พิมพ์หน้านี้ - [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Natsukairi ที่ 20-06-2015 19:44:04

หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 20-06-2015 19:44:04
***************************************************************************************

ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0
 
***************************************************************************************




  Fanpage : Natsukairi  (https://www.facebook.com/natsukairi)



------------------------------------------------------------------------------------------



นิยายของ Natsukairi


เรื่องยาว
หลังสวนดอกท้อ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3098937#msg3098937)

เรื่องสั้น
♥ เลนนี่ กับ หนุ่มอังกฤษบ้านตรงข้าม ♥
 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61326.msg3680215#msg3680215)





------------------------------------------------------------------------------------------




สารบัญ

ปฐมบท (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3098937#msg3098937)

ดอกท้อที่๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3100202#msg3100202)

ดอกท้อที่๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3101450#msg3101450)

ดอกท้อที่๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3102286#msg3102286)

ดอกท้อที่๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3103453#msg3103453)

ดอกท้อที่๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3107880#msg3107880)

ดอกท้อที่๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3109168#msg3109168)

ดอกท้อที่๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3110223#msg3110223)

ดอกท้อที่๘ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3112444#msg3112444)

ดอกท้อที่๙ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3114762#msg3114762)

ดอกท้อที่๑๐ (ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3117875#msg3117875)
 
ดอกท้อที่๑๐ (ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3121241#msg3121241)

ดอกท้อที่๑๑ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3124320#msg3124320)

ดอกท้อที่๑๒ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3128826#msg3128826)

ดอกท้อที่๑๓ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3138506#msg3138506)

ดอกท้อที่๑๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3142119#msg3142119)

ดอกท้อที่๑๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3145250#msg3145250)

ดอกท้อที่๑๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3148816#msg3148816)

ดอกท้อที่๑๗(ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3158558#msg3158558)
ดอกท้อที่๑๗(ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3176476#msg3176476)

ดอกท้อที่๑๘(ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3187957#msg3187957)
ดอกท้อที่๑๘(ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3251208#msg3251208)

ดอกท้อที่๑๙(ครึ่งแรก) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3268730#msg3268730)
ดอกท้อที่๑๙(ครึ่งหลัง) (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3425030#msg3425030)

บทส่งท้าย  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3428936#msg3428936)










ตัวละครหลัก




หย่งคัง (จางเฟยหลง)


คุณชายเล็กตระกูลจางผู้อ่อนแอ กลับเติบโตเป็นหนุ่มใหญ่มาด้วยความรัก

และความเอาใจใส่จาก หลี่ซื่อหลาง พี่ชายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือด

ความรักของครอบครัวที่กลับกลายเป็นความเสน่หาที่ไม่อาจห้ามใจ

เขาสัญญากับตนเองว่าจะไม่เป็นแค่น้องชาย เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง

หย่งคังจะเป็นที่พึ่งพาให้ซื่อหลางไปตลอดชีวิตเอง!





หลี่ซื่อหลาง

ชายขายน้ำเต้าหู้ผู้เปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน

เขาได้รับเลี้ยง หย่งคัง เป็นน้องเล็ก รักและดูแลมาตลอดสิบปี

หากวันหนึ่งทุกอยากกลับพังทลาย คนที่รักดั่งแก้วตาดวงใจกลายเป็นคนไกลไม่อาจเอื้อม

สัญญาที่เคยให้ไว้แต่ก่อน บัดนี้ไม่มีความหมาย?





------------------------------------------------------------------------------------------






ปฐมบท

หากรู้สึกเจ็บปวด คนเราก็มักจะร้องไห้

นั่นเป็นสัญชาตญาณทั่วไปของมนุษย์

อย่างตอนที่ลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรก เหนือสิ่งอื่นใดทารกก็จะแผดเสียงร้องไห้จ้าให้ดังที่สุดเท่าที่จะดังได้ หรือแม้นยามที่ร่างกายเป็นแผล ยามที่จิตใจบอบช้ำ คนเราก็จะหาทางระบายความเจ็บปวดเหล่านั้น อย่างเช่นร้องไห้ออกมา เห็นหรือไม่ว่าร้องไห้น่ะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาก



แต่คงไม่ใช่สำหรับ จางเฟยหลง

แม้อยู่ในวัยเพียงห้าปีเศษ แต่สามัญสำนึกคิดกลับไม่เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่อยู่ในวัยเดียวกัน

เวลาเจ็บปวด ก็ห้ามร้องไห้

ถึงถูกถีบจนล้ม ตบหน้าหัน แม้เสียงร้องสักแอะยังไม่เล็ดรอดหลุดจากปาก

…เปล่าเลย จางเฟยหลงไม่ได้เข้มแข็งหรือเก่งกาจเกินเด็กมาจากไหนหรอก แต่เด็กชายเรียนรู้อยู่อย่างหนึ่งว่าทุกครั้งที่ ซูเม่ย มารดาที่ให้กำเนิดกำลังด่าทอหรือทุบตีเขา หากร้องไห้ รังแต่จะทำให้เจ็บตัวกว่าเก่า อาจถึงขั้นใช้อุปกรณ์อื่นทำร้ายร่วมด้วย เท่านี้เนื้อตัวของเขาก็แตกเลือดซิบจนไม่หลงเหลือที่ว่างแล้ว

ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุประการใด ย่อมไม่ได้มีเพียงมารดาเท่านั้นที่จงเกลียดจงชังเขา

จางเฟยฉี และจางเฟยเจิน พี่ชายฝาแฝดสายเลือดเดียวกันที่เกิดก่อนเด็กชายเพียงสองปี พวกพี่ๆ มักจะหาโอกาศดีๆ ในการกลั่นแกล้งเขาได้เสมอ ยามที่เขารวบรวมความกล้าโต้ตอบ น่าแปลกใจที่ทุกครั้งจางเฟยหลงจะเป็นฝ่ายผิดและถูกลงโทษ 

แม้กระทั่ง เลี่ยงหวง บิดาผู้บังเกิดเกล้ายังเพิกเฉยต่อการกระทำเหล่านั้น เอาหูเอานา เอาตาไปไร่ ราวกับลูกชายคนสุดท้องผู้ไม่ได้ดั่งใจเป็นแค่อากาศธาตุ ไม่สามารถฝากความหวังของตระกูลจางได้

ยิ่งเมื่อตระกูลจางเป็นคู่ค้าขายรายสำคัญของวังหลวง ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษที่ยึดอาชีพการส่งออกผักผลไม้เป็นธุรกิจหลักหล่อเลี้ยงทุกคนในครอบครัว มีไร่ผลผลิตกว้างใหญ่ไพศาลอยู่แถบเขตชายแดน ไกลออกไปหลายพันลี้ เป็นสถานที่ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นดินกลิ่นหญ้า แสงแดดและทิวทัศน์ธรรมชาติที่ไม่สามารถหาดูได้จากในเมืองหลวง

แต่นั่นคงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใดกับจางเฟยหลง

เด็กหนุ่มผู้ถูกทอดทิ้งให้อยู่แต่ในเรือนเล็กเก่าๆ โทรมๆ ด้านหลังสวนดอกท้อ เขาไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าเรือนใหญ่ด้วยซ้ำ  หากไม่ได้ขอนางซูเม่ยเสียก่อน

แม้ยังเด็ก จางเฟยหลงก็รู้ว่าตนเป็นคนที่ครอบครัวไม่รัก

และเพราะยังเด็ก จึงไม่อาจเข้าใจว่าทำไมถึงได้ไม่มีคนรักเช่นนี้…


-------------------------------------------------------------


“เฟยหลง!”

เสียงฝีเท้าตึงตังดังจากทางเดินจนหยุดลงที่หน้าบานประตูเก่า ผู้มาเยือนยามวิกาลกระแทกประตูเปิดออกอย่างแรงจนบานพับหัก เงาร่างสะโอดสะองสืบเท้าเข้ามาใกล้

เพียะ!

คราวนี้จางเฟยหลงถึงกับตื่นเต็มตัว ร่างเล็กกระเด็นตกจากเตียงด้วยแรงตบฉาดเข้าที่ใบหน้า

“เจ้าเป็นคนเอา เจ้าสิ่งนี้ ไปไว้บนเตียงข้าใช่มั้ย!”

ยิ่งพูด นางซูเม่ยก็ยิ่งเลือดขึ้นหน้า ไม่รอฟังคำแก้ตัวจากลูกคนเล็ก ลงมือฟาดเอาๆ จนอีกฝ่ายแนบศีรษะลงกับพื้นสกปรกขอร้องไม่ให้ลงมือต่อ แม้จะไม่มีเสียงร้องไห้ แต่ร่างที่สั่นงกๆ แสดงให้เห็นว่ายอมทุกอย่างแล้ว

“ท…ท่านแม่…ลูกทำอะไรผิด…”

“เจ้ากล้าดียังไง! หา!” นางซูเม่ยขยำกลุ่มเส้นผมดำของร่างเล็กที่หมอบลงแทบเท้านาง “เจ้าวางแผนแอบย่องเข้าเรือนใหญ่เพื่อล้างแค้นข้าใช่หรือไม่!”

“…ท่านแม่…ข้าไม่ได้ทำอะไร”

“อย่ามาไขสือ!”

นิ้วเรียวจิกหนังศีรษะอีกฝ่ายจนเลือดซิบ สีหน้าเจ็บปวดของจางเฟยหลงไม่ได้บรรเทาความโกรธแค้นเคืองของนางลงได้

“หลักฐานเห็นอยู่ทนโท่!”

“ข้าไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ท่านแม่ โปรดเมตตาลูกด้วย”

“ยังมีหน้ามาขอความเมตตาจากข้าอีก! ไอลูกทรพี!”

ว่าแล้วก็ตบอีกสักฉาด “เจ้าเอาซากกระต่ายบ้านี่ไปไว้ใต้หมอนข้าทำไม!”

เหมือนได้ยินเสียงระเบิดในหัว จางเฟยหลงเงยหน้าขึ้น ปรับสายตาให้ชินกับความมืดเพราะห้องไม่ได้จุดตะเกียง

 “ท่านแม่…ท่านหมายความอย่างว่าไร?”

ตุบ

“ผลงานของเจ้าไม่ใช่หรือ! ดูเสียให้เต็มตา!”

มารดาโยนบางอย่างลงตรงหน้าเด็กหนุ่ม เขาเพ่งมองและคลำมันด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ภาวนาไม่ให้เป็นอย่างที่คิด มือไม้ยังคงสั่นระริก  หากไม่ฟั่นเฟืองจนเกินไป จางเฟยหลงจำได้ดีว่า เจ้าสิ่งนี้ มันคืออะไร

“…กระต่ายผิงผิงของข้า” …ไม่หายใจแล้ว

“เจ้าเด็กใจอัปลักษณ์! เจ้ากล้ามากที่เอามันมาแกล้งข้า!”

ทั้งฝ่ามือและเท้าระดมโถมใส่คนตัวเล็กที่กอดร่างกระต่ายไร้วิญญาณไว้ในอ้อมอกแน่น แม้ตนจะล้มตึงลงไปกับพื้นให้มารดาทุบตีสมใจ เจ้าตัวก็ยังขดเป็นก้อนกลมไม่ให้สะเทือนถึงสิ่งไร้ชีวิตที่ต้องการจะปกป้อง

เห็นแบบนี้ นางซูเม่ยจึงถือโอกาสระบายอารมณ์ที่สามีไม่ค่อยกลับเรือน บวกกับความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ที่สะสมมาเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อนใส่เด็กหนุ่มตรงหน้าจนสาแก่ใจ

“พอ…พอเถิด ท่านแม่” กระทั่งเลือดไหลออกปาก จางเฟยหลงถึงได้เอ่ยเสียงแผ่ว “ข้า…เจ็บ ได้โปรดพอเถิด”

“เจ้าจะทำแบบนี้อีกหรือไม่!”

ข้าไม่ได้ทำอะไร ผิงผิงของข้า…

“ตอบข้ามาสิ!”

“…ไม่ทำ ข้าไม่ทำแล้วท่านแม่ เมตตาลูกด้วย”

“หึ!”
นางซูเม่ยกระแทกฝ่าเท้าอย่างแรงที่กลางลำตัว กระชากหัวเด็กหนุ่มกระแทกกับพื้นครั้งสุดท้ายด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม

“อย่าให้ข้าโมโหอีกนะ เว้นเสียแต่เจ้าอยากจะมีสภาพเหมือนกับกระต่ายอัปลักษณ์นี่!”

มารดาจากไปไม่แม้จะเหลียวกลับมามอง ลมหายใจของร่างเล็กที่แน่นิ่งกับพื้นช่างอ่อนโรยริน เด็กหนุ่มพยายามกอบโกยอากาศหายใจ

...อากาศที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดทั้งจากกระต่ายผิงผิงและตัวเขาเอง



-------------------------------------------------------------




บ่ายนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องจางเฟยหลงเลยแม้กระทั่งน้ำเปล่า

สาวใช้ที่ปกติจะนำถาดอาหารมาให้เขาอย่างตรงเวลาทุกสามมื้อ วันนี้กลับหายไป เมื่อไม่ได้กินข้าว ซ้ำร้ายตัวยังร้อนเหมือนไฟเผา รอยแผลจากเหตุการณ์เมื่อคืนอักเสบน่ากลัว เด็กหนุ่มไม่มีแรงจะลุกจากเตียงด้วยซ้ำ ขนาดร่างไร้วิญญาณกระต่ายผิงผิงที่เริ่มส่งกลิ่น เขายังไม่อาจพามันไปฝังไว้หลังสวนดอกท้อได้อย่างที่ใจหวังเลย

ขอโทษนะผิงผิง เรามันใช้ไม่ได้ เป็นเจ้าของที่แย่…

จางเฟยหลงได้แต่นอนโทษตัวเอง

เด็กหนุ่มรู้ดีว่าหากไม่ใช่เพราะตนแข็งข้อไม่ยอมยกสัตว์เลี้ยงให้จางเฟยฉีและจางเฟยเจิน พี่ชายฝาแฝดของเขาโยนเล่นต่างลูกบอลดีๆ เมื่อวันก่อนนู่น  บางทีชะตากรรมของผิงผิงอาจไม่จบลงแบบนี้ก็ได้

บางที พี่ชายทั้งสองคงไม่เอากระต่ายผิงผิงของเขาไปฆ่า แล้วแอบเอาไปไว้ใต้หมอนของมารดา

บางที  มารดาอาจไม่โมโหจนเข้ามาถึงเรือนเล็กที่นางว่าสกปรกนักหนาเพื่อทุบตีเขาอย่างรุนแรง

ถึงอย่างนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่สามารถทนเห็นสัตว์เลี้ยงของตนเป็นลูกบอลให้ใครเล่นสนุกอยู่ดี

หรือบางที…ตายอาจจะดีกว่าอยู่อย่างทรมานกันนะ….




-------------------------------------------------------------






Talk : สวัสดีค่าาาา สมาชิกใหม่รายงานตัว Natsukairi เองจ้า!
อ่านว่า นัท ซึ ไค ริ นะตัวเอง!
วันนี้ขอมาเปิดเรื่องใหม่แนวจีนโบราณที่เพิ่งแต่งสดๆ ร้อนๆ
แนวดร่ามา ชีวิตแสนรันทด พ่อแม่ไม่ฮัก คนรักยังไม่ปรากฏตัว ฮ่า!
แล้วใครพระเอกนายเอกกันล่ะนี่ เรื่องมันเป็นมายังไง
จะจบสวยไม่สวยอันนี้มารออ่านตอนต่อไปดีกว่าเนอะ
ยังไงก็ฝากเรื่อง หลังสวนดอกท้อ ด้วยนะคะ!
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ] ปฐมบท
เริ่มหัวข้อโดย: Pinkish ที่ 20-06-2015 19:53:35
เปิดเรื่องมารันทดแท้ นายเอก  :เฮ้อ:

รอติดตามนะคะ  o13
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ] ปฐมบท :: UPDATE 20.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 20-06-2015 21:58:13
สงสารทั้งเฟยหลงและกระต่ายเลยอ่า T^T
รอตอนต่อปาย~
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ] ปฐมบท :: UPDATE 20.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 20-06-2015 22:03:30
 :z3: น้องต่าย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ] ปฐมบท :: UPDATE 20.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 20-06-2015 23:15:53
  :z3:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 21-06-2015 20:09:00
** ก่อนอื่นขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามนะค่าาาา **






ดอกท้อที่ ๑


จางเฟยหลงในวัยแปดขวบกำลังนั่งกอดเข่าตัวเองเงียบๆ บนชานเรือนเล็ก

เหงา…

แต่ก็ทำได้แค่เงี่ยหูแอบฟังเด็กคนอื่นๆ ในละแวกเล่นสนุกกันอยู่ข้างนอกกำแพงสวนดอกท้อแห่งนี้ แม้แท้จริงอยากออกไปเล่นด้วยใจจะขาด หากเด็กหนุ่มไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากเขตรั้วกั้นของบ้านตระกูลจางนับตั้งแต่จำความได้ ตอนนี้ก็เช่นกัน กฏข้อนั้นกำหนดไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะ

“ส่งมาทางนี้สิเว้ย!”

“พี่ลี่ถิง! ส่งมาทางข้าเร็ว!”

“หึ่ย! เจ้าก็อย่าขวางทางข้าสิ”

ท่าทางสนุกสนานกันใหญ่เชียว ถึงไม่ได้เล่น แต่คนฟังก็นั่งวิเคราะห์แยกแยะเสียงตะโกนและเสียงฝีเท้าเล่นๆ ดู เดาว่าคงมีจำนวนคนอยู่ประมาณสามสี่คนกระมัง

เฟี้ยววว ตุบ

จางเฟยหลงสะดุ้งเล็กน้อย ลูกบอลไม้สานสภาพบ่งบอกอายุการใช้งานยาวนานกลิ้งหลุนๆ ตกลงที่พื้นสนามสวนดอกท้อ ห่างจากตำแหน่งชานเรือนที่เขานั่งอยู่ไม่เท่าไหร่ เสียงถกเถียงดังขึ้นหลังจากนั้น

“ไอหยา! ลูกบอลข้า” น้ำเสียงสั่นระริก

“ทีนี้ใครจะเข้าไปเก็บลูกบอล?”

“หยงเทียน ลูกบอลเจ้า เจ้าไปสิ!”

“เรื่อง!” คนโดนโบ้ยแหวลั่น “ยัยป้าตระกูลนี้ดุเสียยิ่งกว่า เจ้าสำลี เป็นไหนๆ เรื่องอะไรข้าจะเข้าไปให้นางเล่นงาน?”

คนฟังจากอีกด้านของกำแพงกั้นสวนไม่อาจคาดเดาได้ว่า เจ้าสำลี ที่คนผู้นั้นพูดถึงคืออะไร แต่เดาว่าคงไม่ใช่อะไรที่สามารถพูดคุยกันรู้เรื่องเป็นแน่

“งั้นเอางีั้ พี่ลี่ถิง ในฐานะที่ท่านอายุมากสุด…”

“เกี่ยวอันใดกัน!” อีกคนก็ปฏิเสธทันควัน ไม่เปิดโอกาสให้ฝ่ายพูดสานต่อจุดประสงค์

“ข้ายังพูดไม่จบ! เถอะ ข้าก็ไม่เข้าไปนะ บอกเลย”

“แต่เจ้าเป็นคนเตะเข้าไปไม่ใช่หรือ น้องตงตง” ลี่ถิง ผู้ที่อายุมากสุดในกลุ่มได้โอกาสยิ้มเยาะ ฝ่ายโดนแหย่มองขวับตาเขียว

“ลองเรียกข้าแบบนั้นอีกทีสิ!” 

“โธ่ๆ น้องฟานตง เจ้าเป็นญาติผู้น้องที่แสนกล้าหาญของข้า ดูหน้าหยงเทียนมันด้วย จะร้องไห้ขี้มูกโป่งแย่แล้ว”

หยงเทียนที่ได้ยินเช่นนั้นก็เล่นละครตามที่พี่ลี่ถิงกล่าวพรรณามา ขอคาราวะพี่ใหญ่ ท่านช่างปัญญาประเสริฐหาใดเปรียบ หยงเทียนรำพึงรำพันกับตัวเองเงียบๆ ในใจ แสร้งทำหน้าเหยเกจะร้องไห้เสียสมจริง ฟานตงถึงขนาดยอมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ปากพร่ำบ่นไม่หยุด

“ทีอย่างนี้ล่ะมานับญาติกับข้านะ! แล้วเจ้าก็ไม่ต้องร้องไห้ด้วย! หยงเทียน! หน้าตาตอนเจ้าร้องไห้ทำข้าสะอิดสสะเอียนดีแท้ มิหนำซ้ำตัวเจ้าก็ใหญ่กว่าข้า หมาเลียตูดไม่ถึงแล้วยังจะมา…หึ่ย! เออ! ข้าเก็บเองก็ได้!”

สูดลมหายใจฟืดฟาดราวกับอารมณ์เสียมาแต่ชาติปางก่อน ฟาดงวงฟาดงาไปทั่วขณะที่คนจากอีกฟากของกำแพงมองเห็นเค้าเงารางๆ ของเด็กชายแปลกหน้าที่กำลังปีนกำแพงรั้วอย่างทุลักทุเล

 “บ้าเอ้ย! กำแพงบัดซบนี่จะสูงไปเพื่อใคร!”

ดูเหมือนไม่ใช่คำถามที่อยากได้คำตอบเสียเท่าไหร่กระมัง…

“ฟานตง!”

“…พี่ซื่อหลาง!” คนปีนกำแพงชะงักราวถูกเสกเป็นหิน ก่อนตั้งสติได้ว่าตัวเองกำลังปีนกำแพงรั้วชาวบ้านต่อหน้าอีกฝ่ายอยู่ จึงได้รีบกระโดดตุบลงพื้นอย่างรู้งาน

“ข้า…เอ่อ…”

“พวกเจ้าสามคนเล่นอะไรกัน”

ผู้มาเยือนคนใหม่ซักถามเสียงเรียบ “ไหนบอกข้ามาสิ ฟานตง ลี่ถิง หยงเทียน พวกเจ้าดูแลกันอย่างไร ทำไมข้าถึงเห็นลูกลิงบางตัวขึ้นไปป่ายปีนบนกำแพงบ้านตระกูลจางได้”

“พี่ซื่อหลาง พวกข้าแค่จะเก็บลูกบอล” พี่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มแก้ต่าง

“หืม?”

“จริงๆ นะพี่ซื่อหลาง ฟานตงเตะมันเข้าไปตกหลังกำแพงนี่” หยงเทียนเสริมหน้าซื่อตามนิสัย ดันลืมไปว่าได้ขุดหลุมฝังเพื่อนเสียแล้ว

“ข้าไม่ได้ตั้งใจเสียหน่อย!”

“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกัน” หลี่ซื่อหลาง ยกมือห้ามทัพ “ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีก มันถือเป็นการบุกรุก ไม่เพียงเจ้าที่เดือดร้อน แต่พ่อแม่ของเจ้าเองจะนั่งก้นไม่ติดที่ ทางที่ดีอย่าสร้างเรื่องปวดหัวให้พวกท่านจะดีกว่า”

ทั้งสามพยักหน้าพร้อมเพรียง รอยยิ้มละไมแต้มลงบนริมฝีปากคนที่ได้อบรมน้องๆ

“ดีมาก จำที่ข้าสอนไว้” หลี่ซื่อหลางในวัยสิบแปดปีตบบ่าเด็กชายปุๆ “เรื่องลูกบอล ปล่อยเป็นหน้าที่ข้าเอง”

“จริงหรือ!”

เห็นจะเป็นเจ้าของลูกบอลที่ดีใจเสียจนออกนอกหน้า “ท่านพี่ซื่อหลางผู้ประเสิรฐ!” ถึงจะตัวเตี้ยกว่าหลี่ซื่อหลางนัก แต่ด้วยร่างใหญ่โตเกินเด็กวัยสิบสองปีที่โถมใส่อย่างจังก็ทำเอาร่างโปร่งเซแซดๆ ดีที่เขายังตั้งรับทัน ไม่เช่นนั้นคงได้ลงไปจูบธรณีเป็นแน่

“เลิกกอดพี่ชายข้าได้แล้ว!”

ฟานตงแทบจะถีบยอดหน้าเจ้าซื่อบื้อที่บังอาจลวนลามพี่ชายของตน หากไม่ได้พี่ใหญ่ที่ตั้งตัวเป็นหัวโจกในกลุ่มอย่างลี่ถิงดึงไว้เสียก่อน

“ขาเจ้าสั้น อย่าพยายามเลย”

“…!”

ถึงขาข้าจะสั้น แต่กระโดดถีบหน้าเจ้าถึงแน่! เจ้าตัวเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างแค้นใจ ไม่อาจพูดอย่างใจคิด เหตุด้วยฟานตงไม่อยากพูดหยาบคายต่อหน้าซื่อหลาง พี่ชายของเขา

“ว่าแต่ท่านจะเข้าไปเอาลูกบอลอย่างไร พี่ซื่อหลาง” ลี่ถิงเอ่ยถาม

“ข้าก็แค่เดินไปเคาะประตูน่ะสิ”

“ใจกล้าดีแท้!”


-------------------------------------------------------------


ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ

หากความประหม่าเล็กน้อยก็แสดงออกทางสายตาของหลี่ซื่อหลางอย่างปิดบังไม่อยู่

ชายหนุ่มร่างโปร่งผ่อนลมหายใจ สัญญาก็คือสัญญา คนเป็นพี่ชายไม่อยากทำให้น้องผิดหวัง ตัดสินใจคว้าห่วงเคาะประตูหัวสิงโต กระทบบานประตูไม้สักสีแดงสามครั้ง ดูเอาสิ แค่บานประตูรั้วบ้านยังยิ่งใหญ่เสียจนตัวเขาหดเล็กลงเหลือนิดเดียว

เพียงชั่วยามเดียว สาวใช้หน้าตาจิ้มลิ้มก็ปรากฏตัวขึ้น นางแง้มประตูออกเพียงเล็กน้อย แววตาใสซื่อมองผ่านทางช่องเล็กๆ อย่างพิจารณา

“มาหาใครเจ้าคะ?”

“สวัสดีแม่นางน้อย ตัวข้ามีนามว่าหลี่ซื่อหลาง น้องชายไม่ประสาของข้าเตะลูกบอลเข้าไปตกในอาณาเขตเรือนตระกูลจางเข้า จะเป็นไรหรือไม่หากข้าขอเข้าไปเก็บ”

สีหน้าลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวใส “ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยคนแปลกหน้าเข้าเขตเรือนเจ้าค่ะ”

“งั้นหรือ”

หลี่ซื่อหลางเม้มริมฝีปาก “ถ้าอย่างนั้น ลำบากเจ้าช่วยหยิบให้ข้าได้หรือไม่ แม่นางน้อย”

“แบบนั้นคงได้กระมังคะ” อีกฝ่ายพยักหน้า “น้องชายท่านทำตกไว้ที่ตำแหน่งกำแพงรั้วฟากใด ข้าจะได้ไปเก็บถูกเจ้าค่ะ”

“ฝั่งสวนลูกท้อน่ะ”

สาวใช้ชะงักเมื่อได้ยิน “น…แน่ใจหรือเจ้าคะ?”

“อืม”

“ข้า…” หลี่ซื่อหลางไม่อาจเข้าใจสีหน้ากระอักกระอ่วนของสาวใช้

“มีอะไรหรือ?”

“ข้าไม่แน่ใจ…”

“ไม่แน่ใจ?” คิ้วชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “ลูกบอลตกอยู่ที่สวนดอกท้อจริงๆ นะแม่นาง ข้าไม่ได้หลอกลวงอันใด”

“…ข้าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเพ่นผ่านแถวสวนลูกท้อเช่นกันเจ้าค่ะ”

หะ? ช่างเป็นเรื่องที่สร้างความฉงนให้แก่หลี่ซื่อหลางนัก กฏระเบียบห้ามเดินไปนู่นไปนี่ในเรือนของคนใหญ่คนโตชักทำให้ชายหนุ่มปวดเศียรเวียนเกล้าเข้าไปทุกที

“แล้วข้าควรทำเช่นไร?”

“ข้าเกรงว่าต้องเรียนเรื่องถึงฮูหยินเจ้าค่ะ”

คงหมายถึง แม่นางซูเม่ย สินะ

หลี่ซื่อหลางไม่ต้องการให้เรื่องใหญ่โต สุดท้ายจึงตัดใจเดินกลับบ้านมือเปล่า เอ่ยบอกตามความจริงกับน้องๆ สังเกตจากสีหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าผิดหวัง ยิ่งตอกย้ำความใช้ไม่ได้ของตัวเขา แม้ไม่มีใครกล่าวโทษ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้!

“ข้าขอโทษนะ หยงเทียน”

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ซื่อหลาง ก็แค่ลูกบอลลูกเดียว…”

“อย่าทำหน้าแบบนี้สิ เอาไว้ข้าซื้อลูกใหม่ให้ดีหรือไม่”

“ข้าไม่เป็นไร”

หยงเทียนพูดด้วยสีหน้าจะร้องไห้ ปากบอกไม่เป็นไรแต่ตัวสั่นจากแรงสะอื้น

แบบนี้จะให้เขาไม่รู้สึกผิดยังไงไหว?

จังหวะนั้น ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าฝ่ามือฟานตงจะตบฉาดเข้าที่หัวเพื่อนตัวใหญ่ชนิดไม่ยั้งมือดัง ผัวะ!



ทุกคนเงียบกริบ

“ข้าเจ็บนะ!” คนเจ็บตัวได้สติก่อน ตวัดตาแดงๆ มองค้อนฟานตง “เจ้าเป็นบ้าอะไรมาตบหัวข้าเนี่ย อยากตบก็ตบหัวตัวเองสิ!”

“งั้นข้าก็เจ็บน่ะสิ” ฟานตงยิ้มเผล่ ขยี้ผมสีน้ำตาลอ่อนของหยงเทียนแรงๆ “เลิกบีบน้ำตาได้แล้ว! มันไม่เข้ากับเจ้า พี่ซื่อหลางก็บอกแล้วไงว่าจะซื้อให้ใหม่ ไม่ดีหรืออย่างไร”

“ก็ดี…”

“ข้าไม่ได้ยิน” คนชอบแกล้งตีหน้าซื่อ

“ข้าบอกก็ดี!”

“พี่ชายข้าจะซื้อของให้ เจ้าบอกแค่ว่า ก็ดี เองเหรอ!”

“ประเสริฐอยู่แล้ว! ข้ารักพี่ซื่อหลาง”

ฟานตงทำหน้าตาดุเดือด “ข้าไม่ยกพี่ชายให้เจ้า!”

“เรื่อง! ไม่ใช่หน้าที่เจ้ามาตัดสิน”

เห็นเด็กต่างไซส์ทะเลาะกัน หลี่ซื่อหลางจึงรีบออกตัวห้ามทัพ “ฟานตง เจ้าก็เลิกแหย่หยงเทียนเสียที”

ด้านลี่ถิงเอาแต่นั่งทำขรึม หากกำลังพยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เด็กหนุ่มร่างยักษ์วัยสิบสองปีอาจดูซื่อบื้อโดยกำเนิด แต่ก็ไม่โง่จนมองไม่ออกว่าสถานการณ์เช่นนี้ช่างน่าขันนักสำหรับลี่ถิง

“ถ้าท่านอยากหัวเราะก็หัวเราะเถอะ กลั้นไว้ รังแต่จะทรมาน” หยงเทียนมีสีหน้าปลงตก

กระนั้นแล้ว เสียงหัวเราะของหลี่ซื่อหลางและลี่ถิงก็ดังขึ้นพร้อมกัน ถึงแม้หยงเทียนจะซื่อจนถึงขั้นบื้อ และฟานตงก็ขวานผ่าซากชนิดเป็นเอามาก

แต่ดูจากผลลัพธ์ที่ได้

ชายหนุ่มคาดว่าหยงเทียนคงไม่เศร้าเรื่องลูกบอลอีกต่อไป



-------------------------------------------------------------






To be continued...








Talk : ไม่อยากให้ดราม่าเกินไป คนเขียนเองก็ชักจะสงสารเฟยหลงซะแล้ว
ตอนนี้ตัวละครสร้างสีสันเริ่มเข้ามาแล้วนะคะ นิยายเบาเบาค่ะ เบาสมอง (ฮา)
อ่านแล้วมาแชร์ความคิดเห็นกันนะคะ นักเขียนเห็นแล้วมีแรงฮึดปั่นหน้ามืดเลยค่ะ!
รอติดตามตอนต่อไปด้วยนะค่าาาาา

หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 21-06-2015 20:30:45
หลี่ซื่อหลางเป็นพระเอกเปล่า?
ฟานตงกับหยงเทียน คู่นี้นี่น่าคิดนะ 555  :hao6:
รอตอนต่อไปค่า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: bmbeii ที่ 21-06-2015 22:47:16
ชอบแนวนี้มาก เป็นกำลังใจให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 21-06-2015 22:49:19
น้ำตาจิไหล มามะ มาให้พี่กอดปลอบใจนะเฟยหลง

ปล. คำว่าเด็กหนุ่มไม่ค่อยเหมาะกับเด็ก 5 หรือ 8 ขวบนะ ใช้เด็กน้อย หรือเด็กชายน่าจะดีกว่า
ตอนอ่านเจอครั้งแรกนึกว่าเฟยหลงอายุ 15
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Paper Doll ที่ 21-06-2015 23:33:04
มันมาม่ามากเลย จะจบสวยไหม
จะได้ทำใจไว้ก่อน  :hao5:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Sugar_Halloween ที่ 21-06-2015 23:51:38
ดราม่าระทมจิต ติดตามงับ o7
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑ :: UPDATE 21.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Ellette ที่ 22-06-2015 00:16:40
เข้ามาเพราะเห็นชื่อกับนิยายแนวนี้ด้วย ถูกใจมากกก :katai2-1:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๒ :: UPDATE 22.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 22-06-2015 21:17:54
**ขอบคุณทุกความคิดเห็นและกำลังใจค่าาา**




ดอกท้อที่ ๒




พระอาทิตย์เริ่มตกดิน แววตากลมใสยังจดจ้องอยู่ที่ลูกบอลไม้สานมาหลายชั่วยามแล้ว

รอแล้วรอเล่า ถึงอย่างนั้นก็ไร้วี่แววของผู้เป็นเจ้าของ จากตอนแรกที่ทำท่าจะปีนข้ามกำแพงมา ใจของจางเฟยหลงเกิดอาการเต้นไม่เป็นจังหวะ เพราะไม่เคยเจอคนแปลกหน้า ทั้งตกใจ ดีใจ แล้วก็ประหลาดใจในเวลาเดียวกัน หากทุกอย่างกลับสลายวับไปเมื่อใครบางคนสั่งให้เด็กชายที่ปีนกำแพงปีนกลับลงมา

เกือบได้เจอเพื่อนใหม่แล้วแท้ๆ

ความเศร้าฉายแววในดวงตากลม การเจอคนใหม่ๆ นับเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสำหรับจางเฟยหลง เพราะวันๆ เขาได้แต่เก็บตัวในเรือนเล็ก ไม่มีใครพูดหรือเล่นกับเด็กชาย ยกเว้นพี่ชายฝาแฝดที่แวะเวียนมาแกล้งเขาบ้างเท่านั้น

นั่นไม่นับเป็นเรื่องยินดีสำหรับเขาเท่าไหร่นัก

เสียงท้องร้องโครกครากดังขึ้นเรียกสติ จางเฟยหลงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่บ่าย สาวใช้มักจะนำถาดอาหารมาให้เขาไม่เป็นเวลาแล้ว มาบ้างไม่มาบ้าง แต่เด็กชายไม่สามารถเอาเรื่องนี้ไปอุทธรณ์กับใครได้ ไม่ต้องพูดถึงมารดาที่ไม่เคยเหลียวแลเขาเลย

หากไม่รัก อย่างน้อยก็เห็นเขาเป็นลูกบ้างก็ยังดี

นางซูเม่ยจะเข้ามาหาเด็กชายถึงเรือนเล็กก็ต่อเมื่อมีเรื่องให้ต้องใช้กำลังเท่านั้น เขาเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรต่อต้าน รอยแผลเป็นตามเนื้อตามตัวคอยย้ำเตือนให้จางเฟยหลงอยู่อย่างสมยอมมาตลอดเวลาแปดปี

“คุณชายเล็ก”

เสียงเรียกดังขึ้นจากทางด้านหลัง สาวใช้นำถาดอาหารวางลงกับโต๊ะเตี้ยกลางห้อง

“กลับเข้ามาข้างในเถิดเจ้าคะ เปิดประตูเรือนไว้เสียกว้าง นั่งตากลมเย็นนานๆ จะทำให้ไม่สบายเอา เกรงฮูหยินผ่านมาเห็นเข้าจะหาว่าดิฉันดูแลคุณชายเล็กไม่ดี”

“อืม”

ร่างเล็กตอบรับในลำคอ แต่สายตายังมองตรงไปที่สวนดอกท้ออย่างเหม่อลอย

“สวนดอกท้อมีอะไรน่าสนใจหรือเจ้าคะ”

“เปล่าหรอก” ร่างเล็กลุกจากชานเรือนเข้าไปด้านใน ไม่ลืมปิดประตูให้มิดชิดตามคำบอก ก่อนทิ้งตัวนั่งลงตรงหน้าถาดอาหารเย็นที่สาวใช้เอามาให้ เด็กชายก้มหน้าก้มตากินอาหารหน้าตาธรรมดาเย็นชืดอย่างไม่ปริปากบ่น กระทั่งกินเสร็จสาวใช้ก็นำถาดอาหารออกไปพร้อมกับนาง

เรือนเล็กกลับมาเงียบเหงาเหมือนเดิม

เสียงถอนหายใจเล็ดลอดออกจากปากเล็ก เจ้าตัวเปลี่ยนมานอนคุดคู้เป็นก้อนกลมตรงพื้นปูนเย็นเชียบ ยังดีที่อยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หากในฤดูหนาวคงต้องทรมานกว่านี้เป็นแน่ ผ้าปูเตียงเก่าๆ โทรมๆ ไม่ช่วยบรรเทาความเย็นเยียบถึงกระดูก ได้แต่หวังว่ามารดาจะนึกสงสารเขาบ้างก็เท่านั้น

หากตลอดแปดปีที่ผ่านมา ทำให้จางเฟยหลงเลิกหวังลมๆ แล้งๆ ไปนานแล้ว

คิดในแง่ดี อย่างน้อยๆ มื้อนี้เขาก็กินอิ่ม และไม่มีวี่แววของมารดาจะมาทำร้ายเขาในค่ำคืนนี้

…แต่จางเฟยหลงกำลังคิดผิดถนัด…



-------------------------------------------------------------



น้ำเย็นถูกสาดลงบนร่างที่นอนขดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่า เจ้าของร่างเล็กดีดตัวลุกจากเตียงที่มีสภาพเปียกโชกไม่ต่างอะไรกับเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่นัก

“อ้าว! ข้าไม่ทันเห็นว่าเจ้านอนอยู่” เสียงหัวเราะคิกคักทำให้จางเฟยหลงตาสว่าง “น้ำถูพื้นเรือนใหญ่สดชื่นดีหรือไม่”

มองออกไปนอกหน้าต่าง ฟ้ายังมืดอยู่เลย แสดงให้เห็นว่าคืนนี้ของเด็กชายไม่สงบสุขเหมือนอย่างเคย น้องเล็กย่นจมูกเมื่อรู้แจ้งถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์รอบๆ ตัวเขา เกรงว่าน้ำที่สาดลงมาจะเป็นน้ำถูพื้นอย่างที่อีกฝ่ายกล่าวมาไม่ได้เกินความเป็นจริงแต่อย่างใด

“พวกข้านอนไม่หลับ มาเป็นของเล่นให้ทีสิ”

จางเฟยฉี แฝดคนพี่กระชากร่างเล็กที่นั่งเงียบไม่หือไม่อือลงจากเตียง

เขาที่อายุมากกว่าสองปีจึงมีร่างกายที่แข็งแรงกว่า ผนวกกับได้กินอิ่มนอนหลับ และฝึกฝนร่างกายอยู่สม่ำเสมอ ต่างจากลูกคนเล็กในบ้านที่ข้าวก็กินไม่ครบมื้อ แถมมารดาก็ไม่ส่งไปร่ำเรียนเขียนอ่าน เสาะหาอาจารย์ช่วยฝึกฝนวิทยายุทธิ์เสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอย่างเด็กชายทั่วไป ความเป็นลูกผู้ชายที่เกิดมาช่างเสียเปล่าซะเหลือเกิน!

“พี่ใหญ่…อย่าทำอะไรข้าเลย”

“ของเล่นไม่มีสิทธิ์พูด!” จางเฟยเจิน แฝดคนน้องตบปากเด็กชายจนเลือดซิบ

ไม่มีเสียงร้องแม้แต่แอะเดียวจากจางเฟยหลง

พี่น้องฝาแฝดตระกูลจางเห็นข้อดีของมันตรงนี้ ถึงได้รุมกระทืบได้อย่างสมอารมณ์หมายโดยไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะร้องไห้คร่ำครวญปานใจจะขาด แบกหน้าฟกช่ำไปเรียกร้องขอความเห็นใจจากใคร มีก็เพียงเสียงสูดลมหายใจและเสียงโอ้ยเล็กๆ น้อยๆ ในบ้างครั้งเท่านั้น

“ข้าเจ็บ!”

ถึงจุดๆ หนึ่งที่จางเฟยหลงทนความเจ็บไม่ไหว เด็กชายจึงรวบขาข้างหนึ่งของจางเฟยฉีไว้แน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน “หยุดกระทืบเถิด ข้าทุกอย่างยอมแล้ว”

“ปล่อยสิวะ!”

จางเฟยฉีสะบัดขาข้างที่ถูกจับไว้รุนแรง แต่อีกฝ่ายกลับโถมตัวรัดเสียแน่นไม่ยอมปล่อย หางคิ้วแฝดคนพี่กระตุกรัวด้วยความโมโห

“จะไม่ปล่อยดีๆ หรือไม่!”

“กระทืบมันเลยพี่ใหญ่!”

จางเฟยเจินกล่าวสมทบ ช่วยกระทืบแขนที่กอดขาแฝดผู้พี่อย่างนึกสนุก นี่แน่ะ! นี่แน่ะ! แขนหักไปซะ คิดวางแผนจะทำให้ร่างเล็กเจ็บสาหัส ไม่สนใจเลือดที่ไหลซึมจากปากคนตรงพื้น

“อ้ากกกกก!”

หาใช่เสียงร้องของจางเฟยหลง แต่เป็นจางเฟยเจินที่ถูกเด็กชายตัวเล็กงับเข้าให้ที่ปลายเท้า ขณะตนใช้มันบดขยี้แขนซ้ายเล็กๆ กับพื้นอย่างสนุกสนาน นับเป็นเรื่องไม่คาดคิดสำหรับคนที่เข้าใจว่าคนระดับล่างอย่างน้องเล็กไม่มีปัญญาความสามารถจะเอาคืนอะไรตนได้!

“เจ้ากล้ากัดข้าหรือ ไอลูกขี้ข้า!”

ตวัดขาเข้าที่ใบหน้าเด็กชายจนสะบัดขวับไปตามแรงถีบ ร่างเล็กกระเด็นหลุดจากการเกาะขาจางเฝยฉีอย่างช่วยไม่ได้

“กล้าดียังไงมากัดข้า!”

เดินตามไปกระทืบซ้ำให้หายแค้นเคือง แฝดผู้พี่ช่วยกระชากกลุ่มผมสีดำให้เงยหน้าขึ้น รุมตบเสียจนแก้มบวมช่ำเป็นสีม่วง

“ยังจะกล้าอีกมั้ย! ยังกล้าอีกหรือเปล่า! ตอบข้ามาว่าเจ้าจะกล้าหือกับพวกข้าอีกหรือไม่!”

“ม…ไม่…แล้ว”

เสียงแผ่วเบาเอ่ยอย่างสั่นๆ ก่อนจะโดนจับหน้ากระแทกกับพื้นปูนสองสามครั้งจนโหนกคิ้วแตก รู้สึกชาหนึบไปทั้งตัว

“ดี! สำเหนียกไว้ว่าเจ้ามันไม่คู่ควรแม้แต่เศษขี้เล็บพวกข้า!” จางเฟยฉีสะบัดมือออกจากร่างเล็ก กลุ่มผมดำกระชากติดมือด้วยความตั้งใจ “แค่กระทืบเจ้า เท้าพวกข้าก็แปดเปื้อนเลือดขี้ข้ามากพอแล้ว! สกปรก!”

“ข…ข้าไม่ใช่ลูกขี้ข้า”

ก็บิดามารดาเดียวกับพวกท่าน เหตุใดใยจึงเกลียดชังข้านัก

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร!” จางเฟยเจินกระแทกเข้าที่ท้องเด็กชายเสียจนสำลักของเหลวสีแดงออกจากปาก งอตัวไอโครกๆ น่าสมเพช

“เจ้ามันลูกไอขี้ข้า!”

จางเฟยฉีในวัยสิบปีหัวเราะอย่างคนมีชัย ด้วยวัยที่ยังเด็ก ยามที่ได้ยินอะไรน่าสนใจมาจากเรือนใหญ่ ยิ่งเกี่ยวข้องกับน้องคนเล็กที่ตนได้รับการสั่งสอนจากมารดาให้เกลียดมาแต่ไหนแต่ไร จึงไม่รีรอจูงมือแฝดน้องมาหาเรื่องสนุกทำกันถึงเรือนเล็ก

“ข้าจะบอกให้เอาบุญ! ว่าจริงๆ แล้วเจ้าน่ะไม่ใช่ลูกของท่านแม่ด้วยซ้ำ!”

“…ไม่จริง!”

แม้จะรู้ว่ามารดาไม่รัก แต่ไม่เคยคิดว่าตนจะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของนางเลยสักครั้ง สิ่งที่แฝดผู้พี่พูดมาช่างเหมือนมีดกรีดหัวใจเขานัก “ท่านโกหก”

“เถอะ! พี่ใหญ่จะโกหกเจ้าไปทำไม”

รอยยิ้มหยันผุดขึ้นบนใบหน้าจางเฟยเจิน “พวกข้าได้ยินมากับหู ท่านแม่เกลียดเจ้าเพราะเจ้าเป็นลูกนางเมียน้อยที่เป็นขี้ข้าในเรือน เป็นแค่ที่ระบายความใคร่ให้ท่านพ่อ หมดประโยชน์ก็ถูกเขี่ยทิ้ง รับความจริงไม่ได้ก็ฆ่าตัวตาย ทิ้งเจ้าเป็นภาระให้ท่านแม่เลี้ยงดู!”

“ไม่จริงเสียหน่อย!”

“เรื่องจริง!” แฝดผู้พี่กระชากมือที่พยายามจะปิดหูตัวเองออก

แม้ไม่อยากเชื่อ แต่ลึกๆ จางเฟยหลงรู้ดีว่าตนคล้อยตามไปกับคำพูดเหล่านั้น ราวกับได้รับคำตอบที่ทำให้ทุกคำถามตลอดแปดปีที่ผ่านมากระจ่างชัด

คำถาม…ที่ทำไมบิดาถึงเพิกเฉยต่อเขา…

…ทำไมมารดาถึงจงเกลียดจงชังเขา…


“ฟังแล้วใบ้ไปเลยสิท่า!” จางเฟยเจินหัวเราะชอบใจ “ดูสิพี่ใหญ่ มันเป็นใบ้ไปแล้ว ฮ่าๆ ไอใบ้! ไอใบ้! ไอใบ้ลูกนังขี้ข้า!”

“เจ้าพูดได้ดี น้องรอง”

จางเฟยฉีตบบ่าแฝดผู้น้องที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายตนอย่างกับแกะ ก่อนจะหันไปหาร่างเล็กที่นอนตัวงองุ้มเข้าหากันอย่างน่าเวทนา

“รู้ความจริงแบบนี้แล้วก็ยอมเป็นของเล่นให้พวกข้าดีๆ เถอะ อย่าขืนให้เสียแรงเปล่า หัดทำตัวมีประโยชน์เสียบ้าง”

คำพูดบาดใจประโยคแล้วประโยคเล่าที่เฝ้าฟังมาตลอดกำลังถึงจุดระเบิด ร่างเล็กสั่นสะท้านสุมไปด้วยความโกรธเกลียดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แววตาที่แม้จะเหม่อลอยแต่แฝงไปด้วยความแค้นบดปังเสียจนไม่รับรู้สิ่งอื่น

“ยอมเป็นของเล่นให้พวกข้าดีๆ แล้วใช่หรือไม่”

จางเฟยเจิน แฝดผู้น้องกอดอกมองน้องเล็กที่พยายามลุกขึ้นยืนด้วยขาที่สั่นระริก หาใช่สั่นอย่างหวาดกลัว แต่เป็นสั่นสู้ของหมาจนตรอกที่พร้อมจะทำทุกอย่าง



-------------------------------------------------------------






To be continued...









Talk : ฮรืออออออ เฟยโหลงงงงงงงง
งานนี้กินมาม่าจนโซเดียมในเลือดสูงปรี๊ด
จิตใจน้องช่วงนี้ไม่ค่อยคงที่ เอาใจช่วยกันด้วยนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปน้าาาาาา




หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๒ :: UPDATE 22.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 22-06-2015 21:46:59
กระอักเลือดแทนเฟยหลง

บอบช้ำเหลือเกินพ่อดอกท้อน้อยของพี่ :m15:

วิทยายุทธ์ ไม่ต้องเติมสระอิตรง ธ จ้ะ

หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๒ :: UPDATE 22.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Paper Doll ที่ 22-06-2015 22:22:53
สู้เค้าบ้างสิคะ จะปล่อยให้พวกเค้ารังแกอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๒ :: UPDATE 22.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-06-2015 02:46:19
ทิ้งท้ายไว้จิตและค้างมากก
โดนกระทำขนาดนั้น จะแค้นก็ไม่แปลก
มาต่อไวๆ น้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๒ :: UPDATE 22.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 23-06-2015 05:01:47
สงสารเฟยหลง
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๒ :: UPDATE 22.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 23-06-2015 06:12:59
กรี๊ด น้องหลง หนูใจเย็นๆลูก ไว้โตไปค่อยฆ่า
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๓ :: UPDATE 23.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 23-06-2015 16:51:29

**ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ**




ดอกท้อที่ ๓




หลี่ซื่อหลางกำลังอยู่ในวัยที่ใกล้จะบรรลุนิติภาวะ

หากการกระทำหลายๆ อย่างของเขากลับแสดงให้ทุกคนเห็นว่าชายหนุ่มได้โตเกินอายุจริงล่วงหน้าไปหลายปีแล้ว

อดีตนั้นเขาเป็นเพียงเด็กกำพร้า หากไม่ได้บิดาของฟานตงเก็บมาเลี้ยง ป่านนี้เขาอาจไม่มีโอกาสได้มองดูโลกเฉกเช่นทุกวันนี้ สำหรับหลี่ซื่อหลางแล้ว ครอบครัวคือสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ย้อนกลับไปเมื่อกลายปีก่อน บิดาบุญธรรมได้จากไปอย่างสงบด้วยโรคประจำตัว พวกเขาไม่เหลือใคร มารดาของฟานตงไม่เคยถูกพูดถึงตั้งแต่ชายหนุ่มจำความได้ ไม่มีญาติคนอื่นที่พวกเขารู้จัก เวลานั้นจึงเหลือแค่หลี่ซื่อหลางและฟางตงในโลกที่ดูแปลกไปถนัดตา

โลกที่ไม่มีบิดาอีกต่อไป

หากสวรรค์ยังไม่โหดร้ายเกินไปนัก ผู้มีคุณได้ทิ้งสมบัติมีค่าไว้ให้กับชายหนุ่ม หาใช่เงินทอง แต่เป็นความรู้ที่เขาสามารถนำมาหาเลี้ยงครอบครัวได้ในอนาคต

ตอนนี้หลี่ซื่อหลางจึงสืบทอดตำแหน่งเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้และปาท่องโป๋ที่อร่อยที่สุดในตลาด

เขาตื่นแต่เช้าเพื่อต้มน้ำเต้าหู้สดอร่อยทุกวัน นวดแป้งปาท่องโก๋แล้วทอดกรอบไม่อมน้ำมัน จับเป็นคู่ขายในราคาที่ไม่เคยเปลี่ยนนับตั้งแต่บิดาเปิดร้านมาเมื่อหลายสิบปีก่อน แม้ไม่ใช่กิจการใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเขาและฟานตงมาสักระยะหนึ่งแล้ว

“กลิ่นหอมจริงเชียว ซื่อหลาง”

การปรากฏตัวของคนมาใหม่ไม่ทำให้หลี่ซื่อหลางประหลาดใจนัก เจ้าตัวเงยหน้าจากน้ำเต้าหู้หม้อใหญ่เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น ใบหน้าคมสันของเพื่อนสนิทยังหล่อเหลาเหมือนทุกวัน ขนาดเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกันเองยังนึกอิจฉา

“แน่นอนสิ ก็ข้าเป็นคนทำซะอย่าง”

“เจ้าหลงตัวเองเกินไปแล้ว”

ฝ่ายถูกตำหนิหัวเราะหึๆ ขณะหยิบกระบวยตักน้ำเต้าหู้ใส่ถ้วย คีบปาท่องโก๋ห้าตัวใส่จานเคียงให้คนตรงหน้าอย่างเคยชินจนเป็นกิจวัตร “วันนี้เจ้ามาเช้าจังนะ จิ้งอี้ นี่ข้ายังเปิดร้านไม่เสร็จดีเลย”

“ข้าอยากมาดูหน้าเจ้า”

“หน้าข้าทำไม?” ถามทั้งที่ไม่เงยจากหม้อน้ำเต้าหู้สลับกับกระทะทอดปาท่องโก๋

“ก็ตาแก่อายุเก้าสิบในร่างชายหนุ่มวัยสิบแปดที่ไม่ยอมแต่งงานสักทีน่ะซี่…” คนพูดทำหน้าทำตาราวกับกำลังสนทนาเรื่องดินฟ้าอากาศขณะกัดปาท่องโก๋ตัวเขื่องเคี้ยวหนึบหนับ “นี่ข้าล่วงหน้าเจ้าไปสองเดือนแล้วนะ อย่าให้ข้าทิ้งระยะห่างกับเจ้านักสิ แบบนี้ลูกเราจะเกิดพร้อมกัน มาเป็นเพื่อนกันได้อย่างไร”

“ข้าแค่ยังไม่ถูกใจใคร”

“ก็รีบหาที่ถูกใจเสียสิ ไม่เห็นยาก” จิ้งอี้ไหวไหล่ “ทำน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋พวกนี้ยังยากกว่าเลย”

ชายหนุ่มเจ้าของร้านเพียงแค่ถอนหายใจ เมื่อเห็นลูกค้าเริ่มเข้ามาจับจองที่นั่งแล้ว ซ้ำยัง แย่งสั่งน้ำเต้าหู้กันเสียจนวุ่นวาย หลี่ซื่อหยางยุ่งเกินกว่าจะเก็บเรื่องที่เพื่อนสนิทพยายามกรอกหูมาคิด สองมือจับตรงนู้นทีตรงนี้ทีด้วยความช่างชำนาญ เสิร์ฟน้ำเต้าหู้ร้อนๆ เคียงคู่ปาท่องโก๋กรอบอร่อยให้ลูกค้าได้ไม่ขาดตกบกพร่อง

“น้องสาวข้า เหมยหลิน เจ้ายังจำนางได้หรือไม่”

“ได้” คีบปาท่องโก๋สิบตัวใส่จานส่งให้ลูกค้าโต๊ะสามอย่างทะมัดทะแมง “เจ้าถามทำไม”

“นางชอบเจ้าน่ะ”

“…จิ้งอี้ ข้าขอล่ะ…” สีหน้าหลี่ซื่อหลางสื่อสารได้ดีกว่าคำพูด หากเป็นไปได้อยากทำเป็นไม่รู้เรื่อง “ถ้าเจ้าว่างนักก็มาช่วยข้าทอดปาท่องโก๋นี่มา”

“ได้สิ”  จิ้งอี้ตอบรับโดยง่าย

หือ?

“เอาจริง?”

“ข้าเคยพูดเล่นเสียทีไหน”

ทั้งที่หลี่ซื่อหลางเพียงพูดออกไปเล่นๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะจริงจัง ลอบมองใบหน้าคนตัวใหญ่กว่าด้วยความฉงน สังหรณ์ว่าต้องมีอะไรไม่ธรรมดาตั้งแต่เจ้าตัวมาหาตนตั้งแต่เช้าตรู่ และดูเหมือนจิ้งอี้จะรู้ความคิดของร่างโปร่ง จึงฉีกยิ้มพร้อมกับกระซิบเบาๆ

“แต่ต้องมีอะไรตอบแทนข้านะ”

เหตุใดซื้อหวยถึงไม่ถูกแบบนี้บ้าง เขาได้แต่คิด

“เช่นนั้นเจ้ากลับไปนั่งเถิด”

“ได้ไง! เจ้าอุตส่าห์ขอร้อง หากไม่ช่วยข้าคงกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ”

ร่างใหญ่สมชายเบียดเข้ามาช่วยทอดปาท่องโก๋ โชคดีที่เห็นหลี่ซื่อหลางทำบ่อยจนชินตา ลองทำตามก็ไม่ยากอย่างที่คิด “ข้าช่วยเจ้า ฉะนั้นห้ามลืมสัญญานะ”

ถึงจะมาพูดอะไรเอาตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ จิ้งอี้ที่ชายหนุ่มทำความรู้จักมานานหลายปีไม่ใช่คนที่ตั้งใจจะทำอะไรแล้วยอมล้มเลิกง่ายๆ มีเพียงสวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าคนดื้นรั้นเดาใจยากจะทำอย่างไรต่ออนาคตความรักของหลี่ซื่อหลาง

เฮ้อ…

ถึงจะว่าอย่างนั้นก็เถอะ การให้คนอย่างเขาไปจุดประกายความรักกับใครเอาตอนนี้

เปลี่ยนไปจุดเทียนกลางสายฝนยังง่ายกว่ากระมัง!



-------------------------------------------------------------



“เอ้า! ชน!”

แก้วเหล้ากระทบกันเบาๆ  ก่อนจะถูกกระดกรวดเดียวลงท้องชายหนุ่มวัยกำลังหนุ่มกำลังแน่นหลายชีวิตที่นั่งอัดกันในร้านเหล้า ดื่มฉลองให้กับหลี่ซื่อหลางผู้ไม่รู้ว่างานสังสรรค์นี้จัดขึ้นเพื่อการสละโสดของตนโดยเฉพาะ

“เจ้าก็ดื่มให้หมดสิ! ซื่อหลาง”

จิ้งอี้ เจ้าเพื่อนสนิทจอมเจ้าเล่ห์ตบบ่าเขาสองสามครั้ง
หลี่ซื่อหลางเพียงส่งสายตาอาฆาตให้ โทษฐานที่ชักแม่น้ำทั้งห้าหลอกจนเขายอมมางานสังสรรค์ด้วยเหตุอ้างว่าจะพามาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ แต่ไม่ได้บอกจะประกาศว่ายอมยกน้องสาวให้เขาท่ามกลางสักขีพยานด้วยสักหน่อย!

ส่วนเหมยหลินที่ก็มานั่งดื่มกับเขาด้วยก็เอาแต่ลอบมองหลี่ซื่อหลางด้วยความเหนียมอาย บิดซ้ายบิดขวา ชมดชม้อยส่งสายตาหวานให้เป็นระยะ ทำท่าทีว่าอายจนแทรกแผ่นดินหนีหากแต่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าพร้อมถวายตัวให้ทันทีถ้าชายหนุ่มเอ่ยปาก

…ซึ่งคงไม่มีวันนั้น

“ข้าต้องกลับไปดูแลฟานตง ”

“โอ้ย! เจ้าเด็กแสบน้องเจ้ายังต้องการให้ใครดูแลอีกหรือ”

จิ้งอี้เริ่มหน้าแดงด้วยฤทธิ์น้ำเมา คำพูดไม่ได้กลั่นกรองจากจิตสำนึกพรั่งพรูออกมาไม่ขาดสาย

“ข้าว่าเจ้าต่างหากที่ควรหา ‘เมีย’ มาปรนนิบัติพัดวีได้แล้ว ปีหน้าเจ้าก็จะสิบเก้า ปีหน้าหน้าเจ้าก็จะยี่สิบ ปีหน้าหน้าหน้าเจ้าก็จะ…”

“ยี่สิบเอ็ด?” ซื่อหลางชิงพูดแทรก “ข้านับเลขได้ จิ้งอี้ อย่าลำบากเจ้าห่วงเรื่องอายุข้า ต่อให้กลายเป็นตาแก่ไม่มีเมียข้าก็ไม่สนใจหรอก ฟานตงต่างหากที่ควรมีอนาคตไกล ข้าต้องทำงานเพื่อหาเงินให้เขาตบแต่งเมียเหมือนกัน แล้วจะเอาเวลาไหนมาดูแลเอาอกเอาใจเมียตัวเอง?”

ได้โอกาสอธิบายให้สาวน้อยเหมยหลินฟังไปในคราเดียวกัน

“ที่อยากจะพูดก็คือ ข้าไม่อยากให้นางต้องนั่งเหงา นั่งเสียใจที่แต่งงานกับคนแบบข้า ฉะนั้นมองหาคนอื่นที่ดีกว่าเถอะ”

“ซื่อหลาง!”

จิ้งอี้คว้าไหล่ทั้งสองข้างของเขาให้หันไปสบตา “เจ้ามันช่าง…!” เพื่อนสนิทออกแรงบีบเล็กน้อย “...ช่างเป็นผู้ชายที่ประเสริฐเสียจริง! เหมาะสมแล้วที่ข้าจะฝากชีวิตน้องสาวไว้กับสุภาพบุรุษเช่นเจ้า”

“หา?”

ไม่ใช่แค่หลี่ซื่อหลางที่งง คนอื่นก็งงเช่นเดียวกัน

“ข้าดูคนไม่ผิดจริงๆ สินะ”  จิ้งอี้พูดด้วยสีหน้าภูมิอกภูมิใจ

“อะไรของเจ้า”

หลี่ซื่อหลางพยายามปัดมือเพื่อนสนิทออกจากไหล่ หากไม่สำเร็จ “เมาแล้วสมองเลอะเลือนหรืออย่างไร? แล้วก็ปล่อยมือออกจากข้าเสียที”

“หลี่ซื่อหลาง เจ้าเป็นคนคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเอง เสียสละ มุ่งมานะตั้งใจหาเลี้ยงครอบครัว รักและจริงใจต่อน้องสาวข้า ที่พูดมาเพราะไม่อยากให้เหมยหลินเหงายามเจ้าออกไปทำงานสินะ เจ้าพูดเองนี่ ไม่ต้องห่วงหรอก เมียข้าจะช่วยอบรมนางให้เป็นเมียที่ดีเอง”

“เจ้าเข้าใจอะไรของเจ้าเนี่ย?”

ชายหนุ่มถึงกับลอบกรอกตาระอา ไม่รู้เพื่อนสนิทไปขุดจินตนาการอันล้ำเลิศมาจากซอกหลืบไหน แต่คงจะดีไม่น้อยหากไม่ใช้จินตนาการที่ว่ากับเรื่องส่วนตัวของเขา

“น่า…อย่าหักหาญน้ำใจข้าเลย เห็นแก่ที่เป็นเพื่อนกันมานาน”

หลี่ซื่อหลางรู้ดีว่าตนเป็นคนปฏิเสธคนไม่เก่ง เพราะอย่างนั้น ยิ่งมีคนเข้าใจอะไรผิดๆ เขายิ่งหนักใจ

“ข้าขอโทษนะ แต่ไม่คิดจะแต่งงานตอนนี้หรอก”

แวบนึงเห็นสีหน้าของเหมยหลินเศร้าหมองลงอย่างชัดเจน ถึงเขาไม่ได้รักนางเหมือนคนรัก แต่ก็เอ็นดูเหมือนน้องสาว ความรู้สึกผิดทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ดีนัก

“ข้ากลับก่อนดีกว่า ไม่อยากปล่อยให้ฟานตงอยู่บ้านคนเดียว” หลี่ซื่อหลางตบบ่าจิ้งอี้ที่เริ่มเมากรึ่มๆ ก่อนจะโค้งตัวบอกลาทุกคน “ไว้โอกาสหน้าข้าจะมาดื่มด้วยใหม่ ขอบใจมากที่ชวนมาวันนี้ ข้าสนุกมาก ขอตัวกลับก่อนล่ะ”

“กลับดีๆ นะพี่ซื่อหลาง!”

เหมยหลินโพล่งพูดออกไป ใบหน้ำแดงก่ำด้วยความอายผสมปนเปความไม่แน่ใจ กระนั้นหลี่ซื่อหลางก็ยิ้มตอบกลับไปอย่างอ่อนโยน

“อืม ขอบใจนะ”

ไม่ว่าเมื่อไหร่หลี่ซื่อหลางก็เป็นคนที่ทุกคนรู้สึกเกรงใจเสมอ เพราะเจ้าตัวสุภาพและดูไม่มีพิษภัยกับใคร จึงไม่มีคนที่กล้าเล่นหัวเขานัก จะมีก็แต่จิ้งอี้ที่ความเกรงใจมีให้เขาน้อยกว่าชาวบ้านหน่อยเสียเท่านั้น แต่เขาเองไม่ได้ถือสา กลับคิดว่ามีเพื่อนที่เปิดอกคุยกันได้เสียยิ่งดี

แม้บางครั้งจะมากไปหน่อยก็ตาม


-------------------------------------------------------------




To be continued...










ตัวอย่างตอนต่อไป

“เจ้าไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือ ไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ ข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้า ดูแลไม่ให้มีใครรังแก”

ซื่อหลางยกมือจะลูบหัวเด็กชาย หากร่างเล็กชักตัวหนีในทีแรก หลับตาปี๋เพราะเข้าใจว่าคนตรงหน้าจะกระชากดึงผมตนให้หลุด ทว่าสัมผัสจากฝ่ามือเรียวที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาเอง

“ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ขอให้จำเอาไว้”

.
.
.





Talk : เริ่มเห็นเค้าลางพระเอกขี่ม้าขาวแล้วใช่มั้ยคะ?
วันนี้งดรับประทานมาม่าหนึ่งวันนะคะ
รอติดตามตอนต่อไปค่าาาา




หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๓ :: UPDATE 23.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-06-2015 18:32:21
สงสารเด็กน้อย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๓ :: UPDATE 23.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-06-2015 19:00:24
ตอนแรกอ่านแล้วมีโมเมนต์จิ้งอี้ซื่อหลางเล็กๆ แล้วเงิบ...แบบซื่อหลางจะโดนกดเรอะ =[]= แต่อ้อ...จิ้งอี้แต่งงานมีเมียแล้ว
ตอนต่อไปนี่เฟยหลงจะหลุดพ้นจากบ้านนั้นแล้วสินะ เย่ๆ ไปอยู่กับซื่อหลางดีกว่าเนอะ ><
เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๔ :: UPDATE 24.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 24-06-2015 19:54:10

ดอกท้อที่ ๔





ทำลงไปเสียแล้ว…

   “อ้ากกกกกกก! ท่านแม่!! ท่านแม่!!”

   เสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสของร่างที่ใบหน้านองเลือดทำให้อีกร่างที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกันแข็งเป็นหินอยู่ตรงมุมห้อง ดวงตาเบิกโพล่งแสดงออกถึงความกลัวอย่างไม่ปิดบัง

   “พี่ใหญ่ อย่าร้อง…”

   จางเฟยหลงเอื้อมมือไปแตะไหล่คนตัวโตกว่าที่ดิ้นพล่านบนพื้นสกปรกราวกับจะเป็นจะตาย “เจ็บหรือ?”
   
   “ไอ้ปีศาจ! ออกไป!”  น้ำตาผสมสีเลือดไหลเป็นทางยาว เสียงตะโกนปนแรงสะอื้นดังไม่ขาดสาย “อย่ามายุ่งกับข้า! อย่ามาจับข้า! เจินอี้! เจินอี้ช่วยข้าด้วย!” ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากแฝดผู้น้องอย่างน่าเวทนา หารู้ไม่ว่าฝ่ายนั้นคงช็อคจนขยับตัวไม่ได้ไปแล้ว

   “หน้าตาเหมือนกันขนาดนี้ ข้าช่วยให้คนอื่นแยกพวกท่านออก ไม่ดีหรือ?  ให้พี่ใหญ่ตาบอดข้างซ้าย”

   แววตากลมใสที่มองทะลุผ่านความมืดได้ด้วยความเคยชินเล็งจุดหมายไปยังร่างสั่นเทาของแฝดผู้น้องที่แม้แต่ยืนยังทรงตัวไม่อยู่ “ส่วนพี่รองตาบอดข้างขวา…”

   หน้าของอีกฝ่ายซีดเผือด “ม…ไม่!!!”

   ปรากฏรอยของเหลวใสเปียกชื้นที่เป้ากางเกงจางเฟยเจิน ก่อนที่เจ้าตัวจะรีบวิ่งออกจากเรือนเล็กโดยไม่เสียเวลาเหลียวหันกลับมาแยแสแฝดผู้พี่ที่นอนแบตรงพื้นเลยสักนิด เดาว่าอีกฝ่ายคงรู้ตัวแล้วกระมังว่าถูกทิ้ง จึงยิ่งร้องตะโกนลั่น

   “อย่าทิ้งข้า!! อย่าทิ้งข้าน้องรอง!! ฮือ! ท่านแม่!! ใครก็ได้ช่วยข้า…อ่อก!!”

   แม้มีแรงไม่มาก แต่จางเฟยหลงก็อัดกำปั้นเล็กๆ กระแทกใส่ปากคนตัวโตอย่างสุดแรงเกิด ถีบกระทืบซ้ำบาดแผลตรงดวงตาที่เขาเป็นคนใช้ดินสอแทงเองกับมือ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ร่างเล็กสะสมความเคียดแค้นไว้โดยไม่รู้ตัว

   ความผิดครั้งนี้จะโทษใคร?

   “หยุดทำอะไรบ้าๆ นะ!!”

   เสียงทุ้มตวาดลั่นดังขึ้นจากด้านหลัง รอยประหลาดใจฉายแววผ่านดวงตาจางเฟยหลง

   “ท่านพ่อ!! ท่านมาช่วยข้าแล้ว!”

   จางเฟยฉีดีอกดีใจจนน้ำหูน้ำตาไหล ปวดแผลเสียจนจะคงสติไว้ไม่อยู่ หากกระนั้นก็ยังตะโกนออกไปด้วยความแค้นใจ “ท่านพ่อฆ่ามันที!! ฆ่ามัน! มันจะฆ่าข้า!! มันแทงตาข้าบอด!”

   “ลูกแม่!!” เสียงหวีดร้องแหลมสูงดังขึ้นทันทีที่วิ่งเข้ามาเห็นสภาพลูกชายคนโต นางไม่ชักช้ารีบสาวเท้าผ่านร่างสามีเข้าไปหาจางเฟยฉีที่ได้แต่นอนรอคนมาช่วย “ไม่เป็นไรแล้วลูก…แม่ขอโทษ แม่ขอโทษ…ฮือ…อีลูกอกตัญญู! ดูสิ่งที่เจ้าทำกับพี่ชาย   ตัวเองสิ!”

   ท้ายประโยค มารดาหันมาตวาดเขา ร้องไห้กอดร่างที่เริ่มไม่ได้สติของจางเฟยฉี

   …เขาไม่ตายหรอก ก็แค่ตาบอดเท่านั้น…

   “แล้วข้าไม่ใช่ลูกท่านหรือ ท่านแม่”

   จางเฟยหลงยืนนิ่ง ตระหนักรู้ถึงสายตาเกลียดชังจากทุกคนที่มองเขา “ข้าเองก็เจ็บเหมือนกัน…ตรงนี้…”

   มือเล็กกุมตำแหน่งที่อกด้านซ้ายแน่น บิดาสืบเท่าเข้ามาใกล้ก่อนจะใช้จัวหวะนั้นฟาดเข้าที่หน้าเขาเต็มแรง

   เพี๊ยะ! ร่างเล็กปลิวไปกองกับพื้น

   “เจ้าอยากเป็นฆาตกรหรือเฟยหลง! ใครสั่งสอนเจ้าให้เป็นเด็กเช่นนี้!!”

   แม้กำลังโดนด่าทอ แต่ครั้งนี้เด็กชายกลับมีโอกาสได้อยู่ในสายตาของบิดาเสียที แค่นี้ก็รู้สึกดีใจจนจุกอกตายได้เลย

   “ท่านพี่ต้องจัดการให้น้องนะ!”

   มารดาแหวลั่นด้วยใจที่สุมไปด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ขณะสั่งให้สาวใช้ช่วยกันหอบร่างลูกชายคนโตไปหาหมอเพื่อรักษาบาดแผลฉกรรจ์ พร้อมกับตนที่อุ้มลูกชายคนกลางตามไปติดๆ

   ทิ้งให้ห้องแคบๆ ในเรือนเล็กเหลือเพียงแต่เลี่ยงหวง สามีของตนและจางเฟยหลง ลูกชายคนเล็กอยู่สองคนเท่านั้น

   “เจ้าทำอะไรลงไป รู้ตัวบ้างหรือเปล่า!!”

   คนตัวเล็กไม่ตอบ นั่งเงียบอยู่ที่พื้นจนบิดาโมโหต้องกระชากตัวให้ลุกขึ้น แขนเล็กที่กำได้รอบผอมติดกระดูกจนน่าใจหาย “ไหนตอบข้ามาสิ!”

   “ข้าอยากฆ่าพวกเขา…”

   เพี๊ยะ! บิดาตบหน้าลูกชายคนเล็กอีกครั้ง ครานี้เขาไม่ออมมือ “เลว! เจ้าได้เลือดเลวมาจากไหนกันเฟยหลง!”

   “จากนางขี้ข้ากระมัง...”

   มือใหญ่ที่หมายจะตบซ้ำชะงักค้างกลางอากาศ แววตากลมใสที่บัดนี้รื้นไปด้วยน้ำตาเงยหน้าจ้องมองกลับ “เลือดข้าเลวเพราะมีแม่เป็นคนใช้ใช่หรือไม่ ท่านพ่อ”

   “เจ้า…” บิดาลดมือลง เปลี่ยนเป็นเขย่าไหล่เล็กทั้งสองข้าง “ใครบอกเจ้าเรื่องนี้?!”

   จางเฟยหลงหัวเราะหึไม่ตอบ น้ำตาลไหลอาบแก้มมอม เหตุใดจึงรู้สึกเจ็บเสียยิ่งกว่าเวลาโดนมารดาทุบตีอีก

   “ตอบข้ามา!”

   การเงียบของจางเฟยหลงสร้างความไม่พอใจให้เลี่ยงหวงเป็นอย่างมาก ชายวัยกลางคนกระแทกร่างบางกับกำแพงห้องเพื่อคาดคั้นความจริง “ข้าบอกให้เจ้าตอบ!”

   “สำคัญอะไรเล่า ยังไงท่านก็ไม่เห็นข้าเป็นลูก ความจริงมีเพียงเท่านี้”

   “จางเฟยหลง!!”

   บิดามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สุดท้ายจึงยอมปล่อยมือออกจากไหล่เล็กทั้งสองข้าง

   “ไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร”

   นายเลี่ยงหวงกระชากตัวลูกคนเล็กขึ้นอุ้ม ก่อนจะเหวี่ยงลงบนเตียงที่หลงเหลือรอยเปียกชื้นจากน้ำถูพื้นเป็นวงกว้าง “ข้าไม่อยากทำเช่นนี้ แต่เจ้าบีบข้าเองนะเฟยหลง”

   จางเฟยหลงมองเห็นแววตาของบิดาที่เปลี่ยนไป แววตาที่เด็กวัยแปดปีเช่นเขาไม่อาจเข้าใจได้ มือใหญ่ค่อยๆ กำรอบลำคอของเขาก่อนจะออกแรงกดจนเด็กชายเริ่มหายใจไม่ออก ปฏิกิริยาดิ้นรนเอาชีวิตรอดถูกเอาออกมาใช้ทุกวิธีทาง ทั้งดิ้น เตะ ต่อย ตี หากไม่อาจสะเทือนต่อการกระทำของบิดาได้

   “เจ้าไม่ควรเกิดมาแต่แรกด้วยซ้ำ” แรงบีบที่คอหนักขึ้นเรื่อยๆ “ถ้าเรื่องเจ้าแพร่ออกไป ตระกูลจางจะเสียเกียรติ!”
   “อ่อก…ท่านพ่อ…”

   “ยกโทษให้ข้านะ เฟยหลง”

   “ท…ท่า..น…พ่อ” ถึงจุดที่สติใกล้จะหลุดลอย มือเล็กที่เคยปัดป่ายไปมาอย่างทรมานกลับหมดแรงทิ้งลงข้างตัว ชีพจนอ่อนลงทุกที

   เขากำลังจะตายหรือ?

   …ตาย…ก็ดีเหมือนกัน…


   จางเฟยหลงเลิกต่อต้าน นอนนิ่งรอรับความตายที่บิดามอบให้ คิดเสียว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะได้รับจากบุพการี เป็นสิ่งที่ตั้งใจให้เพียงแค่เขา เด็กชายก็จะยอมรับมัน

   …ทว่าแรงกดที่คอกลับหายไป  มือใหญ่ของบิดาค่อยๆ คลายออกจากลำคอเล็ก เมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ จางเฟยหลงจึงสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดพร้อมกับไอโครกๆ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความทรมาน

   “...ไปซะ”

   น้ำตาที่ไหลไม่หยุดบังไม่ให้จางเฟยหลงเห็นว่าสีหน้าของบิดาเป็นเช่นไร กว่าจะทันตั้งสติได้ ตัวของเขาก็ถูกบิดารวบขึ้นแล้วพาออกมาจากเรือนเล็ก วิ่งฝ่าสวนดอกท้อที่เขาเฝ้ามองมันมาตลอดแปดปี ฝีเท้าหยุดลงตรงกำแพงรั้วสูง ตัวเขาถูกยกขึ้นให้นั่งบนนั้น

   “จำไว้ว่าเจ้าตายแล้ว” บิดาบอกเสียงเรียบ “กระโดดลงไป”

   “ฮึก…ท่านพ่อ…”

   “กระโดดลงไป!!” 

   จางเฟยหลงสะอื้นไม่ยอมขยับ บิดาจึงเป็นคนลงมือผลักลูกชายคนเล็กด้วยตัวเอง ร่างบางตกลงบนพื้นแข็งนอกกำแพง หากไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

“เจ้าไม่ใช่จางเฟยหลงอีกแล้ว! ไปจากที่นี่ซะ แล้วอย่ากลับมาอีก!”



-------------------------------------------------------------




ไม่รู้ว่าวิ่งมาไกลเท่าไหร่แล้ว

จางเฟยหลงไม่กล้าหันหลังกลับอีกต่อไป ทำได้เพียงหอบร่างกายที่แสนอ่อนล้ากับหัวใจแตกสลายไปตามถนนที่ทอดตัวยาวไกลสุดลูกหูลูกตา ไฟสองข้างทางพอส่องให้เขาวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด

หากหยุด ความรู้สึกตอนที่บิดาบีบคอเขาจะถาโถมเข้ามาจนหายใจไม่ออก รับรสวินาทีที่เข้าใกล้ความตายมากที่สุดราวกลับย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์เสมือนจริง แค่คิดตัวก็สั่นเทิ่มอย่างห้ามไม่อยู่

…หวาดกลัวเหลือเกิน… 

พลั่ก!

มัวแต่วิ่งไม่ดูทาง จางเฟยหลงจึงชนเข้ากับวัตถุบางอย่าง

“เห้ย!”

…เป็นวัตถุที่พูดได้เสียด้วย…

“อ้าว เป็นอะไรหรือเปล่าเจ้าหนู”

หลี่ซื่อหลางที่เพิ่งโบกมือลาเพื่อน เดินออกจากร้านเหล้ามาได้ไม่ไกล จึงรีบพยุงร่างเล็กที่จู่ๆ ก็วิ่งมาชนหลังเขาแล้วก็กระเด็นไปนั่งกับพื้นเสียอย่างนั้น

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

มือเรียวยังจับแขนเล็กไม่ปล่อย สอดส่องสายตาดูสภาพของเด็กชายตัวเล็กเท่าต้นถั่วงอกฟีบๆ เหมือนไม่ได้รดน้ำ หัวคิ้วขมวดเข้าหากันทันทีที่พบรอยแผลมากมายโผล่พ้นจากเสื้อผ้าเก่าโทรม หลี่ซื่อหลางเชยคางคนที่มัวแต่ก้มหน้างุดตัวสั่นระริกน่าสงสารขึ้นให้มองหน้าได้ชัดๆ

“เด็กน้อย ข้าถามว่าเจ้าเจ็บหรือเปล่า แล้วรอยพวกนี้ไปโดนอะไรมา”

 …

เงียบ

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ “ไม่เป็นไร งั้นบอกแค่พ่อแม่เจ้าอยู่ไหนก็ได้ เดี๋ยวข้าพาไปส่ง”

หารู้ไม่ว่าความหวังดีนั้นจี้จุดจางเฟยหลงเข้าอย่างจัง ร่างเล็กดิ้นพล่านพยายามจะหนีคนตัวสูงกว่า หากก็ไร้ผล

“นี่ อย่าดิ้นสิ ข้าไม่ใช่ผู้ร้ายนะ”

จางเฟยหลงตกอยู่ในความกลัวสุดขีด ทั้งชาติเขาไม่อยากกลับไปเหยียบบ้านตระกูลจางอีกแล้ว หากไม่หนีเสียตอนนี้ ผู้ชายตรงหน้าต้องพาเขากลับไปให้บิดาฆ่าอีกเป็นแน่ อีกทั้งมารดาที่คงรอฆ่าเขาให้ตายซ้ำอีกรอบ และพี่ชายฝาแฝดที่รอวันแก้แค้นเขาอย่างสาสม

ไม่!!

ไม่เอาอีกแล้ว!


“เจ้าไม่อยากกลับไปหาพ่อแม่หรือไร?” หลี่ซื่อหลางเดาส่งๆ จากท่าทางขัดขืนเมื่อพูดถึงบุพการี จางเฟยหลงทั้งดิ้นไปด้วย ทั้งพยักหน้าแรงๆ จนคอจะหลุดไปด้วย จนคนเห็นแล้วนึกสงสาร

“เจ้าพูดได้หรือไม่”

“…ม…”

“หืม?” เงี่ยหูฟัง

“…ไม่” 

ก็เห็นอยู่ว่าพูดได้

แม้เสียงจะแผ่วเบานัก แต่หากตั้งใจฟังก็จะได้ยิน หลี่ซื่อหลางจับไหล่เล็กทั้งสองข้างให้หันมาสบตา อีกฝ่ายชะงักนิ่งเป็นหินตอนที่เขานั่งยองๆ ให้หน้าอยู่ในระดับเดียวกัน เพื่อสะดวกต่อการสนทนา “เจ้าหนู ไหนลองบอกมาสิว่าอยากให้ข้าช่วยอะไรเจ้า หากไม่พาไปส่งพ่อแม่ กระนั้นแล้วเจ้ามีที่ไปที่อื่นหรือไร”

จางเฟยหลงส่ายหน้า

“หรือเจ้าไม่มีพ่อแม่?” หลี่ซื่อหลางก็เดาส่งๆ ไปอีกเช่นเคย

‘…จำไว้ว่าเจ้าตายแล้ว’

‘เจ้าไม่ใช่จางเฟยหลงอีกต่อไป…’

คำพูดสะท้อนอยู่ในหัว รอยเลือดและน้ำตาที่แห้งกรังตอกย้ำให้จางเฟยหลงนึกถึงความหวาดกลัวและความโกรธแค้นที่มีต่อครอบครัว

เช่นนั้นเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจางอีกแล้ว

“…ไม่มี…”

“เจ้าเป็นเด็กกำพร้ำ?” ความสงสารยิ่งปะทุขึ้นในใจของหลี่ซื่อหลาง “เจ้าอยู่คนเดียวมาตลอดเลยหรือ”

จางเฟยหลงพยักหน้า

“เจ้าอายุเท่าไหร่”

เด็กชายไม่ตอบ หลี่ซื่อหลางจึงทึกทักเอาเองว่าคงไม่น่าเกิดหกขวบ ก็เห็นตัวเล็กเสียปานนี้ ขนาดตอนฟานตงอายุได้สี่ขวบยังตัวใหญ่กว่าเด็กชายตรงหน้าเขาเลย

พูดถึงฟานตง…หากน้องชายของเขามีสภาพแบบนี้ล่ะก็ หลี่ซื่อหลางที่เลี้ยงดูฟานตงมากับมือคงไม่สามารถทนเห็นสภาพน้องชายที่เป็นเช่นนี้ได้ ใครกันที่ใจไม้ไส้ระกำทำร้ายเด็กตัวเล็กอย่างกับถั่วงอกแคระได้ลงคอ?

“พี่ซื่อหลาง!”

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

เด็กวัยสิบสองปีกำลังโต ร่างสูงเท่าอกหลี่ซื่อหลางวิ่งหน้าตั้งราวกับโดนหมาไล่กวด เบรกฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะเท้าแขนลงกับเข่าด้วยความเหนื่อย

“พี่ซื่อหลาง!”

“อยู่ใกล้แค่นี้จะตะโกนทำไม”

“ข้าเห็นท่าน…ไม่กลับบ้านเสียที ข้าเลย…เลยออกมาตาม”

พูดไป หอบหายใจไป คนเป็นพี่ชายกลัวก็แต่น้องจะตายเพราะหายใจไม่ทัน “ไม่ต้องรีบ หายใจลึกๆ ฟานตง” ช่วยลูบหลังเบาๆ อีกแรง “เจ้านี่น้า อย่าทำให้ข้าเป็นห่วงสิ”

“ข้าสิเป็นห่วง! ท่านไม่…” คนจะโวยวายชะงักทันทีที่เลื่อนสายตาไปเห็นร่างเล็กแกร็นข้างๆ พี่ชาย ยิ่งพอเจ้าตัวเล็กเห็นเขามองมา ก็รีบกระเถิบตัวหลบหลังหลี่ซื่อหลางโดยอัตโนมัติ

“ลูกใคร?”

“ข้าไม่รู้”

หลี่ซื่อหลางส่ายหน้า ก้มมองเด็กชายที่หลบหลังตนเอง มือเล็กขยำเสื้อเขาเหมือนหวาดกลัวผู้มาเยือนคนใหม่

“ไม่ต้องกลัว นี่น้องชายข้าเอง”

จางเฟยหลงไม่ตอบ เบียดตัวเข้าหาหลี่ซื่อหลางจนแทบจะหลอมเป็นร่างเดียวกัน หางคิ้วฟานตงกระตุกถี่ นิสัยหวงพี่ชายกำเริบขึ้นมาอีกครั้ง

“เจ้าเปี๊ยก! คิดว่ากำลังกอดใครอยู่น่ะ นั่นพี่ชายข้านะ!”

“ฟานตง”

หลี่ซื่อหลางตักเตือนน้องชายด้วยสายตา “เด็กคนนี้น่าสงสาร กำพร้าพ่อแม่ ไม่มีที่ไป แถมเนื้อตัวยังเต็มไปด้วยบาดแผล เจ้าต้องเห็นใจเขาถึงจะถูก”

ฟานตงลดอารมณ์อิจฉาลง รู้สึกสงสารตามที่พี่ชายบอกจริงๆ “แล้วท่านไปเจอเขาได้อย่างไร?”

“เขาวิ่งมาชนข้าน่ะสิ”

อย่างกับวิ่งหนีอะไรมาอย่างนั้นแหละ

หือ? …อย่างกับ หนี อะไรบางอย่างงั้นหรือ?

ความรู้สึกเอะใจทำให้หลี่ซื่อหลางก้มลงมองเจ้าตัวเล็กอีกครั้ง ความหวาดกลัวและสับสนฉายแววในดวงตากลมอย่างไม่ปิดบัง เจ้าตัวกำลังสั่นเทิ่มอย่างห้ามไม่อยู่ หากไม่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายมากๆ เด็กชายก็คงไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวถึงเพียงนี้กระมัง

เจ้าตัวเล็กต้องเจออะไรมาบ้างกันนี่?

“ไปอยู่กับข้าไหม เจ้าหนู”

“พี่ซื่อหลาง!”

หาใช่ฟานตงคนเดียวที่ตกใจกับคำพูดนั้น ชายหนุ่มเองก็อดประหลาดใจไม่ได้เช่นเดียวกัน

“เอาน่า เจ้าจะได้มีน้องชายเพิ่มอีกคนไง”

“ข้ามีท่านคนเดียวก็พอ!”

“ฟานตง ครอบครัวเจ้ามีข้าคนเดียวใช่หรือไม่” หลี่ซื่อหลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน “แต่เด็กคนนี้ตัวคนเดียวไม่เหลือใครเลย”

“ข้า…” ฟานตกอึกอัก มองใบหน้าเล็กแสนมอมแมมสลับกับพี่ชาย ก่อนจะสะบัดหน้ายอมแพ้ “ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว!”

หลี่ซื่อหลางยิ้ม ย่อตัวหันไปคุยกับคนตัวเล็กที่เอาแต่เงียบอย่างเดียว

“เจ้าไม่มีที่ไปไม่ใช่หรือ ไปอยู่กับข้าดีหรือไม่ ข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้า ดูแลไม่ให้มีใครรังแก” ซื่อหลางยกมือจะลูบหัวเด็กชาย หากร่างเล็กชักตัวหนีในทีแรก หลับตาปี๋เพราะเข้าใจว่าคนตรงหน้าจะกระชากดึงผมตนให้หลุด ทว่าสัมผัสจากฝ่ามือเรียวที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนกลับทำให้น้ำตาไหลออกมาเอง

“ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ขอให้จำเอาไว้”

“…ป…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

“ไป…”

จางเฟยหลงเกิดความรู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างบอกไม่ถูก



-------------------------------------------------------------




บ้านของหลี่ซื่อหลางมีสองชั้น

อาณาเขตกว้างแค่สี่สิบตารางวาเท่านั้น ชั้นล่างเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ ชั้นบนเป็นที่พักอาศัย มีที่โล่งตรงกลาง มีห้องนอนสองห้อง ห้องน้ำหนึ่งห้อง หากต้องการใช้ห้องครัวก็ต้องไปที่ชั้นล่าง

“ทีนี้จะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าชื่ออะไร”

หลี่ซื่อหลางถามขณะจูงมือเล็กเข้าบ้าน พร้อมด้วยใบหน้าบูดบึ้งของฟานตงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบใจน้องชายคนใหม่เอาเสียเลย

จางเฟยหลงส่ายหน้า

“แม้ชื่อก็ยังไม่มีหรือ?”

จางเฟยหลงพยักหน้า

“งั้นข้าตั้งให้ดีหรือไม่?” เจ้าตัวเล็กพยักหน้ารับอีกรอบ หลี่ซื่อหลางแอบตื้นเต้น ความรู้สึกเหมือนตอนได้เจอฟานตงเป็นครั้งแรก วิญญาณแห่งการเป็นพี่ชายลุกโหมโชติช่วงอยู่ในใจ “ข้าอยากให้เจ้าเข้มแข็งและกล้าหาญ ฉะนั้นต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า หย่งคัง ดีไหม? เจ้าชอบชื่อนี้หรือไม่?”

หลี่ซื่อหลางยิ้มให้เด็กน้อย กอดเจ้าตัวเล็กหลวมๆ

“หย่งคังเนี่ยนะ?”

สีหน้าฟานตกเหยเก “เจ้ากะเปี๊ยกนี้โดนข้าเป่าก็ปลิวแล้ว แข็งแรงอะไรของท่าน?”

“เดี๋ยวเราช่วยกันเลี้ยงหย่งคังอีกหน่อย ไม่นานก็คงขุนจนอ้วน ตามทันเจ้าตอนนี้ที่เป่ายังไงก็ไม่ปลิว”

ชายหนุ่มยิ้มล้อน้องชายตัวดีก่อนจะอุ้มหย่งคังหายเข้าไปในห้องน้ำ หมายมั่นจะทำความสะอาดครั้งใหญ่ให้เจ้าตัวเล็กสะอาดทุกซอกทุกมุม

“ข้าไม่อ้วนเสียหน่อย!”

เสียงตะโกนไล่หลังอย่างงอนๆ ของฟานตงเรียกเสียงหัวเราะให้คนเป็นพี่ชายได้อย่างดี

จางเฟยหลง ซึ่งบัดนี้กลายเป็น หลี่หย่งคัง ลอบมองตามร่างโปร่งที่เดินไปหยิบนู่นหยิบนี่วางสุมกองไว้กลางห้องน้ำ พรางฮึมฮำเพลงอย่างอารมณ์ดี เจ้าตัวหยิบเก้าอี้ตัวเตี้ยให้เด็กชายนั่งก่อนจะพยายามถอดเสื้อของเขา!

“เป็นอะไรไป อายหรือ?”

หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้วสูงเมื่อหย่งคังพยายามเบี่ยงตัวหลบไม่ให้เขาจับถอดเสื้อแต่โดยดี ใบหน้าเล็กแดงก่ำถึงใบหู

“ข้าก็มีเหมือนเจ้า ไม่ต้องอายหรอก” หลี่ซื่อหลางถอดเสื้อตัวนอกได้สำเร็จ “หรืออยากให้ข้าแก้ผ้าเป็นเพื่อน?”

หย่งคังก้มหน้าคางชิดอก ส่ายหัวพัลวัน

“ถ้างั้นว่าง่ายๆ นะเด็กดี ข้าแค่จะอาบน้ำให้ เจ้าจะได้สดชื่นไง ไม่ดีหรือ?” หลี่ซื่อหลางถอดเสื้อตัวในออก แต่ก็เป็นต้องชะงัก กวาดสายตามองรอยแผลนับไม่ถ้วนบนตัวของเด็กชาย ขนาดแผลนอกเสื้อที่เห็นด้วยตาเปล่าว่าเยอะแล้ว ข้างใต้เสื้อกลับมีทั้งรอยฟกช้ำ รอยลวก รอยบาดสาระพัดจนเขาเผลอกำมือแน่นอย่างโมโห

“บอกข้ามา! ใครมันใจดำกล้าลงมือกับเจ้าถึงเพียงนี้หย่งคัง!”

ร่างเล็กก้มหน้างุดไม่ตอบ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง เห็นดังนั้นชายหนุ่มจึงยอมกลั้นใจเก็บอารมณ์โมโหกลืนลงท้องก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง

“ไม่เป็นไร ไม่อยากนึกถึงสินะ ข้าขอโทษ”

มือเรียวลูบหัวน้องชายตัวเล็ก อีกฝ่ายหลับตารับสัมผัสอ่อนโยน เผลอไถหัวกับฝ่ามือนั่นเองโดยไม่รู้ตัว

…หย่งคังติดใจฝ่ามืออบอุ่นคู่นี้เสียแล้ว…

“มาเถิด พี่ชายเจ้าจะอาบน้ำให้เอง!”

หลี่ซื่อหลางรูดแขนเสื้อขึ้นถึงข้อศอก สายตามุ่งมั่น จับเจ้าตัวเล็กแก้ผ้าแล้วดึงให้นั่งบนตัก ตักน้ำจากกระบวยราดลงบนหัวหย่งคังสองสามน้ำ ฟอกสบู่ทั้งตัวโดยไม่ให้สะเทือนถึงแผลบางจุดที่ยังไม่แห้งสนิทดี ที่หนักสุดเห็นจะเป็นกลุ่มผมสีดำที่จับตัวเป็นก้อนบางจุด สระอยู่หลายน้ำกว่าจะสะอาด ไม่ใช่อะไรหรอกนะ แต่มันเป็นเลือดที่แห้งกรังแล้วทั้งสิ้น!
ยิ่งเห็นเขายิ่งคับแค้นใจ!!

ใครกันที่มันใจอำมหิต ทำร้ายแม้กระทั่งเด็กตัวเล็กๆ ได้ลงคอ?



-------------------------------------------------------------



หัวเด็ดตีนขนาดยังไงฟานตงก็ไม่ยอมให้หย่งคังนอนด้วย

“เตียงข้าแคบ แค่พลิกตัวยังลำบาก”

“แต่ข้ามีงานต้องทำ ตื่นแต่เช้า ช่วงนั้นใครจะเป็นคนดูแลน้อง?”

“ไม่ใช่น้องข้า พี่ซื่อหยางดูแลเองสิ”

คำว่า ไม่ใช่น้องข้า สะกิดต่อมโมโหหลี่ซื่อหยางเข้าอย่างจัง เจ้าตัวตีหน้าตึงใส่น้องชายทันที “หย่งคังเป็นน้องเล็กของครอบครัวเราแล้ว ฟานตง อย่าได้พูดอะไรแบบนั้นอีก”

“ใช่สิ! ข้ามันหมาหัวเน่า!”

ฟานตงไม่ฟังคำพี่ชาย วิ่งเข้าห้องปิดประตูลงกลอนเสียเสร็จสรรพ
หย่งคังที่อยู่ในสถานการณ์เมื่อครู่ด้วย กระตุกมือหลี่ซื่อหลางเบาๆ ให้ก้มลงสบตากลมที่ถามเป็นนัยว่าตนทำอะไรผิดหรือเปล่า

“ไม่มีอะไรหรอก หย่งคังน้อย คืนนี้เจ้าก็นอนกับข้านะ”

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มมีปัญหาอะไรหรอก แต่รู้ว่านิสัยหวงพี่ชายจนบางครั้งก็ทำให้เป็นคนใจแคบของฟานตงถือเป็นความผิดส่วนหนึ่งของเค้า ตอนฟานตงเด็กๆ หลี่ซื่อหลางตามใจมากไปหน่อย เอ่อ มากทีเดียวแหละ ดังนั้นเมื่อมีสมาชิกคนใหม่เพิ่ม พี่ใหญ่จึงอยากให้สายสัมพันธ์พี่น้องยิ่งกระชับแน่นแฟ่นขึ้น

เขาว่ากันว่า ผู้ชายเมื่อนอนด้วยกันจะสนิทกันมากขึ้น

เห็นทีจะใช้แผนการนี้กับฟานตงไม่สำเร็จกระมัง

…เฮ้อ…

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ “ไปนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า”

พี่ใหญ่จูงมือน้องเล็กเข้าห้องนอน ด้านในมีแค่เตียง ตู้กับโต๊ะเขียนหนังสือ นอกจากนั้นเป็นข้าวของเล็กๆ น้อยๆ ที่กระจัดกระจายเกลื่อนเต็มห้อง

นี่คือหนึ่งในความลับของหลี่ซื่อหลาง

เห็นเขาสะอาด สุภาพ ใจดีแบบนี้  สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเวลาอยู่ในห้องส่วนตัว หลี่ซื่อหยางกลายเป็นคนไร้ระเบียบโดยสิ้นเชิง

“รกหน่อยนะ ข้ายังไม่มีเวลาเก็บ”

เปล่าหรอก… เวลาน่ะมี แต่เขาขี้เกียจเก็บเองเท่านั้น

เก็บทำไม? เก็บแล้วเดี๋ยวก็รกอีกอยู่ดี ห้องตัวเองจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ แต่ครัวและร้านด้านล่างต่างหากที่สำคัญ หลี่ซื่อหยางไม่เคยปล่อยให้ครัวของเขาสกปรกหรือมีอะไรรกหูรกตาเลยสักครั้ง น่าแปลกใจดีจริงๆ

“ยืนทำอะไรอยู่ มานอนนี้สิ”

หลี่ซื่อหยางที่ดับตะเกียงแล้วกระโดดขึ้นเตียงรอ กวักมือเรียกน้องเล็กยิกๆ “มานอนข้างๆ ข้านี่มา”

หย่งคังเคยชินกับการทำตามคำสั่ง เขาปีนขึ้นเตียงเงียบๆ แล้วล้มตัวลงนอนข้างๆ ชายหนุ่มแต่โดยดี ไม่ปริปากบ่นสักคำ แถมนอนตัวเกร็งเสียจนคนมองยังอึดอัดแทน

“เป็นตัวของตัวเองสิ หย่งคังน้อย ไม่มีอะไรน่ากลัว” 

มือเรียวลูบหัวคนตัวเล็ก อีกฝ่ายหลับตาขยับตัวเข้าหาฝ่ามือแสนอบอุ่นโดยไม่รู้สาเหตุ ใจของเขาโหยหาฝ่ามือคู่นี้ ทางด้านพี่ชายจึงพลิกตัวตะแคงข้าง เท้าแขนมองน้องเล็กด้วยแววตาอ่อนโยน ดึงผ้าห่มให้คลุมร่างบาง ตบปุๆ สองสามครั้ง

“ก่อนนอนต้องทำอะไรก่อน?”

แววตากลมจ้องหลี่ซื่อหลางอย่างสงสัย ก่อนได้ทันตั้งตัว ชายหนุ่มก็ยื่นหน้ามาจูบหน้าผากเด็กชายหนึ่งที “แต่ก่อนข้าจะทำแบบนี้กับฟานตง แต่พอเขาอายุได้สิบปีก็ไม่ยอมให้ข้าหอมเสียแล้ว เจ้าอย่าเป็นอย่างพี่รองของเจ้านะ” พูดด้วยน้ำเสียงติดตลกแต่ อบอวลไปด้วยความเอ็นดูทำให้หย่งคังเพิ่งสัมผัสถึงการมี พี่ชาย เป็นครั้งแรก

“ต่อไปนี้ ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ หย่งคัง มีปัญหาอะไรขอให้นึกถึงข้า”

…พี่ใหญ่…

 “หลับเถิด คืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”



หย่งคังค่อยๆ ตกอยู่ในห้วงนิทรา รับรู้ถึงอ้อมแขนที่โอบรอบตัวเขา เด็กชายขยับเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างไม่ลังเล

หากนี่เป็นความฝัน เขาก็ปรารถนาไม่อยากตื่นขึ้นมาอีกเลย


-------------------------------------------------------------




To be continued...






หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๔ :: UPDATE 24.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 24-06-2015 20:24:57
ตอนแรกแอบจิต =O=;; ทำเอาแอบเงิบเบาๆ
อยู่กับซื่อหลางแล้วว
เป็นกำลังใจให้จ้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๔ :: UPDATE 24.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 25-06-2015 11:18:36
กรี๊ดรอ.. เราว่าน้องหลงน่าจะโตมาหล่อนะคะ..
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๔ :: UPDATE 24.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 25-06-2015 17:21:48
ดีใจ...น้องจะได้ไปอยู่บ้านใหม่
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๔ :: UPDATE 24.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 25-06-2015 21:27:49
โอยยย ตื้นตันใจมากๆ ในที่สุดก็พบที่ที่ดีสำหรับตัวเอง
ห่วงแต่ดราม่าจะตามมา ฮือ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๔ :: UPDATE 24.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 25-06-2015 22:48:41
นึกว่าจะเป็นแนวดาร์กซะแล้ว :katai5:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๕ :: UPDATE 28.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 28-06-2015 19:05:24
ดอกท้อที่ ๕




หย่งคังกำลังพยายามปรับตัวกับครอบครัวใหม่

กิจวัตรประจำวันทุกอย่างของเด็กชายเปลี่ยนไปตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับหลี่ซื่อหลาง นับเป็นเวลาสัปดาห์กว่าๆ แล้ว ในทุกๆ เช้ามักจะเห็นพี่ชายคนโตลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างก๊อกแก้กๆ ในห้องครัว

“หย่งคัง เจ้าลงมาทำอะไรข้างล่าง?”

“…”

เขาไม่ตอบ

“ยังเช้าอยู่เลย เจ้าไม่กลับไปนอนหรือ?”

หลี่ซื่อหลางหันไปถามแวบหนึ่งก่อนจะสาละวนกับของที่อยู่ในหม้อต่อ “อา…ได้ที่สักที” หม้อที่ตั้งบนเตาส่งกลิ่นหอมฉุย  ชายหนุ่มถูมือไปมาแล้วค่อยๆ ยกหม้อใหญ่ขึ้นจากเตาด้วยความระมัดระวัง

หลี่ซื่อหลางทำทุกอย่างได้คล่องแคล่ว เขาเช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วย่อตัวคุยกับเด็กชาย

“หย่งคัง เจ้าอยู่แถวนี้อาจจะบาดเจ็บได้ ข้ายังมีงานต้องทำ ดังนั้นขึ้นไปรอข้างบนก่อนดีหรือไม่?”

หย่งคังพยักหน้า เขาเรียนรู้ว่าถ้าทำตามคำสั่งก็จะไม่ถูกลงโทษ

...หากเด็กชายทำผิด…ผู้ชายคนนี้จะตีเขาหรือไม่นะ…

“พี่ซื่อหลาง”

ฟานตงเพิ่งลงมาจากชั้นสอง เตรียมมาเป็นลูกมือช่วยขายน้ำเต้าหู้ในวันนี้ ทว่าสายตาบรรจบเข้ากับเด็กชายตัวเล็กพอดี

“เจ้าเตี้ยนี้มาวุ่นวายอะไร?”

“หย่งคังแค่สงสัยว่าข้ากำลังทำอะไรน่ะ ไหนๆ ก็มาแล้ว เจ้าช่วยพาเขาขึ้นไปนอนต่อทีสิ”

“ให้ข้าพาไป?!”

หลี่ซื่อหลางพยายามไม่สนใจสีหน้าบอกบุญไม่รับของน้องชาย “ใช่ เพราะตอนนี้มีแค่เจ้าที่ว่าง”

“ข้าจะมาช่วยท่านขายน้ำเต้าหู้ ข้าไม่ว่าง”

คนเป็นพี่เอ่ยเสียงอ่อน “ฟานตง”

“…ก็ได้!” ปากตอบตกลง แต่สายตาไม่ชอบใจกลับจ้องน้องเล็กที่ยืนเบียดหลี่ซื่อหลางอย่างกล้าๆ กลัวๆ ชนิดไม่วางตา

เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้นัก!

“มาสิ! ตกลงจะไปไม่ไป?”

ฟานตงเหล่ตามองอย่างหงุดหงิด ชักเท้าหันหลังเดินกลับทางเดิม ทางด้านหย่งคังก็เอาแต่ชำเลืองมองหลี่ซื่อหลางเล็กน้อย ก่อนจะเดินคอตกตามฟานตงที่เดินล่วงหน้าไปก่อนหลายก้าว แต่ละก้าวส่งเสียงดังจากการกระแทกเท้าด้วยอารมณ์คุกรุ่น

“พี่ซื่อหลาง นะ พี่ซื่อหลาง!”

เดินไปบ่นไป ฟานตงคิดว่านี้คงเป็นวิธีระบายความเครียดอย่างหนึ่งของเขา

“เลี้ยงหมาแมวยังพอว่า นี่เล่นไปเก็บเด็กที่ไหนมาเลี้ยงก็ไม่รู้! ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ เฮ้อ!!”

หย่งคังยังคงก้มหน้าเงียบเดินต่อ ไม่เอ่ยเอื้อนคำใดออกไป เขาชินกับการทำตัวเป็นอากาศธาตุเสียแล้ว

“นี่! เจ้าเปี๊ยก”

ฟานตงหยุดเดิน ทำให้คนตัวเล็กชะงักฝีเท้าตามก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายช้าๆ

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าไปทำอะไรให้พี่ข้ายอมรับมาเลี้ยง แต่บอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ไว้ใจเจ้า!” ฟานตงมีสีหน้าไม่พอใจ “คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ต่อให้เป็นแค่เด็กก็ใช่จะเดียงสา เจ้ามีแผนอะไร? หากคิดทำการอะไรบ้าๆ รับรองเจ้าไม่ตายดีแน่!”

ฟังจากเสียง จินตนาการออกเลยว่าคนพูดกำลังควันออกหู ฟานตงเดินตึงตังไปที่หน้าห้องนอนหลี่ซื่อหลาง ผลักคนตัวเล็กเข้าไปด้านในแล้วปิดประตูใส่อย่างแรง

ปัง!

“แล้วไม่ต้องเสนอหน้าออกมานะ!”

หย่งคังยืนนิ่งๆ ในห้องนอนที่ไม่ได้จุดตะเกียง ห้องมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์รำไรสอดส่องทางหน้าต่าง ตอนนี้ยังเป็นเวลาเช้ามืดอยู่ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา หย่งคงเห็นคนที่นอนข้างๆ ลุกขึ้นไปทำอะไรบางอย่างเป็นประจำ เจ้าตัวจึงนึกสงสัยก็เท่านั้น เขาไม่ได้คิดจะทำอะไรไม่ดีเสียหน่อย

เด็กชายย่อตัวนั่งลงกับพื้นห้อง กอดเข่าตัวเอง

“ซื่อ…หลาง…”

ปากเล็กขยับพูดเสียงแผ่ว “ซื่อ…หลาง…ซื่อหลาง”

หย่งคังในวัยแปดปี ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายมาได้หนึ่งอาทิตย์ ตอนนี้คำๆ เดียวที่ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกดึงขึ้นจากขุมนรกมีอยู่เพียงสองพยางค์

นั่นก็คือ

“…ซื่อหลาง…”



-------------------------------------------------------------



ฟานตงไม่ชอบหน้าน้องเล็กคนใหม่เอาเสียเลย

แต่ยิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอราวกับสวรรค์กลั่นแกล้ง เช้านี้หลี่ซื่อหลางขอให้ฟานตงช่วยสอนงานให้หย่งคัง ช่วงที่พี่ชายคนโตยังยุ่งวุ่นวายอยู่หน้าร้าน คอยรับมือกับลูกค้า น้องชายสองคนจึงต้องทำหน้าที่หลังครัวเป็นกำลังเสริม

 “เจ้าเปี๊ยก! ทำอะไรให้มันเข้มแข็งหน่อยสิ!”

คนตัวสูงกว่าตวาดลั่น ไม่ว่าคนตัวเล็กจะหยิบจับอะไรก็เหมือนจะผิดไปเสียหมด

“หย่งคัง! เจ้าเป็นมดหรือถึงได้มีแรงเท่านี้? นวดไป! ยังจะมามองหน้าอีก เดี๋ยวปั๊ด!”

ฟานตงทำท่าจะตวัดมือใส่อีกฝ่าย แต่ไม่ได้ตั้งใจจะทำจริงๆ หรอก ถึงจะไม่ชอบหน้าแต่เขาไม่เคยลงมือกับคนที่ดูยังไงก็อ่อนแอกว่า จริงๆ แค่ได้เห็นสีหน้าหวาดกลัวของมันก็สะใจแล้ว

“เจ้านวดแป้งแบบนั้นชาติไหนจะเสร็จ?”

หย่งคังก้มหน้า  เขาก็พยายามทำเต็มที่อยู่นี่อย่างไรเล่า “ข้าทำตามที่ท่านบอก…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”

ที่ถามไม่ได้ตั้งใจกวนประสาท แต่เพราะอีกฝ่ายพูดเบามากจนไม่ได้ยิน ต้องถามซ้ำ “เป็นลูกผู้ชายหัดพูดเสียงดังฟังชัด! เจ้าทำตัวหงอแบบนี้มีแต่ทำให้พี่ซื่อหลางเป็นห่วง อย่าทำให้พี่ชายข้าต้องเหนื่อยเพิ่มเพราะเจ้า!”

“…ขอโทษ…”

หลังของเด็กชายงองุ้มลงกว่าเดิม ฟานตงเห็นแล้วได้แต่เวทนาอยู่ในใจ

อะไรทำให้เจ้าเด็กนี้อ่อนแอถึงเพียงนี้?

“เอาเถอะ” ฟานตงถอนหายใจ “ข้าจะสอนเจ้าใหม่ คราวนี้ตั้งใจดีๆ ล่ะ” คนตัวสูงกว่าไม่ตวาดอีกแล้ว ท่าทางดูใจเย็นลง หย่งคังจึงยืดตัวตรง มองดูอีกฝ่ายอธิบายวิธีการนวดแป้งปาท่องโก๋ ปั้นจนขึ้นรูปและวางลงบนถาด ต่อจากนี้หลี่ซื่อหลางจะเป็นคนจัดการเอาไปทอดเอง

“ไม่ยากใช่หรือไม่?”

อาจารย์จำเป็นเอ่ยถาม นักเรียนพยักหน้าแล้วลงมือทำตามเคร่งครัด

ฟานตงทำเพียงกอดอกมองดูเจ้าเปี๊ยกตั้งใจนวดแป้งอย่างขยันขันแข็ง ว่านอนสอนง่ายดี เว้นเสียแต่ดูอ่อนแอเหมือนผู้หญิงไปหน่อย โดนใครรังแกได้ง่าย เห็นแล้วน่าโมโหยังไงพิกล

“เจ้าเปี๊ยก”

“…ข้าชื่อหย่งคัง”…ชื่อที่ซื่อหลางเป็นคนตั้งให้

เด็กชายพูดออกไปไม่ทันคิด กว่าจะคิดได้ก็เห็นสีหน้าขัดใจของอีกฝ่าย

“เออ! ข้ารู้! ไม่ได้สมองเสื่อมถึงจะได้ลืมชื่อใครต่อใครเหมือนอย่างเจ้าที่แม้กระทั่งชื่อเดิมของตัวเองก็จำไม่ได้” ด้วยความว่าปากร้าย ฟานตงจึงพูดออกไปไม่คิดเช่นเดียวกัน

สีหน้าหย่งคังสลดลงอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไม? เจ้าเจ็บใจที่ข้าต่อว่า?” ฟานตงเอ่ยถามเสียงค่อนแคะ “เช่นนั้นเหตุใดไม่รู้จักต่อสู้เพื่อตัวเอง เจ้าต้องมีพี่ซื่อหลางคอยปกป้องไปตลอดชีวิตหรือ?”

หย่งคังไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี เขาอยากอยู่กับหลี่ซื่อหลาง แต่ไม่อยากทำตัวเป็นภาระ

“ข้าพูดกับเจ้าอยู่นะ!”

หางคิ้วฟานตงกระตุกรัว ความเครียดทะลุจุดยอดของปรอทความอดทน

“หากเจ้าอยากจะอ่อนแอแบบนี้ต่อไปจนตายก็เรื่องของเจ้า! แต่อย่าทำให้พี่ชายของข้าต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย ทุกวันนี้เขาก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังต้องมานั่งดูแลเด็กไม่รู้จักโตเช่นเจ้าอีก!” ฟานตงรู้สึกโมโหจนอยากเอาหัวโขกกำแพงจนสลบไปทั้ง อย่างนั้น แต่เพราะเขาเองก็ไม่อยากทำให้หลี่ซื่อหลางหนักใจเพิ่ม ดังนั้นจึงเลือกที่จะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง

“เจ้าเปี๊ยก”

“…”

“จงเก็บเรื่องที่ข้าพูดไปคิด”

ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป หย่งคังก้มหน้าคางชิดอก มองเท้าตัวเองด้วยความนึกสมเพช เขาอ่อนแอจริงๆ แม้กระทั่งตอนที่บิดาจะฆ่าตนก็ยังยอม



‘หลับเถิด คืนนี้ข้าจะปกป้องเจ้าเอง’



ทุกคืน หลี่ซื่อหลางจะจูบหน้าปากเขาแล้วพูดประโยคเดิม ย้ำเตือนว่าตอนนี้เด็กชายไม่ได้อยู่เพียงลำพัง ไม่มีความจำเป็นต้องนึกถึงตนเองในอดีต ทิ้งความหวาดกลัว เขาไม่อยากเป็นเด็กอ่อนแอที่ไม่มีใครต้องการ

…ไม่อยากเป็นคนที่หลี่ซื่อหลางไม่ต้องการ…

หาก หย่งคัง หมายความว่า ผู้แข็งแกร่ง

พรุ่งนี้…เด็กชายสัญญาว่าจะเปลี่ยนตัวเอง



-------------------------------------------------------------



หลี่ซื่อหลางนึกแปลกใจทุกครั้งที่เห็นเด็กชายตัวเล็กเมื่อสองเดือนก่อน บัดนี้กลายเป็นเด็กชายที่สุขภาพและรูปร่างสมบูรณ์มากขึ้น เริ่มมีกล้ามเนื้อนิดหน่อย ไม่แห้งแกร็นอย่างถั่วงอกแคระอีกแล้ว

แถมระยะหลังมานี้ หย่งคังกลับไม่นั่งเงียบเป็นเป่าสากเหมือนเก่า ขอสิบ แต่ทำให้ร้อย ขยันขันแข็งแซงหน้าฟานตงไปไกลลิบ

เขามองข้ามความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไปได้อย่างไร?

ชายหนุ่มนั่งพิจารณาอีกครั้ง มองเห็นแววตาที่เจือความมุ่งมั่นบางอย่างอยู่ในนั้น เห็นแล้วยิ่งอดสงสัยไม่ได้

“หย่งคัง มานี้สิ”

หลี่ซื่อหลางกวักมือเรียกน้องเล็กที่ยกกองหนังสือออกจากห้องนอนของเขา “เจ้าทำอะไรอยู่ หืม?”

“เก็บของให้ท่าน”

“เก็บทำไมเล่า เหนื่อยเปล่าๆ” หลี่ซื่อหลางยกมือลูบหัวคนตัวเล็ก อีกฝ่ายรีบขยับเข้าหาฝ่ามืออบอุ่นคู่นั้นทันที

“ข้าอยากช่วย”

“ทุกวันเจ้าก็ช่วยข้าขายน้ำเต้าหู้จนหมดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”

“อยากช่วยอีก”

เพราะเป็นเด็กจึงไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่เขาเรียกประจบ หากเจตนาของเด็กชายก็มีแค่อยากให้หลี่ซื่อหลางไม่ทอดทิ้งตนเท่านั้น “ข้าจะทำตัวให้มีประโยชน์ ไม่อ่อนแอ ท่านอย่าไล่ข้าออกจากบ้านเลยนะ”

หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้ว “ใครจะไล่เจ้า?”

หย่งคังก้มหน้า ทำท่าจะแบกกองหนังสือออกไปจากตรงนี้โดยเร็วไว หากหลี่ซื่อหลางจับตัวไว้ทัน

“ตอบข้ามาก่อน”

“…ท่านจะไม่ทิ้งข้าใช่หรือไม่?”

รู้อยู่แก่ใจว่าเป็นคำถามที่สำคัญตัวสิ้นดี หากหย่งคังก็ยังคาดหวังในคำตอบ

“แน่นอนสิ” หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “พี่ใหญ่อย่างข้าไม่ทิ้งน้องชายหรอก ทั้งเจ้าและฟานตงเป็นครอบครัวเดียวกับข้านะ ตัวเล็กแค่นี้ทำไมคิดมาก?”

หย่งคังยิ้มตอบ แม้เป็นยิ้มที่เบาบางมาก แต่ข้างในซึ้งจนน้ำตาจะไหล

“…ขอบคุณ…พี่ใหญ่”



-------------------------------------------------------------



เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก

สองปีมาแล้วที่หย่งคังย้ายมาอยู่กับหลี่ซื่อหลางและฟานตง เขาโตขึ้นเป็นเด็กชายวัยสิบปีที่มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีทุกประการ ไม่แห้งเหมือนถั่วงอกแคระอย่างที่ฟานตงมักจะค่อนแคะเขาอยู่ทุกวี่ทุกวัน

ถึงแม้พี่รองจะแสดงออกว่าหมั่นไส้เขาอยู่บ้าง หากก็ไม่เคยแกล้งเขาแรงๆ เลยสักครั้ง

“ก็เจ้านั่นแหละ!”

“ข้าก็สูงใกล้เคียงกับท่านแล้วนะ”

นั่นแหละที่น่าโมโห! ฟานตงทำสีหน้าเคียดแค้น แต่คนผ่านมาเห็นกลับมองว่ามันดูตลกมากกว่า

“ปวดหนักหรือฟานตง ตรงนี้ข้าเก็บเองก็ได้ เจ้าไปเข้าห้องน้ำเถอะ”

หลี่ซื่อหลางที่เพิ่งมาใหม่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ไม่คิดจริงๆ ว่ากำลังดูถูกการแสดงความเคียดแค้นทางสีหน้าของฟานตงอย่างถึงที่สุด

“ข้าไม่ได้ปวดหนักเสียหน่อย! เถอะ! ข้าไม่อยากเสวนากับพวกท่านแล้ว ไปหาพี่ลี่ถิงดีกว่า”

ว่าแล้วก็ทิ้งของที่บอกจะช่วยเก็บเสียดื้อๆ วิ่งแจ้นออกไปหาเพื่อนสนิทต่างวัยในทันที หาใช่ความจริงอยากไประบายอารมรณ์ใส่หยงเทียนเสียมากกว่ากระมัง

“อะไรของเจ้าน้องคนนี้นะ”

หลี่ซื่อหลางรำพึงกับตัวเอง หันไปหาเจ้าน้องคนเล็กที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง “เจ้าไม่ต้องช่วยข้าเก็บก็ได้ หย่งคัง ไปหาอะไรทำเถอะ”

“ข้าช่วยท่านแหละดีแล้ว”

“เป็นเด็กก็ทำตัวให้เหมือนเด็กเถอะ ไม่ไปเล่นกับเพื่อนหรือไร?”

“ใครก็ดีไม่เท่าพี่ใหญ่หรอก” หย่งคังยิ้มจนตากลมกลายเป็นเส้นตรง “ข้าอยากอยู่ช่วยท่านมากกว่า”

หลี่ซื่อหลางไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เจ้าตัวไหวไหล่ “เอางั้นก็ได้”

ชายหนุ่มวัยยี่สิบสามหันไปสนใจกับหม้อน้ำเต้าหู้แทน เขานำมันไปล้างจนสะอาด กวาดถ้วยที่ล้างแล้วเช่นกันไปตากแดดให้แห้ง รวมรวมขยะเป็นถุงแล้วนำไปทิ้งที่จุดทิ้งสิ่งปฏิกูล

หลี่ซื่อหลางทำทุกอย่างด้วยความคล่องแคล่ว

โดยหารู้ไม่ว่าทุกการกระทำของตนมีสายตาคู่หนึ่งคอยจับจ้องด้วยความชื่นชม หลงใหล และคลั่งไคล้จนปิดบังไม่อยู่

คนๆ นั้นไม่ใช่ใครที่ไหน…

แต่กลับเป็นน้องเล็กหย่งคังของเขา!

“ซื่อหลาง!”

เสียงคุ้นหูเรียกชายหนุ่มจากหน้าร้าน เป็นจิ้งอี้ เพื่อนสนิทเขานั่นเอง

“เจ้าตัวเล็กมาด้วยหรือเปล่า?” ซื่อหลางเป็นโรคแพ้เด็กน่ารัก ยิ่งเห็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนที่วันนี้เพื่อนสนิทอุ้มเตงๆ ติดมาด้วยก็เกิดอาการตัวสั่นไม่ทราบสาเหตุ

“ไหนๆ มาหาลุงซื่อหลางหน่อยซี่ มามะ ถิงถิงเด็กดี”

หลี่ซื่อหลางปรี่เข้าไปรับร่างทารกน้อยมาอุ้มด้วยความเอ็นดู ไถแก้มไร้หนวดเคราของตัวเองกับแก้มใส เด็กน้อยส่งเสียงร้องเอิ้กอ้ากชอบใจ มือน้อยๆ ขยำหน้าคนเป็นลุงอย่างสนุกมือ ขณะเดียวกัน คนเป็นลุงก็มีความสุขกับมือนิ่มๆ ของหลานเช่นกัน

“ไม่เห็นหัวพ่อถิงถิงมันเลยนะ”

จิ้งอี้ทำสายตาเขม่น ก่อนจะดึงลูกสาวสุดหวงมาอุ้มเสียเอง “วันนี้ขายหมดไวจัง นี่เมียข้าอุตส่าห์สั่งให้มาอุดหนุนเจ้าแท้ๆ ออกมาเสียเที่ยวเลย”

“ข้ามีตัวเรียกลูกค้าเพิ่ม ก็ย่อมหมดเร็ว”

“หย่งคัง?”

“แน่นอน เขาหล่อเหมือนข้า น่ารักเหมือนฟานตง”

จิ้งอี้มีสีหน้าระอา “ได้ข่าวว่าทั้งเจ้า ฟานตงแล้วก็หย่งคังไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด”

“เกี่ยวไม่เกี่ยวไม่รู้ แต่ชะตามันต้องกัน” หลี่ซื่อหลางยักไหล่ก่อนจะหันไปยิ้มเผล่ให้หนูน้อยถิงถิง “เน้อออออ หลานลุง เนอะเนอะ”

พอกับคนใกล้ตัว หลี่ซื่อหลางก็จะเป็นกันเองแบบนี้ บ่อยครั้งทำให้คนที่รู้จักกันเผินๆ แปลกใจ และหลงเสน่ห์เจ้าตัวได้ไม่ยาก แต่หากไม่สนิทชิดเชื้อจริงๆ คงได้แต่เห็นหลี่ซื่อหลางในคราบผู้ชายแสนสุภาพ เรียบร้อยและถ่อมตนนั้นแล

“ช่วงนี้เจ้าดูผอมลงหรือเปล่า”

จิ้งอี้เอ่ยทัก มือข้างที่ว่างจับแขนที เอวที สะโพกทีจนฝ่ายโดนจับหน้าร้อนวูบ “จับอะไรของเจ้า!”

หากหย่งคังที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลกลับมีท่าทีเป็นเดือดเป็นร้อนเสียยิ่งว่าหลี่ซื่อหลางซะอีก อย่าจับนะ! นั่นพี่ใหญ่ของข้า! ต่อให้ อยากตะโกนออกไปแล้วจับทั้งสองคนแยกออกจากกัน แต่หย่งคังในวัยสิบสามปีไม่มีปัญญาทำถึงเพียงนั้น

“ซื่อหลาง ข้าเกรงว่าเจ้าจะโดนฟานตงกับหย่งคังแย่งสารอาหารไปหมดเสียแล้วกระมัง”

“ข้าก็เหมือนเดิม” ว่าแล้วก็ก้มมองตัวเอง พักนี้อาจจะผอมลงจริงๆ นั้นแหละ

“เอาเถอะ ดูแลตัวเองเสียบ้าง” จิ้งอี้บอกด้วยความเป็นห่วง “ว่าแต่ ซื่อหลาง”

“หือ?”

“เหมยหลินถามถึงเจ้าอีกแล้วนะ”

มือที่เล่นกับหนูน้อยถิงถิงถึงกับชะงัก ไม่ต่างกับหย่งคังที่แอบฟังอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“ทั้งฟานตงและหย่งคังเองก็เริ่มดูแลตัวเองได้แล้วไม่ใช่หรือ?”

“โตแค่ไหนพวกเขาก็เป็นแค่เด็กสำหรับข้าเสมอ” คำพูดนี้ไม่ทำให้หย่งคังรู้สึกดีเท่าไหร่ เขาอยากโตเป็นผู้ใหญ่เพื่อดูแลหลี่ซื่อหลาง…เอ่อ แน่นอนว่าฟานตงด้วย หากเจ้าตัวต้องการ

“งั้นพูดกันตรงๆ เมื่อไหร่เจ้าจะใจอ่อนกับน้องสาวข้าเสียที”

ร่างโปร่งเงียบไปสักพัก “ข้าไม่ได้คิดกับนางแบบนั้น”

คำตอบของหลี่ซื่อหลางคราวนี้ทำให้หย่งคังอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้

“แต่งแล้วเดี๋ยวใจเจ้าก็เปลี่ยนเอง”

“ข้ารู้ใจตัวเองดี จิ้งอี้ สำหรับข้า เหมยหลินเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น”

เพื่อนสนิทที่กลายมาเป็นพ่อลูกหนึ่งถอนหายใจเฮือก “ข้าหวังดีนะ ไม่อยากแต่งกับน้องข้าก็ไม่เป็นไร แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นเจ้าแก่ตัวไปโดยไร้ภรรยาและลูก มันดีมากนะถ้าเจ้ามีใครสักคน เป็นความรู้สึกที่ไม่เหมือนเวลาเจ้ามีฟานตงหรือหย่งคัง เจ้าเข้าใจที่ข้าหมายถึงหรือไม่? ซื่อหลาง”

หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ ตบบ่าเพื่อนสนิทปุๆ “ขอบใจเจ้ามาก เอาไว้ข้าจะเก็บไปคิดนะ”

“แค่เก็บไปคิดข้าก็ดีใจแล้ว” จิ้งอี้ยิ้มออก “หากคิดจะตบแต่งใครจริงๆ คิดถึงน้องสาวข้าเป็นคนแรกก็ดี”

“เจ้านี่นะ!”

หลี่ซื่อหลางส่ายหัวระอาก่อนจะขอตัวกลับไปเก็บร้านต่อ หลังจากแยกย้ายกันไป ชายหนุ่มก็เพียงหันไปเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าที่ก็ถือเป็นอันเสร็จงานแล้ว

“พี่ใหญ่”

“หืม?” หลี่ซื่อหลางหันไปมองหน้าน้องเล็กที่เดินเข้ามากอดเอวเขาแน่น

ดูๆ ไปแล้วหย่งคังก็โตเร็วเหมือนกันนะ แปบๆ ก็สูงเท่าอกเขาแล้ว ไม่นานคงสูงแซงหน้าฟานตง แล้วก็แซงหน้าเขาเป็นแน่ คนเป็นพี่นึกภาพแล้วก็อดภูมิใจขึ้นมาไม่ได้

“ยิ้มอะไรของท่าน?”

“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าอยู่น่ะ” หลี่ซื่อหลางไม่รู้เลยว่าคำพูดตรงไปตรงมาของเขาทำให้ แก้มผิวสีน้ำผึ้งที่เกิดจากการออกแดดบ่อยครั้งขึ้นสีแดงระเรื่อลามไปถึงใบหู หย่งคัดเกาจมูกตัวเองแก้ขัดเขิน

“ท่านภูมิใจอะไรในตัวข้า พี่ใหญ่”

“ทุกอย่างแหละ”

ถึงตายข้าก็ไม่เสียดายชีวิตแล้ว หย่งคังคิดกับตัวเองเช่นนั้นจริงๆ

“ข้าอยากได้รายละเอียด”

“อ่า…” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าขบคิด “ถ้าเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน เจ้าทั้งหล่อทั้งสูง อีกไม่นานคงกลายเป็นหนุ่มรูปงามที่มีสาวมาเที่ยวขายขนมจีบไม่เว้นวันเป็นแน่”

“แค่นี้เองหรือ?” หย่งคังแสดงสีหน้าผิดหวังนิดๆ

เขามีดีที่หน้าตาอย่างเดียวหรือไร?

“…แล้วเจ้าก็เข็มแข็ง ขยัน เป็นหย่งคังที่ดีของข้ามาตลอดน่ะสิ เจ้าเด็กขี้ใจน้อย” หลี่ซื่อหลางหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งน้องเล็ก ดูท่าหย่งคังจะเอานิสัยขี้งอนมาจากฟานตงมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยทีเดียว

พอได้ยินเช่นนั้น สีหน้าหย่งคังก็ดูมีความหวังมากขึ้น “ข้าเป็นหย่งคังที่ดีของพี่ใหญ่”

“ใช่แล้ว”

หากหย่งคังยังรู้สึกไม่พอใจกับสถานะนี้

…เขาจะเป็นคนรักที่ดีของพี่ใหญ่ด้วย…






-------------------------------------------------------------




ขณะที่หยงเทียนกำลังขะมักเขม้นกับการจับ เจ้าสำลี หมาขนยาวสีขาวตัวสูงใหญ่พอๆ กับเด็กห้าขวบให้อยู่นิ่งๆ ในกระบะอาบน้ำอยู่นั้น ฝ่ามือล่องหนที่เขาไม่ทันสังเกตเห็นก็ตบฉาดเข้าที่หัวอย่างจัง

ป้าบ! เข้าให้

“โอ้ย!” เผลอปล่อยสายจูงเจ้าสำลีจนมันวิ่งหนีหายเข้าบ้าน หมดโอกาสจับสุนัขอาบน้ำแล้วในเช้าวันนี้

“หยงเทียน! ข้าหงุดหงิด!”

“อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าจะตะโกนเพื่อ?” หยงเทียนที่ปัดนี้กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ร่างกายบึกบึนด้วยมัดกล้ามจนเป็นที่หมายปองของหญิงสาวชวนให้อารมณ์หงุดหงิดของฟานตงเพิ่มสูงขึ้น  ทนไม่ได้ต้องระบายโดยการทุบกำปั้นลงบนหน้าท้องที่แน่นไปด้วยลูกระนาดหกลูกเรียงตัวกันอย่างสวยงาม

…หากคราที่ก้มลงดูหน้าท้องตัวเองบ้าง…

นอกจากจะไม่มีกล้ามเนื้อใดๆ แล้ว ยังมีแต่แหล่งสะสมไขมันจำนวนมากอีกต่างหาก!

คิด! แล้ว! แค้น!

“เป็นอะไรมาต่อยท้องข้า?”

ไม่สะเทือนแล้วยังมีหน้ามาเหล่ตามองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามอีก! (คิดไปเอง) คิดว่าสูงกว่าแล้วจะสามารถถือตัวข่มท่านได้งั้นหรือหยงเทียน?!

“ข้าหงุดหงิด!”

“เรื่องหย่งคัง?”

ฟานตงหันไปมอง “เจ้ารู้ได้ไง!”

“จะมีสักกี่เรื่องที่ทำให้เจ้าวิ่งแจ้นมาหาข้า” หยงเทียนก้มเก็บอุปกรณ์ที่จะใช้อาบน้ำให้เจ้าสำลีเข้าที่ ก่อนจะจูงมือเพื่อนสนิทเข้าไปนั่งในสวน

“ไปหาพี่ลี่ถิงก่อนข้าหรือเปล่า?”

“เออ ข้าไป แล้วเจ้าจะทำไม?”

หยงเทียนเม้มริมฝีปาก “พี่ลี่ถิงเขาจะแต่งงานอยู่แล้ว คราวหลังไม่ต้องไปรบกวน”

“ข้าสนิททั้งกับพี่ลี่ถิง ทั้งเหมยลี่ ว่าที่ภรรยาของเขา ไม่เห็นมีอะไรรบกวน ก็ถือเสียว่าไปเยี่ยมเยียนเท่านั้น” ฟานตงอธิบาย แต่ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าตนจำเป็นจะต้องอธิบายไปทำไม “ช่างเรื่องพี่ลี่ถิงเถอะ ข้ามีเรื่องหนักใจมากกว่านั้น!”

“ว่ามาสิ”

ทั้งสองนั่งลงที่ม้านั่งในสวนหน้าบ้านของหยงเทียน “หย่งคังมันสูงจะทันข้าแล้ว!”

คนฟังเงียบไปสักพัก หันไปมองหน้าคนพูดด้วยแววตาเรียบนิ่ง

“แค่นี้?”

“แค่นี้ที่ไหน!”

ฟานตงโพล่งตัวขึ้นจากม้านั่ง ลำบากหยงเทียนต้องฉุดให้นั่งลงอีกรอบ ก่อนเจ้าตัวจะระบายความอัดอั้นตันในใจต่อ “เรื่องนี้ใหญ่มากเลยนะ! หากเจ้านั่นสูงแซงหน้าข้าเมื่อไหร่ ข้าก็จะกลายเป็นคนที่เตี้ยที่สุดในสามพี่น้อง แม่นางตระกูลไหนจะเหลียวมองข้ากัน? ข้าไม่ต้องนั่งตบยุงไปจนแก่หรือ?! แล้วหาก…”

หยงเทียนพยายามฟังฟานตงพรั่งพรูสิ่งที่ตนรู้สึกเจ็บปวดใจไปต่างๆ นาๆ หากสายตาคมเข้มกลับค่อยๆ เลื่อนลงไปหยุดมองที่ริมฝีปากคนพูดแทน มองมันขยับบ่นไปมาไม่ขาดสาย กระนั้นหยงคังก็ชอบที่จะนั่งมองอย่างเงียบๆ

หากได้ลิ้มลองจะเป็นเช่นไรหนอ?

“…แล้วนะ พอข้าเรียกเจ้านั่นว่าเปี๊ยก อีกหน่อยคำนั้นมันคงกระทบข้าแทนกระมัง!”

“…”

“นี่เจ้าฟังข้าอยู่หรือเปล่า?”

หยงเทียนกระพริบตาได้สติกลับคืน “อืม…”

“เฮ้อ! ข้าล่ะเพลีย ทำอย่างไรถึงจะสูงใหญ่บึกบึนสมชาย เจ้ามีเคล็ดลับอะไรบอกข้ามานะ!”

“เจ้าเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว”

“ก็บอกอยู่ว่าไม่ดี! ฟังที่ข้าเล่าไปบ้างหรือเปล่า ข้าเพิ่งบอกไปอยู่ว่า…”

แล้วฟานตงก็เริ่มเล่าเรื่องใหม่ทั้งหมดตั้งแต่ต้นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

…ขณะเดียวกัน…

หยงเทียนก็แอบมองริมฝีปากของฟานตงอย่างไม่รู้จักเบื่อหน่ายเช่นกัน



 
-------------------------------------------------------------






To be continued...







Talk : ต้องขอโทษที่หายไปหลายวันนะคะ *ร้องไห้*
พอดีว่าติดทำค่าย เลื่อนมาลงวันนี้แทนแล้วกันเนอะ
น้องหลงโตขึ้นล้าวววววว ท่าจะหล่อซะด้วยยยย
แบบนี้จะมัดใจพี่ซื่อหลางได้หรือเปล่าน้า รอติดตามนะคะ!


หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๕ :: UPDATE 28.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 28-06-2015 19:23:25
จิ้มๆๆ
สารภาพว่าตอนแรกนึกว่าหย่งคังจะเป็นเคะ ปรากฏว่า อ้าว ไม่ใช่นี่หว่า แต่ก็ตงิดๆ ตั้งแต่ที่บอกว่าซื่อหลางเป็นร่างโปร่งละ ซื่อหลางโดนจองตัวไว้ รู้ตัวมั่งมั้ยเนี่ย 555555
ปรากฏโฉมคู่รองอย่างชัดเจน หึๆๆ
ปล. ตอนท้ายๆ ที่หยงเทียนคุยกะฟานตงอ่ะ คือคนแต่งเขียนว่าหย่งคังบ้างบางตัวอ่ะจ้า -O-;
รอตอนต่อปาย~
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๕ :: UPDATE 28.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Ellette ที่ 28-06-2015 23:23:32
คอมเม้นท์ตั้งแต่ตอนแรกเลยแล้วกัน ตอนแรกคิดว่าน้องชายคนเล็กที่แม่ไม่รักจะเป็นเคะผู้อาภัพเสียอีก เลยตั้งใจจะเชียร์เต็มทีเพราะชอบเคะรัดทด อีกอย่างสารภาพว่าจำตัวละครไม่ค่อยได้เพราะเยอะแยะมาก แต่พอจะจำบุคลิกภาพแต่ละคนได้พอประมาณ ตอนที่น้องคนเล็กทำร้ายพี่ใหญ่นี่น่ากลัวนะ เด็กคนหนึ่งจะมีแรงได้ขนาดนี้เลยเหรอ เอาจริงก็คงมี แต่มีแรงทำให้ตาบอดเลยเหรอเนี่ย น่ากลัวเกินไปแล้วนะน้องเล็ก เพราะเปิดมาค่อนข้างจะเป็นเด็กที่น้อยเนื้อต่ำใจ พอพลิกมาอีกทีเป็นคนละคนไปแล้ว ตอนโดนรุมทำร้ายมันยังไม่ค่อยร้ายในความรู้สึกของคนอ่านเท่าไหร่เลยค่ะ มันควรจะร้ายกว่านี้ (ซาดิสม์เหรอออ?  :katai1:) ส่วนคุณแม่เลี้ยงอันนี้ร้ายมาแต่แรกจริงๆ แต่แสดงด้านร้ายของคุณแม่น้อยไปหน่อย ฝาแฝดก็น้อยไปนะ น่าจะได้ยาวกว่านี้ เพราะเหมือนมาร้ายแปบๆ แล้วตัดไปที่คุณพ่อที่ใจไม้ไส้ระกำอย่างแรง คุณแม่กับน้องฝาแฝดอันนี้รู้ว่าเป็นลูกคนละแม่และคงอยากกำจัด แต่พ่อคือคนให้กำเนิดแต่กับสาวใช้มันค่อนข้างจะร้ายกาจมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บีบคอแล้วบอกจะปล่อยไป ไม่อยากฆ่าแต่จำใจต้องฆ่า อยากทราบเหตุผลของคุณพ่อ (หรืออาจจะอ่านไม่ดี) มีผลต่อตัวเองหรือเปล่า หรืออยากปกป้องลูก อันนี้คิดว่าคุณพ่อคงจะสบายใจส่วนหนึ่งเพราะได้บอกให้ลูกเล็กตายไปแล้ว ถ้ารักกันจริงๆ น่าจะปกป้องกันหน่อย ส่วนพระเอกของเรื่องนี้คงเป็นน้องคนเล็กแล้วล่ะ มาเฉลยตอนที่ห้า ที่แอบผิดหวังเล็กๆ (ที่แอบหวังว่าจะเป็นนายเอกตัวน้อยที่สู้ชีวิตและมีพระเอกคอยหนุนหลังให้ทำการใหญ่ได้สบายๆ) ที่กลายเป็นพระเอกไปได้ ส่วนนายเอกอีกคนนี่นึกไม่ออกระหว่างพี่ใหญ่กับพี่รอง  :เฮ้อ:  ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ใหญ่กับพระเอกพอเข้าใจว่าผูกพันกันในระดับหนึ่ง เพราะเป็นคนเลี้ยงด้วย ส่วนพี่รองไม่ค่อยเห็นโมเม้นท์กันเท่าไหร่ค่ะ อยากรู้ว่าแค่มองเพราะอยากมองหรือมีอะไรอื่นๆ

ปล.พี่ใหญ่กับเพื่อนสนิทนี่ก็เกือบมีโม้เม้นท์กันนะคะ

ขอบคุณค่ะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๕ :: UPDATE 28.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 29-06-2015 00:28:28
หยงคังพยายามฟังฟานตงพรั่งพรูสิ่งที่ตนรู้สึกเจ็บปวดใจไปต่างๆ นาๆ หากสายตาคมเข้มกลับค่อยๆ เลื่อนลงไปหยุดมองที่ริมฝีปากคนพูดแทน มองมันขยับบ่นไปมาไม่ขาดสาย กระนั้นหยงคังก็ชอบที่จะนั่งมองอย่างเงียบๆ

หยงคังคือหยงเทียนหรือเปล่าอะ :katai5:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๕ :: UPDATE 28.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-06-2015 01:39:05
หย่งคังของพี่โตแล้ววว
หล่อดวยยยย
จะกดซื่อหลางอีกต่างหากกกก

วุ๊ย! มันช่างถูกใจ
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 29-06-2015 21:12:14
ดอกท้อที่ ๖



หนึ่งปีให้หลัง

มีข่าวลือว่านายเลี่ยงหวง ผู้นำตระกูลจางถูกลอบวางยาพิษ เป็นเหตุให้หมอในเมืองหายาถอนพิษกันจ้าละหวั่น

แม้สุดท้ายจะถอนพิษได้ แต่ร่างกายก็กลายเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวลงมา 

“คนในเมืองเขาเล่าปากต่อปากว่าคนลงมือก็คือเมียเขานั่นแหละ” จิ้งอี้เอ่ยอย่างไม่ได้คิดติดใจอะไร ก็แค่ข่าวของคนใหญ่คนโตที่เขาไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก 

“งั้นหรือ น่าสงสารเหมือนกันนะ”

หลี่ซื่อหลางรู้สึกตามที่พูดเช่นนั้นจริงๆ


กระทั่งผ่านไปได้สามปีเศษ

หลังจากเหตุการลอบวางยาพิษนายเลี่ยงหวงเงียบหายไป ข่าวครึกโครมว่านางซูเม่ยป่วยเป็นโรคทางประสาท วันดีคืนดีอาการเกิดกำเริบลุกขึ้นมาถือมีดไล่ฆ่าคนในบ้านตายไปสองศพ จากนั้นก็ฆ่าตัวตายตาม กลายเป็นข่าวดังในชั่วข้ามคืน

มีคนเล่าต่อๆ กันว่าศพแรกเป็นสาวใช้คนเก่าแก่

อีกศพเป็นลูกชายฝาแฝดคนเล็กอายุจะครบสิบหกปี สิ้นเดือนหน้าพอดี แถมยังหมั้นหมายกับลูกสาวตระกูลอู๋ เจ้าของโรงทอผ้าไว้ตั้งแต่สองเดือนก่อน เป็นอันว่าต้องยกเลิกการหมั้นหมาย แล้วจัดงานศพแทนเสียอย่างนั้น


ปีต่อมา

เกิดข่าวใหญ่ว่าลูกชายคนโตตระกูลจางเสียชีวิตหลังจากการถูกจี้ปล้นระหว่างการเดินทางไปต่างเมือง ตระกูลจางสิ้นทายาทที่จะสืบต่อกิจการส่งออกผลผลิตทางการเกษตร เกิดการแทรกแซงอำนาจในเครือญาติ

นายเลี่ยงหวงจึงตัดสินใจประกาศตามหา ลูกชายคนเล็ก ที่ไม่เคยบอกออกสื่อมาก่อน!

ตามข่าวแจ้งว่าลูกชายอายุแปดขวบหายตัวไปเมื่อเจ็ดปีก่อน

ในใบประกาศหาคนหาย ไม่มีแม้กระทั่งรูปถ่ายติดไว้ด้วยซ้ำ มีแค่ชื่อกับรูปร่างสันฐานคร่าวๆ เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเงินรางวัลมหาศาลที่เขียนระบุไว้ท้ายกระดาษ ชาวบ้านคงไม่วุ่นวายพลิกแผ่นดินหาคุณชายคนเล็กของตระกูลจางจนไม่เป็นอันทำมาหากินเช่นนี้เป็นแน่

ปัญหานั้นกระทบถึงร้านขายน้ำเต้าหูของหลี่ซื่อจางเช่นกัน

“ทำหน้าคิดหนักอะไรของเจ้า ซื่อหลาง”

จิ้งอี้เป็นลูกค้าคนเดียวที่นั่งจิบน้ำเต้าหู้สบายอารมณ์ คนถูกทักถอนหายใจเฮือก

“ไม่ให้ข้าคิดหนักได้อย่างไร พักนี้อะไรๆ ก็คุณชายเล็กตระกูลจาง ไม่มีใครมานั่งใจเย็นดื่มน้ำเต้าหู้ของข้าแล้ว”

“เจ้าคิดมาก ข้าเห็นน้ำเต้าหู้เจ้าก็ขายหมดทุกวัน”

“แต่กว่าจะหมด พระอาทิตย์ก็อยู่กลางหัวข้าแล้ว เหตุการณ์นี้ข้าไม่เคยรับมือมาก่อน”

หลี่ซื่อหลางและจิ้งอี้คุยกันตามประสาหนุ่มใหญ่ไปเรื่อยเปื่อย จึงไม่ทันสังเกตเห็นความวูบไหวในสายตาของหย่งคงเมื่อยามที่เจ้าตัวได้ยินข่าวเกี่ยวกับคุณชายเล็กตระกูลจาง

หากว่าหย่งคังในตอนนี้เปลี่ยนไปมาก เด็กชายตัวเล็กที่เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีบริบูรณ์ ร่างกายสูงใหญ่เกินหน้าเกินตาทุกคนในครอบครัวทำให้ฟานตงยกธงขาวยอมแพ้ให้น้องเล็กเชิญสูงแซงได้หน้าตามใจชอบ

“คนหายตัวไปนานเสียขนาดนั้น มาตามหาเอาตอนนี้ โอกาสที่จะเจอเรียกว่ายากยิ่งกว่าให้แพะออกลูกเป็นแกะเสียอีก”

“คำเปรียบเทียบเจ้าแปลกมา ซื่อหลาง”

“ข้าแก่แล้วก็แบบนี้แหละ”

จริงๆ แล้วหลี่ซื่อหลางก็ไม่ได้แก่อย่างที่เจ้าตัวพูดสักเท่าไหร่ ด้วยวัยยี่สิบห้าปีไม่ขาดไม่เกินยิ่งขับใบหน้าท่าทางให้ดูภูมิฐานน่ามองเสียด้วยซ้ำ ร่างโปร่งไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป เรียกว่ากำลังจับถนัดมือเทียว

“พี่ใหญ่ ให้ข้าดูแลร้านแทนก็ได้ ท่านไปพักผ่อนเถอะ”

หย่งคังเดินเข้ามาแตะเอวพี่ชายที่ตัวสูงถึงแค่คางของเขา แววตาอ่อนโยนทอดมองอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่ปิดบัง

“ถึงแก่แต่ข้าก็ยังมีไฟนะ เจ้าอย่าทำเหมือนข้าเป็นตาแก่อายุเก้าสิบได้หรือไม่”

จิ้งอี้หลุดหัวเราะ ทำสีหน้าบอกเป็นนัยว่า หรือเจ้าไม่ใช่?

หย่งคังเปลี่ยนเป็นโอบไหล่หลี่ซื่อหลางเพื่อเรียกความสนใจของร่างโปร่งให้หยุดอยู่ที่ตนอีกครั้ง “ที่ไหนล่ะ ข้าแค่ไม่อยากให้ท่านเหนื่อยก็เท่านั้น” เด็กหนุ่มส่งรอยยิ้มเชื่องๆ เหมือนลูกหมาตัวใหญ่นิสัยดีไปให้

…ที่สำคัญกว่านั้น ไม่อยากเห็นพี่ชายยืนคุยกับคนอื่นที่ไม่ใช่เขาด้วย…

เหตุผลข้อหลัง หย่งคังไม่อาจเอ่ยออกไปให้สมอารมณ์หมายได้

แต่มีหรือที่คนอาบน้ำร้อนมาก่อนอย่างจิ้งอี้จะดูไม่ออก หลายปีมานี้เขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของหยั่งคงมาสักระยะหนึ่งแล้ว และสรุปได้เลยว่าเจ้าเด็กยักษ์กำลังคิดไม่ซื่อกับเพื่อนสนิทของเขา

ซ้ำร้าย…

หลี่ซื่อหลางไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าถูกน้องชายตัวเองจ้องจะงาบ!

แม้จิ้งอี้ตั้งใจจะบอกความจริงกับซื่อหลาง บ่อยครั้งเขาหาโอกาสจะบอกเรื่องหย่งคังได้แล้ว หากใบหน้าและแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและความเชื่อมั่นในตัวของน้องชายทั้งสองคน กลับทำให้จิ้งอี้เกิดอาการน้ำท่วมปากขึ้นมาเสียดื้อๆ

เขาทำลายความรู้สึกของหลี่ซื่อหลางไม่ได้

และได้แต่หวังว่าหย่งคังจะทำแบบเดียวกับเขาเช่นกัน





-------------------------------------------------------------




หลี่ซื่อหลางกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะหาห้องนอนแยกให้หย่งคังอย่างไรดี ด้วยอาณาเขตพื้นที่จำกัดทำให้บ้านของเขามีแค่สองห้องนอน แน่ล่ะว่าเตียงหนึ่งไม่สามารถให้ผู้ชายตัวโตสองคนนอนเบียดกันได้ หากหย่งคังยังตัวเล็กเหมือนสมัยก่อน หลี่ซื่อหลางคงไม่ต้องกลุ้มใจเช่นนี้

…เฮ้อ…

จะให้บอกอย่างไรว่าเขากลัวตัวเองจะแบนเป็นกล้วยปิ้งเพราะอีกฝ่ายเริ่มตัวสูงใหญ่ขึ้นมากเสียขนาดนั้น

เรื่องเสียสละให้ตัวเองนอนพื้น ใช่ว่าไม่เคยทำ แต่เช้ามาหลี่ซื่อหลางพบว่าความทรมานจากอายุสังขารช่างน่ากลัว เขาปวดหลังอยู่เป็นอาทิตย์ พร่ำบอกตัวเองว่าจะไม่เสี่ยงสุขภาพกับการนอนพื้นห้องแข็งๆ อีกแล้ว

ครั้นจะไล่น้องเล็กให้นอนพื้น คนเป็นพี่ใหญ่ยิ่งทำไม่ได้!!

วันนี้หลี่ซื่อหลางจึงตัดสินใจจะคุยกับหย่งคังให้รู้เรื่อง หากเจ้าตัวต้องการเตียงหรือห้องนอนใหม่ เขาคงจำเป็นต้องต่อเติมบ้านอีกหน่อย เจียดเงินจำนวนหนึ่งเพื่อความสุขของน้องไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา

“หย่งคัง”

หลี่ซื่อหลางเจอหย่งคังที่สวนหลังบ้าน เด็กหนุ่มตัวโตกำลังก้มๆ เงยๆ ทำอะไรบางอย่างกับพื้นสนาม

“พี่ใหญ่” เจ้าตัวยิ้มทักทาย

“เจ้าทำอะไรอยู่?”

“นี่น่ะหรือ?” หย่งคังชูส้อมพรวนดินขึ้น “ข้าจะปลูกต้นไม้น่ะ”

คำตอบนั้นสร้างความฉงนให้หลี่ซื่อหลางยิ่งนัก “ข้าไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าสนใจเรื่องพรรค์นี้ด้วย เหตุใดจู่ๆ จึงนึกครึ้มอยากปลูกต้นไม้ขึ้นมากันเล่า”

หย่งคังยิ้มอาย “ข้าแค่อยากปลูกเจ้าต้นนี้น่ะ ข้าชอบ”

“หืม?” หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้ว “บอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าตั้งใจจะปลูกต้นอะไร เผื่อข้าจะได้ช่วยเจ้ารดน้ำพรวนดินด้วย เจ้าว่าอย่างไร”

“จริงหรือ?!”

สีหน้าดีใจจนปิดไม่มิดของหย่งคังสร้างความเอ็นดูให้หลี่ซื่อหลางเป็นอย่างมาก

“ข้าเคยโกหกเจ้า?”

หย่งคังรีบส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่มีใครหวังดีกับข้าเท่าพี่ใหญ่อีกแล้ว อันที่จริงต้นไม้ต้นนี้ ข้าตั้งใจปลูกให้ท่าน พี่ใหญ่ ต้นท้อมีสรรพคุณดีมากมาย สามารถเก็บเกี่ยวผลไว้กินได้ ออกดอกงามทุกปีด้วย”

“เจ้าพูดเสียข้าชักจะอยากเห็นตอนมันโตแล้ว”

“ข้าอยากให้ท่านชอบ”

“ข้าต้องชอบแน่นอน” หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง ลูบหัวน้องเล็กอย่างเคยชิน “หากปลูกแล้วต้องตั้งใจดูแลให้ดี เข้าใจหรือไม่”

อีกฝ่ายพยักหน้า “ข้าจะดูแลมันเป็นอย่างดี พี่ใหญ่”

“ดีมาก”

หลี่ซื่อหลางพยักหน้าชอบใจกับตัวเอง แต่แล้วก็นึกขึ้นได้พอดีว่าตัวเองมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับน้องเล็ก เกือบลืมไปเสียแล้ว

“หย่งคัง ข้าลืมถามบางอย่างกับเจ้า”

“อะไรหรือ?”

“เจ้าอยากได้ห้องนอนใหม่หรือไม่?”

หย่งคังขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน “ห้องนอนใหม่หรือ?”

“ใช่ ก็ในเมื่อทุกคืนเราต้องนอนเบียดกันบนเตียงแคบๆ ข้ากลัวเจ้าจะอึดอัด หรือบางทีอาจจะอยากมีเวลาส่วนตัว หรือ--”

“ข้าไม่อยากได้”

เพราะหย่งคังชิงตอบก่อนจะก้มลงไปพรวนดินต่ออย่างรวดเร็ว หลี่ซื่อหลางจึงไม่เห็นว่าสีหน้าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร

“ทำไมเล่า ปีนี้เจ้าก็อายุสิบห้าแล้ว คงไม่คิดจะนอนเตียงเดียวกับข้าไปจนแก่หรอกนะ ขืนเมียในอนาคตเจ้ารู้เข้ามีหวังนางคงหัวเราะเยาะแย่”

หลี่ซื่อหลางพูดน้ำเสียงติดตลก แต่ดูท่าคนฟังจะไม่ตลกด้วย

“หย่งคัง เป็นอะไรไป?”

“ข้าสบายดี”

น้ำเสียงติดห้วน มีหรือที่คนเลี้ยงเจ้าเด็กขี้น้อยใจคนนี้มากับมือจะดูไม่ออก

“โกรธที่ข้าไล่เจ้าไปนอนห้องใหม่หรือ?”

“…”

เงียบ

แสดงว่าใช่!

“ข้าหวังดีกับเจ้านะ ลองมองเจตนาของข้าดีๆ สิ” หลี่ซื่อหลางนั่งยองๆ ข้างคนตัวโต เหลือบมองเสี้ยวหน้าที่ยังหลงเหลือความน้อยใจอยู่บนนั้น “ผู้ชายสองคนนอนเบียดกันบนเตียงอึดอัดจะตายไป ข้าซื้อเตียงใหม่กว้างๆ นอนสบายให้เจ้าไม่ดีหรือ?”

ฉึก!

หย่งคังกระซวกดินอย่างแรง ท่าทางจะจริงจังกับการปลูกต้นไม้เป็นอย่างมาก

“เจ้าไม่เห็นใจพี่ใหญ่หรือ ข้าแก่แล้ว นอนแบบนั้นทุกคืนมันปวดหลังนะ”

“ท่านปวดมากหรือไม่?”

หย่งคังลืมน้อยใจชั่วขณะ หันมาถามไถ่ด้วยสีหน้าแสดงความเป็นห่วงขึ้นมาทันที

“อันที่จริงข้าปวดไปทั้งตัวเลย”

คราวนี้น้องเล็กถึงกับปล่อยส้อมพรวนดินลงพื้นก่อนจะยึดไหล่เขาไว้ทั้งสองข้าง แววตามีความมุ่งมั่น “ปวดตรงไหนรีบบอก ข้าจะนวดให้ท่านเอง”

“เสื้อข้าเปื้อนดินหมดแล้ว หย่งคัง”

อีกฝ่ายทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ จึงยอมปล่อยมือ “ข้าขอโทษ”

“ช่างเถอะ” หลี่ซื่อหลางปัดเศษดินบนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ

“ตกลงเรื่องเตียงจะเอาอย่างไร?”

“ข้านอนพื้นแทนได้หรือไม่” หย่งคังยื่นข้อเสนอ

“ไม่ได้”

หลี่ซื่อหลางพยายามไม่สนใจสีหน้าผิดหวังของอีกฝ่าย “พื้นห้องแข็งเสียขนาดนั้น ต่อให้เป็นเจ้า ตื่นมาก็จะปวดหลัง ไม่ดีต่อ สุขภาพ”

“แต่ข้ายอมได้”

ร่างโปร่งส่ายหน้า “ข้ายอมไม่ได้”

“…พี่ใหญ่ไม่ต้องการข้าแล้ว”

หย่งคังลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน คนเป็นพี่ใหญ่ถอนหายใจ เดินตามน้องเล็กที่เห็นหลังหายลับไปบนชั้นสอง คนขี้ใจน้อยแอบไปหลบอยู่ในห้องนอนของหลี่ซื่อหลางนี่เอง

“หย่งคัง”



ไม่ตอบ

“เจ้าไม่คิดจะพูดกับข้าจริงหรือ?”

หลี่ซื่อหลางกอดอกมองน้องเล็กที่เอาแต่ทำท่าทีเย็นชาใส่เขา ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วหันหลังให้เป็นเด็กๆ ไปได้

“ดูสิ เจ้าพิสูจน์เองเลยว่าแค่ขนาดตัวเจ้าคนเดียวก็เต็มเตียงแล้ว”

หย่งคังไม่ตอบ นอนเงียบเป็นเป่าสากจนหลี่ซื่อหลางทนไม่ไหว ต้องเข้าไปนั่งลงที่ข้างเตียงเพื่อสะดวกต่อการสนทนา

“หย่งคัง ข้ากลัวเจ้านอนลำบาก หาใช่คิดจะทอดทิ้ง” มือเรียวแตะไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “ข้าเป็นห่วงเจ้าจริงๆ นะ อย่าเย็นชาใส่พี่ใหญ่แบบนี้เลย”

“…”

หลี่ซื่อหลางพ่นลมหายใจ “อยากให้ข้าทำอย่างไรจึงจะหายโกรธ?”

“…นอนลง”

 “หือ?”

ไม่รอให้ร่างโปร่งทันคิดวิเคราะห์ หย่งคังพลิกตัวขึ้น ฉุดหลี่ซื่อหลางให้นอนราบลงกับเตียงขณะที่ตนยันตัวคร่อมไว้ ใบหน้าเด็กหนุ่มเลื่อนลงใบเรื่อยๆ หากจู่ๆ ก็เปลี่ยนใจ ฝังหน้าลงกับต้นคอหลี่ซื่อหลางแทน

“…พี่ใหญ่…” ลมหายใจร้อนผ่าวรินรดใกล้แอ่งชีพจร

“วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป?”

หลี่ซื่อหลางเข้าใจว่าน้องชายคงไม่สบาย จึงลูบหลังให้ “เป็นไข้หรือเปล่า ถ้างั้นข้าจะให้เจ้านอนพัก…โอ้ย! กัดข้าทำไม”

“ข้าอยากนอน”

จะนอนก็นอนไปสิ เรื่องอะไรมากัดคอเขา?

หลี่ซื่อหลางยกมือดันอกแกร่งของอีกฝ่าย “งั้นเจ้าลุกก่อน ข้าจะได้ปล่อยให้เจ้านอนสบายๆ”

“ข้าจะนอนกับท่าน”

ว่าแล้วก็นอนทับร่างโปร่งทันที หากใครผ่านมาเห็นเข้าคงเป็นภาพที่ดูไม่จืด เหมือนหมีกำลังนอนทับซากไก่ให้ตายคาท้องของมันอย่างไรอย่างนั้น

“หย่งคัง! ข้าหนัก!”

“ขอโทษ”

ปากพูดเช่นนั้นแต่การกระทำกลับตรงกันข้าม หย่งคังรวบตัวพี่ใหญ่จมหายเข้าไปในอ้อมกอด พลิกตัวให้ตนเป็นฝ่ายอยู่ด้านล่าง หลี่ซื่อหลางจึงดูเหมือนกำลังนอนบนตัวหย่งคังอีกที

“จะปล่อยข้าได้หรือยัง?”

“นอนเถิด”

หย่งคังหลับตาพริ้ม เห็นแล้วมันน่านัก!

“ข้ามีงานต้องทำ หย่งคัง ปล่อยเดี๋ยวนี้” หลี่ซื่อหลางยันตัวขึ้น แต่เรี่ยวแรงมีไม่มากเท่าอีกฝ่าย ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแทน “ก็ได้…ก็ได้…ข้าไม่ซื้อเตียงใหม่ให้เจ้าแล้ว นอนด้วยกันแบบนี้ไปจนแก่เลยดีหรือไม่?”

หย่งคังไม่ตอบ

หากมือที่คอยรั้งตัวหลี่ซื่อหลางค่อยๆ คลายออก ร่างโปร่งจึงสามารถลุกขึ้นยืนได้

ที่แท้…ก็เป็นวิธีปฏิเสธความหวังดีของเขานี่เอง!




-------------------------------------------------------------




ฤดูหนาวที่เคลื่อนตัวเข้ามาไม่อาจหยุดนิ่งได้ฉันใด

ข่าวการตามหาคุณชายเล็กตระกูลจางก็ยิ่งแพร่สะพัดมากขึ้นฉันนั้น

ไม่ค่อยเกี่ยวกันหรอก…แต่หลี่ซื่อหลางก็อยากหาประโยคเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน สามเดือนเข้าไปแล้วที่เขาต้องทนแข่งขายน้ำเต้าหู้สวนกระแสข่าวครึกโครมยกใหญ่ว่าพบเบาะแสคนหายที่หมู่บ้านใกล้เคียง อากงอาม่าที่เคยเป็นลูกค้าเก่าก็หายหน้าหายตาไปช่วยครอบครัวสืบหาลูกหลานที่ไม่ใช่สายเลือดตัวเองได้ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เวลาเช้าๆ ควรต้องดื่มน้ำเต้าหู้ร้านเขาสิถึงจะถูก

เฮ้อ…

ป่านนี้น้ำเต้าหู้ไอหมู่บ้านข้างๆ คงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ยิ่งคิด หลี่ซื่อหยางก็ได้แต่นั่งคอตกอย่างช่วยไม่ได้

“พี่ซื่อหลาง”

ฟานตงเดินเข้ามาหา แอบหยิบปาท่องโก๋ที่ทอดจนกรอบนอกนุ่มในเข้าปาก “ทำหน้าอย่างกับอึไม่ออกงั้นแหละ อย่าบอกนะว่ายังคิดเรื่องคุณชาย?”

“จริงๆ ข้าก็ไม่สนเรื่องของเด็กนั่นหรอก” ว่าแล้วก็ถอนหายใจอีกรอบ “แต่ไม่มีคนเข้าร้านเราเพราะมัวแต่ไปตามหาคุณชายเล็กตระกูลจางกันหน้ามืดตามัวจริงๆ นะ”

“ค่าตอบแทนขึ้นสูงลิ่วทุกสัปดาห์ขนาดนั้น เป็นใครจะอดใจได้?”

“แล้วเมื่อไหร่เขาจะเลิกหาเสียที ข้าเครียดจนนอนไม่หลับแล้ว” หลี่ซื่อหลางลูบหน้าที่อิดโรยของตนเอง ช่วงนี้เขาพักผ่อนไม่เพียงพอจริงๆ นั่นล่ะ มัวแต่คิดไม่ตกเรื่องเรียกลูกค้าเข้าร้าน จะได้ไม่ต้องทิ้งน้ำเต้าหู้ที่เหลือเกือบครึ่งหม้อทุกวันเช่นนี้

“ใช่ร้านเราร้านเดียวทีไหน ร้านอื่นก็ขายได้น้อยลงเช่นเดียวกัน”

“…นั่นสินะ”

อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมชะตากรรมอีกหลายชีวิต คิดแล้วก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย หลี่ซื่อหลางตัดสินใจจะปิดร้านเร็วกว่าปกติ

“ฟานตง ไปเรียกหย่งคังมาช่วยปิดร้านทีสิ”

“หา? “ เด็กหนุ่มทำสีหน้าไม่เชื่อ ”ท่านจะปิดร้าน?”

“อืม ข้าไม่มีอารมณ์แล้ว”

ฟานตงรู้สึกว่าตัวเองกำลังหูฟาดสมองเบลอ เหตุใดเขาถึงได้ยินพี่ชายสุดขยันขันแข็งบอกจะไม่ขายน้ำเต้าหู้ในวันนี้  น้องรองหันไปมองตามแผ่นหลังที่ห่อเหี่ยวลงถนัดตาด้วยความเป็นห่วง ช่วงนี้พี่ชายของเขาดูเหนื่อยล้าจริงๆ นั่นล่ะนะ

“หย่งคัง!”

ลับร่างหลี่ซื่อหยาง ฟานตงจึงตะโกนเรียกน้องเล็กเสียงดัง

“ท่านเรียกข้า?” น้องเล็กที่ตัวไม่เล็ก ดันเจือกใหญ่โตที่สุดในบรรดาสามพี่น้องชโงกหน้าถามมาจากหลังครัว ในมือมีแป้งปาท่องโก๋ที่เจ้าตัวดูจะตั้งใจปั้นอย่างมาดมั่น

“วันนี้ไม่ต้องขายแล้ว”

“หมายความว่าไง? ไม่ขายแล้ว? พี่ใหญ่ไปไหน?”

หย่งคังมีสีหน้าฉงน ยิงคำถามใส่รัวๆ เสียจนคนตอบเรียงคำพูดไม่ถูก “ข้าหมายความตามที่พูด พี่ใหญ่ของเจ้าไม่สบาย วันนี้เลยไม่เปิดร้าน แล้วก็…อ้าว! หย่งคัง! หย่งค๊างงงง! กลับมาก่อนสิเห้ย!!”

ฟานตงไร้ความสามารถที่จะฉุดรั้งน้องเล็กไว้ได้ เจ้าคนร่างยักษ์มุ่งตรงไปยังชั้นสองโดยไม่รอฟังฟานตงพูดให้จบประโยคเสียก่อน เดาได้เลยว่ามันคงไปนั่งเฝ้าไข้หลี่ซื่อหลางไม่ห่างเป็นกาวตาช้างอีกแน่ๆ เห็นทีหน้าที่เก็บร้านทั้งหมดคงจะตกเป็นของฟานตงแต่เพียงผู้เดียวแล้วกระมัง!

อีกด้านหนึ่ง หย่งคังที่ร้อนรนรีบขึ้นไปดูอาการหลี่ซื่อหลาง เมื่อเปิดประตูห้องเข้าไปก็เห็นร่างโปร่งกำลังนอนหลับลึกอยู่บนเตียง
พี่ใหญ่ของเขาเป็นแบบนี้เสมอ เวลาหลับแม้ทำอย่างไรก็ไม่ยอมตื่น ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็คงนอนต่อได้อย่างสบายใจ

ยิ่งร่างกายกำลังอ่อนแอ หลี่ซื่อหลางยิ่งหลับเป็นตาย น้องเล็กหย่งคังสืบเท้าเข้ามาใกล้ นั่งลงที่ขอบเตียงเพื่อมองหน้าคนหลับให้ชัดๆ

“ไม่สบายหรือ ซื่อหลาง…”

เวลาอยู่กันสองคน ยามที่หลี่ซื่อหลางหลับไม่ได้สติ หย่งคังมักจะเรียกชายหนุ่มด้วยชื่อเฉยๆ “ไม่ดูแลตัวเองเอาเสียเลย แบบนี้จะไม่ให้ข้าเป็นห่วงได้อย่างไร”

ใกล้เดือนสิบเอ็ดเข้าไปทุกที ชายหนุ่มจึงลุกไปปิดหน้าต่างเพื่อป้องกันลมหนาวจากด้านนอก ก่อนจะเดินไปหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ เช็ดตามใบหน้าและลำตัวของหลี่ซื่อหลาง คนถูกปรนนิบัติท่าทางจะสบายตัวจึงเผลอครางออกมาแผ่วเบา

“ชอบหรือ?”  หย่งคังยิ้ม ฝ่ามือลูบตามกรอบหน้าคนนอนหลับ

“แล้วชอบข้าบ้างหรือเปล่า?”

หย่งคังคิดอยู่เสมอว่าจะต้องทำให้คนบนเตียงเป็นของตนสักวัน หากยังไม่ถึงเวลานั้น เขาจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจให้หลี่ซื่อหลางเห็นว่าสามารถให้ตนเป็นที่พึ่งพาได้

ในสายตาของร่างโปร่ง หย่งคังจะไม่ใช่แค่น้องเล็ก

แต่จะเป็นคนที่เหมาะสมในฐานะคนรักเท่านั้น!






-------------------------------------------------------------






หลี่ซื่อหลางกำลังฝัน

บอกไม่ได้ว่าเป็นฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่

หากเขาฝันเช่นนี้มาได้สักระยะหนึ่งแล้ว และยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ยามตื่นขึ้นมา เขาต้องนั่งขบคิดถึงเรื่องนี้จนไม่เป็นอันทำงาน กลายเป็นว่าร่างกายสะสมเป็นความเครียดโดยไม่รู้ตัว

เขามักจะฝันเห็นท่านเทพที่หน้าตาคลับคล้ายคลับคลากับใครบางคน ใบหน้าคมเข้มของท่านเทพอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือ

ลมหายใจร้อนของท่านเทพเป่ารดแก้ม สัมผัสนุ่มแตะลงที่หน้าผาก เปลือกตา จมูก แก้ม และจบลงที่ริมฝีปาก บางครั้งสัมผัสหยุ่นๆ ที่ริมฝีปากก็อ่อนโยน บดคลึงจนหลี่ซื่อหลางตัวเบาหวิว บางครั้งก็รุนแรงจนต้องส่งเสียงในลำคอประท้วง

‘อื้อ…’

และเขามักจะได้ยินเสียงหัวเราะเอ็นดูแผ่วเบาแถวๆ ตำแหน่งริมใบหูตามมาเสมอ

ฝ่ามือท่านเทพมักจะหลุบหายเข้ามาใต้เสื้อของเขา นวดคลึงวนแถวๆ เอวและหน้าอก บางครั้งก็หน้าขา แต่ไม่เคยเกินเลยกว่านั้น

ทุกพื้นที่ที่ถูกสัมผัส หลี่ซื่อหลางรู้สึกว่าผิวหนังร้อนขึ้นราวกับไม่ใช่ผิวของเขา ความรู้สึกแปลกใหม่ทำให้บางทีต้องบิดตัวหลบเพราะไม่รู้วิธีจัดการกับความรู้สึกเสียวซ่านในอก จะว่าอายุก็ปูนนี้แล้ว เมียก็ไม่มี ดันมาฝันถึงท่านเทพหน้าตาหล่อเหลากำลังเล้าโลมตัวเอง?

โฮๆๆๆ งานนี้หลี่ซื่อหลางเครียดเสียยิ่งกว่าขายน้ำเต้าหู้ไม่ออกอีก!



-------------------------------------------------------------








มีต่อ








Talk : มาต่อแล้วค่าา ก่อนอื่นต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านเลยนะคะ
เราไม่ได้ตอบความคิดเห็นนักอ่านเท่าไหร่เลย ฉะนั้นวันนี้จะขอ
ตอบเป็นครั้งแรกเลยเน้อออออ ฤกษ์งามยามดีค่าาาา


@boboman ขอบคุณที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ บอกเลยว่าหย่งคังแซ่บแน่นอนค่ะ555555555

@Ellette ขอบคุณสำหรับความคิดเห็นค่าา เราจะเอาไปปรับปรุงในการเขียนครั้งหน้านะคะ >_<

@ycrazy ขอบคุณมากเลยค่าา ตอนพิมพ์สงสัยคนเขียนมึนๆ เบลอๆ ฮาาาา

@alternative
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ งานนี้พี่ซื่อหลางล้างท้องรอค่ะ (ชะอุ่ย....)










หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-06-2015 21:27:30
สะใจ ไม่กี่ย่อหน้าคนชั่วช้าตายเรียบ กร๊ากกกกก ทันใจสุดๆ

หย่งคังแอบลวนลามซื่อหลางงงงงงง เราจะฟ้องฟานตง! 55555

หยงเทียนนี่ก็เจ้าเล่ห์ ต้องให้พี่ซื่อหลางจัดการ เอ๊ะ! มันดูพัวพันนะเนี่ย

ปล. เราว่าปูพื้นมาน้อยไปหน่อยว่าทำไมหย่งคังถึงรักซื่อหลางแบบนี้แทนที่จะเป็นแบบรักพี่ชายกึ่งๆ พ่อ เพราะอายุห่างกันมากและพบกันตอนที่หย่งคัง "ขาด" ความรักแบบนั้น

สู้ๆ เนอะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 29-06-2015 23:14:19
 o13
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 29-06-2015 23:50:08
ชอบหยงเทียนจังวุ่ย :hao7:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 30-06-2015 00:11:39
เมะเรื่องนี้มันเนียนกันชะมัดเลยเว้ย อยู่ข้างเคะในฐานะคนใกล้ชิดมาได้หลายปี แอบหวงอยู่ห่างๆ เต๊าะแบบเนียนๆ ตอดเล็กตอดน้อยพอหอมปากหอมคอ 55555
ไอ้พวกนี้มันวางแผนจ้องจะงาบอยู่นะ หึหึ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 30-06-2015 06:34:42
ห็นแววมาสักพักแล้วว่าน้องหย่งคังคงหล่อ หล่อจริงๆด้วยค่ะ5555

แต่เราแอบนึกว่าจะเป็นแนวน้องโตมาถีบตัวจนดีแก้แค้นที่บ้สนนะ สรุปที่บ้านต้องมาง้อน้องแทนเหรอเนี่ย55


รออ่านต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: หมีอ้วนพี ที่ 30-06-2015 07:16:17
จากเด็กน้อยน่าสงสารโตมาเป็นหนุ่มตัวโตชอบลวนลามไปซะแล้ว  :hao7:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: cheyp ที่ 30-06-2015 11:37:22
อืม หย่งคัง แอบลวนลามพี่ใหญ่มานานขนาดไหนแล้วเนี่ยยยย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 30-06-2015 11:54:28
หย่งคังเนียนดีจัง :hao6:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 30-06-2015 22:30:47

(ต่อ)

เช้านี้หยงเทียนเดินเล่นอยู่ในตลาด

เขาไม่ได้ตั้งใจมาหาใครนะ แค่ บังเอิญ เดินผ่านมาแล้วเจอร้านน้ำเต้าหู้เข้าพอดี

อ้าว… แต่ทำไมถึงเห็นเพื่อนสนิทตัวเล็กกำลังก้มๆ เงยๆ เก็บของอยู่คนเดียว จะปิดร้านแล้ว?  ร่างสูงตัดสินใจก้าวเท้าฉับๆ เดินตรงเข้าไปหาอย่างไม่รีรอ

“ฟานตง”

เจ้าของชื่อเงยหน้า แววตาแสดงออกว่าประหลาดใจ “หยงเทียน?”

“ข้าบังเอิญผ่านมาเฉยๆ นะ” 

“ข้ายังไม่ได้ถาม”

“...เอ่อ…”

“เอาเถอะ” ฟานตงตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ ก้มเก็บของเพื่อปิดร้านต่อ หากแต่เพื่อนตัวสูงยังคงยืนนิ่งไม่ยอมขยับไปไหน ฟานตงจึงหันกลับไปเท้าสะเอวถาม “แล้วเจ้าจะยืนปังหน้าร้านข้าอีกนานหรือไม่?”

“เจ้ามีอะไรให้ข้าช่วยหรือเปล่า”

“ไม่มี ข้าทำใกล้เสร็จแล้ว”

ใช้เวลาไม่นาน ฟานตงก็เก็บของเสร็จอย่างรวดเร็วตามที่ตนว่า โดยมีเพื่อนตัวใหญ่คอยยืนจับจ้องทุกการกระทำ

“วันนี้เจ้าว่างไหม?”

ในที่สุดหยงเทียนก็เอ่ยปากออกมา “ข้าได้ยินมาว่าหมู่บ้านข้างๆ เปิดร้านซาลาเปาอร่อยที่สุดในเมือง”

“ข้าไม่ว่าง”

ฟานตงตอบทันควัน เขารู้ว่าสถานการณ์ร้านน้ำเต้าหู้ของครอบครัวชักไม่ค่อยดี อะไรประหยัดได้ก็ต้องประหยัด แม้ทุกวันนี้สามารถอยู่ได้เพราะเงินออมที่หลี่ซื่อหลางเก็บไว้ ต่อให้ไม่ขายน้ำเต้าหู้สักเดือนสองเดือน สามพี่น้องก็ยังอยู่สบายไปหลายปี

แต่หากไม่หาเพิ่มวันนี้ สักวันเงินก็จะหมด

เพื่อไม่ให้วันนั้นมาถึง เขาจึงอยากหาเงินช่วยเหลือครอบครัว!

“ไม่ว่างหรือ?” หยงเทียนทำสีหน้างงงวย

“ใช่น่ะสิ! ข้าจะไปหางานทำ หลีก! เจ้าตัวใหญ่เกะกะทางคนจะเดินเสียจริง” ฟานตงพุ่งตัวออกจากร้านเดินไปตามถนนเส้นยาว โดยมีหยงเทียนคอยเดินประกบข้างไม่ห่าง

“เจ้าคิดจะทำงานอะไร?”

“มีอะไรข้าก็ทำหมดแหละ” ฟานตงสอดส่องสายตาดูว่าแถบนี้จะมีงานให้เขาทำหรือไม่

“อย่างเจ้าไม่เหมาะกับงานกรรมกร”

“ไม่รู้เว้ย! มีอะไรก็ทำๆ ไปเถิด”

ว่าแล้วเพื่อนตัวเล็กก็เดินเลี้ยวเข้าไปในร้านอาหารแห่งหนึ่ง บังเอิญว่าเขารู้จักเจ้าของร้านเป็นการส่วนตัวน่ะสิ “เฮีย!”

“อ้าว! อาตง เมื่อวานก็เพิ่งคุยกันไม่ใช่หรือ วันนี้มาหาข้าถึงที่เชียว คิดถึงข้ามากงั้นรึ?” ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนร่างกายสมบูรณ์ไปด้วยกล้ามเนื้อ หากไม่สูงใหญ่เท่าหยงเทียนที่กำลังยืนซ้อนข้างหลังคนตัวเล็กกว่า

หารู้ไม่… หยงเทียนกำลังส่งสายตาเขม่นเสียจนเฮียยังสงสัยว่าตนไปทำอะไรให้อีกฝ่ายโกรธแค้น?

“ข้ากำลังหางานทำน่ะ ที่ร้านท่านมีอะไรให้ข้าทำมั้ย”

“แล้วร้านน้ำเต้าหู้ของเจ้า?”

เฮียที่ว่าถามกลับด้วยใบหน้าประหลาดใจ “อย่าบอกนะว่าโดนอาหลางไล่ออกจากบ้านแล้ว ฮ่าๆ!” ชายวัยกลางคนพูดติดตลก เขารู้ดีกว่าหลี่ซื่อหลางรักน้องยิ่งกว่าอะไรดี

“พูดอะไร?! ข้าก็แค่อยากหางานเสริมเท่านั้น” ฟานตงหน้าแดง ไม่รู้จะอับอายไปทำไมเหมือนกัน

“อาตง ข้าก็อยากช่วยนะ แต่ร้านข้าเองคงไม่มีปัญญาจ่ายค่าจ้างให้เจ้าน่ะสิ”

“งั้นหรือ”

สีหน้าของฟานตงสลดลงเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าส่งยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย “ขอบคุณท่านมากนะเฮีย! ข้าก่อนไปล่ะ”

ฟานตงเดินออกจากร้าน ก่อนจะเดินเข้าไปถามอีกร้านที่อยู่ตรงกันข้ามแทน สนทนาต่อรองกับเจ้าของร้านอยู่สามสี่ประโยคก็ได้ความว่าไม่มีต่ำแหน่งงานว่างเลยสักที่ ฟานตงเดินคอตกกลับมา หากก็พยายามเข้าออกร้านนู่นนี่นั่นจนกระทั่งพระอาทิตย์คล้อยลงต่ำลับขอบฟ้า

“พอก่อนดีไหม ฟานตง”

“วันนี้ข้าล้มเหลว…” เพื่อนตัวเล็กก้มหน้าก่อนจะชกมือขึ้นฟ้า “แต่พรุ่งนี้ข้าจะหาใหม่!”

คนมองได้แต่ยิ้มบาง หยงเทียนตบบ่าฟานตงเบาๆ “เอางี้มั้ย ญาติของข้ากำลังต้องการคนจัดสวนใหม่ เจ้าปลูกต้นไม้เป็นหรือเปล่า?”

“หะ?!”

“แต่ญาติข้าไม่เคยรับใครๆ ง่ายหรอกนะ”

“ข้าจะลอง!” ฟานตงทำตาโต หันมาเขย่าร่างหยงเทียนที่ดูจะไม่สะเทือนตามแรงเขาแม้แต่นิด “แล้วไม่บอกข้าแต่แรก เจ้าซื่อบื้อ! เจ้าเห็นข้าเดินแบกหน้าไปของานคนอื่นทำมันน่าสนุกนักหรือ?!”

“ใจเย็น ใจเย็น”

หยงเทียนรวบข้อมือเล็กไว้ด้วยฝ่ามือเดียว ฟานตงถึงกับหางคิ้วกระตุก

“ปล่อยข้านะโว้ย!” ออกแรงดิ้น หากจะดูไม่เป็นผล “เจ้าขี้โกง! ตัวก็ใหญ่กว่าแบบนี้ ยังไงข้าก็เสียเปรียบ แน่จริงทำตัวให้มันเล็กๆ สิเห้ย!”

“ทำยังไง?”

“ไม่ใช่ปัญหาของข้า!”

หยงเทียนยิ้มเอ็นดู เมื่อก่อนฟานตงเป็นเด็กขี้โมโห โตมาก็ไม่ต่าง เพียงแต่หยงเทียนในวัยเยาว์ไม่รู้จะตอบโต้คนตัวเล็กยังไง หากตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

ร่างสูงไม่ยอมปล่อยมือจากข้อมือเล็ก ค่อยๆ คุกเข่าลงกับพื้นเพื่อให้ดูตัวเตี้ยกว่าฟานตงที่ยืนเต็มความสูง แม้ว่าเพื่อนตัวเล็กจะสูงเลยหยงเทียนที่ขนาดนั่งแล้วขึ้นมาเพียงน้อยนิดก็ตาม

“แบบนี้เป็นอย่างไร?”

ใบหน้าที่ชิดใกล้ บวกกับสภาพที่เหมือนคนกำลังขอแต่งงานทำให้ฟานตงหน้าแดงวูบ “จ…เจ้าลุกขึ้นเลยนะ!”

“ไม่ชอบหรือ?”

“ชอบห่าเหวอะไร! ลุกขึ้น!”

หยงเทียนหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนจะยอมลุกตามคำสั่ง ปล่อยมือคนตัวเล็กให้เป็นอิสระก่อนจะปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าตนเอง

“ข้าถือว่าตกลงนะ”

“ตกลง? เรื่องคนสวนน่ะหรือ?” ฟานตงทึกทักเอาเองเช่นนั้น เจ้าตัวรีบพยักหน้า “ตกลงสิ!”

หยงเทียนส่งยิ้มให้อีกครั้ง หากคราวนี้เป็นรอยยิ้มที่เคลือบบางอย่างไว้ซึ่งไม่ใช่อะไรที่ฟานตงเห็นแล้วเข้าใจ หยงเทียนคิดในใจคนเดียว ที่ว่าตกลงน่ะ เขาหมายถึง ‘คำขอแต่งงาน’ จากท่าคุกเข่าเมื่อกี้ต่างหาก

ฟานตงตกหลุมพลางเข้าเสียแล้ว





-------------------------------------------------------------










ดอกท้อที่ ๗

มีข่าวลือพบเบาะแสสำคัญว่าคุณชายเล็กตระกูลจางยังมีชีวิตอยู่

ชายชราเร่ร่อนคนหนึ่งออกมาป่าวประกาศว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน ตนได้พบเห็นเด็กชายรูปร่างสันฐานเหมือนอย่างที่ในใบประกาศตามหาคนหายระบุไว้ไม่มีผิดเพี้ยน

เด็กชายที่มีลักษณะผมสีดำ ตาโต ผิวขาว ร่างเล็กแกร็นเท่าต้นถั่วงอก มีบาดแผลตามตัวหลายแห่ง  วิ่งไปตามท้องถนนเส้นยาวราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างน่าหวาดกลัว

โดยวันเวลาสถานที่ที่ชายชราเร่ร่อนกล่าวมานั้น ใกล้เคียงกับตอนที่คุณชายหายตัวจากบ้านพอดิบพอดี

ชายชราเร่ร่อนเล่าต่อว่า เด็กชายไปเจอกับผู้ชายคนหนึ่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากร้านเหล้าในเมือง พูดคุยอะไรกันอยู่นาน สักพักก็มีเด็กชายอีกคนวิ่งเข้ามาสมทบ ถกเถียงบางอย่างกันอยู่สักระยะ ก่อนจะจูงมือเดินออกไปกันสามคน

คาดการณ์ว่าผู้ชายดังกล่าวคงเป็นคนที่ลักพาตัวคุณชายเล็กตระกูลจางไปเป็นแน่!

เมื่อนายเลี่ยงหวงรู้ข่าว ก็รีบจ้างคนไปสืบทันที

สองวันให้หลัง ได้ความว่าชายผู้นั้นทำงานค้าขายเปิดบ้านเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ในตลาด นามว่าหลี่ซื่อหลาง ชายหนุ่มกำพร้าพ่อแม่ ถูกรับเลี้ยงดูโดยเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้คนเก่า มีน้องชายบุญธรรมสองคน   

คนแรกชื่อฟานตง อายุสิบเก้าปี

คนที่สองชื่อหย่งคัง อายุสิบห้าปี

ตามประวัติ ในบรรดาสามพี่น้องไม่มีใครแต่งงาน อยู่อย่างสงบสุขและเรียบง่าย ไม่เคยก่ออาชญากรรมหรือทำเรื่องผิดกฏหมายบ้านเมือง

คนที่นายเลี่ยงหวงสงสัยมากที่สุดเห็นจะเป็น ‘หย่งคัง’

แม้จะเปลี่ยนชื่อ แต่จิตวิญญาณข้างในก็คือจางเฟยหลง ลูกชายคนเล็ก ของเขา!

คนสืบข่าวระบุเสริมว่า หย่งคัง มีใบหน้าละม้ายคล้ายนายเลี่ยงหวงอยู่มาก โดยเฉพาะแววตาที่เหมือนถอดแบบกันมา มีรูปร่างที่สูงใหญ่น่าเกรงขามสมชายจนใครต่างก็นึกอิจฉา อีกทั้งเนื้อตัวยังมีรอยแผลเป็นจำนวนมาก หาใช่ดูน่ารังเกียจ แต่กลับเพิ่มกลิ่นอายความดิบเถื่อนของลูกผู้ชายโดยแท้

ราวกับเติบโตมาเป็นคนละคน หากไม่บอกว่าเป็นคนๆ เดียวกับเด็กชายตัวแห้งเมื่อสิบปีก่อนแล้วล่ะก็

จ้างให้ก็ไม่เชื่อเด็ดขาด!




-------------------------------------------------------------





เช้ามืดวันนี้เกิดเรื่องน่าปวดหัวให้หลี่ซื่อหลางหลายอย่าง

ประการแรก ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะเปิดร้าน ยังไม่ทันได้ตั้งหม้อตั้งกระทะเสร็จดี จิ้งอิ้ เพื่อนสนิทของเขาก็ทะเล่อทะล่าเข้ามาทางประตูหลังเรือนแล้วผลักปิดลงกลอนเสียเสร็จสรรพ

“ข้าว่าวันนี้เจ้าอย่าเปิดร้านดีกว่า”

หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าฉงน “อะไรของเจ้า?”

“เชื่อข้าเถอะ”

จิ้งอี้ที่ดูร้อนรนผิดสังเกต ยิ่งทำให้ความสงสัยของหลี่ซื่อหลางเพิ่มสูงขึ้น

“ทำไม? มีอะไรอยู่ข้างนอกหรือ?”

เจ้าตัวเลี่ยงออกไปเปิดประตูหน้าโดยไม่ฟังคำทัดทานจากเพื่อนสนิท พบว่ามีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยกำลังยืนอออยู่บริเวณหน้าร้าน แต่งตัวไม่เหมือนคนในละแวกนี้

คราแรกเขานึกว่าเป็นลูกค้า แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่ใช่

“เจ้าคือหลี่ซื่อหลางหรือเปล่า?”

ชายคนหนึ่งเอ่ยถาม แต่งตัวเหมือนหัวหน้าคนรับใช้พวกตระกูลคนใหญ่คนโต

หลี่ซื่อหลางตอบกลับไปอย่างลังเล “หากจะซื้อน้ำเต้าหู้ต้องรอก่อน ข้ายังไม่เปิดร้าน”

“เจ้าย่อมรู้ดีว่าพวกข้าไม่ได้มาเพราะเรื่องนั้น”

เรื่องนั้น? เรื่องไหน?


สีหน้าหลี่ซื่อหลางแสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่าตนไม่เข้าใจสิ่งที่คนตรงหน้าพูดอยู่จริงๆ “เหตุนั้นพวกท่านมาเพื่อธุระอันใด? หากข้าช่วยได้ ข้าจะช่วย”

“งั้นรึ!”  ชายร่างสูงคนหนึ่งก้าวออกมา ไฟจากข้างทางส่องกระทบคนตัวสูงเกิดเป็นเงาดำทาบทับหลี่ซื่อหลางที่เตี้ยกว่าเห็นๆ เหมือนโดนข่มอยู่เป็นนัยๆ ยิ่งพอยืนประจันหน้ากันเช่นนี้ เทียบกันแล้วเรียกได้ว่ากระดูกคนล่ะเบอร์ทีเดียว

“เจ้าช่วยข้าได้แน่”

…เหตุใดหลี่ซื่อหลางถึงรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกคุกคาม?

“จงไปนำตัวคุณชายเล็กออกมา แล้วจะไม่มีใครเจ็บตัว”

ชายตัวสูงขู่เสียงเรียบ หากแม้หลี่ซื่อหลางรู้เรื่องราวอะไรสักนิด เขาคงไม่ต้องยืนงงกับสิ่งที่ฟังไม่เข้าใจเช่นนี้

“ท่านพูดเรื่องอะไร?”

“ข้าสั่งให้ไปนำคุณชายเล็กตระกูลจางออกมา!”

“ไม่มีคุณชายอะไรที่นี่ ท่านเข้าใจผิดแล้ว…”

ชายตัวสูงกระชากคอเสื้อหลี่ซื่อหลางอย่างแรง “ข้าจะบอกเป็นครั้งสุดท้าย นำ-คุณ-ชาย-เล็ก-ออก-มา!”

“พี่ใหญ่!”

“พี่ซื่อหลาง!”

หย่งคังและฟานตงรีบพุ่งตัวออกมาทันทีที่รู้ว่าพี่ชายกำลังตกอยู่ในอันตราย ยิ่งเห็นพี่ชายกำลังโดนจับตัว ท่าทางราวกับจะถูกทำร้ายยิ่งสร้างความคับแค้นใจให้กับคนพบเห็น

“ปล่อยพี่ชายข้านะ!”

ด้วยความเป็นคนเลือดร้อน ฟานตงจึงถลาเข้าไปโดยไม่ทันได้ไตร่ตรอง เคราะห์ร้ายโดนเสยหมัดใส่เสียจนกระเด็น ลำบากจิ้งอี้ต้องเข้าไปช่วยพยุงแล้วลากเข้าบ้านเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาท

“ปล่อยข้า! พี่จิ้งอี้!!  ข้าจะไปซัดมัน! ปล่อยข้าาาา!!” เสียงโวยวายดังหายเข้าไปในบ้าน

โถ… ฟานตง

หลี่ซื่อหลางนึกสงสารน้องชายจับใจ

“ปล่อยมือจากเขา” หย่งคังเอ่ยเสียงเรียบ ย่างสามขุมเข้ามายืนจ้องตาดุเดือดกับชายแปลกหน้า น้องเล็กของเขาตัวสูงเท่าคนที่กำลังขยำคอเสื้อพี่ชาย ถ้าหากต้องปะทะกัน คงเป็นการต่อสู้ที่สูสีน่าดู

“หย่งคัง ข้าไม่เป็นไร เจ้า…”

“ท่านไม่ต้องพูดแล้ว ซื่อหลาง ปล่อยข้าจัดการเอง”

…เหอ?

วันนี้น้องเล็กของเขาแปลกไปหรือเปล่า? หลี่ซื่อหลางไม่ได้คิดไปเองใช่หรือไม่ที่หย่งคังในตอนนี้ดูน่ากลัวจนเขาเองยังไม่กล้าขัดขืน

ว่าแต่ว่า เขาอายุมากกว่าไม่ใช่? เหตุใดจู่ๆ ถึงเรียกชื่อพี่ใหญ่คนนี้เฉยๆ?

อีกด้านหนึ่ง ชายฉกรรจ์แปลกหน้ามีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดมือออกจากหลี่ซื่อหลาง ด้วยความที่ว่าสะบัดแรงไปหน่อย ร่างโปร่งจึงเซถอยหลังหากไม่ได้แผ่นอกแข็งแรงของหย่งคังรองรับไว้ เขาอาจลงไปกองกับพื้นแล้วเป็นได้

จังหวะนั้น มือใหญ่รีบจับตัวเข้าไปหลบด้านหลังทันที

“พวกท่านมีธุระอันใด?” หย่งคังออกตัวแทน ไม่ยอมปล่อยมือข้างหนึ่งที่จับมือเขาไว้แน่น

 …ความรู้สึกนี่มันอะไรกัน…

ชั่วยามหนึ่ง หลี่ซื่อหลางตกอยู่ในภวังค์ ทัศนียภาพเบื้องหน้าถูกบดบังเพราะแผ่นหลังกว้าง น้องเล็กของเขาเติบใหญ่ถึงเพียงนี้แล้วหรือ? ทั้งยังกล้าหาญ คิดจะปกป้องเขาที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก

หลี่ซื่อหลางลอบมองเสี้ยวใบหน้าคนตัวสูง หย่งคงในยามนี้ช่างดูแตกต่างกับตอนแรกที่เจอนัก เด็กชายที่ชายหนุ่มรับเลี้ยงเมื่อ สิบปีก่อนยังต้องหลบหลังเขาเมื่อเจอภัย มาบัดนี้กลับกลายเป็นเขาเองที่ต้องอยู่ข้างหลังเพื่อให้น้องเล็กปกป้อง

สถานะเรากลับกันตอนไหนหนอ?

“พวกข้ามาตามตัวคุณชายเล็กกลับตระกูล”

“ไม่มีคุณชายเล็กที่นี่ กลับไปเสียเถิด” หย่งคังสวนกลับทันที ทั้งๆ ที่พูดประโยคเดียวกัน แต่ชายแปลกหน้ากลับไปกล้าทำอะไรน้องเล็กของเขา

“เป็นคำสั่งท่านเลี่ยงหวง บิดาของท่าน”

“ข้าจำไม่ได้ว่ามีพ่อ” เอ่ยเสียงแข็งติดจะห้วน จนคนฟังรับรู้ทันทีว่าคนพูดมีความคับแค้นอยู่ในใจ “ไปหาคุณชายที่่อื่น ที่นี่ไม่มีคนที่พวกท่านตามหาหรอก” หย่งคังหันหลังกลับ โอบตัวหลี่ซื่อหลางแน่นเสียจนร่างโปร่งแทบแทรกหายไปในอ้อมแขนแกร่ง

“หย่งคัง…” หลี่ซื่อหลางเงยหน้าขึ้น

แววตาหย่งคงที่มองลงมามีแววอ่อนลง “ไม่เป็นไรแล้ว”

“เขาจะโดนฆ่าโทษฐานลักพาตัวท่าน!”

หย่งคังชะงักเล็กน้อย แรงบีบที่ไหล่หลี่ซื่อหลางเพิ่มขึ้นหลังจากได้ยินประโยคดังกล่าว หากสองเท้ายังเร่งเดินเข้าบ้านโดยเร็ว

“ข้าเตือนท่านแล้วนะ คุณชายเล็ก”

ประโยคสุดท้ายดังไล่หลังก่อนที่หย่งคังจะกระแทกประตูปิดอย่างแรง จิ้งอี้ที่นั่งรออยู่ด้านในรีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบความปลอดภัยของเพื่อนสนิท

“เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”

“อืม” หลี่ซื่อหลางพยักหน้า ยังรู้สึกปะติดปะต่อเรื่องราวไม่ถูก “ฟานตงล่ะ”

“ข้าขังเขาไว้ในห้อง ไม่ว่ากันนะ”

“ก็ดีกว่าให้คนพวกนั้นกระทืบเขา” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือก หย่งคังพยุงร่างโปร่งไปนั่งบนเก้าอี้ ท่าทางราวกับเห็นเขาเป็นทารกหัดเดิน

“หย่งคัง ข้าเดินเองได้”

น้องเล็กเม้มริมฝีปาก จนใจต้องปล่อยมือออกจากร่างโปร่ง

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? มีใครอธิบายให้ข้าฟังได้บ้าง?”

หลี่ซื่อหลางมองหน้าจิ้งอี้ที หย่งคังที ไม่มีใครสบตากับเขาตรงๆ เลยสักคน มีเรื่องที่ปิดเขาไว้อยู่งั้นหรือ? คิดแล้วก็แอบน้อยใจขึ้นมาไม่ทราบสาเหตุ

“จะไม่มีใครพูดอะไรเลยหรือ?”



เงียบ

“ทำไมคนพวกนั้นถึงเรียกเจ้าว่า คุณชายเล็ก” ครานี้หลี่ซื่อหลางถามหย่งคังอย่างเจาะจง

“ข้าไม่รู้”

“จริงหรือ?” คนเป็นพี่ใหญ่ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ได้ปิดบังอะไรข้าใช่หรือไม่?”

หย่งคังไม่ตอบ สีหน้าเศร้าๆ กระตุกหัวใจพี่ชายให้เจ็บปวดไม่แพ้กัน หรือเขาจะขี้สงสัยเกินไป? หลี่ซื่อหลางได้สติ เขาเป็นพี่ใหญ่ ไม่ควรระแวงน้องตัวเอง ชายหนุ่มมีความเชื่อมั่นว่าน้องชายทุกคนของเขาเป็นคนดี

บางทีเขาคงคิดมากตามประสาคนแก่กระมัง

“ช่างเถอะ” หลี่ซื่อหลางเดินเข้าไปตบบ่าหย่งคัง “ข้าขอโทษที่ถามเจ้าแบบนั้น ไม่โกรธข้านะ?”

น้องเล็กเงยหน้ามองพี่ใหญ่ที่ส่งยิ้มละไมให้ แววตาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวน้องชายล้นปรี่ ยิ่งเห็น หยงคังก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น

“เอาล่ะ! ถือโอกาสพักผ่อนสักวันแล้วกัน” หลี่ซื่อหลางรีบเปลี่ยนเรื่อง ทำทีท่าราวกับก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันไปหาเพื่อนสนิทที่นั่งเงียบเป็นเป่าสากมาสักระยะหนึ่งแล้ว

“จิ้งอี้ เจ้าควรไปดูว่าฟานตงทุบประตูพังหรือยัง ข้าจะไปเก็บของหลังครัว”

“อ…เอ่อ ได้สิ”

“ขอบใจเจ้ามาก”

หลี่ซื่อหลางกล่าวขอบคุณในหลายๆ ความหมาย โดยที่หย่งคังได้แต่แอบมองพี่ชายคนโตเดินหายเข้าไปในครัว

หย่งคังไม่อยากทำลายความรู้สึกของหลี่ซื่อหลาง



‘เขาจะโดนฆ่าโทษฐานลักพาตัวท่าน’



หากจะมีใครสักคนต้องตาย

คนๆ นั้นควรเป็นเขา




-------------------------------------------------------------





สองคืนต่อมา หลี่ซื่อหลางก็ฝันอีกแล้ว

ทว่าสัมผัสของท่านเทพช่างอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง ริมฝีปากร้อนไล่จุมพิศทั่วใบหน้าจนถึงลำคอ ขบเม้มที่แอ่งชีพจร ไล่เลียถึงหน้าอกของเขา ฝ่ามือฟ้อนเฟ้นเอวบางจนบริเวณนั้นร้อนวูบ หลี่ซื่อหลางแอ่นตัวรับอย่างห้ามไม่อยู่

‘ข้ารักท่าน…’

คำพูดหวานดังแผ่วข้างหู และยังคงดังก้องอยู่ในหัวคนกำลังหลับฝันซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้สึกดีราวกับลอยอยู่บนก้อนเมฆ

‘ข้ารักท่าน รักที่สุด…’

ริมฝีปากถูกครอบครองอีกครั้ง เนินนานชั่วกัลป์ แขนแกร่งโอบล้อมร่างโปร่งจมหายไปในอ้อมอก สูดดมกลิ่นหอมเฉพาะตัวให้จดจำลึกลงไปใต้ก้นบึ้งหัวใจ เพื่อที่จะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งได้รักและมอบหัวใจทั้งดวงให้คนๆ นี้ได้มากมายเพียงใด
จะเป็นคนแรกและคนเดียวเสมอ

‘รอข้านะ ซื่อหลาง’

จูบลาสุดท้ายแตะลงที่หน้าผาก

‘อย่าลืมว่าข้ารักท่านเสมอ’




-------------------------------------------------------------





“พี่ซื่อหลาง!”

ฟานตงพรวดพราดเข้ามาในห้องนอนของพี่ชายคนโต เห็นร่างโปร่งยังนอนหลับเป็นตายไม่ยอมตื่น “พี่ซื่อหลาง! ตื่นเร็วเข้า!” ทั้งตะโกน ทั้งเขย่า คนนอนหลับสบายยังอุตส่าห์หลับตาพริ้มสบายใจต่อได้?

“พี่ซื่อหลางงงง!!!”

เหมือนโสตประสาทการรับรู้ของหลี่ซื่อหลางจะทำงาน เจ้าตัวงัวเงียลืมตาตื่นขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

“ฟานตง?”

“ก็ข้าน่ะสิ!” ฟานตงดึงร่างสะลึมสะลือให้ลุกขึ้นนั่ง “เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ท่านยังจะมีอารมณ์มานอนอีก!”

“เรื่องใหญ่อะไร?” ว่าพลางอ้าปากหาวหวอด เมื่อคืนฝันดีเสียจนหลับเพลินทีเดียว

“หย่งคังไปแล้ว!”

“ไปซื้อของในตลาด?”

“ไม่ใช่!” ฟานตงทึ้งหัวตัวเอง “หย่งคังหนีออกจากบ้านไปแล้วต่างหาก!”

ตาที่จะหลับแหล่มิหลับแหล่ถึงกับเบิกโพลง “เจ้าว่าไงนะ?!”

“เมื่อคืนตอนยามสาม ข้าเห็นเขาเก็บของออกไปกับพวกที่มารังควาญเราเมื่อสองวันก่อน พอข้าจะไปช่วย ไอตัวใหญ่ในกลุ่มมันก็ชกข้าจนสลบ ดูสิ!” เจ้าตัวอวดรอยฟกช้ำที่โหนกแก้ม ดูท่าจะเจ็บมากทีเดียว

“พอตื่นมาอีกที ชาวบ้านก็เอาแต่ยืนมุงดูข้านอนแบคาถนนหน้าบ้าน นึกว่าตายแล้ว แต่ข้า…”

“ฟานตง! ข้าขอสั้นๆ” หลี่ซื่อหลางเขย่าไหล่น้องชาย

“พี่ซื่อหยาง…” ฟานตงเอื้อมมาบีบมือเขา “หย่งคังไม่ใช่น้องเล็กของเราแล้ว”

“เจ้าพูดอะไร?”

“เขาคือ คุณชายเล็กจางเฟยหลง ของตระกูลจาง”



หลี่ซื่อหลางเงียบไปหลายชั่วยาม เขานั่งนิ่งๆ เพื่อเรียกสติ ก่อนจะหันไปถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ “เจ้าพูดใหม่สิ?”

“หย่งคังไปเป็นคุณชายเล็กแล้ว พี่ซื่อหลาง”

“…ไม่จริง”

“ข้าจะโกหกทำไม”

“ข้าไม่เชื่อ”

ฟานตงหมายจะดึงให้หลี่ซื่อหลางลุกจากเตียง “ไม่เชื่อ ท่านก็ไปถามพี่จิ้งอี้ตอนนี้เลยย่อมได้” หากขาของพี่ใหญ่กลับหมดแรง เสียดื้อๆ จนล้มลงไปกองกับพื้น

“พี่ซื่อหลาง!” ฟานตงรีบเข้าไปช่วยประคอง ดูท่าร่างโปร่งจะจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว

“หย่งคังเป็นน้องเล็กของเราไม่ใช่หรือ…ฟานตง?...”

เห็นสภาพคนเป็นพี่ ฟานตงยิ่งไม่อยากพูดหักหาญน้ำใจ แต่ความจริงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาทำได้เพียงลูบหลังปลอบประโยน

“ตอนนี้ไม่ใช่แล้วล่ะ…”



-------------------------------------------------------------






To be continued...





Talk : ตอนนี้อัพรูปตัวละคร หย่งคัง กับ ซื่อหลางไว้หน้าแรก
อย่าลืมกดเข้าไปดูนะค่าาาา ส่วนตัวละครอื่นๆ จะตามมาทีหลังน้า





@alternative  ยอมรับว่าแต่งเนื้อหารวบรัดมากค่ะ ฮาาาา ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ แต่งจบเมื่อไหร่จะรีไรท์ให้สมเหตุสมผลมากขึ้นค่าา >_<

@cavalli ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค่าาาา

@ycrazy ชอบตัวละครนี้เหมือนกันเลยค่าาาา แล้วนางจะชอบปากแข็งด้วยนะประเด็น ฮาาา

@boboman รอให้ซื่อหลางรู้ใจตัวเองเร็วๆ แล้วจะได้... (ละไว้ในฐานที่เข้าใจ กรั๊กกก)

@oumpatta ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ตัวละครเยอะเป็นหนอนจริงๆแหละค่ะ ฮา ไว้แต่งจบเมื่อไหร่จะรีไรท์ให้สมเหตุสมผลขึ้นนะคะ >_<

@JustWait พี่แกมีฝันร้ายกับตระกูลนี้ค่ะ ไม่อยากกลับไปเหยียบ แต่ถ้าได้กลับไป...รออ่านตอนต่อไปดีกว่าเน้ออออ

@หมีอ้วนพี หย่งคังเขาขาดความรักมานาน55555555

@cheyp สักพักใหญ่แล้วล่ะคะ พี่ซื่อหลางถึงได้นอนฝัน(ดี?)มาหลายเดือน

@ขนมโก๋  ที่หนึ่งไปเลยค่ะ55555555








หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๖ :: UPDATE 29.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Altasia ที่ 30-06-2015 23:04:31
เวลาอัพตอนใหม่ช่วยใส่เลขหน้าด้วยนะคะ หรือไม่ก็ทำสารบัญ ตอนนี้ยังไม่เป็นไรก็จริง เพราะมีแค่สองหน้า แต่พอหน้ามากขึ้นเดี๋ยวจะหาลำบาก
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Malimaru ที่ 01-07-2015 08:24:12
ตามคุณ alternative มา...

เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะคะ ยังมีบางส่วนที่ให้รายละเอียดน้อยไป (เหมือนที่คุณ alternative ว่า) อาจจะต้องปูเนื้อหามากขึ้นเพื่อให้คนอ่านเข้าใจตรงกัน ที่ต้องขอเพิ่มอีกนิดหน่อยคือตรวจทานชื่อของตัวละครในแต่ละฉากว่าถูกต้องไหม เนื่องจากตัวละครส่วนใหญ่ชื่อคล้ายคลึงกัน หากผิดพลาด...อาจทำให้ผู้อ่านงงได้ค่ะ

สู้ๆค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 01-07-2015 08:25:18
@Altasia ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่าาา แล้วก็ใส่สารบัญให้สะดวกต่อการอ่านยิ่งขึ้น >_< ต้องขอโทษด้วยที่ครั้งก่อนลืมใส่ตอนที่อัพใหม่ล่าสุดนะคะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 01-07-2015 08:52:54
ดูท่าหย่งคังจะแอบลวนลามซื่อหลางตอนนอนล่ะมั้งเนี่ย แต่พี่แกดันนึกว่าฝันไป อะไรเงี้ย
ตอนหน้าจะเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย ในเมื่อหย่งคังได้กลับบ้านตระกูลจางแล้ว
รอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 01-07-2015 21:01:02
มันต้องมีความเมามันส์มาพร้อมกับดราม่าแน่ๆ
ซื่อหลางจะตามไปเจอแล้วพบกับความเย็นชารึเปล่า อ๊ากกก
รีบมาต่อเร็วๆนะคะ รออ่านอยากจดใจจ่อเลยยย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 01-07-2015 22:18:55
 :katai1: หย่งคังน่าจะอธิบายอะไรบ้างนะ ไม่ใช่หนีไปเฉยๆ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๗ :: UPDATE 30.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 01-07-2015 22:35:44
ทำไมหย่งคังไปไม่บอกกันล่ะ เราเสียใจ โฮๆๆๆ

ซื่อหลางกับฟานตงจะทำยังไง

แล้วซื่อหลางจะรักหย่งคังแบบคนรักได้เมื่อไร

...ฉันต้องรออีกนานแค่ไหน....
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] แจ้งข่าว :: UPDATE 02.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 02-07-2015 17:23:12
สวัสดีค่าาาาา

วันนี้มาขอแจ้งว่าคนเขียนได้ ปรับเปลี่ยน และ เพิ่มเติม เนื้อหาในบางส่วน
ดังนั้นเนื้อเรื่องในแต่ละตอนจะถูกเปลี่ยนไปบ้างนะคะ

เรื่องที่เปลี่ยน จะเป็นอายุของตัวละครค่ะ
ส่วนเรื่องที่เพิ่มเติม จะเป็นเนื้อหาใหม่



กลับไปอ่านเนื้อหาส่วนที่รีไรท์ใหม่ได้
ตามหัวข้อด้านล่างเลยค่าา


ดอกท้อที่๔ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3103453#msg3103453)

ดอกท้อที่๕ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3107880#msg3107880)

ดอกท้อที่๖ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3109168#msg3109168)

ดอกท้อที่๗ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3110223#msg3110223)



รอติดตาม ดอกท้อที่๘ เร็วๆ นี้นะคะ
ขอบคุณมากค่าาา

หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] แจ้งข่าว :: UPDATE 02.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 02-07-2015 17:40:09
รับแซ่บ!
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 03-07-2015 10:19:36
ดอกท้อที่๘



ต้องไปคุยให้รู้เรื่อง!

‘ถ้าเจ้ายื้อไม่ได้ เจ้าต้องปล่อยมือ’

‘ข้า…’

‘สัญญากับข้า ไม่งั้นเจ้าก็ไม่ต้องไป’

‘ได้ ข้าสัญญา’


หลี่ซื่อหลางให้สัญญากับจิ้งอิ้ ก่อนจะตรงดิ่งมาที่หน้าประตูเรือนตระกูลจาง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยยืนตรงนี้ ตอนนั้นแค่ขอเก็บลูกบอลไม้สานเก่าๆ ที่ทำตกไว้ หากไม่ได้คืน เขาก็จนใจยอมรับ ทว่าครานี้ น้องชายทั้งคนของเขาหายเข้าไปอีก เป็นตายยังไงหลี่ซื่อหลางก็ต้องเอาคืนมาให้ได้!

ชายหนุ่มเคาะห่วงประตูหัวสิงโตสามครั้ง

สาวใช้คนใหม่ชะโงกหน้าออกมาจากบานประตูใหญ่ “มาหาใครเจ้าคะ?”

“ข้ามาหาหย่งคัง”

“ที่นี่ไม่มีคนชื่อนี้เจ้าค่ะ” สีหน้าของสาวใช้แสดงออกว่าไม่รู้เรื่องจริงๆ “ท่านคงมาผิดที่แล้ว”

หลี่ซื่อหลางส่งยิ้มหวาน “ข้ามาไม่ผิดหรอก แม่นาง”

“แต่…”

“ไปบอกคุณชายเล็กของเจ้าว่า พี่ใหญ่ของเขา มาหาได้หรือไม่?” ชายหนุ่มส่งสายตาอ้อนวอน แก่จนปูนนี้เพิ่งจะได้ลองทำตัวน่าสงสารให้คนอื่นดู ท่าทางสาวใช้จะเห็นอกเห็นใจเขาจริงๆ

“ข้าจะไปเรียนให้เจ้าค่ะ รอตรงนี้สักประเดี๋ยว”

“ขอบใจเจ้ามาก”

หลี่ซื่อหลางมั่นใจว่าหากได้มีโอกาสคุยกับหย่งคัง เขาจะต้องยอมกลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้งแน่ๆ แค่คิดเจ้าตัวก็เนื้อตัวสั่นเพราะความดีใจไม่ไหวแล้ว

ทว่าไม่นานสาวใช้ก็กลับออกมาพร้อมข่าวร้าย “คุณชายเล็กไม่ประสงค์พบใครตอนนี้เจ้าค่ะ”

“หะ? เจ้าบอกเขาไปหรือเปล่าว่าข้าคือพี่ใหญ่”

“บอกแล้วเจ้าค่ะ”

“แล้วทำไมเขา…” หลี่ซื่อหลางทั้งประหลาดใจและแอบผิดหวังอยู่ลึกๆ “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”

ไม่ต้องรีบ ยังมีเวลาอีกมากให้คนเป็นพี่ชายแสดงให้เห็นว่าเขาจะรักษาสัญญาเมื่อตอนที่ได้เจอกันครั้งแรก

‘ข้าจะเป็นพี่ชายให้เจ้า ดูแลไม่ให้มีใครรังแก’

หลี่ซื่อหลางจะไม่ผิดสัญญา เขารับรอง!






วันต่อมา

หลี่ซื่อหลางปิดร้านเร็วกว่าปกติ หากไม่ลืมหิ้วถุงน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ชุดใหญ่เตรียมไว้ไปฝากหย่งคัง ป่านนี้น้องเล็กจะคิดถึงรสชาดที่พี่ชายคนนี้ทำให้ดื่มทุกวันหรือเปล่านะ?

“ท่านนั้นเอง” สาวใช้คนเดิมเดินมาเปิดประตู เอ่ยทักเมื่อเห็นหน้าเขา

“น้ำเต้าหู้ข้าทำเอง อร่อยนะ รับไปสิ” หลี่ซื่อหลางเตรียมอีกถุงมาเผื่อสาวใช้ด้วย เหตุว่าระยะนี้คงได้มารบกวนบ่อยๆ เป็นแน่

“อุ้ย ขอบคุณเจ้าค่ะ”

สีหน้าดีใจทำให้หลี่ซื่อหลางนึกเอ็นดู “ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะเอามาให้บ่อยๆ ดีหรือไม่?”

“เกรงใจเจ้าค่ะ เดี๋ยวไป๋เหอจะถูกนายเอ็ดเอา”

“ไป๋เหอหรือ? ชื่อเจ้าไพเราะดี” ชายหนุ่มยิ้ม “ข้ามีนามว่า หลี่ซื่อหลาง เรียกข้าว่าพี่ซื่อหลางก็ได้ วันนี้คงต้องรบกวนเจ้าเอาน้ำเต้าหู้พวกนี้ไปให้คุณชายเล็ก แล้วบอกเขาด้วยว่าพี่ใหญ่มีธุระจะคุยด้วย”

“จะไปเรียนให้นะเจ้าคะ”

ร่างสาวใช้หายเข้าไปในบ้าน ระหว่างยืนรอ หลี่ซื่อหลางถูมือไปมาเพราะลมหนาวพัดบาดผิวเขาแสบไปหมด
อีกไม่กี่สัปดาห์ก็เข้าฤดูหนาวแล้วสินะ คราวนี้น้ำเต้าหู้ของเขาคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเหมือนเก่า อยากให้หย่งคังเห็นจริงๆ ว่าร้านน้ำเต้าหู้ใกล้จะกลับมาโด่งดังอีกครั้ง ลูกค้าคงแน่นเอี๊ยดเต็มร้าน หาเงินดูแลน้องทั้งสองได้สบายไปทั้งชาติ!

“พี่ซื่อหลาง”

“ว่าอย่างไรบ้าง?”

“เอ่อ…” สาวใช้ยื่นถุงน้ำเต้าหู้คืน “คุณชายเล็กไม่ต้องการพบใครเจ้าค่ะ แล้วก็ไม่รับของๆ ใครด้วย”

“แม้กระทั่งข้าด้วยหรือ?”

พูดแล้วก็เหมือนตอกย้ำความไม่เอาไหนของตัวเอง แค่น้องคนเดียวก็ดูแลไม่ได้ “เขารู้หรือไม่ว่าข้ามาหา?”

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ ข้าเรียนเท่าที่ท่านฝากมา”

“งั้นหรือ”

แววตาหม่นแสงจ้องมองถุงน้ำเต้าหู้ในมือสาวใช้ที่คงกลายเป็นหมัน “เจ้าเก็บไว้กินเถอะ หรือไม่ก็ทิ้งไปเลยก็ได้ เอาไว้พรุ่งนี้ข้าจะมาใหม่”

หลี่ซื่อหลางเดินคอตกออกมา วันนี้ล้มเหลว แต่พรุ่งนี้ยังพยายามใหม่ได้ เขาเชื่อว่าต้องได้เจอหย่งคังอีกครั้งแน่ และหากได้เจอ เขาจะไม่ยอมปล่อยมือจากอีกฝ่ายเด็ดขาด






วันเวลาวนเวียนจนครบหนึ่งอาทิตย์ที่หลี่ซื่อหลางยังคงเสนอหน้าไปที่บ้านตระกูลจางได้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมทุกครั้งเขาก็โดนปฏิเสธกลับมาอย่างไร้เยื่อใยเสียด้วย

ไม่เป็นไร…

เรื่องแค่นี้ทำไมจะทนไม่ได้? น้ำหยดลงหินทุกวัน หินยังกร่อน?

เขาไม่เคยคิดสงสัยในตัวหย่งคัง น้องเล็กของเขาอาจกำลังต้องการเวลา และหลี่ซื่อหลางจะแสดงให้เห็นว่าเขาสามารถเป็นพี่ใหญ่ที่ดีได้อย่างแน่นอน

เหตุนั้น วันนี้เขาจึงมาเคาะประตูบ้านตระกูลจางอีกครั้ง

หลี่ซื่อหลางในชุดกันหนาวสามสี่ชั้นยืนเบียดตัวเข้ากับเสาประตู วันนี้อากาศเย็นลงจนน่าใจหาย แต่หาใช่อุปสรรคในการมาหาน้องเล็กของเขา ระหว่างยืนรอ หลี่ซื่อหลางก็เหมือนจะเห็นเงารางๆ วิ่งมาหาตน โบกมือโดดโหยงเหยงมาแต่ไกล

“พี่ซื่อหลาง!”

“ฟานตง?!” ชายหนุ่มพูดพรางถูมือไปมา “อากาศหนาวแบบนี้เจ้าออกมาทำไม?”

“ข้าก็อยากถามคำถามเดียวกันท่านเหมือนกัน”

พูดไปควันก็ออกปากไป เสื้อที่ใส่ทับกับจนจะกลายเป็นขนมชั้นไม่พอบรรเทาความหนาวในวันนี้

“ข้าจะรอพบหย่งคังก่อน”

“โอ้ย! เจ้านั่นไม่ออกมาหรอก เลิกทำแบบนี้เถอะนะ ข้าขอร้อง” ฟานตงดึงมือพี่ชายให้กลับไปด้วยกัน หากพี่ชายก็ขืนตัวไว้ไม่ยอมขยับ

“ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“ท่านจะรั้นไปทำไม! ทำแบบนี้มันได้อะไรขึ้นมา!” ฟานตงถึงจุดสุดจะทนแล้ว เขาไม่อาจมองดูพี่ชายทรมานกับการเฝ้ารอคอยคนที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าจะไม่กลับมาอีก “หย่งคังเลือกทางเดินของเขาแล้ว! เขาอยู่คนละโลกกับเราแล้วพี่ซื่อหลาง! ท่านต้องปล่อยมือจากเขาเสียที!”

“ฟานตง ได้โปรด…”

มาถึงจุดนี้หลี่ซื่อหลางก็ไม่อาจตัดใจได้อยู่ดี

“ข้าแค่อยากเจอเขาอีกสักครั้ง แค่ครั้งเดียวเอง…นะ…” ไม่อาจห้ามให้เสียงหยุดสั่นได้ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นความหนาวนอกกายหรือความหนาวที่เกาะกุมหัวใจของเขาอยู่กันแน่

“เอะอะอะไรกัน!!”

ปรากฏร่างสูงของคนรับใช้ตระกูลจาง ฝ่ายนั้นเดินออกมาหยุดอยู่ที่หน้าประตู ใบหน้าคมเข้มมีร่องรอยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“จ…เจ้าที่ต่อยข้านี่!!” ฟานตงตะโกนชี้หน้า

“หึ! วันนี้ก็มาให้ข้าต่อยอีกรึ!”

“พวกข้าไม่มีเจตนามาหาเรื่องใคร” หลี่ซื่อหลางรีบเดินมาขั้นกลางระหว่างคนรับใช้กับฟานตง “ข้าแค่อยากมาขอพบคุณชายเล็กเท่านั้น”

“เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?” อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง

“ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเขา”

ร่างสูงแค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าฝันกลางวันอะไรอยู่?! พี่ใหญ่ของคุณชายเล็กจางเฟยหลงก็คือคุณชายใหญ่จางเฟยฉี ไม่ใช่ชาวบ้านมอซออย่างพวกเจ้า”

“ว่าใครมอซอ?!”

ฟานตงทำท่าจะตรงดิ่งเข้าไปสั่งสอนคนพูด หากหลี่ซื่อหลางยกมือห้ามไว้เสียก่อน

“ฟานตง ข้าขอล่ะ”

“แต่มัน…หึ่ย!” ฟานตงทำได้แค่สูดลมหายใจฟืดฟาด สะบัดหน้ามองไปทางอื่นอย่างไม่สบอารมณ์

“ข้ายอมรับว่าไม่มีอะไรเทียบกับคนตระกูลจางได้ แต่ข้ามีความจริงใจกับน้องเล็กของข้าจริงๆ ข้าเลี้ยงดูเขามาเจ็ดปี จู่ๆ โดนพรากไปแบบนี้ อย่างน้อยก็ให้ข้าได้พบเขาอีกสักครั้งเถอะนะ ข้าจะไม่ร้องขออะไรอีกเลย ได้โปรดเถอะ”

…หลี่ซื่อหลางยอมหมดทุกอย่างแล้ว

ยอมแม้กระทั่งคุกเข่าลงกับพื้น…

“พี่ซื่อหลาง!” ฟานตงเบิกตากว้าง รีบฉุดพี่ชายให้ยืนขึ้น

“เจ้าไม่ต้องยุ่ง ฟานตง!” เป็นครั้งแรกที่หลี่ซื่อหลางตวาดใส่น้องชาย ฟานตงชะงักมือทันที “ข้าจะคุกเข่าอยู่ตรงนี้จนกว่าจะได้เจอหย่งคัง!”

“หึ! ถ้า พี่ใหญ่ ไม่กลัวหนาวตายก็ตามสบายเถิด”

คนรับใช้ตระกูลจางยิ้มเยาะ เดินกลับเข้าบ้านตระกูลจางอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้พี่น้องตระกูลหลี่กัดฟันทนลมหนาวอยู่ข้างนอก

“นี่มันเกินไปแล้วนะ!!”

ฟานตงตะโกนอย่างโกรธแค้น ไม่รู้ว่าแค้นใครบ้าง แต่ที่แน่ๆ ก็คงเป็นหย่งคังที่ทำให้พี่ชายเขาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

“ท่านเลิกทำแบบนี้เสียทีเถิด ข้ากราบท่านเลย!” ฟานตงคุกเข่าตรงหน้าพี่ใหญ่ ก้มจนหน้าผากแนบพื้น ไม่ห่วงศักดิ์ศรีที่มี หากเขาตัวใหญ่พอ เขาคงแบกพี่ใหญ่กลับบ้านไปนานแล้ว!

“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ ฟานตง”

“แล้วท่านมีความจำเป็นต้องทำแบบนี้?” ฟานตงเงยหน้าขึ้น มองหลี่ซื่อหลางที่ก้มหน้าไม่พูดไม่จา

เฮ้อ!!

“ถ้าท่านยืนยันจะนั่งอยู่แบบนี้ ข้าก็จะทำด้วย”

หลี่ซื่อหลางส่ายหน้าทันที “ไม่ได้ เจ้ากลับบ้านไปเสีย”

“ข้าไม่กลับหากท่านรั้นจะอยู่พบหย่งคังต่อ” ฟานตงเองก็ดื้อแพ่งไม่แพ้พี่ชายเช่นกัน “ทำไม? ท่านกลัวข้าทรมาน? แล้วข้าไม่กลัวท่านทรมานหรือ?”

“ฟานตง อย่าบีบข้าได้หรือไม่?”

“ท่านนั่นแหละที่บีบให้ข้าทำเช่นนี้!” ฟานตงพ่นลมหายใจ “ท่านเองไม่ใช่หรือที่ชอบสอนข้าเรื่องใจเขาใจเรา ตอนนี้ใจท่านแบกรับความเจ็บปวดมากเท่าใด ใจข้าเองก็เช่นกัน!”

“ข้า…”

คนเป็นพี่ชายก้มหน้าใช้ความคิดทบทวนเรื่องราว เขามัวแต่มุ่งมั่นจะพบหย่งคังเพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่ายังมีใครอีกหลายคนที่ห่วงเขาไม่แพ้กัน

หลี่ซื่อหลางค่อยๆ เงยหน้ามองฟานตง

นี่เขาเผลอทำร้ายความรู้สึกน้องชายคนนี้ได้อย่างไร?

“ขอโทษนะ ตงตง…” หลี่ซื่อหลางโถมตัวกอดน้องชายในอ้อมแขนแน่น “ข้าเป็นพี่ชายที่เห็นแก่ตัวจริงๆ ข้าไม่ได้เรื่องเลย ข้าขอโทษ”

ฟานตงอยู่ในอารมณ์ตกใจ แล้วก็ดีใจ แต่ก็งงเป็นไก่ตาแตก เอาเถอะ สับสนไปหมดแล้ว ชายหนุ่มยกมือลูบหลังพี่ชายที่กำลังอ่อนแอน่าสงสาร

“ข้าไม่ได้โกรธท่านเสียหน่อย”

“ข้าผิดต่อเจ้า ผิดต่อหย่งคัง ผิดต่อจิ้งอี้”

“ท่านทำดีที่สุดแล้ว อย่าโทษตัวเองเลย” ฟานตงตบหลังหลี่ซื่อหลางแปะๆ ก่อนจะค่อยๆ ดันตัวออก “กลับบ้านเราเถิดนะ พี่ซื่อหลาง”



‘ถ้าเจ้ายื้อไม่ได้ เจ้าต้องปล่อยมือ’



“อืม”

.

.

.

“พี่ซื่อหลาง”

“หืม?”

“คราวหน้าอย่างเรียกข้าว่า ตงตง อีกนะ ขอร้อง…”




-------------------------------------------------------------







To be continued...








Talk : เขียนไปสงสารซื่อหลางไป ฮรือออออ
แต่อ่านแล้วอย่าเพิ่งเกลียดหย่งคังนะคะ
จริงๆ พระเอกเราก็น่าสงสารไม่แพ้กันเลยยยยย
รอติดตามตอนต่อไปน้าาาาาา








หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 03-07-2015 10:29:42
สงสารซื่อหลางอ่ะ T^T
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหย่งคังถึงไมยอมพบพี่ซื่อล่ะ
รอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 03-07-2015 10:30:43

@Altasia ตอนนี้แก้ไขเรียบร้อยแล้วค่าาา แล้วก็ใส่สารบัญให้สะดวกต่อการอ่านยิ่งขึ้น >_< ต้องขอโทษด้วยที่ครั้งก่อนลืมใส่ตอนที่อัพใหม่ล่าสุดนะคะ

@Malimaru ขอบคุณที่ติดตามนะค่าาา คนเขียนจะพยายามปรับแก้เนื้อหาให้แน่นขึ้นค่ะ บางส่วนก็ปรับเปลี่ยนไปบ้าง กดอ่าน  เนื้อเรื่องแก้ไขใหม่  (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=47443.msg3111761#msg3111761) ได้เลยค่าาา

@boboman หย่งคังจะไม่ธรรมดาแล้วค่ะงานนี้ หึหึ *หัวเราะชั่วร้าย*

@poogan_zadd ตอนต่อไปๆ จะมีมาม่าพอให้ชีวิตมีสีสันแน่นอนค่ะ ฮาาาาาา

@ycrazy พระเอกเราแอบใจแข็งนิดนึง ต้องรอดูต่อไปว่าจะใจแข็งได้นานแค่ไหนค่ะ #ทำเพราะรักนะ กรั๊กกกกก



หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 03-07-2015 21:32:52
อ่านแล้ว มีแต่คำว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม เต็มไปหมด
หย่งคังตั้งใจจะทำอะไร หายไปเฉยๆไม่ใช่แค่อยากปกป้องซื่อหลางหรอกมั้งง
 :katai4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 04-07-2015 00:14:37
หย่งคังวางแผนอะไรอยู่

ตงตง 5555 มุ้งมิ้งจนขนลุกเลยเชียว
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: agava1313 ที่ 04-07-2015 14:51:17
มีแอบลักหลับครั้งสุดท้ายก่อนไปซะด้วย ฮิฮิ้ว....
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๘ :: UPDATE 03.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 04-07-2015 16:01:00
หย่งคังคิดอะไรอยู่..
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๙ :: UPDATE 05.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 05-07-2015 17:23:28
ดอกท้อที่ ๙



ฤดูหนาวมาเยือนเต็มตัวแล้ว

ตามปกติ ทุกปีๆ ฟานตงจะขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ออกไปไหนจนกว่าพระอาทิตย์จะแยงก้น หากเช้านี้ ฟานตงกลับลงมาช่วยหลี่ซื่อหลางทำน้ำเต้าหู้ขายอย่างขยันขันแข็ง

“วันนี้ขายหมดเร็วอีกแล้วนะ ซื่อหลาง”

จิ้งอี้ทำสีหน้าเสียดาย เขาออกมาไม่ทันซื้อน้ำเต้าหู้ที่กลับมาโด่งดังไปฝากลูกเมียอีกแล้ว หนาวก็หนาวยังจะมาเสียเที่ยวอีก!

“พี่จิ้งอี้ตื่นไม่ทันเอง ช่วยไม่ได้” ฟานตงแลบลิ้น อีกฝ่ายถลึงตาใส่อย่างหมั่นไส้ “เอาเวลามานั่งแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ผู้ใหญ่อย่างข้าไปหาเมียเถอะ อายุขนาดนี้แล้วก็รีบหาครอบครัวซะ!”

ฟานตงทำหน้าเหยเก “ยัดเยียดเมียให้พี่ซื่อหลางไม่สำเร็จก็เล็งข้าแทนหรือ?”

“ก็มันน่าไหม? เจ้าทั้งสองคนไม่คิดจะผลิตลูกหลาน? แล้วใครจะเป็นคนสืบทอดกิจการร้านน้ำเต้าหู้เวลาพวกเจ้าอายุเก้าสิบ อย่าบอกนะว่าจะทำต่อไปจนถึงร้อยยี่สิบปี”

“ถึงเวลานั้น ข้าจะยกให้ถิงถิง หลานข้า”

หลี่ซื่อหลางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไม่ทุกข์ร้อน

“นั้นลูกข้าไม่ใช่หรือไร?” จิ้งอิ้หันไปบอก “เจ้าหนูน้อยไม่สนร้านเจ้าหรอก!”

“งั้นก็ปิดไปเลย ตอนนี้ข้ามีเงินเก็บมากพอจะเที่ยวทั่วยุทธภพกับฟานตงแล้ว”

“เที่ยวอะไรนะ?” จิ้งอี้ทำหน้าไม่เข้าใจ

“ช่างเถิด” หลี่ซื่อหลางจบบทสนทนาลง หันไปเก็บร้านเพราะขายน้ำเต้าหู้หมดแล้ว ช่วยไม่ได้ อากาศหนาวๆ แบบนี้แหละที่ดื่มน้ำเต้าหู้อร่อยที่สุด

“พี่ซื่อหลาง ข้าไปหาหยงเทียนนะ”

“ยังเช้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ?” หลี่ซื่อหลางเอ่ยถาม “หยงเทียนอาจยังไม่ตื่นก็ได้”

“เอาน่า ข้าไปนะ!”

ฟานตงวิ่งฝ่าลมหนาวออกจากบ้าน ขาสองข้างหนาวแทบจะก้าวไม่ออก หากมีเรื่องด่วนอยากเจอหยงเทียนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ กระทั่งร่างเล็กมาหยุดลงที่หน้าเรือนตระกูลอู๋

“หยงเทียน!”

หยิบก้อนหินเล็กๆ ปาใส่บานหน้าต่างห้องนอนหยงเทียน

“หยงเทียน!” แค่นเสียงเรียกไม่เบาไม่ดังเกินไป เหตุกลัวว่าจะไปปลุกคนอื่นในบ้านที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทเอาน่ะสิ
หน้าต่างห้องนอนขยับเปิดออก หยงเทียนยืนหน้าออกมาด้วยใบหน้างัวเงีย “ฟานตง?”

“เปิดประตูให้ข้าเข้าไปหน่อย”

หยงเทียนรีบร้อนลงมาเปิดบ้านให้เพื่อนตัวเล็กเข้ามาหาความอบอุ่นทันที ทั้งสองเดินตรงดิ่งไปที่ห้องนอนเพื่อนตัวสูง แล้วฝ่ามือร้อนก็คว้ามือเล็กมากำไว้

“เจ้าทำอะไร?!” ฟานตงทำท่าจะชักมือหนี

“เจ้าหนาวไม่ใช่หรือ?”

