดรด้วยกัน”

“เขารู้หรือว่าฉันมา?”

“ฉันไม่คิดว่าเขาไม่รู้หรอก”

ชิงหลงพยักหน้ารับคำแล้วส่งสายตาให้คิมหันต์กลับไปทำหน้าที่ของตนเองต่อ

“นั่นใครหรือ?” เมื่อคิมหันต์เดินกลับมาประกบเซินหมิงเฟิ่ง เจ้าตัวก็เอ่ยถามขึ้นทันทีเพราเขาไม่อาจฟังการสนทนาด้วยภาษาอิตาลีได้ และถูกกันไว้ไกลเกินกว่าจะเห็นหรือได้ยินอะไรชัดเจน

“ดอนมอเรสซาเรน่ะครับ ชื่อจริงว่าโจเซ มอเรสซาเร” คิมหันต์อธิบายให้ฟังขณะกำลังเดินไปที่รถ “ถือว่าเป็นญาติคนหนึ่งของท่านชิงหลงก็ว่าได้ และเป็นคนที่ดอนคนเก่าไว้ใจจนมอบตำแหน่งให้ดูแลทั้งที่ยังอายุน้อย ผมเองก็ไม่รู้จักเขามากนัก”

“เวนิสเป็นเขตของเขาสินะ?” เซินหมิงเฟิ่งพอจะทำความเข้าใจได้แล้วว่าทำไมชิงหลงถึงพาเขามาที่นี่ ที่แท้ก็เพราะเป็นสถานที่ที่ครอบครัวฝ่ายแม่ตัวเองมีอิทธิพลอยู่นี่เอง

“ความจริงแล้วจะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิงหรอกครับ อิตาลีมีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเรโจนีหรือแคว้น ดอนมอเรสซาเรคนเก่ามีอิทธิพลมากในแถบเวเนโตเรโจนี โดยมีเวนิสเป็นศูนย์กลาง” คำพูดของคิมหันต์ทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกขนลุกขึ้นมา เพราะการที่มอเรสซาเรแฟมิลี่มีอิทธิพลถึงระดับแคว้นย่อมไม่ได้หมายถึงเวนิสเท่านั้น แต่ทั้งบริเวณที่เรียกว่าเวเนโตเรโจนีคืออาณาเขตที่เขาไม่มีทางดิ้นหลุดไปจากสายตาของชิงหลงไปได้ แบบนั้นดูน่ากลัวเสียยิ่งกว่าตอนที่คิดว่าอีกฝ่ายมีญาติอยู่ที่เวนิสเสียอีก

เซินหมิงเฟิ่งถูกนำตัวขึ้นรถโดยที่ยังไม่ได้ละสายตาจากผู้ชายที่ชื่อโจเซ หากผู้ชายคนนั้นคือผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดในตอนนี้ มีมากยิ่งกว่าชิงหลงเพราะเป็นเจ้าของพื้นที่แท้จริงโดยการมอบอำนาจจากดอนคนเก่า นั่นหมายความว่าผู้ชายคนนั้นคือบัตรผ่านทางเพื่อออกจากใต้เงาชองชิงหลงและกลับบ้านอย่างปลอดภัย

แต่คนที่เป็นดอนตั้งแต่อายุน้อยแสดงว่าได้รับความไว้วางใจจากหลายฝ่ายและแทบจะไม่มีข้อกังขาในการอยู่ในตำแหน่ง นั่นหมายถึงความฉลาดเฉลียว ความเฉียบขาด และอำนาจในการควบคุมผู้คน ตัวเขาจะสามารถหลอกใช้อีกฝ่ายได้ไหมนะ?

โจเซเองก็เหมือนจะรู้ว่าตนเองได้รับความสนใจ ชายหนุ่มมองมาทางเซินหมิงเฟิ่งด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ซึ่งไม่อาจตีความหมายได้ชัดเจน นั่นอาจเพราะอีกฝ่ายสวมแว่นดำเอาไว้ด้วย

โรงแรมที่โจเซเตรียมเอาไว้เป็นห้องสูทของโรงแรมระดับ 5 ดาวซึ่งตกแต่งไว้อย่างสวยงาม เซินหมิงเฟิ่งยังไม่เคยมีโอกาสได้พักในโรงแรมเช่นนี้มาก่อนจึงค่อนข้างตื่นเต้นเป็นพิเศษ กระนั้นเขาก็พบว่าคงยากที่จะหนีไปจากที่นี่เพราะอยู่ชั้นบนสุดซ้ำยังไม่มีอาคารรอบข้างที่สูงทัดเทียมกัน การปีนหน้าต่างออกไปถือเป็นเรื่องโง่เรื่องสุดท้ายที่เขาจะเลือกทำอย่างแน่นอน

เซินหมิงเฟิ่งเดินรอบ ๆ และพบว่ามีห้องนอนอยู่ห้องเดียว

“อย่าบอกนะว่าคุณจะนอนกับผม?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วมองไปยังชิงหลง

“เสียใจด้วยแต่ผมมีห้องของตัวเอง” โดยนิสัยแล้วชิงหลงเป็นคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง ดังนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด เขาจะไม่ร่วมห้องกับคนอื่นเป็นอันขาดเว้นแต่จะแต่งงานและร่วมเตียงกับภรรยานั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แม้แต่ตอนเรียนที่อิตาลีเขายังแบ่งส่วนห้องกับรูมเมทโดยไม่ก้าวก่ายเขตของกันและกัน ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ใจชื้นได้ไม่นานนักเมื่อชิงหลงเอ่ยประโยคต่อมา “แต่จะมีการ์ดเข้ามาอยู่ในห้องนี้ตลอด 24 ชั่วโมง คิมหันต์จะเฝ้าคุณอยู่ตลอด คุณจะให้เข้านอนในห้องหรือให้นอนที่โซฟาข้างนอกก็แล้วแต่”

หลังจากสั่งเสร็จ ชิงหลงก็เดินออกไปเพื่อจัดการส่วนของตนเอง ในตอนนั้นโจเซกลับเป็นคนเข้ามาในห้องแทนและไม่มีใครกล้าห้ามปรามโดยที่ชิงหลงไม่ออกคำสั่งเพราะที่นี่โจเซเป็นใหญ่ที่สุด

โจเซถอดแว่นกันแดดออกทำให้เห็นดวงตาสีเขียวที่ทำให้เจ้าตัวดูไม่มีเค้าของคนละตินเลย

“สวัสดีคุณ....”

“เซินหมิงเฟิ่งครับ แต่แม่ของผมเรียกผมว่ามิน”

โจเซเลิกคิ้วก่อนพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “คุณพูดสำเนียงอังกฤษคล่องมากทีเดียว คุณเคยเรียนอยู่ที่นั่นหรือครับ?”

“ครับ ผมเรียนอยู่ 8 ปี และแม่ของผมก็เป็นคนอังกฤษ” เซินหมิงเฟิ่งว่า “คุณเองก็พูดภาษาอังกฤษได้คล่องเหมือนกันนะครับ แต่สำเนียงของคุณ...”

“แม่ของผมเป็นคนฝรั่งเศส ผมติดภาษาอังกฤษสำเนียงแบบนี้มาจากท่านน่ะครับ” โจเซหัวเราะ “เวย์พูดได้ใกล้เคียงสำเนียงต้นฉบับมากกว่า”

“หมายถึงชิงหลงน่ะหรือครับ?

“นั่นเป็นชื่อตำแหน่งของเขาสินะ? ใช่ผมเคยได้ยินมาแบบนั้น” ชายหนุ่มคล้ายจะทบทวนความจำตัวเองเกี่ยวกับเรื่องราวทางฝั่งพ่อของญาติตัวเอง “มันเป็นชื่อตำแหน่งที่เลียนแบบมาจากชื่อสัตว์ที่ดูแลทิศทั้งสี่ในคติโบราณของประเทศจีนสินะครับ?”

“คุณดูจะรู้เรื่องแบบนี้ดีกว่าที่ผมคิดเสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มออกมา ผู้ชายคนนี้ดูเป็นมิตรกว่าที่คิดและดูจะค่อนข้างสนใจเขา หรือไม่ก็ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับชิงหลง หากเขาลองเสนอบางสิ่งที่ทำให้ฝ่ายนั้นรู้สึกได้ประโยชน์คงจะยืมมือได้บ้าง

“โจเซ ไปกันได้แล้ว” ชิงหลงส่งเสียงเข้ามาในห้อง ดูเหมือนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว

“แล้วพบกันใหม่นะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวลาโดยเลือกจะใช้คำนี้อย่างจงใจ

“แล้วพบกันใหม่” โจเซสวมแว่นกันแดดก่อนจะเดินออกไปจากห้อง และมีการ์ดจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาแทนที่ด้วยท่าทางเคร่งขรึม และแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกถึงสภาพนักโทษของตัวเองอีกครั้ง

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 20-12-2011 18:22:28
แอร๊ยยย
เรื่องนี้มันช่างลึกลับซับซ้อนน
อยากอ่านต่อจริงจัง!!!
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 20-12-2011 19:23:24
มึนงงสับสนจริงจรี๊งงงงงงงงงงงงง  แล้วตอนหลังจะรักกันอีท่าไหนได้นะ ( ? _ ? )
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 21-12-2011 19:44:13
ตัวละครเพิ่ม ตัวแปรเพิ่ม เปลี่ยนโลเคชั่นอีกต่างหาก เดาไม่ออกอีกตามเคยสิน่า... :serius2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 27-12-2011 18:09:45
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-12-2011 18:37:15
เข้ามานั่งรอค่า~
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 6 (20/12/11)
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 03-01-2012 00:19:52
ชอบแนวเจ้าพ่อๆจังเลยค่าา :-[
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-01-2012 17:45:55
-7-



“เอาเป็นว่าฉันจะไม่ถามอะไรมากหรอกนะเวย์ แต่เขาเรียกนายว่า ชิงหลง นั่นแสดงว่าเป็นคนในวงการล่ะสิ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องระหว่างแก๊งค์แล้วหนีมากบดานที่อิตาลีเพื่อจัดการอย่างเงียบ ๆ น่ะ แม่น้ำในเวเนเซียไม่ได้เอาไว้ถ่วงศพใครนะ” ทั้งที่พูดถึงความเป็นความตายของคนอื่น แต่สีหน้าโจเซกลับยังคงรอยยิ้มบาง ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางเป็นเดือดเป็นร้อนแม้แต่น้อย ทั้งยังจุดบุหรี่สูบอย่างสบายอารมณ์เสียอีก “แบบว่า ตอนนี้แม่น้ำก็เต็มไปด้วยขยะอยู่แล้ว นายคงเข้าใจนะว่าถ้ามีศพคนโดนยิงลอยตุ๊ปป่องไปชนกอนโดราเข้า ฉันจะงานเข้าเอา”

“ฉันรู้แล้ว ขอสักมวนสิ ฉันลืมพกออกมา” ชิงหลงไม่ได้คิดมากกับการสาธยายยืดยาวของญาติตัวเอง เขารับบุหรี่มามวนหนึ่งก่อนจะจุดไฟแล้วโยนไฟแช็คคืนเจ้าของไป

“ถ้านั่นเป็นคนธรรมดาฉันคงไม่อะไรกับนายหรอกนะ แต่เป็นคนในวงการเดียวกัน นายไม่คิดหรือว่าน่าจะบอกอะไรกับฉันสักหน่อย โดยเฉพาะเอาเขาเข้ามาในเขตของฉันแบบนี้ นายเองก็คงไม่ยินดีจริงไหมถ้าฉันเอาคนในวงการเข้าไปกักขังในเขตของนาย” โจเซเก็บบุหรี่และไฟแช็คลงในกระเป๋าเสื้อโค้ทแล้วพ่นควันสีขาวยาวเป็นลำออกมา ที่เขาพูดนั้นแม้จะไม่ได้ใช้น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ แต่เขาก็ต้องการคำตอบจริง ๆ ไม่ใช่แค่บ่นผ่าน ๆ

“ฉันคงเค้นคำอธิบายจากนาย”

โจเซพยักหน้า “แล้ว?”

“นายรู้ระบบองค์กรในฮ่องกงดีอยู่จริงไหม? ตระกูลเซิน เป็นเจ้าของตำแหน่งจูเชว่”

“หืม? มาเฟียที่นั่นอายุสั้นกันหมดหรือยังไงกัน จูเชว่ถึงได้อายุน้อยขนาดนั้น” เท่าที่เขารู้ มาเฟียของฮ่องกงจะสืบทอดตำแหน่งต่อเมื่อคนเดิมเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น ไม่เหมือนทางนี้ที่มอบตำแหน่งต่อได้เมื่อต้องการและในเวลาที่เหมาะสม

“เขาเป็นทายาท”

“อ้อ” โจเซรับคำสั้น ๆ “นายคิดจะเปิดสงครามหรือยังไง?”

“เปล่า”

“แล้วนายคิดจะทำอะไร? ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับพวกมาเฟียจีนที่หนุนหลังจูเชว่อยู่หรอกนะ นายรู้ใช่ไหมว่าถ้าปัญหาบานปลายฉันจะไม่เข้าข้างนาย” จริงอยู่ว่ามาเฟียบนเกาะเล็ก ๆ อย่างฮ่องกงไม่ได้มีอิทธิพลอะไรกับมอเรสซาเรแฟมิลีแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นพวกมาเฟียฮ่องกงก็มีอิทธิพลกับทางตะวันออกของเอเชียมากอยู่และยังมีเส้นสายกับพวกมาเฟียจีนทั้งสิ้น เขาเองก็มีธุรกิจที่เกี่ยวพันกับมาเฟียจีนอยู่ เขาคงไม่สามารถเสี่ยงเอากิจการของแฟมิลีไปจมกับปัญหาส่วนตัวของญาติตัวเองได้

“นายเห็นฉันเป็นคนแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?” ชิงหลงหมายถึงคนที่วิ่งหางจุกก้นมาขอความช่วยเหลือจากคนที่เป็นใหญ่กว่าตนเอง

แน่นอน โจเซรู้จักญาติคนนี้ของตัวเองดี มีหรือที่ผู้ชายคนนี้จะขอความช่วยเหลือจากคนอื่นโดยง่าย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชิงหลงก็จะแก้ไขด้วยตนเองเสมอตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว ใช่ เขาจำได้ สมัยที่ชิงหลงมาอยู่ที่นี่ในช่วงสั้น ๆ ของฤดูร้อน เด็ก ๆ ที่นี่มักไม่รู้วิธีปฏิบัติตนกับคนที่ดูเหมือนอ่อนแอกว่า และพากันกลั่นแกล้งเด็กชาวเอเชียตัวเล็ก ๆ ที่เหมือนจะไร้ทางสู้

ชิงหลงทนโดนกลั่นแกล้งอยู่สักระยะหนึ่ง ก่อนที่วันหนึ่ง เด็กพวกนั้นก็ไม่กล้าแกล้งอีกฝ่ายอีกเลย ไม่มีใครรู้ว่าชิงหลงจัดการเด็กพวกนั้นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ เขารู้ว่าเด็กพวกนั้นได้เรียนรู้วิธีการของมาเฟียที่แท้จริงตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะอย่างแน่นอน

บ้านหลังใหญ่โตโอ่อ่าปรากฏอยู่เบื้องหน้า บริเวณกว้างขวางภายในรั้วสูง ขนาดของตัวบ้านและการออกแบบร่วมสมัย รวมทั้งจำนวนการ์ด สุนัขเฝ้าบ้าน และกล้องวงจรปิดที่ส่ายไปมาบนรั้วไม่เคยหยุดบ่งบอกได้ถึงฐานะที่ไม่ธรรมดาของผู้เป็นเจ้าของ

อเล็กซานโดร มอเรสซาเร อดีตดอนมอเรสซาเรผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในเวเนโตเรโจนี

“ดับบุหรี่ได้แล้ว” ชิงหลงว่าแล้วเดินลงจากรถเมื่อรถจอดสนิท

สาวใช้คนหนึ่งเดินออกมารับพวกเขาเข้าไปในบ้าน ชิงหลงมองไปรอบตัว ตอนที่เขามาครั้งที่แล้วคี่มาติดต่อธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ จึงรีบมารีบกลับไปให้ทันแผนการของตนเองที่วางไว้สำหรับเซินหมิงเฟิ่ง ทำให้เขาไม่ได้เข้ามาพบอเล็กซานโดรเลย บางที พอรู้ว่าเขากลับมาอีกครั้ง เจ้าตัวอาจจะกำชับโจเซให้พาเขามาพบให้ได้กระมัง เขาเองก็คงต้องเตรียมตัวถูกตำหนิเรื่องนั้นเอาไว้

“สวัสดีครับปู่” โจเซเอ่ยทักชายคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่นเล่น ทำให้ชายคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองแล้วส่งยิ้มให้

“ว่ายังไงโจเซ เวย์ด้วย ถ้าไม่เรียกหาตัวคงไม่มาหาฉันสินะ?”

“ขอโทษด้วยครับที่คราวก่อนผมไม่ได้มาทักทาย”

อเล็กซานโดรแม้ว่าอายุมากแล้วแต่ก็ยังสุขภาพแข็งแรงดี เดินเหินคล่องแคล่ว ไม่มีวี่แววของความเสื่อมถอยในช่วงวัยบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาสามารถเป็นดอนต่อได้อีกหลายปีเสียด้วยซ้ำ กระนั้นกลับยกตำแหน่งให้หลานชายคนโตที่เกิดจากลูกชายคนเดียวของตนเอง ส่วนชิงหลงซึ่งเป็นหลานที่เกิดจากลูกสาวคนเล็กนั้นได้ธุรกิจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปบริหารโดยไม่เกี่ยวข้องกับแฟมิลีโดยตรง นั่นเพราะชิงหลงมีอำนาจของตนเองในฮ่องกงแล้วและไม่สามารถดูแลการงานของทางนี้ได้

“แล้วคราวนี้ไม่ได้พามาเรียมาด้วยหรือ?”

มาเรียคือชื่อแม่ของชิงหลงที่แต่งงานแล้วเดินทางไปอยู่ที่ฮ่องกง

“ขอโทษด้วยครับ”

“เรานี่นะ ไม่ต้องขอโทษด้วยท่าทางแบบนั้นหรอก ฉันเป็นตานะไม่ใช่หัวหน้าแก๊งค์” อเล็กซานโดรพูดเหมือนงอนหลานชายตัวเอง แต่สีหน้ากลับยิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนแค่หยอกเล่นเท่านั้น ความจริงเขาเองก็ชินกับลักษณะเป็นแบบแผนของอีกฝ่ายตั้งแต่แล้ว เพราะหลานชายของเขาคนนี้ถอดแบบนิสัยมาจากลูกเขยเขาไม่ผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย ยิ่งความเจ้าระเบียบนั่นยิ่งเหมือน “เอ้า เข้ามานั่งข้างในนี่สิ ปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย”

ชิงหลงและโจเซมองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนโซฟาด้านตรงข้าม

“ทั้งสองคนทำอย่างกับมีเรื่องอะไรปิดบังฉันอย่างนั้นแหละ”

บางครั้งอเล็กซานโดรก็เหมือนมีตาทิพย์ สามารถมองผู้คนได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ในความเป็นจริง มันคตือการสั่งสมประสบการณ์อันยาวนานในชีวิตวงการใต้ดินของเขา

“ใครจะปิดบังปู่ได้ล่ะครับ” โจเซหัวเราะ

“งั้นใครก็ได้ บอกฉันมาหน่อยสิว่าเวย์มาทำอะไรที่นี่ทั้งที่เพิ่งกลับไปไม่นาน ไม่น่าจะเป็นเรื่องการจัดการธุรกิจไม่เรียบร้อยหรอกนะ จริงไหม?”

โจเซหันไปมองหน้าชิงหลง เป็นเชิงให้เจ้าของเรื่องจัดการเอง

“ผมคงจะยังบอกอะไรไม่ได้มากครับ เป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างผมกับจูเชว่ที่ฮ่องกง ผมแค่จำเป็นต้องเปลี่ยนที่อยู่ชั่วคราว แต่ผมคิดว่าคงจะไม่รบกวนนานเกินไป” คำตอบของชิงหลงไม่ได้ทำให้อเล็กซานโดรพึงพอใจนัก เห็นได้จากรอยยิ้มที่จางลงทันทีที่กล่าวจบ เขาพรูลมหายใจออกมาคล้ายระอาใจเล็ก ๆ กับความชอบเก็บงำของหลานชายที่อยู่ห่างไกลตัว สำหรับชิงหลงที่ไม่ไว้ใจใครแล้ว แม้แต่เขาที่เป็นตาแท้ ๆ ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่รู้ว่าทำไมถึงติดนิสัยแบบนี้มาจากชิงหลงรุ่นก่อนที่เป็นพ่อเสียได้

แต่เมื่อดูจากสีหน้าโจเซแล้ว อเล็กซานโดรก็เดาได้ว่าคงจะได้รับข้อมูลมากกว่าที่เขารับรู้เมื่อครู่

นิสัยที่มองทุกอย่างเป็นงานเป็นการไปเสียหมดของชิงหลงทำให้เขารู้สึกหนักใจขึ้นมา บางที ที่โจเซได้รับข้อมูลมากกว่าอาจเพราะตอนนี้เจ้าตัวเป็นดอนเจ้าของพื้นที่ที่ชิงหลงต้องการใช้สอย ในขณะที่เขาซึ่งสละตำแหน่งแล้วเจ้าตัวคงไม่อยากให้แทรกแซงเรื่องภายในองค์กร

“เอาล่ะ ฉันจะไม่ซักไซ้ก็แล้วกัน” อเล็กซานโดรต้องยอมแพ้กับความหัวดื้อนั้น “ถ้ามีอะไรก็บอกกับโจเซไว้ ตอนนี้เขาเป็นคนตัดสินทุกอย่างในแฟมิลี”

“ผมทราบแล้วครับ”

“งั้นวันนี้ เราสองคนมากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนฉันหน่อยก็แล้วกัน”

คำขอของอดีตดอนมอเรสซาเร ใครจะกล้าปฏิเสธ

--------------------->

ในร้านอาหารหรูหราแห่งหนึ่ง เด็กสาวกำลังนั่งรอใครบางคนอย่างใจจดใจจ่อ เธอรู้สึกแปลกใจตั้งแต่แรกที่คน ๆ นั้นโทรมาหา และยิ่งแปลกใจมากขึ้นที่คน ๆ นั้นขอนัดเธอออกมาพบในสถานที่เช่นนี้ แต่ว่า จุดประสงค์ที่เธอถูกเชิญออกมาอาจจะคาดเดาไม่ยากก็เป็นได้

หลังจากจิบกาแฟปั่นผสมนมไปแก้วหนึ่ง คนที่นัดเธอก็ปรากฏตัวขึ้นหน้าโต๊ะพร้อมรอยยิ้มตามแบบฉบับซึ่งใครเห็นก็ชวนให้หลงรักและเอ็นดู

“ขอโทษด้วยนะคะที่มาช้า คุณหลาง”

“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็เพิ่งมาเมื่อครู่นี้เอง” หลางเมี่ยวอินหัวเราะเบา ๆ แล้วผายมือให้หญิงสาวนั่งลง “คุณมินาโมโตะนัดฉันออกมาแบบนี้ น่าแปลกใจจังเลยนะคะ”

“ในวงการนี้หาผู้หญิงยากนี่คะ” ซากุระหัวเราะตอบ “ฉันเลยคิดว่าเราน่าจะสนิทกันไว้สักหน่อย เพราะฉันเองก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก อาจจะต้องขอคำแนะนำจากคุณหลางในบางเรื่อง”

หลางเมี่ยวอินเลิกเรียวคิ้วบางขึ้นสูงคล้ายแปลกใจที่ซากุระเริ่มบทสนทนาด้วยเรื่องนี้

“จะว่าไป พี่หมิงไม่มาด้วยหรือคะ?”

คำถามนั้นทำให้ซากุระชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อย ๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ

“คุณเซินคงไม่ว่างน่ะค่ะ ฉันเองก็ยังไม่ได้พบเลย แต่ว่าเพิ่งกลับมาจากเมืองนอกเมืองนา คุณพ่อของคุณเซินคงจะอยากให้เขาเรียนรู้งานภายในให้มากที่สุด เห็นว่ากำลังเรียนรู้การบริหารงานของบริษัทอยู่ คงจะไม่มีเวลาออกมาข้างนอกกับฉันหรอกค่ะ” เมื่อกล่าวไป หญิงสาวก็ทำหน้าแง่งอนเล็ก ๆ เสมือนกำลังรู้สึกว่าถูกลดทอนความสำคัญจากคู่หมั้นไปเพราะงานของอีกฝ่ายจริง ๆ

“คุณมินาโมโตะคงจะเหงาแย่เลย” หลางเมี่ยวอินว่า “ฉันเองก็รู้สึกแย่เหมือนกันตอนที่เจินเจินไปช่วยงานท่านตาแล้วทิ้งฉันไว้คนเดียว” เธอถอนหายใจออกมา ถึงแม้เธอและพี่ชายจะเป็นฝาแฝดกันและเกิดห่างกันแค่ไม่กี่นาที แต่การปฏิบัติระหว่างพวกเธอสำหรับคนในบ้านกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ในตอนนั้นทั้งที่พ่อและแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทายาทเพราะคนที่เป็นคนในจริง ๆ คือแม่ซึ่งเป็นผู้หญิงและตาของเธอก็ไม่มีลูกชายคนอื่นอีก เมื่อหลางเมี่ยวเจินเกิดมาเขาจึงถูกแต่งตั้งให้เป็นทายาทตั้งแต่ยังไม่รู้ความ

ชีวิตทายาทของแต่ละฝั่งไม่ได้ต่างกันมากนัก ตั้งแต่วัยเด็กเมื่อเริ่มรู้ความ หลางเมี่ยวเจินจะถูกดึงตัวไปเรียนรู้งานกับเสวี่ยนอู่ซึ่งอายุมากขึ้นทุกวัน เด็กชายตัวน้อยแทบจะไม่มีเวลาได้ละเล่นเหมือนอย่างเด็กทั่วไป และมีเวลาเพียงน้อยนิดที่สองพี่น้องฝาแฝดจะได้อยู่ด้วยกันจริง ๆ โดยไม่มีผู้ใหญ่มากำหนดว่าอีกกี่นาทีจะต้องไปทำอะไร

หลางเมี่ยวอินในวัยเด็ก แม้จะมีพี่ชายอยู่ตรงหน้าก็เสมือนไม่มี เธอได้รับความรักและการดูแลเอาใจใส่จากพ่อแม่อย่างเต็มที่ราวกับเป็นลูกโทน ถึงอย่างนั้นทุกครั้งที่เธอได้รับของขวัญอะไร จะมีของขวัญที่เหมือนกันเป็นส่วนของหลางเมี่ยวเจินเสมอ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เธอจดจำได้ว่าเธอยังมีพี่ชายอยู่อีกคนหนึ่ง ทว่า เมื่อพ่อและแม่ของเธอจากไปด้วยอุบัติเหตุ ระยะห่างระหว่างพี่น้องก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าจะไม่มีทายาทตัวสำรองในบ้านหลังนี้ และหลางเมี่ยวเจินจะต้องทำหน้าที่เสวียนอู่คนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นโชคดีของเธอที่เสวียนอู่ผู้เป็นตาเข้าใจถึงความว้าเหว่ที่ถูกกีดกัน จึงดึงเธอเข้าสู่เส้นทางธุรกิจ แม้จะเป็นวิธีเลือกที่ยากลำบาก แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พวกญาติและคนในองค์กรเลิกหาข้ออ้างกีดกันเธอออกจากพี่ชายแท้ ๆ ของตัวเอง และทำให้เธอและพี่ชายสามารถกลับมาสนิทสนมกันได้อีกครั้งหนึ่ง

“คุณหลาง เป็นอะไรไปหรือคะ?” ซากุระเห็นหลางเมี่ยวอินเงียบไปจนผิดปกติจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย เพิ่งจะมีประสบการณ์บริหารด้วยตัวเองเป็นครั้งแรกก็เลยมีเรื่องให้คิดเยอะน่ะค่ะ” หลางเมี่ยวอินแย้มยิ้มกลบเกลื่อนสิ่งที่คิดอยู่ในใจเมื่อครู่

“ทางคุณเองก็ลำบากเหมือนกันนะคะ ฉันคงรบกวน...”

“ไม่เลย” หลางเมี่ยวอินโบกมือ “ฉันให้คนที่ร้านช่วยดูแลให้แล้ว ผู้ช่วยที่ท่านตาหามาให้ทำงานได้ดีจนฉันวางใจได้แทบทุกเรื่องเลยล่ะ”

“ผู้ช่วยหรือคะ?”

“ค่ะ เป็นผู้หญิงที่อายุมากกว่าฉัน และฉลาดมากทีเดียว” ดูเหมือนหลางเมี่ยวอินจะพึงพอใจที่ได้ผู้ช่วยอย่างที่ต้องการ เพราะเกิดในบ้านที่ค่อนข้างหัวโบราณทางด้านสถานะทางเพศ หลางเมี่ยวอินจึงค่อนข้างเป็นคนที่หัวแข็งทางด้านความเท่าเทียมทางเพศ และมักคัดเลือกคนใกล้ตัวเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถมากกว่าผู้ชาย กระทั่งหัวหน้าการ์ดของเธอยังเป็นผู้หญิงที่สามารถล้มผู้ชายตัวโต ๆ ได้สบาย

“ฉันเองก็อยากจะมีผู้ช่วยเป็นผู้หญิงบ้างเหมือนกัน เวลาอยู่ท่ามกลางผู้ชายแล้วทำให้ฉันรู้สึกติดขัดหลาย ๆ อย่าง” ซากุระแสดงความเห็นสอดคล้องกับค่านิยมของหลางเมี่ยวอิน เธอเองก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจดีว่าการที่ผู้หญิงต้องทำงานท่ามกลางผู้ชายเป็นเช่นไร

สำหรับกรณีของซากุระ อาจจะเลวร้ายกว่าหลางเมี่ยวอินในหลาย ๆ ด้าน

หลางเมี่ยวอินเป็นหลานแท้ ๆ ของเสวียนอู่ และทางเสวียนอู่ก็ให้ความสำคัญ ดังนั้นแล้วใครเล่าจะกล้าขัดใจ เพียงเธอออกคำสั่ง ทุกคนก็พร้อมประเคนในสิ่งที่เธอต้องการ กระทั่งการคัดเลือกบุคลากรเพศหญิงที่เปี่ยมคุณภาพเข้ามาทำงานเคียงข้าง ทว่าซากุระนั้นเป็นลูกนอกกฎหมายของแม่ซึ่งเลือกจะทิ้งเธอไปอยู่กับคนรัก พ่อของเธอก็ไม่ได้ใยดีกับเธอมากนักนอกจากว่าจะสามารถทำประโยชน์ให้ได้ ซ้ำเธอยังเกิดมาในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเพศสูง ทำให้ตลอดชีวิตของเธอต้องอยู่ท่ามกลางผู้ชายที่มองว่าเธอเป็นสิ่งของ ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมือ ซ้ำยังถูกลวนลามทางสายตาและคำพูดบ่อยครั้งจนซากุระรู้วิธีที่จะจัดการกับความตะขิดตะขวงใจเหล่านั้นอย่างแนบเนียนโดยไม่ทำให้ผู้ที่สนทนาด้วยรู้สึกในทางลบมากเกินไป

“ท่าทางคุณมินาโมโตะกับฉันจะมีอะไรเหมือนกันหลาย ๆ อย่างนะคะ” หลางเมี่ยวอินยิ้มกว้าง

ตอนนั้นเองที่ซากุระรู้สึกว่าแผนการตนเองสำเร็จไปขั้นหนึ่ง เธอสามารถคาดเดาหลางเมี่ยวอินได้ถูกต้องและหาวิธีที่จะเข้าหาอย่างสนิทใจได้ในที่สุด เธอคิดถูกจริง ๆ ที่ใช้ความเป็นเพศหญิงของเธอเข้าหาผู้หญิงด้วยกัน ผู้หญิง...ที่ต้องอยู่ท่ามกลางอำนาจและอิทธิพลที่ถูกตั้งขึ้นโดยผู้ชาย

-------------------------->

เซินหมิงเฟิ่งถูกทิ้งไว้ในห้องของโรงแรมหรู ซึ่งหากให้พูดตามตรง เขารู้สึกดีกว่าตอนอยู่ในห้องปิดตาที่ฮ่องกงหลายเท่า เพราะแม้ห้องนี้จะมีการ์ดเฝ้าประตูตลอด 24 ชั่วโมง แต่เขาก็มีบริเวณกว้างขวางที่จะใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ และยังมีหน้าต่างบานใหญ่ที่เขาสามารถมองออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองได้อย่างอิสระ แม้ว่าประตูระเบียงจะถูกลงกลอนเอาไว้ก็ตามที

คิมหันต์ดูจะได้รับสิทธิพิเศษในการดูแลเขามากกว่าคนอื่น เพราะสามารถเข้ามามีส่วนร่วมกับกิจกรรมใด ๆ ที่เขาทำอยู่ได้ตามความเหมาะสมหรือได้รับการร้องขอ ในขณะที่การ์ดคนอื่นได้แต่ปฏิเสธคำขอของเขาว่าตนเองไม่มีหน้าที่ที่จะกระทำเช่นนั้น

สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มมีความรู้สึกพึงพอใจอีกอย่างก็คือเรื่องอาหาร

จริงอยู่ว่าเขาเป็นคนฮ่องกง แต่ชีวิตเกือบครึ่งของเขาที่ผ่านมานั้นอยู่ที่อังกฤษและกินอาหารแบบตะวันตกมาตลอดจนแทบจะลืมรสชาติอาหารจีนไปแล้ว ดังนั้น การต้องกินอาหารอุดมชีสสไตล์อิตาเลี่ยนจึงไม่ใช่เรื่องน่าลำบากของเขา ซ้ำยังเป็นอาหารของโรงแรมระดับห้าดาวที่เขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสในสมัยที่อยู่กับแม่ เพราะครอบครัวนั้นมีฐานะระดับปานกลาง ให้หรูก็แค่ทำอาหารพิเศษในครอบครัวเท่านั้นเอง

เรียกได้ว่าชีวิตของเขาที่นี่ดูจะสุขสบายกว่าตอนถูกขังที่ฮ่องกง

ทว่า...ถึงเขาจะหลอกตัวเองว่าสุขสบายแค่ไหน การถูกขังก็คือถูกขังอยู่ดี

“คุณว่าชิงหลงจะให้ผมใช้สระน้ำไหม?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามขณะม้วนเส้นพาสต้าด้วยปลายส้อม คาโบนาร่าสไตล์อิตาเลี่ยนให้ความรู้สึกเข้มข้นถึงรสชาติชีสจนต้องจิบไวน์ตาม

“บางทีถ้าท่านชิงหลงอนุญาตคุณเซินอาจจะไม่อยากไปใช้ก็ได้” คิมหันต์เป็นการ์ดคนเดียวที่ร่วมโต๊ะอาหารกับเขาในขณะที่การ์ดคนอื่นจะกินอยู่วงนอก ถึงอย่างนั้นการที่ตระหนักในบางจังหวะว่าคิมหันต์ไม่ใช่คนของจูเชว่อีกแล้วก็ทำให้เขารู้สึกวูบเล็ก ๆ ในอก

“คุณไปเห็นสระน้ำไปแล้วหรือ?” เขาเลิกคิ้วสงสัย

“เปล่าหรอกครับ แต่ว่าท่านชิงหลงคงจะให้การ์ดตามไปเฝ้าข้างสระหลายคน แบบนั้นผมคิดว่าคุณคงจะว่ายน้ำไม่ออก....”

ได้ยินคิมหันต์เล่ามาแบบนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็ถอนใจอย่างระอา ยิ่งพอนึกภาพตัวเขาที่เดินไปยังสระว่ายน้ำพร้อมการ์ดชุดดำตามหลังเป็นขบวนยิ่งกว่าลูกชายคนโปรดของประธานาธิบดีอเมริกา คนทั้งสระคงหันมามองเขาเหมือนตัวประหลาดและเต็มใจหลีกทางให้เพราะนึกว่าเป็นผู้มีอิทธิพลมาจากที่ไหนสักแห่ง ถึงแม้แขกที่เข้าพักโรงแรมนี้จะเป็นพวกคนร่ำคนรวยทั้งหลายก็ใช่ว่าจะชินกับภาพผู้ชายที่มีขบวนการ์ดอารักขา แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดเมื่อนึกถึงภาพแบบนั้น....

และใช่....เขาคงไม่อยากว่ายน้ำแน่...
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-01-2012 17:48:06
เซินหมิงเฟิ่งขมวดปลายเส้นพาสต้าเข้าปากแล้วเคี้ยวไปนึกไปว่าจะทำอย่างไรในระหว่างนี้ เขารู้ว่าตัวเองควรหาทางหนีแต่เมื่อโจเซ มอเรสซาเรไม่อยู่ เขาก็คงหาวิธีอื่นไม่เจอ ผู้ชายลูกครึ่งอิตาเลี่ยนคนนั้นเป็นคนเดียวที่เป็นใบเบิกทางสำหรับเขาไปสู่การกลับบ้าน ปัญหาคือ ที่นี่เขาไม่อาจใช้อำนาจของจูเชว่เข้าล่อลวงหรือแลกเปลี่ยนได้ อำนาจของจูเชว่มีแต่ในเกาะฮ่องกงและน่านน้ำโดยรอบเท่านั้น อย่าว่าแต่อิตาลีเลย แม้แต่บนแผ่นดินจีน หากไม่ใช่กลุ่มที่ทำธุรกิจร่วมกันก็ยังแทบจะเจรจาด้วยไม่ได้

“คุณว่าดอนมอเรสซาเรเป็นคนยังไง?”

“ทำไมถึงถามถึงเขาล่ะครับ?” คิมหันต์ดูแปลกใจที่เซินหมิงเฟิ่งให้ความสนใจกับดอนมอเรสซาเร

“ก็เขาเป็นญาติของชิงหลงไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างนั้น การที่ชิงหลงมาใช้พื้นที่ของตัวเองแบบนี้ ดอนมอเรสซาเรคงจะเรียกอะไรบางอย่างตอบแทนแน่ ๆ ถึงผมจะไม่ใช่คนในวงการเต็มตัว...แบบว่า ที่ผมใช้ชีวิต 8 ปีที่อังกฤษทำให้ผมไม่ค่อยรู้เรื่องในวงการนัก แต่คงไม่มีมาเฟียคนไหนให้อะไรใครฟรี ๆ” แน่นอนอยู่แล้ว มาเฟียเป็นอาชีพนอกกฎหมายที่ทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์ขององค์กร ไม่ใช่นักบุญหรือมูลนิธิการกุศล

“ผมไม่รู้จักเขา คงจะให้คำตอบอะไรมากไม่ได้...” ชายหนุ่มเชื้อสายไทยนิ่งไปเล็กน้อย “ที่ผมเล่าให้คุณฟังที่สนามบิน เป็นข้อมูลที่ท่านชิงหลงบอกมาอีกทีก่อนจะมาที่นี่ แต่นอกจากนั้น...เพราะผมอยู่กับตระกูลเซินมาตลอดทำให้ผมไม่รู้เรื่องภายในระหว่างชิงหลงกับมอเรสซาเรแฟมิลีเลย”

“คุณไม่รู้หรือไม่อยากจะบอกผม?” ท่าทางของคิมหันต์บ่งบอกว่ากำลังปกปิดอะไรบางอย่าง เซินหมิงเฟิ่งจึงเอ่ยทัก

“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอกครับ แต่ผมแค่ไม่แน่ใจว่าคุณอยากจะรู้หรือเปล่า”

เพราะความไม่แน่ใจถึงได้เผยพิรุธออกมาสินะ?

เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจ เพราะหากเป็นเรื่องที่จงใจปกปิดและตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่พูด คิมหันต์คงจะไม่มีพิรุธออกมาให้เห็น เขาคงจะลืมไปไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้คือคนที่สามารถแฝงตัวอยู่ในบ้านตระกูลเซินได้ถึง 13 ปีโดยที่ไม่มีใครจับได้เลยว่าเป็นแผนการของชิงหลง เมื่อเซินหมิงเฟิ่งคิดถึงเรื่องนั้นขึ้นมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยและเหมือนคิมหันต์จะสังเกตได้อย่างรวดเร็วจึงปิดปากเงียบทันทีด้วยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะไม่พอใจที่เขาปิดบัง และหากอ้าปากพูดก็ไม่แน่ว่าจะยิ่งไม่พอใจมากขึ้นเพราะความจริงมันไม่ใช่ข้อมูลสำคัญอะไรเลย

คิมหันต์ก้มหน้าลงจัดการกับพาสต้าในจานเงียบ ๆ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งพลอยอึดอัดไปด้วย

“คุณว่าจะบอกอะไรผมนะ?” เขาทำเป็นเตือนความจำขึ้นมาเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

“....แม่ของท่านชิงหลงเป็นคนอิตาลี เป็นน้องสาวของพ่อของดอนมอเรสซาเรคนปัจจุบันน่ะครับ” ความจริงแล้วมันก็เป็นสิ่งที่คนทั่วไปรู้กันอยู่แล้ว แต่สำหรับเซินหมิงเฟิ่งที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับเทือกเถาเหล่ากอคนอื่นจึงเป็นข้อมูลใหม่ที่น่าสนใจ เขารู้แล้วว่าทำไมคนครึ่งอิตาเลี่ยนฝรั่งเศสกับชิงหลงที่อยู่ในฮ่องกงถึงเป็นเครือญาติกันได้ทั้งที่ภายนอกดูไม่เหมือนกันเลยสักนิด

“แสดงว่า...ลุงของชิงหลงเป็นดอนคนเก่า?” เซินหมิงเฟิ่งนับลำดับญาติอยู่ในใจ

“เปล่าหรอกครับ ตาของท่านชิงหลงต่างหาก”

ผู้ฟังขมวดคิ้วทันที เพราะตาของชิงหลงก็คือปู่ของโจเซ ทำไมถึงมีการโยนตำแหน่งแบบข้ามรุ่นแบบนั้น?
“ปู่สืบให้หลาน มันจะไม่แปลกไปหน่อยหรือ?”

คิมหันต์แสดงความแปลกใจออกมาเล็กน้อยทางสายตาเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่ามันดูแปลกอย่างที่เซินหมิงเฟิ่งว่ามา

“เรื่องนั้นผมไม่ทราบรายละเอียดหรอกครับ ถ้าคุณเซินสงสัย คงจะต้องสอบถามจากท่านชิงหลงหรือดอนมอเรสซาเรเอง”

เซินหมิงเฟิ่งโคลงหัว ก็จริงที่เรื่องนี้ค่อนข้างแปลกแต่เขาก็เดาได้ไม่ยากว่าเกิดอะไรขึ้น บางที ลุงของชิงหลงอาจจะเสียชีวิตไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเกิดอะไรบางอย่างขึ้นทำให้หมดสิทธิที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อ อย่างไรคนตะวันตกก็ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องสายเลือดเหมือนคนตะวันออก เขายังเคยรู้มาว่ามีการสืบทอดตำแหน่งด้วยความดีความชอบด้วยซ้ำไป แค่การสืบจากปู่ไปหลานคงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่แต่อย่างใดสำหรับคนที่นี่

หลังจากคนในเสร็จสิ้นจากการกินอาหารมื้อค่ำ รถเข็นก็ถูกเก็บออกไปอย่างเรียบร้อยและทุกอย่างก็กลับเข้าสู่สภาพปกติ เซินหมิงเฟิ่งเดินไปที่กระเป๋าซึ่งเขายังจัดเสื้อผ้าไม่เสร็จ และรื้อที่เหลือออกมาจัดเรียงใส่ตู้ เสื้อผ้าที่นำมาด้วยมีจำนวนไม่มากนัก แค่ 4-5 ชุดที่ชิงหลงซื้อมาให้ตอนที่เขาอยู่ในห้องปิดตายนั้น ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้นึกเดือดร้อนเพราะเขาคงจะไม่ได้ออกไปไหนอยู่แล้ว

“จะว่าไป ชิงหลงออกไปนานเอาการเลยนะ” เซินหมิงเฟิ่งว่าพลางแขวนเสื้อไว้ในตู้

“เห็นว่าออกไปพบกับดอนคนก่อนน่ะครับ” คิมหันต์ตอบ “คงจะถูกเชิญให้ทานอาหารเย็นที่นั่น”

เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับโดยไม่รู้สึกสงสัยอะไร การไปพบคนใหญ่คนโตกว่า เมื่อถูกเชิญให้ทำอะไรบางอย่างก็ย่อมปฏิเสธไม่ได้นอกจากจะมีธุระสำคัญจริง ๆ และดูเหมือนว่า ธุระเดียวของชิงหลงที่เดินทางมาที่นี่จะเป็นแค่การหาที่เก็บตัวเขาให้ห่างจากหูตาของเครือข่ายตระกูลเซินและจูเชว่ เจ้าตัวจึงไม่น่าจะมีข้ออ้างให้ปลีกตัวออกมาจากที่นั่นและทำให้ดอนคนเก่าซึ่งเป็นตาของตนเองขุ่นเคืองใจโดยใช่เหตุ

------------------>

กว่าที่ชิงหลงและโจเซจะเสร็จธุระจากบ้านของอเล็กซานโดรก็ค่อนข้างดึกแล้ว ทั้งสองกล่าวอำลาญาติผู้ใหญ่ที่เป็นมากกว่าญาติก่อนจะเดินทางกลับ

“นายคิดว่าปู่จะไม่สงสัยเรื่องของนายหรือไงถึงพูดไปแบบนั้น” โจเซหมายถึงที่ชิงหลงพูดอย่างกำกวมที่อเล็กซานโดรถามเอาไว้ “นายน่าจะบอกไปตามตรงนะ ฉันว่าปู่ก็แค่อยากจะรู้คำตอบเพราะเป็นห่วงนายเท่านั้นแหละ อย่าคิดว่าตัวเองอยู่ในโลกนี้คนเดียวสิเวย์” เขารู้ว่าญาติคนนี้ของตัวเองเกิดมาในโลกที่ไว้อาจไว้ใจใครได้ แน่นอน เขาเองก็เกิดมาในโลกนั้นเช่นกัน แต่การปกครองขององค์กรสองฝั่งโลกนั้นไม่เหมือนกัน ทั้งที่เป็นคนตะวันออกซึ่งให้ความสำคัญกับตระกูล แต่กลับปกครององค์กรเหมือนระบบศักดินา แต่คนตะวันตกปกครององค์กรแบบครอบครัวจึงเรียกว่าแฟมิลี ถึงแม้ภายในจะไม่ต่างกันมากนัก แต่วิธีการปกครองก็ส่งผลต่อจิตใจผู้ใต้ปกครองรวมทั้งผู้ปกครองด้วย

ชิงหลงเหมือนผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ และมีข้าทาสบริวารล้อมรอบ กระทั่งแม่ของตนเองเจ้าตัวยังไม่ค่อยจะเล่าเรื่องงานให้ฟัง โจเซที่เป็นญาติก็ยังรู้สึกว่าตนเองไม่อาจเข้าหาชิงหลงได้เลย แม้แต่อเล็กซานโดรก็ยังยืนอยู่ห่าง ๆ ไม่ยื่นมือเข้าใกล้มากเกินไป ทั้งนี้ทังนั้น ชิงหลงคงจะมองพวกเขาเหมือนองค์กรอีกองค์กรหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนในของตนเองทั้งที่มีสายเลือดเกี่ยวพันใกล้ชิด

“ที่ฉันไม่พูดให้หมดเพราะมันเป็นเรื่องภายในองค์กรของฉัน ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่นายหรือตาเป็นคนของมอเรสซาเรหรอก” เหมือนกับเดาใจอีกฝ่ายได้ ชิงหลงพูดออกมาลอย ๆ โดยที่โจเซไม่ได้เกริ่นถึงเรื่องแฟมิลีขึ้นมาก่อนเลย เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายตระหนักถึงความเป็นครอบครัวเท่านั้น

“ฉันยังไม่ได้พูดอะไรแบบนั้นเสียหน่อย” โจเซว่าแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ มองทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างรถยนต์ เมืองเวเนเซียยามค่ำคืนก็ยังคงสวยงามไม่แพ้ในเวลากลางวัน

“นายไม่ต้องอ้าปากฉันก็รู้แล้วว่านายคิดอะไรอยู่” ชิงหลงพูดขณะประสานมือไว้บนตัก “โดยเฉพาะเวลาที่นายหันมองไปทางอื่นแบบนั้นแปลว่าฉันเดาความคิดนายถูก”

โจเซเบะปากน้อย ๆ เหมือนเด็กที่โดนจับได้ว่าทำผิด

“นายมันบุคคลอันตรายชะมัดเลยเวย์”

“คนอย่างนายพูดแบบนั้นกับฉันได้ด้วยหรือไง ดอนมอเรสซาเร” ชายหนุ่มยอกย้อน หากพูดถึงเรื่องสถานภาพทางตำแหน่ง โจเซกับเขานั้นไม่ได้ต่างกันเลย และจากสิ่งที่เขาเคยได้เรียนรู้จากอเล็กซานโดรในช่วงสั้น ๆ เขาก็รู้ว่าโจเซจะได้รับอะไรมาบ้างจากผู้ชายซึ่งเคยเป็นตำนานของเวเนโตเรโจนี ด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่เคยเชื่อท่าทางหยิบโหย่งสบาย ๆ ที่อีกฝ่ายแสดงออกเป็นฉากหน้าเลยแม้แต่น้อย

โจเซให้รถมาส่งชิงหลงแค่หน้าโรงแรมโดยที่เขาไม่ได้ลงไปด้วย

“แล้วเจอกันใหม่เวย์” เขาบอกลาก่อนจะให้คนรถขับออกไป

ชิงหลงเดินเข้าไปในโรงแรม ผ่านห้องโถงโอ่อ่าที่เงียบสนิทเพราะแขกขึ้นห้องพักไปเกือบหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่นั่งสนทนากันตามมุมต่าง ๆ และพนักงานที่ทำงานในกะนี้ ลิฟต์นำตัวเขาขึ้นไปยังชั้นบนสุดซึ่งเป็นชั้นสำหรับแขกพิเศษอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาเดินออกมา ก็คิดอยู่สักพักว่าควรจะกลับห้องหรือไปดูเซินหมิงเฟิ่งเสียหน่อย ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำข้อหลังก่อน

“กลับมาแล้วหรือครับท่านชิงหลง” การ์ดที่เฝ้าหน้าประตูโค้งเคารพเมื่อเขาเปิดเข้ามา

“คิมหันต์กับคุณเซินล่ะ?”

“อยู่ในห้องนอนครับ”

หลังจากได้รับคำตอบไม่นาน คิมหันต์ก็เดินออกมาจากห้องพอดี เขารีบโค้งให้ชิงหลงอย่างรวดเร็วเพราะไม่ทันนึกว่าอีกฝ่ายจะกลับมาแล้วเข้ามาที่นี่

“เป็นยังไงบ้าง?” ชิงหลงเอ่ยถาม

“คุณเซินเพิ่งหลับไปเมื่อครู่ครับ เห็นว่าเหนื่อยและเพลียจากการเดินทาง”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับการรายงานแล้วตบบ่าคิมหันต์

“คุณเองก็พักผ่อนเสีย ถ้ามีอะไรผิดปกติก็มารายงานผมได้ทุกเมื่อ” หลังจากว่าเช่นนั้น ชิงหลงก็เดินกลับออกไปจากห้องโดยไม่ได้แวะเข้าไปดูเซินหมิงเฟิ่งในห้องนอน สำหรับเขาในตอนนี้ หากอีกฝ่ายไม่ได้คิดจะทำอะไรแผลง ๆ ขึ้นมาให้เขาผิดแผน เขาก็ยังไม่ต้องจัดการอะไรให้มากความ กระนั้นเขากลับรู้สึกว่ามีใครบางคนติดตามเขามาตั้งแต่บ้านของอเล็กซานโดร และคงไม่ใช่คนของมอเรสซาเรแน่ ไม่อย่างนั้นโจเซน่าจะบอกเขาแล้ว เขาคงจะต้องทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก่อนเพื่อดูท่าทีอีกฝ่าย แล้วค่อยคิดอีกทีว่าควรจะทำเช่นไร

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 04-01-2012 19:05:42
วู้วว
เรื่องนี้ก็ยังลึกลับไม่เปลี่ยน
เมื่อไหร่ อะไรๆ จะเป้นรูปเป็นร่างเสียทีนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 04-01-2012 19:24:10
ความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ตอนแรก ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกที ๆ อยากรู้ความจริงเร็ว ๆ อ่ะ o9
เหตุผลของการลักพาตัวอาหมิงก็ยังไม่ได้รับการเปิดเผย
แถมการลากมาถึงอิตาลียังทำให้ดูมีลับลมคมในยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งอ่าน ยิ่งลุ้นระทึก  :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 06-01-2012 20:06:23
อัพตอนต่อไปเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 7 (4/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: hven ที่ 09-01-2012 02:48:56
 :t3:นานจังเลยนะค่ะไม่ค่อยออกเลยอะ
รออยู่นะเป็นกำลังใจให้อยู่ค่ะ ติดตามทั้งของนาบู
เลยนะค่ะ  :z3: :z10:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-01-2012 16:32:55
-8-


   “สวัสดีมิสเตอร์เซิน” โจเซเอ่ยทักทายเมื่อเข้ามาในห้อง เจ้าตัวถอดแว่นดำออกแล้วโปรยยิ้มให้แก่เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ซึ่งกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เล่นเกมกระดานแก้เบื่อกันอยู่ โชคดีที่คนของชิงหลงไปหาหมากรุกมาให้เล่นได้ไม่อย่างนั้นวันหนึ่ง ๆ ของเขาคงจะเฉาตายเป็นแน่ แต่เมื่อพบว่าในวันนี้เขามีแขกทั้งที่ต้องอยู่อย่างเฉา ๆ มาหลายวัน เซินหมิงเฟิ่งก็ดูกะตือรือร้นขึ้นมาทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคน ๆ นั้นคือคนที่เขาอยากจะผูกมิตรเพื่อแผนการที่อาจมีขึ้นในภายภาคหน้าและเวลาที่เหมาะสม

   “เรียกผมว่ามินเถอะครับ ดอนมอเรสซาเร” เซินหมิงเฟิ่งลุกขึ้นเดินไปทักทายแขกของตน ในขณะที่คิมหันต์ก้มหน้าลงเก็บหมากกระดานเงียบ ๆ เพื่อเคลียร์โต๊ะให้ทั้งสองอย่างรู้หน้าที่ ซึ่งเมื่อคิมหันต์เก็บของเสร็จเรียบร้อย เซินหมิงเฟิ่งก็เชิญโจเซมานั่งที่โต๊ะ

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรเรียกผมว่าโจเซด้วย” เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนการเรียกชื่ออย่างสนิทสนม โจเซจึงให้เซินหมิงเฟิ่งเรียกตนในระดับเดียวกัน

   “ได้สิครับ จะรับเครื่องดื่มหรือ.....ไม่สิ ผมลืมไปว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านผม” เซินหมิงเฟิ่งพูดไปสักพักก็ชะงัก โดยปกติหากเป็นบ้านของแม่ที่อังกฤษ เวลามีแขกมาก็จะมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มบางอย่าง อาจจะเป็นน้ำเปล่า น้ำอัดลม กาแฟ หรือชา กับขนมอบอื่น ๆ ส่วนที่บ้านใหญ่ก็จะมีการเสิร์ฟชาจีนกับขนมให้กับแขกหรือผู้มาเยือน ทำให้เขาชินที่จะถามแบบนี้กับคนที่มาเยี่ยมเยือนและลืมไปช่วงหนึ่งว่าตนเองไม่ได้มีอิสระที่จะเดินเหินออกไปหาสำรับมาบริการแขกตามที่ตนออกปากถามได้

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ” โจเซหัวเราะ “ผมกินมาเรียบร้อยแล้ว พอดีมีเวลาว่างผมก็นึกได้ว่าคุณอยู่เฉย ๆ คงจะเหงาก็เลยแวะมาเยี่ยม” ท่าทางของโจเซเวลาพูดแบบนั้นดูเป็นมิตรและเปิดเผยจนเจ้าตัวดูไม่เหมือนมาเฟียสักนิดเดียว และทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกมั่นใจขึ้นที่จะผูกสัมพันธ์ด้วย

   “ชิงหลงอนุญาตหรือครับ?”

   “มันเป็นข้อแลกเปลี่ยนเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเราน่ะครับ” ชายหนุ่มชาวยุโรปยิ้มกว้าง นึกถึงตอนที่เขาเอ่ยเรื่องนี้กับญาติตัวเอง

   เพราะชิงหลงเอาคนเข้ามาในเขตเขาด้วยธุระของตนเองโดยไม่บอกให้เขารู้ก่อน ทำอย่างกับว่าเขาจะดูไม่ออกว่าเจ้าตัวมีลับลมคมใน เขาจึงอยากจะแก้เผ็ดบ้าง และสังเกตเห็นอยู่ว่าเซินหมิงเฟิ่งค่อนข้างให้ความสนใจกับเขาและเต็มใจจะผูกมิตรด้วย ดังนั้นเขาจึงออกปากบอกชิงหลงว่า หากต้องการให้เขาเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเรื่องนี้ เขาจะต้องสามารถเข้าหาเซินหมิงเฟิ่งได้อย่างอิสระ แน่นอน ภายใต้ข้อตกลงว่า ภายในอาณาเขตที่ชิงหลงกำหนดเอาไว้ เจ้าตัวไม่ไว้ใจกระทั่งเขาว่าอาจจะพาตัวประกันของตนเองหลบหนีไป

   “พวกคุณดูสนิทกันดีนะครับ ทั้งที่อยู่คนละซีกโลกแบบนี้”

   โดยปกติแล้ว แค่อยู่คนละเมืองหรือคนละรัฐ พี่น้องก็แทบจะไม่รู้จักกันแล้วหากไม่ได้เยี่ยมเยียนกันบ่อย ๆ แต่เขารู้สึกว่าโจเซกับชิงหลงดูสนิทสนมกันจนถึงขั้นรู้กันไปเสียหมดราวกับพี่น้องที่อยู่ด้วยกันมาเกือบตลอดชีวิต ไม่น่าจะเกิดขึ้นจากการติดต่อกันนาน ๆ ครั้ง หรือแค่เดินทางมาติดต่อธุรกิจอย่างที่เขาคิดในตอนแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าชิงหลงไว้ใจให้โจเซเข้ามาถึงตัวเขาได้แบบนี้

   “ความจริงแล้ว ตอนเด็ก ๆ เวย์เคยมาอยู่ที่นี่น่ะครับ พวกเราก็เลยสนิทสนมกันอยู่ช่วงหนึ่ง เรียกได้ว่าตัวติดกันจนโดนพวกญาติ ๆ แซวว่าเป็นฝาแฝดคนละฝั่งโลกกันเลย” เมื่อพูดถึงตอนนั้น โจเซก็หัวเราะออกมา ตัวเขากับชิงหลงในเวลานั้นเหมือนกับเด็กทั่วไปจริง ๆ ทั้งที่ต่างคนต่างรู้ว่าเมื่อตนเองโตขึ้นจะเป็นสิ่งใด “ผมจำได้ว่าตอนเขาต้องกลับฮ่องกง ผมร้องไห้งอแงจะตามเขาไป ถึงจะรู้ว่าฤดูร้อนต่อมาเขาจะเดินทางกลับมาเยี่ยมอีกก็ตาม”

   “น่าอิจฉาจังนะครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งพูดจากใจจริง ตัวเขานั้นถึงจะได้อยู่กับพี่น้องที่อังกฤษแต่ก็เป็นลูกของแม่กับสามีคนใหม่ ซึ่งหลังจากจากกัน เขาก็รู้ว่าคงไม่สามารถกลับไปหาได้อีก เพราะเขาไม่อยากให้สามีของแม่ยุ่งยากใจถึงแม้ฝ่ายนั้นจะไม่เคยแสดงออกในแง่ลบและใจดีกับเขาเสมอก็ตาม เขารบกวนถึง 8 ปีนี่ก็มากพอแล้ว แต่อยู่ที่ฮ่องกง เขาก็เป็นลูกโทน หวางซิงที่โตขึ้นก็ติดเรียนติดงานและดูเจ้าระเบียบขึ้นจนเขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาซึ่งเขาจำต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักระยะ แต่กลับโดนลักพาตัวมาเสียก่อน

   “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” โจเซเอ่ยถามเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งเปลี่ยนสีหน้าไปเล็กน้อย

   “เปล่าครับ ไม่มีอะไร ผมแค่รู้สึกว่าอยากจะมีพี่น้องที่สนิทใจแบบนั้นบ้าง”

   “สนิทใจ?” ชายหนุ่มทวนคำแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง “สำหรับผมกับเวย์คงเรียกว่าสนิทใจไม่ได้หรอก”

   ไม่ต้องมีใครบอกโจเซก็รู้ดี ใช่ เขารู้จักชิงหลงดีอาจจะเรียกได้ว่ามากที่สุดหากไม่นับรวมชิงหลงคนก่อนที่เสียชีวิตไปแล้ว และเขาก็รู้ว่าชิงหลงไม่อาจเรียกว่าสนิทใจกับใครได้เลย

   “ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ?”

   “เอ...คุณคงไม่ได้กำลังหาข้อมูลของเวย์ผ่านทางผมอยู่หรอกนะครับ”

   เมื่อโจเซเริ่มแสดงท่ารู้ทัน เซินหมิงเฟิ่งจึงชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มกลบเกลื่อน

   “ผมก็ถามไปเรื่อยตามประสาน่ะครับ ขอโทษด้วยที่ทำให้คุณรู้สึกไม่ดี”

   “ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีหรอก ผมก็หยอกเล่นเท่านั้นเอง” โจเซทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงอย่างเป็นธรรมชาติ “แต่ว่า ไหน ๆ คุณก็หลอกล่อให้ผมเล่าอะไรเยอะแยะขนาดนี้แล้ว คุณลองเล่าเรื่องของตัวเองให้ผมฟังบ้างสิ”

   “เรื่องของผม?” เซินหมิงเฟิ่งกลอกตาคิดอยู่ชั่วครู่ “ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ เอาเป็นว่าคุณถามผมดีกว่าผมจะได้ตอบได้ถูก”

   “ถ้าอย่างนั้น ผมเริ่มจากเขาแล้วกัน” โจเซใช้เวลาคิดหัวข้ออยู่ไม่กี่นาทีแล้วเบือนสายตาไปทางคิมหันต์ที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง “อย่าหาว่าผมซอกแซกเลยนะ แต่ผมสังเกตว่าการ์ดคนนี้ค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น เขาเป็นคนเดียวที่ใกล้ชิดคุณและสนทนากับคุณตลอดตั้งแต่ที่สนามบินแล้ว และทั้งที่เขาเป็นคนของเวย์แต่คุณกลับไม่แสดงอาการต่อต้านเขามากเท่ากับคนอื่น ๆ”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วสูง นึกชื่นชมความช่างสังเกตสังกาของอีกฝ่ายขึ้นมา ผู้ชายคนนี้มีตาที่แหลมคมมากทีเดียว และอาจจะเป็นสิ่งที่น่ากลัวหากเขาคิดอะไรขึ้นมาแล้วอีกฝ่ายสังเกตได้และนำไปบอกกับชิงหลง

   “เรื่องของเขาค่อนข้างจะซับซ้อน ถ้าเล่าอาจจะยาวสักหน่อยนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเฝื่อน ๆ เพราะคนที่เป็นหัวข้อนั้นคือคนที่ทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้

   “ผมรอฟังอยู่” โจเซแสดงท่าทางสนอกสนใจด้วยการปรับเปลี่ยนท่านั่งให้สบายตัวขึ้นแล้วประสานมือบนตักรอฟังเรื่องราวอย่างสงบเสงี่ยม

   “ตอนแรกเขาเป็นคนของบ้านผม....ไม่สิ ไม่เชิงแบบนั้นหรอก ทุกคนคิดแบบนั้นเสียมากกว่า เขาเป็นการ์ดที่บ้านผมถึง 13 ปี ก่อนที่เขาจะย้ายตัวเองกลับไปหานายเก่าด้วยการลักพาตัวผมออกมา” ในตอนที่เซินหมิงเฟิ่งเล่าถึงตรงนี้ โจเซสังเกตเห็นถึงความไหววูบในดวงตาของคิมหันต์เพียงแค่ชั่ววินาทีโดยไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าเลย แสดงว่าเจ้าตัวก็รู้สึกหวั่นไหวกับการกระทำของตนเองอยู่ลึก ๆ

   “ซับซ้อนจริง ๆ ด้วยนะครับ”

   “แบบนั้นแหละครับ และผมก็เลยเพิ่งรู้ว่าเขาเป็นคนของชิงหลง...เต็มตัว” เซินหมิงเฟิ่งอดจะนึกถึงรอยสักมังกรที่มาแทนที่รูปหงส์สีแดงไม่ได้

   โจเซก็ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงปฏิกิริยากับการทอดคำหลังจนผิดสังเกต แต่เขาคิดว่าไม่ถามจะดีกว่า อย่างไรข้อสงสัยของเขาก็กระจ่างแล้วว่าทำไมการ์ดคนนี้ถึงได้รับสิทธิเข้าใกล้ตัวประกันมากกว่าคนอื่น ๆ ไม่รู้ว่าชิงหลงไว้ใจมากหรือจงใจทดสอบความภักดีกันแน่ แต่การจัดคนสองคนที่อยู่ในสถานะใกล้เคียงกันไว้ด้วยกันแบบนี้ จะทำให้เจ้าตัวสามารถจับตาดูทั้งคู่ได้พร้อมกันโดยไม่ต้องเสียแรงเลยสักนิด ซ้ำยังมีเป้าหมายคนหนึ่งเป็นหูตาแทนอีกต่างหาก

   ชายหนุ่มผมทองลอบมองสังเกตคิมหันต์อยู่เงียบ ๆ นึกสงสัยว่าชิงหลงจะมีแผนการอะไรสำหรับคน ๆ นี้อีก เพราะชิงหลงไม่น่าจะเป็นคนที่ปล่อยสถานการณ์ดำเนินไปเฉย ๆ แบบนี้ ยิ่งเหตุการณ์เรียบร้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีคลื่นใต้น้ำมากเท่านั้น ชิงหลงจึงมักจะมีแผนการทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นเสมอสำหรับคนนอกที่มีสถานะอยู่ในกำมือของตนเอง

   “เมื่อกี้ พวกคุณเล่นหมากรุกกันอยู่หรือครับ?” เนื่องจากการทิ้งช่วงความเงียบทำให้โจเซตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูดเสีย

   “ใช่ครับ ผมเพิ่งได้มาเมื่อวันก่อนนี้เอง”

   “ถ้าอย่างนั้น ลองเล่นกับผมหน่อยไหม? ผมไม่ได้เล่นมานานแล้วกลัวฝีมือจะตกไปซะก่อน”

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเจื่อน

   “ผมเล่นไม่เก่งหรอกนะครับ”

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือเสียว่าเล่นกระชับมิตร” โจเซจงใจเน้นประโยคหลัง เพื่อให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเขาต้องการผูกสัมพันธ์จริง ๆ แล้วหันไปหาคิมหันต์ “ค.....อา....เอสตาเต ช่วยหยิบกระดานหมากให้ทีได้ไหม? ฉันจะเล่นกับคุณมินเสียหน่อย”

   คิมหันต์ขมวคคิ้วนิด ๆ เขารู้สึกว่าโจเซพูดกับตนเอง แต่ชื่อที่ใช้กลับไม่ใช่ของเขา ไม่ใกล้เคียงเลยด้วยซ้ำ จะว่าเรียกผิดสำเนียงก็ไม่ใช่

   “หมายถึงผมหรือครับ?” เขาจำต้องถามซ้ำให้แน่ใจ

   “ชื่อของเธอมันเรียกยากนี่นา เอสตาเตในภาษาอิตาเลี่ยนหมายถึงฤดูร้อน น่าจะใช้แทนชื่อของเธอได้นะ” โจเซว่าพลางหัวเราะเมื่อเห็นคิมหันต์ทำสีหน้าแปลก ๆ

   “ทราบแล้วครับ” แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร เพียงแค่รับคำสั้น ๆ แล้วเดินไปหยิบกระดานหมากที่ตนเองเพิ่งเก็บไปเมื่อครู่กลับมาวางบนโต๊ะตัวเดิม พร้อมกับตัวหมากทั้งหมด โจเซเลื่อนหมากสีขาวไปให้เซินหมิงเฟิ่ง เป็นการแสดงว่าจะเพลามือให้โดยให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มเดินก่อน

   ทั้งสองจัดเรียงหมากทั้ง 16 ตัวลงในกระดานของฝั่งตัวเอง ก่อนที่เซินหมิงเฟิ่งจะเริ่มเดินเบี้ยไปด้านหน้าสองก้าว

   “คุณมินเคยเล่นหมากรุกจีนหรือเปล่าครับ” โจเซถามขณะเลื่อนเบี้ยไปด้านหน้า

   “หมากรุกจีน...ผมแค่เคยเห็นคนเล่น แต่เล่นเองไม่เป็นหรอกครับ ผมรู้สึกว่ากลยุทธ์มันเยอะเกินไปจนผมเวียนหัว ซ้ำยังมีกติกายิบย่อยอีก” เซินหมิงเฟิ่งว่า “แต่ผมเล่นเว่ยฉีพอได้บ้าง”

   “เว่ยฉี?”

   “อา....หมากล้อมน่ะครับ ภาษาจีนเรียกแบบนั้น”

   “ผมคิดว่าหมากล้อมดูพลิกแพลงมากกว่าหมากรุกจีนอีกนะครับ” โจเซหัวเราะเมื่อนึกถึงหมากกระดานที่พาให้ลายตา ชิงหลงเคยนำมาจากฮ่องกงและชวนเขาเล่น เขาต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเข้าใจกติกาของมันทั้งหมดได้ แต่ก็ยังไม่เคยเอาชนะชิงหลงได้เสียที ยิ่งพอโตขึ้นพวกเขาก็ไม่ค่อยได้พบกัน เขาจึงร้างราจากเกมกระดานชนิดนั้นไปเลยจนแทบจะเล่นไม่ได้แล้ว

   “แต่ว่า คนทางตะวันตกรู้จักมากกว่าก็เลยพอมีโอกาสได้เล่นมากกว่าน่ะครับ”

   “มันก็จริงอย่างคุณว่า” ชายหนุ่มผมทองพยักหน้า “น่าเสียดายที่ผมไม่ค่อยมีโอกาส”

   “ถ้าผมมีโอกาสผมจะสอนคุณก็แล้วกัน” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วหัวเราะ เพราะในใจเขารู้ดีว่าตนเองคงจะไม่ได้ทำตามสิ่งที่พูดออกไป โจเซกับเขาได้เจอกันก็เพราะชิงหลงพาเขามาที่นี่ แต่เดิม จูเชว่ไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรกับมาเฟียฝั่งยุโรปอยู่แล้ว ดังนั้นหากเขาสามารถเดินออกไปจากเงื้อมมือของชิงหลงได้เมื่อไหร่ ทั้งโจเซ และทุกสิ่งที่พูดเอาไว้ที่นี่ก็คล้ายจะกลายเป็นโมฆะทันที

----------------------->

   ชิงหลงเดินออกมาจากอาคารสูงแห่งหนึ่งโดยมีคนเดินตามออกมาส่งเป็นกลุ่ม คนที่อยู่หน้าสุดเป็นชาวยุโรปรูปร่างไม่สูงมากนักและมีเชื้อสายละติน เขาจับมือกับชิงหลงอย่างพึงพอใจก่อนจะส่งชายหนุ่มจากฮ่องกงขึ้นรถไปแล้วจึงเดินกลับเข้าตึก

   เพราะไหน ๆ ก็เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว ชิงหลงจึงไม่อยากเสียเวลาเปล่า ๆ ไปกับการนั่งเฝ้าเซินหมิงเฟิ่งเท่านั้น เขาจึงเดินทางไปหาคนที่เป็นคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อพบปะและแสดงความเอาใจใส่ต่ออีกฝ่าย ซึ่งจะมีผลดีต่อการประสานงานและทำธุรกิจกันต่อไปในภายภาคหน้า คนที่เขามาพบวันนี้ก็นับเป็นคู่ค้ารายใหญ่ของเขาซึ่งมีสาขาอยู่ที่แผ่นดินใหญ่ ญี่ปุ่น และประเทศเล็ก ๆ ในเอเชียรวมถึงเกาะฮ่องกง เจ้าตัวเป็นคนไม่เรื่องมากและพูดคุยง่าย มีเหตุมีผล ชิงหลงจึงพึงพอใจที่จะทำงานด้วยและมักจะมาพบทุกครั้งที่เดินทางมาที่อิตาลี

   แต่อีกเหตุผลที่ชิงหลงเดินทางออกมาข้างนอกทุกวันไม่ใช่เพียงเพื่อพบปะสนทนากับคู่ค้าเท่านั้น เขายังคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติด้วย

   หลายวันมาแล้ว นับแต่เขามาถึงฮ่องกงก็ว่าได้ มีบุคคลกลุ่มหนึ่งคล้ายกำลังจับตาดูพวกเขาอยู่ทุกฝีก้าว กระทั่งในวันนี้เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงรถที่ตามเขาอยู่ไม่ห่าง แต่ก็ทิ้งระยะจนไม่ผิดสังเกต เขาเองหากไม่จับจ้องดี ๆ ก็อาจจะคิดว่าเป็นรถที่ขับไปทางเดียวกันเฉย ๆ เรียกว่าติดตามแบบมืออาชีพจริง ๆ

   “ฉันจะแวะที่อื่นก่อน ยังไม่ต้องกลับโรงแรม” เขาสั่งคนขับรถแล้วบอกสถานที่ไป

   เมื่อได้รับคำสั่ง รถก็เปลี่ยนเส้นทางออกถนนอีกสาย และเป็นจริงดังที่คาด รถคันนั้นขับตามออกเส้นทางมาจริง ๆ ทั้งที่ตอนแรกไม่มีท่าทีว่าจะเลี้ยวเลย

   สิ่งที่เขาอยากจะแน่ใจในตอนนี้ก็มีเพียงเท่านี้

   “กลับโรงแรม”

   “เอ๋? ครับ?” เพราะคำสั่งที่ขัดกับตอนแรกอย่างสิ้นเชิงทำให้คนขับรถงงงวยว่าตนเองควรจะทำอะไร

   “พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่าเอาไว้วันหลังจะดีกว่า” ชิงหลงไม่คิดอธิบายอะไรให้มากความ เขาตัดบทสั้น ๆ แต่เพิ่มคำสั่งใหม่เข้าไป “ไม่ต้องเข้าถนนเส้นเดิม ขับอ้อมไปดีกว่า ฉันอยากจะชมเมือง” ทั้งที้ทั้งนั้น เพื่อไม่ให้รถที่ตามมารู้สึกผิดสังเกตที่หักออกจากถนนเส้นหลักแล้วยังขับวนกลับไปอีก เขาจึงจงใจทำให้ดูเหมือนว่าตนเองอยากจะชมทิวทัศน์ของเมืองจึงขับรถอ้อมเส้นทางจะดีกว่า

   คนขับรถแม้จะรู้สึกสงสัย แต่หน้าที่ที่เขาได้รับจากดอนมอเรสซาเรคือการทำตามคำสั่งชิงหลง เขาจึงไม่ได้ถามอะไรออกมาและกระทำตามตามคำสั่งทุกอย่าง ด้วยการขับรถไปตามปกติและวนรอบ ๆ เมืองไปเรื่อย ๆ ให้ผู้โดยสารได้ดูสถานที่ต่าง ๆ

   ตัวชิงหลงเองนั้น สายตาก็ไม่ได้มองไปนอกหน้าต่างเปล่า ๆ เขาลอบสังเกตรถคันนั้นจากกระจกด้านข้างรถแทบตลอดเวลา

   คำถามต่อมาที่เขาต้องการคำตอบคือ...

   เป็นคนของใคร...

------------------------->

   หลังจากวนรอบเมืองจนชิงหลงพอใจแล้ว รถก็พากลับมาที่โรงแรม

   การ์ดจำนวนหนึ่งลงมารับที่ชั้นล่างเมื่อมีการโทรบอกว่าชิงหลงกลับมาถึงแล้ว

   “วันนี้ดอนมอเรสซาเรมาขอพบครับ” การ์ดคนหนึ่งรายงานขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ ชิงหลงเลิกคิ้ว ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะมาวันนี้

   “แล้วตอนนี้อยู่ไหน?”

   “อยู่ในห้องของคุณเซินครับ”

   “อ้อ....” ชิงหลงทอดเสียงเหมือนคาดการณ์ไว้แล้ว ก่อนหน้านี้โจเซเคยบอกเขาว่าต้องการเข้าหาเซินหมิงเฟิ่งอย่างอิสระ และเขาก็ออกปากอนุญาตเพื่อให้โจเซเลิกถือสาเอาความกับเขาที่พาทายาทมาเฟียอีกคนเข้ามาในเขตของมอเรสซาเร

   ชิงหลงเปิดประตูเข้าไปในห้อง และได้เห็นโจเซกับเซินหมิงเฟิ่งกำลังประลองหมากรุกกันอย่างจริงจัง หรือหากพูดอีกอย่าง มีเพียงเซินหมิงเฟิ่งที่ดูจริงจัง เจ้าตัววางสีหน้าเคร่งเครียดขณะจับจ้องกระดานหมากอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้างกระดานมีหมากบางตัวที่ถูกดึงออกจากตารางมาวางเอาไว้ อีกฝั่งหนึ่ง โจเซนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางสบาย ๆ ทอดสายตาทอยิ้มมองดูกระดานอย่างพึงพอใจอย่างที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เซินหมิงเฟิ่งถูกโจเซเล่นเข้าให้แล้ว เจ้าตัวชอบบอกใครต่อใครว่าเล่นหมากกระดานฝีมืองั้น ๆ แต่ความจริงกลยุทธ์ที่โจเซถนัดคือการเปิดทางให้ดูแพ้ทางก่อนจะค่อยๆไล่ต้อนให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างช้า ๆ

   ชายหนุ่มเดินเข้าไปแล้วยืนมองกระดานอยู่ห่าง ๆ หากสายตาของเขาดีพอ เซินหมิงเฟิ่งหมดทางชนะโดยสิ้นเชิงเพียงแต่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น

   “อ้าว กลับมาแล้วหรือ?” โจเซเป็นคนแรกที่เงยหน้าขึ้นมาเห็นชิงหลง อาจเพราะเขาไม่ได้ใช้สมษธิกับเกมมากนัก จึงยังสามารถรับรู้ถึงการมาเยือนของบุคคลอื่นได้อยู่ ในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งด่ำดิงสู่เกมกระดานอย่างสิ้นเชิงและไม่รู้ถึงการมีตัวตนของชิงหลงเลยจนกระทั่งได้ยินเสียงโจเซ

   “สนุกหรือเปล่า?” ชิงหลงถามเสียงเรียบ สายตาเจ้าตัวบ่งบอกถึงการรู้ผลแพ้ชนะล่วงหน้าอย่างชัดเจน

   “สนุกมากเลยล่ะ คุณมินฝีมือดีทีเดียว ฉันเกือบพลาดท่าตั้งหลายครั้ง” โจเซพูดด้วยน้ำเสียงสนุกสนานและจงใจแสดงความรู้สึกโล่งอกเล็ก ๆ ให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกดีไปด้วย

   “ขอบคุณมากนะครับที่สละเวลา” เซินหมิงเฟิ่งลุกขึ้นเมื่อโจเซยันตัวขึ้นจากเก้าอี้

   “ไม่เป็นไร แต่ดูเหมือนผมจะต้องไปแล้ว แล้วพบกันใหม่นะครับ” โจเซจับมือกับเซินหมิงเฟิ่ง เป็นจังหวะพอดีที่คิมหันต์เข้ามาในห้อง

   “ไปไหนมา?” ชิงหลงมุ่นคิ้วถาม เพราะเขาสั่งให้คิมหันต์อยู่ข้างตัวเซินหมิงเฟิ่งตลอดเวลา แต่ตอนเขากลับมาเขากลับไม่เห็นอีกฝ่ายเลย

หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-01-2012 16:34:41
   “ดอนมอเรสซาเรสั่งให้ผมลงไปซื้อกาแฟครับ” คิมหันต์ตอบตามตรงและรู้ว่าตนเองมีความผิดที่ไม่ยอมทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด “ขอโทษด้วยครับท่านชิงหลง”

   ชิงหลงได้ฟังดังนั้นก็หันไปหาโจเซที่ยังยืนหน้าเป็นอยู่ข้างตัว

   โจเซเห็นว่าตอนนี้โทษมาตกกับตนเองก็ทำสีหน้าสบาย ๆ แล้วสวมแว่นกันแดดก่อนจะเดินไปรับแก้วกาแฟ

   “ขอบใจนะเอสตาเต” เขาจิบอึกหนึ่งแล้วหันมาหาชิงหลง “เอาเถอะน่า ฉันอยู่ตรงนี้ทั้งคนกับการ์ดของนายอีกเป็นขบวน ให้เอสตาเตออกไปดูโลกภายนอกบ้างจะเป็นไรไป”

   “จำได้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องของนายนะ”

   โดยสวนเข้าไปแบบนี้ โจเซก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเดินมาคล้องคอชิงหลง

   “นายเองก็อยากรู้ไม่ใช่หรือไงว่าเขาจงรักภักดีกับนายจริงหรือเปล่า” ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่กระซิบเบา ๆ ด้วยรอยยิ้มสบาย ๆ

   “นายก็เลยปล่อยให้เขาออกไปเดินเล่น?” ชิงหลงเลิกคิ้ว ความจริงเรื่องที่คิมหันต์ออกไปข้างนอกตามคำสั่งโจเซนั้นเขาไม่ได้ถือโกรธอะไรอยู่แล้ว เพียงแต่เขาสงสัยว่าทำไมโจเซถึงต้องเจาะจงคิมหันต์ทั้งที่การ์ดตัวเองก็มีให้ใช้งานอยู่ และยังการ์ดของเขาอีก

   “ไม่เสียหายอะไรนี่” โจเซไหวไหล่ “เอาล่ะ ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไว้คราวหน้าฉันจะมาตอนนายอยู่ที่ห้องแล้วกันนะ” หลังจากพูดจบ เจ้าตัวก็เดินออกไปทันที ตอนี้จึงเหลือคิมหันต์กับเซินหมิงเฟิ่งอยู่ในห้อง และชิงหลงซึ่งกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างเพียงลำพัง แต่ความคิดนั้นก็พลันแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อเสียงของเซินหมิงเฟิ่งแทรกเข้ามาในห้วงความคิดโดยไม่ได้รับเชิญ

   “คุณเลิกถือโทษคิมหันต์ได้แล้ว เขาแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้นเอง”

   “ผมจำได้ว่านั่นไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะมาตัดสิน” ชิงหลงตอบกลับเสียงเรียบนิ่ง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งชักสีหน้าไม่พอใจทันที แต่ก็ตอบโต้อะไรออกไปไม่ได้

   ชิงหลงปรายสายตาไปยังกระดานหมาก ก่อนจะเดินไปนั่งลงตรงฝั่งที่โจเซนั่งก่อนหน้านี้

   “คุณจะแก้เกมให้ผมหรือไงกัน?” เซินหมิงเฟิ่งเห็นเข้าก็อดถามไม่ได้

   “เรื่องนั้นคงยาก เพราะจากที่ผมเห็น คุณไม่มีทางเอาชนะได้เลย และอีกแค่ 5 ตาเดินคุณก็แพ้แน่แล้ว” โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมากมาย ชิงหลงก็บรรยาออกมาเสร็จสรรพทำให้ผู้ฟังถึงกับสะอึกเพราะแน่ใจว่าตนเองน่าจะพอพลิกกระดานได้บ้าง หากมองจากจำนวนหมาก เขาเองก็มีมากกว่าแท้ ๆ

   “คุณอาจจะมองผิดก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ ทำท่าจะเดินต่อแต่ชิงหลงกลับยกมือปรามแล้วกวาดหมากทั้งหมดออกจากกระดาน

   “คุณต่างหากที่มองผิด โจเซเล่นหมากรุกเป็นงานอดิเรกมาตั้งแต่เด็ก ดอนมอเรสซาเรคนก่อนเป็นคนสอนมากับมือ คุณคิดว่าเขามีฝีมือเท่าเด็กประถมหรือ?” ชิงหลงว่าไปก็เรียงหมากลงบนกระดานทีละช่องทั้งฝ่ายดำและขาวจนทั้งหมดอยู่ในตำแหน่งเริ่มต้น ฝ่ายขาวอยู่ในมือเซินหมิงเฟิ่งเหมือนกับที่โจเซจัดไว้ตอนแรก “คุณคงรู้กติกานะ เชิญเดินก่อนตามสบาย”

   เซินหมิงเฟิ่งหรี่ตาลง

   “คุณจะสอนผมเล่น?”

   “เปล่า ผมจะเล่นให้คุณดู”

   คำพูดของชิงหลงน่าหมั่นไส้แบบแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่รู้จะตอบโต้อะไร ในที่สุดจึงเลื่อนเบี้ยตัวหนึ่งขึ้นบนสองช่องดังที่เล่นเป็นปกติ

   “โจเซคงบอกคุณว่าเขาไม่ค่อยได้เล่นเลยอยากขัดเกลาฝีมือ” ชิงหลงว่าพลางเลื่อยเบี้ยไปด้านหน้า
   “ครับ...”

   “เขาก็บอกผมแบบนั้นเหมือนกัน ตอนเจอกันครั้งแรก” ชายหนุ่มคิดไปถึงสมัยเด็กที่เดินทางมาอิตาลีและได้เจอลูกพี่ลูกน้องตัวเอง ฝ่ายนั้นชวนเขาเล่นหมากรุกซึ่งตัวเขาไม่เคยเล่นมาก่อน ตอนอยู่ฮ่องกงเขาเล่นแต่หมากรุกจีนกับหมากล้อมกับพ่อเท่านั้น

   “....แล้ว...เป็นยังไงบ้าง?” เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกแปลกที่อยู่ ๆ ชิงหลงก็มานั่งตรงหน้าเขา และพูดคุยสัพเพเหระทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกเขาแทบจะไม่ได้เผชิญหน้ากันตรง ๆ เลยสักครั้ง

   “เขาชนะขาดลอย” ชิงหลงไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม เป็นที่แน่นอนว่าเขาแพ้ และโจเซชนะ ส่วนรายละเอียดที่ว่าเขาถูกไล่ต้อนเหมือนหมาป่าต้อนกระต่ายนั้นคงไม่จำเป็นต้องพูดถึง โจเซนิสัยเสียแบบนั้นมาแต่ไหนแต่ไร แม้แต่อเล็กซานโดรยังว่าไว้เช่นนั้น

   เซินหมิงเฟิ่งเงียบไปเล็กน้อย เขากำลังพิจารณาหมากบนกระดานว่าควรจะเดินตัวไหนก่อนจะเลือกขยับม้าออกมาเพราะม้าเดินได้พลิกแพลงกว่าตัวอื่น ๆ

   “แล้วคุณทำยังไง? คนอย่างคุณคงไม่ยอมให้เขาชนะเฉย ๆ แบบนั้นแน่ แล้วยังรู้ว่าเขาจงใจเอาเปรียบคุณด้านประสบการณ์ด้วย” แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักชิงหลงดีนัก แต่เขาก็พอมองคนเป็น คนอย่างชิงหลงคงจะคิดแผนการเอาคืน  ไม่มีทางยอมถูกเอาเปรียบอยู่ฝ่ายเดียวเป็นแน่

   “ครั้งถัดมาที่ผมมาอิตาลี ผมท้าเขาเล่นเว่ยฉี”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

   “คุณใจร้ายกับเขาเอาเรื่องเลยนะครับ” เว่ยฉีหรือหมากล้อมเป็นเกมที่อาศัยกลยุทธ์หลายอย่าง ใช่สักแต่รู้กติกาก็จะเล่นชนะได้ การที่ชิงหลงชวนโจเซเล่นเกมนี้แสดงว่าจงใจจะบอกให้รู้ว่าตนเองเหนือกว่าอย่างทาบไม่ติด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชิงหลงชนะในเกมนั้น

   “ก็แค่ตอบแทนสิ่งที่เขาทำ” ชิงหลงกล่าวขณะดันเรือออกมาจากจุดเริ่มของมัน

   หลังจากการสนทนาเรียบง่ายไม่กี่ประโยค ทำให้เซินหมิงเฟิ่งสรุปนิสัยชิงหลงในใจได้อย่างคร่าว ๆ ว่า เป็นคนไม่ยอมคน แม้ภายนอกจะดูเรียบเฉยคล้ายไม่ใส่ใจอะไรมากนัก แต่จริง ๆ แล้วเหมือนจะเจ้าคิดเจ้าแค้นมากกว่าที่เห็นหลายเท่า หากถูกกระทำเมื่อไหร่ก็พร้อมจะตอบโต้กลับไปอย่างสาสม ผู้ชายคนนี้นับว่าเป็นคนที่อันตรายกว่าที่เขาคิดไว้ เพราะเจ้าตัวแทบจะไม่แสดงออกด้านอารมณ์ทางสีหน้าเลย ดังนั้นจึงไม่อาจรู้ได้ว่าขณะนี้ ชิงหลงกำลังคิดอะไรอยู่ หรือกำลังวางแผนอะไรไว้ ไม่รู้กระทั่งว่าสิ่งที่ตนเองทำในตอนนี้ ฝ่ายนั้นจะนำกลับไปคิดบัญชีหรือไม่ มิน่าเล่า พวกการ์ดถึงได้ดูกริ่งเกรงเจ้านายคนนี้นัก ไม่ใช่แค่เพียงตำแหน่งที่ชิงหลงถือครอง แต่ทั้งบุคลิกลักษณะ รวมถึงวิธีการคิดตัดสินใจล้วนแต่ทำให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงทั้งสิ้น

   ระหว่างที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังคิดอยู่นั้น เบี้ยสีขาวก็ถูกนำออกไปจากกระดาน และตาเดินต่อมา ม้าของเขาตัวหนึ่งก็ถูกนำออกไปเช่นกัน

   เซินหมิงเฟิ่งเผลอหายใจกระตุก ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะรุกใส่เร็วถึงขนาดนี้ ตอนที่เขาเล่นกับโจเซ เขาเป็นฝ่ายได้กินตัวแรกก่อนด้วยซ้ำไป และไม่เคยถูกกินสองตัวติดกันแบบนี้มาก่อนเลยตั้งแต่เขาเคยเล่นมา กระทั่งตอนเล่นกับเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนในอังกฤษก็ตาม

   การเสียม้าไปตัวหนึ่งอย่างรวดเร็วทำให้เซินหมิงเฟิ่งหยุดการสนทนาและเพ่งสมาธิกับกระดานมากขึ้น เขาเดินบิชอปออกมาดักหน้าเพื่อไม่ให้มีการรุกเข้าใกล้คิงมากกว่านี้ ชิงหลงเดินเบี้ยหลบหลีกโดยไม่แยแสว่าบิชอปตัวนั้นอาจจะกินเรือของตนเองเข้าไป

   “ไม่ต้องใจร้อนหรอก ผมไม่ได้รีบไปไหน” ชิงหลงพูดเหมือนเย้า แต่อารมณ์เซินหมิงเฟิ่งตอนนี้จดจ่อแต่กับกระดานหมากจนไม่ได้สนใจฟัง

   ชิงหลงเงยหน้าขึ้นไปหาคิมหันต์

   “รินน้ำให้ฉันหน่อย” เขารู้สึกคอแห้งขึ้นมาเพราะไม่ได้ดื่มน้ำมาหลายชั่วโมงแล้ว

   คิมหันต์เดินไปทำตามคำสั่งในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งเริ่มเดินต่อ ชิงหลงหันกลับไปเลื่อนตัวหมากโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมาก เหมือนกับว่าเจ้าตัวคิดล่วงหน้าเอาไว้แล้ว ท่าทางการเดินแบบนั้นยิ่งทำให้เซินหมิงเฟิ่งกดดันมากขึ้น โจเซไม่ได้กดดันเขาเลยในช่วงต้นเกม พวกเขาเล่นกันแบบสบาย ๆ จนกระทั่งถึงช่วงท้าย ๆ ที่เขาไม่รู้จะเดินตัวไหนถึงจะเข้าหาคิงได้ง่ายที่สุด แต่ชิงหลงกลับกดดันเขาแบบไม่ยอมละเว้นให้สักตาเดียว หมากเขาเสียไปแล้วสองตัว ซ้ำหนึ่งในนั้นไม่ใช่เบี้ยธรรมดาแต่เป็นม้า

   ในที่สุดเซินหมิงเฟิ่งก็ตัดใจกินเรือที่ยืนยั่วน้ำลายอยู่นานสองนาน พอดีกับจังหวะที่คิมหันต์นำน้ำมาเสิร์ฟให้ชิงหลงและเซินหมิงเฟิ่งคนละแก้ว

   หลังจากนำเรือสีดำออกไปจากกระดานแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็โล่งใจได้ไม่นาน เพราะบิชอปของเขาถูกเบี้ยที่ดักรออยู่กินไปทันที

   เซินหมิงเฟิ่งถึงกับพูดไม่ออกกับความสะเพร่าของตนเองที่ลืมมอง ซ้ำยังถูกเบี้ยกินอีก เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าอัปยศอย่างที่สุด

   ชิงหลงจิบน้ำอย่างสบายใจ มองดูตาเดินที่คาดการณ์ไว้ได้อีกหลายอย่าง

   ในที่สุดเซินหมิงเฟิ่งจึงเปลี่ยนกลยุทธ์โดยเล่นเกมให้ช้าลง เขาเอาเบี้ยนำเปิดทางแล้วค่อยนำหมากใหญ่ที่เหลือประกบคิงไว้ ใช้ม้าและบิชอปออกมาเป็นทัพหน้า แต่ชิงหลงก็เหมือนไม่สะทกสะท้าน เจ้าตัวยังคงเดินหมากอย่างช้า ๆ ไม่เร่งร้อนและไม่แสดงอาการร้อนใจ

   และเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เกมก็จบลงโดยที่หมากบนกระดานของชิงหลงแทบจะไม่เสียตัวใหญ่ไปเลย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เขายอมเสียตัวใหญ่บางตัวเพื่อเปิดทางให้เบี้ยเดินไปจนสุดกระดานและกลายเป็นควีนตัวใหม่ซึ่งใช้ประโยชนืได้คุ้มค่ากับหมากที่เสียไป ส่วนฝั่งของเซินหมิงเฟิ่ง นอกจากจะเสียหมากไปเกือบหมดกระดานแล้ว คองยังถูกต้อนให้จนมุมไม่เหลือที่ให้เดิน ไม่ว่าขยับไปตรงไหน คำว่า ‘รุกฆาต’ ก็จะดังขึ้นทันที จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสียเวลาเล่นให้จบเกมอีก

   “คุณโกหกผมแน่ ๆ”

   ชิงหลงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำประท้วง

   “ผมโกหกอะไร?”

   “คุณบอกว่าคุณโจเซเก่งมากจนคุณเอาชนะไม่ได้ แต่ตอนที่ผมเล่นกับคุณโจเซ เขาไม่ได้ไล่ผมจนจนตรอกแบบนี้เลย ผมยังพลิกเขาได้หลาย ๆ ครั้ง” เซินหมิงเฟิ่งขมวดคิ้วแล้วจ้องมองเข้าไปในดวงตาของชิงหลงซึ่งไม่ได้แสดงอะไรออกมาให้ผิดสังเกตเลย

   “คุณอ่อนหัดกว่าที่ผมคิดไว้ คุณเซิน”

   อยู่ ๆ ถูกต่อว่ากลับมาแบบนี้ ชายหนุ่มก็ถึงกับผงะ การที่เขาเล่นหมากรุกได้ไม่ดี ถึงกับกลายเป็นคนอ่อนหัดไปเลยหรือ?

   “การเป็นคนเก่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเปิดเผยออกมาทั้งหมดในคราวเดียว แต่การที่เขาควบคุมเกมให้เป็นไปได้ตามต้องการ ทำให้คุณคิดว่าเขาออมมือให้ และไล่ต้อนคุณจนพบกับความพ่ายแพ้โดยไม่รู้ตัว นั่นแหละคือสิ่งที่ผมเรียกว่าเก่ง หากให้เขาเอาจริง คงเอาชนะได้โดยที่คุณยังไม่ทันขยับคิงเสียด้วยซ้ำไป” ชิงหลงกล่าวตอบทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนโดนสั่งสอนอยู่กลาย ๆ และในนาทีต่อมา ความรู้สึกชาวูบจากปลายเท้าก็ปรากฏอย่างช้า ๆ เมื่อเขาตระหนักว่าหากเอาปัญญาที่เล่นหมากรุกไปใช้ในโลกจริงล่ะจะเกิดอะไรขึ้น...

   คนที่สามารถควบคุมหมากบนกระดานได้ทั้งหมดทั้งของตนเองและฝ่ายตรงข้าม...

   เซินหมิงเฟิ่งอดเหลือบตามองชิงหลงไม่ได้

   หมากรุกสากล ชิงหลงอาจแพ้โจเซก็จริง แต่หมากล้อม โจเซก็เอาชนะชิงหลงไม่ได้ นั่นอาจหมายความว่าคนทั้งสองอันตรายแทบจะพอ ๆ กัน บางที วิธีเดียวที่จะเอาชนะสองคนนี้ได้คือทำให้แตกคอกันเอง แต่ปัญหาก็คือ สมองของเขาในตอนนี้คิดเรื่องแบบนั้นไม่ออกเลย!

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 11-01-2012 21:08:53
การดำเนินเรื่องนี้ คงเหมือนชิงหลง ดูเฉย ๆ เรื่อย ๆ แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความลับและที่สำคัญ คือ คาดเดาอะไรไม่ได้
คนอ่านก็เหมือนอาหมิง ที่ยังเดาสถานการณ์อะไรไม่ถูก ไม่รู้เบื้องลึก เบื้องหลัง
ฉนั้นคนอ่านและอาหมิง จึงต้องมาสืบหาความเป็นไปพร้อม ๆ กันสินะ   :a5:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: davina ที่ 11-01-2012 21:52:03
ชอบการบรรยายของเรื่องนี้จริงๆ สุดยอดมาก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 15-01-2012 12:16:48
โจเซกับชิงหลงเล่นเก่งจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 15-01-2012 12:34:24
ตอนแปดแล้วแต่ยังเหมือนไม่รู้อะไรกันเลย
เฮือกก ลุ้นกันต่อไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: thanagorn ที่ 15-01-2012 19:08:43
พาไปล่องเรือชมเมืองเส้นมักกะโรนี :laugh:และสวมแหวนใต้เงาสะพาน.....อัยย่า...อิอิ : :n1:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Jacknight ที่ 15-01-2012 20:56:57
จะครบสิบตอนแล้วง่ะ แต่ทำไมยังมีเงื่อนงำไม่หายซะทีน้อ...
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 16-01-2012 20:39:41
เข้มข้นตั้งแต่ต้นเรื่องเลย แต่งสนุกเหมือนเดิมเลยค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 8 (11/01/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nuttinee_k ที่ 04-02-2012 22:27:32
 o18 เข้ามาส่องรอบที่ 3 แร้ววว   :z3: 

รอต่อปายยย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 07-02-2012 17:22:44
-9-


ชิงหลงนั่งอยู่ในห้องพักของโรงแรม ชายคนหนึ่งยื่นเอกสารให้เขาอย่างเงียบงันและค่อย ๆ ถอยออกไปยืนห่าง ๆ เขาจึงเปิดซองเอกสารออกแล้วอ่านสิ่งที่อยู่ข้างในโดยไม่เร่งร้อน

“เราควรบอกเรื่องนี้กับดอนมอเรสซาเรไหมครับ” การ์ดคนหนึ่งกระซิบถามขึ้น

“เอาไว้ก่อน” ชิงหลงว่า

“แต่ว่าพวกนี้เป็นคนของ....”

ก่อนที่อีกฝ่ายจะได้พูดต่อ สายตาคมปลาบก็ตวัดมองให้เงียบสนิท ชิงหลงเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะเหมือนกำลังครุ่นคิด บางทีโจเซคงไม่ชอบในสิ่งที่เขาคิดจะทำเท่าไหร่นัก ยิ่งการวางแผนโดยไม่บอกไม่กล่าวอีกฝ่ายอย่างนี้ แต่เอาเถอะ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะชอบหรือไม่ เขาก็คิดว่าจำเป็นต้องทำ ไม่อย่างนั้นคงต้องทนกับอาการกระด้างกระเดื่องและความพยายามที่จะหลบหนีในอนาคตเมื่อเซินหมิงเฟิ่งตั้งตัวติดอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นที่เขาอยากจะจัดการให้แน่ใจอีก

“เก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน” เขาตัดสินใจ “เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉันจะบอกกับเขาเอง ตราบใดที่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ทางนั้นก็ต่อว่าฉันไม่ได้หรอก” แม้ชิงหลงจะพูดแบบนั้น แต่ในความเป็นจริงมันอาจไม่ง่ายดายอย่างที่คิด เพราะหากโจเซหรืออเล็กซานโดรระแคะระคายแม้แต่น้อย เขาอาจถูกต่อว่าอย่างรุนแรงที่ข้ามหัวเจ้าถิ่นก็เป็นได้ และถึงจะเป็นญาติเขาก็อาจเสียความร่วมมืออันดีของมอเรสซาเรไป

“แล้วเราจะทำยังไงต่อไปครับ?”

เมื่อมีคนถามขึ้นมาเช่นนั้น ชิงหลงก็เอนตัวประสานมือไว้บนตัก


“ฉันจัดการเอง”

หากชิงหลงพูดเช่นนั้นแล้วคงไม่มีใครขัดได้ เจ้าตัวบอกจะจัดการเองนั่นหมายความว่าต้องการให้คนอื่นปิดหูปิดตาไม่ยุ่งเกี่ยว

ทุกคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างมองหน้ากันไปมาก่อนจะทยอยออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อชิงหลงไม่มีคำสั่งอะไรออกมาอีก และทำเพียงแค่นั่งนิ่งไม่ไหวติงคล้ายกำลังใช้ความคิด

หากแผนนี้สำเร็จด้วยดี เรื่องน่ารำคาญใจคงลดลงไปมาก...

------------------------>

“ว้าว...ร้านของคุณหลางจัดแต่งได้สวยมากเลยค่ะ” ซากุระอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อก้าวเท้าเข้ามาในร้านขายเครื่องประดับย่านกลางเมือง เธอได้รับเชิญให้มาถึงที่นี่ทั้งที่อยู่ห่างจากบ้านมากและมีร้านเครื่องประดับมากมายเรียงรายในบริเวณที่อาศัยอยู่กระทั่งในห้างสรรพสินค้า ถึงอย่างนั้นซากุระก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะมา เพราะร้านนี้เป็นร้านเครื่องประดับที่หลางเมี่ยวอินทำงานอยู่และเจ้าตัวเป็นคนเชิญเธอด้วยตัวเอง

“ชอบหรือเปล่าคะ คุณมินาโมโตะ?” หลางเมี่ยวอินเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม วันนี้ใบหน้าของเธอแต่งเติมด้วยเครื่องสำอางค์มากกว่าวันที่พบกันครั้งแรก เพราะในเวลาทำงานเธอจำเป็นต้องแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูเข้ากับสินค้า ยิ่งทำงานเกี่ยวกับสินค้าที่ส่งเสริมความงามแบบนี้ด้วยแล้ว

“ชอบสิคะ ฉันยังไม่เคยเห็นร้านไหนตกแต่งได้พอเหมาะพอเจาะแบบนี้มาก่อนเลย แม้แต่ในญี่ปุ่นก็ยังหายาก” ซากุระเดินมองเครื่องเพชรในตู้กระจก “ดีไซเนอร์ของคุณก็รสนิยมดีนะคะ แต่ละแบบดูร่วมสมัยแล้วก็เหมาะกับทุกเพศทุกวัยทั้งนั้นเลย”

“ความจริงแล้ว ฉันเพิ่งเปลี่ยนตัวดีไซเนอร์ไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ แล้วก็ตกแต่งร้านใหม่ด้วย จะมีใครเข้าใจผู้หญิงได้เท่ากับผู้หญิงจริงไหมล่ะคะ” หลางเมี่ยวอินยิ้มขณะพูดเช่นนั้น การตกแต่งของร้านนี้เธอจงใจให้ออกแบบเพื่อเอาใจลูกค้าที่เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะ และยังเอาใจใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการทำงานของพนักงานในร้านและการสำรวจของลูกค้าด้วย ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุนั้น พนักงานในร้านหลายคนจึงเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ท่าทางสุภาพ ซึ่งลูกค้าที่มาเป็นกลุ่มผู้หญิงคงจะชอบที่ถูกต้อนรับโดยชายหนุ่มเหล่านี้

“ถ้าฉันจะลองทำธุรกิจด้านนี้ คงต้องขอคำแนะนำจากคุณหลางบ้าง” ซากุระหัวเราะ “จะว่าไป ฉันค่อนข้างชอบเครื่องเงินกับพวกทองคำขาวน่ะค่ะ”

“เงินกับทองคำขาว ทางนี้ก็มีนะคะ” หลางเมี่ยวอินผายมือให้ซากุระเดินไปอีกด้านหนึ่งของร้าน ซึ่งเป็นเครื่องประดับเงินและทองคำข้าวหล่อเป็นรูปมากมาย ส่วนมากจะเป็นรูปคล้ายลายฉลุและเส้นอ่อนช้อยดูสวยงามแบบคลาสสิก บางอย่างก็ประดับเพชนหรือพลอย แต่ส่วนมากจะเป็นเงินเปล่า ๆ ซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่า ส่วนเพชรพลอยมักประกอบกับทองคำ

“คุณหลางทำฉันละลานตาไปหมด จนฉันลืมจุดประสงค์ที่มาที่นี่ไปเลย” หญิงสาวละสายตาจากเครื่องประดับสะท้อนแสงไฟแวววับเหล่านั้นแล้วมองไปยังตู้ที่เป็นแหวน “ที่ฉันบอกว่าอยากจะได้คำแนะนำก่อนหน้านี้ คุณหลางคงยังไม่ลืมนะคะ”

หลางเมี่ยวอินยิ้มรับคำแล้วเดินนำซากุระไปยังตู้ที่มีแต่แหวนแบบต่าง ๆ ทั้งรูปแบบ สินแร่ และการประดับประดา

ก่อนหน้านี้ ซากุระเพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะเข้าหาหลางเมี่ยวอินได้อย่างสนิทสนม ซึ่งหลังจากแลกเปลี่ยนทัศนคติกันอย่างถูกคอแล้ว ซากุระจึงเอ่ยปรึกษาเรื่องแต่งงานขึ้นมา เธอรู้มาว่าหลางเมี่ยวอินคุมร้านเครื่องประดับร้านหนึ่งอยู่ มันจึงเป็นโอกาสดีที่เธอจะได้มีข้ออ้างในการพบปะครั้งต่อไป เธอกล่าวกับหลางเมี่ยวอินว่ารู้สึกหนักใจไม่รู้จะเลือกแหวนอย่างไร และยังเครื่องประดับกับชุดที่จะใช้ในงานอีก แม้ปกติเรื่องพวกนี้ญาติฝ่ายเจ้าสาวจะเป็นคนตระเตรียมร่วมกับญาติฝ่ายเจ้าบ่าว แต่ซากุระไม่มีญาติที่นี่ พ่อของเธอก็คงไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้มากนัก ทางฝ่ายจูเชว่ก็ไม่มีข่าวคราวอะไร เมื่อประกอบข้ออ้างทั้งหมดที่เข้ากันอย่างเหมาะเจาะ ทำให้หลางเมี่ยวอินยินยอมให้ความช่วยเหลือด้วยการเสนอตัวให้คำแนะนำและเลือกเครื่องประดับบางชิ้นให้

“พี่หมิง.....คุณเซินไม่มาด้วยหรือคะ?” หลางเมี่ยวอินเอ่ยถามโดยเปลี่ยนสรรพนามที่ชินปากให้ดูเหมาะสมขึ้น แต่ซากุระกลับหัวเราะตอบเมื่อได้ยิน

“เรียกแบบเดิมเถอะค่ะ มันทำให้ฉันรู้สึกไม่ค่อยเกร็งเท่าไหร่”

หลางเมี่ยวอินยิ้มรับ

“พี่หมิงไม่ว่าหรือ?”

“ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้พบเขาสักระยะแล้วล่ะค่ะ” ซากุระถอนหายใจเบา ๆ “ดูเหมือนว่าหน้าที่ทายาทจูเชว่จะทำให้เขายุ่งพอสมควร แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็ยังไม่เคยได้ติดต่อเลย”

“พี่หมิงนี่แย่จริง ปล่อยให้คู่หมั้นเป็นห่วง แถมยังออกมาเลือกแหวนคนเดียวแบบนี้” หลางเมี่ยวอินบ่นอุบขณะเดินอ้อมไปหลังตู้แล้วหยิบแหวนบางวงออกมา “ถ้าเป็นแหวนแต่งงาน เรียบ ๆ แบบนี้กีเป็นที่นิยมอยู่ ส่วนมากนิยมแหวนทองเรียบ มีบ้างที่สลักข้อความนิดหน่อย”

“ส่วนมากสลักอะไรกันหรือคะ?”

หลางเมี่ยวอินหยุดคิดไปเล็กน้อย

“เป็นข้อความหวาน ๆ ที่ให้ความรู้สึกว่าเป็นคู่กันตลอดไป หรือไม่ก็เป็นคำเรียกอย่าง ‘นางฟ้าของผม’ ราว ๆ นี้ก็มีบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นแหวนที่ฝ่ายชายเซอร์ไพรซ์ฝ่ายหญิงตอนซื้อไปเพื่อขอแต่งงานน่ะค่ะ”
“แต่ของฉันกับคุณเซินไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรซ์แล้วนี่สิคะ” ซากุระว่าแล้วกวาดไปมองวงอื่น ๆ “บางทีทางนั้นคงจะมีแหวนประจำตระกูลอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว พอคิดแบบนั้นฉันก็รู้สึกหมดความตื่นเต้นเสียทุกที”

หญิงสาวทั้งสองมองหน้ากันหลังประโยคนั้นแล้วหัวเราะออกมา

จะมีหญิงสาวสักกี่คนที่ไม่วาดหวังถึงความรักแบบเทพนิยายและการแต่งงานที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าจดจำ รวมถึงความตื่นเต้นของคนที่ตนเองต้องใช้ชีวิตคู่ด้วย ดังนั้น ผู้หญิงจึงอยากจะมีส่วนร่วมและได้เลือกรูปแบบการแต่งงานของตนเองกันทั้งนั้น และสิ่งที่ปฏิบัติตามธรรมเนียมของตระกูลมักจะเป็นตัวขัดขวางจินตนาการอันบรรเจิดของเหล่าหญิงสาว และทำให้ความตื่นเต้นกับโอกาสสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตมอดลงไป

“ความจริงแล้ว แม่ของฉันก็ได้สวมแหวนประจำตระกูลเหมือนกัน แต่ว่าพ่อของฉันแต่งเข้า คนที่มีปัญหาเรื่องนี้เลยเป็นพ่อแทน” หลางเมี่ยวอินว่า “ส่วนฉันที่เป็นคนรองคงไม่ต้องสวมแหวนเก่าหน้าตาหรูหราแบบโบราณแบบนั้น ภรรยาของพี่ชายฉันสิน่าเป็นห่วง”

“พี่ชายของคุณหลางมีคนรักแล้วหรือคะ?” ซากุระตาวาวขึ้นมาทันที ผู้หญิงมักมีปฏิกิริยาตอบสนองแบบพิเศษสำหรับเรื่องความรักเสมอ

“ฉันแค่พูดเผื่อไว้ คนอย่างเจินเจิน ถึงจะมีคนรักก็คงไม่บอกฉันหรอก” หลางเมี่ยวอินโบกมือไหว ๆ “เขาชอบมองฉันเป็นเด็กเสมอ ทั้งที่ความจริงฉันเด็กกว่าเขาแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง”

“คงเพราะว่าเขาเป็นผู้ชายด้วยล่ะมั้งคะ” ซากุระออกความเห็น

“ก็คงเป็นแบบนั้น ผู้ชายต้องเป็นผู้นำ คอยดูแลครอบครัว” หลางเมี่ยวอินไหวไหล่ “ความจริงผู้หญิงก็ทำเรื่องแบบนั้นได้เหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีฮ่องเต้หญิง หรือฮ่องเฮาบางคนที่ควบคุมฮ่องเต้อยู่เบื้องหลังในประวัติศาสตร์ จริงสิ ถ้าคุณมินาโมโตะอยากเลือกเครื่องประดับให้ตัวเอง ฉันคิดว่าคุณน่าจะบอกทางจูเชว่ว่าเป็นของขวัญจากทางคุณก็ได้ ถึงฝ่ายนั้นจะอ้างเรื่องแหวนตระกูลแต่ก็ต้องรับของขวัญของทางเจ้าสาวไว้อยู่ดี”

“แบบนั้นก็น่าสนใจนะคะ ถ้าเป็นแหวนวงเล็ก ๆ จะได้สวมได้โดยไม่รู้สึกเทอะทะด้วย”

“จะได้สวมบ่อยกว่าแหวนตระกูลที่ต้องถอดเก็บตอนทำงานด้วย”

เมื่อสองเสียงสนับสนุนกันโดยไม่มีฝ่ายค้าน ก็คงจะไม่มีใครหยุดยั้งความคิดนั้นได้ ซากุระต้องมองแหวนวงต่าง ๆ คิดว่าตนเองควรจะซื้อวงไหน ซึ่งเธอคิดว่า ไหน ๆ ก็จะใช้เป็นตัวแทนแหวนแต่งงาน คงจะต้องเป็นแหวนคู่ถึงจะดีที่สุด และต้องมีขนาดเล็กด้วย ถึงอย่างนั้นเธอก็ติดปัญหาอีกอย่าง

“ฉันไม่รู้ขนาดนิ้วคุณเซินนี่สิคะ” หญิงสาวถอนหายใจเฮือก

“น่าจะขนาดพอ ๆ กับพี่ชายของฉันนะ” หลางเมี่ยวอินนึก

“ก็คงจะเป็นแบบนั้น คุณหลางช่วยเลือกให้ฉันหน่อยแล้วกันนะคะ เพราะฉันไม่เคยซื้อแหวนให้ผู้ชายมาก่อนเลย ฉันก็เลยกะไม่ถูก”

“ความจริงแล้ว คุณมินาโมโตะเลือกแบบที่ชอบมาก็ได้นะคะ ฉันจะให้คนทำเครื่องประดับช่วยแก้ไซต์ตัวเรือนให้” หญิงสาวช่วยแนะนำอีกฝ่ายด้วยไมตรีตามประสาผู้หญิง เพราะโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้หญิงจะพึงพอใจกับสิ่งที่ถูกอกถูกใจมากกว่าประโยชน์ใช้งานของมัน ดังนั้น ถึงจะเลือกไซส์ที่ต้องการแต่ไม่ใช่แบบที่ชอบ ก็คงจะไม่ได้รับความพอใจสูงสุดกับสิ่งที่ได้ซื้อไป

“แบบนั้นจะรบกวนเกินไปนะคะ” ซากุระตอบกลับด้วยความเกรงอกเกรงใจ

“สำหรับลูกค้าคนพิเศษก็ต้องบริการแบบพิเศษหน่อยสิคะ จริงไหม?” หลางเมี่ยวอินยังคงยืนยันความตั้งใจของตนเอง ทำให้ซากุระปฏิเสธไม่ลง หญิงสาวทั้งสองจึงช่วยกันเลือกแบบที่ซากุระชอบออกมาทีละชิ้นจนกระทั่งเหลือแบบสุดท้ายที่ซากุระชอบมากที่สุดและไม่มีชิ้นอื่นที่สนใจมากกว่าแล้ว หลางเมี่ยวอินเรียกพนักงานเข้ามาสั่งงานก่อนจะส่งของให้ไปจัดการ

“คิดว่าสักอาทิตย์คงจะมารับได้” เธอว่า

“ขอบคุณมากนะคะ คุณเซินคงจะชอบมากแน่ ๆ” แหวนที่ซากุระเลือกไปนั้นเป็นแหวนที่ไม่มีหัวแหวนแต่ตัวแหวนทำเป็นลวดลายฉลุคล้ายเถาวัลย์พันเกี่ยวกันเป็นวง ซึ่งถึงจะถูกสวมใส่โดยผู้ชาย ก็จะดูไม่แปลกตาอะไร คล้ายแหวนวงเกลี้ยงธรรมดาหากมองเผิน ๆ

“ฉันยินดีที่ได้ช่วยค่ะ ฝั่งตรงข้ามมีคอฟฟีชอปอยู่ร้านหนึ่ง เค้กอร่อยทีเดียว ถ้าไม่มีธุระอะไรจะไปทานด้วยกันไหมคะ?”

“จะดีหรือคะ? คุณต้องดูแลร้าน”

หลางเมี่ยวอินส่ายศีรษะแล้วมองไปรอบ ๆ

“ที่นี่มีพนักงานอยู่เยอะแล้ว แล้วก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี อีกอย่าง พวกเขาคงจะเกร็งถ้าหากว่าฉันเดินไปเดินมาเพื่อสังเกตการทำงานของพวกเขา” หญิงสาวหัวเราะเบา ๆ “พนักงานจะทำงานได้ดีก็ต้องให้อิสระกันบ้างน่ะค่ะ ถึงฉันจะยังไม่ใช่หัวหน้าสาขาโดยสมบูรณ์ แต่พวกเขาก็รู้กันหมดว่าฉันเป็นใคร”

“อ้อ...ฉันเข้าใจแล้วค่ะ” ซากุระหัวเราะไปด้วย “ถ้าอย่างนั้นเราไปเพิ่มแครอลีกันหน่อยก็แล้วกันนะคะ” เธอจงใจพูดติดตลก ทำให้หลางเมี่ยวอินหัวเราะออกมาอีกครั้ง

ทั้งสองเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม และเดินเข้าไปในร้านคอฟฟีชอปเล็ก ๆ น่ารักที่เต็มไปด้วยนักเรียนวัยรุ่น พอพวกเธอเดินเข้าไปด้วยชุดที่ดูเป็นผู้ใหญ่ทั้งที่วัยของพวกเธอไม่ได้ต่างจากเด็กพวกนี้แม้แต่น้อย กระนั้นแค่การแต่งกายก็เหมือนการแบ่งแยกโลกของพวกเธอออกจากเด็กคนอื่น ๆ ที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน หญิงสาวทั้งสองต่างรู้สึกสะท้อนใจออกมาเล็กน้อย เพราหากว่าพวกเธอเป็นแค่คนปกติ พวกเธอคงจะเหมือนกับเด็ก ๆ เหล่านี้ที่กำลังหัวร่อต่อกระซิกกันในร้านกาแฟโดยไม่ต้องสนใจอะไรมากมาย

พนักงานเดินเข้ามาต้อนรับแล้วพาทั้งสองไปนั่งในมุมที่ดูเป็นส่วนตัวเล็กน้อยก่อนจะรับออเดอร์แล้วเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มและเสียงหวาน ๆ

“อยากกลับไปเรียนจังเลยนะคะ พอเห็นแบบนี้” ซากุระอดเปรยออกมาไม่ได้

“ได้ยินว่าชุดนักเรียนที่ญี่ปุ่นน่ารักมาก ถ้าฉันเป็นคุณมินาโมโตะก็คงจะอยากกลับไปเรียนอีกเหมือนกัน จะได้สวมชุดกระโปรงน่ารัก ๆ เดินไปทั่ว” พอนึกถึงภาพนักเรียนญี่ปุ่นในชุดนักเรียนแล้ว หลางเมี่ยวอินก็อยากจะสวมขึ้นมา เธอคิดว่าชุดนักเรียนแบบนั้นคงจะเป็นที่ใฝ่ฝันของเด็กสาวทั่วโลกที่จะได้สวมใส่สักครั้ง
“ฉันมีโอกาสได้สวมแบบนั้นไม่นานเองค่ะ พออายุถึงเกณฑ์ฉันก็ถูกส่งให้สอบเทียบที่ต่างประเทศ”
“เหมือนกันเลย” หลางเมี่ยวอินถอนหายใจ

“จริงสิ ฉันไม่เห็นพี่ชายของคุณหลางเลย ไม่ได้ทำงานที่เดียวกันหรือคะ?” ซากุระจงใจเอ่ยถึงหลางเมี่ยวเจินขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกผิดสังเกตเกินไปที่อยู่ ๆ เธอจะมาสนใจพี่ชายของอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน หลางเมี่ยวอินโคลงหัวอยู่ครู่หนึ่ง
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 07-02-2012 17:24:56
“เขาทำงานอยู่อีกเขตหนึ่ง เป็นร้านเสื้อผ้าแฟชั่น เจินเจินค่อนข้างมีหัวเรื่องรสนิยมของคนในวัยต่าง ๆ อยู่แล้ว สงสัยจะเป็นเพราะทำงานกับคุณตามาตั้งแต่เด็กนั่นแหละค่ะ”

“พวกคุณก็เลยไม่ค่อยได้พบกันสินะคะ”

“ใช่ แต่ว่าตอนกลับบ้านเราก็อยู่ด้วยกันนะ บางทีเราก็ออกไปเที่ยวด้วยกันบ้างในวันหยุด แต่ส่วนมากเจินเจินจะมีธุระพบปะคู่ค้าตลอด แบบว่า...แฟชั่นเสื้อผ้ามันต้องอัพเดทตลอดเวลาน่ะ แต่อาทิตย์เดียวก็เปลี่ยนไปได้แล้ว แถมเจินเจินอยากเปิดนิตยสารใหม่ด้วย” หลางเมี่ยวอินบิดริมฝีปากเหมือนไม่พอใจเรื่องนั้นนัก และจากการสังเกตของซากุระ นั่นมากกว่าความไม่พอใจที่พี่ชายไม่มีเวลาให้ เพราะหลางเมี่ยวอินเป็นคนบอกออกมาเองว่าในวัยเด็กเธอค่อนข้างชินที่หลางเมี่ยวเจินไม่มีเวลาใกล้ชิดกัน ดังนั้นเธอไม่น่าจะออกอาการไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าอย่างนี้ทั้งที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นแล้ว

“ถ้าอย่างนั้น ฉันคงต้องหาโอกาสไปร้านของพี่ชายคุณหลางบ้าง”

“ก็ดีนะคะ เจินเจินมีคนที่ทำงานด้วยหลายคนที่มีพรสวรรค์ด้านการเลือกเครื่องแต่งกาย บางทีคนของเขาอาจจะช่วยแนะนำชุดแต่งงานให้คุณด้วยก็ได้”

ซากุระทำยิ้มเขิน ๆ

“กำหนดการณ์ยังไม่มีแน่นอนเลยค่ะ”

“แต่เตรียมไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนี่คะ”

“ไม่แน่ว่าเขาอาจจะจัดการแบบจีนก็ได้ ชุดแต่งงานสีแดงกับการกราบไหว้ฟ้าดินอะไรแบบนั้น” ซากุระหัวเราะ เซินจงเป็นคนหัวโบราณทั้งที่เกิดในฮ่องกงสมัยยังเป็นอาณานิคม เจ้าตัวไม่ค่อยชอบวัฒนธรรมต่างประเทศนัก จึงไม่รู้ว่างานแต่งงานของลูกชายจะจัดแบบสากลหรือแบบดั้งเดิมกันแน่

“ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่ได้เกิดเป็นลูกตระกูลเซินขึ้นมาแล้วสิ” หลางเมี่ยวเจินเป็นหญิงสาวหัวสมัยใหม่ จึงรู้สึกอึดอัดกับคนหัวโบราณอยู่เสมอ

“และดีที่ไม่ได้เป็นสะใภ้ด้วย” ซากุระเสริมให้

กาแฟ ชา และเค้ก ถูกนำมาเสิร์ฟที่โต๊ะทำให้บทสนทนากระงักไปเล็กน้อย ซากุระจ้องมองเค้กชิ้นเล็กน่ารักที่ตกแต่งสวยงามด้วยดวงตาเป็นประกาย ที่บ้านของเธอนั้นคนรับใช้ชอบทำขนมญี่ปุ่นมากกว่าขนมฝรั่ง เวลาเธออยากจะกินขนมพวกนี้ขึ้นมาจึงต้องออกมาหานอกบ้าน และเธอก็ยังไม่ค่อยรู้จักร้านดี ๆ นัก จึงตัดสินใจเก็บชื่อร้านนี้ไว้ในลิสต์อย่างทันทีเมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาเค้กและชิมคำแรก

ซากุระจิบชาร้อนช้า ๆ รู้สึกว่าเค้กรสหวานอมเปรี้ยวเข้ากับชาจัสมินอย่างดีโดยไม่ต้องเติมน้ำเชื่อมหรือนมลงในชาเลย

“อร่อยสินะ?” หลางเมี่ยวอินถามอย่างรู้ทันเมื่อเห็นสีหน้ามีความสุขฉาบอยู่ใต้เครื่องสำอางบาง ๆ

“อร่อยมากเลยค่ะ” ซากุระตอบกลับ “ฉันคงต้องมารบกวนคุณหลางบ่อย ๆ ซะแล้ว จะได้มาทานของอร่อยแบบนี้อีก”

“ได้ทุกเมื่อเลยค่ะ ฉันเองก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนคุยเล่นอยู่แล้ว”

“เหมือนกับฉันเลยนะคะ ตอนฉันอยู่ที่บ้านก็มีแต่คุณมิเอะ...แม่บ้านน่ะค่ะ เป็นเพื่อนคุย ตัวคุณมิเอะเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรนัก ส่วนมากพอฉันเปิดหัวข้อ แกก็จะได้แต่เออออไปตามน้ำเท่านั้นเอง คุยแบบนั้นกับแกบ่อย ๆ ฉันก็เกรงใจปนสงสารนิดหน่อย ส่วนพ่อของฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างให้คำปรึกษาเลย” ซากุระถอนหายใจออกมา “คุณเซินเองก็ไม่ว่างเหมือนกัน”

“ฉันพอจะเข้าใจอย่างดีเลย คุณมินาโมโตะคงจะเหงาพอดู เอาอย่างนี้ไหมล่ะคะ ถ้าคุณว่างเราลองหากิจกรรมแบบสาว ๆ ทำกันบ้าง บางทีถ้าเจินเจินว่าง เขาอาจจะอยากมาร่วมด้วยก็ได้” หลางเมี่ยวอินเสนอด้วยเห็นว่าซากุระดูเหงา ๆ กับการต้องอยู่ที่นี่โดยไม่มีคนรู้จัก

ซากุระยิ้มกว้างอยู่ในใจ เพราะโอกาสที่จะได้พบหลางเมี่ยวเจินอาจจะง่ายกว่าที่คิดไว้

----------------------------->

กลับไปทางอิตาลีที่เซินหมิงเฟิ่งยังคงถูกขังไว้ในโรงแรมหรูโดยไม่เคยได้ออกนอกห้องเลยแม้แต่ก้าวเดียว จนเขาเริ่มรู้สึกเหมือนต้นไม้เฉาเพราะขาดแสงสว่างและน้ำมาหล่อเลี้ยง ถึงแม้ห้องพักจะกว้างขวางและเป็นสัดส่วนมากแค่ไหน แต่เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่เคยรู้สึกสบายตัวเลย ไม่ว่าจะทำเช่นไรเขาก็มีคุ้นชินกับสถานที่แบบนี้เสียที มันก็ไม่ต่างกับนกที่อยู่ในกรงที่ซับซ้อนขึ้น เมื่อสำรวจกรงจนทั่วแล้ว ก็ย่อมต้องการอิสรภาพข้างนอกกรงอยู่ดี มันแย่กว่ากรงตรงที่นอกจากประตูจะปิดสนิทแล้ว ยังมีคนเฝ้า 24 ชั่วโมง

คิมหันต์ยังคงสงวนท่าทีเวลาที่จะพูดคุยกับเขา และจะดูเกร็งทุกครั้งที่เขาพยายามจะสนทนาด้วย แต่หากเป็นการทำกิจกรรมโดยไม่ต้องใช้คำพูด คิมหันต์ดูจะเต็มใจทำมากกว่า ในที่สุดพวกเขาจึงต้องจบการสนทนาอันน่าอึดอัดลงที่การเล่นหมากรุกทุกครั้งไป

เสียงโขกตัวหมากแทบจะเป็นเสียงเดียวที่อยู่ในห้องนี้อย่างสม่ำเสมอ เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนตนเองกำลังถูกทำให้เป็นใบ้ทีละน้อย

โชคดีของเขาก็คือ โจเซที่ยังคงมาเยี่ยมเยียนสม่ำเสมอ และเป็นคนเดียวที่ยอมคุยกับเขาอย่างเต็มใจและเป็นธรรมชาติ ถึงแม้เซินหมิงเฟิ่งจะรู้ดีกว่าโจเซเป็นคนที่ไม่อาจเชื่อถือหรือไว้ใจได้ แต่เขาก็หมดหนทางอย่างสิ้นเชิงที่จะเลือกว่าอยากทำอะไรกับใคร หากเขาเอาแต่เล่นแง่กับโจเซ มีหวังเขาคงได้เป็นใบ้ไปจริง ๆ เพราะเขาคงคาดหวังกับชิงหลงเรื่องนี้ไม่ได้ ฝ่ายนั้นทำให้เขาอึดอัดใจยิ่งกว่าคิมหันต์เสียอีก
และในวันนี้ ในขณะที่คิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่งกำลังผลัดกันโขกตัวหมากอยู่นั้น โจเซก็เข้ามาในช่วงเวลาที่สงบเงียบที่สุดและทำให้บรรยากาศสว่างไสวขึ้นด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร

“สวัสดีครับคุณโจเซ” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มกว้างอย่างยินดีเมื่อเห็นบุคคลเดียวในประเทศนี้ที่ยอมเป็นมิตรกับเขา

“ผมซื้อของมาฝากด้วย” โจเซวางกล่องลงบนโต๊ะในขณะที่คิมหันต์ลุกออกไปจัดน้ำมาต้อนรับ

ความจริงแล้วนับแต่โจเซมาที่นี่ เซินหมิงเฟิ่งสังเกตได้อีกอย่างว่าเจ้าตัวมักชอบพูดจาหยอกเล่นกับคิมหันต์ที่ไม่ถนัดการโต้ตอบเช่นนั้น ทำให้คิมหันต์มักพยายามหาทางเลี่ยงอีกฝ่ายให้มากที่สุด เช่นการเดินไปเตรียมน้ำนาน ๆ หรือทำเป็นมีธุระพูดคุยกับการ์ดที่เฝ้าหน้าประตู หากทำได้ เจ้าตัวคงหนีออกไปนอกห้องจนโจเซกลับแล้วจึงกลับเข้ามาในห้องเป็นแน่

“เอสตาเต ฉันขอน้ำผลไม้ได้ไหม?”

“แบบนั้นผมต้องลงไปซื้อข้างล่างนะครับ” คิมหันต์ยังจำได้ดีถึงครั้งที่ลงไปซื้อของให้โจเซ ถึงเขาจะไม่ถูกชิงหลงต่อว่า แต่สายตาตำหนิติเตียนก็ทำให้เขารู้สึกแย่ยิ่งกว่า

“ขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่รู้ว่าคุณจะมาก็เลยไม่ได้เตรียมเครื่องดื่มไว้เลย น้ำผลไม้เพิ่งจะหมดไปเมื่อวานนี้เอง” เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจช่วยพูดเพราะโจเซคงไม่วายหาเรื่องแกล้งให้คิมหันต์วิ่งลงไปหาให้อย่างแน่นอน “ผมตั้งใจจะให้คนออกไปซื้อมาให้พอดี คุณโจเซอยากทานน้ำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?” เขาว่าแล้วหันไปทางคิมหันต์ ส่งสัญญาณให้ไปบอกคนข้างนอก

“สำหรับผม น้ำอะไรก็ได้ครับ ก็แค่อากาศมันร้อยนิดหน่อยผมก็เลยอยากได้อะไรชุ่มคอบ้างเท่านั้นเอง” โจเซว่าแล้วทำกระพือคอเสื้อทั้งที่ไม่มีเหงื่อ

“ถ้าอย่างนั้นฝากคุณคิมหันต์หน่อยก็แล้วกันนะครับ”

เมื่อภาระมาตกที่ตัวเอง คิมหันต์ก็ได้แต่ทำหน้าปลงนิด ๆ ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องเพื่อสั่งการให้ใครสักคนไปซื้อหาของที่เซินหมิงเฟิ่งต้องการมาให้

“ว่าแต่ คุณโจเซเอาอะไรมาฝากหรือครับ?” หลังจากคิมหันต์ออกไป เซินหมิงเฟิ่งจึงกลับมาสนใจกล่องบนโต๊ะอีกครั้ง

“อ้อ จริงด้วย” โจเซทำท่าเหมือนเพิ่งนึกได้ “คุณมาที่นี่คงไม่ค่อยได้ออกไปไหน ไม่สิ พูดให้ถูกคือไม่ได้ออกไปไหนเลย ผมก็เลยอยากจะให้คุณได้มีอะไรอร่อย ๆ ทานบ้าง พอดีว่าผมมีร้านของหวานเจ้าประจำอยู่ อร่อยมากทีเดียวผมก็เลยซื้อมาฝาก” โจเซพูดไปก็แกะกล่องให้ดู เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองขนมเค้กชิ้นโตที่ประดับหน้าแบบเรียบ ๆ ไม่ได้หวือหวาสวยงามแบบที่ผู้หญิงหรือเด็ก ๆ ชอบ จึงสามารถคาดเดาได้ว่าโจเซคงจะไปสั่งทำเอาไว้ ไม่ได้ไปเลือกซื้อเอาที่ตู้กระจกหน้าร้าน

“ชิ้นขนาดนี้เราทานกันสองคนไม่หมดหรอกครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะ

“ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งให้คนอื่นด้วยสิครับ เวย์ก็ชอบของหวานอยู่นะ ถ้าทานกับชาแล้วอร่อยก็ชอบทั้งนั้น” โจเซแนะนำทำให้เซินหมิงเฟิ่งเผลอยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงชิงหลงกำลังกินเค้ก เจ้าตัวไม่ใช่คนที่จะถูกกับของหวานแบบนี้สักเท่าไหร่เลย

คิมหันต์กลับเข้ามาหลังจากสั่งงานไปเรียบร้อย

“อีกเดี๋ยวคงจะมาส่งครับ”

“ถ้าอย่างนั้นก็มานั่งด้วยกันก่อนสิ” โจเซเชิญชวนแล้วตบเก้าอี้ใกล้ตัว คิมหันต์ต้องใช้เวลาชั่งใจอยู่นานก่อนจะรู้ตัวว่าปฏิเสธไม่ได้ จึงเดินเข้าไปนั่งอย่างสำรวมท่าที

โจเซจัดการแบ่งชิ้นเค้กด้วยมีดพลาสติกของทางร้าน และตัดใส่จานกระดาษให้เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์

“อยู่แบบนี้คงเบื่อแย่เลยสินะครับ ออกไปไหนไม่ได้แบบนี้ แถมไม่ค่อยมีคนมาหาด้วย” ชายหนุ่มชาวยุโรปออกความเห็นขณะตักเค้กเข้าปาก “ผมนึกถึงตอนที่ผมถูกกักบริเวณตอนเด็ก ๆ ขึ้นมา ตอนนั้นน่ะผมซนมาก คุณอาจจะไม่เชื่อนะแต่ตอนผมเด็ก ๆ ผมซนจนอเล็กซานโดรปวดหัวเลยล่ะ” พูดไปเขาก็หัวเราะร่าพาให้เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะไปด้วย ความจริงแล้ว ท่าทางของโจเซก็บ่งบอกอยู่ว่าตอนเด็ก ๆ เจ้าตัวต้องแสบมากแน่นอน

“คุณไปทำอะไรเข้าล่ะครับ”

“แจกันโบราณที่พ่อของเวย์ส่งมาให้น่ะสิ”

เซินหมิงเฟิ่งทำตาโต แม้แต่คิมหันต์ยังแสดงออกมาเล็กน้อยว่าตกตะลึงในสิ่งที่โจเซทำ

“นั่นมันแพงมากเลยนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งว่า

“ใช่ แพงมากแถมยังถูกใจอเล็กซานโดรมากด้วย เขาโกรธจนหน้าเขียวเลย และสั่งทำโทษผมให้อยู่แต่ในห้องของตัวเองตั้งสัปดาห์หนึ่ง พ่อของผมยังสมน้ำหน้าเลย” พอคิดถึงตอนนั้น โจเซก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ส่วนแม่ผมน่ะทนโกรธได้แค่ 2 วันเท่านั้นแหละ แล้วก็แอบเอาของกินมาปลอบใจผมในห้อง”

“ตอนนี้คุณเลยเอาของกินมาปลอบใจผมสินะครับ” เมื่อได้ฟังเรื่องราวสมัยเด็กของโจเซแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกสนุกไปด้วย เพราะไม่ว่าจะโตมาเป็นอาชีพอะไร สมัยเด็ก ๆ ทุกคนก็ล้วนแต่เป็นคนธรรมดากันทั้งนั้น ส่วนเขาก็เป็นคนธรรมดาจนกระทั่งเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง

เสียงเคาะประตูดังขึ้นขัดการสนทนา คิมหันต์รีบลุกไปเปิดและพบว่าน้ำผลไม้มาส่งแล้ว

“ผมจะไปรินมาให้นะครับ” เขาว่าแล้วเดินเข้าไปอีกประตูซึ่งเป็นห้องคล้าย ๆ ห้องครัว ต่างก็แต่ไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำครัว มีแต่ตู้วางภาชนะและตู้เย็นสำหรับใส่ของ เพราะโรงแรมแบบนี้ไม่มีห้องครัวในตัวอยู่แล้ว หากจะกินอะไรก็ต้องโทรสั่งรูมเซอร์วิชหรือไม่ก็ลงไปหากินในร้านอาหารข้างล่าง
คิมหันต์ยกน้ำส้มมาให้ทั้งสอง แล้วนั่งลงเงียบ ๆ เช่นเดิม

“ความจริงคุณน่าจะขอเวย์ออกไปข้างนอกได้บ้างนะครับ” โจเซว่า “เวย์เห็นแบบนั้นแต่ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำอะไรหรอก ถ้าคุณทำตัวดี ๆ อยู่ในระเบียบที่เวย์ตั้งขึ้น เขาก็จะอะลุ้มอล่วยให้คุณได้หลายอย่างเลยล่ะ”

“ผมก็ทำตัวเป็นเด็กดีอยู่นะครับ” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจเฮือก “เขาให้ผมอยู่แต่ในห้องนี้ ไม่ให้ออกไปไหน ทำตัวเรียบร้อย ไม่มีปากเสียง ผมก็ทำตามนั้นหมดทุกข้อแล้ว” การอยู่แต่ในห้องนาน ๆ ทำให้เขารู้สึกเมื่อยล้าและเบื่อหน่าย จากที่เคยพยายามคิดแผนหนีตอนนี้กลับไม่อยากคิดอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว เหมือนอยากจะหายใจทิ้งไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น เขาเคยได้ยินมาว่าการอยู่แต่ในบ้านไม่ออกไปเจอแดดเจอลมเสียบ้างจะทำให้เป็นโรคซึมเศร้าได้ง่าย ก็เห็นจะเป็นจริงตามนั้น

ถ้าหากได้ออกไปข้างนอกบ้างเขาคงจะรู้สึกปลอดโปร่งมากกว่านี้

“ผมจะช่วยเปรย ๆ ให้ดีไหมล่ะ?” โจเซขยิบตา

“ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีเลยล่ะครับ” บางทีหากโจเซช่วยพูด เขาอาจจะมีโอกาสมากขึ้นก็เป็นได้ ขอแค่ได้ออกไปข้างนอกสักหน่อยก็พอแล้วสำหรับในตอนนี้...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-02-2012 18:10:38
มาต่อแล้วววว
ดีใจ แต่เรื่องก็ยังซับซ้อนเหมือนเดิม เงื่อนไม่คลายเลยหรอคะคุณเซีย 555
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 07-02-2012 20:00:16
เพิ่งจะเข้ามาอ่านเรื่องนี้
ภาษาดี สำนวนสวย เรื่องราวซับซ้อนดีจัง  o13

หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wizard_tao ที่ 07-02-2012 20:27:26
อ้ากกกก ซับซ้อนๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 07-02-2012 23:37:03
9 ตอนผ่านไป...เงื่อนงำยังอยู่เหมือนเดิม  :o11:
มี movement เกิดขึ้นน้อยแต่รายละเอียดเพียบแน่นตามเคย
จากหลาย ๆ อย่างในตอนนี้ เอาไปเทียบกับในบัลลังค์ปีกหงส์แล้ว มีความผันแปรอยู่มากเลยทีเดียว
กว่าจะเป็นอะไร ๆ ในเรื่องโน่น ตัวละครในเรื่องนี้ต้องเผชิญอะไรกันบ้างนะ ???
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 9 (07/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rinoa ที่ 08-02-2012 20:22:05
ยังคลุมเคลือเดาทางไม่ออกเลย ลุ้นต่อไป
ซับซ้อนนนน ซ่อนเงื่อนจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 09-02-2012 17:34:47
-10-


      “ไม่รู้ว่าพวกมอเรสซาเรคิดอะไรอยู่ แค่เรื่องให้คนฮ่องกงเข้ามามีส่วนในธุรกิจของแฟมิลีก็แย่พออยู่แล้ว แต่นั่นเป็นเรื่องของครอบครัวถึงพอเข้าใจได้ แต่นี่...มาโดยไม่มีธุระอะไร ไม่รู้ว่าจะมีอะไรแอบแฝงอยู่หรือเปล่า แถมทางนั้นยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักคำ” ชายคนหนึ่งกล่าวอย่างเคร่งเครียดก่อนจะสูบซิการ์แล้วพ่นควันสีขุ่นออกมาเป็นพวย บ่งบอกอารมณ์หงุดหงิดระคนอึดอัดใจของเจ้าตัวอย่างดี

   “ส่งคนไปสอบถามกับดอนมอเรสซาเรแล้วหรือครับ?” ชายอีกคนถามกลับด้วยเสียงเรียบนิ่งเป็นงานเป็นการในขณะที่คนอื่นต่างก็วิจารณ์สิ่งที่เป็นหัวข้อด้วยเสียงกระซิบกระซาบ

   “ดอนมอเรสซาเรบอกว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ไม่ให้เราเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

   ทันทีที่ชายผู้มีอำนาจสูงสุดในที่นั้นกล่าวออกมาสั้น ๆ เสียงเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ก็ดังจากรอบด้าน

   “เขาพูดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?”

   “นี่เขาไม่เห็นหัวเราแล้วหรือยังไงกัน!”

   “พวกมอเรสซาเรชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

   “ต้องไปคุยกันให้รู้เรื่องแล้ว!”

   คนทั้งห้องดูจะไม่พอใจกับสิ่งที่ได้รับรู้ พวกเขาตีสีหน้าเคร่งเครียดใส่กัน ต่างก็พยายามหาเหตุผลของความไม่พอใจและหนทางการแก้ปัญหานี้จากคนที่ตนจ้องมองอยู่ ทว่าไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ดีและถูกใจใครได้ เพราะเรื่องนี้มีเพียงโจเซ มอเรสซาเร ที่ให้คำตอบได้ดีที่สุด

   “แล้วเราจะเอายังไง” ชายคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะวาดมือกลางอากาศแล้ววางลงบนที่เท้าแขนเช่นเดิม ท่าทางของเขาบ่งบอกว่าไม่รู้ทางออกและต้องการคนชี้ทาง

   “คงต้องถามจากดอนมอเรสซาเรให้รู้เรื่อง อเล็กซานโดรก็ออกตัวแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับแฟมิลีอีกต่อไป ดังนั้นเราก็เหลือแค่ทางเดียว”

   “ไม่ เดี๋ยวก่อนสิ” อยู่ ๆ ก็มีเสียงคัดค้านจากฝั่งหนึ่งของโต๊ะ “พวกที่ส่งไปสอดแนมไม่ได้อะไรมาบ้างเลยหรือยังไงกัน?”

   “เท่าที่ส่งข่าวมาคือ เจ้าชิงหลงนั่นเดินทางไปที่นั่นที่นี่บางที แต่ส่วนมากจะอยู่ที่โรงแรม แต่ที่น่าแปลกคือ จำนวนการ์ดที่ทิ้งไว้ที่โรงแรมมีมากผิดปกติ ไม่เหมือนแค่มาติดต่องานหรือพักผ่อน แต่จะต้องมีอะไรที่สำคัญอยู่ที่โรงแรมนั้นแน่ ๆ และชิงหลงกับโจเซกำลังปิดบังเราอยู่”

   “เจ้าพวกนั้นคิดจะรวมหัวกันทำอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ?” เสียงที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจเปล่งออกมาพร้อมเสียงหายใจหนักจากรอบด้าน

   “เรายังสรุปแบบนั้นไม่ได้ ใจเย็นกันก่อนเถอะน่า” ในที่สุดก็มีเสียงปรามที่ขอให้ทุกคนใจเย็นลงหลังจากต่างฝ่ายต่างร้อนรนโดยไม่มีน้ำเย็นเข้าลูบเลย และเสียงปรามนั้นทำให้คนอื่น ๆ ที่กำลังอารมณ์ร้อนได้ที่ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจและกลับสู่สภาวะที่มีสติครบถ้วนกันอีกครั้ง

   ในห้องเงียบ ๆ ที่ลอยคลุ้งไปด้วยควันซิการ์ดูน่ารำคาญ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาชั่วขณะหนึ่ง

   “ตอนนี้ฉันอยากได้คำแนะนำดี ๆ จากใครสักคน” นั่นคือประโยคที่อยู่ในใจหลาย ๆ คน พวกเขาต่างรู้ว่าเป็นเรื่องโง่มากหากจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปล้วงเอาสิ่งที่โจเซ มอเรสซาเร กำลังคิดอยู่ออกมา ดีไม่ดี อาจจะมีปัญหากับทางมอเรสซาเรแฟมิลี่ก็เป็นได้ เพราะคงไม่มีใครชอบที่ถูกใช้กำลังข่มขู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่มีอำนาจเหนือกว่าใคร ๆ ในถิ่นที่ตนเองปกครอง

   “ถ้าชิงหลงเก็บบางอย่างไว้ที่โรงแรมนั่น เราอาจจะต้องรู้ก่อนว่าเป็นอะไร”

   “รู้แล้วจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ? เจ้านั่งคงไม่ได้เก็บระเบิดนิวเคลียร์ไว้หรอก”

   “เราอาจจะรู้ว่าสองคนนั้นมีแผนอะไร ถ้าหากว่ามันเป็นอันตรายกับแฟมิลี่ของพวกเราและพวกเรารู้ตัวก่อน เราก็จะป้องกันได้ทัน อีกอย่าง เราจะมีข้ออ้างทำสงครามกับมอเรสซาเรแฟมิลีได้หากจำเป็น แฟมิลีอื่นจะต้องยอมร่วมกับเราแน่ ๆ”

   “ทำสงครามกับมอเรสซาเร!?” เหมือนว่าถ้อยคำนี้จะไปกระทบใจหลาย ๆ คน พวกเขาต่างสูดหายใจเฮือก เพราะในความจริงแล้ว การทำสงครามระหว่างแฟมิลีเป็นเรื่องที่พวกเขาอยากหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันมีแต่จะทำให้เกิดความเสียหาย และสิ่งที่ได้กลับคืนมาก็ไม่คุ้มมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแข็งข้อกับแฟมิลีใหญ่เช่นนั้นยิ่งไม่น่ากระทำเลย

   “อย่าเพิ่งตกใจกัน นั่นเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อเราทำอะไรไม่ได้แล้วเท่านั้น” เมื่อมีคนพูดแบบนั้นออกมา ก็มีเสียงถอนหายใจปรากฏขึ้นอย่างแผ่วเบา

   “นี่มันเลยยุคที่เราจะเอาปืนไปไล่ยิงกันกลางถนนแล้ว เราไม่ใช่มาเฟียยุค ’60 นี่มันยุคโลกาภิวัตน์ เทคโนโลยี อย่าพูดถึงเรื่องสงครามกันอีกเลยจะดีกว่า” เสียงเหนื่อยหน่ายเอ่ยค้านการใช้ถ้อยคำที่รุนแรง เพราะคำนั้นสามารถปลุกระดมจิตใจผู้คนที่กำลังฮึกเหิมได้อย่างดี หากมีใครแพร่งพรายออกไปโดยไม่ตั้งใจอาจจะเกิดผลที่ไม่คาดคิดตามมา อย่างดีก็แค่พวกชั้นล่างเข้าใจผิดกัน แต่ที่ร้ายที่สุดคือ หากมันไปเข้าหูของพวกมอเรสซาเร แล้วดอนคนปัจจุบันได้ยินเข้า อาจจะเกิดสงครามจริง ๆ ขึ้นมาก็เป็นได้

   “ถ้าอย่างนั้น ก็คงต้องดูต่อไป เพราะพูดอะไรไปตอนนี้ก็เหมือนตีตนไปก่อนไข้”

   “ยังไงก็เถอะ เจ้าชิงหลงนั่นก็ใช้อภิสิทธิ์ของมอเรสซาเรข้ามหน้าข้ามตาเราอยู่ในประเทศของเรา” ดูเหมือนประเด็นที่แท้จริงจะเพิ่งผุดออกมา นั่นคือไม่มีใครคิดว่าชิงหลงจะทำอะไรกับอิทธิพลของมาเฟียในอิตาลีได้ แต่พวกเขากำลังรู้สึกเหมือนโดนพวกผิวเหลืองเหยียบย่ำถิ่นทำกินโดยไม่ขออนุญาต

   “ถ้าคิดจะสั่งสอน เอาแค่เบาะ ๆ ก็พอแล้วล่ะน่า”

   พอไม่ใช่เรื่องทำสงครามระหว่างแฟมิลีหรือต้องเผชิญหน้ากับมอเรสซาเร บรรยากาศในห้องก็ดูจะผ่อนคลายมากขึ้นหลายเท่า

   “ตอนนี้สังเกตการณ์ไปก่อนจะดีกว่า”

   “หมายความว่าจะปล่อยให้มันทำตามใจชอบหรือไง?”

   “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่คิดดูดี ๆ สิ เราไม่รู้ว่าเจ้านั่นคิดจะทำอะไรหรือกำลังวางแผนอะไรอยู่ แถมยังเป็นคนที่ระวังตัวตลอดเวลา ถ้าคิดจะสั่งสอน อย่างน้อยเราก็ควรจะจับจุดอ่อนของมันได้ใช่ไหมล่ะ?” คำอธิบายนั้นทำให้หลายคนเข้าใจไม่กล้าคัดค้าน เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายพูดก็เป็นความจริง หากว่าไม่รู้จุดอ่อน ก็คงจะไม่สามารถจัดการคงแบบนั้นได้อยู่หมัด ยิ่งมีมอเรสซาเรหนุนหลังด้วยแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นก็สั่งคนของเราให้จับตาดูต่อไปก่อน”

   “ให้พวกนั้นรายงานกลับมาเป็นระยะ ถ้าเจออะไรน่าสงสัยก็รายงานทันที”

   “แต่ตามดูมาอาทิตย์กว่าแล้ว ยังไม่เห็นเจออะไรเลยนะ ฉันว่าส่งคนเข้าไปค้นโรงแรมมันเลยดีกว่า”

   “ทำแบบนั้นเสี่ยงเกินไป อย่าลืมสิว่าชิงหลงทิ้งการ์ดไว้ที่โรงแรมมากกว่าปกติ แสดงว่าที่นั่นต้องมีของสำคัญอย่างไม่ต้องสงสัย เราแต่ต้องรอจังหวะเผลอเท่านั้น อย่าลืมสิว่าการถูกกดดันจับจ้องจะทำให้การระวังตัวสูงขึ้น ถ้าเราไม่ทำอะไร ปล่อยมันตามสบาย ก็จะเกิดการชะล่าใจ” สิ่งที่พูดออกมานั้นมีเหตุผลที่พอรับฟังได้ และกอปรกับในตอนนี้ไม่มีใครมีแผนการอื่น พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะเฝ้ารอจังหวะต่อไป อย่างไรก็ตาม พวกเขามั่นใจว่าจะต้องสั่นสอนชิงหลงแห่งฮ่องกงให้รู้ฤทธิ์มาเฟียอิตาลีบ้าง

------------------------------->

   ความเงียบโรยตัวอยู่ในห้องสูทที่ตกแต่งอย่างเรียบร้อยเหมาะกับการใช้งานของบุคคลระดับสูง ชายหนุ่มชาวตะวันออกเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะช้า ๆ เป็นจังหวะมั่นคง ส่วนอีกสองคนที่อยู่ร่วมห้องนั้นมีสภาพอารมณ์ที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยคนหนึ่งนั่งไขว่ห้างสบาย ๆ ริมฝีปากประดับด้วยรอยยิ้มไม่ทุกข์ร้อน ส่วนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งตัวลีบอยู่บนโซฟาอีกตัว ซึ่งหากเขาสามารถขยับเข้าไปหากำแพงได้ เขาคงไม่ลังเลที่จะมุดเข้าไปในเนื้อปูน

   เซินหมิงเฟิ่งกัดฟันกรอด ๆ จ้องเขม็งไปยังโจเซที่เขาเคยคิดว่าเป็นคนดีพอจะไว้ใจได้ ที่ไหนได้ เป็นตัวแสบอีกคนชัด ๆ

   หลังจากที่เขาขอให้โจเซพูดกับชิงหลงให้ เจ้าตัวก็กลับไปก่อนจะกลับมาอีกครั้งหลังจากนั้นสามวัน ซึ่งเป็นวันที่ชิงหลงอยู่ที่ห้องและไม่มีธุระสำคัญให้ออกไปที่ไหน โจเซได้ทำในสิ่งที่เขาไม่คาดคิดและไม่อยากจะคิด นั่นคือ อยู่ ๆ โจเซก็จับตัวเขาเข้ามาในห้องของชิงหลง และบังคับให้นั่งตรงหน้าเจ้าของห้อง และพูดออกมาแค่ประโยคสั้น ๆ ว่า

   “เฮ้ เวย์ นกน้อยของนายอยากออกจากกรงบ้างน่ะ”

   ใช่ แค่ประโยคนั้น และความเงียบก็ครอบคลุมทุกอย่างจนเขารู้สึกขนหัวลุก สายตาเยียบเย็นที่จ้องมองเขากับโจเซอยู่มันทำให้เขารู้สึกอยากจะวิ่งออกไปตอนนี้ แต่เขาไม่มีทางทำเรื่องที่เหมือนผู้หญิงแบบนั้นต่อหน้าใครแน่ ๆ โดยเฉพาะต่อหน้าชิงหลง

   เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้รู้สึกว่าโจเซช่วยอะไรเขาเลยสักนิด ก็แค่ทำให้เขาต้องมาเผชิญหน้ากับชิงหลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงมากที่สุด

   “อยากออกไปข้างนอก?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงเรียบนิ่งแต่ไม่ได้แฝงแววของความกรุ่นโกรธใด ๆ ไว้ นั่นทำให้เซินหมิงเฟิ่งเบาใจขึ้น เพราะเขาไม่รู้ว่าหากทำให้ชิงหลงโกรธขึ้นมาเขาจะเหลืออวัยวะกี่ชิ้นกลับถึงฮ่องกง ไม่สิ ทำไมเขาถึงต้องกลัวล่ะ ในเมื่อเขาคือทายาทของจูเชว่และชิงหลงต้องเล่นตามเกมที่ถูกกำหนดตั้งแต่รุ่นแรกที่ก่อตั้งองค์กรในฮ่องกงขึ้นมา เมื่อคิดขึ้นมาได้เช่นนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็เม้มปาก แม้ว่าจะรู้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวแต่บุคลิกของชิงหลงก็ชวนให้กริ่งเกรงจนยากจะต่อต้านเมื่ออยู่ต่อหน้า

   เขาค่อย ๆ สูดลมหายใจช้า ๆ

   “ใช่..ผมอยากออกไปข้างนอกบ้าง”

   “ทำไมล่ะ?” ชิงหลงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามโดยไม่ได้ใช้น้ำเสียงจู่โจมใส่ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งพอจะรู้สึกใจชื้นบ้าง บางทีโจเซอาจจะไม่ได้เปล่าประโยชน์เสียทีเดียว เพราะปกติตอนอยู่กับเขาตามลำพัง ชิงหลงมักจะใช้น้ำเสียงเย็นชาและเสียงของคนที่อยู่เหนือกว่า เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่เขารู้สึกว่าชิงหลงยอมอ่อนลงให้เขาบ้าง ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะเกรงใจโจเซถึงขนาดนี้

   “แบบว่า...คุณพาผมมาขังที่นี่ตั้งนานแล้ว โดยที่ผมไม่ได้เห็นแสงเดือนแสงตะวันเลย มันอาจจะส่งผลกับสุขภาพผมน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเพราะเขาเองก็ไม่ใช่หมอที่จะพูดเรื่องวิชาการพรรค์นี้ออกมาได้อย่างเป็นวรรคเป็นเวร

   “สุขภาพหรือ?” ชิงหลงแค่ทวนคำโดยไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาเป็นพิเศษ “คุณไม่ใช่หมอ คุณรู้เรื่องนั้นได้ยังไงว่าไม่ดีต่อสุขภาพ”

   ชายหนุ่มเม้มปากเหมือนเถียงไม่ออก

   “ไม่เอาน่า มิน คุณลองบอกเขาสิว่าคุณรู้สึกยังไงที่ต้องอุดอู้ในห้องนั้น” โจเซช่วยแนะทางสว่างให้ด้วยท่าทางเหมือนกำลังสนุกกับเรื่องตรงหน้า

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ

   นั่นสินะ อธิบายความรู้สึกตัวเองคงง่ายกว่าแต่ชิงหลงอาจมองว่าไร้สาระก็ได้ แต่เขาคงไม่มีทางให้เลือกมากนักหรอก

   “ผม....รู้สึกแย่...มาก ๆ ด้วย บอกตามตรงว่าผมรู้สึกเหมือนโลกนี้มันหดหู่และไม่มีอะไรให้ทำเลยสักอย่างเดียว ไม่ว่าจะทำอะไรก็เบื่อหน่ายไปซะหมดและอยากจะนอนหลับตลอดเวลา และเท่าที่ผมสังเกต ผมเริ่มจะตื่นช้าขึ้นทุกวันและไม่ใช่ผลกระทบจากโซนเวลาด้วย” เซินหมิงเฟิ่งพยายามนึกว่าตนเองมีอะไรให้พูดอีก “เวลาที่คิมหันต์มาปลุกผมตอนเช้าผมจะรู้สึกแย่มากที่ต้องตื่น ถึงคิมหันต์จะบอกว่าการรับแดดตอนเช้าจะดีต่อสุขภาพก็เถอะ ช่วงหลัง ๆ ผมเลยไม่ยอมลุกจากเตียงเลย”

   ชิงหลงมุ่นคิ้ว เพราะไม่มีใครรายงานเขาเรื่องนี้เลย กระทั่งคิมหันต์ คงเพราะอีกฝ่ายไม่คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไรกระมัง เพราะอาการแบบนี้หากมองเผิน ๆ ก็เหมือนคนขี้เกียจธรรมดาที่ไม่อยากจะตื่นเช้าก็แค่นั้น แต่ความจริงมันเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคซึมเศร้า

   ในความเป็นจริง ชิงหลงไม่ได้คิดว่าโรคนี้จะมีผลอะไรมากนักกับการคุมตัวเซินหมิงเฟิ่ง กลับกัน มันคงจะง่ายขึ้นเสียด้วยซ้ำหากฝ่ายนั้นจะรู้สึกเฉื่อยชาและไม่อยากทำอะไร ถึงกระนั้น เขาก็นึกถึงจุดจบของสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ได้ และมันอาจจะส่งผลร้ายแรงหากว่าจิตใจของเซินหมิงเฟิ่งไม่เข้มแข็งพอจะยอมรับมัน ช่วยไม่ได้ที่ตกเป็นภาระหน้าที่ของเขาที่ต้องดูแลสภาพจิตของอีกฝ่ายให้ดีด้วย

   อีกอย่าง...มันคงจะเข้าแผนเขาพอดี...

   “ท่าทางจะเป็นโรคซึมเศร้า” ชิงหลงเปรยด้วยน้ำเสียงแฝงแววเครียดเล็กน้อยพอให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าเขากำลังใส่ใจอีกฝ่าย

   “ก็คงจะเป็นแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจเฮือก รู้สึกโล่งใจที่ชิงหลงยอมเข้าใจ “แล้วคุณจะปล่อยผมออกไปได้หรือเปล่า ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า” แผนการที่เคยคิดว่าจะให้โจเซช่วยพาไปสนามบินเขาก็เลิกคิดไปแล้วเพราะดูจากความสนิทสนมของโจเซกับชิงหลง มันคงจะยากน่าดู ถ้าเขาสมองแล่นกว่านี้อีกสักนิด เขาอาจจะลองคิดอะไรที่ดีกว่าแผนนั้นได้

   “ผมจะให้คิมหันต์ไปด้วย”

   ทั้งโจเซและเซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

   “คนเดียวหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเป็นคนเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกตะลึง ปกติแล้วชิงหลงจะให้การ์ดเฝ้าเขาจนแทบกระดิกตัวไม่ได้ อยู่ ๆ ก็ให้เขาออกไปข้างนอก เท่านั้นยังไม่พอ ยังให้การ์ดติดตามเขาไปแค่คนเดียว ชิงหลงศีรษะโขกอะไรเข้าหรือเปล่านะ?

   “อย่าหวังมากนักคุณเซิน ผมจะให้คนอื่น ๆ ติดตามอยู่ห่าง ๆ และให้คิมหันต์โทรรายงานเป็นระยะด้วย”
   แบบนี้ค่อยสมเป็นชิงหลง....

   เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าจะโล่งใจหรือรู้สึกแบบไหนดี เขาได้อิสระในที่สุด ถึงจะแค่ชั่ววูบเดียวและมีคนเป็นขโยงคอยจับตาดูก็ตาม

   “วันพรุ่งนี้ ผมให้เวลาถึงแค่ 4 โมงเย็น ถ้าคุณอยากจะเดินชมเมืองนาน ๆ ก็กรุณาตื่นให้เช้าเสีย ไม่อย่างนั้นเวลาคงไม่คอยคุณนาน” ชิงหลงว่า “มีอะไรอีกไหม?”

   ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและโจเซเสมือนตกตะลึงกันไปชั่วขณะ จึงไม่มีใครตอบอะไรออกมาจนกระทั่งชิงหลงมุ่นคิ้วเพราไม่มีการตอบรับ

   “ไม่...ไม่มีอะไรแล้วครับ” เซินหมิงเฟิ่งรีบตอบ

   “มิน คุณกลับห้องไปก่อนนะ ผมมีอะไรต้องคุยกับเวย์ต่อน่ะ” โจเซกล่าวกับเซินหมิงเฟิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนกำลังแสดงความยินดีด้วยผ่านสีหน้าและแววตา เซินหมิงเฟิ่งจึงได้แต่พยักหน้ารับแล้วรีบเดินออกไปจากห้องก่อนที่ชิงหลงจะเปลี่ยนใจเสีย

   เมื่อเสียงประตูปิดลง ทั้งสองเฝ้ารอจนกระทั่งเสียงเท้าของเซินหมิงเฟิ่งเงียบสนิท

   “นายกำลังวางแผนอะไรอยู่?” โจเซเป็นฝ่ายถามก่อน

   “ฉันกำลังวางแผนอะไรล่ะ?” ชิงหลงถามโจเซกลับด้วยคำถามเดิม

   “เฮ้ ฉันรู้จักนายดีนะอย่าลืมสิ ฉันไม่คิดว่านายจะทำเรื่องแบบนั้นโดยไม่วางแผนล่วงหน้าหรอก ว่าไง บอกฉันหน่อยไม่ได้เชียวหรือ? หรือว่า...นี่จะเป็นบททดสอบความจงรักภักดีของการ์ดคนนั้นของนายอีกบทหนึ่ง?” ชายหนุ่มจ้องมองลูกพี่ลูกน้องของตนเองด้วยสายตารู้ทัน หากเป็นชิงหลงจริง ๆ ที่ไม่ได้วางแผนอะไร คงจะปฏิเสธคำขอนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย และเลือกที่จะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง อาจจะพาเซินหมิงเฟิ่งออกไปด้วยตัวเองและให้นั่งอยู่แต่ในรถที่มีคนขนาบสองด้านจนขยับตัวไม่ได้ ได้แต่มองเมืองด้วยสายตาเท่านั้น ชิงหลงที่เขารู้จักไม่ใช่คนที่เกิดใจดีขึ้นมากะทันหันแค่เพราะอาการซึมเศร้าเริ่มต้นเด็ดขาด

   “นายทำเป็นไม่รู้หน่อยไม่ได้หรือยังไง” ชิงหลงรู้ว่าถึงปิดบังโจเซไปก็เปล่าประโยชน์ ดอนมอเรสซาเรมีหรือจะมองคนใกล้ตัวไม่ออก

   “ฉันถึงไม่ได้พูดอะไรต่อหน้ามินไงล่ะ”

   “ฉันควรจะขอบคุณนายงั้นสิ?”

   “ก็ตามแต่พระกรุณาขององค์ชายมังกร” โจเซทำเสียงและท่าทางล้อเลียนหนังจีนที่เขาเคยดูผ่าน ๆ
   “เดี๋ยวนายก็ได้รู้เองนั่นแหละ แค่ไหน ๆ นายก็ระแคะระคายแล้ว ฉันก็อยากจะได้ความร่วมมืออะไรนิดหน่อย ไม่มากมายเกินมือของดอนมอเรสซาเรหรอก” ชิงหลงพูดพลางลุกขึ้นยืนพร้อมจัดชุดสูทที่ยับย่นไปเล็กน้อยจากการนั่งให้เข้าที่เข้าทาง

   “นายว่ามาก่อนสิ แล้วฉันจะลองพิจารณาดู”

   “ก็แค่...” ชิงหลงเดินเข้าไปหาลูกพี่ลูกน้องตนเอง แล้วทอดสายตานิ่งเรียบมอง “วันพรุ่งนี้ นายจะต้องไม่ว่างแค่นั้นเอง”

----------------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 09-02-2012 17:39:11
   อาจเป็นเพราะสิ่งที่คาดหวังไว้เป็นจริงด้วยดี เซินหมิงเฟิ่งจึงตื่นเต้นเสียยิ่งกว่าตอนได้ไปชมกีฬาสุดโปรดสมัยเรียนเสียอีก และด้วยเหตุนั้นทำให้เขาไม่อาจข่มตาหลับได้เลย ทั้งที่คืนอื่น ๆ แค่นอนบนเตียงก็เพลียจนไม่อยากลืมตาแล้ว และสามารถหลับไปได้ในเวลาไม่นาน พอถึงตอนเช้า เซินหมิงเฟิ่งก็ตื่นมาด้วยอารมณ์แจ่มใสจนแทบจะผิดปกติ คิมหันต์ที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมาอาบน้ำยังรู้สึกแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น

   “ตื่นเช้าจังนะครับ” เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งออกมาจากห้องนอนแบบแต่งตัวเตรียมออกข้างนอกเรียบร้อยแล้ว

   “ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยน่ะครับ ผมยังไม่เคยเที่ยวเวนิสมาก่อนเลย” พอจะได้ออกข้างนอก เซินหมิงเฟิ่งก็สลัดคราบคนซึมกระทือกลายเป็นร่าเริงขึ้นมาทันที “คุณจะสวมสูทแบบนั้นออกไปเดินหรือครับ?” เขาเอ่ยถามเมื่อเห็นคิมหันต์สวมชุดสูทเรียบกริบดูเหมือนการ์ดมาเฟียเต็มยศ ซึ่งความจริงแล้วเจ้าตัวก็เป็นการ์ดของมาเฟีย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการออกไปข้างนอกแบเป็นส่วนตัวจะต้องแต่งตัวสะดุดตาผู้คนแบบนี้ จะว่าไป ตอนอยู่บ้านตระกูลเซิน คิมหันต์ก็ไม่เคยอยู่ในทีมที่ได้ออกไปข้างนอกแบบไม่เฉพาะกิจ อาจเป็นเพราะเหตุนั้นกระมัง เจ้าตัวจึงชินที่จะสวมชุดสูทตามอารักขาเจ้านายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

   “ผมไม่มีชุดแบบอื่นหรอกครับ” คิมหันต์พูดตามความจริง ตั้งแต่เขาทำหน้าที่การ์ดเต็มตัว เขาก็มีแต่ชุดสูทสีดำ ไม่เคยมีชุดแบบอื่นให้สวมใส่เลยนอกจากชุดนอน

   เซินหมิงเฟิ่งนิ่งครุ่นคิดไป เขาไม่อยากให้คิมหันต์เดินตามเขาต้อย ๆ ด้วยเสื้อผ้าและท่าทางแบบนั้นแน่ ๆ เพราไม่ว่าใครก็คงจะดูออกว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาเดินดินทั่วไป แล้วในอิตาลีก็เป็นถิ่นมาเฟียต้นกำเนิด เขายังไม่อยากเดิน ๆ ไปแล้วเจอไข้โป้งเอากลางทางแบบไม่รู้ไปขัดหูขัดตากลุ่มตามถนนกลุ่มไหนเข้า อย่างไรลูกปืนก็เร็วกว่าแรงคนวิ่ง ถึงจะมีการ์ดของชิงหลงคอยตามดูอยู่ก็ใช่ว่าจะปลอดภัย ดังนั้นสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ การทำตัวกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม เพราะคนในเวนิสไม่มีใครรู้จักหน้าค่าตาเขาอยู่แล้ว

   “คุณรอผมอยู่ตรงนี้ก่อนก็แล้วกัน” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วเดินกลับเข้าไปในห้อง เขาค้นเสื้อผ้าออกมาชุดหนึ่งแล้วนำมาให้คิมหันต์ลองสวม

   คิมหันต์ตัวพอ ๆ กับเขา แค่ล่ำกว่าเล็กน้อยเพราะฝึกฝนร่างกายมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นเสื้อผ้าของเขาจึงพอดีร่างกายคิมหันต์โดยไม่รู้สึกอึดอัดมากนัก

   เมื่อมองดูคิมหันต์ในชุดไปรเวทแบบวัยรุ่นหน่อย ๆ เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายก็ดูดีมีเสน่ห์พอตัวเหมือนกัน ถ้าหากรู้จักยิ้มบ้าง แต่งตัวอีกสักหน่อย คงจะมีสาวแลรายทางเป็นแน่ น่าเสียดายก็แต่ คิมหันต์ชอบทำหน้าบึ้งเหมือนถูกสตาฟหน้าเอาไว้แบบนั้น และวางตัวเหมือนหุ่นยนต์ที่รอรับคำสั่งอย่างเดียว เรื่องนี้ต้องโทษระบบการเลี้ยงดูการ์ดของตระกูลเซินหรือนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายกันแน่นะ?

   “ท่านชิงหลงยอมให้ผมออกไปกับคุณเซินแค่สองคนจริง ๆ หรือครับ?”

   จนถึงตอนนี้ คิมหันต์ก็ยังทำใจเชื่อในคำสั่งได้ยาก เป็นไปได้หรือที่คนอย่างชิงหลงจะยอมทำเรื่องที่เสี่ยงต่อการหลบหนีของตัวประกันถึงขนาดนี้ ถึงเขาจะเป็นคนที่ได้ติดตามก็ตามที แต่เขาก็รู้ว่าชิงหลงยังไม่ได้ไว้วางใจในตัวเขา 100% เจ้านายคนนี้ยังคงสงสัยในตัวเขาอยู่ทุกวินาที และไม่มีทางเลยที่จะยอมให้เขาคลาดสายตา แต่ทำไมถึงได้ยินยอมให้เขากับเซินหมิงเฟิ่ง...คนสองคนที่มีโอกาสร่วมมือกันหลบหนีมากที่สุดไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างอิสระได้โดยไม่มีคนคอยคุมใกล้ชิด

   “ผมไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเจ้านายคุณหรอกน่า” เซินหมิงเฟิ่งพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ แม้เขาจะไม่อยากตอกย้ำตัวเองตอนนี้ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นนักโทษของชิงหลงอยู่วันยังค่ำ “ถ้าคุณไม่เชื่อ จะลองไปถามเขาดูก็ได้ ตอนนี้เขาคงจะดูแลทีมการ์ดที่จะไปกับพวกเราอยู่”

   คิมหันต์ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งและไม่ได้ถามอะไรอีก เพราะชิงหลงเดินเข้ามาในห้องพอดี

   “พร้อมกันหรือยัง?” ชายหนุ่มเอ่ยถามพลางเลิกคิ้วมองคิมหันต์ที่สวมชุดไปรเวททำให้ดูแปลกตาไปเล็กน้อย

   “พร้อมแล้ว คุณคงไม่เปลี่ยนใจเอาตอนนี้หรอกนะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งถามเพื่อความแน่ใจ

   “ยังไม่มีเหตุผลให้ผมเปลี่ยนใจ” ชิงหลงตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าลืมว่าผมให้เวลาถึงแค่ 4 โมงเย็น ถ้ากลับมาช้า ผมไม่รับรองความใจดีของตัวเอง”

   ถูกขู่แบบนั้น แทนที่เซินหมิงเฟิ่งจะไม่พอใจที่ถูกปฏิบัติเหมือนเด็กโดนเคอร์ฟิล เขากลับไม่ได้รู้สึกแย่อะไรเลย เพราะอย่างไร เขาก็มีอิสระจนกว่าจะถึงเวลา 4 โมงเย็นของวันนี้ เขาจึงไม่อยากอารมณ์เสียโดยเปล่าประโยชน์จนทำให้เที่ยวในเมืองไม่สนุก

   “ถ้าอย่างนั้น เจอกันตอน 4 โมงเย็นนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งชิงบอกลาแล้วเดินออกไปจากห้องก่อนที่ชิงหลงจะนึกเปลี่ยนใจขึ้นมาดื้อ ๆ เขาจะรู้ได้ยังไงว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่เกิดคุ้มดีคุ้มร้ายขึ้นมากะทันหัน

   คิมหันต์โค้งให้กับชิงหลงแล้วจึงเดินตามออกมา ทั้งสองตรงดิ่งไปยังลิฟต์และลงชั้นล่างทันที

   เมื่อลงมาถึงล็อบบี้ เซินหมิงเฟิ่งก็สูดหายใจลึก รู้สึกเหมือนเป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบลงบนพื้นจริง ๆ ไม่ใช่แค่พื้นลอยฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นด้วยโครงอาคาร

   “แล้วจะไปไหนก่อนล่ะ?” เขาหันมาถามคิมหันต์ที่กำลังมองแผนที่เวนิส

   “อยากลองไปล่องเรือไหมครับ?”

   เรือกอนโดลาเป็นสิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองเวนิส ไม่ว่าใครที่มาเมืองนี้ต่างก็ต้องอยากจะลองขึ้นดูสักครั้ง ราวกับว่า หากไม่ได้ล่องกอนโดลาแล้ว ก็เหมือนว่ามาไม่ถึงเวนิสจริง ๆ ด้วยเหตุนั้น เรือนี้จึงเป็นสิ่งแรกที่ทุกคนคิดถึงเมื่อพูดถึงชื่อเวนิสขึ้นมา คนที่ไม่เคยมาเวนิสอย่างเซินหมิงเฟิ่งเองก็นึกสนใจเรือกอนโดลาที่มีชื่อเสียงนี้เช่นกัน เพราะเคยได้ยินแต่ชื่อมานานแต่ยังไม่เคยได้สัมผัส

   “ถ้าอย่างนั้นไปล่องเรือก่อนก็แล้วกัน จากนั้นค่อยคิดไปก็ได้ว่าจะไปไหนกันต่อ” เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจอย่างรวดเร็วเพราะเขาอยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด

   คิมหันต์พาเซินหมิงเฟิ่งไปยังท่าเรือสำหรับเช่ากอนโดลาตามแผนที่และใบปลิวสำหรับนักท่องเที่ยว พวกเขาจ่ายเงินไปจำนวนหนึ่งซึ่งสำหรับเซินหมิงเฟิ่งแล้ว มันแพงไม่ใช่เล่นเลย

   “เวนิสสะพานเยอะจริง ๆ เลยนะ”

   “ครับ ก็มีฉายาหนึ่งว่าเป็นเมืองแห่งสะพาน ดูเหมือนว่าสะพานพวกนี้จะเป็นตัวเชื่อมเกาะต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกันน่ะครับ” คิมหันต์อ่านใบปลิวพลางอธิบายเป็นภาษาจีน “ดูเหมือนจะมีตำนานเกี่ยวกับความรักด้วย พวกนักท่องเที่ยวหนุ่มสาวถึงชอบขึ้นเรือกันล่ะมั้งครับ”

   “จริงหรือ? ตำนานว่าอะไรล่ะ?” เซินหมิงเฟิ่งนึกสนใจขึ้นมา

   “ว่ากันว่า ถ้าคู่รักจูบกันตอนระฆังปาไนล์ดังในช่วงเย็นใต้สะพานแห่งการทอดถอนใจ จะรักกันยืนยาวนานน่ะครับ”

   “สะพานแห่งการทอดถอนใจ?” ชายหนุ่มบิดปากนิด ๆ “ชื่อไม่ได้ชวนให้รักกันเลยนะ” เขาออกความเห็นพลางนึกสงสัยว่าทำไมคนต้องรักกันแล้วทอดถอนใจด้วย

   “มันเป็นสะพานที่เดินไปเข้าคุกน่ะครับ นักโทษจึงมักจะมองกลับมาที่สะพานเพื่อเห็นแสงตะวันสุดท้ายในชีวิตแล้วถอนหายใจออกมา”

   ยิ่งฟังที่มาของสะพาน เซินหมิงเฟิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่น่าพลอดรักอย่างที่สุด เขานึกสงสัยจริง ๆ ว่าทำไมคนรักกันถึงอยากมาจูบกันให้สะพานของนักโทษดู หรือว่าที่เสนิสจะไม่มีสะพานอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว หรือว่ามันคือการเยาะเย้ยนักโทษกันนะ?

   เมื่อพวกเขาล่องเรือกอนโดลาจนพอใจ ทั้งสองก็ขึ้นจากเรือแล้วเริ่มมองหาสถานที่ไปต่อ

   จัตุรัสซานมาร์โคคือสถานที่ต่อไป เพราะได้ชื่อว่าเป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่งในอิตาลี เมื่อเซินหมิงเฟิ่งไปถึง เขาก็รู้สึกตื่นตะลึงไปกับสถาปัตยกรรมของโบสถ์ซานมาร์โค รวมทั้งหอนาฬิกาและหอระฆัง นอกจากนี้ยังมีร้านรวงมากมายอยู่รอบ ๆ จัตุรัส เรียกได้ว่า หากนักท่องเที่ยวมาที่นี่และเกิดอยากซื้อหาอะไรก็สามารถซื้อหาได้ในทันทีจากร้านรวงริมทาง จึงช่วยไม่ได้ที่อยู่ ๆ เซินหมิงเฟิ่งจะรู้สึกหิวขึ้นมา เพราะเขาตื่นเต้นมากเกินไปจึงลืมกินอาหารเช้ามาเสียสนิท และตัดสินใจชักชวนคิมหันต์ให้แวะร้านอาหารสักร้านหนึ่ง

   ร้านอาหารบริเวณจัตุรัสซานมาร์โคเนืองแน่นไปด้วยผู้คนและนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมจัตุรัส เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้ร้านอาหารที่สามารถเข้าไปนั่งข้างในร้านได้อย่างสะดวกไม่ต้องนั่งตากแดดอยู่หน้าร้าน

   เมนูของร้านอาหารแห่งนี้เต็มไปด้วยชื่อที่คิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่งไม่รู้จัก เพราะล้วนแต่เป็นอาหารสไตล์เวเนเชียนดั้งเดิม หากไม่ใช่คนท้องถิ่นคงยากจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาจึงต้องสั่งสุ่ม ๆ มาคนละอย่างสองอย่างเพื่อลองดูว่าอาหารสไตล์เวเนเชียนเป็นอย่างไร และหลังจากอิ่มหมีพีมันกันดีกับอาหารที่เต็มไปด้วยชีส คิมหันต์ก็ยื่นบัตรเครดิตใบหนึ่งที่ได้รับมาจากชิงหลงเพื่อใช้จ่ายค่าอาหาร นับว่าชิงหลงรอบคอบกับเรื่องนี้พอสมควร เพราะส่วนตัวเซินหมิงเฟิ่งไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินทองเลย คิดแต่ว่าจะไปที่ไหนบ้างเท่านั้นเอง

   “รู้สึกอืดชอบกล” เขาว่าขณะที่พากันเดินออกมาจากร้าน

   “ก็ทานเข้าไปเยอะขนาดนั้นนี่ครับ” คิมหันต์กล่าวแล้วมองไปรอบ ๆ “ลองไปเดินที่นั่นไหมครับ คงจะเจอร้านขายของที่ระลึกเยอะอยู่”

   “แล้วผมจะซื้อของที่ระลึกไปให้ใครล่ะ...” พอเซินหมิงเฟิ่งพูดขึ้นมาแบบนั้น ใบหน้าคิมหันต์ก็หมองลงทันทีด้วยนึกขึ้นได้ว่าตนเองพูดเรื่องที่ไม่ควรออกไปแล้ว ชิงหลงไม่เคยมีกำหนดปล่อยตัวเซินหมิงเฟิ่งออกมา ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้เลยว่าเมื่อไหร่เซินหมิงเฟิ่งจะเป็นอิสระ แล้วของที่ระลึกจะมีความหมายอะไร

   “ขอโทษด้วยครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ คิมหันต์เกิดหม่นหมองขึ้นมาแบบนี้เขาคงจะหมดสนุกเอาง่าย ๆ

   “เอาเถอะ ซื้อไว้ก็ไม่เสียหาย อย่างน้อยผมจะได้เดินดูอะไรแปลกตาบ้าง” เขาปลอบใจอีกฝ่ายแล้วเดินนำไปทางสะพานริอัลโต โดยมีจุดมุ่งหมายที่ร้านขายของรอบ ๆ สะพาน

   ของที่ระลึกของเวนิสมีหลากหลายอย่าง แต่ที่น่าสนใจเห็นจะเป็นเครื่องแก้วเป่าทั้งหลายที่มีหลากรูปร่าง แต่ละแบบก็น่าตื่นตาตื่นใจไปคนละอย่าง ทว่า ในขณะที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังซื้อของอยู่นั้น พวกเขาก็รู้สึกเหมือนถูกตีโอบด้วยกลุ่มคนบางกลุ่มอย่างช้า ๆ และไม่เป็นที่สังเกต กระนั้นก็เข้ามาถึงตัวอย่างรวดเร็วจนเกินจะไหวตัวทันโดยไม่ให้มีพิรุธ เซินหมิงเฟิ่งถูกผู้ชายคนหนึ่งขนาบข้าง เช่นเดียวกับคิมหันต์

   “มีธุระอะไรหรือครับ?” เขาเอ่ยถามเป็นภาษาอังกฤษ

   “ขอความกรุณามากับพวกเราอย่างเงียบ ๆ ด้วย จะได้ไม่มีใครเจ็บตัว” เสียงดุดันเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาเลียนดังเข้ามาในหูแค่เพียงพอที่จะได้ยินเฉพาะในวงล้อม เซินหมิงเฟิ่งหันไปหาคิมหันต์ซึ่งโดนล็อคตัวเอาไว้ และเมื่อดูจากจำนวน คิมหันตืไม่มีทางช่วยได้แน่ คนของชิงหลงเองก็อาจจะมาไม่ทันเพราะเขาเห็นกระบอกปืนจี้อยู่ที่หลังของคิมหันต์ และหลังของเขาก็คงจะมีเหมือนกัน คนพวกนี้จะต้องยิงขึ้นมาแน่ ๆ หากเห็นคนของชิงหลงหรือคนนอกเข้ามาพยายามช่วยเหลือ

   “พวกเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาเฟียที่นี่นะครับ” เซินหมิงเฟิ่งพยายามแก้สถานการณ์

   “ตามมาเงียบ ๆ” ดูเหมือนฝั่งนั้นจะไม่ได้สนใจเลย เซินหมิงเฟิ่งจึงได้แค่พยักหน้าช้า ๆ ให้คิมหันต์อย่าตอบโต้ แล้วเดินตามคนกลุ่มนั้นไปโดยไม่โต้แย้งอะไร และเมื่อพวกเขาถูกพาไปจนถึงรถที่ติดฟิล์มกรองแสงมืดสนิท ท้ายปืนก็กระแทกเข้าตรงท้ายทอยทำให้เขาหมดสติไป

   อีกด้านหนึ่งของจัตรุรัส สายตาหลายคู่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าโดยตลอดแต่กลับไม่มีใครเคลื่อนไหวใด ๆ ทั้งสิ้น และจนกระทั่งรถกลุ่มนั้นเคลื่อนออกไป ชายคนหนึ่งจึงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและกรอกเสียงลงไปเรียบ ๆ ไม่แสดงความยินดียินร้ายใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

   “พวกเขาไปแล้วครับ”

   “เข้าใจแล้ว พวกนายกลับมาได้” เสียงจากอีกฝั่งออกคำสั่ง ทำให้บุคคลกลุ่มนั้นสลายตัวโดยทันที และบรรยากาศของจัตุรัสซานมาร์โคก็กลับสู่ความคึกคักเช่นเดิมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-02-2012 18:48:09
โดนจับตัวไปซะแล้ว
จะมีอะไรต่อกันนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: vk_iupk ที่ 09-02-2012 19:18:33
อ้าว  โดนจับไปซะแล้ว
เกิดอะไรขึ้นนะ
สงสารหมิงเฟิ่งจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 09-02-2012 23:24:04
งานเข้า อาหมิง เต็ม ๆ ทั้งที่โดนชิงหลงลักพาตัวอยู่แล้ว ก็ต้องมาโดนกลุ่มคนไม่ทราบฝ่ายลักพาตัวต่ออีกทอด
จะเป็นแผนการของมาเฟียแฟมิลี่อื่น หรือจะเป็นแผนซ้อนแผนของโจเซ ก็ยากจะคาดเดา เอาเป็นว่าขอลุ้นตอนหน้าล่ะกัน  :m21:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nuttinee_k ที่ 10-02-2012 11:07:34
ฝีมือชิงหลงเองอะปะเนี่ยย ยิ่งเจ้าแผนการณ์อยู่  :serius2: ลึกลับซับซ้อน

ทางซากุระก็กำลังจะไปได้ดี แต่จะช่วยอาหมิงยังไงละเนี่ยยย


หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 10-02-2012 18:25:54
โดนจับตัวไปซะแล้ว
แผนของชิงหลงอ่ะป่ะ
คิดอะไรอยู่ เดาทางไม่ถูกจริงๆเรื่องนี้  :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: vi2212 ที่ 10-02-2012 23:32:31
ซับซ้อน เกินคาดเดา... :m21:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 10 (09/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: threetanz ที่ 12-02-2012 16:52:31
ใครจับตัวคิมหันต์ กับหมิงไปเนี่ยย ติดตามต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-02-2012 17:28:54
-11-


   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองฝันอะไรบางอย่างก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นมา แต่เขาก็จำไม่ได้ชัดเจนนักเพราะเมื่อรู้สึกตัว ความทรงจำก็ไหลย้อนเข้ามาแทนความฝันที่เลือนราง เขารู้สึกเหมือนตนเองเจอเหตุการณ์เดจาวูอย่างไรอย่างนั้น เพียงแต่ครั้งแรกที่เขาถูกลักพาตัว เขาไม่ได้ถูกสันปืนกระแทกท้ายทอย แค่ถูกวางยาจึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรนัก ซึ่งเมื่อคิดดูแล้ว เขาก็พบว่าชิงหลงยังมีความละเอียดอ่อนมากกว่าคนที่ทำกับเขาอยู่ตอนนี้หลายเท่า อย่างน้อยฝ่ายนั้นก็ไม่เคยทำให้เขาเจ็บตัว

   “คุณเซิน....คุณเซิน” เขาได้ยินเสียงเรียกชื่ออยู่ข้างตัว เป็นเสียงกระซิบอย่างร้อนใจเหมือนกลัวว่าใครในบริเวณนั้นจะได้ยินเข้า

   เซินหมิงเฟิ่งพยายามปรือตาอย่างเชื่องช้าแล้วหันไปข้างตัว

   คิมหันต์นั่นเอง

   เจ้าตัวมีสีหน้ากระวนกระวายจนผิดปกติ

   เซินหมิงเฟิ่งลองขยับแขนโดยไม่ได้ตั้งใจ และพบว่าแขนของเขาถูกตรึงเอาไว้กับบางสิ่งบางอย่างจึงก้มลงมอง และเขาก็พบตนเองถูกตรึงไว้กับเก้าอี้แบบมีพนักด้วยเชือกที่มัดแขนและลำตัว พอหันไปมองคิมหันต์ อีกฝ่ายก็อยู่ในสภาพไม่ต่างกับเขานัก

   ให้ตายเถอะ พวกนั้นจับเขานั่งท่านี้อยู่นานเท่าไหร่แล้วนะ มิน่าเล่าถึงได้ปวดคอแบบนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าเป็นแค่อาการหลังจากถูกสันปืนกระแทกเอาเสียอีก

   เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ พบว่าพวกเขาทั้งสองอยู่ในห้องโล่ง ๆ สีทึบทึม ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลยนอกจากเก้าอี้สองตัวที่พวกเขานั่นอยู่ และบนเพดานมีหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ที่ไม่ค่อยสว่างนัก แค่ให้แสงสว่างได้ทั้งห้องแต่ก็ยังทำให้รู้สึกทึบและอึดอัดอยู่ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม แต่เซินหมิงเฟิ่งสังเกตเห็นช่องระบายอากาศอยู่เหนือประตูที่มีอยู่บานเดียว มันกำลังหมุนช้า ๆ จนพาให้รู้สึกรำคาญ

   “พวกเราอยู่ที่ไหน?” เขาเอ่ยถามคิมหันต์เสียงเบา

   “ผมไม่รู้ครับ แต่ข้างนอกประตูมีคนเฝ้าอยู่แน่ ๆ ตอนที่คุณเซินยังไม่ตื่น ผมเห็นมีคนเข้ามาดูสองครั้งและคุยกันเป็นภาษาอิตาเลียน แต่นอกจากนั้นผมยังไม่เห็นอะไรที่จะบ่งบอกได้เลยว่าเราอยู่ที่ไหน” คิมหันต์รายงานด้วยเสียงกระซิบ เซินหมิงเฟิ่งจึงรู้ว่าที่อีกฝ่ายพยายามพูดเบา ๆ เพื่อไม่ให้คนข้างนอกรู้ว่าพวกเขาได้สติแล้วนั่นเอง ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่คิดว่าฝ่ายนั้นจะยอมให้พวกเขาสองคนหลับสบาย ๆ นานนัก

   “คิดว่าเป็นพวกไหน?”

   “บางทีอาจจะเป็นศัตรูของดอนมอเรสซาเรครับ”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว

   “แล้วศัตรูของมอเรสซาเรมาเกี่ยวข้องอะไรกับเรา? แม้แต่คนของมอเรสซาเรยังไม่รู้เลยว่าผมมีตัวตน” นั่นเป็นเรื่องจริง เพราะเซินหมิงเฟิ่งเป็นธุระส่วนตัวของชิงหลงซึ่งโจเซไม่นำมาเกี่ยวข้องกับแฟมิลีของตนเอง ดังนั้นแม้แต่คนของมอเรสซาเรก็ยังไม่ได้รับรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเซินหมิงเฟิ่ง หรือความเกี่ยวพันกับคนของชิงหลงแต่อย่างใด สำหรับอิตาลี เขาก็เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น

   “บางทีพวกเขาอาจจะสืบสาวมาจากที่ไหนสักแห่ง ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ว่าถ้าไม่ใช่ศัตรูของมอเรสซาเร ผมก็เดาไม่ออกแล้วว่าเป็นคนพวกไหน”

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจออกมา นึกสงสัยว่าตัวเองมีดวงสมพงษ์อะไรกับคนพวกนี้กันนะ อยู่ที่ฮ่องกงเขายังไม่แปลกใจนักเพราะเป็นทายาทของมาเฟียที่มีอิทธิพลระดับประเทศ แต่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงอิตาลีแล้วเขายังต้องเจอกับเรื่องของมาเฟียอีกหรือ?

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากภายนอก เป็นเสียงก้องจากทางเดินของรองเท้าหนังหลายคู่ตามด้วยเสียงเปิดประตูที่เสียดหู

   ฝ่ายนั้นเริ่มการพูดด้วยภาษาอิตาเลียนที่ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ต่างก็ฟังไม่ออก จึงได้แต่มุ่นคิ้วแล้วจ้องไปยังคนที่เหมือนผู้นำซึ่งเป็นผู้ชายละตินรูปร่างท้วม ในมือคีบซิการ์ตัวหนึ่งที่กำลังพวยควันฉุยออกมาเป็นระลอกและลอยหายไปที่ช่องระบายอากาศ

   “ฟังภาษาอังกฤษออกหรือเปล่า?” ในที่สุดพวกนั้นก็รู้ตัวว่าการพูดด้วยภาษาอิตาเลียนไม่สามารถสื่อสารได้ จึงเปลี่ยนมาใช้ภาษาที่สากลกว่า

   “พวกคุณต้องการอะไร?” เซินหมิงเฟิ่งถามกลับไป

   “ต้องการอะไร?” ชายรูปร่างท้วมทวนคำถามแล้วกลอกตาเล็กน้อยก่อนเดินเข้ามาใกล้ เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกแสบจมูกทันทีที่ควันซิการ์ลอยเข้ามาถึงตัว “เปล่าเลย ถ้าถามถึงว่าฉันต้องการอะไรจากพวกผิวเหลืองอย่างพวกคุณน่ะนะ แต่...คุณอาจช่วยผมได้ ไหนลองบอกผมมาหน่อยซิว่า ชิงหลงแห่งฮ่องกงต้องการอะไรถึงมาที่นี่โดยไม่มีธุระด้านธุรกิจ ซ้ำยังจัดการปกป้องคุ้มครองคุณเป็นพิเศษด้วยการ์ดจำนวนมากกว่าครึ่งที่เขาพามาด้วย บางทีคุณคงเป็นคนสำคัญในแผนการบางอย่างของเขา”

   ปกป้องคุ้มครอง?

   นี่เขาฟังผิดไปหรือเปล่า สิ่งที่ชิงหลงทำกับเขามันเรียกว่าการกักขังหน่วงเหนี่ยวต่างหาก....

   พอคิดแบบนั้นขึ้นมา เซินหมิงเฟิ่งก็เผลอบิดรอยยิ้มแกน ๆ

   “ก่อนจะพูดเรื่องนั้น คุณช่วยแนะนำตัวหน่อยดีไหมครับ?” เขาเบี่ยงหัวข้อ เพราะเขายังไม่อยากพูดอะไรให้เสียเรื่อง

   ชายร่างท้วมชะงักไปก่อนเลิกคิ้ว

   “นั่นสินะ” เขาว่าแล้วหัวเราะเบา ๆ “อาติโน บราซินี”

   เซินหมิงเฟิ่งเลื่อนสายตาไปสบกับคิมหันต์แวบหนึ่งเผื่อว่าอีกฝ่ายจะคุ้นชื่อนี้บ้าง แต่ก็เหมือนจะเปล่าประโยชน์ เพราะคิมหันต์ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใด ๆ เป็นพิเศษ จะว่าไปก็ไม่น่าแปลก เพราะคิมหันต์อยู่กับบ้านตระกูลเซินมานานหลายปี คงไม่มีทางรู้เรื่องราวของทางอิตาลีได้อยู่แล้ว ยิ่งเป็นชื่อของมาเฟียอิตาลีที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอิทธิพลทางฮ่องกงเลย

   “ผมเซินหมิงเฟิ่ง” เขาแนะนำตัวกลับไป

   “คุณเป็นคนจีนที่มีเค้าหน้าคล้ายคนยุโรปมากเลยนะ” อาติโนจ้องมองเซินหมิงเฟื่งเสมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่างที่อยู่บนใบหน้านั้น ทว่าก็เหมือนจะไม่พบสิ่งที่ต้องการ

   “แม่ของผมเป็นคนอังกฤษ”

   “มีเชื้อเมืองผู้ดีเสียด้วย” อาติโนหัวเราะออกมาพร้อมกับคนรอบตัวท่ากันขบขันไปด้วยทั้งที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้รู้สึกตลกเลยสักนิด สำหรับเขามันดูเหมือนคำบอกเล่าธรรมดาที่เสียดสีอยู่เล็กน้อยเท่านั้นเอง

   เซินหมิงเฟิ่งไม่แน่ใจว่าตนเองควรบอกอีกฝ่ายหรือไม่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมอเรสซาเรแฟมิลี การบอกกล่าวออกไปเช่นนั้นอาจได้ผลตอบรับกลับมาสองรูปแบบ แบบแรก คืออีกฝ่ายเป็นพันธมิตรของมอเรสซาเร หรือคนที่มอเรสซาเรเคยมีบุญคุณด้วย เขาก็จะสามารถกลับออกไปได้อย่างปลอดภัยและอาจใช้ชื่อของมอเรสซาเรทำให้คนเหล่านี้ยอมส่งเขากลับฮ่องกงโดยไม่ต้องผ่านมือชิงหลงได้ด้วย ทว่าในทางร้ายซึ่งเป็นแบบที่สอง หากคนกลุ่มนี้เป็นศัตรูของมอเรสซาเรหรือคนที่จ้องจะโค่นล้ม เขาและคิมหันต์คงตกอยู่ในอันตรายอันใหญ่หลวง ซึ่งไม่ใช่เรื่องคาดเดาได้ยากเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

   “คราวนี้เราก็รู้จักกันแล้ว คุณตอบคำถามผมได้หรือยัง?” อาติโนว่าพลางโบกซิการ์ในมือไปมา ควันสีขุ่นที่ลอยอวลในห้องสลัว ๆ มันทำให้ยิ่งรู้สึกอึดอัด

   “ผมไม่เข้าใจประเด็นคำถามของคุณ” เซินหมิงเฟิ่งตอบกลับตามตรง

   เมื่อเซินหมิงเฟิ่งพูดออกมาแบบนั้น ผู้ติดตามของอาติโนบางคนก็ตะคอกออกมาเป็นภาษาอิตาลีกันอย่างเคร่งเครียด คนเหล่านี้คงไม่รู้กระมังว่าคนที่ฟังภาษาอิตาลีไม่ออก ถึงจะพูดด้วยสำเนียงอารมณ์แบบไหนก็ยังฟังไม่ออกอยู่ดี

   อาติโนเอ่ยปรามคนของตนอย่างใจเย็นแล้วหันกลับมา

   “ต้องขอโทษด้วยที่คนของผมใจร้อนไปหน่อย พวกเขาอยากสอบสวนพวกคุณด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ว่าผมเป็นคนใจกว้าง ดังนั้นผมจะให้เวลาพวกคุณคิดทบทวนก็แล้วกัน” หลังจากกล่าวเช่นนั้น ชายร่างท้วมก็โบกมือให้ผู้ติดตามออกไปจากห้อง และห้องก็ตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง

   เซินหมิงเฟิ่งเผลอถอนหายใจเฮือกออกมา

   “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจบางอย่างผิดอยู่นะ” เขากระซิบกับคิมหันต์

   “เรื่องที่คิดว่าคุณเซินเป็นบุคคลสำคัญที่ชิงหลงกำลังปกป้องอยู่สินะครับ?”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้า

   “คุณคิดว่าพวกเขาไม่พอใจชิงหลงอยู่หรือเปล่า?”

   “ผมไม่แน่ใจนะครับ เพราะว่าผมไม่รู้จักระบบของมาเฟียอิตาลีมากนัก บางทีพวกเขาอาจจะไม่พอใจที่ตัวดอนมอเรสซาเรก็ได้ ทำให้ลากมาถึงท่านชิงหลง” คิมหันต์ลองวิเคราะห์ออกมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมมาเฟียอิตาลีถึงรู้เรื่องเซินหมิงเฟิ่งได้ จะว่าส่งคนเข้ามาสอดแนมก็ไม่น่าใช่ เพราะบอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่ล้วนแต่เป็นหน้าเดิม ๆ ที่จัดมาจากฮ่องกง คนของมอเรสซาเรไม่ได้มาทำหน้าที่ถึงห้องแบบพวกเขา แค่ช่วยดูแลบริเวณรอบ ๆ โรงแรมเท่านั้น ซึ่งหากมีคนนอกแทรกเข้ามาโจเซก็น่าจะรู้ตัว จะว่าพวกเหล่านี้ใช้แผนเดียวกับชิงหลง ด้วยการส่งคนเข้ามาแทรกแซงตั้งแต่อายุน้อยก็ไม่น่าใช่ มาเฟียอิตาลีคงไม่ลงทุนถึงขนาดนั้นกับมาเฟียของเกาะเล็ก ๆ ในอีกฝากของโลก ซ้ำยังไม่ใช่นโยบายสากลของมาเฟียอิตาลีอีกด้วย

   “คุณเซินจะทำยังไงต่อไปครับ?” เพราะคิมหันต์ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเพื่อให้ใช้สมองคิดวิเคราะห์มาแต่ต้น จึงไม่สามารถคิดอะไรที่ลึกซึ้งมากได้ ในที่สุดก็หันไปถามความเห็นจากเซินหมิงเฟิ่งซึ่งเป็นบุคคลเดียวที่อยู่ในฐานะผู้นำในตอนนี้และในอนาคต

   “ถ้าเรายังทำเป็นไม่รู้เรื่องต่อไป พวกเขาคงใช้กำลังจริง ๆ แน่” เขาว่าแล้วเม้มปาก การทรมานของมาเฟียคงไม่น่าพิสมัย แต่เขาจะหลีกเลี่ยงมันได้อย่างไร?

   “แต่ว่านี่เป็นเรื่องภายใน....”

   ไม่มีกลุ่มมาเฟียกลุ่มไหนอยากให้กลุ่มอื่นเข้ามายุ่งกับเรื่องภายในของตนเอง ไม่ว่าเรื่องนั้นจะดูไร้สาระแค่ไหนก็ตาม

   “ผมเองก็ไม่คิดจะเปิดเผยหรอก” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วถอนหายใจออกมา “ตอนนี้คงได้แต่หวังว่าชิงหลงจะหาทางช่วยเราได้” เขารู้ว่าชิงหลงไม่มีทางทิ้งเขาเอาไว้อย่างนี้แน่ ไม่ว่าอย่างไร สิ่งที่ชิงหลงทำเขาก็สังหรณ์ว่าต้องเกี่ยวข้องกับกฎของพวกเขา ตลอดเวลาที่ถูกขังเอาไว้ เขาก็คิดสรตะมากมายหลายเหตุผลว่าจะมีเหตุผลใดบ้างที่ทำให้ชิงหลงทำเรื่องแบบนี้ได้ สิ่งเดียวที่สมเหตุสมผลที่สุดนั่นคือ ในอดีตจูเชว่คงเคยทำเช่นนี้หรือสิ่งที่ส่งผลในแบบนี้ต่อชิงหลงมาก่อนเป็นแน่ และหากเป็นกฎนั้น ชิงหลงจะไม่มีทางปล่อยให้เขาตายโดยไม่ดูดำดูดีได้

-------------------------->

   “เราน่าจะเค้นคอมันซะเลยนะครับ” ผู้ติดตามคนหนึ่งกล่าวกับอาติโน

   “ใจเย็นไว้ก่อน ถ้าหากว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับมอเรสซาเร เราจะเสียหายเอาได้” อาติโนปรามผู้ติดตามของตนเองแล้ววางซิการ์ลงบนแท่นรอง

   “มอเรสซาเรยังไม่สนใจพวกเราเลยนะครับ ปกติแล้วพวกเราควรจะรู้เรื่องด้วยไม่ใช่หรือครับว่ามอเรสซาเรกำลังคิดจะทำอะไรอยู่ ถ้าหากว่าเราทำอะไรลงไป เราก็อ้างได้ไม่ใช่หรือครับว่าเป็นเพราะทางมอเรสซาเรไม่ให้ข้อมูลเรามาเองถึงได้เกิดเรื่องผิดพลาด”

   “แกนี่ไม่รู้อะไรเลยนะ” อาติโนถอนหายใจเฮือก “พวกมอเรสซาเรไม่สนใจข้อแก้ตัวเด็ก ๆ แบบนั้นแน่”
   “แต่ถ้าปล่อยแบบนี้ เจ้าพวกนั้นก็เอาแต่ถ่วงเวลาไปเรื่อยนะครับ”

   “ก็ดีเหมือนกัน”

   เมื่ออาติโนพูดออกมาแบบนั้น ผู้ติดตามทั้งหมดก็มองหน้ากัน

   “พวกเราจะเสียเวลาเปล่าหรือครับ?”

   อาติโนโบกมือไปมาในอากาศ

   “ตราบใดที่พวกนั้นยังอยู่กับเรา เราก็จะรู้ได้ว่าพวกนั้นมีความเกี่ยวข้องกับมอเรสซาเรหรือไม่ ตอนนี้ ฉันอยากให้พวกแกจัดคนไปดูแลทางฝั่งโจเซและชิงหลงอย่างลับ ๆ แล้วรายงานกลับมาเป็นระยะ ฉันอยากรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องนี้แล้ว สองฝั่งนั้นมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”

   “แค่สอดแนมก็พอหรือครับ?”

   บางครั้งอาติโนก็ปวดหัวกับคนของตัวเองไม่น้อย คนพวกนี้ถูกเลี้ยงมาเหมือนลูกเสือลูกสิงโต ต้องใช้กำลังเอาท่าเดียว ซ้ำยังใจร้อนกันทั้งนั้น ส่วนมากก็มีพื้นฐานมาจากพวกอันธพาลข้างถนนที่เขาเห็นแวว หรือไม่ก็คนของตัวเองเอาลูกหลานมาฝากทำงาน

   “ฟังนะ ถ้าหากว่าพวกนั้นเกี่ยวข้องกับมอเรสซาเรจริง หมายความว่าอีกไม่นานโจเซต้องติดต่อมาแน่ เมื่อถึงตอนนั้น ฉันกับเขาก็จะได้คุยกันว่านี่มันเรื่องอะไร จากนั้น เราค่อยพิจารณากันอีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป แต่ถ้าเราใช้กำลังลงไปแล้วเกิดเขาเป็นคนสำคัญของทางมอเรสซาเรขึ้นมา เราจะต้องถูกต่อว่าอย่างแน่นอน และทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับมอเรสซาเรแย่ลงไปด้วย” เมื่ออาติโอธิบาย ผู้ติดตามที่อยู่ในห้องก็สงบลงบ้างแม้จะมีอาการไม่พอใจอยู่เล็กน้อย ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ระหว่างแฟมิลี่ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับมาเฟียอย่างพวกเขา ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับแฟมิลีอื่นโดยไม่มีเหตุจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟมิลีเก่าแก่และมีอิทธิพลล้นมืออย่างมอเรสซาเรที่สามารถต่อกรกับตำรวจสากลได้อย่างสบายมือ

   “ถ้าอย่างนั้น ผมจะไปเตรียมคน” ผู้ติดตามคนหนึ่งรีบเดินออกไปทำตามคำสั่ง

   “ส่วนพวกแกที่เหลือ จับตาดูสองคนนั่นไว้ว่ามีพิรุธอะไรบ้างหรือเปล่า” อาติรู้ว่าสองคนนั้นคงจะไม่พูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษแน่ และคนของเขาก็ฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่องสักคนเดียว ดังนั้นสิ่งเดียวที่สามารถจับสังเกตได้คือสีหน้าและท่าทางเวลาที่ปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันตามลำพัง

   ผู้ติดตามส่วนที่เหลือรับคำสั่งก่อนจะพากันเดินออกไปทำหน้าที่ อาติโนจึงทิ้งตัวลงพิงพนักแล้วถอนหายใจ

   เด็ก ๆ สมัยนี้ชักจะเอาใจยากขึ้นทุกวัน หวังว่าโจเซคงจะไม่เอาใจยากแบบนี้หรอกนะ...

-------------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-02-2012 17:31:07
   หลังจากได้รับรายงานว่าเซินหมิงเฟิ่งถูกพาตัวไปโดยกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง นั่นก็ผ่านมาเกือบ 24 ชั่วโมงแล้ว ชิงหลงตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าตัวเย็นใจจนน่าแปลกเสียด้วยซ้ำ ทำให้ผู้ติดตามแต่ละคนได้แต่มองหน้ากันไปมาโดยไม่มีใครกล้าพูดอะไรเรื่องนี้ ในใจแต่ละคนคาดหวังว่าชิงหลงจะมีแผนการอะไรบางอย่างถึงได้ปล่อยเซินหมิงเฟิ่งหลุดมือไปพร้อมคิมหันต์

   “อาหารเช้า” เขากล่าวลอย ๆ ทุกคนจึงรีบกุลีกุจอไปนำอาหารเช้าที่แม่บ้านนำมาส่งเมื่อครู่เข็นมาให้เจ้านาย

   ชิงหลงนั่งละเลียดอาหารอิตาเลียนอย่างช้า ๆ ไม่เร่งร้อนจนกระทั่งอิ่มดีแล้วจึงดื่มน้ำ เช็ดริมฝีปาก แล้วลุกขึ้นยืนจัดเสื้อก่อนจะกล่าวกับผู้ติดตามคนหนึ่ง

   “ต่อสายหาโจเซ มอเรสซาเร”

   “ค...ครับ” แม้จะกังขาต่อคำสั่งว่าเหตุใดเจ้านายของตนจึงให้โทรไปหาดอนมอเรสซาเรในตอนนี้ทั้งที่เซินหมิงเฟิ่งไม่น่าจะถูกคนของมอเรสซาเรพาตัวไป หรือว่านี่จะเป็นปัญหาที่เจ้านายของเขาไม่อาจแก้ไขด้วยตัวเองได้ หากเป็นเช่นนั้นชิงหลงน่าจะดูร้อนรนมากกว่านี้หลายเท่า แต่ชายหนุ่มก็กดเอร์โทรศัท์เพื่อต่อสายไปยังโทรศัพท์มือถือของโจเซ มอเรสซาเรโดยตรง

   ชิงหลงยื่นมือไปรับโทรศัพท์มือถือที่ผู้ติดตามส่งต่อมาให้ ฟังเสียงรอสายอยู่ไม่นาน โจเซก็กรอกเสียงตอบรับกลับมา

   “ไงเวย์ นายคงมีเรื่องเซอร์ไพรซ์แน่ถึงได้เป็นฝ่ายโทรมาหาฉันก่อนทั้งที่ก่อนหน้านั้นนายบังคับให้ฉันหางานทำจนไม่ว่างไปไหนเมื่อวานนี้” เสียงของโจเซดูสบาย ๆ ไม่ได้เหมือนคนที่ทำงานไม่ได้พักผ่อนและไม่มีเวลาว่างอย่างที่ปากว่ามาเลยสักนิด

   “ฉันมีปัญหานิดหน่อยอยากให้นายช่วย เซอร์ไพรซ์ไหม?”

   “นั่นมันยิ่งกว่าเซอร์ไพรซ์อีก” โจเซหัวเราะ “อย่ามาโกหกฉันหน่อยเลย นายน่ะเหรอมีปัญหาอยากให้ฉันช่วย เสียงนายเรียบสนิทแบบนั้นเหมือนทุกอย่างเป็นไปตามแผนเสียมากกว่า”

   หากให้ชิงหลงพูดว่าใครคือคนที่รู้ใจเขาที่สุด เขาคงจะเลือกไม่ถูกระหว่างไป๋หู่กับโจเซ

   “อย่าทำเป็นรู้ดี” ชิงหลงว่า “ฉันให้นายเลือกว่านายจะมาที่นี่หรือให้ฉันไปหา”

   “เป็นครั้งแรกเลยนะที่นายให้ฉันเป็นคนเลือกแบบนี้” โจเซตอบกลับไป “เอาเป็นว่าฉันกำลังว่าง ฉันก็เลยจะเป็นฝ่ายไปหานายเองก็แล้วกัน”

   “ก็ดี แล้วเจอกัน”

   ชิงหลงตัดสายโทรศัพท์แล้วส่งคืนให้ผู้ติดตามถือไว้

   “อีกเดี๋ยวดอนมอเรสซาเรจะมา เตรียมตัวต้อนรับเขาด้วย” หลังจากสั่งจบ ชิงหลงก็โบกมือให้ทุกคนออกไปจากห้อง

   ผู้ติดตามแต่ละคนต่างรู้ว่าหากชิงหลงไม่ต้องการจะพูด ถึงจะทู่ซี้อย่างไรก็เปล่าประโยชน์ จึงพากันทยอยเดินออกไปจนกระทั่งห้องว่างเปล่า คนสุดท้ายปิดประตูลง ทิ้งให้ชิงหลงอยู่คนเดียวตามต้องการเพราะเจ้าตัวไม่ได้เรียกใครเอาไว้คุยต่อ

   ชิงหลงปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความเงียบ เฝ้ารอจนกระทั่งเสียงฝีเท้าหน้าห้องทั้งหลายสงบลงจึงเดินไปที่ห้องต่างและทอดสายตาออกไปภายนอก

   หากเขาเดาไม่ผิด ทางฝ่ายนั้นจะต้องอยากรู้แน่ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องส่งคนมาเฝ้าดูอย่างไม่ต้องสงสัย รวมทั้งฝั่งของโจเซด้วย

   เป็นความต้องการของเขาที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของสายตาเหล่านั้นให้ไปทางโจเซจึงตั้งใจเรียกโจเซออกมาหาและเลือกจะเป็นฝ่ายที่ไม่ปรากฏตัว ไม่รู้ว่าโจเซรู้จุดประสงค์นั้นหรือไม่จึงได้เลือกที่จะออกมาหาเขาเอง หรือไม่ก็คงจะแค่ความบังเอิญ

   เมื่อมองจากมุมนี้ แม้จะเป็นชิงหลงก็ยากจะระบุว่าใครเป็นคนธรรมดาหรือคนที่มาสอดแนม

   ชิงหลงมองลงไปจากหน้าต่างบานกว้าง เห็นแต่ผู้คนเดินขวักไขว่และบางอาชีพที่ทำงานบนท้องถนน ตอนนี้เป็นช่วงเวลาเร่งด่วนของแต่ละชีวิตจึงไม่น่าแปลกที่พื้นด้านล่างจะเต็มไปด้วยคลื่นของฝูงชน กระทั่งรถราก็ยังติดกันเป็นทิวแถวสลับสีสันสารพัดตามแต่รสนิยมของแต่ละคน ทั้งที่เวนิสเป็นเมืองที่การจราจรด้วยเรือเป็นที่นิยมมากกว่ารถ กระนั้นรถก็ยังเป็นยานพาหนะสำคัญที่พบได้ในทุกเมืองที่เจริญแล้วของโลก ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องสะดวกสำหรับอาชีพอย่างพวกเขา เพราะคงไม่มีมาเฟียคนไหนอยากไปนั่งเรือล่อกระสุนปืนจากยอดตึก

   ดูจากการจราจรแล้ว โจเซคงไม่ออกมาบนถนนตอนนี้แน่

   ชิงหลงเหลือบตามองนาฬิกา อีกไม่นานทุกคนก็จะเข้างานกันหมด แล้วถนนก็จะโล่งผิดกับคลองสายต่าง ๆ ในเวนิสที่นักท่องเที่ยวต้องการใช้บริการเรือกอนโดลาแทบจะตลอดเวลา

   เขาเดินกลับไปที่เก้าอี้ นั่งลงและเปิดหนังสืออ่านฆ่าเวลา จนกระทั่งถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ยังไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ กับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ ความจริงแล้วทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ เป็นไปอย่างที่เขาคาดการณ์อย่างดีจนไม่มีอะไรที่น่ากังวลเลย

   หลังจากราว ๆ ชั่วโมงครึ่งผ่านไป ชิงหลงก็วางหนังสือลง ประจวบเหมาะกับการเคาะประตูเรียก

   “ท่านชิงหลง ดอนมอเรสซาเรมาถึงแล้วครับ”

   “ให้เขาเข้ามาเลย”

   สิ้นคำตอบรับ ประตูก็เปิดออกตามด้วยร่างสูงในเสื้อโค้ทยาว ผ้าพันคอเส้นยาวคล้องเอาไว้หลวม ๆ และแว่นกันแดดสีชาที่ดูเข้าสมัยรับผมเรือนผมสีทอง โจเซในตอนนี้ก็เหมือนกับทุก ๆ วัน เหมือนกับนายแบบโฆษณาหรือเสื้อผ้าแฟชั่นมากกว่าเจ้าพ่อมาเฟีย กระทั่งการกระทำของเขาที่ดึงแว่นออกด้วยการปาดมือไปด้านข้างและพับมันเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนแย้มยิ้มนั่นก็ด้วย

   “เสียใจด้วยนะโจเซ วันนี้คุณเซินกับคิมหันต์ไม่อยู่ทั้งคู่ ถึงนายจะบรรจงแต่งตัวไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก” ชิงหลงว่าแล้วผายมือให้โจเซนั่งลงก่อนจะพยักหน้าให้คนของตนเองปิดประตู

   “แย่จังเลยนะ” โจเซหัวเราะเบา ๆ แล้วถอดโค้ทออกพาดกับเก้าอี้ก่อนจะนั่งลงบนโซฟาตัวยาวด้วยท่าสบาย ๆ เหมือนบ้านตัวเอง “สงสัยเจ้านกน้อยของนายจะโดนใครบางคนจับตัวไปซะแล้วล่ะมั้ง แถมยังพ่วงคนดูแลนกของนายไปด้วยนี่สิ”

   “นายท่าทางจะรู้อะไรดี ๆ นะ” ชิงหลงเลิกคิ้วมอง

   “ก็ไม่รู้มากหรอก ก็แค่ได้ยินว่าคนของนายหายไป แบบว่าออกไปแล้วไม่ได้กลับมา พวกเขาสงสัยว่านายกำจัดเขาไปแล้วหรือว่าคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่”

   คนของมอเรสซาเรคอยเฝ้าอยู่รอบ ๆ โรงแรม พวกเขาต้องเห็นแน่นอนอยู่แล้วว่าเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ออกไปข้างนอก ตามด้วยการ์ดที่คอยดูอยู่ห่าง ๆ แต่จนถึงวันรุ่งขึ้น บุคคลทั้งสองกลับไม่ได้กลับมา มีแต่การ์ดที่ออกไปเท่านั้นที่กลับเข้ามา จึงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก หากพวกคนของมอเรสซาเรจะเกิดสงสัยเช่นนี้และถามกันปากต่อปากจนไปถึงหูของโจเซได้

   “แล้วนายคิดยังไง?” ชิงหลงถามลองเชิง

   “ฉันคิดว่า นายกำลังวางแผนอะไรแปลก ๆ อยู่แน่”

   “แผนแปลก ๆ นั่นเป็นคำพูดที่หยาบคายเอาเรื่องเลยนะ” ถึงจะว่าอย่างนั้น ชิงหลงกลับไม่ได้แฝงแววความโกรธเคืองใด ๆ เลย

   “มันคือคำชมต่างหาก” โจเซว่าก่อนจะหัวเราะออกมาอีก “เอาล่ะ นายมีอะไรจะบอกฉันก็บอกมาเลย ฉันเตรียมใจรับความแปลกใจทุกอย่างแล้ว” หลังจากพูดเช่นนั้น โจเซก็เอนตัวพิงพนักพลางผายมือเปิดทางให้ชิงหลงพูดสิ่งใดก็ตามที่เจ้าตัวคิดว่าสำคัญพอจะเรียกเขาออกมาข้างนอกได้

   “มันจะทำให้นายลำบากเกินไปหรือเปล่า ถ้าฉันจะบอกว่าอยากให้นายทำเป็นร้อนใจกับเรื่องนี้จนนั่งไม่ติดและเรียกให้คนสืบหาต้นตอของสิ่งที่เกิดขึ้น”

   โจเซมุ่นคิ้วทันที

   “นายกำลังทำให้ฉันล้ำเส้นตัวเองนะ”

   เขาเคยพูดเอาไว้ชัดเจนว่า สิ่งใดที่ชิงหลงทำในเขตของเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับเขาตราบใดที่สิ่งนั้นไม่มีผลได้หรือเสียต่อมอเรสซาเรแฟมิลี การที่ให้เขาทำตัวร้อนรนกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่ง จะทำให้คนทั่วไปมองว่าสิ่งที่ชิงหลงทำในตอนนี้และเกี่ยวข้องกับเซินหมิงเฟิ่งนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของเขาและมีผลต่อมอเรสซาเรแฟลิมีในทางตรงหรือทางอ้อม เรื่องนั้นจะนำปัญหามาให้เขาอย่างแน่นอน พวกแฟมิลีพันธมิตรและพวกที่ทำงานให้อาจจะคิดว่าเขาก้มหัวให้กับมาเฟียฮ่องกง

   “ฉันไม่ได้บังคับให้นายผิดคำตัวเอง” ชิงหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “และไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ฉันมีทางออกของฉันอยู่แล้ว และไม่ทำให้มอเรสซาเรได้รับผลกระทบใด ๆ ทั้งสิ้น”

   “แล้วฉันจะทำอย่างนั้นให้นายไปทำไมกัน” โจเซเลิกคิ้ว

   “เพราะฉันคิดว่านายคงอยากจะปั่นหัวคนเล่นเหมือนกับฉัน” ชิงหลงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงสบายขึ้นแล้วเอนตัวไปด้านหลัง

   “แค่นั้นเองหรือ? ไหนบอกฉันหน่อยสิเวย์ คนที่นายอยากปั่นหัวคือคนที่พาตัวนกน้อยของนายไป หรือตัวนกน้อยของนายเอง”

   เมื่อโจเซถามเช่นนั้น ชิงหลงก็เผยรอยยิ้มลึกลับออกมาแวบหนึ่งก่อนจะกลับไปสู่ใบหน้านิ่งสงบเช่นเดิม
   “เรื่องนั้นนายน่าจะลองดูผลเอาเอง” ชิงหลงตัดสินใจตอบคลุมเครือ

   “นายรู้ตัวไหมว่านายมันนิสัยแย่”

   “ใช่ ฉันรู้ แต่นายก็ยอมฉันไม่ใช่หรือยังไง?”

   โจเซหัวเราะร่า จะว่าไปตอนเด็ก ๆ ที่ชิงหลงชวนเขาเล่นอะไรบางอย่างแผลง ๆ ไม่สมนิสัยเจ้าตัว เขาก็มักจะตามใจอีกฝ่ายทุกที กระทั่งโตแล้วเขาก็ยังต้องยอมลูกพี่ลูกน้องคนนี้เหมือนเดิม พอได้อยู่กับคนที่คาดเดาได้ยากแบบนี้แล้ว เหมือนว่าอะไรรอบตัวก็น่าสนุกไปเสียหมด

   “เอาล่ะ ก็ได้ แต่ฉันไม่เสียเวลากับนายฟรี ๆ หรอกนะ”

   “ฉันก็ไม่ได้คิดจะรบกวนนายฟรี ๆ หรอก”

   “แปลว่านายเตรียมของขวัญให้ฉันแล้วล่ะสิ” โจเซเลิกคิ้วพลางถาม

   “และนายจะคิดว่าคุ้มค่า”

   ด้วยถ้อยคำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจนั้น ทำให้โจเซยอมคล้อยตามในที่สุด แม้เขาจะแน่ใจว่าถึงตัวเองจะไม่คล้อยตามในตอนนี้ ชิงหลงก็จะหาวิธีที่ทำให้เขาคล้อยตามได้อยู่ดี ลูกพี่ลูกน้องของเขาบทจะดื้อดึงขึ้นมาใครก็เอาชนะความดื้อดึงนั้นได้ยาก

   “ถ้าอย่างนั้นก็บอกมาว่านายวางแผนยังไงต่อไป” โจเซตอบรับและคอยฟังว่าชิงหลงคิดจะทำอย่างไรหลังจากนี้

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 16-02-2012 19:21:00
อร๊ายยย ผู้ชาย 2 คนนี้คุยอะไรกัน อิฉันไม่รู้เรื่อง :z3:
นกน้อยกะคนดูแลนกโดนมาเฟียจับตัวไปน๊า
เล่นสนุกอะไรกัน สงสารมินมินโดนลักพาตัวซับซ้อน
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 16-02-2012 19:30:52
อ๊า เรื่องมันลึกลับซับซ้อนเหลือเกิน
ไม่รู้อะไรเลยง่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: TanyaPuech ที่ 16-02-2012 21:33:06
 o13     เรื่องสนุก

แต่เนื้อหาลึกลับซับซ้อนเกินไป  งงเบาๆ

อ่านมาสิบเอ็ดตอน ไม่มีอะไรเลย มีแต่ปม
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 17-02-2012 00:46:44
รู้สึกไม่เข้าใจในการกระทำ ความคิด และคำพูดของชิงหลงมากขึ้นทุกที ๆ คนอะไรลึกลับ เข้าใจยาก
ผ่านมา 11 ตอนแล้ว ยังแทบไม่สามารถสัมผัสตัวตนของคน ๆ นี้ได้เลยสิน่า... :m29:
เราเคยคิดว่า ฉู่เหวินจือในบัลลังค์ปีกหงส์ เป็นลึกลับตัวพ่อแล้วนะ แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้าใช่ไหมเนี่ย???
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: vi2212 ที่ 17-02-2012 19:32:32
ไม่ว่าชิงหลงอยากจะปั่นหัวใคร..มินก็หัวปั่นอยู่ดี :z10:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 11 (16/02/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nuttinee_k ที่ 18-02-2012 12:54:41
 :serius2: ยังคงไม่เข้าใจต่อไป

 :z2: ได้แต่ร๊อออ รอให้มาต่อไวไว เผื่อชิงหลงจะบอกอะไรโจเซบ้าง จะได้รู้ด้วยย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 03-03-2012 16:53:05
-12-


หิวข้าวจังเลย...

เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจ

คนพวกนั้นพาเขาและคิมหันต์มากักตัวไว้นานเท่าใดแล้วก็ไม่รู้ ซึ่งก็ยังไม่มีท่าทีจะเค้นคอเขาหรือทำอะไรมากกว่านั้น ทำให้พวกเขาทั้งสองอยู่ในสภาพนั่งติดกับเก้าอี้ มีเชือกผูกอยู่ที่แขนและลำตัว นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเลยจริง ๆ แม้แต่อาการและน้ำตกถึงท้อง หรือว่านี่พวกนั้นคิดจะทิ้งพวกเขาให้หิวจนทนไม่ไหวแล้วเอาอาหารมาล่อให้ยอมเปิดปากกันนะ

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา

ถึงจะใช้วิธีนั้นเขาก็ไม่มีอะไรจะบอกอีกฝ่ายหรอก เรื่องของมาเฟียอิตาลี คนฮ่องกงที่ไปใช้ชีวิตปกติชนอยู่อังกฤษเสียเกือบสิบปีแบบเขาจะไปรู้เรื่องด้วยได้อย่างไรกัน

คิด ๆ ไปเขาก็เริ่มรู้สึกเมื่อยขบขึ้นมาจึงขยับคอ เสียงกระดูกลั่นพาให้รู้สึกอนาถใจตัวเองไม่น้อย จะว่าไป พวกเขาก็ได้แค่ลุกไปห้องน้ำกันคนละครั้งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว ตอนนั้นไม่รู้ว่ากระดูกข้อต่อของเขาอีกกี่ท่อนที่ลั่นออกมาด้วยเสียงแบบนี้

“เป็นอะไรไปหรือครับ?” คิมหันต์ถามขึ้นเพราะเห็นสีหน้าเขากระมัง

“เปล่าหรอก ผมแค่กำลังสงสัยว่าคนพวกนั้นกำลังคิดอะไรอยู่” เซินหมิงเฟิ่งตอบพลางขยับคออีกครั้ง เสียงกระดูกลั่นเบาบางลงจนกระทั่งไม่เหลือเสียง

“ขอโทษด้วยนะครับที่ผมช่วยอะไรไม่ได้เลย”

“ช่างเถอะ...” เขารู้ว่าเรื่องคราวนี้คิมหันต์กำลังโทษตัวเองอยู่ เพราะเจ้าตัวเป็นบอดี้การ์ดแต่กลับถูกจับตัวมาด้วยโดยไม่อาจขัดขืนได้ ทั้งที่ตามหน้าที่แล้ว ตราบมดที่บอดี้การ์ดยังมีชีวิตอยู่จะต้องปกป้องเจ้านายอย่างสุดความสามารถ แต่จะโทษคิมหันต์ก็ไม่ถูก เพราะตอนนั้นเขาเป็นคนออกคำสั่งไม่ให้อีกฝ่ายตอบโต้เอง มิเช่นนั้นพวกเขาทั้งสองคงจะไม่ได้มานั่งสนทนากันอยู่แบบนี้

ในช่วงที่เซินหมิงเฟิ่งกำลังถอดใจและคิดจะหลับต่อเพื่อหนีเสียงประท้วงของท้องตัวเอง ประตูก็กลับค่อย ๆ เปิดออกนำพาความสว่างจากภายนอกเข้ามาในห้องสลัวแสง

ผู้ชายเชื้อสายอิตาเลียนตัวใหญ่สองคนเดินเข้ามาและแก้มัดเชือกโดยที่ไม่พูดอะไร

เซินหมิงเฟิ่งกับคิมหันต์มองหน้ากัน

พวกนั้นคิดจะปล่อยพวกเขาแล้วหรือ?

ในขณะที่คิดเช่นนั้น แผ่นหลังของพวกเขาก็ถูกกระตุ้นโดยแรงให้ลุกขึ้น ก่อนจะถูกผลักให้ออกมานอกห้องเพื่อเจอผู้ชายอีกคนหนึ่งที่ทำหน้าพยักเพยิดให้เดินตามไป

เซินหมิงเฟิ่งอยากจะถามใครสักคนเหมือนกันว่า คนพวกนี้คิดจะทำอะไร แต่พอมองไปข้างกายก็เจอคิมหันต์ซึ่งมโนสำนึกเขาสามารถบอกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็สงสัยแบบเดียวกัน ถึงจะถามออกไปก็เปล่าประโยชน์ เขาจึงเงียบเสียแล้วเดินตามไปเงียบ ๆ

เสียงรองเท้าหนังก้องไปตามทางเดินว่างเปล่า ผ่านประตูหลายบานที่ปิดสนิทและไม่รู้ว่าแต่ละห้องใช้ทำอะไรบ้าง แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นที่เก็บของหากคิดในแง่ดี ในตอนที่พบบันไดทางขึ้น เป็นครั้งแรกที่เซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าตัวเองอยู่ใต้ดินมาตลอด

บันไดโครงเหล็กโปร่ง ๆ ทำเป็นบันไดวนขึ้นด้านบนเพื่อประหยัดพื้นที่ใช้สอย เมื่อรองเท้ากระทบลงไปก็บังเกิดเสียงโลหะสะท้อนออกมาเบา ๆ

และเมื่อประตูบานที่อยู่ตรงบันไดด้านบนถูกเปิดออก เซินหมิงเฟิ่งก็พบกันแสงสว่างจ้าที่มาจากแสงแดด ไม่ใช่หลอดไฟราคาถูกที่ติดให้แสงสลัวแบบทางเดินใต้ดินและห้องพวกนั้น มันทำให้เขารู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมากและลดความอึดอัดลง

ตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งพบว่าตัวเองอยู่กลางทางเดินที่ปูด้วยพรมสีเข้ม มองไปด้านตรงข้ามประตูคือบานหน้าต่างกระจกขนาดใหญ่ที่เปิดออกสู่สวนสีเขียวภายใต้แสงอาทิตย์ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นต้นไม้ที่ขาดแสงแดดมาเป็นเวลานาน เมื่อเห็นแสงที่ส่องประกายสะท้อนกับรูปปั้นหินอ่อนและใบไม้อ่อนสีเขียวสด เขาก็รู้สึกอยากจะกระโจนเข้าไปหาเพื่อไล่ความเฉาในตัวออกไป

แต่ความปรารถนาในใจของเขาไม่ได้รับการตอบสนอง

พวกเขาถูกรุนหลังให้เดินไปตามทางที่ทอดยาวและเลี้ยวเข้าไปที่ทางเดินซึ่งไร้แสงธรรมชาติอีกครั้ง โชคดีที่หลอดฟลูออเรสเซนต์แถวนี้คุณภาพดีพอที่จะแสงสว่างได้มากพอจะไม่รู้สึกทึบทึม

และแล้ว พวกเขาก็ถูกบังคับให้หยุดหน้าประตูบานหนึ่ง ครั้งนี้เป็นประตูที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกแย่นัก เป็นประตูไม้ที่สั่งทำมาอย่างดี ดูเข้ากับสิ่งที่เขาเห็นรอบ ๆ บ้านหลังนี้

ประตูเปิดออก และพวกเขาถูกผลักเข้าไปด้านใน

ไม่มีหน้าต่าง...

มีแต่เฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น เป็นโซฟาเล็ก ๆ และโต๊ะไม้อีกตัว รอบห้องไม่มีของประดับตกแต่ง แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะโชคดีที่มีห้องน้ำในตัว

เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจเดินเข้าไปสำรวจสิ่งที่เหมือนประตูห้องน้ำก่อน เขาเปิดประตูและมองเข้าไป
เป็นห้องน้ำจริง ๆ

ชายหนุ่มโล่งอก

ถึงแม้จะเป็นแค่ห้องน้ำเล็ก ๆ ทีมีชักโครกตัวหนึ่งกับอ่างล้างหน้า ด้านบนเขาเห็นหน้าต่าง แต่แน่นอนว่ามันใช้หนีไม่ได้ มันเล็กเกินไป เล็กเกินกว่าที่เด็กคนหนึ่งจะลอดออกไปได้ด้วยซ้ำ แต่เพราะมีแบบนั้นห่างกัน 2 บาน ห้องน้ำจึงไม่ใช่สถานที่ที่น่าอึดอัดนัก

“หวังว่าพวกคุณจะสบายมากขึ้นที่อยู่ที่นี่” เสียงของอาติโนเรียกให้เซินหมิงเฟิ่งออกมาจากห้องน้ำ “อีกเดี๋ยวจะมีอาหารมาส่งให้ ผมเชื่อว่าพวกคุณคงหิวแล้ว”

ไม่หิวสิแปลก....

พวกเขาเหมือนจะถูกกักข้ามวันแล้วด้วยซ้ำไป แต่ที่ตอนแรกไม่รู้สึกอะไรเพราะเขาทั้งกลัวและตกใจ แต่ตอนนี้ความหิวกำลังจู่โจมเขาจนตาลาย

“ถึงยังไงผมก็ไม่มีอะไรจะบอกหรอกนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งว่า

“เรื่องนั้นเดี๋ยวก็รู้” อาติโนหัวเราะจนพุงกระเพื่อม “เอาล่ะ ผมมีงานต้องไปทำต่อ ขอให้พวกคุณพักผ่อนให้สบายก็แล้วกัน”

ว่าจบแล้ว อาติโนก็เดินจากไปก่อนประตูปิดลงอีกครั้ง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งเพิ่งเห็นว่าประตูบานนี้ไม่มีลูกบิดประตูด้านใน

เพราะฉะนั้นจึงได้ข้อสรุปว่า....

พวกเขายังคงถูกขัง แต่แค่ย้ายมาเป็นคุกแบบ VIP...

เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองหน้าคิมหันต์ และเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองตอบเช่นกัน

โดยปกติแล้วพวกมาเฟียไม่น่าจะมีความอดทนสูงนักกับการรีดเค้นข้อมูลจากใครสักคน แต่นี่คนพวกนี้กลับปฏิบัติกับเขาอย่างดี มันเกิดอะไรขึ้นกันนะ? หรือว่าการพาตัวเขามานั้นเพียงเพื่อทำให้ใครบางคนยอมเคลื่อนไหวออกมา มันก็มีกรณีอย่างนี้ออกบ่อยไม่ใช่หรือ?

เพียงแต่ว่าโดยปกติแล้ว คนที่ถูกจับมักจะเป็นคนสำคัญของฝ่ายตรงข้าม เช่น ครอบครัว เพื่อน ผู้มีพระคุณ แต่เขาไม่ได้เป็นทั้งสามอย่างทั้งสำหรับชิงหลงและโจเซ ไม่สิ...สำหรับชิงหลงเขามีค่าเล็ก ๆ เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องรับผิดชอบตามหน้าที่ แต่นั่นเป็นเรื่องของทางฮ่องกง เป็นระบบการปกครองที่มาเฟียอิตาลีไม่มีส่วนรู้เห็นใด ๆ ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่น่าจะถูกกักตัวไว้ด้วยเหตุผลนี้

สิ่งเดียวที่เขาคาดหวังคือ ขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ไม่ใช่แผนการของชิงหลงก็พอแล้ว...เพราะผู้ชายคนนั้นดูจะวางแผนได้น่ากลัวจนไม่อยากรับรู้ด้วยชอบกล

---------------------------->

ทั้งที่เซินหมิงเฟิ่งภาวนาเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริง เทพเจ้ามักจะไม่ค่อยรับฟังคำขอของเขาสักเท่าไหร่ เพราะแผนการของชิงหลงยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ อย่างเงียบงันโดยที่คนรอบข้างก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ และทำให้เหล่าคนข้างกายชักจะนั่งกันไม่ติดที่

ชิงหลงดูเย็นใจจนเกินไป ทั้งที่การหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งอาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นได้ ทางจูเชว่ต้องไม่มีทางยินยอมแน่ เพราะเซินหมิงเฟิ่งคือทายาทคนเดียวที่ทางนั้นมี และคู่หมั้นของเจ้าตัวก็ยังไม่ได้แต่งงานและตั้งครรภ์ทายาทคนต่อไป

“ท่านชิงหลง....”

“ถ้าจะพูดเรื่องเซินหมิงเฟิ่งล่ะก็ คุณคงรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว” ชิงหลงชิงดักคอของคนสนิทเสียก่อน ทำให้เจ้าตัวสะอึกไป

“ท่านชิงหลง...อย่างน้อยเราก็ควรจะสืบหาว่าใครเป็นคนทำนะครับ”

ชิงหลงนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง...

คงจะได้เวลาแล้วกระมัง?

เขาพยักหน้าช้า ๆ แล้วเหลือบมองผู้ให้คำแนะนำ

“นั่นสินะ ผมคงตกใจไปหน่อยจนลืมเรื่องนี้ ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คุณเป็นคนสืบหาว่าใครเป็นคนทำและทำไปทำไม เมื่อมีอะไรคืบหน้าก็คอยรายงานให้ผมทราบด้วย”

พอได้รับคำสั่งเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ถึงกับอึ้งไป...

ตกใจจนลืม?

คำนี้มีหรือจะเกิดกับชิงหลงได้ ตั้งแต่ทำงานรับใช้ด้วยมา เขายังไม่เคยเจอสถานการณ์ที่ทำให้ชิงหลงตกใจได้ถึงขนาดนั้นมาก่อน ซ้ำเจ้านายของเขายังพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติไม่มีเค้าลางของความตื่นตระหนกหรือความลำบากใจออกมาให้เห็น

เจ้านายของเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?

“มีคำถามหรือ?” ชิงหลงจ้องมองคนสนิทของตนพลางเอ่ยถาม

“.....ไม่ครับ” เขารีบตอบ

“ถ้าอย่างนั้น...?”

“ขอตัวก่อนครับ” ว่าแล้ว เขาก็รีบเดินออกไปจากห้องทันที เพราะท่าทีของเจ้านายเขาบ่งบอกว่าไม่ต้องการถูกรบกวนด้วยเรื่องนี้อีก ส่วนเขาก็คงต้องทำตามคำสั่ง แม้ว่าชิงหลงจะดูไม่จริงจังกับสิ่งที่พูดออกมาก็ตาม ถึงอย่างนั้นสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมาแล้ว ไม่ว่าจะจริงจังหรือไม่ หากไม่ปฏิบัติตามก็ล้วนแต่ทำให้เกิดความขุ่นเคืองได้ทั้งสิ้น ซ้ำคำสั่งนี้ยังเป็นเพราะเขาคาดคั้นออกมาจึงต้องมีผลการสืบหาที่เป็นรูปธรรมไปรายงานจริง ๆ ไม่อย่างนั้นตัวเขาเองนี่แหละที่จะมีปัญหาตามมาภายหลัง

--------------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 03-03-2012 16:54:41
หลังจากได้รับคำสั่งมา คนของชิงหลงก็เกิดความเคลื่อนไหวอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านการสืบข่าวเกี่ยวกับมาเฟียอิตาลีที่อาจจะมีผลประโยชน์ขัดกับมอเรสซาเรในช่วงนี้และมีฐานที่มั่นอยู่ในแคว้นเวเนโต ซึ่งหมายถึงเวนิสและเมืองข้างเคียงทั้งหมด คนของชิงหลงมีจำนวนน้อย ทำให้การสืบข่าวเป็นไปได้ยากและโจ่งแจ้งกว่าปกติ ซึ่งนั่นทำให้กลุ่มต่าง ๆ สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวนี้

รวมถึงกลุ่มของอาติโน บราซินี ที่จับตาดูมาตลอดด้วย

เมื่อฝ่ายสอดแนมได้เห็นดังนั้นจึงรีบรายงานกลับไปหาเจ้านายอย่างทันที

“คุณอาติโน คนของเรารายงานมาว่าทางชิงหลงเริ่มมีการเคลื่อนไหวแล้วครับ”

และทำให้ข่าวนี้ไปถึงหูของอาติโนอย่างรวดเร็ว ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มออกมาหลังจากรู้สึกแปลกใจว่าทำไมทางชิงหลงจึงเงียบนัก กลับมีแต่ทางคนของมอเรสซาเรที่เหมือนจะกระสับกระส่ายเล็กน้อย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากจะปักใจลงไปว่าโจเซและชิงหลงร่วมมือกันทำอะไรบางอย่างจริง ๆ

“ให้พวกนั้นดูต่อไป”

“แต่ว่า....”

อาติโนยกมือปรามเมื่อลูกน้องของตนคิดจะพูดอะไรบางอย่าง

“ให้ดูต่อไป อย่าเพิ่งรีบร้อน อาจจะเป็นหลุมพรางก็ได้ แกก็น่าจะรู้ว่าชิงหลงไม่ได้คนโง่” เมื่อเจ้านายพูดออกมาแบบนั้น เจ้าตัวจึงยอมพยักหน้ารับ

“จับตาดูต่อไป” เขายอมถ่ายทอดคำสั่งแต่โดยดี ถึงอย่างนั้นในใจของเขากลับร้อนรุ่มไปด้วยความอึดอัดที่ยากจะอธิบาย พวกมาเฟียชั้นล่างอย่างพวกเขาไม่ได้เกิดมาเพื่อรองรับความอดทนกับแผนการอันแยบยลของพวกหัวหน้า มีอะไรก็ตัดสินกันด้วยกำลังไปเลยทีเดียวให้จบ ๆ แต่เพราะผู้ชายสองคน ทำให้เขาต้องอดทนอยู่อย่างนี้ จะจัดการอะไรก็ทำไม่ได้สักอย่าง มันช่างน่าหงุดหงิดเหลือเกิน

“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ออกไปก่อนเถอะ ไปหาอะไรกินกันซะให้เรียบร้อย จะได้ทำงานทำการต่อ ระยะนี้พวกนักการเมืองยิ่งกำลังเพ่งเล็งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายเพื่อหาเสียงกันอยู่ คงต้องวางแผนให้รัดกุมขึ้นแล้วก็ขยันเอาใจพวกเส้นสายภายในสักหน่อย” อาติโนเองก็ใช่จะไม่รู้ว่าคนของตนเองรู้สึกอย่างไร ตัวเขาเองก็มีจุดเริ่มต้นมาจากมาเฟียชั้นปลายแถวที่ไม่มีอะไรเลย ตอนหนุ่ม ๆ เขาเองก็เป็นพวกเอาแต่กำลังไม่สนใจเหตุผลใด ๆ ขอแค่ทำแล้วสะใจก็เพียงพอ แต่โชคดีที่มีหัวหน้าดีเขาถึงมีโอกาสทำผลงานหลายอย่าง และยังได้รับการสั่งสอนจนเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น ในที่สุดก็มีแฟมิลีของตัวเองได้อยู่สุขสบายเอาตอนแก่แบบนี้

ในจำนวนเด็ก ๆ ของเขา ราฟาเอล จอร์จิโอ คือคนที่มีแววมากที่สุด เสียแต่ยังอารมณ์ร้อน หากสุขุมและมีเหตุผลมากกว่านี้คงเริ่มทำให้ทำงานสำคัญได้บ้าง

ตอนนี้งานที่เขามอบหมายไปคือการเป็นผู้นำการควบคุมตัวเซินหมิงเฟิ่งและบอดี้การ์ด รวมทั้งเป็นคนประสานงานกับกลุ่มที่ออกไปสอดแนมด้วย เจ้าตัวไม่เคยทำงานที่ต้องใช้สมองและความอดทนขนาดนี้มาก่อน จึงไม่น่าแปลกที่จะเริ่มหงุดหงิด

ราฟาเอลถอนหายใจพรืดออกมา แล้วออกไปจากห้องโดยดีไม่มีปากเสียงใด ๆ เพิ่มเติมทำให้อาติโนพอจะเบาใจได้บ้าง

ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนปิดประตูห้องของอาติโนแล้วมองคนอื่น ๆ ที่รอด้านหน้าตาขวาง

“เกิดอะไรขึ้น? คุณอาติโนตำหนิอะไรมาหรือไง?” คนที่ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นด้านในแต่กลับโดนส่งสายตาไม่พอใจใส่ก็ได้แต่ถามกลับไปด้วยความงงงวย ทุกคนต่างรู้ว่าราฟาเอลเป็นคนที่อาติโนเล็งเอาไว้และให้ความเอ็นดูมาก ทำให้เมื่อกระทำผิดขึ้นมาจะถูกตำหนิรุนแรงกว่าคนอื่น ๆ เจ้าตัวจึงมักจะออกอาการอารมณ์เสียออกมาให้เห็นบ่อยครั้งเมื่อถูกตำหนิแต่ก็ยอมปรับปรุงตามที่อาติโนสั่งสอน

ความสัมพันธ์ของสองคนนี้คล้ายกับพ่อที่เข้มงวดกับลูกวัยรุ่นกระมัง

“เปล่า.....” ราฟาเอลว่าแล้วถอนหายใจ “สองคนนั้นเป็นยังไงบ้าง?”

เมื่อถามถึงสองคนนั้น คนอื่น ๆ ก็มองหน้ากัน แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะบอกอะไรดี เพราะเท่าที่สังเกตการณ์มา สองคนนั้นต่างก็เอาแต่เงียบไม่ค่อยพูดกันเท่าไหร่นัก ถึงจะพูดก็พูดภาษาจีนที่พวกเขาฟังไม่ออก

“ก็ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลง” คนหนึ่งไหวไหล่

“นอกจากตอนกินข้าวกับเข้าห้องน้ำ ก็เห็นเอาแต่นั่งเฉย ๆ ในห้อง” อีกคนว่าพลางเบ้หน้า เพราะเขากำลังรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนสั่งให้เลี้ยงสัตว์อย่างไรอย่างนั้น ได้แต่นั่งดูคนสองคนในห้อง แล้วก็รอเวลาให้อาหาร ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือน

“เฮ้ ๆ นายก็คิดซะว่าเป็นหมาหรือแมวสิ” แล้วก็มีคนหนึ่งต่อประเด็นในความคิดขึ้นมา

“หมาหรือแมวมันยังเล่นด้วยกันได้นะ” แต่ก็มีคนไม่เห็นด้วย “เป็นหนูหรือกระต่ายมากกว่าล่ะมั้ง” ว่าจบทุกคนก็หัวเราะครื้นเครงไปด้วยกัน แต่ราฟาเอลกลับหัวเราะไม่ออก เพราะยิ่งเปรียบคนสองคนที่ทำประโยชน์อะไรไม่ได้เป็นสัตว์เลี้ยงก็ยิ่งทำให้นึกภาพที่ต้องประคบประหงมสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เอาอกเอาใจทุกขั้นตอน ซึ่งราฟาเอลไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำเรื่องแบบนั้น

ถ้าเป็นเขาล่ะก็....คงจะอัดสักเปรี้ยงสองเปรี้ยง หักกระดูกสักท่อน ถ้ายังไม่เปิดปากก็จับถอดเล็บ ถอนฟัน ยังไงก็ต้องพูดออกมาเพราะทนทรมานไม่ไหว

แต่นี่กลับต้องมานั่งแบบนี้....

“ฉันจะไปห้องนั้นหน่อย”

“นายจะไปทำไมน่ะราฟาเอล?”

“ทำอะไรสักอย่างน่ะสิ คิดจะอยู่เฉย ๆ กันแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่กัน เจ้าพวกนั้นจะอยู่สุขสบายเกินไปแล้ว เป็นแค่ตัวประกันแท้ ๆ”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังห้องที่ใช้กักตัวโดยไม่สนใจฟังคำทัดทานของคนอื่น ๆ ที่เพียรจะห้ามเพราะรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่อาติโนสั่งมาแน่นอน ซึ่งอาจจะทำให้ราฟาเอลมีปัญหาตามมาภายหลัง แต่ก็ดูเหมือนว่าความอดทนของเขาจะสิ้นสุดลงแล้ว และเขาอยากจะได้ที่ระบายที่สามารถตอบโต้เขาด้วยเสียงและท่าทางแสดงความเจ็บปวดได้ ไม่ใช่แค่กระสอบทรายฝึกซ้อม

“เฮ้ ใจเย็นก่อนสิ” คนหนึ่งรีบคว้าตัวไว้

“อย่าบอกนะว่าพวกแกก็พอใจที่เจ้าพวกนั้นอยู่สุขสบายแบบนี้น่ะ” เมื่อราฟาเอลหันมาถาม ทุกคนก็สะอึกไป เพราะต่างก็หงุดหงิดใจเรื่องนี้เพียงแต่ไม่แสดงออกมาเพราะไม่ได้มีส่วนได้เสียโดยตรง ส่วนราฟาเอลที่ทำหน้าที่ดูแลตามข่าวโดยตรงคงรู้สึกเหมือนโดนเมินเฉยซึ่งหน้า

ประตูถูกกระแทกเปิดออกอย่างแรงเมื่อราฟาเอลหลุดจากการห้ามของเพื่อนร่วมอาชีพ

เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ที่กำลังนั่ง ๆ นอน ๆ ในห้องนั้นต่างสะดุ้งเมื่ออยู่ ๆ ก็บังเกิดสัญญาณของความรุนแรงทั้งที่ไม่มีเค้าลางมาก่อน

“มีอะไรหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามขณะที่คิมหันต์ขยับมาด้านหน้าเพราะรู้สึกได้ถึงสัญญาณอันตรายและเขาต้องทำหน้าที่บอดี้การ์ดของตนเอง

“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก ก็แค่อยากคุยด้วยตามประสาลูกผู้ชาย” ราฟาเอลส่งสัญญาณให้คนด้านนอกปิดประตูเสีย และนั่นทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกได้ถึงการคุกคามที่ผิดปกติ ถึงไม่ต้องใช้ลางสังหรณ์ ก็สามารถคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ไม่ยากนัก

“ประสาลูกผู้ชาย...หรือประสานักเลงกันแน่ครับ...” เซินหมิงเฟิ่งเม้มปากพลางมองรูปร่างอีกฝ่ายซึ่งใหญ่โตกว่าเขาไม่มากแต่ดูมีกล้ามเนื้อมากกว่า หากต้องใช้แรงกันจริง ๆ คิมหันต์อาจจะช่วยเขาได้แค่เล็กน้อยเพราะคิมหันต์ไม่มีอาวุธ แต่เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีอาวุธใด ๆ เข้ามาหรือไม่

ราฟาเอลย่างสามขุมเข้าหา

คิมหันต์ดันเซินหมิงเฟิ่งถอยไปเล็กน้อย เว้นช่องว่างให้ตนเองพอจะตอบได้ทันท่วงทีโดนไม่ทำให้คนที่ตนเองปกป้องโดนลูกหลงไปด้วย

“เฮ้ย ราฟาเอล ถ้าพวกมันมีแผลขึ้นมา คุณอาติโนจะเอาพวกเราตายนะเว้ย!” เพื่อนของชายหนุ่มเอ่ยเตือนเป็นภาษาอิตาเลียนด้วยสีหน้ากังวลระคนตื่นตระหนก หากราฟาเอลนึกเอาจริงขึ้นมาเล่า เขาจะห้ามปรามอีกฝ่ายได้อย่างไร ซ้ำหากอาติโนเอาเรื่องขึ้นมา ทั้งเขาและอีกฝ่ายจะพากันซวยไปด้วยกัน ราฟาเอลยังไม่เท่าไหร่เพราะเป็นลูกรักของอาติโน ถึงจะทำผิดก็ถูกติเตียนและลงโทษไม่มาก แต่เขานี่สิ...มีหวังถูกเฉดหัวออกไปจากบ้าน ไปทำงานข้างถนนเหมือนเดิมเป็นแน่

“เหอะ” ราฟาเอลทำเสียงขึ้นจมูกอย่างดูแคลน

สายตาของเขาจับจ้องไปยังร่างเล็ก ๆ ของลิงผิวเหลืองสองตัวซึ่งพาให้รำคาญและหงุดหงิดสายตาอย่างที่สุด ยิ่งมองก็ยิ่งอยากขย้ำให้รู้ซึ้ง จะได้เลิกทำตัวเป็นเชลยศักดิ์เสียที

“ราฟาเอล!” เพื่อนที่อยู่ข้างหลังตะโกนปรามเมื่อชายหนุ่มย่างเท้าเข้าไปใกล้ทั้งสองยิ่งกว่าเดิมด้วยท่าทางคุกคามและมีเจตนาร้ายอย่างเห็นได้ชัด

“หุบปากเถอะน่า!” คงเพราะเจ้าตัวเริ่มรำคาญที่ถูกปรามจึงได้หันกลับไปตะคอกใส่เพื่อนของตนที่หน้าเจื่อนลงเพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

“แกจะไม่เห็นแก่คุณอาติโนหรือไง!”

“ก็เพราะเห็นแก่คุณอาติโนน่ะสิ ฉันถึงจะทำให้เจ้าพวกนี้เปิดปากด้วยวิธีของฉันเอง ฉันเบื่อหน่ายสันติวิธีเต็มทนแล้ว ก็แค่พวกผิวเหลืองที่เต้นไปเต้นมาในเขตแดนของพวกเรา มารีดเลือดพวกเราแค่นั้นเองแท้ ๆ เจ้าพวกนี้ต่างหากที่ไม่เห็นแก่คุณอาติโนน่ะ!” ราฟาเอลพูดรัวออกมาเป็นชุด แต่เพราะเป็นภาษาอิตาเลียน ทั้งคิมหันต์และเซินหมิงเฟิ่งจึงไม่เข้าใจต้นตอความโกรธเคืองของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

เมื่อคำรามจบ ราฟาเอลก็พุ่งตัวเข้าหาคิมหันต์ทันทีโดยไม่มีใครห้ามหรือตั้งตัวทัน

คิมหันต์ชกสวนอย่างรวดเร็วตามสัญชาตญาณ และตรงเข้าโหนกแก้มของราฟาเอลเข้าพอดี

ชายหนุ่มแยกเขี้ยวอย่างโกรธเคือง ดวงตาวาวโรจน์ราวสัตว์ป่า

เขากระชากคอเสื้อคิมหันต์ก่อนจะเหวี่ยงไปด้านหลังอย่างแรง ทำให้คิมหันต์ที่ตัวเล็กกว่าถูกดึงให้ลอยไปทางประตูเข้าสู่มือของชายอีกคนซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตูและพยายามปรามราฟาเอลอยู่เมื่อครู่

“จับมันเอาไว้!”

พอได้ยินคำสั่ง เขาก็ล็อคแขนคิมหันต์แน่น ทำให้เจ้าตัวไม่อาจขยับได้

ไหน ๆ เรื่องก็ถึงขั้นนี้แล้ว...คงได้แต่ต้องยอมรับชะตากรรม...

ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนส่ายหัวกับตนเองเมื่อเห็นว่าเพื่อนตนเองฟิวส์ขาดจนใครก็เอาไม่อยู่ นอกจากจะไปตามอาติโนมา ซึ่งไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำเช่นนั้นแน่

เสียงหักกระดูกมือกร๊อบ ๆ ดังขึ้นพร้อมอาการยิ้มแสยะของผู้คุมเกม

“ไง ตอนนี้ก็เหลือแต่นายแล้วนะคุณหนู” ราฟาเอลกล่าวกับเซินหมิงเฟิ่งซึ่งตอนนี้ไม่เหลือใครปกป้อง ซ้ำตัวเองก็ตัวเปล่า ๆ ไม่มีอาวุธใด ๆ

“ผมไม่มีอะไรจะบอกคุณหรอกนะ” เซินหมิงเฟิ่งยืนยันคำเดิม

“ใครจะไปเชื่อ”

“ราฟาเอล ถ้ามันมีแผลขึ้นมา...” ความพยายามห้ามปรามครั้งสุดท้ายเปล่งออกมาจากปากของคนที่ล็อคตัวคิมหันต์อยู่ ผู้ชายในแขนของเขาแรงดีใช่ย่อย สมกับที่เป็นบอดี้การ์ด เขาเองก็เกือบจะทำหลุดมือไปหลายครั้งจนต้องบิดแขนอีกฝ่ายไว้ให้เจ็บจะได้เลิกขัดขืนเสียที

“ขอแค่ไม่มีแผลที่มองเห็นก็พอแล้วใช่ไหมล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มแสยะพลางจ้องมองเซินหมิงเฟิ่งราวกับกำลังมองลูกไก่ในกำมือ

เซินหมิงเฟิ่งเกลียดสายตาเช่นนั้น...แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าตนเองเป็นได้แค่นั้นจริง ๆ

ตอนอยู่กับชิงหลง เขาก็เป็นแค่คนที่ถูกกักขังโดยไม่อาจหนีไปไหนได้ เหมือนกับนกที่อยู่ในกรง ตอนนี้เขาก็ยังอยู่สถานะเดิม เสียแต่...ชิงหลงไม่เคยพยายามใช้กำลังกับเขา...

บ้าเอ๊ย....

เขาเห็นฝ่าเท้าตรงดิ่งมายังช่วงท้อง จึงรีบกระโดดหลบ ทว่าช่วงขาอีกฝ่ายยาวเกินไปเขาจึงหลบไม่พ้นแล้วถูกถีบกระเด็นไปชนกับผนังปูน แผ่นหลังของเขากระแทกดังอั่กก่อนจะรูดลงไปกองที่พื้น แค่การถีบครั้งเดียวที่ไม่เต็มแรงนักเขายังปวดไปหมด มันเป็นผลพวงของการไม่เคยวิวาทหรือยังไงกันนะ...

เรือนผมของเขาถูกขยุ้มอย่างแรงแล้วดึงให้เงยหน้าขึ้น

“ไง คราวนี้ยังจะยืนยันว่าไม่มีอะไรอยู่หรือเปล่า?” ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วเสมือนกำลังท้าทายอยู่กลาย ๆ ตอนนี้เขากลายเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่โดนหยอกเล่นไปแล้วหรือ?

เซินหมิงเฟิ่งกัดฟัน....

เขาคือลูกของจูเชว่...พญาหงส์แห่งฮ่องกง...

อีกฝ่ายก็แค่มาเฟียธรรมดาเท่านั้น จะน่ากลัวสักแค่ไหน

เมื่อคิดเช่นนั้น ดวงตาของชายหนุ่มชาวฮ่องกงก็เปลี่ยนจากความเกรงกลัวเป็นความเย้ยหยันจนอีกฝ่ายรู้สึกได้ เพราะแบบนั้น หมัดอีกหมัดจึงตามมาและอัดเข้าช่องท้องเต็ม ๆ จนเซินหมิงเฟิ่งกระอัก รู้สึกเหมือนอวัยวะภายในถูกบีบอัดจนระบม

ถ้าได้กลับไป...เขาสาบานว่าจะเรียนศิลปะป้องกันตัวไว้บ้าง....

ศีรษะของเขาถูกกระชากกระแทกกับผนัง และปรือตาขึ้นมองผู้ประทุษร้าย

“ยังจะทำเก่งอีกหรือไง ห๊ะ!” พร้อมกับเสียงหลังประโยค ศีรษะด้านหลังก็ถูกกระแทกอีกครั้งจนมึนตึบมาถึงสมองด้านหน้า

“คุณเซิน!” เสียงคิมหันต์แว่วอยู่ไกล ๆ

เซินหมิงเฟิ่งมองผ่านร่างกายใหญ่โตของราฟาเอลไปเห็นคิมหันต์กำลังถูกกดตรึงไว้กับพื้นทำให้ขยับตัวไม่ได้ ให้ตายสิ...เขาไม่ได้นึกโทษคิมหันต์เลยที่ตัวเองถูกทำร้ายแบบนี้ แต่สมองเขากำลังคิดไปถึงตัวการสำคัญที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ที่นี่

ชิงหลง...

ถ้าผู้ชายคนนั้นไม่ทำอะไรลับ ๆ ล่อ ๆ พาเขาถ่อมาถึงอิตาลี เขาก็คงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้หรอก...

เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าตัวเองโดนไปอีกกี่หมัด พอรู้ตัวอีกที เขาก็นอนกุมท้องขดกลมอยู่บนพื้นด้วยท่าทางที่น่าสังเวชอย่างที่สุด

ดูเหมือนอีกฝ่ายจะระบายอารมณ์จนพอใจแล้วจึงผละออกไป

คราวนี้เป้าหมายคือคิมหันต์ที่ยังถูกกดไว้กับพื้น ราฟาเอลกดรองเท้าลงบนศีรษะอีกฝ่าย

“เหอะ...พวกลิงเหลืองก็มีปัญญาแค่นี้ หวังว่าคคราวหน้าฉันจะได้คำตอบที่ต้องการ” ว่าจบ เขาก็เตะคิมหันต์อีกครั้งก่อนจะดึงเพื่อนร่วมงานออกนอกประตูไปอย่างรวดเร็ว

คิมหันต์ตะกายลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้ามาประคองเซินหมิงเฟิ่ง

เมื่อเห็นความบอบช้ำของอดีตว่าที่เจ้านายแล้ว เขาก็รู้สึกสำนึกถึงความอ่อนแอของตนเองที่เพียงแค่เอาตัวเข้าแลกสักครั้งยังทำไม่สำเร็จ ตลอดเวลาที่เขาอยู่กับบ้านตระกูลเซิน เขามัวแต่ทำอะไรอยู่...ทำไมฝีมือถึงอ่อนด้อยนัก ทำไมถึงมีกำลังไม่เพียงพอจะทำหน้าที่ของตนเอง

เซินหมิงเฟิ่งกระอักไอออกมาสองสามครั้งพลางพยายามยันตัวลุกขึ้น

เขาเห็นความรู้สึกผิดและคับแค้นใจในดวงตาของคิมหันต์แต่ก็พูดปลอบใจไม่ได้ เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ใจดีเป็นเทวดาเช่นนั้น

ชายหนุ่มกัดริมฝีปาก...

ตอนแรกก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรกับแค่โดนจับตัวรีดเค้นข้อมูล แต่เมื่อมีการทำร้ายร่างกายเข้ามาเกี่ยวข้อง สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่น่าไว้วางใจต่อความปลอดภัยแล้ว

ชิงหลงตั้งใจจะทิ้งเขาไว้แบบนี้อีกนานแค่ไหน และทำไม...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 03-03-2012 17:53:34
อร๊ายยยย อาชิง มัวทำอะไรอยู่อาหมิงโดดซ้อมเลย  :z3:
พวกนักเลง  :angry2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 03-03-2012 19:02:21
โหดร้ายจริงพ่อราฟาเอล
เดี๋ยวแม่จับเฉือนเลยนิ บังอาจมาทำร้ายคุณเซิน
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Guill ที่ 03-03-2012 19:04:01
งงๆกับบางส่วน
ส่วนใหญ่ชอบตรงที่โฟกัสที่คู่หลักมากกว่า...
แต่ก็ตามอ่านต่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: PEENAT1972 ที่ 03-03-2012 19:19:05
คิดตามแล้วก็เหนื่อย เพราะฉะนั้น อ่านต่อไปอย่างเดียวแล้วกัน เฮ้อ!
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: vi2212 ที่ 03-03-2012 19:59:34
เซินไม่ใช่กระสอบทรายนะราฟาเอล :serius2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 04-03-2012 12:50:19
ดูแล้ว ราฟาเอล กับ ชิงหลง แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เป็นบุคคล คนละ type กันจริง ๆ
ที่แน่ ๆ เป็นคราวซวยของอาหมิง( อย่างแท้จริง ) จากนกน้อยในกรงทอง กลายเป็น กระสอบทรายมีชีวิต
อืม...รู้สึกว่า วิบากกรรมของอาหมิง กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว  :m29:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 04-03-2012 22:27:30
เพิ่งได้เข้ามาอ่านค่ะ ติดเรื่องนี้อีกเรื่องจนได้ ฮ่าๆๆๆ

ชิงหลงดูมีความลับเยอะแยะไปหมดนะ หมั่นไส้ ชิชิ

เฟิ่งน่าสงสาร นอกจากจะไม่รู้แล้วว่าโดนจับมาทำไม แถมยังโดนเป็นกระสอบทรายอีก ชีวิตดูรันทดเบาๆ T^T

รอตอนต่อไปค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 05-03-2012 11:04:52
ช่างน่าหมั่นไส้ชิงหลงซะจริง

เจ้าแผนการณ์มากๆ

ส่วนราฟาเอลนี่ชื่อออกจะดูดี

พระเอ้กพระเอก แต่นิสัยไม่พระเอกเลย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 12 (3/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: loveryuichi ที่ 06-03-2012 16:51:24
อ่านรวดเดียวสิบสองตอน
บอกได้แค่ว่า...
เมื่อไหร่จะเข้าเนื้อหาหลักซะที!!! :angry2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-03-2012 17:41:56
-13-



หลังจากนั้น ทุกครั้งที่ราฟาเอลเข้ามาที่ห้องนี้ หากไม่มีการทำร้ายร่างกายนิด ๆ หน่อย ๆ เกิดขึ้น ก็จะเป็นการพูดจาเสียดสีเหน็บแนมให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกไร้ค่า อย่างกับว่าตอนนี้เขายังไร้ค่าไม่พออย่างนั้นแหละ ทั้งถูกจับตัวมาโดยไม่มีใครเหลียวแล ซ้ำยังกลายเป็นกระสอบทรายมีชีวิตที่หนีไปไหนไม่ได้ อาหารถึงจะดีเลิศเลอแค่ไหนแต่ถ้ามาพร้อมกับการเจ็บตัวก็ไม่ต่างกับอาหารคนคุก

วันนี้ก็เช่นกัน ราฟาเอลเดินเข้ามา ให้คนส่งอาหารวางไว้บนโต๊ะแล้วสั่งล็อคห้อง ก่อนจะจับตัวคิมหันต์ไว้

ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดจะทำร้ายจิตใจเซินหมิงเฟิ่งหรือคิมหันต์กันแน่จึงได้ทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่าจะตั้งใจทำร้ายใคร ผลของมันก็ทำร้ายคนทั้งสองได้อย่างไร้ที่ติ

คิมหันต์ซึ่งมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครอง ไม่อาจทำหน้าที่ของตนเองได้และถูกลดทอนความภาคภูมิใจในหน้าที่ ส่วนเซินหมิงเฟิ่งซึ่งราฟาเอลมองว่าเป็นคนธรรมดาก็ถูกลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

พวกเขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้อาติโนรู้หรือไม่ แต่หากดูจากท่าทีไม่เต็มใจของคนที่ติดตามมาช่วยราฟาเอลก็อาจคาดเดาได้ว่าอาติโนไม่มีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ ซึ่ง...หากราฟาเอลต้องการปิดบังความผิดตนเองขึ้นมา สถานการณ์อาจเลวร้ายไปกว่านี้อีก...

โชคดีที่วันนี้ราฟาเอลแค่เข้ามาเล่นนิดหน่อยแล้วก็ไป ไม่ได้ถูกทำร้ายอะไรมากมาย กระนั้นรอยช้ำจากวันก่อน ๆ ก็ยังประทับอยู่บนส่วนต่าง ๆ ของร่างกายใต้ร่มผ้า ซึ่งมองไม่เห็นหากมองดูในสถานการณ์ปกติ แต่เซินหมิงเฟิ่งต้องเห็นพวกมันทุกวันในห้องน้ำเมื่อเข้าไปอาบน้ำหรือทำธุระอื่น ๆ

หลาย ๆ ครั้งที่คิมหันต์ขอดู แต่เซินหมิงเฟิ่งก็ปฏิเสธ เพราะเขาไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่จนเกินไป

ในตอนนี้เขาได้แต่คิดว่า...เมื่อไหร่เขาจะได้ออกไป และออกไปด้วยวิธีไหน

อย่างดีก็คือมีคนมารับ

อย่างร้าย....ก็อาจถูกแยกชิ้นส่วนไปถ่วงทะเล....

--------------------------->

“ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่นายต้องการแล้วหรือเปล่า?” โจเซเอ่ยถามทันทีเมื่อชิงหลงย่างเท้าเข้ามาในห้องทำงานของเขา ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลังจากเซินหมิงเฟิ่งถูกจับตัวไป พวกเขาก็แทบจะไม่ได้พบกันอย่างเป็นทางการอีกเลย ซึ่งหากโจเซเดาไม่ผิด การปรากฏตัวของชิงหลงต่อหน้าเขาอีกครั้งนั่นหมายถึงการก้าวสู่แผนการขั้นต่อไปตามที่อีกฝ่ายวางเอาไว้

ชิงหลงไม่ได้ตอบอะไร เขาเดินไปยังเก้าอี้ด้านตรงข้ามโต๊ะทำงานด้วยท่าทีสุขุมราวกับว่าทุกฝีก้าวถูกคิดตริตรองมาอย่างดี และค่อย ๆ นั่งลงด้วยท่าทีที่สบายมากขึ้น ใบหน้าของเขาไม่มีรอยยิ้ม แต่โจเซก็สังเกตเห็นถึงแววของความสมใจในดวงตาเล็กน้อย

ชายหนุ่มเลิกคิ้ว มองคนตรงหน้า

“จะทำอะไรต่อดีล่ะ?”

ชิงหลงขยับปลายนิ้วเล็ก ๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด แต่สีหน้าบ่งบอกว่าเจ้าตัวคิดล่วงหน้ามาก่อนแล้วและครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วด้วย

“นายคิดบ้างหรือเปล่าว่า ถึงเวลาที่นายควรจะต้องส่งคนไปเยี่ยมเยียนคนในสังกัดเสียหน่อย พวกแฟมิลีพันธมิตรของนาย....”

“หืม? ฉันก็ส่งไปเป็นระยะอยู่แล้ว” โจเซไหวไหล่แล้วเริ่มอ่านเอกสารต่อ

“แบบลับ ๆ”

โจเซเลิกคิ้ว

“นายจะดึงฉันไปพัวพันกับอะไรโดยที่ฉันไม่รู้หรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามพลางหรี่ตาลงมองชายหนุ่มตรงหน้าผู้เป็นญาติตัวเอง ญาติที่ไม่รู้ว่าสมองทำด้วยอะไรจึงคิดอะไรซับซ้อนอยู่เสมอและเป็นคนที่คิดอะไรตรง ๆ เหมือนอย่างคนอื่นแทบไม่เป็น

“ฉันไม่คิดว่านายจะไม่รู้หรอก” ชิงหลงพูดเพราะคิดเช่นนั้นจริง ๆ โจเซคือคนหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถจับทางเขาได้เสมอตั้งแต่เมื่อก่อน ไม่ว่าเขาจะคิดซับซ้อนแค่ไหน อีกฝ่ายก็จะพบจุดหมายปลายทางที่เขาคิดเอาไว้ได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน ดังนั้น แม้ตอนนี้จะไม่รู้จริง แต่อีกไม่นาน โจเซจะรู้อย่างแน่นอน “ไม่ต้องห่วง ฉันมีของตอบแทนให้นายอยู่แล้ว ไม่ได้ให้นายเหนื่อยฟรีหรอก”

“นายเอาเวลาที่มีค่าของฉันไปใช้กับแผนการแปลก ๆ ของนาย ฉันไม่คิดว่าจะมีของตอบแทนไหนเทียบกันได้หรอกนะ นอกจากว่า...” ชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ “...กิจการในฮ่องกงสักครึ่งของชิงหลง”

“ฝันไปเถอะ”

ชิงหลงตอบกลับแทบจะทันที

กิจการของชิงหลงในฮ่องกงไม่ใช่ของเขา เป็นสมบัติของชิงหลง ไม่ใช่ฉินเว่ยหลง เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่อาจนำมาใช้ทำอะไรตามใจได้ ชิงหลงทุกรุ่นต่างคิดเช่นนั้น พวกเขาจึงเพียรพยายามที่จะขยายมันออกไปเรื่อย ๆ เจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ไม่เคยมีรุ่นไหนที่จะเอากิจการในปกครองไปใช้ทำอะไรที่เสียประโยชน์และไม่ได้รับอะไรคืนมา ซึ่งในเรื่องนี้ชิงหลงมองว่าไม่คุ้มที่สุด

“ก็ได้ ๆ นายแน่ใจนะว่าขงตอบแทนของนายมันคุ้มค่าจริง”

“ถ้าไม่คุ้มค่ากับเวลาของนายฉันจะเสนอทำไม นายก็รู้จักฉันดี”

เมื่อชิงหลงพูดจบ ทั้งสองก็มองหน้ากันอยู่สักพัก จ้องตากันท่ามกลางความเงียบก่อนที่โจเซจะยิ้มออกมาคล้ายคาดเดาอะไรได้ลาง ๆ

“นายลงทุนจริง ๆ นะ กับคน ๆ นั้น”

“ฉันก็แค่ทำตามที่ควรทำตามวิธีของฉัน” ชิงหลงไม่ได้ตกใจที่โจเซทักเรื่องแบบนั้นขึ้นมา

“ก็ได้ ถ้านายจะเอาแบบนั้น” โจเซเอนพิงพนัก “ไหน ๆ ฉันก็ไม่ได้เรียกประชุมกลุ่มนานแล้ว ไปเยี่ยมสักครั้งก็ดีเหมือนกัน แต่แฟมิลีพันธมิตรฉันมีเยอะเอาเรื่องนะ”

“ฉันอยากให้นายเจาะจงไปหาคนคนเดียว”

โจเซมุ่นคิ้ว

“ทำแบบนั้นไม่คิดว่าจะทำให้อีกฝ่ายไหวตัวทันหรือยังไง?” เขาไม่คิดว่าชิงหลงจะเป็นคนคิดอะไรตื้น ๆ แบบนั้น หากจะรีบให้อีกฝ่ายรู้ตัว ทำไมถึงไม่ส่งคนของตนเองไปเอง ทำไมจึงต้องให้คนของเขาไปที่นั่นด้วย?

“นายส่งไปเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ อย่าลืมเน้นย้ำกับเขาด้วยล่ะ ว่านายให้ไปหาโดยเฉพาะ แล้วก็ให้เดินรอบ ๆ บ้านด้วย”

คำขอแปลกประหลาด ดูเหมือนว่าชิงหลงคงไม่ยอมบอกอะไรเพิ่มเติม ถึงใจจริงโจเซจะไม่อยากทำอะไรที่ทำให้ตนเองตกอยู่ในภาวะเสี่ยง แต่ท่าทีของชิงหลงก็ทำให้เขาอยากรู้เหมือนกันว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรต่อไป ขั้นตอนการคิดของชิงหลงกับเขาค่อนข้างต่างกัน หลาย ๆ ครั้งเขาจึงมักพาตนเองเข้าไปในแผนการของอีกฝ่ายอย่างจงใจเพื่อเรียนรู้วิธีคิดของชิงหลง บุคคลที่มีวิธีคิดซับซ้อนที่สุดเท่าที่เขารู้จัก เหมือนกับที่ชิงหลงมักจะพาตัวเองเข้ามาในแผนการของเขาในบางครั้ง อีกฝ่ายก็คงคิดแบบเดียวกันกับเขาเรื่องการเรียนรู้กันและกันเพื่อนำไปใช้กับตัวเอง

“ก็ได้ ฉันต้องยอมนายตามเคย” โจเซถอนหายใจทำเป็นจำใจยอมรับข้อเสนอ แต่ใจเขากำลังนึกสนุกและคิดว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

“ถ้าอย่างนั้น ไว้เจอกันใหม่” ชิงหลงลุกขึ้นโดยไม่ได้คิดจะรบกวนเวลาอีกฝ่ายต่อ อย่างไรแต่แรกเขาก็คิดจะแค่มาบอกให้โจเซทำอะไรบ้างเท่านั้น จากนั้นก็จะกลับ

ตอนนี้เขามีเรื่องอื่นกวนใจอยู่ยิ่งกว่าเรื่องของเซินหมิงเฟิ่งตอนนี้

ข่าวจากทางฮ่องกงทำให้เขารู้สึกแปลกใจเพราะได้ยินมาว่าจูเชว่เฒ่าคนนั้นไม่คิดเคลื่อนไหวอะไรเลย ซ้ำยังดูสงบสุขอย่างเหลือเชื่อ ข่าวการหายตัวของเซินหมิงเฟิ่งถูกปิดไว้อย่างสนิท ว่ากันว่าไปติดต่องานที่ต่างประเทศ แน่นอนว่ามันเป็นข้ออ้างที่สมเหตุสมผลที่สุดและไม่น่าจะมีข่าวลืออะไรตามมาได้มากนัก แต่ที่น่าแปลกยิ่งกว่าก็คือมินาโมโตะ ซากุระ ผู้เป็นคู่หมั้น ซึ่งน่าจะออกอาการอะไรบ้างที่คู่หมั้นที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรกกลับหายตัวไปโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า แม้ฝ่ายพ่อจะมีท่าทีไม่พอใจนิดหน่อยแต่ทางลูกสาวกลับสงบนิ่ง ซ้ำยังออกเที่ยวตามประสาสาวโสดทั่วไปราวกับว่าไม่ได้เดือดร้อนกับเรื่องของเซินหมิงเฟิ่งแม้แต่น้อย

เท่าที่เขาสืบประวัติมา มินาโมโตะ ซากุระ ไม่ใช่คนประเภทที่จะไม่ดูดำดูดีคนอื่นถึงขนาดนั้น แม้จะเป็นคู่หมั้นที่ถูกคลุมถุงชนก็ตาม ยิ่งเป็นเรื่องที่ทางสังคมพูดคุยซุบซิบกันไปทั่วอย่างนี้ แม้จะเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกก็น่าจะห่วงหน้าตัวเองมากกว่านี้ในวงสังคม

หรือว่าจะเป็นแผนการอะไรของทางจูเชว่...

ทั้งที่คน ๆ นั้นไม่ได้ขยับมือเลยสักนิด แต่กลับทำให้เขารู้สึกว่าอาจจะมีบางอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่เขาวางไว้ จูเชว่กำลังคิดอะไรอยู่?

เนื่องจากชิงหลงไม่ได้ขอให้ทิ้งระยะห่างในช่วงเวลาหรือบอกให้ทำทันที โจเซจึงคำนวณเอาเองคร่าว ๆ ว่าให้เป็นเข้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งน่าจะไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป เขาไม่รู้ว่าทำไมชิงหลงจึงรู้ว่าใครเป็นคนนำตัวเซินหมิงเฟิ่งไป แต่เมื่อเป็นชิงหลงแล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลในทุก ๆ อย่าง ไม่อย่างนั้นเขาคงจะสมองแตกตายเสียก่อน ซึ่งเขายังไม่อยากเป็นเช่นนั้น
คนของโจเซไปถึงบ้านของอาติโนในช่วงเช้าหลังจากเจ้าของบ้านกินอาหารเช้าเสร็จพอดี
ราฟาเอลเป็นคนเดินออกมารับก่อนจะรู้สึกแปลกใจเมื่ออีกฝ่ายแจ้งว่าตนเองเป็นคนของโจเซ และได้รับคำสั่งให้มาเยี่ยมเยียนอาติโนโดยเฉพาะ

“น่าแปลกใจนะที่โจเซให้มาเยี่ยมตอนนี้ เข้ามาก่อนสิ” อาติโนต้อนรับขับสู้คนที่มาเยี่ยมเยียนแทนอย่างดี

“ผมได้รับคำสั่งมาแบบนี้ แต่ดอนมอเรสซาเรก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่มเติม อาจจะเป็นห่วงสุขภาพของคุณก็เป็นได้นะครับ” ชายหนุ่มถือหมวกเดินเข้าไปในห้องแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ก่อนกวาดสายตามองคนรอบข้างซึ่งต่างก็เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ก่อนจะสะดุดตาที่ราฟาเอลซึ่งดูไม่พอใจมากที่สุดกับการมาเยือนของเขาซ้ำยังมีท่าทางหลุกหลิกผิดสังเกต เขาจึงอดไม่ได้ที่จะจับตามองปฏิกิริยาผิดแปลกนั้น และเมื่อเขามองไป ราฟาเอลก็ยิ่งดูอึดอัดจนแสดงออกมาทางสีหน้าอย่างชัดเจน

“ผมอายุมากจนเขาอดเป็นห่วงสุขภาพไม่ได้เลยหรือ?” อาติโนหัวเราะอารมณ์ดีจนพุงกระเพื่อม “คงเป็นเพราะซิการ์นี่แหละนะ เขาก็บอกให้ผมเลิกตั้งนานแล้ว แต่คนมันติดไปแล้วก็เลิกยาก อีกอย่าง สูบซิการ์ควันปุ๋ยแบบนี้ก็ดูมีมาดมาเฟียโหดดี” ตอนท้ายเขาพูดติดตลกนิด ๆ

“ความจริงแล้วเลิกได้ก็ดีนะครับ ถึงคุณไม่สูบซิการ์คุณก็มีมาดเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว” ชายหนุ่มละสายตาจากราฟาเอลแล้วคลี่ยิ้มสนทนากับอาติโน ทำให้หางตาเขาเหลือบไปเห็นท่าทางโล่งใจขึ้นของราฟาเอล ผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรปิดบังอยู่แน่ ๆ

“เรานี่ปากหวานเหมือนเจ้านายเลยจริง ๆ” อาติโนหัวเราะร่า

“ไม่หรอกครับ ผมแค่พูดตามความจริง”

“ถล่มตัวเข้าไปเถอะ” ชายวัยกลางคนโบกไม้โบกมือ “แล้วนี่แค่มาเยี่ยมเยียนกันสินะ มากะทันหันฉันเลยไม่ทันได้ตระเตรียมอะไรไว้ให้ไปฝากโจเซเลย”

“แต่ดอนมอเรสซาเรมีของฝากมาให้นะครับ” ว่าแล้ว ชายหนุ่มก็ยกถุงกระดาษขึ้นมา ในนั้นมีกล่องไม้สีดำขลับดูหรูหราอย่างเรียบ ๆ เมื่อเปิดออก อาติโนก็พบว่าเป็นนาฬิกาพกทรงโบราณทำจากทองเหลือง ของแบบนี้ใช่ว่าจะราคาถูกเสียเมื่อไหร่ “ของแท้จากสวิสเซอร์แลนด์ครับ เพราะวันเกิดที่ผ่านมาดอนมอเรสซาเรบอกว่าหาของให้คุณไม่ทัน วันนี้ก็เลยถือโอกาสให้ผมนำมามอบให้ครับ”

“เจ้าเด็กคนนี้ร้ายจริง ๆ" อาติโนพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เขาสะสมของสไตล์ย้อนยุคเป็นงานอดิเรก เรื่องนี้มีบางคนเท่านั้นที่รู้เพราะเขาไม่ค่อยได้คุยเรื่องงานอดิเรกกับใครนัก ไม่รู้ว่าโจเซไปรู้มาจากไหน ถึงสามารถหาของขวัญมาได้ถูกใจเขาถึงขนาดนี้

“หวังว่าจะถูกใจนะครับ” ทั้งที่เห็นท่าทางการแสดงออกชัดเจน แต่ชายหนุ่มก็ยังเอ่ยถามเพื่อแสดงให้เห็นถึงความใส่ใจ

“ถูกใจแน่นอน! ถูกใจมากด้วย” อาติโนลูบคลำนาฬิกาพกด้วยผ้าผืนบาง เมื่อขัดเบา ๆ แล้ว ทองเหลืองก็ยิ่งแวววาวน่ามอง

“ดอนคงยินดีมากที่ได้ยิน”

“ฝากขอบคุณเขาด้วยล่ะ” เขาพูดอย่างอารมณ์ดี

“ไหน ๆ ผมก็มาถึงนี่แล้ว จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะขอเดินดูบ้านคุณสักหน่อย ได้ยินว่าบ้านคุณถูกออกแบบดีมากจนดอนรุ่นก่อนเอ่ยชม” ในตอนที่อีกฝ่ายกำลังอารมณ์ดีจนแทบลอยแบบนี้ เป็นโอกาสดีที่จะเอ่ยขออะไรบางอย่างซึ่งมีโอกาสจะได้หรือไม่ได้เท่ากันจะกลายเป็นมีโอกาสได้แน่นอนอย่างทันที

“เชิญตามสบายเลย แต่ความจริงมันก็เก่าแล้วคงดูไม่สวยเหมือนตอนแรก ๆ หรอกนะ”

“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มแย้มยิ้มแล้วลุกขึ้น อาติโนหันไปพยักหน้าให้ราฟาเอลเป็นคนช่วยนำทางไป

------------------------>
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 16-03-2012 17:43:01
เขาไม่รู้ว่าเจ้านายของตนเองต้องการอะไรจึงส่งเขามาที่บ้านของอาติโนและบอกให้เดินสำรวจทุกซอกมุม หรือว่าอาติโนมีแผนการอะไรและเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในบ้าน อาจจะเป็นอาวุธ ยาเสพติด หรือเงิน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นบุคคลก็ได้ จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าบุคคลซึ่งสามารถพลิกสถานการณ์ได้ สำหรับมาเฟียอย่างพวกเขา บุคคล คือสิ่งที่น่ากลัวกว่าสิ่งใด ๆ ซ้ำปฏิกิริยาของราฟาเอล ผู้ติดตามซึ่งอาติโนไว้ใจที่สุดยังส่อพิรุธออกมาให้เขาเห็นอย่างแทบจะปิดไม่มิด อีกฝ่ายจะต้องมีอะไรอยู่แน่ และอาจจะเป็นสิ่งที่ปิดบังอาติโนอยู่ ไม่อย่างนั้นอาติโนคงไม่บอกให้เดินนำทางเขาออกมาเช่นนี้

แต่หากอาติโนคิดไม่ซื่อจริง อีกฝ่ายอาจได้รับคำสั่งให้มาปิดปากเขาด้วยวิธีละมุมละม่อมก็เป็นได้ เพราะโจเซส่งเขามา ย่อมไม่อาจใช้กำลังกับเขาอย่างเปิดเผยได้อย่างแน่นอน การชักจูงให้เขาหักหลังจึงอาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ซึ่งเขาคงต้องเลยตามเลยเหมือนไม่คิดอะไรไปก่อนในตอนนี้เพื่อดูว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ และโจเซคิดระแคะระคายอะไรขึ้นมา

“อยากจะดูอะไรบ้างล่ะ.....ครับ” ราฟาเอลดูไม่ค่อยชอบใจเขาจนเกือบจะลืมวิธีพูดที่สุภาพ กระนั้นก็เหมือนจะควบคุมตนเองได้อย่างทันทีจนหากไม่สังเกตคงคิดว่าอีกฝ่ายติดภาษาที่พูดจากับเพื่อนมากเกินไปเท่านั้นหากไม่ติดที่น้ำเสียงแข็งกระด้าง เขาก็คงจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน

“ผมคงจะเดินดูไปเรื่อย ๆ นั่นแหละครับ ถึงคุณอาติโนจะบอกว่าผ่านมาหลายปีแล้วมันก็เริ่มเก่า แต่ผมคิดว่ายังเก่าก็ยังสวยนะครับ อีกอย่าง ของเก่า ๆ มักจะดูทรงคุณค่ามากกว่าของใหม่ ๆ เป็นธรรมดา บางอย่างยิ่งเก่าก็ยิ่งสวย คุณไม่คิดแบบนั้นหรือครับ?” ชายหนุ่มชวนราฟาเอลคุยด้วยน้ำเสียงสบายและเป็นมิตรเพื่อสังเกตท่าทีตอบรับที่ผ่อนคลายมากขึ้นของอีกฝ่าย ซึ่งจะทำให้เขาสังเกตถึงปฏิกิริยาแปลกปลอมได้ง่ายขึ้นเมื่อมีสิ่งกระตุ้น และเขาจะหาสิ่งกระตุ้นเหล่านั้นได้ง่ายขึ้นด้วย

“ผมไม่มีหัวเรื่องของเก่าหรอก...ครับ” ราฟาเอลเหมือนจะไม่ยอมให้ความร่วมมือ เจ้าตัวยังคงท่าทีแข็งกระด้าง แม้จะรู้ดีว่าเขาอยู่ในฐานะไหนและตัวเองอยู่ในฐานะอะไร

“แต่ดอนมอเรสซาเรชอบอยู่นะครับ ผมก็เลยต้องหัดมองของพวกนี้ไปด้วย ไม่อย่างนั้นคงไปเลือกของแทนไม่ได้” ชายหนุ่มหัวเราะ “แต่นี่นี่กว้างขวางดีจริง ๆ มีห้องเยอะไปหมดเลยนะครับ ไม่รู้ว่าแต่ละห้องใช้ทำอะไรบ้าง แต่ผมชอบการตกแต่งที่ใช้กระจกบานกว้างนะครับ แสงแดดที่ส่องเข้ามาสว่างพอจะไม่ต้องใช้หลอดไฟเลย”

“คุณอาติโนชอบแสงธรรมชาติมากกว่าครับ”

เขาเหลือบมองอีกฝ่ายที่เพียรจะสงวนคำพูดน้อย ๆ

“แต่ตอนฤดูร้อนคงลำบากเอาการ เพราะแดดส่องเข้ามาแบบนี้ท่าจะร้อนไม่ใช่น้อย”

“ไม่หรอกครับ...ต้นไม้มีเยอะ” ราฟาเอลยังคงไม่คิดจะพูดให้มากเกินจำเป็นแล้วเดินนำทางไปเรื่อย ๆ ด้วยความอึดอัดเพราะรู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองแทบทุกชั่วลมหายใจ

“ตอนฤดูหนาวก็อบอุ่นดีสินะครับ”

ครั้งนี้ราฟาเอลแค่พยักหน้าเฉย ๆ ก่อนจะชะงักแล้วจึงตอบ “ครับ” เบา ๆ

ชายหนุ่มเหลือบสายตามอง และพบว่าราฟาเอลพยายามที่จะไม่มองออกไปข้างนอกทั้งที่เขากำลังพูดถึงสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั่น หากเป็นปกติคู่สนทนาควรจะมองออกไปและหาหัวข้อที่จะมาต่อการพูดคุยของเขา กระนั้นราฟาเอลกลับเอาแต่มองไปข้างหน้า นั่นแสดงว่าข้างนอกนั่นมีบางสิ่งอยู่...

เขามองออกไป เห็นสวนกว้างที่สาดส่องด้วยแสงแดดดูอบอุ่น สวนนั้นดูไม่น่าจะมีอะไรได้ นอกจากว่าจะซ่อนอยู่ใต้ดินที่ไหนสักแห่ง

หรือว่าจะมีประตูทางเข้า?

ไม่น่าจะเป็นไปได้

เวเนเซียคือเมืองที่ใกล้จะจมน้ำเข้าไปทุกวันการสร้างบางสิ่งบางอย่างไว้ใต้ดินอาจเป็นความคิดที่โง่มากเพราะมันอาจถูกท่วมด้วยน้ำได้ทุกเมื่อ

ถ้าเป็นอย่างนั้น.....

สายตาของเขามองเลยสวนกว้างไปจนถึงอาคารอีกฝั่งซึ่งเป็นอีกส่วนของตัวบ้าน เป็นปีกอีกด้านของบ้านอันกว้างขวางหลังนี้

มันอาจจะอยู่ที่นั่น.....

เขาหันกลับมาทางราฟาเอลอีกครั้ง

“ผมขอไปเดินดูปีกอีกฝั่งบ้างได้ไหมครับ?”

ราฟาเอลดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

“ฝั่งนั้น.....”

“ผมได้รับคำสั่งมาให้ดูหลาย ๆ มุมนะครับ กรุณาคิดถึงความลำบากของผมด้วย” เขาเอ่ยโน้มน้าวทำให้ราฟาเอลเริ่มแสดงความหงุดหงิดออกมา นั่นทำให้เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่อีกฝั่งของบ้านนี้อย่างแน่นอน เพียงแต่...อยู่ตรงไหนเท่านั้น

“อีกฝั่งก็เหมือนฝั่งนี้แหละครับ ตกแต่งเหมือนกัน...” ราฟาเอลหาเหตุผลมาบิดเบือน

“แต่ของที่มองต่างมุมก็ให้มุมมองที่แตกต่างกันนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มแย้ม “หากผมโดนดอนมอเรสซาเรต่อว่าที่ทำตามคำสั่งไม่ได้ คุณอาติโนอาจจะโดนหางเลขนะครับ”

เมื่อได้ยินว่าอาติโนจะโดนหางเลข ราฟาเอลก็นิ่งไป ก่อนจะพาเดินเลี้ยวไปยังอาคารที่อยู่อีกฝั่งอย่างง่ายดาย เป็นไปดังที่เขาคิด ผู้ชายคนนี้รักและเคารพอาติโนเสียจนหากยกขึ้นมาอ้างอย่างถูกจังหวะก็จะสามารถบอกให้ทำบางสิ่งบางอย่างได้ง่ายขึ้น

ผู้ชายคนนี้ยังอ่อนหัดนัก....

ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ ได้ยินว่าเป็นคนที่อาติโนหมายมั่นจะให้สืบทอด ไม่นึกว่าจะอ่อนหัดถึงเพียงนี้ ถึงเขาจะเบาใจที่สามารถโน้มน้าวได้ง่าย แต่เมื่อคิดว่าในอนาคต แฟมิลีพันธมิตรหนึ่งจะมีผู้สืบทอดแบบนี้ ก็น่าหนักใจพอสมควรทีเดียว อาติโนคงต้องทำงานหนักอีกมาก หากจะให้ผู้ชายคนนี้สืบทอดต่อจริง ๆ หรือไม่ เจ้าตัวก็ต้องหาคนใหม่ หากว่าการสำรวจของเขาพบว่าอาติโนและบราซินีแฟมิลีไม่ได้มีอะไรเป็นอันตรายต่อมอเรสซาเร เขาคงต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับโจเซให้คุยกับอาติโนเสียหน่อย

พอมาถึงอีกฝั่ง เขาก็พบว่ามันไม่ได้ตกแต่งเหมือนกันเสียทีเดียว

ปีกขวาที่อยู่เมื่อครู่ตกแต่งแบบสวยงาม รวมถึงโถงกลาง เป็นการตกแต่งที่ดูออกว่าจงใจให้สวยงามและน่าอยู่อาศัย ใครไปใครมาก็เจริญตาเจริญใจ เป็นที่ภูมิใจและน่านำเสนอของเจ้าของบ้าน แต่เมื่อมาถึงฝั่งปีกซ้าย การตกแต่งกลับดูธรรมดา ๆ ไม่ได้ดูหรูหราสวยงามอะไรนัก แม้แต่การปูพื้นหรือทำสีผนัง ทั้งที่ดูเรียบร้อย แต่ก็เรียบเกินไปจนไม่เหมือนฝั่งที่ใช้รับแขกหรืออยู่อาศัยเองด้วยซ้ำ

“ฝั่งนี้ปกติใช้งานอะไรครับ?” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“....ก็งานของแฟมิลี” ราฟาเอลตอบแล้วทำหน้ายุ่งยากใจ

เมื่ออีกฝ่ายพูดแบบนั้น เขาคงจะไม่ตื้อถามต่อเพราะเดี๋ยวจะโดนครหาว่าคิดตะก้าวก่ายการทำงานของแฟมิลีได้ และโดยปกติ เมื่อได้รับคำตอบเช่นนี้ก็เดาได้ไม่ยากแล้วว่างานประเภทไหน

ชายหนุ่มเดินทอดน่องไปเรื่อย ๆ ตามทางเดินที่ดูไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจนัก ราฟาเอลที่เดินนำอยู่ก็สื่ออาการล่อกแล่กออกมาอย่างมีพิรุธยิ่งขึ้น

และจนกระทั่งถึงทางแยกหนึ่งซึ่งทางเข้าค่อนข้างแคบและไม่สะดุดตา ซ้ำพื้นยังไม่ได้ปูเอาไว้คล้ายว่าเป็นเส้นทางที่ไม่ได้รับความสนใจจากเจ้าของเลย ซึ่งแตกต่างจากอีกฝั่งของบ้านอย่างเห็นได้ชัด สำหรับเขาแล้ว ของแบบนี้จะมีอยู่ในบ้านของมาเฟียก็ดูจะเป็นเรื่องปกติ เพราะชีวิตของอาชีพในโลกมืดแบบพวกเขาไม่ได้มีด้านที่สวยหรูให้อวดโอ้มากนัก หนำซ้ำ ด้านที่ไม่ได้สวยงามที่ต้องปิดซ่อนกลับมีอยู่มากกว่าและซับซ้อนลึกลับไม่ต่างจากสไตล์การตกแต่งบ้านหลังนี้แม้แต่น้อย

เขาคงจะเดินผ่านมันไปเฉย ๆ แล้ว หากไม่ใช่ว่าราฟาเอลแสดงอาการออกมาทางร่างกายอย่างไม่อาจปิดซ่อนเมื่อเขาชะงักเท้าหน้าทางเดิน และด้วยเหตุนั้น เขาจึงมั่นใจได้ว่า บางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกถึงปฏิกิริยาแปลกประหลาดของอีกฝ่ายตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในบ้าน คือสถานที่นี้อย่างแน่นอน

ชายหนุ่มเดินเข้าไปโดยไม่ได้พูดอะไร ทำให้ราฟาเอลจำยอมต้องเดินตามเงียบ ๆ

ห้องหับในทางเดินนั้นมีอยู่ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้เขาไม่รู้ว่าห้องไหนกันแน่ที่มีของที่เขากำลังมองหา

“ท่าทางจะเก็บของสำคัญไว้สินะครับ” เขาเอ่ยถามลองเชิงด้วยน้ำเสียงเหมือนรู้ทัน

“ที่แบบนี้แม้แต่ดอนมอเรสซาเรก็คงรู้ว่าไม่เหมาะจะเก็บของสำคัญ” เสียงของราฟาเอลแข็งกระด้างมากกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด

ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ

“แต่ของที่เก็บไว้ในที่ที่ไม่น่าเป็นไปได้ อาจจะสำคัญกว่าของที่เก็บไว้อย่างดีก็ได้”

เสียงสูดลมหายใจหนักหน่วงดังอยู่เบื้องหลัง มันเป็นเสมือนสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขาเดาถูก ดูเหมือนว่าเขาอาจจะกำลังเผชิญความเสี่ยงเข้าเสียแล้ว เพราะตอนนี้เขาได้ก้าวเข้ามาในสถานที่ซึ่งอาติโนหรือราฟาเอลอยากปิดบังไว้จากสายตาของโจเซ หากว่าถลำลึกเข้าไปมากกว่านี้ เขาจะกลับลำได้ยากยิ่งขึ้นเพราะอีกฝ่ายไม่มีทางปล่อยเขาออกไปโดยง่ายอย่างแน่นอน

เขาควรจะเสี่ยงไหม?

มันคุ้มค่าพอหรือเปล่า?

เขาตริตรองระหว่างที่กำลังเดินช้า ๆ ไปตามทางที่ค่อนข้างสลัวเมื่อเทียบกับทางเดินด้านนอก ยิ่งเดินลึกเข้าไป เขาก็ยิ่งรู้สึกถึงการกดดันจากด้านหลังมากขึ้น

บางทีอาจสายไปแล้วสำหรับการตัดสินใจ

เขาคิดเช่นนั้นด้วยความรู้สึกซึ่งมาจากการสั่งสมทางประสบการณ์ สิ่งที่ปะทะแผ่นหลังเขานั้นเป็นสายตาความไม่หวังดีอย่างที่สุด นั่นหมายความว่า เขาต้องยอมเสี่ยงแล้ว สิ่งที่เขาคิดต่อไปนั่นคือ...เขาจะทำอย่างไรเพื่อให้ตัวเองรอดออกไปอย่างปลอดภัยหากว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเห็นแก่หน้าของมอเรสซาเรอีกต่อไป และเลือกให้เขาเป็นเหยื่อเปิดฉากแผนการที่อีกฝ่ายวางไว้

ทว่าดูเหมือนเขาจะคิดช้าเกินไป

เมื่อเดินผ่านประตูบานหนึ่ง อยู่ ๆ ราฟาเอลก็เปิดประตูออกอย่างรวดเร็วก่อนจะกระชากแขนเขาแล้วโยนเข้าไปด้านในโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว

เสียงประตูปิดลงเมื่อเขาถูกโยนเข้ามาในห้อง และเมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็เจอบุคคลสองคนซึ่งดูไม่คุ้นหน้าคุ้นตาสักเท่าไหร่ เพราะทั้งสองเป็นคนเอเชีย แต่ทั้งที่เขาเป็นผู้เสียหายถูกโยนเข้ามา ทั้งสองคนนั้นกลับทำท่าเหมือนระแวงระวังเขาจนน่าแปลกคล้าย ๆ จะเหมือนกับกลัวเสียด้วยซ้ำ และเมื่อเขาหันกลับไปมองทางประตู เขาก็พบราฟาเอลยืนจังก้าขวางทางอยู่

“คุณคิดจะทำอะไรน่ะครับ” ชายหนุ่มหรี่ตาลงมองแล้วลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าตนเอง

“ปิดปากคนพูดมากอย่างแกไงล่ะ” จากเมื่อครู่ที่พยายามสุภาพ ตอนนี้อีกฝ่ายแสดงความหยาบคายออกมาชัดเจนทั้งจากท่าทางและคำพูด

“คิดว่าคนของมอเรสซาเรจะอยู่เฉยหรือครับเมื่อผมหายตัวไป”

“แล้วคิดว่าฉันจะไม่ได้คิดหาทางปกปิดหรือยังไง” ว่าแล้ว ราฟาเอลก็พุ่งตัวเข้าหาชายหนุ่มซึ่งท่าทางเหมือนอ่อนแอ ทว่าเมื่อเข้าใกล้ หมัดหนึ่งก็พุ่งสวนเข้าใส่ใบหน้าอย่างจัง ราฟาเอลถึงกับผงะถอยหลังไม่นึกว่าจะถูกสวนกลับมาแบบนี้จากผู้ชายทีดูสุภาพไม่มีพิษภัย

“อย่าดูถูกผมให้มากนัก” ชายหนุ่มว่าแล้วขยับเนคไทตนเองให้กว้างขึ้น

แต่ทว่าราฟาเอลกลับไม่ได้คิดจะพุ่งเข้ามาทำร้ายร่างกายเขาอีก ราฟาเอลลุกขึ้นด้วยสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องก่อนจะชูมือขึ้นให้เขาเห็นว่าตนเองได้ถือบางสิ่งไว้ และเมื่อมองไป เขาก็พบว่ามันคือโทรศัพท์มือถือนั่นเอง โทรศัพท์มือถือของเขา!?

“อย่าดูถูกคนที่เคยอยู่ข้างถนนแบบฉันมาก่อนนักสิ” ราฟาเอลแสยะยิ้มก่อนจะเดินออกนอกประตูไปก่อนที่เขาจะทันเข้าไปแย่งของคืนมาได้ทัน

ชายหนุ่มเม้มปาก ตอนนี้เครื่องมือสื่อสารของเขาไปอยู่ในมืออีกฝ่ายแล้ว เขาจึงไม่มีทางติดต่อกลับไปหาโจเซได้ ถึงแม้เจ้านายจะมาหาเขาที่นี่ แต่ก็อาจไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็เป็นได้ เขารู้สึกสิ้นหนทางขึ้นมานิด ๆ ทั้งที่ในชีวิตที่รับใช้มอเรสซาเรมาไม่ค่อยจะมีโอกาสได้รู้สึกเช่นนี้นัก

เขาหันกลับไปมองผู้ร่วมห้องอีกสองคนซึ่งเป็นคนเอเชีย

เอาล่ะ...สองคนนี้จะช่วยอะไรเขาได้บ้าง?

-------------------------->

ราฟาเอลเดินออกมาจากห้องก่อนกดปุ่มปิดโทรศัพท์เพื่อป้องกันคนตามรอยสัญญาณ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงผลของสิ่งที่ตนก่อขึ้น เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะให้ใครรู้สิ่งที่เขาทำกับตัวประกันทั้งสองไม่ได้ เพราะไม่ใช่คำสั่งของอาติโน ซ้ำตัวประกันทั้งสองคนอาจเป็นคนของมอเรสซาเร ซึ่งจะทำให้อาติโนเดือดร้อนในภายหลัง และตอนนี้...ตัวประกันของเขาได้เพิ่มเป็นสาม

คนที่สามเป็นคนของมอเรสซาเรอย่างไม่ต้องสงสัย

เขาจะทำยังไงต่อไป?

หรือจะต้องปกปิดอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ

ไม่สิ...ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว

สักวันหนึ่ง อาติโนจะต้องรู้คำตอบว่าคนเอเชียสองคนนั้นมาทำอะไรที่นี่กับชิงหลง และเมื่อนั้น ทั้งสองจะต้องถูกปล่อยตัวไป หรือไม่ก็ทำอะไรสักอย่าง แต่อาติโนจะต้องรู้แน่ ๆ ว่าเขาแอบซ่อนคนของมอเรสซาเรเอาไว้ เมื่อถึงตอนนั้นเขาควรจะทำยังไง?

บางที เขาคงจะต้องเอาตัวผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนห้องเสียก่อน แต่ถึงอย่างนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ใช่เล่น ๆ หมัดที่ต่อยเข้าโหนกแก้มเขายังทำให้ชาจนถึงตอนนี้ ซ้ำในห้องนั้นยังมีการ์ดของชิงหลงอยู่ด้วย ตัวเขาคนเดียวไม่มีทางจัดการคนสองคนนั้นพร้อมกันได้

เขาต้องหาคนช่วย...

แต่ใครล่ะจะไว้ใจได้

เพื่อนของเขาที่ยอมช่วยเพราะตกกระไดพลอยโจนอย่างไม่คาดคิด แต่ว่าหากอีกฝ่ายรู้เรื่องคนของมอเรสซาเรจะเป็นยังไง ทางนั้นต้องไม่ยอมร่วมมือด้วยแน่เพราะเกรงจะโดนลูกหลง

บ้าเอ๊ย...

ทำไมต้องหาเรื่องไปทางนั้นด้วยนะ!

เขาอดโทษชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ ทั้งที่เขาอุตส่าห์เลี่ยงแล้ว ฝั่งนั้นก็จงใจไปทางนั้นที่เขาไม่อยากให้ไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หรือว่ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว

ถ้าอย่างนั้นแปลว่ามอเรสซาเรรู้แล้วหรือเปล่า?

ราฟาเอลวิตกจริตหนักขึ้น...

“ราฟาเอล” แต่แล้วเสียงของอาติโนก็แทรกเข้ามาในโสตประสาท เขารีบหันไปหาทันที “แล้ว......” เขารู้ได้ทันทีว่าอาติโนจะถามถึงใคร

“กลับไปแล้วครับ เห็นว่ามีเรื่องด่วนเลยฝากผมมาลา” เขาโกหก...

“....งั้นหรือ?” อาติโนคล้ายจะไม่เชื่อนิด ๆ แต่เขาไม่มีเหตุผลใดที่จะสงสัยราฟาเอลจึงปล่อยผ่านไป “แล้วแก้มนั่น?”

“...ผมล้มน่ะครับ...” อีกครั้งที่โกหก ราฟาเอลกัดกราม ภาวนาให้อาติโนอย่าถามอะไรอีก เพราเขาคิดคำโกหกไม่ออกแล้ว...

“ไปหายาทาเสียล่ะ” อาติโนว่าพลางเดินไปตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ รู้สึกถึงความอึดอัดใจที่จะตอบคำถาม เขาจึงไม่ซักไซ้ไล่เรียงอีก ราฟาเอลก็โตแล้ว หากมีอะไรเกิดขึ้น เขาก็อยากให้อีกฝ่ายเรียนรู้ที่จะจัดการเอง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่ถามอะไรเพิ่มเติมและเดินจากไปในขณะที่ราฟาเอลลอบถอนหายใจเบา ๆ

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LimousinX9 ที่ 16-03-2012 19:27:54
มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจทั้งนั้นเลย  และอีกนานกว่าจะรู้เรื่อง เล่นผูกซะ!!!!

เอ้อ.. อีกเมื่อไหร่ - -
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Cherry Red ที่ 17-03-2012 01:19:03
เอ่อ...สารพัดเรื่องพัวพันกันยุ่งเหยิงดีจริง ๆ  :z3:
เรื่องเก่า ๆ ยังไม่เคลียร์ อีตาราฟาเอลก็ก่อเรื่องกับคนของโจเซ( ยังไม่ทราบนาม )เข้าไปอีก
แต่คิดไปคิดมา เรื่องทั้งหมดอาจจะแดงขึ้นมาก็เพราะ อีตาราฟาเอล เนี่ยล่ะมั้ง ???
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 17-03-2012 12:08:24
Oh it is so difficult to understand . What they are thiking??
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LUCKY STAR ที่ 17-03-2012 14:33:35

มาต่อเรื่อยๆนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

+ เป็ด
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: พิรุณสีเงิน ที่ 17-03-2012 15:14:08
ยิ่งอ่านยิ่งงง ชิงหลงคิดอะไรอยู่กันแแน่

แต่สงสารนกน้อยที่สุดแล้ว  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 17-04-2012 00:04:59
พึ่งอ่านบัลลังก์ปีกหงส์มาเลยไม่มีปัญหากับชื่อตัวละคร ^^ แถมเป็นเรื่องก่อนหน้าน้องเฟย ก็เลยมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างมาเฉลยเรื่องในอนาคต น่าสนใจมาก

สนุกมากค่ะ ถึงจะยังไม่รู้อะไรเลย T^T ตอนแรกก็ลองเดาบ้าง แต่หลังๆชักเหนื่อย 555 สงสารพี่หมิง ตั้งแต่กลับจากอังกฤษนี่โดนขังตลอด แถมไม่รู้ว่าทำไมอีกต่างหาก(คนอ่านก็ไม่รู้) ถึงปมจะเยอะ อ่านแล้วก็มีเครียด แต่คนละอารมณ์กับบัลลังก์ปีกหงส์มาก รู้สึกเรื่องนี้ผ่อนคลายมากกว่า ฮามากกว่า สงสัยเป็นเพราะพี่หมิงแน่ๆ

รอตอนหน้าค่ะ

ปอลิง ชอบผู้หญิงแบบซากุระจัง ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 18-04-2012 01:20:50
อั้ยยะ เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่หว่า รออัพอยู่ทุกวี่วันนะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 18-04-2012 21:47:25
ชิงหลงใจร้ายจังเนอะ น้องเซินโดนทำร้าย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 03-05-2012 04:10:20
เรื่องนี้ ชิงหลงxเซิน สินะครับ

มาต่อสักทีเถอะฮะ ชอบมากเลย มันดูกดดัน+ดึงดูด จังเลย

รอตอนต่อไปอยู๋นะคร๊าบบบ บบ..^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 11-05-2012 16:31:03
เข้ามาแจ้งข่าวค่ะ

ขอโทษที่หายไปนานแล้วไม่ได้มาต่อเลยนะคะ ;w;
ตอนนี้เซียร์กำลังเรียนซัมเมอร์ปีสุดท้ายอยู่ เลยค่อนข้างจะหนักเอาการ เลยไม่มีเวลา+พลังงานในการเขียนเลย อยากมากก็ทำได้แค่วาดรูปบ้างเท่านั้นเอง orz
ดังนั้นเซียร์ขอเวลานักอ่านทุกท่านหน่อยนะคะ ขอเซียร์จัดการเรื่องเรียนให้เรียบร้อยแล้วจะมาต่อให้ ;w;
คาดว่าคงจะเรียบร้อยในปลายเดือนนี้แหละค่ะ ^ ^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 13 (16/03/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 12-05-2012 13:39:40
สงสารหมิงอ่ะเมื่อไหร่จะได้ออกมาซที ชิงหลงวางแผนอะไรอีก รีบไปช่วยหมิงสิ  :angry2: เรียนเสร็จแล้วรีบกลับมาต่อไวๆนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 03-06-2012 19:34:37
-14-


   ผู้มาเยือนคนใหม่สร้างความประหลาดใจให้กับเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์เป็นอย่างมาก รวมไปถึงความหวาดระแวงซึ่งทับถมมาจากการโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจหลายต่อหลายครั้ง ทั้งสองจึงทำได้เพียงจด ๆ จ้อง ๆ ผู้มาใหม่ด้วยความสงสัยคลางแคลงใจว่าจะเป็นแผนการตบตาของราฟาเอลหรือไม่ กระนั้น สมาชิกใหม่ของห้องขังก็ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามใด ๆ รวมถึงความเป็นมิตรก็ไม่มีเช่นกัน เจ้าตัวเพียงปัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและทอดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างเงียบ ๆ ก่อนที่นัยน์ตาคู่นั้นจะหยุดลงที่บุคคลทั้งสองซึ่งอยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว

   “ดูเหมือนพวกคุณก็จะถูกเอาตัวมาขังไว้เหมือนกันสินะครับ” ชายหนุ่มว่าพลางขยับเนคไท แต่เพราะเป็นภาษาอิตาเลียน ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์จึงไม่สามารถทำความเข้าใจได้ ผู้พูดจึงกล่าวซ้ำอีกครั้งเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาสากลที่สุด

   “ครับ...คิดว่าแบบนั้น คุณเป็นใครกัน?” เซินหมิงเฟิ่งพิจารณาอีกฝ่ายพลางเอ่ยถาม

   “ผมเป็นคนของดอนมอเรสซาเร” เขาคิดว่าหากจะผูกสัมพันธ์กับสองคนนี้คงจะต้องแนะนำตัวกันไว้ก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ได้เห็นความสำคัญของมันมากนัก ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ได้บอกชื่อของตนออกไป เพราะเขาไม่รู้ว่าคนที่พบเจอกันเพียงผ่าน ๆ จะรู้ชื่อเสียงเรียงนามไปทำไม

   “ดอนมอเรสซาเร? คุณโจเซ?”

   วิธีเรียกของเซินหมิงเฟิ่งเรียกให้ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

   “รู้จักด้วยหรือครับ?”

   “ครับ...ผมเป็นคนของชิงหลง เห็นว่าเป็นญาติกับคุณโจเซ” เซินหมิงเฟิ่งจำต้องโป้ปดไปก่อน เพราะหากไม่พูดอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้จะแนะนำตัวว่าตนเองอยู่ในฐานะไหน จากนั้นจึงหันไปแนะนำคิมหันต์ “ส่วนทางนี้เป็นการ์ดที่ชิงหลงสั่งให้มาดูแลผมน่ะครับ”

   เมื่อได้ยินว่าการ์ด ดวงตาของชายหนุ่มชาวอิตาเลียนก็มีประกายความสงสัยขึ้นมาวูบหนึ่ง เพราะโดยปกติแล้ว หากคนที่ถูกคุ้มครองโดนจับตัวมา การ์ดควรจะสู้จนสุดชีวิตซึ่งน่าจะบาดเจ็บสาหัสหรือตาย แต่สภาพการ์ดคนนี้กลับไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น มีเพียงแค่แผลฟกช้ำในบางจุดเท่านั้นเอง

   “การ์ดของชิงหลงหละหลวมกว่าที่คิดไว้นะครับ” เจ้าตัวกล่าวคำปรามาสด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท และเพราะกล่าวด้วยสำเนียงอย่างตะวันตกแท้และพูดรัวเร็ว คิมหันต์จึงฟังอีกฝ่ายไม่ค่อยถนัดนัก และแม้เซินหมิงเฟิ่งจะเข้าใจ ก็ไม่อยากจะแปลให้ผู้รับสารฟัง ส่วนชายหนุ่มผู้พูดก็ไม่ได้สนใจจะฟังคำแก้ตัวหรือคำอธิบาย เขาเดินวนรอบ ๆ ห้องและมองไปยังช่องเปิดเล็ก ๆ ซึ่งมีตะแกรงปิดอยู่ แน่นอนว่ามันใช้ออกไปข้างนอกไม่ได้แน่ ๆ แต่ก็น่าจะพอให้เห็นภายนอกได้ เขาจึงเดินไปลากโซฟาตัวหนึ่งเพื่อต่อขาตัวเองให้ถึงช่องนั้น

   “ทำอะไรน่ะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถาม

   “ผมอยากจะมองผ่านตรงนั้น” เขาชี้ไปยังช่องเล็ก ๆ

   “มันสูงเกินไป ผมเคยลองแล้ว” ถึงแม้ผู้ชายคนนี้จะสูงกว่าเขา เซินหมิงเฟิ่งก็ยังมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีทางจะเขย่งถึง เพราะเจ้าตัวสูงกว่าเขาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ช่วยผมหน่อย” ชายหนุ่มจัดโซฟาในตำแหน่งที่เหมาะสม “การ์ดของคุณน่าจะแข็งแรงมากพอจะยกผมขึ้นไปได้”

   เซินหมิงเฟิ่งหันไปทางคิมหันต์ซึ่งยังไม่เข้าในสถานการณ์

   “ผมไม่รู้ว่าคุณจะทำไปทำไม” แน่นอนว่าวิธีนี้เขาก็เคยลองแล้วเช่นกัน และเขาก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะมองออกไปข้างนอกที่มีแต่สวนว่างเปล่าและการ์ดเดินไปเดินมา

   “แต่ผมรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร และถ้าคุณจะมัวแต่ถามแบบนี้ คุณน่าจะช่วยผมหาทางออกไปจากที่นี่ด้วยกัน” ชายหนุ่มว่าพลางกลอกตา เขาไม่เข้าใจเลยว่าคนตะวันออกจะคิดแล้วลงมือทำไม่ได้หรือ ทำไมถึงต้องมีคำถามลูกโซ่แล้วไม่ลงมือทำอยู่เสมอ

   เซินหมิงเฟิ่งส่ายศีรษะ รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำสิ่งที่เปล่าประโยชน์ แต่บางที ผู้ชายคนนี้อาจจะมีความคิดดี ๆ จริงก็เป็นได้ พวกเขาเองถูกจับตัวมาโดยไม่ได้ตระเตรียมอะไรเลย และถูกกักขังเสียจนเฉื่อยชาแทบไม่เหลือความรู้สึกอยากจะดิ้นรน แต่คน ๆ นี้เป็นคนของมอเรสซาเร และเพิ่งจะถูกกักตัว น่าจะยังมีพลังงานเหลือมากพอจะคิดหาทางหนีได้ดีกว่าพวกเขา

   เซินหมิงเฟิ่งหันกลับไปทางคิมหันต์อีกครั้ง

   “คุณคิมหันต์ ช่วยยกตัวเขาขึ้นไปหน่อยนะครับ”

   คิมหันต์ได้ยินเช่นนั้นจึงพอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง เขาเดินไปที่โซฟาแล้วถอดรองเท้าขึ้นไปยืน ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนที่ไม่ยอมบอกชื่อของตนปีนพนักโซฟาตามขึ้นไปเพื่อให้อีกฝ่ายอุ้มตนง่ายขึ้น ก่อนที่แขนของคิมหันต์จะโอบรอบสะโพกแล้วยกตัวขึ้นไป ส่วนสูงของคิมหันต์อาจไม่มากนักเมื่อเทียบกับคนตะวันตก แต่ตัวชายหนุ่มเองก็เป็นคนตะวันตกเชื้อสายละตินขนาดตัวจึงไม่ค่อยต่างกัน ทำให้เรี่ยวแรงของคิมหันต์สามารถยกตัวเขาขึ้นไปได้ แม้จะทุลักทุเลอยู่สักนิดก็ตามที

   ถึงอย่างนั้นก็เป็นโชคของพวกเขาที่ความสูงของช่องระบายอากาศนั้นพอดีกับระดับสายตาของชายหนุ่มในขณะนี้

   “ฝั่งตรมข้ามคืออาคารหลักสินะครับ”

   “ผมไม่ทราบเหมือนกัน เพราะตอนผมถูกจับมาผมก็รู้สึกตัวในห้องใต้ดิน ส่วนอื่นในบ้านหลังนี้น่ะ ผมไม่เคยเห็นเลย” เซินหมิงเฟิ่งตอบตามจริง เพราะเมื่อออกมาจากห้องใต้ดิน เขาก็ถูกพาตัวเข้ามาที่นี่ แม้แต่ช่วงเสี้ยววินาทีที่จะสัมผัสแสงอาทิตย์ยังแทบไม่มี

   “อย่างนั้นหรือครับ” เขาไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะใคร ๆ ก็คงไม่อยากให้คนที่ถูกจับมารู้ว่าภายนอกเป็นอย่างไร เพราะอาจจะหาทางหนีได้

   ชายหนุ่มเลื่อนสายตาไปรอบ ๆ เท่าที่กรอบของช่องระบายอากาศจะอำนวย

   “คงจะไม่ผิด” เขาพึมพำกับตัวเอง

   “อะไรหรือครับ?” คิมหันต์ได้ยินเสียงพึมพำเลยเงยหน้าขึ้นถาม

   “ผมเห็นทางเดินที่ผมใช้เดินเข้าไปในตัวบ้าน แสดงว่านั่นคืออาคารหลักไม่ผิดแน่ และถ้ามีแขกมา เขาก็จะต้องเดินผ่านทางนั้น” ชายหนุ่มว่าจบก็เลื่อนมือลงมาตบบ่าคิมหันต์เพื่อบอกว่าตนเองดูจนพอแล้ว คิมหันต์จึงปล่อยอีกฝ่ายลงแล้วพรูลมหายใจออกมา

   เพราะตั้งแต่ถูกขังเขาจึงไม่ค่อยได้ออกกำลังกายหรือกินอาหารที่เหมาะสม เรี่ยวแรงของเขาจึงหดหายไปหลายส่วน

   “แปลว่าคุณคิดอะไรออกแล้ว?” เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วถาม

   “จะว่าคิดออกก็ไม่เชิง ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกคาดการณ์เอาไว้แล้วมากกว่า” ชายหนุ่มส่ายศีรษะอย่างระอาใจ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถ้าเป็นอย่างที่ผมคาดล่ะก็ พอถึงพรุ่งนี้เช้า....”

   “อาหารมาแล้ว” ชายหนุ่มไม่ทันจะพูดจบ เสียงจากภายนอกก็ขัดจังหวะเสียก่อนทำให้การสนทนาต้องหยุดชะงักพร้อมกับเสียงกุญแจกอกแกก

   ประตูเปิดออกพร้อมผู้ชายวัยฉกรรจ์หลายคนและรถเข็นอาหาร

   “เอ๋ มีคนมาเพิ่มตอนไหนน่ะ?” คนที่เข้ามาส่งอาหารดูจะแปลกใจที่พบว่ามีคนเพิ่มเข้ามาในห้องอีกหนึ่งคน ทั้งที่วันก่อนก็ยังมีสองคนตามปกติ ครั้นจะคิดว่ามีคนมุดเพิ่มเข้ามาทางซอกไหนก็คงไม่ใช่ เพราะหากจะมุดเข้ามาเพื่อถูกขัง...มุดหนีออกไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

   “เพิ่มวันนี้แหละ เจ้านี่พยายามจะแอบเข้ามาช่วยสองคนนี้ก็เลยขังไว้ด้วยกันซะเลย” ราฟาเอลเข้ามาแก้ต่างโดยไม่ยอมให้ทั้งสามมีโอกาสแก้ตัวใด ๆ เขาดันรถเข็นไปไว้ในห้องแล้วดึงคนอื่น ๆ ออกไปข้างนอกโดยพยายามไม่แสดงท่าทีมีพิรุธ

   “เฮ้ย แล้วได้บอกคุณอาติโนหรือยัง!?” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น

   แต่ถึงอย่างนั้น...คำโกหกที่เริ่มแล้วครั้งหนึ่ง ก็ไม่สามารถหยุดมันได้ มีแต่ต้องโกหกต่อไปเรื่อย ๆ เท่านั้น

   “เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรายงานหรอก ฉันจัดการเองได้” ราฟาเอลยืนยันหนักแน่นเพื่อให้คนอื่น ๆ เลิกสงสัย เพราะเขาไม่อยากจะโกหกไปมากกว่านี้ และเขารู้ดีว่า การพูดความจริงออกไปในตอนนี้ก็ไม่อาจช่วยให้อะไรดีขึ้นได้ สิ่งที่เขาทำก็เพื่ออาติโน เขาเชื่อมั่นเช่นนั้น เพราะหากผู้ชายคนนี้หลุดออกไปได้ เรื่องที่อาติโนลักพาตัวคนของชิงหลงมาก็จะถูกเปิดเผย และอาจจะเดือดร้อน

--------------------->

   “เป็นไปตามที่นายคิดทุกอย่างเลยนะชิงหลง” โจเซว่าพลางมองนาฬิกา ซึ่งเย็นค่ำแล้วคนของเขาที่ถูกส่งตัวไปก็ยังไม่กลับมา บางทีคงจะถูกจับไปด้วยกันแล้ว “นายรู้ได้ยังไงว่าทางนั้นจะไม่ยอมปล่อยตัวกลับ อาติโนปกติไม่ใช่คนโง่แบบนั้นหรอกนะ”

   “ไม่หรอก ความจริงแล้วมันเป็นแค่เรื่องที่ฉันเผื่อเอาไว้ การที่เป็นไปตามนั้นค่อนข้างจะเหนือความคาดหมายของฉัน แปลว่าอาติโนมีคนข้างกายที่ไม่ค่อยฉลาดเฉลียวนักและอายุยังน้อยจึงไม่มีประสบการณ์การรับมือกับการแทรกแซงด้วยปัจจัยภายนอกโดยไม่ทันคาดคิด” ชิงหลงว่าพลางมองดูประวัติ ราฟาเอล จอร์จิโอ คนสนิทของอาติโน บราซินี คน ๆ นี้เป็นคนซื่อตรงและคาดการณ์ง่าย ประสบการณ์ในวงการยังน้อย จึงไม่น่าแปลกหากจะรับมือกับแผนการของเขาได้ยากสักหน่อย

   ดอนบราซินีเจองานหนักเพราะคนของตัวเองเสียแล้วสิงานนี้

   ชิงหลงเดินไปนั่งลงบนโซฟา ยกขาไขว่ห้างอย่างสบายอารมณ์

   ความจริงแล้วหากสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างนี้ พวกเขาคงทำได้แค่สงสัยอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีหลักฐาน ความเลือดร้อนด่วนตัดสินใจของราฟาเอล จอร์จิโอทำให้พวกเขามีข้ออ้างที่หนักแน่นขึ้นที่จะไปเยี่ยมเยียนดอนบราซินีตามกำหนดการณ์ในวันพรุ่งนี้

   “นายแน่ใจนะว่าเสร็จงานนี้นายจะยอมแลกเปลี่ยนอย่างนั้นจริง ๆ” โจเซเลื่อนสายตาไปมองญาติผู้น้องของตนซึ่งดูสุขุมเยือกเย็นอย่างเคย

   “ทำไมจะไม่ล่ะ?” ชายหนุ่มชาวฮ่องกงเลิกคิ้วพลางเปิดแผ่นกระดาษในมือไปอีกหน้าแล้วอ่านทบทวนไปเรื่อย ๆ ราวกับว่าเรื่องราวประวัติของผู้อื่นเป็นสิ่งที่น่าสนใจจนอ่านซ้ำได้ไม่มีเบื่อ

   “นายเริ่มจะทำตัวเหมือนมังกรจริง ๆ แล้ว รู้ตัวหรือเปล่า?”

   “ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด”

   โจเซเผยรอยยิ้มกึ่งจะไม่เต็มใจอยู่นิด ๆ

   “เจ้าคนเลือดเย็น”

   “ฉันคิดว่ามันเป็นคุณสมบัติที่ออกจะเกินตัวฉันไปเสียหน่อย” ชิงหลงเหลือบสายตาขึ้นมองญาติผู้พี่แล้ววางปึกกระดาษในมือลงบนโต๊ะ “แต่ฉันจะรับไว้ในฐานะคำชม”

   “เฮ้อ เอาเถอะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมารับตอนเช้าก็แล้วกัน” โจเซว่าพลางลุกขึ้น บิดตัวนิดหน่อยแก้เมื่อยขบ แล้วเดินออกไปพร้อมลูกน้องที่พามาด้วยและรออยู่ข้างนอก ชิงหลงรอจนกระทั่งอีกฝ่ายออกไปจากห้องแล้ว จึงผ่อนลมหายใจออกมา

   เลือดเย็นหรือ?

   นั่นเป็นคำที่ผู้คนใช้ขนานนามให้กับเขา ใช้เรียกแทนตัวเขา ซึ่งในความเป็นจริงเขาเองก็คิดว่าตนเองเป็นเช่นนั้นจึงไม่คิดจะแก้ตัวใด ๆ

   แต่ไหนแต่ไรมา ในโลกที่เขาอาศัยอยู่ การจะต้องสละบางสิ่งเพื่ออีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำทุก ๆ วันราวกับกิจวัตร จนเขาชินชากับการเสียบางอย่างไปเพื่อแลกบางอย่างมา หรือกระทั่งการทำลายชีวิตใครบางคนเพื่อองค์กรของตนเอง แต่ว่าคน ๆ นั้นกลับแตกต่างกัน คนที่เกิดมาในโลกเดียวกับเขา ในฐานะเดียวกับเขา แต่เติบในสถาวะแวดล้อมที่ไม่เหมือนกับเขา

   คนที่ได้มีความสุขอย่างคนธรรมดาสามัญ...ด้วยการแยกชิงบางสิ่งบางอย่างของเขาไป

   ตอนนี้ก็แค่เวลาที่จะต้องเอาคืน หรือว่า...เวลาที่เขาจะได้เรียนรู้การเป็นคนธรรมดาสักครั้งในชีวิตกันแน่

   การที่เซินหมิงเฟิ่งมีตำแหน่งค้ำตัวเองอยู่ทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้มากนัก นอกจากฝ่ายนั้นจะยินยอมร่วมมือด้วยในบางกรณี กระนั้น เขาเองก็มีวิธีอีกมากมายที่จะทำให้ผู้ชายคนนั้นรับรู้ถึงความรู้สึกที่ตัวเขาต้องเผชิญในวัยเยาว์

   นี่ก็เป็นแค่...แผนการอีกขั้นเท่านั้น ถึงแม้มันจะทำให้เขาได้รับฉายาเลือดเย็นตอกย้ำกลับมาก็ตาม

------------------->

   เซินหมิงเฟิ่งมองดูผู้ชายแปลกหน้าที่ตอนนี้หน้าไม่แปลกแล้วอย่างเบื่อหน่าย เพราะอีกฝ่ายเอาแต่จ้องมองนาฬิกาแทบจะตลอดเวลาเหมือนกับกำลังรออะไรบางอย่างอยู่ สมาธิเจ้าตัวท่าจะดีมาก เพราะไม่ว่าเขากับคิมหันต์จะทำอะไรก็ไม่สามารถหันเหความสนใจจากนาฬิกาข้อมือได้เลย จนเซินหมิงเฟิ่งเริ่มนึกสงสัยว่านาฬิกาเรือนนั้นความจริงเป็นเครื่องมือสะกดจิตหรือเปล่า

   “ถึงคุณจะมองมันจนทะลุ มันก็ไม่มีทางเปิดเป็นรูหนอนให้เรามุดออกไปได้หรอกนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าว แม้ว่ามันควรจะเป็นข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายควรรู้อยู่แล้วก็ตาม

   “แต่ถ้ามันเป็นเครื่องมือสื่อสาร ก็มีความเป็นไปได้นะครับ” คิมหันต์กระซิบพลางลอบมองชายหนุ่มที่ยังมองนาฬิกาอยู่

   “เสียใจด้วยนะครับ มันไม่ใช่หรอก” ชายหนุ่มเงยหน้าจากหน้าปัดแล้วกล่าวตอบข้อสงสัย

   ถ้าอย่างนั้นจะมองมันทำไมกัน!?

   ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์คิดขึ้นมาพร้อมกัน

   “คุณไม่คิดจะแนะนำชื่อหน่อยหรือ? ไหน ๆ ก็ต้องมาอยู่ด้วยกันตั้งนานแล้วแถมไม่รู้ว่าจะได้ออกไปเมื่อไหร่” เซินหมิงเฟิ่งหาเรื่องชวนคุย

   “ในความเป็นจริงคือเราอยู่ด้วยกันมา 21 ชั่วโมง 8 นาที และอีกไม่กี่นาทีหลังจากนี้เราคงจะไม่ได้เจอกันแล้ว ผมก็เลยไม่รู้ว่าเราควรจะแนะนำตัวให้รู้จักชื่อแซ่กันหรือเปล่า” ชายหนุ่มว่าก่อนจะโคลงหัวเล็กน้อย “แต่หากคุณอยากรู้ ผมก็บอกได้ เพราะชื่อของผมไม่ได้เป็นความลับอะไร แต่ว่าตอนนี้คงยังไม่เหมาะ เพราะผมต้องขอให้คุณยกผมขึ้นไปที่ช่องนั้นอีกครั้ง”

   หา?

   “เมื่อวานคุณก็ขึ้นไปแล้วนี่ครับ มันไม่มีอะไรเลย” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ ความจริงแล้วใจเขาตอนนี้รู้สึกสิ้นหวังอย่างมาก ถึงแม้จะพูดเล่นได้ก็จริง แต่เขาก็แค่พยายามจะทำใจให้ร่าเริงเท่านั้น และผู้ชายคนนี้ก็เหมือนจะทำให้เขามีความหวังขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนที่เขาจะรู้ตัวว่ามันก็แค่ความหวังลม ๆ แล้ง ๆ บางที...ชิงหลงคงจะลืมเขาไปแล้ว หรือไม่ก็จงใจจะพาเขามาให้ถูกกักตัวแบบนี้แต่แรกเพื่อกำจัดเขาไปให้พ้นทาง ผู้ชายแผนสูงคนนั้นคงไม่คิดจะใยดีเขาเสียด้วยซ้ำ และคิมหันต์ก็ลูกลากมาติดร่างแหอย่างช่วยไม่ได้

   “คุณแค่ไม่เห็นสิ่งที่เป็นประโยชน์กับคุณก็เท่านั้น” ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนว่าแล้วหันไปหาคิมหันต์ “รบกวนหน่อยนะครับ”

   “พอสักทีเถอะครับ!” เซินหมิงเฟิ่งร้องออกมา “ในเมื่อมันไม่มีทางออก ต่อให้ดิ้นรนยังไงก็ไม่มีเหมือนเดิม คุณจะปีนขึ้นไปอีกกี่ครั้งมันก็ยังเป็นแค่ช่องเล็ก ๆ ที่ทำอะไรกับมันไม่ได้”

   “ถ้าคุณคิดแบบนั้น แปลว่าคุณจะนั่งรอเฉย ๆ หรือครับ?”

 ....

   ใช่สิ...เพราะเขาเหนื่อยที่จะดิ้นรนแล้ว...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้ตอบออกไป เขาเพียงแค่ชักสีหน้าไม่พอใจแล้วเดินไปนั่งที่เตียง เขารู้สึกโกรธที่ถูกถามแบบนั้น เพราะเหมือนโดนตำหนิว่างอมืองอเท้าไม่ลุกขึ้นทำอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถเถียงอีกฝ่ายได้เลย เพราะตอนนี้เขาไม่ทำอะไรจริง ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่วันไหน ที่เขาเลิกคิดที่จะหาทางหนี เลิกคิดที่จะเฝ้ารอความช่วยเหลือ และเลิกคาดหวัง

   “จะทำอะไรก็ตามใจเถอะครับ”

   “คุณท้อง่าย ๆ แบบนี้น่ะ ในวงการนี้มีอีกกี่ชีวิตก็ไม่พอหรอกนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวแล้วปีนขึ้นไปบนโซฟากับคิมหันต์ก่อนกวาดสายตามองไปยังทางเดินซึ่งเชื่อมกับอาคารหลัก ในตอนแรก สายตาของเขาก็เห็นเพียงวิวทิวทัศน์เดิม ๆ ทว่าในไม่กี่อึดใจต่อมา เสียงของรถยนต์ก็แว่วเข้ามาในหู เสียงกริ่งเรียกคนในบ้าน และการจรลีออกไปต้อนรับผู้มาเยือนของการ์ด

   เขานิ่วหน้าเล็กน้อยขณะมองนาฬิกา

   “สายไป 3 นาทีนะครับ”

   “เอ๋?” คิมหันต์นึกสงสัยว่าอีกฝ่ายบ่นอะไร แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา เจ้าตัวเพียงแค่พยายามจะขยับแขนอยู่บริเวณซี่กรงโดยไม่ยื่นออกไปข้างนอก ซึ่งคิมหันต์ก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังต้องการจะทำอะไร ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะเขาไม่เห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายนอก

   แต่ในสายตาของชายหนุ่มนั้นต่างกัน เขารู้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น และตอนนี้ เขากำลังพยายามหาทางหนีให้กับตัวเอง และอาจรวมถึงบุคคลทั้งสองที่อยู่ในห้องนี้ด้วย หากว่าเขาคาดเดาเรื่องเหล่านี้ได้ถูกต้องแม่นยำอย่างที่ควรจะเป็นถึงเขาจะได้รับข้อมูลมาไม่ครบถ้วนก็ตามที

   กลับไปคราวนี้ เจ้านายกับเขามีเรื่องต้องคุยกันยาวแน่ ๆ

   หลังจากพยายามทำกิริยาแบบเดิมสักพัก เขาก็รู้สึกว่าการส่งสัญญาณของตนเองน่าจะสัมฤทธิ์ผลแล้ว จึงสะกิดบ่าให้คิมหันต์ปล่อยตัวเองลงไป

   “ข้างนอกนั้นมีอะไรหรือครับ?” คิมหันต์เอ่ยถาม “เอ่อ...ช่วยตอบผมแบบช้า ๆ ด้วยนะครับ”

   “เอาจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรมากนัก แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเราจะออกไปจากที่นี่ก่อนเที่ยง” คำพูดของชายหนุ่ม ตอนแรกคล้ายจะลอยผ่านหูพวกเขาไป ก่อนที่จะย้อนกลับมาคิดทบทวนประมวลผลอีกครั้ง ทั้งเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์จึงได้รู้สึกตัวและผุดลุกขึ้นมาจากท่าปกติเหมือนจะเข้าไปเขย่าคอผู้พูดในวินาทีนั้นว่าที่กล่าวมาเป็นความจริงหรือไม่ และจริงมากแค่ไหน

------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 03-06-2012 19:38:05
   “เซซิลิโอ เมดิซี”

   “เซซิลิโอ เมดิซี?” อาติโนทวนชื่อซ้ำ “ใช่ เมื่อวานตอนเช้าเขามาหาผมที่นี่ เอาของขวัญจากคุณมาให้ผมด้วย แต่ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้ เพราะเขากลับออกไปแล้วเมื่อวานนี้”

   โจเซได้ยินคำตอบก็ประสานมืออย่างครุ่นคิด พลางกวาดสายตาไปรอบบริเวณ ชิงหลงนั่งเยื้องจากเขาไปทางเก้าอี้อีกตัว และเมื่อเขาเบือนสายตาไปสบ เจ้าตัวก็คล้ายจะส่งสัญญาณบางอย่างด้วยการขยับลูกนัยน์ตาเพียงเล็กน้อยไปทางใครบางคน

   อ้อ ใช่...

   คน ๆ นั้นเอง

   ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากก่อนจะพรูลมหายใจบางเบาออกมาต่อหน้าอาติโน

   “ผมพูดตามตรงนะดอนบราซินี จากคำพูดหนักแน่นของคุณ และจากประสบการณ์ที่คบหากับคุณมา ผมเชื่อในคำพูดของคุณ แต่...คุณคิดว่าคุณรู้ความจริงทั้งหมดแล้วหรือเปล่าจึงได้ยืนยันออกมาแบบนั้น” สายตาคมปลาบทอดมองไปยังเจ้าของบ้าน ซึ่งเริ่มทำสีหน้าเคร่งเครียดออกมาให้เห็น “คุณไม่ได้เป็นคนส่งเซซิลิโอออกไปด้วยตัวเอง ผมพูดถูกหรือไม่?”

   อาติโนสูดลมหายใจเข้าลึก

   “ใช่ เป็นอย่างที่คุณพูด ผมไม่ได้ส่งเขาออกไปเอง” ถึงตอนนี้ ใช่ว่าอาติโนจะไม่รู้สถานการณ์ เขาอาบน้ำร้อนมามากเสียจนแค่ถูกสะกิดเพียงนิดก็รู้แล้วว่าน้ำนั้นร้อนหรือเย็น และตอนนี้ เขาสามารถรู้ได้ทันทีว่าตนเองถูกวางยาเข้าแล้ว ซ้ำเป็นยาที่จงใจวางอย่างแนบเนียนให้เขากินเข้าไปเอง หรือไม่...ก็ให้คนของเขาเป็นคนนำยานั้นมาป้อนให้กับเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัว

   ชายวัยกลางคนร่างท้วมเลื่อนสายตาไปทางชายหนุ่มชาวตะวันออกซึ่งนั่งสงบนิ่งอยู่บนโซฟารับรอง จิบเครื่องดื่มด้วยท่าทีไม่มีพิษภัย

   แต่ในโลกแบบนี้ คนที่ดูไม่มีพิษภัยนั่นแหละคือคนที่น่ากลัวมากที่สุด

   เหมือนอสรพิษที่สีสันสวยงาม ทว่าพิษสงร้ายกาจไม่แพ้ความงามของมัน

   “คุณแน่ใจหรือเปล่าว่าเซซิลิโอไม่ได้กลับไป หรือไปที่ไหนต่อ” อาติโนย้อนกลับมาถามโจเซโดยพยายามไม่เบือนสายตาไปมองราฟาเอลเลยสักวินาที

   ในตอนนั้นคนที่อยู่กับเซซิลิโอมีเพียงราฟาเอล หากเซซิลิโอหายตัวไป นั่นย่อมเกิดจากสิ่งที่ราฟาเอลลงมือทำไม่ผิดแน่ ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่โจเซรู้เห็นเช่นนั้นด้วย ราฟาเอลเห็นทีจะไม่รอด เพราะเซซิลิโอเป็นมือขวาที่โจเซไว้ใจและสนิทใจด้วยที่สุด อีกทั้งยังมีเครือข่ายกว้างขวาง การสูญเสียเซซิลิโออาจหมายถึงการสูญเสียการติดต่อสื่อสารกับคนรอบตัวและต้องปั้นคนใหม่ขึ้นมาแทน การทำเช่นนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะเรียกความน่าไว้วางใจที่มีต่อคนกลางในการสื่อสารกลับมาได้

   “คงยากนะครับที่เขาจะไปไหนต่อได้ เพราะผมจงใจส่งเขามาหาคุณโดยเฉพาะ แล้วเขาก็มีงานที่ต้องกลับไปทำต่ออีก” โจเซโคลงหัว “คุณเองก็น่าจะรู้นิสัยเขาดี ข้อเสียอย่างเดียวของเขาก็คือ เขาเป็นคนที่เคร่งครัดกับเวลามากเกินไปจนน่ารำคาญ ดังนั้นเขาไม่มีทางกลับไปสายกว่าที่กำหนดแน่”

   “น่าเสียดายนะที่ผมไม่รู้ว่าจะตอบคุณได้ยังไง”

   “แค่ตอบผมมาว่า ใครเห็นเขาเป็นคนสุดท้ายก็พอ”

   พอถึงคำถามนี้ อาติโนก็อ้ำอึ้งไป

   “จะว่าไป...คนของผมที่หายไปสองคนก็ได้ยินว่าแฟมิลีของคุณอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง” อาจเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ที่ชิงหลงเปิดปากพูด “หรือว่ามันจะมีความสอดคล้องกัน? บางทีเซซิลิโออาจจะได้พบเห็นสิ่งที่ไม่ควรก็เป็นได้”

   “นายคิดมากไปแล้ว” โจเซหัวเราะ “ดอนบราซินีคงไม่คิดสั้นแบบนั้นแน่ จริงไหมครับ?”

   อาติโนถึงกับหนวดกระตุก

   นี่เขากำลังโดนปรามาสและข่มขู่ในเวลาเดียวกัน แต่กลับไม่สามารถตอบโต้กลับไปอย่างเต็มปากเต็มคำได้เลย เจ้าเด็กพวกนี้คิดจะไล่ต้อนเขาให้จนมุมเลยหรือยังไงกัน

   ในตอนแรกที่เขาจับตัวสองคนนั้นมา ก็แค่อยากจะให้ชิงหลงได้รู้เสียบ้างว่าการข้ามหน้าข้ามตาคนอื่นให้ผลลัพธ์อย่างไร รวมทั้งเขาอยากจะรู้ด้วยว่าชิงหลงคิดจะทำอะไรถึงได้มาที่นี่ ซึ่งเมื่อเขาได้สั่งสอนอีกฝ่ายจนพอใจแล้ว เขาก็คิดจะปล่อยสองคนนั้นไป แต่จนถึงตอนนี้ ชิงหลงยังไม่แสดงออกเลยว่าตนเองเดือดร้อนจากการเสียคนสองคนที่ถูกจับตัวมา อีกทั้งยังสุขุมและระวังตัวมากขึ้น ทำให้เขาจำต้องเก็บกักตัวสองคนนั้นไว้ก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป เผื่อว่าอาจจะมีประโยชน์

   ใครเล่าจะคิดว่า ก้อนหินที่เก็บไว้ นอกจากมันจะไม่ใช่พลอยแล้ว มันกลับกลายเป็นก้อนกากพิษเสียนี่

   “คุณไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะเยี่ยมเยียนผม หรือตามหาเซซิลิโอจริง ๆ ใช่ไหม?” อาติโนถามด้วยเสียงแหบแห้ง เพราะหากเป็นไปอย่างที่เขาคิด บางทีเขาคงจะติดกับไปแล้วอย่างไม่อาจดิ้นหลุด และตอนนี้ใยแมงมุมกำลังมัดพันตัวเขาจนแน่น มันกำลังค่อย ๆ ทำให้เขาหมดกำลังและขากอากาศหายใจอย่างช้า ๆ

   นอกเสียจากว่า....

   “แน่นอน ผมมาเยี่ยมคุณและตามหาเซซิลิโอ เพียงแต่ว่าผมมีข้อยืนยันที่ทำให้มั่นใจได้ว่าพวกคุณมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไป แต่ใครกันล่ะที่ทำให้ผมต้องเสียเวลาอันมีค่ามาถึงที่นี่ คุณก็รู้ ดอนบราซินี เวลาของเราล้วนแต่เป็นเงินเป็นทอง คงต้องให้ชดใช้ด้วยราคาแพงหน่อยนะครับ”

   นอกเสียจากว่า...จะหาเหยื่อมาวางแทนที่ตน

   อาติโนรู้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้โจเซมั่นใจถึงสิ่งที่ตนสงสัย ดังนั้น ถึงเขาจะปฏิเสธต่อไป ก็คงไม่ใช่ผลดีกับตัวเองเท่าไรนัก กระนั้น เขาก็ต้องยอมรับว่าเขาไม่รู้เรื่องเซซิลิโอจริง ๆ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงไม่อาจพูดอะไรออกไปได้อย่างเต็มปาก ทั้งเรื่องที่เซซิลิโออยู่ที่นี่จริงหรือไม่ แต่ครั้นจะหันไปเอาความกับราฟาเอล ตอนนี้คงไม่ใช่เวลาเหมาะ เพราะโจเซจะรู้ทันทีว่าราฟาเอลเป็นต้นเหตุ ถึงตัวเขาจะยังไม่มั่นใจเรื่องนี้เต็มร้อยก็ตามที

   “ผมขอเวลาสักครู่ได้ไหมดอนมอเรสซาเร เมื่อผมสืบสาวเรื่องนี้และรู้ว่าใครเป็นต้นเหตุก่อความวุ่นวาย ผมจะจัดการคนของผมเอง ไม่ต้องเปลืองมือคุณหรอก รวมทั้งจะส่งคนของคุณ....และของชิงหลงกลับคืนไปให้แบบไม่บุบสลาย...ถ้า...พวกเขาอยู่ที่นี่จริง ๆ” อาติโนไม่กล้าพูดรับรองอย่างเต็มปากเต็มคำ เพราะหากพูดออกไปอย่างนั้น ก็แปลว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริงและเขากำลังปกป้องคนผิด หรือไม่เขาอาจจะกลายเป็นคนกระทำผิดทั้งหมดเสียเอง ตอนนี้เขาแค่ต้องการเวลาที่จะพิจารณาถึงทางออกเพื่อที่แฟมิลีของเขาจะไม่เกิดความเสียหาย และคนของเขาจะไม่โดนลูกหลงไปด้วย แต่อย่างไรเรื่องนี้เขาจะต้องถามเอาความจริงจากราฟาเอลแน่

   “แบบไม่บุบสลาย แปลว่าพวกเขาต้องยังปลอดภัยดีในตอนนี้” โจเซยิ้มออกมาก่อนจะล้วงมือเข้าไปในเสื้อ “ได้ยินแบบนั้นผมก็วางใจได้ ดังนั้นผมคงไม่ต้องรบกวนคุณมากขนาดนั้น ดอนบราซินี แต่ผมจะถามคุณคำถามเดียว...” เขาเว้นช่วงคำและทันใดนั้นที่ปืนกระบอกหนึ่งถูกดึงออกมาจากใต้เสื้อโค้ทและหันปากกระบอกไปทางบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นสมาชิกในห้องนั้น

   บุคคลซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่เป็นที่สะดุดตา แต่กลับไม่อาจรอดพ้นจากสายตาอันแหลมคมของชิงหลงและโจเซไปได้

   “ทำไมคุณถึงพยายามจะไม่มองเขาล่ะครับ” โจเซขยับรอยยิ้มกว้างขึ้นเมื่ออาติโนหน้าซีดเผือดลง ซึ่งนั่นหมายความว่าสายตาของเขามองถูกคน และเป็นไปอย่างที่ชิงหลงคาดเดาไว้แต่ต้น

   “ลดปืนลงเดี๋ยวนี้นะดอนมอเรสซาเร คุณกล้าดียังไงมาทำแบบนี้ในบ้านของผม” อาติโนพยายามลดความตื่นตระหนก และวางท่าเป็นผู้อาวุโสสั่งสอนผู้น้อย กระนั่นเหงื่อที่ผุดออกมาตามใบหน้าก็ไม่อาจโกหกได้ว่าเจ้าตัวกำลังพยายามปิดซ่อนความจริงบางประการ

   “แน่ใจแล้วหรือดอนบราซินี ที่พูดแบบนั้นกับผม แน่ใจหรือว่าคุณบริสุทธิ์มากพอจะพูดแบบนั้นกับผมได้จริง ๆ” โจเซลดปืนลงหลังจากนั้น ทว่าไม่ใช่เพื่อเก็บมันกลับเข้าไป “นี่เป็นปืนลูกโม่ที่ดอนคนก่อน ๆ ใช้กันมา มันเก่าแล้วแต่ยังใช้งานได้ดี ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันเหมาะสมกับการเล่นเกมรัสเซียนรูเล็ต” ว่าจบ โจเซก็ดึงรังกระสุนออกมา ทำให้ทุกคนเห็นว่ามันว่างเปล่า แต่แล้วชายหนุ่มก็บรรจุลงไปหนึ่งนัดแล้วเก็บกลับเข้าไป เสียงแกร๊กดังขึ้นก่อนที่เขาจะเริ่มหมุนมันด้วยมือซ้ายทำให้ไม่อาจรู้ได้ว่ากระสุนอยู่ที่ไหน

   “อ...อะไรนะ คุณบ้าไปแล้ว!” อาติโนทำท่าจะลุกขึ้นมาห้าม แต่ชิงหลงกลับยกมือปราม

   “เปล่า ผมไม่ได้บ้า แต่ผมเชื่อว่าคนสนิทของคุณสามารถให้คำตอบกับผมได้ดีกว่าคุณ” โจเซว่าก่อนจะยกปืนเล็งไปทางราฟาเองอีกครั้ง “เอาล่ะ ก่อนอื่นฉันจะขอบอกกติกา ฉันจะถามคำถามนาย 1 ข้อ นายแค่ตอบฉันมาตามความจริง และทุกครั้งที่นายโกหก หรือใช้เวลาคิดเกิน 3 นาที ฉันจะยิง 1 ครั้ง แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่า ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่ากระสุนอยู่ที่ไหน ดังนั้นนายอาจมีเวลาให้สารภาพแค่ครั้งเดียวก็ได้”

   ราฟาเอลมองปืนกระบอกนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน เขามองไปทางเจ้านายของตนเพื่อขอความช่วยเหลือ ถึงแม้ใจจะรู้ว่าตอนนี้เจ้านายของเขาไม่มีทางช่วยอะไรเขาได้เลยนอกจากข่มขู่ให้โจเซหวาดกลัวและยินยอมล่าถอยไป

   แต่โจเซน่ะหรือจะกลัว...

   พญาราชสีห์ไม่มีวันกลัวสัตว์ในทุ่งของตน

   “คำถาม ตอนนี้เซซิลิโอ เซินหมิงเฟิ่ง และคิมหันต์ อยู่ในห้องขังที่อาคารถัดไปใช่หรือเปล่า?” เสียงเยียบเย็นที่ผ่านริมฝีปากโจเซออกมาไม่เหมือนกับท่าทีผ่อนคลายสบาย ๆ เหมือนที่เจ้าตัวแสดงออกสักนิด กระนั้นคำพูดนั่นก็ยืนยันได้ว่าโจเซรู้อะไรบางอย่างแน่แล้ว และแค่ต้องการให้มีคนสารภาพออกมาเท่านั้น

   และใครก็ตามที่สารภาพ คน ๆ นั้นจะมีความผิดทันที....

   “หยุดนะ! แกไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เรื่องนี้ฉันจัดการเอง” อาติโนพูดกับราฟาเอลแล้วหันมาทางโจเซ “คุณรู้ดีว่าวิธีการแบบนี้มันเค้นความจริงจากปากใครไม่ได้ คนที่กลัวตายต้องยอมสารภาพทุกอย่างที่คุณต้องการอยู่แล้ว คุณก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์!”

   “ใช่...แต่ผมรู้ว่าครั้งนี้มีประโยชน์”

   “ผม....ผมไม่รู้อะไร...” ราฟาเอลพูดตะกุกตะกักเมื่อเห็นว่าโจเซไม่ยอมฟังใครแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นการยอมรับผิดของเขาจะทำให้อาติโนพลอยติดร่างแหไปด้วย

   การโกหกมีแต่จะต้องโกหกไปเรื่อย ๆ .....

   แกร๊ก!

   เสียงนั้นทำให้คนทั้งห้องสะดุ้งเฮือก

   “ดีใจด้วย นายมีเวลาอีก 3 นาทีที่จะคิดคำตอบใหม่”

   เมื่อเห็นความเอาจริงของโจเซแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าทำอะไรอีกแม้แต่จะเคลื่อนไหว หรือกระทั่งหายใจ...

   “แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ห่วงชีวิตตัวเองเท่ากับอีกคนหนึ่งใช่ไหม ถึงฉันจะยิงนายไปก็เปลืองกระสุนเปล่า” สิ้นคำ โจเซก็เบี่ยงปลายกระบอกไปทางอาติโน สร้างความตกตะลึงให้กับทุก ๆ คนในห้องนั้นรวมทั้งราฟาเอลและอาติโนด้วย แม้แต่ชิงหลงยังอดเลิกคิ้วไม่ได้ เพราะไม่นึกว่าโจเซจะถึงกับใช้วิธีนี้ แล้วนี่เจ้าตัวยังกล้าพูดว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นอีกหรือ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ต่างกันเลย

   “3 นาที”

   เสียงเข็มนาฬิกาคล้ายจะกังวานก้องไปมาในห้อง แต่ละวินาทีช่างยาวนานด้วยไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทำให้บรรยากาศยิ่งกดทับลงมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ

   อาติโนขบฟันกรอด ไม่นึกว่าโจเซจะกล้าถึงกับใช้เขาเป็นตัวประกัน

   ความเงียบโรยตัวลงมา เหลือเพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่เดินไปทีละวินาที ทุกสิ่งทุกอย่างนิ่งงันและเงียบสงัดไม่ต่างกับโดยหยุดเวลา ซึ่งหากเป็นไปได้ ราฟาเอลก็อยากให้เวลาถูกหยุดเอาไว้จริง ๆ แต่ในความเป็นจริง เวลายังคงเดินไปอย่างเที่ยงตรง และนาฬิกาก็ทำหน้าที่ของมันอย่างเคร่งครัด

   2 นาที....

   1 นาที....

   30 วินาที....

   โจเซมองนาฬิกาด้วยรอยยิ้มพลางค่อย ๆ กดนิ้วลงบนไกปืนอย่างไม่รีบร้อน

   10 วินาที....

   9...

   8...

   7...

   6...

   5...

   “ขอโทษครับ....บอส”

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 03-06-2012 20:12:43
โห
กำลังมันกันเลยทีเดียว 555
จะยอมเปิดปากแล้วสินะ หึหึ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 03-06-2012 20:38:23
ได้เวลาสารภาพแล้ว ว่ะฮ่ะฮ่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 03-06-2012 21:22:51
โจเซกะชิงหลงสมแล้วที่เป็นพี่น้องกันทั้งใจเย็นและเลือดเย็นทั้งคู่เลย :sad4:

 
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 03-06-2012 21:26:52
ค้างงงงงงงงงงงงงง แต่ดีใจมาก ได้อ่านต่อแล้ว ><
อิตาชิงหลงนี่ก็แอบนิสัยเด็กนะ อยากให้คนอื่นโดนเหมือนที่ตัวเองเคยโดนมั่งเนี่ย -*- ตอนหน้าเซินเฟิ่งหมิงจะได้ออกจากห้องขังแล้วใช่มั๊ย ดีใจด้วย  :mc4:
อยากอ่านตอนหน้าแล้วอ่ะ แต่เรื่องเรียนก็สู้ๆนะคะ  o13
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 03-06-2012 21:29:06
ขออีกได้มั๊ย อยากอ่านมาก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 04-06-2012 02:27:22
กรี๊ดดดดดดดดดดดดด :impress2:  :impress2: ในที่สุดสิ่งที่รอมานานก็มาสักที
 o18  รีบๆมาแต่งต่อนะค่ะค้างมากๆๆ :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-06-2012 17:58:49
-15-


   เสียงประตูจากภายนอกเรียกให้บุคคลภายในห้องต่างสะดุ้งไปตาม ๆ กัน เว้นแต่เพียงเซซิลิโอซึ่งเหมือนจะรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชายหนุ่มดูสงบเสงี่ยม ไม่แสดงอาการเดือดเนื้อร้อนใจใด ๆ เรียกได้ว่า นิ่งสงบเกินไปสำหรับคนที่อยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อพวกเขาถามว่าข้างนอกมีอะไรบ้าง เจ้าตัวก็ไม่ยอมตอบ เหมือนกับว่าพฤติกรรมอกสั่นขวัญแขวนของพวกเขากลายเป็นของแก้เบื่อสำหรับอีกฝ่ายในยามที่ต้องนั่งรออยู่เฉย ๆ และทำอะไรไม่ได้เลย

   และเมื่อประตูเปิดออก เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ไม่มีใครสักคนที่เชื่อว่าถึงเวลาที่จะได้เป็นอิสระแล้วจริง ๆ ทว่า...พวกเขาก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าปาฏิหาริย์ยังมีอยู่

   “ชิงหลง? คุณโจเซ?” เซินหมิงเฟิ่งมองบุคคลที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างไม่เชื่อสายตา

   “สวัสดีครับมิน เอสตาเตด้วยนะ” โจเซหัวเราะกับทั้งสองก่อนจะเลิกคิ้วแปลกใจเมื่อไม่ได้ยินคิมหันต์พยายามแก้ชื่อของตนเองให้ถูกต้อง แต่เขาก็คิดได้ในวินาทีต่อมาว่า คนที่ถูกกักขังมานานจะถืออะไรกับเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ แค่มีคนช่วยให้เป็นอิสระได้ก็เหมือนสวรรค์โปรดแล้ว แต่ว่าทั้งสองคนในห้องก็ยังนิ่งสนิทไม่มีการเคลื่อนไหว มองก็รู้ได้ทันทีว่าคงกำลังไม่เชื่อสายตาตัวเอง โจเซหันไปข้างตัว เห็นชิงหลงก็นิ่งอยู่เหมือนกันแต่ฝ่ายนี้นิ่งเพราะเป็นบุคลิกนิสัยเฉพาะตัวเสียมากกว่า

   ให้ตายสิ...

   ไม่รู้จักโอ๋คนเสียบ้างเลย

   โจเซพึมพำในใจก่อนจะสะกิดแขนชิงหลงเบา ๆ แล้วกระซิบ

   “ฉันว่านายควรจะเข้าไปรับเขาออกมานะ”

   ชิงหลงเหลือบสายตากลับมาทางเขาเหมือนจะไม่ค่อยเห็นด้วย แต่เพราะเซินหมิงเฟิ่งไม่ยอมออกมาเสียทีและเอาแต่ยืนค้างแบบนั้น เจ้าตัวจึงยอมเดินเข้าไปเองเพราะไม่อยากจะเสียเวลาให้กับความซาบซึ้งมากเกินไปแบบในละครน้ำเน่าที่จะต้องจ้องตากันจนจบเพลงแล้วถึงจะวิ่งเข้ามาโอบกอดกันท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมและกลีบดอกไม้ปลิวกระจาย

   ชายหนุ่มวางมือลงบนบ่าเซินหมิงเฟิ่งที่เลื่อนสายตาขึ้นมามองเขาเสมือนยังไม่ตื่นเต็มตา หรือไม่ก็คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่

   “กลับกันได้แล้ว”

   โจเซถึงกับยกมือตบหน้าผาก

   นี่พูดให้นุ่มนวลกว่านี้ไม่เป็นแล้วหรือยังไงกัน!

   แต่ถึงโจเซจะไม่เห็นด้วยกับการแสดงออกของเจ้าตัวยังไง เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ชิงหลงแค่เพียงกุมบ่าอีกฝ่ายไว้เช่นนั้นและจ้องมองไปยังคิมหันต์ซึ่งสภาพไม่ได้ต่างกับเซินหมิงเฟิ่งมากเท่าไหร่

   “เรามีเรื่องจะต้องคุยกันหลังจากนี้ ตอนนี้คุณควรกลับไปกับพวกเราก่อน”

   คิมหันต์รู้ดีว่าตนมีความผิดที่ไม่อาจดูแลปกป้องคุ้มครองเซินหมิงเฟิ่งให้ปลอดภัยได้ ถึงในตอนนี้ชิงหลงจะยังไม่เห็น แต่ภายใต้เสื้อนั่น ร่างกายของเซินหมิงเฟิ่งมีแต่รอยฟกช้ำ ตัวเขาที่อ่อนแอคงไม่แคล้วถูกตำหนิ ลดขั้น หรืออย่างร้ายก็ถูกไล่ออก....

   บอดี้การ์ดหนุ่มก้มศีรษะรับคำสั่งด้วยท่าทางสงบนิ่งก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไปจากห้องเป็นคนแรก

   โจเซมองคิมหันต์ที่เดินออกมาด้วยใบหน้าของคนที่เตรียมใจจะโดนประหารด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เพราะทั้งหมดนี้เป็นแผนการของเจ้านายตัวเองแท้ ๆ แต่กลับต้องกลายเป็นแพะอย่างช่วยไม่ได้ ใครจะนึกรู้ว่าชิงหลงกล้าเอาคนของตัวเองมาใช้เป็นเครื่องมือได้ถึงขนาดนี้กันล่ะ

   แต่ความจริง...คิมหันต์ก็เคยถึงขนาดส่งตัวไปอยู่กับอีกฝ่ายนานสิบกว่าปี เรื่องแบบนี้อาจจะไม่ไกลเกินคาดถึงก็ได้

   โจเซละสายตาจากคิมหันต์แล้วเลื่อนไปมองเซซิลิโอที่เดินออกมาสมทบเพราะไม่รู้จะนั่งอยู่ในห้องต่อไปทำไม

   “ไง รู้สึกยังไงบ้าง?” เขายิ้มให้มือขวาตัวเอง

   “รู้สึกว่าบอสควรรักษาเวลามากกว่านี้ครับ”

   คำตอบนี้...ก็ไม่ไกลเกินคาด...

   ชิงหลงจับบ่าแล้วรุนแผ่นหลังเซินหมิงเฟิ่งออกมาจากห้องเป็นคนสุดท้าย เขาหันไปมองราฟาเอลที่มีชนักติดหลังยืนหน้าซีดอยู่ที่มุมหนึ่งโดยอาติโนทำสีหน้าลำบากใจอยู่ห่าง ๆ แน่นอนว่าอาติโนคงไม่ได้คิดอยากให้เป็นเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่เขาสามารถเดาใจราฟาเอลได้เก่งกว่าและกุมจุดอ่อนได้อยู่หมัดโดยที่ไม่ต้องเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้เลยสักก้าวจนกระทั่งถึงจุดไคลแม็กซ์ หลังจากนี้เขาก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่โจเซจัดการต่อไป เพราะเขาไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินความผิดของคนในองค์กรประเทศนี้แต่ต้นแล้ว ถึงแม้เขาจะเป็นผู้เสียหายในสายตาคนอื่นก็ตาม

   “ดอนบราซินี เอาไว้ผมจะติดต่อมาใหม่ แต่ระหว่างนี้ ช่วยดูแลเขาไว้ก่อนก็แล้วกัน” โจเซกล่าวกับอาติโน ซึ่งความหมายของมันก็คือ ห้ามให้ทางหนีทีไล่แก่คนผิดอย่างเด็ดขาด แล้วเขาจะกลับมาตัดสินลงโทษเอง ซึ่งอาติโนทำได้เพียงรับคำอย่างไม่เต็มใจนัก

   พวกเขากลับขึ้นรถหลังจากจบเรื่องแล้ว และสามารถแน่ใจได้ว่า เหตุการณ์นี้เสมือนการเชือดไก่ให้ลิงดู จะเป็นการส่งสัญญาณให้มาเฟียคนอื่น ๆ ไม่กล้าลองดีกับดอนมอเรสซาเรไปอีกสักระยะ รวมทั้งไม่กล้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องของชิงหลงด้วย

   “ฉันขอแยกตรงนี้เลยก็แล้วกัน”

   “จะกลับไปก่อนหรือ?” โจเซเลิกคิ้วแล้วเลื่อนสายตาไปมองเซินหมิงเฟิ่งซึ่งยังมีท่าทางอกสั่นขวัญแขวนไม่หายก็พอเข้าใจ เจ้าตัวคงอยากจะกลับไปพักที่ห้อง อยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย และไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกทำร้ายอะไรอีก ซึ่งการกระทำของชิงหลงในครั้งนี้ เรียกว่าให้ผลตามที่คาด เพราะการทำให้ตัวเองกลายเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ทำให้ถึงแม้จะเปิดกรงทิ้งไว้ นกก็จะไม่บินหนีไปไหน

   “ฉันมีธุระอื่นต้องจัดการ” ชิงหลงว่าแล้วจึงพาตัวเองเข้ารถไป

   “ตามสบายก็แล้วกัน ฉันจะรอการติดต่อจากนาย” คำพูดของโจเซเป็นสิ่งที่พวกเขารู้กันเพียงสองคน มันคือการทวงถึงคำสัญญาที่จะแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่าง กับการที่เขาจะยอมยื่นมือเข้าร่วมแผนการนี้ ที่ถึงแม้เขาจะไม่ได้เสียอะไร แต่ถ้าช่วยฟรี ๆ ก็คงจะไม่ได้

   หลังจากนั้น โจเซและชิงหลงจึงแยกกันกลับบ้าน ชิงหลงพาเซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์กลับไปยังที่พักของตน
   เมื่อกลับมาถึง ชิงหลงก็สั่งให้คนพาคิมหันต์ไปพัก ส่วนเซินหมิงเฟิ่ง เขาเป็นคนพากลับห้องด้วยตัวเอง

   ตลอดทางที่กลับมา เซินหมิงเฟิ่งไม่เปิดปากพูดเลยแม้แต่คำเดียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าตัวกำลังโกรธ หรือยังขวัญเสียไม่หายกันแน่ แต่จะเป็นอะไรก็ตาม ชิงหลงก็พากลับมาถึงห้องจนได้โดยที่เจ้าตัวไม่มีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังเหมือนจะยอมร่วมมือโดยดีเสียอีก

   “คุณควรจะไปอาบน้ำก่อน หรือจะนอนก่อนก็ได้ ผมจะให้คนไปสั่งอาหารมาให้” ชิงหลงว่าพลางรุนหลังเซินหมิงเฟิ่งเข้ามาในห้องแล้วปิดประตู ทันใดนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็เหมือนจะขยับตัวเป็นครั้งแรกเหมือนหุ่นยนต์ที่เพิ่งใส่ถ่าน ชายหนุ่มเดินเข้ามาหาและโผเข้ากอดชิงหลงโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัว กระนั้นตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่ได้นึกอายหรือเสียศักดิ์ศรีในการกระทำของตนเองเลย เขาแทบอยากจะร้องไห้ออกมาเสียด้วยซ้ำ และกลัวว่าเมื่อเขาลืมตาขึ้นเขาจะยังพบตัวเองในสถานที่นั้น ซึ่งจะมีผู้ชายร่างใหญ่เข้ามาทำร้ายเขาอีก แต่ยังโชคดีที่เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้ร้องไห้ออกมา เขากลืนเก็บเอาความกลัวส่วนนั้นไว้แล้วกำเสื้อชิงหลงแน่นไม่ยอมปล่อยมือ

   “คุณเซิน?” ชิงหลงแตะอีกฝ่ายเบา ๆ และรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทา ไม่น่าแปลกเลยที่จะหวาดกลัวถึงขนาดนี้ เพราะผู้ชายคนนี้เคยมีชีวิตอย่างสงบสุขมาตลอด...

   การเดินเข้าสู่เส้นทางที่ผู้เป็นพ่อปูไว้ให้ ก็เหมือนเดินลงไปในขุมนรกดี ๆ นี่เอง....

   “ผมขอโทษ...” เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ ขยับตัวถอยห่างออกมา “ผมไม่เป็นไรแล้ว”

   “ถ้าอย่างนั้นถอดเสื้อให้ผมดูหน่อย”

   ตอนแรก เซินหมิงเฟิ่งก็อิดออดจะไม่ยอมถอด เขารู้สึกแย่ที่จะให้คนอื่นรู้ว่าเขาถูกทำร้ายโดยไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้ แต่เมื่อเห็นชิงหลงยืนมองมานิ่ง ๆ เหมือนการบังคับด้วยสายตา เขาจึงยินยอมถอดเสื้อออก ซึ่งเป็นเสื้อที่เรียกได้ว่าเริ่มจะเน่าแล้วเนื่องจากสวมใส่ซ้ำไปซ้ำมาหลายวัน เมื่อสลัดออกจากร่างกายได้ ชิงหลงก็เขี่ยมันไปไกล ๆ ทันทีเพราะกลิ่นของมัน

   รอยฟกช้ำบนร่างกายของเซินหมิงเฟิ่งมีหลายรอยที่จางไปแล้ว และหลายรอยที่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ๆ ความจริงการใช้กำลังไม่ใช่สิ่งที่ชิงหลงคิดไม่ถึง เขาจึงไม่แปลกใจนักที่อีกฝ่ายจะมีรอยฟกช้ำเต็มตัวแบบนี้ แต่เพราะมันเกิดเฉพาะภายใต้ร่มผ้า แปลว่าคนกระทำต้องการหลบซ่อนมันจากสายตาคนอื่น

   คงจะเป็นฝีมือราฟาเอล ลับหลังอาติโนตามเคย

   “ผมจะให้หมอมาดูวันพรุ่งนี้ถ้าคุณไม่ว่าอะไร”

   เซินหมิงเฟิ่งจะว่าอะไรได้ เขาได้แค่พยักหน้ารับเงียบ ๆ

   “ตอนนี้คุณไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน ผมจะสั่งไม่ให้ใครเข้ามารบกวน” ว่าแล้ว ชิงหลงก็หันหลังเดินกลับไป แต่เซินหมิงเฟิ่งก็เดินมาดึงแขนไว้ก่อนที่เจ้าตัวจะถึงประตู

   ชายหนุ่มหันกลับมาหาคนที่ตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อยพลางเลิกคิ้ว

   “อย่าทำโทษคิมหันต์เลยนะครับ ผมว่าแค่นี้เขาก็รู้สึกไม่ดีมากพอแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งพูดพลางก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน มันเป็นภาพที่ดูแปลกที่เขาจะอ้อนขอร้องชิงหลงอย่างนี้ แต่จากสิ่งที่ผ่านมา เขารู้ว่าคิมหันต์ไม่ได้ผิดอะไรเลย และเขาไม่อยากจะให้ฝ่ายนั้นต้องถูกทำโทษอีก หากว่าตามจริงแล้ว ถ้าเขาไม่มีคิมหันต์อยู่ด้วย เขาอาจจะยอมแพ้ไปแล้วก็ได้

   “เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ผมต้องจัดการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องกังวลหรอก” ชิงหลงดึงมือเซินหมิงเฟิ่งออกจากแขนตัวเองอย่างสุภาพ

   “คุณไม่เข้าใจ...”

   “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น?”

   “เพราะคุณไม่ได้อยู่ที่นั่น!” เซินหมิงเฟิ่งขึ้นเสียงอย่างไม่อาจหยุดตัวเองได้เมื่อคิดถึงเรื่องที่เขาเพิ่งจะหลุดพ้นจากมันมา “คุณไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย คุณจะมารู้อะไร คุณจะรู้ได้ยังไงว่าผมกับเขาต้องเจออะไรบ้าง! แล้วคุณจะยังทำโทษเขาได้อีกหรือครับ คุณมัน.....”

   “เลือดเย็น?” ชิงหลงเลิกคิ้ว ทำให้เซินหมิงเฟิ่งชะงักไป

   “ผมไม่ได้จะพูดแบบนั้น....”

   จริงอยู่ว่าเขาเคยคิดว่าชิงหลงเลือดเย็น แต่ว่าอีกฝ่ายก็ตามมาช่วยเขาไม่ใช่หรือ? ถึงจะมาช้าและเขาต้องเฝ้ารอคอยจนแทบจะสิ้นหวัง แต่ชิงหลงก็มาช่วยเขาจริง ๆ ไม่ได้ทอดทิ้งเขาไปอย่างที่คิดเลย ทำให้เขาไม่อาจปรามาสด้วยคำนั้นได้เต็มปากนัก

   “ถ้าอย่างนั้นจะพูดอะไรก็รอให้ตัวเองหายดีก่อนก็แล้วกัน ถึงตอนนั้นผมจะรอฟัง แต่ตอนนี้ช่วยพักผ่อนก่อนเถอะ ผมเองก็มีงานค้างอยู่เหมือนกัน” ชิงหลงกล่าวจบก็เดินออกไป

   เซิ่นหมิงเฟิ่งได้แต่ยืนนิ่งอยู่กลางห้องที่เงียบสงัด แม้ว่าในตอนนี้เขาจะถูกพามาขังไว้อีกครั้ง แค่การบ้ายจากห้องขังหนึ่งมายังอีกห้องขังหนึ่ง แต่ว่า...เขากลับรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ที่นี่ เพราะถึงแม้ชิงหลงจะน่ากลัวอย่างไร ก็ไม่เคยใช้กำลังกับเขาเลย

--------------------------->

   จากช่วงเวลาที่ผ่านมา ทางอิตาลีเหมือนจะมีอะไรคืบหน้าไปหลายส่วน แต่เมื่อย้อนกลับมาทางฮ่องกง ซากุระรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เดินหน้าไปไหนเลย

   ในอาทิตย์หนึ่ง เธอจะไปเยี่ยมเยียนหลางเมี่ยวอิน หรืออีกฝ่ายมาเยี่ยมเธอ สักครั้งหรือสองครั้ง ซึ่งเป็นช่วงในและนอกเวลางานแล้วแต่โอกาสจะอำนวย แน่นอนว่าตอนนี้ทั้งสองคนสนิทสนมกันดีเสียจนใคร ๆ ต่างพูดว่าตัวติดกันแทบจะเป็นฝาแฝดแทนที่หลางเมี่ยวเจินไปแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น เป็นเพราะทั้งสองพบกันในที่สาธารณะไม่ได้คิดปิดบังฐานะตัวเอง โชคดีก็แต่ตัวซากุระยังไม่ได้แต่งงานกับเซินหมิงเฟิ่งและเข้าเป็นสะใภ้เต็มตัว ไม่อย่างนั้นหนังสือพิมพ์คงได้เอาไปประโคมข่าวว่าสะใภ้บ้านตระกูลเซินอาจมีกุ๊กกิ๊กกับคุณหนูเล็กบ้านตระกูลหลางก็เป็นได้ ถึงแม้หัวข้อข่าวจะดูไร้สาระ แต่นักข่าวขอแค่มีอะไรเขียนก็เขียนได้ทั้งนั้น

   อย่างไรก็ตาม ซากุระต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ของตนเองกับหลางเมี่ยวอินดำเนินมาไกลมากกว่าที่คาดไว้ ซึ่งสาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะเธอและอีกฝ่ายต่างก็เกิดในฐานะที่ใกล้เคียงกัน เป็นผู้หญิงเหมือนกัน มีความกดดันในแบบคล้าย ๆ กัน และ...รู้สึกเหงาเหมือนกัน

   จนถึงตอนนี้ เธอจึงเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาที่พยายามจะใช้หลางเมี่ยวอินเป็นบันไดไปสู่สิ่งที่เธอต้องการ

   นี่เธอทำตัวเหมือนพวกนักธุรกิจขึ้นทุกวันแล้วสินะ....

   ซากุระถอนหายใจกับตัวเอง

   “เป็นอะไรไปหรือเปล่าคะ?” มิเอะเห็นหญิงสาวทำท่าหนักใจก็รู้สึกเป็นห่วง จึงถามไถ่ตามประสา

   “เปล่าค่ะ ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย” ซากุระยิ้มให้กับแม่บ้านสูงวัยเพื่อให้เธอสบายใจ “จะว่าไป เพราะงานแต่งยังกำหนดวันไม่ได้ คุณพ่อก็เลยยังกลับญี่ปุ่นไม่ได้เสียที แบบนี้คงจะต้องเลื่อนไปเรื่อย ๆ หรือเปล่าคะ?” โดยปกติแล้ว ฐานธุรกิจของมินาโมโตะอยู่ที่ญี่ปุ่น การมาเปิดธุรกิจในฮ่องกงนี้ก็เพื่อขยายฐานให้กว้างขึ้น ซึ่งหลังจากลงตัวเรียบร้อยแล้ว มินาโมโตะ โชโก พ่อของซากุระก็จะกลับไปที่ญี่ปุ่นเพื่อดูแลกิจการของตัวเอง และส่งคนมาประจำที่นี่แทน แต่เดิม เจ้าตัวมีกำหนดกลับเมื่อสิ้นสุดงานแต่งงานของลูกสาว ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าจูเชว่จะไม่บิดพลิ้ว แต่เมื่องานแต่งต้องเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด กำหนดการกลับก็ต้องเลื่อนด้วย

   “ความจริงแล้ว....” มิเอะทำท่าลำบากใจ “คุณพ่อของคุณหนูบอกว่าสิ้นเดือนนี้จะกลับแล้วล่ะค่ะ”

   “สิ้นเดือน?” ซากุระเลิกคิ้ว “ฉันไม่ได้ยินข่าวเลย”

   “...ท่านจะไม่พาคุณหนูกลับไปด้วย” หญิงสูงวัยเผยสีหน้าคับอกคับใจออกมา “ถึงท่านจะเย็นชากับคุณหนูมากแค่ไหนก็ไม่น่าทำกันถึงขนาดนี้ ท่านจะกลับไปแล้วก็จะพามิเอะกับพวกการ์ดบางส่วนกลับไปด้วย ทิ้งคุณหนูไว้กับพวกที่เหลืออย่างนี้ได้ยังไงกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้น....”

   “ใจเย็นก่อนสิคะ” ซากุระรีบปรามไม่ให้อีกฝ่ายคร่ำครวญมากเกินไปเหมือนตีตนไปก่อนไข้ “ฉันเองก็ไม่ได้อยู่คนเดียวเป็นครั้งแรก อีกอย่าง คุณพ่อก็ทิ้งการ์ดไว้จำนวนหนึ่งไม่ใช่หรือคะ คนรับใช้ด้วย แล้วอีกเดี๋ยวก็จะมีผู้จัดการสาขาลงมาจัดการเรื่องงานต่อ ฉันไม่ลำบากอะไรหรอกค่ะ”

   “แต่ว่า....คุณหนูก็ต้องอยู่คนเดียว คุณเซินก็ใจร้ายจริง ๆ หายตัวไปในเวลาแบบนี้ ไม่มาดูดำดูดีสักนิด” มิเอะยังคงคร่ำครวญต่อไปโดยที่ซากุระไม่อาจห้ามได้ เธอได้แต่ยิ้มแกน    ๆ เพราะไม่สามารถบอกความจริงใด ๆ ให้กับมิเอะได้เลย

   “แต่คุณเซินจงก็ให้ฉันไปพึ่งพาได้ทุกเมื่อเหมือนสะใภ้แต่งแล้วนะคะ แล้วตอนนี้ฉันก็สนิทสนมกับหลางเมี่ยวอินดีด้วย ฉันอยู่ได้ค่ะ คุณมิเอะเลิกห่วงได้แล้วนะคะ”

   สิ่งที่ได้ยินไม่ได้ทำให้มิเอะคลายกังวลลงเลย กลับยิ่งกังวลกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เพราะหลางเมี่ยวอินคนนั้นเธอก็ไม่ได้รู้จักมักจี่ ไม่รู้ว่าคุณหนูของเธอไปสนิทสนมด้วยตอนไหน แล้วเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็ยังไม่รู้ เกิดคุณหนูของเธอโดนหลอกเข้าจะว่ายังไง

   “เลิกคิดมากแล้วไปทำขนมดีกว่าค่ะ ฉันเริ่มหิวแล้วสิ”

   ดูเหมือนสิ่งเดียวที่ทำให้มิเอะยอมละวางลงได้จะมีแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบโดยตรงของตัวเอง อย่างการดูแลไม่ให้คุณหนูของตนเองต้องทนหิวจนท้องกิ่ว ซากุระที่รู้เรื่องนี้ดีจึงยกมาเป็นข้ออ้าง ถึงแม้บ่ายนี้เธอจะมีนัดกับหลางเมี่ยวอินที่จะมารับถึงที่บ้านก็ตามที และเป็นอย่างที่คิด มิเอะทำท่าตกอกตกใจ ยกมือทาบอกแล้วรีบเดินเข้าครัวไปอย่างรวดเร็ว

   ซากุระถอนหายใจอย่างโล่งอก

   พ่อของเธอจะกลับสิ้นเดือนนี้หรือ?

   หญิงสาวเลื่อนสายตาไปมองปฏิทิน ซึ่งดำเนินมาถึงกลางเดือนแล้ว อีกไม่นานพ่อของเธอกับมิเอะก็จะกลับญี่ปุ่น และบ้านหลังนี้ก็จะเหลือเธอเพียงคนเดียวจริง ๆ ถึงแม้จะมีการืดและคนรับใช้อยู่ แต่พวกเขาก็จะเพียงแค่ทำงานในส่วนของตัวเองเท่านั้น...

   อยู่ ๆ ความรู้สึกหนาวเย็นก็เข้าเกาะกุมร่างกาย ความมั่นใจว่าจะอยู่ได้เพียงลำพังค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความกลัวอย่างช้า ๆ

   เธอไม่ใช่แค่ต้องอยู่คนเดียว...แต่ต้องจัดการเรื่องราวทุกอย่างเพียงลำพังด้วย...

   ตอนนี้ ถึงเธอจะรู้สึกกลัวที่จะต้องเดินไปตามแผนของจูเชว่ แต่เมื่อกลับมาบ้าน อย่างน้อยก็มีมิเอะที่เป็นห่วงเธออย่างจริงจัง และเป็นที่พักใจแม้ว่าจะไม่สามารถพูดอะไรได้ด้วยมากนัก แต่หลังจากนี้ล่ะเธอจะเหลือใคร เมื่อกลับมาบ้านที่ว่างเปล่า...เธอจะหลบซ่อนตัวเองจากความจริงได้ที่ไหนอีก...

   น่ากลัวเหลือเกิน...

   ในขณะที่คิดเช่นนั้น เสียงแตรรถจากประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้น มิเอะผลุนผลันออกมาจากห้องครัวแล้ววิ่งไปที่ประตูรั้ว ซากุระหันมองนาฬิกา

   ถึงเวลานัดแล้วหรือ?

   หญิงสาวสูดหายใจลึก เพื่อกำจัดความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาเมื่อครู่นี้ให้ออกไปจากใบหน้าและท่าทางของตัวเอง

   เธอถอยกลับไม่ได้แล้ว...

   อย่างไร...เธอก็มีค่าเพียงแค่เป็นแผนการของใครบางคนมาตั้งแต่ต้น ถึงจะร้องอุทธรณ์อะไรออกไป ใครล่ะจะมารับฟัง จะมีก็แต่ความน่าสมเพชเท่านั้นเอง

------------------------------>
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 14 (03/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-06-2012 18:01:35
   มิเอะออกไปรับแขกที่มาโดยไม่ได้นัดล่วงหน้า ความซื่อสัตย์และรับผิดชอบต่อหน้าที่พาให้เธอไปถึงประตูอย่างรวดเร็วแม้จะถูกเตือนบ่อย ๆ ว่าที่นี่ไม่เหมือนที่ญี่ปุ่นและฐานะของซากุระก็มีความเป็นไปได้ที่จะนำภัยมาถึงตัว จึงควรจะให้การ์ดเป็นคนออกไปรับหากมีแขกมาโดยไม่ได้นัดหมาย กระนั้น หญิงสูงวัยก็ลืมคำเตือนอยู่เสมอจนการ์ดทั้งหลายพากันเหนื่อยที่จะเตือน

   เธอมองลอดซี่กรงออกไป เห็นรถคันหนึ่งจอดอยู่ แต่เธอไม่คุ้นเลขทะเบียนเลย

   การ์ดคนหนึ่งเดินออกประตูเล็กไปเพื่อดูว่าผู้มาเยือนคือใคร เขาบอกให้คนขับลดกระจกลง และเจรจาสอบถามอยู่สักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่งสัญญาณเข้ามาในบ้านให้เปิดประตูรั้วได้

   มิเอะเดินหลบทางให้กับรถยนต์ที่ไม่คุ้นตา เธอชะโงกไปกระซิบถามการ์ดคนข้าง ๆ ที่เป็นคนเดียวกับคนที่ออกไปถามไถ่เจ้าของรถ

   “นั่นใครกัน?”

   “หลางเมี่ยวอิน เพื่อนของคุณหนูครับ”

   หลางเมี่ยวอิน?

   มิเอะเกิดความกระตือรือร้นและสนใจขึ้นมาอย่างทันที เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นเพื่อนของคุณหนูแล้ว เธอควรจะทำความรู้จักไว้ เพื่อที่จะประมาณนิสัยได้ หากเป็นคนไม่ดีจะได้ตักเตือนคุณหนูได้ทันเวลา เมื่อคิดเช่นนั้น มิเอะจึงเดินตามรถเข้าไปจนถึงหน้าทางเข้าตัวบ้าน

   คนขับรถเดินออกมาแล้วหมุนตัวกลับไปเปิดประตูด้านหลัง

   หญิงสาวคนหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากรถในลักษณะท่าทางที่ดูเป็นงานเป็นการ สีสันเสื้อผ้าสื่อถึงความอ่อนเยาว์สดใส และใบหน้าผู้สวมใส่ก็ยังอายุน้อย อาจจะเป็นวัยเดียวกันกับคุณหนูของเธอหรืออ่อนกว่าเล็กน้อย หรือว่าจะเป็นเพื่อนทางธุรกิจ?

   การที่นักธุรกิจหญิงจะมีเพื่อนเป็นเพศเดียวกันและอาชีพเดียวกันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนัก เนื่องจากในวงการนี้ ผู้ครองตลาดส่วนใหญ่เป็นเพศชาย และผู้หญิงถูกบังคับให้แสดงความสามารถให้เหนือชั้นกว่าจึงจะเทียบเทียมได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่อยู่ในวงการธุรกิจชั้นนำมักจะมีความเป็นเฟมินิสต์สูง และมักจะคบหาเพื่อนเพศเดียวกันเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และติดต่องานที่สะดวกสบาย

   ถึงอย่างนั้นมิเอะก็ไม่วางใจ

   ผู้หญิงที่ฉลาดมากก็ยิ่งไม่ต่างกับงูพิษ หากเกิดคิดร้ายขึ้นมา คุณหนูของเธออาจจะแย่ได้ กระนั้นเธอจะสื่อสารกับอีกฝ่ายอย่างไรดีล่ะ? เพราะเธอพูดภาษาอื่นนอกจากญี่ปุ่นไม่ได้เลย

   ระหว่างที่มิเอะกำลังคิดทบไปทบมา ซากุระก็เดินออกมาต้อนรับเพื่อนสาวด้วยตนเอง

   “มาถึงไวกว่าที่คิดไว้นะคะคุณหลาง” เธอยิ้มแล้วหันไปมองมิเอะ “คุณมิเอะ ขอเครื่องดื่มเย็น ๆ หน่อยนะคะ แล้วก็ขนมหวานด้วย”

   แน่นอนว่ามิเอะไม่รู้ว่าซากุระพูดอะไรกับหลางเมี่ยวอิน เช่นเดียวกัน หลางเมี่ยวอินก็ไม่รู้ว่าซากุระพูดอะไรกับมิเอะ แต่ด้วยน้ำเสียงทำให้เธอพอจะอนุมานได้ว่าหญิงสาวสูงวัยตรงนั้นคงจะเป็นแม่บ้านที่ซากุระให้ความเคารพ เธอจึงหันไปหาแล้วยิ้มทักทายพลางผงกศีรษะเล็กน้อยพอเป็นพิธี

   มิเอะค่อนข้างจะรู้สึกอึดอัดที่สนทนาไม่ได้ แต่ก็ได้แต่โทษความรู้น้อยของตนเองแล้วเดินไปทำตามคำสั่งด้วยการหาเครื่องดื่มและขนมมารับแขก

   ซากุระเดินนำหลางเมี่ยวอินเข้าไปในห้องรับแขก

   “ขนมฝีมือคุณมิเอะอร่อยมากเลยนะคะ แต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากหรือเปล่าเพราะไม่ใช่ขนมเค้กแบบตะวันตกเสียด้วยสิ คุณมิเอะถนัดขนมญี่ปุ่นมากกว่า” เธอว่าพลางนั่งลงที่โซหาฝั่งตรงข้าม “ตอนแรกฉันว่าจะชวนคุณหลางออกไปหาอะไรทานข้างนอก แต่เปลี่ยนใจแบบนี้คงไม่ว่าอะไรนะคะ”

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้มีธุระอะไร แค่อยากจะมาชวนไปเที่ยวเท่านั้นเอง” หลางเมี่ยวจินหัวเราะ “ทานขนมญี่ปุ่นก็ดีเหมือนกันนะคะ เพราะฉันเองก็เคยแต่ได้ยินชื่อ ไม่เคยได้ลองทานเลย”

   “วันนี้งานยุ่งหรือเปล่าคะ?”

   “ไม่เลย วันนี้ลูกค้าค่อนข้างน้อยด้วยซ้ำไป จะว่าไปแล้วคงเพราะช่วงกลางเดือนเงินเดือนก็จะน้อยลงตามไลฟ์สไตล์ล่ะมั้งคะ” หลางเมี่ยวอินคิดไปก็นึกขำ ดูเหมือนชีวิตคนเมืองที่เป็นมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่จะเหมือน ๆ กันคือมีเงินตอนเงินเดือนออก แล้วพอถึงกลางเดือนก็เริ่มจะร่อยหรอเพราะเผลอใช้ตามใจตัวไปตอนต้นเดือนแล้ว ถึงแม้สินค้าของเธอจะเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย แต่ก็เป็นที่ต้องการของคนหลายวัยหลายกลุ่มฐานะ เนื่องจากมีทั้งแบบเป็นทางการสำหรับออกงานและแบบแฟชั่นสำหรับวัยหนุ่มสาว ทำให้เห็นวิธีการใช้เงินของคนในแต่ละวัย แต่ละการงานอาชีพอย่างชัดเจนโดยไม่ต้องทำแบบสอบถามเลยสักนิด

   ระหว่างการสนทนาสัพเพเหระ มิเอะก็นำน้ำผลไม้เย็นฉ่ำ และขนมหวานแบบญี่ปุ่นเข้ามาเสิร์ฟ เป็นขนมหวานที่ใช้แป้ง น้ำตาล และถั่วกวนเป็นหลักตามแบบอาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ แต่จัดแต่งหน้าตาไว้อย่างสวยงามจนหลางเมี่ยวอินคาดเดารสชาติไปก่อนแล้ว

   “ขอบคุณค่ะคุณมิเอะ” ซากุระกล่าวขอบคุณแล้วหันมาทางแขกของตน “หวังว่าคงไม่รังเกียจของหวานแบบนี้นะคะ”

   “ขึ้นชื่อว่าของหวาน คงไม่มีผู้หญิงคนไหนเกลียดลงหรอกค่ะ”

   “ก็ไม่แน่นะคะ ถ้ากำลังไดเอท” ซากุระหัวเราะแล้วยื่นขนมให้ชิ้นหนึ่ง “ลองดูสิคะ”

   หลางเมี่ยวอินเห็นอีกฝ่ายคะยั้นคะยอแบบนั้นก็อดจะหัวเราะไม่ได้ แต่ก็รับขนมมากินแต่โดยดี เมื่อคำแรกเข้าปากเธอก็รู้สึกถึงแป้งเนื้อเนียนเหนียวนุ่มเหมือนจะละลายได้ รสหวานซ่านบนปลายลิ้น แม้จะไม่ได้หวานละมุนละไมแบบขนมของตะวันตก แต่ก็เป็นความหวานเฉพาะแบบที่บ่งบอกเชื้อชาติได้อย่างดี

   ถัดจากคำแรกที่เป็นเนื้อแป้ง คำที่สองก็ถึงไส้ที่ทำจากถั่วแดงกวนจนเหนียว รสหวานยิ่งมากกว่าเนื้อแป้งอย่างเห็นได้ชัด

   เธอเริ่มสงสัยแล้วสิว่า ทำไมผู้หญิงญี่ปุ่นถึงไม่อ้วนกันในเมื่อกินแต่ของอุดมน้ำตาลแบบนี้กันบ่อย ๆ

   “เป็นยังไงคะ?” ซากุระรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

   หลางเมี่ยวอินยกน้ำดื่มขึ้นจิบแล้วจึงค่อยตอบ

   “เนื้อแป้งละเอียดดีทีเดียวค่ะ รสหวานในถั่วแดงกวนก็ดูเข้ากันดี ฉันคงต้องขอสูตรไปลองทำบ้างแล้วสิ”

   “คุณมิเอะคงไม่ให้สูตรง่าย ๆ หรอกค่ะ” ซากุระกล่าวแล้วหันไปแปลข้อความของหลางเมี่วอินให้มิเอะฟัง หญิงสูงวัยหน้าแดงนิดหน่อยด้วยความเขินก่อนจะตอบอ้อมแอ้มกลับมา ซึ่งซากุระหัวเราะให้ก่อนจะนำความมาแปลให้หลางเมี่ยวอินเข้าใจอีกทอดหนึ่ง “คุณมิเอะบอกว่าคงบอกไม่ได้ เพราะเป็นสูตรที่ตกทอดมาในครอบครัวของเธอน่ะค่ะ แต่ว่าถ้าคุณหลางไปเป็นสะใภ้ที่บ้านคงจะได้สูตรมาง่าย ๆ เลย จะลองดูไหมคะ?” แน่นอนว่าประโยคหลังเธอเติมเอง เพราะมิเอะไม่กล้าพูดล้อเล่นแบบนี้แน่ ๆ

   “ในบ้านคุณมิเอะมีผู้ชายที่สูงเกิน 180 เซนติเมตรไหมล่ะคะ ฉันเป็นพวกหลงชอบผู้ชายตัวสูง ๆ น่ะค่ะ”

   ซากุระนำไปแปลให้มิเอะฟังอีกทอด

   “สูงถึง 175 ก็ดีแล้วล่ะค่ะในบ้านดิฉันน่ะ” เธอโบกไม้โบกมือ เพราะบ้านของเธอมีแต่สายญี่ปุ่นแท้ ๆ ไม่มีผสม อย่างมากก็คงผสมกับพวกคนจีนอพยพหรือเกาหลีที่ย้ายเข้ามาเมื่อในอดีต ทำให้ผู้ชายในบ้านเธอตัวเล็กเหมือนกับบรรพบุรุษไม่ผิดเพี้ยน

   หลางเมี่ยวอินหัวเราะออกมา

   “ไม่ต่างกับบ้านฉันเท่าไหร่เลยสินะคะ” เธอพูดได้แค่นั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น หญิงสาวหันไปหากระเป๋าถือแล้วหยิบออกมาดู รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากสีสดครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะกดรับอย่างไม่รีบร้อนแต่เต็มไปด้วยท่าทางของคนที่กำลังดีใจเล็ก ๆ

   เธอใช้เวลาคุยโทรศัพท์แค่เพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นคำตอบรับสั้น ๆ ก่อนที่จะวางสายไป

   “สงสัยว่าเย็นนี้เราจะได้ไปทานอาหารข้างนอกแล้วล่ะค่ะ” หลางเมี่ยวอินบอกกับซากุระ

   “เอ๋ ทำไมหรือคะ?” ซากุระนึกสงสัย ถึงแม้เธอจะไม่ขัดข้องหากจะต้องออกไปทานอาหารค่ำนอกบ้านก็ตาม เพราเธอยังไม่ได้นึกเลยว่าเย็นนี้จะให้มิเอะทำอะไร และพ่อของเธอก็คงจะมีธุระกับลูกค้า หรือไม่ก็คู่เจรจาทางธุรกิจตามเคยเหมือนทุกที

   “เจินเจินโทรมา บอกว่าอยากให้ฉันไปดินเนอร์ด้วยกัน แบบว่า พวกเรานัดกันแบบนี้ได้แค่นาน ๆ ครั้งเพราะส่วนใหญ่เวลาว่างไม่ค่อยตรงกันนักน่ะค่ะ” ท่าทางของหลางเมี่ยวอินดูมีความสุขเมื่อพูดถึงพี่ชายซึ่งต่างก็มีภาระหน้าที่ของตนเอง “ฉันบอกเขาไปแล้วว่า ฉันอยากจะเซอร์ไพรซ์เขาด้วยการแนะนำเพื่อนสนิทของฉันให้รู้จัก คุณจะสะดวกไปกับฉันไหมคะ?”

   ซากุระยิ้มออกมาน้อย ๆ

   หลางเมี่ยวเจิน....

   “ยินดีค่ะ”

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 04-06-2012 18:34:59
อ่า เนื้อรเรื่องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
ยังอยากรู้เรื่องราวต่อจากนี้อีกเยอะๆจัง
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 04-06-2012 21:11:36
อ๊ากกกกกกกก :z3: :z3:ไม่น่ะอย่าไปเชื่อชินหลงง่ายๆซิเซินเซิน
หมอนั้นมันโหดร้ายที่สุดนะ o22 o22  รอมาต่อนะค่ะ :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 05-06-2012 01:15:14
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 05-06-2012 13:49:26
เรื่องราวเริ่มลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 07-06-2012 22:29:33
เริ่มหวานรึยังหว่า
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 08-06-2012 23:09:35
ลุ้นมากๆ
เซินหมิงเฟิ่งกับชิงหลงเริ่มจะหวานมานิดๆ(แล้วมั้ง?) แต่ตาชิงหลงนี่เลือดเย็นจริง ไม่ทิ้ง แต่ตัวเองนั่นแหละเป็นคงส่งไป สงสารหมิงเฟิ่ง โดนขังตลอด  :เฮ้อ:
ให้กำลังใจซากุระ ประทับใจผู้หญิงคนนี้จริงๆนะ

รอตอนหน้าจ้า  o13
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 09-06-2012 12:20:30
โหยยยยยยยยยยยยยยยยยย ดีใจอ่ะะะะ

มาต่อแล้ว^__________________^

ขอบคุณมากครับ เซินน่ารักอ่ะ

รอตอนต่อไปคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ❝CHŌN❞ ที่ 09-06-2012 17:35:15
ได้อ่านต่อแล้ว

อยากกระตืบชิงหลงมากกกกกก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 15 (04/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 09-06-2012 23:51:57
หลังจากรอมา 5  วันก็ยังไม่มา   :z3: :z3: :z3: ฆ่ากันดีกว่า :monkeysad: :monkeysad:
รีบๆมาต่อที่นะค่ะ รออยู่ :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-06-2012 22:01:09
-16-


   ร้านอาหารหรูหราตั้งอยู่บนถนนสายหลักสายหนึ่งซึ่งซากุระไม่รู้จัก แต่ที่เธอได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตก็เพราะคำเชิญชวนของบุคคลหนึ่งซึ่งเธอต้องการจะรู้จักมากกว่าร้านอาหาร หญิงสาวมองดูรอบด้านด้วยการกลอกสายตาขณะที่รถยนต์ส่วนตัวของหลางเมี่ยวอินขยับเข้าไปจอดที่หน้าร้าน พนักงานของภัตตาคารเดินเข้ามาเปิดประตูด้านหลังให้ ซากุระจึงยิ้มขอบคุณแล้วเบี่ยงตัวลงจากรถ

   “ฉันไม่เคยรู้จักที่นี่มาก่อนเลย” เธอว่า

   “ก็เป็นหนึ่งในการลงทุนของตระกูลหลางนี่คะ” หลางเมี่ยวอินหัวเราะเบา ๆ “ฉันคิดว่าคุณคงคุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่ในครอบครองของตระกูลเซินมากกว่า”

   เป็นดังที่หลางเมี่ยวอินว่า ซากุระรู้จักธุรกิจต่าง ๆ ในเครือตระกูลเซินมากกว่าของคนอื่น ๆ เพราะในระหว่างการติดต่อธุรกิจ พ่อของเธอเทียวไปเทียวมากับเซินจงอยู่เสมอ ทำให้เธอพลอยต้องเดินทางไปด้วยเพราะพ่อของเธอพยายามให้เธออยู่ในสายตาของเซินจงมากกว่าหญิงสาวคนอื่น

   จนถึงในตอนนี้ พ่อของเธอได้อย่างที่ต้องการแล้ว เธอได้กลายเป็นคู่หมั้นของเซินหมิงเฟิ่ง ทายาทตระกูลเซินคนต่อไป

   หากว่าเซินหมิงเฟิ่งไม่หายตัวไป จนถึงตอนนี้ เธอก็คงจะมีชีวิตในวังวนของเครือตระกูลเซินไปเรื่อย ๆ

   “คิดอะไรอยู่คะ เราเข้าไปกันเถอะ” หลางเมี่ยวอินเอ่ยเรียกหลังเห็นซากุระนิ่งไปครู่หนึ่ง หญิงสาวชาวญี่ปุ่นยิ้มรับเงียบ ๆ ก่อนจะเดินตามหลังเข้าไปข้างใน

   บริกรนำทางทั้งสองมาจนถึงส่วนที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวสำหรับแขก VIP ที่นั่นมีคนกำลังรอพวกเขาอยู่แล้ว

   หลางเมี่ยวจินรอจนบริการเดินออกไป เธอจึงโผเข้าไปหาแล้วกอดชายหนุ่มอย่างรักใคร่สนิทสนม

   “เจินเจินกว่าจะหาเวลาว่างได้นะ” เธอว่าพลางหัวเราะแล้วหันมาหาซากุระ “ไม่รู้ว่าเจินเจินจำได้หรือเปล่า นี่คุณมินาโมโตะ คู่หมั้นของพี่หมิง”

   “จำได้สิ ตอนนั้นคุณดูโดดเด่นมากทีเดียว” หลางเมี่ยวเจินยิ้มให้ซากุระแล้วผายมือไปทางเก้าอี้ “เชิญนั่งก่อนครับ เราจะได้สนทนากัน”

   ซากุระยิ้มรับแล้วเดินไปนั่งตามคำเชิญ

   “ผมสั่งไวน์ชาโตพาลเมร์เอาไว้ หวังว่าคุณคงไม่รังเกียจนะครับ” หลางเมี่ยวเจินเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วกล่าวขณะหลางเมี่ยวอินมานั่งกับซากุระที่อีกฝั่ง

   “ไม่หรอกค่ะ”

   โดยปกติแล้วซากุระไม่นิยมดื่มของมึนเมาระหว่างการพบปะสนทนากับใครก็ตาม ดังนั้นแม้แต่ในวงสาเกเธอก็ยังทำแค่นั่งเฝ้าพ่อดื่มและคอยเตือนไม่ให้เมาเกินไป และแม้จะเป็นไวน์ เธอก็เคยจิบแค่นิด ๆ หน่อย ๆ และไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก จึงไม่เคยรู้เลยว่าตนเองดื่มไวน์ของยี่ห้อไหนจากเมืองใดมาบ้าง แต่ขึ้นชื่อว่าทายาทเสวียนอู่และมาภัตตาคารในเครือตระกูลตัวเองแบบนี้ เห็นทีจะไม่ใช่ไวน์ราคาถูกที่หาซื้อกันเกลื่อนตลาดเป็นแน่ กอปรกับเมื่อฟังจากชื่อแล้วเธอพอรู้ได้บ้างว่าเป็นไวน์จากฝรั่งเศส

   “ดีแล้วล่ะครับ เพราะบางทีผมเจอคนที่ดื่มแต่ไวน์ขาว ทำเอาลำบากเหมือนกันที่ต้องขอเปลี่ยนออร์เดอร์ทั้งที่พนักงานเปิดขวดไวน์มาแล้ว”

   “แบบนั้นก็ต้องจ่ายเป็นสองขวดน่ะสิคะ” ซากุระทำหน้าเสียดาย

   “บางทีก็ต้องยอมน่ะครับ เพื่อให้คู่เจรจาพึงพอใจ” หลางเมี่ยวเจินหัวเราะเบา ๆ เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนที่ยังไม่เจนจัดในทางธุรกิจ ที่จะต้องยอมให้กับคนที่ยื่นมือเข้ามาร่วมงานด้วยในบางครั้ง เพื่อให้อีกฝ่ายพึงพอใจและยินยอมรับข้อเสนอ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่ได้เอาคืนเมื่อถึงโอกาส แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเล่าออกไปให้ซากุระรับรู้ด้วย และตัวเขาในตอนนี้ที่ได้กลายเป็นทายาทเต็มตัว ก็ไม่ค่อยประสบเหตุการณ์แบบนั้นอีก เพราะคงไม่มีใครกล้าเสี่ยงทำให้เขาไม่พอใจเป็นแน่

   “ทำพูดไป เจินเจินน่ะพูดเก่ง ใคร ๆ ก็รักชอบทั้งนั้น” หลางเมี่ยวอินหยอกล้อพี่ชายฝาแฝดตนเอง “ฉันสิลำบากกว่า ไปไหนก็มีแต่คนมองว่าเป็นผู้หญิง”

   ซากุระรับฟังและมองหลางเมี่ยวอินด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ

   “ฉันกับคุณหลางประสบปัญหาไม่ค่อยต่างกันหรอกค่ะ”

   “ฟังเรียกคุณหลางแบบนี้แล้ว ทำให้ผมพลอยสะดุ้งไปด้วย” หลางเมี่ยวเจินว่า “พอเจอคนนามสกุลเดียวกันอยู่ด้วยกันแบบนี้คงงงแย่”

   “จะว่าไปก็งงอยู่ค่ะ สมัยฉันอยู่ญี่ปุ่นเคยเจอคนที่ทำงานคุณพ่อ มีคนนามสกุลเดียวกันอยู่ในแผนกเดียวกันถึงสามคน ตอนเรียกต้องระบุหมายเลขไว้ด้วยเลยล่ะค่ะ แบบว่า คุณซาซากิเบอร์ 1 อะไรแบบนี้ ก็เป็นที่ขบขันของพนักงานกัน” เล่าไปซากุระก็หัวเราะไป หลางเมี่ยวอินกับหลางเมี่ยวเจินก็บอกว่าเป็นเรื่องขำขันเหมือนกัน แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องแปลก

   “หวังว่าคุณมินาโมโตะคงไม่เรียกพวกฉันว่าคุณหลางเบอร์ 1 คุณหลางเบอร์ 2 แบบนั้นหรอกนะคะ” หลางเมี่ยวอินบิดริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนมันดูแย่มากหากเธอจะหลายเป็นคุณหลางเบอร์ 2

   “หรือคุณหลางชาย คุณหลางหญิง” หลางเมี่ยวเจินเสริม

   “งั้นเป็นต้าหลางกับเสี่ยวหลางไหมล่ะคะ? เหมือนต้าเฉียวกับเสี่ยวเฉียว (ไต้เกี้ยวกับเสียวเกี้ยว)” ซากุระนึกถึงหนังสือพงศาวดารจีนที่เคยอ่านแล้วคิดถึงวิธีเรียกแบบนี้

   “มันก็ดูน่าสนใจหรอกนะครับ แต่ผมไม่เอาด้วยดีกว่า” หลางเมี่ยวอินรีบปฏิเสธตำแหน่งต้าหลางอย่างสุภาพ “คุณเองก็สนิทสนมกับเสี่ยวอินอยู่ น่าแปลกนะครับที่ยังไม่เรียกชื่อกันตรง ๆ”

   “ฉันเกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาทน่ะค่ะ เพราะฉันไม่ค่อยรู้ธรรมเนียมของที่นี่สักเท่าไหร่”

   “ฉันเองก็ไม่รู้ธรรมเนียมของญี่ปุ่นเหมือนกัน แต่ว่า ถ้าคุณมินาโมโตะอยากจะเรียกชื่อฉันเฉย ๆ เรียกฉันว่าเมี่ยวอินก็ได้ค่ะ” หลางเมี่ยวอินให้ทางเลือก

   “ถ้าอย่างนั้นคุณหลาง....เอ่อ...เมี่ยวอิน เรียกฉันว่าซากุระก็แล้วกัน”

   ทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะคิกคัก หลางเมี่ยวเจินได้แต่มองแล้วส่ายศีรษะ บางครั้งเขาก็รู้สึกได้ชัดเจนว่าบทสนทนาของผู้หญิงยากที่ผู้ชายจะเข้าแทรกแซงหรือทำความเข้าใจได้ หลางเมี่ยวเจินระยะหลัง ๆ เขาไม่ได้พูดคุยกับน้องสาวฝาแฝดของตนเองบ่อยนัก ทำให้เขาไม่อาจทำความเข้าใจเพศหญิงได้มากเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าโชคดีกระมังที่หลางเมี่ยวอินได้เจอเพื่อนสาวถูกใจ

   ถึงแม้ว่าเพื่อนสาวคนนั้น...จะมีลับลมคมในที่น่าสงสัยก็ตาม

   สำหรับหลางเมี่ยวเจินแล้ว ซากุระกับหลางเมี่ยวอินไม่ใช่คนที่จะพบคบหากันโดยบังเอิญเป็นแน่ หากไม่ใช่ความตั้งใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

   กระนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่จิบไวน์เงียบ ๆ ระหว่างที่หญิงสาวสองคนพูดคุยกันไปตามประสาราวกับว่าเขากลายเป็นอากาศธาตุในโลกของพวกเธอเสียแล้ว

   เมื่ออาหารมาเสิร์ฟ หลางเมี่ยวอินและซากุระจึงกลับมาในโลกที่มีคนสามคนอีกครั้ง

   “พวกเราคุยกันเพลินจนเจินเจินเบื่อเสียแล้ว” เธอกระซิบกับซากุระเมื่อเห็นหลางเมี่ยวอินสะบัดผ้าปูลงบนตักอย่างเงียบ ๆ

   “ตายจริง ฉันขอโทษนะคะ” ทั้งที่หลางเมี่ยวอินแค่หยอกเอินพี่ชาย แต่สำหรับซากุระที่โตมากับสังคมเคร่งครัดกฎระเบียบอย่างคนญี่ปุ่นแล้ว การทำให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารรู้สึกเบื่อหน่ายและเหมือนเป็นส่วนเกินนับเป็นการกระทำที่เสียมารยาทอย่างมาก หญิงสาวจึงมีสีหน้ารู้สึกผิดอย่างเต็มที่จนหลางเมี่ยวอินเผลอยกมือปิดปากไม่รู้ว่าตนเองเผลอพูดอะไรกระทบความรู้สึกอีกฝ่ายออกไป

   “เสี่ยวอินก็เป็นแบบนี้เสมอแหละครับ พอมีเพื่อนทีไรก็คุยจนลืมพี่ชายทุกที” หลางเมี่ยวเจินพูดพลางหัวเราะขำขันเพื่อคลายบรรยากาศ

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันไม่ควร....”

   “อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเลยค่ะ เรามาทานอาหารกันดีกว่า เดี๋ยวจะเย็นชืดเสียหมด” หลางเมี่ยวอินร่วมมือกับพี่ชายเป็นอย่างดี เธอคีบอาหารใส่จานซากุระไปด้วยเพื่อให้อีกฝ่ายหันมาจนใจอาหารก่อนที่เธอจะใส่จนล้นจาน

   “ไม่ต้องมากขนาดนี้หรอกค่ะ” ซากุระเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็ต้องตกใจกับสิ่งของในจานตนเอง

   “คุณซากุระตัวบอบบางขนาดนี้ ทานเข้าไปเยอะ ๆ เถอะค่ะ ฉันสิ ระยะนี้ทานแต่ของหวาน” หลางเมี่ยวอินถอนหายใจเฮือก

   “พูดไปแบบนั้น เสี่ยวอินเองก็ไม่เห็นจะอ้วนขึ้นสักเท่าไหร่” หลางเมี่ยวเจินนึกภาพน้องสาวฝาแฝดที่ย้อนกลับไปสักเล็กน้อย เขาไม่เห็นจะรู้สึกว่ารูปร่างเธอเปลี่ยนไปนอกจากสูงขึ้น แต่ผู้หญิงก็มักจะมีปัญหากับความอ้วนกันอยู่แล้ว เขาที่ทำงานในธุรกิจเสื้อผ้าอาภรณ์มักจะเจออยู่บ่อย ๆ

   “เจินเจินไม่เข้าใจผู้หญิงหรอกน่า” หลางเมี่ยวอินสวนทันที

   ซากุระได้ฟังบทสนทนาสองพี่น้องก็ได้แต่หัวเราะ ตอนหลางเมี่ยวอินอยู่กับคนอื่นจะมีท่าทางเป็นหญิงสาวสังคมสูงที่ดูเข้าถึงยาก คำพูดคำจาเป็นงานเป็นการและมั่นอกมั่นใจ ทว่าพอถึงคราวพูดคุยกับพี่ชายฝาแฝดตัวเอง หลางเมี่ยวอินก็แสดงแง่ที่เป็นเด็กของตัวเองออกมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ

   การมารับประทานอาหารค่ำในครั้งนี้ ทำให้หญิงสาวได้รับความบันเทิงใจจนเกือบจะลืมจุดประสงค์ของตนเองไปเสียสนิท ได้รู้สึกอยู่ชั่วขณะหนึ่งว่าตนเองเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ

   และถ้าหากว่าได้เป็นแบบนั้นจริง ๆ ในสักวัน จะดีสักเพียงใด

--------------------->

   “วันนี้สนุกมาก ขอบคุณทั้งสองคนมากนะคะ” ซากุระกล่าวลาเมื่อออกมาถึงหน้าร้าน และเห็นว่ารถของที่บ้านมารอรับแล้ว

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ ปกติฉันกับเจินเจินมากินกันสองคนก็เหมือนไม่ค่อยมีสีสันใหม่ ๆ สักเท่าไหร่ คุณซากุระทำให้พวกเราสนุกมากเลยค่ะ” หลางเมี่ยวอินพูดหลางยิ้มกว้างแล้วเดินไปส่งซากุระถึงรถ ทั้งสองลากันเล็กน้อยก่อนที่รถจากบ้านมินาโมโตะจะเคลื่อนตัวออกไป หญิงสาวจึงเดินกลับมาสมทบกับพี่ชายซึ่งจะนั่งรถของทางบ้านกลับด้วยกัน

   “ดูสนิทกันดีเชียว คบกันนานหรือยัง?” หลางเมี่ยวเจินเอ่ยถามขณะมองรถของตนเองเคลื่อนเข้ามาจอดรับเจ้านาย

   “ก็สักเดือนกว่า ๆ ได้แล้ว แต่ฉันว่าเจินเจินน่าจะระวังตัวมากกว่าฉันนะ” หลางเมี่ยวอินคาดเดาได้นิดหน่อยว่าพี่ชายฝาแฝดของตนตั้งใจจะพูดอะไร เธอจึงดักคอเอาไว้ก่อน

   “ฉันน่ะหรือ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

   “ก็ถ้าคุณมินาโมโตะคนพ่อรู้ว่าเจินเจินเข้ามาสนิทกับคุณซากุระด้วย แถมพี่หมิงก็ข่าวคราวหายเงียบเชียบแบบนี้ เขาอาจจะเบี่ยงเป้าหมายมาหาเจินเจินแทนก็ได้ ยังไงเจินเจินก็เป็นทายาทของเสวียนอู่ แล้วคุณตาก็อายุมากแล้ว น่าจะเดาออกนะว่าฉันหมายถึงอะไรน่ะ” หลางเมี่ยวอินว่าพลางเดินไปที่รถ ซึ่งคนรถเดินออกมาเปิดประตูรออยู่แล้ว ส่วนหลางเมี่ยวเจินอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง

   เขาฟังแล้วก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ

   “พูดเป็นเล่นไป ฉันอายุน้อยกว่าเขาอีกนะ”

   “สมัยนี้เขาคิดถึงอายุกันเสียที่ไหน” ถึงจะว่าอย่างนั้น หลางเมี่ยวอินก็ยังหัวเราะตามพี่ชายไป

   “ถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้หรอก” หลางเมี่ยวเจินโบกมือไหว ๆ “เธอก็รู้นี่ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่น่ะ เสี่ยวอิน แล้วอีกอย่าง....”

   “เรื่องแบบนั้นไม่ต้องย้ำกับฉันบ่อย ๆ หรอกน่า” หญิงสาวมุ่ยหน้าเหมือนไม่พอใจมากนัก “ฉันรู้ดีอยู่แล้ว แล้วถึงฉันจะคัดค้านไปมันก็ไม่มีประโยชน์”

   หลางเมี่ยวเจินยิ้มเฉพาะริมฝีปากก่อนจะเบือนหน้าออกไปข้างนอก

   กระจกหน้าต่างสะท้อนเงาหญิงสาวผู้น้องซึ่งนั่งถอนหายใจเหมือนไม่พอใจกับบทสนทนาเมื่อครู่นี้นัก

   ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วมองไปยังหมู่ตึกสลับซับซ้อนในแสงประดิษฐ์ซึ่งส่องสว่างยิ่งกว่ายามกลางวัน

   ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏตอนนี้ และต่อไปในภายภาคหน้า

   ทุกอย่างของตระกูลหลางมันจะไม่ใช่ของของเขา...

   ....มันเป็นของของเธอ เสี่ยวอิน...

   นั่นคือทางเดียวที่ทั้งฉันและเธอจะได้สถานที่ที่เราจะสามารถยืนอยู่ในจุดที่เราต่างต้องการได้

   เธอต้องการยืนอยู่บนจุดที่เหนือกว่าบุรุษเพศ เหนือทุกผู้คนซึ่งเคยมองว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งและอาจไร้ความสามารถ เพื่อที่เธอจะได้พิสูจน์ตนเอง

   ส่วนของฉัน....

   หลางเมี่ยวเจินหลับตาลงแล้วหันกลับเข้ามาในรถ เขาเอนหลังพิงพนักก่อนจะปรือเปลือกตาขึ้นอีกครั้งและเห็นสายตาของหลางเมี่ยวอินที่กำลังมองมาทางตน

   “มีอะไรหรือ?”

   “วันนี้ไม่ได้ไปที่นั่นหรอกหรือ?” หญิงสาวเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว “ฉันนึกว่าเจินเจินจะปลีกตัวมาแปบเดียวแล้วก็ไปอีกเหมือนทุกครั้งเสียอีก”

   “ไม่เอาหรอก ไปบ่อย ๆ เดี๋ยวจะน่าเบื่อ อีกอย่างเวลาว่างฉันมันชักจะหายากเต็มที อยากจะกลับไปนอนพักสบาย ๆ ที่บ้านแล้วตื่นมาเหมือนคนว่างงานบ้างน่ะ” ขณะที่พูดแบบนั้น หลางเมี่ยวเจินก็ทำสายตาซุกซนเป็นประกายวาววับ

   “คุณตาชอบบ่นว่าเจินเจินไม่ค่อยดูแลตัวเองอยู่บ่อย ๆ ด้วยสิ ระยะหลังนี่น่ะ”

   “กว่าฉันจะกลับบ้าน คุณตาก็เข้านอนแล้วทุกทีนี่นา สำหรับคุณตาที่อายุมากแล้ว ไลฟ์สไตล์ของฉันมันคงจะไม่ค่อยอนามัยเท่าไหร่”

   พวกเขาเปลี่ยนหัวข้อเป็นเรื่องสัพเพเหระ เหมือนทุกครั้งที่พอพูดจาไม่ถูกหูกัน พวกเขาจะพากันเงียบไป แล้วต่างคนจะเริ่มหาหัวข้อใหม่ที่จะพูดคุยกันอีกครั้งโดยลืม ๆ เรื่องที่พูดเมื่อครู่นั้นไปเสีย พี่น้องทั่ว ๆ ไปคงทะเลาะกันเป็นประจำกับเรื่องแบบนี้ แต่พวกเขาเมื่อโตขึ้นถึงวัยหนึ่งก็ไม่เคยอีกเลย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะว่า พวกเขาตระหนักว่าเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันนั้นมีน้อยเพียงใด

   “เอาน่า ห่วงตัวเองดีกว่านะเสี่ยวอิน เดี๋ยวอ้วนหรือผอมเกินแล้วหนุ่ม ๆ จะไม่มองกัน”

   แต่บางครั้งเขาก็อดหยอกให้หลางเมี่ยวอินหน้าบูดไม่ได้

------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-06-2012 22:02:24
   ซากุระกลับมาถึงบ้านเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 3 ทุ่ม ถือว่าไม่ดึกมากนักแต่ถึงอย่างนั้นเมื่อหญิงสาวเดินเข้าไปในบ้านและมองดูตู้รองเท้า ก็พบว่าพ่อของเธอยังคงไม่ได้กลับมา คืนนี้คงจะกลับดึกมากอีกตามเคยพร้อมกลิ่นเหล้ามีราคาและเอกสารในกระเป๋า สิ่งที่แตกต่างกันคงจะเป็น รอยยิ้มที่แสดงถึงการประสบความสำเร็จ หรือความบูดบึ้งที่บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เสียเปรียบ

   หญิงสาวถอนหายใจแล้วเดินเข้าไปในบ้าน และเห็นมิเอะวิ่งออกมา

   “กลับมาแล้วหรือคะคุณหนู มิเอะเป็นห่วงแทบแย่” หญิงสาวสูงวัยยกมือทาบอกอย่างโล่งใจ “ทานอาหารมาอิ่มไหมคะ ถ้ายังไม่อิ่มมิเอะจะเตรียมอาหารให้”

   “อิ่มแทบแย่แล้วค่ะ” ซากุระหัวเราะ “คุณมิเอะเถอะ ทานอะไรหรือยังคะ”

   “มิเอะเรียบร้อยแล้วล่ะค่ะ คนอื่น ๆ ก็เหมือนกัน แต่คุณมินาโมโตะยังไม่กลับมาเลยค่ะ”

   “เรื่องนั้นฉันทราบแล้วค่ะ” ซากุระตอบพลางนั่งลงบนโซฟา “ระยะนี้คุณพ่อคงต้องเร่งมือ เพราะอีกเดี๋ยวก็จะกลับญี่ปุ่นแล้ว คุณพ่อยิ่งไม่ค่อยไว้ใจใครอยู่แล้วด้วย ถึงจะบอกว่าจะส่งคนอื่นมาดูแลสาขานี้แทนต่อไป แต่เอาเข้าจริงก็คงวางใจไม่ลงทั้ง 100% หรอกค่ะ”

   “เรื่องแบบนั้นมิเอะไม่เข้าใจหรอกค่ะ” มิเอะส่ายหัว

   “ช่างเถอะค่ะ ฉันก็พูดเรื่อยเปื่อย คงเพราะดื่มไวน์มานิดหน่อยด้วยเลยมึน ๆ แล้วสิ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะ “ฉันขอตัวขึ้นนอนเลยก็แล้วกันนะคะ คุณมิเอะเองก็ขึ้นนอนเถอะค่ะ คุณพ่อน่ะ กลับมาก็คงทานมาแล้วตามเคย” พูดจบ ซากุระก็ลุกขึ้นยืน มิเอะเห็นว่าคุณหนูของตนคงเหนื่อยแล้วจึงไม่คิดรั้งเอาไว้อีก เธอกล่าวราตรีสวัสดิ์แล้วเดินเข้าครัวไป คงจะไปจัดการจัดอะไรให้เรียบร้อยก่อนขึ้นนอน

   ซากุระเดินกลับขึ้นห้องตัวเอง ความรู้สึกเงียบเหงาเย็นเยียบจู่โจมเข้ามาอีกครั้ง แต่เธอก็ทำเพียงพยายามจะไม่สนใจมันและหวังว่ามันจะผ่านพ้นไป

---------------------->

   “ท่านชิงหลงเรียกผมหรือครับ?” คิมหันต์เปิดประตูเข้าไปในห้องซึ่งชิงหลงจับจองไว้เพียงลำพังเพื่อทำงานและพักผ่อนส่วนตัว การ์ดหรือผู้ติดตามไม่สามารถเข้ามาในห้องนี้ได้หากชิงหลงไม่อนุญาต และทุกคนก็รู้กันดีว่าเจ้านายของตนโลกส่วนตัวสูงแค่ไหน จึงไม่มีใครอยากจะขัดใจ และน้อยครั้งที่ชิงหลงจะเรียกคนอื่นเข้ามาเพียงลำพัง ส่วนใหญ่จะเรียกเข้ามาเป็นกลุ่มเพื่อสั่งกระจายงาน แต่วันนี้ชิงหลงกลับเรียกคิมหันต์เข้ามาคนเดียว ซึ่งทุก ๆ คนต่างรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นก่อนหน้านี้จึงไม่มีใครแปลกใจ

   คิมหันต์รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง บางทีเวลาที่เขาจะต้องถูกลงโทษคงมาถึงแล้ว ถึงแม้เซินหมิงเฟิ่งจะปลอดภัยดี แต่เขาก็บกพร่องในหน้าที่ที่ทำให้เซินหมิงเฟิ่งถูกจับตัวไปโดยที่ไม่ยอมต่อต้านให้ถึงที่สุด ซ้ำในห้องขังนั้น....เซินหมิงเฟิ่งยังถูกทำร้ายต่อหน้าโดยที่เขาทำอะไรไม่ได้

   เขาเตรียมใจไว้แล้ว...

   เพราะความผิดครั้งนี้เขาไม่อาจหลีกเลี่ยงอะไรได้...

   “เข้ามาสิ” เสียงเรียบเย็นชาของชิงหลงไม่ได้แฝงด้วยแววคุกคาม เป็นเพียงโทนเสียงปกติที่เจ้าตัวพูดกับคนอื่น ๆ ที่มีฐานะเท่าเทียมหรือต่ำกว่าตน

   “ขออนุญาตครับ” คิมหันต์เดินเข้าไปแล้วปิดประตูเบา ๆ ให้มีเสียงน้อยที่สุด ราวกับว่าหากมีเสียงดังมากกว่าเสียงลมหายใจดังขึ้นมาจะมีบางอย่างเกิดขึ้น

   “เซินหมิงเฟิ่งเป็นยังไงบ้าง? หายผวาหรือยัง?” ชิงหลงนั่งอยู่บนโซฟา ด้านหน้าเป็นโต๊ะกระจกที่มีแต่แก้วกาแฟวางอยู่อย่างเงียบงัน ไม่มีควันลอยอ้อยอิ่มขึ้นมาแปลว่ามันคงจะหมดถ้วยไปแล้ว หูจับสะท้องแสงแดดที่ส่องผ่านม่านเข้ามาเป็นประกายสว่าง แสงยามเช้าไม่มากพอจะให้ความสว่างได้ทั่วทั้งห้อง ทำให้ใบหน้าซีกหนึ่งของชายหนุ่มถูกทาบด้วยเงาสลัว

   “ครับ...ผมคิดว่าคุณเซินคงจะไม่ผวาแล้ว แต่ผมไม่คิดว่าคุณเซินจะลืมความรู้สึกที่เจอในตอนนั้นไปง่าย ๆ” คิมหันต์ตอบตามที่คิด เพาะความหวาดกลัวนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะกำจัดมันออกไป

   ชิงหลงพยักหน้ารับ

   “แล้วคุณล่ะ?”

   “ครับ?” เมื่อได้ยินเสียงถามกลับมา คิมหันต์ก็เงยหน้าสงสัย

   “คุณเองก็อยู่ที่นั่นเหมือนกัน ตัวคุณเองปกติดีหรือยัง?” ชิงหลงถามซ้ำพลางเอนตัวพิงพนักโซฟา ยกข้าข้างหนึ่งขึ้นไขว่ห้างแล้วประสานมือบนตัก ท่วงท่าเช่นนี้มักแสดงถึงความจริงจังเป็นงานเป็นการของเจ้าตัวไปพร้อม ๆ กับความเฉียบขาด

   “...ครับ ผมปกติดีแล้ว” ฐานะของคิมหันต์ไม่ได้เอื้อให้ตอบอะไรนอกเหนือจากนี้

   “ก็ดีแล้ว เห็นว่าโจเซสั่งให้คนของตัวเองจับตาดูราฟาเอล จอร์จิโออย่างใกล้ชิด พูดกลาย ๆ แล้วก็เหมือนการกักบริเวณลิดรอนอิสรภาพ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของพวกเรา ผมแค่อยากจะบอกคุณให้รู้ไว้ว่าโจเซไม่ได้ปล่อยปละเรื่องนี้ไปเฉย ๆ” ในสังคมของมาเฟียแล้ว สิ่งใดที่ถูกกระทำจะต้องกระทำตอบโต้ เพื่อประกาศว่าตนเองไม่ยินยอมให้อีกฝ่ายเหนือกว่า การกระทำของโจเซแม้จะไม่ได้โหดร้ายเด็ดขาดอย่างที่ใคร ๆ คิดถึง แต่ก็เป็นมาตรการที่มีประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะหากลงมือรุนแรงก็แค่ทำให้คน ๆ หนึ่งเดือดร้อน แต่วิธีนี้ทำให้แฟมิลีของดอนบราซินีหลบเร้นจากสายตาของโจเซไม่ได้อีกจนกว่าการจับตาดูราฟาเอลจะสิ้นสุดลง

   “อย่างนั้นหรือครับ ถ้าคุณเซินได้ยินคงจะเบาใจขึ้นมาก”

   เพราะอย่างน้อย ใจของเซินหมิงเฟิ่งก็จะรู้สึกว่าคนที่ทำร้ายตนเองไม่อาจทำอะไรได้อีกแล้ว

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คุณไปบอกข่าวดีนี้กับเขา แต่ก่อนหน้านั้นผมมีงานให้คุณทำ” ชิงหลงกล่าวแล้วเอื้อมมือไปข้างตัว ก่อนจะหยิบซองเล็ก ๆ ขึ้นมาซองหนึ่ง

   คิมหันต์พอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดชิงหลงจึงเรียกตนเองมาถามว่าสภาพปกติดีหรือยัง เพราะคนที่สภาพจิตใจไม่พร้อมทำงานจะไม่ได้รับความไว้วางใจให้ทำภารกิจใด ๆ และหากเป็นเช่นนั้นนานเข้าก็จะถูกจัดเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ซึ่งมีโอกาสถูกกดระดับลงไปได้ทุกเมื่อ

   “จะให้ผมทำอะไรครับ?”

   เขาไม่อยากเป็นคนไร้ประโยชน์...

   ขอเพียงเจ้านายสั่งมา ชีวิตของเขาก็พร้อมพลีให้ภารกิจได้ทุกเมื่อ สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเขายังมีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้

   “นี่เป็นของที่ผมต้องให้กับโจเซเป็นการตอบแทนกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นและยอมยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คุณต้องส่งให้ถึงมือ” ชิงหลงวางซองลงบนโต๊ะแล้วเลื่อนไปยังฝั่งตรงข้าม ซองนั้นมีสีขาว ขนาดเล็กเท่าซองโปสการ์ด ความหนาของมันไม่ได้บ่งบอกเลยว่าบรรจุอะไรอยู่ในนั้น เพราะแทบจะเหมือนไม่ได้บรรจุอะไรเลย จนคิมหันตต์นึกแปลกใจว่ามันคืออะไร แต่เขาไม่มีหน้าที่สงสัย จึงสงบปากสงบคำเช่นเดิม

   “ต้องไปในทันทีไหมครับ?”

   “ภายในก่อนเที่ยง ระหว่างนั้นคุณจะทำอะไรก็ได้ นอกจากนั้นผมคงไม่ต้องสั่งให้มากความใช่ไหม?” ชิงหลงเอ่ยถาม

   “ครับ ผมทราบแล้ว” คิมหันต์รับคำแล้วเดินเข้าไปหยิบซองขึ้นมาก่อนสอดไว้ในเสื้อสูท

   คำสั่งอื่น ๆ นอกจากนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว อย่างเช่น ห้ามเปิดดูเด็ดขาด ต้องส่งให้ถึงมือด้วยตนเอง หรือห้ามทำหาย ชิงหลงจึงไม่มีความจำเป็นต้องสำทับอะไรเขาอีก

   “เสร็จแล้วไม่ต้องกลับมารายงานผม เดี๋ยวโจเซจะโทรมาบอกเอง”

   “ครับ...” เขารับคำอีกครั้งก่อนชิงหลงจะโบกมือเป็นสัญญาณว่าหมดเรื่องแล้ว คิมหันต์จึงโค้งรับแล้วเดินถอยออกไปจากห้องอย่างเงียบ ๆ

   เขาเดินกลับไปที่ห้องของเซินหมิงเฟิ่งท่ามกลางสายตาแปลก ๆ ของคนอื่น ๆ

   มันก็ควรแปลกอยู่ เพราะการถูกเรียกเข้าไปพบชิงหลงตามลำพังเป็นสิ่งที่เดาได้สองอย่างคือ เลวร้ายมาก และดีมาก ซึ่งคนอื่นคงสงสัยว่าเขาเจอแบบไหนมา

   คิมหันต์ยกมือขึ้นเคาะประตู

   “เข้ามาสิครับ”

   เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากข้างใน คิมหันต์ก็เดินเข้าไป

   “คุณไม่เห็นต้องเคาะประตูเลย คุณเองก็เป็นผู้อาศัยห้องนี้เหมือนกันนี่” เซินหมิงเฟิ่งว่าขณะกำลังสวมเสื้อแสดงว่าเจ้าตัวเพิ่งจะตื่น ถึงคิมหันต์จะรายงานชิงหลงไปว่าเซินหมิงเฟิ่งหายผวาแล้ว แต่เอาเข้าจริงเจ้าตัวก็ยังนอนไม่ค่อยหลับดีนัก จึงตื่นเช้ากว่าปกติ

   “ผมชินน่ะครับ รอยช้ำพวกนั้นจางลงเยอะแล้วนะครับ”

   พอได้ยินเรื่องรอยช้ำ สีหน้าของเซินหมิงเฟิ่งก็เหมือนจะปรากฏแววของความกลัวขึ้นมานิดหน่อยก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว

   “ก็ทายาที่หมอให้มาน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งตอบแล้วรีบดึงเสื้อลงปกปิดรอยเหล่านั้นจากสายตาของคิมหันต์
   “เมื่อครู่ผมไปพบท่านชิงหลงมา”

   ชายหนุ่มเลิกคิ้วทันที

   “ทำไมคุณชิงหลงถึงอยากพบคุณล่ะครับ?”

   “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกครับคุณเซิน ท่านชิงหลงแค่อยากรู้ว่าคุณเซินดีขึ้นแค่ไหนแล้ว ถึงจะเห็นเย็นชาอย่างนั้นแต่ก็เป็นห่วงคุณเซินนะครับ” คิมหันต์ไม่อยากให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกไม่ดีกับเจ้านายตนเองมากเกินไป “นอกจากนั้นก็ยังบอกว่า ดอนมอเรสซาเรจัดการราฟาเอลให้แล้ว แล้วก็มีงานให้ผมทำด้วย”

   “งาน? แต่คุณเพิ่งจะ...”

   “มันไม่เกี่ยวหรอกครับ คุณเซินเองก็น่าจะทราบสถานะของผมดี” คิมหันต์พูดดักทางไว้ก่อน ทำให้เซินหมิงเฟิ่งอับจนคำพูดจะตอบโต้

   จริงอย่างที่คิมหันต์ว่า ในสังคมมาเฟียนั้นแบ่งคนออกเป็นระดับชั้นอย่างค่อนข้างชัดเจนด้วยหน้าที่ ซึ่งหาไม่อาจรับผิดชอบหน้าที่ของตนเองได้ ก็ไม่มีข้ออ้างใด ๆ ที่สมควรจะถูกนำมาแก้ตัว ดังนั้นถึงแม้คิมหันต์จะเพิ่งผ่านเรื่อยร้าย ๆ มา เขาก็ยังต้องทำหน้าที่ของตนเองต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในความเป็นจริงเซินหมิงเฟื่งควรจะเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ทว่าเพราะเขาออกไปอยู่ในสังคมปกติมาตลอด เขาจึงไม่อาจจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้นัก และคิดว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

   “แล้วมันอันตรายหรือเปล่า?”

   “แค่ส่งของน่ะครับ ไม่มีอะไรมากมาย” คิมหันต์บอกเพียงแค่นั้น เพราะเนื้อหาอื่น ๆ เช่นเป็นอะไร หรือส่งถึงใคร เขาไม่มีสิทธิบอกให้คนอื่นได้รับรู้ การที่ชิงหลงเรียกเขาเข้าไปสั่งงานตามลำพังนั่นเป็นการกระทำที่บ่งบอกชัดเจนมากพออยู่แล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ

   “ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเช้าก่อนแล้วค่อยไปก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวอาหารจะมาส่งแล้ว” เขาว่าแล้วหันมองนาฬิกา ซึ่งอาหารจะมาส่งตรงเวลาทุกวันเสมอ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าใครเป็นคนเลือกเมนูไว้ให้เขาก็ตาม

   คิมหันต์ได้ยินดังนั้นจึงตกลงใจจะกินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยแล้วค่อยไปส่งของ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีงานอื่นให้ทำต่อเนื่องกันอีกหรือเปล่า อย่างไรชิงหลงก็ให้เวลาเขาถึงก่อนเที่ยง แปลว่าไม่ได้เร่งด่วนมากมาย เพราหากเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ชิงหลงมักจะกำชับด้วยคำว่า ‘เดี๋ยวนี้’

   เมื่อกินอาหารเสร็จก็เป็นเวลา 10 โมงเข้าไปแล้ว คิมหันต์จึงรีบลุกขึ้นแล้วผลุนผลันจะออกไป

   “ต้องไปแล้วหรือ?” เซินหมิงเฟิ่งเห็นความรีบร้อนนั้นก็อดถามไม่ได้ อีกข้อหนึ่งคือ ตลอดช่วงของความยากลำบาก คิมหันต์อยู่กับเขาเสมอ พอถึงเวลาที่คิมหันต์ต้องทำงาน เขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะไปนานแค่ไหน ตอนนั้นเขาคงจะว้าเหว่มากทีเดียว

   “เดี๋ยวจะไม่ทันน่ะครับ แล้วเจอกันนะครับคุณเซิน” คิมหันต์พูดเร็ว ๆ แล้วเปิดประตูออกไป

   “แล้วเจอกัน” เขาได้เพียงตอบรับคำพูดของอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจ หวังแต่ว่าคิมหันต์จะรีบ ๆ กลับมาเขาจะได้ไม่รู้สึกเหงามากเกินไปนัก

   ตอนนี้เขาติดนิสัยแบบนี้ไปแล้วหรือ? ทั้งที่ก่อนนี้เขาโกรธคิมหันต์จนไม่อยากมองหน้าด้วยซ้ำไป รวมถึงชิงหลงด้วย...ที่ตอนนี้เขาคาดหวังจะได้คุยกับอีกฝ่ายมากขึ้น...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 10-06-2012 22:42:25
แอบสงสารนายเอก 55555 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-06-2012 22:57:04
เฮ้ออ
ได้แค่นี้ 55 ถอนหายใจและรอตอนต่อไป อิอิ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 11-06-2012 00:25:09
อยากอ่านต่อแล้วอ่ะ  :serius2:
ข่าวลือเรื่องของบ้านเสวียนอู่ จะมาเฉลยในเรื่องนี้นี่เอง ตื่นเต้นๆ :-[
ชิงหลงทำตัวน่ารักๆหน่อยนะจ๊ะ ไม่งั้นจะเชียร์คิมหันต์แล้ว 555

รอตอนหน้าค่า ให้กำลังใจซากุระและคนเขียน ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 11-06-2012 03:24:29
มาแล้ว มาแล้ว  อ๊ากกกกกกกกกกกก o18 o18 o18

รีบมาต่อนะ ขออย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย :serius2: :serius2:

ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างชินหลง กะ โจเซ    :o8: :o8:

คิมหันขอให้นายกลับมาโดยสวัสดิ์ภาพนะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 11-06-2012 07:13:43
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 11-06-2012 11:06:21
ชอบช่วงเวลาระหว่าง เซิน-ชิงหลง อยู่ด้วยกันมากอ่ะ

อยากรู้จะรักกันได้ริป่าว...?  หรือจะเป็นพวกเดียวกันไปเลย

แต่ที่แน่ ๆ อยากให้มีเรื่องรัก ๆ เข้ามาเกี่ยวด้วยอะนะ 555+


รอตอนต่อไปคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: papark ที่ 13-06-2012 01:45:18
อ๊า..สงสัยจังเลย!

ทำไมทำไมทำไมกันน๊า ~

สนุกดีครับ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 13-06-2012 08:54:36
รอตอนต่อไปจ้า :z2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 16 (10/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 13-06-2012 17:37:55
คิมหันต์จะถูกส่งตัวไปอยู่กับดจเซรึเปล่า
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 13-06-2012 22:19:22
-17-


   กิจวัตรในยามเช้าของชิงหลงเป็นกิจวัตรที่ค่อนข้างเรียบง่ายและเงียบสงบ เขาตื่นขึ้นมาเมื่อนาฬิกาบอกเวลา 6 โมง ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาจำต้องบังคับตัวเองให้เป็นไปอย่างนั้นด้วยในปัจจุบัน เพราะโซนเวลาที่ต่างกันส่งผลกับนาฬิการ่างกายของเขามากพอดู ในตอนแรกจึงทำให้เขารู้สึกเพลีย กระนั้นเมื่อผ่านไปไม่นานเขาก็ปรับตัวได้ คงเพราะความเคยชินจากการเดินทางข้ามโซนเวลาบ่อยครั้ง

   เมื่อตื่นแล้ว สิ่งต่อมาที่ชิงหลงทำคือการอาบน้ำและแต่งตัวใหม่ทันที

   เขาติดนิสัยเจ้าระเบียบมาจากพ่อ ดังนั้นจึงไม่เคยยอมปล่อยตัวเองในสภาพไม่น่าดูให้ใครเห็นแม้แต่คนใกล้ชิดหรือคนดูแลห้อง

   จากนั้นอาหารเช้าจึงมาส่ง เป็นอาหารเช้าแบบง่าย ๆ สไตล์ตะวันตก พร้อมกาแฟหอมกรุ่นที่เขาชงให้ตัวเอง เพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังขาดอุปกรณ์ฆ่าเวลายามเช้า สำหรับบ้านปกติทั่วไป คงคุ้นเคยกับภาพของชายผู้เป็นเสาหลักของบ้านนั่งไขว่ห้างที่โต๊ะอาหาร ดื่มกาแฟ มีจานไข่และเบคอนวางตรงหน้า ในมือถือหนังสือพิมพ์กรอบเช้าอยู่ฉบับหนึ่ง สำหรับชิงหลง เขาเองก็มีภาพพจน์แบบนั้นในยามเข้าเช่นกัน แต่สิ่งที่อยู่ในมือของเขาไม่ใช่หนังสือพิมพ์ ทว่าเป็นงานของเขาเอง

   ชิงหลงไม่ชอบอ่านอะไรในคอมพิวเตอร์ ถึงแม้นี่จะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีแล้วเขาก็ยังนิยมที่จะอ่านทุก ๆ อย่างผ่านกระดาษมากกว่า

   เช้าวันนี้ก็เหมือนเช้าวันอื่น ๆ

   ชิงหลงทำกิจวัตรปกติของตนเองอย่างสงบไม่มีใครรบกวน จนกระทั่งเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นจากหน้าประตูห้อง เรียวคิ้วของชายหนุ่มมุ่นเข้าหากันทันที

   “มีอะไรกัน?” เขาเดินออกไปถามคนที่มีหน้าที่พิทักษ์ประตูเพื่อความสงบของเขา แต่แล้วสายตาก็เหลือบไปเจอตัวต้นเหตุที่ทำลายความสงบยามเช้า

   เซินหมิงเฟิ่ง

   ไม่ใช่อะไรที่น่าแปลกใจเท่าไหร่....

   “ขอโทษด้วยครับท่านชิงหลง คุณเซินยืนยันจะพบกับท่านให้ได้” การ์ดผู้มีหน้าที่ดูแลประตูกล่าวพร้อมค้อมหัวปะหลก ๆ อย่างสำนึกผิด

   “นี่เพิ่งจะ 7 โมง คุณมีอะไรเร่งด่วนถึงขนาดนั้น?” สายตาที่ชิงหลงมองไปยังเซินหมิงเฟิ่งแฝงด้วยแววตำหนิเล็ก ๆ ถึงคนที่ไม่รู้จักกาลเทศะ กระนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ไมได้สนใจแววตาและน้ำเสียงเชิงติเตียน เขามีเรื่องอื่นที่กำลังรบกวนจิตใจมากกว่า

   “เขาไม่กลับมา”

   ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “คุณหมายถึงใคร?” เขาเอ่ยถามทั้งที่ในใจก็คาดเดาเอาไว้แล้ว

   “อย่ามาทำไก๋ไปหน่อยเลย คุณเองก็รู้ดี” เซินหมิงเฟิ่งพูดเสียงกึ่งตะคอก “คุณส่งคิมหันต์ไปทำงานอะไร นี่ก็ข้ามวันแล้วเขายังไม่กลับมา คุณไม่คิดจะเป็นห่วงบ้างหรือ?”

   ชิงหลงมองดูรอบตัว เห็นว่าการ์ดบางคนทำหน้าแปลกใจบ้าง สงสัยบ้าง ก็นึกรำคาญใจที่จะคุยกันตรงนี้ เขาไม่ชอบการอยู่ในสถานที่ที่มีผู้ฟังมากเกินไป จึงเหลือบสายตากลับมามองคนต้นเหตุที่ทำให้ชีวิตยามเช้าของเขาหมดความสงบไปโดยปริยายก่อนเดินถอยไปยังประตู

   “เข้ามาคุยกันข้างใน”

   ได้ยินดังนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็มุ่นคิ้วสงสัยว่าทำไมจึงต้องไปคุยเป็นการส่วนตัว แต่เมื่อนึกอีกที งานของคิมหันต์อาจจะเป็นความลับที่ให้ใครล่วงรู้ไม่ได้ เขาอาจจะทำไม่เหมาะสมนักที่ตะโกนโหวกเหวกหน้าห้องจนคนอื่น ๆ นึกสนใจประเด็นนี้ขึ้นมา แต่หากไม่ทำอย่างนี้ มีหรือชิงหลงจะยอมออกมาพบเขา และที่ชิงหลงต้องการคุยเป็นการส่วนตัวก็คงจะเพื่อหลบความอยากรู้อยากเห็นของคนรอบข้างที่ถูกกระตุ้นขึ้นมา คิดได้ดังนั้น เซินหมิงเฟิ่งจึงเดินตามเข้าไปในห้องอย่างว่าง่าย

   ชิงหลงปิดประตู ทำให้ความสงบหวนกลับมาอีกครั้ง

   อาหารเช้ายังคงวางอยู่ที่เดิม มันเย็นชืดเพราะอากาศภายในห้อง รวมถึงถ้วยกาแฟที่เหลือควันลอยอ้อยอิ่งเพียงเล็กน้อย

   “นั่งลงสิ”

   เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ นั่งลงบนโซฟาตามคำสั่งโดยไม่อิดออด เพราะน้ำเสียงที่ชิงหลงใช้ไม่ได้กระโชกโฮกฮากหรือให้ความรู้สึกไม่ดีเกินไปนักในตอนนี้

   “งานที่คุณให้คุณคิมหันต์ไปทำ เป็นความลับหรือครับ?”

   “ไม่เชิง เพียงแค่คนอื่น ๆ ไม่จำเป็นต้องรู้” ชิงหลงนั่งลงจิบกาแฟของตนต่อ “แต่ผมจะบอกคุณตามตรงก็แล้วกัน ว่าเขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว”

   ไม่กลับมาอีกแล้ว?

   สมองของเซินหมิงเฟิ่งคล้ายไม่สามารถแปลคำศัพท์ได้ชั่วขณะ เพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ชิงหลงพูดเลยว่าหมายความว่าอย่างไร

   “ไม่กลับมาอีกแล้ว?” เขาถามย้ำ

   “ใช่ ผมหมายความตามนั้น”

   เซินหมิงเฟิ่งนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ดูเหมือนว่าคำเมื่อครู่เพิ่งจะเดินทางมาถึงส่วนองการประมวลผล

   ไม่กลับมาอีกแล้ว....

   หรือว่า....

   “อย่าบอกนะว่าคุณ......!” เขาแทบจะกระโดดผลุงจากเก้าอี้แล้ววิ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อคนอีกฝั่งหากไม่ติดว่ามีโต๊ะกระจกขวางอยู่ระหว่างเขาทั้งสอง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งทำได้เพียงกระแทกมือลงบนกระจกโดยไม่ได้เกรงกลัวว่ามันอาจจะแตกและบาดมือเข้า

   “ผมไม่ได้ฆ่าเขา ไม่ได้สั่งให้ใครทำอะไรด้วย เขายังปลอดภัย ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณอยากได้ยิน” เสียงของชิงหลงที่ตอบกลับมายังคงเนิบช้าอย่างเย็นใจราวกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นปกติธรรมดาไม่ต่างจากที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้าและลับหายไปในตอนเย็น

   เซินหมิงเฟิ่งโล่งใจไปหนึ่งเปราะ...

   “ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาถึงจะไม่ได้กลับมา? คุณส่งเขาไปไหน? ผมบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าลงโทษเขาแบบนี้น่ะ!” ท้ายประโยคเซินหมิงเฟิ่งเผลอขึ้นเสียงอย่างไม่ทันได้ยั้งคิด

   ชิงหลงตวัดสายตาเฉียบคมมองกลับทันที

   “คุณมีหน้าที่ตัดสินคนของผมตั้งแต่เมื่อไหร่”

   คำพูดนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งชะงักไป เขาขบริมฝีปากอย่างอดกลั้น

   “คิมหันต์เป็นคนของคุณ แต่คุณไม่ได้เห็นค่าเขาเลย”

   “คุณตัดสินผมง่ายเกินไป” ชิงหลงไม่ได้แสดงท่าทางอนาทรร้อนใจกับคำปรามาสนั้นสักนิด เขาจิบกาแฟแล้วหยิบซองเอกสารบนโต๊ะไปวางที่อื่น เผื่อว่าเซินหมิงเฟิ่งจะเกิดมือซนอยากมาเปิดงานของเขาดูเข้า ถึงตอนนั้นแหละเรื่องใหญ่ของจริง เขาถึงไม่ชอบให้ใครเข้ามาในห้องส่วนตัว

   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็อธิบายมาสิ คุณเอาคิมหันต์ไปไว้ที่ไหน ทำไปเพื่ออะไร” สายตาของเซินหมิงเฟิ่งมองตรงไปยังชิงหลงอย่างไม่ลดละ และพยายามจะหาคำตอบจากการกระทำของอีกฝ่าย

   “คุณจะรู้ไปทำไม”

   วันนี้เองที่เซินหมิงเฟิ่งได้รู้ว่า ภายใต้ใบหน้าเคร่งครัดเย็นชาของอีกฝ่าย ได้ซุกซ่อนนิสัยยียวนกวนประสาทอยู่ด้วยเหมือนกัน

   “ถ้าคุณไม่บอก ผมจะไม่อยู่สงบเลย” แต่เขาเองก็จับจุดอ่อนได้เหมือนกัน ชิงหลงเป็นคนรักความสงบและมีโลกส่วนตัวสูงอย่างยิ่ง ความจริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาจากพฤติกรรมที่น้อยครั้งจะออกมาจากห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย รวมทั้งนิสัยที่เหมือนจะจบบทสนทนาได้ทุกเมื่อ และดูเหมือนว่าเขาจะสามารถคาดเดาได้ถูกต้อง เพราะชิงหลงเหมือนจะทำหน้าเหนื่อยใจออกมาแวบหนึ่ง

   “ถ้าผมบอก คุณสัญญาได้ไหมว่าคุณจะอยู่ในโอวาทของผม”

   .....

   อะไรนะ....

   เซินหมิงเฟิ่งเกือบจะอ้าปากค้างกับข้อต่อรอง หากไม่ใช่เขารู้ตัวเสียก่อนว่าไม่ควรทำท่าทางแบบนั้นให้อีกฝ่ายเห็น เพราะอาจจะเป็นการแสดงความเสียเปรียบออกไป กระนั้นมันก็สายเกินไป เพราะชิงหลงสามารถมองเห็นความรู้สึกที่แสดงออกมาเพียงเสี้ยววินาทีได้อย่างรวดเร็ว

   “พูดตามตรง ผมค่อนข้างจะรำคาญใจถ้าคุณก่อความวุ่นวาย และถ้าคุณโดนจับตัวไปอีกผมก็จะเดือดร้อนอีก” คำพูดของชิงหลงคล้ายจะตำหนิเซินหมิงเฟิ่งถึงเรื่องเก่าอีกครั้ง ทำให้เจ้าตัวไม่กล้าโต้แย้ง

   “มันออกจะแปลกไปหน่อยหรือเปล่าครับ ผมกับคุณอายุไม่ได้ต่างกันขนาดจะใช้คำว่าโอวาทได้หรอกนะ” เมื่อเถียงเรื่องเดิมไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนประเด็นเสีย

   “แต่ประสบการณ์ผมมากกว่าคุณอย่างเทียบไม่ติด”

   ที่ชิงหลงพูดมาทำให้เซินหมิงเฟิ่งถึงกับสะอึก เขาเองก็อายุ 20 เข้าไปแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังกระทำเหมือนเขาเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต ความจริงในสายตาของเซินหมิงเฟิ่งแล้ว ชิงหลงต่างหากที่ความคิดความอ่านเกินวัยไปมาก ปกติคนอายุ 20 ต้น ๆ แบบพวกเขายังถือว่าอยู่ในวัยเรียนรู้ วัยค้นหาเส้นทางชีวิตด้วยซ้ำไป แต่พอมองชิงหลงแล้ว เขาก็อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีความสุขกับชีวิตแบบนี้ได้ยังไง

   ส่วนตัวเขาเอง....เขาไม่เคยคิดสนใจเลยว่าอาชีพของพ่อเป็นยังไงบ้าง เขารู้แต่เพียงว่าเขาจะไม่มีความสุขกับมันอย่างแน่นอน แต่เขาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ถึงพยายามจะเป็นคนปกติเท่าที่ทำได้

   และเมื่อกลับมาฮ่องกง ชีวิตปกติของเขาก็พังทลายลงด้วยการประกาศหมั้นแบบสายฟ้าแลบ ก่อนโดนคนลักพาตัวมา และโดนลักพาตัวอีกทอด

   ดูเหมือนประสบการณ์ของเขาเองก็เข้าใกล้ความเป็นมาเฟียเข้าไปทุกวันแล้ว

   แต่นั่นหมายความว่าตัวชิงหลงที่มีประสบการณ์มาก จะเจอมาเยอะกว่าเขาไม่รู้กี่เท่าหรือเปล่า?

   ทั้งการโดนหมายหัวจากศัตรู วิ่งหลบกระสุนสังหาร หรือกระทั่งการที่มีคนกำหนดอนาคตให้อย่างเรียบร้อยโดยที่ตนเองไม่มีสิทธิเลือก

   “ถ้าต้องมีประสบการณ์แบบคุณ ผมก็ไม่อยากจะมีหรอก” เซินหมิงเฟิ่งสรุปออกมาแบบนั้นหลังจากคิดเปรียบเทียบประสบการณ์ของตนเอง “แต่เอาเถอะ เถียงเรื่องนี้ไปก็ไม่จบ ผมจะตกลงยอมอยู่ในขอบเขตสายตาของคุณก็แล้วกัน”

   ชิงหลงเลิกคิ้วน้อย ๆ คล้ายแปลกใจที่เซินหมิงเฟิ่งตัดบทสนทนาเช่นนี้เป็นแล้ว เขาคิดว่าอีกฝ่ายจะต่อความยาวสาวความยืดเพื่อให้ตัวเองชนะไปเรื่อย ๆ เสียอีก

   ชายหนุ่มเดินกลับมานั่งที่โซฟาแล้ววางแก้วกาแฟที่หมดแล้วลงบนโต๊ะ

   “คิมหันต์อยู่กับโจเซ”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว

   “หมายความว่ายังไงครับ?”

   “อธิบายให้คุณฟังไปอาจจะเสียเวลาเปล่าก็ได้” ชิงหลงว่าอย่างนั้นแต่ก็พูดต่อ “ว่าง่าย ๆ คือ เขาเป็นสิ่งที่ใช้ตอบแทนการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือของโจเซ”

   “แปลว่าคุณยกคิมหันต์ให้คุณโจเซไปแล้ว?” เซินหมิงเฟิ่งถามย้ำแบบสั้น ๆ เพราะเขารู้สึกว่าบางครั้งชิงหลงก็พูดอะไรยืดยาวเกินไป และเมื่อชิงหลงพยักหน้ารับ เขาก็ถึงกับของขึ้น “อย่ามาพูดบ้า ๆ นะ! คิมหันต์ไม่ใช่สิ่งของที่คุณจะยกให้ใครก็ได้ คุณมีสิทธิอะไรที่จะ......” แต่เขาก็พูดได้แค่นั้น เพราะเมื่อพูดถึงสิทธิในตัวคิมหันต์ ชิงหลงย่อมมีสิทธิอย่างเต็มที่ในฐานะเจ้าของตระกูลที่ช่วยเหลือชุบเลี้ยงมา รวมทั้งยังเป็นเจ้านายเหนือชีวิตอีกด้วย ตัวเขาต่างหากที่ไม่มีสิทธิในตัวคิมหันต์มาแต่ต้นแต่คิดว่าตัวเองมี...

   “แน่นอนว่าผมมีสิทธิเต็มที่ คุณก็รู้แก่ใจ” ท่วงท่าของชิงหลงตอนนี้บ่งบอกถึงอารมณ์สบาย ๆ ไม่เคร่งเครียดนัก แต่ถ้อยคำก็ยังทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกโมโหได้อยู่ดี

   “ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นคนที่มีชีวิตจิตใจ แล้วเขาก็ซื่อสัตย์กับคุณมาตลอด”

   “เพราะอย่างนั้นผมถึงรู้ว่าผมไว้ใจเขาได้”

   ยิ่งพูด เซินหมิงเฟิ่งก็ยิ่งสับสน

   ยกให้คนอื่น แล้วบอกว่าไว้ใจ มันหมายความว่ายังไงกัน? เพราะโดยปกติ การยกคนของตัวเองให้คนอื่น หากไม่ใช่ว่าเป็นคนที่เกรงจะทรยศตนเองแล้ว ก็จะส่งไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

   เพื่อผลประโยชน์หรือ?

   “คุณส่งคิมหันต์เข้าไปเป็นหนอนในมอเรสซาเรด้วย?” เซินหมิงเฟิ่งตกตะลึงกับความคิดของตนเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้ชายคนนี้ร้ายกาจถึงขนาดนี้ โจเซเป็นญาตของตนเองแท้ ๆ และมอเรสซาเรก็เป็นแฟมิลีที่แม่ของตัวเองเคยอาศัยอยู่ เมื่อเจ้าตัวมาอิตาลีก็ได้มอเรสซาเรคุ้มหัว การที่ชิงหลงทำตัวแบบนี้มันเป็นการเนรคุณผู้มีบุญคุณของตัวเองชัด ๆ เซินฟมิงเฟิ่งรู้สึกเสื่อมศรัทธาในตัวอีกฝ่ายขึ้นมา

   “คุณคิดตื้นเกินไป” ชิงหลงว่า

   “ผมคิดตื้น?” เรียวคิ้วทั้งสองขมวดมุ่นเข้าหากัน เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัยว่าตนคิดตื้นยังไง ปกติแล้วมาเฟียไม่ได้คิดกันอย่างนี้หรอกหรือ? เขาไม่คิดว่าคนอย่างชิงหลงจะใจบุญสุนทาน นึกอยากยกคนเก่ง ๆ ดี ๆ ให้กับคนอื่นเพื่อจะได้ไปช่วยเหลือเปล่า ๆ ได้

   “บางทีผมก็รู้สึกว่า น่าจะลองปล่อยให้คุณคิดเองบ้าง บอกคุณไปหมดทุกอย่างเดี๋ยวคุณจะสมองฝ่อเอาเปล่า ๆ” ว่าแล้ว ชิงหลงก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังประตู เขาเปิดออกพลางผายมือเหมือนเชิญให้แขกในห้องกลับออกไปได้แล้ว และเจตนาจริง ๆ ของเขาก็เป็นเช่นนั้น

   “แต่ผมอยากรู้” เซินหมิงเฟิ่งยืนยัน
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 13-06-2012 22:21:15
   “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรค้นหาด้วยตัวเอง มันคงทำให้เวลาว่างของคุณน้อยลงบ้าง” ชิงหลงเปิดประตูค้างไว้ และแสดงท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ตอบคำถามไปมากกว่านี้ เซินหมิงเฟิ่งเห็นดังนั้นจึงจำต้องยิมลุกจากโซฟาแล้วเดินไปทางประตูอย่างที่เจ้าของห้องต้องการ

   “ผมขอถามอีกข้อ”

   “อะไรหรือ?”

   “จนถึงตอนนี้ คุณจะบอกผมได้หรือยังว่าจุดประสงค์ของคุณคืออะไร” เซินหมิงเฟิ่งหมุนตัวกลับมายืนเผชิญหน้ากับชิงหลง สายตาของเขาแน่วแน่มั่นคงต่อคำถามซึ่งเขาปรารถนาจะรู้คำตอบมาโดยตลอด เพียงแต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เขาเอาแต่ซึมเซากับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจนแทบจะไม่มีอารมณ์อยากจะไปคิดถึงมันก็เท่านั้น แต่ในตอนนี้ อย่างน้อยเขาอยากรู้ว่าทำไมเขาจึงต้องมาเผชิญกับเรื่องเหล่านี้ เรื่องต่าง ๆ ซึ่งนำพาความสงบสุขและความเป็นปกติชนไปจากชีวิตของเขาทีละน้อย

   แววตาของชิงหลงไหววูบอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

   “เหตุผลที่กฎนั้นถูกตั้งขึ้น คุณเข้าใจความหมายของมันหรือเปล่า?” แทนที่จะตอบคำถามโดยตรง ชิงหลงกลับย้อนถามกลับมา

   “หมายถึงกฎที่บอกให้เรากระทำต่อผู้อื่นแบบเดียวกับที่ถูกกระทำน่ะหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเหมือนจะเคยได้ยินถึงมันมาบ้างนาน ๆ ครั้ง มีพื้นฐานมาจากกฎหมายเก่าแก่ของบาบิโลเนียซึ่งบัญญัติขึ้นโดยพระเจ้าฮัมมูราบี แน่นอนว่าเขาได้ยินมันบ่อยกว่าในชั่วโมงเรียนประวัติศาสตร์โลก “สำหรับพวกเราแล้ว คงเป็นการคานอำนาจระหว่างกันก็ว่าได้ เพื่อที่คนหนึ่งจะไม่เอาเปรียบอีกคนตามใจชอบซึ่งจะนำไปสู่การทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งค์อย่างไม่มีเหตุผลที่มากพอ และเป็นการไม่ปล่อยให้แก๊งค์อื่นเข้ามาแทรกแซงได้ด้วย”

   “นั่นถือว่าเป็นเหตุผลหลักของมัน สิ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดเมื่อมันถูกตั้งขึ้นมา” ชิงหลงกล่าวเสียงเรียบ

   “แปลว่ามีเหตุผลอื่น?”

   ชิงหลงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะดันเซินหมิงเฟิ่งให้พ้นกรอบประตู

   “เพื่อให้คนหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของอีกคน” เขาทิ้งท้ายแค่นั้นก่อนจะปิดประตูลง

   เซินหมิงเฟิ่งยืนอึ้งอยู่หน้าประตูสักพักก่อนจะรู้ตัวว่าตนเองถูกเชิญออกมานอกห้องเป็นที่เรียบร้อย การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูสะกิดบ่าเขาเบา ๆ อย่างเกรงใจแล้วทำมือบุ้ยใบ้ว่าจะพากลับไปที่ห้องราวกับเกรงว่าเสียงของตนจะผ่านเข้าไปหลังประตูบานนั้น

   เซินหมิงเฟิ่งยอมกลับห้องแต่โดยดี กระนั้นก็ยังมีสิ่งที่ค้างคาใจของเขาอยู่

   เรื่องแรก คือเรื่องที่ชิงหลงบอกเขาเมื่อครู่ เจ้าตัวต้องการให้ใครคนหนึ่งรับรู้ความรู้สึกของตนเองอย่างนั้นหรือ? แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับตัวเขาด้วย? ในเมื่อเขาและชิงหลงเพิ่งจะเคยพบกันจริง ๆ ก็ตอนที่ถูกลักพาตัวมาเท่านั้นเอง หรือว่าจะเป็นใครในครอบครัวของเขากันนะ?

   ส่วนเรื่องที่สอง เขายังคงสงสัยจุดประสงค์ของชิงหลงไม่หาย ว่าเจ้าตัวส่งคิมหันต์ไปให้โจเซทำไม ทั้งที่คิมหันต์ตั้งใจทำงานเป็นหนอนในบ้านของจูเชว่ถึงสิบกว่าปีเพื่อที่จะได้กลับมารับใช้นายที่แท้จริงอีกครั้ง การตัดสินใจเช่นนั้นจะไม่เย็นชาเกินไปหน่อยหรือ?

   แต่สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งสงสัยนั้น เขาคงไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าชิงหลงมีคำตอบของตนเองอยู่แล้ว

   โจเซแสดงความสนใจในตัวคิมหันต์นั้นมีเหตุผลอยู่ หลังจากที่เขาบอกเล่าประสบการณ์การทำงานและหน้าที่ของคิมหันต์ให้เจ้าตัวฟัง โจเซก็คล้ายจะแสดงความต้องการออกมานิดหน่อย เพราะน้อยคนนักที่จะสามารถเลี้ยงให้กลายเป็นนักสอดแนมชั้นยอดที่แฝงตัวเข้าไปอยู่กับฝ่ายตรงข้ามเป็นสิบกว่าปีได้ อย่างน้อยคน ๆ นั้นจะต้องมีความซื่อสัตย์อยู่ในขั้นสูง มีความจงรักภักดี และไม่โอนอ่อนไปตามภาวะอารมณ์ ใช่ว่าทุกคนที่ถูกชุบเลี้ยงตั้งแต่เด็กจะสามารถใช้งานแบบนี้ได้ และแน่นอนว่าองค์กรแบบพวกเขา ย่อมต้องการคนที่มีความสามารถแบบนี้มาทำงานให้สักคนหรือสองคน และตัวโจเซเองก็เพิ่งจะเสียคนแบบนั้นไปเมื่อไม่นานมานี้

   แต่ถึงอย่างนั้น โจเซก็มีความหยิ่งทะนงในตัวเองมากพอที่จะไม่เอ่ยปากขอจากใครฟรี ๆ

   เพราะอย่างนั้นจึงไม่เคยแสดงความต้องการที่จะขอตัวคิมหันต์จากชิงหลงเลย หรือไม่ก็คงจะรอวาระโอกาสที่เหมาะสม ที่ตนเองจะมีอะไรบางอย่างแลกเปลี่ยนได้

   และแล้วโอกาสนั้นก็มาถึง

   ชิงหลงได้วางแผนให้เซินหมิงเฟิ่งและคิมหันต์ถูกจับตัวไป ซึ่งโจเซเองก็รู้เจตนานั้นจึงยอมร่วมมือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชิงหลงเสนอจะให้คิมหันต์เป็นค่าตอบแทน

   สำหรับชิงหลงแล้ว อาจจะเรียกได้ว่ายอมขาดทุนเสียด้วยซ้ำ เพราะค่าตัวของคิมหันต์ไม่ใช่น้อย ๆ เพียงแค่นี้แน่ แต่เขามีเป้าหมายอื่นอีกที่ประทำเช่นนี้

   อย่างแรก คือการบั่นทอนความมั่นคงในจิตใจของเซินหมิงเฟิ่ง เมื่อถูกพรากจากคนใกล้ชิดไป คนทุกคนย่อมเกิดความสั่นคลอนในใจไม่มากก็น้อย และในตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งก็จะเหลือเขาเพียงคนเดียวที่ไม่อยากจะพึ่งพิงแต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป

   ส่วนอย่างที่สองนับเป็นผลพลอยได้ที่คุ้มค่า เพราะการที่เขายอมขาดทุน ทำให้มอเรสซาเรเหมือนเป็นหนี้เขาอยู่กลาย ๆ และหากคิมหันต์ทำงานให้โจเซได้เป็นผลสำเร็จ ชิงหลงก็จะได้ผลประโยชน์ไปด้วยโดยปริยาย ทั้งความไว้วางใจ และความกลัวเกรง อิทธิพลของอิตาลีที่ขึ้นกับมอเรสซาเรจะมีชิงหลงพ่วงไปด้วยหากสิ่งนั้น ๆ ได้มาด้วยฝีมือคนของเขา โจเซเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แต่ที่ยินยอมเป็นหนี้ก็เพราะหากแฟมิลีอื่นไม่เกรงชิงหลงบ้าง ก็จะลุกขึ้นมาต่อต้านอีกเรื่อย ๆ เหมือนอย่างดอนบราซินี และตัวชิงหลงเองก็อยู่ห่างไกลเกินกว่าจะฝังรากอิทธิพลของตนลงในแผ่นดินแห่งนี้ได้ โจเซจึงไม่มีอะไรต้องกังวล พวกเขาจึงเหมือนต่างคนต่างก็ได้ประโยชน์ไปคนละเล็กละน้อยจากตัวหมากตัวหนึ่ง ซึ่งมีคุณค่ามากกว่าที่ตนเองคาดคิด

   กระนั้น การที่ส่งคิมหันต์ไปให้โจเซ ชิงหลงก็ยังมีจุดประสงค์แฝงอีกข้อ นั่นคือ เขาไม่สามารถไว้วางใจคิมหันต์ได้อย่างเต็มที่นัก เพราะคิมหันต์ก็เป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ และการถูกเลี้ยงดูโดยจูเชว่ทำให้ใจของเจ้าตัวเอนเอียงไปไม่น้อย โดยปกติก็คงจะวางใจได้ แต่การอยู่ใกล้ชิดกับเซินหมิงเฟิ่ง หลายต่อหลายครั้งที่เขาจับความรู้สึกได้ว่าคิมหันต์มีใจเอนเอียงไปให้เล็กน้อย ทั้งความห่วงใย ความเห็นใจ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ทำให้ชิงหลงตัดสินใจว่า จะเป็นการดีมากกว่าที่จะส่งคิมหันต์ไปอยู่ไกลตัวเซินหมิงเฟิ่งเสีย

   หากเซินหมิงเฟิ่งรู้ทั้งหมดนี้ ฝ่ายนั้นก็คงบอกว่าเขาเป็นคนเลือดเย็นตามเคย

   แต่มันเป็นเป็นวิถีที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ในโลกเช่นนี้

--------------------------->

   กลับไปทางฮ่องกง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งเป็นตายร้ายดีอย่างไร นอกหนือจากการทำงาน เซินจงยังคงเก็บตัวอยู่คนเดียวราวกับกลายเป็นกิจวัตรของเขาไปเสียแล้ว และในห้องที่เงียบสงัดนั้น เขาจ้องมองรูปภาพของหญิงสาวคู่ชีวิตเขาทั้งสองคน จนถึงตอนนี้ เขารู้สึกว่าตนเองมีดวงไม่ค่อยดีกับผู้หญิงนัก เพราะไม่ว่าเมื่อไหร่ เขาก็จะรู้สึกว่าตนเองทำผิดต่อหญิงสาวที่ใกล้ชิดเขาอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะเป็นภรรยาคนแรกผู้เป็นแม่ของลูกชายเขา หรือคนที่สองซึ่งได้อยู่ด้วยกันเพียงไม่กี่ปี เขาก็รู้สึกว่าตนเองผิดต่อพวกเธอทั้งสิ้น

   และตอนนี้ เขาก็กำลังทำผิดต่อหญิงสาวอีกคนหนึ่ง....

   “นายท่าน” พ่อบ้านหวางเคาะประตูไม้พลางเอ่ยเรียก

   “มีอะไรเหล่าซือ ใครมาหาหรือ?” เซินจงหมุนตัวไปหาพ่อบ้านสูงอายุที่ค่อย ๆ เปิดประตูเข้ามาอย่างแปลกใจเมื่อพบว่าเจ้านายของตนไม่ได้ล็อคห้องไว้อย่างเคย

   “คุณซากุระมาพบครับ” หวางซือรายงาน

   เซินจงพยักหน้า แม้จะรู้สึกแปลกใจนิดหน่อยที่ซากุระมาหาแต่เขาก็ไม่ได้นึกอยากขับไล่ไสส่ง

   “เชิญคุณซากุระไปรอที่ห้องรับแขก หาน้ำชากับขนมไปรับรองด้วย เดี๋ยวฉันจะตามไป” เขากล่าวแค่นั้นแล้วโบกมือวูบเป็นการสั่งให้หวางซือไปทำตามคำสั่งโดยทันที และไม่มีคำสั่งอื่นใดต่อ และเมื่อประตูถูกหับลง เซินจงก็เบือนสายตากลับไปมองรูปภาพเหล่านั้นอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนไปยังรูปถ่ายของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสท่ามกลางแสงแดดเป็นประกาย

   มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มเล็ก ๆ

-------------------------->

   “ขอโทษด้วยนะคะที่มารบกวน” ซากุระกล่าวกับหวางซืออย่างนอบน้อมขณะพวกเขาเดินไปทางห้องรับแขกของบ้านใหญ่

   “ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณมินาโมโตะเองก็เหมือนจะเป็นคนในบ้านอยู่แล้ว จะมาเมื่อไหร่ก็ได้ครับ” หวางซือพูดกับหญิงสาวด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนคนแก่เอ็นดูเด็ก ๆ ซากุระทำให้เขาอดนึกถึงลูกสะใภ้ขึ้นมาไม่ได้ ฮว่าเหม่ยเองก็เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยและมีรอยยิ้มอยู่เสมอ เพียงแต่ไม่ได้มีหน้าตาสะสวยดึงดูดใจแบบซากุระเท่านั้น เทียบกันแล้ว ฮว่าเหม่ยค่อนข้างจะหน้าตาธรรมดา แต่เพราะยิ้มเก่งและอัธยาศัยดีจึงมีแต่คนรักใคร่

   จะว่าไป ซากุระมีส่วนคล้ายนายหญิงคนที่สองของบ้านมากกว่า เธอทั้งสวยและอ่อนโยนราวกับหลุดมาจากเทพนิยาย ถึงอย่างนั้นก็มีความแข็งแกร่งเกินกว่าที่ผู้ชายจะคาดคิดถึง

   เสียดายที่อายุสั้นทั้งคู่....

   หวางซือถอนหายใจ

   “เป็นอะไรไปหรือคะ?” ซากุระตกใจที่อยู่ ๆ หวางซือก็ทำหน้าเศร้าแล้วถอนหายใจออกมา

   “ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแก่แล้ว บางทีก็เลยคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมา” หวางซือว่าพลางหัวเราะแหะ ๆ “เชิญคุณหนูรอในห้องรับแขกก่อน เดี๋ยวผมจะไปเร่งน้ำชากับขนมมาให้ ไม่รู้เจ้าเด็กพวกนั้นมัวทำอะไรกันอยู่” เขาพูดพลางมุ่นคิ้วเมื่อเห็นว่ายังไม่มีใครเอาสำรับมารับแขกเลย

   “ไม่ต้องเร่งหรอกค่ะ ฉันเพิ่งจะทานอาหารมาเมื่อครู่นี้เอง”

   “คุณมินาโมโตะไม่ต้องเกรงอกเกรงใจหรอกครับ เชิญนั่งก่อน ๆ” หวางซือรีบพาซากุระเข้าไปนั่งข้างในห้อง แล้วผลุนผลันออกไปอย่างรวดเร็วผิดกับสังขารภายนอกอย่างสิ้นเชิง

   ซากุระนั่งรอในห้องพลางมองไปรอบ ๆ ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่มาหาเซินจง เธอก็ไม่ได้มาเยี่ยมอีกเลย ใจของเธอรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยที่ทอดทิ้งชายที่เพิ่งถูกแย่งลูกไปให้อยู่เพียงลำพัง ถึงแม้ตัวเธอเองจะมีการงานและยังต้องสืบสาวเรื่องเซินหมิงเฟิ่ง แต่ในฐานะว่าที่ลูกสะใภ้แล้ว ซากุระก็รู้สึกว่าตนเองละเลยเซินจงมากเกินไป เมื่อหาเวลาได้จึงรีบรุดมาพบอย่างทันที

   “ขออนุญาตค่ะ” เด็กสาวอายุน้อยกว่าเธอค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องพร้อมถาดน้ำชาและขนมที่ทำจากแป้งคล้ายขนมเปี๊ยะ ใบหน้าเด็กสาวติดจะบูดอยู่นิด ๆ ท่าทางจะโดนดุมาแน่ ๆ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นว่าเธอมองอยู่ เด็กคนนั้นก็รีบยิ้มออกมาแล้วทำหน้าเขินอายก่อนจะรีบเดินออกไป

   เซินจงเดินเข้ามาในห้องหลังจากนั้น ทันแผ่นหลังไหว ๆ ที่วิ่งไปทางครัว

   เขาอดจะส่ายศีรษะไม่ได้ หากหวางซือเห็นเขาไม่วายโดนดุเข้าอีก พ่อบ้านของเขายิ่งไม่ชอบเห็นคนรับใช้วิ่งในบ้านอยู่ด้วย

   ซากุระเห็นว่าเซินจงมาแล้วจึงลุกขึ้นโค้งให้

   “สวัสดีค่ะคุณเซิน”

   “สวัสดีคุณซากุระ วันนี้มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า?” เซินจงพูดพลางเดินเข้าไปนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม ซากุระจึงนั่งลงเช่นกัน

   “เปล่าหรอกค่ะ ฉันแค่อยากจะมาเยี่ยมคุณเซินเท่านั้น หวังว่าฉันคงจะไม่ได้มารบกวนอะไรนะคะ” ซากุระกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจ

   “ไม่เลย วันนี้ผมกำลังพักผ่อนพอดี” เซินจงยิ้มจางแล้วยกชาขึ้นจิบ พาให้ซากุระยกชาอีกถ้วยขึ้นจิบตาม

   “จริงสิคะ ฉันเองไม่รู้ว่าจะเอาอะไรติดไม้ติดมือมาฝากดี ก็เลย...” หญิงสาวหันไปหยิบถุงข้างตัวขึ้นมา “เอาขนมของแม่บ้านที่บ้านของฉันมาแบ่งให้ เธอชอบทำขนมมาก ขนมญี่ปุ่นแบบไหนก็ทำอร่อยไปทุกอย่าง แต่ฉันไม่รู้ว่าจะถูกปากคนที่บ้านนี้หรือเปล่า”

   “ถ้าคุณซากุระรับรองถึงขนาดนั้นก็ต้องอร่อยแน่นอนอยู่แล้ว” เซินจงว่าแล้วจึงรับถุงขนมไปวางข้างตัว “ระยะนี้สบายดีไหม? เห็นว่าไม่ได้มาเสียนาน”

   “สบายดีค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้ทำงานหนักหนาอะไร จะว่าไป ระยะนี้ฉันค่อนข้างจะสนิทสนมกับคุณหลางเมี่ยวอินมากทีเดียว” ซากุระบอกเล่าด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนเด็กที่เล่าให้ผู้ปกครองฟังว่าตนเองได้พบเพื่อนใหม่ หรือมีเพื่อนสนิทคนใดบ้าง “แล้วก็เพิ่งจะได้พบกับคุณหลางเมี่ยวเจินอีกครั้งเมื่อวันก่อนนี้เองค่ะ” เธอเสริมขึ้นมาเมื่อนึกขึ้นได้ แต่ตัวเธอยังไม่แน่ใจนักว่ากับหลางเมี่ยวเจินจะถือว่ารู้จักในระดับไหน

   “อย่างนั้นหรือ? ผมเองก็เป็นห่วงว่าคุณซากุระจะเหงา เพราะอาหมิงไม่อยู่แบบนี้ แต่ได้เพื่อนก็ดีแล้ว” เซินจงกล่าวตอบ บทสนทนาของทั้งสองแม้จะดูปกติธรรมดา แต่ทั้งสองก็รู้ว่ามีความหมายแอบแฝงที่พวกเขารู้กัน การรายงานเรื่องความสนิทชิดเชื้อกับเพื่อนใหม่ของซากุระ บ่งบอกเซินจงว่าเธอกำลังกำเนินแผนการของตนอยู่ ถึงแม้เซินจงจะนึกสงสัยว่าทำไมจึงได้เข้าทางคนตระกูลหลาง แต่เขาเชื่อว่าซากุระมีเหตุผลของตนเอง ไม่ได้ทำไปตามอารมณ์ที่อยากจะเข้าหาผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น

   “ฉันต่างหากที่เกรงว่าคุณเซินจะเหงา คุณเซินหมิงเฟิ่งไม่อยู่แบบนี้ ทั้งที่เพิ่งจะกลับมาจากต่างประเทศและได้พบหน้ากันในรอบหลายปี” ซากุระกล่าวพลางมองเซินจงด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เพราะตัวเธอเองก็เข้าใจความรู้สึกที่ต้องห่างไกลจากครอบครัว

   เซินจงได้ฟังก็รู้สึกสะท้อนใจไม่น้อย ทั้งที่เขาจงใจใช้ประโยชน์จากเธอ แต่ซากุระนอกจากจะน้อมรับโดยดีแล้ว ยังหันมาเป็นห่วงเป็นใยเขาเสียอีก

   “คุณซากุระชิมขนมนี่หน่อยไหม? อาจจะร่วนฝืดคอไปหน่อย แต่ดื่มน้ำชาตามแล้วจะหวานอร่อยดีทีเดียว” เขาปกปิดอารมณ์ของตนด้วยการเลื่อนจานขนมไปตรงหน้าเด็กสาว ซึ่งเธอก็ยิ้มรับแล้วหยิบขนมชิ้นเล็กไปจากจานกระเบื้องเคลือบลายสวยงาม

   “อร่อยจริง ๆ ด้วย ขอบคุณมากนะคะ” เธอกล่าวพลางยิ้มกว้าง สำหรับซากุระแล้ว เธออาจจะกำลังมองเซินจงเป็นตัวแทนพ่อก็เป็นได้ เพราะตัวเธอนั้นไม่เคยได้รับความรักจากพ่อที่แท้จริงเลย เมื่อเซินจงแสดงความเอ็นดูกับเธอ เธอจึงไม่อิดออดเลยที่จะตอบรับมันเอาไว้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีจุดประสงค์บางอย่างอยู่ก็ตาม สำหรับเธอแล้ว ความรักความอบอุ่นอันน้อยนิดนี้ สูงค่าเกินกว่าจะปฏิเสธได้ลง

   เซินจงทอดสายตาอ่อนโยนมองดูหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าว่าที่ลูกสะใภ้

   นี่คือหญิงสาวอีกคน...ที่เขากำลังกระทำผิดต่อเธอ....

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 13-06-2012 23:04:28
ดีใจที่มาอัพเรื่อยๆ  o13
เซินกะชิงหลง ไม่เห็นวี่แววจะรักกันลงเลยนะ หรือจะเป็นอารมณ์ประมาณว่า อยู่ๆกันไปก็เฉยๆ แต่พอห่างกันก็เกิดโหยหากันขึ้นมา  :laugh:
คิมหันต์ไปอยู่กับโจเซแล้ว เซินเหงาแย่  :o12: อิตาชิงหลงนี่ก็ทำตัวเป็นเด็กๆเหมือนกันแหละน่า ซากุระมาเอาตัวเซินกลับไปให้ได้นะ!

รอตอนหน้าน้า ><
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 13-06-2012 23:53:13
อ๊าาา...จะรักกันได้มั๊ยยยย เีนี่ยยย เพื่อให้คนนึงเข้าใจความรู้สึกอิกคนนึง เอ๊ะ!?  ยังายยย ยย 555555

รอตอนต่อไปคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 14-06-2012 01:17:54
ในที่สุด...สิ่งที่รอคอยก็มา :o12: :o12: :o12: :o12:

ว่าแล้วเชียวอีชินหลงแกๆๆๆๆๆๆ  :fire: :fire: :fire:

บังอาจทำกับเซินเซินและคิมหันที่น่ารักได้นะ :m31: :m31:

แต่ว่า...โจเซจับคิมหันทำเมียเตอะ  :-[ :-[ :-[ :-[

เชียร์ๆๆๆๆ :impress2: :impress2:

รอมาต่อนะคะ :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 14-06-2012 17:41:07
ชิงหลงนิสัยไม่ดีทำแบบนี้กับหมิงได้ไง  :m31: โจเซกับคิมหันต์ว่าแล้วต้องเป็นแบบนี้  :L1:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 14-06-2012 18:55:59
ชิงหลง อยากให้รู้ความในใจว่ารัก รึเปล่า
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 14-06-2012 19:00:03
เอ๊ะ ชิงหลง นี่ยังไง  :m16:

ไม่มีความเชื่อใจให้คนอื่นเลยใช่ไหม ห่ะ :angry2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 17 (13/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 14-06-2012 22:31:01
ตามกันต่อไป
เรื่องนี้ไม่มีทีท่าว่าจะจบกันได้ง่ายๆเลยทีเดียว
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (17/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-06-2012 19:55:29
-18-


   ท้องฟ้าในอิตาลีวันนี้ค่อนข้างหม่นมัวจนน่าอึดอัด ถึงแม้จะเป็นเวลาสายจนใกล้เที่ยงวันแล้ว แดดกลับยังไม่ส่องเข้ามาในห้องเพราะโดนหมู่เมฆบดบัง อีกไม่นานฝนจะต้องตกลงมาแน่ ๆ อากาศแบบนี้กแปรกับการที่เขาต้องอยู่คนเดียวอย่างเหี่ยวเฉา ทำให้อารมณ์ของเซินหมิงเฟิ่งไม่ร่าเริงนัก เขาตัดใจจากหน้าต่างหันไปมองตู้หนังสือที่ไม่มีอะไรน่าจับน่าใคร่นัก

   ไม่รู้ว่าชิงหลงคิดอะไรอยู่ จึงให้นำหนังสือวิชาการหรือสารคดีมากมายเข้ามาอัดจนเต็มชั้น ซ้ำครึ่งหนึ่งยังเป็นภาษาอิตาลี ส่วนที่เหลือเป็นภาษาฝรั่งเศสกับอังกฤษปะปนกันไป พูดง่าย ๆ คือ ในชั้นหนังสือทั้งหมด 7 ชั้น หน้ากว้าง 3 ฟุต มีหนังสือเพียง 30% ที่เขาสามารถอ่านได้ ส่วนที่เหลืออีก 55% เขาสามารถอนุมานได้จากรูปภาพ และส่วนที่ไม่ได้พูดถึง คือหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตัวอักษรเรียงรายตัวยิบย่อยและสัญลักษณ์ที่เขาไม่รู้จักอีกเพียบ และแน่นอนว่ามันถูกเขียนด้วยภาษาอิตาลีหรือฝรั่งเศส

   พอมองตู้หนังสือแล้วคิดออกมาเช่นนั้นแล้ว อารมณ์ของเขาก็ยิ่งเฉาลงไปกว่าเดิมหลายเท่าจนไม่ต่างกับต้นไม้ที่ขาดน้ำ

   เซินหมิงเฟิ่งเอื้อมมือไปที่ชั้นหนึ่งซึ่งอยู่ในระดับสายตา

   เขาดึงมันออกมาอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่ก็พบว่ามันเป็นหนังสือภาพถ่ายสถานที่สำคัญของโลก เล่มของมันค่อนข้างหนาเพราะพิมพ์ด้วยกระดาษอาร์ตมันอย่างดี 4สีทั้งเล่ม สิริรวมราคาเป็นค่าเงินแถบ ๆ นี้แล้ว เขาก็ไม่อยากจะผันกลับเป็นดอลลาห์ฮ่องกงเอาเสียเลย

   เซินหมิงเฟิ่งสอดหนังสือเล่มนั้นไว้ใต้รักแร้แล้วดึงหนังสือภาพออกมาอีก 2 เล่ม ก่อนจะถือทั้งหมดเดินไปที่โซฟาแล้วนั่งลง บนโต๊ะยังมีจานใส่ขนมจุกจิกที่เขาให้การ์ดคนหนึ่งลงไปซื้อมาให้กินแก้เบื่อกับขวดน้ำผลไม้วางอยู่ด้วยกัน เขาเอื้อมมือไปหยิบนมโยนใส่ปากพลางฟังเสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ อยู่เหนือศีรษะ คงต้องขอบคุณมันที่ทำให้ห้องมีอากาศไม่อุดอู้เกินไปนัก แม้ภายนอกจะเต็มไปด้วยความชื้นก็ตาม

   หนังสือเล่มแรกถูกเปิดออก เขาคิดเอาไว้แล้วว่าบางทีเขาอาจจะต้องเฉาตายอยู่ในห้องนี้ไปตลอดชีวิต แต่ครั้นคิดเปรียบเทียบกับตอนที่ถูกลักพาตัวไปโดยคนของบราซินี บางที การอยู่แบบนี้อาจจะดีกว่าหลายเท่า เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกทำร้ายร่างกายใด ๆ ซ้ำยังมีที่นอนอุ่นสบาย มีเสื้อผ้าที่ซักใหม่ ๆ ให้สวมใส่ทุกวัน อาหารอย่างดีมาเสิร์ฟถึงห้อง 3 เวลา

   บางทีการเป็นนกในกรงอาจจะไม่ได้แย่มากนัก.....

   เมื่อคิดออกมาแบบนั้น เขาก็อดชะงักไปไม่ได้

   ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเริ่มคิดแบบนี้ ตั้งแต่ตอนไหนที่เขารู้สึกว่าการถูกกักขังเอาไว้เป็นเรื่องที่ดี ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังสามารถคิดวิธีมากมายเพื่อส่งข่าวหรือหนีออกไป แม้ว่ามันจะไม่สำเร็จ แต่ในตอนนั้นเขาก็ยังพยายามในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง

   แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กัน....ที่เขายินยอมอยู่ในห้องนี้อย่างเต็มใจ....

   นี่มันผิดปกติแน่ ๆ

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วกับตัวเองพลางมองจานขนมและขวดน้ำบนโต๊ะ มองหนังสือในมือ และเสื้อผ้าที่ตนเองกำลังสวมใส่

   สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของของเขาเลยสักอย่างเดียว ไม่มีอะไรเลยที่ได้มาด้วยตัวเขาเอง มีแต่สิ่งที่ชิงหลงนำมาให้หรือได้จากคนของชิงหลงทั้งนั้น

   อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา ความขัดแย้งระหว่างสภาพจิตใจกับความคิดทำให้สมองของเขาปั่นป่วนเหมือนโดนโยนใส่เครื่องปั่น

   แย่ที่สุด....

   ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น ก็มีใครบางคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง เซินหมิงเฟิ่งหันไปดูเพราะรู้ว่าคนที่เข้ามาไม่ใช่คิมหันต์อย่างแน่นอน

   “ชิงหลง?” แต่คนนี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมาย

   ชิงหลงเดินเข้ามาในห้องเสมือนว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของห้องนี้อยู่แล้ว เจ้าตัวพาตนเองไปยังตู้หนังสือที่สั่งให้คนเอามาอัดจนเต็ม ก่อนจะเลือกหยิบมา 2 เล่ม ซึ่งเป็นเล่มที่เซินหมิงเฟิ่งไม่คิดอยากจะแตะ เพราะมันคือหนังสือวิชาการที่เต็มไปด้วยตัวอักษรล้วน ๆ

   เขาเดินตรงมาที่โซฟาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้าม โดยที่สายตาของเซินหมิงเฟิ่งยังจับจ้องอยู่ด้วยความสงสัยและอีกหลากหลายอารมณ์

   ไม่นานนัก ชิงหลงก็เงยหน้าขึ้นมาสบสายตาที่จ้องมองอยู่นั้น

   “มีอะไรหรือ?”

   “.....เปล่า” พอถูกถาม เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่รู้ว่าตนเองควรจะตอบว่ามีอะไรดีหรือเปล่า เขาก็แค่สงสัยว่าอีกฝ่ายเข้ามาในห้องนี้ทำไม แต่มองไปแล้ว เจ้าตัวอาจจะแค่เข้ามาอ่านหนังสือก็ได้ แต่ถ้าแค่นั้นทำไมถึงไม่อ่านที่ห้องตัวเอง ความคิดสรตะวุ่นวายตบตีกันในหัวทำให้เขาไม่แน่ใจว่าจะพูดอะไรก่อน

   “บางทีคุณอาจจะอยากอยู่เป็นส่วนตัว ผมจะออกไปก็แล้วกัน” ชิงหลงสรุปความว่าอย่างนั้นก่อนจะลุกขึ้นพร้อมหนังสือในมือ

   “ม...ไม่ใช่!” เซินหมิงเฟิ่งร้องก่อนจะชะงักเมื่อรู้ตัวว่าทำเสียงดังเกินความจำเป็น “ผมหมายถึงว่า ไหน ๆ ตอนนี้ก็มีผมอยู่คนเดียวแล้ว คุณจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมบ้างก็ไม่เป็นไร” เขาลดเสียงลงและพยายามพูดให้เหมือนตนเองไม่ได้รู้สึกเหงาหรือหดหู่อะไรมากมาย

   “ผมคิดว่าคุณจะไม่ชอบหน้าผมเสียอีก”

   ในบางครั้ง เซินหมิงเฟิ่งก็อดคิดไม่ได้ว่าตนเองกำลังโดนปั่นหัวอยู่หรือเปล่า...

   แต่แน่นอน เขาไม่ชอบหน้าชิงหลงเท่าไหร่ ใครกันล่ะจะชอบหน้าคนที่ลักพาตัวเองมากักขังเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่มีทางให้เลือกมากนัก

   “ถึงจะไม่ค่อยถูกชะตา แต่ถ้าคบหากันไปนาน ๆ คุณอาจจะมีส่วนที่น่าคบก็ได้” เซินหมิงเฟิ่งไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา จึงบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่นไปแทน

   “ถ้าคุณว่าอย่างนั้น” ชิงหลงไหวไหล่แล้วนั่งลงที่เดิม

   เซินหมิงเฟิ่งลอบมองอีกฝ่ายพลางถอนหายใจ แต่แล้วก็มีกระแสความคิดบางอย่างไหลเจ้าสู่สมองโดยไม่ได้ตั้งใจจะคิดเช่นนี้

   หรือว่าชิงหลงจะกลัวเขาเหงา?

   ไม่น่า....

   คนอย่างชิงหลงน่ะหรือจะคิดถึงใจคนอื่นถึงขนาดนั้น ที่ทำกับเขาไว้นั่นถึงจะทำดีด้วยเท่าไหร่ก็คงไม่เท่ากับการยอมปล่อยเขากลับบ้านให้เป็นอิสระ ดังนั้นถึงจะใจดีด้วยแค่ไหน เขาก็คงไม่อาจไว้ใจได้ว่าอีกฝ่ายจะมีจิตใจที่นึกถึงคนอื่นจริง ๆ หรือเปล่า

   ก็กระทั่งคิมหันต์...ที่ทำงานถวายชีวิตให้ขนาดนั้น ก็ยังยกให้คนอื่นเสียง่าย ๆ....

   “คุณไม่ได้เล่นหมากรุกนานแล้วหรือเปล่า?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็ถามขึ้นมา ทำให้เซินหมิงเฟิ่งที่กำลังคิดอะไรอยู่ในใจถึงกับสะดุ้งเฮือกเพราะนึกว่าโดนอ่านใจเข้า แต่เมื่อฟังดี ๆ และคิดประมวลแล้ว นั่นเป็นคำถามพื้น ๆ ที่เรียบง่ายที่สุดจากคนตรงหน้า

   “จะว่าไป ก็นานแล้ว...” เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเขามีสิ่งฆ่าเวลาที่เรียกว่า ‘หมากรุก’ อยู่ กระนั้น เหตุผลหนึ่งที่เขาเลิกเล่นก็เป็นเพราะเขาเหนื่อยที่จะใช้สมองไปกับการละเล่นพร้อมกับการคิดหาทางออกให้ตัวเอง อีกทั้งตัวเขาเองก็รู้ซึ้งถึงฝีมืออันอ่อนด้อยเมื่อลองประลองกับชิงหลงครั้งหนึ่งหลังจากที่โดนโจเซหยอกเล่นเอาโดยไม่รู้ตัว ทำเอาเขาเอียนหมากรุกไปพักใหญ่เลยทีเดียว

   “ลองเล่นกันไหม?”

   “เอ๋?”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วมองชายหนุ่มตรงหน้า นึกแปลกใจว่าอยู่ ๆ อีกฝ่ายคิดยังไงถึงมาชวนเขาเล่นหมากรุกเอาเวลาอย่างนี้

   “คุณเก่งจะตายไป เล่นกี่ครั้งผมก็คงแพ้ราบคาบ” เขาว่าพลางนึกถึงครั้งสุดท้ายที่ชิงหลงลงมานั่งเล่นกับเขา หากพูดตามจริง เป็นการสั่งสอนเสียมากกว่า

   “ผมสัญญาว่าจะออมมือให้”

   “สัญญาของมาเฟียเชื่อถือได้แค่ไหนผมยังไม่รู้เลย” พอเซินหมิงเฟิ่งพูดออกไปแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะเผลอพูดดูถูกอีกฝ่ายรวมถึงพ่อของตัวเองเข้า “อย่าเพิ่งโกรธผมนะ ผมแค่ไม่รู้ว่าปกติมาเฟียเขาสัญญาอะไรกันยังไง ก็อย่างที่คุณเคยว่า ผมเป็นคนธรรมดาที่ยังอ่อนหัด”

   ชิงหลงเหลือบสายตามองคนที่พยายามแก้ต่างให้ตัวเองเป็นพัลวัน เขารู้สึกขำอยู่ในใจแต่ไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย

   “ถ้าพูดให้ถูก สัญญาของพวกเราถือเป็นคำสัตย์ เพียงแต่ว่าคนทำสัญญามักจะไม่รอบคอบและยอมตกลงโดยไม่ไตร่ตรองเอง” ถ้อยคำของชิงหลง หากแปลความง่าย ๆ ก็คือ ทุกคำสัญญา ทุกคำสาบาน มักจะมีช่องว่างให้เล็ดรอดได้เสมอ และผู้ที่ทำสัญญาด้วยมักจะเผอเรอไม่รอบคอบพอจะมองเห็นช่องว่างนั้น หรือไม่ก็เห็นแต่ไม่คิดจะอุดเพราะไม่คิดว่าจะเกิดความเสียหายขึ้น

   สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแม้แต่ในชีวิตประจำวันทั่ว ๆ ไปของคนธรรมดา หลายต่อหลายครั้งที่คนเรามักถูกหลอกในการทำสัญญากับใครบางคนหรือบางองค์กร ซึ่งหลักการของมันคล้าย ๆ กัน นั่นคือ การหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ที่จะตอบแทนให้ผู้ทำสัญญา หนังสือสัญญาที่ระบุข้อความไม่ครบถ้วน และผู้ทำสัญญามักไม่มีความอดทนพอที่จะอ่านเงื่อนไขทั้งหมดให้ครบ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นหนังสือสัญญาที่มีตัวอักษรยิบย่อยเต็มหน้ากระดาษ และบางครั้งก็มีหลายหน้าเกินกว่าจะอ่านได้หมดในเวลาจำกัด อีกทั้งสมองของมนุษย์ไม่ได้มีความสามารถจดจำและประมวลผลข้อความทั้งหมดได้ในเวลาพร้อม ๆ กัน การทำสัญญาที่ไร้ช่องโหว่ให้เล็ดรอดจึงเป็นเรื่องยาก แม้สำหรับผู้ที่มีการศึกษาสูงหรือผู้ที่รู้กฎหมายก็ตาม

   แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริงจังเกินกว่าประเด็นการเล่นหมากรุก

   “ผมไม่รู้ว่าจะโกงคุณไปทำไม อีกอย่าง ถ้าผมจริงจังเกินไป การละเล่นฆ่าเวลาของผมคงจะหมดสนุก” พูดในอีกแง่ ชิงหลงต้องการจะบอกว่า หากเขาเอาจริง ไม่กี่นาทีก็เอาชนะได้แล้ว ซึ่งแม้เซินหมิงเฟิ่งจะรู้ความหมายโดนนัยแต่ก็เถียงไม่ออก

   “ผมไม่ฉลาดพอจะให้คุณมาฆ่าเวลาด้วยหรอกนะ แต่บางทีการที่ผมถูกลักพาตัวไปคงช่วยฆ่าเวลาให้คุณได้มากกว่าในการวางแผนเอาตัวผมกลับมา” อยู่ ๆ สมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง แต่เมื่อพูดออกไป ชิงหลงกลับไม่ได้มีปฏิกิริยาใดเป็นพิเศษ ตอนแรกเขาคิดว่าจะถูกประชดกลับมาราว ๆ ว่า ‘แปลว่าอยากถูกลักพาตัวอีกหรือ?’ อะไรแบบนี้

   “ความจริงแล้ว ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างน่าเบื่อ”

   เรื่องพวกนั้นเขาแทบจะไม่ได้ใช้เสี้ยวสมองเสียด้วยซ้ำ

   แต่ในความคิดเซินหมิงเฟิ่ง...เขาแทบจะหงายตกจากโซหาเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   เรื่องคอขาดบาดตายของเขา อีกฝ่ายบอกว่าน่าเบื่องั้นหรือ!?

   “คุณคิดว่ามันเป็นเกมการละเล่นหรือยังไงกัน! ถ้าตอนนั้นคุณไม่ไปที่นั่น ผมอาจจะถูกฆ่าก็ได้!” เขาของขึ้นขึ้นมาอีกครั้ง

   “ดอนบราซินีไม่ฆ่าคุณหรอก” ชิงหลงพูดอย่างใจเย็น

   “คุณรู้ได้ยังไง!?”

   “เพราะดอนบราซินีไม่กล้าลองดีกับมอเรสซาเรขนาดนั้น เขาเป็นแฟมิลีขนาดเล็กที่อาศัยบารมีมอเรสซาเรมาตลอด เรื่องบุญคุณก็ไม่ใช่น้อย ๆ แต่ที่กล้าลงมือ คงเพราะแฟมิลีอื่น ๆ ยุยงส่งเสริมและเจ้าตัวก็ไม่ค่อยจะพอใจผมสักเท่าไหร่ และตอนนี้ก็ได้รับบทเรียนไปเรียบร้อยแล้ว” ชายหนุ่มกล่าวถึงเรื่องภายในแฟมิลีอื่นโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ราวกับว่าเรื่องทั้งหมดไม่ได้เกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่น้อย

   “มันเป็นเพราะเขาอยากให้คุณออกไปจากถิ่นของเขา ผมถึงได้โดนลูกหลง” เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจลึก “มันเป็นความผิดของคุณที่ทำให้ผม.....” เขากัดฟันเมื่อนึกถึงตนเองในขณะที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยไม่อาจปกป้องตัวเองได้ ในตอนนั้นชิงหลงคงวางแผนอย่างสบายใจอยู่ที่นี่

   “ผมรู้ ราฟาเอลสารภาพหมดแล้ว” ชิงหลงพูดพลางเอนหลัง “แล้วเขาก็ได้รับการลงโทษในแบบที่เขาสมควรจะได้รับแล้ว คุณมีอะไรไม่พอใจงั้นหรือ?”

   มีอะไรไม่พอใจ?

   นี่เป็นคำถามที่ใช้ถามผู้เสียหายหรือ?

   “ผมไม่พอใจ ผมไม่พอใจมาก ๆ ด้วย!” เซินหมิงเฟิ่งตะคอกพร้อมคว้าหนังสือใกล้มือขว้างใส่ แต่ชิงหลงรับไว้ได้อย่างง่าย ๆ “ในตอนนั้นคิมหันต์เป็นคนเดียวที่อยู่ข้างผม คอยดูแลผม ในขณะที่คุณหายหัวไปไหนก็ไม่รู้! แล้วตอนนี้คุณยังเอาคิมหันต์ไปจากผมอีก คุณมีหัวใจบ้างหรือเปล่า! ทั้งหมดมันเป็นเพราะคุณจับตัวผมมา เพราะคุณพาผมมาที่นี่ และเพราะคุณนั่นแหละผมถึงถูกเจ้าพวกนั้นซ้อมเอา! คุณมันหลงตัวเอง ไม่เคยคิดถึงใจคนอื่น! เพื่อให้คนหนึ่งเข้าใจความรู้สึกของอีกคนอะไรกัน คุณยังไม่คิดจะเข้าใจผมเลยสักนิด!”

   เซินหมิงเฟิ่งระบายความรู้สึกที่อัดอั้นออกมาอย่างเต็มที่ เหมือนกับว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เขาอยากจะพูดมาตั้งแต่แรกแต่ไม่มีใครพร้อมจะรับฟัง มันจึงพรั่งพรูออกมาไม่ยอมหยุดพอ ๆ กับแรงโทสะที่มากขึ้นทุกครั้งที่คำพูดถูกถ่ายทอดไปหาคนต้นเรื่อง

   ชิงหลงนั่งเงียบ ๆ ปล่อยให้อีกฝ่ายระบายความรู้สึกออกมาจนกว่าจะพอใจ เขาไม่ได้ลุกหนีไปไหนหรือทำหน้าแสดงความรำคาญ เพียงแค่นั่นฟังเงียบ ๆ โดยไม่แสดงการโต้แย้งเท่านั้น และนั่นคือทั้งหมดที่ผู้พูดมักต้องการจากผู้ฟัง แค่มีใครสักคนรับฟังสิ่งที่ตนอยากจะพูด อยากจะให้มีใครสักคนรับฟัง และจนถึงที่สุด ผู้พูดจะค่อย ๆ อารมณ์เย็นลงและมีเหตุผลมากขึ้นเอง

   หลังจากระบายออกไปจนเสียงแห้ง เซินหมิงเฟิ่งก็ค่อย ๆ สงบลง เขาทรุดลงนั่งอย่างหมดแรงแล้วหยิบขวดน้ำขึ้นกระดกให้ตัวเองหายคอแห้ง

   ในตอนที่อารมณ์เพิ่งสงบ ชิงหลงรู้ว่าเขาไม่ควรพูดหรือตอบโต้ในทันที เพราะอารมณ์ที่เพิ่งมอดลงอาจปะทุขึ้นมาอีกครั้งก็ได้

   เขารอจนกระทั่งเซินหมิงเฟิ่งเงียบและไม่พูดอะไรต่ออีก

   “ผมสัญญาได้ว่าจากนี้ไปคุณจะอยู่ในความดูแลของผมอย่างปลอดภัย” ชิงหลงพูดช้า ๆ ด้วยเสียงมั่นคงมากพอจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกมั่นใจ

   “แต่มีเงื่อนไขอีกตามเคยใช่ไหม” เซินหมิงเฟิ่งพูดตอบเสียงอุบอิบพลางสูดหายใจ ผู้ชายจะร้องไห้ด้วยเรื่องแบบนี้มันดูไม่ดีเอาเสียเลย แต่เมื่อเขาได้ระบายออกมา มันก็ยากจะห้าม เมื่อครู่จึงพยายามสูดหายใจหลาย ๆ ครั้งเพื่อกลั้นน้ำตาไว้แต่มันก็ยังปริ่มออกมานิดหน่อย หากเขาร้องไห้ต่อหน้าชิงหลง เขาคงจะดูอ่อนแอมากเกินไป เขาจะไม่ร้องไห้ให้อีกฝ่ายเห็นเด็ดขาด

   “ตราบใดที่คุณอยู่ในสายตาของผม”

   “เรื่องนั้นผมเคยสัญญาไปแล้ว ผมไม่ตุกติกแบบคุณหรอก”

   ชิงหลงได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้ารับ

   “เอาเป็นว่าผมจะเชื่อคำพูดของคุณก็แล้วกัน เพราะว่าถ้าคุณไปไกลจากจุดที่ผมยื่นมือไปถึงได้ทัน ผมก็คงจะรับประกันไมได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบเดิมขึ้นอีก” คำพูดของชิงหลงทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเย็นวาบขึ้นมา ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจอย่างรวดเร็ว

   คำขู่ของชิงหลงได้ผลอย่างชะงัด เมื่อเขาได้ให้อีกฝ่ายได้รับบทเรียนจากการพยายามทำตามใจตัวเองมาแล้วครั้งหนึ่ง

   จิตใจของคนเรามักตอบสนองต่อความกลัวได้มากกว่าอารมณ์อื่น ๆ เพราะมันคือสัญชาตญาณการป้องกันตัวโดยธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์สามารถหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตนเองได้ และสิ่งนี้เองที่ชิงหลงใช้เป็นเครื่องมือ เมื่อเซินหมิงเฟิ่งรู้สึกหวาดกลัวโลกภายนอก ก็จะไม่สามารถต่อต้านสัญชาตญาณของตนเองได้ แม้ว่าจะสับสนที่ตนเองยินยอมอยู่ในกรงนี้อย่างสมัครใจ แต่มันคือที่เดียวที่มีความปลอดภัยและปราศจากความหวาดกลัว จนกว่าเจ้าตัวจะแข็งแกร่งพอที่จะฝ่าทะลวงความกลัวของตนเองได้นั่นแหละ เซินหมิงเฟิ่งจึงจะสามารถเป็นอิสระจากกรงภายในจิตใจตัวเองที่ชิงหลงเป็นคนสร้างขึ้นได้

   ในตอนแรก คิมหันต์คือที่พึ่งพิงซึ่งทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่ามีคนร่วมชะตากรรม และเป็นเพื่อนที่คอยดูแล แต่ชิงหลงก็ได้พรากเขาไปด้วยทำให้เซินหมิงเฟิ่งโดดเดี่ยวในโลกนี้

   ซึ่งในตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งยังไม่รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนั้น...

   เขาคิดว่ามันเป็นแค่ผลกระทบจากเหตุการณ์ที่ทำให้สะเทือนใจ และอีกไม่นานเขาคงจะหายจากความรู้สึกแบบนี้ไปเอง

   ชิงหลงมองเซินหมิงเฟิ่งอยู่ชั่วครู่ ก่อนลุกจากเก้าอี้ไปที่โต๊ะซึ่งชุดหมากรุกวางอยู่ เขายกมันมาวางที่โต๊ะระหว่างโซฟาสองตัว เซินหมิงเฟิ่งจึงเงยหน้าขึ้นมามองสิ่งที่เขาทำ

   “การเล่นหมากรุกเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้ลืมเรื่องร้าย ๆ ได้ เพราะมันทำให้มีสมาธิมากขึ้นและจดจ่ออยู่กับการวางแผนที่ซับซ้อน ผมคิดว่าได้ผลมากกว่าของมึนเมาทุกชนิด” ราวกับการโฆษณาชวนเชื่อ แต่ถ้อยคำและน้ำเสียงของชิงหลงมักจะชักชวนให้ผู้คนคล้อยตามได้เสมอ

   เซินหมิงเฟิ่งยืดตัวขึ้นแล้วค่อย ๆ หยิบตัวหมากขึ้นมาวาง

   “อย่าลืมสัญญาที่ว่าจะออมมือให้ผมแล้วกัน”

   “ผมไม่ได้ความจำสั้นขนาดนั้น” ชิงหลงกล่าวตอบ

   แล้วพวกเขาทั้งสอง ก็เริ่มใช้เวลาที่เหลือหลังจากนั้นไปกับการเล่นหมากรุกฆ่าเวลาที่ค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนน่าเบื่อของวันอันน่าอึดอัด

--------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 17-06-2012 19:57:33
   กระดานหมาก ก็เหมือนกับชีวิตคน มีทางให้เลือกเดินมากมาย แต่ละทางเช่นเดียวกับหมากแต่ละตัว เงื่อนไขบนเส้นทางนั้นมีแตกต่างกัน อาจจะเดินได้แสนไกล อาจจะเคลื่อนไหวได้เพียงสั้น ๆ แต่ทุกก้าวเดินล้วนแต่มีความหมายในตัวของมัน และแม้จะเป็นตัวหมากที่ดูไม่มีความสำคัญ ในความเป็นจริงแล้ว มันอาจสามารถพิชิตเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ได้ด้วยแผนการอันแยบยล

   ผู้คนจำนวนมากในโลกนี้ เปรียบเสมือนตัวหมากที่เดินอย่างไรทิศทาง ไร้ผู้กำกับอย่างถูกต้อง หรือไม่ก็เดินตามแบบแผนอันเรียบง่ายที่ถูกวางไว้ในตำรา ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ถูกแบ่งอย่างง่าย ๆ เป็นสองแบบ นั่นคือ คนที่ไม่ยอมถูกกำกับและคนที่ยอมถูกกำกับ คนที่ไม่ยอมถูกกำกับจะกลายเป็นคนนอกคอก และถูกกีดกันด้วยวิถีประชา นำไปสู่การรวมกลุ่มคนแบบเดียวกันเพื่อให้กำเนิดทางเดินแบบใหม่ในกระดานหมาก ส่วนอีกพวกคือคนที่ถูกกำกับไว้ตามแบบแผน ชีวิตอันจืดจางไร้สีสัน เกิดและตายด้วยการถูกวางทางเดินเอาไว้ทุกก้าวอยู่ร่ำไป ชีวิตคนเรามักจะต้องเลือกเสมอว่าจะเป็นคนแบบไหน

   ลิขิตชีวิตตัวเองเพื่อไปสู่จุดหมายที่ปรารถนา หรือปล่อยให้ผู้อื่นลิขิตและไปสู่จุดหมายในแบบที่ผู้อื่นต้องการ

   การจะเลือกได้นั้นคงต้องตระหนักเสียก่อนว่า ชีวิตเราเป็นของใคร

   ของพ่อแม่ เพื่อน พี่น้อง ครูอาจารย์ หรือตัวเราเอง

   ทว่า จากจำนวนมนุษย์ทั้งหมด ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เกิดขึ้นมาและถูกสั่งสอนเป็นอีกแบบ ไม่ใช่เพื่อเป็นตัวหมาก แต่เป็นผู้ควบคุมกระดาน

   ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น....

   เขาเกิดมาเพื่อเป็นผู้ควบคุม เป็นผู้กำหนดทางเดินให้กับหมากที่มีอยู่ในมือ ให้กับกระดานที่มีผู้เล่นอยู่มากมายบนนั้น แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็เป็นหมากบนกระดานของใครอีกคนเช่นกัน ของผู้ที่เลี้ยงเขาขึ้นมา ของกฎในโลกที่เขาเติบโตมา

   และเขาก็ต้องเลือกว่าจะเดินตามแบบแผนเดิม หรือสร้างหนทางใหม่ขึ้น....

   หมากแต่ละตัวกำลังเดินไป มือของเขาโยกตัวหมากหลบเลี่ยงการปะทะในบางครั้งและเผชิญหน้าในบางครั้ง นั่นเป็นนิสัยส่วนตัวของเขาหรือเปล่านะ

   เสียงเคาะตัวหมากบนกระดานดังกึก ๆ เป็นช่วงไม่ถี่นัก หมากขาวและดำไม่ค่อยจะมีโอกาสปะทะโดยตรงเท่าไหร่เพราะเขาเป็นคนควบคุมทั้งสองฝั่ง เวลาเขาเล่นกับตนเองมักเป็นเช่นนี้เสมอ ถึงจะพยายามเอาชนะแต่ก็อดจะคิดเอาชนะโดยหลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงเสียทุกทีไป เพราะอย่างนั้นกระดานของเขาจึงมักกลายเป็นเกมไล่จับคิงสองฝั่งไปเสียทุกคราว จนถึงตอนนี้ เมื่อต้องเล่นหมากรุกคนเดียวทีไร เขาก็ต้องกำหนดกฎให้ตัวเองข้อหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้เกมมีจุดจบที่ไม่ช้าเกินไปนัก

   การห้ามขยับคิงอย่างเด็ดขาด

   อย่างนี้ก็ขึ้นกับว่าหมากตัวไหนจะไปถึงคิงก่อนเท่านั้น

   ในบางครั้ง ชีวิตเราก็ต้องวิ่งแข่งเพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง....

   มันฟังดูเหมือนเรื่องไร้สาระสำหรับคนแบบเขา เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เขาไม่เคยจำเป็นต้องแข่งขันกับใครอย่างจริงจัง แต่เพียงได้ยินชื่อ ทุกคนก็พร้อมหลีกทางให้อย่างไม่มีข้อกังขา เขาจึงสามารถได้ทุกอย่างที่ต้องการมาโดยง่าย และแล้วเขาก็พบสิ่งหนึ่ง....สิ่งที่เขาปรารถนา แต่ไม่มีวันจะได้มาครอบครอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะได้ และกำลังเดินไปให้ถึงคิงตัวนั้น...ที่ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

   “การรอผมมันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายหนุ่มคนหนึ่งชะโงกหน้าเข้ามาที่กระดานหมาก มองดูเกมวิ่งแข่งระหว่างตัวหมากสองฝั่งที่แทบจะไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น เรือนผมสีขาวเลื่อนลงมาปรกบนใบหน้าเสี้ยวหนึ่งส่งให้ใบหน้านั้นดูซุกซนขึ้นกว่ายามปกติ แต่เขาเหลือบมองเสี้ยวหน้าในอารมณ์เช่นนั้นได้ไม่นาน เจ้าของเรือนผมก็เสยมันกลับขึ้นไปรวมกับผมเส้นอื่น ๆ

   “ผมชินแล้วกับการรอคอย” เขาตอบกลับไปพลางเลื่อนตัวหมาก

   ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวหัวเราะในคอก่อนจะเดินไปนั่งที่ฝั่งตรงข้าม โยนเสื้อสูทไปที่เก้าอี้อีกตัว แล้วเท้าคางมองกระดานด้วยสายตาขบขัน

   การเล่นหมากรุกแบบนี้เป็นวิธีเล่นที่แปลกตาดีแท้

   เสมือนเขาจะรู้ความคิดอีกฝ่ายได้จากแววตา จึงรวบตัวหมากทั้งหมดลงจากกระดานแล้วใส่ในกล่องบรรจุที่ทำจากไม้อย่างดี

   “ว้า ทำไมเลิกเล่นเสียล่ะ ผมกำลังสนุกอยู่เลย” ชายหนุ่มผู้มาใหม่กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดมเสียดายอย่างสุดซึ้ง แต่ใบริมฝีปากนั้นยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มที่เป็นแบบฉบับ

   “เพราะผมไม่อยากให้คุณสนุกกับของแบบนี้มากเกินไปน่ะสิครับ ไป๋หู่” เขาตอบกลับไปพลางแย้มรอยยิ้มแล้วยกกระดานหมากไปวางบนชั้น “อีกอย่าง ผมเล่นมาหลายกระดานแล้ว ผมเลยเริ่มจะเบื่อขึ้นมานิดหน่อย แถมมองยังไงก็รู้สึกว่าฝั่งขาวน่าจะถึงคิงก่อนฝั่งดำ”

   ไป๋หู่ฟังแล้วก็หัวเราะออกมา

   “หลางเมี่ยวเจิน คุณน่ะหวงตัวหมากมากเกินไป”

   เจ้าของนามหลางเมี่ยวเจินเลิกคิ้วน้อย ๆ แต่ก็ยังเงียบฟังสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดโดยไม่โต้แย้งอะไรในทันที

   “ถึงคุณจะเปลี่ยนเกมหมากรุกกลายเป็นเกมวิ่งแข่งก็เถอะ แต่ในการแข่งขันทุกอย่างต้องเกิดการปะทะขึ้นอยู่แล้ว คุณกลับหลีกเลี่ยงมันเสียหมดมันถึงได้เป็นแบบนั้น แต่ลองคิดดูสิ” ไป๋หู่เว้นจังหวะไปเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้างขึ้น “ในขณะที่ฝั่งขาวคิดแต่จะไปถึงเส้นชัยและไม่คิดปะทะกับฝ่ายดำเพื่อรักษากำลังของตนเอง ถ้าฝ่ายดำรู้ชัดเจนว่าตนเองกำลังจะแพ้ จะไม่ตอบโต้ด้วยกำลังเพื่อให้หนึ่งในพวกตนไปถึงเส้นชัยก่อนแม้จะต้องเสียเลือดเนื้อหรือ? แล้วถ้าฝ่ายดำเกิดคิดขึ้นมาเช่นนั้น ผลแพ้ชนะก็จะพลิกกระดานทันที”

   “แต่ฝ่ายดำอาจจะคิดว่า ถึงแพ้ก็ช่างปะไร หากยังมีกำลังเหลืออยู่ วันหน้าค่อยเอาคืนก็ยังไม่สาย ก็มีความเป็นไปได้นะครับ” หลางเมี่ยวเจินโต้แย้งแล้วเดินกลับมาที่โต๊ะ

   “แล้วถ้าหากของสิ่งนั้นเป็นของที่เมื่อเสียไปแล้วไม่อาจเอาคืนมาได้ล่ะ?” ในขณะที่พูดเช่นนั้น นัยน์ตาของไป๋หู่ก็เป็นประกายวาววับขึ้นมา “เมื่อของสิ่งนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด และไม่อาจกลับคืนมาได้เป็นครั้งที่สอง คุณจะไม่ทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่อเอามันมาครอบครองหรอกหรือ?”

   “ถ้าเป็นแบบนั้น ก็อาจจะต้องเป็นแบบที่คุณว่า” หลางเมี่ยวเจินกลอกตา ไม่รู้ว่าจะแย้งประเด็นนี้อย่างไร แต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าชีวิตของเขามีของที่อยากได้ถึงขนาดนั้นอยู่จริงหรือไม่ แม้แต่ของที่อยากได้ในปัจจุบันนี้ เขาก็ไม่ได้ต้องการถึงกับยอมเสียสละทุก ๆ อย่างเพื่อให้ได้มา การที่เขาจะยอมเสียอะไรย่อมต้องได้ผลตอบแทนเป็นตัวเป็นตนนั่นแหละถึงจะยอมเสีย

   เขาไม่ใช่ประเภทชอบเสี่ยงอย่างไร้สมองเสียหน่อย

   ในขณะที่กำลังคิดอยู่ มือของเขาก็ถูกฉุดดึงทำให้เสียหลักล้มลงไปนั่งบนตักของไป๋หู่อย่างพอดิบพอดี
   “ได้ยินว่าคุณไปพบคุณหนูมินาโมโตะมา เธอเป็นยังไงบ้าง?”

   “ต่อหน้าผมยังพูดถึงผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ มันน่าตีนักนะครับ” หลางเมี่ยวเจินพูดกลับไปด้วยอารมณ์หมั่นไส้พลางหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงพูดต่อ “คุณก็เคยเห็นเธอแล้ว อย่างที่เขาว่ากันเธอดูสวยไปทุกมุมมองแล้วยังฉลาดเฉลียว แต่ว่าน่าเสียดายที่เป็นคู่หมั้นของจูเชว่ คุณคงต้องอกหักเสียแล้ว”

   ไป๋หู่หัวเราะกับถ้อยคำนั้น

   “คงแปลกหากพยัคฆ์จะหลงรักพวงผกา” เขาพูดเปรียบเปรยติดตลก “แต่ยังไงก็ตาม คุณหนูมินาโมโตะเป็นเหยื่อที่ควรค่า”

   ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่บอบบางราวกับกลีบดอกไม้กลับหาญกล้าลุกขึ้นมายืนอยู่ต่อหน้าชายชาตรีอย่างไม่เกรงกลัว มีหรือที่เขาจะไม่สนใจคนเช่นนี้

   “คุณจะเล่นเกมกับเธอหรือ?” หลางเมี่ยวเจินเลิกคิ้ว

   “ทำไมจะไม่ล่ะ? คุณหนูมินาโมโตะอุตส่าห์ตั้งอกตั้งใจถึงขนาดนั้น ผมทำให้เธอเสียความตั้งใจไม่ได้หรอก” ไป๋หู่ว่าพลางยันศอกกับที่พักแขนแล้วเท้าคางลงไป “เมื่อมีผู้เสมอมา ผมก็ต้องสนองกลับไป ไม่อย่างนั้นจูเชว่คงจะรู้สึกผิดแผนไม่น้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นกับคุณหนูมินาโมโตะที่จะมาถึงตัวผมได้หรือเปล่า การที่จูเชว่เลือกคุณหนูมินาโมโตะ ผมเชื่อว่าสายตาของเขายังคงเฉียบคม”

   หลางเมี่ยวเจินหวนคิดถึงซากุระที่ได้พบกันเมื่อไม่กี่วันก่อน และที่พบในวันหมั้นของเซินหมิงเฟิ่ง แน่นอน ในความรู้สึกของเขาเธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาดและเก่งกาจ อีกทั้งยังพร้อมทั้งรูปทั้งทรัพย์ เรียกว่าแทบจะไม่มีที่ติ ผู้หญิงที่ฉลาดถึงขนาดนั้นจะไม่รู้ตัวเลยหรือว่าตัวเองกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือ ถ้าหากทุ่มเทให้ถึงขนาดนี้โดยไม่รู้ตัว บางทีเขาอาจจะประเมินค่าผู้หญิงคนนี้สูงเกินไป

   “จูเชว่อาจจะตาฝ้าฟางกว่าที่คิด” เขาส่ายศีรษะเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อวิจารณญาณของไป๋หู่นัก

   “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ เพราะตอนนี้ผมยังมีเกมที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้า” ไป๋หู่พูดขัดแล้วดึงหลางเมี่ยวเจินเข้ามากอด มือของเขาไต่ไปตามหน้าขาและเลื่อนไปยังขอบกางเกง

   “แล้วคุณจะสนใจเกมของผมไปถึงเมื่อไหร่ล่ะครับ?” หลางเมี่ยวเจินไม่ได้ขัดขืนการกระทำของไป๋หู่แต่อย่างใด แม้จะพูดเช่นนั้น ริมฝีปากของเขาก็ยังคงประดับด้วยรอยยิ้มท้าทายก่อนจะเลื่อนมือไปหยุดยื้อความซุกซนของอีกฝ่ายไว้ “ผมขอสถานที่ที่สะดวกสบายกว่านี้หน่อยจะได้ไหม? คุณก็น่าจะรู้ว่าบนเก้าอี้แบบนี้ถ้าเลอะเทอะขึ้นมา แม่บ้านของคุณนั่นแหละจะลำบาก”

   “ตามต้องการเลย” ไป๋หู่ตอบรับก่อนจะอุ้มหลางเมี่ยวเจินขึ้นด้วยแขนทั้งสองข้างแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ เดินเข้าห้องนอนไป

   ก่อนประตูห้องจะปิดลง หลางเมี่ยวเจินชะโงกใบหน้าเข้าหาแล้วจูบบนริมฝีปากชายหนุ่มผมขาวครั้งหนึ่งอย่างดูดดื่ม

   ชีวิตของพวกเขาคือเกมกระดาน ตัวหมากแต่ละตัวคือเส้นทางที่ต้องเดินไป จะแพ้หรือชนะ เส้นทางที่เลือกคือตัวตัดสิน หมากกระดานของพวกเขา ไม่ใช่เพียงเป็นผู้ควบคุมเหนือกระดาน ทว่าในหลาย ๆ ครั้ง...การจะนำมาซึ้งชัยชนะก็จำเป็นต้องพาตัวเองลงไปเล่นในเกมด้วยเช่นกัน

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 17-06-2012 20:24:45
ก๊ากๆๆๆๆ   :laugh: :laugh: :laugh:  ในที่สุดก็มาเป็นคนแรก

นับวันยิ่งงงเข้าไปใหญว่าอิตาชินหลงมีอะไรกับจูเช่วนักหน่า :m16: :m16: :m16:

รีบมาต่อไวไวนะค่ะ  :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 17-06-2012 21:22:14
อ่านเท่านั้นถึงจะรู้แจ้ง แถลงไข เดาบ่ออก ชิงหลงใจร้ายกับเซินจัง
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวเลข ที่ 17-06-2012 22:36:12
อยากรู้จังว่าถ้าหมิงเฟิ่งรู้ว่าทั้งหมดนั้น เป็นเพราะชิงหลงวางแผนเอาไว้ หมิงเฟิ่งจะรู้สึกอย่างไร
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 18 (14/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 21-06-2012 00:31:37
ชิงหลงเข้ามานั่งด้วยทำไม วางแผนอะไรไว้อีก ตอนแรกเหมือนจะมีสีชมพูบางๆ ไปๆมาๆดำทะมึนอีกแล้ว จะรอดไหมสองคนนี้  :เฮ้อ:
เมี่ยวเจินกับไป๋หู่ เอ่อ ไม่รู้ว่าแบบนี้เรียกว่าหวานกันรึเปล่านะ แลดูมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องพิกล  :a5:

รอตอนหน้าค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-06-2012 14:36:37
-19-


   “ไง น่าแปลกนะที่นายมาหาฉันถึงที่น่ะเวย์” โจเซยิ้มถามอย่างแปลกใจเมื่อพบหน้าอีกฝ่าย ทั้งที่ปกติชิงหลงจะมาหาก็ต่อเมื่อมีแผนการจะทำอะไรบางอย่างหรือมีเรื่องปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจเท่านั้น แต่เท่าที่เขารู้ ในตอนนี้ธุรกิจที่ชิงหลงถือหุ้นอยู่ดำเนินไปด้วยดีในชื่อของ มาเรีย มอเรสซาเร ผู้เป็นแม่ ซึ่งตอนนี้อาศัยอยู่ในฮ่องกงและไม่ได้เดินทางมาด้วยในครั้งนี้ เป็นเหตุให้อเล็กซานโดรตัดพ้อหลานชายตัวเองอยู่

   “ก็แค่มาดูความเรียบร้อย เผื่อว่านายจะไม่ถูกใจของขวัญ” ชิงหลงถือวิสาสะเดินไปนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามโต๊ะทำงาน “วันนี้ไม่อยู่หรือ?”

   “อ้อ เอสตาเต” โจเซหัวเราะเมื่อนึกถึงใบหน้าแสดงความไม่พึงพอใจนักเมื่อเขาเรียกชื่อนี้บ่อยเข้าโดยไม่ยอมเรียกชื่อจริง ๆ

   ช่วยไม่ได้ ก็มันสะดวกปากเขามากกว่า

   “อีกเดี๋ยวคงมา เห็นว่าไปหาอะไรใส่ท้องอยู่ นี่ก็บ่ายกว่าแล้วนี่นะ” ชายหนุ่มว่าพลางมองนาฬิกาข้อมือเรือนเรียบหรู “แล้วนายกินอะไรมาหรือยัง?”

   “เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะออกมาเสียอีก”

   หลังสิ้นเสียงชิงหลง ประตูก็เปิดออกพร้อมคิมหันต์ที่เดินเข้ามากับเพื่อนการ์ดอีก 2 คน พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเมื่อเข้ามาถึงในห้อง แต่สีหน้าบ่งบอกว่าพวกเขาสนทนากันมาจนถึงเมื่อครู่และท่าทางจะถูกคอกันดี ถึงแม้คิมหันต์จะเป็ฯคนเงียบเฉยแต่ถ้ามีคนเต็มใจผูกสัมพันธ์ด้วยเจ้าตัวก็ไม่เคยนึกขัดใจ

   เมื่อเข้ามาแล้ว คิมหันต์ก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะตกใจนิดหน่อยที่เห็นเจ้านายเก่านั่งอยู่ในห้อง

   “ท่านชิงหลง” เขาค้อมศีรษะให้อย่างที่เคยทำ

   “ดูเหมือนคุณจะยังสุขสบายดีสินะ” ชิงหลงทักทายลูกน้องเก่าด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ไม่ได้แสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยเหมือนกับคำถาม กระนั้นน้ำเสียงก็ยังบ่งบอกว่าเจ้าตัวต้องการคำตอบ นั่นหมายถึงความเอาใจใส่ในรูปแบบของเขาที่ไม่ค่อยจะมีใครเข้าใจนัก

   “ผมสบายดีครับ ดอนมอเรสซาเรดูแลผมอย่างดี” คิมหันต์ตอบพลางเลื่อนสายตาไปมองผู้ชายอีกคนซึ่งกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

   หากจะให้เขาพูดตามจริง เขารู้สึกว่าผู้ชายคนนี้กำลังมีความสุขที่ได้เห็นเขาหงุดหงิดมากกว่า

   ในระหว่างที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ประตูก็พลันเปิดออก

   “บอส จะถึงเวลานัด.....” เซซิลิโอที่เข้ามาอย่างกะทันหันก็ต้องเบรกอย่างกะทันหันเช่นกัน “ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ทราบว่าบอสมีแขก” เขามองชิงหลงด้วยสายตาฉงน เพราะอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในตารางนัดของเขาแปลว่าไม่ได้นัดล่วงหน้า แต่คิดดูอีกทีแล้ว ผู้ชายคนนี้ก็ไม่เคยนัดล่วงหน้าผ่านเขาสักครั้ง เมื่อคิดได้ดังนั้น ความสงสัยก็หายไปจากแววตาของชายหนุ่มที่ทำหน้าที่เป็นมือขวาและเลขาไปพร้อม ๆ กัน

   “ไม่เป็นไร ว่าแต่ จะถึงเวลาแล้วสินะ” โจเซยกนาฬิกาขึ้นมองอีกครั้งแล้วลุกขึ้น “เอาล่ะ ฉันต้องไปข้างนอกก่อน คงจะกลับเย็น ๆ ถ้านายมีอะไรไม่สำคัญจะเขียนโน้ตเอาไว้บนโต๊ะฉันก็ได้ แต่ถ้าสำคัญก็เดี๋ยวเอาไว้คุยกันอีกที ระหว่างนี้ฉันจะให้คิมหันต์อยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน” เขาพูดจบก็เดินไปรับเสื้อนอกจากเซซิลิโอแล้วเดินออกไปพร้อมกับการ์ดคนอื่น ๆ เหลือแต่เพียงคิมหันต์และชิงหลงอยู่ในห้องสองคน ซึ่งในความเป็นจริงแล้วโจเซน่าจะคิดว่าชิงหลงคงจะกลับไปเลย ไม่มีความจำเป็นต้องทิ้งคิมหันต์ไว้ดูแล กระนั้น ด้วยความชำนาญในการอ่านอารมณ์ญาติผู้น้อง โจเซจึงรู้ได้โดยทันทีว่าทั้งสองคงมีอะไรต้องคุยกันตามลำพัง

   หลังจากทุกคนออกไปจากห้องแล้ว ชิงหลงก็หมุนเก้าอี้มาทางคิมหันต์ซึ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพราะไม่มีคำสั่งให้เขาไปอยู่ ณ จุดใดเป็นพิเศษ

   “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมส่งคุณมาเพื่ออะไร”

   “...ครับ ผมทราบดี” คิมหันต์ตอบ “แน่ใจหรือครับว่าไม่ต้องการให้ผมทำมากกว่านั้น เพื่อท่านชิงหลงแล้วถึงผมจะต้องเสี่ยงชีวิตกับคนของมอเรสซาเรผมก็ยินดี” เพราะรู้ว่าในห้องของโจเซไม่มีการติดเครื่องดักฟังใด ๆ แน่นอน เขาจึงกล้าพูดออกมาตรง ๆ แบบนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาไม่ถนัดพูดให้คนอื่นจับใจความเอาเองเหมือนที่ชิงหลงและคนอื่น ๆ ชำนาญด้วย

   “ผมไม่มีความจำเป็นต้องทำแบบนั้น” ชิงหลงกล่าว มอเรสซาเรนั้นเขาไม่ได้ต้องการจะครอบครอง เพราะฐานอำนาจอยู่ถึงอิตาลีในขณะที่เขามีหน้าที่ของตัวเองในฮ่องกง อีกทั้งมอเรสซาเรก็เป็นเสมือนครอบครัวของเขา ถึงเขาจะเลือดเย็นขนาดหักหลังคนใกล้ชิดได้ในภาวะหรือเหตุการณ์ที่มีความจำเป็นจริง ๆ แต่กับครอบครัวถือเป็นสิ่งที่เขายกเว้นให้ในทุกกรณี

   “ผม...คงจะไม่มีโอกาสกลับไปรับใช้ท่านชิงหลงอีกแล้วใช่ไหมครับ” เสียงของคิมหันต์ฟังดูคล้ายกำลังน้อยใจอยู่มาก ก็ไม่น่าแปลก เพราะตลอดสิบกว่าปีที่อยู่กับจูเชว่ เจ้าตัวพยายามทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง

   “จนถึงตอนนี้คุณก็ยังทำงานให้ผมอยู่ ถึงจะเป็นคนของโจเซ แต่หากคุณทำงานได้ดี ผลพลอยได้ก็ตกอยู่กับผมด้วย นั่นถือว่าคุณกำลังรับใช้ผมเช่นกัน”

   ได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากคิมหันต์ก็คล้ายจะผุดรอยยิ้มขึ้นมาบาง ๆ

   “ขอบคุณมากครับ”

   ชิงหลงพยักหน้ารับเงียบ ๆ แล้วลุกขึ้นยืน

   “เอ่อ....” คิมหันต์ส่งเสียงขึ้นมาเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่กล้าพูดออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยตรง

   “มีอะไรหรือ?”

   คิมหันต์ได้ยินเสียงถามก็แสดงท่าทางไม่แน่ใจ

   “เรื่องคุณเซิน....”

   “ผมกำลังฟัง” ชิงหลงตอบรับให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาอนุญาตให้พูดได้ตามสบาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าควรจะพูดอะไรขัดหูขัดใจเขา

   “ผมไม่ใช่คนฉลาดเท่าไหร่ อาจจะไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ว่า...ผมคอยดูแลคุณเซินมาตั้งแต่ยังเด็ก เหมือนกับที่ผมเคยอยู่ข้าง ๆ ท่านชิงหลงเมื่อยังอายุน้อย ความผูกพันที่ผมมีให้คุณเซินไม่น้อยไปกว่าท่านชิงหลงเลย เรื่องนี้ หากทำให้ท่านชิงหลงขุ่นเคืองผมก็ขอยอมรับผิดทุกอย่าง” คิมหันต์พูดอย่างช้า ๆ โดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง กระนั้นขิงหลงก็ไม่ได้ตอบรับอะไรมากกว่านั้น เพียงแค่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ เขาจึงค่อย ๆ พูดต่อ “ผมรู้สึกเป็นห่วง...คุณเซินที่ต้องอยู่เพียงลำพังโดยไม่มีผม...”

   “คุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมมีทางจัดการของผมอยู่แล้ว” ชิงหลงพอจะสรุปใจความที่อีกฝ่ายต้องการสื่อได้คร่าว ๆ ถึงจะยืดเยื้อไปสักนิดก็ตาม

   “ท่านชิงหลง” คิมหันต์เอ่ยเรียกอีกครั้งก่อนอีกฝ่ายจะเดินผ่านเขาไป “ถ้าเกิดต้องทำอะไรร้ายแรงจริง ๆ ก็...อย่าทำให้คุณเซินทรมานมากนะครับ”

   ชิงหลงเลื่อนสายตากลับมามองลูกน้องเก่าที่คล้ายจะกำลังเว้าวอนเขาด้วยสายตาของลูกสุนัขตัวน้อย ๆ ที่น่าสงสาร

   “ผมหวังว่า ‘อะไรร้ายแรง’  ที่คุณว่าจะไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น”

-------------------------->

   วันนี้ชิงหลงออกไปข้างนอกหลังอาหารเที่ยง ทำให้เซินหมิงเฟิ่งไม่มีเพื่อนคุยหรือเล่นหมากรุกด้วย เขาเองก็ไม่ถนัดจะเล่นคนเดียวทำให้เวลาที่ผ่านมาน่าเบื่อกว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าโชคดีเมื่อเขาพบของแก้เวลาชิ้นใหม่ นั่นคือเด็กตัวเล็กที่วัยเพียงขวบปีกว่า ๆ

   ภรรยาสาวของการ์ดชาวอิตาลีที่โจเซส่งมาให้ดูแลความเรียบร้อยพาลูกชายมาเยี่ยมพ่อที่ทำงานทั้งวันทั้งคืนไม่ได้กลับบ้านพักผ่อน

   ตอนแรกเขาก็นึกตำหนิภรรยาที่พาลูกมาดูเขาทำงาน ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ภูมิใจกับงานที่ทำนัก อย่างน้อยก็ไม่ภูมิใจพอที่จะเล่าให้ครอบครัวฟัง แต่อาจภูมิใจในหน้าที่การงานโดยส่วนตัว กระนั้นก็ไม่อยากจะให้ลูกชายเจริญรอยตามแม้แต่น้อย

   เรื่องราวทั้งหมดนี้เซินหมิงเฟิ่งไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์เพราะคนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาได้ตามใจชอบ การ์ดคนดังกล่าวจึงไปพบภรรยาที่ล็อบบี้ และบังเอิญว่าตรงกับเวลาที่ชิงหลงจะไปหาโจเซพอดี เขาไปเห็นเหตุการณ์จึงนึกขึ้นมาได้และขอยืมตัวเด็กชายไว้สักพักเพื่อให้มาอยู่เป็นเพื่อนเซินหมิงเฟิ่ง ส่วนตัวภรรยาเขาขอให้ไปนั่งรอที่ร้านอาหารของโรงแรมและเป็นคนจ่ายค่าอาหารทั้งหมดให้ ในตอนแรกฝ่ายสามีไม่เต็มใจเท่าไหร่เพราะรู้สึกเกรงอกเกรงใจ แต่สิ่งที่ชิงหลงตัดสินใจไปแล้วย่อมยากจะมีคนทัดทานได้

   และด้วยเหตุนี้เอง เซินหมิงเฟิ่งจึงเพิ่งมีโอกาสได้เลี้ยงเด็กตัวเล็ก ๆ เป็นครั้งแรกนับจากที่น้อง ๆ ต่างพ่อของเขาเติบโตขึ้นจนเขาอุ้มไม่ไหวแล้ว

   เด็กชายตัวน้อยกำลังอยู่ในวัยน่ากอดน่าฟัด ทั้งซนและช่างพูดจ้อย ๆ แม้จะพูดไม่ค่อยรู้เรื่องก็ตาม แน่นอนว่าเด็กน้อยพูดได้แต่ภาษาอิตาเลี่ยน นั่นทำให้การสื่อสารระหว่างพวกเขาเป็นเรื่องลำบากในช่วงแรก ๆ แต่เมื่อสังเกตภาษากาย เซินหมิงเฟิ่งก็พบว่าเด็กจะมีภาษากายคล้าย ๆ กัน

   “ตอนแรกฉันนึกว่าแกเป็นลูกลับ ๆ ของชิงหลงเสียอีกนะเจ้าหนู” เขาพึมพำกับเด็กชายที่นอนกลิ้งเล่นบนพื้นพลางนึกขำตัวเอง

   ก็ใครเล่าจะไม่คิดแบบนั้น อยู่ ๆ ก็อุ้มเด็กคนหนึ่งขึ้นมาบนห้องแล้วบอกว่าฝากดูแลสักพัก ในวินาทีนั้นเขาถามตัวเองแทบไม่ทันว่าอีกฝ่ายกับเด็กคนนี้มีอะไรเหมือนกันหรือเปล่า แต่พอเขามองดี ๆ แล้วก็พบว่าไม่มีเค้าหน้าเหมือนกันสักนิด กอปรกับครู่ต่อมา พ่อตัวจริงของเด็กก็เข้ามาพูดฝากฝังอย่างเกรงอกเกรงใจแล้วรีบรุดตามชิงหลงออกไป เขาจึงเพิ่งถึงบางอ้อว่ามันเป็นมาแบบนี้นี่เอง

   เจ้าเด็กแสนซนคลานเล่นบนพื้นสักพักก็ลุกขึ้นก้าวเร็ว ๆ ไปที่โต๊ะ คว้าจับตัวหมากได้ตัวหนึ่งก็จัดแจงจะโยนใส่ปาก เซินหมิงเฟิ่งที่กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ ตาลีตาลานวิ่งไปจับตัวแทบไม่ทัน

   ทำไมเด็กตัวเล็ก ๆ ถึงทำอะไรได้เร็วขนาดนี้นะ

   “นี่น่ะมันอมเล่นไม่ได้นะเจ้าหนู” เขาดึงตัวหมากรุกออก ทำให้เด็กน้อยที่โดนแย่งของเล่นไปร้องไห้โยเยจะคว้าคืนมาให้ได้

   เซินหมิงเฟิ่งมองไปรอบตัว นึกไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาให้เด็กเล่นแทนตัวหมากรุกแข็ง ๆ และพร้อมจะเข้าไปติดคอได้ทุกเมื่อ ในที่สุดสายตาของเขาก็กวาดไปเจอประตูห้องนอน ถ้าเล่นบนเตียงแล้วกันเอาไว้ไม่ให้ตกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นได้

   เขาอุ้มเด็กน้อยที่กำลังงอแงได้ที่ไปที่เตียงพร้อมพูดปลอบไปด้วย ถึงจะรู้ว่าอีกฝ่ายฟังไม่รู้เรื่องก็ตาม

   พอมาถึงเตียง เด็กชายก็หยุดร้องแล้วเริ่มมองสิ่งรอบตัวในสภาพแวดล้อมใหม่ด้วยสายตาสนอกสนใจ เตียงนุ่ม ๆ ไม่เหมือนที่เคยสัมผัสตอนอยู่ที่บ้าน ถึงเตียงที่บ้านจะอุ่น นุ่ม และสบาย แต่ก็ไม่ได้นุ่มจนแทบจะเด้งตัวลอยได้เหมือนกับที่นี่ เขาพยายามจะลุกขึ้นยืนแต่ความนิ่มของเตียงทำให้เขาเสียหลักลงไปนั่งเหมือนเดิม จึงต้องเคลื่อนไหวด้วยการคลานไปเรื่อย ๆ

   เซินหมิงเฟิ่งมองเด็กชายคลานไปบนเตียงแล้วหยิบหมอนข้างกับหมอนมากั้นขอบเตียงไว้ ส่วนตัวเขาก็นั่งมองพยายามไม่ให้คลาดสายตา

   เสียงเด็กชายร้องอ้อแอ้แบบขัดใจปนสนุกกับเตียงที่เหมือนจะเด้งขึ้นลงทุกครั้งที่ขยับตัวพาให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกสดชื่นไปด้วย เขาไม่ได้ฟังเสียงที่ไร้เดียงสาแบบนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ พอมองเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนี้แล้ว เขาก็พลันนึกถึงตัวเองที่อีกไม่นานจะต้องแต่งงานกับซากุระที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ถ้าเขายังมีโอกาสได้กลับไป ณ จุดเดิมอีกครั้ง และเธอยังไม่หนีไปแต่งงานกับใครก่อน เขากับเธอคงจะได้มีลูกด้วยกันสักคนหรือสองคนเป็นอย่างน้อย เพราะเท่าที่มองดู ซากุระเป็นหญิงสาวสุขภาพแข็งแรงและอายุยังน้อย ตัวเขาเองก็ไม่ได้มีโรคภัยเบียดเบียน ครอบครัวพวกเขาก็ไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ คงจะไม่อับโชคเรื่องผู้สืบสกุลเหมือนกับพ่อเขาแน่ ๆ

   แต่ว่าทำไมกันนะ เขาถึงนึกภาพตัวเองกับซากุระในรูปแบบครอบครัวที่แสนสุขไม่ออกเลย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าทั้งเขาและเธอถูกจับคู่ด้วยเหตุผลทางธุรกิจก็เป็นได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็หวังว่าตนเองจะสามารถรักผู้หญิงคนนั้นในฐานะภรรยาได้ในสักวัน

   เซินหมิงเฟิ่งขยับทอดตัวลงนอนบนเตียงเมื่อเห็นเด็กชายเล่นมากไปจนเริ่มหาวก่อนจะคลานไปหาหมอนแล้วขดตัวลงนอน

   เครื่องปรับอากาศค่อนข้างเย็น เซินหมิงเฟิ่งจึงขยับผ้าห่มมาห่มให้พวกเขาทั้งคู่

   ออกจะไวเกินไปหน่อยสำหรับเวลานอน แต่พอเห็นเด็กจะนอนแล้ว เขาก็เกิดง่วงตามขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เขาเกรงว่าหากหลับไปแล้ว เด็กชายจะตื่นขึ้นมาซุกซนจนตกเตียงไปโดยเขาห้ามไม่ทัน จึงฝืนหนังตาตนเองไว้และรอจนกระทั่งเด็กชายหลับสนิทไปแล้วจึงค่อยปรือตาลง

   หูของเขาแว่วเสียงประตูและเสียงโทรศัพท์มือถือ ก่อนจะตามด้วยเสียงคนพูดจากห้องด้านนอก

   “เย็นนี้ผมสะดวกครับ”

   นั่นเสียงของชิงหลง เสียงแบบนั้นไม่มีใครเหมือนได้แน่นอน

   “ครับ ผมจะจัดการให้ แล้วพบกันครับ”

   บทสนทนาดำเนินไปไม่นานนัก เหมือนกับนิสัยที่เจ้าตัวมักแสดงออกคือไม่ชอบบทสนทนาที่ยืดเยื้อ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเสียงชิงหลงก็เงียบไป สติของเซินหมิงเฟิ่งจึงขยับลงสู่การนิทราลึกยิ่งขึ้น แต่เขาก็ต้องสะดุ้งขึ้นมาอีกครั้งเมื่อชิงหลงเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน ทุกอย่างเลือนรางและดูไม่เหมือนจริง คงเพราะเขาอยู่ในภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ครั้นนึกจะลืมตาขึ้นก็ยากลำบากจนอยากจะทำเป็นหลับไปแล้ว

   ชิงหลงอุ้มเด็กชายที่กำลังหลับสนิทขึ้นอย่างเบามือ เซินหมิงเฟิ่งจึงปรือตาขึ้นมอง เห็นภาพชายหนุ่มที่กำลังอุ้มเด็กตัวน้อยอย่างทะนุถนอมในวงแขนด้วยสีหน้าอ่อนโยน ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเย็นชาคนนั้นจะสามารถทำสีหน้าเช่นนี้ได้ และสามารถโอบอุ้มเด็กตัวเล็ก ๆ ได้โดยที่เจ้าตัวไม่ตื่นขึ้นมาเลย

   ชิงหลงหมุนตัวออกไปจากห้อง ท่าทางจะเอาเด็กไปคืนให้กับผู้เป็นแม่

   เซินหมิงเฟิ่งขยับลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกมึนงงเล็ก ๆ เพราะพยายามพาตัวเองออกจากสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นที่ความจริงมากกว่าครึ่งเอนเอียงไปทางหลับมากกว่าตื่น

   เขาลุกไปเข้าห้องน้ำแล้วล้างหน้าก่อนจะได้ยินเสียงชิงหลงกลับเข้ามา

   “ทำธุระเสร็จเร็วนะครับ” เขาพูดออกมาจากห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงอีกฝ่ายเดินเข้ามาในห้องนอน

   “ไม่ใช่เรื่องยากที่ต้องใช้เวลานานมากขนาดนั้น” เสียงของชิงหลงบ่งบอกว่าเจ้าตัวไม่ได้เหน็ดเหนื่อยกับธุระที่เพิ่งไปทำมาเลย “คุณเซิน คุณอยากออกไปข้างนอกหรือเปล่า?”

   ข้างนอก?

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว ไม่คิดว่าคำนี้จะออกจากปากชิงหลงได้โดยที่เขาไม่ได้เอ่ยปากขอ

   “เพื่อให้ผมถูกลักพาตัวอีกรอบน่ะหรือครับ?” เขายังจำได้ดีถึงเรื่องที่ผ่านมาไม่นาน และเขาก็ไม่อยากจะเจอเหตุการณ์เดิมซ้ำสอง ไม่เอาอีกแน่ ๆ ในแผ่นดินที่ห่างไกลจากบ้านแบบนี้

   “ผมไม่ได้จะปล่อยคุณไปตามลำพัง ผมต้องไปด้วย”

   เซินหมิงเฟิ่งเยี่ยมหน้าออกมาจากห้องน้ำพลางมุ่นคิ้วก่อนเปิดออกแล้วเดินออกมา

   “หมายความว่ายังไงที่ว่า ‘ต้อง’ ?”

   “อเล็กซานโดร ตาของผมเชิญไปทานอาหารเย็น และเพราะเหตุลักพาตัวคราวก่อนทำให้เขารู้ว่าผมมีใครอีกคนแอบซ่อนไว้ไม่ให้เขารู้จัก เขาก็เลยอยากจะทำความรู้จักกับคุณขึ้นมา” คำพูดของชิงหลงเหมือนเจ้าตัวจะถูกตัดพ้อมาไม่น้อย ถึงได้จำยอมต้องตามใจญาติผู้ใหญ่ที่นาน ๆ จะได้พบกันสักครั้ง แต่เขาก็ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะแนะนำเซินหมิงเฟิ่งให้อเล็กซานโดรรู้จัก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 21-06-2012 14:37:05
   เซินหมิงเฟิ่งเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า ญาติฝั่งแม่ของชิงหลงอยู่ที่นี่หมด จึงไม่น่าแปลกอะไรหากอีกฝ่ายจะต้องพบปะญาติผู้ใหญ่

   “เขาเชิญผม?” ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังแปลกใจที่ญาติชิงหลงเกิดอยากรู้จักเขาขึ้นมา

   “ใช่ ตามที่คุณเข้าใจ”

   “แต่ว่าผมไม่มีชุดอะไรเลย” เซินหมิงเฟิ่งมองสภาพตัวเองที่มีแต่เสื้อยืดกับกางเกงผ้าสบาย ๆ ที่ชิงหลงหามาให้ อย่างดีก็เสื้อยืดคอปกกับกางเกงยีนส์ที่เพิ่งจะถูกเอาไปซักอย่างหนักมาเนื่องจากเป็นชุดที่เขาใช้สวมออกไปในวันที่ถูกลักพาตัวไปขัง ทำให้มันเน่าจนเกินทน

   “เรื่องนั้นคุณไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ผมจัดการให้คุณได้” ชิงหลงไม่เห็นว่าปัญหาของเซินหมิงเฟิ่งจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร แค่สั่งไม่กี่คำ ของที่ต้องการก็มาถึงที่แล้ว “แล้วก็ยังมีเวลาให้คุณเตรียมใจอีก 2 ชั่วโมง ก่อนที่เราจะไปที่รถแล้วค่อยไปให้ถึงบ้าน”

   2 ชั่วโมง...

   ให้เวลาน้อยเกินไปหรือเปล่า...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดอยู่ในใจ เพราะอเล็กซานโดรนั้นเป็นตาของชิงหลง หมายความว่าเป็นปู่ของโจเซ และเป็นดอนมอเรสซาเรรุ่นก่อน เจ้าพ่อมาเฟียอับดันต้น ๆ ของอิตาลีที่ใคร ๆ ก็ยำเกรงจะเป็นคนแบบไหน แค่คิดเขาก็ขนลุกซู่เมื่อในหัวผุดภาพชายวัยกลางคนมีหนวดเครารุงรังหน้าตาโหดเหี้ยม มีรอยแผลเป็นประดับเต็มใบหน้าเสมือนรางวัลเกียรติยศ และรอยยิ้มเลือดเย็นที่ติดบนริมฝีปากเหมือนสิงโตจ้องมองลูกแกะ

   สีหน้าของเซินหมิงเฟิ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเจ้าตัวกำลังจิตนาการภาพอะไรอยู่ ชิงหลงที่มองเห็นก็ไม่คิดจะแก้ต่างใด ๆ

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้เวลาคุณทำใจไปก่อนแล้วกัน” ว่าแล้วชิงหลงก็เดินออกไป

   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินว่า ‘เวลาทำใจ’ ก็ยิ่งคิดถึงภาพที่น่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะรีบหยุดความคิดตัวเองลงแค่นั้นเมื่ออีกกระแสความคิดวิ่งเข้ามาแทนที่

   พ่อของเขากับชิงหลงก็เป็นมาเฟียเหมือนกัน ยังไม่ได้น่ากลัวถึงขนาดนั้น แม้แต่โจเซก็ไม่ได้น่าหวาดกลัวแม้แต่น้อย

   โจเซกับชิงหลงก็เป็นหลานของอเล็กซานโดรทั้งคู่ หากเอาหน้าทั้งสองคนมาประสมกันจะได้ใบหน้าของอเล็กซานโดรหรือไม่นะ?

   คำถามนั้นเซินหมิงเฟิ่งทำได้แค่ถามกับตัวเอง เพราะอย่างไรเขาก็ต้องเห็นหน้าอเล็กซานโดรก่อนจึงจะได้ข้อสรุปที่แท้จริง

------------------------>

   ราว ๆ ชั่วโมงต่อมา ชุดก็มาส่งที่ห้อง เซินหมิงเฟิ่งเปิดถุงแล้วลองชุดอยู่หน้ากระจกด้วยความไม่คุ้นชิน เพราะมันเป็นชุดที่ดูเป็นทางการแบบที่เขาไม่ชอบสวมใส่นัก ที่เคยสวมหากไม่รวมตอนสมัยเด็กก็น่าจะเป็นตอนจบการศึกษากับตอนที่ไปงานหมั้นของตัวเองเท่านั้นกระมัง

   ชิงหลงเดินเข้ามาหลังจากได้เวลา 2 ชั่วโมงตามกำหนด

   “พร้อมจะไปหรือยัง?” เขาเอ่ยถามแล้วมองเซินหมิงเฟิ่งที่กำลังเซ็ตผมตัวเองให้เรียบแปล้ เพราะทนมองไม่ไหวจึงเดินเข้าไปช่วยจัดการทำทรงผมให้ดูไม่น่าเกลียดเกินไปนัก เขาออกงานสังคมบ่อยจนชินกับเรื่องพวกนี้ไปเสียแล้ว ทำให้เขานึกสงสัยว่าเซินหมิงเฟิ่งอยู่ในสังคมแบบไหนถึงแต่งตัวเป็นทางการไม่เป็น

   “ค่อยดูดีขึ้นหน่อย คราวก่อนอาซิงทำผมให้ เขาแทบจะถลกหนังหัวผมให้ได้” เซินหมิงเฟิ่งจงใจพูดให้เกินจริงเพื่อให้ตนเองรู้สึกขำจนผ่อนคลายลง แต่พอหันไปเห็นสีหน้าจริงจังของชิงหลง อารมณ์ของเขาก็ยิ่งฝ่อลงกว่าเดิมและเหนื่อยใจเกินกว่าจะปั้นมู้ดขึ้นมาใหม่

   “ไปที่รถได้แล้ว ผมไม่ชอบไปสาย” ชิงหลงเดินนำออกไปจากห้อง ทำให้เขาต้องยอมเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้พร้อมกับการ์ดล้อมหน้าหลัง

   รถติดเครื่องรออยู่แล้ว รวมถึงรถการ์ดอีก 3 คัน

   เซินหมิงเฟิ่งขึ้นรถคันเดียวกับชิงหลง เขามองคนข้างตัวที่เอาแต่นั่งเงียบตลอดทางไม่ยอมพูดอะไรเลย ผู้ชายคนี้จะพูดต่อเมื่อจำเป็นจริง ๆ เท่านั้นหรือยังไงกันนะ

-------------------------->

   การเดินทางไปที่บ้านของมอเรสซาเรใช้เวลาไม่นานมากนัก อาจจะเพราะถนนในเวนิสไม่ค่อยมีรถรามากนักก็เป็นได้ เพราะส่วนต่าง ๆ ของเมืองถูกล้อมรอบและเชื่อมต่อกันด้วยคลองสายต่าง ๆ และยิ่งวัน มันก็ยิ่งทรุดลงไปในน้ำมากขึ้นและมากขึ้น เท่าที่เขาอ่านข่าวและสารคดี มีแต่คนคาดการณ์ว่าในไม่ช้า ดินแดนแห่งสายน้ำแห่งนี้จะหายไปจากแผนที่โลก

   บ้านของมอเรสซาเรไม่ได้อยู่ใกล้คลองแต่อยู่ในสถานที่ซึ่งมีหมู่ตึกอยู่มากมายและถนนหนทางให้รถเดินทางสะดวก อีกทั้งยังเป็นที่อยู่อาศัยของหมู่ผู้มีอันจะกินในเวนิส

   เซินหมิงเฟิ่งมองดูสถานที่ซึ่งชิงหลงเรียกว่า ‘บ้าน’ แต่สำหรับเขา เรียกว่าคฤหาสน์น่าจะเหมาะสมมากกว่า ถึงแม้จะไม่ได้ประกอบด้วยอาคารหลายชั้น มีเพียงบ้านสองชั้นอยู่ตรงกลาง และสร้างเป็นส่วนโอบล้อมไปด้านหลังที่มีสวนอยู่ด้านใน แต่ก็กินบริเวณกว้างขวาง มีแต่สีเขียวร่มรื่น บางที สำหรับมาเฟียแบบพวกเขา บ้านคงจะเป็นสถานที่ที่สวยงามและสงบที่สุด เพราะเหตุนั้นต่างคนจึงอยากให้บ้านของตนเองน่าอยู่ร่มรื่น เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจคลายจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

   ที่บ้านของเขาเอง ถึงจะใช้เป็นที่ประชุมระดับหัวหน้าอยู่บ่อย ๆ แต่เมื่ออยู่นอกเหนือการประชุม ส่วนต่าง ๆ ของบ้านก็จะถูกจักแต่งอย่างสวยงามระรื่นตา

   สวนดอกไม้ที่แม่เลี้ยงของเขาชอบ ยังคงอยู่ที่นั่นเหมือนที่มันเคยเป็น....

   เซินหมิงเฟิ่งอดจะคิดถึงบ้านของตัวเองขึ้นมาไม่ได้

   เมื่อพวกเขาลงจากรถ ก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาหา ผู้ชายที่เดินนำหน้าอายุมากพอสมควรแล้ว อาจจะน้อยกว่าหวางซือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ท่าทางของเขาในชุดเครื่องแบบพ่อบ้านยังดูสง่างามด้วยแผ่นหลังเหยียดตรงและดวงตาเป็นประกายคมกริบ หนวดสีขาวโพลนที่ประดับเหนือริมฝีปากคล้ายจะทำให้ใบหน้านั้นดูเคร่งขรึมน่าเคารพมากขึ้น แม้แต่พ่อบ้านก็ทำให้เขารู้สึกเกร็งได้แล้ว สมกับเป็นบ้านของมาเฟียใหญ่จริง ๆ

   “ท่านอเล็กซานโดรและท่านโจเซรออยู่แล้วครับ” พ่อบ้านคนนั้นค้อมหลังลงด้วยท่าทางเสมือนถูกจับให้ทำอยู่หลายครั้งจนกลายเป็นแบบแผนของชีวิต ก่อนจะยืดหลังขึ้นตรงแล้วหมุนตัวเดินนำพวกเขาทั้งหมดเข้าในไปบ้าน โดยให้การ์ดทั้งหมดตามเข้าไปได้ แต่เมื่อไปถึงหน้าห้องที่ถูกจัดไว้รับรอง การ์ดทั้งหมดกลับถูกกันไว้ด้านนอกและอนุญาตให้เซินหมิงเฟิ่งและชิงหลงเจ้าไปเพียงสองคน

   พ่อบ้านกล่าวว่าเจ้านายของตนต้องการให้การรับประทานอาหารเป็นบรรยากาศของครอบครัว จึงไม่ต้องการให้มีการ์ดชุดดำยืนทำหน้าถมึงทึงอยู่ข้างหลังให้เสียอารมณ์

   เซินหมิงเฟิ่งคิดว่าตนเองพอจะเข้าใจภาวะอารมณ์แบบนั้นดี เพราะที่บ้านของเขาก็ไม่ให้การ์ดมายืนคุมเชิงในห้องอาหารเหมือนกัน แต่ชิงหลงคงจะทำกระมัง เขาคิดขณะเหลือบมองคนข้างตัว เพราะชิงหลงเป็นคนที่แทบจะมีการ์ดอยู่ใกล้ ๆ ตลอดเวลา อาจจะยกเว้นแค่เวลานอน

   พ่อบ้านสูงวัยเปิดประตูบานใหญ่ออก และหลีกทางให้พวกเขาเข้าไป

   หลังประตูบ้านนั้นเป็นห้องรับประทานอาหารที่ค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะยาววางอยู่ตัวหนึ่งซึ่งคะเนแล้วสามารถนั่งรวมกันได้ประมาณ 10 คนแบบไม่เบียดเสียด ชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ด้านขวามือ โจเซก็นั่งยิ้มให้เขาอยู่เงียบ ๆ ส่วนบนโต๊ะ มีอาหารจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว ทั้งจาน ช้อน ส้อม และแก้วไวน์กับน้ำเปล่า มองไปแล้วคล้ายการจัดโต๊ะของภัตตาคารอยู่ไม่น้อย เซินหมิงเฟิ่งไม่รู้ว่าโดยปกติแล้ว ที่นี่จัดสำรับอาหารแบบนี้เป็นปกติหรือจัดเฉพาะเวลาที่มีแขก เขาจึงทำตัวไม่ถูก

   “เชิญตามสบาย” ชายที่นั่งหัวโต๊ะยืนขึ้นผายมือเชิญทั้งสองคนให้เข้ามา

   ชิงหลงรุนหลังเซินหมิงเฟิ่งให้เดินอ้อมฝั่งตรงข้ามของโจเซไปหาชายคนนั้น

   “คุณตา นี่คือเซินหมิงเฟิ่ง เป็นคนรู้จักของผมที่ฮ่องกง” ชิงหลงกล่าวกับอเล็กซานโดรเป็นภาษาอิตาลีแล้วหันมาพูดกับเซินหมิงเฟิ่งเป็นภาษาจีน “นี่ตาของผม อเล็กซานโดร มอเรสซาเร”

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ถึงแม้เซินหมิงเฟิ่งจะประหม่า แต่เขาก็สามารถกลั้นใจเปลี่ยนลักษณะการแสดงออกเป็นปกติได้ในทันที ซึ่งคงต้องขอบคุณพ่อของเขาที่บังคับให้เขาพบปะพวกผู้ใหญ่ตอนเด็ก ๆ เขายื่นมือไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้มและอเล็กซานโดรก็ตอบรับการทักทายนั้นอย่างเป็นมิตร

   เซินหมิงเฟิ่งมองพิจารณาอีกฝ่าย

   อเล็กซานโดรเป็นชายสูงอายุที่ดูสุขภาพแข็งแรงและรูปร่างดีสำหรับคนวัยเดียวกัน ไม่มีท่าทางของการเสื่อมสภาพอย่างหลังหง่อมหรือเดินขโยกเขยกแสดงว่าขยันออกกำลังกายพอสมควรถึงจะอายุมากแล้วก็ตาม ดวงตาของเขาคล้ายจะมีประกายคมอยู่ลึก ๆ แต่ปิดบังไว้ด้วยสายตาเอ็นดู เซินหมิงเฟิ่งจึงสามารถรู้ได้ทันทีว่าตนเองก็กำลังถูกลอบสังเกตอยู่เช่นกัน

   หากมองดี ๆ แล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็พบว่าอเล็กซานโดรมีบรรยากาศน่าเกรงขามอบอวลอยู่รอบตัวตลอดเวลาแม้ว่าจะสวมเสื้อผ้าสบาย ๆ และทำตัวเหมือนผู้ใหญ่ใจดี บนใบหน้าของชายสูงวัยคนนี้มีรอยแผลเป็นจาง ๆ อยู่ไม่กี่รอยแต่บนร่างกายคงมีมากกว่านี้ ไม่น่าสงสัยเลยว่าคงจะเป็นเสมือนเครื่องประดับเกียรติยศจากสมัยวัยหนุ่มที่คึกคะนองก่อนจะกลายมาเป็นมาเฟียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเวเนโตเรโจนี ผิดกับโจเซที่เกิดมาในฐานะเดียวกับเขาคือถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นผู้สืบทอด ไม่ต้องออกไปดิ้นรนข้างถนนเพื่อประกาศศักดา ใบหน้าของโจเซจึงสะอาดเกลี้ยงเกลาไม่มีร่องรอยของประสบการณ์อันโชกโชน

   แต่นั่นคงเป็นข้อแตกต่างระหว่างพวกเขาและอเล็กซานโดร

   บอสที่เคยไต่ขึ้นมาจากระดับล่าง สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ใต้บัญชา ย่อมได้รับการเคารพยกย่องมากกว่าบอสที่เกิดมาบนบัลลังก์ทอง

   ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่อเล็กซานโดรมีบรรยากาศน่าเกรงขามอบอวลจนทุกคนรู้สึกได้ ในขณะที่ชิงหลงและโจเซนั้นแม้จะน่าเกรงกลัวในระดับหนึ่งแต่ก็เทียบบารมีของอเล็กซานโดรไม่ได้แม้กระผีกริ้น

   เซินหมิงเฟิ่งสามารถสรุปได้ในเสี้ยววินาทีว่า ผู้ชายคนนี้ภายนอกไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่คิดเลย แต่สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นกลับลึกล้ำไร้ก้นบึ้ง และเพียงชั่วนาทีที่ได้สัมผัสมือกัน เซินหมิงเฟิ่งก็รู้สึกเคารพผู้ชายคนนี้จากใจจริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

   หากเขาต้องเป็นจูเชว่...ไม่สิ เมื่อเขากลายเป็นจูเชว่ เขาเองก็อยากจะเป็นเช่นนี้....

   “เอาล่ะ นั่งลงเถอะ นี่ก็ถึงเวลาพอดี” อเล็กซานโดรพูดพลางมองนาฬิกาโบราณที่ตั้งอยู่มุมหนึ่งของห้อง มันทำจากไม้ชั้นดีขัดเงาและเลี่ยมทองบนขอบหน้าปัด บ่งบอกฐานะผู้ครองครอบได้ดียิ่งกว่าเครื่องเรือนชิ้นใด ๆ

   ชิงหลงพาเซินหมิงเฟิ่งมานั่งข้างตัว ก่อนที่คนรับใช้จะเข้ามารินไวน์ให้

   อเล็กซานโดรลอบมองเซินหมิงเฟิ่งอยู่เงียบ ๆ เขารู้ได้ทันทีว่าคน ๆ นี้ไม่ใช่แค่คนรู้จักของหลานชายอย่างปากว่า กลิ่นอายแบบเดียวกันกับพวกเขาอวลอยู่รอบกายอย่างเบาบาง เพียงแต่เหมือนนกที่ยังไม่ผลัดขน แล้วหลานชายของเขาคิดจะสอนให้โผบิน หรือผลักตกจากรังทั้งอย่างนี้กันแน่...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 21-06-2012 14:58:53
ลุ้นนนนน
เริ่มลุ้นขึ้นเรื่อยๆคราวนี้ หึหึ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 21-06-2012 18:19:34
ชิงหลงจะทำอะไรกันแน่
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 21-06-2012 22:48:39
ชักจะ เข้มข้น ขึ้นเรื่อยๆๆ แล้วสิ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 21-06-2012 23:48:57
ชิงหลง นี่ล้ำลึกอ่ะ เริ่มจากลักพาตัว มาทำไมกัน? เย็นชางี้?  เล่นหมากรุก? 

สงสารเซินอ่ะ แต่ชิงหลงคงเปลี่ยนนายได้แน่นอนแหละ

แล้วมันจะมีเรื่องราวของความรัก เข้ามาบ้างมั๊ยน๊า ^^

รอตอนต่อไปคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 22-06-2012 09:56:24
เซินหมิงเฟิ่งก็วางตัวออกสังคมได้ดีนะ แต่ต่างคนก็ยังใส่หน้ากากเข้าหากันอยู่
อยาหอ่านต่แล้วอ่าาาาาาาา
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 25-06-2012 17:09:45
รอตอนต่อไป  :call:  :call:  :call:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nuttinee_k ที่ 26-06-2012 00:34:44
 :pig4:
ยิ่งอ่าน ก็ยิ่งอยากอ่านต่อไปเรื่อยๆเลยค่ะ เนื้อเรื่องเริ่มจะเข้มข้น ไปอย่างช้าๆ พ่อชิงหลงของเราก็ยังคงไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่
อยากอ่านฉากหวานๆของคู่นี้บ้าง ไรบ้างง

หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 19 (21/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: naja ที่ 27-06-2012 02:52:02
ติดใจแล้วน๊าา สนุกมากๆๆๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 28-06-2012 20:32:42
-20-


   ไวน์สีแดงคล้ำถูกรินลงแก้วใสทรงสวยอย่างช้า ๆ เมื่อยกขึ้นมาแตะปลายจมูก กลิ่นหอมของมันก็อวลเข้าสู่ต่อมรับกลิ่น กระดกแก้วเพียงเล็กน้อย ปล่อยให้ของเหลวสีแดงคล้ำไหลเข้าไปในปากและเก็บไว้ใต้ลิ้น ลิ้มรสหวานอมเปรี้ยวอันเป็นเอกลักษณ์แสนละมุนละไมก่อนจะค่อย ๆ กลืนลงคอไป

   ท่วงท่าการดื่มไวน์ของผู้ร่วมโต๊ะแต่ละคนบ่งบอกว่าเจนจัดด้านสังคมเพียงใด นอกจากบุคคลผู้หนึ่งที่ไม่พึงพอใจกับรสชาติของเครื่องดื่มแห่งอารยธรรมนี้สักเท่าไหร่

   เซินหมิงเฟิ่งเลือกจะจิบไวน์แต่น้อยแล้วหนักอาหารมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นอาหารของอิตาเลียนก็เต็มไปด้วยชีส เนย และนมผสมไขมันแปรรูปสารพัดแบบพาให้รู้สึกเลี่ยนแค่ไม่กี่คำ ทำให้เขาต้องยอมกระดกไวน์เป็นช่วง ๆ เพื่อขับไล่ความเลี่ยนออกไปจากลิ้นและลำคอ ซึ่งสำหรับเขาแล้ว นี่เป็นประโยชน์หนึ่งเดียวของไวน์ที่ทำให้เขายอมให้มันผ่านคอลงไป

   “บรรยากาศเป็นทางการแบบนี้ทำให้รู้สึกเกร็งหรือเปล่า ทำตัวตามสบายเถอะ ผมไม่มากพิธีหรอก” อเล็กซานโดรพูดกับเซินหมิงเฟิ่งเป็นภาษาอังกฤษ

   “เอ่อ ครับ...ผมไม่ค่อยชินกับเรื่องแบบนี้เท่าไหร่” เซินหมิงเฟิ่งตอบ แต่พอคิดอีกที เขาไม่ควรเปิดเผยข้อด้อยของตัวเองให้คนอื่นรู้มิใช่หรือโดยเฉพาะมาเฟีย “พอดีห่างหายไปนานตอนเรียนน่ะครับ” เขาพูดเสริมเพื่อให้ตนเองดูไม่ประหม่ามากเกินไป

   “แบบนี้เอง ตอนที่โจเซกับเวย์เรียนอยู่ก็เพลา ๆ เรื่องพวกนี้ไปเหมือนกัน ทำให้โจเซทโมนขึ้นเยอะเลย” อเล็กซานโดรเล่าด้วยสีหน้าผ่อนคลายและร่วมหัวเราะไปกับคนที่กลายเป็นหัวข้อเรื่องโดยไม่ได้ตั้งใจ

   “ผมไม่ได้ทโมนเสียหน่อย เรียกว่าเรียนรู้การทำอาชีพตั้งแต่อายุน้อยดีกว่า” โจเซแย้งแล้วหัวเราะร่า

   เซินหมิงเฟิ่งแค่ฟังไม่กี่ประโยคก็จับใจความได้ทันทีว่าโจเซทำอะไรในโรงเรียน ซึ่งท่าทางเจ้าตัวจะภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเองทำเสียด้วย แต่เรื่องนั้นเป็นธรรมดาของเด็กผู้ชายที่อยากจะเป็นผู้ควบคุมแม้กระทั่งในสถาบันซึ่งนับเป็นสังคมแรกเริ่ม การได้เป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็ก ๆ แล้วออกไปก่อความวุ่นวายบนถนนนับเป็นประสบการณ์ที่เด็กผู้ชายทุกคนอยากจะลิ้มลอง

   “ใครจะเหมือนเวย์ล่ะ เรียบร้อยอย่างกับผ้าพับไว้” โจเซแอบโยนลูกไปให้ญาติผู้น้องที่กำลังนั่งอย่างเงียบ ๆ เหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุ

   “ถึงไม่ต้องโดนตำรวจกาหัวตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 แบบนายไง” ชิงหลงตบลูกกลับไปแบบนิ่ม ๆ แต่แรงเอาเรื่อง เล่นเอาโจเซจุกไปพักใหญ่

   “เจ้าสองคนนี้นี่นะ กัดกันเป็นเด็ก ๆ ไปได้” อเล็กซานโดรส่ายศีรษะ “ว่าแต่ คุณเซินพูดภาษาอังกฤษสำเนียงบริเทนชัดเจนขนาดนี้ เคยไปอยู่ที่นั่นมาก่อนหรือ? ผมเองก็มีเพื่อนที่อยู่ที่นั่นหลายคนเหมือนกัน เลยจำสำเนียงวิธีใช้คำได้แม่นอยู่”

   “ครับ ผมเรียนที่อังกฤษ ก็เลยติดสำเนียงมา ผมพูดแบบอเมริกันไม่ได้เลยล่ะครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะ “คุณอเล็กซานโดรเองก็ออกเสียงนามสกุลผมใกล้เคียงกับสำเนียงจริงมากเลยนะครับ”

   “ก็ตอนเด็ก ๆ น่ะสิ เจ้าเวย์น่ะไม่ยอมพูดอิตาเลียนกับใคร มาที่นี่ก็พูดแต่ภาษาจีน ฉันก็เลยต้องเรียนรู้ไว้พูดกันให้รู้เรื่อง” อเล็กซานโดรเล่าพลางทำหน้าเหนื่อยอกเหนื่อยใจ ชิงหลงตอนเด็ก ๆ เห็นก็รู้ว่าหัวแข็งไม่ยอมใคร ทำให้คนอื่นต้องยอมทำตามอยู่ตลอด โตขึ้นมาก็ยิ่งติดนิสัยแบบนั้นมากกว่าเดิมเพราะเป็นลูกชายตระกูลใหญ่ซ้ำยังมีพ่อเป็นผู้มีอิทธิพล แม่ก็มีเส้นสายกับทางอิตาลี ใครเล่าจะกล้าขัดใจ

   ได้ยินที่อเล็กซานโดรเล่า เซินหมิงเฟิ่งก็อดจะเหลือบมองไปทางชิงหลงไม่ได้ มองไปแล้ว เขาก็ไม่นึกแปลกใจที่ได้ยินเกี่ยวกับวีรกรรมวัยเด็กแบบนั้น เพราะผู้ชายคนนี้มีลักษณะของคนที่ชอบการควบคุมผู้อื่นโดยไม่ยอมให้ใครมาควบคุมตนเองได้

   “นั่นสินะ กว่าจะพูดกันรู้เรื่องก็แทบแย่” โจเซเสริมขึ้นมา เขานี่แหละที่ลำบากเรื่องภาษาที่สุดเพราะพอชิงหลงมาที่บ้านทีไร เขาก็จะถูกจับวางให้เป็นคนดูแลทุกที ผู้ใหญ่คงมองว่าเด็กอายุไล่เลี่ยกันคงเล่นกันได้ แต่ชิงหลงมีความคิดเหมือนผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุน้อย ในขณะที่เขายังชอบเล่นซนหมือนเด็กทั่วไป สำหรับโจเซในตอนนั้น ชิงหลงเสมือนสิ่งมีชีวิตที่เขาไม่รู้จัก กว่าจะทำความเข้าใจได้ก็ใช้เวลาพอสมควร

   “จนถึงตอนนี้นายก็พูดภาษาจีนได้งู ๆ ปลา ๆ อยู่ดี” ชิงหลงกล่าวสั้น ๆ

   “ใครว่าล่ะ ฉันเจรจาธุรกิจกับคนจีนบ่อยจนพูดได้คล่องปรื๋อแล้ว แต่ฉันไม่เรียกชื่อนายเป็นภาษาจีนเพราะมันสะดวกลิ้นมากกว่าต่างหาก แบบเอสตาเตไง” โจเซพูดพลางยกไวน์ขึ้นจิบ สำหรับเขาแล้วภาษาอะไรก็พูดไม่สะดวกปากเท่าอิตาเลียนหรอก

   “เอสตาเต คิมหันต์สินะครับ จะว่าไปวันนี้เขาไม่ได้มาด้วยหรือครับ?” พอได้ยินคำที่คุ้นหู เซินหมิงเฟิ่งก็นึกถึงคิมหันต์ขึ้นมาทันที

   โจเซรู้สึกเหมือนเห็นสายตาตำหนิของชิงหลงอยู่แวบ ๆ ...

   “น่าเสียดายนะ แต่เขาต้องไปทำงานอื่น” เขาตอบโดยไม่ต้องใช้เวลาคิดมาก เรื่องการหลีกเลี่ยงแบบนี้เป็นเรื่องถนัดของเขาอยู่แล้ว เหตุผลพื้น ๆ นี้สามารถใช้ได้เกือบทุกสถานการณ์ และคิมหันต์เองก็อยู่กับเขาจึงต้องมีหน้าที่อื่นเป็นธรรมดา ซึ่งเมื่อพูดออกไป เซินหมิงเฟิ่งก็คล้ายจะทำหน้ายอมรับอยู่กลาย ๆ แฝงด้วยแววตาผิดหวัง เจ้าตัวคงคาดหวังว่าจะได้พบคิมหันต์เมื่อพบเขากระมัง แต่ถึงอย่างนั้น ชิงหลงก็กำชับมาไว้ก่อนแล้วว่าอย่าเพิ่งให้ทั้งสองคนได้พบกันในเร็ว ๆ นี้จนกว่าจะถึงเวลาที่สมควร

   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าชิงหลงต้องการกุมสภาวะเหนือจิตใจของเซินหมิงเฟิ่งให้อยู่มือ

   ดังนั้นคนที่มีผลต่อความมั่นคงของสภาพจิตจึงต้องถูกกันตัวออกไป

   อเล็กซานโดรรู้สึกได้ถึงความผิดปกติระหว่างบทสนทนา เขายังสรุปความไม่ได้แน่ชัด แต่ก็ได้คำตอบแบบเดียวกับโจเซเมื่อดูจากอารมณ์ที่เซินหมิงเฟิ่งแสดงออกและพยายามจะปิดบังเอาไว้ แต่เพราะอีกฝ่ายยังไม่มีประสบการณ์ที่จะต้องปิดบังความรู้สึกมากนักจึงมองออกอย่างง่ายดาย

   ดูเหมือนชิงหลงจะไม่ได้ต้องการผลักให้ตกจากรังหรือสอนบิน ทว่าตั้งใจจะสอนให้รู้ว่ากรงที่ตนสร้างขึ้นเป็นสถานที่เดียวซึ่งเซินหมิงเฟิ่งจะมีชีวิตอยู่พึ่งพิงได้

   เจ้าหลานชายคนนี้มันร้ายนัก...

--------------------->

   เมื่ออาหารคาวพร่องไปจนเกือบหมด และผู้ร่วมโต๊ะทำท่าว่าจะอิ่มกันแต่พอดีแล้ว อาหารหวานก็มาเสิร์ฟถึงโต๊ะพร้อมกับจานอาหารคาวถูกจัดเก็บไปอย่างรวดเร็ว

   แล้วหลังจากนั้นพวกเขาก็ย้ายไปคุยกันในห้องรับแขก โจเซ ชิงหลง และอเล็กซานโดรก็พูดคุยกันในสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งไม่เข้าใจ เพราะการสนทนาล้วนแต่ถูกถ่ายทอดด้วยภาษาอิตาเลียน และจนกระทั่งเริ่มตกดึก ชิงหลงจึงขอตัวกลับเพราะเห็นว่ารบกวนเวลามากเกินไปแล้ว

   เมื่อขึ้นมาบนรถ เซินหมิงเฟิ่งก็สังเกตว่าบรรยากาศของชิงหลงดูผ่อนคลายกว่าปกติ

   เพราะได้พูดคุยสบาย ๆ กับคนในครอบครัวกระมัง...

   ส่วนเขาน่ะหรือ...

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจหนักหน่วง

   “เป็นอะไรไปหรือ?” ชิงหลงได้ยินเสียงถอนหายใจเต็มสองหูจึงหันไปถาม

   “ไม่มีอะไรครับ” ในตอนแรกเซินหมิงเฟิ่งคิดจะพูดว่าตนเองกำลังคิดถึงครอบครัว แต่เมื่อนึกอีกที ชิงหลงคงจะไม่สนใจจริง ๆ หรอกว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไรและคิดถึงอะไร เพราะที่เขาต้องห่างไกลบ้านมาโดดเดี่ยวแบบนี้ก็เป็นเพราะอีกฝ่ายทั้งสิ้น

   “อเล็กซานโดรน่ากลัวอย่างที่คุณคิดหรือเปล่า?” อยู่ ๆ ชิงหลงก็ถามขึ้น เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองหน้าผู้ถามก่อนจะได้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ บนมุมปาก จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังล้อตนเองเล่นเรื่องที่คิดอยู่ในใจว่าอเล็กซานโดรจะดูน่ากลัวยังไงบ้าง

   เขาปั้นสีหน้าไม่พอใจทันที

   “คุณปล่อยให้ผมกลัวไปก่อนโดยไม่คิดจะบอกผมเลยสินะ”

   “ผมคิดว่าคุณชอบความตื่นเต้นเสียอีก”

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้วแล้วถอนหายใจพรืด

   “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณขี้แกล้ง”

   “จะว่าแบบนั้นก็ไม่เชิง ผมชอบให้คนรอบข้างได้คำตอบด้วยตัวเองมากกว่ายบอกด้วยปาก คำตอบที่ได้รับจากคนอื่นไม่นานก็ลืม แต่คำตอบที่ได้รับด้วยประสบการณ์จะทำให้คุณจดจำได้อีกนาน” ชิงหลงว่าทางเสมือนครูอาจารย์กำลังสั่งสอนเด็ก ทั้งที่จริง ๆ แล้วตนเองก็อายุห่างจากเซินหมิงเฟิ่งไม่กี่ปี กระนั้นมาดของชิงหลงกลับให้บรรยากาศเหมือนอายุห่างจากเซินหมิงเฟิ่งมากพอสมควร ทั้งนี้ทั้งนั้น คงต้องขอบคุณการสั่งสมประสบการณ์ที่ทำให้เจ้าตัวสามารถวางท่าให้สมฐานะได้ในทุกสถานการณ์

   เห็นแบบนั้นแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็อดจะหมั่นไส้ระคนอิจฉาไม่ได้ เพราะเขาเองโตมาแบบคนปกติธรรมดา ไม่เคยต้องอยู่ในสภาวการณ์ที่บังคับให้เปลี่ยนหน้ากากไปเรื่อย ๆ จึงไม่ถนัดการแสดงละครต่อหน้าคนเอาเสียเลย กระนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ไม่รู้เลยว่า การได้อยู่แบบคนธรรมดานั้น ก็เป็นที่น่าอิจฉาของชิงหลงเช่นกัน

   รูปแบบการใช้ชีวิตของเซินหมิงเฟิ่ง ไม่ว่าใครได้ยินก็นึกอิจฉาทั้งนั้น เพราะพวกเขาต่างก็ต้องดิ้นรนในฐานะคนที่จะต้องสืบตำแหน่งต่อจากรุ่นพ่อ ตั้งแต่สมัยเด็กที่ไม่รู้เลยว่าการละเล่นกับเพื่อนหมู่มากที่มีช่วงวัยเดียวกันนั้นเป็นอย่างไร รู้แต่เพียงว่าจะทำอย่างไรให้ตนเองอยู่เหนือคนอื่น แม้กระทั่งเพื่อนที่เรียนในห้องเดียวกันก็ถือเป็นศัตรูหรือลิ่วล้อที่จะต้องก้าวข้ามไป คนที่วางตัวอยู่ระดับเดียวกันมีแต่จะต้องถูกทำให้รู้ซึ้งถึงความแตกต่าง ด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงมีเพื่อนอยู่น้อยแสนน้อยเต็มที ที่เรียกได้ว่าเพื่อนจริง ๆ มีแต่เพียงคนที่สามารถให้ผลประโยชน์ได้จนเป็นที่ยอมรับและอยู่ในฐานะที่ทัดเทียมกัน

   ชีวิตเช่นนี้เป็นสิ่งที่ห่างไกลจากคำว่า ธรรมดา ไปไกลโข

   ทั้งตัวชิงหลงและคนอื่น ๆ ที่เกิดมาในสถานะเดียวกันล้วนแต่ไม่สามารถนึกภาพตนเองที่เป็นคนทั่ว ๆ ไปอย่างคนอื่นที่ดาษดื่นได้ เช่นเดียวกับที่คนอื่น ๆ ไม่สามารถนึกภาพชีวิตของพวกเขาได้

   ชีวิตอันเรียบง่าย สงบสุข คือสิ่งที่แสนห่างไกลเหมือนภาพจิตนาการอันเลือนราง

   เซินหมิงเฟิ่งอาจจะนับว่าเป็นคนโชคดีที่สุดในหมู่พวกเขา...

   แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีความโชคร้ายแฝงอยู่ เพราะแบบนั้นตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งจึงได้มาตกอยู่ในเงื้อมมือเขา และความโชคร้ายนั้นคือสาเหตุที่ทำให้เซินหมิงเฟิ่งได้รับโอกาสที่พวกเขาทุกคนไม่ได้รับ จะเรียกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าหรือเปล่า หากสุดท้ายแล้วเซินหมิงเฟิ่งรู้ว่าตนเองจะต้องสูญเสียอะไรไป

   ชิงหลงที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างและคิดเพลิน ๆ นั้นกลับรู้สึกถึงน้ำหนักที่กดลงบนบ่าจึงหันกลับเข้ามามอง และเห็นเรือนผมเคลียอยู่บนลาดไหล่ตนเองพร้อมกับแพขนตาที่ทาบปิดสนิทบนใบหน้าละมุนของชายหนุ่มอายุน้อย

   เขารู้สึกแปลกที่ถูกนอนซบไหล่แบบนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยมีใครมีโอกาสกระทำ

   ตอนแรกชิงหลงคิดจะผลักเซินหมิงเฟิ่งออกไปให้พิงพนักด้านหลังแทน แต่เมื่อคิดดูอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายหลับสบายแล้วเขาก็รู้สึกไม่ค่อยอยากจะรบกวนนัก สักพักหนึ่งพอเมื่อยไหล่แล้วค่อยปลุกก็แล้วกัน

   ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ปล่อยให้นอนซบไหล่มาจนถึงโรงแรม

   “คุณเซิน ตื่นได้แล้ว” ชิงหลงเอ่ยเรียกครั้งหนึ่งก็เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ขยับตัวจึงเอื้อมมือไปเขย่าพร้อมเรียกไปด้วย ไม่นานนักจึงได้เห็นการเคลื่อนไหวของเปลือกตาก่อนที่เซินหมิงเฟิ่งจะตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย และตาสว่างในวินาทีต่อมาเมื่อพบว่าศีรษะของตนเองอยู่ที่ใด

   “ผ...ผมขอโทษ คือว่าผมเพลียไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะ....” เซินหมิงเฟิ่งละล่ำละลักแก้ตัวเป็นพัลวัน แต่พูดไม่ทันจนประโยค ชิงหลงก็ลงจากรถไปเสียแล้ว เขาตีความการกระทำเช่นนั้นว่าอีกฝ่ายคงจะโกรธที่เขาทำตัวสนิทสนมเกินไปทั้งที่ความจริงเป็นแค่เชลยที่ถูกจับตัวมาเท่านั้น

   เขาเดินลงจากรถด้วยท่าทางหงอย ๆ ไม่รู้ว่าชิงหลงจะถือตัวถึงขนาดนั้น

   “ถ้าคุณง่วง อย่างน้อยก็เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนอนด้วยก็แล้วกัน” ชิงหลงเดินมาพูดข้าง ๆ ก่อนจะขึ้นลิฟท์ ทำให้เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองอย่างงงงวย

   “ไม่ได้โกรธผมหรอกหรือ?”

   “โกรธเรื่องอะไร?” ชิงหลงเหลือบตามองกลับด้วยความสงสัย

   “....เปล่าครับ ช่างมันเถอะ” พอรู้ว่าตัวเองคิดมากไปเองเป็นตุเป็นตะ เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่กล้าจะพูดความคิดตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายรู้ บางที อาจจะเพราะชิงหลงทำดีกับเขามากขึ้นกระมัง ตัวเขาเองจึงเริ่มเปิดใจให้อีกฝ่ายและยอมเข้าไปใกล้ชิดโดยไม่ตะขิดตะขวงใจ และอีกส่วนหนึ่ง เขาเริ่มจะอยากเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างจากชิงหลงซึ่งรู้จักโลกนี้ดีกว่าเขา เพื่อที่เวลาเหล่านี้จะผ่านไปโดยไม่สูญเปล่า

   ทั้งสองเดินออกจากลิฟท์พร้อมการ์ดกลุ่มหนึ่งและต่างก็แยกย้ายเข้าห้องของตนเอง

   “ชิงหลง” เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจเอ่ยเรียกก่อนที่จะเดินเข้าประตู ชิงหลงจึงชะงักเท้าและหันกลับมา “คุณไม่ต้องตอบเหตุผลอะไรก็ได้ แค่บอกว่าใช่ และ ไม่ใช่ก็พอ ได้หรือเปล่า?”

   ชิงหลงชั่งใจอยู่เล็กน้อยก่อนโบกมือให้การ์ดทุกคนออกไปจากบริเวณนั้น

   ท่าทางของชิงหลงบ่งบอกได้แทนคำตกลง เมื่อรอบข้างไม่เหลือใครนอกจากพวกเขาทั้งสองแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจึงเอ่ยถาม

   “คุณไม่เคยคิดจะฆ่าผมเลยใช่ไหม?”

   “ใช่” ชิงหลงตอบโดยไม่คิดมาก เรื่องการฆ่าเซินหมิงเฟิ่งเป็นเรื่องต้องห้ามอยู่แล้ว เพราะตำแหน่งจูเชว่มีผู้สืบทอดเพียงคนเดียว การทำให้จูเชว่หมดสิ้นทายาทคือการกระทำที่เสี่ยงต่อการทำให้เกิดสงครามระหว่างแก๊งค์ในฮ่องกงโดยเฉพาะในส่วนที่จูเชว่ปกครองอยู่ เรื่องนี้เซินหมิงเฟิ่งเองก็คงรู้ดี ตลอดมาจึงไม่คิดเกรงกลัวเขาเท่าที่ควร แค่เพียงแสดงการต่อต้านเท่านั้นและเพิ่งลดการ์ดลงในช่วงหลังจากถูกลักพาตัวไปครั้งหนึ่ง

   “สิ่งที่คุณทำ เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรหรือเปล่า?” สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งต้องการจะสื่อก็คือ ที่ชิงหลงทำมาทั้งหมดนี้เพื่อข่มขู่จูเชว่ให้ทำอะไรบางอย่าง หรือเพื่อแทรกแซงเข้ามา หรืออาจจะเพื่อเหตุผลใด ๆ ก็สุดจะคาดเดา เซินหมิงเฟิ่งจึงพยายามจะใช้คำที่ให้ความหมายครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่ทำได้

   “ทั้งใช่และไม่ใช่” คำตอบที่ได้ค่อนข้างคลุมเครือ เพราะตัวชิงหลงเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเรื่ององค์กรหรือเรื่องส่วนตัวมากกว่า จริงอยู่ที่กฎตาต่อตา ฟันต่อฟันของพวกเขาถือเป็นกฎเหล็กที่ค้ำตำแหน่งทั้งสี่เอาไว้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องขององค์กร ทว่าเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการแก้แค้นแล้ว อย่างไรก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องส่วนตัวด้วยส่วนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่อาจนับได้ว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ขององค์กรทั้งหมด เพราะหากว่ากันจริง ๆ แล้ว องค์กรแทบจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการกระทำเหล่านี้เลย เพียงแต่มันเป็นการทำให้กฎข้อนั้นยังคงความศักดิ์สิทธิ์

   พูดตรง ๆ แล้ว ก็เหมือนการที่พวกผู้นำทั้งสี่ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในการปกครองมีสิทธิที่จะตัดสินโทษให้กันและกันนั่นเอง เพื่อให้พวกเขายังคงดำรงความสมดุลระหว่างกันได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงทำสงครามแย่งชิงเพื่อไต่ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวไปนานแล้ว เพราะในจำนวนผู้นำรุ่นก่อน ๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนกระหายอำนาจ  แต่เพราะกฎข้อนี้พวกเขาจึงยังรักษาขอบเขตของกันและกันได้เสมอมา

   แต่สุดท้ายมันก็มีแค่คนที่ทำผิดเป็นจำเลย และผู้เสียหายกลายเป็นผู้กำหนดบทลงโทษ โดยอีกสองคนที่เหลือเป็นผู้จับตามองให้บทลงโทษนั้นไม่รุนแรงเกินความผิดที่กระทำลงไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 28-06-2012 20:33:13
   เซินหมิงเฟิ่งได้คำตอบที่คลุมเครือนั้นก็ต้องหยุดคิดไปเล็กน้อย เขาไม่ได้อยู่ในวงการมาหลายปี จึงไม่เข้าใจถึงกฎเหล่านั้นชัดเจนนักว่าลึกเพียงใด

   “คุณจะปล่อยผมกลับไปใช่หรือเปล่า”

   “ใช่”

   “แต่ไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้?”

   ชิงหลงโคลงหัวเล็กน้อยกับคำถามนั้น

   “มีความเป็นไปได้ทั้งใช่และไม่ใช่”

   อีกแล้วหรือ?

   เซินหมิงเฟิ่งฟังคำตอบแล้วถอนหายใจ แต่เขาก็พอจะเดาได้ว่านอกจากการตัดสินใจของชิงหลงแล้วยังมีปัจจัยอื่นอยู่อีก เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าเท่านั้นว่าเป็นปัจจัยด้านไหน

   อีกคำถามคงเป็นคำถามสุดท้ายแล้วกระมัง เพราะตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะถามคำถามอะไรอีกเพื่อคำตอบว่าใช่หรือไม่ใช่

   “คุณจะไม่ปล่อยให้ผมตายหรือตกอยู่ในอันตราย...ใช่หรือเปล่า”

   จบคำถามนั้น ทั้งสองมองหน้ากันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มีเพียงความเงียบที่คั่นกลางระหว่างพวกเขา แต่เซินหมิงเฟิ่งกลับไม่รู้สึกว่าชิงหลงกำลังลังเล แต่เหมือนอีกฝ่ายจงใจเว้นจังหวะให้ความเงียบปกคลุมเสียมากกว่า ถึงอย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็กลัวคำตอบอยู่นิดหน่อย หากว่าชิงหลงตอบอย่างคลุมเครือหรือเป็นคำตอบที่เขาไม่อยากจะฟังขึ้นมาจะเป็นอย่างไร เขาคงจะไม่รู้ว่าที่ใดที่ปลอดภัยสำหรับตัวเองอีกแล้ว

   เขาเผลอสูดหายใจลึกในจังหวะที่รู้ว่าชิงหลงกำลังจะเปิดปากตอบ

   “ใช่”

   เสมือนช่วงเวลาหยุดนิ่งชั่วครู่เพราะเซินหมินเฟิ่งกำลังประมวลคำตอบอยู่ในหัว ก่อนจะวางท่านิ่งสงบแล้วกล่าวกับชิงหลงกลับไป

   “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

   “ราตรีสวัสดิ์” ชิงหลงเองก็ไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เขาเดินเข้าห้องไปก่อนที่การ์ดจะเดินกลับเข้ามาเมื่อเห็นว่าการสนทนาจบลงแล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งก้าวเข้าประตูแล้วหับปิดลง ก่อนจะเผลอยิ้มออกมา

   คำตอบของชิงหลงช่วยทำให้จิตใจของเขารู้สึกสงบลงมาก ราวกับว่าความหวาดหวั่นทั้งหลายปลาสนาการไปในพริบตา

   เซินหมิงเฟิ่งเดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าพลางนึกถึงบทสนทนาเมื่อครู่ จริงอยู่ว่าบางคำถามชิงหลงไม่อาจตอบได้แน่ชัด แต่อย่างน้อยเขาก็มั่นใจได้ว่าตนเองจะปลอดภัยจนกว่าจะได้กลับบ้าน ต่อจากนี้คงจะได้แต่คิดว่าเงื่อนไขใดที่ทำให้เขาถูกปล่อยตัวได้เสียที บางที การร่วมมือกับชิงหลงเพื่อบรรลุจุดประสงค์อาจจะดีกว่าการหนีไปดื้อ ๆ เพราะการหนีไปเองรังแต่จะทำให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อของคนอื่น แต่หากร่วมมือกับชิงหลง เขาก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

   เพราะเท่าที่เขาเรียนรู้จากการอยู่ที่นี่ เขาพบว่าชิงหลงไม่ใช่คนโกหก เพียงแต่พูดไม่หมด ดังนั้นสิ่งใดที่ชิงหลงรับรองจากปากย่อมเชื่อถือได้

   แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าบางส่วนบนใบหน้าชิงหลงดูคุ้นตาอยู่นะ

   ไม่ใช่ว่าเขาเพิ่งจะสังเกต แต่เพราะว่าช่วงก่อนไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นหน้ากันตรง ๆ บ่อยนัก แต่พอเห็นบ่อยเข้าเขาก็รู้สึกเหมือนคุ้นอยู่ในใจ

   แต่เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่เคยรู้จักชิงหลงแน่นอน ไม่อย่างนั้นชิงหลงคงทักทายเขาอย่างคนรู้จักไปแล้วเพราะอีกฝ่ายไม่ลืมเขาแน่หากเคยพบกัน

   เฮ้อ...

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจออกมาอีกครั้ง เมื่อคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่ได้คิดถึงมานานแล้ว แล้วบังเอิญว่าชิงหลงทำให้เขาเกิดนึกถึงขึ้นมาอีก จึงต้องคุ้ยสมองตัวเองลงไปให้ลึก ๆ จึงจะพบ แต่ว่าเขาไม่ได้มีอารมณ์ที่จะทำได้ถึงขนาดนั้น นี่มันก็เวลาดึกโขแล้ว เขาเองก็ง่วงเต็มที เมื่อหันไปมองนาฬิกาหนังตาก็พลันปรือลงอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเห็นเวลาเข้า

   ตอนนี้ที่ฮ่องกงคงจะเป็นเวลากลางวัน...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดขณะพาตัวเองปีนขึ้นเตียงแล้วล้มลงนอน เครื่องปรับอากาศทำงานอยู่ตามปกติทั้งที่ตอนเขาออกไปเขาแน่ใจว่าปิดแล้วแสดงว่าการ์ดที่ดูแลคงเข้ามาเปิดเมื่อเห็นว่าถึงเวลากลับกระมัง

   อยู่ที่นี่มีคนดูแลรอบตัว เขาแทบจะไม่ต้องทำอะไรเองเลย แต่ว่าพ่อของเขาล่ะ? ตอนนี้คงจะกำลังว้าวุ่นใจที่เขาหายตัวไป คุณหนูซากุระอีก จะถูกครหาหรือเปล่าว่าถูกทิ้งขว้าง

   ตอนนี้ที่ฮ่องกง จะเป็นยังไงกันบ้างนะ...

------------------------->

   ในเช้าวันนี้บ้านดูวุ่นวายกว่าวันปกติ ซากุระมองดูการจัดเก็บของของผู้คนที่กำลังจะเดินทางจากไปด้วยแววตาว่างเปล่า

   พ่อของเธอนั่งอยู่ที่โซฟา มีพาสปอร์ตและตั๋วเครื่องบินวางอยู่ข้างหน้า ข้าง ๆ มีแก้วกาแฟที่พร่องไปเล็กน้อยกับอาหารเช้าแบบง่าย ๆ ซากุระมองไม่เห็นใบหน้าของพ่อตนเอง เนื่องจากอีกฝ่ายยกหนังสือพิมพ์ขึ้นมาสูงเสียจนปิดบังถึงศีรษะ ด้านข้างโซหามีกระเป๋าเดินทางใหม่ใหญ่ กระเป๋าใส่เอกสาร และกล่องใส่ของวางเรียงราย ทุกอย่างถูกจัดเก็บตั้งแต่เมื่อวานแล้ว วันนี้เพียงตรวจดูความเรียบร้อยและของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ยังเก็บไม่หมด ทำให้บ้านหลังนี้ดูเต็มไปด้วยกระเป๋าและกล่อง ให้ความรู้สึกวิเวกวังเวงอย่างประหลาดแม้ว่าจะมีเสียงดังสั่งการคนรับใช้อยู่แทบตลอดเวลาจากคนที่มีหน้าที่ดูแลการเก็บของ

   มิเอะจับมือของซากุระแผ่วเบา เธอจึงหันไปมอง

   “อาหารเช้าเรียบร้อยแล้วค่ะ” เสียงของหญิงสูงวัยอ่อนโยนกว่าปกติเหมือนกำลังต้องการปลอบประโลมผู้ฟังที่กำลังมองดูภาพเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย

   มิเอะดึงมือซากุระเข้าไปในห้องอาหาร ที่ซึ่งมีโต๊ะตัวขนาดนั่งได้ 6 คน แต่ทุก ๆ ครั้ง เธอจะได้นั่งที่โต๊ะนี้เพียงลำพัง รวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน หญิงสาวเดินจากประตูไปที่โต๊ะ เลื่อนเก้าอี้และค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งหน้าจานอาหารที่กรุ่นไอร้อนออกมาเป็นพวย

   “วันนี้หยุดพักผ่อนอยู่ที่บ้านสักวันเถอะนะคะ ไหน ๆ คุณมินาโมโตะก็จะออกเดินทางแล้ว” มิเอะเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี เพราะนับแต่รู้กำหนดการณ์เดินทางแล้ว ซากุระก็เหมือนไม่ค่อยอยากอยู่บ้าน อีกทั้งงานของพ่อก็โอนมาให้ทำแทนหลายส่วน ซากุระจึงไปกลับบริษัทแทบทุกวันเพื่อจัดการเรื่องเอกสารการงานให้เรียบร้อยก่อนที่พ่อของตนเองจะต้องเดินทางกลับไป และคงต้องเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีคนเดินทางมาแทน ซึ่งก็ต้องใช้เวลาอีกราว ๆ อาทิตย์หรือสองอาทิตย์เป็นอย่างต่ำ

   “ต้องหยุดแน่นอนสิคะ” ซากุระหัวเราะเสียงไม่สดใสอย่างเคย “เพราะฉันต้องไปส่งคุณพ่อกับคุณมิเอะที่สนามบินนี่นา”

   มิเอะรู้สึกเหมือนหัวข้อสนทนานี้มีแต่จะทำให้หม่นหมอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอื่นอย่างไร

   ความจริงแล้วในใจของเธออดจะกล่าวโทษเซินหมิงเฟิ่งไม่ได้ เพราะหากฝ่ายนั้นไม่หายตัวไป ตอนนี้คุณหนูของเธอคงกำลังเตรียมตัวเพื่อเข้าพิธีแต่งงาน อย่างน้อยเมื่อพ่อกลับไปแล้ว ซากุระก็ยังสามารถพึ่งพิงบ้านตระกูลเซินได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะฝ่ายนั้นหายตัวไปกะทันหันโดยไม่มีข่าวคราวใด ๆ อีก ทำให้ซากุระอยู่ในฐานะที่วางตัวลำบาก เพราะไม่รู้ว่าตำแหน่งว่าที่สะใภ้นั้นจะยังมั่นคงอยู่หรือไม่ ครั้นจะพึ่งพิงบ้านตระกูลเซิน ก็ตะขิดตะขวงใจอยู่ไม่น้อยเพราะผูกพันสัญญากันด้วยแหวนเพียงวงเดียว และทางนั้นก็ไม่ได้เหลียวแลซากุระเท่าที่ควร ดูกระทั่งป่านนี้ยังไม่เคยติดต่อมาเองอีกเลย

   หากอยู่ ๆ ทางตระกูลเซินประกาศถอนหมั้นขึ้นมา ซากุระต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากกว่านี้แน่ มิเอะขอแต่เพียงว่าเซินจงจะเมตตาคุณหนูของเธอบ้างเท่านั้น

   ผู้หญิงตัวคนเดียว...จะปกป้องตัวเองได้ยังไงกัน...

   มิเอะมองดูซากุระที่กำลังกินอาหารที่เธอลงมือทำให้เป็นครั้งสุดท้ายอย่างไม่รีบร้อน คุณหนูตัวเล็ก ๆ ที่เธอเลี้ยงดูอุ้มชูมาแต่เล็กแต่น้อย มีเพียงเธอเท่านั้นที่ให้ความรักราวกับลูกในไส้ ในขณะที่พ่อกลับไม่เคยสนใจเด็กหญิงที่ไม่รู้ประสีประสาคนนี้เลย

   ตั้งแต่วันแรกที่มิเอะได้เห็นเด็กหญิงคนนี้ คือตอนที่เจ้านายของเธอพาเข้ามาในบ้าน เขาส่งทารกหญิงในห่อผ้าสีชมพูให้เธอเหมือนส่งสิ่งของ แต่ในตอนนั้นมิเอะรู้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งเธอจะมีโอกาสได้เลี้ยงเด็กคนนี้ เพราะเธอรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างในบ้านมาตลอด ตั้งแต่เรื่องที่มินาโมโตะ โชโกแต่งงานกับหญิงสาวสวยคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่เพื่อเหตุผลทางธุรกิจ แต่เขากลับไม่มีเวลาหรือกระทั่งความรักให้กับภรรยาและมุแต่เพียงเรื่องงานอย่างเดียว ทำให้หญิงสาวผู้นั้นจมอยู่ในความเปล่าเปลี่ยวเริ่มหาทางออกด้วยการหาตัวแทนสามีที่สามารถให้ความรักกับเธอได้ เป็นทางออกที่แสนโง่เขลาอย่างไม่น่าให้อภัย

   มีอยู่วันหนึ่งที่มิเอะได้ไปเห็นภาพอันไม่สมควรของคุณนายและชู้รักเข้าโดยบังเอิญ เธอถูกขอร้องให้ปิดปากเงียบ รวมถึงคนรับใช้ในบ้านคนอื่น ๆ ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร แต่สิ่งที่ไม่มีใครรู้นั่นคือ มินาโมโตะ โชโก ระแคะระคายเรื่องนี้อยู่แล้วโดยไม่ต้องฟังจากปากของใครทั้งสิ้น และทุกสิ่งก็มาถึงจุดสิ้นสุดเมื่อหญิงสาวคนนั้นเกิดท้องขึ้นมาและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร

   สิ่งที่ มินาโมโตะ โชโก พูดกับภรรยาตนเองเมื่อรู้เรื่องเข้าก็คือ

   “ยกเด็กที่อยู่ในท้องนั่นให้ฉัน แล้วฉันจะเซ็นใบหย่าให้”

   ในตอนแรกหญิงสาวไม่คิดจะยินยอม แม้ว่าเธอจะนอกใจสามีแต่ก็เป็นเพราะฝ่ายสามีไม่ได้ให้เวลาหรือความรักกับเธอเลย แต่เธอก็รักลูกคนนี้ถึงจะเกิดมาอย่างผิดครรลองก็ตาม หญิงสาวคุกเข่าอ้อนวอนให้สามียกโทษให้ แต่ทุกคนรู้ดีว่าคนอย่างมินาโมโตะ โชโกไม่มีหัวใจ สิ่งที่เขาตอบแทนการสำนึกผิดของภรรยาคือรูปถ่ายมากมายที่เป็นหลักฐานมัดตัวเธอกับชู้รักต่างชาติ

   “ไม่อย่างนั้นก็เจอกันในศาล”

   หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป หญิงสาวจะต้องถูกประณามหยามเหยียดจากสังคม รวมถึงครอบครัวก็จะต้องจกเป็นข่าวให้สังคมเหยียบย่ำ หลังจากนั้นโชโกจะเรียกร้องสิทธิการเป็นผู้เลี้ยงดูและต้องชนะอย่างแน่นอน ไม่ว่าเลือกทางใด หญิงสาวก็จะไม่มีวันได้เป็นเจ้าของลูกตัวเอง สิ่งที่เธอต้องเลือกคือ จะปกป้องศักดิ์ศรีของครอบครัวด้วยการจากไปโดยดี หรือจะยินยอมมีตราบาปทางสังคมไปจนวันตาย

   ในวันคลอดของภรรยา ของขวัญอวยพรจากคนมากหน้าหลายตาถูกส่งมาที่ห้อง ทุก ๆ สิ่งล้วนบ่งบอกถึงห้วงเวลาแห่งความสุข เว้นแต่ของสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นของขวัญจากสามี นั่นคือใบหย่าพร้อมลายเซ็นและเอกสารยินยอมยกบุตรให้บิดาดูแลเพียงฝ่ายเดียวหลังจากอายุ 3 เดือน

   ความโหดร้ายในครั้งนั้นยังคงติดตรึงในความทรงจำของมิเอะ ซึ่งรู้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแต่กลับไม่สามารถพูดออกไปได้ และคงเพราะเหตุผลเหล่านั้นรวมถึงชาติกำเนิด ทำให้ซากุระไม่เคยได้รับความรักจากพ่อของตนเองเลย และไม่เคยได้พบแม่แท้ ๆ แม้สักครั้ง เพราะหลังจากนั้นครอบครัวฝ่ายหญิงก็ส่งลูกสาวตัวเองไปอยู่ต่างประเทศ บางทีอาจจะได้แต่งงานกับผู้ชายดี ๆ สักคนไปแล้วก็เป็นได้

   มาถึงตอนนี้ ซากุระก็โตพอจะเป็นประโยชน์ให้กับพ่อได้แล้ว เขาจึงขายเธอให้กับตระกูลเซินไปเพื่อแลกกับช่องทางการทำธุรกิจในฮ่องกง

   แล้วตอนนี้ตระกูลเซินยังจะตัดหางเธออย่างเงียบ ๆ อีกหรือ

   โอ้....สวรรค์ ได้โปรดเมตตาคุณหนูของเธอด้วยเถอะ....

----------------------->

   “ดูแลตัวเองด้วยนะคะคุณมิเอะ อะไรที่ทำไม่ไหวก็ยกให้คนอื่นทำแทนบ้างเถอะนะคะ” ซากุระเอ่ยร่ำลาผู้ที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สองของเธอ

   “คุณหนูนั่นแหละค่ะที่ต้องดูแลตัวเอง อยู่ห่างไกลแบบนี้มิเอะเป็นห่วงเหลือเกิน ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็โทรมาปรึกษามิเอะได้ทุกเมื่อเลยนะคะ” มิเอะพูดไปก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้ไหลออกมา ทำให้หยดน้ำใสเอ่อคลอแต่ในดวงตาที่แดงก่ำ เพราะหากเธอร้องไห้ ซากุระคงไม่แคล้วร้องออกมาด้วยแน่ ๆ

   “ฉันไม่เป็นไรหรอก ดูสิคะ คุณเซินส่งการ์ดจากที่บ้านมาให้ดูแลฉันเป็นพิเศษ แล้วยังส่งคนดูแลบ้านมาให้ด้วย” ซากุระพูดให้มิเอะคลายใจ เพราะเมื่อทางเซินจงรู้ว่ามินาโมโตะคนพ่อกำลังจะกลับและให้ลูกสาวดูแลทางนี้ต่อ เขาก็ส่งแม่บ้านคนใหม่มาให้พร้อมกับคนรับใช้ที่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงมาให้ดูแลในบ้าน และส่งทีมการ์ดจากที่บ้านมาส่วนหนึ่งให้สลับผลัดเวรกันดูแล เนื่องจากในตอนนี้เซินจงยังไม่สามารถรับซากุระเข้าไปอยู่ในบ้านได้ เพราะอาจเกิดข้อครหาเรื่องการอยู่ก่อนแต่งขึ้นมาได้

   มิเอะเองเมื่อเห็นว่าเซินจงยังใส่ใจซากุระอยู่ก็รู้สึกสบายใจกว่าเดิม อย่างน้อยคุณหนูของเธอก็ยังไม่ถูกทอดทิ้งเสียทีเดียว

   ซากุระล่ำลามิเอะเสร็จก็เดินไปทางพ่อ

   “รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”

   “แกก็ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน แล้วหมั่นไปเยี่ยมคุณเซินเขาบ่อย ๆ ด้วย” โชโกตอบกลับเสียงห้วน ซากุระจึงยิ้มตอบกลับไปแฝงรอยเศร้าอยู่นิด ๆ ก่อนจะโค้งลาเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกผู้โดยสารขึ้นเครื่อง

   ซากุระยืนรออยู่ที่นั่น จนกระทั่งเห็นเครื่องบินยกตัวลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าสีคราม

   ทำไมกันนะ...ในวันที่หม่นหมองอย่างนี้ ท้องฟ้าจึงได้สดใสเหลือเกิน

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 28-06-2012 22:18:55
สองคนนั้น
เริ่มคืบหน้ากันบ้างแล้ว... หรือเปล่านะ ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 29-06-2012 00:08:55
ชิงหลงรู้จักกับเซินหมิงล่ะ น่าจะเป็นรักแรก อ่าฮ่า คิดได้ไงเนอะ เพ้อเจ้อ ซากุระมีชีวิตที่โศกแท้แล้
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 29-06-2012 00:12:59
โฮฮฮฮฮอฮ ซากุระชีวิตเศร้ามากอ่ะ คุณแม่ด้วย T^T สู้ๆนะซากุระ แกร่งขนาดนี้ไม่มีไรที่ทำไม่ได้หรอก!
ส่วนคู่หลักน่ะเหรอ เหมือนจะหวานนิดๆ แต่ชักไม่รู้ว่าจริงไม่จริง บางทีชิงหลงอาจจะเคยชินกับการมีตัวตนอยู่ของหมิงเฟิ่งแล้วก็ได้ ถ้าปล่อยกลับไปจะเป็นไงนะ

รอตอนหน้า มาด่วนๆน้า จบไม่ค้างหรอก แต่จะลงแดง ><
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 29-06-2012 00:38:36
ซากุระน่าสงสาร   :monkeysad: :monkeysad: :monkeysad:

แต่ น่าเสียดายที่เซินเซินดังเป็นของชินหลงถึงไม่อยากให้เป็นก็เถอะ :m16: :m16: :m16:

แต่ชักหวานๆๆนะคู่นี้  :impress2: :impress2: :impress2:

รอมาต่อนะคร๊า   :bye2: :bye2: :bye2: :t3: :t3: :t3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 20 (28/06/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 29-06-2012 02:34:24
รอตอนต่อไปว่าระหว่างชิงหลงกับคุณเซินจะมีอะไรคืบหน้ามากกว่านี้หรือเปล่า o18
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (4/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-07-2012 16:29:58
-21-


   ว่ากันว่า ความฝันคือการเรียบเรียบความทรงจำในยามนิทรา หลาย ๆ ครั้งที่เราฝันถึงภาพในอดีตหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวพันกับบางสิ่งที่เราหลงลืมไป บางคนกล่าวถึงขั้นว่า เราสามารถพบคนที่เคยพบเจอในชาติก่อนได้ในความฝันเสียด้วยซ้ำ กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ความฝันมักจะมีนัยสำคัญบางประการที่บ่งบอกได้ถึงสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจหรือสิ่งที่ฝังอยู่ในความทรงจำ

   ภาพสวนสวยสีเขียวที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นภาพที่แสนคุ้นตา แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมากระทบใบไม้สีสดและน้ำค้างเป็นประกายสวยงาม

   กลางสวนแห่งนั้น หญิงสาวคนหนึ่งในชุดกระโปรงเรียบ ๆ กำลังก้มอยู่เหนือพุ่มกุหลาบ แขนข้างหนึ่งคล้องตะกร้าสานเล็ก ๆ ไว้ ภายในบรรจุกุหลาบแดงอยู่ 2-3 ดอก

   แสงอาทิตย์ที่ส่องลงมาจนแสบตาทำให้เขามองเห็นภาพนั้นไม่ชัดเจนนัก แต่เขารู้ว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นใคร

   ถึงอย่างนั้นก็น่าแปลก...ทำไมเขาถึงนึกชื่อเต็มของเธอไม่ออกนะ

   อาจจะเป็นเพราะในช่วงชีวิตที่เขาได้อยู่ร่วมกับเธอ เขาไม่เคยมีเหตุจำเป็นต้องเรียกชื่อเต็มของเธอเลย และไม่เคยคิดจะอยากรู้ว่าเธอมีพื้นเพมาอย่างไรจากตระกูลไหน แต่เพียงมีเธออยู่ใกล้ ๆ คอยอุ้มชู โอบกอด และให้ความรัก นั่นก็มากมายเพียงพอแล้วสำหรับตัวเขาในเวลานั้น

   มือเล็กเอื้อมออกไปเบื้องหน้า สัมผัสไออุ่นของแสงจากบนฟ้าที่ส่องผ่านเมฆลงมา

   เขาก้าวออกไปจากชานบ้าน เท้าเปลือยเปล่านุ่มนิ่มสัมผัสพื้นดินที่ถูกปูด้วยหินกรวดเป็นทางทอดยาวเข้าไปที่กลางสวน ทีละก้าวอย่างช้า ๆ เขาเข้าไปถึงตัวหญิงสาวด้วยเวลาอันสั้น ภาพที่อยู่ห่างไกลถูกย่นระยะเข้ามาจนกระชิด เขาจึงคว้าจับกระโปรงสีขาวเบื้องหน้าแล้วดึงเบา ๆ ทำให้หญิงสาวที่กำลังให้ความสนใจกับการตัดดอกกุหลาบหันกลับมาหาเขาและแย้มยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เรือนผมสีดำยาวสลวยเลื่อนไหลลงมาจากลาดไหล่เล็กบางและท่อนแขนที่ห่มด้วยผ้าคลุมพื้นกว้างขณะที่เธอก้มลงมา กรรไกรที่ถืออยู่ในมือถูกเก็บเข้าไปในตะกร้าเพื่อป้องกันอันตราย ก่อนที่เธอจะโน้มตัวเข้าจูบบนหน้าผากของเขาแล้วลูบหัว

   ดวงตาของเธอช่างอบอุ่นราวกับแสงตะวันที่สาดส่องอยู่เหนือพวกเขา มือของเธอขาวและบอบบาง ข้อมือเล็กเรียว แต่สำหรับเขาแล้ว อ้อมแขนของเธออบอุ่นและอ่อนโยนเหลือประมาณ

   เขาสนใจสิ่งที่เธอกำลังทำ จึงเอื้อมมือไปที่พุ่มกุหลาบอย่างไร้เดียงสา หนามแหลมเกี่ยวเข้าที่ปลายนิ้วเล็ก เขาชักมือกลับจึงได้เห็นหยดเลือดสีแดงตัดกับผิวขาว

   เขาเจ็บ...และรู้สึกว่าถูกทำร้าย

   น้ำตาอุ่นคลอหน่วงอยู่ในเบ้า เขาหันไปมองหญิงสาวคล้ายฟ้องร้องสิ่งที่ดอกกุหลาบกระทำ ในลำคอจุกด้วยเสียงสะอื้นที่พร้อมจะถูกเปล่งออกมาในทุกเมื่อ

   เธอยิ้มให้เขา ประคองมือเล็ก ๆ ขึ้นไปและประทับริมฝีปากสีสวยสดลงบนหยดเลือด เพียงไม่นาน หยดเลือดสีแดงก็ถูกกลืนหายไป เหลือเพียงรอยแผลสีช้ำเล็ก ๆ บนปลายนิ้ว และความเจ็บเจือจางบนบาดแผลนั้น ลมหายใจอุ่นของเธอเป่ารดลงมาบนบาดแผล คล้ายจะปัดเป่าความเจ็บปวดให้ปลิวหายไป

   หยดน้ำตาค่อย ๆ เหือดแห้ง เธอปาดส่วนที่เหลือออกไปจากใบหน้าของเขาแล้วจูบหน้าผากอีกครั้ง

   มือเล็กแสนบอบบางของเธอกุมมือของเขาเอาไว้แน่น บ่งบอกว่าเธออยู่ที่นี่และจะไม่มีใครทำร้ายเขาได้เมื่อเธออยู่ใกล้ ๆ

   ทีละก้าว เธอประคองเขาเข้าไปในบ้าน เท้าเปลือยเปล่าของเขาสัมผัสความอุ่นชื้นของพื้นดินและเปลี่ยนเป็นพื้นหินปูนก่อนจะเข้าสู่ตัวบ้าน หูของเขาได้ยินเสียงเอะอะเมื่อมีคนมองมาที่พวกเขาและพบว่าเท้าของเขาไม่มีสิ่งใดห่อหุ้มอยู่เลยจึงเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน

   หญิงสาวหัวเราะเสียงสดใสก่อนจะใช้แขนเล็กทั้งสองข้างอุ้มเขาขึ้น และมีคนอีกคนหนึ่งกุลีกุจอนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดฝ่าเท้าทั้งสองจนกระทั่งสะอาดดี

   เท้าของเขาสัมผัสพื้นอีกครั้งเมื่อเข้ามาถึงพื้นไม้ขัดเงาภายในตัวบ้าน และตอนนี้เท้าของหญิงสาวก็เปลือยเปล่าเช่นกัน เธอยังคงจับมือเขาและพาเดินเข้าไปข้างใน มือเล็กของเขาฝังอยู่ในความอบอุ่นและอ่อนนุ่มของมืออีกข้างหนึ่ง แต่เขากลับไม่คิดอยากจะปล่อยมือเลย

   หญิงสาวคนนั้นพาเขาเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งมีตู้หนังสือ เก้าอี้ และชั้นวางรูปภาพ

   ในอกของเขาเหมือนจะรู้ดีว่าตนเองเข้าห้องนี้ไม่ได้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะเป็นห้องประจำของใครอีกคนหนึ่งซึ่งชื่นชอบความสงบเงียบขณะพักผ่อน และคน ๆ นั้นซึ่งเป็นเจ้าของห้องก็มองเขาด้วยสายตาตำหนิเมื่อถูกรบกวน แต่ในวินาทีต่อมา มันแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนที่แฝงอยู่ลึก ๆ ภายใต้สีหน้าเข้มงวดดุดัน

   หญิงสาวบอกผู้ชายคนนั้นว่าเธอเก็บดอกกุหลาบมาประดับแจกันให้เขา ชายคนนั้นยิ้มออกมานิด ๆ ราวกับว่าการยิ้มอย่างเปิดเผยเป็นเรื่องยากลำบากแต่เขากลับไม่สามารถอดกลั้นมันไว้ต่อหน้าเธอได้

   แจกันว่างเปล่าถูกวางไว้ข้างหน้าต่างโดยไม่ได้รับความใส่ใจ มันถูกเติมเต็มด้วยน้ำใสและดอกไม้สีสวยสดซึ่งทำให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา

   เขามองเสี้ยวหน้าของผู้ชายคนนั้นที่กำลังทอดมองแจกันด้วยสายตาหลายหลากอารมณ์

   หญิงสาวย้อนกลับมาจับมือเขาอีกครั้ง บอกขอตัวกับเจ้าของห้องและพาเขาเดินออกมา ก่อนที่ประตูจะปิดลง เขารู้สึกเหมือนว่าเห็นทั้งสองส่งสายตาลึกซึ้งต่อกันโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใด ๆ

   เธอพาเขาไปยังห้องนั่งเล่น อุ้มเขานั่งบนเก้าอี้ และเรียกหากล่องปฐมพยาบาล แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอต้องการเพียงพลาสเตอร์แผ่นเดียวเพื่อปิดรอยแผล กระนั้นชายวัยกลางคนที่นำกล่องมาให้กลับยืนยันว่าต้องใส่ยาฆ่าเชื้อก่อนจึงปิดแผลได้

   บาดแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เจ็บปวดอีกแล้วถูกดูแลอย่างทะนุถนอมเอาใจใส่

   หญิงสาวยิ้มให้เขาเมื่อบาดแผลถูกพยาบาลอย่างเรียบร้อย

   เขาก็ยิ้มตอบให้เธอ...

   ‘แม่ก็ทำแผลด้วยสิ’

   เขาพูดกับเธอ แต่เธอกลับหัวเราะแล้วบอกว่าตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร น่าแปลกที่ใจเขากลับนึกสงสัยขึ้นมาว่า ในขณะที่เขาสัมผัสก้านเขาได้รับบาดแผล แต่หญิงสาวที่ทำบางอย่างกับพุ่มของมันอยู่นานสองนานกลับไม่มีบาดแผลใด ๆ

   ‘ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนแต่ต้องการความรักและการสัมผัสอย่างอ่อนโยน หากสัมผัสอย่างถูกวิธี มันก็ไม่ทำร้ายเราหรอกจ้ะ’

   เธอพูดกับเขาด้วยกระแสเสียงที่แสนเสนาะหู เขาได้แต่พยักหน้ารับโดยที่ยังไม่เข้าใจนัก

   ดูเหมือนเธอจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาอีก แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้ยินอะไรเลย และเหมือนว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับค่อย ๆ ห่างไกลและเลือนรางออกไป มันถูกแทนที่ด้วยความมืดและไม่นานก็มีแสงส่องผ่านเข้ามาก่อนที่ภาพเบื้องหน้าจะเปลี่ยนไป กลายเป็นภาพเบลอ ๆ ของเพดานห้องห้องหนึ่งในแสงสลัว รอบข้างไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงทำงานเบา ๆ ของเครื่องปรับอากาศ

   เขาขยับพลิกตัว และพยายามเรียบเรียงความทรงจำก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

   เช้าแล้วหรือ?

   เขาหันมองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเล็กข้างเตียง มันบอกเวลา 8 โมงเช้ากับอีกราว ๆ  13 นาที

   สองแขนชึ้นสูง ดึงกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต่าง ๆ ในร่างกายให้คลายจากการขดในท่าเดิมเป็นเวลานานหลายชั่วโมง

   เมื่อคืนนี้เขาฝันถึงตัวเองตอนเด็ก ๆ สินะ น่าแปลกที่เขาไม่ได้นึกถึงมันมานานแล้วปีแล้ว ทั้งที่ตอนแรก ๆ ที่ต้องไปเรียนที่อังกฤษเขายังคิดถึงมันอยู่ทุกคืน มาถึงตอนนี้ ไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาคิดถึงมันขึ้นมาได้อีก จนถึงกับเก็บมาฝันได้แสดงว่ามันต้องสะกิดใจเขามากทีเดียว

   เซินหมิงเฟิ่งพาตัวเองลงจากเตียงแล้วคว้าผ้าขนหนูเดินดิ่งไปยังห้องน้ำ

   แล้วภาพในความฝันก็ค่อย ๆ จางหายไปจากความทรงจำ

-------------------------------->

   หลังจากพ่อจากไป ซากุระก็เข้ามาบริหารงานในบริษัททำให้เธอไม่อาจหาเวลาส่วนตัวได้ง่ายนัก ถึงอย่างนั้นทางญี่ปุ่นก็มีข่าวคราวมาแล้วว่าจะมีคนมาแทนเธอในอาทิตย์หน้า ซึ่งจะทำให้เธอได้เวลาส่วนตัวกลับมาอีกครั้งและไม่ต้องข้องเกี่ยวกับงานของพ่ออีก กระนั้นในหัวของซากุระก็ยังวนเวียนอยู่กับเรื่องของสองพี่น้องตระกูลหลางซึ่งมีหลายอย่างสะกิดใจเธออยู่

   โดยปกติแล้วในบ้านที่มีผู้ชาย ผู้หญิงจะไม่ค่อยมีโอกาสได้ทำงานในฐานะที่เท่ากันหรือสูงกว่าสักเท่าไหร่ และบ้านตระกูลหลางก็ดูแล้วน่าจะหัวโบราณอยู่ไม่น้อย แต่หลางเมี่ยวอินซึ่งเป็นหลานสาวคนเล็กที่น่าจะได้รับการโอบอุ้มไว้ประดุจไข่ในหิน กลับได้ทำงานทัดเทียมกับผู้ชาย ตอนนี้หลางเมี่ยวอินอายุเพียง 18 ปียังได้รับมอบหมายให้ดูแลกิจการเล็ก ๆ แล้ว นอกจากนี้เธอยังสืบทราบมาว่ามีกิจการอีกหลายแห่งที่เตรียมจะโอนให้เป็นกรรมสิทธิ์ของหญิงสาวคนนี้เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์

   แล้วฝ่ายชายล่ะ?

   หลางเมี่ยวเจินคือคนที่เป็นทายาทของเสวียนอู่ โดยปกติแล้วกิจการทุกอย่างจะตกเป็นของทายาทมิใช่หรือ? เพราะมีแต่ผู้รั้งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเท่านั้นจึงมีสิทธิครอบครองทุกอย่างซึ่งอยู่ในชื่อเสวียนอู่และตระกูลหลาง นอกจากนั้นก็เป็นได้แค่ตัวแทน หรือเป็นผู้บริหารเท่านั้น

   นอกจากนี้ยังมีเรื่องของหลางเมี่ยวเจินกับไป๋หู่อีก

   ทำไมทั้งสองคนจึงถูกพบอยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมได้ จริงอยู่ว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกหากจะนัดพบกัน แต่ด้วยสัญชาตญาณหญิงของเธอ มันร้องบอกว่ามีอะไรมากกว่านั้นระหว่างคนทั้งสอง ทายาทเสวียนอู่กับไป๋หู่น่ะหรือ มันแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากที่สุด

   ซากุระถอนหายใจ

   เธอรู้ตัวว่าไม่ใช่คนฉลาดสักเท่าไหร่ ถึงแม้คนรอบข้างจะพูดกันว่าเธอเป็นคนฉลาด แต่เมื่อเทียบกับคนเจนโลกแล้ว เธออาจจะเหมือนเด็กน้อยโง่เขลา

   แต่เวลาก็ไม่คอยท่าเธอนัก...

   มันเดินผ่านไปเรื่อย ๆ โดยไม่เคยหยุด

   ป่านนี้เซินหมิงเฟิ่งจะเป็นเช่นไรบ้างก็ไม่มีใครรู้ และจะเป็นอันตรายหรือเปล่าก็ไม่มีใครกล้าคาดเดา

   เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างกะทันทำให้ซากุระสะดุ้งจากภวังค์ความคิด สิ่งที่อยู่ในสมองจนถึงเมื่อครู่กระจัดกระจายออกเป็นชิ้น ๆ หญิงสาวรีบหันไปหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองด้วยความว่องไวและกดรับโดยไม่ได้ดูเบอร์โทรที่ปรากฏบนจอ

   “คุณมินาโมโตะ”

   “คุณเองหรือคะ” ซากุระจดจำเสียงนั้นได้ทันที นักสืบที่เธอว่าจ้างให้สืบสาวเรื่องให้นั่นเอง ความจริงซากุระคิดว่าอาจจะไม่ได้รับการติดต่อกลับมาอีก เพราะงานที่เธอมอบหมายไปนั้นเป็นเรื่องยากและเป้าหมายก็อันตรายเกินกว่านักสืบเอกชนคนหนึ่งจะกล้าเสี่ยงชีวิต กระนั้นเขาก็รับปากว่าจะสืบหาเรื่องราวเท่าที่เขาสามารถยื่นมือเข้าไปได้โดยไม่เป็นอันตรายกับชีวิตของตนเองและคนรอบข้าง

   หรือว่าจะมีข่าวคืบหน้าแล้ว?

   ซากุระพยายามคิดเช่นนั้น แต่ว่าเสียงของฝ่ายตรงข้ามฟังดูแย่มาก

   ปกติเขาจะเรียกเธอว่า คุณหนูมินาโมโตะ ไม่ใช่หรือ?

   “เอ่อ....คุณมีอะไรจะบอกฉันหรือคะ?”

   “....ช่วยออกมาพบผมจะได้ไหมครับ”

   “ตอนนี้เลยหรือคะ?” ลางสังหรณ์ของซากุระกำลังร้องเตือนว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่หากเกิดเรื่องไม่ดีจริง ๆ เธอจะทำใจดำปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นรับกรรมได้หรือ? ทั้งที่เขาทำงานให้เธอเท่าที่กำลังของตัวเองทำได้ ถึงมันจะเป็นอาชีพแต่เขาก็มีความสัตย์ซื่อ หากในตอนนี้เขากำลังลำบาก เธอก็คงรีบถลันไปหาอย่างทันทีเป็นแน่ ถึงจะรู้ว่าเป็นกับดักของใครก็ตาม...

   “ครับ...ผมจะบอกสถานที่ให้ ช่วยมาตามลำพังจะได้ไหมครับ” เสียงของฝ่ายนั้นสั่นเทาอยู่เล็กน้อย และถ้อยคำก็เป็นรูปแบบคลาสสิกของประโยคลักพาตัวและล่อหลอกใครอีกคนออกไปหา

   แต่คนที่ได้รับสารจะมีทางเลือกหรือ?

   ถึงจะเป็นรูปแบบคลาสสิกที่รู้กันทั่วโลก แต่คนที่ได้รับการติดต่อก็ย่อมต้องไปตามเงื่อนไข ไม่ใช่เพราะหลงกล แต่เพราะไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

   “ได้ค่ะ” ซากุระตอบหนักแน่นเหมือนต้องการจะบอกคนที่อยู่ข้างหลังผู้ที่กำลังพูดอยู่ด้วยว่าเธอจะไม่หลบหนีเด็ดขาด “บอกที่อยู่มาได้เลยค่ะ” เธอว่าก่อนจะหันไปดึงกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งในกล่องใส่พร้อมปากกา แล้วค่อย ๆ จดที่อยู่ซึ่งบอกผ่านโทรศัพท์อย่างระมัดระวัง เมื่อจดเสร็จ เธอก็ทวนซ้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะไม่ไปผิดที่ เพราะตัวเธอยังไม่ชินกับชื่อสถานที่มากนัก

   “แล้วพบกันนะครับ”

   “ค่ะ”

   ซากุระละโทรศัพท์ออกจากหูเมื่อได้ยินเสียงสายตัดไป เบอร์ที่ปรากฏอยู่ก่อนที่แสงไฟจะดับลงไม่คุ้นตาเธอเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่เบอร์ของนักสืบคนนั้นด้วยซ้ำ

   อย่างไรก็ต้องไป...

   ลมหายใจพรูออกมาในขณะที่ตัดสินใจ

   ไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ อาจเป็นได้ทั้งไป๋หู่ เสวียนอู่ หลางเมี่ยวอิน และหลางเมี่ยวเจิน  หรือกระทั่งผู้บริหารในองค์กรใต้ดินของคนเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนที่เธอสามารถคิดถึงได้ล้วนแต่สามารถทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นเพื่อเค้นเอาสิ่งที่ตัวประกันรู้ออกมา ไม่รู้ว่าเขาถูกทำร้ายหรือไม่เพื่อให้โทรมาหาเธอ บางทีตอนนี้คงจะกำลังถูกทรมานอยู่ก็เป็นได้ เมื่อยิ่งคิด ซากุระก็ยิ่งร้อนใจ

   “ฉันจะออกไปข้างนอก เย็นนี้คงจะได้กลับมาที่นี่ ถ้ามีอะไรก็ฝากเรื่องไว้ที่โต๊ะนะคะ” เธอบอกกับเลขาหน้าห้องแล้วผลุนผลันออกไป

   “เดี๋ยวค่ะ! แล้วถ้ามีคนติดต่อมาหาคุณมินาโมโตะ...”

   “บอกเขาว่าฝากเบอร์ไว้ฉันจะโทรกลับภายในวันพรุ่งนี้ค่ะ”

   ความรีบร้อนของซากุระพาให้เลขาสาวรู้สึกแปลกใจ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีกระทั่งเวลาจะอธิบายให้เธอฟังว่าจะไปไหน เธอจึงไม่อาจเก็บมาสงสัยในใจได้นานนัก เพราะงานของเธอเองก็มีอยู่ล้นมือ นั่นยังไม่รวมที่ซากุระบอกว่าจะไม่กลับมาภายในวันนี้ แปลว่างานของวันนี้ต้องยกยอดไปวันอื่นทั้งหมด หรือไม่ก็ต้องโอนไปให้คนที่มีหน้าที่ทำแทน หญิงสาวเดินกลับไปที่โทรศัพท์และเริ่มทำงานของตัวเอง

------------------------->

   “เธอจะมาสินะ?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตัดสายไปแล้ว

   “ครับ...คุณมินาโมโตะจะมาทันที” ชายหนุ่มตอบเสียงเบา เขารู้สึกผิดกับหญิงสาวที่ต้องเดือดร้อนไปด้วย ทั้งที่เป็นเรื่องที่เขาทำพลาดเองแท้ ๆ และเขาก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ทำไมจึงแค่จับเขามาและขู่ให้โทรไปเรียกตัวซากุระเท่านั้น แต่กลับไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย

   หรือว่าสิ่งที่ต้องการคือตัวซากุระ?

   “พวกคุณคิดจะทำอะไร...”

   ฝ่ายนั้นแย้มยิ้ม

   “คุณไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อคุณมินาโมโตะมาถึง เราจะปล่อยคุณไป”

   “คุณมินาโมโตะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผมทำ”

   ฝ่ายนั้นโคลงหัวเมื่อได้ยินนักสืบคนหนึ่งกำลังพยายามปกป้องลูกค้าตัวเอง ผู้ชายคนนี้ช่างมีจรรยาบรรณในวิชาชีพสูงส่งจริง ๆ นิสัยแบบนี้อยู่ในวงการมาได้ยังไงกันนะ ในเวลาแบบนี้สมควรจะพยายามเอาตัวรอดมากกว่า แต่เจ้าตัวเอาแต่เป็นห่วงลูกค้าตัวเองและไม่ยอมเปิดเผยอะไรเลย

   แต่เอาเถอะ ทางนี้ก็ไม่ได้ต้องการให้เปิดเผยอะไรอยู่แล้ว เพราะรู้มาแต่แรกว่าซากุระเป็นผู้จ้างวาน
   ก็หากไม่ใช่เธอ จะเป็นใครไปได้อีกล่ะ?

   “ความจริงก็อยากจะขอเตือนอะไรไว้อย่างนะคุณนักสืบเฉิน” ในขณะที่พูดเล่นเช่นนั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ค่อย ๆ เข้าใกล้เก้าอี้ “อาชีพของคุณมันเสี่ยง ดังนั้น คุณควรจะคิดหาทางรอดให้ตัวเองดีกว่าไปคิดให้คนอื่น เพราะคุณคงไม่โชคดีแบบคราวนี้อีก”

   แบบนี้เรียกว่าโชคดีหรือ?

   นักสืบหนุ่มคิดในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป เขาขยับแขนที่ถูกล็อคติดกับเก้าอี้ด้วยกุญแจมือ

   ความโชคดีอย่างเดียวคงจะเป็นเรื่องที่ว่าเขาไม่โดนซ้อมหนักหน่วงอะไรกระมัง แต่โดนชกไปทีหนึ่งเพื่อให้เขารู้ว่ากำลังเล่นกับอะไรอยู่เท่านั้น ส่วนเหตุผลที่เขาโทรไปเรียกซากุระ ก็เพราะอีกฝ่ายรับปากว่าจะไม่ทำอันตรายใด ๆ กับหญิงสาว แต่ถ้าไม่ทำ เจ้าตัวก็ไม่รับรองความปลอดภัยของพวกเขาทั้งคู่ อาจจะดูเป็นเรื่องขี้ขลาดที่เขายอมทำตาม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

   ซากุระก็ช่างใจดี...ทั้งที่รู้แก่ใจก็ยังยืนยันมาหาเขา ทั้งที่ตัวเขาก็แค่ทำงานให้ด้วยค่าจ้าง ถึงเวลาลำบากจะตัดหางปล่อยวัดก็ย่อมได้

   สำหรับคนทำวิชาชีพนักสืบแล้ว เขาคงเป็นนักสืบที่แย่จริง ๆ

   จบเรื่องนี้แล้วเขายังสมควรทำอาชีพนี้ต่อไหมนะ...

------------------------------>

   เพราะถูกกำชับมาว่าให้ไปเพียงลำพัง ซากุระจึงไม่สามารถเอารถของตัวเองไปได้ เรื่องจากเซินจงสั่งมาให้การ์ดเป็นคนขับให้เสมอ แม้ซากุระจะซาบซึ้งกับความเอาใจใส่ของว่าที่พ่อสามี แต่เรื่องบางเรื่องเธอก็ไม่สามารถให้อีกฝ่ายรับรู้ด้วยได้

   ซากุระเดินออกไปจากบริษัทโดยไม่ได้บอกการ์ดและแอบออกไปทางประตูหลังที่ไม่มีคนเฝ้า

   เมื่อออกมาถึงถนนใหญ่ ซากุระก็โบกรถแท็กซี่แล้วยื่นกระดาษจดสถานที่ให้คนขับ เป็นเรื่องง่ายกว่าในการสื่อสารด้วยตัวอักษร เพราะการออกเสียงของเธอทำให้คนสับสนอยู่บ่อย ๆ

   สถานที่ที่เป็นที่นัดหมายอยู่ไกลออกไปทางชานเมือง ค่อนข้างสงบและความเจริญน้อย กระนั้นก็มีโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวอยู่ประปราย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-07-2012 16:31:00
   โรงแรมแห่งหนึ่งในจำนวนนั้นคือที่นัดพบ...

   รถแท็กซี่ขับพามาจนถึงสถานที่นั้น โรงแรมระดับ 3 ดาวที่บริเวณไม่กว้างมาก มีอาคารเพียงหลังเดียวที่บรรจุห้องพักมากมายเอาไว้ สีด้านนอกยังสดแสดงว่าเพิ่งทาใหม่ไปเมื่อไม่นานนี้ มองขึ้นไปแล้วตัวอาคารก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร คล้ายจะเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนที่เดินทางมาเท่านั้น

   ด้านหน้าของโรงแรมเป็นกันสาดสีเข้ากับกับอาคาร มีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งยืนอยู่ด้านหน้าคอยเปิดประตูและช่วยขนของให้กับผู้มาเยือนก่อนที่คนด้านในจะรับหน้าที่ต่อ

   ซากุระลงจากแท็กซี่ เดินผ่านประตูกระจกเข้าไปด้านใน

   ฟร้อนท์อยู่มุมหนึ่งของล็อบบี้ใกล้ประตูทางเข้า เธอมองไปที่นั่นอย่างลังเลเพราะไม่รู้จะบอกอย่างไรว่าตนเองมาขอพบใคร แต่เมื่อคิดอีกที ในเมื่อได้เลขห้องมาแล้ว เธอก็ไม่มีความจำเป็นต้องติดต่อฟร้อนท์ก่อน ฝ่ายนั้นก็คงไม่คาดหวังว่าเธอจะโทรบอกล่วงหน้าว่ามาถึงแล้ว

   หญิงสาวพาตัวเองไปที่ลิฟต์สำหรับผู้พักอาศัย กดชั้นตามเลขตัวหน้าของหมายเลขห้อง ก่อนที่ประตูจะปิด มีชายหญิงคู่หนึ่งกับหญิงชราคนหนึ่งขอโดยสารลิฟต์ไปด้วย แต่ทั้งสามคนก็ลงไปก่อนเธอทั้งหมด มีเพียงเธอคนเดียวที่มาถึงชั้นที่ต้องการถึงแม้จะไม่ใช่ชั้นบนสุดของโรงแรมก็ตามที

   ประตูลิฟต์ปิดลงด้านหลัง ซากุระมองทางทอดยาวที่ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไปจากโรงแรมอื่น ๆ มีเพียงเธอคนเดียวที่รู้สึกกดดันเมื่อเห็นเลขห้องที่เรียงลำดับจากน้อยไปมากตามทางที่เดินไป

   ส้นรองเท้าเคาะกับพื้นเป็นจังหวะ มีพนักงานโรงแรมเดินสวนมาแล้วยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตร

   บรรยากาศรอบตัวไม่ได้บ่งบอกถึงภยันตรายใด ๆ เลย

   คงมีแต่เพียงเธอเท่านั้นที่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังรอความช่วยเหลือ...

   ซากุระมองเลขห้องที่ประดับบนบานประตูไม้สีเข้ม ข้างประตูเป็นช่องสำหรับรูดการ์ด แต่เธอไม่มีการ์ดสำหรับปลดล็อคแม้สักใบ จึงตัดสินใจเคาะประตูเพื่อบอกคนด้านในว่าเธอมาถึงแล้ว รอแค่เพียงอึดใจเดียว ประตูก็มีเสียงปลดล็อคจากด้านในและค่อย ๆ เปิดออก ซากุระเห็นใบหน้าของผู้ชายร่างล่ำสันแต่ไม่สูงมากนักผ่านทางช่องประตูที่แง้มออกเล็กน้อย เขาเปิดประตูออกกว้างก่อนจะหลีกทางและผายมือให้เธอเดินเข้าไป และเมื่อเธอพ้นธรณีประตู มันก็หับปิดลงอย่างรวดเร็ว

   ภายในห้องเงียบสงัด มีเตียงอยู่ในห้องหลังหนึ่ง เป็นเตียงที่นอนได้สองคน ข้างเตียงเป็นเก้าอี้ที่มีชายอีกคนถูกล็อคติดอยู่ด้วยกุญแจมือแบบที่ตำรวจใช้

   “คุณเฉิน” ซากุระเรียกอีกฝ่ายแล้วรีบก้าวไว ๆ เข้าไปหา เธอสำรวจบาดแผลของอีกฝ่ายเป็นสิ่งแรก และพบเพียงรอยช้ำบนโหนกแก้มที่ไม่ร้ายแรงมาก

   “คุณหนูมินาโมโตะ?” นักสืบหนุ่มแปลกใจไม่น้อยที่พบอีกฝ่าย เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะมาแน่ ๆ แต่ไม่ได้นึกว่าจะไวขนาดนี้

   “ฉันมาที่นี่แล้ว ปล่อยคุณเฉินด้วยค่ะ” ซากุระหันไปกล่าวกับคนที่มาต้อนรับเธอด้วยท่าทางนิ่งสงบ ไม่ได้แสดงความกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย

   ชายคนนั้นเดินเข้ามาหาโดยไม่ได้พูดอะไรก่อนจะส่งกุญแจให้ดอกหนึ่ง ซากุระแบมือรับกุญแจแล้วหันมาไขให้กับชายหนุ่ม กุญแจมือถูกปลดออกอย่างง่ายดาย มันห้อยตกโดยมีออีกด้านติดอยู่กับพนักเท้าแขน นักสืบเฉินจับข้อมือตัวเองอย่างดีใจเมื่อได้อิสรภาพกลับคืนมา

   “คุณทำแบบนี้เพื่ออะไรคะ?” ซากุระหันไปถามผู้ชายที่เหมือนจะอยู่ในฐานะเจ้าของห้องอีกครั้ง

   เจ้าตัวยังคงเงียบ ไม่ตอบอะไร แล้วหันไปทางประตูเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าอยู่ด้านนอก

   ประตูถูกเปิดออกโดยที่คนในห้องไม่ได้แตะต้องลูกบิด

   “เพราะอยากสนทนากับคุณซากุระในรูปแบบนี้เสียทียังไงล่ะคะ” ผู้ที่เดินเข้ามาแย้มรอยยิ้มด้วยริมฝีปากที่เคลือบลิปสติกสีสด

   “คุณเมี....คุณหลาง” ซากุระเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนจะชะงักแล้วเปลี่ยนเป็นนามสกุล

   หลางเมี่ยวอินหัวเราะ

   “เรียกฉันอย่างเดิมเถอะค่ะ ฉันไม่ได้โกรธคุณหรอกในสิ่งที่คุณทำ ความจริงฉันเองก็รู้มานานแล้วว่าคุณคิดอะไร เพียงแต่ว่าครั้งนี้นักสืบของคุณพลาดท่าและฉันก็คิดว่าถึงเวลาจะต้องพูดกันตรง ๆ เสียที สวมหน้ากากนานไปมันก็อึดอัดเปล่า ๆ ไม่คิดอย่างนั้นหรือคะ?”

   ซากุระหลุบตาลงอย่างรู้สึกผิด ที่ผ่านมาเธอใช้ความรู้สึกของอีกฝ่ายและตนเองเป็นเครื่องมือ เมื่ออีกฝ่ายรู้ความจริงทั้งหมด เธอจึงไม่อาจมองหน้าตรง ๆ ได้อีก

   “ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของฉัน ปล่อยคุณเฉินไปเถอะค่ะ”

   “ฉันไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” หลางเมี่ยวอินพยักหน้าให้ผู้ติดตามเปิดประตู “เชิญคุณเฉิน”

   นักสืบเฉินลังเลอยู่ไม่น้อยที่จะต้องออกจากที่นี่ไปคนเดียว เขาหันมองซากุระด้วยสายตาแสดงความเสียใจในสิ่งที่ตัวเองทำ

   “กลับไปก่อนเถอะค่ะ คุณหลางไม่ทำอะไรฉันหรอก”

   เมื่อซากุระยืนยันหนักแน่นเช่นนั้น นักสืบเฉินจึงยอมเดินออกไปพร้อมผู้ติดตามของหลางเมี่ยวอิน และเมื่อประตูปิดลง หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมา

   “ฉันไม่ค่อยชอบอยู่กับผู้ติดตามผู้ชายเท่าไหร่ แต่คุณเฉินแรงไม่ใช่น้อยฉันก็เลยต้องให้ผู้ชายด้วยกันจัดการ” หลางเมี่ยวอินกล่าวแล้วเดินไปนั่งที่เตียง เพราะเธอใช้ห้องพักขนาดแค่สองคนนอนได้ ห้องจึงไม่มีเฟอร์นิเจอร์ให้เลือกใช้มากนัก

   ซากุระยังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง และทอดสายตามองคนที่อาจจะเรียกได้ว่าเพื่อนสนิทหากไม่นับที่พวกเธอต่างโกหกกันและกันมาตลอดตั้งแต่พบกันครั้งแรก

   แต่สำหรับซากุระแล้ว...นั่นไม่ใช่คำโกหกเสียทั้งหมด

   เธอว้าเหว่ ไร้ญาติสนิทมิตรสหาย การได้พบหลางเมี่ยวอินทำให้เธอรู้สึกได้ว่าโลกของเธอกับคนรอบข้างไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก หลางเมี่ยวอินคือเพื่อนที่หาได้ยากในชีวิตของเธอ และเธอรู้สึกขอบคุณเซินจงที่มอยหมายงานนี้ให้และทำให้ได้พบกับอีกฝ่าย เพียงแต่ว่า...ความรู้สึกเหล่านี้คงจะไม่มีความหมายอะไร เมื่อความจริงเปิดเผยออกมาและทุก ๆ อย่างที่กระทำลงไปเพื่อเซินหมิงเฟิ่งเท่านั้น

   “นั่งก่อนสิคะ” หลางเมี่ยวอินผายมือไปยังเก้าอี้ตัวเดียวกับที่นักสืบเฉินนั่งเมื่อครู่

   ซากุระเดินไปและนั่งลง

   “คุณเมี่ยวอินทราบทุกอย่างแล้ว ยังต้องการอะไรอีกหรือคะ” สิ่งที่เธอไม่เข้าใจคือ หลางเมี่ยวอินยังคงวางตัวสบาย ๆ ไม่ได้แสดงความโกรธออกมาเลยที่ถูกเธอหักหลัง

   “ก็ไม่เชิง...” หลางเมี่ยวอินโคลงหัว “คุณซากุระ ฉันทราบมาว่าคุณต้องการช่วยเหลือเซินหมิงเฟิ่ง แต่ฉันก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคุณถึงเลือกเข้าทางฉัน จริงอยู่ว่าเหตุผลง่าย ๆ คือฉันกับคุณเป็นผู้หญิงเหมือนกัน การที่คุณเข้ามาหาฉันจะไม่มีพิรุธมากที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเสวียนอู่ ไป๋หู่ และชิงหลงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน คุณน่าจะเข้าทางคนของชิงหลงมากกว่า หรืออย่างน้อยก็ไป๋หู่ที่เคยเป็นเพื่อนสนิทของชิงหลงสมัยเรียน”

   “คุณอยากทราบจริง ๆ หรือคะ...” เหตุผลที่เธอทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่พูดได้ยาก อาจบอกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของเธอล้วน ๆ ที่ผลักดัน

   “หากคุณไม่พูด ฉันคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแจ้งเรื่องนี้ให้คุณตาทราบ หลังจากนั้นทั้งจูเชว่และธุรกิจของมินาโมโตะต้องลำบากแน่” เมื่อถึงเวลาเอาจริง หลางเมี่ยวอินก็ละทิ้งคราบคุณหนูจากตระกูลใหญ่ไปจนสิ้น เหลือเพียงเนื้อหนังของหญิงสาวผู้มีเลือดเนื้อเชื้อไขของมาเฟียฮ่องกง

   ซากุระกลั้นหายใจเมื่อได้ยินคำขู่ แม้จะไม่ได้ใช้สุ้มเสียงกรรโชก แต่คำพูดเรียบ ๆ จากปากของหลางเมี่ยวอินก็ไม่ได้บ่งบอกถึงการล้อเล่นเลย

   หญิงสาวบีบมือตัวเองที่ประสานอยู่บนตักพลางกัดริมฝีปาก

   “ถ้าฉันพูดไปแล้ว ช่วยรับรองได้ไหมคะว่าเรื่องที่ฉันทำจะไม่ถึงหูไป๋หู่หรือเสวียนอู่”

   “ฉันพิจารณาแล้วว่าทุกอย่างที่คุณทำเพื่อช่วยเหลือคู่หมั้น ดังนั้นจึงนับเป็นเรื่องส่วนตัว แน่นอนว่าฉันจะช่วยชี้ทางให้คุณด้วย”

   คำพูดของหลางเมี่ยวอินทำให้ซากุระเงยหน้าขึ้นและจ้องมองด้วยความฉงน

   “ทำไมถึงคิดจะช่วยฉันล่ะคะ?”

   “ถามแปลก” หลางเมี่ยวอินหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ก็คุณเป็นเพื่อนของฉันไม่ใช่หรือ?”

   “คุณทำให้ฉันรู้สึกละอายใจนะคะ...” ซากุระรู้สึกอึดอัดข้างในอกอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอต้องหลอกลวงคนคนหนึ่ง เหมือนกับว่ากำแพงที่เธอปิดกั้นความรู้สึกจริง ๆ ของตัวเองไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานนี้กำลังกร่อนออกไปทีละน้อย

   “คิดมากไปแล้วคุณซากุระ” หญิงสาวอายุน้อยกว่ากลอกตาเหมือนกำลังคิดคำอธิบายที่อีกฝ่ายจะเข้าใจง่ายที่สุด “ในวงการนี้เพื่อนมีไว้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว หากเป็นฉัน ฉันก็จะใช้คุณอย่างไม่ลังเลและไม่รู้สึกผิด ถ้าคุณต้องการเดินทางสายนี้จริง ๆ คุณก็ต้องตัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีออกไป”

   มันไม่ใช่ความต้องการของเธอเลย...

   ซากุระปิดเปลือกตาลง

   เธอไม่ได้เป็นคนเลือก แต่เพราะถูกผลักเข้ามาและไม่สามารถเดินออกไปได้ เธอถึงต้องพยายามดิ้นรนอยู่ในวังวนอันไร้จุดสิ้นสุดนี้

   “ทราบแล้วค่ะ...ขอบคุณที่ให้คำแนะนำกับฉันเสมอมา” ซากุระโค้งให้กับหลางเมี่ยวอินครั้งหนึ่ง “ที่ฉันตัดสินใจพุ่งเป้ามาที่คุณ ความจริงแล้วฉันพยายามจะเข้าใกล้คุณหลาง....พี่ชายของคุณค่ะ”

   หลางเมี่ยวอินเลิกคิ้ว แต่เธอไม่มีท่าทางแปลกใจ

   “อาจจะเป็นฉันที่คิดมากไปเอง แต่มันเป็นทางเดียวที่ฉันจะพิสูจน์ได้ และหากฉันคิดถูก ฉันก็มีหนทางที่สามารถเข้าใกล้ไป๋หู่ได้โดยไม่ถูกสงสัย” ซากุระเงยหน้าขึ้น “ฉันทราบมาว่าคุณเมี่ยวอินได้รับการวางตัวเป็นผู้บริหารกิจการหลายอย่างในเครือตระกูลหลาง ในขณะที่คุณหลางเมี่ยวเจินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้เลย และเขายังมีข่าวลือว่าสนิทชิดเชื้อกับไป๋หู่อีกด้วย ถึงแม้คนอื่น ๆ จะมองว่าเป็นเรื่องของการผูกสัมพันธ์ทางธุรกิจ แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นเรื่องความต้องการผูกสัมพันธ์ ส่งคุณที่เป็นผู้หญิงไปยังง่ายเสียกว่า ดังนั้นฉันจึงได้ข้อสรุปว่า บางที...พี่ชายของคุณกับไป๋หู่อาจจะมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น”

   “คงมีแต่ผู้หญิงจริง ๆ ที่คิดเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วผูกมันเป็นปมได้ถึงขนาดนี้” หลางเมี่ยวอินหลุดขำออกมา “แต่ก็ไม่ได้ผิดไปเสียทั้งหมดหรอกนะคะ”

   “หมายความว่า...” ซากุระมุ่นคิ้ว แต่หญิงสาวกลับยกมือปราม

   “มันไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะพูดได้ แต่ก็เป็นสิ่งที่ฉันกับพี่ชายร่วมกันตัดสินใจโดยไม่ฟังคำคัดค้านของฝ่ายใดทั้งสิ้น และในอีกแง่ มันเป็นการตัดสินใจที่น่าอับอายจึงไม่มีใครอยากจะพูดถึงหรือแพร่งพรายออกไป” หลางเมี่ยวอินถอนหายใจก่อนจะดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา “คุณไปตามที่นี่และวันเวลานี้ แล้วคุณซากุระก็ถามกับเจ้าตัวเอาเองเถอะค่ะ ฉันคงจะช่วยได้แค่นี้”

   ซากุระรับกระดาษมาก่อนจะลุกขึ้น

   “ขอบคุณมากนะคะ....”

   “ความจริงฉันคงไม่คิดช่วยคุณหรอกถ้าคุณไม่เลือกเข้ามาหาฉัน ฉันเป็นคนใจอ่อนเสียด้วยสิคะ” หลางเมี่ยวอินพูดทีเล่นทีจริง ซากุระยิ้มเฝื่อนรับก่อนจะเดินไปที่ประตู แต่แล้วเธอก็คิดอยากจะพูดอะไรอีกสักนิดจึงชะงักกอยู่แค่นั้นแล้วหันกลับมา

   “แต่ว่า...ตอนที่ฉันได้พบคุณ ฉันดีใจจริง ๆ ที่ได้รู้จักคุณและมีคุณเป็นเพื่อน” กล่าวจบแล้วซากุระก็เดินออกประตูไป

   หลางเมี่ยวอินยิ้มกับตัวเองเมื่อความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: BBSS ที่ 04-07-2012 16:52:46
รอให้ปมต่างๆๆคลายต่อไป :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 04-07-2012 17:52:37
หมิงกับเชินหลงปมเหมือนจะเริ่มคลาย สงสารซากุระ คู่ขิงซากุระอาจจะเป็นหลางเมี่ยวอินก็ได้  :laugh:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 04-07-2012 17:58:46
รอลุ้นกันต่อออปายยย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 04-07-2012 23:25:34
รอ,,ลุ้น กันยาวปายยย

ติดตาม ๆ ครับบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 21 (04/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 05-07-2012 10:35:01
เป็นผู้หญิงในนิยายวายที่ไม่สร้างความน่ารำคาญเลยค่ะ ที่สำคัญคือทั้งสองเป็นคนที่น่าประทับใจมากๆเลย ^^
ให้กำลังใจซากุระ แต่ตอนนี้พระเอกของเราไม่โผล่ออกมาเลยแฮะ
อยากรู้เรื่องเงื่อนไขด้วยอ่ะ ไป๋หู่กับเมี่ยวเจิน ทำไมถึงตัดสินใจกันแบบนั้นนะ - -

รอตอนหน้าค่า
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 07-07-2012 19:00:45
-22-


   นับแต่วันที่เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าชิงหลงมีอะไรบางอย่างที่คุ้นตา เขาก็มักจะใช้เวลาในบางจังหวะแอบมองเสี้ยวหน้าของชายหนุ่มอยู่เสมอ ทั้งในเวลาอ่านหนังสือ เวลาทำงาน เวลาที่สนทนากัน แต่เพราะเขาเกรงว่าตัวเองจะดูเหมือนคนโรคจิตจึงต้องคอยหลบสายตาอีกฝ่ายไปด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังนึกไม่ค่อยออกว่าอีกฝ่ายมีใบหน้าคล้ายกับใครที่เขารู้จัก ซึ่งหากพูดจริง ๆ เขารู้สึกคุ้นแค่บางมุมเท่านั้น

   แต่เมื่อมองบ่อยเข้า มีหรือที่ชิงหลงจะไม่รู้ตัว

   “มีอะไรบนหน้าผมหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าถูกจ้องมองขณะกำลังก้มหน้าจัดการชิ้นเบคอนบนจานอาหารเช้า

   “....เปล่าครับ ไม่มีอะไร” เซินหมิงเฟิ่งกระแอมเบา ๆ แล้วเลื่อนสายตาไปทางอื่น

   “ดูเหมือนคุณมีเรื่องอยากจะพูดนะ” ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ก็ไม่เชิง ว่าแต่ระยะนี้คุณมาอยู่กับผมบ่อย ๆ แบบนี้ งานของคุณเสร็จแล้วหรือครับ? ถ้าอย่างนั้นเราจะกลับฮ่องกงกันได้ในเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า” เซินหมิงเฟิ่งเลือกจะเปลี่ยนหัวข้อ เพราะหากเขาบอกว่ารู้สึกชิงหลงคุ้นหน้า คงไม่แคล้วถูกตอบกลับมาว่า ‘มีคนหน้าเหมือนกันไม่เห็นจะเป็นเรื่องแปลก’ ซึ่งถึงแม้เขาจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่าคล้ายใครบางคนที่เคยใกล้ชิดเขา เขาก็ไม่มีหลักฐานอะไรจะไปบอกให้ชิงหลงเชื่อตาม ดังนั้น ทำเป็นว่าเขาไม่ได้คิดเรื่องนี้เสียเลยจะดีกว่า วันหนึ่งเขาคงจะคิดออกเอง

   “งานของผมถ้าจะให้ทำก็มีให้ทำเรื่อย ๆ ถ้าการมาของผมทำให้คุณลำบากใจ ผมจะไม่มารบกวนอีกก็แล้วกัน” ไม่รู้ว่าชิงหลงตีความยังไงจึงแปลได้อย่างนั้น

   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งรีบแก้ความเข้าใจผิด ความจริงเขาไม่ได้นึกเดือดร้อนเลยที่ชิงหลงมาอยู่ด้วยแบบนี้ ถึงนัยหนึ่งจะเป็นการจับตาดูไม่ให้เขาหนีไปไหน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีคนพูดคุยด้วยทำให้ไม่น่าเบื่อจนเกินไป เพราะระยะนี้โจเซไม่ได้มาเยี่ยมเลย เขาจึงไม่มีโอกาสจะได้พบคิมหันต์ และนอกจากชิงหลงแล้ว ก็ไม่มีใครต้องการคุยกับเขา

   แต่ชิงหลงก็พูดน้อยเกินไปจนทำให้เขาอึดอัดอยู่เหมือนกัน

   “แล้วหมายความยังไงหรือ?” ชิงหลงเลิกคิ้วพลางจิบกาแฟ

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ

   “ผมหมายถึงว่า คุณมาที่นี่เพื่อทำงาน ในเมื่องานคุณเสร็จแล้ว คุณจะกลับฮ่องกงในเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า” เขาพยายามพูดช้า ๆ ชัดถ้อยชัดคำ

   “ผมยังไม่มีโปรแกรมจะกลับฮ่องกงหรอก” ชิงหลงตอบโดยไม่เสียเวลาคิด “ที่อิตาลีก็ไม่ได้เลวร้าย อีกอย่างที่ฮ่องกงถึงขาดผมไปสักคนก็ไม่ได้ลำบากมาก อีกสักเดือนค่อยกลับก็ยังได้” ท่าทางการพูดของชิงหลงบ่งบอกถึงความไม่เดือดเนื้อร้อนใจพ้องกับคำพูดอย่างไม่มีพิรุธ

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว เหลือบสายตามองอีกฝ่ายอย่างมีความหมาย

   “ชิงหลง คุณไม่นึกถึงครอบครัวบ้างหรือ?”

   คำถามนั้นเรียกให้ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ถึงพ่อของคุณจะเสียไปแล้ว แต่แม่ของคุณก็ยังอยู่ที่ฮ่องกงนะครับ การที่คุณเดินทางมาไกลเป็นเวลานาน คุณไม่คิดหรือว่าท่านจะเป็นห่วงแค่ไหน” เซินหมิงเฟิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แล้วผมเอง...ก็มีครอบครัวนะครับ ไม่ว่าคุณจะต้องการอะไรจากผม ตลอดเวลาที่ผมอยู่ที่นี่ คนอย่างคุณก็คงจะได้สิ่งที่ต้องการไปหมดแล้ว พ่อของผมท่านก็เป็นห่วงผมอยู่ แล้วผมยังต้องกลับไปดูแลคุณมินาโมโตะที่เป็นคู่หมั้นอีก ภาระหน้าที่ของผม คุณไม่คิดจะให้ผมกลับไปรับผิดชอบหรือครับ?”

   ชิงหลงนิ่งคิดไปชั่วครู่ สีหน้าของเจ้าตัวดูเคร่งขรึมเป็นปกติ มีแต่ความเงียบที่โรยตัวลงมาปกคลุม

   “ที่คุณพูดก็มีเหตุผล แต่ผมคงทำตามที่คุณต้องการไม่ได้”

   “ทำไมล่ะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว แต่แล้วเขาก็เหมือนจะนึกอะไรออก “กฎนั่น...บอกว่าให้กระทำต่ออีกฝ่ายแบบเดียวกับที่ตนเองได้รับความเสียหาย หรือว่าพ่อของผมเคยพรากคนสำคัญของคุณไป?” เมื่อเซินหมิงเฟิ่งพูดจบเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรโง่ ๆ ออกมา อายุชิงหลงกับพ่อของเขาห่างไกลกันมาก พ่อของเขาไม่มีทางพรากลูกหรือคนรักของชิงหลงไปได้แน่ ๆ

   “คุณมาถูกทางแล้ว คาดเดาต่อไปก็แล้วกัน” แต่อยู่ ๆ ชิงหลงก็ตัดบทเอาดื้อ ๆ

   “เดี๋ยวสิ!” เซินหมิงเฟิ่งไม่ยอมให้จบง่าย ๆ เขาถลาเข้าไปหา “จำได้ไหมว่าคุณจะตอบผมว่าใช่หรือไม่ใช่ ผมมีคำถาม คุณต้องตอบ”

   เรียวคิ้วของชิงหลงขมวดเข้าหากันอย่างรำคาญใจ เขาเกลียดการถูกตื้อหรือกระตุ้นให้นึกถึงสิ่งที่เคยรับปากในอดีต

   “พ่อของผมเคยพรากคนสำคัญของคุณไปใช่ไหม?” เซินหมิงเฟิ่งถามย้ำอีกครั้ง

   ชิงหลงกลอกตาพลางถอนหายใจ

   “ใช่”

   เซินหมิงเฟิ่งเม้มปาก รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องนัก เขาไม่สามารถถามได้ว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับชิงหลงแบบไหน แต่เรื่องสำคัญที่สุดคงจะเป็นเรื่องที่ว่า....

   “คุณได้เขาคืนหรือเปล่า...”

   ชิงหลงหลุบตาลง เป็นครั้งแรกที่เซินหมิงเฟิ่งได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่ามันจะถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างล้ำลึก ทว่าในเวลานี้มันกลับปรากฏออกมาผ่านดวงตาสีเข้มที่มักระมัดระวังในการแสดงอารมณ์เสมอ มันสั่นระริกเล็กน้อยก่อนที่ชิงหลงจะปิดเปลือกตาลงเพื่อซ่อนมันเอาไว้เช่นเดิม

   “...ไม่เคยอีกเลย”

   เสียงของชิงหลงคล้ายจะปะปนอาการสั่นเครืออยู่เล็กน้อย

   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่หนักหน่วงกดทับในอก เพราะการที่ชิงหลงไม่ได้คนสำคัญของตัวเองคืน นั่นหมายความว่า...พ่อของเขาจะไม่มีวันได้เขาคืนไปเช่นกัน นับแต่วันที่ชิงหลงเลือกให้เขาเป็นเหยื่อในเรื่องนี้ เขาก็ถูกกำหนดแล้วว่าจะไม่มีวันได้พบกับพ่อตัวเองอีกต่อไป

   แต่ว่า....เขาจะกล่างโทษชิงหลงได้หรือ...

   ชิงหลงก็แค่ทำตามกฎและบทบาทตัวเองเท่านั้นเอง เจ้าตัวก็เป็นหุ่นเชิดเหมือนกับเขาที่ไม่สามารถทำตามสิ่งที่ตัวเองต้องการได้

   ในตอนที่ชิงหลงตัดสินใจ...เจ้าตัวเจ็บปวดหรือเปล่า...

   คงจะมากกว่าเขาที่ไม่ได้รู้อะไรเลยแต่แรก และที่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรมาตลอดไม่ได้เพราะต้องการปิดบัง แต่เพราะไม่อยากให้เขาต้องรู้สึกแย่มากไปกว่านี้เสียมากกว่า...

   ชิงหลงไม่ได้พูดอะไรต่อ เจ้าตัวเพียงแค่นั่งเงียบ ๆ คล้ายกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่คนเดียว และเซินหมิงเฟิ่งก็เพียงแค่ยืนมองอยู่เฉย ๆ ด้วยใจสับสน เขาไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร จะเคียดแค้นดีหรือไม่ที่ชิงหลงทำกับเขาเช่นนี้ แต่ในขณะที่กำลังคิดคับแค้นใจ ความเห็นอกเห็นใจก็แวบเข้าในมโนสำนึก เพราะสถานะของเขาและชิงหลงสุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างกัน พวกเขาต่างถูกผูกมัดไว้ด้วยกฏเกณฑ์ที่ไม่อาจเลือกทางเองได้ อยู่ภายในกรงขังอันแสนโดดเดี่ยวและเย็นเยียบไร้หัวใจ

   เซินหมิงเฟิ่งกำมือแน่นก่อนจะค่อย ๆ คลายออก

   ไร้ประโยชน์ที่จะเอาโทษกับชิงหลง...

   แล้วอีกประการหนึ่ง...คงเป็นเพราะเขาใจอ่อนกับอีกฝ่ายมากเหลือเกิน ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาทำใจโทษชิงหลงทั้งหมดไม่ได้ สิ่งที่ชิงหลงทำกับเขา บางครั้งก็ดูโหดร้าย บางครั้งก็เหมือนกำลังเอาใจใส่ดูแล แต่ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เขารู้สึกผูกพันและไม่อาจตัดอีกฝ่ายออกไปได้

   ทำไม...เขาถึงรู้สึกแบบนั้น....

   เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง เซินหมิงเฟิ่งก็พบว่าตัวเองโน้มตัวลงไปกอดชิงหลงแล้ว

   ไม่ใช่แต่เพียงเขาที่รู้สึกแปลกใจ เขารู้สึกได้ว่าชิงหลงก็รู้สึกแปลกใจ ซึ่งก็ไม่ผิด ชิงหลงรู้สึกแปลกใจจริง ๆ ที่เซินหมิงเฟิ่งโอนอ่อนให้เขาถึงขนาดนี้ ถึงแม้ที่เขาวางแผนไว้ทั้งหมดจะเพื่อให้เซินหมิงเฟิ่งไม่อาจต่อต้านขัดขืนเขาได้ แต่การแสดงออกของอีกฝ่ายนั้นบ่งบอกผลที่มากกว่าที่วางแผนไว้แต่แรก

   ทั้งสองต่างนิ่งอยู่ในท่าทางเช่นนั้นนานหลายนาที ก่อนที่จะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงเคาะประตู

   “เฮ้! วันนี้ไปเที่ยว...กัน......” โจเซเปิดประตูเข้ามาหลังเคาะโดยไม่รอคำอนุญาต ทำให้เขาได้เห็นภาพที่รู้สึกเหมือนไม่สมควรจะได้เห็นเข้า

   “....สวัสดีครับคุณโจเซ” เซินหมิงเฟิ่งผละจากชิงหลงด้วยท่าทีขัดเขินอยู่ไม่น้อย

   “ดูเหมือนผมจะเข้ามาขัดจังหวะอะไรบางอย่างเข้านะ” ชายหนุ่มหัวเราะ “เห็นการ์ดบอกว่าเวย์อยู่ที่นี่ผมก็เลยมาตามตัว ที่ไหนได้ กำลังมีช่วงเวลาส่วนตัวนี่เอง”

   “เลิกพูดอะไรไร้สาระเสียทีเถอะ” ชิงหลงเหนื่อยใจกับอาการหยอกล้อของลูกพี่ลูกน้องตนเองจึงเอ่ยปรามด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแล้วลุกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่แสดงความติดขัดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แม้แต่น้อย ทำให้เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัยว่าตัวเขาคิดมากไปคนเดียวหรือเปล่า “ที่มาที่นี่หวังว่าคงจะมีธุระอื่นนอกจากเข้ามารบกวนความสงบของฉันนะ โจเซ”

   “อย่าทำบึ้งตึงไปสิ วันนี้อากาศดี และฉันก็ไม่มีงาน ไม่คิดจะออกไปข้างนอกบ้างหรือ? อยู่ในห้องเฉย ๆ แบบนี้หดหู่หมดพอดีกัน” โจเซแสดงความร่าเริงแจ่มใสออกมาอย่างเต็มที่โดยไม่สนมาดของตัวเองในฐานะบอสใหญ่ของแฟมิลีดังในแถบนี้เลย

   ชิงหลงถอนหายใจ เขากำชับโจเซเอาไว้ว่าไม่ควรปรากฏตัวให้เซินหมิงเฟิ่งเจอบ่อยนักเพราะอาจจะถูกถามหาคิมหันต์เอาได้ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้สนใจฟังคำเตือนของเขาสักเท่าไหร่ แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็นับเป็นการดีเหมือนกันที่เซินหมิงเฟิ่งจะได้ออกไปข้างนอกห้องบ้าง ในตอนนี้เขาไม่มีอะไรต้องห่วงแล้วว่าอีกฝ่ายจะกล้าหนีเขาไปไหนไกลตา ดังนั้นปล่อยให้อิสระบ้างถือเป็นการทดลองผลก็ไม่เสียหาย

   เมื่อคิดดังนั้น ชิงหลงจึงหันไปหาเซินหมิงเฟิ่ง

   “อยากไปหรือเปล่า?”

   เซินหมิงเฟิ่งทำสีหน้าแปลกใจในคราวแรก

   “คุณให้ผมออกไปได้หรือ?” ถึงแม้คำถามจะฟังดูเหมือนเขาเป็นเด็กที่ถูกกักขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่เขาก็ต้องถามเช่นนั้นจริง ๆ เพราะนอกจากครั้งที่ถูกลักพาตัว กับไปบ้านอเล็กซานโดรแล้ว ชิงหลงไม่เคยยอมให้เขาออกไปไหนอีก ยิ่งโจเซพูดออกมาจะ ๆ ว่าจะไปเที่ยวแบบนี้แล้ว โอกาสที่ชิงหลงจะยินยอมเป็นไปได้ยิ่งกว่าน้อย เพราะเจ้าตัวไม่เหมือนคนที่ผ่อนคลายขนาดสนใจการเที่ยวเล่นเลย

   “ถ้าผมไม่ยอม ผมคงจะถูกใครบางคนค่อนแคะว่าเป็นคนใจร้ายเลือดเย็น” ชิงหลงว่าพลางเหลือบตาไปมองโจเซที่ทำลอยหน้าลอยตาไม่รู้ว่าเขาพูดถึงใคร

   “ถ้าอย่างนั้นผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งรีบรุดเข้าห้องไปอย่างดีใจ

   โจเซมองตามหลังไปแล้วย้อนกลับมาหาเจ้าของห้อง

   “น่าแปลกนะที่อยู่ ๆ นายก็เกิดใจดีขึ้นมา” เขาอดจะแซวไม่ได้ เพราะหากเป็นปกติ ชิงหลงคงจะไม่มีทางตอบรับคำชวน ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักอยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะรับปากง่ายผิดปกติ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในใจกำลังคิดอะไรอยู่

   “ปกติฉันเป็นคนใจร้ายนักหรือ?”

   โจเซไหวไหล่กับคำถามนั้น

   “วันนี้ฉันให้คิมหันต์ไปทำงานอื่น นายจะได้ไม่มีข้ออ้างไล่ฉันกลับ” เขาเลือกจะเปลี่ยนหัวข้อ เพราะเถียงกับชิงหลงไปก็เปล่าประโยชน์ เจ้าตัวมีทักษะการโต้แย้งในขั้นสูง หากไม่ยืนยันในสิ่งที่พูดอย่างหนักแน่นแล้วล่ะก็ มีหวังถูกสารพัดตรรกะถล่มเอาแน่ “แล้วนายไม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้างหรือยังไงกัน? เดี๋ยวหล่อสู้ฉันไม่ได้แล้วสาว ๆ จะไม่แลเอานะ” เขาพูดหยอกเย้าพลางหัวเราะ

   “ฉันสวมเสื้อนอกอีกตัวก็พอแล้ว” ชิงหลงไม่ใช่คนพิถีพิถันในการแต่งกายนัก หากไม่ใช่งานสังคมเขาก็จะสวมแค่เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีอ่อนกับกางเกงสแลคสีเข้มเท่านั้น แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยสวมเสื้อยืดเว้นแต่เสื้อยืดคอปกแขนสั้นสำหรับเล่นกีฬา

   เมื่อเซินหมิงเฟิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ชิงหลงก็เรียกให้คนของตัวเองเอาเสื้อนอกมาให้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับโจเซ

   รถของโจเซจอดพักไว้ด้านนอกเพราะเจ้าตัวคิดว่าจะมาเพียงครู่เดียวจึงไม่ได้นำเข้าไปจอดในลานที่จัดเอาไว้สำหรับคนในโรงแรม พวกเขาเดินออกมาจากอาคารแล้วเดินต่อไปอีกสักหน่อย พอพ้นจากรั้วประตูโรงแรมแล้วก็จะเห็นรถของโจเซที่พักอยู่ริมฟุตบาท การ์ดที่เดินนำอยู่รีบเดินเร็ว ๆ ไปที่รถเพื่อจะไปสตาร์ทเครื่องรอ ส่วนพวกเขาก็ค่อย ๆ เดินตามไป

   เมื่อพวกเขาจะไปถึงรถ ก็ได้ยินเสียงคุยกันของพวกการ์ดที่เสียงเคร่งเครียดแปลก ๆ

   “มีอะไรกัน?” โจเซเอ่ยถาม

   “โรเบอโตน่ะสิครับ ไม่รู้ว่ามันหายไปไหน” การ์ดรีบหันมาตอบ “พวกผมเลยว่าจะไปดูว่ามันแอบไปเข้าห้องน้ำหรือเปล่า ทั้งที่บอกให้เฝ้ารถไว้แท้ ๆ”

   “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปรีบมา พวกนายไปที่รถกันก่อนแล้วกัน” โจเซหันมาบอกชิงหลงกับเซินหมิงเฟิ่ง “เดี๋ยวฉันค่อยตามไป”

   “มีอะไรกันหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัยเพราะฟังภาษาอิตาลีไม่ออก

   “ดูเหมือนคนเฝ้ารถจะแอบไปทำธุระส่วนตัว โจเซเลยให้พวกเรไปรอที่รถก่อน” ชิงหลงตอบไปตามเนื้อผ้า เพราะเขาเองก็ได้ยินมาแค่นั้นเช่นกัน แต่จะว่าไปก็น่าแปลก เพราะให้เฝ้ารถเพียงครู่เดียว จะไปเข้าห้องน้ำก็น่าจะรอสักหน่อยหรือเข้าให้เรียบร้อยก่อนออกมา แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องแบบนี้อาจมีกรณีฉุกเฉินเกิดขึ้นได้เสมอ จะกล่าวโทษเจ้าตัวไปก็คงต่อว่าได้แค่เรื่องทิ้งรถไปโดยไม่บอกกล่าวใครเท่านั้น

----------------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 07-07-2012 19:01:07
   “ให้ตายสิ หายไปไหนนะ ในห้องน้ำก็ไม่เจอ” คนที่เข้าไปหาในห้องน้ำล็อบบี้ของโรงแรมเดินออกมาพลางบ่นอุบ “มันมีมือถือนี่ ลองโทรดูสิ”

   เมื่อได้ยินคำสั่ง การ์ดอีกคนก็หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาแล้วโทรออกหาคนที่ทุกคนตามตัวทันที

   “คงไม่ใช่ว่ากลัวบอสดุเลยหนีไปซ่อนหรอกนะ” เขาพูดพลางหัวเราะเพื่อคลายบรรยากาศตึงเครียด แต่สีหน้าของเจ้าตัวก็ค่อย ๆ เครียดขึ้นมาเองเมื่อปลายสายไม่มีการตอบรับ แต่หูของเขากลับได้ยินเสียงเรียกเข้าของมือถือที่ค่อนข้างคุ้นดังมาจากอีกที่หนึ่งที่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขายืนนัก

   “สงสัยจะซ่อนตัวจริง ๆ เสียล่ะมั้ง” อีกคนหนึ่งว่าขึ้นแล้วเดินตามเสียงไป “เฮ้ย บอสไม่ทำโทษรุนแรงนักหรอกน่า ไม่เห็นต้องซ่อนขนาดน......” เขาพูดไม่ทันจบประโยคดี เสียงของเจ้าตัวก็เงียบลงพร้อมกับอาการชะงักของร่างกายเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

   โทรศัพท์มือถือสั่นจนไหลจากกระเป๋าลงมาอยู่บนพื้น มันยังคงสั่นและส่งเสียงตามที่ถูกตั้งโปรแกรม

   แต่เจ้าของมือถือกลับไม่มีการไหวติง โรเบอโตนอนหงายอยู่บนพื้น ดวงตาเบิกโพลงแสดงถึงความตกใจก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหมดสิ้นความรู้สึกไป บนเสื้อสูทไม่เห็นอะไรชัดเจนนัก แต่ใต้เสื้อสูทที่เป็นเชิ้ตสีขาวปรากฏรอยเลือดเลอะออกมาจนชุ่ม ร่างกายของโรเบอโตยังดูเหมือนคนที่เพิ่งมีชีวิตอยู่หมาด ๆ จนถึงเมื่อครู่ แสดงว่าเจ้าตัวเพิ่งจะถูกลอบฆ่าเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้

   แต่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

   ใครเป็นคนทำ

   ไม่...นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรจะคิดในตอนนี้

   “รีบไปบอกบอสก่อนเร็ว!” นั่นคือสิ่งที่พวกเขาควรทำ ไม่ว่าคนที่ทำสิ่งนี้จะเป็นใคร ย่อมมีเป้าหมายที่บอสของพวกเขาอย่างแน่นอน

   คนหนึ่งรีบรุดเข้าไปหาเพื่อนร่วมงานที่เป็นร่างไร้วิญญาณ ส่วนอีกสองคนวิ่งกลับไปหาเจ้านายที่ตอนนี้ยืนรออยู่ที่บริเวณหน้าโรงแรม

   โจเซเห็นการ์ดของตัวเองวิ่งมาด้วยสีหน้าซีดเผือดก็รู้สึกถึงสัญญาณที่ไม่ดีนัก ใจของเขาเตือนในวินาทีนั้นว่าจะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

   “มีอะไร?” เขาถามเร่งเพื่อให้ทั้งสองคนพูดออกมาโดยเร็ว

   “โรเบอโตครับ! เจ้าโรเบอโตมันถูกฆ่าตายไปแล้ว!” การ์ดคนหนึ่งรีบรายงานด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดปะปนกับความตกใจเหมือนยังตั้งสติไม่ได้ เขาเคยผ่านคนตายมามาก เพื่อนร่วมงานของเขาล้วนแต่มีชีวิตแขวนบนเส้นด้ายเมื่อรับใช้มาเฟีย แต่ในวันปกติแบบนี้ที่ไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้น มันก็ยังเกิดขึ้นได้ในเวลาที่พวกเขาไม่มีใครรู้ตัว เพื่อนร่วมงานของเขาถูกฆ่าตายอย่างโดดเดี่ยว ไม่มีโอกาสสู้กลับด้วยซ้ำ!

   โจเซได้ฟังเหตุการณ์ก็ชะงักไปชั่วอึดใจ

   อยู่ ๆ จะมีคนมาฆ่าการ์ดของเขาอย่างไม่ได้หวังผลอย่างอื่นนั้นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะโรเบอโตไม่เคยบาดหมางกับใครเป็นการส่วนตัว

   มันจะต้องมีอะไรอย่างอื่นสิ....

   เขาพยายามคิดอย่างสุขุม และในวินาทีนั้นที่หางตาของเขาเหลือบไปเห็นรถของตัวเองที่จอดรอด้านนอก จะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง? โรเบอโตเป็นคนเฝ้ารถ ถึงต้องถูกกำจัด!

   แต่ว่า...ตอนนี้คนที่กำลังจะเข้าไปในรถไม่ใช่เขา แต่เป็น....

   “เวย์!” โจเซคิดได้ก็รีบหันไปตะโกนเตือนด้วยความเร็วเท่าที่สมองของเขาจะสั่งการร่างกายได้ทัน ทว่าเมื่อเสียงตะโกนของเขาหลุดพ้นลำคอ มันก็ถูกกลบจนมิดด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่นพร้อมไฟที่แตกกระจายเหมือนถูกอัดในที่คับแคบมานานแสนนาน ดันหลังคารถและประตูกระเด็นผัวะออก หว่านเศษกระจกที่ออกแบบมาเพื่อกันกระสุนกระจัดกระจายไปทั่วทุกแห่ง ร่างของคนที่อยู่ในรัศมีถูกผลักปลิวออกมากองบนพื้นรอบ ๆ ฝุ่นควันฟุ้งจางอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนโรยตัวลงบนพื้น

   เมื่อทุกอย่างสงบลง เสียงของความโกลาหลวุ่นวายก็ดังขึ้นแทนที่ มีเสียงคนตะโกนบอกให้เรียกรถพยาบาล บางคนก็พยายามจะเข้ามาดูว่ามีคนเจ็บมากหรือไม่

   โจเซก้าวฉับ ๆ ผ่านเศษกระจกแตกกระจายเข้าไปด้วยใจร้อนรน แต่แล้วก็รู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นเซินหมิงเฟิ่งและชิงหลงนอนกองอยู่บนพื้น และร่างกายยังอยู่ครบ 32 ส่วน

   เซินหมิงเฟิ่งขยับตัวลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ หัวของเขาหมุนติ้ว และหูของเขาก็เหมือนจะอื้อไปจึงมีแต่เสียงวิ้ง ๆ ตลอดเวลาและแทบจะไม่ได้ยินเสียงใครเลยทั้งที่รอบข้างดูวุ่นวายจนน่าเวียนหัว โจเซเข้ามาพยุงเขาขึ้นทำให้เขาพอจะรู้ได้ว่าตรงไหนคือพื้นตรงไหนคือฟ้า

   “คุณมิน! ได้ยินผมหรือเปล่า?” โจเซตะโกน เซินหมิงเฟิ่งจึงพยักหน้า

   “ชิงหลงล่ะครับ...”

   เขาจำได้ว่าพวกเขาแค่เดินมาที่รถตามที่โจเซบอก แต่ว่าตอนที่เขาเดินไปที่ประตู และเห็นคนที่มีหน้าที่ขับรถอ้อมไปที่นั่งคนขับ ชิงหลงก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออก แล้วรีบดึงเขาออกมาจากประตู ทันใดนั้นเสียงดังสนั่นก็ทิ่มแทงเข้ามาในรูหูพร้อมกับแรงผลักอันมหาศาลที่พาให้เขาและชิงหลงกระเด็นออกมาทั้งคู่ พอรู้ตัวอีกที เขาก็มานอนหงายอยู่บนพื้นพร้อมกับศีรษะที่กระแทกพื้นปูนเข้าเต็มรักจึงมึนไปครู่ใหญ่ไม่สามารถลุกขึ้นได้ทันที กระนั้นเขาก็รู้ว่าชิงหลงซ้อนอยู่บนตัวของเขา

   “เขาหมดสติ ดูเหมือนจะโดนระเบิดเข้าไปแรงกว่าคุณ” โจเซว่าแล้วพยายามขยับร่างกายของชิงหลงให้น้อยที่สุดแล้วดึงเซินหมิงเฟิ่งออกมา

   เสียงรถพยาบาลขยับเข้ามาใกล้ เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าเสียงพวกนั้นทรมานสมองของเขาอย่างยิ่งยวดจึงยกมือขึ้นกุมศีรษะ แต่ก็รู้สึกได้ถึงของเหลวสีแดงที่ไหลลงมาอาบใบหน้า

   “นี่มันเกิดอะไรขึ้น...” เขายังเรียบเรียงเรื่องราวได้ไม่ชัดเจนนัก

   “เดี๋ยวเราค่อยคุยกัน” โจเซตัดบทเพราะรถพยาบาลมาถึงแล้ว และหน่วยช่วยชีวิตกรูกันลงมาเพื่อนำพาคนบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาล เขามองไปรอบ ๆ และเห็นคนขับรถของตัวเองที่โดนระเบิดเข้าไปเต็ม ๆ เนื่องจากอยู่ในรถ ร่างกายของเจ้าตัวไม่ได้กระเด็นไปไหนไกล แต่ติดอยู่ในรถนั่นเอง ศีรษะอาบเลือดห้อยพาดอยู่บนขอบกระจก แต่ส่วนที่อยู่ต่ำลงมากว่านั้นเขามองไม่เห็น กระนั้นก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่

   ชิงหลงถูกหามขึ้นรถไป และมีคนเข้ามาพยุงเซินหมิงเฟิ่งขึ้นเตียง การ์ดคนอื่น ๆ ที่ได้รับบาดเจ็บก็เช่นกัน

   เซินหมิงเฟิ่งนอนบนเตียงด้วยสติที่ไม่เต็มที่นัก เขามองเพดานรถพยาบาลพลางพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเอ่ยถามคนที่มาพยาบาลว่าชิงหลงจะปลอดภัยหรือไม่ แต่ไม่มีใครสักคนตอบคำถามของเขา คนเหล่านั้นง่วนอยู่กับความพยายามดูแลบาดแผลของเขาและรักษาระดับความดันให้เป็นปกติ รถเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกได้ถึงการโคลงเคลง แต่ในขณะเดียวกัน มันทำให้เขารู้สึกเหมือนสติใกล้จะหลุดลอย คงเพราะศีรษะกระแทกแรงกระมังเขาถึงได้รู้สึกเหมือนสมองของเขาไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่แบบนี้

--------------------------->

   ซากุระนั่งมองกระดาษที่ได้รับมาจากหลางเมี่ยวอินเมื่อวันก่อน เธอถอนหายใจเบาเมื่อเห็นว่าวันนี้ถึงวันนัดแล้ว และบางที...เธออาจจะยังไม่พร้อมก็ได้

   หลังจากวันนั้น เธอก็โทรไปหานักสืบเฉินที่ดูสุขสบายดีแต่บอกเธอว่าจะละเว้นงานอันตรายอีกสักพักเพราะใจหายพอสมควร และเธอเองก็เห็นด้วย เพราะงานแบบนี้มีความเสี่ยงสูงยิ่งกว่าตามข่าวคาวของนักการเมืองหรือเจ้าของธุรกิจเล็ก ๆ เสียอีก

   คนที่หนักใจยิ่งกว่ากลับเป็นตัวเธอเอง ที่กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับหลางเมี่ยวเจินในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า

   โดยปกติเธอไม่ใช่คนชอบซอกแซกเรื่องของคนอื่นมากเป็นทุนเดิม ดังนั้นเธอจึงไม่คุ้นเคยกับการนั่งต่อหน้าใครสักคนแล้วออกปากสืบสวนเหมือนตำรวจกำลังสอบผู้ต้องสงสัย แต่ตอนนี้เธอกลับต้องทำเรื่องแบบนี้ทั้งที่ตอนแรกตั้งใจจะค่อย ๆ สืบหาความจริงด้วยตัวเอง และนำความจริงนั้นมาเป็นข้อต่อรองกับไป๋หู่เพื่อนำไปสู่การค้นพบตัวเซินหมิงเฟิ่งที่หายไปพร้อมกับชิงหลง

   การนั่งหนักใจแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย...

   ซากุระรู้ดี แต่เธอก็จำเป็นต้องนึกเอาไว้ก่อนว่าเมื่อพบหน้าอีกฝ่ายเธอจะพูดอะไรได้บ้าง

   หลางเมี่ยวเจินอาจจะไม่ยินดีที่ได้พบเธอนัก เพราะเมื่อพบกันครั้งแรก เธอก็แสดงออกไปเสียมากว่าเธอมีความสนใจเรื่องในวงการของพวกเขาเพื่อเตรียมตัวในการเป็นสะใภ้ตระกูลเซิน ตอนนั้นเจ้าตัวคงมองว่าเธอเป็นเสมือนคนที่ไว้ใจไม่ได้ จนกระทั่งพบกันครั้งต่อมา เธอปรากฏตัวในฐานะเพื่อนของน้องสาว หลางเมี่ยวเจินต้องแปลกใจอยู่ไม่น้อยสำหรับเรื่องนี้แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการต่อต้านอะไร กลับกัน ยังปฏิบัติกับเธออย่างเป็นกันเอง

   การพบกันครั้งที่สาม ซึ่งเป็นครั้งนี้ คงไม่น่าอภิรมย์เช่นครั้งก่อน ๆ เพราะครั้งนี้พวกเขาต่างก็ต้องถอดหน้ากากของตัวเองออกวางไว้อย่างไม่มีทางเลือก

   ภายใต้หน้ากากของหลางเมี่ยวเจินจะยินดีต้อนรับเธอเหมือนเช่นครั้งก่อนหรือไม่

   หญิงสาวสอดกระดาษเข้าไปในกระเป๋าแล้วลุกเดินไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง มองดูตัวเองที่ไม่เหมือนตัวเองคนเดิม ความจริงแล้ว เธอคงจะเปลี่ยนไปทุก ๆ วัน แล้วตัวตนของเธอจริง ๆ เป็นยังไงกันนะ หลางเมี่ยวเจินกับหลางเมี่ยวอินเคยถามตนเองแบบนี้บ้างหรือไม่

   คนเราเมื่อสวมหน้ากากแล้ว จะค่อย ๆ ลืมเลือนตัวตนของตนเองไปอย่างช้า ๆ ยิ่งสวมมันมากเท่าไหร่ หน้ากากก็เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายมากเท่านั้น

   การมองดูตัวเองในกระจกทำให้จิตใจของซากุระหดหู่

   ความรู้สึกตอนที่พ่อตัดสินใจทิ้งเธอไว้ที่นี่ค่อย ๆ คืบคลานเข้ารุมเร้า เป็นครั้งแรกในชีวิตกระมังที่เธอต้องตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง ตัดสินใจว่าจะดำเนินต่อหรือไม่ จะไปพบหลางเมี่ยวเจินเพื่อสอบถามให้รู้ความจริงตรง ๆ หรือไม่ หรือว่าจะยอมแพ้เพียงแค่นี้เพราะความกลัวที่มีต่ออนาคต

   แต่ไหนแต่ไรมา เธอเปรียบเสมือนนกที่อยู่ในกรงสวย ๆ พ่อของเธอคือคนที่กำกับเส้นทางให้จนเธอไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

   แม้แต่ตอนรับปากจะช่วยเซินหมิงเฟิ่ง นั่นก็เป็นเพราะพ่อส่วนหนึ่ง เพราะหากเซินหมิงเฟิ่งไม่กลับมาพ่อของเธอจะไม่มีที่พึ่งพิงทางธุรกิจและตัวเธอเองก็จะถูกขายให้คนอื่นต่อไป เพื่อให้ธุรกิจของพ่อเจริญก้าวหน้า กระนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นการตัดสินใจของเธอเอง เพราะเธอไม่ต้องการให้ตัวเองกลายเป็นสินค้าไปจริง ๆ อย่างน้อยเซินหมิงเฟิ่งก็ปฏิบัติกับเธอเฉกเช่นมนุษย์คนหนึ่ง นั่นทำให้เธอมีกำลังใจเดินมาจนถึงตรงนี้ แต่ว่าหลังจากนี้คงจะเป็นก้าวเดินที่สำคัญที่ต้องตริตรองเป็นอย่างดี

   จะก้าวต่อไปหรือไม่?

   ซากุระกล่าวถามตัวเองอีกครั้ง

   จากนี้ไปจะเป็นการตัดสินใจของเธอเพียงคนเดียวโดยไม่มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

   เธอจะยอมแพ้ดีหรือเปล่า?

   หากเธอหยุดแค่ตรงนี้ อนาคตก็คงจะเจอเหตุการณ์เดิม ๆ อีก ได้พบผู้ชายที่พ่อแนะนำ แต่งงาน และอยู่ภายใต้เงาของสามี

   ยังไม่สายที่จะถอย...

   ใช่ เธอรู้ดี แต่หากถอยตรงนี้จะต้องใช้ความกล้าอีกมากเท่าไหร่จึงจะสามารถก้าวเดินได้อีกครั้ง ความล้มเหลวจะตอกย้ำในทุก ๆ ก้าวและทำให้โซ่ตรวนยิ่งหนักมากขึ้น

   มีแต่จะต้องก้าวต่อไปเท่านั้น...

   ไม่ใช่แค่เพื่อเซินหมิงเฟิ่ง แต่เพื่อตัวเธอเอง จากนี้ไปจิตใจของเธอจะเป็นอิสระ...

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-07-2012 19:36:56
อ๊ากกกก นี่มันเกิดอะไรขึ้น
หวังว่าทั้งสองคนจะไม่เป็นอะไรมาก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 07-07-2012 20:49:34
โอ๊ย ๆๆ ดราม่าใหญ่แล้ว

ชิงหลง กะ หมิงเฟิ่ง ดีขึ้นเรื่อย ๆ เลยย (ชอบมากกก)

ทางฝั่งฮ่องกงก้ไม่แพ้กันเลย ซากุระ สู้ ๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: jasmin ที่ 07-07-2012 22:49:34
อุตสาห์แอบมีช่วงหวานๆกับเค้า
ดันเจอระเบิดซะได้
กลับมาอึมครึมเหมือนเดิม
รออ่านต่อไปจ๊ะ ^_^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 08-07-2012 00:12:23
มันจะหวานมากเลยถ้าไม่ได้เห็นความคิดชิงหลงเนี่ย -*-
แล้วใครมันวางระเบิดฟร้าาาาาาาา กำลัง(หสเหมือนจะ)ไปได้สวยเลยนะ ><
ซากุระสู้ๆ

รอตอนหน้าค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 22 (07/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 10-07-2012 18:28:33
หมิงกับชิงหลงไม่เป็นไรใช่ไหม  :o12: อัพเร็วๆนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-07-2012 21:08:18
-23-


   “โชคดีที่คุณไม่บาดเจ็บอะไรมาก แต่เพราะอยู่ใกล้จุดระเบิดมากเกินไปแก้วหูคุณอาจจะมีปัญหา ดังนั้นหลีกเลี่ยงเสียงดัง ๆ หรือการขึ้นที่สูงสักพักนะครับ” นายแพทย์กล่าวกับเซินหมิงเฟิ่งหลังจากที่บาดแผลทั้งหมดได้รับการพยาบาลและผ่านการตรวจร่างกายเรียบร้อยแล้ว “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้คุณมาตรวจร่างกายเป็นระยะ โดยเฉพาะแก้วหูของคุณที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ”

   “ขึ้นที่สูงหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้ว

   “ก็อย่างปีนภูเขาหรือขึ้นเครื่องบิน ความกดอากาศที่ต่างกันมีผลต่อแก้วหูคุณได้เหมือนกัน” คำแนะนำของแพทย์ ชายหนุ่มทำได้เพียงพยักหน้ารับ ความจริงแล้วเขาฟังไม่ออกทั้งหมดถึงแม้อีกฝ่ายจะพูดภาษาอังกฤษอยู่ก็ตาม อาจจะเพราะสมองของเขายังตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กอปรกับสำเนียงอิตาเลียนที่จนบัดนี้ยังไม่คุ้นเคย กระนั้นในประเด็นสำคัญเขาก็แน่ใจว่าตัวเองเก็บได้หมด

   เซินหมิงเฟิ่งขยับมือจับขมับตัวเองที่มีผ้าพันแผลผืนสีขาวพันไว้แน่นหนา เท่าที่จำได้ ดูเหมือนหัวเขาจะโขกพื้นแรงพอสมควร เลือดไหลออกมาเสียเยอะในตอนแรก ทำเอาพยาบาลและหน่วยกู้ชีพตื่นตกใจกันหมด โชคดีที่เอ็กซเรย์แล้วไม่มีอะไรร้ายแรง

   นอกจากร่างกายท่อนล่างบริเวณลำตัวที่ชิงหลงบังเอาไว้แล้ว ส่วนอื่น ๆ ของเขาแทบจะมีแต่ผ้าพันแผลและสำลีปิดแผลกระจายเป็นจุด ๆ

   เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่เสียอวัยวะอะไรไป กระดูกสันหลังก็ยังอยู่ดีเพราะล้มลงบนพื้นราบ  และในขณะเดียวกัน ก็โชคดีที่หัวโขกพื้นจนลุกไม่ขึ้นจึงไม่เห็นภาพอันน่าสยดสยองหลังการระเบิด

   ถึงอย่างนั้นคนที่น่าเป็นห่วงกว่าคือชิงหลง เพราะโดนระเบิดใกล้กว่าเขาถึงแม้จะหลีกออกจากรัศมีอันตรายได้ทันเวลาก็ตาม

   ตอนนั้นอีกฝ่ายหมดสติไปเลยนี่นา...

   เมื่อคิดแล้วก็อดกระสับกระส่ายไม่ได้ นึกอยากจะไปเยี่ยมชิงหลงแต่ดูเหมือนทั้งหมอและพยาบาลจะไม่ยอมให้เขาเดินเองในช่วงนี้ คงเพราะหัวกระแทกกับพื้นแรงไปหน่อยนั่นแหละ เขาถึงยังเดินเซ ๆ อยู่ จะไปไหนก็ต้องมีคนพยุงหรือไม่ก็ให้พยาบาลเข็นรถเข็นให้ มันทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนทุพพลภาพทั้งที่เขายังแน่ใจว่าตัวเองสบายดี ไม่บุบสลาย

   “เป็นยังไงบ้าง?” โจเซเดินเข้ามาในห้องตรวจหลังจากหมออนุญาต

   “ก็ยังตกใจอยู่นิดหน่อยครับ” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ “ผมนี่ไม่ไหวเลยนะ โตขนาดนี้แล้วแท้ ๆ แต่พอนึกถึงเรื่องนั้นผมก็ยังกลัวไม่หาย...” มือของเขาสั่นอยู่เล็กน้อยขณะที่พูด

   “ของแบบนี้จะเด็กจะแก่ก็กลัวเหมือนกันทั้งนั้นแหละครับ ก็เรียกว่าเฉียดความตายได้เลย” ถึงจะพูดแบบนั้น แต่โจเซก็ตกใจแค่ตอนแรก ๆ เพราะเขาผ่านเรื่องเฉียดตายมาเกือบตลอดชีวิต กระทั่งตอนเด็ก ๆ ก็ยังเกือบถูกลักพาตัว โชคดีแต่ยังไม่มีใครทำสำเร็จจนเขาโตขึ้นเกินกว่าจะอุ้มขึ้นรถได้แล้ว เรื่องระเบิดถึงจะไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่มันก็ไม่ได้ใหญ่โตนักสำหรับเจ้าตัว

   “แล้วชิงหลงเป็นยังไงบ้างครับ?”

   “ตอนนี้นอนอยู่ในห้องพักฟื้น เห็นว่ายังไม่ได้สติเลย” โจเซพ่นลมหายใจออกมา “นี่ก็ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมง ไม่แปลกนักหรอกครับ”

   “ขอโทษด้วยนะครับ ทั้งที่คุณโจเซได้มีเวลาว่างแท้ ๆ แต่กลับเกิดเรื่องแบบนี้” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวขอโทษทำให้โจเซเลิกคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะหัวเราะออกมา

   “คุณพูดเหมือนตัวเองเป็นคนวางระเบิดเลยนะครับ”

   “แล้วผมจะวางไปทำไมกันล่ะครับ” เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ล้อเล่น เซินหมิงเฟิ่งจึงส่ายศีรษะแล้วถามกลับด้วยท่าทางเหนื่อยใจ

   ทำไมคนพวกนี้ถึงรู้สึกกับเรื่องร้ายแรงได้น้อยนักนะ

   เซินหมิงเฟิ่งนึกสงสัย

   “ไปเยี่ยมเวย์กันเถอะ ตอนนี้คงใกล้ตื่นแล้ว” โจเซเห็นหน้าอีกฝ่ายชักปุเลี่ยนจึงเปลี่ยนเรื่องพูดเสีย

   “อา...ครับ” เซินหมิงเฟิ่งขยับลุกขึ้น โดยมีโจเซเข้ามาช่วยพยุง แต่เจ้าตัวรู้สึกว่าตอนนี้เดินได้เป็นปกติแล้วจึงบิกปฏิเสธและขอเดินด้วยตัวเอง

   ห้องพักฟื้นของชิงหลงต้องเดินข้ามตึกไปด้วยทางเชื่อมอาคาร เป็นห้องพิเศษแบบเดี่ยวจึงสามารถทิ้งการ์ดไว้เฝ้าประตูได้โดยไม่ทำให้ใครแตกตื่น

   ตอนที่ทั้งสองไปถึง นางพยาบาลเพิ่งเข้ามาดูอาการและกำลังกลับออกไป

   “ตอนนี้คนไข้ยังไม่ได้สติ กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนนะคะ” พยาบาลสาวว่าจบก็เดินสวนออกไปจากห้อง

   เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปที่เตียง มองชิงหลงที่มีผ้าพันแผลมากกว่าเขาด้วยสายตาของคนรู้สึกผิด ถึงเขาจะไม่ได้เป็นคนวางระเบิดอย่างที่โจเซว่า แต่ถ้าเขาสามารถคิดได้รวดเร็วเหมือนอีกฝ่ายก็คงจะดี หากแค่เขาฉลาดกว่านี้อีกสักนิดก็คงไม่บาดเจ็บถึงขนาดนี้

   “เท่าที่หมอบอก เวย์ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ที่เห็นร้ายแรงก็แค่บาดแผลภายนอกเท่านั้นเอง” โจเซบอกเผื่อว่าจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น ความจริงแล้วคงต้องขอบคุณเซินหมิงเฟิ่งที่ลำตัวรองรับศีรษะของชิงหลงไว้ ไม่อย่างนั้นคงกระแทกอีกจุด อันนั้นก็ต้องเสี่ยงดวงกันว่าจะแรงแค่ไหน

   “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าไม่เป็นอันตรายสินะครับ?” เซินหมิงเฟิ่งโล่งใจขึ้นมาก

   “แต่ที่ยังไม่ตื่นนี่คงเพราะขี้เกียจเท่านั้นแหละ” โจเซไหวไหล่ แต่ทันใดนั้น เสียงแหบแห้งก็ขัดขึ้น

   “ใครขี้เกียจกัน...”

   “นั่นไง ตื่นทันทีเชียว” โจเซหัวเราะเมื่อเห็นชิงหลงค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้นแล้วขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนเห็นสิ่งที่น่ารำคาญทันทีที่ได้สติ จะว่าไป เขาเองก็เคยสงสัยว่าภาพแบบไหนที่ทำให้ชิงหลงตื่นมาได้โดยไม่ขมวดคิ้ว เพราะเขาไม่เคยเห็นว่าสิ่งใดจะน่าอภิรมย์สำหรับอีกฝ่าย “น่าเสียดายนะ นางพยาบาลที่เข้ามาดูนายเมื่อกี้สวยเสียด้วย นายดันตื่นไม่ทันเสียนี่”

   “งั้นเดี๋ยวอีกไม่กี่ชั่วโมงฉันก็เห็นเธออยู่ดี” ชิงหลงกลอกตาแล้วมองไปทางเซินหมิงเฟิ่งที่ดูเหมือนกำลังดีใจด้วยสีหน้าแปลก ๆ

   “ผมคิดว่าคุณจะไม่ตื่นเสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มออกมาในที่สุดแล้วฟุบหน้าลงบนเตียง “ถ้ารู้ว่าคุณไม่เป็นอะไรมากแต่แรก ผมคงไม่รู้สึกผิดขนาดนี้หรอก”

   “รู้สึกผิด?” ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ก็ผมไม่ฉลาดเท่าคุณ ถ้าผมไหวตัวเร็วกว่านั้น....”

   “คุณไม่ใช่ไม่ฉลาดเท่านั้นหรอก คุณไม่ทันคิดถึงมันเสียด้วยซ้ำ” เซินหมิงเฟิ่งยังพูดไม่จบ ชิงหลงก็แทรกขึ้นมาด้วยคำพูดที่ห่างจากคำปลอบใจไปไกลโข จริง ๆ แล้วมันใกล้เคียงกับคำตำหนิต่อว่า เซินหมิงเฟิ่งจึงยิ่งหน้าเสียเข้าไปอีกเพราะไม่คิดว่าชิงหลงจะโกรธ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ที่ชิงหลงพูดออกมาเช่นนั้นไม่ใช่ด้วยอารมณ์แบบไหนเป็นพิเศษ เจ้าตัวแค่เพียงพูดข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมาตามนิสัย ซึ่งน้อยคนนักจะเข้าใจลักษณะนิสัยเช่นนั้น แม้แต่เซินหมิงเฟิ่งเองก็ยังไม่เรียนรู้ข้อนี้สักเท่าไหร่

   “ขอโทษครับ....”

   โจเซเห็นเซินหมิงเฟิ่งหงอยลงแบบนั้นก็นึกอยากจะเข้าไปช่วยแก้ต่างให้ แต่ชิงหลงกลับพูดต่อเสียก่อน

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ขนาดโจเซยังคิดไม่ถึง ก็ไม่น่าแปลกอะไรที่คุณจะไม่ทันนึกเช่นกัน” ว่าไป ชิงหลงก็เหลือบมองเซินหมิงเฟิ่งอีกครั้ง “ดังนั้นไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องคิดมากไปหรอก”

   โจเซได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจที่บรรยากาศตึงเครียดเบาบางลง แต่แล้ว เสียงริงโทนของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นท่ามกลางความสงบนั้น ชายหนุ่มยกขึ้นมาคุยไม่กี่คำก่อนจะตัดสายไป

   “น่าเสียดายนะที่ฉันอยู่ต่อไม่ได้ เซซิลิโอโทรมาบอกว่าสืบเรื่องระเบิดได้แล้ว ฉันคงต้องกลับไปจัดการเสียหน่อย” เขากล่าวก่อนเดินเข้ามาวางมือลงบนบ่าเซินหมิงเฟิ่ง “เรื่องเที่ยวเอาไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ ตอนนี้เวลาว่างของผมโดยเจ้ามือระเบิกขโมยไปเสียแล้ว” เจ้าตัวหัวเราะก่อนเดินออกไปแล้วโบกมือลาทั้งสองคน แต่บอกให้การ์ดทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าชิงหลงจะออกจากโรงพยาบาลได้

   เซินหมิงเฟิ่งละสายตาจากประตูกลับมาที่เตียงอีกครั้ง

   “ดูเหมือนเราสองคนต้องติดอยู่ที่อิตาลีอีกสักพัก”

   “ติดอยู่ที่อิตาลี?” ชิงหลงแปลกใจกับสำนวนนั้นนิดหน่อย เพราะสำหรับเขาแล้ว เขาไม่ไดอยู่ในสภาวะที่ต้องใข้คำนั้นเลย

   “ก็หมอบอกว่าแก้วหูผมทนแรงดันที่เปลี่ยนไปไม่ได้ ก็เลยขึ้นเครื่องบินไม่ได้ คุณก็น่าจะเหมือนกันไม่ใช่หรือ?” เซินหมิงเฟิ่งเท้าคางอย่างเบื่อหน่าย ความจริงเขากำลังคิดว่าถ้าชิงหลงดีขึ้นแล้วแต่ไม่ถึงกับออกจากโรงพยาบาลได้ เขาอาจจะสามารถหาเที่ยวบินแอบกลับฮ่องกงได้ก่อนอีกฝ่ายจะรู้ตัว แต่เมื่อหมอแจ้งผลตรวจร่างกาย เขาก็หมดสิ้นหนทางอีกครั้งหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกแปลกใจตัวเอง ที่รู้สึกเป็นห่วงชิงหลงมากกว่าเรื่องที่อยากจะกลับบ้านไปเสียแล้ว นานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้คิดหาทางหนีเลยสักครั้ง

   “ก็เป็นเรื่องปกติ ผมไม่เห็นว่าน่าแปลกใจตรงไหน” ชิงหลงพอจะรู้เรื่องแบบนี้มาบ้างแม้ว่าเขาจะเพิ่งเคยโดนระเบิดจะ ๆ เอาครั้งนี้ครั้งแรกก็ตาม

   “ให้ตายสิ คุณนี่ไม่มีอารมณ์เหมือนมนุษย์ปุถุชนบ้างหรือยังไงนะ” เซินหมิงเฟิ่งบ่นอุบแล้ววางคางลงบนเตียง เขาเองก็อยากจะนอนพักเหมือนกัน แต่หมอบอกให้เขากลับบ้านนี่สิ

   “คุณอยากให้ผมแสดงอารมณ์แบบไหนกันล่ะ?”

   “อย่างน้อยคุณก็น่าจะแสดงความตกใจหน่อย คุณเพิ่งโดนระเบิดมานะครับไม่ใช่เดินตกบันได” ยิ่งพูดเซินหมิงเฟิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกมาเฟียรู้สึกช้ากับสิ่งอันตรายจริง ๆ ทั้งที่เขายังกลัวไม่หาย คนที่โดนหนักกว่ากับเจ้าของรถกลับสีหน้าสบายใจเฉิบ ไม่รู้ร้อนหนาวสักนิด นี่ตอนที่เขาต้องรับตำแหน่งต่อจากพ่อ เขาจะต้องเป็นคนหน้าตายไร้ความรู้สึกแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?

   คิดถึงพ่อ...อารมณ์ของเขาก็หดหู่ขึ้นมาทันที

   ทั้งที่เขาพยายามจะไม่คิดเรื่องนี้ และคิดว่าอีกไม่นานชิงหลงคงจะใจอ่อนเลิกเอาความกับพ่อของเขา แต่เขาก็อดจะรู้สึกอึดอัดในอกไม่ได้

   ในขณะที่เขากำลังพยายามกลืนความรู้สึกในด้านลบเหล่านั้น ฝ่ามือข้างหนึ่งก็วางลงเหนือศีรษะอย่างแผ่วเบา ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ และได้เห็นชิงหลงกำลังทอดสายตามองไปยังหน้าต่างด้วยสีหน้านิ่งสนิท แต่มือของฝ่ายนั้นยังลูบอยู่บนเรือนผม

   รอยยิ้มค่อย ๆ แย้มออกบนริมฝีปากของเซินหมิงเฟิ่ง

   เขาเพิ่งรู้ว่าอีกฝ่ายทำแบบนี้ก็เป็นด้วย จะว่าไป ตอนอยู่กับลูกของการ์ดคนนั้น ชิงหลงก็ค่อนข้างจะอ่อนโยนมากทีเดียว ทั้งที่เป็นคนเข้ากับเด็กได้ดี แต่กลับยังไม่เคยมีลูกหรือแต่งงาน เพราะบุคลิกชิงหลงบ่งบอกว่าเจ้าตัวสนใจงานมากกว่าความรักกระมัง

   เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ หลับตาลง และโดยไม่รู้ตัว เขาก็ดิ่งลงสู่ห้วงนิทรา

--------------------->

   รถคันหรูจอดลงหน้าภัตตาคารแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่เดียวกับที่เธอเคยมาคราวที่แล้ว ซากุระเดินลงจากรถก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอด ครั้งนี้เพราะเธอมาคนเดียวหรือยังไงนะ จึงรู้สึกเหมือนกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับบางสิ่งที่ตนเองไม่รู้จัก ทั้งที่คน ๆ นั้น เธอก็รู้จักดี และเคยสนทนาด้วยมาแล้ว บางที...คงจะเพราะครั้งนี้ เขาจะไม่ได้มาเพื่อเจอเธอในฐานะมิตรเสียกระมัง ถึงแม้ตัวซากุระจะเคยเจอสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหน้าผู้อื่นหลายครั้ง แต่ไม่เคยต้องเจอกับคนอื่นในรูปแบบนี้มาก่อน

   ซากุระสลัดความหวั่นใจทิ้งไป ก่อนก้าวเท้าเข้าประตูบานสูง

   บริกรนำเธอมาที่โต๊ะเดิม ซึ่งเห็นบรรยากาศเดิม ๆ แบบเดียวกับที่เคยเห็นเมื่อไม่นานมานี้

   หลางเมี่ยวเจินนั่งรออยู่ด้วยท่าทีสบาย ๆ ไม่ได้แสดงความกดดันอะไรอย่างที่เธอกลัวในตอนแรก กลับกัน เหมือนเขาจะวางตัวให้ดูเป็นมิตรเสียด้วยซ้ำ

   “เชิญนั่งสิครับ” หลางเมี่ยวเจินผายมือไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

   “ขอบคุณนะคะ ที่สละเวลา” ซากุระกล่าวขณะนั่งลง

   “ไม่เป็นไร เสี่ยวอินเล่าให้ผมฟังแล้ว คุณมินาโมโตะเองก็ลำบากมาไม่ใช่น้อยเลยนะครับ” รอยยิ้มและคำพูดของชายหนุ่มดูไม่ถือสาหาความ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ซากุระจึงรู้สึกเหมือนตนเองถูกเหน็บแนมอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่น่าแปลกนักหรอก หากมีคนมาหลอกลวงน้องสาวตัวเอง เป็นใครก็ต้องรู้สึกอคติกับคน ๆ นั้นอยู่แล้ว ตอนนี้เธอคงเหมือนคนตลบแตลงในสายตาอีกฝ่ายไปเรียบร้อย

   “ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่ได้ลำบากอะไรเลย คุณเมี่ยวอินเองก็ดีกับฉันมาก”

   หลางเมี่ยวเจินฟังแล้วยิ้มบาง

   “ผมน่ะไม่ถือสาเรื่องแบบนั้นหรอก”

   “เอ๋?” ซากุระกระพริบตางง ๆ หลางเมี่ยวเจินจึงว่าต่อ

   “คุณกำลังกังวลว่าผมจะมองว่าคุณเป็นพวกสองหน้าอยู่ไม่ใช่หรือ? ถึงคุณจะไม่พูดออกมาแต่สีหน้าคุณก็บ่งบอกอยู่ เวลาปกติคุณก็ดูยากอยู่หรอก แต่ตอนที่รู้สึกผิดแบบนี้คุณกลับมองออกง่ายมาก ผมคงประเมินคุณสูงเกินไปเพราะผมคิดว่าคุณจะมาหาผมด้วยตัวตนในแบบที่ผมเคยได้พบตอนงานหมั้นครั้งนั้นเสียอีก” ชายหนุ่มทำเสียงผิดหวังอย่างไม่ปิดบัง “อย่าหาว่าผมปากเสียเลยนะ แต่คุณในเวลานี้น่ะ ผมไม่รู้ว่าควรจะให้ข้อมูลเพื่อร่วมมือกับคุณอย่างที่เสี่ยวอินว่าหรือเปล่า”

   “ถ้าแม้แต่คุณยังให้ความร่วมมือกับฉัน มันคงไม่ใช่เรื่องความเป็นเพื่อนอย่างที่คุณเมี่ยวอินเคยบอกแล้วใช่ไหมคะ”

   หลางเมี่ยวเจินฟังคำพูดนั้นก่อนจะยิ้มออกมา

   “คุณในแบบนี้สิที่ผมต้องการ”

   ซากุระชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะคิดทบทวนตัวเอง

   จริงสินะ ตั้งแต่ถูกหลางเมี่ยวอินเรียกไปพบ เธอก็นึกหวาดกลัวอยู่ตลอด ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ถอยอีกแล้วแต่เอาเข้าจริง ใจของเธอกลับไม่ยอมเดินหน้าไปด้วย หากเป็นตัวเธอก่อนหน้านี้ คงจะเดินเข้ามาหาหลางเมี่ยวเจินด้วยท่าทางมั่นใจและไม่ยอมถูกต่อว่าเอาแบบนี้แน่

   “ขอโทษด้วยนะคะที่ฉันเสียหลักไปชั่วครู่ และต้องขอบคุณที่ช่วยเตือนด้วย” หญิงสาวยิ้มบาง “ถ้าอย่างนั้นช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมคะ ว่าคุณจะได้ประโยชน์อะไรจากการร่วมมือกับฉัน”

   หลางเมี่ยวเจินยกมือขึ้นมาประสานบนโต๊ะแล้วกลอกตาเหมือนกำลังเรียบเรียงคำพูดอยู่

   “คุณกำลังพยายามช่วยเซินหมิงเฟิ่งถูกไหม?”

   ซากุระพนักหน้ารับ

   “ในตอนแรก พวกเราทุกคนต่างคิดว่าบางทีจูเชว่อาจจะเจอปัญหาใหญ่ และเซินหมิงเฟิ่งอาจจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะอธิบาย” หลางเมี่ยวเจินเหมือนจะไม่อยากพูดคำที่เหมือนแช่งสักเท่าไหร่จึงเลี่ยงเสีย “เอาเป็นว่า ไม่มีใครคิดอยากจะยุ่งเกี่ยว เพราะพวกเราไม่คิดจะข้องเกี่ยวกันมากเกินไปอยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นจูเชว่กลับใช้คุณซึ่งเป็นไพ่ใบที่ไม่มีใครคาดถึง นั่นแปลว่าทั้งเขาและคุณ หรืออย่างน้อยก็ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องมั่นใจว่าตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งอยู่ที่ไหนและยังมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน”

   “จะว่าแบบนั้นก็ไม่ผิดค่ะ” ซากุระเลือกที่จะตอบให้สั้นเข้าไว้ อีกฝ่ายจะได้เดาความคิดเธอไม่ออก เพราะในความเป็นจริงแล้วเธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้เซินหมิงเฟิ่งอยู่ที่ไหนหรือเป็นอย่างไร และเซินจงก็ไม่เคยปริปากบอก ในตอนแรกเธอจึงคิดว่าทุกอย่างที่ทำนี้เพื่อสืบหาตัวเซินหมิงเฟิ่ง แต่เมื่อหลางเมี่ยวเจินพูดออกมาเช่นนี้ เธอคงต้องคิดทบทวนใหม่ว่าทุกก้าวเดินของเธอทำไปเพื่ออะไร หากเซินจงรู้ทุกอย่างอยู่แก่ใจ

   น่าแปลก...เธอกลับไม่รู้สึกโกรธเซินจงทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเล่าความไม่หมด

   “ถ้าเซินหมิงเฟิ่งยังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง แต่ไม่สามารถปรากฏตัวกลับมาที่บ้านได้ แปลว่าต้องการความช่วยเหลือ”

   ซากุระเหมือนจะคาดเดาได้เลา ๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 10-07-2012 21:09:13
   “คุณคิดว่าการมีส่วนช่วยเหลือจูเชว่ในอนาคต จะให้ผลประโยชน์กับเสวียนอู่ได้แค่ไหน” หลางเมี่ยวเจินทิ้งท้ายไว้แค่นั้น และเฝ้ารอคำตอบจากคู่สนทนา

   “น่าแปลกนะคะที่คุณคิดเรื่องนี้ ทั้งที่ตัวคุณเองไม่ใช่คนที่จะสืบทอดตำแหน่งนั้น” สายตาของซากุระมองตรงไปยังฝั่งตรงข้าม ก่อนจะเปลี่ยนไปมองบริกรที่ยกไวน์เข้ามา และเธอก็วางท่าเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องผ่อนคลายสบาย ๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติต่อหน้าคนนอก

   จนกระทั่งบริกรจากไปแล้ว หลางเมี่ยวเจินจึงถามต่อ

   “ทำไมคุณถึงคิดแบบนั้น” เขาหัวเราะ “ผมเป็นทายาทในนามอยู่นะครับ”

   “เรื่องนั้นฉันคงเถียงคุณไม่ได้ แต่ว่าก็น่าแปลกนะคะ ที่ตอนนี้คนที่มีส่วนร่วมกับกิจการของตระกูลหลางกลับเป็นคุณเมี่ยวอินมากกว่าคุณหลางเสียอีก ล่าสุดนี้มีการประชุมบอร์ดบริหาร ก็เป็นคุณเมี่ยวอินที่ไปแทนเสวียนอู่ไม่ใช่คุณที่เป็นทายาทในนาม แม้แต่เวลานี้ หลาย ๆ คนก็เริ่มพูดกันออกมาแล้วว่าคนที่เป็นทายาทตัวจริงคือหลางเมี่ยวอิน ถึงจะยังเป็นเรื่องลับ ๆ ที่พูดกันข้างหลังก็ตามทีเถอะค่ะ” ถึงจะเป็นเรื่องน่าแปลกที่ซากุระรู้ลึกถึงขนาดนั้น แต่หลางเมี่ยวเจินกลับไม่นึกแปลกใจ เพราะบางทีหลางเมี่ยวอินอาจจะบ่นให้หญิงสาวฟังเรื่องงาน หรือไม่อย่างนั้น มินาโมโตะ โชโก ก็มีความคุ้นเคยกับคนในวงการธุรกิจอยู่ไม่น้อย ไม่น่าแปลกหากซากุระจะใช้เส้นสายของพ่อเพื่อทำประโยชน์ให้ตัวเองบ้าง ยิ่งตอนนี้เธอเข้ามาบริหารแทนพ่อชั่วคราวด้วยแล้ว

   “คุณเองก็รู้มามากเหมือนกันนะครับ แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวอินก็เป็นผู้หญิง แม่ของผมยังไม่เคยได้ตำแหน่งทายาทเลยจนกระทั่งจากไป ตำแหน่งนั้นสืบจากคุณตามาหาผมโดยตรง ไม่ได้ผ่านตามขั้นตอนปกติและมาหาผมเมื่อแม่ของผมเสีย” หลางเมี่ยวเจินกล่าวพลางยิ้ม เสมือนกำลังท้าทายซากุระไปในตัว เพราะอย่างที่รู้กันว่าถึงฮ่องกงจะมีความเป็นสากลมากกว่าแผ่นดินใหญ่ แต่วัฒนธรรมประเพณีบางอย่างก็ยังฝังรากลึกเกินกว่าจะถอนออกไปได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งการให้ผู้ชายเป็นผู้นำก็เป็นหนึ่งในรากที่หยั่งลึกเหล่านั้น

   “ฉันอาจจะไม่รู้เรื่องในวงการแบบนี้เหมือนคุณหรือคุณเมี่ยวอิน แต่ว่าโลกในสมัยนี้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว และพวกคุณทั้งสองคนก็แสดงออกค่อนข้างชัดเจนว่าไม่ได้สนใจประเพณีแต่โบราณเลยแม้แต่น้อย เห็นได้จากที่คุณเมี่ยวอินสามารถทำงานได้ในตำแหน่งที่ทัดเทียมกับผู้ชาย” ซากุระเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อจิบไวน์กลั้วคอหลังจากพูดไปเสียยาว “จริงอยู่ว่าตั้งแต่เริ่มแรกมา พวกคุณอาจไม่เคยสืบตำแหน่งโดยผู้หญิงเลย แต่นั่นก็เป็นเพราะคนจีนนิยมมีลูกจำนวนมากมาตั้งแต่สมัยก่อน ดังนั้นจึงมีโอกาสน้อยที่จะไม่มีผู้ชายเกิดในบ้านแม้แต่คนเดียว แต่ว่าในตอนนี้มีแค่พวกคุณสองคน ถ้าไม่ใช่คุณก็ต้องเป็นคุณเมี่ยวอิน”

   “ก็จริง...คุณเองก็คงเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่เหมือนกันถึงพูดเรื่องแบบนี้ได้โดยไม่มีอคติ” เสียงของหลางเมี่ยวอินเหมือนจะเป็นคำชมมากกว่าแค่เปรยขึ้นมาเฉย ๆ

   “ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ...ฉันไม่อาจทราบได้เลยว่าทำไมคุณถึงเลือกจะละทิ้งตำแหน่งนี้ไป ถึงจะเป็นความต้องการของคุณเอง แต่คนรอบข้างก็คงไม่ยอมง่าย ๆ คุณใช้วิธีไหนกันคะ?” คำถามของซากุระค่อนข้างจะตอบยากสำหรับหลางเมี่ยวเจิน กระนั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองจะต้องถูกถามจึงไม่ตกใจอะไร

   “ผมจะเริ่มจากตรงไหนดีนะ” หลางเมี่ยวเจินขยับปลายนิ้วเคาะบนฝ่ามือตนเอง “คุณเป็นผู้หญิงคงจะเข้าใจสินะครับ การแลกตัวผู้หญิงกับผลประโยชน์น่ะ เสี่ยวอินเองก็มีแนวโน้มว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน เพราะเป็นหลานสาวคนเดียวของเสวียนอู่ และพ่อของผมก็เป็นคนธรรมดาที่ไม่เกี่ยวข้องกับโลกทางนี้เลย กระทั่งนักธุรกิจก็ยังไม่ใช่ เสี่ยวอินจึงถูกจับจ้องในฐานะสินค้ามาโดยตลอด”

   ซากุระทำความเข้าใจกับเรื่องนั้นได้ไม่ยากนัก เพราะเธอเองก็เป็นแบบนั้นเช่นกัน เป็นผู้หญิงที่ถูกขายแลกกับผลประโยชน์ของพ่อ

   “แต่ว่าทั้งผมทั้งเสี่ยวอินไม่ได้ยินยอมไปตามแผนของคนรอบข้าง เสี่ยวอินต้องการพิสูจน์ว่าตัวเองเป็นได้มากกว่าสินค้า ส่วนผมต้องการมีชีวิตของตัวเอง” ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ “ในตอนนั้นทุกคนต่างคิดว่าหลางเมี่ยวอินโชคดีที่มีคนในตำแหน่งผู้นำอายุใกล้เคียงกันให้เลือกหลายคน ชิงหลงกับไป๋หู่ต่างก็อยู่ในวัยที่เหมาะสม แล้วยังมีเซินหมิงเฟิ่งที่เป็นทายาทสายตรงคนเดียวของจูเชว่อีก แน่นอนว่าพวกเขาหมายมั่นปั้นมือจะยกหลางเมี่ยวอินให้เป็นภรรยาของหนึ่งในสามคนนี้ ลองเสวียนอู่ยกหลานสาวให้ ใครล่ะจะไม่กล้ารับ ถึงจะเป็นสามคนนั้นก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ แต่ต่อมาก็มีข่าวว่าจูเชว่ต้องการดองกับนักธุรกิจต่างชาติ ทำให้ตัวเลือกหายไปหนึ่งคน เมื่อเหลือแค่สองก็เป็นตัวเลือกที่ง่ายขึ้น เพราะไป๋หู่คงจะยอมเล่นกับเกมของเราง่ายกว่า”

   เกม?

   ซากุระเลิกคิ้ว

   “ยังไงก็ตาม เสวียนอู่จะต้องมีทายาทสายตรง ดังนั้นผมจึงลงมือก่อนเพื่อไม่ให้พวกเขามีทางเลือกอื่นนอกจากเสี่ยวอิน อีกอย่าง ผมก็ไม่ได้มีปัญหากับรสนิยมเรื่องเพศอยู่แล้วด้วย ถ้าเพื่อเป็นอิสระจากคนบ้าอำนาจพวกนั้นผมทำได้ทุกอย่าง แล้วไป๋หู่ก็ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย ถึงตอนนี้คุณคงจะเดาได้นะครับ”

   ซากุระหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อหลางเมี่ยวเจินเล่าจบ จริงอยู่ว่าเธอไม่ได้นึกรังเกียจความรักต่อเพศเดียวกัน แต่มาพูดตรง ๆ อย่างนี้เธอก็อดจะอายแทนไม่ได้ และตอนนึ้ความสงสัยทั้งหมดก็คลายออกแล้วว่าทำไมจึงมีคนพบเห็นไป๋หู่กับหลางเมี่ยวเจินในท่าทางที่ใกล้ชิดกันเกินจำเป็น

   “ทั้งหมดนั่นคือคำอธิบายสินะคะ”

   “จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิด” หลางเมี่ยวเจินยิ้มขณะที่บริกรยกอาหารมาเสิร์ฟ เขาสะบัดผ้าคลุมครั้งหนึ่งก่อนวางลงบนหน้าตัก

   ซากุระประมวลทุกอย่างในสมองพลางก้มลงมองอาหารที่มาวางตรงหน้า

   “คุณหลางคะ”

   “ครับ?” หลางเมี่ยวเจินเงยหน้าขึ้นแล้วขานรับ

   “ที่คุณเล่ามา จริงอยู่ว่าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเซินเลย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากคุณอยู่ดี แต่ฉันจำเป็นต้องเล่าบางอย่างให้คุณฟัง คุณช่วยรับปากได้ไหมคะว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปไม่ว่ากับใคร” ซากุระกล่าวพลางก้มศีรษะเหมือนกำลังขอร้อง

   หลางเมี่ยวเจินอดขำไม่ได้

   “ผมเล่าเรื่องของผมให้คุณฟังหมดแล้ว นั่นยังไม่ใช่หลักประกันที่ดีพอหรือ?”

   “ยิ่งกว่าพออีกค่ะ” ซากุระยิ้มจาง ถึงจะไม่มั่นใจนัก แต่เธอก็ไม่อาจหาทางไปต่อที่ดีกว่านี้ได้ มีแต่คนตรงหน้านี้เท่านั้นที่นำเธอไปหาไป๋หู่ได้ไวที่สุด “ในตอนนี้คุณเซินอยู่ที่ไหนฉันเองก็ไม่ทราบ แต่จูเชว่มั่นใจมากว่าไป๋หู่จะต้องรู้และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ใครก็ตามที่มีคุณเซินอยู่ในมือ ยอมปล่อยคุณเซินให้เป็นอิสระได้ ดังนั้นฉันจึงจำเป็นที่จะต้องไปให้ถึงตัวไป๋หู่มากพอที่จะพูดเรื่องนี้กับเขาได้ค่ะ”

   “แปลว่าคุณต้องการให้ผมพูดกับไป๋หู่ให้หรือครับ?”

   ซากุระชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า

   “ไม่ถึงกับต้องคุยให้ก็ได้ แค่พาฉันไปหาเขาก็พอ”

   หลางเมี่ยวเจินเคาะปลายช้อนกับจาน แม้จะเป็นกริยาที่ไม่ดีนักแต่เขาก็ติดที่จะทำมันตอนที่กำลังใช้สมองและมีอะไรบางอย่างอยู่ในมือ

   “คุณรู้ใช่หรือเปล่าว่าไป๋หู่เป็นคนยังไง ถึงอย่างนั้นคุณก็ยังยืนยันจะเผชิญหน้ากับเขาตามลำพังหรือ?” เขาถามเพื่อยืนยันความตั้งใจของซากุระ

   “หากว่านั่นเป็นทางเดียวที่ฉันทำได้ ฉันก็จะทำค่ะ”

   หลางเมี่ยวเจินเลิกคิ้วน้อย ๆ ซากุระเป็นคนเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดไว้ จะว่าไป หากไม่ใช่คนเข้มแข็งอย่างนี้ จูเชว่คงใช้คนเสียเปล่า ต้องบอกว่าโชคดีสินะ ที่จูเชว่ได้มินาโมโตะ ซากุระเป็นลูกสะใภ้ แต่คงจะเป็นโชคร้ายของซากุระที่ต้องหลงเข้ามาในวังวนนี้ที่หาความจริงใจไม่ได้

   “ช่วยไม่ได้ ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น” ชายหนุ่มตอบ “แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ผมคงรับผิดชอบให้คุณไม่ได้หรอกนะ คุณซากุระ” แต่ก็จงใจขู่สำทับเผื่อว่าจะเปลี่ยนใจ

   “ขอบคุณสำหรับความกรุณา แต่ฉันไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ซากุระยิ้มรับ

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะโทรติดต่อคุณอีกทีก็แล้วกัน” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตั้งใจแน่วแน่ขนาดนั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะขัดความตั้งใจไปทำไม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้แล้วว่าทำไมหลางเมี่ยวอินจึงได้ถูกใจผู้หญิงคนนี้ ทั้งที่มีผู้หญิงหลายคนอยากจะเข้ามาเป็นเพื่อนใกล้ชิดสนิทสนม แต่คนเหล่านั้นต้องการแต่สิ่งที่หลางเมี่ยวอินมีจึงตีหน้าซื่อเข้าหา ส่วนซากุระกลับเป็นคนซื่อตรงเสียจนน่าสงสาร แต่กระนั้นก็ยังมีความเข้มแข็งและเฉลียวฉลาดอย่างน่านับถือ คนแบบนี้หากไม่ยึดเอาไว้ข้างกายก็โง่เต็มที จูเชว่ตาถึงจริง ๆ ...

------------------------>

   หลังจากพบกับหลางเมี่ยวเจินแล้ว ซากุระก็กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย แต่บ้านของเธอนั้นว่างเปล่าไม่มีใครแม้สักคนรอต้อนรับอยู่ มีก็แต่การ์ดกับคนดูแลบ้านที่เธอไม่ค่อยได้สนทนาด้วยนักเพราะพวกเขาพูดได้แต่ภาษาจีน ส่วนเธอก็พูดยังไม่ชัดนักทำให้อีกฝ่ายฟังไม่ค่อยออกเนื่องจากไม่ค่อยได้ใกล้ชิดกับคนต่างชาติจนชินสำเนียงที่แปร่งแปลกไปจากที่พูดคุยปกติ

   ซากุระตรงดิ่งขึ้นไปที่ห้องนอนซึ่งถูกจัดไว้อย่างเรียบร้อยเหมือนเคย และพบว่าเครื่องปรับอากาศในห้องถูกเปิดรอเอาไว้แล้ว

   กระเป๋าถูกโยนไปบนเตียงขณะที่หญิงสาวพยายามสลัดถุงน่องออกจากขาและถอดเสื้อผ้าเพื่ออาบน้ำเตรียมนอน

   สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้สร้างความหนักใจและโล่งใจไปพร้อม ๆ กัน

   โล่งใจที่ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น และหลางเมี่ยวเจินไม่ได้ต่อต้านเธออย่างที่คิด

   หนักใจที่ก้าวต่อไปของเธอจะยากยิ่งกว่าเก่า เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงไป๋หู่ เป็นหัวหน้าองค์กรที่ครอบครองแนวตะวันตกของเกาะฮ่องกงทั้งหมด จนถึงตอนนี้ซากุระยังไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลานั้นตัวเองจะมีอะไรไปต่อรองกับอีกฝ่ายได้บ้าง

   ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเรื่องของอนาคต...

   ซากุระเริ่มเรียนรู้ได้บ้างว่าการกังวลถึงอนาคตมากเกินไปมีแต่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อตนเอง จริงอยู่ว่าการวางแผนเป็นเรื่องสำคัญ แต่การปล่อยให้มันมากดดันการใช้ชีวิตในทุกวินาทีกลับยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ลง อย่างเช่นในวันนี้ หากเธอไม่ตั้งสติแล้ว คงจะไม่ได้อะไรจากปากของหลางเมี่ยวเจินเป็นแน่ และฝ่ายนั้นก็ดูจะจงใจทดสอบเธอเสียด้วย ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าไป๋หู่จะต้องยิ่งกว่านี้

   หญิงสาวปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านลำตัวลงไปรวมกันบนพื้น ชะล้างเอาความเหนื่อยล้าและความกังวลทั้งหมดออกไปจากจิตใจ

   เสียงเอี๊ยดดังขึ้นหลังจากบิดฝักบัวปิดจนสุด

   ซากุระดึงผ้าขนหนูมาซับน้ำจนแห้งดีแล้วจึงพันตัวออกมา ชุดนอนสบาย ๆ กรุ่นกลิ่นน้ำยาอบผ้าช่วยให้ปรอดโปร่งขึ้นมาก

   เมื่อแต่งตัวเรียบร้อย ซากุระจึงยกกระเป๋าถือไปเก็บในตู้ โยนเสื้อผ้าชุดเก่าลงในตะกร้ามุมห้อง และทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนุ่มที่ทำให้รู้สึกสบายแผ่นหลัง

   สายตาซากุระกลอกขึ้นมองเพดาน และปล่อยให้สติเลื่อนลอยไป

   ในหัวของเธอมีภาพหลายอย่างปรากฏอยู่ ทั้งคนมากมายที่เธอได้พบตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ การปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านั้นช่างดูไม่เหมือนกับตัวเองคนเก่าเลย บางทีที่คนเขาว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อจิตใจคงเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไปและเธอใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากเท่าไหร่ ก็เหมือนว่าบางสิ่งในตัวเธอกำลังเปลี่ยนไปมากเท่านั้น ทั้งความเยือกเย็นที่มากขึ้น การคิดล่วงหน้าและวางบทบาทตัวเองไว้มากมาย การเริ่มใช้ประโยชน์จากสิ่งรอบตัว ทั้งอำนาจของพ่อและความเป็นผู้หญิงของตัวเอง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้เลยแท้ ๆ

   ซากุระเลื่อนสายตาลงมาเรื่อย ๆ จนถึงโต๊ะที่วางข้างเตียง บนนั้นมีรูปถ่ายในงานหมั้นอยู่ซึ่งพ่อของเธอสั่งให้ใส่กรอบมาวางไว้ เพื่อตอกย้ำเธออยู่เสมอแม้ในยามหลับหรือยามตื่นว่าตัวเธอถูกขายให้เป็นสมบัติของจูเชว่แล้ว ในตอนแรกเธอไม่ชอบมันเลยสักนิด...แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนถึงก้าวเดินของเธอเอง การที่เธอช่วยเซินหมิงเฟิ่งได้ ก็คือการที่เธอได้ช่วยตัวเองด้วย

   ดังนั้นไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ คุณเซิน....เพราะฉันจะพาคุณกลับมาให้ได้

TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 10-07-2012 21:24:29
ตอนนี้ยังกลับจากอิตาลี่กันไม่ได้ หุหุ
อยู่กัยต่อไปนะทั้งสองคน ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ตัวเลข ที่ 10-07-2012 22:54:27
คุณเซิงซากุระกำลังหาทางช่วยอยู่นะ อยาลืมนะว่ายังมีคู้หมั้นที่แสนรออยู่นะ 
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sosi ที่ 10-07-2012 23:00:25
 :เฮ้อ:
ดีจังที่ชินหลงไม่เป็นไรมาก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 10-07-2012 23:54:12
โอเค ซึ้ง อยู่กันยาว ๆ นะ อิตาลี่

ชอบจริงอะไรจริง บรรยากาศของทั้งคู่เริ่มมีลางให้จิ้นหนัก ๆ ซะแล้ววว
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 11-07-2012 17:36:39

โชคดีที่ทั้ง 2 คนไม่ได้เป็นไรมาก  ซากุระนี่เข้มแข็งจัง
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 22-07-2012 10:51:43
รอตอนต่อไปนะ  :mc4:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-07-2012 20:42:07
-24-


   ช่อดอกไม้เรียงรายอยู่หน้าร้านค้า ณ จัตุรัสซานมาร์โค บางช่อก็มีหลากหลายสีสัน บางช่อก็เป็นดอกไม้ชนิดเดียวและประดับด้วยใบสีเขียวสดสวย หญิงสาวเจ้าของร้านกำลังจัดช่อใหม่ที่เหมือนจะมีคนโทรมาสั่งพลางฮัมเพลงอย่างมีความสุข เธอหยิบดอกไม้ชนิดินั้นดอกหนึ่ง ชนิดนี้สองดอก มาจัดรวมกันเสมือนแค่หยิบนั่นหยิบนี่มั่วไปเรื่อย แต่น่าแปลกที่มันผสมผสานได้อย่างลงตัวจนออกมาเป็นช่อดอกไม้ขนาดพอดีมือในห่อกระดาษแก้วและริบบิ้นสีสดใส เธอประพรมน้ำลงบนช่อดอกและใบก่อนจะวางลงบนโต๊ะ

   เซินหมิงเฟิ่งยืนละล้าละลังอยู่หน้าร้านโดยไม่ได้เรียกหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของให้หันมาสนใจ เพราะเขาเกรงว่าเธออาจจะไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ แต่คิดอีกที นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของเวนิส คนที่ขายของแถวนี้คงพูดภาษาสากลได้หมด

   “อ๊ะ สวัสดีค่ะ” แต่แล้วเธอกลับหันมาเห็นเขาเสียก่อน หญิงสาวยิ้มกว้างจนเขารู้สึกเหมือนเห็นกลีบดอกไม้บานออกตรงหน้า “จะรับดอกอะไรดีคะ? งานแต่งงานหรือเปล่า?”

   “ไม่ใช่หรอกครับ” เซินหมิงเฟิ่งโบกไม้โบกมือ เจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้เก่งกว่าที่เขาคิด ตอนแรกเขาเกือบจะหันไปสะกิดการ์ดที่มาด้วยกันให้ตอบแทนแล้ว

   “อุ๊ย แหม....” อยู่ ๆ เธอก็อุทานออกมาเหมือนคิดอะไรได้แล้วหัวเราะคิกคักอย่างไม่มีเหตุผล “สีชมพูกับขาวก็ดีนะคะ ผู้หญิงส่วนใหญ่จะชอบน่ะค่ะ”

   เซินหมิงเฟิ่งเกือบสำลักน้ำลายตัวเองเมื่อได้ยินประโยคท้าย

   “คือ....ผมจะไปเยี่ยมคนป่วยน่ะครับ” เขากระแอมก่อนจะบอกเป้าหมายที่แท้จริงก่อนอีกฝ่ายจะไพล่คิดเป็นอื่นไปอีก และนั่นทำให้หญิงสาวเจ้าของร้านทำหน้าตกใจนิดหน่อยกอนจะหัวเราะเขิน ๆ แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังดูสดใสเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอยู่ในทุ่งอยู่ดี ยิ่งมีแต่ดอกไม้รายล้อมอย่างนี้ด้วยแล้ว ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนสวยแต่รอยยิ้มของเธอคงเรียกลูกค้าได้มากกว่าหน้าตาเสียอีก

   “คนป่วยเป็นญาติหรือคะ?” เธอเอ่ยถามพลางมองดอกไม้ช่อต่าง ๆ ที่ยืนหยัดประชัดสีสันกันอยู่หน้าร้าน

   “เปล่าครับ......เพื่อนน่ะครับ” เซินหมิงเฟิ่งไม่แน่ใจว่าตนเองจะเรียกชิงหลงแบบนี้ได้หรือไม่ แต่หากบอกว่า ‘คนที่ลักพาตัวผมมา’ เกรงอีกฝ่ายจะคิดว่ากำลังถ่ายทำละครมากกว่า หรือไม่เจ้าตัวก็อาจจะมองหากล้องจากรายการตลกแอบถ่ายสักรายการหนึ่ง

   “เพื่อนชายหรือหญิงคะ?” หญิงสาวเริ่มมองดูดอกไม้ในถังที่จัดดอกไม้แยกกันเป็นกลุ่ม ๆ

   “ชายครับ”

   เจ้าของร้านพึมพำกับตัวเองอยู่สักพักพลางมองดอกไม้รอบตัวแล้วพยักหน้ากับตนเอง

   “ถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วคงต้องเป็นแบบเคร่งขรึมหน่อย เอาเป็นกระเช้าไหมคะ? ถ้าจัดเป็นดอกปักษาสวรรค์สองสามดอก กับใบไม้ปักบนโอเอซิสจะดูสวยแบบเป็นทางการเหมาะกับผู้ป่วยชายที่เป็นผู้ใหญ่แล้วน่ะค่ะ” เธอว่าพลางยกดอกปักษาสวรรค์สีส้มขึ้นมาให้ดู ซึ่งความจริงเซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าชื่อของมันออกจะไม่เข้ากับชิงหลงนิดหน่อย มันคงเข้ากับพ่อของเขาเสียมากกว่า เสียดายที่ในโลกนี้ไม่มีดอกไม้ชื่อมังกรสวรรค์ เพราะเขาคงเลือกมันอย่างไม่ลังเล หรือเขาควรจะซื้อแก้วมังกรไปให้ดีนะ....

   จะว่าไป เขาก็คลับคล้ายคลับคราว่าจะเคยได้ยินชื่อดอกไม้เกี่ยวกับมังกรอยู่....

   เอ....มังกร....อะไรนะ...

   เซินหมิงเฟิ่งนึกแล้วมองไปรอบ ๆ พยายามเค้นสิ่งที่อยู่ในสมองออกมา

   “เอ่อ....ผมขอเวลาคิดสักครู่นะครับ” เขาเกรงว่าเจ้าของร้านจะรอนานจึงหันกลับไปบอกแล้วเดินออกมาห่างจากร้านเล็กน้อยเพื่อหลีกให้คนอื่นเข้าไปติดต่อซื้อดอกไม้

   จะว่าไปแล้วดอกไม้ชนิดนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นต้นจริง ๆ เลยสักครั้ง แค่เคยได้ยินผ่านหูบ้างเท่านั้น แต่ชื่อของมันก็สะดุดหูอยู่พอควรเพราะเกี่ยวกับมังกร เขาลืมชื่อมันไปเพราะไม่ได้คิดถึงมาเป็นเวลานานแล้วและไม่คิดว่าอยู่ ๆ จะคิดถึงมันขึ้นมาอีก จะว่าไปแล้วเขาจะต้องเก็บมาคิดมากทำไมนะ แค่ดอกไม้เยี่ยมผู้ป่วยเท่านั้นเอง ความจริงจะใช้ดอกอะไรก็ได้ขอแค่ไม่ใช่ดอกที่มีความหมายในแง่ลบก็พอ

   เขาไม่เห็นจำเป็นต้องจริงจังกับเรื่องเล็กน้อยอย่างนี้เลย...

   เซินหมิงเฟิ่งตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่ร้านเดิมซึ่งเจ้าของร้านกำลังยิ้มแฉ่งรอคำตอบอยู่แล้ว

   “เอ่อ....ขอเป็นดอกไม้ปักแจกันธรรมดาแล้วกันครับ” เขาว่าด้วยท่าทางขัดเขินไม่เคยชิน “ดอกกุหลาบหรือทานตะวันก็ได้”

   “ทานตะวันก็ดีนะคะ ดูสดใสตลอดเวลา” หญิงสาวหัวเราะและไม่ได้ว่าอะไรก่อนเดินไปจัดดอกทานตะวันใส่ห่อกระดาษแล้วนำมายื่นให้ บอดี้การ์ดที่มากับเซินหมิงเฟิ่งหยิบเงินจ่ายอย่างว่าง่ายแล้วกล่าวขอบคุณก่อนจะพาเซินหมิงเฟิ่งเดินกลับไปที่รถแล้วขับต่อไปยังโรงพยาบาล

   เซินหมิงเฟิ่งมองห่อดอกไม้สิ้นคิดในอ้อมกอดของตัวเองพลางถอนหายใจ

   หวังว่าคนเจ้าระเบียบอย่างชิงหลงจะไม่บ่นขึ้นมาเรื่องนี้นะ เพราะหากเป็นชิงหลง คงจะเลือกดอกไม้อย่างพิถีพิถันตามกาลเทศะ ไม่คิดง่าย ๆ สักดอกแล้วเอามาปักแจกันแบบนี้แน่ ส่วนเขามันก็แค่ผู้ชายธรรมดาที่ไม่ได้มีความละเอียดอะไรกับชีวิตขนาดนั้น แค่ซื้อดอกไม้ไปเยี่ยมไข้คนที่ลักพาตัวตัวเองมาก็ดีถมเถไปแล้ว แต่พูดในอีกแง่...ชิงหลงก็ช่วยชีวิตเขาไว้เหมือนกัน ซึ่งแปลว่าความเอาใจใส่ของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายอาจจะน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับบุญคุณที่ทำเอาไว้และหักลบกับสิ่งไม่ดีไปแล้ว

   รถยนต์ส่วนตัวมาจอดส่งเอาไว้ที่หน้าโรงพยาบาล จากนั้นการ์ดอีกกลุ่มก็เดินลงมารับตัวเซินหมิงเฟิ่งขึ้นห้องพักไป

   ช่างทำงานกันเป็นระบบระเบียบดีจริง ๆ ...

   บรรยากาศในโรงพยาบาลยังฉุนกลิ่นยาฆ่าเชื้อเป็นกิจวัตร เรื่องนี้ไม่ว่าโรงพยาบาลใดก็คงจะเหมือน ๆ กัน

   เซินหมิงเฟิ่งเดินผ่านกรอบประตูเข้าไปในห้องพักพิเศษซึ่งชิงหลงพักอยู่ก่อนส่งดอกไม้ให้การ์ดนำไปใส่แจกันและมองผ่านม่านกั้นเตียงเข้าไปเห็นเงาคนเอนหลังอ่านหนังสือเงียบ ๆ เขารู้สึกทั้งโล่งใจและอึดอัดใจที่เห็นอีกฝ่ายตื่นอยู่ ไม่ได้กำลังหลับอย่างที่คาดไว้

   “ทานตะวัน?” ชิงหลงเห็นดอกไม้ที่การ์ดใส่แจกันมาวางข้างเตียงก็เลิกคิ้วพลางมองคนที่เดินเข้ามาหา

   “ไม่ชอบหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งว่าแล้วมองไปยังดอกทานตะวันที่เพิ่งโดนประพรมน้ำมาใหม่อีกรอบ ตอนนี้บนกลีบดอกจึงมีหยดน้ำใสส่องประกายสะท้อนกับแสงแดดจากภายนอกหน้าต่าง

   “ก็เปล่า ผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับดอกไม้หรอก” ชายหนุ่มโคลงศีรษะเล็กน้อยแล้วขยับขึ้นนั่งตัวตรง “แต่ถ้าผมเป็นผู้หญิงคงจะดีใจกับมันไม่น้อย”

   หา?

   เซินหมิงเฟิ่งมุ่นคิ้ว

   “ปกติผู้ชายซื้อดอกไม้ให้ผู้หญิง พวกเธอก็ต้องดีใจอยู่แล้ว”

   “สำหรับบางชนิดจะดีใจเป็นพิเศษ” ชิงหลงเหน็บรอยยิ้มที่มุมปากคล้ายจะสนุกนิด ๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายสงสัยกระวนกระวายใจได้

   ช่างเป็นผู้ชายที่อ่อนเดียงสาเหลือเกิน...

   “ผมว่าคุณบอกมาตรง ๆ เลยดีกว่า อมพะนำแบบนี้เดี๋ยวผมจะหัวแตกตายเสียก่อน” เซินหมิงเฟิ่งหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้แล้วกอดอก

   “ก็ได้....” บางครั้งความอดทนอันน้อยนิดของเซินหมิงเฟิ่งก็ทำให้เขารู้สึกหมดสนุกไปเล็กน้อยเหมือนกัน “ดอกทานตะวันหมายถึงความรักที่มั่นคง”

   ความรัก...ที่มั่นคง....

   เซินหมิงเฟิ่งกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะนึกขึ้นมาได้

   แบบนี้ไม่เท่ากับว่าเขาบอกรักชิงหลงหรอกหรือ!?

   “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ!” เซินหมิงเฟิ่งลุกพรวดขึ้นมาตะโกนจนการ์ดสะดุ้งกันเป็นแถว และเมื่อรู้ตัวว่าตัวเองทำเสียงดังเกินไปจึงค่อยลดเสียงลง “ผมก็แค่เห็นว่ามันสดใสดีเท่านั้นเอง”

   “ใช่ ผมรู้” ชิงหลงตอบรับเสียงเรียบแล้วกางหนังสืออ่านต่อเหมือนว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นสิ่งที่เขาคาดคิดอยู่แล้วถึงได้พูดออกมา ซึ่งความจริงแล้วมันก็เป็นแบบนั้น เซินหมิงเฟิ่งที่รู้ตัวว่าโดนแกล้งเข้าให้จึงพ่นลมหายใจออกมาโดยแรงด้วยความหงุดหงิด ทำไมบางทีผู้ชายหน้าตายคนนี้ถึงได้กวนประสาทนักนะ ทั้งที่ปกติก็ทำตัวเย็นชาไม่มีความเห็นอกเห็นใจคนอื่นแท้ ๆ

   “ความจริงผมคิดจะเอาอีกดอกมาฝาก แต่ผมดันคิดชื่อไม่ออกเสียนี่”

   ชิงหลงเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอยู่เงียบ ๆ

   “ก็...เป็นดอกไม้ที่มีชื่อเกี่ยวกับมังกร แต่ว่าผมไม่เคยเห็นต้นจริง ๆ เคยเห็นแต่รูปถ่ายของตัวดอกเท่านั้นเอง” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจกับความจำตัวเองที่มีพื้นที่เก็บแสนจะเล็ก “เป็นดอกไม้ที่มีกลีบงุ้ม ๆ แล้วก็มีลูกกลม ๆ อยู่ข้างในที่สามารถบานออกมาเป็นเกสรได้”

   “ดอกมังกรคาบแก้ว?”

   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินชื่อก็นึกออกทันที

   “ใช่แล้ว! ดอกมังกรคาบแก้วนี่เอง ถึงว่าชื่อสะดุดหูอยู่”

   “ความจริงที่บ้านผมก็มีปลูก มันไม่น่าจะเอามาทำเป็นช่อดอกไม้ได้หรอกเพราะเป็นไม้รอเลื้อยแล้วดอกก็ขนาดเล็ก ไม่มีกลิ่นหอม มีดีก็ที่ดอกสวยแล้วก็อดทนดีเท่านั้นเอง” ชิงหลงอธิบายไปก็เปิดพลิกหน้าหนังสือไป เขายังจำได้ว่ามันเป็นไม้ที่รกขนาดไหน คนสวนที่บ้านต้องคอยตัดแต่งทรงอยู่เสมอ แต่เพราะดอกสวยและชื่อมีความหมายดีพ่อของเขาถึงได้ชอบและไม่ยอมให้ทิ้งตายอย่างเด็ดขาด

   “ไม้รอเลื้อย?” เซินหมิงเฟิ่งได้ยินคำแปลกหูก็เลิกคิ้ว ทำไมมันต้องรอเลื้อย จะเลื้อยก็ไม่เลื้อย...

   “ก็ประเภทไม้พุ่มกึ่งไม้เถา ถ้าไม่มีอะไรให้ยึดก็โตแตกกิ่งก้านแนวตั้งขึ้นมาเป็นพุ่มได้ แต่ถ้ามีอะไรให้เลื้อยก็เลื้อยไปได้”

   เรื่องของต้นไม้ดอกไม้ยังรู้ดีขนาดนี้เชียว....

   เซินหมิงเฟิ่งมองชิงหลงด้วยสายตาแปลกใจระคนนับถือ เพราะโดยปกติเขาไม่ค่อยจะได้เจอผู้ชายที่รู้เรื่องต้นไม้ดอกไม้สักเท่าไหร่ เว้นแต่ว่าคน ๆ นั้นจะมีงานอดิเกรเกี่ยวกับของเหล่านี้ หรือที่บ้านทำการค้าพืชพรรณไม้ประดับจึงจะรู้ดีเพื่อให้คำแนะนำได้

   “บางทีคุณก็ทำผมอึ้งนะ”

   “อะไรหรือ?”

   “คุณรู้เยอะเกินไปล่ะมั้ง” เซินหมิงเฟิ่งว่าตามตรง “กระทั่งเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ”

   “ผมก็คิดแบบนั้น” ชิงหลงไม่ปฏิเสธ เพราะเขาเองก็คิดว่าตัวเองรู้เยอะเกินไปเหมือนกัน แต่ทำอย่างไรได้ เขามีงานอดิเกรคือการอ่านหนังสือ แถมอ่านได้เกือบทุกประเภทเสียด้วย ทำให้ข้อมูลที่บรรจุอยู่ในสมองมีมากมายแม้มันจะไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ตาม

   เซินหมิงเฟิ่งทอดสายตามองดอกทานตะวันที่เหมือนจะพร้อมใจกันเบ่งบานทักทายแสงสว่าง อย่างน้อยมันก็ทำให้ห้องนี้ดูสว่างไสวขึ้น และชิงหลงก็ไม่ได้รังเกียจที่มีมันอยู่ในห้อง เขาคิดว่าดีแล้วที่ไม่เอาดอกกุหลาบมา เพราะดอกกุหลาบถึงจะสวยและมีกลิ่นหอม แต่ก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกสดชื่นสว่างไสวแบบนี้ กลับกัน มันให้ความรู้สึกนุ่มละมุนเสียมากกว่า ซึ่งคงจะโดนความเยือกเย็นของชิงหลงกลบเสียหมด บางทีที่วันนี้ชิงหลงพูดกับเขามากผิดปกติอาจจะเป้นเรพาะเจ้าดอกไม้แห่งดวงอาทิตย์ดอกนี้ก็ได้

   “คุณจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่”

   ชิงหลงเลิกคิ้วกับคำถามของผม ที่เหมือนจะถามลอย ๆ ไปทางดอกทานตะวันมากกว่า

   “ความจริงหมอบอกผมว่าอีก 2-3 วันก็ออกได้ แค่ให้อยู่ดูอาการนิดหน่อย” เขาว่าแล้วทำหน้าเบื่อออกมาเล็กน้อย “ไม่รู้ว่าควรจะขอบคุณโจเซดีหรือเปล่า”

   ฟังจากคำพูดชิงหลงแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็พอจะเดาออกว่าโจเซคงสั่งให้หมอดูแลชิงหลงอย่างดีที่สุดและกักตัวไว้ในโรงพยาบาลให้แน่ใจก่อน แต่สำหรับชิงหลงที่พึงพอใจกับสถานที่ส่วนตัวคงไม่ชื่นชอบห้องที่เดี๋ยวก็มีพยาบาลเดินเข้าเดินออกแบบนี้แน่

   “ความจริงแล้ววันนี้หมอก็นัดผมมาตรวจร่างกายเหมือนกัน แต่อีกสักพักถึงจะถึงเวลา” เซินหมิงเฟิ่งยกนาฬิกาข้อมือดู ซึ่งทำให้ชิงหลงแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสวมนาฬิกาข้อมือทั้งที่เขาไม่เคยซื้อให้และไม่ใช่สิ่งที่ได้ติดตัวมาในตอนแรก ซ้ำยังเป็นของมีราคาเสียด้วย

   “โจเซให้มาหรือ?” ชิงหลงไม่ได้เสียเวลาเดาเลยสักนิด

   “คุณรู้ด้วยหรือครับ? เขาเอามาให้เมื่อวานแล้วก็รีบร้อนกลับไป” บางครั้งเซินหมิงเฟิ่งก็พยายามจะทำตัวให้ชินกับความช่างสังเกตและการวิเคราะห์อย่างรวดเร็วจนนำไปสู่ข้อสันนิษฐานที่ถูกต้องของชิงหลง ซึ่งระยะหลัง ๆ นี้เขาเริ่มจะสับสนว่าควรแปลกใจหรือเฉย ๆ กับมันดี

   “คงจะเป็นของแทนทำขอโทษ สำหรับโจเซก็ไม่ได้เรื่องแปลก” ซึ่งท่าทีของชิงหลงเวลาที่ทายถูกมันดูน่าหมั่นไส้ชอบกล เหมือนกับว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่เจ้าตัวไม่รู้ แต่เมื่อคิดอีกที เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างจะมีอคติกับบุคลิกของชิงหลงมากเกินไป เป็นปกติที่ไม่ว่าใครที่พบเจอคนที่ฉลาดหรือรู้ดีกว่าตัวเองมักจะรู้สึกกับคน ๆ นั้นในแง่ลบเพราะความรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยกว่า ซึ่งหากคิดให้ดีแล้ว ชิงหลงก็แค่พูดสิ่งที่ตัวเองรู้หรือคาดเดาออกมา แล้วมันบังเอิญถูกต้องเท่านั้นเอง

   “ความจริงตอนแรกผมก็ไม่ได้อยากรับหรอกครับ แต่ว่าคุณโจเซเล่นยัดใส่มือแล้วกลับไปทันทีแบบนั้น” เซินหมิงเฟิ่งมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นโจเซไม่ได้เป็นคนผิดเสียทีเดียว เรียกว่าเป็นผู้เสียหายด้วยซ้ำ แต่เมื่อเขาจำต้องรับไว้แล้วและคิดว่าไม่ใช่ของไร้ประโยชน์จึงสวมใส่เพื่อรักษาน้ำใจ

   “ก็สมกับโจเซดีแล้ว” ชิงหลงพูดด้วยเสียงเรียบแต่เหมือนจะแฝงแววแดกดันอยู่นิดหน่อย คงเพราะสมัยก่อนโดยโจเซบังคับยัดนั่นยัดนี่ให้มาเยอะกระมัง

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเบา ๆ

   สองคนนี้ก็สนิทกันดีแท้ ๆ เขารู้สึกอิจฉาคนที่มีพี่น้องอยู่ใกล้ตัวขึ้นมานิดหน่อย แต่ถึงจะพูดแบบนั้นชิงหลงเองก็เป็นลูกโทนเหมือนกัน จะได้เจอโจเซก็เมื่อมาอิตาลีเท่านั้น ไม่รู้ว่าชิงหลงจะสนทกับญาติ ๆ ที่ฮ่องกงแบบนี้หรือเปล่า หรือว่าจะมีแต่คนเกรงกลัวอำนาจของเจ้าตัวกันนะ

   บ้านของเขาเอง สมัยเด็ก ๆ ก็จำได้ว่ามีญาติมาหาบ้างเป็นบางโอกาสอย่างในวันสำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นกลับไม่มีใครอยากจะเข้ามาเล่นกับเขาเลยแม้แต่คนเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อของเขา ทุกคนจะทำราวกับว่าเป็นกระต่ายที่อยู่ต่อหน้าราชสีห์ ต่างก็ก้มหน้า ฝืนยิ้ม พูดจาไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ และแสดงความเกรงอกเกรงใจออกมามากจนผิดปกติ

   บรรยากาศแบบนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเป็นครอบครัวกันเลย

   “อ๊ะ ผมจะหาหมอก่อนล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมเบี้ยวนัดแล้วบ่นเอา” เซินหมิงเฟิ่งมองนาฬิกาอีกครั้งแล้วลุกขึ้น “ว่าแต่คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า?”

   “ไม่เป็นไร อาหารโรงพยาบาลรสชาติก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่”

   เซินหมิงเฟิ่งกลอกตา ท่าทางชิงหลงจะเป็นคนจำพวกที่เรียกว่าลิ้นจระเข้ ถึงบอกว่าอาหารโรงพยาบาลรสชาติไม่ได้แย่ได้

----------------------->

   ชิงหลงที่ถูกทิ้งไว้ในห้องอีกครั้งมองดอกทานตะวันที่ประดับอยู่บนโต๊ะพลางผลิยิ้มออกมาเล็กน้อย ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะถึงขนาดซื้อดอกไม้มาประดับให้ด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าจะเป็นกระเช้าผลไม้หรืออะไรที่ง่ายกว่านั้นเสียอีก ถึงแม้ดอกทานตะวันจะไม่ได้เหนือความคาดหมายมากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าแปลกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับปฏิกิริยาในช่วงหลัง ๆ ที่เซินหมิงเฟิ่งดูจะยอมญาติดีกับเขาโดยไม่แสดงท่าทีเหมือนกำลังระแวดระวังตลอดเวลาเหมือนลูกแมวเปลี่ยนที่อยู่อีก

   มันคงจะง่ายขึ้นสำหรับเขาหลังจากนี้ หากว่าไป๋หู่ไม่สามารถกระทำตามแผนการของตัวเองได้สำเร็จ และเขาเองก็ไม่ได้ข่าวการเคลื่อนไหวของไป๋หู่เลยไม่ว่าจากสายข่าวส่วนตัวที่อยู่ฮ่องกงหรือกระทั่งข่าวทั่ว ๆ ไปที่เขาให้คนทางบ้านช่วยติดตามแทนเป็นระยะ ๆ

   จะว่าน่าเป็นห่วงก็คงได้กระมัง...

   ไป๋หู่เป็นคนที่ทำอะไรดูไม่จริงจังก็จริง แต่แท้จริงแล้วก็เหมือนเสือซ่อนเล็บ แค่ซุ่มรอในพงหญ้าและเฝ้ารอเหยื่อไม่รู้ความเดินผ่านมา

   ตอนนี้ซากุระก็คงไม่ต่างกับเหยื่อที่กำลังเดินไปสู่เส้นทางที่เสือตัวนั้นอยู่ ตัวเขาเองไม่รู้จักซากุระดีนัก จึงไม่อาจประเมินความสามารถของหญิงสาวได้ แต่เท่าที่ได้ยินคำร่ำลือก็มีแต่บอกว่าเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียว กระนั้นการเล่นเกมกับพวกเขา เพียงแค่ความฉลาดไม่เพียงพอ เรียกได้ว่าน้อยเกินไปเสียด้วยซ้ำ เพราะในหมู่พวกเขาแค่เพียงความฉลาดก็ไม่อาจเอาตัวรอดได้เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 23-07-2012 20:43:18
   “ท่านชิงหลง โทรศัพท์จากฮ่องกงครับ”

   ถึงแม้โรงพยาบาลจะไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยพกพาโทรศัพท์มือถือไว้กับตัว แต่ชิงหลงก็เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะที่ไม่อาจห่างจากเครื่องมือสื่อสารได้ จึงต้องให้การ์ดที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่เป็นคนคอยจัดการให้แทน แต่ระยะนี้ไม่มีใครติดต่อมาหาเขาสักเท่าไหร่เพราะงานอื่น ๆ เขาจัดการส่วนของตัวเองไปหมดแล้วทั้งทางนี้และทางฮ่องกง และเขาก็บอกกับคนของทางฮ่องกงแล้วว่าหากไม่มีธุระสำคัญให้เป็นการตัดสินใจของเลขาของเขาที่ทิ้งตัวไว้ดูแลทางนั้น ดังนั้นที่โทรเข้ามานี้คงจะมีเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน

   ชิงหลงยื่นมือไปรับแล้วยกแนบหู

   “ท่านชิงหลงครับ ดูเหมือนเรื่องที่ท่านฝากไว้จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่” เลขาของเขากรอกเสียงมาตามสาย น้ำเสียงของฝ่ายนั้นบ่งบอกว่ากำลังรู้สึกกังวลใจด้วยหลาย ๆ สาเหตุ

   โดยปกติแล้วเลขาของเขาจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดีเพราะรับใช้มาตั้งแต่รุ่นพ่อของเขาเพิ่งดำรงตำแหน่งใหม่ ๆ จึงมีประสบการณ์ต่าง ๆ มากและแทบจะไม่เคยแสดงน้ำเสียงวิตกแบบนี้ออกมาบ่อยนัก ดูเหมือนจะมีบางอย่างรบกวนจิตใจชายวัยกลางคนคนนี้อยู่

   “ว่ามาสิ” ชิงหลงวางหนังสือลงแล้วเอนหลังพิงหมอน

   ทางปลายสายอ้ำอึ้งอยู่ไม่นานก็เริ่มพูด

   “ดูเหมือนคุณมินาโมโตะจะหาทางเข้าหาไป๋หู่ได้แล้วครับ”

   ชิงหลงเลิกคิ้วแปลกใจ ซากุระเป็นฝ่ายเข้าหาก่อนหรือ? ถึงเขาจะคาดการณ์ไว้แล้วว่าจูเช่วจะใช้ประโยชน์จากว่าที่สะใภ้ตัวเองแบบนี้ แต่เขาไม่คิดเลยว่าซากุระจะเคลื่อนไหวถึงตัวไป๋หู่ก่อน นั่นแปลว่าไป๋หู่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยอย่างนั้นหรือ?

   “แล้วทางไป๋หู่ล่ะ?”

   “น่าแปลกมากครับ...” เลขากล่าว “ทางไป๋หู่ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเป็นพิเศษเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่าไม่ได้สนใจเรื่องนี้สักนิด”

   เป็นไปไม่ได้หรอก...

   ชิงหลงรู้ดีว่าไป๋หู่กล่าวโทษจูเชว่เรื่องที่พ่อของตัวเองเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมาโดยตลอด แม้ว่าจูเชว่จะไม่ได้มีผลต่อเรื่องนั้นโดยตรงก็ตาม และเรื่องนี้ไป๋หู่ก็เสนอตัวโดดเข้ามาในเกมของเขาเอง ดังนั้นเจ้าตัวไม่มีทางอยู่เฉยเป็นแน่ เขารู้สึกได้ว่าไป๋หู่กำลังเฝ้ารออยู่

   “แปลว่ามีคนเคลื่อนไหวแทน” เขาพูดกับตัวเองเบา ๆ

   “อะไรนะครับ?”

   “เปล่า ไม่มีอะไร” ชิงหลงคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กับใคร อย่างไรก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปแทรกแซงสิ่งทีไป๋หู่ต้องการจะทำได้อยู่แล้ว และไม่ใช่หน้าที่ของเขาที่จะต้องไปช่วยดูแลความปลอดภัยให้ซากุระ “จับตาดูต่อไป ถ้ามีอะไรคืบหน้าก็ติดต่อมา”

   “ครับ แล้วเอ่อ....”

   “มีอะไรอีกหรือเปล่า?” ชิงหลงแปลกใจที่เลขาของเขายังไม่ตัดสายไป และทำเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุระที่โทรมาตอนแรก

   “ผมได้ข่าวว่าท่านชิงหลงโดนลอบวางระเบิด” เสียงของฝ่ายนั้นดูไม่ค่อยแน่ใจกับข่าวที่ได้รับนัก แต่ก็บ่งบอกว่าร้อนใจพอดูทีเดียว แต่ที่เพิ่งโทรมานี้คงเพราะข่าวเพิ่งไปถึงกระมัง

   “คนที่โดนลอบวางไม่ใช่ผมแต่เป็นโจเซ”

   “ดอนมอเรสซาเรน่ะหรือครับ?”

   “ใช่ แต่คงเป็นโชคของผมเองที่ไปโดนเจ้าจังเบอร์ แต่ผมก็ยังปลอดภัยดี แผลก็เริ่มจะหายแล้ว” ชิงหลงบอกเล่าให้ปลายสายสบายใจ ซึ่งเรื่องนี้หากเลขาของเขารู้แม่ของเขาก็คงรู้แล้วด้วย เขาเองก็ไม่อยากให้ทางนั้นไม่สบายใจจนถึงขั้นบินมาที่อิตาลีทั้งที่ตัวเขาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจากเศษกระจก เศษเหล็ก และแรงระเบิดแบบไม่ได้สร้างอันตรายถึงชีวิต

   “ปลอดภัยดีก็ดีแล้วล่ะครับ ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอตัวก่อน เมื่อมีอะไรคืบหน้าผมจะโทรมารายงานอีกครั้ง” หลังจากว่าจบ เลขาของเขาก็ตัดสายไป

   ชิงหลงโยนโทรศัพท์มือถือคืนให้แก่การ์ดที่เฝ้ารออยู่ แล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน กระนั้นสมาธิของเขาก็ไม่ได้จดจ่อที่หนังสืออย่างที่ควรจะเป็น

   ไป๋หู่กำลังคิดอะไรอยู่กันนะ?

   “ชิงหลง ผมซื้อของมาฝากน่ะ” เซินหมิงเฟิ่งกลับมาพอดี “ผมถามหมอแล้ว เขาบอกว่าคุณไม่ได้ถูกสั่งงดอาหารอะไร ดังนั้นผมก็เลยไปซื้อพาสต้ามาให้”

   ชิงหลงกลอกตา ทั้งที่เขาบอกแล้วว่าไม่ได้อยากจะกินอะไรแท้ ๆ แล้วที่ว่าซื้อมาฝากน่ะ...มันก็เงินเขาอยู่ดี

   “รีบทานก่อนมันจะเย็นดีกว่า ความจริงถ้าแถวนี้มีอาหารจีนก็คงดี แต่มีแต่อาหารอิตาเลียนน่ะสิ” ฟังจากที่พูดแล้วดูเหมือนเซินหมิงเฟิ่งจะซื้อมาเพราะตัวเองหิวมากกว่าจะคิดถึงว่าเขากำลังหิวอยู่หรือไม่ แต่ก็ไม่น่าแปลกที่จะไม่เจออาหารจีน ก็แถวโรงพยาบาลนี้ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแล้วก็ไม่ใช่ไชน่าทาวน์ แค่มีร้านพาสต้าอยู่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรเลยแล้วต้องไปกินอาหารจืดชืดของโรงอาหารโรงพยาบาล

   “แล้วอาการของคุณยังต้องพบหมออยู่หรือเปล่า?” ชิงหลงเอ่ยถามแล้วรับกล่องกระดาษใส่พาสต้ามาถือไว้ในมือพร้อมช้อนส้อมพลาสติก

   “หมอบอกว่าผมปกติดีแล้ว ถ้ามีอาการอะไรค่อยมาอีกที” เซินหมิงเฟิ่งลองโคลงหัวไปมาและพบว่าไม่ได้รู้สึกปวดอะไร และอาการมึนก็หายไปแล้วด้วย

   ชิงหลงพยักหน้าโดยไม่ว่าอะไรต่อแล้วลงมือกินอาหารส่วนของตัวเองเงียบ ๆ

------------------------->

   หลังจากเซินหมิงเฟิ่งอยู่เป็นเพื่อนชิงหลงจนถึงบ่าย โจเซก็แวะมาเยี่ยมเพราะไม่มีธุระสำคัญอะไรในวันนี้พร้อมของฝากติดไม้ติดมือมาเป็นพิธีเพราะเจ้าตัวรู้ว่าชิงหลงไม่ค่อยชอบของฝากที่ดูไร้ประโยชน์แบบตุ๊กตาหรือดอกไม้ช่อโต ๆ เขาเลยซื้อเป็นผลไม้มาเสียเลย

   “สวัสดีครับคุณโจเซ ผมคิดว่าคุณจะไม่ว่างเสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปรับถุงกระดาษใส่ผลไม้มาวางบนโต๊ะแล้วเชิญให้โจเซมานั่งข้างเตียงด้วยกัน

   “ไงเวย์ ได้ยินจากหมอว่าอาการดีวันดีคืน ท่าทางอยากจะออกจากโรงพยาบาลเต็มแก่แล้วล่ะสิ” โจเซพูดกลั้วหัวเราะ หยอกเย้าญาติผู้น้องไปตามประสาคนขี้เล่นก่อนจะนั่งลงแล้วมองดอกทานตะวันบนโต๊ะเล็กก่อนเลิกคิ้ว “ฉันไม่คิดว่านายจะชอบดอกไม้ มีสาวไหนมาเยี่ยมหรือยังไง?”

   “จะสาวไหนล่ะครับ ก็ผมนี่แหละซื้อมา” เซินหมิงเฟิ่งรีบบอกก่อนอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดว่าเป็นของแทนใจของใคร “มันแปลกมากหรือครับ?”

   “ก็ไม่ได้แปลกหรอกนะ” โจเซพูดแล้วขำนิด ๆ “แค่ไม่ได้คิดเอาไว้”

   “เลิกพูดเล่นเถอะ นายตั้งใจจะมารบกวนความสงบของฉันหรือยังไง โจเซ” ชิงหลงวางหนังสือในมือลงแล้วนั่งประสานมือบนตัก หนังสือเล่มเดิมที่อ่านวนมาหลายรอบเริ่มจะมีรอยช้ำบนปกเล็กน้อยตามจำนวนครั้งที่เปิดอ่าน และเขาเองก็อ่านจนจำได้ทั้งเล่มแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ชอบให้มีใครมาพูดคุยกันเสียงดังข้าง ๆ ตัวทั้งที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ดี

   “อย่าพูดจาตัดรอนแบบนั้นสิ นี่ ฉันเอาหนังสือมาให้ใหม่เผื่อนายจะเบื่อ” ชายหนุ่มผมทองยกถุงหนังสือขึ้นมาวางบนเตียง ข้างในบรรจุหนังสืออยู่หลายเล่ม แต่เมื่อเจ้าตัวหยิบออกมาแล้วก็ทำสีหน้าแปลกใจ “อ้าว ฉันจำได้ว่าเอามาอีกเล่มนี่นา สงสัยจะตกในรถตอนที่ฉันหยิบขึ้นมาอ่าน ขอโทษนะคุณมิน คุณจะช่วยผมหน่อยได้หรือเปล่า?” เขาหันไปถามเซินหมิงเฟิ่ง

   “อะไรหรือครับ?”

   “แบบว่าผมลืมของไว้ในรถน่ะ เป็นหนังสือที่มีปกสีฟ้าอมม่วง น่าจะวางที่เบาะหลัง แล้วก็มีของที่ปู่ฝากมาให้คุณกับเวย์ด้วย” โจเซหัวเราะแหะ ๆ “ผมจะให้การ์ดของผมนำทางคุณไป”

   เซินหมิงเฟิ่งเลิกคิ้วสงสัยว่าทำไมโจเซจึงให้เขาไป แต่เมื่อคิดอีกที เจ้าตัวคงมีเรื่องอยากจะคุยกับชิงหลงโดยที่ไม่อยากให้เขาได้ยินกระมัง ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีแบบนี้เพื่อบอกให้บุคคลที่สามออกห่างจากรัศมีของการได้ยินบทสนทนากันทั้งนั้น

   เขารับกุญแจรถจากโจเซแล้วเดินออกไปพร้อมการ์ดร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่เดินตามโจเซมาในตอนแรก
   เมื่อเซินหมิงเฟิ่งออกไปจากห้องแล้ว โจเซก็หันกลับมาที่เตียง

   “เรื่องคนวางระเบิดจัดการเรียบร้อยแล้วสิ” ชิงหลงเดาออกทันทีที่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย

   “ไม่มีปัญหา” โจเซไหวไหล่ “ก็แค่คนที่ขัดผลประโยชน์กับฉันนิดหน่อย ตอนนี้ก็รู้จักทำตัวสงบเรียบร้อยลงแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรอีก” ถึงเจ้าตัวจะพูดไปยิ้มไป แต่ชิงหลงก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วคนต้นคิดเรื่องระเบิดคงไม่ได้สงบเรียบร้อยลงอย่างปากว่าหรอก น่าจะถูกข่มขู่จนไม่กล้าเสนอหน้าให้เห็นอีกในเมืองนี้แล้วกระมัง
   “งั้นก็ดีแล้ว” ชิงหลงว่าเสียงเรียบ เพราะหากโจเซจัดการไม่ได้ เขาก็จะลงมือเองแน่นอน กระนั้นเขาก็ไม่คิดว่าโจเซจะจัดการไม่ได้หรอก กับแค่แมลงตัวเล็ก ๆ ที่น่ารำคาญแบบนั้น

   “แล้วนายจะกลับฮ่องกงเมื่อไหร่ นายมาอยู่ที่นี่นานผิดปกตินะ ท่าทางจะมีอะไรมากกว่ามาทำงานล่ะสิ เรื่องคุณมินน่ะหรือ?” โจเซลองเอ่ยปากถามไปอย่างนั้นโดยไม่ได้คิดว่าจะได้รับคำตอบที่เจาะจง

   “ก็ราว ๆ นั้น แต่ฉันสังหรณ์ว่าอีกไม่นานฉันก็จะได้กลับแล้ว”

   “สังหรณ์” โจเซเลิกคิ้วแล้วหัวเราะ “อย่างนายน่ะไม่ได้เชื่อเรื่องลางสังหรณ์หรอก”

   จริงอย่างที่โจเซว่า ตัวเขาไม่เคยเชื่อสิ่งที่เรียกว่าลางสังหรณ์หรือโชคชะตา และเขาก็ไม่ได้สังหรณ์ แต่เป็นการคาดการณ์อย่างเป็นเหตุเป็นผล

   จูเชว่ไม่มีทางยินยอมให้ลูกชายของตัวเองไปอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขา เพราะหากจูเชว่รุ่นต่อไปมีความสัมพันธ์กับผู้นำคนอื่นในฐานะผู้ตาม และถูกอิทธิพลครอบงำมากเกินไป อนาคตขององค์กรจะไม่มั่นคงและต้องพึ่งพิงผู้อื่นไปเรื่อย ๆ ที่จูเชว่เรียกตัวลูกชายกลับมาก็เพื่อสั่งสอนให้ยืนหยัดในองค์กรได้อย่างเต็มภาคภูมิเมื่อตนเองถึงคราวต้องจากไป แต่จนถึงเวลานี้ เซินหมิงเฟิ่งกลับต้องผูกติดอยู่กับเขา แม้จะเป็นเวลาไม่นานนักแต่ก็ส่งผลต่อจิตใจเซินหมิงเฟิ่งได้หลายส่วนแล้ว คนอย่างจูเชว่ไม่มีทางที่จะมองไม่ออกว่าเขาจะไม่พยายามครอบงำทายาทของตัวเอง ดังนั้นเจ้าตัวจะทำทุกวิถีทางเพื่อพาเซินหมิงเฟิ่งกลับไปในจุดที่ควรจะเป็น

   ส่วนไป๋หู่ ซึ่งเขาแน่ใจว่าต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่นอน และย่อมไม่ปฏิเสธจะเล่นเกมหากจูเชว่เดินหมากมาทางตนเพื่อนำไปสู่สิ่งที่ตนเองต้องการ

   ไม่ว่าเรื่องจะจบลงแบบใด เซินหมิงเฟิ่งก็จะได้กลับไปที่บ้านในเร็ว ๆ นี้ เพียงแต่มันจะเป็นการกลับไปที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย

   ส่วนตัวเขาก็ได้แต่เฝ้าดูจากทางนี้ ว่าลมจะพัดไปทางใด และเขาสมควรจะเปิดกรงเมื่อใด

   “ยังไงก็เถอะ ฉันคงไม่ได้อยู่รบกวนนานหรอก” ชิงหลงตัดบทอย่างง่าย ๆ

   “ให้ตายสิ นายนี่มันเอาตัวรอดเก่งจริง” โจเซหัวเราะในคำอย่างลึกลับ เดาได้ว่าตัวโจเซเองก็จะเดาเรื่องราวได้นิดหน่อยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ตรงเป๊ะเพราะขาดเหตุและผลที่จะเติมเต็มก็ตาม

   เซินหมิงเฟิ่งกลับเข้ามาในห้องพร้อมสิ่งของที่นำมาส่งอย่างครบถ้วน โจเซและชิงหลงจึงไม่ได้สนทนาเรื่องเดิมกันต่อ ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนยกนาฬิกาขึ้นดูเหมือนเป็นพิธีก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

   “จะไปแล้วหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถาม

   “ครับ ขอโทษด้วยนะที่มาได้ครู่เดียว” โจเซขยับเสื้อนอกสวม “แล้วพบกันใหม่คุณมิน เจอกันหลังนายออกจากโรงพยาบาลนะเวย์” หลังจากบอกลาแล้ว โจเซก็ออกจากห้องไป ตอนนี้จึงเหลือแค่ชิงหลงและเซินหมิงเฟิ่งเพียงสองคนอีกครั้ง กับการ์ดที่เฝ้าอยู่หลังผ้าม่านและหน้าประตูอีกอย่างละสองคน

   เซินหมิงเฟิ่งไม่คิดจะถามว่าทั้งสองคุยอะไรกัน เพราะรู้ดีว่าตนเองจะไม่ได้รับคำตอบ ถึงอย่างนั้น...เขาก็ไม่ชอบเอาเสียเลย บรรยากาศในแบบที่เขาไม่รู้อะไรแบบนี้

   มันเหมือนตอนที่เขาถูกพาตัวมาแรก ๆ ไม่มีผิด.....

TBC

(ขออภัยที่หายไปนาน เซียร์วุ่นวายกับงานรับปริญญาอยู่ค่ะ ต้องหางานแล้วสิ ;w;)
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 23 (10/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 23-07-2012 21:07:33
อ๊าาา ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
อยากอ่านมาก อยากรู้ว่าสองคนนี้เค้าจะไปกันได้ถึงไหนกัน
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 23-07-2012 21:21:43
มาแล้ววววววว เย้ ดีใจ :impress2: :-[
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 24-07-2012 09:27:11
โอยยยยย ดีใจสวดยอดดด ทำงานมาเหนื่อย ๆ ได้พักแล้วยังได้อ่านอิก หายเหนื่อยแล้ววว

น่ารักอ่ะ ซื้อดอกไม้ให้ ไรเงี้ย บรรยากาศของทั้งคู่ดีขึ้น ๆ นะ

รอตอนต่อไปคร๊าบบบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 24-07-2012 15:29:14
ขอให้ได้งานดีๆและก็มีเวลามาอัพนิยายนะคะ 555
เหมือนจะหวานนะ อ่านไปก็ยิ้มไป แต่มาขัดๆเพราะอิตาชิงหลงหวังผลเนี่ยแหละ -*-
ที่ชิงหลงทำมันก็ต้องมีผลต่อใจเซินหมิงเฟิ่งอยู่แล้ว แต่ไม่คิดเลยใช่ม่ะว่ามันอาจจะเข้าตัวได้
รอตอนหน้าค่ะ อ่านแล้วไม่อยากให้จบตอนซะที 555
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 24 (23/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 24-07-2012 15:38:38
หมิงน่ารักซื้อดอกทานตะวันมาให้ด้วย   :3123:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-07-2012 18:11:49
-25-


   เพดานห้องสีขาวลอยอยู่ตรงหน้าเมื่อลืมตาตื่นขึ้น หมอนนุ่มรองรับอยู่ใต้ศีรษะโดยมีเส้นผมแผ่สยายอยู่บนนั้น เสียงเครื่องปรับอากาศดังหึ่ง ๆ อยู่ไม่ไกลแต่ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวเกินไปเพราะผ้าห่มผืนหนาที่ห่มคลุมอยู่บนร่างกาย รวมทั้งหมอนข้างใบพอเหมาะกับตุ๊กตาที่วางอยู่ข้างตัว ขนสั้นของตุ๊กตาหมีตัวโตสัมผัสท่อนแขนอย่างแผ่วเบาเมื่อเธอเริ่มขยับ ลูกนัยน์ตากลอกไปมาก่อนแขนและขาและช่วยกันพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นในท่านั่ง สมองยังคงมึนงงอยู่เล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นจากการหลับใหล แต่เพียงไม่นานทุกอย่างก็แจ่มชัด

   หญิงสาวหันตัวไปทางด้านข้าง ตวัดขาลงจากเตียงแล้วหยิบนาฬิกาขึ้นมาดู

   ร่างกายของเธอยังคงปลุกได้ตรงเวลาอย่างเคย...

   เท้าสองข้างสัมผัสพื้นพรมก่อนจะหยัดกายให้ลุกขึ้นยืน แขนสองข้างเหยียดขึ้นด้านบนเพื่อคลายความเมื่อยขบในร่างกาย

   กระจกเงาตั้งอยู่อีกฝั่งของห้อง เป็นกระจกเงาแบบมองเห็นได้ตลอดความสูง ทำให้เธอมองเห็นตัวเองอย่างชัดเจนเมื่อหันไปมอง

   ในวันนี้...เธอควรจะเป็นคนแบบไหน ควรจะมีบุคลิกเช่นไร กระจกบานนี้ช่วยสะท้อนมันออกมาอย่างซื่อตรงทำให้เธอรู้ว่าตนเองควรจะแสดงบทบาทเช่นไรในวันนั้น ๆ

   เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

   “คุณหนูซากุระ อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”

   คนรับใช้จากบ้านตระกูลเซินทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างไร้ที่ติ หญิงสาวขานตอบกลับไปแล้วเดินไปที่หน้าต่างก่อนเปิดม่านออกเพื่อรับแสงยามเช้าที่ส่องเข้ามาในห้อง

   เช้าวันนี้อากาศช่างแจ่มใส ท้องฟ้าเปิดกว้าง เมฆขาวลอยอยู่เพียงประปรายไม่ได้รวมตัวกันหนาแน่นทำให้แสงอาทิตย์ส่องลงมาได้อย่างเต็มที่ และกระทบร่างกายทิ้งเงาสีเข้มทาบลงบนพื้น ซากุระก้มลงมองไปยังข้างล่างซึ่งมีสวนเล็ก ๆ ตั้งอยู่และเลยไปอีกเล็กน้อยก็เป็นรั้วของบ้าน ถัดไปเป็นถนนและรั้วของบ้านอีกหลังหนึ่ง หน้าต่างของบ้านหลังนั้นไม่ได้ปรากฏเงาของใครอยู่ เจ้าของห้องคงจะยังไม่ตื่นกระมัง

   จะว่าไปแล้ว คนที่อยู่ในบ้านหลังนั้นคือใคร เธอก็ยังไม่เคยรู้เลย ทั้งที่อยู่ตรงข้ามกันแค่นี้แท้ ๆ

   ซากุระผละจากหน้าต่าง คว้าผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำ

   หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย เธอก็สวมชั้นใน ชุดยาวตัวบาง และคลุมทับด้วยเสื้อคลุมอาบน้ำก่อนจะหวีผมสักเล็กน้อยแล้วจึงเดินลงไปข้างล่าง เมื่อลงไปถึงตีนบันไดก็หมุนตัวเดินเข้าห้องสำหรับรับประทานอาหาร ซึ่งในวันนี้ก็มีเธออยู่เพียงคนเดียวเหมือนทุก ๆ วัน

   อาหารเช้าแบบง่าย ๆ ถูกยกมาตั้งบนโต๊ะ ประกอบไปด้วยไข่ลวกในถ้วยกาแฟใบเล็ก ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น เบคอน สลัดผัก นมสด และน้ำส้มคั้น

   อาหารเช้าถูกจัดการให้หมดไปอย่างรวดเร็ว

   การไม่มีเพื่อนร่วมโต๊ะ ทำให้เหตุผลที่จะให้เวลากับอาหารลดน้อยลงไป เพราะเหตุนั้นซากุระจึงไม่เคยใช้เวลากับอาหารที่บ้านเลย แค่กินให้อิ่มท้องไปเท่านั้นเอง

   เมื่อหมดธุระกับอาหารเช้า ซากุระก็กลับขึ้นห้องเพื่อไปแต่งตัว

   วันนี้เธอเลือกชุดสีสว่าง เป็นเสื้อสีชมพูอ่อนและเสื้อคลุมแขนยาวกับกระโปรงเข้าชุดสีขาว พร้อมแต่งหน้าโทนสว่างให้ดูสดใสและอ่อนวัย เรือนผมจัดทรงอย่างง่าย ๆ ด้วยการหวีและใช้เครื่องหนีบด้วยความร้อนม้วนให้เป็นโรลอย่างหลวม ๆ

   ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ดูเหมือนว่าเธอจะพร้อมสำหรับการพบบุคคลสำคัญคนนั้นแล้ว

   ซากุระเลือกรองเท้าหุ้มส้นสีขาวออกมาจากตู้เสื้อผ้า และเดินลงมาสวมข้างล่าง

   “วันนี้จะออกไปไหนหรือครับ?” บอดี้การ์ดเดินเข้ามาถามเพราะเมื่อวานนี้ซากุระไม่ได้บอกเลยว่าตนเองมีนัดและเมื่อเช้าก็ไม่ได้บอกให้เตรียมรถไว้

   “ฉันจะออกไปข้างนอกกับเพื่อนน่ะค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ซากุระตอบแล้วยิ้มขอบคุณสำหรับความเอาใจใส่ของอีกฝ่าย

   “ให้จัดทีมการ์ดไหมครับ?”

   “ไม่ต้องหรอกค่ะ วันนี้ฉันไปไม่ไกล ไม่น่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นได้” ความจริงแล้ว ตัวเธอเองก็ยังไม่ได้เป็นคนในบ้านตระกูลเซินเต็มตัว ดังนั้นการที่จะมีใครมาปองร้ายเธอด้วยธุรกิจด้านมืดของตระกูลก็ไม่น่าเป็นไปได้ อีกทั้งทางบริษัทของพ่อก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดจะไปขัดแข้งขาใครได้ การมีบอดี้การ์ดตามติดไปไหนมาไหนตลอดเวลาจึงนับเป็นการกระทำที่ค่อนข้างเกินเหตุ ซากุระจึงไม่ค่อยนิยมจะทำแบบนั้นบ่อยนัก นอกจากเวลาจำเป็นจริง ๆ หรือในสถานที่ที่เธอไม่รู้จักมาก่อน

   “ถ้าอย่างนั้น....”

   ซากุระยกมือปรามเมื่อหัวหน้าทีมการ์ดจะพูดอะไรบางอย่างต่อ

   “ฉันจะออกไปกับหลางเมี่ยวอิน หากมีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน ทางตระกูลหลางต้องเป็นคนรับผิดชอบ ฉันเชื่อว่าเสวียนอู่คงไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแน่นอน ดังนั้นฉันไม่มีอันตรายหรอกค่ะ”

   ได้ยินดังนั้น หัวหน้าการ์ดก็เงียบไป

   “ถ้าอย่างนั้น ดูแลตัวเองด้วยนะครับ” ถึงเขาจะไม่ค่อยมั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัยดังปากว่าหรือเปล่า แต่เมื่อเจ้านายยืนกราน เขาก็ทำอะไรไม่ได้ โดยปกติแล้วหน้าที่ของเขาคือคอยระแวดระวังแทนเจ้านายตลอดเวลา เมื่อเขาไม่ได้เป็นคนพิทักษ์เองจึงเกิดความรู้สึกไม่สบายใจเป็นธรรมดา

   เสียงแตรรถหน้าบ้านแสดงถึงการมาเยือนของแขก

   ซากุระพยักเพยิดให้หัวหน้าการ์ดออกไปเปิดประตูเล็ก เพื่อเธอจะได้เดินออกไปโดยไม่ต้องเปิดประตูใหญ่ให้ยุ่งยาก

   รถของหลางเมี่ยวอินจอดรออยู่ด้านหน้า และเมื่อเห็นคนเดินออกมาจากตัวบ้าน คนขับรถก็หยุดบีบแตรแล้วนั่งรอจนกระทั่งซากุระเดินออกมาถึงประตู จึงลงจากรถแล้วเปิดประตูหลังรอ

   ซากุระเดินออกจากประตู กล่าวฝากให้การ์ดดูแลบ้านตามปกติแล้วจึงเดินมาขึ้นรถ

   “เกือบไปแล้วล่ะค่ะ” เธอกล่าวกับเจ้าของรถเมื่อขึ้นมานั่งเรียบร้อย

   “มีอะไรเกิดขึ้นหรือครับ?” ผู้ที่อยู่บนรถกลับเป็นหลางเมี่ยวเจิน ไม่ใช่หลางเมี่ยวอินอย่างที่ซากุระบอกกับทีมการ์ดไว้

   “ก็การ์ดน่ะสิคะ จะจัดทีมออกมาให้ฉันท่าเดียว ต้องอ้างชื่อคุณเมี่ยวอินไปจนได้” ดูเหมือนซากุระจะรู้สึกไม่ดีนักที่จะต้องโกหกกระทั่งคนที่ทำหน้าที่ปกป้องตัวเอง แต่หากเธอไม่ทำเช่นนั้น สิ่งที่เธอทำมาทั้งหมดก็คงจะไม่ได้มีความหมายอะไรเลย

   หลางเมี่ยวเจินหัวเราะออกมาน้อย ๆ

   “ผมเข้าใจ เวลาผมจะออกไปหาคุณไป๋หู่ พวกการ์ดของผมก็ทำท่าจะเป็นจะตายอยู่เรื่อย ทั้งที่ผมต้องเก็บเป็นความลับให้พวกเขารู้ไม่ได้แท้ ๆ”

   “เพราะอย่างนั้นวันนี้เลยออกมากับคนขับรถสินะคะ แล้วเอารถคุณเมี่ยวอินออกมาแบบนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่า?”

   หลางเมี่ยวเจินส่ายศีรษะ

   “ผมบอกเสี่ยวอินไว้ก่อนแล้ว เรื่องนี้เธอเองก็รู้ดี แล้วผมก็ให้เสี่ยวอินเอารถของผมไปทำงานแทน” แค่เรื่องสลับรถกับใช้ระหว่างพี่น้องไม่ใช่เรื่องแปลกใจสายตาใคร ๆ เพราะเหตุนั้นคนที่บ้านตระกูลหลางจึงไม่มีใครนึกสงสัยว่าหลางเมี่ยวเจินกำลังคิดจะเอารถของน้องสาวไปทำอะไรที่ไหน ความจริงคงเป็นเพราะตอนเด็ก ๆ พวกเขาเคยสลับของใช้กันอยู่บ่อย ๆ กระทั่งเสื้อผ้ายังเคยสลับกันสวมใส่แล้วไปหลอกตาคนอื่นในบ้านว่าเป็นอีกคนหนึ่ง ในตอนนั้นพวกเขาเหมือนกันอย่างกับโขกพิมพ์ แต่พอโตขึ้นก็มีความต่างระหว่างเพศเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้เล่นอะไรแบบนั้นไม่ได้อีก

   “ต้องขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยให้โอกาสกับฉัน” ซากุระกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะกล่าวมาหลายครั้งแล้วก็ตาม

   “ผมเคยบอกไปแล้วนะ ว่าที่ผมทำไม่ใช่เพื่อคุณหรือมิตรภาพ แต่เป็นผลประโยชน์กับตัวผมเอง ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าผมมีบุญคุณหรอก” หลางเมี่ยวเจินว่าพลางหัวเราะก่อนเบือนสายตาออกไปนอกหน้าต่างรถที่กำลังขับเคลื่อนตัวเองไปบนท้องถนน

   “ฉันแน่ใจว่าคุณเซินจะต้องรู้สึกขอบคุณคุณเช่นกัน”

   ชายหนุ่มหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น

   “ผมไม่คิดอย่างนั้นหรอก....” เขากระซิบเบา ๆ

   “อะไรนะคะ?”

   “เปล่า” หลางเมี่ยวเจินหันกลับมายิ้ม “ผมแค่พึมพำไปตามเรื่อง”

----------------------->

   รถแล่นมาจอดที่หน้าคอนโดมิเนียมหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในย่านคนมีอันจะกินในแถบนี้ รอบ ๆ มีอาคารสูงเสียดฟ้าห้อมล้อมมากมายจนรู้สึกเหมือนเป็นสถานที่ซึ่งแบกท้องฟ้าเอาไว้ แต่ในความเป็นจริง ท้องฟ้าก็ยังคงอยู่ไกลออกไปเกินกว่าจะเอื้อมถึง

   “ไป๋หู่ไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือคะ?” ซากุระเอ่ยถามด้วยความสงสัย

   “ปกติแล้วเขาจะอยู่บ้าน แต่ถ้าเขานัดใครเขาจะออกมาพบที่นี่” หลางเมี่ยวเจินไหวไหล่ “ประมาณว่า ที่บ้านคนเยอะเกินไป ทำอะไรประเจิดประเจ้อไม่ได้ ราว ๆ นั้นน่ะครับ”

   ซากุระหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร

   “ที่ว่าเขาเป็นเพลย์บอยตัวเอ้คงไม่ใช่ข่าวลือลอย ๆ สินะคะ”

   “นั่นสินะ ผมเองก็ยังสงสัยอยู่” ชายหนุ่มหัวเราะในคอ “บางทีถ้าคุณโชคดีเจอเลขาของเขา คุณอาจจะรู้คำตอบของคำถามเมื่อครู่นี้ก็ได้”

   “ฉันไม่คิดจะซอกแซกถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ” เธอรีบโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน

   “เอาเถอะ ผมคงจะส่งคุณได้แค่นี้ ที่เหลือคุณจัดการเองก็แล้วกัน” หลางเมี่ยวเจินส่งกระดาษและคีย์การ์ดให้แก่ซากุระก่อนจะให้คนรถขับออกไป หญิงสาวรู้สึกแปลกใจที่อีกฝ่ายดูจะเร่งร้อนจากไปเสียเหลือเกิน กระนั้นเมื่อคิดไปแล้ว บางทีหลางเมี่ยวเจินอาจจะอยู่ในฐานะที่แสดงตัวได้ลำบาก ดังนั้นจึงไม่อยากให้ใครพบเห็นอยู่บริเวณนี้ ไม่อย่างนั้นเรื่องที่จงใจปกปิดไว้อาจจะแดงขึ้นมาได้

   ซากุระเดินเข้าไปแล้วขึ้นลิฟต์ไปตามชั้นที่กระดาษแผ่นนั้นชี้ทาง

   คอนโดมิเนียมที่นี่มีบริเวณกว้างขวางกระทั่งห้องโถงชั้นล่างที่สามารถจุคนจำนวนมากได้อย่างสบาย ลิฟต์แก้วหันหน้าออกไปทางด้านนอก ทำให้เห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจน ทั้งสวนที่ถูกจัดแต่งไว้อย่างร่มรื่น สระน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่ที่มีคนแหวกว่ายกันอย่างสนุกสนาน

   ประตูลิฟต์เปิดและปิดหลายครั้ง มีคนเดินเข้าออกเป็นบางช่วงก่อนที่จะมาถึงชั้นที่เธอต้องการ

   หญิงสาวหันซ้ายขวามองเลขห้องก่อนจะเดินไปทางปีกซ้ายและหยุดยืนที่หน้าประตูบานหนึ่ง มองเลขห้องจนแน่ใจแล้วจึงสแกนคีย์การ์ดกับเครื่องมือด้านหน้า ทันใดนั้น ล็อคของประตูก็เปิดออกเสียงแกร๊ก ซากุระสูดหายใจครั้งหนึ่งก่อนกดมือลงบนมือจับประตู และเปิดเข้าไป

   “เชิญครับ คุณผู้หญิง” เสียงต้อนรับทำให้หญิงสาวสะดุ้งเฮือก และเงยหน้าขึ้นเห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ห่างจากเธอไปเพียงไม่กี่ก้าว

   ซากุระสับสนไปเล็กน้อยว่าตนเองควรเรียกอีกฝ่ายว่าอย่างไรด้วยปกติจะเรียกด้วยตำแหน่ง แต่เมื่อคิดดี ๆ แล้ว เธอเองไม่ใช่คนของอีกโลกหนึ่ง และไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับอีกฝ่านในฐานะมาเฟีย ดังนั้นสำหรับเธอแล้ว ผู้ชายตรงหน้ายังคงเป็นนักธุรกิจธรรมดาเท่านั้น

   “สวัสดีค่ะคุณจาง” เธอกล่าวพลางยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ

   ไป๋หู่ยิ้มบางแล้วหลีกทางให้หญิงสาวเดินเข้ามาในห้อง เขาปิดประตูตามหลังอย่างสุภาพแล้วผายมือเชิญให้แขกไปนั่งที่โซฟากลางห้องนั่งเล่น

   “รับน้ำอะไรไหมครับ?”

   “น้ำเปล่าแล้วกันค่ะ” ซากุระตอบแล้วหันมองรอบตัวในขณะที่ไป๋หู่ไปนำน้ำมาให้ เพียงไม่นานน้ำเปล่าในแก้วใสทรงเรียบ ๆ ก็ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า ซากุระยกขึ้นมาจิบเล็กน้อยให้หายคอแห้งแล้วจึงวางลงไปบนจานรองเช่นเดิม สายตาก็จับจ้องชายหนุ่มที่หย่อนตัวลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

   “หลางเมี่ยวเจินบอกผมว่าคุณมีธุระกับผม” ไป๋หู่เริ่มก่อนเพราะต้องการดูปฏิกิริยาของซากุระ

   หญิงสาวชะงักเล็กน้อยก่อนจะทำสีหน้าที่บอกไม่ถูกว่าอยู่ในอารมณ์แบบใด แต่เพียงไม่นานมันก็กลับไปเป็นสีหน้าที่สงบนิ่งคล้ายคนที่ตัดสินใจตั้งมั่นแล้ว

   “ใช่ค่ะ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องสำคัญด้วย ฉันจึงรู้สึกดีใจที่คุณกรุณาให้ฉันเข้าพบได้ตามลำพัง”

   ไป๋หู่เลิกคิ้วน้อย ๆ

   “คู่หมั้นของว่าที่จูเชว่มีธุระสำคัญกับผม ผมจะปฏิเสธได้ยังไงกัน”

   ซากุระหัวเราะ เธอรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงคำพูดตามมารยาท

   “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะช่วยฉันได้”

   “ก็ขึ้นกับว่ามันเกินความสามารถของผมหรือเปล่า” ไป๋หู่จิบน้ำเล็กน้อยก่อนจะวางลงบนจานรองแก้วแล้วเอนหลังพิงพนักในท่าสบาย ด้วยท่าทางเช่นนี้บ่งบอกซากุระว่าเขาพร้อมจะฟังคำขอของเธอและจะพิจารณาว่าทำให้ได้หรือไม่อย่างทันที

   “ฉันเชื่อว่าไม่มีอะไรเกินความสามารถของคุณไปได้หรอกค่ะ” เธอว่าก่อนจะทิ้งช่วงคำพูดไปแล้วเริ่มอีกครั้งด้วยเสียงที่หนักแน่นขึ้น “ฉันต้องการคู่หมั้นของฉันคืน”

   ไป๋หู่ยังคงนิ่งเงียบหลังจากได้ยินความต้องการของอีกฝ่าย สายตาของเขากลอกไปมาเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว ก่อนที่ริมฝีปากจะปรากฏรอยยิ้มคล้ายเยาะหยันออกมาเพียงเสี้ยววินาทีและเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏอารมณ์ชัดเจนในเวลาต่อมา ปลายนิ้วชายหนุ่มเคาะเบา ๆ บนหลังมือของตนเองราวกับว่าเป็นคำขอที่เข้าใจได้ยากและพิจารณาได้ยากพอกัน

   “คุณพูดเหมือนผมลักพาตัวคุณเซินหมิงเฟิ่งไป” ไป๋หู่หัวเราะออกมา “ความจริงผมก็แค่ได้ข่าวว่าเขาหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่ไม่เคยมีใครบอกผมเลยว่าใครเอาตัวเขาไป”

   ถึงไป๋หู่จะพูดเช่นนั้น แต่ซากุระก็ไม่เชื่อเลยสักนิด

   “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะคะที่คนระดับคุณจะไม่รู้เรื่องนี้เลย” เธอว่า “ทั้งที่หากคุณช่วยเหลือ ทางจูเชว่คงจะรู้สึกเป็นบุญคุณ แต่ว่าในเมื่อคุณยืนกรานว่าคุณไม่รู้เรื่องอะไรเลย ฉันเองก็คงจะคะยั้นคะยอมากไปว่านี้ไม่ได้ แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วเหมือนกัน” ซากุระทำเป็นถอนหายใจอย่างหมดสิ้นหนทาง

   “คุณยอมแลกทุกอย่างเพื่อเอาตัวคู่หมั้นคุณคืนมาหรือเปล่า?”

   คำถามของไป๋หู่คล้ายกำลังลองใจอยู่กลาย ๆ แต่นั่นก็มากพอที่ซากุระจะแน่ใจได้ว่าผู้ชายคนนี้รู้บางอย่างอยู่จริง ๆ

   แต่ว่า...คนอย่างไป๋หู่ไม่มีทางพูดเช่นนี้ลอย ๆ แน่

   เจ้าตัวจะต้องเรียกร้องอะไรบางอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า เธอมั่นใจมากแค่ไหนว่าจะแลกได้

   เซินหมิงเฟิ่งมีความสำคัญมากขนาดนั้นจริง ๆ หรือเปล่า....ตอนนี้มาถึงจุดที่ซากุระต้องถามตัวเองให้แน่ใจอีกครั้ง เพราะเธอไม่เคยรู้จักคน ๆ นั้นดีพอเลย ถึงจะชื่อว่าเป็นคู่หมั้น แต่เหตุผลที่เธอพยายามช่วยคน ๆ นั้นก็เพราะอยากให้จูเชว่สบายใจและได้ลูกชายคืน อีกทั้งยังเป็นผู้ชายที่เธอพึงพอใจจะใช้ชีวิตด้วยมากกว่าคนอื่น ๆ ที่เคยพบเจอ แต่ความสำคัญที่เขามีต่อเธอนั้นมีมากขนาดนั้นจริงหรือ?

   ซากุระเงียบไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 25-07-2012 18:12:30
   ก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าการได้ช่วยเซินหมิงเฟิ่งคือการที่เธอได้เลือกทางให้กับตัวเอง ได้ทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจของตัวเองโดยไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของพ่อ และเมื่อเธอช่วยคน ๆ นั้นสำเร็จ เธอก็จะเป็นอิสระจากผู้เป็นพ่อ จากสายสัมพันธ์จอมปลอมที่ผูกมัดเธอเอาไว้

   แต่ว่า...มันสำคัญมากถึงขนาดที่จะต้องแลกทุกอย่างของตัวเองไปหรือเปล่า...

   การกระทำเช่นนี้จะได้อะไรตอบแทน...

   หากเลิกเสียตอนนี้ เธอก็แค่กลับไปเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่รอคอยว่าพ่อของตนเองจะเลือกผู้ชายคนไหนมาเป็นคู่ชีวิตอีก อาจจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับมาเฟียอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่จะมีสามี มีครอบครัว มีลูกให้กับผู้ชายที่พ่อเลือกให้และอยู่ไปจนแก่เฒ่า

   แต่ชีวิตเช่นนั้นจะมีค่าอะไร? แค่เกิดมาเพื่อเป็นเครื่องมือและตายไปอย่างไร้ค่าน่ะหรือ?

   และหากในวันนี้เธอเลิกล้มไปกลางคัน จะต้องใช้เวลาอีกเท่าใดจึงจะละเลยความรู้สึกผิดในครั้งนี้ได้ ความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้คน ๆ หนึ่งเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง และทุกอย่างที่ทำมาทั้งหมดก็จะกลายเป็นความว่างเปล่าเหมือนกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เธอเองก็เคยพูดกับตนเองอยู่ไม่ใช่หรือ? สิ่งใดที่ไม่กระทำจนถึงที่สุด มันก็ไม่ต่างจากไม่ได้ลงมือกระทำเลย ไม่ว่าจะยากลำบากมาแค่ไหนก็ไม่มีค่าอะไรให้ใครจดจำ การกระทำที่ในที่สุดก็ต้องเลิกล้มไปแบบนั้นเป็นได้แค่ผู้แพ้เท่านั้นเอง

   “ค่ะ”

   ซากุระตอบกลับไปด้วยสายตามุ่งมั่นไม่มีความหวั่นไหว

   ไป๋หู่เห็นดังนั้นจึงเผยอรอยยิ้มออกมาก่อนจะลุกจากโซฟาแล้วเดินทอดน่องสบาย ๆ อ้อมไปด้านหลังหญิงสาวก่อนจะกล่าว

   “แน่ใจแล้วหรือที่รับปากแบบนั้น ผมอาจจะเรียกร้องสิ่งที่คุณให้ไม่ได้ก็ได้”

   “ฉันจะพยายามหามาให้ได้ค่ะ แต่ฉันรู้ว่าคุณเป็นสุภาพบุรุษมากพอที่จะไม่เรียกร้องสิ่งที่เกินกว่าผู้หญิงตัวคนเดียวอย่างฉันจะสามารถมอบให้คุณได้” ซากุระดักทางเอาไว้ก่อนในขณะที่ไป๋หู่เดินเข้ามาประชิดด้านหลังพนักและเกี่ยวลอนผมของเธอด้วยปลายนิ้ว

   ชายหนุ่มโน้มใบหน้าลงสัมผัสปลายจมูกบนเส้นผมอย่างอ่อนโยนและผละออก

   “คุณมีความสัมพันธ์กับจูเชว่แบบไหนคุณน่าจะรู้ดี คำสัญญาของคุณเกี่ยวพันไปถึงทางนั้นด้วยนะอย่าลืมเสียล่ะ” ไป๋หู่กล่าวแล้วเดินอ้อมมาข้างหน้า ก่อนจะเท้าแขนคร่อมซากุระไว้ระหว่างโซฟาและตนเอง กระนั้นสายตาของเธอก็ไม่ได้แสดงความหวั่นไหวออกมา กลับยิ่งแข็งกร้าวและมุ่งมั่นมากขึ้น ทำให้เขายิ่งรู้สึกถูกใจผู้หญิงคนนี้อย่างบอกไม่ถูก ช่างเป็นคนที่หาได้ยากจริง ๆ เสียดายที่จูเชว่ได้เธอไปเสียแล้ว

   “มีแค่ฉันที่ทำการตกลงกับคุณ”

   “ดูเหมือนคุณจะตั้งใจเอาตัวเองมาสังเวยเลยนะคุณหนูมินาโมโตะ” ไป๋หู่ว่าพลางหรี่ตา “คุณมีชีวิตอยู่มาโดยมีคนปกป้องตลอดเวลา คงไม่รู้เลยสินะว่าพาตัวเองเข้ามาในห้องของผู้ชายสองต่อสองแบบนี้จะเป็นยังไง” ว่าแล้ว เขาก็ช้อนแขนอุ้มหญิงสาวขึ้นจากโซฟา ซากุระส่งเสียงตกใจออกมาจากลำคอแค่เล็กน้อยก่อนจะถูกพาตัวเข้าไปในห้องนอนและทิ้งลงบนเตียง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธอไม่ทันได้ตั้งตัวหรือกระทั่งคิดว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอถูกทิ้งลงบนเตียงกว้างและมีไป๋หู่คร่อมอยู่ด้านบน

   เงาดำของชายหนุ่มทอดลงมาบนตัว ซากุระเลื่อนสายตาขึ้นไปและเห็นแววประกายตาราวกับนักล่ากำลังจ้องมองเหยื่ออยู่เหนือศีรษะของตนเอง

   “คุณคิดจะทำอะไรคะ....” ซากุระทำใจแข็งถามกลับไป ทั้งที่ใจก็รู้ดีอยู่แล้วว่าในสถานการณืแบบนี้คงไม่น่าคิดเป็นอื่นไปได้

   “คุณบอกเองไม่ใช่หรือครับ? ว่าจะยอมให้อะไรก็ตามที่ผมต้องการ” ไป๋หู่ว่าพลางไล้หลังมือไปตามโครงหน้าสวยได้รูป

   “ทั้งที่ฉันเป็นคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่น่ะหรือคะ.....”

   ไป๋หู่หัวเราะเสียงลึก

   “คงเพราะคุณเป็นคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่นั่นแหละมันถึงน่าท้าทาย”

   ซากุระสูดลมหายใจเข้าปอด ความกลัวค่อย ๆ จู่โจมเข้ามาในจิตใจอย่างช้า ๆ เมื่อคิดว่าในสถานการณ์แบบนี้เธอไม่อาจตอบโต้อะไรได้เลย ไป๋หู่มีเรี่ยวแรงมากกว่า มีข้อต่อรองที่มีเหตุผลกว่า จะด้วยทางใดก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้เมื่อเธอตกปากรับคำไปแล้ว

   หญิงสาวเม้มปากก่อนจะทิ้งตัวลงนอนคล้ายตัดใจแล้ว

   ไป๋หู่เลิกคิ้ว

   “คุณยอมแพ้ง่ายกว่าที่คิดนะ”

   “ฉันไม่ได้คิดจะยอมแพ้ แต่นี่คือวิธีที่ฉันจะสู้กับคุณ” ซากุระจ้องตาอีกฝ่ายกลับอย่างไร้ความกลัวเกรงแตกต่างจากสีหน้าในวินาทีก่อนโดยสิ้นเชิง

   “มันคุ้มค่าจริง ๆ หรือ? คุณหนูมินาโมโตะ ถึงคุณจะทำเพื่อเขามากเท่าไหร่เขาก็ไม่มีทางรู้ได้หรอกว่าคุณฝ่าฟันอะไรมาบ้าง สิ่งที่เขาจะรู้เมื่อได้กลับมาสู่บ้านของตัวเองก็คือ คู่หมั้นของเขาทรยศด้วยการหลับนอนกับคนอื่นในระหว่างที่ตัวเองไม่อยู่” ไป๋หู่ว่าด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยราวกับไม่ใช่เรื่องที่ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้อง “แล้วคุณจะได้อะไรตอบแทนกันล่ะ? ถูกขับไล่จากตระกูลเซิน ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงสกปรกและไร้ค่า คู่หมั้นของคุณจะหาผู้หญิงคนใหม่ที่คู่ควรกว่า ส่วนคุณก็หมดที่ไปเพราะบ้านเดิมของคุณก็คงไม่ต้องการผู้หญิงที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้เหมือนกัน”

   ซากุระเผลอขบริมฝีปากตนเองจนรู้สึกเจ็บก่อนจะหลับตาตั้งสติ

   “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงไร้ค่า”

   “ผู้หญิงที่มีเกียรติน่ะ ไม่ทอดกายให้ผู้ชายคนอื่นง่าย ๆ ทั้งที่หมั้นหมายแล้วหรอกนะครับ” ไป๋หู่จงใจใช้น้ำเสียงเย้ยหยันกึ่งประชดประชัน

   “สิ่งที่ฉันทำก็เพื่อช่วยคู่หมั้นของตัวเอง ถ้าหากเขามองไม่เห็นสิ่งที่ฉันทำเขาก็คงโง่เกินกว่าจะคู่ควรกับฉันเหมือนกัน” ซากุระตอบกลับด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวไม่ยอมแพ้ “ฉันรู้สิ่งที่ฉันทำ เกียรติของฉันอยู่ตรงไหนฉันคือคนตัดสินไม่ใช่คุณหรือพวกผู้ชายข้างนอกนั่น คนที่ควรจะละอายใจมากกว่าควรจะเป็นคุณที่ใช้เงื่อนไขมาต่อรองเพื่อข่มเหงผู้หญิงไร้ทางสู้”

   ไป๋หู่ชะงัก ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกต่อว่ากลับเอาเช่นนี้ แต่เขาก็หัวเราะออกมาหลังจากชะงักไปไม่กี่วินาที

   “ให้ตายสิ ผมไม่เคยรู้เลยว่าคุณจะปากร้ายขนาดนี้” เขาว่าและผละออกโดยที่ซากุระยังคงงงงวยกับปฏิกิริยาของไป๋หู่ที่ต่างจากที่คาดการณ์ไว้ เหมือนกับว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะทำอะไรเธอตั้งแต่ต้นแล้ว และที่กระทำเมื่อครู่ก็เป็นเพียงการขู่ให้กลัวเท่านั้น

   “คุณจะไม่ทำอะไรฉันหรือคะ?”

   ไป๋หู่กลอกตาเล็กน้อย

   “ความจริงแล้ว ผมค่อนข้างจะนิสัยเสียอยู่นิดหน่อย เรื่องการปราบพยศผู้หญิงน่ะเหมือนงานอดิเรกก็ว่าได้” เจ้าตัวพูดอย่างไม่อายปาก “เพราะอย่างนั้นผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เข้าหาผมมักจะทำตัวน่าท้าทาย แต่คนที่เข้มแข็งแบบคุณผมเพิ่งจะเคยเจอนี่แหละ ถึงทำให้ผมยิ่งสนใจเข้าไปอีก” เขาว่าเช่นนั้นก่อนจะเชยคางมนของหญิงสาวและเลื่อนปลายนิ้วไปตามพวงแก้ม

   ซากุระยิ่งฟังก็ยิ่งสับสน ว่าตกลงเขาต้องการอะไรจากเธอกันแน่

   “แต่ว่าน่าเสียดายนะครับ” ไป๋หู่พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียดจริงจังขึ้นก่อนเหยียดยิ้มลึกลับออกมา “เพราะนอกจากคนในครอบครัวที่มีสายเลือดเดียวกับผมแล้ว คุณคือผู้หญิงคนเดียวในโลกที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด”

   ซากุระมองเข้าไปในดวงตาของอีกฝ่าย แต่เธอก็พบว่าไป๋หู่ปิดบังความคิดตัวเองอย่างมิดชิด มีเพียงคำพูดเมื่อครู่เท่านั้นที่บ่งบอกได้ว่าเขาไม่ทำอันตรายกับเธออย่างแน่นอน

   “ถ้าอย่างนั้น....”

   “ไม่ต้องห่วง ผมคิดค่าตอบแทนไว้แล้ว และผมจะพาเซินหมิงเฟิ่งกลับมาให้คุณได้อย่างแน่นอน” ไป๋หู่ลุกขึ้นจากเตียงก่อนหันมือผายมือให้ซากุระใช้ประคองตัวขึ้น

   “แล้วฉันจะต้องทำอะไรบ้างคะ?” ซากุระเอ่ยถามพลางจัดเสื้อตัวเองที่ยับย่นผิดรูปไปเล็กน้อย และผมเพ้าที่ยุ่งไปจากปกติ

   “เอาอย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ผมจะไปรับคุณที่บ้านตอนสายหน่อย แล้วเราค่อยไปจัดการเรื่องนี้ด้วยกัน ตกลงไหม?” ไป๋หู่พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าตอนแรก ความจริงแล้วเจ้าตัวกำลังใช้น้ำเสียงที่เป็นไปตามมารยาทสากลซึ่งมักใช้เวลาเจรจาธุรกิจหรือพูดกับคนที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา

   ซากุระยังคงสงสัยและไม่ปักใจเชื่อผู้ชายคนนี้โดยง่าย

   “ถ้าอย่างนั้นฝากด้วยนะคะ” แต่ตอนนี้คงต้องยอมเชื่อไปก่อน เพราะไป๋หู่เป็นทางเดียวที่จะช่วยเหลือเธอได้ในตอนนี้

   ไป๋หู่เดินออกไปส่งซากุระ และเมื่อหญิงสาวเดินออกไปแล้วเขาก็เหยียดรอยยิ้มออกมา

   น่าเสียดายนะจูเชว่....ผมจะไม่เดินตามเกมของคุณหรอก....

   ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น ไป๋หู่เดินไปกดรับแล้วยกแนบหู

   “เป็นยังไงบ้างครับ?”

   “ก็เกือบไปเหมือนกัน” ไป๋หู่หัวเราะ “เจอผู้หญิงตรงสเปคแบบนี้ ทรมานใจจริง ๆ ที่แตะต้องไม่ได้” เขาทำเป็นสวมบทผู้ชายป่วยเป็นไข้ใจจนปลายสายนึกหมั่นไส้

   “ถ้าอย่างนั้นผมจะให้คุณนั่งเลียแผลใจไปก่อนก็แล้วกัน”

   “งอนหรือ หลางเมี่ยวเจิน” ไป๋หู่หยอกปนขำ “เอาเถอะ พรุ่งนี้ผมคงจะไปธุระนิดหน่อยคุณไม่ต้องมาหาผมหรอกนะ”

   “ดูเหมือนจะถึงเวลาเสือออกจากถ้ำบ้างแล้วสินะครับ” หลางเมี่ยวเจินพูดอย่างรู้ทัน ความจริงขาก็พอจะเดาทุกอย่างได้แต่ต้นแล้วแต่ไม่คิดจะเอาตัวเองเข้าไปพัวพันเท่านั้นเอง ถึงอย่างนั้นซากุระก็เลือกเข้าทางน้องสาวของเขา ตัวเองจึงตกกระไดพลอยโจนอย่างช่วยไม่ได้

   “ครับ เดี๋ยวก็จบแล้ว” ไป๋หู่พูดอย่างมั่นใจ

   ใช่...แค่ไม่นานก็จบแล้ว....

TBC


เซียร์เปิดเพจไว้ให้ติดตามข่าวสารจองนิยายแล้วนะคะ

http://www.facebook.com/ZiarNovel
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 25-07-2012 20:39:50
อ๊ากกก จะเล่นอะไรกันอีกนะ
รอลุ้นน
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 26-07-2012 02:16:15
ใช่...แค่ไม่นานก็จบแล้ว....
^
รู้สึกเหมือน อิกไม่นานเรื่องนี้ก้จะจบแล้วสินะ ยังไงไม่รู้ 5555

เรามารอ ๆ ลุ้น ๆ กันต่อไป
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 26-07-2012 07:28:38
อดทนอีกหน่อยนะซากุระ อีกไม่นานก็จบแล้ว................ชักกังวลที่ว่าจบแล้วนี่จบแบบไหนหว่า :serius2:
หาคู่ให้ซากุระสักคนเถอะ ชีวิตเธอช่าง  :o12:

รอตอนหน้าค่า  o13
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 26-07-2012 12:18:12
ชิงหลงน่ารักอ่ะ 55555
ชอบดอกทานตะวันใช่มั๊ยล่ะ

ชอบไป่หู๋กับหลางเมี่ยวเจินอ่ะ >___<
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 26-07-2012 14:31:34
ซากุระใกล้จะเจอหมิงแล้ว รึเปล่า?
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 26-07-2012 16:11:13
หลังจากคู่นี้จบจะมีคู่ไป่หู๋กับหลางเมี่ยวเจินรึเปล่าคะ :m13:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 25 (25/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshadow ที่ 27-07-2012 02:29:04




    โฮ่ ลึกลับซับซ้อนเข้าไปทุกที
    เค้าชอบนิสัยกับบุคลิกของคุณซากุระจังเลยอ่า
    แต่ไปน่าต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกะพวกเสือสิงพวกนั้นเลย น่าสงสารจัง



หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-07-2012 10:49:55
-26-


   “ดูเหมือนว่าจะไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไร พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้วล่ะนะครับ” นายแพทย์กล่าวหลังจากเข้ามาตรวจอาการผู้ป่วยกิตติมศักดิ์ นางพยาบาลที่ยืนอยู่ด้านหลังก็บันทึกอาการไปตามเรื่องตามราวโดยไม่ได้พูดอะไรและเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผู้ป่วยเป็นระยะ แม้ว่าผู้ป่วยจะไม่เคยยิ้มตอบเลยก็ตาม เธอก็ยังทำหน้าที่ของตนเองอย่างแข็งขันราวกับรอยยิ้มเป็นของแจกฟรี

   หลังจากสาธยายทุกอย่างเรียบร้อย นายแพทย์และนางพยาบาลก็ขอตัวกลับออกไป ทำให้ห้องนั้นกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

   “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งว่า “ยังไงพรุ่งนี้คุณก็จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”

   “ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะออกภายในวันนี้” ชิงหลงพูดอย่างเอาแต่ใจ ปกติคนอย่างชิงหลงคงไม่เคยมีใครขัดใจอยู่แล้วกระมัง ซ้ำอาการของเจ้าตัวก็ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดต้องนอนโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์แบบนี้ เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งถ้าให้เดา ก็คงไม่พ้นช่วงเอาคืนของโจเซซึ่งรู้ว่าชิงหลงเกลียดการต้องอยู่เฉย ๆ ในสถานที่ที่ไม่ใช่ของตนเองแบบนี้ ถึงจงใจให้หมอและพยาบาลรั้งเอาไว้ไม่ยอมให้กลับแต่โดยดี ทำให้ชิงหลงต้องนอนแซ่วอยู่บนเตียงอย่างช่วยไม่ได้

   เซินหมิงเฟิ่งได้แต่ยิ้มแหยกับคำพูดของอีกฝ่าย เพราะตัวเขาเองก็ไม่ได้มีอำนาจจะไปบงการอะไรใครได้ ส่วนตัวต้นเหตุน่ะหรือ? เจ้าตัวก็ยืนยิ้มแฉ่งไม่รู้ร้อนหนาวอยู่ถัดไปนี้เอง

   “ว้า น่าเสียดายจังนะ ฉันนึกว่านายจะออกได้วันนี้เสียอีก อุตส่าห์เตรียมรถมารับ” โจเซแสร้งทำเสียงเสียดมเสียดายและตีหน้าเศร้าอย่างที่แค่มองก็รู้ว่าจงใจปั้น

   “นายมันแสดงละครไม่ได้เรื่อง” ชิงหลงค่อนแคะ

   “อย่ามาโมโหใส่ฉันสิ ไม่ได้ยินหรือว่าคุณหมอเป็นคนบอกให้นายกลับพรุ่งนี้ ไม่ใช่ฉันเสียหน่อย” ชายหนุ่มผมทองไหวไหล่ด้วยท่าทางยียวนกวนประสาท

   ชิงหลงถลึงตามองอย่างรู้ทัน

   หากโจเซไม่สั่งไว้ มีหรือเขาจะถูกกักตัวไว้นานแบบนี้

   “ชักจะหิวแล้วสิ เอาเป็นว่าฉันจะพามินไปกินอะไรอร่อย ๆ ก่อนล่ะนะ ส่วนคนป่วยก็ต้องกินอาหารจืด ๆ ของโรงพยาบาลต่อไปเพื่อสุขภาพ” เจ้าตัวยังไม่วายทิ้งท้ายให้ชิงหลงปวดประสาทเล่นก่อนจะวางมือแหมะลงบนไหล่ของเซินหมิงเฟิ่งเป็นเชิงกระตุ้นให้ตามเขาออกไปด้วยกัน

   “ถ้าอย่างนั้น แล้วเจอกันนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวก่อนจะเดินตามแรงออกไป

   เมื่อพวกเขาขึ้นรถกันเรียบร้อย โจเซก็เปรยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย

   “ดูคุณสงบขึ้นนะ”

   “หมายถึงอะไรหรือครับ?” เซินหมิงเฟิ่งอดที่จะถามกลับไม่ได้

   “จะว่ายังไงดี” โจเซหยุดคิดไปเล็กน้อยพลางโคลงหัวไปมา “ช่วงแรกคุณดูจะระมัดระวังตัวและเหมือนกำลังมองหาโอกาสอะไรบางอย่างอยู่ตลอด หลังจากนั้นบางครั้งก็ดูหวาดระแวง บางทีก็เหมือนตั้งกำแพงขวางขึ้นมา ยิ่งหลังจากเสียคิมหันต์ไป คุณก็ดูจะยิ่งสับสนและไม่แน่ใจเหมือนหาที่พึ่งไม่เจอ และมันก็น่าแปลกที่ในตอนแรกคุณดูจะคิดถึงบ้านมากและไม่มีความสุขกับความเป็นอยู่ ณ ปัจจุบันเลย แต่ตอนนี้คุณกลับทำตัวเป็นธรรมชาติแถมยังพูดคุยกับเวย์ได้ดีไม่มีท่าทีเป็นปฏิปักษ์”

   เซินหมิงเฟิ่งฟังที่โจเซอธิบายจบแล้วจึงหัวเราะออกมา

   “ผมดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ?”

   “อาจจะเสียมารยาทไปสักหน่อย แต่การมองคุณก็ไม่ต่างจากการมองแก้วสีหรอก แค่รู้ว่าเป็นแก้วสีอะไร ก็เดาสีสันของสิ่งที่อยู่ข้างในได้แล้ว” ชายหนุ่มชาวอิตาเลียนกล่าวพลางยิ้มสบาย ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดี และน้ำเสียงที่ใช้ก็เหมือนออกแนวหยอกล้อมากกว่าค่อนแคะ

   “คงเป็นเพราะว่า ผมยอมรับสภาพแล้วล่ะมั้งครับ...” เซินหมิงเฟิ่งตอบพลางถอนหายใจแล้วยิ้มออกมา “ถ้าสิ่งที่ชิงหลงพูดมาเป็นความจริง แปลว่าผมเองก็ต้องยอมรับกฎข้อนั้นด้วย มันเป็นเหมือนหน้าที่ที่ติดตัวผมมาพร้อมกับสายเลือดและความรับผิดชอบ”

   โจเซนิ่งฟังโดยไม่ได้พูดแทรก ทำให้เซินหมิงเฟิ่งค่อย ๆ เล่าความรู้สึกของตนเองออกมาทีละน้อย

   “ถึงผมจะเคยพยายามคิดว่าตัวเองก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งในตัวของผมตระหนักอยู่เสมอว่าผมคือใคร ดังนั้นสิ่งที่ชิงหลงทำและพูดมาแต่แรกไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจ แต่ผมแค่พยายามจะหนีและเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้นเอง” เขาส่ายศีรษะน้อย ๆ “แต่ผมก็ทำไม่สำเร็จ ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมต้องยอมรับแล้วว่าสิ่งใดก็ตามที่พ่อของผมทำลงไป ท่านกำลังรับโทษของมันอยู่ ท่านจะไม่มีวันได้เจอกับผมอีก นั่นคือสิ่งที่ชิงหลงตัดสินโทษให้ซึ่งก็นับว่าเป็นความกรุณาแล้วที่เขาไม่ทำร้ายผม”

   สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งพูดมาค่อนข้างเข้าใจยากสำหรับคนอย่างโจเซที่เกิดมาในวัฒนธรรมตะวันตกและไม่เข้าใจแนวคิดของคนตะวันออกสักเท่าไหร่

   “ถ้าอย่างนั้น คุณจะทำยังไงต่อ?”

   เซินหมิงเฟิ่งพรูลมหายใจเมื่อได้ยินคำถาม

   “เงื่อนไขของชิงหลงมีแค่การพรากสิ่งสำคัญไปจากพ่อของผม ดังนั้นขอแค่พ่อไม่ได้ผมกลับไป อย่างอื่นก็สามารถยืดหยุ่นได้ คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือครับ?” หลังกล่าวจบ ชายหนุ่มก็ยิ้มกว้างเหมือนเด็ก ๆ

   “คุณนี่ก็เจ้าเล่ห์เหมือนกันนะ” โจเซหัวเราะในคอ

   “เรียกว่ารู้จักอาศัยช่องว่างดีกว่าครับ” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะตอบ “ถ้ายังอยู่ในเงื่อนไขที่ชิงหลงตั้งไว้ จะอยู่อิตาลีหรือฮ่องกงก็ไม่แตกต่างกัน ถ้าผมยอมรับเงื่อนไขของเขา บางที....ชิงหลงคงจะยอมให้ผมกลับไปฮ่องกง ถึงจะไม่ให้พ่อเจอไม่ได้ แต่อย่างน้อยขอให้ผมรู้ว่าท่านยังสบายดีก็พอแล้ว ส่วนคู่หมั้นของผม ก็คงแล้วแต่สวรรค์ลิขิตล่ะมั้งครับ ถ้าเป็นเนื้อคู่กันจริง เธอคงจะรอผมอยู่”

   “หืม? คุณมีคู่หมั้นด้วยหรือ น่าสงสารเหมือนกันนะครับ” โจเซว่า “ถึงอย่างนั้นก็เถอะ คุณเองก็ต้องเตรียมใจเหมือนกันว่าจะต้องอยู่กับชิงหลงไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเป็นอิสระ”

   อิสระ....นั่นสินะ....

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มขื่น

   “ช่วยไม่ได้นี่ครับ ผมจะโทษพ่อก็ไม่เต็มปากเพราะผมเชื่อว่าพ่อไตร่ตรองดีแล้วและคิดว่าคุ้มค่าถึงได้ทำลงไปแบบนั้น”

   โจเซกลอกตา

   “อีกอย่าง ผมว่าอยู่กับชิงหลงก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ พอรู้จักกันจริง ๆ แล้ว เขาก็แค่เปิดใจรับคนยากเท่านั้นเอง” เซินหมิงเฟิ่งพูดต่อแล้วเกาปลายจมูกเขิน ๆ “แต่ผมอาจจะถูกต่อว่าเป็นลูกเนรคุณก็ได้ ที่ไม่ได้กลับไปดูแลพ่อให้ดีจนถึงวาระสุดท้าย”

   “ถ้าเป็นความจำเป็นและคุณคิดว่าดีแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดไม่ใช่หรือครับ” โจเซคิดตามหลักเหตุผล “แต่ผมค่อนข้างประหลาดใจอยู่นะ ที่คุณคิดว่าการอยู่กับเวย์ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายน่ะ”

   เสียงหัวเราะดังแผ่ว ๆ ข้างตัว

   โจเซเหลือบตามอง และไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าตัวเองเห็นสีแดงเรื่อบนแก้มของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ

   อืม....

   ดูเหมือนแผนการของนายจะได้ผลเกินคาดไปเยอะเลยนะ...เวย์...

------------------------->

   เสียงแตรรถบ่งบอกว่าผู้ที่เธอรออยู่ได้มาถึงแล้ว ซากุระสวมเสื้อนอกและเร่งรีบออกไปยังประตูบ้านโดยมีการ์ดวิ่งนำไปก่อนเพื่อดูว่าใครเป็นคนที่มารบกวน

   “ฉันมารับคุณหนูมินาโมโตะ เรานัดกันไว้ว่าจะไปธุระด้วยกันน่ะ” ไป๋หู่เยี่ยมหน้าออกไปนอกกระจกรถ มากพอที่การ์ดจะเห็นว่าเป็นใคร ทำให้การ์ดคนดังกล่าวตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาปเป็นหินในบัดดล แต่ในวินาทีต่อมาเขาก็รู้สึกตัวและกุลีกุจอไปเปิดประตูเล็กให้ซากุระเดินออกไปเพื่อไม่ให้คนสำคัญต้องรอนานนัก แน่นอนว่ามันคงไม่ดีหากพวกเขาทำอะไรขัดใจหนึ่งในสี่ผู้นำเข้า

   “ฝากดูแลบ้านด้วยนะคะ” ซากุระบอกแล้วเดินไปขึ้นรถของไป๋หู่ท่ามกลางสายตาแสดงความสงสัยของการ์ดและคนรับใช้ที่เห็นเหตุการณ์

   หรือว่า...คุณหนูตระกูลมินาโมโตะคิดจะเบนเข็มไปทางไป๋หู่เสียแล้ว?

   แล้วนายน้อยของพวกเขาล่ะ!?

----------------------------->

   “คุณเห็นหน้าพวกเขาหรือเปล่า คงจะตกใจกันน่าดู” ไป๋หู่พูดกลั้วเสียงหัวเราะในคอราวกับว่าการปรากฏตัวให้คนอื่นตกอกตกใจเล่นเป็นงานอดิเรกที่แสนโปรดปราน

   “ใครจะไม่ตกใจล่ะค่ะ คนระดับคุณมาเยือนถึงที่แบบนี้ ซ้ำยังขับรถมาเองด้วย” ซากุระเองยังอดแปลกใจไม่ได้ว่าเหตุใดไป๋หู่จึงขับรถมาเองคนเดียวเช่นนี้ โดยปกติน่าจะมีการ์ดล้อมหน้าล้อมหลังเพื่ออารักขามิใช่หรือ “แล้ว...ไม่อันตรายหรือคะ?”

   “ไม่หรอกครับ สถานที่ที่ผมจะไปไม่มีอันตรายแน่นอน” ไป๋หู่รับรองด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้ซากุระไม่มีอะไรจะคัดค้าน

   “แล้วเราจะไปที่ไหนกันคะ?” หญิงสาวถามแล้วเสมองข้างทาง ทิวทัศน์แบบนี้ดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก น่าจะเป็นเส้นทางที่ผ่านบ่อย ๆ ก่อนหน้านี้

   “เดาหน่อยไหม?”

   ซากุระมุ่นคิ้วพลางนึกสงสัยว่าสถานที่ไหนกันที่ไป๋หู่นะเธอไปหาแล้วจะสามารถช่วยเซินหมิงเฟิ่งได้ หรือว่าเป็นสถานที่ที่เซินหมิงเฟิ่งถูกกักขังอยู่? หรืออาจจะเป็นบ้านของคนที่กักขังเซินหมิงเฟิ่งเอาไว้ หรือบางที เขาอาจจะแค่นำพาเธอไปหาอีกเบาะแสหนึ่งก็เป็นได้

   ซากุระส่ายศีรษะ

   “ฉันเดาไม่ออกหรอกค่ะ”

   ไป๋หู่หัวเราะขำขัน

   “เส้นทางนี้คุณน่าจะพอจำได้นะครับคุณหนูมินาโมโตะ เอาล่ะ ถ้าเลี้ยวตรงนี้....” เขาว่าแล้วก็เลี้ยวรถไปตามที่บอก ไม่นานก็ปรากฏเส้นทางที่ยิ่งกว่าคุ้นตา ซากุระจดจำมันได้อย่างทันที แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา รถก็แล่นเข้าเทียบหน้าประตูรั้วของบ้านสองชั้นแบบเก่าหลังหนึ่งแล้ว แผ่นไม้หน้าประตูถูกตอกตะปูติดเอาไว้อย่างแน่นหนา ตัวอักษรที่ตวัดด้วยลายพู่กันดูทรงพลังนั้นเขียนว่า ‘เซิน’

   “ที่นี่....บ้านคุณเซิน?” ซากุระพึมพำ “ที่นี่มีอะไรหรือคะ?”

   “ที่นี่แหละ ที่จะพาเซินหมิงเฟิ่งกลับมาให้คุณได้” ไป๋หู่ประดับยิ้มมุมปากก่อนเดินลงไปเมื่อเห็นมีคนออกมาเปิดประตูเล็กเพื่อดูว่าใครที่มาเยี่ยมอย่างกะทันหัน และก็ไม่ผิดไปจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ คนรับใช้ตกตะลึงพรึงเพริดราวกับเห็นผีกลางวันแสก ๆ ก็ไม่ปาน และสิ่งที่เจ้าตัวกระทำในตอนนั้นก็คือการวิ่งกลับเข้าไปในบ้านโดยที่ไป๋หู่เดินกลับมาที่รถอย่างใจเย็น รออยู่ไม่นานก็มีคนรับใช้อีกคนที่แก่วัยกว่าเดินเร็ว ๆ ออกมา ซากุระจำได้ทันทีว่าเป็นพ่อบ้านหวางนั่นเอง

   ประตูใหญ่ของบ้านถูกเปิดออก ไป๋หู่จึงขยับรถเข้าไปด้านในและจอดเทียบอยู่ที่ทางเข้าในจุดที่ไม่น่าจะขวางทางเข้าออกจนน่าเกลียด

   “เอาล่ะ เราไปพบคนที่ทำให้คู่หมั้นของคุณหายตัวไปกันเถอะ” ไป๋หู่ยิ้มกว้างแล้วเดินลงจากรถ ก่อนเดินอ้อมมาเปิดประตูและผายมือประคองหญิงสาวด้วยท่าทางของสุภาพบุรุษช่างเอาใจที่เจ้าตัวชำนิชำนาญ

   พ่อบ้านหวางเดินนำชายหญิงทั้งสองเข้าไปด้านในด้วยสีหน้าเป็นกังวล เขารู้ดีว่าการมาของไป๋หู่ไม่ใช่ลางดีเป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นจูเชว่ก็ยังอนุญาตให้เข้าพบโดยไม่ถามไถ่ด้วยซ้ำว่าทำไมจึงมากับซากุระได้ สีหน้าของเจ้านายของเขาในตอนนั้นบ่งบอกว่าได้เตรียมตัวเตรียมใจกับทุกสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว สีหน้าปลงตกเช่นนั้นทำให้เขารู้สึกหวั่นใจอย่างไม่อาจอธิบายได้

   พวกเขาถูกนำมาถึงห้องหนังสือ ซากุระรู้สึกแปลกใจที่ไม่ใช่ห้องรับแขกอย่างเคย

   ทำไมกันนะ?

   “เชิญครับ” พ่อบ้านหวางเปิดประตูออกแล้วผายมือให้บุคคลทั้งสอง ไป๋หู่เชิญให้ซากุระเข้าไปก่อนแล้วตนเองจึงตามเข้าไปอีกคน จากนั้นหวางซือก็ปิดประตูลงเช่นเดิม

   ในห้องหนังสือบรรยากาศค่อนข้างสลัว ผิดกับปกติที่ห้องหนังสือควรจะมีแสงสว่างมากพอสำหรับสายตาที่จะต้องเพ่งไปบนเนื้อกระดาษ เหมือนกับว่าเฉพาะวันนี้เท่านั้นที่ห้องหนังสือถูกบรรยากาศอึดอัดเช่นนี้ครอบคลุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เงามืดดำของแผ่นหลังเหยียดตรงบดบังแสงที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่างยิ่งทำให้ห้องนี้น่าอึดอัดมากขึ้นจนเหมือนจะหายใจไม่ออก

   “ไม่ได้พบกันเสียนานนะครับ จูเชว่” น้ำเสียงของไป๋หู่แอบแฝงแววของการเสียดสีอยู่เล็กน้อย

   เซินจงหมุนตัวกลับมาด้วยสีหน้านิ่งสนิทที่ดูเหนื่อยล้าไปตามวัย เขาพยักหน้ารับด้วยท่าทีสุขุมและเลื่อนสายตามามองซากุระโดยไม่ได้ปรากฏอารมณ์ใดเป็นพิเศษ

   “ตัดสินใจจะเผชิญหน้ากับฉันแล้วหรือ?” เซินจงกล่าว เสียงของเขาแหบแห้งกว่าปกติเล็กน้อยทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเค้นลมหายใจออกมา

   ไป๋หู่กระตุกรอยยิ้ม ซากุระรู้สึกเหมือนได้ยินเสียง ‘หึ’ เบา ๆ จากอีกฝ่าย

   “คุณเดาแต่แรกแล้วว่าเป็นผม หรือคุณคิดว่าอาจจะเป็นชิงหลงก็ได้”

   เซินจงฟังคำถามด้วยสีหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ก่อนจะเดินมานั่งที่เก้าอี้และผายมือเบิญให้ทั้งสองนั่งลงด้วย ซากุระเป็นฝ่ายนำก่อน ไป่หู่จึงนั่งฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของห้องโดยมีโต๊ะสำหรับวางหนังสือตั้งคั่นกลางระหว่างทั้งสอง กระนั้นซากุระก็รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแล่นไปมาในบรรยากาศที่เงียบสงัด

   “ภายนอกแล้วคุณเป็นคนนุ่มนวล แต่ความจริงแข็งกร้าว ผิดกับชิงหลงที่แข็งเพียงเปลือก ดังนั้นคนที่สุดท้ายแล้วต้องมาเผชิญหน้ากับผมต้องเป็นคุณอย่างแน่นอน” เซินจงตอบโดยไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาทางสีหน้า ราวกับว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหมายไม่ผิดเพี้ยน

   “เพราะอย่างนั้นคุณถึงเลือกคุณหนูมินาโมโตะ?” ไป๋หู่ถามพร้อมบิดริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนกำลังดูแคลนอยู่เป็นนัย ๆ “รู้หรือเปล่า ถ้าเทียบกับผมแล้ว คุณน่ะหักหลังผู้หญิงได้เจ็บปวดยิ่งกว่าเสียอีก”

   ซากุระมุ่นคิ้วขณะเหลือบมองสีหน้าซีดเซียวของเซินจงเมื่อได้ยินคำเสียดสีนั้น

   “เรื่องนี้เกี่ยวกับคุณเซินยังไงกันคะ?” ยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะดูเหมือนจะเป็นคำสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องราวระหว่างพวกเขาทั้งสอง เธอไม่อาจเชื่อมโยงกับการหายตัวไปของเซินหมิงเฟิ่งได้เลย แล้วหากเซินจงเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปนั้น ทำไมเขาจะต้องขอให้เธอหาเบาะแสด้วย?

   “ยังไม่ได้เล่าสินะครับ เรื่องเก่า ๆ นั่นน่ะ” ไป๋หู่เอนหลังพิงพนัก ยกมือขึ้นเท้าคางและไขว่ห้างก่อนมองไปรอบ ๆ ตัว ไม่ทันไรก็สะดุดเข้ากับรูปภาพในกรอบไม้ตั้งอยู่บนชั้นวาง “นั่นไง เรื่องของผู้หญิงที่อยู่บนนั้น” เขาชี้ไปที่รูปภาพรูปหนึ่ง เป็นภาพถ่ายของหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายใครบางคนที่ใกล้ชิดพวกเขา
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 27-07-2012 10:52:16
   หัวข้อสนทนานั้นเรียกเสียงหายใจเฮือกจากเซินจงอย่างทันที ส่วนซากุระก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวได้ชัดเจนนัก ด้วยเหตุนั้น ไป๋หู่จึงเป็นคนเริ่มต้นบทนำขึ้นมาก่อน

   “ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งที่เกิดมาในตระกูลใหญ่ แวดล้อมด้วยบริวารและญาติมิตร มีชีวิตอยู่ในปราสาทหลังน้อย ๆ อย่างมีความสุขโดยไม่ได้คำนึงถึงโลกภายนอก” เขาเกริ่นนำเหมือนกำลังเล่านิทาน “จนกระทั่งหญิงสาวเติบโตขึ้นเป็นสาวสะพรั่ง มีความงามถึงขนาดที่ชายหนุ่มทั้งหลายหมายปอง พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติและความรัก เธอจึงถูกทาบทามเป็นคู่หมั้นคู่หมายของชายอีกคนหนึ่งที่คู่ควรกัน”

   สายตาของเซินจงละจากใบหน้าของไป๋หู่ไปยังกรอบภาพที่ตั้งไม่ไกลออกไป ในดวงตาคู่นั้นปรากฏความเศร้าสร้อยออกมาอย่างเห็นได้ชัด

   “แต่แล้ว ก็มีชายอีกคนหนึ่งหมายปองเธอเช่นกัน เขาล่อลวงเธอให้ลุ่มหลงและละทิ้งหน้าที่ ละทิ้งครอบครัว ละทิ้งคนที่หมั้นหมายกันไว้ และไปอยู่กับชายคนนั้นโดยไม่หันกลับมามองข้างหลังเลย” ไป๋หู่แสยะรอยยิ้มออกมา “น่าเสียดายที่นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยโศกนาฏกรรม เพราะหญิงสาวกลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานก็เสียชีวิตด้วยโรคร้ายราวกับเป็นคำสาปจากบาปของพวกเขา”

   “พอแล้ว!” เซินจงกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะดังปัง ดังมากพอที่จะทำให้ซากุระสะดุ้งเฮือกและมองไปยังใบหน้าของชายวัยกลางคนที่ทั้งอ่อนล้า โศกเศร้า และโกรธเคือง

   ไป๋หู่แย้มรอยยิ้มพึงใจ

   “ชื่อของเธอคนนั้น....คือฉินเหมยลี่”

   ฉิน?

   ซากุระทวนแซ่ของหญิงสาวในใจ หากเธอจำไม่ผิด แซ่ฉินคือตระกูลของชิงหลงไม่ใช่หรือ?

   เซินจงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาลุกขึ้น ไขว้มือไว้ข้างหลัง แล้วเดินวนไปที่หน้าต่างอีกครั้งเหมือนกับอยากจะพูดกับสิ่งที่อยู่ข้างนอกมากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างใน

   “ฉินเหมยลี่คือนายหญิงเล็กของบ้านนี้ พูดในอีกแง่คือ เป็นแม่เลี้ยงของอาหมิงนั่นแหละ”

   ซากุระเบิกตาด้วยความรู้สึกเหนือความคาดหมาย เธอไม่เคยรู้เลยว่าเซินหมิงเฟิ่งจะมีความเกี่ยวข้องกับชิงหลงอยู่ด้วย

   “อาหมิงเกิดมาโดยที่แม่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ ฉันก็ดูแลเขามาเพียงลำพัง และในตอนที่ฉันคิดว่าเขาควรจะมีแม่คอยดูแล เธอคนนั้น....ฉินเหมยลี่....ก็ปรากฏตัวขึ้น” เซินจงทอดสายตาออกไปไกล ท้องฟ้าสีครามสะท้อนอยู่ในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเขา “ในตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าเธอมีคู่หมั้นอยู่แล้ว รู้แค่ว่าเป็นน้องสาวของชิงหลงในตอนนั้น หรือก็คืออาของชิงหลงคนปัจจุบัน เธอเป็นหญิงสาวทีเพียบพร้อมไปทุกอย่าง และเมื่อเราทำความรู้จักกัน พบเจอกันบ่อยครั้ง มันก็มีสายใยบาง ๆ เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน พูดไปแล้วก็น่าละอายแต่ในตอนนั้นทั้งฉันและเธอต่างก็ใจตรงกัน และเธอก็เอ็นดูอาหมิงเหมือนลูก ถึงอย่างนั้นพี่ชายของเธอกลับไม่ยินยอม เพราะเขาได้มอบเธอให้กับไป๋หู่ไปแล้วและเขาไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำให้ต้องเกิดการผิดใจกันขึ้น”

   ซากุระเริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดหน่อย ที่แท้แล้วอาของชิงหลงคนปัจจุบันคือแม่เลี้ยงของเซินหมิงเฟิ่ง แต่ว่าเธอหมั้นกับไป๋หู่คนก่อนอยู่ ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่ทำให้เธอกลายมาเป็นนายหญิงของบ้านนี้ได้ก็....

   “เป็นการตัดสินใจที่น่าดูแคลนสำหรับคนรอบข้าง แต่สำหรับพวกเราแล้วมันคือทางที่ดีที่สุด” เซินจงก้มหน้าลง “เหมยลี่ทิ้งตระกูลและเกียรติยศของตัวเองและมาแต่งงานกับฉัน อาจจะเป็นความเห็นแก่ตัว แต่ว่าฉันก็คิดว่าฉันทำสิ่งที่ดีให้อาหมิง เพราะเขาจะได้มีแม่อย่างคนอื่น ๆ แม่ที่สามารถรักเขาได้แม้ไม่ใช่ลูกในไส้ของตัวเอง และเหมยลี่ก็เป็นผู้หญิงที่จิตใจดีถึงขนาดนั้นจริง ๆ ...”

   “ก็เป็นความเห็นแก่ตัวจริง ๆ ไม่ใช่หรือ? เพราะในตอนนั้นผมเองก็เพิ่งเสียแม่ไปเหมือนกัน” ไป๋หู่กล่าวแทรกขึ้นมา “ยังไงก็ตาม สิ่งที่คุณกับฉินเหมยลี่ทำลงไปในครั้งนั้นก็ทำให้คนสองคนต้องสูญเสียคนสำคัญไป”

   ชิงหลงสูญเสียน้องสาว...ไป๋หู่สูญเสียว่าที่คู่ชีวิต...

   “แต่ว่า นั่นก็เป็นเรื่องในอดีตเท่านั้นเองไม่ใช่หรือคะ?” ซากุระไม่เห็นเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องหยิบยกมาเป็นประเด็นแบบนี้ มันก็เหมือนการฟื้นฝอยหาตะเข็บให้เกิดความขุ่นข้องหมองใจกันเท่านั้นเอง

   “คุณหนูมินาโมโตะ คุณรู้หรือเปล่าว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เสาสี่ต้นสามารถตั้งตรงอยู่ได้?” อยู่ ๆ ไป๋หู่ก็ถามออกมาเหมือนปัญหาเชาว์ และก่อนที่ซากุระจะตอบ เจ้าตัวก็ตอบออกมาเสียก่อน “ขื่อคานยังไงล่ะ คานที่มั่นคงแข็งแรงและเท่ากันทั้งสี่ด้านเท่านั้นถึงทำให้เสาสี่ต้นตั้งตรงได้อย่างที่ควรเป็น”

   ยิ่งพูดซากุระก็ยิ่งสับสน สีหน้าของเธอบ่งบอกได้ถึงคำถามมากมายที่คิดอยู่ในใจ

   ไป๋หู่หัวเราะแล้วจึงค่อยอธิบายต่อ

   “พวกเราสี่ตระกูลตั้งกฎร่วมกันไว้ตั้งแต่เริ่มแรก กฎที่ทำให้พวกเราไม่มีเหนือกว่าต่ำกว่า แต่เท่าเทียมกันในทุก ๆ เรื่อง นั่นคือกฎตาต่อตา ฟันต่อฟัน หากถูกเอาสิ่งใดไปให้แย่งชิงสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกันมาแทน ทำให้พวกเราต่างก็ก้าวก่ายแย่งชิงกันไม่ได้”

   “หมายความว่า....” ซากุระเบิกตากว้าง

   “เพราะจูเชว่แย่งชิงสิ่งที่มีค่าไป พวกเราถึงได้ตามมาเอาคืนยังไงล่ะครับ” ไป๋หู่กล่าวด้วยสายตาวาววับรากวับสัตว์ป่า “แต่น่าเสียดายที่โทษหนึ่งครั้งไม่ว่าจะมีผลกระทบกับกี่คนก็ถูกตัดสินได้แค่ครั้งเดียว ดังนั้นผมกับชิงหลงถึงต้องแข่งกันทำคะแนนว่าใครจะทำสำเร็จก่อน แต่ว่า...สิ่งสำคัญที่ว่าไม่ได้กำหนดหรอกนะว่าอยู่ในตำแหน่งไหน ดังนั้นจำเป็นคนสำคัญใกล้ชิดแบบใดก็ได้ ขอเพียงมีค่าเทียบเคียงกันก็ถือว่าโอเค”

   “เพราะแบบนั้น....คุณเซินถึงได้....” ซากุระเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เธอหันไปทางเซินจงโดยยังมีคำถามค้างคาใจอีกข้อ “ถ้าคุณรู้อยู่แล้ว แล้วทำไมถึงขอให้ฉันช่วยล่ะคะ?”

   คำถามของซากุระทำให้เซินจงก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม เสี้ยวหน้าที่ต้องแสงกำลังบ่งบอกความสำนึกในความผิดอันใหญ่หลวง แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังมาจากทางไป๋หู่เหมือนว่าทุก ๆ อย่างเป็นเรื่องที่น่าสนุกอย่างเหลือประมาณ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายกับมัน

   “คุณเองก็เป็นถึงว่าที่ลูกสะใภ้ของจูเชว่เชียวนะ”

   มีเสียงอะไรบางอย่างกดทับลงในอกจนหนักอึ้ง ซากุระถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้ว่าตนเองนั้นกลับกลายเป็นเหยื่อในเกมนี้โดยไม่ตั้งใจ

   “ดูเหมือนจูเชว่จะวางแผนนี้มาแต่แรกแล้ว ถ้าเลือกว่าจะต้องเสียสละใครให้ใช้โทษแทน เขาคงไม่เลือกลูกชายตัวเองแน่ ๆ จริงไหมล่ะ?” ไป๋หู่โคลงศีรษะไปมา “แล้วอะไรจะดีกว่าความสัมพันธ์ผิวเผินที่ไม่เกี่ยวข้องกันกระทั่งสายเลือดอย่างลูกสะใภ้?”

   เซินจงหลับตาลง

   ใช่...นี่เป็นสิ่งที่เขาคิดไว้แต่แรกแล้ว....

   ถึงแม้มันจะร้ายกาจ แต่ในฐานะพ่อคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะต้องปกป้องลูกชายของตัวเองเอาไว้ให้ได้...ทดแทนที่เขาไม่เคยมีโอกาสให้ความรักกับลูกคนนี้เลย

   ถ้าเพียงแต่ไป๋หู่รับซากุระเอาไว้ ชิงหลงก็จะไม่มีข้ออ้างให้กักตัวเซินหมิงเฟิ่งอีก และจะถือได้ว่าเขาได้สูญเสียบุคคลสำคัญพร้อมทั้งถูกหยามเกียรติไปพร้อม ๆ กัน และทุกอย่างก็จะจบลงแค่นั้น

   แต่เขาเองก็รู้ดีว่าไป๋หู่ไม่ใช่คนโง่ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าตัวไม่ได้แค่อยู่เฉย ๆ รอดูการลงโทษจากชิงหลง แต่แค่เฝ้ารอเวลานี้เท่านั้น เวลาที่จะได้ประกาศความชั่วช้าของเขาให้คนทั้งโลกได้ประจักษ์ ไป๋หู่ไม่ได้สนใจเหยื่อที่เขาคิดจะมอบให้แต่แรก....เขารู้ดี ไป๋หู่มีเหยื่อที่ตัวเองหมายเอาไว้อยู่แล้ว

   เสียงวัตถุที่มีน้ำหนักมากและเป็นของแข็งกระทบลงบนโต๊ะไม้ขัดเงา มันดังขึ้นพร้อมเสียงร้องอย่างตกใจจากในลำคอของหญิงสาวที่เป็นพยานอยู่ในห้อง

   “คุณไม่คิดจะทำให้มันจบด้วยมือของตัวเองหรือครับ จูเชว่?”

   เซินจงหมุนตัวกลับมา

   ใช่แล้ว....เป้ามายของไป๋หู่นั่นคือ....

   ....ตัวเขาเอง....

   ชายวัยกลางคนจ้องมองปืนสีดำมันปลาบด้วยดวงตาไหวระริกเพียงเล็กน้อย มันคือสิ่งที่เขาคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้วว่ามันจะต้องมาถึงในสักวัน

   เซินจงสาวเท้ากลับมาที่โต๊ะ แต่ไม่ได้ขยับมือไปหยิบโดยทันที

   “เดี๋ยวสิคะ! นี่มันไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด คุณฉินเหมยลี่ไม่ได้ตายเพราะคุณเซินเสียหน่อย!” ซากุระโพล่งขึ้น

   “ความจริงแล้วหลังจากฉินเหมยลี่ตาย ชิงหลงคนก่อนก็ตรอมใจตายตามไป ส่วนพ่อของผมก็ประสบอุบัติเหตุในคืนที่ได้ข่าวว่าฉินเหมยลี่หายตัวไปเลยตะบึงรถไปที่บ้านของชิงหลง”

   คำพูดของไป๋หู่ทำให้ซากุระชะงักกึก ครั้นจะค้านออกไปว่าไม่เกี่ยวข้องกันก็พูดได้ไม่เต็มปาก

   “แต่ก็เอาเถอะ มันก็จริงอย่างคุณว่าและสองเรื่องนั้นอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ผมถึงไม่ได้ฆ่าเขาไง” เขายังคงพูดต่อด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ “ผมให้เขาเป็นคนเลือกเองว่าอยากจะได้ใครเอาไว้ แล้วจะยกใครให้เป็นค่าตอบแทนสิ่งที่พวกเราเสียไป คุณเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่หรือว่าต้องการตัวคู่หมั้นคืน และนี่เป็นทางเดียวที่คุณจะได้เซินหมิงเฟิ่งคืนมา คุณน่าจะเข้าข้างผมนะ”

   “แต่ว่า.....ฉัน...ฉันไม่ได้ต้องการแบบนี้....” ซากุระอึกอัก

   เซินจงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นชั่วครู่ จนกระทั่งเสียงสนทนาทั้งสองสงบลงแล้ว เขาจึงเอื้อมมือไปหยิบปืนโดยไม่แสดงความลังเล บางที...เขาคงจะตระเตรียมใจไว้พร้อมตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ถึงอย่างนั้นการกระทำของเขาก็ยังสร้างความตื่นตระหนกให้กับซากุระ เธอลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ในทันที

   “อย่าทำแบบนั้นนะคะ! พ่อบ.....อ๊ะ!” ในชั่วขณะที่ซากุระจะถลาเข้าไปแย่งวัตถุอันตรายชิ้นนั้นและตะโกนเรียกคนข้างนอก ไป๋หู่ก็อาศัยว่าตัวเองรวดเร็วกว่าและเตรียมพร้อมมากกว่าเข้าไปดึงตัวซากุระและกดให้ทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ตัวเดิม เขาอ้อมไปด้านหลังและกดบ่าของหญิงสาวเอาไว้แน่น

   “คุณบอกผมเอาไว้ใช่ไหม ว่าจะยอมทุก ๆ อย่าง”

   “อ...อะไรกัน...” เมื่อถูกทวงสัญญาในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึง สมองของเธอก็มึนตึงไปชั่ววินาที

   ไป๋หู่โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ใบหู และกระซิบเบา ๆ

   “ผมต้องการให้คุณเป็นพยานในการพิพากษาครั้งนี้ เป็นคนที่เห็นความตายของจูเชว่กับตาตัวเอง”

   ไม่จริง....ไม่นะ....

   ซากุระดิ้นรนเต็มแรงและพยายามส่งเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง ภาพของชายที่ดูสิ้นหวังไปพร้อม ๆ กับมีความหวังสะท้อนในดวงตาคู่สวยที่เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำที่เกิดจากอารมณ์อันหลากหลายและไม่อาจระบายออกมาได้ทั้งหมดด้วยเสียงกรีดร้อง ก่อนที่เสียงแน่นของการลั่นไกจะดังขึ้นในเสี้ยวนาทีและหยุดเวลาทั้งหมดเอาไว้

   ร่างเบื้องหน้าถลาไปตามแรงก่อนจะฟุบลงบนพื้น เลือดสีเข้มสาดกระเซ็นเป็นสายเปรอะบนพื้นพรมและโต๊ะไม้เป็นด่างดวง

   ซากุระเบิกตาค้างอยู่อย่างนั้น ไม่อาจละสายตาไปจากภาพตรงหน้าได้แม้ต้องการหลบเลี่ยงสักเพียงใด

   ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบ ที่เสียงกรีดร้องถูกกลืนหายไปในลำคอ ไม่ว่าจะพยายามเปล่งเท่าไหร่มันก็ไม่ยอมพ้นออกมา

   ฝ่ามือที่กดอยู่ผละออกไปแต่ยังทิ้งความร้อนและความหนักของมันเอาไว้บนบ่าเล็ก

   “แล้วพบกันใหม่ คุณหนูมินาโมโตะ” ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีขาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนละมุนน่าฟัง ทว่ามันกลับไม่ได้เข้าไปถึงสติของผู้รับฟังเลย และจนกระทั่งเสียงฝีเท้าห่างออกไป ซากุระก็ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมาจากเก้าอี้ หูไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเอะอะโวยวายจากด้านนอก เรียวขาสองข้างสั่นเทาและสิ้นเรี่ยวแรง พาให้ทั้งร่างทรุดฮวบลงไปกองบนพื้น

   ภาพความตายยังคงฉายชัดในดวงตา

   ไม่....นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ...ไม่ใช่เลย....

   ซากุระจิกเรือนผมตัวเอง พูดซ้ำ ๆ อยู่ในใจเพื่อปฏิเสธสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า แต่ว่า....มันก็ยังคงเป็นความจริง....

   และแล้ว.....เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง

TBC

เซียร์เปิดเพจไว้ให้ติดตามข่าวสารจองนิยายแล้วนะคะ

http://www.facebook.com/ZiarNovel (http://www.facebook.com/ZiarNovel)

ปล. สำหรับคนถามถึงคู่เมี่ยวเจินกับไป๋หู่ คู่นี้ไม่เขียนนะคะเพราะเท่าที่ปรากฏในเรื่องนี้ก็ค่อนข้างจะชัดเจนแล้ว XD แต่ถ้าอยากรู้แบบละเอียดเดี๋ยวจะแอบสปอยล์ไว้ในทอล์คตอนรวมเล่มถ้าไม่ลืมนะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 27-07-2012 14:53:12
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน จริง ๆ

กดดันกันเหลือเกิน และก้เริ่มเข้าใจในจุดกำเนิด "บัลลังก์ปีกหงส์" บ้างแล้วล่ะ 5555

สนุกมาก ชอบสุดๆ รอตอนต่อไปคร๊าบบบ ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 27-07-2012 16:49:09
พ่อตายหมิงก็จะได้กลับบ้าน สมแล้วที่ตาต่อตาฟันต่อฟัน  :sad4: ชิงหลงชอบหมิงบ้างไหม
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 27-07-2012 16:58:32
โอยย
โหดๆๆๆ โหดไปแล้ว
พ่อตายแล้วอย่างนี้เซินหมิงเฟิ่งก็ต้องกลับมาน่ะสิ
แล้วเรื่องมันจเป็นยังไงต่อกันนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 27-07-2012 22:28:20
แว้กกกกกกกกก ไหงงี้ล่ะ T^T สงสารทั้งคุณพ่อ ซากุระ โดยเฉพาะเซินหมิงเฟิ่ง หลังจากนี้มันต้องดราม่าสุดติ่งแน่เลยอ่ะ ฮืออออออ
ตอนหน้าชิงหลงจะปล่อยตัวเซินหมิงเฟิ่งหรือเปล่า แล้วจะเป็นไงต่อไปล่ะ

รอตอนหน้าาาาาาา
ปอลิง ไป๋หู่ ถึงนายจะ........แต่นายก็เท่มาก เอาโล่ไปเลย ><
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 28-07-2012 00:40:51
สงสารซากุระ สงสารอาหมิง สงสารทุกคน :o12:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshadow ที่ 28-07-2012 08:11:05



    ง่า. . . เอางี้เลยเหรองับ
    ชีวิตมันน่าเศร้านัก การติดสินใจของคนคนหนึ่งที่ส่งผลกระทบไปถึงคนอีกหลายๆคนเป็นทอดๆ
    หวังว่าคราวนี้ท่านเซินคงไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดพลาดอีกนะ
    แต่การตัดสินใจทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ทำเพื่อลูกชายคนนี้ทั้งนั้น
    งั้นหมายความว่าท่านเซินมั่นใจมากว่า ซากุระจะดูแลลูกชายจนเป็นจูเชว่ที่ดีพอที่จะคานอำนาจกับฝ่ายอื่นๆได้อ่านะ




หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 26 (27/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nuttinee_k ที่ 29-07-2012 21:35:31
 :a5: พ่ออาหมิงตายแล้ววว  เข้มข้นมากเลยค่ะ
สงสารซากุระสุดใจ

อาหมิงชอบชิงหลงเข้าแล้ว ฝ่ายชิงหลงละ เฮ้อออ 
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 30-07-2012 19:15:14
-27-


   กลิ่นธูปลอยอวลในบรรยากาศสีขาวดำ มองไปทางไหนก็ให้ความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาจับใจความไม่ได้แทรกอยู่ในโทนสีเทาอึมครึม ราวกับว่าทุกอย่างรอบ ๆ ตัวถูกฉายออกมาผ่านโทรทัศน์สีขาวดำแบบเก่า

   รูปประดับตั้งอยู่ไม่ไกลออกไปแสดงใบหน้าเคร่งขรึมของชายวัยกลางคนกำลังจ้องมองลงมาด้วยสายตาเคร่งเครียดจริงจัง

   หลาย ๆ ครั้งเขาต้องถามตัวเองว่า ทำไมเรื่องนี้จึงได้เกิดขึ้น....

---------------------->
   
   “ยินดีด้วยนะครับที่ได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวกับชิงหลงเมื่อชายหนุ่มเดินออกมาถึงด้านหน้า หากไม่ใช่ว่าถูกปรามไว้ก่อนแล้ว เขาคงจะเอาช่อดอกไม้มาแสดงความยินดีเป็นแน่ แต่เมื่อถูกดักคอเอาไว้ตอนคุยกัน เขาจึงไม่ได้ซื้อช่อดอกไม้มาให้ แต่ถึงอย่างนั้น การปรามของชิงหลงดูเหมือนจะไม่ได้เข้าหูของผู้ชายอีกคนที่กำลังยืนถือช่อดอกไม้ช่อโตในตอนนี้แม้แต่น้อย

   “ขอแสดงความยินดีด้วยครับคุณชาย” โจเซทำเสียงล้อเลียนแล้วโค้งตัวยื่นช่อดอกไม้ให้

   ชิงหลงมองสิ่งที่ถูกยื่นมาตรงหน้าด้วยสายตาเหนื่อยหน่ายใจ

   “ไม่มีสักครั้งเลยสินะที่จะพลาดโอกาสน่ะ” เขาแขวะโจเซด้วยเสียงเรียบนิ่ง ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มรับโดยไม่คิดจะแก้ตัวใด ๆ เพราะพวกเขารู้กันดีอยู่ว่าระหว่างพวกเขาสองคนเป็นเรื่องของทีใครทีมันมาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้ว ลองถึงคราวตัวเอง แม้จะเป็นชิงหลงที่ไม่พิสมัยเรื่องไร้สาระก็ไม่ยอมพลาดโอกาส

   “พอเถอะครับ ทะเลาะกันหน้าโรงพยาบาลแบบนี้เดี๋ยวก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งหรอก” เซินหมิงเฟิ่งแทรกตัวเองเข้าห้ามทัพ “ปล่อยชิงหลงกลับไปพักเถอะครับคุณโจเซ”

   “ให้ตายสิ เดี๋ยวนี้นายมีคนดูแลดีเชียวนะ เอาเถอะ ฉันยอมแพ้ก็ได้” โจเซพูดอย่างไม่จริงจังนักแล้วนำพวกเขาไปยังรถที่จอดรออยู่หลายคัน พวกเขาเดินขึ้นรถคันเดียวกันส่วนคันที่เหลือเป็นของพวกการ์ด ขบวนรถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากโรงพยาบาลไปทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในสถานที่นั้นกลับสู่ภาวะปกติหลังจากรถสีดำจำนวนมากทำให้คนที่เข้าออกหันมองด้วยความสนใจกันตั้งแต่ช่วงเช้า

   โจเซส่งพวกเขาที่โรงแรมก่อนจะกลับไปในทันที ท่าทางว่าจะมีธุระอื่นรออยู่จึงไม่ได้อยู่คุยกันอย่างที่เคยทำเป็นปกติ

   “ได้กลับมาที่โรงแรมแล้วเป็นยังไงบ้างครับ?” เซินหมิงเฟิ่งเอ่ยถามเมื่อลิฟต์ขึ้นมาส่งถึงชั้นที่ต้องการ

   “ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ยังไงก็เป็นที่พักชั่วคราวเหมือน ๆ กัน” ชิงหลงพูดพลางกลอกตามองรอบตัว สำหรับเขาแล้ว จะเป็นที่โรงแรมหรือที่โรงพยาบาลก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก แค่ที่โรงแรมเขามีอิสระในตัวเองในขณะที่โรงพยาบาลต้องอยู่ในสายตาของคนอื่น แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ไม่เหมือนกับที่บ้านอยู่ดี

   “เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลแบบนี้คงยังรู้สึกล้า ๆ อยู่ จะพักสักหน่อยไหมครับ?” เซินหมิงเฟิ่งถามต่อด้วยความเป็นห่วง   

   ชิงหลงโคลงหัวแล้วเดินเลี้ยวเข้าห้องโดยไม่ได้ให้คำตอบ ทำให้ผู้ถามต้องอนุมานเอาเองว่านั่นเป็นการตอบรับ เขาจึงปล่อยให้ชิงหลงเข้าห้องตัวเองตามลำพัง ส่วนเขาก็กลับห้องของเขาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายระคนกับความเหงานิดหน่อย เมื่อก่อนนี้เขามีเพื่อนเยอะแยะและยังน้อง ๆ อีก มาถึงตอนนี้เขาเหลือแค่ชิงหลงคนเดียว ส่วนคนอื่น ๆ ก็เหมือนคนที่อยู่ห่างไกล โจเซเองก็นาน ๆ ครั้งจะแวะมา คิมหันต์ก็ไม่ได้ข่าวคราวเลยสักนิด คนที่อยู่ฮ่องกงหรืออังกฤษไม่ต้องพูดถึง ไม่มีทางได้ติดต่ออยู่แล้ว

   เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจกับตัวเองแล้วเดินไปนั่งที่โซฟา หยิบรีโมทมาเปิดโทรทัศน์ดูรายการที่ตัวเองฟังภาษาไม่เข้าใจ

   แต่ในขณะที่เขากำลังเพลิดเพลินกับช่องรายการเพลงอยู่นั้น ประตูก็ถูกเปิดออกตามด้วยร่างของชิงหลงที่ปรากฏขึ้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งใกล้ ๆ โดยไม่พูดอะไรเช่นเดิม ซึ่งเซินหมิงเฟิ่งก็ชินเสียแล้ว ชิงหลงมักจะเงียบอยู่เสมอ ไม่ค่อยพูดสักเท่าไหร่หากไม่จำเป็นหรือไม่มีใครเปิดหัวข้อ

   “ไม่พักหรือครับ?” เขาเอ่ยถามก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมเปิดปากพูด

   “พักมาเยอะแล้ว” ชิงหลงทำเสียงเหนื่อยหน่าย แค่ตอนอยู่โรงพยาบาลเขาก็รู้สึกเหมือนได้นอนตุนเอาไว้เป็นอาทิตย์

   “ดูเหมือนคุณจะไม่ค่อยชอบนอนที่นั่น”

   ชิงหลงกลอกตา

   “ผมคิดว่าไม่มีใครชอบหรอก”

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะตอบ แล้วทั้งสองก็เงียบไป บางครั้งเขาก็นึกไม่ออกว่าจะยกหัวข้ออะไรมาทำลายความเงียบระหว่างพวกเขาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกต่อต้านชิงหลงอีกแล้ว แต่ชิงหลงก็ยังคงปฏิบัติกับเขาอย่างคงเส้นคงวา คงเพราะว่าตั้งแต่แรกแล้วที่ชิงหลงไม่ได้มีความคิดในแง่ลบกับเขา และที่อีกฝ่ายปฏิบัติด้วยท่าทางห่างเหินก็เพราะเป็นนิสัยส่วนตัวที่แก้ไม่ได้

   แต่การอยู่เงียบ ๆ แบบนี้ก็อึดอัดอยู่เหมือนกัน...

   หรือเขาควรจะพูดเรื่องนั้นดีนะ

   เซินหมิงเฟิ่งคิดก่อนจะค่อย ๆ เปล่งเสียงอย่างไม่แน่ใจนัก

   “เอ่อ...พวกเราก็อยู่ที่นี่นานแล้วสินะครับ” พอพูดออกไปแล้วเขาก็รู้สึกว่าตัวเองงี่เง่าชอบกล “สัก....2 เดือนกว่าแล้วหรือเปล่า....” ยิ่งต่อก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังออกทะเล แต่พอเหลือบตามองชิงหลง เขากลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังนั่งฟังอย่างตั้งใจ

   “ก็น่าจะราว ๆ นั้น” ชิงหลงตอบสั้น ๆ เพื่อไม่ให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกประหม่า แต่เขาก็คะเนสิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งอยากจะบอกไว้ในใจแล้ว

   “คุณไม่เบื่อบ้างหรือ? เอ่อ...ผมหมายถึงว่า ถึงเวนิสจะมีอะไรเยอะแยะแต่คุณเองก็ไม่ได้ชอบเที่ยว มาอยู่แบบนี้คงจะเบื่อพอสมควร ยิ่งเป็นที่ที่ตัวเองทำอะไรไม่สะดวกแล้ว....” พูดไปพูดมาสักพัก เซินหมิงเฟิ่งก็ถอนหายใจก่อนจะโพล่งออกมาว่า “ไม่คิดอยากจะกลับฮ่องกงบ้างหรือครับ?”

   “ผมก็เคยบอกเหตุผลคุณแล้วนะ”

   เซินหมิงเฟิ่งชะงัก

   “ก็จริง...แต่ว่ามันเกี่ยวกับพ่อของผมใช่ไหม? คุณแค่ทำให้เขาไม่ได้เจอผมอีกนั่นก็บรรลุจุดประสงค์ของคุณแล้ว ถ้าแค่นั้น ถึงผมจะอยู่ฮ่องกงก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่ครับ”

   “ถ้าคุณอยู่ในสถานที่ที่ไปหาได้ คุณก็ต้องหาโอกาสอยู่ดี” ใช่ว่าชิงหลงจะคาดเดาเรื่องแบบนี้ไม่ออก ตัวเขาที่เคยเห็นชีวิตคนมามากย่อมรู้ว่าคนเราไม่มีทางต่อต้านความผูกพันได้หากโอกาสอยู่ใกล้แค่เอื้อม เซินหมิงเฟิ่งจะทำใจอยู่ให้ห่างจากพ่อตัวเองทั้งที่อยู่บนแผ่นดินเดียวกันได้หรือ?

   “ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ ผมเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองมีความผูกพันกับพ่อถึงขนาดนั้นหรือเปล่า” เซินหมิงเฟิ่งอดจะพูดออกมาไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นคำถามที่เขาอยากจะถามตัวเอง เพราะชีวิตของเขานั้นเรียกได้ว่ามีความห่างเหินจากพ่อของตัวเองมาก ตอนเด็ก ๆ พ่อมักจะมีงานยุ่งอยู่เสมอ ตัวเขาก็อยู่ในการเลี้ยงดูของพ่อบ้าน ถึงอย่างนั้นเขาก็จำได้ว่าพ่อของเขาเป็นคนที่เข้มงวดทำให้เขารู้สึกกลัวอีกฝ่ายไปพร้อม ๆ กับความเกรง โตขึ้นมาหน่อยแม่เลี้ยงก็เป็นคนดูแลเขาซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพ่อก็ไม่ได้ดีขึ้น จนกระทั่งแม่เลี้ยงเสียและเขาถูกส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษเขาก็ไม่ได้เจอพ่ออีกเลยจนเมื่อเร็ว ๆ นี้

   เทียบกับเวลาทั้งชีวิตแล้ว เขากับพ่ออาจจะผูกพันกันแค่สายเลือดเท่านั้นเอง

   “แต่ว่า...ยังไงเขาก็เป็นพ่อของผม ผมก็อยากจะดูแลเขาถึงจะได้แต่อยู่ห่าง ๆ ก็ตามที”

   ชิงหลงมองเสี้ยวหน้าของเซินหมิงเฟิ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ และรู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดออกมาจากความรู้สึกจริง ๆ ไม่ใช่การเสแสร้งเพื่อล่อลวงให้เขาทำตามเท่านั้น

   “ถ้าคุณยืนยันแบบนั้น...”

   เซินหมิงเฟิ่งได้ยินชิงหลงรับคำแบบแบ่งรับแบ่งสู้ก็หันมายิ้มกว้าง

   “ครับ ผมยืนยัน”

   “แล้วผมจะลองพิจารณาดู” ชิงหลงไม่ได้ตอบตกลงในทันที เพราะเขายังต้องการเวลาคิดอีกสักหน่อยก่อนจะตัดสินใจว่าถึงเวลากลับฮ่องกงหรือยัง หรือบางทีมันอาจจะเร็วเกินไปก็ได้ แต่ในเวลานั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขากลับดังขึ้น

   ชายหนุ่มลุกเดินเลี่ยงออกมาแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นรับสายโดยมีเซินหมิงเฟิ่งมองตามด้วยสายตาสงสัย
   ชิงหลงคุยสายอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา

   มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในฮ่องกงล่ะมั้ง?

   เซินหมิงเฟิ่งคิดคาดเดาอยู่ในใจ เพราะชิงหลงมาอยู่ทางนี้นานแล้ว บางทีทางนั้นคงเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้น แต่เมื่อชิงหลงวางสายและหันกลับมา ข้อความที่ชิงหลงถ่ายทอดให้เขาฟังกลับน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่าเรื่องใด ๆ ที่เขาจะคาดคิดถึงได้ในตอนนี้

   จูเชว่ตายแล้ว...

----------------------->

   จูเชว่ตายแล้ว...

   และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ที่นี่...เพื่อพบกับรูปถ่ายสีขาวดำของพ่อตัวเองตั้งอยู่ข้างโลงศพสีอ่อน ประดับด้วยดอกไม้และธูปหอม

   ทั้งที่เป็นงานศพแท้ ๆ แต่เขากลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว เหมือนกับว่าข้างในของเขานั้นกลวงเปล่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย เมื่อยามทอดมองไปยังภาพถ่ายนั้น ดวงตาเคร่งเครียดของพ่อยังคงทำเหมือนจะสั่งสอนเขาแม้แต่ในเวลาที่ไม่อาจพูดอะไรได้อีกแล้ว ซึ่งคงเป็นเพราะแบบนั้นกระมัง เขาจึงไม่ได้ร้องไห้ออกมา เพราะเขาไม่อาจจะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นได้...

   เสียงซุบซิบที่ดังเป็นฉากหลังยังคงรักษาระดับความดังอยู่เท่าเดิมแม้เวลาจะผ่านไปนานแล้ว

   คนเหล่านี้มางานศพของพ่อ มางานศพของจูเชว่ แต่ไม่มีใครแม้สักคนเดียวที่หลั่งน้ำตาหรือแสดงความเสียใจ มีบ้างเป็นบางคนที่ออกอาการเสียดายและระลึกถึง แต่ไม่ได้มีความเสียใจอยู่ในรูปแบบอารมณ์เหล่านั้น คนที่เสียใจออกนอกหน้าที่สุด คงจะไม่พ้นพ่อบ้านหวางกับครอบครัวที่อาศัยบารมีของจูเชว่มาตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ กระมัง ซ้ำหวางซือกับหวางซานยังใกล้ชิดกับจูเชว่รุ่นนี้มากด้วย

   เซินหมิงเฟิ่งนั่งหลังเหยียดตรงบนเก้าอี้ด้านหน้าสุดเสียงสวดเงียบไปพักใหญ่แล้ว แต่เสียงกระซิบยังไม่จางหายไป และเขาก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้น...ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่แผ่นหลัง

   ลมหายใจคล้ายจะติดขัดอยู่ในช่องอก สายตาที่ทิ่มแทง อยากรู้อยากเห็น ประเมินค่า ต่างพุ่งตรงมายังเขาราวกับเป็นสินค้าชิ้นหนึ่งในงานประมูล เขาจำต้องจับภาพของพ่อเป็นเป้าให้สายตาตนเองและเพ่งสมาธิอยู่ที่นั่นเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากความรู้สึกหลากหลายที่ก่อตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ราวกับว่าแต่ละส่วนในร่างกายของเขากำลังโดนชำแหละและแยกชิ้นออกมาเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

   เสียงเก้าอี้ตัวที่อยู่เยื้องไปทางด้านหลังดังขึ้น บ่งบอกว่ามีใครบางคนเคลื่อนไหว หางตาของเซินหมิงเฟิ่งเหลี่ยวไปมองและเห็นแผ่นหลังเล็กของหญิงสาวคนหนึ่งในชุดทางการสีดำสนิทกำลังเดินออกไปจากห้องท่ามกลางสายตาของคนอื่น ๆ ที่ละไปจากเขาชั่วนาที

   เซินหมิงเฟิ่งหลุบตาลง เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของเธอที่ไม่อาจจะทนอยู่ในห้องนี้ได้อีกต่อไป ทั้งสายตาจากคนอื่น ๆ ทั้งความรู้สึกผิดในใจตัวเอง

   เมื่อเสียงเก้าอี้ของเขาดังขึ้น ทุกสายตาก็จับจ้องมาโดยทันที

   เซินหมิงเฟิ่งทำเป็นไม่รับรู้ถึงสายตาเหล่านั้น และหมุนตัวเดินออกไปทางประตูเดียวกับที่หญิงสาวเดินออกไปเมื่อครู่นี้และพบว่าเธอเดินออกไปถึงสวนด้านนอก บริเวณที่ไม่มีไม่อนุญาตให้แขกเหรื่อคนอื่น ๆ เข้าไปได้นอกจากคนในบ้าน กระนั้นหวางซือก็ไม่ได้ห้ามหญิงสาวคนนั้นเมื่อเธอเดินเข้าไป

   เขาหยุดยืนอยู่ที่วงกบประตูซึ่งเชื่อมไปสู่สวน มองดูหญิงสาวที่เคยยืดอกต่อหน้าทุกคนด้วยความมั่นใจในตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม มาตอนนี้รูปร่างของเธอกลับดูหดเล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อ เรือนผมที่เคยจัดทรงสวยงาม ตอนนี้กลับรวบขึ้นไปจนเรียบตึง แผ่นหลังบอบบางนั้นฉาบไว้ด้วยความหดหู่เศร้าหมอง นั่นเป็นเพราะชุดสีดำของเธอหรือเปล่าก็ไม่อาจทราบได้ จึงพาให้รู้สึกเช่นนั้น แต่เมื่อเทียบกับครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอ หญิงสาวในเวลานั้นงดงามราวกับดอกไม้สีสดสวยที่กำลังผลิบาน แต่ในตอนนี้ เธอเหมือนกับดอกไม้ที่กำลังชืดเฉา ถูกปกคลุมด้วยเงาดำทะมึนจนไม่ได้พบเจอกับแสงอาทิตย์

   “คุณ...มินาโมโตะ” เขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาและเอ่ยเรียกแบบไม่ชินปาก

   “..คุณเซิน...” ซากุระหันกลับมา ดวงตาของเธอมีรอยแดงก่ำที่เกิดจากการร้องไห้ติดต่อกันเป็นเวลานาน แม้แต่ตอนหันกลับมาก็ยังมีหยดน้ำตาวาวรื้นอยู่ตรงขอบตา

   “งานศพแบบนี้คงจะทำให้รู้สึกไม่ดีสินะครับ” เซินหมิงเฟิ่งส่งยิ้มบางให้กับหญิงสาวเพื่อให้เธอรู้สึกสบายใจมากขึ้น

   “ค่ะ....คงจะเป็นแบบนั้น” พูดไป ซากุระก็หลุบตาลงก่อนจะปิดเปลือกตาเมื่อภาพเก่าวูบขึ้นมาในสมอง “...รู้สึก...ไม่ดีจริง ๆ”

   เซินหมิงเฟิ่งมองซากุระด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ เขาได้ยินได้ฟังเหตุการณ์ทั้งหมดจากหวางซือแล้ว และเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเขาเองยังช็อคไม่หายทั้งที่เป็นแค่คนที่ฟังเหตุการณ์ในภายหลัง แล้วซากุระที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นล่ะ? จะไม่ยิ่งเสียขวัญมากกว่าเขาหรือ

   แน่นอน...มากกว่าหลายเท่าด้วย

   ซ้ำยัง...ทุก ๆ สิ่งที่ซากุระทำมาทั้งหมดเพื่อเขา และทำให้เธอต้องมาเจอกับเรื่องโหดร้ายแบบนี้ เธอกำลังนึกเสียใจกับมันอยู่หรือเปล่า?
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 30-07-2012 19:18:59
   ใบหน้าซีดเซียวที่แม้เครื่องสำอางก็ไม่อาจปกปิดได้กำลังกระซิบบอกเขาว่าเจ้าของใบหน้านั้นกำลังรู้สึกหวาดกลัวและขวัญผวา ถึงอย่างนั้นซากุระก็ไม่ได้พูดออกมาว่าตนเองรู้สึกอย่างไร ไม่แม้แต่พยายามจะร้องไห้ต่อหน้าเขา เธอแค่ก้มหน้าอยู่นิ่ง ๆ และเก็บทุกอย่างไว้ภายใต้ความเงียบงัน

   “ขอโทษด้วยนะคะ...” แต่แล้ว หลังจากพวกเขาถูกครอบคลุมด้วยความเงียบ ซากุระก็พูดออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา

   แม้เซินหมิงเฟิ่งจะไม่ถาม เขาก็รู้ว่าเธอกำลังขอโทษเรื่องอะไรอยู่

   “ผมได้ยินเรื่องทุกอย่างมาจากเหล่าซือแล้ว” เซินหมิงเฟิ่งตอบ “มันไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ คุณมินาโมโตะ ทุก ๆ อย่างนี้...มันก็แค่วัฏจักรของมันเท่านั้นเอง....ผมสิควรจะเป็นฝ่ายขอโทษแทนพ่อของผม ที่ทำให้คุณต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้ ทั้งที่คุณไม่ควรจะเข้ามาพัวพันด้วยเลย”

   “ไม่หรอกค่ะ...ฉัน....” ซากุระพูดได้แค่นั้นก็รู้สึกขำตัวเองขึ้นมา ทั้งที่ติดว่าตัวเองตัดสินใจทุกอย่างดีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อมาถึงจุดจบจริง ๆ เธอจะรู้สึกเสียใจกับทุก ๆ อย่างถึงขนาดนี้

   เซินหมิงเฟิ่งสาวเท้าเข้าไปหา ก่อนจะดึงหญิงสาวเข้ามากอด ถึงแม้ตัวเขาจะรู้สึกว่าเป็นการกระทำที่ค่อนข้างอุกอาจ แต่ถึงอย่างนั้นสีหน้าของซากุระก็ไม่อาจทำให้เขาเมินเฉยได้ อีกทั้งตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เธอต้องมาเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ ดังนั้น อย่างน้อยเขาจึงอยากจะเป็นที่พักพิงให้กับเธอเมื่อเธอไม่อาจหันหน้าไปหาใครได้อีก อยากจะให้ซากุระรู้ว่าเขาไม่ได้โกรธเคืองอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนับเป็นเหตุสุดวิสัยสำหรับเขาทั้งสอง แต่ถึงจะว่าอย่างนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็ยังอดโทษตัวเองไม่ได้อยู่ดี ความรู้สึกอึดอัดข้างในอกโดยไม่อาจหาทางระบายออกได้นี้ เขากับซากุระคงจะรู้สึกเหมือน ๆ กัน

   “ถ้าคุณอยากจะร้องไห้....” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

   “....ขอบคุณนะคะ แต่...ไม่ดีกว่า...” แต่ซากุระกลับปฏิเสธด้วยเสียงสั่นเครือ “ถ้าฉันร้องไห้ตรงนี้ ฉันจะต้องหยุดไม่ได้แน่ ๆ”

   นั่นสินะ...

   เซินหมิงเฟิ่งคิดในใจ

   เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราต้องกักกลั้นบางสิ่งเอาไว้เป็นเวลานาน เมื่อถึงเวลาได้ปลดปล่อยออกมามันมักจะมากเกินควร เพราะสิ่งที่ถูกกักเก็บไว้นั้นไม่มีทางจะหยุดนิ่ง ยิ่งเก็บไว้นานเท่าไหร่มันก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เรื่องร้าย ๆ

   “เรา...ไปหาที่คุยเงียบ ๆ ดีไหมครับ”

   ซากุระเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาแสดงคำถาม

   “ฉันคิดว่าที่นี่ก็เงียบดีนะคะ” เธอมองไปรอบตัวที่มีแต่สวนสวย น่าเสียดายแต่วันนี้แดดไม่จ้า พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าจึงเห็นสีหม่นทึมของเมฆ

   “จะว่ายังไงดีนะ” เซินหมิงเฟิ่งเค้นเสียงหัวเราะเฝื่อน ๆ “สายตาน่ะ....”

   จริงอยู่ว่าคนเราไม่ใช่จอมยุทธในหนังจีน ดังนั้นคงไม่มีทางรู้สึกได้ว่ามีสายตากำลังจับจ้องมาจากทางไหน แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังของตนเองมีบางสิ่งบางอย่างเกาะอยู่ คล้ายกับความหวาดระแวงที่เกิดขึ้นเมื่ออยู่คนเดียวเพียงลำพัง มันอาจจะเป็นสายตาของใครบางคนที่กำลังมองมา หรือความมุ่งมาดของใครบางคนก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นอะไร มันก็ทำให้เขากระสับกระส่ายหายใจไม่สะดวก

   ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กันนะ...

   มันเริ่มขึ้น...ในตอนที่เขาถูกชิงหลงพามาส่งถึงหน้าบ้านตัวเองหรือเปล่า

   ไม่สิ ตอนนั้นเขากำลังช็อคอยู่ ถึงจะไม่ได้ช็อคเท่ากับตอนที่ได้ยินข่าวนี้ครั้งแรก แต่ก็ไม่ใช่ช่วงที่เขาจะสามารถตั้งสติได้ว่าตอนนั้นตัวเองกำลังรู้สึกยังไง

   มันเริ่มหลังจากนั้น....

   ใช่ ตอนที่ประตูของบ้านถูกเปิดออก และภายในนั้นมีผู้คนมากมายจับกลุ่มกันสนทนาอยู่ไกล ๆ ทุกคนสวมชุดสีดำสนิท บนใบหน้าของแต่ละคนไม่ปรากฏอารมณ์ใดชัดเจน เสมือนว่าพวกเขาเพียงแค่มายืนอยู่ตรงนี้โดยไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ที่นี่

   ตอนนั้นต่างคนก็ต่างอยู่ในโลกของตัวเอง มีเขตแบ่งกั้นของแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน

   แต่แล้ว...เมื่อเขาก้าวเข้าไป เขตแบ่งกั้นเหล่านั้นก็พังทลายลง

   ทุกสายตาเคลื่อนมาจับที่เขาเป็นจุดเดียว ในตอนนั้นเหมือนกับว่าเขาก้าวเข้าไปในสถานที่ซึ่งเวลาทั้งหมดหยุดนิ่งลง เหมือนกับฉากหนึ่งในหนังที่อยู่ ๆ ก็ถูกกดปุ่มหยุดการเล่น เวลานั้นเองที่เขาเริ่มรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไต่ขึ้นมาบนแผ่นหลัง แมงมุมตัวใหญ่...ที่เกาะอยู่บนหลังของเขา

   ลมหายใจของเขาเริ่มติดขัดเมื่อคิดถึงเรื่องนั้น

   ช่าง...น่ากลัวเหลือเกิน...

   มือที่เย็นเฉียบที่แตะลงบนมือของเขาทำให้สะดุ้งจากภวังค์นั้น เซินหมิงเฟิ่งก้มลงมองซากุระก่อนจะยิ้มเจื่อนเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่ากำลังยืนแข็งเป็นหุ่นอยู่

   ซากุระเลื่อนสายตามองเข้าไปข้างในตัวบ้าน ที่ประตูบานหนึ่งซึ่งหันหน้ามาทางนี้แง้มอยู่

   “เข้าไปข้างในบ้านกันเถอะค่ะ” ซากุระพอจะเข้าใจความรู้สึกของเซินหมิงเฟิ่งแล้ว จึงเอ่ยชวนให้เข้าข้างใน เพราะยืนอยู่ตรงนี้นานไป มีแต่จะทำให้รู้สึกแย่เท่านั้น

   เซินหมิงเฟิ่งเดินนำซากุระเข้าไปในตัวบ้าน แต่เขาไม่ได้เข้าไปในโถงที่ใช้จัดวางศพและรับแขก กลับพาหญิงสาวเลี้ยวไปทางห้องหนังสือแทน ซึ่งเมื่อซากุระเห็นทางเดินนั้น กับประตูบานนั้น ใบหน้าของเธอก็ซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัด มือทั้งสองข้างเย็นเฉียบ ริมฝีปากขบแน่น และรู้สึกพะอืดพะอมในคอ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เท้าของเธอก็ยิ่งหนักอึ้งจนเหมือนก้าวไม่ออก

   “คุณซากุระ” เซินหมิงเฟิ่งรีบดึงมือหญิงสาวเอาไว้เมื่อเห็นอีกฝ่ายท่าทางเหมือนจะเป็นลม
   “ขอโทษนะคะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ซากุระสูดหายใจเข้าปอดหลายครั้ง และพยายามลบภาพเหล่านั้นออกไปจากหัว

   “พ่อของผมตายในห้องนี้สินะครับ” ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป “ตอนผมมาถึง มันก็กลับมาสะอาดเหมือนเดิมแล้ว กระทั่งพื้นพรมก็เปลี่ยนใหม่”

   “เพราะพ่อบ้านหวางเห็นว่าเป็นเรื่องที่ตำรวจเข้ามายุ่งไม่ได้อยู่แล้ว ก็เลยไม่เห็นประโยชน์ว่าจะทิ้งคราบเลือดไว้ทำไมน่ะค่ะ” ซากุระอธิบาย แต่ถึงอย่างนั้น สำหรับเธอแล้วที่นั่นยังคงมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เลือดอุ่น ๆ สีแดงคล้ำเป็นหย่อมขนาดย่อม

   “แล้วก็คงเพราะไม่อยากให้ผมเห็นด้วย” เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปที่โต๊ะที่พ่อของเขามักใช้อ่านหนังสือ ก่อนจะผละไปที่ชั้นวางรูปภาพ เขาไล่สายตาไปทีละรูปและแย้มรอยยิ้ม “นี่ไงแม่ของผม ดูเหมือนผมมากกว่าพ่ออีกนะครับ ว่าไหม?” เขาชี้ชวนให้ซากุระดูภาพหญิงสาวชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งซากุระก็คิดแบบเดียวกับที่เซินหมิงเฟิ่งว่า ว่าตัวเขามีเค้าหน้าของแม่มากกว่าพ่อ เพราะอย่างนั้นชายหนุ่มจึงมีใบหน้าที่ละมุนตาชวนให้เอ็นดู ไม่ได้ดูเคร่งขรึมจริงจังน่ายำเกรงอย่างเซินจง

   ซากุระเลื่อนสายตาไปมองภาพอื่น ๆ

   “แล้วนั่นใครหรือคะ?” แม้เธอจะไม่เคยรู้มาก่อนว่าเซินหมิงเฟิ่งมีพี่สาวหรือเปล่า แต่ผู้หญิงในภาพนั้นดูไม่เหมือนทั้งเซินจงหรือแม่ของเซินหมิงเฟิ่งเลย

   “อา...นั่น....” เซินหมิงเฟิ่งยิ้มขมขื่น “แม่เลี้ยงของผมเอง” เขาหยิบรูปกรอบนั้นขึ้นมา มองหญิงสาวในรูปนั้นที่คุ้นตา รูปหน้าแบบนี้....ทำไมในตอนนั้นเขาถึงคิดไม่ออกนะว่าดูคล้ายชิงหลงมากถึงขนาดนี้

   “แล้วตอนนี้ท่าน...”

   “เสียไปนานแล้วครับ”

   “เสียใจด้วยนะคะ” ซากุระกล่าว ซึ่งเป็นคำพูดจากใจของเธอจริง ๆ ทั้งที่แม่จริงๆอยู่ห่างไกลถึงอีกฟากโลก ส่วนแม่เลี้ยงก็เสียไปแล้ว กลับต้องมาเสียพ่อไปอีก อาจจะเป็นคำพูดที่เกินไปสักนิด แต่เธอรู้สึกว่าไม่ว่ากับใครโลกนี้ก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

   “ความจริงผมก็ยังมีเรื่องสงสัย....เหล่าซือเล่าให้ผมฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ว่า...เขากลับไม่ยอมบอกว่าใครคือคนที่ทำเรื่องนี้” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ “ถึงพ่อจะฆ่าตัวตายก็จริง แต่ว่าเป็นเพราะใครบางคนผลักดันไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างนั้นคน ๆ นั้นคือใคร นอกจากชิงหลงแล้ว ผมไม่รู้เลยว่าแม่เลี้ยงของผมมีความสัมพันธ์กับใครอีก คนที่สามารถตัดสินโทษของพ่อผมแทนชิงหลงได้....”

   ซากุระเหลือบมองผู้พูด

   “เรื่องแบบนั้น ถึงคุณจะรู้ไป มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นไม่ใช่หรือคะ...”

   เซินหมิงเฟิ่งนิ่งเงียบ เขาแค่ยิ้มน้อย ๆ และไม่ได้พูดอะไรอีก

   มันก็จริงอย่างที่ซากุระว่า...ถ้าเขารู้ เขาคงจะรู้สึกโกรธแค้นคน ๆ นั้นที่พรากพ่อของเขาไป พ่อที่ถึงแม้จะไม่ได้รู้สึกผูกพันอย่างพ่อลูกทั่วไป แต่เขาก็ยังรักและเคารพผู้ชายคนนี้มากกว่าใคร พ่อที่เขามีเพียงคนเดียวในโลกนี้และไม่มีใครที่ไหนแทนที่ได้ พ่อที่เขาเคยคิดว่าไม่ได้ใยดีเขา แต่เป็นคนเดียวที่ยอมแลกชีวิตตัวเองเพื่อให้อิสรภาพที่โดนช่วงชิงไปกับเขาอีกครั้งหนึ่ง

   และถ้าเขารู้ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี เพราะมันเป็นไปตามกฎที่ถูกตั้งไว้ หากเขาลงมือทำอะไรลงไป ก็มีแต่จะทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากกว่าเดิม

   เพราะฉะนั้น....ไม่รู้นั่นแหละดีแล้ว....นั่นคงเป็นสิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกัน

   กรอบรูปถูกนำกลับไปตั้งที่เดิม รูปภาพเหล่านี้บ่งบอกมากกว่าการมีอยู่ของคน ๆ หนึ่งในบ้านหลังนี้ แต่มันฉายอารมณ์ความรู้สึกของผู้คน ณ เวลานั้นออกมา และดูเหมือนตอนที่ถ่ายภาพเหล่านี้ คนเหล่านั้นจะมีความสุขกันดี กระนั้นมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว และทุก ๆ คนในรูปก็เป็นแค่คนที่เคยมีตัวตน ในเวลานี้...มีแค่เขาคนเดียวที่ยังคงมีตัวตนอยู่จริง ณ ปัจจุบัน

   ความอ้างว้างแบบนี้มันคืออะไรกันนะ...

   เขาไม่เหลือใครแล้วจริง ๆ หรือ...กระทั่งชิงหลง เมื่อทุกอย่างจบลงแล้ว เจ้าตัวกับเขาก็คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป นอกจากคนที่อยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้น

   เซินหมิงเฟิ่งหันไปมองซากุระ

   ไม่หรอก...เขายังเหลือคนอีกคนหนึ่ง ถึงแม้ไม่ใช่คนที่เขาสามารถพักพิงได้ แต่อย่างน้อย เธอก็จะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเขาตลอดไป

   เซินหมิงเฟิ่งเดินเข้าไปหาหญิงสาวก่อนประคองมือของเธอขึ้นมา

   “ขอบคุณนะครับ สำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา”

   “ฉันไม่ใช่คนที่คุณจะพูดแบบนั้นได้หรอกค่ะ” แต่สำหรับซากุระแล้ว เธอก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองเป็นต้นเหตุให้จูเชว่ตาย ความรู้สึกผิดนั้นทำให้เธอไม่สามารถเรียกตัวเองว่าคู่หมั้นของว่าที่จูเชว่ได้เต็มปากอีกต่อไป รวมถึงการให้เกียรติของเซินหมิงเฟิ่งเธอก็ไม่สมควรจะได้รับ

   กระนั้นเซินหมิงเฟิ่งก็ยิ้มให้กับเธอ

   “สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนั้น คุณทำเพื่อผมไม่ใช่หรือ?” เขากล่าว “ผมคงโทษคุณไม่ได้หรอก เพราะไม่ว่าคุณจะทำยังไงผลของมันก็คงไม่ต่างไปจากนี้มากนัก”

   “แต่ว่า ถ้าฉันไม่พูดแบบนั้น....”

   เป็นเพราะเธอพูดว่า...จะยอมแลกทุกอย่าง....

   เซินหมิงเฟิ่งบีบมือซากุระเบา ๆ

   “สิ่งที่คุณทำช่วยให้ผมกลับมาได้ นั่นคงเป็นสิ่งที่พ่อของผมต้องการเช่นกัน”

   ไม่อย่างนั้นเขาคงจะไม่ตาย...

   เซินหมิงเฟิ่งไมได้พูดประโยคหลังออกไป เขาแค่ทิ้งมันไว้ในห้วงความคิดของตนเองและปล่อยให้ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง

   “ผมจะไม่ปล่อยให้มันสูญเปล่าแน่ สิ่งที่พ่อของผมปกป้องคือองค์กรนี้ คือตัวผม คือความสุขของผม ดังนั้นผมจึงตั้งใจที่จะเดินหน้าต่อไป” เซินหมิงเฟิ่งสูดหายใจจังหวะหนึ่ง “ดังนั้น ผมจึงอยากจะขอให้คุณเดินไปกับผมด้วย ผมทราบเรื่องทางบ้านของคุณมาไม่น้อยก่อนหน้านี้ และคุณก็มีพระคุณกับผม ผมจะไม่ปล่อยให้ใครทำร้ายคุณได้อีก คุณมินาโมโตะ...ไม่สิ คุณซากุระ”

   ซากุระเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเรียกชื่อต้นของตน

   “ผมจะทำให้คุณเป็นที่เคารพเทิดทูน แวดล้อมด้วยบริวาร พรั่งพร้อมด้วยความรักและภักดี จะไม่มีใครแตะต้องคุณได้หากผมไม่อนุญาต ดังนั้น คุณซากุระ ถึงเวลานี้จะไม่เหมาะสมเท่าไหร่ แต่ว่า...จะว่าอะไรไหมหากผมจะขอคุณแต่งงาน”

   เซินหมิงเฟิ่งพูดคำเหล่านั้นออกมาราวกับว่าท่องจำมันเอาไว้แล้ว ซึ่งซากุระก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดคำนี้กับเธอด้วยความรักเช่นหญิงชาย ส่วนสาเหตุนั้น....ก็คงเป็นสาเหตุเดียวกันทั้งเธอและเขา ทุก ๆ สิ่งที่ผ่านมา ทุก ๆ อย่างที่จะดำเนินไป เหมือนบีบบังคับพวกเขาให้ไม่เหลือใครนอกจากกันและกัน เมื่อคนสองคนมาพบกันจึงจำต้องยึดเหนี่ยวกันเอาไว้เพื่อปกป้องตนเอง

   ทั้งความอ้างว้าง ทั้งความหวาดกลัว ทุก ๆ อย่างนี้ขอเพียงมันสูญสลายไปเท่านั้น....

   ซากุระยิ้มให้กับเซินหมิงเฟิ่ง แม้มันจะไม่ได้เปี่ยมด้วยความสุขเช่นหญิงสาวที่ถูกขอแต่งงาน แต่ก็มีความโล่งใจปะปนอยู่ในอารมณ์อันหลากหลาย

   “ค่ะ” เธอตอบสั้น ๆ ก่อนที่เซินหมิงเฟิ่งจะดึงเธอเข้าไปอยู่ในอ้อมกอด

   ต่อจากนี้ไป อย่างน้อยพวกเขาทั้งสองก็จะไม่ต้องรู้สึกว่าต้องต่อสู้ในโลกนี้เพียงลำพังอีกแล้ว

   แต่ว่า...ทำไมกัน....

   ทำไมความหวั่นใจของเขาถึงยังไม่หายไป...

   เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกได้ว่าแมงมุมที่แผ่นหลังของตนยังไม่หลุดออกไป แต่มันกลับเติบโตขึ้นทีละน้อยอย่างช้า ๆ ...และเงียบงัน


TBC

ความจริงอยากเล่นมุก end อีกเพราะอารมณ์ตอนนี้คืออยากเขียนให้จบมากๆเลยค่ะ :'D แต่เคยเล่นไปแล้วในบัลลังก์ฯ เดี๋ยวเป็นมุกซ้ำแล้วนักอ่านไม่ตกใจ(เอ๊ะ) 55+
ดังนั้นห้ามขว้างปาหม้อ ไห กระทะใส่คนเขียนนะคะ -///-
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 30-07-2012 19:33:17
จะมีเรื่องอะไรที่มาพัวพันกับหมิงอีกนะ  :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 30-07-2012 19:39:44
อั๊ยยะ
แล้วชิงหลงทำไงต่อละทีนี้
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 30-07-2012 20:21:50
ลืม...วันก่อนวาดภาพคุณหนูซากุระไว้ เอามาฝากค่า
อาจจะมีคนเห็นในเฟซไปบ้างแล้ว XD

(http://i.imgur.com/i7VZz.jpg)
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 30-07-2012 22:01:53
ระหว่างซากุระกับเซินหมิงเฟิ่งยังไม่ใช่ความรัก เป็นแค่การพึ่งพากัน แต่อ่านไปอ่านมาชักอยากจะเชียร์นอร์มอล 55 ฟินจริงๆนะ
ส่วนชิงหลงกับไป๋หู่ :beat: :beat:

รอตอนหน้าค่ะ อย่ามามุข The End นะเดี๋ยวหัวใจวาย :z13:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 30-07-2012 23:20:18
อ้าวววววว เซินหมิงเฟิงขอแต่งงานซะแล้วว วาย ๆ

แมงมุม ชิงหลงล่ะซินะ อิอิอิ

จะกลับไปหา หรือโดนลักพาอิกครั้งล่ะเนี่ย

รอตอนต่อไปคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: KoTo_Nat ที่ 31-07-2012 07:34:56
โอ้ ดราม่าจังเรื่องนี้

มีปมเยอะมากกกกกกกกก  อ่านแล้วเครียด แค้น หมั่นใส้ ในอารมณ์เดียวกัน

แต่คนแต่งก็ขยันนะถึงจะอัพช้าเป็นบางครั้งแต่เวลามาต่อก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้วยการต่อสองตอนยาวๆ

คนแต่งแบบนี้แหละที่นักอ่านชอบ

แล้วเมื่อไหร่ชินหลงจะหลงรักน้องเซินละ ดูแล้วเรื่องนี้ท่าจะยังอีกยาว

ยังไงก็รีบมาต่ออีกนะครับจะรออ่านต่ออีก

ขอบคุณครับที่แบ่งปันความสุข
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 31-07-2012 19:22:05
รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 27 (30/07/12)
เริ่มหัวข้อโดย: badbadsumaru ที่ 02-08-2012 18:21:31
อาหมิง ;3;) สู้ๆนะ
ขออย่าให้มีเรื่องอะไรอีกเลย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-08-2012 22:09:17
-28-


   งานแต่งงาน...

   งานแต่งตั้ง...

   และงานอื่น ๆ หลังจากที่เซินหมิงเฟิ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งจูเชว่อย่างเต็มตัว เขาแทบจะไม่ได้เห็นชิงหลงเลย หากจะเห็นก็เป็นเพียงไกล ๆ เท่านั้น ราวกับว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามหลบหน้าเขาอยู่ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ...เพราะการกระทำทั้งหมดของอีกฝ่ายเป็นสิ่งหนึ่งที่กดดันให้จูเชว่รุ่นก่อนต้องฆ่าตัวตาย อาจจะเป็นความละอาย ความรู้สึกผิด หรือความเฉยชากับสิ่งที่หมดประโยชน์ ชิงหลงจึงตีตัวออกห่างราวกับว่าพวกเขาไม่เคยมีอะไรต่อกันมาก่อน แต่ทั้งที่เป็นอย่างนั้น...ทุก ๆ ครั้งที่เขาได้เห็นผู้ชายที่คล้ายชิงหลง เขาก็ยังอดรู้สึกถึงสายใยบาง ๆ ที่ยังเชื่อมโยงตัวเขาเอาไว้ไม่ได้ มันอาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ค้ำจุนจิตใจของเขาท่ามกลางความวุ่นวายที่ประเดประดังเข้ามา

   แค่เพียงได้เห็นเงาของผู้ชายคนนั้น...ความสงบก็บังเกิดขึ้นในใจ...

   เมื่อแรกเริ่มรับตำแหน่ง สิ่งที่เซินหมิงเฟิ่งกระทำเป็นสิ่งแรกกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับหน้าที่การงาน

   เขาสำรวจห้องใต้ดินที่เคยใช้เก็บของแต่ในช่วงของพ่อเขากลายเป็นห้องว่าง ๆ ซึ่งสมัยเด็กเขาแอบลงไปซ่อนแอบพวกคนรับใช้ที่โดนชวนเล่นด้วยกันบ่อย ๆ

   มันเป็นห้องกว้างที่มีแสงแดดส่องลงมาเพียงเล็กน้อยจากหน้าต่างบานเล็กซึ่งเชื่อมกับพื้นดินด้านบน มีหลอดฟลูออเรสเซนต์หลอดหนึ่งที่ตอนนี้เสียไปแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจึงสั่งเปลี่ยนใหม่และทำความสะอาดก่อนจะเอาโต๊ะกับเก้าอี้เข้าไปวางข้างใน

   เหตุที่เขาทำเช่นนั้นเพราะเขาต้องการสถานที่ที่สามารถอยู่คนเดียวได้ แต่เขากลับไม่สามารถทำใจใช้ห้องหนังสือของพ่อได้เพราะมีความทรงจำมากมายอยู่ที่นั่น ทั้งรูปภาพ ทั้งภาพที่ติดอยู่ในสมอง และยังเป็นสถานที่ซึ่งพ่อของเขาต้องจบชีวิตลงอีกด้วย

   ทุก ๆ กิจกรรมในชีวิตของเขาหลังจากนั้น ล้วนแต่นำความรู้สึกด้านลบมาให้ อาจเป็นเพราะเขาเคยมีชีวิตอย่างคนธรรมดามาก่อน โลกของมาเฟียจึงได้โหดร้ายและน่ากลัว

   ฆ่าคน…

   ยาเสพติด...

   ค้ามนุษย์...

   อาวุธ...

   ทุกสิ่งล้วนแต่ขัดกับศีลธรรมจรรยาเยี่ยงมนุษย์สามัญ แต่มันกลับเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขา และทุก ๆ คนรอบตัวเขาก็ทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องแสนปกติ

   สายตาของทุกคนที่จ้องมามองที่เขาอย่างเทิดทูนและคาดหวัง ล้วนแต่เป็นอาหารชั้นดีของแมงมุมที่ขยายตัวบนแผ่นหลังจนเขารู้สึกหนักอึ้ง

   แม้ว่าในยามปกติ เซินหมิงเฟิ่งจะวางตัวเป็นจูเชว่ผู้สมบูณ์แบบ เฉียบขาด และเต็มเปี่ยมด้วยบารมีของผู้นำ แต่เมื่ออยู่คนเดียว เขากลับต้องกอดตัวเองที่กำลังสั่นเทาในความมืด กลั้นเสียงร้องไห้ที่มีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ยิน ความหวาดกลัวต่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายในตอนแรกที่เป็นเพียงการระแวงต่อสายตา บัดนี้มันกลับกลายเป็นความสะพรึงกลัวต่อทุกสรรพสิ่งที่แวดล้อมในชีวิตประจำวัน

   อาหารจะมียาพิษหรือเปล่า?

   ด้านนอกมีมือปืนหรือไม่?

   ใครกันที่คิดจะหักหลัง?

   คำถามทำนองนี้วนเวียนอยู่ในหัวทุกวันทุกคืน หลอกหลอนชีวิตที่มีเส้นทางอันบิดเบี้ยวผิดแผกจากมนุษย์มนาทั่วไป

   และนั่นอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขาตัดสินใจ “ปรับโครงสร้างองค์กร” หรือพูดง่าย ๆ คือการกำจัดคนไร้ประโยชน์หรือน่าสงสัยออกไปนั่นเอง แต่ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ เกื้อหนุนอยู่อีก

   ในตอนแรกมีหลายคนคัดค้านสิ่งที่เขาต้องการจะทำ เพราะองค์กรอยู่มาได้ด้วยสายสัมพันธ์เก่าแก่คล้ายระบบศักดินา ระดับหัวหน้าขององค์กรล้วนแต่ไต่ขึ้นมาตามเส้นสายของบรรพบุรุษ มีแค่บางส่วนที่ไต่ขึ้นมาจากข้างถนนด้วยความสามารถของตัวเอง นั่นทำให้เซินหมิงเฟิ่งคิดถึงอเล็กซานโดรขึ้นมา ชายคนนั้นเป็นคนที่เขารู้สึกยกย่องตั้งแต่แรกเห็น แต่เมื่อมองไปในองค์กรของตนเอง เขากลับไม่สามารถหาคนเช่นนั้นได้เลย

   สุดท้าย การคัดค้านของคนรอบข้างก็ไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อซากุระเห็นดีเห็นงามกับเขา และเธอเองก็มีใจเอนเอียงไปทางระบบของตะวันตก อีกทั้งในโลกสมัยใหม่ องค์กรต่าง ๆ ก็ใช้ระบบนี้กันทั้งนั้น ทำให้เหตุผลของพวกผู้อาสุโสหัวเก่าต้องตกไป

   ถึงแม้ว่า...การตัดสินใจครั้งนั้นนำมาซึ่งการปองร้ายที่หนักข้อยิ่งกว่าเก่า ทั้งจากคนในและคนนอก

   เซินหมิงเฟิ่งได้รวบรวมคนมีความสามารถมากมายมาอยู่ใกล้ตัว ส่วนคนที่ไร้สามารถก็ลดขั้นลงไป เว้นแต่พวกหัวหน้าคนเก่าคนแก่ที่ทำงานให้มานาน เขาจึงไม่อาจแตะต้องได้ด้วยความอาวุโสที่ต้องเก็บไว้ควบคุมคนในปกครองของแต่ละคน แม้ใจเขาจะรู้ว่าคนเหล่านี้คือหอกข้างแคร่ แต่นี่คงจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้เพื่อปกป้องตัวเองและองค์กรไปพร้อม ๆ กัน และการกระทำเหล่านี้ยังทำให้จิตใจของเขาสงบลงด้วยความรู้สึกว่าตนเองยังสามารถควบคุมสิ่งที่อยู่ในมือได้

   แต่มันจะเป็นแบบนี้ได้อีกนานเท่าไหร่?

   แมงมุมบนหลังขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ มันไม่เคยหยุดเติบโต...

   สายตาประสงค์ร้ายจากรอบข้างยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ แต่คนเหล่านั้นยังทำอะไรเขาไม่ได้ เพราะคนที่ภักดีกับเขาและพึงพอใจกับระบบนี้ก็มีอยู่หลายส่วน โดยเฉพาะพวกระดับล่างที่ได้รับความก้าวหน้าจากผลงานที่กระทำมาตลอดชีวิต ซึ่งส่วนมากจะเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่แม้จะไม่จัดจ้านเหมือนพวกแก่ ๆ ในองค์กร แต่ก็ทำงานรองมือเท้าพวกหัวหน้าจนรู้หน้าที่กันดี

   เซินหมิงเฟิ่งมีชีวิตอยู่ในโลกที่ความกลัวกับอำนาจผสมปนเปเป็นหนึ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับสภาพจิตใจของเขาที่แบ่งเป็นสองขั้ว ถึงแม้จะกลัวแต่ก็ต้องเดินหน้า...

   และช่วงเวลาการปกครองของเขาก็ผ่านมาถึง 2 ปีนับจากวันที่เขารับตำแหน่ง จนถึงบัดนี้สิ่งที่เขาลงมือทำกำลังออกดอกออกผลอย่างงดงาม ผลการดำเนินงานต่าง ๆ ก้าวหน้าไปได้ด้วยความคิดของคนใหม่ ๆ ที่ยังไฟแรงและยินดีทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำโดยไม่ปริปาก ต่างกับสมัยก่อนที่ต้องเอาอกเอาใจผู้อาวุโสจนไม่เป็นอันทำอะไร ในตอนนี้ถึงผู้อาวุโสจะยังมีอำนาจอยู่และต้องคอยเอาใจเนือง ๆ แต่ก็สามารถใช้คนใต้ปกครองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพราะพวกอาศัยเส้นสายยากจะชูคออยู่ได้หากปราศจากผลงาน

   และจนถึงบัดนี้ซากุระก็ยังคงเป็นภรรยาที่คอยอยู่เคียงข้างเขา...

   แต่ชิงหลง...กลับยิ่งถอยห่างออกไป...

   เมื่อคิดแบบนั้นแล้ว ความเหงา ความเปล่าเปลี่ยว ก็ผุดขึ้นมาจากรอยแยกอันดำมืดที่ไม่ว่าเขาจะพยายามอุดอย่างไรก็ไม่สามารถปิดมันได้

   คุณสัญญาว่าจะปกป้องผม...แล้วทำไมคุณถึงทิ้งผมไว้ลำพัง...

------------------------------>

   “กลับมาแล้วหรือคะ?” ซากุระเอ่ยปากทักทายเซินหมิงเฟิ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้านด้วยท่าทางอิดโรย สายตาที่แสดงความเหนื่อยล้าสบมองเธอก่อนจะคลี่ยิ้มให้

   “กลับมาแล้วครับ” เซินหมิงเฟิ่งกล่าวแล้วถอดเสื้อสูท “วันนี้คุณกลับเร็วกว่าผมอีกนะ”

   “ความจริงเพราะคุณกลับช้าต่างหาก” ซากุระแย้งพลางหัวเราะแล้วชี้ไปทางนาฬิกาลูกตุ้มตั้งพื้นแบบโบราณ “งานที่บริษัทน่ะ เลิกเวลาเดิมทุกวันนั่นแหละค่ะ”

   “จริงด้วยสิ” ชายหนุ่มขำตัวเองก่อนทิ้งตัวนั่งบนโซฟา “ทางฝั่งผมสินะที่ลำบากหน่อย” เขาว่าแล้วปล่อยสายตามองไกลออกไปอย่างไม่มีจุดหมายแน่ชัด

   ซากุระส่ายศีรษะก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ แล้วเลื่อนมือกุมหลังมืออีกฝ่าย หลังแต่งงานกันไม่นาน เธอพบว่ากิริยาแบบนี้ทำให้เซินหมิงเฟิ่งระบายยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าได้ และสีหน้าของเขาก็จะสงบลงและคลายความเหนื่อยล้าเล็กน้อย เพราะอย่างนั้นทุกครั้งหลังเลิกงานและกลับมาที่บ้าน พวกเขาจึงมักจะนั่งด้วยกันและทำเช่นนี้เพื่อปลอบโยนจิตใจของกันและกันอยู่เสมอ

   ส่วนในเวลางาน ซากุระจะดูแลงานที่ต้องออกหน้ากับสื่อและงานเบื้องหน้าที่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากซากุระมีความสามารถด้านการมองคนและมีประสบการณ์ด้านการสื่อสาร งานของเธอจึงเน้นหนักไปทางบุคลากรและการตลาด ส่วนงานเบื้องหลังเซินหมิงเฟิ่งจะเป็นคนจัดการทั้งหมด รวมถึงงานส่วนของประธานเครือตระกูลด้วย แต่ในเวลาประชุมของบริษัท เขาก็จะพาซากุระไปร่วมฟังด้วยทุกครั้ง

   ในสายตาคนนอก พวกเขาเสมือนคู่รักที่สมบูรณ์แบบ แบ่งเบาภาระการงานกันและกัน อยู่ด้วยกันและเกื้อกูลกันอย่างไม่เคยขาด ระยะหลัง ๆ พวกเขาจึงไม่แปลกใจนักเมื่อมีคนทักอยู่บ่อย ๆ ว่าเมื่อไหร่ทั้งสองจึงจะมีโซ่ทองคล้องใจสักคนสองคน

   แต่พวกเขาต่างรู้ดีว่ามันไม่มีทางเกิดขึ้น...

   “คุณซากุระ คุณอยากจะมีลูกหรือเปล่า?”

   คำถามของเซินหมิงเฟิ่งทำให้ผู้ฟังเผยสีหน้าแปลกใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง ก่อนที่เธอจะหัวเราะน้อย ๆ เหมือนเดาเหตุการณ์บางอย่างได้

   “โดนคะยั้นคะยอมาหรือคะ?”

   “ก็ประมาณนั้น....” เซินหมิงเฟิ่งถอนหายใจ “วันนี้ผมไปพบภรรยาของเหล่าโหวมา เป็นวันเกิดของเธอน่ะ แล้วเธอก็บอกว่า.......”

   ซากุระเลิกคิ้วรอฟังหลังจากเซินหมิงเฟิ่งหยุดพูดไปเฉย ๆ

   เขาชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนว่าต่อ

   “การได้อุ้มชูเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองกับคู่ชีวิตคือความฝันอันสูงสุดของผู้หญิงทุกคน” หลังจากเซินหมิงเฟิ่งพูดจบ ทั้งสองก็เงียบกันไปครู่หนึ่ง

   “แหม...คุณนายเข้าใจผู้หญิงดีจังเลยนะคะ” ซากุระหัวเราะ “แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่เชิงเป็นแบบนั้นเสียทีเดียว เพราะผู้หญิงสมัยใหม่หลายคนไม่ได้ต้องการมีครอบครัวด้วยซ้ำไป แต่คุณนายก็คงจะพูดไปตามวัยเท่านั้นเองค่ะ เพราะในสมัยก่อนผู้หญิงต้องแต่งงานเพื่อเป็นหน้าตาให้ครอบครัว การมีลูกจะเป็นหลักฐานการยอมรับการเป็นครอบครัวของฝ่ายสามีด้วย เพราะบางทีพ่อกับแม่ของสามีจะไม่ชอบลูกสะใภ้ แต่อย่างไรก็จะรักหลานน่ะค่ะ”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับ

   “แล้วสำหรับคุณล่ะ?”

   ซากุระยิ้มบาง

   “คุณเซินทำไม่ได้หรอกค่ะ ก็คุณเซินไม่ได้รักฉันในรูปแบบนั้น ถ้าคุณทำกับฉันทั้งที่ไม่ได้รักคงจะเป็นการทำร้ายจิตใจฉันมาก คุณใจดีเกินกว่าจะทำได้ไม่ใช่หรือคะ?”

   “...นั่นสินะครับ...” เซินหมิงเฟิ่งตอบรับเสียงแผ่วหมือนจะขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในที เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากเขาไม่แต่งงานกับซากุระ บางทีเธออาจจะได้เจอผู้ชายที่ดีพอและสามารถรักเธอได้ หากเป็นแบบนั้นตอนนี้เธอคงจะมีครอบครัวที่แสนสุขไปแล้ว

   หรือไม่...ก็เพียงแต่เขาไม่ได้เจอกับชิงหลง...

   “สักวันหนึ่ง...คุณจะไปสินะคะ...”

   ไม่รู้ว่าเป็นสัญชาตญาณหญิง หรือลางสังหรณ์ แต่ซากุระรู้สึกได้ว่าเซินหมิงเฟิ่งกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ในใจโดยไม่บอกกับใคร

   เจ้าตัวมักจะใช้เวลาอยู่คนเดียวในห้องใต้ดินที่เงียบสงัด บางครั้งก็อยู่เกือบทั้งวันโดยใครก็ลงไปเรียกไม่ได้เพราะเป็นข้อกำหนดที่เซินหมิงเฟิ่งบอกไว้กับคนในบ้านตั้งแต่ปรับปรุงห้องเสร็จใหม่ ๆ ว่านี่คืออาณาเขตส่วนบุคคลที่ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ห้ามใครลงไป

   ยังไม่เคยมีกรณีฝ่าฝืนคำสั่ง จึงไม่มีใครรู้ว่าเซินหมิงเฟิ่งทำอะไรอยู่ที่นั่น

   แต่ช่วงเวลาที่อยู่เพียงลำพังนั้น สมองของมนุษย์มักจะคิดอะไรมากมายเหลือคณานับ ดังนั้นหากเซินหมิงเฟิ่งจะวางแผนอะไรก็คงไม่น่าแปลกใจ ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้การใคร่ครวญเป็นระยะเวลานานด้วยแล้ว มันคงจะเป็นเรื่องสำคัญและยากต่อการตัดสินใจมากทีเดียว

   อีกหลักฐานหนึ่งที่ซากุระคิดว่าเซินหมิงเฟิ่งมีแผนจะทำอะไรนั้น คล้ายจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวผสมกับเหตุผลแอบแฝง นั่นคือการที่ยินยอมให้เธอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทุก ๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและโลกของมาเฟีย ในเวลาประชุมกลุ่ม เธอจะได้รับฟังและเสนอความคิดเห็นเสมอซึ่งในตอนแรกหลาย ๆ คนไม่พอใจเพราะคิดว่าจูเชว่หลงภรรยาจนโงหัวไม่ขึ้น และโดยปกติ ภรรยาของหัวหน้าแต่ละคนจะไม่มีสิทธิเสียงในหน้าที่การงานของสามีแบบนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปและความคิดของเธอเองก็มีประโยชน์ในหลาย ๆ โปรเจคที่เกิดขึ้นใหม่ ทำให้ไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก กลับกัน เธอกลายเป็นที่เคารพนับถือมากขึ้น

   หากคิดในแง่ปกติ ใคร ๆ ก็คงจะคิดว่าเป็นการใช้คนให้ได้ประโยชน์สูงสุดอย่างที่เซินหมิงเฟิ่งมักพูดว่า ‘Put the right man on the right job’

   ในแง่ของผู้หญิงทั่ว ๆ ไป ก็มองว่าเป็นการหยิบยื่นโอกาสให้สตรีเพศ

   แต่สำหรับเธอที่รู้จักเซินหมิงเฟิ่งดีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เซินหมิงเฟิ่งไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนี้ด้วยเหตุผลอย่างพื้น ๆ เช่นนั้น เพราะหากพูดถึงความเหมาะสมกับงาน ก็มีอีกหลายคนที่เหมาะสมมากกว่า เธอแค่นั่งอยู่บ้านเฉย ๆ หรือช่วยคัดบุคลากรบ้างก็ไม่มีใครตำหนิเธอได้แล้ว แล้วทำไมเซินหมิงเฟิ่งจึงต้องลำบากเสี่ยงเอาเธอเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ด้วย หากไม่ใช่เพราะต้องการหาที่ยืนให้กับเธอหลังจากตนเองจากไป

   แต่ถึงอย่างนั้น ซากุระก็ไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้ออกไป เพราะทุกอย่างก็แค่ข้อสงสัยที่อาจจะถูกมองว่าคิดมากเกินไปก็ได้ เธอจึงแค่เพียงถามคำถามพื้น ๆ เท่านั้น

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มเงียบ ๆ ก่อนจะดึงซากุระเข้ามากอดแล้วจูบบนกระหม่อม

   “ผมจะไม่ปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวหรอก” เขาลูบเรือนผมนุ่มของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน “ผมจะจัดเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย ผมสัญญา”

   ถึงแม้น้ำเสียงของเซินหมิงเฟิ่งเหมือนจะพยายามบอกให้เธอสบายใจ แต่ซากุระกลับไม่รู้สึกดีกับคำสัญญาแบบนั้นเลย เพราะมันคือการตอบรับว่าข้อสงสัยของเธอถูกต้องทุกประการ แต่ก็เพราะเซินหมิงเฟิ่งพูดออกมาแบบนั้นแล้ว เธอจึงไม่สามารถคาดคั้นอะไรได้อีก

   ความจริงแล้ว...ระหว่างเขาและเธอ ก็ยังมีกำแพงสูงใหญ่ตั้งขวาง...

   “แล้วตอนนี้ไปถึงไหนแล้วคะ?” ซากุระเลือกจะถามคำถามง่าย ๆ โดยไม่คาดหวังคำตอบ

   “ก็เกือบเสร็จแล้ว เหลืออีกไม่กี่อย่างที่ผมต้องทำ”

   ถ้าอย่างนั้น...ก็แปลว่าอีกไม่นาน...

   ซากุระสรุปความในใจเงียบ ๆ

---------------------------->
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 04-08-2012 22:09:51
   ชิงหลง หลังจากกลับมาจากอิตาลีเขาก็ต้องเจอกับปัญหาหลาย ๆ อย่างที่เลขาของเขาไม่มีอำนาจจัดการทำให้ชีวิตเขาต้องวุ่นวายกับเรื่องรอบตัวไประยะหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดจะคิดไม่ได้ว่าเซินหมิงเฟิ่งจะต้องเผชิญกับความรู้สึกแบบไหนเมื่อพบว่าพ่อของตนเองได้จากไปแล้ว และตนเองต้องรับภาระที่หนักหนาโดยที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจอะไรเลย

   งานสำคัญต่าง ๆ ที่เขาจะมีโอกาสได้พบอีกฝ่าย เขาก็ทำได้แค่มองดูห่าง ๆ เพราะรู้ดีว่าตนเองไม่มีสิทธิมากกว่านั้น

   บางที เซินหมิงเฟิ่งคงจะเกลียดชังเขามากทีเดียว...

   เขาคิดเช่นนั้น และเพื่อบรรเทาความทุกข์ใจของอีกฝ่าย เขาจึงเลือกที่จะอยู่ให้ห่างจากจูเชว่คนใหม่ให้มากที่สุด และก็เป็นโชคดีที่พวกเขาไม่มีเรื่องสำคัญใด ๆ ให้ต้องใกล้ชิดกันอีกจนกระทั่งเวลาผ่านมาถึง 2 ปีที่ทุกอย่างค่อยๆ ผ่านพ้นไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงแจ่มชัดนั่นคือความรู้สึกผูกพันกับใครบางคน

   คงเป็นเรื่องจริงที่เขาว่าสายสัมพันธ์นั้นตัดรอนได้ยาก

   ความทรงจำ เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ลางเลือน แต่สายสัมพันธ์เมื่อนึกถึงขึ้นมาก็ยังคงทำให้รู้สึกถึงสิ่งที่ยังคงตกค้างอยู่ในใจ

   เขาพยายามดึงตัวเองออกมาเพื่อสิ่งที่ดีกว่าสำหรับทั้งเขาและเซินหมิงเฟิ่ง เขาทำเช่นนั้นได้นานมากพอที่จะรู้ว่ามันได้ผล เพราะจนถึงตอนนี้ เซินหมิงเฟิ่งเองก็อยู่ปกติดี แต่งงานมีภรรยา มีการปรับปรุงโครงสร้างภายในครั้งใหญ่ ส่วนเขาก็มีชีวิตของตนเองอยู่ตรงนี้เช่นกัน

   ชิงหลงไม่ได้คิดถึงเรื่องของเซินหมิงเฟิ่งมานานแล้วหลังจากที่ข่าวคราวทางจูเชว่ไม่มีอะไรผิดปกติ รวมถึงไม่ได้ติดต่อกับไป๋หู่เป็นการส่วนตัวอีกเพราะยังไม่มีธุระสำคัญอะไร จนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาได้รับสายโทรศัพท์จากไป๋หู่ที่จงใจโทรเข้าเครื่องของเขาโดยตรงแปลว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

   เขารับโทรศัพท์โดยไม่ได้เดาว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร

   “สวัสดีครับ”

   “สวัสดีชิงหลง” ไป๋หู่กรอกเสียงตามมา “ขอโทษที่โทรมารบกวนเวลาอันมีค่าของนายนะ ว่าแต่ นายว่างพอจะคุยกับฉันหรือเปล่า?”

   เสียงของไป๋หู่ยังคงระรื่นอย่างที่เคยได้ยินครั้งสุดท้าย เจ้าตัวมักสร้างอิมเมจตัวเองให้เป็นแบบนั้นทั้งที่จริง ๆ แล้วเจ้าเล่ห์เสียยิ่งกว่าจิ้งจอก ชิงหลงรู้ดีถึงใบหน้าหลังหน้ากากอีกฝ่ายเพราะเป็นเพื่อนกันสมัยเรียน เขาจึงไม่เคยหลงกลสีหน้า น้ำเสียง หรือท่าทางที่เสมือนไม่ใส่ใจเรื่องรอบตัวนั้นเลย

   “ความจริงฉันมีเวลาจนถึงบ่ายสามโมง” ชิงหลงมองนาฬิกาบนโต๊ะตัวเอง “แต่ถ้าให้ดี ฉันอยากให้เป็นเรื่องสั้น ๆ ที่ไม่ต้องพรรณนายืดยาว”

   ไป๋หู่หัวเราะร่า

   “นายนี่นะ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมยังหาสาวมาควงไม่ได้เสียที ไปอิตาลีตั้งหลายครั้งไม่มีสาวมาแลบ้างเลยหรือไง?” ไป๋หู่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงถึงช่วงเวลาที่ชิงหลงไปอิตาลีกับเซินหมิงเฟิ่ง และโดยปกติชิงหลงก็ไปอิตาลีหลายครั้ง ถึงอย่างนั้นในสมองของชิงหลงกลับกำลังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ คงเพราะเป็นครั้งเดียวกระมังที่เขาไม่ได้เดินทางไปอิตาลีเพื่อเยี่ยมญาติหรือทำงานตามที่เคยทำเป็นปกติ

   “นายก็ควงไปทั่วแต่ไม่มีตัวจริง” ชิงหลงสวนกลับเสียงเรียบแล้วปัดสิ่งที่อยู่ในสมองออกไป

   “มันเจ็บเหมือนกันนะ” ถึงเจ้าตัวจะพูดแบบนั้นแต่กลับหัวเราะรื่นเริง

   “แล้วตกลงว่านายมีธุระอะไรกันแน่?”

   “อย่างเพิ่งทำเสียงแบบนั้นสิ ไม่ได้คุยกับนายแบบนี้ตั้งนานเลยเผลอลากยาวไปหน่อย” ไป๋หู่พูดเสียงร่าเริง “เอาเป็นว่ามะรืนนี้นายว่างไหม?”

   “มะรืน? กี่โมง?”

   “ช่วงค่ำ ๆ ถ้านายไม่มีนัดอะไรมาเจอกันหน่อยสิ ฉันมีของจะให้นายดู”

   ชิงหลงมุ่นคิ้ว แต่ไป๋หู่ถึงกับโทรมาด้วยตัวเอง ของที่ว่าคงจะสำคัญมากพอที่เขาจะสละเวลาไปได้ และมะรืนนี้เขาเองก็ไม่ได้มีนัดสำคัญอะไรนอกจากประชุมตอนเช้า

   “ก็ได้ ที่ไหนล่ะ?”

   ไป๋หู่บอกสถานที่เสร็จสรรพก็วางสายไป ชิงหลงมองสถานที่ในกระดาษแล้วสงสัยว่าอีกฝ่ายจะนัดเขาไปพบที่นั่นทำไมกัน เพราะมันคือห้องสูทที่เจ้าตัวซื้อไว้เพื่อทำกิจกรรมส่วนตัวซึ่งไม่ต้องการให้มีใครรู้เห็น หรือว่าไป๋หู่ต้องการให้การพบกันครั้งนี้เป็นความลับกันนะ?

---------------------->

   2 วันถัดจากนั้น ซากุระตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยใจคอที่ไม่ดีนักแต่เธอก็พยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไปเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามปกติ

   “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ซากุระเดินลงมาข้างล่าง และพบว่าเซินหมิงเฟิ่งนั่งรอที่โต๊ะอาหารอยู่แล้ว “วันนี้จะออกไปเร็วหรือคะ? คิดว่าจะไปบริษัทพร้อมกันเสียอีก” หญิงสาวกระพริบตาปริบ ๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้ว เซินหมิงเฟิ่งจะไปบริษัทพร้อมเธอเสมอ แต่ไม่ค่อยได้กลับพร้อมกันเพราะอีกฝ่ายมักจะอยู่ทำงานต่อหรือมีนัดสำคัญนอกสถานที่ เช่น พบปะเจรจากับคู่ค้าสำคัญ

   “ขอโทษด้วยนะครับ วันนี้ผมมีธุระนิดหน่อย อาจจะไม่ได้เข้าบริษัท แต่ถ้ามีอะไรสำคัญก็โทรหาผมได้” เซินหมิงเฟิ่งพูดพลางยิ้มให้ซากุระคลายใจ แต่รอยยิ้มของเขากลับไม่ได้ดูสบายใจเลยแม้แต่น้อย กลับเหมือนคนที่กำลังตัดสินใจบางอย่างที่ยากลำบากลงไปแล้วและตนเองไม่ได้รู้สึกยินดีกับมันเลย

   หวางซือยกอาหารเช้าเข้ามาให้ทั้งสอง ซากุระจึงนั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ ๆ และลงมือกินโดยไม่ได้ถามเรื่องนั้นอีก เพราะปกติเธอก็จะไม่ถามซอกแซกเรื่องงานของอีกฝ่ายอยู่แล้ว

   “แล้วจะกลับเร็วไหมคะ?” ซากุระถามเผื่อไว้ หากกลับช้าจะได้ไม่ต้องให้คนครัวทำอาหารสองชุด

   “อืม....ผมคงจะกลับไว คิดว่าคงเจอกันตอนเย็น” เซินหมิงเฟิ่งตอบแล้วหยุดคิดไปครู่หนึ่ง เหมือนเขาพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่ก็ตัดสินใจไม่พูดต่อ ท่าทางครุ่นคิดของเซินหมิงเฟิ่งทำให้ซากุระรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนว่าลางสังหรณ์จะรุนแรงเป็นพิเศษ

   “คิดว่า? แสดงว่าตอนเย็นมีนัดต่อ?” ซากุระถามกลับเมื่อเห็นว่าเซินหมิงเฟิ่งหยุดคำบอกกล่าวไว้เพียงแค่นั้น แต่คำพูดนั้นกลับทิ้งตะกอนบางอย่างตกค้างในใจของเธอ

   “ครับ” เขาตอบสั้น ๆ แล้วเมื่อคิดได้ว่ามันจะทำให้ซากุระรู้สึกเหมือนโดนตัดรอนมากเกินไปจึงเสริมต่อ “ค่ำ ๆ ผมต้องออกไปข้างนอกอีกครั้ง แต่ยังไงผมก็อยากจะเจอคุณก่อนจะออกไป ดังนั้น...วันนี้คุณช่วยกลับมาเร็วหน่อยก็แล้วกันนะครับ”

   หญิงสาวมุ่นคิ้ว

   มีอะไรบางอย่างไม่ปกติแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งคงไม่อขพบเธอก่อนจะออกไปข้างนอกหรอก หากเป็นเรื่องไม่เร่งด่วนอะไรก็น่าจะรอวันพรุ่งนี้ได้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะไปหากันที่บริษัท แต่เซินหมิงเฟิ่งกลับมั่นอกมั่นใจว่าตนเองจะไม่ได้เจอกับเธอนอกจากเวลากลับบ้านเพียงสั้น ๆ ก่อนออกไปอีกครั้ง

   “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะโทรหาตอนเลิกงานนะคะ”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้ารับด้วยท่าทีเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัวซึ่งรบกวนจิตใจของเธอด้วย
   หลังจากนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็นั่งรถคันหนึ่งออกไป ส่วนซากุระก็เดินทางไปบริษัทตามปกติ เธอกังวลใจแต่ไม่ได้โทรไปหาอีกฝ่ายเพราะเกรงจะรบกวนเวลาหากมีเรื่องสำคัญ และอย่างไรเขาก็สัญญาแล้วว่าจะเจอกันตอนเย็น ดังนั้นตอนนี้คงจะไม่มีอะไรต้องห่วง

   เวลาในวันนั้นคล้ายจะผ่านไปช้ากว่าปกติ ทุก ๆ ชั่วโมงเธอจะต้องเผลอหันไปมองนาฬิกาเพื่อดูว่าจะถึงเวลากลับบ้านหรือยัง อาจจะเป็นเพราะเธอไม่สามารถรวบรวมสมาธิทำงานได้กระมัง เวลาจึงได้ผ่านไปช้านัก แต่ในบางครั้งก็เหมือนว่าจะเหม่อมากเกินไปจนพนักงานที่ทำงานใกล้ชิดต้องมาสะกิดให้รู้ตัวและไถ่ถามว่าไม่สบายหรือไม่ ซากุระทำได้แค่ยิ้มตอบกลับไปและเก็บความกังวลไว้ในใจ

   เธอทนอยู่กับความอึดอัดใจอย่างไร้สาเหตุนี้หลายชั่วโมง ถ้าเพียงแต่มีใครสักคนเข้ามาพูดคุยกับเธอเพื่อเบี่ยงความสนใจไปทางอื่นก็คงจะสามารถลืมมันไปได้ แต่เพราะเธอมีตำแหน่งที่สูงกว่าคนรอบข้าง คนเหล่านั้นจึงทั้งเคารพและกลัวเกรง ทำให้ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาแบบเพื่อนคุย หากจะเข้ามาก็แค่ปรึกษาเรื่องงานแล้วก็กลับไปทำงานของตนเองเมื่อปรึกษาจบ

   ซากุระคิดถึงหลางเมี่ยวอินขึ้นมา พวกเธอไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว ครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกันคือตอนแต่งงาน แล้วหลางเมี่ยวอินก็บอกว่าตนเองจะไปเรียนต่อระหว่างที่ตาของเธอยังดำรงตำแหน่งอยู่ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่มีโอกาสได้ทำในสิ่งที่อยากทำ

   ดูเหมือนว่าทางเสวียนอู่จะเลิกหวังกับทายาทที่ไม่สนใจจะดำรงตำแหน่งแล้ว เพราะล่าสุดได้ข่าวว่ามีการแต่งตั้งให้หลางเมี่ยวอินเป็นทายาทอย่างเป็นทางการ สื่อเองก็ตีข่าวนี้พร้อมวิเคราะห์กันไปต่าง ๆ นานา ทำให้หลางเมี่ยวเจินเองก็จำเป็นต้องออกไปจากฮ่องกงสักพักให้ข่าวนี้เงียบหายไป ตอนนี้ฝาแฝดทั้งสองคนจึงไปอยู่ต่างประเทศกันหมด คงอีกปีหรือสองปีถึงกลับมา ทำให้ซากุระไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บทุกอย่างไว้ในใจเงียบ ๆ แม้กระทั่งกับเซินหมิงเฟิ่งเธอก็ไม่กล้าบอกเล่าความรู้สึกแบบนี้ให้รู้

   จนกระทั่งเกือบถึงเวลาเลิกงาน ซากุระก็บอกคนในที่ทำงานว่ามีเรื่องสำคัญจึงต้องกลับก่อน

   เธอเร่งรีบออกมาจากบริษัทและโทรหาเซินหมิงเฟิ่งทันทีที่ขึ้นรถ

   “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยนี่ครับ?” เซินหมิงเฟิ่งแปลกใจที่ซากุระโทรมาหาก่อนถึงเวลาปกติ

   “ฉันรีบกลับน่ะค่ะเพราะอยากให้ทันก่อนคุณหมิงเฟิ่งออกไป”

   “งั้นหรือครับ ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านแล้ว ความจริงคุณซากุระไม่ต้องรีบก็ได้เพราะผมคำนวณเวลาเอาไว้ว่าจะออกไปหลังจากคุณกลับเข้ามาตามเวลาปกติ”

   ถึงเซินหมิงเฟิ่งจะพูดแบบนั้นแต่ซากุระก็ยังร้อนใจอยู่ดี

   ทันทีที่ถึงบ้าน ซากุระก็เข้าไปด้านในและเมื่อเห็นว่าเซินหมิงเฟิ่งยังปลอดภัยและไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ค่อยคลายความกังวลลง เซินหมิงเฟิ่งรินชาให้เมื่อเห็นซากุระเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อนก่อนจะนั่งลงเหมือนกำลังเหนื่อย ซึ่งเธอก็รับมาจิบก่อนจะถอนหายใจ

   “ขอโทษนะคะ ฉันรีบเพราะกลัวจะไม่ทัน” ซากุระว่า “แล้ว...มีอะไรหรือคะ? ที่จะบอกฉันก่อนจะออกไป คงจะสำคัญมากสินะคะ”

   เซินหมิงเฟิ่งแสดงอาการลังเลออกมานิดหน่อยก่อนจะสงบนิ่งเช่นเดิม

   “ครับ สำคัญ...” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินไปหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลแล้วเดินมาที่โต๊ะ ซากุระมองซองนั้นด้วยความแปลกใจก่อนที่มันจะถูกยื่นมาให้ตรงหน้า “ผมคงจะอธิบายทั้งหมดในครั้งเดียวไม่ได้ และเวลาผมก็มีไม่มากพอที่จะทำแบบนั้น แต่ทุกอย่างที่คุณอยากรู้จะจำเป็นต้องรู้อยู่ในนี้แล้ว แต่ว่าอย่าเพิ่งเปิดออกในทันทีนะครับ” เงื่อนไขของเซินหมิงเฟิ่งยิ่งกระตุ้นความสงสัยในตัวซากุระ

   “ไม่ให้เปิดหรือคะ?”

   เซินหมิงเฟิ่งพยักหน้า

   “ผมไม่อยากให้ใครรู้เรื่องนี้ก่อนถึงเวลาที่สมควร หลังจากผมออกไปแล้วมากกว่าห้าชั่วโมงคุณค่อยเปิดมันออกก็แล้วกัน จะเป็นพรุ่งนี้ก็ได้ ถึงตอนนั้นผมเชื่อว่าคุณจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยได้”

   ซากุระรับฟังเงียบ ๆ ความรู้สึกกังวลและอัดอั้นกลับมาอีกครั้ง ลางสังหรณ์ที่น่าจะเงียบหายไปเมื่อพบว่าเซินหมิงเฟิ่งปลอดภัยดีกลับค่อย ๆ รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากที่เหมือนแค่สะกิดให้รู้สึกตัว ตอนนี้ลางสังหรณ์ของเธอกำลังทุบเรียกอยู่ข้างใน

   เซินหมิงเฟิ่งนั่งลงข้าง ๆ ซากุระแล้วเอียงศีรษะซบบนบ่า

   “ไหน ๆ คุณก็กลับมาไวเลยมีเวลาอีกหน่อย ผมขออยู่อย่างนี้สักครู่ได้ไหมครับ”

   ซากุระไม่ได้ต่อว่าอะไร เธอยกมือขึ้นลูบผมเรือนผมอีกฝ่ายแล้วละลงมาแตะบนซองสีน้ำตาลก่อนผลักไสมันไปไว้บนโต๊ะแล้วขยับให้เซินหมิงเฟิ่งโน้มลงมานอนบนตัก

   เขายิ้มออกมาน้อย ๆ ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่ได้รับความเอ็นดูจากผู้หญิงอย่างนี้ แม่ที่จากไปก่อนเขาเกิดและได้พบกันอีกครั้งที่อังกฤษก็มีครอบครัวของตัวเองแล้วจึงไม่สามารถให้ความรักเขาอย่างออกหน้าออกตาได้ ส่วนแม่เลี้ยงก็เสียไปนานหลายปีแล้ว แม้แต่ภรรยาของหวางซือก็เสียไปก่อนที่เขาจะกลับบ้าน ส่วนซากุระ...นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้กัน

   มันช่าง....อบอุ่นเหลือเกิน....

----------------------------->

   ครึ่งชั่วโมงต่อมา เซินหมิงเฟิ่งก็ออกจากบ้านไปด้วยคำพูดสุดท้ายว่า

   “แล้วพบกันนะครับ”

   แม้จะเป็นคำพูดปกติ....แต่ซากุระรู้สึกถึงความไม่ปกติ

   วันนั้นซากุระตัดสินใจที่จะรอเซินหมิงเฟิ่งกลับบ้านโดยไม่ขึ้นนอนก่อน ในขณะที่นั่งรออยู่ในห้องนั่งเล่นนั้น สายตาก็จับจ้องไปยังซองเอกสารอยู่เสมอ แค่เพียงเธอเปิดมันออก ทุกอย่างที่เธอกังวลก็จะเปิดเผย แต่เพราะเซินหมิงเฟิ่งขอไว้ ซากุระจึงเลือกที่จะไม่เปิดมัน แต่วางมันไว้ใกล้มือ

   “คุณซากุระ ขึ้นนอนก่อนเถอะครับ” หวางซือเดินเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง ทั้งที่ดึกแล้วแต่นายหญิงของบ้านยังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นโดยไม่มีทีท่าว่าจะยอมขึ้นไปพักผ้อนแต่อย่างใด หวางซือสัมผัสได้ด้วยประสบการณ์ว่าระยะนี้ทั้งจูเชว่และนายหญิงต่างก็มีอะไรบางอย่างอยู่ในใจ แต่เพราะเขาไม่ได้อยู่ในฐานะที่ควรถาม เขาจึงได้เงียบไว้และคอยเตือนเมื่อทั้งสองฝืนร่างกายมากเกินไปเท่านั้นเอง

   “เหล่าซือนอนก่อนเถอะค่ะ ฉันคิดว่าจะรออีกหน่อย” ซากุระกล่าวด้วยรอยยิ้ม

   “แต่ว่า....”

   “ฉัน...อยากจะรอหมิงเฟิ่งค่ะ....”

   เมื่อซากุระยืนยันเช่นนั้น หวางซือก็พูดอะไรไม่ออก เขาจึงถอยออกไปเงียบ ๆ แต่หลังจากนั้นราว ๆ 10 นาที หวางซือก็เข้ามาพร้อมชาเจือจางอุ่น ๆ ก่อนกลับออกไปแล้วไม่รบกวนหญิงสาวอีก

   ซากุระถอนหายใจพลางมองนาฬิกา ผ่านไปแค่ 3 ชั่วโมงหลังจากเซินหมิงเฟิ่งออกไป

   ยังไม่ถึงเวลา...

   เสียงเข็มวินาทีสะท้อนในหู ทีละวินาทีที่ค่อย ๆ ผ่านไป เมื่อไหร่เซินหมิงเฟิ่งจะกลับมา? ไม่สิ...คืนนี้เขาจะกลับมาหรือเปล่า? หรือจะกลับดึกมากถึงได้บอกว่าให้เปิดซองหลังจากนั้น

   ซากุระยังคงมองดูซองเอกสารนั้นก่อนความคิดของเธอจะค่อย ๆ ลอยออกไป ทว่าทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์บ้านก็กระชากสติของเธอกลับมาจนถึงกับสะดุ้งเฮือก เสียงโทรศัพท์ยังคงดังต่อไปโดยไม่มีใครรับสายเพราะคนรับใช้ขึ้นนอนกับหมดแล้ว แต่ถ้ามันดังต่อไปคงมีใครสักคนตื่นลงมารับ ซากุระไม่ได้สนใจจะรอถึงขนาดนั้น เธอเดินไปรับสายเองเพราะไม่อยากรบกวนใคร

   “เรียนสายใครคะ?” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปในสาย แต่สิ่งที่ตอบกลับมากลับทำให้เธอตะลึงงัน ดวงตาทั้งสองเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อหู โทรศัพท์มือถือค่อย ๆ หลุดจากมือตกลงไปจนเกือบถึงพื้น ขาของซากุระทรุดฮวบ พาทั้งร่างลงไปกองอยู่ด้านหน้าหูโทรศัพท์ที่ยังมีเสียงผ่านออกมา เป็นเสียงตะโกนจากอีกฝั่งเรียกเธออยู่ แต่ซากุระไม่ได้รับรู้ถึงเสียงนั้นอีกแล้ว เพราะข่าวที่ได้ยินจากปลายสายเป็นเรื่องที่สะเทือนใจเกินกว่าจะรับได้

   รถของเซินหมิงเฟิ่ง....เกิดอุบัติเหตุ!

   ลางสังหรณ์ร้ายนั่นเป็นความจริง!


TBC
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 04-08-2012 23:20:25
อั๊ยยะ เรื่องราวมันเริ่มจะถึงจุดพีคละ
น่าติดตามจริงๆ
อยากอ่านตอนต่อไปแล้ววว
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 04-08-2012 23:55:56
 :a5: เย้ยยยยยยย มันเกิดไรขึ้น วางแผนอะไรกันไว้ อยากรู้อ่ะๆๆ
ใกล้จบแล้วใช่มั๊ยคะเนี่ย แล้วเซินเฟยจะโผล่มามั๊ย รอตอนหน้าน้า ><
ปอลิง หมิงเฟิ่งกับซากุระดูไม่เหมือนเพื่อนกันแล้วล่ะ เหมือนลูกชายกับมะหม๊าซะมากกว่า 555 (/โดนโบก)

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 05-08-2012 00:52:33
อยากอ่านต่ออ่ะะะะ :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ployspy ที่ 05-08-2012 23:33:46
อ๊ากกกกกกก  :m31: :m31: ไม่น๊าๆๆๆๆๆๆๆๆเเซินๆของช้านนนนนน     :sad4: :sad4: :sad4: :o12: :o12: :o12:
 ส่วนชินหลงหุหุหุหุ :laugh: :laugh: :laugh:   :m20: :m20: :m20:    :z1: :z1: :z1:
พึ่งรู้ว่ารักก๊ากกกกกกกกกกก   :o8: :o8: :o8: :-[ :-[ :-[
ไม่ได้มาเม้นนานเลยขออภัยอย่างสูง :call: :call: :call:
แต่ยังไงก็เป็นกำลังใจให้เสมอนะค่ะ  :L2: :L2: :L2:
รีบมาต่อน๊าาาาาาา  เพราะแบบว่า...มันค้างงงงงงงงงงงงง   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
 :bye2: :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 06-08-2012 07:25:14
มันเป็นแผน ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ใช่มั๊ยยย? 555)

นายเอก จะไปหาพระเอกล่ะซี่ หุหุ~~~~


อุบัติเหตุเป็นเหตุให้ หายตัวไปริป่าวเนี่ยยย

เรื่องราวเข้มข้นขึ้นมาอิกแล้ววว ชอบจริงอะไรจริง^^

รอตอนต่อไปคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshadow ที่ 06-08-2012 13:11:47



    เอ. . . เป็นแผนของหมิงเฟิ่งเอง หรือโดนคนอื่นรังแกกันแน่นะ



หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 28 (4/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 06-08-2012 21:13:18
อ่านรวดเดียวจบ

เนื่องจากเป็นเรื่องจีน

จึงต้องใช้พลังลมปราณอย่างมากในการจดจำตัวละคร

ยิ่งกว่านั้น....ทำไมเรื่องนี้มันช่างซับซ้อนอะไรเช่นนี้ o22

ปกติเปิดเจอชื่อจีนเราก็ถอยแล้ว แต่สำหรับเรื่องนี้...ไม่ได้อ่ะต้องตามอ่าน

ลุ้นสุดๆตอนต่อไปมาต่อเร๊วววว :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-08-2012 23:24:30
-29-


   ดูเหมือนชิงหลงจะไม่ได้แปลกใจเท่าไหร่ที่ถูกนัดออกมาในช่วงค่ำแบบนั้น หรือเขาคิดเอาเองกันนะว่าชิงหลงไม่ได้แปลกใจกับการนัดหมายของเขา

   ในความเป็นจริงแล้ว ชิงหลงเป็นคนค่อนข้างเดาใจยากและไม่เปิดเผยความรู้สึก เขาเองก็ชินกับน้ำเสียงที่มีอยู่เพียงโทนเดียวของอีกฝ่ายมานานแล้ว และเท่าที่จำได้ เขาไม่เคยได้ยินเสียงที่แสดงออกถึงความประหลาดใจจากชิงหลงเลยไม่ว่าจะในเวลาที่พูดกันต่อหน้าหรือคุยโทรศัพท์ แต่อย่างไรก็ตาม เขาแน่ใจว่าสิ่งที่ชิงหลงจะได้เห็นในวันนี้ต้องทำให้อีกฝ่ายแปลกใจได้แน่นอน

   เพราะแม้แต่เขา...ก็ยังอดแปลกใจไม่ได้...

   ไป๋หู่เฝ้ารอเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อ ภายในใจของเขากำลังรู้สึกตื่นเต้นระคนสนุกสนานไปพร้อม ๆ กัน
   ที่เขามีปฏิกิริยากับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันนี้คงเพราะเขากำลังอยู่ในช่วงน่าเบื่อหน่ายของชีวิตก็ว่าได้ เพราะหลังจากเขาปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในฐานะผู้เสียหายเสร็จ ก็ไม่มีอะไรให้เขาต้องใช้สมองอีกนอกจากงานซ้ำ ๆ เดิม ๆ ที่ปกติพวกผู้หลักผู้ใหญ่ในองค์กรจะจัดการให้เสร็จสรรพก่อนที่จะมาถึงมือเขา ดังนั้นเมื่อมาถึง มันก็จะไม่มีอะไรให้คิดพิจารณาอีกแล้วนอกจากจะอนุมัติหรือไม่

   นอกจากนี้ เรื่องผู้หญิงเขาก็มีมาประปราย เพียงแต่พวกเธอไม่ค่อยจะตรงสเปคเขานัก แค่พอทำให้สนุกได้นิดหน่อย ส่วนหลางเมี่ยวเจินก็เดินทางไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราว เขาจึงไม่มีคนแก้เบื่อไปโดยปริยาย

   ความจริง หากซากุระไม่ได้ตกลงใจแต่งงานกับเซินหมิงเฟิ่ง เขาก็คงดึงเธอมาอยู่ด้วย เพราะหากว่าไปแล้ว เธอค่อนข้างจะตรงใจเขาทีเดียว เสียดายก็แต่เรื่องที่เธอเป็นเหยื่อที่จูเชว่รุ่นที่แล้วส่งมา เขาถึงไม่อาจแตะต้องเธอได้ด้วยประการทั้งปวงหากต้องการให้ทุกอย่างลุล่วงไปตามแผนที่วางไว้ ซึ่งมันก็เป็นด้วยดี

   ไป๋หู่ยิ้มกับตนเองเมื่อมองนาฬิกาแล้วเดินออกจากอาคารสูงเพื่อไปขึ้นรถที่จอดรออยู่ เขาส่งสัญญาณด้วยมือให้กับคนขับรถ เพียงเท่านั้นคนขับเก่าแก่คนนี้ก็รู้ว่าเขาต้องการไปที่ใด

   ใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงจุดหมาย เป็นคอนโดมิเนียมหรูหราแห่งเดียวกับที่ซากุระเคยมาเมื่อ 2 ปีก่อน แห่งเดียวกับที่หลางเมี่ยวเจินมักจะมาอย่างลับ ๆ และเป็นแห่งเดียวกับที่หญิงสาวมากหน้าหลายตาเคยเดินเข้าและออกมากน้อยครั้งต่างกันไป

   และวันนี้ไป๋หู่ก็นัดชิงลงมาพบกันที่นี่ เพราะบางอย่างที่เขาต้องการให้อีกฝ่ายเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ต้องพบเจอกันอย่างลับ ๆ และไม่มีใครอื่นรู้เห็น

   ที่นี่แหละ เหมาะที่สุด

   ไป๋หู่ผิวปากเดินเข้าไปด้านใน พนักงานทุกคนเมื่อเห็นเขาก็ทำราวกับว่าเห็นผู้ที่พำนักทั่วไป ไม่แสดงพิรุธออกมาชัดเจนว่าเขาเป็นใครมาจากไหนทำให้คนทั่วไปไม่ได้สังเกตมากนัก อีกทั้งเขาเองก็เข้าทางประตูพิเศษซึ่งจะไม่มีคนผ่านไปผ่านมาสักเท่าไหร่และเชื่อมกับลิฟต์พอดี

   ตัวเขาเองมีห้องพิเศษอยู่ชั้นบนสุดซึ่งจะไม่มีใครอื่นไปรบกวนได้

   เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการทำอะไรลับ ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งนั่นคงเป็นเหตุผลที่พ่อของเขาสร้างมันไว้ ก็เขากับพ่อนิสัยเหมือนกันหลายส่วนเลยนี่นะ โดยเฉพาะเรื่องชู้สาว ถ้าหากทำอะไรโจ่งแจ้งมันจะไม่ดีกับภาพลักษณ์แต่จะให้อัดอั้นไว้ก็ออกจะทรมานตัวเองเกินไป ซึ่งเขาเองไม่เคยคิดว่ามันเป็นเรื่องเสียหายอะไรเลย ผู้มีอิทธิพลหรือคนร่ำรวยส่วนใหญ่ก็มีที่แบบนี้อยู่สักแห่งสองแห่งกันเป็นปกติ

   ไป๋หู่เปิดประตูเข้าไปในห้อง เปิดสวิตช์ไฟ และทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา มองนาฬิกาเห็นว่าเวลายังไม่เท่าไหร่ อีกสักพักกระมังสิ่งที่เขากำลังรอถึงจะมา รวมถึงชิงหลงที่เขานัดให้มาสายกว่านั้นด้วย

   ระหว่างนั้นเขาก็ตัดสินใจเปิดโทรทัศน์ฟังข่าวช่วงค่ำไปด้วย อย่างไรอาชีพเขามันก็ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองทั้งในประเทศและต่างประเทศอยู่เนือง ๆ หากปกติอยู่ที่บ้านตัวเองเขาก็จะเปิดอินเทอร์เน็ต ดูข่าวต่าง ๆ ที่อัพเดทได้ไวกว่าหนังสือพิมพ์หรือดาวเทียม

   แต่ถึงอย่างนั้นข่าวเหตุการณ์ในวันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ทำให้เขาเริ่มเบื่อที่จะรอ แต่เมื่อนึกถึงเรื่องสนุกที่จะตามมาทำให้เขาสามารถทนรอได้อีกนิด

   แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ทำให้เขาผุดยิ้มกว้างขึ้น

   ไป๋หู่ลุกจากโซฟา เดินไปเปิดประตูและมองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าด้วยสายตาเป็นประกายสนอกสนใจ บุคคลซึ่งเขากำลังรออยู่ บุคคลซึ่งเขาอยากจะชิงหลงได้พบเจอ บุคคลซึ่งเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นคนเริ่มติดต่อกับเขาก่อนทั้งที่ไม่เคยได้คุยกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเลย

   เซินหมิงเฟิ่ง...ไม่สิ จูเชว่

   “ยินดีต้อนรับสู่รังลับของผม” ไป๋หู่ทำเสียงเริงร่าเหมือนเด็ก ๆ พลางหลีกทางให้ผู้มาเยือน

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มตอบ เป็นรอยยิ้มแบบที่ได้มาจากการสั่งสมประสบการณ์ในโลกของมาเฟีย รอยยิ้มที่ปิดซ่อนบางสิ่งบางอย่างไว้อย่างแนบเนียน

   ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในสถานที่ซึ่งเจ้าของเรียกว่ารังลับ ออกจะเป็นการเปรียบเทียบที่เด็กและไร้เดียงสาเกินไปสักหน่อยสำหรับพวกเขา แต่ก็เป็นสิ่งที่บอกกล่าวถึงประโยชน์ของสถานที่นี้ได้อย่างดี ดังนั้นเซินหมิงเฟิ่งจึงได้ขอนักพบไป๋หู่ที่นี่ ที่ ๆ เป็นเขตของคนอื่นซึ่งตัวเขาไร้สิ้นอำนาจใด ๆ เหมือนกับว่าจงใจยกประโยชน์ด้านสถานที่ให้ไป๋หู่ไปเต็ม ๆ ซึ่งอาจแสดงถึงความเชื่อใจเกินจำเป็น หรือเป็นความต้องการใช้ประโยชน์จากข้อเสียเปรียบนั้นก็ได้

   “เป็นรังลับที่น่าอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ” เซินหมิงเฟิ่งวาดมือไขว้หลังและมองไปรอบตัว

   “ผมบอกแล้วว่าคุณต้องชอบ” ไป๋หู่หัวเราะ “เครื่องดื่มหน่อยไหม?”

   เซินหมิงเฟิ่งโบกมือแล้วเดินไปนั่งบนโซฟา

   “ผมไม่เชื่อใจคุณเท่าคุณซากุระหรอก”

   คำพูดที่เปล่งออกมาจากปากของเซินหมิงเฟิ่งทำให้มือของไป๋หู่ที่กำลังเอื้อมไปหยิบเครื่องดื่มชะงัก แต่ก็ชะงักเพียงชั่วครู่ก่อนเขาจะหยิบเหล้าราคาแพงมารินลงแก้วให้ตัวเอง

   “ผมไม่คิดว่านายหญิงบ้านตระกูลเซินจะเชื่อใจผมขนาดนั้น ความจริงเราก็เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว แล้วพวกคุณก็แต่งงานกันแล้ว” ไป๋หู่ไหวไหล่ “พูดจริง ๆ ว่าถึงเจอกันครั้งเดียวผมก็รู้สึกประทับใจมาก น่าอิจฉาจริง ๆ ที่คุณได้แต่งงานกับเธอ” เขาทำเป็นพูดเรื่องสบาย ๆ ไม่แสดงอาการเคร่งเครียดทั้งที่ใจของเขานั้นรู้อยู่แล้วว่าเซินหมิงเฟิ่งคงจะรู้อะไรมาแน่ ๆ จึงได้พูดขึ้นมาแบบนี้ แต่ยังไงก็คงไม่ใช่จากปากซากุระหรือคนในบ้าน เพราะหากคนเหล่านั้นคิดจะพูดคงพูดนานแล้ว ไม่ได้รอมานานถึง 2 ปีแบบนี้

   เซินหมิงเฟิ่งโคลงศีรษะน้อย ๆ

   “แน่ใจหรือครับว่าครั้งเดียว?”

   “แล้วคุณหนูมินาโมโตะบอกว่าเจอกันกี่ครั้งล่ะครับ?”

   นัยน์ตาสีอ่อนกลอกไปรอบหนึ่งก่อนส่ายศีรษะ

   “คุณซากุระไม่ได้บอกอะไรผมถึงเรื่องก่อนที่เราจะแต่งงานกันสักเท่าไหร่ ความจริงแล้วผมว่าเธอค่อนข้างจะเป็นคนที่เก็บงำทุก ๆ อย่างได้ดี แม้แต่เรื่องในอดีตของเธอก็ไม่เคยพูดถึงให้ผมได้ยิน ส่วนใหย่เราก็เลยปรึกษากันเรื่องงานมากกว่าเรื่องส่วนตัว”

   “คุณคงไม่ได้ลงทุนมาหาผมที่นี่เพราะหึงหวงหรอกนะ?” ไป๋หู่เล่นลิ้นพลางยกแก้วที่บรรจุเครื่องดื่มสีเหลืองทองมายังโซฟาแล้วนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแขก

   “ผมก็คงจะหึงนิด ๆ ล่ะมั้ง เพราะคุณเองก็เพิ่งแสดงออกว่าสนใจภรรยาของผมมากทีเดียว” เซินหมิงเฟิ่งแย้มรอยยิ้มบาง “อีกอย่าง ผมรู้ว่าพวกคุณไม่ได้เจอกันครั้งเดียว จริงอยู่ว่าคนที่บ้านคุณซากุระจะประหลาดใจที่คุณไปรับเธอถึงบ้านในวันหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน แต่ว่า...คืนก่อนหน้านั้นเธอไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอกหรือ?”

   “ถ้าเธอเคยมาที่นี่ล่ะก็ เธอคงจะเสร็จผมไปแล้ว” ไป๋หู่หัวเราะเสียงลึก

   “เอาเถอะ” ชายหนุ่มโบกมือ “เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญเท่าไหร่ ที่สำคัญกว่าคือวันนั้นที่คุณไปหาคุณซากุระต่างหาก หลังจากนั้นคุณไปที่ไหนกันต่อหรือครับ?”

   ไป๋หู่เลิกคิ้ว

   “เห? แปลกจังนะจูเชว่ คุณสงสัยภรรยาตัวเองในวันที่ออกไปกับผมในที่สาธารณะมากกว่าที่สงสัยสิ่งที่เกิดขึ้นหากว่าเธอมาอยู่กับผมสองต่อสองในห้องแบบนี้หรือ?”

   “ผมเป็นสามีของเธอนะครับ คิดว่าผมจะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจนั้นไม่ได้หรือ?” เซินหมิงเฟิ่งวางท่าพูดอย่างมั่นใจทั้งที่จริง ๆ แล้วเขากับซากุระไม่เคยมีสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวกันเลย “แล้วสรุปว่าหลังจากนั้นพวกคุณไปไหนกันหรือครับ?” แล้วเขาก็เบี่ยงประเด็นกลับมาทันที

   “เรื่องนั้นคุณน่าจะไปถามภรรยาของคุณเองนะ จูเชว่”

   “....บ้านของผม...ใช่ไหม?”

   ไป๋หู่ดูไม่แปลกใจนักเมื่อเซินหมิงเฟิ่งเดาได้ถูก ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้บางอย่างมาจริง ๆ และรู้มากกว่าที่ใคร ๆ อยากจะให้รู้ด้วย แต่ก็เอาเถอะ ตัวเขาเองก็ไม่ได้คิดจะปิดบังเรื่องนี้เพราะอย่างไรมันก็คือการลงโทษตามกฎของพวกเขา หากเซินหมิงเฟิ่งจะมาเพื่อทำให้ตัวเองแน่ใจ เขาก็ยินดีจะพูดทุกอย่างให้ฟัง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันขึ้นกับว่าเซินหมิงเฟิ่งจะทนฟังได้แค่ไหนมากกว่า

   เขาวางแก้วลงบนโต๊ะ เสียงแก๊กของแก้วกระทบกระจกดังขึ้นก่อนจะถูกกลืนไปกับความเงียบ

   “คุณต้องการอะไรน่าจะบอกมาตรง ๆ เลยจะดีกว่า ผมเองก็ไม่คิดจะปิดบังอยู่แล้ว” ไป๋หู่กล่าวด้วยใบหน้าที่ไร้รอยยิ้มขี้เล่นอย่างเคย

   “คุณใช่ไหม ที่ทำให้พ่อผมตาย” เซินหมิงเฟิ่งไม่รอช้า และเปิดประเด็นที่ตนเองต้องการคำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพราะเมื่อไป๋หู่บอกว่าไม่คิดปิดบัง แสดงว่าอีกฝ่ายพร้อมจะตอบเขาทุกเรื่อง แต่เมื่อไป๋หู่ได้ยินคำถาม เขากลับผุดรอยยิ้มที่มุมปาก

   “พ่อของคุณฆ่าตัวตายเอง ผมไม่ได้เอาปืนจ่อหัวเขาด้วยซ้ำไป”

   “แต่คุณเป็นคนกดดันให้เขาทำแบบนั้นใช่ไหม!” เสียงของเซินหมิงเฟิ่งดังขึ้นกว่าปกติและห้วนลงเล็กน้อย กระนั้นรอยยิ้มของไป๋หู่กลับผุดกว้างขึ้น

   “คุณต่างหากล่ะ” ไป๋หู่กล่าว “เขาตายเพื่อพาตัวคุณกลับมา คุณต่างหากที่เป็นคนฆ่าเขา”

   คำพูดของไป๋หู่ราวกับกรรไกรคมที่ตัดเส้นด้ายบาง ๆ ขาดผึง เซินหมิงเฟิ่งเบิกตากว้างอย่างดุดันก่อนกระชากตัวขึ้นจากโซฟาแล้วดึงวัตถุสีดำชิ้นหนึ่งออกมาจากด้านหลังกางเกง เขาจ่อมันไปยังฝ่ายตรงข้ามด้วยมืออันสั่นเทาด้วยความโกรธและดวงตาเดือดดาล ทั้งที่เห็นไฟโทสะลุกโชติช่วงถึงขนาดนี้แล้ว ไป๋หู่กลับไม่อาจอดกลั้นไม่ให้ตนเองขำขันกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้

   ท่าทางตอบรับอย่างไม่คาดหมายนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งทั้งแปลกใจทั้งโมโห นิ้วชี้ของเขาสั่นเมื่อพยายามจะกดลงไปบนไกปืน ทว่า...

   “แน่ใจหรือครับ ว่าจะลั่นไกจริง ๆ” เสียงนั้นทำให้เซินหมิงเฟิ่งรู้สึกเหมือนถูกฉุดสติกลับมาอย่างแรง ไป๋หู่เห็นว่าท่าทางของอีกฝ่ายคลายการเกร็งลงแล้วจึงพูดต่อ “สิ่งที่ผมทำเป็นไปตามกฎของพวกเรา เรียกว่าบทลงโทษ ส่วนสิ่งที่คุณจะทำเรียกว่าการฆาตกรรมนะครับ แล้วถ้าคุณลั่นไก สังหารผมซึ่งดำรงตำแหน่งไป๋หู่ รุ่นต่อไปจากผมจะมีหน้าที่พิพากษาคุณ ซึ่งคนที่ตายครั้งนี้อาจจะเป็นคุณเอง หรือจูเชว่รุ่นต่อไปซึ่งเป็นลูกของคุณก็ได้”

   ใช่ ไป๋หู่พูดถูก...

   กฎของพวกเขาบังคับให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ เซินหมิงเฟิ่งคิดพลางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อคืนสติให้ตนเอง

   ไป๋หู่คิดว่าอีกฝ่ายคงจะเลิกล้มความตั้งใจแล้วจึงปัดปลายกระบอกปืนไปทางอื่น แต่แล้วสายตาของเขาก็เลื่อนขึ้นไปเห็นริมฝีปากของเซินหมิงเฟิ่งที่เริ่มบิดกลายเป็นรอยยิ้มแปลกตา ไม่นานหลังจากนั้น มันก็กลายเป็นการระเบิดเสียงหัวเราะอย่างไม่สมกับความสุขุมที่อีกฝ่ายปั้นไว้แต่ต้น

   “...ขอโทษนะครับ....” เซินหมิงเฟิ่งกลั้นใจพูดได้แค่นั้นก่อนจะหัวเราะออกมาอีก ท่าทางการหัวเราะท้องคัดท้องแข็งนั้นบ่งบอกได้หลาย ๆ อย่าง ซึ่งไป๋หู่ก็เริ่มเดาไว้ในใจแล้ว แต่เซินหมิงเฟิ่งพูดพูดต่อก่อนที่เขาจะริ่มสันนิษฐาน “อา....ผมลืมบอกคุณไปเสียสนิท ถึงผมจะฆ่าคุณเสียตรงนี้ ก็ไม่มีใครเอาผิดผมได้ไม่ว่าในทางกฎหมาย หรือด้วยกฎของพวกเราก็ตาม”

   เมื่อเห็นว่าไป๋หู่แสดงสีหน้าแปลกใจ เขาจึงหันไปมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่อยู่ใกล้ ๆ

   “คงจะได้เวลาพอดี” เซินหมิงเฟิ่งพูดแค่นั้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบรีโมทบนโต๊ะแล้วยิงสัญญาณไปยังโทรทัศน์ที่เปิดช่องข่าวต่างประเทศอยู่กลายเป็นช่องภายในประเทศที่กำลังฉายข่าวด่วนข่าวหนึ่ง

   ภายในกรอบโทรทัศน์ปรากฏภาพถนนเปลี่ยวสายหนึ่งซึ่งติดกับผาซึ่งทอดไปสู่ทะเล บริเวณนั้นเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งซึ่งจะกลายเป็นข่าวเล็ก ๆ ในหนังสือพิมพ์วันถัดไป แต่วันนี้กลับมีข่าวใหญ่เป็นพิเศษทั้งที่สถานที่เกิดเหตุก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากจุดเดิมที่เกิดบ่อย ๆ ซึ่งเหตุผลก็คือภาพนิ่งของชายหนุ่มคนหนึ่งในกรอบเล็ก ๆ มุมจอซึ่งเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุในครั้งนี้ ใบหน้านั้นดูคุ้นตาอย่างไม่น่าเชื่อ และยิ่งไม่น่าเชื่อยิ่งขึ้นเมื่อนักข่าวสาวที่ปรากฏตัวในที่เกิดเหตุกล่าวชื่อเจ้าของรถซึ่งรู้มาจากแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผย อีกทั้งมีการยืนยันมาแล้วว่า บุคคลนั้นอยู่ในรถขณะเกิดเหตุจริง และเมื่อมองดูจากสถานการณ์แล้วมีโอกาสน้อยที่จะรอด

   ไป๋หู่เลื่อนสายตากลับมามองคนที่ยืนอยู่หน้าเขาพลางหัวเราะ

   “รถของจูเชว่แหกโค้งตกเหวหรือ? น่าเศร้านะครับ” เขากล่าวราวกับเป็นเรื่องไกลตัว แม้ข่าวจะกล่าวว่าผู้ประสบเหตุคือเซินหมิงเฟิ่ง เขาก็ไม่คิดจะถามคำถามโง่ ๆ อย่าง ‘คุณเป็นผีหรือเปล่า?’ ออกมา เพราะกลแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องยากหากคิดจะทำ ก่อนจะมาที่นี่ เซินหมิงเฟิ่งคงจัดการสั่งลูกน้องให้จัดฉากเรียบร้อย และมีการติดต่อกับสื่อให้ออกมาทำข่าว ไม่อย่างนั้นเซินหมิงเฟิ่งคงไม่หันไปมองเวลาก่อน แต่คำถามคือ ทำไปเพื่ออะไร?

   “คนตายจะไม่ถูกผูกมัดในกฎของคนเป็น” เซินหมิงเฟิ่งเปรยลอย ๆ ขึ้นมาแล้วหันไปหาไป๋หู่ “ถ้าคุณถูกฆ่าโดยคนที่ไม่มีตัวตนตามกฎหมายอีกต่อไป ใครจะเอาผิดกับคนที่ตายแล้วได้ จริงไหมครับ?”

   อย่างนี้เอง....

   “จะว่าคุณโง่หรือฉลาดดีนะ การที่คุณทำแบบนี้ทำให้ตัวคุณเองไม่มีที่ยืนในฐานะมนุษย์ได้อีกเลย มันคุ้มกับการแก้แค้นครั้งนี้แล้วหรือครับ?” ไป๋หู่กลอกตาราวกับว่าคนที่ยืนตรงหน้าเขานี้ช่างไร้สมองจนน่าใจหาย

   “ผมไม่สนใจมันอยู่แล้ว ทุกอย่างที่ผมควรทำผมได้จัดการเรียบร้อยแล้วทั้งหมด” เซินหมิงเฟิ่งเม้มปาก “ชีวิตของผม...เหลือแค่สิ่งนี้เท่านั้น...” ว่าแล้ว เซินหมิงเฟิ่งก็ยกปืนขึ้น ครั้งนี้แววตาของเขาไร้ซึ่งความลังเล เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้ สิ่งที่เขาทำจะไม่ส่งผลอะไรกับคนที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งจูเชว่อีก

   ให้ทุกอย่างจบลงที่ตรงนี้....พร้อมกับชีวิตของเขา...

   ปัง!

   เสียงประตูถูกกระแทกเปิดทำให้เขาชะงัก และในจังหวะที่หันไปมองต้นเสียงนั้น ร่างสูงของชายหนุ่มคนหนึ่งก็โผเข้าใส่เขาและจับข้อมือซึ่งกุมปืนไว้ให้ทิ้งลงทำให้ปลายกระบอกปืนจ่อไปบนพื้น กระนั้นถึงแม้จะรู้สึกเจ็บที่ถูกบีบกำข้อมืออย่างแรง เซินหมิงเฟิ่งก็กัดฟันจับปืนไว้มั่นไม่ยอมปล่อยให้หลุดไป

   “....ชิงหลง....” เซินหมิงเฟิ่งเค้นชื่อตำแหน่งอีกฝ่ายเมื่อเห็นคนที่เข้ามาห้ามเต็มตา

   “นี่มันเรื่องอะไรกัน นายคิดจะทำอะไรอีก” ชิงหลงมองไปยังไป๋หู่ทั้งที่ยังล็อคเซินหมิงเฟิ่งจากด้านหลัง

   “ถามผิดคนแล้วชิงหลง นายก็เห็นอยู่ว่าใครจะทำใครกันแน่” ไป๋หู่ไหวไหล่แล้วยกเหล้าขึ้นจิบต่อ “นายจะเอายังไงล่ะ? จะให้เขายิงตามใจชอบ หรือจะห้ามไว้ดี?”

   เซินหมิงเฟิ่งเห็นท่าทีไม่มีทุกข์ร้อนของไป๋หู่ก็ยิ่งของขึ้น

   “ปล่อยผมนะชิงหลง! ไม่อย่างนั้นผมจะยิงคุณด้วย!” เขาดิ้นรนขืนแรงที่จำกัดการเคลื่อนไหวของตนเอง
   “ผมไม่มีทางปล่อยให้คุณทำเรื่องบ้า ๆ หรอกนะ” ถึงแม้เสียงของชิงหลงจะดูไม่ได้ต่างจากปกติ แต่คนที่ฟังอยู่บ่อย ๆ จะรู้ว่ามันแฝงความร้อนใจเอาไว้หลายส่วน

   “ไม่มีทางปล่อยให้ผมทำ...” เซินหมิงเฟิ่งทวนคำแล้วแค่นเสียงหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดนั่นมันคืออะไรกันล่ะ!? คุณคือคนที่ปล่อยผมไปเองไม่ใช่หรือไง!”

   ชิงหลงมุ่นคิ้ว จ้องมองอีกฝ่ายที่หันมาตะโกนใส่เขาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะกัดฟันแล้วหันกลับไปก้มหน้าเหมือนคนที่ถูกต้อนจนมุม ไหล่ของเซินหมิงเฟิ่งสั่นเทาน้อย ๆ เช่นเดียวกับมือซึ่งยังกุมอาวุธสังหารนั้นอยู่ ไม่ว่าจะทำอย่างไร เซินหมิงเฟิ่งก็ไม่ยอมปล่อยมือจากปืนกระบอกนั้นเลย ราวกับว่ามันคือที่พึ่งสุดท้ายที่ตนเองมี จึงต้องพยายามยึดเหนี่ยวไว้ให้ถึงที่สุด

   “อิสระที่คุณคืนให้ผม....มันคือนรกบนดินแท้ ๆ ....ทุก ๆ วัน มันมีแต่สายตาพวกนั้นที่จับจ้องผมเหมือนประเมินสินค้า มีแต่คนที่พร้อมจะหักหลังและเหยียบย่ำเมื่อผมพลาดท่า หรือไม่ก็สายตาที่แสดงความหวาดกลัวในสิ่งที่ผมเป็น พ่อของผม...ที่ควรจะมีโอกาสสอนผมให้เตรียมตัวสำหรับสิ่งเหล่านี้ก็ถูกพรากไปแล้ว ผมไม่เหลือใคร....ไม่เหลือใครเลย...” เสียงของเซินหมิงเฟิ่งแสดงออกถึงอารมณ์และความกดดันจากหลายสาเหตุเกินกว่าจะพรรณนาออกมาได้ ทั้งหวาดกลัว ทั้งสับสน และเหมือนกับว่าในวันนี้ ความอดทนได้มาถึงที่สุดแล้ว แมงมุมที่เกาะบนหลังได้เติบโตเต็มที่และกำลังพ่นใยพันรัดร่างกายและจิตใจนั้นให้จมดิ่งอยู่ในความมืดมนไร้ทางออก

   แววตาของชิงหลงอ่อนลง ก่อนค่อยผ่อนแรงที่ยึดมือทั้งสองไว้เมื่อเห็นว่าเซินหมิงเฟิ่งสงบนิ่งไปแล้ว ทว่าในวินาทีต่อมาเขาก็พบว่าตัวเองคิดผิด เมื่อเซินหมิงเฟิ่งเงยหน้าขึ้นและหันกลับมามองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายคล้ายคนที่ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีกแล้ว

   “แล้วคุณเอง ก็เป็นคนที่ทิ้งผมไปเหมือนกัน” สิ้นเสียงนั้น เซินหมิงเฟิ่งก็กระแทกศอกเข้าใส่ชายโครงชิงหลงอย่างแรง ก่อนกระแทกสันปืนใส่ขมับซ้ำทำให้ชิงหลงล้มลงไปบนพื้น

   คุณเป็นคนปล่อยมือผมไป...

   คนที่สัญญาว่าจะปกป้องผมไม่มีอีกแล้ว...

   และโลกใบนี้มันก็ไร้ค่าเกินกว่าจะมองดูต่อ

   เซินหมิงเฟิ่งใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีปรายตามองชิงหลงบนพื้นก่อนจะหันปืนไปทางไป๋หู่ที่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับหนีไปไหน ไม่แสดงออกแม้แต่ความหวาดกลัว ทั้งที่นั่นคือสิ่งที่เขาอยากจะเห็นจากคน ๆ นี้ที่สุดก่อนที่ความตายจะมาเยือน

   บ้าเอ๊ย....ร้องขอชีวิตสักนิดสิ!
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 08-08-2012 23:25:24
   “อ....!” เซินหมิงเฟิ่งร้องออกมาได้แค่นั้นเมื่อชิงหลงลุกขึ้นมาดึงมือเขาไว้อีกครั้งและครั้งนี้พยายามที่จะแย่งปืนไปด้วย

   “หยุดได้แล้ว เรื่องแบบนี้คุณไม่จำเป็นต้องทำเลย คิดถึงภรรยาที่รออยู่ที่บ้านสิ!”

   “ภรรยา...” เขาหัวเราะ หึ ในคอ “คุณจะมารู้อะไร ผมกับคุณซากุระน่ะเป็นแบบนั้นกันไม่ได้หรอก....เพราะว่าผม....”

   “เพราะ....?”

   “......” เซินหมิงเฟิ่งกัดฟัน ไม่อาจทำใจพูดออกไปได้ เพราะในเวลานี้มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว เขาออกแรงเต็มที่ยึดยื้อปืนในมือ ต่อต้านกับแรงของชิงหลงที่มากกว่าเป็นทุนเดิม

   “พูดออกมาสิ คุณเซิน...” เสียงของชิงหลงคล้ายจะอ่อนโยนลงเล็กน้อย

   ไม่...เขาจะใจอ่อนไม่ได้

   เซินหมิงเฟิ่งตะโกนเตือนตัวเองอยู่ในใจ

   “ผมอยู่ที่นั่นเพื่อฟังคุณเสมอไม่ใช่หรือ?”

   อยู่ ๆ ภาพเหล่านั้นก็วาบขึ้นมาในสมอง ช่วงของวันเวลาที่ชิงหลงเข้ามาอยู่กับเขาโดยไม่พูดอะไรมากความ แค่นั่งเงียบ ๆ หาหนังสืออ่าน ทั้ง ๆ ที่มันควรจะน่าเบื่อ แต่ชิงหลงไม่เคยลุกออกไปด้วยท่าทางแบบนั้นเลย เจ้าตัวกลับเอาแต่นั่งเฉย ๆ และรอเขาพูดอะไรบางอย่าง เพื่อที่จะพูดคุยกับเขาแค่เพียงไม่กี่คำในแต่ละวัน

   ทำไมถึงต้องมาคิดถึงมันในตอนนี้....

   “คุณเซิน....ปล่อยมือเถอะ”

   มือของเซินหมิงเฟิ่งผ่อนลงมากพอที่ชิงหลงจะค่อย ๆ ดึงปืนกระบอกนั้นออกมาอย่างช้า ๆ ในชั่วนาทีอันยาวนานที่คิดว่าทุกอย่างคจะเรียบร้อยแล้วนั้น ก็กลับมีสิ่งอื่นซ้อนทับเข้ามาในความทรงจำของเซินหมิงเฟิ่ง

   ช่วงเวลา 2 ปีอันแสนโดดเดี่ยวและหวาดกลัว ช่วงเวลาที่ไม่มีใครเลยนอกจากซากุระซึ่งเขาไม่อาจเปิดใจให้ได้อย่างเต็มที่ ช่วงเวลาซึ่งเขาต้องละทิ้งตัวเองไปทีละน้อยเพื่อให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในโลกที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายนั้น จนกระทั่งสุดท้าย เขาได้ทิ้งชีวิตของตัวเองไป ทำให้ตัวเองเป็นแค่คนตายที่ไร้ตัวตนบนโลกใบนี้ เขาจะปล่อยให้มันผ่านไปเฉย ๆ ได้หรือ? หลังจากนี้จะทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้หรือ?

   ไม่...เขาทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้!

   “ไม่!!!!” เซินหมิงเฟิ่งร้องออกมาก่อนออกแรงกระชากปืนกระบอกนั้นเต็มแรง และ...

   ปัง!

   ...ทั้งหมดนั่น...มันก็เพราะคุณนั่นแหละ...

   ...ชิงหลง...

------------------------->

   ผ้าขาวชุ่มสีเลือดวางห้อยตกจากขอบเตียงอย่างหมิ่นเหม่ เสื้อคลุมสีขาวที่ใช้กันทั่วไปในโรงพยาบาลเปื้อนสีครั่งเป็นปื้นทั้งชายเสื้อและปลายแขน กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งจนน่าคลื่นไส้ปะปนไปกับกลิ่นฉุนของยาฆ่าเชื้อที่ทำให้หายใจแทบไม่ออก

   แกร๊ก

   เสียงหัวกระสุนที่ฝังอยู่ข้างในถูกคีบออกมาวางบนถาดโลหะ มันถูกอาบเคลือบไปด้วยสีแดงสดสะท้อนแสงจากหลอดฟลูออกเรสเซนต์จนแวววาว

   ลิ่มเลือดที่ยังคงไหลทะลักออกมา เสียงโวยวายรอบข้างฟังดูห่างไกล

   มันจบแล้วหรือ....

---------------------------------->

   สายลมพัดอ่อน ๆ ต้องเรือนผมสั้นสีดำสนิท ชายหนุ่มทอดสายตาสีนิลไปยังป้ายหลุมศพสีขาวที่เขียนอักษรสีดำตวัดไปมาอยู่บนนั้นหลายแถว ช่อดอกไม้ในมือและมัดเส้นผมยาวถูกวางลงไปเหนือหลุมศพที่เงียบเหงาว่างเปล่า คนที่นอนอยู่ตรงนี้จะรับรู้ถึงการมาของเขาหรือเปล่านะ

   “ผ่านมาเดือนนึงแล้วสินะ....”

   ชิงหลงเปรยออกมาเบา ๆ

   “แล้วผมจะมาเยี่ยมอีก” เขากล่าวก่อนหมุนตัวเดินออกไปจากสุสานที่มีแต่ป้ายสีขาวเรียงกันเป็นทิวแถว ชื่อที่ประดับอยู่บนป้ายหินเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแซ่ที่คุ้นหูคุ้นตาดี

   เขาขึ้นรถที่จอดรออยู่ด้านนอกก่อนจะออกคำสั่ง

   “กลับ”

   คนขับรถรับคำสั่ง ยานพาหนะส่วนบุคคลเคลื่อนตัวไปตามถนน แต่ถนนเส้นนั้นไม่ได้เป็นทางไปบ้านใหญ่ของตระกูลฉิน มันกลับทอดไปสู่หมู่อาคารสูงซึ่งเป็นที่ตั้งของคอนโดมิเนียมหลายแห่ง รถจอดลงที่หน้าคอนโดมิเนียมหรูหราแห่งหนึ่งซึ่งตระกูลฉินเป็นผู้บริหาร เมื่อเขาเดินเข้าไป พนักงานทุกคนก็พร้อมกันโค้งให้ตลอดทาง มันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชินไปเสียแล้วเพราะระยะหลังเขาต้องเดินทางมาที่นี่ทุกวัน อาทิตย์หนึ่งจะกลับไปค้างที่บ้านสักครั้งหรือสองครั้ง ทั้งที่ตอนแรกเขาก็แค่ทำห้องพิเศษไว้เผื่ออยากอยู่คนเดียวเงียบ ๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าในวันหนึ่งจะต้องนำมันมาใช้อย่างเป็นกิจลักษณะเช่นนี้

   ประตูห้องเปิดออก ในห้องนั้นเขาเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์ด้วยท่าทางเบื่อหน่ายนิด ๆ เพราะมันกำลังฉายละครแบบที่เจ้าตัวไม่ค่อยชอบ

   “กลับมาแล้วหรือครับ?” ชายหนุ่มคนนั้นหันมาเห็นเขาก็ยิ้มกว้าง

   “กลับมาแล้ว คุณทานอาหารเที่ยงแล้วสินะ?” ชิงหลงมองไปบนโต๊ะ เห็นภาชนะเปล่าวางอยู่

   “เรียบร้อยแล้ว ผมรอคุณไม่ไหวหรอก” เขายิ้ม “แล้วเป็นยังไงบ้าง ตัดผมสั้นแล้วดูแปลกตาดีนะครับ เอาผมนั่นไปคืนพ่อคุณแล้วหรือ?”

   “ผมวางเอาไว้บนหลุมศพน่ะ” ชิงหลงนั่งลงข้าง ๆ ชายหนุ่ม และเมื่อนั่งเรียบร้อย ชายคนนั้นก็ขยับเข้ามาเอนพิง ชิงหลงจึงมองพลางเลิกคิ้ว “เป็นอะไรไปหรือคุณเซิน?”

   “คุณเซินอีกแล้วหรือ? ไหนคุณว่าจะพยายามเรียกชื่อผมไง เว่ยหลง” เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเบา ๆ

   “ขอโทษด้วย ผมยังไม่ชินปาก” ชิงหลงว่าแล้วยกปลายนิ้วขึ้นเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลของอีกฝ่าย “ผมคุณเองก็เริ่มยาวแล้ว ตัดบ้างดีไหม?”

   เซินหมิงเฟิ่งยิ้มเฝื่อน

   “คุณคงต้องจัดการแล้วล่ะ เพราะผมออกไปไหนไม่ได้”

   สายตาของชิงหลงฉายแววบางอย่างออกมาทันทีที่ได้ยินคำนั้น

   นั่นสินะ...เซินหมิงเฟิ่งไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนได้อีกแล้ว

   เขาหวนคิดไปถึงวันที่เรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อ 1 เดือนที่แล้ว หลังจากนั้นไป๋หู่ก็มาหาเขาและเซินหมิงเฟิ่งที่พักอยู่ด้วยกันชั่วคราวในห้องสูทของเจ้าตัว ท่าทางหยิบโหย่งของไป๋หู่ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนไม่น่ามีอะไรนอกจากเยี่ยมเยือนธรรมดา แต่กลับยื่นข้อเสนอที่พวกเขาไม่ได้คาดคิดให้ เพื่อแลกกับการที่จะไม่เปิดเผยเรื่องนี้กับใคร และทุกอย่างจะได้จบเพียงแค่นี้ ไม่ต้องสืบต่อความแค้นเป็นลูกโซ่อีก

   “ต่อจากนี้ไป นายจะต้องทำให้เซินหมิงเฟิ่งเป็นคนที่ไร้ตัวตน ยังไงคุณเซินก็เตรียมการเรื่องนี้ไว้หมดแล้ว ที่เหลือขึ้นกับนายว่าจะทำยังไง แต่ถ้านายปล่อยเขากลับสู่สังคม เรื่องพวกนี้ก็จะแดงขึ้นมา ตัวนายเองก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องทำตามกฎอีกครั้ง นายเป็นคนฉลาด คิดเอาเองก็แล้วกัน ชิงหลง”

   ไป๋หู่กล่าวเช่นนั้นก่อนจะจากไป

   หลังจากนั้นอาทิตย์หนึ่ง เขาก็พาเซินหมิงเฟิ่งมาอยู่ที่นี่

   คิดเอาเองหรือ? เขามีทางเลือกอื่นเสียที่ไหน จูเชว่ลั่นปืนใส่ชิงหลง มันไม่จบลงง่าย ๆ แน่หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย เพราะอย่างนั้นถึงต้องทำตามแผนที่เซินหมิงเฟิ่งวางมาแต่ต้นให้สมบูรณ์ นั่นคือ การทำให้เซินหมิงเฟิ่งกลายเป็นบุคคลที่ตายไปแล้ว แต่ไป๋หู่เองก็คงรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายถึงได้มายื่นเงื่อนไขแบบนั้นกับเขา เพราะเซินหมิงเฟิ่งในตำแหน่งจูเชว่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างของสังคม หลาย ๆ ครั้งที่ได้ออกสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ คนทั่วทั้งเกาะฮ่องกงคงมีอยู่ไม่กี่เปอร์เซ็นที่จะไม่รู้จักนักธุรกิจอายุน้อยผู้นำตระกูลเซิน

   ดังนั้น....เซินหมิงเฟิ่งจึงต้องหายตัวไปจากสังคม หรือพูดง่าย ๆ คือ เซินหมิงเฟิ่งต้องกลับมาอยู่ในสถานะนักโทษอีกครั้ง และในครั้งนี้ ชิงหลงไม่อาจตัดสินใจได้เองอีกแล้วว่าจะอนุญาตให้เซินหมิงเฟิ่งออกไปข้างนอกได้เมื่อไหร่ แต่มันขึ้นกับว่า...คนในสังคมจะลืมการมีอยู่ของเซินหมิงเฟิ่งได้ตอนไหน

   หากเซินหมิงเฟิ่งไม่อยู่ในความทรงจำของผู้คนอีกแล้ว ไม่มีใครอีกที่รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร เมื่อนั้นเซินหมิงเฟิ่งจึงจะได้อิสรภาพกลับคืนมา

   ไม่อย่างนั้น....มันก็จะต้องจบลงอย่างโศกนาฏกรรม...เหมือนที่ผ่านมา

   ชิงหลงจมอยู่ในห้วงความทรงจำสั้นจนกระทั่งรู้สึกถึงสัมผัสบนหน้าท้อง เขาเลื่อนสายตาจากฝ่ามือไปยังท่อนแขนและใบหน้าของอีกฝ่าย

   “แผลตรงนี้...ยังไม่หายดีสินะครับ”

   “ไม่หรอก” เขาวางมือลงบนหลังมือเซินหมิงเฟิ่ง “ความจริงมันก็ใกล้จะหายดีแล้ว แค่ต้องงดออกแรงไปสักระยะหนึ่งไม่อย่างนั้นข้างในอาจจะฉีก ถึงตอนนั้น เจ้านั่นคงได้บ่นเป็นหมีกินผึ้งแน่” ชิงหลงกลอกตา นึกถึงหมอที่โดนเรียกตัวมาทำแผลให้ที่ห้องของไป๋หู่ หมอคนนั้นเป็นเพื่อนของเขาเอง ซึ่งพอก็ได้รู้ว่าเจ้าตัวทำงานให้ผู้มีอิทธิพลบ่อย ๆ เขาเองก็พยายามจะไม่ไปใช้บริการแต่ครั้งนั้นดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอเขารู้สึกตัว เจ้าหมอคนนั้นก็เริ่มซ้ำเติมเขาด้วยคำพูดทันที

   ฝีมือก็ดีแท้ ๆ แต่ปากร้ายอย่าบอกใคร...

   เซินหมิงเฟิ่งหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าชิงหลงที่ไม่ได้มีแต่ความเรียบเฉยอย่างเคย

   “ไป๋หู่ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่สินะครับ”

   ชิงหลงเลิกคิ้ว

   “ถ้าหากว่าเขาอยากจะทำลายผม มันคงไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่เขากลับยื่นข้อเสนอแบบนี้ แล้วผมเองก็...รู้สึกมีความสุขกับตอนนี้มากกว่าตัวเองในตอนที่เป็นจูเชว่เสียอีก” เซินหมิงเฟิ่งพูดไปก็รู้สึกขำตัวเอง “ผมคงแปลกสินะ ทั้งที่มีสถานะเหมือนนักโทษแท้ ๆ แล้วผมก็เคยดิ้นรนเพื่อหนีตัวเองในสถานะแบบนี้มาตลอด...” ประโยคของเซินหมิงเฟิ่งขาดหายไปเมื่อตัวเขาถูกชิงหลงดึงเข้าไปกอด

   เขายิ้ม...อย่างที่ไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว แม้แต่ต่อหน้าซากุระ

   “นี่ ชิงหลง เอาไว้เราไปอิตาลีด้วยกันอีกนะครับ ถ้าเป็นที่นั่นพวกเราคงจะสามารถไปไหนต่อไหนด้วยกันได้โดยไม่ต้องกลัวใครจะรู้จักผม” ไม่รู้ว่าทำไม วันเวลาที่อยู่ที่นั่น เมื่อนึกถึงเขาจึงได้รู้สึกอบอุ่นใจนัก มันเป็นสิ่งที่ค้ำจุนจิตใจของเขาที่นั่งในตำแหน่งจูเชว่มาโดยตลอด “แล้วจากนั้น....เราก็ไปเยี่ยมโจเซ กับอเล็กซานโดร คิมหันต์ก็ด้วย....ผมคิดถึงเขามากทีเดียว”

   “อืม...ได้สิ” ชิงหลงกล่าวรับคำก่อนจะเชยคางอีกฝ่ายขึ้นแล้วค่อย ๆ ประทับริมฝีปากลงไปอย่างช้า ๆ

   เซินหมิงเฟิ่งแย้มยิ้มกว้างขึ้น

   นี่คือกรงของเขา...กรงที่แสนอบอุ่น ที่ซึ่งเขาจะสามารถวางชีวิตและจิตใจเอาไว้ได้...ตลอดไป....


END

เอนด์จริงๆค่ะ ไม่ได้อำแต่อย่างใด~
มันจบแล้ว เย้!!!!!! /คนเขียนวิ่งไชโยโห่ร้อง

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและอดทนอ่านมาถึงตอนจบนะคะ เซียร์เองก็เขียนเรื่องนี้ได้ช้ามากเพราะช่วงนี้เจอแต่เรื่องเครียดๆ แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณกำลังใจของทุกๆคนด้วยนะคะ ^ ^

ส่วนเรื่องเปิดจอง ขอเวลาสักพักนะคะ เพราะยังไม่ได้ทำปก ไม่ได้ทำเวกเตอร์เลย :'D
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nunnan ที่ 09-08-2012 00:20:16
มีตอนพิเศษไหมอ่าาาาา :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 09-08-2012 00:30:50
ตอนพิเศษมีค่ะ 55+
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: bulldog17 ที่ 09-08-2012 00:36:00
จบแล้ว

อย่างนี้เรียกแฮปปี้ใช่มั้ย 555

สูญเสียสถานะความเป็นคนเป็นเพื่อมาอยู่กับคนที่รัก

ซากุระก็น่าสงสารอยู่นะ :monkeysad:

ทำไงได้เธอคือชะนีในนิยายวายนะ!ทำใจซะ 5555

ปล.เม้นมันทั้งสองที่เลยทั้งเด็กดีและเล้าเป็ด 555
รออ่านตอนพิเศษนะ :L2:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: wikichan ที่ 09-08-2012 00:52:07
อ๊าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

โอ้วว ช่วยด้วยยย มันจบลงแล้ว ไม่นะ!!! มาต่อพิเศษด้วยเถอะครับ ขอร้อง,,ร้องขอ

มันยังอินส์และทุ้มอยู่ในความรู้สึกจริง ๆ แบบว่า เว่ยหลง อ่อนโยนขึ้นและทำอะไร ๆน่ารักๆ กะหมิงเฟิ่ง>,< อร๊ายยย

คนแต่ง ทำได้สุดยอดมากอ่ะ ทั้งบัลลังก์ปีกหงส์ก้ด้วย ชอบมากกกกกก

ถ้ามีโอกาสก้ รองานต่อไปคร๊าบบบบบ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ratnalin ที่ 09-08-2012 16:48:32
มาหวานกันวินาทีสุดท้ายจริงๆแฮะ แต่เซินหมิงเฟิ่งก็ใจร้ายนะ เพราะทำงี้ก็เท่ากับทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้คนข้างหลัง โดยเฉพาะกับซากุระและเซินเฟย

แต่แฮปปี้ก็โอเคแล้วล่ะ ตอนพิเศษขอหวานๆน้า

ขอบคุณค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: LSK ที่ 09-08-2012 18:32:32
จบแล้วเหรอ  :a5: สงสารซากุระนะ สงสัยไป่หูชอบซากุระแน่เลยก็เลยปล่อยหมิงไป ชิงหลงกับหมิงก็ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  :-[ รอตอนพิเศษ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 09-08-2012 21:55:01
แอร๊ยยจบแล้ว
ฮุเร่ เขียนได้ดีมากๆเลยค่ะ
แต่แอบอยากเห็นฉากสองคนนี้เค้ากุ๊กกิ๊กกันบ้างอะไรบ้าง
เวลาอยู่ด้วยกันมันน้อยจังงง
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nuttinee_k ที่ 09-08-2012 22:34:18
 o22  จบแล้วว  อยากให้ยาวกว่านี้ อยากให้หวานกว่านี้ ตอนพิเศษขอยาวๆนะท่าน 

ไปหู่เป็นคนดีนะเนี่ย แอบปลื้ม   :กอด1:

หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sam3sam ที่ 09-08-2012 23:03:21
จบแบบสมกับเป็นเรื่องนี้ดี o13
เห็นอาหมิงกับชิงหลงมีความสุขกับทางที่ทั้งสองเลือก
ก็ทำให้คิดไปถึงซากุระ แอบสงสารเธอจริงๆ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: sunshadow ที่ 10-08-2012 00:58:21



    ง่า. . . จบแล้วเหรอคะ
    แต่อย่างนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขมากกว่าจริงๆนั่นแหละ
    จะสงสารก็แต่ซากุระละนะ



หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: ErosAmor ที่ 10-08-2012 03:01:36
ยังไงก็น่าจะยิงไป๋หู่ทิ้ง ยังไงเซินหมิงก็ไม่มีตัวตนอยู่เเล้ว
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12)
เริ่มหัวข้อโดย: nongrak ที่ 10-08-2012 13:43:42
อยู่ที่นี่ไปไหนไม่ได้หนีไปเที่ยวที่อื่นดีกว่าไม่มีใครจำได้ด้วย
น่าจะมีฉากหวานๆ กว่านี้นะ
หัวข้อ: <เปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์ปีกหงส์/สัตยาธิษฐาน รอบรีปรินท์ ถึง17/10/12
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-08-2012 15:18:11
รอบนี้เปิดจองแบบยกเซ็ต 3 เรื่องเลยนะคะ เลยจะเปิดยาวๆ2เดือนเลย จะได้เก็บเงินกันทันนะคะ ^ ^


ระยะเวลาการจอง 18 สิงหาคม 2555 - 17 ตุลาคม 2555

แต่การจองรอบนี้เซียร์จะส่งหนังสือค่อนข้างช้า เพราะถึงช่วงปิดจองเซียร์ึคงจะต้องทำงานประจำแล้ว ดังนั้น เซียร์จะมีการแจ้งความคืบหน้าเป็นช่วง ๆ หลังปิดการจองเท่าที่ทำได้ผ่านทาง http://www.facebook.com/ZiarNovel (http://www.facebook.com/ZiarNovel) ค่ะ



กรงเกล็ดมังกร

ภาพปก

(http://i.imgur.com/iJDGW.jpg)

(http://i.imgur.com/crxtB.jpg)


สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php/topic,29851.msg1707825.html#msg1707825")<<<

ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 500 บาท/ชุด (ชุดละ2เล่ม)

============================================


บัลลังก์ปีกหงส์

ภาพปก

(http://i.imgur.com/0p8d7.jpg)

(http://i.imgur.com/iPkjJ.jpg)


สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21932.msg1316922#msg1316922")<<<

ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 550 บาท/ชุด (ชุดละ2เล่ม)

============================================


สัตยาธิษฐาน

ภาพปก

(http://i.imgur.com/G62Ya.jpg)


สำหรับใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้เชิญทดลองอ่านได้>>>ที่นี่ (http://"http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=21637.0")<<<


ข้อมูลหนังสือ

ผู้แต่ง+ภาพ+everything : Ziar
ราคา : 250 บาท/เล่ม
*เนื่องจากรอบนี้เป็นรอบพิเศษของสัตยาธิษฐาน เพราะปลายปีที่แล้วเกิดน้ำท่วมขึ้นจึงเปิดจองอีกครั้งเผื่อว่าหนังสือหลายๆท่านจะลอยไปกับน้ำ ดังนั้นเซียร์จึงเหลือที่คั่นอยู่กับตัวแค่ 10 ชุด และเพราะ้เป็นที่คั่นแบบเก่าที่เซียร์ใช้วิธีไปอัดที่ร้านรูป เซียร์จึงจะไม่ทำเพิ่มนะคะ ท่านที่สั่งหลังจากครบโควต้า 10 ชุดแล้วจะไม่ได้ที่คั่นค่ะ แต่ถ้าใครอยากสะสม สามารถบอกในอีเมลสั่งจองได้ เซียร์จะส่งไฟล์ภาพไปให้*

============================================




พิเศษ:

1. สำหรับใครที่จองทั้ง "บัลลังก์ปีกหงส์และกรงเกล็ดมังกร" จะมีส่วนลดให้ 50 บาท จาก 1050 บาทเหลือ 1000 บาทนะคะ (ถ้าสั่งสัตยาธิษฐานด้วยให้บวกราคาเต็มของสัตยาธิษฐานเข้าไปค่ะ)

2. ราคาที่เซียร์ตั้งนี้รวมค่าจัดส่งแบบลงทะเบียนแล้ว ดังนั้นหากต้องการให้จัดส่งแบบ EMS บวกค่าส่งเพิ่มเล่มละ 10 บาทค่ะ (คิดเป็นจำนวนเล่มนะคะไม่ใช่จำนวนชุด ถ้าสั่งเรื่องที่ 1ชุดมี2เล่ม ก็ต้องคิด2เล่มตามจริงนะคะ)
แต่ กรณีืที่สั่ง 6 เล่มขึ้นไป จะจัดส่งเฉพาะแบบ EMS นะคะเพราะน้ำหนักจะเกินลิมิตของแบบลงทะเบีียน ดังนั้นผู้ที่สั่ง 6 เล่มขึ้นไปอย่าลืมรวมค่าส่งเล่มละ 10 บาทตอนโอนเงินนะคะ

3. ในการจัดส่งเซียร์จะใส่ซองสีน้ำตาลเป็นหลัก หากท่านใดต้องการให้ใส่กล่อง บวกค่ากล่องเพิ่มอีก 10 บาท

**ดังนั้น จำนวนเงินที่ต้องโอน = ราคาหนังสือแต่ละชุด - ส่วนลด(กรณีที่ซื้อบัลลังก์ฯ+กรงฯ) + [จำนวนเล่ม x 10 (กรณีต้องการให้ส่งแบบEMS)] + 10 (กรณีใส่กล่อง)**

**ถ้าโอนเงินเกินมา เซียร์จะไม่โอนคืนนะคะ เพราะในการโอนเงินข้ามธนาคารจะต้องเสียค่าธรรมเนียม ซึ่งบางครั้งสูงกว่าเงินที่โอนเกิน ดังนั้นคำนวณดี ๆ ก่อนโอนนะคะ ^ ^ หรือจะอีเมลมาสอบถามราคาก่อนก็ได้ เซียร์จะเช็คความถูกต้องให้ แต่การจองจะมีผลต่อเมื่อโอนเงินมาแล้วและส่งอีเมลจองหลังจากโอนเงินเท่านั้น**



สำหรับผู้ที่ตัดสินใจจะสั่งจองแน่แล้ว ขอให้เลื่อนลงไปดูรายละเอียดการโอนเงินและสั่งจองได้เลยค่ะ


อ้างถึง
รายละเอียดการโอนเงิน

บัญชีออมทรัพย์
ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาซอยประชาสงเคราะห์ 30
ชื่อบัญชี นางสาว อลิสา เทพนะ
เลขบัญชี 102-234896-9

หลังจากโอนเงินแล้ว ขอให้ส่งรายละเอียดการจองมาที่  tsuki_himeแอทhotmail.com โดยระบุข้อมูลตามนี้นะคะ

หัวข้อ : [สั่งจอง] กรงเกล็ดมังกร / บัลลังก์ปีกหงส์ / สัตยาธิษฐาน (สั่งเรื่องไหนก็พิมพ์ชื่อเรื่องนั้นนะคะ)

รายละเอียด
เรื่อง + จำนวนชุด(ถ้าสั่งมากกว่า 1 ชุด/เรื่อง) :
ชื่อ-นามสกุล(ผู้สั่ง) :
ที่อยู่ :
หลักฐานการโอน : (สแกนมาจะดีที่สุดค่ะ หรือถ้าสแกนไม่ได้ก็ขอเลขที่สลิปค่ะ)
วัน+เวลาโอนตามสลิป :
อื่นๆ (ระบุว่าใส่กล่อง และ/หรือ EMS):


สำคัญ! ผู้ที่แจ้งทางเมลล์แล้ว เซียร์จะมีการแจ้งตอบกลับไป ดังนั้นใครที่เซียร์ำไม่ตอบกลับภายใน 1 อาทิตย์อย่าชะล่าใจ เพราะมันหมายความว่าเซียร์ไม่ได้รับเมลล์ของท่านนะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <เปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 20-08-2012 16:52:59
เพิ่มตัวอย่างที่คั่นหนังสือของกรงเกล็ดมังกรค่ะ

(http://i.imgur.com/TLoyP.jpg)
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <เปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: princessrain ที่ 31-08-2012 11:41:56
อ่านจบแล้ววว ^^
ขอบคุณมากนะคะที่เขียนนิยายที่มีคุณภาพขนาดนี้ออกมาให้ได้อ่าน
ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้เม้นต์หรืออะไรเลย
แต่เราติดตามอ่านตั้งแต่บังลังค์และชอบมากกกก
ชนิดที่ว่าถ้าอยากอ่านนิยายแนวมาเฟียแบบบอยเลิฟต้องนึกถึงเรื่องบังลังค์ฯแน่นอน
และเราเองก็อ่านไปห้ารอบแล้วยังไม่เบื่อเลย
ในตอนแรกเราไม่รู้จริงๆว่ามีนิยายเรื่องนี้ แต่แอบสะกิดใจตัวะครมาัต้งแต่เรื่องบังลังค์ฯ
อ่่านเรื่องนี้แล้วลุ้นมากๆเลยค่ะไม่รู้ว่าจะมาแนวไหน ลุ้นตั้งแต่ตอนต้นๆว่าเมื่อไหร่เค้าจะหวานกัน
แต่จนแล้วจนรอดมาหวานกันตอนสุดท้าย เขียนนิยายดีๆออกมาอีกนะคะ เป็นกำลังใจให้!!

ปล.ทั้งที่นิยายมีคุณภาพขนาดนี้แต่ไม่ค่อยมีใครรู้ว่ามันสนุก สู้ๆนะคะ :L2:


--------------------------
สวัสดีค่ะ
เข้ามาอ่านเรื่องนี้เป็นรอบที่สอง เพราะเครียดกับชีวิตเลยอยากได้อะไร
ที่เหมือนจะเครียดกว่ามาประชดชีวิตเล็กน้อย ฮ่าๆ
จะเม้นอีกครั้งมันอาจทำให้รก หน้าเดียวกับเม้นเดิมด้วย เลยขออีดิทแทนนะคะ
ยิ่งได้กลับมาอ่านอีกทีก็อยากจะมอบรางวัล นิยายที่พระ-นาย สกินชิพกันน้อยที่สุดให้จริงๆ
ไม่รุ้สิคะ อาจจะมีเรื่องอื่นที่เค้าไม่โดนตัวกันเหมือนกันก้ได้
แต่ประทับเรื่องนี้จริงๆนะ ลุ้นทั้งเรื่อง มีจุ้บกับ(ออกสื่อ) ครั้งเดียวเอง ฮ่าๆ

ขอโทษที่เม้นยาวไปหน่อย คิดถึงนะคะคุณเซียร์ ตอนนี้คงอยุ่ในวัยทำงานแล้ว
ยังไงก็สู้ๆนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <เปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: junsoolovely ที่ 01-10-2012 17:04:55
ลุ้นตัวโก่ง TT
อ่านจนตาแฉะ อ่านช่วงแรกมีมึนงงสับสนเล็กน้อย
จนจบก็ยังมีมึนอยู่นิดๆ 555555555
แต่สุดท้ายคุณเซินกับชิงหลงเค้าก็หวานกันซะที(?)
หวานตอนจบ น้ำตาแทบเล็ด
ดีใจที่แฮปปี้เอนดิ้ง แต่แอบสงสารซากุระ คุณเซินตัดช่่องน้อยแต่พอตัวหนีตามผู้ชายไปแล้ว  :sad4:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <เปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: sulsul ที่ 02-10-2012 05:01:09
จบแล้ว!
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: ZIar ที่ 18-10-2012 20:39:40
-ปิดจองแล้วค่ะ-
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: naamsomm ที่ 10-07-2014 02:46:48
เรื่องนี้เครียดกว่าบัลลังก์ปีกหงส์อีก
แต่สนุกมากกกกก
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 31-12-2014 20:06:50
จะพูดไงดีล่ะ คือเรื่องรุ่นพ่อน่ะ เซินจงกับเหม่ยลี่คือเหม่ยลี่เต็มใจ
แต่งงานกับเซินจงเองแต่ชินหลงลักพาตัวหมิงไปโดยที่หมิงไม่เต็มใจ
มันค่อนข้างไม่แฟร์กับเซินจงนะ ถึงขนาดต้องโดนบีบให้ฆ่าตัวตาย
ถึงการตายของพ่อชินหลงกับพ่อไป๋หู่จะมีสาเหตุมาจากการตายของ
เหม่ยลี่ แต่เอาเข้าจริงเซินจงผิดยังไงอ่ะ ผิดที่รักกับเหม่ยลี่ ผิดที่แต่ง
กับคนที่รักหรอ จะบอกว่ามันเป็นหน้าที่กับความรับผิดชอบของตระกูล อันนี่เราคิด
ไปถึงเรื่องคลุมถุงชนที่เราต่อต้านมากๆเลยอ่ะ ถ้าเหม่ยลี่ไม่แต่งกับคนที่รัก
ยอมโดนคลุมถุงชนแต่แรก เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้สินะ บอกตรงๆว่าอยาก
ให้ไป๋หู่กับชินหลงเจอสถานการ์ณคลุมถุงชนแบบเหม่ยลี่บ้าง ดูสิว่าจะว่า
ยังไง ยิ่งไป๋หู่ ใจจริงๆไม่อยากให้คู่เจินเจินเลย แต่จริงๆความสัมพันธ์คู่นี้
เหมือนผลปรโยชน์ซึ่งกันและกันมากกว่า ภาวนาหวังว่าเจินคงไม่ได้รักไป๋หู่
เถอะ รู้สึกขัดใจนิดนึงหมั่นไส้ไป๋หู่ อยากให้ได้บทเรียนบางอย่างบ้าง หมิงก็
ไม่น่าให้อภัยไป๋หู่เร็วขนาดนั้น ส่วนชินหลงรุ้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่หมิงยิงท้องซะ
พรุน 555 ใจจริงอยากให้ยิงไป๋หู่ด้วย แต่ก่อนหน้านั้นก่อนที่พ่อหมิงจะตาย
ชินหลงก็เหมือนจะใจอ่อนยอมให้พ่อหมิงกับ
หมิงเจอกันได้แล้วนะ แต่ไป๋หู่ดันชิงตัดหน้าลงมือจัดการพ่อหมิงก่อนซะนี่ คิดแล้ว
ยังแค้นไป๋หู่อยู่เลย อันที่จริงถ้าเรื่องรุ่นพ่อมันเป็นแบบเหม่ยลี่
ไม่ได้รักและเต็มใจมาอยู่กับเซินจงเองและมีความสุขด้วยกันนะ มันจะไม่รู้สึก
ไม่แฟร์แบบนี้ มันจะตาต่อตา. ฟันต่อฟันจริงๆ ตามกฏ แต่นี่ เง้ออออ :ling3: แต่
อันที่จริงพ่อหมิงก็ยิงตัวเองนั้นแหละ และถ้าไม่ทำแบบนั้นหมิงจะได้กลับมาเป็น
จูเชว่หรอ ไม่น่าเลยจริงๆ ย้ากกก ยังไงก็ยังแค้นไป๋หู่ น่าให้พิแกเจอแบบเหม่ยลี่เซินจง
แบบให้พิแกรักเจินเจินมว้ากกแต่ต้องแต่งงานกับคนอื่นไรงี้ เจินเจินก็ไม่ทนจนหนีไป
เอาให้ไป๋หู่กระอั่กซะบ้าง หึ่ยยยยย
ขอบคุณคุณนักเขียนนะคะ ภาษาสวยมากๆค่ะ เก่งมากๆเลย ภาพวาดก็สวย ตามอ่าน
ผลงานมาหลายเรื่องเลยเพราะชอบภาษา สำนวนการแต่งมากๆๆ จิตามไปอ่านเรื่อง
บัลลังก์ปีกหงส์ต่อละค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: Sohso ที่ 08-01-2015 02:02:07
เบื้องหลังการหายตัวไปของจูเชว่คนก่อนนี้เอง

ลุ้นแทบแย่ ว่าจะเป็นยังไง

สนุก น่าติดตามจริงๆ
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: CorNnE PRiNCeS ที่ 26-01-2015 21:05:37
แก้แค้นไป แก้แค้นมา

แต่ก้อได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว

ขอบคุณเรื่องราวดีๆ คับ

 :hao7:
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: Ciin ที่ 03-10-2015 23:11:07
นิยายดี มีคุณภาพ มีการผูกเรื่องซับซ้อน ไม่ใช่รักกุ๊กกิ๊กทั่วไป
สนุกจังเล้ยย
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: puchi ที่ 13-01-2017 13:01:41
เรื่องราวซับซ้อนจริงๆ กว่าจะกระจ่าง ลุ้นแทบแย่
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: Violasheep ที่ 16-01-2017 13:03:14
สนุกมากๆๆๆค่า
หัวข้อ: Re: กรงเกล็ดมังกร ตอนที่ 29 [END] (8/08/12) <ปิดจอง> กรงเกล็ดมังกร และบัลลังก์+สัตยา ถึง 17/10
เริ่มหัวข้อโดย: G-NaF ที่ 25-03-2017 02:04:42
ลุ้นทุกตอนเลย ติดตามผลงานนะคับ  :L1: