นิยายเรื่องอื่นๆของ JUPJIB
♥ จอมไตรซีรี่ส (ไม้) คนมืดมนที่หลงรักคุณหมดใจ (จบ) ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16605)คุณnolirinลงให้ ขอบคุณค่า
♥ จอมไตรซีรีส์ (ดิน) ความรักไม่ใช่แค่คนสองคน (จบ) ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=33103)
♥ จอมไตร ซีรีส์ (ปฐพี) เห็นได้ด้วยตา รักได้ด้วยใจ (จบ) ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=25950)
♥ จอมไตร ซีรีส์ (ตาหวาน) ซื้อด้วยใจ ขายด้วยรัก (จบ) ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=36948)
♥ เรื่องสั้นตอนเดียวจบ V.1 by JUPJIB ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=16206) คุณnolirinลงให้ ขอบคุณค่า
♥ เรื่องสั้นตอนเดียวจบ V.2 by JUPJIB ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=26270)
คำเตือน : เรื่องนี้ผู้ชายท้องได้ค่ะ
♥ ซีรี่ส์เดียวกับ Man and Child ซีรี่ส์ *Love Just Ain't Enough* (จบ) ♥ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=42983.0)
บทนำ Man And Child ซีรี่ส์
ในปี xxxx โลกพัฒนาไปอย่างเหลือเชื่อ ด้วยมีวิกฤตการครั้งใหญ่เกิดขึ้นทำให้จำนวนประชากรของโลกลดน้อยลงมาก ผู้คนที่เหลืออยู่ต่างพยายามมีชีวิตอยู่ไปพร้อมๆกับรักษาธรรมชาติไว้ เพราะเรียนรู้จากการสุญเสียในอดีต มีการคิดค้นการใช้พลังงานสะอาดเป็นหลักทั้งการใช้แสงอาทิตย์แปลงเป็นพลังงานไฟฟ้า ทั้งการเพราะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ตามธรรมชาติโดยไม่ใช้สารเคมี และการสร้างบ้านเรือนให้เหมาะสมกับพื้นที่อยู่อาศัยโดยรักษาสิ่งแวดล้อมรอบๆให้คงเดิมมากที่สุด
การปกครองโดยมากเป็นการปกครองโดยระบบกษัตริย์ โดยการตัดสินใจทั้งหมดตกอยู่ในมือของกษัตริย์ แต่ก็ไม่มีอะไรให้ตัดสินมากนัก ด้วยคนในยุคนี้ไม่คิดทำสงคราม ที่ทำมากคือการแข่งขันทางเศรษฐกิจ แน่นอนว่ายังมีความรุนแรง เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีสงครามระหว่างประเทศอีก ไม่มีการก่อการร้าย ระบบเศรษฐกิจก็ต้องให้นักลงทุนและประชาชนเห็นชอบอย่างแท้จริง ไม่มีการซื้อเสียงเพราะคนในยุคนี้เรียนรู้แล้วว่าการขายเสียงจะก่อให้เกิดภัยทั้งต่อตัวเองและส่วนรวม และยังการศึกษาขึ้นพื้นฐานที่ปรับให้มีการบังคับเรียนถึง 16 ปี ทำให้ทุกคนมีความรู้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้อื่นได้โดยง่าย
การแพทย์เองก็ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุที่จำนวนประชากรลดน้อยลง อัตราการเกิดน้อยลงมากๆส่วนอัตราการตายก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์จึงพากันคิดค้นหนทางเพิ่มเติมในการให้กำเนิดมนุษย์ โดยพยายามให้เด็กที่เกิดขึ้นมานั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างอย่างนาน ไม่เป็นโรคและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ทางที่ค้นพบคือการทำให้ผู้ชายตั้งครรภ์ โดยการคิดค้นวิธีนี้ผู้ที่ทำสำเร็จได้คือบุคคลที่มียีนส์ชาวไทยอยู่ในตัวกว่า 60 เปอร์เซ็น ทำให้เขาโด่งดังไปทั่วโลก และยังทำให้ผู้คนที่มียีนส์ชาวไทยมีหน้ามีตาอีกด้วย
การทดลองนี้ทำมากว่า 60 ปีโดยมีการส่งต่อผลการทดลองให้ครอบครัวของผู้คิดค้นมาเรื่อยๆจึงได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่วิธีการก็ยุ่งยาก รวมทั้งใช้เงินและเวลามากมายในการเตรียมการ หากผลที่ได้รับก็คุ้มมากเสียจนมีคนมากมายยอมจ่ายทั้งเงินและเวลา แต่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตั้งท้องได้ ด้วยข้อกำหนดมากมายเหล่านี้จึงมีการตั้งโรงเรียนสำหรับผู้ชายตั้งครรภ์ขึ้นในชื่อ “โรงเรียนเอกวิทย์” ตามชื่อผู้คิดค้นวิธีนี้เป็นคนแรก ในตอนแรกที่ตั้งนักวิทยาศาสตร์ผู้เป็นเจ้าของสิทธิบัตรวิธีทำให้ผู้ชายตั้งครรภ์จัดตั้งขึ้นเป็นสถาบันให้คำแนะนำปรึกษาเท่านั้น ต่อมาได้มีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นโรงเรียน และถึงแม้โลกจะก้าวไกลแต่ก็ยังมีความยากจนและโรคทางพันธุกรรมบางอย่างที่ไม่สามารถรักษาได้ โดยเฉพาะโรคที่คร่าชีวิตของคนจำนวนมากในยุคนี้ เป็นโรคที่เรียกว่า “โรคแพ้ตัวเอง” ซึ่งโรคแพ้ตัวเองนี้มีคนเป็นกันอย่างมากหลังจากเกิดวิกฤติครั้งยิ่งใหญ่ โรคนี้มักไม่แสดงอาการจนกว่าจะอายุ 30 แม้จะสามารถตรวจพบโรคนี้ได้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ก็ไม่มีทางรักษา
ผลการวิจัยยืนยันถึง 99.99 เปอร์เซ็นว่าโรคนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย หากเป็นเด็กที่เกิดจากผู้ชายตั้งครรภ์
และเพราะมีผู้คนล้มตายจำนวนมาก จึงมีเด็กกำพร้ามากตามไปด้วย เด็กกำพร้าเหล่านี้ในตอนแรกก็อยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าตามปกติ แต่เด็กๆมีอัตราจะกลายเป็นคนยากจนสูง ดังนั้นโรงเรียนสำหรับผู้ชายตั้งครรภ์จึงรับเอาเด็กผู้ชายมาดูแลทั้งหมด โดยแบ่งเป็นสองส่วนคือส่วนที่มีคุณสมบัติเหมาะจะตั้งครรภ์จะได้รับการดูแลให้พร้อมสำหรับตั้งครรภ์และอีกส่วนจะได้รับการศึกษาทางการแพทย์เพื่อให้สามารถเป็นบุคคลากรของโรงเรียนและโรงพยาบาลอื่นๆ รวมทั้งมีการดูแลร่างกายให้เหมาะสำหรับน้ำเชื้ออสุจิไปผสมเพื่อการตั้งครรภ์ด้วย เป็นการเพิ่มหนทางเสริมรายได้อีกทาง แน่นอนว่าทั้งสองส่วนได้รับการเรียนการสอนขั้นพื้นฐานตามปกติ หากถนัดทางอื่นก็สามารถไปทำงานทางอื่นได้ อย่างไรก็ตามเด็กๆจะต้องจ่ายเงินคืนแก่ทางโรงเรียนสำหรับฝ่ายที่ตั้งครรภ์ได้อย่างต่ำคือ 1 แสน 5 หมื่นบาทต่อคน และฝ่ายที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อย่างต่ำ 8 หมื่นบาทต่อคน โดยไม่มีการยกเว้นจึงจะสามารถเป็นอิสระจากโรงเรียน ทั้งนี้จำนวนเงินอาจมากกว่าปกแล้วแต่กรณีไป ซึ่งเงินส่วนนี้ทางโรงเรียนก็จะนำมาเลี้ยงดูเด็กกำพร้าในรุ่นต่อไปนั่นเอง ในทางเดียวกันมีสถาบันอีกแห่งซึ่งเป็นสถาบันที่วิจัยเกี่ยวกับการทำให้ผู้หญิงสามารถมีลูกกับผู้หญิงได้ซึ่งเด็กที่เกิดมาตามผลการวิจัย 90 เปอร์เซ็นจะไม่เกิดโรคทางพันธุกรรม ได้รับเอาเด็กกำพร้าที่เป็นผู้หญิงไปเลี้ยงดูไว้ แต่เราจะไม่กล่าวถึงที่นั่นให้มากความ
โรงเรียนสำหรับผู้ชายตั้งครรภ์นั้นพิเศษตรงที่เมื่อนักเรียนอายุครบ 20 ปี จะสามารถรับงานรับจ้างตั้งครรภ์ได้ โดยมีการจ้างผ่านทางโรงเรียนภายใต้เงื่อนไขของทั้งทางโรงเรียน ตัวผู้รับจ้างตั้งครรภ์และนายจ้าง หากสามารถยอมรับข้อตกลงซึ่งกันและกันได้ ก็จะมีการเซ็นสัญญา โดยทั่วไปมักมีข้อสัญญาเรื่องสิทธิ์ในตัวเด็กที่จะเกิดมา และบทลงโทษหากผิดสัญญา อัตราค่าจ้างเป็นต้น
รายได้จากการรับจ้างตั้งครรภ์นี้แม้จะจ่ายให้ทางโรงเรียน 1 แสน 5 หมื่นบาท ก็เหลือมากพอให้สามารถตั้งตัวได้กันเลยทีเดียว
โดยคิดค่าจ้างอัตราปกติคือ ครั้งแรกที่ทำสัญญา 50,000 บาท และจากนั้นตลอดระยะเวลาที่ตั้งครรภ์คือ 10 เดือน ต้องจ่ายค่าจ้างอีกเดือนล่ะ 30,000 บาท และหลังจากคลอดแล้วต้องจ่ายอีก 50,000 บาท รวมแล้วก็ 4 แสนบาทพอดี ซึ่งโรงเรียนมีรายได้จากการหักเงินในส่วนนี้มา 10 เปอร์เซ็นและจากค่าใช้จ่ายอื่นๆเช่นค่าห้องพักสำหรับผู้ตั้งครรภ์พักอาศัย ค่าอาหารรวมไปถึงค่าผ่าตัดทำคลอด เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีพวกที่เรียกว่าแรร์หรือพวกยีนส์หายากซึ่งจะมีค่าจ้างแพงกว่าพวกธรรมดา แตกต่างกันไป เช่น คนที่มีไอคิวสูงถึง 200 และได้รับการยืนยันว่ามีโอกาสกว่า 90 เปอร์เซ็นที่จะสามารถถ่ายทอดความสามารถนี้ให้แก่ลูกมีค่าทำสัญญาครั้งแรกถึง 1 ล้านบาท ค่าจ้างเดือนละแสนและค่าคลอดอีก 1 ล้าน แต่ก็ใช่ว่าจะสามารถรับงานได้ต่อเนื่อง ตามกฎแล้วหลังจากคลอดต้องพักถึง 10 เดือนจึงจะสามารถรับงานได้อีกครั้ง และที่สำคัญใช่ว่าทุกคนจะมีงาน หากส่วนมาก แค่รับงานครั้งเดียวก็มีเงินมากพอออกไปตั้งตัวได้ และแม้ว่าจะออกไปจากโรงเรียนแล้ว หากดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอก็สามารถมาลงชื่อขอรับงานได้เรื่อยๆ
ด้วยรายได้ที่มากและเป็นเพียงโรงเรียนแห่งเดียวของโลกทำให้มีการจ้างงานอย่างสม่ำเสมอ เพราะไม่มีใครอยากเสี่ยงสูญเสียทายาทของครอบครัวจากโรคที่ไม่มีทางรักษา ดังนั้นผู้จบจากโรงเรียนนี้จึงมีงานทำแน่นอนอย่างน้อยๆก็สามารถรับงานตั้งครรภ์ได้ และนอกจากนี้ การเรียนการสอนของที่นี่ยังทันสมัยและได้รับการยอมรับในเรื่องความสามารถทั้งในด้านวิชาการ ดนตรี ศิลปะและกีฬา แล้วยังสอนพื้นฐานทางการแพทย์ให้แก่นักเรียนทุกคนอีกด้วย เรียกว่าจบมาก็สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ทางใดก็ทางหนึ่งได้ไม่ยาก ดังนั้นจึงมีเสียงเรียกร้องให้มีการเปิดสอนแก่บุคคลภายนอก นอกจากเด็กกำพร้า แม้ค่าเรียนจะแพงหูฉี่ แต่ก็ยังมีผู้ส่งบุตรหลานเข้ามาเรียนเป็นจำนวนมาก โดยหลักการของโรงเรียนแห่งนี้ เน้นว่าห้ามดูถูกกัน ไม่ว่าจะเป็นเด็กไปกลับ(เด็กที่จ่ายค่าเล่าเรียน)หรือเด็กประจำ(เด็กกำพร้า)ก็คือนักเรียนเหมือนกัน หากไม่ผ่านการทดสอบทางอีคิวก็จะไม่ได้รับการเข้ามาเรียน และหากประพฤติตัวไม่ดีก็จะโดนไล่ออกทันที คนที่จบจากโรงเรียนนี้จึงมีพื้นฐานทางความคิดที่ดีติดตัวไปด้วยอีกอย่าง ทำให้มักเป็นที่รักใคร่เอ็นดูแก่ผู้คนรอบข้างและเข้ากับผู้ร่วมงานได้ดี
การที่ผู้ชายจะตั้งครรภ์ได้นั้นสมควรจะเริ่มต้นเตรียมความพร้อมตั้งแต่อายุ 13 ปี และมากสุดไม่ควรเกิน 18 ปี ในความเป็นจริงแค่มาทำการฝังมดลูกเทียมขนาดเท่าแคปซูนยาด้วยวิทยาการล้ำสมัยทำให้แทบจะไม่เจ็บเลยซักนิด จากนั้นก็รับยาซึ่งเป็นยาปรับฮอร์โมนและยังช่วยขยายแคปซูนนั้นเรื่อยๆก็พอแล้ว ไม่ต้องถึงขั้นมาเรียนที่นี่ก็ได้ แต่วิธีนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยมเพราะถึงอย่างไรการเข้าโรงเรียนก็แน่นอนกว่า แล้วยังเป็นใบเบิกทางความน่าเชื่อถืออีกด้วย แต่ก็มีไม่น้อยที่เดียวที่เลือกวิธีนี้ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีเงินพอเข้าเรียน คนที่อายุเกิน 15 ปีแล้ว หรือคนที่มีเหตุอื่นๆให้ไม่สามารถมาเรียนในโรงเรียนได้
ซึ่งหากเป็นเด็กๆของโรงเรียน ทางโรงเรียนจะเริ่มให้ฮอร์โมนกับเด็กนักเรียนตั้งแต่อายุ 7 ปี(ทางโรงเรียนมีจำหน่ายสำหรับบุคคลภายนอก) ซึ่งได้รับการวิจัยแล้วว่าไม่มีอันตรายใดๆ แถมส่วนที่เกินความจำเป็นยังไปบำรุงร่างกายในส่วนอื่นๆเสียอีก หลังจากนั้นเมื่ออายุ 13 ปี จะมีการฝังแคปซูนและให้ยาฮอร์โมนตลอด เมื่ออายุ 20 จึงจะสามารถตั้งครรภ์ได้ ซึ่งแม้จะ 20 แล้วก็ยังต้องกินยาฮอร์โมนต่อไปเรื่อยๆ เพราะหากหยุดยาฮอร์โมนติดต่อกันเกินสี่เดือน แคปซูนที่เคยฝังไว้จะค่อยๆหดเล็กลงจนกลายเป็นไขมันและสลายไปในที่สุด แน่นอนว่าไม่เกิดอันตรายแต่ก็จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก
ในการจ้างตั้งครรภ์มีข้อพิเศษตรงที่สามารถเลือกยีนส์ที่จะถ่ายทอดให้แก่เด็กได้ด้วยการผสมเทียมแล้วฝังลงในมดลูกเทียม โดยสามารถเลือกพันธุกรรมจากผู้ว่าจ้างหรือใครก็ได้แต่ถึงอย่างไรก็จะต้องมีพันธุกรรมของผู้อุ้มครรภ์ด้วยเพื่อป้องกันภาวะครรภ์เป็นพิษ
คุณสมบัติอีกอย่างของการฝังมดลูกและการกินฮอร์โมนอย่างสม่ำเสมอคือ สามารถตั้งครรภ์โดยวิธีธรรมชาติได้ โดยวิธีนี้จะไม่สามารถเลือกยีนส์ได้ และมีโอกาสน้อยมากที่จะตั้งครรภ์ แต่เด็กที่เกิดโดยธรรมชาติมักจะแข็งแรงกว่าเด็กที่เกิดจากการผสมเทียม อย่างไรก็ตาม ขึ้นอยู่ที่การเลี้ยงดูและสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ
***มีต่อข้างล่าง