หยงเทียนกอบกุมมือเล็กด้วยสองมือ ถูไปมาเบาๆ แล้วเป่าลมร้อนให้ความอบอุ่น “แบบนี้ดีหรือไม่?”

“ม…ไม่ดี!”

ฟานตงรีบชักมือกลับ ใบหน้าซีดด้วยความเย็นกลับแดงระเรื่อขึ้นบริเวณแก้มใส หยงเทียนเห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือลูบแก้มคนตัวเล็กอย่างอดใจไม่อยู่

ใครสั่งให้ฟานตงน่ารักขนาดนี้กัน?

“อย่ามาจับแก้มคนอื่นสิ!”

“มาเบียดเบียนเตียงข้าแล้วยังบ่นอีกหรือ?”

หยงเทียนไม่ได้กล่าวเกินจริง พื้นที่บนเตียงกว่าครึ่งโดนคนตัวเล็กครอบครองเสียแล้ว และผ้าห่มผืนหนาก็กำลังจะถูกยึดเอกราชตามไปติดๆ

“แค่นี้ให้ข้าไม่ได้?” ฟานตงเลิกคิ้ว

หยงเทียนยิ้มบาง “ผ้าห่มหรือจะอุ่นเท่าเนื้อห่มเนื้อ เหตุใดเราไม่แก้ผ้ากอดกัน?”

“ตลก!!”

ฟานตงคว้าหมอนที่อยู่ใกล้มือที่สุดฟาดใส่เพื่อนตัวโต

“ข้ามาที่นี่เพราะมีธุระสำคัญกับเจ้านะ เลิกพูดล้อเล่นเสียที”

“งั้นเจ้าก็ว่ามาสิ ข้ารอฟังอยู่”

ฟานตงขยับตัวนั่งให้เข้าที่ “อย่างที่เจ้ารู้ กว่าพี่ซื่อหลางจะทำใจเรื่องคนๆ นั้นได้ นี่ก็ใช้เวลาเป็นเดือนแล้ว ข้ายังรู้สึกว่าพี่ซื่อหลางไม่ได้ลืมคนที่เจ้าก็รู้ว่าใครเลย”

“แน่นอน น้องชายทั้งคน”

“น้องชายทรยศน่ะสิ!” ฟานตงแสดงสีหน้าเคียดแค้น

“เจ้ารู้อะไรไหม หยงเทียน ทุกเช้ามืดข้ามักจะเห็นพี่ซื่อหลางแอบออกจากบ้านก่อนที่จะเปิดร้าน ข้านึกสงสัยอยู่หลายวันจึงแอบตามไปดู ถึงได้รู้ความจริงว่าเขาเอาน้ำเต้าหู้ไปแขวนไว้หน้าบ้านตระกูลจางทุกวัน! อู๋หยงเทียน เจ้าลองคิดดูสิ คนพวกนั้นคงนั่งหัวเราะเยาะพี่ชายข้า แต่ข้ารู้ว่าเขาทำมันด้วยความจริงใจ!”

“ข้าเข้าใจ” เพื่อนตัวใหญ่เอ่ยเสียงอ่อน

“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ พักนี้พี่ซื่อหลางเหม่อลอยบ่อยจนข้านึกอ่อนใจ บางทีก็หายเงียบเป็นวันๆ เก็บตัวอยู่ที่สวนหลังบ้าน”

“ทำอะไรที่นั่น?”

“รดน้ำต้นไม้น่ะสิ”

หยงเทียนยิ้มบาง “พี่ซื่อหลางอาจพยายามหาอะไรทำ ไม่ดีหรือ? เขาจะได้หายเศร้า”

“หน้าตาพี่ชายข้าดูไม่เหมือนคนมีความสุขสักนิด!”

“…มันต้องใช้เวลา…”

ฟานตงทำสีหน้าครุ่นคิด “ตั้งแต่ข้าเกิด จำได้ว่าสวนหลังบ้านไม่เคยมีต้นไม้ต้นนั้นมาก่อน บัดนี้มันกลับผุดขึ้นมาหน้าตาเฉย ข้าเชื่อว่าต้นไม้ต้นนั้นต้องเกี่ยวข้องกับคนที่ทำให้พี่ซื่อหลางต้องเจ็บปวดเป็นแน่ เถอะ! แค่ชื่อข้ายังไม่อยากเอ่ยถึงเลย เสนียดปากตัวเอง!!”

“เจ้าก็พูดเกินไป”

“ก็ข้าเกลียดหย่งคังจริงๆ นี่นา!”

“แต่เจ้าเพิ่งพูดชื่อเขาไปเอง”

“อ่ะ…”

เหมือนนึกขึ้นได้ ฟานตงมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หยงเทียนส่ายหน้าระอา เพื่อนตัวเล็กเป็นพวกแค้นฝังหุ่นจริงๆ

“เหตุใดเจ้าไม่ลองคิดในมุมกลับบ้างเล่า บางทีหย่งคังอาจจะมีเหตุผลที่ต้องทำเช่นนั้นก็ได้”

“เหตุผลอะไร? สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาทำร้ายจิตใจพี่ชายข้าร้ายแรงถึงเพียงใด! รู้มั้ยว่าบางคืนข้าได้ยินเสียงเขาร้องไห้ ปกติพี่ซื่อหลางเป็นคนหลับลึก การที่เขาร้องไห้ทั้งที่ยังหลับแสดงว่าความเจ็บปวดยังตามหลอกหลอนเขาแม้กระทั่งในความฝัน ขนาดในฝันเจ้าคนๆ นั้นก็ยังทำร้ายพี่ข้าเลย!”

“เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ฟานตง” หยงเทียบเกลี่ยฝ่ามือคนตัวเล็กไปมา

“การที่พี่ซื่อหลางร้องไห้ เพราะเขาไม่ปล่อยวางต่างหาก เวลาคนเราจมปรักกับอะไรสักอย่างก็จะมีสภาพเช่นนั้นแหละ”

“จะบอกว่าเป็นความผิดพี่ข้า?!”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็แตะต้องหลี่ซื่อหลางไม่ได้เลยสินะ บางครั้งหยงเทียนก็แอบน้อยใจเหมือนกัน

“ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย” หยงเทียนเปลี่ยนมาเกี่ยวนิ้วคนตัวเล็กเล่นแทน “หย่งคังผิดจริงที่ทำแบบนั้น แต่เขาอาจมีเหตุผลของเขาที่เจ้าอาจไม่เข้าใจ เป็นเรื่องดีไม่ดีข้าเองก็สุดจะคาดเดา ตัวพี่ซื่อหลางเองก็ไม่ยอมปล่อยวางเช่นกัน เพราะรักมากถึงได้เป็นแบบนั้น หากเขาปล่อยวางได้ เขาจะไม่ร้องไห้อีก”

“งั้นข้าควรทำอย่างไร?”

ฟานตงคล้อยตามกับคำพูดเพื่อนตัวโต เอ่ยถามอย่างจริงจัง

“ทั้งหมดเป็นเรื่องเหนือการควบคุมของเจ้า เจ้าไปสั่งให้คนนู่นคนนี่คิดตามที่เจ้าต้องการไม่ได้หรอก”

“แล้วถ้าข้าสั่งให้เจ้ายอมเป็นทาสข้าล่ะ”

“ทั้งชีวิตข้าก็ให้ได้” หยงเทียนตอบหน้าตาเฉย ฟานตงที่ตั้งใจจะแกล้งเพื่อนในทีแรก กลับกลายเป็นขุดหลุมฝังตัวเองเสียอย่างนั้น

“เถอะ! ข้าไม่อยากได้ชีวิตเจ้าหรอก” ฟานตงสะบัดหน้าหนี

“ข้าให้แล้วไม่รับคืน”

“ก็บอกไม่เอาอย่างไรเล่า!”



-------------------------------------------------------------




หลี่ซื่อหลางกำลังตกอยู่ในห้วงนิทรา

ทุกคืนเขามักจะฝันเห็นตัวเองยืนโดดเดี่ยวอยู่ในห้องมืด หนาวเย็นและเงียบเหงา

สองมือกอดเข่าตัวเอง อยากให้เช้าวันใหม่มาถึงเสียที เขาไม่อาจฝืนทนความเดียวดายในสถานที่ว่างเปล่าแห่งนี้ได้แม้แต่วินาทีเดียว ต่อให้ร้องตะโกนเรียกใครก็ไม่มีใครได้ยินเขาเลยสักคน

‘ร้องไห้อีกแล้วหรือ ซื่อหลาง’

หือ? ใครกัน?

เหมือนฝันไป สัมผัสอบอุ่นกำลังโอบรอบตัวเขาอีกครั้ง หลี่ซื่อหลางขยับตัวเข้าหาความอ่อนโยนที่โหยหา น้ำตาเจ้ากรรมไหล ออกมาไม่ขาดสาย

‘อย่าร้อง…’

มืออุ่นช่วยเช็ดออกให้อย่างแผ่วเบา จูบซับรอยน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้ง

‘ซื่อหลาง ข้ารักท่าน…’

รักแล้วเหตุใดถึงจากไป?

‘รอข้านะ…’

…อยากรอ…

แต่ความเจ็บปวดแสนสาหัสกำลังกัดกินหลี่ซื่อหลางทีละเล็กทีละน้อย หัวใจที่ใกล้แตกสลายของเขาไม่แข็งแรงพออีกแล้ว หากความอบอุ่นครั้งนี้จางหายไปยามลืมตาตื่น เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทนได้หรือไม่

ถ้าต้องรอด้วยความทรมาน ตื่นก็คิดถึง หลับก็โหยหาย

…ลืมเสียยังดีกว่า…ลืมให้หมดทุกอย่าง…

เมื่อตื่นขึ้นมา จะไม่มีหลี่ซื่อหลางคนเก่าอีกต่อไป



-------------------------------------------------------------





หากย้อนเวลากลับไปเมื่อหลายเดือนก่อน

หย่งคังตัดสินใจว่าจะกลับไปเจรจาสันติกับตระกูลจาง  เจ้าตัวไม่ขอข้องเกี่ยวกับครอบครัวนี้ในทุกประการ อยากอยู่อย่างเรียบง่ายกับหลี่ซื่อหลางเรื่อยๆ ไปจนแก่

เพราะเขาไม่ต้องการให้ร่างโปร่งเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

เหตุนั้น เด็กหนุ่มจึงหนีออกมาอย่างลับๆ




…หากไม่ใช่เพราะฟานตงบังเอิญผ่านมาเห็นเข้า

เรื่องคงไม่บานปลายเหมือนเช่นตอนนี้…





‘เจ้าต้องกลับมาอยู่ที่นี่ ในฐานะลูกชายคนเล็กของข้า’

ตอนนั้นหย่งคังหัวเราะ ขณะเดียวกันกลับรู้สึกเจ็บในอก ‘เด็กคนนั้นตายไปนานแล้ว ท่านจำไม่ได้?’

‘ใช่ ตอนนั้นข้าเป็นคนฆ่าเขา’

นายเลี่ยงหัวตอบด้วยน้ำเสียงไม่แสดงอารมณ์ พูดราวกับเป็นแค่เรื่องดินฟ้าอากาศ ‘ตอนนี้ข้าจะชุบชีวิตเขาใหม่’

‘คนตายไปแล้ว ไม่มีวันเอากลับมาได้’

‘ทำไมจะไม่ได้ ตระกูลจางมีทรัพย์สินเงินทองมากมายเพื่อชุบเลี้ยงจางเฟยหลงได้เป็นร้อยคน’

‘หึ!’  หย่งคังแสยะยิ้ม ‘เงินของท่านไม่มีค่าสำหรับเขา’

‘สำหรับเจ้าน่ะหรือ?’

‘ข้าไม่ใช่จางเฟยหลง’

ไม่ใช่ตั้งแต่หนีตายออกมาจากนรกขุมสุดท้ายที่ได้ชื่อว่าบ้านตระกูลจางเมื่อเจ็ดปีก่อน บัดนี้หย่งคังมีชีวิตใหม่ที่ดีกับหลี่ซื่อหลาง ต่อให้โง่ยิ่งกว่าควาย ก็ย่อมเลือกได้ว่าจะอยู่ที่นี่หรือกลับไปหาครอบครัวอันแสนอบอุ่น

หย่งคังมีชีวิตอยู่ได้เพราะหลี่ซื่อหลาง

‘เฟยหลง…ตาคู่นั้นเจ้าได้ข้ามาเต็มๆ  แต่ริมฝีปากของเจ้าคล้ายแม่…’

ลมหายใจของหย่งคังสะดุดทันที

คำว่า ‘แม่’ เป็นสิ่งที่เด็กหนุ่มไม่เคยชิน รู้สึกห่างไกล ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยได้รับความอบอุ่นจากคนๆ นั้น แม้หลี่ซื่อหลางจะเป็นทั้งพ่อ ทั้งพี่ ทั้งเพื่อน และคนที่เขามอบหัวใจทั้งดวงให้

แต่หย่งคังปฏิเสธไม่ได้ว่าตนเองก็ต้องการ ‘แม่’

‘อย่างที่รู้ แม่ของเจ้าไม่ใช่ซูเม่ย นางเป็นแค่สาวรับใช้ ข้ามีความสัมพันธ์กับนางแค่ราตรีเดียว กระนั้นก็มีเจ้าขึ้นมา’ คนบนเตียงเหม่อมองเพดาน ทำราวกับกำลังเล่านิทานให้เด็กฟัง ‘แต่คนเราต้องหัดเจียมกะลาหัว นางเป็นแค่ขี้ข้าชั้นต่ำ ถึงจะมีลูกชายให้ข้า แต่ก็เป็นหน้าตาออกสู่สังคมไม่ได้ หากมีคนรู้เรื่องเข้ารังแต่จะเสียชื่อวงศ์ตระกูล’

คนฟังไม่รู้ตัวว่ากำลังกำมือแน่น เล็บสั้นจิกเนื้อจนเลือดซิบ หากไม่มีความรู้สึกเจ็บใดๆ เทียบเท่ากับก้อนเนื้อในอกของเขาที่ถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่า

…แค้นใจนัก…

‘นางคิดฆ่าตัวตาย แล้วจะฆ่าเจ้าด้วย เฟยหลง’

สายตาคนเป็นบิดาเหล่มองลูกชายที่ไม่ได้เจอหน้ากันเจ็ดปี  ‘หากไม่ได้ข้าช่วยไว้ตอนนั้น เจ้าคงไม่มีโอกาสมาคิดอกัญญูกับข้าเช่นนี้หรอก’

‘เป็นบุญคุณสินะที่คืนนั้นท่านไม่บีบคอข้าจนตาย!’

หย่งคังตะคอกเสียงดัง เด็กหนุ่มรู้สึกโกรธจัดจนหน้ามืด ความแค้นที่หลบอยู่ในซอกหลืบปะทุออกมาอย่างห้ามไม่อยู่…แปดปี…แปดปีตั้งแต่เล็กจนเขาโตพอจะจำความอะไรได้บ้าง ไม่เคยเลยสักครั้งเดียวที่คนเป็นพ่อจะหันมาเหลียวแล เขาถูกทรมานซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่มีใครต้องการ อยู่ก็เหมือนตาย!

‘นั่นเพราะเจ้ารู้ในสิ่งที่ยังไม่ถึงเวลาสมควร’

‘ทำไม? ข้าสำเหนียกว่าตัวเองเป็นลูกขี้ข้าแล้วอย่างไร?!!’

‘เด็กขาดสติ แม้ควบคุมอารมณ์โกรธยังไม่ได้อย่างเจ้าคงไม่มีวันเข้าใจ’

ยิ่งได้ยินเสียงราบเรียบเสมอต้นเสมอปลาย ราวกับคนไม่รู้สึกรู้สาอะไร หย่งคังก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นเท่านั้น

‘เช่นนั้นท่านจะตามหาข้าทำไม?!’

‘ดีจริงๆ ที่เราเข้าเรื่องสำคัญกันได้สักที’ นายเลี่ยงหัวเหยียดยิ้มเย็น ชายผู้นำตระกูลจางไม่เปลี่ยนไปจางแต่ก่อนนัก เด็ดเดี่ยว น่าเกรงขาม แม้อยู่ในสภาพคนพิการก็แผ่อำนาจเผด็จการได้ไม่ต่างจากเดิม

‘ข้าต้องการคนรับช่วงดูแลกิจการต่อ ซึ่งก็คือเจ้า เฟยหลง’

หย่งคังไม่เชื่อ ผู้ชายตรงหน้าเขาไม่มีวันยอมมอบอำนาจให้ใครง่ายๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีแผนการเบื้องหลัง โชคร้ายที่มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าเด็กหนุ่มอายุสิบห้าจะเข้าใจ

‘ทำไมต้องเป็นข้า’

‘อย่างกับว่าพี่น้องของเจ้ายังอยู่? คนตายแล้วทำงานไม่ได้’

นายเลี่ยงหัวพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน น้ำเสียงไม่เจือความอาลัยอาวรณ์ ราวกับไม่สำคัญ นั่นลูกชายทั้งคนไม่ใช่? หย่งคังรู้สึกรังเกียจผู้ชายตรงหน้ามากขึ้นทุกที

‘การตายของลูกชาย ดูท่านไม่เสียใจ’

นายเลี่ยงหัวยิ้มบาง ‘เสียใจสิ’

สาบานว่าหย่งคังไม่เห็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่า เสียใจ อยู่ในแววตาคู่นั้น

‘…เสียใจที่เลี้ยงเสียข้าวสุก เด็กที่เกิดมาแล้วตายก่อนบิดามารดาถือว่ากรรมหนักนัก ไม่รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่เหมือนเจ้าที่ยังอุตส่าห์มีชีวิตรอดมาได้ ใช่หรือไม่เฟยฟลง?’

‘…ท่านมันใจดำอำมหิต’

‘เจ้าก็เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ?’

‘ข้าไม่เหมือนท่าน’

นายเลี่ยงหัวหัวเราะในลำคอ ‘อา…เจ้าคงลืมไปแล้วว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน เด็กคนหนึ่งแทงดินสอทะลุเบ้าตาพี่ชายตัวเอง ซ้ำร้ายคิดจะจุดไฟเผาเขาทั้งเป็น’

‘ข้า…’

หย่งคังปฏิเสธไม่ออก เขาในตอนนั้นรู้สึกอยากฆ่าคนจริงๆ ถึงต่อให้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ เขาก็เลือกทำแบบเดิม

‘เจ้าเชื่อหรือไม่ เด็กคนนั้นอายุแค่ห้าขวบเท่านั้น ’

อีกฝ่ายรีบตะโกนแย้ง ‘ข้าไม่อยากฟัง!’

‘แต่ข้าพูดเจ้าต้องฟัง!!’ ร่างบนเตียงตัวสั่นเล็กน้อย ก่อนจะปรับอามรมณ์ให้เรียบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ‘ให้ข้าเตือนความจำดีหรือไม่ว่าเด็กคนนั้นก็คือเจ้า จางเฟยหลง’

มือทั้งสองข้างของหย่งคังกำจนแน่น ยอมรับว่าลึกๆ แล้วรู้สึกเกรงกลัวชายตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกหายใจไม่ออกตอนถูกบีบคอยังแจ่มชัดในจิตสำนึก…เจ็ดปีที่ผ่านมา…เขานึกว่าตัวเองเข้มแข็งดีแล้ว

…หากความจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย…

‘แล้วยังกล้าพูดว่าเราไม่เหมือนกันได้อย่างไร ในเมื่อตัวตนของเจ้าเองก็ใจอำมหิตไม่แพ้ข้า’

‘ท่านต้องการจะพูดอะไรกันแน่?’

‘เจ้าเป็นเด็กหัวไว’ นายเลี่ยงหัวทำทีชื่นชม ‘ข้าต้องการจางเฟยหลง ในแบบที่ข้าสร้างขึ้น’

‘ถ้าข้าปฏิเสธ?’

‘หากเจ้าปฏิเสธ ข้าจะสั่งเก็บเจ้าคนขายน้ำเต้าหู้นั่นเสีย’

หย่งคังชะงัก  ‘ท่านกำลังขู่ข้า?!’

‘เด็กโง่ เอ๋ย เด็กโง่…’

คนขาพิการส่งยิ้มละไม  ‘เจ้าย่อมรู้ดี ข้าไม่เคยขู่ หากเจ้าปฏิเสธจริง ข้าจะสั่งคนไปทรมานคนผู้นั้นจนเขาเป็นคนเอ่ยปากขอร้องให้มอบความตายให้ แต่ข้าจะไม่ทำเช่นนั้น ข้าจะให้เขารับรสว่าอยู่เหมือนตายเป็นเช่นไร  เจ้าว่าดีหรือไม่?’

‘ข้าจะฆ่าท่าน!!’

หย่งคังโกรธจัด ทะลึ่งตัวจะเข้าไปทำร้ายคนขาพิการที่นอนสงบอารมณ์อยู่บนเตียง หากไม่ได้คนรับใช้ร่างยักษ์ที่คอยสังเกตสถานการณ์อยู่ใกล้ๆ จับตัวไว้ เกรงว่าคนขาพิการจะถูกกระทืบเสียจนกระดูกแหลกเป็นผงเพราะเด็กหนุ่มที่ถูกความโกรธแค้นครอบงำหมายจะฆ่าให้ตายคาเตียง

‘อย่ายุ่งกับเขา! ข้าขอเตือน!’

‘ก็แค่โจรลักพาตัว ข้ามีสิทธิ์มอบความตายให้เขา’

หย่งคังถุยน้ำลาย โกรธจนควันออกหู ‘คนที่สมควรตายคือท่านต่างหาก!!’

หลี่ซื่อหลางคือคนที่ช่วยชีวิตเขา แค่ได้ยินว่าเจ้าตัวจะถูกทรมานอย่างไร หย่งคังก็ไม่อาจทนได้อีกต่อไป ร่างกายร้อนสุมราวกับไฟแผดเผา หากเกิดอะไรกับหลี่ซื่อหลางขึ้นมาจริงๆ เขาคงไม่แคล้วยอมตายตาม

ไม่เช่นนั้น ก็ต้องมีอีกหลายชีวิตถูกสังเวยไปอยู่รับใช้พี่ใหญ่ของเขาในนรก!!

‘แค้นใจหรือ?’

‘ข้าจะฆ่าท่าน! ตัดลิ้นโสโครกที่กล่าวร้ายคนของข้าออกมากระทืบให้สาแก่ใจ!! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!’

หย่งคังดิ้นรุนแรง เขาอยากบันดาลโทสะใส่ร่างผอมโทรมบนเตียง จิตเงามืดแผ่ขยายในอก รู้สึกอึดอัดจนอยากฆ่าคน! บรรยากาศในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นของความเกลียดชัง ความโกรธแค้น ความพยาบาท

กระนั้นกลับเป็นสิ่งหอมหวานสำหรับนายเลี่ยงหวง เขาปรบมือชอบใจกับภาพที่เห็น

‘เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก’

นายเลี่ยงหวงหัวเราะเบาๆ

‘ต่อไปนี้ข้าจะสอนการเป็น จางเฟยหลง ที่ดีให้เอง เจ้าลูกชาย’




-------------------------------------------------------------






To be continued...






หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๙ :: UPDATE 05.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 05-07-2015 17:45:37


@boboman ตอนนี้ทานมาม่าไปก่อนนะคะ ฮรืออออ จะค่อยๆ เฉลยปมไปทีละนิด รออ่านน้าาาาา

@ycrazy กลัวซื่อหลางโดนทำร้ายค่ะ เพราะทำอะไรไม่ได้เลยต้องไป แต่ตอนหลังจะมีเหตุบางอย่างขึ้น รอติดตามน้า

@alternative หลักๆ อยากปกป้องนายเอกค่าา แต่ตอนหลัง...รอติดตามนะค่าา

@agava1313 และคงจะมีต่อๆ ไปค่ะ อร๊ายย

@JustWait จริงๆ กลัวซื่อหลางโดนทำร้ายค่ะ หย่งคังในตอนนั้นยังไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่ต่อไป...รออ่านน้าาาาาา
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๙ :: UPDATE 05.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 05-07-2015 17:55:10
จิ้มมม
หย่งคังกะซื่อหลางสู้ๆ อย่าไปยอมอิเลี่ยงหวง -_-^
หยงเทียนขยันเต๊าะฟานตงจริงๆ เลย น่ารักอ่ะ 555
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๙ :: UPDATE 05.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 05-07-2015 21:45:31
หยงเทียนฉวยทุกโอกาสจริงๆ ร้ายนัก!

เฟยหลง ต่อให้กล้าแกร่งอย่างไรก็ยังสู้ชายแก่มากเล่ห์ไม่ได้อยู่ดี
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๙ :: UPDATE 05.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 06-07-2015 20:24:15
น้องหย่งคังโดนทรมานอะไรไหม คนเป็นพ่อเค้าทำกันแบบนี้เหรอ
เฮ่อออ อยากให้เจอกับซื่อหลางไวๆ กลัวน้องหย่งคังกลับไปสู่ด้านมืด
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 08-07-2015 21:15:03

ดอกท้อที่ ๑๐
(ครึ่งแรก)

ห้าวันหลังจากที่หย่งคังเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจาง

เขาถูกทรมานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม หากว่าการทรมานนั้น ไม่เหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน

ไม่มีการเฆี่ยนตี ไม่มีการด่าทอ

การทรมานที่ว่า ทุกๆ วันเด็กหนุ่มถูกสั่งให้เรียนหนังสือ อ่านเขียนตัวอักษรยากๆ เป็นร้อยเป็นพัน หากทำไม่ได้จะถูกอดข้าว ฟังดูเป็นการลงโทษที่ไม่ร้ายแรงอันใด เว้นเสียแต่ต้องคอยฝึกวรยุทธและพลังลมปราณ เมื่อร่างกายหิวโหย เข้าขั้นไม่มีเรี่ยวแรง หย่งคังจะถูกอาจารย์ฝึกใช้กำลังภายในเล่นงานเสียจนยับเยิน

กระทั่งเลือกกระอักออกปาก ทุกอย่างจึงยุติลง

“คุณชายเล็ก ท่านตัวสูงใหญ่กว่าข้า แต่ทำอะไรข้าไม่ได้แม้ปลายเส้นผม”

อาจารย์เสี่ยวเห๋อพูดหน้านิ่ง คนฟังกัดฟันกรอด ขยับตัวไม่ได้เพราะถูกสะกัดจุด

“ท่านเล่นไม่ซื่อ”

“หาใช่ฝีมือการต่อสู้ของท่านเหยาะแหยะ?”

“แน่จริงอย่าใช้กำลังภายในกับข้า”

“คงไม่ได้”

อาจารย์เสี่ยวเห๋อเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มตัวสูง แก้วิชาสะกัดจุดให้คลายออก อีกฝ่ายทรุดตัวล้มกับพื้นอย่างแพ้ราบคาบ

“วันนี้พอแค่นี้ ขอให้คุณชายเล็กจงกลับไปฝึกอย่างที่ข้าน้อยแนะนำไปเมื่อตอนต้นคาบเรียน”

เหตุจากไม่ตั้งใจเรียน สองวันมานี้จึงโดนอดข้าว เมื่อต้องต่อสู้ก็ย่อมแพ้คนวิชาสูงกว่า หย่งคังในวัยสิบห้าปียังเป็นลูกไก่ในกำมือของนายเลี่ยงหวง หากหลบหนี ชีวิตของหลี่ซื่อหลางอาจเป็นอันตราย เขาจึงต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

หย่งคังถอนหายใจเฮือก

เขาอยากรู้ความเป็นอยู่ของหลี่ซื่อหลาง ตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรบ้างหนอ?

โกรธเขาหรือเปล่าที่คืนนั้นออกมาไม่บอก?

หากได้ยินเสียง แม้จะดุด่า เด็กหนุ่มคงดีใจมีแรงฮึดสู้มากขึ้น แต่เขาก็ไม่อาจทำใจฉุดหลี่ซื่อหลางให้ลงมาแปดแปื้อนเรื่องสกปรกโสมมเหล่านี้ได้

ใช่ว่าไม่รู้ หลี่ซื่อหลางมาขอพบเขาหลายครั้ง

ทุกครั้ง…หย่งคังเจ็บปวดทรมานเกินกว่าใครจะจินตนาการ…

…ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว หากไกลเกินเอื้อม…

หย่งคังเพิ่งรู้ซึ้งเอาวันนี้ เขาไม่มีโอกาสกอดร่างโปร่งได้ดั่งใจปรารถนาอีกแล้ว หากเพียงต้องรอเวลาที่เขาจะแข็งแกร่งกว่านี้ มากกว่าที่จะตกอยู่ในการควบคุมของใคร! หย่งคังสาบานต่อฟ้า เขาจะไม่ยอมตกอยู่ในสภาพนี้ตลอดชีวิต

ไม่ใช่คุณชายเล็กตระกูลจางที่คอยเป็นหุ่นเชิดให้นายเลี่ยงหวง!

วันหนึ่งทุกอย่างของตระกูลจะตกเป็นของเขา อำนาจ ทรัพย์สิน เมื่อเขามีทุกอย่าง อยู่เหนือทุกคนในตระกูล เขาจะออกตามหาดวงใจของตัวเอง นำมันกลับสู่อ้อมอกแล้วจะไม่มีวันปล่อยมืออีกเด็ดขาด!

คำสาบานนี้…

สวรรค์เป็นพยาน




-------------------------------------------------------------





กลับมาที่ปัจจุบัน


“คุณชายเล็กขอรับ”

เสียงเรียกดังจากด้านหลัง ใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มในวัยเพียงสิบห้าปีเหลียวมองอย่างเย็นชา

“มีอะไร?”

“นายท่านเรียกพบที่ห้องขอรับ”

หย่งคังไม่ตอบ ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา

“ตอนนี้เลยขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว”

ท่าทางไม่สบอารมณ์ของคุณชายเล็กตระกูลจางทำเอาเหล่าคนรับใช้พากันอกสั่นขวัญแขวน น่ากลัวนายท่านเลี่ยงหัวจะลงโทษบ่าวไพร่ที่ทำหน้าที่ดูแล ทายาทตระกูลจาง ได้ไม่ดีพอ

“มาแล้วหรือ?”

ใบหน้าปรากฏริ้วรอยตามอายุหันมาถาม ร่างผอมโทรมได้แต่นอนหงายอยู่บนเตียง มองดูแล้วช่างน่าเวทนา

“นั่งก่อนสิ พ่อมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”

อีกฝ่ายแค่นยิ้ม “ข้าไม่มีพ่อ”

“ทุกคนมีพ่อ หรือเจ้าเกิดจากกระบอกไม้ไผ่?”

หย่งคังไม่ตอบ นั่งลงกับเก้าอี้ไม้สักหรูหราด้วยท่าทางเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา

“สัปดาห์นี้ ผลการเรียนเจ้าอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านวรยุทธ อาจารย์เสี่ยวเห๋อยังตำหนิเรื่องที่เจ้าลักจำ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน”
ฝ่ายโดนตำหนิเลิกคิ้ว เหมือนพูดทางสายตาว่า แล้วอย่างไร?

“หากการรายงานผลสัปดาห์หน้าไม่ดีขึ้น ข้าจะอนุญาตให้อาจารย์เสี่ยวเห๋อสั่งสอนเจ้าได้ตามสบาย ขาแขนหักสักข้างเจ้าคงไม่กลัว?”

“ท่านพูดจบหรือยัง”

หย่งคังทำท่าจะลุกขึ้น แต่นายเลี่ยงหวงกลับพูดขัดขึ้นเสียก่อน “นั่งลง เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอ? เกรงว่าเจ้าคงต้องการคนสอนมารยาทด้วยกระมัง”

นายเลี่ยงหวงไม่เคยพูดเล่น พรุ่งนี้เขาจะจัดคนสอนมารยาทให้เด็กหนุ่มตรงหน้าจริงๆ

“ตอนนี้เจ้าเริ่มเขียนอ่านภาษาจีนได้แล้ว ข้าจะจัดหาคนสอนงานให้เจ้าไปพลางๆ”  นายเลี่ยงหัวกระดิกนิ้วเรียกคนรับใช้ กระซิบบางอย่าง คนรับใช้พยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วกลับมาพร้อมกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

เขาตัวเตี้ยกว่าหย่งคังหนึ่งข้อศอก ตัวผอมบาง ใบหน้าขาว ดวงตาเรียวเล็ก

 “ต่อไปนี้จื่อเยี่ยนจะเป็นคนดูแลเจ้า”

หมายถึงจับตาดูทุกฝีก้าวแล้วเอามารายงาน? 

หย่งคังแค่นหัวเราะ “ตัวแค่นี้์จะดูแลข้าได้หรือ อย่าดีกว่า ข้าไม่ต้องการ”

ถ้าเป็นหลี่ซื่อหลางก็ว่าไปอย่าง หย่งคังไม่ต้องการคลุกคลีตีโมงกับใคร หากต้องมีคนมาคอยติดตามเช่นนี้ เวลาส่วนตัวของเขาจะหายไปกับตา

ทว่านั้นเป็นสิ่งที่นายเลี่ยงหัวต้องการ

…เขาให้อิสระกับหย่งคังมากเกินไปแล้ว…

“จื่อเยี่ยนอายุมากกว่าเจ้าสี่ปี เขามีความรู้ความสามารถล้ำเลิศ เจ้าต้องการเขา”

หย่งคังเพียงส่งเสียงหึในลำคอ

เด็กหนุ่มถูกเชิญออกจากห้องพร้อมพี่เลี้ยงคนใหม่ ใบหน้านิ่งๆ ของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หย่งคังอารมณ์ไม่ดี เจ้าตัวพ่นลมหายใจเบื่อหน่าย เดินตรงไปที่ประตูทางออกหมายจะไปสงบสติอารมณ์ที่สวนดอกท้อ

หลังบ้านหลี่ซื่อหลางก็มีอยู่ต้นหนึ่ง เขาเป็นคนปลูกเองกับมือ

หวังว่าตอนนี้มันคงสบายดี

“คุณชายเล็กจะไปไหนขอรับ”

คนเดินตามเอ่ยถาม เสียงไม่เล็กแหลมอย่างที่คิด กระนั้นก็ไม่เข้าหูคนฟังเท่าไหร่

“เรื่องของข้า”

“เรื่องของท่านเป็นเรื่องของข้าขอรับ”

หย่งคังหยุดเท้าที่ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง แต่ก่อนมันยังต้นไม่ใหญ่มาก บัดนี้แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นอาณาเขตกว้างเสียแล้ว น่าแปลกที่มองต้นท้อที่ไร เขากลับรู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างบอกไม่ถูก

“ต่อให้เจ้าไม่ดูแลข้า ข้าก็ไม่เอาเรื่องไปบอกตาแก่หรอก เลิกตามข้าซะ”

“เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ” จื่อเยี่ยนยืนดักหน้า ขวางทางคนจะเดิน “หน้าที่ของข้าคือดูแลท่าน คุณชายเล็กโปรดเข้าใจด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านต้องเรียนรู้ความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของกิจการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรระหว่างวังหลวงและตระกูลจาง เพื่อในภายภาคหน้านี้ ท่านจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล”

“แล้วเจ้าก็เป็นคนสนิทข้างั้นรึ?”

ตลกสิ้นดี มีแต่คนคิดจะหวังผลจากตัวเขา ไม่มีใครรักและหวังดีต่อเขาเท่าหลี่ซื่อหลางอีกแล้ว

“ท่านกังวลสิ่งใดขอรับ ทุกคนล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งนั้น”

“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็จะเป็นผู้นำตระกูลอยู่แล้ว!”

“ปราศจากข้า ทุกอย่างคงไม่ง่ายอย่างที่คุณชายเล็กคิด”

จื่อเยี่ยนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าทำงานมาก่อนท่าน รู้ข่าวภายในดีเสียยิ่งกว่าใคร หากคุณชายคิดจะเป็นผู้นำตระกูลจาง ครอบครองกิจการทั้งหมด คิดว่าเครือญาติที่จ้องจะเล่นงานทายาทผู้ไม่รู้เรื่องอันใดแล้วฮุบสมบัติไว้จะไม่เพ่งเล็ง?”

หย่งคังไม่พูดอะไร เขากำลังคิดวิเคราะห์ตามคำพูดของอีกฝ่าย

“ไม่สงสัยหรือขอรับ เหตุใดนายท่านเลี่ยงหวงจึงออกประกาศตามหาตัวคุณชายเล็กเสียทั่วแผ่นดิน”

เพื่อให้เขาขึ้นตำแหน่งผู้นำตระกูลแทน?

ไม่มีทาง

…ก็แค่หุ่นเชิด…

“ท่านรู้คำตอบดีขอรับ คุณชายเล็ก” จื่อเยี่ยนพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอีกครั้ง “นายท่านไม่มีวันให้คุณชายเล็กขึ้นไปยืนอยู่จุดนั้น อย่างมากก็เป็นแค่หุ่นเชิด หรือไม้กันหมาพวกญาติๆ ที่ต้องการจะฮุบกิจการเท่านั้น”

“เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม?”

ถึงแม้หย่งคังจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้น หากผู้ชายตรงหน้าจะมาช่วยเหลือเขาโดยปราศจากการหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่าอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร เขาจำเป็นต้องรู้เจตนาของชายผู้นี้เสียก่อน

“ยามนี้ข้าไม่ใช่ศัตรูของคุณชายเล็ก”

“อนาคตก็ไม่แน่?”

จื่อเยี่ยนยิ้มมุมปาก “ขอรับ ก็ไม่แน่”

หืม?

หย่งคังนึกแปลกใจกับความตรงไปตรงมาของผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าจื่อเยี่ยนไม่เหมือนคนรับใช้คนอื่น  ท่าทางฉลาด มีเล่ห์กลทันคน รู้จักใช้คำพูดอย่างที่บางทีเขาก็เถียงไม่ได้

“เจ้าช่างแปลกคน แน่ใจว่าสามารถสอนงานข้าได้”

“ข้าได้สอนบทเรียนแรกแล้วขอรับ” จื่อเยี่ยนอธิบาย “ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง วันนี้เป็นเพื่อน วันหน้าอาจเป็นศัตรู”

“หมายถึงเจ้าอาจตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลจางก็ได้งั้นหรือ?”

“ขอรับ”

หย่งคังเลิกคิ้ว ไม่มีความลังเลในน้ำเสียงนั้น “ไม่ถึงชั่วยาม เจ้าก็แสดงออกว่าสามารถหักหลังตระกูลจางได้ ไม่กลัวข้าเอาไปบอกนายท่านของเจ้าหรืออย่างไร”

“ไม่ขอรับ”

จื่อเยี่ยนไม่แสดงท่าทีกังวลใดๆ ออกมาจริงๆ

“คุณชายเล็กเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าสามารถใช้ประโยชน์จากใครต่อใครได้ไม่เหนื่อยแรง จนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้าจะช่วยสอนงานให้คุณชายเล็กอย่างเต็มที่ขอรับ”

“…ก็ได้”

หย่งคังกอดอก ไล่สายตาพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง

“แล้วข้าจะคอยดู”




-------------------------------------------------------------






To be continued...








หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 08-07-2015 21:17:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 08-07-2015 21:23:58



**ก่อนอื่น ต้องขอแจ้งว่าช่วงนี้คงอัพช้าลง เราติดงานที่มหาลัยนิดนึงน้า ขอโทษด้วยนะคะ**


@boboman ถูกค่ะะ อย่าไปยอมมมมม วันนั้นมันจะมาถึงค่ะ... ส่วนหยงเทียน เอาทีสบายใจเลยค่ะพ่อหนุ่มคนนี้ ฮาาา

@alternative สักวันตัวร้ายจะต้องแพ้แน่นอนค่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า! *ชูก้ำปั้น*

@poogan_zadd ตัวละครนี้ จิตสำนึกความเป็นพ่อไม่ค่อยมีค่ะ555555555 นึกถึงพวกชนชั้นสูงที่หน้าที อำนาจ บารมีมาก่อนลูก ประมาณนั้นเลยค่ะ


หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-07-2015 21:37:29
ไม่!
เราจะไม่โอดครวญว่ามันสั้นยิ่งกว่ากลีบดอกท้อ  :ling1:
ฉันอยากอ่านอีก ฮรือๆๆๆๆ

หย่งคังสู้ๆ นะ คนร้อยเล่ห์ ย่อมไม่อาจสู้คนฉลาดที่มีสติ
เลี่ยงหวงล้ำลึกนัก เอาคนที่เป็นดั่งหินลับมีดมาให้หย่งคังคลุกคลีด้วย
เจ้าจะเฉียบคมเพราะการอบรมสั่งสอน
เจ้าจะแข็งแกร่งเพราะอดีตหล่อหลอม
เจ้าจะไม่แพ้ใครเพราะใจที่มุ่งมั่น

#ทีมหย่งคัง
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 08-07-2015 21:38:46
กลัวจื่อเยี่ยนจะทำให้ซื่อหลางเข้าใจผิดจัง เห็นบรรยายว่าหน้าขาวตัวเล็กงี้ เราระแวงเลยนะเนี่ย
หย่งคังสู้ๆ จะได้รีบไปเคลียร์กะซื่อหลางซะทีนะ
รอตอนต่อปาย~
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 10-07-2015 16:14:55
เห็นคาแรคเตอร์จื่อเยี่ยนแล้วกลัวเป็นตัวปัญหาในอนาคตจัง
ไม่เรื่องรักก็เรื่องสมบัติแหง :เฮ้อ:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 12.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 12-07-2015 10:45:24
**เป็นเนื้อหาต่อจากตอนที่แล้วค่า**






(http://i1298.photobucket.com/albums/ag55/notie6/sketch-yong1_zpsr3gwwm0f.png)

Illust by
Notienatsu (https://www.facebook.com/notienatsu)





ดอกท้อที่ ๑๐
(ครึ่งหลัง)



จื่อเยี่ยนคอยติดตามดูแลคุณชายเล็กไม่คลาดสายตา

จากการสังเกตพฤติกรรมเท่าที่ผ่านมา ชายหนุ่มพบว่าคุณชายเล็กเป็นคนฉลาดและหัวไวอย่างที่คาดคิดไว้ ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีคนนี้มีอนาคตไกล หากสามารถดึงความมุ่งมั่นออกมาจากแววตาคู่นั้นได้ทั้งหมดล่ะก็…

อะไรคือแรงผลักดันในใจของคุณชายเล็ก?

มีหรือที่จื่อเยี่ยนจะไม่รู้

วันก่อน นายเลี่ยงหวงเรียกตัวคุณชายเล็กเข้าพบ พูดคุยเรื่องรายงานผลการเรียนที่ดีขึ้นเป็นลำดับ หากจู่ๆ ก็มีปากเสียงเรื่องหลี่ซื่อหลาง คนที่ได้ยินมาว่าลักพาตัวคุณชายเล็กไปเมื่อเจ็ดปีก่อน

เพราะนายเลี่ยงหวงเมตตา การเอาผิดโจรลักพาตัวจึงไม่เกิดขึ้น?

จื่อเยี่ยนไม่ใช่คนโง่

เบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายเล็กและผู้ชายคนนั้นคงไม่ใช่แค่โจรลักพาตัวกับเหยื่อแน่ๆ น้ำเสียงเวลาพูดถึงอีกคน เจือความอ่อนโยนที่คุณชายเล็กไม่เคยแสดงออกตั้งแต่เหยียบบ้านหลังนี้ หรือยามได้ยินใครให้ร้ายคนผู้นั้น เขาจะโกรธเคือง โวยวายราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต

ดูเหมือนคนขวานผ่าซาก แท้จริงหัวใจของคุณชายเล็กกลับมีความอ่อนโยนบางอย่างหล่อเลี้ยงเสมอมา

หลี่ซื่อหลางคนนั้น?

ในฐานะอะไร…พ่อ? หรือพี่ชาย?

จื่อเยี่ยนส่ายหน้ากับตนเอง “…ไม่ใช่สักอย่าง…”

…คนรัก?

ความคิดนั้นแวบเข้ามาเพียงไม่กี่วินาที หัวของจื่อเยี่ยนก็เหมือนโดนของแข็งทุบ

“คุณชายเล็กขอรับ”

ผู้ดูแลตัดสินใจเดินเข้าไปหาหย่งคังที่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารการค้าขายของกิจการตระกูลจางย้อนหลังสิบปี

“หือ?” อีกฝ่ายตอบรับในลำคอ ไม่เงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่ตั้งใจดูอยู่ตรงหน้า

“ข้าขอถามอะไรบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ”

“ถ้าข้าตอบได้ ก็จะตอบ”

“หลี่ซื่อหลางเป็นใครกันแน่ขอรับ?”

หย่งคังชะงักเล็กน้อย เด็กหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร “ทำไม? ตาแก่ให้มาหลอกถามข้า?”

“ข้ามีความสงสัยเองขอรับ” จื่อเยี่ยนตอบตรงไปตรงมาตามนิสัย

“แล้วสงสัยทำไม?”

หย่งคังเลี่ยงไม่อธิบาย ต้องการดูเจตนาของคนถามให้มั่นใจเสียก่อน

“ข้าคิดว่ากำลังเห็นจุดอ่อนของคุณชายเล็กขอรับ”

“จุดอ่อน?”

เป็นคำพูดที่จี้ใจดำคนฟังอย่างเสียไม่ได้ สำหรับคนที่ต้องการเป็นที่หนึ่ง เอาชนะเหล่าคนที่ไม่ต้องการให้หย่งคังได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจาง หย่งคังจึงจำเป็นต้องเติบโตเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งพอสมควร

นั่นหมายถึงเขาไม่ควรมี จุดอ่อน ใดๆ ทั้งสิ้น

“ขอรับ หลี่ซื่อหลางคนนั้นคือจุดอ่อนของคุณชายเล็ก”

ปึง! หย่งคังตบโต๊ะทำงานอย่างแรง “พูดอีกที มือข้าจะไม่ตบที่โต๊ะ หากจะเป็นปากของเจ้าแทน!”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ให้ใครแตะต้องหลี่ซื่อหลางไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด หย่งคังไม่พอใจทุกคนที่มีข้อสงสัยในตัวของคนที่เขามอบหัวใจให้ทั้งดวง

“อภัยให้ข้าด้วยขอรับ หากไม่แจ้งแถลงไข ดวงตาของคุณชายเล็กจะมืดบอด มองไม่เห็นภัยที่จะตามมาในภายภาคหน้า”

จื่อเยี่ยนโค้งตัวขอโทษ หากยังพยายามอธิบายต่อ

“ข้าพอทราบมาว่านายท่านเลี่ยงหวงใช้หลี่ซื่อหลางเป็นข้ออ้างในการบีบคุณชายเล็กไว้ในกำมือ ใช่หรือไม่ขอรับ”

“เจ้า…!”

หย่งคังได้ยินเสียงระเบิดในหัว ข้อเท็จจริงนี้เขาปฏิเสธไม่ลงจริงๆ

“แสดงว่านายท่านรู้จักใช้คนให้เกิดประโยชน์ เขาไม่ลงมือ เพราะสามารถใช้คนผู้นั้นต่อรองกับคุณชายเล็กได้ ข้อนี้ควรเอาเป็นตัวอย่างขอรับ”

“ตกลงจะสั่งสอนข้า?”

จื่อเยี่ยนยืดตัวตรง “ส่วนหนึ่งขอรับ”

“หลี่ซื่อหลางไม่ใช่คนที่เจ้าหรือใครแตะต้องได้ จำเอาไว้”

หย่งคังเอ่ยเสียงขุ่น เจ้าตัวกลับไปนั่งดูเอกสารต่อ พยายามทำใจให้ร่ม มีงานอีกมากที่เขาต้องเรียนรู้

“คุณชายเล็ก โปรดฟังข้าสักหน่อยเถิดขอรับ”

คนเป็นคุณชายไม่ตอบ ทำหน้าตาไม่สนใจราวกับได้ยินเสียงนกเสียงกาไม่มีค่าควรให้สนใจ กระนั้นจื่อเยี่ยนก็พยายามทำให้คุณชายเล็กยอมรับฟังคำแนะนำจากตน

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เก่งแค่ไหน คุณชายเล็กก็จะเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือของนายท่าน หรือคนอื่นๆ ที่ไม่อยากให้คุณชายเล็กประสบความสำเร็จ”

หย่งคังพ่นลมหายใจแรง ท่าทางไม่สบอารมณ์ “จะบอกว่าเป็นเพราะหลี่ซื่อหลาง?”

“ขอรับ”

“…อธิบาย…”

แม้จะไม่ชอบใจ แต่จื่อเยี่ยนเป็นคนมีเหตุผล หย่งคังจำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของคนตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ปรารถนาจะได้ยินก็ตาม

“ยกตัวอย่างนะขอรับ หากพรุ่งนี้ข้าส่งคนไปฆ่าหลี่ซื่อหลาง ท่านจะทำอย่างไร?”

แค่ได้ยิน เส้นเลือดในสมองก็เหมือนจะขาดผึง!

“ข้าก็ฆ่าเจ้าน่ะสิ!!”

“แล้วถ้าข้าไม่ฆ่าเขา แลกกับคุณชายเล็กต้องยอมสละชีวิตตัวเอง?”

“ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อพี่ใหญ่”

อ่า…ตอบโดยไม่ลังเลสักนิด….

“ขอรับ” จื่อเยี่ยนพยักหน้า “เช่นนั้น ในภายภาคหน้า หากข้าต้องการทำลายคุณชายเล็กจริงๆ แค่ต่อยตีหรือข่มขู่คงไม่หนักสาหัสเท่าทำร้ายหลี่ซื่อหลาง ใช่หรือไม่ขอรับ”

หย่งคังขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนเห็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธปรากฏอยู่ตรงหน้า ทว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

มีใครบังคับความรักได้บ้างกัน?

“จื่อเยี่ยน เขาเป็นเหตุผลที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ หากเขาปลอดภัยดีจริงๆ เช่นนั้นข้าจะต้องอยู่ให้ตาแก่โขกสับ?”

“เหตุนั้นคุณชายเล็กยิ่งควรกำจัดจุดอ่อนนั้นออกไปขอรับ”

“กำจัดอะไรของเจ้า!!”

หย่งคังเกือบได้ลองใช้วรยุทธที่เพิ่งร่ำเรียนจากอาจารย์เสี่ยวเห๋อกับผู้ดูแลเสียแล้ว หากอีกฝ่ายไม่รีบกระโดดโหยงหลบหลังโต๊ะอย่างรู้งานเสียก่อน

“ข้าไม่ได้หมายความว่าให้ไปฆ่าแกงใครขอรับ คุณชายเล็กใจเย็นก่อน”

หย่งคังพ่นลมหายใจอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าต้องการบอกอะไร?”

“ข้าหมายถึงให้กำจัดจุดอ่อนในนี้”

จื่อเยี่ยนชี้ที่หน้าอกด้านซ้าย “หากคุณชายเล็กยิ่งแสดงออกว่าเป็นห่วงหลี่ซื่อหลาง รังแต่จะลำบากทั้งตัวคุณชายเองและเขาคนนั้น ยิ่งเมื่อท่านอยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเท่าใด ย่อมยิ่งหนาว คนจ้องทำร้ายมีมากกว่ามิตร วันใดวันหนึ่งหากศัตรูรู้จุดอ่อนของท่าน เขาจะไม่รีบลงมือ? กรณีศึกษาของจริงก็คือบิดาของคุณชายเล็กขอรับ”

จื่อเยี่ยนพยายามอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน

“ความปลอดภัยของหลี่ซื่อหลางเป็นเหตุผลที่บีบให้คุณชายเล็กยอมอยู่ที่นี่”

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย หย่งคังประสานมือเข้าหากัน นั่งครุ่นคิดตามอย่างรอบคอบ

“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?”

“ง่ายนิดเดียวขอรับ” จื่อเยี่ยนเดินออกจากที่หลบภัย “จงเก็บเขาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในตัวหัวใจของท่าน เป็นไปได้อย่าแสดงความรู้สึกออกมาอีก หากมนุษย์ปุถุชนทั่วไปมีหน้ากากคลุมหน้าไว้เข้าหากันหนึ่งชั้น คุณชายเล็กย่อมมีหน้ากากที่ซ้อนหน้ากากอีกทีขอรับ”

 “ข้าต้องเสแสร้ง?”

“เป็นการวางตัวขอรับ สำคัญมากเมื่อคุณชายเล็กมีความตั้งใจจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจางในอนาคต”

ผู้ดูแลแก้ไขคำใหม่ เด็กหนุ่มคนนี้จำเป็นต้องเรียนรู้การเข้าสังคมที่มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน

“ขอให้คุณชายศึกษาจากนายท่านเลี่ยงหวงมากๆ ขอรับ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

“อืม”

หย่งคังคิดตาม ตาแก่นั่นเดาใจยากจริงๆ

“…ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”

จื่อเยี่ยนยิ้มบาง “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นขอรับ คุณชายเล็ก”

“แต่ข้ามีข้อแม้”

“ขอรับ?”

“ให้ข้าได้เจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย”…ก่อนที่จะต้องเก็บคนๆ นั้นไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ 
บัดนี้ หย่งคังสัญญากับตนเองแล้วว่า หากได้เห็นหน้าหลี่ซื่อหลางอีกสักครั้ง เขาจะเก็บงำตัวตนและความรู้สึกที่มากมายมหาศาลเหล่านั้นไว้ในกล่อง เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง จะมีเพียงจางเฟยหลง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจาง

…ต้องเป็นผู้นำตระกูลจางที่แข็งแกร่ง เพื่อสักวันหนึ่งจะกลับไปเปิดกล่องใบนั้นอีกครั้ง…

ราวกับจื่อเยี่ยนอ่านใจคุณชายเล็กออก

อีกฝ่ายเงียบเพียงชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“ขอรับ คุณชายเล็ก…”




-------------------------------------------------------------




ในคืนนั้น หย่งคังและจื่อเยี่ยนแอบออกจากบ้านตระกูลจางโดยไม่มีใครรู้

ทั้งสองเดินทางมาหยุดอยู่หน้าบ้านพื้นที่สี่สิบตารางวาหลังหนึ่ง บริเวณด้านหน้าเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ หย่งคังที่ดูคุ้นเคยสถานที่ดี อาศัยร่างกายที่ฝึกวรยุทธมาพอสมควร จึงสามารถปีนขึ้นชั้นสองได้อย่างคล่องแคล่ว ค่อยๆ ผลักหน้าต่างห้องด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบเชียบ

จื่อเยี่ยนปีนตามขึ้นมาติดๆ

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าไม่สามารถให้คุณชายเล็กคลาดสายตาได้ขอรับ”

หย่งคังนิ่งไปสักพัก ก่อนจะยักไหล่ เขามีเวลาไม่มากแล้ว “ตามใจ”

ร่างสูงก้มตัวลง โอบแขนแกร่งรอบตัวใครบางคนที่มีร่องรอยผ่านการร้องไห้อย่างหนักจนผล็อยหลับไป

“ร้องไห้หรือ ซื่อหลาง”

คนหลับขยับตัวเข้าหาความอบอุ่นที่โหยหา น้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาไม่ขาดสาย

“อย่าร้อง…”

มืออุ่นช่วยเช็ดออกให้อย่างแผ่วเบา จูบซับรอยน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้ง คุณชายเล็กกดริมฝีปากประทับลงที่กลีบปากบางของคนหลับลึก แผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อกระพือบิน

“ซื่อหลาง ข้ารักท่าน…”

จูบลาสุดท้ายแตะลงที่หน้าผาก

 “รอข้านะ…”





จื่อเยียนรู้แล้ว





คุณชายเล็กตกหลุมรักชายขายน้ำเต้าหู้หมดหัวใจ





-------------------------------------------------------------






To be continued...







หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 12-07-2015 11:05:30
กรี๊ดด อึดอัดมากค่า โอ๊ยิตาคนพ่อนี่
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 12-07-2015 13:21:29
อยากตีอิตาพ่อมากค่า :katai1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๐ :: UPDATE 08.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 12-07-2015 13:29:34
 :z3:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๑ :: UPDATE 15.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 15-07-2015 09:34:45



ดอกท้อที่ ๑๑





“พี่ซื่อหลาง!”

ฟานตงวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ตะโกนเรียกเสียงดังเสียจนคนที่นั่งจิบชาสะดุ้งเฮือก

“ฟานตง โตขนาดนี้แล้วยังวิ่งเป็นเด็ก?”

หลี่ซื่อหลางวางถ้วยชาลง ชายหนุ่มอุตส่าห์หาเวลาเงียบสงบนั่งมองต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้เจริญเติบโตงอกงาม ออกดอกบานสะพรั่งในสวนหลังบ้านของเขา

ใช่แล้ว…

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ต้นท้อที่เขาเฝ้าดูแลมาตลอดสามปี กำลังออกดอกงามเทียว

“ท่านเอาแต่นั่งมองมัน ไม่เบื่อบ้างหรือ”

ฟานตงถามไม่จริงจัง อย่างน้อยหลี่ซื่อหลางก็ไม่เศร้ายามมองมันอีกแล้ว คนเป็นน้องชายเบาใจลงเล็กน้อย

“ข้าไม่เบื่อหรอก”

“หากท่านชอบนัก คืนนี้มีเทศกาลดอกท้อด้วยนะ”

ฟานตงเริ่มเข้าเรื่อง “พี่จิ้งอี้ให้มาชวนท่านออกไปเที่ยวงานเทศกาลกัน นานแล้วที่พวกเราไม่ได้สังสรรค์เลย ท่านว่าอย่างไร?” ปากเอ่ยชวน แต่แววตาจ้องราวกับอยากสะกดจิตให้คนเป็นพี่ใหญ่ตอบตกลง

“พวกเจ้าไปเถอะ”

“ท่านไม่ไป?” ฟานตงมีสีหน้าผิดหวัง “ทำไมเล่า ข้าเห็นท่านชื่นชอบดอกท้อนัก นี่ก็ถึงช่วงมันออกดอกงามสะพรั่ง ยิ่งชมใต้แสงจันทร์คงงามตายิ่งนัก”

“หลังบ้านเราก็มีแล้วต้นหนึ่ง ทำไมข้าต้องเดินไกลไปดูที่อื่นอีก”

“ต้นนี้เห็นมาสามปีแล้วไม่ใช่? พี่ซื่อหลาง ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถิด”

ฟานตงถลาเข้าไปเกาะแขนคนเป็นพี่ เขย่าเล็กน้อย “พี่จิ้งอี้บอกว่าท่านต้องปฏิเสธแน่ แต่เขาไม่ว่างมาชวนท่านเพราะติดธุระทางบ้าน หากเย็นนี้เขาฝากข้ามาบอกว่าฟ้าถล่มดินทลายก็จะมาลากท่านไปงานเทศกาลด้วยกันให้ได้”

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ ยามที่เพื่อนสนิทและน้องชายร่วมมือกันทีไร เขาหรือจะสู้ได้?

“พวกเจ้าเอาแต่ใจนัก”

“พี่ซื่อหลางเองก็รั้นไม่ใช่หรือ” ฟานตงบ่นอุบอิบ “ท่านเก็บตัวอยู่ในบ้านนานๆ ระวังจะเป็นโรคซึมเศร้า ข้าเห็นตาแก่บ้านถัดจากเราสองหลังอาการหนักเข้าขั้น อย่าให้ข้าต้องเห็นพี่ชายในสภาพนั้นเลย”

“หาว่าข้าเป็นตาแก่?”

“เปล่าเสียหน่อย”

ฟานตงปฏิเสธทันควัน ยิ้มเผล่ให้อีกฝ่าย “ข้าเป็นห่วงท่านหรอก พี่ซื่อหลาง คืนนี้ไปงานเทศกาลกับพวกข้านะ”

“…ตามใจเจ้า”

“ตกลงตามนี้!”

ฟานตงลุกขึ้นพรวด วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนขามา

คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจ เขาเลี้ยงดูฟานตงแบบตามใจไปหรือเปล่า น้องชายคนนี้ถึงอายุเข้าเลขสองแล้ว แต่นิสัยไม่โตตามเอาเสียเลย

หลี่ซื่อหลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ หากรสชาดเย็นชืดทำให้ต้องวางลง

ฤดูใบไม้ผลิปีนี้มาเยือนเร็วกว่าปกติจนเขาไม่ทันตั้งตัว ตื่นมาอีกที ต้นท้อที่เคยแคระแกร็น สามปีถัดมาชั่วพริบตาเดียว กลับเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาเต็มสวนหลังบ้าน ไม่มีที่เหลือพอสำหรับต้นไม้ต้นอื่น

เหมือนจิตใจของหลี่ซื่อหลางไม่มีผิด

…หัวใจของเขา กว้าง แต่ไม่มีที่เหลือแล้ว…

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรง เผลอไม่ได้ต้องหวนกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ทำเอาหน่วงลึกในใจ ต่อให้ไม่เจ็บเหมือนแผลสด หาก รอยร้าวก็ไม่อาจสมานได้สนิท

หลี่ซื่อหลางยังคงคิดถึงน้องชายคนเล็กที่จากไป

แต่เขาก็พยายามนึกถึงแต่เรื่องดีๆ คิดและทำความเข้าใจเหตุผลต่างๆ นาๆ ที่ไม่ได้รับฟังจากเจ้าตัวว่าเหตุใดจึงจากไปโดยไม่ล่ำลากันสักคำ

อาจเพราะชายหนุ่มเกิดในครอบครัวไร้การศึกษา เช่นนั้นคนอย่างเขาจะไปเข้าใจตรรกะคนเกิดในตระกูลสูงส่งได้?

นี่คงเป็นเหตุผลที่น้องเล็กของเขาจากไป

หลี่ซื่อหลางไม่มีอะไรคู่ควรการเป็นพี่ใหญ่คุณชายเล็กตระกูลจางแม้ข้อเดียว

เขาทำใจมาได้ เอ่อ สักพักใหญ่ทีเดียว แม้จะมีบางครั้งรู้สึกเศร้าจับใจ แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังมีแรงทำงาน ใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า ถึงไม่มีน้องเล็กอีกแล้ว แต่ยังมีฟานตงที่คนเป็นพี่สาบานต่อฟ้าจะดูแลให้ดีที่สุด

วนกลับมาเรื่องเจ้าน้องคนนี้อีกครั้ง




‘พี่ซื่อหลาง อายุท่านก็จะเลขสามแล้ว ยิ่งไม่ดูแลตัวเองก็ยิ่งดูชราภาพ’

ดูเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น ฟานตงตอกย้ำเรื่องอายุจนใกล้เป็นปมด้อมของหลี่ซื่อหลาง

‘ข้าแก่แล้วเจ้าจะไม่รักหรือ?’

ฟานตงทำหน้าตกใจ ‘เปล่าเสียหน่อย!’

‘ก็เจ้าบ่นข้าแก่อยู่เรื่อย’

‘เถอะ…ขี้น้อยใจแบบนี้ไม่เรียกนิสัยคนแก่?’ ฟานตงพึมพำในระดับเสียงที่หลี่ซื่อหลางได้ยินชัดเจน ‘เรื่องของเรื่อง ท่านปล่อยให้ผมตัวเองยาวขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนนอนข้ากลัวมันจะพันคอท่านจนสิ้นลมเอา’

หลี่ซื่อหลางขมวดคิ้ว ‘นี่เจ้าแช่งข้าทำไม’

‘ข้าพูดจริงต่างหาก’

อีกฝ่ายแก้คำ ‘ผมท่านยาวแข่งลูกสาวบ้านตระกูลลี่แย่แล้ว อย่าให้นางต้องนั่งเสียใจเพราะเกิดมาผมยาวสวยได้ไม่เท่าบุรุษเช่นท่านเลย พี่ซื่อหลาง’

ฟังกี่ทีก็รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดเหล่านี้ หากหลี่ซื่อหลางก็พยักหน้าอือออไปตามระเบียบ จับปลายผมที่ยาวถึงสะโพก

‘เช่นนั้นข้าควรไปตัดผม’

‘เห็นด้วย’

ฟานตงยิ้มกว้าง จูงมือหลี่ซื่อหลางคลับคล้ายฉุดลากออกจากบ้าน ‘ตัดผมเสร็จ ท่านก็ซื้อเสื้อสักตัวด้วยเป็นอย่างไร?’

‘สิ้นเปลืองทำไม ข้ามีเสื้อผ้าเต็มตู้’

‘เชื่อข้าเถอะ’ ฟานตงไม่ฟังคำทัดท้าน ‘ข้าจะแปลงโฉมท่านจนจำไม่ได้เลย!’



เฮ้อ…

หลี่ซื่อหลางพบว่าตนตามใจน้องชายมากไปจริงๆ นั่นแหละ





-------------------------------------------------------------




คืนนี้จิ้งอี้มาตรงเวลา เพื่อรับหลี่ซื่อหลางไปเที่ยวงานเทศกาลพร้อมกัน

“เมียเจ้าล่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม กระชับคอเสื้อเล็กน้อย

“พาถิงถิงเข้านอนแล้ว”

“ส่วนพ่อมันก็ออกมาเที่ยว?” หลี่ซื่อหลางยิ้มอ่อนใจ “หากข้าเป็นเมียเจ้า จะเอาไม้ตะบองแพ่นกบาลให้”

จิ้งอี้ทำหน้าตาเหมือนกลืนของขม “เมียข้าเป็นคนอ่อนโยนไม่โหดร้ายเช่นเจ้าหรอก”

“แต่ก่อนยังชมว่าข้าเป็นคนขี้เกรงใจ อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เลย”

“ก็ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนั้น?”

หลี่ซื่อหลางไหวไหล่ท่าทีสบายอารมณ์ “ไม่เท่าไหร่”

“ก็ตามนั้น”

จิ้งอี้แสร้งทำหน้าเหม็นเบื่อ เดี๋ยวนี้เพื่อนสนิทของเขากลายเป็นพวกเถียงคำไม่ตกฟาก ยากจะเดาว่าเพิ่งเป็นหรือนิสัยเก่าเพิ่งถูกปลุกจากจิตใต้สำนึกกันแน่

อ่า จะเป็นอะไรก็ช่าง

อย่างน้อยก็ไม่ซึมเศร้าแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว

“แล้วฟานตง?”

หลี่ซื่อหลางหันไปถาม ตั้งแต่ตอนเช้าที่มาชวนไปงานเทศกาล ก็ไม่เห็นหน้าอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้

“อย่างน้อยชายเจ้าจะไปไหนได้” จิ้งอี้หัวเราะหึในลำคอ “ข้าว่าป่านนี้ึคงอยู่ที่งานเทศกาลแล้วกระมัง”

“ไปคนเดียว?”

“ฟานตงโตแล้ว เจ้ายังห่วงอะไรอยู่อีก”

จิ้งอี้โยกหัวเพื่อนสนิทไปมา “หยงเทียนไปกับเขาด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก”

หลี่ซื่อหลางเบาใจลง อย่างน้อยฟานตงก็มีหยงเทียนอยู่ข้างๆ คอยดูแลกันมาแต่เล็ก นึกแล้วก็อดเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้

“หยงเทียนเป็นเด็กดีนะ”

“อืม” จิ้งอี้พยักหน้ารับ

“เสียดายหากเขาเป็นผู้หญิง ข้าคงให้ฟานตงแต่งเมียแน่ๆ”

คราวนี้จิ้งอี้หัวเราะกร๊าก “เจ้านี่ไม่รู้อะไรเสียเลยน้า”

“รู้อะไร?”

หลี่ซื่อหลางทั้งประหลาดใจทั้งตกใจ จู่ๆ เพื่อนตัวโตก็หัวเราะเสียงดังเสียขนาดนั้น มีเรื่องตลก?

“ซื่อหลาง บางทีข้าก็คิดว่าเจ้าซื่อหรือบื้อกันแน่”

…ก็อาจทั้งสองอย่าง…

“ไม่ต้องแอบด่าข้า พูดมาตรงๆ ว่าเจ้ารู้อะไรแล้วไม่ยอมบอก” หลี่ซื่อหลางหน้ามุ่ย เดินไปถามไปอย่างไม่ลดละ “เกี่ยวกับฟานตงหรือเปล่า หรือหยงเทียน? หรือเกี่ยวกับข้า?”

จิ้งอี้เลิกคิ้ว “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ”

“ไม่อยากรู้ข้าจะถาม?”

“ได้ยินแล้วกลัวเจ้าจะลมจับน่ะสิ เอาไว้ให้เจ้าตัวบอกเองดีกว่า”

จิ้งอี้ผู้โหดร้าย เดินผิวปากนำหน้าไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้หลี่ซื่อหลางจมกับความสงสัยที่ปะทุอยู่กลางอก หากไม่ได้รับคำตอบคงนอนไม่หลับ

“บอกข้าไม่ได้หรือ”

“นี่เจ้าอ้อน?” จิ้งอี้กลั้นขำ

“ข้าขอร้อง เห็นแก่ความเป็นเพื่อน ถังจิ้งอี้ อย่างน้อยบอกข้าว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเกี่ยวเขาทั้งสอง” หลี่ซื่อหลางก็คือหลี่ซื่อหลาง ห่วงใยผู้อื่นไม่ต่างจากเดิม

“ไม่มีใครตายทั้งนั้นแหละ เจ้านี่เป็นตาแก่คิดมาก”

จิ้งอี้เอ่ยเสียงอ่อน จู่ๆ ก็นึกเห็นใจร่างโปร่งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรขึ้นมา “ฟานตงกับหยงเทียนสนิทกันขนาดนั้น เขาสองคนดูแลกันได้โดยที่เจ้าไม่ต้องห่วงอะไรอีก เข้าใจหรือไม่”

“เช่นนั้นเจ้าปิดบังข้าเรื่องอะไร”

“ก็บอกแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างข้าควรพูด”

หลี่ซื่อหลางกรอกตา “ถึงขนาดนี้แล้วก็พูดเถอะ จิตใจจะให้ข้าสงสัยจนอกแตกตาย?”

“เมื่อก่อนเจ้าไม่เห็นขี้สงสัยปานนี้”

“ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันเสียหน่อย”

จิ้งอี้ไหวไหล่ “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ นั่นแหละ”

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง บอกข้ามาเสียดีๆ” หลี่ซื่อหลางคาดคั้นต่อ “เรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้? ไม่รู้อยู่คนเดียวด้วยหรือเปล่า?”

“เจ้าอย่ามาคั้นข้าให้เสียเวลา”

“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้” หลี่ซื่อหลางพ่นลมหายใจ เดินตามเพื่อนสนิทที่เดินเร็วกว่าตน “ตอนนั้น เจ้าก็ปิดข้าเรื่องหนึ่งใช่หรือไม่?”

“ตอนไหน?” คนฟังนึกไม่ออก

“…ตอนที่คนพวกนั้นจะเอาน้องเล็กข้าไป”

 …กริบ…

 เงียบเสียจนได้ยินเสียงมดเดิน

“ข้าถามเฉยๆ เจ้าเงียบเสียจนข้ากลัวนะ” หลี่ซื่อหลางตบบ่าเพื่อน น้ำเสียงไม่จริงจัง “สบายใจเถิด ข้าทำใจได้นานแล้ว”

“อืม…”

“จิ้งอี้ ข้าพูดจริงๆ นะ”

อีกฝ่ายหันหน้ามามอง แววตาหม่นแสงลงเล็กน้อย “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”

“แต่หน้าเจ้าไม่เป็นอย่างที่พูดเลย รู้หรือไม่”

หลี่ซื่อหลางหัวเราะกลบเกลื่อน “เอ้า ไม่อยากบอกข้าสินะ เอาเถอะ ข้าจะลืมมันไปก็ได้”

ในเมื่อเซ้าซี้ถามรังแต่จะทำให้เพื่อนอึดอัด หลี่ซื่อหลางยอมข่มตาหลับพร้อมคำถามที่ไม่ได้คำตอบอีกข้อก็ได้ ไหนๆ ในหัวของเขาก็มีแต่คำถามเต็มไปหมดอยู่แล้ว มีอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร?

“ซื่อหลาง”

“หืม?”

จิ้งอี้มีสีหน้าคล้ายคนหนักใจ “ข้าจะบอกเจ้า แต่ต้องสัญญามาก่อน”

“สัญญา?”

“เจ้าเป็นคนรักน้องมาก บางครั้งก็มากเกิน ฉะนั้นเจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่เก็บไปคิดจนตัวเองลำบาก คนเราไม่สามารถแบกรับทุก อย่างบนโลกได้ เจ้าเองก็ด้วย”

“พูดอย่างกับน้องข้าไปทำอะไรผิดมา”

“ไม่ใช่เรื่องใครทำอะไรผิดหรอก อันที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครผิดนั่นแหละ”

“ถ้างั้นข้าก็เบาใจแล้ว”

หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “บอกมาเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก”

“ได้” จิ้งอี้สูดลมหายใจ ผ่อนออกเชื่องช้าราวกับถ่วงเวลาให้ตัวเองทำใจ “ซื่อหลาง ความรักเดี๋ยวนี้ไม่จำกัดที่หน้าตา ฐานะ รูปร่าง แม้กระทั่งเพศ”

ร่างโปร่งเดินไปฟังไป ยังไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวสูงอยากบอกอะไรกับตน

“เจ้าเองใช่เดียงสา การที่คนสองคนผูกพันกันมาก ย่อมก่อเกิดความรักในที่สุด ฟานตงกับหยงเทียนเองก็เช่นกัน”

หลี่ซื่อหลางยังสงสัยอยู่ “แล้วอย่างไร?”

“เจ้าไม่เข้าใจหรือ พวกเขารักกันไง!”

“นึกว่าเรื่องอะไร” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ “เป็นเพื่อนกัน รักกันก็ถูกแล้ว”

จิ้งอี้ทำสีหน้าอึกอัด สองมือกำลังจะทึ้งหัวตัวเอง “ทีเรื่องแบบนี้ทำไมถึงหัวช้านัก? ที่ข้าจะบอกก็คือฟานตงกับหยงเทียนเป็นคู่รักกันไปแล้ว”

“หา?”

หลี่ซื่อหลางหยุดเดิน “เรื่องแบบนี้อย่าเอามาล้อเล่น ข้าไม่ชอบนะ”

“กะแล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ”

ท่าทางจิ้งอี้คงเดาไว้แต่แรก กระนั้นไม่อยากให้เพื่อนสนิทคิดว่าตัวเองถูกปิดบังอะไร สุดท้ายก็ใจอ่อนบอกไป หากผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างจากที่คาดไว้นัก

“ถามตัวเอง ซื่อหลาง ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามานานเท่าไหร่ ข้าเคยโกหก?”

…ไม่เคยสักครั้ง…

หลี่ซื่อหลางรู้สึกเหมือนโลกกำลังเอียง หมุนเร็วจนเวียนหัว ชายหนุ่มคิดกับตัวเอง บางทีก็อยากให้เพื่อนสนิทกำลังโกหกตนอยู่

“ข้า…”

ร่างโปร่งทำท่าเหมือนจะพูดแต่แล้วก็อุบไว้ เดินหน้าถอยหลังเหมือนตัดสินใจไม่ถูก

“ใจเย็น ซื่อหลาง” เป็นจิ้งอี้ที่ต้องปลอบใจเพื่อน

“จิ้งอี้ ข้าเลี้ยงดูเขาไม่ดีหรือ…”

“อย่าพูดแบบนี้ ฟานตงได้ยินจะเสียใจมาก” จิ้งอี้เอ่ยเสียงอ่อน “บอกแล้วว่าความรักไม่เลือกสถานการณ์หรอก หากมันใช่ มันก็ใช่”

“เจ้าเป็นบุรุษนักรักหรือไร” หลี่ซื่อหลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่ชายกับชาย…”

“หรือเจ้ารังเกียจ?”

อีกฝ่ายรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น”

หลี่ซื่อหลางรู้สึกหนักใจไม่น้อย เขาพยายามตั้งรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

“ข้ารักฟานตง รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร กระนั้นก็อดห่วงไม่ได้ จิ้งอี้ ข้าไม่อยากเห็นเขาเสียใจภายหลัง”

“หยงเทียนเป็นคนดี เจ้าก็รู้นี่”

หลี่ซื่อหลางไม่ตอบ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างใจเย็น ฟานตงกับหยงเทียนสนิทกันมากขนาดที่บางครั้งก็หายไปอยู่ด้วยกันเป็นวัน เรื่องบางเรื่องฟานตงก็เอาไปปรึกษากับหยงเทียนแทนที่จะเป็นพี่ชายอย่างเขา คงเพราะช่วงหลังๆ มานี้ หลี่ซื่อหลางเอาแต่นั่งเสียใจให้คนที่จากไป ความรักที่ให้ฟานตงจึงส่งไปไม่ถึง?

น้องชายจึงโหยหาความรักจากคนอื่น และคนนั้นก็คือหยงเทียน

น…นี่เขาเป็นพี่ชายประสาอะไรกัน?

“ห้ามโทษตัวเองนะ บอกแล้วว่าไม่มีใครผิดทั้งนั้น”

ราวกับจิ้งอี้อ่านใจเพื่อนออก หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียไม่ได้

“ข้าผิดเอง”

“ก็บอกอยู่ว่าไม่ให้โทษตัวเอง เจ้ามันน่านัก!”

จิ้งอี้แจกมะเหงก ปั้ก! หลี่ซื่อหลางซี้ดปาก ลูบหัวตัวเองเบาๆ “เรื่องอะไรมาโขกหัวข้า?!”

“เอาปัญญาเจ้ากลับมาไง เป็นตาแก่ขี้น้อยใจแถมยังไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่”

เพื่อนตัวโตระบายลมหายใจที่อัดอั้นไว้บ้าง “ข้าพูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่เคยเห็นใครรักน้องชายได้เท่าเจ้าแล้ว ซื่อหลาง ฟานตงได้รับความรักจากเจ้าจนล้น แต่เขาก็ต้องการคนที่เป็นคู่รักคู่คิด รู้อยู่ว่าน้องเจ้าเป็นอย่างไร หากได้หยงเทียนคอยดูแล ถ้าข้าเป็นเจ้าคงหมดห่วง”

“ข้าแค่กลัวอนาคตน้องชายข้าเสียใจ…”

“หากฟานตงเสียใจ เจ้าก็ปลอบเสียสิ”

“เจ้าพูดง่าย”

หลี่ซื่อหลางนวดขมับ ก้าวเท้าช้าลงราวกับไม่อยากเดินไปถึงงานเทศกาล เขาควรปรับอารมณ์ตัวเองก่อนเจอหน้าฟานตงและหยงเทียนเสียก่อน

“หากเป็นถิงถิง เจ้าจะพูดแบบนี้อยู่มั้ยเล่า ลองคิดดู”

“ก็…”

จิ้งอี้ลองคิดในมุมของเขา ถ้าลูกสาวมีคู่ครองเป็นหญิงล่ะก็…ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ “ข้าคงต้องพิจารณาไปก่อน หากรักกันจริงแล้ว ข้าก็จะยอม”

หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าไม่เชื่อ “คนหวงลูกอย่างเจ้ายอมแน่หรือ?”

“ซื่อหลาง ถึงข้าจะหวงลูก แต่ข้าไม่เลือกคู่ครองให้ลูกเพื่อนความสุขตัวเอง กลับกันหากข้าแต่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่เมียข้า ชีวิตนี้คงไม่มีความหมาย ทีอย่างเจ้ายังไม่ยอมแต่งกับน้องข้าเลย เพราะเจ้ารักนางแบบน้องสาวไม่ใช่หรือ?”

“ก็ใช่…”

“คนในครอบครัวอย่างเราควรดูแลเขาเท่าที่ทำได้ ไม่ใช่ทุกอย่าง ปลอบเวลาเสียใจ ให้คำปรึกษายามเกิดปัญหา ตักเตือนเวลาทำผิด ส่วนเรื่องอื่นต้องปล่อยให้มันเป็นไปบ้าง”

“เช่นนั้นข้าควรให้ฟานตงกับหยงเทียนรักกันต่อไป”

“ข้าไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย ซื่อหลาง เจ้าอย่าเพิ่งตีตนก่อนไข้”

ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่หลี่ซื่อหลางก็ยังไม่วางใจ เหมือนจิ้งอี้อ่านสีหน้าอีกฝ่ายออก จึงเปรยออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อน

“หากวันหน้าหยงเทียนทำตงตงของเจ้าเสียใจมากนัก คงไม่เกินความสามารถเจ้าจับเจ้าหนุ่มนั่นตอนเสีย?”

หลี่ซื่อหลางไม่ตอบ

แต่กลับบ้านคราวนี้มีดในครัวคงต้องลับให้คมสม่ำเสมอ



.

.

.



อีกด้านหนึ่ง หยงเทียนรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่ทราบสาเหตุ





-------------------------------------------------------------





บรรยากาศภายในงานเทศกาลดอกท้อครั้งนี้ครึกครื้นกว่าปีก่อน

ร้านรวงเปิดแผงขายกันครึกโครม ผู้คนต่างเดินสวนกันไปมาเหมือนขบวนรถไฟ ถัดออกไปเป็นสวนดอกท้อที่พร้อมใจกันออกดอกงามสะพรั่ง เด็กและผู้ใหญ่นั่งชมดอกท้อใต้แสงจากดวงจันทร์และดวงดาว ประกอบแสงโคมไฟประดับริมทางช่วยทำให้ดอกท้อสวยงามขึ้นทุกครั้งที่เฝ้ามอง

“จิ้งอี้ ตรงนี้คนเยอะ”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!” จิ้งอี้ก้มตัวฟัง เพราะรอบข้างเสียงค่อนข้างดัง เสียงเบาๆ ของหลี่ซื่อหลางจึงถูกกลบสนิท

“ข้าบอกว่าตรงนี้คนเยอะ!”

“เสื้อเจ้าเลอะ?!” จิ้งอี้กวาดสายตามองเสื้อสะอาดเอี่ยมอ่องของอีกฝ่าย “ไม่เห็นสกปรกตรงไหนนี่”

“ไม่ใช่เสียหน่อย” หลี่ซื่อหลางเกาหัวตัวเอง พยายามตะโกนแข่งเสียงผู้คนอีกครั้ง “ตรงนี้คนเยอะ ไปดูดอกท้อตรงนู่นกัน!”

“เจ้าปวดฟัน?!”

จิ้งอี้ทำตาโต เพื่อนเขาก็ไม่แก่ขนาดฟันใกล้ร่วง หรือนี่เป็นสัญญาณสุขภาพไม่ดี?

“ไม่ช่ายยย! ” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือก “เจ้าหูตึงแล้วหรือไร!”

จิ้งอี้ชะงัก หันมาต่อว่า “เรื่องอะไรมาหาว่าข้าหูตึง?! อุตส่าห์พามาเที่ยวต้องชมข้าว่าสุดหล่อถึงจะถูก”

หลี่ซื่อหลางดึงหน้า ทีอย่างนี้ล่ะหูดีขึ้นมาเชียว!

“ช่างเถอะ ไปหาที่นั่งกันก่อนดีกว่า”

เพื่อนตัวโตสรุปได้ก็ลากหลี่ซื่อหลางออกจากฝูงชน ถึงจะเข้าใจได้ไม่ใกล้เคียงกับที่อีกฝ่ายอยากบอก แต่อย่างน้อยก็จะได้ออกจากตรงนี้สักที

พลั่ก!

ไม่ทันระวัง หลี่ซื่อหลางชนเข้ากับใครบางคนจนมือที่จับกับจิ้งอี้หลุด

“อ่ะ ขอโทษขอรับ” ฝ่ายนู่นหันมากล่าวขอโทษก่อน

วินาทีนี้หลี่ซื่อหลางกลับเลือกไม่ได้ว่าจะหันไปขอโทษอีกฝ่ายหรือรีบตามจิ้งอี้ที่ถูกทะเลผู้คนซัดออกไปไกลลิบก่อนดี เฮ้อ เขาไม่อยากหลงกับเพื่อนแบบนี้เสียหน่อย ช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ต้องขอโทษด้วย”

หลี่ซื่อหลางตัดสินใจหันไปขอโทษ อีกฝ่ายมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะโค้งให้อย่างสุภาพจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งรับไม่ทัน

“ขอโทษจริงๆ ขอรับ”

“ม…ไม่เป็นไร”

จะบอกว่าเขาไม่ได้แขนหักเสียหน่อย ไม่ต้องโค้งให้ขนาดนั้นก็ได้…

หลี่ซื่อหลางเลิกสนใจผู้ชายท่าทางสุภาพตรงหน้า เขาต้องมองหาจิ้งอี้ที่จมหายอยู่ในฝูงชนเป็นร้อยให้เจอเสียก่อน ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“จื่อเยี่ยน มายืนทำอะไรตรงนี้”

“ขออภัยขอรับ คุณชายเล็ก”

คุณชายเล็กทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ช่างเถอะ รีบไปกันดีกว่า จื่อเยี่ยนรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากเฉยชา ข้างในกลับหงุดหงิดเหลือคณา คุณชายคนนี้เกลียดสถานที่ที่มีฝูงชนแออัด หากไม่ใช่เทศกาลดอกท้อก็คงไม่มา

แต่คนเยอะแบบนี้ จะมีอารมณ์ชมความงามดอกท้อได้อย่างไร?

คุณชายเล็กกำลังจะหันหลังกลับ พลันสายตาบรรจบเข้ากับร่างโปร่งของใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ 



ซื่อหลาง…?

คุณชายเล็กนิ่งงันไปชั่วขณะ สายตาคมเข้มจ้องมองอย่างมีความหมาย แม้เห็นแค่แผ่นหลังเขาก็จำได้

“ซื่อหลาง!” เป็นจิ้งอี้ที่ตะโกนโบกมือเรียกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

หลี่ซื่อหลางหันไปมองตามเสียงเรียก จิ้งอี้คงเห็นว่าเขาหายไปจึงกลับมาตาม ทว่าเมื่อหันหลับไป สายตาชายหนุ่มไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว หากเป็นร่างสูงใหญ่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเพิ่งจากกันไปเมื่อวาน

“หย่งคัง…?”

เสียงนั้นเรียกสติคุณชายเล็ก


…ยังไม่ถึงเวลา…


“จื่อเยี่ยน ไปเถอะ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์หันหลังกลับ เดินออกไป ทิ้งระยะห่างจากหนึ่งก้าวเป็นสองก้าว สามก้าวเป็นสี่ก้าว เกินที่หลี่ซื่อหลางจะเอื้อมถึง

ผู้ชายท่าทางสุภาพคนนั้น ที่ชื่อ จื่อเยี่ยน หันมาโค้งเล็กๆ ให้หลี่ซื่อหลางก่อนจะเดินตามหลังประชิดตัวคนเป็นนาย
ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลี่ซื่อหลางมองไม่เห็นใครนอกจากแผ่นหลังกว้างของคนๆ นั้น

เหมือนจะตัวสูงขึ้น?

ไม่สิ…

ตัวใหญ่ขึ้นมากเลยต่างหาก ท่าทางองอาจไม่ยอมใคร สง่าสมกับเป็นคุณชายเล็กตระกูลจาง เขาผิดแล้วที่พลาดไปเรียกอีกฝ่ายว่า หย่งคัง อย่างลืมตัว

ลืมได้อย่างไร?

น้องเล็กของเขาไม่มีอีกแล้ว ลืมได้อย่างไร…ลืมได้อย่างไร?

“หวังว่าคงไม่กุดหัวข้านะ”

หลี่ซื่อหลางพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงแรงจับที่ต้นแขน

“ซื่อหลาง!” จิ้งอี้ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่สุดก็หาตัวเพื่อนพบ “ข้าตกใจแทบแย่! จู่ๆ ก็หาย…”

“ข้าอยากกลับบ้าน”

“หือ?” จิ้งอี้ทำสีหน้าเหมือนหูฝาด “เจ้าเพิ่งมาจะกลับแล้วหรือ”

“ข้าเหนื่อย อยากพักผ่อน”

“ซื่อหลาง เทศกาลนี้หนึ่งปีมีหน ข้าไม่ยอมให้เจ้าพลาดแน่”

จิ้งอี้ตัดสินใจกึ่งจูงกึ่งลากซื่อหลางเดินทั่วทั้งงาน หลายครั้งเจ้าตัวอาสาเดินเข้าไปแย่งชิงซื้อของกินติดมือกลับออกมา

“ร้านนี้ซาลาเปาอร่อมมาก เจ้าลองชิมดู”

เห็นหลี่ซื่อหลางดูหงอยๆ คนเป็นเพื่อนยิ่งคะยั้นคะยอ “กำลังร้อนๆ เลย ไม่กินล่ะ หรืออยากให้ข้าป้อน?”

“ตลกแล้ว”

ร่างโปร่งหยิบซาลาเปาลูกอิ่มขึ้นมากัด รสชาดดีอย่างที่อีกฝ่ายบอก “อร่อย”

“บอกแล้ว!”

จิ้งอี้รู้สึกได้ความมั่นใจกลับมา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างช่วงที่พลัดหลงกับหลี่ซื่อหลาง เพื่อนสนิทดูเศร้าๆ แต่กำลังฝืนยิ้ม

คิดว่ามันจะหลุดลอยจากสายตาถังจิ้งอี้?

ไม่มีวัน

“หลี่ซื่อหลาง”

คนถูกเรียกเลิกคิ้วประหลาดใจ “อะไร?”

“วันนี้มามีความสุขที่สุดกันเถอะ”

“หา?” คำพูดความหมายสองแง่ทำเอาหลี่ซื่อหลางลืมเศร้าชั่วขณะ “หมายความอะไรของเจ้า?

“ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขไง”

หลี่ซื่อหลางหรี่ตา “เจ้าคงไม่ได้แอบชอบข้าหรอกนะ?”

“เฮ้ย! ข้ามีเมียมีลูกแล้วววว!”

หลี่ซื่อหลางทำหน้าไม่เชื่อ ถึงจะรู้แก่ใจว่าจิ้งอี้คบเขาเป็นเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็แอบหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่ได้ “เถอะ ข้าไม่อยากคุย ไปซื้อปลาหมึกดีกว่า”

“ซื่อหลาง! ข้าชายทั้งแท่งนะโว้ยยยย!”

เสียงตะโกนดังไล่หลังหลี่ซื่อหลางที่เดินตรงไปยังร้านขายปลาหมึกท่าทางไม่แยแส

ร่างโปร่งยิ้มกับตัวเอง “ยังไงก็ขอบใจนะ จิ้งอี้…”

เขาควรมีความสุขเพื่อตัวเองเสียที





-------------------------------------------------------------









To be continued...





หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๑ :: UPDATE 15.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 15-07-2015 09:42:52


@alternative หย่งคังกลับมายิ่งใหญ่แน่นอนค่ะะะะะ

@boboman อิอิ คาแรกเตอร์จื่อเยี่ยนไม่เบาเลยค่ะ แต่จริงๆ เขาน่ารักร้าาาาา

@ycrazy ถือซะว่าเพิ่มรสชาดให้คู่นี้เขารู้ใจตัวเองเร็วๆ ค่ะ ฮาาาาาา

@JustWait  จะได้สร้างสถานการณ์ให้พระเอกเราเข้มแข็งขึ้นเสียทีค่ะ ไปปกป้องซื่อหลางเร้ววววว คิดในแง่ดี ฮ่าาา

@me12inzy น่าโมโหใช่มั้ยล่ะคะ! ฮาาา เอาใจช่วยให้หย่งคังเก่งเร็วๆ

@ขนมโก๋ มาเอาใจช่วยหย่งคังกับซื่อหลางกันน้าาาาาาา




หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๑ :: UPDATE 15.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 15-07-2015 09:53:58
จิ้มมม
แล้วเมื่อไรมันจะถึงเวลาล่ะหย่งคังงง T^T สามปีเลี้ยววว สงสารซื่อหลางงง
รอตอนหน้า มาต่อไวๆ น้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๑ :: UPDATE 15.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 15-07-2015 17:04:55
ต้องให้เวลาผ่านไปอีกนานแค่ไหนฮะหย่งคัง
วันไหนซื่อหลางทำใจลืมๆไปได้จะสมน้ำหน้าซะเลย :m31:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๑ :: UPDATE 15.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: aaoo ที่ 15-07-2015 17:23:06
หนุกอ่ะ  ตอนนัยน่ะที่นายเอกจะมีความสุขสักที่ :mew2:  :mew2:
ขอบคุณจร้า :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๑ :: UPDATE 15.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 15-07-2015 17:57:13
จื่อเยี่ยนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด เพราะมองทุกคนทะลุหมดเลย

หย่งคังก็แซ่บ ไม่สนใจว่าจื่อเยี่ยนจะคิดอะไร คลุกวงในซื่อหลางแบบชัดระดับ HD เลยทีเดียว 5555

อยากเห็นโมเม้นท์ชมเทศกาลดอกท้อของตงตงกับหยงหยงอ้ะ
แค่รู้ว่าไปเที่ยวด้วยกันต่อมจิ้นก็ทำงานหนักแล้วววว
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 19-07-2015 18:54:20

ดอกท้อที่ ๑๒



มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับตระกูลจาง บ้างว่าคุณชายเล็กกำลังยักยอกสมบัติตระกูล บ้างว่าคุณชายเล็กสมรู้ร่วมคิดกับญาติวางแผนจะฮุบกิจการแล้วจะขึ้นเป็นผู้นำแทน

ไม่มีใครสามารถแก้ข้อสงสัยเหล่านี้ได้

หากสองอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณชายเล็กไม่ติดภารกิจอยู่นอกเมือง กำลังดูแลการเรื่องผลผลิตอยู่ที่สวนผักไร่ผลไม้อยู่แล้วล่ะก็ เกรงว่าคนปล่อยข่าวลือนี้คงไม่พ้นโดนจับสอบสวนเรื่องสร้างกระแสแน่ๆ

“พี่ซื่อหลาง”

เสียงเรียกดึงชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ “ท่านนั่งทำอะไรอยู่?”

“…ข้านั่งเฉยๆ”

“ท่านกลายเป็นตาแก่ไปแล้วจริงๆ ด้วย!” ฟานตงแกล้งทำสีหน้าทะเล้น “พี่ซื่อหลาง เย็นนี้ไปตลาดกับข้าไหม เห็นว่าพ่อค้าแม่ขายจากต่างเมืองมาวางแผงสินค้าเต็มพื้นที่เลย”

“เจ้าอยากได้อะไรพิเศษหรือ?”

“เปล่าหรอก ข้าแค่จะไปเที่ยวเล่นกับหยงเทียน แต่เห็นท่านนั่งอยู่บ้านเบื่อๆ ก็อยากชวน”
บางอย่างในตัวซื่อหลางตื่นขึ้นทันที “ไปกับใครนะ?”

“หยงเทียนไง”

หลี่ซื่อหลางนึกถึงใบหน้าคมคายที่นับได้ว่าหล่อเอาการ ระยะหลังมานี้เขาพยายามสังเกตพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม ภายนอกดูเหมือนหยงเทียนเป็นแค่เพื่อนวัยเด็กของฟานตง มีความสนิทชิดเชื้อกัน

แต่หากถ้าจิ้งอี้ไม่เตือนสติเขา หลี่ซื่อหลางคงไม่มีวันได้เห็นแววตานุ่มลึกแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งใช้มองคนที่ตนรัก

ขนาดเขาไม่ใช่ฟานตง ยังรู้สึกวูบๆ วาบๆ กับสายตาคู่นั้นเลย

แล้วฟานตงล่ะ…?

“ข้าไปด้วย” หลี่ซื่อหลางตอบตกลง ยังอยากดูความเป็นไปของน้องทั้งสอง

“จริงหรือ?!” ฟานตงมีสีหน้าดีใจ “ข้าจะไปบอกหยงเทียน!”

อีกฝ่ายทำท่าจะวิ่ง คนเป็นพี่รู้ทันจึงรีบคว้าแขนน้องให้นั่งลงข้างๆ อย่างใจเย็น “อย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

“คุยหรือ?”

“ใช่” หลี่ซื่อหลางพยักหน้า “ในฐานะที่เราเป็นพี่น้องกัน ต่อไปนี้ขอให้พูดความจริงนะ”

ฟานตงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้าโหมดจริงจัง หากก็พยักหน้าออกไป

“ท่านอยากถามอะไรข้า?”

“เจ้ากับหยงเทียน สนิทกันมากหรือไม่”

“สนิทสิ” ฟานตงตอบโดยไม่ต้องคิด “ข้าไปไหนมาไหนกับเขา ก็เรียกว่าไว้ใจล่ะนะ พี่ซื่อหลางถามทำไม?” คนเป็นน้องไม่เข้าใจ ร่างโปร่งไม่อธิบายรีบถามต่อ

“แล้วหยงเทียนดีกับเจ้ามากแค่ไหน”

“พี่ซื่อหลาง…ทำไมวันนี้ท่านถามอะไรแปลกๆ” ฟานตงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยงเทียนทำอะไรไม่ดีหรือ?”

หลี่ซื่อหลางเงียบไปชั่วครู่ จะบอกยังไงว่าหยงเทียนไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก เรื่องความรักตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากหยงเทียนชอบฟานตง แต่ฟานตงไม่ชอบตอบ ความรักคงไม่เกิดขึ้น

“ตอบคำถามข้ามาเถิด”

“…หยงเทียนดีกับข้าเสมอ”

ฟานตงเอ่ยหนักแน่น ไม่มีความลังเลในน้ำเสียง “ท่านเองก็รู้จักเขา หยงเทียนกับข้าเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก สนิทกันเป็นเรื่องปกติ แล้วเจ้านั่นก็นิสัยดีท่านเองก็รู้ไม่ใช่หรือ?”

“อืม…”

“พี่ซื่อหลาง มีอะไรอยู่ในใจท่าน?” ฟานตงแตะแขนคนเป็นพี่ สีหน้าฉายแววกังวลเล็กน้อย

“ฟานตง” หลี่ซื่อหลางสูดหายใจ “เจ้ากับหยงเทียนรักกันใช่หรือไม่”

“ห…หา?”

ใบหน้าฟานตงแดงเถือกลามถึงใบหูทันที เจ้าตัวดูตกใจกับคำถามขนาดที่อยากวิ่งออกไปไกลสิบลี้ “ท…ท่านถามอะไร?”

“เจ้าสองคนรักกันแบบคนรัก?”

ฟานตงก้มหน้าไม่สบตา “…พี่ซื่อหลาง…” เสียงที่เอ่ยสั่นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้…”

“ข้าไม่ตำหนิเจ้า หากอยากถามให้แน่ใจ”

“…ข้ายังไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าอะไร” ฟานตงรู้สึกได้ถึงไอร้อนแผดเผาสองข้างแก้มตัวเอง “ข้ามีความสุขเวลาอยู่กับเขา ยังใจเต้นแรงทุกครั้งที่เจอ แบบนี้ข้าบ้าหรือเปล่า พี่ซื่อหลาง หากข้า…เอ่อ…คิดกับหยงเทียนเช่นนั้นท่านรังเกียจหรือไม่”





เงียบ



“พี่ซื่อหลาง อย่าเกลียดข้านะ”

ต่อให้ใครจะเกลียดเขา เขาทนได้

แต่หากเป็นพี่ซื่อหลาง ฟานตงคงเสียใจจนวันตาย

 “ฟานตง…ข้าไม่มีทางเกลียดเจ้า” หลี่ซื่อหลางระบายยิ้มบาง ลูบหัวคนเป็นน้องที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา “ถึงข้าจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องรัก แต่ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อหยงเทียนไม่ใช่สิ่งไม่ดี ฟานตง หากเจ้ารักเขา ข้าพร้อมอวยพรยินดี แล้วข้าก็คิดว่าหยงเทียนเองคงคิดไม่ต่างกับเจ้า”

“พี่ซื่อหลาง” ฟานตงเงยหน้า ท่าทางเหมือนหมาป่วย “ท่านไม่เกลียดข้าจริงนะ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “เด็กโง่เอ๋ย ทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” 

“ข้าไม่ทันตั้งตัวนี่! จู่ๆ ท่านก็มาถามอะไรแบบนี้” ฟานตงอยากกรีดร้อง ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนเกือบหลุดออกมา “พี่ซื่อหลาง ความจริงข้ารู้อยู่แล้วว่าความรักระหว่างชายมันแปลก ข้าไม่คิดอยากเป็นคนรักเจ้านั่นหรอก ยังไงเขาก็ต้องแต่งงานมีลูกเพื่อตระกูลอู๋ อยู่ตรงนี้ข้ามีความสุขดีแล้ว”

แม้จะยิ้มอยู่ แต่แววตาฟานตงกลับหม่นแสงลง

“ข้าไปดีกว่า เย็นนี้อย่าลืมนัดเรานะ!”

ฟานตงเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะวิ่งออกจากบ้านด้วยความไวแสง ท่าทางร่าเริงทำให้ซื่อหลางคิดอยากเอาน้องชายเป็นแบบอย่าง ฟานตงเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดนัก หัวใจดวงน้อยดวงนั้นแบกรับความรู้สึกรักข้างเดียวไว้นานแค่ไหน?

ไหนจิ้งอี้บอกว่าสองคนนั้นรักกันแล้ว?

หรือรักกัน…แต่ยังไม่สารภาพ?


ไม่ได้การ

หลี่ซื่อหลางขอเป็นพ่อสื่อสักวัน




-------------------------------------------------------------






ตลาดยามเย็นมีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่กันไปมา

หยงเทียนเดินประชิดฟานตง ดูเหมือนคอยกันไม่ให้มีคนมาชนมากระแทก ส่วนหลี่ซื่อหลางเดินตามหลัง คอยสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

หยงเทียนดูห่วงใยออกหน้าออกตาขนาดนี้ น้องชายเขายังไม่รู้?

ฟานตงช่างเดียงสานัก

“คนเยอะน่าดู เจ้าอยากเดินต่อหรือไม่” หยงเทียนก้มลงกระซิบเพื่อนตัวเล็ก อีกฝ่ายพยักหน้าแรง

“นานๆ จะมีสินค้าแปลกๆ ให้ข้าดู หากเจ้าเหนื่อยก็ไปหาที่พักสิ”

“ข้าบอกตอนไหนว่าเหนื่อย”

“แล้วเจ้าไม่?” ฟานตงขมวดคิ้ว เดินฝ่าฝูงชนต่อไปโดยมีบอดี้การ์ดตัวสูงคุมหลัง หากใครที่เดินผ่านพบเห็นก็ต่างพาอิจฉาเด็กหนุ่มที่มีคนหล่อคอยเดินตามต้อยๆ

“ต่อให้เหนื่อยก็ไม่ปล่อยเจ้าเดินคนเดียวหรอก”

หยงเทียนยิ้มบาง ดึงมือเพื่อนตัวเล็กมากุมไว้ อีกฝ่ายทำท่าจะสะบัดทิ้ง

“จับทำไม่เล่า!”

“เดี๋ยวหลง” ปากบอกเช่นนั้น แต่รอยยิ้มช่างไม่น่าไว้ใจ!

“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ” หลี่ซื่อหลางกลัวตัวเองจะกลายเป็นหัวหลักหัวตอ จึงพูดขึ้นมาลอยๆ จนน้องทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะแห้งๆ

“พี่ซื่อหลาง เหนื่อยหรือยัง” หยงเทียนเอ่ยถาม “ให้ข้าพาท่านไปพักดีหรือไม่?”

ความจริงหลี่ซื่อหลางขี้เกียจเดินมาสักพักหนึ่งแล้ว ปกติเขาไม่ชอบที่ๆ คนเยอะ ตลาดมีสินค้ามากมายก็จริง แต่ชาวบ้านที่มาดูก็แออัดเสียจนหายใจไม่ออก ถ้าไม่ติดว่าวันนี้อยากมาคุยกับหยงเทียนให้รู้เรื่อง เขาคงไม่ยอมมาแน่ๆ

“อืม ดีเหมือนกัน”

หยงเทียนยิ้ม “งั้นไปกันเลย”

หลี่ซื่อหลางมองหาที่นั่ง เขาเห็นร้านน้ำชามีที่ว่างอยู่จึงเดินเข้าไป “ตรงนี้แล้วกัน”

“ข้าขอไปดูตรงนู่นแปบหนึ่งนะ”

ฟานตงชี้ไปที่แผงขายของเล่นหน้าตาประหลาด กำลังจะหันหลังกลับทว่าหยงเทียนไวกว่า

“เดี๋ยว” คว้าหมับที่ข้อมือเพื่อนตัวเล็ก “นั่งพักก่อนแล้วค่อยไป”

“ข้าจะไป” ฟานตงพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก “โอ้ย! ปล่อยนะ ข้าเจ็บ”

“ก็เจ้าดื้อเอง”

หยงเทียนฉุดให้ฟานตงนั่งลง สีหน้าคนโดนบังคับบูดบึ้งทันที

“ทำไมชอบบังคับข้าอยู่เรื่อย? ข้าอายุยี่สิบสองนะ ไม่ใช่สิบสอง ขนาดพี่ซื่อหลางยังไม่ขนาดนี้เลย”

ฟานตงบ่นอุบอิบ ขณะเดียวกัน หลี่ซื่อหลางหันไปสั่งน้ำชาสามถ้วย เจ้าของร้านเดินมาเสิร์ฟในเวลาต่อมาไม่นาน

“ดื่มชาก่อนที่จะเย็นเสียรสชาด”

คนอาวุโสสุดเปลี่ยนเรื่องเพื่อยุติปัญหา คนตัวเล็กคว้าถ้วยชาขึ้นดื่ม แต่เป็นต้องสำลักเพราะน้ำชาร้อนลวกลิ้น

“อ้ะ! ลิ้นข้า…”

“เจ้าไม่ระวังเลย” ปากดุ แต่แววตากลับห่วงใยนัก หยงเทียนใช้ปลายแขนเสื้อซับน้ำชาที่เลอะปากอีกฝ่าย
ฟานตงสะบัดหน้าหนี

“เรื่องของข้า”

 รู้สึกถึงไอร้อนแผดเผาที่ไม่ใช่บริเวณโดนน้ำชาลวก หากเป็นแก้มทั้งสองข้าง “ไม่รู้แล้ว ข้าจะไปดูสินค้าตรงนั้น พี่ซื่อหลาง เดี๋ยวข้ากลับมา”

คนเป็นน้องรีบฉวยโอกาสตอนเพื่อนตัวโตเก็บกวาดโต๊ะที่เปียกเพราะน้ำชาหก รีบทะลึ่งตัวออกจากร้านทันที หยงเทียนคว้าไว้ไม่ทันได้แต่ถอนหายใจเฮือก

ก็คนเป็นห่วง ทำไมไม่เชื่อฟังกันบ้าง?

“ดูเจ้าเป็นห่วงฟานตงมาก”

หลี่ซื่อหลางจิบชาอย่างใจเย็น

“พี่ซื่อหลาง ถึงฟานตงจะโตแล้ว แต่บางครั้งเขายังทำอะไรไม่คิด” หยงเทียนบอกตามตรง

“คงเพราะข้าเลี้ยงดูเขาตามใจไปหน่อย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย” หยงเทียนเอ่ยเสียงอ่อน “พี่ซื่อหลางเป็นพี่ชายที่ดีมาก ข้าเองก็นับถือท่านเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของข้าด้วย”

“ขอบใจ เจ้าเองก็เหมือนน้องชายข้าเช่นกัน”

หลี่ซื่อหลางวางถ้วยชาลง ประสานมือเข้าหากัน “เช่นนั้นพี่น้องไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบัง หากข้าถามอะไรเจ้า ช่วยตอบตามความจริงได้หรือไม่”

“หืม?”

หยงเทียนรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นหลี่ซื่อหลางพูดเช่นนี้มาก่อน “…ข้ารับปาก” แต่ก็ตอบตกลงไป

“ดี” หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “อู๋หยงเทียน เรารู้จักกันมานาน ข้ารู้เจ้าเป็นเด็กดี เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าตรงๆ ไม่อ้อมค้อม…เจ้ารักน้องชายข้ามากกว่าเพื่อนใช่หรือไม่”

“พี่ซื่อหลาง?!”

แม้ขนาดคนตัวโตอย่างหยงเทียนยังตกใจราวกับโดนของแข็งทุบหัว “ท่านรู้…?”

“แสดงว่าเป็นความจริง?”

หยงเทียนเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “หากท่านรู้ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธ ใช่…ข้ารักฟานตง” อีกฝ่ายไม่หลบสายตา บอกด้วยวาจาฉะฉาน “หากพี่ซื่อหลางอยากต่อยข้า ก็ไม่เป็นไร”

“ทำไมต้องต่อยเจ้า?” คนเป็นพี่ขมวดคิ้ว

“ท่านไม่เกลียดข้าที่ไปแอบชอบน้องชายท่านหรือ?”

“หา?”

หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าฉงน “ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า ไม่อยากต่อยตีใครด้วย หากเจ้ารักฟานตง หวังดีกับน้องชายข้าจริงๆ คนเป็นพี่อย่างข้าคงไม่อยากขออะไรมาก”

“ข้าจะทำทุกอย่าง”

ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับสีหน้าท่าทางหนักแน่นของอีกฝ่าย

“อู๋หยงเทียน วันนี้เจ้าสารภาพต่อข้าว่ารักฟานตง แล้วเจ้าได้บอกเจ้าตัวหรือยัง?”

หยงเทียนชะงัก “ข้ากำลังหาโอกาสเหมาะๆ อยู่”

“ชีวิตคนเราสั้นนัก หากเจ้าตัดสินใจแล้วอย่ารอ หรือเจ้ากลัวฟานตงปฏิเสธ?” หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้วลองเชิง ทว่าหยงเทียนกลับดูไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคนั้น

“หาใช่เช่นนั้น พี่ซื่อหลาง ข้ารักแล้วไม่หวังให้เขาตอบแทนอะไรข้า นอกจากอยากให้รักและดูแลตัวเองให้มากๆ”

“ถ้าฟานตงไม่รักเจ้า เจ้าก็จะปล่อยเขาไป?”

หยงเทียนยิ้มบาง “หากข้าทำให้เขารักข้าไม่ได้ ก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

“อย่างงั้นหรือ”

“แต่ถ้าเขาใจตรงกับข้า…” หยงเทียนยกถ้วยชาขึ้นจิบ “อีกสามวัน ข้าจะขอเขาแต่งงาน ท่านว่าอย่างไร?”

“แค่ก!” เป็นหลี่ซื่อหลางที่จู่ๆ ก็สำลักน้ำลายขึ้นมากะทันหัน ลำบากหยงเทียนรีบลูบหลังให้

“พี่ซื่อหลาง เป็นอะไรมากหรือไม่?”

“แค่ก…ข้าสบายดี” หลี่ซื่อหลางโบกมือ สบายมาก กระแอมไอเล็กน้อย “เมื่อกี้ข้าได้ยินไม่ถนัด เจ้าช่วยพูดอีกทีสิ”

“ข้าจะขอฟานตงแต่งงาน”

“…เจ้าว่าไม่เร็วไป?”

หลี่ซื่อหลางนึกภาพส่งตัวฟานตงไปอยู่กับหยงเทียนไม่ออก หากน้องชายออกเรือน เท่ากับว่าคนเป็นพี่ต้องเหงาอยู่บ้านคนเดียว
ทว่าราวกับหยงเทียนอ่านใจเขาออก คนตัวสูงรีบพูดขึ้น

“ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะตกลงหรือไม่ พี่ซื่อหลางอย่ากังวล”

“ช่างเถิด”

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ เรื่องนี้เขาไม่ควรไปยุ่งมาก ไหนๆ ฟานตงและหยงเทียนก็ใจตรงกันแล้ว คนเป็นพี่ชายอย่างเขาควรแสดงความยินดีถึงจะถูก

“ข้าอยากให้เจ้าทั้งสองคนมีความสุข” หลี่ซื่อหลางตบบ่าหยงเทียน “เจ้าต้องจริงใจกับน้องชายข้านะ อย่าทำให้เขาเสียใจ”

“ด้วยชีวิตของข้า พี่ซื่อหลาง”

“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

“พี่ซื่อหลาง!” จู่ๆ ฟานตงก็ทะลึ่งตัวพรวดพราดเข้ามา สีหน้าแตกตื่นเหมือนเจอผี “เมื่อกี้ข้าเห็น…เห็น…”

“เกิดอะไรขึ้น?” เป็นหยงเทียนที่รีบลุกไปหา จับเนื้อจับตัวดูว่าฟานตงไม่ได้บาดเจ็บอะไร “เจ้าวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแบบนี้ข้ากับพี่ซื่อหลางตกใจนะ ค่อยๆ พูดก็ได้”

“หยงเทียน!” ฟานตงเขย่าแขนเพื่อนตัวโต “ออกไปดูข้างนอกเร็ว!”

“ข้างนอกมีอะไร?”

หลี่ซื่อหลางถามขึ้น ฟานตงไม่รีรอรีบฉุดมือพี่ชายออกจากร้าน “ดูนั่น…บอกข้าทีว่าข้าไม่ได้ตาฝาด พี่ซื่อหลางเห็นอย่างเดียวกับข้าใช่หรือไม่?!”

ทั้งหลี่ซื่อหลางและหยงเทียนซึ่งเดินตามมาทีหลัง ต่างก็หันไปตามนิ้วที่ชี้ไปยังขบวนคาราวานขนาดใหญ่ยาวไปค่อนถนนสายหลัก ร้านรวงต่างพากันหอบสินค้าหลบจ้าละหวั่น เกรงรถม้าจะเหยียบย่ำข้าวของเสียหาย

“อย่างกับขบวนเสด็จ!”

“ใช่ที่ไหน” หยงเทียนดีดหน้าผากคนตัวเล็กหนึ่งที “นี่เป็นขบวนขนส่งสินค้า ไม่ใช่ขบวนเสด็จอย่างที่เจ้าเข้าใจ”

“เรื่องอะไรมาดีดหน้าผากข้าเล่า!”
ฟานตงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากสู้แรงหยงเทียนที่จู่ๆ ก็คว้าเอวตนเองไว้แน่นไม่ได้ “อย่าไปไหนโดยไม่มีข้าอีกนะ ตอนนี้กำลังชุลมุน รอให้ขบวนคาราวานนี้ไปก่อน”

“ปล่อยข้าาา!”

ดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์ หยงเทียนไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กง่ายๆ แน่

“ข้าไม่เคยเห็นขบวนคาราวานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” …ปกติแล้ว ขบวนขนส่งสินค้าจะไม่ใช่เส้นทางนี้ไม่ใช่หรือ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ไม่แปลกที่ทุกคนจะพากันแตกตื่น รวมทั้งตัวเขาเองก็ด้วย ชาวบ้านพากันซุบซิบไปต่างๆ นาๆ หากไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดหมายปลายทางของขบวนคาราวานี้อยู่ที่ไหน

พลั่ก!

เพราะหลี่ซื่อหลางใจลอยจนไม่ทันเห็นว่ามีใครบางคนเบียดมาชนจากด้านหลัง ร่างโปร่งเซแซดๆ ล้มเทกระจาดกลางถนน เฉียดโดนม้าเหยียบเละหากไม่มีคนกระชากบังคับเหียนให้ม้าหยุดเสียก่อน

“พี่ซื่อหลาง!”

ฟานตงและหยงเทียนรีบถลาเข้าไปช่วยให้พี่ชายยืนขึ้น แต่ดูท่าขาของเขาจะได้รับบาดเจ็บ รู้สึดเสียวแปลบจนต้องซี้ดปาก

“เจ็บขาหรือ?”

หยงเทียนถามด้วยความเป็นห่วง ก้มมองดูขาที่เลือดออก ข้อเท้าค่อยๆ บวมเแดง “ท่านบาดเจ็บ รีบออกจากตรงนี้เถิด ฟานตง ข้าคงต้องอุ้มพี่ซื่อหลาง เจ้าเดินนำที”

“เดี๋ยว” หลี่ซื่อหลางชักตัวหนี ไม่ยอมให้อุ้ม “ข้าเดินไหว”

“พี่ซื่อหลาง ขาท่านเจ็บ ให้หยงเทียนแบก…”

“ตรงนั้นมีอะไรกัน!”

เสียงทรงพลังเอ่ยขึ้นก่อนที่ฟานตงจะพูดจบ คนรับใช้ร่างสูงใหญ่กระโดดลงจากขบวนคาราวาน “หากไม่อยากโดนม้าเหยียบตายก็รีบออกไปซะ”

“มีคนบาดเจ็บนะ! ตาบอดหรือ?!”

ฟานตงต่อปากต่อคำ เป็นหยงเทียนต้องรีบก้มหัวขอโทษแทน “ขออภัย พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

“หยงเทียน เจ้าไปก้มหัวให้ทำไม!”

“ยังไม่ไปอีก!” ร่างสูงทำท่าจะผลักอีกฝ่ากให้พ้นทาง ทว่าหยงเทียนรีบเข้ามาขวางเสียก่อน “พวกข้าจะไปกันแล้ว ขออย่ามีเรื่องกันเลย”

“งั้นก็รีบไสหัวไป!”

ตะคอกจนเส้นเอ็นปูด ดูท่าอีกฝ่ายกำลังหัวเสียอยู่ ฟานตงทำท่าจะโต้เถียง หากหลี่ซื่อหลางรีบยกมือห้ามอีกฝ่ายไว้ทัน “ฟานตง ข้าขอล่ะ ทำอย่างที่หยงเทียนบอก”

ขณะที่พวกหลี่ซื่อหลางกำลังหันหลังกลับ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “อย่าเพิ่งไป”

ปรากฏร่างสูงใหญ่องอาจเดินลงจากขบวนคาราวานแรก ติดตามมาด้วยผู้ชายท่าทางสุภาพคนหนึ่ง ในมือของคนผู้นั้นถืออะไรบางอย่างไว้ ก่อนจะยื่นให้คนบาดเจ็บ

“รับไป มันจะทำให้แผลสมานเร็วขึ้น”

วินาทีนั้นไม่มีใครพูดอะไร หลี่ซื่อหลางนิ่งเป็นรูปปั้น หยงเทียนวางท่าทีเฉยชา ฟานตงมีสีหน้าเหมือนเห็นผี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วก็ม่วงคล้ำเหมือนโกรธจัด

“พวกข้าไม่ต้องการของจากคนอย่างเจ้า!”

ฟานตงหันไปเร่งหยงเทียน “ไปเถอะ! เจ้าแบกพี่ซื่อหลางไปเลย เขาขาเจ็บอยู่”

“ด…เดี๋ยว” หลี่ซื่อหลางได้สติรีบปฏิเสธ หากหยงเทียนกลับคว้าเอวกับใต้เข่าของเขา ยกร่างขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว เล่นเอาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายมลายหายไปกับสายลม

“หยงเทียน ข้าเดินเองได้”

หลี่ซื่อหลางรีบบอก หลบสายตาคมกริบของใครบางคนที่จ้องไม่วางตา ฝ่านนั้นไม่เอ่ยอะไร หากบรรยากาศกลับอึดอัดยิ่งกว่าให้คนมาตะคอกใส่อย่างเมื่อครู่เสียอีก

“อย่างไรก็รับยานี่ไปด้วยเถิดขอรับ” เป็นผู้ติดตามตัวเล็กที่นำซองยาหน้าาตาแปลกๆ มาให้ “ขาของท่านท่าทางจะบวมหลายวัน นี่เป็นยาดี จะช่วยลดความเจ็บปวดลง”

“บอกไม่เอาก็ไม่เอา! ทำไมต้องเซ้าซี้?!”

ฟานตงออกหน้ารับแทน ดันหลังเพื่อนตัวโตที่อุ้มร่างโปร่งให้เดินต่อ “ไปกันเถอะ!”

“ช้าก่อน”

เสียงทุ้มดังพร้อมกับที่มือใหญ่คว้าข้อมือคนบาดเจ็บไว้ทัน หลี่ซื่อหลางรู้สึกอยากเป็นลมขึ้นมาทันที ตัวของเขาถูกหยงเทียนอุ้มอยู่ หากคนๆ นั้นกลับพยายามดึงรั้งแขนเขาไว้

ถ้าหลี่ซื่อหลางเป็นของเล่น ป่านนี้คงขาดสองท่อน?

“จื่อเยี่ยน ทายาให้เขา” คนเป็นนายสั่ง

“ขอรับ…”

“เดี๋ยวๆ!” ฟานตงรีบเข้ามาขวาง “คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายแล้วจะเที่ยวรังแกใครได้งั้นเรอะ!”

“ข้าจะให้คนช่วยทายาให้ รังแกตรงไหน?”

คุณชายเล็กตอบสีหน้าเรียบเฉย หากแววตากลับดุดันจนฟานตงยังนึกเกรง “พี่ชายเจ้าบาดเจ็บ แล้วจะปล่อยให้เขาเจ็บต่อไป?”

“คนนอกไม่ต้องยุ่ง พี่ชายของข้า ข้าดูแลเองได้!”

ร่างสูงเงียบชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปากออกคำสั่ง “จื่อเยี่ยน ไม่ต้องทาแล้ว”

ใบหน้าคมคายลอบมองคนเจ็บที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง

“…ดูแลตัวเองเสียบ้าง”

เปรียบเหมือนคำพูดเปรยๆ ที่ไม่มีใครสนใจฟัง หากประโยคเหล่านั้น หลี่ซื่อหลางได้ยินเต็มสองรูหู


หย่งคัง…


เจ้าทำแบบนี้ทำไม?



“เจ้าห่วงเรื่องตัวเองเถอะ!” ฟานตงตอกกลับ หยงเทียนรีบเข้ามาห้ามทัพ

 “ฟานตง พอเถอะ...พี่ซื่อหลางเจ็บอยู่นะ”

“หึ…งั้นกลับ!” คนตัวเล็กยอมเป็นฝ่ายถอยก่อน อันที่จริงเมื่อกี้ก็ยืนโมโหตะคอกใส่ปาวๆ อยู่คนเดียวแท้ๆ

คุณชายเล็กตระกูลจางได้มองตามหลังคนพวกนั้นเดินฝ่าฝูงชนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อย่างสนอกสนใจราวกับเป็นเรื่องของตนเอง
คนเป็นนายเอ่ยสั่งเสียงเรียบ “เสียวฉิน อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

“ขอรับ! คุณชายเล็ก!” คนรับใช้ร่างสูงที่ทำตัวกร่างเมื่อตอนแรกกลับหงอยเหมือนแมวป่วย เงียบปากสนิท โค้งตัวขออภัยคุณชายก่อนจะรีบกระโดดขึ้นขบวนคาราวานอย่างรวดเร็ว





ซื่อหลาง ท่านเจ็บมากหรือเปล่า?





“คุณชายเล็กขอรับ”

จื่อเยี่ยนเรียกสติคนเป็นนายที่ยังมองตรงไปข้างหน้า จุดที่ร่างของใครบางคนหายลับไปตรงนั้น ใบหน้าเย็นชามีแววตาสั่นไหวด้วยแรงอารมณ์

“ไปกันเถิด ขอรับ”

“อืม…”




-------------------------------------------------------------









To be continued...





หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.06.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 19-07-2015 18:55:33
ฟินหยงเทียนกะตงตงจัง >///<
หยงเทียนลูกกก ยังไม่ทันคบกันหนูกะจะแต่งงานเลยเหรอเนี่ย 5555555 ชอบๆ ไอเดียดีนะเนี่ย หึๆๆ
สงสารทั้งหย่งคังกะซื่อหลางเลย เฮ้อออ หย่งคังเป็นห่วงแต่ต้องปิดบังความรู้สึกไว้ เง้อออ
รอตอนหน้าาา
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 19-07-2015 19:51:59
โถ่คุณชายเล็กของบ่าว ฟานตงนี่อวตารแมวป่าชัดๆ5555
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: leefever ที่ 19-07-2015 19:56:53
โอ้ยยย หมั่นไส้พ่อพระเอก หมั่นไส้พระเอกด้วยยย  :katai1: :angry2: :z3:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 19-07-2015 20:39:57
เมื่อไหร่จะเข้าใจจจจ อยากให้ได้คุยกันสักที
เอาจริงๆถ้าคนเขียนให้เราอ่านแต่เรื่องฝ่ายซื่อหลางเราคงแช่งอิตาหย่งคังไปหลายตลบ
แต่พอมารู้ว่าหย่งคังก็รู้สึกแบบนี้...เลยสงสารทั้งสองฝ่ายเลย หน่วงกว่าเดิมอีกกกก ฮือออ
ดีที่ตอนนี้มีคู่หยงเทียนกับฟานตงคอยปลอบใจ
แต่ถ้าจิ้งอี้ออกมาปลอบใจซื่อหลางด้วยก็ดีใจมาก แอบจิ้นเบาๆ อิอิ

เป็นกำลังใจให้น้าาาาา
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 19-07-2015 20:41:48
 :m16:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๒ :: UPDATE 19.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 20-07-2015 23:21:14
ฟินกับตงตงและหยงหยง

หมดกัน ซื่อหลางกลายเป็นหนุ่มน้อยท่ามกลางสมรภูมิไปเลย
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๓ :: UPDATE 28.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 28-07-2015 22:29:25




ดอกท้อที่๑๓




ใครๆ ต่างก็พากันฮือฮาเรื่องที่ขบวนคาราวานหยุดลงตรงหน้าบ้านตระกูลจาง

“จื่อเยี่ยน” หยงคังเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูบ้าน

“ เก็บกวาดที่เหลือด้วย”

“ขอรับ...”

คนติดตามโค้งสุภาพ เข้าใจคำสั่งเจ้านายเป็นอย่างดี

หยงคังมีสีหน้าพอใจ ก่อนที่คนเป็นนายจะหายลับเข้าเรือนใหญ่ จื่อเยี่ยนรับหน้าที่แก้ปัญหาที่ตามหลังยาวเป็นหางว่าว เขาจัดการลำเลียงผลผลิตบางส่วนเก็บไว้ที่กองคลังสินค้า แล้วนำขบวนคาราวานออกไปอีกเส้นทางที่นำสู่นอกเมืองหลวง ก่อนจะรีบกลับไปสมทบคุณชายเล็กทันที

หากเมื่อมาถึง จื่อเยี่ยนกลับพบว่าสถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่คิด

“คุณชายขอรับ”

ร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน อันที่จริงแล้ว เขานั่งจ้องแผ่นกระดาษใบหนึ่งมานานเป็นชั่วโมง

“จื่อเยี่ยน” ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง กลับมีความกังวลเด่นชัดในแววตา “เก็บกวาดเรียบร้อยมั้ย”

“ขอรับ”

หยงคังถอนหายใจแรง “เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน…”

คุณชายนวดขมับ เขาที่ติดภารกิจอยู่แถบชายแดนต้องรีบเดินทางกลับเมืองหลวงทั้งๆ ที่เดิมทีขบวนคาราวานส่งสินค้ามีจุดมุ่งหมายปลายทางคือเมืองข้างๆ

ตารางแผนการขนส่งสินค้าผิดแผนไปหมด แต่ช่วยไม่ได้ เขาต้องตัดสินใจให้ลัดทางเข้าเมืองหลวงก่อน

หยงคังจำเป็นต้องกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด

“คุณชาย นายท่านเรียกพบขอรับ” คนใช้ส่วนตัวของบิดาออกมาจากห้อง เอ่ยด้วยท่าทางสุภาพ

“อืม”

หยงคังสืบเท้าเข้าห้องส่วนตัวของบิดาอย่างใจเย็น แม้ตอนนี้ในใจจะร้อนรุ่มมากเพียงใดก็ตาม

สามวันก่อน ขณะฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต หยงคังได้รับจดหมายจากตระกูลจาง เนื้อความด้านในเขียนว่านายเลี่ยงหวงถูกลอบวางยาพิษ เป็นเหตุให้เขาต้องรีบกลับเมืองหลวงด่วน 

 “มาแล้วหรือ…”

เสียงแหบแห้งดังลอดออกจากริมฝีปากซีด ใบหน้าซูบผอมจนน่าใจหาย เป็นภาพที่แตกต่างจากสองสัปดาห์ก่อนที่หย่งคังจะออกเดินทางนัก

“เฟยหลง…แค่ก!” นายเลี่ยงหวงไอโครกๆ จนตัวโยน “…มาใกล้ๆ ข้านี่”

หย่งคังทำหูทวนลม เหลือบมองของเหลวสีแดงที่เปรอะผ้าปูเตียง อาการของบิดาน่าห่วงกว่าที่คิด

“หมออยู่ไหน เรียกเข้ามา” ร่างสูงเลือกที่จะหันไปบอกคนรับใช้ หากชายชราบนเตียงรีบพูดขัด

“ข้าจะคุยกับเจ้า”

“แต่ท่าน…”

“จะขัดคำสั่งข้าหรือไร”

หย่งคังขมวดคิ้ว “ท่านใกล้ตายยังไม่รู้ตัว?”

“ใครที่ไม่ใช่จางเฟยหลง ออกไปให้หมด!!” ชายชราเค้นแรงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะหอบไอออกมาเป็นเลือด หย่งคังที่
แม้จะชิงชังบิดานัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปประคองตัวคนป่วย

“อาการท่านน่าเป็นห่วง”

นายเลี่ยงหวงหัวเราะ แต่น้ำตากลับไหลจากดวงตา “มันสายไปแล้ว”

“ต้องการให้ข้าตามหมอหลวงหรือไม่”

“หมอที่ไหนก็ช่วยข้าไม่ได้” นายเลี่ยงหวงหลับตา “แต่เจ้าช่วยได้แน่”

หย่งคังนั่งลงข้างเตียง มองดูสภาพน่าเวทนาของบิดา,,,บิดา ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเรียกว่าพ่อ เขาชิงชังคนผู้นี้นัก ในทางกลับกัน
ชายคนนี้ก็มอบหลายสิ่งให้กับเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แค้นต้องชำระ บุญคุญต้องตอบแทน หย่งคังยึดถือประโยคนี้เสมอ
สำหรับความแค้น นางเลี่ยงหวงชดใช้มันให้เขาแล้ว

บิดาต้องทนทรมานอยู่บนเตียง หวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง แม้ภายนอกจะแสร้งเย็นชาหยิ่งผยอง หากหย่งคังรู้ดีว่าบิดาหวั่นใจอยู่ตลอด แม้จะมีที่ดินและทรัพย์สินมากมายแค่ไหน กระนั้นกลับไม่อาจซื้อความสุขให้ตนได้

ใครกันอยากใช้ชีวิตเช่นนี้?

…ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว…

หย่งคังเข้าใจเป็นอย่างดี ชีวิตเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดเหล่านั้น

 “เฟยหลง…เอ๋ย…เฟยหลง” นายเลี่ยงหวงเหลือบมองด้วยแววตาสื่อความหมาย “ฟังคำข้าให้ดี จงกำจัดพวกมันก่อนที่มันจะแว้ง
กัดเจ้า”

“ท่านหมายถึงคนที่ลอบทำร้าย?”

นายเลี่ยงหวงพยักหน้า ค่อยๆ เอื้อมมือที่เหี่ยวแห้งแตะใบหน้าคมสันของลูกชาย หย่งคังไม่ขยับหนี

“ข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ”

หย่งคังก้มตัวลง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“จางอวี๋เฉิน กับครอบครัวของมัน เจ้าเคยเจอแล้วเมื่อปลายฤดูหนาวที่แล้ว จำได้หรือไม่?”

คนฟังนึกตาม ความจำของหย่งคังดีเลิศ ใบหน้าท่าทางสุภาพที่ไม่แตกต่างจากจื่อเยี่ยนลอยขึ้นเด่นชัดในความทรงจำ หากจำไม่ผิด คนผู้นั้นเป็นหมอ?

“ข้าจำได้”

“ดี” นายเลี่ยงหวงหายใจช้าๆ “อวี๋เฉินมียาถอนพิษ หากต้องแลกกับธุรกิจตระกูลจาง”

หย่งคังถอนหายใจ “…ให้ข้าเจรจา”

“คนพวกนี้ไม่ชอบเจรจานักหรอก” นายเลี่ยงหัวหัวเราะในลำคอ หากฟังดูสิ้นหวังพิลึก “ข้าไม่ต้องการยาถอนพิษ เฟยหลง ที่ข้าต้องการ…แค่ก!”

ชายชราไอออกมาเป็นเลือด หย่งคังรีบหยิบผ้าสะอาดเช็ดรอยคราบเลือดอย่างรู้งาน

“ท่านต้องการยาถอนพิษ”

“ข้าไม่ต้องการ!”

นายเลี่ยงหวงปัดของจากหัวเตียงล้มระเนระนาด หายใจฮึดฮัดจากแรงอารมณ์ “ข้าต้องการให้ตระกูลอยู่รอด! เจ้าเข้าใจหรือไม่!”

“หากไม่ได้ยาถอนพิษท่านจะตาย…คนตายไปแล้วทำประโยชน์อันใดไม่ได้ ท่านพูดเอง”

“อย่ามาสอนข้า” นายเลี่ยงหวงส่งเสียงหึในลำคอ “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ เจ้าเองก็หวังให้ข้าตาย เพื่อตนจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูล”

“ใช่ ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแน่”

ไม่มีความลังเลในน้ำเสียง หย่งคังในตอนนี้หนักแน่นดั่งหินผา แข็งแกร่ง หาใช่คนอ่อนแออย่างเก่า หากเขาจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุญนายเลี่ยงหวงที่ต้องยอมรับว่ามีส่วนช่วยให้เขามีทุกวันนี้มาได้ หย่งคังต้องการจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง และขึ้นเป็นผู้นำตระกูลอย่างสมภาคภูมิ

“ไม่ช้าก็เร็ว ท่านก็ต้องตายอยู่ดี จริงหรือไม่?” หย่งคังยังคงรักษาท่าทีเรียบเฉยไว้

“หากท่านตายจากการลอบวางยาพิษ ข้าก็ต้องขึ้นเป็นผู้นำตะกูลแทนด้วยสาเหตุนี้ แต่ไม่ช้านาน ข่าวลือด้านลบจะแพร่สะพัด คิดว่าข้าจะเย็นใจนั่งบนเก้าอี้ได้นานเท่าใด? เลี่ยงหวง ท่านเคยมีปัญญาเฉียบแหลมเสมอ มาวันนี้กลับตามืดบอด มองแค่ระยะหน้า คุณสมบัติง่ายๆ ของผู้นำท่านก็ไม่หลงเหลือแล้ว”

คนเป็นบิดาถลึงตาใส่ “เจ้ากำลังวิจารณ์ข้า?!”

“ข้าพูดแต่ความจริง”

“แล้วอย่างไร! ข้ามันตาแก่อัมภาตน่าสมเพช! ถึงกระนั้นก็ยังมีศักดิ์เป็นพ่อของเจ้า จางเฟยหลง!”

“เช่นนั้น ข้าถึงต้องให้ท่านต้องได้รับยาถอนพิษ”

แววตาหย่งคงอ่อนลง นายเลี่ยงหวงพยายามระงับอารมณ์ ไอโครกๆ อย่างทรมาน

“ข้าจะนำยาถอนพิษกลับมา และอวี๋เฉินจะไม่ได้อะไรจากตระกูลจางแม้แต่แดงเดียว” หย่งคังให้คำมั่นสัญญา ถือเป็นการตอบแทนบุญคุญครั้งสุดท้าย หากอีกฝ่ายกลับมีแววตาหม่นแสง

“เฟยหลง…ดูข้าสิ ร่างกายข้ามันรับไม่ไหวแล้ว”

“เมื่อได้รับยาท่านจะหายเป็นปกติ”

“ข้าไม่ปกติมาตั้งนานแล้ว!”

นายเลี่ยงหวงตะคอกเสียงแหบ “ดูข้า! มองข้าให้ดีสิ! เจ้าเห็นอะไรนอกจากชายชราขี้โรคคนหนึ่ง?! ที่ข้าต้องการคือตระกูลจางต้องไม่ล้มสลายในยุคปกครองของข้า!”

“ข้าให้สัญญาแล้วว่าคนพวกนั้นจะไม่ได้อะไรจากตระกูลจาง”

“…ไม่…เจ้าไม่อาจจับปลาสองมือ จางเฟยหลง” นายเลี่ยงหวงส่ายหน้า ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว “จะให้ข้ารอด หรือช่วยตระกูลจาง เจ้าต้องเลือกเพียงหนึ่ง”

“ข้าจะทำทั้งหมด”

ชีวิตบนเส้นดายของนายเลี่ยงหวงและความเป็นอยู่ของตระกูลจาง เขาจะเอาคืนมาในทุกวิถีทาง

เพื่อว่าวันหนึ่ง…สิ่งที่เก็บใส่กล่องไว้เนิ่นนานจะถูกเปิดออก…ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเขาและซื่อหลางจะกลับคืนมาในเร็ววัน เขาไม่ต้องการรออีกแล้ว

ต่อไปนี้…

ทุกอย่าง เขาจะเป็นคนตัดสินเอง





-------------------------------------------------------------





หลังจากที่หลี่ซื่อหลางถูกแบกมาจนถึงบ้าน เขาพบว่าขาของตนบวมแดงจนน่ากลัว

“พี่ซื่อหลาง เจ็บมากหรือไม่?”

สีหน้าฟานตงดูไม่ดี ราวกับเป็นคนเจ็บเสียเองอย่างนั้น เป็นหยงเทียนต้องรีบเข้ามาลากฟานตงให้อยู่ห่างจากพี่ชายก่อนที่คนเจ็บจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้

“ฟานตง ใกล้ขนาดนี้พี่ซื่อหลางหายใจไม่ออกนะ”

“ก็ข้าเป็นห่วงนี้!”

“ข้าไม่เป็นไร”

หลี่ซื่อหลางโกหกเพราะไม่ต้องการให้น้องชายกังวล แค่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนึกโทษตัวเอง “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าเห็นแล้วชักจะปวดขาขึ้นมาแล้ว”

“ท่านไปหาหมอดีกว่า ข้าว่า”

หยงเทียนเสนอความคิด ฟานตงพยักหน้าเห็นด้วย

“ขาของท่านท่าจะเจ็บหนัก ต้องการหมอด่วน หยงเทียน เรียกท่านหมอมาที่บ้านได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้พี่ซื่อหลางเคลื่อนย้ายไปไหนเลย”

ฟานตงหันไปออกคำสั่งอีกฝ่ายใหญ่ ท่าทางเป็นห่วงหลี่ซื่อหลางจนหยงเทียนก็อยากเจ็บขาขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน

“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ ฟานตง แค่นี้ข้าไม่เป็นไร”

หลี่ซื่อหลางพยายามลุกขึ้นยืน หากเพียงแค่ขาสัมผัสพื้นเพื่อทรงตัว ความเจ็บร้าวถึงกระดูกส่งผลให้ทรุดลงไปกับนั่งตามเดิมอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านอย่าขยับตัวเยอะสิ!” ฟานตงรีบเข้ามาจัดแจงให้หลี่ซื่อหลางเอนตัวนั่งในท่าสบาย “ท่านดื้อกับข้าไม่สำเร็จหรอก พี่ซื่อหลาง ข้ากับหยงเทียนจะไปตามหมอ ท่านห้ามไปไหนเด็ดขาด!”

อย่างกับสภาพเขาตอนนี้จะไปไหนได้?

ซื่อหลางคิดกับตนเอง เปล่าประโยชน์ที่จะคัดค้าน จำใจยอมให้น้องทั้งสองออกไปตามหมออย่างว่านอนสอนง่าย

“ข้าจะไปตามพี่จิ้งอี้มาดูแลท่านนะ” ฟานตงชะโงกหน้ามาบอกก่อนจะจูงมือหยงเทียนเตรียมตัวออกจากบ้าน

“ฟานตง อย่าไม่รบกวนจิ้งอี้เขาเลย”

“รบกวนอะไร ทุกคนเขาอยากทำเพื่อท่านทั้งนั้นแหละ” ฟานตงทำหน้ายู่ ก่อนจะฉุดมือหยงเทียนเดินออกจากบ้าน “ข้าไม่ไว้ใจให้ท่านอยู่คนเดียวหรอก”

…หากเจ้านั่นแอบมาหาท่าน อย่างน้อยพี่จิ้งอี้ก็ดูสูสี ไล่ตะเพิดกับมันได้…

ฟานตงได้แต่คิดไม่อาจเอ่ยออกไป

“ฟานตง…” หยงเทียนเรียก

“หือ?”

“หากข้าบาดเจ็บ เจ้าจะร้อนใจแบบนี้หรือเปล่า”

คนตัวเล็กขมวดคิ้ว “เจ้าถามอะไร?”

“ข้าแค่อยากรู้” หยงเทียนหยักไหล่ “หากข้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าจะตามหมอมารักษาข้าหรือไม่?”

“ไม่ตามหมอ แล้วจะไปตามหมาที่ไหน?”

“โธ่ พูดหวานๆ ให้ข้าดีใจหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร” หยงเทียนแสร้งทำหน้าเศร้า มือที่จูงร่างบางกระชับแน่น หากคนฟังกลับหน้าแดงวาบ

“อ…อยากได้คำพูดหวานๆ ก็ไปหาสาวๆ สิ!”

“อยากให้ไปจริงหรือ?”

“…”


เงียบ


ฟานตงไม่ตอบ หยงเทียนยิ้มเหมือนมีอะไรแอบแฝง

“หืม ตกลงเจ้าว่าไง”

“ม…ไม่ใช่ธุระของข้า!” ฟานตงพยายามสะบัดมืออีกฝ่ายออก แต่มือหยงเทียนติดหนึบดีเสียยิ่งกว่าปลิง

“ชื่นใจ” หยงเทียนเอ่ยทั้งรอยยิ้ม พึงพอใจในปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย คิดเข้าข้างตัวเองว่าฟานตงต้องมีใจให้เขาบ้างไม่มากก็น้อย

“ชื่นใจอะไรของเจ้า?!!”

 ฟานตงมีสีหน้าหงุดหงิด ตามอารมณ์เพื่อนตัวสูงไม่ทัน

“ข้าชื่นใจที่มีเจ้าอยู่ข้างๆ ไง” หยงเทียนพูดด้วยความจริงใจ “สาวสวยๆ ตระกูลไหนข้าก็ไม่ต้องการหรอก ฟานตง”

ที่ข้าต้องการ มีแค่เจ้าคนเดียว

หยงเทียนยรำพึงในใจ วันหนึ่งเขาจะพูดประโยคนี้กับคนตรงหน้า

“พ…เพ้อเจ้อ!!”

ปากด่าว่า แต่ใบหน้าแดงเสียยิ่งกว่าลูกตำลึง ฟานตงสรรหาคำด่าแรงๆ ไม่ออก นึกไม่ชอบใจที่ตนเหมือนคนบ้าให้อีกฝ่ายปั่นหัวอยู่ฝ่ายเดียว หัวใจดวงน้อยของเขาเต้นแรงกับคำพูดเหล่านั้น ทั้งๆ ที่หยงเทียนอาจแค่พูดเล่นไม่จริงจัง…แค่ลมปาก…ที่เขากลับเก็บมาคิดจริงจัง

“มาเถอะ ใกล้ถึงแล้ว”

เพื่อนตัวใหญ่เป็นฝ่ายจูงมือเดินนำไปตามทางสู่ศูนย์อนามัยที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปลายปีก่อน เห็นว่ามีหมอฝีมือดีประจำอยู่ คอยช่วยเหลือชาวบ้านที่บาดเจ็บ บางครั้งก็ไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว ท่าทางว่าจะเป็นคนใจดีอย่างที่ใครๆ เขาบอกต่อกันมา

“ที่นี่น่ะหรือ?”

ฟานตงยอมพักรบชั่วคราว มองสำรวจตัวอาคารไม้ดูสะอาดตา

“ที่นี่มีหมอฝีมือดีอยู่ เขาช่วยพี่ซื่อหลางได้”

“จริงหรือ? ข้าไม่เห็นรู้มาก่อน” ฟานตงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาเป็นใครมาจากไหน?”

“เขาชื่อ…”

“อวี๋เฉิน” เสียงพูดดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ปรากฏตรงหน้าประตู “…นั่นเป็นชื่อของข้าเอง”






-------------------------------------------------------------









To be continued...




Talk : โอ้ยยยยยย ขอโทษจริงๆ ค่าาาาที่หายหน้าไปนานนนนนนน
จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานนะคะ สัญญาว่าแต่งจบแน่นอนค่ะ
ช่วงนี้ก็คอยลุ้นว่าหย่งคังผู้ตั้งเป้าหมายไว้สูงจะทำอย่างไรต่อไป...









หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๓ :: UPDATE 28.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 28-07-2015 22:49:38
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นเรื่อยๆ แฮะ

น่าสนุก
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๓ :: UPDATE 28.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 29-07-2015 00:42:03
เวรกรรม!
ยังงี้อิอวี๋เฉินก็ต้องรู้แน่เลยอ่ะว่าซื่อหลางสำคัญกะหย่งคัง
จะเป็นไงต่อไปน้อ
รอนะจ๊า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๓ :: UPDATE 28.07.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 29-07-2015 01:02:46
เอ๋ ทำไมต้องเป็นตาหมอคนนี้
จะมีเรื่องร้ายอะไรกับพี่ซื่อหลางรึเปล่าาา
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๔ :: UPDATE 01.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 01-08-2015 16:18:26



ดอกท้อที่ ๑๔




หลี่ซื่อหลางนอนราบลงกับเตียง เงยหน้ามองเพดานนิ่งๆ มาร่วมชั่วโมงกว่าแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของน้องชายทั้งสองเลย

จะเป็นอะไรหรือเปล่านะ?

ใช่ว่าชายหนุ่มไม่ชอบรอคอย อันที่จริงเขาเป็นคนมีความอดทนสูงมาก แต่การที่น้องชายหายไปนานขนาดนี้ คนเป็นพี่ย่อมไม่สบายใจเป็นธรรมดา ครั้นจะออกไปตาม สังขารก็ไม่เอื้ออำนวย

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือก “เฮ้อ…”

ยันตัวลุกจากเตียง คว้าไม่กวาดเป็นตัวค้ำยันเวลาเดิน ขยับขาก้าวอย่างใจเย็น แม้ขาข้างที่บวมแดงน่ากลัวจะเจ็บจิ๊ดทุดครั้งที่ลงน้ำหนักกับพื้น หลี่ซื่อหลางก็กัดปากอดทน เอาน่า อย่างน้อยก็ให้เขาออกไปนั่งรอน้องชายที่หน้าบ้านก็ยังดี

ใช้ความอดทนไม่พอ ต้องถึกและใจกล้า หลี่ซื่อหลางเดินขาเดี้ยงมาจนถึงลานหน้าบ้าน ทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ไม้ผุๆ แถวนั้น

“พี่ซื่อหลาง!”

เสียงมาก่อนตัว ฟานตงวิ่งด้วยความไวแสงมาหาเขา “ท่านออกมาทำอะไรข้างนอก!”

“ข้าไม่เห็นพวกเจ้ากลับกันสักที เลยเป็นห่วง”

“ห่วงตัวเองก่อนสิ!” ฟานตงโบกมือไหวๆ ให้คนที่เดินตามหลังมา “หยงเทียน !พี่อวี๋เฉิน! เร็วเข้า!” ท่าทางตื่นตระหนกของน้องชายทำเอาคนเป็นพี่ยิ้มอ่อน ไม่นึกมาก่อนว่าฟานตงเป็นห่วงเขาถึงเพียงนี้ หลี่ซื่อหลางทำได้เพียงแตะมือน้องชายแผ่วเบา

“ฟานตง ข้าไม่เป็นไร”

“พี่ซื่อหลาง…พี่อวี๋เฉินเป็นหมอเก่ง เขาจะรักษาขาให้ท่าน”

“อืม” หลี่ซื่อหลางพยักหน้า “ขอบใจเจ้ามาก”

ชายหนุ่มหันไปมองคนมาใหม่ ชายร่างสูงท่าทางสุขุมมาพร้อมกับกล่องปฐมพยาบาล หน้าตาสะอาดสะอ้านเรียบร้อย การแต่งตัวก็ไม่คล้ายคลึงคนในระแวกนี้

เพิ่งย้ายมา?

“ท่านคงเป็นหลี่ซื่อหลาง” อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อน เสียงทุ้มต่ำกว่าที่คิด หากฟังสบายหูยิ่งนัก

“ใช่แล้ว และท่านคงเป็นท่านหมออวี๋เฉิน” หลี่ซื่อหลางโค้งให้ “ขอบคุณมาที่ลำบากมาถึงที่ เข้ามาข้างในก่อนเถิด”

ชายหนุ่มกำไม้กวาดใช้ยันตัวเองลุกจากเก้าอี้ไม้ หยงเทียนรีบเดินเข้ามารั้งต้นแขนไว้อย่างแผ่วเบา

“พี่ซื่อหลาง ให้ข้าช่วย”

“ห้ามอุ้มข้านะ” หลี่ซื่อหลางหรี่ตา “ประคองข้าก็พอ”

หยงเทียนพยักหน้ารู้งาน ช่วยประคองหลี่ซื่อหลางเข้าบ้าน ฟานตงก็เข้ามาช่วยอีกแรง ส่วนผู้เป็นแขกเดินตามหลังห่างๆ พลางมองสำรวจบริเวณโดยรอบไปด้วย บ้านเล็กๆ แห่งนี้อบอวลไปด้วยความรู้สึกอบอุ่นพิลึก ถึงจะเก่า แต่ก็น่าอยู่ ได้ยินมาว่าเปิดร้านน้ำเต้าหู้ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าทุกวัน หากรู้จักใช้เงินคงร่ำรวยได้ไม่ยาก รู้สึกนับถือคนขยันทำมาหากินอย่างหลี่ซื่อหลางนัก

คิดไปคิดมา จางอวี๋เฉินก็หันกลับมามองร่างโปร่งที่สูงเพียงไหล่ของตนอีครั้ง คนตรงหน้าดูเป็นคนเอาจริงเอาจัง มีความเป็นผู้นำ หากก็อ่อนโยนอยู่ในที

ไม่น่า…เจ้าคุณชายจางนั่นถึงได้สนใจ

รอยยิ้มเล็กผุดขึ้นบนใบหน้า จางอวี๋เฉินลอบมองหลี่ซื่อหลางในทุกกริยาบท

“ท่านหมออวี๋เฉิน ต้องขออภัย ที่บ้านเรามีเพียงชาพื้นๆ ไว้ต้อนรับท่าน” หลี่ซื่อหลางหันมาบอกตอนที่น้องทั้งสองช่วยจัดแจงให้
เขานั่งลงกับเก้าอี้เรียบร้อยดีแล้ว ก่อนจะหายไปในครัวเพื่อเสิร์ฟชาร้อนๆ อย่างรู้งาน

“เรียกข้า อวี๋เฉิน ก็พอ” จางอวี๋เฉินยิ้มบาง “ข้าเองก็ขอเรียกท่านแค่ซื่อหลาง ได้หรือไม่?”

“ตามสบายเถิด” หลี่ซื่อหลางยิ้มตอบ

“พี่อวี๋เฉิน ท่านช่วยดูขาพี่ซื่อหลางให้ที รักษาได้หรือไม่ ข้ายอมจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ขอแค่ให้เขากลับมาเดินได้เหมือนเดิม” ฟานตงร้อนใจราวกับบาดแผลของหลี่ซื่อหลางเจ็บสาหัส อันที่จริงแค่บวมอักเสบ ไม่ถึงเดือนคงหายเป็นปกติ

หยงเทียนที่ยืนดูสถานการณ์ได้แต่กุมไหล่เพื่อนตัวเล็กอย่างให้กำลังใจ

“ฟานตง พี่ซื่อหลางอยู่ในความดูแลของท่านหมอแล้ว อย่างห่วงไปเลย”

“ข้าก็แค่อยากให้พี่อวี๋เฉินรักษาพี่ชายข้าให้หายไวๆ นี่!”

จางอวี๋เฉินหัวเราะในลำคอ “เป็นห่วงพี่ชายเจ้าน่าดูเลยสินะ อย่างห่วง ตามที่หยงเทียนว่า ข้าจะดูแลพี่ชายเจ้าเป็นอย่างดี”

ท้ายประโยค จางอวี๋เฉินเหลือบมองหลี่ซื่อหลางเล็กน้อย บังเอิญว่าหลี่ซื่อหลางก็มองมาเช่นกัน พวกเขาสบตากันพอดี กระนั้นจางอวี๋เฉินก็ไม่หลบสายตา แถมยังยิ้มให้

หลี่ซื่อหลางเป็นฝ่ายถอนสายตาก่อน

แววตาแบบนั้น…มันอะไรกัน?

“เราอย่ารบกวนท่านหมอเลย ไปรอข้างนอกกับข้าดีกว่า” หยงเทียนเกลี้ยกล่อม เห็นว่าอยู่ไปก็มีแต่จะกวนสมาธิจางอวี๋เฉินเปล่าๆ

“แต่…”

“เดี๋ยวพี่ซื่อหลางไม่หายนะ”

ต้องงัดไม้เด็ด ฟานตงทำท่าจะเถียง หากยอมพยักหน้าตกลงในที่สุด “…ก็ได้”

“เด็กดี…”

หยงเทียนลูบหัวเพื่อนตัวเล็ก โอบไหล่พาเดินออกนอกบริเวณห้องรับแขก ทิ้งให้เหลือเพียงท่านหมอและคนเจ็บอยู่สองต่อสอง ในห้องที่มีแต่ความเงียบ

“ขอข้าดูขาของท่านหน่อยได้ไหม” จางอวี๋เฉินเป็นฝ่ายที่ทำลายความอึดอัดลง หลี่ซื่อหลางรีบพยักหน้า ตั้งใจจะวางเท้าลงบนเก้าอี้เตี้ยๆ ให้สะดวกต่อการรักษา หากท่านหมอกลับเป็นฝ่ายเดินเข้ามานั่งยองกับพื้น จับขาของเขาพาดลงกับต้นขาอย่างไม่นึกรังเกียจ

“ท่านหมอ!”

อยู่ในอารมณ์ตกใจ หลี่ซื่อหลางกำลังจะชักเท้ากลับ หากจางอวี๋เฉินส่งเสียงห้ามปราม

“อย่าขยับ ไม่งั้นท่านจะเจ็บ”

“อ่า…”

ปฏิเสธไม่ออก น้ำเสียงอีกฝ่ายมีพลังสะกดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

หลี่ซื่อหลางปล่อยให้ท่านหมอทำตามใจชอบ พลิกซ้ายพลิกขวา ดูเป็นการกระทำที่แสนคล่องแคล่ว หากไม่สร้างความกระทบกระเทือนต่อบาดแผลมากนัก แม้จะเจ็บบางครั้ง แต่ก็อยู่ในระดับที่ทนไหว

“ข้อเท้าแพลงเท่านั้น ไม่ถึงขั้นอันตราย”

ท่านหมอเปิดกล่องปฐมพยาบาล หยิบนู่นหยิบนี่ออกมา หยิบหลอดยาบางอย่างขึ้นมา ทาลงบริเวณข้อเท้าที่บวมแดง สิ่งนั้นให้ความรู้สึกเย็นวาบในทีแรก ก่อนจะอุ่นแปลกๆ ในเวลาต่อมา หลี่ซื่อหลางไม่เคยเห็นยาพวกนี้มาก่อน เป็นของแปลกตา เขาไม่มีโอกาสถาม ได้แต่มองดูอีกฝ่ายใช้ผ้าสะอาดค่อยๆ พันรอบข้อเท้าอย่างชำนาญ

ในที่สุดการปฐมพยาบาลก็เสร็จสิ้นลงในเวลาอันสั้น

 “ผ้ารัดแน่นไปหรือไม่” จางอวี๋เฉินทดสอบโดยการจับขาของเขาขยับขึ้นลงเบาๆ “เจ็บหรือเปล่า”

“ไม่เจ็บเลย” หลี่ซื่อหลางตอบ มองดูข้อเท้าที่ถูกผ้าขาวพันไว้ “ท่านมือเบามาก ท่านหมอ ข้าไม่เจ็บสักนิด ขอบคุณจริงๆ”

“ด้วยความยินดี”

จางอวี๋เฉินลุกขึ้นยืน เก็บกล่องปฐมพยาบาลเข้าที่ ก่อนจะหันมาถาม “ซื่อหลาง ห้องน้ำอยู่ทางไหนหรือ”

“เดินตรงเข้าไปข้างใน เลี้ยวซ้าย”

“ขอบคุณมาก”

ร่างสูงเดินหายลับไปทางห้องน้ำ หลี่ซื่อหลางจึงพลิกข้อเท้าดูเล่นๆ แล้วเป็นต้องซี๊ดปาก “อูย…” พบว่าอาการเจ็บหนักยังคงอยู่ แต่น้อยลงกว่าเมื่อหลายชั่วยามที่แล้ว

ไม่นาน จางอวี๋เฉินก็เดินกลับมา

“ซื่อหลาง ข้าจะจ่ายยาเหล่านี้ให้ ต้องทาเช้าเย็นเพื่อลดอาการบวม ใช้ผ้าสะอาดพันรอบ แล้วก็ห้ามใช้งานขาสักพักด้วย เข้าใจหรือไม่?”

“เดินนิดหน่อยไม่ได้หรือ”

“ได้…” ท่านหมอพยักหน้า “แต่ขาจะหายช้า อย่างหนักก็จะอักเสบเรื้อรัง ต้องถูกสั่งห้ามไม่ให้เดินอีกหลายเดือน ท่านจะเอาแบบนั้นหรือไม่”

แม้ไม่ได้ใช้น้ำเสียงแข็งแต่กลับสร้างความหนักใจให้หลี่ซื่อหลางนัก เจ้าตัวรีบพยักหน้า

“เข้าใจแล้ว”

“ดีมาก…” อีกฝ่ายยิ้มบาง “ข้าจะกลับมาดูอาการเป็นระยะๆ คงไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่ หากข้าจะมาบ้านท่านบ่อยขึ้น?”

หลี่ซื่อหลางโบกมือไปมา “เกรงใจท่านหมอ แค่นี้ข้าก็รบกวนมากแล้ว”

“ข้าต้องคอยดูอาการบาดเจ็บของท่าน ถือเป็นหน้าที่”

“อย่าลำบากเลย ข้าไม่เป็นไรจริงๆ” หลี่ซื่อหลางพยายามอธิบาย “ข้าจะทายา แล้วก็พักฟื้นจนกว่าจะหายดี รับรองได้” พูดไปก็คิดไปว่าตัวเองเหมือนเด็กน้อยที่กำลังโดนผู้ใหญ่ไล่ต้อน หากติดตรงที่ว่า หลี่ซื่อหลางไม่ใช่เด็กแล้ว และจางอวี๋เฉินก็ไม่ใช่ผู้ปกครองของเขา

ร่างสูงนิ่งไป “ตามใจท่าน”

“ขอบคุณที่เข้าใจ ท่านหมอ” หลี่ซื่อหลางโค้งขอบคุณ “ส่วนเรื่องค่ารักษา เดี๋ยวข้า…”

“ข้าขอไม่รับ”

“หา?” หลี่ซื่อหลางตาโต ส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ได้ๆ ท่านหมอ ท่านสมควรได้รับสิ่งตอบแทน ข้ามีกำลังจ่ายเงินให้ท่าน”

“ข้าไม่อยากได้เงินของท่าน ซื่อหลาง”

คนฟังขมวดคิ้ว “แล้วท่านอยากได้อะไร?”

จางอวี๋เฉินกระตุกยิ้มบาง นั่งลงตรงข้ามหลี่ซื่อหลางด้วยท่าทางใจเย็น “เปลี่ยนเป็นออกไปทานข้าวกับข้าสักมื้อตอนขาท่านหายดีแล้วเป็นอย่างไร ถือว่าได้ฉลองที่สุขภาพท่านกลับมาแข็งแรงได้อีกครั้ง”

 “ท่านหมอ ข้าไม่คิดว่า…”

“ระหว่างนี้ข้าจะมาดูอาการท่านบ่อยๆ แล้วกัน ซื่อหลาง”

จางอวี๋เฉินตัดบท คว้ากล่องปฐมพยาบาลแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูง หากมองจากจุดที่หลี่ซื่อหลางนั่งอยู่ พบว่าคนตรงหน้าดูสูงตระหง่านตาแลกับว่ามีอำนาจสะกดใจคนกว่าที่เขาคิด คล้ายๆ ว่าท่านหมอผู้นี้มีอะไรที่พาลให้นึกถึงใบหน้าคมสันของใครบางคนที่มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขาเช่นกัน…บางคนที่อยู่ลึกในความทรงจำมาแสนนาน…

ไม่ได้…


ลืมมันไปซะ!

 “เป็นอะไรไป?” จางอวี๋เฉินถามด้วยความเป็นห่วง เห็นสีหน้าคนป่วยไม่ค่อยดี

“เปล่าหรอก” หลี่ซื่อหลางส่ายหน้ากับตนเอง “ข้าแค่คิดว่าใบหน้าท่านคล้ายใครบางคนที่ข้ารู้จัก…หมายถึง เคย รู้จักน่ะ”
จางอวี๋เฉินมองเห็นแววตาหม่นแสงของอีกฝ่าย แม้จะแสดงออกเพียงแค่แวบเดียว เขาก็สังเกตได้

…รอยแผลที่สลักลึกในใจของหลี่ซื่อหลาง

ความเจ็บปวดที่แสนสวยงาม…

หากได้แก้วแสนเปราะบางใบนี้มาครอบครอง คุณชายผู้นั่นหรือจะทนอยู่เฉยได้?

หึ…

อยากเห็นนัก...ใบหน้าหยิ่งผยองของมันจะเป็นอย่างไรหากชายผู้นี้ตกเป็นของเขา แววตาเฉยชาของมันจะสามารถทนเห็นแก้วใบนี้แตกสลายคามือเขาได้อย่างนั้นหรือ?   

มาพนันกันดีไหม?

รอยยิ้มบางระบายบนริมฝีปากร่างสูง สืบเท้าเข้าหาร่างที่ตัวเล็กกว่า ฉับพลันในเสี้ยววินาทีที่หลี่ซื่อหลางเงยหน้าขึ้น อีกฝ่ายโน้มตัวลงฉกชิงความหวานจากริมฝีปากสีสด แผ่วเบาเหมือนผีเสื้อกระพือปีก ก่อนผละออกรวดเร็วกว่าที่คนโดนจูบจะไหวตัวทัน

คราแรก หลี่ซื่อหลางเหมือนโดนของแข็งทุบหัวตอนริมฝีปากอีกฝ่ายประกบแน่นบนริมฝีปากเขา

“ข้าคิดว่าข้าชอบท่าน ซื่อหลาง”

หากตอนนี้เขาเหมือนกำลังโดนโลกทั้งใบหล่นใส่ “ข…ข้า…”

“ยังไม่ต้องให้คำตอบข้าหรอก เก็บไปคิดดีๆ”

จางอวี๋เฉินยิ้มให้ เดินกลับออกไป ทิ้งไว้แต่เพียงความรู้สึกหนักอึ้งในใจของหลี่ซื่อหลาง เกิดมาจนแก่ปูนนี้ เพิ่งเคยโดนจูบซึ่งๆ หน้าเป็นครั้งแรก แล้วคนๆ นั้นดันเป็นผู้ชาย…ซ้ำร้าย ยังเป็นผู้ชายที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกอีกด้วย

นี่มันเรื่องอะไรกัน?

หลี่ซื่อหลางกุมขมับ

เขาไม่รู้สึกดีกับจูบนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว






-------------------------------------------------------------







จิ้งอี้มาเยี่ยมหลี่ซื่อหลางทันทีที่ฟานตงบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

เจ้าตัวรีบวิ่งหน้าตื่น ตรงมายังบ้านของเพื่อนสนิท แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้เจ็บหนักอะไร แถมยังนั่งๆ นอนๆ ด้วยใบหน้าเบื่อหน่ายที่ไม่ได้ออกไปทำงาน

“แค่ขาแพลง?”

จิ้งอี้ทวนคำบอกเล่าของเพื่อนสนิท เขาโดนฟานตงหลอกเสียแล้ว

“เจ้าเด็กแสบนั่น! ไหนว่าเจ้าบาดเจ็บสาหัส”

“ฟานตงเป็นห่วงข้าน่ะ เจ้าต้องเข้าใจ” หลี่ซื่อหลางพลิกตัวไปหยิบหนังสือภาพมาอ่านเล่น บอกตรงๆ เลยว่าเขาเบื่อกับการนั่งๆ นอนๆ แบบนี้เหลือเกิน

ทางด้านจิ้งอี้ก็ถอนหายใจเฮือก ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ คนเจ็บ “เฮ้อ! รู้งี้ข้าไม่วิ่งหมาตื่นมาหรอก”

“น่า น่า มาถึงแล้วบ่นไปจะได้อะไร?”

หลี่ซื่อหลางตบบ่าเพื่อนสนิท จิ้งอี้มาถึงบ้านแบบนี้เขาก็มีเพื่อนคุยแก้เซ็งได้บ้าง

“ว่าแต่ขาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“ก็ทรงๆ ตัว” หลี่ซื่อหลางยักไหล่ “ท่านหมอสั่งห้ามไม่ให้เดินมาก”

พูดถึงท่านหมอ ใบหน้าก็เขม็งเครียดขึ้นมาไม่รู้ตัว คนเป็นเพื่อนสนิทจับสังเกตได้ทันที

“เจ้ามีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า ซื่อหลาง”

“ก็…ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ปากบอกเช่นนั้น แต่ลึกๆ แล้วก็อยากระบายความรู้สึกอดสู่ที่โดนผู้ชายด้วยกันจูบ อยากยกความ
รู้สึกแย่ที่ล้นปรี่แทบทะลักถึงคอหอยออกไปให้หมด

แต่ก็ใช่ว่าหลี่ซื่อหลางจะเดียงสา เขาเคยฝันถึงท่านเทพที่เป็นผู้ชาย ทั้งจูบทั้งลูบ แต่ไม่อาจปฏิเสธว่ารู้สึกดีกับสัมผัสเหล่านั้น หากเป็นชายอื่น แม้กระทั่งจิ้งอี้ ขืนมาสัมผัสเขาแบบนั้นล่ะก็มีแต่จะโดนจับเตะผ่าหมากเท่านั้น

แบบนี้ควรทำเช่นไรดี?

หลี่ซื่อหลางรู้สึกสับสนถึงขีดสุด

“จิ้งอี้ ข้าว่าตัวเองผิดปกติ”

เพื่อนสนิทมองคนข้างๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้า “ข้าว่าเจ้าก็ปกติดี”

“หมายถึง…จิตใจของข้าน่ะ แบบว่า พักนี้ข้ารู้สึกไม่เป็นตัวเองเลย” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ข้าไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรเริ่มจากตรงไหน จิ้งอี้ ข้าไม่สบายใจ”

“ถ้างั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเรียงลำดับอะไรทั้งนั้น บอกข้าแค่ว่าตอนนี้เจ้ากังวลเรื่องอะไรมากที่สุด”

“บอกไป เจ้าอย่ารังเกียจข้านะ”

“ข้าจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร?”

หลี่ซื่อหลางเม้มปาก ก่อนตัดสินใจบอกออกไป “ข้าถูกจูบ…”

“หา!…นางเป็นใคร?”

“ไม่ใช่ นาง”  หลี่ซื่อหลางก้มหน้าลงเล็กน้อย “ข้าถูก ผู้ชาย จูบ”

จิ้งอี้ทะลึ่งตัวลุกขึ้นพรวด “เจ้าว่าไงนะ!!”

หลี่ซื่อหลางรีบฉุดมือเพื่อนรักให้นั่งลง “เบาๆ หน่อยสิ ข้าไม่อยากให้ฟานตงรู้เรื่องนี้” สีหน้าฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด เพื่อนสนิทตัวโตยอมนั่งลงแต่โดยดี

“อธิบายมา”

“ก็นั่นแหละ” หลี่ซื่อหลางระบายลมหายใจอีกรอบ “เขาคือท่านหมอที่ดูแลข้าไง ท่านหมออวี๋เฉิน เขาบอกชอบข้า แล้วก็ เอ่อ จูบข้า บอกว่าจะรอคำตอบ”

พูดไปก็รู้สึกกระอักกระอ่วนไป ของแบบนี้ให้มาพูดโดยที่ไม่ให้รู้สึกอะไรมันเป็นไปไม่ได้หรอก

“อวี๋เฉิน?”

จิ้งอี้ทวนคำ เหมือนจะนึกใบหน้าเย็นชาของใครบางคนที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่เมื่อสองสามเดือนก่อนได้ “ใช่เจ้าที่ตัวสูงๆ ถือกล่องหน้าตาประหลาดไปมาหรือเปล่า”

“เขาเรียกกล่องปฐมพยาบาล”

“นั่นล่ะ” จิ้งอี้กรอกตา “เขาเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่ เป็นคนแปลกๆ ไม่สุงสิงกับใคร แต่ได้ยินแว่วๆ ว่าเป็นหมอที่เก่งฉกาจ เจ้านั่นบอกชอบเจ้าหรือ?!”

หลี่ซื่อหลางพยักหน้า

“จิ้งอี้ ข้าไม่เข้าใจความรักระหว่างบุรุษเพศ”

…ถึงแม้ว่าจะเคยฝันถึงใครบางคนก็ตาม

แต่ถ้าหากไม่ใช่ท่านผู้นั้น ก็ไม่มีประโยชน์ หลี่ซื่อหลางไม่สามารถมีความรู้สึกเช่นนั้นกับใครอื่น ต้องเป็นคนผู้นั้นคนเดียวเท่านั้น…หลี่ซื่อหลางไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

“เจ้ารับไม่ได้หรือ?”

“ก็…ไม่เชิง”

“รังเกียจ?” จิ้งอี้ถามอย่างสนใจ “เจ้ารังเกียจแค่สัมผัสของอวี๋เฉิน หรือผู้ชายทุกคนกันแน่”

“ถามอะไรของเจ้า”

หลี่ซื่อหลางชกเข้าที่ไหล่เพื่อนตัวโตเบาๆ “หากให้คำปรึกษาไม่ได้ก็เงียบเลย”

“ซื่อหลาง ข้ากำลังชี้แนะคนไร้เดียงสาอย่างเจ้า”

“ข้าไม่ได้ไร้เดียงสา” ร่างโปร่งหันขวับปฏิเสธ “ข้าตัดสินใจแล้ว จะบอกเขาไปตามตรงว่าไม่สามารถคิดกับเขาเช่นนั้นได้ เรื่องจูบ ข้าจะลืมๆ ไปเสีย ตัวข้าเป็นชาย ไม่ได้มีอะไรเสียหาย”

หลี่ซื่อหลางพยักหน้ากับตัวเอง สรุปเสร็จสรรพ

“เดี๋ยวสิ นี่ข้ายังไม่ได้ช่วยชี้แจงอะไรเลย”

จิ้งอี้ประท้วง “เจ้าน่ะ ทำหมือนจะรู้ดี แต่ก็ซื่อบื้อกว่าที่คิด คนอย่างอวี๋เฉิน ข้าว่าไม่น่าไว้ใจ การมาบอกชอบเจ้าคงไม่ได้เหมือนความรักวัยรุ่น คึกคะนองอยากลองของแปลก เจ้านั่นต้องมีแผนอะไรแน่ๆ”

“แผนอะไร?”

“ข้าจะไปรู้หรือ” จิ้งอี้ไหวไหล่ “ยังไงก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน ข้าไม่ไว้ใจเจ้านั่น”

“ข้าระวังตัวอยู่แล้ว”

“ไม่เลยสักนิด เจ้าน่ะ” จิ้งอี้ขยี้หัวหลี่ซื่อหลาง จนอีกฝ่ายร้องโวยวายถึงยอมเลิก “หัดดูแลตัวเองเสียบ้าง ข้าไม่อยู่ครู่เดียวขาเจ้าก็หักเสียแล้ว”

“ข้าขาแพลงเฉยๆ หรอก!”

จิ้วอี้หัวเราะลั่น “น่า น่า” ตบบ่าเพื่อนสนิทปุๆ “”

“พี่ซื่อหลางงงงง!”

เสียงเรียกดังมาจากหน้าบ้าน ฟานตงถอดรองเท้าลวกๆ วิ่งเข้ามาที่ห้องรับแขก “พี่ซื่อหลาง!”

“ข้าได้ยินแล้ว” ซื่อหลางตอบรับ “ว่าอย่างไร ฟานตง?”

“เมื่อกี้ข้าเจอพี่อวี๋เฉิน!” คนตัวเล็กพูดด้วยความตื้นเต้น ลมหายใจหลี่ซื่อหลางกระตุกกึก! หากพยายามปั้นหน้านิ่งถามต่อ

“แล้วอย่างไร?”

“เขาฝากข้าให้เอาสิ่งนี้ให้ท่าน”

ฟานตงยื่นช่อดอกไม้ที่ผ่านการขนส่งความเร็วเท่าแสงของฟานตง ดูท่ายังสดเหมือนเพิ่งถูกเก็บ กลิ่นหอมหวานชวนให้รู้สึกสดชื่น ในทางตรงกันข้าม หลี่ซื่อหลางกลับรู้สึกอยากร้องไห้มากกว่า

“พี่อวี๋เฉินติดธุระต้องไปตรวจสุขภาพให้ตระกูลลี่ จึงมาดูอาการพี่ซื่อหลางให้ไม่ได้ ก็เลยส่งเจ้านี้อวยพรให้หายไวๆ แทน”

“ใจกว้างเสียจริง พ่อหนุ่มนี่” เป็นจิ้งอี้ที่คว้าช่อดอกไม้ไปแทน

“เขาให้พี่ซื่อหลางหรอก ไม่ใช่ท่าน” ฟานตงยู่หน้า แต่ก็ดีใจที่เห็นจิ้งอี้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่ชายตน “ข้าจะออกไปซื้อของสด เย็นนี้จะทำของโปรดให้พี่ซื่อหลาง พี่จิ้งอี้อยู่กินด้วยกันสิ”

“ไม่ชวนข้าก็อยู่อยู่แล้ว”

“ชิ ไปดีกว่า” ฟานตงแสร้งทำสีหน้าระอา วิ่งออกจากบ้านด้วยความเร็วเท่ากับขามา

“เจ้าหนูนี่โตพอจะเป็นพ่อลูกสองได้แล้ว ยังทำตัวเป็นเด็กๆ ฝากบอกหยงเทียนให้ตามใจสุดที่รักน้อยๆ ลงหน่อยเถิด”

“แล้วข้าจะบอกให้”

หลี่ซื่อหลางตอบส่งๆ พลันสายตาสังเกตเห็นกระดาษเล็กๆ แนบอยู่บนช่อดอกไม้ จึงหยิบขึ้นมาอ่าน “อาทิตย์หน้าไปทานข้าวด้วยกันนะ ข้ารู้จักร้านอร่อย ท่านต้องชอบแน่ จาก อวี๋เฉิน ห…หา? ว่าไงนะ”

“จดหมายจากเจ้านั่น?”

หลี่ซื่อหลางพยักหน้าอย่างจำใจ เขาใกล้จะร้องไห้แล้ว “ข้าควรทำยังไงต่อดี จิ้งอี้”

“ทำอย่างที่เจ้าอยากทำสิ”

จิ้งอี้ตอบท่าทีสบาย ผิดกับหลี่ซื่อหลางที่ยังคงหนักใจกับช่อดอกไม้เจ้ากรรม

“ข้ากำลังขอความเห็นจากเจ้า ช่วยตอบอย่างจริงจังได้หรือไม่”

“ซื่อหลาง หากเจ้ากังวลนักก็เอาไปทิ้ง มองให้เสียสุขภาพจิตไปเปล่าๆ ทำไมกัน”

ร่างโปร่งส่ายหน้า “แบบนั้นก็ทำลายน้ำใจท่านหมอเขาน่ะสิ”

“แล้วอย่างไร?” จิ้งอี้ไหวไหล่ไม่ยี่หระ “ความใจดีของเจ้าน่ะเก็บไว้บ้างเถิด มีมากไปก็จะนำพาความเดือดร้อนมาได้”

“หรือข้าควรเอาไปคืน?”

“หยุดความคิดนั้นเลย”

หลี่ซื่อหลางขมวดคิ้วเป็นปม “ทำไม? ข้าจะถือโอกาสบอกเขาไปตรงๆ ว่าคิดกับเขาแค่เพื่อน”

“ซื่อหลาง เอ๋ย ซื่อหลาง” จิ้งอี้ตบบ่าเขาเบาๆ ด้วยสีหน้าปลงตก “เจ้าจะเข้าถ้ำเสือโดยไม่ถูกขย้ำได้หรือ?”

“หมายความอย่างไร?”

“ก็อย่างที่พูด”

“ก็พูดให้ข้าเข้าใจหน่อยสิ” หลี่ซื่อหลางชี้แจง

“เจ้าเองก็เป็นผู้ชาย น่าจะรู้ถึงความต้องการเรื่องนั้นดี” จิ้งอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติ ทั้งๆ ที่กำลังพูดถึงเรื่องอย่างว่าอยู่ “ถึงเวลานั้น เดาว่าเจ้าคงต้องเจ็บสะโพกมากแน่ๆ…”

จบคำธิบาย ใบหน้าของหลี่ซื่อหลางแดงก่ำเป็นลูกตำลึง





-------------------------------------------------------------





To be continued...






หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๔ :: UPDATE 01.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 01-08-2015 16:20:39
 :mc4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๔ :: UPDATE 01.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 01-08-2015 17:18:50
ทำไมเสียจูบเฉย T^T ถึงแม้ว่าจูบแรก (ล่ะมั้ง) ของซื่อหลางจะโดนหย่งคังขโมยไปตอนหลับบ่อยๆ ก็เถอะ
อวี๋เฉินมีข้อมูลดีไปนะ นางเป็นใครกันแน่ฟะ
ถ้าหย่งคังรู้คงหึงจนหัวปั่นแหงแซะ
รอตอนหน้าน้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๔ :: UPDATE 01.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 01-08-2015 23:40:40
คุณหมอเป็นศัตรูจริงอะ
เราชอบคาแรคเตอร์จัง  :impress2:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๔ :: UPDATE 01.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: poogan_zadd ที่ 03-08-2015 17:41:49
โอ๊ยยยยยย ซื่อหลางดูใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ 55
แอบปันใจมาเชียร์คุณหมอค่ะ หึหึ
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๕ :: UPDATE 04.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 04-08-2015 16:20:57


ดอกท้อที่ ๑๕




ผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว หลังจากวันที่พบหลี่ซื่อหลางครั้งสุดท้าย และวันนี้หย่งคังก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งพร้อมกับน้ำเต้าหู้


‘…น้ำเต้าหู้เจ้าอร่อย อยากรู้ว่าคนทำจะหวานเหมือนกันหรือเปล่า คืนนี้คงได้รู้…’


ชื่อผู้ส่งยังคงเป็นปริศนา แต่เดาไม่ยากว่าเป็นใคร

โครม!!

หย่งคังถีบเก้าอี้ล้มเต็มแรง แผ่นอกแกร่งขยับขึ้นลงด้วยแรงอารมณ์ ดวงตาแข็งกร้าวราวกับจะฆ่าคน ร่างสูงกำกระดาษในมือแน่นเหมือนจะป่นให้แหลกละเอียด จินตนาการว่ามันคือกระดูกคอของเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง

คิดจะลองดีกับเขายังเร็วไปร้อยปี!

“จื่อเยี่ยน”

“ขอรับ คุณชายเล็ก”

“คืนนี้เตรียมรถให้ด้วย” คนเป็นนายเดินออกไปนอกชานเรือน จ้องมองไปยังสวนดอกท้อ “ข้าจะไปทวงสิทธิ์ของข้าคืน!”

จื่อเยี่ยนยืนอยู่ด้านหลัง โค้งตัวรับคำสั่ง “ขอรับ หากกระนั้น จะไม่เป็นการตัดสินใจที่บุ่มบ่ามไปหรือขอรับ”

“อย่างไร?” หย่งคังเลิกคิ้ว หันกลับมามองผู้ติดตามตัวเล็ก

“จดหมายนั่นเป็นกับดัก”

“แล้วไง?” ร่างสูงข่มเสียงต่ำ “ข้าไม่มีทางยอมให้มันได้แตะซื่อหลางแม้แต่ปลายเล็บ”

 “แต่หากท่านไปหาหลี่ซื่อหลางคืนนี้ ทุกอย่างที่ทำมาก็…”

“ไม่สูญเปล่าหรอก จื่อเยี่ยน” หย่งคังพูดแทรก “ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนเดิมแล้ว ข้าจะปกป้องเขาด้วยมือตัวเอง”

ใช่แล้ว…

ไม่อยากปล่อยให้คนๆ นั้นอยู่ไกลเกินเอื้อมแม้วินาที อยากกักขังเอาไว้ข้างกายตลอดเวลา ความรู้สึกโหยหานี้ทวีความรุนแรงจนเจ้าตัวยังนึกหวั่นใจ เขากลัว…กลัวว่าสักวันคนๆ นั้นจะหายไป

“แล้วนายท่านเลี่ยงหวง?”

จื่อเยี่ยนพยายามชี้แจง “ถึงยังไงท่านก็ยังไม่ได้รับตำแหน่งผู้นำตระกูลอย่างเป็นทางการ ต่อให้เข้าครอบคลุมกิจการแล้วเก้าสิบส่วน แต่อีกสิบส่วน นายท่านเลี่ยงหวงยังดึงบังเหียนอยู่ ไม่อยากให้คุณชายมองข้ามตรงส่วนนี้ไปนะขอรับ”

“ไม่นานหรอก สิบส่วนนั้นจะเป็นของข้า”

“รึท่านมีแผน?” จื่อเยี่ยนหรี่ตา เดาเอาไว้แต่แรกว่าร่างสูงกำลังคิดทำการอะไรบางอย่าง

แต่ว่าอะไรล่ะ?

“เจ้าเองก็รู้ ข้ารอเวลานี้มานานแล้ว”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “ท่านคิดจะล้มอำนาจบิดา?”

หย่งคังกระตุกยิ้ม “เจ้าเดาใจข้าเก่งเสมอ จื่อเยี่ยน” รอยยิ้มนั้นทำอีกคนสันหลังวาบ หากมองย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อน บัดนี้
หย่งคังมาไกลแค่ไหนแล้วนะ “ข้าจะตอบแทนบุญคุณที่เขาช่วยให้ข้าเป็นข้าในวันนี้ได้ ด้วยยาถอนพิษ แต่ไม่ได้บอกเสียหน่อยว่าจะยอมให้ทำอะไรตามใจชอบอีก หากใครขวางทางข้า จะไม่มีการละเว้น”

จื่อเยี่ยนสบสายตาแข็งกร้าว ชายคนนี้ใจเด็ดเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

“…อย่างไรก็จะไปให้ได้สินะขอรับ”

จื่อเยี่ยนลอบถอนหายใจ สิ่่งที่หย่งคังพูดคงหมายถึงคืนนี้ด้วยเช่นกัน “เช่นนั้นข้าจะเตรียมรถม้าให้ขอรับ”

“ดี”

หย่งคังหันกลับไปทางนอกชานเรือนอีกครั้ง แววตาอ่อนลงเมื่อมองดูสวนดอกท้อที่เขาเติบโตมาพร้อมกับมัน ดูสวยงามแต่ก็เจ็บปวด เขาที่ต้องเข้มแข็งเพื่อจุดมุ่งหมาย อยากได้สายน้ำที่ชื่อซื่อหลางคอยปลอบประโยนจิตใจอันแห้งหี่ยวนี้เหลือเกิน หากได้กอดอีกสักครั้ง…หย่งคังไม่แน่ใจว่าหากเจอกันคราวนี้ เขาจะสามารถปล่อยอีกฝ่ายเป็นอิสระได้อีกหรือไม่

คงดีไม่น้อยถ้าได้อยู่ด้วยกันอีกครั้ง

“คุณชายเล็กขอรับ” จื่อเยี่ยนเอ่ยถาม “คืนนี้ท่านตั้งใจจะนำตัวหลี่ซื่อหลางกลับมาด้วยสินะขอรับ”

“อืม” หย่งคังตอบรับในลำคอ

“แล้วเรื่องกำจัดอวี๋เฉินยังคงตามแผนเดิม?”

“ไม่เชิง” หย่งคังไหวไหล่ “หากข้าได้ตัวซื่อหลาง ทางนั้นต้องไหวตัวรุกหนัก การปะทะคงเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด”

“คุณชายคงไม่ฆ่าเขาคืนนี้นะขอรับ”

หย่งคังหัวเราะหึ “ไม่แน่ ถ้ามันอยากลองของข้าล่ะก็นะ”

“ทำเช่นนั้น เราจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบนะขอรับ” จื่อเยี่ยนหน้าเครียด

คุณชายเป็นคนรอบคอบ กระนั้นบางครั้งก็บุ่มบ่าม ยิ่งมีหลี่ซื่อหลางเป็นตัวแปรด้วยแล้ว จื่อเยี่ยนยิ่งหนักใจ จำเป็นต้องรัดกุมแผนให้แน่น

“การที่อวี๋เฉินเอาหลี่ซื่อหลางมาล่อ เขาคงเดาทางออกว่าคุณชายต้องยอมออกไปพบ ทั้ังยังมียาถอนพิษเป็นแรงจูงใจ เห็นชัดๆ ว่าเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่พอตัว ทางนั้นก็ไม่ใช่คนโง่ ยอมลงมือเร็วขนาดนี้ข้าว่าคงมีแผนที่ไม่ธรรมดา”

“ข้าเองก็มีแผนไม่ธรรมดาเช่นกัน”

หย่งคังเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบเอกสารบางอย่างขึ้นมา “ที่ข้าให้ไปสืบ เจ้าเองก็รู้ข้อมูลเหล่านั้นแล้ว”

“ขอรับ”

“ทวนให้ข้าฟังสิ”

จื่อเยี่ยนพยักหน้า “จางอวี๋เฉิน อายุยี่สิบห้าปี ดำรงอาชีพเป็นหมอ มารดาเป็นปุถุชนธรรมดา พื้นเพเป็นคนยากจนและเสียชีวิตตั้งแต่อวี๋เฉินอายุได้แปดขวบ บิดาคือนายท่านเลี่ยงเชียง น้องชายต่างมารดานายท่านเลี่ยงหวง เมื่อแต่งกับฮูหยินก็ออกจากบ้าน ตัดขาดกับตระกูลจาง และได้ฆ่าตัวตายเมื่อเดือนก่อนขอรับ”

 “แล้วเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?” หย่งคังถามต่อ อีกฝ่ายเงยหน้าสบตา

“เหตุจูงใจที่ฆ่าตัวตายน่ะหรือขอรับ?”

“ก็ประมาณนั้น”

“ข้าคิดว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้าขอรับ”

หย่งคังยิ้มพอใจ “ทำไมล่ะ?”

“บรรพบุรุษรุ่นก่อนๆ มีประวัติเป็นโรคนี้ขอรับ ข้าจึงคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นสืบต่อกันมา ตามบันทึกเก่าๆ  กล่าวว่านายท่านเลี่ยงเชียงเป็นคนรักสันโดษ จึงมีโอกาสแปดในสิบที่ทำให้เกิดเหตุจูงใจในการฆ่าตัวตาย ซ้ำยังเคยประสบเหตุการณ์ร้ายๆ มามาก อย่างการถูกไล่ออกจากตระกูลเพราะให้กำเนิดบุตรกับหญิงสาวไร้ยศขอรับ”

“เจ้าพูดถูกเรื่องเขาเป็นโรคซึมเศร้า” หย่งคังดีดนิ้ว “แต่นายเลี่ยงเชียงไม่ได้เศร้าเพราะแต่งงานกับหญิงไร้ยศไร้นาม”

“ขอรับ?”

จื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่กี่ครั้งที่คุณชายโต้แย้งการวิเคราะห์ของเขา

“กลับกัน เรื่องนั้นกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาเลยต่างหาก”

“เหตุใดจึงคิดเช่นนั้นขอรับ?”

“จื่อเยี่ยน เจ้าเป็นคนฉลาด แต่กลับไม่เข้าใจอานุภาพความรัก”

“ขอรับ?”

“พูดแล้วก็ไม่ค่อยเข้ากับหน้าข้าหรอก แต่ก็อยากบอกเจ้า” หย่งคังลอบถอนหายใจ “เจ้าเคยตั้งคำถามหรือไม่ เหตุใดนายเลี่ยงเชียงถึงเลือกอยู่อย่างสมถะกับฮูหยินและบุตรชาย แทนที่จะคิดครอบครองสมบัติมากมายของตระกูลจาง ไม่ใช่หันหลังให้ความสุขสบายเช่นนี้”

“ไม่ขอรับ ข้าคิดว่าเป็นตรรกะที่ไม่ได้เรื่อง”

“ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น” หย่งคังไหวไหล่ “บางครั้งสิ่งๆ นั้นก็ทำให้คนเราทำอะไรโง่ๆ”

จื่อเยี่ยนขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ข้าไม่เข้าใจจุดประสงค์ที่คุณชายเล็กต้องการจะบอกขอรับ”

“เช่นนั้น เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นลูกสาวรับใช้กับตาแก่นั่น”

จื่อเยี่ยนหยักหน้า

“เจ้านั่นก็คงให้คนสืบจนรู้ สถานะข้าคงไม่ต่างจากอวี๋เฉฺิน เป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ แต่บังเอิญว่าตาแก่เลี่ยงหวงกลับใช้ข้าเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ ข้าถึงได้ซึมซับความโสมมของตระกูลนี้มาเต็มๆ” หย่งคังหัวเราะเบาๆ “แต่สำหรับอวี๋เฉินคงไม่ใช่ เขาไม่อยากได้เงินทอง นอกเสียจากอยากแก้แค้นคนที่ทำให้ชะตากรรมพ่อและแม่ตัวเองจบลงอย่างน่าสมเพช”

“หากเช่นนั้น ที่เลือกลงมือช่วงเวลานี้…” จื่อเยี่ยนคิดตาม “เพราะคุณชายอยู่ในเส้นคาบแบ่งจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลสินะขอรับ”

“ใช่ ข้าคิดว่าอวี๋เฉินรู้จักใช้จุดอ่อนคน ถึงได้ลอบวางยาพิษตาแก่ แถมยังเอาหลี่ซื่อหลางมาล่อ”

จื่อเยี่ยนพยักหน้า “ขอรับ”

“แต่อวี๋เฉินประเมินความสัมพันธ์พ่อลูกของข้าสูงไป เจ้านั่นคงคิดว่าข้าเป็นลูกกตัญญู ถึงได้ปล่อยข่าวว่าข้าเป็นคนหักหลังพ่อตัวเอง เพื่อทำให้พ่อลูกผิดใจกัน ใช้ยาพิษเป็นตัวซ้ำ คงกะไว้ว่าข้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อนำยาถอนพิษกลับไป แต่มันคงไม่คิดว่าข้าจะกล้าล้มอำนาจตาแก่แน่ เพราะฉะนั้นถึงได้มั่นใจว่ายิ่งมีหลี่ซื่อหลาง ข้าก็เป็นลูกไก่ในกำมือ”

“ขอรับ”

จื่อเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วยอีกครั้ง คุณชายเล็กมองทุกอย่างได้เฉียบแหลมจริงๆ 

“อวี๋เฉินจะบีบให้ข้ายอมทิ้งกิจการตระกูลจางเพื่อช่วยพ่อและซื่อหลาง ถึงตอนนั้น อวี๋เฉินคงไม่มัวมานั่งบริหารงานต่อ คงอยากทำลายให้ย่อยยับเสียมากกว่า”

ใบหน้าจื่อเยี่ยนมีเครื่องหมายคำถาม “ไม่ได้ต้องการสมบัติหรือขอรับ?”

“กับคนเป็นแม่ ให้ฆ่าตนไม่เจ็บเท่าฆ่าลูก เช่นเดียวกับคนที่เกลียด หากรู้ว่าอีกฝ่ายประสงค์สิ่งใด ถ้าทำลายสิ่งนั้นคงสะใจกว่ากันเยอะ”

“…เป้าหมายคือทำลายตระกูลสินะขอรับ”

“อืม” หย่งคังกอดอก “ไม่ใช่อยากฮุบสมบัติอย่างที่ตาแก่นั่นคิดหรอก”

จื่อเยี่ยนพยักหน้ากับตัวเอง “อย่างนี้นี่เองขอรับ”

 “แต่อวี๋เฉินอาจคิดถูก หลี่ซื่อหลางจะทำให้ข้าใจอ่อน ในขณะที่เจ้าเห็นข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้ากลับอ่อนแอยิ่งกว่าใคร” หย่งคังหลุบตาลงเล็กน้อย “ข้าฝังความรู้สึกที่มีต่อซื่อหลางจนถลำลึกลงไป หากวันที่ข้าอยู่ในจุดสูงสุด แต่กลับไร้ซึ่งซื่อหลางจะสำคัญไฉน?

“ไม่รออีกหน่อยหรือขอรับ”

“จื่อเยี่ยน ต่อให้เป็นกับดัก คืนนี้ข้าก็จะไป”

จื่อเยี่ยนพ่นลมหายใจ “เป็นกับดักแน่นอนอยู่แล้วล่ะขอรับ”

ผู้ติดตามอดห่วงไม่ได้ แม้รู้ว่าหย่งคังมีแผนอยู่แล้วก็ตาม ทั้งๆ ที่เขาเป็นกังวล คนเป็นนายกลับหัวเราะในลำคอ

“เช่นนั้นข้าก็จะไปติดกับดักเสียหน่อยแล้วกัน”





-------------------------------------------------------------





ขาของหลี่ซื่อหลางหายดีแล้ว

แม้จะรู้สึกแปลกๆ เวลาเดินอยู่บ้าง แต่ก็เรียกได้ว่ากลับมาเป็นปกติ

“พี่ซื่อหลาง” ฟานตงเดินเข้ามาหาพี่ชาย “คืนนี้ท่านจะออกไปข้างนอกกับพี่อวี๋เฉินหรือ”

สังเกตเห็นว่าพักนี้ท่านหมอทำตัวสนิทสนมกับหลี่ซื่อหลางมากเกินความจำเป็น ตอนที่ขาร่างโปร่งยังไม่หายดี เจ้าตัวก็เทียวมาเทียวไป ซื้อของบำรุงมาฝากมากมาย หรืออันที่จริง เหมือนหลี่ซื่อหลางจะโดยรุกอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่าหรือเปล่าก็ไม่รู้

คนถูกถามเกาแก้ม “เอ่อ…ประมานนั้นกระมัง”

“พี่ซื่อหลางโดนจีบ?”

“ฟานตง!” หลี่ซื่อหลางหันขวับ “อย่าพูดแบบนี้ ไม่มีใครจีบใครทั้งนั้นแหละ ข้าแค่ออกไปกินข้างแบบเพื่อน”

“แบบกับพี่จิ้งอี้น่ะหรือ”

“ใช่ แบบนั้นแหละ” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ

ไม่คิดมาก่อนว่าน้องชายจะดูออกเรื่องที่ท่านหมอพยายามเอาใจเขาอยู่เกือบสองอาทิตย์ แล้ววันนี้ก็เกิดนึกครึ้มทวงสัญญาที่จะพาไปกินอะไรอร่อยๆ ขึ้นมาเสียด้วย ตัวเขาเองก็ไม่มีเหตุผลดีๆ มาปฏิเสธ ถึงได้ตอบตกลงในที่สุด

“พี่ซื่อหลาง ข้าไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”

ฟานตงยู่หน้า “แค่นี้ทำไมข้าจะดูไม่ออก พี่อวี๋เฉินกำลังจีบท่าน!”

“ฟานตง!”

“ข้าว่าเขาก็เป็นคนดี หรือพี่ซื่อหลางไม่ชอบ?”

หลี่ซื่อหลางอยากทึ้งหัวตัวเอง กลั้นใจตอบกลับไป “ข้าไม่มีรสนิยมเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าไม่ดีหรอกนะ แต่คนเราชอบไม่เหมือนกัน เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่”

“อืม…” ฟานตงพยักหน้า “ข้าแค่เห็นว่าพี่อวี๋เฉินคงสามารถดูแลท่านได้”

“ข้าดูแลตัวเองได้”

“ใช่ ข้ารู้ท่านเก่ง แต่มีคนคอยอยู่ข้างๆ ก็ดีไม่ใช่หรือ?”

แวบหนึ่งใบหน้าของใครบางคนโผล่ขึ้นมาในหัวของหลี่ซื่อหลาง แค่คิดใจก็ปวดหนึบ เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย

“ข้ามีเจ้าก็พอแล้ว”

“พี่ซื่อหลาง…” ฟานตงรู้สึกสงสารพี่ชายจับใจ

ด้วยตนรู้ดีว่าร่างโปร่งมีอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดแต่ไม่เคยพูดออกมา เก็บงำอยู่นานหนึ่งปี สองปี สามปี จนกระทั่งเจ้าตัวเคยชินกับการมองข้ามว่าไม่มีสิ่งๆ นั้นอยู่ หากยามเผลอเหม่อลอยครั้งใด แววตาว่างเปล่าก็เหมือนกำลังมองหาใครบางคน

“เถอะ ว่าแต่คืนนี้ท่านจะค้างกับพี่อวี๋เฉินหรือไม่”

“ไม่หรอก” หลี่ซื่อหลางส่ายหน้า ยังจำประโยคที่จิ้งอี้พูดจนเสียวสันหลังวาบขึ้นใจ

‘ ถึงเวลานั้น เดาว่าเจ้าคงต้องเจ็บสะโพกมากแน่ๆ… ’

“ข้าจะกลับก่อนยามสอง เจ้าก็อย่าเพิ่งปิดบ้านล่ะ” หลี่ซื่อหลางกำชับ

นี่ก็ใกล้เวลาที่ท่านหมอบอกว่าจะมารับเขาแล้ว เฮ้อ… หลี่ซื่อหลางลอบถอนหายใจ ทำอย่างกับว่าเขาเป็นสาวแรกรุ่นไปได้ ไม่จำเป็นต้องรับส่งกันเลยแท้ๆ

“ได้ ไว้ข้าจะรอ”

“เจ้าน่ะหลับไปเถิด แค่ไม่ต้องลงกรอนประตูก็พอ”

“งั้นข้าชวนหยงเทียนมาช่วยเฝ้าบ้านได้หรือไม่” ฟานตงเอ่ยขอ คนเป็นพี่ชายพยักหน้า

“ตามใจเจ้า”

“ดีเลย! ข้าจะได้มีเพื่อนนอน”

หลี่ซื่อหลางกระแอมไอ  “แต่อย่าทำอะไรๆ กันล่ะ” ทิ้งท้ายไว้ก่อนจะรีบเดินออกจากบ้าน เพราะเห็นท่านหมอกำลังเดินมาจึงรีบออกไปหาทันที

“เห?”  ฟานตงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะเพิ่งเข้าใจความหมาย

“พ…พี่ซื่อหลาง!”

ตะโกนไล่หลังแต่ก็ไร้ประโยชน์ พี่ชายเดินขนาบข้างไปกับท่านหมอไกลเสียแล้ว คนตัวเล็กได้แต่หายใจฮึดฮัดอย่างหงุดหงิด

กระนั้นก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าจะใจสั่นหน้าแดงไปทำไมเหมือนกัน





-------------------------------------------------------------





จางอวี๋เฉินพาหลี่ซื่อหลางมาที่ร้านติ่มซำสุดหรูใกล้วังหลวง

ขึ้นชื่อว่าอร่อยสมกับราคาที่แพงเสียจนกระเป๋าตังค์ฟีบ ไม่ว่าเหล่าขุนนางหรือลูกหลานตระกูลคนใหญ่คนโตที่ไหนก็ล้วนต้องเคยมากันทั้งนั้น

กระนั้น แค่เห็นหน้าร้านหรูหราหลี่ซื่อหลางก็พบว่าชุดเก่าๆ ที่สวมอยู่ไม่เข้ากับสถานที่เลยแม้แต่น้อย

“วันนี้ท่านดูดีมาก ซื่อหลาง”

เหมือนจางอวี๋เฉินอ่านใจคนออก หันมาให้กำลังใจพร้อมรอยยิ้มบาง

“อ่า…ขอบคุณ”

หลี่ซื่อหลางยิ้มแห้งๆ ตามระเบียบ รู้สึกเก้ๆ กังๆ เวลามีคนหันมามองด้วยสายตาประหลาด

“ท่านหมอ ร้านนี้ท่าทางจะแพง”

“แต่อร่อยอย่าบอกใคร ข้าหวังอยากให้ท่านได้ลองสักครั้ง”

“ท่านหมอ วันนี้ข้าพกเงินติดตัวมาไม่มาก” หลี่ซื่อหลางพยายามอ้างเหตุผลร้อยแปด “ข้าว่าเราเลือกร้านที่เป็นกันเองกว่านี้หน่อยดีหรือไม่”

“คืนนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง ท่านไม่ต้องกังวล”

“ไม่ได้นะ” หลี่ซื่อหลางหยุดเดิน “ท่านรักษาขาข้าจนหาย แล้วยังไม่ยอมรับค่ารักษา นี่จะเลี้ยงข้าวข้าอีก”

…คิดจะให้เขาติดหนี้บุญคุญไปถึงไหน?

“ดีแล้วไม่ใช่หรือ”

จางอวี๋เฉินถือวิสาสะจูงมือหลี่ซื่อหลางเข้าร้าน เลือกที่นั่งชั้นสองติดริมหน้าต่างเห็นวิวท้องฟ้ายามค่ำคืน ครั้นหลี่ซื่อหลางจะชักแขนหนี จางอวี๋เฉินก็กำมือแน่นขึ้นเท่านั้น

“ข้าอยากให้ท่านมากกว่านี้อีก”

“ท่านหมอ ไม่ต้องให้อะไรข้าแล้วได้หรือไม่ ท่านทำแบบนี้ข้ารู้สึกไม่สบายใจ” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าลำบากใจสุดๆ แต่ก็โดนจับให้นั่งลง มีพนักงานมาเสิร์ฟเครื่องดื่มให้อย่างรู้งาน จางอวี๋เฉินหันไปสั่งอาหาร รายการที่สั่งล้วนราคาแพงทั้งนั้น แถมไม่ได้สั่งมาน้อยๆ เลย

“ท่านไม่สั่งเยอะไปหน่อยหรือ”

“ไม่นี่” จางอวี๋เฉินเท้าคาง จ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย

…ดูๆ ไปก็ไร้เดียงสาเหมือนกัน มิน่า…

ท่านหมอส่งยิ้มให้ “หรือท่านคิดว่าข้าไม่มีปัญญาจ่าย?”

“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลี่ซื่อหลางอยากโขกหัวกับโต๊ะ “ข้าแค่คิดว่ามันเยอะไปสำหรับสองคน เราคงกินกันไม่หมด น่าเสียดายแย่”

“ไม่แน่อาจมีคนอยากร่วมโต๊ะกับเราคืนนี้”

“ท่านว่าอย่างไรนะ?”

หลี่ซื่อหลางได้ยินไม่ถนัด ถามซ้ำ แต่สิ่งที่ได้คือรอยยิ้มซื่อๆ ของจางอวี๋เฉิน “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

อ้าว? ก่อนจะได้ถามอะไรต่อ อาหารก็มาเสิร์ฟเสียแล้ว โต๊ะกลมสีขาวเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส แค่การตกแต่งจานก็รู้สึกอร่อยทั้งที่ยังไม่ทันลิ้มลอง จางอวี๋เฉินคีบติ่มซำเสี่ยงหลงเปาใส่จานให้หลี่ซื่อหลาง

“ลองชิมดูสิ”

หลี่ซื่อหลางพยักหน้า คีบเจ้าสิ่งนั้นเข้าปากเคี้ยวหนุบหนับ อร่อยจนลืมไปเลยว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อทำอะไร

“รสชาดดีใช่หรือไม่”

“อร่อยมากเลยล่ะ” หลี่ซื่อหลางหลุดยิ้ม คิดว่าถ้าฟานตงกับหยงเทียนมีโอกาสได้กินคงดีไม่น้อย “ขากลับข้าซื้อไปฝากน้องชายด้วยดีกว่า เขาน่าจะชอบ”

“เท่าที่เจ้าต้องการเลย”

จางอวี๋เฉินรู้สึกสนุกที่ได้เห็นหลี่ซื่อหลางกำลังลดกำแพงในใจลง คนตรงหน้าใสซื่อเหมือนเด็กหัดเดิน ลอบมองริมฝีปากสีสดที่เคยฉกชิงความหวานมาแล้วครั้งหนึ่ง

…หากคืนนี้เป็นไปตามอย่างที่เขาคิด

หลี่ซื่อหลางจะกลายเป็นของเขาตั้งตัว…

“ดื่มน้ำเสียหน่อย จะได้กินคล่องคอ” จางอวี๋เฉินรินเหล้าใส่ถ้วยให้ อีกฝ่ายรับไปดื่มอย่างไม่คิดติดใจ

“ขอบคุณ”

ร่างโปร่งวางถ้วยลง รสขมบาดคอทำให้เบ้หน้าเล็กน้อย “ท่านหมอ ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน”

“ค่อยคุยหลังจากกินเสร็จดีหรือไม่”

“แต่…”

“ถือว่าข้าขอแล้วกัน” จางอวี๋เฉินยิ้มบาง “กินไปคุยไปไม่ดีหรอก โบราณเขาว่าไว้ ท่านกินให้อิ่มท้อง สมองจะได้โล่งๆ ถึงตอนนั้นข้าจะยอมรับฟังทุกอย่างเลย”

ว่าแล้วก็รินเหล้าให้อีกจอก ก่อนจะชูถ้วยเหล้าตัวเองขึ้น “ฉลองให้สุขภาพแข็งแรงของท่าน”

“อ…อืม”

หลี่ซื่อหลางจิบเหล้าเล็กน้อย รู้ดีว่าตนเป็นคนคออ่อน กระนั้นจางอวี๋เฉินกลับคะยั้นคะยอ

“ดื่มไปเถอะ ซื่อหลาง เหล้าไม่แรง ไม่ทำให้เมาหรอก”

ร่างโปร่งนึกเกรงใจ ไม่กล้าปฏิเสธจึงได้กระดกรวดเดียวหมด จางอวี๋เฉินขยับปากเหมือนจะพูดว่า เด็กดี แล้วก็รินเหล้าให้เขาอีก พลัดกับคีบอาหารใส่จานให้ไม่หยุด หลี่ซื่อหลางรู้สึกมึนเล็กน้อย ราวกับกำลังจะลืมสิ่งที่ต้องการทำ

 “ข้าขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักเดี๋ยว”

หลี่ซื่อหลางวางตะเกียบ ลุกขึ้นยืน แต่รู้สึกขาไม่มีแรง หากจางอวี๋เฉินไม่มือไวคว้าเอวเขาไว้ มีหวังคงทรุดลงไปกับพื้น

 “เป็นอะไรหรือไม่?”

“ข้า…มึนหัวนิดหน่อย” หลี่ซื่อหลางสะบัดหัวไล่ความมึน “ล้างหน้าก็คงหาย”

“ให้ข้าพาไปไหม”

“ไม่ต้องๆ” หลี่ซื่อหลางโบกมือพัลวัล “ข้าไปเองได้ ขอบคุณท่านมาก” เมื่อเจ้าตัวยืนยันเช่นนั้น จางอวี๋เฉินจึงปล่อยมืออย่างเสียดาย ลอบมองหลังร่างโปร่งที่เซเล็กน้อยหายลับเข้าไปทางหลังร้าน

หันกลับมาที่โต๊ะอาหาร จางอวี๋เฉินหยิบซองบางอย่างออกจากชายเสื้อ ข้างในบรรจุผงสีขาวที่เขาสกัดจากสมุนไพรเองกับมือ
ชายหนุ่มแอบใส่ลงไปในถ้วยเหล้าหลี่ซื่อหลาง รับรองว่าไม่ใช่ยาที่ทำให้ถึงแก่ความตาย ตรงกันข้าม ค่ำคืนนี้อีกฝ่ายจะได้ขึ้นสวรรค์เลยต่างหาก

…ก่อนที่จะตื่นมาพบกับนรกของจริง…

เวลาไม่นาน หลี่ซื่อหลางเดินกลับมาพร้อมกับใบหน้าเปียกชื้น เสื้อผ้าบางส่วนเปียกน้ำ ดูเหมือนจะพยายามเรียกสติตัวเองให้ตื่นน่าดู

“ท่านหมอ ข้าต้องขอโทษด้วย แต่คงต้องกลับแล้ว”

“ทำไมกัน?” จางอวี๋เฉินเงยหน้าถาม “นั่งกินเป็นเพื่อนข้าอีกสักนิดเถิด”

“ข้าเป็นห่วงฟานตง”

“น้องชายท่านโตแล้วไม่ใช่?” จางอวี๋เฉินถือวิสาสะดึงหลี่ซื่อหลางนั่งลง “ซื่อหลาง น้องชายเจ้าไม่เป็นอะไรหรอก แต่ถ้าท่านไม่สบายใจ ดื่มถ้วยนี้แล้วข้าจะพากลับเลย ดีหรือไม่”

หลี่ซื่อหลางมีสีหน้าชั่งใจ ก่อนจะพยักหน้า

“ก็ได้…”

ร่างโปร่งยกถ้วยเหล้าขึ้นจ่อริมฝีปาก กระดกรวดเดียว รู้สึกขมคอจนต้องยู่หน้า

จางอวี๋เฉินยิ้มบาง

“ไปเถิด ข้าจะพาท่านกลับเอง”






-------------------------------------------------------------







To be continued...






หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๕ :: UPDATE 04.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 04-08-2015 17:18:32
ยาปลุกป่ะ?
หย่งคังรีบมาช่วยซื่อหลางเร็วเร้ววว
รอตอนหน้าจ้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๕ :: UPDATE 04.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 04-08-2015 19:35:39
ฮ่วยยย อิหมอนี่ พี่ซื่อหลางเป็นของหย่งคังเท่านั้นค่า คนเค้าถนอมของรักมากี่ปี จะยอมได้ไง
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๕ :: UPDATE 04.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 07-08-2015 00:26:31
ซื่อหลางคนซื่อ

หย่งคังมาเร็วๆ นะ

ว่าแต่...ฟานตงจะรอดจากหยงเทียนไหมอ้ะ? อิอิ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๕ :: UPDATE 04.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 07-08-2015 11:28:41
 :katai1: กรี๊ดด ค้างอ่าาา
หย่งคังมาช่วยซื่อหลางเร็ววว
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 08-08-2015 19:33:53




ดอกท้อที่๑๖






ตลอดทางหลี่ซื่อหลางรู้สึกเหมือนล่องลอยในอากาศ ไม่ได้สติ แม้ยามที่ถูกจางอวี๋เฉินชักจูงให้เดินตาม ก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่ขาของตัวเอง

“ถึงแล้ว…”

จางอวี๋เฉินบอกถึงบ้านแล้ว แต่หลี่ซื่อหลางรู้สึกราวกับไม่คุ้นสถานที่

นี่ไม่ใช่ห้องนอนของเขา

แผ่นหลังค่อยๆ สัมผัสความอ่อนนุ่มของเตียงชั้นดี หลี่ซื่อหลางขยับตัวเข้าหาความอบอุ่น ขณะเดียวกันก็รู้สึกเย็นวาบจากมือที่ค่อยๆ ถอดเสื้อของเขาออกทีละชิ้น ทีละชิ้น และทีละชิ้น

“ท่านขาวกว่าที่ข้าคิด ซื่อหลาง” นิ้วยาวลากผ่านเอว จุดอ่อนของเขา ซื่อหลางรู้สึกร้อนขึ้นมาไม่ทราบสาเหตุ

“ท…ท่านหมอ”

ปรือตาอย่างยากลำบาก เห็นเค้าโครงจางอวี๋เฉินที่กำลังคร่อมทับเขาอยู่ ในสภาพที่ตัวเขาเปลือยล่อนจ้อน แต่อีกฝ่ายยังมีกางเกงผ้าโปร่งสวมทับอยู่ ฝ่ายนั้นยิ้มให้ โน้มตัวลงประทับจูบบนหัวไหล่ของเขา ลากลิ้นเปียกแฉะมาที่หน้าอกก่อนจะเม้มอย่างแผ่วเบา

“อ…อื้อ”

นั่นเสียงของเขา?

หลี่ซื่อหลางไม่ได้ไร้เดียงสาขนาดนั้น สถานการณ์แบบนี้เขารู้ดีว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เจ้าตัวส่ายหน้าช้าๆ “ไม่…อ…อย่า” ยกแขนดันหน้าอกแกร่ง แต่อีกฝ่ายกลับกำรอบข้อมือของเขา จับตรึงเหนือศีรษะด้วยแรงที่หลี่ซื่อหลางไม่อาจขัดขืน

“ข้าไม่ทำรุนแรงหรอก สัญญา” จางอวี๋เฉินกดแขนเขาเน่นลงกับเตียง “แต่ถ้าท่านดื้อนัก ข้าก็ไม่รับประกัน”

“ท…ทำ…แบบนี้ทำไม”

“ทำไมน่ะหรือ?”

จางอวี๋เฉินเลียใบหูของเขา “ข้าอยากเห็นคนอกแตกตายน่ะ”

…หลี่ซื่อหลางไม่เข้าใจ…

ถ้าเป็นเรื่องที่เขาจะปฏิเสธอีกฝ่าย ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้ อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเพื่อนกันได้ เหมือนจางอวี๋เฉินจะอ่านใจหลี่ซื่อหลางออก เขาก้มลงกระซิบข้างหู

“ไม่ใช่ท่านหรอก ซื่อหลาง แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ท่านสำคัญต่อเขา”

“ค…ใคร?”

แทบไม่มีเรี่ยวแรงพูด รู้สึกร้อนจนต้องหนีบขาเข้าหากัน ทรมานตรงจุดกึ่งกลางร่างอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่จางอวี๋เฉินกลับจับขาเขาแยกออก วนนิ้วแถวขาอ่อนจนร่างกายสั่นสะท้าน

“นั่นสิ ใครน้า?”

“ฮะ…ย…หยุ…ด” หลี่ซื่อหลางกัดปากจนเลือดซิบ จางอวี๋เฉินจึงก้มลงจูบเขา ได้ยินเสียงชื้นแฉะน่ารังเกียจ หลี่ซื่อหลางพยายามหันหน้าปฏิเสธ แต่จางอวี๋เฉินยิ่งบังคับให้รับรสจูบอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนกระทั่งเขาทำท่าจะขาดอากาศหายใจ ถึงได้ยอมผละออก

“ซื่อหลาง ท่านหวานขนาดนี้ ข้าชักติดใจ”

ทำไม…

น้ำอุ่นไหลจากตา แม้ไม่สะอื้น แต่หลี่ซื่อหลางรู้สึกเจ็บจนบอกไม่ถูก ร่างกายของเขาถูกอีกฝ่ายสัมผัส แม้จะรู้สึกร้อนรุ่ม แต่กลับทำให้รู้สึกแย่อย่างที่คาดไม่ถึง

 “อย่าจับ…”

หลี่ซื่อหลางดิ้น แต่ไม่สามารถหนีจางอวี๋เฉินพ้น ร่างกายทรยศถูกชักจูงจนสติใกล้เลือนหาย

โครม!!

จู่ๆ ประตูก็ถูกพังเข้ามา หลี่ซื่อหลางรู้สึกว่าจางอวี๋เฉินหยุดหยอกล้อกับร่างกายของเขาชั่วขณะ กระนั้นก็ไม่มีแรงพอจะลืมตาดูว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ภาพทุกอย่างเลือนเพราะน้ำตาที่นองหน้า หลี่ซื่อหลางรู้สึกสมเพชตัวเองอย่างถึงที่สุด

ได้ยินเสียงคนปะทะคารมกัน เสียงข้าวของเสียหาย รู้สึกถึงความโกลาหลรอบตัว

หลี่ซื่อหลางขดตัว หน้าผากแนบชิดหัวเข่า ร่างกายเปลือยเปล่าหากไม่สามารถคว้าผ้าห่มมาปิดบังร่างตัวเองไว้ได้ ความต้องการยังพุ่งพล่านอยู่ข้างใน สัมผัสของจางอวี๋เฉินตอนนั้นทำให้มันทวีความรุนแรง

เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดไม่มีใครรู้ หลี่ซื่อหลางกอบกุมส่วนนั้น ช่วยให้ตัวเองพ้นจากความทรมาน หากไม่รู้สึกสุขสมแม้แต่นิด





ทรมานเหลือเกิน





“หย่ง…คัง…” เอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างออกไปโดยไม่ทันคิด หลี่ซื่อหลางแทบไม่รู้อะไรเป็นความจริง อะไรเป็นความฝัน






ความวุ่นวายเมื่อกี้จบลงแล้ว ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้

“ซื่อหลาง…”

สัมผัสผ้าบางห่อตัวเข้าไว้ ก่อนที่จะถูกอุ้มขึ้นจากเตียง

“ข้ามารับท่านแล้ว”





-------------------------------------------------------------





หย่งคังแทบคุมสติไม่อยู่ตอนที่เห็นหลี่ซื่อหลางนอนอยู่ใต้ร่างจางอวี๋เฉิน

เรียกได้ว่าสติขาดผึง!!

จากที่ตั้งใจจะเจรจาแล้วสั่งสอนเล็กน้อย หย่งคังงัดวิชาทุกเม็ดอัดใส่อีกฝ่ายจนน่วมเป็นกุ้งแช่น้ำปลา ยอมรับว่าทางกายภาพ จางอวี๋เฉินสูสีกับเขา แต่หากเป็นเรื่องกำลังภายในหรือการต่อสู้ เขาได้เปรียบกว่าเห็นๆ

“คุณชายขอรับ!”

จื่อเยี่ยนรีบเข้ามาห้าม ดึงหมัดของเขาเอาไว้ “ถ้าเขาตาย เราจะไม่ได้ยาถอนพิษนะขอรับ!”

หย่งคังหายใจฟืดฟาด ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ยอมปล่อยมือจากคอเสื้อคนที่เลือดกลบปากสลมคาที่ไปนานแล้วในที่สุด

จื่อเยี่ยนถอนหายใจโล่งอก

“หิ้วมันกลับไป ขังไว้ไม่ต้องให้ข้าวให้น้ำ!”

มองดูคนเป็นนายทำสีหน้าเคียดแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้ว่าคนเป็นนายกำลังของขึ้น น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง จื่อเยี่ยนจึงโค้งรับคำสั่ง

“ขอรับ”

ผู้ติดตามหันไปประสานงาน เรียกคนรับใช้สองสามคนเข้ามาช่วยกันหิ้วปีกจางอวี๋เฉินในสภาพร่อแร่ ดูทางแผนการที่จะเอายาถอนพิษวันนี้คงต้องเลื่อนไปก่อน แต่นายท่านเลี่ยงหวงรอนานไม่ได้ จื่อเยี่ยนคงต้องคอยกำชับคุณชายตอนที่เขาอารมณ์ดีกว่านี้

ทางด้านหย่งคัง เมื่อสงบสติอารมณ์ลงหน่อย ร่างสูงก็ตรงดิ่งไปที่เตียงกว้าง มองดูร่างโปร่งที่ขดตัวอย่างทรมาน ผิวที่เคยขาวแดงระเรื่อ หย่งคังต้องห้ามใจตัวเองก่อนจะคว้าผ้ามาห่อตัวอีกฝ่ายก่อนจะอุ้มขึ้นแนบอกอย่างแผ่วเบาราวกับแก้วที่แสนเปราะบาง หากไม่ปกป้องไว้ดีๆ ก็จะแตกสลาย

“ซื่อหลาง… ข้ามารับท่านแล้ว”

หย่งคังไม่ได้พาหลี่ซื่อหลางกลับบ้านของเจ้าตัว แต่พามาที่เรือนเล็กบ้านตระกูลจางแทน

“จื่อเยี่ยน ระหว่างนี้ไปบอกข่าวฟานตง น้องชายของซื่อหลาง ว่าพี่ชายเขาจะปลอดภัยดีหากอยู่กับข้า” คนเป็นนายหันไปบอกก่อนจะอุ้มคนไม่ได้สติเข้าเรือน

หากจื่อเยี่ยนกลับคิดว่านั่นอาจยิ่งสร้างปัญหา

จากที่สังเกต ฟานตงหัวดื้อและมีท่าทีไม่ชอบนายของเขา หากบอกไปตรงๆ ว่าเอาหลี่ซื่อหลางมาอยู่ด้วยสักพัก มีหวังบ้านแตก เขาคงต้องปรับคำพูดเสียหน่อยกระมัง

ทางด้านหย่งคัง ร่างสูงค่อยๆ วางตัวหลี่ซื่อหลางลงกับที่นอน ทว่าสองแขนบางกลับตวัดรอบคอเขาไว้ กระซิบบางอย่างข้างหู

“หย่ง…คัง…”

…อย่าทำแบบนี้…

“ซื่อหลาง ปล่อยมือเถิด ข้าจะให้ท่านนอนสบายๆ”

“หย่งคัง…ข้า…ทรมาน” หลี่ซื่อหลางไม่ยอมปล่อย แล้วหย่งคังก็เพิ่งตระหนักถึงอะไรบางอย่างที่ดันหน้าท้องของเขา ใบหน้าแดงจากฤทธิ์ยา หย่งคังกำมือแน่น แค้นใจอยากกลับไปอัดเจ้านั่นให้จมดิน!

“อื้อ…ร้อน…ช่วยหน่อย…ข้าร้อน…”

หลี่ซื่อหลางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพูดอะไรออกมา กระนั้นหย่งคังก็กำลังจะห้ามใจไม่อยู่

“ซื่อหลาง ข้าจะทนไม่ไหว ท่านอย่ายั่วข้าได้หรือไม่” ลมหายใจหย่งคังร้อนพอๆ กับหลี่ซื่อหลาง อีกฝ่ายทำไปเพราะไม่ได้สติ เบียดความต้องการเข้าหาคนตัวสูง หย่งคังต้องรีบอุ้มอีกฝ่ายไปที่บ่อน้ำ ผิวหนังสัมผัสความเย็นทันทีที่ลงไปแช่ทั้งร่าง เขาจับหลี่ซื่อหลางให้หันหลังชนแผ่นอก ตระคองกอดไว้หลวมๆ

“ดีขึ้นหรือไม่?”

“อื้อ…” หลี่ซื่อหลางยังบิดตัวไปมา และมันทำให้บางอย่างของเขาตื่นตัว

“ซื่อหลางอยู่นิ่งๆ!”

เป็นครั้งแรกที่หย่งคังขึ้นเสียงใส่หลี่ซื่อหลาง อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่อยู่ในอารมณ์ตกใจ ยิ่งเบียดตัวเข้าหามากกว่าเดิม

“หยุด! อย่าทำแบบนี้”

ใช่ว่าหย่งคังไม่เคยหาเศษหาเลยกับตัวหลี่ซื่อหลาง ก่อนที่เขาจะมาเป็นคุณชาย ตอนที่ยังอยู่กับหลี่ซื่อหลางที่บ้านหลังนั้น เขาเคยสัมผัสร่างกายนี้อยู่บ่อยครั้ง

แต่อีกฝ่ายไม่ได้ยั่วเขาแบบนี้!

“หย่งคัง…”

จู่ๆ หลี่ซื่อหลางก็พลิกตัวกลับ กอดรัดลำคอของเขา ซุกใบหน้าลงและงับเบาๆ

“…คิดถึงเจ้าเหลือเกิน…”





และแล้ว…


ความอดทนของหย่งคังก็ขาดสะบั้นลง!




-------------------------------------------------------------



หลี่ซื่อหลางรู้สึกล่องลอย

ตัวของเขาเหมือนถูกปลดปล่อยครั้งแล้วครั้งเล่า ปลอดภัยในอ้อมกอดแข็งแกร่ง ได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่ เหมือนกับว่าช่องว่างในใจถูกกำจัดออกไปจนหมดสิ้น

นี่เป็นความฝันหรือ?



แล้วหลี่ซื่อหลางพบว่าไม่ใช่

แสงแดดลอดจากผ้าม่าน รบกวนคนกำลังนอนสบาย ร่างโปร่งค่อยๆ ลืมตา ปรับโฟกัสมองเพดานขาวที่ไม่คุยเคย เตียงนอนนิ่มและกว้างเกินกว่าที่ห้องนอนเขาจะมี แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเคยนอนบนเตียงนี้มาแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ตื่นมาก็ยังรู้สึกงุนงง มองไปรอบๆ รู้เลยว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเขา

“ตื่นแล้วหรือขอรับ”

ใบหน้าที่ดูคุ้นๆ ยิ้มต้อนรับเช้าวันใหม่ ห่างจากเตียงไปสามฟุต ข้างๆ กันนั้นมีสำรับอาหารส่งกลิ่นหอมจนท้องของเขาร้องประท้วง

“ท่านคงจะหิว หลับไปตั้งหนึ่งวันเลยนะขอรับ” ผู้ชายตัวเล็กท่าทางสุภาพเดินเข้ามาใกล้ หยิบแก้วน้ำและผ้าสะอาดให้ “จะได้สดชื่นขอรับ”

หลี่ซื่อหลางไม่รู้ว่าเสียงของตนหายไปไหน แต่เขาก็รับมามา ใช้ผ้าขาวเช็ดใบหน้า ความเย็นและหอมทำให้รู้สึกสดชื่น ก่อนจะดื่มน้ำดับความกระหาย ผู้ชายคนเดิมรับผ้าที่ใช้แล้วกับแก้วว่างเปล่าคืนไป ก่อนจะช่วยประคองให้เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพิงพนักเตียง

และนั่นทำให้หลี่ซื่อหลางพบว่าร่างกายของเขาร้าวไปทั้งร่าง

“โอย…”

รู้สึกหน้าจะมืด ความเจ็บส่วนไหนก็ไม่เท่าที่สะโพก รู้สึกชาหนึบราวกับมีอะไรเสียบคาอยู่

“นี่ข้า…?” เสียงของหลี่ซื่อหลางกลับมาแล้ว แต่ก็แหบแห้งเหมือนไม่ใช่เสียงของเขา “เกิดอะไรขึ้น?”

“ท่านซื่อหลาง ที่นี่คือเรือนดอกท้อของคุณชายเล็ก”

“เรือนอะไรนะ?” หลี่ซื่อหลางรู้สึกหัวหมุน จับต้นชนปลายไม่ถูก

“เรือนดอกท้อขอรับ” ชายคนนั้นทวนซ้ำ “ข้าชื่อจื่อเยี่ยน ต่อไปนี้ ข้าจะเป็นคนคอยดูแลท่าน หากมีอะไรสามารถบอกข้าได้โดยตรง”

“จื่อเยี่ยน?”

ในหัวหลี่ซื่อหลางมีแต่คำถามเต็มไปหมด แต่หนึ่งในคำตอบที่ต้องการถูกแถลงไขแล้ว ผู้ชายตรงหน้าเขาชื่อจื่อเยี่ยน และเขาอยู่ในเรือนดอกท้อของคุณชายเล็ก…คุณชายเล็ก?

…หย่งคัง?!

“ที่นี่บ้านตระกูลจางหรือ” หลี่ซื่อหลางถามออกไป แต่รู้สึกไม่อยากได้ยินคำตอบ

“ขอรับ”

“ทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่?!”

จื่อเยี่ยนเลิกคิ้วเล็กน้อย “จำอะไรไม่ได้เลยหรือขอรับ”

หลี่ซื่อหลางมองหน้าจื่อเยี่ยนกลับ สลับกับมองสภาพตัวเอง ตอนนี้เขาสวมชุดผ้าฝ้ายสีขาวชั้นดี บนเตียงกว้าง แถมยังมีสำรับอาหารถึงที่ ดูแล้วไม่ธรรมดา

ร่างโปร่งหลับตาลง พยายามเค้นความจำก่อนหน้านี้

เขาออกไปกินข้างกับจางอวี๋เฉิน แล้วก็เมา เหมือนจะโดนอีกฝ่ายพยายามขืนใจ…แล้วก็…หรือเขาโดนอีกฝ่ายกด?

“ท่านหมออยู่ไหน?”

ไวกว่าความคิด หลี่ซื่อหลางเรียกหาต้นตอปัญหา

“ท่านซื่อหลาง จางอวี๋…”

“ตื่นมาก็เรียกหาเจ้านั่นหรือ?”

ไม่ใช่จื่อเยี่ยนที่ตอบคำถาม หากเป็นคนคุ้นเคยที่เดินเข้ามาในชุดลำลอง ใบหน้ามีแววหงุดหงิดเล็กน้อย “จื่อเยี่ยน เจ้าออกไปก่อน”

“ขอรับ คุณชาย”

“ด…เดี๋ยว!” หลี่ซื่อหลางจะคว้าแขนจื่อเยี่ยนไว้แต่ไม่ทัน

และแล้วห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบที่น่าอึดอัด หลี่ซื่อหลางไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่าย รู้สึกคิดถึง แต่ก็เจ็บปวดเกินกว่าจะคิดเข้าข้างตัวเองไปต่างๆ นาๆ

“ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง?”

เป็นหย่งคังที่ทำลายความเงียบลง หลี่ซื่อหลางเงยหน้าขึ้น

“หมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าหมายถึงท่านเจ็บตรงไหนจนทนไม่ไหวหรือเปล่า ข้าจะตามหมอให้”

“ม…ไม่” หลี่ซื่อหลางรีบตอบ

จะให้บอกหรืออย่างไรว่าเจ็บก้น?

ไม่มีทาง!

หย่งคังมีแววตาอ่อนลง ค่อยๆ นั่งลงข้างเตียง “อย่าฝืนตัวเอง ข้ารู้ว่ามันเป็นครั้งแรกของท่าน” หลี่ซื่อหลางก้มหน้าไม่ตอบ เห็นว่าเอาแต่นั่งเงียบหย่งคังจึงได้แต่ถอนหายใจ

“แล้วเมื่อกี้ถามหาท่านหมอทำไม”

“…”

“ซื่อหลาง…” หย่งคังกดเสียงต่ำ

“…ข้าแค่อยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

หย่งคังคิ้วกระตุกรัว “ท่านจะอยากรู้ไปทำไม?”

“ครั้งสุดท้าย ข้าจำได้ว่าอยู่กับเขา” หลี่ซื่อหลางตอบไปตามตรง แต่คำตอบนั่นดูเหมือนจะไม่เป็นที่หน้าพอใจนัก คิ้วของอีกฝ่ายกระตุกทันที

“ท่านจำเรื่องต่อจากนั้นไม่ได้?”

“เรื่องอะไร?”

หลี่ซื่อหลางรู้สึกสับสน ลำพังที่จู่ๆ เขาก็โผล่มาอยู่ที่นี่ก็นับว่าแย่พอแล้ว แต่การถูกน้องเล็กที่เปลี่ยนไปเป็นคนละคนมานั่งข้างๆ ซักถามอะไรแปลกๆ ยิ่งทำให้หลี่ซื่อหลางอยากเอาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด

“จำไม่ได้จริงๆ หรือ?”

แวบหนึ่งสีหน้าหย่งคังมีร่องรอยความเจ็บปวด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชา

“ทานอาหารเช้าแล้วพักผ่อนให้มากๆ เถิด” หย่งคังลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ช่วยยกสำรับอาหารมาให้ถึงมือ ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไป “ระหว่างอยู่ที่นี่ ท่านช่วยทบทวนความจำเรื่องเมื่อคืน แล้วข้าจะมาฟังคำตอบว่าท่านนึกอะไรออกบ้าง หลี่ซื่อหลาง”

หา?

เจ้าของชื่อได้แต่มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปหลังประตู





-------------------------------------------------------------






To be continued...







หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 08-08-2015 19:48:39
ตัดฉากนั้นออกได้อย่างโหดร้ายมาก :hao7:
ซื่อหลาง หนูไปทำให้หย่งคังตบะแตกเองนะลูก ช่วยไม่ได้~ อิอิ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: leefever ที่ 08-08-2015 20:38:06
อะไรล่ะเนี่ยย. พี่ซื่อหลางจำให้ได้เร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 08-08-2015 20:45:23
จำให้ได้นะพี่ซื่อหลางงง หย่งคังอุตส่าห์ไปช่วย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ไม่เคย ที่ 08-08-2015 20:56:55
น้อยจุงงง :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 08-08-2015 21:08:07
พี่ซื่อหลางจำไม่ได้จริงๆหรอ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๖ :: UPDATE 08.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 08-08-2015 21:17:13
สนุกและน่าติดตามมากๆค่ะ

พอหย่งคังกับหลี่ซื่อหลางอยู่ด้วยกันแล้วน่ารักจัง  อยู่ด้วยกันนานๆนะคะ ชอบๆ
ขอบคุณนักเขียนมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 20-08-2015 15:30:30



ดอกท้อที่ ๑๗ (ครึ่งแรก)





จางอวี๋เฉินถูกจับขังทรมานอดข้าวอดน้ำอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม ขาและแขนถูกโซ่พันธนาการ

ประตูห้องถูกเปิดออก ฝีเท้าของใครบางคนสืบเข้ามาใกล้ “อวี๋เฉิน”

เสียงเรียกทำให้เขาลืมตาขึ้นช้าๆ แต่ไม่ยอมลุกจากพื้นห้องเย็นเชียบ “ลุกขึ้นมา” หย่งคังเอ่ยเสียงเรียบ ทว่ากลับมีแต่ความเงียบที่โต้กลับมา

“จะไม่ยอมเจรจากันดีๆ?”

“หึ” จางอวี๋เฉินหัวเราะ “อย่าทำให้ข้าขำเลย เฟยหลง การที่ข้าตกอยู่ในสภาพเป็นรองเช่นนี้ เจ้ายังจำเป็นต้องเจรจา?”

“ถ้าเจ้าไม่อยากเจรจา ก็บอกที่ซ่อนยาถอนพิษมา”

หย่งคังย่อตัวลงข้างๆ อีกฝ่าย ใบหน้ามันยังหลงเหลือร่องรอยฟกช้ำ แต่ไม่ปูดบวมเหมือนก่อนหน้านี้ ประการหนึ่งก็ผิดที่หย่งคัง เขาดันทำอะไรบุ่มบามจนเกือบฆ่าคนตรงหน้าตายคาที่เสียแล้ว

“เจ้าได้หลี่ซื่อหลางไปแล้วนี่ จะเอายาถอนพิษอีกหรือ โลภมากเหมือนบิดาเจ้าไม่มีผิด!”

“หุบปาก!”

หย่งคังตะคอกเสียงดัง พยายามระงับอารมณ์ตัวเอง “ถ้าเจ้าบอกที่ซ่อนยาถอนพิษ ข้าจะปล่อยเจ้ากลับไปใช้ชีวิตสมถะในชนบทสักแห่ง แล้วไม่ต้องเสนอหน้ากลับมาเมืองหลวงอีก ดีหรือไม่”

“แหม ใจกว้างจริงๆ ญาติข้า”

จางอวี๋เฉินหัวเราะราวกับคนบ้า “แต่ว่านะ ข้าชักจะติดใจรสสัมผัสหลี่ซื่อหลางเสียแล้วสิ ตัวของเขาหวาน…อุ่ก!” หมัดแน่นชกเข้าที่หน้าและท้องอย่างแรง จางอวี๋เฉินงอตัวด้วยความจุก

“ขืนพูดมาก ข้าจะตัดลิ้นเจ้า!”

“ฮ่ะๆๆ” อีกฝ่ายหัวเราะจนตัวโยน ถุยเลือดออกจากปาก “แปลว่าเจ้าเลือกซื่อหลาง ถ้างั้นก็อย่ามาหวังเอายาถอนพิษกับข้า!”

“คายที่ซ่อนออกมา!”

“คุณชายเฟยหลง…” จางอวี๋เฉินเหลือบตามองร่างที่สูงใหญ่กว่าตนเล็กน้อย “โลภมากลาภหายนะขอรับ”

“ไม่ต้องมาเล่นลิ้น!”

“ข้าเล่นลิ้นกับคนน่ารักๆ อย่างซื่อหลางเท่านั้นแหละ”

พลั่ก!!

หย่งคังกระทืบจางอวี๋เฉินเต็มแรง เห็นหน้ามันก็ยิ่งหงุดหงิด ภาพที่ซื่อหลางถูกมันคร่อมยังติดตา ซ้ำเมื่อเช้าร่างโปร่งก็จำเรื่องราวระหว่างเขาไม่ได้ ความโมโหจึงลงอยู่ในหมัดและแรงถีบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ฝ่ายโดนกระทำกระอักเลือดออกจากปาก หย่งคังถึงได้หยุด

“แรง…ดีเหลือเกินนะ”

แม้จะบาดเจ็บแค่ไหน จางอวี๋เฉินก็ยังต่อปากต่อคำได้ไม่เลิกลา

“เงียบปากซะ!” หย่งคังเดินไปทางประตู ทิ้งท้ายด้วยอารมณ์คุกรุ่น “ก่อนที่ข้าจะต้องใช้เข็มสอยปิดปากเจ้า!”

ปัง!  ปิดประตูห้องขังจำเลยเสียงดัง

จางอวี๋เฉินถอนหายใจ ล้มตัวลงนอนราบกับพื้น บางครั้งเขาก็ถามตัวเองว่ากำลังทำอะไรอยู่

แต่แล้วก็ต้องเลิกคิด

เขามาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับ ดีไม่ดีก็อาจตายเป็นผีอาฆาตอยู่ในห้องนี้ เถอะ… เช่นนั้นตระกูลจางอย่าได้หวังให้หมอผีเก่งกาจคนไหนสามารถขับไล่ดวงวิญญาณเขาไปสู่สุขคติเลย เขาจะเป็นผีตามล้างแค้นพวกมันไปจนสุดขอบนรก!

จางอวี๋เฉินยกมือแตะขอบปาก เลือดสีแดงไหลซิบ

ระหว่างที่คิดอะไรไปเพลินๆ ชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูถูกเปิดออก ปรากฏร่างบางของคนหน้าคุ้นๆ


อ้อ…


เจ้าที่ตามก้นคุณชายต้อยๆ?


“ถ้าจะมาถามเรื่องยาถอนพิษ อย่าเสียเวลา รีบฆ่าข้าเลยก็ได้”

“ข้าไม่ได้มาฆ่าท่าน”

จื่อเยี่ยนนั่งยองกับพื้น ตำแหน่งเดียวที่หย่งคังยืนอยู่ก่อนหน้านี้ มือเล็กหยิบขนมปังออกจากกระเป๋าเสื้อ วางลงในมืออีกฝ่าย

“รับนี่ไป”

“อาบยาพิษไว้?”

จื่อเยี่ยนขมวดคิ้ว “เปล่า ขนมปังธรรมดา”

“ให้ข้าทำไม” จางอวี๋เฉินถามกลับ

“กินไปเถอะ อย่าถามมาก”

จางอวี๋เฉินดมๆ ขนมปังดูว่าปลอดภัยอย่างว่าหรือเปล่า ก่อนจะกัดเข้าปากหนึ่งคำ รสชาดอาหารที่ไม่ได้ลิ้มลองมาสองวันทำให้รีบยัดที่เหลือลงท้องอย่างหิวโหย แค่ขนมปังธรรมดาก็อร่อยเลิศได้ในเวลานี้
แล้วกระบอกน้ำเล็กๆ ถูกส่งให้

“ดื่มน้ำซะ”

จางอวี๋เฉินไม่ถามอีกแล้ว เขารับมาดื่มดับกระหาย

“ทำแบบนี้ข้าก็ไม่บอกที่ซ่อนหรอกนะ” ร่างสูงกระตุกยิ้ม มองใบหน้าเย็นชาน่าหมั่นไส้ของอีกฝ่าย แต่อดยอมรับไม่ได้ว่ามีเสน่ห์ดึงดูดใจนัก

“เดี๋ยวเจ้าก็ยอมบอกเอง”

“หึ!” จางอวี๋เฉินวางกระบอกน้ำลงก่อนจะเอนตัวนอนราบกับพื้น “อย่ามั่นใจไปหน่อยเลย หนูน้อย”

หนูน้อย?

คิ้วจื่อเยี่ยนกระตุก เกิดมายังไม่เคยมีคนดูถูกเขาเช่นนั้น

 “ปากท่านเลี้ยงสุนัขไว้กี่ตัว?” คนตัวเล็กเก็บกระบอกน้ำไว้ใต้เสื้อ หยัดตัวลุกขึ้นยืน “ข้าไม่แปลกใจที่สภาพท่านน่วมขนาดนี้เลย จางอวี๋เฉิน”

“ถ้าเจ้าสนใจปากข้า ทำไมไม่มาลองเองล่ะ”

“อย่าดีกว่า” จื่อเยี่ยนยิ้มหน้าตาย ดูยังไงก็เหมือนแยกเขี้ยวมากกว่า “ถ้าอยากมีอาหารและน้ำกิน ท่านคงฉลาดพอที่จะไม่บอกใครเรื่องนี้”

จางอวี๋เฉินเลิกคิ้ว นึกแปลกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย แต่ไม่ทันได้ถาม เจ้าตัวเล็กก็ออกไปจากห้องเสียแล้ว

แอบเอามาให้?

จางอวี๋เฉินนิ่งไปสักพัก ก่อนจะหัวเราะกับตัวเอง

ตระกูลจางก็มีอะไรน่าสนใจเหมือนกัน





-------------------------------------------------------------






To be continued








ชี้แจง : มาสั้นเท่าหางกบ...ขอกราบขอโทษนักอ่านทุกท่านนนนน
ถือว่าเป็นการลงอะไรสั้นๆ มัดจำกันว่าจะมาต่อ เหตุด้วยว่า
ช่วงนี้นักเขียนยุ่งกับโปรเจคมหาลัยอยู่ค่ะ
ทำให้มีเวลามาอัพน้อยลงมาก เวลานอนยิ่งไม่มีเลย กร๊ากกกกกก
ยังไงๆ ก็อยากให้รอและติดตามกันนะคะ (ร้องไห้กระซิก)
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหน นักเขียนสัญญาแล้วว่าต้องต่อให้จบ!







หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 20-08-2015 17:52:06
โอ้ววว เปิดตัวอีกคู่แล้วสินะ -.,-
ดีๆๆ จะได้ลงตัว ครบคู่ อิอิ
รอตอนหน้าอยู่น้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Lovetree ที่ 20-08-2015 22:43:08
รอหย่งคังกับซื่อหลางหวานกันค่ะ

ขอบคุณนักเขียนมากๆนะคะ รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 21-08-2015 00:07:34
หย่งคังขี้งอนนนน
อย่าโกรธซื่อหลางเลยพี่แกโดนยาน้าา

/วุ่นๆกับงานมหาลัยเหมือนกันเลย เข้ามาหาอะไรแก้เครียดอ่าน :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: oiw08 ที่ 22-08-2015 14:02:53
อ่านรวดเดียวตั้งแต่1-17เลยค่ะ สนุกมากๆค่ะ
ฟานตงน่ารักกกกกกกกก >__<
เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
รอตอนต่อไปอยู่นะค่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 22-08-2015 17:29:13
จามอ่านแบบรวดเดียว ไม่เป็นอันทำงานทำการ ชอบการเขียนสไตล์นี้มั่กกกกกก
แม้ตอนแรกเกือบแอบถอดใจแล้วก็ตาม สงสารหย่งคงของเก๊าาาา เปิดมาดราม่าเลอออ
มาถึงตอนล่าสุดก็ยังรอนะคะ รอฉากสองพี่น้องสวีทหวาน ก๊าวใจไรแบบนี้ งือออออ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: me12inzy ที่ 22-08-2015 18:20:05
จื่อเหยี่ยนจะได้คู่รึเปล่าน้า ให้อิตาหมอนิสัยดีก่อนละกัน ไม่งั้นเจ้ไม่ยอมมม
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 25-08-2015 08:46:39
ตามอ่านทันแล้ววววว

ขอโทษที่ไม่ได้แวะมาให้กำลังใจเสียหลายตอน ภารกิจชีวิตมัดตัวพอๆ กับคุณนัทซึไคริเลย

เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นอีกแล้ว สนุกๆๆๆๆ

อะไรคือซื่อหลางล่องลอย ปลดปล่อย? เราสงสัยยยยยยย? ทำไมปล่อยให้เราจินตนาการเองอย่างล่องลอย ฮรือออออ

คุณผู้ช่วยกับคุณหมอนี่ยังไง? ฉันจิ้นนะ บอกเลย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 20.08.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: kanhomtianq ที่ 30-08-2015 08:50:59
ถ้าตอนใหม่จะสั้นขนาดนี้  o22
กะจะทำคนอ่านลงแดงตายให้ได้ใช่มั้ยคะ !?
 :z3: :z3:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 12-09-2015 22:26:11





ดอกท้อที่ ๑๗ (ครึ่งหลัง)






หลังจากที่จื่อเยี่ยนเดินผ่านพ้นประตู หัวใจเจ้ากรรมที่ดูเหมือนจะเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้เขานึกประหลาดใจ

ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรก ใบหน้าคมเข้ม แม้จะหล่อเหลาได้ไม่เท่าหย่งคัง นายของเขา แต่ก็มีเสน่ห์ดึงดูดใจพิลึก จื่อเยี่ยนพบว่าตัวเองใช้เวลาไปกับการแอบมองหมอหนุ่มคนนี้นานพอสมควร เขาพลั้งตัวเข้าไปห้ามไม่ให้หย่งคังกระทืบท่านหมอตายจมกองเลือดไปเสียก่อน ที่น่าแปลกกว่านั้น จื่อเยี่ยนเพิ่งลอบเอาอาหารและน้ำให้นักโทษในเรือนจำดอกท้อแห่งนี้โดยไม่มีคำว่าลังเล

เขาเป็นคนคิดทุกอย่างรอบคอบเสมอ แต่ครั้งนี้ไม่

สิ่งที่ทำให้จื่อเยี่ยนไม่เป็นตัวของตัวเองแบบนี้...ช่างน่ากลัวนัก…

ร่างบางเดินลัดไปทางห้องครัว วางกระบอกน้ำลงกับโต๊ะก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ เฮ้อ…หรือว่าเขาจะโดนยาพิษอะไรจากเจ้าหมอนั่น? ก็ไม่น่า… จื่อเยี่ยนรู้สึกว่ายิ่งคิดยิ่งปวดหัว เขาหาคำตอบของคำถามเหล่านี้ไม่ได้

เท่าที่ทำได้ก็มีเพียงบอกตัวเองให้คิดก่อนทำให้มากกว่านี้เท่านั้น

“มาทำอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มดังจากด้านหลัง จื่อเยี่ยนหันกลับไปทักทาย

“ขอรับ คุณชายเล็ก”

“นั่นอะไร” หย่งคังเดินมาหยิบของบนโต๊ะใกล้มือจื่อเยี่ยน “เจ้าเอากระบอกน้ำมาทำอะไร?” คิ้วเข้มขมวดเป็นปม มองหน้าคนสนิทที่ใบหน้ายังเรียบเฉยราวกับไม่มีเรื่องอะไรปิดบัง แต่จนป่านนี้แล้วมีหรือที่หย่งคังจะไม่รู้ เพราะจื่อเยี่ยนเป็นคนสอนเขาเองเรื่อง ‘ใส่หน้ากาก’ 

“เอามาใส่น้ำขอรับ”

“ปกติไม่เห็นเจ้าพกสิ่งนี้” หย่งคังไล่ถาม เมื่อกี้เขาเห็นจื่อเยี่ยนหายเข้าไปในห้องที่ขังเจ้าจางอวี๋เฉินนานสองนาน “หรือเอาไปให้ใคร?”

จื่อเยี่ยนไม่ตอบ หย่งคังได้แต่พ่นลมหายใจออกมา “คิดดีแล้วใช่หรือไม่?”

จื่อเยี่ยนก้มหน้าลงเล็กน้อย คิดว่าตอนนี้นายของเขาคงเดาเรื่องทั้งหมดออก

“ดูไม่เหมือนเจ้าเลย จื่อเยี่ยน” หย่งคังกดเสียงลงต่ำ “หรือคำสั่งของข้าไม่น่าเชื่อถืออีกแล้ว ที่ข้าบอกให้อดข้าวอดน้ำมันสามวัน นี่แค่วันแรกเองมิใช่?”

“…ขออภัยขอรับ”

หย่งคังหน้านิ่ง “อย่าให้มีครั้งที่สอง”

“ขอรับ” จื่อเยี่ยนรับคำ รอจนกว่าคนเป็นนายหันหลังเดินจากไป คนตัวเล็กสังเกตเห็นความหงุดหงิดเด่นชัดบนใบหน้าเรียบเฉย หย่งคังคงพยายามสะกดอารมณ์น่าดู แหงล่ะ การที่คนสนิทให้ความช่วยเหลือศัตรู(หัวใจ?)อย่างจางอวี๋เฉินคงทำให้หัวเสียอยู่แล้ว

แต่เขาเองก็หัวเสียไม่แพ้กัน


…โมโหที่ไม่เป็นตัวเองเสียเลย…


จื่อเยี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง นับเป็นรอบที่ร้อยเห็นจะได้ ก่อนจะก้าวขาไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ตรงดิ่งไปที่ห้องนอนของคนเป็นนาย ซึ่งบัดนี้มีใครบางคนกำลังพักผ่อนอยู่ในนั้น จื่อเยี่ยนจำสภาพของหลี่ซื่อหลางได้ไม่ลืม ร่องรอยสีแดงบนตัวมากมายพวกนั้น เขาไม่ได้เดียงสาถึงจะไม่รู้ว่ามันคืออะไร เว้นเสียแต่เจ้าตัวที่ดูเหมือนจะจำอะไรต่อมิอะไรไม่ได้เสียอย่างนั้น ไม่สงสัยว่าทำไมหย่งคังถึงเดือดแต่เช้า

“ข้าเข้าไปนะขอรับ”

จื่อเยี่ยนเลื่อนประตูเปิด สังเกตเห็นร่างโปร่งมีสีหน้าอิดโรยเหมือนคนมีไข้ ดูท่าจะไม่ได้เคลื่อนตัวจากเตียงไปไหนเลย ดีหน่อยที่อาหารเช้าในสำรับพร่องลงไปบ้าง แม้จะไม่เยอะก็ตาม

“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ”

“ข้าสบายดี” เสียงแหบแห้งเอ่ยเบา หลี่ซื่อหลางกระแอมไอเล็กน้อย “เจ้าช่วย…เอ่อ…บอก เขา แทนข้าทีนะว่าข้าจะกลับแล้ว” ร่างโปรงยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่เกิดอาการหน้ามืดจนลมตึงลงไปกับเตียงอีกรอบ จื่อเยี่ยนรีบเดินเข้ามาช่วยประคอง

“ร่างกายท่านยังไม่หายดี…”

“ข้าไม่เป็นไร” หลี่ซื่อหลางลูบหน้าตัวเอง เขารู้สึกเพลียจริงๆ นั่นล่ะ แต่จะให้นอนอยู่ที่นี่น่ะหรือ? ไม่มีทาง …อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนที่เขานึกเรื่องเมื่อคืนออกแล้ว ถึงจะไม่ทั้งหมด แต่ก็ทำให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็ตีจุกขึ้นมาจนอยากจะฆ่าตัวเองทิ้งซะให้รู้แล้วรู้รอด


ใช่…


เขามีอะไรกับหย่งคัง…น้องชายตัวเอง

ทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความผิดพลาด อาจเป็นอุบัติเหตุ หรืออะไรก็ช่าง แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าเขาจะรู้สึกรังเกียจสัมผัสเหล่านั้นสักนิด… ตรงกันข้าม หลี่ซื่อหลางหลงระเริงในเพลิงราคะที่อีกฝ่ายมอบให้ ครั้งแล้วครั้งเล่าไม่เพียงพอต่อความต้องการ อยากถูกเติมเต็มจนล้น…น่ารักเกียจ…เขามันช่างน่ารังเกียจ

“ท่านควรพักผ่อนก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”

เห็นเงียบไปนาน จื่อเยี่ยนจึงตัดปัญญาบังคับให้อีกฝ่ายนอนราบลงบนเตียง ถึงเขาจะตัวเล็กกว่าหลี่ซื่อหลางไม่เท่าไหร่ แต่ดูท่าว่าจะแรงเยอะกว่ามากทีเดียว

“ข้านอนมากพอแล้ว”

“เห็นได้ชัดว่าไม่” จื่อเยี่ยนแย้ง “ร่างกายท่านรับอะไรหนักขนาดนั้น เป็นไข้ถือว่าปกติ หากอยากออกไไปจากที่นี่ ท่านก็ควรรักษาตัวให้หายเร็วๆ”

สีหน้าของหลี่ซื่อหลางเจื่อนลง กลายเป็นสีแดงสลับม่วง “…เจ้ารู้?”

“ข้าสังเกตของข้าเอง ไม่มีใครบอกหรอก อย่าห่วง” จื่อเยี่ยนรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่เขาก็เองเป็นคนไม่ชอบอ้อมค้อม ความจริงเป็นอย่างไร เขาก็พูดออกมาตามนั้น “ท่านหมอคนนั้นวางยาท่าน แต่คุณชายเล็กช่วยท่านเอาไว้ เขาพาท่านมาที่นี่เพราะไม่อยากให้เรื่องแพร่กระจายออกไปเท่านั้น จริงๆ แล้วอยู่ที่นี่ไปก่อนท่านจะหายน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีในเวลานี้”

“แต่…ข้าอยู่ไม่ได้”

“เพราะท่านไม่อยากอยู่เอง?” จื่อเยี่ยนลองเชิง

แต่หลี่ซื่อหลางกลับเสหน้าไปอีกทาง สีหน้าดูจริงจัง “ข้าทำบางอย่างที่ผิดมหันต์ คิดว่าไม่ควรแก่การให้อภัย เช่นนั้นข้าจึงควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด…ไม่ควรกลับมาอีก…”

“ผิดไม่ผิดอย่าเพิ่งตัดสินจนกว่าท่านจะได้ลองออกมายืนมองปัญหานั้นจากมุมมองไกลๆ” จื่อเยี่ยนพูดประโยคยากๆ เกินกว่าที่หลี่ซื่อหลางจะเข้าใจ บวกกับที่เป็นไข้ สมองเขายิ่งไม่แล่นเข้าไปใหญ่

“เอาเป็นว่า คุณชายเล็กจะเข้ามาดูอาการท่านเย็นนี้”

จื่อเยียนเอ่ย เห็นอีกฝ่ายเกร็งตัวขึ้นมาทันที “ทางที่ดี ท่านควรบอกเขาเอง ส่วนตอนนี้ พักผ่อนก่อนเถิด ท่านซื่อหลาง” จื่อเยี่ยนกระชับผ้าห่มคลุมให้อีกฝ่ายนอนสบาย แม้หลี่ซื่อหลางจะมีท่าทางไม่เห็นด้วย แต่ก็ยอมหลับตาลง ไม่นานเสียงหายใจก็สม่ำเสมอ ร่างโปรงหลับไปด้วยความเพลีย

“ราตรีสวัสดิ์ขอรับ”

เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายหลับสนิท จื่อเยี่ยนค่อยๆ เดินออกจากห้องอย่างแผ่วเบา

“คุณชายเล็ก?” เขาพบว่าคนเป็นนายยืนหน้าประตูอยู่ก่อนแล้ว ดูท่าจะไม่ได้เพิ่งมาเสียด้วย “ไม่เข้าไปหรือขอรับ”

หย่งคังส่ายหน้าเบาๆ “ยัง ข้าอยากให้เขาพักผ่อนก่อน”

“ท่านซื่อหลางหลับไปแล้วขอรับ”

“หากข้าเข้าไป เกรงเขาจะตื่นมาหอบผ้าหอบผ่อนกลับบ้านทันทีน่ะสิ” สีหน้าเรียบเฉยมีร่องรอยความเจ็บปวดฉาบอยู่ เหมือนประโยคที่เอ่ยเป็นดั่งของมีคมทิ่มแทงหัวใจ

“ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปเถิดขอรับ” จื่อเยี่ยนพยายามให้กำลังใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดเลยสักนิด “คุณชายเล็กควรให้เวลากับเขา ความรักสิบปีที่ท่านมีต่อหลี่ซื่อหลางคงไม่สามารถถ่ายทอดให้อีกฝ่ายได้ภายในเวลาอันสั้นนะขอรับ”

“อืม” หย่งคังตอบรับในลำคอ

…ความรักของเขามีมากจนล้นทะลัก ยิ่งหลี่ซื่อหลางกลายเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ ก็ไม่รู้ว่าชาตินี้จะสามารถปล่อยอีกฝ่ายให้ห่างตัวได้อีกนานเท่าไหร่ เพียงแค่ประตูกั้นก็รู้สึกห่างไกล หย่งคังอยากประคองกอดร่างโปร่งให้แนบแน่น อยากให้รู้ว่าเขารักอีกฝ่ายมานานเพียงใด…

หากความรักคือการให้ ยอมให้อีกฝ่ายจากไปตามที่ต้องการ นั่นคงไม่ใช่นิยามรักของเขา! ถึงจะถูกเกลียดถูกกลัว เขาก็คงปล่อยอีกฝ่ายไปไม่ได้แล้ว

“จื่อเยี่ยน”

คนตัวเล็กขานรับ “ขอรับ”

“จับตาดูซื่อหลางให้ดี ไม่ว่าอย่างไรอย่าปล่อยให้คลาดสายตา” หย่งคังเหม่อมองไปยังประตูห้องราวกับจะมองทะลุให้เห็นถึงคนที่หลับไม่ได้สติอยู่ด้านใน “ถึงซื่อหลางจะดูซื่อ แต่เขาก็มักจะทำสิ่งที่ไม่คาดฝันเสมอ ข้าเกรงว่าเขากำลังคิดจะทำอะไรอยู่”

จื่อเยี่ยนพยักหน้า “ได้ขอรับ”

“อ้อ…อีกเรื่อง ช่วงนี้ที่ดูแลซื่อหลางอยู่ ข้าไม่อยากให้เจ้าเข้าไปในห้องขังจางอวี๋เฉินอีก”

“ขอรับ?” จื่อเยี่ยนขมวดคิ้วประหลาดใจ

“เจ้าใจอ่อนกับมัน รู้ตัวหรือไม่”

หย่งคังมองการกระทำของจื่อเยี่ยนเป็นการใจอ่อน หากความจริง ‘ใจอ่อน’ คงไม่มีอาการ ‘ใจเต้นแรง’ พ่วงมาด้วยใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะคืออะไร จื่อเยี่ยนก็ปฏิเสธมันไม่ได้เลย

“เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่”

“…ขอรับ”

สุดท้าย เขาก็ทำได้แต่เพียงรับคำสั่งอยู่ดี






-------------------------------------------------------------







To be continued...






หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: mur@s@ki ที่ 13-09-2015 12:19:25
เอ็นดูจื่อเยี่ยน ต่อไปคงได้เครียดเป็นเพื่อนเจ้านายแล้ว
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 13-09-2015 13:05:08
 :mc4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 13-09-2015 13:30:49
ง่อววววววววววว มาแล้ววววว ท่าทางหยังคังกะพี่ใหญ่จะยังอีกยาวไกลลลลล
จื่อเยี่ยนคนเก่งงงง ฮิฮิฮิ งานเข้าแล้ววว
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 13-09-2015 17:12:43
หย่งคังก็ไปห้ามเขาเนาะ -*-
คนเขากำลังจะมีคู่ วู้! ขัดใจ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 13-09-2015 19:24:30
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 14-09-2015 21:01:58
ปมรักเรือนดอกท้อ....ใจจะหนักแน่นต้านลมแรงนี้ได้ไหมนะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 14-09-2015 23:52:25
เพิ่งมาติดตาม ชอบเรื่องนี้มากเลย :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 15-09-2015 02:57:09
รอออ สนุกมากเลย ชอบบบ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: NuTonKaw ที่ 15-09-2015 13:47:24
ซื่อหลางนอนพักเยอะๆ จะได้หายเร็วๆ :hao7:
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๘ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 27.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 27-09-2015 09:29:07

ดอกท้อที่ ๑๘ (ครึ่งแรก)







ซื่อหลางตื่นขึ้นมากลางดึก ได้ยินเสียงกุกกักๆ อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

“ใครน่ะ?”

เสียงที่ว่าเบาลงทันทีที่เขาเอ่ยถาม “ข้าถามว่าใคร?”

 “…ข้าเอง” ปรากฏร่างสูงใหญ่ของน้องชายต่างสายเลือดกำลังสืบเท้าเข้ามาใกล้ แต่เพราะความมืดจึงทำให้หลี่ซื่อหลางมองเห็นใบหน้าหย่งคังไม่ชัดสักเท่าไหร่

“เอ่อ...นี่ดึกมากแล้วนะ คุณชาย”

“อืม” เสียงของหย่งคังแผ่วเบา รู้สึกไม่ชอบใจนิดๆ กับสรรพนามที่อีกฝ่ายใช้เรียกเขา

“เอ่อ ข้าหมายถึง...ท่านนอนไม่หลับหรือ” คนตัวเล็กกว่าพูดทั้งที่ก้มหน้าไม่สบตา

ร่างสูงคิดอยู่นานว่าควรพูดอะไรออกไปดี “...ข้าขอนอนด้วยได้หรือไม่?”  แต่แล้วเขาก็พบว่าตัวเองพูดอะไรน่าขันออกไปจนได้

“หะ?”

หลี่ซื่อหลางรู้สึกเหมือนโดนของแข็งทุบหัว หลังจากที่เขาจำได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้าง คิดว่ายังกล้าปล่อยตัวเองอยู่ใกล้หย่งคังอีก? ไม่มีทาง หลี่ซื่อหลางรู้สึกผิดเกินกว่าจะสามารถสบตาอีกฝ่ายตรงๆ ด้วยซ้ำ

“คุณชาย ข้าคิดว่าคงไม่เหมาะ”

“ทำไมล่ะ” อีกฝ่ายถามทันที “หรือเพราะเจ้าเกลียดข้า?”

“ไม่ใช่นะ!” หลี่ซื่อหลางโพล่งออกไปไม่ทันได้ไตร่ตรอง หากปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือสิ่งที่อยู่ในจิตสำนึกเขาจริงๆ “ข้า...เอ่อ...ข้าไม่...”

แล้วหลี่ซื่อหลางก็เงียบไปเลย


เฮ้อ...


หย่งคังถอนหายใจเมื่อเห็นคนบนเตียงก้มหน้านิ่งราวกับทำความผิดฐานฆ่าคนตายมาก็ไม่ปาน ตอนแรกเขาไม่ตั้งใจจะทำให้ร่างโปร่งตื่นด้วยซ้ำ แต่เพราะทนความคิดถึงไม่ไหวถึงได้แอบเข้ามา

“ช่างเถิด ลืมเรื่องที่ข้าขอไปก็แล้วกัน”

“…”

หลี่ซื่อหลางยังคงเงียบตอบ เห็นทีว่าปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป ความสัมพันธ์ของเขาและพี่ใหญ่ต้องตกต่ำดำเหวกว่านี้แน่ๆ

“ซื่อหลาง หากท่านยังไม่ง่วง ข้ามีอะไรอยากคุยกับท่าน”

อีกฝ่ายยังเงียบอยู่ ไม่ตอบแสดงว่าตกลง หย่งคังคิดเองเออเองในใจ “ท่านจำเรื่องเมื่อคืนได้หรือยัง”
ปฏิกิริยาเกร็งตัวของหลี่ซื่อหลางบอกทุกอย่างได้เป็นอย่างดี แม้ฝ่ายนั้นจะพยายามเก็บอาการสั่นอยู่ หากไม่มีทางเล็ดรอดจากสายตาหย่งคังได้ ยิ่งเป็นหลี่ซื่อหลางด้วยแล้ว ไม่มีการกระทำใดที่เขาปล่อยให้คลาดสายตา

“ซื่อหลาง หากท่านไม่พูด อย่าหาว่าข้าโหดร้ายนะ”

แค่หย่งคังทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ คนบนเตียงก็แทบจะขยับหนีในทันที หากมือแกร่งก็รวบเอวบางไว้ได้ทัน

…ผอมลงมากทีเดียว...

ตอนที่มีอะไรกัน หย่งคังสำลักความสุขจนไม่ทันสังเกตว่าพี่ใหญ่ของเขาตัวเล็กแค่ไหน  ทั้งๆ ที่ตอนเจอกันครั้งแรก เขายังสูงได้แค่สะโพกของอีกฝ่ายเท่านั้นเอง

“อย่าคิดหนีข้า ซื่อหลาง”

“ปล่อยเถิด...” เสียงสั่นราวจะร้องไห้ “เรื่องที่เกิดขึ้นข้าสัญญาจะลืมให้หมด”

“อะไรนะ?”

เหมือนว่าหย่งคังจะได้ยินเสียงระเบิดในหัวของเขา

“ข้าสำนึกผิดแล้ว คุณชาย เมื่อหายไข้ข้าจะรีบไปให้พ้นหน้าท่าน”

“นี่ท่านคิดจะไปจากข้า?” มือแกร่งกระชับเอวบางแน่นขึ้น ร่างโปร่งเบ้หน้าด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น คิดว่าอีกฝ่ายต้องไม่พอใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนมากเป็นแน่ ตอนนี้ถึงได้ทำหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน

“คุณชาย ข้ารู้ตัวว่าทำเรื่องที่ไม่สมควร...”

“เรื่องแบบไหนที่ว่าไม่สมควร” หย่งคังชิงพูดแทรก น้ำเสียงกดดันทำเอาอีกฝ่ายหายใจลำบาก

“ก็เรื่อง...”

“เรื่อง?”  หย่งคังคาดคั้น “พูดออกมาสิ”

หลี่ซื่อหลางเหลือบมองเสี้ยวใบหน้าของอีกฝ่ายเล็กน้อย ความกลัวแสดงออกมาผ่านสายตา .... จิตใจจะให้เขาพูดออกมาจริงๆ หรือน่ะ?

“ซื่อหลาง พูดมันออกมา”

ร่างโปร่งส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่อยากพูด...” ทำได้เพียงก้มหน้าหลับตาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งสิ้น หากหย่งคังกลับกระชากหลี่ซื่อหลางทั้งตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนเพียงชั่วเวลาเดียว

“งั้นก็ฟังสิ่งที่อยู่ใต้อกของข้าแล้วบอกว่าท่านได้ยินอะไร”

“ดะ...เดี๋ยวก่อน...” ซื่อหลางทำท่าจะยันตัวออก

“ฟังสิ”



...ตึก ตึก ตึก

ตึก ตึก ตึก...





ก้อนเนื้อที่เต้นแรงจนน่าใจหาย คล้ายเสียงหัวใจที่หลี่ซื่อหลางไม่มั่นใจว่าเป็นของตัวเขาเอง หรือมาจากคนที่กอดเขาจมเข้าไปในอ้อมกอดกันแน่

“บอกสิ่งที่ท่านได้ยินสิ ซื่อหลาง”

“คุณชาย...?”

“ไม่ใช่” ร่างสูงตัดบท “ตอนนี้ข้าเป็นแค่หย่งคังของท่าน”

“...หย่งคัง...” ของเขา...

จู่ๆ หลี่ซื่อหลางก็รู้สึกสงบลงในปราการแข็งแกร่งอย่างไม่ทราบสาเหตุ กำแพงที่ก่อตั้งตัวสูงเหมือนจะสั่นครอนมากขึ้นทีละนิด...ทีละนิด...

หย่งคังแนบแก้มกับศีรษะของอีกฝ่าย “บอกหน่อยเถิดว่าท่านรู้สึกเช่นไร”

“ข้า...ได้ยินเสียงหัวใจ”

“ใช่ เสียงหัวใจ” หย่งคังเอ่ยย้ำ “หัวใจที่เต้นแรงทุกครั้งที่ข้าเข้าใกล้ท่าน แม้จะผ่านมาเป็นสิบปี หัวใจข้าก็เต้นไปตามท่าน มันดีใจทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าท่าน บีบคั้นทรมานทุกครั้งที่ต้องเพิกเฉยความรู้สึกที่มีต่อท่าน”


ทำไม?


หลี่ซื่อหลางไม่เข้าใจ...แต่น้ำตาก็ไหลออกมา...


“ซื่อหลาง... ที่ผ่านมาข้าโหดร้ายกับท่านมากใช่หรือไม่... ท่านคงคิดว่าข้าเป็นคนที่ลืมเรื่องราวดีๆ ทิ้งท่านให้แบกรับความรู้สึกไม่ดีไว้เช่นนั้นตามลำพัง”

อ้อมกอดกระชับแน่นขึ้น และน้ำตาหลี่ซื่อหลางก็ยังไหลโดยไร้แรงสะอื้น ราวกับหมดแรงที่จะร้อง...หลายปีที่ผ่านมา น้ำตาทั้งชีวิตเขาควรหมดไปแล้ว แต่ทำไม...ทำไมยังมีให้ไหลอยู่อีก?

“แต่ข้ามีหัวใจที่เต้นเพื่อคนๆ เดียวเท่านั้น ซื่อหลาง” หย่งคังจูบซับหน้าผากมน “คนๆ นั้นก็คือท่าน”





นี่เขากำลังฝัน?

หลี่ซื่อหลางรู้สึกอบอุ่นและล่องลอยไปกับคำพูดเหล่านั้น

...แต่ไม่นานเขาจะพบว่าตัวเองกำลังร่วงลงสู่พื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว...

ไม่มีเหตุผลให้ฝันลมๆ แล้งๆ อีกแล้ว





คนในอ้อมแขนพยายามยันตัวออก หากไม่เป็นผล

หลี่ซื่อหลางรู้จักความผิดชอบชั่วดียิ่งกว่าใคร เขาไม่ได้เดียงสาที่จะไม่รู้ว่าตอนนี้หย่งคังคิดจะบอกอะไรเขา...ที่แย่กว่า หลี่ซื่อหลางกลับไม่รู้สึกรังเกียจความรู้สึกและสัมผัสของหย่งคังเลยแม้แต่นิด

เขารู้สึกมีความสุข

ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ ที่เขารักหย่งคังได้มากขนาดนี้


...แต่เพราะมันผิด...



หลี่ซื่อหลางออกแรงดิ้น “ปล่อยข้า คุณชาย”

“ข้าไม่ปล่อย” หย่งคังทำอย่างที่พูด เขามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ “ข้ามีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น หากท่านอยากฟังข้ายินดีจะอธิบายทุกอย่าง”

“ท่านไม่ต้องทำแบบนั้น”

หย่งคังเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “ซื่อหลาง บอกสิว่าข้าทำต้องทำอย่างไร”

“ข้าไม่ได้โกรธเคืองอะไรท่าน” หลี่ซื่อหลางส่ายหน้า “เรื่องที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเถิด” หลี่ซื่อหลางสูดลมหายใจลึก เขาเองก็มาไกลเกินกว่าจะถอยกลับเช่นกัน 

“แต่ที่นี่ไม่ใช่ที่ของข้า...”

เพราะคนที่จะได้เคียงข้างหย่งคัง คงไม่ใช่เขา

“...เช่นนั้นท่านควรปล่อยข้าไป” แม้เอ่ยเพียงแผ่วเบา แต่กลับสะท้อนก้องในหูคนฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“ท่านพูดอะไรออกมา?” สีหน้าหย่งคังแสดงความเจ็บปวดสุดซึ้ง “ท่านไม่รู้หรอกว่ากว่าจะมาถึงจุดนี้ข้าพยายามแค่ไหน!”
ใช่ หลี่ซื่อหลางไม่มีทางรู้ว่ากว่าจะได้อยู่ด้วยกัน เขาต้องอดทนรอนานเท่าไหร่!

“คุณชาย เพราะท่านมาอยู่จุดนี้ได้ย่อมรู้ว่าอะไรถูกหรือผิดไม่ใช่หรือ” หลี่ซื่อหลางทำได้เพียงเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้”

หย่งคังจับไหล่มนให้หันมาประจันหน้ากัน “ทำไมถึงเป็นไปไม่ได้?!”

“...ข้าเป็นผู้ชาย”

“ข้าไม่สน!” เสียที่เปล่งออกมาคล้ายตะคอก “ต่อให้ท่านจะเป็นอะไร ข้าก็รักไปแล้ว...”
สีหน้าหม่นแสงของหย่งคังสั่นคลอนหัวใจหลี่ซื่อหลางอย่างช่วยไม่ได้ แต่หากความรักครั้งนี้มันเจ็บปวดนัก ร่างโปร่งก็ไม่รู้จะไป
หาความกล้าเพื่อก้าวเดินต่อทั้งๆ ที่รู้สึกราวกับมีบางอย่างแตกหักอยู่ภายในอกได้อย่างไร

“ซื่อหลาง ได้โปรดอย่าทำลายหัวใจของข้าเลย”

“...เช่นนั้นก็อย่าเอามันมาไว้ที่ข้า”

หย่งคังชะงัก “อะไรนะ?”

ร่างสูงคิดไปว่าตัวเองหูฝาด หากอีกฝ่ายกลับไม่ปล่อยให้เขาคิดเช่นนั้นได้นาน

“คุณชาย..อย่ามารักคนแบบข้าเลย”

“...ท่านจะขออะไรก็ได้ ซื่อหลาง” หย่งคังจ้องลึกเข้าไปในแววตากลมใส “แต่อย่าขอให้ข้าไม่รักท่าน”
หลี่ซื่อหลางอยากหัวเราะ แต่เขากลับหาเสียงหัวเราะตัวเองไม่เจออีกแล้ว

“มันคงไม่ยากเกินความสามารถท่านหรอก”

“ทำไมถึงเข้าใจยากนัก!” คราวนี้หย่งคังกดหลี่ซื่อหลางลงกับเตียง จ้องตาไม่กระพริบราวกับจะสื่อความรู้สึกไปให้ถึง “ข้ารักท่าน! ต่อให้ท่านบอกให้เลิก ข้าก็ยังรัก”

หลี่ซื่อหลางเงียบไปสักพัก

“...เช่นนั้นก่อนหน้านี้ท่านไปอยู่ที่ไหนมา”

“ข้าแค่คิด...” หย่งคังเม้มริมฝีปากเป็นเส้นตรง สรรหาประโยคถ่ายทอดความรู้สึกที่เอ่อล้นออกมา “ข้าแค่คิดว่ามันคงจะดีต่อเราทั้งสองคน ซื่อหลาง ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก”

“ก็เลยจากไปโดยไม่บอกอะไรเลยงั้นหรือ”

พูดแล้วความรู้สึกเจ็บตอนนั้นก็หวนกลับมาราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน “ท่านไม่ใช่คนเดียวที่เสียใจหรอก คุณชาย”

“ข้ายอมรับว่าผิดที่ไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของท่าน”

“เช่นนั้นท่านน่าจะนึกถึงใจข้าให้เร็วกว่านี้...”

“ข้าขอโทษ” หย่งคังก้มลงจูบซับน้ำตาให้หลี่ซื่อหลาง น้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด “ข้าขอโทษ...”

แค่ได้ยินคำขอโทษ หลี่ซื่อหลางก็อ่อนแรงลง รู้สึกมีความสุข แต่ก็เจ็บปวดในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกกลัว...กลัวใจตัวเองจะยอมจมอยู่ในความฝันหวานที่แสนเจ็บปวดนี้ต่อไปเรื่อยๆ

“ซื่อหลาง ข้ารักท่าน...”


.


.


.


“…อืม”


หลี่ซื่อหลางพบว่าตนไม่มีแรงต่อต้านอีกต่อไป










-------------------------------------------------------------











กลางดึกที่เงียบสงัด บรรยากาศภายในห้องนอนกลับเร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ

ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น หลี่ซื่อหลางเมาไม่ได้สติ หากครั้งนี้ประสาทการรับรู้ของเขาครบถ้วนทุกประการ

“ข้ารักท่าน...”

ร่างสูงกระซิบข้างหูคนตัวเล็กกว่า จูบซับหน้าปาก เปลือกตา ปลายจมูก และริมฝีปาก...ทุกอย่างดำเนินไปตามการชักนำของคนด้านบน หลี่ซื่อหลางพบว่าหย่งคังอ่อนโยนกับเขากว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

จนบางทีเขาก็คิดว่าตัวเองกำลังฝันอยู่เป็นแน่

“ท่านเป็นของข้านะ” เหมือนหย่งคังจะหลุดพูดอะไรที่ตัวเองคิดออกมา ขณะไล่จูบไปทั่วร่างของหลี่ซื่อหลางราวกับต้องการเป็นเจ้าของทุกพื้นที่บนตัวอีกฝ่าย

ใบหน้า ลาดไหล่ ลำตัว ต้นขา ปลายเท้า...ทุกอย่างของหลี่ซื่อหลางเป็นของเขา

“เลิกจูบได้แล้ว”

หลี่ซื่อหลางดึงหย่งคังที่วนจูบอยู่แถวขาอ่อนนานกว่าปกติขึ้นมา “ข้าง่วงแล้ว...”

“จะนอนแล้วหรือ”

หย่งคังหันมาจูบแก้มอีกฝ่าย ไล่ไปที่ปลายจมูกและจบลงที่ริมฝีปาก เนิ่นนานจนฝ่ายไร้ประสบการณ์เหมือนจะขาดใจตาย หย่งคังถึงได้ยอมผละออกอย่างเสียดาย

“หายโกรธข้าแล้วใช่หรือไม่”

หลี่ซื่อหลางเสหน้าไปทางอื่น “ข้าไม่ได้โกรธท่านแต่แรก”

“หากโกหกต้องโดนทำโทษ” หย่งคังกดแขนสองข้างของอีกฝ่ายไว้กับเตียง ก้มลงจูบต้นคอ ดูดเม้มสร้างรอยสีกลีบกุหลาบแสดงความเป็นเจ้าของ ก่อนจะแอบงับทิ้งรอยฟันไว้หนึ่งที

“โอ้ย ข้าเจ็บ”

หลี่ซื่อหลางร้องประท้วง แต่แล้วก็โดนปิดด้วยริมฝีปากร้อน กว่าจะถูกปล่อยให้อิสระก็เกือบขาดใจตายรอบสอง

“ข้าไม่อนุญาตให้ท่านมองใคร ห้ามส่งยิ้มทำดีกับใคร ห้ามอยู่ใกล้ใครเกินห้าวา” หย่งคังเริ่มปลดเสื้อผ้าเขาออกทีละชิ้น พร้อมๆ กับเสื้อผ้าตัวเองไปด้วย “ห้ามหนีไปจากข้าด้วย เช่นนั้นข้าคงทนไม่ไหวเป็นแน่”

“ก็เห็นทนได้มาตั้งหลายปี...” หลี่ซื่อหลางพึมพำขณะพยายามเอามือปลาหมึกออกจากสะโพกตัวเอง

“ท่านว่าอะไรนะ?”

“เปล่าขอรับ คุณชาย” 

แต่มีหรือจะรอดพ้นหูของหย่งคังไปได้ ร่างสูงก้มลงจูบอีกฝ่าย ลิ้นร้อนแทรกเข้าไปเกี่ยวตวัดอย่างชำนาญ ทำเอาร่างโปร่งสติหลุดลอยไปชั่วขณะ

“พ...พอแล้ว”

หลี่ซื่อหลางเค้นแรงสุดท้ายยันตัวอีกฝ่ายออก หากใบหน้าแดงซ่านของเจ้าตัวกลับเหมือนเป็นสัญญาณให้หย่งคังทำต่อมากกว่า

“ซื่อหลาง ท่านยั่วข้า”

“ข้าไม่ได้ทำเสียหน่อย...” หลี่ซื่อหลางพยายามหายใจให้ทั่วท้อง ปัดมือที่วนเวียนอยู่แถวกางเกงปราการสุดท้ายของตัวเอง
“แล้วก็เลิกถอดเสื้อผ้าข้าได้แล้ว”

“ท่านอยากทำทั้งที่ใส่เสื้อผ้างั้นหรือ”

ใบหน้าขาวซับสีเลือดอีกครั้ง “คุณชาย ข้าไม่พร้อม”

“ถ้าเรียกคุณชายอีกครั้ง พรุ่งนี้ท่านจะไม่มีแรงลุกจากเตียงแน่ๆ” หย่งคังพูดขู่ขณะก้มลงกัดลาดไหล่ขาวเบาๆ ก่อนจะเลียซ้ำ

“เรียกชื่อที่ท่านตั้งให้ข้าสิ”

หลี่ซื่อหลางรู้สึกเหมือนหน้าจะระเบิด แต่ยิ่งเขาเงียบนานเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ทำท่าจะกัดไหล่เขาอีกข้าง

“ห...หย่งคัง”

“หืม? ไม่ได้ยินเลย” พอเผลอหน่อย มือร้อนก็เกี่ยวกางเกงตัวสุดท้ายของเขาออกอย่างชำนาญ ผิวขาวปะทะอากาศภายนอกจน
ขึ้นสีแดงระเรื่อน่ามอง

“หย่ง...คัง...”

ร่างสูงระบายยิ้มบาง “ข้ารักท่าน ซื่อหลาง”

หย่งคังก้มลงกระซิบข้างหู ชักนำให้หลี่ซื่อหลางเป็นไปตามเกมรักของเขา กระทั่งสติใกล้เลือนลางเต็มที หลี่ซื่อหลางพยายามหนีบขาเข้าหากัน แต่หย่งคังกลับแทรกตัวเข้ามาก่อน ดำเนินบทรักอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป

“หย่...หย่งคัง...” แขนเรียวโอบรอบลำคอคนด้านบนให้โน้มตัวลงมา “ข้ารั...” เสียงแผ่วเบาหายเข้าไปในลำคอ หลี่ซื่อหลางหมดแรงข้าวต้มก่อนที่จะพูดจบไปเสียอย่างนั้น

หย่งคังได้แต่จูบหน้าผากชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย


“ข้าเองก็รักท่านเช่นกัน”









-------------------------------------------------------------













To be continued...








หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๗ (ครึ่งหลัง) :: UPDATE 12.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 27-09-2015 09:30:02
จิ้ม
รออยู่เลยยย

----------

เขาบอกรักกันแล้ววว >///<
ซื่อหลางอย่าไปพูดอย่างนั้นนน
รอตอนต่อไปน้า
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๘ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 27.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: imymild ที่ 27-09-2015 10:04:37
มาต่อแล้วๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๘ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 27.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 27-09-2015 15:58:22
  :impress:

โอย.....ใครจะไปต้านทานไหว
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๘ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 27.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 27-09-2015 16:03:08
บอกรักกันแล้ว หวานมาก :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่๑๘ (ครึ่งแรก) :: UPDATE 27.09.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: kirara147 ที่ 27-09-2015 20:21:07
 :katai2-1:บอกรักกันแล้วววว //จุดพลุ รอตอนต่อไปนะคะ
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] แจ้งข่าว :: UPDATE 23.10.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 23-10-2015 08:05:29

แจ้งข่าว

ก่อนอื่นต้องขอโทษนักอ่านทุกๆ ท่านที่เราหายกันไปเป็นเดือน
พอดีว่าช่วงนี้เราติดไฟนอลของมหาลัย ทำให้ไม่มีเวลาเลยค่ะ
บวกกับงานของคณะที่ล้นมือมากๆ เวลานอนก็หายากแล้ว (ฮือ....)
จึงขอเลื่อนการลงนิยายไปก่อน แต่จะกลับมาช่วยปลายเดือนพฤศจิกายนนี้แน่นอนนะคะ
ต้องขอโทษนักอ่านที่ติดตามกันอยู่ด้วยจริงๆ นะคะ อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาา 




หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] แจ้งข่าว :: UPDATE 23.10.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-10-2015 08:14:55
รับทราบจ้า

ขอให้ทำข้อสอบได้
ได้ผลสอบดีๆ นะ

สู้ๆ!
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] แจ้งข่าว :: UPDATE 23.10.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-10-2015 09:16:48
สู้ๆ นะคะ ><
ขอให้ได้เกรดเอเลย
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 07.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 07-12-2015 22:57:10


ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง)





หลี่ซื่อหลางพบว่าแสงอาทิตย์ยามเช้ามีพลังอานุภาพทำลายล้างอย่างเหลือเชื่อ

ร่างโปร่งขดตัวนอนในผ้าห่มหนา แผ่นหลังชนกับกำแพงอบอุ่นที่ขยับขึ้นลงช้าๆ เหมือนจังหวะหายใจของใครบางคน น่าแปลก...เขารู้สึกปลอดภัยอย่างน่าประหลาด

“อืม...”

เสียงครางสะลึมสะลือจากด้านหลังทำเอาหลี่ซื่อหลางแข็งเป็นหิน เหลือบตาขึ้นช้าๆ ไล่มองอีกคนตั้งแต่สันกรามสวย ริมฝีปากได้รูป จมูกคมสัน กระทั่งดวงตาที่ปิดสนิทของคนหลับไม่รู้เรื่อง

เจ้าตัวนิ่งไปพักใหญ่ สมองประมวลผลจากภาพความทรงจำมื่อคืน ทุกอย่างไหลเข้ามารวดเร็วราวกับความฝัน แก้มซีดๆ ขึ้นสีแดงปรั่งขึ้นมาทันใด

“...คิดอะไรอยู่หืม” จู่ๆ เสียงทุ้มแหบน้อยๆ ก็กระซิบข้างหู คนไม่ทันตั้งตัวรู้สึกจั้กจี้จนต้องหดคอหนี

“อ..อ่ะ คุณชายเล็ก”

“ซื่อหลาง...” หย่งคังโน้มตัวลงจูบที่หน้าผากมน “ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง”

คนถามพูดราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่คนได้ยินถึงกับอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด

“ข...ข้าไม่เป็นไร”

ร่างแกร่งกระชับแขนที่พาดเอวบางไว้ให้แนบตัวมากขึ้น “จริงหรือ อย่างนั้นอีกรอบก็ไหว?”

“หา! ข้าไม่...ข้าคิดว่า...” ได้แต่อ้าปากอยากพูดแต่กลับไร้เสียงตอบโต้ ปฏิกริยาตอบสนองน่ารักทำเอาหย่งคังที่กะแกล้งเล่นกลับ
รู้สึกอยากจริงจังในคำพูดตัวเองขึ้นมาเสียอย่างนั้น

แบบนี้จะไม่ให้เขาหลงยังไงไหว?

“ข้าพูดเล่น” ปากว่าอย่างนั้น แต่มือที่เลื้อยไปตามหน้าท้องซื่อหลางมันตรงกันข้าม อีกคนทำได้เพียงขยับตัวปฏิเสธเล็กน้อย

“คุณชายเล็ก เดี๋ยวคนอื่นเห็นเข้า...”

“เรียกข้าแบบนั้นอีกที ท่านจะไม่ได้ลุกจากเตียงนะ” น้ำเสียงติดทีเล่นทีจริงทำเอาคนฟังเสียวสันหลัง “หย่งคัง เป็นชื่อของข้า” หย่งคังกดจมูกลงบนแก้มใส มือปลาหมึกก็กอดไม่ปล่อย ทำเอาหลี่ซื่อหลางหน้าร้อน ร้อนไปทั้งตัว ร้อนจนแทบระเบิด

“พอเถอะ คุณชะ...หย่งคัง”

หย่งคังยิ้มอ่อน “ข้ารักท่าน คิดถึงท่านเหลือเกิน”

“…ข้ารู้”

“ท่านล่ะ รู้สึกเช่นไร” คนตัวสูงชะโงกหน้ามาถาม โอบเอวบางเข้าหาตัวแน่น “เมื่อคืนท่านหมดแรงข้าวต้มไปก่อน ข้าว่าข้าพลาด
อะไรบางอย่าง สิ่งที่ท่านกำลังจะบอกข้า จำได้หรือไม่”

หลี่ซื่อหลางแสดงสีหน้าฉงนเพียงชั่วครู่ ก่อนเจ้าตัวจะนึกถึงเหตุการณ์สุดท้ายก่อนทั้งโลกจะมืดสนิท



“หย่...หย่งคัง...”

แขนเรียวโอบรอบลำคอคนด้านบนให้โน้มตัวลงมา “ข้ารั...”




หลังจากนั้นเขาจำไม่ได้แล้วว่าเป็นอย่างไรต่อ

หย่งคังมองดูคนตัวเล็กกว่าแสดงสีหน้าเดี๋ยวเขินอาย เดี๋ยวกังวล เดี๋ยวกลับมาอมยิ้มไปมาจนหลุดหัวเราะ

“หัวเราะอะไรกัน?”

หลี่ซื่อหลางขมวดคิ้ว เขาทำอะไรน่าขันงั้นหรือ?

“ข้าแค่เอ็นดูคนแถวนี้ ทำตัวน่ารักเกินไปแล้ว” หยงคังอมยิ้ม

ไม่บอกก็รู้ว่าหมายถึงหลี่ซื่อหลาง ร่างโปร่งพยายามหลบริมฝีปากที่พูดไปก็พรมจูบเขาไปด้วย เขาทำได้แต่ใช้มือดันหน้าอีกฝ่ายออกแผ่วเบา แต่ก็โดนฉกมือไปจูบอีก ตัวเขาคงเต็มไปด้วยรอยจูบของคนๆ นี้ไปเสียแล้ว

“หยุดจูบข้าเสียที”

“ก็ข้ารักท่าน”

หลี่ซื่อหลางหน้าแดง “พอแล้วน่า”

รู้หรอกว่ารัก แต่พูดบ่อยๆ เขาก็รู้สึกกระดากอายเหมือนกันนะ จู่ๆ ผู้ชายสองคนก็มานอนกอดกัน บอกรักกันราวกับวัยแรกรุ่น
...ทั้งๆ ที่เขาอายุมากขนาดนี้แท้ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายยังหนุ่มยังแน่น อนาคตอีกไกล

นั่นสินะ ดีแล้วหรือที่มาจมปลักอยู่กับคนแก่ๆ อย่างเขา

...แต่คิดว่าต้องเห็นหย่งคังไปกอดใคร เขาก็เจ็บจนทนไม่ไหวแล้ว

เขามันช่างเห็นแก่ตัว

“หย่งคัง...” หลี่ซื่อหลางหยุดสงครามดันหน้าคนตัวสูงชั่วขณะ เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบ

“เจ้าอายุก็เท่านี้แล้ว คิดจะแต่งงานหรือไม่”

“หืม?” หยงคังเลิกคิ้ว “ท่านอยากจัดงานแต่งหรือ”

“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” หลี่ซื่อหลางส่ายหนาพัลวัล คนตัวสูงจึงได้แต่ถามต่อ

“แล้วหมายความอย่างไร”

“คือ...ข้ารู้ว่ามันไม่ยุติธรรม ถ้าข้าจะเก็บเจ้าไว้แบบนี้ หากวันหนึ่งเจ้าต้องไปแต่งงาน...”

“หลี่ซื่อหลาง!”

เสียงทุ้มกระชากเสียงดังจนคนพูดชะงัก “เหตุใดจึงพูดเช่นนี้?!”

หยงคังมีสีหน้าเจ็บปวด กระชากตัวหลี่ซื่อหลางเข้ามาอยู่ใต้ร่าง โน้มตัวลงต่ำราวกับจะกลืนกินหลี่ซื่อหลางทั้งตัว “หรืออยากให้ข้าย้ำเตือนว่าท่านเป็นของข้า และข้าเป็นของท่าน” มือหนาลากไล่ไปถึงสะโพกมน บีบเบาๆ จนอีกฝ่ายสะดุ้ง

“อ...อย่า ข้ายัง...เจ็บอยู่”

หย่งคังคลายมือเล็กน้อย แต่มือก็ยังวนเวียนอยู่แถวสะโพก “เช่นนั้นอย่าพูดอะไรแบบนี้อีก ข้าเสียใจ รู้หรือไม่”

“ข้าขอโทษ” หลี่ซื่อหลางเสหน้ามองอีกทาง สีหน้ารู้สึกผิดทำเอาหย่งคังที่อารมณ์ขึ้นเมื่อกี้รู้สึกผิด

“...ข้าเองก็ต้องขอโทษ”

คนตัวสูงโน้มลงมาจูบประทับแก้มใส “ท่านอาจยังไม่มั่นใจ แต่ข้าจะทำให้รู้ว่าทั้งชาติข้าก็แบ่งใจรักใครไม่ได้แล้ว” จมูกโด่งเป็นสันซุกไซ้ไล่ไปที่ต้นคอขาว จนอีกฝ่ายต้องหดคอหนี

“อ้ะ อย่าสิ"

“อย่าอะไรหืม?” หย่งคังทำหูทวนลม หากำไรจากร่างกายหลี่ซื่อหลางซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเสพติด

“ช้าก่อน! เจ้าคิดจะทำอะไร”

“ลงโทษท่าน”

“...ข้ายังเจ็บอยู่” เจ้าตัวไม่ยอม พยายามผลักอีกฝ่ายออกแม้จะไม่ได้เป็นผลเท่าไหร่นัก

“ข้าไม่ทำตรงนั้นหรอก” แกล้งลากมือผ่านจุดนั้นอย่างจงใจ หลี่ซื่อหลางรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง “ข้าแค่ช่วยให้ท่านสบายตัวเท่านั้น
อย่ากังวลเลย”

“ข้ากังวลแล้ว ปล่อยข้าเถิด”

“งั้นข้าจะทำให้หายกังวลเอง” รอยยิ้มพราวที่ทำให้หลี่ซื่อหลางจินตนาการออกว่าตัวเองเหมือนกวางน้อยที่รอถูกสิงโตขย้ำ ไม่ได้ทำให้เจ้าตัวคิดหาทางหนีออกได้แต่อย่างใด

และแล้วเช้านี้

หลี่ซื่อหลางก็ตกหลุมที่ชื่อหย่งคังอย่างช่วยไม่ได้










-------------------------------------------------------------











หลังจากผ่านศึกรอบเช้ามาได้ หลี่ซื่อหลางก็หลับเป็นตายต่อจนถึงเที่ยง

เมื่อตื่นมา เขาพบว่าข้างตัวไม่มีใครคนนั้นแล้ว คาดว่าคงออกไปทำงานกระมัง ร่างโปร่งพยายามจะยันตัวนั่ง แต่อาการเสียวปราบตั้งแต่สะโพกไล่ไปจนถึงกระดูกสันหลังทำเอาต้องทิ้งตัวลงนอนในท่าเดิม

เฮ้อ...เขาแก่แล้วจริงๆ นั่นแหละ

แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทีไร เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพวกวัยแรกรุ่นที่มีความรัก มัวเมาจนไม่เป็นตัวของตัวเองเสียทุกที

“ตื่นแล้วหรือขอรับ”

จื่อเยี่ยนที่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้เดินมาประชิดริมเตียง ในมือมีกะละมังน้ำสะอาดและผ้าขนหนู

“ให้ข้าทำความสะอาดร่างกายให้นะขอรับ”

ได้ยินเช่นนั้น หลี่ซื่อหลางถึงกับรีบโบกมือปฏิเสธทันที

“อย่าลำบากเลย ข้าทำได้เอง”

“คำสั่งของคุณชายเล็กขอรับ” จื่อเยี่ยนยังคงหน้านิ่งอยู่ มือก็หยิบผ้าขนหนูชุบน้ำแล้วบิดหมาดๆ “ข้าจะทำไม่นาน ไม่ต้องกังวลว่า
จะหนาวนะขอรับ”

เอ่อ...

นั่นใช่เรื่องที่เขากลัวเสียที่ไหนเล่า!

...แต่ช่างเถิด หลี่ซื่อหลางได้แต่กุมขมับเงียบๆ ระหว่างปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดตัวให้ราวกับทารก เขาไม่ใช่คนประเภทชอบให้คนอื่นมาบริการเสียหน่อย ทำแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกอยากแทรกแผ่นดินหนีเสียมากกว่า

“เสร็จแล้วขอรับ”

ต้องยอมรับว่าหลี่ซื่อหลางรู้สึกสบายตัวขึ้นมาหน่อย แม้จะเขินๆ ที่ต้องเปลือยกายอยู่บนเตียงักหน่อย มีเพียงผ้าห่มคลุมเท่านั้นก็เถอะ

“ขอบใจท่านมาก” เขากล่าวขอบคุณ

“ข้าจะเอาชุดมาให้ใส่นะขอรับ” เหมือนจื่อเยี่ยนจะเดาความคิดออก เขาหายไปสักพัก กลับมาพร้อมกับเสื้อผ้าชุดใหม่ ผ้าชั้นดีที่เห็นแค่ตาก็รู้ว่าต่อให้ขายน้ำเต้าหู้นานเป็นเดือนก็คงไม่มีปัญญาซื้อมาใส่ได้

“นี่ขอรับ”

“เอ่อ ข้าขอเป็นชุดเดิมที่ใส่มาได้หรือไม่”

“ส่งทำความสะอาดอยู่ขอรับ” จื่อเยี่ยนวางชุดลงบนเตียงแผ่วเบา “คุณชายเล็กเป็นคนเลือกให้ขอรับ หวังว่าท่านซื่อหลางจะชอบ”
หลี่ซื่อหลางได้แต่ยิ้มเจื่อน ลูบเนื้อผ้าชั้นดีไปมา ปักลายดอกท้อสวยงามจนไม่กล้าใส่

“ท่านจะรับอาหารเช้าในห้องหรือไม่ขอรับ”

“ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องลำบากหรอก” หลี่ซื่อหลางรู้สึกเกรงใจ รู้สึกเกร็งแปลกๆ เวลามีใครมาคอยปรนบัติ

“คำสั่งคุณชายเล็กขอรับ ตกลงว่าจะรับในห้องนะขอรับ”

ได้ยินแบบนั้น ร่างสูงจึงเปลี่ยนประเด็นแทน “เอ่อ แล้วคุณชายเล็กทานอะไรหรือยัง”

“อยู่ในห้องทำงานตั้งแต่เช้าขอรับ”

เป็นอันเข้าใจว่าคนตัวสูงไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย สัญชาตญาณคนเป็นพี่ใหญ่ในตัวหลี่ซื่อหลางจึงลุกโชนขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

“ได้อย่างไร?” หลี่ซื่อหลางทำท่าจะลุกจากเตียง แต่ความเจ็บด้านหลังทำให้กลับไปอยู่ท่าเดิม “จะเป็นไรหรือไม่หากข้าจะเอาอาหารไปให้เขา”

“เดินไหวหรือขอรับ”

หลี่ซื่อหลางหน้าแดง “...คิดว่าพอได้”

“งั้นจัดสำรับอาหารที่ห้องนั่งเล่นนะขอรับ”

“อืม ขอบใจท่านมาก”

จื่อเยี่ยนโค้งให้เล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป ทิ้งหลี่ซื่อหลางไว้กับเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยม เขาใช้เวาสักพักกับการใส่ชุดคลุมแพงแสนแพง ค่อยๆ ลงจากเตียง แม้ตอนเดินจะรู้สึกขัดๆ เจ็บจี๊ดอยู่ก็ตาม

...เค้ารู้ดีว่าตอนนั้นหย่งคังพยายามเบาแรงแค่ไหน

ถึงอย่างไรนั้นเขาก็เจ็บอยู่ดี...

เดินมาถึงหน้าประตูบานใหญ่ หลี่ซื่อหลางสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะเคาะสามที

“เข้ามา”

เสียงทุ้มหนักแน่นแสดงถึงความน่าเกรงขาม หลี่ซื่อหลางไม่เคยสัมผัสด้านนี้ของอีกฝ่ายมาก่อน เขาจึงค่อยๆ ผลักประตูเข้าไปเบาๆ พยายามบีบตัวผ่านช่องเล็กๆ อย่างระมัดระวัง

“เอ่อ ข้าเอง”

“ซื่อหลาง?” หย่งคังเงยหน้า ลุกจากโต๊ะทำงานทันที “ลุกขึ้นมาทำไมกัน หายดีแล้วหรือ"

“ได้ยินว่าเจ้ายังไม่ได้ทานอะไร”

“ข้าทำงานอยู่น่ะ” หย่งคังยิ้มบาง “ข้าถึกอยู่แล้ว แค่นี้เอง”

“ถึกแค่ไหน ก็ต้องทานข้าวด้วย”

หย่งคังเงียบไปเพียงครู่ “เป็นห่วงข้าหรือ” ร่างสูงเดินตรงมาหาร่างบางที่ประตู เท้าแขนกับประตูไม้ให้ปิดสนิท ลมหายใจร้อนรดบนใบหน้าอีกฝ่าย

หืม? ว่าอย่างไร? เป็นห่วงข้าใช่หรือไม่”

สีหน้าคนโดนถามแดงปรั่ง “…ก็ใช่น่ะสิ”

ฟอด! หย่งคังอาศัยจังหวะทีเผลอกดจูบลงบนแก้มใส

“เมียใครน่ารักที่สุด”

“หย่งคัง!” หลี่ซื่อหลางกำแก้มตัวเองแน่น ทำท่าจะหนีแต่วงแขนแข็งแกร่งไม่ปล่อยเขาให้ไปง่ายๆ

“ข้าพูดผิดตรงไหน” หย่งคังยักไหล่ไม่ยี่หระอะไร “ข้าทำให้ท่านเป็นของข้าแล้ว หรืออยากทบทวนกันอีกรอบ”

“พอเถิด เจ้าหมกมุ่นเกินไปแล้ว” หลี่ซื่อหลางเสหน้าไปทางอื่น กลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นสายตาหวั่นไหวของเขา แต่ไม่ทันขาดคำ
คนตัวสูงก็โอบเอวเขาเข้าไปกอดจนจมหายไปในอ้อมอก

“กับท่านคนเดียวเท่านั้นแหละ”

“หย่งคัง... ข้าตัวช้ำไปหมดแล้ว”

“ก็ได้ ก็ได้”

หย่งคังถอยทัพกลับอย่างอ้อยอิ่ง แสดงสีหน้าเสียดายเหลือคณา “ข้าหิวจนจะกินท่านแทนอยู่แล้ว"

“ก็ใครมัวแต่ทำงาน?”

“ก็ใครทำข้าหน้ามืดตามัวอยู่บนเตียงได้เป็นวัน”

ร่างโปร่งได้แต่ทำสีหน้าประท้วง “ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย...”

“ใครบอกกัน” หย่งคงโน้มลงมากัดไหล่อีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว “ท่านทำอยู่แท้ๆ”

“โอ้ย เดี๋ยวสิ...”

“ก่อนกินข้าว ขอกินท่านก่อนแล้วกันนะ”








-------------------------------------------------------------






To be continued...










หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 07.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ycrazy ที่ 08-12-2015 14:14:50
หย่งคังหื๊นหื่นนน :hao6:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 07.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 08-12-2015 17:41:01
โอ๊ยยย หย่งคังมันหมกมุ่นจริงๆ ด้วย 55555  :hao6: :hao6:
 อ่านแล้วฟินมากกกก น่าร้ากกก สวีททท :-[

สารภาพว่าตอนแรกที่เห็นนึกว่าตาฝาด 555 ดีใจที่มาต่อนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 07.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Smirnoff ที่ 08-12-2015 19:26:36
เง่ออออออออออออ มาแบ้ววววว หย่งคังเหมือนตาแก่เข้าสิง หื่นไปน้องงงงง ตอนหน้าขอหวานกว่าเน้ งิงิงิ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 07.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 08-12-2015 22:10:07
หย่งคัง จะหื่นไปไหน :hao7:  ให้นายเอกเราพักบ้างซิ :mew5:

ดีใจที่คนเขียนมากลับมานะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๘(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 07.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 08-12-2015 23:09:56
เด็กมันร้ายยยยย

หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙ (ครึ่งแรก ):: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 29-12-2015 13:37:18

ดอกท้อที่ ๑๙







นานเป็นสัปดาห์แล้วที่ฟานตงไม่เห็นแม้แต่เงาของหลี่ซื่อหลาง แม้เขาจะได้รับข่าวว่าพี่ใหญ่จะปลอดภัยหากอยู่ภายในรั้วบ้านตระกูลจางสักระยะ  แต่เขากลับรู้สึกร้อนใจอย่างบอกไม่ถูก ลางสังหรณ์บอกเขาว่ากำลังจะมีเรื่องร้าย

“ข้าจะไปรับพี่ซื่อหลางกลับบ้าน!”

ทันทีที่ฟานตงแทบจะพุ่งตัวออกจากบ้าน หยงเทียนที่นั่งอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลถึงกับคว้าเอวคนตัวเล็กให้ลงมานั่งที่เดิม

“ฟานตง เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน”

“ใจร้อน!? นี่มันเจ็ดวันแล้วนะ! แม้เสี้ยววินาทีข้าก็จะไม่รอแล้ว ปล่อยข้า!”

หากยิ่งดิ้นอ้อมแขนแกร่งก็ยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น

“เจ้าก็ได้ยินที่ท่านคนนั้นพูดไม่ใช่หรือ คนที่เป็นคนติดตามคุณชาย อ่า จื่อเยี่ยนน่ะ” คนตัวสูงพยายามพูดกล่อม “สถานการณ์ตระกูลจางยังไม่ลงรอย หากปล่อยให้พี่ซื่อหลางห่างไกลหูไกลตาคุณชายเล็ก ไม่แน่อาจจะได้รับอันตราย”

“ตั้งแต่เกิดมาพี่ใหญ่ของข้าไม่เคยสร้างศัตรู เจ้าเองก็รู้!”

“แต่คราวก่อนเขาก็บาดเจ็บไม่ใช่หรือ จากผู้ไม่ประสงค์ดีที่ทั้งเจ้าและข้าเองก็ไม่อาจรู้” หยงเทียนมองคนที่หายใจฟืดฟาดอย่างฉุนเฉียว “ฟานตง ข้าเองก็เป็นห่วงพี่ซื่อหลางไม่ต่างจากเจ้า เขาเป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของข้า แล้วยิ่งสำหรับคุณชาย...ไม่สิ
สำหรับหย่งคังแล้ว พี่หลี่ซื่อหลางมีค่ามากกว่าชีวิตของเขาเสียอีก”

ฟานตงขมวดคิ้วยุ่ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้ามั่นใจว่าพี่ซื่อหลางจะปลอดภัยหากอยู่กับหย่งคัง”

“อะไรทำให้เจ้ามั่นใจ?” ฟานตงหางคิ้วกระตุก มองหน้าอีกฝ่ายอย่างหาเรื่อง “คนๆ นั้นทำร้ายจิตใจพี่ข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า! เจ้าก็เห็น! ”

“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังโมโห” คนตัวสูงพยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ “แต่ข้าคิดว่าบางทีหย่งคังคงมีเหตุผลที่ทำเช่นนั้น”

“เหตุผลอะไรข้าไม่สน! มันทำร้ายจิตใจพี่ของข้านะ"

หยงเทียนหมุนให้ฟานตงมาเผชิญหน้า จ้องตากันไม่กระพริบ “หย่งคังคิดกับพี่ซื่อหลางเหมือนอย่างที่ข้าคิดกับเจ้า”

“อ...อะไรนะ?”

“ข้ารักเจ้า ฟานตง” หยงเทียนกระชับแขนที่คล้องเอวอีกฝ่าย  “ความรักของข้าไม่ใช่เพื่อนพี่น้อง ข้าอยากดูแลเจ้า อยู่ด้วยกัน
ไปจนแก่เฒ่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าก็อยากเป็นคนที่คอยแบ่งปันความสุข บรรเทาความทุกข์ให้เจ้า”

“จ...เจ้าประสาทกลับไปแล้ว!?” ฟานตงหน้าแดง ท่าทางเลิ่กลั่กขึ้นมาทันที “นี่มันใช่เวลา....เจ้า...นี่เจ้า...โว้ย! ปล่อยข้านะเจ้าบ้าหยงเทียน!”

คนตัวเล็กจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่ใช่ว่าเขาเกลียดคำพูดของหยงเทียน ตรงกันข้าม ฟานตงกลับหัวใจเต้นแรง เรื่องร้อยแปดพันเก้าที่มีอยู่ในหัวหายวับไปกับตา สมองขาวโพลนไปหมด

“เจ้าเกลียดข้าหรือไม่” หยงเทียนมองตาอีกฝ่ายไม่กระพริบ ราวกับจะหลอมละลายคนตรงหน้าให้ได้

“ป...เปล่า!”

“เจ้าหลบสายตาข้า แปลว่าเกลียดหรือ?”

“ม...ไม่ใช่อย่างนั้น” ฟานตงหันขวับมาปฏิเสธ “ข้า...ข้าแค่...ทำตัวไม่ถูก ข้าไม่ได้เกลียดเจ้าเสียหน่อย เจ้าบ้า!”
เหมือนสวรรค์จะเข้าข้าง หยงเทียนยิ้มอย่างมีความหวัง “แค่เจ้าไม่รังเกียจข้า แค่นี้ก็พอใจแล้ว” คนตัวสูงคลายมือจากเอวเล็ก
ทรุดลงคุกเข่าราวกับขอแต่งงาน “ให้ข้าดูแลเจ้านะ...ตลอดไปเลย”

“ห...หา!”

“ไม่ต้องหาแล้ว” หยงเทียนยิ้มอ่อนเอ็นดูอีกฝ่ายที่มัวแต่ทำหน้าดำหน้าแดง “ข้าเจอคนที่ข้ารักที่สุดในชีวิตแล้ว...นั่นก็คือเจ้า ฟานตง”

“จะ...เจ้า...โอ้ย...ข้าอยากกัดลิ้นตายนัก!”

ฟานตงได้แต่ทำโมโหกลบเกลื่อนเสียงหัวใจที่เต้นดังจนไม่ได้ยินเสียงรอบตัว เขาพบว่ามือตนเองสั่นเทาเพราะตื่นเต้น ประหลาดใจ และยินดีจนแทบควบคุมไม่อยู่ มันเหมือนความฝันที่อีกฝ่ายความรู้สึกตรงกับเขา กระนั้นฟานตงก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะบอกกับคนตัวสูงว่า


‘…รัก’


“งั้นข้าจะตายตามเจ้า” หยงเทียนเอ่ยหน้าตาเฉย

“ข้าแค่พูดเล่น!” ฟานตงฉุดคนตัวสูงให้ยืนขึ้น ปัดเศษฝุ่นตามตัวให้เล็กน้อย “ขืนเจ้าทำจริง ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“เป็นห่วงหรือ?”

“พูดอะไรของเจ้า ข้าไม่รู้ไม่ชี้แล้ว” เจ้าตัวหันหน้าไปทางอื่นแก้เขิน

“ข้ารักเจ้านะ”

ฟานตงหลบสายตา พยักหน้าช้าๆ “…อืม”

ท่าทางที่แสดงว่ายอมรับ ทำเอาหยงเทียนแทบอดใจไม่อยู่ มือใหญ่ลูบเส้นผมนุ่มด้วยความเอ็นดู

“เจ้าน่ารักนัก”

“ว่าใครน่ารัก!” ฟานตงหันมาแหวใส่โดยอัตโนมัติ “ไม่รู้ละ ข้าไปหาพี่ซื่อหลางดีกว่า” เจ้าตัวหันหลังเดินออกไป ท่าทางไม่ยอม
วางมือจากสิ่งที่ตั้งใจ หยงเทียนเดินตามออกไปก่อนจะคว้ามืออีกฝ่ายไว้

“เดี๋ยวสิ”

“ถ้าจะห้ามข้า อย่าเสียเวลาเปล่าเลย” ฟานตงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หยงเทียน ข้าเป็นห่วงพี่ใหญ่จริงๆ ข้าต้องไป”

“ทำไมถึงได้ดื้อนัก”

“เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ!”

ท่าทางไม่ยอมแบบนั้น เห็นทีพูดไปคนตัวเล็กก็ไม่ฟังเขาอยู่ดี

“ถ้าอย่างนั้น...”

หยงเทียนกระชับมือที่จับฝ่ามือนุ่มไว้แน่น “ข้าจะไปกับเจ้าเอง”






-------------------------------------------------------------






หลังพระอาทิตย์ตกดิน ความหนาวเย็นก็มาเยือนอีกครั้ง เสียงไอดังขึ้นในห้องขัง...จางอวี๋เฉินรู้สึกแสบร้อนตามลำคอ กลืนน้ำลายกลายเป็นเรื่องยากลำบาก ตัวของเขาหนักอึ้ง

อาการแบบนี้คงอีกไม่นาน ไข้ก็จะขึ้น

“เฮอะ...”

เขาอยากตะโกนว่า ‘บัดซบ’ แต่ก็ทำได้แค่คิด เมื่อเช้านี้เจ้าคนติดตามของคุณชายตระกูลจาง...จื่อเยี่ยน ใบหน้าเรียบนิ่งที่เดาอารมณ์ไม่ออก ถึงอย่างนั้นก็แอบเอาอาหารและน้ำมาให้เขา

แม้จะไม่ทุกวัน แต่จางอวี๋เฉินก็เห็นความมีน้ำใจจากการกระทำเหล่านั้น

คำถามคือ...

ทำไปทำไม?

“จางอวี๋เฉิน”

นึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา ร่างบางของจื่อเยี่ยนยืนห่างออกไปสามสี่วา กอดอกนิ่ง “ท่านควรบอกที่เก็บยาถอนพิษก่อนรุ่งสาง ข้าขอเตือนเจ้า”

“คำตอบข้ายังเหมือนเดิม”

อีกฝ่ายลอบถอนหายใจ “งั้นท่านก็เตรียมตัวโดนข้อหาลอบฆ่าได้เลย”

“ฟังดูแย่ทีเดียว ว่าไหม?”

ปากพูดเช่นนั้น แต่จางอวี๋เฉินกลับดูไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใด ถึงเขาจะอยู่ในสภาพไม่ต่างจากคนตกอับ ไร้บ้าน แต่ก็เทิดทูนศักดิ์ศรีตนและตระกูลเหนือสิ่งอื่นใด

“ท่านอยากตาย?”

สีหน้าจื่อเยี่ยนตึงเครียดขึ้น “รู้หรือไม่ ในเมืองนี้มีโทษประหารชีวิต”

“ก็พอรู้...”

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง ราวกับในห้องไร้สิ่งมีชีวิต แม้จางอวี๋เฉินจะพยายามไม่สะทกสะท้านอะไร แต่เขารับรู้ว่าค่ำคืนนี้หนาวเหน็บกว่าที่ผ่านมา

“คุณชายจะไม่ลงมาเจรจากับท่านอย่างเช่นทุกวันอีกแล้ว” จื่อเยี่ยนอธิบาย
แน่นอน ทุกๆ วัน จางอวี๋เฉินได้สนทนากับเจ้าคุณชายผู้นั้น ถกเรื่องยาถอนพิษและหลี่ซื่อหลาง เหมือนปริศนาที่หาคำตอบไม่ได้ หรือเขาวงกตที่ไร้ทางออก พวกเขาหาบทสรุปกันไม่ได้สักที

ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนคุณชายอยากจะรีบกระโดดข้ามไปตอนจบเสียแล้ว

“พรุ่งนี้ท่านจะโดนนำตัวไปขึ้นศาล” จื่อเยี่ยนเอ่ยขึ้น “ก่อนหน้านี้ เราไม่อยากทำเรื่องให้ใหญ่โต ยังไงท่านเองก็เป็นส่วนหนึ่งในตระกูล แต่หากท่านยังรั้น ตระกูลจางก็ไม่...”

“รีบๆ ฆ่าข้าเถอะน่า”

จางอวี๋เฉินพูดแทรก หัวเราะเล็กๆ ราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต “ยังไงทุกคนก็ต้องตาย แค่ช้าหรือเร็วมิใช่หรือ?”

จื่อเยี่ยนเงียบไปพักใหญ่

“...ท่านบ้าไปแล้ว”

“ข้าก็บ้าแต่แรกอยู่แล้ว” จางอวี๋เฉินยักไหล่

จื่อเยี่ยนถอนหายใจอีกครั้ง ถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้องขังเย็นเฉียบ เขาเดินมาหยุดตรงหน้านักโทษ นั่งยองๆ ให้ตรงกับ
ระดับสายตา

“ยังไงท่านก็ไม่ยอมพูด?”

“…”

คนตัวเล็กได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบ สายตาเย็นชาของเจ้าตัวมองไปยังท่านหมอที่บัดนี้ดูโทรมยิ่งกว่าอะไรดี


เห้อ...


“หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ข้าก็ไม่ทางเลือก” จื่อเยี่ยนหยิบมีดพกที่ติดไว้ตรงเอว เขากรีดเนื้อตัวเองจนเลือดไหลสองสามแห่ง

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” จางอวี๋เฉินขมวดคิ้วมอง

“เพิ่มข้อหาทำร้ายร่างกายให้ท่าน” จื่อเยี่ยนตอบอย่างไม่ยี่หระ แต่ก็แอบซี้ดปากด้วยความเจ็บ “มีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี้ ท่านมีมีดเป็นอาวุธ และหลุดหนีไปได้...ข้ามีเวลาให้สามวัน หากไม่อยากรับโทษประหารก็อย่าหันหลังกลับมาอีก”

คนตัวเล็กกรีดเนื้อท่านหมอบ้าง เลือดสีแดงสดไหลอาบแขน แม้ไม่สาหัสแต่ก็เจ็บพอตัว

“เจ้า...ทำอย่างนี้ทำไม?” จางอวี๋เฉินมีแต่คำถามในหัว ยอมให้เลือดไหลต่อไป “จู่ๆ ทำไมต้องมาช่วงเหลือข้า”

จื่อเยี่ยนไม่ตอบ ใช้มีดแก้ล็อคโซ่ที่พันธนาการอีกฝ่ายไว้ ใช้เวลาเพียงไม่นานนักโทษก็ได้รับอิสระครั้งแรกในรอบสัปดาห์

“เจ้าทรยศเจ้านายเพื่อข้าหรือไร” จางอวี๋เฉินถามกึ่งเล่นกึ่งจริง “รึหลงรักข้า?”

จื่อเยี่ยนดึงอีกฝ่ายให้ยืนเต็มความสูง เหมือนว่าร่างกายท่านหมอยังปรับตัวไม่ทัน เขาเซเล็กน้อย

“ข้ามีทางออกเรื่องนี้ และมันไม่ใช่การทรยศคุณชายเล็ก” เป็นจื่อเยี่ยนที่ต้องช่วยพยุงคนตัวโตกว่าหลายเท่า “แล้วข้าก็ไม่ได้หลงรักท่าน”

“เช่นนั้นเจ้าจะ...”

“บางเรื่องไม่รู้ก็เป็นผลดีกว่า” จื่อเยี่ยนตัดบท ทำสีหน้าเหมือนกำลังคิดบางอย่างอยู่

สักพักใหญ่ๆ เขาทั้งสองคนก็ได้ยินเสียงคนโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก เสียงของความโกลาหลดังขึ้นไม่ขาดสาย

“...ไหม้!! ไฟไหม้!!”

“ไฟไหม้!! รีบช่วยกันดับไฟเร็วเข้า!”

“ไฟไหม้รึ?” จางอวี๋เฉินทวนคำอย่างประหลาดใจ ได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลของเรื่องนี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คนตัวโตก็รีบคว้ามือคนตัวเล็กกว่าหมายจะพาวิ่งหนี

“เราออกไปจากที่นี่เถอะ”

“ท่านต่างหาก” จื่อเยี่ยนสะบัดมือออก “แค่ท่านต่างหากที่ต้องไป”

จางอวี๋เฉินชักโมโห ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

“เจ้าอยากถูกไฟครอกตาย?” ท่านหมอคว้าแขนเล็กอีกครั้ง กำแน่นราวกับจะไม่ยอมปล่อยคนตรงหน้าไป “ออกไปกับข้านี่แหละ”

“ห่วงตัวเองเถิด ท่านหมอ” จื่อเยี่ยนพยายามแกะมือของท่านหมอออกอย่างแรง สะเทือนถึงบาดแผลมีดบาดจนต้องซี้ดปาก

“ถ้าอยากช่วยข้า ก็จำเอาไว้ว่าอย่าหันกลับมาอีก”

ร่างบางดันหลังเขาออกจากประตูห้อง จางอวี๋เฉินทำได้เพียงมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ

คนๆ นี้ช่วยเขาเพื่ออะไร?

“ไปสิ!”

นั่นเป็นครั้งแรกที่จางอวี๋เฉินเห็นสีหน้าอย่างอื่นที่ไม่ใช่สีหน้าเย็นชาของจื่อเยี่ยน







-------------------------------------------------------------









To Be continued...






Talk : ขอบคุณนักอ่านทุกคนเลยนะคะที่ติดตามกันมา
เราอาจหายไปบ่อย (ฮา)
แต่สัญญาอยู่แล้วว่าจะแต่งจนจบ
นักอ่านคงจะพอเห็นคู่จิ้นที่งอกใหม่อีกคู่แล้ว
เรื่องของท่านหมอจะเป็นยังไง รอดูกันต่อไปนะคะ
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้าาาาาา



















หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 29-12-2015 19:05:25
แต่ละคู่ แจ่มๆ ทั้งนั้น  :z1: o13
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 29-12-2015 20:13:34
 :pig4:


 :กอด1:

***********

ตกลงตอนนี้ซื่อหลางตัดผมยังอ่ะคะ??
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 29-12-2015 22:22:23
ยินดีที่กลับมานะ

จื่อเยี่ยนซับซ้อนเกินไปแล้ว!
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 13-03-2016 23:46:58
 :call:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 09-04-2016 22:06:34
 :call:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 09-04-2016 22:10:11
 :m15:
มาเถอะนะ
คิดถึง
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: repilca ที่ 26-04-2016 20:48:38
 :ling3:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: azure ที่ 26-04-2016 21:37:00
หายไปนานเลยน้าคนเขียน :hao5:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งแรก) :: UPDATE 29.12.15 ::
เริ่มหัวข้อโดย: nutiez ที่ 27-04-2016 13:00:36
เพิ่งเข้ามาอ่านตั้งแต่ต้นรวดเดียวจนถึงตอนล่าสุดเลย

สนุกมากๆเลยค่ะ พล็อตดี ภาษาก็สวย เรื่องเหมือนจะดราม่าแต่ยังมีมุกตลกแทรกอยู่ ทำให้ยิ่งอ่านยิ่งสนุก

ยังหวังให้มาต่อตอนต่อไปนะคะ จะรอค่ะ ^___^
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 16.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 16-07-2016 18:12:51
ชี้แจง

ขอโทษนะคะที่หายไปเลย....ยังไม่ตายนะคะ ฟื้นคืนชีพแล้วค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอโทษจริงๆค่ะะะะะะะะะ แงงงงงงงงงงงง
เรามีหลายๆ อย่างไม่พร้อม ติดนู่นติดนี่ไปหมดเลยค่ะ
แต่ตอนนี้เรากลับมาแล้วค่ะ!! มีข่าวดีคือเราแต่งจบแล้ว
สัญญาว่าจะทยอยลงนะคะ ขอให้อย่าหายไปไหน
และขอบคุณสำหรับคนที่ยังรอติดตามกันนะคะ



ขอบคุณและขอโทษค่าาาา รักนักอ่านทุกคนค่ะ




-------------------------------------------------------







ดอกท้อที่ ๑๙
(ครึ่งหลัง)





เพลิงสีแดงสดลุกลามไปทั่วเรือนใหญ่ภายในเวลาเพียงชั่วยามเดียว ทั้งเหล่าข้ารับใช้และผู้อาศัยเรือนใกล้เคียงพากันวิ่งหาน้ำมาดับไฟให้วุ่น

เหตุการณ์นี้สร้างความตกใจให้ผู้มาใหม่อย่างฟานตงและหยงเทียนเป็นอย่างมาก คนตัวเล็กแทบจะพุ่งเข้าไปในกองเพลิงแบบไม่คิดชีวิต หากแต่คนตัวสูงคว้าตัวไว้ไ้ด้ทันเสียก่อน

“เจ้าคิดจะทำอะไร!” ฟานตงบิดข้อมือ หวังจะหลุดจากพันธนาการ หากเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่แรงน้อยกว่าอย่างเขานัก

“เจ้าน่ะสิคิดจะทำอะไรโง่ๆ   !”

“เจ้าสิโง่! จะห้ามไม่ให้ข้าไปช่วยพี่ชายข้าหรือไง! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้!!” ฟานตงดิ้นสุดแรงหมายจะเข้าไปในเรือนตระกูลจางที่บัดนี้กลายเป็นทะเลเพลิงย่อมๆ ไปเสียแล้ว กระนั้น ถึงจะต้องกลายเป็นผี เขาก็จะไปช่วยพี่ชายให้ได้ ฟานตงคิดเช่นนั้น

“ฟานตง เจ้าใจเย็นก่อนได้หรือไม่” หยงเทียนที่อารมณ์หลุดไปชั่วครู่พยายามเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เขาเองก็เป็นห่วงพี่ซื่อหลาง แต่ก็หงุดหงิดเหลือเกินที่คนตัวเล็กทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง

“พี่ซื่อหลางอยู่ข้างในนะ! ให้ข้าใจเย็นบ้าบออะไรกัน เจ้าบ้าไปแล้ว!”

“เจ้าเข้าไปข้างในรังแต่จะทำให้เรื่องมันแย่”

ฟานตงตะคอกกลับ “เจ้าจะพูดอะไรกันแน่!”

“ถ้าเจ้าเป็นอะไรไป นั่นเป็นสิ่งที่พี่ซื่อหลางต้องการให้เกิดหรือ คิดดีๆ สิฟานตง” หยงเทียนรู้ว่ามีเวลาไม่มากแล้ว พี่ซื่อหลางก็กำลังตกอยู่ในอันตราย “อยู่ตรงนี้ ข้าจะเข้าไปเอง”

“ฮะ?!” ฟานตงทำสีหน้าเหมือนเห็นผี “แล้วให้ข้าทำแค่สวดภาวนา? ไม่มีทาง!”

“ข้าขอล่ะ” ...ยอมแล้ว...หยงเทียนรู้ตัวดีว่าชีวิตนี้ขาดฟานตงไม่ได้ เขาทรุดลงกับพื้น คุกเข่าขอร้อง “จะว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปข้าอยู่ไม่ได้จริงๆ ฟานตง” หยงเทียนใส่ความรู้สึกเข้าไปในคำพูด เขารู้สึกเช่นนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ ความรักและเป็นห่วงเอ่อล้นท่วมท้นจนไม่อาจจะสรรหาคำพูดใดออกมาอธิบายให้คนตรงหน้าเข้าใจ
 
“…”

ฟานตงอึ้ง สับสนและรู้สึกผิด เป็นห่วง ทุกอย่างผสมปนเปกันไปหมด “อย่าทำแบบนี้ได้มั้ย!”

“ข้าขอโทษนะ”

ปึก!

ร่างเล็กไร้การทรงตัวทันทีที่ถูกกดจุดให้สลบ หยงเทียนอ้าแขนรับฟานตงไว้ก่อนจะนำคนหลับไม่รู้เรื่องไปวางให้ห่างจากจุดเกิดเหตุ หากไม่ทำเช่นนี้ เจ้าตัวก็หัวดื้อไม่ยอมฟังจะเข้าไปเสี่ยงตายเพื่อพี่ชายเป็นแน่แท้

...ยอมโดนเกลียดดีกว่าต้องเสียคนๆ นี้ไป...

บางครั้ง หยงเทียนก็มีอะไรที่เหมือนหย่งคังอย่างไม่น่าเชื่อน่ะนะ

ร่างสูงคว้าถังน้ำราดใส่ตัวให้เปียกชุ่ม นำผ้าที่ติดตัวมาด้วยชุบน้ำไว้ปิดจมูกกันควันก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปด้านในอย่างไม่รีรอ

“พี่ซื่อหลาง!”

หยงเทียนตะโกนสุดเสียง เดินเลี่ยงหาทางทะลุไปห้องนู่นห้องนี่เพื่อตามหาตัวพี่ชาย หากแต่อากาศข้างในก็เหลือน้อยเต็มที ถ้าไม่ใช่คนอึดถึก เป็นไปได้ว่าอาจสำลักควันสลบก็เป็นได้ คิดแบบนั้น หยงทียนก็ยิ่งเร่งตามหาร่างที่อาจหมดสติของหลี่ซื่อหลาง

“พี่ซื่อ...!” หยงเทียนที่วิ่งวนไปทั่วชะงักกึก

ตรงหน้าของเขาคือหย่งคังที่เสื้อผ้าไหม้ไปหลายส่วน ตัวคล้ำจากเขม่าควันไฟ มีบาดแผลตามตัวไม่ต่ำกว่าสิบที่เห็นจะได้ แต่ในอ้อมอกแกร่งกลับเป็นใครบางคนที่ถูกผ้าชุบน้ำห่อกลมจนแทบไม่มีส่วนไหนของร่างกายปะทะกับอากาศร้อนระอุภายนอกเลย
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าห่อผ้ากลมๆ นั่นคือพี่ซื่อหลาง

“หยงเทียน?”

ร่างสูงใหญ่แปลกใจไม่น้อยที่เจอคนที่เขานับว่าเป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่งอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ แต่นี่ไม่ใช่เวลามานั่งคุยหวนคืนวันวานอะไรแล้ว หย่งคังตรงเข้าไปหาหยงเทียนทันที

“พาเขาออกไป” หยงเทียนรับร่างหลี่ซื่อหลางที่ดูเหมือนจะสลบไม่ได้สติ “ข้าต้องแน่ใจว่าเขาจะปลอดภัย ไม่เช่นนั้นข้าไม่ไว้หน้าท่านแน่”

หย่งคังไม่วายกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง อีกฝ่ายพยักหน้าตอบรับ

“เแล้วเจ้าล่ะ” หยงเทียนเอ่ยถามขณะโอบอุ้มร่างพี่ซื่อหลางที่เหมือนจะผอมลงไปเยอะราวกับของล้ำค่า

"ข้ามีสิ่งที่ต้องทำ”

หยงเทียนขมวดคิ้วเป็นปม “มีอะไรที่ต้องทำกับทะเลเพลิงนี่อีก”

“ท่านไม่เข้าใจหรอก” ...ก็ไม่เข้าใจน่ะสิ... หยงเทียนคิดในใจ แต่พวกเขามีเวลาไม่มากแล้ว เขาต้องรีบพาพี่ซื่อหลางออกไปจากที่นี่ หยงเทียนจึงเพียงทิ้งท้ายไวสั้นๆ

“อย่าตายล่ะ”

อีกฝ่ายกระตุกยิ้ม “ข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก”

หย่งคังวิ่งกลับเข้าไปด้านใน ฝ่ายหยงเทียนก็ฝ่าทะเลเพลิงออกไปสู่ด้านนอก มีหลายคนเข้ามาช่วยเหลือทั้งเขาและหลี่ซื่อหลาง จนตอนนี้ปลอดภัยแล้ว เหลือก็แต่หย่งคังที่ยังอยู่ข้างใน...หยงเทียนได้แต่มองทะเลเพลิงที่ลุกลามใหญ่เหมือนต้องการประกาศศักดาอะไรบางอย่าง

…ความตาย...

“นายท่านล่ะ?!”

“อ้า! นายท่านแย่แล้ว!” คนรับใช้พากันวุ่นวายอีกครั้ง “คุณชายด้วย! ทั้งสองยังอยู่ข้างใน”

“ต้องมีคนเข้าไปช่วย!”

กว่าจะตั้งสติกันได้ ตัวแทนคนรับใช้ที่หน่วยก้านพอใช้ได้สองสามคนอาสาจะเข้าไปข้างใน หยงเทียนถอนหายใจ เขาคงอยู่เฉยไม่ได้เช่นกัน

“ข้าจะไปด้วย”

คนอื่นที่ไม่รู้ว่าหยงเทียนเป็นใครพากันมองด้วยความสงสัย หยงเทียนจึงอธิบายสั้นๆ ไม่ให้เสียเวลา “เมื่อกี้ที่เข้าไป ข้าเจอคุณชายของพวกเจ้าด้านใน เขาช่วยพี่ชายข้าไว้ ข้าก็อยากจะช่วยเขาตอบแทน”

พูดจบก็คว้าถังน้ำราดตัวเองซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะวิ่งนำเข้าไปเป็นคนแรก ราวกับเป็นแม่ทัพเก่งกล้าปลุกความหึกเหิมให้ชายรับใช้คนอื่นๆ คนที่เหลือด้านหลังนำน้ำมาราดตัวก่อนจะวิ่งตามเข้าไปติดๆ










-------------------------------------------------------------













“ไหม้ไปซะ! ฮ่าๆๆ มอดไหม้ไปให้หมดเลย!” เสียงแหบแค่นหัวเราะ สลับกับไอโครกๆ ผสมเลือดสีดำที่ออกมาพร้อมกันด้วย บ่งบอกถึงอาการป่วยที่เริ่มไม่ดีแล้ว...อันที่จริง เขาคงใกล้ตายแล้วมากกว่า!

   แม้ว่าแท้จริงแล้วอาการเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงเอวของเลี่ยงหวงจะมีอาการดีขึ้นในระยะหลังมานี้ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเริ่มเดินไปไหนมาไหนได้ แม้จะยากลำบาก แต่หากมีตัวช่วยในการเดินก็ไม่แย่นัก หากหลังถูกวางยาอีกรอบ ทุกอย่างก็ดูย่ำแย่ไปเสียหมด เช่นนั้น เขาก็เป็นได้แค่ชายชราใกล้ตายเท่านั้น!

   หากเขาตาย ทุกอย่างก็ควรตายไปพร้อมกันด้วย!

   ใช่แล้ว...นายเลี่ยงหวงเป็นคนวางเพลิงเอง

   เขาพยายามพยุงตัวเองเดินฝ่าทะเลเพลิงที่ลุกลามไปทั้งห้องนอนของตน ราวกับมันค่อยๆแผดเผาจิตสำนึกของเขาไปด้วย ขาที่อ่อนแรงเดินต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ชายชราล้มลงกับพื้นที่เต็มไปด้วยเศษซากสิ่งของเครื่องใช้ที่ถูกเผาจนไหม้เกรียม

“ฮ่าๆๆ ไหม้ไปเลย!”

เพราะอีกไม่นานสภาพเขาก็คงไม่ต่างกัน

หึ...ดี! ไหม้ไปพร้อมๆกันให้หมดนี่แหละ!

เลี่ยงหวงกลายเป็นคนสติวิปลาสไปเสียแล้ว มีความคิดวนไปวนมาแค่ว่าไหนๆ เขาก็จะตาย สมบัติของเขา ทุกๆอย่างที่เป็นของเขาก็ควรหายไปพร้อมกับเขา ฝังดินไปพร้อมกับศพของเขา!

“เลี่ยงหวง!” เสียงเข้มดังขึ้นไม่ไกล ดวงตาพร่าของชายชรามองเห็นร่างสูงที่ยืนห่างออกไปลางๆ

“จางเฟยหลง?”  นายเลี่ยงหวงเอ่ยเสียงแหบพร่า “นั่นเจ้าหรือ?”

“ต้องรีบไป ไฟลุกลามไปทั้งเรือนแล้ว!” หย่งคังพุ่งเข้ามาทำท่าจะแบกร่างชายชราไว้บนหลัง ทว่าชายชรากลับปฏิเสธด้วยการตะคอกใส่อีกฝ่ายเต็มเสียง

“ก็ดีนะสิ! ฮ่าๆๆ ไหม้ให้หมด!” หัวเราะไปก็ไอออกมาเป็นของเหลวสีดำไป “ข้าจะตายไปพร้อมกับทุกอย่างที่เป็นของข้า...”

“นี่ท่านพูดเรื่องอะไร!” หย่งคังไม่อยากคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของผู้ให้กำเนิด แต่หลักฐานตรงหน้าก็ชัดเจนจนปฎิเสธไม่ได้ “อย่าบอกนะว่า...”

“ใช่! ข้าทำเอง ข้าเผามัน เผาให้หมด!! อย่านึกว่าข้า...แค่กๆ! ...ไม่รู้นะ เจ้าคิดจะฮุบทุกอย่าง เรื่องยาพิษเจ้าก็คงสมรู้ร่วมคิดด้วยล่ะสิ!!”

“ท่านบ้าไปแล้ว!”

“ทุกอย่างควรเป็นของข้า!! แค่กๆ!!” นายเลี่ยงหวงสำลักของเหลวสีดำออกมาในปริมาณมาก หน้าซีด ตัวสั่น

“ท...ท่าน!” แม้จะเกลียดชัง หากแต่ลึกๆ หย่งคังก็หวังไม่น้อยว่าผู้เป็นพ่อจะไม่มาตายที่นี่...ตรงนี้...ต่อหน้าของเขา
“มาเถิด! ข้าจะพาท่านออกไปจากที่นี่”

“ข้าไม่ไป!!” ชายชราดิ้นเท่าที่ร่างกายจะพอดิ้นไหว แม้มันจะไม่สะทกสะท้านคนตัวใหญ่เลยก็ตาม

“ข้าไม่สนว่าท่านอยากไปหรือไม่” ว่าแล้วหย่งคังก็แบกร่างผู้เป็นพ่อหวังจะเดินไปที่ทางออก จนไม่ทันระวังเห็นคานไม้ใหญ่ที่กำลังจะร่วงหล่นใส่ร่างพวกเขาทั้งสอง

“ระวัง!”

...นั่นไม่ใช่เสียงของเขา

ปึง!!

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก คานไม้ใหญ่ร่วงตามแรงโน้มถ่วง กระแทกจนพื้นแตก ไฟลุกลามไปทั่วบริเวณ อากาศที่เต็มไปด้วยควันทำให้หย่งคังที่สูดดมเข้าไปในปริมาณมากเริ่มไม่มีสติ กว่าจะรู้สึกตัว เขาก็ตระหนักว่าตนกระเด็นพ้นคานไม้ใหญ่ด้วยแรงดึงของใครบางคน

“เป็นอะไรหรือไม่?”

หยงเทียนที่มาทันเวลาพอดีถามอีกฝ่ายที่เหมือนเริ่มไม่ได้สติ คงจะสูดควันเข้าไปเยอะทีเดียว

“อาการไม่ดีแล้ว ต้องพาออกไปก่อน” หยงเทียนหันไปบอกชายรับใช้ที่ตามมา

“ขอรับ!”

“อ้ากกก!!!” 

ยังไม่ทันได้เคลื่อนย้ายคนเจ็บ เสียงร้องจากอีกฝากของคานไหม้ก็เรียกให้ทุกคนตระหนักว่านายเลี่ยงหวงเป็นเพียงคนเดียวที่หลบไม่พ้น

“ร้อนๆๆ!!! อ้ากกกก!!!” เสียงร้องแหบแห้งน่าเวทนาดังไม่หยุด ไฟลุกท่วมทั้งร่างของชายชรา ต่อให้วิ่งฝ่าเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

“ข้าต้องช่วยเขา!”

“หยงคัง...ไม่ทันหรอก...” หยงเทียนห้ามคนเจ็บที่ทำท่าจะเข้าไป “ข้าเสียใจ แต่เราต้องไปแล้ว”

แววตาหย่งคังหม่นแสงลงขณะมองดูร่างที่บิดอย่างทรมานจนบัดนี้ก็แน่นิ่งไปแล้ว


…ตาแก่นั่น...ช่วยไม่ทันแล้วสินะ เขาช้าอีกแล้วไม่ว่าเรื่องไหน...

…กับซื่อหลางเอง เขาก็ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมานานเสียจนเกือบจะเสียเขาไป...



“...คัง!”


…ช้า...ทุกอย่างมักจะสายไปเสมอ...



เพี๊ยะ!

“หย่งคัง!” หยงเทียนที่ตบแก้มเรียกสติอีกฝ่ายตะโกนแข่งกับความโกลาหลวุ่นวายรอบตัว “หากท่านตายตรงนี้ มันก็แค่จบชีวิตท่าน แต่คนที่เขายังอยู่น่ะมันเจ็บปวดรู้หรือไม่!”

แววตามุ่งมั่นแน่วแน่ของหยงเทียน...คำพูดเหล่านั้น...ราวกับสามารถเรียกสติของหย่งคังกลับมาได้


…ซื่อหลาง...


“ข้าจะไม่ตายที่นี่เพราะข้ามีฟานตงที่รอให้ข้ากลับไป แล้วท่านล่ะ หย่งคัง”

“ข้าจะกลับไปหาซื่อหลาง” หย่งคังตอบอย่างไม่ลังเล

“ดี...”

หยงเทียนพยักหน้ารับ 

“งั้นก็ไปกัน”












-------------------------------------------------------------










พวกหย่งคัง หยงเทียนและชายรับใช้คือกลุ่มสุดท้ายที่ออกมาทันก่อนที่ทะเลเพลิงจะกลืนกินเรือนตระกูลจางจมหายไปในเวลาอันแสนสั้น หากแต่ก็ยาวนานสำหรับใครหลายคน

แม้ทุกคนลืมนึกถึงนักโทษที่ถูกขังไว้เสียสนิท แต่นั่นคงไม่เป็นปัญหาในเมื่อจื่อเยี่ยนได้ปลดปล่อยนักโทษผู้นั้นออกไปแล้ว

…ป่านนี้ชายผู้นั้นคงปลอดภัยแล้วมั้ง...

ร่างเล็กที่มองดูเปลวไฟกัดกินเรือนจนมอดไหม้ ราวกับชะล้าความโสมม ความอิจฉาริษยาและแผนการสกปรกตลบหลังกันซ้ำซ้อนเพื่อนสมบัติที่ตายไปก็เอาไปไม่ได้ จะว่าที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นมา แม้จะไม่ใช่เรื่องดี แต่ก็ไม่ได้แย่นักสำหรับเขา

ก่อนหน้านี้ จื่อเยี่ยนคิดจะไว้แล้วว่าต่อให้ตาย ท่านหมอคนนั้นก็ไม่มีวันให้ยาถอนพิษ แววตาแน่วแน่ที่ไม่หวาดกลัวสิ่งใดแม้กระทั่งความตายนั่นทำให้จื่อเยี่ยนเหมือนได้เห็นตัวเอง

ความจริงที่ไม่มีใครรู้ เขาเป็นใคร? มาจากไหน?

แท้จริงแล้ว จื่อเยี่ยนก็เป็นแค่ลูกชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่ธุรกิจการค้าของตระกูลจางที่เริ่มขยายตัวบีบบังคับพ่อและแม่ของเขาให้ขายไร่ขายนา...แม้กระทั่งขายเขาให้นายเลี่ยงหัวด้วย ช่วยไม่ได้ที่เกิดมาต่ำต้อยกว่า จื่อเยี่ยนเรียนรู้ว่าถ้าอยากอยู่รอดก็ต้องเรียนรู้ที่จะสูงกว่าคนอื่น

เขาร่ำเรียนอย่างหนัก ฝึกฝนอย่างหนัก

จื่อเยี่ยนกลายมาเป็นคนสนิทของคุณชายคนเล็กตระกูลจางได้ ถือเป็นความสำเร็จอีกขั้นที่จะดำเนินแผนการชะล้างตระกูลนี้จากความสกปรกที่ถมมานานจนเน่าเหม็น

และแน่นอน จื่อเยี่ยนไม่เคยคิดผิด

ตระกูลจากควรมีคนบริหารที่ดีกว่านี้...อย่างเช่นเขา

หรืออย่างน้อยก็จากคุณชายที่รับฟังเขา...จะว่ายังไงดีล่ะ ถึงจื่อเยี่ยนจะไม่ได้บริหารโดยตรง อย่างน้อยทางอ้อมก็ยังดี...ไม่เชิงหลอกใช้...แต่คนเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ตำแหน่งที่ไม่ทำให้ตัวตายล่ะนะ

จื่อเยี่ยนก็แค่ต้องการสิ่งที่เคยเป็นของเขาคืน คุณชายเองก็อยู่ในสถานนะเดียวกันกับเขา เช่นนั้นเขาก็มีสิทธิ์ที่จะทวงคืนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

ยอมรับว่าแค้นเคืองนัก ไม่ใช่ไม่เคยคิดอยากจะฆ่าคนพวกทำตัวสูงส่งกว่าคนอื่นให้ตายคามือ แต่ทำแบบนั้นแล้วได้อะไร จื่อเยี่ยนรู้ข้อนี้ดี แม้จะทำการตลบหลัง แต่เขาก็รอดสายตาทุกคนมาได้

ซึ่งที่ว่ามา ตรงข้ามกันท่านหมออวี๋เฉินโดยสิ้นเชิง

ต้องจำกัดความชายผู้นั้นอย่างไรดีล่ะ? โง่เง่า บ้าบอ ฉลาดแต่ก็เฉียบแหลม

จื่อเยี่ยนติดตามความเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย จนรู้สึกเหมือนเห็นตัวเองเมื่อก่อนอย่างไรอย่างนั้น จากที่เริ่มดูความเคลื่อนไหวก็กลายเป็นการให้ความสนใจจนเริ่มไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ลืมแม้กระทั่งความถูกต้อง

นั่นเป็นคำตอบที่ทำว่าจื่อเยี่ยนถึงปล่อยชายผู้นั้นไป

…เพราะเราเหมือนกันเกินกว่าที่คิด...

จื่อเยี่ยนไม่เข้าใจหรอกว่าการเห็นอกเห็นใจเป็นเช่นไร เขาเห็นอกเห็นใจท่านหมอหรือไม่ เขาเองก็ไม่รู้ แต่กับความแค้นน่ะ เขารู้จักดีเชียวล่ะ

ชายผู้นั้นใช้ความแค้นขับเคลื่อนเหมือนกันเขา วางแผนทุกอย่างเสียดิบดี แต่ต่างตรงที่จื่อเยี่ยนไม่ให้ความแค้นครอบงำเท่านั้น ตัวเขาสมควรมีชีวิตที่ดี ซึ่งเขาจะทำให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีกับธุรกิจตระกูลจางแน่นอน หากนายเลี่ยงหวงไม่เกิดทำแผนทั้งหมดพังด้วยการเผาทุกอย่างมอดไหม้ไปเสียก่อน

เอาเถอะ นั่นก็ช่วยไม่ได้

อย่างไรเสีย จื่อเยี่ยนก็ไม่เห็นด้วยกับการเอาชีวิตมาเสียกับความแค้นอยู่ดี และชายผู้นั้นก็สมควรถูกปลดปล่อย หากไม่ใช่จากโซ่ตรวนหรือห้องขังที่พันธนาการเขาเอาไว้ แต่เป็นความแค้นที่อยู่ในใจต่างหาก

ท่านหมอควรมีชีวิตให้ดีกว่านี้ อย่างน้อยถ้าไม่ใช่เพื่อตัวเอง ก็เพื่อคนข้างหลัง ท่านพ่อกับท่านแม่ที่อยู่บนสวรรค์จะได้ไม่นั่งร้องไห้อย่างไรล่ะ

...แต่ก็นะ

ตอนนี้เป้าหมายของจื่อเยี่ยนยังเป็นธุรกิจตระกูลจางอยู่หรือไม่ ?

เขาเองก็ยังตอบตัวเองไม่ได้...

ราวกับการได้เจอท่านหมอเปลี่ยนอะไรบางอย่างในตัวเขา ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้สึกอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งๆ นั้นเรียกว่าอะไรเช่นกัน

แต่ที่แน่ๆ จื่อเยี่ยนตั้งใจว่าจะหายตัวไปสักพัก หรือให้ใครต่อใครคิดว่าเขาตายในกองเพลิงกลายเป็นเถ้าไปเลยได้ยิ่งดี

อย่างไรเสีย หลังจากนี้คุณชายก็สามารถจัดการเรื่องต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง แม้จะเสียหายไปมากกับเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้ แต่จื่อเยี่ยนก็มั่นใจว่าคุณชายได้สิ่งที่มีค่ามากกว่าเรือนตระกูลจางสิบหลังเสียอีก

นั่นก็คือ หลี่ซื่อหลาง...ชายขายน้ำเต้าหู้ธรรมดาๆ ผู้นั้น

เขาไม่ค่อยเข้าใจเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ และคงถึงเวลาที่ต้องไปแล้วล่ะ จื่อเยี่ยนลอบมองคุณชายเล็กที่อยู่ไกลออกไป

“ลาก่อนขอรับ...”

“จะลาไปไหนล่ะหืม?”

คนตัวเล็กหันขวับไปทางเสียง ตาเบิกกว้าง “ท...ท่านหมอ!”

“ดีใจหรือเปล่าที่เจอกันอีก”

ยิ้มแบบนั้นทำให้จื่อเยี่ยนรู้สึกแปลกๆ ที่หน้าอกอีกครั้ง หัวใจเต้นรัวตามจังหวะที่ท่านหมอย่างก้าวเข้าหา “อยากเป็นพระเอกหรือ ถึงได้ช่วยข้าไว้"

“ก็แล้วแต่จะคิด” จื่อเยี่ยนเบี่ยงตัว “หลีกไป”

“ไม่”

ไม่ว่าเปล่า จางอวี๋เฉินรวบตัวจื่อเยี่ยนไว้อย่างรวดเร็ว ล็อคแน่นหนาไม่เหลือช่องทางให้คนตัวเล็กหนีรอด

“อ่ะ นี่ท่าน!”

จางอวี๋เฉินค่อยๆ โน้มตัวกระซิบข้างหู “รู้ตัวหรือไม่ว่าชอบทำตัวหน้าโมโห”

จื่อเยี่ยนพยายามบิดตัว ตั้งใจจะงัดท่าวิทยายุทธล้มคนตรงหน้า แต่เหมือนถูกอ่านใจ จางอวี๋เฉินเปลี่ยนท่าล็อคตัวเขาไว้จนขยับตัวไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

“อ่ะๆ อย่าคิดใช้วิทยายุทธกับข้า ไม่ได้ผลหรอก”

“ทำแบบนี้ทำไม”

อีกฝ่ายหัวเราะ “ก็อยากทำ”

“ปล่อยข้า!” จู่ๆ จื่อเยี่ยนก็นึกรู้สึกเสียใจที่ปล่อยคนกวนประสาทนี่ให้รอดตายจากไฟไหม้มาได้

“อยากให้ปล่อยหรือ”

“อยากให้กอดต่อกระมัง!”

“เอ้า แล้วก็ไม่บอก” จางอวี๋เฉินแกล้งตีหน้าซื่อ กระชับอ้อมกอดจนคนตัวเล็กแทบจมหายเข้าไปในอกแกร่ง หากรวมร่างได้คงทำไปแล้ว จื่อเยี่ยนได้แต่กระดุกกระดิกนิดๆ หน่อยๆ ประท้วง

“ท่านหมอปล่อยข้า”

“ข้าจะปล่อยถ้าเจ้าบอกเหตุผลที่ช่วยข้า”

จื่อเยี่ยนถอนหายใจพรืด “ทำไมท่านต้องอยากรู้”

“ก็มันติดใจข้า เห็นลูกหมาที่ตามเจ้าคุณชายนั่นต้อยๆ อย่างเจ้ามาช่วยเนี่ย ขัดใจข้าจนคิดว่าชาตินี้คงนอนตายตาไม่หลับถ้าไม่รู้ความจริง”

“บอกแล้วจะปล่อยใช่หรือไม่” คนตัวเล็กทำเสียงจริงจัง

“จางอวี๋เฉินพูดคำไหนคำนั้น”

“...ข้าช่วยท่านเพราะอยากช่วย”

“หือ?”  จางอวี๋เฉินเลิกคิ้ว “แบบแอบรักข้าเลยอยากช่วยน่ะนะ” แกล้งพูดแหย่ แต่ในใจก็แปลกใจไม่เบา เขาไม่เชื่อสนิทใจ คนตรงหน้าร้ายกว่าที่เห็น เล่ห์เหลี่ยมก็เยอะ เดาใจยาก เขาไม่คิดจะปล่อยไปเพราะคำตอบหลอกเด็กหรอก

“ไม่ใช่!” ฝ่ายนั้นก็ประท้วงการใหญ่ ดูเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์เต็มที่ “ข้าบอกแล้ว ปล่อยสักที!”

“นี่ข้ายังไม่ได้รับคำตอบที่ถูกต้อง เจ้าพูดคลุมเครือ แบบนี้ไม่นับ”

“จะปล่อยข้าดีๆ หรือไม่...”

“แล้วเจ้าจะทำอะ...อ้ากก!! อั่ก!!”

จางอวี๋เฉินไม่รู้จะเจ็บตรงไหนก่อนดี ระหว่างรอยเขี้ยวที่ตอนนี้คงมีเลือดไหลซิบๆ บริเวณหน้าอกหรือกล่องดวงใจที่โดนหน้าขาอีดใส่เต็มเม็ดเต็มหน่วย

“...ก็ประมาณนี้น่ะขอรับ”

จื่อเยี่ยนว่าเสียงเย็นก่อนจะเดินจากไป จางอวี๋เฉินได้แต่นอนสิ้นแรงเพราะถูกจี้จุดสำคัญจนหน้าเขียว

“โอย...ข้าจะตามตัวเจ้าแน่ จื่อเยี่ยน!”


















-------------------------------------------------------------











To Be Continued...









หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 16.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 16-07-2016 18:30:05
 :impress3:

ได้อ่านต่อแล้ววววววววว

รอคอยเธอมาแสนนาน~
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 16.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 17-07-2016 00:06:36
เธอมาแล้ววววว

หยงเทีนหับหย่งคังพระเอกน่าดูเลยตอนนี้

จื่อเยี่ยนซับซ้อนมาก
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 16.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: empty102153 ที่ 17-07-2016 07:05:55
ยินดีต้อนรับกลับค่ะ ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
 :3123: :pig2:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] ดอกท้อที่ ๑๙(ครึ่งหลัง) :: UPDATE 16.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 18-07-2016 03:38:33
ทีแรกนึกว่าตาฝาด -0-;;
ดีใจที่มาต่อนะคะ ><
จะเป็นยังไงต่อไปเนี่ยย
หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย (THE END) :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 21-07-2016 08:51:04
บทส่งท้าย



         หลังเหตุการณ์ไฟไหม้เรือนตระกูลจาง เรียกได้ว่าแทบไม่เหลือทรัพย์สินใดๆ รวมไปถึงธุรกิจก็เป็นอันต้องชะงัก งานนี้ตระกูลจางคงใกล้เคียงกับกิจการล้มละลายเลยกระมัง

   หย่งคังคิดแล้วก็ปวดหัว มีเรื่องต้องไปสะสางมากมายนัก ถ้าไม่ติดว่าเป็นคนป่วยที่เนื้อตัวถูกพันด้วยผ้าราวกับมัมมี่ ป่านนี้เขาออกจากสถานีอนามัยแห่งนี้ไปนานแล้ว ไหนจะเรื่องงานศพนายเลี่ยงหวง ไหนจะเรื่องบ้าน ไหนจะเรื่องธุรกิจ ไหนจะจื่อเยี่ยนที่หายตัวไป

   คิดแล้วก็อดห่วงไม่ได้

   “คิดอะไรอยู่ หน้าเครียดเชียว” ซื่อหลางเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วยพร้อมชาและขนมหวาน หย่งคังไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายเข้ามาตอนไหนเลยด้วยซ้ำ

   “ไม่มีอะไรหรอก” คนเจ็บส่ายหัว

   “นี่... ถ้ามีอะไรก็บอกข้าสิ อย่าเก็บไว้เข้าใจหรือไม่”

   หย่งคังลอบยิ้ม “งั้นก็อยากบอกว่าข้ารักท่านนะ”

   “จ...เจ้าพูดอะไรเนี่ย” หลี่ซื่อหลางเสหน้าที่แดงเถือกไปอีกทาง ก่อนจะวางชาและขนมลงบนโต๊ะข้างๆ เตียง “ข้าเอาขนมมาให้ เผื่อเจ้าจะหิว”

   “หิว แต่ไม่อยากกินขนม” มือไวกว่าปาก หย่งคังดึงตัวซื่อหลางให้มานั่งบนตัก “กินท่านแทนได้หรือไม่"

   “หยุดคิดเลย!”

   …สาบานว่านั่นไม่ใช่เสียงของหลี่ซื่อหลาง

   ปั้ก!!

   ตามด้วยการปาถุงซาลาเปาที่หลี่ซื่อหลางฝากซื้อแล้วยังกำชับว่าให้เอามาฝากคนเจ็บอย่างหย่งคังด้วยตัวเองอีก
   จะให้ผูกมิตรอะไรนักหนา เหม็นขี้หน้า! นี่ถ้าพี่ซื่อหลางไม่ขอก็ไม่มีวันทำแน่ๆ

   “ฟานตง!” ร่างโปร่งเท้าเอวทำท่าจะเอ็ดน้องคนกลาง “ทำไมทำเช่นนี้เล่า หัวร้างข้างแตกขึ้นมาจะแย่เอารู้หรือไม่”

   “เจ็บจัง...” ได้ที่หย่งคังก็กอดเอวซื่อหลาง ไถหัวกับไหล่มนออดอ้อนเป็นการใหญ่

   “มารยานัก!”

   ฟานตงเห็นแล้วของขึ้น ชี้หน้าด่าอีกฝ่ายเอาเป็นเอาตาย “ตัวใหญ่อย่างกับควายอย่ามาพูดเจ็บจังไม่เข้ากับหน้าเถื่อนๆ ว้อย! พี่ซื่อหลาง อย่าไปเชื่อนะ!”

   ฝ่ายคนกลางได้แต่ถอนหายใจ เขาแกะมือปลาหมึกของหย่งคังออกก่อนจะเดินไปหาฟานตง

   “ไม่เอาน่า หย่งคังไม่สบายอยู่นะ เจ้าไปเล่นที่อื่นดีหรือไม่”

   “ข้าโตแล้วนะ!”

   “จ้า จ้า” ซื่อหลางลูบหัวฟานตงอย่างเอ็นดู “งั้นก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดีนะ ข้ารักเจ้า”

   “รักมากกว่าหย่งคังหรือไม่” ถามด้วยสีหน้าหมาหงอย เห็นแล้วก็ลำบากใจจะตอบจริงๆ

   “อ่า...รักเท่ากันน่ะ”

   “ไม่เอา!! / ไม่เอา!!”

   เป็นการประสานเสียงร้องครั้งแรกของน้องทั้งสองคนที่หลี่ซื่อหลางรักไม่ต่างกัน

   “เสียงดังอะไรกันพวกเจ้า” เหมือนจิ้งอี้จะเป็นวีรบุรุษของวันนี้ เข้ามาได้จังหวะพอิบพอดี “อ่าว ฟานตง ข้าเห็นหยงเทียนตามหาเจ้าให้ทั่ว”

   “ตามหาข้า?”
 
   ฟานตงพับเรื่องพี่ชายรักใครมากกว่ากันทันทีที่ได้ยินชื่อคนรัก

   “ก็ใช่น่ะสิ” จิ้งอี้ยักไหล่ “พลิกแผ่นดินหาเจ้าอยู่ข้างนอกนู่นน่ะ”

   “งั้นข้าจะไปหาหยงเทียนแปบเดียว” ว่าแล้วก็เดินไปกระซิบกระซาบกับคนเพิ่งมาใหม่ “พี่จิ้งอี้จับตาดูเจ้านั่นไว้นะ ข้าไม่ไว้ใจเลย กลัวจะทำอะไรพี่ซื่อหลางอีก”

   “ไม่ต้องห่วง เชื่อมือข้าได้”

   พยักหน้าให้กันเหมือนสัญญาลูกผู้ชาย ก่อนไปหานตงยังไม่วายเขม่นใส่หย่งคังที่นอนอยู่บนเตียงอีกรอบ

   เฮ้อ... นิสัยหวงพี่นี่แก้ไม่หายเลยสินะ

   “อย่าคิดมากเลย ฟานตงก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ” จิ้งอี้เอ่ยด้วยท่าทางชาชิน เขาเห็นเรื่องแบบนี้ตั้งแต่ฟานตงเด็กๆ แล้ว

   “นั่นสิ...” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ “ข้าเลี้ยงตามใจเขาเกินไปหรือเปล่านะ”

   “ท่านน่ะเป็นพี่ชายที่ดีที่สุดในโลกแล้ว อย่ากังวลเลย” หย่งคังยิ้ม ซื่อหลางยิ้มตอบ เหมือนโลกทั้งโลกกลายเป็นสีชมพูไปเสียแล้ว

   “นี่ๆ” จิ้งอี้ยกมือขึ้นเหมือนต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง “บางทีข้าก็คิดนะ ว่าข้ายังจำเป็นอยู่หรือไม่"

   “เจ้าเป็นเพื่อนข้านะ เดี๋ยวข้าไปหาชาให้เจ้าก่อนละกัน” หลี่ซื่อหลางเปลี่ยนเรื่อง เดินออกไปหมายจะซื้อชาร้อนมาให้คนที่อุตส่าห์ถ่อมาเยี่ยมคนเจ็บถึงในเมือง

   ลับหลังหลี่ซื่อหลาง จิ้งอี้ก็เปิดบทสนทนาทันที

   “หย่งคัง เจ้าน่ะ จริงใจกับหลี่ซื่อหลางจริงๆ ใช่หรือไม่”

   “ชีวิตข้าก็ให้เขาได้” อีกฝ่ายตอบไม่หลบสายตา ไม่มีความลังเลในน้ำเสียง

   “ก็ดี...” จิ้งอี้ว่าพลางพิจารณาคนตรงหน้าไปด้วย “ถ้าทำเขาเสียใจข้าไม่ไว้หน้าคุณชายอย่างเจ้าหรอกนะ”

   “ก็แล้วแต่ท่าน”

   จิ้งอี้ยักไหล่ “ก็นะ ว่าแต่จ้าวางแผนจะไปอยู่ที่ไหนต่อล่ะ”

   “ไว้หายดีแล้ว ข้าจะกลับไปสะสางเรื่องของตระกูลเสียหน่อย”

   “กลับไปบริหารงานต่องั้นรึ”

   หย่งคังส่ายหน้า “ข้าก็ไม่แน่ใจ ประเมินความเสียหายแล้วท่าจะเสียมากว่าได้ ข้าอาจต้องขายทุกอย่าง แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ศูนย์ใหม่”

   “พูดเหมือนง่ายๆ เลยนะเจ้าเนี่ย”

   “ก็ไม่ง่ายหรอก” หย่งคังเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ข้าจะทำเพื่อซื่อหลาง ฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก”

   “ก็ดีแล้ว”

   “ข้ากลับมาแล้ว!” จู่ๆ ฟานตงก็ถลาเข้ามาในห้อง ไม่รู้รีบอะไรนักหนา ทำอย่างกับว่าหนีอะไรมาอย่างนั้นแหละ

   “อ่าว พี่ซื่อหลางล่ะ” รีบถามทันทีเมื่อไม่เห็นเงาพี่ชายตนเองอยู่ในห้อง

   “ไปหาซื้อชาน่ะ” จิ้งอี้ตอบคลายความสงสัย “แล้วหยงเทียนล่ะ ไม่มากับเจ้าเหรอ”

   “เฮอะ!” ฟานตงเปลี่ยนสีหน้าทันที “เจ้านั่นจะไปตายที่ไหนก็ไปสิ ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”

   “พูดเรื่องอะไรของเจ้าเนี่ย ทะเลาะกับหยงเทียนมา?”

   พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา

   “ฟานตง” หยงเทียนที่สภาพเหมือนไล่จับอะไรอยู่เดินมาหยุดตรงหน้าฟานตง

    “เจ้าหนีข้าทำไม”

   “ไม่ได้หนี!” หันหน้าไปอีกทางท่าทีหงุดหงิดเสียเต็มประดา

   ...แหม่ หนีอยู่ชัดๆ...

   นั่นเป็นความคิดของทุกคนที่นั่งอยู่ในห้อง

   “ข้าขอโทษถ้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจ”

   “ข้าไปมีสิทธิ์ไม่พอใจคนดังด้วยเหรอ เฮอะ!”

   อ่า...อย่างนี้นี่เอง

   จิ้งอี้หัวเราะคิกคักเมื่อเข้าใจสถานการณ์ ได้ที่ราดน้ำมันลงกองเพลิงเสียหน่อย ชีวิตพ่อลูกสองอย่างเขาช่วงนี้ไม่ค่อยมีสีสันเท่าไหร่

   “จริงสิน้า...พักหลังๆ หยงเทียนโดนทาบทามไปเป็นลูกเขยตระกูลนู่นตระกูลนี่ชนิดหัวบันไดไม่แห้งเลยนี่นา”
   
       ปรี๊ด!!

   ราวกับปรอทความอดทนฟานตงขึ้นถึงจุดขีดสุด

   บ้าเอ้ย! เพราะการทำตัวเป็นวีรบุรุษของหยงเทียนคราวนั้น เจ้าตัวก็เหมือนได้แจ้งเกิดกลายเป็นที่หมายปองของสาวๆ ถึงขั้นที่พวกนางแย่งจะเอาเป็นพ่อของลูกให้ได้!

   ก็ใช่ไม่รู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของหยงเทียน เขาเองเป็นคนที่พาหยงเทียนไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้ เอาแต่ใจจนอีกฝ่ายต้องเสี่ยงตายเข้าไปในกองเพลิงแทนตน

   ถึงอย่างนั้น... คิดทีไรก็หงุดหงิดอยู่ดี!

   “หลีกไป!”

   ฟานตงหันหลังกลับทำทาจะเดินหนีอีกรอบ แต่ถูกคว้าไว้เสียก่อน

   “เราต้องคุยกันนะ”

   “ไม่คุยว้อยยย!!”

   “แต่ข้ารักเจ้า!”

   “ก...เกี่ยวอะไรเนี่ย!!” ฟานตงไม่ใช่แค่หน้าแดงเท่านั้น แต่ตัวแดงไปทั้งตัวเลยต่างหาก แหงล่ะ ถูกบอกรักท่ามกลางสักขีพยานแบบนี้ ต่อให้หน้าด้านฉาบปูนไว้หลายชั้นก็สะเทือนกันทั้งนั้น

   “รักๆๆๆๆ รักเจ้าคนเดียว! ข้าไม่สนใจแม่นางพวกนั้นแม้แต่คนเดียว คนที่ข้ารักคือเจ้า ฟานตง ข้าจะไม่ทำรักกับใครนอกจากเจ้า!”

   พรืด!

   หย่งคังกับจิ้งอี้เกือบสำลักน้ำลายตัวเองในความกล้าหาญของหยงเทียนเสียแล้ว

   “จ...เจ้าบ้า!!!”

   ฟานตงตีอกชกลมเล็กน้อยก่อนจะวิ่งออกจากห้องด้วยความเร็วแสง ประหนึ่งว่าถ้าสามารถหายตัวไปได้ก็คงทำแล้ว ทิ้งไว้แต่คนตัวสูงที่ยืนเอ๋ออยู่ต่อหน้าสักขีพยานรักอีกสองหน่วยในห้องผู้ป่วย

   “นี่ข้าทำอะไรผิดหรือ”

   หยงเทียนถามอย่างคลางแคลงใจ รักก็บอกว่ารัก คนปากตรงกับใจผิดตรงไหน

   “ข้าคิดว่าเพราะประโยคสุดท้ายนะ” จิ้งอี้ยักไหล่ หย่งคังพยักหน้าตาม

   “ก็ข้าเห็นหย่งคังชอบพูดแบบนั้นกับพี่ซื่อหลางนี่นา...” หยงเทียนพึมพำ หากคนในห้องก็ได้ยินชัดเจนทุกคำ

   “ไม่เป็นไรหรอก ข้าว่าฟานตงคงไม่โกรธท่านแล้ว” หย่งคังให้กำลังใจ

   “งั้นข้าไปตามฟานตงล่ะ” หยงเทียนรีบร้อนไปตามหาคนรัก ก่อนไปก็ไม่ลืมหันมาอวยพรคนเจ็บ “หายไวๆ ล่ะ”

   “ขอบใจ”

   หลังจากที่หยงเทียนไป หย่งคังก็หันไปหาจิ้งอี้ “หยงเทียนเป็นคนดีนะ”

   “อ่า ใช่ๆ”  จิ้งอี้พยักหน้า “เจ้านั่นตัวใหญ่แต่ซื่อบื้อมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ”

   “นั่นเป็นคำชมหรือเปล่า”

   “คิดว่าใช่นะ” พ่อลูกสองยักไหล่

   “ขอโทษที่ไปนาน ข้าหลงทางน่ะ” ซื่อหลางเดินเข้ามาพร้อมกับชาสองสามถ้วยในถาด

   “วันหลังไม่ต้องลำบากก็ได้ เจ้านี่ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่เรื่อย” จิ้งอี้ไม่วายดุเพื่อนรัก ร่างโปร่งยิ้มรับเจื่อนๆ

   “ข้าก็อยากทำอะไรที่ทำได้น่ะ"

   “ก็เป็นเสียแบบนี้แหละนะเจ้าเนี่ย”  จิ้งอิ้หยิบถ้วยชาที่ยังร้อนๆ ขึ้นมา “ดื่มชาแล้วก็กลับดีกว่า ข้าไม่อยากเป็น กขค”

   “ก...กออะไรนะ” ซื่อหลางถาม

   “อ่อ เปล่าหรอก” ดื่มชารวดเดียวก่อนจะวางถ้วยใส่ถาดตามเดิม “ไปล่ะ! หายไวๆ ล่ะคุณชาย”

   จิ้งอี้เดินออกไปท่ามกลางความงุนงงของคนในห้อง มาไวไปไวเสียเหลือเกิน เอาเถอะ หลี่ซื่อหลางหันไปให้ความสนใจกับคนป่วยแทน

   “แผลเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บอยู่หรือไม่”

   “ก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ ไกลหัวใจน่ะ”

   หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ “ได้ยินแบบนั้นข้าก็โล่งใจ ข้าว่าเจ้าน่าจะดื่มชะ...” ไม่ทันจะเดินไปหยิบชาให้คนป่วยดื่ม มือปลาหมึกก็รวบตัวร่างโปรงลงไปนั่งกับเตียง ก่อนจะถูกฉกชิงความหวานจากริมฝีปาก

   “อ...อื้อ!” ซื่อหลางพยายามเสหน้าหลบจูบที่กำลังจะประทับลงอีกครั้ง “ที่นี่สถานทีอนามัยนะ!”

   “แปลว่าที่บ้านทำได้?”

   “เจ้าลามกไปแล้ว!”

   “กับท่านคนเดียวนั่นแหละ” ว่าแล้วก็ประทับจูบที่แก้มอีกฝ่าย

   “อ้ะ! หยุดเลย”

   หลี่ซื่อหลางแกะมืออีกฝ่ายหมายจะหลุดจากพันธนาการ หย่งคังมีสีหน้าเจ็บปวดทันที

   “แค่กอดก็ไม่ได้หรือ?”

   หันไปมองแววตาหม่นแสงนั่นแล้วใจอ่อนทุกที ซื่อหลางถอนหายใจ “แค่กอดนะ”

   “อืม”

   หย่งคังตระคองร่างโปร่งอย่างทะนุถนอมราวกับเขาสามารถแตกสลายได้อย่างไรอย่างนั้น หลี่ซื่อหลางเอ่บทำลายความเงียบอีกครั้ง “หย่งคัง”

   “หืม?”

   “ออกจากที่นี่แล้ว เจ้าตั้งใจจะทำอย่างไรต่อไป”

   หย่งคังเลิกคิ้ว “เป็นห่วงหรือ?”

   “ก็ใช่น่ะสิ”

   “ท่านน่ารักจริงๆ” หย่งคังทำท่าจะขโมยจูบอีก ผีตาแก่ลามกเข้าสิงอีกแล้วสินะ ซื่อหลางได้ทีตีแขนที่ไม่มีผ้าพันแผลพันอยู่ไปหนึ่งทีเบาๆ จนคนที่โดนตีแทบไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ

   “อย่าเปลี่ยนเรื่องได้หรือไม่ บอกข้ามาเร็ว”

   “ก็ได้ ข้ายอมแล้ว” หย่งคังยิ้มอ่อน “ข้าคงจะไปทำเรื่องงานศพจางเลี่ยงหวงนั่นแหละ แล้วก็ดูว่ายังเหลืออะไรจากไฟไหม้บ้างหรือไม่ สินค้าจากไร่สวนก็ส่งมาแต่ไม่มีคลังจัดเก็บอีกแล้ว คงต้องขายสินค้าแก้ขัดไปก่อน”

   “พอจะมีอะไรที่ข้าช่วยได้หรือไม่”

   “อยู่ข้างๆข้านี่ไง” หย่งคังตอบในทันที เขาคิดแบบนั้นจริงๆ หากไม่มีคนตรงหน้า เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าชีวิตต่อไปจะอยู่อย่างไร จะมีแรงที่อยากต่อสู้ในวันพรุ่งนี้หรือไม่ ไม่รู้เลยจริงๆ

   ทว่าอีกฝ่ายกลับเงียบไปเสียอย่างนั้น หย่งคังเอ่ยถามเสียงนุ่ม

   “เป็นอะไรไป”

   “...ข้าอยากทำให้อะไรเพื่อเจ้าบ้าง”

   “แค่มีท่านอยู่ ข้าก็มีแรงฮึดต่อสู้แล้ว”

   หลี่ซื่อหลางยิ้มรับ “งั้นพอออกจากที่นี่แล้ว เจ้าจะย้ายไปอยู่กับข้าใช่หรือไม่”

   “ได้หรือ?”

   “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

   “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลืออะไรนะ มีหนี้ก้อนโตตามหลังอีก”

   “แล้วอย่างไร? ข้ามีเงินเก็บอยู่ ฉะนั้นข้า...”

   “ข้าขอไม่รับ” หยงคังเอ่ยแทรก ซื่อหลางมีสีหน้าผิดหวังขึ้นมาทันที

   “ข้าไม่ได้รังเกียจเงินท่าน อย่าเข้าใจผิด” หย่งคังรีบแก้ความก่อนอีกฝ่ายจะคิดมาก “ข้าแค่อยากสะสางหลายๆ เรื่องก่อนน่ะ จื่อเยี่ยนก็หายตัวไป ข้าเป็นห่วงเขา”

   “งั้นหรือ”

   “ข้าไม่หายไปไหนหรอก” ว่าแล้วก็จูบซับหน้าฝากอีกฝ่าย

   “ข้ารู้”

   ซื่อหลางเอ่ยเสียงเบา “ถ้าเจ้าหายไปอีก คราวนี้ข้าไม่ยอมแล้วจริงๆ ด้วย”

   “จะลงโทษอะไรข้าหรือ?”  หย่งคังพูดน้ำเสียงระรื่น “มัดกับเตียงก็เร้าใจดีนะ”

   “ใช่ที่ไหนล่ะ!” 

   “แล้วอะไรล่ะหืม?” คนตัวใหญ่เกยคางกับไหล่มน แอบสูดดมความหอมจากต้นคอคนในอ้อมแขน ถ้าเขาไม่บาดเจ็บอยู่ล่ะก็ คืนนี้จะไม่จบแค่นอนกอดกันแน่ๆ

   “ข้าจะหนีไปในที่ๆ เจ้าตามไม่เจอน่ะสิ ไม่อยากเจ็บอีกแล้ว”

   หย่งคังชะงัก “...ไม่เอานะ...”

   “ขึ้นอยู่กับเจ้านั่นแหละ"

   “ซื่อหลาง ข้าขอล่ะ ห้ามทำแบบนั้น เข้าใจหรือไม่ ห้ามไปอยู่ในที่ๆ ข้าไม่เห็นท่าน” หย่งคังกระชับอ้อมกอดราวกับกลัวว่าหลี่ซื่อหลางจะหายไปจริงๆ

   “ถ้าเจ้าสัญญาว่าจะไม่ไปไหน มีอะไรก็บอกข้า อย่าแบกรับไว้คนเดียว ข้าก็พร้อมจะเดินไปพร้อมกับเจ้า”

   “งั้นให้ถึงตอนนั้น เวลาข้าจะไปทำธุระที่ไหน ท่านก็ไปด้วยดีหรือไม่” หย่งคังเสนอความคิด “จะได้เรียนรู้เป็นคู่ชีวิตกันและกัน ช่วยกันทำงาน สร้างกิจการใหม่ด้วยกัน”

   “จริงหรือ?”

   แววตาประกายเหมือนเด็กได้ของเล่นของหลี่ซื่อหลางทำเอาหย่งคังแทบอดใจไม่ไหว เย็นไวตัวเรา เย็นไว้ คนตัวใหญ่พยายามท่องในใจ

   “ข้ารักท่านนะ ซื่อหลาง”

   เจ้าของชื่อยิ้มรับ จูบกลับแผ่วเบาราวกับผีเสื้อกระพือปีก

   “ข้าก็รักเจ้า หย่งคังของข้า”







-------------------------------------------------------------







   ร่างกายของหย่งคังใช้เวลาฟื้นฟูเพียงไม่นาน เขาก็สามารถเดินเหินยกของนู่นนี่นั่นได้เป็นปกติ เหลือก็แต่แผลเป็นตามตัวที่ยังคงเป็นเครื่องเตื่อนความจำให้นึกถึงเรื่องราวทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้น

   ซึ่งเขาคงจำไปจนวันตายนั่นแหละนะ

   ทางด้านหลี่ซื่อหลางก็ปิดกิจการขายน้ำเต้าหู้อย่างไม่มีกำหนด เขาใช้เงินเก็บซึ่งมากพอสำหรับการไปกับหย่งคังในทุกที่ เรียนรู้ระบบกิจการการค้าขายของตระกูลจาง และเริ่มต้นสร้างมันขึ้นมาใหม่อีกครั้งกับคนรัก

   ส่วนฟานตงก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กับหยงเทียน ทำงานพิเศษอย่างขยันขันแข็ง และคอยเฝ้าบ้านรอวันพี่ซื่อหลางกลับมา



   กระทั่งหนึ่งปีให้หลัง

   เรือนตระกูลจางที่เคยจมหายไปในทะเลเพลิง บัดนี้ได้ถูกสร้างบูรณะขึ้นมาใหม่ แม้ไม่สวยหรูยิ่งใหญ่เหมือนอย่างเก่านัก แต่สำหรับหย่งคังและซื่อหลางก็ถือว่าเป็นบ้านที่น่าอยู่ทีเดียว ทั้งสองย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนเล็ก ที่ตอนนี้ถูกเรียกว่า ‘เรือนดอกท้อ’ เนื่องจากหย่งคังเล่าว่าสมัยเด็ก เขามีต้นท้อเป็นเพื่อน

   ...ฟังดูน่าเวทนานิดๆ ยังไงไม่รู้สินะ...

   เอาเถอะ เอาที่คนรักสบายใจ ซื่อหลางจึงหาต้นดอกท้อมาปลูกเสียเต็มสวน จนกลายเป็นสวนดอกท้อที่สวยงามกว่าที่ไหนๆ ไปเสียแล้ว

   ส่วนบริเวณเรือนใหญ่ก็ถูกปรับแต่งให้เป็นร้านอาหาร พ่อครัว และคนช่วยดูแลร้านล้วนเป็นคนรับใช้เก่าของตระกูลจางทั้งสิ้น ทุกคนอยู่กับแบบครอบครัว มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน

   ทางด้านกิจการส่งออกผักและผลไม้สดก็มีซื่อหลางคอยช่วยดูแลในส่วนนี้ เป็นเหมือนตัวแทนหย่งคังก็ว่าได้ เพราะหย่งคังต้องออกไปพบปะสร้างสัมพันธไมตรีกับคู่ค้าสมาคมมากมาย เพื่อที่จะก่อร่างสร้างตัวให้มั่นคงกว่านี้

   วันนี้ก็เช่นเดียวกัน หย่งคังออกไปเจรจากับคนในวังเรื่องผักและผลไม้ที่จะถูกส่งเข้าคลังเพื่อกักตุนไว้สำหรับหน้าหนาวที่กำลังจากมาถึง ถือเป็นช่วงโหดหินของกิจการตระกูลจางทีเดียว
   
   “ข้ากลับมาแล้ว” หลังน้ำเสียงอ่อนล้าเอ่ยขึ้น หลี่ซื่อหลางก็รีบปรี่เข้ามาหาคนรักทันที

   “เป็นอย่างไรบ้าง”

   “ต้องส่งผลผลิตให้ทันสิ้นเดือนหน้าน่ะ”

   “งั้นหรือ” หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าครุ่นคิด “ข้าคิดว่าทันอยู่นะ"

   “ซื่อหลาง” หย่งคังไม่พูดพร่ำทำเพลง แม้จะเหนื่อยจากงาน เจ้าตัวก็งัดแรงเฮือกสุดท้ายอุ้มคนรักในท่าเจ้าสาวหายลับเข้าไปในห้องนอนทันที

   “เดี๋ยวสิ!” หลี่ซื่อหลางประท้วงหลังจากถูกวางลงบนเตียง หย่งคังที่โดดขึ้นคร่อมเริ่มมือปลาหมึก มือลากผ่านส่วนไหนเป็นต้องเอาเสื้อผ้าเขาติดมือออกไปด้วย “หย่งคัง ยังกลางวันอยู่เลยนะ”

   “ก็ช่วงนี้เราไม่ค่อยได้ทำกันเลย” พูดทั้งที่ยังสูดดมกลิ่นหอมจากตัวอีกฝ่ายราวกับเสพติด

   “ก็เจ้างานยุ่งเองไม่ใช่หรือ”

   “ใครกันแน่” หย่งคังแอบเคืองนิดๆ ที่ช่วงหลังมานี้หลี่ซื่อหลางจริงจังกับงานเสียจนบางครั้งก็ลืมไปว่าไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ “ไม่เอาแล้ว ท่านไม่ต้องทำงาน อยู่ต้อนรับข้าที่บ้านเฉยๆ ก็พอไม่ได้หรือ”

   “เช่นนั้นข้าจะต่างอะไรกับตุ๊กตาเล่า”

   หย่งคังประทับจูบบนลาดไหล่มน “ท่านก็น่ารักเหมือนตุ๊กตาอยู่แล้ว”

   “อย่าเปลี่ยนเรื่องสิ”

   “ข้าอยากมีเวลากับท่านมากกว่านี้”

   หลี่ซื่อหลางตระคองใบหน้าคนรัก ย้ำด้วยเสียงจริงจัง “ข้าไม่ไปไหนหรอก ข้าอยู่กับเจ้า...อ่อ จริงสิ! เกือบลืมเลย”

   “อะไรหรือ?” หย่งคังขมวดคิ้วสงสัย

   “มีจดหมายจากจื่อเยี่ยนมาถึงเจ้านะ”

   “จริงหรือ?” หย่งคังแทบไม่เชื่อหูตัวเอง

   “ลุกสิ ข้าจะไปหยิบมาให้”

   หย่งคังลุกตามคำสั่งคนรัก เดี๋ยวนี้ซื่อหลางชี้ไม้เป็นไม้ ชี้นกเป็นนกไปเสียหมด ไม่ว่าอะไรเขาก็พร้อมเชื่อฟังคนรักเหมือนถูกมนต์สะกดอย่างไรอย่างนั้น

   “มันมาถึงเมื่อเช้าน่ะ ขอโทษที่ข้าแอบอ่านนะ ตัวข้าเองก็อยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไรเช่นกัน” ร่างโปร่งมีสีหน้ารู้สึกผิด ได้ที่หย่งคังจึงประทับจูบแก้มใสหนึ่งที

   ฟอด!

   “ไว้ข้าจะลงโทษท่านคืนนี้เลยดีหรือไม่ อย่างเช่นมัดกับเตียงเหมือนคราวก่อน? หรือจะลองในห้องครัวก็ตื่นเต้นดี?”

   “อ...อ่านจดหมายไปเลย!”

   คนที่ตัวแดงเหมือนมะเขือเทศสุกเดินหายลับหลังประตูไปอย่างรวดเร็ว สงสัยจะกลัวคำขู่ของหย่งคังเสียเต็มประดา

   …น่ารักเสียจริง...

   หย่งคังเอ่ยกับตัวเองในใจ ก่อนจะเปิดจดหมายอ่าน




ถึง คุณชายเล็ก

   ก่อนอื่นข้าต้องขอโทษที่หายตัวไป ถึงแม้ตอนแรกข้าไม่คิดจะบอกท่านเรื่องที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าก็ตัดสินใจว่าบอกท่านน่าจะดีกว่ากระมัง หวังว่าคุณชายเล็กจะสบายดีและกิจการรุ่งโรจน์ ส่วนข้านั้นสบายดี มีหมาตัวใหญ่นิสัยเสียคอยอยู่เป็นเพื่อน เช่นนั้นท่านก็เลิกออกตามหาข้าได้แล้ว ขอให้ท่านโชคดี

                                                                                       จื่อเยี่ยน






เลี้ยงหมา?

 ไม่ยักรู้มาก่อนว่าคนตัวเล็กชอบเลี้ยงสัตว์ เอาเถอะ อย่างไรเสียคำพูดในจดหมายช่างฟังดูเป็นจื่อเยี่ยนดีจริงๆ

“ทำให้ข้าเป็นห่วงแทบแย่” หย่งคังยิ้มอ่อน

ในเมื่อรู้ว่าจื่อเยี่ยนสบายดี หย่งคังก็เหมือนยกหินหนักๆ ออกจากตัวได้อย่างไรอย่างนั้น ต่อไปนี้เขาก็คงหายห่วงเพื่อนเก่าได้แล้ว ก็เพียงแต่หวังว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีก



...มาเจอกันอีกครั้งที่นี่
หลังสวนดอกท้อ...







(จบ)












คุยกันสักนิด
เย้ๆๆ จบกันไปแล้วกับหลังสวนดอกท้อค่าาาาาาา
ต้องขอขอบคุณนักอ่านที่ติดตามกันมา
แม้เราจะหายไปช่วงนึงก็ตาม T T ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
เรามีแพลนว่า อาจจะมี ภาค 2 ตามมา
ยังไงก็รอติดตามกันนะคะ



ขอบคุณค่ะ <3






หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BlueCherries ที่ 21-07-2016 10:27:34
 :mew2:

ว่าอยู่ว่าเหมือนตัดจบ

แต่ภาคสอง(ถ้ามี) ตัวเอกจะเป็นซื่อหลางหรือจื่อเยี่ยนกันนะ? (ฟานตงปล่อยไป คู่นั้นเขาลงเอยด้วยดีแล้ว)

 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Natsukairi ที่ 21-07-2016 12:04:41
@BlueCherries ภาค2 จะเป็นภาคของจื่อเยี่ยนกับท่านหมออวี๋เฉินค่าา  รอติดตามกันน้าา
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 22-07-2016 10:09:23
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 23-07-2016 06:34:31
ขอบคุณนะคะ
รอภาคของอวี๋เฉินกะจื่อเยี่ยน  :pig4: :impress2:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: alternative ที่ 23-07-2016 08:24:39
มีความสุขสักที
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 23-07-2016 22:44:22
เราไปอยู่ที่ไหนมา ทำไมเพิ่งเจอเรื่องนี้!! ยอมรับว่าจบแบบนี้เราไม่พอใจ เราอยากอ่านอีก จงส่งตอนพิเศษมาอัพอีกสักยี่สิบตอนเดี๋ยวนี้5555
ล้อเล่นค่ะ แต่เรื่องตอนพิเศษนี่อยากอ่านจริงๆ เราเพิ่งมาเจออ่านรวดเดียวจบ พอถึงตอนจบ เราดันไม่อยากให้จบ เพราะนิยายเรื่องนี้สนุกมาก อยากอ่านต่อเรื่อยๆ ขอบคุณคนเขียนที่แต่งนิยายสนุก ภาษาสวย และพล็อตดีๆอย่างนี้มาให้เราอ่าน นิยายดีต้องแนะนำบอกเลย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 23-07-2016 23:01:41
และแล้วห็ได้อ่านนิยายเรื่องนี้แบบรวดเดียวจบ

สนุกดีค่ะ  เพียงแต่ขาดความละมุนละไมไปนิกเนื่องจากเนื้อเรื่องมันเร็วมากกกกก  เชื่อว่าถ้าคนเขียนมีเวลาหรือไม่ต้องกดดันจากคนรอหรืออะไรต่างๆ  มันจะงดงามกว่านี้อีกนะ   แค่ชื่อนิยายก็หลงรักเสียแล้วค่ะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: BAKA ที่ 24-07-2016 08:54:14
อื้ออออ ในที่สุดๆๆๆๆ

และถ้ามีภาพสองจริงก็จะตั้งใจรออย่างใจจดจ่อเลยค่ะ^^
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 25-07-2016 12:45:33
สนุกมากที่สุดอ่ะรอภาค2นะ
มาต่อเร็วๆๆๆนะ
คิดถึงทุกๆๆตัวละครมากมายอย่าหายไปนานจนเราลืมคุณชายเล็กกับซื่อหลาง  ฟานตงกับหยงเทียน
อ่อๆๆๆจื่อเยี่ยนกับคุณหมออวี๋เฉิน นะค่าาาาาา
รอนะ :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :mew1: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: SaJung13 ที่ 28-07-2016 21:03:49
จบด้วยดีเราก็แฮปปี่
ขอบคุณนะคะ สำหรับงานเขียนดีๆ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ~ ฤดูใบไม้ผลิ ~ ที่ 30-07-2016 22:07:19
ไม่ว่าจะกี่ปีผ่านไปฟานตงก็เป็นเจ้าเด็กหวงพี่ไม่เปลี่ยนเลยนะ ส่วนหย่งคังนี่หื่นซะจนน่าสงสารพี่ซื่อหลาง :m25: :m25:
ถ้ามีภาค2 อยากอ่านเรื่องของจื่อเหยียนและท่านหมอจัง  :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: แฟนตาเซีย ที่ 31-07-2016 01:25:08
 :hao5:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Teddysdeath ที่ 01-08-2016 04:39:57
เพิ่งมาเจอเรื่องนี้ สนุกมากเลยฮะ รอภาคสอง
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 01-08-2016 09:52:19


ออกแนวละมุน

แม้ช่วงแรกจะดราม่าไปบ้าง

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ตั้งโอ๋ ที่ 03-08-2016 22:11:11
ชอบบบบบบบบบบบบบบบบบบบ  :o8: :-[ :o8: :-[ :o8: :-[ :o8: :-[
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: ตีสี่ ที่ 04-08-2016 22:39:25
เนื้อเรื่อง พล็อตเรื่องสนุกดีนะ
แต่ระดับภาษาปนกันจนงงไม่รู้ว่าเป็นจีนยุคไหนแน่
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 09-08-2016 08:14:34
โอ้ นิยายวายจีนโบราณที่หาอ่านได้ยาก  :hao6:

พล็อตโอเคแล้ว  o13  แต่เดินเรื่องเร็วไปนี้ดดดส์ อย่างตอนที่แม่เลี้ยงใจยักษ์กับพี่ชายใจร้ายตาย แบบว่า...รวบอยู่ใน 1 ย่อหน้า คนอ่านยังไม่ทันสะใจเลยค้าาาา  o22  555 เรื่องจื่อเยี่ยนอีก สงสัยมานานว่าตัวดีหรือตัวร้าย แต่ได้มาแค่บทอธิบายสั้นๆตอนไฟไหม้ ไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่  :bye2:  หรือเรนอ่านไม่เข้าใจเองก็ไม่รู้ แหะๆ

แอบเสียดายที่ฟานตงไม่มีบทบาทเลยในตอนจบ พี่ชายปิดร้านและย้ายมาช่วยงานคุณชาย ฟานตงที่หวงพี่ชายมากน่าจะตามมาป่วน แต่กลับเงียบหายไปเลย

   “ก็เป็นเสียแบบนี้แหละนะเจ้าเนี่ย”  จิ้งอิ้หยิบถ้วยชาที่ยังร้อนๆ ขึ้นมา “ดื่มชาแล้วก็กลับดีกว่า ข้าไม่อยากเป็น กขค”

   “ก...กออะไรนะ” ซื่อหลางถาม

แนะนำให้ใช้คำอื่นแทน "กขค" น้าาาา ไม่งั้นมันหลุดคอนเซปจีนโบราณมากไปจ้า

รออ่านภาคสองงงง  :pig4:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Supak-davil ที่ 10-08-2016 08:50:54
ขอบคุณค่ะ
แต่อยากบอกว่ามันสั้นไปหน่อย
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: mass ที่ 10-08-2016 23:12:56
 :pig4: :pig4: :pig4:นิยายน่ารักมากเลย ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 12-08-2016 02:14:17
ชอบมากค่ะ :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Atroce ที่ 17-04-2017 23:13:31
Nสนุกค่ัะ
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: cinpetals ที่ 21-04-2017 17:06:44
สนุกกกกกก
นอนรอภาค2 :katai5:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: neno.jann ที่ 24-04-2017 13:23:15
รอภาคสองงงงง
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 25-04-2017 16:45:43
กว่าจะลงเอยกันได้ ตอนจบพอดี
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Lynne ที่ 11-11-2018 00:34:36
เพิ่งได้มาเจอเรื่องนี้ ลุยอ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ
ชอบตรงที่ภาษาสวย อ่านง่าย ไม่ต้องบรรยายเยอะพรรณนามากก็อ่านได้ลื่นไหลดี
พล็อตเรื่องดีแต่มีตกหล่นไปบ้าง บางส่วนของเรื่องก็รู้สึกว่าสามารถยืดได้มากกว่านี้ แล้วก็น่าจะมีการแบ่งบทให้ตัวละครอื่นเพิ่มเติมเฉลี่ยให้สมดุลย์กัน
ส่วนเรื่องการเขียนคาแรกเตอร์ของแต่ละคนมาได้ชัดดีแล้ว แม้จะรวบรัดไปบ้างแต่ก็ถือว่าเขียนออกมาได้ดีเลยค่ะ ถ้าได้เพิ่มนั่นนิดนี่หน่อยจะสมบูรณ์มากเลยค่ะ โดยรวมแล้วสำหรับเราถือว่าเป็นนิยายที่ดีเลย พระนายก็น่ารัก โคอ่อนเคี้ยวหญ้าแก่นี่อร่อยนักแล5555 สุดท้ายนี้ก็ต้องขอขอบคุณคนเขียนนะคะที่สร้างสรรค์ผลงานออกมาให้ทุกคนได้อ่านกันค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: Ice_Iris ที่ 24-01-2019 10:30:24

ดีงาม

ความแค้นก็ปล่อยไป

ความรักต้องรักษา

ขอบคุณที่แบ่งปันขอรับ

หัวข้อ: Re: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
เริ่มหัวข้อโดย: patee ที่ 02-04-2019 22:17:03
น่าสนใจเรื่องนี้ :katai2-1: