พิมพ์หน้านี้ - [จบแล้ว] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ [24-10-2017]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:19:44

หัวข้อ: [จบแล้ว] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ [24-10-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:19:44
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ

เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย

เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

...
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...???
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:32:04
เกริ่นก่อนนิดนึงนะครับว่าจะมีตัวละครจากเรื่องนี้ไปโผล่ที่อีกเรื่อง คือเรื่องนี้

(ไม่)รักได้ไง http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0

จะอ่านหรือไม่อ่านอีกเรื่องก็ได้ เพราะเนื้อหาค่อนข้างแยกกันชัดเจน แต่การที่ตัวละครจากเรื่องนี้ไปโผล่ในอีกเรื่อง

ก็จะมีอีกมุมที่ให้เราได้รู้ว่าตัวละครตัวนี้คิดอะไรอยู่ แต่ก็โผล่นิดเดียวตอนท้ายๆ ของเรื่องแค่นั้นนะครับ

ส่วนเรื่องนี้ก็ เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ที่คลุมเครือ ของคนสองคนที่เริ่มจากเพื่อน จนปล่อยให้มันคาราคาซังกันไป และในที่สุดมันจะเป็นยังไงก็ต้องลองอ่านกันดูนะคร๊าบบบบ

หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...???
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 15:36:21
ระหว่างเราคือ...???

“แค่นี้แหละ ไว้เจอกันวันเสาร์”เสียงจากปลายสายบอกผมก่อนจะเงียบไป วันเสาร์งั้นเหรออีกไม่กี่วันเองนี่เนอะ เดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้วนี่นา ผมไม่ควรคิดมากหรอกใช่ไหม

ใช่ถ้าเกิดว่าไม่ได้รู้อยู่เต็มอกว่าระหว่างที่ไม่ได้เจอกันนั้น เค้ามีคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่รู้แบบนี้แต่ผมก็ยังยอมทำตัวเป็นคนที่เหมือนจะไร้ค่า เพราะอะไรนะเหรอ เพราะผมรักเค้าไงล่ะเรื่องนี้มันเริ่มจากตรงไหนกันนะ






“โอเล่กรูมีอะไรจะบอก”ผมบอกกับเพื่อนสนิทขณะที่อยู่ในห้องน้ำของโรงเรียน เค้าเป็นเพื่อนสนิทผมเอง เรารู้จักกันตั้งแต่ ม.1 เค้าเป็นคนต่างถิ่นที่เพิ่งย้ายมาอยู่แถวนี้ตอนมัธยมนี่เอง ผมสนิทกับเค้าค่อนข้างเร็วเพราะเค้าเป็นคนบ้าๆ บอๆ กวนประสาทผมอยู่บ่อยๆ เลยกลายเป็นสนิทกันไปโดยปริยาย พอตอนนี้วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการสอบ และเราเพิ่งจะออกจากห้องสอบวิชาสุดท้ายของชีวิตมัธยมกันแล้ว ผมเลยกะว่าจะบอกอะไรบางอย่างกับเค้า ผมรู้ว่าถ้าบอกออกไปแล้วแล้วเค้าอาจจะเกลียดผมก็เป็นได้

ความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้ามันเริ่มเปลี่ยนจากคำว่าเพื่อนมาตั้งแต่ ม.5 แล้ว ผมไม่รู้ว่ามันเริ่มตั้งแต่ตอนไหน แต่ช่วงตั้งแต่ม.5 มาผมรู้สึกว่าการมาโรงเรียนในแต่ละวันที่ได้มาเจอเค้ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม

“มีอะไรวะ”มันยังยืนส่องกระจกจัดทรงผมให้ตั้งๆ เหมือนพวกเด็กมัธยมทั่วๆไป อยู่โดยไม่ได้หันมามองผม

“เรารู้จักกันมานานเท่าไหร่แล้วมรึงจำได้ไหม”ผมยืนพิงผนังห่างออกมาจากมันไม่มากเท่าไหร่ ถามมันออกไป มันหันมามองผมแวบนึงเหมือนจะข้องใจว่าถามทำไม

“ไม่รู้สิ ก็รู้จักกันตั้งแต่ ม.1 ตอนนี้ก็ 5-6 ปีแล้วมั้ง ถามทำไมเหรอ”แล้วมันก็หันกลับไปส่องกระจกอีกเหมือนเดิม

“ถ้ากรูพูดอะไรออกไป ยังไงเราก็จะยังเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม”ผมกลัวว่าถ้าบอกมันออกไปแล้ว มันจะรังเกียจผมและไม่คบผมเป็นเพื่อนอีกต่อไป

“มีเรื่องอะไรวะ”คราวนี้มันหันมาจ้องหน้าผม

“ไม่ว่าจะยังไงเราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่นะ”ผมย้ำอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ แต่ถึงมันจะยืนยันหรือเปล่าผมก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าความสัมพันธ์ของเราจะออกมาแบบไหนหลังจากที่ผมสารภาพออกไป

“เออน่า มีอะไรก็ว่ามา”เหมือนมันจะเริ่มรำคาญที่ผมอ้ำอึ้งไม่บอกออกไปเสียที ผมถอนหายใจแล้วก็สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะตัดสินใจบอกออกไป

“กรูชอบมรึง”ใช่แล้วในที่สุดผมก็พูดออกไปจนได้ แล้วผลที่จะตามมาละ

ไอ้โอเล่มีสีหน้าตกใจไม่น้อย แล้วมันก็เงียบ เงยหน้าจ้องมองกระจก แต่ไม่ได้พูดคำใดๆ ออกมา ผมเริ่มรับรู้ได้แล้วว่าความเป็นเพื่อนของเราที่ผมยังอยากให้มีอยู่หลังจากที่ผมบอกว่าชอบเค้า เค้าอาจจะไม่เหลือความเป็นเพื่อนให้ผมอีกแล้วก็ได้

“ตกลงเราจะยังเป็นเพื่อนกันอยู่เหมือนเดิมใช่ไหม”ผมถามออกไปเสียงแผ่ว เพราะมันรู้สึกจุกๆ ที่ลำคอเหมือนมันตีบตันขึ้นมา ทั้งที่เตรียมใจมาแล้วว่า ยังไงเค้าก็ไม่ได้คิดอะไรกับผมอยู่แล้ว แต่ผมก็แค่อยากบอกให้เค้ารับรู้ไว้ และผมก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนกับเค้าอยู่ แต่ดูจากอาการแล้วแค่ความเป็นเพื่อนเค้าก็คงจะไม่มีเหลือให้ผมเสียแล้ว

“เราจะยังเป็นเพื่อนกันได้ไหม”ผมย้ำออกไปอีกครั้งเมื่อเห็นเค้าเอาแต่นิ่งเงียบ

“ไม่รู้สิ”เหมือนเค้าจะพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่มันก็ดังพอที่ผมจะได้ยิน ผมต้องแหงนหน้าขึ้นมองเพดานเพราะเหมือนน้ำตามันจะไหลออกมา คำว่า “ไม่รู้สิ” ของเค้า ไม่ต้องแปลผมก็พอจะรู้ว่ามันหมายความว่าเราจะไม่เหมือนเดิมกันอีกแล้ว จากนี้ไปผมจะไม่ได้เป็นแม้แต่เพื่อนของเค้าอีกแล้ว

“งั้นเหรอ แค่มรึงทำตัวเป็นเพื่อนกับกรูเหมือนเดิมมันก็คงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วสินะ”เค้าไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผม เค้ายังคงสงบนิ่ง ไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกมาอีก

ผมบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะยังไงเราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว ถ้าเค้าจะเกลียดผมก็ไม่เป็นไร แค่ผมได้บอกออกไปนี่ก็ดีแล้ว จากนี้ไปเราก็คงจะต้องต่างคนต่างไปมีชีวิตของตัวเอง ผมเลือกที่เรียนเรียบร้อยแล้วว่าผมจะเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยไหน ส่วนเค้ายังไม่ได้ตัดสินใจ แต่ก็คงจะเป็นคนละที่กับผมอยู่แล้ว

ผมค่อยๆ ก้าวเดินออกจากห้องน้ำอย่างช้าๆ หันมองเค้าอีกครั้งผมอยากจะจดจำเค้าไว้ จะจดจำไว้ให้ลึกสุดใจ จากนี้ไปเราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วผมค่อยๆ จดจำใบหน้านั้นบันทึกมันลงในความทรงจำ เค้าไม่หันมามองผมแม้แต่น้อย ผมละสายตาจากเค้าและก้าวออกจากห้องน้ำนั่น แต่ละย่างก้าวมันช่างยากลำบาก

นี่สินะอาการของคนอกหัก มันเหมือนลอยๆ ใจมันโหวงๆ อยากจะร้องไห้ แต่ทำไมน้ำตามันเหมือนจะไม่ไหลแล้ว ทั้งที่เมื่อกี้มันยังอยากจะไหลแต่ตอนนี้กลับ ไม่มีเลย การที่เค้าไม่ชอบผมในแบบที่ผมชอบเค้า มันไม่ได้ทำให้ผมเสียใจมากเท่าไหร่ เพราะผมเตรียมใจมาแล้ว แต่ที่ผมเสียใจมากกว่าคือ ความสัมพันธ์แบบเพื่อนที่เรามีให้กันมานานนั่นต่างหาก แต่ผมจะไม่โทษเค้าเลย ที่ตัดความเป็นเพื่อนกับผม เพราะผมเป็นคนเริ่มที่จะทำลายมิตรภาพนั้นเอง

“แฟ้ม”เสียงหนึ่งตะโกนมาจากเบื้องหลังผม ผมหันกลับไปมอง ก็เห็นคนที่เพิ่งอยู่กับผมในห้องน้ำเมื่อสักครู่ ยืนจ้องมองมาที่ผม ผมหยุดยืน เค้าวิ่งตามมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม

ผมทำได้แค่ฝืนยิ้มเจื่อนๆให้กับเค้า ส่วนเค้านั้นมีใบหน้าเรียบเฉย จนไม่สามารถเดาได้เลยว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ ผมจ้องมองเค้านิ่งรอฟังว่าเค้ารั้งผมไว้ด้วยเหตุผลอะไร

“ลองคบกันดูไหมล่ะ”แล้วเค้าก็พูดในสิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดมาก่อน บอกตรงๆว่าถึงแม้ผมจะทำใจมาแล้วว่ายังไงเค้าก็คงไม่ชอบผม แต่ในส่วนลึกแล้ว ผมก็ยังคงมีหวัง แม้จะเป็นความหวังอันน้อยนิดก็เถอะ

แต่พอผมมาได้ยินเค้าพูดแบบนี้ ผมกลับไม่รู้สึกยินดีสักนิด ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ทั้งที่ถ้าเค้ามาบอกแบบนี้ผมควรจะยินดีไม่ใช่หรือ แต่ทำไม ทำไมกัน ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่เหรอ ที่ผมเฝ้ามองมานาน จากความเป็นเพื่อน จนความห่วงหาและอาทรได้แปรเปลี่ยนไป และมีคำว่ารักเพิ่มเข้ามา

“คิดดีแล้วเหรอ”ผมถามออกไปเสียงเรียบพร้อมกับจ้องมองลึกลงไปในดวงตานั้น ผมไม่เข้าใจว่าเค้าจะทำแบบนี้ทำไม ผมมั่นใจว่าเค้าคงไม่ได้รักได้ชอบผมแน่นอน คงด้วยเพราะเหตุนี้ผมเลยไม่รู้สึกยินดีที่เค้าจะมาคบกับผม

เค้าพยักหน้ายืนยัน แต่ผมยังคงเต็มไปด้วยความข้องใจ สงสัยว่าคนตรงหน้านี้กำลังคิดจะทำอะไรอยู่

“กลับบ้านกันเถอะ”เค้าเอ่ยปากอีกครั้งเมื่อเห็นผมยังคงนิ่ง เงียบ ผมเดินตามเค้าออกไปเงียบๆ ไม่มีคำพูดระหว่างเราอีก ผมและเค้าออกมานั่งรอรถที่เดิมเหมือนทุกวัน สายตาผมมองเหม่อไปบนถนนที่รถวิ่งสวนไปมา ตอนนี้ในใจของผมคงเหมือนกับรถที่อยู่ในถนน วิ่งสวนกันไปมา สับสนปนเปกันไปหมด

“ถ้าคบกันนี่ต้องทำยังไงบ้างเหรอ”อยู่ๆ เค้าก็ถามผมขึ้น ผมหันไปมองหน้าเค้า ไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าถามทำไม

“ก็กรูยังไม่เคยคบใคร เลยไม่รู้ว่าคนเป็นแฟนกันเค้าต้องทำยังไงบ้าง”เค้าพูดอย่างอายๆ จริงสินะไอ้เพื่อนผมคนนี้มันก็ยังไม่เคยมีแฟนเลยนี่นา ผมเองก็เหมือนกันแหละ เพราะเราอยู่ด้วยกันตลอด ไม่ใช่แค่อยู่ด้วยกันสองคนหรอกครับ แต่อยู่กันเป็นกลุ่มเพื่อนหลายคน แต่เราสองคนจะสนิทกันเป็นพิเศษแค่ในฐานะเพื่อนเท่านั้น

ผมยิ้มให้เค้าโดยไม่ได้ตอบอะไรออกไป และนั่นมันคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมถลำลึกลงไปเรื่อยๆ

TBC
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...???
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-10-2014 21:36:57
แบบนี้น่าจะเจ็บปวดมากกว่าบอกปฏิเสธอีก เดี๋ยวพออยู่ๆไปดันมีคนที่ชอบขึ้นมาล่ะ
ได้กินมาม่าเป็นโหลแน่  :hao5:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...???
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-10-2014 22:26:09


“แฟ้มๆ ไปดูหนังกัน”ตอนนี้เราเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว เค้าเข้าเรียนที่เดียวกับผมแต่คนละคณะ จากวันที่ผมบอกว่าชอบเค้าและเค้าก็บอกว่าให้ลองคบกันดู แต่ดูเหมือนความสัมพันธ์ของเรามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากเดิมเท่าไหร่เลย เราออกมาอยู่หอพักด้วยกัน มาเรียนพร้อมกัน กลับพร้อมกัน เว้นแต่ว่าวันไหนที่มีใครอีกคนไม่ว่าง วันหยุดก็มีออกไปเดินเที่ยวห้างกันบ้าง ดูๆไปอาจจะเหมือนเป็นแฟนกันอยู่บ้าง แต่ในความเป็นจริงเราก็ยังอยู่กันแบบเพื่อนเหมือนที่เคยเป็นมา

“ไปดูเรื่องอะไร”ผมถามออกไป วันนี้เป็นวันเสาร์ และเราก็ไม่ค่อยจะมีอะไรทำเท่าไหร่

“ไม่รู้เหมือนกัน ไปก่อนแล้วกันค่อยตัดสินใจ”เราสองคนจะเป็นแบบนี้เสมอคือไปก่อน แล้วเวลาเหมาะจะดูเรื่องอะไรก็ค่อยดู เหมือนเค้าจะดูเรื่องอะไรก็ได้ทั้งนั้น ส่วนผมนะเหรอ แค่ได้ไปกับเค้าแค่นั้นผมก็มีความสุขแล้ว

เป็นอันว่าเราสองคนแต่งตัวออกมาที่ห้างเป็นที่เรียบร้อย แต่ปรากฏว่าด้วยความที่ไม่ได้เช็คดูหนังมาก่อน ไอ้หนังที่เราจะไม่ต้องรอนานนั้นมีแต่เรื่องที่พวกเราดูไปแล้วทั้งนั้น เพราะเราก็ดูหนังบ่อยกันเหลือเกิน ส่วนเรื่องที่เรายังไม่ได้ดูก็ต้องรออีกหลายชั่วโมง เราเลยไม่รู้จะทำอะไรต่อเพราะไม่ได้คิดกันมาก่อน

“จะรอดูหนังไหม”ผมเอ่ยถาม

“ไม่ดีกว่า เรื่องนี้กรูก็ไม่ค่อยจะอยากดูเท่าไหร่”อ้าวนึกว่าดูได้ทุกเรื่องเสียอีก

“งั้นก็กลับ”ผมบอกเพราะไม่รู้จะทำอะไรต่อดี จะเดินเล่นก็ขี้เกียจ จะซื้อของก็ไม่ได้อยากได้อะไร และเค้าก็เห็นด้วยกับผม

“แฟ้มๆ เดี๋ยวๆ ดูนี่ก่อน”เค้าฉุดแขนผมให้หยุดเดินที่ร้านขายพวกเครื่องเงิน ผมยืนมองว่าเค้าจะซื้ออะไร แต่ก็ไม่เห็นจะหยิบอันไหนเลยสักอัน

“ไอ้เชี่ยแฟ้ม มาทำไรวะ”อยู่ๆ ก็มีคนมาเบิดกะโหลกผม พอหันไปมอง ตอนแรกกะจะเอาเรื่องแต่พอเห็นว่าเป็นเพื่อนที่คณะเลยปล่อยไปเพราะเราเล่นกันแบบนี้บ่อยๆ ผมหันออกมาคุยกับเพื่อน ปล่อยให้โอเล่เลือกดูของคนเดียว

“ว่าจะมาดูหนัง แล้วมรึงละมาทำไร”ผมทักทายเพื่อนพร้อมกับมองหาว่ามันมากับใคร แต่ก็ไม่เห็นใครที่ดูเหมือนว่าจะมากับมันเลย

“มาดูหนังเหมือนกัน นี่กรูดูเรื่องนี้ เหลืออีกครึ่งชั่วโมงเลยกะจะเดินเล่นฆ่าเวลา แล้วมรึงมาดูเรื่องอะไร”มันบอกพร้อมกับหยิบตั๋วหนังออกมาดชว์ให้ผมดู ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมดูไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้า

“กรูไม่ดูแล้วกำลังจะกลับ”บอกเพื่อนไปตามความจริง แต่ไม่ได้บอกหมดหรอกว่าเพราะมันไม่มีเรื่องไหนจะให้ดูอีกแล้ว จะรอเรื่องที่ยังไม่ได้ดูก็ไม่ชอบรอ ยิ่งไอ้คนที่มากับผมนั่นยิ่งแล้วใหญ่ รู้สึกจะไม่ชอบการรอคอยเอาเสียเลย แต่เรื่องปล่อยให้คนอื่นคอยนี่ถนัดนักแล

“เหรอ ไม่ดูเรื่องนี้เป็นเพื่อนกรูหน่อยละถ้ายังไม่คิดจะดูเรื่องอื่น”แสดงว่านี่มันคงจะมาคนเดียวละมั้ง

“เรื่องนี้กรูดูแล้ว แล้วนี่มรึงมาคนเดียวเหรอวะ ไมไม่หนีบฟงแฟนมาด้วย”ผมแหย่เพื่อน ผมไม่รู้หรอกว่ามันมีแฟนหรือยัง ถึงจะสนิทในระดับนึง แต่ส่วนใหญ่ก็เจอกันแค่ตอนที่เรียน หลังจากนั้นก็มีไปกันเป็นกลุ่มบ้าง แต่ผมก็ไม่ค่อยได้สนใจว่าใครจะมีแฟนหรือยังไม่มี

“กรูมาคนเดียว ฟงแฟนยังไม่มีหรอก ใครจะไปเหมือนมรึงที่มีเป็นตัวเป็นตนตามติดกันแบบนั้น”คุณเพื่อนของผมพูดพร้อมกับบุ้ยใบ้ไปทางคนที่มากับผม ที่ตอนนี้กำลังจ่ายตังค์ สงสัยจะได้ของที่ต้องการแล้ว

“เฮ้ย นั่นนะเพื่อนกัน มรึงก็ว่าไป”ผมไม่รู้จะตอบเพื่อนว่าอย่างไรในสถานะที่ผมและโอเล่นั้นเป็นอะไรกัน ตามความรู้สึกผมยังไงเราก็ยังเป็นแค่เพื่อนกันอยู่ดีนั่นแหละ

“แฟ้ม กรูจะกลับแล้ว มรึงจะกลับไหม”ก็ดูการพูดคุยของเราเอาเถอะว่ามันน่าจะอยู่ในสถานะไหน แล้วนี่เค้าเป็นอะไรอีกล่ะถึงเหมือนอารมณ์บูดแบบนี้ ผมบอกลาเพื่อนก่อนจะเดินตามเค้าออกไป ระหว่างทางกลับห้องเราไม่ได้พูดคุยกันเลย จนกลับมาถึงห้อง

“สนิทกันมากเหรอ”เค้าเริ่มพูดขึ้นเมื่อผมนั่งลงบนโซฟาหน้าทีวี ส่วนเค้าก็นั่งอยู่ก่อนผมแล้ว

“อะไรเหรอ”ผมถามย้ำอีกครั้งว่าเค้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร

“ก็ไอ้คนเมื่อกี้ไง”คนเมื่อกี้ อ๋อ เพื่อนผมนะเหรอ

“ไอ้แชมป์นะเหรอ ก็เพื่อนที่คณะ ทำไมเหรอ”ผมว่าเค้าก็น่าจะเคยเห็นเพื่อนผมคนนี้มาบ้างแล้วนี่นา

“เปล่าหรอก อ่ะให้”เค้ายื่นของบางอย่างให้ผม ผมรับมาอย่างงงๆ พร้อมกับเปิดดู ก็เห็นว่าเป็นแหวนเงิน เค้าคงซื้อมาจากร้านที่หยุดดูเมื่อกี้

“ไม่รู้ว่าชอบแบบไหน เพราะจะให้เลือกก็มัวแต่คุยกับคนอื่นอยู่”น้ำเสียงประชดประชันดังขึ้น ผมหันไปมองเค้าที่ไม่ได้หันมาหาผมแต่มองไปทางอื่น นี่เค้าซื้อแหวนให้ผมงั้นเหรอ อดที่จะดีใจไม่ได้ ผมลองใส่ ไม่รู้ว่าจะพอดีหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่ได้ลองก่อน และเค้าก็คงไม่รู้ขนาดที่พอดีกับนิ้วผมหรอก และก็จริง เพราะมันใส่ได้ไม่พอดีสักนิ้ว นิ้วที่พอจะใส่ได้ก็มีแค่นิ้วนางข้างซ้าย แต่ก็หลวมอยู่นิดหน่อย

“แบบไหนก็ชอบหมดแหละ ถ้าตั้งใจจะให้”ผมตอบออกไปพร้อมกับชูนิ้วที่สวนแหวนให้เค้าดู

“หลวมไปเหรอ เอาไปเปลี่ยนไหม”เค้าจับมือผมไปขยับแหวนดู ทำเอาใจผมเต้นรัว เพราะถึงเราจะอยู่ด้วยกัน แต่น้อยครั้งมากที่เราจะถูกเนื้อต้องตัวกัน ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม เหมือนเค้าเองก็จะระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่เหมือนสมัยมัธยมที่เราเป็นเพื่อนกัน ที่กอดคอเฮไหนเฮนั่นกัน

“ไม่...เป็นไรอันนี้ก็ดีแล้วแหละ”ผมบอกออกไปเสียงสั่นเพราะเค้ายังไม่ได้ปล่อยมือจากมือผม และพอเค้าหันหน้าขึ้นมาประสานสายตากับผม เค้าคงจะสังเกตเห็นสีหน้าที่ผิดปกติของผม เค้าจึงปล่อยมือผมก่อนจะหันไปมองทางอื่น

“กรูซื้อให้มรึงแล้ว มรึงก็ซื้อให้กรูด้วยนะ”มีแบบนี้ด้วย แต่ถึงเค้าไม่พูดผมก็กะว่าจะซื้อให้เค้าเหมือนกันแหละ ถือเป็นการแลกกัน เราจะได้มีอะไรที่เป็นของกันและกันบ้าง

“ได้สิ”ผมตอบออกไป

“ดูดีวีดีกันไหม”เค้าพูดพร้อมกับไปรื้อค้นที่ชั้นเก็บดีวีดี ก่อนจะหยิบออกมาแผ่นนึง ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร เพราะไม่ค่อยได้สนใจของพวกนี้เท่าไหร่ เพราะส่วนมากเค้าจะเป็นคนซื้อมา แล้วถ้าวันไหนจะดูเค้าก็เป็นคนเลือก

“เฮ้ย”ผมร้องอุทานเมื่อเครื่องเล่นดีวีดีทำงาน และภาพบนหน้าจอปรากฏ เพราะไอ้หนังที่เค้าเปิดมันหนังโป๊นี่นา ถึงผมกับเค้าจะเคยดูหนังแบบนี้ด้วยกัน แต่มันก็เป็นการดูพร้อมเพื่อนอีกหลายคน สมัยมัธยม และก็จะดูกันแบบขำๆ มากกว่าเพราะพวกเพื่อนๆ จะพากันวิพากษ์วิจารณ์จนไม่มีใครเกิดอารมณ์ร่วมหรอก แต่นี่ให้ดูกับเค้าสองคนแบบนี้ มันจะดีเหรอ

“ทำไมก็อยากดู ดูไม่ได้เหรอ”เค้าหันมาบอกผมก่อนจะหันไปสนใจภาพบนหน้าจอต่อ ผมกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก ก็ไอ้ของสงวนของฝรั่งในเรื่องมันช่างอลังการณ์งานสร้างเหลือเกิน ความแตกต่างทางด้านสรีระที่ผมก็พอรู้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกถึงความตึงเขม็งที่กางเกงเสียแล้ว

“มรึงว่าเวลาผู้ชายกับผู้ชาย มีอะไรกันมันจะเหมือนแบบนี้ไหม”อยู่ๆเค้าก็หันมาถามผม แต่ผมไม่ได้ตอบ เพราะตอนนี้กำลังพยายามข่มอารมณ์ตัวเองอย่างหนัก ทำไมดูเค้าไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย

“มรึงเคยจูบไหม”เค้ายังคงถามต่อ ผมหันไปมองเค้า แต่สายตาเค้าก็ยังจับจ้องที่ภาพบนจออยู่เหมือนเดิม

“มะ...ไม่เคย”ผมตอบออกไปอย่างตะกุกตะกัก

“อ่อนว่ะ แค่นี้ก็ไม่เคย”อ้าวก็จะให้กรูไปเคยกับใครกันเล่าไอ้นี่นิ

“แล้วมรึงเคยรึไง”ผมย้อนถามเค้าบ้าง

“เคยสิ สอนให้เอาไหม”เค้าบอกผมยิ้มๆ เออก็แปลกดีนะแม้จะเคยบอกว่าจะลองคบกันดู แต่มันก็แค่ครั้งนั้น จากวันนั้นมาเราก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเท่าไหร่เลย อยู่กันมาแบบเพื่อนมาตลอด

และไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรเค้าก็ขยับเข้ามาหาผม ก่อนจะค่อยๆ โน้มหน้าเข้ามาหาผม ก่อนจะประกบริมฝีปากของเค้าเข้ามาหาผม ผมได้แต่อึ้งๆ ทำอะไรไม่ถูก มันเหมือนตัวชาไปชั่วขณะ ผมกำลังจะเอ่ยปากให้เค้าหยุดเพราะเหมือนจะหายใจไม่ออก แต่พอผมขยับปาก ลิ้นอุ่นๆ ของเค้าก็สอดเค้ามาในปากผม มันลิ้มเลียพร้อมกับหยอกล้อกับลิ้นของผม ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหมดเรี่ยวแรง ตัวอ่อนระทวยไปหมด

“แฮ่กๆๆ”ผมหายใจหอบเมื่อเค้าถอนริมฝีปากออก ทำไมเค้าดูชำนาญเรื่องนี้นัก นี่เค้าไปทำกับใครมา

“ไปต่อที่เตียงไหม”เค้าขยับเข้ามากระซิบที่ข้างๆหูผม ก่อนจะไซร้ไปตามซอกคอ มือก็ความนเข้าไปใต้เสื้อของผม

“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน”ผมเอ่ยทักท้วงด้วยน้ำเสียงสั่น เค้าเงยหน้าขึ้นมามองอย่างขัดใจ

“ก็เราคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”เค้าเอ่ยออกมาอย่างขัดใจ นี่เค้ายังคิดว่าเราสองคนคบกันอยู่เหรอ ผมนึกว่าเค้าทนอยู่กับผมเพราะอยากรักษาน้ำใจเพื่อนอย่างผมเสียอีก

“ถ้าคบกันมันก็ต้องทำแบบนี้กันไม่ใช่เหรอ”เค้าพูดพร้อมกับช้อนตัวผมขึ้น เพื่อพาไปที่เตียงในห้องนอนผมใจเต้นแทบจะระเบิด ก็ใครมันจะไปตั้งตัวทันนี่เค้าจะมาไม้ไหนกันแน่

เค้าวางผมลงที่เตียงก่อนจะคร่อมตัวเค้าอยู่ด้านบน แล้วก็ประกบปากลงมาหาผมอีกครั้ง ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้า ของผมและเค้าออก ริมฝีปากร้อนนั้นค่อยๆ ละเลียดไปแทบจะทุกส่วนบนตัวผม และดูเหมือนจะหยอกเย้าอยู่กับยอดเล็กๆ สีชมพูบนหน้าอกผมนานเป็นพิเศษ พร้อมกับที่มือแกร่งของเค้ากอบกุมส่วนอ่อนไหวของผมไว้ ความเสียวซ่านทำให้ผมต้องจิกมือลงบนผ้าปูที่นอน เค้าเลื่อนขึ้นมาประกบปากกับผมอีกครั้งพร้อมกับมือที่เร่งจังหวะขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มปวดมนที่บริเวณท้องน้อยก่อนจะปล่อยของเปลวขุ่นๆ ออกมาก ผมครางเสียงกระเส่าด้วยความเหนื่อยหอบ เค้าดึงร่างผมไปกอดไว้แน่น ปล่อยให้ผมพักได้เพียงครู่เดียว

“ทำให้บ้างสิ”เค้าบอกพร้อมกับดึงมือผมไปจับที่แกนกลางลำตัวของเค้าที่ตอนนี้ตื่นตัวเต็มที่ ผมสัมผัสได้ถึงความร้อนของมันเหมือนกับว่ามันจะแผดเผาผมเสียให้มอดไหม้ยังไงยังงั้น

ผมเริ่มขยับมือขึ้นลงเหมือนที่เค้าทำให้กับผม แต่เหมือนเค้าจะไม่ค่อยพอใจ เพราะเหมือนเค้าจะต้องการอะไรที่มากกว่า เค้าพยายามดันศีรษะผมให้ต่ำลงไปหาส่วนที่ผมกำลังเกาะกุมอยู่

“ทำเหมือนในหนังเมื่อกี้ให้หน่อยสิ”ผมหน้าร้อนฉ่า เพราะในหนังที่ดูเมื่อสักครู่ฝ่ายหญิงเค้าใช้ปากให้กับฝ่ายชาย เค้าสบตาผมอย่างวิงวอน

ผมค่อยๆ ครอบปากลงไปอย่างทุลักทุเล เนื่องจากความไม่คุ้นเคย ก็คนมันไม่เคยทำแบบนี้ให้ใครมาก่อน ผมพยายามนึกถึงภาพที่เคยเห็นจากในหนังที่เคยดู แล้วผมก็เริ่มได้ใจเมื่อเห็นเค้าครางเบาๆ กับสิ่งที่ผมทำให้ ผมทำไปได้สักพักเค้าก็บอกให้ผมหยุดก่อนจะดึงผมไปจูบอีกครั้ง

“ขอนะ”เสียงแตกพร่ากระซิบที่ข้างหูก่อนจะกัดเบาๆ ที่ซอกคอผม พร้อมกับมือที่บีบบั้นท้ายผม ผมพยักหน้ารับอย่างอายๆ ทั้งกลัวทั้งอาย แต่ก็ยอมเพราะผมรักเค้านี่นา ถึงผมจะไม่รู้ว่าเค้ารักผมหรือเปล่าก็เถอะ

เค้าหยิบโลชั่นที่วางอยู่ข้างๆ เตียงมาทาที่ปากทางที่เค้ากำลังจะรุกล้ำเข้ามา ดูเค้าช่ำชองเหลือเกิน นี่เค้าไปฝึกหรือเคยไปทำแบบนี้กับใครมาก่อนหรือเปล่า ผมเริ่มรู้สึกวิตก แต่แล้วผมก็ไม่มีเวลาคิดนานเพราะรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในตัวผม ผมต้องใช้มือยันเค้าไว้ให้นิ่งไว้ก่อน เค้าประกบปากมาจูบกับผมอีกครั้งพร้อมกับค่อยๆ ดันมันเข้ามา จนในที่สุดมันก็เข้ามาจนหมด ผมจิกมือลงบนแผ่นหลังของเค้าเพราะมันทั้งจุกเจ็บเหมือนร่างจะฉีกออกเป็นเสี่ยงๆ ก็นี่มันครั้งแรกของผม แต่ผมก็ดีใจที่เค้าเป็นคนแรกของผม

เค้าเริ่มขยับเข้า-ออก อย่างช้าๆ จนเมื่อเห็นว่าผมคลายความเจ็บปวดลงแล้วถึงได้เริ่มเร่งความเร็วและแรง เพิ่มขึ้น สองกายของเราสอดประสานอย่างเร่าร้อน ผมรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นอันหนึ่งเดียวกันกับคนที่ผมรัก

“เราน่าจะทำแบบนี้กันตั้งนานแล้วเนอะ”เค้าพูดขึ้นหลังจากที่เราเสร็จกินกันไปเป็นรอบที่สามแล้ว ตอนนี้ผมนอนอยู่ในอ้อมกอดของเค้า

“แล้วทำไมเพิ่งคิดอยากจะทำละ”ผมถามออกไป ไม่ใช่ว่าผมหื่นอยากทำมาตั้งนานหรอกนะ แต่เพียงแค่คิดว่าเค้าเองก็น่าจะมีความต้องการ แล้วทำไมถึงไม่คิดจะทำ

“ก็ไม่รู้นี่นาว่าผู้ชายด้วยกันมันทำยังไง แต่พอทำแล้วมันก็ไม่ได้ยากอะไร มันก็เป็นไปตามธรรมชาติที่เราต้องการอยู่แล้ว ดูจะมีความสุขมากกว่าที่มีอะไรกับผู้หญิงเสียอีก”คำพูดของเค้าทำเอาผมชะงักไป แสดงว่าที่เค้าไม่เคยคิดจะทำอะไรผมเพราะเค้าเองคงจะไปทำกับคนอื่นอยู่แล้ว และนี่ที่มามีอะไรกับผมอาจเป็นเพราะไม่มีที่ระบายก็เป็นได้

ผมได้แต่นิ่งเงียบที่เริ่มคิดได้ว่าผมอาจจะเป็นได้แค่เพียงที่ระบายอารมณ์ของเค้าหรือเปล่า
และก็เหมือนจะจริงเพราะหลังจากวันนั้นเวลาว่างของเราสองคนแทบจะอยู่บนเตียงตลอดเวลา แต่ละครั้งมันช่างเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตผมดำเนินไปแบบนี้จนผมเคยชิน และคิดว่าถ้าเค้าต้องการ และผมตอบสนองเค้าได้ เค้าอาจจะไม่คิดไปหาคนอื่นก็เป็นได้ ผมไม่เคยปริปากถามเรื่องที่เค้าเคยพูดอ้างถึงการมีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น เราค่อนข้างจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวกันเท่าไหร่ ที่มหาวิทยาลัยเค้าจะมีกลุ่มเพื่อนของเค้า ผมก็มีเพื่อนของผม

ซึ่งจริงๆผมก็ไม่เคยปิดเรื่องอะไรของผมกับเค้าเลย ผมจะเล่าให้เค้าฟังบ่อยๆ แต่สำหรับเค้าผมแทบจะไม่รู้เลยว่าช่วงเวลาที่ผมไม่เห็นเค้าในสายตา เค้าจะไปกับใครยังไงบ้างและเค้าก็ไม่เคยเล่าอะไรให้ผมฟังเลยแม้แต่น้อย

“นั่งเหม่ออะไรวะไอ้แฟ้ม”เพื่อนผมทักทายขึ้นที่โต๊ะประจำหน้าคณะที่เรานั่งกันทุกวัน วันนี้ผมมาแต่เช้า คนเดียวเพราะโอเล่ไปค้างหอเพื่อนตั้งแต่เมื่อคืน ตอนเช้าก็ไม่ได้เข้าไปอาบน้ำ ถึงผมจะพยายามไม่คิดอะไร แต่ใจมันก็อดที่จะนึกไม่ได้ว่าเค้าไปค้างกับเพื่อนคนไหน เพื่อนจริงๆ หรือเปล่า ผมชักไม่แน่ใจ เพราะความสัมพันธ์ของเรามันก็ดูคลุมเครือเหลือเกิน เหมือนเค้าอยู่กับผมเพราะอยากที่จะรักษาน้ำใจ และผมก็ต้องตอบแทนเค้าด้วยการเป็นที่ระบายอารมณ์ให้แก่เค้า

“เปล่า”ผมตอบไอ้แชมป์เพื่อนสนิทคนหนึ่งของผมออกไป

“เปล่าอะไรของมรึง ทำหน้ายังกะอกหัก แฟนมรึงมีชู้รึไงว่ะ”ไอ้แชมป์เหมือนมันจะปักใจว่าผมกับโอเล่เป็นแฟนกัน เพราะมันจะพูดทำนองนี้กับผมบ่อยมาก แต่ผมก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง เพราะความจริงจะเรียกว่าผมกับโอเล่เป็นแฟนกันมันก็ไม่ถูก เพราะเค้าไม่ได้รักผมเลย แต่ถึงจะเป็นจริงๆ ผมก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะเอามาป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้

“กรูบอกตั้งกี่ครั้งแล้วไอ้แชมป์ว่านั่นนะเพื่อนกรู ทำไงมรึงถึงจะเชื่อ”ผมตอบเสียงเนือยๆ อย่างรำคาญ

“ถ้าไม่ใช่แฟนก็ดีไป เพราะถ้ามรึงสองคนไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกัน แต่เป็นมากกว่านั้นสิ่งที่กรูรู้มามันคงจะไม่ดีเท่าไหร่”คำพูดแบบเหมือนจะมีอะไรสักอย่างแต่คนพูดดันทำเป็นไม่บอกมาให้หมด แบบนี้มันน่าหักคอจริงๆ

“กรูกับมันไม่ได้เป็นอะไรกันหรอก ก็แค่สนิทกันมาตั้งแต่มัธยมแค่นั้นแหละ”ผมฝืนตอบออกไป แค่เพื่อนกันเท่านั้นเองสินะ

“งั้นก็ดีไป แต่เพื่อนมรึงนี่แมร่งเจ้าชู้ว่ะ เมื่อก่อนกรูเห็นไปป้อหญิงแถวๆ หอที่กรูอยู่บ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นแล้ว สงสัยไปติดหญิงที่อื่น อย่างว่าแหละเนอะ มันหน้าตาดีนี่หว่า ถ้ากรูหล่อสู้มันกะว่าจะไปจีบหญิงแข่งกับมันเหมือนกันนะเนี่ย”ไอ้แชมป์พูดพล่ามไปเรื่อย แต่ผมไม่ค่อยได้ฟังหรอก สมองมันมึนๆ เบลอๆ

“นี่มรึงฟังอยู่หรือเปล่า”ไอ้แชมป์สะกิดเรียกผม

“ฟังอยู่”ผมตอบผ่านๆ เพราะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่

“เออว่าแต่วันนี้เพื่อนเราไปไหนหมดวะ ทำไมไม่มีใครมาเลย”

“โอ๊ย”ผมร้องอุทานเพราะไอ้แชมป์ดันวางกระเป๋าทับลงบนมือผม มันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากมายหรอกแค่ตกใจนิดหน่อย

“เป็นไรมากไหมมรึง”มันดึงมือผมไปดู

“ไม่เป็นไรหรอก”ผมบอกพร้อมกับจะดึงมือกลับแต่ไอ้แชมป์ไม่ปล่อย

“มือมรึงสวยดีว่ะ”ไอ้แชมป์บอก ผมเลยมองดูมือตัวเอง มันก็ปกติเหมือนมือคนอื่น ทั่วๆไปนั่นแหละผมไม่เห็นว่ามันจะสวยกว่ามือชาวบ้านเค้าเท่าไหร่เลย แต่เมื่อมองดีๆ ผมก็ต้องตกใจ

“แหวน”ผมพึมพำออกมาเบา

“แหวนอะไรของมรึง”ไอ้แชมป์ทำหน้าแปลกใจ

“แหวนที่กรูใส่ทุกวันไง มันไปไหนว่ะ”ผมชักเริ่มกังวลใจ เพราะปกติผมจะใส่ไว้ตลอด แหวนที่โอเล่ซื้อให้ผม แต่วันนี้มันไปไหนแล้วเมื่อวานผมจำได้ว่ามันยังอยู่นะ หรือมันจะหล่นหายไปหรือเปล่า หรือผมไปลืมถอดทิ้งไว้ในห้องน้ำ ผมเริ่มเป็นกังวลกลัวเค้าจะโกรธผมหรือเปล่าถ้าผมทำแหวนหายจริงๆ จนลืมเรื่องของเค้าที่ไอ้แชมป์เล่าให้ฟังไปเสียเกือบหมด

TBC
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [28-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 28-10-2014 22:59:22
 :a5: ช็อค คบเป็นแฟนกันอยู่แต่ โอเล่ก็ไปมีอะไรกับคนอื่น
แล้วยังมีการไปจีบคนอื่นด้วย
นี่มันโตระดับมหาลัยแล้วมันไม่รู้เหรอว่าไม่ควรนอกใจแฟน

จัดการด่วน!!!  :z6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [28-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-10-2014 06:50:01
ช่วงแรกๆ อาจจะโดดๆ ไปบ้างนะครับแบบปูให้เห็นความสัมพันธ์ของตัวละคร ตั้งแต่มัธยม มหาวิทยาลัย ไปจนวัยทำงาน



“แหวนที่กรูใส่ทุกวันไง มันไปไหนว่ะ”ผมชักเริ่มกังวลใจ เพราะปกติผมจะใส่ไว้ตลอด แหวนที่โอเล่ซื้อให้ผม แต่วันนี้มันไปไหนแล้วเมื่อวานผมจำได้ว่ามันยังอยู่นะ หรือมันจะหล่นหายไปหรือเปล่า หรือผมไปลืมถอดทิ้งไว้ในห้องน้ำ ผมเริ่มเป็นกังวลกลัวเค้าจะโกรธผมหรือเปล่าถ้าผมทำแหวนหายจริงๆ จนลืมเรื่องของเค้าที่ไอ้แชมป์เล่าให้ฟังไปเสียเกือบหมด

“ลืมไว้ที่ไหนหรือเปล่ายังไงก็ลองกลับไปหาดีๆก่อนแล้วกัน”ไอ้แชมป์พยายามปลอบใจผม แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้นเลย แล้วไหนจะที่ผมเคยบอกว่าจะซื้อแหวนให้เค้าผมก็ยังไม่ได้ให้เค้าเลย วันนี้ทั้งวันเล่นเอาผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย พอเลิกเรียนผมก็รีบกลับไปหาดู แต่มันก็ไม่มีแสดงว่ามันคงหล่นหายไปแล้วจริงๆ เพราะแหวนมันออกจะหลวมอยู่หน่อยๆ

“อาบน้ำกัน”เค้าตรงเข้ามากอดผมทันทีที่กลับเข้ามา ก่อนจะเอ่ยชวนให้อาบน้ำพร้อมกัน ซึ่งนั่นมันหมายความว่าเค้าขอมีอะไรกับผมในห้องน้ำนั่นเอง

“เดี๋ยวก่อน”ผมขืนตัวออกพร้อมกับมองหน้าเค้าอย่างรู้สึกผิด ที่ผมทำของที่เค้าให้ไว้หายไป

“คือแหวนที่มรึงเคยให้กรูไว้”ผมเอ่ยเสียงตำกุกตะกัก สรรพนามที่เราใช้คุยกัน ยังเป็นฉันท์เพื่อนเหมือนที่เคยเป็นมา

“ทำไมเหรอ”เค้ายังคงพยายามดึงตัวผมเข้าหาเหมือนไม่ค่อยสนใจฟังในสิ่งที่ผมพูด

“คือ...คือ...คือแหวนมันหายไปไหนไม่รู้”ในที่สุดผมก็ตัดสินใจพูดออกไป

“งั้นเหรอ”เค้ารับคำสั้นๆ ก่อนจะปล่อยตัวผม พร้อมกับนิ่งไปแสดงว่าเค้าน่าจะโกรธผม

“โกรธเหรอ”ผมรู้สึกผิดจริงๆที่ ทำไม่ถึงไม่รู้สึกเลยนะว่ามันหล่นหายไปตอนไหน

“ช่างมันเถอะ ไว้ค่อยไปซื้อใหม่ก็ได้ เดี๋ยวขอตัวอาบน้ำก่อนนะ”แล้วเค้าก็เดินออกไปเลย แสดงว่ากำลังโกรธผมอยู่ ผมรีบเดินตามเข้าไปกอดเค้าจากด้านหลัง

“อาบด้วยนะ”ผมบอกออกไปหวังจะให้เค้าหายขุ่นเคืองผมบ้าง

“วันนี้อยากอาบคนเดียว”น้ำเสียงเย็นชานั้นทำเอาผมชะงักพร้อมกับปล่อยมืออย่างอัตโนมัติ เค้าโกรธผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ ผมก็ไม่ได้อยากให้มันหายเสียหน่อย อารมณ์น้อยใจที่เค้าโกรธผม (ไม่ได้สำนึกผิด) อีกทั้งยังเคืองๆ เค้ากับเรื่องที่ไอ้แชมป์เล่าให้ผมฟัง เย็นนี้เราสองคนเลยแทบจะไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย

ตอนเช้าเค้าออกไปแต่เช้าโดยไม่รอผมเลย ผมก็ออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดไม่แพ้กัน แต่พออารมณ์เริ่มเย็นลงหน่อยก็ได้คิดว่าจริงๆผมผิดนี่นา ส่วนเรื่องที่ไอ้แชมป์เล่าให้ผมฟังมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ เค้าอาจจะเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาก็เป็นได้ ผมเลยคิดว่าเลิกเรียนแล้วจะไปซื้อแหวนให้ใหม่แล้วก็จะซื้อให้เค้าด้วย

“ที่ลากกรูมานี่จะมาซื้อแหวนนี่นะ”ไอ้แชมป์เริ่มบ่นให้ผมที่ตอนแรกชวนมันมาเดินห้าง โดยที่ผมบอกกับมันว่าวันนี้อารมณ์ดีจะเลี้ยงไอศกรีมมันเพราะไอ้นี่ชอบทานเหลือเกิน ตอนแรกมันก็ระริกระรี้ดีแต่พอทานเสร็จ ผมจะมาซื้อแหวนทำไมเหมือนมันไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ ซึ่งก็ไม่เข้าใจมันเหมือนกันว่าเป็นอะไร

“ก็แหวนกรูหาย ก็จะมาซื้อใหม่นี่ไง”ผมตอบผ่านๆก่อนจะเลือกดูแหวนแบบเดิมที่เค้าเคยซื้อให้ผม วงนึงผมลองให้พอดีกับนิ้ว อีกวงผมเลือกให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดเพราะจำได้ว่านิ้วเค้าจะใหญ่กว่าผมเล็กน้อย

“ทำไมต้องซื้อสองวง”ไอ้แชมป์เอ่ยถามผมอย่างสงสัย

“ก็เผื่อทำหายอีกจะได้มีสำรองไง”ผมโกหกออกไป แต่ไอ้เพื่อนตัวดีก็ช่างสังเกต

“แล้วทำไมต้องซื้อคนละไซส์”นั่นไงช่างสงสัยเหลือเกิน

“ก็ใส่คนละนิ้วไง นี่อันนี้ใส่นิ้วนาง อันนี้นิ้วชี้”โชคดีที่แหวนอีกวงดันพอดีกับนิ้วชี้ผม เลยถือโอกาสแถไปเรื่อย ไอ้แชมป์พยักหน้าอย่างเหมือนจะเข้าใจ

“เฮ้ยไอ้แฟ้ม ดูนั่นสิ เพื่อนมรึงไม่ใช่เหรอ”ไอ้แชมป์ชี้ให้ผมดูใครคนนึง ก็เห็นผู้หญิงคนนึงที่เป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนที่คณะของผมเองนั่นแหละครับ

“ก็แล้วอ้อนไม่ใช่เพื่อนมรึงด้วยรึไงถึงได้บอกว่าเพื่อนกรู”ผมหันกลับมาถามด้วยความสงสัยเพราะ ผมกับไอ้แชมป์ก็สนิทกับอ้อนพอๆ กัน อ้อนเป็นคนอัธยาศัยดีเข้ากับคนง่าย ถือเป็นผู้หญิงที่น่ารักคนนึงเลยแหละ และก็ถือว่าอ้อนจะสนิทกับผมที่สุดเลยด้วยมั้งเพราะผมไม่ค่อยแกล้งเธอ เพื่อนคนอื่นๆ จะเห็นว่าอ้อนลุยๆ เลยชอบแกล้งเหมือนจะลืมไปว่าอ้อนก็ผู้หญิงนะไม่ใช่ผู้ชายอย่างพวกมัน เธอชอบทำตัวเหมือนเด็กๆ เหมือนเป็นน้องสาวผมคนนึง

“กรูไม่ได้หมายถึงอ้อน แต่กรูหมายถึงนั่นๆ คนนั้นต่างหาก”ไอ้แชมป์ชี้ให้ผมดูผู้ชายอีกคนที่ตอนแรกผมมองไม่เห็นเพราะมีป้ายบังอยู่ตรงจุดที่ผมมองไป ผมมองชายหนุ่มคนนั้นอย่างไม่กระพริบตา ดูท่าทางสนิทสนมของทั้งสองคนเหมือนรู้จักมักคุ้นกันมาเป็นอย่างดี นี่เค้าไปรู้จักกันตอนไหน เค้าหันมาสบตาผมพอดี ดูเค้าจะชะงักไปเล็กน้อย แต่ผมนี่รู้สึกเหมือนมีใครเอาค้อนฟาดลงมาอย่างแรง นี่แสดงว่าที่ไอ้แชมป์เคยพูดว่าเค้าเจ้าชู้เที่ยวจีบหญิงไปทั่วนี่ มันคือความจริงสินะ ทั้งสองคนเดินใกล้เข้ามาทางที่ผมกับไอ้แชมป์ยืนอยู่ อ้อนโบกมือให้พวกผม เธอคงมองเห็นเราแล้ว ผมได้แต่ฝืนยิ้มแห้งๆให้ ไอ้แชมป์โบกมือตอบ

“หวัดดีพี่แฟ้ม มาทำไรอ่ะ”อ้อนจะชอบเรียกผมว่าพี่เพราะเธออยากมีพี่ชาย และผมก็มักจะทำตัวเหมือนพี่ชายคอยปกป้องเธอจากบรรดาเพื่อนๆ ผู้ชาย(ขี้แกล้ง)เสมอ

“มาซื้อแหวนนะ”ผมตอบออกไปพร้อมกับยิ้มออกไปอย่างให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด

“แล้วเธอละใยลูกอุรังอุตัง มาทำอะไร”ไอ้แชมป์เรียกอ้อนในแบบที่เพื่อนๆ ผู้ชายชอบเรียกกันเพราะเธออยู่ไม่ค่อยสุข ร่าเริงตลอดจนเพื่อนๆ บอกว่าสงสัยจะเป็นลูกลิง

“ก็มาดูหนัง กำลังจะกลับแล้ว แล้วนี่นายจะพาพี่ชายชั้นไปไหนอีกหรือเปล่า”อ้อนไม่ได้ใส่ใจกับคำเรียกของไอ้แชมป์เท่าไหร่

“จะกลับแล้ว จะกลับพร้อมกันหรือเปล่า”อยู่ๆ บุคคลอีกหนึ่งที่จ้องผมไม่วางตาก็พูดขึ้น ไอ้แชมป์ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะรู้อยู่แล้วว่าผมพักที่เดียวกับโอเล่ แต่อ้อนดูจะแปลกใจหน่อย เพราะถึงแม้จะรู้ว่าโอเล่เป็นเพื่อนผม แต่อ้อนคงไม่รู้ว่าเราพักที่เดียวกัน

“มรึงกลับไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวว่าจะไปหาอะไรกินกับเพื่อนก่อน”ผมตอบออกไปพร้อมกับหันไปมองไอ้แชมป์ที่ทำหน้าเหรอหรา เพราะจริงๆ เราไม่ได้คิดจะกินอะไรกันต่อหรอก

“จะไปหาไรกินเหรอ งั้นอ้อนไปด้วยนะพี่แฟ้ม โอเล่จะกลับแล้วใช่ไหม ไว้เจอกันนะ”อ้อนทำผมแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเธอไม่ไปกับเค้าเล่าจะอยากมากับพวกผมทำไม

“ถ้าอ้อนจะไปเดี๋ยวเราไปด้วยแล้วกัน คงไม่มีใครมีปัญหานะ”เค้าพูดขึ้นพร้อมกับจ้องหน้าผมอย่างท้าทาย เป็นอันว่าเราทั้งสี่ต้องมาอยู่ที่ MK ด้วยกัน ผมนั่งข้างกับไอ้แชมป์ ปล่อยให้เค้านั่งข้างกับอ้อนเพราะเค้าน่าจะต้องการเช่นนั้น

“ไหนพี่แฟ้มเอาแหวนมาดูหน่อยสิ สวยเปล่า”อ้อนเอ่ยถามอย่างเริงร่าหลังจากสั่งรายการอาหารเสร็จ ดูเธอจะมีความสุขกับทุกเรื่องจริงๆ เพราะผมไม่เคยเห็นเธอเป็นทุกข์กับอะไรเลย ผมหยิบแหวนสองวงออกมาให้เธอดู

“ทำไมซื้อสองวงละ”เธอถามด้วยความแปลกใจแบบเดียวกับไอ้แชมป์ ไอ้แชมป์เลยตอบแทนผม

“ก็มันเพิ่งทำแหวนหายไป เลยซื้อไว้สองวง เป็นแหวนสำรองเผื่อมันหายอีกไง”ไอ้แชมป์บอกเหมือนที่ผมเคยบอกมัน ผมเห็นโอเล่ทำหน้างงๆ เล็กน้อย

“แล้วทำไมต้องซื้อไซส์ไม่เท่ากันด้วยละ”ไอ้แชมป์หัวเราะออกมาคงเพราะอ้อนสงสัยในสิ่งที่มันเคยสงสัยเหมือนกันเลย ส่วนคนที่อยู่ข้างๆ อ้อนอมยิ้มก่อนจะหันมองมาทางผม เหมือนเค้าจะรู้ว่าผมซื้ออีกวงเพื่อจะให้ใคร แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจไปเสียแล้ว

“ก็กะว่าใส่คนละนิ้วนะ แต่นี่ว่าจะฝากไอ้แชมป์ไว้อยู่เพราะถ้าเก็บเองกลัวจะหายพร้อมกันสองวง”ไอ้แชมป์ทำหน้างงๆ ที่วันนี้ผมพูดจาโยนงานให้มันสองรอบแล้ว แต่มันก็ยังคงเก็บความสงสัยเอาไว้

“อ้าวเหรอ พี่แฟ้มฝากอ้อนไว้ดีกว่า อย่าไปฝากนายนี่เลย”เธอยังคงมองแหวนโดยลืมสนใจไปว่าเธอพาอีกคนที่นั่งข้างๆมาด้วยซึ่งตอนนี้เหมือนจะทำหน้าบอกบุญไม่รับเหลือเกิน

“ก็วงนี้มันน่าจะพอดีกับนิ้วไอ้แชมป์มากกว่าไง ไหนเอามาลองสิ”ผมพูดพร้อมกับเอาแหวนมาลองสวมไว้ที่นิ้วของไอ้แชมป์

“เห็นไหมพอดีเลย แล้วทีนี้ก็จะให้มันเก็บรักษาให้ ถ้ามันทำหายเมื่อไหร่ มันจะต้องชดใช้คืนเป็นสองเท่า”ผมพูดจาติดตลกกับเพื่อนทั้งสองคนโดยที่ไม่ได้สนใจอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นส่วนเกินของวงสนทนาไปแล้ว ด้วยอารมณ์ที่เหมือนจะน้อยใจผมเลยทำเป็นเมินเค้า

“ได้ไงวะ แบบนี้มรึงปล้นกรูไปเลยดีกว่า”ไอ้แชมป์โวยวาย เราสามคน ผม อ้อนและไอ้แชมป์หัวเราะกันสนุกสนานแต่อีกคนไม่เลย แล้วอยู่ๆ เค้าก็ลุกพรวดขึ้น พวกผมสามคนเงียบโดยอัตโนมัติก่อนจะหันไปมองเค้า

“พอดีนึกขึ้นได้ว่าต้องไปทำธุระ งั้นเดี๋ยวเรากลับก่อนนะอ้อน”เค้าบอกอ้อน โดยที่ไม่หันมามองฝั่งผมกับไอ้แชมป์เลย

“งั้นไว้เจอกันนะ”อ้อนโบกมือให้กับเค้า

“แมร่งประจำเดือนมาไม่ปกติหรือเปล่าว่ะจะมาก็มาจะไปก็ไป อารมณ์แปรปรวนเหลือเกิน”ไอ้แชมป์พูดขึ้นหลังจากที่เค้าเดินออกไปแล้ว

“นายก็ไปว่าเค้า”อ้อนตีมือไอ้แชมป์เหมือนจะปรามอยู่ในที

“ไม่ต้องเลยยัยลูกลิง นี่ไปรู้จักกับไอ้หนุ่มต่างคณะนี่ได้ยังไง”ไอ้แชมป์ถามพร้อมกับชำเลืองมองมาทางผม

“เออว่าจะถามพี่แฟ้มอยู่พอดีเลย”อ้อนทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“อะไรเหรอ”ผมตัดสินใจถามออกไป

“ก็โอเล่เป็นเพื่อนกับพี่แฟ้มใช่ไหมอ่ะ เล่าให้ฟังหน่อยดิว่าเค้าเป็นไง เหมือนเค้าจะมาจีบอ้อนนะ ก็พอรู้ว่าเป็นเพื่อนพี่แฟ้ม แต่อ้อนเพิ่งได้คุยกับเค้าแค่อาทิตย์กว่าๆนี่เอง”เธอเล่าอย่างอายๆ แสดงว้าอ้อนน่าจะสนใจเค้าอยู่ไม่น้อย มันทำให้ผมจุกขึ้นมาถึงลำคอเหลือเกิน

“อะไรกันยัยลูกลิง รู้จักกันแค่อาทิตย์เดียวแต่ยอมมาดูหนังกับเค้าแล้ว เธอนี่มันใจง่ายจริงๆ”แล้วทั้งสองคนก็ปะทะคารมกันชุลมุนวุ่นวาย แต่ผมไม่ได้ห้ามเพราะไม่ได้ฟังเสียด้วยซ้ำ เค้ามาจีบอ้อนงั้นเหรอ ทำไม ทำไมกัน ทั้งที่เค้าก็น่าจะรู้ว่าผมรักเค้า แล้วเค้าจะมาทำให้ผมเห็นทำไม เมื่อก่อนเค้าอาจจะเคยจีบใครต่อใครหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ในเมื่อผมไม่เคยเห็นผมก็จะได้คิดว่าเค้าไม่ได้ทำแบบนั้น แต่นี่ผู้หญิงทั้งมหาวิทยาลัยมีตั้งเยอะแยะ ทำไมต้องมาจีบคนที่เรียนคณะเดียวกับผม เท่านั้นไม่พอยังเป็นเพื่อนในกลุ่มผมอีก ที่แย่ไปกว่านั้นอ้อนยังเป็นเพื่อนผู้หญิงที่ผมสนิทที่สุดอีกด้วย

“ชั้นไม่เถียงกับนายแล้ว พี่แฟ้มตกลงโอเล่เค้ามีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่า”อ้อนเรียกผมให้หลุดจากความคิด ผมหันมองหน้าเธอที่ตอนนี้จ้องผมอย่างรอคอยในคำตอบ

“ก็ยังไม่เห็นเค้าคบใครจริงจังนะ”ผมตอบแบบเลี่ยงๆ เพราะไม่รู้จะว่ายังไงดี

“แล้วเค้าเป็นคนดีหรือเปล่า”อ้อนยังคงอยากจะรู้รายละเอียด นี่แสดงว่าอ้อนสนใจในตัวเค้าจริงๆสินะ

“เค้าก็เป็นเพื่อนที่ดีนะ แต่จะเป็นแฟนที่ดีหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้เหมือนกัน ยังไงอ้อนก็ลองดูไปเรื่อยๆ ก่อนก็ได้ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนหรอกน่า จริงไหม”ผมบอกออกไปอย่างยิ้มแย้มทั้งที่ในใจน้ำตามันคงตกในไปเรียบร้อยแล้ว

“ถ้าพี่แฟ้มพูดแบบนี้แสดงว่าเค้าต้องดีแน่ๆ งั้นเดี๋ยวอ้อนจะลองดูๆเค้าไปก่อนแล้วกัน”เธอบอกเสียงใสตามประสาของเธอ

“นี่ยัยลูกลิงตกลงว่าชอบเค้าแล้วใช่ไหมล่ะ”ไอ้แชมป์แกล้งล้ออ้อนที่อายจนหน้าแดง ก่อนที่จะเปิดฉากเถียงกันอีกรอบ ผมได้แต่ยิ้มฝืนๆให้กับทั้งสองคน

จนเราจัดการกับทุกอย่างที่สั่งมาจนหมดเกลี้ยง อ้อนแยกตัวออกไปก่อนไม่ต้องไปส่งเพราะเธอไปเองได้ ไอ้แชมป์บอกจะไปส่งผมที่อพาร์ทเม้น ไอ้นี่มีรถขับตั้งแต่ตอนเรียนเลยครับ บ้านมันค่อนข้างมีฐานะอยู่พอควร ส่วนบ้านผม ก็พอๆกับมันนั่นแหละ แต่เค้าไม่ยอมให้ผมเอารถมาใช้ อยากให้ผมใช้ชีวิตสมถะดูบ้าง อยากเห็นลูกลำบากว่างั้นครับบ้านผม

“เอานี่คืนไป”ไอ้แชมป์ถอดแหวนคืนให้ผม

“เก็บไว้นั่นแหละ ก็บอกแล้วว่าฝากไว้”ผมยื่นคืนให้มันเหมือนเดิม

“ไม่ใช่ตั้งใจจะซื้อให้ใครเหรอ”เหมือนมันจะจี้ตรงจุดดีเหลือเกิน

“ก็บอกแล้วว่าฝากไว้ ไม่ได้จะเอาไปให้ใครหรอก เก็บให้เพื่อนแค่นี้ไม่ได้รึไง”ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดเล็กๆ

“ถ้าจะเอาแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ แต่ให้มาแล้วเกิดกรูชอบขึ้นมากรูไม่คืนนะ”มันพูดแปลกๆ

“ถ้าไม่คืนกรูก็จะยกให้เลย แค่นี้กรูให้ได้อยู่แล้ว”ผมบอกออกไปเพราะผมก็ไม่คิดจะเอาคืนอยู่แล้ว

“ถ้ากรูอยากได้มากกว่าแหวนละ”มันพูดพร้อมกับหันหน้ามาจ้องผม ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูดหรอก แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจมากเพราะนี่ก็ถึงที่หมายแล้ว ผมกล่าวขอบคุณก่อนจะลงจากรถ

ผมยืนถอนหายใจอยู่หน้าห้องเป็นนานสองนาน ไม่อยากจะเข้าไปเผชิญหน้ากับเค้าเลย เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 29-10-2014 16:04:36
ทำตัวแบบนี้รับไม่ได้จริงๆ แต่จะว่าไปก็ไม่ชัดเจนกันทั้งคู่นะ
พูดแล้วหงุดหงิด แต่ก็อยากอ่านต่อนะ 555555555 :laugh:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 29-10-2014 21:15:41
ผมยืนถอนหายใจอยู่หน้าห้องเป็นนานสองนาน ไม่อยากจะเข้าไปเผชิญหน้ากับเค้าเลย เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน

“มานี่”ทันทีที่ผมก้าวเข้าห้องเค้าก็ฉุดกระชากลากผมไปที่เตียงเลย

“ปล่อยนะ ทำอะไรเนี่ย”ผมพยายามสะบัดข้อมือออก แต่ก็เหมือนจะสู้แรงเค้าไม่ได้

“อย่ามาดีดดิ้นเลย มรึงชอบกรูไม่ใช่เหรอ นี่ไงกรูก็จะมอบความเป็นผัวให้มรึงเหมือนทุกวันไง”เค้าตวาดผม

“แต่วันนี้กรูไม่มีอารมณ์ กรูไม่อยากทำ”ผมพยายามดิ้น

“แต่กรูมี”เค้าพูดเสียงดังใส่ผมพร้อมกับถาโถมเข้าหา ผมสู้แรงเค้าไม่ได้ เลยได้แต่ปล่อยให้เค้า กระทำตามใจซึ่งมีแต่ความรุนแรง ไม่มีความอ่อนโยนต่อผมเหมือนหลายครั้งที่เคยเป็นมา







“เจ็บไหม”เค้าถามผมหลังจากที่ได้กระทำจนพอใจแล้ว เจ็บไหมงั้นเหรอ ที่เค้าทำแบบนี้มันไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก แต่เรื่องของอ้อนต่างหากที่มันทำให้ผมเจ็บ

“คิดยังไงกับอ้อน”ผมเอ่ยปากถามออกไป เมื่อก่อนผมไม่เคยคิดจะถามเรื่องส่วนตัวอะไรของเค้าเลย แต่กับเรื่องนี้ผมอดใจไว้ไม่ไหวจริงๆ

“ทำไมหึงเหรอ”เหมือนเค้าไม่ได้ใส่ใจจะตอบเท่าไหร่เลย

“กรูถามว่าคิดยังไงกับอ้อน”ผมเอ่ยซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่จริงจัง

“ก็น่ารักดี”นั่นสินะผมก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ยังจะอยากได้ยินจากปากเค้าอีกทำไมกัน หรือเพื่อจะตอกย้ำให้ผมยิ่งเจ็บเข้าไปอีกกันนะ

“ทำไมต้องเป็นคนนี้”ผมพึมพำ เพราะถ้าเลือกได้ อย่างน้อยผมก็อยากให้เค้าไปหาคนที่ไกลตัวกว่านี้จะดีกว่า ถึงแม้ตอนนี้ผมเริ่มคิดจะถอยห่างออกจากเค้า เพื่อให้เค้าได้ใช้ชีวิตในแบบที่เค้าอยากจะเป็น ไม่ต้องมาคอยรักษาน้ำใจผมหรอก แต่ถ้าผมเปิดทางให้อ้อนเต็มที่ ผมก็ยังจะต้องพบเจอกับเค้าอีกเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นคนอื่น ผมอาจจะแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง แกล้งรับรู้แค่เพียงว่าเค้ายังอยู่กับผม

“ทำไมเป็นคนนี้แล้วมันยังไง แล้วไหนแหวนที่ซื้อมานะ”น้ำเสียงเค้าเริ่มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง

“ไม่ได้ยินเหรอว่าฝากไว้ที่เพื่อน”ผมบอกออกไปเพราะคิดว่าเค้าน่าจะจำได้ว่าผมฝากแหวนไว้ที่ไอ้แชมป์ อีกอย่างเค้าไม่เห็นจะต้องมาสนใจผมอีกก็ได้นี่นา ถ้าในเมื่อเค้าจะไปรักคนอื่นอยู่แล้ว แค่คนบำบัดความใคร่อย่างผม เค้าจะมาสนใจทำไม

“เพื่อนแน่เหรอ หรืออยากได้มันเป็นผัวใหม่จนตัวสั่น”เค้าตะคอกผมเสียงดัง ผมหันไปมองเค้ากลับด้วยท่าทางเอาเรื่อง เค้ามีสิทธิ์อะไรมาว่าผมแบบนี้

“มันเรื่องของกรู”อารมณ์ผมก็เริ่มจะเดือดขึ้นมาเหมือนกัน ถึงผมจะรักมันแต่ผมก็ไม่ได้จะยอมมันเสียซะทุกอย่างหรอกนะ

“เดี๋ยวนี้มีขึ้นเสียงด้วยเหรอ”ทีตัวมันเองขึ้นเสียงใส่ผมละ

“เรื่องส่วนตัวมรึงกรูเคยยุ่งไหม เพราะงั้นเรื่องของกรูมรึงก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งเหมือนกัน”ผมบอกด้วยสายตาท้าทาย จริงๆ เรื่องผมกับไอ้แชมป์มันก็ไม่มีอะไรหรอก แต่เหมือนจะเปล่าประโยชน์ที่จะอธิบาย และผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดดีกับเค้าอีกแล้ว ผมเหนื่อยมาพอแล้ว

“แต่กรูจะไม่ยอมให้มรึงไปเป็นของใครเด็ดขาด”พอพูดจบมันก็จับผมกดอีกครั้ง ผมปล่อยให้มันทำจนพอใจ อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะเพราะนี่ผมจะยอมมันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว






“ลุกไหวไหม”ไอ้โอเล่มาสะกิดปลุกผมในตอนเช้า ผมส่ายหน้าปฏิเสธเพราะแทบไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว

“จะไปเรียนหรือเปล่า”มันยังคงถามต่อ และผมก็ส่ายหน้าเหมือนเดิม

“งั้นกรูอยู่เป็นเพื่อน”มันนั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับเอามือแตะที่หน้าผาก

“ไม่เป็นไร กรูไม่ได้เป็นอะไรมาก หรอกแค่ยังขี้เกียจอยู่แค่นั้นแหละ”ผมปฏิเสธเพราะอยากจะอยู่คนเดียวมากกว่า วันนี้ผมมีบางอย่างที่ต้องจัดการ เหมือนโอเล่จะไม่ยอมไปเรียนง่ายๆ แต่ผมก็หาทางบ่ายเบี่ยงไม่ให้มันอยู่จนสำเร็จ พอโอเล่ออกไปได้สักพัก ผมก็โทรหาไอ้แชมป์ทันที

“นี่มรึงจะให้กรูขนหมดนี่เลยเหรอ”ไอ้แชมป์เริ่มลังเลเมื่อเห็นข้าวของทั้งหมดของผม ซึ่งก็มีมากพอสมควรอยู่ดีที่มันเอารถไปเปลี่ยนเป็นกับพี่มันที่ใช้รถกระบะ มาช่วยผมย้ายของ ผมได้ตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่นดีกว่า ไม่อยากต้องทนรับอารมณ์ของเค้าอีกต่อไปแล้ว

“แล้วทำไมมรึงจะย้ายออกกะทันหันแบบนี้ละ”ไอ้นี่ช่างเป็นคนขี้สงสัยเหลือเกิน แต่ผมก็ห้ามไม่ให้มันสงสัยไม่ได้หรอก

“อยากออกไปอยู่คนเดียวบ้าง จะได้เป็นส่วนตัวไง”ผมตอบเลี่ยงๆ ไม่ค่อยอยากจะบอกอะไรมันมาก

“แล้วเพื่อนมรึงไม่คิดจะช่วยขนของเลยเหรอวะ นี่มันรู้หรือเปล่าว่ามรึงจะย้ายออก”เหมือนไอ้แชมป์จะเริ่มระแคะระคายบางอย่าง แต่ผมก็ตอบเลี่ยงๆ เหมือนเดิมพร้อมกับบอกให้รีบช่วยกันจะได้เสร็จเร็วๆ ไม่นานนักก็เรียบร้อย ของที่เป็นของผมไม่มีหลงเหลืออยู่ที่อพาร์ทเม้นท์นี้อีกแล้ว มันเหลือแค่ข้าวของของเค้าเท่านั้น ผมเริ่มกังวลเรื่องที่อยู่ใหม่เพราะยังไม่ได้หาเลย โชคดีที่ไอ้แชมป์บอกว่าอพาร์ทเม้นท์ที่มันอยู่ คนที่อยู่ข้างห้องมันเพิ่งย้ายออก ผมเลยย้ายมาที่อพพาร์ทเม้นท์เดียวกับไอ้แชมป์ ไอ้นี่จริงๆ บ้านมันก็อยู่ไม่ได้ไกลจากมหาวิทยาลัยเลย แต่อยากออกมาอยู่คนเดียว ไม่อยากเป็นลูกแหง่

“อยากกินไรเดี๋ยววันนี้ป๋าเลี้ยงเอง”ผมบอกไอ้แชมป์หลังจากมันช่วยผมจัดห้องใหม่จนเสร็จ ซึ่งตอนนี้ก็จะสามทุ่มแล้ว เหนื่อยทั้งวันเลยวันนี้ กะว่าจะเลี้ยงตอบแทนมันหน่อย

“เหนื่อยแบบนี้ ไปกินหมูกระทะกันดีกว่า กรูจะกินให้พุงกางเลย”ไอ้แชมป์ออกความเห็น และผมก็เห็นด้วย ไม่นานนักเราสองคนก็ถึงที่หมาย เป็นร้านประจำของเพื่อนๆ ในคณะผมเองแหละครับ พวกเราชอบมาสังสรรค์กันบ่อยๆ วันนี้คนดูจะเยอะเป็นพิเศษเพราะเป็นวันศุกร์ ผมกับไอ้แชมป์เลยสั่งเบียร์สดด้วย จะได้มาช่วยย่อย

“กรูถามจริงๆ นะ ตอบตามตรงด้วยถ้ามรึงยังคิดว่ากรูเป็นเพื่อน”ไอ้แชมป์พูดขึ้นหลังจากที่ยัดของกินลงไปได้ครึ่งท้องแล้วมั้ง

“ว่ามา”ผมคิดว่ามันคงจะถามเรื่องผมกับโอเล่เป็นแน่ แต่กะว่าจะไม่ปิดอะไรมันแล้วแหละ หวังว่ามันคงไม่รังเกียจผมนะที่ชอบผู้ชายด้วยกัน แต่จากที่รู้จักกันมาในระดับหนึ่งแล้ว มันไม่น่าจะเป็นคนที่แอนตี้เรื่องแบบนี้

“ตกลงมรึงกับไอ้โอเล่นั่นเป็นอะไรกัน”

“กรูไม่รู้จะตอบยังไงว่ะ”ผมตอบออกไปตามความจริง เพราะไม่รู้จะนิยามความสัมพันธ์ของผมสองคนยังไง ถ้าจะบอกว่าเป็นเพื่อน มันก็มีอะไรที่เกินเพื่อนไปแล้ว แต่ถ้าจะบอกว่าเป็นแฟนมันก็เหมือนจะใช้คำนี้ไม่ได้ และคงไม่มีโอกาสจะเป็นไปได้อีกแล้ว

“เอ้า ก็ง่ายๆ ตกลงมรึงคิดยังไงกับมัน”ไอ้นี่ดูจะอยากรู้เหลือเกินนะ

“ช่างเหอะวะ เรื่องนี้กรูขอไม่ตอบแล้วกัน เอาเป็นว่าจากนี้ไปกรูกับมันก็เป็นแค่คนรู้จักกันธรรมดา แค่นั้นแหละ”ใช่สินะจากนี้ไประหว่างเรามันจะเป็นไปได้แค่นี้เท่านั้น

“เรื่องนี้เกี่ยวกับยัยลูกลิงด้วยหรือเปล่า”ดูไอ้นี่จะเดาอะไรได้เก่งเหลือเกิน คาดว่าผมจะปิดอะไรมันไม่ได้เลย ผมไม่ได้ตอบเหมือนจะบอกมันเป็นนัยๆ ว่าไม่อยากจะพูดเรื่องนี้อีก แล้วเราก็กินกันต่อ จนเริ่มดึกก็ออกจะมึนๆ กันพอควรเพราะกินเบียร์ด้วย

“ทำไมไม่รับ”ไอ้แชมป์ถามเมื่อเห็นผมหยิบดูโทรศัพท์ที่มีสายเข้าขึ้นมาดู แต่กดเสียงให้เงียบแทนที่จะรับสาย ก็เพราะไอ้คนที่ผมยังไม่อยากจะคุยได้โทรเข้ามานั่นเอง

สงสัยจะกลับไปถึงห้องแล้ว และก็คงจะเห็นแล้วว่าผมย้ายของออกมาหมด เค้ากระหน่ำโทรมาเป็นสิบสาย แต่ผมก็ไม่ได้รับก่อนจะปิดเครื่อง ไอ้แชมป์มีแววตาสงสัยอยู่ในที แต่ผมก็ไม่ได้บอกอะไร เราอยู่ต่ออีกไม่นานก็พากันกลับ

“ไม่กลับห้องละ”ผมถามไอ้แชมป์ที่ยังมานั่งสบายใจอยู่ที่ห้องผม

“พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันไหม”มันถามผม

“เออว่าจะถามหลายทีแล้ว มรึงไม่มีแฟนเหรอวะ ทำไมวันก่อนก็เคยเห็นไปดูหนังคนเดียว แล้วนี่วันหยุดยังจะมาชวนเพื่อนไปเที่ยวอีก แทนที่จะไปกับแฟน”ไอ้แชมป์หันมามองผม ผมก็เลิกคิ้วเป็นเชิงย้ำอีกครั้ง

“ก็ยังไม่เจอคนถูกใจ แล้วมรึงจะไปเที่ยวกับกรูบ้างไม่ได้หรือไง”คำพูดนเหมือนจะออกอาการน้อยใจอยู่ไม่น้อย แต่ที่น่าแปลกคือ อย่างไอ้แชมป์นี่นะยังไม่มีแฟน ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่เลย หน้าตาก็จัดว่าดีทีเดียว อีกอย่างบ้านก็มีฐานะแถมไปเรียนก็ขับรถไปเรียนอีก น่าจะมีคนมาชอบเยอะอยู่ อย่างวันก่อนมันยังเคยพูดว่าเห็นโอเล่มันเจ้าชู้แล้วบอกถ้าหน้าตาดีมันยังอยากทำบ้าง แต่ผมว่าถ้ามันจะทำตัวแบบนั้นมันก็ทำได้นะ เพราะผมคิดว่าคงจะมีคนชอบมันเยอะอยู่เหมือนกัน อีกทั้งนิสัยมันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

“ไปก็ไป ถามแค่นี้ทำเหมือนจะน้อยใจ ขี้ใจน้อยด้วยเหรอมรึงอ่ะ”ผมตอบออกไปอย่างไม่ได้ซีเรียสอะไร ออกไปเที่ยวกับเพื่อนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าชีวิตผมต้องมีแต่ไอ้โอเล่มันคนเดียวเสียเมื่อไหร่กัน

“งั้นกรูกลับห้องก่อนแล้วกัน เจอกันพรุ่งนี้”ไอ้แชมป์ลุกขึ้นบอกก่อนจะเดินจากไป

ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเปิดเครื่องอีกครั้ง พอเครื่องเปิดปุ๊บ มันก็แผดเสียงทำงานทันที ผมจ้องมองดูเบอร์ที่โทรเข้ามา นี่เค้าโทรอยู่ตลอดเลยหรือไงกันถึงได้ติดแทบจะทันทีทันใด ที่ผมเปิดเครื่องแบบนี้ ผมเพ่งมองอย่างตัดสินใจว่าจะเอายังไงดี ผมควรจะรับหรือผมจะเงียบไว้แบบนี้ แต่อีกใจก็อยากจะพูดเคลียร์กันให้จบๆ ไปเลยจะดีกว่า

“แฟ้ม แฟ้ม...อยู่ไหน”น้ำเสียงเค้าถามออกมาอย่างร้อนรน จนมันเกือบจะทำให้ผมใจอ่อนเสียแล้ว

“มีอะไรหรือเปล่า”ผมถามออกไปเสียงเรียบ ไม่แสดงอาการว่ากำลังรู้สึกเช่นไร

“ทำไมต้องย้ายออกไป แล้วนี่ไปอยู่ไหน ทำไมไม่บอกกันบ้าง กลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ กรูเป็นห่วงมากรู้ไหมที่อยู่ๆ ก็หายไปแบบนี้ โทรไปก็ไม่รับ กรูกลับมาเจอสภาพห้องแล้วกรูกระวนกระวาย ทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้มรึงอยู่ไหน”ทุกถ้อยคำที่เค้าเอ่ยออกมา น้ำเสียงนั้นมันเหมือนเค้าห่วงใยผมจริงๆ จากที่ผมเคยรู้จักเค้ามา ก็อย่างที่ผมเคยบอกอ้อนไป ว่าเค้าเป็นเพื่อนที่ดี โอเล่จะคอยเป็นห่วงเป็นใยเพื่อนเสมอ นั่นเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมชอบเค้า แต่ที่ผมทำใจยอมรับได้ค่อนข้างยากคือสิ่งที่เราเป็นกันอยู่ตอนนี้

เค้าทำเหมือนจะให้ความหวังลมๆแล้งๆกับผม แต่ในความเป็นจริงเค้ากลับยังไปคบหากับคนอื่นอีกมากหน้าหลายตา เค้าไม่ได้มีจิตพิศวาสผู้ชายเหมือนกับผม แต่เค้ายังมีใจให้กับเพศตรงข้ามอยู่เหมือนเดิม ส่วนกับผม มันอาจเป็นแค่ความสุขทางเพศที่แปลกใหม่และตื่นเต้น น่าลิ้มลองเพียงชั่วคราวเท่านั้น ผมเลยคิดว่าถ้าจะให้ผมเป็นแค่นั้น สู้ให้ผมถอยออกมาจะดีกว่า

“กรูไม่เป็นไรหรอก แค่อยากออกมาอยู่คนเดียวดูบ้าง”ผมพยายามข่มอารมณ์เอาไว้เพราะไม่รู้ทำไมเวลาคุยกับเค้าแบบนี้ เรื่องราวต่างๆที่เราเคยมีด้วยกัน ไม่ว่าจะในแบบเพื่อนหรือในเรื่องบนเตียงที่เรามีด้วยกัน แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่นาน แต่พอคิดว่าผมจะไม่มีโอกาสได้เป็นแบบนั้นอีกแล้ว มันก็ใจหายพาลน้ำตาจะไหลเสียให้ได้

“มรึงอยู่ไหน กรูไปหาได้ไหม”เค้ายังคงส่งเสียงที่ดูจะหม่นๆ นั้นมาตามอุปกรณ์สื่อสารที่เราใช้

“มันดึกแล้วไม่ต้องมาหรอก ไว้เจอกันที่มหาลัยก็ได้ จากนี้ไปมรึงคงไปที่คณะกรูบ่อยอยู่มั้ง”ผมเจ็บจี๊ดในใจเมื่อนึกขึ้นได้ว่า เค้ากำลังจีบอ้อนอยู่

“กรูคิดถึงมรึงจัง”ทำไมเวลาอยู่ด้วยกันมันไม่พูดจากับผมดีๆ แบบนี้บ้าง มาพูดตอนนี้มันจะไปมีประโยชน์อะไร แล้วพูดผ่านโทรศัพท์แบบนี้มันยิ่งรู้สึกแปลกๆ เพราะเราไม่ค่อยได้คุยโทรศัพท์กันเท่าไหร่เลย ก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้วเลยไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องโทรหากันนี่นา

“มรึงจะคิดถึงกรูทำไม เมื่อเช้าเราก็เพิ่งเจอกัน แล้ววันก่อนๆ ก็อยู่ด้วยกันมามากพอแล้ว จากนี้ไปเราก็ลองใช้ชีวิตของใครของมันดูบ้างแล้วกัน”ผมพยายามทำเสียงให้นิ่งที่สุดเพื่อไม่แสดงอาการหรืออารมณ์ใดๆให้เค้าจับได้ว่าจริงแล้ว ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย

“กรูก็แค่อยากให้พรุ่งนี้ตื่นมาแล้วเจอมรึงเหมือนทุกวันที่ผ่านมา”แล้วใครว่ากรูไม่อยากให้เป็นแบบนั้นกัน แต่มันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว

“แค่นี้ก่อนนะ ง่วงแล้ว”ผมบอกตัดบทเพราะไม่อยากจะคุยต่อแล้ว เพราะเดี๋ยวผมจะใจอ่อนกลับไปอยู่กับเค้าอีก

“งั้นก็ราตรีสวัสดิ์ หลับฝันดีนะครับ”เค้าวางสายไปแล้วปล่อยให้ผมงุนงงกับคำว่าครับที่เค้าบอก ตั้งแต่รู้จักกันเค้าไม่เคยพูดกับผมเพราะๆ แบบนี้เลย แล้วยังมีบอกให้หลับฝันดีนี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย ทำไมนะบางทีเค้าถึงทำเหมือนจะให้ผมคิดว่าผมเป็นคนพิเศษ แต่บางทีเค้าก็ทำเหมือนไม่สนใจผม
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 29-10-2014 21:54:28
ใจแข็งเข้าไว้
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 29-10-2014 22:18:03
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึนมาก อึมครึมสุด
เล่นกับอารมณ์ตัวละครและนักอ่านได้แบบ.... โอ๊ยยยยยยย กลั้นใจอ่าน ไม่กล้าหายใจแรง
อยากวิ่งไปบีบคอตัวเอกทั้ง2 ตัวเขย่าแรงๆ


ฮือออออออ ทำร้ายตัวเองด้วยการอินกับเนื้อเรื่องค่ะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 29-10-2014 22:33:53
ถ้ายังไม่ชัดเจนทั้งคู่ก็เลิกกันไปเถอะ  :ling2:
ถ้าคบกันแล้วยังไปจีบคนอื่นก็เลิกไปเถอะ อย่าเห็นอีกคนเป็นของตาย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 29-10-2014 23:18:41
 :z3: :ling2: :ling1: :katai4: :katai4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 29-10-2014 23:59:37
เง้อ!!!!! อะไรขอหล่อนเนี่ย หงุดหงิด
เวลาอยู่ใกล้ตัวดันไม่ใส่ใจ :z6: รมเสีย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [29-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-10-2014 13:08:57

“ไอ้แฟ้ม มรึงว่าวันนี้เราไปไหนกันดีว่ะ”ไอ้แชมป์มาคลุกอยู่ห้องผมตั้งแต่เช้าเลยครับ ไอ้ผมก็ตกปากรับคำว่าจะออกไปเที่ยวกับมันแต่ไม่คิดว่าจะไปแต่เช้าแบบนี้ ผมเลยทำตัวอ้อยอิ่งไม่ยอมอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่แรก แต่ก็ทนการกวนประสาทจากไอ้แชมป์ไม่ไหว เลยต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวให้เรียบร้อย

“มันจะมีที่ไหนให้ไปได้นอกจากห้างสรรพสินค้า”ผมตอบในสิ่งที่คนในวัยของผมหรือคนอื่นๆ ที่ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่แบบนี้ ว่าวันหยุดจะไปไหนได้นอกจาก ไปเดินห้าง ดูของซื้อของบ้าง ดูหนัง หาอะไรกินตามประสา ถ้าเป็นครอบครัวเค้าก็ไปกันเป็นวันครอบครัว ถ้าคนเป็นแฟนเค้าก็ไปออกเดทกันนั่นแหละ หรือจะเป็นกลุ่มเพื่อนก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่

“งั้นเราก็ไปดูหนังสักเรื่อง แล้วค่อยไปหาซื้อเสื้อกรูอยากได้เสื้ออยู่พอดี จากนั้นมรึงต้องไปกินไอศกรีมเป็นเพื่อนกรูด้วย”ไอ้นี่ก็แปลกดีชอบไอศกรีมเหมือนเด็กๆ เลย ผมพยักหน้าไม่ได้โต้แย้งกับมันเพราะผมไม่ได้อยากไปทำอะไรเป็นพิเศษ มันจะไปทำอะไรก็ปล่อยมันไป ผมแค่จะไปเป็นเพื่อนมันแค่นั้นแหละ

เราไปถึงห้างประมาณ 11 โมงก็เลยหาอะไรกินกันก่อน แล้วกะว่าค่อยไปดูรอบหนัง ดีที่เป็นไอ้แชมป์ เพราะถ้าเป็นโอเล่รายนั้นจะต้องไปดูรอบหนังก่อน แล้วค่อยเอาเวลาที่พอจะมีเหลือเล็กน้อยก่อนหนังฉาย ไปกินอย่างเร่งรีบ ซึ่งผมไม่ค่อยชอบเลยเพราะปกติจะชอบมีความสุขกับการกินมากกว่า ไม่ใช่ต้องรีบไม่มีเวลาซึมซับรสชาติอาหารเลย

วันนี้เนื่องจากเป็นวันหยุดคนเลยดูจะเยอะเป็นพิเศษ หลังจากทานข้าวเสร็จผมกับไอ้แชมป์ก็ขึ้นไปหาชั้นที่โรงหนัง เมื่อได้เรื่องและรอบที่จะดูแล้วก็ไปเข้าคิวรอซื้อ แต่เหมือนจะต้องรอนานหน่อยเพราะคนเยอะเหลือเกิน แถมเค้ายังมีโปรโมชั่นเหมือนจะอยากขายบัตรอะไรสักอย่าง มันเลยทำให้พนักงานขายตั๋วเหมือนจะทำงานน้อยเป็นพิเศษ ตอนแรกไอ้แฟ้มบอกจะรอซื้อตั๋วคนเดียวให้ผมไม่ต้องมาเข้าคิวก็ได้ แต่ผมไม่อยากยืนอยู่คนเดียวเลยตามมันมาด้วย

เรายืนรออยู่จนเกือบจะถึงคิวแล้วเหลืออีกประมาณสามถึงสี่ก็ถึงพวกผมแล้ว โทรศัพท์ผมก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นดูเป็นเบอร์ของอ้อนนั่นเอง ผมรับสายแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่ออ้อนบอกให้หันหลังไปมอง ผมทำตามก็เห็นอ้อน มากับผู้ชายอีกคนซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน โอเล่นั่นเอง อ้อนโบกมือให้ผม แต่ไม่ได้เดินเข้ามาหาเพราะคงเข้ามาไม่ได้ อ้อนบอกว่าจะดูหนังซึ่งก็คือเรื่องเดียวกับที่ผมกับไอ้แชมป์จะดู เลยบอกว่าซื้อตั๋วให้ด้วย ผมรับคำอย่างเสียไม่ได้ หันไปบอกไอ้แชมป์ไอ้แชมป์เองก็เหมือนจะดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่

“นี่ใยลูกลิง วันก่อนก็เพิ่งมาดูหนังไม่ใช่เหรอ แล้วนี่วันนี้ก็มาอีกแล้ว”ไอ้แชมป์ถามขึ้นพร้อมกับยื่นตั๋วให้กับอ้อน

“อ้าวก็ช่วงนี้หนังเข้าใหม่เยอะก็เลยอยากมาดู”คำพูดเหมือนเวลาโอเล่ชวนผมมาดูหนังบ่อยๆ ออกมาจากปากของอ้อน ผมหันไปมองคนที่มากับอ้อนที่เหมือนเค้าจะมองมือไอ้แชมป์ตั้งแต่ตอนที่ ไอ้แชมป์ยื่นตั๋วให้อ้อนแล้ว ผมมองตามก็เห็นว่า วันนี้ไอ้แชมป์มันใส่แหวนที่ผมซื้อวันก่อนมาด้วย โอเล่หันมาจ้องผมเขม็ง แต่ผมแสร้งเหมือนไม่เห็น และไม่สนใจ

เราทั้งสี่คุยกันอีกสักพัก พนักงานก็ประกาศว่าเรื่องที่เราจะดูพร้อมจะฉายแล้วเชิญเข้าโรงภาพยนตร์ได้ ผมปล่อยให้โอเล่กับอ้อนเดินล่วงหน้าไปก่อนเพราะตั๋วที่ผมให้ไปจะอยู่ด้านใน ส่วนของผมกับไอ้แชมป์จะถัดออกมาจากเค้าสองคน ผมคิดว่าโอเล่น่าจะนั่งก่อนแล้วอ้อนคงนั่งถัดออกมาผมจะได้นั่งถัดจากอ้อน แต่พอเดินตามแถวนั้นเข้าไป เค้ากลับให้อ้อนนั่งด้านในแล้วเค้านั่งต่อมา แล้วผมก็ต้องนั่งต่อจากเค้าเพราะไอ้แชมป์ก็นั่งลงที่นั่งที่ถัดจากผมไปแล้ว

ผมต้องนั่งลงข้างๆ เค้าอย่างเสียไม่ได้ แต่เค้าก็หันไปพูดคุยกับอ้อน ไม่ได้สนใจผมที่อยู่ข้างๆหรอก แบบนี้มันก็ดีแล้วแหละ ผมอย่าไปใส่ใจเลย ไม่นานหนังก็เริ่มขึ้นผมพยายามจดจ่ออยู่กับหนัง แต่มันก็ทำไม่ค่อยได้ เพราะเหมือนใจมันมัวแต่คิดเรื่องต่างๆ เลยดูไม่ค่อยรู้เรื่อง จนอยากจะลุกออกไปเสียให้ได้ แต่ก็กลัวเสียมารยาท

แล้วอยู่ๆ ผมก็ต้องตกใจเมื่อรู้สึกได้ว่ามีมือมากุมมือผมไว้จากทางด้านที่โอเล่นั่ง ผมมองลงดูก็รู้ว่าเป็นมือของเค้านั่นเอง ผมเงยหน้าขึ้นมองเค้า เค้าไม่ได้หันมามองผม แต่ผมเห็นรอยยิ้มเกิดขึ้นบนมุมปากนั่น ก่อนเค้าจะบีบมือผมเบาๆ ผมมองผ่านไปยังอ้อน ก็เห็นว่ากำลังตั้งใจดูหนังไม่ได้สนใจคนข้างๆ  ไอ้แชมป์เองก็เหมือนกัน ผมพยายามจะชักมือกลับออกจากการเกาะกุมของเค้า เพราะกลัวใครจะสังเกตเห็น แต่เหมือนเค้าจะไม่ยอมปล่อย ผมเลยได้แต่อยู่นิ่งๆ เพราะถ้ายิ่งยุกยิก ก็จะยิ่งเป็นที่สังเกต

กว่าเค้าจะยอมปล่อยมือผมก็ตอนที่หนังจบ เป็นอันว่าผมดูหนังไม่รู้เรื่องเลย เพราะมัวแต่กังวลไปหมด อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเค้าทำแบบนี้ทำไม

“หนังสนุกดีเนอะ อย่างฉากนั้นนะ...”อ้อนเปิดฉากพูดถึงหนังที่เพิ่งดูมาเมื่อสักครู่ พร้อมกับพูดถึงหลายๆ ตอนที่เธอชื่นชอบ ผมได้แต่เออออเพราะดูไม่รู้เรื่องเลย ดีที่ไอ้แชมป์โต้ตอบกับอ้อน อ้อนเลยมีคนเมาท์ด้วย เพราะอีกคนก็เหมือนจะไม่ค่อยพูดเหมือนกัน

“แล้วนี่จะไปไหนกันต่อหรือเปล่า”อ้อนถามไอ้แชมป์พร้อมกับหันมามองผม ผมกำลังจะตอบเพราะว่าที่วางแผนไว้นั้นผมกับไอ้แชมป์จะไปเดินหาซื้อเสื้อผ้า แล้วก็ไปกินไอศกรีมต่อ แต่ไอ้แชมป์เป็นคนแย่งผมตอบก่อน

“เดี๋ยวว่าจะกลับเลย ไม่รู้จะทำอะไรต่อ”คำตอบของไอ้แชมป์ทำเอาผมแปลกใจไม่น้อย แต่ก็คิดว่ามันคงมีเหตุผล ผมเลยไม่ได้แย้งเพราะวันก่อนตอนมาซื้อแหวนฝ่ายผมเองก็ทำลักษณะนี้เหมือนกัน

“เหรองั้นไว้เจอกันที่มหาลัยแล้วกัน ไว้เจอกันนะพี่แฟ้ม”อ้อนบอกลาพร้อมกับหันไปหาโอเล่

“เดี๋ยวกรูเข้าห้องน้ำก่อนนะ มรึงจะเข้าเปล่า”ผมบอกไอ้แชมป์ แต่ไอ้แชมป์ส่ายหน้าก่อนจะบอกว่าเดี๋ยวรออยู่แถวๆ นั้น

ผมทำธุระเสร็จกำลังจะออกจากห้องน้ำ อยู่ๆโอเล่ก็โผล่เข้ามาขวางผมไว้ ตอนนี้ในห้องน้ำไม่มีคนอื่นเลย ผมจ้องมองหน้าเค้าว่ามีอะไรหรือเปล่า

“ขอโทษนะ”คำพูดเสียงแผ่วออกมาจากปากของเค้า

“เรื่องอะไร”ผมถามเหมือนไม่ได้ใส่ใจ เพราะคิดว่ายังไม่อยากคุยกับเค้าเท่าไหร่ด้วย

“ทุกเรื่องที่กรูเคยทำไม่ดี”แววตาที่เค้าจ้องมองผมเหมือนจะกำลังอ้อนวอนผม ทำไมนะทั้งที่เหมือนผมยิ่งพยายามหลีกหนีจากเค้า แต่เหมือนกลับทำได้ยากเย็นเหลือเกิน แล้วยิ่งเค้ามาทำเป็นเหมือนดีกับผมแบบนี้ ผมยิ่งรู้สึกสับสน

“กรูไม่เคยโกรธมรึงหรอก”ผมบอกออกไปตามความเป็นจริง เพราะผมไม่เคยโกรธอะไรเค้าเลย ไม่ว่าเค้าจะทำอะไรกับผมยังไง แต่ผมเพียงแค่เหนื่อยเท่านั้นเอง มันเหมือนผมวิ่งตามเค้ามาตลอด เมื่อก่อนไม่ว่าเค้าจะอยากให้ผมทำอะไร ผมยินดีทำทุกอย่าง แต่ผลที่ได้รับกลับมาละ

“งั้นเรากลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนะ กรูคิดถึงมรึงมากรู้ไหม”เค้าขยับเข้ามากระซิบที่หูผม ก่อนจะขบลงเบาๆ ที่ติ่งหูของผม ทำให้ผมต้องรีบถอยห่างออกเพราะกลัวมีใครเข้ามาเห็น แต่เค้ากลับดึงผมเข้าไปกอด

“ปล่อยเถอะ เดี๋ยวใครเข้ามาเห็น”ผมพยายามผลักเค้าออก เค้าค่อยๆ คลายอ้อมกอดออก

“ห่างกันดูสักพักนะ”ผมบอกย้ำกับเค้าอีกครั้ง เหมือนเค้าจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบของผมเท่าไหร่ เพราะท่าทางที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์พร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่

“งั้นกรูขอแหวนวงนั้นได้ไหมละ”เค้าพูดถึงแหวนซึ่งผมก็พอจะรู้ว่าหมายความถึงอันที่ผมให้ไอ้แชมป์

“อันนั้นให้เพื่อนไปแล้ว ไว้เดี๋ยวซื้อให้ใหม่แล้วกัน”ผมบอกออกไปเพราะคิดว่าวงนั้นให้ไอ้แชมป์ใส่ไปแล้ว เอามาให้เค้าคงไม่ดีเท่าไหร่ และที่ให้ไอ้แชมป์ไปผมก็กะว่าจะให้เลย เพราะไม่คิดจะให้ไอ้คนตรงหน้านี้อีกแล้ว

“ไม่กรูจะเอาวงนั้น ถ้าไม่ได้ละก้อ...คอยดูแล้วกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น”เค้าบอกเสียงเหี้ยมก่อนจะเดินออกไป นี่มันจะอะไรกันแน่เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย นี่ตกลงประจำเดือนมาไม่ปกติเหมือนที่ไอ้แชมป์ว่าหรือเปล่าเนี่ย



“ตกลงมรึงกับไอ้นั่นไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันธรรมดาใช่ไหม”เสียงหนึ่งดังขึ้นทันทีที่ผมออกมาถึงหน้าห้องน้ำ ไอ้แชมป์นั่นเอง นี่มันจะได้ยินอะไรบ้างนะ แล้วมันเห็นอะไรอีกหรือเปล่า เห็นผมกับโอเล่กอดกันไหม แต่มาถึงขั้นนี้ผมก็คิดว่าคงไม่ปิดมันแล้ว

“มรึงคิดว่ายังไงละ”ผมย้อนถามกลับไป อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะมีความเห็นอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะผมเองก็กำลังสับสนว่าจะเอายังไงดี แน่นอนว่าผมรักเค้า แต่เค้าละ เค้ากำลังเล่นอะไรกับผมอยู่กันแน่ เค้าทำเหมือนว่าจะให้ความหวังกับผม แต่เค้าก็ยังตามจีบอ้อนอยู่ มันหมายความว่ายังไงกัน

“ถ้าพวกมรึงแค่กำลังไม่เข้าใจกันอยู่ ก็ควรบอกให้อ้อนมันรู้ตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่อ้อนมันจะถลำตัวกลายเป็นแค่หมากตัวนึงในเกมของพวกมรึง”ไอ้แชมป์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ครั้งนี้ดูมันพูดเป็นการเป็นงานเหลือเกิน ปกติไอ้แชมป์จะเป็นคนที่ชอบพูดเล่นไปเรื่อย ไม่นึกว่าเรื่องนี้มันจะจริงจังได้ขนาดนี้ ถูกอย่างที่มันว่าที่อ้อนเหมือนจะกลายเป็นหมากในเกม แต่ผมเองก็ไม่ได้ต่างจากอ้อนหรอก เกมนี้คนที่วางหมากคือ โอเล่ต่างหาก ถ้าจะทำให้เรื่องนี้ไม่เป็นไปตามที่เค้าวางผมก็ต้องเป็นคน ออกจากเกมนี้

“มรึงไม่ต้องห่วงหรอก เพราะกรูกำลังจะถอนตัวออกจากเกมนี้”ผมหันกลับไปบอกไอ้แชมป์อย่างจริงจัง และหมาดมั่นว่าจะต้องทำเช่นนั้นให้ได้ ไอ้แชมป์ค่อยๆ ถอดแหวนที่ผมให้มันออกมา ก่อนจะส่งมาให้ผม

“เอาคืนให้เค้าไปเถอะ ถ้าเค้าอยากได้นัก”แสดงว่ามันได้ยินที่โอเล่คุยกับผม

“มรึงไม่ได้ตั้งใจจะให้กรูอยู่แล้ว ถ้าเค้าอยากได้ก็ให้เค้าไปเถอะ อีกอย่างกรูว่ามรึงถอนตัวออกจากเกมนี้ไม่ได้หรอก ทางที่ดีน่าจะรีบบอกอ้อนมันจะดีกว่า”ไอ้แชมป์ยัดแหวนใส่มือผมก่อนจะเดินนำออกไป ผมต้องวิ่งตามเพราะมันเดินเร็วเหลือเกิน

“มรึงไม่กินไอติมแล้วเหรอ”ผมตะโกนตามหลังเมื่อเห็นว่าเค้ากำลังจะออกไปทางลานจอดรถแล้ว เข้าใจว่าที่มันไม่บอกโอเล่กับอ้อนว่าจะไปไหนต่อคงเพราะไม่อยากให้สองคนนั้นตามไปด้วยเสียอีก ไม่คิดว่ามันจะกลับจริงๆ แบบนี้

“ไม่มีอารมณ์แล้ว กลับดีกว่า”มันเป็นไรของมันเนี่ย หรือโกรธที่ผมปิดเรื่องนี้ หรือโกรธที่ผมไม่ยอมบอกกับอ้อนถึงเรื่องระหว่างผมกับโอเล่ ผมตามไอ้แชมป์ไปขึ้นรถเงียบๆ โดยไม่ถามอะไรมันอีก มันเองก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ผมกำลังใช้ความคิดคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ อีกครั้ง ส่วนไอ้แชมป์เองก็เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน และเพราะมัวแต่คิดอะไรเพลินๆ เลยไม่ทันรู้ตัวว่านี่ไอ้แชมป์ได้ขับรถออกนอกเส้นทางที่เราจะกลับห้อง

“จะไปไหน”ผมหันไปถามคนขับ

“เดี๋ยวก็รู้ กรูไม่พามรึงไปฆ่าหมกป่าที่ไหนหรอก”มันพูดด้วยน้ำเสียง ที่ผ่อนคลายขึ้นไม่ได้ดูซีเรียสเหมือนในตอนแรกที่คุยกับผมที่หน้าห้องน้ำ ผมหันมองสองข้างทางอีกครั้ง ว่านี่ผมอยู่ไหนแล้ว ถนนเส้นที่ไอ้แชมป์กับลังพาผมไปนั้นคือ ถนนบางนา-ตราด นั่นเอง ผมว่าผมเริ่มจะรู้แล้วว่ามันจะไปที่ไหน ผมและไอ้แชมป์นั่งเงียบไปตลอดการเดินทาง และเพียงเวลาไม่นานนัก เราก็ถึงที่หมาย

“มรึงชอบทะเลไหม”มันหันมาถามผมหลังจากหาที่จอดรถเสร็จเรียบร้อย ไอ้แชมป์ขับรถพาผมมาจนถึงบางแสน แต่ผมไม่ค่อยชอบทะเลที่นี่เท่าไหร่นัก ก็อย่างที่รู้ๆ ว่าน้ำทะเลบางแสนมันค่อนข้างแย่แล้ว เพราะนักท่องเที่ยวที่ไม่ค่อยมีจิตสำนึกนี่แหละ

“ก็ชอบนะ แต่น่าจะบอกกันก่อนจะได้เตรียมเสื้อผ้ามาเล่นน้ำด้วย”ผมมองไปทะเลที่อยู่ด้านหน้า ถึงจะไม่คิดจะเล่นน้ำจริงๆ แต่ก็พูดไปให้เหมือนกับว่าได้มาทะเลหน่อย

“ไม่เห็นยาก ก็ถอดเสื้อผ้า เล่นเลย ไม่เห็นยาก”มันหันมาบอกพร้อมกับยิ้มกวนๆ ให้ผม ผมมองดูรอบๆ วันนี้คนเยอะพอสมควรเพราะวันหยุดด้วยมั้ง ปกติที่นี่ก็คนค่อนข้างเยอะอยู่แล้วแหละ แต่วันนี้วันหยุดเลยยิ่งเยอะขึ้นไปอีก ผมกับไอ้แชมป์มาถึงตอนเกือบจะเย็นแล้ว

“แล้วนี่นึกยังไงพากรูมาทะเลเนี่ย อารมณ์ไหนของมรึง”ผมถามออกไปพร้อมกับถอดรองเท้าถือก่อนจะเดินไปตามชายหาด

“เห็นนั่นไหม”ไอ้แชมป์ชี้ให้ผมมองออกไปที่ตรงขอบฟ้าบรรจบกับน้ำทะเล ที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงจะถึงจุดที่บรรจบนั่นแล้ว

“อืม เห็นแล้วมันมีอะไรเหรอ”ผมไม่เข้าใจว่าเกี่ยวอะไรกับการที่มันพาผมถ่อมาถึงที่นี่ ผมก้มลงพับขากางเกงขึ้นเพราะตอนนี้เราเดินเลียบไปตามคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง

“ก็กรูอยากดูพระอาทิตย์ตกไงถึงพามรึงมานี่”อารมณ์ไหนของมันฟร่ะเนี่ย อยากมาดูพระอาทิตย์ตกนี่นะ มันมีอะไรน่าดูนักหนา ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย วันไหนๆ ที่ไหนๆมันก็มีพระอาทิตย์ตกกันทั้งนั้น เหมือนกันอีกต่างหาก

“ไอ้บ้า อยากดูพระอาทิตย์ตก มรึงไม่ต้องหอบสังขารมาถึงนี่ก็ได้ ที่ไหนพระอาทิตย์มันก็ตกทิศตะวันตกเหมือนกันนั่นแหละ ใช่ว่าที่นี่มันจะตกทิศตะวันออกที่ไหนกัน”ผมพูดกลั้วหัวเราะให้มัน เพราะไม่คิดว่ามันจะขับรถพาผมมาถึงที่นี่เพราะเรื่องแค่นี้

“มรึงนี่ไม่โรแมนติกเอาซะเลย พระอาทิตย์ตกแต่ละที่มุมมองมันสวยแตกต่างกัน กรูชอบมองพระอาทิตย์ตกที่ทะเล มันเหมือนทะเลกำลังรอคอยพระอาทิตย์อยู่ เหมือนกรูที่กำลังรอใครสักคนไง”อะไรของมันวะไม่เห็นจะเข้าใจเลย แต่ผมก็ไม่ได้โต้แย้งหรือพูดจาขัดมันหรอกครับ เพราะมันอุตส่าห์อยากมาชื่นชมพระอาทิตย์ตกถึงที่นี่ ผมแค่มาเป็นเพื่อนที่ดีให้มันก็พอแล้ว

“แต่ถ้าจะให้โรแมนติก มันต้องมาดูกับแฟนนะ”ไอ้แชมป์พูดต่อ พร้อมกับเหม่อมองออกไปที่ท้องทะเล

“แล้วดันชวนกรูมาทำไม ไมไม่พาแฟนมาเล่า”ผมพูดแซวออกไป เพราะถ้าจะอยากทำซึ้งจริงๆ อย่างที่มันว่าก็คงต้องมากับแฟนนั่นแหละ ไม่ใช่ลากเพื่อนมาแบบนี้

“ก็กรูยังไม่มีแฟนนี่หว่า งั้นมรึงเป็นแฟนกรูให้หน่อยนะ”ผมหันไปจ้องหน้ามันนิ่ง ว่าอยู่ดีๆ ทำไมมันพูดแบบนี้ มันพูดเล่นหรือจะสื่ออะไรกันแน่

ไอ้แชมป์ยิ้มให้ผมก่อนจะพูดต่อ

“แค่ไม่กี่นาทีเอง กรูจะได้มีแฟนดูพระอาทิตย์ตกไง พอพระอาทิตย์หายไปเราก็กลับมาเป็นเพื่อนกันอย่างเดิม”ดูความคิดมันแปลกๆ ดีเหมือนกัน แต่ผมก็คลายความข้องใจไปได้บ้าง ว่ามันไม่ได้คิดอยากจะเป็นแฟนกับผมจริงๆ เพราะถ้ามันเป็นแบบนั้น ผมก็คงให้มันไม่ได้ แต่ผมก็คงไม่อยากให้มันเสียใจ ใช่สินะ เหมือนตอนที่ผมบอกว่าผมชอบโอเล่ เค้าก็อาจจะกำลังรู้สึกแบบผมตอนนี้ก็ได้ คือไม่ได้คิดเกินเพื่อน แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ นี่หรือเปล่าที่เป็นเหตุผลให้เค้าเอ่ยปากให้ผมกับเค้าลองคบกันดู ถึงทำให้เรื่องต่างๆ เลยเถิดมาจนถึงเดี๋ยวนี้

“ได้สิ”ผมตอบพร้อมกับยิ้มให้มันเหมือนกัน ไอ้แชมป์เอื้อมมือมาจับมือผมก่อนจะหันหน้าไปมองพระอาทิตย์ที่เคลื่อนต่ำลงเรื่อยๆ ผมก้มมองมือที่มันจับมือผมไว้

“ก็เป็นแฟนกันก็ต้องจับมือกันดูพระอาทิตย์ตกด้วยกันสิ หรืออยากจะให้กอดจ๊ะที่รัก”มันแกล้งทำเสียงทะเล้น ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความกวนของมัน แล้วเราสองคนก็ทอดสายตามองไปยังท้องทะเลทอดยาวไปบรรจบกับท้องฟ้านั้น ซึ่งมีพระอาทิตย์ที่กำลังลับหายไป ผมสัมผัสได้ถึงเหงื่อที่เปียกชื้นบนมือของไอ้แชมป์ นี่มันมีเหงื่อที่มือด้วยเหรอวะ ผมอดที่จะสงสัยไม่ได้

“ปล่อยได้แล้ว หมดเวลาเป็นแฟนกันแล้ว”ผมบอกเมื่อพระอาทิตย์ได้ลับตาเราไปหมดแล้ว ไอ้แชมป์หันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะบีบมือผมเบาๆ แล้วปล่อยการเกาะกุมออก

“วันหลังมาเป็นแฟนกันอีกนะ”มันพูดก่อนจะเดินนำหน้าผมไปโดยไม่รอ ผมเข้าใจว่ามันน่าจะหมายถึงว่า วันหลังมาดูพระทิตย์ตกเป็นเพื่อนมันอีกนะ มันคงจะหมายความว่าแบบนั้น แต่ทำไมมันต้องทำเหมือนมันเขินด้วยละ ปกติไม่เคยเห็นมันเขินเลยสักครั้ง ก็ตลกดีเหมือนกัน

“มรึงรู้ไหม ว่าความรักนะ มันต้องมีทั้งคนที่สมหวัง และคนที่ผิดหวัง”อยู่ๆ ไอ้แชมป์ก็หยุดเดินแล้วพูดขึ้น ผมก็เดินเข้าไปหามันเพื่อจะฟังว่ามันจะว่าไงต่อ มันนั่งลงบนพื้นทรายตรงนั้น ตอนแรกกำลังจะห้ามว่าเดี๋ยวเปื้อนแต่มันก็นั่งลงไปแล้ว ผมเลยนั่งลงข้างๆมัน

“โทษทีที่กรูว่ามรึงว่าดึงอ้อนเข้าไปเป็นหมากตัวหนึ่งในเกมของพวกมรึง กรูขอโทษนะ กรูน่าจะรู้ว่าทุกคนก็ต้องมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้วที่ทำแบบนั้น”นี่มันคิดว่าผมจะโกรธที่มันพูดแบบนั้นเหรอ ทำไมมันคิดมากจัง ผมไม่ได้โทษมันเลย

“คนเราทุกคนมันก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละ ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้มาในสิ่งที่ต้องการ แม้มันจะทำให้คนอื่นเจ็บปวดก็ตาม หรือแม้กระทั่งทำร้ายคนอื่น เพื่อสนองความต้องการของตัวเอง”ผมพูดออกไปตามที่คิด เพราะผมเองคิดว่าผมก็อาจจะทำแบบนั้นได้เหมือนกัน แม้จะคิดที่จะยอมให้ตัวเองเจ็บ แต่ผมก็คิดว่าผมยังทำไม่ได้หรอก เพราะถ้าเค้ามาทำดีกับผม ผมก็คงกลับไปหาเค้าอีกเหมือนเดิม

“มันก็ไม่ทุกคนหรอก มรึงเชื่อสิว่ายังมีคนที่แค่อยากเห็นคนที่รักมีความสุขแค่นั้นเค้าก็มีความสุขแล้ว”ไอ้แชมป์ยังคงเหม่อมองออกไปยังท้องทะเลที่มืดมิด พร้อมกับที่แย้งผมออกมา ว่าไม่ใช่ทุกคนเสมอไปที่จะเป็นอย่างที่ผมพูด แต่คนแบบที่มันว่าก็คงจะมีไม่มากนักหรอก

“แล้วมรึงทำแบบนั้นได้ไหม”ผมลองถามมันดูเห็นว่ามาแบบนี้ แล้วตัวมันเองทำได้หรือเปล่าน้า

“ไม่รู้สิ”ไอ้แชมป์บอกพร้อมกับหัวเราะออกมา เหมือนมันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำแบบที่มันพูดได้หรือเปล่า เราสองคนหัวเราะให้กันอย่างสนุกสนาน ผมอยากบอกมันว่าขอบคุณนะ ที่ทำให้วันที่เหมือนจะเลวร้ายของผม ผ่านไปได้อย่างไม่หนักหนานัก มันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมเลยนะเนี่ย








ผมกับไอ้แชมป์กลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ตอนที่ค่อนข้างดึกแล้ว เพราะกว่าจะหาอะไรกิน กว่าจะเดินทางกลับมา พอมาถึงอพาร์ทเม้นท์ผมก็ต้องแปลกใจ ที่ได้เจอหนึ่งคนที่รอผมอยู่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 30-10-2014 13:43:24
แชมป์ T_________T นายเป็นคนดีเกินไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 30-10-2014 15:04:33
อยากอ่านต่อแระ เกลียดแกไอโอเล่ :angry2:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Roman chibi ที่ 30-10-2014 20:24:49
รักแชมป์ นายใจหล่อมาก  :กอด1: :impress2: o13
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 30-10-2014 22:48:15
ผมกับไอ้แชมป์กลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์ตอนที่ค่อนข้างดึกแล้ว เพราะกว่าจะหาอะไรกิน กว่าจะเดินทางกลับมา พอมาถึงอพาร์ทเม้นท์ผมก็ต้องแปลกใจ ที่ได้เจอหนึ่งคนที่รอผมอยู่

“มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ ห้องกรูก็อยู่ข้างๆมรึง”ไอ้แชมป์บอกก่อนจะเดินขึ้นอพาร์ทเมนต์ไป ผมหันมองคนที่มารอผม ดูมีแววตาไม่พอใจผมกับเพื่อนอยู่ไม่น้อย

“มาได้ไง”ผมถามออกไปเพราะเค้าไม่น่าจะมาหาผมเจอได้ง่ายขนาดนี้

“ก็เห็นมากับไอ้เพื่อนสนิทนั่นเมื่อกลางวัน เลยคิดว่าอาจจะอยู่ที่นี่หรือเปล่าก็เลยลองมาดู ถามทางพี่ผู้จัดการที่นี่เค้าก็บอกว่าอยู่ที่นี่จริงๆ”ใช่สินะไอ้แชมป์เคยบอกว่าเคยเห็นเค้ามาจีบผู้หญิงแถวนี้นี่นา

“มีอะไรหรือเปล่าถึงมา”ผมถามออกไปโดยที่ยังไม่ขึ้นห้องเพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องให้เค้าขึ้นไปด้วย

“ไม่คิดจะให้กรูขึ้นไปข้างบนหน่อยเหรอ นี่ก็ดึกแล้ว กรูไม่ได้มีรถมาเองนะ แถวนี้ดึกๆ แทกซี่ก็ไม่มี”เค้าส่งสายตาอ้อนวอนมาให้ผม ซึ่งในที่สุดผมก็ใจอ่อน ยอมให้เค้าตามขึ้นไปที่ห้อง และคิดว่าวันนี้เค้าคงจะขอค้างด้วยอย่างแน่นอน

“นึกว่าจะมาอยู่ห้องเดียวกับไอ้นั่นเสียอีก”น้ำเสียงประชดประชันเอ่ยขึ้นเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง นี่ถ้าจะมาหาเรื่องกันก็อย่ามาจะดีกว่าไหม ผมไม่ตอบโต้ใดๆ เพราะถ้ามีปากเสียงหรือทะเลาะกัน คนที่จะเจ็บตัวมันคือผมเอง ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าจะอาบน้ำเพราะ เนื้อตัวยังมีทรายติดอยู่เยอะพอสมควร

“ขอบใจนะ”ผมหันไปตามเสียงพร้อมกับเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าอะไร เค้าชู้แหวนที่ผมเพิ่งเอาวางไว้ที่โต๊ะ แหวนที่ไอ้แชมป์เพิ่งคืนผมมา เค้าเอาแหวนนั้น สวมไปที่นิ้วของเค้าซึ่งก็เหมือนจะพอดี เค้ายิ้มให้ผมก่อนจะเดินมาหา พร้อมกับจูบผม ผมพยายามดิ้นออกห่างจากเค้า

“จะอาบน้ำ”ผมบอกพร้อมกับเบี่ยงตัวออกเดินเข้าห้องน้ำ ล็อคประตูกลัวเค้าตามผมเข้ามา ยังไงผมก็คงหนีเค้าไม่พ้นใช่ไหม ไม่ใช่หนีไม่พ้นหรอก แต่ผมเองต่างหากที่ไม่กล้าพอที่จะตัดเค้าออกไปจากชีวิต

หลังจากผมออกจากห้องน้ำ เค้าถาโถมเข้าหาผม แทบจะในทันทีโดยที่ไม่ยอมให้ผมตั้งตัว ครั้งนี้ผมไม่ได้ขัดขืนใดๆ เลย และเค้าก็ไม่ได้รุนแรงกับผม แต่มันช่างเร่าร้อนเหลือเกิน มันเหมือนผมโหยหาเค้าเหลือเกินทั้งที่ เราเพิ่งจะห่างกันเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ผมแทบจะลืมเรื่องของอ้อนไปเสียหมด

เช้าวันต่อมาโอเล่กลับไปย้ายของจากที่เดิมมาที่อพาร์มเม้นท์ผมจนหมด ผมไม่มีโอกาสได้ห้ามอะไรเค้าเลยแม้แต่น้อย เค้ากลับไปรบเร้าที่บ้านเพื่อจะเอารถมาใช้ด้วย และก็กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ผมกับเค้าอยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ทางกายของเราเกิดขึ้นแทบจะทุกวัน ผมเหมือนเสพติดสิ่งนั้นไปโดยปริยาย เค้าเองก็เหมือนจะเช่นกัน แต่ทว่าการคบหาระหว่างเค้ากับอ้อนก็ยังคงดำเนินไป เหมือนจะเป็นไปในทางที่ดีเสียด้วย หลายคนเริ่มจับตามองโอเล่และอ้อน เพราะโอเล่ก็เป็นที่รู้จักในมหาวิทยาลัยอยู่พอสมควร ส่วนอ้อนด้วยความเป็นคนอัธยาศัยดี จึงค่อนข้างเป็นที่รักของใครหลายๆ คน

จริงอยู่ที่ผู้ชายในคณะหลายคนชอบว่าชอบแหย่ชอบแกล้งอ้อน แต่ความจริงแล้วคือคนเหล่านั้นได้หลงเสน่ห์ของเธอแล้วต่างหาก ด้วยเหตุนี้การที่ทั้งสองคนหันมามีความใกล้ชิดกัน หลายคนก็เลยจับตามมองเป็นพิเศษ เพราะถ้าสองคนนี้ตกลงปลงใจเป็นแฟนกันจริงๆ คงจะมีอีกหลายคนที่ต้องเสียใจ ส่วนผมนะเหรอจะอยู่ในฐานะอะไรได้ ก็ยังอยู่กับโอเล่เหมือนเดิม แต่ต่อหน้าอ้อนผมก็ตีหน้าซื่อว่าเห็นดีเห็นงามที่เค้าสองคนจะคบกัน

ผมไม่เคยขัดขวาง ไม่เคยซักไซ้ถามเรื่องนี้กับโอเล่เลย เพราะอะไรนะเหรอ เพราะผมกลัว กลัวว่าถ้าผมถามออกไป แล้วเกิดให้เค้าเลือกจริงๆ ระหว่างผมกับอ้อน ผมกลัวว่าเค้าจะไม่เลือกผม เหมือนเค้ายังอยากมีภาพพจน์ที่ดูว่าเป็นผู้ชายปกติที่ทั่วไป ไม่ได้อยากให้ใครมองว่าเค้ามีอะไรกับผู้ชายด้วยกัน

“มรึงคิดว่าที่เป็นอยู่แบบนี้มันดีแล้วใช่ไหม”ไอ้แชมป์ถามผมขึ้นในวันหนึ่ง วันนี้เราผ่านชีวิตมหาวิทยาลัยมาถึงปีที่ 3 แล้ว ซึ่งชีวิตผมก็ยังคงวนเวียนเป็นอยู่เช่นเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ โอเล่กับอ้อน เปิดตัวเป็นแฟนกันแล้ว และไอ้แชมป์คือคนเดียวที่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับโอเล่อยู่ในขั้นไหน

“กรูกำลังเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างที่กรูเคยพูดไว้ใช่ไหม”ผมหันไปบอกกับไอ้แชมป์ถึงเรื่องที่เราเคยคุยกันเมื่อครั้งที่เราไปบางแสนกัน ถึงมันจะนานมากแล้ว แต่คิดว่ามันเองก็น่าจะยังจำได้ดี

“ไม่หรอก ตอนนี้มรึงกำลังเป็นคนที่ถูกเอาเปรียบ เพราะไม่มีใครรู้ว่ามรึงกับไอ้โอเล่เป็นอะไรกัน แล้วถ้าสักวันนึงที่โอเล่มันเลือกขึ้นมา กรูว่าคนที่จะเสียใจไม่น่าจะใช่อ้อน เพราะดูจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ อย่าหาว่ากรูไม่ให้กำลังใจมรึงเลยนะ”นั่นเพราะไอ้แชมป์ไม่ได้รู้เรื่องราวจริงๆ ทั้งหมด อย่างที่ผมรู้ เพราะว่า

“กรูว่ากรูรักมรึงว่ะ”โอเล่พูดกับผมในวันหนึ่งก่อนที่เค้าจะตัดสินใจตกลงเป็นแฟนกับอ้อน ผมไม่รู้ว่าเค้าพูดจริง หรือเป็นเพียงแค่คำโกหกเพื่อที่จะให้ผมช่วยบำบัดความใคร่ของเค้าต่อไปเท่านั้น แต่ผมเลือกที่จะเชื่อคำพูดนั้น ถึงมันจะจริงหรือหลอก แต่คนเราก็ต้องเลือกเชื่อในสิ่งที่เรามีความสุขอยู่แล้ว

“แล้วอ้อนละ”ผมตัดสินใจออกไปถ้าเค้าบอกว่าเค้ารักผม แล้วเค้าจะคบอ้อนเพื่ออะไร

“กรูก็แค่คบเค้าบังหน้า กรูยังไม่พร้อมที่จะให้คนอื่นมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามว่าวิปริตผิดเพศ กรูขอเวลาอีกหน่อยนะ”ผมนิ่งฟังในสิ่งที่เค้าพูด กำลังคิดว่าที่ทำอยู่มันถูกต้องแล้วเหรอ

“มรึงคงคิดว่ากรูเลวสินะที่ใช้อ้อนเป็นเครื่องมือแบบนี้ แต่สักวันนึงอ้อนเองต้องเข้าใจ มรึงรอวันที่กรูพร้อมหน่อยนะ”การกระทำของเค้าถ้าคนอื่นรู้คงว่าเป็นคนที่ชั่วช้า แต่ผมละอาจจะเป็นคนที่เลวกว่าเค้าเสียด้วยซ้ำเพราะผมเป็นคนที่รู้อยู่เต็มอกแต่ไม่คิดจะห้ามปรามหรือคิดแก้ไขให้เรื่องนี้มันดีขึ้น นี่แหละที่ผมเคยบอกว่าคนเรามันต้องมีความเห็นแก่ตัวกันทุกคน ยอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้ครอบครองในสิ่งที่ต้องการ แม้จะเป็นการทำร้ายคนอื่นก็ตามที

“ที่กรูทำแบบนี้เพราะกรูรักมรึง แต่กรูก็ยังต้องการเวลาถึงต้องใช้อ้อนเป็นเครื่องมือแบบนี้ มรึงจะรอวันที่กรูพร้อมได้ไหม”เพราะคำพูดนี้มันทำให้ผมยอมอยู่ในสถานะแบบนี้ตลอดมาเหมือนติดอยู่ในบ่วงของความหวังนั้น วันเวลาเลยผ่าน จนเราเรียนจบมหาวิทยาลัย

ต่างคนต่างต้องไปทำงาน ในแต่ละอย่างที่ต่างได้เลือกเรียนมา เวลาล่วงเลยมา แต่เค้าก็ยังไม่พร้อมที่จะคบผมอย่างเปิดเผย ดูเหมือนเค้ากับอ้อนยิ่งจะยิ่งมีสิ่งที่ผูกมัดเข้าหากันมากขึ้น ชีวิตการทำงานมันยิ่งเป็นอะไรที่สังคมที่จะยอมรับคนที่รักเพศเดียวกันได้น้อยลงไปอีก แน่นอนต่อหน้าทุกคนอาจจะทำเหมือนไม่ได้รังเกียจ แต่ลับหลังละจะเหมือนกับต่อหน้าที่เค้าพูดกับเราหรือเปล่า

 เค้าบอกกับผมว่าไม่สามารถที่จะยอมรับกับเพื่อนร่วมงานได้ว่า เค้ารักผู้ชายด้วยกัน เพราะเพื่อนร่วมงานแต่ละคนมักจะพูดถึงเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เปิดเผยว่ามีรสนิยม ชมชอบในเพศเดียวกัน ให้เค้าฟังในทำนองที่ไม่สู้จะดีนัก อยู่เสมอ และทุกคนต่างรับรู้ว่าเค้าเป็นแฟนกับอ้อน อีกอย่างพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย ตอนนี้ก็รับรู้เรื่องราวของเค้าทั้งสองคนแล้ว นี่ก็เร่งคืนเร่งวันให้ทั้งสองแต่งงานกันเร็วๆ เสียแล้ว

แต่ผมก็ยังคงมีความหวังอยู่เช่นเดิม เพราะลมปากของเค้าที่เฝ้าบอกกับผมเสมอมา อีกทั้งความสุขบนเตียงที่เรายังมีให้กันเสมอ แม้ตอนนี้มันจะไม่ได้บ่อยเหมือนเมื่อก่อน เพราะเราทำงานกันคนละที่

“วันนี้ไปไหนหรือเปล่า”เค้าโทรหาผมในเย็นวันหนึ่ง จริงๆ เย็นนี้ไอ้แชมป์ชวนผมไปเที่ยวผับ ปล่อยแก่สักวัน แชมป์เป็นเพื่อนในไม่กี่คนที่ผมยังติดต่อมาตลอดหลังจากที่เรียนจบมาแล้ว ผิดกับหลายคนหลังจากจบก็ไม่ค่อยได้ติดต่อกันอีกเท่าใดนัก ผมตอบเค้าออกไปถึงสถานที่ที่ไอ้แชมป์ชวนไป แต่ผมบอกว่ายังไม่แน่ใจว่าจะไปหรือเปล่า

“ไปด้วยได้ไหม”เค้าถามผมกลับมา แต่ผมยังไม่แน่ใจว่าจะไปดีหรือเปล่า เพราะรู้สึกไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่ แต่ถ้าเค้าบอกจะไปด้วยผมก็อยากเจอเค้าเหมือนกัน เพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจอกับเค้าเท่าใดนัก เนื่องจากต่างคนต่างงานค่อนข้างจะยุ่ง ผมเลยบอกไปว่าไว้โทรไปบอกอีกทีแล้วกันว่าจะไปไหม

พอเย็นเค้าก็โทรหาผมอีกว่าเค้าอยากไปเที่ยวผับกับผม ตกลงผมจะไปหรือเปล่า แต่อารมณ์ไม่ค่อยอยากจะไปเท่าไหร่เลยปฏิเสธไป แต่ดูเค้าจะยังดึงดันที่จะชวนผมไปให้ได้อยู่ดี

“ทำไมจะไม่ไปละแฟ้ม ไปนะนี่กรูอุตส่าห์โทรบอกเพื่อนกรูแล้วด้วยว่าจะไปเจอกันที่ผับนั้น”อ้าวตกลงจะไปกับเพื่อนนี่นาแล้วจะอยากให้ผมไปด้วยทำไม

“ก็มีเพื่อนไปแล้วนิ อยากไปก็ไปเถอะ”ผมตอบออกไปแบบไม่ค่อยจะใส่ใจนัก เพราะถึงจะอยากเจอ แต่วันนี้ผมก็ไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่นัก

“กรูไม่ได้จะไปกับเพื่อน แค่จะแวะไปทักทายเพื่อนนิดหน่อย แต่กรูอยากเจอมรึงเข้าใจไหม กรูคิดถึงมรึงนะ”น้ำเสียงที่ผมได้ยิน มันทำให้ผมเริ่มคิดเปลี่ยนใจจะไปเที่ยว และในที่สุดผมก็ใจอ่อนยอมไปเที่ยวจนได้

ตอนประมาณสามทุ่มกว่าๆ ในขณะที่ผมรอไอ้แชมป์อยู่ เค้าโทรมาหาผมอีกครั้ง ถามว่าผมอยู่ไหนแล้ว นี่เค้าจะเข้าไปในผับแล้ว ผมก็งงๆนิดหน่อยเพราะตอนแรกเห็นว่าจะตามไปทีหลังดึกๆ หน่อย แต่เค้าก็บอกว่าพอดีติดรถเพื่อนออกไปด้วย ผมก็บอกงั้นไว้เจอกันที่ผับเพราะอีกสักครึ่งชั่วโมงผมกับไอ้แชมป์ก็คงถึง ไอ้แชมป์บอกให้ผมสั่งโอเล่จองโต๊ะรอไว้เลย เพราะวันสุกสัปดาห์แบบนี้คนจะเยอะเดี๋ยวไม่มีโต๊ะ

ไอ้แชมป์แวะไปทำธุระก่อนจะไปผับ ทำให้เราสองคนไปช้ากว่าเดิมพอสมควร วันนี้ไอ้แชมป์นัดพวกเพื่อนๆ มาอีกสองสามคน แต่ทุกคนก็ยังไม่มีใครมาเลย ไอ้แชมป์บอกให้ผมโทรหาโอเล่ดูซิว่าอยู่ตรงไหน เพราะถ้าจะเดินเข้าไปหาคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะหากันเจอ

“แฟ้มวันนี้คนเยอะมากเลย โต๊ะน่าจะเต็มหมดแล้ว นี่โต๊ะกรูกับเพื่อนก็สิบกว่าคน ไม่มีที่จะเบียดอยู่แล้ว พวกมรึงจะมีโต๊ะอยู่ไหมนะ”แล้วเสียงที่มันตะโกนแข่งกับเสียงเพลงผ่านมาทางโทรศัพท์ก็เงียบหายไป ผมอึ้งไปเล็กน้อยว่านี่มันอะไรกัน ก็ไหนมันมาตั้งแต่ตอนร้านเพิ่งเปิดตอนหัวค่ำนี่นา ที่ผมบอกว่าให้ช่วยจองโต๊ะไว้หน่อย ซึ่งก็น่าจะยังพอมีโต๊ะให้ แต่มันไม่ได้จองไว้ เหรอ แล้วถ้าไม่มีโต๊ะจริงๆ ทำไมไม่โทรบอกกันแต่เนิ่นๆ จะได้ไม่มา แล้วทำไมมันพูดเหมือนกับว่าถ้าผมกับไอ้แชมป์จะไปขออาศัยโต๊ะที่มันอยู่ตอนนี้งั้นแหละ นี่นะเหรอที่มันบอกว่าคิดถึงอยากให้ผมมาเจอ แค่ผมโทรไปมันยังคุยกับผมแค่ไม่กี่ประโยค แถมมันไม่ได้รอฟังว่าผมจะว่ายังไงต่อเสียด้วยซ้ำ เพราะมันวางไปเสียดื้อๆ

“มันว่าไงบ้าง”ไอ้แชมป์หันมาหาผมพร้อมกับเอ่ยปากถามอย่างสงสัย ผมได้แต่ส่ายหน้าว่าไม่รู้ และเหมือนแชมป์มันจะพอเข้าใจว่าไอ้คนที่อยู่ในผับนั้นน่าจะไม่ได้จองโต๊ะไว้ให้เรา แต่แชมป์มันดูจะไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ เพราะมันก็พาผมเข้าไปด้านใน ผมเห็นมันคุยกับเด็กในร้านสักพัก เค้าก็พาเราสองคนไปโต๊ะที่อยู่ข้างๆ บู๊ทดีเจ ผมสงสัยไม่น้อยว่าไอ้แชมป์มันรู้จักมักคุ้นกับเค้าขนาดนั้นเลยเหรอ เพราะไหนโอเล่บอกว่าโต๊ะเต็มแต่นี่ทำไมไอ้แชมป์ยังหาโต๊ะได้กันละ

“กรูมาที่นี่บ่อย ปกติเค้าจะสำรองที่แถวนี้ไว้ให้กรูเสมอแหละ แต่ที่ให้แฟนมรึงจองไว้ให้เพราะเผื่อจะได้ที่หน้าๆ แถวๆ ที่เค้าเล่นดนตรีสดไง มันจะสนุกกว่าอยู่แถวๆนี้”ไอ้แชมป์เฉลยให้ฟังในที่สุด ไอ้นี่จะเรียกผมกับโอเล่ว่าแฟนกันตลอด มันบอกว่าจะได้ช่วยให้ผมยังรู้สึกว่าเป็นแฟนกับโอเล่อยู่บ้าง เพราะมุมมองของคนอื่น ผมก็เป็นแค่เพื่อน

“แล้วไม่โทรบอกมันหน่อยเหรอว่าอยู่ตรงนี้”ไอ้แชมป์ตะโกนแข่งกับเสียงเพลงถามผม แต่ผมส่ายหน้าเพราะชักเคืองๆ เค้าหน่อยๆ เสียแล้ว ถ้าเค้าคิดว่าวันนี้จะอยู่กับเพื่อน ผมเองก็ควรจะอยู่กับเพื่อนเช่นเดียวกัน อย่าไปใส่ใจเลย

เราสองคนสั่งเครื่องดื่มเสร็จเรียบร้อยก็ดื่มกันอยู่สองคน เพราะไอ้แชมป์บอกเพื่อนอีกสามคนคงมาดึกๆหน่อย ดึกของมันนี่จะขนาดไหนเพราะนี่ก็ค่อนข้างดึกแล้วเหมือนกัน ผมกับไอ้แชมป์ก็ดื่ม ก็สนุกกันอยู่สองคน สายตาผมมองกวาดไปรอบๆ และผมก็มองเห็นเค้า ถึงจะอยู่ค่อนข้างไกล และไฟสลัวๆ แต่ผมก็จำเค้าได้ เค้าอยู่แถวๆ ด้านหน้าเวที ดูท่าทางกำลังสนุก ถ้าเป็นครั้งก่อนๆ ผมอาจจะเดินเข้าไปหา แต่ครั้งนี้หลายอย่างที่ผมคิดสั่งผมว่า อย่าคิดแม้แต่จะไปให้เค้าเห็น ถ้าเค้ายังนึกแคร์เราบ้าง เค้าควรจะเป็นฝ่ายมาหาเรา

ไม่นานนักมีสายโทรเข้ามาหาผมซึ่งก็คือเค้านั่นเอง ผมมองเค้าที่ยืนโทรศัพท์อยู่ตรงโต๊ะที่เค้าอยู่ นี่เค้าคิดอะไรของเค้าถ้าจะคุยกันในนี้มันจะได้ยินอะไร ผมกดรับแต่แน่นอนเราต่างฝ่ายต่างฟังกันไม่รู้เรื่องไม่นานนักเค้าก็วางสายไป

แล้วก็มีข้อความส่งจากเค้าเข้ามาหาผม

“อยู่ไหน เจอกันหน้าห้องน้ำ”แทนที่ผมจะไปเจอเค้าที่หน้าห้องน้ำ ผมกลับส่งข้อความตอบกลับไปว่าผมอยู่ตรงไหน และผมก็รอว่าเค้าจะมาหาไหม แต่รออยู่นานก็ไม่เห็นมา และผมก็ไม่เห็นเค้าด้วยว่าไปไหนแล้ว

“ไม่เจอ ออกมาข้างหน้า”สักพักต่อมาเค้าก็ส่งข้อความหาผมอีกครั้ง เค้าหาผมไม่เจองั้นเหรอ มันหายากนักหรือไงกะอีแค่ บู๊ทดีเจ  ผมว่ามันดูเป็นส่วนที่มองจากจุดไหนก็มองเห็นนะ ตกลงว่าเค้ามองหาผมบ้างหรือเปล่า แต่คิดไปก็เท่านั้น จะยังไงก็ช่างเหอะถ้าอยากให้ผมออกไปเจอด้านนอกนั่นก็ไป ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมาหน่อยที่อย่างน้อยๆ ก็เหมือนเค้าจะมาดื่มกับผมที่โต๊ะเดียวกัน

ผมเดินออกไปด้านนอกซึ่งจะเป็นที่สูบบุหรี่ มีคนที่ออกมาสูบบุหรี่เยอะพอสมควร ผมมองหาเค้าเห็นนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่ง พอเรียกเค้าก็หันมายิ้มให้ผม แค่นั้นแหละครับ มันเหมือนความขุ่นข้องหมองใจที่มีกับเค้าเมื่อสักครู่จะหายไปหมด

“กรูนึกว่ามรึงอยู่ด้านหน้าเวที”เค้าเอ่ยอีกครั้งหลังจากที่ผมถามว่าทำไมไม่ไปหาผมที่บู๊ทดีเจ แต่คำพูดของเค้านี่มันแบบว่าจะฟังขึ้นดีไหม เพราะสถานที่สองที่ที่ผมและเค้าบอกนี่มันอยู่คนละฟากกันเลย

แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้เค้าก็อยู่กับผมที่โต๊ะแล้ว เราไม่ได้คุยอะไรกันเท่าไหร่เพราะเสียงข้างในนี้มันดังมาก เค้าก็แค่ถามว่าเพื่อนคนอื่นของผมยังไม่มาเหรอ ผมก็บอกไปว่าอีกสักพักน่าจะมา แล้วก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก ต่างคนต่างดื่มและขยับโยกตามจังหวะเพลง แต่ทว่าเพียงไม่นานเค้าก็กระซิบบอกในสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจอีกครั้ง

“กลับไปหาเพื่อนก่อนนะ เดี๋ยวจะแวะมาใหม่”ผมหันมองหน้าเค้า หมายความว่ายังไงกันก็ไหนว่าจะมาเที่ยวด้วยกัน อยากให้ผมมานักหนา แต่ที่พูดนี่มันหมายความว่าเค้าจะอยู่กับเพื่อน แค่แวะมาทักทายผมแค่นั้นใช่ไหม ก่อนมาเค้าไม่ได้พูดไว้แบบนี้นี่นา ผมได้แต่งงๆ เลยไม่ได้ตอบอะไรเค้าออกไป ได้แต่พยักหน้าให้ แล้วเค้าก็เดินจากไป

“มันไปไหนว่ะ”ไอ้แชมป์โน้มหน้าเข้ามาถามผม ผมได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธ คือขี้เกียจจะพูด อารมณ์มันเริ่มจะน้อยใจขึ้นเรื่อยๆ นี่นะเหรอคนที่เคยบอกว่ารักผม ดูเหมือนเค้าไม่ได้แคร์ผมสักนิดเลย ตอนนี้เริ่มไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่แล้ว จนผ่านไปนานพอสมควรเพื่อนผมอีกสามคนก็ตามมาสมทบ ไอ้แชมป์ออกไปรับเพื่อนที่ด้านนอกเพื่อพามาที่โต๊ะ ทำให้เหลือผมแค่คนเดียว

“ไอ้แชมป์ไปไหนละ”โอเล่เดินเข้ามาหาผมที่โต๊ะอีกครั้ง ผมตอบแค่ว่าออกไปพาเพื่อนเข้ามา แล้วก็ไม่คุยอะไรกับเค้าอีก เค้าก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับผม จนไอ้แชมป์พาเพื่อนๆ ผมเข้ามาก็ทักทายกันเล็กน้อย ก่อนจะดื่มกันต่อ แล้วเค้าก็แยกตัวออกไปอีกครั้ง ตอนนี้ผมเริ่มคิดแล้วว่าวันนี้ไม่น่ามาเลย ความตั้งใจที่มาคือคิดว่าจะได้อยู่กับเค้าแต่นี่มันไม่ใช่เลย จริงๆถ้าเค้าจะมาเที่ยวกับเพื่อน ผมไม่มาก็ได้ และตอนนี้เค้าก็อยู่กับผมแค่พักเดียวก็ออกไปหาเพื่อนเค้าต่อ

ผมก็พยายามไม่คิดอะไรมากคิดซะว่าอย่างน้อยวันนี้ก็ได้เจอหน้าเค้า หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาสักพักใหญ่แล้ว มีแต่ได้ยินเสียงผ่านทางโทรศัพท์ ผมก็ทำตัวให้ปกติมากที่สุดเพราะเดี๋ยวเพื่อนจะพลอยไม่สนุกไปด้วย คนอื่นๆ คงไม่ได้สังเกตเห็น แต่ไอ้แชมป์คงพอจะเริ่มเอะใจในอารมณ์ผมอยู่เหมือนกัน เพราะมันก็ถามว่าผมเป็นไรหรือเปล่า แต่ผมก็ปฏิเสธว่าไม่มีอะไรหรอก จนเกือบผับจะปิด โอเล่เดินมาหาผมอีกครั้งเพราะเพื่อนๆของเค้าจะกลับกันหมดแล้ว

“จะกลับตอนไหน”เค้าเข้ามาถามผมใกล้ๆ ด้วยเสียงที่ต้องแข่งกับเสียงเพลง

“ไม่รู้...ก็คงผับปิดนั่นแหละ”ผมตอบแบบเสียไม่ได้ คืออารมณ์มันน้อยใจอยู่ ก็พอจะรู้ว่าที่เค้ามาถามนี่อาจจะชวนกลับด้วลหรือเปล่า แต่ด้วยความที่วันนี้เคืองที่เค้าบอกอยากมาเที่ยวกับผมแต่พอมาแล้วไม่สนใจกันเลยแบบนี้ ผมเลยกะว่าจะไม่สนใจเค้าบ้าง กะจะอยู่สนุกกับเพื่อนๆ จนผับปิดดีกว่า

“ผับปิดแล้วไปกินข้าวเป็นเพื่อนหน่อยได้ไหม เดี๋ยวรอข้างนอกนะ”เค้าพูดแบบนี้กับสายตาที่อ้อนวอนแบบนี้ทำให้ผมใจอ่อนมันทุกที เลยพยักหน้าตอบรับเค้าไป แล้วเค้าก็เดินออกไป น่าจะนั่งรอผมอยู่ด้านนอก

ประมาณเกือบตีสาม ผับจะปิดแล้วคนต่างทยอยออกมาด้านนอก ผมกับไอ้แชมป์และเพื่อนๆ ก็เหมือนกัน ผมมองหาโอเล่ว่ารอผมอยู่ตรงไหน จริงๆ ก็ไม่คิดว่าจะหาเจอหรอกครับ เพราะคนเยอะเหลือเกิน เลยโทรหาแต่พอเค้ารับโทรศัพท์ผมก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง

“อยู่ไหน”ผมถามออกไปพร้อมกับพยายามมองหา เริ่มแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเสียงมันเงียบจังเพราะที่ผมอยู่ คนเยอะๆ แบบนี้เสียงคนเมาคุยกันปนกันไปหมดดังพอสมควรอยู่เหมือนกัน แต่ทำไมทางเค้าเหมือนเสียงเงียบๆ

“กลับแล้ว”คำตอบของเค้าทำเอาผมอึ้ง ก็ไหนมาชวนผมไปกินข้าว

“ก็ไหนว่าจะไปกินข้าว”น้ำเสียงผมคงเริ่มขุ่นๆแล้ว เพราะเคืองตั้งแต่ที่มาแล้วไม่สนใจกัน แล้วนี่มาชวนเราไปกินข้าวแต่ดันกลับก่อน

“ก็มรึงช้ากรูขี้เกียจรอ”นี่เหรอเหตุผล

“แล้วทำไมไม่บอกว่าจะกลับก่อน”ตอนนี้จากน้อยใจมันเริ่มโมโห และเสียความรู้สึกมากกว่า เพราะถ้าวันนี้เค้ากลับไปเลยไม่ได้มาบอกลาผม ไม่ได้มาชวนไปกินข้าว ผมก็จะคิดว่าก็ช่างมันเพราะวันนี้เค้าก็ไม่ได้สนใจผมอยู่แล้ว แต่นี่เค้ามาชวนผมกินข้าวทำไมถ้าจะกลับก่อนแบบนี้ อีกอย่างถ้าจะไม่รอก็น่าจะบอกกันสักนิด

“ไม่รู้ว่ะ แล้วนี่มรึงกลับกันหรือยัง”เค้าพูดเหมือนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนจะยังไม่รับรู้ว่าน้ำเสียงผมแปลกไปหรือเปล่า เค้าแกล้งไม่รู้หรือไม่รู้จริงๆกันแน่ว่าตอนนี้ผมเริ่มโมโหเค้าแล้ว

เพื่อนคนอื่นๆ แยกย้ายกันกลับไปแล้ว ส่วนผมกับไอ้แชมป์ก็มุ่งตรงสู่คอนโดของไอ้แชมป์เหมือนกัน ผมยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ อย่างไม่สบอารมณ์คือมันเหมือนเสียความรู้สึกมากกว่า ว่านี่เค้าแคร์ผมสักนิดไหม

“แฟ้ม”หลังจากผมเงียบไปพักนึงเค้าก็เอ่ยด้วยเสียงเรียบเรียกผม มันฟังดูจริงจังเหมือนกับมีบางอย่างที่สำคัญจะบอกกับผม ผมได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างตัดสินใจ ผมยังคงนิ่งเงียบรอฟังว่าเค้าจะพูดอะไร

“เหนื่อยไหม”นั่นคือสิ่งที่เค้าพูดออกมา มันอาจจะฟังดูไม่น่าจะเข้าใจว่าหมายความว่ายังไง แต่ผมเข้าใจว่าเค้าหมายถึงที่ผมต้องทนอยู่ในสภาพตอนนี้มันน่าเหนื่อยใจขนาดไหน ผมแทบไม่กล้าจะสู้หน้าอ้อนเสียด้วยซ้ำ ผมพยายามหลบอ้อนให้มากที่สุด ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกผิดที่มีความสัมพันธ์กับแฟนของเธอ หรือรู้สึกอิจฉาที่อ้อนได้เป็นแฟนกับเค้าอย่างเปิดเผย หรือผมจะโกรธเกลียดเธอเพราะทั้งที่เธอมาทีหลังผม มาแย่งสิ่งที่เคยเป็นแค่ของผม ไปร่วมครอบครอง ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนดีที่จะเสียสละและยอมถอยออกมาอีกแล้ว

ผมถลำมาไกลเกินกว่าที่จะกลับตัวได้แล้ว ถ้าเกิดวันนึงที่ต้องมีคนล่าถอย คงจะไม่ใช่ผมเพราะผมคงจะลุกขึ้นมาแย่งชิงอย่างแน่นอน แต่ก็นั่นแหละ ผมก็ทำได้แค่คิด เพราะในความเป็นจริงผมจะกล้าทำอะไรแบบนั้นหรือเปล่า ผมเองก็ยังไม่แน่ใจ อีกอย่างเรื่องนี้คนที่มีสิทธิ์จะเลือกว่าให้เรื่องนี้ดำเนินไปทางใด มันไม่ใช่ผมที่เป็นคนกำหนด แต่มันคือเค้าต่างหาก

“เหนื่อยสิ ท้อด้วย”ผมตอบออกไปตามความจริง ด้วยน้ำเสียงสั่นๆ  จนไอ้แชมป์ต้องหันมามอง

“แฟ้ม...กรูมีเรื่องจะบอก”เค้าถอนหายใจอีกครั้ง ผมชักไม่แน่ใจว่าอยากจะรู้เรื่องที่เค้าจะบอกผมหรือเปล่า ผมกลัว กลัวว่าถ้าเค้าจะยุติความสัมพันธ์ของเราละ ไม่ใช่ผมไม่รู้หรอกนะ ว่าทำไมเค้าถึงได้บอกกับผมว่ายังไม่พร้อมที่จะเลิกกับอ้อนและมาคบกับผมอย่างเปิดเผย ผมว่าจริงๆ แล้วเค้าไม่ได้เคยคิดจะเลิกกับอ้อนเลยต่างหาก เค้าแค่รอเวลาที่เค้าจะพร้อม ที่จะทำร้ายผมเท่านั้นเอง และนี่มันอาจจะใกล้ถึงเวลานั้นแล้วก็ได้ ผมรู้ว่าเค้ายังอยากมีครอบครัว อยากแต่งงานเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป

“ไว้คุยกันวันหลังดีกว่านะ”ผมชิงตัดบทก่อนจะวางสายไป

“มรึงโอเคนะ”ไอ้แชมป์หันมาถามผมหลังจากผมวางสายไป ผมเพียงตอบไปเบาๆ ว่าไม่เป็นอะไร ไอ้แชมป์ถามต่ออีกว่าจะหาอะไรทานก่อนไหม ผมปฏิเสธ และวันนี้ผมก็ค้างที่คอนโดของไอ้แชมป์
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 30-10-2014 23:08:19
ปล่อย โอเล่ไป ไม่ต้องให้มันมายุ่งอีก 'หมาหวงก้าง'ชัดๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 30-10-2014 23:11:23
แฟ้มโง่ จะเจ็บก็สมควร
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 31-10-2014 06:24:02

แฟ้มทึ่มไปนะ แชมป์นายก็แสนดีเกินไป  :เฮ้อ:

อิโอเล่แมร่งโคตรเห็นแก่ตัวเลย  :z6:

เรื่องนี้สงสารนีน้อยน้องอ้อน ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับเค้าเล้ยยยยย  :z13:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [30-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 31-10-2014 06:38:35

“วันนี้ไปเป็นแฟนกรูหน่อยได้ไหม”ไอ้แชมป์พูดขึ้นหลังจากเราทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว วันนี้เราตื่นค่อนข้างจะสายทีเดียวหลังจากที่ไปเที่ยวมา กว่าจะอาบน้ำแต่งตัวออกมาทานข้าวกัน นี่ก็ปาเข้าไปจะบ่ายสองอยู่แล้ว ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามเพื่อนตัวดีว่ามันหมายความว่ายังไง แต่มันไม่ได้ตอบยังคงยิ้มแบบมีเลศนัยอย่างกวนอารมณ์ของผม

“หมายความว่าไง”ผมถามย้ำเมื่อเจ้าตัวมันไม่ยอมตอบ

“เอ้านี่มรึงจำไม่ได้เหรอ ว่าที่เราเคยเป็นแฟนกันนะ”ผมลองนึกทบทวนว่ามันกำลังเล่นอะไรกันแน่ พอนึกดีๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าผมกับไอ้แชมป์เคยไปดูพระอาทิตย์ตกที่บางแสนกันนี่นา แล้วมันก็ให้ผมเป็นแฟนจำเป็นดูพระอาทิตย์ตกกับมัน จำได้ว่าตอนนั้นมันขอผมว่าวันหลังให้ไปเป็นแฟนกับมันอีก นี่ผมเกือบจะลืมไปแล้วเสียด้วยซ้ำเพราะ ผมก็ไม่เคยไปดูพระอาทิตย์ตกเป็นเพื่อนมันอีกเลย แล้วจนป่านนี้ไอ้นี่ก็ยังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนเสียที หรือมันไปแอบมีไว้ที่ไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะ เพราะมันก็ไม่ค่อยได้เล่าเรื่องส่วนตัวให้ผมฟังสักเท่าไหร่

“จะไปดูพระอาทิตย์ตกเหรอ”ผมย้อนถามเพื่อความแน่ใจ ไอ้แชมป์ยิ้มตอบพร้อมกับพยักหน้ารับ

“นี่มรึงยังหาคนดูด้วยไม่ได้อีกเหรอ”ผมแกล้งแหย่มันอีก ไอ้แชมป์หุบยิ้มทันที

“ก็คนที่กรูอยากพาไปดู เค้าคงไปดูกับกรูไม่ค่อยได้หรอก”มันตอบเสียงเศร้าๆ นี่ตกลงอกหักมาหรือไงเพื่อนเรา

“งั้นก็รีบไปเหอะเดี๋ยวจะไม่ทันดู”ผมรีบเร่งเพราะนี่ก็บ่ายแล้วกว่าจะไปถึงอีก

โอเล่โทรหาผมระหว่างที่ผมกับไอ้แชมป์กำลังไปบางแสน ผมไม่ได้รับโทรศัพท์เค้า เค้าโทรเข้ามาหลายรอบ แต่ผมก็ยังคงไม่รับ ผมยังไม่อยากจะคุยอะไรกับเค้าในตอนนี้  เมื่อผมไม่รับเค้าก็ส่งข้อความเข้ามา

“โทรกลับหน่อยมีเรื่องจะคุยด้วย”

ผมกดปิดหลังจากอ่านข้อความนั้นจบ ก่อนจะเดินตามไอ้แชมป์ไปที่ชายหาด เรามาถึงตอนเกือบจะเย็นแล้ว แต่ก็คงอีกสักพักใหญ่ๆ กว่าพระอาทิตย์จะตก ผมกับไอ้แชมป์เลยหาที่นั่งที่ร้านตรงชายหาด สั่งเบียร์มานั่งจิบกันเล็กน้อย ลมเย็นๆ จากทะเลพัดมาเรื่อยๆ ได้มาทะเลแบบนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายดีเหมือนกันนะ แต่ผมไม่เคยมากับเค้าเลยสินะ ผมจะมีโอกาสได้มากับเค้าสองคนบ้างไหมนะ

“มรึงว่าเราทุกคนเกิดมาต้องมีคู่ไหมวะ”คล้ายๆว่าตอนมาครั้งที่แล้วมันก็มีเรื่องอะไรบางอย่างคุยกับผมเหมือนกันนะ แล้วนี่มันจะถามทำไมอีกเนี่ย แต่คำถามมันก็น่าคิดเหมือนกันนะ ทุกคนเกิดมาจะมีคู่หรือเปล่า อย่างผมเองละผมจะเป็นคู่กับคนที่ผมรักหรือเปล่า

“ไม่ทุกคนหรอกมั้ง ไม่งั้นจะมีคนโสดเหรอ”ผมกำลังคิดอย่างที่พูดเพราะถ้าบอกว่าทุกคนต้องมีคู่ แล้วคนที่เค้าเป็นโสดอยู่คนเดียวมันหมายความว่ายังไงกันละ

“งั้นกรูก็คงไม่มีคู่สินะ”น้ำเสียงหม่นๆ ของไอ้แชมป์ทำให้ผมต้องหันไปมอง ผมสังเกตมานานแล้วเหมือนกัน ว่าถึงแม้ภายนอกมันจะทำตัวร่าเริง สนุกสนาน แต่ก็เหมือนมันกำลังเก็บความเศร้าไว้ภายใน ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือเรื่องอะไร

“เหงาเหรอ”บางทีการที่มันไม่มีใครอาจจะทำให้มันรู้สึกว้าเหว่หรือเปล่า

“ก็กรูมันไม่มีใครเอาเป็นแฟนนี่หว่า”มันพยายามปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ แต่จะบอกว่าไม่มีใครอยากจะคบกับมันคงจะไม่ใช่แล้วล่ะ เพราะผมเห็นมีคนสนใจมันออกจะเยอะแยะไป แต่ดูเหมือนตัวมันเองต่างหากที่เป็นคนปฏิเสธคนอื่นๆ ซึ่งไอ้อาการแบบนี้ มันน่าจะมีคนที่หมายตาไว้แล้ว แต่ใครกันละที่ไอ้แชมป์มันชอบ เพราะไม่เคยเห็นมันแสดงออกมาว่าสนใจใครที่ไหนเลยนี่นา หรือผมไม่ได้สังเกตเองหว่า เพราะปกติก็มีแต่เรื่องของผมเองมาปรึกษามัน แต่ไม่เคยสนใจไต่ถามเรื่องราวของเพื่อนคนนี้เท่าไหร่

“ไม่มีใครเอาหรือไม่เอาคนอื่นกันแน่”

“ก็คนที่ชอบเรา เราก็ไม่ชอบเค้า ส่วนคนเราชอบเค้าก็ไม่เคยสนใจเรา ความรักมันก็เข้าใจยากแบบนี้แหละ”ไอ้แชมป์พูดพร้อมกับเหม่อมองออกไป ทอดสายตาไกลออกไปกับท้องทะเล นี่มันไม่แอบชอบคนที่มีแฟนอยู่แล้วหรือเปล่าถึงได้เป็นแบบนี้

“บางทีการไม่ได้ครอบครองคนที่เรารัก อาจจะดีกว่าก็ได้นะ ถ้าได้ครอบครองแล้วเป็นอย่างกรูตอนนี้”ผมเริ่มจะคิดว่าถ้าเราได้แอบมองดูใครสักคนอยู่ห่างๆ บางทีเราอาจจะมีความสุข ที่ได้เห็นเค้ามีความสุข ผิดกับการที่เราบอกออกไปว่าชอบใครสักคน แล้วผลที่กลับมามันไม่รู้ว่าจะทำให้เราสุขหรือทุกข์ดี

“มรึงจำได้ไหมที่กรูเคยบอกว่ายังมีคนที่แค่เห็นคนที่เค้ารักมีความสุข เค้าก็สุขใจแล้ว”ก็เพราะคำพูดนี้แหละที่ทำให้ผมเริ่มคิดทบทวนอะไรดูใหม่อีกครั้ง

“จำได้สิ”ผมตอบออกไป

“ตอนนี้กรูกำลังทำแบบนั้นอยู่”ผมหันไปหาไอ้แชมป์ก่อนจะยิ้มให้มัน ผมอยากทำอย่างมันได้จัง ถ้าผมทำได้ ผมก็คงถอยห่างจากโอเล่ออกมานานแล้ว คงจะเฝ้ามองเค้ามีความสุขกับอ้อน แต่นี่ผมยังทำไม่ได้เลย

“ปะ ได้เวลาเป็นแฟนกันแล้ว”ไอ้แชมป์ลุกขึ้นยืนก่อนจะยื่นมือมาทางผม ผมส่งมือให้มันกุมไว้ก่อนเราจะเดินออกไปตรงที่คลื่นซัดเข้ามา พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว นี่ถ้าผมได้มาทำอะไรแบบนี้กับคนที่ผมรักบ้างมันก็คงจะมีความสุขไม่น้อย แม้จะเย็นมากแล้วแต่ผู้คนก็ยังมีอยู่ประปราย แต่เราสองคนก็ไม่ได้สนใจกับสายตาและความคิดของคนอื่นว่าจะมองผู้ชายสองคนที่มายืนจับมือกันแบบนี้แล้ว จะคิดไปถึงไหนต่อไหน ผมเคยถามไอ้แชมป์เหมือนกันนะหลังจากที่มาครั้งก่อน ว่ามันไม่อายคนอื่นเหรอ มันก็ตอบว่าไม่มีใครรู้จักเราหรอก อีกอย่างเค้าก็แค่มองแค่คิด พอผ่านไปเดี๋ยวเค้าก็ลืม แล้วเราจะไปสนใจทำไม

ไอ้การที่มันพูดแบบนี้บางทีผมยังอดสงสัยไม่ได้ว่าตกลงมันเคยคิดชอบผู้ชายด้วยกันบ้างไหม เพราะขนาดผมเองบางทีผมก็ยังแคร์สังคม แคร์คนรอบข้างบ้าง แต่ไอ้นี่เหมือนจะไม่สนใจอะไรเลย

“อยากมาที่นี่ทุกวันเลยเนอะ”ผมบอกออกไปหลังจากที่ไอ้แชมป์ปล่อยมือ คือผมเห็นว่าวันไหนเครียดๆ กับการทำงานมารับลมเย็นๆ แบบนี้ มันก็ช่วยผ่อนคลายได้เหมือนกัน

“อ้าว นี่มรึงอยากเป็นแฟนกับกรูทุกวันเลยเหรอ”นั่นแหละครับเพื่อนผมกวนได้ตลอด นึกว่าวันนี้มันจะมาบทซึ้งเสียอีก

“ไว้ถ้ากรูเลิกกะโอเล่เมื่อไหร่จะ พิจารณามรึงเป็นคนแรกเลยแล้วกัน”ผมพูดพร้อมกับหัวเราะไม่ได้คิดอะไร แบบมันกวนมาก็รับมุขมันเสียหน่อย แต่สิ่งที่มันตอบกลับมาเล่นเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน

“กรูจะรอวันนั้นนะ”แววตาจริงจังของไอ้แชมป์กำลังมองมาที่ผม นี่มันคงไม่ได้หมายความอย่างที่ผมกำลังคิดหรอกนะ

“ตกใจอะไร กรูหมายความว่า กรูจะรอวันที่มรึงหลุดพ้นจากไอ้คนเห็นแก่ตัวนั่นเสียที”ผมชักเริ่มงงๆ กับมันเสียแล้วว่าอันไหนมันพูดจริงกันแน่ แต่คงจะเป็นอย่างที่มันอธิบายนั่นแหละ เพราะไอ้แชมป์ก็บอกผมตรงๆ แล้วว่ามันไม่ชอบโอเล่ มันบอกว่าเค้าเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่จริงใจ สารพัดเหตุผลที่ไอ้แชมป์ไม่ชอบขี้หน้าเค้า มันก็ยังคงยุให้ผมเลิกกับเค้ามาตลอด

“อย่างที่มรึงบอก ความรักมันเข้าใจยากว่ะ  ถึงเค้าจะไม่ดียังไงในสายตาคนอื่น แต่ยังไงกรูก็ยังรักเค้าอยู่ดี”

“กรูเข้าใจ”ไอ้แชมป์บอกเสียงราบเรียบ เราคุยกันเรื่องนี้มาหลายทีแล้ว และบทสรุปก็ยังคงเหมือนเดิมเสมอ

ขากลับไอ้แชมป์ขับรถมาส่งผมที่อพาร์ทเม้นท์เพราะวันก่อนที่ไปเที่ยวผมนั่งแทกซี่ไปหามันไม่ได้เอารถไป กว่าจะกลับมาถึงก็สี่ทุ่มเกือบจะห้าทุ่มอยู่แล้ว

“ขอบใจที่มาส่ง ขับรถกลับดีๆ ละ แล้วเจอกัน”ผมบอกลาก่อนจะเดินขึ้นห้อง

พอมาถึงห้องผมก็เห็นบางอย่างที่แปลกไป ที่ชั้นวางรองเท้ามีรองเท้าของใครอีกคนเพิ่มเข้ามา ไฟในห้องเปิดสว่างอยู่ ทั้งที่ตอนออกจากห้องไปผมมั่นใจว่าปิดไฟเรียบร้อยแล้ว เสียงจากในห้องน้ำแว่วมาให้รู้ว่ามีคนกำลังอาบน้ำอยู่ แม้ผมจะอยู่ที่นี่คนเดียว แต่ผมก็ไม่แปลกใจหรอกที่จะมีอีกคนเข้ามา เพราะผมได้ให้กุญแจไว้กับใครคนนึง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 31-10-2014 13:00:45
ที่ทำอยู่มันถูกแล้วเหรอไม่มีใครทำร้ายแฟ้มหรอก ทำตัวเองทั้งนั้นเลือกจะเจ็บเอง เบื่อคนแบบนี้
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 31-10-2014 20:49:30
แฟ้มเอ๊ยยย เลิกทำตัวโง่ๆได้แล้ว (ชักจะหงุดหงิด)
ส่วนแกไอโอเล่ :z6: :z6: :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: domeloly ที่ 31-10-2014 22:08:44
แชมบ์น่าจบอกไปตรงๆว่าชอบ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 31-10-2014 23:04:33
แล้วยังจะให้โอเล่มายุ่งอีกทำไม
เดี๋ยวมันย้ายตามเข้ามาทำไง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [31-10-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-11-2014 07:48:16




“ไปไหนมา”คนที่ออกจากห้องน้ำมา ตรงเข้าสวมกอดผมจากด้านหลังพร้อมกับกระซิบถาม ผมขยับตัวให้เค้าคลายอ้อมกอดพร้อมกับถอยออกห่าง

“ไปบางแสนกับไอ้แชมป์มา เดี๋ยวอาบน้ำก่อนนะ นอนก่อนเลยก็ได้”ผมบอกออกไปอย่างไม่ได้ยินดียินร้าย ที่เจอเค้าที่นี่ ทั้งที่เราไม่ได้ค้างด้วยกันนานพอสมควรแล้ว แต่เรื่องเมื่อวันที่ไปเที่ยวมันยังทำให้ผมเคืองเค้าอยู่ไม่น้อย

“ไปกันกี่คน”น้ำเสียงที่ถามไถ่ดูจะห้วนๆ เหมือนไม่ค่อยพอใจอยู่ในที ผมก็พอจะเข้าใจว่าเค้าเองก็ไม่ค่อยชอบไอ้แชมป์เท่าไหร่ แถมเคยบอกให้ผมเลิกสนิทสนมกับไอ้แชมป์อีกต่างหาก แต่ผมไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น นี่คงเป็นเพียงเรื่องเดียวมั้งที่ผมขัดใจเค้า

“อาบน้ำก่อนนะ”ผมไม่ได้ตอบแต่เลี่ยงไปถอเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ผมจงใจที่จะใช้เวลาอาบน้ำให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพอออกไปเค้าจะได้นอนหลับไปแล้ว วันนี้ผมยังไม่อยากพูดคุยหรือมีอะไรกับเค้าเท่าไหร่นัก

“ทำไมช้าจัง”แต่ผมคงยังใช้เวลาในห้องน้ำไม่นานพอ เพราะพอออกมาเค้าก็ยังคงรอผมอยู่เหมือนเดิม และไม่ทันที่จะให้ผมตั้งตัวเค้าเข้ามาช้อนร่างผม อุ้มไปที่เตียงในห้องนอนแทบจะทันที นั่นสินะสงสัยผมคงจะมีค่ากับเค้าแค่นี้ละมั้ง

“วันนี้ไม่ทำได้ไหม”ผมบอกเสียงราบเรียบในขณะที่เค้ากำลังไซร้ไปตามซอกคอผม ทำให้เค้าหยุดชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผมอย่างไม่เข้าใจ ว่าทำไม

“เราไม่ได้มีอะไรกันนานแล้วไม่ใช่เหรอ”เค้าถามด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ

“วันนี้เหนื่อยนะ เพลียๆด้วย”ผมตอบออกไปตามตรง

“งั้นนอนก่อนก็ได้ พรุ่งนี้เรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกทั้งวัน”เค้าบอกเป็นนัยๆว่าพรุ่งนี้วันอาทิตย์ผมคงไม่มีอะไรมาบ่ายเบี่ยงเค้าอีกนะ แล้วเค้าก็ดึงผมไปกอดกระชับไว้ในอ้อมแขนนั้น ทั้งที่ผมยังไม่ได้ใส่อะไรเลย เพราะตอนออกมาจากห้องน้ำก็มีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว

“ปล่อยก่อนได้ไหม จะไปใส่เสื้อผ้า”ผมรีบประท้วง เพราะถ้านอนโดยไม่ใส่อะไรเลยแบบนี้ทั้งผมและเค้า เดี๋ยวความต้องการที่จะนอนของผมอาจจะมีอุปสรรคได้

“ไม่ต้องใส่หรอก ง่วงแล้วนอนเถอะ”เกิดง่วงขึ้นมากะทันหันเชียวนะทีเมื่อกี้ยังอยากจะทำอย่างอื่นอยู่เลย และในเมื่อเค้าไม่ยอมปล่อย ผมก็ต้องเลยตามเลย ไม่นานผมก็หลับคงเพราะเพลียจากการเดินทางก็เป็นได้



ผมต้องลืมตาขึ้นเพราะรับรู้ได้ว่ามีมือของใครบางคนกำลังยุ่งกับส่วนอ่อนไหวของผม แสงจากด้านนอกสาดส่องเข้ามา นี่แสดงว่าเช้าแล้ว ผมหันไปหาคนที่อยู่ด้านหลังผม ซึ่งมือของเค้ามันมาวุ่นวายกับแฟ้มน้อยของผม เค้าส่งยิ้มหื่นๆให้ผม แต่ผมยังไม่อยากตื่นเลย อยากนอนต่ออีกสักพัก

“ยังนอนไม่ค่อยพอเลย”ผมบอกเสียงงัวเงีย เพื่อให้เค้ารู้ว่าผมยังไม่พร้อมที่จะร่วมปฏิบัติในสิ่งที่เค้าต้องการ แต่ดูเค้าจะไม่ฟังคำทัดทานนั้นของผมเลย เพราะเค้าเริ่มเอามือป่ายเปะปะไปทั่วแล้ว พร้อมกับกัดเบาๆ ลงที่ไหล่ของผม ก่อนจะถึงให้ผมพลิกหันหน้าเข้าหาเค้า แล้วประกบริมฝีปากเข้าหา ผมพยายามจะขืนตัวออกจากเค้าแต่ดูผมไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงที่จะต่อต้านเลย

แต่แล้วผมก็มีระฆังช่วยชีวิต เสียงโทรศัพท์ของเค้าดังขึ้น ผมกะว่าอย่างน้อยผมก็คงได้นอนต่ออีกสักพัก แต่เปล่าเลยเพราะดูเค้าจะไม่สนใจเจ้าเครื่องมือสื่อสารนั้นเลย

“รับโทรศัพท์ก่อนสิ”ผมรีบบอกเมื่อเค้าถอนปากออกจากผม เค้าจึงหยิบโทรศัพท์มาดูอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะกดเสียงให้เงียบโดยไม่ได้ตัดสายทิ้ง

“ทำไมไม่รับละ”ผมเอ่ยถามอย่างสงสัยก่อนจะหันไปดูชื่อที่โทรเข้ามา “อ้อน” คือคนที่โทรเข้ามา ก็น่าจะอ้อนเพราะถ้าไม่ใช่คนสนิทชิดเชื้ออะไรคงไม่โทรมาแต่เช้าขนาดนี้

สายตัดไป โดยที่เค้าไม่ได้กดรับ ก่อนจะโทรเข้ามาอีก

“รับเถอะ เผื่อมีอะไรสำคัญ”ผมส่งโทรศัพท์ให้เค้าพร้อมกับกดรับให้ด้วยเลย เค้าจะได้ไม่ปฏิเสธอีก

“ว่าไง”เค้ารับโดยทำเสียงงัวเงียเหมือนคนยังไม่ตื่นนอนทั้งๆ ที่จริงๆ คนตื่นนานแล้วแหละ ก็ตื่นก่อนผมอีกนิ ผมลุกขึ้นเพราะไม่อยากเสียมารยาทฟังคนอื่นคุยกัน แต่พอผมจะลุก เค้าก็ดึงมือผมไว้ไม่ให้ผมลุก

“แป๊บนึงนะอ้อน”เค้าบอกอ้อนก่อนจะวางโทรศัพท์พร้อมกับเปิดลำโพงให้ผมได้ยินด้วยก่อนจะดึงผมเข้าไปไว้ในอ้อมกอดเค้า นี่เค้าคิดจะทำอะไรกัน

“อ้อน เมื่อกี้ว่าไงนะ”เค้าพูดตอบกลับไปอีกครั้ง

“พอดีวันนี้เพื่อนอ้อนชวนไปบางแสนนะ ว่าจะชวนเล่ไปด้วยกัน โทรหาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่โทรไม่ติดโทรศัพท์เป็นไรหรือเปล่า”จะเป็นไรเมื่อวานเค้ายังโทรหาผมได้อยู่นี่นา

“พอดีแบตมันหมดแล้วไม่ได้ดูนะ”เค้าตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่พร้อมกับขโมยหอมแก้มผม จนผมต้องหันไปทำตาดุๆ ใส่เพราะมันรู้สึกยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกัน ผมรู้สึกละอายแก่ใจเสียแล้วละตอนนี้ แม้อ้อนจะไม่ได้อยู่ต่อหน้าตอนนี้แต่แค่ได้ยินเสียงมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่ผมกับโอเล่ทำอะไรกันแบบนี้

“อืมแล้วนี่จะไปด้วยกันไหม ตามไปทีหลังก็ได้เพราะเล่คงเพิ่งจะตื่นนอน”อ้อนยังคงบอกเสียงใส

“คงไปไม่ไหวหรอกอ้อน พอดีเมื่อคืนเคลียร์งานที่ค้างอยุ่จนดึกนะ นี่ก็เพิ่งได้นอนไปนิดเดียวเอง”ผมหันไปมองคนที่พูดโกหกได้แนบเนียนเหลือเกิน เหมือนเค้าจะทำแบบนี้บ่อยๆ หรือเปล่า ผมเองก็คงเคยได้รับคำโกหกของเค้ามาแล้วเหมือนกันแน่ๆ

“เหรอน่าเสียดายเนอะ แต่ไม่เป็นไร ยังไงก็พักผ่อนเยอะๆแล้วกัน เป็นห่วงนะ”น้ำเสียงของอ้อนดูจะเจือด้วยความผิดหวังอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

“เที่ยวให้สนุกนะ”เค้าเหมือนจะพยายามตัดบทและคิดจะวางสาย แต่เหมือนอีกฝ่ายน่าจะยังอยากคุยกับเค้าต่อ

“เออแล้วนี่ขยันทำงานขนาดนี้ จะรีบเก็บตังค์ไปขอสาวที่ไหนกันน้า”น้ำเสียงหยอกเย้าของอ้อนทำเอาผมหัวใจกระตุกวูบ นั่นสินะตอนนี้ผู้ใหญ่จากทั้งสองฝ่ายก็อยากให้เค้าสองคนแต่งงานกันแล้วนี่นา

“จะให้ไปขอใครที่ไหนได้ เล่ก็มีอ้อนคนเดียวแค่นั้นแหละที่อยากจะไปขอ”คำตอบของเค้าทำเอาผมเจ็บจี๊ดเข้าไปอีก นี่ผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ เค้าบีบมือผมเหมือนจะเป็นการปลอบใจ แต่มันไม่ช่วยให้ผมดีขึ้นหรอกนะ ถ้าใครลองมาอยู่ในสถานการณ์อย่างผมตอนนี้จะรู้สึกยังไงกัน

“งั้นก็รีบมาขอนะ พ่อแม่อ้อนคิดสินสอดไม่แพงหรอก ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันเลยเนอะ”ท้ายๆเสียงเหมือนจะตัดพ้อหน่อยๆ หมายความว่าไงกัน ก็ผมเข้าใจว่าเค้าก็ทำงานใกล้ๆกัน ที่พักก็ไม่น่าจะห่างกันมาก จะไปมาหาสู่กันคงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรเลยนี่นา

“เราก็คิดถึงอ้อนเหมือนกัน แต่ช่วงนี้งานมันยุ่งๆนิดหน่อยนะ”ผมพยายามจะไม่สนใจบทสนทนาของทั้งคู่ แต่ในเมื่อต้องอยู่ตรงนี้มันเลยต้องได้ยินทุกคำพูดอยู่ดี

“อืม ยังไงก็อย่าหักโหมงานหนักมากแล้วกัน ไว้เดี๋ยวถ้าเคลียร์งานเสร็จ ช่วงไหนว่างๆ ค่อยไปทานข้าวด้วยกันหน่อยแล้วกันเนอะ”คำพูดนี่เหมือนจะจงใจดักทางไม่ให้โอเล่ปฏิเสธได้อยู่ในที

“อาทิตย์หน้าก็คงว่างแล้วไม่ยุ่งเท่าไหร่ เดี๋ยวจะไปทานข้าวด้วยทุกเย็นเลยแล้วกัน”บอกตรงๆว่าผมอดที่จะมีความอิจฉาไม่ได้ ที่ได้ยินเค้าตกลงว่าจะไปทานข้าวด้วยกันทุกเย็นแบบนี้

“งั้นไว้ค่อยเจอกันนะ เดี๋ยวเล่ นอนต่อเถอะไม่กวนแล้ว”พอพูดจบอ้อนก็วางสายไป เค้าดึงผมเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น แน่นจนผมรู้สึกเจ็บ เจ็บจนน้ำตาจะไหลแต่ไม่ใช่เจ็บที่เค้ากอดแต่เจ็บที่ใจ ทำไมผมต้องทนอยู่ในสภาพนี้กันด้วย ผมไม่โทษเค้าเพราะถ้าผมไม่ยอมซะอย่างผมก็แค่ถอยออกมาไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้ แต่นี่ผมยังยอมแล้วจะไปโทษใครได้

ยังไม่ทันที่เราสองคนจะได้คุยอะไรกัน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นของผมเอง เค้าเป็นคนเอื้อมมือหยิบมาให้ผม เค้าทำท่าขมวดคิ้วอย่างสงสัยเมื่อมองเห็นเบอร์ที่โทรเข้า และพอผมรับมาผมเองก็อดที่จะแปลกใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ว่าไงอ้อน”ผมกรอกเสียงลงไปอย่างร่าเริง และไม่ได้แสดงอาการง่วงนอนแต่อย่างใด

“พี่แฟ้ม วันนี้ว่างไหมไปเที่ยวบางแสนกัน”เธอส่งเสียงใสมาตามสาย

“เห็นทีจะต้องขอบายนะ เพิ่งไปกับไอ้แชมป์มาเมื่อวานเอง”ผมตอบไปตามความจริง

“ว้านี่อุตส่าห์อยากเจอ อ้อนไม่ได้เจอพี่แฟ้มนานแล้วนะเนี่ย”ยิ่งอ้อนยังดีกับผมอยู่แบบนี้ผมยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่ว่าทำไมผมถึงทำร้ายเธอได้ขนาดนี้กัน

“แล้วนี่ไปกับใครบ้างละ”ถามออกไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเพราะจริงๆ ถึงอ้อนจะไปกับใครผมก็ไม่ได้อยากรู้เท่าไหร่ อ้อนก็ตอบกลับมา ผมก็รู้จักบ้างไม่รู้จักบ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจฟังเท่าไหร่คนที่กำลังกอดผมไว้ก็ยังคงกอดกระชับเข้าไปเช่นเดิม

“ไม่ชวนโอเล่ไปด้วยละ”ทั้งที่รู้อยู่แล้วก็ยังจะถามออกไป เพื่อจะให้ดูว่าผมไม่รู้จริงๆ เพราะถ้าไม่ถามถึงก็จะดูแปลกๆ ที่ไม่ถามถึงเพื่อนสนิท เพราะยังไงต่อหน้าอ้อนเราสองคนก็ยังคงเล่นบทเพื่อนสนิทกันได้อย่างแนบเนียนเหมือนเดิม

“ช่วงนี้เค้าดูยุ่งๆนะพี่แฟ้ม ไม่ค่อยได้เจอกันเลย แล้วพี่แฟ้มได้เจอเค้าบ้างหรือเปล่า”ถึงอ้อนจะไม่เอ่ยปากออกมาแต่ผมก็รู้ว่าลึกๆแล้วอ้อนคงน้อยใจอยู่มากทีเดียว

“ไม่ค่อยได้เจอเหมือนกันแหละ ก็มีตอนเย็นวันศุกร์ที่ไปเที่ยวกับไอ้แชมป์ ก็เจอโอเล่มันไปเที่ยวกับเพื่อนนะ แต่ไม่ได้คุยไรกับมันมากหรอกแค่ทักทายนิดหน่อย ต่างคนต่างไปนะ”ผมไม่ได้โกหกแต่แค่บอกไปไม่หมดว่าจริงๆ ก็ตั้งใจไปด้วยกันแต่เค้าดันไม่สนใจผมนี่สิ

“พี่แฟ้ม อ้อนถามจริงๆนะ ถ้าเห็นว่าอ้อนเป็นเพื่อน เป็นเหมือนน้องสาวคนนึงก็ตอบอ้อนมาตามตรง”น้ำเสียงจริงจังนั้นเล่นเอาผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะหรืออ้อนจะเริ่มสงสัยเรื่องระหว่างผมกับโอเล่เสียแล้ว

“มีอะไรเหรอ”ผมกลั้นใจถามออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆ โอเล่เองก็เหมือนจะแนบหูเข้ามาใกล้ๆ คงจะอยากรู้ว่าผมคุยอะไรกับอ้อน แต่ผมคงไม่เปิดลำโพงให้เค้าฟังเหมือนที่เค้าเปิดให้ผมฟังหรอกนะ

“โอเล่เค้ามีคนอื่นนอกจากอ้อนอีกหรือเปล่า”แสดงว่าอ้อนเริ่มจะสงสัยแล้วว่าโอเล่มีบางอย่างปิดบังเธออยู่

“ทำไมคิดอย่างนั้นละ”ผมก็อยากรู้ข้อมูลจากอ้อนเหมือนกันเพื่อที่จะได้หาทางป้องกันไม่ให้ความลับที่ผมมีกับโอเล่ถูกเปิดเผย

“มันยังไงดีละ คือเหมือนเค้ายังมีใครอีกคนในใจ อ้อนรู้สึกได้ อย่างบางทีอ้อนชวนไปไหนก็บ่ายเบี่ยง เลี่ยงๆ เหมือนจะไปกับคนอื่น หรืออยู่กับคนอื่น อะไรแบบนี้ อ้อนไม่รู้นะว่าพี่แฟ้มจะเข้าข้างเพื่อนพี่ขนาดไหนหรือจะช่วยกันปกปิดกันหรือเปล่า แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็อยากให้พี่แฟ้มเห็นว่าอ้อนก็เป็นเพื่อนพี่แฟ้มเหมือนกันนะ อย่าให้อ้อนโดนหลอกเลย”น้ำเสียงอ้อนเหมือนเริ่มจะสั่นๆ แสดงว่านี่คงอัดอั้นมานานแล้วแน่ๆ

“ไม่มีอะไรหรอกน่าอ้อน อย่าคิดมากเลย ถ้าโอเล่มันไปมีคนอื่นจริงๆ พี่นี่แหละจะสั่งสอนมันเอง”พูดไปได้อย่างไม่อายปากเลยหรือไงกันผม

“ขอบใจนะ เดี๋ยวอ้อนคงต้องไปแล้ว ไว้ว่างๆเราคงได้เจอกันนะ”
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 01-11-2014 08:29:34
เลวทั้งคู่อ่ะ เอาอ้อนเข้ามาเกี่ยวด้วยทำไม
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 01-11-2014 18:10:13

เฮ้ออออ...สงสารอ้อน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: domeloly ที่ 01-11-2014 20:00:45
โอเล่แอบมีคนอื่นนอกจากแฟ้มกับอ้อนแหงๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 01-11-2014 20:06:10


“เราห่างกันสักพักดีไหม”ผมเอ่ยออกมาหลังจากที่อ้อนวางสายไปแล้ว เพราะคิดทบทวนดูแล้ว ถ้าตัวเค้าเองก็ยังไม่พร้อมที่จะตัดอ้อนออกไปจากชีวิต ผมก็อยากให้เค้าดีกับอ้อนมากขึ้นหน่อย ผมไม่รู้ว่ามันจะมีวิธีไหนจะเป็นทางออกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว

“ไม่ต้องห่างหรอก เดี๋ยวกรูอยู่กับอ้อนจันทร์ถึงศุกร์ แล้วเสาร์อาทิตย์ก็มาหามรึง”เค้ายังคงดึงดันที่จะให้ผมอยู่ในสภาพ เราสามคนแบบนี้ต่อไปอีกงั้นหรือ

“แล้ววันหยุดที่จะมาหากรูมรึงจะบอกกับอ้อนว่ายังไงกัน”เพราะถ้าไม่มีเหตุผลอ้อนก็ต้องสงสัยอยู่ดีว่า วันหยุดทั้งทีทำไมไม่ไปเที่ยวกันแบบแฟนบ้าง

“ก็บอกว่ากลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ไง”ผมไม่รู้ว่าเหตุผลแบบนั้นจะดีพอหรือเปล่า แต่ผมก็คิดอะไรไม่ออกแล้วเหมือนกัน มันเริ่มจะเหมือนกับว่าเรื่องนี้มันใกล้มาถึงทางตันเต็มแก่แล้ว มันคงใกล้จะถึงวันแตกหักแล้วแหละ

“อย่าเพิ่งสนใจเรื่องอื่นเลย ตอนนี้มาสนเรื่องของเราสองคนดีกว่า”เค้าพูดพร้อมกับจับผมนอนหงายลงบนเตียงก่อนเค้าจะขึ้นมาคร่อมบนตัวผม แล้วมันก็เหมือนทุกครั้งที่เคยเป็นมา เมื่อก่อนผมก็คิดว่าแค่ผมมีความสุขอยู่แบบนี้มันก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้เรื่องราวมันจะเริ่มไปทำร้ายคนอื่นเสียแล้ว แต่เมื่อความต้องการมันยังคงอยู่เหนือเหตุผล ผมก็ไม่ได้ปฏิเสธในความสุขที่ผมและเค้าต่างมอบให้กันและกัน

และแล้วเรื่องราวระหว่างเราสามคนก็ยังคงวนเวียนอยู่แบบนี้ต่อไป เค้าไปไหนมาไหนกับอ้อนตลอดสัปดาห์ ก่อนจะมาขลุกอยู่กับผมในวันหยุด มันเป็นแบบนี้มาสามเดือนแล้วสินะ

“วันนี้ไปไหนกับไอ้แชมป์มา”เค้าโทรหาผมในตอนเย็นของวันหนึ่ง ผมไม่รู้ว่าเค้ารู้ได้ยังไงว่าผมไปกับไอ้แชมป์มา วันนี้บังเอิญผมแวะมาทำธุระแถวๆ ที่ไอ้แชมป์ทำงานเลยชวนมันออกมากินข้าวด้วยนิดหน่อย เพราะผมกับไอ้แชมป์พักนี้ก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ผมมาทำธุระซึ่งเสร็จแล้ว และคงไม่กลับเข้าไปทำงานอีก ไอ้แชมป์เลยลางานช่วงบ่าย ชวนผมไปนั่งดื่มเบียร์ในร้านออกแนวคันทรี่ๆหน่อย ที่อยู่ในห้างใกล้ๆ ที่ทำงานมันนั่นแหละ

ผมก็อธิบายไปตามความจริง แต่เหมือนเค้าจะไม่ค่อยพอใจในคำตอบของผมเท่าไหร่ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ แล้วเค้าก็ตัดบทอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์เท่าไหร่

“แค่นี้แหละ ไว้เจอกันวันเสาร์”เสียงจากปลายสายบอกผมก่อนจะเงียบไป วันเสาร์งั้นเหรออีกไม่กี่วันเองนี่เนอะ เดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้วนี่นา ผมไม่ควรคิดมากหรอกใช่ไหม

ใช่ถ้าเกิดว่าไม่ได้รู้อยู่เต็มอกว่าระหว่างที่ไม่ได้เจอกันนั้น เค้ามีคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่รู้แบบนี้แต่ผมก็ยังยอมทำตัวเป็นคนที่เหมือนจะไร้ค่า เพราะอะไรนะเหรอ เพราะผมรักเค้าไงล่ะ

แล้วพอวันเสาร์มาถึงมันก็เหมือนกับทุกครั้งที่เค้ามา เราสองคนไม่ได้ออกจากห้องไปไหน ต่างถาโถมเข้าหากันอย่างหื่นกระหาย การที่ได้เจอกันเพียงแค่อาทิตย์ละสองวันมันทำให้เราสองคนเหมือนเสี้ยนยา เรามีบทรักที่เร่าร้อนไปกี่รอบต่อกี่รอบก็ไม่รู้ พอผ่านพ้นวันเสาร์เข้าสู่เช้าวันอาทิตย์ ก็มีสิ่งที่ทำให้ผมต้องแปลกใจแต่เช้า(จริงๆก็ไม่เช้าหรอกมันจะเที่ยงอยู่แล้ว) เมื่อมีโทรศัพท์เข้ามาหาผม

“พี่แฟ้ม”เสียงเหมือนจะสะอื้นหน่อยๆ ออกมาจากปลายสาย ผมพยายามแกะมือของอีกคนออกก่อนจะถามกลับไปอย่างเป็นห่วง นี่อ้อนเป็นอะไรไปหรือเปล่าทำไมทำเหมือนจะร้องไห้แบบนี้

“อ้อนเป็นไรหรือเปล่า”ผมถามด้วยความห่วงใย

“เดี๋ยวไปถึงแล้วจะเล่าให้ฟัง อ้อนใกล้ถึงอพาร์ทเม้นท์พี่แฟ้มแล้ว”

“หะ”คำพูดของอ้อนทำเอาผมสะดุ้งสุดตัว อ้อนจะมานี่ไม่ได้เด็ดขาด ก็โอเล่อยู่นี่แล้วจะให้อ้อนมาเจอว่าแฟนเธออยู่กับผมไม่ได้ เพราะถึงเราจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่วันหยุดโอเล่บอกอ้อนว่ากลับบ้านไปหาพ่อกับแม่ ไม่ได้บอกว่าจะมาค้างกับเพื่อนอย่างผม

“อ้อนถึงไหนแล้วนะ”ผมถามออกไปอย่างลนลานพร้อมกับพยายามจะคิดหาวิธี หาทางออก

“อีกสักยี่สิบนาทีน่าจะถึงแล้วละ”อ้อนเหมือนกำลังพยายามข่มอารมณ์ที่เหมือนกับว่าตอนนี้คงต้องมีเรื่องใหญ่อะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับเธอเสียแล้ว แต่ทางผมเองก็มีเรื่องใหญ่เหมือนกัน เพราะถ้าอ้อนมาที่นี่ตอนนี้ คงได้แตกหักกันไปข้างอย่างแน่นอน

“อ้อนคือพอดีตอนนี้พี่ออกมาข้างนอกแล้ว ว่าจะไปหาไรกินนะ ยังไงไปเจอกันที่ร้าน...นะ รู้จักไหม”ผมรีบบอกที่นัดหมายก่อนจะรีบผละออกจากอีกคนแล้วรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วเพราะต้องไปถึงก่อนอ้อนหรือในเวลาใกล้เคียงกันจะได้ไม่ผิดสังเกต

“ทำไมไม่ให้เค้ามานี่เลยละ”อยู่ๆเค้าก็พูดขึ้น ที่พูดมานี่เค้าคิดบ้างหรือเปล่า เพราะเค้าเองไม่ใช่เหรอที่ยังไม่พร้อมที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ แล้วถ้าให้อ้อนมาที่นี่เค้าคิดบ้างไหมว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในเมื่อเค้าบอกเธอว่าจะกลับบ้าน แต่แล้วทำไมมาอยู่กับผม

ผมไม่ได้พูดอะไรกับเค้า แต่รีบออกจากห้องมาแล้วก็บึ่งตรงไปยังที่หมายที่นัดกับอ้อนไว้ในทันที โชคดีที่ผมถึงก่อนอ้อนเพราะกะไว้แล้วว่าถ้านัดร้านนี้อ้อนจะต้องเสียเวลาในการไปกลับรถไกลหน่อยซึ่งก็จริง ผมนั่งรออยู่ไม่ถึงห้านาทีอ้อนก็เดินตรงเข้ามาหาผม พอมาถึงเธอก็เดินเข้ามาสวมกอดผมทันที ผมตกใจทำอะไรไม่ถูก เพราะหลังจากกอดเธอก็ร้องไห้อย่างไม่อายสายตาทุกคู่ภายในร้านที่จ้องมองมาที่เราสองคน

“อ้อนเป็นอะไร ใจเย็นๆก่อนนะ”ผมลูบหลังเธอเพื่อปลอบประโลม แต่เธอก็ยังคงซุกหน้าร้องไห้กับอกของผมอยู่นานพอดู จนพนักงานของทางร้านเดินเข้ามาถามว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า ผมก็ได้แต่บอกว่าไม่มีอะไร ก่อนจะดึงให้อ้อนนั่งลงที่เก้าอี้และผมก็นั่งลงข้างๆ เธอ น้ำตาของอ้อนหายไปหมดแล้ว แต่ยังคงสะอื้นอยู่เล็กน้อย ผมไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงเลยได้แต่รอให้เธอพร้อมที่จะพูดดีกว่า

“พี่แฟ้มรู้จักที่ทำแท้งไหม”คำพูดแรกของอ้อนทำเอาผม อึ้งไปอีกรอบ หมายความว่ายังไงกัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่

“อย่าบอกนะว่า..”

“อ้อนท้อง”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

“กับโอเล่ใช่ไหม”ผมกลั้นใจถามออกไปทั้งที่ก็น่าจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้วเพราะอ้อนเองก็ไม่ได้คบใครคนอื่น แต่ว่าแล้วอ้อนจะอยากทำแท้งทำไมกัน ผมพยายามตั้งสติให้อยู่เพราะตอนนี้ในใจผมเองก็กำลังร่ำร้องเหมือนกัน เมื่ออ้อนพยักหน้าเป็นเชิงยอมรับ

“แล้วทำไมต้องอยากจะเอาเด็กออก”ผมถามอย่างสงสัยอีกครั้ง ถึงแม้สีหน้าแววตาผมตอนนี้จะยังปกติดี แต่ภายในใจผมมันแหลกสลายไปหมดแล้ว เพราะตอนนี้อ้อนกับเค้ากำลังจะมีลูกด้วยกันแล้ว

“อ้อนกลัว ไม่รู้จะไปปรึกษาใครแล้ว อ้อนเพิ่งรู้วันนี้ว่าท้อง อ้อนอยากคุยกับเค้า แต่โทรหาก็ไม่ติด อ้อนไปหาที่บ้านตามที่เค้าบอกว่าจะกลับบ้านก็ไม่เจอ แถมพ่อแม่เค้ายังบอกอีกว่าเค้าไม่ได้กลับมาบ้านนนานแล้ว”พอถึงตอนนี้เหมือนมีก้อนแข็งๆ มาจุกที่อกผม ก็แน่ละที่เค้าไม่ได้กลับบ้านเลยเพราะอยู่กับผม

“มันทำให้อ้อนเริ่มมั่นใจว่าเค้าน่าจะมีคนอื่น อีกอย่างเวลาพูดเรื่องแต่งงานเค้าก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด อ้อนไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจนะว่าท้องไม่มีพ่อ หรือท้องก่อนแต่ง”แล้วเธอก็เริ่มมีน้ำตาอีกครั้ง

“นี่ไอ้คนเป็นพ่อมันยังไม่รู้ใช่ไหม”ผมถามด้วยเสียงเย็นรู้สึกว่าครั้งนี้ผมเริ่มเห็นว่าเค้าไม่ดีเป็นครั้งแรก

“อ้อนว่าจะไม่บอกเค้าเพราะกลัวเค้าจะไม่รับผิดชอบ”นี่มันทำให้อ้อนไม่มั่นใจในตัวมันขนาดนี้เชียวหรือ

“ถ้ามันจะไม่อยากรับผิดชอบแล้วทำไมมันไม่รู้จักป้องกันละ”ผมอดที่จะตำหนิไม่ได้ ทั้งตัวอ้อนเองและโอเล่ถ้าทั้งคู่จะยังไม่พร้อมก็ควรจะรู้จักป้องกันให้ดีกว่านี้ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะรู้สึกท้อแท้เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถ้ามองดีๆแล้วคนที่ต้องแบกปัญหาใหญ่ที่สุดก็คืออ้อน

“วันนั้นเค้าเมา น่าจะเป็นวันนั้นแหละมั้ง”อ้อนพึมพำเบาๆ

“ยังไงมันก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เดี๋ยวพี่ช่วยพูดเรื่องนี้เอง”คงถึงเวลาแล้วสินะที่ผมจะถอยห่างออกจากเค้าทั้งสองคน

ผมอาสาเป็นคนโทรหาโอเล่ให้อ้อนเอง เพราะถ้าเค้าปิดมือถือ แต่มันก็มีอีกทางที่ผมจะติดต่อเค้า ผมกดโทรเข้าไปที่เบอร์อพาร์ทเม้นท์ของผม แต่เค้าไม่รับซึ่งผมก็กะอยู่แล้วว่าเค้าไม่น่าจะรับ แต่โทรศัพท์เมื่อไม่มีคนรับมันก็จะเข้าระบบฝากข้อความ ซึ่งยังไงเค้าก็ต้องได้ยิน ผมบอกให้เค้าโทรกลับหาผมด่วน และรอเพียงไม่นานเค้าก็โทรกลับมาหาผม

ผมบอกให้เค้าออกมาหาที่ร้านที่ผมอยู่กับอ้อน โดยที่ยังไม่ได้บอกว่ามีเรื่องอะไร บอกแค่ว่ามีเรื่องด่วนและสำคัญมากๆ ตอนแรกเค้าก็บ่ายเบี่ยง แต่เมื่อจับได้ว่าน้ำเสียงของผมค่อนข้างจริงจังและซีเรียสเค้าจึงยอมออกมา

“อ้อนไม่กล้าคุยกับเค้า”อ้อนเริ่มจะไม่มั่นใจเมื่อรู้ว่าเค้าจะออกมาพบ ทำไมกันน้าทั้งที่ทั้งสองคนก็คบกันมานานแต่ทำไมอ้อนถึงได้เหมือนไม่มั่นใจในตัวของเค้าเลยละ

“ใจเย็นๆน่า ยังไงมันก็ต้องมีทางออกที่ดีอยู่แล้ว”ผมยังต้องทนปลอบโยนคนที่อยู่ตรงหน้า ทั้งที่ในใจของผมเอง มันก็บอบช้ำไม่ต่างจากเธอเลยแม้แต่น้อย คนที่ผมเฝ้ารัก และรอเค้ามาตลอด ยอมที่จะเป็นแค่คนรักที่ไม่มีใครรู้ ยอมแม้กระทั่งทำตัวเหมือนเป็นชู้กับคนที่มีแฟนอยู่แล้ว เพราะผมยังมีความหวังเสมอมา แต่วันนี้ ตอนนี้ มันจะไม่เป็นแบบนั้น ไม่มีทางกลับไปเป็นแบบนั้นได้อีกแล้ว

“ไปคุยกันที่เงียบๆ กว่านี้ดีกว่าไหม”อ้อนเอ่ยปากออกความเห็นเมื่อโอเล่มาถึง ตอนนี้อ้อนกำลังพยายามปรับอารมณ์อยู่ โอเล่เองก็กำลังสงสัยอยู่ไม่น้อยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกันแน่

รถของอ้อนและผมถูกจอดทิ้งไว้ที่ร้าน เราสามคนอยู่บนรถของโอเล่ ที่กำลังวิ่งไปตามท้องถนนโดยที่ยังไม่มีจุดหมายว่าจะไปที่ไหนกันดี และต่างคนต่างเงียบ เหมือนจะรอให้ถึงที่หมายก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกครั้ง

สถานที่ที่โอเล่พาเราทั้งสามไปก็คือ บ้านของเค้านั่นเอง แต่วันนี้มีเพียงพี่ชายของเค้าอยู่บ้านเพียงคนเดียวเพราะคนอื่นๆ พากันออกไปข้างนอกหมด ก่อนที่พวกผมจะมาถึงไม่นาน เราสามคนทักทายพี่ชายของเค้าเล็กน้อย ก่อนพวกผมจะแยกตัวออกไปที่สวนหลังบ้าน ซึ่งมีศาลานั่งพักผ่อน บรรยากาศร่มรื่น เมื่อก่อนผมเคยมาที่นี่บ่อยๆ เป็นเหมือนลูกของบ้านนี้อีกคน แต่เมื่อผมกับเค้าเกินเลยมากไปกว่าเพื่อน และเมื่ออ้อนก้าวเข้ามา ผมก็แทบจะไม่ได้มาที่นี่อีกเลย บางครั้งพ่อแม่ของเค้าก็ถามถึงผมบ้าง แต่ผมก็อ้างนู่นอ้างนี่ตลอดมา รวมถึงตัวเค้าเองด้วยที่ไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน เพราะที่ทำงานค่อนข้างจะห่างจากบ้านเยอะ เลยทำให้หาที่พักอยู่ใกล้ๆ จะสะดวกกว่า

“มีใครจะพูดอะไรไหม”เค้าเอ่ยถามทำลายความเงียบ เมื่อทั้งผมและอ้อนเองก็ไม่มีใครพูดอะไรออกไป ผมเองอยากให้อ้อนเป็นคนบอกเค้าเอง ความจริงผมแทบอยากจะให้เค้าคุยกันสองคนเสียด้วยซ้ำ

“งั้นกรูรอในบ้านนะ คุยกันดี   ๆแล้วกัน”ผมว่าเค้าเองก็คงมีความรับผิดชอบพอในเรื่องนี้ เพียงแค่อ้อนตัดความกังวลออกไป เรื่องของทั้งคู่อาจจะไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย ทั้งสองจะได้แต่งงาน มีลูก เป็นครอบครัวเดียวกัน ผมต้องพยายามสกัดกั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ผมจะต้องแสดงความยินดีกับทั้งคู่สินะ ถึงจะถูกต้อง

“พี่แฟ้ม ไหนว่าจะช่วยพูดให้อ้อนไง”อ้อนเริ่มน้ำตาปริ่มๆ ทำท่าจะร้องไห้อีกแล้ว สายตาอ้อนวอนและดูเศร้าสร้อย แตกต่างจากอ้อนสาวน้อยร่าเริง ขี้เล่น ที่ผมเคยรู้จักอย่างสิ้นเชิง ยังไงเสียเธอก็ยังเป็นผู้หญิงที่ต้องการคนดูแลอยู่ดี

“ตกลงมีอะไรกันเนี่ย”น้ำเสียงของอีกคนเริ่มจะไม่พอใจเสียแล้ว ผมหันไปส่งตาขวางให้เค้า เพราะต้นเหตุของเรื่องนี้มันเป็นเค้าเองนั่นแหละ

“มรึงคิดว่ามรึงเป็นคนมีความรับผิดชอบแค่ไหน”ผมหันไปถามเค้าอย่างจริงจัง ด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะซีเรียสพอสมควร เค้าหันมองหน้าอ้อน แต่อ้อนก็ก้มหลบสายตาของเค้า ตอนนี้อ้อนคงมีแต่ความกังวลเป็นแน่ อย่างที่เธอบอกผมว่ากลัวพ่อแม่ว่าอีก แต่ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ถึงแม้จะท้องก่อนแต่ง แต่สุดท้ายได้แต่งมันก็คงดีกว่า ที่จะไม่ได้แต่งแล้วไปเอาเด็กออก

“กรูรับผิดชอบกับทุกเรื่องที่กรูทำอยู่แล้ว”เค้าตอบกลับมาอย่างมาดมั่น แต่ผมกลับรู้สึกคัดค้านอยู่ในใจ เพราะที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่เห็นว่าจะสามารถรับผิดชอบได้หมดนิ เค้าคงรับผิดชอบได้แค่ฝ่ายเดียวแค่นั้นแหละ ซึ่งก็คงไม่ใช่ฝ่ายผมอย่างแน่นอน

“งั้นก็ดี เพราะมรึงกำลังจะเป็นพ่อคนแล้ว”ผมพยายามพูดช้าๆ เพราะน้ำเสียงผมเริ่มจะสั่นๆ แล้ว เค้ามีสีหน้าที่ตกใจอยู่มากทีเดียว ก่อนจะหันไปหาอ้อนอีกครั้ง

“ไม่จริงใช่ไหม”เค้าเหมือนพึมพำมากกว่าที่จะถาม แต่อ้อนก็พยักหน้าเป็นการยืนยัน เค้าเอามือกุมศรีษะ เหมือนไม่อยากจะรับรู้เรื่องที่เพิ่งได้ยิน

“อ้อน...เล่ ยังไม่พร้อม”
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 01-11-2014 21:29:40
จ๊ะๆ เอาที่สบายใจเลย
ถ้าสนใจแค่หลงคำลวงกับเรื่องบนเตียง วงจรก็คงไม่หมุนไปไกล อีกคนมั่ว อีกคนมัวเมา
ถ้าคนมันรักจริงคงไม่ทำให้เจ็บช้ำมาหลายปี

สงสารน้องจริงๆ ต้องหลงกลมาเป็นเครื่องมือให้ผู้ชายไม่มีความคิดสองคน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 01-11-2014 21:51:51

แฟ้มเอ๊ยยยยยยย  :z3:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 01-11-2014 22:39:12
 :a5:

ระหว่างเรา เธอฉันเขา เท่านั้นหรือ
เป็นอยู่คือ ขึ้นชื่อรัก ยิ่งนักหนา
เหมือนหนมปัง ทั้งสามแผ่น แน่นเชื้อรา
มัวรอคอย กาลเวลา คร่าทิ้งไป

เพราะมัวเมา เต่าตุ่น หมกมุ่นรัก
เพราะโฉดเขลา ยิ่งนัก ยากผลักไส
เพราะติดหล่ม ขย่มย้ำ ช้ำหัวใจ
เมียสองคน เลยเจอภัย พิษรักลวง


โฮะ..โฮะ อ่านเรื่องนี้แล้วถูกใจจริงๆ
ตามหาอ่านเรื่องแนวนี้มานานแสนนาน

 :z2: อิอิ..เจอแล้ว

+1 ให้คนแต่ง
รักนะ..จ๊วบบบบ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 01-11-2014 23:13:29
สงสารอ้อนที่ต้องมาเจอคนเลวสองคน
และสงสารที่ต้องมาท้องกับคนเลว :katai1:

พวกท้องถึงรับผิดชอบเห็นอยู่ไปพักนึงก็มีปัญหาตลอด
ขอให้อิโอเล่ได้รับผลกรรมด้วยเถอะ แฟ้มด้วยนะ พฤติกรรมกินลับหลังเนี่ยรับไม่ได้จริงๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [1-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 02-11-2014 11:57:11
“ไม่จริงใช่ไหม”เค้าเหมือนพึมพำมากกว่าที่จะถาม แต่อ้อนก็พยักหน้าเป็นการยืนยัน เค้าเอามือกุมศรีษะ เหมือนไม่อยากจะรับรู้เรื่องที่เพิ่งได้ยิน

“อ้อน...เล่ ยังไม่พร้อม”แทบไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดนี้จะออกมาจากปากเค้า ยังไม่พร้อมงั้นเหรอ แล้วเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วจะให้อ้อนทำยังไง

“อ้อนเอาเด็กออกได้ไหม”สิ้นคำพูดนั้น น้ำตาอ้อนร่วงเป็นสายอีกครั้ง ส่วนเค้าลงไปกองกับพื้นเป็นที่เรียบร้อย เพราะผมประเคนหมัดของผม ที่แม้ว่าผมไม่ใช่นักมวยหรือคนหมัดหนักอะไร แต่ผมก็ปล่อยออกไปเต็มแรง มันทำให้เค้าเลือดกลบปากพร้อมกับทรุดลงกับพื้นศาลา เพราะไม่ได้ตั้งตัว

“มรึงพูดออกมาได้ยังไง กรูไม่คิดเลยมามรึงจะเป็นคนไม่รับผิดชอบแบบนี้”ผมตามลงไปซัดเค้าอีกหลายหมัด จนมือผมเจ็บไปหมด แต่เค้าไม่ได้ตอบโต้อะไรผมเลย ปล่อยให้ผมต่อยจนสาแก่ใจ

“พี่แฟ้ม พอแล้ว พอแล้ว อ้อนจะเอาเด็กออก”อ้อนเป็นคนมาห้ามผมด้วยเสียงที่สะอื้น

“เล่เป็นไรมากไหม”หลังจากแยกผมออกมาได้ อ้อนก็หันไปสนใจอีกคน

“ถ้ามรึงไม่รับผิดชอบเรื่องนี้ กรูจะถือว่าไม่เคยรู้จักคนอย่างมรึง”ผมยังคงหันไปต่อว่าเค้า เค้ามองผมด้วยสายตาตัดพ้อ เหมือนจะเสียใจ แต่ในเรื่องนี้มันไม่ได้มีแค่เค้าหรอกที่เสียใจ

“แล้วมรึงจะให้กรูทำยังไงแฟ้ม ให้กรูทำยังไงถึงจะถูกใจมรึง”เค้าตะโกน เสียงดังใส่ผม จนอ้อนเองก็คงตกใจไม่น้อย ว่าทำไมเค้าต้องมาตวาดผมด้วย

“มรึงไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมกรูถึงยังไม่พร้อม”เค้าหันมาตะโกนใส่หน้าผมก่อนจะหันกลับไปมอง อ้อน ผมไม่อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ ว่าที่เค้าไม่พร้อมเพราะเค้ารักผมจริงๆ แต่ถึงยังไงผมก็ไม่อยากให้อ้อนได้รับรู้เรื่องระหว่างผมกับเค้า เพราะอ้อนเห็นผมเป็นเหมือนพี่ชายคนนึง แล้วถ้าเธอรู้ผมไม่อยากจะคิดเลยว่ามันจะเป็นยังไงต่อ

“กรูไม่รู้หรอก ว่ามรึงไม่พร้อมเพราะอะไร แต่เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้ามรึงยังเป็นลูกผู้ชายพอมรึงก็ต้องแต่งงานกับอ้อนให้เร็วที่สุด”ผมสูดลมหายใจเข้าปอดจนสุดหลังจากพูดจบ แต่ละคำที่ผมกล่าวออกไปมันช่างบาดลึกลงในจิตใจผมเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ผมเคยคิดว่าจะรอวันนึงที่เค้ากับอ้อนจะเลิกกัน วันที่เค้าพร้อมจะคบกับผมในฐานะแฟนจริงๆ เสียที แต่พอเอาเข้าจริง ผมก็ทำไม่ได้หรอกที่จะให้เค้าทำร้ายอ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนนี้

“ช่างมันเถอะ ถ้าเล่ยังไม่พร้อม อ้อนเอาเด็กออกก็ได้”อ้อนหันไปบอกเค้าด้วยน้ำตานองหน้า ผมว่าถึงเธอจะพูดแบบนั้นแต่ในความจริงอ้อนเองก็คงจะเสียใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“เด็กที่จะเกิดมา เค้าทำผิดตรงไหนกัน ถึงจะฆ่าเค้าตั้งแต่ยังไม่ได้ลืมตาดูโลกแบบนี้ คิดดูดีๆแล้วกัน”ผมพูดเหมือนตำหนิอ้อนอยู่ในที แต่สายตาจ้องมองอีกคน ที่จ้องผมไม่วางตาเช่นกัน แววตาของเค้าก็ไม่ได้ต่างอะไรจากผมมากนัก มันดูสับสนว้าวุ่น ผมอยากจะพูดอยากจะคุยอะไรกับเค้าอีกมากมาย ในเรื่องระหว่างผมกับเค้า อยากจะบอกว่าผมพร้อมที่จะหลีกทางให้เค้าได้มีครอบครัว ปกติที่ไม่แตกต่างจากคนหมู่มาก อยากบอกว่าไม่ต้องมากังวลอะไรกับผม ผมจะถือว่าทุกสิ่งที่เค้าเคยบอกว่ารักผมมันคือความจริง และผมจะเก็บไว้เป็นความทรงจำที่ดี

“ถ้างั้นเราแต่งงานกันนะอ้อน  เมื่อกี้โทษทีที่เล่พูดออกไปแบบนั้น แค่เล่กำลังตกใจและก็ตั้งตัวไม่ทัน ก็อย่างที่ไอ้แฟ้มมันบอก ในเมื่อเราทำให้เค้ามีตัวตนขึ้นมา เราก็ไม่ควรจะทำร้ายเค้า เราจะแต่งงานกันให้เร็วที่สุด”เค้าดึงอ้อนเข้าไปกอดแนบอก ส่วนสายตายังคงจับจ้องมาที่ผม

เราพาโอเล่เข้ามาทำแผลข้างในบ้าน พี่ชายเค้าถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น พอทราบเรื่องทั้งหมดก็ต่อว่าผม ว่าทำไมไม่ต่อยให้หนักกว่านี้ พี่แกแสดงความยินดีเสียด้วยซ้ำที่น้องชาย จะเป็นฝั่งเป็นฝา คนอื่นๆ ดูจะมีความสุขดี แล้วผมละ ผมจะมีความสุขกับเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน อ้อนจะอยู่รอคุยเรื่องนี้กับพ่อแม่ของโอเล่ด้วย และบอกให้ผมอยู่คุยด้วย แต่ผมปฏิเสธที่จะไม่อยู่รอเพราะผมไม่อยากจะอยู่ในสถานะ ส่วนเกินของครอบครัวเค้า

“เดี๋ยวกรูนั่งแทกซี่กลับเลยแล้วกัน จะได้แวะไปเอารถด้วย”ผมบอกปฏิเสธเค้าที่จะออกมาส่ง เพราะตอนนี้ผมอยากให้เค้าดูแลอ้อนเสียมากกว่า อีกอย่างผมเองก็ต้องการเวลาให้กับตัวเองเพื่อทำใจกับเรื่องนี้ด้วย

“งั้นเล่ก็นั่งรถไปกับพี่แฟ้ม แล้วขับรถอ้อนกลับมาแล้วกัน”ข้อเสนอของอ้อนมันทำให้ยากต่อการที่ผมจะปฏิเสธ เราสองคนออกมาขึ้นแทกซี่และไปยังที่ที่รถจอดทิ้งไว้ที่ร้าน ระหว่างทางไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากของผมและเค้า ผมเพิ่งเข้าใจว่าน้ำตาตกในมันเป็นยังไงก็วันนี้เอง มันช่างทรมานที่ต้องเจ็บอยู่ข้างใน แต่น้ำตาไม่มีจะไหลออกมาให้เห็นถึงความเจ็บปวดที่เรามีอยู่เลย พอถึงที่หมายผมรีบเดินตรงไปยังรถของผมเองแทบจะทันที

“เราจะไม่คุยกันหน่อยเหรอ”เค้าเดินตามมาดึงฉุดแขนผมไว้

“ขอเวลากรูหน่อยนะ มรึงควรกลับไปคิดเรื่องระหว่างมรึงกับอ้อนดีกว่า”ผมพยายามแกะมือเค้าออกโดยไม่มองหน้า

“กรูเสียใจที่เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้”น้ำเสียงเค้าดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้งที่ผมเคยได้ยิน แต่ผมจะต้องตัดเค้าให้ขาดตั้งแต่ตอนนี้ เพื่อตัวผมเองในวันข้างหน้า

“มันไม่ใช่เรื่องน่าเสียใจเลยสักนิด มันเป็นเรื่องน่ายินดีต่างหาก ที่มรึงกำลังจะมีลูก มีครอบครัว”ผมหันไปสบตาเค้าพร้อมกับกล่าว ด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจให้เค้า

“ถ้ามรึงต้องการแบบนี้ กรูก็จะทำให้มรึง”พูดจบเค้าก็เดินหันหลังไปหารถของอ้อน หึทำให้ผมงั้นเหรอ มันสายไปแล้วละที่จะมาทำอะไรเพื่อผมในตอนนี้ ถ้าคิดอยากจะทำเพื่อผมจริงๆเค้าน่าจะทำตั้งนานแล้ว แต่เรื่องนี้จุดเริ่มต้นมันก็มาจากผมเอง ถ้าผมไม่บอกว่าชอบเค้าในตอนนั้น ตอนนี้ผมอาจจะไม่เจ็บขนาดนี้ ตอนนี้เราอาจจะยังเป็นเพื่อนกันธรรมดา ตอนนี้ผมอาจจะทำใจได้แล้วว่าเราควรเป็นเพื่อนกันเท่านั้น

ผมขับรถออกจากตรงนั้น แต่ไม่ได้ตรงกลับไปที่ห้องแต่อย่างใด ผมไม่อยากกลับไปในที่ที่มีความทรงจำของผมและเค้า ห้องผมมันเหมือนเป็นที่ ที่เราสองคนมีความทรงจำด้วยกันมากมายเหลือเกิน ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมกลัว กลัวว่าผมเองจะไม่เข้มแข็งพอและอาจจะทำร้ายตัวเอง ผมพยายามนึกหาคนที่จะอยู่เป็นเพื่อนผมได้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น ไอ้แชมป์


“ไปเป็นแฟนกันไหม”
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [2-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 02-11-2014 20:22:20

สงสารแชมป์กะอ้อน  สมเพชแฟ้มอ่ะ พยายามจะเป็นคนดี โอเล่ยอมแต่งกับอ้อน แฟ้มคงไม่สำลักความฟินจากการยกผัวให้อ้อนหรอกนะ  :m16:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [2-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: domeloly ที่ 02-11-2014 20:55:52
อยากต่อยไอ้โอเล่ซักที แม่มมมม
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [2-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 02-11-2014 21:25:43
โอเล่นั่นแหละผิดเต็มประตู
ไม่ชัดเจนกับความรู้สึกตัวเอง
รักไม่เป็น ก็ต้องเจ็บ ยอมรับซะ
สุดท้ายก็ไม่มีใครเลยที่มีความสุข :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [2-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 02-11-2014 23:10:53
ปัญญาอ่อนไอ้โอเล่ แกทำตัวเองทั้งนั้น ทั้งนอกใจไปจีบอ้อน
ทั้งกลับมาหาแฟ้มแบบลับหลัง

แฟ้มเองก็ปล่อยให้มันคาราคาซัง ถ้าอ้อนไม่พร้อมก็ไม่ยอมบอกความจริง ไม่ยอมถอย

แฟ้มได้โปรด อย่าดึงแชมป์เข้ามาเกี่ยวด้วยเลย อย่าใช้เพื่อนมาเป็นเครื่องมือ!!!
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [2-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-11-2014 17:28:35
ผมขับรถออกจากตรงนั้น แต่ไม่ได้ตรงกลับไปที่ห้องแต่อย่างใด ผมไม่อยากกลับไปในที่ที่มีความทรงจำของผมและเค้า ห้องผมมันเหมือนเป็นที่ ที่เราสองคนมีความทรงจำด้วยกันมากมายเหลือเกิน ตอนนี้ผมไม่อยากอยู่คนเดียว ผมกลัว กลัวว่าผมเองจะไม่เข้มแข็งพอและอาจจะทำร้ายตัวเอง ผมพยายามนึกหาคนที่จะอยู่เป็นเพื่อนผมได้ ซึ่งตอนนี้ก็เหลือเพียงคนเดียวเท่านั้น ไอ้แชมป์


“ไปเป็นแฟนกันไหม”ทันทีที่ผมเจอกับเพื่อนที่แสนดีของผม นั่นคือสิ่งแรกที่ผมพูดออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเหมือนไม่ได้มีเรื่องราวอะไรในใจ ไอ้แชมป์ดูมึนๆ งงๆ ที่อยู่ๆผมก็มาหามันแบบนี้ แต่คำพูดนี้เราสองคนก็เข้าใจกันดีว่ามันหมายถึงการชวนอีกฝ่ายไปดูพระอาทิตย์ตก ถึงแม้ไอ้แชมป์จะเป็นคนที่รู้เรื่องราวความรักแสนรันทดของผม และผมสามารถที่จะเล่าทุกอย่างหรือระบายความในใจให้มันฟังได้ แต่ผมเลือกที่จะไม่ให้มันต้องมาเป็นทุกข์กับผม ผมจะขอแค่ให้มันอยู่เป็นเพื่อนผมแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว แม้ตอนนี้ในใจของผมมันจะบอบช้ำเพียงใดผมก็ต้องผ่านมันไปให้ได้

“เลิกกับไอ้คนเห็นแก่ตัวนั้นแล้วรึไงถึงได้มาขอกรูเป็นแฟนเนี่ย”ไอ้แฟ้มพูดติดตลกอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่คำพูดของมันทำเอาผมชะงัก เจ็บจี๊ดในใจ เพราะเรื่องของผมกับอีกคนมันคงจบลงแล้วจริงๆ นั่นแหละ

“จะไปไม่ไป”ผมพยายามตอบแบบกวนๆ เหมือนที่เราเคยคุยกัน ซึ่งต้องใช้ความอดทนอย่างสูงที่จะข่มอารมณ์ภายในใจของผมไว้ เพราะตอนนี้ผมเหมือนมีหลายความรู้สึกมันตีบตันอยู่บริเวณอกข้างซ้าย

“แต่กรูเบื่อบางแสนแล้ว เราไปที่อื่นกันไหม”ข้อเสนอของมันไม่ค่อยจะดีนักในความคิดผม เพราะเราคงไปไหนไกลกว่านี้ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ก็วันอาทิตย์วันมะรืนก็ต้องทำงานกันแล้ว

“ไปที่อื่นมันก็ไกลนะ แล้วเราจะไปค้างคืนได้หรือไงกันเดี๋ยววันมะรืนก็ต้องกลับไปทำงานกันเหมือนเดิมแล้ว

“ไม่เห็นจะยากเลย เราก็ลางานซิ สักวันสองวัน”ดูมันพูดง่ายเหลือเกิน การจะลางานมันก็ต้องแจ้งกันล่วงหน้าบ้าง ไม่ใช่จะมาบอกแบบนี้เพราะกว่าจะแจ้งลางานก็คงเป็นวันจันทร์โน่นแล้ว

“แล้วจะลางานว่ายังไง”ผมเกิดอาการคิดไม่ออกชั่วคราว ทั้งที่ปกติเหตุผลของการขาดงาน ลางาน มันมีตั้งร้อยแปด แต่วันนี้สมองผมมันคงยังเบลอจนคิดอะไรไม่ออกเสียแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าสีหน้าแววตาผมเป็นยังไงแล้ว แต่คิดว่าคงจะไม่สู้ดีนักเสียแล้วมั้งเพราะเหมือนไอ้แชมป์จะเริ่มสังเกตเห็นแล้ว

“งั้นก็ไปแค่บางแสนนี่ก็ได้”น้ำเสียงที่เปลี่ยนไปทำให้ผมคิดว่า แชมป์เองก็คงเริ่มจะรู้แล้วว่าผมต้องมีเรื่องอะไรในใจ

“เอารถกรูไปก็ได้ แต่มรึงขับนะ”ผมบอกออกไป ก่อนเราจะพากันเตรียมตัว ออกเดินทาง ซึ่งผมก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากหรอก ส่วนไอ้แชมป์ก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าไม่ให้เป็นชุดอยู่บ้านอย่างที่มันเป็นอยู่ตอนนี้

ระหว่างทางที่ไอ้แชมป์เป็นคนขับรถ ผมบอกว่าของีบหน่อยเพราะรู้สึกเพลียๆ แต่ในความเป็นจริงคือผมกลัวจะข่มอารมณ์ไว้ไม่ไหว ยิ่งพูดยิ่งคุยผมก็จะยิ่งแสดงความอ่อนแอออกมาเรื่อยๆ ผมเลยต้องตัดบทสนทนาโดยการปิดเปลือกตา ทั้งที่ตลอดการเดินทางนั้นผมไม่ได้หลับเลยสักนิด ความคิดภายในมันเอาแต่วนเวียนคิดถึงเรื่องราวระหว่างผมกับอีกคน

ภาพต่างๆ ระหว่างผมกับโอเล่มันยังชัดเจนในความคิดมโนภาพของผม ตั้งแต่เริ่มที่เราได้เจอกัน ในฐานะเพื่อนใหม่ เค้าในฐานะเด็กต่างถิ่นที่ย้ายเข้ามาเรียนโรงเรียนแถวบ้านผม ภาพของเด็ก ม.ต้น ที่บ้าๆ บอๆ ที่ผมเคยมองเค้าเป็นตัวตลกในวิชาเรียน หรือตอนที่ผมกับเค้าและเพื่อนๆ แอบโดดเรียนด้วยกัน พากันไปหัดดื่มแอลกอฮอล์แต่เล็กแต่น้อย หรือแม้กระทั่งภาพที่เค้าเคยโดนอาจารย์จับได้ว่าทุจริตในการสอบ และอีกหลายๆเรื่อง ที่เป็นความทรงจำมิตรภาพระหว่างเพื่อนที่เราเคยมี

จนไปถึงวันเวลาที่ผมเริ่มมองเค้าเปลี่ยนไป ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงมองเค้าในฐานะอื่นนอกจากเพื่อนไปได้ก็ไม่รู้ ผมเริ่มหวั่นใจในตอนแรกว่าไม่ควรรู้สึกกับเพื่อนแบบนั้น แต่แล้วเมื่อครั้งที่ผมและเค้าได้นอนอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกันเมื่อครั้งที่ต้องไปเข้าค่าย มันทำให้ผมแน่ใจในความรู้สึกที่ผมมีต่อเค้า แต่ผมก็เลือกที่จะเก็บไว้เป็นการรักเค้าเพียงข้างเดียว ซึ่งถ้าผมยอมที่จะทำแบบนั้นตลอดมา เรื่องวันนี้มันก็คงไม่เกิดขึ้น

ถ้าผมไม่บอกออกไปว่าคิดยังไงกับเค้า ถ้าเราสองคนไม่ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่เดียวกัน พักที่เดียวกัน และไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์มันเกินเลยไปไกลขนาดนั้น ตอนนี้ก็คงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ ผมว่าการที่ได้แอบรักบางทีมันอาจจะเจ็บ แต่มันคงไม่เจ็บเท่าการที่เหมือนจะได้คอบครองแต่แล้วสุดท้ายก็ต้องสูญเสียอย่างที่เป็นอยู่แบบนี้

ภาพต่างๆ มันช่างชัดเจนเหลือเกิน และตอนนี้แม้ผมจะหลับตาอยู่แต่ก็เริ่มรู้สึกได้ว่ากำลังจะมีบางอย่างไหลออกมาจากดวงตาที่ปิดสนิทนั้น ผมพลิกหันหลังให้กับคนขับ เพื่อไม่ให้เค้าเห็นว่าผมมีน้ำตาไหลออกมา แล้วก็พยายามปาดน้ำตาโดยไม่ให้เค้าเห็น



พอถึงจุดหมาย ผมเดินตรงสู่ชายหาดทันทีโดย ให้อีกคนตามมาห่างๆ จนผมหยุดอยู่ที่ชายหาดไอ้แชมป์ก็ตามมายืนเคียงข้าง ผมไม่ได้พูดอะไรทำเหมือนกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ แม้ว่าทะเลที่นี่จะไม่ได้สวยมากนัก แต่มันก็เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายได้อยู่มากเลยทีเดียว ผมกับไอ้แชมป์เดินไปตามชายหาด ปล่อยให้คลื่นซัดเข้ามาโดนจนกางเกงเปียก

“ทะเลาะกันเหรอ”อยู่ๆ ไอ้แชมป์ก็พูดขึ้น มันคงสังเกตเห็นอาการของผมเลยเดาไปว่าผมมีปัญหาทะเลาะกับโอเล่มาหรือเปล่า

“เปล่าหรอก”เพราะครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของการทะเลาะกัน แต่มันมีอะไรที่ซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะอธิบายออกไป เพราะผมคงอดทนอธิบายจนจบไม่ไหว

“คราวนี้เรื่องอะไรกันอีกละ”เหมือนว่าไอ้แชมป์คงไม่เชื่อคำปฏิเสธของผมหรอก สงสัยผมมันโกหกไม่เก่งมั้งเนี่ย

“เบียร์หน่อยไหม”ผมเองก็ไม่ใส่ใจในคำถามของไอ้แชมป์เท่าไหร่ ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนถามเพราะเป็นห่วง ที่ผมว่าไม่อยากให้มันห่วงนั้นคงจะไม่จริง เพราะคิดว่าแค่ผมมาหามันกะทันหันแบบนี้ แค่นี้มันก็คงกังวลกับผมอยู่พอควรแหละมั้ง นี่ถ้าไอ้แชมป์เองมีแฟนเป็นตัวเป็นตนที่มันเองก็ต้องคอยเอาใจใส่ดูแล เวลาแบบนี้ผมจะหันไปหาใครอีกได้ไหมน้า

“เฉไฉนะ ทำเป็นมาชวนดื่มเบียร์อีก กรูต้องขับรถกลับเดี๋ยวก็เจอเป่ากันพอดี”มันส่ายหน้าอย่างระอากับผมที่ยังไม่ยอมรับกับมันว่าผมมีเรื่องในใจจริงๆ

“ไม่เป็นไรหรอกดื่มนิดหน่อย เพราะเค้าพิสูจน์มาแล้วว่าดื่มเบียร์ไม่เกินสองกระป๋องเป่าแล้วปริมาณแอลกอฮอล์ไม่เกิน มรึงก็ดื่มไปแค่นั้นแหละ จากนั้นก็นั่งดูกรูดื่ม”ก่อนที่ไอ้แชมป์จะได้ต่อรอง ปฏิเสธหรือซักอะไรผมอีก เลยรีบเดินไปยัง เซเว่นที่ใกล้ที่สุดเพื่อซื้อสิ่งที่ต้องการโดยให้ไอ้แชมป์รออยู่ที่เดิม

“ขับรถมาแบบนี้ เหนื่อยไหมว่ะ”ผมส่งเบียร์ให้ไอ้แชมป์พร้อมกับนั่งลงข้างๆ หลังจากได้เบียร์มา สองแพ๊คๆละ 4 กระป๋อง

“ถ้าคิดว่ากรูจะเหนื่อยแล้วยังจะชวนกรูมาอีกนะ”มันหันมายิ้มๆให้ผม

“งั้นคราวหลังจะไม่รบกวนแล้ว”พูดไปงั้นแต่ความจริงผมว่าคงจะได้รบกวนมันอีกแน่นอน และหลังจากนี้อาจจะต้องชวนมันไปไหนมาไหนบ่อยขึ้นเสียด้วยซ้ำไปเพราะจากนี้ผมคงไม่ค่อยจะมีใครอีกแล้ว

“แหมถึงจะเหนื่อยแต่ถ้าเพื่อนมีเรื่องไม่สบายใจกรูก็พามาได้เสมอแหละ แต่เพื่อนกรูนี่สิ ไม่ยอมระบายให้ฟังว่ามีเรื่องอะไร ทั้งที่ดูเหมือนอกจะแตกตายอยู่แล้วแท้ๆ”คำพูดที่ดูไม่ได้ซีเรียส จริงจังมากมาย แต่ก็เป็นการแสดงความห่วงใยที่ผมซึ้งใจในตัวเพื่อนคนนี้เหลือเกิน

“ร้องเพลงให้ฟังหน่อยสิ”ผมทำเหมือนไม่สนใจในคำพูดของเพื่อน แต่ทำเป็นหาหัวข้อสนทนาอื่นแทน

“ร้องไงอ่ะ กีตาร์อะไรก็ไม่มี”นั่นสินะ แต่ก็อยากฟังนี่นา ร้องเพลงแข่งกับเสียงคลื่น อาจจะช่วยปลุกหัวใจที่เหมือนจะหยุดเต้นของผมได้บ้างก็ได้

“ก็ร้องเปล่าๆ นี่แหละ ร้องได้เปล่า เพลงอะไรก็ได้เดี๋ยวกรูช่วยร้อง”อาจจะดูทำตัวไร้สาระ งี่เง่าอะไรก็แล้วแต่ แต่ตอนนี้ผมอยากทำอะไรก็ได้ให้ลืมเรื่องที่ผมเพิ่งรับรู้มา ผมอยากจะคิดว่า ผมกับโอเล่จากกันไปแล้วตั้งแต่ตอนเรียนจบมัธยม อยากจะคิดว่าเราต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเรียน ทำงานตามทางเลือกของแต่ละคน ไม่ได้วนมาพบเจอกันอีก อยากให้มันเป็นแบบนั้นจริงๆ จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจแบบนี้ เป็นทุกข์ที่ผมรักเค้า ทั้งที่ความรักมันคือสิ่งสวยงาม มันคือความสุข จากนี้ไปผมคงต้องหัดมองความรักของผมในมุมที่มีความสุขเสียแล้ว ความรักก็ไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปนี่นา แค่รู้ว่าครั้งนึงเราเคยมีความสุขร่วมกันก็เพียงพอแล้ว

“ตั้งใจฟังนะกรูจะร้องรอบเดียวพอ”ไอ้แชมป์ทำท่าตั้งอกตั้งใจยังกะจะขึ้นเวทีประกวดร้องเพลงงั้นแหละ

“ให้เธอแชร์ความช้ำในหัวใจมาให้ฉัน

แบ่งมันมาจนเธอนั้นสบายใจ

และจะแชร์ความรักไปให้เธอเก็บไว้

ใส่มันลงแทนที่ในหัวใจที่เธอปวดร้าว”

“อ้าวร้องแค่นี้เองเหรอ”ผมที่กำลังตั้งใจฟังถามขึ้น เพราะไอ้แชมป์หยุดร้อง ผมกำลังตั้งใจฟังว่าเพลงเหมือนจะมีความหมายดีทีเดียว

“โทรศัพท์มรึงดังนิ ทำไมไม่รับ”ผมไม่ต้องดูก็พอจะรู้ว่าคือใครที่โทรเข้ามา แต่ผมทำเพียงปิดเสียงเท่านั้น ไม่ได้ตัดสายทิ้ง ไม่ได้กดรับ และก็ไม่ปิดเครื่อง

“ไม่สำคัญหรอก”ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจ เพราะผมยังไม่พร้อมจะคุยกับคนที่กำลังโทรกระหน่ำเข้ามาหา ผมยังไม่รู้จะพูดยังไง ไม่รู้จะเข็มแข็งพอไหม

“สรุปว่างอนกันอยู่จริงๆ”ไอ้แชมป์พูดยิ้มๆ แต่ดูแววตาฉายแววหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด ไอ้แชมป์เองก็คงเหนื่อยและอาจจะหงุดหงิดรำคาญผมที่เป็นบ้าเป็นบออยู่แบบนี้

“พระอาทิตย์จะตกแล้ว ดูพระอาทิตย์ตกดีกว่า”ผมชี้ไปยังขอบฟ้าที่บรรจบกับน้ำทะเลที่ตอนนี้ดวงอาทิตย์กำลังจะลับลงไป

“วันนี้นั่งแบบนี้นะ ขี้เกียจลุก”เสียงพูดจากคนข้างๆ บอกผมพร้อมกับเอื้อมมือมากุมมือผมไว้

“กรูเคยดูหนังเรื่องนึง มีฉากที่เค้าบอกว่าช่วงเวลาที่ท้องฟ้าสวยที่สุดคือช่วงที่พระอาทิตย์ตก”คำพูดลอยๆเหมือนจะเล่าให้ฟังของไอ้แชมป์บอกให้ผมได้ยินในขณะที่สายตาของเราต่างก็มองตรงไปยังเส้นขอบฟ้านั้น

“แต่มันก็เป็นช่วงเวลาสวยงามที่แสนจะสั้น”เมื่อสิ้นคำพูดนี้ของไอ้แชมป์ทำเอาผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะสิ่งที่มันพูดช่างคล้ายกับความรักของผมตอนนี้เหลือเกิน การมีความสุขในเวลาที่ไม่นานของผมก็คงเหมือนช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ทำให้ท้องฟ้ามีช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดนั่นเอง แต่มันก็เป็นเพียงเวลาสั้นๆ

“ครั้งนี้คงไม่ใช่ทะเลาะกันหรืองอนกันเล็กๆน้อยๆ แล้วใช่ไหม”ไอ้แชมป์หันมามองหน้าผมที่น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของมันให้ผมดูเบอร์ของอีกคนที่กำลังโทรเข้ามา

“มันแทบจะไม่เคยโทรหากรูเลยด้วยซ้ำ แต่วันนี้มรึงเหมือนคนจะขาดใจตายมาหากรู แล้วไอ้คนเห็นแก่ตัวนี่ก็กำลังโทรมาหากรู”ชื่อของโอเล่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของไอ้แชมป์ ผมได้แต่จ้องนิ่งๆ ภาพมันค่อนข้างพร่ามัวเพราะม่านน้ำตาที่ไหลออกมา

“จะให้กรูบอกว่าไง”ไอ้แชมป์ทำท่าเหมือนจะกดรับ ใจจริงผมอยากจะบอกว่าอย่ารับดีกว่า แต่อีกใจก็คิดว่าน่าจะให้รับๆไปเสียดีกว่าเพราะถ้าไม่รับโอเล่อาจจะกระหน่ำโทรให้แชมป์มันรำคาญใจได้ เพราะโอเล่เองคงคิดว่าเพื่อนที่ผมสนิทและสามารถปรึกษาได้ทุกเรื่องคงไม่พ้นไอ้แชมป์

“อยากบอกไรก็บอกไปเหอะ”คิดซะว่าให้เพื่อนตัดสินใจเอง เพราะถึงเค้าจะพูดอะไรหรือรู้ว่าผมอยู่ไหนในตอนนี้มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นหรือเลวร้ายลงไปกว่านี้อีกแล้ว

ผมไม่ค่อยอยากจะรับรู้สิ่งที่ไอ้แชมป์จะคุยกับเค้าเท่าใดนัก เลยเดินลุกบอกไอ้แชมป์ว่าจะไปห้องน้ำ กะว่าไปล้างหน้าล้างตาด้วย เพราะตอนนี้หน้าตาคงดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก ผมเดินมาถึงห้องน้ำ จ้องมองภาพตัวเองในกระจก นี่ทำไมผมถึงอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ ดูทรุดโทรมลงไปอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไหนจะเรื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ทำให้แก่ไปจมเลยนะเนี่ย จากนี้ไปคงต้องใส่ใจดูแลตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า


-----------------------------------------------------
แวะมาต่อคร๊าบบบบ

ดูคนอ่านแต่ละคนก็อินกันนะเนี่ย 555

ก็ต้องตามต่อไปว่าท้ายที่สุด ความสัมพันธ์มันจะไปจบที่ตรงไหน

ขอบคุณที่ติดตามครับ ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะคร๊าบบบบ

 o22
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 03-11-2014 18:26:59
พูดไม่ออกกับความรักนี้จังเลยยย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 03-11-2014 18:34:13
   เจ็บไหน เท่า คนที่เรารัก เจ็บ :sad4: :sad4: :sad4: :sad4:  เชียเฮียแชมป์ขาดใจ :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 03-11-2014 19:21:08

โอเล่เห็นแก่ตัวมาก แฟ้มดูท่าว่าจะหายโง่หรือเปล่าเท่านั้น  :z13:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 03-11-2014 19:37:48
ตัดสินใจว่าจะจบของจริงสักทีเหอะ เลิกทำตัวไร้ค่าเป็นของตายได้แล้ว
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 03-11-2014 21:15:41
ไม่เศร้าร่วมกะแกแระ เบื่อ เลิกทำตัวงี่เง่ากันซะที(อินไปมั้ย555) :z6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [3-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 04-11-2014 16:49:51
ผมไม่ค่อยอยากจะรับรู้สิ่งที่ไอ้แชมป์จะคุยกับเค้าเท่าใดนัก เลยเดินลุกบอกไอ้แชมป์ว่าจะไปห้องน้ำ กะว่าไปล้างหน้าล้างตาด้วย เพราะตอนนี้หน้าตาคงดูไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก ผมเดินมาถึงห้องน้ำ จ้องมองภาพตัวเองในกระจก นี่ทำไมผมถึงอ่อนแอได้ถึงเพียงนี้ ดูทรุดโทรมลงไปอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะไม่ค่อยดูแลตัวเอง ไหนจะเรื่องดื่มแอลกอฮอล์อีก ทำให้แก่ไปจมเลยนะเนี่ย จากนี้ไปคงต้องใส่ใจดูแลตัวเองให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเก่า

“มรึงโทรไปคุยกับมันหน่อยไหม”ไอ้แชมป์พูดขึ้นแทบจะทันทีที่ผมกลับไปนั่งข้างๆมัน ผมมองหน้ามันอย่างไม่เข้าใจ ก็พอจะรู้ว่าโอเล่คงเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟังแล้ว แต่ทำไมมันถึงคิดว่าผมควรจะโทรไปคุยกับโอเล่กัน

“ถ้ามรึงอยากจะจบจริงๆ ก็ควรบอกควรเคลียร์กับเค้าให้มันเด็ดขาดไปเลย ไม่ใช่หนีแบบนี้มันเหมือนยังอยากให้เค้าตามมาง้อมรึงอยู่”คำพูดของไอ้แชมป์ทำเอาน้ำตาผมเริ่มปริ่มๆ อีกครั้ง นั่นสินะ ผมยังไม่พร้อมจริงๆแหละ ที่ไม่พร้อมคือไม่พร้อมที่จะอยู่โดยไม่มีเค้า

“กรูยังไม่พร้อมจะคุยตอนนี้ ไว้อีกสักพักกรูจะไปคุยกับเค้าเอง แต่ยังไงเรื่องมันก็ต้องจบอยู่แล้วละ”ผมพูดออกไปตามที่รู้สึก คิดว่าไอ้แชมป์น่าจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว

“มรึงโอเคนะ”มือของไอ้แชมป์เอื้อมมากุมมือผมไว้ พร้อมกับมองมาที่ใบหน้าอันเต็มไปด้วยน้ำตาอีกครั้งของผม

“ไม่...ไม่โอเคเลยสักนิด”เสียงตอบพร้อมกับอาการสะอื้นหน่อยๆ ของผมเปล่งออกไปได้แค่นั้น

“ถ้ามันอัดอั้นมากก็ร้องออกมาเถอะ”พร้อมกับกอดผมให้ซบกับไหล่ของมัน คราวนี้เหมือนสิ่งที่อัดอั้นอยู่ข้างในจะพังทลายออกมาจนหมด ผมร้องอย่างไม่อายใคร ถึงจะมีคนผ่านไปมาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สนใจแล้ว มันทั้งเจ็บ ทั้งสับสน ไม่รู้จะต้องทำยังไงแล้ว




“จะค้างกะกรูไหมหรือจะกลับ”พอผมกับไอ้แชมป์กลับมาถึงที่พักพิงของไอ้แชมป์มันก็เปิดประเด็นด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย เพราะสภาพผมอาจจะยังไม่พร้อมอยู่คนเดียวเท่าไหร่ ถ้าเป็นคนอื่นเค้าอาจจะอยากใช้เวลาอยู่คนเดียวแล้วคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา แต่สำหรับผม ผมคิดคนเดียวมานานมากแล้ว และบทสรุปมันอย่างที่เห็นว่าผมไม่เคยสามารถตัดอีกคนออกไปจากชีวิตได้เลย

“ขอรบกวนแล้วกัน”

ไอ้แชมป์ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ก็พยักหน้ารับรู้ในเจตนาของผม ก่อนเราสองคนจะพากันขึ้นไปบนอพาร์ทเม้นท์ ไอ้แชมป์หาเสื้อยืดและกางเกงขาสั้นที่ผมพอจะใส่ได้มาให้ เพื่อจะได้อาบน้ำชำระร่างกาย ถึงรูปร่างเราจะต่างกันอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก ทำให้ใส่เสื้อผ้าของอีกฝ่ายไม่ยากนัก  ผมขออาบน้ำก่อนเพราะรู้สึกเหนียวตัวเหลือเกิน พอผมเรียบร้อยไอ้แชมป์ก็เข้าไปอาบต่อ ดีที่พวกเราแวะหาอะไรทานระหว่างทางเรียบร้อยแล้ว จะได้ไม่ต้องออกไปหาอะไรทานอีก

หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็นั่งดูทีวีไปเรื่อยเปื่อย แต่ถึงแม้สายตาจะจ้องมองอยู่บนหน้าจอแต่ในใจมันก็ยังวนเวียนคิดเรื่องอื่นอยู่ดี จากนี้ผมจะทำยังไงต่อไปดี ใช่อยู่ว่าผมต้องตัดขาดจากโอเล่อย่างแน่นอน แต่เวลาที่ต้องพบเจอกันละ ผมจะทนได้ไหม แน่นอนว่ายังไงมันก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว ถ้าอยากตัดเค้าออกไปจากชีวิตเลยไม่พบ ไม่เจอกันอีกผมควรจะยังไงดี ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูสายที่ไม่ได้รับ เค้าโทรมาหลายสายเหมือนกัน ยังไงผมก็คงต้องคุยกับเค้าอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าผมจะยุติความสัมพันธ์กับเค้าเป็นการถาวร ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะเจอกันอีกเลย เพราะถ้ายังต้องเจอกันอีก คนที่จะตัดไม่ได้มันก็คือผมเอง

“เบียร์อีกหน่อยไหม”เสียงเจ้าของห้องแว่วมาปลุกผมจากห้วงความคิด เป็นคำถามว่าจะดื่มเพิ่มจากที่ชายหาดอีกหรือเปล่า สงสัยไอ้แชมป์เองอยากจะดื่มซะละมั้งเพราะที่อยู่บางแสนมันดื่มไปนิดเดียวด้วยความที่ต้องขับรถ

“เอาสิ”แม้ใครหลายคนจะบอกว่าเวลาแบบนี้แอลกอฮอล์มันไม่ใช่ทางออกหรอกนะ แต่สำหรับผมถือคติที่ว่า “เหล้าไม่ใช่คำตอบ แต่มันช่วยให้ลืมคำถาม” แม้มันจะลืมได้แค่เสี้ยวเวลาก็อยากจะมีช่วงเวลาที่ไม่ต้องจำนั้น

“ไปหยิบมาดิ อยู่ในตู้เย็น เดี๋ยวกรูใส่เสื้อผ้าก่อน”

ผมจัดแจงเบียร์ที่แช่อยู่ในตู้ออกมาสองสามขวด ไอ้นี่ก็แปลกปกติเค้ามีแต่แช่เป็นกระป๋องไว้นี่เล่นยกลังมาไว้ที่ห้อง แล้วทยอยแช่เป็นขวดไว้อีก แต่ก็ดีวันนี้ก็เอาให้มึนๆ เมาๆ หน่อยๆก็ดีจะได้หลับลง ไม่ต้องคิดมาก มีพวกของขบเคี้ยวอีกเล็กน้อยให้ผมหยิบมาใช้เป็นกลับแกล้ม

“มรึงจะเอาไงต่อไป”บทสนทนาเริ่มขึ้นอีกครั้งแม้ผมจะอยากหลีกเลี่ยง แต่ยังไงมันก็คงหลีกไม่พ้นหรอกมั้ง

“มรึงคิดว่ากรูควรทำไง”ผมย้อนถามออกไป ทั้งที่จริงผมก็มีคำตอบของผมอยู่แล้ว แต่ก็อยากรู้ในมุมมองของเพื่อนคนนี้ดูบ้าง

“ก็น่าจะรู้นิว่า กรูไม่ได้เห็นด้วยกับการที่มรึงทำแบบนี้มาตั้งแต่ต้น”นั่นสินะไอ้แชมป์มันก็บอกให้ผมเลิกกับโอเล่ ไม่ก็ให้ผมบอกกับอ้อนตั้งแต่เรื่องราวมันยังไม่มาไกลเท่าตอนนี้ แต่ผมก็ไม่ทำยังกลับให้มันเลยเถิดมาจนถึงตอนนี้

“ไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่ได้ห้ามใช่ไหม”ผมพูดยิ้มๆ ไม่ได้คิดตำหนิเพื่อนหรอก แต่ไม่อยากให้บรรยากาศมันเครียด เพราะเดี๋ยวผมเองนี่แหละจะเริ่มไม่ไหว อาจจะบ่อน้ำตาแตกอีกก็เป็นได้

“ก็มันเป็นชีวิตมรึง มรึงก็ต้องเลือกเองกรูไปบังคับให้มรึงทำอย่างที่กรูคิดไม่ได้หรอก จริงไหม”

“จากนี้กรูคงต้องทำอย่างมรึงแล้วละมั้ง ที่ต้องทำใจมีความสุขกับการได้มองคนที่เรารักมีความสุข”คำพูดที่ไอ้แชมป์เคยพูดกับผมว่ามันเองขอแค่ได้เห็นคนที่มันรักมีความสุขมันก็สุขใจแล้ว ผมหวังว่าผมจะทำอย่างนั้นได้นะ ไม่ช้าก็เร็วผมต้องทำให้ได้

“แค่รักให้เป็นเราก็มีความสุขแล้ว เลือกที่จะเป็นผู้ให้มันย่อมมีความสุขกว่าการที่จะรอเป็นผู้รับอยู่แล้ว”ดูเป็นพ่อพระดีเหลือเกินเพื่อนผม ชักเริ่มอยากจะรู้ขึ้นมาเสียแล้วว่า คุณพ่อพระเนี่ยชอบใครกัน ทำไมไม่เคยเล่าให้ฟังบ้าง

“ถามจริงๆนะ มรึงชอบใครว่ะ”ผมถามออกไป พร้อมกับคิดว่าดีแล้วที่วันนี้ผมค้างกับไอ้แชมป์ เพราะถ้าผมอยู่คนเดียวตอนนี้คงฟุ้งซ่าน อาจจะกำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ก็เป็นได้ แต่การได้มีเพื่อนคุยแบบนี้ อย่างน้อยๆก็พอให้เราไม่มีเวลามาคิดฟุ้งซ่านเท่าไหร่

“อยากรู้เหรอ”ผมหันไปตามเสียงของไอ้แชมป์อย่างอยากรู้อยากเห็น ไอ้แชมป์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะถามผมย้ำอีกครั้ง

“อยากรู้จริงๆเหรอ”ผมพยักหน้าอยากรู้เต็มที่

“อยากรู้มากไหม”

“เออ”ผมกระแทกเสียงเมื่อรู้ว่ากำลังโดนกวนประสาทอยู่ ไอ้แชมป์หัวเราะสนุกสนานใหญ่ก่อนจะปรับสีหน้าเข่งขรึม หันมาทางผม พร้อมทำท่าทางจริงจัง ผมเองก็ตั้งใจฟังเต็มที่ อยากรู้มากเหมือนกันนะ ว่าใครกันนะเป็นผู้โชคดีคนนั้นที่เพื่อนผมยอมแม้กระทั่งเป็นฝ่ายที่มองเค้าอยู่ห่างๆ แบบนี้





“อยากรู้ก็ไม่บอกหรอก”แล้วมันก็หัวเราะออกมาเสียงดัง อย่างชอบอกชอบใจ ที่ได้แกล้งผม มันคงอยากให้ผมรู้สึกดีขึ้นมั้งเนี่ย เพราะผมว่าเรื่องของมันเองก็คงเศร้าเหมือนกัน แม้จะบอกว่ามีความสุขแล้วกับการที่ได้เห็นคนที่รักมีความสุข แต่ยังไงในใจมันก็ต้องมีสักนิดแหละ ที่ทำไมคนที่เรารักนั้นไม่มามีความสุขร่วมกับเราแต่เป็นคนอื่น ไม่รู้ไอ้แชมป์มันจะคิดเหมือนผมไหม แต่ผมคงยังทำไม่ได้ 100 % หรอกกับการที่จะเป็นผู้ให้

“อะไรว่ะแค่นี้ก็ต้องปิดกันด้วย เพื่อนกันหรือเปล่านิ”แสร้งทำเป็นไม่พอใจนิดหน่อยครับ เผื่อมันจะยอมเล่าให้ฟังบ้าง ได้สอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นนี่มันก็ช่วยให้หายเศร้าได้เหมือนกันนะเนี่ย

“ที่เรื่องของมรึงกับไอ้โอเล่ถ้ากรูไม่รู้เองมรึงก็คงไม่บอกกรูหรอกใช่ไหม”คำพูดมันทำเอาผมชะงักอีกแล้ว ไม่ใช่แค่ผมหรอกเพราะไอ้แชมป์เองก็คงจะรู้สึกว่าไม่ควรพูดเรื่องนี้เท่าไหร่

“ก็มันเรื่องไม่สมควรให้คนอื่นรู้นิ”ผมพยายามปรับสีหน้าให้เพื่อนเห็นว่าไม่ถือกับสิ่งที่มันเผลอพูดออกมาหรอก และก็อย่างที่ผมบอก คือเรื่องของผมกับโอเล่มันเป็นเรื่องที่อีกฝ่ายไม่อยากให้เปิดเผยกับคนอื่น ผมเลยต้องปกปิดไว้

“เรื่องของกรูมันก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นิ”น้ำเสียงที่ฟังดูหม่นๆ ของไอ้แชมป์แสดงว่ามันเองก็อาจจะเป็นทุกข์ใจอยู่เหมือนกันกับเรื่องของมันเอง และมันคงไม่อยากเล่า คนเรามันก็คงมีทางออกของแต่ละคน บางคนอาจจะอยากระบายแต่บางคนอาจจะอยากเก็บไว้คนเดียว อย่างตอนนี้แชมป์มันคงไม่อยากให้ผมรับรู้ ผมก็ต้องเคารพการตัดสินใจของมัน วันนึงที่มันอยากเล่าอยากบอกมันก็คงบอกเอง

“เออๆ ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอกหรอก กรูไม่ได้จะเซ้าซี้มรึงหรอก อย่ามาตีหน้าเศร้าเหมือนคนอกหัก กรูปลอบไม่เป็นเพราะกรูก็ใจสลายไม่ต่างกัน”ผมพยายามปรับสถานการณ์ไม่ให้ดูตึงเครียด

“โอเค ว่าแต่มรึงอยากรู้ไหมว่าโอเล่มันคุยไรกับกรู”อุตส่าห์ว่าไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้วแต่มันก็ยังวกเข้ามาอีกจนได้สิน่า หรือนี่จะเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้ผมว่าต้องทนกับเรื่องของคนๆนี้ให้ได้

“ไม่อยากรู้ ถ้าอยากรู้ก็ฟังมรึงคุยตั้งแต่ตอนอยู่บางแสนแล้ว”ผมบอกผ่านอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก

“แต่กรูอยากเล่า”อ้าวไอ้นี่จะอะไรของมันอีกเนี่ย

“ไหงงั้น”ผมทำท่าเซ็งๆ แบบมรึงจะเอาไงก็เอาเหอะ  มาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่สามารถเจ็บไปมากกว่านี้แล้วละ จะรับรู้อะไรกับเค้าอีกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก ถึงยังไงตอนนี้ผมก็ยังตัดเค้าไม่ได้ เอาไว้วันไหนที่ผมคิดว่าจะตัดให้ได้อย่างจริงจัง วันนั้นผมหวังว่าจะไม่มีใครเอาเรื่องของเค้ามาเล่าให้ผมฟังอีก แน่นอนวันที่ว่านี้คงอีกไม่นานแล้ว

“มันให้กรูช่วยบอกให้มรึงรีบพร้อมไปคุยกับมันเสียที มันบอกมีหลายเรื่องหลายอย่างที่ อยากจะพูดกับมรึง”งั้นเหรอ หลายเรื่องที่อยากจะคุยกับผม แต่ผมคิดว่าสำหรับผมแล้วมันมีแค่เรื่องเดียวเท่านั้นแหละที่ยังจะต้องคุยกับเค้า

ผมแหงนหน้ามองเพดานเพราะเหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาอีกแล้ว นี่ผมเป็นคนเจ้าน้ำตาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไอ้แชมป์เอื้อมมือมาแตะไหล่ผมเบาๆเหมือนต้องการปลอบประโลม แต่มันช่วยผมได้ไม่มากนักหรอก คงต้องใช้เวลาอีกพอสมควรกว่าที่ผมจะทำใจกับเรื่องนี้ได้

“คุยตั้งนาน บอกแค่นี้เองเหรอ”หลังจากที่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ได้ ผมก็ปรับสีหน้าให้ดีขึ้น พร้อมกับถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ยังดูสั่นๆ อยู่เล็กน้อย

“อยากให้เล่าต่อจริงเหรอ”ผมได้แต่พยักหน้า และยิ้มบางๆ ให้เพื่อนรับรู้ว่าผมยังไหวน่า ก็ยังมีมันเองนี่นาที่อยู่เป็นเพื่อนผม ไม่คิดเหมือนกันนะว่าผมกับมันจะคบกันมาได้นานขนาดนี้ เพื่อนคนอื่นๆ นี่ห่างกันไปเกือบจะหมดแล้ว นี่แหละมั้งที่เค้าบอกว่าคนเราต้องมีเพื่อนรู้ใจสักคน ผมว่าไอ้แชมป์นี่แหละที่รู้ใจผมที่สุด แต่ไม่รู้ว่าผมเองรู้ใจมันมากแค่ไหนนะ

“ก็ไม่มีไรมากหรอก มันก็พร่ำเพ้อแต่คำแก้ตัวของมันนั่นแหละ ว่าไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ มันไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แล้วก็...”แชมป์หยุดเว้นระยะก่อนจะหันมามองผม เหมือนจะพูดต่อ แต่กลับหันไปยกเบียร์ดื่ม แล้วไม่เล่าต่อซะงั้น

“แล้วก็...อะไรเล่า”แม้ผมจะพอรู้ว่าโอเล่จะพูดอะไรทำนองนี้ แต่ว่ามันมีอะไรอีกเหรอที่แชมป์มันไม่ยอมพูด

“มันบอกว่ามันรักมรึงจริงๆ”ไอ้แชมป์พูดแล้วก็ดื่มอีก ไอ้แชมป์มันคงกำลังคิดว่าโอเล่ไม่ได้รักผมจริงๆ อย่างที่พูดแน่ๆ ส่วนผมนะเหรอ มันก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าคำคำนี้มันคือความจริง หรือแค่ลมปากของคนที่โกหกจนเป็นนิสัย ผมเคยเห็นเค้าโกหกอ้อน ต่อหน้าต่อตาผม แล้วคำที่เค้าพูดกับผมเล่า เค้าจะไม่เคยโกหกผมบ้างรึไง แต่คำนี้ผมก็ยังยอมโง่คิดว่ามันคือความจริงมาตั้งนานนี่เนอะ

“งั้นเหรอ”ผมยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกระลอกใหญ่ จนตอนนี้เริ่มตึงๆ บ้างแล้วละ เพราะดื่มมาตั้งแต่บางแสน จนมานั่งดื่มอยู่นี่อีก ผมว่าแอลกอฮอล์นี่มันเป็นตัวเร่งน้ำตาหรือเปล่านะ เพราะเหมือนยิ่งดื่ม ยิ่งกลั้นไว้จะไม่ไหว แต่ตอนนี้ยังไม่เมามีสติดี นี่ถ้าเมาสงสัยผมบ่อน้ำตาแตก เขื่อนทลายอีกแน่ๆ

“แล้วมันไม่เคยบอกกับมรึงรึไง ทำไมต้องมาบอกผ่านกรูด้วย”ท่าทางเหมือนไอ้แชมป์จะไม่ชอบขี้หน้าโอเล่มากกว่าเดิมเสียละมั้งเนี่ย ปกติก็ไม่ค่อยชอบอยู่แล้วยิ่งมาเป็นแบบนี้ มันคงยิ่งเจ็บแค้นแทนผมเลยมั้งเนี่ย

“ช่างเหอะ มันจะพูดอะไรตอนนี้มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว จริงไหม”ผมยกแก้วชนกับกับไอ้แชมป์

“ฉลองความโสดกันดีกว่า คราวนี้กรูก็โสดเป็นเพื่อนมรึงแล้ว”ผมกระเซ้าไอ้แชมป์อีกรอบให้มันผ่อนคลายขึ้นบ้างเพราะเห็นมันยังขรึมๆ ไม่โต้ตอบกับผม

“มรึงเคยไม่โสดด้วยเหรอ”คำพูดของไอ้แชมป์ทำผมสะอึกอีกแล้วนะ ตอกย้ำเหลือเกินนะกรูอุตส่าห์จะผ่อนคลายบรรยากาศแล้วนะ ยังไม่ยอมเลิกอีก

“อ้าว ไอ้นี่ พอได้แล้ว เลิกพูดเรื่องนี้กันดีกว่า วันนี้เรามาเมาให้ลืมทุกอย่างไปเลยดีกว่า พรุ่งนี้ตื่นมากรูก็จะเป็นคนใหม่ ไม่เหลือไอ้แฟ้มผู้โง่เขลาอีกแล้วละ”ผมบอกอย่างยิ้มแย้ม ผมต้องเริ่มเข้มแข็งได้แล้ว พยายามบอกตัวเองเอาไว้ แม้จะยังทำไม่ได้ก็เถอะ แค่พยายาม สักวันมันคงทำได้แหละน่า จริงไหม

“มีอีกเรื่องที่โอเล่มันบอกกรู”

“กรูบอกว่าพอแล้ว”ส่งสายตาขวางๆให้มันรู้สึกว่าผมไม่อยากฟังอีกแล้วจริงๆ พอสักที

“อันนี้สุดท้ายแล้ว สำคัญมาก”ผมได้แต่ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย เริ่มจะไม่เข้าใจกับมันแล้ว ว่าเพื่อนผมจะอะไรกันอีก เหมือนจะช่วยปลอบ แต่ก็เหมือนจะตอกย้ำให้เจ็บ หรือมันต้องการให้ผมระลึกได้เสียที ว่าผมต้องทนทรมานมานานแค่ไหนกับผู้ชายคนนี้ และถึงเวลาที่ต้องเจ็บแล้วก็คงต้องเจ็บให้ถึงที่สุดก่อนจะจบทุกอย่างไว้แค่นั้น เจ็บครั้งเดียวให้พอ อย่าได้เก็บไปเจ็บอีกเป็นอันขาด

“สุดท้ายแน่นะ”อดที่จะมีน้ำเสียงตำหนิไม่ได้เพราะ เริ่มไม่ค่อยอยากคุยเรื่องนี้แล้ว

“มันบอกว่าฝากกรูดูแลมรึงด้วย”ไอ้แชมป์วางแก้วเบียร์ก่อนจะหันมามองผมนิ่ง ผมมองแววตาที่เพ่งมายังผมอย่างไม่เข้าใจมันเท่าไหร่ โอเล่จะมาฝากมันดูแลผมทำไม แล้วจู่ๆ ไอ้แชมป์ก็ขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ จนจะชิดอยู่แล้ว ก่อนจะจับมือผมไปกุมไว้

“ให้กรูดูแลมรึงนะ”หมายความว่ายังไงกัน ทำไมมันทำอะไรแปลกๆ แบบนี้สายตาที่ยากจะเข้าใจนั้นยังคงมองมาที่ผม อย่างกับว่ารอคอยคำตอบอะไรบางอย่าง

“กรูว่ามรึงเมาแล้วป่ะเนี่ยไอ้แชมป์ กรูดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องมีใครมาดูแลหรอก โตขนาดนี้แล้ว พูดแปลกๆ เมาใช่ไหมเนี่ยมรึง”ผมพูดออกไปอย่างพยายามที่จะไม่คิดอะไร พยายามจะคิดว่าเพื่อนผมแค่เมามันไม่ได้มีอะไรแอบแฝง แต่ไอ้แชมป์ก็ยังคงเงียบอยู่พักใหญ่ จนผมเริ่มชักจะอึดอัด

“สงสัยกรูจะเมาจริงๆ ละมั้ง งั้นกรูไปนอนก่อนแล้วกัน”อยู่ๆ มันก็ปล่อยมือผมลุกออกไปดื้อๆ ตกลงวันนี้มันเป็นไรของมันเนี่ย

ผมเก็บข้าวของจนเรียบร้อยก่อนจะเดินเข้าห้องนอนตามเพื่อนไป ไอ้แชมป์นอนอยู่ฝั่งนึงของเตียงซึ่งกว้างพอที่ผมจะนอนอีกฝั่ง ไม่รู้มันหลับไปรึยังแต่ผมก็นอนลงอย่างเบาที่สุด ซึ่งก็คงไม่เบาพอเพราะจากที่ไอ้แชมป์นอนตะแคงอยู่หันมานอนหงาย ก่อนผมจะรู้สึกได้ว่ามือของมันมาจับมือผมไว้

“ยังไม่หลับเหรอ”ผมเอ่ยออกไปเบาๆ ซึ่งแตกต่างจากแรงบีบมือที่คนข้างๆผมกระทำต่อมือของผมที่เหมือนจะแรงขึ้นเรื่อยๆ

“รู้ไหมมรึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกรูเลยนะ”เป็นคำพูดที่มาจากใจจริงของผม ไม่มีใครจะหวังดีกับผมมากไปกว่ามันอีกแล้วนอกจากพ่อกับแม่ของผม แต่ตอนนี้ผมเริ่มจะเจ็บมือเพราะแรงบีบของมันเสียแล้ว

“แชมป์...”ผมเรียกชื่อพร้อมกับหันหน้ามองคนที่อยู่ข้างๆ แม้มันจะมืดแต่ผมก็พอรู้ว่าอีกฝ่ายก็มองผมอยู่เหมือนกัน

“นอนเถอะ ง่วงแล้ว อีกอย่างพรุ่งนี้ตื่นมาอย่าลืมเป็นคนใหม่นะ”ไอ้แชมป์บอกเพียงเบาๆ ก่อนจะปล่อยมือผมพร้อมกับหันหลังให้ผม ผมมองแผ่นหลังนั้นอยู่เพียงครู่เปลือกตาก็ปิดลง

---------------------------------------

ดูๆ แล้วตัวเอกเรื่องนี้คงโดนหมั่นไส้กันยาวๆ เลยทีเดียว 555

แวะมาต่อคร๊าบบบบ ถ้าไม่ได้ไปไหนช่วงนี้ก็คงมาต่อเรื่อยๆ ทุกวันนะคร๊าบบบบ มาติดตามกันได้

 o13 :bye2:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 04-11-2014 20:01:38

แฟ้มแมร่งงงงก็โง่เกิ๊นนนน  :m16:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 04-11-2014 20:25:48
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ: หน่วงงงง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 04-11-2014 21:46:41
อ่านแล้วชักจะหวั่นๆ
กลัวว่าเรื่องโอเล่กับอ้อน

สุดท้ายแล้ว..กลับหน้ามือเป็นหลังมือ
คดีพลิก

มวยล้มต้มคนอ่าน
เหรออออออ
อิอิ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 04-11-2014 23:34:13
อย่างโอเล่เนี่ยนะฝากแชมป์ดูแลแฟ้ม เหลือเชื่อมากกกกกก  :katai1:
ว่าแต่ตัวละครเรียนจบทำงานตอนไหน :a5: นี้เราอ่านข้ามอะไรไปเปล่าเนี่ย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [4-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 05-11-2014 17:57:33
“ขับรถดีๆ นะ มีอะไรไม่สบายใจก็โทรหากรูได้นะ”แชมป์บอกกับผมในตอนที่กำลังจะกลับ หลังจากคลุกอยู่ห้องของไอ้แชมป์อีกเกือบทั้งวัน ผมอดที่จะขำกับมันไม่ได้ที่ทำเป็นล่ำลา เหมือนผมจะจากไปไหนยังงั้นแหละ แต่ก็พอเข้าใจว่ามันคงยังห่วงผมอยู่นั่นเอง เลยพูดคุยล่ำลากันอีกนิดหน่อย ก่อนจะขับรถกลับ เพื่อเตรียมพร้อมเผชิญกับความเป็นจริงที่ผมต้องยอมรับ เพียงไม่นานนัก รถของผมก็เคลื่อนที่ถึงลานจอดรถอพาร์ทเม้นท์ที่ผมพักพิง 

“เฮ้อ...เข้มแข็งไว้ไอ้แฟ้ม”ถอนหายใจยาวๆ พร้อมกับบอกตัวเอง สงสัยผมต้องหาเวลาแวะกลับไปหาพ่อกับแม่บ้างแล้วละมั้ง เพราะนี่ก็ไม่ค่อยได้ไปหาท่านเท่าไหร่เลย  ผมเป็นลูกคนเดียว แต่ว่าที่บ้านผมรับหลาน ที่เป็นลูกของน้าผมมาอยู่ด้วยอีกคน เพราะครอบครัวของน้าสาวผม กับน้าเขย แยกกันอยู่ตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ ผมเลยเหมือนมีน้องสาวอีกคน พ่อแม่ผมก็รักเธอเหมือนลูกสาวแท้ๆ ที่ผมไม่ค่อยกลับบ้านก็เลยหายห่วงพวกท่านไปบ้าง เพราะยังมีน้องสาวอีกคนที่อยู่เป็นเพื่อนท่านทั้งสอง แต่หลังจากนี้ผมคงได้มีโอกาสได้กลับบ้านบ่อย ขึ้นแล้วละมั้ง

“กลับมาแล้วเหรอ”ทันทีที่ก้าวลงจากรถผมก็ต้องสะดุ้งเพราะมีอีกคนมายืนอยู่ตรงหน้า

“ท...ทำไมมาอยู่ตรงนี้”ผมพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป มันเร็วเกินไปไหมที่ผมจะต้องเผชิญหน้ากับเค้า ถึงผมจะตัดสินใจแล้วว่าจะจบความสัมพันธ์ระหว่างผมกับโอเล่ แต่การที่ต้องมาเจอกับเค้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัวแบบนี้ ผมก็ค่อนข้างจะเหวอไปเหมือนกัน

“มารอแฟ้มไง”คำพูดเสียงแผ่วมาพร้อมกับอ้อมกอดที่เค้าสวมกอดจากทางด้านหน้าของผม คำพูดของเค้าอาจจะฟังดูแปลกไปนิดหน่อยเพราะปกติเราก็ยังเรียกกันมรึงกับกรูมาตลอดแต่วันนี้เค้ามาเรียกชื่อผม มันเลยรู้สึกแปลกๆ ออกไปจากทุกครั้ง

“ปะ...ปล่อยเถอะ”ผมพยายามดันตัวเค้าให้ออกห่าง ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างบอกกับผมว่าไม่ควรทำแบบนี้อีกแล้ว

“มานี่มีอะไรหรือเปล่า”น้ำเสียงราบเรียบที่ผมพูดออกไปทำให้เค้ามีแววตาขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย เค้าเพ่งมองมาที่ใบหน้าของผม โดยไม่ได้พูดอะไร เหมือนเค้าต้องการค้นหาบางอย่างจากผม ซึ่งผมก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่เค้ามาที่นี่เพราะอะไร แต่ที่ถามออกไปเพราะมันไม่รู้จะพูดอะไรกับเค้าต่างหาก

“ขอขึ้นไปคุยบนห้องได้ไหม”หลังจากเงียบอยู่นานเค้าก็เอ่ยปากขึ้นมา จริงๆเค้าก็ยังมีกุญแจห้องผม แล้วทำไมไม่ขึ้นไปรอบนห้องให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ไม่ต้องมาทำมารยาทดีขออนุญาตจากผมหรอก

“ทุกทีก็ขึ้นไปเองได้นิ ทำไมวันนี้ต้องมารอตรงนี้หละ”ออกจะประชดประชันนิดๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอยากให้เค้ามารอผมบนห้องหรอกนะครับ แต่เหมือนเค้าจะตีความอย่างนั้น เพราะมีรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปากนั้น เหอะตอนนี้เค้ายังมีกะใจยิ้มออกอยู่อย่างนั้นเหรอ

“ก็รู้ว่าแฟ้มไม่อยู่ สู้รออยู่ตรงนี้ถ้าแฟ้มกลับมาก็จะได้เจอเร็วกว่ารออยู่บนห้อง”คำพูดแบบนี้ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงจะรู้สึกดีไม่น้อย แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วที่จะมาพูดเอาป่านนี้ ในตอนที่เราเคยอยู่ด้วยกันสมัยที่ยังเรียนอยู่ ในตอนที่เค้ายังไม่ได้คบกับผู้หญิงคนไหน ในตอนที่เค้ายังไม่ได้เป็นแฟนกับอ้อน ถ้าเป็นช่วงเวลาเหล่านั้นผมจะมีความรู้สึกดีกว่านี้อีกหลายร้อยเท่า

“มีอะไรก็ไปคุยกันบนห้อง”ผมรีบตัดบทเมื่อเค้าพยายามจะเข้าถึงตัวผมอีก เพราะนี่มันอยู่ในที่ไม่เหมาะไม่ควรเท่าไหร่ กับการจะมาเคลียร์ปัญหากันในลานจอดรถแบบนี้



“แฟ้ม...เล่รักแฟ้มนะ”ทันทีที่เค้าปิดประตูตามผมเข้าภายในห้องพัก เค้าก็สวมกอดผมมาจากทางด้านหลัง ผมได้แต่นิ่งรอฟังว่าเค้าจะพูดอะไรต่อ และไม่ได้ขัดขืนเค้าเพราะในส่วนลึกแล้วผมยังคงต้องการอ้อมกอดนี้อยู่ มันคงจะไม่ผิดถ้าผมจะขอสัมผัสกับอ้อมกอดนี้อีกเป็นครั้งสุดท้าย

“เล่น่าจะรู้ใจตัวเองให้เร็วกว่านี้ ขอโทษนะแฟ้มที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”ผมพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ ไม่อยากจะร้องออกมา อย่างที่บอกว่าทุกอย่างที่เค้ามาพูดเอาตอนนี้มันไม่สำคัญอีกแล้ว ไม่ว่าเค้าจะพูดจากใจจริงหรือเค้ากำลังคิดทำอะไรอยู่ก็ตาม ผมหันหลังกลับเพื่อเผชิญหน้ากับเค้า

“ไม่ต้องขอโทษ ไม่ต้องเสียใจ มรึง...”เค้าเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากผมเหมือนให้หยุดพูด

“จากนี้เราจะไม่พูดกรูกับมรึงอีกแล้ว โอเคไหม”มันจะแตกต่างกันตรงไหน ในเมื่อจากนี้เราก็อยู่ในฐานะเพื่อนกันแค่จะพูดกรูกับมรึงมันก็ไม่ได้แปลกอะไรนี่นา ก็ใช้คำนี้มาตั้งนาน แต่ผมก็ไม่อยากยุ่งยากในเมื่อเค้าต้องการแบบนั้นก็จะทำให้ ให้มันจบๆไป

“ฟังนะ มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี จากนี้เล่จะมีครอบครัว จะมีลูก อีกไม่นานก็ต้องแต่งงานแล้ว เรื่องของเราสองคนมันก็แค่ความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น จากนี้ไปเราสองคนก็ต้องทำให้มันถูกต้อง”เค้าจ้องหน้าผมนิ่งแววตาฉายแววเสียใจอย่างเห็นได้ชัดถ้าผมไม่ได้คิดไปเองนะ แต่มันไม่ใช่แค่เค้าหรอกที่จะเสียใจกับเรื่องนี้ ผมเองก็เสียใจเหมือนกัน และถ้าผมกับเค้ายังไม่จบเรื่องระหว่างเราสองคน คนที่ต้องเจ็บปวดกับเรื่องนี้มันต้องมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างแน่นอน

“เล่ทำร้ายแฟ้มมาตลอด ถึงจะอยากขอโทษอยากจะแก้ไข ตอนนี้มันก็คงไม่ทันแล้วใช่ไหม”มือของเค้าลูบไล้ไปบนใบหน้าของผม ทำไมกันนะ ทำไมผมถึงยอมปล่อยให้เรื่องราวมันมาจนถึงวันนี้ ที่จริงผมน่าจะหยุดมันได้ตั้งนานแล้ว เพราะรู้ว่าสักวันต้องมีวันนี้

“กรู...เอ่อเราไม่เป็นไรเลย เราโอเค เล่ก็เห็นนิถ้ากังวลเรื่องนี้ก็ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ทุกคนต้องทำในสิ่งที่มันถูกต้อง”ผมพูดได้แค่นั้น ริมฝีปากร้อนของอีกคน ก็ประกบเข้ามาที่ริมฝีปากของผมก่อนที่ลิ้นอุ่นๆ นั้นจะแทรกเข้ามาในปากของผม สองมือของเค้าเองก็ไม่ได้อยู่นิ่งมันแทรกสอดเข้ามาภายใต้เสื้อของผม มันทำให้ผมอ่อนระทวยไปทั้งตัว ริมฝีปากเค้าเริ่มเลื่อนมาที่ซอกคอ เสื้อผ้าผมถูกเลิกสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ยะ...อย่าทำแบบนี้”ผมรวบรวมสติผลักเค้าออกก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปกว่านี้ ถ้าคิดจะหยุดความสัมพันธ์มันก็ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ผมยืนหอบอยู่ไม่ห่างจากเค้านัก ตัวเค้าเองมีแววตาสงสัยในการกระทำของผมอยู่ไม่น้อย

“เราจะไม่ทำแบบนี้กันอีก”ผมบอกด้วยความมุ่งมั่น

“ครั้งสุดท้าย...ได้ไหม”แววตาวิงวอนจนผมแทบจะใจอ่อนแต่ไม่มีทาง ผมจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกแล้ว

“อย่าดีกว่า”ผมบอกออกไปเสียงแผ่ว แน่นอนผมยอมรับว่าตัวเองก็มีความต้องการเหมือนกัน อยากที่จะสัมผัส อยากให้เค้าเข้ามาภายในร่างกายของผมอีกสักครั้ง แต่มันไม่ถูกต้อง ผมต้องหักห้ามใจเสียตั้งแต่ตอนนี้

“โอเค...แต่ยังไงคืนนี้ขอค้างด้วยนะ”ผมเลิกคิ้วด้วยความสงสัยว่าในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว และเราก็คุยกันน่าจะรู้เรื่องแล้วว่าต้องจบเรื่องนี้ เค้าเองก็ไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องค้างที่นี่

“ขอแค่นอนกอดเฉยๆ ได้ไหม”แววตาวิงวอนนั้นที่แฝงไปด้วยความหงอยเหงาเศร้าสร้อย ทำให้ผมเริ่มใจอ่อน ผมชักเริ่มเกลียดตัวเองมากขึ้นเสียแล้ว ที่ยังยอมใจอ่อนให้ผู้ชายคนนี้อีก ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเค้าทำให้ผมเจ็บตั้งเท่าไหร่แล้ว

“พรุ่งนี้ก่อนกลับก็คืนกุญแจห้องด้วยนะ”ผมบอกออกไปเสียงเรียบ อีกฝ่ายยิ้มตอบกลับมา แต่มันเป็นยิ้มที่ดูไม่ค่อยจะมีความสุขเท่าใดนัก

โอเล่ยังไม่ได้ทานอะไรมา ซึ่งในห้องผมก็พอจะมีแค่เพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น ส่วนผมเองเหมือนร่างกายมันไม่อยากอาหารเอาเสียเลย ผมปล่อยให้เค้าหาอะไรทานเองเพราะเค้าก็คุ้นเคยกับข้าวของทุกอย่างที่นี่อยู่แล้ว ส่วนผมปลีกตัวออกมาอาบน้ำชำระร่างกาย สายน้ำจากฝักบัวที่ไหลรินลงมาที่ร่างเปลือยเปล่าของผมมันไม่ได้ช่วยให้ความคิดในใจผมสงบลงแม้แต่น้อย จากนี้ไปผมจะต้องอยู่โดยไม่มีเค้าแล้ว บอกตามตรงว่าผมยังไม่พร้อมเลยสักนิดกับการที่ไม่มีเค้า เค้าทำให้ผมเสพติดเค้าเสียแล้วแม้ว่าผมจะไม่ได้ครอบครองเค้าเพียงคนเดียว แต่เมื่อก่อนผมก็จะได้มีช่วงเวลาที่น่าจะดีกับเค้าอยู่บ้าง แต่จากนี้ไปมันจะไม่มีอีกแล้ว ถึงจะยังไม่พร้อมแต่ผมก็ต้องทำ น้ำตาผมเริ่มไหลแข่งกับน้ำจากฝักบัว เวลาผ่านไปนานจนน้ำตาผมเหือดแห้งผมจึงเช็ดเนื้อเช็ดตัวออกจากห้องน้ำ

“นึกว่าจะนอนในห้องน้ำซะแล้ว”ทันทีที่ออกมาก็มีอีกคนมาแซวแทบจะทันที

“กินเสร็จแล้วเหรอ”ผมถามออกไปอย่างไม่ได้ต้องการคำตอบเท่าใดนัก

“เรียบร้อยแฟ้มจะกินไหมเดี๋ยวทำให้”ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะมันเหมือนจะกินไม่ลงจริงๆ

“เดี๋ยวจะนอนแล้ว ตามสบายนะ”ผมบอกก่อนจะเดินเข้าห้องนอนเพื่อหาเสื้อผ้าใส่นอนโดยไม่ได้หันไปมองหรือพูดคุยใดๆ กับเค้าอีก ผมเข้าห้องเช็ดผมจนแห้งใส่ชุดนอน ทาครีมบำรุงผิวเล็กน้อย ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียงที่คุ้นเคย เตียงนอนที่บางวันมีคนมานอนเคียงข้าง ผมพยายามข่มตาหลับแต่มันก็ไม่ยอมหลับเสียที คงเพราะนี่มันยังแค่หัวค่ำอยู่นั่นเอง

ผมผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้แต่มารู้สึกตัวอีกทีตอนที่รู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังอยู่ในอะไรที่กำลังเคลื่อนที่ ผมลืมตาขึ้นช้าๆ พยายามปรับสายตา มองไปรอบๆตัวแล้วก็ต้องเบิกตาโพลง นี่มันอะไรกัน

“จะไปไหน”ผมถามอีกคนที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับ ใช่แล้วครับตอนนี้ผมนอนอยู่เบาะหลังของรถ ซึ่งมีโอเล่ขับ พยายามมองสองข้างทางว่าคือที่ไหน แต่ดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่แถวๆ ที่ผมอยู่แสดงว่าออกมาไกลมากแล้ว นี่ผมหลับไม่รู้เรื่องขนาดนี้เลยเหรอ เค้าลากผมออกมาตั้งแต่ตอนไหนกัน แล้วนี่เค้าจะพาผมไปไหน

“นี่...ถามว่าจะไปไหนได้ยินหรือเปล่า”ผมถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบคำถาม

“หนีไง หนีไปด้วยกันนะ”คำตอบของเค้าทำเอาผมอึ้ง นี่เค้าคิดอะไรของเค้ากัน บ้าหรือเปล่า
--------------------------------

ก็เดากันไปครับว่าคู่นี้จะเป็นยังไงต่อ 555

ความน่าหมั่นไส้มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ :hao7:

ส่วนที่ว่าตัวละครเรียนจบกันตอนไหน มีกล่าวถึงนิดนึงนะครับ แค่ไม่ถึงบรรทัด 555 อาจจะไม่สะดุดตาเท่าไหร่ เพราะโพสต์ติดๆ กันมาเลย

ยังไงก็ติดตามกันต่อนะคร๊าบบบ อย่าเพิ่งเบื่อกันล่ะ o13

พรุ่งนี้ลอยกระทงขอให้สนุกกับการลอยกระทงนะคร๊าบบบบ

ถ้าไม่กลับดึกมากจะมาต่อเหมือนเคยนะ

 :bye2: :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 05-11-2014 18:12:44
เยอะนะ นังโอเล่ รู้สึกตัวช้าไปมั้ย
ทีตอนสร้างเรื่องเสียกไม่คิด
ไปนอนเน่าให้หนอนกินเลยแก ย้ากกกกก!!! :z6: :z6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: domeloly ที่ 05-11-2014 20:14:32
เป็นแชมป์จะปล้ำไอ้แฟ้มแม่มเลย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 05-11-2014 22:44:09
อ่านทันแล้ว และจะรออ่านตอนต่อๆไป
เรื่องนี้ ทำคนอ่านน้ำตาร่วงแทบทุกตอนเลย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: heroza ที่ 05-11-2014 22:48:21
เดาว่าโอเล่พอลงจากรถแล้วโดนนักเลงรุมตีค่ะ5555

(อิฉันหมั่นไส้โอเล่จนมีความคิดออกทุกทะเล)
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 05-11-2014 23:10:19
 :z6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 06-11-2014 05:15:41

สรุปโอเล่แมร่งเห็นแค่ตัวเองเท่านั้นสินะ

อ้อนกับลูกในท้องก็ไม่แคร์ ความต้องการจะเลิกของแฟ้มก็ไม่สน  :z6:  :z6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: bnnjng ที่ 06-11-2014 05:59:27
 :z6: :z6:


ดูหนังHD (http://www.dunung-hd.com)
ดูหนังฟรี (http://www.dunung-hd.com)
ดูหนังออนไลน์ (http://www.dunung-hd.com) 
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [5-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 06-11-2014 17:30:21
“นี่...ถามว่าจะไปไหนได้ยินหรือเปล่า”ผมถามย้ำอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไม่ยอมตอบคำถาม

“หนีไง หนีไปด้วยกันนะ”คำตอบของเค้าทำเอาผมอึ้ง นี่เค้าคิดอะไรของเค้ากัน บ้าหรือเปล่า

“หยุดรถเดี๋ยวนี้ คิดอะไรบ้าๆ จะหนีไปไหน หนีไปได้ยังไง สมองนะคิดบ้างหรือเปล่าว่าผลที่ตามมามันจะเป็นยังไง ทำไมถึงทำอะไรไม่รู้จักคิดแบบนี้ กลับเดี๋ยวนี้นะ กรูไม่ไปกับมรึงหรอกนะ”ผมโวยวายอย่างเหลืออดก็ใครจะไปคิดทำบ้าๆแบบนี้กับเค้ากันละ

“เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่พูดกรูมรึงกันแล้ว”เค้ายังคงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้สะทกสะท้านอะไรกับสิ่งที่ผมเพิ่งจะพูดออกไป ผมพยายามข้ามจากเบาะหลังเพื่อไปยังที่นั่งข้างคนขับ

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ”ผมบอกพร้อมกับแย่งพวงมาลัยกับคนขับ

“เฮ้ยๆ ทำอะไรเนี่ย”เค้าเบรกรถหยุดแทบจะทันทีเพราะรถเสียหลัก โชคดีที่ไม่ได้เสียหลักไปชนอะไรเข้า แค่หัวคะมำนิดหน่อยเอง จริงๆผมก็กลัวตายอยู่นะแต่ในเมื่อเค้าไม่ยอมหยุดรถก็ต้องทำแบบนี้แหละ

“อยากตายรึไงเนี่ย”เค้าหันมาตวาดผม

“ใช่ ถ้าจะให้หนีไปแบบนี้ ตายเสียยังจะดีกว่าอีก คิดดูหน่อยสิว่าคนอื่นๆเค้าจะเป็นยังไงกันบ้างถ้าเราหนีไปแบบนี้”ผมจ้องหน้าเค้าอย่างเอาเรื่อง นึกโมโหตัวเองที่หลับไม่รู้เรื่องปล่อยให้เค้าพาออกมาได้ไกลขนาดนี้ โมโหเค้าด้วยที่ทำไมไม่รู้จักคิดมาทำเรื่องแบบนี้

“แค่สองสามวัน ขอแค่นี้ได้ไหม”น้ำเสียงที่อ่อนโยนต่างจากเมื่อสักครู่กับสายตาที่กำลังอ้อนวอนผม แต่ผมยังไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เค้าพูดเท่าไหร่ ว่ามันหมายความว่ายังไง

“หมายความว่ายังไง”

“ก็หนีไปด้วยกันสองคน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่เราสองคนแค่ไม่กี่วัน ขอแค่นี้ได้ไหม”อยู่ด้วยกันแค่สองคนงั้นเหรอ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรละ เราควรจะยอมรับความจริงกันน่าจะดีกว่า

“พรุ่งนี้เราต่างก็ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ เรามีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบนะ”ผมพยายามเตือนสติเค้าไม่ให้คิดทำอะไรแบบนี้อีก

“ลางานสองสามวัน ไม่เป็นไรหรอก นะเพราะนี่มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันแล้ว”เค้าเอื้อมมือมาจับที่มือผมเป็นการขอร้อง ครั้งสุดท้าย ครั้งสุดท้าย สมองผมกำลังคิดทบทวนอย่างหนัก แล้วผมก็พ่ายแพ้เค้าอีกจนได้





“ทำไมต้องมาถึงนี่ด้วย”ผมเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรามาถึงตอนเช้ามืดและนอนพักกันอยู่ในรถพักนึงตอนนี้แสงแดดเริ่มทอแสง ผมและเค้ากำลังมองไกลออกไปในท้องทะเล ใช่แล้วตอนนี้เค้าพาผมมาทะเล เรากำลังจะข้ามไปเกาะเสม็ดกัน ตอนนี้อยู่ที่บ้านเพนั่นเอง

“อยากมาไกลๆ จะได้ไม่มีใครรู้จักอยากทำอะไรก็ทำ ที่นี่เราจะเป็นคู่รักที่ไม่ต้องแคร์ใครอีกไงละ เพราะไม่มีใครรู้จักเรา”หึในที่สุดแล้วเค้าก็ยังแคร์กับการที่จะอยู่กับผมเพียงลำพัง แต่เอาเถอะมาถึงนี่แล้วผมเองก็จะคิดเสียว่าให้มันเป็นไปหลังจากกลับไปแล้วเราจะจบเรื่องทุกอย่างโดยสิ้นเชิง

เรารอจนมีเรือที่จะข้ามไปเกาะ ก่อนจะเอาของไปเก็บที่พัก เค้าเก็บเสื้อผ้ามาให้ผมเรียบร้อย เราหาที่พักไม่ยากนักเพราะช่วงนี้มันไม่ใช่วันหยุด นักท่องเที่ยวก็พอจะมีบ้างแต่ไม่มากเท่ากับช่วงที่เป็นวันหยุดยาว ผมเคยมาสมัยเรียนกับเพื่อนๆ ตอนมหาวิทยาลัยตอนนั้นมาช่วงวันหยุดยาว คนเยอะมากๆ แถมตอนนั้นพักอยู่หาดทรายแก้วอีกต่างหาก คนยังกะฝูงมด ดีที่ครั้งนี้เลือกหาดที่คนไม่เยอะเท่าไหร่ดูสงบเงียบ ใช้ได้ โอเล่เป็นคนเลือกเค้าบอกว่าเคยมากับเพื่อนๆ เหมือนกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเราเรียนกันคนละคณะเลยไม่ได้มาด้วยกัน

หลังจากเก็บของเสร็จก็อาบน้ำล้างหน้าล้างตา หาข้าวกิน ตอนแรกเค้าชวนผมเล่นน้ำ แต่ผมอยากพักมากกว่าเดินทางมาทั้งคืน เค้าเองก็เหมือนกันยังไม่ได้หลับเลย ตอนนี้ผมคิดว่ายังไงซะก็ใช้เวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันครั้งสุดท้ายให้เต็มที่แล้วกัน เพราะยังไงตอนนี้ผมก็ยังใจไม่แข็งพอจะต่อต้านเค้าหรอก

ผมตื่นมาอีกทีก็บ่ายคล้อยแล้ว ตัวผมเองอยู่ในอ้อมกอดของเค้า ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะอยู่ใจอ้อมกอดนี้ตลอดไปนะ แต่ก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผมค่อยๆ ขยับตัวออกจากอ้อมกอดนั้น ก่อนจะเดินออกมาสูดอากาศภายนอก กลิ่นไอทะเลทำให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก ผมนั่งลงบนพื้นทรายบริเวณที่ต้นไม้ยังแผ่ร่มเงามาถึง มองไปตางน้ำทะเล ที่ผู้คนกำลังเล่นน้ำอยู่อย่างสนุกสนาน มีทั้งมาเป็นครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนๆ และแบบคู่รัก ที่เล่นน้ำกันอยู่สองคน ซึ่งก็มีทั้งชาวไทยเราเอง และชาวต่างชาติ ตอนแรกกะจะลงเล่นน้ำอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ได้เปลี่ยนชุดมาเลยไม่เอาดีกว่า

“ไม่เห็นปลุกกันบ้างเลย”ไม่นานนักเค้าก็ตามผมออกมา เค้านั่งลงข้างๆผมก่อนจะเอื้อมมือมาโอบผมให้พิงเข้าหาเค้า ผมไม่ได้ขัดขืน เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าขอแค่ช่วงเวลานี้ครั้งสุดท้าย แม้จะรู้สึกผิดต่ออ้อน แต่ก็ใช่ว่าผมไม่เคยทำแบบนี้ ในเมื่อผมเองก็เคยทำผิดมาแล้วผิดอีกสักนิดก็คงไม่ต่างกันหรอก ใครจะว่าผมไม่ดีผมก็ยอม

“เห็นหลับอยู่ เมื่อคืนก็ขับรถมาทั้งคืน อยากให้นอนพักนะ”บอกออกไปโดยที่สายตายังคงจ้องมองท้องทะเลเบื้องหน้า

“เล่นน้ำไหม”เค้าเอ่ยถามเมื่อเห็นผมยังคงเอาแต่จ้องมองอยู่อย่างนั้น

“ไม่ละ”ผมปฏิเสธก่อนจะชวนเค้าไปหาที่นั่งบริเวณชายหาดในร้านสักร้านเพราะตอนนี้ผมเริ่มจะหิวอีกแล้ว มาทะเลทั้งทีขอกินอาหารทะเลให้พุงกางไปเลยดีกว่า พอได้ร้านผมก็สั่งเหมือนอดยากมาจากไหน รอไม่นานนักอาหารก็ทยอยออกมา ผมกับเค้าไม่ได้พูดคุยกันมากนัก ผมนะมันเหมือนจะพูดไม่ออกเท่าไหร่จะพูดอะไรออกไปมันก็ทำให้นึกถึงเรื่องราวต่อจากนี้ทุกที เค้าเองก็คงพอจะดูออก เลยได้แต่มองนู่นมองนี่ไปเรื่อย

“ไม่กินเหรอ มองอยู่ได้”ผมเกิดอาการเขินขึ้นมาเมื่อเค้าเอาแต่จ้องผมกิน แต่ตัวเองกลับไม่ยอมกิน นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่ผมได้มาเที่ยวสองคนกับเค้าแบบนี้ เมื่อก่อนเวลาไปเที่ยวก็ต่างคนต่างไปเพื่อนใครเพื่อนมัน หรือไม่ก็ไปกลุ่มเพื่อนผม แต่เค้าจะมาในฐานะแฟนของอ้อน

“ดูแฟ้มกินก็มีความสุขแล้ว เฮ้อ...อยากอยู่ที่นี่ไปตลอดเลยเนอะ”เค้าละสายตาจากผมเหม่อมองออกไปรอบๆ เค้าไม่ค่อยทานอะไรเท่าไหร่ เพียงแค่จิบเบียร์เล็กน้อยเท่านั้นเอง ส่วนอาหารที่สั่งมา ก็โดนประสิทธิภาพการทำลายล้างจากผมเรียบ

“เออนี่ ไปดูพระอาทิตย์ตกกันนะ”ผมเอ่ยปากชวน เพราะผมเองก็เคยคิดนานแล้วว่าสักวันจะได้ดูพระอาทิตย์ตกกับคนที่ผมรักบ้าง และตอนนี้ก็เริ่มจะใกล้เย็นเต็มทีแล้ว

“ทำไมอยากดูพระอาทิตย์ตกละ”

“ก็ท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ตกนะสวยออก เค้าบอกว่าท้องฟ้าเวลาพระอาทิตย์ตกนะสวยที่สุด ถึงแม้มันจะเป็นช่วงเวลาที่สั้นๆก็ตามที”เสียงผมแผ่วลงเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคท้ายๆ เพราะนึกเปรียบเทียบกับความรักของผมเองที่จะมีความสุขได้แค่ในช่วงเวลาสั้นๆเท่านั้น อย่างเช่นในตอนนี้

“เป็นไรหรือเปล่า”เค้าเอื้อมมากุมมือผมไว้พร้อมกับถามอย่างอ่อนโยน

“ไม่มีไรก็แค่อยากดูพระอาทิตย์ตกกับคนที่เรารักไง โรแมนติกดีออกว่าไหม ขนาดไม่ได้ดูกับคนที่รักยังสวยแล้วถ้าได้ดูกับคนรักท้องฟ้ามันจะสวยแค่ไหนคิดดูสิ”ผมนึกถึงตอนที่ดูพระอาทิตย์ตกกับไอ้แชมป์ มันก็รู้สึกดีอยู่หรอกที่ได้ดูกับเพื่อนแต่ผมก็อยากดูพระอาทิตย์ตกกับเค้าเหมือนกันนะ

“เคยดูกับคนอื่นด้วยเหรอ”เค้าถามอย่างสงสัย

“ก็ดูกับไอ้แชมป์ไง”ผมตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไร แต่ดูเค้าชะงักไปเล็กน้อย

“ไปดูบ่อยไหมกับแชมป์นะ”น้ำเสียงเค้าเองก็เริ่มดูแปลกๆ แต่คงไม่มีอะไรหรอกมั้ง

“ไม่หรอกก็นานๆ ทีที่มีเรื่องไม่สบายใจ แชมป์มันชอบชวนไปดูพระอาทิตย์ตกที่บางแสนนะ”ผมพูดไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงเพื่อนอีกคน เพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างผมมาตลอด

“งั้นเล่ไม่ดูพระอาทิตย์ตกกับแฟ้มหรอก”

“อ้าวไหงงั้น”ผมไม่เข้าใจกับท่าทีของเค้า เค้าทำเหมือนงอนอะไรผมสักอย่างแล้วผมไปทำอะไรเค้ากันเล่า นี่ไม่ใช่เพิ่งจะรู้จักกันนะจะได้มาทำงอนโกรธกันแบบนี้ อายุอานามก็พอสมควรแล้ว อีกอย่างเค้าเองก็จะเป็นพ่อคนในอีกไม่ช้าแล้ว

“ก็แฟ้มเคยดูพระอาทิตย์ตกกับคนอื่นแล้ว เล่อยากให้เรามีความทรงจำที่แตกต่างจากคนอื่นเอาเป็นว่าเรานั่งดูพระจันทร์กันคืนนี้ดีกว่า”เป็นงั้นไปแต่จริงๆ สำหรับผมแล้วอะไรก็ได้หรอก แค่ได้มีเค้าอยู่เคียงข้างแม้จะเวลาสั้นๆ แค่นี้มันก็มีความหมายสำหรับผมแล้ว ผมรู้ว่าเค้าเองไม่ใช่คนดีอะไร แต่ทำไงได้ก็ผมรักเค้านี่นา แต่ผมก็จะรักเค้าได้อีกไม่กี่วันแล้ว

เมื่อยามค่ำคืนมาถึง ผมและเค้ามีเบียร์กระป๋องเล็กน้อยติดไม้ติดมือ ก่อนจะพากันเดินออกไปยังสะพานที่ยื่นออกไปในทะเลจากชายหาดแห่งนี้ น่าจะเรียกว่าสะพานปลา แต่ที่นี่คงไม่ได้หาปลากันหรอกมั้ง อีกอย่างก็ดูเป็นสะพานเล็ก ๆ มีนักท่องเที่ยวจับจองที่นั่งเป็นระยะๆ ทั้งที่เป็นคู่และเป็นกลุ่ม ผมกับโอเล่เลือกที่ว่างจุดนึงนั่งลง หย่อนขาบนสะพานนั้น เค้าขยับนั่งชิดผมก่อนจะดึงตัวให้พิงที่ไหล่ของเค้า ก่อนจะเปิดเบียร์สำหรับเค้าและผมคนละกระป๋อง เราเหม่อมองไปบนท้องฟ้า ที่วันนี้ไม่ค่อยมีดวงดาวมากนักเพราะเป็นข้างขึ้นพระจันทร์เกือบจะเต็มดวง ส่องแสงกลบดวงดาวอื่นๆเสียเกือบหมด

“สวยไหม”เค้าเอ่ยถามผมเสียงเบา จริงๆก็คงไม่เบามากแต่มันโดนเสียงคลื่นกลบไปเสียมากกว่า

“สวยสิ สวยมากเลยไม่เคยเห็นพระจันทร์ที่ไหนสวยเท่าที่นี่มาก่อนเลย”ผมพูดติดตลกเหมือนเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน เค้าค่อยๆเอื้อมมือมาเชยคางผมขึ้นก่อนจะประกบริมฝีปากลงมา เนิ่นนานเหมือนมีแค่เราสองคน จนผมนึกขึ้นได้ว่าที่นี่มีคนอื่นอีกผมจึงผลักให้เค้าถอนริมฝีปากออก

“อายคนอื่นบ้าง”ผมปรามเบาๆ ด้วยความที่เกรงใจคนอื่น ไม่อยากทำอะไรประเจิดประเจ้อแบบนี้เท่าไหร่นัก

“ไม่มีใครสนใจเราหรอก”เค้าเหมือนจะไม่ใส่ใจแต่กอดกระชับผมเข้าไปอีก เมื่อเค้าไม่สนใจผมก็เลยปล่อยไป หันไปสนใจบรรยากาศดีกว่า

“น่าสงสารพระจันทร์เนอะ ต้องอยู่โดดเดี่ยวโดยไม่มีใครเคียงข้าง”ผมเอ่ยออกมาลอยๆ พระจันทร์เองก็อาจจะเหมือนผมอีกแหละที่จากนี้ไปก็คงต้องอยู่เพียงลำพัง ไม่มีใครอีกแล้ว โอเล่ไม่ได้พูดอะไรเค้าคงกำลังคิดหาคำพูดอยู่มั้ง แต่ผมว่าเค้าคงคิดไม่ออกหรอกกับการจะหาคำใดมาปลอบผม ถึงแม้เราสองคนจะไม่อยากเอ่ยถึงแต่เราทั้งคู่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าหลังจากนี้ไปมันจะเป็นยังไง

“รู้ไหมทำไมพระจันทร์ถึงต้องอยู่เพียงลำพัง”ผมถามออกไปเสียงแผ่ว อย่างไม่ได้ต้องการคำตอบ แต่ต้องการจะบอกให้เค้าฟังมากกว่า เค้ากระชับอ้อมกอดที่โอบผมไว้ ก่อนจะหันมามองหน้าผมสลับกับพระจันทร์ เค้าจะรู้บ้างไหมว่าพระจันทร์ที่โดดเดี่ยวนั้นมันจะอ้างว้างขนาดไหน แต่ผมคิดว่าผมคงกำลังจะรู้แล้ว

“ทำไมเหรอแฟ้ม”เค้าทำท่าอยากรู้ในสิ่งที่ผมตั้งคำถาม

“เพราะการจะอยู่ด้วยกันมันช่างยากเหลือเกิน”ผมกล่าวออกไปช้าๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกต่อไป ใช่แล้วละการที่จะอยู่เคียงข้างกับใครสักคนที่เรารัก มันช่างยากเย็นเหลือเกิน ไม่มีคำพูดใดๆ ออกจากปากของเราทั้งสองอีก มีเพียงอ้อมกอดที่แนบแน่นที่เราต่างมีให้กัน เนิ่นนาน จนน้ำตาผมเริ่มเหือดแห้ง ผมว่าช่วงนี้ถ้าหาอะไรมารองน้ำตาผมคงได้ไปหลายถังแล้วละมั้ง มือของเค้าค่อยๆ บรรจงเช็ดคราบน้ำตา ก่อนที่เราสองคนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง มีเพียงเสียงคลื่นที่ยังคงดังอยู่เป็นระลอก ตอนนี้หลายๆ คนที่นั่งอยู่บริเวณสะพานเริ่มทยอยกลับไปที่พักกันแล้วเพราะตอนนี้น่าจะดึกพอสมควรแล้ว

“ดาวตก”เราพูดขึ้นพร้อมกัน พร้อมๆกับที่หันมองหน้ากันและกัน เห็นเค้าว่ากันว่าถ้าอธิฐานตอนดาวตก คำอธิฐานนั้นจะเป็นจริง แต่ผมไม่รู้จะอธิฐานอะไรดี

“อธิฐานกันไหม”เค้าเอ่ยปากชวนผม คงเพราะคิดเหมือนหลายๆคนนั่นเองว่าอธิฐานแล้วคำขอจะเป็นจริง ผมเพียงพยักหน้า แต่คิดว่าคงไม่ขออะไรจากดวงดาวหรอก เพราะสิ่งที่ผมยังต้องการมันคงไม่ดีแน่ถ้ามาอยู่กับผม เพราะมันจะทำร้ายคนอื่นอีก แต่ดูอีกคนคงกำลังตั้งใจอธิฐานอยู่ ผมไม่อยากรู้หรอกว่าเค้าขออะไร จริงๆผมก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่แต่ก็ไม่ได้คิดว่างมงายหรอก ผมคิดว่าความจริงถ้าเราอยากได้อะไรหรือต้องการอะไรก็ต้องใช้ความพยายามหาทางที่จะให้ได้ตามที่หวังไอ้การที่มาขอพรแบบนี้มันก็แค่ช่วยให้เราสบายใจขึ้นนั่นเอง

โอเล่ไม่ได้บอกผมว่าอธิฐานว่าอะไร แต่ผมเองก็คงไม่ถามหรอก ผมจ้องมองไปที่มือของเค้าที่นิ้วนางข้างซ้าย แวนวงที่ผมซื้อให้เค้าเมื่อนานมาแล้ว มันยังคงอยู่ที่เดิม แวนวงที่เค้าเคยโมโหผมที่เอาไปฝากไว้ที่ไอ้แชมป์ ผมดีใจนะที่เค้ายังเก็บรักษาไว้ ผมเคยบอกให้เค้าถอดออกตอนที่คบกับอ้อนเพราะกลัวว่าอ้อนจะสงสัย อ้อนเองก็เคยเห็นแหวนวงนี้ในวันที่ผมซื้อและบอกว่าจะฝากไว้ที่ไอ้แชมป์ โอเล่เองไปโกหกอ้อนว่าเห็นผมมีแหวนแบบนี้แล้วสวยดีเลยไปซื้อมาใส่บ้าง โชคดีที่อ้อนไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร แต่จากนี้ไปเค้าคงไม่จำเป็นต้องสวมแหวนวงนี้อีกแล้ว

“ขอแหวนวงนี้คืนได้ไหม”ผมชี้ไปที่มือของเค้าพร้อมกับจะถอดแหวนออกแต่เค้าชักมือกลับ

“ให้แล้วให้เลยใครเค้าขอคืนกันละ”

“แต่เดี๋ยวเล่ก็ต้องใส่แหวนแต่งงาน”คำพูดที่ออกมาแต่ละคำมันช่างบาดลึกในใจผมเหลือเกิน เค้ากำลังจะแต่งงาน การแต่งงานซึ่งเป็นเป้าหมายของใครหลายๆ คน แต่คงไม่ใช่สำหรับผมเพราะคงไม่มีแม้แต่โอกาสจะคิดหรอกว่าชีวิตนี้จะได้แต่งงาน แต่ผมไม่เสียใจนะเพราะทำใจไว้ตั้งนานแล้วว่าการมีชีวิตแบบผมมันก็ต้องไม่มีการแต่งงานเกิดขึ้นอยู่แล้ว

“ถึงอาจจะไม่ได้ใส่แหวนวงนี้อีก แต่ก็ยังเก็บไว้ได้นี่นา”เค้ายิ้มให้ผม ก่อนจะเอ่ยปากชวนกลับที่พักเพราะอากาศเริ่มจะเย็นแล้ว

ภายในห้องพักของเราแม้เตียงนอนจะเป็นขนาดที่นอนได้สองคนอย่างสบายๆ แต่เราสองคนกลับเว้นที่ว่างเหลืออีกมากพอดู เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางกายมากไปกว่าการจูบหน้าผากเพียงเบาๆ จากเค้าส่งมาถึงผมก่อนที่ผมจะซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดนั้น มันช่างเป็นอ้อมกอดที่อบอุ่น ที่ผมต้องรีบตักตวงไว้ให้มากที่สุด ผมหลับลงอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะความล้าไม่ใช่จากทางร่างกาย แต่เป็นจิตใจต่างหากที่อ่อนล้าเต็มที

--------------------------------------------------------
แวะมาต่อก่อนไปลอยกระทงคร๊าบบบบ

ขอให้สนุกกับวันลอยกระทงทุกคนน้าาาาา o13 o13

หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [6-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 06-11-2014 23:04:15
เอาอิโอเล่ใส่กระทงลอยไปไกลๆเลยได้มั้ย :serius2:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [6-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 06-11-2014 23:21:37
อ่านแล้วต้องอุทานว่า"เลวทั้งคู่"
แฟ้มเหมือนจะดี แต่ความจริงก็ทำความต้องการของตัวเองอยู่ดี
ถึงจะรักกันมาก่อน แต่แอบคบลับๆเอาผู้หญิงบังหน้ากันเนี่ย เลวมาก
แถมบอกจะเลิกๆ แต่ยังมาระริกกับโอเล่ที่กำลังจะแต่งงานอีก ไปๆมาๆเริ่มรู้สึกว่าสมกันดีแล้ว เลวทั้งคู่
ก็คงสมกับที่ต้อง ทรมานกันอย่างนี้ ทำตัวเองทั้งนั้น แถมยังคอยลากคนอื่นมายุ่งอีก
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [6-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 08-11-2014 15:34:01


“แฟ้มๆ...ตื่นได้แล้ว”เสียงของใครบางคนปลุกผมจากการหลับใหล ผมพยายามลืมตาขึ้นรู้สึกได้ถึงมือที่ตบเบาๆ บริเวณใบหน้าเพื่อปลุกผมตื่น สายตาผมพยายามปรับให้เข้ากับแสงสว่างที่อีกคนคงเปิดไว้ นี่มันเช้าแล้วเหรอ คือสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของผม ก่อนจะพยายามมองหานาฬิกา และผมก็ต้องแปลกใจเพราะมันเป็นเวลาตีห้าเท่านั้นเอง นี่เค้าจะปลุกผมทำไมกัน

“ปลุกทำไม...หือ”ผมถามออกไปเสียงงัวเงียก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมโปงเพราะยังอยากที่จะนอนต่อ ที่นี่ไม่ใช่กรุงเทพฯที่ผมจะต้องรีบตื่นแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวออกไปผ่าการจราจรเพื่อไปทำงาน ถ้าผมจำไม่ผิดนี่ผมยังอยู่ที่เกาะเสม็ดอยู่ไม่ใช่หรือ แต่ดูท่าอีกฝ่ายที่มาปลุกผมจะไม่ยอมละความพยายามเพราะเค้าดึงผ้าห่มออกจากผมไป แล้วผมก็รู้สึกว่าตัวเองลอยขึ้นจากเตียง พอลืมตามองก็เห็นว่าเค้ากำลังอุ้มผมไปยังห้องน้ำ

“ล้างหน้าล้างตาเร็วเข้า”เค้าวางผมลงที่หน้าประตูห้องน้ำพร้อมกับออกคำสั่ง อีกทั้งไม่ยอมให้ผมได้อิดออดเพราะเค้าเล่นยืนเฝ้าผมเลย ผมจำต้องทำตามคำสั่งเค้าอย่างเสียไม่ได้ พอเสร็จปุ๊บเค้าก็ลากผมออกไปยังชายหาดทันที ผมตามไปด้วยอาการที่ยังตื่นไม่เต็มที่ เค้าพาผมมายืนอยู่ตรงชายหาด ตอนนี้เริ่มพอจะรู้แล้วว่าเค้าคงจะพาผมมาดูพระอาทิตย์ขึ้นนั่นเอง

“ถึงเวลาแล้วบอกด้วยนะ”ผมซบลงที่ไหล่ของเค้าก่อนจะหลับตาอย่างไม่ค่อยจะสนใจ จริงๆ ก็รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่เค้าจะชวนมาดูพระอาทิตย์ขึ้นแบบนี้ แต่รู้สึกอยากแกล้งเค้านิดหน่อยที่เมื่อวานผมชวนดูพระอาทิตย์ตกเค้าไม่ยอมดูกับผม แล้วยังบอกว่าเปลี่ยนเป็นดูพระจันทร์เมื่อคืนแล้วอีก ทีนี้ทำเป็นจะอยากมาดูพระอาทิตย์ขึ้น

“เล่อยากให้แฟ้มจำไว้นะ ว่าเวลาเห็นพระอาทิตย์จงคิดอยู่เสมอว่าเรายังมีกันเสมอ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม”จากตอนแรกที่ผมตั้งใจจะแกล้งไม่สนใจเค้า แต่คำพูดของเค้าทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นมองและยิ้มบางๆให้กับเค้าก่อนจะตั้งตารอพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขึ้นมาจากขอบฟ้า ไม่นานนักแสงแรกแห่งวันใหม่ก็ค่อยๆ ทอแสงเจิดจ้าขึ้นมา ท้องฟ้าที่ได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้าก็สวยไม่แพ้ท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าหรอก แต่มันให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน ท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตกสำหรับผมมันให้ความรู้สึกเหงา เหมือนที่จะสูญเสีย แต่ท้องฟ้ายามเช้ามันกลับทำให้เรารู้สึกว่ามันมีหลายสิ่งที่กำลังรอให้เราเผชิญต่อไป ชีวิตเรามันยังคงต้องเดินต่อไป ใช่แล้วละจากนี้ไปแม้ผมและเค้าจะไม่ได้อยู่เคียงข้าง แต่เค้าก็จะยังอยู่ในใจผมเสมอ ผมไม่จำเป็นเลยที่จะต้องลืมเค้า อาจจะไม่ได้พบได้เจอได้พูดคุย แต่ความรู้สึกดีๆ เราก็ยังคงมีให้กันได้เสมอ

เราสองคนสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกลับห้องพักทำธุระส่วนตัวของแต่ละคน จากนั้นก็ทานอาหารเช้ากัน เราจะยังอยู่ที่นี่อีกคืน คิดว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางกลับ เพื่อจะไปพบกับโลกของความเป็นจริงที่เราต้องแยกกันเดินคนละเส้นทาง

“เล่นน้ำกันไหม”เค้าเอ่ยปากชวนตอนสายๆ ที่ท้องฟ้าแจ่มใส ผมเองก็ไม่ปฏิเสธเพราะมาทะเลทั้งทีน่าจะได้ลงเล่นน้ำทะเลบ้าง เราเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นใส่กางเกงขาขั้นกับเสื้อกล้าม ผมคงไม่มั่นใจใส่กางเกงว่ายน้ำเหมือนฝรั่งเค้าหรอกครับ มันรู้สึกเขินๆ ยังไงไม่รู้ที่ต้องใส่กางเกงในตัวเดียวเล่นน้ำต่อหน้าคนอื่นแบบนั้น เราเล่นน้ำได้สักพักใหญ่ๆ ก็เริ่มเหนื่อย สงสัยจะอายุมากแล้วเลยชวนกันกลับไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว

“ขออาบก่อนนะ”ผมเอ่ยปากเมื่อมาถึงห้องเพราะมีห้องน้ำเพียงห้องเดียว และผมก็ไม่ชอบอยู่ในสภาพเปียกๆ เช่นนี้นานๆ

“อาบพร้อมกันดีกว่า”อีกฝ่ายพูดขึ้นและผมไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากห้ามเค้าก็ดันตัวผมเข้าห้องน้ำปิดประตูทันที

“ทำอะไรเนี่ย”ผมทักท้วงอย่างเกร็งๆ เพราะเวลาอยู่ในห้องน้ำด้วยกันสองคนแบบนี้มันทำให้นึกถึงเวลาที่เราเคยอาบน้ำด้วยกันและมันจะไม่ได้แค่อาบน้ำเพียงอย่างเดียว แค่คิดก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าวเสียแล้ว

“เขินเหรอ”อีกฝ่ายจ้องหน้าผมพร้อมกับทำหน้าทะเล้น ผมหันหน้ามองทางอื่นขณะที่เค้าถอดเสื้อผ้าออกก่อนจะเปิดฝักบัวให้สายน้ำชำระร่างกาย แต่ผมยังคงอยู่ในสภาพชุดเดิม และเค้าคงจะขัดใจกับท่าทีอิดออดของผมเลยเป็นฝ่ายถอดเสื้อผ้าผมเสียเอง ร่างเปลือยเปล่าของเราสองคนยืนเผชิญหน้ากันอยู่ภายใต้สายน้ำจากฝักบัว ใบหน้าของเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาผมช้าๆ แล้วริมฝีปากของเราทั้งสองก็สัมผัสกัน แน่นอนว่าการอาบน้ำครั้งนี้มันต้องมีกิจกรรมอื่นเข้ามาอย่างแน่นอน

ไม่มีคำพูดใดๆจากเราทั้งสอง มีเพียงสัมผัสจากร่างกายที่เราต่างมอบให้แก่กันและกัน เนิ่นนานและเร่าร้นจนแม้แต่สายน้ำที่ไหลรินก็ไม่อาจดับความเร่าร้อนของเราได้ จากห้องน้ำสู่เตียงนอน ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนยิ่งเรามอบความสุขแก่กันมากเท่าใด มันกลับยิ่งทำให้เราโหยหาที่จะอยากได้มากขึ้น ตลอดบ่ายจรดเย็นเราแทบไม่ได้ก้าวออกจากเตียงนอนกันเลย อาหารมื้อเย็นเราก็สั่งมาทานที่ห้อง

และหลังจากมื้อเย็นเราก็ยังคงใช้เวลาของการอยู่ร่วมกันในคืนสุดท้ายอยู่บนเตียงนอนนั่นเอง

“ถ้าเป็นไปได้อยากจะกลืนกินแฟ้มเสียให้หมด”เสียงแตกพร่าของเค้ากระซิบบอกผมในระหว่างบทรักอันเร่าร้อนของเราสอง กว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปค่อนคืน ผมหลับเป็นตายรวดเดียวถึงเช้า เมื่อยามเช้ามาถึงเราต่างรู้ดีว่าเวลาระหว่างเราสองคนได้หมดลงแล้ว เราเดินทางกลับในเช้านั้นเอง ระหว่างทางไม่มีบทสนทนาใดๆ เกิดขึ้นเพราะเราต่างรู้ดีว่าแต่ละคำพูดที่จะเอ่ยออกมามันช่างยากเย็น ระยะทางที่ไม่ใช่ใกล้เท่าใดนักจากเกาะเสม็ด มาถึงอพาร์ทเม้นท์ของผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าทำไมมันถึงเร็วเหลือเกิน อยากให้รถติดอยากให้ระยะทางไกลขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่ผมจะได้อยู่ใกล้เค้าอีกสักนิดก็ยังดี

“ขออะไรอย่างได้ไหม”บทสนทนาเริ่มขึ้นโดยผมเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน ตอนนี้เรายังคงต่างนั่งนิ่งอยู่บนรถที่จอดสนิทในลานจอดรถอพาร์ทเม้นท์ของผม เค้าหันมามองผมก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับว่าให้ผมขอได้

“งานแต่งเล่...แฟ้มขอเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวได้ไหม”ผมบอกออกไปเสียงสั่น ไม่รู้เพราะอะไรผมถึงพูดออกไปแบบนั้น ทั้งๆที่แน่นอนการทำแบบนั้นคนที่จะยิ่งเจ็บเข้าไปอีกก็คือผมเอง

“ไม่ได้”เค้าบอกเสียงหนักแน่นจนเกือบจะเป็นตะคอกผมเสียด้วยซ้ำ

“ทำไมถึงไม่ได้...เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันเหรอ”ใช่แล้วจากนี้เราก็จะเป็นแค่เพียงเพื่อนที่เคยรู้จักกัน

“แฟ้มไม่ใช่เพื่อนเล่...เข้าใจไหม”เค้าเอื้อมมือมาลูบไล้ไปตามใบหน้าของผม ผมแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อกลั้นน้ำตาเอาไว้ ในเมื่อเค้าไม่อยากให้ผมเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งก็ไม่เป็นไร ส่วนคำพูดของเค้าที่บอกมาตอนนี้มันไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว

“ขับรถกลับดีๆนะ” ผมค่อยๆ หยิบกระเป๋าเสื้อผ้าและเปิดประตูรถลง เพราะมันไม่มีทางให้ไปต่อสำหรับเราสองคนอีกแล้ว

“แฟ้ม”เค้าส่งเสียงเรียกแผ่วเบา เพียงแค่นั้นก็เรียกความสนใจให้ผมหันไปมองอย่างตั้งใจได้แล้ว คงถึงเวลาที่เค้าจะต้องกล่าวคำล่ำลากับผมแล้วละมั้ง แน่นอนว่าผมกับเค้าอาจจะยังได้เจอกันอีก อย่างน้อยๆก็งานแต่งของเค้าซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย การล่ำลาในเรื่องความสัมพันธ์ของเรามันคงต้องจบที่วันนี้ ตรงนี้ และก็ตอนนี้

“เราสองคนยังคบกันแบบเดิมได้ไหม”คำพูดเพียงสั้นๆ แต่ความหมายมันช่างเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเหลือเกิน แน่นอนว่าผมเข้าใจที่เค้าพูด มันหมายความว่าเราสองคนจะยังคงมีความสัมพันธ์กันทั้งกายและใจเหมือนที่เคยเป็นมา ต่างออกไปก็แค่อ้อน...อีกหนึ่งคนที่มีส่วนต้องเผชิญชตากรรมกับเราเปลี่ยนสถานะจากแฟนของเค้ามาเป็นภรรยาและเป็นแม่ของลูกเค้าแล้ว ทำไมเหตุการณ์นี้มันทำให้ผมนึกถึงจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้กันนะ

จุดเริ่มต้นที่ผมบอกกับเค้าว่าผมชอบเค้า เค้าในตอนนั้นก็เงียบเหมือนผมในตอนนี้ และตัดสินใจบางอย่าง ใช่แล้วตอนนี้ผมก็กำลังตัดสินใจ ว่าผมควรจะจบเรื่องนี้หรือจะดำเนินเรื่องยุ่งยากนี่ต่อไปอีก


-----------------------------

คาดว่าอ่านจบคงมีคนอยากด่า 2 คนนี้ชัวร์ๆ

555

ด่าได้เต็มที่เลยครับ แล้วมารอดูต่อว่าจะเป็นยังไง

 o13 o13
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [8-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: hembetaro ที่ 09-11-2014 00:13:58

เม้นไม่ออก ไม่รู้ว่าควรโกรธหรือสงสารสองคนนี้ดี  :เฮ้อ: สุดท้ายอ้อนกับลูกโคตรซวยอ่ะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [8-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 09-11-2014 01:46:27
 :katai1: จุก พูดไม่ออก ปวดตับ

ขอบคุณที่อัพตอนใหม่อย่างเร็ว  เดี๋ยวรอเมนท์หลังจากบิวท์ความหนักหน่วงก่อน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [8-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 09-11-2014 11:23:31
สงสารแฟ้มว่ะ
แฟ้มมาก่อน
มานานแล้ว
รอนานแล้ว
พยายามแล้ว
พยายามอีกนิดนะ
จะหลุดพ้นความรู้สึกผิด
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [8-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 09-11-2014 21:04:56
สงสารแฟ้มว่ะ
แฟ้มมาก่อน
มานานแล้ว
รอนานแล้ว
พยายามแล้ว
พยายามอีกนิดนะ
จะหลุดพ้นความรู้สึกผิด

ขอ copy เม้นท์นี้อีกต่อนึงนะ
ถูกใจตรงกับใจที่อยากจะเม้นท์เหมือนกัน

+1 ให้ครับ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [8-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 09-11-2014 21:52:15


“แฟ้ม”เค้าส่งเสียงเรียกแผ่วเบา เพียงแค่นั้นก็เรียกความสนใจให้ผมหันไปมองอย่างตั้งใจได้แล้ว คงถึงเวลาที่เค้าจะต้องกล่าวคำล่ำลากับผมแล้วละมั้ง แน่นอนว่าผมกับเค้าอาจจะยังได้เจอกันอีก อย่างน้อยๆก็งานแต่งของเค้าซึ่งอาจจะเป็นครั้งสุดท้าย การล่ำลาในเรื่องความสัมพันธ์ของเรามันคงต้องจบที่วันนี้ ตรงนี้ และก็ตอนนี้

“เราสองคนยังคบกันแบบเดิมได้ไหม”



“นี่พวกมรึงเอาสมองส่วนไหนคิดหะไอ้แฟ้ม”ไอ้แชมป์เหมือนระเบิดลงทันทีที่ผมเล่าถึงตรงนี้ วันนี้เป็นวันงานแต่งของอ้อนกับโอเล่ เป็นวันที่ผมจะได้เจอกับเค้าอีกครั้งหลังจากที่กลับจากเกาะเสม็ดครั้งนั้น ไอ้แชมป์ขับรถมารับผมไปพร้อมกัน วันนี้เพื่อนๆสมัยเรียนของพวกเราคงจะไปกันเยอะพอสมควร หลายคนไปในฐานะเพื่อนฝ่ายเจ้าบ่าว หลายคนไปในฐานะเพื่อนฝ่ายเจ้าสาว ส่วนผมตามหน้าฉากแล้วก็ไปในฐานะของเพื่อนทั้งสองฝ่าย

“ถ้าพวกมรึงไม่เห็นแก่อ้อนก็น่าจะเห็นแกเด็กที่กำลังจะเกิดมาบ้าง มรึงคิดเหรอว่าเรื่องนี้มันจะเป็นความลับไปได้ตลอดถ้าพวกมรึงยังคงคบกันอยู่แบบนี้ จากนี้ไปเค้าแต่งงานกันแล้วก็ต้องอยู่ด้วยกันตลอด มันต้องมีสักวันที่อ้อนมันจะเริ่มระแวงและสงสัย แล้วทีนี้มรึงลองคิดดูถ้าเด็กที่เกิดมา ต้องมารับรู้เรื่องระหว่างมรึงกับพ่อของเค้า เด็กมันจะรู้สึกยังไง กรูไม่คิดเลยนะว่ามรึงจะ...”

“หยุดก่อน”ผมรีบบอกกับไอ้เพื่อนตัวดี ก่อนที่มันจะว่าผมไปมากกว่านี้ เพราะมันยังฟังผมไม่จบด้วยซ้ำ แต่มันตีความเอาเองไปหมดเสียทุกอย่าง ไอ้แชมป์หยุดทันทีไม่เพียงแค่หยุดพูดแต่มันยังหยุดรถและจอดข้างทางหันมาจ้องผม ที่มันคงกำลังคิดว่าผมต้องกำลังหาข้อแก้ตัวให้กับตัวเองอย่างแน่นอน

“มรึงฟังกรูจบหรือยังถึงได้ว่ากรูปาวๆ เนี่ย”ผมไม่ได้โกรธที่มันว่าหรอกครับ แต่แค่อยากให้มันเข้าใจผมใหม่แค่นั้นเอง

“แล้วมรึงคิดว่ามรึงทำแบบนี้มันถูกแล้วเหรอ”เหมือนมันจะยังไม่ยอมรับฟังในสิ่งที่ผมกำลังอยากจะบอก

“เมื่อกี้กรูเล่าถึงไหน”ผมย้อนให้มันคิดดูหน่อยว่าผมเล่าให้มันฟังถึงไหนแล้ว ผมบอกมันไปหรือยังว่าผมตัดสินใจยังไงกับเรื่องนี้

“ก็...ก็”มันอ้ำอึ้งทำเป็นคิด ผมได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวให้มันฟังอีกครั้ง

“เราสองคนยังคบกันแบบเดิมได้ไหม”ประโยคนี้เหมือนดังก้องวนไปมาอยู่ในสมองของผม เหมือนให้ผมคิดทบทวนเรื่องราว ทั้งที่ความจริงผมทบทวนและตัดสินใจเรื่องนี้ลงไปแล้วไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคิดหรือตัดสินใจใหม่เลยด้วยซ้ำไป แต่ในส่วนลึกความเห็นแก่ตัวที่ผมเชื่อว่าทุกคนก็คงต้องมี จะมากจะน้อยแตกต่างกันออกไป สำหรับผมเองเมื่อก่อนมันคงมีมากพอเห็นได้จากการที่ผมทำร้ายอ้อนลับหลังมาเป็นเวลาแสนาน แต่ตอนนี้ผมต้องข่มความเห็นแก่ตัวนั้นกดมันลงไปให้จมอยู่ที่ก้นบึ้งของหัวใจได้เลยยิ่งดี มันถึงเวลาที่ผมจะชดใช้ในสิ่งที่ได้กระทำกับอ้อนไว้แล้ว จากนี้ผมต้องรับความเจ็บปวดนั้นไว้เอง เพราะผมเองก็ไม่อาจคาดเดาได้เหมือนกันว่าถ้าอ้อนรู้ความจริงขึ้นมามันจะเป็นยังไง

“เล่...บางครั้งความรักก็เข้ามาหาเราเพื่อให้เรียนรู้ มิใช่ให้ครอบครอง”ผมบอกออกไปช้าๆ พร้อมกับจ้องมองใบหน้าของเค้า พยายามจะจ้องจดจำทุกรายละเอียดของใบหน้านั้น ผมคงไม่ลืมเค้าหรอก และแน่นอนผมคงยังต้องเจอเค้าอีก แต่โอกาสที่จะได้จ้องมองหรืออยู่ใกล้ๆ กับเค้าเพียงลำพังแบบนี้ มันจะไม่มีอีกแล้ว

“ขอบใจที่เตือนสตินะ ตอนนี้เราคงต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เรา...ไม่สิมันน่าจะเกิดจากตัวเล่คนเดียวมากกว่าที่ทำให้เรื่องมันเป็นแบบนี้”สายตาของเรายังคงจ้องมองอีกฝ่ายอย่างไม่วางตา

“มันคือความรับผิดชอบของเราทั้งคู่”ใช่แล้วถ้าจะผิดมันก็คือความผิดของเราทั้งสองคน เพราะถ้าอีกฝ่ายไม่ร่วมมือด้วยเรื่องในวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

“จากนี้ไปถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เราอย่าเจอกันอีกเลยนะ”ผมหันหลังให้เค้าก่อนจะเดินห่างออกจากตรงนั้น ไม่หันกลับไปมองเค้าอีก ไม่มีเสียงเรียกจากเบื้องหลัง ผมเดินต่อจนถึงห้อง พอเปิดประตูเข้าในห้องได้ผมก็ทรุดลงตรงนั้นพิงประตู น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง จบแล้วจริงๆ สินะ



“กรูขอโทษ”ไอ้แชมป์บอกออกมาอย่างสำนึกผิด แต่อย่างที่บอกผมไม่ได้โกรธมัน ผมเช็ดน้ำตาที่ซึมออกมานิดหน่อย ก่อนจะยิ้มให้กับไอ้แชมป์ เสมือนบอกว่าผมไม่เป็นไรแล้ว

“ไปต่อเถอะ”

ผมกับไอ้แชมป์มาถึงที่โรงแรมจัดงานช้านิดหน่อยเพราะไอ้แชมป์มันหยุดรถฟังผมเล่าเรื่องนั่นแหละ พอถึงหน้างานก็เห็นบ่าวสาวรอต้อนรับแขกเหรืออยู่แล้ว

“โอเคนะ”ไอ้แชมป์ยื้อผมไว้ก่อนจะเดินเข้าไปหาคู่บ่าวสาว ทำให้ผมต้องหันหน้ากลับแล้วให้มันมองหน้าผมอีกครั้ง

“หน้ากรูเหมือนคนที่รู้สึกยินดีหรือยัง”ผมปรับสีหน้ายิ้มแย้มให้เหมือนคนจะมาร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนรัก ไอ้แชมป์เองก็เหมือนพยายามปรับสีหน้าอยู่เหมือนกัน พอคิดว่าโอเคแล้วเราสองคนก็เดินหน้าต่อ คิดว่าเค้าคงเห็นผมกับไอ้แชมป์แล้ว เหมือนจะชะงักนิดนึง แต่ก็ยังพยายามไม่ให้ผิดสังเกต ผมเข้าไปกล่าวแสดงความยินดีกับคนทั้งคู่ มีการถ่ายรูปกับบ่าวสาวเล็กน้อย จากช่างภาพที่ทางโรงแรมเค้าจัดมาให้ ผมได้พูดคุยกับทั้งโอเล่และอ้อนเพียงไม่นานเนื่องจากมีแขกกำลังทยอยมาเยอะพอสมควร ซึ่งก็เป็นการดีที่ผมไม่ต้องทนปั้นหน้ายิ้มแย้มอยู่ตรงนั้นนานๆ

ทั้งที่ในใจเฝ้าบอกตัวเองว่าต้องรู้สึกยินดีกับคนทั้งคู่ แต่ผมก็ยังทำได้ไม่เต็มที่อยู่ดี เอาน่าอย่างน้อยๆ ผมก็ยังเลวไม่พอที่จะทำร้ายอ้อนต่อไปละน่า งานนี้เหมือนเป็นงานรวมรุ่นตอนเรียนมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ เพราะเพื่อนๆที่เคยเรียนด้วยกันมากันอย่างล้นหลาม การแต่งงานของอ้อนกับโอเล่ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับเพื่อนๆ เพราะต่างก็รู้ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว งานดำเนินไปเรื่อยๆ รวมทั้งพิธีการต่างๆ ผมอยู่จนงานจบแม้ในใจอยากจะออกไปให้พ้นๆ แต่เพื่อไม่ให้ผิดสังเกตที่ผมเป็นเพื่อนสนิทของทั้งสองคน เลยจะปลีกตัวออกไปก่อนได้ค่อนข้างลำบาก โชคดีที่งานนี้เพื่อนๆมากันเยอะทำให้ผมไม่ต้องเผชิญหน้ากับทั้งอ้อนและโอเล่มากนัก

แล้วเรื่องราวทุกอย่างมันก็จบลงที่นั่น หลังจากงานแต่งของทั้งคู่ผมลาออกจากที่ทำงาน บอกกับที่บ้านว่าขอเวลาผมสักพัก พ่อกับแม่ผมออกจะแปลกใจอยู่เล็กน้อยแต่ผมก็บอกไปว่ารู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันไม่เหมาะกับผม ผมอยากทำอะไรอย่างอื่น เลยขอเวลาศึกษาข้อมูลอีกหน่อย แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลยปล่อยเวลาให้ผ่านไปวันๆ

จนกระทั่งน้องเฟิร์น น้องสาวที่พ่อแม่ผมรับดูแลต่อจากครอบครัวของน้าที่ต้องแยกจากกัน เฟิร์นกำลังจะเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษาและมหาวิทยาลัยที่เฟิร์นจะเข้าอยู่ต่างจังหวัด ผมถือโอกาสบอกกับพ่อแม่ว่าจะไปอยู่กับเฟิร์นสักพัก ถึงในตอนแรกท่านจะไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะไม่อยากให้ผมทำตัวล่องลอยอยู่แบบนี้อีกแล้ว แต่ผมก็ไหลไปได้น้ำขุ่นๆ ว่ากำลังคิดจะทำธุรกิจบางอย่างและกลุ่มเป้าหมายสำหรับธุรกิจของผมคือ เหล่านักศึกษานั่นเอง เลยกะว่าจะไปดูทำเลที่ทางเพื่อศึกษาข้อมูลดู แม้จะฟังไม่ค่อยขึ้นแต่พ่อกับแม่ก็ยอมตามใจผม

แม้ครอบครัวผมจะไม่ได้รวยล้นฟ้าแต่ก็ยังพอมีเงินให้ผมผลาญเล่นโดยที่ไม่ทำงานแบบนี้อยู่ได้อีกหลายปี แต่ผมก็ไม่ได้คิดจะผลาญหรอกผมกำลังคิดจะทำธุรกิจบางอย่างจริงๆ เพียงแต่อยากห่างจากที่เดิมๆ เพื่อเป็นหลักประกันหน่อยว่าผมจะไม่กลับไปสร้างปัญหาอะไรเกี่ยวกับเค้าอีกแล้ว ที่ต้องอยู่ให้ห่างเพราะผมกลัวใจตัวเองที่อาจจะหักห้ามใจไว้ไม่ได้ ผมเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ โดยบอกเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นให้รับรู้ ผมกับน้องเฟิร์นเช่าบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยของเฟิร์นมากนัก

จากการประเมินที่ทางบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยของเฟิร์นดูแล้ว มีอย่างนึงที่ผมคิดว่าจะทำได้ดีและน่าจะเข้ากับผม ไม่ใช่อะไรที่ดีสักเท่าไหร่เพราะผมกำลังคิดจะเปิดร้านเหล้า แม้อาจจะมองว่าเป็นการมอมเมาเยาวชนหรือเปล่าที่มาเปิดร้านของมึนเมาใกล้สถานศึกษาแบบนี้ แต่เค้าก็ทำกันเยอะอยู่นะ อีกอย่างผมมองว่าในฐานะที่ผมเองก็เคยผ่านวัยเรียนนี้มา และก็ดื่มเครื่องดื่มพวกนี้ ผมเชื่อว่าคนที่เป็นนักดื่มก็มีความรับผิดชอบเหมือนกัน ถึงจะทำตัวเป็นขี้เหล้าเมายาแต่ก็ไม่เคยละทิ้งการเรียน ผมไม่ได้จะบอกว่าการทำตัวแบบนี้เป็นสิ่งที่ดี แต่บางทีมันก็ถือเป็นการผ่อนคลายอย่างนึงละน่า

ไม่กี่เดือนต่อมาผมก็มีร้านเล็กๆ บรรยากาศสบายๆ สำหรับพบปะสังสรรค์เปิดที่หน้ามหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมแทบไม่กลับเข้ากรุงเทพฯ อีกเลย พ่อกับแม่แวะมาเยี่ยมผมกับน้องบ้าง ส่วนกับโอเล่และอ้อนหรือเพื่อนคนอื่นๆ ผมขาดการติดต่อโดยสิ้นเชิง

“ว่าไงอาเสี่ย”ใครบางคนทักผมขึ้นในช่วงหัวค่ำของวันนึง ซึ่งลูกค้ายังไม่มากนัก ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับมีอยู่เพียงคนเดียวที่ยังคงอยู่เคียงข้างผมเรื่อยมา เพื่อนที่ดีที่สุดของผมคนนี้ ไอ้แชมป์นั่นเอง

“มาอีกแล้วเหรอ”ผมทักทายออกไป เพราะมันมาบ่อยจนผมเริ่มชักจะเบื่อขี้หน้ามันแล้วละครับ ผมได้ข่าวจากไอ้แชมป์แล้วว่าโอเล่กับอ้อนได้ลูกแฝดชาย-หญิง ทั้งคู่ถามหาผมจากไอ้แชมป์เหมือนกันแต่ผมให้บอกว่าผมยุ่งกับการเริ่มต้นทำร้าน เลยไม่ได้ไปร่วมแสดงความยินดี

“มาเป็นลูกค้าให้นี่ไม่ดีเหรอ”ไอ้ดีมันก็ดีหรอกนะครับ แต่ที่นี่กับกรุงเทพฯมันไม่ใช่ขับรถ 10 นาทีถึงแล้วมันจะถ่อมาทำไมบ่อย ผมปล่อยให้มันบริการตัวเองเอาเลยครับขี้เกียจสนใจ ส่วนผมก็จัดเตรียมข้าวของต่อไป แต่ทำไปได้สักพักผมก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกจับจ้องในทุกการกระทำของผมอยู่ ผมหยุดและหาที่มาของสายตาที่ผมรู้สึก

“มานี่สิ”พอสบตากับเจ้าของสายตาผมก็เรียกให้เจ้าตัวมานั่งหน้าเคาท์เตอร์ที่ผมอยู่ ผมสังเกตมานานและคิดว่ามันถึงเวลาที่ผมต้องพูดอะไรสักอย่างแล้ว ผมจ้องไอ้แชมป์ที่มานั่งตรงหน้าก่อนตัดสินใจพูดอะไรออก

“กรูว่ากรูรู้แล้ว”แต่พอจะเริ่มพูดผมก็ต้องเว้นระยะหยุดพักสักครู่เพราะผมว่ามันอาจจะไม่สมควรพูดออกไปก็ได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดหรือถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด ผลที่ออกมาหลังจากที่ผมพูดออกไป มันจะเป็นยังไง

“รู้อะไรของมรึง”อีกฝ่ายจ้องผมอย่างสนอกสนใจ ผมถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะกล่าวออกไปช้าๆ ชัดๆ

“กรูคิดว่ากรูรู้แล้วว่ามรึงชอบใครอยู่”
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 09-11-2014 22:40:51
ขอบคุณที่อัพเร็วทันใจ  :pig4:

ถึงเวลาแล้วสินะแฟ้มที่จะตัดใจแล้วเริ่มต้นใหม่ได้  :katai2-1:

เอาใจช่วยนักเขียน  :กอด1:

หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 09-11-2014 23:00:29
อร้ากกกกก!!!!! อยากอ่านต่อ :hao7:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 10-11-2014 17:42:01

https://www.youtube.com/v/dUMwuGPspsg

คนนึง บอกว่า "ยังรัก" .. ทั้งๆ ที่ "เปลี่ยนไป" 
อีกคน ก็ทำเป็น "เชื่อใจ" .. ทั้งๆ ที่ รู้ว่าอีกฝ่าย "ไม่เหมือนเดิม"

ยังจะเศร้าอีกไหม?
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 10-11-2014 19:45:00
เริ่มต้นใหม่ให้มันจริง ๆ เหอะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [9-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 10-11-2014 21:57:17
“กรูคิดว่ากรูรู้แล้วว่ามรึงชอบใครอยู่”ไอ้แชมป์ชะงักไปทันทีแสดงว่าที่ผมคิดไว้คงไม่ผิดหรอก ทำไมผมไม่ฉุกคิดให้เร็วกว่านี้ ที่มันไม่มีใคร หรือที่มันไปแอบชอบใครคนนึงมันมีเหตุผลอะไรละที่จะไม่บอกให้เพื่อนสนิทอย่างผมรับรู้

“แล้วมรึงคิดว่าเค้าคิดยังไงกับกรู”ไอ้แชมป์มองมาที่ผมอย่างกล้าๆกลัวๆ เหมือนทั้งอยากรู้และไม่อยากรู้ในคำตอบของผม ทำไมกันทำไมผมไม่รู้ให้เร็วกว่านี้ว่าคนที่มันชอบคือผม

“เค้าไม่เคยคิดกับมรึงเกินคำว่าเพื่อนเลยสักนิด”ถ้าผมรู้ให้เร็วกว่านี้ ผมจะไม่ทำร้ายมันมานานขนาดนี้ ผมจะให้มันตัดใจและเลิกสนใจอะไรในตัวผมอีก เพราะยังไงมันก็ไม่มีวันจะเป็นไปได้

“แล้วมรึงคิดว่ากรูควรทำยังไงดี”น้ำเสียงของไอ้แชมป์เริ่มสั่นๆ นี่ผมหักดิบมันเกินไปหรือเปล่า แต่ผมก็คิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วว่าควรจะบอกออกไปตรงๆเสียที ไอ้แชมป์จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับผมแบบนี้ ผมอยากให้มันเปิดใจรับคนอื่นมากกว่า

“แชมป์...กรูว่ามรึงรู้นะว่าจะทำยังไงต่อไป”ผมไม่รู้หรอกครับว่าจะปลอบมันยังไง ผมรู้แค่ว่าควรบอกมันออกไปตามตรงว่าผมไม่มีทางคิดกับมันเป็นอื่น ถ้าผมไม่บอกยังไม่ตัดความคิดของมัน มันก็จะยังคงมีความหวังต่อไป ผมว่าที่มันคอยมาสนใจเอาใจใส่ดูแลผมแบบนี้ มันก็คงต้องหวังบ้างแหละ แม้จะน้อยนิดก็เหอะ อีกอย่างตอนนี้ผมไม่มีใครเลยยิ่งเหมือนว่าความหวังของมันอาจจะมีมากขึ้น

“มรึงให้กรูได้แค่นี้จริงๆ ใช่ไหม”หน้าตาของไอ้แชมป์ดูเศร้าสร้อยอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน การที่รักใครสักคนแล้วเค้าไม่รักตอบมันก็คงจะเศร้าไม่น้อย แต่สักวันแชมป์มันจะต้องเจอคนที่มันรักและก็รักมัน ผมเชื่ออย่างนั้น และการพยักหน้าตอบรับคำพูดของมัน ทำให้ไอ้แชมป์ลุกพรวดขึ้นทันที

“กรูกลับก่อนแล้วกัน”มันหุนหันออกไปโดยที่ผมไม่ทันได้ทัดทาน ได้แต่หวังว่ามันจะเข้าใจผมและกลับมาเป็นเพื่อนกันอย่างที่เราเคยเป็น

“พี่แฟ้ม”เสียงน้องสาวคนสวยของผมดังขึ้น ผมเงยหน้าขึ้นยิ้มให้กับเธอ เฟิร์นก็มาช่วยที่ร้านผมแทบทุกวัน แต่ผมก็ไม่ได้ให้อยู่ช่วยจนดึกดื่นมากนักยกเว้นในช่วงสุดสัปดาห์ จริงๆลูกค้าผมส่วนหนึ่งก็เพื่อนๆ ของเฟิร์นนี่แหละ ผมไม่ได้สอนให้น้องๆดื่มกันนะครับ น้องๆเค้าก็ดื่มกันเป็นอยู่แล้ว แต่ผมก็ต้องคอยเตือนให้ห่วงเรื่องเรียนกันด้วย

“เพื่อนพี่แฟ้มเป็นไรอ่ะ รีบไปไหนรึเปล่า เฟิร์นทักก็ไม่ตอบ”นี่เฟิร์นคงจะสวนกับไอ้แชมป์ตอนออกไปพอดี

ไอ้แชมป์หายไปเลยไม่แวะเวียนมาหาผม โทรศัพท์ที่เคยคุยกันบ้างแปรเปลี่ยนเป็นไม่มีเลย หลังจากวันนั้นมันยอมรับโทรศัพท์ผมแค่ครั้งเดียว ผมโทรไปเพราะเป็นห่วงมันว่าจะเป็นไรหรือเปล่า และมันก็บอกกับผมว่าขอเวลาสักพัก อาจจะนานหน่อยขออย่าได้โทรหามันหรือพยายามติดต่ออีก ไว้มันพร้อมเมื่อไหร่จะมาหาผมเอง แต่นี่ก็ปาเข้าไป 5-6 เดือนแล้วที่มันหายไปเลย สงสัยมันคงยังทำใจไม่ได้ การตัดใจจากใครสักคนมันคงต้องใช้เวลาสักหน่อย ตรงจุดนี้ผมเองก็น่าจะรู้ซึ้งดี เพราะผมเองก็กำลังพยายามตัดใจจากใครบางคน และอาจต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของผมก็เป็นได้ที่จะต้องหนีจากความรู้สึกนี้ให้ได้

“พี่แฟ้ม...ตกลงว่าพี่กับไอ้พี่แชมป์ทะเลาะกันเหรอ”อยู่ๆ น้องเฟิร์นก็พูดขึ้นวันนี้เฟิร์นไม่มีเรียนช่วงบ่ายเลยมาช่วยผมเตรียมของที่ร้าน เร็วกว่าปกติและเราสองพี่น้องก็จัดแจงได้เร็วกว่าปกติเยอะ ผมก็อ่านหนังสือเล่นๆ ส่วนแม่น้องสาวตัวดีตอนแรกก็ดูตำราเรียนอยู่หรอก แต่ตอนนี้คงขี้เกียจอ่านแล้วเลยหาเรื่องคุย ว่าแต่ไหงมาถามเรื่องผมกับไอ้แชมป์กัน

“ทำไมคิดงั้นละหือ”ผมถามออกไปอย่างไม่ได้คิดว่าน้องสาวคนนี้ละลาบละล้วง เพราะผมก็ไม่ได้มีความลับอะไรกับน้องสาวคนนี้อยู่แล้ว

“ก็ตั้งแต่วันที่เฟิร์นเห็นพี่เค้าหุนหันออกจากร้านไปวันนั้น นี่ก็หลายเดือนแล้วพี่เค้าก็ไม่เคยแวะมาที่นี่อีกเลย”ช่างสังเกตจริงๆน้องผม แต่ถึงไม่สังเกตก็รู้สึกได้อยู่แล้วแหละมั้ง

“พี่เค้ากำลังใช้เวลาทบทวนบางอย่างอยู่นะ”ผมตอบเลี่ยงๆ เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องบอกรายละเอียดทั้งหมดออกไป เพราะเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนอื่นด้วยไม่ใช่แค่เรื่องของผมเพียงคนเดียว ถ้าเป็นเรื่องผมเพียงคนเดียวผมคงเล่าให้น้องฟังได้หมดแต่อันนี้ผมก็ไม่ควรเล่าเรื่องเพื่อนให้บุคคลที่สามฟัง

“พี่แฟ้มบอกเลิกพี่เค้าเหรอ”หา...ผมตกใจจนต้องรีบยันตัวที่นอนอ่านหนังสืออยู่ลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินคำถามของแม่น้องสาวตัวดี ไม่คิดว่าเธอจะถามออกมาแบบนี้ นี่เฟิร์นเข้าใจว่าผมกับไอ้แชมป์เป็นอะไรกัน


“พี่กับไอ้แชมป์เป็นเพื่อนกัน ทำไมต้องบอกเลิกกันด้วยละ”ผมยังทำเป็นตอบออกไปอย่างเรียบๆ

“ไม่ต้องมาปิดเฟิร์นหรอกน่า ความรักมันไม่ใช่เรื่องไม่ดีซะหน่อย จะเพศไหนยังไงก็รักกันได้หมดแหละ ทุกวันนี้โลกเรามันเปิดกว้างจะตายไป อีกอย่างนะสายตาที่พี่แชมป์มองพี่มันก็ออกจะชัดเจนปานนั้น แถมความเป็นห่วงเป็นใยที่พี่สองคนมีให้กันอีก เป็นใครก็มองออกหรอกว่าคิดอะไรกันอยู่”เหอๆ นี่ขนาดน้องผมเจอไอ้แชมป์ไม่นานยังดูออกขนาดนี้ แต่ไอ้ผมนี่สิไม่เคยฉุกคิดเรื่องไอ้แชมป์บ้างเลย แบบนี้เรียกบื๊อของแท้เลยตุ

“ฟังพี่นะ...พี่ยอมรับว่าพี่เองชอบผู้ชายด้วยกัน แต่พี่กับไอ้แชมป์เนี่ยเป็นแค่เพื่อนกันไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น”พยายามที่จะอธิบายให้น้องสาวได้เข้าใจในเรื่องระหว่างผมกับไอ้แชมป์ใหม่ ถึงแม้ไอ้แชมป์มันจะชอบผมมากกว่าเพื่อน แต่ผมเชื่อว่าสักวันมันต้องคิดได้ว่าแท้จริงแล้วมันคิดยังไงกับผมกันแน่

“แสดงว่าพี่แชมป์อกหักจากพี่แฟ้มใช่ไหม”สรุปว่ายังไงแม่น้องสาวของผมก็ปักใจเชื่อไปแล้ว แต่ก็นับว่าเดาเรื่องราวได้เก่งเหมือนกันนะเนี่ย ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆกับน้องสาวคนนี้

“ว่าแต่เราเหอะ มาสนใจเรื่องของพี่เนี่ย เรื่องของตัวเองละ นี่น้องสาวพี่มีหนุ่มๆ มาขายขนมจีบบ้างหรือเปล่าหือ”ผมได้ทีสวนกลับน้องบ้าง เจอคำถามนี้ของผมเข้าไปแม่น้องสาวตัวดีก็เขินไปเหมือนกันนะเนี่ย

“เฟิร์นไม่สนใจหรอก ตอนนี้ขอตั้งใจเรียนก่อน”แต่ทำไมผมว่าคำพูดกับอาการมันออกจะสวนทางกันอยู่น้า

“หรือว่าน้องสาวพี่ไปแอบปิ๊งหนุ่มที่ไหนไว้ บอกมาซะดีๆ”ผมจ้องคาดคั้นเอากับแม่น้องสาวตัวดี เพราะน้องผมก็จัดว่าเป็นผู้หญิงสวยคนนึงเหมือนกันนะเนี่ย น่าจะมีคนมาชอบอยู่เหมือนกัน แต่ที่ยังไม่ลองคบใครดูนี่คงเพราะมีคนที่ชอบอยู่แล้วแน่ๆ นี่ผมต้องสวมบทพี่ชายหวงน้องสาวหรือเปล่านะ

“สองพี่น้องเล่นอะไรกันอยู่เหรอครับ”เสียงใครบางคนมาขัดจังหว่ะการซักฟอกน้องสาวของผม เราสองพี่น้องหันไปตามเสียงของผู้มาใหม่ ก่อนจะได้พบกับรอยยิ้มของใครบางคนที่ผมคุ้นเคย

“ตายยากจริงๆเลยพี่แฟ้ม ดูสิเพิ่งพูดถึงก็มาเลย”เฟิร์นกระซิบกับผมเบาๆ ใช่แล้วคนที่มาถึงไม่ใช่ใครที่ไหนแต่คือไอ้แชมป์นั่นเอง หลายเดือนที่ผ่านมาเราไม่ได้เจอกันเลย ดูมันซูบไปเล็กน้อย ผมยิ้มตอบก่อนจะเอ่ยปากทักทาย

“ไปไงมาไงเนี่ย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ สบายดีเปล่า”ผมเอ่ยออกไปแต่ออกจะยังเกร็งๆอยู่เล็กน้อย ถึงแม้จะพยายามเหมือนไม่เคยมีอะไรกระทบความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเรา แต่มันก็ยังตงิดอยู่ในใจเล็กน้อยอยู่ดี

“ก็ดี สบายดี ว่าแต่กิจการมรึงไปได้สวยนิ เดี๋ยวคงรวยแล้วมั้งนิ”เราพูดคุยกันอีกนิดหน่อย แล้วเฟิร์นก็ขอตัวออกไปทำธุระสักครู่ก่อนร้านจะเปิด จริงๆผมว่าเฟิร์นคงตั้งใจเปิดโอกาสให้ผมกับไอ้แชมป์อยู่ด้วยกันสองคนมากกว่า เพราะคงรู้แหละว่าไอ้แชมป์น่าจะมีอะไรต้องคุยกับผมตามลำพัง

“มรึงโอเคแล้วนะ”ผมเอ่ยปากทำลายความเงียบของเราสองคน ผมไม่รู้ว่าตอนนี้มันเป็นยังไงบ้างแล้ว

“ก็ใกล้จะเห็นมรึงเป็นเพื่อนแล้วละ”แสดงว่านี่มันยังตัดใจจากผมได้ไม่หมด แต่ก็อย่างว่าแหละเวลาแค่นี้มันกลับมาเผชิญหน้าผมได้ก็ถือว่าดีแล้ว เราใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่จะพูดคุยกันโดยไม่เคอะเขิน ความที่ห่างกันไปหลายเดือนและเหตุผลที่ทำให้เราไม่ได้เจอกัน มันเลยต้องใช้เวลาจูนคลื่นความเป็นเพื่อนกันนิดหน่อย

“กลับมาแล้ว....นะคะ”แม่น้องสาวผมตะโกนมาแต่ไกล แม่คนนี้ชอบทำอะไรไม่ค่อยจะเข้ากับหน้าตาสักเท่าไหร่เลย หน้าตาก็ดีหรอกแต่ทำตัวกะโปโลเหลือเกิน พอมาถึงก็มาทำตาเจ้าเล่ห์ใส่ผมทันที แถมมองผมกับไอ้แชมป์สลับไปมาอย่างจะจับผิด นี่ตกลงไม่เชื่อที่ผมบอกว่าผมกับไอ้แชมป์เป็นเพื่อนกันใช่ไหมเนี่ย

“พี่แชมป์หายไปนานเลยนะเนี่ย”เฟิร์นพูดคุยถามไถ่อย่างสนิทสนมเพราะสองคนนี้ก็ได้รู้จักกันในระดับนึงแล้ว จะว่าสนิทกันก็พอได้อยู่ เฟิร์นซื้อของกินมาด้วยก่อนจะนำไปจัดแจงออกมาวางที่โต๊ะ แล้วเราสามคนก็ทานกันไปพูดคุยกันไป วันนี้ไอ้แชมป์จะมาค้างกับผมด้วย

“พี่ๆ ถามไรหน่อยดิ”เฟิร์นสะกิดจะถามไอ้แชมป์ดูกิริยาแล้วไม่งามเท่าไหร่ออกจะห้าวหาญเกินหญิงไปนิด ผมเลยต้องส่งสายตาตำหนินิดๆ ให้น้องสาวมีสัมมาคารวะหน่อย เพราะไอ้แชมป์ก็อายุมากกว่าน้องผมหลายปีเหมือนกัน (ก็ห่างเท่ากับผมนั่นแหละ)

“ว่าไงมีไรจะถาม”แต่ดูไอ้นี่ก็ไม่ได้ถือสาอะไรหรอกครับ คงอยากให้ดูเป็นกันเองด้วยมั้งละเนี่ย

“พี่เป็นเกย์ป่ะ”เอาแล้วไงแม่น้องสาวของผมเล่นอะไรอีกละเนี่ย ทั้งผมทั้งไอ้แชมป์แทบจะสำลักกันเลยทีเดียว

“เฟิร์น...ไม่เล่นนะ”ผมบอกอย่างปรามๆ น้องสาว

“อย่าไปว่าน้องเลย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย”ไอ้แชมป์แสดงอาการว่าไม่ได้ถือสาที่น้องสาวผมเหมือนจะละลาบละล้วงมากเกินไป ส่วนแม่น้องสาวตัวดีก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้ผมที่ส่งสายตาดุๆ ให้ไป

“พี่ก็ยังชอบผู้หญิงปกตินะ แต่เคยรู้สึกดีๆให้ผู้ชายคนนึงอยู่เหมือนกัน”ไอ้แชมป์พูดพร้อมกับชายตามองมาที่ผม เอาแล้วไงแม่น้องสาวของผมยิ่งคิดว่าเราเป็นอะไรกันอยู่แล้วด้วย

“แต่ก็เคยรู้สึกกับเค้าแค่คนเดียวนะ บางทีมันอาจจะเป็นแค่ความรู้สึกดีๆกับเพื่อนคนนึงก็ได้ เพราะพี่ก็ยังสนใจเพศตรงข้ามอยู่ แบบนี้เฟิร์นว่าพี่เป็นเกย์ไหม”ไอ้แชมป์ทำเป็นพูดทีเล่นทีจริง แบบไม่ได้ถือสาหาความกับแม่น้องสาวผม ซึ่งแม่ตัวดีก็ทำเป็นตั้งอกตั้งใจฟังเหลือเกิน นี่กะจะเก็บข้อมูลไปทำวิจัยเลยรึไงกัน

“แล้วพี่แชมป์มีแฟนรึยัง”น่านๆน้องผมได้คืบจะเอาศอก เห็นเค้าไม่ถือสาหน่อยเอาใหญ่เลย ผมกำลังจะอ้าปากดุแล้วเชียวแต่ไอ้แชมป์ชิงตอบก่อนอย่างไม่ถือสา แต่ยังไงผมคงต้องสอนมารยาทให้คุณน้องสาวหน่อยเสียแล้ว

“พี่ยังไม่มีแฟนครับ ถามอะไรอีกไหม”ไอ้แชมป์ยิ้มให้แถมตอบเหมือนพูดับเด็กๆ อีกต่างหาก

“อีกคำถามนึงนะสุดท้ายละ”น้องผมศอกนึงไม่พอต้องต่อเป็นวา

“เฟิร์นจีบพี่แชมป์ได้ป่ะ”คำถามของเฟิร์นทำเอาช้อนผมร่วงจากมือ ส่วนไอ้แชมป์นะเหรอถึงกับสำลักกันเลยทีเดียว เราสองคนอึ้งกิมกี่กับคำถามนั้นของเฟิร์น แต่แม่ตัวดียังคงยิ้มแป้นแล้นอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ล้อเล่นหรอกน่า ไม่ขำกันเหรอ”แล้วเฟิร์นก็หัวเราะชอบใจที่ได้เห็นอาการเหวอรับประทานของพวกผมสองคน ตกลงโดนน้องอำเล่นจริงๆ หรือมันยังไงกันแน่

“คราวหลังไม่เล่นแบบนี้นะครับน้องเฟิร์น เฟิร์นไม่คิดแต่พี่คิดนะ เกิดเอาจริงขึ้นมาจะว่าไง”ไอ้แชมป์เล่นมุกกลับแบบขำๆ แต่คราวนี้เหมือนเฟิร์นเองที่ดูจะขำแบบฝืนๆ

วันนี้ร้านผมดูจะคึกคักพอสมควร เพื่อนๆของเฟิร์นมากันหลายคน แล้วก็แขกอื่นๆอีก ทำให้วันนี้วุ่นวายพอดู ดีที่ได้ไอ้แชมป์มาช่วยอีกแรง กว่าจะปิดร้านเก็บของเสร็จก็เล่นเหนื่อยเอาการเหมือนกันนะเนี่ย พออาบน้ำอาบท่าเสร็จจะนอนแม่น้องสาวตัวดีก็มาลากให้ผมไปนอนเป็นเพื่อน ปล่อยให้ไอ้แชมป์อยู่เพียงลำพัง

“พี่แฟ้ม...สรุปว่าพี่แชมป์เค้าชอบพี่ใช่ป่ะ”ทั้งที่ผมสลึมสลือจะหลับอยู่แล้วแต่คุณน้องของผมก็ยังจะชวนคุย วันนี้เป็นอะไรนักหนาสนใจเรื่องผมกับไอ้แชมป์เหลือเกิน หรือว่าอย่าบอกนะว่านี่น้องผมเกิดสนใจไอ้แชมป์ขึ้นมาจริงๆ

“นี่ตกลงสนใจอะไรในตัวไอ้แชมป์นักหนาหือ”เมื่อคิดได้ว่าคงไม่ได้นอนแน่ๆ ก็เลยหันมาตั้งใจคุยกับคุณน้องสาวให้รู้เรื่องรู้ราว

“ไม่ได้ชอบพี่เค้าแล้วกันน่า”แนะมีร้อนตัวด้วยครับ นี่ถ้าน้องผมชอบไอ้แชมป์จริงๆ ผมนี่แหละจะสนับสนุนเต็มที่ ได้เพื่อนรักมาเป็นน้องเขยก็น่าจะดีเหมือนกันนะ อีกอย่างถ้าไอ้แชมป์มีใครเข้ามาบ้าง มันก็จะตัดใจจากผมได้เร็วยิ่งขึ้น

“ชอบก็ได้นะเดี๋ยวพี่ช่วยเชียร์ เอาไหมเพื่อนพี่คนนี้ดีที่สุดแล้ว เอาเปล่า”ผมแกล้งพูดล้อๆ น้องสาวและก็ได้ผลครับเหมือนเฟิร์นจะเกิดอาการเขินจนถามต่อไม่ได้

“ไม่ถามแล้วก็ได้ ถามดีๆทำไมต้องมาแกล้งกันด้วย”น้ำเสียงงอนๆทำให้ผมเริ่มมั่นใจว่าเฟิร์นคงอาจจะเริ่มสนใจในตัวเพื่อนของผมเข้าให้แล้ว

“มีพิรุธนะเนี่ย”ผมยังคงแกล้งแซวต่อไปเพื่อดูปฏิกิริยา

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วพี่แฟ้ม...เออว่าแต่แล้วพี่แฟ้มเคยมีแฟนป่ะ บอกมาซะดีๆ ว่าพี่เขยของเฟิร์นเป็นใคร แต่เฟิร์นก็ไม่เคยเห็นพี่แฟ้มคบใครนี่นา ที่เห็นเข้าเค้าหน่อยก็มีแค่พี่แชมป์ แต่พี่แฟ้มก็บอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับเค้า แล้วตัวจริงของพี่แฟ้มนี่ใครอ่ะ”ตัวจริงงั้นเหรอ ตอนนี้มันไม่มีแล้วละ

“นอนเถอะ”ผมบอกออกไปเสียงเรียบแต่มันคงเรีบเกินไปจนเฟิร์นจับความผิดปกติได้

“เฟิร์นขอโทษที่ละลาบละล้วงมากไป”คุณน้องผมคงคิดว่าผมโกรธเธอเสียแล้วมั้ง

“ไม่มีอะไรหรอก นอนเถอะดึกแล้ว”ผมปิดเปลือกตาลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อนึกถึงใครบางคน
---------------------------------------------------------


แวะมาต่อคร๊าบบบบ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเช่นเคยนะคร๊าบบบบ

ส่วนเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อก็ต้องคอยลุ้นกันแหละเนอะ  o13
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 10-11-2014 22:25:17
อ่านแล้วเริ่มกลัวหักมุมว่าเด็กไม่ใช่ลูกโอเล่ หรือโอเล่มันเลิกกับอ้อน หรือหนักๆก็อ้อนตาย
แค่นี้ก็หนักใจกับตัวละครมากแล้วล่ะ

แค่แฟ้มเป็นอยู่ตอนนี้ก็โอเคแล้วนะ
แล้วค่อยหาคนรักซักคน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 10-11-2014 23:01:39
นานเท่าไรแล้วนะ
ที่แฟ้มหยุดให้ความหวังตัวเอง
รอลุ้นต่อไปว่า ระหว่างเราคือ....???
รอลุ้นว่าจะสามารถมีสถานะที่ชัดเจนหรือไม่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: พิรุณสีเงิน ที่ 11-11-2014 00:17:09
ก็ยังดีที่สุดท้ายแฟ้มก็เลือกที่จะเดินออกมาอย่างจริงจัง
อ่านๆมาตั้งแต่ต้น เราสงสารแชมป์กับอ้อนมากที่สุดนะ
แต่เราไม่สงสารแฟ้มเลย คือทำร้ายตัวเองยังไม่พอยังเป็นการทำร้ายอ้อนด้วยอีกทาง

ส่วนโอเล่ นั้นก็นะ ละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วกัน
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วอึดอัดยังไงไม่รู้เนอะ 555
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 11-11-2014 00:30:03
 :a5: จะจบไงเนี่ยเรื่องเนี่ย ลุ้นๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [10-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 11-11-2014 21:03:18
สามปีผ่านไปไวเหมือนโกหก






“แฟ้มเรื่องไอ้โอเล่กับอ้อนนะ...”

“บอกแล้วไงว่าเราจะไม่พูดเรื่องของเค้าสองคนอีก”ผมบอกกับไอ้แชมป์อีกครั้งเป็นการย้ำเตือนให้มันรู้ว่าผมไม่ต้องการรับรู้เรื่องราวใดๆ ของคนทั้งคู่อีก แต่มันก็ยังอยากที่จะบอกเรื่องราวของทั้งสองคนนั้นให้ผมฟัง นี่มันก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ผมไม่มีอะไรที่จะต้องเกี่ยวของกับสองคนนั้นอีกแล้ว แม้แต่ความเป็นเพื่อนก็เหมือนว่าเราจะขาดกันไปแล้วเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้ติดต่อกันเลย อ้อนอาจจะงงๆ อยู่บ้างที่ผมขาดการติดต่อมาแบบนี้ แต่ผมคิดว่าผมทำดีที่สุดแล้ว

“คุยอะไรกันหน้าเครียดเชียว”เสียงของอีกคนดังมา ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับก็แม่น้องสาวของผมนั่นแหละ ปีนี้ก็เรียนอยู่ปี 4 แล้วดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะแล้ว อีกอย่างเฟิร์นกับไอ้แชมป์ก็เริ่มจะสปาร์กกันบ้างแล้ว จากการส่งเสริมของผมเอง เฟิร์นนั้นยอมรับกับผมว่าสนใจในตัวไอ้แชมป์อยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงกับชอบหรือคิดอะไรเกินเลย อีกอย่างเพราะคิดว่าผมกับไอ้แชมป์เป็นกันมากกว่าเพื่อน แต่เมื่อผมยืนยันอย่างนักแน่น บวกกับตัวไอ้แชมป์เองที่เริ่มตัดใจจากผมได้แล้ว สองคนนี้เลยเหมือนจะเป็นแฟนกันไปโดยไม่รู้ตัวแล้วมั้งเนี่ย แต่อาจจะยังไม่มีอะไรเกินเลยกันไปมากเพราะเฟิร์นมีพี่ชายอย่างผมประกบแจ

พูดถึงไอ้แชมป์ผมว่าตอนนี้มันคงตัดใจอยากผมได้อย่างเด็ดขาดแล้ว และคงจะได้เป็นน้องเขยผมเร็วๆนี้แหละ รออีกไม่นานน้องผมก็จะเรียนจบแล้ว พอจบอาจจะต้องรีบแต่งเลยก่อนเพื่อนผมจะแก่เกินไป

“พูดเรื่องอดีต คนแก่ก็งี้แหละชอบพูดเรื่องความหลัง”ไอ้แชมป์ตอบไป

“เออนี่พี่แชมป์รู้เปล่าว่าทำไมพี่แฟ้มเค้าไม่มีแฟนสักที เฟิร์นละกลัวพี่ชายคนนี้ขึ้นคานจริงๆเลย”เอาอีกแล้วครับ ช่วงหลังๆ มานี่เฟิร์นถามผมบ่อยขึ้นๆ ว่าทำไมผมไม่มีแฟน หรือทำไมไม่สนใจใครเลย เพราะการที่ผมไปเปิดร้านแบบนั้นก็มีน้องๆ มาแซวมาจีบเยอะเหมือนกัน ผมไม่ได้หลงตัวเองนะแต่ที่ร้านผมคนเข้าเยอะนี่หน้าตาเจ้าของร้านอาจจะมีส่วนช่วยดึงดูดลูกค้า แต่ก็นั่นแหละมันทำให้น้องสาวผมอดที่จะแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมผมไม่ยอมมีใคร

“ก็ไอ้แฟ้มมันดันหลงรักพี่จนตัดใจไม่ได้ แต่พี่ดันมาปิ๊งกับน้องสาวแสนสวยของมัน มันเลยตรอมใจไม่ยอมมีใครแบบนี้ ถ้าน้องเฟิร์นไม่อยากให้พี่ชายของเฟิร์นขึ้นคานก็ยกพี่คืนให้แฟ้มมันเถอะนะ”ไอ้แชมป์ทำเป็นพูดติดตลก นี่ถ้าเป็นคนอื่นเค้าจะเข้าใจมันเหมือนเฟิร์นหรือเปล่านะ เพราะเฟิร์นก็รู้ว่ามันเคยชอบผม แต่ก็ยังยอมเปิดใจที่จะเรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างไม่มัวมาระแวงที่ไอ้แชมป์ยังคงสนิทกับผมอยู่

“รู้สึกที่พูดมาเมื่อกี้ มันน่าจะเปลี่ยนเป็นพี่เองไม่ใช่เหรอที่มาหลงพี่แฟ้มของเฟิร์น แหมได้ทีนี่หาช่องเลยนะ พี่แฟ้มเค้าไม่ใจอ่อนกับตัวหรอกน่า อีกอย่างตัวเองก็ไม่ได้หล่อเลือกได้ซะหน่อย อย่ามาทำเป็นรักพี่เสียดายน้องอยู่เลย อย่างพี่แชมป์นี่ถ้าเฟิร์นไม่ยอมคบด้วยจะมีใครที่ไหนเหลียวแลไหมก็ไม่รู้”นั่นแหละครับน้องผมดูพูดเข้า ตัวเองก็ชอบเค้าอยู่ยังมาทำฟอร์มปากดีอีก ไอ้แชมป์เองก็เหมือนกัน

“นี่ตกลงพี่กะเฟิร์นเป็นแฟนกันแล้วใช่ไหม”ไอ้แชมป์ทำเป็นถามอย่างงงๆ จนเฟิร์นงอนแก้มป่องไปแล้ว

“พี่แฟ้มเอาคืนไปเลยนะอีตาผู้ชายพรรค์นี้เฟิร์นไม่อยากได้แล้ว”น้องสาวผมหันมาหาพรรคพวกแล้ว แต่จริงๆคู่นี้ก็เป็นแบบนี้มาตลอดหลายปีนี้แหละครับเถียงกันอีกเล็กน้อยก่อนเฟิร์นจะขอตัวขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

“รู้ไหมเมื่อก่อนเวลากรูอยู่ใกล้ๆ มรึงหรือเวลาคุยกันแบบนี้กรูใจสั่น แบบรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทุกที”ไอ้แชมป์พูดขึ้นหลังจากที่เฟิร์นออกไปแล้ว

“ขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมถามออกไปยิ้มๆ นึกขำที่มีคนเคยรู้สึกกับผมแบบนั้นด้วยแถมยังเป็นคนใกล้ตัวแบบนี้อีก

“ใช่เมื่อก่อนเป็นแบบนั้นจริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่มีอาการแบบนั้นอีกแล้ว ตอนนี้กรูเห็นมรึงเป็นแค่เพื่อนคนนึงแล้ว”เราสองคนยิ้มให้แก่กันในมิตรภาพที่เรามี มิตรภาพระหว่างเพื่อนที่ไม่มีวันจางหาย มันมั่นคงกว่าการที่จะรักกันฉันท์ชู้สาวเป็นไหนๆ

“กรูยังเปิดใจใหม่รับเฟิร์นเข้ามาได้ แล้วมรึงละแฟ้ม เมื่อไหร่จะลองเปิดใจรับใครเข้ามาบ้าง”เป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ยากเลยสำหรับผมแต่คนที่รับฟังคงไม่ชอบใจเท่าไหร่มั้ง เพราะหัวใจผมมันปิดไปแล้วและคงไม่เปิดรับใครขึ้นมาอีกเป็นแน่แท้

“กำลังพยายามอยู่นะ”ผมบอกออกไปอย่างไม่เต็มเสียงนัก แต่ใจจริงก็อยากทำอย่างที่พูดเหมือนกันนะ แต่มันยังทำไม่ได้สักทีนี่สิ มันเหมือนยิ่งอยากจะเปิดใจมีใครเข้ามา แต่มันกลับเหมือนยิ่งเปิดความรู้สึกเดิมๆ ที่เคยมีกับเค้าขึ้นมาอีกครั้ง คงด้วยความที่ผมเคยมีเค้าแค่คนเดียว ไม่เคยคบคนอื่นอีก นี่ถ้าผมเคยคบกับคนอื่นบ้างมันน่าจะลองรับใครอีกสักคนเข้ามาบ้างก็ได้

“พี่แชมป์...พี่แฟ้มสวัสดีครับ”เสียงใครอีกคนดังเข้ามาทักทายพวกเราสองคน เค้าคือเพื่อนที่เรียนด้วยกันกับเฟิร์นนั่นเอง ชื่ออ้วน อ้วนเป็นหนุ่มตี๋พิมพ์นิยม ตามแบบที่คนทั่วไปตอนนี้ชอบๆ กัน เฟิร์นชอบเรียกเพื่อนคนนี้ว่า อ้วน รังสิต ตอนแรกผมก็งงว่าเค้าเป็นคนรังสิตเหรอ ที่ไหนได้คือมันเหมือนชื่อดาราคนนึงต่างหาก สงสัยผมไม่ค่อยได้สนใจดารานักร้องเท่าไหร่แล้ว เลยไม่ค่อยรู้จัก แต่พอน้องบอกเหมือนดาราก็เข้าใจว่าหน้าตาเหมือนหรือเปล่า แต่พอได้ดูจากรูปที่แม่น้องสาวเอามาให้ดู ก็ไม่เหมือนกันเท่าไหร่ เพราะน้องอ้วนนี้แม้จะตี๋ๆ แต่ออกแนวเข้มๆ หน่อยประมาณตี๋เซอร์นั่นแหละครับ

ผมรู้จักเพื่อนของเฟิร์นเกือบทั้งหมดเพราะต่างแวะเวียนมาเป็นลูกค้าประจำร้านผมกันทั้งนั้น แต่กับอ้วนนี้รู้สึกจะมาบ่อยเป็นพิเศษ ตอนแรกเลยผมนึกว่ามาชอบพอกันกับแม่น้องสาวของผม แต่ทั้งสองก็ยืนยันหนักแน่นว่าเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น และก็คงจะจริงเพราะน้องสาวผมก็ตกร่องปร่องชิ้นกับไอ้แชมป์ไปแล้ว ส่วนนายน้องอ้วนนี่ก็เห็นเฟิร์นบอกว่ากิ๊กเยอะแยะไป แต่ก็แปลกที่ไม่ยักกะเคยเห็นเค้าพาแฟนมาที่ร้านนี่บ้างเลย แต่ก็ช่างเหอะมันไม่ใช่เรื่องของผมนี่นา

“มาหาเฟิร์นเหรอ”ผมเอ่ยถามออกไปหลังจากที่กล่าวคำทักทายตอบไปแล้ว คิดว่าเค้าคงไม่ได้มานั่งดื่มหรอกเพราะมาคนเดียวแบบนี้น่าจะไปสังสรรค์ กับเพื่อนๆที่อื่นมากกว่า และคงจะมารับแม่น้องสาวของผมนั่นเอง ปกติจริงๆ ผมกับเฟิร์นจะนอนที่บ้านซึ่งเป็นคนละที่กับร้าน แต่เฟิร์นก็ขนข้าวของบางส่วนมาไว้ที่นี่เหมือนกัน เพราะบางทีเลิกเรียนถ้ากลับไปบ้านจะไกลกว่าที่ร้านเลยมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่บ้าง แต่ก็กลับไปนอนที่บ้านอยู่ดี ยกเว้นวันไหนที่เพื่อนๆ ของเฟิร์นมากันเยอะๆ ร้านปิดแล้วยังพากันดื่มต่อข้างในนี้ ภายในร้านของผมก็จะแปรสภาพเป็นแคมป์เล็กๆ ให้พวกน้องๆ สนุกกันแหละครับ ดีที่ถ้าปิดร้านแล้วเสียงไม่ค่อยดังออกไปภายนอกและแถวๆ นี้พอร้านปิดก็ไม่ค่อยมีใครอยู่หรอก เลยไม่ได้สร้างความรบกวนคนอื่นเท่าไหร่

“ครับ...พอดีวันนี้มีเพื่อนเลี้ยงวันเกิด แต่เจ้าของวันเกิดดันอยากจะจัด party No L เลยจะพากันไปฉลองความแก่ที่ร้านนมสดนะครับ เลยไม่ได้มาอุดหนุนร้านพี่แฟ้มเลย แต่ไม่เป็นไรไว้ดื่มนมเอียนแล้วอาจจะมาต่อที่นี่ก็ได้ครับ”หนุ่มรุ่นน้องบอกอย่างยิ้มแย้ม คำพูดเค้าเหมือนจะพูดเอาใจผมแต่เพื่อนๆ ทุกคนของเฟิร์นก็ชอบพูดแบบนี้แหละ เหมือนกลัวว่าผมจะงอนที่หนีไปสนุกกันที่อื่น แต่ผมเองไม่ได้คิดอะไรหรอก เพราะน้องๆ เองก็คงเบื่อกันบ้างแหละถ้าต้องมาแต่ร้านเดิมๆ อีกอย่างวันเกิดไม่ดื่มแอลกอฮอล์กันก็ดีเหมือนกันนะ คนเจ้าของวันเกิดนี่เข้าใจคิดนะเนี่ย

“ไปดื่มนมกันบ้างก็ดี เพื่อสุขภาพ เหล้า-เบียร์นะเพลาๆ บ้างก็ได้ ร้านพี่ไม่เจ๊งหรอกถ้าพวกอ้วนไม่มานะ”ได้ทีขอโม้ร้านตัวเองหน่อยครับ แต่จริงๆ ร้านผมก็มีลูกค้าอยู่เรื่อยๆ และครับเยอะบ้างน้อยบ้างแล้วแต่วัน แต่ไม่เคยถึงกับเงียบนะ เพราะถ้าเงียบผมกับเฟิร์นสองพี่น้องก็สร้างเสียงอึกทึกกันเองเหอๆ

“อ้าว...มาแล้วเหรอไอ้อ้วน”ดูเรียกเพื่อนเข้าครับ น้องผม ถ้าได้ยินแต่เสียงนี่ผมคงคิดว่าคนที่ถูกเรียกนี่ต้องหุ่นแบบสมบูรณ์สุดๆ เป็นแน่ แต่กลุ่มเพื่อนก็แบบนี้แหละครับอาจจะพูดจาไม่ค่อยไพเราะต่อกัน แต่เวลาพูดกับผู้หลักผู้ใหญ่พวกนี้ก็มีสัมวาคารวะดีนะครับ

“วันนี้ขออนุญาตควงเฟิร์นสักวันนะครับพี่แชมป์”นายน้องอ้วนหันไปขออนุญาตเพื่อนผม เพราะรู้ดีว่าสองคนนี้คลิ๊กกันอยู่ แต่แม่น้องสาวผมเบ้ปากพร้อมกับยิ้มเหยียดๆ ให้กับไอ้แชมป์ก่อนจะพูดอย่างประชดประชัน

“ไปขอเค้าทำไม ชั้นไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าซะหน่อย ถ้าจะขอนะขอพี่แฟ้มยังจะดีกว่าอีก แต่จริงๆชั้นว่าเรามาลองกิ๊กกันดูบ้างไหม สนใจเปล่า”สงสัยจะยังงอนไอ้แชมป์ไม่หายเลยแกล้งพูดเล่นกับเพื่อนแบบนี้ บทจะงอนนี่ก็เอาเรื่องเหมือนกันนะครับน้องผม

“ไม่เอาหรอก เดี๋ยวแฟนคลับก็หายหมดกันพอดี”นายน้องอ้วนทำทีปฏิเสธอย่างไม่แยแสในข้อเสนอของน้องสาวผม ส่วนแม่ตัวดีพอไม่มีใครเข้าข้างก็หน้าหงิก ฮึดฮัดใหญ่เลยละครับ ทำตัวยังกะเด็กๆ หนอน้องเรา

“ย่ะ...ชั้นไม่ได้พิศวาสนายหนักหรอกนะ พ่อ อ้วน รังสิต ปทุม ลำลูกกา คลองธัญญะ”เฟิร์นพูดอย่างงอนๆ แถมยกชื่อสถานที่มาต่อท้ายให้เพื่อนเสร็จสรรพ จากที่น่าจะเป็นดารา กลับกลายเป็น สายรถเมล์ ซะละมั้งนั่น

“เอ้าไปกันได้แล้วมั้ง แล้วทำตัวดีๆละ พี่เป็นห่วงนะ”ไอ้แชมป์เอ่ยปากออกมาเหมือนจะเป็นการง้อหน่อยๆ เพราะคงจะรู้ว่าน้องผมงอนนั่นเอง และก็เหมือนจะได้ผลน้องผมเกิดอาการเขิน แต่ก็ยังคงทำโวยวายกลบเกลื่อน

“ห่วงอะไรกัน เป็นอะไรกันหรือก็เปล่า”บอกออกมาอย่างพาลๆ จนผมและนายน้องอ้วน อดที่จะขำไม่ได้ในท่าทีน้องผู้หญิงคนนี้

“พี่ห่วงเพื่อนๆ เฟิร์นนะ กลัวเค้าเป็นบาดทะยักกัน เพราะยังไม่ได้ฉีดยาให้เฟิร์นเลย”เอ้าจากตอนแรกเหมือนจะดีกัน แต่ไหงกลับมากัดกันอีกแล้ว ช่วงนี้รู้สึกไอ้แชมป์กวนโมโหเฟิร์นบ่อยเหลือเกิน ผมเคยถามมันก็บอกว่าเวลาเฟิร์นฟึดฟัดแล้วน่ารักดี ดูมีชิวิตชีวา

“ไอ้พี่...”เฟิร์นพูดได้แค่นั้นก็โดนนายน้องอ้วนปิดปากลากออกไปอย่างทุลักทุเล แต่แม่ตัวดียังชี้มือชี้ไม้หมายจะเอาเรื่องเพื่อนซี้ผมไว้อย่างคาดโทษ ส่วนผมสองคนนะเหรอได้แต่นั่งหัวเราะกับท่าทางนั้น

“หึงบ้างไหมเห็นเฟิร์นไปกับเพื่อนผู้ชายแบบนี้”ผมถามออกไปหลังจากที่สองคนนั้นลับตาไปแล้ว ที่ถามเพราะมันน่าจะมีบ้างที่ต้องเห็นแฟนตัวเองไปกับคนอื่นแบบนี้ แต่ดูไอ้แชมป์ไม่ได้มีทีท่าอะไรเลย ถ้าเป็นผมคงแอบคิดบ้างถึงจะไม่มากก็เหอะ

“ไม่หรอก เพราะน้องอ้วนนั่นเค้าชอบคนอื่นอยู่ ไม่มีทางหันมาสนใจเฟิร์นของกรูหรอก”ไอ้แชมป์พูดอย่างมั่นอกมั่นใจจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรทำให้มันมั่นใจขนาดนั้น

“พูดยังกะรู้ว่าน้องมันชอบใครอยู่งั้นแหละ”เร็วเท่าความคิดปากผมก็ทำงานทันที

“รู้สิ”ไอ้แชมป์หันมาตอบผมพร้อมกับยิ้มอย่างมีเลศนัย

“น้องเค้าชอบมรึงนั่นแหละไอ้แฟ้ม ไอ้ประสาทรับรู้ช้า”คำตอบไอ้แชมป์ทำเอาปลงๆ กับมันครับ เพราะคิดว่ามันกำลังผมอำผมเล่นเสียมากกว่า มันไม่ได้มีความเป็นไปได้เลยสักนิด น้องเค้าจะมาชอบผมได้ยังไงกัน ไม่เห็นมีทีท่าอย่างนั้นเลยสักนิดเดียว

“ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วใช่ไหมเนี่ย กรูต้องขำกับมุขนี้ของมรึงไหมหือ”ผมได้แต่ส่ายหน้า อย่างระอากับมันครับ

“มรึงเชื่อกรูสิแฟ้ม สายตาที่น้องมันมองมรึงนะ ไม่ได้ต่างจากที่กรูเคยมองเมื่อก่อนเลย”นี่มันชักยังไงๆ แล้วนะไอ้แชมป์จะอำผมมากไปหรือเปล่าเนี่ย

“ตกลงนี่มรึงพูดจริงหรือพูดเล่น”

---------------------------------------

เรื่องเวลาดูโดดๆ ไปหน่อย เนอะ 3 ปีผ่านไปเร็วเกิ๊น 555

แต่จริงๆ คือตั้งใจอยากให้ดูชัดขึ้นว่าแฟ้มพยายามจะตัดโอเล่ออกจากชีวิตจริงๆ

ส่วนตัวละครใหม่ที่เพิ่มมาก็ต้องดูต่อไปว่าจะมาแนวไหน

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามเช่นเคยคร๊าบบบ  o13
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 11-11-2014 21:39:33
ระหว่างเรา
จบลงจริงๆนะ

..ไม่เชื่อ..
คนแต่งไม่ต้องมาหลอก
 :serius2:


ดำคู่ขาว ดาวคู่เดือน เพื่อนคู่อยู่
ดำรับรู้ ดาวรับฟัง เพื่อนครั้งไหน
ขาวดำรง เดือนคงคืน เพื่อนเรื่อยไป
ถึงห่างไกล ไม่ไปลับ วกกลับมา

..ตราบใดที่ยังรัก ก็ยังมีความหวังรออยู่..
กลับมานะ
 :impress:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 11-11-2014 21:55:09
ผ่านมาหลายปีแล้ว อยากรู้จัง ว่าแฟ้ม
เคยมีจินตนาการ อะไรบ้างมั้ยเกี่ยวกับโอเล่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 12-11-2014 00:28:44
3 ปี ผ่านไปอิเล่ยังไม่ไปผุดไปเกิด ใช่มั้ย
เฮ้อออ!!!!   :z3: :z3: :z3: :z3:
แฟ้มเอ๋ย เลิกเคี้ยวเอื้องได้แล้วลูก ขุ่นแม่ขอร้อง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 12-11-2014 01:30:20
อย่าบอกว่านะ พี่ตี้แฟนเก่าเค๊กของเรื่อง (ไม่)รักได้ไงจะเข้ามามีบทบาทหรือเปล่า?

อิเล่เอ๊ย  :beat: ไปผุดไปเกิดเหอะ อย่ามาหลอกหลอนแฟ้มอีกเล๊ย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [11-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 12-11-2014 21:08:06
“มรึงเชื่อกรูสิแฟ้ม สายตาที่น้องมันมองมรึงนะ ไม่ได้ต่างจากที่กรูเคยมองเมื่อก่อนเลย”นี่มันชักยังไงๆ แล้วนะไอ้แชมป์จะอำผมมากไปหรือเปล่าเนี่ย

“ตกลงนี่มรึงพูดจริงหรือพูดเล่น”ผมถามเพื่อความมั่นใจว่าเพื่อนไม่ได้แกล้งอำเล่นๆ แต่ผมก็ยังไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่มันพูดเท่าใดนัก ก็อยู่ๆ จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าจะมีคนมาคิดกับผมแบบนั้น อีกอย่างนายน้องอ้วนนั้นกับผมก็แค่รู้จักกันธรรมดาในฐานะพี่น้องธรรมดา ยังไม่เห็นวี่แววของเรื่องนี้เลย

“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร ยังไงมรึงก็ลองสังเกตดูเองแล้วกัน ที่พูดนี่เพราะเห็นน้องมันเหมือนจะยังไม่กล้าจะรุกเท่าไหร่ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้คงไปไม่ถึงไหน ส่วนทางมรึงนะคงจะไม่รู้สึกตัวง่ายๆ หรอกว่ามีคนรู้สึกดีๆด้วย กรูเลยต้องเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้มรึงไง มรึงจะได้เริ่มเปิดใจมองน้องมันบ้าง จะได้ไม่เหมือนเรื่องของมรึงกับกรูที่เราเริ่มมองกันในฐานะเพื่อนมาตลอดความรู้สึกมรึงมันเลยค่อนข้างเปลี่ยนลำบาก แต่มรึงกับน้องอ้วนถ้าให้มรึงรู้แต่เนิ่นๆ อย่างนี้จะได้มองน้องเค้าในฐานะอื่นบ้างไง”ผมพยายามคิดตามที่ไอ้แชมป์มันพูด เรื่องของผมกับมันนี่ผมเข้าใจนะเพราะผมมองมันเป็นเพื่อนมาตลอดยังไงๆ ก็คงมองในฐานะอื่นไม่ได้ แต่ส่วนเรื่องนายน้องอ้วนนี่ ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไร อยู่ๆ จะให้ผมไปนึกชอบพอด้วยมันคงไม่ใช่เรื่องอะไรที่จะเกิดขึ้นปุบปับแน่ๆ

“ที่พูดไปนี่เข้าใจบ้างไหม”ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับคำสาธยายของไอ้แชมป์มัน

“มรึงก็ออกจะฉลาดทำไมเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจว่ะ”

“ก็ความรักมันเข้าใจยากไง”ผมตอบออกไปก่อนจะหัวเราะออกมา ความรักมันก็เป็นสิ่งที่ดี สวยงามแต่ไม่จำเป็นว่าต้องรักกันแบบชู้สาวนิ ตอนนี้ผมก็มีความสุขดีแล้ว ยังไม่อยากไขว่คว้าอะไรเท่าไหร่หรอก แค่มีความรักให้เพื่อน ให้น้อง ให้พ่อกับแม่ มันมีมีความสุขดีอยู่แล้วนิ ทำไมต้องหาเรื่องทุกข์ใจเพิ่มเข้ามาอีก

“ยังไงก็ลองให้โอกาสน้องมันดูบ้างแล้วกัน”นึกว่าจะจบแล้วนะครับเรื่องนี้ แต่ไอ้นี่ยังยังไม่ยอมละความพยายาม ไม่รู้ว่าไอ้แชมป์คิดยังไงถึงมาเชียร์ให้ผมลองเปิดใจให้นายน้องอ้วนนี่ มีดีอะไรนักเชียว

“กลัวกรูขึ้นคานรึไงเนี่ย อยากจะจับคู่ให้กรูจัง”ผมแกล้งว่าอย่างไม่ได้ถือสาอะไรนัก เราสองคนหัวเราะกันเบาๆ งงๆด้วยกันทั้งคู่แหละว่าทำไมต้องมาคุยเรื่องนี้กันด้วย แต่ผมดีใจนะที่ไอ้แชมป์มันคิดกับผมแค่เพื่อนแล้ว แถมยังมาเป็นว่าที่น้องเขยผมอีก

“เออ มรึงไม่ได้กลับกรุงเทพฯ นานแค่ไหนแล้วเนี่ย”อยู่ๆ ไอ้แชมป์ก็เอ่ยถามขึ้น ทั้งๆที่มันก็น่าจะรู้ว่าผมก็ไม่ได้กลับไปเลยตั้งแต่มาอยู่ที่นี่นั่นแหละ ก็แปลกดีเหมือนกันนะ ที่ไม่ได้กลับบ้านเลย ตั้งหลายปีแล้วทำยังกับว่ามันไกลกันเหลือเกินทั้งที่ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงแล้ว แต่นี่ผมทำเหมือนอยู่กันคนละซีกโลก จะเดินทางแต่ละทีแสนยากลำบากเสียเต็มประดา

“ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่ะ”ผมตอบออกไปเสียงหม่นๆ ไม่รู้ทำไมผมต้องคิดเรื่องที่มันเป็นเหตุให้ผมต้องมาอยู่ที่นี่จนได้สิน่า เรื่องมันก็นานมากแล้ว แต่ทำไมความรู้สึกผมมันยังไม่เปลี่ยนไปสักที มันเหมือนทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ผมกลัวการที่จะกลับไปกรุงเทพฯ กลัวเจอเค้า ที่กลัวที่สุดคือการเจออ้อน ผมกลัวจะทำให้อ้อนสังเกตเห็นความผิดปกติ กลัวไปหมด เลยทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนเก่าคนนึงที่ไม่มีความจำเป็นต้องพบเจอพวกเค้าอีก

“ไม่ห่วงพ่อกับแม่บ้างเหรอ”ใช่แล้วพ่อกับแม่ของผมซึ่งอายุก็มากขึ้นทุกวัน ต้องอยู่กันสองคน แต่ผมก็ใกล้จะหายห่วงแล้ว เพราะอีกไม่นานเฟิร์นก็จะเรียนจบแล้ว พอจบก็คงกลับไปหางานทำอยู่กับพ่อและแม่ เกิดถ้าเฟิร์นแต่งงานแต่งการไปก็คงให้สามีของเฟิร์นย้ายเข้าบ้านพวกผมแน่นอน ยิ่งถ้าเป็นไอ้แชมป์นี่ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่

“เวลาพวกท่านเหงาก็แวะมาเยี่ยมกรูกับเฟิร์นที่นี่ออกจะบ่อย มรึงก็รู้”ใช่แล้วปกติพ่อกับแม่ผมก็แวะมาที่นี่บ่อย หรือไม่ถ้าวันหยุดยาวหรือปิดเทอม เฟิร์นก็กลับบ้านที่กรุงเทพฯเป็นประจำ และถึงผมไม่ได้กลับไปเลยแต่ก็โทรหาพวกท่านตลอด

“มรึงนี่ทำบาปคนแก่นะเนี่ย ให้พวกท่านเดินทางมาหาลูกอย่างมรึง แทนที่มรึงจะเป็นคนไปหาพวกท่าน”ไม่ต้องให้มันมาตอกย้ำ ผมก็รู้สึกผิดอยู่แล้ว เพียงแต่ผมยังอ่อนแอเกินไปที่จะต้องกลับไปเท่านั้นเอง

“ไว้กรูจะกลับไปบ้างแล้วกัน มรึงนี่เล่นมาพูดยังกะกรูจะเป็นลูกอกตัญญูซะงั้นแหละ”มันคงจะถึงเวลาแล้วละมั้งเพราะเรื่องราวต่างๆ มันก็นานพอควรอีกทั้งโอเล่กับอ้อนก็คงมีความสุขดีอยู่แล้ว ผมกลับไปบ้านก็ใช่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเค้าเสียเมื่อไหร่

วันนี้ผมกับไอ้แชมป์ก็รอจนดึกดื่นกว่าแม่น้องสาวตัวดีของผมจะกลับมา แถมพอกลับมาก็เมาแอ๋กันมาเลย นายน้องอ้วนเมานี่ไม่เท่าไหร่หรอกครับช่างมันแถมเป็นผู้ชายอีกไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่แม่น้องสาวของผมนี่สิ หัดทำตัวเป็นเมรีขี้เมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ทุกทีก็เคยเห็นดื่มอยู่หรอกแต่ไม่ได้เมามายขนาดนี้ แล้วไหนบอกว่าพากัน party No L ไหงกลับมาสภาพนี้กัน พอลองถามไถ่ก็ได้รับคำตอบเสียงอ้อแอ้จากนายน้องอ้วนนี่ว่าที่ร้านนมสดนั่นนะเค้ามีเบียร์ขายด้วย แต่แรกจะดื่มกันนิดหน่อย แต่พอดื่มแล้วชักเบรกไม่อยู่ เลยกลับมาในสภาพแบบนี้ ผมละโล่งใจที่พากันขับรถกลับมาได้

“เอาไงดี”ไอ้แชมป์หันมาถามความเห็นจากผมว่าจะจัดการขี้เมาสองคนนี้ยังไงดี เฟิร์นนี่ไม่ห่วงเท่าไหร่เพราะผมพากลับไปบ้านเช็ดหน้าเช็ดตาให้หน่อย ก็ปล่อยกองไว้ที่เตียงในห้องนอนได้แล้ว แต่นายน้องอ้วนนี่สิ ดูท่าจะขับรถกลับไม่ไหวแน่ๆ แถมถ้าจะไปส่งผมกับไอ้แชมป์ก็ไม่รู้ว่าน้องมันพักที่ไหน

“เดี๋ยวกรูพาเฟิร์นกลับบ้าน มรึงก็ช่วยดูแลน้องอ้วนมันหน่อยแล้วกัน”ผมออกความเห็นเพราะถ้าจะพากลับบ้านไปด้วยก็ไม่มีที่หลับที่นอนที่ดีกว่าที่น้องมันนอนอยู่ตอนนี้หรอก แต่ไอ้ครั้นจะปล่อยทิ้งไว้คนเดียวก็กะไรอยู่

“แล้วทำไมต้องเป็นกรู มรึงก็อยู่ไปสิเดี๋ยวกรูดูแลเฟิร์นให้เองก็ได้”แหมทำเป็นพูดดี แต่ไม่ทางซะหรอก ยิ่งน้องผมเมาๆ แบบนี้ไม่อยากให้มันเกินเลย ความจริงผมก็ไม่ได้ถือเรื่องนี้เท่าไหร่หรอกนะครับ พอจะรู้จะเข้าใจว่าคนเราคบกันมันก็ต้องมีความต้องการเรื่องอย่างนั้นบ้าง แต่ที่วันนี้ผมไม่ยอมเพราะผมเองไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนนายน้องอ้วนนี่ต่างหาก

“งั้นก็ปล่อยมันไว้นี่แหละ ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็ปิดล็อคประตูไว้ เราก็กลับเลยแล้วกัน”ถึงแม้จะไม่ค่อยเห็นด้วยความความคิดไอ้แชมป์ แต่เราก็ปิดล็อคประตูจากด้านนอกขังนายน้องอ้วนไว้ในร้านของผม ยังไงซะพรุ่งนี้ค่อยมาดูอีกที คงยังไม่ตายหรอกแค่เมาเอง อย่างมากตื่นมาอาจจะงงนิดหน่อยที่ถูกขัง แต่ในร้านผมก็มีอะไรให้ครบทุกอย่าง ไม่ลำบากหรอก แล้วผมกับไอ้แชมป์ก็ช่วยกันประคองเฟิร์นขึ้นรถกลับบ้าน

เช้าวันนี้ผมตื่นค่อนข้างสายเพราะคิดว่าไม่มีธุระอะไร แต่แล้วผมก็นึกขึ้นได้ ว่าผมขังเพื่อนของเฟิร์นไว้ที่ร้านนี่หว่า คิดได้ก็รีบลุกอาบน้ำแต่งตัวทันที ส่วนแม่น้องสาวผมกับพ่อเพื่อนสนิท ยังไม่ตื่นกันหรอกครับ ยังคงพากันเฝ้าพระอินทร์กันต่อไป ผมรู้สึกกังวลกับนายน้องอ้วนนิดหน่อยเพราะเผื่อเค้ามีความจำเป็นต้องไปทำธุระอะไร แต่ยังติดอยู่ในร้านผม ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างนะ ไอ้ร้านผมมันก็มีทางออกทางเดียวซะด้วยสิ ปกติถ้าพวกอ้อนและเพื่อนนอนที่ร้านจะมีคนปิดล็อคจากด้านใน แต่กรณีนี้มันไม่มีใครมาล็อคเลยต้องปิดจากด้านนอก

ผมเปิดประตูเข้าไปภายในร้านแต่สำรวจหลายซอกมุมก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตคล้ายคน ตนใดอยู่ กำลังนึกอยู่ว่ามันหายไปไหนได้ยังไง แต่ก็พลันได้ยินเสียงฮัมเพลงดังแว่วออกมาจากห้องน้ำ สงสัยตื่นแล้วลุกไปอาบน้ำนั่นเอง ขณะที่ผมกำลังยืนอยู่หน้าห้องน้ำนั่นเองจู่ๆ ประตูห้องน้ำก็เปิดออก ภาพที่ผมได้เห็นทำเอาต้องอ้าปากค้างกันเลยทีเดียว

ชายหนุ่มหน้าตี๋ ที่มีหยดน้ำเกาะตามกล้ามเนื้อแกร่งยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ มีทีท่าตกใจไม่แพ้ผมเลยสักนิด จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรกันเล่า ก็เค้าเล่นเปิดประตูออกมาทั้งที่ร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ใดๆ ห่อหุ้ม สายตาผมเหลือบมองบางอย่างโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเงยหน้ามองเค้าที่คงกำลังอึ้งไม่คิดว่าผมเข้ามาที่ร้านแล้ว

“ก..กะ..กลับเข้าไปก่อนดีไหมเดี๋ยวพี่หยิบผ้าเช็ดตัวให้”ผมพูดติดๆ ขัด ก็ใครมันจะไปตั้งตัวทันกัน ไม่ได้คิดไว้ว่าต้องมาเจอสถานการณ์แบบนี้ หัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะ ไอ้นายน้องอ้วนจะรู้ไหมว่าทำผมเกือบหัวใจวาย แถมภาพน้องชายของเค้ายังติดตาหลอกหลอนผมอีก


อย่างที่เคยบอกตอนต้นว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวกะอีกเรื่องนึง นิดหน่อย

ซึ่งก็ลงในอีกเรื่องแล้วว่า อิ๊เล่ที่เริ่มหายไปจากเรื่องนี้ ยังไม่ไปผุดไปเกิดแต่ตามไปโผล่ที่อีกเรื่อง  :z3:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [12-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 12-11-2014 21:15:54
น้องอ้วนขา  เป็นปู้จายดีๆหน่อยนะ ป้าจะได้เชียร์หนูให้พี่แฟ้มมัน   

กลับไปอ่านอีกเรื่อง โอ๊ย อีเล่ ยังมาหลอนอีกเหรอ ถ้าลอกลายไม่หมดไปจากสันดานก็อย่ามาใกล้แฟ้มเลยนะ

ขอบคุณค่าที่อัพรวดเร็วทันใจ :pig4:

หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [12-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 13-11-2014 18:18:47
“โทษทีนะครับ พอดีผมลืมหยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปด้วยแล้วก็ไม่นึกว่าจะมีคนมาเร็วขนาดนี้ นึกว่าจะโดนขังลืมซะอีก”นายน้องอ้วนพูดอย่างเขินๆ แต่ก็ยังแอบกวนๆ อยู่เล็กน้อย ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเฟิร์นเป็นคนมาดูเพื่อนตัวเองแล้วมาเจอแบบนี้จะเป็นไง แต่รายนั้นคงไม่เป็นไรเพราะถ้ามาไม่เจอเพื่อนคงตำโกนจนลั่นและคนในห้องน้ำคงจะรู้ตัว

ตอนนี้นายน้องอ้วนยังยืนคุยกับผมด้วยชุดผ้าขนหนูผืนเดียวมันทำให้ผมไม่กล้าสบตาเค้าเลยเวลาพูด ก็ไอ้ภาพเมื่อกี้มันยังติดตานี่สิ แม้เค้าจะมีผ้าพันกายท่อนล้างแล้ว แต่ผมไม่ต้องจินตนาการเลยว่าภายใต้ผ้าผืนนั้นมันเป็นยังไง

“มีเสื้อผ้าเปลี่ยนไหมเนี่ย”ผมพยายามหาบทสนทนาเพื่อลำลายบรรยากาศกระอักกระอ่วนเมื่อครู่ ก่อนจะหันไปหาพวกเสื้อยืดของผมมาให้เค้าเพราะถ้าให้ใส่เสื้อตัวเดิมคงจะไม่ไหว มีทั้งกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่

“เสื้อน่าจะพอใส่ได้ แต่กางเกงพี่ว่าอ้วนคงต้องทนใส่ตัวเดิมไปก่อน เพราะคงใส่กางเกงพี่ไม่ได้”พร้อมกับยื่นเสื้อยืดที่คิดว่าเค้าน่าจะใส่ได้ให้ ก่อนจะต้องสาละวนกับการล้วงหาโทรศัพท์ที่ดังขึ้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอ้แชมป์นั่นเองโทรมาถามว่าผมอยู่ไหน พอผมบอกไปก็หัวเราะชอบใจใหญ่ มันบอกให้ผมตามสบายเดี๋ยววันนี้ขอเอาตัวน้องสาวผมไปออกเดทหน่อย

“ยังไงซะก็อย่าเพิ่งรวบหัวรอบหางน้องมันละ เดี๋ยวเด็กมันจะเสียขวัญ เตลิดหนีไปก่อน”ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิดคำด่าไอ้แชมป์ก็ชิงวางสายทันที ผมได้แต่ฮึดฮัดในใจ ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้น้องเขย พอหันหลังกลับมาก็เจอนายน้องอ้วนยืนจ้องผมอยู่แล้ว ตอนนี้เค้าแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ด้วยกางเกงยีนส์ตัวเดิมจากเมื่อคืนกับเสื้อยืดของผมที่ดูมันจะเล็กไปหน่อยแต่ก็ไม่ถึงกับใส่แล้วดูน่าเกลียด จากท่าทางที่เห็นนายน้องอ้วนนี่คงยังเขินๆ กับเรื่องที่แก้ผ้าโชว์ผมอยู่ไม่น้อย แต่ไอ้ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี เอาเป็นว่าแกล้งลืมๆ มันไปนี่แหละอย่าไปพูดถึงเลย ผมไม่พูดเค้าไม่พูดเดี๋ยวก็ลืมไปเองแหละ
“ผมนึกว่าวันนี้จะโดนขังลืมจนเย็นซะแล้ว”เค้าเป็นคนเริ่มบทสนทนา คงเพราะไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรมั้งเลยพูดแบบนี้มาอีกทั้งที่เค้าก็บอกผมไปแล้วรอบนึงนะว่ากลัวถูกขังลืมนี่

“รีบไปไหนหรือเปล่าละ ถ้ารีบจริงๆ โทรเข้าเบอร์เฟิร์นไปบอกพี่มาเปิดประตูให้ก็ได้นะ”ผมตอบออกไปเพราะถ้าจะบอกว่าให้โทรหาผมเค้าก็ไม่ได้มีเบอร์ผม แต่เบอร์เฟิร์นเค้าต้องมีอยู่แล้วก็เพื่อนกันนี่นา

“พอดีแบตโทรศัพท์ผมหมดนะครับ แต่จริงๆก็ไม่ได้รีบไปไหนหรอกครับ เพราะนี่ก็ยังมึนๆ หัวอยู่เลยครับ สงสัยจะเมาค้างซะแล้วมั้งครับ”เค้าพูดพร้อมกับเอาผ้าขยี้เช็ดหัวที่ยังไม่แห้งเบาๆ ทำให้น้ำจากผมที่ยังไม่แห้งของเค้ากระเด็นมาโดนผม แต่เค้าคงไม่รู้ตัว ดูๆไปหมอนี่ก็ดูดีนะเนี่ยยิ่งผมเปียกยังแห้งไม่สนิทแบบนี้ ก็น่ารักดี แต่ก็เท่านั้นแหละครับอย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลอย่างที่ไอ้แชมป์มันพูดเลย

“ไปหาไรกินกันไหม เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”ผมเอ่ยปากชวนตามมารยาทเพราะนี่ก็สายจวนเจียนจะเที่ยงอยู่แล้ว ชักหิว ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้า ซึ่งจริงๆก็ไม่ค่อยทานข้าวเช้าอยู่แล้ว ปกติจะทานเที่ยง เย็น แล้วก็ดึก ยังไงก็ครบสามมื้อเหมือนกันแหละเนอะ นายน้องอ้วนรีบพยักหน้ารับในคำชวนของผม ดูเหมือนคนกำลังดีใจจนออกนอกหน้าหรือเปล่า แหมบอกว่าจะเลี้ยงแค่นี้ไม่ต้องดีใจมากก็ได้ รายได้พี่มันก็มาจากเงินของน้องๆ นั่นแหละ ฮ่าๆๆ

เป็นอันว่าเราเลือกร้านอาหารอิสาน แถวใกล้ เพราะนี่น่าจะเป็นมื้อเที่ยง ไม่มีอะไรน่าอร่อยไปกว่า ข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง อีกแล้ว ผมได้กินอาหารแบบนี้บ่อยๆ เพราะแม่น้องสาวตัวดี ชอบทานส้มตำเป็นชีวิตจิตใจ พอผมต้องกินกับน้องบ่อยมันเลยเหมือนเป็นความเคยชิน กับอาหารรสจัดๆ เดี๋ยวนี้เลยทานอะไรจืดไม่ค่อยได้เลย ก็อาหารอิสานนี่มีแต่แซ่บๆ ทั้งนั้น

“เค้าบอกว่าดื่มนี่แล้วช่วยลดอาการเมาค้างได้บ้าง”ผมชี้ไปที่แก้วน้ำอัดลมสีดำที่เค้าถืออยู่ ผมไม่รู้ว่ามันได้ผลจริงไหมนะ ว่าการดื่มน้ำอัดลมจะช่วยให้หายเมาค้างได้ เพราะไม่เคยลองสักที แต่ได้ยินเค้าบอกมาแบบนั้น แต่ผมว่ามันคงช่วยให้สดชื่นขึ้นมั้ง ส่วนชายหนุ่มที่มากับผมนั้นรีบยกดื่มอย่างว่านอนสอนง่ายเหลือเกิน

“ลืมถามเลย ทานอาหารแบบนี้เป็นหรือเปล่าเนี่ย”ไอ้ผมก็ชวนเค้ามาทานข้าวแต่ก็ลืมคิดไปเลยว่าน้องเค้ากินได้หรือเปล่า เพราะผมเคยมีเพื่อนบางคนที่ทานอาหารพวกนี้ไม่เป็นเลย และก็ไม่ชอบ

“เป็นครับเป็น”เค้ารีบตอบและเหมือนกลัวว่าผมจะไม่เชื่อเลยถือโอกาสตักอาหารเข้าปากโชว์ผม ทำตัวยังกะเด็กๆ แนะ

“ดูเกร็งๆ นะ อึดอัดเหรอที่มากับพี่”ที่ต้องถามออกไปตรงๆ เพราะอยากให้เค้าทำตัวสบายๆ ไม่ใช่เหมือนเกรงๆ กลัวๆ แบบนี้ ปกติเวลาเค้าไปที่ร้านผมกับเพื่อนๆ หรือไปหาเฟิร์นดูเค้าก็พูดคุยปกติไม่เห็นเป็นแบบนี้นี่นา หรือว่าเค้ายังคิดเรื่องนั้นอยู่อีก ให้ตายสิพอนึกขึ้นมาภาพนั้นก็ชัดขึ้นมาในมโนภาพผมทันที อุตส่าห์เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ย

“เอาตรงๆนะพี่ ผมยังเขินๆ เรื่องตอนออกจากห้องน้ำนะครับ”นั่นไงละ ว่าแล้วไม่น่าเลยผม พอเค้าพูดออกมาทีนี้มันเลยเกร็งๆ กันทั้งคู่เลยแหละครับ

“ไม่เป็นไร พี่ไม่ถือ อ้วนเองก็ไม่ต้องเก็บมาคิดมากหรอก”เค้าพยักหน้าเข้าใจก่อนจะก้มหน้าก้มตากิน ผมเองก็เลิกคุยเพราะท้องผมเริ่มประท้วงให้รีบยัดอะไรลงกระเพราะได้แล้ว น้ำย่อยทำงานรอนานแล้ว และไม่นานอาหารที่สั่งมาก็เรียบไม่มีเหลือ

“พี่แฟ้มมีแฟนรึยังครับ”อยู่ๆ เค้าก็ถามผมขึ้น อย่าบอกนะว่าจะเป็นเหมือนที่ไอ้แชมป์พูดจริงๆ แต่ก็ไม่แน่เค้าอาจจะแค่สงสัยเฉยๆ ก็ได้ อย่างเช่นแม่น้องสาวของผมนั่นประไร ที่สงสัยเรื่องนี้มานานแล้ว

“ถามทำไมเหรอ จะจีบพี่หรือไง”ซะหน่อยครับ จะได้พิสูจน์ว่าที่ไอ้แชมป์พูดมันจะมีมูลขึ้นมาบ้างหรือเปล่า เค้าไม่ตอบแต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกัน ส่งกลับมาให้ผมแทน

“ตอนนี้พี่ไม่มีแฟนหรอก แล้วนี่จะอยากรู้ไปทำไม”เค้ายกมือขึ้นเกาหัวแกร็กๆ เหมือนจะเขิน เด็กหนอเด็กแบบนี้ถ้าชอบผมจริงๆ แล้วจะกล้าจีบผมไหมนั่น ไหนเฟิร์นเคยบอกว่าเค้ามีแฟนคลับตรึม แล้วทำไมดูหงอๆ อย่างนี่เล่าน้องเอ้ย

“ก็แค่คิดว่าคนอย่างพี่ไม่น่าจะอยู่เป็นโสดได้นี่นา”อ้าวแล้วคนอย่างผมมันเป็นยังไงถึงจะอยู่เป็นโสดไม่ได้

“พี่แฟ้มออกจะน่ารักขนาดนี้ ใครกันน้าช่างโง่เขลาปล่อยพี่แฟ้มหลุดมือมาได้”การที่เค้าเอ่ยพาดพิงถึงใครอีกคน แม้เค้าจะไม่ได้ระบุว่าคือใคร แต่มันก็ทำให้ผมชะงักไปได้เหมือนกัน

“ทำไมคิดแบบนั้นละ คิดว่าพี่ถูกทิ้งมาเหรอ”

“ก็คนที่ครองตัวเป็นโสดนานๆ มันมีอยู่แค่สองกรณี คือต้องทนเป็นโสดเพราะไม่มีใครเอา กับคนที่ไม่เอาใครเพราะยังฝังใจกับรักครั้งก่อนอยู่ แล้วอย่างพี่แฟ้มคงไม่ใช่ไม่มีใครเอาหรอก แต่น่าจะมีความหลังที่ไม่ค่อยดีนักซึ่งถ้าพี่เป็นคนทิ้งเค้าพี่ก็น่าจะสนใจคนอื่นไปแล้วแต่นี่พี่”เค้าหยุดคำพูดแค่นั้นเมื่อเห็นสีหน้าผมที่เปลี่ยนไปไม่สู้จะดีนัก

“ผมขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะวิจารณ์ เรื่องของพี่นะครับ ขอโทษจริงๆ”เค้ารีบระร่ำกล่าวขอโทษขอโพย เพราะคิดได้ว่าได้กล่าวอะไรที่ล้ำเส้นเกินไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ถือสามากมายหรอก แต่ที่สีหน้าผมเปลี่ยนไปเพราะทุกอย่างที่เค้าพูดออกมา มันคือความจริงทั้งนั้น แม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายเลือกถอยออกมา แต่ความจริงมันก็คือผมถูดทิ้งนั่นแหละ ถูกทิ้งให้เป็นส่วนเกินระหว่างพวกเค้าสองคน

“พี่ไม่เป็นไรหรอก ไม่ถือ ว่าแต่อ้วนเถอะเห็นว่ามีสาวๆ เยอะเลยไม่ใช่เหรอ”ผมปรับอารมณ์ให้เป็นปกติเหมือนมีอารมณ์ขันเล็กน้อย

“ใครบอกกันพี่ นี่ผมไม่มีใครแล้วนะตอนนี้ เพราะกำลังคิดว่าผมน่าจะเจอตัวจริงแล้ว”

“ถามจริงๆนะ อ้วนชอบพี่เหรอ”ชักอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ ว่าไอ้นายน้องอ้วนนี่คิดกับผมแบบที่ไอ้แชมป์มันว่าจริงๆ หรือเปล่า

“โหพี่ เล่นกันแบบนี้เลยเหรอ เหมือนจะไม่ปล่อยให้ผมได้จีบเลยนะเนี่ย”ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะไม่กล้าพูดเรื่องแบบนี้กับใครตรงๆ แต่ตอนนี้มันคงเพราะเหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอยากให้อะไรมันชัดเจนไปเลย ว่าเค้าอยากจะคบกับเราในฐานะอะไร แต่ว่าความสัมพันธ์มันจะพัฒนาไปในทางไหนก็ต้องค่อยๆ ดูกันไปอีกที

“ตกลงไม่ได้ชอบพี่ใช่ไหม พี่จะได้ไปบอกไอ้แชมป์ว่ามันเข้าใจอ้วนผิดไป”แต่ถ้าเค้าไม่ได้คิดอะไรกับผม ผมก็ไม่ได้อะไรมากมายหรอกนะตอนนี้เพราะผมก็ยังไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นกับเค้าเลย

“แล้วผมชอบพี่ได้หรือเปล่าละครับ”น้ำเสียงหนักแน่นจนผมต้องหันไปมองเค้า ดูแววตาที่มุ่งมั่นนั่นแล้วมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนกัน ตกลงนี่เป็นอย่างที่ไอ้แชมป์ว่าไว้จริงๆ งั้นเหรอ

“ชอบนะชอบได้ แต่พี่จะชอบอ้วนหรือเปล่านี่ไม่รู้นะ”ผมบอกยิ้มๆ ทีเล่นทีจริง แต่ก็หมายความอย่างที่พูดนั่นแหละ

“แสดงว่าผมจีบพี่ได้ใช่ไหมเนี่ย”ดูจะดีใจออกนอกหน้าไปไหมน้อง

“แต่พี่ไม่ค่อยชอบเด็กเท่าไหร่นะ”ด้วยความหมั่นไส้ผมเลยแกล้งบอกออกไป เพราะจริงๆน้องเค้าก็ไม่ใช่เด็กๆ อะไรแล้วแหละอีกไม่นานก็เรียนจบทำงาน เข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว

“เดี๋ยวผมจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้ให้ดูครับ”แนะรับมุกซะด้วยนะเนี่ย ผมไปบอกเมื่อไหร่กันว่าอยากให้เค้าทำตัวเป็นผู้ใหญ่

“คนเจ้าชู้แฟนคลับเยอะๆ พี่ก็ไม่ชอบนะ ไม่อยากแย่งของใครนะ”รู้สึกเจ็บนิดๆ กับประโยคนี้เพราะผมเองก็เคยใช้คนรักร่วมกับคนอื่นมาแล้ว แต่ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว

“ผมบอกแล้วนิครับว่าตอนนี้ผมไม่มีใครแล้ว”

“ไอ้พวกชอบโชว์ แก้ผ้าให้คนอื่นดู พี่ก็ไม่ชอบอีกเหมือนกัน”ผมบอกอย่างล้อๆ พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ กับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้น

“อ้าวนึกว่าพี่ชอบซะอีก เห็นจ้องน้องชายผมตาโตเชียว”เค้าตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงยั่วเย้า แหมได้ทีนี่เอาใหญ่เชียวนะ ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ซะแล้วไอ้น้อง ผมถลึงตาใส่ด้วยความหมั่นไส้ แต่เค้ากลับหัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่



แวะมาต่อให้พิจารณาน้องอ้วนกันนะคร๊าบบบ  o13
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [13-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 13-11-2014 19:00:59
เอาๆ อนุมัติ น้องอ้วนน่ารัก :-[
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [13-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ReiSei ที่ 13-11-2014 19:02:20
ปวดตับกะโอเล่มากมาย ชอบมันเพราะอะไรเนี่ยย  :beat:
เปิดใจให้กับคนใหม่ ๆ บ้างก็ดีนะ  สงสารแชมป์สุดเลย คนดีไม่มีที่อยู่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [13-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 13-11-2014 20:37:32
ถ้าแฟ้มโสดแล้วสุข
ก็อยากให้โสดต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [13-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 13-11-2014 22:27:47
พระเอกตัวจริงมาแล้วใช่มั้ย  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [13-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-11-2014 12:32:27

“พี่แฟ้ม”แม่น้องสาวตัวดีของผมโผเข้ามากอดผมอย่างอารมณ์ดี นี่แสดงว่าทำข้อสอบได้ดีละสิท่า ช่วงนี้กิจการของผมซบเซานิดหน่อยเพราะน้องๆ นักศึกษาเค้าอยู่ในช่วงสอบ แต่ก็มีบางคนที่วันไหนไม่มีสอบก็แวะเวียนกันมาบ้าง

“ว่าไงคุณนายน้อย สอบเป็นไงบ้าง”ผมถามพร้อมกับแกะแขนที่คุณเธอรัดคอผมอยู่ออก เพราะเริ่มจะหายใจไม่ออก โตป่านนี้ยังมากอดเหมือนตัวเด็กเป็นน้องสาวตัวเล็กๆ อีก

“มือชั้นนี้แล้ว สบายๆ เออนี่พี่แฟ้ม ปิดเทอมพี่แฟ้มปิดร้านไปเที่ยวสักอาทิตย์ไหม เพราะช่วงปิดเทอม ร้านพี่ก็เงียบยังกะป่าช้าอยู่แล้ว”น่านมาพูดยังกะจะแช่งให้ร้านพี่เจ๊งซะงั้น แต่ช่วงปิดเทอมก็ไม่ค่อยมีคนเข้าจริงๆ แหละครับเพราะใครๆ ก็พากันกลับบ้านหมด แต่ไม่เป็นไรครับถึงช่วงปิดเทอมจะไม่ค่อยมีคนแต่ช่วงหลังสอบเสร็จนี่ช่วงกอบโกยเลยครับ กับเทศกาลหลังสอบเสร็จ ว่าแต่การไปเที่ยวบ้างก็น่าจะดีนะเนี่ย จะได้ถือโอกาสพาพ่อกับแม่ไปพักผ่อนด้วย

“ไปไหนดีล่ะครับคุณนายน้อย”เฟิร์นทำท่าครุ่นคิดอยู่ว่าจะไปไหนดี แต่ผมว่าจะไปเที่ยวมันก็คงไม่พ้นไปทะเลอะไรแบบนั้นหรอกมั้ง

“ไปทะเลแล้วกัน เฟิร์นไม่ได้ไปมานานแล้ว”ว่าแล้วไงล่ะ

“อย่าลืมชวนน้องเขยพี่ไปด้วยล่ะ”เอ่ยแซวถึงอีกคน ที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้แวะเวียนมาที่ร้านหลายวันแล้วเพราะ ไอ้แชมป์ช่วงนี้งานยุ่งอยู่ แต่ผมก็ว่าดีแล้วละที่แชมป์มันทำงานทำการบ้าง ไม่ใช่ตามมาเฝ้าแต่น้องผมอยู่อย่างเดียวถึงแม้ว่าที่บ้านมันจะมีฐานะก็เถอะ แต่ตอนนี้มันก็ขึ้นเป็นผู้บริหารแล้ว ควรจะทำตัวดีๆ ให้คนอื่นเห็นไม่ใช่ว่าพอเป็นผู้บริหารแล้วอยากจะเข้าทำงานก็เข้า ขี้เกียจก็ไม่ไป

“อีตาพี่แชมป์นะเหรอ ถึงไม่ชวนก็คงตามไปอยู่แล้วแหละ ว่าแต่พี่เขยละจะชวนไปด้วยหรือเปล่า”ผมไม่เข้าใจในคำพูดของเฟิร์นสักเท่าไหร่ว่าหมายถึงใคร ได้แต่ทำหน้างงๆ พร้อมกับหันไปมองน้องสาว ซึ่งยิ้มอย่างมีเลศนัยอยู่แล้ว

“แหมทำเป็นคนแก่ขี้ลืมไปได้พี่แฟ้มนิ...ก็ไอ้นายอ้วน รังสิต เพื่อนเฟิร์นไง”เอ้าแล้วนายนี่มาเกี่ยวอะไรด้วยเล่า

“แล้วไปนับเค้าเป็นพี่เขยตั้งแต่เมื่อไหร่ มีพี่คนไหนของเฟิร์นไปเป็นแฟนกับนายน้องอ้วนนั่นแล้วเหรอ”ผมว่าอย่างฉุนๆ เริ่มจะระอากับทั้งแม่น้องสาวนี่กับไอ้แชมป์อีกคนที่เหมือนจะอยากให้ผมกับนายน้องอ้วนตกลงปลงใจกันเหลือเกิน

“ก็รู้สึกว่าเฟิร์นจะมีพี่อยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอครับ”

“ก็ใช่นะสิ”แล้วเมื่อกี้มันพูดครับนี่หว่า แล้วก็ไม่ใช่เสียงเฟิร์นด้วย ผมค่อยๆ หันหลังกลับดูว่าเสียงที่มาจากเบื้องหลังนั่นคือใครกัน

“ถ้างั้นแฟนผมก็พี่แฟ้มนะสิ ใช่ไหมครับ”นายน้องอ้วนซึ่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่มายืนทำหน้าทะเล้นอยู่ต่อหน้าผมแล้ว

“ถูกต้องแล้วคร๊าบบบบ”แม่น้องสาวตัวดีพูดพร้อมกับชี้ไม้ชี้มือเหมือนในรายการเกมส์โชว์ ส่วนอีกคนก็ยักคิ้วส่งสัญญานกันสนุกสนานเหลือเกินทั้งสองคนเลย ผมส่งสายตาพิฆาตไปหาแม่น้องสาวตัวดีทันที

“โอะโอ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพี่แชมป์ให้โทรหาหลังจากสอบเสร็จแล้ว เฟิร์นขอตัวนะคะพี่ชาย”แม่ตัวดีหาทางเอาตัวรอดไปหนึ่งครับ

“โชคดีนะพี่เขย”ก่อนไปยังมีแอบกระซิบกระซาบกับเพื่อนอีก แต่จะเรียกกระซิบก็ไม่ถูกเสียทีเดียวเพราะเหมือนตั้งใจอยากจะให้ผมได้ยินด้วยเต็มๆ ส่วนอีกคนก็กระหยิ่มยิ้มย่องเหลือเกิน

“อะแฮ่ม”ผมกระแอมเป็นสัญญาณเตือนว่าให้เลิกเล่นกันได้แล้วทั้งสองคน นายน้องอ้วนหันมายิ้มแห้งๆ ให้ผม

“เล่นเป็นเด็กๆ ไปได้”ผมว่าอย่างเคืองๆ

“อ้าวนี่ผมจะโดนตัดคะแนนอีกไหมเนี่ย”เค้าหน้าตาตื่นรีบถาม เพราะไอ้นายน้องอ้วนนี่ไปสุมหัวคิดกันกับแม่น้องสาวผมแล้วก็ไอ้แชมป์ว่าให้ผมนั้นประเมินให้คะแนนในการเข้าหาผม ของนายน้องอ้วน พูดง่ายๆก็ให้คะแนนกับความพยายามที่จะจีบผมนั่นแหละครับ ถ้าผมชอบก็บวกคะแนนให้ ถ้าไม่ชอบก็หักลบได้ คะแนนเริ่มต้นที่ศูนย์ ถ้าทำได้ครบ 100 เมื่อไหร่ถือว่าผมยอมรับในตัวเค้าแล้ว ตอนแรกผมก็ว่าทำอะไรไร้สาระกันเหลือเกิน ปัญญาอ่อนที่เล่นอะไรกันแบบนี้ แต่ตอนนี้ผมชักเริ่มสนุกเสียแล้วเพราะคิดว่านายน้องอ้วนนี่คงทำคะแนนไม่ถึงร้อยแน่ๆ ซึ่งก็ไม่ก่อให้เกิดผลเสียอะไรกับผมเลย

“ทำตัวเป็นเด็ก ลบไปห้าแต้ม”ผมบอกเสียงเรียบพยายามทำหน้าขรึมแต่จริงๆ แอบขำในใจที่ได้เห็นใบหน้าหงอยๆ ของเค้า เพราะอะไรนะเหรอครับ

“ลบไปอีกห้า ตอนนี้คะแนนผมก็ติดลบไป แปดสิบแล้ว”นั่นแหละครับ รู้สึกสะใจเล็กๆ ครับที่ได้แกล้งเด็ก

“โหพี่แฟ้มอ่ะ แล้วแบบนี้เมื่อไหร่ผมจะทำคะแนนได้ครบร้อยสักที ไม่เอาอ่ะ”เค้าเริ่มโวยวายไม่พอใจ อ้าวก็พากันคิดขึ้นมาเองไม่ใช่เหรอไอ้วิธีบ้าๆ บอๆ นี่ แค่ผมยอมเล่นด้วยนี่ก็ถือว่าให้โอกาสมากแล้วนะ จะมาเรียกร้องอะไรอีก ฮ่าๆๆ

“ทำตัวงอแงนี่เหมือนอะไรน้า....”ผมแกล้งทำท่าคิด เพราะชักจะเริ่มหมั่นไส้เค้าขึ้นมาอีกหน่อยๆ

“อย่าๆ อย่างเพิ่งครับ โอเคๆ ผมไม่งอแงแล้ว เมื่อกี้เห็นว่าจะไปเที่ยวไหนกันนะครับ”เค้ารีบห้ามผมก่อนที่จะตัดคะแนนเค้าอีก แล้วก็ปรับเปลี่ยนมาทำตัวปกติ ผมละเกือบหลุดขำไม่ได้ ทั้งที่เค้าบอกว่าจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่เพื่อให้ผมยอมรับ แต่ผมว่าการที่เค้ายอมมาให้ผมปั่นหัวเล่นอยู่แบบนี้มันเหมือนเด็กทำตัวตามคำสั่งผู้ใหญ่นั่นแหละ นี่ละน้าเด็กหนอเด็ก

“ว่าจะไปทะเลกัน แต่ยังไม่ได้ตกลงกันจริงๆ จังๆ หรอก เดี๋ยวต้องคุยกับพ่อแม่ของพี่อีกที อยากไปด้วยเหรอ”ผมกำลังคิดว่าถ้าเค้าจะขอไปด้วยนี่ผมจะมีอะไรแลกเปลี่ยนดี แบบหาเรื่องแกล้งเด็กอีกแล้วครับ ฮ่าๆๆ

“ผมไปด้วยนะครับ จะได้ไปทำความรู้จักคุณพ่อคุณแม่ของพี่ด้วยไง”แล้วจะอยากมารู้จักพ่อแม่ผมทำไมกัน ว่าแต่ผมจะให้เค้าทำอะไรดีน้า อ๋อนึกออกแล้ว ไม่ต้องทำอะไรหรอกเพราะมันเป็นเรื่องที่เค้าทำไปแล้ว แต่แค่อยากให้เค้าได้ลุ้นนิดหน่อยแล้วกัน จริงๆ ผมก็คงให้เค้าไปได้อยู่แล้วถึงแม้เค้าจะทำตามเงื่อนไขที่ผมจะบอกนี้ไม่ได้ เพราะผมก็จะเปลี่ยนเป็นมาหักคะแนนเค้าสัก ห้าสิบคะแนนถ้าเค้ายังจะไปด้วย ก็เลือกเอาแล้วกันนะน้อง

“ที่สอบมาเนี่ย มันมีวิชานึงที่สอบนอกตารางไปนานแล้วใช่ไหม และเห็นว่าเกรดจะประกาศผลให้ทราบในอีกไม่กี่วันด้วยนิใช่ไหม”ที่ผมรู้เพราะแม่น้องสาวผมเล่าให้ฟังนั่นเองครับ

“ครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่จะไปเที่ยว”เค้าถามด้วยความสงสัย เหยื่อเริ่มกินเบ็ดแล้วครับงานนี้

“คิดว่าวิชานี้จะทำคะแนนได้ดีแค่ไหน”ผมถามออกไปอย่างจริงจังทำหน้าตาซีเรียสเล็กน้อย ตอนนี้ชักเริ่มงงกับตัวเองแล้วว่านี่ผมกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย

“ก็คิดว่าน่าจะอยู่ในเกณฑ์ดีนะครับ”เค้าตอบมาอย่างยังไม่ค่อยจะเข้าใจว่าผมกำลังจะทำอะไร

“งั้นถ้าวิชานี้ ได้ A อ้วนก็ไปเที่ยวกับครอบครัวพี่ได้ แล้วพี่จะแถมคะแนนให้อีก 10 แต้มเลย”ที่พูดนี่เพราะชักจะมั่นใจนะครับว่าน้องมันจะทำไม่ได้ แต่ถ้าทำได้ก็ดีครับ ถ้าเด็กตั้งใจเรียนสอบออกมาได้คะแนนดีเราก็ควรจะมีรางวัลเป็นกำลังใจใช่ไหมครับ แค่ผมบวกให้ 10 แต้ม มันก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมาเยอะหรอกน่าเพราะเค้ายังจะมีเรื่องให้ติดลบอีกเยอะ ฮ่าๆๆ

“จริงๆ นะครับ”เค้าเหมือนจะดีใจเกินไปหรือเปล่า นี่มั่นใจว่าจะทำได้ขนาดนั้นเชียว

“แต่ว่า A เลยเหรอ ขอสัก B+ หรือ B เฉยๆได้ไหมครับ ผมยอมไม่บวก 10 แต้ม ก็ได้แต่ขอแค่ได้ไปทะเลกับพี่แฟ้ม”มีการมายื่นอุธรณ์ครับงานนี้ สงสัยผมคงได้ตัดอีก ห้าสิบแต้มแน่ๆ งานนี้ ฮ่าๆ ยังไงก็ปล่อยให้น้องมันได้ลุ้นหน่อยแล้วกันครับ ชีวิตจะได้มีอะไรตื่นเต้นบ้าง

“รอดูเกรดก่อนแล้วกัน มั่นใจหน่อยสิ คนมีความเป็นผู้ใหญ่ต้องมีความมั่นใจ เด็ดเดี่ยวนะ”ได้ทีก็อีกสักดอกแล้วกันครับ เห็นนายน้องอ้วนถอนหายใจเฮือกใหญ่เลย ก่อนจะทำท่าเหมือนฮึกสู้ขึ้นมาอีก

“งั้นผมว่าเรามาเลือกที่จะไปกันดีกว่า เพราะไงผมก็ต้องได้ไปอยู่แล้วล่ะ”ถูกต้องแล้วน้องยังไงน้องก็ได้ไปอยู่แล้วแต่จะได้บวกหรือได้ลบ แต้มที่มีอยู่น้อยนิดของน้องกันแน่

“เฟิร์นว่าไปเกาะเสม็ดดีกว่า เพราะเฟิร์นยังไม่เคยไปเลย”เสียงใสๆ ของแม่น้องสาวผมมากจากไหนไม่รู้ นี่แสดงว่ามาแอบฟังผมคุยกับเพื่อนเค้าอยู่นานแล้วมั้งแต่ไม่ยอมแสดงตัว ร้ายนักนะ ว่าแต่ไปเสม็ดงั้นเหรอ...ไม่เป็นไรหรอกมั้งเรื่องมันก็นานมาแล้ว ผมต้องอยู่กับปัจจุบันสิ เรื่องนั้นมันก็แค่เรื่องในอดีต

“ใช่ๆ ดีเหมือนกันนะ อยากจะรู้ว่าจะเหมือนที่คนอื่นเค้าพูดหรือเปล่าว่าเกาะเสม็ด...อืม...ทุกราย”นายน้องอ้วนพูดพร้อมทำหน้าตาทะเล้นก่อนจะหัวเราะชอบใจใหญ่กับแม่น้องสาวตัวดีของผม





แล้ววันที่จะไปเที่ยวทะเลของพวกเราก็มาถึง พ่อกับแม่ของผมไม่ยอมไปด้วย บอกว่าพวกท่านแก่แล้วให้หนุ่มๆ สาวๆ ไปเที่ยวกันดีกว่า แต่หลังจากเที่ยวทะเลแล้วพวกท่านขอให้ผมอยู่บ้านกับพวกท่านต่อที่กรุ่งเทพฯ อย่างน้อยก็สักอาทิตย์นึง ผมก็ตอบตกลงเพราะผมไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว อยู่บ้านกันพร้อมหน้าพร้อมตา ได้ทานข้าวหรือมีกินกรรมร่วมกันบ้างก็คงจะดี เป็นอันว่าการไปเที่ยวครั้งนี้ก็มีแค่ผม แม่น้องสาวตัวดี คุณเพื่อนแชมป์ แล้วก็อีกหนึ่งคน นายน้องอ้วนนั่นเอง สงสัยกันละสิครับว่าเค้าได้ บวกหรือลบ แต้มที่มีอยู่กันแน่



-----------------------------------------------------------
แวะมาต่อคร๊าบบบบบ

ขอบคุณทุกคนที่ตามอ่านกันเช่นเคยนะคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 14-11-2014 13:18:06
เค๊าหวงแฟ้มนะน้องอ้วน รังสิต  :m16:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 14-11-2014 13:19:46
ทริปเสม็ดจะมีอะไรดีๆมั้ยน๊า :-[
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 14-11-2014 19:28:00
“ผมไปด้วยนะครับ ผมไม่บวก 10 ก็ได้นะครับพี่แฟ้ม”นั่นคือคำโอดครวญเมื่อตอนเค้าทราบเกรดตัวเองครับ ผมว่าเค้าซื่อดีนะที่ยอมบอกผมตามตรงว่าเค้าได้ แค่ B+ ไม่ได้ A อย่างที่ผมตั้งเงื่อนไขไว้ เพราะจริงๆ ถ้าเค้าโกหกผมก็ไม่รู้หรอกผมไม่ได้ไปเช็คดูนิครับ อีกอย่างใช้แม่น้องสาวผมร่วมโกหกยังได้เลย เพราะนั่นก็คงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี และจริงๆข้อเสนอนี้แม่น้องสาวผมก็บอกให้เพื่อนตัวเองทำแล้ว แต่นายน้องอ้วนดันไม่ทำ กลับมาบอกผมตามความจริง

“พี่ให้ไปด้วยก็ได้”ผมบอกออกไปยิ้มๆ เห็นเค้ายิ้มแก้มแทบปริเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อหูตัวเอง แต่จะปล่อยให้เค้าดีใจนานๆ ไม่ดีหรอกครับเดี๋ยวจะเหลิง

“แต่ต้องตัดห้าสิบแต้มนะ”ผมยิ้มอย่างผู้มีชัย ส่วนเค้าหุบยิ้มแทบจะทันที หน้าเครียดไปเลยทีเดียว เหมือนจะร้องไห้เสียด้วยซ้ำ นี่ผมเล่นกับความรู้สึกเค้ามากไปหรือเปล่านิ ชักเริ่มรู้สึกว่าทำเกินไปหน่อยๆ ครับ

“ห้าสิบเลยเหรอครับ ห้าสิบก็ห้าสิบ”เค้าพึมพำอย่างยอมจำนนท์

“แต่ลดหน่อยไม่ได้เหรอครับ ผมก็อุตส่าห์ได้ตั้ง B+ แล้ว”ดูทำหน้าตาน่าสงสารเค้า จนผมเริ่มชักจะใจอ่อน เพราะเค้าทำได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้วทีเดียว แค่มันยังไม่ดีเยี่ยมเท่านั้นเอง

“งั้นพี่ลดให้ครึ่งนึงแล้วกัน เอาเป็นว่าหักยี่สิบห้าแต้มโอเคไหม”เด็กทำดีผู้ใหญ่อย่างเราก็ควรให้กำลังใจใช่ไหมครับ อีกอย่างเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กมากๆ มันก็ดูไม่ดี แต่พ่อเด็กนี่ก็ยิ้มแป้นขึ้นมาทันที ตกลงว่าเมื่อกี้นี่สลดจริงๆ หรือแกล้งหลอกให้ผมใจอ่อนกันแน่เนี่ย




“แฟ้ม...”

“หือ”ผมหันไปทางเพื่อนสนิทของผมที่นั่งข้างๆ ตอนนี้เรากำลังนั่งเรือข้ามไปที่เกาะกัน ส่วนแม่น้องสาวผมกับเพื่อนเค้าก็อยู่โน่นครับหัวเรือ ถ่ายรูป ชมวิวกันอยู่นั่นแหละ ไม่รู้น้องสาวผมไปบ้ากล้องมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำตัวยังกะเป็นนางแบบเลยครับ โพสต์ท่าให้เพื่อนถ่ายรูปให้อยู่นั่นแหละ ผมกับไอ้แชมป์ก็นั่งกันอยู่ในเรื่อ ต่างคนต่างคิดอะไรไปเรื่อย แต่ที่มันเรียกผมนี่แสดงว่ามีอะไรจะคุยด้วยแน่ๆ

“จริงๆ เราไม่มาที่นี่ก็ได้นะ ถ้ามรึงลำบากใจ”เข้าใจนะครับว่าเพื่อนเป็นห่วงผม แต่ถ้ามันไม่พูดขึ้นมานี่ผมก็จะไม่นึกถึงอยู่แล้วเชียว ไอ้แชมป์เป็นคนเดียวที่รู้ว่าผมเคยมีความหลังอะไรที่นี่ และมันก็คงยังคิดว่าผมอาจจะรู้สึกไม่ดีก็ได้ที่ต้องย้อนกลับมาที่นี่อีก

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องมันนานมาแล้ว ตอนนี้กรูกำลังอยู่กับปัจจุบันนะไม่ได้จมกับอดีตอีกต่อไปแล้ว”ผมบอกออกไปอย่างยิ้มแย้ม ผมยอมรับว่ายังรู้สึกเจ็บในใจอยู่ลึกๆ แต่นี่มาเที่ยวผมจะทำให้คนอื่นรู้สึกไม่สนุก ไม่ได้หรอก มาด้วยกันก็ต้องสนุกสนานด้วยกัน

“มรึงน่าจะคิดอยู่กับปัจจุบันให้เร็วกว่านี้นะ เผื่อกรูจะได้มีโอกาสเหมือนน้องอ้วนมันบ้าง”พอพูดจบเราสองคนก็หัวเราะกัน เป็นอันรู้กันดีแล้วว่าแชมป์มันไม่ได้มีความคิดแบบนั้นอยู่แล้วละตอนนี้ เพราะมันก็มีน้องสาวผมอยู่ทั้งคน แต่เรื่องนี้ก็ยังเอามาล้อกันเล่นขำๆ ได้เรื่อยๆ

“พี่แชมป์จะเข้าโหมดรักน้องเสียดายพี่อีกแล้วเหรอ”นั่นไงครับตัวจริงของไอ้แชมป์มาแล้ว เฟิร์นเองก็ไม่ได้ถือสาหรอกครับ แต่จะแกล้งงอนๆ บ้างให้ไอ้แชมป์มันง้อ เพื่อเป็นสีสันในชีวิต ว่าไปตอนนี้ชีวิตผมก็ดูมีสีสันขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะแล้วนะ หรือจะเพราะมีอีกคนเข้ามาในชีวิตด้วยหรือเปล่า

“พี่แฟ้มเรื่องตัดยี่สิบห้าแต้มนะ ไม่ตัดเลยไม่ได้เหรอ”ผมขอถอนคำพูดเมื่อกี้ดีกว่าครับ เพราะเหมือนว่าอีกคนที่เข้ามาในชีวิตผมนี่มันชักจะสร้างความยุ่งยากใจมากกว่าจะมาเพิ่มสิ่งดีๆในชีวิตนะเนี่ย

“อยากให้หักห้าสิบเลยใช่ไหม”ผมทำท่าเหมือนอาจารย์กับลังดุลูกศิษย์ ซึ่งลูกศิษย์ตอนนี้เหมือนจะไม่ยอมฟังคำของอาจารย์เพราะตั้งท่าจะเถียงคำไม่ตกฟากเสียแล้ว แบบนี้มันน่าตีเสียให้หลาบจำดีไหม

เราถึงเกาะตอนสายๆ ครั้งนี้น้องสาวผมเป็นคนเลือกว่าจะพักหาดทรายแก้ว ซึ่งก็ดีไปที่ผมไม่ต้องไปหาดเดิมที่เคยมา นับว่าเป็นความโชคดีอยู่หน่อยๆ ของผมที่น้องๆ มันชอบคนเยอะๆ มากกว่าความสงบเงียบ

“พี่แฟ้ม เล่นน้ำกันดีกว่า”แม่น้องสาวตัวดีของผม พอเก็บข้าวของเข้าที่พักแล้วก็ลากพวกผมออกมาที่ชายหาดทันที ตอนแรกเฟิร์นจะใส่ บิกินี ลงมาแล้วละครับ น้องสาวผมมันสาวมั่นแต่ไอ้แชมป์ไม่ยอมให้ใส่ เลยต้องมาในชุดกางเกงขาสั้นกุดกับเสื้อยืดอีกตัว

“ไม่ละขอนั่งตรงนี้ดีกว่า”ผมบอกปฏิเสธไปเพราะยังไม่อยากเล่นน้ำสักเท่าไหร่

“พี่แชมป์ละ”น้องสาวหันไปหาอีกคนที่เหมือนจะเลือกชอยส์เดียวกับผม

“พวกพี่แก่แล้ว เด็กๆ ไปเล่นน้ำกันเถอะ อ้วนฝากดูเฟิร์นหน่อยนะ อย่าปล่อยให้ไปกัดใครเข้า”ไอ้แชมป์หยอกไปตามประสา ส่วนแม่น้องสาวผมก็เชิดหน้าลากเพื่อนออกไปเลย แต่พ่อเพื่อนตัวดียังหันมาโบกไม้โบกมือลาผม นายน้องอ้วนนั้นใส่มาแค่กางเกงสามส่วนบางๆ เท่านั้น ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่พอจะมีอยู่บ้างนิดหน่อย พอทรมานใจสาวๆ แถวๆ นี้ แต่ไม่ค่อยทรมานใจผมเท่าไหร่หรอก เพราะเคยเห็นไปไกลกว่านั้นแล้ว เหอๆ คิดอะไรว่ะเนี่ยผม

“ดีใจด้วยนะ”ผมพูดกับไอ้แชมป์ก่อนจะยกเบียร์เย็นๆ ขึ้นจิบ สงสัยผมกับไอ้แชมป์จะแก่กันแล้วนะเนี่ยถึงได้มานั่งจิบเบียร์ริมชายหาดดูน้องๆ มันเล่นน้ำกัน

“ดีใจเรื่องไรของมรึง”ไอ้แชมป์ถามอย่างไม่เข้าใจในคำพูดของผม ซึ่งเป็นใครก็คงไม่เข้าใจหรอกที่อยู่ๆ พูดขึ้นมาแบบนี้ แต่ผมก็กำลังจะอธิบายต่อ

“ก็มรึงจะได้มีแฟนดูพระอาทิตย์ตกซะทีไง”ผมเฉลยในที่สุด เพราะมันเคยบอกว่าการได้ดูพระอาทิตย์ตกกับแฟนคงจะโรแมนติกน่าดู นี่ก็ได้มาทะเลแล้วมันก็คงจะได้ดูพระอาทิตย์ตกกับแฟนเสียที ตั้งแต่มันคบกับเฟิร์นก็คงยังไม่เคยมาเที่ยวทะเลด้วยกันหรอก

“อ๋อไอ้มุกนั่นอ่ะนะ กรูจะบอกให้ว่ามุกนั้นกรูกะจะใช้จีบมรึง แต่มรึงดันซื่อบื้อไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย แต่ก็ขอบใจที่เตือนเนี่ยกรูจะได้ทำซึ้งกับน้องมรึงหน่อย”มันตอบติดตลก นี่มันด่าผมทางอ้อมด้วยใช่ไหมหาว่าผมซื่อบื้อ ไอ้เพื่อนเลว

“กรูจะฟ้องเฟิร์น”เมื่อไม่รู้จะว่าอะไรมันก็เอาน้องสาวมาขู่ครับ แล้วเราสองคนก็ชนแก้วกันหัวเราะตามประสาเพื่อนซี้ครับ

“ว่าแต่มรึงคงชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่าพระอาทิตย์ตกมั้ง”เอาอีกแล้วไอ้นี่ ครั้งนั้นผมไม่น่าเล่าให้มันฟังละเอียดขนาดนั้นเลย เพราะพอมันเอามาพูดไอ้ผมมันก็รู้สึกจี๊ดๆ ขึ้นมาอีกแล้ว

“โทษทีว่ะกรูไม่ได้ตั้งใจ”มันรีบขอโทษขอโพยเมื่อเห็นว่าผมเงียบไป

“ไม่เป็นหรอก แต่อย่าหลุดมาบ่อยนัก...เข้าใจ๋”ผมปรับสีหน้าพร้อมยิ้มทะเล้นให้มัน

“มรึงไม่เคยได้ยินเหรอที่เค้าบอกว่าถ้ายิ่งเจ็บก็ต้องยิ่งย้ำ มันจะทำให้ภูมิคุ้มกันของเราดียิ่งขึ้นไง”ทฤษฎีอะไรของมันเนี่ยเพื่อนผม ไม่ยักกะเคยได้ยินเสียหน่อย

“กรูว่าก่อนที่จะมีภูมิคุ้มกันนี่คงขาดใจตายก่อนแน่ๆ”ผมบอกออกไปอย่างขำๆ แล้วเราก็จิบเบียร์กันต่อไปพร้อมกับมองดูอีกสองคนที่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน

พอบ่ายคล้อยเด็กน้อยสองคนก็ได้เวลาขึ้นจากน้ำวิ่งปรื๋อมาหาผู้ปกครองที่เริ่มจะกรึ่มๆ กันแล้วทั้งสองคน

“อ้าวเฟิร์น เลิกเล่นน้ำแล้วทำไมยังเอาห่วงยางติดมาด้วยอีก”ตอนแรกได้ยินไอ้แชมป์พูดผมก็งงๆ เพราะเฟิร์นก็เอาห่วงยางที่เล่นเมื่อครู่ไปคืนเค้าแล้วนี่นา แต่พอเห็นเฟิร์นเอามือจับที่เอวตัวเอง แล้วชี้หน้าไอ้แชมป์ผมก็ถึงบางอ้อ หลุดหัวเราะก๊าก ออกมาเลยทีเดียว

เราทั้งสี่กลับที่พักเพื่อที่จะไปอาบน้ำอาบท่า ก่อนจะออกมาหาอะไรทานในมือเย็นแล้วค่อยหาความสำราญยามค่ำคืนต่อ เราจองห้องพักไว้สองห้องโดยผมจะนอนกับเฟิร์นแม่น้องสาวตัวดีของผม ส่วนไอ้แชมป์ก็พักห้องเดียวกับนายน้องอ้วน ผมปวดฉี่เพราะดื่มเบียร์เข้าไปพอสมควรและคงกลั้นไว้จนถึงที่พักไม่ไหว เลยให้ทั้งสามล่วงหน้าไปก่อนเดี๋ยวผมจะตามไป แต่พอผมกลับไปถึงห้องพักก็ต้องแปลกใจเมื่อคนที่อยู่ในห้องผมไม่ใช่แม่น้องสาวตัวดี

“เฟิร์นบอกว่าอยากจะพักกับพี่แชมป์นะครับเลยแลกให้ผมมาอยู่ห้องนี้”ชายหนุ่มยืนยิ้มแป้นพร้อมกระเป๋าข้าวของที่หอบมาจากอีกห้องที่เอาไปไว้ในตอนแรก รวมหัวกันดีนักนะ ทั้งเพื่อนเอย น้องเอย เดี๋ยวต้องเจอคิดบัญชีทั้งแม่ตัวดีและพ่อเพื่อนสุดประเสริฐ คอยดูเถอะ แต่ตอนนี้ขอคิดบัญชีกับตัวปัญหาตรงหน้านี่ก่อน

“ลบสิบแต้มที่รวมหัวกันเปลี่ยนห้องครั้งนี้”ผมชี้คาดโทษเป็นสัญญาณให้เค้าหยุดและหุบปากที่กำลังจะเถียงผม เพราะไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ฟังไม่ขึ้นทั้งนั้น ในเรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นไม่ได้อยู่แล้วถ้าไม่ยินยอมพร้อมใจกันทั้งสามคนเพื่อจะกลั่นแกล้งผม เค้าหุบยิ้มทำแก้มป่องๆ ก่อนจะวางกระเป๋า แล้วเดินเข้ามาหาผม สายตาแปลกๆ ทำเอาผมรู้สึกว่าเค้ากำลังจะไม่อยู่ในโอวาทเหมือนทุกครั้ง ผมถอยหลังจนชิดผนังห้อง เพราะเค้าย่างสามขุมเข้ามาประชิดผมแล้ว

“ถ้าผมปล้ำพี่นี่จะโดนหักกี่แต้มครับ”



วันนี้ใจดีมาที 2 รอบ

แต่อีกเรื่องไม่อัพ 555
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 14-11-2014 23:58:40
ถ้าปล้ำบวก 200 แต้ม อิอิ o18
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 15-11-2014 00:16:29
ตกลงแฟ้มจะได้กินเด็กเอ๊ย โดนเด็กกินใช่ไหม?  :hao6:

กลัวแต่อิเล่จะโผล่ออกมา แบบ

เมียตาย เมียเลิก เมียหายสาปสูญ พ่อลูกติด กลับตัวกลับใจหลังจากคุยกับเกี๊ยง  มาง้อแฟ้มน่ะสิ (ที่ว่ามายังรับได้นะ ตามขนบ)

แต่เมียเผลอนี่อย่านะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 15-11-2014 00:59:08
ปล้ำเลย สนับสนุน

เชียร์อ้วน

เพื่อจะได้เริ่มต้นใหม่ซะที....
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [14-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 15-11-2014 11:19:26
“ถ้าผมปล้ำพี่นี่จะโดนหักกี่แต้มครับ”สายตาที่เค้ามองมายังผมมันเหมือนราชสีห์ที่กำลังจ้องจะตะครุบเหยื่อ สองมือเค้ายันผนังกักตัวผมไว้ไม่ให้หลบหลีกไปไหนได้ ผมเชิดหน้าขึ้นจ้องมองเค้าตอบอย่างท้าทาย ทั้งที่ในใจก็เริ่มหวั่นๆ เพราะถ้าเกิดเค้าคิดจะทำอย่างที่พูดขึ้นมาจริงๆ ผมคงจะสู้แรงเค้าไม่ไหวแน่ๆ

“ถ้านายทำแบบนั้นก็ไม่มีวันที่จะได้กลับเข้ามาวุ่นวายในชีวิตของพี่อีก”ผมบอกออกไปอย่างราบเรียบแววตาที่มองเค้าว่างเปล่า แต่ในใจลึกๆ ก็ยังหวั่นๆอยู่เหมือนกัน เห็นเค้าชะงักไปเล็กน้อย

“ว้า...ใจร้ายจัง แต่ผมก็ไม่กล้าทำแบบนั้นหรอกครับ ผมไม่ชอบบังคับใจใคร ผมไปอาบน้ำก่อนแล้วกันนะครับ”เค้ากลับมาเป็นเด็กน้อยคนเดิมที่ผมรู้จักก่อนจะหันหลังเตรียมเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกาย ผมลอบถอนหายใจเอือกใหญ่เลย ตกใจหมดนึกว่าจะทำจริงๆเสียอีก

“นี่...อย่าลืมผ้าเช็ดตัวล่ะ พี่ไม่อยากดูโชว์นะ”ผมบอกตามหลังเค้าไป

“มาอาบด้วยกันดีกว่าไหมครับเดี๋ยวผมถูหลังให้”เค้าหันกลับมาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์พร้อมกับทำท่าจะกระโจนเข้ามาหาผมอีกครั้ง

“อย่ามาทะลึ่งไปอาบน้ำได้แล้วเร็วเดี๋ยวสองคนนั้นรอ”ก่อนไปยังมาทำท่ายั่วยวนผมอีก ก็ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอานี่การได้มารู้จักกับเค้านี่เหมือนผมลดอายุตัวเองลงไปยังไงไม่รู้ เหมือนจะปัญญาอ่อนเข้าไปทุกวันแล้วนะเนี่ย

ไอ้แชมป์โทรเข้ามาบอกผมว่าเดี๋ยวอาบน้ำเสร็จแล้วจะไปดูพระอาทิตย์ตกกับเฟิร์นก่อน ให้ผมกับนายน้องอ้วนไปรอที่ร้านอาหารที่ตกลงกันไว้ได้เลย หลังจากนายน้องอ้วนอาบน้ำเสร็จผมก็อาบต่อออกมาแต่งตัวจนเรียบร้อยเราสองคนก็ไปรอที่ร้าน

“พี่แชมป์กับเฟิร์นไปไหนเหรอครับ”ชายหนุ่มที่มากับผมเอ่ยถามอย่างสงสัยเพราะเราสองคนก็รอมาได้สักพักแต่อีกสองคนยังไม่มา

“เค้าไปทำซึ้งกัน”เค้าทำหน้างงในคำตอบของผมเห็นหน้าซื่อๆ นั่นแล้วเลยต้องอธิบายต่อ

“เค้าไปดูพระอาทิตย์ตกกัน รู้หรือเปล่าว่าเวลาที่พระอาทิตย์ลับหายไปตรงเส้นขอบฟ้าที่บรรจบกับท้องทะเลมันสวยขนาดไหน แล้วเวลาดูกับคนที่เรารักมันก็จะโรแมนติกมากๆ เลย นั่นแหละทำซึ้งที่พี่ว่านะ”ผมอธิบายให้ไอ้หน้าซื่อที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟัง ก่อนเค้าจะทำหน้ามุ่ย

“แล้วทำไมพี่ไม่บอกแต่แรก ผมจะได้ไปด้วย”เค้าฟาดงวงฟาดงา ไอ้เด็กบ้าเอย ทำตัวง๊องแง๊งเหลือเกินนะ

“เอ้าก็เค้าไปดูเป็นคู่แล้วอ้วนจะไปเป็นส่วนเกินเค้าทำไมล่ะ”แหมทำงอนเป็นเด็กๆ รู้ทันหรอกน่าว่าจะชวนผมไปดูด้วยละสิ ฝันไปเถอะไอ้น้อง

“ผมก็ไม่ได้จะไปเป็นก้างขวางคอเค้าหรอกครับ แต่ผมจะไปทำซึ้งกับพี่บ้างไง”ดูมันครับ ดูทำหน้าทำตาเข้า น่ารักตายละ

“พอดีพี่ไม่ค่อยชอบดูพระอาทิตย์ตก ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้นมากกว่า”ผมบอกออกไปขำๆ แต่ก็อดที่จะรู้สึกถึงครั้งที่ผมเคยดูพระอาทิตย์ขึ้นกับใครบางคน ผมรู้สึกได้ว่าสีหน้าผมอาจจะกำลังเปลี่ยนเลยต้องพยายามข่มอารมณ์นั้นลงไป

“แต่ผมไม่ค่อยชอบตื่นเช้า แล้วแบบนี้พี่จะได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเหรอครับ”เค้าพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ ผมได้แต่ส่ายหน้า

“แล้วใครบอกเหรอว่าพี่จะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกับอ้วนนะ”ผมยืนหน้าตอบเค้าลอยหน้าลอยตา อย่างหยิ่งๆ แต่เจอเข้าไปแบบนี้มันก็ไม่สำนึกครับ

“ผมว่าตอนเช้าๆ เราทำอะไรอย่างอื่นที่มันทั้งลึกทั้งซึ้งกว่าการไปดูพระอาทิตย์ขึ้นดีไหมครับ”จนได้สิครับสีหน้าแววตา น้ำเสียงทุกอย่างแสดงความหื่นออกมาอย่างชัดเจน

“อ้าวๆๆๆ ไอ้อ้วนมากินข้าวนะไม่ได้ให้มากินพี่ชั้น”เสียงของเฟิร์นแว่วดังมาพอหันไปก็เห็นอีกสองคนเดินตรงมาที่เรารออยู่แล้ว

“ถึงจะหิวขนาดไหนพี่ชายของเฟิร์นก็ยังไม่ยอมใจอ่อนให้กินเสียที”ไม่ได้อายเลยใช่ไหมที่พูดนั่นนะ ผมได้แต่ส่งสายตาค้อนๆ ไปให้

“ไม่ต้องมากัดพี่เลยแม่ตัวดี ว่าแต่เราเหอะไปทำซึ้งอะไรกันนักหนา นานเหลือเกิน”ต้องแซวคืนบ้างครับ นี่ผมยังไม่ลืมนะว่าสองคนนี้ติดบัญชีแค้นผมอยู่ยังไม่ได้ชำระความเรื่องเปลี่ยนห้องพัก เราทั้งสี่ก็โต้ตอบกันพอหอมปากหอมคอแหละครับ กว่าจะทานอาหารเสร็จก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว เราตกลงกันว่าจะไปผับกันต่อ นี่ขนาดมาเที่ยวทะเลธรรมชาติแต่ก็ยังไม่วายยังต้องการความบันเทิงรูปแบบนี้อีกนะครับเนี่ย

แต่แม่น้องสาวผมนั่นแหละครับ ว่าสอบเสร็จทั้งทีอยากสนุกให้สุดเหวี่ยงบ้าง ก็เลยต้องตามใจเค้าหน่อยครับ แต่ผมว่าคนที่มาทำผับนี่ก็ช่างคิดนะสถานที่พักผ่อนธรรมชาติแบบนี้ยังจะมาเปิดอะไรแบบนี้อีก คนมาเที่ยวก็เหมือนกัน อย่างเที่ยวผับหรือเที่ยวกลางคืนไม่ต้องดั้นด้นมาถึงนี่หรอก ที่ไหนมันก็มีหรอกผับ แม้จะบ่นไปอย่างนั้น แต่ผมเองก็ยังอยากเข้าไปเที่ยวเหมือนเดิมแหละครับ

“ทำไมดื่มเยอะนักละครับ”นายน้องอ้วนตะโกนถามผมแข่งกับเสียงเพลง แต่จริงๆวันนี้ผมก็ดื่มเยอะอยู่เหมือนกันนะ ตั้งแต่เมื่อกลางวันกับไอแชมป์แล้วยังมาตอนนี้อีก แต่ก็ยังไม่ได้เมามายอะไรหรอกครับยังมีสติดีอยู่

“กลัวพี่เมาหรือไง”ผมตอบกลับไปพร้อมกับหันไปมองอีกสองคนที่มาด้วยกันซึ่งตอนนี้ออกไปวาดลวดลายสวีทกันแบบไม่อายใครเลยครับ แต่ส่วนมากในนี้ก็มีแต่ฝรั่งเสียส่วนใหญ่นะครับ

“กลัวพี่ไม่เมาต่างหาก เพราะถ้าพี่เมาอาจจะลืมตัวปล้ำผมขึ้นมาบ้างก็ได้”ถึงจะฟังไม่ค่อยชัดนักแต่ไอ้สายตาหื่นๆ นั่นนะบ่งบอกเหลือเกินว่าเค้าไม่สมควรกลัวผมปล้ำหรอกแต่ผมต่างหากที่ต้องระวังตัวเองไม่เมาจนถูกเค้าปล้ำ

“ฝันไปเถอะ...ไอ้น้อง”บอกพร้อมกับเอามือตีที่หน้าเค้าเบาๆ อย่างเอ็นดู เหอๆ นี่ผมเอ็นดูหมอนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

พอเริ่มดึกเหมือนคนจะยิ่งเยอะจนแทบจะไม่มีอากาศหายใจแล้ว ผมเลยบอกกับไอ้แชมป์และเฟิร์นว่าขอตัวออกไปเดินเล่นชายหาดอีกหน่อยแล้วคงกลับที่พักเลย แต่กลายเป็นว่าเราทั้งสี่ก็ออกจากที่นั่นทั้งหมดเลย น้องเขยกับน้องสาวผมแยกตัวไปเข้าหอเรียบร้อยครับ ส่วนนายน้องอ้วนยังเดินตามผมต้อยๆ อยู่ที่ชายหาด

“เสียดายเนอะวันนี้ไม่มีพระจันทร์”ผมบ่นลอยๆ เพราะวันนี้เป็นคืนเดือนมืด ไม่มีพระจันทร์ส่องสว่าง มีแต่ดวงดาวที่แข่งกันทอแสงในยามที่ไม่มีแสงจันทร์มาบดบังพวกมัน

“พี่ชอบพระจันทร์เหรอครับ”เค้าเอ่ยถามพร้อมกับแหงนมองท้องฟ้า ผมหยุดยืนและมองออกไปในท้องทะเลที่มืดมิด

“ไม่ชอบหรอกเพราะพระจันทร์มันโดดเดี่ยว”ผมบอกออกไปอย่างเศร้าๆ เค้าขยับเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมและหยุดอยู่ข้างๆ เหมือนกำลังตัดสินใจบางอย่าง

“อยากจับมือพี่เหรอ”ผมเอ่ยอย่างรู้ทัน เค้าหันมามองเขินๆ แม้จะไม่มีแสงไฟแต่อยู่ใกล่แค่นี้ผมก็พอจะจับความรู้สึกเค้าได้อยู่บ้าง เค้าพยักหน้าเล็กน้อยอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“วันนี้พี่มีโปรโมชั่นใจดี อนุญาตให้จับได้แล้วกัน”เป็นเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออย่างไรไม่ทราบทำให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น นี่จะทำให้เด็กมันคิดว่าผมไปอ่อยมันหรือเปล่าเนี่ย อย่าคิดมากเลยนะน้องคนแก่อย่างพี่อารมณ์มันแปรปรวนแบบนี้แหละ เค้าค่อยๆประสานมือมาที่มือของผม สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบแถมเหมือนจะสั่นๆ อีกด้วย อะไรกันนายน้องอ้วน ไหนว่าแต่ก่อนสาวๆเยอะแยะแล้วแค่จับมือแค่นี้ทำไมต้องประม่าขนาดนี้ด้วย ผมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อยอย่างเอ็นดูเค้า

“ไม่ใช่ว่ายอมให้ผมจับแล้วหักแต้มผมนะ”เค้าเอ่ยถามอย่างล้อๆผม ผมไม่ได้ตอบเพียงแต่หัวเราะในลำคอ ให้กับความคิดของเค้า สงสัยทุกอย่างนี่เค้าต้องตีเป็นตัวเลขไปหมดแล้วมั้ง ยิ่งตอนนี้คะแนนติดลบอยู่เยอะเสียด้วยสินะ

“รู้ไหมทำไมพระจันทร์ถึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว”ผมแหงนมองท้องฟ้าก่อนจะถามเค้าออกไป นี่ผมกำลังคิดถึงใครอีกคนอยู่ใช่ไหมทั้งๆ ที่จับมืออยู่กับนายน้องอ้วนนี่

“ไม่รู้สิครับ”เค้าตอบออกมาอย่างซื่อๆ เหมือนไม่ได้พยายามคิด แต่ถึงคิดไปเค้าก็คงตอบไม่ตรงกับที่ผมคิดอยู่แล้วล่ะ

“ไม่รู้นะดีแล้ว”ผมบอกออกไปเสียงเศร้าแต่คำตอบนั้นยังคงก้องอยู่ในใจของผม “เพราะการอยู่ด้วยกันมันช่างยากเหลือเกิน” คำตอบที่ยังดังก้องอยู่ในใจผมเรื่อยมา

“รู้ไหมครับว่าผมชอบพี่ที่เป็นแบบนี้แหละครับ”เค้าบีบมือผมแน่นขึ้นตอนที่กำลังพูด

“แบบไหนเหรอ”ผมอดที่จะถามไม่ได้ว่าเค้ามองผมเป็นคนยังไง แล้วไอ้คนอย่างผมนี่มันมีอะไรให้เค้ามาชอบได้ ทั้งที่ขนาดตัวผมเองผมยังไม่ค่อยชอบตัวเองเลย

“ก็ดูลึกลับแล้วก็น่าค้นหา ผมว่าเสน่ห์พี่แฟ้มอยู่ตรงนี้แหละครับ”อย่างผมเนี่ยนะลึกลับน่าค้นหา เอาอะไรมาตัดสินกันเนี่ย

“ใครจะไปเหมือนอ้วนล่ะ เปิดให้ดูจนหมดขนาดนั้นไม่ต้องค้นหาอะไรอีกแล้วมั้ง”ผมอดที่จะแซวเค้าไม่ได้ แต่ครั้งนี้ไม่ยักกะโวยวายเหมือนทุกครั้งแหะ ผมหันไปมองเค้าว่าทำไมถึงเงียบไป พอหันไปก็เจอเค้าจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าของเค้าค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาหาผม จมูกเราใกล้กันจนผมรู้สึกถึงลมหายใจที่ร้อนผ่าวของเค้า

“กลับห้องกันเถอะ”ผมเบี่ยงหน้าหลบพร้อมกับจะเดินนำหน้าแต่ด้วยความทำเค้าจับมือผมไว้และเค้าไม่ขยับเดินตามทำให้ผม ไปต่อไม่ได้

“วันนี้พี่ให้บวกสิบแต้ม กับคำพูดที่บอกว่าพี่ลึกลับน่าค้นหา”ผมบอกโดยยังหันหลังให้เค้าอยู่ จริงๆที่ผมแกล้งหักแต้มเค้าเยอะๆ นี่เพราะอยากให้เค้าเลิกล้มความตั้งใจและเลิกสนใจผมเสีย แต่บางทีผมก็คิดว่าทำร้ายจิตใจเค้ามากไป แค่ปลอบใจด้วยคะแนนเล็กๆ น้อยจากผมแค่นี้มันคงจะไม่เสียหายอะไรมากหรอกมั้ง

“งั้นก็กลับห้องกันเถอะครับ”เค้าก้าวมาเคียงข้างแต่ยังไม่ยอมปล่อยมือก่อนจะเดิน ไปตามทางที่กลับที่พัก


-------------------------------------------------
แวะมาอัพต่อคร๊าบบบบบ

มาเอาใจช่วยน้องอ้วนกันหน่อยเร็ว o13
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 15-11-2014 19:51:37
ตกลงน้องอ้วนนี่ตัวจริงใช่ไหม? เรายังไม่ชัวร์กับแฟ้มนะว่าจะตัดใจจากโอเล่ได้  ถ้าแฟ้มมีอะไรกับน้องอ้วนตอนนี้นี่ท่าทางจะรุงรัง

อยากให้แฟ้มเจอโอเล่อีกครั้ง จะได้ตัดใจแล้วคบกับน้องอ้วนอย่างจริงจังเป็นการเริ่มต้นใหม่ที่แฟร์ๆ ไม่อยากให้ใช้น้องอ้วนเป็นตัวแทนในตอนที่ยังไม่ชัดเจน

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ :L1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 15-11-2014 20:54:30
เค๊าก็ยังหวงแฟ้มเหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 15-11-2014 21:42:14
ไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็เจออิโอเล่นะ  :serius2:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 15-11-2014 22:15:31
คนคั่นเวลา?

เมื่อตัวจริงของเค้าหวนกลับมา
ตัวเราก็หมดคุณค่า หาประโยชน์ไม่ได้อีก

สงสารอ้วนจัง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 15-11-2014 22:19:46
แอร๊ยยยยย อ่านทันแล้ว

#ชูป้ายไฟทีมน้องอ้วน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 15-11-2014 22:20:17
เข้าห้องแล้วไม่ต้องล็อคประตูนะ จะไปแอบดู :hao6:
กินน้องอ้วนเถอะแฟ้ม จะได้เป็นอมตะ 5555 :laugh: :laugh:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [15-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 16-11-2014 09:50:39
พอกลับมาห้องพักก็ต้องลำบากใจกับเรื่องที่นอนอีกครับทีนี้ นึกแล้วก็ยังไม่ได้ชำระความอีกสองคนที่พากันเข้าหอไปแล้วนั่นเลย ที่ทำให้ผมต้องมานอนร่วมเตียงกับนายน้องอ้วนนี่

“ห้ามข้ามหมอนข้างมา โอเคไหม”ผมจัดแจงเอาหมอนข้างวางไว้ตรงกลางระหว่างเราสองคน เค้าทำท่าไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก แต่ผมต้องกันไว้ก่อนถึงจะไม่อุ่นใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าไม่มีอะไรกั้นไว้เลย เพราะลำพังตัวนายน้องอ้วนก็น่าหวั่นวิตกพอแล้ว แต่ผมเองนี่แหละที่น่าหวั่นมากกว่าว่าจะเผลอตัวเผลอใจไป แบบไม่ไว้ใจตัวเองเท่าไหร่ครับ

“ผมไม่ปล้ำพี่หรอก แค่ฟังคำขู่ของพี่ผมก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว ไม่เห็นต้องเอาอะไรมากั้นเลย นะครับ อย่างมากก็ขอแค่ผมกอดพี่ก็พอไม่ทำอะไรมากไปกว่านั้นหรอกครับ”นั่นแหละที่น่ากลัว ทั้งบรรยากาศ ทั้งแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป เกิดอารมณ์มันพาไปแล้วผมจะทำยังไง

“กอดก็ไม่ได้ อ๋อแล้วถ้าเกิดตื่นมาแล้วเห็นว่านายเอาหมอนข้างออก หรือว่ากอดพี่อยู่ละก็ ห้าสิบแต้มแน่ๆ ท่องไว้เลย”ผมเริ่มหาช่องทางป้องกันตัวเองเอาไว้ให้แน่นหนาที่สุดครับ

“ห้าสิบแต้มนี่พี่จะบวกให้ผมใช่ไหมครับ”ยังเล่นไม่เลิกครับแต่ผมขี้เกียจต่อปากต่อคำแล้ว ง่วงเหลือเกินเลยล้มตัวลงนอน

“นอนได้แล้ว เร็วเข้า”ผมรีบบอกอย่างดุๆ เมื่อคิดว่าเค้าคงไม่ล่วงเกินอะไรผมแล้วเปลือกตาผมก็ปิดลงช้าๆ ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา

หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่น่าจะใกล้เช้าเต็มที ผมรู้สึกเหมือนจะปวดฉี่เลยกะว่าจะลุกไปเข้าห้องน้ำ แต่พอจะขยับตัวก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างมาเกี่ยวเกาะร่างผมไว้ ใช่แล้วไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ นายน้องอ้วน เจอห้าสิบแต้มแน่ๆ วันนี้ แต่แล้วผมก็คิดได้ว่าจะเป็นการทำร้ายเด็กเกินไปหรือเปล่าก็เลยกะว่าจะอุธรณ์ให้นิดหน่อย โดยการส่งสัญญาณว่าผมกำลังจะตื่นแล้วนะ ถ้าเค้าสามารถกลับไปอยู่สภาพเดิมตอนที่นอนได้ผมจะไม่หักสักแต้ม แต่ถ้ายังเกาะผมเป็นลูกลิงแบบนี้เจอแน่ๆ ผมมั่นใจว่าผมไม่ได้ไปกอดเค้าก่อนแน่ๆ เพราะผมไม่ใช่คนนอนดิ้นออกจะหลับลึกแล้วก็นิ่งอีกต่างหาก

“อืม...”ผมส่งเสียงงัวเงียเล็กน้อยพร้อมกับขยับตัว แล้วก็รู้สึกได้ว่าอีกคนน่าจะรู้สึกตัวแล้ว แต่ยังนิ่งเหมือนจะดูท่าทีผมกระมั้ง ผมแกล้งทำเหมือนยังไม่ตื่นเต็มที่เอามือควานหาโทรศัพท์ เพื่อจะดูว่าเวลาเท่าไหร่แล้ว คราวนี้ได้ผลเค้าผละออกจากผมไปทันที สงสัยจะกลัวโดนหักห้าสิบแต้มจริงๆ ผมหยิบมือถือมาดูเวลา ตีห้ากว่าๆ แล้ว หันไปมองอีกคนที่นอนหันหลังให้ผมอยู่ชิดขอบเตียงจนเกือบจะตกอยู่แล้ว หมอนข้างถูกนำมาวางที่เดิมแม้จะไม้ตรงเป๊ะที่เดิมแต่ก็โอเค ถือว่าวันนี้อารมณ์ดี ยกให้เด็กมันวันนึงแล้วกัน

ผมลุกไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็ฉุกคิดบางอย่างเลยล้างหน้าล้างตา ก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเห็นอีกคนยังนอนอยู่ท่าเดิมไม่รู้ว่าหลับไปแล้วหรือแกล้งหลับแต่ก็ช่างเค้าเถอะ ผมเปิดประตูออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ

บรรยากาศยามเช้าเงียบสงบมีเพียงเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่ง ผมหยุดยืนอยู่ตรงชายหาด เหม่อมองออกไปยังทิศตะวันออก อีกไม่นานแสงแรกแห่งวันใหม่ก็คงจะทอแสงแล้ว แล้วตัวผมละถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะเริ่มชีวิตใหม่ๆ เสียที

ไม่นานนักแสงแรกของวันใหม่ก็เริ่มเปล่งประกาย ผมเหม่อมองอย่างจดจ้อง สัมผัสได้ถึงน้ำใสๆ ที่ไหลรินออกมาจากดวงตา ทำไมกันนะทั้งที่พระอาทิตย์ยังคงเริ่มต้นวันใหม่ทุกวัน แต่ผมกลับยังลืมเค้าไม่ได้เสียที

“ร้องไห้ทำไมครับ”อยู่ๆ ใครบางคนก็เข้ามาสวมกอดผมจากทางด้านหลัง เอาหน้าวางที่ไหล่ของผมก่อนจะกระซิบถามแผ่วเบา แต่น้ำเสียงบ่งบอกถึงความห่วงใยอย่างเปี่ยมล้น ผมไม่ได้ตอบแต่ยังคงมองไปที่พระอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นเส้นขอบฟ้านั้นขึ้นมา เค้าเองก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ยังคงกอดผมไว้เช่นเดิม คาดว่าเค้าเองก็คงจ้องมองสิ่งเดียวกับผมอยู่ ผมได้แต่กล่าวขอโทษเค้าอยู่ในใจ ขอโทษนายน้องอ้วน ที่ผมกำลังใช้เค้าเป็นเหมือนตัวแทนของใครคนนั้น ขอโทษจริงๆ

“ปล่อยได้หรือยัง”ผมบอกคนที่ยังคงกอดผมนิ่งทั้งที่ดวงตะวันของวันใหม่ได้เจิดจรัสขึ้นมาแล้ว พร้อมกับยกมือขึ้นปาดน้ำตา

“แค่ผมไม่มาดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยแค่นี้ ต้องร้องไห้เลยเหรอครับ”เค้าคลายอ้อมกอดออก แล้วจับตัวผมให้กันมาเผชิญหน้า ผมได้แต่นึกในใจว่าอย่าให้เค้าดีกับผมนักเลย เพราะวันนึงผมอาจจะทำร้ายเค้าได้ ผมยังไม่มั่นใจอะไรในตัวเองทั้งนั้นในตอนนี้

“บวกให้อีกสิบแต้มที่มาดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนวันนี้”ชายหนุ่มตาโตไม่คิดว่าผมจะให้แต้มเค้าง่ายๆ อย่างนี้ แต่ด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อเค้าทำให้ผมอยากตอบแทนอะไรเค้าบ้าง แม้มันจะเป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ ของเค้าเองก็เถอะ

“งั้นจากที่ก่อนมาพี่หักผมไป ยี่สิบห้าเป็นผมติดลบ 105 ลบไปอีก 10 ที่สมคบกับพวกเฟิร์นเปลี่ยนห้อง เมื่อคืนพี่ให้ผมมาอีกสิบ กับเมื่อกี้อีกสิบ หักลบแล้ว ผมก็ยังติดลบอยู่อีกตั้ง 95”เค้าทำท่าคิดคำนวณพร้อมสาธยายให้ผมฟัง ใช่แล้วคะแนนเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมให้ไปมันไม่ได้ช่วยให้เข้าใกล้ความหวังของเค้าหรอก เพราะเวลาหักผมหักทีละเยอะๆ แต่พอให้เค้ากลับให้เพียงเล็กน้อย ชักเริ่มเกลียดตัวเองที่เป็นคนแบบนี้เสียแล้ว

“พี่แฟ้มมีความหลังอะไรกับพระอาทิตย์ขึ้นใช่ไหมครับ”เค้าหันกลับมาตั้งคำถามกับผมหลังจากที่บวกลบแต้มที่มีเรียบร้อยแล้ว

“อะอะ อย่ามาหักแต้มผมเพราะว่าผมละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวนะ ผมแค่ถามเฉยๆไม่ได้ให้พี่ตอบ อันนี้ผมค้นหาคำตอบเองก็ได้”เค้าดักคอผมอย่างรู้ทัน ผมเลยทำเพียงยิ้มบางๆให้เค้า ไม่ได้ต่อว่าหรืออะไรทั้งสิ้น “ขอโทษอีกครั้งนะน้องอ้วน” ผมบอกกับเค้าได้เพียงในใจ แต่ในอนาคตต่อไปจะเป็นยังไงผมก็ยังไม่รู้หรอกครับ ไม่แน่วันนึงผมอาจจะชอบนายน้องอ้วนนี่ขึ้นมาก็ได้

วันต่อๆ มาบนเกาะเสม็ดเราก็ยังคงสนุกสนานกันเหมือนเดิม นายน้องอ้วนก็ยังคงหาเศษหาเลยจากผมเหมือนเดิม จนถึงวันที่ต้องกลับ ผมบวกเพิ่มให้เค้าอีก 15 แต้ม จากการที่เค้าไม่ได้ทำมิดีมิร้ายผมในระหว่างที่เราต้องนอนร่วมเตียงกัน ส่วนการแอบกอดผมบ้างนั้นก็ถือว่าเป็นโบนัสให้น้องมันไปแล้วกันครับ เป็นอันว่าตอนนี้นายน้องอ้วนติดลบอยู่แปดสิบถ้วนครับ แต่ก่อนกลับคุณน้องท่านก็ยังมิวายฟูมฟายอีกเหมือนเดิมครับ

“ไหนใครว่ามาเกาะเสม็ดเสร็จทุกราย ทำไมมันไม่เห็นจะจริงเลย”นายน้องอ้วนโอดครวญอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ผมได้แต่หัวเราะกับคำพูดนั้น ส่วนอีกสองคนที่มาด้วยกันเอาแต่ยิ้มอายๆ เป็นอันเข้าใจว่าทฤษฎีนี้ใช้กับไอ้แชมป์และน้องสาวผมอยู่


แวะมาต่อคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 16-11-2014 11:15:58
 อึ้อหึอม์  คะแนนน้องอ้วนชักเริ่มตีตึ้นขึ้นมาแล้วนะ  :katai2-1:

อยากให้แฟ้มตัดใจได้เร็วๆแล้วเริ่มใหม่กับรักใหม่  ถ้าน้องอ้วนเป็นพระเอกก็ขอหวานๆ

ว่าแต่ชื่อเรื่องนี่มันหมายถึง.........?????

ถ้าอิเล่เป็นพระเอกไงก็ขอแบบโหดๆนะคะคนเขียน ส่วนหื่นๆขอตลอด  ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ค่ะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 16-11-2014 13:53:54
ให้ความหวังโดยไม่มีความหวัง
มันบาปนะ..แฟ้ม

สงสารอ้วนจัง(อีก)
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 16-11-2014 18:41:02
เชียร์อ้วนครับผม

สู้ๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 16-11-2014 18:57:58
สงสารแฟ้ม ไม่รู้ว่าจริงๆแล้ว
แฟ้มยังรักคนเดิมอยู่เต็มหัวใจ
หรือแฟ้มกลัวที่จะเริ่มใหม่กันแน่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 16-11-2014 19:27:18
ชูป้ายไฟน้องอ้วน

ชีวิตมันต้องก้าวไปข้างหน้าเนอะแฟ้ม สู้ๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 16-11-2014 19:37:04
ว้า แย่จัง อุตส่าลุ้น :hao6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 16-11-2014 22:26:14
ถ้าแฟ้มยังทำตัวอย่างนี้อยู่ก็ปล่อยให้อ้วนไปเจอคนใหม่เถอะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [16-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2014 12:08:00
ผมกลับมาอยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ที่กรุงเทพฯ ดูทั้งสองมีความสุขมากที่ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน บางวันไอ้แชมป์ก็มาทานข้าวที่บ้านกับพวกผมด้วย เลยเหมือนบ้านผมจะเป็นครอบครัวสุขสันต์เลยแหละช่วงนี้ ส่วนนายน้องอ้วนก็โทรมากวนประสาทผมบ้างประปราย ผมไม่ได้ให้เบอร์มือถือผมไปนะครับแต่เค้ามีเบอร์บ้านผม เนื่องจากน้องสาวผมให้ไปนั่นเองครับ ผมเพิ่งรู้ว่านายน้องอ้วนนี่ก็เป็นคนกรุงเหมือนกัน ตอนแรกก็ไม่เคยถามเพิ่งจะรู้ตอนกลับมาจากเสม็ดนี่แหละครับ

“ไปเที่ยวห้างกันไหมพี่แฟ้ม”แม่น้องสาวผมเอ่ยชวนในบ่ายวันนึงเพราะไม่มีอะไรทำนอกจากนั่งๆ นอนๆ เฟิร์นก็ปิดเทอม ไอ้ผมก็ปิดร้านมา นอนดูทีวีเปิดอินเตอร์เน็ต เปิดเพลงลั่นบ้านก็แล้ว แต่เราสองพี่น้องก็ยังเซ็งๆ กันอยู่เหมือนเดิม แม่น้องสาวเลยคิดจะไปเดินห้างนั่นแหละครับ

ก็เป็นอันว่าผมกับเฟิร์นไปเดินเล่น ซื้อของนิดๆ หน่อย แล้วก็จบด้วยการดูหนังอีกหนึ่งเรื่อง กว่าจะดูหนังจบก็เย็นมากแล้ว เลยโทรบอกพ่อกับแม่ว่าให้ทานข้าวก่อนเลย ผมกับเฟิร์นจะหาอะไรทานข้างนอกแล้วค่อยกลับ แต่พอผมโทรบอกที่บ้านเสร็จหันกลับมาอีกที ไอ้พื่อนซี้ของผมหรือว่าที่น้องเขยก็โผล่มาจากไหนไม่รู้

“แฟ้ม...กรูขอพาน้องสาวมรึงไปดินเนอร์ตามลำพังได้ไหมว่ะ”ไหงงั้นละแม่ตัวดีจะทิ้งพี่ซะงั้น ไอ้เพื่อนตัวแสบนี่ก็กระไรมาเห็นเพื่อนเป็นส่วนเกินไปได้ แต่ก็บ่นในใจเท่านั้นแหละครับ จริงๆก็คงต้องปล่อยเค้าไปเพราะเวลาที่สองคนนี้จะได้อยู่ด้วยกันตามลำพังโดยไม่มีผมมันก็ค่อนข้างน้อยอยู่เหมือนกัน

“โอเค งั้นเดียวพี่กลับบ้านเลยแล้วกันเนอะ...อย่ากลับดึกนักละ...ฝากด้วยนะแชมป์”ผมบอกกับทั้งคู่ก่อนจะหอบเอาข้าวของบางส่วนจากน้องสาวมาเพราะจะได้เอากลับบ้านก่อน แล้วก็แยกย้ายกันตามประสา คนโสดไปทาง คนมีคู่เค้าก็ต้องไปอีกทาง


“พี่แฟ้มๆๆ....”หนึ่งเสียงตะโกนไล่หลังผมมาทำให้ต้องหันกลับไปมอง ก็เห็นหนุ่มหน้าตี๋(เซอร์) วิ่งตามผมมา ตอนนี้เริ่มจะถึงบางอ้อแล้วครับว่าทำไมสองคนนั้นทิ้งผม จากที่ปกติก็ไม่เคยคิดว่าผมเป็นส่วนเกินเท่าไหร่ นี่แสดงว่าวางแผนกันมาอีกแล้ว แหมเห็นผมลืมชำระความเมื่อครั้งไปทะเลแล้วเอาใหญ่เลยนะทั้งน้องสาวทั้งเพื่อนซี้เลย

“ลบ 10 ไม่ต้องแก้ตัว ยังไงก็ฟังไม่ขึ้น ถ้าจะอยากมาเจอมาตรงๆ ไม่ต้องวางแผนกันมาแบบนี้”ผมคาดโทษพร้อมกับยั้งไม่รับข้อแก้ตัวใดๆจากเค้าทั้งสิ้น

“ติดลบ 90 แล้วนะเนี่ยไอ้อ้วนเอ๊ย”เค้าเอามือตบหน้าผากตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์

“มาครับผมช่วยถือของเผื่อจะได้บวกเพิ่มบ้าง”เค้าทำเป็นรีบกุลีกุจอ เข้ามาช่วยผม

“ทำเพื่อหวังผล...”ผมพูดเชิงตำหนิหน่อยๆ

“เดี๋ยวๆๆ ครับผมแค่ล้อเล่นไม่ได้คิดจะขอคะแนนจริงๆ ซะหน่อย”เค้ารีบพูดแทรกเพราะกลัวผมจะไปตัดแต้มเค้าอีก

“วางแผนกันมาว่าจะชวนพี่ไปกินข้าวใช่ไหม”ต้องความคิดแม่น้องสาวผมเป็นแน่ที่รอจนผมบอกที่บ้านจบแล้วค่อยให้ไอ้แชมป์โผล่มา ก่อนจะตามมาด้วยนายน้องอ้วนนี่ และตามสเต็ป ต่อไปก็ต้องไปทานข้าว

“พี่นี่รู้ใจผมไปเสียหมดเลยนะครับ”เค้าตอบพร้อมยิ้มจนตาหยี ยิ่งตาเล็กๆ อยู่แล้วเลยเกือบมองไม่เห็น

“เค้าเรียกรู้ทันไม่ใช่รู้ใจ แล้วนี่จะไปร้านไหนว่ามา เร็วเข้านะเดี๋ยวพี่เปลี่ยนใจ”ผมพูดไปพร้อมกับเดินนำหน้าเค้าไปที่รถ เค้าเอาข้าวของเก็บที่เบาะหลังแล้วก็มานั่งข้างๆผมตรงด้านหน้า ฟังข้อเสนอเค้าเล็กน้อย ว่าไปร้านไหน จากนั้นก็บึ่งรถไปทันที ผมยังไม่เคยไปร้านที่เค้าบอกหรอกแต่เห็นว่าอร่อยนักหนาเลยจะลองไปดูสักครั้ง

“ร้านนี้อร่อยมากๆ ผมการันตีเลยรับรองว่าพี่แฟ้มต้องชอบแน่นอน”คุณน้องเค้ายังสาธยายไม่พอครับทั้งที่อวดมาตลอดทางแล้ว จนตอนนี้กำลังลงจากรถกันแล้ว แต่พอลงจากรถเท่านั้นแหละครับ สายตาผมก็ประสานกับใครคนนึง หัวใจผมแทบจะหล่นไปอยู่ตาตุ่ม

“อ้อน”ผมพึมพำเบาๆ เธอมากับกลุ่มเพื่อนผู้หญิงหลายคน ในใจผมอยากจะหลบหน้าเธอ แต่คงไม่ทันแล้วเพราะเธอเองก็เห็นผม สายตาเราสองคนประสานกันนิ่ง ต่างมองกันและกันอย่างกำลังประเมินสถานการณ์ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนของเราจะยังเป็นยังไงบ้าง แต่ผมกำลังกลัว และระแวงว่าอ้อนระแวง สงสัย หรือรับรู้เรื่องระหว่างผมกับโอเล่ไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว ผมเพียงยิ้มบางๆ ให้เธออย่างหวั่นๆในใจว่าเธอจะยิ้มตอบกลับมาไหม ตอนนี้ขาผมมันแข็งทื่อจนจะกลายเป็นหินแล้ว

หน้าอาจจะซีดจนไม่มีสีแล้วก็เป็นได้ ลุ้นอยู่ว่าเธอจะยิ้มตอบผมมาไหม อ้อนดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นจากเมื่อก่อนมาก ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะเวลามันก็เลยผ่านมาพอควร อีกอย่างเธอก็เป็นคุณแม่ แถมลูกแฝดอีกต่างหาก หรืออาจจะมีเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วก็เป็นได้ ผมแทบลืมอีกคนที่มากับผมไปแล้ว

ผมเห็นอ้อนหันกลับไปเหมือนบอกลากับเพื่อนๆ ที่มาด้วยแสดงว่าคงพากันทานอาหารเสร็จแล้วและกำลังจะกลับ อ้อนหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะก้าวเดินเข้ามาหา จากรอยยิ้มที่มีให้ทำให้ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นมาหน่อยว่าอ้อนคงยังไม่ได้ระแคะระคายอะไรเรื่องผมกับโอเล่ แต่พอเธอเดินเข้ามาถึงผม

“เพี๊ยะ”นั่นแหละครับ สีหน้าเธอแปรเปลี่ยน และฝ่ามือของเธอฟาดลงมาที่หน้าผม นายน้องอ้วนที่มากับผมคงตกใจไม่น้อยและคงงงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับผมไม่ต้องอธิบาย มันชัดเจนแล้วแหละ แรงปะทะจากฝ่ามือของอ้อนทำให้ภาพหลายๆ อย่างที่ผมเคยทำไว้มันชัดเจนขึ้นมาเรื่อยๆ

“นี่คุณทำอะไร ของคุณ”นายน้องอ้วนทำท่าจะเข้าไปผลักอ้อนแต่ผมห้ามเอาไว้เสียก่อน

“อ้วนรอพี่ในรถก่อนได้ไหม”ผมหันไปบอกกับอีกคนที่มีสีหน้าไม่เข้าใจ อย่างมากว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“เค้าเป็นเพื่อนพี่เอง”ผมดันหลังให้เค้ากลับขึ้นรถไป ก่อนจะหันมาหาอ้อนที่ สีหน้าแววตาทุกอย่าง แสดงออกถึงความชิงชังผมเต็มที่ เหมือนอ้อนกำลังกลั้นน้ำตาเอาไว้อยู่เพราะผมสังเกตเห็นน้ำที่มันเริ่มจะเอ่อล้นในดวงตาของเธอแล้ว

“มีเวลาคุยกันหน่อยไหม”เธอเอ่ยเสียงราบเรียบ มันไม่ใช่คำถามหรือคำขออนุญาต แต่มันคือการบังคับว่า ยังไงวันนี้ผมก็ต้องมีเรื่องคุยกับเธอแม้ ผมจะไม่อยากคุยก็ตาม เธอเดินนำหน้าผมไปยังซุ้มหนึ่งของร้าน ซึ่งไม่ค่อยมีคน อ้อนบอกกับเด็กของทางร้านว่าขอเวลาเราสักครู่ อ้อนนั่งที่เก้าอี้ฝั่งหนึ่ง และผมนั่งลงอีกฝั่งตรงข้าม ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าเรื่องที่อ้อนจะคุยกับผมมันคือเรื่องอะไร เราสองคนนิ่งเงียบต่างจ้องมองอีกฝ่าย เหมือนกำลังรอให้อีกฝ่ายเป็นคนเริ่ม

“จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ”เธอเหยียดริมฝีปากออกอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ผมไม่ถือโทษโกรธเธอเลยแม้แต่น้อยที่แสดงกิริยารังเกียจผมออกมาอย่างชัดเจน

“ขอโทษ”ผมกล่าวออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะมีคำพูดไหนที่ฟังดูดีไปมากกว่านี้ แม้คำๆ นี้มันไม่อาจลบล้างในสิ่งที่เคยกระทำ แต่จะให้ผมทำอะไรได้มากกว่านี้เหรอในตอนนี้

“แค่นี้เองเหรอ แค่ขอโทษคำเดียว แฟ้มคิดว่ามันสมควรแล้วเหรอที่อ้อนต้องพบเจอในตลอดหลายปีที่ผ่านมา”ผมไม่รู้หรอกว่าในหลายปีที่ผ่านมาเธอเป็นยังไงบ้าง แต่ผมก็อยากบอกเหลือเกินว่าผมก็ไม่ได้มีความสุขนักหรอกนะ

“เราขอโทษจริงๆ”ผมกล่าวออกไปอีกครั้ง

“แฟ้ม...แฟ้มเห็นอ้อนเป็นตัวอะไร ตลอดเวลาที่เรารู้จักกันมา อ้อนคิดว่าแฟ้มเป็นเหมือนพี่ชายอ้อนคนนึง แต่ดูสิแฟ้ม ดูสิ่งที่แฟ้มทำกับอ้อนสิ”ตอนนี้น้ำตาของอ้อนมันไม่ได้ถูกปิดกั้นอีกแล้ว เธอพูดพร้อมกับเสียงสะอื้น

“ทำไม...ทำไมแฟ้มไม่บอกอ้อนตั้งแต่แรกว่าแฟ้มกับเล่เป็นอะไรกัน ทำไมไม่บอกให้รู้ตั้งแต่แรก ในเมื่อแฟ้มกับเค้าก็เป็นอะไรกันที่มากกว่าเพื่อนมาตั้งแต่ก่อนที่เล่เค้าจะมาจีบอ้อน แต่แฟ้มกับเล่ก็ยังรวมหัวกันหลอกอ้อน ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง หรือแค่เดือนสองเดือนที่ทำเหมือนอ้อนเป็นคนโง่ให้แฟ้มกับเล่ปั่นหัวเล่น มันกี่ปี กี่ปีกันแฟ้มที่อ้อนเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้”ผมไม่มีอะไรจะโต้แย้งเธอได้เลย เพราะทุกอย่างที่อ้อนพูดมา มันคือความจริงทั้งสิ้น

“แฟ้มลองบอกมาหน่อยสิ ว่าทำแบบนี้ทำไม”อ้อนยังคงสะอื้นไห้ น้ำตาไหลพราก พร้อมกับจ้องมองผมอย่างต้องการคำตอบ

“พูดมาสิแฟ้ม พูดมา”ผมไม่รู้ว่าจะมีใครได้ยินเราสองคนพูดกันหรือเปล่า แต่ตอนนี้อ้อนเหมือนจะเริ่มคุมสติไม่อยู่เสียแล้ว แต่ใครกันละที่ทำให้อ้อนเป็นแบบนี้ มันก็ผมเองนั่นแหละ

“อ้อน...เราพยายามที่จะแก้ไขให้ทุกอย่างมันดีขึ้น เราเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้”ผมไม่รู้จะพูดอะไรยังไงดี ผมไม่ทันได้ตั้งตัวว่าจะได้มาเจออ้อนที่นี่ และยังคงคิดเสมอว่าเรื่องผมกับโอเล่มันน่าจะฝังดินกลบมิดไปแล้ว ไม่มีใครมารือฟื้นหรือจะมีใครรู้เรื่องอีก แต่ตอนนี้มันก็บอกชัดเจนแล้วว่ามันไม่ใช่

“แฟ้มก็พูดได้สิ ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่มันก็เป็นไปแล้วนิ จะทำยังไงดีล่ะ แล้วที่ว่าพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น มันดียังไง มันก็ดีกับตัวแฟ้มคนเดียวละมั้ง แฟ้มหนีไปมีชีวิตใหม่ ทำตัวเหมือนจะเป็นคนดีหลีกทางให้อ้อน ให้อ้อนได้แต่งงาน มีครอบครัว แล้วยังไงอ้อนได้แต่งงาน เพื่อที่จะได้มีปัญหาตามมา ครอบครัวอาจจะแตกแยกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ลูกๆ ที่เกิดมาอาจต้องมารับรู้ว่าพ่อแม่แยกทางกัน ทุกวันนี้อ้อนต้องทน ทนเพราะอะไรรู้ไหม เพราะลูกต้องยังทำว่าดีต่อกันกับเล่ เวลาที่ลูกๆ อยู่ ทั้งที่ความจริง มันไม่ควรมาถึงขั้นนี้ด้วยซ้ำ ตอนนั้นอ้อนน่าจะเอาเด็กออกให้มันจบๆ ไป เพราะยังไงพ่อมันก็ไม่ได้อยากให้ลูกเกิดมาอยู่แล้วนิใช่ไหม”อ้อนพรั่งพรูออกมาอย่างมากมาย นี่คงอัดอั้นมานานพอสมควรแล้ว ผมพอจะเข้าใจอ้อนแล้วว่าสิ่งที่เธอได้รับมันคงหนักหนากว่าผมอย่างมาก เพราะไอ้ผมมันก็แค่หลบไปอยู่ในโลกของผมไม่ต้องมาแบกรับอะไรมากมายเหมือนตอนนี้ แต่อย่างน้อยๆ ผมก็ยังรู้สึกดีที่ได้รู้ว่าเค้าสองคนยังไม่ได้อย่าขาดจากกัน ถึงจะบอกว่าทำเพื่อลูกก็เถอะ

“เราเสียใจ”ผมอยากหาถ้อยคำมาปลอบหรือมาอธิบายแต่มันเหมือนจะจนปัญญาจริงๆ

“เสียใจ...ใครๆ ก็เสียใจทั้งนั้นแหละ เล่เองก็เสียใจ เสียใจที่ต้องทนอยู่กับอ้อน จริงๆอ้อนน่าจะเอะใจให้เร็วกว่านี้ ทั้งเรื่องแหวนที่เล่มี เพราะดูยังไงมันก็คือวงที่อ้อนเคยเห็นแฟ้มซื้อ แต่อ้อนก็พยายามไม่คิดอะไรมาก จนหลังจากแต่งงาน เล่ทั้งเพ้อ ทั้งละเมอหาแฟ้ม เค้าเหมือนทุรนทุรายที่ขาดอะไรบางอย่างไป จนในที่สุดก็ยอมรับออกมา ว่าที่อยู่กับอ้อนนั้นมันมีแค่ตัว แต่หัวใจของเค้ามันได้ให้แฟ้มไปหมดแล้ว”ผมไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่รู้ว่าใครอีกคนยังรักผมอยู่ แม้ผมจะรักเค้าเช่นกัน แต่ในเมื่อเราก็ตกลงกันแล้วว่าจะพยายามทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แล้วทำไมเค้าทำอย่างนี้กัน

“หรือถ้าอยากอยู่ด้วยกันมากขนาดนั้น อ้อนก็จะคืนให้ ยังไงอ้อนมันก็มาทีหลังอยู่แล้วนิ”ทำไมเรื่องราวมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้กันนะ

“อ้อนตอนนี้เราต่างก็มีชีวิตของตัวเอง เราจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรกับทั้งอ้อนและโอเล่อีกแล้ว”ใช่แล้วผมไม่ควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับครอบครัวพวกเค้าอีกแล้ว

“เราคงทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ยังไงก็ขอโทษอีกครั้ง แล้วก็เสียใจจริงๆ ที่ทุกอย่างมันกลายมาเป็นแบบนี้”ผมลุกขึ้นเดินออกจากตรงนั้น ผมไม่รู้จะทำยังไง เพราะถึงจะขอโทษอีกร้อยครั้ง พันครั้ง มันก็คงไม่ช่วยให้อ้อนยกโทษให้ผมหรอก



-------------------------------------------------

แวะมาเสิร์ฟดราม่าคร๊าบบบ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 17-11-2014 12:36:38
เรื่องนี่มันก็ผิดกันทุกคนแหละ 

ถูกแค่คนเดียวคือ น้องอ้วนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 17-11-2014 16:07:43
คือมันสายไปหมดแล้วไง

ชีวิตเรามันต้องก้าวไปข้างหน้าอ่ะ และใช่ แฟ้มก็เห็นแก่ตัวจริงๆ ถึงจะบอกว่าถอยออกมาแล้วก็เพื่อหนีมาอยู่ในโลกของตัวเอง

แต่แฟ้มก็พยายามไม่ไปทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิมแล้วหรือเปล่า?

สรุป...น้องอ้วนดีที่สุด (ไม่เกี่ยว)
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 17-11-2014 16:21:09
ป้าอ้อน... ป้าไม่ผิดเลยว่างั้น?

ป้าก็รู้สึกว่ามันยังไงๆ แต่ป้าก็นอนกับผช.คนที่ป้าบอกว่ายังไงๆ
ไม่ใช่ว่าแฟ้มไม่ผิด แต่มันผิดหมด ป้าจะมาโทษคนอื่นไม่ได้นะป้า
จะมาบอกว่าต้องทนเพราะลูก ป้าถามตัวเองกับลูกเหอะ ว่าป้าทำเพื่อลูกหรือเพื่ออะไร?
แต่งได้ก็หย่าได้นะเออ
ที่ป้าต้องจัดหนักให้อ่ะ คนที่ป้าเคยนอนด้วยจนท้องนั่นต่างหาก ไปกระทืบมันเลย

อ่านตอนนี้แล้วมันปริ๊ด กับตรรกะมนุษย์ป้าของอ้อนมาก
อินางงงงงงง ไม่ผิดเลยยยยยยยยยยยยยยยย
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 17-11-2014 19:17:30
เราว่าอ้อนไม่ผิดนะ เล่มาจีบอ้อนเอง อ้อนเห็นแฟ้มเป็นเหมือนพี่ชายมาโดยตลอดและไม่คิดว่าเล่จะเป็นเกย์และอ้อนมองโลกในแง่ดีว่ามันคงไม่มีอะไรระหว่างทั้งคู่ อ้อนไม่ได้แย่งเล่มาจากแฟ้มแต่แฟ้มเองนั่นแหละที่เป็นมือที่สามเพราะเล่เลือกอ้อนแม้ว่าจะรักแฟ้มก็ตาม และอ้อนก็ถามเรื่องเล่กับแฟ้มมาโดยตลอดแต่ก็ไม่ยอมหยุดความสัมพันธ์ปล่อยเรื้อรังจนวันแต่งงาน อ้อนอาจจะผิดที่เคยคิดเอาลูกออกแต่ก็ไม่ได้ทำและตอนนี้ก็พยายามรักษาสถานภาพของครอบครัวอย่างเต็มที่ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกเล่ก็ไม่อยากที่จะมีลูกด้วยซ้ำ คนผิดเริ่มต้นเรื่องนี้คือเล่ และคนสานต่อก็คือแฟ้มทำลายชีวิตของคนหลายคนเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 17-11-2014 20:20:29
ก็ผิดกันทุกคน
เยอะสุดก็คือเล่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 17-11-2014 21:31:16
ยังคงหนักแน่นกับคำเดิมสำหรับเล่และอ้อน "เลวทั้งคู่"
เล่มันเลวแบบเ_ี้ยๆ ส่วนแฟ้มเลวแบบแอ๊บเป็นคนดี
ถ้าเรื่องนี้แฟ้มไม่ใช้คนดำเนินเรื่องเราคงไม่คิดว่านี่เป็นนายเอก มองยังไงก็ตัวร้ายแบบแหลๆด้วยซ้ำ
ชอบมองตัวเองเป็นคนดี แต่ที่ทำนี่แบบ..... เป็นเพื่อนนี่เลิกคบอย่างเดียว ที่โดนน้อยไป
เพราะเหมือนทำร้ายชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งรวมถึงลูกๆเลยทีเดียว ถึงอาจจะเลิกกับเล่ได้
แต่ครอบครัวก็ต้องมีปัญหาแน่

เนี่ยแหละถึงไม่อยากให้แฟ้มคบกับอ้วน

ทั้งเล่ทั้งอ้อนเหมาะกันดี แต่ไม่ควรอยู่ด้วยกัน ทั้งสองสมควรอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆหากไม่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 17-11-2014 22:45:50
เพราะจิตมัวเมา..เข้ายึดครอง
เพราะจิตตอบสนอง..ชอบตัณหา
เพราะจิตคุ้มคลั่ง..พังพริบตา
เหมือนเสพติดยา..พาติดอยู่ในวังวน

นี่แหละมนุษย์ที่ชอบยื้อยุด..หาเหตุผล
แล้วชักพา วนเข้าหาแต่ตัวเอง..เพื่อเอ่ยอ้างว่า "ถูกต้อง"

..ทุกคนในเรื่องนี้..
ก็ไม่ยกเว้น

หุหุ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 17-11-2014 23:37:55
ทุกอย่างมันสายไปจริงๆ

มันถลำลึกเกินไป

ทำให้เจ็บปวดทุกคน,,,
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 18-11-2014 00:15:42
อึอม์ก็เช้าใจนะว่ามันเจ็บปวด แต่ว่าแม่คุณเอ๋ย มาจนป่านนี้แล้วยังไม่รู้จักแก้ไขหรือหาทางออกก็ต้องโทษตัวเองที่ทู่ซี้อยู่ต่อไป
จะมาบอกว่าทนเพื่อลูก อย่าเลย อย่าเอาคำว่าลูกมาอ้าง  นึกเหรอว่าอยู่ด้วยกันแล้วลูกมันจะมีความสุขที่ๆบ้า่นมีแต่ความตึงเครียด
ได้เวลาหยุดแล้วก็ถอยออกมาตั้งสติว่าจะเอาอย่างไรต่อไปต่างหาก รักลูกจริงก้ต้องทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูก ต่อให้เลิกลาหย่าร้างกันไป ก็รักลูกสิทำเพิ่อลูกให้เวลากับลูกเป็นที่พึ่งทางใจให้ลูก อย่าเอาตัวเองอยู่ในฐานะของคนที่ถูกกระทำเลย เสียใจสักช่วงโอเคนะ แต่นานๆไปน่าสมเพทอ่ะ  ว่าไปแล้วอ้อมนี้ไม่เคยพยายามทำอะไรเองเลยนะ อยากได้อิเล่ก็มาพูดกับแฟ้ม ท้องขื้นมาก็แฟ้มพูดกับอิเล่ให้ มาตอนนี้ก็มาลงกับแฟ้มกะให้แฟ้มไปซัดอิเล่ๆจะได้กลับมาลูกหาเมียอีกสิงั้นก็  ดีอ๊ะมีที่ลงทางอารมณ์ อะไรปิดมาก็โทษคนอิ่นได้ ไม่นับเลยว่าตัวเองก็โตแล้ว ตอนที่ตัดสินใจอะไรก็ตัดสินใจด้วยตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ไปโทษคนอิ่นอย่างเดียวไม่ได้หรอก นี่ยังอดนึกไม่ได้เลยนะว่าที่นางท้องตอนนั้นนางกะจับอิเล่หรือเปล่า

ส่วนอิเล่ก้ไม่มีอะไรจะพูด ทำเองผูกเอง พันหลักตัวเองไม่พอก็ทำคนอิ่นพัวพันไปด้วย   ส่วนแฟ้มนั้นเราว่าแฟ้มพยายามแล้วนะ ในเมื่อตอนนั้นอิเล่เองก็ไม่ได้ให้ทางออกอะไรเลยนอกจากสนองนี๊ดตัวมันเองด้วยการรับผิดชอบอ้อมแล้วก็เก็บแฟ้มไว้ไซด์ไลน์
เข้าใจว่าอิเล่มันกลัวคนอิ่นจะรู้ว่าชอบผู้ชาย  แฟ้มเองก็รู้ว่าอิเล่มันไม่นับว่าตัวเองเป็นแฟนจะไปออกนอกหน้าห้ามอิเล่ไม่ให้คบอ้อมได้หรือ ดูยังไงก็เป็น Friend with benefit ต่างไปแค่ตัวเองรักอิเล่

รอดูไปว่าแฟ้มจะทำยังไงต่อ อาจจะไปเจออิเล่แล้วตัดให้ขาด พูดให้อิเล่กลับไปหาลูกหาเมียหรือไปหาคนอิ่น ทำให้สภาพกลึนไม่เข้าคลายไม่ออกนี้จบไป ทำไปเถอะหนุเอ๊ย จะไปสับอิเล่ให้เละ แล้วมาเริ่มต้นใหม่กะน้องอ้วน หรือจะไปสับอิเล่ให้เละแล้วยื่นคำขาดให้มันรับความจริงว่ามันเป็นเกย์แล้วประกาศกับสังคมไปเสียก่อนจะเริ่มต้นใหม่ก็เอา  เรารอคนเขียนมาเซอร์ไพรซ์ค่ะ (ตัวเลือกอิ่น)  :katai1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 18-11-2014 02:19:15
 :z3: :z3: :z3: :z3: เห้ออออ!!!! อิเล่จะรีเทรินเหรอ ไม่นะะะะ!!!  :katai1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [17-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 18-11-2014 12:10:23
“พี่แฟ้ม...เป็นไงบ้างครับ”นี่ผมเกือบลืมเค้าไปแล้วนะ แต่ผมคงกินข้าวกับเค้าไม่ได้แล้ว เพราะมันคงจะกินอะไรไม่ลงแล้วล่ะ

“พี่คงไม่มีวาสนาพอได้ชิมอาหารอร่อยของอ้วนแล้วมั้ง จะเป็นไรไหมถ้าพี่จะขอกลับเลย”ผมบอกกับเค้าอย่างยิ้มแย้ม ทั้งที่ในใจมันกำลังสับสน ระคนกับเสียใจ

“ไม่เป็นไรครับ เรากลับกันเลยก็ได้”นี่ผมต้องบวกคะแนนให้เค้าหรือเปล่าที่ทำตัวว่านอนสอนง่ายขนาดนี้

“แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นต้องทำแบบนั้นด้วยครับ”เค้าคงจะเก็บความสงสัยไว้ไม่ได้จริงๆ

“เค้าเป็นเพื่อนพี่เองแหละ แต่ว่าพี่เคยทำเรื่องไม่ดีมากๆ กับเพื่อนพี่คนนี้ เค้าก็เลยโมโหพี่ไง”ผมยังคงบอกออกไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่ทำไมนายน้องอ้วนทำหน้าแบบนั้นกันล่ะ เอะใช่แล้ว น้ำตาผมคงไหลออกมาแล้วนั่นเอง ผมรีบเช็ดน้ำตาออกไป

“ผมขับให้ดีกว่าครับ เดี๋ยวไปบ้านพี่เลยแล้วกัน”

“แล้วจะกลับออกมายังไง”เอ่ยถามด้วยความสงสัยเพราะผมกะว่าจะไปส่งเค้าก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน

“เดี๋ยวผมออกมาพร้อมพี่แชมป์ก็ได้ครับ คือ...พี่แฟ้มคงไม่ว่าอะไรนะครับที่ผมโทรไปเล่าให้เฟิร์นฟังแล้วว่ามีคนมาตบหน้าพี่แฟ้ม แล้วทีนี้พี่แชมป์เลยไปรอที่บ้านพี่แล้วละครับตอนนี้”พอฟังเค้าเล่ามาผมเลยเปลี่ยนให้เค้ามาเป็นสารถีให้ผม

“พี่คงไม่ตัดคะแนนผมนะที่เอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นแบบนี้”อะไรจะจริงจังกับเรื่องคะแนนขนาดนี้กัน

“บวกให้ห้าสิบแล้วกัน”ผมบอกออกไปยิ้มๆ

“หา...พี่อย่ามาล้อผมเล่นดีกว่า”เค้าทำเหมือนไม่ค่อยจะเชื่อ แต่ผมพยักหน้าบอกว่าให้จริงๆ วันนี้ผมรู้สึกขอบคุณเค้าจริงๆ ถ้าผมมาเจออ้อนเพียงลำพังโดยไม่มีเค้ามาพูดคุยเหมือนตอนนี้ผมอาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้ อีกอย่างที่รู้สึกขอบคุณเค้าก็คือเรื่องที่ไอ้แชมป์รอผมอยู่ที่บ้านนั่นเอง ผมอยากระบายกับใครสักคนที่รับรู้และเข้าใจผมในเรื่องนี้

“บวกอีกห้าสิบ งั้นผมก็เหลือลบแค่สี่สิบแล้วสิ”คนขับรถของผมยังคงพึมพำกับสิ่งที่ได้รับ อย่างไม่คาดฝัน อย่างน้อยๆ ผมก็ยังมีเค้าอีกคนใช่ไหม นับว่านายน้องอ้วนนี่ก็ไม่เซ้าซี้ดีเหมือนกันนะ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะอยากรู้ไปถึงว่าผมไปทำอะไรไว้กับอ้อนถึงมามีเรื่องมีราวกันแบบนี้ แต่นี่เค้าไม่ได้ซักไซร้อะไรผมมากนัก



“ขอพี่คุยกับไอ้แชมป์ตามลำพังสักครู่นะ”พอกลับมาถึงบ้าน ผมก็บอกกับน้องสาวแล้วก็นายน้องอ้วน ขอความเป็นส่วนตัวสักนิดคือผมก็ไม่ได้อยากจะให้ใครมารับรู้เรื่องนี้เพิ่มมากขึ้นหรอกนะ แม้ว่าเฟิร์นเองก็น้องสาวผมแต่เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรือน่าภาคภูมิใจที่จะให้ใครมารับรู้เพิ่มอีก ทั้งสองคนแยกตัวออกไปอย่างเข้าใจ

“เป็นไงบ้างละ”ไอ้แชมป์เอ่ยเรียบๆ แต่ก็ยังแฝงไปด้วยความห่วงใย ที่ผมอยากคุยกับมันเพราะผมรู้ว่ายังไงมันก็ยังอยู่ข้างผม แม้มันเองจะรู้สึกว่าผมเป็นคนผิดในเรื่องนี้ก็เถอะ แต่จะว่าไปมันเองก็คงรู้สึกผิดกับอ้อนเหมือนกันที่เป็นคนรู้เรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นซึ่งมันก็ปกปิดเรื่องราวช่วยผมมาตลอด

“เป็นไงนะเหรอ ก็เจ็บสิว่ะ โดนตบนะมรึงจะลองดูไหมล่ะ”ผมยังทำเป็นพูดเล่น ทั้งที่เราสองคนก็เริ่มกังวลกันแล้วว่า ตอนนี้เรื่องต่างๆ อาจจะมียุ่งยากขึ้นมาอีกครั้ง

“กรูเจ็บ...แต่มันคงไม่เท่ากับสิ่งที่อ้อนต้องเผชิญอยู่หรอก กรูนี่มันน่ารังเกียจเนอะ”น้ำตาผมเริ่มปริ่มๆ ขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมนะทั้งที่คิดว่าทุกอย่างมันจะจบไปแล้ว แต่มันก็ยังไม่จบอีก

“ไม่หรอกแฟ้ม...มรึงจำที่เราเคยคุยกันได้ไหม มรึงบอกกับกรูว่าทุกคนมันต้องมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น...เห็นแก่ตัวจนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ตอนนี้แฟ้ม...มรึงไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง มรึงถอยห่างออกมาแล้วกรูว่ามรึงก็ทำได้ดีที่สุดแล้วสำหรับตอนนี้ อดีตที่ผ่านมาแล้วเรากลับไปแก้ไขมันไม่ได้อีกแล้ว”ไอ้แชมป์พยายามพูดปลอบใจผม แต่มันก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่นักหรอกนะครับ

“ถ้ากลับไปแก้ไขได้ก็ดีสินะ กรูจะทำตามที่มรึงบอกว่าไม่ควรดึงอ้อนเค้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น”ใช่แล้วถ้าวันนั้นผมบอกกับอ้อนไปตามตรงว่าผมกับโอเล่เป็นอะไรกัน ตอนนี้เรื่องราวมันอาจจะไม่เลวร้ายอย่างตอนนี้ ในตอนนั้นผมอาจจะมีปัญหากับโอเล่ แต่คนที่จะเสียใจในตอนนั้นมันก็มีแค่ผม แล้วทำไมผมไม่ทำ มันเพราะอะไรกัน ถ้าไม่ใช่เพราะความเห็นแก่ตัวของผมเองเท่านั้น

“เมื่อมรึงไม่ได้เลือกทางนั้นตั้งแต่แรกก็อย่าไปพูดถึงมันอีกเลย ยังไงมรึงก็ต้องเดินทางนี้ต่อไป”มันก็คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละครับ เพราะผมก็คงไม่มีทางที่จะกลับไปแก้ไขอะไรได้อยู่แล้ว

“กรูก็คิดอยู่แล้วละว่าสักวันอ้อนก็ต้องรู้ กรูถึงได้หนีไปอยู่ไกลๆ อย่างนั้นไง เผื่อบางทีมันอาจจะช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ดีขึ้นจริงๆ ใช่ไหม”ผมหันไปหาไอ้แชมป์เพื่อขอความเห็น

“ตอนนี้ที่มรึงทำได้ดีที่สุดก็คงแค่หลีกให้ห่างจากทั้งสองคนนั้น เพราะคงทำอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”มันก็จริงอย่างที่ไอ้แชมป์มันว่านั่นแหละครับ

“เดี๋ยวพรุ่งนี้กรูคงกลับไปที่ร้านเลยแล้วกัน”

“ก็แล้วแต่มรึงแล้วกัน”เราจบบทสนทนาก่อนจะ เดินไปหาเฟิร์นกับอ้วน ทั้งคู่มีแววสงสัยใคร่รู้ แต่ผมว่าอย่าให้พวกเค้ารับรู้มันน่าจะดีกว่า แชมป์กับอ้วนแยกตัวกลับไปแล้ว เหลือแม่น้องสาวที่ยังตามผมเข้ามาในห้องนอนอีก คงทั้งสงสัยและข้องใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นนั่นเอง

“มันเป็นเรื่องที่เฟิร์นไม่ควรรู้ใช่ไหม”น้องสาวผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่ผมก็ไม่ได้แสดงออกว่าอยากเล่าหรือไม่อยากเล่า มันเลยทำให้เฟิร์นเองคงจะลังเลว่าควรถามหรือไม่ควรถามดี

“พี่กับอ้อนมีเรื่องบาดหมางกันนิดหน่อยนะ”ผมบอกได้แค่นี้จริงๆ ไม่อยากให้น้องสาวต้องมารับรู้พฤติกรรมในอดีตของผม

“พูดเหมือนพี่แชมป์เลย แต่เฟิร์นก็ไม่เข้าใจอยู่ดี พี่แฟ้มกับพี่อ้อนเป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน ครั้งสุดท้ายก็ยังเห็นพี่แฟ้มไปงานแต่งเค้าอยู่เลย แล้วไปมีเรื่องบาดหมางกันตั้งแต่เมื่อไหร่”ช่างสังเกตอีกแล้วน้องผม

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่จะกลับไปเปิดร้านแล้วนะ ส่วนเฟิร์นก็อยู่กับพ่อ แม่ อีกสักระยะใกล้ๆ เปิดเทอมค่อยกลับไปนะ”ใจจริงอยากจะอยู่บ้านกับพ่อแม่ต่อ แต่อีกใจก็กลัว เมื่ออ้อนมาเจอแล้ว ผมกลัวว่าต้องเจอกับอีกคน อย่างน้อยๆ แม้ร้านผมจะไม่ใช่ที่หลบหนีที่พวกเค้าจะไม่รู้แต่มันก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ใกล้ๆ พวกเค้าแบบนี้

“งั้นเดี๋ยวเฟิร์นบอกอ้วนไปอยู่เป็นเพื่อนแล้วกัน”แล้วจะไปบอกทำไม เดี๋ยวเปิดเทอมก็ต้องเจออยู่แล้วแหละ ขอไม่เจอสักพักจะได้ไหม แต่เถียงกับน้องสาวผมไปก็เท่านั้น เพราะยังไงก็คงจะคิดวางแผนอะไรกันอีกแน่ๆ


แวะมาต่อคร๊าบบบบ

เอาจริงๆ เรื่องนี้ทุกตัวละคร มันไม่ได้แบบมีคนดี คนไม่ดี

เพียงแต่ทุกคนอยู่บนพื้นฐานที่เข้าข้างตัวเอง พยายามหาเหตุผลรองรับว่าทำไมตัวเองทำแบบนั้น

ในมุมตัวละครเองอาจจะคิดว่ามันถูก มันควร แต่มุมมองจากคนอื่นๆ อาจจะไม่ใช่

ตอนแต่งก็เครียดนะเนี่ยกับเรื่องนี้ 5555
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 18-11-2014 12:43:09
สงสาร แฟ้ม  เห็นใจ อ้อนน

มาต่ออีกนะครับ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 18-11-2014 15:53:40
ใช่แฟ้มแกมันเห็นแก่ตัว ส่วนอิเล่อะมันเลว  :z6:
อดีตแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เหลือแต่อนาคตเท่านั้น
เดินหน้ามุ่งสู่การเป็นอมตะต่อไป น้องอ้วนรออยู่ :laugh:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 18-11-2014 16:57:54
เข้าใจคนเขียนค่ะ
เพราะเพราะทุกตัวละคร
ก็สามารถพบได้ทั่วไปในสังคม
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 18-11-2014 21:47:49
เห้อ!!!

เรื่องมันเศร้า,,,,

เป็นกำลังใจให้แฟ้มแล้วกันนะครับ,,,
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 18-11-2014 22:35:33
เหตุผลที่เอามารองรับสิ่งที่ผิด คือข้ออ้างนะคู๊ณณณณณณณ
ถ้าอิเล่กลับมาหาแฟ้มแล้วแฟ้มเล่นด้วยที่แบบ........ :katai1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 19-11-2014 00:41:52
ยากที่จะเปิดรับรักครั้งใหม่
พยายามเข้านะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [18-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 19-11-2014 22:32:09
“พี่แฟ้มคร๊าบบบบ”แค่วันเดียวครับที่ผมกลับมาร้าน นายน้องอ้วนก็ตามมาแล้ว ผมละสงสัยจริงๆ พ่อแม่เค้าไม่อยากให้อยู่บ้านหรือไง ปิดเทอมทั้งทีน่าจะอยากให้ลูกอยู่บ้านไม่ใช่ปล่อยมาล่องลอยอยู่แบบนี้

“เรียกทำไมเสียงดัง”เห็นแล้วแหละว่ามา

“ก็คิดถึงนี่ครับ”มากไปๆ แค่ไม่ได้เจอกันกี่วันเนี่ย

“รีบมาทำอะไรอีกตั้งหลายวันไม่ใช่เหรอกว่าจะเปิดเทอม”อดที่จะตำหนิไม่ได้ครับเพราะนี่อาจจะหลอกพ่อแม่ว่าไปค่ายหรือไปทำกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับการเรียนแน่ๆ แต่ความจริงกลับมานั่งเฝ้าผมแบบนี้

“รีบมาทำคะแนนครับ ตอนนี้ผมต้องรีบให้คะแนนเป็นบวกก่อนจะเปิดเทอมให้ได้”ไม่พ้นเรื่องนี้อีกจนได้สินะ อย่าได้หวังเลยว่าจะได้หลุดจากการติดลบ ยิ่งตอนนี้เฟิร์นก็ไม่ได้อยู่นี่ ไม่มีคนคอยหนุนหลังหรอกนะ

“ทำยังไงพี่แฟ้มถึงจะให้คะแนนผมบ้างน้า”นั่นสินะผมมีเกณฑ์ที่จะให้เค้าบ้างหรือเปล่า หรือมีแต่เกณฑ์จะลบ เพราะดูเหมือนกติกาจะมีแต่ถ้าผมไม่ชอบผมก็หักได้ตามใจ แต่อันไหนอย่างไหนละที่จะเป็นหลักประกันว่าเค้าทำแล้วจะได้คะแนนแน่ๆ

“งั้นอ้วนก็ปัดกวาดเช็ดถูร้านให้สะอาดสะอ้าน ขัดห้องน้ำให้พี่ด้วย ล้างถ้วยล้างชาม ล้างแก้ว เดี๋ยวพี่ให้คะแนน”อยากได้นักใช่ไหมไอ้คะแนนนี่นะ ดูสิว่าจะทำได้หรือเปล่า

“จริงเหรอครับ แล้วจะให้ผมกี่คะแนนถ้าผมทำทั้งหมดนั่น”ดูตาลุกวาวเลยนะพอได้ยินแบบนี้ แต่คิดเหรอว่าผมจะให้คะแนนง่ายๆ แบบนั้น

“ให้หนึ่งคะแนนแล้วกัน”พอได้ยินผมบอกแบบนั้นไอ้หน้าตาตื่นเต้นของเค้าก็แปรเปลี่ยนทันที

“โหไรอ่ะพี่แฟ้ม แบบนี้ผมไม่เอาก็ได้หรอก”อ้าวไม่เอาก็ไม่เอาสิ ใครเค้าจะไปบังคับนายกันล่ะอ้วนเอ้ย

“แหมทำเป็นดูถูก คะแนนเล็กๆ น้อยๆ คิดว่าให้ทำงานตั้งเยอะมันไม่คุ้มละสิ”ผมแกล้งตำหนิเค้ากลายๆ

“ผมไม่ได้ดูถูก แต่ไอ้เรื่องที่พี่บอกให้ผมทำ อันนั้นผมทำให้พีฟรีๆ ก็ได้ แต่ขอค่าตอบแทนเป็นไปดูหนังกับผมสักเครื่อง ทานข้าวเย็นสักมื้อ ขอนอนค้างด้วยสักคืน แล้วก็...แค่นี้ก่อนก็ได้เพราะถ้ามากกว่านี้พี่คงไม่ให้ผมแล้ว”เค้าบอกพร้อมกับทำหน้าทะเล้น ไอ้เรื่องทานข้าวกับดูหนังนี่พอจะให้ได้อยู่นะแต่ไอ้ขอนอนค้างนี่ไม่น่าจะผ่านการพิจารณานะ

“ขอดูผลงานก่อนได้ไหม ว่าจะทำได้ดีแค่ไหน ถ้าทำดีมากๆ อาจจะมีโบนัสพิเศษให้ก็เป็นได้นะ”ไม่รู้ทำไมผมถึงนึกอย่างเล่นเกมนี้กับเค้าไปเรื่อยๆ เหมือนยิ่งเล่นมันก็สนุกดี เพราะยังไงเสียผมก็คงไม่ใช่ผู้แพ้ในเกมนี้อยู่แล้ว

“งั้นผมเริ่มงานเลยดีกว่า”เค้ารีบไปกุลีกุจอ ปัดกวาดร้านให้ผมอย่างแข็งขัน ผมได้แต่มองตามอย่างขำๆ ดูแล้วนายน้องอ้วนนี่จะเป็นเอามากนะเนี่ย ผมก็จัดของอะไรไปเรื่อย ปิดร้านไปหลายวันก็ต้องเตรียมอะไรเยอะ หน่อย นี่ผมยังไม่ได้เปิดร้านนะครับ จริงๆ ก็ยังขี้เกียจอยู่อีกอย่างช่วงนี้ก็ยังไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไหร่หรอก เลยกะว่าอีกสักสองสามวันก่อนแล้วกันค่อยเปิดร้าน

“พี่แฟ้ม...วันเสาร์วันเกิดพี่แฟ้มเหรอครับ”เสียงของอีกคนตะโกนแว่วมาให้ได้ยิน

“รู้ได้ไง”ผมถามกลับไปเพราะมันก็คือวันเกิดผมจริงๆ นั่นแหละ แต่เค้าไปรู้มาจากไหนกันล่ะหรือว่าเฟิร์นบอก น่าจะเป็นไปได้เพราะเห็นวางแผนการช่วยกันตลอดนิ

“ก็ในปฏิทินนี่ เขียนไว้นี่ครับ”ผมเดินตามไปดูก็เห็นเป็นลายมือของเฟิร์น เขียนเอาไว้ วันเกิดผมช่วงหลังๆ มานี่ก็มีแค่เฟิร์นกับไอ้แชมป์เท่านั้นแหละที่มาฉลองด้วยกัน แล้วค่อยไปทำบุญในตอนเช้า มันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากวันทั่วไปเท่าไหร่นักหรอกครับ

“พี่แฟ้มอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหมครับ”เค้าหันมาถามผมอย่างมุ่งมั่นเหมือนกับว่าถ้าผมบอกว่าอยากได้อะไรเค้าจะหามาให้ยังงั้นแหละ แต่ผมก็ไม่ได้อยากได้อะไรเลยนี่นา จริงๆ ใครให้อะไรมาก็รับอย่างเต็มใจทั้งนั้นแหละครับ

“แล้วแต่คนให้แล้วกัน อยากให้อะไรก็ให้ หรือจะไม่ให้อะไรพี่ก็ไม่ได้ซีเรียส สิ่งของมันไม่ใช่เรื่องสำคัญกับพี่เท่าไหร่”ผมอธิบาย เพราะไม่อยากให้เค้าสิ้นเปลืองด้วย เค้ายังขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ จะมาสิ้นเปลืองแบบนี้คงไม่ดีนัก

“อะไรก็ได้ใช่ไหมครับ...งั้นผมยกตัวเองให้พี่แฟ้มไปทดลองใช้เป็นแฟนแล้วกันครับ”ช่างคิดไปได้ของขวัญวันเกิดแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ ใครจะไปอยากได้กันเล่า หาประโยชน์ให้ตัวเองชัดๆ เลยนะเนี่ย ผมส่งสายตาดุๆ ใส่เค้าแต่เค้ากลับไม่ใส่ใจ ลอยหน้าลอยตาไปปัดกวาดเช็ดถูต่อ



ตลอดหลายวันนี้ผมแทบไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุขเลย เพราะนายน้องอ้วนเล่นมากวนประสาท ผมอยู่ทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่ยักกะเรียกร้องขอคะแนนจากผมสักเท่าไหร่ ทั้งที่วันก่อนยังบอกว่าจะรีบทำคะแนนให้เป็นบวกอยู่เลย คงเพราะช่วงนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมพอใจถึงกับจะให้คะแนนได้ และเค้าเองก็ไม่ได้ขวางหูขวางตาผมมาก จนต้องตัดคะแนนอะไร

“พี่แฟ้ม...ไปดูหนังกันดีกว่า”เสียงคุ้นเคยที่ช่วงนี้มารบกวนผมบ่อยเหลือเกินเอ่ยขึ้น เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ร้านผมจะเปิดทำการแล้ว แต่ลูกค้าก็ยังไม่โผล่มาเลย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไรในเมื่อลูกค้าผมส่วนใหญ่คือบรรดาน้องๆ นักศึกษา แล้วตอนนี้พวกน้องๆ ก็ยังปิดเทอมกันอยู่ ร้านผมก็เลยกลายเป็นป่าช้าอย่างที่เห็น

“จะไปดูเรื่องอะไร”จะว่าไปผมก็ไม่ค่อยได้ดูหนังเลย นานแล้วเหมือนกัน เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็จะยุ่งๆ อยู่กับร้าน เวลาเฟิร์นชวนไปดูก็ไม่ค่อยได้ไปด้วยเท่าไหร่เพราะผมเห็นว่ามีแต่เพื่อนๆ ของเค้า อยากปล่อยให้เด็กๆ เค้าไปสนุกกันตามประสาเพื่อนดีกว่า คนแก่อย่างผมไปด้วยเดี๋ยวน้องๆ เค้าจะไม่สนุก

“ไว้ไปถึงแล้วค่อยเลือกก็ได้ครับว่าจะดูเรื่องอะไร พี่แฟ้มอยากดูเรื่องอะไรผมตามใจหมดเลย”นายน้องอ้วนพูดพร้อมยิ้มจนตาหยี นี่เค้าไม่เบื่อบ้างรึไงนะ ที่มาคอยตามเฝ้าเอาใจผมแบบนี้ หรือเพื่อคนที่รักแล้วเค้าจะยอมทำให้ได้ทุกอย่าง แต่นี่มันก็ไม่แน่หรอกเค้าอาจจะกำลังแค่รู้สึกหลงหรืออยากเอาชนะผมอยู่ก็เป็นได้ ใครจะไปรู้ ผมว่าคนเราต่อให้รักใครแค่ไหน วันนึงมันก็ต้องมีเบื่อ มีอยากเปลี่ยนใจกันบ้าง ถ้ามีคนใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต แล้วผมละ ผมจะมีวันที่รู้สึกเบื่อใครอีกคนที่ผมเคยรักบ้างหรือเปล่า หรือผมจะมีวันไหนไหมที่จะเปิดรับคนอื่นเข้ามาในชีวิต หวังว่าผมคงจะมีวันนั้นนะ

เป็นอันว่าผมตกลงจะไปดูหนังกับนายน้องอ้วน ซึ่งดูเหมือนจะดีใจจนออกนอกหน้าไปนิด เค้าบอกว่าดีใจที่จะได้ออกเดทกับผม นั่นสินะก็เค้ากำลังจีบผมอยู่นี่นา ผมไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับเค้ามากนัก ปล่อยให้เค้าเพ้ออะไรไปคนเดียวนั่นแหละ คิดเสียว่ามาเที่ยวกับน้องชายแล้วกันครับ

เพียงไม่นานผมกับนายน้องอ้วนก็เดินทางมาถึงห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดที่พวกเราอาศัยอยู่ พอถึงคุณน้องอ้วนท่านก็บ่นว่าหิวครับ บอกขอหาอะไรทานกันก่อนแล้วค่อยไปดูรอบหนังกัน ซึ่งก็ดีเหมือนกันเพราะผมเองก็ชักหิวแล้วหน่อยๆ บรรยากาศการมาเดินห้างแบบนี้ มันทำให้ผมอดจะนึกถึงใครอีกคนไม่ได้จริงๆ วันเวลาเก่าๆที่ผมเคยมีกับใครอีกคนในลักษณะนี้ มันเริ่มเด่นชัดขึ้นในมโนภาพของผม แม้ว่าสถานที่ตอนนี้กับในตอนนั้นมันจะไม่ใช่ที่เดียวกัน แต่บรรยากาศแบบนี้มันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน มาดูหนัง มากินข้าว เดินเที่ยวห้าง ทว่ามันคงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้อีกแล้ว ผมยังไม่อยากไปทำลายครอบครัวของใคร

มาคิดๆ ดูแล้วผมเองก็เห็นแก่ตัวเหมือนกันนะที่หนีจากปัญหามาแบบนี้ เพราะผลดีมันก็คงมีแค่กับผมเพียงคนเดียว และมันคงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่ผมก็ทำได้เพียงเท่านี้จริงๆ

“พี่แฟ้ม...พี่แฟ้มครับ”เสียงคนที่มากับผมปลุกให้ผมหยุดความคิดเหล่านั้นไว้ก่อนจะหันมา มองหน้าเค้าพร้อมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเค้ามีอะไร ตอนนี้เราอยู่ในร้านสุกี้แบบบุฟเฟต์ร้านนึง ทานกันจนจะหมดร้านเค้าอยู่แล้วละตอนนี้

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ เห็นเงียบๆ คิดอะไรอยู่เหรอครับ”

“พี่กำลังคิดอยู่ว่าพ่อแม่อ้วนเลี้ยงไหวได้ยังไง ดูดิกินจุขนาดนี้ วันนี้ร้านเค้าคงขาดทุนน่าดูที่มีลูกค้าอย่างอ้วนมากิน”ผมพยายามปรับอารมณ์ก่อนจะพูดแซวเค้าออกไป มันก็น่าแซวอยู่หรอกครับ ดูจากหลักฐานที่มีอยู่แล้วก็พอจะเดาได้ว่าประสิทธิภาพในการทำลายล้างของเค้ามันมากขนาดไหน

“โหพี่ก็พูดเกินไป พี่กลัวเลี้ยงผมไม่ไหวหรือไงครับ”ใครไปบอกตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าจะรับเลี้ยงนาย ไอ้น้องนี่ขี้ตู่นี่นา

“ไม่กลัวหรอก เพราะไม่คิดว่าจะรับไปเลี้ยง”คำพูดผมทำเอาเค้าหุบยิ้มแทบไม่ทัน แต่ก็แค่แวบเดียวก็เปลี่ยนเป็นยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม

“พี่ไม่ต้องเลี้ยงผมหรอก เดี๋ยวผมเลี้ยงพี่เองก็ได้ แต่ผมคงต้องขยันทำงานเยอะๆ นะเนี่ยเพราะพี่แฟ้มเองก็กินน้อยเสียเมื่อไหร่”ว่าแล้วเชียวต้องวนมาแนวนี้อีกจนได้ ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับเค้าอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่

“พรุ่งนี้แชมป์กับเฟิร์นบอกว่ายังไม่กลับมานะ”ผมเปลี่ยนเรื่องคุยไม่อยากคุยประเด็นนี้นานเพราะเดี๋ยวจะพาลเลี่ยนเอาได้

“แบบนี้พี่แฟ้มก็ต้องฉลองวันเกิดกับผมสองคนสิเนี่ย”จริงๆ ตอนแรกในวันพรุ่งนี้ที่เป็นวันคล้ายวันเกิดของผมเราตกลงกันว่าจะมีปาร์ตี้เล็กๆ กันสี่คน คือผม ไอ้แชมป์ เฟิร์นแล้วก็นายน้องอ้วนนี่ ส่วนพ่อแม่ผมคงไม่มาร่วมด้วยซึ่งก็ไม่แปลกอะไรหรอกครับทุกปีก็จะคล้ายๆ แบบนี้แหละ แต่พ่อกับแม่ผมจะย้ำให้ไปทำบุญหน่อยแค่นั้นเอง

ทั้งที่ตกลงกันไว้ดิบดีแล้วว่าจะมาแต่แม่น้องสาวตัวดีกับคุณเพื่อนแสนประเสริฐของผมก็ยกเหตุผลล้านแปดมาอ้าง ว่ามาไม่ได้จริงๆ ไว้จะตามเอาของขวัญมาให้ผมทีหลัง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานนี้คงวางแผนกันมาอีกแล้วนั่นเอง

“ใครว่าพี่จะฉลองกับอ้วน พี่ว่าไว้รอสองคนนั้นมาเมื่อไหร่ค่อยฉลองกันก็ได้ เดี๋ยวคงไปทำบุญตักบารตอะไรตอนช่วงเช้าแค่นั้นก็พอแล้ว”คิดเหรอว่าผมจะยอมทำตามแผนตื้นๆ แบบนี้ง่ายๆ ถึงจะวางแผนกันมาแบบสามรุมหนึ่งแบบนี้ แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก แล้วจะได้รู้กันว่างานนี้ใครจะถอดใจก่อน หรือใครจะใจอ่อนก่อนกันแน่

“โห...พี่ฉลองไม่ตรงกับวันเกิดแล้ว มันจะเป็นการฉลองวันเกิดตรงไหนกัน”เมื่อไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ก็เริ่มจะโวยวายแล้วครับ

“อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ...ว่าทำไมเฟิร์นกับไอ้แชมป์ถึงไม่มา”อย่าเชียว อย่าได้เผลอ ไม่งั้นเจอตัดแต้มอีกแน่นายน้องอ้วน

“แหะๆ...พี่แฟ้มนี่รู้ใจผมอีกแล้ว”สงสัยจะภาษาไทยไม่แข็งแรงรึไงเนี่ย ผมก็เคยบอกแล้วนี่นาว่าแบบนี้เค้าเรียกรู้ทัน ไม่ได้เรียกรู้ใจ



หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 19-11-2014 23:26:31
เมื่อไหร่จะลืมเล่ได้ซะทีนะ

เชียร์อ้วนๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 19-11-2014 23:37:55
จะอยู่เป็นเพื่อนแฟ้มไปเรื่อยๆ นะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 19-11-2014 23:48:05
ยากที่จะหักใจลา
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [19-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-11-2014 12:35:33
“อย่าคิดว่าพี่ไม่รู้นะ...ว่าทำไมเฟิร์นกับไอ้แชมป์ถึงไม่มา”อย่าเชียว อย่าได้เผลอ ไม่งั้นเจอตัดแต้มอีกแน่นายน้องอ้วน

“แหะๆ...พี่แฟ้มนี่รู้ใจผมอีกแล้ว”สงสัยจะภาษาไทยไม่แข็งแรงรึไงเนี่ย ผมก็เคยบอกแล้วนี่นาว่าแบบนี้เค้าเรียกรู้ทัน ไม่ได้เรียกรู้ใจ

“งั้นเรารีบไปดูหนังดีกว่าครับ นั่งอยู่นี่นานๆ เดี๋ยวคะแนนผมจะตกลงไปอีก”สงสัยจะเริ่มรู้ตัวแล้วครับ เลยรีบชวนผมจ่ายเงินแล้วออกจากร้าน ก่อนจะมุ่งไปยังโรงหนัง

“ดูเรื่องนี้แล้วกันนะครับ”นายน้องอ้วนหันมาขอความเห็นจากผมหลังจากที่พิจารณาเลือกว่าจะดูเรื่องไหน ผมให้เค้าเป็นคนเลือกเพราะด้วยความที่ผมไม่ค่อยได้ติดตามพวกข้อมูลหนังมาเท่าไหร่เลยคิดว่าให้เค้าเลือกดีกว่า อีกอย่างผมก็ดูได้หมดทุกแนวอยู่แล้ว เลือกเรื่องอะไรมาก็คงดูได้อยู่ดีไม่ติดขัด

“ทำไมถึงอยากดูเรื่องนี้ล่ะ”ผมถามเค้าหลังจากที่เราได้ตั๋วหนังมาแล้ว มันเป็นหนังผีแนวสยองขวัญ ตอนยืนรอตั๋วก็เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน น่าดูทีเดียวเชียวแหละ

“ก็เวลาดูเผื่อพี่ตกใจกลัวจะได้มาซบผมไงล่ะครับ”เข้าใจคิดนะ แต่ฝันไปเถอะเพราะผมไม่ใช่คนขี้ตกใจแบบนั้น ถึงจะกลัวบ้าง ตกใจบ้างเวลาดูหนังแนวนี้ แต่ไม่ถึงกับขนาดต้องหาที่พึ่งพิงแบบนั้น เรารออยู่ไม่นานนักก็ได้เวลาเข้าชมภาพยนตร์ของพวกเรา

หนังเริ่มขึ้นมาอย่างตื่นเต้นทีเดียว มีฉากตกใจประปราย ผมก็เพลินกับการดูหนังไปประมาณครึ่งเรื่อง ไอ้คนข้างๆ ผมเกิดเริ่มเป็นอะไรขึ้นมาไม่รู้ เห็นเหมือนจะตกใจบ่อย แล้วก็เอียงตัวมาหาผมจนจะนั่งที่เดียวกันอยู่แล้ว

“ทำอะไรเนี่ย”ผมหันไปกระซิบเบาๆ

“ก็ผมกลัวนี่นา”เค้าทำเสียงออดอ้อนแต่ผมว่ามารยาเสียมากกว่า สงสัยคงเพราะไม่เป็นไปตามที่คิดว่าผมจะไปซบเค้า คราวนี้เลยแกล้งกลัวเสียเองแล้วจะมาซบผม ที่ผมว่าเค้าแกล้งเพราะตอนแรกไม่เห็นทีท่าว่าเค้าจะมีอาการกลัวเลยสักนิด แล้วอยู่ดีๆ ทำไมจะมาเริ่มกลัวเอาตอนกลางเรื่องนี่ล่ะ

“นั่งดูดีๆ”ผมหันไปกระซิบเสียงดุๆ อีกครั้งก่อนจะตั้งใจดูหนังต่อไป แต่คนข้างๆ ก็คอยแต่จะยุกยิกๆ อยู่นั่นแหละ ผมต้องหันไปมองด้วยสายตาตำหนิหน่อยๆ พร้อมกับขู่ว่าถ้าไม่ทำตัวดีๆ คราวหลังจะไม่มาด้วยอีกแล้ว อีกอย่างคือกลัวเป็นการรบกวนคนอื่นเค้าด้วย นั่นแหละครับกว่าจะยอมนั่งเฉยๆ  ดูๆไปแล้วเหมือนผมพาลูกพาหลานมาดูหนังยังไงไม่รู้ เล่นทำตัวงอแงยังกะเด็ก

“รู้งี้ไม่ดูเรื่องนี้ดีกว่า”คุณน้องท่านเริ่มโอดครวญอีกแล้วครับ คราวนี้จะมามุกไหนอีกละ ตอนนี้เราดูหนังจบแล้วกำลังว่าจะกลับครับ ก็เดินคุยกันไปตามทางเดินเรื่อยๆ มีแวะดูข้าวของที่น่าสนใจบ้างประปราย แต่ส่วนมากจะเป็นเค้าดูเสียมากกว่า ผมไม่ค่อยอยากได้อะไรเลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่

“ไม่สนุกเหรอพี่ก็ว่าสนุกดีนะ”ผมตอบไปอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าถึงจะพูดอะไรออกไป นายน้องอ้วนนี่ต้องหาทางวกเข้าเรื่องระหว่างผมกับเค้าอีกแน่ๆ

“ก็สนุกดีอยู่ แต่นึกว่าจะมีคนตกใจกลัวมาซบอกผมบ้างแต่ก็ไม่มี...น่าจะดูเรื่องที่มันโรแมนติกดีกว่าเผื่อพี่จะอยากทำซึ้งกับผมบ้าง”พล่ามเข้าไป พูดอะไรนี่ไม่ได้สนใจคนรอบข้างเลย เมื่อกี้ผมสังเกตเห็นว่ามีคนที่เดินอยู่ใกล้ๆ พวกผมหันมามองด้วยตอนที่ได้ยินคำพูดของเค้า ก็แน่ละ ผู้ชายสองคนจะมาอยากทำซึ้งกันมันคงน่าเอาไปป่าวประกาศหรอกนะ

“ปะๆ รีบกลับกันดีกว่า”ผมเปลี่ยนเรื่องพูดเป็นชวนเค้ากลับจะได้เลิกเพ้อเจ้อเสียที ผมรีบเดินนำหน้าเค้าโดยไม่ได้สนใจ แต่คุณน้องท่านอยู่ๆ ก็คว้าแขนผมให้หยุด ก่อนจะลากเข้าไปในร้านๆ นึง

“อะไรอีกล่ะ”ผมหันไปมองหน้าเค้า อย่างเริ่มที่จะเซ็งๆ จะอะไรกันนักกันหนากับผม เค้าไม่ได้ตอบแต่ทำเป็นบุ้ยใบ้ให้ผมดูภายในร้าน มันเป็นร้านเสื้อผ้าธรรมดา แบบเสื้อยืดที่วัยรุ่นทั่วไปใส่ให้เห็นบ่อยๆ ซึ่งดูเหมือนจะเลยวัยผมแล้วนะเนี่ย ผมก็งงๆ ว่าร้านนี้มีอะไรน่าสนใจมันก็แค่ร้านเสื้อยืดธรรมดา เลยกะว่าจะเดินออก

“พี่แฟ้มดูนี่ก่อนสิ”เค้ายังฉุดผมไว้ก่อนจะหยิบเสื้อมาสองตัวยื่นให้ผมดู คราวนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า เสื้อผ้าร้านนี้มันมีจุดขายอย่างอื่น ที่แปลกกว่าเสื้อยืดธรรมดา เพราะมันเป็นลักษณะเสื้อคู่ คือคำหรือรูปภาพที่สกรีนบนเสื้อจะเป็นสิ่งที่ต้องไปในทางเดียวกัน แต่ไอ้เสื้อสองตัวที่เค้าหยิบมานี่สิ

“โคแก่...หญ้าอ่อน”ผมอ่านทวนข้อความจากเสื้อทั้งสองตัว ที่ตัวนึงสกรีนว่าโคแก่ อีกตัวสกรีนว่า หญ้าอ่อน อย่าบอกนะว่าจะมาชวนผมซื้อ ผมว่านายน้องอ้วนต้องมาไม้นี้อีกแน่ๆ หนอยมาว่าผมเป็นโคแก่งั้นเหรอ แถมเจ้าตัวเค้านี่ยิ้มระรื่นเหลือเกิน

“อ้าวนี่อ้วนจะไปพรากผู้เยาว์ ที่ไหนเหรอ พี่เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าอ้วนคิดจะกินเด็กกับเค้าเหมือนกัน”แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแบบนี้แหละครับ ดูสิว่าจะมายังไงอีก

“โหย...พี่แฟ้มอ่ะ ผมอยากเป็นหญ้าอ่อนต่างหาก พี่แฟ้มจะได้เคียวง่ายๆ ไง ผมยอมให้พี่แฟ้มกินทั้งตัวเลย”ไอ้เด็กทะลึ่งนี่ไม่มีสำนึกเลย ดูพูดจาเข้า ขนาดคนขายเสื้อเค้ายังแอบยิ้มเลย นี่คนขายเค้าจะคิดว่าผมกับนายน้องอ้วนนี่เป็นอะไรกันน้า

“นี่หาว่าพี่แก่งั้นเหรอ”ผมทำหน้าซีเรียสพร้อมกล่าวเสียงดุๆ หน่อย ถึงผมจะอายุมากกว่าเค้าหลายปีอยู่ แต่ผมก็ยังไม่กับถึงแก่มากมายซะหน่อย มาหาว่ากันแก่แบบนี้ มันก็มีเคืองเหมือนกันนะ

“ผมไม่ได้หมายความว่างั้นซะหน่อย ถ้าพี่แฟ้มไม่ชอบอันนี้เอาอันอื่นก็ได้”เค้ารีบกุลีกุจอ หาเสื้อคู่อื่นมาให้ผมดู แต่ผมไม่เอาหรอก ไม่ได้คิดว่าจะต้องมาใส่เสื้อคู่กับเค้าเสียหน่อย ผมเลยปฏิเสธไป ก่อนจะชวนเค้ากลับ ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกอารมณ์ว่าเริ่มจะมีน้ำโหแล้ว

“พี่แฟ้มโกรธผมเหรอครับ”ทีแบบนี้ละมาทำเป็นตีหน้าเศร้านะ แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้โกรธอะไรเค้าหรอกครับ แค่อายคนขายเท่านั้นเอง แม้ว่าผมจะไม่ได้ปิดบังว่าชอบผู้ชายด้วยกัน แต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องไปป่าวประให้ทุกคนรู้ เพราะเราไม่รู้ว่าคนอื่นจะมองเราในแบบไหน

“เปล่าหรอก”ผมกล่าวออกไปเรียบๆ แต่น้ำเสียงคงยังฟังดูไม่ดีเท่าไหร่เพราะนายน้องอ้วนยังดูหงอยๆ อยู่ แล้วเราก็ต่างคนต่างเงียบระหว่างทางที่กลับ

“นี่ผมอุตส่าห์ว่าจะซื้อเป็นของขวัญวันเกิดพี่นะเนี่ย”หลังจากเงียบกันอยู่พักใหญ่ คนข้างๆ ผมก็พูดขึ้น ผมพอจะเข้าใจอยู่หรอกว่าเค้าหมายถึงเสื้อที่ดูตอนก่อนออกมา แต่ทำเป็นไม่เข้าใจ นึกขำเค้านิดหน่อย เพราะปกติซื้อของขวัญให้มันต้องมีแบบเซอร์ไพร์สนิดหน่อย แต่นี่เล่นชวนผมเลือกอีก ถึงปกติผมก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าเราจะซื้อของให้คนที่เราชอบเป็นใครก็คงต้องอยากให้แปลกใจบ้างแหละ แล้วนี่ผมอยากให้เค้าทำเซอร์ไพร์สผมหรือไงกัน

“หมายถึงอะไร”ผมแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจในคำพูดของเค้า และก็พยายามทำเสียงให้ดูปกติ ไม่ได้แสดงว่าไม่พอใจเค้าแต่อย่างใด ไอ้แชมป์เคยบอกผมว่า ผมนะไปข่มนายน้องอ้วนจนน้องมันจะหง๋อหมดแล้ว จริงๆ ผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่หรอกครับ แต่บางทีมันก็สงสารเด็กมันเหมือนกัน

“ก็เสื้อคู่นั่นไงครับ ผมว่ามันน่ารักดีนะ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมหาอย่างอื่นให้พี่ก็ได้”พอเห็นเหมือนผมพูดดีด้วยคราวนี้ก็กลับสู่โหมดเดิมของเค้าอีกแหละครับ บางทีก็น่าเอ็นดูเหมือนเด็กๆ เหมือนมีน้องเพิ่มมาอีกคน แต่บางทีก็น่าหมั่นไส้ นี่ถ้าผมสั่งหัวใจตัวเองได้ผมอาจจะลองสั่งให้รักเค้าดูหน่อยนะเนี่ย แต่ก็อย่างว่าเรื่องแบบนี้มันทำได้ที่ไหนกันล่ะ

“อ้าวแล้วไม่ยกตัวอ้วนมาให้พี่ลองใช้งานแล้วเหรอ”ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมนึกอยากแซวเค้าเรื่องนี้กัน แต่ผมไม่ได้คิดอะไรนะครับ แค่พูดแซวน้องมันเล่นเฉยๆ แต่นายน้องอ้วนนี่สิ ดูจะจริงจังขึ้นมาทันที

“พี่แฟ้มจะเอาจริงๆ ไหมล่ะครับ”เค้าตอบผมกลับมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง จนผมรู้สึกหวั่นๆ ยังไงบอกไม่ถูกเหมือนกัน

“ไม่เอาหรอก”ผมแกล้งพูดติดตลก แต่เห็นเค้ามีแววตาหม่นลงเล็กน้อย ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกลับมาอารมณ์ดีเหมือนเดิม

“ไม่เป็นไรครับ ตัวผมไม่ถือว่าเป็นของขวัญแล้วกัน แต่ถือว่าเป็นของแถมจะเอาไปต้มยำทำแกงอะไรก็ตามสบายเลยแล้วกัน”เค้าพูดพร้อมทำหน้าตาทะเล้นใส่ผม ทำเป็นพูดดีไปเดี๋ยวปัดจับทำต้มข่าไก่ไปถวายพระเสียเลยนี่ แต่ไม่เอาดีกว่าเดี๋ยวจะบาปเปล่าๆ ที่เอาอะไรไม่รู้ไปให้พระท่านฉันท์

“ลงไปได้แล้ว ถึงหอแล้วเนี่ย”ผมรีบไล่ให้เค้าลงจากรถเพราะนี่ผมก็ขับมาส่งเค้าถึงหอพักเรียบร้อยแล้ว

“อ้าวนึกว่าจะให้ไปค้างเป็นเพื่อนเสียอีก”ยังกวนไม่เลิกครับงานนี้ ผมได้แต่ไล่ด้วยสายตาต่อ กว่าคุณน้องท่านจะเสด็จลงไปได้ก็อ้อยอิ่งเสียเหลือเกิน

หลังจากส่งนายน้องอ้วนเสร็จผมก็กลับบ้านเตรียมตัวนอนตามปกติ แต่หลังจากอาบน้ำอะไรเสร็จกลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น พรุ่งนี้เป็นวันเป็นวันเกิดของผมแล้ว ปีนี้อาจจะแปลกไปหน่อยที่คงไม่ได้ฉลองอะไรเหมือนทุกปีแถมวันเกิดต้องอยู่คนเดียวเสียอีก ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็คงไปทำบุญตอนเช้าแค่นั้นก็พอแล้ว อ้าวจริงสิ ลืมชวนนายน้องอ้วนเลยว่าพรุ่งนี้จะไปทำบุญ อย่างน้อยๆ มีเพื่อนไปด้วยสักคนก็คงดีเหมือนกัน แต่ถ้าเค้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะไม่ได้ทำอะไรมากมาย

ผมเหลือบดูเวลา ห้าทุ่มกว่าแล้วแต่ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลย ไม่มีอะไรทำเลยรื้อหาหนังสือมาอ่าน ปกติว่างๆ ผมก็ชอบอ่านหนังสือนะ แต่พักหลังๆ เจอหนังสือถูกใจก็มีแต่ซื้อมาเก็บไว้ ไม่ค่อยได้อ่านเลย ที่รื้อๆ ดูนี่ก็มีอีกหลายเรื่องเลยที่ผมยังไม่ได้อ่าน ผมหยิบหนังสือมานั่งอ่านไป สักพักจนเพลิน มองนาฬิกาอีกที อ้าวจะเที่ยงคืนแล้ว แต่ก็ไม่แปลกหรอก เพราะตอนแรกมันก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว กะว่าอ่านถึงสักตีสองก็จะนอนเพราะเดี๋ยวถ้าดึกกว่านั้น พรุ่งนี้จะไม่ตื่นไปทำบุญ คิดได้ก็เลยกะว่าไปหาอะไรมากินเล่นหน่อย เลยเดินว่าจะไปในครัวหาของกินในตู้เย็น แต่แล้ว

อยู่ๆ ทุกอย่างก็อยู่ในความมืด ไฟดับงั้นเหรอ ดับได้ไงกันเนี่ย ฟ้า ฝนก็ไม่ได้มีเสียหน่อย ผมพยายามปรับสายตาให้มองในความมืดได้ถนัดหน่อย ไม่นานสายตาผมก็เริ่มชิน ผมค่อยๆ เดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองดูว่าบ้านข้างเคียงมีหลังไหนไฟดับเหมือนผมหรือเปล่า คือเคยได้อ่านมาว่าถ้าไฟดับนี่ต้องมองบ้านข้างๆ ด้วยถ้าบ้านข้างๆ ไฟไม่ดับ อันดับแรกต้องเริ่มคิดได้แล้วว่าอาจมีบุคคลอื่นเข้ามาในบ้านเราหรือเปล่า พอผมมองออกไปข้างนอกก็ต้องใจเต้นเพราะ บ้านอื่นเค้าไม่เห็นดับกันเลย อาจมีบางบ้านที่ปิดไฟนอนแต่ไฟรั้วบ้านหรือหน้าบ้านก็ยังติดอยู่นี่นา แต่บ้านผมมันเล่นดับไปทั้งหลังเลย หรือจะมีขโมยขึ้นบ้านกันเนี่ย ตายละหว่าไอ้ผมก็ไม่ถนัดเรื่องศิลปะห้องกันตัวสักเท่าไหร่ สายตาพยายามมองหาอะไรที่จะเป็นอาวุธได้ แต่ในความมืดแบบนี้ผมมองไม่เห็นเลยว่าจะหาอะไรมาสู้กับขโมยได้

ในขณะที่ผมกำลังกังวลอยู่ว่ามีขโมยขึ้นบ้านผมจริงๆ หรือเปล่าก็มีเสียงฝีเท้าที่เดินใกล้เข้าเรื่อยๆ ตามด้วยแสงบางอย่างเหมือนแสงไฟจากเปลวเทียน แล้วเสียงเพลงก็เริ่มดังขึ้น

“Happy Birthday to you…happy birthday…”นั่นแหละครับเพลงที่เรามักจะได้ยินเป็นประจำในงานวันกิด ภาพของชายหนุ่มคนนึงที่ถือเค้กวันเกิดพร้อมกับร้องเพลงเบาๆ ใกล้ผมเข้ามาเรื่อยๆ

“สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่แฟ้ม...อธิษฐานสิครับ”นายน้องอ้วนนั่นเองครับ นี่คงกะเซอร์ไพร์สผมแน่ๆ แต่เล่นเอาตกอกตกใจหมด นึกว่าขโมยขึ้นบ้านเสียแล้ว ผมหลับตาเหมือนอธิษฐานแต่ความจริงไม่ได้ขออะไรหรอกครับ ไม่รู้จะขออะไรดี ก่อนจะเป่าเค้กที่เค้ายื่นมาให้

“เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”


แวะมาต่อคร๊าบบบบ

ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามอ่านเช่นเคยนะคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 21-11-2014 12:59:45
 :-[ น้องอ้วนน่ารักมวากกกก
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 21-11-2014 13:07:50
เอาใจพี่เค้าให้ได้นะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 21-11-2014 19:34:07
“สุขสันต์วันเกิดนะครับพี่แฟ้ม...อธิษฐานสิครับ”นายน้องอ้วนนั่นเองครับ นี่คงกะเซอร์ไพร์สผมแน่ๆ แต่เล่นเอาตกอกตกใจหมด นึกว่าขโมยขึ้นบ้านเสียแล้ว ผมหลับตาเหมือนอธิษฐานแต่ความจริงไม่ได้ขออะไรหรอกครับ ไม่รู้จะขออะไรดี ก่อนจะเป่าเค้กที่เค้ายื่นมาให้

“เข้ามาได้ยังไงเนี่ย”ผมเอ่ยถามเสียงดุ เพราะไม่ใช่ว่างัดบ้านผมเข้ามาแล้วมาตัดไฟบ้านผมนะ เดี๋ยวจะฟ้องข้อหาบุกรุกเสียให้เข็ดเลย ไม่เห็นต้องมาทำอะไรแบบนี้ก็ได้ ผมไม่ใช่คนที่จะมานึกโรแมนติกอะไรมากมายให้คนมาทำเซอร์ไพร์สหรอกนะ

“เฟิร์นให้กุญแจมาครับ”เค้าชูให้ผมดู นี่แสดงว่าวางแผนกันมาแล้ว แหมร่วมมือกันดีนักนะ

“ไปเปิดไฟได้แล้ว มองไม่เห็น”ผมออกคำสั่งเพราะรู้ว่าเค้าต้องเป็นคนตัดไฟ จึงสมควรที่จะเป็นคนไปเปิดให้เรียบร้อย

“พี่ถือนี่หน่อย”เค้ายื่นเค้กส่งให้ผมก่อนจะควานหาอะไรบางอย่าง สักพักแสงสว่างจากเทียนเล่มใหญ่อีกอันที่เค้าเตรียมมาก็สว่างขึ้น ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าเค้าหอบข้าวของอย่างอื่นมาด้วย

“ตกลงว่าจะไม่ไปเปิดไฟใช่ไหม”หลังจากมองการกระทำของเค้าสักพักก็เอ่ยทักขึ้น เพราะเห็นเค้าจัดแจงเอาอะไรต่อมิอะไรวางบนโต๊ะที่ผมนั่งอ่านหนังสือเมื่อสักครู่พร้อมกับตั้งเทียนไว้ตรงกลาง นี่กะจะมาทำซึ้งใต้แสงเทียนกับผมรึไงเนี่ย

“เสร็จแล้ว...นั่งสิพี่ เจ้าของวันเกิดต้องตัดเค้กก่อน”เค้าลุกมาเลื่อนเก้าอี้ให้ผมนั่ง ก่อนจะกลับไปเปิดไวน์รินใส่แก้วสำหรับผมและเค้า

“พี่ไม่ชอบดื่มไวน์นะ”ผมบอกไปพร้อมกับตัดเค้กออกเป็นชิ้น มีอยู่สองคนแค่นี้ทำไมต้องซื้อเค้กก้อนใหญ่ด้วยก็ไม่รู้ อีกอย่างไวน์นี่ก็เหมือนกัน ถึงผมจะดื่มอะไรก็ได้ แต่ผมว่าไวน์มันไม่ค่อยเข้ากับผมหรอก อีกอย่างใครเค้าดื่มไว้กับกินเค้กกันเล่า

“นานๆ ทีน่าพี่ จะได้ดูโรแมนติกหน่อย”ใครเค้าจะอยากโรแมนติกด้วยกันเล่า ผมตัดเค้กแค่สองชิ้นเล็กๆ แล้วให้เค้าเอาที่เหลือไปใส่ตู้เย็นไว้ ผมหยิบแก้วไวน์มายกรวดเดียวโดยไม่ได้สนใจเลยว่าเค้าจะมีวิธีการดื่มไวน์กันอย่างไร ก็ปกติผมมันดื่มเป็นแต่เบียร์นี่หว่า

“แพงหรือเปล่าเนี่ย”อดที่จะถามไม่ได้เมื่อเค้าเดินกลับมา เพราะเท่าที่ดูมันคงไม่ใช่พวกไวน์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ประเภทขวดละแปดสิบบาทแน่ๆ(พูดเหมือนเคยซื้อมากิน รู้ราคาอีก)  แต่มันคงเป็นไวน์ที่มีราคามากกว่านั้น

“ไม่กี่บาทหรอกครับ”ไอ้ไม่กี่บาทนะมันเงินพ่อแม่นะน้อง ตัวเองหาตังค์ใช้เองได้แล้วที่ไหนกัน แต่พูดไปก็เท่านั้นแหละครับ เพราะเค้าซื้อมาแล้วนี่นา

“อันนี้ ของขวัญวันเกิดครับ”เค้ายื่นกล่องเล็กๆ ใบหนึ่งให้ผม หวังว่านี่คงไม่ใช่อะไรแพงๆ อีกนะ เพราะแค่นี้ผมก็เกรงใจเค้าพอแล้วที่มาทำอะไรแบบนี้ให้ผม เค้ายังเรียนอยู่ ขอเงินพ่อแม่ใช้ จะมาฟุ่มเฟือยกับเรื่องแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่

“แกะเลยได้ไหม”ผมหันไปขออนุญาตเพราะเผื่อบางทีเค้าอาจจะอายที่ผมเปิดต่อหน้าก็ได้ แต่สำหรับผมผมไม่ถืออยู่แล้ว เมื่อเค้าพยักหน้าอนุญาตผมก็แกะกล่องใบเล็กนั้นเปิดออก ภายในบรรจะขวดโหลแก้วใสๆ ใบนึง ผมมองหน้าเค้างงๆ ว่าเค้าให้โหลเปล่าๆ ใบเล็กๆ นี้กับผมทำไม กัน ผมชูขึ้นดูพร้อมกับมองหน้าเค้า ว่ามันหมายความว่ายังไง

“ดูนี่นะครับ”อยู่ๆ เค้าก็ดับเทียนที่ใช้เป็นแสงสว่าง ห้องทั้งห้องมืดลงอีกครั้ง แต่เพียงไม่นานผมก็ต้องแปลกใจเมื่อมีแสงสีส้มๆ ค่อยๆ ทอประกายออกมาจากโหลที่เค้าให้ผมมา มันเหมือนกับดวงตะวันกำลังทอแสงยังไงยังงั้นเลยทีเดียว สิ่งที่เห็นทำเอาผมประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียวที่โหลขวดแก้วธรรมดาแบบนี้ มันส่องแสงได้ มันคืออะไรกัน

“ทำได้ไงอ่ะ”ผมถามออกไปด้วยความสงสัย นี่เค้าไปหาของแบบนี้มาจากไหนกัน สงสัยคงหลายตังค์อีกแน่ๆ

“เค้าเรียก Sun Jar ครับเป็นโหลเก็บแสงอาทิตย์ ผมว่ามันเหมาะกับพี่ดี เห็นพี่ชอบดูพระอาทิตย์ขึ้น เลยซื้อนี่ให้พี่  กลางวันพี่ก็เอาไปวางไว้กลางแจ้งให้มันรับแสงอาทิตย์ พอเวลากลางคืนหรืออยู่ในที่มืดๆมันก็จะเรืองแสงแบบนี้แหละ ทีนี้พี่ก็จะมีพระอาทิตย์ดูเวลากลางคืนด้วยไง”เข้าใจคิดเหลือเกินนะพ่อคุณ

“ขอบใจนะ”ผมกล่าวขอบคุณจากใจจริง ไม่ว่าเค้าจะให้อะไรผมก็ยินดีรับอยู่แล้วแหละ แต่ต้องยอมรับว่าที่เค้าหามานี่ก็ถูกใจผมไม่น้อยเลยทีเดียว ผมชอบที่มันเป็นอะไรแปลกใหม่มั้ง ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมว่าไอ้เจ้า Sun Jar นี่มันก็โอเคนะ

“เวลาพี่เห็นพระอาทิตย์ดวงน้อยๆ นี่พี่จะได้คิดถึงผมไง”มันควรจะเป็นอย่างนั้นใช่ไหม แต่ผมกลัวว่าพอเห็นอะไรที่ออกแนวพระอาทิตย์ผมจะคิดถึงใครอีกคนมากกว่า

“อย่าดื่มมากละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปทำบุญตอนเช้ากัน”ผมเอ่ยปากชวน ซึ่งคนที่ได้รับคำชวนก็ยิ้มกว้างเลยทีเดียว

“งั้นคืนนี้ก็ให้ผมค้างที่นี่ได้ไหมครับ พรุ่งนี้จะได้ไปแต่เช้า...นะครับ นะนะนะ”แล้วผมจะปฏิเสธได้ไหมล่ะนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย จะไล่เค้ากลับก็จะดูใจดำไปหน่อย งั้นก็ให้นอนนี่แล้วกัน ตอบแทนกับที่เค้าทำอะไรให้ผมในวันเกิดวันนี้

“งั้นอ้วนนอนห้องพี่ก็ได้...เดี๋ยวพี่ไปนอนห้องเฟิร์นเอง”แต่จะให้นอนร่วมห้องด้วยก็คงจะมากไป เพราะไม่รู้เค้าจะยังว่านอนสอนง่ายเหมือนเมื่อครั้งที่ไปเสม็ดอยู่หรือเปล่า

“ไม่เอาอ่ะ นอนห้องเดียวกันไม่ได้เหรอครับ ผมไม่ทำอะไรพี่หรอก ทำยังกะเราไม่เคยนอนเตียงเดียวกันงั้นแหละ”แล้วตอนนั้นมันมีทางเลือกที่ไหนกันละ เหมือนกันที่ไหน อันนี้มีทางเลือกใครจะอยากไปนอนร่วมห้องกับนายกันไอ้น้อง

“จะนอนนี่หรือจะกลับหอ เดี๋ยวพี่ไปส่งเอาไหม”ผมเริ่มพูดเสียงจริงจังขึ้น

“ทำไมพี่แฟ้มใจร้ายนักละครับ ผมอุตส่าห์ทำขนาดนี้ แค่ผมขอค้างด้วยแค่นี้ก็ไม่ได้เหรอครับ”ก็จะให้ค้างไงแต่คนละห้องมันยากนักหรือไงกัน แต่น้ำเสียงหม่นๆ กับแววตาเศร้าๆ นั้นก็ทำเอาผมรู้สึกใจไม่ดีเหมือนกันนะ เค้าพยายามทำให้ผมพอใจมากมาย แต่ผมจะตอบแทนเค้าแบบนี้อย่างนั้นหรือ

“เอาๆ นอนด้วยกันนี่แหละ แต่ห้ามทำรุ่มร่ามเด็ดขาดไม่งั้นเจอดีแน่”อาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์จากไวน์ที่ผมไม่คุ้นเคยหรือเปล่าทำให้ผมพูดออกไปแบบนั้น ส่วนคนที่ได้ยินคำพูดผมนั้นยิ้มจนตาหยี เราดื่มกันอีกสักพักก็เก็บข้าวของ แล้วแปรงฟันเล็กน้อยก่อน เตรียมตัวเข้านอน ผมนั้นอยู่ในชุดนอนอยู่แล้ว เพราะอาบน้ำเตรียมเข้านอนตั้งแต่กลับมาแล้ว แต่นายน้องอ้วนนี่สิ ชุดนอนของเค้า คือ กางเกงบอกเซอร์ตัวเดียว ผมต้องบังคับอยู่นานกว่าจะยอมสวมเสื้อยืดอีกตัว

“พี่แฟ้ม...หลับยัง”เสียงคนที่นอนข้างๆ เรียกผม ผมเพียงส่งเสียงตอบเบาๆ ว่าใกล้หลับเต็มที

“พี่รู้ไหม ว่าทำไมผมมาเซอร์ไพร์สวันเกิดพี่วันนี้”เค้าเอ่ยถามเสียงใส แต่ผมนะง่วงเต็มทีแล้ว ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องที่เค้าพูดเท่าไหร่นักหรอก แม้ว่าปกติผมก็จะฉลองวันเกิดเป็นเย็นของอีกวันซึ่งถ้าเป็นปีนี้ก็คงเป็นเย็นพรุ่งนี้ แต่นี่เค้าเล่นมาตั้งแต่เที่ยงคืนเลย คงกะมาเซอร์ไพร์สแค่นั้นแหละมั้ง จะมีอะไรอีก

“ไม่รู้หรอก ทำไมเหรอ”ผมพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจเท่าใดนัก

“ก็ผมจะได้เป็นคนแรกที่ได้อวยพรวันเกิดให้พี่ไง ผมขอให้พี่มีความสุขในชีวิต มีแฟนเด็กๆ จะได้กระชุ่มกระชวยนะครับ”ดูคำอวยพรมันจะแปร่งๆ อยู่นะ

“นอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”ผมรีบตัดบทสนทนาก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา






“พี่ลงไปรอข้างล่างนะอ้วนรีบๆ เข้าละเดี๋ยวไม่ทัน”ผมบอกอีกคนที่ยังแต่งตัวไม่เสร็จ เช้านี้เราจะไปทำบุญที่วัดใกล้ๆ นี้แต่ก็เกือบจะสายแล้ว เพราะมัวแต่เถียงกันอยู่ ก็จะไม่ให้เถียงกันได้ไง พอตื่นเช้ามาจากที่ตอนเมื่อคืนเราต่างคนต่างนอน แต่ตอนตื่นเค้าดันดึงผมไปกอดไว้นี่สิ เลยมีการขัดขืนจากผมเกิดขึ้นในตอนเช้า และการปะทะฝีปากกันอีกนิดหน่อย นี่ถ้าไม่ติดว่าจะรีบไปทำบุญ ผมจะเฉ่งเค้าอีกสักรอบ วันนี้ถือว่าโชคดีรอดตัวไปเพราะถือเป็นวันดีของผม ครบรอบวันเกิดทั้งทีนี่นา จะมามัวแต่อารมณ์เสียไม่ได้หรอก

“เร็วๆ นะถ้าช้าไม่รอจริงๆด้วย”ผมยังคงตะโกนบอกพร้อมกับลงมาชั้นล่าง เปิดประตูเตรียมเอารถออก ได้ยินเสียงเค้าตะโกนตอบกลับมาแว่วๆ ว่ากำลังรีบอยู่

“เฮ้...”เสียงหนึ่ง เรียกความสนใจผมให้หันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับภาพของใครคนนึงยืนพิงรถอยู่หน้าบ้านผม เค้าส่งยิ้มจางๆ มาที่ผม
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 21-11-2014 20:47:49
 :katai1: อย่าบอกนะว่าอิเล่มา

ถ้าเป็นอิเล่จริงก็เอาให้จบนะแฟ้ม  น้องอ้วนรุกมาขนาดนี้แล้ว

วุ๊ย คนอ่านค้าง   ใจหนึ่งก็อยากให้แฟ้มสมใจได้อิเล่กลับมาอยู่ใต้บาทา (หลังจากจัดการให้รากเลือด)  อีกใจก็อยากให้เริ่มต้นใหม่กับน้องอ้วน  ไม่เป็นแฟ้มก็ไม่รู้หรอกว่าตัดสินใจยากขนาดไหน เราเชียร์มันทั้งสองทางแหละ  รู้สึกเหมือนแฟ้มเป็นลูกสาวเลยแฮะ

ขอบคุณสำหรับตอนใหม่ กับ การมาอัพติดต่อกันเสมอๆ ไม่ขาดตอนค่ะ  :L1:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 21-11-2014 20:57:40
น้องอ้วนน่ารักๆ มากๆๆๆเลยนะครับ,,,,,
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 21-11-2014 22:46:53
อิเล่เรอะ  o22
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: โชติกา บุญเติม ที่ 21-11-2014 23:42:32
ไม่เอาอิโอเล่นะ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 22-11-2014 12:07:42
รอลุ้นว่าใครมาแต่เช้าแบบนี้
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [21-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-11-2014 17:47:39
“เฮ้...”เสียงหนึ่ง เรียกความสนใจผมให้หันไปตามเสียงนั้น ก่อนจะพบกับภาพของใครคนนึงยืนพิงรถอยู่หน้าบ้านผม เค้าส่งยิ้มจางๆ มาที่ผม

“โอเล่”คนที่ผมไม่สมควรจะเจอตอนนี้ กำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม เค้ามาได้ยังไงกันนะ ไอ้แชมป์ก็ไม่น่าจะบอกเค้าว่าผมอยู่ที่นี่ หรือแม้เค้าจะรู้ว่าเฟิร์นเรียนที่นี่ แล้วเดาว่าผมอาจจะมาอยู่ที่นี่ แต่ก็ไม่น่าจะรู้ว่าบ้านที่ผมอยู่คือตรงไหน แสดงว่าต้องมีคนบอกเค้า ถึงได้มาถูก

“สุขสันต์วันเกิดนะ โทษทีไม่ได้ติดของขวัญมาด้วย แล้วนี่จะไปทำบุญใช่หรือเปล่า ยังไงก็ขอไปด้วยคนนะ”เค้าพูดเหมือนกับว่าที่ทำอยู่นี้คือเรื่องปกติ ทำเหมือนเรายังติดต่อกันมาตลอด ยังคงมีความสนิทสนมกลมเกลียวกันเหมือนเดิม  ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด ผมไม่ได้รู้สึกยินดี ที่เค้ายังอุตส่าห์จดจำวันเกิดของผมแล้วมาอวยพรถึงนี่แม้แต่น้อย

“มาได้ยังไงเหรอ”ผมถามออกไปเสียงเรียบ ไม่ได้สนใจจะตอบรับหรือปฏิเสธในคำพูดของเค้า

“ขับรถมานี่ไง”เค้าพูดยิ้มๆ พร้อมกับชี้ที่รถของเค้าให้ผมดู ผมก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะไม่รู้หรอกนะว่าเค้าขับรถมา แต่ผมหมายถึงว่ามาถูกได้ยังไง และเค้าเองก็คงเข้าใจที่ผมถาม แต่ดันตอบกวนประสาทผมกลับมาแบบนี้

“ไม่ตลกนะ”ผมหันไปบอกกับเค้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาผมจึงหันไปประสานกับเค้าพอดี เค้าจ้องมองลึกลงมาในแววตาของผม เหมือนเค้ากำลังค้นหาบางอย่าง ผมเองก็มองตอบกลับไปเหมือนกัน มันเหมือนกับว่าเราสองคน ต่างมีเรื่องราวมากมาย ที่อยากจะพูดคุยถามไถ่ หรือบอกกล่าว แต่มันเหมือนไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะเพียงพอต่อความรู้สึกนั้น

“พอดีไปถามที่อยู่จากพ่อกับแม่ของแฟ้มนะ ไม่ได้ไปเยี่ยมพวกท่านเสียนาน เลยพาลูกๆ ไปไหว้พวกท่านด้วย”ทีแท้ก็ไปหลอกถามมาจากพ่อแม่ผมนี่เอง แน่นอนว่าพ่อแม่ผม ไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเราเป็นอย่างไร อีกทั้งแม้แต่เฟิร์นเองก็คงไม่ระแคะระคายถ้าคนตรงหน้าผมไปบอกว่าอยากจะติดต่อเพื่อนเก่าอย่างผม แต่บางทีคนฉลาดอย่างเฟิร์นอาจจะปะติดปะต่อกับเรื่องที่ อ้อนมาตบหน้าผมไปแล้วก็ได้

“แล้วมานี่ทำไม”แม้ในใจผมจะไม่ปฏิเสธว่าดีใจที่ได้เจอเค้า แต่ในเมื่อมันไม่ถูกต้อง ผมก็ต้องทำอย่างนี้

“เราไม่ได้เจอกันนานเนอะ”คำพูดไม่ได้ตรงกับที่ผมถามเลย เค้ายังทำตัวปกติ ไม่ได้แสดงว่าสลดหรือเสียใจ ที่การมาของเค้าต้องมาเจอปฏิกิริยาแบบนี้ของผม

“เราไม่ควรเจอกันอีกเลยต่างหาก”ผมทำถูกแล้วใช่ไหม ผมไม่ควรจะพูดดีๆ กับเค้าแม้เราจะไม่ได้เกลียดกัน แต่นี่มันก็เป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้ว เพราะในเมื่อก่อนจากกันเราก็ทำความเข้าใจกันแล้วว่าผมต้องอยู่ตรงไหน และเค้าควรจะทำหน้าที่ใด แต่ดูเหมือนสิ่งที่เค้าต้องรับผิดชอบมันกำลังจะพังลงเสียแล้วละมั้ง แต่ผมยังอยากให้เค้าลองปรับความเข้าใจกับอ้อนอีกครั้ง แม้ไม่รู้ว่าอ้อนจะยอมรับได้มากน้อยแค่ไหนกับเรื่องที่รับรู้มา แต่ลูกๆ ของพวกเค้าละ ถ้าต้องมารับรู้เรื่องที่เคยเกิดขึ้นในอดีต หรือต้องมาเจอว่าพ่อแม่ของพวกเค้ากำลังจะไปด้วยกันไม่ได้ แค่นี้มันก็เป็นเหตุผลที่มากพอว่าผมกับเค้าไม่ควรจะเจอกันอีก

“แค่เจอหน้าพูดคุยกัน มันก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดไม่ใช่เหรอ”น้ำเสียงเค้าเริ่มหม่นลงแล้ว ไม่ได้ดูอารมณ์ดีเหมือนตอนแรกแล้ว ผมได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างรู้สึกเหนื่อยในใจ

“ใครกันละเป็นคนตัดสินว่ามันถูกหรือมันผิด บางอย่างเราอาจจะคิดว่ามันไม่ผิด แต่คนอื่นอาจจะไม่คิดเหมือนเราก็ได้นี่นา”ผมย้ำเตือนให้เค้าได้คิดทบทวนดูอีกที ว่าการมาครั้งนี้ของเค้ามันถูกต้องแล้วเหรอ

“แล้วทำไมจะต้องสนใจความคิดของคนอื่นด้วยล่ะ”เค้าจะรู้ไหมว่าคำถามนี้เค้าเองนั่นแหละที่ตอบได้ดีที่สุด ไม่ใช่เพราะเค้าสนใจความคิดคนอื่น แคร์คนอื่นๆ รอบข้างหรอกเหรอ เรื่องของผมกับเค้าถึงได้ดำเนินมาแบบนี้ เค้าลืมไปแล้วหรืออย่างไร

“คำตอบนี้เล่ก็น่าจะรู้อยู่แล้วนะ”ผมบอกออกไปเรียบๆ เหมือนเดิม เรียบจนดูคล้ายเมินเฉยต่อเค้า ผมต้องพยายามข่มความรู้สึกที่แท้จริงให้มันจมอยู่ในใจ ไม่แสดงออกมาว่าแท้จริงแล้วผมเองก็รู้สึกยินดีเพียงใดที่ได้เจอกับเค้าอีก

“ดูแฟ้มเย็นชากับเล่จังนะ”น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความน้อยใจ กับสายตาที่ตัดพ้อถูกส่งมาที่ผม ก็แล้วจะให้ผมทำยังไง ต้องตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเค้าอีกครั้ง ต้องดีใจที่ผมได้ทำลายชีวิตครอบครัวของคนอื่นอย่างนั้นหรือ จะต้องรู้สึกยินดีที่อาจจะทำให้เด็กน้อยสองคนเห็นพ่อแม่แยกทางกัน เค้าอยากให้ผมทำแบบนั้นหรือ

“พี่แฟ้ม...ไปยัง ผมเสร็จแล้ว เดี๋ยวสายๆ”เสียงของอีกคนส่งมาก่อนที่เจ้าตัวจะตามมา โอเล่มองไปยังเด็กหนุ่มที่ออกมาจากบ้านผม สายตาที่เค้ามองนายน้องอ้วนยากที่จะคาดเดาว่าจะรู้สึกเช่นใดที่เห็นผู้ชายอีกคนออกมาจากบ้านผม

“เอ้าพี่แฟ้มมีแขกเหรอครับ”เค้าถามอย่างซื่อๆ เมื่อเห็นคนแปลกหน้าสำหรับเค้า

“นี่เพื่อนพี่เอง มาจากกรุงเทพฯ ชื่อโอเล่พอดีเค้าผ่านมาเลยแวะมาทักทายนะ”ผมแนะนำให้เค้าได้รู้จัก นายน้องอ้วนยกมือไหว้สวัสดี เมื่อรู้ว่าอีกคนอายุมากกว่า โอเล่ยกมือรับไหว้ตามมารยาท รอยยิ้มอย่างขอไปทียิ้มตอบกลับให้นายน้องอ้วนที่ยิ้มให้กับเค้า

“นี่น้องอ้วน เพื่อนของยัยเฟิร์นนะ”โอเล่มีสายตาคลางแคลงใจอย่างเห็นได้ชัด เค้าคงจะสงสัยว่าเพื่อนของเฟิร์นแล้วทำไมดูสนิทสนมกับผมนัก แล้วยังเหมือนจะอยู่ที่นี่กับผมเสียอีก แล้วนี่เค้าเองไปที่บ้านก็น่าจะรู้ว่าเฟิร์นยังอยู่ที่บ้าน แล้วเพื่อนของเฟิร์นอย่างนายน้องอ้วนนี่จะมาทำอะไรที่นี่กัน เค้าคงกำลังคิดแบบนี้อยู่แน่ๆ

“จะไปทำบุญกันใช่ไหม...ขอพี่ไปด้วยคนแล้วกันนะ”คำพูดเหมือนจะขออนุญาตจากนายน้องอ้วน แต่สายตาจดจ้องอยู่ที่ผม เหมือนนายน้องอ้วนเองก็จะจับความผิดสังเกตได้บ้างแล้วเหมือนกัน เพราะเห็นเค้ามีแววตาสงสัยอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

“เล่ขับรถตามมาแล้วกัน รีบไปเถอะเดี๋ยวจะสาย...ป่ะอ้วนขึ้นรถ”ถ้าผมจะปฎิเสธไม่ให้เค้าไปด้วยจะยิ่งดูผิดปกติเข้าไปใหญ่ว่าทำไมไม่ยอมให้เพื่อนไปทำบุญด้วย

“ไปคันเดียวกันดีกว่าจะได้ประหยัดน้ำมัน”อยู่ๆ โอเล่ก็ตามมาที่รถผมและเปิดเข้าไปนั่งตรงที่ข้างคนขับทันที นายน้องอ้วนหันมามองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจ แต่ผมก็เพียงพยักเพยิดให้เค้าเข้าไปนั่งเบาะหลัง และผมเข้าประจำตรงที่คนขับ ก่อนจะมุ่งตรงไปยังจุดหมาย ระหว่างทางเต็มไปด้วยความอึดอัด ต่างคนต่างเงียบเหมือนกำลังใช้ความคิด ผมเองก็เหมือนกัน ผมกำลังคิดว่าตอนนี้นายน้องอ้วนอาจจะกำลังคิดว่าผมกับโอเล่ต้องเป็นอะไรกันที่มากกว่าแค่เพื่อนธรรมดา ส่วนโอเล่ก็ต้องคงกำลังคิดว่านายน้องอ้วนคงไม่ใช่แค่เพื่อนของน้องสาวธรรมดาๆ แน่ ๆ แต่ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบนี้เลย

“อ้อนเป็นไงบ้าง”ผมเริ่มบทสนทนาเพื่อทำลายความเงียบ ผมเลือกที่จะพูดกับคนข้างๆ แทนที่จะคุยกับคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง นั่นเพราะผมอยากจะตอกย้ำให้คนที่นั่งข้างๆ ผมว่าเค้ายังมีอีกคนที่ต้องนึกถึง ไม่สิอีกสามคนเพราะรวมถึงลูกๆ ของพวกเค้าด้วย

“ก็สบายดี...ต้องขอโทษแทนอ้อนด้วยนะกับเรื่องที่เกิดขึ้น”แสดงว่าเค้าคงรู้แล้วว่าผมได้เจอกับอ้อน

“ช่างมันเถอะ ก็แค่เรื่องเล็กน้อย ถ้าเทียบกับสิ่งที่อ้อนต้องแบกรับไว้เรื่องแค่นี้มันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวเลยมั้ง”ผมพูดออกไปโดยลืมไปว่า มีอีกหนึ่งคนที่กำลังตั้งใจฟังบทสนทนาระหว่างผมกับโอเล่

“ไว้คุยเรื่องนี้ทีหลังดีกว่านะ”เค้าตัดบทเหมือนจะไม่อยากพูดให้นายน้องอ้วนรับรู้นั่นเอง

ไม่นานนักเราก็ถึงวัดทำบุญเสร็จก็ ขับรถกลับไปที่บ้านผม บรรยากาศก็ยังเหมือนตอนที่มาไม่มีผิดคือค่อนข้างจะเงียบ มีพูดคุยบ้างเล็กน้อย นายน้องอ้วนก็ดูสงบปากสงบคำจนผิดปกติ

“พี่โอเล่รู้จักกับพี่แฟ้มนานแค่ไหนแล้วครับ”นายน้องอ้วนเอ่ยถามโอเล่หลังจากกลับมาจากทำบุญแล้ว ตอนนี้ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกบ้านผม ส่วนผมกำลังหาน้ำหาท่าตามประสาเจ้าของบ้าน และก็เตรียมโจ๊กที่แวะซื้อมาตอนกลับใส่ถ้วยสำหรับเราทั้งสามคน

“ก็รู้จักกันตั้งแต่ตอนเรียน ม.1 ลองเอาไปบวกลบดูแล้วกันว่ากี่ปีมาแล้ว”น้ำเสียงที่ผมได้ยินเหมือนจะพูดจาข่มๆ อยู่ในที หรือผมอาจจะคิดมากไปเองก็ได้

“แล้วสนิทกันมากไหมครับ”น้ำเสียงนายน้องอ้วนนี่ก็เหมือนจะแปร่งๆ ดูเหมือนกำลังท้าทายอยู่ในที

“ไปถามแฟ้มดูเอาเองแล้วกัน”โอเล่ตอบกลับอย่างผู้ที่กำลังถือไพ่เหนือกว่า แต่ผมว่าถึงเค้าไม่บอกให้นายน้องอ้วนมาถามผม ยังไงน้องมันก็ต้องมาถามผมอยู่แล้ว นี่สองคนนั่นไม่รู้เหรอว่าทุกคำพูดของพวกเค้ามันไม่ได้รอดพ้นจากหูของผมเลย

“แล้วทำไมหลายปีมานี่ผมไม่เคยเห็นพี่แฟ้มติดต่อกับพี่เลยละครับ เป็นเพื่อนกันมาตั้งนานขนาดนั้น อีกอย่างดูแล้วพวกพี่ก็น่าจะสนิทกันพอสมควร แต่กลับไม่ติดต่อกันเลยเหรอครับพวกพี่มีเหตุผลอะไรถึงไม่ติดต่อกันละครับ”น้ำเสียงที่ฟังดูยั่วยุ แบบนี้ผมว่าสองคนนั่นคงกำลังเขม่นกันเข้าให้แล้วละมั้ง

“ไม่คิดว่าถามละลาบละล้วงเกินไปหน่อยเหรอ”เอาแล้วไหมละ ฝ่ายโอเล่ก็เหมือนน้ำเสียงจะแข็งๆ ขึ้นมาแล้ว ผมเลยต้องรีบจัดแจงโจ๊กโดยเร็ว ก่อนที่สองคนนั้นจะไม่แค่ปะทะคารม

“ผมก็แค่ถามเรื่องทั่วๆ ไปนี่ครับไม่ได้ละลาบละล้วงอะไรสักหน่อย”เหมือนฝ่ายนายน้องอ้วนเองก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน

“สนเรื่องตัวเองดีกว่ามั้ง ไม่ต้องอยากรู้เรื่องของพี่หรอก เป็นเพื่อนเฟิร์นไม่ใช่เหรอ แล้วมาวุ่นวายอะไรกับแฟ้มละ”รู้สึกมันจะแรงๆ ขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะเนี่ยกับคำพูดของทั้งสองคน ผมรีบยกถาดหอบโจ๊กวางลงที่โต๊ะเพื่อให้ทั้งสองยุติคารม และดูเหมือนจะได้ผล เพราะเงียบไปทั้งสองคน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่เห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้ลุกขึ้นมาตีกัน

“รีบๆ ทานสิ เดี๋ยวเย็นแล้วมันจะไม่อร่อย”ผมบอกกับทั้งคู่ รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่ต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ใจจริงผมอยากจะบอกให้โอเล่กลับไปตั้งแต่กลับมาจากทำบุญ แต่เหมือนเจ้าตัวเค้าจะไม่ยอม ก็เลยปล่อยให้อยู่มาจนตอนนี้ แต่ยังไงก็ช่างมันเถอะ เพราะเราก็ไม่ได้ทำอะไรที่เสียหาย ในเมื่อเค้าแค่มาทักทาย ก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก อีกอย่างผมก็ไม่ได้แอบเจอกับเค้าสองต่อสอง ยังมีนายน้องอ้วนอยู่ด้วยอีกคน แค่นี้มันคงไม่ผิดมากหรอกใช่ไหม

ตอนนี้ผมเพิ่งได้สังเกตเค้าใกล้ๆ เพราะเมื่อเช้าผมแทบไม่กล้ามองหน้าเค้า กลัวเค้าจะรู้ว่าผมยังมีความรู้สึกดีๆ กับเค้าอยู่ ผมอยากให้เค้าคิดว่าผมตัดใจจากเค้าได้แล้ว จะว่าไปการที่เค้ามาแล้วเจอผมอยู่กับนายน้องอ้วนนี่ก็ดีเหมือนกัน ให้เค้าเข้าไจผิดไปเลยก็ได้ในเรื่องความสัมพันธ์ของผมกับนายน้องอ้วน ผมไม่ได้คิดเข้าข้างตัวเองและเข้าใจผิดไปเองหรอกนะว่าเค้าเองคงยังรู้สึกดีๆ กับผม เพราะครั้งนั้นอ้อนก็พูดกับผมแล้ว อีกอย่างที่เค้ามาเจอผมตรงนี้ มันมีเหตุผลอะไรกันละ แต่ผมจะต้องหยุดมันไว้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวที่จะเจอเค้าอีก

“พี่โอเล่ทานเสร็จแล้วจะกลับเลยหรือเปล่าครับ”อ้าวๆ นายน้องอ้วนเริ่มอีกแล้ว โอเล่เองก็เงยหน้าจากโจ๊กขึ้นมองเจ้าของเสียงอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ก่อนจะเอ่ยออกมาช้าๆ

“พี่ไม่รีบหรอก...กะว่าจะค้างที่นี่สักคืน ไม่ได้เจอกับแฟ้มตั้งนานมีอะไรที่อยากจะคุย อยากรำลึกถึงวันเก่าๆ เสียหน่อย”โอเล่เน้นเสียงคำว่าวันเก่าๆ อย่างผู้ที่เป็นต่อ แถมมีชำเลืองหางตามามองผมอีก แต่ผมคงไม่อยากจะไปรำลึกอะไรกับเค้านักหรอกนะครับ เดี๋ยวเรื่องราวต่างๆ มันจะยุ่งวุ่นวายเข้าไปอีก

“รีบกลับไปจะดีกว่า”ผมบอกออกไปอย่างเย็นชา เพราะไม่อยากให้เค้าก้าวพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง เรื่องระหว่างผมกับเค้าแม้เราสองคนจะยังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันและกัน แต่มันก็จบลงไปนานแล้ว จากนี้ไปเราทั้งสองต้องเดินตามเส้นทางที่เราเคยเดินกันมาต่อไป

โอเล่ชะงักไปเล็กน้อย แต่นายน้องอ้วนดูจะรอยยิ้มเยาะอยู่เล็กน้อย ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะหมั่นไส้นายน้องอ้วนไปแล้วก็ได้ แต่ครั้งนี้ผมกลับอยากให้เค้ายิ้มแบบนี้ เพราะจะได้เป็นการตัดสัมพันธ์ของผมกับอีกคนได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

“อยากให้กลับจริงๆ เหรอ”น้ำเสียงเศร้าๆ พร้อมกับแววตาที่ตัดพ้อของเค้าเกือบทำผมใจอ่อน ผมได้แต่หลบแววตานั้นที่จ้องมายังผม ก่อนจะพยักหน้าเป็นการยืนยันในสิ่งที่เค้าถาม

“จะไม่ออกไปส่งหน่อยเหรอ”เค้าลุกขึ้นยืนเตรียมที่จะกลับ แต่เมื่อเห็นว่าผมเป็นเจ้าบ้านที่ค่อนข้างเสียมารยาทเพราะไม่ยอมออกไปส่ง เค้าก็เลยหันกลับมาหาผมอีก ผมเลยต้องเดินออกมาส่งเค้าที่หน้าบ้าน พร้อมกับน้องอ้วนที่ตามออกมาด้วย

“ขอคุยเป็นการส่วนตัวสักครู่...จะได้ไหม”พอออกมาถึงข้างนอกเค้าก็พูดขึ้นกับผม แต่สายตามองไปยังนายน้องอ้วน ที่จ้องมองตอบอย่างไม่ยอมแพ้เช่นกัน ผมเห็นแล้วละกลัวจริงๆ ว่าสองคนนี้จะวางมวยกัน ผมหันไปพยักหน้าให้นายน้องอ้วนว่ากลับเข้าไปในบ้านก่อนผมจะดีกว่า แม้จะอิดออดเล็กน้อย แต่น้องอ้วนก็ยอมกลับเข้าไป

“มีอะไรก็ว่ามา”หลับหลังจากน้องอ้วนผมก็เอ่ยถามเค้าขึ้น เพราะไม่เห็นเค้าพูดอะไร เอาแต่จ้องมองผมด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดาว่าเค้ากำลังคิดอะไรอยู่ ผมกับเค้าไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว การต้องมาเผชิญหน้ากันแบบนี้มันเลยทำผมรู้สึกเกร็งๆ อย่างบอกไม่ถูก

“เดี๋ยวนี้กินเด็กแล้วเหรอ”คำพูดที่ฟังเหมือนประชดประชัน และรอยยิ้มเหยียดๆ ของเค้า ทำเอาผมรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกน้อยใจเล็กเริ่มก่อตัวขึ้น แม้ผมจะไม่ได้ต้องการอยากจะกลับไปรักกับเค้าเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้อยากจะมารับรู้หรือรับฟังคำพูดเสียดสีแบบนี้ของเค้าหรอกนะ แต่เอาเถอะ เค้าจะพูดอะไรก็ปล่อยเค้าไป

“แค่นี้ใช่ไหม”ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธคำถามของเค้า แต่ดูเหมือนเค้าเองก็ไม่ได้ต้องการคำตอบนักหรอก และเมื่อเห็นว่าเค้าเหมือนจะไม่ได้มีอะไรจะพูดกับผม ผมเลยหันหลังจะเดินกลับเค้าบ้าน กะว่าจะไม่สนใจเค้าอีก เพราะยังไงเราก็ไม่ควรจะพบกันอยู่แล้ว

“เดี๋ยวก่อนสิแฟ้ม”เค้าตามมาฉุดยื้อข้อมือผมไว้ น้ำเสียงเค้าดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด

“อ้อนเค้าขอเลิกกะเล่”สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมตกใจไม่น้อย ทำไมเรื่องราวมันกลายมาเป็นแบบนี้กันละ

“แล้วยังไงเหรอเล่...เล่เลยจะยอมเลิก จะยอมให้ลูกๆ เห็นว่าพ่อแม่แยกทางกันงั้นสิ”ผมตอบกลับไปอย่างฉุนๆ เพราะแบบนี้หรือเปล่าเค้าถึงกล้ามาหาผมถึงที่นี่ หรือคิดว่าถ้าเค้าเลิกกับอ้อนแล้วผมจะอยากกลับไปคบกับเค้าอย่างนั้นหรือ ถ้าผมทำแบบนั้นผมจะยิ่งรู้สึกไม่ดีเข้าไปใหญ่


“ครั้งสุดท้ายที่เราเคยตกลงกัน เล่จำได้ไหมว่าเราตกลงกันว่ายังไง”ผมพยายามจะให้เค้าลองคิดทบทวนดูดีๆ ว่าเราทั้งสองได้เลือกทางเดินกันไปแล้วว่าผมจะอยู่ในที่ทางของผม และเค้าเองก็ต้องมีครอบครัวต่อไป แต่ตอนนี้มันเหมือนครอบครัวนั้นจะไม่เป็นไปในทางที่เราวางไว้เสียแล้ว

“เล่กลับไปเถอะ”เค้าไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่ผมก็พอจะรู้ว่าเค้าเองก็คงกำลังสับสนว่าจะทำยังไงต่อไป แต่ผมเชื่อว่าเค้าคงมีความรับผิดชอบพอต่อลูกๆ ของเค้า ผมหันหลังกลับอีกครั้ง เพื่อจะกลับเข้าบาน แต่เดินได้แค่เพียงไม่กี่ก้าว ผมก็ถูกกระชากกลับอย่างแรง

ผมหันกลับมาเผชิญหน้ากับเค้าอีกครั้ง กำลังจะถามว่ามีอะไรอีก แต่ผมก็ช้ากว่าเค้าเพราะ สองมือเค้าคว้าเค้าที่ขมับทั้งสองข้างของผม ก่อนที่ริมฝีปากของเค้าจะประกบลงมาหาผม ซึ่งพอดีกับจังหวะที่ผมจะเอ่ยปากถาม มันเลยเหมือนผมปล่อยให้เค้าสอดลิ้นเข้ามาในปากของผม ความปั่นป่วนใจกายผมเริ่มก่อให้เกิดอาการตอบสนองจากเค้า ผมลืมตัวเผลอจูบตอบเค้า สองมือผมยกขึ้นคล้องที่คอของเค้า เพื่อเป็นหลักยึดเหนี่ยว เพราะเรี่ยวแรงเหมือนจะไม่มี ความโหยหาในสิ่งที่ขาดหายไปนานทำให้ผมขาดสติไป

แต่เมื่อเรียกสติกลับมาได้ ผมก็รีบผลักเค้าออก พร้อมกับก้าวถอยหลังให้ห่างจากเค้า

“สุขสันต์วันเกิด...มีความสุขมากๆนะ”เค้าพูดพร้อมกับยิ้มให้ผม

“กลับไปเถอะ”


แวะมาต่อคร๊าบบบบ

เรื่องราวก็ส่อแววจะยังคงอีรุงตุงนังกันต่อไป เหอๆ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 22-11-2014 19:05:40
มารอความอิรุงตุงนังตอนต่อไป  :hao6:

แฟ้มเนี่ยยังมีความรู้สึกหลงเหลือให้กับโอเล่มากอยู่นะ  เห็นได้ชัดเลยว่าตอนนี้ใช้น้องอ้วนเป็นตัวกัน

ถ้าอิเล่มันกลับตัวกลับใจก็ยังพอทำใจได้นะ แต่ถ้าไม่นี่ก็.........

สงสัยและหวังว่าอิเล่มันได้ไปเรียนรู้เรื่องดีๆมาจากคู่เกี๊ยงกับเค้กบ้างนะ   :เฮ้อ:

ขอบคุณมากค่ะ  คนเขียน :กอด1:

หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Singleman ที่ 22-11-2014 19:42:03
เห็นแก ตัวมาก โอเล่ เกลียดว่ะ

เชียร์ น้องอ้วนนนนน
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 22-11-2014 19:46:02
แฟ้มอย่าไปคิดเรื่องครอบครัวเขาเลย
พ่อแม่มันไม่รักกัน จะฝืนยังไงได้ ลูกมันรับรู้ได้นะ เจ็บกว่าพ่อแม่บอกเองเยอะ

ตอนนี้แฟ้มแค่เลือกทางของตัวเองว่าจะเอาทางไหนก็พอ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 22-11-2014 21:39:00
https://www.youtube.com/v/0B59Oupo4Go


รัก..คงยังไม่พอ

 :mew6:
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 22-11-2014 21:50:04
ถ้าอิแฟ้มมันกลับมาโลเล เล่นตามเกมส์อิเล่
ฉันจะจับมาตีก้นสามทีเพี๊ยะๆๆ แล้วยุให้น้องอ้วนหนีไป
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 23-11-2014 02:53:55
อิเล่ย์

จะก่อเรื่องอีกแล้วหรอ??

ลูกๆล่ะไม่สงสารหรือไง???
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 23-11-2014 03:11:35
รอติดตามตอไปครับ
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: โชติกา บุญเติม ที่ 23-11-2014 03:19:34
 :เฮ้อ: อิเล่ ทุกอย่างมันสายไปตั้งแต่อ้อนท้องแล้ว
กลับไปคบกัน ไหนว่าแคร์สังคมไง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: nicksrisat ที่ 23-11-2014 04:46:54
อ่านแล้วก็ชวนให้ติดตามครับ มาต่อเร็วๆนะครับ ผมรออยู่
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: drasil ที่ 23-11-2014 14:55:36
เฮ้อ ปมปัญหาวุ่นวายมากมาย
ทุกคนก็ผิดด้วยกันทั้งนั้น

ให้อารมณ์ชีวิตจริงมากๆ เวลาที่อะไรๆมันไม่เป็นไปตามที่เราคิด และเราก็ทำอะไรไม่ได้
ต้องปล่อยให้เวลาแก้ปัญหาของมันเอง
หัวข้อ: Re: ระหว่างเราคือ...??? [22-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-11-2014 22:22:36
“สุขสันต์วันเกิด...มีความสุขมากๆนะ”เค้าพูดพร้อมกับยิ้มให้ผม

“กลับไปเถอะ”ผมตอบกลับไปเพียงสั้นๆ แล้วไม่หันกลับไปมองเค้าอีก  พอผมเข้าบ้านปิดประตูสักพัก เสียงรถของเค้าก็เริ่มดังและห่างออกไปเรื่อยๆ “ขอบคุณนะ”ผมบอกกับเค้าในใจ ขอบคุณที่มาอวยพรวันเกิดให้ผม เมื่อก่อนมันอาจจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่ครั้งนี้มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วก็ได้

“คนนี้ใช่ไหมครับที่ทำให้พี่ไม่ยอมมีใครสักที”เสียงนึงที่ฟังดูเครียดๆ แว่วเข้ามากระทบโสตประสาทผมทันทีที่ก้าวเข้าถึงห้องรับแขก ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ในบ้านก็มีแค่นายน้องอ้วนเท่านั้น ผมจะผิดไหมถ้าจะตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไป

“เรามาคบกันไหม”ผมไม่ได้ตอบคำถามเค้าแต่ผมกำลังจะใช้เค้าตัดปัญหาวุ่นวายที่อาจจะตามมามากมายหาก ตอนนี้ผมยังไม่มีใคร อีกอย่างน้องอ้วนเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าลองคบกันดู วันนึงผมอาจจะชอบหรือรักเค้าขึ้นมาก็ได้ แต่ทำไมเหมือนนายน้องอ้วนจะไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าไหร่ที่ได้ยินผมบอกออกไปแบบนั้น เพราะดูสีหน้าและแววตาแล้ว มันเหมือนคนที่กำลังจะโมโหเสียมากกว่า

“พี่จะทำแบบนี้เพื่อประชดใครหรือเปล่าครับ”น้ำเสียงเหมือนจะดูถูกผมอยู่ในที

“เปล่าซะหน่อย”ผมปฏิเสธเสียงแข็งเพื่อยืนยัน อีกฝ่ายนิ่งไปและจ้องมองมาที่ผม และตัวผมก็ถูกดึงเข้าไปหาเค้า  ริมฝีปากที่เพิ่งจะถูกประกบจากอีกคนที่กลับไปแล้ว ตอนนี้มันกำลังถูกนายน้องอ้วนทับรอยลงไปอีกครั้ง ด้วยสัญชาตญานทำให้ผมเกิดการต่อต้านและ ผลักเค้าออกอย่างแรง ผมถอยออกห่างจากเค้ามาทันที

“หึ...มันก็ชัดเจนแล้วนี่ครับว่าพี่ไม่ได้ชอบผมเลย แล้วจะมีเหตุผลอะไรที่พี่จะอยากมาคบกับผมถ้าไม่ใช่อยากจะประชดใครหรือไม่ก็กำลังคิดจะใช้ผมเป็น เครื่องมือบางอย่าง”คำพูดของเค้าทำเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน ใช่แล้วผมนี่มันแย่จริงๆ ที่ไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของเค้าบ้าง ผมเอาแต่จะตัดปัญหาของตัวเอง แต่ไม่แคร์ว่าคนอื่นเค้าจะรู้สึกยังไง

“พี่ดูถูกความรักของผมมากเลยนะครับ”แววตาของเค้าที่มองมายังผม ทั้งเหมือนน้อยใจ เสียใจ เสียความรู้สึกกับผมมากๆ นี่ผมทำให้เค้ารู้สึกขนาดนั้นเลยเหรอ

“พี่...ขอโทษ”ผมมันก็พูดได้แค่นี้แหละครับ ทั้งที่น่าจะพูดอะไรให้มันดีกว่านี้หน่อย แต่ผมก็คิดไม่ออก

“เซอร์ไพร์ส”เสียงของใครบางคนดังขึ้น ซึ่งผมก็จำได้ว่าเป็นเสียงของไอ้แชมป์กับเฟิร์นนั่นเอง ผมกับน้องอ้วนหันไปตามเสียงนั้นทันที ก็เห็นคนทั้งคู่ ถือกล่องของขวัญใบหนึ่งเข้ามา



“สุขสันต์วันเกิดคะพี่แฟ้ม”เฟิร์นเป็นคนถือกล่องมาให้ผม ไอ้แชมป์เองก็บอกอวยพรวันเกิดให้ผมด้วยเหมือนกัน ทั้งสองคนคงไม่ได้สังเกตุว่าอารมณ์ของผมกับนายน้องอ้วนเป็นยังไง

“ผมขอตัวก่อนนะครับพี่แชมป์ กลับก่อนนะเฟิร์น”เค้าหันไปบอกลาผู้มาใหม่ทั้งสองโดยไม่ได้หันมาบอกลาผม แล้วเค้าก็เดินออกไปเลย ทั้งแชมป์และเฟิร์นเลยงงไปตามๆ กัน ว่าเกิดอะไรขึ้น

“อ้วนมันเป็นไรเหรอพี่แฟ้ม”น้องสาวผม ไม่ทนเก็บความสงสัยไว้นาน

“เฟิร์นตามไปดูเพื่อนหน่อยไป”ผมบอกเชิงขอร้องกลายๆ เพราะอย่างน้อยมีคนอยู่เป็นเพื่อนหน่อย น้องอ้วนจะได้รู้สึกดีขึ้นบ้าง เฟิร์นยังคงไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม แต่ก็ยอมตามอ้วนออกไป


“เกิดอะไรขึ้น”หลังจากเฟิร์นออกไป ไอ้แชมป์ก็ถามผมขึ้น

“โอเล่มา”ผมบอกออกไปตามตรง ดูไอ้แชมป์เองก็ไม่ได้ตกใจอะไรเท่าไหร่ แล้วผมก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้กับแชมป์ฟัง

“รู้ไหมทำไมกรูถึงพยายามเชียร์น้องอ้วนให้มรึงนักหนา”หลังจากฟังผมพูดจบ ไอ้แชมป์ก็ถามขึ้น ผมเองก็พอจะรู้ว่าทั้งไอ้แชมป์และเฟิร์นต่างก็พยายามเชียร์น้องอ้วนกับผมให้เป็นแฟนกัน เฟิร์นนี่คงเพราะเห็นผมไม่มีใครมานานแล้วอีกอย่างน้องอ้วนก็เป็นเพื่อนเฟิร์น แต่สำหรับไอ้แชมป์ถ้ามาถามผมแบบนี้ คงมีเหตุผลอื่นด้วยแน่ๆ ผมส่ายหน้าปฏิเสธเพราะคงเดาใจแชมป์มันไม่ถูกหรอก

“เพราะกรูกลัวว่ามันจะมีวันนี้ไงละ กรูรู้มานานแล้วว่าอ้อนกับโอเล่มีปัญหากัน กรูเคยจะพยายามบอกมรึง แต่มรึงก็บ่ายเบี่ยงไม่รับฟังมาตลอด รวมทั้งเรื่องที่สองคนนั้นจะเลิกกันก็ด้วย แต่ความจริงเค้าก็แยกกันอยู่มานานแล้วแหละ ตอนนี้มันเหมือนขีดสุดชีวิตคู่ของทั้งสองมันจะจบลงแล้วจริงๆ มันคงเกินเยียวยาแล้วแหละ”มันเพราะผมใช่ไหมที่ทำให้เกิดเรื่องราวแบบนี้ขึ้นมา

“กรูควรทำยังไงดีแชมป์”ผมจนปัญญาจริงๆ ที่จะคิดแก้ปัญหาในเรื่องนี้

“ตอนนี้มรึงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ เพราะกรูเองเพิ่งเจอกับอ้อนมา ยังไงเสียอ้อนก็จะหย่าอย่างแน่นอน”การตัดสินใจทำอะไรโดยไม่คิดถึงคนอื่นก่อนของผม แม้มันจะผ่านมาเนิ่นนานแล้ว แต่ตอนนี้ผลของการกระทำนั้น มันกำลังเล่นงานใครๆ หลายคน ผมดึงใครมากมายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้



“ตกลงว่านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่พี่แฟ้ม”เสียงน้องสาวผมตะโกนเข้ามา ผมบอกให้เค้าไปดูน้องอ้วนหน่อยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมย้อนกลับมาเร็วแบบนี้

“อ้วนเป็นไงบ้าง”ผมอดที่จะห่วงเค้าไม่ได้เหมือนกัน แม้ผมจะไม่รักเค้า แต่ผมก็ยังเป็นห่วงเป็นใยในฐานะพี่ชายคนนึงอยู่เหมือนกัน น้องอ้วนก็เป็นอีกคนที่ต้องเข้ามารับความเจ็บปวดกับสิ่งที่ผมก่อขึ้นมา

“ก็ไม่เป็นไรมากหรอกมั้ง แค่ดูหงอยๆ แล้วก็บอกอยากอยู่คนเดียว”น้องอ้วนเองก็คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะทำใจได้ หวังว่าสักวันเค้าจะเจอคนที่ดีกว่าผม จากนี้ไปไม่รู้เค้าจะโกรธเกลียดผมไปเลยหรือเปล่า

ผมตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้กับเฟิร์นฟัง เพราะถ้าไม่ยอมน้องสาวผมก็คงจะตื้อจนถึงที่สุดเพื่อจะให้ผมเล่าอยู่ดี แต่ใจจริงก็กลัวเหมือนกันว่าเฟิร์นเองอาจจะมองผมเป็นคนเลว แต่ความจริงผมก็เป็นคนเลวอยู่แล้วนี่นา ทำร้ายคนบริสุทธิ์มาตั้งกี่คนแล้ว

“เฟิร์นไม่รู้จะสงสารใครดี ทำไมเรื่องราวมันซับซ้อนวุ่นวาย อีรุงตุงนังได้ขนาดนี้ละพี่แฟ้ม”เฟิร์นส่ายหัว อย่างเคร่งเครียดกับเรื่องราวที่ได้รับฟังจากผม  แม้จะพยายามคิดหาทางออกให้เรื่องนี้ที่ดีที่สุด แต่พอลองคิดดูแล้วตอนนี้แต่ละทางมันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่เลย

ผมกับเฟิร์นแล้วก็ไอ้แชมป์ พูดคุยกันสักพัก พ่อผมก็โทรมาแจ้งข่าว ว่าแม่ผมเข้าโรงพยาบาล ตอนแรกผมก็ตกใจกลัวว่าจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า แต่พ่อก็บอกว่าตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เห็นว่าอาหารเป็นพิษ หมอจะให้อยู่โรงพยาบาลประมาณสองสามวันเพื่อดูอาการ ผมกับแชมป์และเฟิร์นเลยว่าจะกลับเข้าไปกรุงเทพฯ กัน ผมนะไม่เท่าไหร่หรอกแต่แชมป์กับเฟิร์นนี่สิ เพิ่งจะมาถึงต้องกลับเข้ากรุงเทพฯ อีกแล้ว





พอถึงกรุงเทพฯ พวกผมทั้งสามคนก็ตรงไปยังโรงพยาบาลที่แม่ผมรักษาตัวทันที พอถึงโรงพยาบาล ผมก็ต้องตกใจอีกครั้ง ไม่รู้วันนี้มันวันอะไรกันนักหนา ผมต้องเตรียมรับสถานการณ์อะไรอีกหรือนี่ ภายในห้องของโรงพยาบาล ที่แม่ผมนอนอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือให้เหมือนคนป่วยปกติ ดูท่านท่าทางอ่อนแรง นั่นคงเป็นผลมาจากอาการที่เป็น นอกจากพ่อของผมที่เป็นคนเฝ้าไข้แล้ว ยังมีบุคคลอื่นอีกอยู่ภายในห้องนี้ ผมกับแชมป์หันสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปเพื่อทักทาย อย่างปกติที่สุด เพราะผมคิดว่าอย่างน้อยพ่อแม่ผมคงยังไม่รู้ถึงปัญหาที่ผมเผชิญอยู่ตอนนี้

“อ้อนมาได้ไงเนี่ย”ไอ้แชมป์ทักทายอย่างเป็นกันเอง ให้ดูปกติเสมือนว่าพวกผมทุกคนยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมยิ้มให้อ้อนอย่างจริงใจ ซึ่งอ้อนเองก็ยิ้มตอบกลับมา อ้อนไม่ได้มาคนเดียว แต่พาเด็กน้อยสองคนมาด้วย ถึงผมจะไม่เคยเจอเด็กสองคนนี้ แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเด็กสองคนนี้คงเป็นลูกแฝดของอ้อนกับโอเล่นั่นเอง

“พอดีเล่เค้าแวะมาเยี่ยมเพื่อนนะ เลยมาเจอคุณลุงพอดีเลยรู้ว่าคุณป้าไม่สบาย”อ้อนบอกอย่างมีไมตรี ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าอ้อนเล่นละครอยู่หรือแสดงออกมาจากใจจริง แต่อาจจะมาจากใจจริงๆ เพราะแม้อ้อนอาจจะเกลียดผม แต่กับพ่อแม่ผมอ้อนคงแยกแยะออก และคงอยากมาเยี่ยมแม่ผมจริงๆ เมื่อก่อนอ้อนเองก็แวะเวียนไปที่บ้านผมบ่อยๆ จนรู้จักมักคุ้นกับพ่อแม่ผมเป็นอย่างดี เพิ่งจะมาห่างเหินกันไปตอนที่อ้อนแต่งงานนั่นแหละ

ว่าแต่โอเล่เองก็กลับมาก่อนพวกผมไม่นาน นี่เค้ารีบมาเยี่ยมเพื่อนเลยหรือไงกัน เพื่อนเค้าสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ

“แล้วโอเล่ตอนนี้ไปเยี่ยมเพื่อนอยู่เหรอ”แม้จะไม่อยากถาม แต่ผมก็ต้องเอ่ยออกไป เพื่อไม่ให้พ่อกับแม่ผิดสังเกต อ้อนเองก็ชะงักไปเล็กน้อย

“เห็นว่าขอคุยกับเพื่อนอีกหน่อยเดี๋ยวจะตามมา พอดีว่าอาการเพื่อนเค้าเพิ่งดีขึ้นนะ”อ้อนอธิบาย

“อ้าวลืมเลย ลูกอั๋น ลูกอิ๋ง ไหว้อาๆ เร็วลูก นี่อาแฟ้ม อาแชมป์ แล้วก็อาเฟิร์น”อ้อนบอกลูกๆ ซึ่งทั้งสองคนก็ยกมือไหว้พวกผมทุกคนพร้อมกับกล่าวสวัสดี ท่าทางน่ารักเชียว เห็นแล้วผมก็จุกในอก นี่ผมกำลังจะทำให้เด็กสองคนนี้ต้องมาเห็นพ่อแม่แยกทางกันอย่างนั้นหรือ

“เดี๋ยวยังไงอ้อนกลับก่อนดีกว่านะ มานานแล้วเดี๋ยวคุณป้าจะได้พักผ่อน”อ้อนบอกกล่าวลาพ่อกับแม่ผม ก่อนจะหันมาร่ำลาพวกผม

“ไปส่งเพื่อนหน่อยสิแฟ้ม”พ่อผมเตือนให้ผมอย่าลืมมารยาท ทำให้ผมต้องเดินออกไปส่งอ้อนกับลูกๆ

“น้องอั๋นมาเดี๋ยวอาอุ้ม”ผมเดินตามไปอุ้มน้องอั๋นที่เดินตามอ้อนซึ่งอุ้มน้องอิ๋งไว้ น้องอั๋นมองผมตาแป๋ว คงยังไม่ค่อยคุ้นกับคนแปลกหน้าเท่าไหร่

“ผมเคยเห็นรูปคุณอาด้วย”เด็กน้อยจ้องหน้าก่อนจะพูด

“เคยเห็นที่ไหนครับ”ผมแกล้งถามอย่างเป็นมิตรทั้งที่ในใจมันเจ็บจี๊ดขึ้นมา เพราะผมได้ทำร้ายเด็กน้อยผู้นี้ไปแล้ว ทำร้ายเค้าตั้งแต่เค้ายังไม่เกิดมาด้วยซ้ำ

“เห็นในรูปแต่งงานของพ่อเล่กับแม่อ้อนครับ”เด็กน้อยบอกเสียงใส โลกของเค้ายังสดใสนัก แล้วถ้าเค้ารู้ว่าพ่อกับแม่กำลังจะแยกทางกันเค้าจะรู้สึกยังไง ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ให้กับหนูน้อย เค้าคงไม่รู้หรอกว่าคนที่อุ้มเค้าอยู่เป็นคนเลวร้ายแค่ไหน

พอเดินมาตามทางเดินได้สักพัก คนที่ผมได้เจอเมื่อเช้าก็เดินมา ดูเค้าเองแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นผมมาพร้อมอ้อน แต่เราก็ไม่ได้พูดหรือทักทายใดๆ กัน อ้อนให้โอเล่พาลูกๆ ไปรอที่รถ ส่วนตัวอ้อนเองขอคุยกับผมก่อน ครั้งนี้มันเป็นครั้งที่สองแล้วสินะที่เราจะต้องมาคุยกัน ซี่งก็คงเป็นเรื่องเดิม  ผมไม่รู้ว่าครั้งนี้อ้อนจะว่ายังไง แต่ดูเหมือนอ้อนไม่ได้เกรี้ยวกราดเหมือนครั้งที่แล้วเท่าไหร่

“อ้อนจะเลิกกับเล่แล้วนะ”เธอบอกเสียงราบเรียบไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้ายอะไรกับเรื่องที่พูดออกมา ผมเองก็ไม่ได้ตกใจมากนักเพราะโอเล่ก็พูดแล้วว่าอ้อนขอแยกทาง

“ทบทวนดูอีกทีไหม”ผมยังอยากให้พวกเค้าลองปรับเข้าหากันอีกครั้ง อย่างน้อยก็เห็นแก่ลูกๆ

“มันสายไปแล้วละแฟ้ม อ้อนบอกตรงๆ เลยนะว่าอ้อนทำใจไม่ได้หรอก พยายามมามากพอแล้ว แต่ในเมื่อยิ่งฝืนมันก็ยิ่งแย่ สู้เราถอยห่างออกมาดีกว่า”น้ำเสียงของอ้อนฟังดูหม่นหมองไม่น้อย

“ขอโทษจริงๆ สำหรับเรื่องราวทั้งหมด แม้คำขอโทษมันจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่แฟ้มก็อยากจะบอกอ้อนว่า ตอนนี้แฟ้มเองก็ไม่ได้มีความสุขเลยแม้แต่นิดเดียวกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้”ถ้าตอนนี้ให้ผมทำอะไรผมก็ยอมถ้ามันจะช่วยให้เรื่องราวในตอนนี้มันดีขึ้นมาบ้าง

“ไม่ต้องโทษตัวเองหรอก เรื่องมันผ่านไปแล้ว เราไม่มีทางจะกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก จากนี้ไปถือว่าเราไม่ติดค้างคาใจอะไรต่อกันอีกแล้ว แต่อ้อนขอแฟ้มอย่างนึงได้ไหม”สายตาที่มองมายังผม มีแววสับสนเหมือนกำลังตัดสินใจอย่างยากลำบากอยู่ในที

“ได้สิ”ผมตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

“ถึงตอนนี้แล้วอ้อนไม่ได้รังเกียจแฟ้มหรอกนะ แต่เมื่อก่อนตอนรู้เรื่องแรกๆ อ้อนยอมรับว่าทั้งโกรธและเกลียด พอมาถึงตอนนี้อ้อนไม่รู้ว่าจะยังโกรธเกลียดกันทำไมในเมื่อยังไงก็คงเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว เพียงแต่อ้อนอยากให้แฟ้มเห็นแก่ลูกๆ ของอ้อน”ผมตั้งใจฟังสิ่งที่อ้อนกำลังพูดและเริ่มเดาได้แล้วแหละว่า อ้อนต้องการขออะไรจากผม

“อ้อนขอร้องนะ...แฟ้มอย่ากลับไปคบกับโอเล่ จะได้ไหม"

แวะมาต่อคร๊าบบบบ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 24-11-2014 22:43:56
อ้อมเอ๊ย   ขอไม่ให้แฟ้มกลับไปคบโอเล่ ก็คือแก้แค้นทั้งคู่โดยเฉพาะโอเล่  ไม่ได้กะไว้เลยนะว่าโอเล่มันอาจจะได้คนใหม่ก็ได้  แต่ก็นะ ตลอดเวลาที่ผ่านมาอิเล่มันก็ไม่ได้มีคนอิ่นนอกจากแฟ้ม แฟ้มเองก็มีแต่โอเล่คนเดียวมาตลอด เห็นใจคู่นี้ก็ตรงนี้แหละ จะยังไงก็รักกันมานานถึงจะอิรุงตุงนังก็เถอะ เราว่าเราเป็นส่วนน้อยมากๆที่ยังเชียร์อิเล่กับแฟ้มอยู่นะ ฝรั่งว่ากันว่าผู้ชายร้ายๆจะเป็นสามีที่เยี่ยมสุดๆตอนที่กลับตัวกลับใจแล้ว (แม่สามีบอกมาอ๊ะ)

แต่ตัดปัญหาก็เริ่มต้นใหม่กับน้องอ้วนไปเถอะถ้าหากว่าสิ่งนี้จะทำให้แฟ้มมีความสุขที่แท้จริงได้ แต่เราว่าแฟ้มเองก็ยังไปไม่ถึงจุดนั้นหรอกถ้าหากว่ายังไม่เริ่มเคลียร์ใจตัวเอง

รักคนเขียนนะ เมนท์ๆไปตามความรู้สึก สนุกมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 24-11-2014 22:56:59
ถ้าไม่กลับไปคบ
เรื่องคงจะไม่ยุ่งยาก

ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมเหอะแฟ้ม,,,
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 25-11-2014 00:08:15
 :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: ♠DekDoy♠ ที่ 25-11-2014 00:08:35
ถ้าแฟ้มกลับไปคบเล่อีกก็เลวเกินทนแล้วแหล่ะ แต่ก็ดีนะจะได้ฟินกันทั้งคู่เลยที่ทำลายครอบครัว 1 ครอบครัวลงด้วยมือตัวเองทั้งคู่
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 25-11-2014 00:59:19
ชั้นจะไม่อ่านเรื่องนี้แล้วววว อิฟายแฟ้ม
อิเลวเล่ ครองรักกันอยู่ในหลุมสองตัวละกัน
เกลี้ยดดด เกลียด (อินไปมั้ย)  :beat:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 25-11-2014 12:47:59
แฟ้มก็ไม่ได้คิดที่จะกลับไปคบกับเล่
เหมือนเดิมมาตั้งนานแล้วนี่
จะห้ามให้เลิกรักก็คงไม่ได้
แต่คงรักแบบไม่ครอบครอง

ระหว่างเราคือ.....เพื่อนเก่า คนรักเก่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: punchnaja ที่ 25-11-2014 16:57:02
กร๊ากกกก แอบสมน้ำหน้าโอเล่ ห่วงหน้าตาตัวเองดีนัก อยู่คนเดียวไปเต๊อะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [24-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 25-11-2014 22:58:26
“อ้อนขอร้องนะ...แฟ้มอย่ากลับไปคบกับโอเล่ จะได้ไหม อ้อนไม่อยากให้ลูกต้องมารับรู้ว่าพ่อของพวกแกมีความรักให้กับผู้ชายด้วยกัน เด็กๆ คงยังไม่สามารถเข้าใจความรักในแบบนี้ได้หรอก คิดเสียว่าเห็นแก่เด็กมันเถอะนะ”แม้อ้อนไม่ขอ ผมก็คงทำแบบนั้นอยู่แล้ว ผมคงไม่สามารถจะกลับไปหาโอเล่ได้อยู่แล้ว เพราะความจริงผมก็ตั้งใจจะตัดขาดจากเค้าไปตั้งนานแล้ว

“เราจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด เราสัญญา”ผมให้คำมั่นสัญญา

“หวังว่าแฟ้มจะรักษาสัญญานะ”อ้อนทิ้งทายก่อนจะเดินจากผมไป แน่นอนอยู่แล้วว่าผมจะไม่มีทางผิดสัญญา ผมต้องทำให้ได้

แม่ผมต้องนอนพักที่โรงพยาบาลสองวันหมอก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ผมก็ยังอยู่ดูแล่ที่บ้านต่ออีกหน่อย จนเห็นว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมก็กลับต่างจังหวัดพร้อมกับเฟิร์น ไอ้แชมป์ไม่ได้ตามไปด้วยเพราะติดงาน เฟิร์นเองใกล้จะเปิดเทอมเต็มทีแล้ว นั่นหมายความว่าร้านผมจะกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังจากเงียบเหงาไปในช่วงปิดเทอม เราสองพี่น้องช่วยกันจัดร้านเพียงสองคน ไม่มีคนคอยมาช่วยเหมือนแต่ก่อน

น้องอ้วนหายเงียบไปเลย ไม่ส่งข่าวคราว เฟิร์นบอกว่าโทรหาก็ไม่ยอมรับสาย จนเฟิร์นนึกกลัวว่าจะเป็นอะไรไปแล้วหรือเปล่า แต่มีเพื่อนคนอื่นในกลุ่มของเฟิร์นยืนยันว่าน้องอ้วนยังปลอดภัยดี แม้จะทรุดโทรมลงไปบ้างก็เถอะ

“ไอ้อ้วน...นึกว่าตายไปแล้วนะเนี่ย”ผมหันไปตามเสียงที่น้องสาวตะโกน ก็เห็นภาพของชายหนุ่มที่บัดนี้หนวดเคราเฟิ้มเพราะน่าจะไม่ได้โกนมาหลายวันแล้ว ขอบตาที่ดูคล้ำไปมาก ผมเผ้าที่กระเซอะกระเซิงเพราะคงไม่ได้ใส่ใจจัดแต่งให้ดูดี

“ก็เกือบไปแล้วแหละ”เค้าบอกพร้อมกับสายตาที่หันมาทางผม

“พี่แฟ้มครับ...ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม”เค้าค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามายืนตรงหน้าผม

“ได้สิ”ผมตอบรับออกไป ในใจยังรู้สึกผิดอยู่นิดหน่อยที่ตอนนั้นคิดจะดึงเค้าเข้ามาพัวพันกับปัญหาของผม

“งั้นเดี๋ยวเฟิร์นกลับไปเอาของที่บ้านก่อนนะ เดี๋ยวกลับมา”เหมือนจะรู้งานน้องสาวผมหาทางปลีกตัวออกไป เพราะคงพอจะเข้าใจว่าน้องอ้วนอยากคุยกับผมเพียงลำพัง

แต่พอเฟิร์นออกไปแล้วเค้าก็เอาแต่เงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไร ผมเองก็กะว่าจะรอให้เค้าเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนเพราะเค้าเป็นคนมาขอคุยกับผม ก็แสดงว่าต้องมีเรื่องอะไรที่จะพูดอยู่แล้ว แต่นี่ทำไมเอาแต่เงียบกันละ

“ผมขอโทษนะครับ ที่วันนั้นโมโหใส่พี่ไป”ในที่สุดเค้าก็ยอมเปิดปากเสียที

“พี่ต่างหากที่ต้องเป็นคนขอโทษ”ใช่แล้ว เค้าไม่ได้ผิดอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ผมต่างหากที่จะใช้เค้าเป็นเครื่องมือ

“พี่แฟ้มคงรักเค้ามากเลยสินะครับ”

แววตาตัดพ้อนั้นจ้องมองมาที่ผมอย่างหาคำตอบ ผมควรจะเล่าเรื่องของผมให้เค้าฟังดีหรือเปล่า ถ้าเค้ารู้เค้าอาจจะเกลียดผมไปเลยหรือเปล่าที่ผมเป็นคนไปทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก แต่บางอย่างบอกผมว่าควรเล่าให้เค้าฟัง ผมเลยเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้น จนถึงตอนนี้ ว่าระหว่างผมโอเล่และอ้อน มีเรื่องราวอะไรต่อกันบ้าง

“พี่คงเลวมากเลยใช่ไหม”หลังจากเล่าให้เค้าฟังจนจบเค้าเองก็เอาแต่เงียบ

“ไม่หรอกครับ ทุกคนก็ต้องมีเหตุผลด้วยกันทั้งนั้น”เค้ายิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ขอบคุณเค้าจริงๆ ที่เข้าใจผมทั้งที่ผมเองยังไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเท่าไหร่เลย

“พี่เคยมีสักนิดไหมครับที่หวั่นไหวกับผมบ้าง”เค้าถามเสียงแผ่ว แต่สายตายังเปี่ยมไปด้วยความวิงวอนที่ส่งมาถึงผม

“ไม่รู้สิ”ผมตอบไม่ได้จริงๆ ว่าระหว่างผมกับเค้ามันจะพัฒนาไปได้อีกหรือไม่ ผมไม่สามารถจะตอบรับหรือปฏิเสธเค้าได้อย่างเต็มปากเต็มคำ

“แสดงว่าโอกาสของผมแทบไม่เหลืออยู่เลย”เค้าพูดพร้อมกับแสร้งหัวเราะเล็กน้อยเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ภายในใจเค้ามันคงไม่ได้รู้สึกเป็นเรื่องตลกแม้แต่น้อย

“ทำไมคิดแบบนั้นละ”เพราะคำพูดของผมเหรอที่ทำให้เค้าตีความเช่นนั้น แต่ผมเองยังไม่รู้เลยว่าต้องการสื่อให้เค้าเข้าใจแบบไหน

“ก็ที่พี่พูดมันก็แค่การรักษาน้ำใจผมเท่านั้นแหละ ที่จริง ผมน่าจะรู้ตั้งแต่ตอนที่เราทำข้อตกลงเรื่องคะแนนที่พี่จะให้ผมแล้ว ว่าผมคงไม่มีทางที่คะแนนจะเป็นบวกไปได้หรอก ใช่ไหมครับ”จากคนที่เคยดูร่าเริง ตอนนี้น้องอ้วนดูซึมๆ ลงไปอย่างเห็นได้ชัด

“มาเริ่มนับศุนย์ใหม่ดูไหม”ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมบอกออกไปแบบนั้น น้องอ้วนเองมองผมด้วยความไม่เข้าใจ เค้าคงยังคลางแคลงว่าผมจะให้เค้าอยู่ในฐานะอะไรกันแน่

“ผมพร้อมเสมอแหละครับ แต่พี่จะพร้อมหรือเปล่า ผมอยากให้พี่ลองทบทวนดีๆ ว่าในที่สุดแล้วพี่จะยอมรับผมในฐานะอย่างที่ผมต้องการได้หรือเปล่า”เรื่องของวันข้างหน้า ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง

“พี่เองก็ไม่รู้หรอกนะว่าถ้าพี่ลองให้โอกาสอ้วนอีกครั้ง แล้วผลจะออกมาแบบไหน สุดท้ายเราสองคนจะเป็นแฟนกัน หรือพี่จะทำให้อ้วนต้องเจ็บ”ผมพูดอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ตัวน้องอ้วนเองเป็นคนตัดสินใจว่าเค้าจะเลือกตัดใจจากผมไปเลย หรือยังจะมาเสี่ยงกับผม

“พี่แฟ้มครับ”น้ำเสียงที่ดูจริงจังของเค้าทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าคนพูด ซึ่งเค้าก็จ้องมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าเค้าเรียกชื่อผมทำไม

“เรื่องที่พี่เคยพูดตอนครั้งที่เราไปเกาะเสม็ดกันนะครับ พี่ยังจำได้ไหม”แล้วมันเรื่องอะไรกันละเนี่ย เรื่องที่พูดคุยกัน มีตั้งหลายเรื่อง ตอนนั้นผมเผลอไปสัญญาอะไรกับเค้าไว้หรือเปล่า

“เรื่องไหนละ”เมื่อคิดไม่ออกผมก็เลยถามกลับไป

“เรื่องพระจันทร์นะครับ”เรื่องพระจันทร์งั้นเหรอ ผมพยายามนึกย้อนไปเมื่อครั้งที่ไปเกาะเสม็ด อ๋อใช่แล้ว

“ที่พี่ถามอ้วนว่า รู้หรือเปล่าว่าทำไมพระจันทร์ถึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวใช่ไหม”เค้าพยักหน้าว่าผมเข้าใจในเรื่องเดียวกับที่เค้าเอ่ยถามแล้ว

“แล้วตกลงมันเพราะอะไรเหรอครับ”ทำไมกันนะทั้งที่คนที่ถามอยู่ตรงหน้าคือน้องอ้วน แต่ผมกลับนึกถึงอีกคนกับคำตอบสำหรับเรื่องนี้

“เพราะการจะอยู่ด้วยกันมันช่างยากเหลือเกิน”ผมตอบออกไปเสียงสั่น เพราะในใจหวนนึกถึงวันเก่าๆ โดยไม่รู้ตัว วันที่ผมยังจำได้ดี ถึงครั้งที่เราตัดสินใจว่าจะไม่เจอกันอีก  ใช่แล้วถ้าผมตัดสินใจว่าจะไม่เจอกันอีก ถ้าผมต้องการตัดอีกคนจากชีวิตจริงๆ ผมก็ควรจะต้องเริ่มใหม่ได้แล้ว

“หมายถึงพี่แฟ้มกับเค้าใช่ไหมครับ”น้ำเสียงหม่นๆ ของน้องอ้วนถามออกมาอย่างขื่นๆ เค้าคงจะพอเดาความหมายในเรื่องของผมออกบ้างแล้ว ผมไม่ได้ตอบเค้าออกไป แต่ในเมื่อไม่ปฏิเสธมันก็เหมือนเป็นการยอมรับกลายๆ นั่นแหละ

“งั้นเรื่องการดูพระอาทิตย์ขึ้นพี่ก็คงมีความทรงจำอะไรกับเค้าอีกเหมือนกันใช่ไหมครับ”

“พี่ไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าพี่ยังตัดเค้าออกจากใจได้ไม่หมด แต่มันก็แค่อดีต อดีตที่พี่ตัดสินใจจะลืมและสักวันพี่ต้องทำให้ได้”ประโยคหลังเหมือนผมบอกกับตัวเองมากกว่า เพื่อเป็นการย้ำเตือนว่าเหตุผลอะไรที่ผมมาอยู่ที่นี่

“พี่รู้ไหมว่าผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าการที่พยายามตัดใจจากใครสักคนมันจะยากเย็นและทรมานขนาดนี้ จนตอนนี้ที่ผมต้องพยายามตัดใจจากพี่ ตอนแรกที่รู้จักพี่ผมก็แค่เห็นว่าพี่เป็นคนที่ดูน่าค้นหา น่าสนใจคนนึง เลยเผลอแอบมองพี่บ่อยๆ มันทำให้ผมได้เห็นบางมุมที่พี่ดูมีความเศร้าบางอย่าง และนั่นมันคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมรู้สึกว่า ผมอยากทำให้พี่หายเศร้า อยากเห็นพี่มีแต่ความสุข ซึ่งผมคิดว่าถ้าให้เลือกระหว่างถอยหลังแล้วเจ็บไปอีกนาน กับเดินหน้าแล้วอาจจะมีความสุขตลอดไป ผมเลือกที่จะเดินหน้าครับ”จากที่เค้าพูดมานี่หมายความว่าเค้ายังอยากจะขอโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์กับผมต่ออย่างงั้นเหรอ

“จริงๆ ผมก็ตั้งใจว่าจะตัดใจจากพี่ แต่คิดดูอีกทีตราบใดที่พี่ยังโสดผมก็มีหวังจริงไหมครับ”ชายหนุ่มฉีกยิ้มกว้าง แม้มันอาจจะไม่ได้ดูเป็นยิ้มที่มีความสุขมากนักก็ตามที

เราพูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่น้องอ้วนจะกลับออกไป โดยที่เราทั้งคู่ตกลงกลับมาอยู่ในสถานะเรียนรู้ศึกษาดูใจกัน ตามที่น้องอ้วนว่าอ่ะนะครับ แม้ผมอาจจะยังไม่รู้ว่าผมจะรักเค้าได้ไหม แต่ครั้งนี้ผมรู้ว่าผมให้โอกาสเค้าอย่างแท้จริง และให้โอกาสตัวผมเองที่จะลองเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน

“ได้ข่าวว่ากำลังจะมีแฟนเด็ก”คำทักทายตามสายโทรศัพท์จากคุณเพื่อนแชมป์ของผม

“ก็แค่ลองดูๆ กันไป ยังไม่ใช้คำว่าแฟน”ผมตอบขำๆ ออกไป

“ตอบยังกะเซเล็ปเลยนะเพื่อนกรู”หลังประโยคนี้ของไอ้แชมป์ทำเอาทั้งผมและมันหลุดขำกันยกใหญ่ แต่ไม่นานผมก็ต้องชะงักเมื่อมีใครคนนึงเดินเข้ามาในร้านผม

“เดี๋ยวกรูโทรกลับนะแชมป์”ผมบอกปลายสายก่อนจะกดวางพร้อมหันมาเผชิญหน้ากับอีกคน



“มาทำไม”พอเห็นหน้าของเค้า คำสัญญาที่ผมให้กับอ้อนไว้มันก็ดังก้องขึ้นมาทันที แต่บางทีได้เคลียร์กันให้มันชัดๆ ไปเลยก็ดีเหมือนกัน

“เล่เลิกกับอ้อนแล้วนะ”เค้าบอกผมด้วยใบหน้าเรียบเฉย ส่วนผมเองไม่ได้รู้สึกดีเลยแม้แต่น้อยที่ได้ยินเรื่องนี้ แต่ความจริงผมก็พอรู้อยู่แล้วว่าเค้าทั้งคู่คงร่วมทางกันต่อไปไม่ได้ แต่ผมยังมองไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมเค้าต้องมาบอกผมถึงที่นี่

“แล้วยังไง”ผมยังคงถามออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เรากลับมาคบกันได้ไหม”นี่เค้าได้ลองคิดทบทวนดูบ้างหรือเปล่ากับสิ่งที่พูดออกมา เค้าคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันง่ายดายไปเสียหมดหรืออย่างไร เมื่อก่อนเค้าแคร์สายตาคนรอบข้าง แล้วตอนนี้ละเค้าไม่คิดจะแคร์ความรู้สึกคนอื่นๆ บ้างเลยหรือ

“กลับไปเถอะ”


ก็ยังคาราคาซังกันต่อกับแฟ้มนะครับ

ก็อดใจรออีกนิด เรื่องราวใกล้จะจบแล้วแหละครับ

ต้องรอดูว่าจะออกมายังไง

ก็ขอบคุณทุกๆ คนที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ

ทั้งคนที่สงสารเห็นใจ หมั่นไส้ เกลียด หรือจะสาปส่ง อิเล่กับแฟ้ม 555

แต่แค่เห็นคนอ่านอิน คนแต่งก็ฟินตัวแตกแล้วคร๊าบบบบ

ส่วนจะจบถูกใจหรือเปล่าก็ต้องรอดู

อย่างที่บอกเรื่องนี้แต่งไว้นานแล้ว แต่ก่อนเอามาลงที่นี่ก็มีปรับเปลี่ยนบ้างเล็กน้อย

ตามอารมย์คนแต่งนี่แหละ 555

คือก่อนจะลงก็อ่านอีกรอบ พออ่านแล้วจุดไหนรู้สึกขัดใจก็แก้ไป แต่ที่แก้ไขก็ไม่เยอะมากยังคงแบบเดิมจากที่เคยแต่งไว้แต่ต้น

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนอีกครั้งที่ติดตามกันมาตลอดนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 25-11-2014 23:17:49
 :katai1:  ทึ้งปลอกหมอน   ค้าง  อยากรู้ว่าแฟ้มจะจัดการยังไง  หนทางสำหรับอนาคตท่าทางจะเคลียร์แล้ว

้เราอินกับเรื่องนี้นะ  เข่้ามารีเฟรชอ่านตอนต่อไปตลอด

อยากให้มีตอนที่มองจากมุมมองของโอเล่จัง อยากรู้ว่าโอเล่คิดยังไง

รักที่มีมาเป็นสิบปีของทั้งโอเล่กับแฟ้มนี่มันยาวนานจริงๆ ถึงจะเป็นรักที่เห็นแก่ตัวและสร้างปัญหาให้คนอิ่นก็เถอะ  ยังไงก็ขอให้จบแบบดีๆถึงไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม (จะโดนด่าไหมเนี่ย ดันชอบไม่เหมือนชาวบ้านเขา) :ling3:

จุ๊บๆ คนเขียนค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 25-11-2014 23:47:52
เพราะการจะอยู่ด้วยกันมันช่างยากเหลือเกิน...

 :sad4:

แต่การลืมใครสักคน มันยากยิ่งกว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 26-11-2014 00:23:26
ดีนะที่แกปฏิเสธ
ถ้ากลับไปคบกับอิเล่ ก็เลวกว่าเดิมอีก กลายเป็นทำร้ายเด็กๆทางอ้อมเลยนะ
ส่วนตอนนี้ไม่อยากให้อ้วนมายุ่งกับแล้ว

อยู่คนเดียวกันไปเถอะนะ อิลเล่ อิแฟ้ม  :เฮ้อ: จนกว่าพวกแกจะเริ่มเอาใจเขามาใส่ใจเรา
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: AMINOKOONG ที่ 26-11-2014 04:50:41
เป็นนิยายเรื่องแรกนะที่เราอ่านแล้วนั่งเฝ้ารอความหายนะของนายเอกกับพระเอก
คือถึงแม้ว่าสองคนนี้จะมีความสุขแต่เราก็ปลื้มปริ่มหรือฟินด้วยไม่ลงกับคนเห็นแก่ตัวทั้งสองคน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 27-11-2014 00:46:27
ไล่กลับไปเลย

อิเล่ย์น่ะ

ไล่ไปไกลๆ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [25-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 27-11-2014 18:22:33
“เรากลับมาคบกันได้ไหม”นี่เค้าได้ลองคิดทบทวนดูบ้างหรือเปล่ากับสิ่งที่พูดออกมา เค้าคิดว่าเรื่องทุกอย่างมันง่ายดายไปเสียหมดหรืออย่างไร เมื่อก่อนเค้าแคร์สายตาคนรอบข้าง แล้วตอนนี้ละเค้าไม่คิดจะแคร์ความรู้สึกคนอื่นๆ บ้างเลยหรือ

“กลับไปเถอะ”

“เล่รู้ว่าการทำแบบนี้มันไม่ควร แต่ทำไมเราต้องฝืนกันอยู่แบบนี้ ในเมื่อเราสองคนก็ยังรักกัน”แค่คำว่ารัก มันไม่เพียงพอหรอก เพราะเราไม่ได้อยู่บนโลกนี้แค่เพียงสองคน ก็อย่างที่อ้อนขอผมไว้ ถ้าผมไม่เห็นแก่ใครเลยก็ควรจะเห็นแก่เด็กน้อยตาดำๆ สองคนที่ไม่สมควรต้องมารับรู้เรื่องราวแบบนี้

และอีกอย่างผมตัดสินใจที่จะเริ่มต้นใหม่แล้ว จากนี้ไปเรื่องราวระหว่างผมกับเค้ามันก็ควรจะจบลงจริงๆ เสียที เราต่างคนต่างมีชีวิตที่มันคงกลับมาบรรจบกันได้ยาก

“เล่ฟังนะ ระหว่างเราสองคนมันมาไกล ไกลเกินกว่าจะกลับไปเหมือนเมื่อก่อนได้อีกแล้ว”ผมพยายามจะอธิบายให้เค้าเข้าใจ ผมไม่รู้หรอกว่าจริงๆ เค้าคิดทบทวนไตร่ตรองมาดีแล้วหรือเปล่า แต่สำหรับผม ผมกลับไปคบกับเค้าอีกไม่ได้แล้วจริงๆ

“ทำไมละแฟ้ม แฟ้มจะบอกว่าไม่ได้รักเล่อีกแล้วงั้นเหรอ หรือแฟ้มมีคนอื่น ไอ้เด็กนั่นเหรอ”

“มันไม่ใช่รักหรือไม่รัก แต่อยากให้เล่ลองคิดดูดีๆ คิดว่าถ้าเรากลับไปคบกันมันจะมีความสุขจริงๆ เหรอ เอาแบบเห็นแก่ตัวเลยนะ ไม่ต้องแคร์สังคม ไม่ต้องแคร์คนอื่น ไม่ต้องคิดว่าใครจะต้องเจ็บปวดหากเราสองคนกลับไปคบกัน ลองคิดดูว่าเราจะมีความสุขไหม”แน่นอนว่าถ้าเหตุผลอย่างคนดีๆ เค้าคิดผมเองควรเห็นแก่ลูกๆ ของเค้าที่ต้องมาไม่เข้าใจในสถานะของผมกับพ่อของพวกเค้า หรือตัวอ้อนที่แม้อ้อนจะบอกว่าไม่ได้โกรธเกลียดผมแล้ว แต่ผมว่าลึกๆ อ้อนเองก็ทำใจไม่ได้หรอกที่จะเห็นผมกลับไปคบกันอย่างเปิดเผยกับอดีตสามีของตัวเอง

“แค่เราสองคนรักกันมันก็น่าจะพอแล้วนิแฟ้ม”

“ความรักที่ทำร้ายคนอื่นนะเหรอถ้าสำหรับเล่มันพอ แต่สำหรับเรา เราทำไม่ได้ ไม่รู้จะมีความสุขได้ยังไง เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าเล่ เราจะเห็นหน้าลูกๆ ของเล่ หน้าของอ้อน ซ้อนขึ้นมาย้ำเตือนเราทุกครั้งว่าเคยได้ทำร้ายพวกเค้าไว้แค่ไหน”ผมพยายามอธิบายด้วยเสียงขื่นๆ เพราะเรื่องราวในอดีตที่เคยผิดพลาดระหว่างผมกับเค้ามันยังวนเวียนย้ำเตือนผมเสมอมา

“แล้วเราต้องทรมานกันอยู่อย่างนี้เหรอ”

“มันก็อาจเป็นผลจากสิ่งที่เราเคยทำ และต้องยอมรับมันแหละมั้ง จากนี้ไปเรื่องระหว่างเราอยากให้มันจบจริงๆ” ผมตัดสินใจบอกออกไป แม้ในใจจะเจ็บ แต่ในเมื่อต้องการให้มันจบผมเองก็ต้องเด็ดขาด

“มันต้องจบแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม”เค้าเอ่ยถามเสียงเบา พร้อมกับดึงตัวผมเข้าไปกอด รู้สึกว่าตัวเค้าสั่นๆ

“เล่อย่าลืมสิเล่ยังมีน้องอั๋นกับน้องอิ๋ง ที่ต้องดูแล ต้องให้ความรักกับพวกแกสองคน ไม่ให้ทั้งคู่รู้สึกว่ามีปมที่พ่อแม่แยกทางกัน พวกแกสองคนต้องโตมาเป็นเด็กดีให้ทั้งเล่และอ้อนภูมิใจ เราสองคนอาจเคยทำเรื่องที่ผิดพลาดอดีตมันอาจแก้ไขไม่ได้ แต่จากนี้ไปเราทำให้มันดีขึ้นได้”ผมสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นที่ไหล่ของผม เค้าร้องไห้ แต่แปลกที่ผมกลับไม่มีน้ำตา

“เล่รักแฟ้มนะ”เค้าบอกพร้อมกับกอดกระชับผมเข้าไปอีก เหมือนพยายามจะให้ผมรับรู้ว่าเค้ารักผมมากขนาดไหน แต่ก็อย่างที่ผมบอก ตอนนี้แค่ความรักสำหรับผมมันคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น

“เล่กลับไปเถอะนะ เราก็โตๆ กันแล้วหวังว่าเล่จะเข้าใจในสิ่งที่เราตัดสินใจนะ”ขอค่อยขืนตัวออกจากเค้า ทำให้เห็นใบหน้าที่ยังมีน้ำตาอาบสองแก้มนั้น”

“นี่คือทางที่ดีที่สุดสำหรับเราสองคนแล้วเหรอ”

“ไม่มีใครตอบได้หรอกว่าทางไหนมันดีที่สุด แต่นี่จะเป็นทางที่เราเลือก จริงๆ เราสองคนก็เลือกแยกจากกันตั้งแต่วันที่เล่จะแต่งงานแล้ว ซึ่งถ้าว่ากันตามตรงวันนี้เราไม่ควรต้องมาคุยเรื่องนี้กันอีกเลยด้วยซ้ำ”ผมบอกออกไปอย่างที่คิด

“ถ้าเล่เพียงแต่จะยอมรับเรื่องระหว่างเราให้ได้เร็วกว่านี้ มันก็คงดีเนอะ”มันก็จริง แต่ในเมื่อมันก็กลายเป็นแค่อดีตไปแล้ว จะมีประโยชน์อะไร

“ไม่หรอก เรื่องนี้เราก็ปล่อยให้มันยุ่งยากด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”ถ้าเพียงแต่ว่าในเมื่อรู้ว่าเค้าเองไม่ชัดเจน แล้วผมยอมถอยออกมาเสียตั้งแต่ต้น เรื่องราวมันคงไม่มาถึงขั้นนี้ หรือจริงๆ จุดเริ่มต้นมันอาจจะมาจากผมเองที่บอกความรู้สึกในใจกับเค้าไป ถ้าวันนั้นผมไม่พูดออกมา ทุกวันนี้เราอาจจะยังเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา อาจจะมีแค่ผมคนเดียวที่อาจจะต้องทนเก็บความรู้สึกไว้ว่าแอบรักเพื่อนสนิท แต่มันก็อาจจะดีกว่าที่เป็นตอนนี้หลายเท่าเลยทีเดียว

“แฟ้มอยากรู้ไหมว่าเล่รักแฟ้มตอนไหน”

“ไม่อยากรู้หรอก เพราะมันไม่สำคัญอีกแล้ว”ใช่แล้วเค้าจะรักผมตอนไหนยังไง รู้ไปตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

“แต่เล่อยากบอก”

“...”ผมเงียบแทนการตอบโต้ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับเค้าอีก ในใจตอนนี้แค่อยากให้เค้าออกไปจากที่นี่ เรื่องราวมันจะได้จบๆ เสียที

“ตอนที่แฟ้มมาบอกว่าชอบเล่ ตอนนั้นเล่ตกใจนะ คือไม่คิดว่าแฟ้มจะมาคิดอะไรแบบนี้กับเล่”เค้าพูดยิ้มๆ พร้อมกับหันมามองผม แต่ผมก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปว่ารู้สึกยังไง

“แต่ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าไม่อยากเห็นแฟ้มเศร้า เลยตัดสินใจว่าจะลองคบกันดู ทั้งที่ในใจก็ไม่ได้คิดว่าเล่จะรักแฟ้มแบบคนรักได้เลย จนเรื่องราวมันเลยมาถึงเรามีอะไรกัน ตอนนั้นเล่เองก็เห็นมันเป็นแค่ความสุขอย่างนึง เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่”ยิ่งฟังเค้ามันยิ่งทำให้ผมสมเพชตัวเอง ว่าเรื่องราวที่มันเกิดขึ้นทั้งหมด มันก็เริ่มจากผมนี่แหละ ตัวเค้าเองก็เหมือนเล่นมาตามเกมๆ นึงที่ผมเป็นคนเริ่มและทำให้เค้าตกกระไดพลอยโจนมาด้วย

“พอเถอะ อย่าเล่าต่อเลย”ผมบอกเสียงเรียบ

“เดี๋ยวสิ ฟังต่ออีกหน่อย”แต่ดูเหมือนเค้าจะไม่ได้สนใจในคำพูดของผม

“จนตอนที่แฟ้ม ย้ายของหนีออกไปไง ตอนนั้นเล่ถึงรู้สึกว่า ไม่อยากให้แฟ้มห่างไป อยากอยู่ด้วยกันทุกวัน อยากทำให้แฟ้มมีความสุข แต่เล่ก็ทำไม่ได้ และคงไม่มีโอกาสได้ทำมันอีกแล้ว”น้ำเสียงเค้าหม่นลงอีกครั้ง แต่น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เค้าเล่าเลย มันอาจจะเพราะเรื่องราวเหล่านี้มันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้ จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้

เพราะในเมื่อเรื่องราวมันเดินมาจนถึงตอนนี้ ยังเสียเราทั้งคู่ก็สร้างบาดแผลใหญ่ให้กับอ้อนไปแล้ว ซึ่งมันยังพ่วงมาถึงลูกๆ ของเค้าอีกด้วย ก็ได้แต่หวังว่าจากนี้เราจะช่วยทำให้มันดีขึ้นบ้าง และทางที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นการที่เราต่างฝ่ายต่างต้องแยกกันให้ห่าง และไปมีชีวิตของใครของมันอย่างชัดเจนเสียที

“จบแล้วใช่ไหม”ผมเอ่ยออกไปเสียงเรียบ

“ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราสองคนจะมาคุยเรื่องนี้กันนะ เรื่องระหว่างเราให้มันจบที่วันนี้จริงๆ เราต่างมีสิ่งที่ต้องทำ ก็ควรดำเนินชีวิตไปในแบบที่มันควรจะเป็น ลาก่อนนะ”ผมปิดท้ายเป็นเชิงเตือนว่าเค้าควรจะกลับไปเสียที

“ขอกอดอีกทีนะ”โดยไม่รอคำอนุญาตจากผม อ้อมแขนนั้นก็กอดกระชับผมเข้าอีกรอบ ไม่มีคำพูดใดๆ จากเราสองคนอีก ผมทำเพียงแค่กอดตอบเค้าเช่นเดียวกัน ระหว่างเราสองคนที่เริ่มจากการเป็นเพื่อน เป็นแฟน เป็นคนรัก เป็นพวกเห็นแก่ตัว แต่จากนี้ไปมันก็คงเหลือแค่ความทรงจำดี อันไหนที่เป็นเรื่องดีผมก็คงเก็บไว้ ส่วนอะไรที่ร้ายๆ ก็คงถือเป็นบทเรียนให้ไม่ทำผิดพลาดอีก





“แล้วมรึงพร้อมจะเริ่มใหม่แล้วจริงๆ เหรอ”เป็นคำถามจากไอ้แชมป์หลังจากฟังผมเล่าทั้งเรื่องของโอเล่และเรื่องของน้องอ้วน



แวะมาต่อคร๊าบบบบบ

อีกนิดนึงก็จะจบแล้วนะครับ

ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตลอดครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 27-11-2014 20:38:35
รอตอนจบละกันนะ หล่อนทำถูกแล้วแฟ้ม
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: broke-back ที่ 27-11-2014 20:50:39
 :hao5:

สองผึ้งหนุ่ม ซุ่มชิน บินเคียงคู่
หนึ่งผึ้งรู้ รักแน่ ไม่แปรผัน
แต่อีกหนึ่ง ผึ้งรู้ ไม่เท่ากัน
หลบเลี่ยงหัน เหหัก ไม่พักพอ

บินไปเจอ ผีเสื้อ เชื้อแสนสวย
แถมยังรวย เสน่ห์นัก จึงรักขอ
บินเป็นคู่ ชู้ชื่นใจ ให้ผึ้งรอ
กลายเป็นรัก สามเส้าต่อ ขอไปที

ระหว่างเรา เขาเธอฉัน พลันจึงแย่
ระหว่างเรา ทุกคนแพ้ ต้องแห่หนี
ระหว่างเรา ควรจบลง ปลงซะที
ระหว่างเรา พอแค่นี้ หนี้กรรมเวร

End of Loves
 :mew2:
ขอบคุณ..คนแต่ง

ซาบซึ้งมาก
บวกเป็ด และ 1 ให้เลย
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 27-11-2014 21:11:34
คำถามของแชมป์ตรงประเด็นมากๆ  แต่แฟ้มทำดีแล้วคือนี่คือการกระทำที่ใคร่ครวญที่สุดแล้วที่จะไม่กระทบคนอึ่นๆ

จากนี้แฟ้มก็น่าจะเริ่มต้นใหม่ได้ถ้าหากว่าน้องอ้วนโอเคนะ   โอเล่เองก็เริ่มต้นใหม่ได้กับคนใหม่และเรียนรู้จากประสบการณ์ อาจจะเริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงคนใหม่ได้เพราะว่าเรื่องคาราคาซังระหว่างตัวเองกับแฟ้มจบแล้ว  ความเป็นเกย์ของโอเล่อาจจะเริ่มและจบที่แฟ้ม ไม่ก็คราวต่อไปก็ออกตัวไปเลยว่าเป็นเกย์ (ซึ่งก็ไม่น่าใช่เพราะว่าอิเล่ไม่ได้ไปมีอะไรกับผู้ชายคนอิ่นนอกจากแฟ้ม)

รอตอนต่อไป ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 27-11-2014 21:54:30
อยู่ต่อไปนะเล่
มันต้องมีสักวัน สักคน สักสิ่ง
ที่ทำให้ชีวิตกลับมากระชุ่มกระชวยได้อย่างแท้จริง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 27-11-2014 22:15:22
สู้ๆ นะแฟ้ม ไหนๆ ก็ตัดสินใจไปแล้ว ทำให้ได้นะ

ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้าเนอะ

(ชูป้ายไฟน้องอ้วนต่อไป 5555)
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 27-11-2014 22:55:35
ช่างแก้ตัวนะอิเล่ รู้ว่ารักแฟ้มตอนแฟ้มมันหนี
แต่พอหลังจากแฟ้มหนีแกก็ยังคบกับอ้อน พูดตรงๆไม่เชื่อออออออออออออออออ  :m31:
สเตอเบอรี่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: โชติกา บุญเติม ที่ 28-11-2014 00:46:50
 :katai2-1: เยื่อมมากแฟ้มอย่าไปสนอิเล่มัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [27-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 28-11-2014 12:12:53
“แล้วมรึงพร้อมจะเริ่มใหม่แล้วจริงๆ เหรอ”เป็นคำถามจากไอ้แชมป์หลังจากฟังผมเล่าทั้งเรื่องของโอเล่และเรื่องของน้องอ้วน

“อ้าวก็ไหนมรึงเชียร์น้องอ้วนให้กรูอยู่ไม่ใช่รึไง”

“มันก็ใช่ แต่ก็ถามดูให้แน่ใจ ว่ามรึงคิดดีแล้วจริงๆ เห็นเด็กมันจริงจังก็อยากให้มันสมหวัง”นี่ตกลงมันห่วงน้องอ้วนมากกว่าเพื่อนอย่างผมแล้วใช่ไหมเนี่ย

“อายุอานามกรูก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว นี่อาจจะเป็นรถด่วนขบวนสุดท้าย จะคิดนานทำไม อีกอย่างนี่คือการเรียนรู้ศึกษาดูใจกัน ถ้าเกิดวันนึงมันไม่น่าจะไปกันได้จริงๆ ก็คงต้องแยกย้ายกันไป เรื่องนี้กรูตกลงกับน้องอ้วนแล้ว”ใช่แล้วครับวันข้างหน้ามันไม่มีใครรู้หรอกว่าจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ผมก็อยากจะลองเปิดใจดูสักครั้ง ว่าระหว่างผมกับนายน้องอ้วนเนี่ยมันจะเป็นไปได้หรือเปล่า

ไอ้แชมป์วางสายไปแล้วแต่ผมก็ยังคงทบทวนกับตัวเอง ว่าผมตัดสินใจถูกหรือเปล่ากับเรื่องของนายน้องอ้วน ผมไม่แน่ใจว่าวันนึงผมจะรักเค้าได้ไหม และผมก็ไม่ปฏิเสธว่าในใจยังตัดอีกคนได้ไม่หมด แต่ในเมื่อผมไม่คิดจะกลับไปคบกับเค้าอีกแล้วผมก็ควรจะเริ่มใหม่


 “พี่แฟ้มคร๊าบบบบบ”ตายยากเหลือเกินพ่อคุณ เพิ่งพูดถึงหยกๆ ก็โผล่มาเลย

“ว่ายังไงคร๊าบบบบ น้องอ้วนนนนน”ผมแกล้งทำเสียงล้อเลียนเค้าด้วยความหมั่นไส้

“มาชวนไปทานข้าวคร๊าบบบบบ”นายน้องอ้วนก็ยังเป็นนายน้องอ้วนเหมือนเดิม จนผมอดคิดไม่ได้ว่าจริงๆ ไม่ควรให้น้องมันมาเสียเวลากับผม เพราะบางทีคนอย่างผมอาจจะเหมาะที่ต้องอยู่คนเดียวเสียมากกว่า ในเมื่อเราเองยังมีคนอื่นติดค้างอยู่ในใจ มันก็อาจจะดูไม่แฟร์กับอีกคนที่เข้ามาหาเรา ผมเองก็คิดเรื่องนี้วกไปวนมาหลายรอบอยู่เหมือนกัน

“ใกล้จะเปิดเทอมอยู่แล้ว เพื่อนๆ ยังไม่กลับมากันเหรอ ถึงยังต้องมาชวนพี่กินข้าวด้วยนิ”จริงๆ นี่ก็ใกล้วันเปิดเทอมแล้ว คิดว่าน้องๆ นักศึกษาคงเริ่มทยอยกันกลับมาอยู่หอกันแล้ว แต่ยกเว้นแม่น้องสาวผมนะครับ รายนั้นคงมาแบบเปิดเรียนวันไหนมาวันนั้น

“ก็มีเพื่อนมาบ้างแล้วครับ แต่อยากทานพี่แฟ้ม เอ๊ย อยากทานกับพี่แฟ้มมากกว่า”ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างปลงๆ ให้กับเค้า นี่ผมว่าถ้าเค้าไปจีบคนอื่น เค้าอาจจะมีความสุขสมหวังไปแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลากับผมแบบนี้

“แล้วอยากกินอะไร”ผมถามกลับอย่างไม่ได้จริงจังนัก

“อะไรก็ได้ ให้พี่แฟ้มเลือกเลย ผมรู้ว่าพี่ทานแต่ของอร่อยๆ แต่จริงๆ ตัวผมก็อร่อยนะ พี่แฟ้มจะลองกินไหมครับ”โอ๊ยไอ้เด็กลามก นี่ทุกประโยคมันต้องวนมาเรื่องนี้ให้ได้เลยรึไง

“ทะลึ่ง เดี๋ยวไม่ไปกินด้วยเลยนิ”ต้องปรามๆ ไว้บ้างครับ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่ พูดจามาแต่ละอย่างดูเอาเถอะครับ

ก็เป็นอันว่าเราเลือกทานอะไรง่ายๆ อย่างก๋วยเตี๋ยว เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวต้มยำ เจ้าอร่อยของผมเลยแหละ แต่อยู่ค่อนข้างไกลจากร้านผม ช่วงนี้เลยไม่ค่อยได้กิน วันนี้เลยกะมากินให้หายอยากเสียหน่อย

“ทำไมพี่แฟ้มชอบกินเส้นหมี่ครับ”พอถึงร้านพ่อยอดชายนายน้องอ้วนก็มีคำถามอีกจนได้ครับ การแค่เลือกเส้นก๋วยเตี๋ยวนี่มันต้องมีเหตุผลอะไรมากมายด้วยเหรอ

“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ”ผมตอบอย่างขอไปที

“แต่เท่าที่ผมจำได้ เวลาสั่งก๋วยเตี๋ยวพี่สั่งเส้นหมี่ตลอดเลย”นี่ทำวิจัยชีวิตผมมารึไงเนี่ย รู้ลึกรู้จริงเกินไปแล้วพ่อคุณ

“ก็พี่เป็นคนกินช้า ถ้าเป็นเส้นเล็กมันจะอืด ไม่อร่อย แต่เส้นหมี่มันไม่อืดนิ กินช้าก็ไม่เป็นไร”จริงๆ ผมก็กินได้หมดทุกเส้นทุกแบบแหละครับ แต่ถ้าจะหาเหตุผลให้ตัวเองก็คงเป็นเหตุผลนี้

“แค่นี้เองเหรอครับ”นายน้องอ้วนทำท่าเหมือนจะไม่เชื่อ

“ก็แล้วจะให้มีอะไรอีก แล้วอ้วนล่ะทำไมสั่งเส้นใหญ่”ไหนขอฟังเหตุผลของเค้าหน่อยสิว่ามันจะมีอะไรพิเศษขนาดไหนเชียว

“ก็เส้นใหญ่มันให้ความรู้สึก แข็งแกร่ง เป็นผู้นำ ดูแลคนอื่นได้ไงครับ”

“มันขนาดนั้นเลยเหรอ”ผมแทบจะอดหัวเราะกับเหตุผลของเค้าไม่ได้ มันจะมีใครมาสนใจวิเคราะห์คนจากการกินก๋วยเตี๋ยวเนี่ย

“ใช่แล้วพี่ อย่างเส้นหมี่ของพี่นะ มันก็จะให้อารมณ์แบบ คนที่น่าดูแลทนุถนอม อะไรแบบนี้ไง”

“ใครบอกมาเนี่ย”ชักจะไปกันใหญ่ครับ เพราะเวลากินก๋วยเตี๋ยวบางคนก็สั่งสลับกันทั้งนั้นแหละบางที เส้นเล็ก เส็นหมี่ เส้นใหญ่ มันจะไปมีตำราไหนมาทายบุคลิกจากการทานก๋วยเตี๋ยวเนี่ย

“ผมคิดขึ้นมาเองแหละพี่”นั่นไง ดูเจ้าตัวจะภูมิใจเสียด้วย ยิ้มใหญ่เชียว แต่ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอาเลยครับ

“นี่ก็เทอมสุดท้ายแล้ว หลังจากเรียนจบวางแผนไว้ยังไงบ้างล่ะหือ”ผมเปลี่ยนเรื่องชวนคุย เพราะถ้าปล่อยให้เค้าเป็นคนเลือกบทสนทนา ผมคงต้องกุมขมับ แถมคงต้องได้ฟังเรื่องราววกวนไปเกี่ยวกับเรื่องใต้สะดืออีกแน่ๆ

“ยังไม่ได้คิดเลยพี่”เค้าตอบกลับมาอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก

“คิดได้แล้ว”ผมบอกออกไปด้วยน้ำเสียง เชิงตำหนินิดหน่อย เพราะเทอมสุดท้าย มันก็เหลืออีกไม่กี่เดือนของชีวิตมหาวิทยาลัยแล้ว อาจจะไม่ต้องถึงขนาดว่าจะให้วางแผนอะไรที่จริงจัง แต่ควรจะคิดๆ ไว้บ้างว่าอยากจะทำอะไรต่อ ไม่ว่าจะเรียนต่อ หรือทำงานให้ตรงตามที่ร่ำเรียนมา คือก็อยากให้เค้าลองๆ คิดไว้หน่อย เพราะอย่างเฟิร์นน้องสาวผมเอง ก็เคยคุยๆ แล้วผมว่าอยากให้น้องเรียนต่อ แต่เจ้าตัวอยากลองทำงานก่อน

“จริงๆ ผมก็อยากทำงานเลยแหละครับ จะได้เก็บตังค์สร้างเนื้อสร้างตัว รีบมาขอพี่แฟ้ม”นั่นไง ยังไม่วายวนมาเรื่องนี้อีกจนได้

“แล้วคิดจะเรียนต่อด้วยไหม”จริงๆ ที่ถามเพราะรู้สึกว่าทุกวันนี้ถ้าเรายังสามารถที่จะเรียนในระดับที่สูงขึ้นไปอีก มันน่าจะเป็นการเพิ่มมูลค่าของตัวเอง อันนี้ในมุมมองของผมนะ แต่แม่น้องสาวผมบอกว่า ทำงานไปสักพักแต่งงานก็คงต้องออกมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก ไม่เรียนดีกว่า ดูความคิดน้องผม

“จริงๆ ที่บ้านผมก็อยากให้เรียนต่อเลยแหละครับ แต่ผมอยากทำงานหาเงินเรียนเองมากกว่า จะได้ให้พี่แฟ้มเห็นด้วยว่าผมเป็นผู้ใหญ่ ไม่อยากให้พี่มองผมเป็นเด็กที่ยังขอตังค์พ่อแม่ใช้”โห แล้วผมเกี่ยวอะไรกับชีวิตเค้าละเนี่ย

“พี่จะไปคิดแบบนั้นทำไม จริงๆ พี่ว่าเรียนต่อเลยก็ดี มันจะได้ต่อเนื่อง บางทีถ้าเว้นช่วงไป กว่าจะปรับโหมดมาเรียนมันจะต่อลำบาก แต่ก็แล้วแต่อ้วนแหละ ยังพอมีเวลาคิด ตัดสินใจอีกหลายเดือนอยู่”ผมก็แค่เกริ่นๆ มาไม่ได้คิดว่าจะให้น้องมันเอาผมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจในชีวิตน้องเค้า

“พี่แฟ้มครับ ถ้าผมเรียนจบ ผมขอคำตอบจากพี่ได้ไหมครับ”อยู่ๆ ก็ปรับโหมดมาเสียจริงจังจนผมแทบจะปรับตามไม่ทันกันเลยทีเดียว

“คำตอบ???”แม้จะพอรู้ว่าเค้าหมายถึงเรื่องอะไร แต่ก็ไม่อยากจะเข้าใจผิดเลยต้องย้ำให้มันชัดเจน

“พอเรียนจบ พี่ช่วยบอกผมด้วยนะครับว่า ผมควรหยุดหรือเดินหน้าต่อไปในเรื่องความสัมพันธ์ของเราสองคน”





แวะมาต่อและขอบคุณทุกคนอีกครั้งคร๊าบ

ขอบคุณที่ตามอ่านกันมา เห็นคนอ่านอิน คนเขียนก็ฟิน o13

หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [28-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 28-11-2014 12:43:09
 :katai2-1: ปรบมือค่ะ ปรบมือ  แฟ้มขา คุณแม่ปลึ้มมาก  ในที่สุดหนูก็คิดตกได้แล้วนะคะ  เลือกสิ่งที่ดีให้ตัวเอง

น้องอ้วนมีการเตรียมตัวมาดี  อนาคตรุ่งค่ะ

จุ๊บๆคนเขียน  :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [28-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IsDeer ที่ 29-11-2014 22:43:38
ทำไมในใจไม่ค่อยอยากให้อ้วนต้องมาลงเอยกับแฟ้ม(ตอนนี้)เลย อยากให้ไปเจอคนอื่นมากกว่า
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? [28-11-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-12-2014 22:36:43
“แล้วเรายังจะอยู่ที่นั่นต่อหรือเปล่าละลูก”คำถามจากแม่ทำให้ผมต้องคิดหนักเหมือนกัน แม้จริงๆ จะคิดทบทวนมาบ้างแล้วก็เถอะ กับการที่ผมจะยังทำกิจการที่นี่ต่อหลังจากเฟิร์นเรียนจบ หรือผมจะย้ายกลับไปอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพ

คือผมก็ได้คุยเรื่องนี้กับที่บ้านไปหลายรอบแล้วละครับ ทุกครั้งทั้งพ่อและแม่ก็จะบอกแล้วแต่ผม แต่ลึกๆ ผมก็รู้แหละว่าพวกท่านอยากให้ผมกลับไปอยู่ด้วย เพราะนี่ผมก็ปล่อยพวกท่านอยู่กันสองคนมาหลายปีแล้ว อีกอย่างเฟิร์นเองยังไงสักวันก็ต้องแต่งงานออกไปอยู่กับไอ้แชมป์แน่ๆ จริงๆ ก็เคยพูดเล่นๆ กับไอ้แชมป์นะครับว่าให้แต่งเข้าบ้านผม แต่มันดันด่าผมว่าทำไมผมไม่กลับไปอยู่ดูแลพวกท่าน

“ก็คงเคลียร์อะไรอีกสักพัก อาจจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเราแหละมั้งครับ”ผมเอ่อยออกไปในที่สุด คิดว่ามันน่าจะเป็นทางที่พ่อกับแม่ผมต้องการ แม้ผมจะไม่ใช่ลูกที่ดีนัก แต่ในเมื่อยังพอมีอะไรที่ผมทำให้พวกท่านได้ ได้กลับไปดูแลพวกท่านมันก็น่าจะดีกว่าการอยู่ห่างๆ กันแบบนี้

“ก็ดีลูก ถ้าอยากทำร้านต่อก็ลองมาดูที่ทางแถวๆ บ้านเราดู หรืออยากทำอะไรก็มาทำแถวนี้เนอะ น้องก็จบแล้วแม่ก็ไม่อยากให้อยู่ที่นั่นคนเดียว”คิดๆ แล้วก็น่าใจหายเหมือนกันนะครับ อยู่มาตั้งหลายปี พอจะต้องย้ายมันก็ใจหวิวๆ เหมือนกัน

ผมคุยกับแม่อีกนิดหน่อย ก่อนจะดับเครื่องลงจากรถ วันนี้ผมนัดกับไอ้แชมป์ เฟิร์นแล้วก็นายน้องอ้วน มาฉลองสอบเสร็จให้กับนักศึกษาปีสุดท้าย ที่ตอนนี้ก็แทบจะเรียกว่าเรียนจบแล้วแหละมั้ง เพราะวันนี้เป็นวันพรีเซนต์โปรเจคจบของทั้งคู่ ถือว่าเป็นวิชาสุดท้าย แม้ผลสอบ เกรดจะยังออกไม่หมดทุกวิชา แต่จากผลการเรียนของทั้งคู่ก็ไม่น่าจะเป็นห่วง

“น้องๆ ยังไม่มาเหรอ”ผมเอ่ยถามไอ้แชมป์ที่นั่งอยู่คนเดียว เพราะนี่ก็น่าจะเวลานัดแล้วแต่อีกสองคนยังไม่มา

“ใกล้แล้วละ เห็นเฟิร์นว่างั้นนะ”ผมพยักหน้าก่อนจะนั่งลงที่ตรงข้ามกับไอ้แชมป์

“กรูเพิ่งคุยกับแม่ว่าจะกลับไปอยู่กรุงเทพ”ผมเปิดบทสนทนา ที่เคยปรึกษามันไว้เมื่อครั้งก่อน

“ก็ดีแล้ว จะได้ไม่ลำบากพ่อกับแม่มรึง นี่เป็นลูกแต่ให้พ่อแม่เป็นคนต้องมาหา หัดเป็นลูกที่ดีแบบนี้ค่อยน่าคบหน่อย”ไอ้แชมป์พูดสบายๆ อย่างไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก คงเพราะพอจะเดาได้อยู่แล้วว่าผมจะตัดสินใจแบบนี้

“แล้วนี่เรื่องมรึงกับน้องอ้วนสรุปจะยังไง เห็นน้องมันว่าวันนี้จะขอคำตอบจากมรึงแล้ว”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมคิดยังไม่ตกเท่าไหร่ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบไอ้แชมป์ เพราะเฟิร์นกับน้องอ้วนมาถึงพอดี

“โล่งเป็นที่สุด”แม่น้องสาวผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ทันทีที่นั่งลง

“อ้วนละเป็นไงบ้าง”ผมเอ่ยถามอีกคนที่นั่งลงข้างผม

“ก็ดีครับ”ดูไม่ค่อยร่าเริงแบบนี้ สงสัยคงทำได้ไม่ดีเท่าไหร่

“เอ้า ทานข้าวกันก่อน วันนี้ป๋าแชมป์กับป๋าแฟ้มเลี้ยงเต็มที่”ไอ้แชมป์ตัดบทสนทนาด้วยการชวนทุกคนทานข้าว แต่ผมรู้สึกว่าตอนนี้ทุกคนดูเกร็งๆ กันยังไงบอกไม่ถูก ซึ่งคาดว่าน่าจะมากจากเรื่องของผมกับนายน้องอ้วนนี่แหละ เพราะทั้งไอ้แชมป์ทั้งเฟิร์นเองก็มักจะถามผมอยู่บ่อยๆ ว่าตกลงผมจะคบน้องอ้วนต่อไปในฐานะอะไร ส่วนนายน้องอ้วนเอง แม้จะได้พูดถึงเรื่องนี้บ่อย แต่วันนี้ก่อนมาเค้าก็โทรย้ำเตือนผมว่า วันนี้เค้าอยากจะฟังคำตอบจากผม

ก็ดูทุกคนพยายามให้บรรยาการศมันดูปกติขึ้น รวมทั้งผมเองด้วย ก็ทานกันจนอิ่มแปล้ แล้วไอ้แชมป์กับเฟิร์นก็ขอปลีกตัวออกไป แม้จะอ้างเหตุผลข้างๆ คูๆ ที่ดูยังไงก็ฟังไม่ขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงเพราะผมเองก็อยากจะคุยเรื่องนี้กับนายน้องอ้วนเพียงลำพังเช่นกัน เรื่องราวที่ผมคิดทบทวนมาตลอดหลายเดือนนี้

“วันนี้ทำไมกลายเป็นคนเงียบๆ ซะละ”ผมเอ่ยแซวขำๆให้กับหนุ่มรุ่นน้อง เพราะปกติเค้าจะมีเรื่องพูดที่แอบหยอดผมได้ตลอด แต่วันนี้กลับดูเงียบขรึมผิดปกติ

“พี่แฟ้มบอกผมมาเถอะครับ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงผมก็ยินดีรับมัน”พอได้ยินเค้าพูดแบบนี้กลับกลายเป็นผมเสียเองที่พูดไม่ออก ผมรู้สึกดีที่มีเค้าเข้ามาป่วนในชีวิต แต่มันก็ไม่มากพอที่ผมจะคบกับเค้าในฐานะคนรัก แม้จะไม่อยากให้เค้าต้องเจ็บ แต่บางทีจบเรื่องนี้เสียแต่ตอนนี้มันอาจจะดีกว่า

“พี่ให้อ้วนได้แค่น้องชายจริงๆ”ผมตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด แต่ดูเค้าก็ไม่ได้มีทีท่าแปลกใจกับคำตอบของผม

“ผมก็คิดไว้อยู่แล้วแหละครับ แม้จะแอบหวังอยู่ลึกๆ แต่ที่ผ่านมาผมก็พอจะเดาได้ แม้จะพยายามทำเหมือนไม่รู้ว่าจริงๆ ในใจพี่ยังตัดใครบางคนออกไปไม่หมด”น้ำเสียงเศร้าๆ นั้นทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปกุมมือเค้าเอาไว้

“มันไม่ใช่แบบนั้นหรอกอ้วน”แม้มันจะจริงที่ว่าผมตัดใครบางคนออกจากใจได้ไม่หมด แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมตัดสินใจแบบนี้

“ผมเข้าใจครับพี่ เรื่องของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้หรอก บางทีพอรักใครไปแล้วทั้งใจมันก็ยากที่จะมีใครเข้ามาแทนที่”

“พี่ขอโทษ”พอเห็นเค้าเศร้าผมก็ยิ่งรู้สึกผิด ผิดที่เคยให้ความหวังเค้า แต่สุดท้ายก็ทำลายมันลง

“พี่ไม่ผิดจะมาขอโทษผมทำไมละครับ จริงๆ ตอนแรกผมกะว่าถ้าพี่ปฏิเสธผม ผมจะยืดเวลาให้ตัวเองด้วยการเรียนต่อ แล้วใช้เป็นข้ออ้างว่าจะรอคำตอบจากพี่ตอนที่เรียนจบ แต่ในเมื่อยังไงผมก็ไม่มีหวังแล้ว ก็ควรหยุดมันเสียตอนนี้จริงไหมครับ”

“สักวันอ้วนต้องเจอคนที่ดีกว่าพี่แน่นอนเชื่อสิ”ใช่แล้ว จริงๆ ผมควรปล่อยให้เค้าไปเจอคนอื่นตั้งนานแล้ว ไม่ควรให้เค้ามาเสียเวลากับผมอยู่อย่างนี้

“ผมขอตัวก่อนนะครับ”เค้าบอกกับผมก่อนนะรีบลุกออกไปเลย ก็ได้แต่หวังว่าเค้าจะไม่คิดมากจนเกินไป ผมยังอยากที่จะเป็นพี่ชายของเค้าอยู่ แต่ก็พอรู้ว่าต้องให้เวลากับเค้า


จากวันนั้นนายน้องอ้วนก็หายไป ผมก็โดนทั้งไอ้แชมป์ทั้งเฟิร์น หาว่าเป็นคนใจร้าย ทำกับนายน้องอ้วนได้ลงคอ แต่ผมก็อธิบายเหตุผลของผมไป ว่าในเมื่อผมรักน้องเค้าไม่ได้จริงๆ แล้วจะให้ฝืนคบกันเหรอ มันก็จะดูใจร้ายกับน้องเค้าเกินไป

ส่วนร้านผมตอนนี้ก็เหมือนจะเป็นการปิดอย่างถาวรแล้วละครับ เพราะนี่น้องๆนักศึกษาสอบกันเสร็จก็ปิดเทอมใหญ่กัน ผมก็เลยถือโอกาสปิดยาวเลยแล้วกัน ก็กะว่าค่อยกลับไปเคลียร์ของอีกที วันนี้ผมอยู่ที่กรุงเทพแล้ว แม่น้องสาวก็วุ่นๆ กับการหางานทำ ส่วนน้องอ้วนก็เห็นเฟิร์นบอกว่าน้องเค้าเตรียมจะไปเรียนต่อที่เมืองนอก ก็ได้แต่หวังว่าน้องเค้าจะโอเคขึ้นแล้ว แล้วไปตั้งใจเรียนจริงๆ

“ถึงรึยังไอ้แฟ้ม”ทันทีที่ผมกดรับโทรศัพท์ อีกเสียงที่บ่งบอกว่าไม่ค่อยจะพอใจก็ตะโกนมาตามสายทันที ผมนัดกับไอ้แชมป์ มานั่งที่ลานเบียร์แก้เบื่อครับ

“กำลังจ่ายตังค์แทกซี่เนี่ย อีกห้านาทีมรึงนั่งแถวไหน”ผมรีบจ่ายเงินพี่คนขับ วันนี้ทั้งผมและไอ้แชมป์ไม่ได้เอารถมาทั้งคู่ ถือคติว่าเมาไม่ขับ และหลังจากรู้ว่าไอ้แชมป์อยู่ตรงไหนผมก็รีบเดินไปตามทาง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อสายตาไปประสานกับใครคนนึงที่อยู่ห่างออกไป

ผมหยุด ตัวเค้าเองก็หยุด แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มส่งมาที่ผม ผมก็ทำเพียงแค่ยิ้มตอบ ผมเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ารู้สึกยังไงที่เจอเค้า ระหว่างเรามันก็คงยังต้องมีระยะห่างอย่างนี้ตลอดไปแหละมั้ง แม้ผมจะไม่ปฏิเสธว่าผมยังรักเค้า แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเข้าไปหาเค้ามากกว่านี้ ผมเริ่มก้าวเดินแต่เป็นการเดินเลี่ยงไปอีกทาง และไม่ได้มองกลับไปดูอีก จนเจอกับไอ้แชมป์ที่โบกมือเรียกผม

“เป็นไรว่ะทำหน้ายังกะเจอผีมางั้นแหละ”ไอ้แชมป์เอ่ยทักเมื่อเห็นท่าทีแปลกๆ ของผม

“กรูเจอโอเล่”ไอ้แชมป์ทำตาโต

“แล้ว”

“ก็ไม่ยังไง แค่ยิ้มให้แล้วก็เดินมานี่”ผมตอบออกไปตามความจริง

“มรึงรู้ไหมบางทีกรูก็คิดนะ ว่าอยากให้มรึงกลับไปคบกับโอเล่มันให้รู้แล้วรู้รอดไป”ไอ้แชมป์ยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างไม่ได้จริงจังกับคำพูดที่บอกกับผมสักเท่าไหร่

“ทำไมว่ะ”

“ก็อยากเห็นมรึงมีความสุขไง”ก็พอเข้าใจนะครับว่าไอ้แชมป์มันเป็นเพื่อนที่หวังดีกับผมเสมอมา ส่วนบทสนทนาตอนนี้ก็พอรู้ว่ามันไม่ได้จริงจังหรอก

“กลับไปคบกันมันก็ไม่แน่เสมอไปหรอกว่าจะมีความสุข”

“แล้วไม่คิดอยากเปิดใจให้ใครใหม่บ้างเหรอ”วกไปวนมาก็จะมาเรื่องนี้อีกจนได้

“ชีวิตกรูอาจจะเหมาะกับการไม่มีคู่ก็ได้มั้ง อยู่แบบนี้ก็ดีแล้วแหละ แค่ครั้งนึงกรูเคยได้มีความรักมันก็โอเคแล้ว แม้มันจะเป็นความรักที่แปลกๆ หน่อยก็เหอะ จากนี้ไปกรูก็คงต้องเดินต่อไป อยู่กับพ่อกับแม่ กับเฟิร์น กับมรึงด้วย แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว”ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นชนกับไอ้แชมป์พร้อมยิ้มอย่างจริงใจ ผมว่าผมเลือกทางที่ดีที่สุดแล้ว และผมก็มีความสุขในแบบของผมได้ โอเล่ก็จะยังอยู่ในใจผม แค่ให้ได้รู้ว่าครั้งนึงเราเคยรักกันแค่นั้นมันก็พอแล้ว

End
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-12-2014 22:39:55
จบแล้วนะครับ

และคงไม่มีตอนพิเศษอะไรเพิ่มเติม เพราะคนแต่งขี้เกียจ 555

ก็ขอบใจทุกๆ คนที่ติดตามกันมาตลอด ชอบไม่ชอบยังไงก็ บอกได้เลยนะคร๊าบบ

แล้วเดี๋ยวจะลงเรื่องใหม่ต่อ ก็ฝากแวะช่วยให้กำลังใจด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Freja ที่ 03-12-2014 22:55:04
อ้างถึง
“ถึงรึยังไอ้ตี๊ฟ”
หมายถึงแฟ้มหรือเปล่าคะ?

อึอม์   เป็นการจบแบบที่ไม่ได้กะไว้  แต่เปิดให้คนอ่านมโนเอาเองได้ (ไปโน่นเลย)

คิดมาตลอดว่าแฟ้มจะเลึอกทางใดทางหนึ่ง แต่ก็โอเคที่แฟ้มเลึอกเส้นทางที่สาม ตราบใดที่แฟ้มมีความสุขนะลูก

ขาดไม่ได้คือโอเล่ เมนท์ถึงมันมาตลอด ก็ลงตัวไปสักทีนะเอ็ง  ไม่แน่ว่าถ้าวันไหนสะดุ้งตึ่นจากฝันแล้วอาจจะหันมาตามแฟ้มอีกรอบก็ได้  คุณแม่คนอ่านมโนได้ตลอดค่ะ

ขอบคุณมากสำหรับงานเขียนนะคะ สำหรับเราคนเขียนเก่งจนทำเอาเราอินกับเนึ้อเรึ่อง สร้างตัวละครที่ทำเอาเราทั้งรักทั้งชัง

เอาใจช่วยและขอให้สนุกกับการเขียนเรึ่องต่อไป เราจะรอติดตามค่ะ  :กอด1:

ป.ล  ถ้าขอปัจฉิมสรุปให้อิเล่จะโดนกระทึบไหมเนี่ย?  :hao4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: rogerr ที่ 04-12-2014 00:18:42
ขอบคุณนะครับ อ่านไปด่าไป หงุดหงิดไป แต่ก็อ่านจนจบ 555 :laugh: :laugh:
จะคอยติดตามผลงานนะครับ  :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: mukmaoY ที่ 04-12-2014 01:25:06
เวลา..จะช่วยให้เราตัดสินใจได้เอง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 04-12-2014 09:51:47
อ้างถึง
“เพราะการจะอยู่ด้วยกันมันช่างยากเหลือเกิน”
ไม่ใช่แค่ยาก แต่ไม่มีเลยต่างหาก

ชอบนะที่แฟ้มตัดสินใจอย่างนี้
พยายามตัดใจจากโอเล่
ให้โอกาสน้องอ้วนกับตัวเอง
แต่ในเมื่อใจทำไม่ได้สักอย่าง
ก็เลือกที่จะอยู่คนเดียวดีกว่า
ถือว่าโชคชะตายังใจดีกับโอเล่อยู่บ้าง
ที่ไม่ต้องมองคนที่ตัวเองรัก ไปรักคนอื่น
แบบนี้อาจทำให้ทั้งคู่ไม่สุข แต่ก็ไม่ทุกข์มาก

สุดท้าย ระหว่างเราคือ...ความทรงจำซินะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 04-12-2014 11:33:47
ThankS
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: loveaaa_somsak ที่ 04-12-2014 16:19:45
อ่านรวดเดียวจบเลย บอกได้เลยว่าคนเขียนเก่งมาก ทำให้ให้ผมอินสุดๆไปกับเรื่องนี้ จบบแบบนี้ก็ดีแล้ว

ชีวิตต้องดำเนินต่อไป

จะติดตามผลงานเรื่องต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Kelvin Degree ที่ 05-12-2014 23:24:39
ยังคงดำเนินชีวิตด้วยตัวคนเดียวต่อไป

สู้ๆๆๆครับ แฟ้ม,,,,
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 11-03-2015 16:08:33
สงสารน้องอ้วนน่ะ .... ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 11-03-2015 20:39:21
 :pig4: ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้ที่เขียนสะท้อนให้เห็นแง่มุมความเห็นแก่ตัวของแต่ละคน ที่เอาตัวรอดในเรื่องของความรัก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: domeloly ที่ 25-04-2015 19:39:45
นั่งอ่านตั้งนาน   จบแล้วววววววววว

เพื่อ..............
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: khwanruen ที่ 20-02-2016 21:36:34
เรื่องเศร้าจัง แต่ก็สนุกมากเลยค่ะ  :mew6:  :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 03-06-2016 21:00:16
แวะมาฝาก เรื่องใหม่คร๊าบบบ

ผิดที่ใคร [Right or Wrong]

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0

ยังไงลองไปติ ชม ได้นะครับ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 05-06-2016 00:07:28
อ่านจบแล้วรู้สึกว่าแฟ้มยึดติดกับอดีตมาก จนไม่สามารถเปิดใจให้น้องอ้วนได้ เสียดายจุง นี่ถ้าไม่มีแชมป์คอยรับฟัง ไม่รู้จะเป็นยังไง
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 10-11-2016 03:33:25
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...???จบแล้วววว [3-12-2014]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 22-12-2016 21:51:59
บทพิเศษ
Ole's Part




“กู๊ด ไนท์ แดดดี๊”สองแสบของผมทำท่าจูบก่อนจะหันหลังเดินตามกันไป ตอนนี้ทั้งคู่ย้ายตามอ้อนไปอยู่ต่างประเทศได้กว่าครึ่งปีแล้ว แรกๆ ก็งอแงน่าดูตามประสาเด็กแหละครับ แต่พอมีเพื่อนและเริ่มเรียนรู้ภาษา สื่อสารได้มากขึ้นก็แสบซนกันได้เหมือนเดิม แม้ผมจะคิดถึงตัวแสบทั้งคู่ของผม แต่การที่เค้าได้ไปอยู่ที่นั่นมันก็ดีกับทั้งคู่มากกว่า อีกอย่างอ้อนเองก็ไม่ได้คิดจะมีลูกกับสามีใหม่ และสามีของอ้อนก็เข้าใจ ผมเลยหายห่วงไปได้ในเรื่องที่สามีใหม่จะไม่ชอบ ลูกๆ ของผม ซึ่งที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้เด็กๆ ก็ดูมีความสุขดี ส่วนผมก็ Skype คุยกับสองแสบนี่ทุกวันก็พอได้หายคิดถึงไปได้บ้าง

“เหงาไหมเนี่ย”คำถามที่อ้อนถามผมตั้งแต่อาทิตย์แรกที่สองแสบจากผมไป จนนี่ครึ่งปีเข้าไปแล้ว ก็ยังถามผมอยู่ ผมไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มเหมือนอย่างเคย ตอนนี้ระหว่างผมกับอ้อนเราก็ยังมีความหวังดีให้แก่กัน แม้ชีวิตคู่เราจะล้มเหลวแต่เราก็ยังต้องทำหน้าที่พ่อและแม่ของลูกเหมือนเดิม เราต่างปล่อยอดีตที่ไม่ดีไว้เบื้องหลัง ทิ้งความรู้สึกบาดหมางไป เหลือไว้ซึ่งความเป็นเพื่อน แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ผมก็รู้แหละครับว่าอ้อนต้องใช้ความพยายามขนาดไหน ผมทั้งนับถือและรู้สึกผิดกับเธอที่ต้องมาเจอคนเห็นแก่ตัวแบบผม ถ้าจากนี้ไปผมจะไม่มีใครมันก็คงสาสมแล้ว

“จะโสดไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย”นี่ก็เป็นอีกคำถามที่อ้อนมักจะถามผม ทั้งๆ ที่เธอก็รู้อยู่แล้วว่าผมจะตอบยังไง ผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนนะครับว่าชีวิตผมต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ผมยังรักเค้าอยู่ และผมก็มั่นใจว่าเค้ายังรักผมอยู่ แต่เพราะผลของการกระทำของเราทั้งคู่ หรือจะเรียกว่าต้นเหตุจากผมเองก็คงไม่ผิด ทำให้แม้เราจะยังรักกันแต่มันกลับยากเหลือเกินที่จะได้อยู่ด้วยกัน

ในตอนที่ยังไม่สายก็เป็นผมที่ไม่ยอมรับตัวเอง ไม่เปิดเผยการอยู่กับเค้าในแบบคนรัก แต่มาวันนี้ที่ผมพร้อมกลับเป็นเค้าที่ทำไม่ได้กับการที่จะมาอยู่เคียงข้างผม

“แฟ้มนี่ก็ใจแข็งเนอะ ขนาดอ้อนช่วยพูดแล้ว ทั้งนั่งยันนอนยันว่าอ้อนโอเคแล้ว อยากให้แฟ้มมีความสุข ไม่ต้องยึดติดกับคำพูดเก่าของอ้อน”อ้อนพูดถึงอีกคนกับสิ่งที่อ้อนเคยพูดกับเค้า ว่าเคยขอร้องไม่ให้เค้ากลับมาคบกับผม แม้อ้อนจะอย่าขาดจากผมแล้วก็ตาม อ้อนเลยคิดว่ามันเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เค้าปฏิเสธผม แต่ตอนหลังอ้อนก็ได้คุยกับเค้าอีกครั้งไปแล้วว่าไม่รู้จะกีดกันเค้ากับผมไปทำไม และอ้อนเองก็ทำใจรับกับเรื่องที่ผ่านมาได้แล้ว

“เดี๋ยวเล่ไปนอนก่อนละกันเนอะ”ผมตัดบทเพราะเรื่องนี้ เราคุยกันไปตั้งกี่รอบแล้ว ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากกลับไปคืนดีกับแฟ้มนะครับ แต่แฟ้มก็ใจแข็งเสียจน ผมก็ไม่รู้จะเริ่มเข้าหายังไง เพราะเจ้าตัวก็พยายามเลี่ยงผมตลอด ผมก็ได้แต่ถามข่าวคราวของเค้าจากไอ้แชมป์เพื่อนของเค้า และก็น้องสาวของเค้า น้องเฟิร์น ซึ่งทั้งสองก็พยายามช่วยผมอยู่เหมือนกันแหละครับ

“มึงแน่ใจนะว่าถ้ากูช่วยแล้ว มึงจะไม่ทำให้แฟ้มมันเสียใจอีก”ผมนึกย้อนไปถึงวันที่บังเอิญเจอกับไอ้แชมป์แล้วก็น้องเฟิร์น แชมป์เป็นคนเอ่ยปากว่ามีเรื่องจะคุยกับผม ซึ่งสิ่งที่เค้ายกมาคุยกับผม เป็นเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงเลยทีเดียว เพราะทั้งแชมป์และน้องเฟิร์นบอกว่าจะหาทางช่วยผมให้คืนดีกับแฟ้ม

ทั้งที่แต่ก่อนผมก็พอรู้นะครับว่าแชมป์มันก็ไม่ค่อยชอบผมสักเท่าไหร่ แต่ก็สมควรที่มันจะไม่ชอบผมแหละครับ ผมเล่นไม่ชัดเจนกับเพื่อนรักเค้าขนาดนั้น แถมยังทำให้เพื่อนเค้าเสียใจมาตั้งกี่ครั้ง แต่มันก็แค่อดีต อดีตที่เราคงไม่มีใครกลับไปแก้ไขได้ ส่วนต่อจากนี้เราอาจจะสร้างเรื่องราวบทใหม่ขึ้นมา

“ขอแค่แฟ้มให้โอกาสกับกูอีกสักครั้ง กูสัญญาว่าจะไม่ทำให้เค้าต้องเสียใจอีก”ตัวผมเองนั้นอยากกลับไปดูแลเค้าตั้งนานแล้วแหละครับ เพราะทั้งผมและแฟ้มต่างก็ยังรักกันอยู่ ผมมั่นใจว่าเป็นแบบนั้น เพียงแต่แฟ้มเองยังรู้สึกผิดกับสิ่งที่เราทั้งคู่ได้เคยทำในอดีต

“เฟิร์นเอาใจช่วยนะคะพี่เล่”หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ไอ้แชมป์บอกพร้อมกับยิ้มให้ผม นี่มันอาจจะเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วก็ได้ที่ผมกับเค้า จะได้กลับมาใช้เวลาร่วมกัน

“แต่ถ้ามึงทำให้เพื่อนกูเจ็บอีก รู้ใช่ไหมว่าชะตากรรมมึงจะเป็นยังไง”ไอ้แชมป์ทำเสียงเข้ม พร้อมมองผมด้วยสายตาจริงจัง เพื่อขอคำตอบที่จริงจังหนักแน่นจากผม ผมรับปากทั้งคู่เป็นอย่างดีเพราะต่อให้ไอ้แชมป์ไม่ขู่ผมแบบนี้ ผมก็ไม่มีทางทำให้แฟ้มเสียใจอีกเด็ดขาด จริงๆ ผมก็กำลังพยายามเข้าหาแฟ้มอยู่เหมือนกันนะครับ แต่อาจจะยังพยายามไม่มากพอมันเลยยังไม่สำเร็จ และอาจจะไม่ทันใจ คุณเพื่อนสนิทที่พ่วงตำแหน่งน้องเขยของแฟ้มอย่างไอ้แชมป์ เลยต้องมาอาสาเป็นตัวช่วยให้ผมแบบนี้

“ขอบใจมากนะแชมป์”ผมบอกออกมาจากใจจริง

“ไม่ต้องขอบใจ เพราะที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อไอ้แฟ้มมัน กูแค่อยากเห็นมันมีความสุข และแม้กูจะมองว่ามึงคือทางเลือกที่แย่ที่สุดสำหรับมัน แต่ก็คงเป็นตัวเลือกเดียวที่จะช่วยมันได้”ผมรู้ครับ ว่าเหตุผลที่มันคิดจะช่วยผมครั้งนี้คืออะไร แต่นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผมที่จะขอบคุณ ไม่ว่าจะด้วยอะไรหรือใครก็ตามที่จะช่วยให้ผมได้อยู่กับแฟ้มอีกครั้ง แค่นั้นก็ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของผมแล้ว

แล้วก็ถึงวันที่ผมจะเริ่มแผนการง้อแฟ้มโดยที่มีไอ้แชมป์กับน้องเฟิร์นเป็นผู้ช่วย จริงๆ ก็รู้มาสักพักแล้วแหละครับว่าแฟ้มจะเปิดร้านเล็กๆ ที่ตลาดนัดจตุจักร เป็นร้านกาแฟ ที่มีอาหารด้วย เห็นว่าจะเน้นกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ แฟ้มเองลงทุนเรียนทำอาหารอิตาเลียน เรียนชงกาแฟ อีกด้วย และวันนี้คือวันแรกที่เค้าจะเปิดร้าน

“อยู่ไหนแล้วเนี่ย”ผมกดรับโทรศัพท์จากไอ้แชมป์ที่โทรมากำชับผม แผนของวันนี้คือผมต้องบังเอิญมาเจอเค้าที่ร้าน และเนียนเป็นลูกค้า เพื่อจะได้เริ่มแผนต่อๆ ไป แต่ผมว่าคนอย่างแฟ้มคงไม่เชื่อหรอกครับว่านี่คือเรื่องบังเอิญ ซึ่งผมก็ไม่สนแล้ว ตอนนี้ขอแค่ให้ผมได้เจอเค้าบ้าง มันก็โอเคแล้วสำหรับผม

“เพิ่งจอดรถเนี่ย เดี๋ยวเข้าไปเลย โครงการ 3 ซอย 45 ใช่ไหม”ผมถามย้ำถึงสถานที่ที่จะต้องไป เพื่อกันพลาด ไอ้แชมป์บอกรายละเอียดผมเพิ่มอีกนิดหน่อยก่อนจะวางสายไป ผมรีบลงจากรถมุ่งตรงไปยังจุดหมายทันที ไม่นานนักผมก็มองเห็นร้านที่เป็นจุดหมายของผม ในทีแรกผมยังมองไม่เห็นเค้า จนเมื่อมีลูกค้าต่างชาติกลุ่มนึงหยุดดูหน้าร้าน และเค้าเป็นคนออกมาต้อนรับ ผมหยุดเดิน มองเค้าที่อธิบายบางอย่างกับลูกค้า

ผมอดที่จะยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้ เค้าดูยิ้มแย้มและมีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ แต่ผมว่าเค้าซูบไปเล็กน้อยคงเพราะยุ่งกับการเตรียมทำร้านนี้จนไม่มีเวลาพักผ่อน ผมก้าวเดินอีกครั้งทำเป็นมองดูของอย่างไม่จงใจเกินไปว่าจะไปร้านเค้า ไอ้แชมป์กับน้องเฟิร์นบอกจะแวปจากร้านแปปนึง เพื่อให้แฟ้มได้เป็นคนต้อนรับผม

เค้ายังไม่เห็นผมเพราะกำลังวุ่นอยู่กับการรับลูกค้ารายอื่น เสียงทักทายและเรียกลูกค้าให้แวะนั่งทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษดังสลับกันไปมา ผมหยุดเดินและเลือกที่จะนั่งลงฝั่งด้านนอก เนื่องจากที่นี่ลักษณะเป็นซอย และพื้นที่ค่อนข้างจำกัด แล้วยิ่งช่วงเวลานี้คนค่อนข้างจะพลุกพล่านเป็นพิเศษ จนผมเริ่มคิดว่าหรือการที่ผมมานั่งเนี่ยจะเป็นการทำให้เค้าเสียโอกาสในการได้ลูกค้าคนอื่นรึเปล่า

“ดูเมนูก่อนนะครับ เดี๋ยวมารับออเดอร์”เสียงที่คุ้นเคยเอ่ยขึ้นด้านหลังของผม ก่อนเมนูแผ่นใหญ่จะถูกยื่นเข้ามาตรงหน้า ผมค่อยๆ หันหน้าไปรับเมนูจากเค้า

“หวัดดี”ผมทักทายพร้อมยิ้มให้เค้า แต่เค้าดูตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเก้ๆ กังๆ ทำอะไรไม่ถูก คงจะตั้งตัวไม่ทันและไม่คิดว่าผมจะโผล่มา แถมเป็นวันเปิดร้านวันแรกแบบนี้ จะไล่ผมก็คงดูไม่เหมาะ งานนี้คงต้องเลยตามเลยจากการทักทายของผม เค้าคงพอจะเดาได้แล้วว่าการที่ผมมาที่นี่มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“แล้วนี่...”เค้าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็หยุดไว้แค่นั้น ก่อนจะหันไปรับลูกค้าที่มาใหม่ ตอนนี้เหมือนปริมาณลูกค้าจะมากเกินที่นั่งเสียแล้ว

“นั่งนี่ก็ได้ครับ”ผมลุกขึ้นพร้อมบอกหญิงสาวสองคนที่กำลังมองหาที่นั่ง ผมถือวิสาสะยื่นเมนูที่มีให้กับทั้งสองคน แม้แฟ้มจะมีผู้ช่วยที่จ้างมา แต่ช่วงเวลาที่ลูกค้าแน่นขนาดนี้ก็ดูแลเกือบไม่ทั่วถึงเหมือนกัน ผมเลยใช้จังหวะนี้เนียนเป็นลูกมือในร้านอย่างที่วางแผนกันเอาไว้แต่แรก และการที่ไอ้แชมป์กับเฟิร์นออกจากร้านไปแบบนี้ คนจะช่วยเค้าเลยยิ่งน้อยลงไปอีก ทีแรกเค้าเองก็พยายามจะห้ามผมอยู่เหมือนกันแต่ด้วยสถานการณ์มันพาไป ทำให้เค้าอยู่ในภาวะจำยอม

ทั้งรับออเดอร์ เก็บโต๊ะ เสิร์ฟ แม้จะเหนื่อยแต่ก็มีความสุขนะครับ สุขที่ได้มาช่วยเค้า อีกอย่างคือได้มาเจอเค้านี่แหละครับ เวลาล่วงเลยมาจนลูกค้าเริ่มซา ตลาดเริ่มวายแล้ว

“ไอ้แชมป์มานี่เลย”ทันทีที่ไอ้แชมป์กับเฟิร์นโผล่หน้ามาเค้าก็เรียกไอ้แชมป์แยกออกไปคุยทันที จากน้ำเสียงที่เรียบๆ นั่น คาดว่าไอ้แชมป์คงโดนคาดโทษเป็นแน่แท้ ในฐานะผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งว่าเป็นคนบอกผมให้ทราบเรื่องที่เค้าเปิดร้านนี้

“เป็นไงบ้างพี่เล่ ราบรื่นดีไหม”น้องเฟิร์นที่มานั่งลงตรงหน้าผมกระซิบถาม

“อย่างน้อยไม่โดนไล่ก็น่าจะเป็นลางดีนะว่าไหม”ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันมากแฟ้มก็เดินกลับเข้ามาพร้อมไอ้แชมป์

“ไหนบอกจะมาช่วยพี่ดูบัญชีไงเฟิร์น”เฟิร์นหันไปยิ้มแห้งๆ ให้กับพี่ชายตัวเองก่อนจะชิ่งไปอยู่ที่เค้าเตอร์แคชเชียร์ แฟ้มเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม โดยมีไอ้แชมป์เดินตามหลังมา แถมทำท่านิ้วปาดคอใส่ผมอีก ดูให้กำลังใจกันเหลือเกิน

“ขอบคุณนะที่ช่วย แต่ว่าเล่อย่ามาที่นี่อีกเลยนะ”ไอ้แชมป์พยักหน้าให้ผมทำตามที่แฟ้มบอก จริงๆก่อนจะมาก็คิดไว้อยู่แล้วละครับว่าเค้าต้องห้ามผมมาที่นี่อีก จริงๆ คิดไว้ถึงขั้นเค้าอาจจะไล่ผมตั้งแต่แรกเห็นด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าคำห้ามปรามของเค้าใช้ไม่ได้ผลเพราะทุกวันเสาร์และอาทิตย์ผมก็ยังมาที่ร้านเค้าเช่นเดิม แม้จะมีคำผลักไส หรือสั่งไม่ให้ผมมาต่างๆ นานา แต่ผมก็ตีมึน จนในที่สุดเค้าก็เลิกห้ามผมแต่เค้าเมินผม ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนไปเสียอย่างงั้น แต่มาถึงขั้นนี้แล้วผมคงไม่ถอยแล้ว จากที่มาช่วยรับลูกค้า ช่วยเสิร์ฟ ช่วยเก็บโต๊ะ เดี๋ยวนี้ผมพัฒนาเป็นผู้ช่วยพ่อครัวแม่ครัวไปด้วยครับ เรียกว่าทำทุกอย่าง มาช่วยตั้งแต่เปิดร้าน ยันเก็บร้าน นี่ถ้าไม่ติดทำงานประจำ วันซื้อของผมอาจจะไปกับเค้าด้วยนะเนี่ย

“ไหวหรือเปล่าแฟ้ม พักก่อนไหม”วันนี้ผมก็มาช่วยที่ร้านเค้าเหมือนเดิม แต่เจ้าของร้านที่ไม่สบายก็ยังฝืนมาเฝ้าร้าน ทั้งที่ไอ้แชมป์กับเฟิร์นก็บอกแล้วว่า วันนี้จะมาดูแลให้ เจ้าตัวก็ยังไม่ยอม

“กูว่ามึงกลับก่อนไหม นี่ก็ตลาดเริ่มวายแล้ว เดี๋ยวกูกับเฟิร์นเก็บร้านให้”ไอ้แชมป์เข้ามาบอกกับเค้าอีกครั้ง

“มารถคันเดียวกัน รอกลับพร้อมกันแหละ”เค้ายังคงดื้อทั้งที่สภาพแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ผมอาสาจะไปส่งเค้าซึ่งทั้งไอ้แชมป์และเฟิร์นก็เห็นดีเห็นงามด้วย แต่คนดื้อก็ยังคงดื้อต่อ จนผมต้องใช้ไม้ตาย

“ถ้าแฟ้มไม่ยอมกลับดีๆ เล่จะอุ้มแฟ้มไปเอง เอาไหม”เหมือนคำขู่ของผมจะได้ผล เพราะคนดื้อยอมตกลงอย่างเสียไม่ได้ จริงๆ ผมว่าแม้เค้าจะทำเป็นไล่ผม ทำเป็นเมินผม แต่ในใจเค้าคงเริ่มยอมรับผมมากขึ้นแล้วแหละครับ ไม่งั้นคงไม่ยอมให้ผมมาวอแวที่ร้านได้ขนาดนี้

คงเพราะพิษไข้ทำให้เค้าหลับตลอดทางตั้งแต่ขึ้นรถจนถึงบ้าน จากที่ตอนแรกกะว่ามาส่งเค้าแล้วก็จะกลับแต่พอมาถึงบ้านเค้าไม่มีใครอยู่เลย คุณพ่อคุณแม่เค้าไปทำบุญที่ต่างจังหวัด แม้เค้าจะบอกให้ผมกลับเลยแต่ผมคงปล่อยเค้าไว้คนเดียวไม่ได้

“เล่กลับไปเถอะ เราไม่ได้เป็นไรมาก กินยานอนพักเดี๋ยวก็ดีขึ้น แค่มาช่วยที่ร้าน เราก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว”ผมยิ้มให้เค้า ยิ้มอย่างจริงใจ เพราะทุกอย่างที่ผมทำไปมันไม่ใช่แค่อยากให้เค้ากลับมาคบกับผม แต่ผมเต็มใจช่วยเค้า อยากจะดูแลเค้า อยากทำดีกับเค้า เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา จนผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกันผมแทบไม่เคยทำอะไรเพื่อเค้าเลย เรียกว่ามีแต่ทำร้ายให้เค้าเจ็บปวดเสียมากกว่า

“ขอโทษนะ”เค้ามีสีหน้าไม่เข้าใจในคำพูดของผม ว่าผมขอโทษเค้าทำไม ผมค่อยๆ ขยับเข้าไปหาเค้าใกล้ๆ ก่อนที่เค้าจะทันได้ระวังตัว ผมฉวยโอกาสประกบริมฝีปากไปที่ริมฝีปากของเค้า แม้เค้าจะพยายามผลักผมออกแต่แรงคนป่วยมีหรือจะสู้แรงผมได้ ผมดันลิ้นให้เค้าเปิดปากเพื่อลิ้มรสที่ผมไม่ได้สัมผัสมานาน เค้าค่อยๆ ผ่อนคลายและตอบรับสัมผัสของผม เราทั้งคู่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ ภาพต่างๆ ในอดีตเหมือนผุดขึ้นมาอีกครั้ง

“เค้าว่ากันว่าถ้ามีอีกคนติดหวัดจากเรา เราก็จะหายหวัด งั้นเล่ขอติดหวัดจากแฟ้มแล้วกันนะ”เค้าหลบตาโดยไม่ได้หันมามองผม แต่แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมว่านี่เป็นสัญญานที่บอกได้แล้วว่าอีกไม่นานผมกับเค้าอาจจะได้เริ่มต้นกันอีกครั้งแน่นอน

“มันจะดีจริงๆ เหรอเล่ ที่เราสองคนกลับมาเจอกันแบบนี้”ผมเอื้อมมือไปลูบเบาๆ ที่ศีรษะของเค้า ผมเคยทำผิดพลาดมาแล้ว แต่ครั้งนี้ผมจะไม่ยอมพลาดอีก

“อย่าเพิ่งไปคิดเลยว่ามันดีหรือไม่ดี ไม่ต้องคิดว่าเราสองคนจะอยู่ในฐานะอะไร แค่ให้เล่ได้ดูแลแฟ้มไปแบบนี้ ก็พอแล้ว”แค่ขอให้ผมได้มีโอกาสเริ่มต้นอีกครั้ง แม้จะต้องใช้เวลาอีกนานที่จะทำให้เค้าใจอ่อนหรือยอมรับ แต่ผมก็พร้อมจะรอ เค้าหลับตาลงเพียงไม่นานก็หลับไป

ระยะห่างระหว่างเรามันคงสิ้นสุดลงแล้ว จากวันนี้ผมจะไม่ปล่อยให้เค้าต้องทนทุกข์ใจอีกต่อไป แม้มันอาจจะยังไม่ดีพอ แต่ผมก็จะพยายามทำเพื่อเค้า ก็ได้แต่รอว่าสักวันเราจะได้มีความสุขด้วยกันอีกครั้ง



หลายเดือนต่อมา

“หมั่นไส้โว้ย”เสียงไอ้แชมป์พูดกระทบผม ตอนนี้แฟ้มยอมรับผมมากขึ้น แถมยังยอมให้ผมลงทุนเป็นหุ้นส่วนร่วมกับเค้า เพราะเกรงใจที่ผมมาช่วยที่ร้านตลอด ผมเลยเสนอว่าให้ผมลงทุนด้วย แต่ก็ยังให้เค้าเป็นหุ้นส่วนใหญ่นะครับ ไม่อยากให้มองว่ามาแย่งธุรกิจเค้า

“หุ้นส่วนร้านก็ได้เป็นแล้ว เป้าหมายต่อไปนี้หุ้นส่วนชีวิตเลยไหมพี่เล่”หลังคำพูดของน้องเฟิร์นเราทั้งสามก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน แต่ก็ต้องรีบสงบเสงี่ยมเมื่ออีกคนเดินเข้ามาสมทบ

“คุยไรกัน ท่าทางสนุกเชียว”แฟ้มถามก่อนจะมองหน้าพวกผมสลับกันไปมาซึ่งเราทั้งสามก็ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง และด้วยความรู้งานทั้งแชมป์และเฟิร์นรีบปลีกตัวขอกลับก่อน เพราะตอนนี้ก็เก็บร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนผมรับหน้าที่เป็นคนไปส่งแฟ้มอีกเช่นเคย

“แวะหาอะไรดื่มกันไหม”นี่เป็นครั้งแรกที่เค้าเป็นคนเอ่ยปากชวนผม ซึ่งผมตอบตกลงแบบไม่ต้องเสียเวลาคิด เราเลือกร้านนั่งชิลๆ สั่งเครื่องดื่มและอาหารอีกนิดหน่อย

“เรากลับมาเริ่มต้นกันใหม่ไหม”แม้รู้ว่ามันอาจจะยังเร็วไป แต่ผมก็อยากลองถามเค้าดู เผื่อว่าโอกาสของผมจะได้รับความเห็นใจเร็วขึ้น เค้าเงยหน้ามองผมพร้อมกับอาการที่แสดงว่ากำลังครุ่นคิด เค้าไม่ได้ตอบคำถามแต่ยกแก้วขึ้นดื่มโดยไม่ได้พูดอะไร มันคงยังเร็วเกินไปจริงๆ ที่ผมจะไปเร่งรัดเค้า

“ที่เป็นอยู่ตอนนี้ยังไม่เรียกว่าเริ่มต้นเหรอ”หลังจากต่างคนต่างเงียบไปพักใหญ่เค้าก็พูดขึ้น

“แฟ้มเข้าใจคำว่าเริ่มต้นของเล่ใช่ไหม ว่าหมายความว่ายังไง”ผมถามย้ำอีกครั้ง เพราะคำว่าเริ่มต้นของผม มันคือการกลับมาคบกันในฐานะคนรัก

“อือ”

“อือ อะไรเล่า พูดให้มันชัดๆ หน่อยสิ”แม้จะเริ่มเข้าใจแล้วว่าตอนนี้กำแพงที่เค้าเคยสร้างไว้มันคงพังลงแล้ว แต่ก็ยังอยากให้เค้าช่วยยืนยันอีกที แต่สีหน้าผมมันคงระรื่นเกินไป เพราะกำลังดีใจที่เค้ายอมเปิดใจให้ผมอีกครั้ง

“จะให้พูดอะไรอีก ขนาดยอมให้มาเป็นหุ้นส่วนที่ร้าน ยอมให้มาส่งแบบนี้ ถ้ายังไม่เข้าใจอีกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”ผมว่าผมคงยิ้มจนแก้มแทบปริแล้วครับตอนนี้ ผมเอื้อมมือไปกุมมือของเค้าไว้ ไม่มีคำพูดใดๆ ระหว่างเราสองคนอีก มีเพียงความรู้สึกของเราที่ส่งผ่านถึงกัน เราสบตากันนิ่งก่อนจะยิ้มให้กันอีกครั้ง เหมือนฝันที่ไม่คิดว่าจะได้มีวันนี้อีก

“เล่รักแฟ้มนะ”














End



จริงๆ แล้ว ตัดสินใจอยู่นานมาก

ว่าจะเอาตอนนี้มาลงไหม เพราะส่วนตัวที่เรื่องมันจบไปแบบนั้น

ก็คิดว่ามันสมบูรณ์แล้วแหละ แต่พอกลับมาอ่านอีกที เวลาผ่านไป ชีวิต

ของทั้งแฟ้มและเล่มันก็ดำเนินต่อไป แต่จะว่าข้ออ้างอยากเอามาลงต่อก็ได้ 55555

ไม่รู้จะมีใครมาอ่านหรือเปล่าเนอะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 22-12-2016 23:48:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-12-2016 00:36:11
โอ้ยยยยย ตอนแรกนึกว่าตาฝาด คือดูวันที่แล้วเทียบปฏิทินไปสามรอบถ้วน

ตอนแรกก็คิด...ว่าชีวิตแฟ้มจะอึนๆ ไปตลอดอย่างนี้จริงๆหรือ ก็แอบคิดไปหลายที ว่าถ้าเล่สำนึกผิดแล้วจริงๆ กลับตัวแล้วจริงๆ สองคนนี้น่าจะมีความสุขกันได้สักทีนะ (รวมถึงหาทางออกสวยๆสำหรับทุกคนได้ด้วยแหละนะ)

ขอบคุณคนเขียนมากๆๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: snowboxs ที่ 24-12-2016 09:46:35
หวังว่าคราวนี้แฟ้มจะมีความสุขของตัวเองสักทีนะ
จริงๆการกระทำที่ผ่านมาของแฟ้มแทบไม่ผิดเลย
ถ้าจะผิดบ้างมีข้อเดียวคือที่ไม่บอกอ้อน
เรื่องความสัมพันธ์แบบคลุมเคลือของเล่กับแฟ้ม
แต่ก็นะ ที่แฟ้มไม่บอกก็เพราะตัดสินใจจะถอยห่าง
แต่ก็อย่างที่รู้ความรักทำให้อะไรๆเกิดขึ้นได้เสมอ
แฟ้มก็แค่ใจอ่อนกับความรัก ไม่ได้ผิดจนมากมาย

ดีใจอยู่นะที่คนเขียนเอามาลง
ขอบอกว่าไม่อ่านตอนพิเศษนี่ก่อนนะ
แต่ไปอ่อนตั้งแต่ตอนแรกใหม่อีกรอบ
อ่านไปก็ร้องไห้ไปอีกอล้วล่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Mom2maM ที่ 01-01-2017 14:43:12
กลับมาอ่านรอบสองระหว่างรอตอนใหม่ Wright or Wrong
ตกใจที่เพิ่งเห็นว่ามีตอนใหม่เป็นพาร์ทอิเล่

ดีใจกับแฟ้มด้วยนะ
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: joborcusier ที่ 04-01-2017 23:57:22
 :hao5: อยากอ่านอีกกก
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Pawana ที่ 24-02-2017 19:21:59
โชคดีที่มาอ่านเรื่องนี้ช้ากว่านานมาก. เลยได้เก็บทุกเม็ด.    ตอนที่นำ. โอเล่. มาลงนั้นเราว่ามันทำให้สมบูรณ์ขึ้นครับ. ทำให้รู้ถึงความคิดความรู้สึกของโอเล่.    ทำให้ทุกอย่างซ้อฟขึ้น. ลดแรงกดดัน.   ขอบคุณครับ.    อยากได้เรื่องดราม่า. ที่พระเอกเห็นแก่ตัวมากๆๆๆถึงมากที่สุด.  ประมาณต่อมน้ำตาแตก.  อยากบริหารต่อมน้ำตากลัวตัน
หัวข้อ: Re: [เรื่องสั้น] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ Ole's Part [22-12-2016] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 12-09-2017 11:38:39
ตอนเจอEND นึกว่าจะจบแบบแฟ้มกับเล่ต่างโดดเดี่ยวเสียอีก! มาเปิดมาอีกหน้า โอ้ กลับมาแล้วๆ คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอกกก
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ [24-10-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 24-10-2017 20:15:39
บทพิเศษ
เรื่องของเด็กๆ



ลมทะเลพัดมาเบาๆ ช่วยบรรเทาความร้อนของอากาศที่อุณหภูมิสูงจนแทบจะไปแตะ 40 องศาเซลเซียสแล้ว ภาพของเด็กน้อยวัย 7 ขวบสองพี่น้องฝาแฝดที่กำลังวิ่งไล่กันด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน เด็กชายผู้พี่กำลังวิ่งหนีด้วยความสนุกที่ได้แกล้งน้องสาวฝาแฝดของตัวเอง ส่วนแฝดผู้น้องกำลังวิ่งตามด้วยความโมโห

“ไอ้พี่อั๋นหยุดเดี๋ยวนี้นะ”เสียงเด็กหญิงที่พูดด้วยสำเนียงที่แปร่งๆ ไปนิดหน่อยเพราะการไปใช้ชีวิตในต่างแดนได้กว่า 3 ปีแล้ว เด็กหญิงหยุดวิ่งเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองวิ่งตามผู้เป็นพี่ไม่ทันแล้ว ใบหน้าแดงก่ำที่เป็นผลพวงจากทั้งอุณหภูมิที่ร้อนระอุ บวกกับความโกรธที่พุ่งขึ้นแทบจะร้อนกว่าอากาศแล้ว เด็กหญิงหันหลังกลับเดินไปหาผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่กับชายหนุ่มอีกคน

“อาแฟ้มอั๋นแกล้งอิ๋งอีกแล้ว”ทั้งที่ในทีแรกกะว่าจะมาอ้อนพ่อตัวเอง แต่พอประเมินสถานการณ์ดูแล้ว อ้อนคนรักของพ่อจะได้ผลกว่า เธอเรียนรู้จากทุกครั้งที่ได้เจอคุณอาผู้ใจดี ผู้ที่เธอคิดว่าคงมีเหตุผลอีกหลายอย่างที่เด็กอย่างเธอไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ ของพ่อ แม่และ อาแฟ้มคนนี้ แต่เธอก็เลือกที่จะไม่กีดกันอะไร เพราะทราบดีว่าพ่อกับแม่ของเธอเองก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันมานานแล้ว ใครที่พ่อหรือแม่ของเธอรัก เด็กหญิงคนนี้ก็พร้อมจะรักไปด้วยเช่นกัน

“งั้นทำโทษอั๋นยังไงดีน้า ตัดโควต้าบาบีคิวเย็นนี้ดีไหม”ชายหนุ่มในวัย 30 ต้นๆ เจ้าของชื่อแฟ้มบอกพร้อมลูบหัวเด็กหญิงด้วยความเอ็นดู สายตามองด้วยความรู้สึกที่ไม่ต่างกับผู้เป็นพ่อของอิ๋งเลย แต่ผู้เป็นพ่อจะมีความหมั่นไส้ลูกสาวตัวเองอยู่หน่อยๆ

“เราไปแกล้งพี่เค้าก่อนไม่ใช่เหรอยัยตัวแสบ แฟ้มเองก็ด้วยอย่าให้ท้ายกันนักเลย เดี๋ยวก็ได้นิสัยเสียกันพอดี”โอเล่พ่อของอั๋นและอิ๋ง เอ่ยกับคนรักอย่างไม่ได้จริงจังนักเพราะรู้ดีว่าคนรักของตัวเองก็ไม่ได้จะตามใจลูกตัวเองมากนัก แต่แค่เพียงเตือนแกมหยอกไปเพียงเท่านั้น

ด้านเด็กชายแฝดผู้พี่พอวิ่งไปและรู้ว่าน้องสาวไม่ได้ตามแล้วก็เปลี่ยนเป็นเดินเล่นไปตามแนวคลื่นที่ซัดเข้าฝั่ง สายตาของเค้าก็มองไปเห็นภาพของเด็กผู้ชาย 2 คนที่เล่นกันอยู่ไม่ไกล หนึ่งคนหน้าตาออกไปทางตะวันตกแต่ก็ยังมีความเป็นเอเชียผสมอยู่บ้างเล็กน้อย อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าของสายตาที่กำลังมองอยู่ ส่วนเด็กน้อยอีก 1 คนอายุน่าจะประมาณสัก 3 ขวบ จากที่ดูแม้ทั้งคู่จะสนิทสนมเล่นหัวเราะด้วยกันอย่างสนุกสนาน แต่ก็คงไม่ใช่พี่น้องกันอย่างแน่นอน เพราะคนโตดูหน้าออกไปทางฝรั่งขนาดนั้น ส่วนคนเล็กที่น่าจะเด็กไทยนั่น ดูร่าเริงจนน่าหมั่นไส้ในความคิดของอั๋น

“พี่แอช”คนตัวเล็กร้องเรียกพี่ชายตัวโตที่หันหลังให้กับผู้มาใหม่ เพราะตอนนี้ผู้มาใหม่อย่างอั๋นได้ลงมือ ไม่สิ เรียกว่าลงเท้าน่าจะถูกกว่า อั๋นเตะปราสาททรายที่คนตัวเล็กร่วมกันก่อกับพี่แอช หรือแอชตั้นของเค้า เสียพังไม่มีชิ้นดี แถมคนที่มาพังยังทำหน้ากวนอย่างไม่รู้สึกผิดอีกด้วย

คนตัวเล็กทำท่าเหมือนจะร้องไห้เมื่อเห็นผลงานที่ตัวเองสร้างขึ้นถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตา และเมื่อแอชตั้นเห็นน้องน้อยสุดที่รักเสียใจขนาดนั้นก็โมโหจนเลือดขึ้นหน้า ก้าวเข้าไปหาคนหน้ากวนที่ยังยืนเป็นท้องไม่รู้ร้อน

“ขอโทษน้องชาร์ลเดี๋ยวนี้”แอชตั้นกระชากคอเสื้ออั๋น ด้วยท่าทางเอาเรื่อง แม้จะพยายามทำเสียงเข้มแล้ว แต่ฝั่งอั๋นเองกลับยังรู้สึกขบขันในน้ำเสียง เพราะแอชตั้นเองก็เกิดและเติบโตที่ต่างประเทศ มีโอกาสมาอยู่เมืองไทยก็แค่ช่วงเวลาไม่นาน แอชตั้นยังคงจ้องมองอั๋นด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร

“ทำไมต้องขอโทษ ไม่ได้ทำผิดไรเสียหน่อย”อั๋นที่ไม่ได้รู้สึกกลัวอีกฝ่าย เพราะขนาดตัวที่ไม่ได้ต่างกันมากนะ แม้น้ำเสียงที่บอกออกไปจะไม่ค่อยชัดด้วยสาเหตุเดียวกะน้องสาวฝาแฝด แต่น้ำเสียงของอั๋นก็ยังแฝงไปด้วยความกวน และท้าทาย

“พี่แอช อย่ามีเรื่องพ่อตี้บอกว่าคนต่อยตีนิสัยไม่ดี เราอย่ายุ่งกับคนเกเร”เด็กน้อยผู้หลบอยู่หลังแอชตั้นกระตุกชายเสื้อผู้เป็นพี่ ทำให้แอชตั้นคลายมือที่ดึงคอเสื้ออั๋นออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แอชตั้นหันไปหาเด็กชายตัวเล็ก ปัดเศษทรายที่ติดตามตัวผู้เป็นน้อง ก่อนจะจูงมือน้องชายตัวเล็กมุ่งกลับโรงแรม โดยไม่สนใจอั๋นที่ยังยืนงงๆ กับสถานการณ์

“ป๊อดนี่หว่า”อั๋นยืนกอดอก ตะโกนไล่หลังทั้งคู่ด้วยอารมณ์อยากหาเรื่อง แม้เจ้าตัวจะยังไม่เข้าใจว่าตัวเองจะทำไปทำไม แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังอยากแกล้งเจ้าตัวเล็กนั่น ยังไม่อยากให้เดินจากไปแบบนี้ ทั้งแอชตั้นและชาร์ลต่างหยุดเดินและหันกลับมามองอั๋นด้วยสายตาที่ไม่พอใจในสิ่งที่ได้ยิน

เป็นคนตัวเล็กสุดที่ดึงข้อมมือน้อยๆ ของตัวเองจากพี่แอชของเค้า ก่อนจะเดินย้อนไปหาอั๋น ทั้งอั๋นและแอชตั้นต่างมองด้วยความไม่เข้าใจว่าเจ้าตัวเล็กจะทำอะไร แล้วด้วยความที่งงๆ อยู่นั้นทำให้อั๋นไม่ทันระวังตัว

“ไอ้คนเกเร”พอเดินเข้าไปในจุดที่ใกล้พอแล้วเจ้าตัวเล็กก็ใช้มือเล็กๆ ของตัวเองกำทรายเต็มสองมืออย่างรวดเร็ว ก่อนจะเล็งและขว้างไปที่หน้าของอั๋น ซึ่งฝีมือของเจ้าตัวเล็กก็ดีเสียด้วย ทรายโดนหน้าอั๋นเต็มๆ เข้าทั้งปาก ทั้งจมูก ทั้งตา แถมขว้างเสร็จเจ้าตัวเล็กก็วิ่งปรู๊ดหนีไปเลย ไม่สนใจแม้แต่พี่แอชของตัวเองที่ยืนหัวเราะกับเหตุการณ์ตรงหน้า

“ไอ้เปี๊ยก ไอ้ตัวแสบ”อั๋นรีบขยี้ตาเตรียมจะวิ่งตามเจ้าตัวเล็กด้วยความโมโห

“จะไปไหน”แอชตั้นยืนขวางอีกคนไว้ไม่ให้ตามเจ้าตัวเล็กไป แม้แอชตั้นจะรู้สึกว่าเจ้าตัวเล็กมีส่วนผิดอยู่บ้างที่ทำแบบนี้ แต่ไอ้คนที่โดนนี่ก็เข้ามาหาเรื่องพวกเค้าก่อน ทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ

“ปล่อยสิวะไอ้ฝรั่ง”อั๋นผลักคนที่ขวางไว้อย่างไม่สบอารมณ์ แต่เหมือนอีกฝ่ายก็ไม่ยอม ต่างฝ่ายต่างผลัก ขวางกันไปมา จนในที่สุดอั๋นก็เป็นฝ่ายที่หมดความอดทนก่อน ปล่อยหมัดใส่แอชตั้น จนเซถอยหลังไป ฝ่ายแอชตั้นเมื่อตั้งหลักได้ก็สวนคืน แล้วทั้งคู่ก็แลกหมัดกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ซึ่งเหตุการณ์ตะลุมบอนของเด็กชายทั้งคู่นั้น ผู้เป็นพ่อของอั๋นสังเกตเห็นแล้ว รวมทั้งปาร์ตี้พ่อสุดที่รักของชาร์ล ที่ชาร์ลไปตามมาช่วยพี่แอชของเค้าด้วย

“อั๋นหยุด/แอชตั้นหยุดลูก”ผู้ใหญ่สองคนต่างวิ่งมาแยกเด็กในปกครองของตัวเองออกจากกัน สภาพของเด็กทั้งคู่ตอนนี้สะบักสะบอมไม่แพ้กันเลย ทั้งอั๋นและแอชตั้นยังคงมองหน้ากันด้วยความแค้นเคือง

“ไปทำแผลที่ลอบบี้ก่อนดีกว่านะครับ”ปาร์ตี้เป็นคนเสนอความเห็นให้แก่อีกฝ่ายเพราะจำได้ว่าคู่กรณีเป็นแขกในโรงแรมของพวกเค้า

ไม่นานทั้งหมดก็มารวมตัวกันที่ลอบบี้ของโรงแรม ทั้งฝั่งของอั๋น ที่ประกอบด้วย อิ๋ง น้องสาวฝาแฝดของเค้า รวมทั้งพ่อและคนรักของพ่อ ส่วนฝั่งของแอชตั้นตอนนี้นอกจากลุงปาร์ตี้พ่อของชาร์ล เจ้าตัวเล็กชาร์ล ก็ยังมีพี่ชายฝาแฝดของชาร์ล นั่นคือปอร์โต้อีกคน ผู้ปกครองทั้ง 3 ต่างช่วยกันทำแผลให้เด็กทั้งสอง ที่ตอนนี้ถูกจับให้นั่งข้างกัน

“สมน้ำหน้า”อิ๋งทำปากพูดแบบไม่มีเสียง พร้อมเบ้ปากใส่พี่ชายฝาแฝด อั๋นเองแม้จะไม่ชอบใจแต่ก็ทำได้เพียงส่งสายตาเคืองๆ กลับไปแค่นั้น เจ้าตัวรู้อยู่เต็มอกว่าตัวเองเป็นคนผิดที่เข้าไปหาเรื่องอีกฝ่ายก่อน แต่จะให้ยอมรับง่ายๆ ก็เสียฟอร์มแย่ เค้ารู้ดีว่าหลังทำแผลเสร็จ พวกผู้ใหญ่ต้องสอบสวนเค้าและไอ้ฝรั่งข้างๆ นี่แน่ๆ ว่าใครเป็นคนเริ่มก่อน

“พี่ชื่อไรอ่ะ เก่งมากเลยที่สู้พี่แอชได้ นี่โต้อยากโตเร็วๆ บ้างจะได้สู้พี่แอชบ้าง ตอนนี้โต้แพ้พี่แอชตลอดเลย”เหมือนปอร์โต้จะไม่สนใจความบาดหมางระหว่างอั๋นและแอชตั้นที่เพิ่งเกิดขึ้น เพราะเข้าไปทักทายอีกคนที่ยังไม่ได้รู้จักอย่างชื่นผม สร้างรอยยิ้มให้บรรดาผู้ใหญ่ทุกคนที่อยู่ตรงนั้น

“พี่โต้มานี่”เจ้าตัวเล็กร้องเรียกพี่ชายตัวเอง แม้ทั้งคู่จะเป็นแฝดกัน แต่ก็เป็นแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบทำให้ทั้งรูปร่างหน้าตา นิสัยเรียกว่าต่างกันแทบทุกอย่าง ปอร์โต้ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของน้องชาย แต่เค้าไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าอิ๋ง เด็กหญิงรุ่นพี่อีกคน

“ทำไมเป็นเป็นผู้หญิง”คำถามของปอร์โต้ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสามคนมองหน้ากันงงๆ ก่อนจะขำกันออกมาเล็กน้อยด้วยความเอ็นดู แต่ปอร์โต้ก็แค่สงสัยว่าทุกคนเป็นผู้ชายหมด แล้วคนๆ นี้ทำไมถึงเป็นผู้หญิง ตั้งแต่เกิดมาผู้หญิงคนเดียวที่ปอร์โต้คุ้นเคยที่สุดก็คงมีแต่คุณย่าของเค้าทำให้ปอร์โต้ที่ได้เจอเด็กผู้หญิงใกล้ๆ แบบนี้เป็นครั้งแรกดูจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อยทีเดียว

“ก็สวยไงเลยต้องเป็นผู้หญิง มีอะไรไหมเด็กอ้วน”อิ๋งตอบอย่างมั่นอกมั่นใจก่อนจะหยิกแก้มเด็กชายรุ่นน้องอย่างเอ็นดู การกระทำของเด็กทั้งคู่ช่างน่าเอ็นดูสำหรับผู้ใหญ่ที่มองอยู่

“เอาละ ทีนี้ใครจะเป็นเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น”ปาร์ตี้เป็นคนเปิดประเด็นเสียงเรียบพร้อมมองแอชตั้น เค้ารู้ว่าแม้แอชตั้นจะดื้อไปบ้างแต่ก็มีเหตุผลพอ ที่จะไม่ไประรานใครก่อน แต่ก็ไม่ได้จะด่วนตัดสินโดยไม่ฟังความจากอีกฝั่ง แม้แอชตั้นจะไม่ใช่ลูกหลานหรือญาติแท้ๆ ของครอบครัวเค้า แต่ก็เห็นและรู้จักกับแอชตั้นมาตั้งปอร์โต้และชาร์ลยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ

ความสนิทสนมของครอบครัวปาร์ตี้กับพ่อของแอชตั้นค่อนข้างจะเกือบเป็นครอบครัวเดียวกัน การเดินทางมาที่ภูเก็ตทุกๆ ปี ของพ่อที่เลี้ยงดูแอชตั้นมา ทำให้ทั้งสองครอบครัวได้ทำความรู้จักกัน จนทำให้ลูกๆ ได้เป็นเพื่อนกัน สนิทถึงขั้นพ่อของแอชตั้นอนุญาตให้ลูกชายเดินทางมาอยู่ที่ภูเก็ตกับครอบครัวนี้เพียงลำพังได้ ในช่วงซัมเมอร์แบบนี้

“ผมดึงคอเสื้อเค้าก่อนครับ”แอชตั้นบอกอย่างสำนึกผิด เพราะก่อนมานี่เค้ารับปากกับพ่อไว้แล้วว่าจะไม่ก่อเรื่องให้ลุงตี้กับลุงแว่นวุ่นวาย แต่สุดท้ายก็เกิดเรื่องจนได้ แม้จะคิดว่าเค้าเองไม่ได้ผิดมากแต่ก็คงผิดที่ต่อยอีกคนกลับ หลังจากที่โดนต่อยก่อน

“งั้นแสดงว่าอั๋น เราเป็นคนต่อยเค้าก่อนถูกไหม”โอเล่ผู้เป็นพ่อถามอย่างรู้ทันลูกชายตัวเองที่ยังคงนั่งเงียบ อั๋นเองก็ไม่สามารถปฏิเสธพ่อตัวเองได้ เพราะเค้าคือคนที่เปิดฉากปล่อยหมัดก่อนจริงๆ แต่ที่ทำไปเพราะไอ้ฝรั่งนี่มาขวางไม่ให้เค้าตามเจ้าตัวแสบนั่น

“ก็ฝรั่งมาขวางอั๋น ไม่ให้ตามเจ้าแสบนั่น”อั๋นชี้ไปที่ชาร์ล ซึ่งทำตัวลุกลี้ลุกลน กลัวจะโดนดุที่เป็นคนขว้างทรายเข้าตาพี่ชายเกเรในความคิดของเจ้าตัวแสบ และเหมือนสวรรค์จะเป็นใจให้เจ้าตัวแสบ เค้ามองเห็นคนที่จะช่วยเค้าแล้ว ขาสั้นๆ นั้นรีบวิ่งไปหาอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“พ่อชาร์ปอุ้ม”เด็กน้อยไม่สนใจทุกคนที่นั่งค้นหาต้นตอของการทะเลาะกัน วิ่งหาพ่ออีกคนของเค้าหวังให้ช่วยเป็นเกราะกำบังไม่ให้โดนดุ ชาร์ลรู้ดีว่าพ่อตี้ของเค้าใจดีเสมอเวลาเค้าทำตัวเป็นเด็กดี แต่เวลาทำความผิด คนที่จะช่วยเค้าได้ก็มีแต่พ่อแว่นของเค้านี่แหละครับ

“โอเคผมว่าผมพอจะรู้แล้วว่าสาเหตุ น่าจะมาจากเจ้าตัวแสบที่วิ่งหนีไปนั่น”ปาร์ตี้เอ่ยออกมาพร้อมชี้ไปที่ลูกชายตัวเล็กที่เพิ่งวิ่งหนีไป

“ตัวแสบของเราไปสร้างเรื่องอะไรหรือเปล่า อ้าวแอชไปทำอะไรมาละนั่น”ชาร์ปหรือพ่อแว่นของทั้งปอร์โต้และชาร์ล อุ้มลูกชายคนเล็กกลับเข้ามาอย่างแปลกใจ สุดท้ายแอชตั้นก็เป็นคนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนฟัง รวมทั้งวีรกรรมของเจ้าตัวแสบด้วย

“พี่ชายเกเรมาเตะกองทรายของชาร์ลก่อน ไม่งั้นชาร์ลไม่ทำหรอก”เจ้าตัวแสบบอกพร้อมหน้างอๆ ในใจก็รู้สึกไม่ถูกชะตากับไอ้พี่ชายเกเรนี่เลย

ผู้ใหญ่ทั้ง 4 คนได้แต่มองลูกๆ ตัวเองด้วยความเอ็นดู แต่ก็รู้ว่าต้องสอนให้เด็กๆ เรียนรู้การให้อภัย รวมถึงไม่ใช้กำลังแก้ปัญหา และที่ขาดไม่ได้คือมิตรภาพ แอชตั้นและอั๋นถูกให้กอดคอสัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกัน ส่วนปอร์โต้ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวแต่อยากสนิทกับทุกคน รวมถึงพี่สาวหนึ่งเดียว ที่เค้าได้รู้จักวันนี้ด้วยก็เข้าไปจะจับมือกอดคอกับทุกคน

จะมีก็แต่ชาร์ลีน้อยที่ยอมเปิดปากขอโทษ แต่ก็ยังคิดว่าไม่อยากญาติดีกับไอ้พี่อั๋นนี่อยู่ดี เจ้าตัวเล็กคิดว่าเค้ามีพี่แอชตั้นคนเดียวก็พอแล้ว

ตกเย็นทั้งสองครอบครัวได้สังสรรค์ร่วมกันที่ชายหาด เป็นปาร์ตี้บาร์บีคิวเล็กๆ ผู้ใหญ่ทั้ง 4 พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ เรื่องราวต่างๆ อย่างออกรสออกชาด ส่วนเด็กๆ ทั้ง 5 นั่งล้อมวงกินบาร์บีคิวกันอย่างเอร็ดอร่อย ต่างแย่งกันชิมน้ำหวานหลากสีสันอย่างสนุกสนาน ด้วยความที่เวลาปกติ เด็กๆ มักถูกห้ามไม่ให้กินน้ำหวานมากเกินไปนัก แต่วันนี้เป็นวันที่เด็กๆ ได้รับอนุญาตให้กินได้ตามใจชอบ

“พี่อิ๋งมีแฟนรึยังฮ่ะ”เด็กชายตัวกลมเอ่ยถามเด็กหญิงรุ่นพี่อย่างแก่แดดตามที่เคยเห็นผ่านๆ ในจอทีวี เพราะรู้สึกอยากมีแฟนแบบนั้น ทั้งๆ ที่ยังไม่เข้าใจเสียด้วยซ้ำว่าคำว่าแฟนมันคืออะไร

“โตก่อนค่อยมาถามนะน้องอ้วน”เด็กหญิงรุ่นพี่บอกพร้อมดึงมือไปหยิกแก้มน้องชายตัวอ้วนอย่างหมั่นเขี้ยว ด้านอั๋นที่พยายามอยากคุยกับเจ้าตัวแสบโดยมีแอชตั้นช่วยอีกแรงก็ดูจะไม่เป็นผล เจ้าตัวแสบก็ยังคุยด้วยอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

“เปี๊ยกเคยนั่งเครื่องบินป่าว”อั๋นพยายามจะชวนคุยในสิ่งที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าอีกฝ่าย แต่ก็ยังพูดด้วยฟอร์มที่ยังกวนๆ อยู่

“ก็เคย ถามไมอ่ะ”ตามความคิดของอั๋นนึกว่าเจ้าตัวเล็กจะอยู่แค่ที่ภูเก็ตนี่ ไม่เหมือนตัวเองที่ต้องบินไปต่างประเทศด้วย นึกว่าจะได้อวดคนตัวเล็กให้สนใจเรื่องที่ตัวเองพูดบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ ดูแล้วในโลกของเจ้าเปี๊ยกนี่มีแต่พี่แอชตั้น จนอั๋นเริ่มจะหมั่นไส้ขึ้นมาอีก คราวนี้ไม่ว่าเจ้าตัวเล็กจะคุยอะไรกับแอชตั้น อั๋นจะคอยขัดตลอด

หลังจากวันนั้นเด็กๆ ก็ได้เจอกันอีกหลายครั้ง ณ ที่แห่งนี้ มิตรภาพความเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ก่อตัวขึ้นระหว่างทั้ง 5 คน แม้จะมีไม้เบื่อไม้เมาในกลุ่มอย่าง อั๋นและชาร์ล แต่เค้าทั้ง 5 ก็รักกันดี ต่างตกลงเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน แม้ระยะทางจะทำให้ทั้งหมดต้องอยู่ห่างกันบ้าง แต่แท้จริงแล้ว ทั้งแอชตั้น อั๋น อิ๋ง นั้นก็ได้รู้หลังจากวันนั้นว่าทั้ง 3 พักอาศัยอยู่ในละแวกเดี๋ยวกัน นั่นทำให้ ทั้ง 3 สนิทกันอย่างรวดเร็ว จนอั๋นและแอชตั้นเติบโตมาเป็นเพื่อนรักกัน

“ว่าไงตัวแสบ เตรียมตัวพร้อมยัง”แอชตั้นทักทายน้องชายต่างสายเลือดผ่านหน้าจออย่างเอ็นดู เค้ารู้จักคนตรงหน้าตั้งแต่ยังแบเบาะ จนตอนนี้น้องชายตัวน้อยของเค้าอายุ 16 แล้ว และกำลังทำเรื่องย้ายมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศกับเค้า น้องชายที่อยากตามมาตั้งนาน แต่คุณพ่อทั้งสองก็ห่วงลูกชายจนไม่ยอมปล่อยมาสักที

“คิดถึงพี่แอชจังเลย เสียดายพ่อน่าจะยอมให้ไปตั้งนานแล้วจะได้เรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่นี่พี่แอชก็เรียนมหาวิทยาลัยแล้ว เสียดายเนอะ”ชาร์ลบอกเสียงอ่อยๆ เค้าเป็นเด็กกระตือรือร้นที่อยากเจออะไรใหม่ๆ เลยอยากไปเรียนต่างประเทศ แต่ผู้เป็นพ่อกลับไม่อยากให้ลูกไปอยู่ไกลตัว เลยยอมแค่ให้ไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน แล้วในระดับอุดมศึกษา หรือตอนเรียนมหาวิทยาลัยค่อยให้ไปเรียนได้เต็มตัว ถ้ายังต้องการอยู่

“ไอ้แอชคุยกับแฟนอีกแล้วเหรอ”ภาพอีกคนที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ชาร์ลต้องเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ พี่ชายอีกคนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเค้า แม้ไม่ถึงขนาดกับเกลียดกัน แต่ชาร์ลก็ไม่ค่อยชอบการกวนประสาทของอีกฝ่ายมากนัก โดยเฉพาะการแซวว่าเค้ากับพี่แอชเป็นแฟนกันนี่แหละ แม้เค้าจะรักพี่แอชมากแต่ก็มั่นใจว่ามันไม่ใช่ในแบบนั้นแน่นอน

“ไอ้เชี่ยพี่อั๋น หวัดดีจะไปไหนก็ไป เกะกะลูกตา”แม้เค้าจะอายุน้อยกว่าอีกฝ่ายหลายปี แต่คนทำตัวแบบไอ้พี่อั๋นก็ไม่ได้มีอะไรให้น่าเคารพมากนักหรอก

“อ้าวเปี๊ยก พูดจาแบบนี้เดี๋ยวมาถึงจะจับตีตูดเสียให้เข็ด”ชาร์ลส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ไม่ตอบโต้อะไรอีก เค้าได้เรียนรู้แล้วว่าการจะตัดบทกับพี่ชายจอมกวนได้คือต้องเงียบและไม่ตอบโต้ใดๆ เดียวอีกฝ่ายจะรามือไปเอง แต่บ่อยครั้งที่เป็นเค้าเองที่อดจะต่อปากต่อคำไม่ได้

“โตแล้ว ใครจะไปยอมพี่ละไอ้เชี่ยพี่อั๋น”เป็นอีกครั้งที่เค้าเผลอพึมพำออกมาจนอั๋นคิดว่าเป็นการต่อปากต่อคำกับพี่ชายสุดกวนอย่างเค้า

“บอกตั้งกี่ครั้งแล้วเปี๊ยกว่าให้เรียก โอลิเวอร์ มาเรียกอั๋นอะไรเช้ยเชย”นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ชาร์ลรู้สึกหมั่นไส้ ก็พอเข้าใจว่าการใช้ชีวิตในต่างประเทศ อาจต้องมีชื่อที่ให้เพื่อนๆ เรียกได้ง่ายๆ แต่กับเค้าที่รู้จักและคุ้นเคยกับชื่อนี้ ยังจะมาบังคับให้เรียกแบบนี้อีก

“หน้าตาก็ไม่ได้ฝรั่งสักนิด ทำมาเป็นให้เรียกชื่อฝรั่ง”คนตัวเล็กทำแลบลิ้นปลิ้นตากวนอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าอีกคนคงทำอะไรเค้าไม่ได้อยู่แล้ว อั๋น หรือตอนนี้ ใครๆ ที่รู้จักต่างก็เรียกว่าโอลิเวอร์ อยากจะยื่นมือเข้าไปในจอแล้วบิดแก้มอีกคนให้หายหมั่นเขี้ยวเสียให้ได้ แต่ก็เพียงคิดได้ในใจ กะว่าเจ้าเด็กแสบนี่มาเมื่อไหร่ได้โดนดีแน่ๆ

“จะไปไหนก็ไปสักทีสิวะ ไอ้โอลิเวอรรร์”แอชตั้นผลักเพื่อนสนิทออกอย่างรำคาญพร้อมแกล้งทำเสียงเรียกชื่ออย่างจงใจเน้นคำเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัว อั๋นยอมหลบออกจากหน้าจอ แต่ก็ชี้หน้าจอคาดโทษอีกคนว่าถ้าเจอกันต้องโดนดีแน่ๆ

ทั้งแอชตั้นและชาร์ลอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มดีใจของอีกคนที่เดิน ออกจากห้องมา รอยยิ้มที่เจ้าตัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ายิ้มกว้างขนาดไหน เค้ารู้ตัวว่าตัวเองไม่ใช่พี่ชายคนโปรดของน้อง เหมือนอย่างแอชตั้น นั่นทำให้เค้าได้แต่คอยปากเสีย และพูดจากวนประสาทแทรกไปเวลาสองพี่น้องนั่นคุยกัน แต่ที่ทำไปทั้งหมดก็เพราะเอ็นดู แล้วน้องก็น่าแกล้งน้อยเสียเมื่อไหร่

“เดี๋ยวเจอกันนะไอ้เปี๊ยก”







END


แวะเอาบทพิเเศษที่เคยแต่งไว้มาลง

จริงๆ มันเป็นโครงการที่เคยตั้งใจเอาไว้ว่าจะดึงตัวละครรุ่นลูกๆ จากแต่ละเรื่องมาแต่งเป็นเรื่องยาว

แต่ยังไม่มีเวลา เลยตัดมาได้แค่สั้นๆ เหมือนเป็นบทนำเกริ่นไว้ก่อน ไว้เคลียร์เรื่องที่ค้างๆ อยู่ จบเมื่อไหร่ก็จะหยิบมาแต่งต่อ

ส่วนตัวละครรุ่นลูกที่จะหยิบมาใช้ก็จะมี

อั๋น/อิ๋ง สองพี่น้องฝาแฝดลูกๆ ของโอเล่ จากเรื่อง ระหว่างเราคือ...??? เรื่องนี้
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0

นอกจากนี้สองแฝดก็เคยไปป่วนในตอนจบของเรื่อง (ไม่)รักได้ไง มาด้วย
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0

ชาร์ล/ปอร์โต้ ลูกชายฝาแฝดของชาร์ปกับปาร์ตี้ จาก ผิดที่ใคร?
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0

แล้วก็สุดท้ายคือแอชตั้น ลูกชายที่ ข้าวฟ่างเลี้ยงดูมา จากเรื่อง พี่น้องข้าว
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0

ถ้าใครอยากรู้ที่มาที่ไปของเด็กๆ แต่ละคนก็ลองอ่านเรื่องเก่าๆ ดูได้ครับ

หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ [24-10-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 24-10-2017 21:03:24
รออ่านเรื่องยาว...ปูเสื่อรอ..ออออ  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ [24-10-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 25-10-2017 15:11:08
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [จบแล้ว] ระหว่างเราคือ...??? บทพิเศษ เรื่องของเด็กๆ [24-10-2017]
เริ่มหัวข้อโดย: norita_boyV2 ที่ 17-11-2017 16:37:47
Norita_Boy
norita_boyV2

ฝากนิยายด้วยนะครับ

เรื่องที่จบแล้ว

เรื่องที่ 1 : 45 วันพนัน(ไม่)รัก

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44636.0
เรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในมหาวิทยาลัยที่คิดเกมพนันให้เพื่อนที่เหมือนจะไม่ชอบเกย์
ให้มาอยู่ร่วมห้องกับเพื่อนที่เป็นเกย์ กติกาคือถ้าภายใน 45 วันถ้าทั้งคู่ตกหลุมรักกันก็จะแพ้
แต่ถ้าไม่รักกัน เพื่อนๆ ก็จะเป็นฝ่ายชนะ แนวสบายๆ

เรื่องที่ 2 : ระหว่างเราคือ...???

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44196.0
เรื่องราวความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนผัวพันกันจนยากที่จะแก้ไข สุดท้ายมันก็พันกัน
จนกลายเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ อีกคนชัดเจนในความรู้สึกแต่ก็โอนอ่อน
ผ่อนตามอีกคนที่ไม่ชัดเจน จนดึงคนอื่นเข้ามาในวังวน ทุกคนตัดสินใจทำ
และมองแค่ในมุมของตัวเองจนเหมือนต่างคนต่างเห็นแก่ตัว
ค่อนข้างจะดราม่า หน่วงๆ พอสมควรกับเรื่องราว 1 หญิง 2 ชาย

เรื่องที่ 3 : (ไม่)รักได้ไง

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44195.0
เพื่อนสนิทในอดีตที่ไม่ได้ติดต่อกันมานาน ได้บังเอิญกลับมาเจอกันอีกครั้ง
ความรู้สึกที่ไม่เคยบอกกับอีกฝ่าย ได้เข้ามาเติมเต็มชีวิต และต้องพยายามพิชิตใจ
ของอีกคน เป็นแนวสบายๆ ที่ให้เห็นความต่างจาก เรื่อง ระหว่างเราคือ...???
และมีตัวละครจากอีกเรื่องโผล่ มาด้วยนิดหน่อย เพื่อให้เห็น
ข้อผิดพลาดในการตัดสินใจของตัวเอง

เรื่องที่ 4 : เปลี่ยนไป(หรือเปล่า)

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=44051.0
เรื่องราวของคู่รักที่มีบางอย่างไม่เข้าใจกัน เป็นเรื่องสั้นๆ เนื้อหาไม่มากนัก
เรื่องราวเล่าความสัมพันธ์ในอดีตสลับกับเหตุการณ์ 1 วันในปัจจุบันที่ทั้งคู่
ต้องเผชิญ

เรื่องที่ 5 : ผิดที่ใคร? Right or Wrong

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54094.0
จุดเริ่มต้นจาก Sex Friends ที่ทั้งคู่ต่างเห็นตรงกันว่าจะไม่ผูกมัด และจะหยุด
หากอีกฝ่ายคิดที่จะมีความสัมพันธ์ที่จริงจัง หรือมีใครคิดเกินเลย
และด้วยความที่คนนึงชัดเจนว่าจะใช้ชีวิตในแบบ ช-ช แต่อีกคนยังมี
ความฝันที่จะแต่งงานมีลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ช่วงแรกๆ จะยัง
สบายๆ ช่วงหลังๆ ค่อนข้างอึดอัด อึมครึมจนเกือบจบ

เรื่องที่ 6 : คำตอบที่ว่างเปล่า

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=54742.0
เรื่องราวของชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองขาดความรักจากครอบครัว
ครอบครัวที่ดูเหมือนจะเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่แล้วคืนนึงที่โดนทำร้าย
จนหมดสติไป เค้ากลับตื่นขึ้นมาในอดีต ที่ย้อนไปกว่า 100 ปี บางอย่างที่
พาเค้าไป กำลังต้องการบางอย่างจากเค้า เรื่องราวจะไม่ได้ดำเนิน
ในพาร์ทอดีตทั้งหมด มีเรื่องราวของการทำบาป กรรม ผูกเข้ากับเนื้อเรื่อง
เล็กน้อย


เรื่องที่ 7 : High School Neighbor มัธยมปลายกับพี่ชายข้างบ้าน

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60703.0
เรื่องราวของชายหนุ่มวัยเบญจเพศที่ยังไม่เคยมีแฟน และยังเวอร์จิ้น
ชีวิตต้องเดินตามกรอบของครอบครัวที่ตีไว้มาตลอด เลยลองย้ายออกมาเช่าบ้าน
อยู่คนเดียวเป็นเวลา 1 ปี เพื่อใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากเป็น แต่ก็ต้องปวดหัว
เมื่อต้องมาเจอกับเพื่อนบ้านเป็นเด็ก ม.ปลาย ที่สุดแสนจะกวนประสาท



เรื่องที่กำลังออนแอร์


เรื่องที่ 1 : Grain Brothers พี่น้องข้าว

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=60918.0
เรื่องราวของสองพี่น้องคนละสายเลือดแต่เติบโตมาพร้อมกับ แต่แล้ว
วันนึงทั้งคู่ก็ต้องสูญเสียครอบครัวไป จนต่างคนต่างเหลือตัวคนเดียว
รวมทั้ง จุดหมายในชีวิตที่ต่างกันทำให้ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิตกันคนละทิศละทาง
โดยมีข้อตกลงที่จะมาเจอกันปีละ 1 ครั้งในช่วงเวลาที่สูญเสียครอบครัว
เพื่อเป็นการรำลึกถึง และเพื่อใช้เวลาร่วมกัน

เรื่องที่ 2 : Drunk in Love

http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=63814.0
เรื่องราวของคนสองคนที่รู้จักกันเพราะความบังเอิญ และค่อยๆ เรียนรู้กันผ่านแอลกอฮอล์




ฝากลองติดตามกันด้วยนะครับ
 o13
[/b]