สวัสดีคนอ่านทุกคนค่ะ :pig2:
เรื่องนี้เป็นซีรีส์เดียวกับเรื่องสั้นที่เคยเขียนไว้ก่อนหน้านี้ค่ะ
อันนี้จ่ะ http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=48701.0
เพียงแต่จะเป็นคนละเรื่องราวและยาวกว่าหน่อย
อันที่จริงต้องเรียกว่า one-short ถึงจะถูกเนอะ
เพราะมันคล้ายๆจะมีบทสรุปในตอนอยู่แล้วค่ะ แต่อาจจะมีหลายๆตอน
ฝากไอ้เนไอ้ลุงและคนอื่นๆไว้ด้วยนะคะ :L2:
ลุงจะกินอะไร!?
__________________________________________________
ผู้ชายวัยทำงานรูปร่างสูงใหญ่สวมชุดสูทท่าทางทะมัดทะแมงกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาในร้านกาแฟแห่งหนึ่งในแถบชานเมือง นั่นคงเป็นเพราะเม็ดฝนที่เริ่มเทลงมาอย่างกับฟ้ารั่ว เขาถอดแว่นกันแดดคอลเลคชั่นล่าสุดออกแล้วเสียบมันลงกับเสื้อสูทสีเข้ม ก่อนจะเดินเข้าไปสั่งกาแฟที่เคาท์เตอร์ไม้ทรงโมเดิร์นดูแปลกตา
“เอามอคค่าเฟรปเป้ หวานน้อย ทอลครับ”
คนรับออเดอร์ที่ดูน่าจะเป็นพนักงานเพียงคนเดียวในร้านเหลือบตาขึ้นมามองอยู่นิดก่อนจะตอบด้วยความฉะฉาน
“ไม่มีครับ”
อาจจะเป็นเพราะภัทรมัวแต่มองคนรับออเดอร์แทนที่จะมองเมนูก็เป็นได้ จึงไม่ได้เห็นว่ากาแฟแบบที่ตนต้องการไม่มี แต่พอครั้นเงยหน้าขึ้นเพื่อจะอ่านเมนูบนผนังอย่างที่เคยทำประจำกับร้านกาแฟแบรนด์หรูกลับพบว่าผนังสีขาวนั่นว่างเปล่า
“มอคค่าเรกกูล่าร์ก็ได้ครับ”
เขาบอกออกไปด้วยท่าทางยิ้มแย้มและสุภาพ แต่ไอ้เด็กที่ยืนอยู่หน้าเคาท์เตอร์กลับทำหน้าตางงงวย ภัทรเห็นว่าผมซอยสั้นย้อมสีบรอนซ์จนเกือบขาวของเด็กหนุ่มคนตรงหน้านั่นไม่เข้ากับโทนสีไม้ของร้านเพียงนิด
“เรกกูล่าร์...?”
“ครับ...เรกกูล่าร์”
เขาตอบเพื่อย้ำอีกรอบ หลังจากคำตอบหนุ่มน้อยคนนั้นก็จ้องที่หน้าของเขานิ่งก่อนจะตอบคำถามด้วยคำตอบเดิมเช่นเมื่อครู่ แต่ทว่าปลายเสียงน่าจะห้วนลงกว่าเดิมนิดหน่อย
“ไม่มี”
ภัทรขมวดคิ้วมองหน้าตานิ่งเฉยของคนข้างหน้าที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่สั่งเมนูที่ต้องการออกไปก็ได้แค่คำตอบเดิมกลับมาเสมอ จนทำให้บางทีคนใจเย็นอย่างเขารู้สึกโมโหขึ้นมานิดหน่อย
“แล้วมีอะไรบ้างครับ”
ภัทรว่าด้วยความพยายามใจเย็นและพยายามใช้รอยยิ้มธุรกิจนั่นให้เห็นผลมากที่สุด
“จะเอากาแฟหรือโอเลี้ยงครับ”
โชคดีที่ว่าเด็กตรงหน้านี่ไม่ได้พูดออกมาด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่กระโชกโฮกฮากนัก แต่เขาว่ายังห่างจากคำว่าบริการดีอยู่หลายขุม ภูมิภัทรมองไปที่เครื่องบดกาแฟอันใหญ่ที่ราคาน่าจะแพงโขก่อนจะบอกออกมาอีกรอบ
“เอามอคค่าหวานน้อยแก้วนึงครับ”
“ก็บอกว่าไม่มี”
พ่อค้าที่ตอนแรกยิ้มอยู่น้อยๆเพราะมารยาท หุบยิ้มลงฉับพลางจ้องที่หน้าเขานิ่ง ภัทรว่าเขาตัดทอนคำศัพท์ที่ไม่จำเป็นทิ้งไปเยอะแล้ว แต่มอคค่าที่มักจะเป็นสูตรกาแฟผสมโกโก้ก็ยังไม่มีอยู่วันยังค่ำ
“มีกาแฟร้อน กาแฟเย็นกับโอเลี้ยง”
คนที่เป็นลูกค้าขมวดคิ้วให้กับคำพูดจาของไอ้เด็กคนตรงหน้า
ภัทรหรือภูมิภัทรเป็นชายหนุ่มอายุย่างเข้า 35 ในปีนี้ เขาเป็นทายาทเจ้าของโรงงานประกอบชิ้นส่วนรถยนต์แห่งหนึ่งของไทย แม้เขาจะไม่ใช่คอกาแฟที่ดีนัก แต่เพราะภัทรก็เกิดมาด้วยความสะดวกสบายกว่าคนทั่วไปอยู่สักหน่อย เขาจึงมีโอกาสได้ลิ้มรสกาแฟที่คนอื่นบอกว่าแพงนักหนามานับไม่ถ้วน และด้วยการเงินทำให้การใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กของเขาราบเรียบ ยากนักที่จะมาเจอสถานการณ์ที่คนขายทำหน้าหงิกไม่อยากขายของให้แบบนี้
“แต่คุณมีเครื่องบดกาแฟ”
พอคิดไปคิดมาเหมือนเอาลุงมาเถียงกับเด็กรุ่นลูก เมื่อไอ้เด็กคนข้างหน้าขมวดคิ้วแน่นแล้วถามกลับ
“แล้วยังไง”
“พี่ว่ามีเครื่องบด มันน่าจะมีมอคค่า”
ภัทรตอบกลับไปด้วยท่าทางใจเย็นเป็นผู้ใหญ่เช่นเดิม ในตอนนั้นเขาเหลือบไปเห็นผู้คนหลายๆโต๊ะในร้านเริ่มหันมาสนใจบทสนทนาที่คล้ายๆกับการเถียงกันเพื่อเอาชนะมากกว่าของพวกเขา
“ไม่มี”
ภูมิภัทรผ่อนลมหายใจทิ้งก่อนจะตอบคนตรงหน้าไป ทั้งๆที่มุมปากหยักนั้นออมยิ้มเหมือนกำลังแหย่เด็กไม่ประสีประสา
“งั้นเอากาแฟเย็นแก้วนึงครับ”
“ก็แค่เนี้ย”
คนขายว่าก่อนจะเริ่มลงมือบดกาแฟด้วยท่าทางมีความสุข ส่วนคนซื้อกาแฟโราณมือใหม่อย่างภูมิภัทรล่าถอยไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ในบริเวณนั้นอย่างงงกับชีวิตตัวเองเล็กน้อย แต่กระนั้นก็เผลอยิ้มออกมา เขาหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านทั้งดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือราคาแพงหูฉี่สลับกันไปเพื่อรอทั้งกาแฟและเวลา โขคดีที่ร้านนี้ด้านในมีเครื่องปรับอากาศให้มิเช่นนั้นเหงื่อคงท่วมชุดสูทแบรนด์ดังแน่นอน
“กาแฟเย็นครับ”
เขาเหลือบมองไอ้เด็กเจ้าปัญหาอีกครั้ง ใครคนนั้นอายุไม่น่าจะเกิน 18 ปี รูปร่างค่อนข้างเพรียวสมส่วนสวมเสื้อยืดสีขาวล้วน กางเกงสีครีม กางเกงผ้าที่ดูหลวมนิดหน่อยนั่นพับขาขึ้นให้เห็นข้อเท้าได้รูปส่งผลให้ขาดูเรียวยาวน่ามอง ที่เห็นจะสะดุดตาคือผิวสีแทนแบบไทยแท้แต่ใบหน้ากลับน่ารักเหมือนวัยรุ่นญี่ปุ่นหรือจีน รวมไปถึงสีผมเกือบขาวที่เขาไม่เคยกล้าทำในชีวิตนั่นอีก ภัทรว่าดูมันแปลกดีแต่ก็เข้ากันดีอย่างน่าประหลาด เช่นเดียวกับร้านนี้ที่เป็นไม้ทั้งหลังแต่ดูทันสมัยแบบแปลกๆเช่นกัน อาจจะเพราะโต๊ะที่เขานั่งอยู่ไม่ได้ห่างจากเคาท์เตอร์นัก เขาจึงมองเห็นคุณพ่อค้าตัวเล็กได้ถนัดตา ในตอนที่กำลังคิดอะไรเพลินๆภัทรเห็นผู้ชายอายุประมาณเดียวกันกับเด็กผมขาว เดินอ้อมไปที่หลังเคาท์เตอร์ก่อนจะเอ่ยทักพ่อค้า
“น้องเน วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ”
เสียงเอ่ยทักทายนั่นทำเอาคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาจิ้มเครื่องคิดเลขอยู่ตวัดหางตาขึ้นมามอง ก่อนจะตอบออกมา
“ไปแล้วจะเห็นไหม”
ตาชั้นเดียวตี่ๆนั่นหรี่มองคนมาใหมก่อนจะโวยวายออกมาเมื่อถูกกอดแล้วก็...ฟัด...ในที่สุด ภัทรคงใช้คำไม่ผิดนักในเมื่อการกอดและซุกไซร้นั้นเกิดขึ้นตรงหน้าเขา
“ไอ้นายยย หยุด”
ภัทรเกือบจะลุกขึ้นไปห้ามสถานการณ์แปลกๆตรงหน้าถ้าหากไม่ได้ยินเสียงหัวเราะจากคุณลุงโต๊ะข้างๆเสียก่อน
“นี่พี่นะเว้ย เนเป็นพี่”
คนที่อ้างว่าตนเป็นพี่โวยวายพลางขืนตัวออกจากอีกคน ภัทรพึ่งจะสังเกตว่าหน้าตาและรูปร่างของคนทั้งคู่คล้ายกันอยู่มาก เพียงแต่พ่อค้าเจ้าปัญหานั่นผิวสีเข้มต่างจากน้องชายอยู่มากทีเดียว หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะเขาไปอยู่อังกฤษเสียนานถึงได้รู้สึกว่าผิวแทนๆเนียนๆนั่นมีเสน่ห์น่ามองกว่าเยอะ
“ไปเรียนแล้วนะที่รัก”
คนที่ถูกบอกว่าเป็นน้องโบกมือลาพี่ชายที่ทำหน้าหงิกไม่เลิก ก่อนจะแวะมาที่โต๊ะเขาพร้อมกับเอ่ยทักทายแม้จะไม่ได้รู้จักกันมาก่อนก็ตาม
“ลุงอย่าจ้องพี่ผมมาก รู้แล้วว่าน้องเนมันน่ารัก”
“ลุง?”
ภัทรทวนคำนั้นอีกครั้ง
“ครับ ลุง”
เด็กคนนั้นตอบรับอีกครั้งเช่นกันก่อนจะเดินออกไปจากร้าน ทิ้งไว้เพียงความงุนงงให้กับคนที่ถูกเรียกว่าลุงอย่างเขา
บรรยากาศร้านที่นี่ต่างจากร้านกาแฟเจ้าหรูของเขาอยู่มาก เพราะมันมีกาแฟเพียงไม่กี่เมนูให้เลือกแถมยังเสียงดังอึกทึกอีกต่างหาก ดูจากกลุ่มลุงๆที่เล่นหมากรุกตรงฝั่งนู้นหรือแม้แต่กลุ่มพวกพี่คนงานก่อสร้างที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก
“น้องเนทางนี้โว้ย เอานมสดแก้ว”
เสียงตะโกนสั่งเมนูที่ดังแข่งกับฝนก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของที่นี่ ส่วนไอ้เด็กหัวหงอกที่ดูแล้วน่าจะเป็นเจ้าของร้านเสียเอง ก็ตะโกนกลับมาด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน
“อย่างพี่หน้าตาน่าจะกินโอเลี้ยงนะ"
“คือหน้ากูแมน”
“หน้าแก่”
“ไอ้เด็กเหี้ย”
หลังจากการต่อปากต่อคำนั่นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นแข่งกับเสียงฝนด้านนอก ภัทรลองสังเกตดูแล้วลูกค้าที่นี่คงจะเป็นลูกค้าประจำเสียส่วนใหญ่ และก็คงเป็นลูกจ้างในนิคมอุตสาหกรรมนั่นเอง เขามองกาแฟแก้วละไม่ถึง 30 บาท แต่พอลองชิมดูสักอึกก็พบว่ารดชาดมันไม่ได้ต่างจากกาแฟแก้วละ 200 บาทเจ้าประจำของเขาเสียเท่าไหร่นัก
“อันนี้คั่วเองรึเปล่าครับ”
ภัทรชี้แก้วกาแฟที่พร่องไปนิดหน่อยของตัวเองพร้อมกับถามเด็กหนุ่มผู้พึ่งจะเดินไปเสริฟนมสดกลับมา ใครคนนั้นถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตรงข้ามกัน
“ลุงรู้ได้ไง”
“ลุง?”
เขาทวนคำนั้นอีกครั้งพร้อมกับจับที่หน้าของตัวเอง เด็กนั่นเลยหัวเราะออกมาด้วยท่าทางสนุกสนาน
“โทษครับพี่ครับ พี่รู้ได้ไงว่าคั่วเอง”
คนที่หาว่าคนอื่นเป็นลุงพูดกลั้วหัวเราะส่วนลุงที่โดนเขาว่าแทนที่จะโกรธกลับยิ้มให้กับเด็กคนตรงหน้า ก่อนที่เขาจะได้ตอบอะไรอีกคนก็ถามออกมาก่อน
“พี่มาทำอะไรแถวนี้ ผมไม่เคยเห็น”
อาจจะเป็นเพราะฝนตกหนักพวกเขาที่ดูเหมือนจะไม่มีโอกาสได้พบเจอกันในช่วงชีวิตนี้ถึงได้มานั่งร่วมโต๊ะกันกันง่ายๆและพูดคุยกันง่ายๆราวกับเคยรู้จักกัน
“มาสมัครงานครับ”
อันที่จริงต้องเรียกว่ากำลังหาทางเริ่มขยายกิจการถึงจะถูก ภัทรมาหาสถานที่สำหรับตั้งโรงงานแห่งที่ 3 อันเป็นที่ๆเขาต้องแบกรับภาระเป็นหัวเรือในบริหารจัดการแทนที่จะเป็นการช่วยเหลือครอบครัวบริหารงานเช่นเดิม
“แต่งตัวอย่างนี้สมัครเป็นเจ้าของโรงงานได้เลยนะ”
เด็กนั่นว่าพลางหัวเราะ ภูมิภัทรลอบมองปากรูปกระจับสีแดงสดที่เวลายิ้มดูน่ารักมากทีเดียว
“แล้วต้องแต่งตัวยังไงถึงจะได้เป็นเจ้าของร้านกาแฟ”
เขาถามกลับพร้อมกับยิ้มที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องชอบใจ แต่เด็กนั่นกลับหรี่ตามองเขาอย่างไม่ค่อยจะไว้ใจแทน
“ร้านนี้ของพ่อผม ผมเป็นลูกจ้าง”
เขายิ้มและตอบรับ คงเช่นเดียวกับเขาในตอนนี้ที่เป็นลูกจ้างพ่อตัวเอง
“เราชื่ออะไร”
ภูมิภัทรถามออกไปในที่สุด แม้จะแอบได้ยินน้องชายคนนั้นเรียกไปแล้วก็ตามที
“ผมชื่อเน พี่ชื่ออะไร”
เด็กคนนั้นว่าพลางยิ้มให้จนเห็นลักยิ้มบุ๋มตรงข้างแก้ม
“ภัทร พี่ชื่อภัทรครับ”
เขายิ้มให้บ้าง ก่อนบทสนทนาจะได้เริ่มต้นอีกครั้งเสียงผลักประตูของลูกค้าคนใหม่ก็ดังขึ้นเสียก่อน ภัทรและเพื่อนใหม่ที่พึ่งรู้จักกันหันมองตามเสียงนั่น แล้วเขาก็พบว่าไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นคนที่ตนกำลังรออยู่
“คุณภัทร ขอโทษครับฝนตกหนัก”
คนที่พึ่งเดินเข้าร้านมาที่สุดแล้วก็ไม่ได้เป็นลูกค้าคนใหม่แต่อย่างใด ในตอนเช้าภัทรและชัยชนะคนสนิทตั้งใจมาดูสถานที่ตั้งโรงงานใหม่และพูดคุยกับเจ้าของเดิมเรื่องเอกสารและการดำเนินการ เขาให้พี่ชัยขับรถไปส่งเอกสารด่วนอีกที่และนัดกันตอนเที่ยงที่เดิม แต่เพราะฝนตกหนักตอนบ่ายแบบนี้เขาถึงได้หลบมารอในร้านกาแฟที่อยู่ติดกับโรงงานนี่แทน
“ไม่เป็นไรๆ”
ภูมิภัทรว่าพลางดูนาฬิกาข้อมือเรือนสวยที่บอกเวลาเกือบบ่ายโมง เขาจำได้ดีว่ายามบ่ายแก่ของวันนี้มีนัดคุยงานที่ออฟฟิศใจกลางเมือง ลูกค้าคนใหม่ของร้านกาแฟแห่งนี้ลุกขึ้นแล้วหันไปบอกอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะพร้อมกันนั้นเขาก็ควักธนบัตรใบสีม่วงวางไว้ที่โต๊ะไม้ตัวนั้นแล้วเดินออกไป
“พี่ไปนะน้องเน”
“เดี๋ยว ตังค์ทอนล่ะ”
ไอ้เนที่ดูกำลังงุนงงกับสถานการณ์เร่งรีบตรงหน้ามองตามเขาไปอย่างไม่ละสายตา แต่ลูกค้าไฮโซคนนั้นเพียงหันมายิ้มแล้วก็รีบสาวเท้าออกไปจากร้าน ในตอนที่เนกำลังจะเดินตามอีกคนก็นั่งรถคันหรูออกไปแล้ว
“บาย ลุง”
มันว่าก่อนจะมองแบงค์ม่วงในมือ ขืนพ่อมันรู้ว่าไม่ได้ทอนเงินลูกค้านี่ไอ้เนคงโดนสวดจนหูชาแน่นอน
***
“เอามอคค่าเฟรปเป้ หวานน้อย ทอลครับ”
ในวันหยุดที่หาได้ยากของภูมิภัทร เขาออกมาเดินห้างใกล้ๆกับคอนโดเพื่อหาหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนแบบใหม่ที่น่าสนใจสักเล่มและหากาแฟยามบ่ายดื่มเพื่อผ่อนคลาย
“ครับผม รอสักครู่นะครับ”
พนักงานชายหนุ่มที่น่าจะยังเรียนอยู่มองหน้าเขาอยู่หน่อยก่อนจะตอบรับด้วยท่าทางสุภาพแบบที่ควรจะเป็น ท่าทางและกิริยาและกริยาเรียบร้อยนั่นทำให้เขานึกถึงไอ้เด็กหัวขาวที่ทำงานลักษณะเดียวกัน เพียงแต่ต่างกันที่คำพูดคำจาและสถานที่เท่านั้นเอง ในครั้งแรกภัทรดูสถานที่สำหรับลงทุนใหม่ไว้หลายที่ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกนิคมอุตสาหกรรมย่านปทุมธานี ถึงแม้จะมีความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมสูงแต่เขากลับคิดว่าที่นั่นก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่หากสามารถจัดการกับความเสี่ยงต่างๆได้ ทั้งมีกาแฟถูกปากให้ดื่มทุกบ่ายอีกต่างหาก
ในตอนที่เขาและพี่ชัยผู้เป็นทั้งลูกน้อง หุ้นส่วนและพี่ปรึกษาคู่ใจกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่ร้านหนังสือ ภัทรก็เห็นใครคนหนึ่งอยู่ไกลๆ เด็กคนนั้นสวมชุดนักศึกษา เสื้อแขนสั้นสีขาวเผยให้เห็นสีผิวสีแทนน่ามองแต่ที่เด่นที่สุดคงเป็นผมสีขาวนั่นกระมัง
“พี่ชัยไปดูของให้หนูเล็กก่อนก็ได้ เดี๋ยวผมโทรหา”
ภัทรบอกเมื่อนึกได้ว่าอีกคนอยากจะซื้อของเล่นให้ลูกสาว พี่ชัยมองตามสายตาของเจ้านายที่สนิทกันเหมือนน้องชายคนนึงอย่างรู้ทันเพราะเขาสะดุดตาตั้งแต่วันที่ไปรับภูมิภัทรที่ร้านกาแฟแถวโรงงานแล้ว ยิ่งมาเจอแบบบังเอิญแบบนี้ภูมิภัทรคงไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่นอน ถ้าให้พี่ชัยเปรียบเทียบเรื่องนี้กับธุรกิจที่กำลังจะลงทุนแล้ะละก็ เขาว่างานนี้เจ้านายเขาทำแผนธุรกิจมาดีทีเดียว
ในขณะเดียวกันภูมิภัทรที่แยกกับพี่ชัยมาสักพักเพื่อเดินตามใครสักคน พบว่าเด็กคนนั้นเลี้ยวเข้าฝั่งซุปเปอร์มาร์เก็ตแทนที่จะเป็นฝั่งร้านอาหารหรูที่พวกวัยรุ่นชอบมานั่งถ่ายรูปกัน
“น้องเนมาทำอะไรครับ”
เขาเอ่ยทักเมื่อเดินตามอีกคนมาสักพักแล้วพบว่าเด็กคนนั้นหยุดก้มๆเงยๆอยู่ที่ชั้นวางแถวในสุด ไอ้เนผู้กำลังหาสิ่งที่ตัวเองต้องการหันมาตามเสียงเรียกแล้วก็พบว่าเป็นใครสักคนที่มันไม่รู้จัก แต่พอลองมองดีๆแล้วถึงพอจะนึกออก
“อ้าวลุง”
มันว่าแล้วยิ้มให้
“ทำไมเรียกพี่ว่าลุงล่ะ”
ส่วนอีกคนถามต่อพร้อมกับหัวเราะร่วน เนมองหน้าคนที่เรียกว่าลุงก่อนจะบอกออกมา
“วันนี้ไม่ลุงแล้ว”
“หมายความว่ายังไงครับ”
ภัทรถามกลับพร้อมกับยิ้มให้ ไอ้เนจำได้ว่าวันนั้นมันกำลังยืนกดเครื่องคิดเลขยุกยิกอยู่ที่เคาเตอร์หน้าร้านในยามที่ฝนตกและไม่น่าจะมีลูกค้ามาเพิ่มจากเดิม ผู้ชายคนนึงก็ผลักประตูเข้ามา ดูจากหน้าตาแล้วมันไม่เคยเห็นและยิ่งดูจากท่าทางแล้วมันยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่คนแถวนี้แน่นอน เพราะเขาสวมสูทเข้ารูปสีเข้มเนี๊ยบทุกระเบียดนิ้วทั้งรองเท้าหนังมันปลาบดูแล้วน่าจะราคาแพงกว่ารองเท้าผ้าใบของมันสิบคู่รวมกัน ยังไม่รวมถึงแว่นกันแดดสีปรอทแบรนด์อิตาลีเข้ากับทรงผมหวีปาดเรียบอย่างกับหลุดออกมาจากละครปารีสแฟชันวีคที่เนตามดูอยู่บ่อยๆ ยิ่งพอถอดแว่นออกมาแล้วยิ่งทั้งดูดี ภูมิฐาน เด็กที่แฟชั่นวัยรุ่นจ๋าอย่างเนพอเจอของจริงแล้วถึงกับอยากจะเอาตัวเองไปซุกในโหลกาแฟให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
“ไม่มีอะไร...”
ไอ้เนบอกปัดพลางมองอีกคนที่วันนี้ดูแปลกไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะวันนี้เขาสวมเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนส์และรองเท้าผ้าใบ ผมที่เคยเรียบแปล้นั่นถูกปล่อยให้ลงมาปรกหน้าผากเป็นธรรมชาติ เนว่าแต่งตัวอย่างนี้ค่อยเข้ากับหน้าตาหน่อย วันนั้นแต่ตัวอย่างกับพวกลุงนักธุรกิจเลย
“มาทำอะไรเรา”
ใครคนนั้นเลือกที่จะเมินคำตอบของมันและหันไปถามเรื่องอื่นแทน
“ดูเมล็ดกาแฟแบบใหม่”
เด็กหัวขาวว่าแล้วหันไปสนใจถุงแพ็คเมล็ดกาแฟจากแหล่งต่างๆ ทั้งต่างพื้นที่ ต่างราคาและก็คงรสชาดต่างกันด้วย
“มันมีหลายแบบเหรอครับ?”
“อือ หลายพันธุ์ หลายวิธีคั่ว อุณหภูมิด้วย อันนี้เป็นอาราบิก้า”
คนตัวเล็กกว่าบอกพร้อมกับชูถุงสีเงินให้ดูก่อนจะนั่งยองๆลงก้มหน้าก้มตารื้อหาของที่ตัวเองต้องการต่อ ปล่อยให้อีกคนยืนมองแล้วอมยิ้มอยู่แบบนั้น จนเมื่อไอ้เนนึกออกถึงเงยหน้ามาถามใหม่เพราะผู้ใหญ่คนนั้นยังยืนไม่ไปไหน
“แล้วพี่มาทำอะไร”
ใครอีกคนที่ยืนอยู่นั่งยองๆลงบ้างแล้วชูแก้วกาแฟตราเงือกของร้านดังให้ดู
“มาซื้อกาแฟ”
เขาว่าพลางยิ้ม ส่วนอีกคนมองแก้วใบนั้นอยู่หน่อยก่อนจะบอกออกมาบ้าง
“กาแฟแบบร้านนี้ผมก็ชงได้”
“มอคค่าเฟรปเป้?”
ภัทรถามย้ำถึงไอ้กาแฟผสมโกโก้ปั่นที่เขาจำได้ว่าวันนั้นเขาสั่งไปประมาณ5รอบแต่เด็กตรงหน้าก็ยังยืนยันว่าไม่มี บางทีคงเป็นเพราะหน้าตาเขาคงสงสัยมากไปหน่อยเด็กคนคนเลยยิ้มมุมปากแถมยักคิ้วให้อย่างท้าทาย ภัทรหัวเราะให้กับท่าทางแบบนั้นก่อนจะบอก
“พี่อยากชิม เดี๋ยวแวะไปหาที่ร้านนะ”
เขาว่า แต่อีกคนกลับทำหน้าหงิก
“ไม่ได้ พ่อห้ามกาแฟเมืองนอกเข้าร้านหรือทำในร้าน”
คนที่งงในตอนแรกดูเหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง มิน่าถึงปฏิเสธแข็งขันว่าไม่มีมอคค่าทั้งๆเครื่องทำกาแฟในร้านราคาแพงอยู่ไม่น้อย
“แล้วพี่จะได้เชื่อได้ยังไงว่าน้องเนทำเป็นจริงๆ”
เขาว่าพลางยิ้มมุมปาก ส่วนอีกคนที่หน้าหงิกอยู่แล้วหงิกขึ้นไปอีกเพราะไอ้เนไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเรื่องฝีมือการชงกาแฟของมันง่ายๆแน่นอน
“เดี๋ยวหาโอกาสก่อน รับรองสูตรมอคค่าหรือชาเขียวที่ดังๆนั่นผมก็ทำได้”
คนที่เด็กกว่าบ่นไปหน้ามู่ไปด้วยพร้อมกับโยนกาแฟที่เลือกไว้ใส่ในตระกร้าของตนด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อยถึงปานกลาง ทำเอาอีกคนถึงกับหลุดขำ
“งั้นเม็มเบอร์ให้พี่หน่อยนะครับ”
ไอ้เนทำหน้างงๆให้กับการยื่นโทรศัพท์มือถือราคาแพงหูฉี่มาตรงหน้าก่อนจะมองหน้ายิ้มหล่อของคนที่พึ่งจะรู้จักกัน ด้วยความที่มันเป็นผู้ชายจึงไม่ได้คิดอะไรมากนอกเสียจากเม็มเบอร์ตัวเองลงไปโดยที่มีอีกคนยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า เนที่วันนี้เข้าเมืองมาเรียนและกะว่าจะเดินห้างด้วยความเบิกบานสำราญใจยื่นโทรศัพท์คืนให้เจ้าของ และไม่นานมือถือรุ่นก๊องแก๊งสมัยพระเจ้าเหาของตัวเองก็ดังขึ้น
“อย่าลืมเม็มเบอร์พี่ไว้ด้วยนะ”
ใครคนนั้นว่าแล้วยิ้มให้มันอีกครั้งซึ่งปกติก็หล่อละลายอยู่แล้ว ครั้งนี้ไอ้เนรู้สึกว่าลุงหน้าเด็กคนนี้ยิ้มได้เจิดจ้ากว่าทุกครั้งขนาดพี่สาวที่ซื้อของอยู่ข้างๆยังจ้องจนแทบสึกเลย
TBC.
_____________________________________________________
ง่อววววววว ลุงนี่มันลุงจริงๆ 5555
เรื่องนี้มันจะแสบๆ น่ารักๆ หน่อยตามประสาลุงชอบกินเด็กกับเด็กที่งงในชีวิตค่ะ
อ่านเอาสนุกๆเนอะ
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ :L2: :L2:
ลูกค้าคนแรก
________________________________________
“เอ่อ... วันนี้พี่ชายไม่อยู่เหรอครับ”
วันนี้นายต้องรับผิดชอบดูร้านแทนน้องเนที่มีเรียนช่วงสายๆจนถึงบ่าย มันเงยหน้ามองลูกค้าคนแรกของวันอย่างงงๆ ถ้าจำไม่ผิดพี่ชายคนนี้เป็นลูกค้าที่จ้องน้องเนตอนที่มันฟัดจนเขินแถมมองอยู่อย่างนั้นอย่างไม่ยอมหลบตาด้วย บางทีความน่ารักของพี่ชายไอ้นายคงทำพิษอีกแล้ว...ก็ไหนเขาบอกว่าเสป็คผู้ชายไทยคือขาวหมวยวะ ไอ้นายไม่คิดแบบนั้นเลยเพราะพี่มันทั้งตาโตทั้งผิวแทนไฉนผู้ชายถึงมาตามเทียวไล้เทียวขื่อเต็มไปหมด ว่าไปแล้วน้องชายอย่างนายตกใจนิดหน่อยตอนที่ได้เจอพี่ชายหลังจากไม่เจอมานานเกือบหกปี พี่เนที่เคยเป็นหัวโจกในวัยเด็กกลับกลายเป็นผู้ชายตัวเล็ก ผิวสีแทนที่เคยทำให้ดูแมนกลับทำให้เซ็กซี่แปลกๆทั้งหน้าตาน่ารักแบบนั้นอีก ไอ้นายเงยหน้ามองคนที่ถามหาพี่ชายอีกทีอย่างไม่สบอารมณ์
“อยู่ไม่อยู่แล้วจะทำไมครับ จะรับอะไรครับ”
มันว่าอย่างเซ็งๆพลางเช็ดนั่นเช็ดนี่ไปเรื่อยเพื่อฆ่าเวลา มันกับพี่ชายแบ่งเวลาทำงานตามเวลาเรียนแต่หลังๆมานี้ดูเหมือนนายจะต้องรับผิดชอบมากกว่าพี่ชายที่อายุห่างกันมากกว่าปีนึง แม้จะเข้าเรียนปีเดียวกันแต่ดูเหมือนตั้งแต่น้องเนขึ้นปีสองมานี่จะมีอะไรให้ทำมากขึ้น
“กาแฟเย็นห้าแก้ว โกโก้หนึ่งครับ”
คนที่มาแต่เช้าหงอยลงอยู่หน่อยหลังจากได้รู้ว่าเจ้าของร้านตัวเล็กนั่นไม่อยู่เหลือแต่คุณน้องชายที่ดูยังไงก็ไม่เป็นมิตร เต้เป็นนักศึกษาฝึกงานของโรงงานใกล้ๆนี่ ผู้ที่แม้จะเป็นถึงหลานของผู้ถือหุ้นใหญ่แต่มีหน้าที่เป็นเบ๊มาซื้อกาแฟทุกเช้า
วันที่มันเห็นภาพผู้ชายสองคนฟัดกันอยู่ในร้านเต้ที่มองอยู่ห่างๆช็อคอยู่ไม่น้อย แต่พอคุณเจ้าของร้านตัวเล็กเดินมาอธิบายว่าน้องชายชอบหยอกเล่นเขาถึงพอจะเข้าใจบ้าง วันนั้นนอกจากกาแฟที่สั่งเต้ยังได้คุกกี้ไปอีกถุงเพื่อแทนคำขอโทษอีกด้วย ตอนมองไกลๆเต้ไม่ได้สังเกตว่าน้องเนที่เขาเรียกจะน่ารักแค่ไหนแต่เพียงเขาเดินเข้ามาใกล้และยิ้มให้มันก็พึ่งเข้าใจว่าทำไมน้องชายถึงได้หวงคุณพี่ชายนัก
“น้องเนไปเรียนเหรอครับ”
ไอ้นายมองหน้าคนถามอยู่หน่อยก่อนจะตอบด้วยเสียงปกติ...เสียงที่ปกติก็กวนตีนอยู่แล้ว...
“ไปไหนก็ได้ โตแล้ว”
ท่าจะไม่ได้ผล เห็นทีเต้ต้องเข้าทางน้องและผูกมิตรกับคุณน้องก่อนเพราะเกิดเป็นศัตรูกับคนน้องเดี๋ยวคนพี่ไม่เล่นด้วยจะซวยไปอีก เต้ไม่อยากลงทุนโดยเปล่าประโยชน์
“แล้วน้องนายไม่มีเรียนเหรอครับ”
คนถูกถามขมวดคิ้วแน่นอย่างใช้ความคิดแต่ในที่สุดก็ยอมตอบออกไปดีๆเพราะถ้าเกิดน้องเนรู้ว่าไล่ลูกค้าอีกละก็ไอ้นายอาจจะถูกโกรธไปอีกหลายวัน
“มีแล้วจะเห็นอยู่ตรงนี้ไหมล่ะ”
คนตอบตอบไปพลางเริ่มต้นชงกาแฟไปพลาง
“น้องนายเรียนปีไหนแล้ว”
นายมันหงุดหงิดอยู่หน่อยกับคำถามที่ส่งมาไม่จบไม่สิ้นหันไปเลิกคิ้วมองแต่ก็ตอบ นายไม่อยากมองโลกในแง่ร้ายนักบางทีเขาคงแค่อยากหาเพื่อนวัยใกล้ๆกันคุยกระมัง
“ปีสอง”
“พี่เรียนปีสี่ วิศวะยานยนต์ น้องนายเรียนเกี่ยวกับอะไรครับ”
คนที่อ้างว่าเป็นพี่ถามต่ออย่างไม่ลดละทั้งๆที่เห็นเต็มสองตาว่าไอ้นายทำหน้าตารำคาญขนาดไหน
“เหมือนกัน”
“เหมือนกันเหรอครับ บังเอิญเนอะ”
ว่าแล้วก็ยิ้มกว้างอย่างผูกมิตร นายว่ายิ้มคล้ายๆไอ้ลุงที่ชอบมาป้วนเปี้ยนกับน้องเนของมันมากทีเดียว...ยิ้มหวานแบบนักธุรกิจ
“แล้วน้องเนเรียนอะไรครับ”
ว่าแล้วเชียว... นายคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร มีนมองคนถามหน้าซื่อๆแล้วตอบออกไปอย่างเสียไม่ได้
“แฟชั่น”
เต้ยิ้มให้กับคำตอบเช่นนั้นเต้ว่าดูเหมาะดีกับคนตัวเล็ก เอาไว้มันแวะมาหาน้องเนบ่อยๆเผื่อน้องจะอยากได้นายแบบสูงหุ่นเฟริมไปลองชุดบ้าง ขณะที่คนแก่กว่ากำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยนายก็จัดเครื่องดื่มที่สั่งใส่ถุงแล้วยื่นมาให้คุณลูกค้าคนแรกของวัน
“กาแฟห้า โกโก้หนึ่งได้แล้วครับ”
***
“วันนี้น้อง... น้องนายก็ไม่มีเรียนเหรอครับ”
คำว่าน้องเนของเต้ถูกกลืนลงคอชั่วคราวเมื่อน้องชายที่หวงพี่ชายเป็นอย่างมากกำลังจ้องอยู่ด้วยสายเคลือบแคลง
“มีบ่าย”
นายตอบไปอย่างเสียไม่ได้ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจว่าจริงๆแล้วไอ้ลูกค้าคนที่กำลังถามถึงใครกันแน่
“เอาเหมือนเดิมครับ”
เต้บอกพร้อมกับยิ้มให้กับท่าทางตั้งใจชงกาแฟของอีกคนซึ่งท่าทางแบบนี้เหมือนกับคนเป็นพี่ชายไม่มีผิด
“ปีสองเริ่มเรียนหนักแล้วนะ ทำงานแบบนี้ไหวเหรอ”
บทสนทนาธรรมดาเช่นนี้เกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว นายว่าน่าสงสารพี่คนนี้เหมือนกันที่ไม่เคยมาตรงกับเวลาที่น้องเนอยู่เลย การสนทนาของพวกมันจึงเหมือนคุยไปเรื่อยเปื่อยและก็เป็นแค่การพูดคุยของพวกอัธยาศัยดีที่หวังบางอย่างเท่านั้นเอง
“เดี๋ยวอีกสองสามเดือนก็มีคนมาช่วย”
เต้พยักหน้ารับรู้ก่อนจะบอกออกไป
“จ้างคนมาเพิ่มก็ดีเนอะน้องเนกับน้องนายจะได้ไม่เหนื่อยมาก”
ในที่นี้คงหมายถึงน้องเนคนเดียวมากกว่า ไอ้นายหันมามองผู้ชายวัยไล่เลี่ยกันด้วยสายตาที่ดูออกว่าไม่ค่อยจะพอใจแล้วค่อยตอบ
“พ่อจะมาช่วยเฝ้าร้านให้”
คำตอบนั้นทำเอาเต้ชะงักไปชั่วครู่ นอกจากมีน้องชายเป็นผูพิทักษ์แล้วยังจะมีก้างชิ้นใหญ่กว่าเดิมมาเพิ่มอีก ไอ้เต้ยิ้มหวานกลบเกลื่อนแบบที่ดูยังไงก็ไม่เนียน
“คุกกี้ธัญพืช ลองเอาไปชิมดู”
เนหยิบถุงคุกกี้ขนาดเล็กที่ถูกแพ็คไว้ให้กับลูกค้าที่ชวยคุยไม่จบไม่สิ้น เต้มองคุกกี้ท่าทางน่ากินก่อนจะบอกขอบคุณเขาไป
“ขอบคุณครับ น้องนายอบเองเหรอครับ ของเมื่อวันก่อนก็อร่อยดี”
“เนเป็นคนอบ”
ตอนตอบว่านิ่งๆอย่างที่เป็นอยู่ประจำมีแต่คนถามนั่นแหละที่ดูระริกระรี้ขึ้นมานิด เต้ว่าแล้วเชียว...น้องเนตัวเล็กนั่นท่าทางคล่องแคล่วกับเรื่องเช่นนี้พอสมควร ในตอนที่อยู่ใกล้กับน้องเนเต้เองก็แอบได้กลิ่นหอมๆของขนมจากตัวคนทำด้วย
“กาแฟห้า โกโก้หนึ่งครับ”
ระหว่างที่ไอ้เต้กำลังเพ้อเจ้อถึงน้องเนของมัน แก้วกาแฟที่ถูกจัดเรียงลงบนถุงพลาสติกอย่างสวยงามก็วางลงตรงหน้าเพื่อดับฝันมันโดยสิ้นเชิง
***
วันนี้เต้กลับบ้านช้ากว่าปกติเนื่องจากพี่ๆทุกคนงานยุ่งพาลทำให้มันที่กำลังเรียนรู้งานอยู่ยุ่งและกลับดึกไปด้วย มันขับรถออกมาฝั่งหน้าโรงงานอันเป็นเส้นทางประจำ วันนี้ทุกอย่างคล้ายกับปกติ ไฟข้างทางถูกเปิดขึ้นเมื่อเริ่มมืดลงที่ต่างจากเดิมคงเป็นหน้าร้านกาแฟที่ปกติปิดไฟมืดและไร้ผู้คนแต่วันนี้กลับมีคนที่คุ้นตากำลังยืนทำอะไรอยู่สักอย่างอยู่หน้าร้านทั้งๆที่เป็นเวลาเกือบจะสามทุ่มแล้ว เต้ชะลอรถและกะจะทักทายน้องนายผู้สวมเสื้อช็อปสีแดงเลือดนกแบบที่ไม่เคยเห็น เต้ว่าดูเท่ห์สมตัวดี
“บอกว่าไม่ไปไงวะ!”
ในตอนที่เต้ลดกระจกอีกฝั่งลงและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกไป เสียงกึ่งตะโกนของอีกคนก็ลอดเข้ามาก่อนบางทีเต้คงลืมสังเกตผู้ชายที่สวมเสื้อช็อปสีเดียวกับน้องนายที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน
“นายไปกับพี่ก่อน”
คนที่ดูเหมือนจะเป็นรุ่นพี่ของนายเดินมาคว้าแขนเล็กไว้ในมือซึ่งคนถูกจับสะบัดออกแล้วตวาดออกไปอย่างไม่ชอบใจกับการกระทำแบบนั้น
“ปล่อยเลยนะเว้ย!”
เต้ผู้เห็นทุกความเคลื่อนไหวกะจะเร่งเครื่องเพื่อขับออกไปแต่เขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้นเมื่อน้องนายที่เหมือนจะมองไม่เห็นเขาในตอนแรกหันมาสบตาเข้าอย่างจัง เต้ยิ้มอย่างนึกขันปฏิกิริยาอัตโนมิตของร่างกายตัวเองที่ตอนนี้เดินลงมาจากรถเรียบร้อยแล้ว
“นาย อย่ามาดื้อกับพี่”
จะว่าไปแล้วเหตุการณ์กอดรัดฟัดเหวี่ยงนี่เต้เคยเห็นตอนที่มาฝึกงานที่นี่แรกๆ ในร้านกาแฟข้างหลังนั่นมีเด็กผู้ชายสองคนกำลังทะเลาะกันทั้งฟัดกันอย่างเอาเป็นเอาตายแต่พอมองดูจริงๆกลับทำได้เพียงยิ้มให้กับท่าทางของสองพี่น้องเพราะดูก็รู้ว่าพวกเขาก็แค่หยอกกันเล่นตามประสาพี่ซนน้องแสบ ครั้งนี้กลับต่างออกไปเมื่อไอ้คนที่ไล่ตามกวนพี่ชายมาตลอดถูกคนอื่นไล่ตามบ้าง
“น้องนาย”
เต้เรียกเบาๆแต่เพราะบรรยากาศที่เงียบสงบทำให้คนทั้งคู่หันมามองเป็นตาเดียว นี่เป็นครั้งแรกที่เต้เห็นเด็กอีกคนมองด้วยสายตาที่อ่อนลงไม่เหมือนเวลาตอนอยู่ในร้านที่ชอบจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ส่วนผู้ชายอีกคนมองเต้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่พอใจ บางทีคงโกรธที่ถูกขัดจังหวะและบางทีอาจจะโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นว่าไอ้เต้มันสวมเสื้อช็อปสีกรมท่าต่างสถาบัน
“พี่เจมส์พอเถอะ มันจบแล้วไม่ใช่เหรอวะ”
ในตอนนั้นนายเอี้ยวตัวมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับคนมาใหม่อย่างที่ดูก็รู้ว่าต้องการความช่วยเหลือ น้องนายที่มักจะแข็งกร้าวอยู่เสมอตอนนี้ดูเหมือนลูกแมวตัวเล็กที่กำลังตกท่อแล้วช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“นายก็แค่เข้าใจผิด”
ใครคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ากันว่าแบบนั้นแต่คนที่ขยับมายืนอยู่ข้างหลังเต้กลับส่ายหัวอย่างเอาเป็นเอาตาย
“นายเห็นกับตา”
ปลายเสียงนั่นฟังก็รู้ว่ากำลังสั่น เต้เอี้ยวมองคนข้างหลังอยู่หน่อยนัยน์ตาที่เคยดื้อรั้นของน้องนายนั่นแดงมากทีเดียว
“มึงมายุ่งอะไรด้วย”
จะว่าโชคดีหรือโชคร้ายของเต้ก็ไม่รู้ที่ป็นผู้โชคดีมาเจอเหตุการณ์เหมาะเจาะเช่นนี้ มันเล่นเกมส์จ้องตากับคนที่น่าจะอายุพอๆกับตัวเองทั้งดูก็รู้ว่าเขากำลังไม่พอใจมากทีเดียว แต่ถ้าจะให้สู้ไอ้เต้ที่ตัวหนากว่าหน่อยน่าจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
“มารับน้องนายครับ”
แต่ถ้าให้เลือกได้เต้ก็ไม่อยากจะสู้เพราะแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่เรื่องของมัน มันไม่ใช่คนดีที่เที่ยวทำดีเพื่อคนอื่นไปทั่วแต่กับน้องนายคงเพราะรู้จักกันคุยกันทุกวันไม่ได้เห็นเป็นคนอื่นคนไกลแม้แต่น้อย เต้ยืนอยู่เพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจหันหลังกลับพร้อมกับเปิดประตูดันตัวคนที่เด็กกว่าเข้าไปนั่งในรถตัวเองส่วนตัวมันอ้อมมาฝั่งคนขับแล้วรีบขับออกมาจากตรงหน้าร้านกาแฟของน้องนายทันที
“จอดข้างหน้าก็ได้”
หลังจากที่เงียบมาสักพักคนที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับก็บอกออกมา เนื่องจากแถวนี้เป็นนิคมอุตสาหกรรมทั้งหมด ในเวลาเกือบสองทุ่มจึงไม่มีใครเดินเพ่นพ่านผ่านมาแม้สักคนมันดูท่าจะอันตรายอยู่ไม่น้อย เต้มองป้ายรถเมล์ที่ไม่มีคนก่อนจะพูดออกมาบ้าง
“น้องนายจะไปไหน เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
คนที่มักจะพูดเสียงห้วนๆและทำหน้าตาไม่พอใจอยู่เสมออย่างนายมองใบหน้าด้านข้างของเจ้าของรถอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆบอกออกมา
“ไม่เป็นไรครับ เกรงใจ”
เต้ที่กำลังตั้งใจกับการมองทางข้างหน้ารีบหันขวับมามองคนที่นั่งอยู่ข้างกายอย่างไม่เชื่อหู พอได้เห็นอารมณ์ที่ดูเหมือนไม่ปกติคนเป็นพี่ถึงได้หันกลับไปมองถนนต่อ จะว่าน้องนายในตอนนี้ดูน่าสงสารก็ใช่ดูน่ารักก็ใช่
“ไม่เห็นต้องเกรงใจเลย”
เต้บอกก่อนจะถามออกมาอีกครั้ง
“น้องนายจะไปไหนครับ”
“กลับบ้าน”
หลังจากได้รับคำตอบห้วนๆนั่นเต้ก็ขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“แล้วพี่จะรู้ไหมว่าบ้านน้องนายอยู่ไหน”
***
“ซอยข้างหน้าครับ”
เต้ขับรถตามคำบอกมาถึงหมู่บ้านจัดสรรขนาดใหญ่ย่านชานเมือง ในที่สุดก็หยุดลงที่บ้านเดี่ยวหลังขนาดกลางที่ถูกทาเป็นสีฟ้าอ่อนทั้งหลัง ข้างในบ้านเปิดไฟสว่างอย่างกับว่ากำลังรอใครบางคนอยู่
“พี่ไม่รู้นะว่ามีเรื่องอะไร แต่เขาจะไม่ตามน้องนายมาใช่ไหม”
เขาถามพลางมองเด็กอีกคน เพราะตั้งแต่ขับรถออกมาจากหน้าร้านโทรศัพท์มือถือของนายก็สั่นไม่หยุด
“อือ”
อีกคนตอบพร้อมกับพยักหน้า
“โอเค ถึงบ้านแล้วไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”
เต้กะจะแกล้งอีกคนแต่โดนแหวใส่อย่างเคย
“ไม่ได้ร้อง!”
ในที่สุดคนที่ดูเหมือนจะซึมมาตั้งนานก็กลับมาปากดีอีกครั้ง คนตัวโตกว่าหัวเราะพร้อมกับรับไหว้ขอบคุณจากอีกคน แม้จะเป็นการไหว้ที่ลวกๆก็ตามที เขามองเด็กที่ลงจากรถไปแล้วกำลังเปิดประตูเข้าบ้าน ถ้าเต้มองไม่พลาด คนที่เดินออกมารับคือน้องเนที่มันปลื้มอย่างแน่นอน เต้ผิวปากแล้วเลี้ยวรถกลับอย่างอารมณ์ดี เห็นทีว่าการทำดีวันนี้จะได้ผลตอบแทนเสียแล้ว อย่างน้อยแม้จะเสียเวลาไปบ้างแต่ก็ได้รู้ว่าบ้านน้องเนอยู่ตรงนี้นี่เอง
TBC.
____________________________________________________________________
ในตอนถัดไปไอ้เต้น่าจะถูกลุงฆ่าค่ะ
ขอแสดงความเสียใจล่วงหน้าต่อเต้จ่ะลูก :hao5: :hao5:
ขอบคุณคอมเมนต์ค่ะ
กอดคนอ่านรัวๆ
:กอด1: :กอด1: