พิมพ์หน้านี้ - Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: Alchemist_toey ที่ 20-01-2018 17:03:22

หัวข้อ: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 20-01-2018 17:03:22
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ...
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ
เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************




ใครๆ ก็พูดว่า เด็กอย่างเขามันก็ดีแต่ใช้กำลัง
ทำตัวเหลวไหล ไร้สาระไปวันๆ
รู้ว่าทำตัวไม่ดี มันถึงต้องใช้วิธีงี่เง่าคอยเรียกร้องความสนใจ
แต่จะมีใครรู้บ้าง สิ่งที่ซ่อนอยู่ในการกระทำทั้งหมด
แท้จริงแล้ว...มันมีเหตุผล
เพียงเพราะต้องการความห่วงใย....จากผู้ชายคนนั้น







   0
Intro
 
 
 
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของผู้มาเยือนดังสะท้อนเป็นจังหวะ หญิงวัยกลางคนหยุดยืนและสำรวจไปรอบๆ ห้อง คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นเมื่อได้กลิ่นฉุนของแอลกอฮอล์ และพบเจอข้าวของที่ตกแตกกระจายทั่วพื้น ใบหน้าที่ยังคงความงามตวัดไปยังสองลูกน้องคนสนิท พลางสั่งให้เก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อนจะมีใครได้รับอันตราย

เธอเคาะประตูห้องนอนของลูกชายด้วยความกังวลใจ แต่แล้วก็ไร้การตอบรับ ในที่สุดก็รีบเปิดเข้าไปดู ที่สัมผัสได้คือกลิ่นบุหรี่เหม็นอับไปทั้งห้อง คนที่ไม่เคยเจออะไรเช่นนี้ต้องผงะรอบสองเมื่อพบว่าร่างของลูกชายกำลังนอนหลับไม่รู้เรื่องราวอยู่บนพื้น

 “ทำไมถึงเป็นแบบนี้!” เธอได้แต่ทอดถอนใจกับสิ่งที่เห็น คนที่ไม่เคยอ่อนแออย่างอธิน จะมีสภาพเช่นนี้ไปได้อย่างไร
...ความรักหนอความรัก

นานเท่าไหร่ที่ไม่ได้พบเจอกัน ลูกชายเพียงคนเดียวของเธอที่ขอออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองตั้งแต่เรียนมัธยมปลายเพื่อได้ทำในที่ตัวเองรักนั่นก็คือการถ่ายภาพ เงินเพียงเล็กน้อยที่หาได้เป็นค่าตอบแทนในสมัยนั้นเป็นต้นทุนในการดำรงชีวิตและสอนให้เขาได้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันนี้
 
“อธิน ตื่น” พยายามเขย่าร่างลูกชาย แต่ด้วยฤทธิ์เหล้าที่ยังไม่สร่าง ร่างสูงยังคงนิ่งอยู่แบบนั้น

“อันนา มาช่วยฉันพยุงหน่อย” ลูกน้องอีกคนรีบตรงมาตามคำสั่ง ถ้ามีใครสังเกตคงได้เห็นแก้มขาวๆ นั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเพราะความขัดเขินเมื่อมีโอกาสใกล้ชิด อันนารั้งแขนข้างหนึ่งของคุณอธินขึ้นพาดบนไหล่ตัวเอง ออกแรงพยุงให้คนตัวสูงกว่าขึ้นมานอนบนเตียง

“ไปเตรียมน้ำอุ่นให้ฉันที” ไม่ต้องรอให้เธอสั่งซ้ำ คนที่มีใจเป็นห่วงคุณอธินอยู่แล้วพร้อมจะทำหน้าที่นั้นทันที จนชายหนุ่มข้างๆ ผู้ที่รู้เรื่องราวทุกอย่างดีกว่าใครต้องส่งสายตาห้ามปราม ให้เพื่อนร่วมงานรู้จักเก็บอาการของตนเองเสียบ้าง เกรงว่าคุณพิมพ์เธอรู้เข้า ดีไม่ดีหมอนั่นอาจถูกไล่ออก

“รู้แล้วล่ะน่า” พูดพลางถลึงตาใส่ให้ได้ยินเพียงแค่สองคน อันนาไม่ชอบนิสัยยุ่งเรื่องชาวบ้านของเชน ถึงมันจะเป็นความหวังดีก็ตาม

“ส่วนนาย ช่วยโทรเลื่อนประชุมบ่ายนี้ให้ฉันที”

“ครับคุณพิมพ์” เชนเดินออกจากห้องไปพร้อมคำสั่ง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่อันนาเดินเข้ามา คุณพิมพ์รีบหันมารับอ่างน้ำอุ่น และจัดการเช็ดตัวให้ลูกชาย ผ่านไปชั่วครู่ร่างสูงค่อยๆ ลืมตา พอเห็นหน้าแม่ ในหัวของเขาก็เริ่มประมวลภาพอย่างหนัก

“แม่ นี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“นานพอที่จะทนเห็นลูกอยู่ในสภาพนี้ต่อไปไม่ได้นั่นแหละ”

อธินเงียบไป เขารู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่

“ที่มาวันนี้ก็เพราะอยากให้ลูกกลับมาทำงานที่บริษัท” คุณพิมพ์ตัดสินใจพูดถึงจุดประสงค์ของเธอบ้าง เพราะอยากให้อธินกลับไปมีชีวิตที่ดีและเพื่ออนาคตของครอบครัว

“ผมขอปฏิเสธ!”

“แล้วลูกจะทำตามใจตัวเองแบบนี้ไปจนถึงเมื่อไหร่?”

“อย่าให้ผมต้องรับผิดชอบอะไรตอนนี้เลยครับ”

“สรุปว่าเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปใช่ไหม?” คุณพิมพ์ข่มความโกรธของตัวเองไว้ในใจ มองหน้าลูกชายที่ยังตั้งมั่นอยู่ในเส้นทางของตัวเองไม่เคยเปลี่ยน

“ถ้าอย่างนั้น แม่ก็จะขอทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง...” เธอเว้นวรรคไปชั่วครู่ ก่อนคำสั่งถัดมาจะทำให้อีกสองหนุ่มที่ยืนอยู่มุมห้อง ถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก

“อันนา เชน หลังจากนี้พวกนายสองคนถูกไล่ออก!”

“ว่ายังไงนะครับคุณพิมพ์?” เชนถามย้ำ พวกเขาถึงกับผงะ หันมองอันนาที่แทบจะร้องไห้หมอนั่นคงเข้าใจว่าเป็นความผิดของตัวเองแน่ๆ

“ถ้าหากไม่มีความสามารถพอที่จะพาตัวลูกชายฉันกลับไปได้ก็ให้มันรู้ไป!” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่ทว่ามันกลับแฝงไปด้วยอำนาจ คุณพิมพ์กลับออกไปพร้อมกับลูกน้องที่เหลือ โดยไม่เหลียวแลอีกสองคนที่กลายเป็นคนตกงานภายในชั่วพริบตาเพียงเพราะคำสั่งที่ได้รับ

อธินสบถออกมาเมื่อรู้ว่าสิ่งที่แม่เขาต้องการคืออะไร ครั้งนี้ดูท่าเธอคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ อีกแล้ว
เชนเปรียบได้ดั่งมือขวา ส่วนอันนาเป็นมือซ้าย การที่คุณพิมพ์กล้าวางเดิมพันกับลูกน้องของตัวเองแบบนี้ เขาเชื่อว่านี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นอีกต่อไป

เขาหันไปมองสองหนุ่มที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมแล้วต้องกุมขมับ ตอนนี้หมากทุกตัวบนกระดานจะตายหรือรอดมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาเพียงคนเดียว

นี่มันน่าปวดหัวกว่าอะไรเสียอีก…
 
 






------------------------------



หัวข้อ: Re: Dear to me
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 20-01-2018 19:34:35
ลุ้นๆๆๆๆใครคือนายเอก
ตามติด
หัวข้อ: Re: Dear to me
เริ่มหัวข้อโดย: unicorncolour ที่ 21-01-2018 17:21:07
พี่อธิน..น้องเดียร์ใช่มั้ย บวกเป็ดรอเลย o13

รอ..รอ  :impress2:

ตาม..ตาม..ตาม..จ้า  :mc4:
หัวข้อ: Re: Dear to me
เริ่มหัวข้อโดย: oppapp ที่ 22-01-2018 10:38:24
จะเป็นน้องเดียร์หรือวินซ์นะ
รอ รอ  :mew1:
หัวข้อ: Re: Dear to me 01: จูบครั้งแรกกับ...ผู้ชาย!
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 23-01-2018 11:05:34
1
จูบครั้งแรกกับ...ผู้ชาย!

 




“เฮ้! วันทูทรีไม่ได้เป็นคนที่เกเร แค่อยากจะบอกไม่ได้เจ้าชู้ ถ้าเธอเข้าใจก็โอเค....อ้าว!!!สบู่?” หยุดเสียงร้องไว้แค่นั้น เด็กหนุ่มเดินออกจากห้องน้ำทั้งร่างเปลือยเปล่า แม้ทำพื้นเปียกก็ไม่ได้คิดใส่ใจ รีบเข้าไปเปิดลิ้นชักรื้อสบู่ขวดใหม่ แล้วกลับมาเปิดก๊อกอาบน้ำต่อ

“แค่อยากให้จำ! ที่มองสาวๆ สวยๆ ทุกครั้งทุกคราวที่ผมทำ เป็นเวรเป็นกรรมที่ผู้ชายทุกคนนั้นเป็นต้องเผลอกัน! ถ้าไม่ตะขัดตะข่วงในใจก็คงไม่บอก ซื่อสัตย์ไม่ได้หลอก แต่เพียงว่าผมไม่เคยจะบอก... น้า นา น้า นานานา...”
ดวงตากลมโตสำรวจตัวเองในเงากระจก หันซ้ายหันขวา ฮัมเพลงไปแล้วพิจารณาสีหน้าแบบต่างๆ ไป แบบไหนทำแล้วดูดี แบบไหนทำแล้วเท่ก็ผุดยิ้มมุมปาก เดียร์หรี่ตามองตนเองในกระจกแล้วก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้

ดูดีเหมือนกันนะเราเนี่ย!

คนอารมณ์ดีจัดการตัวเองตามปกติ ฟอกสบู่จนฟองขาวเต็มห้องเหมือนเด็กๆ เขาจะรู้สึกดีเป็นพิเศษเมื่อได้อาบน้ำนานๆ เดียร์วกมาสำรวจปลายจมูกรั้นๆ ของตัวเองอีกครั้ง รู้สึกภาคภูมิใจเป็นที่สุด ใบหน้าของเขานั้นหล่อเหลาค่อนไปทางน่ารัก ชอบตอนได้รับคำชมจากบรรดาสาวๆ ที่เข้ามาเกี่ยวพัน ยิ่งตอนพวกเธอบอกว่าเขาดูเท่ไม่เหมือนใครนั้น ช่างเป็นคำชมที่ฟังแล้วได้ใจจริงๆ


เสียงเคาะประตูปึงปังหน้าห้องอย่างไร้มารยาท เด็กหนุ่มส่ายหน้าด้วยความระอา รู้ได้ว่านั่นเป็นสัญญาณจากเพื่อนรักอีกสองที่คงมาถึงแล้ว เขารีบออกจากห้องน้ำโดยไม่ลืมดึงผ้าเช็ดตัวมาพันท่อนล่าง เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูให้ ตอนนี้เพิ่งจะสี่ทุ่มเอง ไม่อยากจะเชื่อว่าสันดานสายตลอดกาลอย่างพวกมัน จะมาก่อนเวลาได้เร็วขนาดนี้ สงสัยเพราะเขาอวดไปว่าคืนนี้จะไปรับพี่อีฟที่บ้านแน่ๆ มันถึงได้อยากรู้แล้วก็ตามมาพิสูจน์

“พวกมึงแม่งมาเร็วชิบหาย กูนี่ยังไม่แต่ง...” คำพูดกลืนหายลงคอ เมื่อประตูเปิดพ้นไปแล้ว ผู้ที่ยืนอยู่กลับไม่ใช่ใบหน้าที่คุ้นเคย เร็วเท่าความคิดเขารีบงับประตูกลับทันที แต่แล้วคนมาใหม่กลับไวกว่า

“ปั้นอยู่กับนายใช่ไหม?” ผู้ชายคนนั้น เจ้าของใบหน้าได้รูปในแบบฉบับที่เรียกได้ว่าไร้ที่ติเอ่ยถึงชื่อใครคนหนึ่งที่ไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว ดวงตาเรียวงามแฝงไปด้วยอำนาจจ้องมองมาไม่ลดละ...เฝ้ารอคำตอบ ก่อนจะเสียมารยาทสำรวจไปทั่วเรือนร่างใต้ผ้าขนหนูที่พันเอาไว้ลวกๆ โดยที่ไม่มีใครทันสังเกต

 “มึงเป็นใคร?” เด็กหนุ่มยืนกอดอกวางตนเป็นใหญ่ ไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น พอรู้ตัวว่าไม่ควรไปเสวนากับคนแปลกหน้าก็รีบผลักประตูปิดทันที แต่อีกมือก็ยังไวกว่า

“ปั้นอยู่ที่นี่ใช่ไหม?” ผู้มาใหม่จ้องเขม็ง เขาเริ่มมั่นใจจึงเค้นเอาคำตอบ

กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งไปทั่วเมื่ออยู่ใกล้ทำให้รู้ว่าหมอนี่คงดื่มหนักมาก เดียร์ร้องด่าในใจไอ้พวกที่เมาแล้วอาละวาดไปทั่วนี่ใช้ไม่ได้จริงๆ

“อยู่ที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับมึง! ออกไปซะ เดี๋ยวนี้!”

“ฉันถามดีๆ” เสียงถอนหายใจดังตามมา เขาพยายามระงับอารมณ์เมื่อไม่ได้รับความร่วมมือจากคนที่เป็นความหวังสุดท้าย

“มึงจะออกไปดีๆ หรืออยากมีเรื่องกันแน่วะ?” คนอารมณ์ร้อนเริ่มเดือดปุดๆ เมื่อพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้เชื่อว่าอีกไม่กี่นาทีเขาได้ระเบิดออกมาแน่ๆ

อธินเลิกใส่ใจคำขู่ของเด็กตรงหน้า เขาฉวยโอกาสผลักประตูห้อง และรีบเข้าไปค้นตามที่ต่างๆ หาหลักฐานว่าปั้นมาที่นี่จริงๆ เพราะนี่เป็นสถานที่สุดท้ายที่หวังว่าจะเจอคนรัก

“เฮ้ย!! มันจะมากไปแล้วนะ!” เด็กหนุ่มขบกรามแน่น โมโหอย่างรุนแรงที่โดนบุกรุกพื้นที่ส่วนตัว ซ้ำร้ายยิ่งกว่าเมื่อหมอนั่นเริ่มรื้อข้าวของจนกระจัดกระจายไปหมด
ทนไม่ไหวแล้ว !

เด็กหนุ่มผลักร่างของผู้ชายตรงหน้าออกไปทางประตู มือกำหมัดแน่นเตรียมพร้อม ถ้ามันไม่คิดจะออกไปจากห้องเขาดีๆ ได้มีเรื่องกันก็คราวนี้

“หลีกไป!”

“มึงนั่นแหละออกไป โอ้ย!!” คนถูกผลักกลับเป็นเจ้าของห้อง ร่างเพียวบางเซไปชนกับผนัง อธินได้โอกาสรีบเปิดประตูเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะเดียวกับที่โดนอะไรบางอย่างฟาดลงกลางหลัง

“โอ้ะ!!” ชายหนุ่มหันมาเผชิญหน้าทั้งคู่สู้รบกันอยู่พักใหญ่ แต่ดูเหมือนว่าคนโตกว่าจะเป็นฝ่ายป้องกันตัวเองเสียมากกว่า เขาไม่อยากหาเรื่องทะเลาะกับใครและอีกอย่าง...ในสภาพที่กำลังเมา ควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่นี้ทำให้เสียเปรียบ จนร่างกายเริ่มเซไปอีกทาง

“ฉันไม่ได้ต้องการจะมีเรื่องกับนาย เพราะฉะนั้นหยุดอาละวาดได้แล้ว!”

“มึงก็ออกไปจากห้องกูก่อนสิวะ!” เดียร์สั่งแต่หมอนั่นไม่ยอมฟังเสียง มีใครหน้าไหนยอมให้คนแปลกหน้าเข้ามาในห้องตัวเองบ้างเล่า? เขาต้องจัดการให้หลาบจำ คราวหลังจะได้ไม่เที่ยวเข้าห้องใครมั่วๆ อีก

“แค่นายบอกมาว่าปั้นอยู่ที่ไหน?” อธินหันมาเจรจาดีๆ เขามั่นใจว่าเด็กตรงหน้ามีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้ เพียงแต่ไม่ยอมบอกกัน

“กูไม่รู้!”

“ขอร้องล่ะ! บอกความจริงฉันเถอะ...” ยิ่งปฏิเสธยิ่งทำให้เขามั่นใจ ชายหนุ่มพยายามอ้อนวอนอย่างสุดกำลัง หวังว่าจะยอมเห็นใจกันบ้าง

“กูไม่รู้ ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ได้ยินชัดไหมห้ะ!” สองมือผลักหมอนั่นออกไป แต่กลับเป็นตัวเองเองที่เป็นฝ่ายเสียหลัก

“จะไม่ยอมพูดความจริงใช่ไหม?” อธินเหนื่อยจะต่อความ ตอนนี้เขารู้สึกหนักไปหมดทั้งตัว แผ่นหลังที่โดนฟาดมา ความเจ็บปวดกำลังร้าวไปทั่ว ตอนนี้รู้สึกมึนงงหนักขึ้นกว่าเดิม เมื่อคว้าเจ้าตัวปัญหาได้ ก็รีบจัดการรวบสองแขนนั้นไว้เบื้องหลัง

“อะไรนี่!” ดวงตาคู่สวยเบิกโพลงเมื่อรู้ว่าตัวเองพลาดไปเสียแล้ว พยายามรวบรวมสติคิดหาทางรอด

“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันมีหลายวิธีที่จะเค้นความจริงจากนาย!” ตอนนี้ในหัวเขามันเบลอไปหมด เพราะเจ้าเด็กคนนี้ที่พูดไม่รู้เรื่อง ในเมื่ออยากจะเล่นเกมกัน...ก็ได้...เขามีเวลาอีกเยอะ

“เฮ้ย ปล่อยกู!” เด็กหนุ่มดิ้นไปมาจนเป็นอิสระ คนเมามีหรือจะสู้คนปกติอย่างเขาได้ เดียร์หันมาปล่อยหมัดใส่ด้วยความแค้นเคืองแต่อธินกลับหลบทัน ฝ่ายที่ออกแรงอย่างหนักก็เลยเสียการทรงตัว เท้าดันเผลอเหยียบพื้นเปียกที่ตนเองทำไว้จนล้มลงไป คราวนี้อธินได้โอกาสก็เข้าไปล็อกร่างไว้ทันที

ภาพที่เห็นตรงหน้าช่างเร้าอารมณ์ได้ดีเหลือเกิน ชายหนุ่มยับยั้งชั่งใจไม่อยู่ เขาชอบมองของสวยๆ งามๆ อยู่แล้ว ยิ่งดวงตาคู่นั้นสะท้อนภาพใครคนหนึ่ง พอไร้การควบคุม ก็เลยเผลอทำอะไรตามใจ

“รู้ตัวไหมว่าสภาพนายตอนนี้ มันน่า...ขนาดไหน?” เขาสาบานได้ว่าต้องการแกล้งยั่วให้อีกฝ่ายโมโหเท่านั้น และมันก็ได้ผลเมื่อเด็กคนนี้พยายามต่อต้านอย่างหนัก คิดหาทางรอด

“พูดไรของมึง ปล่อยกูนะ ปล่อยยยย!!” เด็กหนุ่มเริ่มหวาดหวั่น ข้อมือทั้งสองถูกล็อกไว้กับพื้น พอเริ่มดิ้น อีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มแรงกดลงไปอีก

“บอกความจริงมา ไม่อย่างนั้นล่ะก็...” เสียงนั้นเริ่มแหบแห้ง อุณหภูมิในร่างกำลังเปลี่ยนแปลงเมื่อต้องอดทนกับพวกต่อต้าน ความคิดในหัวเริ่มเตลิดเปิดเปิง ควบคุมตัวเองลำบาก

“ถ้าเกิดฉันทนไม่ไหว...” ลมหายใจของคนใต้ร่างเริ่มติดขัดเมื่อจมูกโด่งสันกำลังจ่ออยู่บริเวณแก้มจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ

“อย่านะ!” เด็กหนุ่มจ้องเขม็ง ออกแรงขัดขืนมากขึ้นเมื่อรับรู้ถึงอันตราย อธินขยับเข้าใกล้ ใช้ปลายจมูกไกล่เกลี่ยกับแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ พลางกระซิบขู่

“งั้นก็ควรบอกมา...” ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็งคล้อยตาม แล้วก็เปลี่ยนกลับไปดื้อดึงใส่กันอีกครั้ง

“ไอ้เหี้ย!! ปล่อย!!” พอเห็นสายตาคุกคาม คนด้านล่างอดไม่ได้ที่จะพูดคำหยาบ แต่แล้วกลับชะงักไว้แค่นั้น เมื่อริมฝีปากร้อนๆ กดทับลงมาอย่างรวดเร็ว สัมผัสจู่โจมทำให้ของจิตใจของเด็กหนุ่มกระเจิดกระเจิง ไม่อาจคุมตนเองได้อีกแล้ว เขาโกรธมากที่ถูกหยามด้วยการกระทำเช่นนี้

สองมือกำหมัดแน่น ถ้าหลุดไปได้เขาอยากจะกระทืบมันให้ตายเมื่อรับรู้ว่าริมฝีปากที่แนบสนิทนั้นมีลิ้นร้อนๆ พยายามรุกเข้ามา เดียร์ยิ่งขบกรามแน่นเมื่อถูกมือข้างหนึ่งเชยคางขึ้นสูงทำให้เกิดช่องว่าง เมื่อเผลอร้องออกไปหนึ่งเสียงก็เป็นโอกาสให้อีกฝ่ายใช้ลิ้นดุนดันเข้ามา

“อื้อ!” ร่างกายเริ่มไร้เรี่ยวแรง ทั้งที่มีประสบการณ์จูบกับพวกผู้หญิงมานักต่อนัก แต่ไม่เคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยเป็นฝ่ายถูกชักนำ ในสมองมันอื้ออึงไปหมด มือข้างที่เป็นอิสระพยายามผลักร่างๆ หนักของเขาออกไป คิดได้แต่เพียงว่า...ถ้ารอดไปได้จะจัดการผู้ชายคนนี้ให้สาสม!

เมื่อคิดได้ก็รีบควานหาของใกล้ตัวมาเป็นอาวุธ มือเรียวหยิบได้แก้วเหล้าที่กลิ้งอยู่บนพื้น พอจับถนัดแล้วก็ขว้างไปบนหน้าผากหมอนั่นเข้าอย่างจัง แล้วแก้วนั้นกระเด็นไปตกแตกอีกทาง

“อ้ะ!!” ร่างสูงฟุบลงกับพื้น สติเริ่มเลือนรางรับรู้เพียงแต่ความเจ็บปวด เดียร์ผลักร่างเขาออกห่าง พอลุกจากพื้นได้ก็ปากเก่งขึ้นทันที

“แน่จริงมึงก็ลุกขึ้นมาสิ!” มือเรียวกระชับผ้าขนหนูให้แน่นขึ้น ก่อนจะหยิบเอาโคมไฟบนหัวเตียงเข้ามาถือไว้ เตรียมจะฟาดลงไปซ้ำสอง

“หยุดนะ!” มีใครบางคนสั่ง เดียร์หันไปมองตามเสียงนั้น แล้วพบผู้ชายอีกสองคนที่เข้ามาใหม่

นี่มันเห็นห้องเขาเป็นอะไร...

เด็กหนุ่มยกโคมไฟอันนั้นขึ้นมาเตรียมพร้อม ถ้าพวกมันจะเล่นหมาหมู่ เขาก็ไม่กลัว

“ถ้าคุณลงมือกับเขาอีกครั้ง รับรองว่าผมไม่ปล่อยไว้แน่!” พูดจบอันนาก็ตรงเข้ามาขวาง ดวงตากลมโตจ้องมองเด็กคนนั้นด้วยความโกรธแค้น

เชนรีบตรงเข้าไปช่วยคุณอธินที่ตอนนี้ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือด เขาออกแรงอย่างหนักเพื่อยกร่างของคนที่แทบจะไม่ได้สติขึ้นมาจากพื้นห้อง เมื่อเห็นท่าไม่ดีก็เรียกอันนาเข้ามาช่วย เจ้านายของเขาน่วมไปทั้งตัว ท่าทางจะเจ็บหนักเอาการ พอสำรวจร่องรอยของการต่อสู้ ข้าวของในห้องมากมายเสียหาย ถ้าพวกเขามาช้ากว่านี้ไม่อยากคิดเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

“ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราต้องขอโทษแทนคุณอธินด้วยนะครับ” เชนรักษาอาการและพูดอย่างสุภาพ แต่นั่นก็ไม่ช่วยให้อารมณ์ของเจ้าของห้องดีขึ้นแต่อย่างใด

“ไปให้พ้น!” เขาไม่อาจข่มความโกรธ ซ้ำยังตะโกนไล่พวกมันออกไปโดยไม่ฟังคำขอโทษหรือยอมรับข้อเสนอที่ต้องการชดใช้ค่าเสียหายให้ ของพวกนั้นมันทดแทนไม่ได้กับความรู้สึกที่เสียไป 

เพล้ง!!!

โคมไฟในมือปลิวไปปะทะประตูเสียงดังสะนั่น เป็นการส่งแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างมีมารยาทที่สุดเท่าที่เขาเคยทำ

“บ้าเอ้ย!” เดียร์ระบายความโกรธแค้น เด็กหนุ่มหัวเสียจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ร่างกายสั่นเทา จู่ๆ ก็เหมือนคนหมดแรง เหตุการณ์เมื่อกี้ทำเขาตกใจไม่หาย หัวใจเต้นแรงคล้ายคนกำลังหวาดกลัว เมื่อก้มลงดูมือตัวเองก็พบว่ามันซีดชาแถมยังสั่น ทั้งที่เตะต่อยมีเรื่องกับคนอื่นมาก็มาก แต่ไม่เคยมีใครทำเขาเสียสติเท่านี้มาก่อน
นี่มันเรื่องบ้าอะไร!

อยู่ดีๆ ก็มีคนบุกเข้าห้อง แถมไอ้หมอนั่นมันยังกล้ามาจูบเขาอีก อยากจะตามไปฆ่าแล้วฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ โยนทิ้งทะเลให้หมด ไอ้เฮงซวยนั่น! เขาจำหน้ามันได้ดีกว่าใคร ถ้าเจอกันอีกรับรองเลยว่าไม่มีทางปล่อยไว้แน่

“เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เราต้องขอโทษแทนคุณอธินด้วยนะครับ”

พวกมึงยังมีหน้ามาขอโทษ! เรื่องแบบนี้ต่อให้ขอโทษเป็นล้านๆ คำก็ชดเชยกันไม่ได้

ว่าแต่...หมอนั่นชื่ออธินหรือ!
เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน...

ใช่...พี่ปั้น!

เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดก็จดจำได้ พี่อธินที่แสนดี คนที่เขาเคยเจอเมื่อหลายปีก่อน เปลี่ยนไปขนาดนี้ได้อย่างไร ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเป็นคนๆ เดียวกัน

ว่าแล้วก็นึกถึงพี่ชาย นานเท่าไหร่ที่ไม่เจอ ตั้งแต่พี่ปั้นออกไปจากบ้านครั้งนั้น กว่า 5 ปีที่ไม่เคยติดต่อกัน เดียร์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เขาอยู่ที่ไหน หมอนั่นจะมาถามหากันตอนนี้มันคงสายเกินไป…

อารมณ์โกรธค่อยๆ สงบลงเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ ที่เขาเคยมีความสุข

อยากรู้จังว่าตอนนี้พี่ปั้นจะเป็นอย่างไร...
 


...........................................
 

ผู้ชายสามคนนั่งเบียดกันในรถแท็กซี่ หลังจากถูกไล่ออก รถส่วนตัวที่เคยใช้ก็ถูกยึดกลับไปด้วย เหลือเพียงเงินเก่าในบัญชีที่เคยได้รับจากคุณพิมพ์เท่านั้น ล่าสุดที่อยู่เดิมก็เพิ่งถูกยึดไป พวกเขาสองคนโดนตัดขาดจากฝ่ายนั้นโดยสิ้นเชิง ที่พึ่งสุดท้ายก็คือคุณอธินที่ตอนนี้บาดเจ็บและยังไม่ได้สติ

“อย่างคุณอธินไม่น่าพลาดให้กับไอ้เด็กเมื่อวานซืนนั่นเลย น่าโมโหแทนจริงๆ” อันนาคอยดูแลไม่ห่าง เมื่อเห็นรอยเหวอะหวะบนไรผมก็อดนึกถึงคนทำไม่ได้ เขาโกรธ แต่ไม่สามารถลงมือกับเด็กนั่น คิดว่าถ้าหากเจอกันอีกครั้งจะต้องหาทางเอาคืนให้สาสม!

“ยังไงซะฝ่ายเราก็ผิดอยู่ดี นี่ยังดีนะที่เขาไม่เอาเรื่อง” เชนช่วยปราม คิดว่าถ้าปล่อยให้อันนาออกไปคนเดียวรับรองได้เลยว่า คนที่ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลต้องทำทุกอย่างพังแน่ๆ

“จะกลัวอะไร ตำรวจก็ตำรวจสิ”

“หน้าที่เราคืออะไร ถ้าเลี่ยงปัญหาได้ก็ควรเลี่ยงไม่ใช่หรือ?” คุณพิมพ์เคยพูดไว้เสมอ ถึงจะมีอำนาจล้นฟ้าก็ใช่ว่าจะเที่ยวอวดเบ่งใครต่อใครได้ 

ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังถกเถียงกัน ไม่รู้ตัวเลยว่าคนกลางที่เพิ่งได้สติกำลังตื่นขึ้นมา ร่างสูงสำรวจไปรอบๆ เมื่อรู้สึกว่ากำลังนั่งอยู่บนรถซึ่งมันไม่ใช่รถของเขา

“พวกนายจะพาฉันไปไหน?” นี่มันไม่ใช่ทางกลับคอนโดแน่นอน

“เรากำลังไปโรงพยาบาลกันครับ”

“กลับห้อง” เขาพูดเสียงแข็ง แม้รู้สึกเจ็บไปหมดทั้งตัวแต่ก็ไม่วายทำตัวดื้อดึง

“เอ่อ..” ด้วยความเป็นห่วงเชนไม่อยากทำตามคำสั่งนั่นสักเท่าไหร่นัก เกรงว่าคุณอธินจะเป็นอะไรไป ทางที่ดีให้คุณหมอตรวจน่าจะดีกว่า

“บอกให้กลับก็กลับสิ!” น้ำเสียงของคนไร้เรี่ยวแรงทำให้ลูกน้องลังเลกับคำสั่งนั้นเหลือเกิน

“แต่คุณอธินเพิ่งจะโดนทำร้ายมานะครับ” อันนาช่วยเสริม มือข้างหนึ่งยกขึ้นเพื่อซับเหงื่อบริเวณหน้าผาก ตอนนี้อาการน่าเป็นห่วงเอามากๆ จนพวกเขาไม่สามารถอยู่เฉยได้

“ถ้าไม่ฟังคำสั่งกันก็กลับไปซะ!” อธินเค้นเสียงหนักแน่น ไม่สนใจว่าก่อนหน้านี้พวกมันรับคำสั่งใครมา ในเมื่อตัดสินใจจะอยู่กับเขาก็ต้องฟังคำเขาเท่านั้น

เชนบอกให้ลุงแท็กซี่หักเลี้ยวกลับทันที ในเมื่อเป็นความต้องการของเจ้านาย เป็นตายร้ายดีอย่างไรพวกเขาก็ต้องทำ
ชายหนุ่มเริ่มสงบลง ใช้แผ่นหลังพิงลงบนเบาะแล้วหลับตา ทั้งที่เจ็บไปหมดทั้งตัว ทั้งที่ร่างกายไร้เรี่ยวแรง ที่ยังรั้นแบบนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวเท่านั้น

ถ้าปั้นกลับมาในระหว่างที่เขาไม่อยู่ที่ห้องจะเป็นอย่างไร ถ้าไม่เจอกันเขาจะทำอย่างไร

ลมหายใจผ่อนเข้าออกเป็นจังหวะเมื่อนึกถึงใบหน้าของคนที่คิดถึง

จะรอจนกว่านายจะกลับมา...
 
 


 
................................................................................
คิกคิกคิก เจอกันดีๆไม่ได้ โลกไม่จำสินะคะ
แลกกันคนละหมัด จะได้ขึ้นใจไปเลยจ้า
ขอบคุณที่ติดตามนะค้าบบ

หัวข้อ: Re: Dear to me >> 01 : จูบครั้งแรกกับ...ผู้ชาย!!!
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 23-01-2018 19:43:04
คู่นี้น่าจะแซ่บเป็นพิเศษ
น้องเดียร์ที่รอคอย อิอิ
เสียจูบไปแล้ว ต่อไปคือ ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 02 : เด็กที่ไม่รู้จักโต
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 24-01-2018 20:35:08
02
ความคิดของเด็กที่ไม่รู้จักโต







เด็กหนุ่มพยายามลบเรื่องทั้งหมดออกไปจากหัว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนึกแล้วชวนให้เลือดในกายเดือดเป็นไฟอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คนอารมณ์ร้อนดื่มรวดไปหลายแก้ว เพื่อนรักอีกสองได้แต่นั่งมองตาไม่กระพริบ ทั้งคู่เก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะหันไปมองหน้ากันโดยไม่ได้นัดหมาย

จะว่ามันเคืองที่พวกเขามาสายก็ไม่น่าจะใช่ อาการอย่างกับเพิ่งไปมีเรื่องกับใครมา …

พวกเขาพยายามหาร่องรอยบาดแผลตามตัวก็ไม่เห็นมี ที่ผิดปกติก็มีแต่ริมฝีปากช้ำเลือดนั่นแหละที่เผลอไปจ้องแล้วต้องกลืนน้ำลายทุกที ซึ่งเจ้าตัวมันไม่มีวันรู้หรอกว่าเสน่ห์ของมันทำร้ายเพศเดียวกันแค่ไหน

“เดี๋ยวมา...” คนดื่มจัดบอกด้วยเสียงยืดยาน ร่างเพรียวบางลุกพรวด อารมณ์เปลี่ยนไปมาจนคนรอบข้างตั้งรับไม่ทัน
ส่วนสูงขนาดที่เรียกได้ว่ากำลังพอดีเริ่มโงนเงนเมื่อเดินออกไปหาเป้าหมาย ห่างออกไปไม่กี่โต๊ะซึ่งฝ่ายนั้นพยายามส่งยิ้มทักทายอยู่นานแล้ว

น่าอิจฉาก็ตรงเสน่ห์อันร้ายกาจที่ทำเอาสาวๆ ติดตรึมนี่แหละ แต่ด้วยนิสัยของมันผู้หญิงที่ชอบล้วนมีแต่สาวสวยที่อายุมากกว่าทั้งนั้น ไอ้เดียร์เคยให้เหตุผลว่า คนแก่กว่าชอบเอาใจไม่เหมือนกับสาวๆ ที่มันต้องเป็นฝ่ายตามใจเสียทุกเรื่อง

ภายนอกอาจจะดูน่าอิจฉาที่ได้รับความรักความเอ็นดูจากใครๆ มากมายก็จริง แต่มันไม่พอใจในสิ่งที่มีเลยสักครั้ง ยังคงโหยหาและเรียกร้องความสนใจจากคนรอบข้างไม่หยุด ต้องการเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหาย...

เนยังไม่ละสายตาจากร่างของเพื่อนที่หายไปในกลุ่มสาวสวย เขาส่ายหัวน้อยๆ เมื่อเห็นไอ้ตัวดีโชว์ไม้เด็ดโดยการแลกจูบกับสาวผู้โชคดีอย่างดูดดื่ม เรียกเสียงเฮจากคนรอบข้าง สำหรับมันนั่นคงเป็นการกระทำที่เสริมให้ตัวเองดูเป็นผู้ใหญ่ที่มากไปด้วยประสบการณ์ แต่สำหรับเขานั่นก็แค่ความคิดของเด็กที่ไม่รู้จักโตเท่านั้นเอง

“ว่าแล้วไง!” ภูละจากภาพตรงหน้า หันมาปรึกษาเรื่องที่ยังค้างคาด้วยสีหน้าจริงจัง “กูเป็นห่วงมันจริงๆ ว่ะ” นับเป็นเรื่องกังวลสำหรับพวกเขาที่เกรดของไอ้ตัวดีลดลงอย่างน่าใจหาย แล้วเทอมนี้ก็เป็นโอกาสสุดท้าย ถ้าหากมันยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน รับรองเลยว่า เทอมหน้าคงได้หาที่เรียนใหม่จริงๆ

ทั้งที่พวกเขาเป็นห่วงมากขนาดนี้แต่ดูท่าว่าเจ้าตัวจะไม่รู้สึกทุกข์ร้อนใดๆ เลยสักนิด สองหนุ่มหันไปมองร่างสูงโปร่งกับสาวสวยคนเดิมเดินตรงเข้ามา แล้วต้องถอนหายใจอีกรอบ

“คนนี้ชื่อพี่นีน่า เป็นไงสวยป่ะวะ” ยังจะมีหน้ามาแนะนำสาวคนใหม่ให้รู้จัก ทั้งที่พวกเขากำลังคิดหาทางออกกันจนสมองแทบจะระเบิด เจอสถานการณ์นี้ไปกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ

“ไอ้เนมึงลุกให้พี่เขานั่งหน่อยสิวะ!” เสียงอ้อแอ้ร้องสั่ง แล้วสุภาพบุรุษอย่างเขาก็ต้องทำหน้าที่นั้นให้แต่โดยดี

“จะกลับตอนไหน?” ร่างสูงลุกมายืนข้างๆ ไอ้ตัวดีที่เห็นสาวคนใหม่สำคัญกว่าเพื่อน

“สว่าง...” คนเมาหันมาส่งยิ้มหวาน เห็นแล้วชวนหมั่นไส้ในความไม่พอดีนั่นเหลือเกิน เขาอดไม่ได้เลยตบกะบาลมันไปทีหนึ่ง

“โอ้ย! ตีกูทำไม” คนเจ็บเอามือลูบหัวตัวเองป้อยๆ ชักสีหน้าโกรธใส่

“พรุ่งนี้มีเรียนตอนเช้า ถ้ากูไม่เจอหน้ามึงในคาบล่ะก็...” เนคาดโทษ แต่พอเห็นมันตีหน้าซื่อแล้วก็อดใจอ่อนขึ้นมาไม่ได้...แต่มันก็แค่แวบเดียวจริงๆ “กูจะไม่มานี่เป็นเพื่อนมึงอีก!”

ตั้งใจจะทิ้งมันไว้กับนางฟ้าสุดสวยของมันแล้วแท้ๆ แต่ก็ทำไม่ลง สุดท้ายก็ต้องอยู่จนจบรายการคอยหิ้วปีกมันกลับห้องทุกที สองหนุ่มช่วยกันประคองร่างของคนที่แทบจะไม่ได้สติเดินออกจากร้าน

เหตุการณ์เช่นนี้กลายเป็นเรื่องชินตาไปเสียแล้วสำหรับบรรดาสมาชิกในโฮลิคคลับ คนหนึ่งใจดีหน้าตาหล่อเหลา จมูกโด่ง เรียวปากเป็นกระจับบวกกับไฝเล็กๆ บริเวณปลายคางเสริมให้ดูมีเสน่ห์

คนที่ 2 สูงที่สุดในกลุ่ม เขาดูเท่ด้วยผมที่ตัดสั้นด้านข้างและเสยผมที่ยาวตรงกลางไปด้านหลัง ชอบใส่ต่างหูข้างเดียว บวกกับผิวสีแทนทำให้ดูแข็งแกร่ง ดวงตาเรียวงามคู่นั้นแฝงไปด้วยความร้ายกาจ เป็นดั่งแม่เหล็กดึงดูดให้ใครต่อใครอยากตกเป็นเหยื่อ
ส่วนคนสุดท้ายเห็นจะเป็นคนที่สร้างปัญหามากที่สุดในกลุ่ม

“ไอ้เฮงซวยเอ้ย อย่ามาให้เห็นหน้าอีกนะ!” กำหมัดแน่นแล้วชกสะเปะสะปะไปทั่วทั้งที่ยังหลับตา แถมเรียวปากแดงช้ำนั่นยังพ่นคำหยาบออกมาไม่หยุด

 “เป็นบ้าไรวะ?” ภูโดนเหวี่ยงกำปั้นใส่จนรู้สึกชาไปทั้งหน้า สาบานเลยว่าต่อไปจะไม่ปล่อยให้มันเมาเป็นหมาแบบนี้อีก
 
“พ่อจะจับแล่เนื้อเอาไปให้จระเข้กิน!!!” ช่างเป็นความแค้นที่ตั้งอยู่บนความทุกข์ของเพื่อนจริงๆ เดียร์ร่ายยาวไม่หยุดจนสองหนุ่มรู้สึกรำคาญ

“เพ้ออะไรของมึงเนี่ย?” เนเชยคางเรียวๆ ของมันหันมามอง อีกฝ่ายยังคงหลับตา กี่ครั้งที่ต้องห้ามไม่ให้คิดอะไรกับเพื่อนตัวเอง เรียวปากอวบอิ่มดูเย้ายวน สะกดให้คนมองคิดเตลิดไปถึงไหนต่อไหน...

 แต่ประโยคถัดมาทำเอาคนที่เผลอจ้องนานไปถึงกับสำลัก

 “ไอ้บัดซบ !! มึงเป็นใครบังอาจมาจูบกู!” จู่ๆ ไอ้คนที่เงียบไปนานก็โพล่งออกมาเล่นเอาคนฟังรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า

“ใคร? ใครจูบมึง? กูเห็นมีแต่มึงนี่แหละที่ไล่จูบเขาไปทั่ว เชี่ยเมาแล้วพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ” ชายหนุ่มเขกหัวกลมๆ นั่นไปหนึ่งที ก่อนจะโยนไอ้ตัวน่ารำคาญส่งไปให้ภูเป็นฝ่ายรับผิดชอบ

“มึงแบกมันกลับไปส่งเลยไป!” เขาผลักไอ้ตัวอ่อนปวกเปียกนั่นส่งคืนไปอย่างหงุดหงิดใจที่สุด

“อ้าวแล้วมึงล่ะ?” อีกฝ่ายแทบเซเพราะน้ำหนักที่ทุ่มใส่มาเต็มแรง ดีที่ยันเท้าตั้งหลักไว้ได้

“จะกลับละ” แล้วเขาก็ได้ยินเสียงไอ้ภูโวยวายลั่นลานจอดรถตามมา เนทำเป็นหูทวนลมแล้วเรียกแท็กซี่คันใหม่ออกไป
ขอไปหาที่สงบเสียงหัวใจตัวเองก่อนแล้วกัน…


…………………………………………..

“อย่าให้แม่ฉันรู้เด็ดขาด!” เสียงแหบแห้งของร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงเพราะพิษไข้ร้องบอกทันทีที่คุณหมอออกไปจากห้อง ลูกน้องผู้หวังดีทั้งสองรับคำก่อนจะปล่อยให้เขาได้นอนหลับพักผ่อน ไม่กี่นาทีถัดมาใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอ่อนเพลียก็เข้าสู่การหลับใหล ทั้งเชนและอันนาถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

“ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้คุณอธินยอมกลับไปทำงานที่บริษัท” ความหวังของพวกเขากำลังเลือนราง เพียงแค่ไม่กี่วันที่คอยติดตามทำให้รู้ว่าเจ้านายเป็นคนอย่างไร ความเด็ดขาดของคุณอธินทำให้ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเลยสักครั้ง

“แล้วเราควรทำยังไงดี ในเมื่อตอนนี้...” อันนาหมายถึงคนที่คุณอธินยอมทำทุกอย่างเพื่อตามหา

“ฉันจะช่วย...” เชนบอกด้วยเสียงหนักแน่น ไร้ความลังเล

“แต่ว่า...ฉันกลัวว่าถ้าเจอเขาแล้ว...คุณอธินจะไม่ยอมกลับไปทำงานที่บริษัทอีก”

“นี่ไม่ใช่เวลามาห่วงเรื่องตัวเองนะอันนา” เชนเตือนสติ

“ในเมื่อมันเป็นความต้องการของเจ้านาย แล้วอีกอย่าง...นายคงไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีก”

เขาหมายถึงเหตุการณ์ในวันนี้ที่พวกเขาเกือบพลาดไป ส่วนเรื่องอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้านายแล้ว

 “งั้นฉันก็จะช่วย” เชนยิ้มรับ แม้อันนาจะมีทุกออย่างที่ตรงข้ามกับเขา แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันนั่นก็คือ ความจงรักภักดี...
ในคืนนั้นทั้งคู่ผลัดกันเข้ามาดูแลอาการของคุณอธินทุกๆ ต้นชั่วโมง เวลาผ่านไปค่อนคืน คนที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันเริ่มเกิดอาการอ่อนล้า

“รับไปสิ!” เชนยื่นกาแฟอุ่นๆ ในแก้วให้อีกฝ่ายที่นั่งสัปหงกหน้าทีวี ก่อนจะเอาผ้าห่มมาปูลงบนพื้น เขาเตรียมจัดที่นอนของตัวเองก่อนจะหยิบผ้าห่มอีกผืนส่งให้คนที่นั่งอยู่บนโซฟา ห้องนั่งเล่นของคุณอธินบัดนี้กลายเป็นห้องนอนจำเป็นของพวกเขาไปเสียแล้ว

สองหนุ่มตื่นแต่เช้าและเลือกริมระเบียงคอนโดเป็นสถานที่ติดต่อประสานงาน สองสามวันนี้คุณหมอสั่งให้คุณอธินนอนพักผ่อนเพื่อรอดูอาการ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ได้อยู่เฉย

“เรายังขอความช่วยเหลือจากพวกนั้นได้ใช่ไหม” อันนาถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากคิดหาทางออกมาทั้งคืน

“แน่นอนสิ พวกมันไม่มีวันลืมบุญคุณฉันหรอก”

ไม่ทันขาดคำ คนปลายสายก็ตอบรับ เชนรีบบอกด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง “นี่ฉันเอง!”

“ลูกพี่...มีอะไรให้ผมช่วยครับ” ฝ่ายนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวัง ดวงตาคมเข้มหันมองเพื่อนร่วมชะตากรรมที่บัดนี้พยายามเงี่ยหูฟังคนในสายอย่างใจจดจ่อ

เชนใช้อำนาจที่มีสั่งให้ลูกน้องของเขาช่วยสืบหา เพียงไม่กี่วันก็ได้เบาะแส

เหตุการณ์ในวันนั้นพวกเขายังไม่ลืม...

ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่าเศร้า พวกเขาทำได้แต่ยืนมอง ยิ่งตัวละครในนั้นเป็นเจ้านายของตัวเองด้วยแล้ว ความรู้สึกสงสารที่มีมันท่วมท้นไปทั้งใจ

ดวงตาคุณอธินฉายแววเจ็บปวด พยายามเรียกร้องความรักให้กลับคืนมา พวกเขาคิดว่านั่นอาจจะพอมีหวัง แต่สายลมที่พัดผ่านเหมือนนำเอาความเศร้าโศกเสียใจมาด้วย บทสรุปของเหตุการณ์นั้น คนที่เป็นฝ่ายเสียใจ ก็คือคุณอธินที่ไม่อาจได้หัวใจของคนรักกลับคืน...

จนวันนี้ความเศร้าเสียใจก็ยังไม่เคยจางหาย...แม้เจ้านายของพวกเขาจะพยายามกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติก็ตาม

ระยะเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่พวกเขากำลังนั่งดูข่าวตอนเช้าก็ได้ยินเสียงเปิดประตูมาจากห้องนอน ร่างสูงในชุดทำงานดูแปลกตากว่าทุกครั้ง อธินยื่นคีย์การ์ดให้เชนแล้วสั่งให้เขาจัดหาแม่บ้านเข้ามาดูแลทำความสะอาดคอนโดแห่งนี้ทุกๆ สัปดาห์

ด้วยเหตุผลที่ว่ามันเป็นสถานที่ที่ใช้บันทึกความทรงจำของเขาในอดีต เมื่อไหร่ที่นึกถึงจะได้ย้อนกลับมา... 
ร่างสูงหันมองคนในภาพที่ยังแขวนอยู่บนผนังเหมือนเดิมด้วยความรู้สึกห่วงหา มันเป็นภาพแรกที่ทำให้เขาไม่อาจละสายตา
จนแม้กระทั่งตอนนี้...

“จะไปไหนกันหรือครับ?” อธินชะงักฝีเท้า หันมามองสองลูกน้องคนสนิทที่บัดนี้ได้กลายเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมของเขาไปเสียแล้ว ก่อนจะตอบคำถามที่ทำเอาทั้งคู่ร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจ

“ไม่คิดจะไปทักทายคุณพิมพ์ภาดา เจ้านายเก่าของพวกนายสักหน่อยรึไง?”
“หมายความว่า...”

“ใช่...ฉันพร้อมแล้ว!”

“จริงหรือครับ” ทั้งสองร้องตะโกนออกมาไม่หยุดด้วยความดีใจอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็มที่ผ่านมา พวกเขาเห็นคุณอธินเร่งจัดการงานที่ค้างคาของตัวเองให้ลูกค้า ไม่รู้มาก่อนเลยว่านั่นก็เพื่อต้องการสะสางทุกอย่างก่อนจะกลับไปรับงานที่บริษัทอย่างเต็มตัว

รู้สึกดีใจแทนคุณพิมพ์จริงๆ



......................................................


เสียงตวาดดังลั่นบ้านในเช้าของวันใหม่ ผู้เป็นแม่ยืนกอดอกด้วยใบหน้าบึ้งตึง แสดงออกถึงความไม่พอใจเป็นอย่างมาก หลังจากรับรู้ถึงผลการเรียนล่าสุดของลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

เดียร์ทนฟังได้ไม่กี่ประโยคก็รีบหุนหันออกจากบ้าน การกระทำดังกล่าวยิ่งทำให้คนที่โกรธเคืองอยู่แล้วอารมณ์รุนแรงกว่าเดิม
“นั่นจะไปไหน? แม่บอกให้กลับมาได้ยินไหม!!” เธอเร่งฝีเท้าตามลูกชายออกมานอกบ้าน ก่อนจะกระชากแขนให้คนดื้อรั้นหันมาเผชิญหน้า

“เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยนะเดียร์ แม่ถามว่าทำไมเกรดมันถึงเป็นแบบนี้!”

“ผมไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้น แม่อยากให้ผมเรียนผมก็สอบให้แล้ว! พอเกรดไม่ดีแม่ก็โทษผม แม่เคยถามบ้างรึเปล่าว่าจริงๆ แล้วผมอยากเรียนอะไร!”

เพี้ยะ!!

“หยุดเถียงแม่เดี๋ยวนี้นะ!!” อิงดาวจ้องลูกชายตาเขม็ง นาทีนี้ควบคุมสติไว้ไม่อยู่ มือเธอสั่นระริก เด็กน้อยน่ารักที่เลี้ยงมาตั้งแต่อ้อนแต่ออด ไม่คิดว่าโตมาจะได้เห็นท่าทางก้าวร้าวแบบนี้

เหมือนเด็กหนุ่มจะอ่านสายตานั้นออก...

“ก็แม่เป็นแบบนี้ไงครับผมถึงไม่อยากกลับมา!!” กล้ำกลืนความเจ็บปวดเสียใจเอาไว้ได้ ก่อนจะกระแทกประตูรั้วปิดเสียงดังลั่น
 
“เดียร์ หยุดเดี๋ยวนี้นะ แม่บอกได้ยินไหม!” และอีกสารพัดคำขู่ที่ตามมา เขาไม่อยากรับรู้อะไร ทั้งนั้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันแม่จะคอยยัดเยียดทุกอย่างให้ ต้องเป็นแบบที่แม่ต้องการ ต้องทำในสิ่งที่แม่พอใจ ไม่เคยเลยสักครั้งที่แม่จะปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจ ทุกอย่างมันถึงได้กลายเป็นแบบนี้ พอเขาทำไม่ได้ดั่งใจ แม่ก็จะโกรธและไม่ยอมฟังเหตุผลอะไรเลย

รู้ตัวดีว่าเป็นคนไม่เอาไหน แต่ก็อยากมีสักครั้งที่อยากให้แม่เข้าใจหัวอกของลูกคนนี้บ้าง
ทั้งที่สาบานกับตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ร้องไห้ให้ใครอีกแล้ว แต่สิ่งที่เจอมันรู้สึกเจ็บยิ่งกว่าสิ่งใดเป็นร้อยเท่า ทั้งที่โดนคนอื่นทำร้ายมานักต่อนักแต่ครั้งนี้มันเทียบไม่ได้เลย แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุด

เด็กหนุ่มล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อรู้สึกว่ามีคนโทรเข้า พอเห็นชื่อคนในสายก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า มันนานมาแล้วที่เราไม่ได้คุยกัน

“พ่อ...” คุณชลทีรับรู้อาการของลูกชาย น้ำเสียงสั่นเครือเพราะเพิ่งผ่านการร้องไห้ เขาจึงสรรหาเรื่องอื่นมาพูดปลอบ ให้น้องเดียร์รู้สึกผ่อนคลาย

“ว่าไง กินข้าวรึยัง?”

“ยังเลยครับ...แล้วนี่เมื่อไหร่พ่อจะกลับ” เดียร์แสดงนิสัยเด็กออกมาอย่างไม่ปิดบัง เฉพาะเวลาอยู่กับพ่อเท่านั้นที่เขากล้าทำตัวเหมือนเด็กประถม ไม่กลัวใครจะมองว่าขี้งอแง 

คุณชลทีต้องย้ายไปประจำตำแหน่งที่ต่างจังหวัด สาเหตุที่ภรรยาและลูกชายไม่ย้ายตามไปด้วยนั่นก็เพราะต้องดูแลกิจการร้านอาหารที่นี่ เฉพาะช่วงวันหยุดยาวเท่านั้นที่จะมีกำหนดกลับ

“ร้องไห้เป็นเด็กไปได้ โตแล้วนะอย่าทำให้พ่อเป็นห่วงสิ”

สองพ่อลูกคุยกันนานร่วมชั่วโมง ตั้งแต่เดียร์เดินออกมาขึ้นรถหน้าปากซอยจนถึงหอพัก การที่ได้คุยกับพ่อมันช่วยทำให้เขาดีขึ้น จากที่ร้องไห้ก็กลับมาหัวเราะได้อย่างปกติ

สาเหตุที่ย้ายออกมาอยู่หอก็เพราะอยากมีชีวิตที่อิสระ ถ้าอยู่กับแม่รับรองได้เลยว่าเขาไม่มีทางได้ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน แม่คงต้องซักเขาทุกครั้งที่ออกจากบ้าน และโทรตามวันละร้อยรอบหากวันไหนที่เขากลับไม่ตรงเวลา นั่นเป็นความน่าเบื่อของแม่ที่คิดว่าเขาคงทนไม่ได้หากชีวิตช่วงวัยหนุ่มต้องถูกจำกัดไว้ภายใต้คำสั่งของใครคนหนึ่ง


เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วมองขึ้นไปบนเพดาน ห้องนอนเงียบเหงา เดียร์นอนอยู่อย่างนั้นเมื่อความว้าวุ่นในใจค่อยๆ สงบลงเขาก็หลับไปในที่สุด

ชีวิตของคนๆ หนึ่งที่อิสระจนใครๆ ต่างพากันอิจฉา สิ่งที่มีในตัวเขาล้วนเป็นสิ่งที่ใครก็อยากจะเป็น แต่จะมีใครรู้บ้างว่าทุกอย่างที่ได้เห็นมันก็แค่ภาพลวงตาที่เขาจงใจสร้างขึ้น รอยยิ้มที่ทุกคนได้รับมันไม่มีอยู่จริง ได้แต่อาศัยอีกตัวตนเป็นเครื่องมือหาความสุขมาเติมเต็มหัวใจที่มีแต่ความว่างเปล่า
เขาก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องการความรักความห่วงใยจากใครสักคนเท่านั้น...








...................................................................
อยู่กับพ่อเป็นเด็กน้อย กับแม่นั้นดื้อด้าน อยู่ในกลุ่มเพื่อนนี่เก็กหนุ่มหล่อ กับสาวก็ทำมาดแมน พอเจอพี่อธินน้องจะเกี้ยวกราดหน่อยเน้อ ^^
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 02 : เด็กที่ไม่รู้จักโต
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 25-01-2018 19:08:04
นั้นซิ อยากให้เดียร์ปะกับอธินไวไวๆๆจัง
แอบสงสารเนนิดๆๆ น้องเดียร์ไม่ว่างน่ะ อิอิ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 03 : ลางร้ายของชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 02-02-2018 16:06:27
03
ลางร้ายของชีวิต







   แดดยามเช้าตกกระทบบนผิวน้ำเห็นเป็นแสงระยิบระยับอยู่ในทะเล ยามมองออกไปจากผนังกระจกห้องทำงานของโรงแรมรีสอร์ทหรู เสียงหัวเราะร่าเริงของคุณพิมพ์ภาดาเกิดหลังจากได้ยินข่าวดี ร่างสมส่วนในชุดสีแดงเข้มลุกจากเก้าอี้เมื่อลูกชายปรากฏตัว

“พวกนายสองคนสมกับเป็นมือหนึ่งของฉันจริงๆ ไม่มีครั้งไหนสุขใจเท่านี้มาก่อนเลย คราวนี้ควรตอบแทนเป็นอะไรดีนะ? ว่าไงเชน อันนา มีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษไหม?”

สองหนุ่มเพียงโค้งรับ แค่ได้เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของคุณพิมพ์พวกเขาก็ยินดีแล้ว

“เอาล่ะ! รับรองได้เลยว่าฉันจะตอบแทนพวกนายอย่างถึงที่สุดเลยล่ะ ส่วนอธิน...ตอนนี้ลูกพร้อมแล้วใช่ไหม?” เธอหันมองร่างสูงที่ทิ้งตัวอยู่บนโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ

“ดูเหมือนว่าแม่จะพูดเองเออเองไปหมดเลยนะครับ” ร่างสูงกล่าวด้วยเสียงเนิบนาบ “สองคนนั้นยังอยู่ในความดูแลของผม...เพราะฉะนั้นแล้ว...เรื่องที่จะปล่อยให้กลับไปทำงานกับแม่ทั้งที่เพิ่งถูกไล่ออกมา เห็นทีว่ามันคงจะ...เป็นไปไม่ได้”

ราวกับศรที่พุ่งออกไปวกกลับมาหา คนที่อารมณ์ดีในทีแรกเริ่มไม่พอใจ

“ว่าไงนะ!”

“ผมกลับมาทำงานที่บริษัทก็จริง แต่ใช่ว่าจะยอมนั่งเก้าอี้ผู้บริหารอย่างที่แม่ต้องการสักหน่อย ผมเลิกสนใจเรื่องพวกนี้ไปนานมาก จู่ๆ ก็กลับมางั้นหรือ?”

คำพูดของคุณอธินทำเอาลูกน้องสองคนสนิทหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่คิดว่าเจ้านายจะกล้าเล่นไม้นี้กับคุณพิมพ์ คราวนี้เข้าใจแล้วว่าไอ้นิสัยดื้อรั้นจนน่าขยาดนี้ได้มาจากไหน ทั้งแม่ทั้งลูกไม่แตกต่างกันเลย แต่ดูท่างานนี้คุณอธินจะถือไพ่เหนือกว่า

“นี่ลูกพูดอะไรน่ะ ลูกเป็น...”

“เป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล ใช่ครับ! อันนั้นผมรู้ แต่ผมยังไม่พร้อมจริงๆ ถ้าแม่จะฝากทุกอย่างไว้กับผม อย่างน้อยก็ให้เวลาให้ผมได้มั่นใจ จริงไหม?”

คุณพิมพ์ภาดาไร้คำพูดใดจะมาโต้แย้ง ไม่คิดว่าลูกชายสุดที่รักจะหันมาเล่นวิธีนี้ แต่ก็เป็นเธอเองไม่ใช่หรือที่ปล่อยให้อธินได้เรียนรู้ทุกอย่างด้วยตนเอง นิสัยแบบนี้รู้แล้วว่าถอดแบบมาจากใคร...เลือดที่ผสมอยู่ในกายครึ่งหนึ่งของท่านมาเฟียใหญ่ในแผ่นดินจีน หากตอนนี้คุณเฉินกำลังมองดูอยู่ อยากจะบอกให้รู้เหลือเกินว่า ลูกชายสุดที่รักของเขาคนนี้ได้สร้างปัญหาให้เธอแล้ว...

“แม่มีอะไรจะพูดรึเปล่าครับ?”

คุณพิมพ์ภาดายังอึ้งไม่หาย มือเรียวโบกขึ้นอย่างเป็นฝ่ายยอมแพ้ เธอทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ทำงานตัวเดิม พลางยกมือขึ้นกุมขมับ อธินเห็นท่าทางยอมจำนนของคุณพิมพ์จึงได้โอกาสพูดต่อ

“ผมจะเริ่มงานเดือนหน้า โดยมีเชนกับอันนาเป็นพี่เลี้ยง แม่มีอะไรจะเสนอรึเปล่าครับ?” ท่าทางของผู้พูดดูผ่อนคลาย ผิดถนัดกับคนฟังในยามนี้ที่ดูย่ำแย่เหลือเกิน

“แม่มีสิทธิ์นั้นด้วยหรือ?” ใบหน้างดงามหันมาย้อนถาม อธินรู้ดีว่าตัวเองทำให้อารมณ์ของผู้เป็นแม่ขุ่นมัวอีกแล้ว
เขารู้อยู่หรอกว่าไม่มีวันหลีกหนีภาระหน้าที่นี้พ้น ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...ขอแค่คุณพิมพ์เข้าใจและยืดเวลาออกไปให้เขาอีกหน่อย

“นั่นสินะครับ ดูเหมือนข้อเสนอของผมจะสร้างปัญหาให้แม่เข้าแล้ว แต่ผมลืมบอกไปอีกข้อ เมื่อไหร่ที่ผมคิดว่าตัวเองพร้อม ถึงเวลาแล้วผมจะกลับมาสานต่อทุกอย่างเอง แม่วางใจเถอะ”

“ร้ายกาจจริงๆ สรุปว่าแม่ต้องรออีกใช่ไหม?” คุณพิมพ์แย้มยิ้มออกมาอย่างประชดประชันกับข้อเสนอที่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่มีสิทธิ์ทักท้วง เพิ่งเคยรู้สึกว่าตัวเองเป็นรองก็คราวนี้

“คงจะเป็นเช่นนั้น”

ร่างสูงใหญ่กำลังเดินจากไป คุณพิมพ์ภาดาเฝ้ามองความสง่างามอย่างสมบูรณ์แบบและไร้ที่ตินั้นอยู่เบื้องหลัง
มันเหมาะสมแล้วที่เธอจะประดับภาระหน้าที่ทั้งหมดลงบนบ่าคู่นั้น 

ริมฝีปากสีสวยพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคู่นั้นแสดงความอ่อนโยนเมื่อนึกถึงชายคนเดียวผู้เป็นที่รัก...แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันบนโลกใบนี้แล้วก็ตาม

“ฉันอยากให้คุณได้เห็นภาพนี้เหลือเกิน...”

.................................................



“ผมไม่คิดเลยครับว่าผลมันจะออกมาแบบนี้”

“หรือนายอยากกลับไปทำงานกับแม่ฉันเหมือนเดิม อันนา”

“อ่า...ผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ แค่ตกใจนิดหน่อยไม่คิดว่าคุณอธินจะกล้าตั้งข้อเสนอแบบนั้นกับคุณพิมพ์”

อธินเผลอหัวเราะออกมา ความจริงนั้น สำหรับเขาแล้วทุกสิ่งที่เป็นความต้องการ ไม่มีอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้
ยกเว้นก็เพียงแต่...การรักษาหัวใจของตัวเองไว้

นั่นคือเรื่องเดียวที่เขาพลาดไป...

...........................................................



ร่างโปร่งบางนั่งลงบนเก้าอี้ทรงสูง เขายึดเคาน์เตอร์บาร์เป็นที่นั่งระบายอารมณ์หงุดหงิดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองมาทั้งวัน ตั้งแต่ที่พ่อย้ายที่ทำงานไปเพียงไม่ถึงเดือน แม่ก็เริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการเขามากขึ้น ยิ่งได้รู้เรื่องผลการเรียนของเขาด้วยแล้วก็ยิ่งไปกันใหญ่

คนอารมณ์ไม่ดีสั่งเครื่องดื่มมาไม่ยั้งทั้งๆ ที่เพิ่งโดนแม่ตัดเงินในบัญชีไปหมาดๆ คนอย่างเดียร์เคยแคร์เสียเมื่อไหร่ ในเมื่อแม่ไม่ให้ เขาก็ยังมีพ่ออยู่ทั้งคน คิดไปคิดมาก็ยิ่งโกรธ เมื่อเช้าแม่ให้คนมายึดมอเตอร์ไซค์ของเขาไปเนื่องจากไม่พอใจที่เขาทำตัวเหลวไหล เดียร์สาบานเลยว่าถ้ารู้ล่วงหน้ามาก่อนว่าแม่จะเล่นไม้นี้ เขาคงเอามันไปขาย เอาเงินมาใช้ซะให้รู้แล้วรู้รอด!

“ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเลยนะ”

“พี่เจนนี่” เด็กหนุ่มร้องออกมา ดีใจเมื่อเจอรุ่นพี่สาวสวย เธอดึงดูดเขาให้ตกอยู่ในภวังค์ด้วยรอยยิ้มหวานๆ จนเด็กคนนี้หัวใจเต้นแรง

“นั่งทำหน้าเซ็งเชียว ทะเลาะกับใครมาอีก ฮึ” นิ้วเรียวบิดแก้มนุ่มนิ่มนั้นอย่างรักใคร่ ในความรู้สึกของเธอ น้องเดียร์ก็เป็นแค่เด็กหัวรั้นคนหนึ่งที่ต้องการความรักความเอาใจใส่เท่านั้น ซึ่งมันห่างไกลกันนักกับสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังคิดกับเธอ

“ก็เรื่องที่บ้านน่ะ พี่อย่าสนใจเลย” เด็กหนุ่มคลึงแก้วเหล้าในมือไปมาอย่างคนเซ็งจัด

“อีกสองหนุ่มไปไหนซะล่ะ?” เธอหมายถึงบรรดาอารักษ์ขาประจำกายของเด็กคนนี้ ที่มักจะแพ็คติดมาด้วยเสมอแบบสินค้าซื้อหนึ่งแถมสอง

“ผมมาคนเดียว ขี้เกียจชวนพวกมันมา ไม่อยากฟังเสียงบ่น” เดียร์ให้เหตุผล ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาจากแก้มป่องๆ 
ตอนนี้เขาคิดผิดแล้วที่ไม่ชวนพวกมันมา อย่างน้อยยอมฟังเสียงบ่นเสียยังดีกว่านั่งเหงาคนเดียว

ทั้งสองนั่งคุยกันจนเกือบเที่ยงคืน พี่เจนนี่มีนัดที่อื่นต่อก็เลยขอตัวกลับไปก่อน เดียร์มองตามอย่างหงอยเหงา ตอนเห็นพี่เจนนี่เดินควงไปกับผู้ชายอีกคน

 “เฮ้อ....” เขาก็อยากมีใครสักคนไว้เป็นเพื่อนคุยบ้าง ใครสักคนที่เข้าใจ ยอมรับฟังปัญหาที่เขาเผชิญ

เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว การนั่งดื่มคนเดียวแบบนี้มันช่างน่าเบื่อที่สุด เขาควรจะออกไปเต้นกับสาวๆ ที่ยืนรออยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็
เข้าไปร่วมวงเล่นเกมกับโต๊ะข้างๆ ไม่ใช่มานั่งแกร่วเป็นหมาหงอยอย่างนี้

รู้สึกไม่อยากทำอะไรนอกจากปล่อยให้เวลามันผ่านเลยไป แล้วแช่ความคิดเอาไว้กับความหวังลมๆ แล้งๆ

“เฮ้ย มึงน่ะ ลุกมาหน่อยดิ้”

เสียงเรียกจากทางด้านหลัง นั่นไม่ดังพอจะทำให้คนเหม่อลอยรู้สึกตัวได้ หากในมุมมองของบุคคลมาใหม่ การกระทำที่นิ่งเฉยราวกับไม่ได้ใส่ใจ ช่างเป็นกริยาที่ค่อนข้างหยามเกียรติกันเหลือเกิน

“หูหนวกรึไงวะ!!” มือหนาเข้ามากระชากเขาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มตัวปลิวไปตามแรงนั่น เมื่อเขาตั้งตัวได้ก็หันมาเอาเรื่องกับไอ้พวกไร้มารยาทนั่นทันที

“เอามือสกปรกๆ ของมึงออกไปซะ” เดียร์เหยียดมองมือที่จับคอเสื้อตัวเองไว้ด้วยแววตารังเกียจ ถ้าจำไม่ผิด ไอ้พวกสี่ห้าคนที่ยืนเรียงอยู่ต่อหน้า มันเป็นพวกที่เคยมีเรื่องกับเขามาก่อน

“จำที่พวกกูเคยเตือนมึงได้รึเปล่า? ว่าห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”

“แล้วไงวะ?”

“ไอ้เด็กเวร!” ฝ่ายนั้นเงื้อมือขึ้นด้วยความโกรธแค้น ตั้งท่าจะชกแต่เดียร์ไวกว่า คว้าหมัดนั้นไว้อยู่หมัด

“หลีกไป!” เสียงแข็งกร้าวร้องสั่ง ผู้ชายสามสี่คนที่ยืนอยู่หันมองหน้ากันเป็นสัญญาณ ก่อนจะปล่อยให้เขาเดินออกไปอย่างง่ายดาย เดียร์รีบออกจากคลับอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นท่าไม่ดี เขาไม่ควรจะไปมีเรื่องกับใครตอนนี้

จังหวะที่เขายืนรอแท็กซี่อยู่ที่ลานจอด ผู้ชายกลุ่มเดิมเข้ามาล็อคเขาไว้จากทางด้านหลัง พวกมันลากเขาหลบไปในตรอกหลังร้าน เดียร์ตกตะลึงยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นพรรคพวกของมันร่วมสิบคนยืนรวมตัวกันอยู่ เลือดในกายแล่นพล่านไปทั่ว ก่อนความมั่นใจจะค่อยๆ ลดลงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อประเมินคู่ต่อสู้ด้วยสายตา ต้องยอมรับว่าครั้งนี้ เขาอาจจะไม่รอดถ้ามันจงใจจะเล่นงานเขาขึ้นมาจริงๆ


“ถึงกับตัวสั่นเลยหรือ?” สองมือของเดียร์ถูกมัดไว้เบื้องหลังอย่างหนาแน่นด้วยเชือก พวกมันคงเตรียมการทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่แห่มาต้อนรับกันอย่างอบอุ่นขนาดนี้

“เฮอะ!! หมาหมู่ไม่เปลี่ยน” สิ้นคำ ฝ่ามือหนาก็ฟาดลงบนแก้มขาวๆ นั่นอย่างแรง เลือดสีสดไหลออกมาจากมุมปาก เดียร์ถ่มน้ำลายทิ้งออกมาใส่หน้าอีกฝ่ายอย่างไม่รู้สึกเกรงกลัวใดๆ “อย่าลีลาดีกว่า ถ้ามึงจะเริ่มก็เข้ามาเลยสิวะ” เรียวปากสีสวยที่ย้อมไปด้วยเลือดยังไม่วายท้าทาย เดียร์ยืนมองพวกมันที่ในมือเต็มไปด้วยอาวุธ คิดถึงชะตากรรมของตัวเองในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้

จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง...ในเมื่อโชคชะตาบังคับให้เป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรอง

หมัดแรกตรงเข้ามาที่ปลายคางแม้โชคดีที่เขาหลบทัน แต่หลังจากนั้นอีกคนก็เข้ามาจับตัวเขาไว้ให้อยู่กับที่

“กล้าทำก็กล้ารับสิวะ! ไหนหันหน้าขาวๆ ของมึงมาให้กูดูหน่อยสิ” ไม่ว่าเปล่ามันยังใช้มือสกปรกเชยคางเรียวขึ้นมา

“ก็น่ารักดีนี่หว่า เสียดายที่ปากดีไปหน่อย ” พูดจบก็ปล่อยหมัดใส่ปลายคางไม่ยั้ง ตอนนี้เองที่เขาเจ็บจนรู้สึกชาไปหมด ในหัวมันหนักราวกับโดนหินก้อนใหญ่ๆ ทับไว้

พวกมันใช้วิธีหมาหมู่ แม้พยายามแกะเชือกที่มัดอยู่ทางด้านหลังสักเท่าไหร่ก็ไร้ประโยชน์ ทั้งตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อและเลือด พวกมันไม่เปิดโอกาสให้เขาได้โต้ตอบ ไม่มีโอกาสให้เขาได้หนี เพียงอย่างเดียวที่เดียร์ทำได้ในตอนนี้คือ...อดทนให้ถึงที่สุด
เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่อาจต้านทานกับความเจ็บปวดนี้ได้อีกต่อไป สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการภาวนา

รีบๆ จบลงเสียทีเถอะ...


ก่อนสติสุดท้ายจะดับลง ก่อนที่เขาจะถอดใจ ในวินาทีนั้นมีเสียงของใครคนหนึ่ง ซึ่งสามารถหยุดการกระทำของคนพวกนั้นทั้งหมดลงได้ในพริบตา

ไม่อยากจะเชื่อว่าปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นจริงๆ...

ใครคนหนึ่งเข้ามารับตัวเขาไปก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง

และหลังจากนั้นเดียร์ก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย...

………………………………………………………………………….

   

“ดูเหมือนว่าคืนนี้เพื่อนๆ ของคุณอธินก็อยู่ที่นี่ด้วยนะครับ”
   
“ช่างมัน ตอนนี้ขอฉันอยู่เงียบๆ ส่วนพวกนายสองคนมีธุระอะไรก็ไปทำเถอะ”

ร่างสูงทิ้งตัวลงบนโซฟา ปล่อยให้เสียงเพลงในยามค่ำคืนช่วยบรรเทาความทุกข์ที่สะสมอยู่ในใจ ดวงตาเรียวงามหันมองออกไปรอบกาย สิ่งที่พบนั่นก็คือบรรดาหนุ่มสาวที่ใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยงท่ามกลางแสงไฟหลากสีและเสียงเพลงที่ช่วยขับกล่อมให้คืนนี้ดูน่าหลงใหลจนไม่อยากให้มันผ่านพ้นไป
อยากรู้เหมือนกันว่าชีวิตของนักท่องราตรีแบบนั้นมันมีความสุขจริงหรือ...

“นายแน่ใจนะเชน ว่าคุณอธินน่ะเต็มใจกลับไปที่บริษัทจริงๆ ดูท่าทางแล้วฉันกลัวว่ามันจะเป็นการฝืนเสียมากกว่า ถ้าเป็นแบบนั้นฉันคงรู้สึกผิด” เหตุผลที่คุณอธินทำลงไป ลูกน้องอย่างเขาทำไมจะไม่รู้ว่าเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เป็นเพราะหน้าที่ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถหนีพ้นได้

ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขายังอยากให้คุณอธินกลับไปทำงานที่บริษัทแท้ๆ แต่พอได้เห็นแววตาคู่นั้นที่มีแต่ความเฉยชา มันทำให้เขาที่ทำได้แต่เฝ้ามองห่างๆ กลับรู้สึกไม่ดีไปด้วย เคยนึกไปว่าถ้าคนๆ นั้นกลับมาคืนดีกับคุณอธิน บทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นยังไงต่อไป

เจ้านายจะมีความสุขมากกว่านี้รึเปล่า...

“ห่วงคนอื่นเป็นด้วยหรือนายน่ะ” คนที่ทนฟังมาเนิ่นนานเริ่มหงุดหงิด

“แล้วทำไมต้องใส่อารมณ์ด้วยห้ะ!”

“หยุดพูดสักทีเถอะน่า!”

“นี่นายเป็นบ้าไปแล้วรึไง!” อันนาย้อนกลับ

ร่างสูงยืนฟังคำด่านั่นอย่างไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไหร่ กว่าหนึ่งเดือนที่ต้องคอยรับรู้ความรู้สึกของไอ้หมอนี่ กี่ครั้งแล้วที่ต้องทนฟังความในใจจากปากของมัน ทั้งหมดทำให้เขารู้สึกหงุดหงิด

หงุดหงิดจนแทบบ้า...

เขาควรเข้าไปขอร้องคุณอธินให้ตัวเองได้กลับไปทำงานกับคุณพิมพ์เสียตั้งแต่แรก จะได้ไม่ต้องทนร่วมงานกับคนอย่างไอ้หมอนี่ ไม่ต้องทนฟังสารพัดความเป็นห่วงของมันที่มีต่อคุณอธิน

ร่างสูงมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วถามตัวเองว่า...จะยอมได้หรือหากต้องแยกจากกัน

“นายนี่มันโง่จริงๆ” เชนทิ้งท้ายไว้แค่นั้นเมื่อเริ่มทนไม่ไหวกับความรู้สึกที่กำลังระเบิดออกมาจากใจ ตอนนี้รู้ตัวแล้วว่าไม่ควรเผลอ
ไปหลงรักไอ้เพื่อนร่วมงานงี่เง่าคนนี้ตั้งแต่แรก

ทั้งที่อยู่ใกล้แต่ก็ไม่เคยได้สัมผัสหัวใจ
คนที่โง่น่ะไม่ใช่เขา แต่เป็นอันนาที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลยต่างหาก…

“เฮ้ย มาด่าฉันโง่แล้วเดินหนีออกไปเฉยๆ แบบนี้ได้ยังไงวะ” อันนารีบตามเชนออกมาทางประตูหลังร้าน ร่างบางเดินสำรวจไปตามตรอกเล็กๆ ที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน ในคืนที่ท้องฟ้ามืดมัวเช่นนี้ทำให้เส้นทางดูเปลี่ยวขึ้นมาถนัดตา

“ไปไหนของมันวะ!” ลมเย็นๆ พัดมาทำให้เขาต้องกระชับเสื้อตัวนอกให้แน่นขึ้น สองเท้าพลันหยุดกะทันหัน รู้สึกเหมือนมีใคร
แอบซ่อนอยู่ทางเบื้องหลัง ขณะที่กำมือแน่นเตรียมจะตั้งรับ แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะรอการมาถึงนี้อยู่ก่อนแล้ว ในจังหวะที่เขา
กำลังจะตะโกนออกไป มือปริศนาของใครบางคนก็รีบปิดปากเอาไว้ทันที

“เงียบ!...” เสียงเข้มร้องสั่ง อันนาโดนลากเข้ามาหลบอยู่ในมุมหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างลับตาคนได้ดีทีเดียว พอถูกปล่อยเป็นอิสระ ร่างเพรียวบางก็รีบหันมาต่อว่าเจ้าของเสียงทันที

“เชน นี่นายทำบ้าอะไรห้ะ?” เสียงเล็กๆ นั่นเต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เจ้าตัวกระชับเสื้อตัวนอกให้เข้าที่ “แล้วออกมาที่นี่ทำไม?”

“ฉันตามกลุ่มเพื่อนของคุณอธินมา”

“เพื่อนหรือ...” ว่าแล้วเจ้าของร่างเพรียวบางก็ค่อยๆ แทรกตัวออกมาจากที่ซ่อน ยืนหลบข้างกำแพงเพื่อมองเหตุการณ์ตรงหน้าให้ถนัด

“ดูเหมือนคืนนี้พวกนั้นตั้งใจจะทำอะไรสักอย่าง นั่นไง!..ในนั้นมีพรรคพวกของเราที่ทำงานให้มันอยู่” เชนเข้ามาซ้อนจากทางเบื้องหลัง เขาพยายามสังเกตพฤติกรรมของคนพวกนั้นอยู่พักใหญ่ ดูเหมือนว่าคืนนี้จะมีการรวมตัวครั้งใหญ่ นั่นไม่ใช่เรื่องดีแน่

“นั่นมันเด็กคนนั้นนี่!”

เชนรีบหันไปดูตามคำบอก นัยน์ตาคมกริบลุกวาวทันทีเมื่อจำได้ว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเพื่อนๆ ของคุณอธินจับตัวเอาไว้เป็นคนเดียวกับคนที่คุณอธินบุกไปที่ห้องเมื่อครั้งก่อน

 “มันคิดจะทำอะไรกันแน่?”

“เหอะ ก็แค่เด็กตีกัน ฉันว่ามันก็สมควรแล้วนะที่ไอ้เด็กนั่นจะโดนสั่งสอนน่ะ” อันนายังจำความแค้นครั้งนั้นไม่หาย เด็กปากดีที่ยืนต่อปากต่อคำกับเขาปาวๆ อย่างไร้มารยาท หากจะโดนพวกนั้นสั่งสอนเสียบ้าง บางทีอาจจะช่วยรักษาอาการปากเสียนั่นได้
ความชุลมุนตรงหน้าได้เริ่มขึ้นแล้ว เชนไม่สามารถปล่อยให้คนพวกนั้น ใช้อำนาจผ่านมือเจ้านายทำเรื่องชั่วช้าอีกแน่นอน

“นายรีบโทรรายงานคุณอธินเดี๋ยวนี้เลย!”

“ไม่มีทาง! อยากช่วยก็เข้าไปช่วยคนเดียวสิ”

“อันนา นี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องส่วนตัวนะ”

“แต่เด็กนั่นมันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณอธินเลยนะ!”

“ฉันบอกว่าให้รีบโทรยังไงเล่า!” พูดจบเจ้าตัวก็รีบกระโจนออกไป คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังไม่อาจลังเลได้อีกแล้ว
เรื่องสัญญาของคุณอธินเขาก็พอจะรู้มาบ้าง และอำนาจเพียงหนึ่งเดียวที่จะยุติเรื่องราวทั้งหมดทั้งหมดได้
ต้องมาจากคุณอธินเท่านั้น


ไม้หน้าสามถูกเหวี่ยงทิ้งลงกลางวงจนสุดแรง เสียงกระทบกราวลงบนพื้นปูนหยุดชะงักเหตุการณ์ตรงหน้าลงชั่วขณะ

“พวกมึงเล่นอะไรกันอยู่ห้ะ!” เสียงแข็งกร้าวตะโกนดังสนั่น ดวงตาคมกริบเพ่งมองไปยังคนที่ริอ่านวางตนเป็นใหญ่ ร่างสูงสง่าก้าวไปตรงหน้าอดีต ‘เพื่อน’ ที่เคยร่วมกลุ่มกันมาก่อน

“ภูมิใจมากเลยสินะ สิบห้ารุมหนึ่งน่ะ รู้ไหม? ตอนมองจากที่ไกลๆ มันไม่ต่างอะไรจากหมาข้างถนนเลย” อธินเดินเข้าไปเชื่องช้า เห็นสายตาของพวกมันราวกับสัตว์กระหายเลือด ไม่มีแม้แต่สมองคิด ผลของการกระทำมันจึงออกมาไม่ต่างอะไรจากสัตว์ตระกูลต่ำ
   
“ว่าไงมอส! ไม่คิดว่าแกจะยืนดูฉากอัปยศนี้ได้โดยไม่คิดทำอะไร”

เจ้าของชื่อยิ้มแสยะมาทางเขา แน่นอนว่าคนอย่างมันทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจเหนือคนอื่น ครั้งนี้ก็คงจะหลอกใช้เพื่อนที่เหลือให้คล้อยตาม อาศัยจุดอ่อนของไอ้พวกนั้นมาล่อ

“แล้วเกี่ยวอะไรกับคนอย่างมึงไม่ทราบ?”

“ปล่อยเด็กนั่นลงซะ!” อธินสั่งด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยพลังและอำนาจ รู้สึกโกรธขึ้นมากะทันหันเมื่อหันไปมองร่างที่แทบไร้สติเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผลมากมาย

“ไม่ได้ยินรึไง!” เขาเกือบควบคุมตัวเองไว้ไม่ได้แล้วเมื่อเห็นพวกมันยังทำยึกยัก แต่หารู้ไม่ว่าที่นิ่งจนไม่อาจขยับ นั่นเพราะเห็นใบหน้าของคนสั่งเต็มไปด้วยความอาฆาต ทำเอาพวกกระจอกงอกง่อยได้แต่ยืนผวาไปตามๆ กัน

“เชน! เรียกตัวพวกเรากลับมาให้หมด แล้วหลังจากนี้ให้ฟังแต่คำสั่งของฉันคนเดียวเท่านั้น ส่วนอันนา นายไปเอาตัวเด็กคนนั้นมา!” ทั้งหมดล้วนเป็นประกาศิต พวกที่ขวางทางรีบถอยห่างออกไปอย่างรักตัวกลัวตาย

“ค..ครับ” อันนาอ้ำอึ้งกับคำสั่ง เมื่อเห็นสายตาดุกร้าวคู่นั้นมองมา ฐิติในใจก็ถูกลบทิ้งภายในทันที ทั้งที่เกลียดเด็กคนนั้นใจจะขาด

“ฉันว่าไอ้พวกคุณชายอย่างแกไม่ควรจะเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้นะ แล้วอีกอย่างตอนนี้พวกเราทุกคนไม่มีใครอยู่ภายใต้คำสั่งของแกแล้ว” หัวหน้าแก๊งเริ่มเป็นห่วงอำนาจที่ถูกสั่นคลอน ดูเหมือนว่าลูกน้องที่เคยอยู่ใต้อาณัติของตนเองจะลืมไปแล้วว่าควรฟังคำสั่งของใคร

“ฉันก็ไม่เคยคิดว่ามีสวะๆ อย่างพวกแกเป็นเพื่อนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้วล่ะนะ”

“อย่าทำเหมือนได้ใจทั้งที่พวกฉันถือไผ่เหนือกว่าสิวะ อย่าลืมสิว่าแกยังติดค้างฉันอยู่” มอสทวงถามอย่างมั่นใจ
อธินยิ้มเยาะเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกมันคงคิดว่าจะเอาบุญคุณครั้งนั้นมาขู่เขาได้อีกสินะ!

“ถ้าเรื่องนั้นมันทำให้แกเหิมเกริมมาได้ถึงวันนี้ก็คิดผิดแล้วล่ะ ต่อให้แกมีบุญคุณกับฉันแต่ตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์
อะไรที่เคยได้ไป วันนี้ฉันจะเรียกคืนมาทั้งหมด เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีเถอะ” พอกันทีมิตรภาพจอมปลอม...พวกที่คอยแต่หวังผลประโยชน์ จากนี้จะได้ไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว...

“หมายความว่าไงวะ?” ลูกน้องที่เคยฟังคำสั่งกลับเข้ามาจับตัวเขาไว้ เพื่อนในกลุ่มคนอื่นๆ ก็ถูกพวกมันล้อมไว้จนหมด 

“ค่าตอบแทนยังไงล่ะ ฮึ...ขอให้โชคดีแล้วกัน!”

แล้วเหตุการณ์ชุลมุนในคืนนั้นก็เริ่มต้นอีกครั้ง ร่างสูงเดินออกจากที่เกิดเหตุโดยไม่หันกลับไปมองซ้ำอีกเลย

ไม่เข้าใจการกระทำตัวเองเหมือนกันว่าจะแก้แค้นพวกมันไปเพื่ออะไร ในเมื่อคนเจ็บไม่ใช่คนของเขา และไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกันทั้งสิ้น


เป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เพิ่งเจอกันเมื่อหนึ่งเดือนก่อน...




……………………………………………..



 



พี่อธินนนนนนนนนน  :katai4: :katai1: :laugh: :hao7: :mew1:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 03 : ลางร้ายของชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: Lady-Rabbit ที่ 02-02-2018 18:35:40
ตามมาอ่านเรื่องของพี่อธินต่อค่าาา
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 03 : ลางร้ายของชีวิต
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 02-02-2018 19:50:16
พระเอกเต็มตัวล่ะพี่อธิป อิอิ
งานนี้น้องเดียร์ตื่นมาจะทำยังไงต่อน่ะ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 04 : ค่าเสียหาย
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 05-02-2018 21:41:08
04
ค่าเสียหาย



“อย่างไอ้เด็กนี่ ตายไปซะเลยก็ดี!”

“จะพูดอะไรก็ระวังหน่อยอันนา ถ้าไม่เต็มใจทำก็ส่งมา ฉันจัดการเอง”

มือเรียวโยนผ้าขนหนูกับถุงเจลประคบให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่ใส่ใจนัก เรียวปากบางยังบ่นไม่หยุดเมื่อต้องมาทำอะไรที่มันขัดกับความรู้สึก

เขาเกลียดไอ้เด็กนี่เหลือเกิน เกลียดตั้งแต่แรกเห็น

“เหอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอธิน รับรองเลยว่าฉันไม่มีวันมานั่งดูดำดูดีมันเด็ดขาด” เป็นจังหวะเดียวกันที่เชนส่งตายตาดุๆ มาห้ามปราม รู้ดีว่าอันนาไม่ชอบ แต่เด็กคนนี้อยู่ในฐานะแขกของเจ้านายซึ่งพวกเขาต้องคอยดูแลให้ดีที่สุด

เชนมองใบหน้าขาวซีดของร่างที่นอนไม่ได้สติบนเตียงมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เขาวางถุงเจลลงบนบริเวณหัวไหล่ซึ่งมีรอยแดงช้ำขึ้นมาอย่างชัดเจน

“ยังไม่รู้สึกตัวหรือ?”

พวกเขาหันไปมองทางต้นเสียง ไม่ทราบเลยว่าคุณอธินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่

“ครับ”

“หมอว่าไงบ้าง”

“โชคดีที่กระดูกไม่หักครับ นอกนั้นก็มีรอยฟกช้ำตามตัว สองสามวันนี้ก็ค่อยๆ ประคบเย็นไปเรื่อยๆ ที่หนักสุดก็แผลบนหัวนี่แหละครับ เย็บไปประมาณสี่เข็ม”

อธินนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นที่เขาโดนเจ้าเด็กตรงหน้าทำร้าย ไม่อยากเชื่อเลยว่าต้องมาเจอกันในสภาพนี้อีกแล้ว ต่างกันที่คนเจ็บครั้งนี้ไม่ใช่เขา

“ผมว่าคุณอธินไม่น่าไปเห็นใจไอ้เด็กนี่เลย”

...นั่นสินะ ทำกับเขาเอาไว้ซะขนาดนั้น...

เขาเห็นด้วยกับอันนา แต่ตอนนี้มันสายไปแล้วในเมื่อตัวเองถึงขั้นเปิดรีสอร์ทเพื่อพาคนเจ็บมานอนรักษาตัวที่นี่ สั่งให้คนคอยดูแลตลอดเวลา ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผลที่ออกมาจะคุ้มค่ากับที่ทำไปรึเปล่า

“นายสองคนออกไปก่อน”

อันนาทำท่าจะทักท้วง แต่เชนไวกว่าคว้าข้อมือของอีกฝ่ายลากให้ตามมา

ร่างสูงทิ้งกายลงบนขอบเตียง เมื่ออยู่กันเพียงลำพังเขาก็มีเวลาเพ่งมองใบหน้าขาวซีดนั้นได้ชัดเจนขึ้น ดวงตาเรียวสวยไล่มองไปตามผิวเนียนละเอียดที่มีแต่รอยฟกช้ำ ถ้าเขาไปไม่ทัน ไม่ต้องจินตนาการเลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว ตัวก็เล็กแค่นี้แต่กล้ามีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว

แล้วสายตาก็กลับมาหยุดนิ่งที่รอยแผลบนริมฝีปาก

ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เขาที่เผลอทำเรื่องบ้าๆ ลงไปอย่างไร้สติ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างมันอยู่เหนือการควบคุม หากเป็นเวลาปกติเขาคงไม่เที่ยวไปจูบกับใครแน่

ที่ฉันช่วยนายครั้งนี้ ถือว่าเป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน...


ชายหนุ่มพอใจแล้วกับเหตุผลทั้งหมด เขาทำท่าจะออกไปจากห้อง แต่โทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนหัวเตียงก็ดังขึ้น ร่างสูงเอื้อมมือไปคว้ามันมาแล้วอ่านชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ

‘อิงดาว’

แฟนหรือ?

เขาไม่อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร แต่ครั้งนี้เกรงว่าเสียงเพลงจังหวะน่ารำคาญนั่นจะไปรบกวนคนนอนก็เลยรีบตัดสาย แต่ไม่ถึงนาทีมันก็ดังขึ้นมาอีกรอบ
ในที่สุดก็ตัดสินใจรับจนได้

“ลูกทำอะไรอยู่ทำไมไม่รับโทรศัพท์ แล้วเมื่อกี้ตัดสายแม่ทิ้งทำไม?”

สารพัดคำด่าที่ตามมาหลังจากนั้น ในจังหวะที่เขากำลังหาทางรับมือ อยู่ๆ โทรศัพท์ก็ถูกคว้าไปเสียก่อน

“ยุ่งอะไรเนี่ย” เจ้าของเสียงแหบแห้งต่อว่าเขา อธินหันมองใบหน้าขาวซีดของคนป่วยที่ตื่นมาแล้วก็แผลงฤทธิ์ แถมเจ้านั่นยังอวดเก่งจะลุกนั่งให้ได้

“ไม่มีแรงก็นอนไปเฉยๆ ดีกว่า” ชายหนุ่มกอดอกตัวเอง นั่งมองภาพตรงหน้าด้วยความหวังดี แต่กลับได้รับสีหน้าไม่พอใจเป็นการตอบแทน อธินเห็นแล้วต้องส่ายหัวอีกครั้งอย่างเหลืออดกับนิสัยชอบเอาชนะโดยไม่นึกถึงขีดจำกัดของตัวเอง
ทั้งที่ท่าทางก็ดูอิดโรยเต็มทน แต่ก็ยังไม่วายพยศใส่

“นายไปมีเรื่องกับไอ้พวกนั้นได้ยังไง?”

“ไม่ใช่เรื่องของนาย” คนตอบตอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้มารยาทเช่นเดิม อธินมองเด็กตรงหน้าที่ไม่ว่าทำอย่างไรก็คงไม่มีทางพูดจาดีๆ กันได้ เขาไม่ควรหวังตั้งแต่แรกว่าอย่างเด็กนี่จะยอมญาติดีกับเขา ท่าทางขวางโลกนั่น ไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงได้มีเรื่องกับคนอื่นไปทั่ว

“ถึงนายจะไม่ชอบฉัน แต่ก็ควรพูดจาให้เกียรติคนที่เขาอุตส่าห์ช่วยเหลือนายหน่อย” น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่คนฟังรับรู้ได้ถึงอาการไม่ชอบใจของฝ่ายตรงข้าม เดียร์เขม่นมองร่างสูงที่เพิ่งจะตำหนิเขาไป ในใจอยากย้อนถามกลับไปเหลือเกินว่า เขาไปขอร้องให้

ช่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วที่มันทำกับเขาล่ะ นั่นเรียกว่าเคยให้เกียรติกันตรงไหน...

เขาอยากจะเถียง อยากจะพูดออกไปให้มากกว่านี้ ทว่า แค่เปล่งเสียงก็ลำบากแล้ว คราวนี้เลยได้แต่นอนนิ่ง เบือนหน้าหนีไปอีกทาง

“ครั้งนี้ที่ฉันช่วยนายไว้ ถือว่าเราหายกัน เรื่องที่ฉัน...”

เดียร์หันขวับ สายตาแข็งกร้าวมองตรงไปยังร่างสูงที่นั่งอยู่ข้างเตียง สาบานว่าถ้าหมอนั่นพูดมาอีกคำ เขาจะลุกขึ้นไปบีบคอทั้งสภาพแบบนี้แหละ โทษฐานที่รื้อฟื้นเรื่องบ้าๆ นี้ขึ้นมา

“ฉันจะออกไปจากที่นี่”

“นายได้กลับไปแน่ แต่ตอนนี้ช่วยดูตัวเองก่อน ว่ามีแรงพอจะลุกจากเตียงรึเปล่า” 

เด็กหนุ่มมองตามแผ่นหลังของร่างสูงที่กำลังเดินออกไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งโกรธเคืองทั้งหงุดหงิด ขัดใจที่ตัวเองต้องมานอนอยู่ที่นี่ ถ้าเขาแข็งแรงอีกสักหน่อย หมอนั่นไม่มีวันได้พูดดูถูกกันหรอก

“พักผ่อนซะ หายดีเมื่อไหร่ ฉันจะให้คนไปส่ง”


เมื่อรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง ภายนอกก็เริ่มมืดแล้ว เด็กหนุ่มพยายามโทรติดต่อกลับไปหาเพื่อนของตัวเอง เขาฝืนกายลุกจากที่นอน ประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงอย่างเอาเป็นเอาตายเดินไปที่ระเบียง เพื่อจะมองออกไปให้ชัดว่านี่มันที่ไหนกันแน่
 
สองขาค่อยๆ ก้าวพ้นขอบประตู และทุกอย่างก็ปรากฏแก่สายตา

น้ำทะเลกระทบกับแสงอาทิตย์ยามเย็น บนชายหาดที่ทอดตัวออกไปมีนักท่องเที่ยวอยู่ประปราย เดียร์ตื่นตะลึงอย่างสุดขีด ไม่คิดว่าเขาจะมายืนอยู่บนแถบที่ดินที่มีราคาแพงที่สุดของเกาะเล็กๆ แห่งนี้

“ตกลงจะบอกได้รึยังว่ามึงไปมุดหัวอยู่ที่ไหน?”
คนในสายส่งเสียงกลับมาอย่างร้อนรน เมื่อรู้สึกว่าเดียร์เงียบไปนานแล้ว

“กูไม่แน่ใจ...แต่น่าจะเป็น...” คนป่วยเริ่มอ่อนแรง แต่ก็พยายามนึกชื่อของสถานที่แห่งนี้ “...แกรนด์เฮฟเว่น”

“ไอ้ห่า นี่มึงไปทำอะไรที่นั่น อย่าบอกนะว่า...นัดสาวไป”
มันคงไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆ หรอกใช่ไหม ค่าห้องแต่ละคืนแพงกว่าเงินประจำที่ได้รับแต่ละเดือนเสียอีก ไม่มีใครคิดเอาใจสาวด้วยวิธีนี้กันหรอกน่า

“รีบมาเถอะ” เดียร์ตัดบท ตอนนี้เองที่รู้สึกจุกแค้นบริเวณช่วงท้อง คงเพราะฝืนร่างกายมากเกินไป คิดไม่ออกเลยว่าถ้าต้องถ่อสังขารออกไปตอนนี้ ภายในจะบอบช้ำแค่ไหน แต่จะให้ทนอยู่ในการช่วยเหลือของใครบางคนนานๆ ไม่ได้เช่นกัน

ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงเนกับภูก็มาถึงที่นั่นโดยใช้บริการจากลุงแท็กซี่ สองหนุ่มเฝ้าชะเง้อแลหาร่างผอมๆ ของเพื่อนอยู่แถวๆ ล็อบบี้ จนพนักงานเข้าใจว่าเป็นนักท่องเที่ยว เกือบถูกสาวพนักงานพาไปเช็คอินอยู่แล้วเชียว แต่ก็ทันได้เห็นเดียร์เดินโซเซเข้ามาหา ผ้าพันแผลเป็นจุดๆ ตามร่างกายทำให้สองหนุ่มอดอุทานออกมาไม่ได้เลย

“เฮ้ย นี่มึงไปโดนอะไรมา?”

เดียร์ไม่ได้ตอบคำถามด้วยซ้ำก็รู้สึกขามันอ่อนแรงขึ้นมาดื้อๆ เนรีบพยุงร่างนั้นไว้ทันก่อนมันจะร่วงลงกับพื้น เขาเห็นเหงื่อที่ชื้นขึ้นตามไรผมและใบหน้าที่ซีดลงจนผิดปกติ เมื่อลองแตะที่หน้าผากดูถึงได้รู้ว่าอีกคนมีไข้สูง

“แย่แล้วว่ะ ภูรีบเปิดประตูรถเร็วเข้า” แล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจไปโรงพยาบาล ในขณะที่นั่งอยู่บนรถเดียร์ได้ยินเสียงปรึกษากันว่าจะโทรบอกแม่เขา นั่นทำให้คนป่วยต้องรวบรวมกำลังอย่างหนักเพื่อแย่งโทรศัพท์มาจากพวกมัน

“อย่าบอกแม่นะ” เนหันมองไอ้ตัวดีที่ทำเสียงไม่พอใจเหมือนเด็กๆ

“มึงเป็นหนักขนาดนี้อาดาวไม่รู้ไม่ได้หรอก” เขากดร่างปวกเปียกนั่นลงกับเบาะแล้วแย่งโทรศัพท์ในมือกลับไป

“ก็ตามใจ ถ้าแม่รู้ไม่ใช่แค่กูจะโดนด่าซ้ำกลับมาหรอก ครั้งนี้อาจจะถูกหาที่เรียนใหม่เลยก็ได้” น้ำเสียงฟังดูจริงจัง ตัดพ้อ จับแววโกหกใดๆ จากดวงตาคู่นั้นไม่ได้เลย

เล่นเอาเขาใจอ่อนยวบ...และยอมจำนนแต่โดยดี


ตั้งแต่ไปหาหมอวันนั้นเดียร์ก็กลับมานอนซมอยู่ที่ห้อง หลังๆ ก็มีบรรดาเพื่อนฝูงแห่กันมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด บรรดาสาวๆ ที่คลับเองก็ไม่เว้น พอไม่เจอกันที่นั่นก็พร้อมใจกันยกทัพมาที่หอแทน บางคืนถึงกับจัดปาร์ตี้เล็กๆ เอาใจหนุ่มน้อยที่แม้ร่างกายไม่อำนวยแต่ใจยังคงหลงรักในเสียงเพลงและกลิ่นเหล้า

ในขณะที่เดียร์กำลังเอกเขนกอยู่บนเตียงโดยมีสาวสวยสองคนขนาบข้าง กลางห้องก็เปิดเพลงเสียงดัง พื้นที่ในครัวตอนนี้ก็ถูกบันดาลให้เป็นโต๊ะบุปเฟ่ต์ ใครนึกอยากกินอะไรก็เข้ามาตักได้แบบไม่ยั้ง
ช่วงที่ทุกคนกำลังสนุกจนลืมตายกับเพลงที่เปิดดังชนิดที่ไม่เกรงใจห้องข้างๆ ชายคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา ท่ามกลางแสงสลัวกับไฟหลากสี ในขณะที่ทุกคนกำลังมัวเมาได้ที่ เขากลับเดินเข้าไปดึงปลั๊กเครื่องเสียงออก  ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ใบหน้าโกรธเคืองของเขาทำให้ทุกสรรพสิ่งในห้องหยุดการเคลื่อนไหว พร้อมทุกสายตามองมาที่เขาเป็นจุดเดียว

“ทำบ้าอะไรอยู่ รีบกลับไปให้หมดเลย”
เนไม่ได้ขู่ เขาโกรธจริงจังมาก ทุกคนรีบกรูออกจากห้องเหมือนวิ่งหนีคลื่นยักษ์ ร่างสูงเดินฝ่าความวุ่นวายมาหยุดลงที่ปลายเตียง มองไอ้คนที่อ้างว่าป่วยอยู่ใต้ผ้าห่มด้วยสีหน้าเสแสร้งว่าไม่สบายอยู่จริงๆ

“ลุกขึ้นมาเคลียร์กับกูเลย” เขาสั่งเสียงเรียบ ทว่ามันเย็นเยือกไปถึงไขสันหลัง
คนบนเตียงยังนิ่ง ทำตาใสซื่อเหมือนแมวแอบทำแจกันหล่นแตกและพยายามโกหกเจ้าของ
คืนนี้ก็ว่าจะมานอนเป็นเพื่อนเสียหน่อย เผื่อมันมีไข้และต้องการความช่วยเหลือ แต่พอมาถึง...ก็อย่างที่เห็น เข้าใจว่าที่มันไม่ไปเรียนเพราะต้องนอนพักฟื้นจนกว่าจะหายดี เขากับไอ้ภูสละเวลามาหาข้าวให้มันกิน เหมือนพ่อแม่ที่ต้องสลับมาดูแลลูกชายที่นอนป่วยอยู่บ้านไม่มีผิด แล้วสุดท้ายไอ้ลูกเวรก็ดันนัดเพื่อนมาสำมะเลเทเมาแทนที่จะไปเรียน

นี่มันน่ากระทืบให้ตายจริงๆ
ถ้าเมื่อกี้ป้าเจ้าของหอไม่มาฟ้องว่าจะไล่มันออกเพราะชอบพาเพื่อนมามั่วสุมตอนดึกๆ ล่ะก็ เขาคงไม่รู้

“ไม่ได้ยินที่บอกรึไง”

“กูไม่มีแรงลุกหรอก” แก้ตัวกันน้ำขุ่นๆ ได้ยินแบบนี้คนฟังรู้สึกของขึ้น เนช่วยฉุดคนป่วยที่คาดว่าคงนอนนานเกินไปจนแข้งขาไร้เรี่ยวแรง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเห็นเต็มตาว่าไอ้ตัวดีเต้นเหย็งๆ อยู่บนเตียงแถมยังนัวเนียกับสาวไม่ห่าง เขาลากมันลงมายืนที่พื้น อยากดูนักว่ามีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม

“ไง ไหนว่าไม่มีแรง!”

“ก็กูเพิ่งกินยาไปอ่ะ ไข้มันก็ลดแล้วอ่ะดิ”

“ไม่ต้องแก้ตัวเลยนะ พรุ่งนี้ถ้ามึงยังไม่ไปเรียนอีก กูนี่แหละจะตามมาให้ยามึงถึงที่เลย”

ปัง!!!

เนออกจากห้องไปแล้ว ฝ่ายนั้นกระแทกกระตูปิดลงเสียงดังสนั่น จนเจ้าของห้องเองก็ยังสะดุ้ง เดียร์ยืนสำนึกในความผิดอยู่ได้ไม่นาน หลังจากแขกกิตติมศักดิ์กลับไปแล้ว มือเรียวรีบคว้าโทรศัพท์ โทรไปออดอ้อนพี่หนิงคนสวยให้มาเป็นนางพยาบาลดูแลคืนนี้ทันที 



…………………………………..

“โอ้ย เบาๆ สิวะ กูคนนะไม่ใช่กระสอบทราย ถึงได้ลากเอาๆ แบบนี้น่ะ”

“หุบปากไปเลย”

วันนี้พวกเขามีเรียนตอนเช้าแค่สองคาบ เขาจะไม่โมโหเลย ถ้ามันหัดทำตัวปกติๆ เหมือนชาวบ้านและเข้าเรียนตรงเวลาไม่ใช่มาเอาตอนห้านาทีสุดท้าย!
   
“จะพาไปไหนเนี่ย?” เนผลักร่างของเพื่อนเข้าไปในตึกฝ่ายทะเบียน อีกฝ่ายยืนมองตาไม่กระพริบ แล้วหันมาถามว่าพามาที่นี่ทำไม

“ถ้ามึงไม่อยากเรียนก็ลาออกไปซะ ไม่ใช่ทำตัวไร้สาระไปวันๆ แบบนี้ กูสงสารพ่อกับแม่มึง!” น้ำเสียงจริงจังจนคนฟังรู้สึกน้อยใจ ใช่ว่าไม่รู้ว่าตัวเองทำตัวเหลวแหลกแค่ไหน แต่ที่เป็นอยู่นี้มันย่อมมีสาเหตุ

เมื่อถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ใจของเขามันก็ไม่เปิดรับ ผลการเรียนถึงได้ออกมาไม่ดีซ้ำๆ ซากๆ พาให้รู้สึกท้อ นานๆ เข้าก็ทำให้ไม่อยากพยายามอีก จะให้เขารับผิดทั้งหมดได้อย่างไร เพราะแม่ที่คอยแต่บังคับ พอเกิดเรื่องแบบนี้ก็กลายเป็นเขาอีกที่เป็นคนผิด

“แล้วกูล่ะ เคยเข้าใจกูบ้างไหม” น้ำเสียงกระชากจนคนฟังรู้สึกใจหาย และในนาทีนั้นเองถึงได้รู้ว่าตัวเองได้ทำสิ่งต้องห้ามลงไป เนรู้สึกผิดอย่างมหันต์เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นแล้วพบเจอแต่ความเจ็บปวด

ภูวิ่งตามมาทีหลังจึงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น เขาพยายามสอบถามแต่พวกมันก็ไม่มีใครพูด

“ถ้ามึงเหนื่อยนักที่มีเพื่อนแบบนี้ คราวหลังก็ไม่ต้องมายุ่งกับกูก็ได้” พูดจบเจ้าตัวก็รีบเดินหนีไปด้วยความน้อยใจ

“นี่มันอะไรวะ พวกมึงทะเลาะอะไรกัน?”

“...”

“เฮ้! กูไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรกันอยู่ แต่จะปล่อยไว้แบบนี้ มึงคิดว่าดีแล้วหรือ?”

“มองหน้าแบบนี้ มึงก็หาว่ากูผิดอีกใช่ไหม?”

“ก็มึงนั่นแหละ รีบตามไปขอโทษมันเลยไป”

ใช่ เขารู้ตัวว่าผิด ที่ใจร้อนพูดไปแบบนั้นเพราะไม่ทันยั้งคิด แต่ทั้งหมดก็เพราะเป็นห่วงจนไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง ในสถานะเพื่อน เขาต้องรักษาระยะห่างเอาไว้...ก็เลยหงุดหงิดที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้

ขอโทษจริงๆ



..............................................
มาต่อแล้วคร้าบ :hao7: :hao5: :katai4:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 04 : ค่าเสียหาย
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 09-02-2018 19:59:50
เอาอีกๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 05 : ใจไม่บริสุทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 10-02-2018 18:41:26
05
ใจไม่บริสุทธิ์



“ถอดเลยจ้ะเด็กดี” เสียงสาวๆ กรี๊ดลั่นเมื่อจินตนาการถึงผิวขาวเนียนกับกล้ามเนื้อน้อยๆ ของเด็กหนุ่มในสภาพเปลือยท่อนบน น้องเดียร์นั้นน่ารักและน่าฟัดไปในคราวเดียวกัน แม้ไม่หล่อล่ำแบบผู้ชายทั่วไป แต่หุ่นขนาดพอเหมาะแบบนักร้องไอดอลนี่แหละที่เรียกว่าฮอตสุดๆ

“ผมอีกแล้วหรือ...” บ่นได้แค่นั้นเมื่อมีมือปริศนากำลังดึงเข็มขัดออกไป เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เขาแพ้เกมนี้ พี่ซาร่าเข้ามาหอมแก้มเรียกกำลังใจ ใบหน้างอง้ำในทีแรกก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มทันที

แต่แล้วความสุขก็พังทลายเหมือนกระจกใสที่ร่วงลงสู่พื้น เมื่อบังเอิญไปเห็นไอ้เพื่อนเฮงซวยที่หาว่าเขาเป็นลูกไม่รักดียืนอยู่ ในมือของมันถือเสื้อผ้าของเขาเอาไว้ ฝ่ายนั้นมองมาด้วยความโกรธแบบสุดบรรยาย

ไม่สนใจหรอกโว้ย...

เดียร์บอกผ่านทางสายตาคู่นั้นก่อนจะทำเมินใส่ด้วยการหันมาสนุกกับเกมที่เล่นค้างไว้ ในนาทีที่เขาหันกลับมา แขนข้างหนึ่งถูกกระชากจากคนด้านหลัง ทั้งร่างเซปะทะลงบนแผงอกแกร่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ทันตั้งตัว ริมฝีปากอวบอิ่มก็ถูกครอบครองทันที

โดยเพื่อนสนิทของตัวเอง…

เสียงฮือฮาเกิดขึ้นรอบทิศทาง ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาของใครต่อใครที่หันมามองอย่างสนใจ บ้างก็กดถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐาน เพราะเป็นบุคคลที่ใครๆ ต่างก็หมายปอง เรื่องนี้เลยกลายเป็นประเด็นใหญ่

“เวรแล้วไง!” ภูตามมาทีหลัง เขาสบถเมื่อเห็นภาพ

เดียร์พยายามผลักอกของฝ่ายตรงข้ามอย่างสุดแรงเพื่อต้องการให้มันหยุดการกระทำสิ้นคิดนี่ลงไปเสีย ระหว่างที่สมองกำลังสับสนอย่างหนักว่าอะไรเป็นอะไร ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อจู่ๆ ภาพของไอ้หมอนั่นที่ขโมยจูบของเขาไปดันแวบเข้ามาในหัว
จากความแค้นที่มีอยู่ทุนเดิมทำให้เดียร์รีบปล่อยหมัดใส่ท้องคนตรงหน้าอย่างสุดแรง

“มึงบ้าไปแล้วรึไง!” 

“ใครกันแน่ที่บ้า” พูดจบเขาก็โยนเสื้อผ้าในมือกลับไปให้

“อยากตายรึไงวะ!” เดียร์ไม่ยอมแพ้เพราะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในใจอยากเข้าไปกระทืบมันให้กระอักเลือด 

“เออ!”

“ไอ้เนมึงหยุด!” เสียงห้ามของภูได้ผล เขาสามารถแยกพวกมันทั้งคู่ออกห่างได้ ก่อนจะหันไปตำหนิคนทำผิด เรียกสติให้มันรู้จักสำนึก

ร่างสูงไม่หยี่ระต่อสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ ลึกๆ แล้วเขากลับพึงพอใจที่ได้เป็นฝ่ายจองจำมันไว้ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยก็คงไร้สาวๆ มาคอยพะเน้าพะนอให้หงุดหงิดรำคาญใจเหมือนทุกที 

“ทำแบบนี้ทำไมวะ ไอ้เหี้ยมึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบ” คนตัวเล็กกว่ายังโกรธจนทั้งตัวสั่นสะท้าน ตอนต่อว่าอีกฝ่าย เขาพูดไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือจนคนฟังใจหาย

เขามันพวกความอดทนต่ำ เพราะอดใจไม่ไหว อยากเป็นฝ่ายครอบครองมันจนใจจะขาด...

“กูแค่ไม่ชอบที่มีคนมายุ่งกับมึง ไม่ชอบที่มึงทำตัวแบบนี้ เข้าใจมั้ย?”

“ก็บอกมาดีๆ สิ แค่พูดอ่ะ ทำไม่เป็นรึไง?”

“พอพูดมึงก็ไม่พอใจ แม่ง! แล้วจะให้ทำยังไง”

“พอๆ พวกมึงอย่าทะเลาะกัน ไอ้เดียร์มึงรีบใส่เสื้อผ้าซะ ถ้ามึงไม่อยากถูกงาบไปคืนนี้” อย่าว่าแต่ใครเลย เขาที่เพิ่งเห็นพวกมันจูบกันเมื่อครู่ยังรู้สึกตกใจไม่หาย คนอื่นๆ ก็คงจินตนาการไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

“ส่วนมึงไอ้เน อย่าเสือกเล่นอะไรแผลงๆ แบบนี้อีกนะ กูเนี่ยหัวใจจะวาย แม่ง คิดว่ามึงทำไปเพราะชอบไอ้เดียร์จริงๆ เสียอีก”

“กูชอบไอ้เชี่ยนี่ก็คิดผิดแล้วล่ะ”

ผวัะ!!!!

ของตอบแทนที่ได้รับคือหมัดหนักๆ ส่งตรงมาถึงปากเขาแบบไม่ทันตั้งตัว โชคดีที่เบี่ยงหลบทัน นี่ถ้าโดนไปแบบจังๆ ล่ะก็ คงได้กินแต่แกงจืดเป็นอาหารหลักแน่

“ต่อยกูทำไมอีกวะ!”

“มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ ที่จริงมึงน่าจะโดนกระทืบ ไอ้เหี้ยเนมึงทำแบบนี้กับกูได้ยังไง แล้วกูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!” เดียร์โวยวายเหมือนคนไม่มีสติ เมื่อเห็นหน้ายียวนของเพื่อนรักที่ไม่ได้รู้สึกสำนึกถึงความผิดใดๆ มันก็ยิ่งหงุดหงิด โมโห อยากเข้าไปบีบคอแล้วก็กระทืบให้จมดิน

“อย่างมึงน่ะต้องใช้วิธีนี้เท่านั้นแหละ ก็น่าเห็นใจนะ หลังจากนี้คงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากคบกับมึงแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นก็เลิกไร้สาระแล้วก็กลับมาตั้งใจเรียนซะที”

เนใช้มือข้างหนึ่งแกล้งยีหัวร่างที่สูงน้อยกว่าอย่างเห็นอกเห็นใจ เห็นท่าทางโกรธจัดของมันแล้วนึกขำ ที่จริงเขาเองก็เล่นแรงไป แต่จะทำไงได้ล่ะในเมื่อมันทำให้เขารู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาก่อน

หวังว่าหลังจากนี้คงไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่มย่ามกับไอ้ตัวดีของเขาอีกแล้ว

ห่างออกไปไม่ไกลนัก บนโซฟาชุดตัวเดิมที่มีไว้สำหรับแขกวีไอพี ร่างสูงเฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องล่างจากชั้นบน ดวงตาคมกริบดูเป็นประกายเมื่อจับจ้องไปยังร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเปลื้องผ้าออกทีละชิ้น อธินไม่เคยสนุกกับการเฝ้ามองดูอะไรเช่นนี้มาก่อน เจ้าเด็กนั่น ยิ่งเห็นยิ่งรับไม่ได้ อายุแค่ยี่สิบแต่ทำตัวเหลวไหลราวกับเด็กไร้การอบรม

ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

แล้วภาพผู้ชายสองคนยืนจูบกันกลางร้านก็ปรากฏแก่สายตาของเขา อธินวางแก้วในมือลงบนโต๊ะเสียงกระทบกันดังสนั่นจนคนบริเวณนั้นหันมามอง

บ้าจริง! ไอ้อารมณ์ฉุนเฉียวในอกนี่มันมาได้ยังไง รึว่าเขาจะดื่มเยอะไป

“กำลังสนใจใครอยู่หรือ” สาวสวยร่างบางตัดสินใจนั่งลงข้างๆ เธอพิจารณาดวงตาคู่นั้นแล้วก็เข้าใจความหมาย พลางมองออกไปยังทิศทางที่สะกดสายตาคนตรงหน้าให้มองตามไม่ลดละ

“ฉันจะไปมีความรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง” นิ้วเรียวยาวนวดลงบนขมับ ไล่อาการตึงๆ บริเวณหน้าผากออกไป

“ไม่จริงมั้ง...ก็เห็นว่านั่งมองไปทางนั้นอยู่นานแล้ว...ว่าแต่ คนไหนล่ะ?” เจนนี่กระเซ้าถาม นานๆ ทีคนอย่างอธินจะนึกสนใจใครขึ้นมา ถ้าไม่เรียกว่าสะดุดตามากๆ ก็ต้องมีอะไรสักอย่างที่ทำให้รู้สึกพิเศษจริงๆ

“ไร้สาระน่า...” เจ้าตัวยังคงไม่ยอมรับ

“ให้ช่วยแนะนำให้สักคนไหม รับรองว่านายต้องพอใจ”

“ฉันไม่ชอบของแบบนั้น” อธินปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา การที่เขาจะชอบหรือไม่ชอบใครมันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตนเอง ถ้าคนที่เจนนี่แนะนำให้รู้จัก เป็นประเภททำตัวทิ้งขว้าง ไม่รักศักดิ์ศรี สำหรับเขาแล้วคนๆ นั้นต้องมีค่าคู่ควรกับการดูแลและทะนุถนอม ไม่ใช่คิดจะทำอะไรกับใครก็ได้แบบนั้น...

เขาแค่เห็นตัวอย่างมาเท่านั้นและคิดว่ามันไม่เหมาะสม
ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงใคร




“ถอยไปห่างๆ เลย กูเดินเองได้!”
“ตามใจ” เนปล่อยคนอวดดีให้ลองเดินด้วยตัวเอง เพียงแค่ไม่ถึงสองเก้า ร่างที่อ่อนปวกเปียกราวกับผักเหี่ยวๆ ของมันแทบถลาลงพื้น

ให้มันได้อย่างนี้สิ! เขาส่ายหัวมองตามแผ่นหลังนั้นด้วยความระอาใจ จากนั้นก็รีบเข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา

“ไงล่ะ เก่งนักนี่” ร่างสูงต่อว่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังเท่าไหร่นัก เลยโดนค้อนเข้าให้ราวกับถ้าเข้าใกล้กันมากกว่านี้ได้โดนฉีกอกแน่ เขาไม่สนใจกลับทำในสิ่งตรงข้าม นั่นคือดึงแขนของมันมาพาดบ่าอย่างหน้าตาเฉย

เดียร์ทำเสียงจุกจิกในลำคอ ยื้อยึดฉุดแขนข้างนั้นอยู่นาน เมื่อไร้เรี่ยวแรงใดๆ จะมาต่อกร จึงจำเป็นต้องยอมให้มันได้ทำหน้าที่นั้นแต่โดยดี

ภูเดินตามหลังสองคนนั้นไปเงียบๆ ด้วยสายตาจับพิรุธ ไม่คิดที่จะเข้าไปช่วยไอ้เนมันเลยด้วยซ้ำ

เห็นแก่ตัวหรือ? ไม่ใช่! เขาเองเพิ่งสังเกต จะว่าไปแล้ว เวลาที่ไอ้สองคนนี้อยู่ด้วยกัน มันมักจะมีกลิ่นอายบางอย่าง และตอนนี้เขาพอจะเข้าใจอะไรได้แล้ว

“มึงนี่ไม่คิดจะช่วยกันเลยใช่ไหม?” เสียงหงุดหงิดลอยมาเมื่อเห็นเขาเดินตามมาด้วยท่าทางสบายใจ

คนฟังยักไหล่

“เฮ้ๆ กูรู้ว่ามึงคนเดียวก็พอแล้ว” ภูยิ้มกริ่ม พลางเหลือบมองร่างที่ยืนคอพับคออ่อนอยู่ในอ้อมแขนของมันอย่างมีเลศนัย จากนั้นก็ตบบ่าไอ้เนไปเพื่อเรียกกำลังใจ

“พามันไปส่งให้ถึงที่ล่ะ” เจ้าตัวโบกมือให้ก่อนยักคิ้วใส่อีกทีตบท้าย จากนั้นก็ขึ้นแท็กซี่คันหนึ่งไปโดยทิ้งทั้งสองไว้เบื้องหลัง

เนพาไอ้ตัวดีมาถึงหน้าห้อง เขาสะกิดเรียกให้คนที่หลับเป็นตายล้วงหากุญแจมาเปิด ทั้งคู่เกือบวางมวยกันไปแล้วยกหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นฝ่ายยอมอ่อนให้มัน เนไขกุญแจและเดินไปเปิดไฟในห้องอย่างเคยชิน ทันทีที่ไฟสว่างขึ้น เขาแทบผงะเมื่อได้เห็นสภาพทั้งหมด

“เฮ้ย!! ตื่น ไอ้เดียร์ ตื่น” ร่างสูงกวาดตามองไปทุกซอกทุกมุม ปลุกเพื่อนข้างๆ ให้ลืมตาทั้งที่มันจะหลับแหล่มิหลับแหล่
ในห้องถูกรื้อ ข้าวของพังเสียหายกระจัดกระจาย โต๊ะ เก้าอี้ ล้มระเนระนาดไปเป็นแถบๆ โซฟาชุดของมันก็โดนกรีดจนยับเยิน เขารีบเดินไปดูที่เตียงแล้วก็พบว่าสภาพนั้นเละยิ่งกว่า   

ฝีมือใคร! เกิดคำถามขึ้นในใจมากมาย เขาเดินออกมาถามเจ้าของห้องที่นั่งทรุดอยู่หลังประตู ท่าทางเจ้าตัวไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังถูกมือดีแอบงัดห้องเสียแล้ว เขาคิดไม่ตก นึกไม่ออกว่าไอ้หน้าไหนมันกล้าทำกับเพื่อนเขาถึงเพียงนี้

“มึงไปมีเรื่องกับใครมา?” คำตอบที่ได้จากร่างที่กำลังสะลึมสะลือคือการส่ายหน้าไม่รู้เรื่องราว

“นึกให้ออกสิวะ!” เขาเขย่าร่างมันอย่างร้อนรนและกังวลใจ รู้สึกหงุดหงิดที่เจ้าทุกข์ไม่ได้ให้ความร่วมมือเลย เนร้อนใจรีบโทรหาป้าเจ้าของหอพักทันที โดยไม่เกรงกลัวว่าดึกดื่นป่านนี้อาจจะโดนตะเพิดกลับมา เขาบอกให้ป้าช่วยหาช่างมาเปลี่ยนลูกบิดตัวใหม่ให้ เมื่ออีกฝ่ายรับคำตกลงกันเสร็จสรรพจึงหันมาไล่เบี้ยกับเพื่อนตัวเองต่อ

“มึงนี่สร้างแต่ปัญหาจริงๆ เลยนะ ” บ่นไปก็เท่านั้น บ่นให้ตายไอ้คนก่อเรื่องก็ไม่รับรู้ เนมองร่างที่สลบคาพื้นแล้วอยากจะตรงไปเขกกะโหลกมันให้หายโมโหนัก กี่ครั้งกี่หนที่เตือนมันก็ยังไม่เลิกไปมีเรื่องกับคนอื่นสักที คราวนี้เดือดร้อนเข้าให้แล้วไงล่ะ

ในที่สุด...เขาจำเป็นต้องหิ้วซากของไอ้เพื่อนตัวดีนี่กลับห้องด้วย



“ห้าวววว” เดียร์เดินง่วงมาตลอดทาง วันนี้นับเป็นวันแรกก็ว่าได้ที่เขาตื่นเช้า หลังจากเรียนเสร็จก็แยกออกมาเข้าห้องน้ำ ให้ไอ้สองคนนั้นนำไปที่โรงอาหารก่อน แล้วเรื่องชวนโมโหก็เกิดขึ้นตอนที่เขากำลังทำธุระส่วนตัว มีไอ้โรคจิตเข้ามาประกบข้างๆ แถมยังพูดจาชวนให้เลือดขึ้นหน้า เดียร์ตอบรับมันด้วยหมัดงามๆ บนหน้าของไอ้รุ่นพี่ปีสามที่บังอาจมาพูดจาลามกใส่

“เหี้ยเน! เพราะมึงคนเดียวเลยรู้ไหม!” เดินมาถึงโต๊ะก็โวยวายลั่น ยิ่งปกติตัวเองเป็นจุดสนใจของคนรอบข้างอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งแล้วใหญ่ เดียร์ไม่สนสายตาของคนพวกนั้นเลย ชี้หน้าด่าไอ้เพื่อนเฮงซวยที่ทำให้ชีวิตของตนเฮงซวยตามไปด้วย

“กู?” เจ้าของชื่อชี้หน้าตัวเองอย่างไม่เข้าใจข้อกล่าวหา

“คนอื่นเข้าใจกูผิดหมดแล้ว”

“อะไรล่ะ”

สองหน่อที่นั่งอยู่ระเบิดฮาลั่นเมื่อเจ้าตัวเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์บ้าๆ ในห้องน้ำ ไม่มีการสำนึกเลยว่าเรื่องเมื่อคืนได้ทำให้เพื่อนคนนี้เดือดร้อนแค่ไหน

“มึงไม่ตกลงมันไปล่ะ ร้อนเงินอยู่ไม่ใช่รึไง!”

“พูดแบบนี้มึงอยากตายจริงๆ ใช่ไหม” เดียร์กระชากคอเสื้อมันขึ้นมา ง้างหมัดเตรียมพร้อมหากมันยังพูดจาพล่อยๆ เหมือนเมื่อกี้อีก

“เฮ้ยๆ พอๆ คนเขาหันมามองกันหมดแล้ว” ภูดึงแขนเพื่อนตัวแสบนั่งลงกินข้าว แล้วหันไปปรามไอ้เนให้เลิกแหย่

“ว่าแต่เมื่อกี้ เหมือนแพรเขามาถามหามึงด้วย กูบอกว่ามึงไปเข้าห้องน้ำ หน้าตาเขาดูเจื่อนๆ ไปนะตอนที่ถามถึงเรื่องเมื่อคืนน่ะ แต่กูบอกไปให้แล้วว่าไม่มีอะไร มึงเมามากก็เลย...หน้ามืด”

“โอ้ย!!”

“มันใช่หรือวะ หยุดพูดเรื่องนี้ไปเลยนะ”

เดียร์อารมณ์ไม่ดีสุดๆ ช่วงนี้เป็นอะไร มีแต่เรื่องเฮงซวยเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่ดูเหมือนว่ามีแต่เขาคนเดียวที่หงุดหงิดเป็นหมาบ้าแบบนี้ ผิดกับไอ้สองคนที่ทำตัวสวนทางกับความรู้สึกเขาเหลือเกิน

ไหนๆ ก็เลิกเรียนแล้วเดียร์ตั้งใจจะเข้าไปที่ชมรมกรีฑาสักหน่อย ตั้งแต่เปิดเทอมมายังไม่ได้โผล่หัวไปสักครั้ง พี่ต้นหัวหน้าชมรมคงบ่นแย่ ได้ยินว่าปีนี้มีเด็กปีหนึ่งเข้ามาสมัครเยอะ ก็ว่าจะไปดูเขาคัดเลือกนักกีฬาสักหน่อย

“ว่าไง หายหน้าไปเลยนะ” เพื่อนคนหนึ่งทักขึ้น เดียร์มองหาพี่ต้นกะจะมารายงานตัวซะหน่อย

“ก็...ยุ่งนิดหน่อย แล้วพี่ต้นล่ะ”

“อยู่ในสนาม รีบไปสิ เห็นแกกำลังอยากเจอตัว” เดียร์พยักหน้ารับ เดินผ่านห้องเก็บตัวนักกีฬา มุ่งตรงไปยังผู้ชายผมสีทองที่ยืนกำกับหน้าที่ของสมาชิกแต่ละคนอยู่ในสนาม 
ทันทีที่เจอตัวก็โดนสวดเข้าให้ เขาเกือบโดนตัดสิทธิ์จากทีมนักกีฬาของมหาวิทยาลัยไปแล้วเพราะขาดซ้อม
ไม่กี่เดือนข้างหน้าจะมีการแข่งขัน ช่วงนี้พี่ต้นแกถึงวุ่นนักเพราะขาดแคลนนักกีฬา ปีนี้ทางชมรมถึงต้องเข้มงวดอย่างหนักในการรับเด็กใหม่ เพราะกลัวจะเป็นเหมือนเขาที่ได้เข้ามาแล้ว พอถึงเวลากลับหายหัวไปไม่บอกกล่าว

“มาแล้วก็รีบไปเปลี่ยนชุดเลย สี่โมงเดี๋ยวเด็กมันก็มากันละ”

เดียร์ก็เลยจำเป็นต้องอยู่จนค่ำ รอจนกว่าจะได้รายชื่อของเด็กใหม่ ระหว่างที่รอรุ่นพี่ปีสามกับปีสี่ประชุมกัน ตัวเองก็เลยออกมาวอร์มร่างกายเรียกเหงื่อ ตั้งใจว่าจะวิ่งสักห้าหกรอบแล้วค่อยกลับ เขามองไปในสนามที่มีพวกนักฟุตบอลกำลังซ้อมกันอยู่ เห็นไอ้เนกำลังเลี้ยงบอลส่งต่อไปให้เพื่อน พอได้โอกาสทีมของมันก็ทำประตูทันที
ช่วงหนึ่งที่เดียร์หันไปเห็นมันส่งสายตามาทางนี้ จากนั้นก็ยิ้มหวานให้แบบชวนอ้วกที่สุดในโลก!

“ไอ้ประสาท!” เดียร์ก่นด่ามันอย่างหัวเสีย พลางส่งนิ้วกลางไปให้เป็นของขวัญตอบแทน นั่นยิ่งเรียกเสียงโห่วิ้ดวิ้วของพวกชมรมฟุตบอลที่เห็นเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี

“บ้าเอ้ย” เดียร์ตัดสินใจเลิกซ้อมแล้วเข้าไปเปลี่ยนชุดทั้งที่ตัวเองยังไม่มีเหงื่อสักหยด พออาบน้ำเรียบร้อยก็เดินออกจากห้องแต่งตัว เห็นประตูใหญ่กำลังปิดอยู่ทั้งที่ตอนเข้ามามันไม่ได้เป็นแบบนี้ พอเอื้อมมือไปแตะลูกบิด ปรากฏว่ามันล็อกค้างไปแล้ว

“อะไรเนี่ย!!”

“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยเปิดประตูให้ที” ด้านนอกไม่มีเสียงตอบรับใดๆ นอกเสียจากเสียงเฮลั่นจากการลุ้นผลการซ้อมของชมรมฟุตบอล กลบเสียงของเขาจนหมด ส่วนพวกกรีฑาก็น่าจะยังคัดเลือกตัวนักกีฬาไม่เสร็จ

เรื่องแปลกๆ พวกนี้เกิดขึ้นบ่อยจนเดียร์ชักไม่แน่ใจว่ามันเป็นความบังเอิญหรือจงใจ เช่นตอนที่เขากำลังวิ่งอยู่ในสนาม จู่ๆ ก็มีฟุตบอลพุ่งมาจากไหนไม่รู้ มันเกือบทำให้เขาล้มลงไปแล้ว เขาพยายามคิดว่าคงเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

“ใครอยู่ข้างนอก ช่วยเปิดประตูให้หน่อย!!” เด็กหนุ่มออกแรงทุบประตูจนเสียงดังลั่น ถ้ามีใครเดินผ่านไปมาแถวนี้ต้องได้ยินแน่ๆ แต่ผ่านไปหลายนาทีก็ไร้วี่แวว

ในเมื่อพึ่งใครก็ไม่ได้ เขาก็เลยหาอุปกรณ์มางัดประตู แต่เท่าที่เจอก็มีแต่ซากแปรงสีฟันเก่าๆ กับสบู่ใช้แล้วเท่านั้น
มันผิดที่เขาเลือกมาห้องน้ำฝั่งที่ไม่มีใครใช้กัน ไม่คิดว่าจะเปิดโอกาสให้พวกไม่หวังดีทั้งหลายเอาคืนกันตอนนี้
คิดไม่ออกเลยว่า ในมหาวิทยาลัยใครกันที่มีปัญหากับเขา นึกให้ตายก็นึกไม่ออก

เสียงเชียร์บนอัฒจันทร์เงียบลงแล้ว สวนทางกับเสียงหัวใจของเขาที่มันเริ่มถี่รัว

 “เฮ้ เปิด!! กูบอกให้เปิดไง” สาบานว่าถ้าออกไปได้ เขาจะตามลากคอไอ้คนที่กล้าทำเรื่องบ้าๆ นี้มาจัดการให้เข็ด เดียร์ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังออกมาจากล็อกเกอร์ด้านนอก คิดว่าต้องเป็นไอ้เนแน่ๆ เวลานี้มันเองก็น่าจะแข่งเสร็จแล้ว ได้แต่ภาวนาขอให้สวรรค์ดลใจให้มันเดินผ่านมาทางนี้ที ไม่งั้นล่ะก็...คืนนี้เขาคงได้หิวตายคาสนามแน่ๆ

ท้องเริ่มร้องแล้วซะด้วยสิ...

แล้วพระเจ้าก็เข้าข้าง เสียงใครสักคนกำลังวิ่งมาทางนี้ แล้วคนที่ช่วยงัดประตูเข้ามา ก็คือไอ้เนที่ยืนหอบแฮ่กอยู่หน้าประตู

“โง่รึยังไง! รู้อยู่ว่าลูกบิดมันพัง มึงยังจะเสือกล็อกอีก”
ทันทีที่แข่งเสร็จ เขาเดินหาตัวมันทั้งสนามเพื่อจะอวดคะแนนบนสกอร์บอร์ด ถามหาจากใครก็ไม่เจอ จนนึกได้ทีหลังว่าครั้งสุดท้ายที่เห็น ก็ตอนมันหอบกระเป๋าเดินมาเข้าห้องน้ำฝั่งนี้ แล้วก็เป็นไปดังคาด

"นี่ดีนะที่กูเห็นมึงเดินมาทางนี้ แล้วทีหลังอ่ะ หัดพกโทรศัพท์ไว้ซะบ้าง"

"เออๆ" คนฟังยืนหน้าเสีย เดียร์ไม่เถียงในทันที แต่กำลังลำดับเหตุการณ์ จำได้ว่าเขาแค่แง้มประตูไว้เฉยๆ ไม่ได้ล็อกมันเลยด้วยซ้ำ ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ เพราะยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้



คืนนั้นเดียร์กลับมานอนที่ห้องของตัวเองเมื่อป้าเจ้าของหอโทรมาบอกว่าได้เปลี่ยนลูกบิดประตูอันใหม่ให้แล้ว และช่วยตรวจสอบกล้องวงจรปิดให้ แต่ปรากฏว่ากล้องพังไปก่อนหน้านั้นทำให้จับมือใครดมไม่ได้ ป้ายังโทษอีกว่าเป็นเพราะเดียร์เองที่ชอบพาเพื่อนมามั่วสุม คำพูดนั้นทำให้เขายิ่งไม่สบายใจ


กลัวว่าเรื่องพวกนี้จะเกิดขึ้นอีก...








——————————————————
รอพระเอกหน่อยนะคะ เดี๋ยวพี่ก็จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตน้องแล้วค่ะ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 06 : แสดงความรับผิดชอบ
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 10-02-2018 21:57:43
06
แสดงความรับผิดชอบ



คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นสว่างไสว ชายหนุ่มมีเวลาได้แหงนหน้าเชยชมเพียงแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น แล้วมารดาก็ลงมาจากรถด้วยชุดราตรียาวระพื้นประดับเพชรดูหรูหรา แต่ในสายตาของเขาแล้วมันดูมากไปและเกินความจำเป็น

“ไปกันเถอะลูก” เธอสอดมือเรียวเข้ามาคล้องแขนเขาไว้ อธินเดินควงคุณพิมพ์ภาดาเข้าไปในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดครบ 60 ปี ของคุณขจรที่จัดขึ้นในโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในตัวเมือง มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่เขาต้องมาร่วมงานในคืนนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งได้เห็นสีหน้าของคุณพิมพ์เธอดูมีความสุขหนักหนายามได้แนะนำใครต่อใครว่าเขาคือลูกชาย ซึ่งครั้งนี้เขายอมทำตัวดีให้เธอได้ชื่นใจสักครั้ง โดยการไม่แสดงท่าทางเบื่อหน่ายใดๆ ออกมาให้เห็น ทั้งที่ในใจกลับสวนทาง


“สวัสดีค่ะคุณพิมพ์”

“สวัสดีค่ะคุณอิงดาว ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลยนะคะ” ใบหน้างดงามของหญิงท่านหนึ่งทักขึ้น เขารู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดีโดยที่ไม่ต้องมีใครแนะนำให้รู้จัก อธินยืนฟังผู้ใหญ่สองคนคุยกัน เรื่องบางเรื่องก็อดขบขันในใจไม่ได้

“ช่วงนี้ที่โรงแรมวุ่นวายมากเลยค่ะ แต่ก็โชคดีที่ได้อธินเข้ามาช่วย แล้วน้องเดียร์ล่ะคะเป็นยังไงบ้าง ไม่เจอกันซะนาน” ชื่อนี้ทำให้คนที่นิ่งฟังอยู่นานแทบสะอึก

ไม่ยักรู้ว่าแม่เองก็รู้จักเด็กคนนั้น...

“น้องเดียร์สบายดีค่ะ อีกหน่อยก็เรียนจบแล้ว ช่วงนี้เจ้าตัวก็ขยันมาช่วยงานที่ร้านบ่อยๆ เหมือนกัน เห็นบ่นอยู่ทุกวันว่าอยากเรียนจบเร็วๆ จะได้ออกมาช่วยงานที่บ้าน น่ารักมากเลยลูกคนนี้” และอีกสารพัดคำเยินยอที่ตามมา อธินฟังแล้วได้แต่แค่นยิ้ม หากใครไม่รู้จัก
ไอ้เด็กนั่นดีอย่างเขาล่ะก็ คงได้คล้อยตามไปกับสิ่งที่เธอเล่าแน่ๆ เขาล่ะอยากให้คุณอิงดาวได้เห็นสภาพลูกชายสุดที่รักของตัวเองใน
คืนนั้นเหลือเกินว่า ทำตัวได้สุดเหวี่ยงแค่ไหน เมาเละเทะ เที่ยวกอดจูบกับคนนั้นคนนี้ แถมยังโชว์เลิฟซีนสุดสยิวต่อหน้าคนทั้งคลับอีก นาทีนี้บอกได้คำเดียวเลยว่า ลูกชายของเธอน่ะ ทำตัวได้น่ารักสมกับคำบอกนั่นจริงๆ

“ผมขอตัวก่อนนะครับ” อธินรีบเดินออกจากวงสนทนาก่อนใคร ให้อยู่ฟังเรื่องโกหกของเด็กนั่นมากกว่านี้คงไม่ไหว ร่างสูงตรงไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ริมถนน บอกเชนกับอันนาให้เตรียมพร้อม เขากำลังหาข้ออ้างกับคุณพิมพ์เพื่อที่จะกลับก่อน



ห่างออกไปไม่ไกล...

เด็กหนุ่มวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในตรอกมืดๆ แห่งหนึ่ง เนื้อตัวมอมแมม เหงื่อไหลโทรมกาย แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ อีกแล้วแต่กระนั้นก็ยังต้องหนีเพื่อเอาตัวรอด

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขามากมาย ที่เคยคิดไว้ว่ามันคงเป็นความบังเอิญที่ทำให้เขาต้องมาซวยกับอะไรหลายๆ เรื่องที่ไม่คาดฝัน ตอนนี้ทุกอย่างแน่ชัดแล้วว่ามีใครบางคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมดนั่นจริงๆ

วันจันทร์ที่ผ่านมาเขาเดินออกจากห้องพัก รู้สึกเหมือนมีใครสักคนสะกดรอยตาม ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้ในใจและไม่ได้บอกใคร

วันอังคารเดียร์เข้าไปซ้อมวิ่งที่สนาม และเก็บข้าวของทุกชิ้นไว้ในล็อกเกอร์ของตัวเอง หลังจากที่ซ้อมเสร็จปรากฏว่าโทรศัพท์มือถือ
ที่อยู่ในกระเป๋าจู่ๆ ก็พัง หน้าจอแตกยับเยินใช้การต่อไปไม่ได้ เรื่องนี้ไอ้เนก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มันอาละวาดแทนเขาแล้วเรียกคนที่อยู่ในนั้นมาสอบปากคำ แต่ท้ายที่สุดก็หาตัวคนผิดไม่ได้อยู่ดี

วันพุธเดียร์ไม่ได้เข้าไปที่ชมรมแต่กลับเปลี่ยนมาซ้อมวิ่งที่สวนสาธารณะแทน คิดว่าไม่อยู่ในมหาวิทยาลัยน่าจะปลอดภัยแล้ว แต่ที่ไหนได้ ไอ้พวกวัยรุ่นที่ไหนไม่รู้พยายามเข้ามาหาเรื่องเขา พวกมันทำทีเป็นเดินชน ตอนที่เดียร์เผลอก็ฉวยโอกาสขโมยกระเป๋าสะพายไป ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนั้นกระทั่งโทรศัพท์มือถือของไอ้เนที่มันให้เขามาใช้ก่อน กระเป๋าตังค์ที่มีเงินอยู่น้อยนิด บัตรเอทีเอ็ม กุญแจห้อง ทุกอย่างถูกขโมยไปหมดเลย

เดียร์กลับมาขอความช่วยเหลือจากป้าเจ้าของหอ แกบ่นจนหูชาว่าเขาชอบสร้างแต่ปัญหา ถ้าครั้งหน้ายังมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เห็นทีว่าคงต้องเชิญเขาออกไปอยู่ที่อื่น ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เนมาช่วยพูดให้ล่ะก็ คืนนั้นเขาคงไม่มีที่ซุกหัวนอนแน่ๆ

วันพฤหัสตอนเย็น เดียร์ตั้งใจจะข้ามถนนเพื่อไปซื้อของในมินิมาร์ทที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับซอยหอพัก ทั้งตัวเขาไม่เหลือเงินเลยสักบาท ที่กินใช้อยู่ทุกวันนี้ก็ยืมมาจากไอ้ภูกับไอ้เนทั้งนั้น จะโทรไปขอแม่ก็คงโดนบ่นเพราะเพิ่งผ่านสิ้นเดือนมาหมาดๆ ส่วนพ่อ เขารู้ว่าพ่อเองก็กำลังยุ่งๆ อยู่กับที่ทำงานใหม่ อะไรๆ ยังไม่ลงตัวเท่าไหร่นัก แล้วเดียร์ยังไม่อยากรบกวนพ่อตอนนี้
ในระหว่างที่เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยโดยไม่ทันระมัดระวัง มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง มันเกือบจะชนเขาแล้วโชคดีที่มีผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกไว้ เดียร์แค่ล้มลงไป มีแผลถลอกที่ข้อศอกนิดหน่อย โชคดีที่มันแค่เฉี่ยวเขาไป ไม่อย่างงั้นล่ะก็ วันนั้นคงได้นอนเป็นผีเฝ้าถนนแน่ๆ

เรื่องบ้าบอพวกนั้นทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งที่เขาไม่ได้ไปก่อเรื่องที่ไหนอีกเลยหลังจากผ่านเหตุการณ์เฉียดตายในคืนนั้นมา เลิกทำตัวเกเร เข้าเรียนทุกวัน แต่ดูเหมือนว่าปัญหามันก็ยังไม่จบสิ้นสักที

ร่างเพรียวบางซ่อนตัวอยู่ในมุมอับของตึก แผ่นหลังสัมผัสกับผนังเย็บเฉียบ ยืนฟังเสียงฝีเท้าของไอ้พวกวัยรุ่นกลุ่มนั้นเดินผ่านไปทีละคนด้วยจังหวะหัวใจที่เต้นรุนแรง

รู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลออกมาตามขมับ ชุดนักศึกษาที่สวมอยู่เลอะไปด้วยดินโคลน ทีแรกเขาตั้งใจจะกลับหอก่อน แต่สังเกตถึงความผิดปกติของไอ้พวกวัยรุ่นกลุ่มนี้ที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างถนนด้วยท่าทางมีพิรุธ เดียร์ตั้งใจหลอกล่อมันไปที่อื่นโดยการขึ้นรถเมล์ไปลงในเมือง แล้วก็เป็นไปดังคาดเมื่อพวกมันลงจากรถพร้อมกับเขา ทำให้มั่นใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยจริงๆ 


ท้องฟ้าในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงทำให้การซ่อนตัวเป็นไปได้ยากนัก หลังจากได้ยินพวกมันตะโกนบอกให้รู้กันว่าเขาแอบอยู่ตรงนี้ ไอ้พวกที่เหลือก็กรูเข้ามาทันที ลำพังเขาคนเดียวคงไม่มีกำลังพอจะไปสู้กับมันที่มีมากกว่า จึงทำได้แค่วิ่งหนี

วิ่งไปให้ไกลที่สุด...

ดวงตาคมเข้มเฝ้ามองเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านทางกระจกของรถคันหรู คืนนี้เขามีข้ออ้างพอที่จะขอกลับก่อนได้แล้ว เมื่อหันไปเห็นใบหน้าซีดเผือดของเด็กอวดดีนั่นกำลังวิ่งหนีเอาตัวรอดจากไอ้พวกขี้ยากลุ่มหนึ่ง

ทำตัวได้น่าขยาดดีจริงๆ

แม้ในใจคิดแบบนั้นแต่การกระทำกลับสวนทาง อธินสั่งให้อันนาลงไปตรวจสอบต้นตอของไอ้พวกนักเลงกลุ่มนั้นทันทีเมื่อเหตุการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากล ซึ่งลูกน้องของเขาก็ทำหน้าที่นั้นได้ดีเสียด้วย อันนาคว้าตัวพวกมันมาได้คนหนึ่งและพยายามคาดคั้น กว่าจะได้
คำตอบก็เป็นตอนที่มันลงไปนอนกองอยู่แทบเท้า เลือดกบปากจากนั้นจึงค่อยคายความจริง

เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด เคยหมาหมู่ยังไง ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมอยู่วันยังค่ำ
อธินสั่งให้เชนปลดล็อกประตู เขากำลังรอเวลาให้เจ้าเด็กนั่นวิ่งผ่านมาทางนี้

ไม่นานนัก ร่างเพรียวบางที่เขาคุ้นเคยก็วิ่งออกมาจากที่ซ่อนตัว อธินได้โอกาส เขารีบเปิดประตูแล้วลงไปกระชากแขนข้างหนึ่งของเด็กนั่นขึ้นมาหลบบนรถแทน

เสียงหอบหายใจรุนแรงตามมาด้วยเสียงโวยวายลั่นของคนที่ถูกกระชากขึ้นมาบนรถทีหลัง เดียร์รู้สึกเหมือนหนีเสือปะจระเข้ เมื่อได้เจอหน้าของผู้ชายที่ไม่อยากเจอที่สุดในโลก ไม่รู้เรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่คนยื่นมือมาช่วยในครั้งนี้เป็นหมอนี่อีกแล้ว

“อยู่เฉยๆ เถอะน่า” เสียงเข้มสั่งเมื่อเดียร์ทำท่าจะเปิดประตูลงไป เด็กหนุ่มนั่งนิ่งอยู่บนรถมองเหตุการณ์ตรงหน้าที่มีคนช่วยจัดการกับไอ้นักเลงกลุ่มนั้นให้ จนพวกมันวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง เดียร์อดรู้สึกโล่งอกไปไม่ได้จึงเผลอถอนหายใจออกมา

“ขยันทำแต่เรื่องดีๆ ทั้งนั้น”

หมอนั่นเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ ประโยคที่รู้ดีว่าหมายถึงใครทำให้เดียร์รู้สึกจุกในลำคอ ดวงตากลมโตตวัดมองหน้าคนพูด และก็ได้สายตาคมกริบตอบกลับมาอย่างผู้ชนะ ทั้งสองมองหน้ากันท่ามกลางความเงียบ นี่เป็นครั้งแรกที่เดียร์ยอมให้คนอื่นว่ากล่าวกันแบบนี้
เพราะเหตุการณ์ในหลายวันที่ผ่านมามันทำให้เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ จะต่อมากรกับใครอีกแล้ว

สงครามประสาทสิ้นสุดลงเมื่อลูกน้องทั้งสองคนขึ้นมาบนรถ เดียร์เห็นแววตาไม่พอใจของผู้ชายคนหนึ่งมองมา ก่อนร่างสูงที่นั่งข้างๆ จะสั่งให้ลูกน้องอีกคนรีบออกรถ

“ไม่ต้อง!” เด็กหนุ่มร้องท้วงเมื่อได้ยินเสียงสั่งว่าให้ไปส่งเขาที่หอพัก มือข้างหนึ่งเปิดประตูรัวๆ แต่ก็ไร้ประโยชน์เมื่อมันถูกล็อกเอาไว้หมดแล้ว

“ดึกป่านนี้จะมีรถที่ไหนอีก” เสียงเข้มกำลังดุคนที่เริ่มทำตัวยุ่งยาก
เชื่อเถอะว่าเรื่องแค่นั้นสำหรับเดียร์แล้วมันไม่ใช่ปัญหาเลย เขามีปัญญาพอกลับเองได้ ที่ถ่อวิ่งมาถึงนี่ได้ก็เพราะเตรียมการทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขายังมีสาวๆ อีกเพียบที่แค่เพียงเอ่ยปากพวกเธอก็พร้อมจะบริการทันที นี่คือข้อดีของการรู้จักบริหารเสน่ห์ของตัวเองที่เดียร์คิดว่ามันได้ผลเสมอ เช่นในเวลาที่ตัวเองกำลังลำบากแบบนี้

“ฉันมีปัญญากลับเองได้ นายไม่ต้องยุ่ง” คนฟังเองคงรู้สึกไม่พอใจ เมื่อหันไปสบกับดวงตาแข็งกร้าวไม่มีท่าทีอ่อนน้อมใดๆ คนโตกว่าก็เลยตัดความรำคาญ อธินสั่งให้เชนจอดรถโดยไม่สนใจว่าเขตที่พวกเขาอยู่มันทั้งเปลี่ยวและมืดแค่ไหน

เดียร์ไม่แยแสต่อท่าทีที่แสดงออกของหมอนั่น  รีบลงจากรถและมองกลับไปยังเส้นทางเดิมที่รถขับมา เขาต้องเดินย้อนกลับไปกว่ากิโลก่อนจะถึงอพาร์ทเม้นท์ของพี่เจนนี่ เดียร์หันไปสบตากับผู้ชายใจร้ายบนรถอีกครั้งที่กล้าสั่งให้ทิ้งเขาเอาไว้กลางถนนมืดๆ แบบนี้
ถึงแม้ตอนแรกตัวเองจะเป็นฝ่ายเรียกร้องมันก็เถอะ

เด็กหนุ่มกระแทกประตูรถเสียงดังสนั่น ใส่ใบหน้าหล่อเหลาด้วยอาการหมั่นไส้อย่างถึงขีดสุด ขอให้การเจอหน้ากันครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายด้วยเถิด แล้วชีวิตของเขาจะมีความสุขขึ้นเยอะเลย

ร่างเพรียวบางมุ่งไปตามทางที่มีแสงไฟมืดสลัว กลิ่นเหม็นชื้นบนถนนคับแคบ กับหยดน้ำที่ไหลลงมาตามระเบียงอาคารสูงๆ ทำให้เขารู้สึกสะอิดสะเอียน กระทั่งเนื้อตัวของเขาในตอนนี้ มันสกปรกจนดูไม่ได้ ใช่ว่าเขาเองอยากจะพบพี่เจนนี่ในสภาพนี้สักเท่าไหร่



“ไง...คิดว่าคืนนี้มึงจะรอดจากพวกกูไปได้เรอะ”

เสียงที่เอ่ยทักดังมาจากเบื้องหลัง เจ้าของร่างชะงักฝีเท้า และตั้งใจจะออกวิ่งอีกครั้งแต่ไม่ทันไรก็ถูกพวกมันกระชากตัวกลับไปอย่างแรง ร่างของเขาปลิวไปปะทะกับเสาไฟฟ้าที่อยู่ในบริเวณนั้น เดียร์พยายามรวมรวมสติ ไล่อาการมึนงงนี่ออกไป เมื่อเห็นใบหน้าของพวกมันชัดๆ ถึงได้รู้ว่าเป็นแก๊งค์เดิมที่เคยสะกดรอยตามมา ก่อนจะคิดหาทางเอาตัวรอดได้ เดียร์ก็ถูกมันจับตัวไว้เสียแล้ว

“พวกมึงเป็นใคร!”
เสียงหัวเราะเยาะเย้ยตามมา ใครคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหาแล้วพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าอย่างท้าทาย มันเชยคางของเขาขึ้นเผชิญหน้า

“ใจเย็นๆ ก่อนไอ้หนู เรายังมีเวลาทำความรู้จักกันอีกนาน แต่หวังว่าครั้งนี้คงไม่มีไอ้หน้าไหนโผล่หัวมาช่วยแกอีกนะ” เดียร์นึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น ผู้ชายที่เข้ามาช่วยงั้นหรือ

คงไม่ย้อนกลับมาแล้วล่ะ...


ฝ่ายที่เสียเปรียบคือเขาที่มีแค่ตัวคนเดียว หลังจากที่หมดแรงไปกับการป้องกันตัว พวกมันไม่เปิดโอกาสให้เขาได้เอาคืนเลย ร่างกายถูกรุมซ้อมจนสะบักสะบอม ซวนเซไร้ทิศทางเหมือนใบไม้ที่กำลังร่วงสู่พื้น เมื่อมันเห็นท่าว่าเขาไม่ไหว จึงปราณีด้วยการจับตัวเขาไว้แล้วผลักไปติดกับกำแพงข้างๆ

“เริ่มจากตรงไหนก่อนดี” มันพูดพร้อมกับดึงมีดปลายแหลมออกมาจากที่ซ่อน ตวัดไปมาตรงหน้า ก่อนจะวกกลับมาจ่อที่แก้มของเขาไว้

“หน้าหล่อๆ นี่ กูเองก็ยังนึกเสียดาย” มันเลื่อนปลายมีดลงต่ำ มือข้างหนึ่งดึงชายเสื้อที่ติดอยู่ในกางเกงออกมาแล้วกรีดจนมันขาดเป็นวงกว้าง

“ผิวขาวสวย เห็นแล้วอยากฝากรอยแผลไว้ให้ดูต่างหน้าจริงๆ ว่ะ พวกมึงคิดว่าไงวะ?” มันหันไปถามความเห็นจากพวกที่เหลือ ดูพวกมันพอใจกับการได้เห็นสีหน้าตื่นตะหนักของเขามาก นาทีนี้เด็กหนุ่มหัวใจเต้นรัว ได้แต่ภาวนาให้มันเปลี่ยนใจในสิ่งที่มันจะลงมือ

“ปล่อยกู!!” 

มือหยาบกร้านเลิกชายเสื้อของเขาขึ้นสูง มีดแหลมคมค่อยๆ กรีดลงบนผิวหนังบริเวณหน้าท้อง ความเจ็บปวดนั้นทำให้ไม่สามารถข่มเสียงร้องของตัวเองไว้ได้อีกต่อไป

“อ้ากกกก”

“ถือเป็นการทักทายระหว่างมึงกับกู แต่จำใส่หัวไว้เลยว่าครั้งต่อไปมันจะไม่จบง่ายๆ แบบนี้แน่!”

ร่างเพรียวบางทรุดลงบนถนน แผ่นหลังพิงกับกำแพง ลมหายใจอ่อนแรงเป็นผลมาจากการที่โดนพวกมันรุมซ้อมอย่างหนัก บวกกับความเจ็บปวดจากรอยกรีดบริเวณหน้าท้องที่ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นมากุมไว้ห้ามเลือดที่กำลังไหลออกมา


“จะไม่ย้อนกลับไปจริงๆ หรือครับ” เสียงของเชนเอ่ยขึ้นมาเพื่อทำลายความเงียบ ที่ถามเพราะเขาเองก็ไม่มั่นใจว่าไอ้อันตพาลกลุ่มนั้นจะย้อนกลับมาอีกรึเปล่า และตอนนี้พวกเขายังขับรถออกมาจากที่เกิดเหตุได้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก เผื่อคุณอธินคิดเปลี่ยนใจ เขาจะ
ได้หักพวงมาลัยตรงที่กลับรถด้านหน้าที่จะถึงนี้เลย

“ไม่ต้อง ปล่อยไปแบบนั้นแหละ” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ นั่นทำให้คนที่นั่งด้านข้างคนขับเปรยยิ้มออกมาอย่างดีใจ ก่อนมันจะสลายไปพร้อมกับประโยคถัดมาที่ทำเอาคนขับเองยังต้องตะลึง

“ไปรอที่หอพัก”

เชนอดหันไปมองอันนาที่นั่งใจสลายข้างๆ ไม่ได้ หมอนั่นหันขวับมาค้อนเขาอย่างคนพาล เชนมองไปทางกระจกหลัง อมยิ้มในใจเมื่อเห็นท่าทางนิ่งเฉยของเจ้านายช่างขัดกับการกระทำนั่นเหลือเกิน เขาเลยสนองความต้องการนี้ให้ โดยการเร่งความเร็วอย่างถึงขีดสุด เพื่อจะได้ไปถึงยังที่หมายโดยเร็ว

เชนลงมือไขลูกบิดที่สภาพของมันดูบุบๆ เบี้ยวๆ คล้ายมีการงัดแงะด้วยของแข็งมาก่อน เขามองข้ามความผิดปกตินั่นไป และใช้เวลาไม่กี่นาทีในการปลดล็อกประตูจนสำเร็จ

เจ้านายของเขาเดินเข้าไปในห้องที่ยังคงมีกลิ่นสบู่ลอยเจือจางไม่ต่างจากวันแรกที่เข้ามา แถมคุณอธินยังถือวิสาสะเปิดไฟเดินสำรวจดูข้าวของในห้อง เรื่องที่พวกเขาแอบบุกเข้ามาถึงในนี้ ถ้าเจ้าของกลับมาเห็นเข้า คงอาละวาดน่าดู

“มีคนแอบเข้ามาก่อนหน้าเรา”
เชนกวาดตามองไปตามคำบอก แล้วก็พบข้าวของถูกรื้อกระจัดกระจาย

“จริงด้วยครับ” พวกมันจงใจทิ้งร่องรอยเอาไว้ข่มขู่ พิจารณาดูแล้วที่นี่ชักจะไม่ปลอดภัย

สีหน้าของอธินเต็มไปด้วยความกังวลใจ เมื่อรับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเด็กนั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อีกต่อไป ทั้งโดนสะกดรอยตาม แถมในห้องยังมีคนเข้ามารื้อค้น ลางสังหรณ์ของเขาบอกว่าพวกมันคงไม่ใช่แค่กลุ่มเล็กๆ ที่จะลงมือทีเดียวพร้อมกันได้

ความสงสัยทั้งหมดพุ่งตรงไปที่ไอ้หมอนั่นทันที!

มันไม่ใช่การทะเลาะกันระหว่างพวกวัยรุ่นธรรมดาๆ แต่อาจจะเป็นผลพวงจากการที่เขายื่นมือเข้าไปช่วยในคืนนั้น ไอ้มอสมันถึงได้ตามรังควานไม่หยุดแบบนี้

ร่างสูงแสยะยิ้ม ทั้งที่วิธีการอย่างกับหมาลอบกัด ริอ่านจะวางตัวเป็นใหญ่

เห็นทีว่ามันคงรู้จักเขาน้อยไป!



เข็มยาวชี้เลขสิบสอง อธินเริ่มร้อนใจว่าจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นรึเปล่า เขาเริ่มนั่งไม่ติด อาการกังวลเผยออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“คงไม่กลับมาแล้วล่ะมั้งครับ” อันนาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความมืดและอากาศที่ค่อนข้างอบอ้าวในห้องพักที่ดูแคบลงถนัดตาเมื่อได้บรรจุร่างของผู้ชายสามคนไว้ด้วยกัน พวกเขานั่งรออยู่ในห้องมืดๆ นี้มานานกว่าสองชั่วโมง โดยไร้วี่แววว่าเจ้าของห้องจะกลับมาเสียที

อธินไม่ออกความเห็นใดๆ ทั้งสิ้น เขารอฟังความเคลื่อนไหวด้านนอกอย่างใจเย็นที่สุด ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ประตูที่ล็อกอยู่ก็เปิดออก พร้อมด้วยเจ้าของห้องที่กลับมาในสภาพมอมแมมและสีหน้าอิดโรย

ทันทีที่เปิดไฟ เขาก็ว่ามีใครอยู่ในนั้น ใบหน้าของคนที่คล้ายจะหมดแรงในทีแรกก็ฟื้นฤทธิ์ขึ้นมาทันที

“พวกนายเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง!”
อธินไม่ตอบแต่เดินตรงไปยังประตู เห็นสภาพของเจ้าของร่างที่สะบักสะบอมนั่นแล้ว ทำให้เขาเดือดดาลขึ้นทันที ชายหนุ่มไม่ถามถึงรอยฟกช้ำบนใบหน้าหรือพลาสเตอร์ที่แปะเพิ่มเข้ามาบนหางคิ้ว ทั้งที่เจอกันล่าสุด เด็กนี่ยังอยู่ในสภาพที่ดีกว่านี้ร้อยเท่า แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เหตุการณ์ปกติอีกต่อไป

“ย้ายออกจากห้องนี้ซะ!” เขาสั่ง เป็นความคิดแรกที่ผุดเข้ามาในหัว เมื่อไม่อาจทนดูสภาพนี้ได้โดยที่ตัวเองไม่คิดจะทำอะไร

“พวกนายนั่นแหละที่สมควรออกไป!!” เดียร์ผลักร่างสูงนั่นออกไปจนพ้นทาง น้ำเสียงแสดงถึงความไม่พอใจอย่างยิ่ง เขาเดินเข้าไปในห้องโดยไม่สนใจแขกไม่รับเชิญทั้งหลายที่ถือวิสาสะเข้ามาในห้องของเขาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต มือเรียวโยนถุงยาที่หมอให้มาไว้บนโต๊ะ คว้าผ้าขนหนูบนราวเพื่อจะเข้าไปทำความสะอาดร่างกาย

“ไม่ได้ยินที่บอกรึไง!” พูดจบอธินก็กระชากไหล่เล็กให้หันมาเผชิญหน้า เขาไม่ชอบให้ใครเดินหนีในระหว่างที่ยังคุยกันไม่จบ

“มีสิทธิ์อะไรถึงมาสั่งวะ โอ้ย!!” แผลที่ทำไว้ถูกกระทบกระเทือนจากแรงกระชาก อธินไม่ได้สังเกตถึงความผิดปกติของเด็กตรงหน้าตั้งแต่ตอนเดินเข้ามา แต่พอเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดนั่นบวกกับคราบเลือดจางๆ ที่เสื้อ เขาจึงตัดสินใจกักร่างนั้นไว้แล้วเลิก
ชายเสื้อขึ้นดูทันที

“ไปโดนอะไรมา” น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นผ้าพันแผลที่พันเอาไว้บริเวณสะดือ อธินสบตากับเจ้าของร่างที่กำลังพยศใส่ เห็นสายตาที่แสดงถึงความเกลียดชังนั่นมองมา ราวกับว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นทั้งหมด ต้นเหตุเป็นเพราะเขา

“ฝีมือใคร!!”

“เพราะนาย ทั้งหมดนี่มันเพราะนาย!!” กลับกลายเป็นเขาที่โดนต่อว่า แม้เสียงเกรี้ยวกราดนั่นเริ่มสั่นเครือในตอนท้ายแต่แววตาคู่นั้นยังไม่ยอมแพ้ “ถ้าหากคืนนั้นไม่ใช่เพราะนายเข้ามายุ่ง ฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้” เสียงตัดพ้อจนน่าใจหาย อธินถูกเด็กตรงหน้าผลักออกห่างราวกับว่ารังเกียจกันหนักหนา

“อ้อ...จะบอกว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะการที่ฉันเข้าไปช่วยนายสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้ายอมรับ เขาดูนิ่งมากจนน่ากลัว ดวงตาคมกริบสะกดให้คนที่คิดจะโต้เถียง ต้องกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอ
“งั้นก็เชิญใช้ชีวิตของนายไปแบบนี้ และหวังว่าเราจะไม่เจอกันข้างถนนเหมือนกับคืนนี้อีก!”

“ไอ้บ้าเอ้ย!!!”

เดียร์ขว้างขวดแก้วที่อยู่ในมือทิ้งไปตามทางหลังจากหมอนั่นเดินออกไปจากห้องเพื่อระบายโทสะ ไม่เคยรู้สึกโกรธใครเท่านี้มาก่อน ทั้งที่ตัวเองเป็นฝ่ายชักนำเรื่องพวกนั้นเข้ามาในชีวิตคนอื่น แล้วยังจะมีหน้ามาบอกให้ทำโน่นนี่ตามคำสั่ง

ย้ายออกไปจากที่นี่หรือ

แค่พูดคงพูดง่าย แต่รู้อะไรไหมล่ะ ชีวิตเขามันไม่เหลืออะไรแล้ว

เมื่อไหร่จะจบเรื่องบ้าบอนี่สักที!

เดียร์ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาหมดสติไปในคืนนั้นคืออะไร ทั้งที่เรื่องมันก็น่าจะจบไปตั้งนานแล้ว

ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกคนพวกนั้นตามราวีไม่หยุดหย่อน ราวกับว่าเขาไปสร้างความเดือดร้อนอะไรให้

“พรุ่งนี้ให้คนมาขนของออกไปได้เลย” อธินสั่งตอนออกมายืนหน้าประตู และทันได้ยินเสียงดังลั่นจากหลังประตู
ดื้อด้านไปก็เท่านั้น

ในเมื่อพูดจาดีๆ ไม่รู้เรื่องก็เห็นจะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยจัดการความยุ่งยากนี้ได้


...รู้ไว้ซะว่าความต้องการของเขาน่ะ...ไม่มีวันที่มันจะเป็นไปไม่ได้




...................................................




ใครสั่งใครสอนให้ดื้อคะลูก โอ๋ๆ ไม่เอานะ  :serius2: :-[
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 05 : ใจไม่บริสุทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-02-2018 22:08:50
รีบพาพระเอกมาเลยน่ะ
กำลังปั่นใจให้พระรองแล้วเนี่ย อ่ะล่อเล่น อิอิ

แค่เห็นฉากโชว์จูบ พี่อธิปก็ของขึ้นแล้ว อิอิ
ผู้ต้องสงสัยคืนใครที่แกล้งน้องเดียร์นิ

หาคู่ให้เนหน่อยน่ะ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 06 : ใจไม่บริสุทธิ์
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-02-2018 22:27:10
ต้องอย่งนี้ซิ พี่อธินซะอย่าง เด็กดื้อต้องโดนตี ฮ่าๆๆๆๆ
น้องเดียร์อย่างอนน่ อิอิ
เอาอีกๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 07 : ท้าทายอำนาจ (12/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 12-02-2018 21:09:48

07
ท้าทายอำนาจ


 
เสียงนาฬิกาปลุกเด็กหนุ่มให้ลืมตาขึ้นมาเท่านั้น ร่างกายยังคงไร้เรี่ยวแรง จึงต้องปล่อยให้มันส่งเสียงน่ารำคาญต่อไป ก่อนจะผล็อยหลับไปอีกรอบ...จนบ่ายคล้อย

หน้าประตูห้องมีชายกลุ่มหนึ่งยืนเตรียมพร้อม พวกเขาได้รับคำสั่งจากคุณอธินให้มาจัดการธุระบางอย่าง เชนดูจากตารางเรียนแล้ว นี่คือช่วงที่เด็กนั่นไม่อยู่ห้อง พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถเปิดประตูเข้าไปได้  แต่แล้วต้องชะงักฝีเท้าเมื่อเห็นเจ้าของยังนอนอยู่บนเตียง

ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่แล้วหันมาส่งสัญญาณกับพรรคพวกด้านหลัง ทุกคนทำตามคำสั่งและรีบออกไปจากห้อง เชนเดินไปที่เตียง เห็นคนที่กำลังหลับใหลริมฝีปากนั้นดูซีดเซียว ไรผมชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาใช้หลังมือขึ้นอังบนหน้าผาก มันร้อนจนต้องรีบผละออก

“ไม่สบายหรือ” การกระทำเช่นนั้นปลุกอีกฝ่ายให้ตื่น เดียร์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เสียงแหบแห้งถามขึ้นอย่างยากลำบาก

“มึง...เลิกเรียนแล้วหรือ” ก่อนฝ่ายนั้นจะหลับตาลง หอบหายใจด้วยความอ่อนแรง

เชนงงงัน เขาคิดว่าเด็กคนนี้ต้องละเมอ คิดว่าเขาเป็นเพื่อนแน่ๆ

“อืม...” เขาเลยสวมรอยตอบรับ และใช้โอกาสนี้ให้คนอื่นรีบเข้ามาย้ายของออกไป และรีบโทรหาคุณอธิน แต่ฝ่ายนั้นคงกำลังยุ่งเพราะไร้การตอบรับใดๆ
 





......................................................................

อธินเข้ามาในโรงแรมในฐานะของพนักงานคนหนึ่ง เขาต้องการศึกษาการทำงานของทุกฝ่ายให้ละเอียด แม้ชายหนุ่มเลือกใส่ชุดพนักงานธรรมดา แต่ดูอย่างไรก็ยังคงความสง่าเอาไว้ไม่เปลี่ยน เสื้อสีฟ้าอ่อนติดป้ายชื่อกับสเลคสีดำ ทั้งที่สวมชุดทั่วไปแต่เสน่ห์ของเขากลับไม่ลดลงเลย อันนาที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ยืนมองเจ้านายไม่วางตา

“มีอะไรรึเปล่า” เขาชะงักมือข้างหนึ่งที่กำลังติดกระดุมเสื้อ หันไปถามลูกน้องที่สังเกตว่ายืนมองเขามานานแล้ว

“เปล่าครับ...แค่กำลังคิดว่าชุดพนักงานของเราก็เท่ดีเหมือนกันนะครับ” เขาอยากต่อท้ายด้วยเหลือเกินว่า ‘ถ้าเป็นคุณอธินใส่’
เมื่อออกจากห้องแต่งตัวทั้งคู่เดินตรงไปยังแผนกทรัพยากรบุคคล อันนาพาเขาไปรู้จักกับคุณหนึ่งซึ่งเป็นหัวหน้าแผนก ก่อนเข้าไปทำความรู้จักสมาชิกคนอื่นๆ

โต๊ะทำงานชั่วคราวของเขาไม่มีอะไรพิเศษนอกจากแฟ้มงานบางส่วน การปรากฏตัวครั้งนี้ทำให้ใครหลายคนตื่นเต้นไม่น้อย แต่ต้องยับยั้งชั่งใจเพราะอีกฝ่ายเป็นลูกชายของคุณพิมพ์ ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าควรวางตัวอย่างไรดี
บรรยากาศในห้องทำงาน ทั้งเงียบ ทั้งไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งในวันปกติแล้วมักได้ยินเสียงเพลงคลอเบาๆ เคล้าเสียงพูดคุย วันนี้ทุกคนขยันทำงานแบบไม่ลืมหูลืมตา ห้องเงียบกริบ ไม่ยักได้ยินแม้แต่เสียงกระดิกนิ้ว

สิบโมงตรงของวันนี้ที่แผนกมีนัดสัมภาษณ์พนักงานใหม่ คุณหนึ่งยื่นแฟ้มเอกสารหนาปึ้กให้อธินก่อนจะชวนกันไปดูการสัมภาษณ์งาน
 


...................................................

เชนวางสาย ในเมื่อรอต่อไปไม่ได้แล้วเขาจึงเรียกเพื่อนๆ มาช่วยกันพาตัวคนป่วยไปโรงพยาบาล


เด็กหนุ่มรู้สึกตัวอีกทีตอนท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมืดแล้ว เจ้าของร่างลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่ห้องก็กระวนกระวาย 

เดียร์รีบลงจากเตียง สิ่งที่เขาอยากรู้คำตอบก็คือ ตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง


ด้านนอกผู้คนไม่เยอะเท่าไหร่นัก เขามองหาไอ้ภูกับไอ้เนที่น่าจะอยู่แถวๆนี้ เมื่อไม่เจอจึงตัดสินใจเดินออกไปนอกอาคาร แนวทางเดินในโรงพยาบาลเปิดไฟไว้สว่าง ด้านข้างเป็นแนวต้นไม้ใหญ่อายุหลายสิบปี เขาได้ยินเสียงแมลงกลางคืนร้องระงมมาจากตรงนั้น คิ้วบางขดเป็นปมอย่างเคร่งเครียด ไม่รู้จะติดต่อกับเพื่อนอย่างไรดี

พวกมันพาเขามาที่นี่ แล้วตอนนี้กลับหายหัวไปได้อย่างไร!

สองมือยกขึ้นถูแรงๆ ที่แขน เขาไม่ชอบอากาศชื้นๆ ตอนฝนใกล้ตกแบบนี้สักเท่าไหร่ แถมจิ้งหรีดกลางคืนก็ส่งเสียงร้องลั่น ยิ่งทำให้รู้สึกวังเวงชอบกล
 


อธินเปลี่ยนชุดเตรียมเข้าร่วมงานประมูลในช่วงหัวค่ำของโรงแรม เสื้อสีขาวแขนยาวสวมทับด้วยสูทน้ำเงินเข้ม บวกกับกลิ่นหอมเย็นๆ จากร่างกายเขา ทำให้ชายหนุ่มดูเคร่งขรึมมากยิ่งขึ้น อันนายังคงใช้สายตาแห่งความปลาบปลื้มมองเจ้านายไม่วางตา ลิฟต์ตัวเดิมฟุ้งไปด้วยน้ำหอม จนคนที่ยืนข้างๆ อดอมยิ้มตามไม่ได้ แค่นี้ก็ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดแล้ว...

“ช่วยอธิบายเรื่องงานคืนนี้ให้ฟังหน่อย” เสียงเข้มเอ่ยถาม แน่นอนว่าคุณอธินยังไม่รู้รายละเอียดใดๆ ในกิจการของโรงแรมส่วนนี้ ยิ่งคนเชิญแขกเป็นแม่ของเขาด้วยแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ทั้งคู่เดินไปตามทางเดินเล็กๆ ปูด้วยหินอ่อน อธินปล่อยให้อันนาเป็นฝ่ายเดินนำและตั้งใจฟังเงียบๆ

“แขกส่วนใหญ่เดินทางมาจากต่างประเทศ บางคนเคยเป็นสมาชิกในกลุ่มของคุณเฉินด้วยนะครับ ซึ่งคุณอธินก็รู้ดีว่าความจงรักภักดีของพวกเขาน่ะยิ่งใหญ่แค่ไหน แม้คุณเฉินจากไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังให้เกียรติเดินทางมาเยี่ยมเยียนกันเสมอ นอกนั้นก็เป็นบรรดาญาติพี่น้อง”

“งานเลี้ยงครอบครัวงั้นสิ”

“เรียกแบบนั้นก็ได้นะครับ ส่วนเรื่องการประมูลก็เป็นกิจกรรมสนุกๆ ในกลุ่มเท่านั้นเองครับ เหมือนจะเป็นการข่มขวัญกันเองในหมู่พี่น้องมากกว่า ใครใจกล้ามากพอก็ชนะไป ส่วนคุณพิมพ์แค่ทำหน้าที่จัดหาสินค้ามาให้”

“งั้นหรือ” เขาพยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า กำลังคิดว่าในเมื่อมันไม่มีอะไรน่าสนใจมากกว่านี้ คืนนี้เขาคงหาทางกลับก่อนได้ไม่ยาก

“วันนี้เป็นโอกาสดีที่คุณอธินจะได้ทำความรู้จักกับญาติๆ ทางฝั่งโน้นนะครับ”

อธินฟังคำบอกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความยินดีใดๆ ปรากฏให้เห็น สำหรับเขาในชีวิตนี้คงไม่มีสิ่งใดพิเศษอีกแล้ว เพราะคนสำคัญที่อยากเจอ



มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น...
 

ชายหนุ่มเข้าไปในห้องโถงกว้าง ฝีเท้าหนักๆ ย่ำลงบนพื้นมันปลาบ ด้านในเปิดแอร์เย็นฉ่ำรอต้อนรับแขกที่จะมาถึง อาหารหน้าตาดีจำนวนมากถูกนำมาวางบนโต๊ะ เขายืนมองการจัดเตรียมอยู่เงียบๆ และเปลี่ยนไปสำรวจอีกส่วนหนึ่งของงาน
เวทีประมูลในค่ำคืนนี้ถูกออกแบบให้มีบรรยากาศคล้ายกับโรงละคร ด้านล่างเป็นเวทีโล่งไม่ใหญ่มากนัก ตรงกลางเปิดไฟสว่างไว้ ร่างสูงขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เบาะสีแดงตัวหนึ่ง เฝ้ามองผู้คนด้านล่างท่ามกลางความชุลมุน


“นี่เป็นรายชื่อสินค้าในคืนนี้ครับ”

“น่าสนใจดี” เขาคิด ทั้งเพชร พลอย ของมีค่าทั้งหมดล้วนเป็นของหายาก ความงดงามของมันล้วนมีคุณค่าในทางศิลปะ ชายหนุ่มส่งมันกลับไปให้อีกฝ่าย ก่อนจะบอกว่าขอนั่งรออยู่ตรงนี้ ถึงเวลาแล้วเขาจะออกไปเอง



เสียงหัวเราะสนุกสนานครื้นเครงลั่นวงสนทนา กลุ่มชายวัยกลางคนนับสิบชีวิตเป็นจุดสนใจของเหล่าสมาชิกในงาน ลู่ชิงได้ยินเสียงพ่อเล่าประวัติขำขันสมัยหนุ่มๆ ให้คนอื่นฟัง ถึงได้รู้ว่าใครเป็นต้นเหตุส่งเสียงรบกวนคนทั้งงานแบบนี้ เขารีบเดินเข้าไปกลางวง  ชิงเหล้าในมือพ่อที่กำลังจะเข้าปาก วางไว้บนโต๊ะ

“พอแล้วๆ เดี๋ยวคืนนี้ก็ไม่มีแรงประมูลสร้อยเพชรกลับไปให้ม๊าหรอก” ลู่ชิงรีบเตือนสติ เพราะพ่อของเขาถ้าได้เข้าพรรคเข้าพวกเมื่อไหร่ รับรองว่าได้ลืมทุกอย่าง

“ช่างฉันเถอะน่า พบปะเพื่อนทั้งที” คนพูดไม่วายส่งแก้วให้เพื่อนรินเพิ่ม

“ชิงไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวฉันดูแลพี่เหวินให้เอง จะไปไหนก็ไปเถอะ” แม้ลู่ชิงจะไม่ค่อยเห็นด้วยนักที่จะปล่อยพ่อไว้เพียงลำพัง แต่คืนนี้เขาเองก็มีคนที่อยากเจออยู่เหมือนกัน ฝากพ่อให้อาเหลียนดูแลสักพักคงไม่เป็นไร


ลู่ชิงเดินหายเข้าไปในกลุ่มคน เขามองหาชางเฟิงที่เพิ่งเดินผ่านไปเมื่อสักครู่นี้ หากไม่ใช่เพราะคำชวนของหลี่จื้อหาว ญาติสนิทของเขาเอง เขาคงไม่คิดตามพ่อมาถึงที่นี่แน่  ลู่ชิงไม่ชอบการเดินทาง ไม่เหมือนกับชางเฟิงที่ทั้งชีวิตของเขาหมดไปกับการท่องเที่ยวในต่างแดน การมาไทยในครั้งนี้ก็เหมือนกัน เมื่อทราบข่าวว่าอีกฝ่ายเองก็ตอบรับคำเชิญ เขาจึงไม่ลังเลที่จะตามพ่อมา


“หมอนั่นกลับไปแล้ว ไม่ต้องคิดมองหาหรอก” หลี่จื้อหาวส่งเสียงกระซิบ เล่นเอาคนกำลังเหม่อลอยสะดุ้งตกใจ

“ฉันกำลังมองหาพ่อต่างหาก”

“ลุงเหวินนั่งอยู่ฝั่งโน้น ไม่ต้องแก้ตัว” ญาติสนิทบุ้ยใบ้ไปยังกลุ่มใหญ่สุดของงาน เห็นลุงเหวินนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ คุยโวจนเสียงดัง

“เฮอะ!!” ลู่ชิงไม่ชอบหมอนี่เอาเสียเลย ไม่ว่าอะไรก็รู้ทันไปเสียหมด

“เขาก็คือเขา...นายก็รู้” พี่ชายพยายามย้ำเตือน เสี่ยวชิงน้องรักของเขากำลังวิ่งไล่ตามความฝันตอนเด็ก ชายคนนั้นไม่ใช่คนเดียวกับเมื่อก่อนแล้ว คนที่พร้อมจะโบยบินไปข้างหน้า ไม่มีวันหยุดอนาคตของตัวเองลงเพื่อใครง่ายๆ หรอก

เขาอยากให้ลู่ชิงเลิกหวังเรื่องนี้...


คุณชายหลี่ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อเห็นภาพน้องชายสุดที่รักเดินไหล่ตกกลับไปที่นั่งของตัวเอง หมอนั่นยังคงคิดว่าการได้สนิทสนมกับชางเฟิงสมัยเด็กจะทำให้อีกฝ่ายจดจำกันได้ แต่การกระทำที่ว่างเปล่าของหมอนั่นตอนเจอหน้ากัน  สามารถตอบคำถามได้อย่างชัดเจนว่าทั้งหมดแล้ว ลู่ชิงคิดไปเองฝ่ายเดียว...
 

“โอ๊ะ! ขอโทษ” ลู่ชิงเดินไม่ดูทาง ก็เลยบังเอิญชนเข้ากับใครสักคน ด้วยมารยาทอันดีงาม เด็กหนุ่มรีบกล่าวขอโทษคนๆ นั้นด้วยท่าทีอ่อนน้อม

“ไม่เป็นไร” คำบอกง่ายๆ อย่างไม่ถือสา พอเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดเจน เด็กหนุ่มจึงถามต่อ

“นายเดินทางมาคนเดียวหรือ...?”

“ไม่ใช่ ฉันอยู่ที่นี่” สำเนียงภาษาจีนที่เพี้ยนนิดหน่อยของเขาทำให้ลู่ชิงเข้าใจทั้งหมดได้ทันที

“คนไทย”

“คนๆ นี้ชื่ออธิน เป็นลูกชายคนเดียวของลุงเฉิน แกไปอยู่ไหนมาน่ะเสี่ยวลู่ ถึงไม่รู้เรื่องนี้” เสียงทุ้มใหญ่ตามแบบฉบับของลู่เหวินโดยเฉพาะ หลังจากจบประโยค เจ้าลูกชายก็โดนด้ามไม้เท้าเคาะหัวไปหลายที โทษฐานที่ไม่ได้ความ ลู่ชิงมองเขม่นคนเป็นพ่อ แต่ต่อหน้าคนเยอะแยะจึงทำอะไรไม่ได้


แขกในงานทยอยเข้าไปจับจองที่นั่งในห้องประมูล อธินเห็นคุณพิมพ์ภาดาสวมชุดสวยยืนกล่าวต้อนรับบรรดาแขกเหรื่ออยู่บนเวที ชายหนุ่มเลือกที่นั่งแถวหลังสุดให้ตนเอง เพราะในงานคืนนี้เขาตั้งใจมาเป็นแค่ผู้ชมเท่านั้น

“ขอนั่งด้วยสิ” อธินหันไปมอง เขาเห็นเด็กหนุ่มคนเดิมยืนยิ้มยิงฟัน มือก็ชี้มายังที่ว่างข้างๆ อธิน ขยับให้ด้วยความเต็มใจ เห็นสีหน้ายินดีของอีกฝ่ายที่ดูเหมือนจะถูกชะตากับเขาเป็นพิเศษ

บนเวทีเริ่มด้วยสินค้าประมูลชิ้นแรก หยกแก้วทรงกลม เนื้อละเอียดโปร่งใส เริ่มต้นราคาอยู่ที่สิบล้าน อธินได้ยินเสียงคนข้างกายร้องอุทานออกมาอย่างสนอกสนใจ ชี้แนะเขาต่างๆ นานาว่ามันหายากมาก แค่ไหน ชายหนุ่มได้แต่พยักหน้าตามคำบอกเล่านั้น
ในระหว่างนั้นโทรศัพท์มีสายเข้า เขาจึงขอปลีกตัวออกมาคุยธุระ

 
เชนโทรมาแจ้งว่าเด็กคนนั้นหายตัวไปแล้ว ทั้งที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาลแท้ๆ แต่กลับมาโบกแท็กซี่หนีออกไปแล้วก็เท่ากับว่าวันนี้ทุกอย่างกลายเป็นศูนย์...

อธินฟังคำบอกเล่าของลูกน้องเงียบงัน ก่อนจะสั่งให้คนเตรียมรถ อีกสิบห้านาที เขาจะรีบออกไป



เห็นทีงานนี้...คงต้องเป็นฝ่ายลงมือด้วยตัวเอง






...............

ญาติๆ จากต่างแดนจะมาเป็นแขกรับเชิญในงานของเราราวๆ ครั้งสองครั้งนะคะ

ส่วนพี่อธินกับน้องเดียร์ อดใจรออีกนิด ใกล้จะหนีกันไม่พ้นแล้วค่าาาา   :katai2-1:


หัวข้อ: Re: Dear to me >> 07 : ท้าทายอำนาจ (12/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: t2007 ที่ 13-02-2018 01:06:46
สนุกมากมาย
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 08 : ตัวเลือกที่ไม่อยากเลือก (14/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 14-02-2018 23:03:06
08
 
ตัวเลือกที่ไม่อยากเลือก



มือที่กำอยู่เริ่มสั่นเทา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศชื้นๆ ตอนฝนตกหรือเพราะความกังวลหลังจากรู้ความจริงบางอย่างกันแน่  ระหว่างที่ยืนรอเจ้าของห้องมาเปิดประตูให้ ในหัวก็คิดหาเหตุผล ไว้ตอบคำถามตอนมันเจอเขาโผล่มาหาเอาดึกป่านนี้
เพราะไม่สบายและต้องการที่พึ่ง ส่วนเรื่องบาดแผลนั้นจะต้องปิดเป็นความลับ ความจริงที่เขาโดนรุมทำร้ายและมีคนสะกดรอยตาม ยิ่งเรื่องที่เขาถูกไล่ออกจากหอพักยิ่งให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด หวังว่าไอ้เนคงจะไม่สงสัยอะไรไปมากกว่านี้ และยอมแบ่งที่ซุกหัวนอนให้จนกว่าเขาจะหายดี
 
รอไม่นานนักก็ได้ยินเสียงคนเดินมา เดียร์ยิ้มดีใจแต่พอได้เห็นหน้าคนที่มาเปิดประตูให้ กลับหุบยิ้มแทบไม่ทัน

“ไอ้เน มีคนมาหามึงว่ะ” ผู้ชายคนนั้นยิ้มกริ่ม ก่อนตะโกนดังลั่นห้องเมื่อได้เห็นหน้าเขาชัดๆ

“ใครวะ?”

“มึงออกมาดูเองดิ” หลายคนในห้องร้องบอกให้คนที่อยู่ในห้องน้ำรีบๆ ทำธุระเข้า ปล่อยให้ ’เพื่อนรัก' รอนานๆ มันไม่ดี

เดียร์ยืนมึนอยู่หน้าประตู พอชะโงกหน้าเข้าไปดูในนั้น เห็นเพื่อนของมันนั่งอยู่กันเต็มไปหมด คิดว่าตัวเองควรจะกลับไปดีหรือไม่...

“เข้ามารอด้านในดิ ข้างนอกยุงมันเยอะ” ผู้ชายผมสกินเฮดคนเดิมชวนเขาเข้ามานั่ง ดูเหมือนแต่ละคนกำลังยุ่ง เดียร์ได้ยินเสียงดีดกีตาร์เป็นพักๆ แล้วหยุด พวกเขาคงแกะเพลงกัน เขาคิดว่าสิ่งที่เพื่อนๆ ของไอ้เนกำลังทำ น่าสนใจดี

แล้วประตูห้องน้ำก็เปิดออก เจ้าของร่างสูงๆ เหมือนนายแบบใส่กางเกงขาสั้นเพียงตัวเดียว บนหัวมีผ้าขนหนูพาดอยู่ พอเห็นเดียร์อยู่ในห้องก็ร้องทักด้วยความแปลกใจ

“มาได้ไงเนี่ย”

“กูก็นั่งแท็กซี่มา”

“ป่านนี้เนี่ยนะ”

“เออ ” เดียร์มองตามร่างมันไป ได้ยินมันบ่นไปสองสามคำแต่ก็ไม่สน เนกำลังเปิดตู้เสื้อผ้า ในระหว่างนั้นเขาก็คิดว่าจะหาทางบอกอย่างไรดี จะรบกวนกันรึเปล่าเห็นคืนนี้พวกเพื่อนๆ มันก็อยู่กันเยอะ

“ทำไมวันนี้ไม่ไปเรียนวะ...โดดอีกแล้วนะมึง” พอหาเสื้อใส่ได้แล้วก็หันมาว่าต่อ

“กูไม่สบาย” เดียร์หลบตา ทั้งที่กำลังพูดความจริงแต่กลัวเหลือเกินว่ามันจะไม่เชื่อ

“คนไม่สบายนี่เขาออกมาเดินตากฝนตอนกลางคืนได้เหรอวะ” พูดจบก็โยนผ้าขนหนูผืนเดียวกันใส่ลงบนหัวคนที่นั่งตัวเปียก “เช็ดซะ เดี๋ยวก็หวัดแดกอีกมึงน่ะ”

เดียร์รับมาอย่างว่าง่าย พลางเช็ดคราบน้ำฝนออกจากใบหน้า ส่วนปลายผมที่ยังหมาดๆ ก็ใช้พัดลมเป่าเอา

“คืนนี้ขอนอนนี่นะ” ประโยคนั้นทำเอาคนฟังยืนเงียบ เพื่อนอีกสามสี่คนได้ยินก็เงียบลงพร้อมกัน เนนิ่งไปพักแต่ก็ตอบตกลงไป เห็นท่าทางดีใจสุดๆ ของมัน เขาเองที่คิดจะเปลี่ยนใจ ตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว

“เฮ้ยเน! งั้นพวกกูกลับก่อนว่ะ”

“อ่าว...จะไปกันแล้วหรือ ไหนว่ายังมีอีกเยอะให้กูช่วยไง”

“ไว้วันหลังว่ะ เดี๋ยวพวกกูมาใหม่” พวกนั้นเก็บของกันเสร็จสรรพ แล้วยกกีตาร์ขึ้นสะพาย หันมาตบไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะอวยพร

“หลับฝันดีนะมึง” มันหัวเราะกันอย่างรู้ความหมาย เขาล่ะอยากไล่กระทืบเรียงตัว พอหันไปเห็นไอ้ตัวปัญหาไล่เปิดทีวีไปทีละช่อง ทำเหมือนกับว่าที่นี่เป็นห้องตัวเอง เขาเปลี่ยนใจแล้วว่าคนที่น่ากระทืบที่สุด น่าจะเป็นไอ้เดียร์มากกว่า

“มึงนี่มัน...” เนส่ายหัว ฟูกหน้าทีวีของเขาถูกมันยึดไปเสียแล้ว

“อะไร” เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมาถามอย่างไม่รู้ความ

“นั่นเสื้อกู กางเกงก็ด้วย เร็วชิบหาย” เจ้าตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้วด้วย โคตรได้ใจจริงๆ ไอ้เพื่อนคนนี้

“อาบน้ำรึยังวะ”

“เดี๋ยวเหอะน่า...” เดียร์บอกปัดอย่างรำคาญเพราะถูกกวนใจตอนกำลังอินอยู่กับเพลงของ Big Bang เสียงร้องภาษาเกาหลีของมันทำเอาเนขำจนท้องแข็ง ไม่รู้ว่าร้องเป็นจริงๆ หรือว่ามั่วเอาเองกันแน่

 
เจ้าของห้องไล่ปิดไฟในห้องทีละดวง นี่ก็ดึกมากแล้ว ถึงแม้พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเช้าแต่ก็ต้องออกไปทำธุระอยู่ดี เขาวางนาฬิกาปลุกไว้ จัดที่นอนของตัวเองเสร็จสรรพ ก็หันไปสั่งการไอ้คนที่ยังไม่หลับไม่นอนว่า อย่าลืมปิดไฟบนหัวเตียงให้ด้วย

“ทำไมไปนอนตรงนั้นอ่ะ?”

“มึงแหกตาดูว่าเตียงมันกี่ฟุต” เนเอี้ยวตัวขึ้นมาตอบ เขาเห็นมันทำหน้างงใส่แล้วอยากเข้าไปตบกะบาลให้หายโง่นักว่า ที่เขาต้องมาเดือดร้อนแบบนี้น่ะเพราะใคร


...แต่ก็เต็มใจ


“ครั้งที่แล้วก็นอนกันได้นี่หว่า...”

สงสัยว่าเจ้าตัวจะไม่รู้เลยจริงๆ ว่าครั้งก่อนมันทำเขานอนไม่หลับทั้งคืน คนที่ไม่คิดอะไรอย่างมัน การนอนใกล้ชิดกับเพื่อนคงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับเขา...นั่นคือปัญหาใหญ่

“กูอึดอัด”

“เออ ตามใจ” เดียร์ปิดทีวี ก่อนจะเข้าไปอาบน้ำเช็ดตัว เขาเห็นแปรงสีฟันของตัวเองถูกเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ นึกขอบใจคนรอบคอบอย่างมันที่สุด


เด็กหนุ่มหยิบเสื้อผ้าที่ถอดทิ้งไว้บนราวแขวนมาซัก โชคดีที่ไอ้เนยังไม่เห็น วันนี้คงออกแรงมากไป เขาก้มมองหน้าท้องของตัวเองในกระจก ตอนนี้แผลยังไม่หายดี แถมวันนี้ก็มีเลือดออกด้วย

กว่าจะสิ้นเรื่องก็ปาเข้าไปตั้งตีหนึ่ง เนหลับไปแล้ว ทั้งห้องเงียบกริบได้ยินก็แต่เสียงหายใจของมัน เดียร์ค่อยๆ ล้มตัวลงบนที่นอน ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมถึงไหล่ หลับตาลงทั้งที่ในหัวยังคงครุ่นคิด


เหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมด จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ

ตอนกลับไปที่หอแล้วพบว่าทุกอย่างว่างเปล่า ในนั้นไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่สักชิ้น เขางงตอนที่ป้าเจ้าของหอบอกว่ามีคนมาจัดการจ่ายค่าห้องที่ค้างไว้ให้หมดแล้ว วินาทีนั้นเล่นเอาพูดอะไรไม่ออก

คนที่กล้าทำอะไรแบบนี้ ทั้งชีวิตที่เคยเจอ ก็มีอยู่คนเดียวเท่านั้น…

เหอะ! !

คิดว่าใช้วิธีนี้แล้วจะทำให้เขายอมย้ายงั้นหรือ...รู้จักกันน้อยไป


นอนเถอะ...เดียร์บอกตัวเอง อย่างน้อยตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ยังไม่กล้าบอกความจริงให้เพื่อนฟัง แต่เมื่อไหร่ที่พร้อม หรือว่าจนหนทางจริงๆ คิดว่าเพื่อนอย่างมันคงช่วยเขาได้
 


อธินมาช้าไปเพียงก้าวเดียว ที่คิดไว้ว่าจะมาคุยกันให้รู้เรื่องราว เป็นอันต้องยกเลิกไป

“เอายังไงต่อดีครับ”

“ปล่อยไป...” น้ำเสียงดุดันไม่น้อย เชนเดาอารมณ์เจ้านายได้ไม่ยาก คิดว่าคงไม่พอใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก อะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปตามแผน นั่นคือสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับเจ้านายของเขา


และครั้งนี้ก็เช่นกัน...
 


 
เดียร์สวมเสื้อตัวหลวมโพรกของเนแก้ขัด มันเห็นว่าเขาขี้เกียจกลับไปเอาของที่ห้องก็เลยให้ยืมใส่ไปก่อน ทั้งคู่ออกมายืนรอรถเมล์ที่ป้าย โทรนัดกับภูว่าไปเจอกันที่โรงอาหาร


“ไม่สบายน่ะดีขึ้นรึยัง?”

“กินยาแล้ว เดี๋ยวก็หาย” เดียร์บอก แต่คนฟังไม่ค่อยแน่ใจนัก ก็เลยยื่นมือไปแตะหน้าผากดู

“เออ ตัวก็ไม่ร้อนมาก” สีหน้าของเนยังไม่คลายกังวล ยิ่งเห็นไอ้ตัวดีนิ่งเงียบผิดปกติ ใจจริงเขาอยากให้มันนอนพักอยู่ที่ห้องมากกว่า แต่วิชานี้มันขาดเรียนไม่ได้แล้วด้วย ไม่อย่างนั้นก็หมดสิทธิ์สอบ

“เลิกเรียนแล้วรีบกลับมานอนเลยนะมึง” เดียร์พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เห็นมันเชื่อฟังเขาเลยเริ่มเบาใจว่ามันจะไม่หนีไปซ่าที่ไหนอีก




โรงอาหารคนเยอะเป็นพิเศษ อากาศก็ร้อนอบอ้าว พวกเขามาถึงกันเกือบเที่ยงแล้ว ภูจองที่ไว้ให้ พอเห็นพวกเขาก็กวักมือเรียกมาแต่ไกล


“เข้าห้องน้ำก่อน เดี๋ยวมานะ” เขารีบตรงไปห้องพยาบาล ทั้งที่ปวดแผลมากแต่ต้องฝืนไว้ไม่ให้ใครรู้ กลัวเหลือเกินว่ามันจะอักเสบขึ้นมา นี่ก็ถึงเวลาต้องไปทำแผลแล้วด้วย


คล้อยหลังเดียร์ไปไม่นาน คนที่ทนปวดเมื่อยมาทั้งคืนก็โอดโอย ร้องหาคนช่วยนวดทันที

“ไปทำไรมาวะ?” ฝ่ายนั้นสงสัย

“นวดไปเหอะน่า” มือใหญ่ตบปุๆ ลงบนไหล่ บอกให้ภูออกแรงอีกหน่อย เขาตึงไปหมดทั้งแขนแล้ว

“เดียร์ไปนอนห้องมึงหรือ?” เหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว เนอึ้งไป ทั้งที่มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ดูเหมือนเขาจะตกใจมากจนมีพิรุธ

“รู้ได้ไง?”

“นั่นมันเสื้อมึงชัดๆ ...ที่ไอ้เดียร์ใส่น่ะ” ภูเห็นอาการกลืนไม่เข้าของไอ้ร่างยักษ์ตรงหน้าก็อยากขำ คราวนี้ไม่ต้องสงสัยอะไรอีกแล้ว ท่าทางของมันชัดเจนเหลือเกิน

ข้าวที่สั่งไว้เสร็จพอดี เนเลยคิดเปลี่ยนเรื่อง เขาโบ้ยให้ภูไปยกมาเสิร์ฟ ส่วนตัวเองก็รีบไปซื้อน้ำ
 

“เอ้า มาก่อนก็รีบแดกซะ นานไปเดี๋ยวจะไม่ได้แดกนะมึง!” ภูวางข้าวผัดทะเลลงตรงหน้า อีกจานเป็นของเดียร์ เพราะเจ้าตัวยังไม่มา พวกเขาเลยกินกันก่อน
 

ยี่สิบนาทีเห็นจะได้ แล้วไอ้ตัวปัญหาก็เดินหน้าตาบูดเบี้ยวกลับมา


“ทำไรอยู่วะ คิดว่าตายคาส้วมไปแล้ว” ถึงปากจะพูดอะไรห่ามๆ แต่สวนทางกับสีหน้าที่แสดงออกว่าเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายไม่โต้กลับ นั่งลงข้างๆ แล้วกินข้าวของตัวเองไปเงียบๆ

“ไม่สบายรึเปล่าวะ” ภูทักขึ้น

ก็แหงล่ะ ปวดแผลซะขนาดนี้ หากหน้าตาเขายังเหมือนคนปกติ ก็ยอดมนุษย์แล้ว


“นิดหน่อยว่ะ”

“เลิกเรียนแล้วให้ไอ้เนพาไปหาหมอสิ อย่าปล่อยไว้นาน”


“อืม” เดียร์ตอบรับว่าง่าย สองหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันมองตากันไม่กระพริบ พร้อมให้ความเห็นตรงกันว่า แปลก...ผิดนิสัยคนชอบโวยวาย เรื่องมาก ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆ คนที่บอกซ้ายแล้วดึงดันจะไปขวา วันนี้ดูผิดปกติไป


ในคาบเรียนเดียร์ไม่ได้เอาไฟล์งานที่จะส่งมาด้วย เขาโดนตักเตือนเรื่องความรับผิดชอบ แม้อาจารย์ไม่ได้ว่ากล่าวกันตรงๆ แต่คำพูดเชิงตักเตือนให้รู้หน้าที่ของตัวเองนั้นฟังแล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมา



“อย่าไปคิดมาก ไม่มีอะไรหรอก”

“คาบหน้าค่อยเอามาส่ง อาจารย์แกก็พูดไปอย่างนั้น” ถึงคนข้างๆ จะช่วยเรียกความรู้สึกของเขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะไม่ได้ผล ในภาวะที่เราต้องเผชิญกับอะไรหลายๆ อย่าง ทุกคำพูดล้วนส่งผลต่อจิตใจ ทำให้ยิ่งอ่อนแอ


เลิกเรียนเด็กหนุ่มซึมลงไปจนเห็นได้ชัด เพื่อนๆ ก็ได้แต่ปล่อยให้ความเงียบช่วยปลอบใจ ผ่านไปสักพักอาจจะดีขึ้น

“เสื้อมึง เดี๋ยวกูซักเอามาคืนนะ”

“ไหนว่าจะไปนอนห้องกู” เนทวงซ้ำ แต่เจ้าตัวส่ายหัว บอกว่าวันนี้อยากกลับบ้าน
ใจจริงเขาไม่คิดอยากกลับเลยสักนิด แต่ไม่อยากทำให้เพื่อนลำบาก ตอนที่เห็นไอ้ภูยืนนวดหลังให้มันเขาก็รู้สึกไม่ดีแล้ว ถึงเนจะ
ไม่พูดอะไรแต่เขาเกรงใจ

“ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” มันโบกมือก่อนจะวิ่งขึ้นรถไป

“กลับบ้านดีๆ เจอกันพรุ่งนี้” ภูหันมากำชับ ก่อนจะรีบขึ้นรถไปอีกคน

เด็กหนุ่มยืนมองรถเมล์คันแล้วคันเล่าผ่านไป ตั้งใจจะรอให้ค่ำกว่านี้แล้วค่อยหาทาง วันนี้เขายังไม่พร้อมจะไปเจอแม่สักเท่าไหร่...
 

คืนนั้นเขาถึงบ้านตอนสองทุ่ม เห็นรถแม่ยังจอดอยู่ในลาน แสดงว่าเพิ่งกลับมา...
เจ้าของใบหน้าซึมเซาเดินเข้าไปในบ้านด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคย ที่นี่เงียบเหงามาก ไม่เหมือนตอนที่มีพี่ปั้นอยู่ด้วย เขาจำได้ดี ความรู้สึกเหล่านั้นยังคงฝังอยู่ในใจเสมอ



เด็กหนุ่มวางกระเป๋าแล้วเข้าไปในครัว ได้กลิ่นกับข้าวของป้าสมจิตรลอยมา ก็รู้สึกหิว

“น่ากินจังป้า” เขารีบไปหยิบจาน แม่ครัวเห็นน้องเดียร์กลับมาก็ดีใจใหญ่ แกบ่นไปหลายคำว่าทำไมน้องเดียร์ไม่กลับมาบ้าง ที่นี่ทำกับข้าวเยอะแยะ แต่บางทีก็ไม่มีใครกินเลย

“กินเยอะๆ นะ ป้าทำไว้ตั้งหลายอย่าง” ว่าพลางก็ตักแกงเขียวหวานให้อีกถ้วยเบ้อเร่อ ก็ตั้งแต่น้องเดียร์ออกไปอยู่หอ ตัวนี่ผอมลงตั้งเยอะ คนแก่ล่ะชักเป็นห่วง

“หาทางกลับบ้านได้แล้วเหรอ!”

เด็กหนุ่มวางช้อนลงดังกึก แค่ได้ยินเสียงก็แทบจะกลืนต่อไม่ได้แล้ว เขานั่งตัวตรงพยายามนับหนึ่งถึงสิบ ป้าสมจิตรเดินเข้ามากุมไหล่เขาไว้ บอกให้ใจเย็นๆ ก่อนที่เรื่องจะไปกันใหญ่

“นี่ถ้าแม่ไม่แวะเอาของที่พ่อเขาฝากมาไปให้ที่หอ ก็คงไม่รู้เลยว่าลูกตัวเองทำตัวได้น่าขายหน้าแค่ไหน”
คนถูกว่านั่งฟังนิ่ง แต่มือที่กำอยู่เริ่มสั่นเทา

แม่...รู้แล้ว!

“เงินที่แม่ให้เอาไปไหนหมด ทำไมไม่มีไปจ่ายเขา นี่คงเอาไปเลี้ยงเพื่อน ไปกินเหล้าใช่ไหม ไอ้ที่เกรดเป็นแบบนั้นก็เพราะลูกทำ
ตัวเหลวไหลใช่ไหมเดียร์!!”

“มันไม่เกี่ยวกันเลยนะแม่!!”

“ไม่ต้องมาแก้ตัว!!” อิงดาวขึ้นเสียง เธอโกรธมากที่ลูกชายทำให้ผิดหวัง หากวันนี้ไม่แวะเอาของฝากไปให้ที่หอก็คงไม่รู้ ตอนเธอเคาะประตูแต่คนที่มาเปิดกลับไม่ใช่น้องเดียร์ พอถามรายละเอียดจากป้าเจ้าของ ฝ่ายนั้นบอกว่าให้ลูกของเธอย้ายออกไปแล้ว กว่าชั่วโมงที่ยืนฟังคำบอกเล่าจากปากคนอื่น รู้สึกผิดหวังไม่น้อย แล้วก็ไม่คิดเลยว่าลูกชายจะทำตัวเหลวไหลได้ขนาดนี้
เรื่องนี้เธอยังไม่คุยกับสามี เพราะคิดจะจัดการด้วยตัวเอง

“ผมไม่พูดก็ได้ เพราะพูดไปแม่ก็ไม่เคยฟัง!!”

“มันหนักหนามากเลยหรือเดียร์ กับแค่ตั้งใจเรียนแค่นี้ ทำไมทำไม่ได้ รู้ไหมว่าแม่เสียใจแค่ไหนที่ลูกเป็นแบบนี้” น้ำเสียงเธออ่อนลง แต่ยังคงเจือความโกรธเคือง ผิดหวัง และเสียใจ แต่คนที่เสียใจยิ่งกว่าเมื่อได้ยินคำพูดนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน

“แม่ก็นึกถึงแต่ตัวเอง ไม่รู้หรอกว่าผมรู้สึกยังไง!!” เดียร์หยิบถุงของฝากบนโต๊ะก่อนเดินออกไปจากครัว ได้ยินป้าสมจิตรร้องเรียกตามหลัง แต่เขาไม่สนใจใครอีกแล้ว



เด็กหนุ่มกลั้นน้ำตาเอาไว้ ต้องไม่ร้องไห้ รู้ดีว่าทำตัวไม่เหมาะสม ทำให้คนอื่นผิดหวัง แต่เขาเองไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นใหม่อย่างไร ทุกอย่างเหมือนถึงทางตัน คงเพราะเขาดำเนินชีวิตมาแบบไม่ได้เรื่องเองตั้งแต่ต้น ปลายทางของมันถึงเป็นแบบนี้...


ก่อนออกจากประตูรั้ว เดียร์มองเข้าไปในบ้านอีกครั้ง ความรู้สึกน้อยใจ เสียใจ ผิดหวังก่อขึ้นมาในอก พอทบทวนคำพูดของอาจารย์ในวันนี้ ถึงรู้ว่าตัวเองมันแย่มากแค่ไหน...

สองเท้าเดินไปตามทาง ในหัวคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว มันมืดไปหมดจนบางทีก็อยากจะร้องไห้ แต่ว่าเขาแทบไม่มีเรี่ยวแรงจะหลั่งน้ำตา...


สี่ทุ่มตรง ร้านค้าแถวย่านตลาดนั้นเริ่มปิดแล้ว ชายหนุ่มจอดรถลงข้างถนน เขาเห็นเด็กบางคนนั่งจนตรอกอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ทั้งที่มันก็ดึกมากแล้วคงไม่มีรถสาธารณะคันไหนวิ่งผ่าน เจ้าตัวยังคงนั่งรออยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปเนิ่นนาน ราวกับคนไม่มีที่ไป เขาอดสบถในลำคอไม่ได้ เมื่อสังเกตเห็นอาการเศร้าหมองในดวงตาคู่นั้น


เท่าที่เคยรู้จัก...นั่นไม่ใช่ตัวตนของเด็กคนนั้นเลย 

จนรู้สึกว่าทนมองอยู่เฉยๆ ไม่ได้อีกแล้ว เจ้าของร่างสูงก็เลยตัดสินใจเข้าไปหา ช่วงขายาวหยุดลงตรงหน้า

ดวงตาหม่นหมองไล่มองตามไป แล้วต้องชะงักเมื่อรู้ว่าเป็นผู้ชายคนนั้น...ในนาทีที่เจอหน้ากัน
 
 
 
 
....................


หัวข้อ: Re: Dear to me >> 08 : ตัวเลือกที่ไม่อยากเลือก (14/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 16-02-2018 19:23:41
ใครๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ค้างงงงงงงงง
มาต่อเลยได้มะ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 09 : ไม่อยากให้ใครดูแล (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 17-02-2018 15:04:12
09
ไม่อยากให้ใครดูแล

 



           ใบไม้แห้งกรอบผัดปลิวไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย ไม่ต่างจากความคิดของเขา มันปั่นป่วน ไม่เป็นรูปร่าง ไร้ทิศทาง ไม่รู้ว่าจากนี้ควรเริ่มต้นอย่างไร

           ผ่านไปเนิ่นนานจนบรรยากาศรอบข้างเริ่มสงบ ร้านรวงต่างๆ ทยอยปิดกันไปหมดแล้ว มีแต่เขาที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม บนถนนเงียบสงัด ได้ยินกระทั่งเสียงฝีเท้าของคนที่เดินผ่าน
           ใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้ ช่วงขายาวหยุดลงตรงหน้า ดวงตาหม่นหมองไล่มองตามไป เผลอสะดุดเข้ากับใบหน้าของผู้ชายคนนั้น


...ทันทีที่ได้เจอกัน...


ร่างสูงยืนมองเด็กหนุ่มตรงหน้า เขาเห็นความว่างเปล่าจากดวงตาคู่นั้น อธินไม่ได้พูดอะไร เท่าที่สัมผัส เด็กตรงหน้าคงอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่า และเขาเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่จะยืนรออยู่อย่างนี้ จนกว่าอีกฝ่ายจะหยุดทำเหมือนเขาเป็นธาตุอากาศ แล้วยอมคุยกันให้รู้เรื่องเสียที...


เรื่องราวที่มันเคว้งคว้างเริ่มเด่นชัดเมื่อได้เจอกับคนต้นเหตุ เด็กหนุ่มกระชับถุงกระดาษในมือแน่น มองหน้าผู้ชายที่ตนแสนเกลียด หากจะโทษว่าความโชคร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิต มันเริ่มต้นตั้งแต่เจอไอ้ผู้ชายคนนี้ ก็ไม่ผิดเลย...

 “อยากจะพูดอะไรก็พูด...” อธินอ่านใจเด็กตรงหน้าออก เขากำลังถูกต่อว่าผ่านทางสายตาคู่นั้น ความโกรธทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาเห็นมือของเดียร์ที่กำอยู่สั่นไปหมด ในใจเจ้าตัวคงอยากตะบันหน้าเขาให้แหลกคามือ

เขาไม่อยากยั่วอารมณ์ให้อีกฝ่ายโมโห แต่มันคงดีกว่าถ้าจะระบายออกมาให้หมด หลังจากนี้จะโกรธแค้นกันอีกก็ค่อยว่ากัน

“เดียร์...” ชายหนุ่มลองเรียกชื่อ คนที่สะกดอารมณ์อยู่นาน ในที่สุดความอดทนก็หมดลง

“ไปให้พ้นหน้ากู!!!” สองมือผลักอกผู้ชายตรงหน้าสุดแรง จนร่างสูงเซไปหลายก้าว 

“เพราะมึง!!!”

“รู้มั้ยว่ากูต้องเจอกับอะไรบ้าง กูไม่มีงานไปส่งอาจารย์เพราะไฟล์มันอยู่ในคอมที่พวกมึงเอาไป” เดียร์ยืนตวาดเสียงสั่น นาทีนี้เก็บอารมณ์ต่อไปไม่ได้แล้ว

เขาจำได้ดี ความรู้สึกตอนคนทั้งห้องมองมา สายตาคนพวกนั้นกำลังต่อว่า คงมองว่าเขาไร้ความรับผิดชอบ

ซึ่งมันก็จริง...

“ตอนแม่มาหาที่หอแล้วไม่เจอ รู้ไหมว่ามีคนไปฟ้องอะไรบ้าง!” เดียร์ร้องไห้ นี่เป็นความจริงที่เขาเสียใจที่สุด

“ถึงกูจะทำตัวเหี้ยแค่ไหนนะ กูก็ไม่อยากให้คนที่บ้านรู้ ความผิดกู กูไม่อยากให้ใครมาเสียใจ” เพราะเขาแบกรับความหวังไว้ ต่อ
ให้มันหนักหนาแค่ไหนก็ต้องทำ ทั้งๆ ที่ฝืนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้


“แล้วจะต้องหลบๆ ซ่อนๆ จากไอ้พวกนั้นไปอีกนานเท่าไหร่ เพราะมึง!! ทั้งหมดนี่เป็นเพราะมึงคนเดียว จะเอาไง จะทำอะไรกับชีวิตกูอีก!!!!” 

เดียร์ตะคอกจนสุดเสียง ปล่อยหมดทุกสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจ สองมือผลักคนตรงออกห่าง ไม่อยากเจอหน้ากันอีกแล้ว

“ก็กำลังช่วยอยู่นี่ไง” อธินบอกเสียงอ่อน เขาเริ่มเห็นใจเด็กคนนี้ ทั้งหมดนี่เขาตั้งใจจะรับผิดชอบตั้งแต่แรก ถ้าเจ้าตัวหัดยอมรับและฟังกันบ้าง

ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น แสดงความจริงใจ ถึงแม้เด็กตรงหน้าจะยังไม่ไว้ใจกันก็ตาม

“อยู่นิ่งๆ ก่อนได้ไหม”

“ไปให้พ้น”

“นี่นาย” อธินเห็นรอยเลือดบนเสื้อ จึงส่งสายตาดุๆ เพื่อปรามอีกฝ่าย จากนั้นก็ตรงไปเปิดประตูรถ สั่งอีกคนไปนั่ง  เด็กหนุ่มรู้สึกหน้ามืด พอขยับตัวนิดหน่อยก็เจ็บร้าวไปทั้งร่าง

คนที่ยืนอยู่เห็นท่าทางไม่ดีเลยรีบมาช่วยพยุง ถึงบางคนจะมีอาการต่อต้านอยู่บ้างแต่ก็ไม่รุนแรงเท่าตอนแรกนัก เพราะความอ่อนแอ ปราการที่มีอยู่จึงเริ่มลดลง เดียร์ค่อยๆ หลับตาแล้วเอนหลังพิงลงบนเบาะ ตอนนี้เริ่มกลัวแล้วว่าแผลมันจะอักเสบขึ้นมาจริงๆ
 
 
 
กลับจากหาหมอ เด็กข้างกายก็หลับมาตลอดทาง คงเพราะเหนื่อยมาทั้งวัน ชายหนุ่มยื่นมือไปปลุกเมื่อเห็นว่าใกล้ถึงที่พักแล้ว เดียร์ลืมตาตื่นขึ้นมา พอรถจอดลงหน้าอาคารแห่งหนึ่งก็แปลกใจทันที

“หอพักพนักงาน นายก็อยู่ที่นี่ไปก่อนละกัน”

คนฟังไม่ได้รู้สึกยินดีกับที่อยู่ใหม่ มันเหมือนเป็นการบังคับกันกลายๆ มากกว่า แต่เขาทำอะไรไม่ได้ ตัวเองไม่มีทางเลือกมากนัก

“ค่าเช่าเท่าไหร่?” น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างไม่เป็นมิตร เห็นอาคารที่พักใหญ่โตแบบนี้แล้ว คิดว่าเดือนหนึ่งเขาคงมีเงินเหลือจ่ายไม่มาก

“อยู่ในฐานะคนของฉัน ไม่ต้องจ่าย” คนฟังไม่เข้าใจประโยคนั้น เห็นเขาลงจากรถไปแล้วก็รีบตามไปบ้าง

“หมายความว่าไง”

อธินหันมาช่วยประคองคนเจ็บและพูดอธิบายเพิ่มเติม

“ให้อยู่ฟรี หรือว่านายอยากจะจ่าย?”

เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี ที่นี่มันไกลจากมหาลัยเขามาก แบบนี้ไม่ต้องนั่งแท็กซี่ไปเรียนทุกวันเลยรึไง คิดแล้วมันก็ไม่คุ้มอยู่ดี ถ้าอยากจะหาที่อยู่ใหม่ให้นัก ทำไมไม่หาไอ้ที่มันสะดวกกว่านี้

“ตอนไปเรียนก็ให้คนที่นี่ไปส่งเอา” เขาบอก คิดว่าอีกฝ่ายคงตั้งคำถามอยู่ในใจเป็นแน่ เขาพอจะอ่านสายตานั่นออก



เดียร์ยืนสำรวจภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง เมื่อคนข้างกายบอกว่านี่เป็นห้องนอนของเขา ภายในนั้นตกแต่งไว้อย่างสวยงามเหมือนกับพี่พักในโรงแรม ข้าวของอำนวยความสะดวกครบครัน สมบัติทุกชิ้นของเขาจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ
แม้แต่พวกเสื้อผ้าก็ยังจัดประเภทให้ด้วย ทั้งรองเท้า หมวก กระเป๋า เข็มขัด เครื่องประดับพวกสร้อยต่างๆ เด็กหนุ่มกวาดตามองไปที่เตียงอีกครั้ง เห็นโปสเตอร์ของวง Big Bang ติดไว้บนผนังให้ด้วย เหมือนที่หอไม่มีผิด...


ดูแลรายละเอียดได้ดีจริงๆ...

“อยากได้อะไรก็บอกเชนกับอันนาแล้วกัน สองคนนั้นเขาอยู่ห้องข้างๆ”

ร่างเพรียวบางหันมาปะทะกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหลัง หมอนั่นยื่นกุญแจห้องให้ เมื่อเสร็จธุระแล้วก็กลับออกไป...

เดียร์ยังไม่ได้ขอบคุณเรื่องที่เขาให้ที่พักฟรี แถมยังมีคนคอยไปรับไปส่งให้ เรื่องพวกนี้ไม่น่ายินดีเลยสักนิด สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอิสระมาโดยตลอด ไม่คุ้นเคยกับการอยู่ภายใต้การดูแลของใครแบบนี้ แต่นี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

มันคือความปลอดภัยต่อชีวิตของเขาเอง...นั่นคือสิ่งที่ต้องยอมรับ



………………………………………………….


“ทำได้ดีนี่”

คนฟังมุ่นหัวคิ้ว มองอาจารย์ที่กำลังจดจ่อกับงานของเขา เดียร์แทบจะไม่เชื่อหูตัวเองว่าได้จะยินคำนั้น

“จริงหรือครับอาจารย์”

คนอาวุธโสพยักหน้า

“ถึงจะทำออกมาได้ดี แต่ส่งช้าแบบนี้ก็ต้องโดนตัดคะแนนนะ”

เจ้าของผลงานเกาหัวแกรก แต่ก็ถือเป็นคำชม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับเลยรู้สึกดีใจ ทำตัวไม่ถูก

“ไม่เป็นไรครับ”

“คะแนนเก็บครบแล้ว ที่เหลือก็ไปเตรียมตัวสอบมาให้ดีล่ะ”

“ขอบคุณมากครับ”

เดียร์ยิ้มดีใจอย่างสุดชีวิตตอนเปิดประตูออกมานอกห้องพักอาจารย์ ไม่เคยรู้สึกภูมิใจอะไรได้เท่านี้มาก่อน จะว่าไปแล้วตัวเองก็ไม่ได้โง่ ไม่ได้สมองทึบไปเสียทีเดียวอย่างที่เคยเข้าใจ คราวนี้ต้องยกความดีความชอบให้ผู้ช่วยพิเศษของเขาซะแล้ว

“ว่าไงมึง หน้าบานมาเชียว”

“อาจารย์ยังให้ส่งใช่ไหม?”

“อื้ม แกบอกว่ากูทำได้ดีด้วยว่ะ”

“แหม...มิน่าล่ะ” เนดีใจแทนมันเหลือเกิน เห็นยิ้มอารมณ์ดีแบบนี้ เขาพลอยมีความสุขตามไปด้วย

ได้เวลาแยกย้ายกันกลับ ในระหว่างยืนรอให้คนมารับ เดียร์เหลือบไปเห็นร้านขายซาลาเปาก็เลยนึกขึ้นได้ เจ้านี้ทำอร่อย ป้าแกเปิดร้านตอนเย็นทุกวันแล้วลูกค้าก็แน่นตลอด ว่าจะซื้อไปฝากคนพวกนั้นซักหน่อย

เด็กหนุ่มสั่งไปตามจำนวนคนที่นับได้ สมาชิกในหอที่เขาไปรู้จักมาก็ราวๆ สิบกว่าคน แล้วก็ไม่ลืมสั่งน้ำเต้าหู้ไปเผื่อผู้ช่วยพิเศษที่มาสอนการบ้านให้ ฝ่ายนั้นช่วยอธิบายตำราให้ฟังแบบละเอียดยิบ ขจัดความโง่ของเขาออกไปได้เยอะเลยทีเดียว

ของที่ได้ครบตามจำนวน คนที่มารับจอดรถลงริมฟุตบาธพอดี พอเห็นว่าเป็นรถของโรงแรม เจ้าตัวก็เปิดประตูขึ้นไปนั่งอย่างรู้หน้าที่



รถของโรงแรมเข้ามาจอด ร่างเพรียวบางในชุดนักศึกษาก้าวลงมา ฝ่ายนั้นหิ้วขนมมาเต็มสองมือ ก่อนจะแจกจ่ายให้พวกลูกน้องของเขาที่อยู่แถวนั้น

หึ!! ใจดีจังเลยนะ...


ชายหนุ่มปิดม่านหน้าต่างลงเหมือนเดิม เขาเองก็ได้เวลากลับแล้วเช่นกัน
เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เขาเห็นเชนยืนอยู่พร้อมกับถุงซาลาเปาและน้ำเต้าหู้ พรรคพวกที่เหลือยืนอยู่เต็มลอบบี้ ในมือมีส่วนแบ่งเป็นซาลาเปากันคนละลูกเช่นกัน
ก็คงไม่ต้องถามว่าได้มาอย่างไร


ถ้าเด็กนั่นวางแผนใส่ยาถ่ายกลั่นแกล้งคนของเขาล่ะก็ จะไม่สงสัยเลย
 
 
 

แสงของวันใกล้หมดลง พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ก่อนเบื้องหน้าจะถูกย้อมเป็นสีดำสนิท ชายหนุ่มมองผ่านเลนส์อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่ามุมนี้จะสวยงามที่สุด
แล้วความทรงจำก็ทยอยหลั่งไหลเข้ามา
นานเท่าไหร่...ที่ในภาพถ่ายมีแต่ความว่างเปล่า

พี่คิดถึงเรานะ...

คิดถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น และคิดถึงแสงสวยๆ ของมันยามที่ใกล้พลบค่ำ คิดถึงทุกช่วงเวลาที่มีเราอยู่ด้วยกัน

ว่าแล้วกระบอกตาก็ร้อนผ่าว...ชายหนุ่มละจากภาพตรงหน้า และคิดจะหันหลังกลับ

เขาพยายามแล้วที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง พยายามแล้วที่จะดึงตัวเองกลับมาในโลกของความเป็นจริง

หากวันนี้ได้เจอกัน ปั้นคงแปลกใจว่าทำไมพี่อธินคนนี้ถึงกลายเป็นอีกคนไปแล้ว

เขาไม่ใช่อธินคนเดิมที่เป็นเพียงช่างภาพอิสระ ไม่ใช่ผู้ชายที่ออกเดินทางเพื่อรับถ่ายภาพเวดดิ้งให้คู่รักต่างๆ อย่างที่เคยทำ
เขากลายเป็นนายอธินผู้ที่ต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ สิ่งที่เคยหลีกหนีมาตลอด

วันนี้ไร้ซึ่งอิสระ กลับไปใช้ชีวิตอย่างในอดีตไม่ได้อีกแล้ว มันคือสิ่งที่เขาเลือกผูกมัดตัวเองไว้
เพื่อตอกย้ำให้รู้ว่า นี่ต่างหากคือความเป็นจริง

ช่วงเวลาสั้นๆ ที่มีโอกาสได้ครอบครองความสวยงามของแสงทไวไลท์

ยังคงทำให้นึกถึงรอยยิ้มของใครคนหนึ่ง...ความทรงจำนั้นมีค่าเสมอ

ในวันที่เขาอ่อนแอ



ร่างเพรียวบางของใครคนหนึ่งเดินหอบมาหยุดลงที่ชายหาด เด็กหนุ่มในชุดกีฬาสวมรองเท้าผ้าใบสำหรับวิ่ง ใบหน้าขาวเนียนเป็นสีแดงระเรื่อหลังผ่านการออกกำลังกายมานาน


ฝ่ายนั้นกำลังถอดรองเท้าและเดินลงไปในน้ำ ปลายเท้าสัมผัสกับฟองคลื่นขาว และเจ้าตัวก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น...

ปล่อยให้เวลาผ่านไป

เขาเห็นเด็กนั่นยกหลังมือขึ้นเช็ดบางอย่างบนใบหน้า สายตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่ภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ความห่างไกลทำให้มองไม่ถนัด เมื่อซูมผ่านเลนส์กล้องจึงได้เห็นคราบน้ำตาและดวงตาที่บวมช้ำจากการร้องไห้


มีเรื่องทุกข์ใจอย่างนั้นหรือ...

แสงส้มอ่อนตกกระทบผิวกายขาวผ่อง ใบหน้าหวานแม้กำลังเศร้าสร้อยแต่ก็ดูน่าหลงใหล สีหน้าที่แต่งเติมด้วยอารมณ์ความรู้สึก…


กว่าจะรู้ตัวก็เผลอกดชัตเตอร์ไปหลายภาพแล้ว โดยที่อีกฝ่ายไม่รู้ตัว...









------------------------------------------------
อธินแอบมองน้องนี่หว่าาาา นิสัยไม่ดีโว้ยยย!!!!!!

 :katai4:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 09 : ไม่อยากให้ใครดูแล (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: สาว801 ที่ 17-02-2018 20:00:06
พึ่งอ่านไปบทเดียวแต่ปักไว้ก่อนนะคะ  :man1:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 09 : ไม่อยากให้ใครดูแล (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 17-02-2018 22:48:56
พี่อธินหลงน้องไม่รู้ตัวอ่ะจิ อิอิ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 09 : ไม่อยากให้ใครดูแล (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-03-2018 07:56:46
จะมายังน่ะ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 09 : ไม่อยากให้ใครดูแล (17/02/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 30-03-2018 00:43:44
สงสารทั้งคู่เลย แต่สงสารพี่อธิน เรายังอินกับความรักของเขากับปั้นอยู่เลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 10 : นิสัยที่แก้ไม่หาย (18/04/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 18-04-2018 16:36:24
 
10
นิสัยที่แก้ไม่หาย
 

 
 
            วันนี้วันหยุด เดียร์ตั้งใจจะออกไปหาซื้อโทรศัพท์ใหม่สักเครื่อง ตั้งแต่ที่โดนฉกกระเป๋าไปครั้งนั้นเขายังไม่ได้ซื้อใหม่เลย โชคดีที่พ่อโอนเงินมาให้ วันนี้เลยได้โอกาสออกไปเที่ยวบ้าง

เด็กหนุ่มหยิบเสื้อตัวโปรดมาสวม ตามด้วยกางเกงยีนสีดำกับรองเท้าผ้าใบเข้าชุด พอแต่งตัวเสร็จก็เดินออกไปรอรถแถวถนนใหญ่ ต้องใช้เวลาเดินทางตั้งครึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงในตัวเมือง แม้ว่าที่อยู่จะสุขสบายอย่างไร แต่มันก็ยังเป็นปัญหาสำหรับเขาอยู่ดี

บ่ายสอง แดดด้านนอกกำลังร้อนได้ที่ ระหว่างรอรอบหนัง เดียร์ตัดสินใจเข้าไปนั่งกินไอติมในร้าน โทรไปหาไอ้ภูกับไอ้เนด้วยเบอร์ใหม่

ไม่มีใครรับสายสักคนเจ้าตัวเลยได้แต่นั่งเซ็ง

...


มือหนาถอดแว่นกันแดดออก ยื่นไฟล์งานให้กับเจ้าของร้านที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าเคาน์เตอร์ อีกฝ่ายงงงันเล็กน้อยในการปรากฏตัวของเขา พอเห็นหน้าชัดเจนก็ร้องทักขึ้นมาทันที

“ไม่เจอกันตั้งนาน นึกว่าเลิกถ่ายรูปไปแล้วซะอีก”

“ไม่เลิกง่ายๆ หรอก” ร่างสูงยิ้มตอบ ส่งแผ่นซีดีภาพในมือให้ช่างไปอัดใส่กรอบใหญ่ให้ ฝ่ายนั้นขอเวลาตรวจสอบไฟล์งานป้องกันการผิดพลาด พอเปิดเจอคนในรูปก็จดจำได้ทันที

“ยังหวานไม่เปลี่ยนเลยนะ” ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มเบาๆ ไม่ปฏิเสธ ไม่อยากบอกความจริงที่กระทบความรู้สึกตัวเองออกไป ว่าคนที่เห็นในรูปน่ะ ที่จริงเลิกกันไปนานแล้ว แต่เขายังทำเหมือนมันเป็นปกติ ทั้งที่ไม่มีอะไรเหมือนเดิม...

พอออกจากร้าน ร่างสูงแวะซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตใกล้ๆ เลือกของสดมาทำกับข้าวตอนเย็น เพราะตั้งใจจะค้างที่คอนโดเก่า เลยบอกเชนกับอันนาไปว่าไม่ต้องคอยติดตาม หากต้องการอะไรเร่งด่วนเขาจะเป็นฝ่ายโทรไปหาเอง

เพราะต้องการเวลาเป็นส่วนตัว...หนีจากปัจจุบันที่วุ่นวาย
 

คอนโดใจกลางเมืองหอมกรุ่นไปด้วยอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ร่างสูงหยิบจับข้าวของในครัวอย่างทะมัดทะแมง เขาจัดแซลมอนย่างซีอิ้วลงบนจาน ตามด้วยน้ำซุปสูตรพิเศษที่นานแล้วไม่ได้ลงมือทำ

ตั้งแต่อยู่คนเดียวก็ไม่เคยได้เข้าครัวอีกเลย และรสชาติอาหารตอนที่มีใครอีกคนช่วยทำ มันคงจะแตกต่างจากตอนนี้...

ร่างสูงมองดูจำนวนกับข้าวที่วางเรียงรายเต็มโต๊ะ หลังนึกขึ้นได้ว่าที่แห่งนี้มีเพียงแต่เขาคนเดียวเท่านั้น


มันอาจจะเกิดจากความเคยชิน เมื่อครั้งที่เราสองคนยังอยู่ด้วยกัน


.....



เด็กหนุ่มเดินออกจากโรงหนังทั้งน้ำตาซึม เขาร้องไห้ไปตั้งหลายฉาก ยิ่งตอนพระเอกบอกรักนางเอกหลังจากตามหากันมาตั้งนาน ตอนนั้นเขาอินที่สุด เดียร์สูดลมหายใจเข้าลึก รีบเช็ดคราบน้ำตาเมื่อเจอแสงไฟสว่างด้านนอก เหลือเวลาอีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าคลับจะเปิด ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดินฆ่าเวลาไปก่อนแล้วกัน





อธินออกมาเดินถ่ายรูปตามตรอกซอยต่างๆ เขาเดินเรื่อยไปจนถึงถนนคนเดิน ยังจำร้านกาแฟที่เคยนั่ง มันเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาได้เจอปั้น ฝ่ายนั้นกำลังเดินเลือกซื้ออะไรบางอย่าง


ความประทับใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังหลงเหลือ ในระหว่างที่เขากำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศบนถนนเก่าๆ ถัดออกไปไม่ไกล ได้ยินเสียงคนทะเลาะดังแว่วมา


ผู้คนเริ่มมุงดู แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปห้าม ชายหนุ่มคิดว่าคงเป็นการทะเลาะกันแบบธรรมดา แต่ผิดคาดเมื่อได้ยินคนแถวนั้นกรีดร้องว่าเห็นเลือด


“เข้ามาสิวะไอ้โง่ หาเรื่องดีนัก คิดว่ากูไม่กล้ารึไง!”


เสียงต่อมาที่ได้ยินค่อนข้างคุ้น อธินยืดตัวมองข้ามศีรษะคนแถวนั้นไป และเมื่อเห็นใบหน้าเจ้าของเสียงชัดเจน เขาถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออก


แผลเก่าเพิ่งจะหาย  ไอ้เด็กคนนี้นี่มัน!


“จำหน้ากูไว้ให้ดี คราวหลังอยากมีเรื่องก็เชิญเลย ไอ้ห่า!!” คนขี้ใจร้อนด่าตามหลังเป็นวรรคเป็นเวร รำคาญไอ้พวกขี้แพ้นี่เหลือเกิน วิ่งหางจุกตูดไปนู่น เขาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟตอนมันบอกว่าจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องลูกพี่มัน ด้วยความโมโหก็เลยท้ามันไป


“ไอ้พวกขี้ขลาด!!” คนชนะยังไม่เลิกด่า พลางปัดฝุ่นที่เสื้อออก ไม่ได้สนใจว่าคนจะมุงดูเยอะแค่ไหน เพราะไม่เคยแคร์ใครอยู่แล้ว

อยู่ดีๆ แขนเรียวก็ถูกกระชากออก ร่างเพรียวบางเซไปตามแรงใครคนหนึ่ง ซึ่งฝ่ายนั้นกำลังมองมาอย่างขุ่นเคือง


“มานี่เลย” อธินกระชากแขนไอ้ตัวดีที่ยืนเด่นเป็นจุดสนใจ ให้ออกห่างจากสายตาผู้คน ท่าทางจะเกินเยี่ยวยาแล้วจริงๆ ไม่เคยเจอใครทำตัวได้น่าขยาดเท่านี้มาก่อน

“เกี่ยวไรด้วยเนี่ย?”

“ยังไม่สำนึกอีกว่าทำอะไรลงไป” ตำหนิเสียงแข็ง ร่างสูงยืนมองคนตัวเล็กกว่าที่เริ่มหันมาพาลใส่เขาอีกคน

“จะด่าก็ไปด่ามันโน่น ฉันไม่ผิด!!” เด็กตรงหน้ายังไม่ยอมแพ้ ยื้อแขนตัวเองกลับอย่างดื้อดึง อธินยอมรับว่าตัวเองกำลังปวดหัวมาก ไม่
เคยรับมือกับอะไรที่จัดการยากเช่นนี้เลย

“แล้วความอดทนน่ะมีบ้างไหม?”

ดวงตากลมโตคู่นั้นตวัดมองมาอย่างไม่ชอบใจ สุดท้ายคนที่ต้องเป็นฝ่ายยุติสงครามนี้ก่อนคือเขาเอง คนที่ควบคุมตัวเองได้มากกว่าและอายุมากกว่า สรุปแล้วไม่ควรจะไปต่อปากต่อคำกับคนแบบนี้ตั้งแต่แรกสินะ

เมื่อโดนตำหนิก็ไม่อยากอยู่นาน เดียร์กลับเข้าไปในถนนคนเดินอีกรอบ ร่างสูงมองตามร่างนั้นแล้วได้แต่ภาวนา

ขออย่าไปสร้างปัญหาที่ไหนอีกแล้วกัน...

 


 
“มันอยู่ไหน ไอ้ตัวที่มันมาหาเรื่องมึงน่ะ”

“ทางนั้นลูกพี่ ผมเห็นมันเดินไป”

“เจอกูแน่ ให้มันรู้ว่าถิ่นใคร ไปเว้ย”

อธินบังเอิญได้ยินบทสนทนาของผู้ชายกลุ่มหนึ่งพอดี พวกมันกำลังมองหาตัวต้นเหตุ ถ้าไม่เข้าไปยุ่งก็คงไม่ได้แล้ว หากเด็กนั่นเกิดฮึดขึ้นมาด้วยครั้งนี้คงรอดยาก เขาคร้านจะส่งใครเข้าโรงพยาบาลอีก

“พี่มันอยู่นั่น”

“ไหนวะ?”

“ตัวขาวๆ ใส่เสื้อสีดำ”

“เฮ้ย พวกมึง ตาม!!

สิ้นเสียงหัวหน้า พวกที่เหลือก็รีบพุ่งเข้าไปทันที แต่ใครอีกคนไวกว่า เมื่อเจอตัวเจ้าปัญหาก็รีบฉุดข้อมือให้วิ่งตาม ตอนแรกเดียร์ก็โวยวายลั่น พอหันไปเจอพวกที่ตามมาด้านหลัง ก็กลายเป็นให้ความร่วมมือ

“ทางนี้!!” ชายหนุ่มหักเลี้ยวตรงซอยด้านหน้า เขารู้ว่ามันจะไปทะลุตรงตลาดเก่า ตอนกลางคืนพวกพ่อค้าแม่ค้าจะปิดร้าน พวกเขาคงพอหาที่ซ่อนตัวได้บ้าง อธินเป็นห่วงกล้องถ่ายรูปกับเลนส์มากกว่าสิ่งใด เกิดทำหลุดมือคงเสียดายไม่น้อย เขารีบวิ่งนำไปในซอย ในที่สุดก็เจอร้านที่พอจะหาที่ซ่อนได้

“เข้าไป” เสียงเข้มสั่ง ส่วนตัวเองก็มองหาที่เก็บกล้องถ่ายรูป

“อะไรนะ!!”

“ลอดเข้าไปใต้ตู้”

“มันแคบนะเว้ย” เดียร์มองอย่างพินิจ ชั้นวางของพวกนี้มันเก่า ไม้ก็ผุ เกิดเข้าไปแล้วมันร่วงใส่จะทำยังไง

“เข้าไป!!” เขาสั่งซ้ำ สายตาดุดันมองอีกฝ่ายที่เริ่มทำตัวยุ่งยาก เดียร์เห็นแล้วก็ไม่กล้าขัดใจกันอีก เพราะสัมผัสได้ถึงความจริงจังผ่านทางดวงตาคู่นั้น

เด็กหนุ่มทำตัวลีบแล้วหมอบลง ก่อนจะคลานเข้าไปในช่องนั้น บนพื้นมีฝุ่นจับเต็มไปหมด คับแคบจนหายใจไม่ออก ยังไม่ทันปรับตัวได้อีกฝ่ายก็สอดตัวเข้ามา แถมยังเบียดกันจนอึดอัด

“อย่าเบียดดิ” คนมันร้อน พอทนอยู่ในสภาพนี้นานๆ ก็หงุดหงิด ผู้ชายตัวใหญ่มาเบียดกันในที่แบบนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย เขาเริ่มขยะแขยงเมื่อรู้สึกเหมือนมีแมลงกำลังไต่อยู่ที่ข้อเท้า แล้วคนตัวเล็กกว่าเริ่มอยู่ไม่นิ่ง

“มันอยู่ไหน?”

“กูเห็นมันวิ่งมาทางนี้”

“หาให้ทั่ว”

แว่วเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา อธินตัดสินใจพลิกกายเข้าชิด ก่อนที่จะมีใครโวยวายร้องลั่นแล้วทำความแตก โชคดีที่เขาปิดปากไว้ทัน
เดียร์อยากบีบคอไอ้หมอนี่ให้ตายคามือ น้ำหนักตัวกว่าครึ่งที่ทิ้งลงมาบนร่างของเขา กำลังจะทำให้ขาดอากาศหายใจตาย ร้อนก็ร้อน มืดก็มืด เขาดิ้นขลุกขลักให้คนด้านบนขยับตัวออกห่าง รู้สึกทรมานยิ่งกว่ามีแมลงร้อยตัวมาไต่บนร่างกายเสียอีก

เสียงหัวใจเต้นตึกตัก ไม่รู้ว่าตื่นเต้นเพราะกลัวหรืออะไรกันแน่...

“อย่าให้เจอนะมึง”

เสียงพวกมันวนเวียนอยู่หน้าร้าน คนที่แอบอยู่ด้านในนิ่งเงียบราวกับจะหยุดหายใจ อธินใช้ข้อศอกยันกับพื้นเพื่อผ่อนน้ำหนักตัวให้คนใต้ร่าง สังเกตสีหน้าหงุดหงิดเพราะความทรมานของเด็กตรงหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองตาม

เพิ่งรู้ว่าดวงตากลมโตคู่นั้นกำลังมองเขาอยู่เช่นกัน 

เมื่อใกล้ ก็ยิ่งมองอะไรชัดขึ้น ท่ามกลางแสงที่ยังไม่มืดสนิทร่างสูงยังไม่หยุดสำรวจเด็กตรงหน้า และดวงตาคู่นั้นก็ยังมองเขาไม่ลดละเช่นกัน คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น เจ้าตัวขบริมฝีปากจนเป็นเส้นตรง

รอบกายเริ่มสงบลงแล้ว แต่ชายหนุ่มยังไม่หยุดทำอะไรตามใจตัวเอง...

หัวใจเต้นรัว เพราะเดาไม่ถูกว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น ร่างที่นอนนิ่งอยู่เบื้องล่างได้แต่หลับตาแน่นเมื่อสัมผัสถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่บริเวณซอกคอ

ก่อนที่ริมฝีปากจะถูกครอบครองโดยที่ไม่รู้ตัว

“อื้อ!” ยิ่งดิ้นรนก็เหมือนเปิดจังหวะให้คนตรงหน้าฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้น จูบครั้งนี้ไม่เหมือนคราก่อน เมื่อลิ้นอุ่นๆ พยายามสอดแทรกเข้ามา คนที่เผลอร้องท้วงเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกซ้ำสอง

เสียงหัวใจเต้นรัวเร็วกว่าเดิมเพราะความรู้สึกแปลกประหลาดที่กำลังเกิดขึ้น...

ความรู้สึกที่ตัวเองไม่เคยมี...และอยากรู้จักมันให้มากกว่านี้

จูบอ่อนโยนสลับความหนักหน่วงเป็นครั้งคราว คนชักนำรู้จักผ่อนปรนให้กันเป็นระยะ เปิดโอกาสให้โต้ตอบกันและกัน คนต่อต้านไม่รู้ตัวว่าเผลอใจไปกับจูบอันตรายนั่นแล้ว เมื่อสองมือที่ผลักไสในตอนแรกเปลี่ยนมาขยุ้มตัวเสื้อของอีกฝ่าย สองร่างขยับแนบชิดกันมากขึ้น

“อือ...” เสียงหอบหายใจตอนคนด้านบนผละออกจาก ก่อนใบหน้าคมเข้มจะจูบซ้ำลงมาอีกหนอย่างหยอกเย้า เรียวปากบางสวยชื้นไปด้วยคราบน้ำลาย มือเรียวตั้งใจจะเช็ดออก แต่ชายหนุ่มกลับรวบรั้งมันไว้ เขามองใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยอารมณ์หลากหลายนั้นอย่างพอใจ เด็กใต้ร่างทั้งโกรธ ทั้งอาย ที่เผลอใจคล้อยตามจูบของเขา อธินพอใจที่ตัวเองเป็นฝ่ายทำให้แก้มขาวๆ นั้นเป็นสีระเรื่อ ดวงตาที่พยศใส่ตลอดเวลา พวกต่อต้านแบบนี้เขาชอบท้าทายด้วยที่สุด

เมื่ออารมณ์สิ้นสุดลงแล้วเดียร์ถึงได้รู้ว่าตัวเองทำเรื่องน่าอายไป

ไอ้หมอนี่ทำเรื่องเฮงซวยกับเขาตั้งสองครั้ง! น่าโมโหชะมัด

อธินออกมาจากที่ซ่อน เขาโทรบอกเชนให้ตามมา แต่ยังไม่ทันวางสาย ไอ้พวกนักเลงที่คิดว่าไปกันหมดแล้วกลับย้อนเข้ามา

“เฮ้ย!!! มันอยู่นั่น”

“รีบตามไป”

ชายหนุ่มคว้าแขนอีกคนออกจากที่ซ่อน วิ่งกลับไปยังถนนคนเดิน ลากอีกคนเข้าไปในร้านขายชุดคอสเพลย์ เห็นวิกผมบนหุ่นโชว์ขายเต็มไปหมด ก็เลยนึกอะไรขึ้นได้

“อะไร?”

“เปลี่ยนชุด” เขาเลือกไม่นานก็เจอแบบที่น่าจะใส่ง่าย แล้วส่งไปให้อีกฝ่าย เด็กนั่นทำหน้างงพลางย้อนถาม เขามีเวลาอธิบายไม่มาก ในระหว่างนั้นก็มองหาชุดของตัวเองไปด้วย

“ว่าไงนะ!”

“รีบๆ เข้า หรือจะรอให้มันแห่กันมา” ชายหนุ่มเหลือบมองไปนอกร้าน เห็นพวกมันคนหนึ่งวิ่งผ่านไปไม่ได้สนใจทางนี้ ก่อนที่พรรคพวกที่เหลือจะตามมา อย่างไรเสียพวกเขาสองคนต้องรีบสลัดคราบเดิมทิ้งก่อน

ถ้าอยากเอาตัวรอดจากพวกมันก็มีแต่วิธีนี้เท่านั้น

“แล้วทำไมฉันต้องแต่งเป็นผู้หญิงด้วยวะ” คนอารมณ์ไม่ดีจากเหตุการณ์ที่แล้วเริ่มหัวเสีย เมื่อมองชุดนักเรียนผู้หญิงในมือ เขาเป็นผู้ชายให้ทำอะไรแบบนี้เหมือนดูถูกกันชัดๆ

“จะแต่งไม่แต่ง” อธินถอดเสื้อตัวเดิมทิ้ง เขาใส่เสื้อสีขาวตามด้วยเสื้อนอกทับอีกตัว เป็นเครื่องแบบของนักเรียนผู้ชาย ร่างสูงสำรวจตัวเองในกระจก ใส่แบบนี้แล้วกระชากวัยดีเหมือนกัน

“ไม่โว้ย” ในขณะที่เด็กตรงหน้ากำลังโวยวาย เขาเองที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็เลยต้องอธิบายให้ฟังว่าทำแบบนี้เพราะอะไร ถ้าคืนนี้อยากกลับบ้านแบบปลอดภัยล่ะก็ คนก่อเรื่องไม่มีสิทธิ์เรื่องมาก

อธินยิ้มกริ่ม ยืนมองอีกคนทำสีหน้าบึ้งตึงเมื่อถูกแม่ค้าในร้านจับใส่ชุดนักเรียนนานาชาติแบบผู้หญิงให้

“อยากแต่งก็แต่งไปคนเดียวสิวะ”

“อย่าเรื่องมาก รีบๆ ใส่เข้าไป” ร่างสูงเอาวิกผมยาวในมือของแม่ค้าสาวสวยวางลงบนหัวของเด็กขี้โวยวายทันที ไม่ฟังเสียงร้องท้วง เขาแอบสะใจนิดๆ ที่มีโอกาสได้ทำอะไรแบบนี้ ถือเป็นการเอาคืนที่แสนคุ้มค่า

“มาใส่เองไหมล่ะห้ะ” อีกฝ่ายยังทำหน้ายุ่งไม่เปลี่ยน อธินจ่ายเงินให้ทางร้านเรียบร้อยก็พาอีกคนออกจากร้าน ยังไม่ลืมโอบเอวบางๆ ของเด็กหนุ่มในร่างสาวน้อยไว้หลวมๆ ให้สมบทบาทคนเป็นแฟนกัน ถึงเจ้าเด็กดื้อข้างๆ จะขัดขืนกันอยู่ตลอดเวลาก็เถอะ

“อย่าให้เจอนะพวกมึง!”
พวกมันหลายคนยังวนเวียนอยู่ในงาน อธินลากตัวคนพยศไปแวะซื้อไอติมแถวนั้นกินระหว่างรอเชนกับอันนามาถึง พอได้ไอติมแล้วก็พาเด็กตัวดีไปนั่งฟังดนตรีสดด้วยกัน

“ฉันไม่อยากนั่ง”

“ฉันเองก็ไม่อยากวิ่งหนีแล้ว” อธินบอกต่อไปว่าในระหว่างรอให้คนของเขามาถึง ถ้าไม่อยากถูกจับได้ก็ให้ทำตามที่เขาสั่ง คนไม่มีสิทธิ์เลือกก็ได้แต่นั่งหน้าบูด เพราะขัดอะไรไม่ได้เลย

“อ้าปาก”

“ไม่กิน”

เมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมร่วมมือเขาก็จัดการเปิดปาก มือหนาบังคับปลายคางไว้ แล้วจัดการตักเนื้อไอติมก้อนใหญ่เข้าไปทันที
แบบนี้สิค่อยสมบทบาท ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นรอยเลอะบนแก้ม

“อร่อยล่ะสิ” คนถามหน้าตายิ้มแย้ม อารมณ์สวนทางกับคนถูกบังคับเหลือเกิน

เดียร์ได้แต่ก่นด่าในใจเมื่อเห็นหมอนั่นยิ้มอย่างคนมีความสุขที่ได้แกล้งเขา สาบานว่าจบงานนี้ไป จะเอาคืนให้สาสม!!!

หลังจากนั้นไม่นานเชนก็โทรมาหา พวกเขารีบเดินออกไปยังลานจอดรถ พอลูกน้องเห็นพวกเขาสองคนในสภาพนี้ก็ร้องทักด้วยใบหน้าที่พยายามกลั้นหัวเราะแบบสุดๆ

“เล่นอะไรกันครับ ทำไมแต่งตัวแบบนี้”

“เหอะ!” เดียร์ปลดวิกผมออก แล้วรีบขึ้นไปนั่งบนรถ

“ฉันมีนัดต่อ...ฝากพวกนายสองคนด้วยนะ”

เชนรับคำ ก่อนเขาจะขับออกไป ประตูด้านหลังก็เปิดออก

“อย่าไปก่อเรื่องที่ไหนอีกล่ะ นายไม่ได้โชคดีแบบนี้ไปทุกครั้งหรอกนะ” อธินบอกเพียงเท่านั้น สีหน้าจริงจังของเขาแสดงออกถึงความห่วงใย เดียร์ได้แต่ฟังนิ่ง ในใจยังโมโหเรื่องที่หมอนั่นทำไว้ไม่หาย

แต่ก็แปลกที่ตัวเองกลับรู้สึกดีขึ้นมา...เพราะประโยคที่รู้สึกได้ว่ามีคนเป็นห่วง









.......................................
 :katai4: :katai3:

แกล้งน้องทำไมมมมมม
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 11 : เมา (18/04/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 18-04-2018 17:16:46
11
เมา
 
 
 
 
“คุณชายเดียร์ เมื่อเช้าใครมาส่งมึงวะ”

“คนที่บ้าน” ฝ่ายนั้นบอกปัดอย่างรำคาญ แต่คนสงสัยก็ยังไม่เลิกสงสัย

“ไม่ใช่รถแม่มึงนี่หว่า”

“เอ้ะ!มึงนี่!”

เดียร์ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน ขี้เกียจเล่าความเป็นมาให้มันฟัง จึงโกหกว่าเขาย้ายไปอยู่ที่บ้านกับแม่ แต่แทนที่จะสิ้นเรื่อง พวกมันก็ยังไม่หยุดสงสัยกันนี่สิ เขาล่ะกลัวความแตก

“หงุดหงิดใส่กูเพื่อ!”

“พูดมาก รำคาญ!”

“เอ้า ผิดอีก!”

ในขณะที่สามหนุ่มกำลังวุ่นวาย ใครคนหนึ่งที่ห่างหายไปนานจากพวกเขาก็เดินเข้ามา หญิงสาวรุ่นเดียวกันมองหาจังหวะเพื่อจะเข้ามาทักทาย และการปรากฏตัวของเธอในเช้าวันนี้ ก็ทำให้บทสนทนาในกลุ่มค่อยๆ เบาลง พร้อมกับบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกอึดอัด

“เดียร์ ขอคุยด้วยหน่อยสิ” เสียงหวานใสหยุดการสนทนาของสองหนุ่ม ส่วนเจ้าของชื่อก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้

“เอ่อ...แพร...”

“ตอนนี้ว่างใช่ไหม?”

คนถูกถามหันไปมองอารักษ์ขาทั้งสองที่ช่างให้ความร่วมมือกันดีเหลือเกิน พวกมันพยักเพยิดไปว่าคาบนี้อาจารย์แค่สั่งงาน ก่อนจะพากันเดินออกไปเหมือนรู้หน้าที่

“นายได้อ่านข้อความบ้างรึเปล่า?” เมื่อเหลือแค่เพียงสองคน เธอก็เปิดประเด็นเก่าๆ ที่ยังค้างคาขึ้นมาทันที หลังจากตกลงกันไปว่าให้ต่างคนต่างอยู่สักพัก ดูเหมือนว่าคนตรงหน้าจะขาดการติดต่อไปเลย

“เอ่อ พอดีว่าโทรศัพท์หายน่ะ เราก็เลย...” เจ้าตัวยิ้มแห้ง พอเห็นอีกคนเงียบไป ได้แต่สำนึกว่าไม่ควรพูดอะไรไปตอนนี้

“จำที่เดียร์เคยถามได้ไหม ว่าทำไมเราสองคนถึงทะเลาะกันบ่อยๆ” อีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้เขาตอบ ก็ชิงสรุปไปเสียก่อน

“นั่นก็เพราะเราไม่เคยเข้าใจกัน” เธอมองตาเขานิ่ง สื่อชัดเจนว่าประโยคนั้นหมายถึงอะไร

เดียร์รู้...ว่าเป็นเพราะเขาเองที่ไม่เคยพยายาม

เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงแต่ก้มหน้า...รอฟังสิ่งที่เธอจะพูด

“ที่ตกลงว่าลองห่างกันดูสักพัก มันทำให้เข้าใจอะไรเยอะขึ้น เราคิดดีแล้วว่าแบบนี้น่าจะดีที่สุดสำหรับเราสองคน” เหมือนแพรนิ่งไป เธอสูดลมหายใจลึก และพูดประโยคหนึ่งออกมา

“กลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะ”

เขาได้ยินคำนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ใจมันชาไปหมด เขามีบางคำอยากจะพูดออกไปเช่นกัน แต่พอเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของหญิงสาว...ความรู้สึกที่อยากรั้งความรักครั้งนี้ไว้ก็หลุดลอยไป

ที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นกับเขามากมาย ชีวิตยุ่งเหยิงจนทำให้ลืมว่าตกลงอะไรกับเธอไว้ ก็สมควรแล้วที่เธอจะเข้าใจเขาเช่นนี้

“ถ้าแพรคิดว่าแบบนั้นมันดี เราจะขัดอะไรได้ล่ะ”

ถ้าเธอสังเกตดีๆ ก็คงเห็นว่าร่างกายของเขากำลังสั่นเทา

“ขอบใจที่เข้าใจนะ”

อีกแล้ว...ทำให้คนอื่นเสียใจอีกแล้ว...

เป็นครั้งที่เท่าไหร่ที่ถูกตัดความสัมพันธ์ เดียร์คิดอะไรไม่ออก ทั้งที่คิดว่าการเป็นเพื่อนกันมาก่อนจะทำให้เข้าใจกันมากกว่าแท้ๆ แต่ก็ล้มเหลว

ก่อนจะต้องการให้ใครสักคนมารัก เขาควรถามตัวเองว่ารู้จักความรักหรือเปล่า ทั้งที่ต้องการมันเช่นกันแต่ก็ไม่รู้จักวิธีแบ่งปันให้คนอื่น

เดียร์ไม่โกรธคนที่จากไป ไม่เคยรั้งใครไว้...

แม้ครั้งนี้ไม่ได้ร้องไห้เหมือนที่ผ่านมาแต่ความเจ็บปวดที่ได้รับ ไม่ได้ลดน้อยลงเลย...

หากลองทบทวนตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงวันนี้ ก็จะรู้ว่าผิดพลาดอะไรไป

เดียร์ยินดีที่มีคนมาชอบ และเปิดโอกาสให้ทุกคนที่ชอบเขาได้เข้าหา หากเราสองคนไปด้วยกันได้ ก็ไม่ลังเลที่จะคบกัน
แต่กฏเกณฑ์ของความรัก ไม่ใช่แบบนั้น...

เพราะกลัวความผิดหวัง กลัวจะเสียใจ ความรู้สึกในวันที่ถูกปฏิเสธยังวนเวียนอยู่ จึงไม่กล้าให้ใจใครก่อน เท่านั้นเอง...

เหมือนแพรเดินจากไปนานแล้ว และทิ้งความรู้สึกผิดหวังในตัวเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามา เดียร์ยืนอยู่ที่เดิม เฝ้า
คิดอะไรเรื่อยเปื่อย

หรือคนอย่างเขา...ไม่สมควรที่จะได้รับความรัก
 
 

...
 

 
ร่างสูงยืนอยู่ริมหน้าต่างห้องทำงาน สายตาสะดุดเข้ากับรถของโรงแรมที่ปกติจะมีใครบางคนลงมาด้วย อธินไม่ได้ติดใจอะไร คิดว่าเด็กคนนั้นคงมีงานสำคัญต้องทำ เดี๋ยวก็คงหารถกลับมาเอง เขากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง จากนั้นก็ลงไปดูความเรียบร้อยที่คลับ คืนนี้มีปาร์ตี้พิเศษของโรงแรม เขาเลยได้โอกาสชวนเพื่อนสนิทมาด้วย
 
แสง สี เสียงอัดแน่นเต็มรูปแบบ ซันคลับเปิดบริการทุกวันจันทร์และทุกวันพิเศษของเดือน เวลาสองทุ่มกว่าๆ แขกเริ่มทยอยมา เสียงดีเจประจำคลับกล่าวทักทายลูกค้าเป็นภาษาอังกฤษ ที่นั่งเริ่มถูกจับจอง จากพื้นที่โล่งๆ ไม่นานก็เต็มไปด้วยผู้คน
ร่างสูงยืนต้อนรับกลุ่มเพื่อนที่เพิ่งจะเดินทางมาถึง รถของโรงแรมมาส่งพวกเขาด้านหน้าคลับ อธินเห็นเจนนี่ใส่ชุดสวยกำลังโบกมือมาแต่ไกล

หญิงสาวร้องทัก เมื่อเห็นบรรยากาศภายใน เธอสะดุดตาแชนเดอเลียคริสตัลกลางโถงใหญ่นั่นเหลือเกิน ของตกแต่งภายในหรูหราและทันสมัย มีมุมบิลเลียดสำหรับพวกอยากทดลองฝีมือด้วย บนฟลอร์กลางห้องติดไฟสว่างไว้ หากใครเข้าไปยืนตรงนั้น รับรองว่าเด่นไปทั้งงาน ทุกอย่างออกแบบมาเฉพาะสำหรับนักท่องราตรี สมกับเป็นโรงแรมห้าดาวจริงๆ

“เยี่ยมไปเลย!" หญิงสาวร้องบอก

“ตามสบายนะ ฉันอยู่แถวนี้” เขาบอกทุกๆ คน ก่อนเดินออกไป แต่เจนนี่ที่นึกอะไรขึ้นมาได้ก็รีบรั้งไว้

"พอดีฉันชวนเพื่อนมาด้วยน่ะ ไม่เป็นไรใช่ไหม โทษทีไม่ได้บอกกันก่อน”

เขาไม่ได้ว่าอะไรที่จะมีคนมาเพิ่ม เมื่อเห็นหลายคนกำลังสนุกอยู่กับดนตรี อธินก็เลยขอแยกออกไป ร่างสูงเลือกที่นั่งริมบาร์ แม้ว่าจะชวนเพื่อนมาด้วย แต่เขาอยากอยู่ในโลกส่วนตัวมากกว่า แค่ได้ยินเสียงเพลงก็พอแล้วจะได้ไม่รู้สึกเหงา



 
“ที่ว่าให้อยู่ฟรีน่ะ หมายถึงดื่มฟรีด้วยรึเปล่า?”

เสียงที่ได้ยินใกล้ๆ ค่อนข้างคุ้นหู ร่างสูงเหลือบมอง เห็นใบหน้าเศร้าสร้อย ไม่รู้ว่าหมอนี่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เท่าที่เห็นยังอยู่ในชุดนักศึกษา เดาได้เลยว่าเพิ่งกลับมาถึงแน่ๆ

“ทำไมไม่เปลี่ยนชุดก่อน”

“ผิดกฎด้วยเหรอ?” ฝ่ายนั้นย้อนถามอย่างไม่แคร์

อธินน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่าต่อให้พูดดีอย่างไรมันก็ไม่เคยได้ผล เจ้าเด็กที่ว่าไม่เคยยินยอมผูกมิตรกับเขาสักครั้ง หากนับรวมเหตุการณ์ที่ผ่านมา เข้าใจได้ไม่ยากว่าเจ้าตัวจะรู้สึกกับเขาอย่างไร

ก็คงไม่น้อยไปกว่าเกลียด...
 
 
ดวงตาคมกริบมองตามแผ่นหลังของคนที่ขยันสร้างปัญหาหายเข้าไปในกลุ่มคน คืนนี้อยู่ในโรงแรมของเขา...คิดว่าคงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก่อนจะละสายตาและกลับมาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้อารมณ์พาตัวเองกลับสู่วันคืนในอดีต

ตอนที่มีใครอีกคนข้างกาย...

“ชวนคนอื่นมาสนุก แต่ตัวเองกลับมานั่งหลบอยู่ตรงนี้นี่นะ ไม่ไหวเลย”

ร่างสูงได้แต่ยิ้มจางๆ ส่วนหญิงสาวก็นั่งลงข้างๆ สั่งคอกเทลจากบาร์เทนเดอร์มาดื่ม ด้วยความที่สนิทกันมานาน เธอมองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอย่างไร ท่าทางที่ไม่สนใจโลกภายนอก เฝ้าคิดถึงแต่เรื่องเดิมๆ ที่เธอไม่เห็นด้วย หากลองเปิดใจให้ใครสักคนได้เข้ามาสร้างความทรงจำใหม่ๆ คนตรงหน้าอาจจะไม่ต้องเฝ้ารอใครบางคนอยู่แบบนี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย

“คิดถึงเขาอีกล่ะสิ”

“อย่างฉันจะทำอะไรได้”

“นายยังรักเขา...ฉันรู้” หญิงสาวมองลึกไปยังดวงตาคมกริบคู่นั้น “ไม่ว่าวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ความรู้สึกมันไม่มีทางหมดไปง่ายๆ หรอก แต่ถ้าลองเปิดใจใหม่ดูสักครั้ง อาจจะได้คำตอบใหม่ก็ได้ บางที...ใจของนายอาจจะไม่ได้หยุดอยู่ที่เขาคนเดียว...” เจนนี่พูดได้ตรงใจเขาทุกอย่าง เพียงแต่ว่า...

“คงไม่ง่ายขนาดนั้น” อธินยิ้มเศร้าๆ ให้ตัวเอง สูดลมหายใจเข้าลึก ยกเหล้าขึ้นดื่มจนหมดแก้ว

“ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป” หญิงสาวผู้หวังดีมองเข้าไปในดวงตาคมเข้มคู่นั้นอีกครั้ง เริ่มรู้สึกได้ว่าถึงแม้อธินจะไม่ได้เปิดโอกาสให้ใครใหม่ แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นไปเสียทีเดียว

“คิดว่าฉันต้องทำยังไง?”

ริมฝีปากบางสวยคลี่ยิ้มหวานเมื่อได้ยินคำถาม คิดว่าตัวเองหูฝาดไปเสียมากกว่า คนอย่างอธินน่ะรู้ดีกว่าใคร มีหรือจะให้คนอย่างเธอช่วยตอบให้

“นายจะรู้ได้ด้วยใจของนายเอง...” เมื่อเจอคนที่ใช่จริงๆ เพื่อนของเธอจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้เขามาครอบครอง แต่ติดอยู่ที่ว่าเจ้าตัวไม่ยอมมองใครอีกเลย

“เฮ้อ...คิดว่าจะช่วยได้เสียอีก” แล้วสีหน้าจริงจังเมื่อครู่ของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป อธินถอนหายใจยาวและดึงตัวเองกลับสู่โลกความเป็นจริง พอแล้วเรื่องพวกนี้ คนอย่างเจนนี่รู้จักเขาดีเหมือนเข้ามานั่งอยู่ในความคิด หากไม่เปลี่ยนเรื่องสนทนา มีหวังคืนนี้คงถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนเสียจนมุม

“ถ้าอยากจริงจังก็ต้องค้นหาด้วยตัวเอง แต่ถ้าแค่ชั่วคราวเอาไว้คุยแก้เหงา...ฉันพอจะช่วยได้”

“เธอนี่มัน...” เขาส่ายหัวอย่างยอมแพ้ ตั้งแต่เป็นโสดมา นับกันไม่ถ้วนเลยว่าเธอพยายามจับคู่ให้เขามากี่หน ทั้งที่ปฏิเสธไปหนักหนาแล้วว่า...ไม่เคยต้องการใคร

“อยากได้แบบไหนล่ะ?” เธอจ้องตาเขาเขม็ง อธินรู้สึกเหมือนโดนสะกดจิต ฝ่ายนั้นยิ้มร่า ราวกับรู้ทันว่าเขาต้องตอบให้ได้ และเธอชนะอีกแล้ว เขายอมรับ

แล้วนิสัยขวานผ่าซากของเด็กบางคนก็ผุดขึ้นมา เขาเลยนึกได้ทันที

“ขอแบบว่านอนสอนง่าย ไม่เอาพวกหยาบคาย” อาจเพราะสิ่งนี้ที่เขาเจออยู่ทุกวันจนเริ่มขยาด อธินทำท่านึกอีก ไม่นานใบหน้าของเด็กคนนั้นก็ผุดเข้ามาในความคิด

“พวกเอาแต่ใจนี่ไม่เลยเด็ดขาด แล้วก็..ไม่เด็กจนเกินไป” ร่างสูงระบุออกไปได้ราวกับเห็นภาพ มันเป็นความเคยชินที่เข้ามามีบทบาทในชีวิต

คนที่ไม่เคยสนปัจจุบัน ไม่มีวันรู้ตัว...

“สุภาพแล้วก็ยิ้มเก่ง แบบนั้นแหละ” นั่นคือความต้องการ จะว่าไปแล้วทุกสิ่งที่ว่ามา มันตรงข้ามกับเด็กคนนั้นทุกอย่าง

“โห...ฉันจะไปหามาได้ยังไง?” เจนนี่คิ้วขมวด เธอยกมือขึ้นสั่งให้เขาหยุด ร่างสูงยิ้มเบาๆ ให้กับท่าทางนั้น รู้ดีว่าคนที่ตัวเองต้องการหมายถึง ต่อให้ใครก็ไม่มีทางพากลับคืนมาให้เขาได้

ปั้นมีคนที่คอยดูแล และรักกันจริง เขาเชื่อว่าคนอย่างรดิศจะไม่มีวันทำให้คนที่เขารักเสียใจอีกแน่นอน
แม้ว่าเขาอยากได้คนเดิมกลับคืนมา...หรือว่าหาใครใหม่มาเทียบเทียม ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น
 
เจนนี่ขอตัวไปทำธุระ เธอบอกว่าไม่อยากคุยกับคนช่างเลือกอย่างเขาแล้ว ถ้าอยากได้คนในฝันก็เชิญนั่งจินตนาการต่อไปเองแล้วกัน ร่างสูงมึนงงกับสิ่งที่เธอบอก พอคิดไปคิดมามันก็จริงอย่างที่เธอว่า ที่ผ่านมาเขาคงเอาแต่นึกถึงคนในอดีตมากไปจริงๆ
หรือควรเปิดใจเสียที...

ไม่กี่นาทีต่อมา เจนนี่ก็ปรากฏตัวอีกครั้งพร้อมจูงมือใครบางคนมาด้วย...

“ฝากดูแลหน่อยนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน” เพื่อนตัวดีขยิบตาให้ ก่อนจะดันร่างคนที่ยืนเก้ๆ กังๆ เข้ามานั่งคู่กับเขา ชายหนุ่มแค่ไม่คิดว่าที่พูดออกไปเล่นๆ เธอจะไปพาใครคนนั้นมาจริงๆ
 
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ คนที่ขอตัวไปห้องน้ำ ชักหายตัวไปนานเกินความจริงแล้ว และใครบางคนที่เอาแต่นั่งจิบคอกเทล ก็ดูจะเป็นคนพูดน้อยเสียด้วย ฝ่ายนั้นบอกเขาว่าจะขอไปตามหาพี่เจนนี่ แต่เขารั้งไว้เพราะมันไม่มีประโยชน์ เธอตั้งใจจะปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง

“คนเยอะนะครับ” เสียงใสเอ่ยขึ้นหลังจากหันมองไปรอบๆ บรรยากาศดูคึกคัก น่าสนุก แต่ตัวเองกลับไม่ชอบเต้น ก็เลยต้องมานั่งหลบมุมอยู่แบบนี้

“ดื่มอะไรเพิ่มไหม?” ร่างสูงคอยเทคแคร์ เมื่อเห็นเครื่องดื่มสีสวยในแก้วพร่องลงไปเยอะแล้ว

“พอแล้วครับ ผม...ไม่ค่อยถนัด”

“ถูกบังคับพามารึเปล่า?” เขาสังเกตท่าทางที่ดูอ่อนโยน ไม่ค่อยพูดจา ปกติเพื่อนเจนนี่ ไม่ค่อยมีนิสัยแบบนี้

“ไม่ใช่หรอกครับ" ร่างบางหัวเราะขำที่ถูกตีความไปแบบนั้น เลยตัดสินใจเล่าให้ฟังว่ารู้จักกับพี่เจนนี่ได้อย่างไร ที่นั่งเงียบไม่ใช่เพราะถูกบังคับมา แต่เพราะไม่คุ้นกับสถานที่มากกว่า ปกติตัวเองก็พูดเยอะ เพียงแต่ไม่รู้จักใคร ส่วนเพื่อนที่มาด้วยก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด

"ตอนเลิกเรียนทำอาหาร พี่เจนนี่เขาเข้ามาชวน วันนี้ผมว่างก็เลยมา ดีกว่านอนอยู่ที่ห้องคนเดียว”

“แล้วแฟนล่ะ?” ที่เขาเลือกถามเรื่องนี้ เพราะอีกฝ่ายก็หน้าตาดี...ท่าทางสุภาพแบบนี้ คงมีคนชอบไม่น้อย

“อ้อ...ไม่มีหรอกครับ”

“งั้นหรือ..” ดวงตาคมกริบมองนิ่ง คนตรงหน้ามีท่าทีสบายๆ เมื่อถูกถามถึงเรื่องสถานะ คิดว่าคงมีความสุขดีกับชีวิตโสด สังเกตได้จากดวงตาที่เป็นประกายคู่นั้น...

“นายชื่ออะไร?”

“น้ำครับ แล้วคุณ...”

“ฉันชื่ออธิน...”

“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก”

เขามีโอกาสได้เห็นรอยยิ้มหวานละมุนของเจ้าตัวเป็นครั้งแรก ยอมรับว่ามีเสน่ห์ชวนมอง เขาเองชักจะสนใจคนตรงหน้าขึ้นมาบ้างแล้ว สายตาก็เริ่มทำหน้าที่สำรวจไปเรื่อย ร่างสูงจับจ้องอยู่บริเวณริมฝีปาก อดคิดไปไม่ได้ว่า หากได้ลองสัมผัสดูสักครั้ง...

“ชอบทำอาหารหรือ?”

“ครับ ตอนนี้ก็เลือกเรียนทำเบเกอรี่เพิ่มด้วย” น้ำเสียงของอีกฝ่ายยังร่าเริงไม่เปลี่ยน ดวงตาคู่สวยเป็นประกายเมื่อถูกถามถึงเรื่องที่สนใจ

“วันหลังก็มาอีกสิ ครัวที่นี่มีอาหารสูตรพิเศษหลายอย่าง เผื่อนายสนใจ…”
 
 
 
“I’m sorry!” สำเนียงอังกฤษแบบแกนๆ หลุดโพล่งออกจากปาก เมื่อตัวเองดันเผลอไปกระแทกร่างบึ้กของฝรั่งคนหนึ่งเข้า เด็กหนุ่มกำลังกรึ่มได้ที่ เดินชนคนเขามั่วไปหมด ไม่รู้แล้วว่าทิศไหนเป็นทิศไหน เขาสนใจแต่เสียงเพลง ไม่รับรู้อะไรนอกเหนือจากนั้น ปล่อยให้อารมณ์มันพาไป คืนนี้สนุกออกจะตาย เหล้าก็ของดีๆ ทั้งนั้น เดียร์เผลอใส่ไม่ยั้ง ตัวเองเมาปลิ้นจนเดินไม่ตรงทาง คงลืมไปแล้วว่าพรุ่งนี้มีเรียนเช้า

And now I’m standing in the dark, dark, oh dark, dark

“ดาร์ก! ดาร์ก! โอ..ดาร์ก! ดาร์ก!” เด็กหนุ่มตะโกนสุดเสียงจนจบเพลง ชอบใจนักดนตรีเหลือเกินที่เล่นเพลงได้มันถึงอารมณ์ อิน
โทรเพลงต่อไปเริ่มแล้ว ขอแทรกไปยืนตรงกลางเลยแล้วกัน

ร่างเพรียวบางสูงร้อยเจ็ดสิบกว่าๆ ดูเล็กไปถนัดตาเมื่อเทียบกับร่างสูงๆ ของหนุ่มโซนยุโรป หนุ่มเอเชียหนึ่งเดียวในนั้นได้ใจหลายคนไปเต็มๆ เพราะลีลาแดนซ์ของพ่อคุณช่างเด็ดเหลือเกิน เสียงปรบมือให้เกรียวกราว เจ้าตัวเลยได้เบียร์ขวดหนึ่งมาเป็นของตอบแทนหลังจบโชว์

จังหวะเพลงในคลับเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ดีเจคนเดิมกลับมาทำหน้าที่ในช่วงของตัวเอง หนุ่มสาวขาแดนซ์ทั้งหลายเลยดิ้นกันกระจาย ผู้คนหนาแน่น ที่ว่างเหลือน้อยเต็มที ผู้ชายร่างสูงใหญ่บดเบียดเข้ามา คนตัวเล็กกว่าเกือบถูกกลืนหายไป

คนเมาไม่ได้หวงตัวตอนที่มีใครเข้ามาโอบเอวไว้ ไม่ได้สนใจว่าเป็นใครที่เข้ามาคลอเคลีย เดียร์รู้สึกตัวตอนที่ลมหายใจอุ่นๆ ของใครบางคนเป่ารดต้นคอ คนที่ยืนอยู่ด้านหลังรั้งร่างเขาเข้าไปชิด ฝ่ามือใหญ่ประคองใบหน้าของตนขึ้นมา

เดียร์แหงนมองใบหน้าของผู้ชายคนนั้น เผลอสะดุดกับดวงตาสีอำพันที่มองมาด้วยความปรารถนา ก่อนหนุ่มฝรั่งคนนั้นจะเลื่อนริมฝีปากเข้ามาประกบจูบกันในที่สุด...

สติครึ่งหนึ่งย้อนกลับมา แต่มันก็ยังน้อยนิดเมื่อเทียบกับอารมณ์ในคราวที่ถูกชักนำไป

ผ่านไปเนิ่นนานจนรู้สึกอึดอัด ความต้องการของผู้ชายตรงหน้านี้มากจนเกินไป จูบของเขาไม่เหมือนกับที่เคยรู้สึกกับใครบางคน
อยากให้หยุดมัน เด็กหนุ่มนิ่วหน้าปฏิเสธ พยายามฝืนกายออกห่าง แต่ดูเหมือนว่าการต่อต้านของตัวเองนั้นไร้ผล

แสงไฟกลางฟลอร์ส่องสว่าง มากพอจะทำให้ใครบางคนมองเห็นภาพนี้ได้ชัดจากที่ไกลๆ...


“ฉันขอตัวก่อน..” เขาลุกจากเก้าอี้ทรงสูงด้วยใบหน้าเรียบตึง ไม่คิดอยู่ฟังคำตอบจากเรื่องสนทนาก่อนหน้า เมื่อหันไปเห็นใครบางคนกำลังดูดดื่มอยู่กับไอ้ฝรั่ง อธินฉุนกึก เผลอสบถออกมาไม่รู้ตัว


อยากลองของนอกนักรึไง!
 
 
 
 
 
 
 
 
 --------------------------------------------------------
  :katai4:

อ้อ...ความมึนหลังตอนนี้ยังไม่จบ พบกับพี่อธินและน้องเดียร์ได้ในตอนถัดไปจ้าาาาา

หัวข้อ: Re: Dear to me >> 12 : เอาคืน (18/04/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 18-04-2018 20:33:32
               
12
เอาคืน

 
 
ก่อนคนทั้งคลับจะฮือฮาไปมากกว่านี้ ชายหนุ่มตัดสินใจฝ่าวงล้อมเข้าไปดึงแขนไอ้ตัวดีที่จมหายอยู่ในอ้อมอกของไอ้ฝรั่งผมทองนั้นออกมา ทั้งคู่อยู่ในสภาพตกตะลึงที่จู่ๆ ก็ถูกจับแยกร่าง เด็กนั่นตกใจไม่น้อยที่เจอเขา อธินไม่สนใจคำโวยวายของไอ้หัวทองนั่น เมื่อได้ตัวคนที่ต้องการแล้วใครหน้าไหนก็ไม่คิดไปเจรจาให้เหนื่อยปาก แค่จัดการกับคนๆ เดียวนี้ก็ยุ่งยากมากพอแล้ว

“ดึกแล้วทำไมยังไม่กลับ” อธินว่าเสียงดุ เมื่อพาไอ้ตัววุ่นวายออกมาจากกลุ่มคนพวกนั้นได้

“ยุ่ง!!” คนเมาทำเสียงฮึดฮัดใส่เขา พอถูกปล่อยอิสระก็ผลักเขาออก เดินมุ่งกลับไปทางเดิม ทั้งที่โงนเงนจนไม่ไหวอยู่แล้ว ไม่ดูสังขารบ้างเลย

“มานี่เลยมา” มือใหญ่รั้งตัวไว้ เขารวบเอวบางให้หันกลับมา เกือบอดทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เด็กนี่พูดอะไรไม่เคยฟังเลย

“อะไรวะเนี่ย” เดียร์ทำเสียงยุ่ง อารมณ์หงุดหงิดเพราะโดนฉุดไปนั่นลากมานี่จนเริ่มมึนหนักขึ้นอีก ไอ้หมอนี่ไม่รู้เลยรึไงว่าทำให้เขาตาลาย ปวดหัวตุบๆ แถมยังแน่นลงไปถึงหน้าอก อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว

“พรุ่งนี้เรียนเช้า กลับไปนอนได้แล้วไป” อธินกึ่งดึงกึ่งลาก อีกฝ่ายตัวก็ไม่ได้โตนัก เมาหนักขนาดนี้แต่ทำไมแรงเยอะจริง

“โอ้ย!! บอกให้ปล่อย” เสียงอ้อแอ้บอกอย่างรำคาญ ทำไมต้องดึงกันอีกแล้ว ปล่อยให้เดินเองไม่ได้หรือยังไง รู้ไหมว่ามันเวียนหัว กระเพาะอาหารก็บีบจนอึดอัด ร้อนก็ร้อน แถมหายใจไม่ออก

“พูดไม่รู้เรื่องรึไง!” เขาเหนื่อยที่ต้องรั้งกันไปมา ในเมื่ออยู่ไม่นิ่งก็เลยอุ้มร่างคนพูดไม่รู้เรื่องขึ้นไปนั่งบนโต๊ะกลม ดันไหล่ผอมบางนั่นไว้ กันอีกคนจะดื้อลงมา

ร่างที่นั่งโงนเงนอยู่บนโต๊ะมองเขาอย่างขุ่นเคือง สองมือพยายามผลักไหล่หมอนั่นออกห่าง รำคาญใจไม่น้อยที่มีคนเข้ามาขัดขวาง

“ปล่อย! ปล่อย...จะลง!!” คนตัวเล็กกว่าร้องโอดครวญเสียงลั่น

“จะกลับหรือไม่กลับ” มือหนาบีบบังคับปลายคางให้หันมาตกลงกันให้รู้เรื่อง ถ้ายังปฏิเสธอีกก็อย่าหวังว่าจะได้ลงมา เขาไม่ปล่อย
ให้ไปเละที่ไหนอีกแน่...

“ไม่!” เดียร์ปฏิเสธเสียงแข็ง ขัดใจเหลือเกิน ชอบมายุ่งย่ามกันอยู่เรื่อย จะอะไรกันหนักหนา พอยิ่งขัดขืนก็ยิ่งหัวหมุน รู้สึกพะอืดพะอมจนไม่อยากฝืนทน ในตอนนั้นเองที่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกอยู่กลางอก แน่น อึดอัด เขาอั้นมันไว้ไม่ไหวอีกแล้ว

และในที่สุด...

“ฮึก!..อุ๊บ….” ความทรมานทั้งหมดได้ถูกปลดปล่อยออกมา คนเคราะห์ร้ายได้แต่ยืนตัวแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก 

ร่างสูงก้มมองลงบนหน้าอกของตัวเองด้วยสีหน้าสุดเกินบรรยาย ท่อนบนนั้นเละ และคาวคลุ้งไปด้วยของเหลวในกระเพาะอาหาร เขาถอนหายใจเหนื่อยหน่าย มองไอ้ตัวดีที่พาความซวยมาให้

ให้มันได้อย่างนี้สิ!

ชายหนุ่มไม่ได้รังเกียจหรือผลักเด็กตรงหน้าที่ยืมไหล่เขาเป็นที่ระบายให้ออกห่าง ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นให้อีกฝ่ายได้พึ่งพิง

ร่างสูงถลึงตาใส่เมื่อฝ่ายนั้นเปลี่ยนมายึดไหล่เขาไว้แน่น

เด็กหนุ่มตัวสั่นเทาอย่างทรมาน อธินเห็นอาการนั้นก็ได้แต่ปล่อยเลยตามเลย มือหนึ่งช่วยลูบหลังให้ รอจนกว่าฝ่ายนั้นสงบลง

“ไหวหรือเปล่า?” กระซิบถามคนที่นิ่งไป มือที่โอบอยู่แล้วนั้น ลูบลงบนไหล่เบาๆ อย่างอ่อนโยน ไม่รู้ตัวเลยการกระทำของตัวเอง เผลอแสดงออกว่าเป็นห่วงกันมากขนาดไหน

มากพอจะทำให้ใครคนหนึ่งรับรู้ได้ถึงความอบอุ่น...


เจ้าของร่างเพรียวบางส่ายหัวเป็นคำตอบ กระแอมไอออกมาอีกครั้ง ก่อนจะฟุบลงไปตามเดิม

อธินส่ายหัวอีกรอบ ก่อนหน้านี้ยังโวยวายใส่กันลั่น พอหมดแรงแล้วยังกล้ายืมไหล่เขาเป็นที่พึ่ง เห็นแล้วมันน่าบีบคอให้ตายจริงๆ

“คุณอธินให้ผมช่วยไหมครับ” เชนยืนมองเหตุการณ์อยู่สักพักแล้ว เห็นตอนที่เด็กนั่นอ้วกใส่คุณอธินแล้วยังอึ้งไม่หาย คิดว่าเจ้านายจะโกรธที่โดนอะไรแบบนั้นแล้วเชียว

“ไม่ต้อง ฉันจัดการเอง”

คำตอบของเจ้านายทำเขางุนงงหนักกว่า...ได้แต่ยืนมองอยู่ในกลุ่มคนแถวนั้นที่ยังสนใจอยู่ในเหตุการณ์

ชายหนุ่มจับสองแขนของเด็กที่นั่งคอพับคออ่อนคล้องลงบนไหล่ของตัวเอง ร่างเพรียวบางทิ้งน้ำหนักตัวลงมาที่เขาอย่างคนไม่
เหลือเรี่ยวแรงใดๆ ท่าทีสงบนิ่งแบบนั้นคงจะสิ้นฤทธิ์ไปแล้วจริงๆ ดื่มจนกลิ่นตัวเป็นเหล้าแบบนี้ หากยังมีแรงขึ้นมาโวยใส่เขาอีกก็ให้มันรู้ไป

ร่างสูงจับอีกคนขึ้นขี่หลังอย่างง่ายดาย ท่ามกลางสายตาของสองลูกน้อง ที่ต้องการเข้ามาช่วยเหลือ แต่ไม่รู้ว่าจะเข้าไปช่วยอย่างไร

“หนักไหมครับ?...” อันนาถามอย่างเป็นห่วง เห็นคราบเลอะบนเสื้อของคุณอธินแล้วอยากให้รีบไปทำความสะอาดก่อน ส่วนไอ้คนเจ้าปัญหา เดี๋ยวพวกเขาสองคนจะไปส่งให้เอง

“ไปเอารถมาเถอะ” เขาสั่งแค่นั้น ไม่สนใจข้อเสนอของใคร

“ได้ครับ”

ร่างสูงเหลียวไปมองร่างคนที่หลับอยู่บนหลังของตัวเองอีกครั้ง เด็กนี่ตัวอ่อนปวกเปียก หวิดจะไหลลงพื้นตั้งหลายที เมาจนไม่
รู้สึกตัวแบบนี้..มันน่านัก!


พอถึงห้องอธินก็ให้อันนาเอารถไปเก็บ ส่วนเขากับเชนก็ช่วยหามคนเมาขึ้นไปส่ง หลังจากเชนกลับไปแล้ว เขารีบถอดเสื้อตัวเองออกทำความสะอาด พอเสร็จก็หันมาจัดการคนเมาที่นั่งหลับอยู่หน้าห้องน้ำ อธินเข้าไปถอดเสื้อของเด็กนั่นออก เพราะทนกลิ่นเหม็นเปรี้ยวนี่ไม่ไหว จะปล่อยให้อยู่สภาพนี้จนถึงเช้าก็เกินไป เสร็จแล้วก็โยนชิ้นส่วนทิ้งลงในตะกร้า เช้ามาให้เจ้าตัวจัดการเองแล้วกัน


“ตื่นมาล้างหน้าก่อน”

สุดท้ายก็จบลงที่เขาเป็นฝ่ายออกแรงพาเจ้าตัวไปที่เตียง กว่าจะล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง

เดียร์เริ่มนอนไม่นิ่งเพราะรู้สึกหนาว เจ้าตัวยังมีแรงลุกขึ้นมานั่งพิงหัวเตียง เห็นอธินเดินมานั่งลงข้างๆ คนที่มีสติอยู่เพียงครึ่ง มองการกระทำนี้อย่างไม่เข้าใจ

“กลับไปได้แล้ว”

อธินจัดหมอนหนุนให้ใหม่ เขาบิดผ้าชุบน้ำแล้วเอามาเช็ดตัวให้อีกฝ่าย

“ไม่ ทำอะไรเนี่ย” สองมือสะเปะสะปะไปทั่ว ไม่ชินที่มีใครทำอะไรแบบนี้ให้ แถมยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีก

“นอนนิ่งๆ เถอะน่า”

“พอแล้ว”

“บอกว่าอยู่นิ่งๆ ไง” อธินกดสองแขนลงกับหัวเตียง จ้องหน้าคนดื้อชัดๆ ฝ่ายนั้นแสดงอาการไม่พอใจการกระทำของเขาอย่างมาก สองมือพยายามขัดขืน แต่มันไร้ผล

“โอ้ย ไอ้เหี้ย!!” เดียร์พ่นคำด่าใส่หน้าเขาจังๆ อธินขบกรามแน่น มือข้างหนึ่งเชยคางอีกคนไว้แล้วบีบเค้นเอาคำตอบ

“ด่าใครเหี้ยนะ” คิดว่าคงไม่ได้หูฝาด ช่วยกันตั้งขนาดนี้แล้ว ยังจะมาว่ากันอีก

“ก็มึงไง” ดวงตากลมโตมองนิ่ง ริมฝีปากยั่วยวนกำลังเหยียดยิ้ม ในนาทีนั้นอธินสาบานได้เลยว่าเขาจะไม่อดทนอีกต่อไป

ชายหนุ่มกดประทับลงไปบนริมฝีปากสีสดอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายรู้ตัวก็ดิ้นรนผลักไส เขาเพิ่มแรงกดลงไป บดเบียดอยู่นานกว่าจะผละออก มือข้างหนึ่งถูกชายหนุ่มกดลงบนหมอน  เดียร์ใช้มือข้างที่เป็นอิสระดันร่างอีกคนออกห่าง อธินบังคับปลายคางให้เด็กดื้อรับริมฝีปากเขา กดจูบย้ำแนบแน่น อย่างคนไม่อาจควบคุมอารมณ์

“อือ อื้อ อื้อออ” ขัดขืนไม่ได้ก็ได้แต่ร้องด่า เสียงอู้อี้ในลำคอฟังไม่เป็นภาษา เดียร์เหนื่อยหอบจนไร้แรงต่อต้าน อะไรต่อมิอะไรทำให้ในหัวมึนเบลอ จนอธินผละออกไปแล้วถึงได้ลืมตา

“เหี้ยพอหรือยัง?” เขาถามซ้ำ ดวงตาคมดุจ้องมองอีกฝ่าย อยากรู้นักว่าเด็กอวดดีนี่จะกล้าต่อกรกับเขาอีกหรือไม่

“ไอ้เหี้......” ร้องด่ายังไม่จบคำ อธินก็จูบซ้ำลงมาอีกหน ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้ได้ยินเสียงร้องท้วงออกมาเลยสักคำ ลิ้นอุ่นร้อนสอดลึกลงไปอย่างหยอกเย้า ไม่สนท่าทีปฏิเสธของอีกฝ่าย

ปากดีนัก...

เนิ่นนานจนอีกฝ่ายเริ่มสงบลง ได้ยินเสียงหอบหายใจแผ่วเบาของคนหมดเรี่ยวแรงต่อสู้ เห็นแบบนั้นแล้วก็ยิ่งได้ใจ
ร่างสูงผละริมฝีปากออกมองสีหน้าที่ยังคงอยู่ในห้วงอารมณ์ เขาจูบซ้ำลงไปอีกหน ครั้งนี้อ่อนโยนกว่าเดิมหลายเท่านัก ทว่าทำให้คนใต้ร่างรู้สึกอุ่นร้อนไปทั้งใจ

อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...
อธินผละออกมาเมื่อเห็นท่าว่าคนอวดดีจะสิ้นฤทธิ์จริงๆ เขาเห็นสองแก้มนั้นแดงระเรื่อ ดวงตากรุ่นโกรธมองมาที่เขาอย่างกลั้นใจไว้ไม่อยู่

“ยังไม่หลาบก็เอาอีกสิ” ชายหนุ่มไม่ได้ท้า แต่บ่งบอกให้รู้ว่าคนอย่างเขาพูดจริงทำจริง คำตอบที่ได้คือดวงตาคู่นั้นกำลังส่งรังสีอำมหิตมาให้

มือหนาโยนผ้าขนหนูลงบนตักของเด็กดื้อก่อนออกไปจากห้อง เดียร์เตะกะละใส่น้ำอุ่นจนคว่ำแล้วด่าตะโกนตามหลังไปแบบสุดเสียง

“ตายซะไป ไอ้เวร!!!!!!!”
 
 
 
            เสียงเคาะประตูดังขึ้นปลุกในตอนเช้า คนเมาค้างลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก รู้สึกเหมือนเพิ่งหลับไปเอง คนเคาะประตูดูเหมือนใจร้อนนัก ฝ่ายนั้นรัวเข้ามาแบบน่ารำคาญ จนทนนอนต่อไม่ได้อีกแล้ว

“แต่งตัวเสร็จหรือยัง!!”

เดียร์ได้ยินเสียงร้องตะโกนตามมา ก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มีเรียน

ประตูเปิดออกพร้อมร่างคนสะลึมสะลือ เจ้าตัวรู้สึกเหมือนไม่ได้เอาวิญญาณกลับเข้าร่าง กว่าจะเรียงลำดับได้ว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“เฮ้ย!! ยังไม่อาบน้ำอีก” อันนาเห็นสภาพฝ่ายนั้นแล้วหัวเสียแต่เช้า เขาดูตารางเรียนวันนี้ มีเรียนคาบแรกเสียด้วย เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง แล้วจะไปอาบน้ำแต่งตัวทันได้ยังไง

รู้สึกว่าจะขาดเรียนสักวิชาไม่ได้แล้วด้วย!

“โถ่เว้ย ไปอาบน้ำสิวะ ยืนบื้ออยู่ทำไม!!” ผลักร่างนั้นเข้าห้องน้ำไป ให้เวลาแค่ห้านาทีในการจัดการตัวเองให้เสร็จ ส่วนเขาที่กังวลว่าจะไปส่งเด็กนี่สาย ก็รีบเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้ารื้อหาชุดที่ต้องใส่ออกมา

เพื่อจะพบว่า....ไอ้เด็กนี่ยังไม่รีดชุดของมันเลยด้วยซ้ำ

เห็นแล้วอยากทึ้งหัวเลยให้ตาย!

ทั้งที่เกลียดแสนเกลียดแต่ดันต้องมาทำอะไรให้ มันช่างขัดใจเสียจริง อันนาปรับความร้อนของเตารีด เร่งให้มันร้อนขึ้น จัดการรีด
เสื้อนักศึกษาให้ไปแบบลวกๆ จะไปพิถีพิถันอะไรนักหนา แค่นี้ก็เป็นเวรเป็นกรรมมากพอแล้ว

ผ่านไปห้านาที แต่คนที่อยู่ในห้องน้ำยังไม่โผล่หัวออกมา

“เข้าไปหลับหรือทำอะไรวะ!!” อันนาทุบประตูเสียงลั่น คนด้านในโผล่ออกมาพอดี ทั้งตัวเปียกเหมือนลูกหมา แถมหน้าตายังเหมือนคนไม่ตื่น เขาเห็นแล้วขัดใจ

“เช็ดตัวสิ รีบใส่เสื้อผ้าเข้า” เขาเหนื่อยจะจ้ำจี้จำไช คิดว่าถ้าจับมันยัดใส่เสื้อผ้าได้ก็ทำไปแล้ว

“เฮ้ย!!” คนที่ยืนดูอยู่ร้องลั่น เมื่อเจอไอ้เด็กตรงหน้าปลดผ้าขนหนูออกอย่างไม่รู้จักอาย มันคว้ากางเกงกับเสื้อมาใส่ได้หน้าตาเฉย เหมือนไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร

ใครจะไปมีอารมณ์นั้น เดียร์คิด ก็มายืนเร่งกันอยู่นั่น คนเพิ่งตื่น แถมยังค้างจากเมื่อคืนไม่หาย ไม่มาคิดอยู่หรอกว่าอะไรเป็นอะไร จะเห็นก็เห็นไป ไม่ได้อายสักหน่อย

ร่างเพรียวบางเดินไปคว้ากระเป๋าเป้มาสะพาย หยิบโทรศัพท์มือถือบนหัวเตียง พอเสร็จแล้วก็เดินลงบันไดมาพร้อมกัน อันนารีบ
ไปสตาร์ทรถ พออีกฝ่ายเข้ามานั่งเขาก็เหยียบคันเร่งทันที

ไม่น่าเชื่อว่าจะจัดการไอ้เด็กเวรนี่ให้แต่งตัวเสร็จภายในสิบนาทีได้ อันนามองนาฬิกา แล้วหันไปเห็นเด็กข้างๆ ที่หลับไปทันทีที่เข้ามานั่งในรถ ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยสักอย่าง ทั้งที่คนไปส่งจะเป็นจะตายอยู่แล้ว

มันน่าถีบลงจากรถไปตอนนี้นัก!

เขาบอกให้ตัวเองใจเย็นๆ ที่ทำอยู่มันคือหน้าที่ ถึงไม่อยากทำก็เลี่ยงไม่ได้

เกลียดอะไรได้สิ่งนั้น เขาเชื่อแล้ว!!
 
 
อันนาไปส่งได้ทันเวลาแบบเฉียดฉิว เด็กนั่นคงเข้าเรียนสายไปสักสองสามนาที แต่นี่ถือว่าดีที่สุดแล้ว เขาขับรถออกจากมหาวิทยาลัยแบบโล่งอก กะจะแวะซื้อของกินรายทางก่อนกลับ แต่เกิดได้ยินเสียงโทรศัพท์ของเด็กนั่นที่ตกอยู่บนเบาะ เขาตั้งใจจะแวะเอาไปให้ แต่ชื่อบนหน้าจอที่ไม่ได้รับ 1 สาย ทำให้เขาเปลี่ยนใจ

‘เหี้ยอธิน!’

แบบนี้คงปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว

กลับมาถึงโรงแรมแล้วก็ไม่ลืมคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นลงมาด้วย เป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นชื่อคนโทรมาเป็นคุณอธิน เขามองเข้าไปในล็อบบี้เห็นร่างสูงๆ ยืนอยู่ ก็เลยรีบวิ่งเข้าไปหา

“อยู่นี่ครับ เด็กนั่นทำตกไว้บนรถ” อันนายื่นหน้าจอให้เจ้านายดู ก็มันอดไม่ได้ เลยต้องฟ้อง

อธินคิดว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด เห็นเบอร์ตัวเองโชว์อยู่บนหน้าจอแล้วรู้สึกขอบใจเด็กนั่นที่ยังอุตส่าห์บันทึกไว้ แต่ไอ้ตัวแรกที่มาก่อนชื่อเขานั้น เห็นทีต้องเรียกมาสอบสวนกันหน่อย

อธินคว้าโทรศัพท์ใหม่เอี่ยมเครื่องนั้นขึ้นมาถือ

“ให้เจ้าตัวมาเอาที่ฉัน” ร่างสูงบอก

ตัวอยู่อีกที่...แต่ไอ้ความรู้สึกอยากตามไปกระทืบนี่มันน้อยลงเสียเมื่อไหร่ล่ะ

รอให้กลับมาก่อนเถอะ!

อธินสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงเรียกเข้าที่แสนจะประหลาดของโทรศัพท์เจ้าปัญหาดังขึ้น ในห้องสี่เหลี่ยมหลังพักเที่ยงของวัน คนใน
ออฟฟิศถึงกับกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ กลายเป็นว่าเขาต้องเสียเวลามานั่งอธิบายความจริงของไอ้เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่

ในชั่วโมงที่กำลังนั่งดูภาพผลงานของตัวเองไปเรื่อยเปื่อย หน้าจอโทรศัพท์เครื่องเดิมก็แจ้งเตือนขึ้นมา และดูเหมือนว่าโทรศัพท์เครื่องนั้น เจ้าของไม่ได้ตั้งล็อกหน้าจอไว้เสียด้วย

ปลายนิ้วแตะลงบนหน้าจอ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่านั่นเป็นการกระทำที่เสียมารยาท เมื่อหน้าจอโหลดเสร็จสมบูรณ์ ภาพนับสิบที่โชว์ขึ้นมา เห็นแล้วถึงกับนั่งขำจนท้องแข็ง

ให้ตายเถอะ!! นี่มันแหล่งรวมความอุบาทว์ไว้ครบวงจรจริงๆ

เสียงหัวเราะเขาดังไม่ขาดมาเป็นชั่วโมง เด็กอะไรตลกได้หนักขนาดนี้ ปลายนิ้วไล่กดไปทีละภาพอย่างอดไม่ได้ ที่เห็นอยู่นี้คือตัวการ์ตูนดัง แต่ไอ้เด็กคนนี้แต่งตัวเลียนแบบจนเสียหายหมด ไม่นับรวมคลิปที่เต้นโคฟเวอร์วงเกาหลีอะไรนั่นอีก

บ้าหนักขนาดนี้ แต่ดูๆ ไปก็...น่ารักดีเหมือนกัน

เป็นอีกครั้งที่นึกถึงหน้าของไอ้เด็กคนนั้น แล้วเผลอยิ้มออกมาไม่รู้ตัว
 
 
 


หัวข้อ: Re: Dear to me >> 13 : ห้ามใจ (02/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 02-05-2018 22:29:31

 13
ห้ามใจ



 

 

 
 

เดียร์กลับมาจากมหาวิทยาลัยแล้วก็รีบไปหาอันนา แต่ฝ่ายนั้นบอกว่าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ที่เขา ถ้าอยากได้คืนก็ไปเอาที่คุณอธินเอง ได้ยินแบบนั้นมันชักรำคาญใจ เดียร์ไม่อยากพบหน้าไอ้หมอนั่น แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จะเลี่ยงไม่ได้แล้ว เขารีบตรงไปที่ห้องอาหาร เห็นหมอนั่นนั่งกินข้าวอยู่กับใครสักคน เสียงพูดคุยดังร่าเริง ก่อนเจ้าตัวจะเหลือบมามองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันกลับไป ทำเหมือนไม่มีอะไร

หน็อย ...

เด็กหนุ่มเดินเข้าไปหาอย่างหมายมั่น ไม่ได้สนใจว่ามีใครนั่งอยู่ด้วย

“ฉันมาเอาโทรศัพท์” พร้อมด้วยแบมือลงตรงหน้า อธินมองไปที่ฝ่ามือแล้วก็เงยขึ้นมาสบตา

“อยู่บนห้อง”

“เฮ้!” เดียร์ตบโต๊ะปึงอย่างอดเสียไม่ได้ เขาโวยวาย สีหน้ายุ่งเหยิง รู้สึกไม่สบอารมณ์

 “นี่! ฉันมีแขก ไม่เห็นรึไง” อธินผายมือไปทางคนด้านหน้า ซึ่งกำลังงงงันว่าเกิดอะไรขึ้น เดียร์หันมองตาม ฝ่ายนั้นมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถาม ดูงงงันไม่น้อยที่จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัว เดียร์เห็นเขามองชุดนักศึกษาที่ตนเองกำลังสวมอยู่ด้วย ก็เลยรู้สึกไม่ชอบใจสักเท่าไหร่

คนเอาแต่ใจเดินหนีไปแล้ว อธินยิ้มมุมปากเมื่อแกล้งฝ่ายนั้นได้สำเร็จ ก่อนจะหันมาชวนคนตรงหน้าให้ทานต่อ

 

เกือบสองทุ่มที่เห็นรถของอธินกลับเข้ามา เดียร์ยืนรอหน้าประตูอยู่นานแล้ว ร่างสูงเดินขึ้นมาบนห้อง แปลกใจนิดหน่อยที่เห็นมีคนมายืนรอ

สีหน้าเจ้าตัวบูดบึ้งมาแต่ไกล คาดว่าคงรอนาน


 “ไหนโทรศัพท์ฉัน” คนตัวเล็กกว่าเข้ามาขวางไว้ก่อน ร่างสูงมองตามสัดส่วนบนเรือนร่าง เมื่อเข้ามาใกล้ก็ได้กลิ่นหอมสบู่อ่อนๆ ลอยมาด้วย

“ก็อยู่ในห้อง” เขาบอกแล้วใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไป ไม่สนใจคนที่ยืนรออยู่ เขาหยิบผ้าขนหนูบนราวแล้วเข้าไปอาบน้ำหน้าตาเฉย เดียร์ที่ยืนอยู่มองเข้ามาก็โวยวาย

“อย่ามาตุกติกนะ อยู่ไหนก็บอกมาดีๆ”

“รอเป็นไหม ฉันจะอาบน้ำก่อน” อธินตะโกนออกมาจาก เดียร์ได้โอกาสเห็นห้องไม่มีใครก็เลยจัดการรื้อหาเสียเอง ทั้งในลิ้นชัก ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ ชุดโซฟาบนชั้นลอย เรื่อยไปจนถึงตู้หนังสือ เห็นบันไดทอดลงไปชั้นล่าง ก็เลยถือโอกาสเดินไปสำรวจ

ห้องครัวแบบเปิดมีเคาน์เตอร์บาร์คั่นกลางไว้ ถัดไปเป็นมุมชากาแฟและโซฟาชุดไว้รับแขก ส่วนระเบียงกั้นด้วยกระจกใส มีเบาะนั่งเล่นกลางแจ้งริมสระน้ำด้านนอก

ทำเลของห้องนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูง มองออกไปเห็นทะเล ขนาดกลางคืนยังสวยขนาดนี้ ถ้าเป็นกลางวันคงไม่ต้องพูดถึง

 

เดียร์ได้แต่แบะปากอย่างอิจฉา ไม่เห็นเหมือนกับหอพักพนักงานที่มองไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ ยิ่งเป็นช่วงเช้ากับตอนกลางคืนอากาศเย็นชื้นกว่าปกติ ถ้าวันไหนมีฝนตกไม่ต้องพูดถึง วันนั้นทั้งวันไม่ต้องเปิดแอร์เลยก็ยังได้

 เป็นจังหวะเดียวกันที่อธินอาบน้ำเสร็จ เห็นอีกคนรื้อหาจนหัวหมุน ชายหนุ่มก็เลยเฉลยให้ว่าเขาเก็บไว้กับตัวตลอดเวลา นั่นยิ่งทำให้ถูกโมโหขึ้นไปอีก

“คืนมา”

เดียร์จ้องมองร่างสูงที่มีแค่ผ้าเช็ดตัวพันไว้เพียงท่อนล่าง มือหนึ่งถือผ้าขนหนูเช็ดผม กำลังเดินตรงเข้ามา

“คิดว่าจะได้กลับไปง่ายๆ หรือ”

เด็กหนุ่มก้าวถอยหลังเมื่อหมอนั่นย่างสามขุมเข้าหา คนใจไม่ดีโล่งอกไปครู่ตอนหมอนั่นหยุด แล้วหันหยิบโทรศัพท์ของตัวเองกดโทรออก ไม่กี่วิโทรศัพท์ของเขาก็ร้องเตือนลั่น

หมอนั่นเข้ามาใกล้แล้วยื่นหน้าจอมา นั่นเริ่มทำให้เดียร์เข้าใจอะไรได้รางๆ

“วันนี้ฉันโทรไปหานายสองสาย รวมตอนนี้ด้วยก็เป็นสาม เท่ากับว่า...นายด่าเหี้ยฉันไปสามครั้ง จริงไหม”

เดียร์ยืนขบริมฝีปากนิ่ง ลอยหน้าลอยตาไม่รู้เรื่องราว ทั้งที่จำได้ดีว่าคืนก่อนนี้มันเกิดเหตุการณ์อะไร แค่นึกย้อนกลับไปเท่านั้นเหงื่อก็ออกเต็มหลัง

หายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกอีกทีตัวก็ชิดติดผนังเสียแล้ว

“ยังไม่ลืมเมื่อคืนใช่ไหม?” เดียร์รู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งแก้มเมื่อริมฝีปากของเขาจงใจกระซิบลงข้างๆ ร่างสูงนั่นขยับชิดเข้ามาเรื่อย จนได้กลิ่นหอมติดจมูก

เหี้ยแล้วจริงๆ

เดียร์ได้แต่ร้องคำนี้อยู่ในใจ เป็นครั้งแรกเลยที่ไม่กล้าโต้ตอบ เห็นนิ่งแบบนี้แต่ที่จริงแล้ว ทั้งโมโห ทั้งอาย ยิ่งภาพเมื่อคืนโผล่เข้ามาเป็นฉากๆ อารมณ์อยากกลั้นหายใจตายลงตรงนี้เลย

เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจนิดหน่อย ตอนฝ่ามือหนาวางลงบนผนัง ใครอีกคนเข้ามาแนบชิดลำตัว แล้วก็จ้องหน้าเขานิ่ง

พอทำท่าจะดันหน้าอกเปล่าเปลือยนั่นออกห่าง หมอนั่นก็จับมือเขาไว้แน่น

“จัดการนายยังไงดี?”

“ถอยไปนะ!” ถึงจะกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็เสียงดังไว้ก่อน อย่าให้มันรู้เด็ดขาดว่าเขารู้สึกยังไง

“ทำไมต้องถอย ในเมื่อนี่มันห้องฉัน” อธินยั่วเย้าด้วยการเปิดโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตา

 “ไอ้บ้าเอ้ย เอาคืนมา” เดียร์ร้องลั่น พยายามคว้ากลับมา แต่หมอนั่นก็ใช้ส่วนสูงที่ได้เปรียบกว่าหลบหลีกได้ทันเสียทุกครั้งไป เรือนร่างสัมผัสกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ได้กลิ่นหอมสดชื่นหลังการอาบน้ำทำให้คนตัวเล็กกว่าเริ่มหวั่นไหว แต่มันก็เพียงแวบเดียว เมื่อคิดว่าต้องออกไปจากห้องนี้ให้เร็วที่สุด

“ไม่ง่ายขนาดนั้น” เขากล่าว

เดียร์สุดจะทน ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบทิศทางเพื่อหาสิ่งของมาป้องกันตัว แล้วสายตาก็สะดุดลงที่ร่างกายแข็งแกร่ง เห็นผ้าขนหนูที่พันไว้หมิ่นเหม่ ทำให้คิดการใหม่ได้ทันที

ดีล่ะ! เจ้าเล่ห์นักใช่ไหม


พรึ่บ!!

มือไวเท่าความคิด เดียร์กระตุกปมผ้าขนหนูออก อาศัยจังหวะที่หมอนั่นยังไม่ทันตั้งตัวรีบฉวยโทรศัพท์ไป เขาผลักคนตรงหน้าออกห่าง แล้วรีบวิ่งหนี

เดียร์ขำจนลั่นห้องเมื่อเห็นหมอนั่นทำหน้าเหวอ เขาเยาะเย้ยอย่างสะใจ ให้มันรู้ซะบ้างว่าใครเหนือกว่า

อธินได้แต่หมายมาดไว้ในใจ เขามองร่างไอ้เด็กแสบวิ่งหนีไปแล้วก็ได้แต่ขำ

เล่นแบบนี้งั้นหรือ...ได้เลย

 

ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวขึ้นมาจากพื้นห้อง เดินไปตู้เสื้อผ้าของตัวเองอย่างอารมณ์ดี

ไม่รู้เลยว่าเคยยิ้มอย่างมีความสุขแบบนี้ไปครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ เหมือนว่าใครบางคนจะทำให้เขาหัวเราะบ่อยขึ้น อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

เดียร์กลับถึงห้องก็ล้มตัวลงนอน ไม่ลืมสิ่งที่ทำเป็นประจำนั่นก็คือไล่เก็บเลเวลในเกมไปเรื่อยๆ แต่จู่ๆ ใบหน้าของไอ้หมอนั่นก็ลอยเข้ามาในหัวเหมือนถูกสั่ง และดูเหมือนว่าอากาศในห้องจะร้อนขึ้นมาทันที เดียร์ลุกไปดื่มน้ำอีกรอบ ตอนที่ริมฝีปากจรดปลายขวดแก้ว ความรู้สึกตอนที่โดนไอ้หมอนั่นจูบก็ผุดขึ้นมา

ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์นี้เท่าไหร่นัก

รู้แต่ว่ามันทำให้หงุดหงิดจนนอนไม่หลับ

เกลียดอาการนี้จริงๆ

 

 

 

 

“ตั้งแต่ย้ายไปอยู่บ้าน รู้สึกพฤติกรรมมึงจะดีขึ้นมากเลยนะ สายก็ไม่สาย ไม่เห็นจะโดดเรียนเลยสักคาบ” เนตั้งใจมองคนที่ยืนรอซื้อข้าวให้แล้วเอ่ยแซว พวกเขาสังเกตความเป็นไปของมันมาอาทิตย์กว่าๆ อดปลื้มไม่ได้ที่เจ้าตัวหันมาสนใจการเรียนมากขึ้น พักหลังนี้พวกเขาเลยหายห่วง

“อาดาวนี่ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกนะ กูว่าสี่ปีนี่น่าจะได้เกียรตินิยมไปแดก”

เดียร์ได้ยินก็หูผึ่ง กลัวพวกมันระแคะระคายเรื่องที่เขายังไม่ได้บอก และสาบานว่าจะไม่มีวันพูดไปเด็ดขาด เรื่องที่ว่าตัวเองพักอยู่ที่ไหน กับใคร เป็นมาอย่างไรนั้น มันจะเป็นความลับไปตลอดชาติ

“อะไรๆ มึงจะพูดก็พูด ไม่ต้องมาอ้อมค้อม” เขาตีโพยตีพาย ไม่ชอบสายตาจับสังเกตนั่นเลย เดียร์มั่นใจว่าพวกมันไม่มีทางรู้ แต่ไอ้การถูกสงสัยเช้าสงสัยเย็นนี้ หวั่นใจอยู่มากเหมือนกัน

“เปล่า ก็แค่ชม” เนขึ้นเสียงสูง เอานิ้วไปจิ้มแก้มนิ่มๆ ของมัน จนเจ้าตัวหน้าหัน พอเริ่มรำคาญใจก็เลยปัดมือเขาทิ้ง

“เรื่องการบ้านนี่ อาจารย์สั่งเมื่อไหร่ พร้อมส่งเมื่อนั้น” ภูแหย่ซ้ำก่อนดูดน้ำเปล่าในแก้ว เลยถูกมองค้อนเข้าให้

“กูขยันบ้างไม่ได้รึไง!” เดียร์เหนื่อยที่ต้องหันมาตอบคำถามซ้ายทีขวาที ไอ้พวกเวรสองตัวนี่ จะซักอะไรกันนักหนาไม่ยอมเลิก

“แถมหน้าตานี่เปร่งปรั่งดูสุขภาพดีทุกเช้า” อันนี้แหละคือประเด็นใหญ่ยักษ์ ไม่หยิบมาพูดไม่ได้ “แม่มึงนี่เลี้ยงกับอะไรวะ อยากรู้จริงๆ”

เนจ้องหน้ามันนิ่งด้วยสุดจะสงสัย อย่างไอ้เตี้ยนี่น่ารักใครๆ ก็รู้ แต่อย่าให้เมาขึ้นมา เห็นแล้วจะรับไม่ได้เอา

เดียร์ปลีกไปหยิบข้าวที่แม่ค้าทำเสร็จแล้วมาเสิร์ฟ หันมาแล้วก็ยังได้ยินไอ้พวกเวรสองตัวยังไม่พูดหยุด เขากระแทกข้าวลงบนโต๊ะ จนแตงกวาในจานกระเด็นออก

“หุบปากแล้วนั่งแดกไปเลย!” น่าตบกะบาลสักคนละทีสองที อาศัยใช้แรงงานเขาแล้วไม่ว่า ยังมาเสือกนั่งจับผิดกันอีก

หาเรื่องให้อารมณ์เสียชัดๆ

 

กินข้าวเสร็จพวกเขามีนัดไปอ่านหนังสือด้วยกัน ใครที่สนใจพอเลิกเรียนแล้วสามารถไปรวมกลุ่มกันได้ที่หอสมุด ใครถนัดวิชาไหนก็จะมาช่วยสอนคนที่ยังไม่เข้าใจ วิชาเอกของพวกเขามักทำแบบนี้กันส่วนใหญ่ มีแต่เดียร์เองที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยสนใจ เอาแต่ตีตัวออกนอกกลุ่มอยู่เรื่อย

 

...

เลิกงานวันนี้เขารู้สึกผิดสังเกต ไม่เห็นคนที่มักจะมาออกกำลังกายบนชายหาด คนที่ไปรับก็กลับมาแล้ว แต่ยังไม่เห็นเจ้าตัว

“วันนี้เพื่อนในเอกเริ่มนัดติวกันวันแรกครับ บอกว่าเดี๋ยวจะกลับเอง”

“ปกตินายก็ช่วยสอนการบ้านให้ตลอดไม่ใช่หรือ” คนพูดเอามือล้วงกระเป๋า ดวงตาทอดมองไปยังท้องทะเล ทิศทางเดียวกับที่เด็กคนนั้นมักจะวิ่งผ่านเสมอ

“ครับ ผมกับอันนาเราสลับกัน” คนเป็นลูกน้องทำได้แต่ตอบคำถามไปตามความจริง

“แล้วให้คนมีประสบการณ์โดยตรงช่วยสอนมันไม่ดีกว่าตรงไหน” เขาถาม ก็ในเมื่ออันนาเคยเป็นเลขาเก่าของคุณพิมพ์ภาดา ทำงานให้ที่นี่มาตั้งหลายปี ส่วนเชนเคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยมาก่อน รวมสองคนนี้ไปด้วยแล้ว ไม่รู้ว่ายังต้องการอะไรอีก

“ครับ บางทีคุณเดียร์อาจจะอยากติวแบบกันเองกับเพื่อนๆ” เชนบอกสั้นๆ ไม่กล้าออกความเห็นนัก เห็นอารมณ์ไม่ค่อยดี คิดว่าเฉยๆ ไว้ดีกว่า

แต่คุณอธินก็ยังทำสีหน้าไม่พอใจ

เขายืนเกาหัว ไม่เข้าใจว่าเจ้านายของตนจะฉุนไปทำไม ในเมื่อเด็กคนนั้นก็ดูแลตัวเองได้ เด็กวัยรุ่นชอบอยู่กับเพื่อนเป็นธรรมดา ขืนเข้าไปยุ่งมากๆ เดี๋ยวก็ได้มีปัญหาขึ้นมาอีก เด็กนั่นใช่ประเภทว่านอนสอนง่ายเสียเมื่อไหร่

 

กว่าสัปดาห์เต็มๆ ในช่วงของการเตรียมสอบ เดียร์กลับดึกทุกคืน แต่มันก็คุ้มกับเนื้อหาที่ได้รับ ไม่เคยมีครั้งไหนในชีวิตที่เขาเต็มที่ในการสอบเท่านี้ วันสอบเสร็จเลยรู้สึกโล่ง เพื่อนในกลุ่มที่ช่วยกันติวก็เลยนัดไปเลี้ยงกันที่ร้านอาหารแบบกึ่งผับ พวกนั้นบอกว่ามีดนตรีสดเล่นให้ฟังด้วย เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนที่รักในเสียงเพลงรีบตอบตกลงในทันที

 

โทรศัพท์เขาร้องลั่นเพราะบางคนโทรเข้ามา เดียร์ไม่ยอมรับสาย ตอนนี้ห้าทุ่มกว่าๆ เขายังไม่อยากกลับ

กว่าจะแยกย้ายก็ตีหนึ่ง พวกนั้นขนาดเมาหัวราน้ำก็ยังซดไม่ยอมเลิก เดียร์เองก็ใช่ย่อย โดนแรงยุเข้าไปเล่นเอาเดินไม่ไหว เดือดร้อนเพื่อนต้องช่วยกันหามออกมา สุดท้ายเลยต้องโทรตามให้เชนมารับเพราะกลับเองไม่ไหวแล้ว

ฝั่งเชนพอรู้เรื่องเข้าก็รีบเอารถออก ในตอนนั้นอธินยังไม่นอน เขานั่งดื่มอยู่ริมระเบียงสระน้ำ ได้ยินเสียงสตาร์ทรถก็เลยออกไปดูอย่างสงสัย พอรู้ว่าเดียร์ยังไม่กลับแล้วสั่งให้เชนไปรับก็เลยฉุนขึ้นมา บอกลูกน้องไปว่าจะตามมาจัดการเอง

 

อธินนั่งมองจากรถ เห็นเด็กพวกนั้นแยกย้ายกันกลับไปทีละคน เขาเห็นไอ้ตัวดีกำลังเดินตรงมาหาเมื่อเห็นรถคันนี้เข้ามาจอด โดยมีเพื่อนอีกสองคนช่วยกันหาม เห็นสภาพเด็กอวดดีนั่นแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว

“กูเดินเองๆ” เขาลดกระจกลงก็เลยได้ยินเสียง เด็กนั่นเอาแต่ใจผลักเพื่อนอีกสองคนออกห่าง สีหน้ารำคาญสุดๆ

“ก็บอกว่าจะไปส่ง” ภูคว้าแขนเรียวขึ้นคล้องคอ มือหนึ่งรวบเอวเข้ามาชิด อธินจับจ้องทุกพฤติกรรมไม่ลดละ เฝ้ามองอย่างใจเย็น

“ไม่ต้องๆ”

“มึงจะคลานไปรึไง! อย่าทำให้มันยุ่งยากได้ไหม” ร่างสูงใช้แขนเกี่ยวรอบเอวมันขึ้นมาอีกรอบ แต่คนเมาไม่มีแรงทรงตัว ทิ้งน้ำหนักมาทางเขาแบบไม่บอกกล่าว จนเกือบจะเซล้มไปทั้งคู่

“เนมึงจัดการดิ เชี่ยนี่ดื้อชิบหาย เมาแล้วเป็นแบบนี้ทุกที” เขาขอความช่วยเหลือคนที่แข็งแรงกว่า ไอ้เนแค่ตวัดร่างนั้นไปเบาๆ ก็ได้ทั้งตัวเข้าไปกอด

“อยู่นิ่งๆ” เนจับสองไหล่คนที่ตัวอ่อนปวกเปียกให้ยืนตัวตรง แล้วเอามือสอดใต้ราวเอวของมันเตรียมจะหิ้ว แต่ก็ยังไม่วายถูกปัดออก

“อย่ามาจับ...ร้อน” คนบ่นชักหงุดหงิดใจ ไม่รู้ตัวเลยว่าทำให้คนอื่นยุ่งยากแค่ไหน

“อุ้มไปง่ายกว่าไหมกูว่า รอมันเดินไปถึงนี่ชาติหน้าแน่” ภูเสนอ

“รถที่บ้านมึงคันไหน?” เนถามเพื่อความแน่ใจจะได้อุ้มไปส่งได้ถูกคัน เดียร์พยายามปรือตามองออกไปท่ามกลางแสงสลัว พอเห็นป้ายทะเบียนคุ้นๆ ก็ชี้มือชี้ไม้

 

แล้วเจ้าของรถก็เปิดประตูออกมาเองไม่รอให้ถึงจังหวะนั้น อธินยืนขึ้นเต็มความสูง มองไปยังร่างที่หมดสภาพด้วยสีหน้าที่คนอื่นยากจะเข้าใจ

“เชี่ยนี่เมาแล้วมั่วว่ะ ไอ้ห่าแหกตาดูดีๆ นั่นไม่ใช่รถแม่มึงนะ” ภูปลุกมันขึ้นมา ก่อนที่มันจะทำท่าหลับไปจริงๆ เจ้าของรถมองเพื่อนของเขาใหญ่ เขาล่ะกลัวว่าบังเอิญมาเจออริเก่ามันเข้า ไม่อย่างนั้นได้เคลียร์กันยาวแน่

“หือ...” เดียร์ลืมตามองอีกครั้งอย่างชั่งใจ หมอนี่ไม่ใช่เชน หน้าคุ้นๆ เหมือนใครบางคน

“ฉันมารับเด็กนั่น” ชายหนุ่มบอก อธินหมายถึงคนที่เมาไม่ได้สติ ที่ยืนตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนในกลุ่ม

“คุณเป็นใคร? แน่ใจได้ยังไงว่ารู้จักกับเพื่อนผมจริงๆ” สีหน้าของเนแสดงออกอย่างเปิดเผยว่าไม่ไว้ใจไอ้หมอนี่สักเท่าไหร่

“ก็ลองถามเจ้าตัวดู” เขาสรุปสั้นๆ และเริ่มรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ชอบขี้หน้า ก็เลยขี้เกียจจะพูดอะไรให้มากความ

“เพื่อนมึงหรือ...ไปรู้จักกันตอนไหน” เขาเขย่าร่างไอ้ตัวเจ้าปัญหาให้ลืมตาขึ้นมาอธิบาย แล้วมันก็นิ่งไปเหมือนกำลังนึกคำตอบ เขารอให้มันพูดอะไรออกมาแต่มันก็เอาแต่พยักหน้า แล้วบอกปัดไปว่าง่วงแล้ว

เนมองหน้ามันนิ่ง ไอ้เชี่ยนี่เลี่ยงไม่ยอมตอบ ปัดมือพวกเขาออก โซเซไปเปิดประตูรถ แล้วขึ้นไปนอนบนเบาะหลัง ก่อนจะหันมาโบกมือขอบใจที่อุตส่าห์มาส่ง

เขาไม่ต้องการคำขอบคุณ ที่อยากได้คือคำตอบจากมันมากกว่า ว่าไอ้คนที่มารับน่ะเป็นใครถึงได้มาทำท่าทางเหมือนหวงกันนัก

คนที่ยืนอยู่มองอย่างหมายมาด เมื่อรถคันนั้นขับออกไป

พรุ่งนี้มึงได้ตอบคำถามกูยาวเลยไอ้สัตว์!

 

 

“ตื่น ลงมา” พอถึงหอเขาก็ลงไปกระชากประตูออก ยืนมองคนที่นอนหลับสบายบนรถไม่รู้เรื่องราว สาบานว่าครั้งนี้เขาจะไม่เข้าไปช่วยเลย เมื่อเห็นว่ายังไม่ยอมขยับตัว อธินก็เข้าไปเขย่าร่างนั้นอีกรอบ

“โอ้ย! คนจะนอน” ฝ่ายนั้นขึ้นเสียงใส่ ปัดมือเป็นพัลวันเพราะโดนรบกวน ใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อยเพราะดื่มไปเยอะ

“นี่ ตื่นได้แล้ว” เจ้าตัวลืมตาอย่างงุนงง พอเห็นว่ารถจอดสนิทก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง มือข้างหนึ่งเขกหัวตัวเองปั้กๆ หวังให้มันหายมึน

“วันหลังถ้าเมาเหมือนหมาแบบนี้อีก ก็ไม่ต้องโทรตามให้ใครเดือดร้อนไปรับกลับ!” อธินดุใส่ ท่าทางขึงขัง ไม่พอใจ

“หนวกหู!” เดียร์แหวลั่น แล้วหันมาชักสีหน้าใส่ รำคาญไอ้หมอนี่เหลือเกิน

“รีบลงมาได้แล้ว” เจ้าของร่างเพรียวบางหย่อนขาข้างหนึ่งลงจากรถ พยุงร่างตัวเองให้ตั้งตรงโดยมีสายตาคู่หนึ่งเฝ้ามองไม่ห่าง

ไม่คิดจะช่วยกันแล้วยังมาพูดมาก เจ้าตัวมองไอ้คนใจดำตีหน้ายักษ์ใส่ ยืดกอดอกนิ่งเฉย รอดูว่าเขาจะช่วยเหลือตัวเองอย่างไร

เดียร์รู้สึกเหมือนโลกหมุน ตัวหนักเหมือนแขนขาถูกถ่วงไว้ด้วยหิน แต่ก็พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะเดินขึ้นบันไดไปให้ได้ มาถึงก็เกาะราวบันไดไว้แน่น เงยหน้ามองขึ้นไปยังชั้นสาม บันไดตั้งหลายขั้นจะเดินขึ้นไปถึงได้ยังไง หวิดจะหัวทิ่มตั้งหลายที ถ้าไม่เห็นดวงตาคู่นั้นมองมาเสียก่อนก็คงตัดสินใจนอนลงตรงนี้เลย

แต่ต่อหน้าคนแบบนั้น ไม่ยอมให้ถูกหัวเราะเยาะเด็ดขาด!คงยืนสมน้ำหน้าเขาอยู่สิท่า คิดแล้วก็เจ็บใจนัก

อธินเดินขึ้นบันไดตามมา เห็นเด็กอวดดีนั่งหมดแรงอยู่ไม่ทันถึงชั้นสอง อยากเข้าไปเขกหัวสักป้าบให้หัดสำนึก แต่คิดว่าลงแรงไปก็เท่านั้นในเมื่อไม่เคยเชื่อฟังอะไรสักอย่าง

“ว่าไง นั่งทำอะไรอยู่”

ถึงจะเมาแค่ไหนแต่เจ้าตัวก็ยังไม่วายเชิดใส่ เด็กนั่นบ่นอุบ ฟังไม่ออกว่าพูดอะไร เดาจากสายตาก็คงไม่พ้นเรื่องเขานั่นแหละ

 หลังจากปั้นปึงใส่เขาได้สักพักเจ้าตัวก็พยายามลุกขึ้นอีกรอบ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะไม่รอด ก่อนจะฟุบลงไปอีกครั้งแล้วหันมาค้อนใส่เขาจริงจัง

“จะได้นอนไหมคืนนี้” ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างสุดพลัง มองคนหมดสภาพนั่งอ่อนแรงพิงราวบันได

“ก็ช่วยหน่อยสิวะ!”  ขอให้ช่วยไม่พอแถมยังมาตะคอกใส่ อธินส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจกับไอ้ความแข็งกระด้างนี้เหลือเกิน หากพูดมาตั้งแต่แรกก็จบ เขาก็แค่ดัดนิสัยไปอย่างนั้น อยากลองดูว่าจะแข็งไปได้สักกี่น้ำ

“พูดจาดีๆ น่ะเป็นไหม” ร่างสูงหันไปดุ แล้วรวบเอวคนดื้อเข้ามาชิด อีกฝ่ายเกร็งไปทั้งตัว ทั้งคู่มองสบกัน คนหนึ่งกำลังขุ่นเคืองที่ทำอะไรไม่ได้ ส่วนอีกคนก็ไม่หยุดพยศใส่กันเสียที

 เดียร์ไม่อยากได้การช่วยเหลือจากไอ้หมอนี่เลย พอเห็นสายตาที่มองมาเหมือนจะอยากกินเลือดกินเนื้อ หวั่นใจกับสายตาคู่นั้นจนต้องหันหลบ

แล้วหัวใจก็เต้นรัวอย่างไร้สาเหตุ ทั้งตัวร้อนผ่าวราวกับเป็นไข้...

 

อธินขึ้นมาส่งถึงหน้าห้อง เขาประคองร่างคนที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงใดๆ มาส่งอย่างปลอดภัย ฝ่ายนั้นนั่งลงหน้าประตูควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าเสื้อ

“กุญแจอยู่ไหน?” เขาปาดเหงื่อที่ซึมออกมาบนหน้าผาก เหนื่อยเล็กน้อยเพราะใช้เวลาฉุดลากฉุดดึงกันอยู่นาน พอมองดูนาฬิกา มันเลยตีสองมามากแล้ว

ฝ่ายนั้นยังหากุญแจอยู่ ชายหนุ่มแทบทรุดลงไปนั่งด้วยเมื่อเจ้าตัวบอกว่าหาไม่เจอ อธินอยากต่อว่าออกไปนัก นั่นมันใช่ที่ควรจะเก็บไว้เสียที่ไหน พอเห็นใบหน้ารู้สึกผิด เขาก็หยุดต่อว่า แล้วช่วยคิดหาทาง

“ไปนอนห้องฉันก่อนก็แล้วกัน” เขาบอกสั้นๆ แต่ฝ่ายนั้นหันมามองขวับ ปฏิเสธไม่เอาลูกเดียว

“นั่งอยู่แบบนี้ทั้งคืนก็ตามใจ อยากได้คนมาเปิดให้ก็รอสว่างโน่น”

เขาบอกแค่นั้นแล้วเดินลงบันไดมา ไม่คิดอยู่ช่วยพยุงลงมาด้วยซ้ำเพราะคิดว่าเด็กนั่นคงไม่ตามมาอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็คงไปอาศัยคนอื่นเอา เพื่อนที่หอก็มีเยอะแยะ ไม่ก็ใครคนหนึ่งคงถูกรบกวนเอากลางดึกแบบนี้

 

แต่แล้วก็ผิดคาดเมื่อเห็นร่างเพรียวบางกำลังเดินลงบันไดมา เขาจะดุให้แล้วเชียวเมื่อฝ่ายนั้นรีบจนเกือบล้มเอาตรงบันไดขั้นสุดท้าย โชคดีที่เข้าไปช่วยจับไว้ทัน

ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น ต่างคนต่างเอาแต่คิดว่าจะทำตัวอย่างไรเมื่อต้องมาอยู่ด้วยกัน

คนที่หนักใจที่สุดเห็นจะเป็นคนโตกว่า

ก็ไอ้เด็กตรงหน้าน่ะ ทำเขาเสียการควบคุมมาแล้วตั้งเท่าไหร่...

กลัวจะห้ามใจไว้ไม่อยู่...

 

 

 

 

 

 

-------------------------------------------------
 
 

 

 
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 14 : เริ่มรู้สึก (02/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 02-05-2018 23:13:15

14

เริ่มรู้สึก

                                                                                                 

                                                                   



อธินประคองร่างอ่อนปวกเปียกมาจนถึงระเบียงชั้นสอง ใช้มือหนึ่งล้วงคีย์การ์ด อีกมือรวบเอวบางกอดไว้แนบแน่น เด็กตรงหน้าพิงมาที่เขาอย่างเผลอตัว ใกล้ชิดเสียจนเขาต้องเอ็ดไป

“นี่...ยืนให้มันดีๆ” แต่เจ้าของร่างก็ยังโงนเงนอยู่แบบนั้น อธินสอดคีย์การ์ดจนสำเร็จแล้วผลักประตูเข้าไป เขาให้เดียร์นั่งรออยู่บนเตียง จากนั้นตัวเองก็ลงไปที่ครัว

ร่างสูงกลับมาพร้อมกับผ้าเย็นในมือ เขายื่นให้เด็กตรงหน้าไปเช็ดตัว ก่อนจะเดินไปเลือกหาเสื้อผ้ามาให้อีกรอบ

“เปลี่ยนซะ”

คนเมาทำตัวว่าง่ายพยายามแกะกระดุมเสื้อตัวเองออก จนแล้วจนรอด คนที่ยืนมองดูก็อดไม่ได้จึงเข้าไปช่วย แต่อีกฝ่ายกลับดื้อ

“ทำเอง!” เจ้าตัวบอกเสียงยุ่ง พยายามลืมตาขึ้นมาจดจ่อกับแผงกระดุมเสื้อ ตั้งใจแกะมันแต่ก็อดรำคาญตัวเองไม่ได้

“หันมานี่” อธินเห็นภาพแล้วว่าไม่รอด หากมัวรอคืนนี้ก็คงไม่ได้นอน

“บอกว่าไม่ต้อง!” เดียร์ทำเสียงขึ้นจมูก ไม่ชอบให้หมอนี่เข้ามาใกล้สักเท่าไหร่นัก มือเรียวผลักอกอีกฝ่ายออกห่าง อธินไม่ยอมแพ้กับความดื้อรั้น เขากดไหล่เด็กตรงหน้าจนร่างจมลงกับที่นอน เดียร์โวยวายลั่นจนเหนื่อยหอบ กว่าจะรู้ตัวก็เผลอสบตากับร่างสูงนิ่งงัน

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงลมหายใจคั่นกลางระหว่างคนสองคน

เดียร์หลับตาแน่นเมื่อไม่อาจหลีกเลี่ยงใบหน้าคมคายที่เริ่มโน้มลงมาใกล้ หายใจถี่รัวเมื่อนึกถึงการกระทำที่เคยผ่านมา ไม่นานจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงริมฝีปากอุ่นร้อนที่ค่อยๆ ประทับลงมาแผ่วเบา
 

เด็กหนุ่มฝืนกลั้นหายใจ ต้องการระงับความร้อนรุ่นในอก ที่ทวีขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ ความสับสนในก้นบึงของหัวใจ แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่...พยายามคิดหาคำตอบจนสมองหนักอึ้ง แต่แล้วอีกฝ่ายกลับทำให้ทุกอย่างนั้นหายไปโดยการสอดลิ้นอุ่นๆ เข้ามา เดียร์ตอบรับอย่างว่าง่าย ยอมให้คนโตกว่าได้ทำอะไรตามใจชอบ

 

ร่างกายสั่นเทาไปตามจังหวะการเต้นของหัวใจอย่างไม่อาจห้ามได้ เมื่อรู้สึกว่ากระดุมเสื้อกำลังถูกปลดออกไปทีละเม็ดอย่างง่ายดาย และคนตรงหน้าเริ่มเปลี่ยนมาสนใจบริเวณซอกคอ เขาย้ำจูบซ้ำๆ อย่างแผ่วเบาจนทั้งร่างรู้สึกอ่อนแรง

อธินมองดวงตากลมโตที่ทอดมองเขาอย่างหวาดหวั่น ชายหนุ่มผุดยิ้มจางๆ กับท่าทางที่แตกต่างออกไปของเด็กดื้อรั้น มือข้างหนึ่งที่กดอยู่บนไหล่เปลี่ยนมาปัดปลายผมที่คลอเคลียอยู่บนหน้าผากให้อย่างเบามือ เขาสังเกตว่าอาการตื่นตระหนกนั้นหายไปแล้ว ส่วนมือที่กำแน่นบนตัวเสื้อก็คลายแรงลงเช่นกัน เขามองคนที่นอนตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียงด้วยความเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะก้มลงจูบเบาๆ บนหน้าผาก เดียร์หลับตาลงอีกครั้งเพื่อรับสัมผัส ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ว่าหลับฝันดีตามมา หลังจากนั้นตัวเองก็ไม่กล้าลืมตาขึ้นมาอีกเลย ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเอื้อมมือไปปิดไฟ แล้วทั้งห้องก็มืดสนิท

 

ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย เกิดขึ้นตอนที่อีกฝ่ายล้มตัวนอนข้างๆ ความกังวลที่คอยรบกวนกันอยู่ทุกคืนคล้ายจะหมดไป เดียร์ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แค่ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่นอนอยู่เบื้องหลัง ความโดดเดี่ยวที่เคยมีก็หายไปแล้ว

 

ไม่อยากจะเชื่อว่าการบอกฝันดี...จะทำให้นอนหลับมีความสุขถึงเพียงนี้...

 

 

เดียร์ตื่นขึ้นมาเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่อีกฝ่ายตั้งไว้ หันมองในห้องไม่มีใครอยู่ คาดว่าเจ้าของคงไปทำงานแล้ว เด็กหนุ่มกวาดมองไปรอบๆ แสงแดดจางๆ สาดส่อง ดวงตาสะดุดกับกระดาษโน้ตสีส้มที่แปะทิ้งไว้ใกล้ๆ กับนาฬิกาปลุก

 

‘กุญแจชุดใหม่...ลองทำหายอีกสิ’

 

ข้อความท้าทาย อ่านแล้วรู้สึกหมั่นไส้คนเขียนขึ้นมา ลูกสนที่แขวนติดไว้กับกุญแจดูเทอะทะ จนเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อไม่ได้อีก

นึกถึงเจตนาคนให้แล้ว...ช่างใส่ใจรายละเอียดได้ดีจริงๆ

 

คาบแรกของวันนี้ถูกยกเลิกไปอีกแล้ว เนื่องจากอาจารย์ป่วยกะทันหัน พวกเขาเลยต้องแห่กันไปนั่งห้องสมุด เพื่อเขียนรายงานส่ง คนมาถึงทีหลังมองหาเพื่อน เห็นไอ้ภูพยายามโบกมือให้

 

“กูเสือกไปนั่งรออยู่ตั้งนาน!” คนเพิ่งมาถึงร้องบ่น เอาสมุดขึ้นมาพัดเรียกลม อากาศด้านนอกร้อนมาก ร้อนจนเหงื่อชุ่ม

“แล้วทำไมไม่โทรมาถามวะ”

“ใครจะไปรู้”

เนเฝ้ามองสีหน้าคนบ่นที่อารมณ์ดีผิดหูผิดตา เขายังไม่เลิกคิดเรื่องเมื่อคืน รู้สึกเคืองนิดหน่อยที่มันหันมาเห็นเขาแล้วแสร้งหลบตา

“เขาให้ทำไรมั่งวะ?” เดียร์ดึงงานของมันไปดูตัวอย่าง ไอ้เนเริ่มเขียนได้ไม่กี่ข้อ แล้วก็ถูกยึดกลับไปแบบไม่บอกกล่าว

“ขอดูก่อนดิ!”

“มึงได้ดูแน่ แต่หลังจากที่ตอบคำถามกูก่อน” คนฟังชะงักนิ่ง เสียวสันหลังวาบ ดวงตาของมันไม่มีแววล้อเล่นเลยสักนิด เห็นแล้วรู้สึกเย็นขึ้นมาทั้งตัว

“ไอ้หมอนั่นมันเป็นใคร?”

“หมายถึงใคร?” เดียร์แสร้งเป็นไม่รู้ แกล้งงงงัน มือหนึ่งก็หยิบปากกาขึ้นมาทำท่าจะเขียน แต่ไม่วายโดนแย่งไปอีก

“คนที่มารับมึงเมื่อคืน!” เนถามเสียงแข็ง เขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก ยิ่งเห็นเพื่อนแสดงท่าทางเหมือนกำลังปิดบังกันอยู่ ก็อดไม่ได้

“อ้อ เอ่อ..เขาเป็น..แฟนเก่าของพี่ชายน่ะ..”

“แฟนเก่าพี่ชาย!...แล้วเลิกกันไปเมื่อไหร่?”

เดียร์คิดว่ามันจะหายสงสัยเสียอีก แต่ท่าทางมันคงไม่อยากจบง่ายๆ ด้วยแน่ๆ

“อันนั้นกูไม่รู้” เขาส่ายหัวปฏิเสธ ทำเป็นหันมาหนังสืออ่าน คิดว่ามันคงพอใจกับคำตอบแต่ที่ไหนได้

“รู้จักกับมึงนานรึยัง?”

“ก็...ตอนกูเรียนมอต้น” เขาตอบส่งๆ จำได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายตอนมาหาพี่ปั้นที่บ้านแค่ไม่กี่ครั้ง พอเจอกันใหม่ก็จำเกือบไม่ได้ จะว่ารู้จักกันตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่น่าใช่

“สนิทกัน?”

“เอ่อ...” อันนี้ไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไง พวกเขาไม่ได้สนิทกัน แต่เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน แถมยัง...

“ถึงขนาดที่โทรตามมารับกันดึกๆ ได้ กูว่าก็คงสนิทล่ะ” เนสรุปให้อย่างง่ายดาย คนฟังใจคอไม่ดีไม่รู้ว่ามันมาไม้ไหน ดูเหมือนไม่พอใจที่เขาเลี่ยงไม่ยอมบอกความจริง

“แล้วมีเหตุผลอะไรที่แฟนเก่าพี่ชายต้องมายุ่งเกี่ยวกับมึง” มันมองตาเขาอย่างคาดคั้น ไม่อาจหลบเลี่ยงได้

“เอ่อ...” เดียร์เฝ้าคิด เรื่องนี้ไม่เคยนึกมาก่อนเลยด้วยซ้ำ ครั้งนี้ไม่เพียงแต่ตอบไม่ได้ แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน..ระหว่างหมอนั่น มันก็ถูกที่เราสองคนไม่มีเหตุผลใดๆ เกี่ยวข้อง แต่หากมองไปตั้งแต่เริ่มต้น

 

เหตุผลก็คงเป็นเพราะ...

ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่เข้ามาช่วยในคืนนั้น เดียร์ก็ไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองจะผลิกผันได้เท่านี้หรือไม่ หากมีพวกมันสองคนอยู่ด้วย เขาก็คงจะเอาตัวรอดมาได้เหมือนทุกที แล้วไอ้คนพวกนั้นก็คงไม่ผูกใจแค้นเล่นงานเขาต่อเนื่อง หาความสงบไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ ชีวิตคงปลอดภัยและเขาก็ไม่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่น และทุกอย่างคงเป็นปกติ

 

เพียงแต่ว่า...ต้องย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต

“เงียบทำไม?”

“กู...” เดียร์อยากเล่าเรื่องจริงให้มันฟัง แต่ใจหนึ่งก็ยังไม่พร้อม คิดว่าถ้ามันรู้ก็คงหาทางให้เขาออกมาจากที่นั่นอย่างแน่นอน เดียร์รู้ว่าพวกมันช่วยเหลือได้ แต่ว่าตอนนี้...

“พอๆ จะหมดคาบแล้วไอ้ห่า พวกมึงรีบๆ ทำเลย!” ภูรีบขัด เมื่อเห็นเวลาทำงานเหลืออีกไม่มาก เขายื่นใบงานให้ไปดูแล้วอธิบายเพิ่มเติม การกระทำนี้เรียกว่าเป็นการป้องกันไอ้เดียร์อยู่กลายๆ ซึ่งไอ้เนก็ดูออกมันถึงมองหน้าเขาอย่างไม่พอใจ

ภูรู้ว่าไอ้เพื่อนตัวดีกำลังปิดซ่อนบางอย่างเอาไว้ และเจ้าตัวยังไม่พร้อมจะบอกให้ฟัง ส่วนไอ้เนก็ไม่ยอม มันร้อนใจมากก็เลยใช้วิธีบังคับ

เรื่องแฟนเก่าพี่ชาย...เขานึกถึงสายตาของไอ้หมอนั่นเมื่อคืน แม้จะเข้าใจยากแต่ก็ไม่ถึงกับว่าดูไม่ออก...

 

 

หลังสอบกลางภาคเป็นการเริ่มฤดูแห่งการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ทุกคณะต่างแข็งขัน หลังเลิกเรียนมีการรวมกลุ่มกันไปทำหน้าที่ของแต่ละฝ่ายที่จัดแบ่งไว้ ตั้งแต่ขบวนพาเหรด ซ้อมเชียร์ลีดเดอร์ คุมแสตน ส่วนนักกีฬาก็แยกย้ายกันซ้อมตามประเภท ทุกคนให้ความร่วมมือเพราะถือว่างานนี้ชี้วัดถึงพลังสามัคคีของเด็กในคณะ

ภูช่วยอำนวยความสะดวกในการซ้อมของนักกีฬา ทุกๆ เย็นขณะที่เพื่อนกำลังซ้อม ทีมของเขาจะรับผิดชอบจัดเตรียมน้ำดื่มไปให้บริการถึงที่ นอกเหนือจากนั้นยังมีผ้าเย็น พวกยาต่างๆ รวมถึงข้าวกล่อง ขาดเหลืออะไรก็แค่ให้บอก แม้แต่แฟนนักกีฬามาทะเลาะกันข้างสนามก็เข้าไปเคลียร์ให้จนจบ เขาทำได้ทุกอย่าง ขอให้ไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรคในการซ้อมของนักกีฬาก็พอ...

เนเป็นกัปตันทีมฟุตบอล พวกเขามีเวลาซ้อมในสนามช่วงหกโมงเย็นเป็นต้นไปจนถึงสามทุ่มครึ่งของทุกๆ วันศุกร์และเสาร์ รอบซ้อมหลังจากนั้นก็นัดแนะกันไปข้างนอก เพราะเป็นแชมป์เก่าถึงต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่ง แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้เจ้าตัวจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่นัก เนมักจะใส่อารมณ์จนเพื่อนร่วมทีมต้องคอยเตือนอยู่บ่อยๆ เขาเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อมองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นใครบางคนซ้อมวิ่งอยู่ในลู่ มันตีตัวออกห่างเขาทุกทีที่ทำได้ ยอมไปซ้อมข้างนอกเพื่อจะเจอหน้าเขาน้อยลง

ส่วนเดียร์พี่ต้นให้เขาลงแข่งกรีฑาระยะ 1,500 เมตร เท่ากับว่าเขาต้องวิ่ง 4 รอบสนามภายในเวลา 10 นาที ปีที่แล้วสถิติของอันดับที่ 1 อยู่ที่ 6:16.40 นาที ปีนี้ถ้าเดียร์อยากจะชนะ ก็ต้องซ้อมทำเวลาให้ได้น้อยกว่า 6 นาทีเป็นอย่างต่ำ ฟังรายละเอียดในที่ประชุมแล้วรู้สึกหืดขึ้นคอ เป็นครั้งแรกที่พี่ต้นตัดสินใจให้เขาลงแข่ง จากที่เคยวิ่ง 800 เมตรมาตลอด เขาค่อนข้างกังวล ซึ่งวันแข่งก็ใกล้เข้ามาทุกที

ในมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะผ่านตึกไหนก็ได้ยินแต่เสียงเชียร์ร้องดังกระหึ่ม ทุกคณะเริ่มซ้อมใหญ่ บรรยากาศครึกครื้น ยิ่งช่วงเสาร์อาทิตย์บางคนถึงกับอยู่ในมหาวิทยาลัยจนถึงเช้าเลยก็มี นับเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่นักศึกษาส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ เพราะมันถูกปลูกฝังให้กลายเป็นประเพณีไปเสียแล้ว

เดียร์กลับมาถึงห้องก็ไม่มีแรงไปทะเลาะกับใคร รีบเข้านอนทุกคืนเพราะต้องตื่นแต่เช้าไปซ้อมวิ่งให้ร่างกายมันคุ้นเคย เหลือเวลาอีกอาทิตย์กว่าๆ เขาไม่คาดหวังว่าตัวเองจะชนะ ถือว่าทำสถิติให้ตัวเอง ให้คุ้มกับเวลาที่ซ้อมไปก็พอ

ท่าทางเช้านี้จะไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวที่ตื่นแต่เช้ามารับแสงแรกของวัน ห่างไปไม่ไกลมีร่างสูงใหญ่กำลังขะมักเขม้นอยู่กับงานถ่ายภาพตรงหน้า เหมือนฝ่ายนั้นจะรู้ตัวก็เลยหันมา เป็นจังหวะเดียวที่เดียร์กำลังมองอยู่พอดี คราวนี้จะทำเป็นไม่เห็นก็กระไรอยู่ ก็เลยต้องวิ่งต่อไปแบบนั้น อย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

อธินไม่ได้ทักทายด้วยคำพูด พอเห็นอีกคนเข้ามาใกล้ก็แกล้งขวางทางให้คนอารมณ์เสียเล่น นี่เป็นเรื่องที่เขาถนัด พอเด็กตรงหน้าจนใจก็หลีกทางให้ แม้จะโดนด่าว่าทำให้เสียเวลา แต่เขากลับรู้สึกพอใจที่ได้แหย่

คืนวันเสาร์นี้ที่คลับมีปาร์ตี้แต่เดียร์เป็นเด็กดีไม่ออกไปไหน หลังจากซ้อมวิ่งตอนเย็นก็กลับมาอาบน้ำเพื่อเตรียมลงไปกินข้าว ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นเสียก่อน แล้วก็ต้องงงเมื่อเห็นอันนาถือถุงใบใหญ่ยืนอยู่หน้าห้อง ในนั้นมีเครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำหวาน ของกินบำรุงกำลังเต็มไปหมด ยังไม่ทันเอ่ยถาม ฝ่ายนั้นก็บอกมาว่าคุณอธินให้เอามาฝาก เดียร์อยากปฏิเสธแต่คนเอามาให้กลับถือวิสาสะเข้าไปเปิดตู้เย็นแล้วจัดเรียงของพวกนั้นลงไป สั่งกำชับว่าต้องกินให้หมด อย่าให้เสียของ

เดียร์ถอนหายใจ ทั้งเจ้านายทั้งลูกน้องนิสัยเดียวกันไม่มีผิด ชอบบังคับอะไรตามใจชอบอยู่เรื่อย

พอลับหลังฝ่ายนั้น เจ้าตัวก็วิ่งไปเปิดตู้เย็นสำรวจดูว่ามีอะไรแช่อยู่บ้าง คืนนี้ไม่ได้ออกไปเมาที่คลับก็จริง แต่ดูเหมือนว่าใครบางคนจะตั้งใจจะให้เขาเมาเกลือแร่ตายอยู่ที่ห้องมากกว่า เยอะขนาดนี้เอาไปอาบก็ยังได้

 

หนึ่งสัปดาห์ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว วันนี้เป็นวันแรกของงานกีฬา ขบวนพาเหรดของแต่ละคณะถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ วงโยธวาทิตเล่นบรรเลงเพลงอย่างฮึกเหิม ดรัมเมเยอร์ของแต่ละคณะแข่งขันกันโยนไม้คฑาเรียกเสียงเชียร์จากผู้คนในสนาม เชียร์ลีดเดอร์หนุ่มสาวโชว์สเตปมืออย่างพร้อมเพียง ตามด้วยกองทัพนักกีฬาทยอยเข้าสู่รั้วสนามไปตามลำดับ สิ้นสุดการกล่าวเปิดงานของอธิการบดี สัญญาณเพลงเริ่มขึ้น พร้อมกับไฟในกระถางคบเพลิงที่ถูกจุดขึ้นแล้ว

เดียร์ใส่ชุดวอร์มประจำคณะนั่งดูการแข่งกันฟุตบอลในสนาม รอบคัดเลือกเข้าชิงแชมป์ในวันสุดท้าย คณะของเขาแข่งกับศึกษาศาสตร์ ฝั่งโน้นเล่นดีไม่น้อย หวิดจะทำประตูตีเสมออยู่หลายรอบ ถ้ากัปตันทีมอย่างไอ้เนหัดใจเย็นกว่านี้และไม่วู่วาม เดียร์นั่งนับใบเหลืองของมันตั้งแต่เริ่มแข่งมา หากผิดกติกาอีกครั้งนี้ได้ถูกไล่ออกจากสนามแน่ ไม่รู้ไปบ้าพลังมาจากไหน ถ้ายังระงับอารมณ์ไม่ได้ มีหวังทั้งทีมได้ซวยกันไปหมด

รอแข่งเสร็จ เขาตั้งใจจะเข้าไปเคลียร์ให้รู้เรื่อง

ทันทีที่เห็นหน้ากัน เนก็เดินหนีไปไม่ยอมพูดด้วย ตั้งแต่วันนั้นมันก็ดูหงุดหงิดตลอดเวลาที่เห็นหน้าเขา เดียร์เลยลองอยู่ห่างๆ เผื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่กลับแย่ลง

“เป็นอะไรของมึง?” เดียร์ปิดก๊อกน้ำที่มันกำลังใช้ล้างหน้า เนหันมามองครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวไปคว้าผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ แต่เดียร์ไวกว่ารีบรั้งร่างของมันให้หันมาเผชิญหน้า

“กูไม่ชอบเลยที่มึงเป็นแบบนี้ มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิวะ” เดียร์ตะโกนลั่น ทำเอาคนในนั้นหันมอง ร่างสูงใหญ่หันกลับมาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“ไม่ชอบใจก็อยู่ห่างๆ จะมาเดือดร้อนทำไม!”
 
คนตัวเล็กกว่าเริ่มโมโห มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อมันมา ส่วนอีกข้างกำแน่น ถ้ามันยังพูดไม่รู้เรื่องเห็นทีต้องซัดให้หายโง่เสียแล้ว

"มึงนี่มัน!"

"กูก็เป็นแบบนี้ มึงไม่ต้องสนใจ" เขาหมายถึงว่าให้มันปล่อยเขาไปก่อน เมื่อไหร่ที่หายบ้าแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปเป็นปกติเอง
เพียงแต่ไม่ใช่ตอนนี้ เพราะเขายังจัดการกับอารมณ์ตัวเองไม่ได้ หลังจากที่รับรู้อะไรบางอย่าง เรื่องที่มันตั้งใจปกปิดเขาไว้ ตั้งแต่วันนั้น...

"กูเป็นเพื่อนมึงนะ ไม่ให้สนใจได้ยังไง"

"กลับไปเถอะ กูยังไม่อยากคุยกับมึง"

"ไอ้เหี้ยเน!!" มือข้างหนึ่งเค้นลงไปอย่างสุดกำลัง เดียร์โมโหที่โดนมันปฏิเสธ กำมือแน่นเกือบจะชกมันไปเสียแล้ว

"บอกให้กลับไปไง พูดไม่รู้เรื่องรึไงวะ...” เนมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่แดงรื้นขึ้นมาพร้อมหยาดน้ำใสๆ
เพราะทำอะไรไม่ได้ เจ้าตัวเลยคลายแรงลงและปล่อยมือในที่สุด เดียร์ไม่พูดอะไรหลังจากนั้นก่อนจะเดินออกไปแล้วทิ้งเขาไว้กับความเสียใจที่มีต่อกัน

เขาอาจจะใจร้อน บางคราวก็ไร้เหตุผล แต่ก็เป็นห่วงมันไม่แพ้ใคร เกลียดตัวเองทุกครั้งที่ทำให้มันเข้าใจผิด เพราะสำหรับเขาการนิ่งเงียบคือการตัดปัญหาได้ดีที่สุด แม้จะทำให้หงุดหงิดใจบ้าง แต่มันก็เป็นการหักดิบตัวเอง ระงับอารมณ์ไว้ ไม่ให้เผลอแสดงออกมากไป

เขาชอบมันมากกว่าคำว่าเพื่อน แต่ไม่ได้ต้องการเป็นมากกว่านั้น แค่เห็นมันยิ้มได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเขาก็ดีใจ
อยากเป็นคนสำคัญของมัน เป็นที่พึ่งพิงให้ยามเดือดร้อน อยากเป็นคนแรกที่มันนึกถึงเมื่อมีปัญหาเหมือนที่ผ่านมา

เนบอกขอโทษมันผ่านทางอากาศ มองตามแผ่นหลังนั้นไปอย่างรู้สึกผิดที่ครั้งนี้เป็นคนทำให้มันเสียใจอีกแล้ว

 

 

การแข่งขันดำเนินมาถึงวันที่สอง วันนี้พวกแข่งกรีฑาลงสนามครบเซต ทั้งประเภทลู่ ประเภทลาน ทั้งชายและหญิง เดียร์ลงแข่งเป็นรายการสุดท้ายต่อจากนักกีฬาฝ่ายหญิง เขาใจเต้นตึกตัก หวั่นๆ ว่ามันจะไปได้ดีรึเปล่า เมื่อหันมองนักกีฬาคนอื่นๆ ที่วอร์มร่างกายอยู่ข้างสนาม แต่ละคนหุ่นมาตรฐานทั้งนั้น ดูแข็งแรง พอเทียบกับตัวเองแล้วคนละเรื่องกันเลย

ภูเห็นมันมองคนอื่นแล้วใจแป้วก็เลยเข้าไปช่วยเรียกกำลังใจให้ บอกมันว่าไอ้พวกถึกๆ แบบนั้นใช่ว่าอึดทนทานเสียเมื่อไหร่ สู้ร่างเพียวบางแบบมันไม่ได้ ตัวเล็กกว่าได้เปรียบ เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัว

พี่ต้นกับพี่คนอื่นๆ ในคณะแวะเข้ามาให้กำลังใจในระหว่างที่เดียร์กำลังรอคนอื่นๆ แข่งขัน พวกสาวๆ ก็ซื้อน้ำมาให้เพียบ แม้แรงเชียร์ล้นขอบสนามแต่ก็อดหวั่นใจไม่ได้อยู่ดี

“จะแข่งแล้วยังไม่รีบวอร์มอีก” จู่ๆ มือหนาก็โบกเข้าให้เต็มกะบาล เดียร์หันไปเห็นคนที่เพิ่งมาถึงแล้วดีใจจนลืมความเจ็บ วันนี้ไอ้เนอารมณ์ดีคิดว่าผีคงออกจากร่างแล้ว

“หายหัวไปไหนมาวะ?” เขารอมันอยู่ตั้งนาน คิดว่ายังโกรธกันเสียอีก ถ้ามันไม่มาเชียร์เขาล่ะก็ จบงานนี้ได้มีเรื่องกันแน่

“ไปสืบฝั่งคู่แข่งมาให้มึงนั่นแหละ”

“แล้วเป็นไงมั่งวะ”

“มีแต่พวกแรงควายทั้งนั้น”

“เหี้ยนี่ก็พูดให้มันใจเสีย” ภูหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นไอ้ตัวเตี้ยสุดในกลุ่มหน้าซีดไป ที่ลงแข่งมีทั้งหมด 6 คณะ ล้วนเป็นหน้าประจำที่เคยแข่งชนะมาแล้วหลายครั้ง ส่วนไอ้เพื่อนของเขาปีนี้ถูกจับลงแข่ง 1,500 เมตร ปีแรก เรื่องความเร็วจากที่ซ้อมมามันก็ทำได้ดีอยู่ ที่เหลือก็ต้องมาวัดกันว่าคู่แข่งจะเป็นอย่างไร

เดียร์เริ่มเครียดอีกครั้งเมื่อเสียงประกาศให้นักกีฬาไปรายงานตัวก่อนการแข่งขัน ตอนนี้ต้องแยกจากเพื่อนๆ ไปรอในสนามแล้ว เขามองการแข่งขันที่เสร็จไปทีละรายการอย่างกังวล มือไม้เย็นเฉียบ ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตื่นเต้นและกดดันได้ถึงขนาดนี้ ทั้งที่คนอื่นๆ เขาก็ดูเป็นปกติ ไม่แสดงอาการประหม่าออกมาให้เห็น โชคดีที่พี่ต้นเข้ามายืนเป็นเพื่อนคอยแนะนำและให้กำลังใจ แต่ดูเหมือนว่าคำพูดพวกนั้นแค่ผ่านหูไปเฉยๆ ไม่มีประโยชน์อะไรเพราะในหัวอื้ออึง ได้ยินก็แต่เสียงเชียร์กระหึ่มบนอัฒจันทร์

“เดียร์ มีคนโทรมา” พี่ต้นสะกิดเรียกเขาที่ยืนหลับตานิ่งพยายามควบคุมลมหายใจ ยื่นโทรศัพท์ที่ฝากไว้มาให้ รุ่นพี่ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อเห็นชื่อคนโทรเข้า

“เหี้ยอธิน?”

เดียร์รีบคว้าไปทันทีอย่างไม่เชื่อสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นเป็นชื่อนั้นจริงๆ ก็รีบกดรับก่อนที่มันจะตัดไป

“มีอะไร?”

“ใกล้แข่งแล้วนี่ ทำไมยังรับโทรศัพท์อีก”

“เอ้า แล้วจะโทรมาทำไมวะ?” เดียร์ถามกลับเสียงยุ่ง ได้ยินเสียงเชียร์ดังแว่วมาจากในสาย ก็คาดการณ์ได้ว่าหมอนั่นคงอยู่ในสนาม เด็กหนุ่มกวาดมองไปบนแสตนแต่ก็ไม่เห็น วันนี้คนเยอะเสียด้วย ว่าแต่หมอนั่นรู้ได้ยังไงว่าวันนี้ลงแข่ง ทั้งที่ไม่ได้บอกสักคำ

อธินไม่ตอบอะไร เพียงแต่กำชับว่าอย่าให้เขาเสียค่าเกลือแร่ไปเปล่าๆ ก็พอ...และหวังว่าคนบางคนจะไม่หมดแรงคาสนามเสียก่อน

หมอนั่นมันสบประมาทเขาชัดๆ เดียร์คิด ตอนแรกรู้สึกดีแล้วเชียว แต่พอได้ยินแบบนี้แล้วมันชักเดือด

เดียร์วางสายไปไม่นาน รู้สึกว่าอาการตื่นกระหนก กดดันมันหายไปแล้ว ความเครียดที่สะสมเอาไว้จนแทบระเบิดคล้ายถูกปลดปล่อย

คงต้องขอบใจไอ้คนที่โทรมาก่อกวนก่อนหน้านี้ล่ะมั้งที่หันเหความรู้สึกพวกนั้นไปจนหมด

เหลือก็แต่อาการดีใจ ... 

 

 

 

 

                       

 ...............................

 

น้องเดียร์สู้ๆ น้องเดียร์สู้ตาย วิ่งไปเลยค่ะลูก!! ^^ สู้ๆๆ           

           

 
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 15 : ไม่ใช่แค่เกลียด (02/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 02-05-2018 23:35:52

15

ไม่ใช่แค่เกลียด

 

 

เสียงประกาศให้นักกรีฑาลงสนาม เดียร์เดินตามกรรมการไปยังลู่ของตัวเอง ระหว่างที่พีธีกรอ่านรายชื่อนักกีฬาทุกคน สายตาเขาก็คอยมองไปบนอัฒจันทร์ ผู้คนบนนั้นส่งเสียงกระหึ่ม เห็นลีดเดอร์คณะของตัวเองเต้นให้กำลังใจเดียร์ก็ยิ้มรับไว้ น้องๆ บนแสตนเชียร์ก็น่ารักช่วยกันแปรอักษรเป็นชื่อเขาภาษาอังกฤษ จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นรูปหัวใจสีแดง เจ้าตัวเห็นแล้วก็เขิน ได้แต่หัวเราะออกมา

เล่นประกาศชื่อกันให้คนรู้ทั้งสนาม ไม่ให้อายก็หน้าด้านเกินไปแล้ว...

ไอ้ภูกับไอ้เนยืนเชียร์อยู่ไม่ห่าง พวกมันคอยบริการเต็มที่ ได้ยินไอ้ภูตะโกนบอกมาว่าถ้าชนะจะพาไปเลี้ยง เรื่องกินฟรีฟังแล้วรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงยังไงชอบกล เดียร์ยิ้มร่าเริงให้พวกมันก่อนจะกวาดสายตาไปรอบสนาม มองหาใครสักคนที่คิดว่าคงดูอยู่แน่ๆ แต่คนเยอะมาก มองไปแล้วรู้สึกตาลาย

 

 

จากมุมนี้ลงไปในสนามเขาเห็นทุกอย่างชัดเจน ร่างเพรียวบางสวมชุดวิ่งสีขาวติดหมายเลขประจำตัว ใบหน้ายิ้มแย้มร่าเริง อาการกังวล ไม่มั่นใจนั้นหายไปหมดแล้ว คนในภาพดูสดใสเป็นธรรมชาติ

คนที่นั่งถ่ายภาพได้ยินหลายคนชมว่าเด็กนั่นน่ารัก เขาอดไม่ได้ต้องหันไปมองคนพูด น่ารักก็จริงอยู่ แต่คนอื่นคงไม่มีโอกาสได้เห็นมุมอื่นๆ ของเด็กคนนี้อย่างที่เขาได้เห็นแน่นอน

ปัง!

เสียงเหนี่ยวไกเป็นครั้งสุดท้ายบอกสัญญาณ นักกีฬาทุกคนออกตัวไปอย่างพร้อมเพรียง อธินมองร่างเพรียวบางในสนามที่ดูตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ ตามไปเป็นลำดับที่สี่ ในตอนนั้นเขาได้แต่ภาวนาขอให้เจ้าตัวรักษาระยะของตัวเองไว้ให้ดี เขาเชื่อมั่นว่าเด็กคนนั้นทำได้

คนตัวเล็กโดนคู่แข่งในลู่ที่สามวิ่งนำไปตอนถึงแนวโค้ง เดียร์ยังไม่ได้ถอดใจเพราะระยะทางยังไม่ถึงหนึ่งในสี่ เสียงเชียร์จากคนในคณะร้องดังไม่แพ้ใคร พวกนั้นตะโกนเป็นชื่อเขาเสียงดังสนั่น เดียร์เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นในรอบที่สอง ทำให้เข้ามาติดอยู่ในลำดับที่สี่เหมือนเดิม

เสียงกรี๊ดดังลั่นเมื่อเดียร์ไล่นำมาเป็นลำดับที่สาม พี่เอกที่ค่อนข้างตัวสูงเหลือบมองเขานิดหน่อยเป็นผลทำให้เสียจังหวะ ฝ่ายนั้นก็เลยตกไปอยู่อันดับที่สี่แทน

เข้าสู่รอบที่สามเดียร์ออกแรงวิ่งมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ยังออมไว้เผื่อรอบสุดท้ายก่อนจะเข้าเส้นชัย เขาเริ่มมีความหวังเมื่อคนที่วิ่งอยู่ในลำดับที่สองเรี่ยวแรงแผ่วลงเล็กน้อย เดียร์เรียกเสียงกรีดร้องกระหน่ำจากผู้คนในสนามเมื่อเข้ามาเป็นลำดับที่สอง เหลือระยะทางอีกครึ่งรอบสนาม ทุกคนนั่งไม่ติดพื้น ยืนส่งเสียงเชียร์ลั่น บางคนตื่นเต้นก็วิ่งลงมาเชียร์ข้างสนามแทน

ร่างเพรียวบางปล่อยเรี่ยวแรงไปสุดกำลัง สาวเท้ารวดเร็วสม่ำเสมอ มั่นคงในทุกฝีก้าว เดียร์รวบรวมลมหายใจแล้ววิ่งขึ้นนำเข้าสู่เส้นชัยในที่สุด ทุกคนเฮลั่น ประทับใจภาพสุดท้ายไม่มีลืม คนสนิทคนรู้จักวิ่งเข้ามารุมกอด คนที่ยืนหอบเป็นบ้าเป็นหลังแทบจะเป็นลมตายไปเสียก่อน พวกมันจับเขาขึ้นขี่คอจากนั้นก็มาบูมให้เสียงดังก้อง

กว่าจะปล่อยตัวกันได้ก็หลังจากยืนให้พวกมันเข้ามาล้อมถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก ใครต่อใครมากหน้าหลายตาเล่นเอาเขางงไปหมด ไอ้ภูกับไอ้เนเอาน้ำกับผ้าเย็นมาให้ เห็นเขาเหงื่อโชก ตัวเปียกเหมือนวิ่งผ่านน้ำ ดูได้เสียที่ไหน

“กูไปเอาชุดวอร์มมาให้ มึงรออยู่นี่นะ” ไอ้เนบอกก่อนแยกตัวออกไป

อาจารย์ที่สอนเขาเอ่ยชมว่าทำได้ดีมากตอนคล้องเหรียญทองให้ เป็นตอนที่เดียร์รู้สึกภูมิใจอย่างที่สุด เด็กหนุ่มยิ้มแก้มปริ ชูเหรียญรางวัลขึ้นอวดใครต่อใคร เป็นนาทีเดียวกันที่ได้ยินกดชัตเตอร์ผ่านเข้ามา

คนถ่ายภาพเป็นคนเดียวกับที่เดียร์กำลังมองหา หมอนั่นให้เขาถือเหรียญไว้แล้วยิ้มให้กล้อง ก่อนจะหันไปบอกให้นักกีฬาร่างใหญ่สองคนที่เหลือเข้ามาถ่ายด้วยกัน

เดียร์อดหมั่นไส้ช่างภาพตรงหน้าไม่ได้ ยิ่งเห็นสายตาเป็นปลื้มของสาวๆ ที่มองมาแล้วรู้สึกตงิดใจชอบกล ถึงหมอนั่นจะแต่งตัวสบายๆ ไม่เหมือนตอนทำงาน แค่เสื้อยืดกับกางเกงซีดๆ ธรรมดาก็ยังกลบความโดดเด่นนั่นไม่ได้

“ยิ้มสิ” เสียงสั่งมาแต่ไกล เดียร์ถลึงตาใส่ไอ้ตากล้องที่ไม่ได้รับเชิญ แล้วยิ้มให้ไปแบบไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

 

เดียร์นั่งเชียร์ฟุตบอลที่คณะเขาลงแข่งรอบชิงชนะเลิศ โดยมีคนบางคนนั่งลงใกล้ๆ ทั้งที่ไม่บอกกล่าว ทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไรหลังจากนั้น อธินก็ถ่ายรูปของตัวเองไป ส่วนอีกคนที่ได้แชมป์มาหมาดๆ ก็นั่งถ่ายรูปตัวเองคู่กับเหรียญรางวัล

จะมีก็ตอนที่ฝ่ายคณะของเขาประตูขึ้นทำนั่นแหละ เจ้าตัวโห่ร้องอย่างดีใจ คนที่นั่งอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางแล้วอดขำไม่ได้ เดียร์มองอย่างคอดค้อนถามพลางถามเสียงขู่ว่าอยากมีปัญหานักใช่ไหม

อธินบุ้ยใบ้ เขาบอกว่าจะไปหาของกินระหว่างรองานเลิก ส่วนเดียร์จะกลับเมื่อไหร่ก็ให้โทรบอกทีหลัง

ฝ่ายนั้นเดินไปแล้วโดยไม่มีการถามไถ่ว่าคนอื่นจะหิวรึเปล่า เดียร์มองตามแล้วตะโกนไล่หลังว่าให้รอด้วย อธินหันมาและยืนรอ ไอ้ตัวดีรีบเก็บของ แล้วทั้งคู่ก็เดินออกไปพร้อมกัน

 

งานกีฬาประเพณีผ่านพ้นไปกว่าหนึ่งสัปดาห์ ไอ้สองตัวที่สัญญาว่าจะพาไปเลี้ยงก็ทำตามที่ว่านั้นจริงๆ เดียร์กินอิ่มติดต่อกันสองวันเต็มๆ กลับถึงหอก็ค่ำ แต่ดูเหมือนว่าคืนนี้ใครบางคนจะมีแขก

ที่ศาลาริมสระน้ำของเขาเห็นใครบางคนอยู่กับคนๆ เดิมที่มักจะแวะเวียนมาหากันบ่อยๆ หากไม่อยู่ที่ห้องอาหาร ก็เป็นในครัวเบเกอรี่ หรือไม่ก็ที่คลับ เดียร์ได้ยินมาว่าฝ่ายนั้นตั้งใจจะมาเรียนรู้สูตรขนมที่นี่ ส่วนหมอนั่นก็ดูคล้อยตามไปทุกเสียทุกเรื่องทั้งที่รู้จักกันก็ไม่นาน

เดียร์ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของใคร ใครจะทำอะไร ที่ไหน ก็เป็นเรื่องของเขา เพียงแต่ว่าถ้าเกิดไม่ไปเห็นภาพหนึ่งเสียก่อน

 

คนที่กินอิ่มจนนอนไม่หลับออกมาเดินย่อยอาหารรับลมเย็นๆ ริมชายหาด เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น เขาได้ยินแล้วใจไม่ดีค่ำมืดแบบนี้ก็รู้สึกวังเวง เด็กหนุ่มจะกลับห้องแล้วเชียวแต่ได้ยินเสียงพูดคุยลอยแว่วมา ก็เลยมองหาต้นตอของเสียงพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เพี้ยนจนหูฝาด และได้เห็นใครคนหนึ่งยืนระบายความทุกข์กับแผงอกแกร่ง คนที่ยืนหันหลังให้กอดฝ่ายนั้นเบาๆ และพูดจาปลอบประโลม จนคนที่ร้องไห้เสียใจนิ่งเงียบในที่สุด

เห็นแล้วใจมันแผ่วๆ เจ้าตัวไม่คิดอะไรมาก แต่ก็ยังยืนดูความเป็นไปต่อจากนั้น เขาไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกัน แต่คำพูดของอธินทำให้ฝ่ายนั้นสงบลงไปอย่างมาก

หมอนั่นมีวิธีการพูดที่ดี จึงไม่แปลกที่คนร้องไห้จะเผลอยิ้มออกมา ผู้ชายอบอุ่นแบบเขาใครๆ ก็อยากเข้าใกล้ อยากอยู่ด้วยอยู่แล้ว

เดียร์ไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันไม่จริง...

ก่อนที่จะละสายตาจากภาพนั้น คนตัวเล็กกว่าโน้มใบหน้าอีกฝ่ายลงมาใกล้ และริมฝีปากของทั้งคู่ก็แนบชิดกันในที่สุด

เขาจำภาพนั้นได้ติดตา แล้วความรู้สึกแย่ๆ ก็พัดเข้ามาในใจอย่างไร้สาเหตุ

 

 

 

 

คืนนี้สมาชิกในชมรมมาจัดปาร์ตี้กันริมชายหาด ตั้งวงปิ้งบาร์บีคิวแกล้มเบียร์รับลมเย็นๆ เสียงพูดคุยของพวกเพื่อนๆ มีไม่ขาดสาย เดียร์แยกออกมาจากกลุ่ม ล้มตัวนอนลงบนเสื่อ แหงนหน้าขึ้นไปดูดวงดาวบนท้องฟ้า คืนนี้ไร้แสงจันทร์ ทำให้มองเห็นดาวบนนั้นชัดเจน           

ทำไมยังเก็บเอามาคิด เรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวเองมาหลายวัน ทั้งที่ควรจะลืมไปได้แล้ว

ความรู้สึกนี้ เขาเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก

 

“เฮ้ย! รีบเก็บของ” พี่ต้นเดินมาบอก แต่คนนอนอยู่กลับนิ่งไม่ขยับ

“ผมยังไม่อยากกลับ”

“เที่ยงคืนแล้ว จะนอนนี่รึไง” พี่ต้นลากแขนรุ่นน้องขึ้นมานั่ง บอกว่าเห็นอาการหมาหงอยของเขาแล้วรู้สึกเซ็ง ถ้ามีปัญหาอะไรก็ควรรีบไปเคลียร์ ไม่ใช่มาฟุ้งซ่านแบบนี้ มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย

“ผมไม่ได้มีเรื่องกับใครสักหน่อย”

“สารรูปดูได้เสียที่ไหน อาการเหมือนไอ้นัทไม่มีผิด” ประธานชมรมกรีฑาชี้ให้เขาดูผู้ชายอีกหนึ่งที่นั่งกอดเข่าอยู่ไม่ไกล เดียร์เห็นเงาของมันจากด้านหลังก็รู้ว่าฝ่ายนั้นคงกำลังร้องไห้

เดียร์ไม่ได้อกหัก ไม่ได้หลงรักใครแบบมัน และยังยืนยันว่าตัวเองเป็นปกติ

“กลับบ้านได้แล้วมึงน่ะ” รุ่นพี่บอกด้วยความห่วงใย เพราะก่อนหน้านี้ได้ยินเสียงโทรศัพท์ มีคนโทรเข้ามาตั้งหลายสาย

“ให้คนอื่นเป็นห่วงมันไม่ดีนะเว้ย”

กลุ่มเพื่อนที่เหลือทยอยไปขึ้นรถ พวกมันตั้งใจจะขับไปส่งเขาที่หอ แต่เดียร์ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองพักอยู่ที่ไหน

“เฮ้ย พวกกูไปส่ง ถ้าแม่มึงด่าเดี๋ยวกูรับหน้าให้เอง” พี่คิมยังคงยืนยันหนักแน่น จนแล้วจนรอด ก็ปฏิเสธไม่ได้

 

ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่ง อธินยืนรออยู่นานแล้ว ตั้งแต่ได้ยินเสียงรายงานมาจาก รปภ.ประตูทางเข้า ซึ่งเขาเน้นย้ำไว้เป็นพิเศษ ชายหนุ่มรอจนเด็กพวกนั้นกลับไปหมดแล้ว เขาถึงตามมา

 

เดียร์เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ เมื่อไขกุญแจเข้าห้องไปแล้ว ก่อนที่จะปิดประตูใครบางคนก็ผลักมันไว้เสียก่อน

ร่างสูงยืนประจันหน้า ดวงตาคมปลาบจ้องเขามาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ

“ไปไหนมา?”

“หลีก” เดียร์ออกแรงงับประตู แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่ยอมให้เขาปิดง่ายๆ

“หายไปไหนมา?” ฝ่ายนั้นถามซ้ำอีกหน มือข้างหนึ่งยันขอบประตูไว้อย่างไม่กลัวจะถูกหนีบ

“จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องด้วยรึไง?”

คำพูดนั้นยิ่งทำให้ชายหนุ่มโมโห เขาผลักประตูเข้ามาจนมันเปิดกว้าง

“ตราบใดที่ยังอยู่ที่นี่ นายก็ต้องอยู่ในกฎระเบียบ”

“ไปเที่ยวกับเพื่อนนี่ผิดระเบียบงั้นสิ” อีกฝ่ายย้อน เห็นสายตาที่ไม่พอใจนั่นแล้ว รับรู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังถูกโกรธ

“ฉันไม่เคยห้ามเรื่องนั้น แต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว”

“ฉันดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วงหรอก” จะเอาเวลาไปทำอะไรก็เชิญตามสบาย ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะทำเรื่องเดือดร้อนให้ “เอาเวลาไปดูแลเรื่องของตัวเองเถอะ มันจะดีมากถ้านายเลิกยุ่งกับฉัน” ประโยคนั้นฟังดูเหมือนกำลังประชด

“ดี! พูดได้ดี”

เดียร์ไม่โต้ตอบ แต่กลับปิดประตูใส่หน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เพียงแต่ไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากคุยด้วย ไม่อยากได้ยินเสียง มันพาลให้นึกถึงภาพวันนั้น

แต่อาการที่คล้ายกับกำลังน้อยใจอยู่ลึกๆ นี่คืออะไร ไม่เข้าใจตัวเอง

 

 

หลังจากที่อธินกลับไปแล้ว สองลูกน้องและคนอื่นๆ ที่อยู่ห้องติดกัน ต่างแง้มประตูออกมาดู ถ้อยคำในบทสนทนานั้นยังคงวนเวียนอยู่ แน่นอนว่าไม่มีใครไม่ได้ยิน อย่าหาว่าพวกเขายุ่งเรื่องเจ้านายเลย ฟังดูก็รู้ว่านี่มันผิดปกติ

มีแต่ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละที่ยังไม่รู้...

 

 

 

คืนวันศุกร์เขามีนัดกับเพื่อนในชมรม หลังจากวางสายไปได้ไม่นาน เดียร์ก็รีบค้นตู้เสื้อผ้าหาชุดใส่ไปงานวันเกิดพี่คิมทันที เขามีเวลาไปถึงโฮลิคคลับก่อนเวลานัดเกือบชั่วโมง ว่าแล้วก็รีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวใหม่อีกรอบ

เด็กหนุ่มยืนสำรวจตัวเองหน้ากระจก เสื้อยืดสีขาวคลุมทับด้วยคาดิแกนสีเทาลายเกล็ดหิมะ กางเกงยีนส์สีดำรัดรูปอวดร่างเพรียวบาง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เจ้าตัวไม่ลืมฉีดน้ำหอมจนฟุ้งไปทั้งห้อง

กลิ่นรัมผสมกุหลาบหอมละมุนไปทั้งตัว...

เสร็จแล้วก็รีบออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี

“จะไปไหน?” ใครบางคนเอ่ยทักตอนเขากำลังล็อคประตู เดียร์หันไปมองเจ้าของเสียงที่ยืนกอดอกขวางทางลงบันได

ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี สมกับที่เจ้านายไว้ใจจริงๆ เล่นมาเฝ้าถึงหน้าห้องกันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!

“เรื่องของฉันน่า”

“นี่มันก็ดึกแล้ว ถ้านายไม่อยากเดือดร้อนก็กลับเข้าห้องไปซะดีๆ” อันนาไม่ได้ขู่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะคุณอธินสั่งไว้ล่ะก็...เขาเองก็ไม่ได้อยากเข้ามายุ่งกับเด็กนี่สักเท่าไหร่ แต่ขืนปล่อยไป เขากับเชนมีหวังจะซวยไปด้วยน่ะสิ

เดียร์ไม่อยู่ฟัง เขารีบเดินลงบันไดไปโดยไม่สนใจคำบอกของคนด้านหลังแม้แต่น้อย

“คุณอธินใกล้จะกลับมาแล้ว นี่นายไม่ได้ยินรึไง!” อันนาร้องบอก ก่อนจะรีบตามลงมาจากชั้นสาม

เดียร์ก็แค่ทำหูทวนลม นึกถึงไอ้หมอนั่นที่ออกไปส่งแขกคนสำคัญ จะกลับมาตอนไหนเมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ อย่าคิดจะเอามาขู่คนอย่างเขาเสียให้ยาก

“ฉันไม่สนใจหรอก ขอบใจนะที่เตือน” เดียร์หันหลังกลับมาบอกคนที่ดูจะเป็นเดือดเป็นร้อน

สำหรับเขา ไม่จำเป็นต้องไปฟังคำสั่งของไอ้คนพรรค์นั้นหรอก...

 

“มีอะไรกัน แล้วนั่นนายจะไปไหน?” เดียร์กรอกตาไปมาอย่างหมดความอดทนเมื่อชายร่างสูงอีกหนึ่งเข้ามาขวางทางไว้ นี่ก็อีกราย คนพวกนี้ตอแยกับเขาไม่เลิกจริงๆ

“หลีกไปเถอะน่า”

“ไม่ได้หรอก”

“เชน!!” เดียร์เรียกชื่อหมอนั่นอย่างหัวเสีย เมื่อฝ่ายนั้นยึดกระเป๋าสะพายเขาไว้ได้ ในนั้นมีบัตรประชาชน บัตรเครดิต อีกสารพัดเลยที่สำคัญ แถมโทรศัพท์ก็อยู่ในนั้น กุญแจห้องก็ด้วย

“เอาคืนมา!”

“ฉันคิดว่าคุณอธินจะคุยกับนายรู้เรื่องแล้วเสียอีก เรื่องที่ห้ามไม่ให้นายออกไปไหนตอนดึกๆ"

"ไม่ต้องห่วงหรอก ครั้งนี้ฉันไม่ได้จะไปเมาที่ไหน"

"ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ที่เตือนก็เพราะความปลอดภัยของนายเอง นายก็รู้ว่าคุณอธินเขาเป็นห่วง”

ใครจะไปรู้ว่าเป็นห่วงกันจริงหรือเปล่า! เดียร์อยากจะเถียงออกไป แต่พูดไม่ได้ ความน้อยใจมันตีล้นเข้ามาในอก ซึ่งไม่รู้ว่ามันเป็นไปแบบนั้นได้อย่างไรและตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ความรู้สึกนั้นค่อยๆก่อตัว

เพราะการคาดหวังถึงทำให้เป็นแบบนี้ เขาเกลียดที่ตัวเองสับสน เกลียดที่ให้คำตอบไม่ได้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร ที่มันทำให้เขาอึดอัดจนแทบบ้าอยู่ทุกวัน อย่างน้อยการออกไปเจอเพื่อน ออกไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ๆ มันอาจจะช่วยลบล้างความคิดฟุ้งซ่านในใจนี้ได้

“ให้ฉันไปเถอะ...” น้ำเสียงอ่อนลง จนคล้ายจะเป็นการร้องขอ หน้าตาที่ดูซึมลงไปของเจ้าตัว ทั้งเชนและอันนาเห็นแล้วรู้สึกหดหู่ไปไม่ได้

ทั้งคู่มองตากัน ใช่ว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกของเด็กตรงหน้า คนนอกที่แค่มองดูก็รู้ทุกอย่าง เริ่มลำบากใจกับสถานการณ์ของคนทั้งสอง

“ฉันให้นายไปคนเดียวไม่ได้หรอก” เชนยืนยันหนักแน่น แต่กลับทำในสิ่งตรงข้าม เขาเปิดประตูรถคันเดิมที่เพิ่งขับเข้ามาแล้วเข้าไปนั่งประจำตำแหน่ง อันนาไม่พูดอะไรมาก รีบตามไปนั่ง เพราะรู้ว่าคงห้ามกันไว้ไม่ได้ อย่างน้อยมีพวกเขาไปด้วยก็คงดีกว่าปล่อยให้เด็กนั่นหายไปเพียงลำพัง

“ถ้าจะผิดก็ให้มันผิดกันทั้งหมดนี่ล่ะ” เชนบอกก่อนจะขับรถออกไป ครั้งนี้ขอทำอะไรที่นอกเหนือคำสั่งดูบ้างแล้วกัน

เหตุผลก็เพราะทนเห็นดวงตาเศร้าสร้อยคู่นั้นไม่ได้ และอันนาเองก็คงจะคิดเช่นเดียวกับเขา

ถ้ามันจะช่วยให้เด็กนั่นอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง...

         

       

 

 
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 14 : เริ่มรู้สึก (02/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: janamanza ที่ 02-05-2018 23:51:02
สนุกมาก เป็นพวกหัวแข็งกันทั้งคู่   :mew3: :mew3: :mew3: :mew3:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 16 : พลาดไปแล้ว (02/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 02-05-2018 23:53:31
16

พลาดไปแล้ว

 

 

 

“พวกฉันรออยู่ตรงนี้แล้วกัน แต่นายน่ะ สัญญาว่าต้องกลับก่อนเที่ยงคืนนะ” อันนาดูนาฬิกาบนข้อมือแล้วกะเวลาให้เสร็จสรรพ สามชั่วโมงนี้พวกเขาคงนั่งเสียวสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าคุณอธินจะสงสัยหรือไม่ ที่หายไปแบบไม่บอกกล่าว หากเกิดรู้เรื่องขึ้นมาว่าเด็กนี่ไม่อยู่ด้วยล่ะก็ งานนี้เรียกว่าตายหมู่...

ก็ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเถิด มันจะเป็นการฝืนคำสั่งครั้งแรก และครั้งเดียว เขาสัญญา

 

“มาช้าจังเลยนะมึง นึกว่าจะเบี้ยวซะอีก” เจ้าของวันเกิดรีบเดินเข้ามากอดไหล่ คืนนี้ดูพี่คิมจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ พอเขามาถึงก็รีบจัดหาที่นั่งให้เป็นการใหญ่

“อยากกินไรสั่งเลย เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

“ขอบคุณครับ”

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เขาถูกปล่อยทิ้งไว้ให้นั่งอยู่ลำพัง คนอื่นออกไปเต้น บ้างก็ไปจีบสาว เขาที่พาความเศร้ามาด้วยไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร นอกจากนั่งเฉยอยู่อย่างนั้น นั่งมองเหล้าในมือที่ยังไม่พร่องไปไหน รู้สึกเบื่อจนไม่มีความรู้สึกอยากดื่มมันเข้าไป แม้แต่ผู้หญิงข้างๆ ที่ดูออกว่ากำลังสนใจในตัวเขามากแค่ไหน ก็ยังไม่ดึงดูดจนถึงขนาดที่อยากเข้าไปทำความรู้จัก อะไรๆ ก็ดูกร่อยไปหมด ไม่สนุกเหมือนทุกที

ในร้านดูครึกครื้น สถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกดีเสมอเมื่อมีเรื่องทุกข์ใจ แต่ครั้งนี้กลับไม่ช่วยให้ดีขึ้นเลย หลายคนที่เข้ามาทักทายเพราะจำกันได้ เขากลับไม่อยากคุยกับใครเลย

“นี่ ทำตัวไม่คุ้มอีกแล้วนะมึง” มือหนาตบลงบนไหล่ เดียร์สะดุ้งตกใจเพราะกำลังเหม่อลอย

“พี่คิม!”

“เออ กูเอง เรียกแค่นี้ทำตกใจไปได้..." ฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นเหล้า ใบหน้าแดงก่ำ พูดจาต่างไปจากทุกที

"มัวแต่คิดถึงแฟนอยู่รึไง?”

“แฟนที่ไหน ผมไม่มี” เดียร์ปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา

“อย่างมึงเนี่ยนะ ไม่อยากจะเชื่อ” พี่คิมเริ่มเข้ามาเกาะแกะ มืออุ่นแตะลงบนปลายคางของเขา แล้วจับพลิกซ้ายพลิกขวา เหมือนกำลังสำรวจ

เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกรำคาญคนเมา เริ่มเข้าใจหัวอกไอ้สองคนนั้นแล้วว่าทำไมถึงเขาเกลียดนัก คงทำตัวไม่ต่างจากรุ่นพี่นี่ล่ะมั้ง ทั้งที่ตอนปกติก็ดีอยู่หรอก

“พี่เมาแล้ว ลงมานั่งดีๆ เถอะ” เดียร์ฉุดแขนคนโตกว่าเข้ามานั่งด้วยกัน เกรงว่าถ้ายืนอยู่จะเซล้มลงเสียก่อน

“มึงไม่มีแฟนจริงๆ หรือวะ?” พี่คิมยังไม่เลิกเซ้าซี้ มือข้างนั้นก็ยังแนบแก้มเขาอยู่ ก่อนจะบังคับให้เขาหันมาตอบคำถามตรงๆ

“อื้ม”

“งั้นจีบมึงได้ไหม?” สีหน้าดูจริงจัง สองขาเริ่มขยับมาใกล้ คนที่นั่งอยู่ได้แต่ฟังตาค้าง ก่อนจะบอกตัวเองว่าอย่าไปถือสาคำพูดของคนเมา

“พี่เมาแล้วเหอะ” เดียร์ปัดมือนั่นทิ้ง คิดจะเดินไปตามพวกเพื่อนๆ ของพี่คิมให้มาดูแล เพราะได้เวลาที่เขาต้องกลับแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าคนที่ดูเหมือนไร้เรี่ยวแรงกลับทำเรื่องที่ไม่คาดฝัน พี่คิมรั้งแขนข้างหนึ่งของเขากลับมา ก่อนจะดันเขาตัวไปชิดกับขอบโต๊ะ

“ไม่ได้เมา กูพูดจริงๆ!” ดวงตาคมเข้มเป็นประกาย ฝ่ายนั้นพยายามอ้อนวอนให้เขารับฟัง ซึ่งตัวเองต้องรวบรวมความกล้าเป็นอย่างมากกับการสารภาพในครั้งนี้ ทั้งที่เราก็เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน

“พี่...” เดียร์สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตัวเองไม่ได้ดีใจกับคำบอกนั้น พี่คิมเป็นพี่ที่เขานับถือ ไม่เคยนึกถึงเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำ

“กูขอจูบมึง...ได้ไหม?”

“พี่คิม พี่เมามากแล้วนะ” คำขอที่ทำให้ตัวเองตกใจยิ่งกว่า เขาชักหวาดกลัวคนตรงหน้า พยายามเรียกสติพี่คิมกลับมา

“กูรู้เดียร์ กูรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่”

“ปล่อยผมเถอะพี่” สองแขนเริ่มกักตัวเขาแน่นขึ้น ถ้าจะจูบกันจริงๆ หลังจากนี้คงมองหน้ากันไม่ติดแน่

“กูชอบมึงจริงๆนะ ชอบมาตั้งนานแล้ว ใครๆ ก็รู้ เรื่องนี้กูไม่ได้โกหก” ฝ่ายนั้นพยายามแสดงความจริงใจ น้ำเสียงกระเส่าเร่าร้อนพรั่งพรูออกมา เพราะปกปิดความในใจของตัวเองต่อไปไม่ไหว แววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง สะท้อนภาพของเขาอยู่ในนั้น

หลายครั้งที่เดียร์เองก็เคยใช้สายตาแบบนั้นเฝ้ามองใครคนหนึ่ง

ชอบงั้นหรือ...

เขาชอบหมอนั่น

 

เมื่อพบคำตอบในหัวใจ ไม่รู้เพราะอะไร อยู่ดีๆ กลับรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล เดียร์ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่
ได้แต่หลงคิดว่ามันคือความเกลียดชัง ที่นึกถึงตลอดเวลาก็เพราะหลากหลายเรื่องราวที่หมอนั่นทำไว้

หยดน้ำใสในดวงตาเริ่มเอ่อคลอ ภาพคนตรงหน้าเริ่มเลือนราง แทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ไหน
นาทีที่รอบกายเคว้งคว้างว่างเปล่า กว่าจะรู้ตัวรุ่นพี่ก็โน้มกายเข้ามาใกล้ ริมฝีปากค่อยๆ แนบชิดอย่างอ่อนโยนและนุ่มนวลที่สุด
ทั้งหมดมาจากความรู้สึกที่อยากถ่ายทอดให้ไป

แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น ซ้ำยังเฝ้าหวนคิดถึงใครอีกคน ในยามที่จูบกัน...

 

 

ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของใครคนหนึ่งที่มาถึงนานแล้ว ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกเล่นตลก ไม่มีคำพูดใดจะอธิบายกับสิ่งที่ได้เห็น

 

“ร้องไห้ทำไม เดียร์...” คิมร้อนรนเมื่อเห็นเด็กรุ่นน้องกำลังร้องไห้ ชายหนุ่มพยายามปลอบ สองมือประคองใบหน้า เช็ดน้ำตาให้อย่างรู้สึกผิด

“กูขอโทษ!” เขาไม่น่าทำแบบนี้กับมันเลย

เดียร์เพียงส่ายหน้าบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร เมื่อเห็นเช่นนั้นคนผิดก็รีบดึงร่างนั้นเข้าไปกอด เป็นจังหวะเดียวกันที่อันนาเดินเข้ามาพอดี
สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก

“ขอโทษที่เข้ามาขัดนะ แต่ว่านาย...ต้องกลับแล้วล่ะ” ร่างบางยืนมองภาพคนกำลังกอดกันด้วยความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก


เดียร์เห็นท่าทางร้อนรนของอันนาแล้วคิดว่าคงเดาอะไรหลังจากนี้ได้ไม่ยาก


นอกร้าน เชนซึ่งออกมารอยู่ก่อนแล้ว ถัดไปเป็นใครบางคนยืนที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา


รู้แต่เพียงว่า มันทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัว...

ตั้งแต่เมื่อไหร่...


“นายก็ด้วยหรืออันนา” เสียงเย็นเยียบเอ่ยทัก คนทำผิดได้แต่ก้มหน้าน้อมรับ

“ครับ”

“อยู่กันครบเลยนี่ ดี!”


“เพราะผมเองครับ ผมเป็นคนพาทุกคนออกมา”

“พอ! ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” เขาหันไปสั่งเชนที่คิดจะออกตัวแทน ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ หยุดลงตรงหน้าของตัวปัญหา
เจ้าของใบหน้าเศร้าซึมหรุบตาลงต่ำ ริมฝีปากเม้มแน่น เอาแต่ยืนก้มหน้านิ่งไม่ยอมพูดจาเหมือนทุกที

 

“สนุกไหม?” ประโยคแรกนั้นแสนเย็นชา พร้อมด้วยสายตาแข็งกร้าวมองคนดื้อดึง และชายหนุ่มก็ได้เห็นความโกรธเคืองที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นั้น

ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามไร้สาระพรรค์นั้นหรอก


“ฉันมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า?” อธินยังไม่เลิกกวนโทสะ ก่อนประโยคถัดมาจะทำให้เดียร์กำมือแน่น ทนยืนเฉยต่อไปไม่ไหว

“ถึงขนาดลงทุนทำให้ลูกน้องฉันใจอ่อน ยอมขัดคำสั่งพามาถึงนี่ได้...ไม่เลวเลยนะ”

“ไม่รู้อะไรก็อย่าพูด!” จบประโยคแขนข้างหนึ่งก็ถูกกระชากอย่างรุนแรงจนเจ้าตัวเผลอร้องออกมา แรงที่บีบเค้นกันอยู่ทำให้เจ็บจนต้องนิ่วหน้า

“ไม่ถูกตรงไหน? ในเมื่อนี่มันของจริง!” อธินดึงตัวคนดื้อเข้ามาปะทะอกแกร่ง เขาตะคอกใส่เด็กคนนั้น จนลูกน้องที่ยืนดูอยู่เห็นแล้วอดไม่ได้


“คุณอธินครับ พวกผมผิดเอ...”

“เงียบ!!” ร่างสูงตวาดทั้งที่ไม่หันไปมอง ดวงตาคมกล้าสนใจอยู่แต่เด็กตรงหน้าที่กำลังพยศใส่

“โมโหกูก็ด่ากูสิวะ! มึงจะไปลงที่คนอื่นทำไม!” เดียร์ตวาดกลับเมื่อชายหนุ่มเริ่มพาลไปทั่ว เขารู้ว่าหมอนี่ตั้งใจจะหาเรื่องเขา แต่ไม่พอใจที่มีคนมาออกรับแทน

จบคำพูดนั้นเขาก็ถูกผลักจนร่างไปติดผนังของร้าน ชายหนุ่มเข้ามาทาบทับ สองมือกดแน่นที่หัวไหล่คล้ายจะบีบให้แหลกคามือ

“ไอ้หมอนั่นมันใคร?” ฟังดูงี่เง่าที่เขาดึงเรื่องพวกนั้นมาเกี่ยว เมื่อเลือดในกายกำลังร้อนรุ่ม ไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลในทุกๆ เรื่องที่ทำ
ไม่มีเวลาไตร่ตรองหรอกว่ามันสมควรหรือไม่

“จำเป็นต้องบอกทุกเรื่องรึไง?” เมื่อใกล้ชิด ก็ได้กลิ่นเหล้าฉุนจัดจนเขาต้องเบือนหน้าหนี ความรู้สึกนี้ผูกโยงไปถึงวันแรกที่เจอกัน เช่นเดียวกับคำพูดและการกระทำที่ไร้สติ

 

ดื่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

 

เดียร์รู้สึกอัดกับคนตรงหน้าที่พยายามรุกใส่กันอย่างหนัก เขาไม่ชอบที่หมอนั่นเข้ามาชิด รับรู้ถึงอันตรายผ่านทางสายตาคู่นั้น

“ฉันถามว่าใคร?” เขาจำได้ว่าเห็นมันตั้งแต่วันแข่งกีฬา สายตาของมันเขารู้ว่าหมายถึงอะไร คืนที่มีคนมาส่งเด็กนี่ที่หอ มันก็เป็นหนึ่งในนั้น
ท่าทางเป็นห่วงเป็นใยจนเกินไป เจ้าตัวอาจไม่ทันสังเกตแต่เขารับรู้ทุกอย่าง ส่วนจิกซอว์ชิ้นสุดท้ายที่ทำให้ความสงสัยเขากระจ่างชัด
ก็ตอนที่สองคนนั้นจูบและกอดกัน

ยิ่งทำให้ความร้อนในใจพุ่งสูง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หากได้คำตอบที่สงสัย บางทีมันอาจจะช่วยให้อาการนี้หาย

 

อธินได้ยินก็แต่ความเงียบงัน เด็กตรงหน้าใช้ความเงียบเป็นการต่อต้าน ดวงตาคู่สวยจ้องมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้

ในเมื่อไม่พอใจกัน คราวหลังเขาจะได้ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว

 

“ถ้าการเชื่อฟังฉันมันยากนัก ต่อไปนี้อยากไปทำอะไรที่ไหนก็เชิญ!” แม้ปากจะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับสวนทาง หารู้ไม่ว่า...คนที่ได้ยินเสียใจมากกว่าแค่ไหน อธินมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นที่เริ่มเปลี่ยนความรู้สึก

 

เด็กหนุ่มแค่นยิ้มก่อนตอบ “ขอบใจที่เข้าใจ ในเมื่ออนุญาต กูจะได้เข้าไปสนุกต่อ” พูดจบก็ผลักหมอนั่นออกห่าง เดียร์เก็บซ่อนความน้อยใจเอาไว้ ดวงตากลมโตเหลือบมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินหนีไป

 

พูดประชดใส่กันได้เจ็บแสบ แต่คนที่เป็นฝ่ายอนุญาตกลับปล่อยไปจริงๆ ไม่ได้ ชายหนุ่มรั้งแขนอีกฝ่ายกลับมา แล้วใช้อารมณ์กระทำบางอย่าง

 

ร่างเล็กถูกกระแทกซ้ำลงบนผนัง มือหนาบังคับปลายคาง ส่วนอีกข้างล็อกต้นคออีกฝ่ายไว้ไม่ให้ถอยหนี ใช้ร่างกายทาบทับก่อนจะบดเบียดริมฝีปากเข้าหากันอย่างรุนแรง ไม่สนใจว่าการกระทำของตนเองจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน

สองคนที่เห็นเหตุการณ์ ต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็น

เดียร์พยายามผลักไสเจ้าของสัมผัสที่รุนแรงและเอาแต่ใจออกห่าง เมื่อรับรู้ถึงรสคาวเลือดจากริมฝีปากที่ถูกบดขยี้จากคนเห็นแก่ได้ เขาผลักหมอนั่นออกไปจนเป็นอิสระ เมื่อตั้งตัวได้ก็เงื้อมือตบหน้าคนเอาแต่ใจจนสุดแรง

ความเจ็บแสบเรียกสติเขากลับคืน อธินนิ่ง ก่อนจะหันกลับมามองเด็กตรงหน้าอีกครั้ง

“หยุดทำสันดานแบบนี้สักที! กูไม่ใช่คนที่มึงคิดจะจูบเมื่อไหร่ก็ได้ อยากทำนักก็ไปหาคนอื่นเอาสิวะ”คนตัวเล็กกว่าโกรธจัดจนทั้งร่างสั่นเทา
ยิ่งนึกถึงภาพในคืนนั้นบวกกับการกระทำที่ผ่านมาของไอ้คนเห็นแก่ตัว ความน้อยใจที่ปกปิดไว้ดูเหมือนจะถูกทลายออกมาจนหมด

คำพูดตรงไปตรงมา ทำเอาคนนอกที่ได้ยินถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ตกใจยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด ทั้งเชนและอันนา ยืนมองเด็กตรงหน้าสลับกับเจ้านายที่เพิ่งรู้สึกตัวว่าทำอะไรลง เห็นรอยเลือดจางๆ บนริมฝีปากของคุณอธิน และรอยแดงช้ำบนแก้มก็เริ่มปรากฏ

พวกเขาไม่ควรเข้ามาอยู่ในสถานการณ์นี้เลย

 

อธินสำนึกผิดที่ทำเรื่องเฮงซวยลงไป แต่ก็พูดอะไรไม่ออกจริงๆ เดียร์เดินหนีไปแล้ว ก่อนจะทิ้งสายตารังเกียจไว้ให้ ภาพเบื้องหน้าว่างเปล่า กว่าจะรู้ตัว ก็เห็นเชนวิ่งตามเด็กนั่นออกไปแล้ว

“แผลนั่น เดี๋ยวผม..” อันนาถามอย่างเป็นห่วง แม้ตัวเองจะเห็นใจเจ้านาย แต่ครั้งนี้กลับเลือกไม่เข้าข้าง คุณอธินทำเกินไป การเอาเปรียบเด็กนั่นต่อหน้าคนอื่น มันเหมือนไม่ให้เกียรติกัน เป็นใครก็รู้สึกแย่ ต่อให้สาเหตุที่ทำเพราะความหึงหวงแบบไม่รู้ตัวก็เถอะ

ไม่น่าเลยจริงๆ...

 

“ฉันไม่เป็นไร ไปดูเด็กนั่นเถอะ” เขาบอกอันนา ฝ่ายนั้นไม่รอช้า พอเจ้านายอนุญาตก็รีบวิ่งตามไปทันที

 

เดียร์วิ่งเข้าไปในตรอกหลังร้าน ก่อนสองขาจะหยุดลงบนพื้นที่โล่งแห่งหนึ่ง หากมองไปรอบๆ ถึงได้รู้ว่ามันคือที่ใด

สถานที่ที่เป็นจุดกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมด

เด็กหนุ่มทรุดกายลงนั่งบนขั้นบันไดของตึกร้าง ปล่อยให้น้ำตาช่วยชะล้างความเสียใจ

เชนกับอันนาที่ตามมาถึงทีหลังยืนรอจนกว่าเสียงสะอึกสะอื้นนั้นหายไป ไม่เข้าไปวุ่นวาย หรือถามไถ่
เพราะรู้ดีว่าเวลานี้ควรปล่อยให้คนเสียใจอยู่ตามลำพัง

พวกเขาที่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ ได้แต่ ภาวนาให้สักวันหนึ่งคุณอธินจะมองเห็นความรู้สึกนี้บ้าง

หวังว่าคงไม่นานเกินไป...

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 17 : ของสำคัญ (03/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 03-05-2018 00:24:38
17

 ของสำคัญ

 

 
 


 

หลังจากเหตุการณ์คืนนั้นอธินก็ไม่เข้ามาวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของเขาอีกเลย และดูเหมือนว่าฝ่ายนั้นเองก็กำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมงานอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็ดีแล้วที่เขาจะได้เป็นอิสระสักที

เดียร์วิ่งกระหืดกระหอบมาจากชายหาด หลังจากพี่คิมโทรมาบอกว่าตอนนี้รออยู่ที่หน้าหอ พอวางสายปุ๊บเขาก็รีบวิ่งมาหา

ร่างสูงสง่ายิ้มให้มาแต่ไกล เสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลขับให้ดูเด่น ใส่คู่กับกางเกงยีนซีดๆ ดูเซอร์ไปอีกแบบ

“พี่คิม มีอะไรหรือเปล่า?” คนเพิ่งมาถึงยืนหอบจนตัวโยน ถึงจะเป็นแชมป์กรีฑาปีนี้ก็เถอะ ต่อให้อึดแค่ไหน หากได้ลองวิ่งมาจากชายหาด แล้วไต่บันไดชันๆ มาจนถึงนี่ ไม่สะดุดขาขวิดก็บุญมากแล้ว

“กูได้ยินมาว่ามึงชอบไปถนนคนเดิน” เขาบอก มองแก้มแดงๆ ของมัน ก็รู้ว่าคงจะเหนื่อยมาก เขาเองก็ใจร้อน ที่จริงน่าจะโทรมาบอกกันก่อน มันเองจะได้มีเวลาเตรียมตัว

“ผมเหรอ ใครบอก?”

“ไอ้ต้นไง กูก็เลยจะมาชวน”

“ไอ้พี่ต้นมั่วแล้ว” เดียร์โบกมือปฏิเสธ อย่างเขานี่นะ ชวนไปเมายังง่ายกว่า

“อ่าว...” อีกฝ่ายยิ้มเก้อ หน้าเจื่อนไปเสียสนิทตอนได้ยินความจริงจากปากเจ้าตัว

“พี่อยากไปหรือ?”

“แต่มึงไม่ได้อยากไปนี่” พี่คิมทำหน้าเสียดาย เดียร์เห็นอาการนั้นก็เลยอดไม่ได้ อย่างน้อยพี่มันก็อุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่

“ให้ไปเป็นเพื่อนก็ได้”

“มึงไปจริงดิ” เขายิ้มหน้าบาน ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าแห้วแล้วแท้ๆ

“อื้ม...แต่รอผมแต่งตัวก่อนนะ”

อีกฝ่ายพยักหน้ารับ เรื่องรอน่ะไม่มีปัญหา เดียร์เดินกลับไปที่ห้องด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นมากในรอบสัปดาห์ บังเอิญเดินสวนทางใครบางคนเข้าพอดี ไอ้ความรู้สึกแย่ๆ พวกนั้นก็โถมเข้ามาใส่อีกเป็นกอง

ทั้งที่คิดว่าจะไม่เจอกันแล้วเชียว

เด็กหนุ่มใบหน้าเศร้าหมอง เพราะนึกคาดหวังอะไรบางอย่างจากสายตาคู่นั้น คิดอยากให้เขาพูดด้วยสักคำ แต่เหมือนจะเป็นการรอเก้อ ฝ่ายนั้นทำเฉย ไม่มีการทักทาย ไม่มีการแสดงออกว่าแต่ละฝ่ายมีตัวตน

สุดท้ายแล้วต่อให้โกรธเคืองอย่างไร เดียร์ทำไม่ได้ สายตาของเขาไม่เคยละไปจากหมอนั่น…

ก็เพราะว่าชอบไปแล้วจริงๆ

อยากได้ความห่วงใยกลับคืนมา อยากได้ยินประโยคต่อว่าที่มักจะแฝงความห่วงใยมาด้วยเสมอ

แล้วก็จูบนั้น...ที่บอกว่าไม่เคยต้องการ ที่จริงยังคงคิดถึง...อาจกลายเป็นความเคยชิน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่

แล้วเขาจะรู้สึกเหมือนกันไหม...

 

 

 

สายฝนตกลงมาโปรยปราย ความเย็นกระทบลงบนผิวหน้า สะกิดเขาให้กลับมาอยู่ในโลกความเป็นจริงอีกครั้ง เดียร์รู้สึกตัวอีกทีตอนที่พี่คิมคว้าข้อมือรีบพาเขากลับไปที่ลานจอดรถ รุ่นพี่เปิดประตูให้เขาขึ้นไปนั่งก่อน พอเก็บของเสร็จแล้วก็รีบตามมา

“เช็ดตัวก่อน” สายฝนด้านนอกลบเลือนทุกอย่าง กระทั่งตอนที่พี่คิมส่งผ้าขนหนูมาให้ เขาไม่รู้ตัวว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ภาพตรงหน้ามันพร่ามัวไปหมด ไม่ใช่เพราะน้ำฝน แต่เป็นเพราะน้ำตาของตัวเอง

แอร์ในรถเย็นฉ่ำ ฝนกำลังตกหนักไม่ขาดสาย มองออกไปเห็นเพียงแต่น้ำฝนไหลลงมากระทบบนกระจก เพื่อไม่ให้บรรยากาศในรถเงียบเหงาจนเกินไป คิมเปิดเพลงฟังในระหว่างรอให้ฝนซาลง

“มึงยังคิดมากเรื่องที่กูบอกหรือ?”

เดียร์หันมองคนด้านข้างใหม่อีกรอบ ใบหน้าของพี่คิมเริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ไม่หรอกครับ”

“คืนนั้นกูพูดจริงนะ อาจจะทำให้มึงตกใจ แต่กูไม่ได้คาดหวังอะไรหรอก แค่มึงมองกูเหมือนพี่ชายคนหนึ่งก็พอแล้ว กูรักมึงอย่างจริงใจนะ แล้วก็อยากให้มึงสบายใจตอนอยู่กับกู ส่วนเรื่องจูบ กูไม่คิดจะขอโทษหรอก แต่พอเห็นมึงเอาแต่เศร้าแบบนี้ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้”

“ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกครับ”

“แล้วมันเป็นเพราะใคร?”

“ไม่มีอะไรหรอกพี่” เดียร์ไม่รู้หรอกว่าใช้น้ำเสียงแบบไหนตอนนึกถึงหมอนั่น แต่คนที่ได้ยินกลับเข้าใจอาการนั้นได้ดี คิมชักอยากรู้เสียแล้วว่าไอ้คนที่ทำให้รุ่นน้องของเขาตกอยู่ในอาการเช่นนี้มันเป็นใคร

“รู้สึกยังไงก็แค่พูดออกไปสิวะ” เหมือนที่เขาบอกไปว่าชอบมัน จะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน อย่างน้อยได้ทำตามความรู้สึก

“หมายความว่าไง?”

“ก็คิดเอาเองสิ” คิมส่ายหน้าระอาใจ ปล่อยให้มันได้ไตร่ตรองเองก็แล้วกัน...

“พี่..ผมยังไม่อยากกลับหอตอนนี้ ช่วยไปส่งที่คลับได้ไหม?”

“ตอนนี้เนี่ยนะ?”

“อื้ม”

“เออ...ไปก็ไป”

 

ในคืนที่ฝนตกหนัก แต่ผู้คนที่โฮลิคคลับยังคงหนาแน่นไม่เปลี่ยน เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในนั้นด้วยความคุ้นเคย หลายคนเดินเข้ามาทักทาย เขาเพียงแค่ยิ้มให้ ก่อนจะแยกออกไปนั่งเพียงลำพัง และบอกให้พี่คิมกลับไปก่อนแม้ว่ารุ่นพี่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

เรื่องราวมากมายเกิดขึ้นที่นี่ หากย้อนเวลากลับไปแก้ไขได้ก็คงดี เขาจะได้ไม่กลายเป็นคนอ่อนแอ เพียงเพราะการได้เจอกับใครคนหนึ่ง

“นี่นาย....”

คนที่นั่งซึมเซา เหม่อมองสายฝนที่ตกลงมานอกหน้าต่าง เหลือบหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง อย่างคนไม่ต้องการผูกมิตรกับใคร

“ฉันชื่อวินซ์” ชื่อนั้นเรียกความสนใจจากเด็กตรงหน้าได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ก่อนเดียร์จะหันกลับมาจมจ่อมในโลกของตัวเอง

“ขอนั่งด้วยคนสิ”

“ขอโทษนะ ช่วยไปที่อื่นได้ไหม ตอนนี้ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” ถ้าหากยังพูดมากไม่หยุดล่ะก็ เห็นทีจะต้องเปลี่ยนที่นั่ง

“โห...” วินซ์มองอย่างไม่เชื่อสายตา เขาชักชอบนิสัยตรงไปตรงมาของเด็กคนนี้ซะแล้วสิ “ท่าทางนายอารมณ์ไม่ดีแฮะ งั้นเอาไว้เจอกันคราวหน้าก็ได้”

เดียร์มองอีกฝ่ายยื่นมือมาตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เจตนาของผู้ชายคนนี้คืออะไรกันแน่ อยากผูกมิตรกับเขาหรือ?

“ไม่ดีกว่า” เขาส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ก็ดีแล้วที่พอปฏิเสธไปหมอนั่นก็ไม่อยู่กวนใจเขาอีกเลย เด็กหนุ่มถอนหายใจ


อารมณ์ไม่ดีอีกแล้ว รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย...

 

เดียร์กลับถึงหอซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เห็นอธินกำลังจะออกไปส่งใครบางคน เมื่อเห็นเขากลับดึกชายหนุ่มก็รีบลงจากรถ เดียร์ยืนหลบฝนอยู่ในลานจอด พอเห็นอีกฝ่ายก็คิดจะเดินหนี แต่คนโตกว่ารีบคว้าข้อมือไว้ให้เขาเข้ามาหยุดอยู่ในร่มคันเดียวกัน

แสงสีส้มอ่อนจากเสาไฟฟ้าขับให้เจ้าของใบหน้าขาวเนียนดูโดดเด่น หยดน้ำฝนบนแก้มยังไม่จางหาย และดวงตาคู่นั้นที่บวมช้ำจนผิดปกติ

คิดว่าคงเป็นเพราะสายฝน...

เด็กนั่นพยายามแกะมือที่เกาะกุมอยู่อย่างดื้อดึง เขาเพ่งมองอีกครั้ง คราวนี้ถึงรู้ว่าสาเหตุของหยดน้ำใสๆ ในดวงตาคู่นั้นไม่ได้เป็นเพราะสายฝน

แต่เป็นเพราะ...

“ร้องไห้ทำไม?” เสียงของเขาอ่อนโยน ฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ ช่วยขับไล่ความหนาวรอบกาย

“ไม่ได้ร้อง!”

“ก็เห็นอยู่นี่” มือหนาประคองไหล่อีกฝ่ายให้หันมา มองเจ้าของอาการนั้นอย่างนึกเอ็นดู ที่เคยบอกว่าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัว เห็นทีจะทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว

“นายจะสนใจทำไมล่ะ?”

“ดื่มมาอีกหรือ?” หมอนั่นยื้อแขนข้างหนึ่งไว้ เดียร์ทำได้แต่หันหลบ พอสู้ไม่ได้ก็คิดหนี เพราะน้ำเสียงของเขา สายตาที่แสดงออกว่าห่วงใยนั้นทำให้ตัวเองพ่ายแพ้

ไม่ไหวเลย...

“ไม่ใช่เรื่องของนายนี่”

“แต่นายอยู่ที่นี่ อยู่ในความดูแลของฉัน” แล้วอาการน้อยใจก็ปกปิดเอาไว้ไม่มิด เดียร์หันไปมองใครบางคนที่กำลังรออธินอยู่บนรถ ที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้วแท้ๆ แต่ก็อดไม่ได้

“พอเถอะ จะไปไหนก็ไป!”

“เรื่องคืนนั้นฉันขอโทษ”

เดียร์ไม่รอฟังคำต่อจากนั้น หากยังอยู่ที่เดิมคงต้องเผลอแสดงความอ่อนแอมาให้เห็นแน่

อธินมองตามแผ่นหลังที่วิ่งหายไปด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าผิด ชายหนุ่มกลับไปที่รถ เขาเห็นใบหน้าเศร้าสร้อยของคนที่นั่งรออยู่ โดยไม่คิดจะอธิบายเรื่องราวให้เจ้าตัวฟังแม้แต่น้อย

 


 

งานประมูลผ่านเข้ามาอีกครั้ง แขกเหรื่อในโรงแรมดูหนาตาขึ้นกว่าปกติ ค่ำคืนนี้เขาต้องทำหน้าที่สำคัญแทนคุณพิมพ์ นั่นก็คือการดูแลทุกคนภายในงานและกิจกรรมทุกอย่างให้เป็นไปอย่างราบรื่น

สายตาคมกริบมองเห็นความผิดปกติในงานได้อย่างรวดเร็ว เขาเห็นร่างเพรียวบางของเด็กหนุ่มที่แสนดื้อรั้นปะปนอยู่กับกลุ่มคน

“ใครปล่อยให้เด็กนั่นเข้ามาวุ่นวายในนี้”

“พวกผมเองครับ” ทั้งเชนและอันนาถึงกับมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเจอสายตาดุๆ คู่นั้นส่งมา

“นายสองคนนี่มัน!”

งานคืนนี้จัดขึ้นริมสระว่ายน้ำ ส่วนเวทีประมูลก็ยื่นลงมาในสระ บรรดามาเฟียรุ่นใหญ่ๆ ทั้งหลายนั่งกันเป็นกลุ่มก้อนบนเบาะโซฟา ส่วนพวกหนุ่มๆ สาวๆ ก็เปลื้องผ้าอวดหุ่นลงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน อธินเดินสำรวจความเรียบร้อย พบปะพูดคุยกับคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย แต่สายตาก็ยังไม่วายจับจ้องอยู่ที่คนสำคัญ

หวังอย่างเดียวว่าจะไม่ไปมีเรื่องกับใครเข้า

 

ลู่ชิงได้เจอคนรู้จักก็คิดจะไปทักทาย ครั้งนี้เขายังตามคุณพ่อมาเที่ยวด้วย เพราะได้รับการต้อนรับที่ดีจากที่นี่ พอมีการคำเชิญเข้ามา จึงไม่ลังเลที่จะตอบตกลง

“อธิน อธิน” เสียงสดใสของลู่ชิงเรียกให้ใครหลายคนหันไปมอง แม้กระทั่งคนที่ยืนห่างออกไปอีกฝั่งก็ยังอดหันมองภาพของคนสองคนไม่ได้

ทั้งคู่คุยกันอย่างเพลิดเพลิน ถึงจุดหนึ่งอธินสังเกตใบหน้าของคู่สนทนาที่ดูเปลี่ยนไป ทั้งที่พูดกับเขาแต่สายตากลับเพ่งมองไปที่ใครคนหนึ่ง

“รู้จักหรือ?”

“ฉันรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักฉันหรอก”

อธินจับจ้องที่ร่างสูงใหญ่ ฝ่ายนั้นนั่งลงบนเก้าในโซนพิเศษริมสระ สายตามองเรื่อยไปในงาน เจอคนรู้จักเข้ามาทักทายก็แค่พยักหน้าตอบรับ ไม่สนใจผูกมิตรหรือเลือกสนิทสนมกับใครเป็นพิเศษ ท่าทางจะโลกส่วนตัวสูงพอตัว

“ทำไมไม่เข้าไปทักทายล่ะ?”

“ไม่จำเป็นหรอก หลี่จื้อหาวเองยังบอกว่าฉันควรตัดใจได้แล้ว”

“แต่ก็ทำไม่ได้สินะ”

“เขาเคยเป็นความทรงจำที่ดี”

“งั้นก็รีบไปเถอะ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก นี่เป็นโอกาสที่ดีนะ”

“นั่นสินะ” ลู่ชิงยิ้มให้ก่อนจะรวบรวมความกล้าหมุนตัวกลับไปยังทิศทางที่หัวใจตัวเองเรียกร้อง ส่วนเขาก็ได้แต่ภาวนาให้ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ก่อนจะมองหาเจ้าตัวยุ่งที่ไม่รู้ว่าไปหลบอยู่ตรงไหนของงาน


ท่าทางเด็กนั่นจะกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปเสียแล้ว นอกจากจะลงไปป่วนเล่นน้ำในสระ แถมยังถูกพวกสาวๆ เปลื้องผ้าให้เหลือแต่กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามให้พอไม่หนาวจนเกินไป เขามองตาขวางเมื่อเห็นหลายคนจับจ้องอยู่ที่หุ่นเพรียวบางของเด็กนั่น แม้คนที่ไม่มีรสนิยมชอบเพศเดียวกัน เห็นแล้วยังต้องลอบกลืนน้ำลาย เขาอยากจะไปลากให้ขึ้นมาจากสระเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องรีบไปกล่าวเปิดงานแทนคุณพิมพ์บนเวทีก่อน


 แสงไฟสว่างถูกหรี่ลงให้เห็นเพียงเลือนราง จุดโฟกัสเดียวในค่ำคืนนี้คือเวทีเล็กๆ ริมสระ ซึ่งมีสร้อยเพชรน้ำดีเป็นสินค้าประมูลชิ้นแรก อธินไม่ได้สนใจกับเหตุการณ์บนเวที เขาปล่อยให้พิธีกรเป็นฝ่ายดำเนินการต่อไปหลังจากหมดหน้าที่เขา

 

เด็กหนุ่มนั่งขดตัวอยู่บนโซฟา พร้อมผ้าขนหนูที่พนักงานเตรียมไว้ให้ เฝ้าคอยลุ้นเหล่าเศรษฐีที่แข่งกันประมูลสินค้าในราคาสูงลิบลิ่ว ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร

น่าสนใจดีแฮะ

บริกรหนุ่มเดินผ่านไป เดียร์เรียกไว้แล้วขอไวน์แดงมาดื่ม ฝ่ายนั้นได้ยินเสียงสั่งเป็นภาษาไทยก็ค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย เพราะผู้คนในงานเป็นแขกต่างชาติทั้งนั้น

เดียร์ค่อยๆ ดื่มไปอีกหลายแก้ว รสชาติเข้มข้นจนฝาดลิ้นทำให้เขาต้องหลับตาปี๋ทุกครั้งก่อนกลืน กลิ่นผลไม้หอมหวานเสียจนต้องยกขึ้นมาดื่มอีกรอบและอีกรอบ รู้ตัวอีกทีทั้งร่างก็หนักอึ้งจนแทบจะลุกไม่ขึ้น

งานประมูลตรงหน้ายังคงดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่รู้อะไรดลใจให้ตัวเองเดินอ้อมไปหลังเวที

สินค้ารายการสุดท้ายถูกยกออกไปหลังจากเศรษฐีชาวฮ่องกงชนะราคาประมูลไปอย่างขาดลอย ก่อนที่ทุกคนจะได้ลุกออกจากที่นั่ง  เสียงประกาศของพิธีกรเรียกความสนใจขึ้นมาอีกครั้งกับสินค้าพิเศษที่ไม่ได้อยู่ในรายการ หลายคนต่างเข้ามารุมล้อมเมื่อพิธีกรย้ำว่า ใครได้เห็นจะต้องตื่นตะลึงอย่างแน่นอน

คนในงานเริ่มแปลกใจ ก่อนจะร้องฮือฮาเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ยืนอยู่บนนั้น…

“คุณอธินครับ นั่นมัน..” อันนาชี้ให้เจ้านายที่ยืนรวมกลุ่มสนทนากับบรรดาญาติพี่น้อง หันไปดูร่างที่ยืนมึนตึงอยู่บนเวที บ้าไปแล้ว เด็กนั่นคิดจะทำอะไร!

เหตุใดถึงเอาตัวเองขึ้นไปเป็นสินค้าประมูลบนเวที!

อธินไม่รู้จะสบถออกมาเป็นคำไหนดีให้รู้ถึงความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ในหูเขาก้องไปด้วยเสียงเสนอราคากันอย่างคึกคะนองของพวกที่สนใจ

เด็กนั่นมองมาที่เขาด้วยสายตาของคนกำลังต้องการความช่วยเหลือ สีหน้าคล้ายคนอยากจะร้องไห้

ร่างสูงกอดอกยืนมองเด็กดื้อที่ยืนตัวสั่น โดยมีการ์ดสองคนล็อคตัวไว้เบื้องหลังไม่ให้เจ้าตัวคิดหนี ลองได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้าแล้ว ไม่มีทางจะลงจากเวทีได้จนกว่าจะสิ้นสุดการประมูล

“ไม่ช่วยหน่อยหรือครับ”

“อยากขึ้นไปนัก ก็ให้หาทางลงมาเอง”

“แต่นั่นมันอันตรายนะครับ” เชนชี้ให้ดูพวกกลุ่มเศรษฐีที่แข่งปั่นค่าตัวกันแบบมหาโหด ถ้าคุณอธินจะใช้วิธีนี้ดัดนิสัยเด็กนั่นล่ะก็...คงโหดเกินไปแล้ว

 

เดียร์มองจากเวที เห็นหมอนั่นหันหลังกลับ เดินออกไปจากงานแบบไม่คิดมาสนใจไยดี

และคนที่ชนะไปในครั้งนี้ ก็คือผู้ชายร่างสูงใหญ่ ที่เสียงพูดของเขาเรียกสายตาให้คนในงานต้องหันมอง

“ชางเฟิง!” ลู่ชิงที่ยืนดูเหตุการณ์ถึงกับพูดไม่ออก ผู้ชายในอดีตที่ตนเองกำลังมองหา คนที่ไม่เคยใส่ใจใครเป็นพิเศษอย่างเขา ทำไมถึงเลือกสนใจคนๆ นั้น...

 

ร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่บนเวทีถึงกับทรุดฮวบลงกับพื้น ไม่ได้ยินอะไรอีกแล้ว

จะทำยังไงดี...

 

 

 

 

 

หัวข้อ: Re: Dear to me >> 17 : ของสำคัญ (03/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 04-05-2018 19:35:50
เย้ๆๆๆๆๆ ในที่สุดก็มา อิอิ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 17 : ของสำคัญ (03/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-05-2018 11:23:15
มีใจให้แล้ว อิอิ ยังไงต่อ
จงมาๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 18 : ค่าตัว (05/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 05-05-2018 14:06:10

18

ค่าตัว


 

 

            เดียร์นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ยอมลุกไปไหน แม้คนของชางเฟิงจะเข้ามาพาตัวไปก็ยังดื้อดึง ขัดขืนจนถึงที่สุด เห็นหน้าตี๋ๆ ของพวกมันแล้วอยากจะร้องไห้ ไม่คิดเลยว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ แม้พยายามขอร้องสักเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่าพูดไปก็ไม่มีใครเข้าใจภาษา

“ลุกขึ้น” สำเนียงภาษาไทยแบบแปร่งๆ ทำให้เขารีบหันไปมอง ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ใบหน้าเรียบเฉย ดวงตาเรียวสวยมองมาที่เขานิ่งงัน พร้อมด้วยลูกน้องชุดดำอีกจำนวนหนึ่งเข้ามาล้อมรอบ

“ไม่!” น้ำเสียงฟังดูเอาแต่ใจ ไม่สนด้วยว่าคนตรงหน้าจะยิ่งใหญ่มาจากไหน ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น

“แต่นายถูกซื้อมาแล้ว” คนพูดลอบยิ้มขบขัน ดวงตาเป็นประกาย คนที่นั่งก้มหน้าไม่มีทางได้มองเห็น

“ไม่จริง!”

“ขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกนะ” ชางเฟิงรู้สึกสนุก เด็กคนนี้น่าสนใจนัก เขาคิดถูกจริงๆ ที่ตัดสินใจเข้ามาเล่นเกมด้วย เหลือก็แต่รอเวลาเท่านั้น

“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น”

“แล้วจะรอให้ใครมาช่วยล่ะ?” เขาลองหยั่งเชิง ซึ่งก็ได้เห็นดวงตาคู่นั้นเริ่มหม่นลง

 

ยอมรับแล้วว่าผิด...งี่เง่าเองที่คิดอะไรที่มันเป็นไปไม่ได้ คิดไปว่าจะมีค่าพอให้ใครบางคนเห็นความสำคัญ เพราะอยากรู้ว่าหมอนั่นรู้สึกยังไงก็เลยตัดสินใจทำอะไรลงไปโดยไม่คิด คราวนี้ก็ชัดเจนแล้วว่ามีแต่ตัวเองที่คิดอะไรไปฝ่ายเดียว

เจ็บปวดไปหมด...

“ก็ช่วยไม่ได้นะ ฉันจ่ายเงินไปแล้ว” ชางเฟิงบอกแค่นั้นพลางสั่งให้คนพาเด็กหนุ่มไปที่ห้อง

เดียร์น้ำตาซึมอยู่เงียบๆ หลังจากผู้ชายสองคนเข้ามาประชิดตัวแล้วสั่งให้ลุกขึ้น ขัดขืนไปก็เท่านั้น ความสามารถและชั้นเชิงในการต่อสู้ของพวกมันดีกว่าเขาที่ทำตัวกร่างไปวันๆ นับสิบเท่า แขนทั้งสองข้างจึงถูกล็อกไว้อย่างง่ายดาย ไม่มีช่องว่างให้ขัดขืน เขาไม่อยากจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากนี้เลย

โง่เองแท้ๆ

 

ชางเฟิงออกไปเจรจาตามคำเชื้อเชิญของเจ้าภาพ เหมือนที่คิดไว้ตั้งแต่แรกว่าหมอนั่นคงไม่มีทางอยู่เฉยแน่นอน คนอย่างเขาชอบสังเกต ใช้เวลามองเพียงปราดเดียวก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ระหว่างการเดินทางทำให้เข้าใจอะไรหลายอย่าง ทั้งวิถีชีวิต ลักษณะนิสัยของคนในต่างแดน นั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เขาอยากศึกษาเรียนรู้ จึงไม่แปลกที่จะไม่มองข้ามความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนั้น ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว

“ยินดีที่ได้เจอคุณครับ ผมชื่อชางเฟิง” เขายื่นมือ ทำการแนะนำตัวอย่างเป็นมิตร คนที่นั่งรออยู่ก่อนยืนขึ้นเต็มความสูงและยื่นมือมาตอบรับ

ชางเฟิงนั่งลงตามคำเชื้อเชิญ เขาสังเกตเห็นความกังวลจากชายหนุ่มตรงหน้า อาการร้อนรนในดวงตาคู่นั้นมีมากไม่น้อย และเขาก็เข้าใจมันดี

“ท่าทางผมคงทำให้คุณลำบากตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลยสินะ”

“ทางเราเองก็ต้องขออภัยด้วย” อธินกล่าว ก่อนอธิบายต่อไปว่า

“สินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายที่คุณได้ไปในคืนนี้ เกิดจากความผิดพลาดของทางเรา ผมขออภัยอย่างยิ่ง ที่การซื้อขายในครั้งนี้ต้องเป็นโมฆะ”

“แล้วเงินที่ผมเสียไปล่ะครับ คุณจะรับผิดชอบยังไง?” เกิดรอยยิ้มขึ้นบนมุมปาก ชางเฟิงนั่งรอคนตรงหน้าตัดสินปัญหาด้วยท่าทีผ่อนคลาย

“ทางเราจะคืนกลับให้เป็นสองเท่า ขอให้คุณช่วยพิจารณา”

“ฮะฮะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาสำหรับผม แต่คุณน่ะทำไมถึงปล่อยให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ล่ะ”

อธินนิ่งอึ้ง มองคนที่มีศักดิ์เหนือกว่าพูดจาด้วยท่าทางสบายๆ

“หากเป็นคนอื่น เขาคงไม่ยอมให้คุณเข้ามาต่อรองแน่”

เงินนับล้านที่เสียไปในคืนเดียว อาจน้อยไปด้วยซ้ำในสายตาของคนพวกนั้น เพียงเพื่อแลกกับความสุขในชั่วข้ามคืน เขาเองก็คิดน้อยไป

“มีเหตุผลอะไรที่เด็กคนนั้น ต้องใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจ ทั้งที่รู้ว่ามันเสี่ยงขนาดไหน”

เรียกร้องความสนใจงั้นหรือ...

แล้วทำเพื่ออะไรล่ะ?

 

ชางเฟิงเห็นสีหน้าที่ดูสับสนของชายตรงหน้า ความเด็ดเดี่ยวและความมั่นใจในตนเองเหล่านั้นถูกลิดรอนไปทีละนิด เมื่อกำลังนึกถึงใครคนหนึ่งที่มีอิทธิพล...ต่อหัวใจ

 ลองทบทวนเรื่องที่แล้วๆ มา คำตอบที่ได้ กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง...

“เด็กนั่นเองคงชอบคุณมาก คุณไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ?” ชางเฟิงพูดในฐานะของคนที่โตกว่า

สำหรับคนที่หลงใหลในการเดินทาง การได้พบเจอเรื่องราวพิเศษระหว่างนั้นย่อมเป็นสิ่งมีค่า และจะเป็นสุขอย่างยิ่งหากได้เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนช่วยให้ใครสุขสมหวัง เช่นครั้งนี้...

เขาลุกจากที่นั่งและยื่นคีย์การ์ดรีสอร์ทหลังหนึ่งคืนให้ ก่อนเดินออกไปพร้อมด้วยลูกน้องที่เหลือ อธินมองตามร่างสูงนั้นด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างจริงใจ

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ทางเราได้มีโอกาสต้อนรับคุณ”

“ผมเองก็ต้องขอบคุณเช่นกัน” ฝ่ายนั้นหันมาตอบรับ ก่อนจะรับสูทตัวนอกจากลูกน้องมาสวมให้เรียบร้อย แล้วเดินออกจากห้องไป

 

 

คนที่รออยู่นานนั่งห่อไหล่ต่อสู้กับความหนาวอย่างอดทน ยิ่งดึกอุณหภูมิยิ่งลดลงต่ำ ด้านนอกลมพัดแรงจนต้นไม้แถวนั้นวูบไหวดูน่ากลัว หลังจากที่ไปส่งพ่อ ดูแลทุกอย่างเรียบร้อยจนเข้านอน ลู่ชิงจึงออกมาจากห้องพัก บรรยากาศโดยรอบนั้นได้ยินแต่เสียงหวีดร้องของสายลม คืนนี้ดูท่าว่าฝนจะตก ตัวเขามีเวลาไม่มากนัก เมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้ชางเฟิงจะออกเดินทางแต่เช้า เหลือเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น และไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเราได้เจอกัน

 

ลู่ชิงนั่งรออยู่บนม้านั่งหน้ารีสอร์ทของตัวเอง ห่างออกไปไม่ไกลนักเป็นรีสอร์ทหลังที่อีกฝ่ายพักอยู่ เขาเฝ้ารอเวลานี้มานานด้วยใจจดจ่อ

และเวลาที่รอคอยก็มาถึง ร่างสูงใหญ่ที่คุ้นเคย เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งกำลังผ่านมาทางนี้ กลุ่มคนของชางเฟิงเดินตรงไปยังบันไดขึ้นลงรีสอร์ท ลู่ชิงรีบวิ่งตามไป

“เดี๋ยวก่อนครับ” เสียงเรียกนี้หยุดคนที่อยู่บนบันไดให้หันมา ชางเฟิงเพ่งมองใบหน้าหวานละมุนเจ้าของเสียงเรียก ก่อนจะส่งให้คนไปเจรจาแล้วตัวเองก็ก้าวเดินต่อไป

“พี่ครับ!” ลู่ชิงร้องตะโกนสุดเสียง วิ่งฝ่าวงล้อมของคนพวกนั้นขึ้นมาหยุดที่กลางบันได ห่างจากคนตรงหน้าแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง

“เรียกฉันแบบนั้นได้ยังไง? ที่ผ่านมาไม่เคยมีใครกล้าเรียกฉันว่าพี่ชาย และก็จำได้ว่าไม่เคยให้ความสนิทสนมกับใคร จนถึงขั้นใช้คำนั้น”

“เด็กหนุ่มคนนี้เป็นคนจากตระกูลลู่ครับ”

“ลู่ งั้นหรือ?” ชางเฟิงทบทวนซ้ำ เห็นเด็กคนนั้นมองมาที่เขาอย่างคาดหวัง

“ผมคือเสี่ยวลู่ พี่จำไม่ได้เลยหรือ?”

“ฉันจะไปจำคนที่เพิ่งรู้จักกันไม่ถึงนาทีได้ยังไง”

ลู่ชิงรู้สึกเสียใจกับคำตอกย้ำนั้น

คงจะจริงอย่างที่จื้อหาวบอก เขาไม่ใช่เพียงแค่เปลี่ยนไป แต่กลับลืมหมดทุกสิ่งที่เป็นอดีต แม้กระทั่งความทรงจำดีๆ ของลู่ชิงคนนี้ก็ไม่เคยเก็บไว้

“ผมเข้าใจแล้ว”

“จบธุระของนายแล้วใช่ไหม? ฉันจะได้กลับไปพักผ่อน”

ลู่ชิงหลีกทางให้คนพวกนั้นด้วยใจที่เหี่ยวเฉา ก้มหน้าลงและปล่อยให้หยดน้ำตาที่ไม่อาจระงับไว้ค่อยๆ ไหลออกมา

เขาควรจะเชื่อพี่ชายตั้งแต่แรกว่าไม่ควรยึดติดคำมั่นสัญญาในวัยเด็ก

ความฝันที่เป็นดั่งความหวังของลู่ชิง...ไม่หลงเหลือใดๆ อีกแล้ว

 

“นายท่านใจร้ายอีกแล้วนะครับ” ทั้งที่ลับหลังก็ให้คนของเราคอยดูแล ตามสืบความเป็นไปอยู่ตลอดเวลา แต่พอต่อหน้าแกล้งเป็นจำกันไม่ได้แบบนี้ เขาล่ะรู้สึกสงสารคุณลู่ชิงจริงๆ

“เสี่ยวลู่ของฉันต้องเข้มแข็งและโตเป็นผู้ใหญ่ อนาคตข้างหน้าอีกยาวไกล เรื่องคำสัญญาที่ให้ไว้ฉันไม่มีวันลืมหรอก”

คนพูดย้อนนึกถึงวันวาน นึกถึงภาพของเด็กชายตัวเล็กๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูคนหนึ่ง พลางระบายยิ้มอ่อนโยนจากความรู้สึก

ในไม่ช้านี้...เราจะได้เจอกันอีก

 

 

 

เดียร์ถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง คิดจะหนีออกไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ ด้านนอกมีพวกมันคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา เมื่อลองประเมินดูแล้ว ความสามารถของเขานั้นช่างน้อยนิด เมื่อเทียบกับพวกมันแต่ละคนที่เลือกทางเดินชีวิตมาเพื่อเป็นมาเฟียโดยเฉพาะ

เขารู้สึกประหม่า และหวาดกลัวคนพวกนั้นตลอดเวลา หากหนีไม่พ้นเรื่องนั้นจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร ในระหว่างที่กำลังคิดหาทาง ประตูก็ถูกเปิดออก เขารวบรวมสติ มือกุมแจกันเซรามิกไว้แน่น พอฝ่ายนั้นเข้ามาก็ขว้างใส่ทันที

เพล้ง!

แจกันอันนั้นพุ่งไปกระแทกกับผนัง อธินหลบได้อย่างเฉียดฉิว เขารีบไปเปิดไฟให้สว่าง อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหลบไม่ทัน ตัวเองจะอยู่ในสภาพไหน

“กะจะฆ่ากันเลยรึไง!”

เด็กเจ้าปัญหายืนสั่นอยู่กลางห้อง ก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเจอหน้าเขา อธินเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัว เขาเปียกไปหมดแล้วกว่าจะมาถึงนี่

“แล้วนั่นจะไปไหน ด้านนอกฝนตกหนักนะ” เด็กหัวรั้นยอมฟังเสียที่ไหน หยิบร่มจากในตู้ขึ้นมากาง ชายหนุ่มคว้าด้ามมันไว้ทันแล้วจ้องดวงตาคู่นั้นเขม็ง

“จะกลับห้อง!”

“ไม่อนุญาต!”

“...”

“ก่อเรื่องไว้ขนาดนี้ คิดว่าฉันจะปล่อยไปง่ายๆ รึไง! นายรู้ตัวไหมว่าทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อนขนาดไหน!”

เมื่อเห็นสายตาดุดันคู่นั้นมองมาก็พาลให้รู้สึกเสียใจ

ไม่คิดว่าจะกลายเป็นคนที่ร้องได้ง่ายๆ กับเรื่องแค่นี้...

เด็กดื้อผลักคนตรงหน้าที่ยืนขวางทางออกห่าง กางร่มในมืออีกครั้ง แต่ก็ถูกคนตัวสูงกว่าแย่งคืนไปเสียก่อน

“นายยังไปไหนไม่ได้”

“ปล่อย!”

“เรายังพูดกันไม่จบ!”

เด็กหนุ่มร้องไห้น้ำตาคลอ เขารู้สึกผิดที่ใช้วิธีโง่ๆ เรียกร้องความสนใจจากคนที่ไม่ได้คิดสนใจ มันก็สมควรแล้ว ในสายตาของเขา คงมองเราไม่ได้เรื่องสักอย่าง

“นายไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นเป็นใครมาจากไหน! ถ้าเกิดพวกมันคิดจะใช้อำนาจขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ฉันใช้ทั้งชีวิตไปต่อรองก็ช่วยอะไรนายไม่ได้หรอกนะ! ทีหลังอย่าคิดทำอะไรแบบนี้อีก”

“ขอโทษ…”

“ก็ดีที่นายรู้จักพูดคำนี้”

“ถ้าไม่พอใจก็ส่งฉันกลับเลยก็ได้ ในเมื่อนายเอาแต่พูดว่าฉันสร้างแต่ปัญหา ฉันเองก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน”

“คิดว่าจะยอมให้ไปง่ายๆ รึไง?”

คำพูดนั้นอยู่ดีๆ ก็ทำให้แก้มเขาร้อนผ่าว เดียร์ไม่รู้หรอกว่าหมอนั่นหมายความว่ายังไง แต่มันสามารถหยุดน้ำตาของเขาได้ทันที และสามารถเปลี่ยนอาการน้อยใจนี้ให้กลายเป็นรู้สึกดีแทน

ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม?

ที่ว่าจะไม่ยอมให้ไปง่ายๆ

เดียร์ไม่รู้ว่าความหมายของมันจริงๆ คืออะไร เพียงแต่คำนั้น ได้ฟังแล้วรู้สึกอุ่นใจขึ้นจริงๆ

 

ฝนยังคงโปรยปรายตลอดค่ำคืน เจ้าของร่างสูงนอนพิงหัวเตียงมองคนที่หลับไปแล้วท่ามกลางแสงไฟสลัว มือหนายังคงลูบลงบนกลุ่มผมนุ่มลื่นแผ่วเบา

คล้ายเป็นการกล่อมให้นอนหลับฝันดี...

ทำไมเขาจะไม่รู้ถึงเจตนาของเด็กตรงหน้า ว่าสิ่งที่ทำไปทั้งหมดนั่นเพราะอะไร



ร่างเพรียวบางลุกขึ้นจากที่นอนด้วยความงัวเงีย ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้อง

“หนาวหรือ?”

“เปล่า...ฉันอยากกลับหอ”

“ตอนนี้ฝนยังตกอยู่ นอนต่อเถอะ ฉันเองก็เริ่มง่วงแล้วเหมือนกัน” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปปิดไฟที่หัวเตียง พวกเขาติดฝนอยู่ที่นี่นานหลายชั่วโมงแล้ว หลังจากปล่อยให้เดียร์นอนหลับไปก่อน จนฝ่ายนั้นตื่นขึ้นมา ด้านนอกก็ไม่มีทีท่าจะสงบลง


  อธินล้มตัวลงนอนบ้าง โดยไม่ลืมดึงร่างคนข้างๆ เข้ามากอด เด็กดื้อที่มีท่าทีต่อต้านในตอนแรกเริ่มอ่อนลง เมื่อได้ยินคำว่า ‘หลับฝันดี’



เพราะฝนตกหนักเมื่อคืน เช้ามาวันนี้อากาศจึงสดใส แสงสว่างรำไรลอดผ่านม่านที่เปิดไว้ริมระเบียง เด็กหนุ่มนอนมองสีของท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

แสงของพระอาทิตย์ในตอนเช้า ช่างอบอุ่น เช่นเดียวกับคนที่นอนหลับอยู่ข้างกายนี้

อยากให้เป็นที่พักพิง...ตลอดไป

เด็กหนุ่มพลิกกายช้าๆ เพื่อจะหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่ด้านหลังได้อย่างถนัด เราไม่เคยใกล้ชิดกันถึงขั้นนี้ หากไม่นับรวมคืนที่เขาทำกุญแจหาย เช้าวันนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ได้ตื่นมาและก็พบว่ามีเขาอยู่ใกล้ๆ

อธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก...คงต้องขอบคุณสายฝนเมื่อคืนสินะ..ที่ไม่ทำให้ความหวังของเด็กคนนี้เหินห่างจนเกินไป

แม้แต่จะลุกจากที่นอนก็ยังไม่กล้า อยากยืดเวลาให้ยาวนานขึ้น นานขึ้นอีกหน่อย ให้เขากล้าพอที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไป

“ฉันชอบนาย” จู่ๆ ตัวเองก็เผลอสารภาพคำนั้น แต่น่าตกใจยิ่งกว่าเมื่อจู่ๆ คนที่คิดว่ากำลังหลับ ลืมตาขึ้นมา หมอนั่นมองเขานิ่ง คล้ายต้องการแน่ใจในอะไรบางอย่าง

“นายบอกว่าชอบฉันหรือ?”

“เอ่อ” คนตัวเล็กกว่าพยายามหันหน้าหนี ไม่อยากยอมรับความจริงว่าได้พูดแบบนั้นไป

“จริงๆ แล้ว นายไม่ควรจะมาชอบฉัน” ประโยคนั้นทำให้คนที่มีอาการตื่นเต้นในตอนแรกใบหน้าถอดสี

“ทำไมล่ะ?” เป็นคำถามโง่ๆ ที่เขารู้ว่าไม่ควรเอ่ยออกไป ถ้าไม่อยากให้คำตอบย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองซ้ำสอง

“เพราะนายยัง...รักพี่ปั้นอยู่ใช่ไหม?

“...”

“ฉันเข้าใจ ฉัน...นายไม่ต้องสนใจหรอก” เด็กหนุ่มรีบลุกจากที่นอน พยายามเบือนหน้าหลบสายตาของร่างสูง คนที่ทำให้เขารู้สึกพ่ายแพ้ จนอยากจะร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

“แน่ใจหรือที่พูดคำนั้นออกมา นายรู้จักความรักดีแค่ไหนกัน?”

“ก็ได้..ถือว่าไม่ได้พูดมันไปก็ได้ ฉะนั้น...ถึงบอกให้นายไม่ต้องใส่ใจไง” หมอนั่นไม่รู้หรอกว่าเขาต้องรวบรวมความกล้ามากแค่ไหนถึงจะพูดคำนั้นต่อหน้าคนที่ตัวเองชอบได้ เขาไม่รู้หรอกว่าภาพวันนี้พาให้เขากลับไปอยู่ในจุดเดิมอีกแล้ว

วันที่ถูกปฏิเสธ จนไม่กล้าพูดคำว่ารักกับใครอีกเลย

“เอ่อ...ฉัน...ฉันกลับห้องก่อนนะ” เด็กหนุ่มกุลีกุจอลงจากเตียง เริ่มรู้สึกว่ากระบอกตามันร้อนผ่าว หากอยู่ตรงหน้าเขานานกว่าเสี้ยววินาที เกรงว่าจะเผลอร้องไห้ออกมาจริงๆ

ชายหนุ่มมองตามร่างนั้นไป เขาถอนหายใจระบายความอึดอัด ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากนักจะอธิบายให้อีกฝ่ายรับรู้

“ถ้านายรู้จักตัวตนของฉันมากกว่านี้ นายจะไม่พูดคำนั้น”

 

 

 

 

 

 
"""""""""""""""""""""""""""""""""""
ไม่ดราม่าแน่นอน เดี๋ยวมาดูกัน ฮ่าๆๆๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 19 : ยอมรับ (05/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 05-05-2018 14:50:30




 19

ยอมรับ


 



 

 

“ทำไมวันนี้ถึงร้องไห้ล่ะ”

เมื่อเงยหน้ามองถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงคือใคร หนุ่มมาใหม่เลือกนั่งลงฝั่งตรงข้าม หมอนั่นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ ทำราวกับว่าสนิทสนมกัน แต่เดียร์ก็ไม่ได้สนใจ รู้สึกไม่ถูกชะตากับคนๆ นี้เลย

“ไม่เอาน่า...นายเมินฉันอีกแล้ว” เห็นเป็นเช่นนั้น วินซ์จึงตัดสินใจเล่าความจริงบางอย่างที่คิดว่าคนฟังจะไม่เบือนหน้าหนีเป็นรอบที่สองแน่ “ฉันรู้จักพี่ชายของนายนะ และก็รู้จักผู้ชายที่ชื่ออธินด้วย เอาล่ะ! เราพอจะเป็นเพื่อนกันได้รึยัง?”

เป็นดังคาด เด็กน้อยเริ่มมีท่าทีสนใจเขาบ้างแล้ว

“นี่ ฉันหวังดีกับนายจริงๆ นะ”

“งั้นก็ขอบใจ...” กับคนที่รู้สึกไม่ไว้ใจ เดียร์เลือกใช้คำพูดสั้นๆ ห้วนๆ เพื่อจะได้จบการสนทนาให้เร็วที่สุด แต่ดูเหมือนว่ากับคนๆ นี้ เขายิ่งพยายามออกห่างเท่าไหร่ อีกฝ่ายก็ยิ่งพยายามเข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น

“จริงๆ แล้วฉันเคยคบกับอธิน ถึงจะเลิกกันไปแล้วเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ ไม่แปลกที่จะรู้จักพี่ชายนายด้วย ฉันเคยเจอเขาครั้งสองครั้ง ท่าทางเป็นคนดีนะ ก็เพราะสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขานี่แหละ ทำให้ฉันอยากจะเตือนนาย”

“ฉันควรจะเชื่อคนแปลกหน้าอย่างนั้นหรือ?”

“แน่นอนสิ เพราะฉันรู้ว่านายกำลังตกหลุมรักหมอนั่น...” แววตาของคนพูดไม่มีอาการล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย

“พอเถอะ เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน อีกอย่างฉันอยากอยู่คนเดียวมากกว่าที่จะต้องมานั่งฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องจากคนอย่างนาย”

“ก็ได้ ไม่อยากฟังก็ไม่เป็นไร แต่นายควรจะอยู่ห่างๆ จากคนแบบนั้นไว้ เพื่อวันหนึ่งจะได้ไม่ต้องเจ็บปวด”

ประโยคนั้นไม่มีเจตนาอื่นใดแอบแฝงเลย เขาก็แค่คนที่บังเอิญไปเห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นเข้า เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเด็กคนนี้รู้สึกอย่างไรกับผู้ชายใจร้ายอย่างอธิน คนที่เห็นแก่ตัว และทำทุกอย่างเพียงเพราะความต้องการของตนเอง

คนๆ นั้นเดินจากไปแล้ว...ทิ้งไว้ก็แต่ข้อความรบกวนใจ เด็กหนุ่มหัวเราะในลำคอ หมอนั่นบอกให้เขาอยู่ห่างๆ จากอธินอย่างนั้นหรือ เป็นความคิดที่ตรงกับใจเขาก่อนหน้านี้เลยล่ะ

 

เขายังรักพี่ปั้น...รักมาก และไม่มีวันหมดรักกันง่ายๆ ด้วย

 

 

อากาศด้านนอกเย็นชื้น เขาไขประตูเข้าไปในบ้าน ภายในดูเงียบเหงา ไร้ชีวิตชีวา ดึกป่านนี้คิดว่าแม่จะเข้านอนแล้วเสียอีก พอรู้ว่ามีคนเปิดประตูเข้ามา ท่าทางแม่คงแปลกใจไม่น้อยที่เจอเขาเวลานี้

“ทำไมคืนนี้กลับบ้านได้ล่ะ?” เธอสังเกตได้ถึงความผิดปกติของลูกชาย ท่าทางเศร้าสร้อยที่บ่งบอกได้ชัดเจน ว่ากำลังมีเรื่องทุกข์ใจ

“แล้วกินข้าวมารึยัง?”

“เดียร์ง่วงแล้วแม่ ขอไปนอนก่อนนะ” อิงดาวมองตามร่างนั้นไปอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก น้องเดียร์นับวันยิ่งทำตัวเหินห่าง ความสดใสร่าเริงเหมือนสมัยที่ยังเป็นเด็กก็ค่อยๆ หายไป

หรือเธอเองที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้...

 

คืนนั้นเดียร์ไม่ได้กลับไปนอนห้องตัวเอง แต่ไปขลุกอยู่ในห้องของพี่ชาย แม้ข้าวของในนั้นจะว่างเปล่า แต่กลับเต็มไปด้วยร่องรอยของความจำ ที่คิดถึงแล้วขอบตามันก็ร้อนผ่าว

เขาเป็นคนไล่พี่ปั้นไปเอง...เขาผิดเองที่พูดจาไม่ดี

เด็กหนุ่มปล่อยโฮออกมาในที่สุด ก่อนจะล้มตัวลงบนที่นอน  นึกย้อนกลับไปในอดีต

ผมแพ้แล้ว...

แพ้ให้กับความรักที่เขามีต่อพี่...

 

เดียร์รู้สึกตัวอีกทีตอนรุ่งสาง ด้านนอกฝนตกหนัก อากาศเย็นชื้นจนทำให้ต้องรีบควานหาผ้าห่ม เขาจามขึ้นทันทีเมื่อพลิกกาย ห้องนี้ไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว แต่เขาก็ง่วงเกินกว่าจะสนใจฝุ่นที่อยู่บนที่นอน

แล้วความอบอุ่นก็ทำให้หลับไปอีกครั้ง

 

“เดียร์” ฝ่ามือเย็นชื้นสัมผัสอยู่บนหน้าผาก เด็กหนุ่มอ่อนแรง รู้สึกหายใจอย่างยากลำบาก พอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นสีหน้าของแม่ที่เต็มไปด้วยความกังวล จนเขานึกไม่ออกว่าเคยเห็นท่าทางแบบนั้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่

“แม่...” เสียงแหบแห้งยามเอ่ยออกไป เขาตั้งใจจะลุกขึ้นมาก็กลับทำไม่ได้อย่างใจนึก เรี่ยวแรงที่มีหดหายไป

“ตื่นมากินยาก่อนลูก” แม่ค่อยๆ ประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง แถมข้างเตียงก็มีอ่างน้ำอุ่นลอยผ้าขนหนูเตรียมอยู่ ทำให้เข้าใจว่า...ตัวเองไม่สบาย

“กี่โมงแล้วอ่ะแม่”

“เที่ยงแล้ว อ่ะ...รีบกินข้าวกินยา เดี๋ยวจะได้เช็ดตัว” เขาว่าง่ายกว่าทุกที รับถ้วยข้าวต้มมาตักกินได้ไม่กี่คำ ก็รีบกินยาแล้วล้มตัวลงนอน มึนเบลอไปหมด อึดอึดพะอืดพะอม พอเห็นอาการไม่ดีอิงดาวก็รู้สึกไม่สบายใจ เธอพยายามเช็ดตัวให้เพื่อลดอุณหภูมิในร่างกาย 

“แล้วนี่นึกอะไรถึงมานอนในนี้ห้ะ รู้ว่าฝุ่นมันเยอะ ทำไมไม่กลับไปที่ห้อง” หัวอกคนเป็นแม่เป็นห่วงก็เป็นห่วง ร้อนรนใจยิ่งกว่าสิ่งใด พอเห็นลูกชายนิ่งไป เธอจึงรู้ว่าไม่ควรเอ็ดลูกแบบนั้น

“เดียร์คิดถึงพี่ปั้นอ่ะ...ก็เลยอยากมานอน” เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ เดียร์รู้ว่าแม่กำลังรู้สึกอย่างไร แล้วก็คิดว่าแม่น่าจะรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

“เดี๋ยวแม่ต้องออกไปดูที่ร้านนะ ลูกมีอะไรก็บอกป้าสมจิตร” อิงดาวเปลี่ยนเรื่อง หลังจากเช็ดตัวให้น้องเดียร์แล้ว เธอก็ออกจากห้องไป

เดียร์ยังคงอยู่บนที่นอน ไม่ได้ลุกไปไหน เขานอนดูแม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดก็เลยคิดว่าแม่คงเป็นฝ่ายไปบอก

เห็นแบบนี้ก็รู้สึกชื่นใจ

แล้วความอ่อนเพลียทำให้เขาหลับตาลงอีกครั้ง...

 

 

 

สถานที่แห่งหนึ่งถูกเติมเต็ม แต่อีกหนึ่งสถานที่ความมีชีวิตชีวากำลังขาดหาย ชายหนุ่มเดินออกจากห้องทำงานส่วนตัวของคุณพิมพ์ภาดาในช่วงบ่าย เมื่อสิ้นสุดการเจรจาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เป็นเขาเองที่บอกเธอไปว่า พร้อมแล้วสำหรับทุกๆ อย่าง ซึ่งดูเหมือนว่าแม่ก็กำลังรอคอยคำนี้อยู่เช่นกัน ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่าย เขาไม่ได้รู้สึกกังวลกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เหมือนอย่างที่เคยคิดไว้ในอดีต แต่กับบางสิ่งที่เล็กยิ่งกว่า...กลับทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น

“เป็นอย่างไรบ้าง?”

“เข้าเรียนตามปกติครับ ส่วนเหตุการณ์อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ไม่น่าเป็นห่วงหรือ...แต่ทำไมเขารู้สึกกังวลนักล่ะ?

“อืม..ตามดูต่อไป” 

“คุณอธินอยากให้รายงานข้อมูลอย่างอื่นเพิ่มเติมรึเปล่าครับ?” เชนคิดว่าเจ้านายเองก็คงอยากรู้ความเป็นไปของอีกฝ่ายบ้าง เช่น กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน กับใคร เช่นเดียวกับเมื่อก่อนที่มักจะรับรู้ทุกเรื่องราวด้วยตนเองเสมอ

“ไม่ต้องหรอก...”

“อ่อ..ครับ” เชนพับเก็บแฟ้มรายงานอย่างรู้สึกเสียดาย ทั้งที่ตั้งใจรวมรวบมาให้แท้ๆ เชียว ลูกน้องอย่างเขามั่นใจพอตัวเลยว่า ทั้งหมดที่อยู่ในนี้คือตัวเร่งปฏิกริยาชั้นดีที่จะทำให้คุณอธินลงมือทำอะไรสักอย่าง

ก่อนที่มันจะสายไป...

 

เชนเดินออกจากห้องอย่างผิดหวัง ทั้งที่ลุ้นจนตัวโก่ง เขาเดาใจคุณอธินไม่ออกเลยจริงๆ ว่ารู้สึกอย่างไรกันแน่ ทั้งที่การกระทำมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นห่วงเด็กนั่น และอยากให้รีบกลับมา

“ขนาดนี้แล้วก็ไม่ใจอ่อนหรือ?” อันนารอเงียบๆ อยู่หน้าห้อง เห็นท่าทางนั้นแล้วก็เดาได้ไม่ยาก

“อืม...ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรของเขาอยู่”

“หรืออาจจะยังไม่ลืมแฟนเก่า”

“ไม่หรอก..ทำใจได้ตั้งนานแล้ว นานพอๆ กับตอนที่เด็กนั่นเข้ามา แต่ฉันก็ไม่เข้าใจนะ ว่าทำไมถึงไม่ยอมรับความรู้สึกสักที”

“เชน...บางทีเรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลา คุณอธินอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง”

“อืม ก็คงจะเป็นอย่างนั้น แล้วนี่..นายไม่เสียใจแย่หรือ?”

“เสียใจอะไร?”

“เรื่องคุณอธินไง เห็นชอบมาตลอดเลยนี่”

“ไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย” สำหรับคุณอธิน แม้ก่อนหน้าเขารู้สึกประทับใจอีกฝ่ายมากแค่ไหน พอได้มาทำงานร่วมกัน ได้รู้จักตัวตนที่แท้จริง ก็ไม่กล้าคิดล่วงเกินเป็นอย่างอื่นเลย



 


วันนี้อธินแต่งสูทเต็มยศ หลังจากประชุมเสร็จเป็นที่เรียบร้อยเขาก็รีบออกจากห้องทันที เมื่อมีข้อความจากเชนส่งมาในระหว่างที่เขากำลังทำงานว่า ใครบางคนกลับมาแล้ว...

อธินถอดเสื้อตัวนอกฝากไว้กับอันนาที่รออยู่ แล้วตัวเองก็ลงลิฟต์ไปทันทีโดยไม่ฟังคำบอกเล่าของอีกฝ่าย พอไปถึงหอพักพนักงาน  เป็นจังหวะเดียวกับที่ใครบางคนยืนอยู่พร้อมข้าวของส่วนตัว ภายในห้องนั้นว่างเปล่า เห็นแล้วพูดอะไรไม่ออก

คราวนี้ก็ได้รู้ว่า...ตนเองมาช้าไป

“เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน?” ดวงตาคมเข้มสำรวจกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่คำนวนน้ำหนักตอนอีกฝ่ายพยายามลากแล้ว ดูท่าคงจะหนักเอาการ

“กลับบ้าน”

“ตั้งใจจะไปอยู่กี่วัน?”

“ไม่กลับมาแล้ว...ส่วนของที่เหลือค่อยให้ที่บ้านมาขนไปอีกที” คนพูดเบือนหน้าหนี ตั้งใจจะไม่หันมามองกันเลยสักนิด นั่นจึงทำให้อธินรู้สึกเหมือนมีเมฆหมอกกำลังก่อตัวขึ้นในอกอยู่กลายๆ

“เดียร์...”

“ไปนะ...พี่คิมใกล้จะมาถึงแล้ว” มาถึงขั้นนี้แล้วเด็กตรงหน้าก็ยังไม่ยอมหันมาสบตากันตรงๆ ซึ่งทำให้เขารู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย

“นายควรจะบอกฉันก่อนสักคำ!”

“ฉันฝากบอกเชนกับอันนาไปแล้ว...ส่วนนี่...กุญแจห้อง”

อธินมองพวงกุญแจลูกสนในมืออีกฝ่าย สภาพของมันแตกหักไปบางส่วน ไม่เหมือนกับวันแรกที่เขาให้ไป 

เขาพยายามระงับไม่ให้ตัวเองทำอะไรตามใจ เขาพยายามแล้วที่จะไม่เข้าไปรั้งข้อมือนั้นไว้ให้กลับมา พยายามอดทนนิ่งเฉยไม่ขัดขวางความต้องการของเด็กตรงหน้า เพื่อจะได้ไม่ถูกกล่าวหาว่าเห็นแก่ตัว



แต่แล้วก็ทำไม่ได้ เมื่อเห็นใครบางคนค่อยๆ เดินไป เขารีบฉุดข้อมือที่พยายามลากกระเป๋านั่นไว้ และรวบรั้งเอวของเด็กตรงหน้าเข้ามากอดไว้อย่างเอาแต่ใจที่สุด

“อยู่ที่นี่เถอะ” เขากระซิบจากทางด้านหลัง และโอบรัดแน่นขึ้น เมื่อรับรู้ว่าร่างกายของเด็กตรงหน้ากำลังสั่นเทา เขาไม่ยอมแล้ว ไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกแล้ว

หากความหวาดกลัวของเดียร์คือการสารภาพ ความหวาดกลัวของเขาก็คือการยอมปล่อยมือจากใครสักคน

เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อคนตรงหน้ากล้าที่จะทำลายกำแพงของตัวเอง

เขาก็กล้าที่จะทิ้งอดีต เพื่อยอมรับคำสารภาพนั้น อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ

“อยู่มาก็นานแล้ว นายยังไม่ชอบที่นี่หรือ?” คนฟังพูดอะไรไม่ออก เดียร์ยังคงอึ้งกับสองแขนที่กำลังโอบรอบเอวเขาไว้ แถมยังประโยคก่อนหน้านี้ที่เกรงว่าตัวเองจะหูฝาดไป

ความจริงเขาก็ไม่ได้อยากไปไหนเลย...

เพราะหัวใจของเขา...อยู่ที่นี่...

อยู่กับคนๆ นี้...

 

 

 


 

.....................................................
ตอนหน้าก็คงไปต่อกันในห้องค่ะ

ห้องจริงๆน้า >…< :katai4:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 19 : ยอมรับ (05/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 05-05-2018 16:24:10
พาน้องเข้าห้องให้ได้เลยน่ะ รออยู่ อิอิ

มาต่อไวๆๆๆน่ะ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 20 : ครอบครอง (08/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 09-05-2018 21:20:31
19

ครอบครอง






ไม่รู้ว่าแผ่นหลังนั้นชิดผนังตั้งแต่ตอนไหน และจำไม่ได้ว่านานแค่ไหนที่ยินยอมให้ร่างสูงตักตวงจูบบนริมฝีปาก สองมือถูกทาบทับไว้แน่น ความรู้สึกที่ได้รับพาให้ใจกระเจิดกระเจิง คนตัวเล็กกว่าได้แต่ก้มหน้าลงต่ำเมื่อร่างสูงถอนจูบไปแล้ว พยายามควบคุมการหายใจที่ผิดเพี้ยนไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งตัวเกร็งไปหมดเหมือนถูกสาป หมดมาดของเด็กขี้โวยวายเอาแต่ใจ ที่เคยดื้อดึงใส่ก็หายไปหมด นาทีนี้มีแต่ความเขินอาย

“ยิ้มอะไร?” เดียร์รู้สึกว่ากำลังถูกมอง แถมสายตาแบบนั้นดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด

“ไม่เคยเห็นมุมนี้ของนาย” คนตัวสูงกว่าหยอกเย้าด้วยการก้มลงกระซิบใกล้ๆ และชิงหอมแก้มแดงๆ นั่นไปฟอดใหญ่
คนเสียเปรียบรีบก้มหน้างุด พูดพึมพำกับตัวเอง ทำเขาเขินขนาดนี้ ไอ้คนหน้าด้านนั่นก็ยังไม่ยอมถอยห่างไปเลยสักก้าวเดียว

เดียร์ผละไปไขกุญแจเข้าห้อง แน่นอนว่าต้องรีบโทรไปยกเลิกกับพี่คิมก่อนที่ฝ่ายนั้นมาถึง ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะถูกด่า พอคุยกันเรียบร้อยและหันกลับมา ก็พบว่าอธินยังยืนอยู่

“มองอะไร ทำไมยังไม่กลับไปอีก?”

“จนกว่าจะแน่ใจว่านายจะไม่โทรให้ไอ้หมอนั่นวนกลับมารับ” เดียร์เพิ่งเข้าใจสิ่งที่เขาหมายถึงก็ตอนที่ถูกรวบรั้งเข้าไปกอดหลวมๆ

“บอกว่าชอบฉันแล้ว จะมาเปลี่ยนใจทีหลังไม่ได้แล้วนะ” เขาบอกเสียงต่ำ ซุกไซ้จมูกลงบนแก้มหอมๆ อีกหน
อธินค่อยๆ เลิกชายเสื้อของเด็กตรงหน้าขึ้นสูง ลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนนุ่มอย่างไม่อาจห้ามใจ ใกล้ชิดจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นอารมณ์ชั้นเลิศ ทุกคราวที่สูดดมเผลอทำใจเต้นแรงไปทุกขณะ คนตัวเล็กกว่าไม่อาจห้ามเสียงของตัวเองได้ ก่อนจะช้อนมองไปยังคนต้นเหตุที่ทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วนไปหมด

“ถอยออกไปก่อน ฉัน..ฉันจะเก็บของ”

ร่างสูงยิ้มแย้มมองคนรีบร้อนพูดจาตะกุกตะกัก เขายอมผละออกมาในที่สุด อธินล้มตัวลงบนที่นอนด้วยท่าทางสบายๆ เขาเอื้อมไปคว้ารีโมทกดเปิดทีวี รอให้ใครบางคนจัดเสื้อผ้ากลับใส่ตู้ตามเดิม

“อยู่ที่บ้านเป็นยังไงบ้าง?”

“ก็สบายดีอ่ะ สบายกว่าอยู่ที่นี่ตั้งเยอะ” แน่นอนว่าเขาพูดออกมาตามความรู้สึก ช่วงนี้แม่เอาอกเอาใจกันเป็นพิเศษ แถมยังเป็นคนกล่อมให้เขากลับไปอยู่บ้านด้วยกัน แล้วยังใจดีให้ช่างมาซ่อมห้องพี่ปั้นให้ใหม่อีก

“งั้นหรือ...แต่ได้ข่าวว่าป่วยด้วยนี่”

“หืม...ใครบอก?” มือที่จับไม่แขวนชะงักนิ่ง เดียร์หันมาสบตาร่างสูงที่นั่งๆ นอนๆ อยู่บนเตียงของเขา


....ชายหนุ่มคิดในใจ มีอะไรบ้างที่เขาไม่รู้


“คุณอิงดาวล่ะเป็นยังไงบ้าง?”

“รู้จักแม่ฉันได้ยังไง?” เห็นท่าทางประหลาดใจของเด็กน้อยแล้ว อธินได้แต่ยิ้มขำ เพียงแต่ไม่ได้อธิบายอะไรออกไป ดูเหมือนว่า
เขาจะสุขใจเป็นพิเศษ เมื่อความลับนั้นสามารถเรียกความสนใจจากเด็กตรงหน้าได้ เขาจึงพูดต่อ

“ท่าทางแม่นายคงอยากให้นายย้ายไปเรียนที่ใหม่”


วันก่อนคุณนายอิงดาวมาปรึกษาแม่ของเขาเรื่องลูกชาย เธอบอกว่ากลุ้มใจที่เห็นน้องเดียร์เครียด ตัวเธอนั้นยินยอมให้ลูกได้เลือกทำในสิ่งที่ชอบ ไม่อยากบังคับกันอีกแล้ว


“ใครบอก รู้ได้ยังไง? แม่ไม่เคยพูดเรื่องนี้เลยนะ” ตัวเขาเองก็มีคณะในฝันเหมือนคนอื่นๆ เคยฝันว่าอยากเรียนนิเทศ อยากจบมาทำโฆษณาเจ๋งๆ เหมือนในทีวี อยากทำโน่นนี่ตั้งหลายอย่าง ถ้าแม่ยอมให้เขาแบบนั้นจริง ก็คงเป็นเรื่องวิเศษสุดในโลกใบนี้แล้ว 

“ถามก่อนว่าถ้าใช่...นายอยากจะไปรึเปล่า?”

แค่คิดก็ลิงโลดแล้ว เดียร์จินตนาการความสุขของตัวเองไม่ออกเลยว่า ถ้าได้ทำในสิ่งที่รักมันจะดีแค่ไหน แต่พอหันมาสบตากับอธิน ภาพในจินตนาการก็หลุดลอยไป

“ไม่เอาอ่ะ เรียนที่นี่ก็ดีแล้ว” ฝืนไปอีกปีสองปีเดี๋ยวก็จบ เขารับมือกับมันได้ แถมยังมีเพื่อนตั้งมากมายคอยร่วมชะตากรรม ไหนจะผู้ชายตรงหน้านี้อีก เขาช่วยเหลือเดียร์มาตั้งเยอะ ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัว...

“แน่ใจหรือ?”

“อืม...เรียนได้น่า ยากก็ต้องทน”

“ค่อยยังชั่วหน่อย” เพราะเขาเองก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายย้ายเหมือนกัน บอกว่าเห็นแก่ตัวก็คงยอมรับ

“แล้วสรุป...นายรู้จักแม่ฉันได้ยังไง?” เด็กหนุ่มขยับเข้ามาใกล้ด้วยความสงสัย คนที่นั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมา ร่างสูงที่อยู่บน
เตียงเหลือบไปมองด้วยความรู้สึกเหนือกว่า

ก็ใครจะไม่รู้จัก คุณเธอยกยอปอปั้นลูกชายตัวเองเสียขนาดนั้น แถมแม่ของเขาเองก็หลงเชื่อ ทั้งยังเอ็นดูเด็กนี่มาตั้งแต่ไหนแต่ไร
หากทั้งสองล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน... ไม่รู้ว่าแม่ของเขาหรือคุณนายอิงดาว ใครจะเป็นลมไปก่อน   

“ถึงเวลาเดี๋ยวก็รู้เอง” มือหนาเอื้อมไปเช็ดเหงื่อที่อยู่บนมุมขมับให้อย่างอดเสียไม่ได้ “รีบเก็บของได้แล้ว...ฉันหิว”




“สวัสดีครับคุณอธิน”

“สวัสดีค่ะ เชิญด้านนี้เลยนะคะ” พนักงานในห้องอาหารบริการด้วยความเป็นมืออาชีพ เธอเดินนำทั้งคู่ไปยังโต๊ะพิเศษที่ได้เพิ่มความอบอุ่นโรแมนติกด้วยแสงเทียนสว่างไสว จนเดียร์เห็นแล้วอดแซวไปไม่ได้ว่า นี่คงเป็นบริการไว้เอาใจแขกแต่ละคนที่พามาสินะ ส่วนคนได้ยินก็ขำไม่หยุด


นี่ละนะ...อย่าเชื่อภาพที่เห็นว่ามันจะเป็นอย่างที่เราคิด.

“รู้ดีจริงๆ”

“ก็ไม่ได้รู้อะไรมากนักหรอก”

“ตอนนั้นคงจะหึงไม่น้อยเลยสินะ” ยิ่งได้ยินยิ่งถูกใจ จนเขาเริ่มแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่า รู้สึกสนุกกับเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งที่กำลังถูกเข้าใจผิด แต่กลับรู้สึกดีเป็นบ้า

“ใครหึง...ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย”

“ฉันเห็นนะ สายตาของนายน่ะ” และเขาก็เห็นบ่อยด้วย แต่อย่าให้ต้องสาธยายออกมาเป็นฉากๆ เลย ดีไม่ดี ใครบางคนจะ
โวยวายหนักกว่าเก่า

“ตอนไหน?”

“ทุกตอน”

“โฮะ...”

โดนเข้าแล้ว เดียร์คิด...มันก็ใช่ทั้งหมดนั่นแหละ เขารู้การกระทำของตัวเองดี

พอต้อนให้อีกฝ่ายจนมุมไม่ได้คนมันก็รู้สึกปั้นหน้าลำบากหน่อย แถมหมอนั่นยังรุกกลับจนทำให้เดียร์รู้สึกเขินขึ้นมาไม่น้อย
พนักงานก็ช่างเลือกโต๊ะให้ มุมนี้เลยมีแต่พวกเขาสองคน แถมเบือนหน้าหนีไปทางไหนก็ไม่พ้นสายตาคู่นั้นอีก

สารภาพเลยว่าเขินฉิบหาย...


สัญญาว่าเขาจะไม่แหย่อะไรที่จะทำให้ความซวยมาตกที่ตัวเองเด็ดขาด นั่งกินข้าวไปแบบเงียบๆ น่ะดีแล้ว



“คืนนี้นอนห้องฉันนะ”

“ห้ะ!”

“ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยก็ได้”

นี่มันครบสูตรเลยนี่หวา...หมอนี่จ้องจะกินกันชัดๆ นึกแบบนั้นใบหน้าเขาก็ร้อนผ่าว แถมคนพูดน่ะแววตาดูเจ้าเล่ห์


คิดผิดรึเปล่านะ ที่เป็นฝ่ายสารภาพออกไป

“มาเถอะน่า” ร่างสูงดึงมือเขาให้เดินตาม หลังจากเด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ ไม่หือไม่อืออะไรทั้งสิ้น พอมาถึงหน้าห้องอีกฝ่ายก็แสดงท่าทีอึดอัด อธินรับรู้ถึงอาการกระวนกระวายผ่านทางสายตาคู่นั้น

“ฉันมันไม่น่าไว้ใจขนาดนั้นเลยหรือ...”

“เปล่านะ..ก็แค่”

“แค่?”

“แค่คิดว่าแบบเดิมก็ดีแล้ว”

“พูดมาตามตรงเถอะ...อย่างที่นายต้องการจะสื่อ”

“เอ่อ..”

“เดียร์...”

“ก็ได้ๆ” เด็กหนุ่มถอนหายใจ อีกฝ่ายกำลังนิ่ง รอคอยคำพูดของเขา “นายคิดว่าแบบนี้มันดีจริงๆ หรือ” แม้ว่าจะรู้สึกชอบเขาแค่ไหน แต่...ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก เช่นความรู้สึกของเดียร์เอง...สักวันมันอาจจะหายไปก็ได้ อยากให้แน่ใจอะไรบางอย่าง
ไม่อยากรีบร้อน

“จะบอกให้รู้ไว้ว่าฉันไม่เคยพาใครมาที่นี่ แม้กระทั่งคนที่นายตั้งใจจะหมายถึง หรือคนอื่นๆ ที่นายเคยเจออยู่บ่อยๆ”

“งั้นต้องดีใจสินะ” ประโยคนั้นเดียร์พูดทีเล่นทีจริง

“ใช่...เพราะนายเริ่มทำให้ฉันโมโหแล้วที่มีความคิดแบบนั้น เหมือนว่าที่ผ่านมาฉันจะเลือกสนุกกับใครคบกับใครก็ได้ ถามจริงๆ นายมองฉันแบบนั้นตลอดเลยหรือ”

“เฮ้ย...ใจเย็นๆ ก่อน” ความเจ็บปวดในดวงตาคู่นั้นปิดบังไว้ไม่มิด จนเดียร์รู้สึกผิดไม่น้อยที่เป็นฝ่ายทำให้เขาเข้าใจผิด

“งั้นก็มาอยู่ด้วยกัน ให้นายได้รู้จักตัวตนของฉันจริงๆ แล้วพอถึงเวลานั้น...นายจะยังยืนยันคำเดิมไหมว่าชอบ?”

“ที่เห็นอยู่ทุกวันยังไม่ใช่อีกหรือ?” เด็กหนุ่มยิ้มให้ ก็ที่เห็นอยู่นี่ไม่ใช่คนที่เอาแต่ใจหรอกหรือ บางคราวก็เลือดร้อนบุ่มบ่ามทำ
อะไรไม่ยั้งคิด ถึงตอนที่สงบก็ทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดใจจนแทบบ้า แต่พอถึงเวลาที่ถูกอีกฝ่ายเอาใจใส่เป็นพิเศษ เป็นใครก็ตัวลอยทั้งนั้น


ก่อนหน้านี้เดียร์มีความคิดว่า จะชอบเขาไปอีกนานแค่ไหนกันนะ ความรู้สึกที่มีให้จะยืดยาวรึเปล่า อาจจะมีวันที่หมดรักกันไปง่ายๆ

แต่ตอนนี้เขาเริ่มมีคำว่า ...’ตลอดไป’ อยู่ในหัวบ้างแล้ว

เขาเองก็เหนื่อยเหมือนกันที่จะตามหาใครสักคนหนึ่ง...





“เดี๋ยว!” เสียงใสร้องห้าม เมื่อมือหนาเริ่มสอดเข้าใต้ชายเสื้อและลูบไล้แผ่นหลังของเขาจนรู้สึกปั่นป่วนอีกครั้ง

“นายเป็นคนเริ่มเองไม่ใช่รึไง...” ดวงตาคมเข้มเป็นประกาย ก็ก่อนหน้านี้ที่ระเบียงใครกันเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แม้เป็นจูบที่เงอะงะที่สุดที่เคยได้รับมา แต่เขากลับรู้สึกดีที่ได้เป็นฝ่ายถูกเอาใจ

“ก็ตอนนั้น...” 

ชายหนุ่มยิ้มขบขัน เมื่อเดียร์พยายามทำตัวแข็งกระด้างเพื่อกลบเกลื่อน อดไม่ได้ที่จะดึงทั้งร่างเข้ามากอด เด็กหนุ่มซุกใบหน้าที่กำลังร้อนผ่าวลงกับแผงอกแกร่ง หลับตาลงและใช้ความรู้สึกซึมซับสัมผัสจากเขา

แล้วมือหนาก็เริ่มเปลี่ยนมาซุกซน ชายเสื้อถูกรั้งขึ้นสูง มือข้างหนึ่งไล้วนสัมผัสอยู่บนแผ่นหลัง ก่อนจะเริ่มต้นจูบเด็กตรงหน้าอีกครั้งเพื่อเอาใจ ในขณะที่ด่ำดิ่งอยู่ในรสจูบ เดียร์รู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆ บนหน้าอก ก่อนยอดอกสีสวยจะถูกบีบเค้นจากฝ่ามือของอีกฝ่าย เขาลืมตาขึ้นมาแล้วก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกึ่งเปลือย ส่วนกางเกงก็ถอยร่นลงไปอยู่เหนือเข่า เหลือเพียงแต่ชั้นในบางๆ ที่ปกปิดส่วนสำคัญ อธินมองภาพท่ามกลางแสงไฟในห้องอย่างเพลิดเพลิน เป็นสายตาที่คนถูกมองรู้สึกอยากจะถูกกลืนหายไปในอากาศ

“เขินเป็นด้วยหรือ...” คนปากไม่ดีชอบพูดอะไรให้ขัดใจอยู่เรื่อย ครั้งนี้เดียร์ยอมให้เพราะไม่อาจโต้ตอบ มีเพียงแต่เสียงครางน่ารังเกียจให้หมอนั่นได้ใจ เจ้าตัวซุกใบหน้าลงแนบไหล่ ผิวกายอุ่นๆ คู่กับเสียงหัวใจที่ถี่รัวของชายหนุ่ม ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม

คงรู้สึกเหมือนกันสินะ...

ก่อนที่จะได้ตั้งตัว กางเกงที่สวมอยู่ก็ถูกถอดออกไป ดวงตากลมสวยจ้องมองร่างสูงอย่างกล้าๆ กลัวๆ แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดกังวลไม่ได้อยู่ดี


V
V
V
V
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 20 : ครอบครอง (08/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 09-05-2018 21:49:55


อธินดึงเด็กที่ตัวสั่นน้อยๆ เข้ามาปลอบประโลมด้วยการจูบลงเบาๆ มือหนารั้งแขนอีกฝ่ายให้ลองสัมผัสบนส่วนที่กำลังเร่าร้อนของเขาบ้าง นัยน์ตาสื่อความหมายให้รู้ว่าเขาเองก็ไม่อาจอดทนมันได้อีก หากคิดจะเปลี่ยนใจตอนนี้ล่ะก็...คงเป็นการทรมานกันอย่างโหดร้าย


สิ่งที่แข็งขืนอยู่ใต้เนื้อผ้าเรียกให้แก้มเขาร้อนผ่าว ความกระสันไหลริ้วทั่วร่าง ไม่นานก็เปลี่ยนให้เลือดในกายเร่าร้อนขึ้นมากกว่าอีกเท่าตัว

แม้ความอายจะมากแค่ไหนแต่ความต้องการนั้นสามารถกลบมันไว้จนหมด นี่คือครั้งแรกที่เขากำลังปลดเปลื้องอารมณ์ให้ผู้ชายด้วยกัน แถมหมอนั่นก็เคยเป็นคนที่เกลียดกันมากที่สุดอีกต่างหาก แล้วเขายังรู้สึกดีด้วยซ้ำที่จะเป็นฝ่ายถูกกอดจากอ้อมแขนแข็งแกร่ง ที่เคยอยากได้ความอบอุ่นจากเขาอยู่เสมอ


มันจะเป็นครั้งแรกที่ดีที่สุด...กับผู้ชายคนแรกที่เขารู้สึกรัก


คิดแบบนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าว ขัดกับมือที่ทำการปลดเข็มขัดของอีกฝ่ายให้อย่างไม่ขัดเขิน เด็กหนุ่มรั้งขอบสเลคเนื้อดีลงไปจนสุด เผยให้เห็นสิ่งที่ขยายตัวอยู่ภายใต้ชั้นใน เพียงเท่านั้นเดียร์ก็เกร็งไปทั้งตัว สบถในใจเป็นครั้งที่ร้อยเมื่อทำอะไรไม่ถูก


อธินเห็นท่าทีงกเงิ่นของเด็กตรงหน้าแล้วรู้สึกได้ใจนักหนา เขาหรี่แสงในห้องให้มันสลัว เปิดผ้าม่านอีกนิดให้แสงสว่างจากด้านนอกช่วยส่องเข้ามา

“จะเปิดทำไม?” เดียร์รีบชะงักมือของเขาที่เริ่มทำอะไรไม่เข้าท่า ช่วงที่เบี่ยงตัวไปปิดม่าน เป็นโอกาสที่อธินได้สวมกอดร่างเพรียวบางจากทางเบื้องหลัง สัมผัสนี้ทำให้คนที่ตัวติดกันถึงกับร้อนไปทั้งตัว

“ไม่มีใครเห็นสักหน่อย”

เดียร์แพ้เสียงออดอ้อนของหมอนั่น เวลานี้อยากเอามือทึ้งผมตัวเองที่สุด ที่นี่คือรีสอร์ทของเขา ถึงห้องจะสร้างแยกมาส่วนตัวก็ตาม แต่ก็กลัวมีเสียงเล็ดรอดไป หรือมีใครมาเห็นเข้าอยู่ดี

อ้อมกอดที่มีรัดแน่นขึ้น เดียร์ยอมให้หมอนั่นทำตามใจชอบทุกอย่าง ทุกครั้งที่จมูกโด่งๆ ฝังลงบนแก้มมันทำให้รู้สึกอิ่มเอิบ อยากได้รับการทะนุถนอมมากกว่านั้น ริมฝีปากที่จูบลงบนต้นคอพลางกระซิบหยอกเมื่อเขาเผลอจิกเล็บลงแรงๆ บนท่อนแขนด้วย

ความต้องการที่กำลังถูกกระตุ้นอย่างหนัก ก่อนจะวนมามอบจูบที่หอมหวาน จนอยากให้เขาช่วยปลดปล่อยอารมณ์ที่มีให้หมดสิ้น

มือหนากอบกุมลงบนส่วนอ่อนไหว นิ้วมือละเลียดลงบนส่วนปลายที่มีหยาดน้ำสีขุ่นไหลซึมออกมาจนเลอะเนื้อผ้า ก่อนจะดึงรั้งมันลงไปอย่างไม่ไยดี เหลือเพียงแต่ส่วนเร่าร้อนที่กำลังเรียกร้องให้เขาลองสัมผัส เจ้าของมือหนาเพียงแต่รั้งเบาๆ ก็ทำให้คนตัวเล็กกว่าสั่นสะท้านไปทั้งตัว สองมือของเด็กหนุ่มประทับลงบนผนัง กระจก พ่นลมหายใจออกมาพร้อมเสียงครางต่ำที่หวานหู

“อื้อ”

“อยากให้ช่วยไหม?”

คนที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ร้องกระเส่า พลางส่ายหน้าปฏิเสธ อธินมองใบหน้าเนียนค่อยๆ ซับสีเลือดนั้นอย่างเอ็นดู

“แน่ใจนะ?”

“อือ อื้ม” เขารีบเร่งจังหวะให้จนอีกคนคล้ายจะถึงฝั่งฝัน แล้วก็หยุดการกระทำทุกอย่างลง รั้งมือเรียวที่แนบกระจกให้ลองทำแบบเดียวกันด้วยตัวเอง

“งั้นทำให้ฉันดูหน่อย”

จบคำพูดนั้นเด็กในอ้อมกอดก็ส่ายหน้ารัว หอบหายใจอย่างหนัก ก่อนจะดึงมือเขากลับไปวางไว้บนส่วนสำคัญดังเดิม

“นายนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ” อธินอดไม่ได้ที่จะหอมแก้มนุ่มๆ นั้นไปอีกหน ต่อด้วยการตามใจกันแบบไม่หยุดยั้ง จนเด็กตรงหน้าคล้ายจะปลดปล่อยออกมา เสียงร้องที่สูงขึ้นกว่าเดิมทำให้เขาย่ามใจ รีบเร่งจังหวะให้จนถึงที่สุด เจ้าของร่างยืนมองคราบสีขุ่นที่เปรอะอยู่บนบานกระจกแล้วรู้สึกร้อนไปทั้งตัว จำเสียงร้องอันน่าเกลียดของตัวเองตอนนั้นได้ดี ก่อนจะหันหน้าไปซุกลงกับคนเบื้องหลังที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ ทั้งตัวอ่อนแรงไปหมด แทบจะยืนไม่ติดพื้นด้วยซ้ำ เพราะความกระสันที่ยังคงไม่จางหาย

“....อยากไปที่เตียง...”

“ตรงนี้แหละดีแล้ว”


จบคำนั้น อธินก็เปิดม่านให้กว้างกว่าเก่า ดวงตาคู่นั้นเต็มได้ด้วยความเจ้าเล่ห์ เดียร์รู้ดีว่าหมอนั่นจงใจแกล้งเขา ถ้าไม่ใช่เพราะขามันสั่นไม่หยุดแบบนี้ล่ะก็ หมอนั่นคงโดนเขาไล่เตะไปนานแล้ว

ไม่ทันตั้งตัว มือหนาก็ไล้วนไปทั่วสะโพก เดียร์ถูกจับให้หันหลัง เรียวขาถูกแยกออกกว้าง แล้วแอ่นสะโพกรั้งขึ้นมาสัมผัสกับส่วนเร่าร้อนของเขา รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่เป็นฉนวนให้กายเขามีอารมณ์ร่วมอีกครั้ง เรียกความอายให้ใบหน้าแดงจัดท่ามกลางแสงไฟสลัว


เดียร์นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกถึงความฝืดเคือง อธินใช้ประโยชน์จากหยาดน้ำเมื่อครู่ป้ายลงบนช่องทางคับแน่น ค่อยๆ ดุนดันนิ้วมือของตัวเองลงไปเพื่อสร้างความเคยชิน

“อือ” แม้จะรู้สึกอึดอัดแต่ฝ่ามือของคนโตกว่าก็เร่งสร้างความกระสันให้ทางเบื้องหน้า ทุกครั้งที่เขาร้องผวา ช่องทางด้านหลังจะถูกรุกล้ำเข้ามาเรื่อยๆ

ชายหนุ่มค่อยๆ กระทำอย่างใจเย็น มือข้างเดิมสลับหยอกเย้ากับยอดอกสีสวยไปเรื่อย ส่วนริมฝีปากก็จูบซับลงบนแผ่นหลัง วกกลับไปแลกลิ้นกันซ้ำๆ เหมือนต้องการจะกลืนกินไปทั้งตัว

“รู้สึกดีไหม?” เดียร์นิ่วหน้าอย่างยากลำบาก อยากให้หมอนั่นเข้ามาในร่างกายเสียตอนนี้เพราะไม่อาจทานทนกับความทรมาน แต่เพราะความคับแน่นที่เจ็บเสียจนขยับตัวไม่ได้


อธินรวบรั้งเอวบางเข้าชิด จับเรียวขาแยกออกจากกันให้กว้างขึ้น ร่างที่ยืนผวารีบคว้าม่านหน้าต่างไว้เพราะเหงื่อชื้นๆ บนฝ่ามือทำให้ลื่นจนเกาะแผ่นกระจกไว้ไม่อยู่


“โอเคใช่ไหม?”

“อื้อ” เดียร์พยักหน้าตอบรับอย่างว่าง่าย ทันที่ที่นิ้วมือทั้งสองถูกถอนออกไป ความเร่าร้อนของชายหนุ่มก็เข้ามาแทนที่ ปากทางที่คับแน่นค่อยๆ เปิดออกทีละนิด ส่วนที่แข็งแรงค่อยๆ กดลงไปเชื่องช้า อธินพยายามไม่สนเสียงร้องอื้ออึงของร่างตรงหน้า เขาปลอบประโลมด้วยการกระซิบบอกว่าจะอ่อนโยนให้ถึงที่สุด

“เชื่อฉันนะ”

เดียร์พยักหน้ารับ มือข้างหนึ่งเอื้อมไปเกาะต้นแขนของเขาไว้ ก่อนจะอ้อนให้จูบกันอีกครั้งเพื่อความมั่นใจว่าจะถูกทะนุถนอมจนถึงที่สุดตามที่ได้รับสัญญา

ความอุ่นร้อนทั้งหมดเหมือนจะเผาทั้งกายของเขาให้มอดไหม้ เขาฝังทั้งส่วนเอาไว้กับเจ้าของร่างเพรียวบาง แล้วโน้มอีกฝ่ายให้หันมาจูบกัน ก่อนจะเร่งจังหวะทีละนิด เรียกเสียงหวานหูในแบบที่เขาพอใจ


“อธิน อือ อื้อ”

เจ้าของชื่อยิ้มรับมีความสุขเมื่อถูกขาน เขาให้ร่างเพรียวบางขึ้นไปนั่งคุกเข่าบนโซฟาข้างๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ยืนอยู่สั่นไปทั้งร่าง ส่วนตัวเขาก็เร่งจังหวะให้เร็วขึ้นอีก ก่อนจะเปลี่ยนให้อีกฝ่ายนอนลงไป แล้วยกเรียวขาขึ้นมาพาดบ่า ท่านี้ทำให้เขามองหน้าน้องเดียร์ตอนมีความรู้สึกได้ชัดเจน


“นายเป็นของฉัน” คนตัวเล็กกว่าใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด มือหนาลูบไล้ลงบนแก้ม ปัดผมบนหน้าผากให้อย่างทะนุถนอมพร้อมกับโน้มตัวลงไปจูบอีกครั้ง และอีกครั้ง

เวลาผ่านไปเนิ่นนานแต่พวกเขายังไม่หยุดเติมความต้องการให้กันและกัน


เสียงหายใจสะท้อนทั่วห้องนอนจนกระทั่งหยาดความสุขสุดท้ายหลั่งไหล แขนเรียววางพาดลงกับแผ่นหลังอย่างคนหมดเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวขึ้นมาใหม่ คนที่อยู่ด้านบนรวบรั้งตัวคนในอ้อมกอดเข้ามาชิดก่อนจะอุ้มทั้งร่างไปยังเตียงนอน หลังจากเช็ดทำความสะอาดคราบรักให้เป็นที่เรียบร้อย อธินล้มตัวนอนลงใกล้ๆ มองเจ้าของร่างเปลือยเปล่าที่ตกเป็นของเขาหมดแล้วทั้งตัวและหัวใจ


รู้สึกดีเหลือเกินที่ได้ครอบครอง...

“หลังจากนี้นายไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้วนะ”


คนฟังหัวเราะเบาๆ ในลำคอ หมอนี่พูดจาเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ฟังแล้วรู้สึกจั๊กจี้


“ถ้าไม่เชื่อฟังหรือกล้าขัดคำสั่งล่ะก็ มันจะไม่จบลงที่จูบอย่างเดียวหรอก เชื่อฉันสิ”

“บ้าฉิบ!!” เดียร์มีแรงตอกกลับไปเพียงแค่นั้น มองคนบ้าอำนาจที่คิดวางแผนจะเอาเปรียบกันอีกแล้ว ทั้งทีเพิ่งผ่านเรื่องแบบนั้นมาหยกๆ

คนฟังหัวเราะร่วน เขารู้สึกชอบเหลือเกินที่ได้เห็นแก้มขาวๆ เป็นสีแดงเรื่อ ก่อนจะใช้ท่อนแขนหนากอดลงบนร่างเปลือยเปล่าใต้ผ้าห่ม ซุกใบหน้าลงกับซอกคอหอมๆ หลับตาลงอย่างมีความสุข พลางนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านๆ มา

“หลับรึยัง?” พอห้องเงียบ ใจก็โหวงเหวงขึ้นมาเสียอย่างนั้น เมื่อไหร่ที่ตัวเองหลับเป็นคนสุดท้าย นิสัยไม่ดีอย่างหนึ่งก็คือการปลุกคนที่หลับไปแล้วขึ้นมาคุยด้วย เขาติดทำแบบนี้จากสมัยที่พี่ปั้นอยู่ด้วยกัน ชอบนอนคุยไปเรื่อยๆ ให้ตัวเองหลับไปก่อน

เพราะไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียว

“หืม...”

“นาย...ทำแบบนี้กับทุกคนรึเปล่า?”

“หมายถึงเซ็กเหรอ?”

“ใช่...กับคนที่เข้ามาในชีวิต” เสียงแผ่วเบาเอ่ยถาม หลังจากมีอะไรกันแล้วก็แค่อยากมั่นใจว่าตัวเองจะไม่ใช่ใครก็ได้ที่เข้ามาในช่วงเวลาหนึ่ง ที่เผลอสารภาพไปก่อนนั้น ยังไม่มีหลักประกันใดที่รับรองได้ว่า หลังจากนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม

“คิดอะไรอยู่?”

“แค่อยากรู้...” ตัวเองคงเป็นหนึ่งในนั้นที่เขาผูกสัมพันธ์ด้วย แล้วก็ยอมมีอะไรกันอย่างเต็มใจทั้งที่เพิ่งรู้ใจตัวเองหมาดๆ เรียกว่าเร็วไปเสียด้วยซ้ำ แต่ก็ทำมันไปแล้ว ถ้าหลังจากนี้ต้องเสียใจล่ะก็ คิดไม่ออกเลยจริงๆ

“ฉันชอบทำกับคนที่ฉันพอใจมากกว่า”

“นั่นสินะ...คนชอบนายคงจะเยอะน่าดู” เดียร์อดไม่ได้ที่จะพลิกกายหนี แม้รู้ว่ามันเป็นเรื่องของความต้องการที่คงห้ามกันไม่ได้

ฟังไม่จบแล้วชอบเอาไปคิดเองเออเองอยู่เรื่อย อาการน้อยใจเล็กๆ แถมด้วยการพูดจาประชดประชันแบบนั้นทำให้เขารู้สึกดีไม่หยอก เขาชอบเวลาที่ถูกใครสักคนแสดงความเป็นเจ้าของด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อเอ่ยถึงใครก็ตามที่กำลังเป็นต้นเหตุ
ถ้าจะหาเรื่องให้หึงไปเรื่อยๆ แบบนี้เขาจะบาปไหมนะ แต่ก่อนที่จะมีใครน้อยใจกันไปมากกว่านี้ เขาคิดว่าตัวเองคงต้องบอกความจริง

“ฉันจะมีอะไรเฉพาะกับคนที่ฉันพอใจและคนนั้นต้องเป็นคนที่ฉันรักเท่านั้น แบบนี้ชัดเจนพอรึยัง?” เขาก้มลงกระซิบบอกแนบหู

ทั้งที่เดียร์ยังมุดอยู่ใต้ผ้าห่ม ครั้งนี้จึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่าเจ้าตัวกำลังเขินหนักขนาดไหน

มันไม่ใช่การบอกรักทางอ้อม แต่มันคือการพูดออกมาตรงๆ ขนาดที่คนฟังตั้งตัวไม่ติด เดียร์ตอบแทนคำสารภาพของเขาด้วยการหันมากอดตอบอย่างรักใคร่ มีความสุขเสียจนไม่ต้องการนึกถึงวันข้างหน้าอีกแล้วว่ารักครั้งนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน...


รู้เพียงแต่ว่าคืนนี้เขามีความสุขที่สุด....







เขาตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยอารมณ์สดชื่นแจ่มใส ร่างเพรียวบางที่ช่วยบดบังไอหนาวยังคงหลับใหลในอ้อมกอดไม่ห่าง อธินมองเปลือกตาที่ยังปิดสนิท ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนข้างกาย มันคือช่วงเวลาที่เขาปรารถนาอยากเจอในทุกๆ เช้า

ก่อนจะโทรบอกอันนาให้เอาเสื้อผ้าของเดียร์มาให้ วางสายไปได้ไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง เขาปลุกคนที่ยังหลับอยู่ให้ตื่นไปอาบน้ำ แล้วเดินไปรับเสื้อผ้าจากคนที่เพิ่งมาถึง อันนามองเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วยื่นถุงผ้าให้ ก่อนจะรีบขอตัวไปทานข้าว


เขากลับมาในห้องได้ยินเสียงฝักบัวแว่วมาจากห้องน้ำ เมื่อคิดอะไรสนุกๆได้ จึงเลื่อนประตูเข้าไป

“เฮ้ย!!” คนนั่งแช่น้ำอยู่ในอ่างมีสีหน้าตกใจ “นายเข้ามาทำไม” 

“ก็...อาบน้ำ” คนพูดทำเหมือนมันเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่คนฟังอยากจะจมน้ำในอ่างให้รู้แล้วรู้รอด

ถึงจะเป็นอะไรๆ กันแล้วก็เถอะ แต่ช่วยละเว้นความเป็นส่วนตัวตอนอาบน้ำสักเรื่องได้ไหม!

“คนเขาอาบอยู่ ไม่เห็นรึไง!”

“เห็น แต่ไม่สน” อธินตอบหน้าตาย มือหนาปลดปมเชือกชุดคลุมออกแล้วพาดมันไว้บนราว ย่างเท้าข้างหนึ่งลงไปในอ่างอย่างกล้าหาญ เขามองเดียร์ที่นั่งกอดเข่าอย่างไม่พอใจ ดวงตาคู่นั้นเหมือนกำลังสาปแช่งกันอยู่

ก็แล้วจะทำไมล่ะ ในเมื่อเขาพอใจซะอย่าง

อธินเห็นอาการคนหงุดหงิดแล้วลอบขำ เสียงฮำเพลงเบาๆ เมื่อกี้หยุดลงแล้ว ได้ยินแต่เสียงก่นด่าพึมพำตามมา

“ขยับหน่อยสิ”

“อยากอาบสบายๆ ก็ไปรอข้างนอกสิ”

อธินเองก็ยังหน้าด้านพอจะเข้ามาเบียด มือข้างหนึ่งของเขารวบเอวอีกฝ่ายขึ้นมานั่งบนตัก ถึงเดียร์จะขัดขืน แต่เชื่อได้เลยว่าหัวใจที่เต้นรัวนี้กำลังทำให้เขาแพ้ทุกอย่าง  ในจังหวะเดียวกันอธินก็โน้มศรีษะลงวางบนไหล่ หลับตาลง ปล่อยให้เวลาผ่านเลยไปอย่างเงียบๆ

รักที่เกิดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เพียงไม่กี่เดือนก็ลบล้างความเศร้าหมองในจิตใจของเขาไปจนหมด

ขอบคุณจริงๆ


“ฉันเองก็เอาแต่ใจนะ ไม่ใช่แค่นายคนเดียวที่ทำเป็น...” เขาพูดขึ้นท่ามกลางเสียงสะท้อนในห้องน้ำ แล้วไม่ลืมหอมเบาๆ ลงบน
ผิวขาวๆ อย่างเอาใจ

“บอกฉันทำไม?”

“เป็นแฟนกันแล้ว นายจำเป็นต้องรู้เรื่องนี้นะ” เขาว่าไปตามความจริง ยังมีอีกเยอะที่เด็กตรงหน้าต้องรู้ไว้ รีบทำความเข้าใจกันตั้งแต่เนิ่นๆ มันเป็นเรื่องที่ดี 

คนฟังนิ่งอึ้ง ... หมอนี่ใช้คำว่าแฟนเลยหรือ...

“ตอนไหน?”

คนอะไรคิดเองเออเองอย่างหน้าไม่อาย

“อันนี้ฉันยัดเยียดให้” อธินยิ้มหวาน อย่าให้เขาต้องเอาเรื่องเมื่อคืนมาอ้างเลยนะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็จะจูบให้หายมั่วเสียเลยเดี๋ยวนี้

“บ้าฉิบ!” เป็นความคิดที่มาพร้อมกับเสียง แต่เดียร์หารู้ไม่ว่าแก้มตัวเองน่ะ มันแดงแค่ไหน

“ฉันจะทำยิ่งกว่านี้ นายน่ะไม่มีวันได้คลาดสายตาฉันหรอก ที่ผ่านมานั่นยังน้อยไปด้วยซ้ำ อย่าคิดว่าจะได้ทำอะไรตามใจชอบเหมือนเมื่อก่อนอีกนะ”

“เผด็จการ!”

“ก็ใช่...เพราะมันเป็นวิธีเดียวที่ได้ผลที่สุด” เขาบอกเนิบนาบ ก่อนจะรั้งคนในอ้อมแขนเข้ามากอดแน่นยิ่งขึ้น “นายห้ามฉันไม่ได้หรอก ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้วตั้งแต่ตอนที่นายพูดมันออกมา...นั่นก็เท่ากับว่านายได้ยอมรับทุกอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงไป...ระหว่างเรา”

มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เด็กตรงหน้ากล้าสารภาพรักกับคนอย่างเขาที่ไม่เคยตกหลุมรักและให้ใจกับใครง่ายๆ เพราะรู้ว่าเมื่อรักใครสักคนไปแล้ว คนๆ นั้นจะไม่มีสิทธิ์ได้เป็นอิสระ เดียร์จะอดทนกับอีกตัวตนหนึ่งของเขาได้หรือไม่ เขาไม่ใช่คนดีร้อยเปอร์เซ็นอย่างที่ใครคิด เมื่อถึงคราวที่เห็นแก่ตัวเขาก็จะไม่ลังเลที่จะแสดงอำนาจของตัวเองให้เห็น หากเขาจะเป็นฝ่ายเอาแต่ใจ หรือแม้กระทั่งทำเรื่องไร้เหตุผล บางเรื่องอาจทำให้หงุดหงิดใจ เด็กคนนี้จะอดทนเขาได้มากแค่ไหนหากได้เจออีกด้านหนึ่งที่เป็นตัวเขา

ไม่อยากให้ซ้ำรอยเดิม...

คนๆ นั้นต้องเป็นของเขาแค่คนเดียวอย่างไม่อาจปฏิเสธ และจะไม่ยอมปล่อยมือให้ไปจากกันง่ายๆ เหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว

“ยุ่งยากจริงๆ” ร่างขาวโพลนที่นั่งอยู่ในอ่างแก้มร้อนผ่าวจนคล้ายจะเป็นสีแดงจัด เขารีบลุกขึ้นเปิดน้ำล้างตัวอีกรอบ พลางแกล้งสาดน้ำใส่อีกฝั่งที่ยังนั่งแช่น้ำอยู่ก่อนรีบเดินออกไป คนตัวสูงกว่ามองตามอย่างอารมณ์ดี

เขาก็ไม่คิดว่าจะเขินได้ขนาดนี้...


เดียร์แต่งตัวเสร็จแล้วตอนเขาออกจากห้องน้ำ เด็กนั่นนั่งรออยู่ที่ปลายเตียงด้วยใบหน้าของคนที่ทำตัวไม่ถูก เขาคิดว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกนั้น จากที่เคยเกลียดเขามาก แต่วันนี้สถานะของเราทั้งคู่ได้เปลี่ยนไปแล้ว

“ฉันว่าจะกลับไปห้องก่อน” เจ้าตัวบอกเสียงค่อย ก่อนจะหอบสัมภาระที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองและรีบสวมรองเท้า

“รอฉันแต่งตัวแล้วไปกินข้าวพร้อมกันก่อน”

“ฉันยังไม่หิว นายไปก่อนได้เลย” เดียร์โกหกคำโต ที่บอกไปแบบนั้น...เป็นเพราะเหตุผลเดียว

“ฉันเพิ่งบอกนายไปเองนะ...ว่าเราเป็นอะไรกัน” ความหมายของเขานั้นชัดเจน หากถามว่าตอนนี้เดียร์อยู่ในอาการไหน คงบอกได้คำเดียวว่าเขินที่สุด เสียงทุ่มต่ำตอนพูดคำนั้นออกมา เล่นเอาคนฟังแทบเป็นลมเพราะไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง ก็ในชีวิตเคยเจออะไรแบบนี้เสียที่ไหนล่ะ...
 






..............

จบตอน 555555  :katai2-1: :katai4: :katai5:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 20 : ครอบครอง (08/05/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 10-05-2018 20:15:08
ยิ้มจนแก้มจะปริแล้ว ดีใจกับน้องเดียวอธิน^^
งานนี้คนที่เอาใจตัวเองสุดๆๆไม่ใช่น้องเดียร์แล้ว อิอิ
ท่าทางอธินจะหึงโหด อยากเห็นๆๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 21 : วิธีรับมือ (14/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 14-06-2018 23:38:37
21
วิธีรับมือ


 

 

ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่หวือหวา ค่อยๆ ดูแลกันจนกลายเป็นภาพชินตาของคนรอบข้างไปเสียแล้ว จากที่เคยอยู่หอพักพนักงาน ตอนนี้เดียร์ย้ายเข้ามาอยู่ที่รีสอร์ทของอธินแบบเต็มตัว วันไหนมีเรียนเช้า ถ้าเขามีเวลาก็จะไปส่งเองไม่รบกวนคนอื่น หากวันไหนสะดวกไปรับเขาก็ทำหน้าที่นั้นโดยไม่อิดออด



ช่วงซัมเมอร์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผลการเรียนของเทอมนี้ดีขึ้นจึงทำให้เกรดเฉลี่ยผ่านเส้นยาแดงไปได้แบบเฉียดฉิว เทอมหน้าเขาขึ้นปีสามก็ต้องขยันเรียนเป็นพิเศษไม่ให้เกรดถูกฉุดลงมาอีก แต่ไม่น่ามีอะไรต้องกังวลอีกแล้วเพราะดูเหมือนว่าคนที่เข้ามาควบคุมชีวิตเขานั้น นอกจากจะไม่ปล่อยให้ไปเหลวไหลที่ไหนแล้วก็ยังเคร่งครัดกับทุกเรื่องในชีวิตของเขาด้วย


ช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ ที่มหาวิทยาลัยก็มีการรับน้อง แล้วกลุ่มของเดียร์ในฐานะพี่ปีสามก็มักจะมีน้องๆ เข้ามาทำความรู้จัก และขอลายเซ็นหลังเลิกเรียนเสมอ


ห่างออกไปไม่ไกลนัก ถ้าลองสังเกตดีๆ จะเห็นว่ามีชายหนุ่มในชุดทำงานนั่งหน้าบูดหน้าบึ้ง เนื่องจากรอคอยใครบางคนมาพักใหญ่แล้ว ยิ่งวันไหนต้องเลทมื้อเย็นไปนานๆ สีหน้าเจ้าตัวจะติดไปทางขุ่นเคืองมากเป็นพิเศษ หรืออาจจะแผ่รังสีอำมหิตใส่มนุษย์ทุกผู้ ที่กล้าเข้ามาวุ่นวายกับคนของเขาแบบเกินความจำเป็น


“กลับได้รึยัง” เสียงนุ่มทุ้มบอกมาจากด้านหลัง เดียร์ปรายตามองแวบหนึ่งก็ลงมือเซ็นชื่อตัวเองลงไปในสมุดต่อแล้วตามด้วยการหันมาแกล้งน้องอีกสารพัด

“นี่...ฉันหิวแล้วนะ” อธินเริ่มหงุดหงิด ถ้าเขาว้ากใส่ไอ้พวกที่เข้ามาล้อมขอลายเซ็นจากคนของเขาได้ก็คงทำไปแล้ว บอกไว้เลยว่าแรงหึงบวกแรงหิวน่ะ ถ้าเกิดขึ้นแล้วเขาไม่สนหรอกว่าใครเป็นใคร


“แปบนึง” เดียร์บอกปัด โดยไม่หันมามองหน้า ก็เลยไม่รู้ว่าคนที่กำลังรอนั้นสีหน้าเบื่อโลกขนาดไหน


เป็นครั้งที่สามแล้วนะ!


เขาถูกไอ้เด็กนั่นเมินมาสามรอบแล้ว นี่มันชักเกินไปจริงๆ ตอนนี้ทั้งหิวและโมโหมากๆ อธินลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินเข้าไปคว้าแขนไอ้ตัวดีออกมาจากวงล้อมแล้วกระชากแบบเอาแต่ใจ ให้เจ้าตัวหันมามองหน้า


เดียร์งงงันไปชั่วขณะ แต่พอเห็นแววตาของคนไม่สบอารมณ์ก็เลยนึกเห็นใจขึ้นมา


“โอเคๆ กลับก็กลับ” เจ้าตัวดึงแขนตัวเองออก แล้วหันไปบอกเด็กปีหนึ่งที่ยังยืนล้อมให้มาเจอเขาใหม่ได้พรุ่งนี้ แต่ละคนคอตกกันไปตามๆ กัน แต่พอเห็นสีหน้าของคนที่ยืนข้างๆ รุ่นพี่ปีสามคนนี้แล้ว บอกได้คำเดียวว่าไม่กล้าขัด อธินมองตามเด็กพวกนั้นไปจนสุดสายตา ถอนหายใจฮึดฮัดหันมองแฟนเด็กที่เดินนำไปที่ลานจอนรถ ก็นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องลงทุนมารับเองทุกวัน


น่าปลื้มใจไหมล่ะ...


“ถ้าไม่อยากรอนานก็ให้คนอื่นมารับสิ” เดียร์ขึ้นไปนั่งประจำที่ เห็นสีหน้าเซ็งจัดของหมอนั่นแล้วรู้สึกตงิดๆ

แล้วก็ได้ยินเสียงพ่นลมหายใจตามมาแบบยาวๆ ต่อด้วยน้ำเสียงการพูดแบบคนเอาแต่ใจ “ฉันจะมารับมันก็เรื่องของฉัน” อธินทำท่าจะออกรถ แต่เห็นใครบางคนยืนขวางอยู่ เขามองลอดทางกระจกหลัง แล้วพ่นลมหายใจออกมาอีกรอบเมื่อเห็นหน้ามันชัดๆ


นั่นมันเจ้าประจำเรื่องทำให้เขาหงุดหงิดเลยล่ะ...

“ว่าไงเน?” เดียร์เปิดประตูออกไปยืนคุยด้วยเมื่อมันเคาะกระจกเรียก ส่วนอธินก็ลดกระจกลงเพื่อต้องการฟังบทสนทนาของเด็กพวกนั้นเช่นกัน

“พี่เบียร์เปิดร้านใหม่วันนี้ ไหนมึงบอกว่าจะไป” มันชูบัตรส่วนลดสามใบที่พวกเขาได้มาให้ดู

“เอ่อ วันนี้กู...” เดียร์เลิ่กลั่กลังเล เขาลืมไปเสียสนิทว่านัดกันไว้ ตรงหน้าก็เพื่อนกำลังเขม่น ข้างหลังก็แฟนเตรียมจะขย้ำคอกันอยู่แล้ว

เอาไงดีวะเนี่ย!...

“กู...” มองหน้าไอ้ภูกับไอเนที่นิ่งเงียบรอคำตอบ สลับกับคนในรถที่นั่งกอดอกรอฟังคำตอบของเขาอยู่เช่นกัน อะไรมันต้องมาตัดสินกันวันนี้ด้วยเนี่ย นัดเพื่อนกับแฟนอันไหนมันสำคัญกว่า

เอาวะ!...ยังไงคนโตกว่าก็ต้องเข้าใจอะไรได้ดีกว่าอยู่แล้ว เดียร์หันไปเกาะขอบกระจกแล้วลองพูดกับอธินดีๆ

“กลับไปก่อนได้ไหม คือว่าวันนี้ฉัน...”

อธินไม่ตอบ เขาใช้สายตานิ่งๆ มองมาแทนความหมาย ก่อนจะถอยรถออกจากที่จอดแล้วขับออกไปแบบไม่รอฟังคำอธิบายต่อจากนั้นเลย เดียร์ยืนมองตาค้าง เพราะเข้าใจในท่าทีนั่นดีกว่าใคร

ทำไมจะไม่รู้ล่ะว่ากำลังถูกโกรธ โกรธกันแบบนิ่งๆ ชนิดที่ปล่อยให้คนถูกโกรธต้องมายืนสำนึกในความผิดตัวเองแบบนี้

หมอนั่นไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนนะเนี่ย!

ในขณะที่ยืนมองรถคันนั้นตาละห้อย ในหัวคิดหาคำแก้ตัวอยู่สิบตลบ แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะตามมาจากไอ้เพื่อนตัวดีที่ยืนกอดอกทำตัวเป็นผู้ชนะได้อย่างน่าหมั่นไส้

“หน้าแม่งจ๋อยไปเลยว่ะ!”

“มึงนี่นะ หาเรื่องไปแหย่เขาได้ตลอด” ไอ้ภูส่ายหัวกับความคิดเด็กๆ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอธินไม่พอใจเรื่องนี้มากจริงๆ ก็ไม่แปลกหรอกที่ไอ้เนจะหาเรื่องยั่วโมโหได้ตลอดเวลาที่มีโอกาส ก็ในเมื่อได้ของรักของหวงของมันไปครอบครองแล้วนี่ 

“ก็มันทำตัวน่าหมั่นไส้นี่หว่า” คนพูดมันรู้สึกสำนึกด้วยเสียเมื่อไหร่ ก่อนจะหันไปพูดกับคนที่ยืนหงอยข้างๆ

“มึงก็ไม่ต้องทำหน้าละห้อยแบบนั้น ไหนว่าแค่แฟนเก่าพี่ชายไม่ใช่เหรอ?” ไอ้เนยังคงประชดไม่เลิก ใช่! เขาไม่เคยบอกว่าตัวเองเป็นอะไรกับอธิน แต่ก็ไม่สามารถปกปิดความจริงจากไอ้เพื่อนสองตัวนี่ได้หรอก พวกมันรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็จากพฤติกรรมของเขาเองนี่แหละ

ก็อธินทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของชัดเจนซะขนาดนั้น!

“กูก็ไม่ได้อะไรสักหน่อย มึงจะไปก็รีบไปสิ หิวแล้วนะเว้ย!”

“แน่ใจว่าไม่ได้อะไรจริงๆ แต่สายตามึงน่ะ เหมือนจะวิ่งตามเหี้ยนั่นออกไปเลย”

“พวกมึงหยุดเถียงกันได้ไหม คือกูหิวแล้ว!” ภูเข้ามาแทรกตรงกลางแล้วลากคอพวกมันทั้งคู่เดินไป เขาก็เพิ่งรู้ว่าไอ้พวกขี้ประชดแบบไอ้เนเนี่ย บทจะรั้นขึ้นมาก็ด้านได้แบบหัวชนฝา มันยอมเสียที่ไหนล่ะ ทั้งที่บัตรส่วนลดก็ไม่ได้หมดเขตวันนี้สักหน่อย จะเลื่อนไปเป็นวันอื่นก็ไม่เห็นยาก แต่พอรู้ว่าอธินมารับไอ้เดียร์ด้วยตัวเองนั่นแหละ อาการหวงก้างก็เลยกำเริบขึ้นมา ส่วนหัวดื้ออย่างไอ้เดียร์นั้น ทำทุกอย่างเพื่อรักษาน้ำใจเพื่อน จนถึงขนาดยอมทำร้ายความรู้สึกคนที่ตัวเองรัก

แล้วนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แฟนเก่าของมันตัดสินใจบอกเลิก เพราะให้ความสำคัญกับเพื่อนมากกว่านี่เอง

 

 

มาร้านพี่เบียร์พวกเขาก็เน้นแต่เบียร์สมชื่อ พอของแบบนั้นเริ่มได้ที่ อะไรๆ ที่เก็บไว้ก็พลั้งออกมาจนได้ คนที่ตกเป็นทาสความเมาในคืนนี้เป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเพื่อนรักที่แอบรักเพื่อน มันเป็นความรู้สึกที่ยากเกินจะรับได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เข้าใจ ในฐานะของคนเป็นเพื่อนต่อจากนี้ก็คงทำได้เท่าที่ควรทำ

“นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่กูจะทำให้มึงลำบากใจ” เนเพ้อ วางแก้วลงแล้วหันมามองหน้าเพื่อนตรงหน้าชัดๆ ด้วยสายตาจริงจัง

“ดราม่าอะไรของมึง”

“ในฐานะเพื่อน กูอยากให้มึงสมหวังสักที ถ้าไอ้เหี้ยนั่นดีจริงแล้วมึงก็ชอบมัน กูก็ยินดีด้วย..”

“กูไม่ได้...”

“แต่ถ้ามันทำให้มึงเสียใจวันไหน ก็กูนี่แหละจะตามไปกระทืบมันเอง” พูดจบก็กระทืบเท้าตัวเองอย่างโกรธแค้น ตามด้วยกระดกเบียร์ขวดใหม่ลงคอ

“เออๆ พอแล้วน่า นี่ก็ดึกแล้วนะ”

“จะรีบกลับไปไหนวะ ยังไม่เที่ยงคืนเลยไอ้ห่า ทีเมื่อก่อนมึงไม่เคยจะสนใจเวลาซะด้วยซ้ำ” คนอกหักแบบเขามีอารมณ์หงุดหงิดปนเศร้า ยิ่งอีกฝ่ายแสดงความเป็นห่วงหมอนั่นอยู่ตลอดเวลา เขาก็ยิ่งแปรปรวน

“กูง่วงแล้วต่างหากเล่า”

“เป็นห่วงมันก็บอกมา ทำไม! ปล่อยไปสักคืน แม่งไม่ตายหรอกน่า” แล้วเนก็เริ่มงุ่นง่าน บอกตรงๆ ว่าควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

“มึงก็เห็นใจมันหน่อยสิวะ แค่นี้มันก็กลัวไอ้อธินโกรธจะตายอยู่แล้ว” ภูยิ้มกริ่ม มองหน้าคนละล่ำละลัก 

“อะไร? ใครกลัว!” เดียร์ส่ายหัวกับคำกล่าวหาที่ไม่เข้าท่า พวกมันทั้งคู่ใช้สายตามองมาต้องการสื่อเป็นนัยชัดๆ ว่า

'มึง นั่น แหละ!' เป็นคำตอบ เขาถึงได้ระบายลมหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ นั่นแหละ

กลัวว่าหมอนั่นจะโกรธ...

“นี่กูถามหน่อยดิ เคยจูบกันรึเปล่าวะ?” คนถามมองนิ่ง เดียร์ใบ้แดกไปสามวิ แล้วตั้งสติด้วยการกระดกเบียร์เข้าปาก ก่อนจะมองหน้าไอ้เนด้วยสายตาของคนที่ไม่นึกว่า มันจะกล้าถาม

“มึงจะอยากรู้ไปทำไม?” เขาไม่ตอบ และไม่มีวันตอบแน่ๆ ของแบบนี้จะพูดให้อายตัวเองทำไม บอกไปก็หมดมาดกันพอดี

“กูว่าแบบนี้เคยชัวร์” พวกฝั่งตรงข้ามเดาจากน้ำเสียง คนอย่างมันถ้าไม่เคยจริงหรือว่าถูกกล่าวหา จะไม่นั่งนิ่งแบบนี้ อย่างน้อยๆ ก็โวยวาย พูดจาเสียงดัง แสดงอาการออกมาแบบไม่ปิดบังว่าตัวเองบริสุทธิ์ใจ แต่ที่อยากรู้น่ะยังไม่ใช่เรื่องนี้ ในฐานะเพื่อนที่คบกันมานาน ก็พอจะมองออกว่าท่าทางแบบน่ะคง...

“แล้วมึงอ่ะ...มีอะไรกันยังวะ?” 

“ถามเหี้ยไรมึงเนี่ย!!!” เดียร์แทบจะฟาดขวดเบียร์ใส่หัวคนถาม ภูที่นั่งลุ้นอยู่ข้างๆ ระเบิดก๊ากออกมา ไอ้เหี้ยเนนี่ก็เสือกถามตรงเกิ้น

“ชัดเจนเลยเพื่อนกู ฮ่าๆ” ถึงภายนอกเขาจะหัวเราะครื้นเครง แต่ลึกๆ แล้วเรื่องนี้ทำเอาขำไม่ออก ที่ถามก็เพราะต้องการสิ่งตอกย้ำเพื่อช่วยในการตัดใจ เจอกันครั้งหน้าเขาจะได้มองมันในฐานะใหม่ ไม่ใช่มองในฐานะของคนแอบรักแบบที่เคยทำมาตลอด

คราวนี้ก็คงกำหนดทิศทางของตัวเองได้สักที

“ทำไมต้องเขิน ทีมึงไปนอนกับสาว กูไม่เห็นว่าจะมานั่งทำหน้าบางแบบนี้เลยไอ้ห่า!”

“แหม พวกกูแค่แซวเล่นนิดๆ หน่อยๆ” ภูกอดอก หัวเราะแบบขำๆ เขายังนึกถึงภาพไอ้เตี้ยนี่ตอนปีหนึ่งที่เกือบจะสารภาพรักกับรุ่นพี่ในคณะ ถ้าไม่ติดตรงรู้ทีหลังว่าพี่เค้ามีแฟนแล้ว

“มึงนั่นแหละตัวดี พอๆ เลิกพูดเรื่องนี้กันสักที”

 

สองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหน้าถอดสี ไม่ใช่เพราะเกรงคำของเพื่อน แต่ที่ต้องเงียบเสียงลงเป็นเพราะตกใจการมาถึงของใครบางคนมากกว่า ใบหน้าของคนมาใหม่ค่อนไปทางขุ่นเคืองจนเห็นได้ชัด เล่นเอาไปต่อไม่ถูกเลยทีเดียว

“เอ้า! เงียบทำไมล่ะ” สายตาของไอ้ภูอยากจะบอกเหลือเกินว่า พวกมันก็อยากจะต่อเหมือนกันนั่นแหละ แต่ติดตรงที่ว่า ‘พ่อมันมา’ เลยได้แต่พยักพเยิดให้หันไปมองเองด้านหลัง

“เฮ้ย!” เสียงร้องลั่นพอๆ กับความตกใจ เมื่อหันไปเห็นใบหน้าของคนที่เข้ามาตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ฝ่ายนั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์จนน่าใจหาย แถมยังอยู่ในชุดทำงานเหมือนเดิม คิดว่าตั้งแต่แยกกันตอนนั้น อธินจะกลับไปแล้วเสียอีก แล้วความรู้สึกบางอย่างก็แล่นเข้ามาในสำนึก อารมณ์ของเดียร์ตอนนี้คล้ายคนกลัวความผิด

“จะกลับได้รึยัง?” เอ่ยถามเสียงเข้ม เดียร์มองคนพูด สายตาโหดขนาดนั้น คิดว่าเขามีสิทธิ์ตอบเป็นอย่างอื่นด้วยหรือ พอรู้เรื่องก็รีบลุกจากเก้าอี้แบบอัตโนมัติ เหมือนถูกผูกติดวิญญาณกับร่างตรงหน้า พออธินออกเดินไปสองขาก็รีบก้าวตามทันที ก่อนจะหันมาอำลาเพื่อนที่นั่งทำสีหน้าเป็นห่วง

“กูกลับก่อนนะ”

“เออๆ ไปเหอะ เดี๋ยวพวกกูจ่ายเอง” สองคนนั้นบอกพลางโบกมือให้ พอได้ยินคำนั้นปุ๊บ เดียร์ก็รีบตามคนที่เดิมดุ่มไม่มองใครเลยออกไปจากร้าน พลางมองนาฬิกาของตัวเอง ซึ่งบัดนี้ได้เวลาเที่ยงคืนพอดีเป๊ะ!

เขารู้เวลา...

มีแต่ตัวเองนี่แหละ ที่ไม่รู้อะไรเลย

บรรยากาศในรถเงียบกริบ คนขับเองก็นิ่งเสียจนเขาที่นั่งข้างๆ ไม่กล้าขยับตัวไปไหน จะทำยังไงดีล่ะ ไม่เคยเจออาการนี้ของอธินมาก่อน หมอนี่โกรธแล้วน่ากลัวแฮะ อะไรๆ รอบกายก็ดูอึดอัดไปหมด เดียร์อยากจะพูดด้วยก่อน แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงดี ไม่เคยอยู่ในสถานการณ์น่าลำบากใจ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้เลย

รถออกมาได้สักพัก ด้านหน้าเป็นแหล่งชุมชนที่มีร้านอาหารเปิดขายตอนดึกๆ อธินเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ก่อนจะจอดลงข้างทาง

“เอ่อ...” เดียร์ยังไม่ทันเอ่ยถาม แต่ฝ่ายนั้นก็ลงจากรถไปแล้ว ก่อนจะเข้าใจทุกอย่าง ก็เห็นอธินลงไปนั่งที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้านข้าวต้ม รอให้แม่ค้าเข้ามารับออเดอร์

เดียร์รู้สึกผิดจนตัวตาย ไม่เคยรู้สึกผิดหนักขนาดนี้มาก่อน อย่าบอกนะว่าหมอนั่นรอเขาอยู่ตลอดเวลา เขานึกสภาพของคนที่หิวแล้วต้องมานั่งรอ นับรวมเวลานี่มันก็เลยหกชั่วโมงมาแล้วนะ

“ข้าวต้มหนึ่งที่ครับ”

“ขอสองครับ” เดียร์บอกแล้วลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ มองหน้าคนโกรธที่ตีสีหน้าเรียบนิ่ง ไร้ความรู้สึกเห็นแล้วมันใจหาย มันคงจะดีกว่าถ้าอธินต่อว่าเขาออกมาแบบตรงๆ ไม่พอใจตรงไหนก็ใส่มาเลย มันคงจะทำให้เขารู้สึกดีกว่านี้เป็นร้อยเท่า

“ฉัน เอ่อ...ฉันขอโทษที่ทำให้รอ” เดียร์มองใบหน้าหล่อเหลาที่ยังคงเรียบสนิท ไม่แสดงอาการว่าเขามีตัวตนอยู่ข้างๆ แต่อย่างใด ฝ่ายนั้นหันมองไปรอบๆ ร้าน ไม่สนใจว่าคนที่มาด้วยกัน จะเป็นจะตายเสียให้ได้กับท่าทางแบบนั้น

ถูกเมินอย่างสมบูรณ์แบบเลยสินะเนี่ย เหอๆ

“ข้าวต้มสองที่ได้แล้วจ้า”

“ขอบคุณครับป้า” เดียร์บอกแล้วเลื่อนอีกถ้วยส่งให้คนตรงหน้า อธินรับไปแบบไม่พูดไม่จา ตั้งหน้าตั้งตากินไปจนเกือบหมด

“นายไปอยู่ไหนมา ระหว่างที่รอฉัน” เจ้าของใบหน้าคมคายเหลือบมองเพียงนิด แล้วละทิ้งความสนใจนั่นไป “นี่ ถ้าโกรธก็ด่ามาตรงๆ ก็ได้ ฉันยอมรับว่าตัวเองผิดที่เบี้ยวนัด แล้วก็ปล่อยให้นายรอ ข้าวก็ยังไม่ได้กินเลยจนป่านนี้เนี่ย”

“รู้ตัวเองด้วยหรือ?” อธินละสายตาจากข้าวต้มในถ้วยมามองหน้าคนสำนึกผิดเพียงนิด แล้วเริ่มตักข้าวต่อ

“รู้สิ รู้ดีเลย วันหลังไม่กล้าทำแบบนี้แล้ว” เจ้าตัวลากเสียงยาว ใครจะรู้ล่ะว่าตอนโกรธนี่โคตรรับมือยากเป็นบ้า เดียร์ได้แต่ร้องบ่นอยู่ในใจ ขืนพูดไปเนี่ย รับรองว่าถ้ามีคูณสอง อาการนี้ต้องข้ามวันข้ามคืนแน่ๆ

“ทำไมล่ะ? กลัวอะไร ที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะสนใจอะไรอยู่แล้ว” อธินย้อนถาม คนที่นั่งฟังได้แต่ซึบซับคำเหล่านั้นลงไปในใจเบาๆ ไม่ว่าพูดยังไงตัวเองนี่แหละที่เป็นฝ่ายผิดทุกประตู เดียร์มองหน้าคนที่มีอาการขุ่นเคืองแล้วหน้าหงอยไปเลย

“ป้าครับ คิดตังค์” คนตัวสูงเดินไปจ่ายเงินให้ป้า โดยไม่หันกลับมาสนใจกันเลยแม้แต่น้อย นี่เรียกว่าเป็นการเอาคืนรึเปล่านะ ทำไมอะไรๆ ก็เหมือนจะถูกย้อนกลับมาที่ตัวเองหมดเลย

หมอนี่มีวิธีจัดการคนอื่นได้แสบจริงๆ เขายอมรับเลยล่ะ...แล้วคืนนี้จะได้คุยกันดีๆ ไหมเนี่ย!

“บอกมาสิว่าจะให้ทำยังไงถึงจะหายโกรธ” เดียร์ตะโกนบอกตามหลัง ฝ่ายนั้นชะงักมือตอนเปิดประตูรถ หันมามองเขาแวบหนึ่งแล้วละความสนใจนั้นไป ตอนนี้ใจของเขามันเริ่มห่อเหี่ยวแล้วนะ นี่มันบทลงโทษประเภทไหนกัน

ระหว่างทางจนกลับมาถึงรีสอร์ทก็ยังคงเต็มไปด้วยความเงียบ ต่อให้เดียร์ชวนคุยกลบเกลื่อนมากเท่าไหร่ ที่ได้รับกลับมาก็คือความเงียบมากเท่านั้น แต่ใจคนง้อก็ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มันต้องมีสักทางที่ทำให้หมอนั่นเปิดปาก แล้วกลับมาพูดจากับเขาดีๆ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้วิธีเท่านั้นเอง เฮ้อ...

“อธิน” เดียร์ร้องขออีกครั้ง มือข้างหนึ่งจับข้อมือเขาไว้ เงยหน้ามองคนที่เมินใส่กัน “เรื่องวันนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ จะให้ทำยังไงล่ะ ในเมื่อทุกคนก็สำคัญหมด ถึงรู้ว่านายจะโกรธ แต่นั่นมันเรื่องเล็กฉันคิดว่าจะสามารถหาเรื่องอธิบายนายทีหลังได้”

“อย่าทำเหมือนว่าฉันเป็นพวกไร้เหตุผล โอเค! นี่มันเรื่องเล็ก ฉันรู้ว่านายต้องการรักษาน้ำใจเพื่อน แล้วฉันก็รู้ว่าความรู้สึกฉันมันสำคัญน้อยกว่า”

“ฉันขอโทษ” เดียร์ขยับเข้าใกล้คนตัวสูงกว่าด้วยสีหน้าสำนึกผิด สัมผัสได้ถึงไอร้อนบนเรือนร่างของคนที่มีอารมณ์คุกรุ่น มือเรียวรั้งใบหน้าคมเข้มลงมาหา เขย่งปลายเท้าขึ้นและประทับริมฝีปากเบาๆ บนเรียวปากของเขาเป็นการไถ่โทษ

“สำนึกผิดแล้วจริงๆ”

“อย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น”

อ้าว! นี่ยังไม่ได้ผลอีกหรือ

เด็กหนุ่มมองตามหลังคนตัวสูงที่เดินหนีขึ้นบันได เวลานี้อยากจะทึ้งหัวตัวเองสักร้อยรอบให้หายโง่ที่ทำอะไรลงไปแล้วไม่รู้จักคิด

โอเค! ในเมื่อง้อแล้วไม่ได้ผล ง้อแล้วมันไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรมก็แล้วกัน!

 

 

ทั้งที่ยังโกรธกันอยู่อธินก็ยังทำหน้าที่ตัวเองแบบไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งไปส่งตอนเช้า ไปรับตอนเย็น ทุกครั้งที่เห็นอธินมารับเดียร์ก็จะรีบแจ้นไปที่รถแบบไม่ปล่อยให้คลาดสักนาทีเดียว

นี่ก็เข้าวันที่สามแล้วนะ คนอะไรไม่รู้เอาใจยากสุดๆ

พอวันหยุด หมอนั่นก็หายหัวไปตั้งแต่เช้า แทนที่จะบอกกันสักคำก็ไม่มี เดียร์เดินคอตกไปห้องอาหาร เห็นเพียงแต่อันนาคนเดียวในเช้านี้

หมอนั่นไปไหนของเขานะ...

 

 

 

 

.................................................

 

 
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 22 : ยากเกินจะบอก (20/06/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 20-06-2018 22:37:48

22

ยากเกินจะบอก

 

 

 

“ออกมาแต่เช้าแบบนี้ ไม่กลัวจะถูกน้อยใจหรือครับ” ระหว่างที่ติดไฟแดง เชนก็ชวนคุยไปเรื่อย พักนี้เห็นทั้งคู่ดูห่างๆ กัน มันเกิดจากสาเหตุอะไรนั้น คนไม่อยู่ในเหตุการณ์ก็ได้แต่เดาไป ต่างๆ นานา

“ปล่อยไปแบบนี้ไปสักพักก็ดีเหมือนกัน คราวหลังจะได้ไม่กล้าขัดใจฉันอีก”

“คุณอธินยังโกรธอีกเหรอครับ”

“ก็มันน่าไหมล่ะ”

เชนส่ายหัวเบาๆ มองเจ้านายที่ปากไม่ตรงกับใจ ทั้งที่บอกเขาว่าโกรธ แต่ในมือก็ยังกดเข้าไปดูข้อความที่ฝ่ายนั้นส่งมาให้ ไหนจะคลิปวิดีโอแบบตลกๆ แม้เชนที่ได้ยินแต่เสียงยังอดขำไปไม่ได้ เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้านาย แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ตอบกลับหรือพยายามทำอะไรให้ฝ่ายนั้นรู้สึกชื่นใจ คุณอธินจะรู้บ้างไหมว่าไอ้ประเภทที่อ่านแล้วไม่ตอบเนี่ย มันจะยิ่งบั่นทอนความรู้สึก รุนแรงกว่าการไม่สนใจกันอีกนะ

“เสร็จธุระที่คอนโดแล้ว ยังไงก็ฝากบอกอันนาพาเด็กนั่นมาส่งให้หน่อย”

“ที่ไหนดีครับ?”

“บิสโทรบาร์ก็แล้วกัน”

“ได้ครับ” ได้ยินแบบนี้แล้วเชนก็อมยิ้ม แบบนี้ก็แสดงว่าหายโกรธกันแล้วสินะ จะใจแข็งแค่ไหนกันเชียว สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ

 

สิบเอ็ดโมงครึ่งปุ๊บ คนได้รับคำสั่งก็รีบพาเด็กในความดูแลมาส่งให้ทันที อันนากดลิฟท์ขึ้นไปยังชั้นบนสุด เดินตรงไปยังทางเดิน พลางสาธยายเรื่องต่างๆ ให้ฟัง

“หมอนั่นมีคอนโดด้วยหรือ?” เดียร์อ้าปากหวอ ระหว่างยืนรออยู่หน้าห้อง ก็ที่นี่ธรรมดาเสียที่ไหน หรูหราราวกับราชวัง มองดีๆ ดีไม่ดีอาจจะพบพวกคนดังเดินไปมาอยู่ในนี้ก็ได้

“อื้ม..แต่ไม่ค่อยได้ใช้หรอก ส่วนใหญ่คุณอธินก็แวะมาเฉพาะวันหยุด”

“มาทำงานหรือ?” หมอนั่นมีอสังหาริมทรัพย์อยู่ในครอบครองเท่าไหร่กันเนี่ย ที่อันนาบอกว่าอธินต้องมาทำธุระที่นี่ ไม่ใช่ว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจของตระกูลนะ

“เปล่า...แค่เข้ามาเชคห้องเฉยๆ น่ะ”

“อ้อ!”

อันนากดกริ่ง เมื่อไม่มีใครตอบรับเขาเลยใช้คีย์การ์ดที่มีเปิดประตูเข้าไป เดียร์เดินตามไปเงียบๆ พลางสำรวจไปรอบๆ ห้อง ข้าวของทุกชิ้นยังดูสะอาดเหมือนใหม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยฟุ้งทำให้รู้ว่าเพิ่งมีคนเข้ามาทำความสะอาดจริงๆ ในระหว่างที่รออันนา เขาก็ถือวิสาสะเดินสำรวจไปเรื่อยๆ ด้วยความสนใจ แล้วสายตาก็สะดุดเข้ากับภาพแขวนบนผนัง...ของใครคนหนึ่ง

เจ้าของใบหน้าแสนคุ้นเคยในนั้น ทำให้ทั้งตัวชาวาบ...

 

“ว่าไงนะ ไม่ใช่ให้พามาส่งที่นี่หรอกหรือ อ้าว...ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย แล้วนายอยู่ไหนเนี่ย? โอเคๆ” เจ้าตัวเริ่มหัวเสีย เพราะดันลืมไปเสียสนิทว่าเชนโทรมาบอกอะไรก่อนหน้านั้น พอกดวางสายก็หันมาชวนอีกคนที่ยืนอยู่กลางห้อง

“เดียร์! เรามาผิดที่แล้ว คุณอธินเพิ่งออกไปเมื่อกี้นี่เอง”

แล้วอันนาก็ได้รู้ว่าตัวเองทำผิดอย่างมหันต์ เขามองตามสายตาของเด็กตรงหน้าไป แล้วก็สะดุดเข้ากับภาพบนผนังที่แขวนไว้เหนือโซฟา เจ้าของรอยยิ้มละมุนละไมในนั้น เขาจำได้ดีว่าเป็นใคร

“เดียร์...” และนั่นคงเป็นสาเหตุ...ท่าทางซึมลงไปแบบนั้น เขาเองก็เริ่มกระอักกระอ่วน “ไปกันเถอะ” เขารั้งข้อมือนั้นให้เดินตาม แต่ดูเหมือนว่าคนที่นิ่งเป็นรูปปั้น จะขยับตัวไปไหนไม่ได้อีกแล้ว ก่อนที่อันนาจะพูดอธิบายอะไรแทนเจ้านาย เดียร์ก็ชิงเดินหนีออกไปก่อน ทั้งที่เขารีบตามไปแต่ก็ไม่ทัน บนทางเดินว่างเปล่า มันวังเวงจนน่าใจหาย

“ไปไหนแล้วล่ะ?” เขาเริ่มกังวล มันไม่น่าเกิดเรื่องนี้เลยจริงๆ แบบนี้เขาซวยแน่ๆ พอคิดอะไรไม่ออกก็รีบโทรหาเจ้านายทันที ฝ่ายนั้นรับสาย นิ่งฟังเรื่องที่เขาเล่าจนจบก็บอกว่าจะรีบย้อนกลับมา

อันนาก็ได้แต่ภาวนา หวังว่ามันจะไม่สายเกินไป...

 

 

ก๊อกๆๆ

เนเพิ่งลุกจากที่นอน วันนี้วันหยุดเขาก็เลยตื่นสาย มือสางผมที่ยุ่งเหยิงให้มันเรียบร้อย ก่อนจะเปิดประตูรับคนมาใหม่

“อ้าว! มาได้ไงเนี่ย?” เขาแปลกใจที่เห็นมันยืนนิ่ง ท่าทางซึมลงไปจนเห็นได้ชัด พอเจ้าตัวไม่ยอมพูดด้วยก็เลยปล่อยมันไปตามอารมณ์ ตัวเองได้เวลาไปอาบน้ำ เที่ยงวันพอดีจะได้ออกไปหาข้าวกิน

สิบห้านาทีผ่านไปเดียร์ก็ยังนิ่งอยู่บนเตียงของเขา นอนดูอะไรบางอย่างในโทรศัพท์

“กูจะออกไปกินข้าว มึงจะฝากซื้ออะไรรึเปล่า?” เจ้าตัวส่ายหน้าด้วยอาการซึมเซา เนปล่อยเลยตามเลย ถ้ามันอยากพูดเดี๋ยวก็พูดเอง คว้ากุญแจรถออกไปข้างนอกโดยทิ้งมันไว้ในห้องตามลำพัง

 

ผ่านไปค่อนวันจนมืดค่ำ มันก็ยังไม่ขยับตัวไปไหน ยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่พูดไม่จา ทั้งที่มีเพื่อนกลุ่มเดิมของเขาเข้ามาเล่นกีตาร์  แกะเพลงเสียงดังก็ยังไม่สะทกสะท้าน พอหันไปมองอีกทีมันก็เผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนไม่รู้ ทั้งที่เพิ่งสองทุ่ม ท่าทางคืนนี้คงไม่คิดจะกลับหอแน่ๆ

เนได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร พอเห็นมันหลับ พวกเพื่อนๆ เขาก็เลยช่วยกันลดเสียงลง

“เน...ท่าทางมึงมีแขกว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งบอกเขาให้ไปดูที่หน้าประตู เนวางกีตาร์แล้วออกไปดู

แล้วก็เดาไม่ผิดจริงๆ ด้วย...เขาคงไม่ต้องพูดอะไรให้มากความหรอกมั้ง เขาเห็นสายตามันมองรองเท้าที่วางอยู่ คงจะรู้อยู่แล้วว่าเดียร์มาที่นี่

“มันหลับไปแล้ว อยากให้เรียกไหมล่ะ” ถึงอีกฝ่ายไม่ตอบ แต่เขารู้ว่าต้องทำแบบนั้น ร่างสูงเดินไปที่เตียงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก เขาปลุกมันขึ้นมาทั้งที่ไม่อยากรบกวน โดยมีสายตาคนมาใหม่มองตามไม่ห่าง

“ออกไปคุยกับมันหน่อยสิ!”

“อะไร?” เสียงงัวเงียของคนเพิ่งตื่น เดียร์ลุกขึ้นนั่ง สอดส่ายสายตามองไปรอบๆ

“ไอ้หมอนั่นมาที่นี่”

เดียร์สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินแบบนั้น ก่อนจะมองไปที่ประตู เขาเห็นร่างสูงยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟสลัว

ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคุยกันตอนนี้หรอก...

“บอกให้กลับไปเถอะ!”

“มึงก็ไปบอกเอง กูไม่ใช่แมสเซ็นเจอร์” เนส่ายหัวแล้วกลับไปเข้ากลุ่มกับเพื่อนตัวเองต่อ เรื่องของคนสองคนเขาไม่อยากเข้าไปยุ่ง ไม่อยากลากตัวเองเข้าไปเจ็บด้วย

เด็กหนุ่มตัดสินใจลุกจากเตียง เดินไปเผชิญกับคนที่เขาตั้งใจหลบหน้ามาทั้งวัน

เดียร์ไม่ได้รอให้เขามาง้อ เพียงแค่คิดว่าควรจะบอกบางอย่างให้เขารู้เหมือนกัน

ช่วงเวลาที่เงียบงันผ่านไปเหมือนว่ามันช่างยาวนาน อธินมองแววตาของเด็กตรงหน้าที่ไม่เหมือนเดิม และรู้ดีถึงสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้คิดจะอธิบายอะไรให้มากความ

สำหรับเขา เรื่องนั้นมันไม่สำคัญเลย…

มือหนากุมมือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าตั้งใจจะชวนกลับ แต่ท่าทีแข็งกระด้างนั้น ทำให้เขาหยุดชะงัก เดียร์ยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน มีเพียงสายตาที่แสดงออกว่าเจ็บปวดมากแค่ไหน

“อย่ามายุ่งกับฉันเลย...”

“เดียร์..” อธินมองตาคนพูด เขาเห็นน้ำใสๆ เอ่อคลออยู่ในนั้น อาการเหมือนไม่ต้องการให้เขาทำจริงๆ อย่างที่ว่า แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาต้องฟังด้วย

“นายกลับไปเถอะ!”

“นี่มันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ” เขาพูดด้วยท่าทีอ่อนลง ท่าทางเด็กนี่คงเข้าใจอะไรผิดไปแล้วจริงๆ แต่เขาก็ยังคิดว่าไม่มีอะไรต้องอธิบาย ในเมื่อทุกอย่างมันจบไปนานแล้ว ภาพถ่ายที่เห็นแขวนอยู่มันดูมีความหมายก็จริง แต่ต่อให้มีอยู่หรือไม่มี ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ที่ยังเก็บไว้เพราะมันเป็นความทรงจำดีๆ สำหรับเขา

 “ฉันขออยู่ที่นี่สักพัก ถ้ารู้สึกดีเมื่อไหร่ ค่อยกลับไปเอง”

“แน่ใจแล้วใช่ไหม?...”

“ลองถามตัวนายดูเถอะ..." เดียร์สูดลมหายใจเข้าอย่างยากลำบาก ก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรออกไปอย่างที่รู้สึก "นายอาจจะไม่ได้ต้องการฉันตั้งแต่แรกก็ได้” พูดจบก็ปิดประตูแล้วรีบล็อคมันทันที ไม่สนใจเสียงร้องท้วงหรือใครที่พยายามเคาะประตูตามหลัง

เขาน่าจะรู้ตัวได้แล้วว่าไม่ควรเข้าไปยุ่งกับคนที่ยังไม่ลืมอดีต...นอกจากจะทำให้ตัวเองเจ็บแล้ว อดคิดไปไม่ได้เลยว่าทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้น อธินอาจกำลังนึกถึงใครอยู่หรือเปล่า ต่อให้คนๆ นั้นเป็นพี่ชาย เดียร์ก็ยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่ดี

ไม่แน่ใจว่าที่เป็นอยู่ เขาอาจแค่ต้องการใครสักคนช่วยทำให้ลืมเรื่องราวในอดีต...

ถ้าเป็นเช่นนั้น...ก็ควรปล่อยให้เขาได้ทบทวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่อย่าลากคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย...

 

 

 

เลิกเรียนวันถัดมา เขาตั้งใจจะแยกจากเพื่อนในกลุ่มเพื่อแวะซื้อของใช้จำเป็น ถึงห้องเนจะมีทุกอย่างให้พร้อม แต่เดียร์ก็ยังอยากได้สบู่กลิ่นเดิม ยาสระผมกลิ่นเดิมอยู่ดี ทั้งที่มันบอกว่า จะหยิบ จะจับ จะทำอะไรก็ตามใจ ไม่ต้องคิดมาก ของๆ เพื่อนก็เหมือนของตัวเอง แต่ก็อดไม่ได้อยู่ดี

 “เอานี่กุญแจห้อง เผื่อกูไม่อยู่ตอนมึงกลับมา”

“อืม” เดียร์พยักหน้า เห็นมันบอกว่าวันนี้จะไปซื้อสายกีตาร์ใหม่ พอตกลงกันเรียบร้อย แต่ละคนก็แยกย้ายกันไปกันละทาง เดียร์ยืนมองไอ้เนหายไปกับกลุ่มเพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกัน แล้วคิดหาทางของตัวเองต่อ

แล้วสายตาก็สะดุดกับรถคันหนึ่งที่แสนคุ้นเคย...

ร่างสูงสง่าในชุดทำงานกำลังยืนอยู่ที่ลานจอดรถ ก่อนหมอนั่นจะเห็นเขา เดียร์รีบชิ่งหนีทันทีโดยไม่คิดจะหันกลับไปมองเลยว่าจะมีใครตามมารึเปล่า

ในระหว่างที่รอรถเมล์อย่างร้อนใจ เดียร์ภาวนาเงียบๆ ขออย่าให้หมอนั่นมาเจอเขาเลย แต่ดูเหมือนโชคจะไม่เข้าข้าง เมื่อใครบางคนกำลังเดินตรงมาทางนี้แล้ว

“ฉันมารับ” แน่นอนว่าเดียร์ได้ยินคำนั้นชัดเจน แต่แกล้งทำเป็นหูทวนลม ไม่รู้ไม่ชี้ เสมือนว่าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

“จะไม่พูดด้วยก็ได้ แต่นายต้องกลับไปด้วยกัน” คนฟังยืนกัดริมฝีปาก ช่างเป็นข้อต่อรองที่เห็นแก่ตัวดีจริงๆ เดียร์กอดอก ทำทีเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น จนคนแถวนั้นที่รอรถอยู่ก่อนเริ่มมองมาอย่างสงสัย ว่าอธินกำลังพูดอยู่กับใคร

คนตัวสูงกว่ามองอาการนั้นก็เข้าใจอะไรได้แจ่มชัด

...นี่กำลังเอาคืนอยู่หรือ

“ฉันกำลังพูดกับนายอยู่ไม่ได้ยินรึไง!” เขาเดินมาหยุดลงตรงหน้าพร้อมพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด จนคนที่ยืนอยู่แถวนั้นเล่นหันมามองกันเป็นแถบ

หน็อย ไอ้เหี้ยอธิน!

เดียร์มองเขาด้วยสายตาโกรธแค้น แสดงอาการออกมาชัดเจนว่าไม่อยากคุยด้วย พลางคิดจะใช้วิธีนี้งั้นหรือ ฝันไปเถอะว่ะว่ามันจะได้ผล

“เลิกเล่นได้แล้ว!” เขามองดุ หลายคนหลีกทางให้อธินเข้ามายืนใกล้ๆ เมื่อเจ้าตัวแสดงเจตนาชัดเจนขนาดนั้นว่าต้องการจะคุยกับใคร หลังจากที่ไม่เจอกันมาสามวันดูเหมือนเด็กนี่จะดื้อขึ้นมาก เดียร์ยืนนิ่ง ปล่อยให้คนข้างๆ อารมณ์ไม่ดีไปอย่างนั้น ถ้าคิดจะมาง้อ บอกเลยว่าไม่สำเร็จ ต่อให้จะฉุด จะลากตัวไปยังไง เขาไม่มีวันกลับไปด้วยแน่นอน อำนาจพวกนั้นใช้ไม่ได้ผลหรอก

ในเมื่อเจ้าตัวยังบอกเหตุผลไม่ได้ว่าจะให้กลับไปทำไม มันก็ไร้ประโยชน์ ไม่ใช่หน้าที่และเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปรักษาแผลใจให้ใคร

“เดียร์!” น้ำเสียงติดไปทางขุ่นเคือง เจ้าของชื่อยืนเฉย ไม่สนใจอะไรเลยสักนิด จนกระทั่งรถเมล์คันถัดไปเข้ามาจอด เดียร์รีบวิ่งขึ้นไปทันที คนทยอยขึ้นกันมาเต็มคันรถ แต่ไร้วี่แววของหมอนั่น จนประตูปิดลงถึงได้โล่งใจ

ก็ดีแล้ว ให้มันเป็นแบบนี้แหละ...

เดียร์หันกลับมามองด้านหน้า ปลายจมูกกระแทกกับหน้าอกของใครคนหนึ่งที่มีส่วนสูงมากกว่า พอเงยหน้าขึ้นไปเท่านั้นแหละ ที่ว่าตั้งใจจะขอโทษแต่ใบหน้าของผู้ชายสวมเชิ้ตสีคุ้นตานั้น ทำให้เขาแทบผงะ อยากจะกัดลิ้นตัวเองตายลงตรงนี้จริงๆ

ใช่...เขาหนีไม่พ้น และยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อถูกผู้โดยสารคนอื่นๆ เบียดเข้ามาอย่างหนัก ประชากรหนาแน่นบีบอัดอยู่ในพื้นที่น้อยนิด แทบไม่มีอากาศหายใจ ตัวเขาถูกดันมาจากคนด้านหลังจนหน้าจะไปซบอกเขาแล้ว คนที่คิดจะหนีทำหน้ามุ่ย เมื่อเหลือบมองคนที่มีท่าทีสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน ใช้มือข้างหนึ่งจับราวเหล็ก ยืนตัวตรงเหมือนเสาหลัก แล้วเดียร์ก็เห็นรอยยิ้มนั้นบนมุมปาก...

สุขใจที่เห็นเขาทำอะไรไม่ได้สินะ

น่าหมั่นไส้เหลือเกิน ไม่ทันคิดยั้ง เดียร์ใช้โอกาสที่ทุกคนหันหลังกัดง่ำลงไปบนเนื้อกลางอกของเขาอย่างแรง แบบไม่คิดถึงผลภายหลังที่จะตามมา

“โอ้ย!” เสียงนั้นเรียกสายตาผู้โดยสารคนอื่นๆ หันมามอง แล้วคนที่น่าอายนั้นไม่ใช่ใคร ก็คนที่ยืนเบียดอกกว้างๆ ของอธินอยู่นั่นแหละ แล้วอ้อมแขนแกร่งก็ฉวยโอกาสตวัดลงรอบเอวเพื่อไม่ให้เด็กตรงหน้าผละออกไปได้ง่ายๆ และคราวนี้ดูเหมือนเขาจะเห็นแก้มขาวๆ นั้นเป็นสีแดงเรื่อ

เดียร์ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อแรงรัดตรงรอบเอวแน่นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าร้อนผ่าว ทั้งโกรธทั้งอาย

รถเมล์จอดลงที่ป้าย ผู้โดยสารบางส่วนเริ่มทยอยลง อ้อมแขนแกร่งถึงได้คลายออก ทั้งคู่ปรับสีหน้าให้เป็นปกติราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีแต่สายตาคมคู่นั้นที่มองมาอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ เขาพูดอะไรบางอย่างที่เดียร์ไม่คิดจะสนใจฟัง ก่อนที่รถเมล์จะเคลื่อนตัวไป ร่างเพรียวบางรีบก้าวลงจากรถ คนที่คิดจะคว้าตัวไว้รีบก้าวตามไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว

อธินยืนอยู่บนรถด้วยความว้าวุ่นใจ มองไปตามเส้นทางที่รถเคลื่อนตัวมา ระยะทางเริ่มห่างออกไปเรื่อย ๆ เขาเฝ้ามองจนลับตา

ไม่คิดจะเชื่อฟังกันเลยใช่ไหม...






หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Alchemist_toey ที่ 20-06-2018 22:49:34


 

22

 

Dear....Atin

 

 

เด็กหนุ่มหยุดยืนชันเข่า หอบหายใจรัวเร็วเนื่องจากออกแรงวิ่งต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน จำไม่ได้ว่าใช้เวลาไปเท่าไหร่ที่เอาแต่วิ่งอยู่อย่างนี้ สองขาเริ่มอ่อนล้า แต่ทว่าความเจ็บปวดนี้ไม่ช่วยให้เขาลืมบางอย่างไปได้เลย

ยังไม่หาย...ความอึดอัดทรมานในใจนี้ มันยังคงอยู่...

ต้องวิ่งอีกสักกี่ก้าว ต้องเหนื่อยอีกเท่าไหร่ วิธีไหนจะช่วยลบเรื่องราวของผู้ชายคนนั้นออกไปจากหัว

“เฮ้! กลับบ้านกัน”

“ไปก่อนได้เลย!” เดียร์หันไปตะโกนบอกเพื่อนในชมรม ตอนนี้ส่วนใหญ่เริ่มทยอยไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากันแล้ว ส่วนตัวเขานั้นไม่ได้มีแผนจะไปต่อที่ไหน

“งั้นพวกกูไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” คนพูดก็ไม่อยากจะไปสุงสิงกับคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ สักเท่าไหร่ เห็นมันไม่พูดไม่จากับใคร ลองปล่อยให้อยู่คนเดียวไปสักพัก จนกว่ามันจะหายงี่เง่าเอง

เดียร์วิ่งต่อไป ไม่สนใจคำเตือนใดๆ ของเพื่อนร่วมคณะ จนเสียงหนึ่งตะโกนข้ามฟากมา เขาถึงได้ชะงักฝีเท้า

“อีกสิบห้านาที”

เขาตรงไปเก็บสัมภาระของตัวเองด้วยความอ่อนแรง ไม่ใช่เพราะร่างกายที่ล้า แต่เป็นผลมาจากเหตุการณ์ในวันนั้น

ทั้งที่ผ่านมาก็ 5 วันแล้ว...

เขามันพวกชอบคิดอะไรซ้ำซาก วนเวียนนึกถึงแต่อะไรเดิมๆ มันก็เลยจมอยู่แบบนี้ ถ้าตัดออกจากใจได้เมื่อไหร่ เขาคงกลับไปเฮฮาได้อย่างเก่า

หากกลับไปเป็นคนเดิมที่ไม่แคร์อะไรได้ก็คงดี

เด็กหนุ่มรีบล้างหน้าล้างตาเพราะดูเหมือนเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลสนามเริ่มทยอยปิดไฟแล้ว เขาไม่อยากโดนขังอยู่ในนี้

แกร๊ก!!

เสียงนั้นทำให้เขาสะดุ้ง เมื่อหันไปมองต้นทาง ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ถูกขังงั้นหรือ!

"เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ ผมยังอยู่ในนี้!" เดียร์ตะโกนออกไปจนสุดเสียงเรียกพี่คนนั้นกลับมา เขายังเก็บของไม่เสร็จเลย จะรีบปิดไฟทำไม

เขายัดทุกอย่างใส่กระเป๋าทั้งที่มันมืดแบบนั้น แล้วรีบวิ่งออกมาด้านนอก แต่ปรากฏว่าประตูก็ล็อกไปแล้วด้วย

"เฮ้ยพี่! เดี๋ยวสิ" เขาหัวเสีย เริ่มคิดหาทาง แน่นอนว่าไม่มีทางที่พี่เค้าจะไม่ได้ยินเสียงนี้เด็ดขาด ความผิดปกตินี้ปลุกสัญชาตญาณ อะไรบางอย่างบอกว่ามีใครบางคนจงใจให้มันเป็นแบบนี้

“เปิดประตู! ใครอยู่ข้างนอก บอกให้เปิดประตู!” ยิ่งตะโกนออกไปเท่าไหร่ก็ยิ่งไร้วี่แวว วันนี้ทำไมด้านนอกถึงเงียบไปหมด

ใครสักคนคงจงใจขังเขาไว้ที่นี่สินะ ถ้าเดาไม่ผิด อาจจะเป็นพวกที่เคยมีปัญหากับเขาแน่นอน พอคิดได้แบบนั้นยิ่งทำให้มั่นใจว่าต้องมีคนอยู่ด้านนอกแน่นอน

“โธ่เอ้ยยย กูบอกให้เปิดไง!” เดียร์เริ่มโมโหเขาทุบประตูเหล็กเสียงดังสนั่น ด้านในอากาศค่อนข้างร้อน แถมยังมืดไปหมด ประตูที่เชื่อมจากสนามก็โดนล็อกไว้เขาไม่สามารถออกไปด้วยตนเองแน่ๆ และขืนรอให้คนแถวนี้มาเห็นก็คงเป็นไปได้ยาก

และคนแรกที่นึกถึงก็คือไอ้เน เขายืนรอให้มันรับสายอยู่นานแล้วแต่ก็ไร้วี่แวว

“ทำไรอยู่เนี่ย” เขาบ่นกับตัวเอง ร้อนก็ร้อน หิวก็หิว แล้วชื่อหนึ่งก็ผ่านตาเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวเมื่อเขาพยายามไล่หารายชื่อของเพื่อนคนอื่นๆ เดียร์ลังเลอยู่พักใหญ่แต่ก็จงใจเลื่อนทิ้งไป...

ในขณะที่กำลังสนใจอยู่กับโทรศัพท์ ไม่รู้ตัวเลยว่ามีเงาของใครคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนั้นเข้าประชิดตัวและรีบ ล็อกร่างของเขาจากด้านหลัง เดียร์ตกใจจนทำโทรศัพท์หล่นจากมือ จะร้องตะโกนให้คนช่วยก็โดนปิดปากไว้เสียแล้ว

“เงียบซะ!”

“อื้อ อื้อ” เด็กหนุ่มใช้เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดพยายามขัดขืน ทั้งโกรธทั้งหวาดกลัวในคราวเดียวกัน เพราะเขากำลังเสียเปรียบ

ก่อนที่จะคิดอะไรออก ก็โดนใครอีกคนเอาผ้ามาปิดตาไว้ คราวนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าพวกมันมีอยู่กี่คนกันแน่

“พวกมึงเป็นใคร?” เขาถามซ้ำ กดเสียงต่ำอยู่ในลำคอ ก่อนจะโดนปิดปากด้วยผ้าอีกผืน รวมทั้งสองมือที่ถูกมัดไพร่หลัง

พวกมันเป็นใคร?

ถ้าตั้งใจจะมีเรื่องกับเขาจริงทำไมไม่ใช้โอกาสนี้จัดการเสียเลยล่ะ ในตอนที่เขาเสียเปรียบ ทั้งที่โอกาสก็อยู่ในมือแล้ว ทำไมต้องประวิงเวลา

มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

แล้วเขาก็รู้สึกเหมือนทั้งตัวลอยจากพื้น

“ปล่อยกู ปล่อย!” การต่อสู้ด้วยอาวุธหรือความรุนแรงยังน่ากลัวน้อยกว่าการต้องมาเผชิญกับอะไรเช่นนี้เสียอีก เขารู้สึกอึดอัดที่ไม่สามารถทำอะไรได้ และไม่รู้เลยว่าพวกมันเป็นใคร และต้องการอะไรจากเขากันแน่

รู้สึกอีกทีตอนถูกจับโยนเข้ามานั่งในรถ ได้กลิ่นน้ำหอมจากเครื่องปรับอากาศ แม้มันจะช่วยคลายความหวาดกลัวในใจนี้ได้บ้างว่ามันจะยังไม่ทำร้ายเขา แต่ก็ยังกังวลอยู่ดีเมื่อรถเริ่มเคลื่อนตัวไปในทิศทางที่เริ่มคดเคี้ยว รู้สึกว่ามันช่างยาวนานเหลือเกิน ความมืดทำให้รู้สึกเคว้งคว้างไร้ทิศทาง  เขาเริ่มปวดหัว ไม่รู้เลยว่าทิศไหนเป็นทิศไหน หากจะทรมานกัน นี่คงเป็นวิธีที่ฉลาดที่สุดแล้ว เผชิญกับความรุนแรงตั้งแต่แรกยังน่ากลัวน้อยกว่าด้วยซ้ำ

ราวกับว่าพวกมันรู้จุดอ่อนของเขาดี...

ไม่ไหวแล้ว...อยากออกไปจากที่นี่ ทรมานเหลือเกิน...

 

 

ก่อนใบหน้าซีดเผือดจะฟุบลงไปกับเบาะข้างๆ ก็มีช่วงไหล่ของใครบางคนคอยรองรับ เดียร์สะดุ้งสุดตัว และรีบถอยห่างออกมาอย่างระแวดระวัง แต่ก็โดนมือหนากระชากไว้ ที่แขนนั้นเจ็บร้าวไปหมด เมื่อฝืนไม่ได้ จำเป็นต้องยอมไปตามแรงนั้น

รู้สึกตัวอีกทีเขาก็นอนอยู่ฟูกนุ่มๆ แล้ว เสียงเครื่องปรับอาการกำลังทำงาน นี่คงเป็นห้องนอนแน่ๆ เขาได้กลิ่นน้ำมันหอมระเหยลอยมาเป็นระยะ แม้กลิ่นเปปเปอร์มิ้นท์จะทำให้เขาผ่อนคลาย แต่ก็อดนึกถึงความอันตรายที่อาจจะแฝงมากับกลิ่นนี้ หัวใจเขาเต้นรัวด้วยความกระวนกระวาย พยายามกลั้นหายใจอย่างสุดความสามารถ เด็กหนุ่มรีบซุกหน้าลงกับที่นอนดิ้นรนแกะผ้าผูกตาด้วยวิธีของตนเอง เมื่อได้ยินเสียงว่ามีคนเข้ามาในห้อง หัวใจของเขากลับมาเต้นรัวอีกครั้ง ก่อนจะมีมือเอื้อมมาแกะปมผ้าที่ปิดปากให้ ทันทีที่เป็นอิสระ เดียร์ก็โพล่งขึ้นมาทันทีด้วยความเดือดดาล

“พวกมึงเป็นใคร?” แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ กลับมา นั่นยิ่งทำให้เขาเริ่มทนไม่ไหว “ตอบมาสิ! มึงเป็นใคร จับกูมาทำไม!” เด็กหนุ่มพยายามเร่งเร้า แต่คราวนี้เขาได้ยินเสียงฝีเท้านั้นเริ่มไกลออกไปแล้ว

“จับกูมาทำไม! มึงต้องการอะไรกันแน่!” แม้รู้ตัวว่าต่อให้พูดไปเท่าไรมันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะดูเหมือนฝ่ายนั้นจงใจจะให้เขาทรมานด้วยการไม่รู้อะไรต่อไปแบบนี้ และยิ่งเขาโวยวาย ยิ่งหวาดกลัวได้มากเท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งพอใจมากเท่านั้น ทั้งที่รู้ตัวว่าตอนนี้กำลังเสียเปรียบ กำลังพ่ายแพ้ให้กับวิธีการของพวกมัน

“แน่จริงก็เข้ามาจัดการเลยสิ! รออยู่ทำไม! อยากจะฆ่าก็ฆ่าให้ตายไปเลย!!!” ไม่รู้ว่าพูดประชดออกไปทำไม ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกน้อยใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ไม่เคยยอมแพ้กับอะไรมาก่อน แต่ทำไมต้องรู้สึกอ่อนแอ เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่ตัดสินใจหนีจากบางคนมา จนตอนนี้หมอนั่นอาจจะไม่รู้เลยว่าเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง แต่ไม่รู้นั่นแหละดีแล้ว คนแบบนั้นน่ะไม่สมควรจะได้รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร

และถ้าเขาเกิดหายไป มันก็สาแก่ใจดี!

เสียงสูดลมหายใจเข้าปอดพร้อมกับก้อนสะอึกที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จะเช็ดน้ำตาของตัวเองตอนนี้ดีไหม หรือปล่อยให้มันไหลอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรต้องอายเลยนี่ เขาไม่เหลืออะไรต้องเสียแล้ว

ใครจะมาสนใจชีวิตที่ไม่มีค่าแบบนี้กันล่ะ

“จะทำอะไรก็เชิญ แต่กูบอกไว้ก่อนเลยว่าพวกมึงน่ะคิดผิดแล้วที่จับตัวกูมา กูไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับ...ไอ้อธินนั่น”

แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรอัดแน่นอยู่ในอก เจ็บร้าวไปหมดยามที่นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่าง “ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะใช้กูไปต่อรอง เพราะกูไม่ใช่คนที่มัน...” เสียงแหบแห้งหายไปในลำคอ กับสัมผัสที่จู่โจมเข้ามาอย่างรวดเร็ว เดียร์ดิ้นรนขัดขืน พยายามหนีจากสัมผัสที่ไม่ต้องการ ริมฝีปากอุ่นร้อนประกบลงมา แล้วมือหนาก็ล็อกต้นคอของเขาไว้จนไม่สามารถทำอะไรได้

ไม่นะ อย่าทำแบบนี้...

“ถ้ายังพูดอะไรแบบนั้นออกมาอีก คราวนี้ฉันจะไม่ปล่อยนายไปเลยจริงๆ!”

สะ..เสียงนี้!

ปมเชือกด้านหลังที่ปิดตาเขาไว้ถูกคลายออก และร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้าก็ทำให้คนที่หวาดผวาตื่นตะลึง ตกใจจนพูดไม่ออก

“น..นาย!!..” ใช่คนเดียวกับที่เขากำลังหนีอยู่...อธิน

“ถ้านายยังกล้าบอกว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน! คราวหลังพูดแล้วก็ไม่ต้องร้องไห้!” เสียงเย็นเยือกตอบกลับมา เขามองสบตาเด็กตรงหน้าไม่ลดละ และพูดต่อ

“คนที่เก่งแล้ว เขาไม่มาเสียใจกับเรื่องแค่นี้หรอก และเขาก็ไม่ใช้วิธีงี่เง่าประชดตัวเอง ไม่ทำให้คนอื่นเป็นห่วงแบบนี้ ถ้านายอยากได้ชีวิตอิสระโดยไม่มีฉันไปเกี่ยวข้องล่ะก็...ทำให้ฉันเห็นสิว่านายดูแลตัวเองได้ ไม่ใช่แบบนี้!”

“มีสิทธิ์มาตัดสินชีวิตคนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่?” อธินไม่ตอบคำถาม แต่เขาอ้อมมาแก้ปมผ้าที่ตนเองเป็นคนผูกไว้ ที่สองมือนั้นออก ความใกล้ชิดนี้ทำให้เดียร์หวั่นไหว พอถูกปล่อยให้เป็นอิสระเขาก็เข้าใจทุกอย่างดี

เห็นไหมล่ะว่า…เขาไม่ควรหวังอะไรจากผู้ชายคนนี้

เด็กหนุ่มรีบลงจากเตียง เดินไปเปิดประตูโดยไม่สนสายตาคมกล้าที่กำลังจับจ้องทุกการกระทำ แล้วก็ได้รู้ว่าที่นี่คือคอนโดของหมอนั่น เขาจำรูปของพี่ปั้นที่แขวนอยู่บนผนังได้แม่น ซึ่งมันช่วยตอกย้ำให้รู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่เขาควรอยู่ และควรไปจากให้เร็วที่สุด รู้แล้วว่าในใจของอธินไม่ได้มีที่ว่างให้ใครตั้งแต่แรก

อธินหยุดอยู่เบื้องหลังของคนที่กำลังยืนสั่นสะท้าน เด็กหนุ่มหันมาหาเขาช้าๆ ด้วยสายตาของคนที่กำลังผิดหวังบนแก้มของเด็กจอมพยศเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ริมฝีปากขบแน่น พยายามข่มเสียงสะอื้นไว้จนมันแดงก่ำ เห็นแล้วเขาก็รู้สึกเจ็บปวดไม่แพ้กัน

“ที่ผ่านมาฉันมั่นใจมาตลอดว่านายก็ชอบฉัน…ตอนนี้มันน่าอายมากเลยรู้ไหม? ที่ต้องมายืนต่อหน้านายแบบนี้กับคำตอบที่ว่าฉันมันคิดอะไรไปเอง” อธินนิ่งเงียบ นั่นเป็นการกระทำที่ทำให้คนพูดยิ่งใจหาย

 “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก หลังจากนี้ฉันจะใช้ชีวิตของตัวเองให้ดีเลยล่ะ” เด็กหนุ่มฝืนยิ้มทั้งน้ำตาคลอ ไม่อยากให้ใครมองว่าเป็นฝ่ายแพ้ ก่อนจะเหลือบไปมองรูปของพี่ปั้นบนผนังอีกครั้ง และหันมาพูดบางอย่างกับผู้ชายตรงหน้า

“ขอให้นายสมหวัง...” ร่างสูงที่นิ่งเงียบอยู่นานเป็นฝ่ายรวบเอวของคนที่คิดจะหนีจากเข้ามาชิด ประคองใบหน้าของคนที่กำลังเสียใจเข้ามาใกล้ๆ กระชับร่างเพรียวบางไม่ให้หนีไปไหน เขาจูบประทับลงไปอย่างนิ่มนวลบนริมฝีปากที่สั่นระริก เดียร์ไม่ขัดขืนซ้ำยังยินยอมให้เขาจูบตามใจ คงอาจเป็นเพราะคิดว่านี่เป็นสัมผัสสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้รับ พรุ่งนี้เราก็คงจะไม่เจอกัน หลังจากนี้ก็คงกลายเป็นคนแปลกหน้า

อธินจูบเนิ่นนาน ราวกับต้องการย้ำเตือนอะไรบางอย่างที่บางคนอาจจะหลงลืมไป เขาก็แค่อยากทำให้เด็กตรงหน้าได้รู้อะไรขึ้นมาบ้าง ถึงไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากนั้นเป็นอิสระสักที

เดียร์หน้าร้อนผ่าวเมื่อลืมตามองเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ต้องเศร้าใจเมื่อคิดว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เราจะได้ใกล้ชิดกันแบบนี้

“นายมันก็แค่เด็กโง่ๆ คนหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย” ประโยคนี้ทำให้คนที่กำลังสับสนมีสีหน้าเปลี่ยนไป “แล้วฉันก็ไม่อยากจะอธิบายอะไรให้มากความ เพราะต่อให้พูดอะไรไปนายก็ไม่ยอมฟัง ดีไม่ดีก็จะหาว่าฉันแก้ตัวอีก”

“อะไร?” ดวงตากลมสวยทอแววสับสน เดียร์พยายามมองลึกลงไปในดวงตาคู่นั้น...หมอนั่นกำลังจะพูดอะไรกันแน่

“นายกำลังคิดว่าฉันสนใจคนในรูปมากกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าใช่ไหม?” เด็กหนุ่มเบือนหน้าหนี ไม่ยอมรับ เริ่มสับสนแล้วว่าเขาหมายถึงเรื่องไหน

 “น้อยใจคนในรูปงั้นหรือ ทั้งที่นายกำลังยืนอยู่ตรงหน้าฉันเนี่ยนะ?”

“ก็มัน...”

“ทำไม?”

อธินถามย้ำ เขาพยายามแยกแยะความจริงให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร และที่ไม่ยอมเอารูปนั้นออก ก็เพื่อต้องการให้เด็กดื้อนี่มาเห็นอีกครั้งนั่นแหละ เขาไม่กลัวถูกเข้าใจผิด ก็เพราะว่ามันไม่มีเรื่องราวอะไรให้เข้าใจผิดอีกแล้ว

“ขอถามหน่อยว่าใครกันแน่ที่ควรจะเสียใจ ฉันทำอะไรตั้งมากมายแต่มันมาพังหมดเพราะเรื่องแค่นี้ นายนี่มัน...น่าโมโหจริงๆ”

“อะไรเล่า?”

“อย่าเถียง!” จบคำนั้นคนตัวเล็กกว่ารีบหันขวับมามองด้วยความน้อยใจ ถูกหาว่าทำทุกอย่างพังก็ครั้งหนึ่งแล้ว หมอนั่นยังคิดว่าเขางี่เง่าไร้เหตุผลอีกหรือ

“แล้วถ้าฉันเอารูปแฟนเก่าขึ้นมาเป็นภาพหน้าพักจอบ้าง นายจะรู้สึกอะไรไหมล่ะ?”

“ก็เอามันมาตั้งเลยสิ ใครมันจะไปสน! ก็นอนอยู่ด้วยกันทุกคืน นายคิดว่าฉันจะยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นหรือ!”

“ฉันไม่เหมือนนายหรอก งั้นก็ขอโทษด้วยที่เข้าใจผิด ฉันมันงี่เง่าไร้เหตุผลเอง นายอย่าถือสาเลย”

อธินรู้สึกว่าเรื่องนี้มันเริ่มยุ่งยากขึ้นอีกแล้ว เขาเริ่มปวดหัวกับเด็กตรงหน้าที่อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จนเข้าขั้นเอาใจยาก

“ปล่อยเถอะ! อยากจะกลับแล้ว” เดียร์ยังคงรั้น ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆ ต่อให้อธินพูดว่าเรื่องมันจบไปนานแล้ว แต่ใจเขาก็ยังไม่ยอมรับอยู่ดี อธินเดินไปที่ประตู แล้วตั้งรหัสผ่านไว้ป้องกันไม่ให้เด็กตรงหน้าหนี

“จะทำอะไร?” เด็กหนุ่มเริ่มร้อนรนใจ รีบพุ่งไปขัดขวางแต่ก็ช้าไปเสียแล้ว

เขาไม่เคยรู้สึกอยากขย้ำคนได้มากเท่านี้มาก่อน ตอนที่เห็นเด็กนี้กำลังกดรหัสผ่านแทบเป็นแทบตาย ถ้าเขาเป็นเสือรับรองได้เลยว่าคงไม่ใจเย็นปล่อยให้เหยื่อมายืนยั่วอารมณ์ได้นานแบบนี้แน่

“นายนี่มัน...” ร่างสูงเริ่มระอา น้ำเสียงขุ่นเคืองบ่งบอกถึงอารมณ์ เดียร์รู้สึกถึงลมหายใจที่เป่ารดอยู่บริเวณพวงแก้ม อธินยืนซ้อนอยู่เบื้องหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ เด็กหนุ่มหัวใจเต้นแรงเมื่อสัมผัสได้ว่ามีใครยืนอยู่ใกล้ขนาดนี้ มือหนาวางทาบลงบนนิ้วเรียวที่พยายามเดารหัส เขาจับมือนั้นไว้แล้วลากไปตามแป้นพิมพ์เพื่อบอกรหัสผ่านที่ถูกต้อง

0…3…. แล้วก็ตัดสินใจหยุดไว้แค่นั้น ริมฝีปากขโมยจูบลงไปที่แก้มอย่างแผ่วเบา ประสานมือไว้ด้วยกันอย่างอาลัยอาวรณ์

“ฉันจะไม่ปล่อยนายไปไหน จนกว่านายจะเลิกพูดคำว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกัน” น้ำเสียงแหบพร่าเพียงเอ่ยกระซิบ แม้จะแผ่วเบาแต่ความหมายของมันฟังแล้วกระแสความอบอุ่นกลับแล่นริ้วไปทั้งร่าง

อธินดึงมือเด็กตรงหน้ากลับเข้ามาใหม่ เขาเดินนำไปที่รูปอดีตคนรักแล้วถอดฉากผ้าใบนั้นลงมาแล้วหันกลัมาถาม

“นายแคร์แค่ภาพๆ เดียวจริงๆ หรือ?” ชายหนุ่มตรงไปที่โต๊ะทำงาน คลิกเปิดโฟลเดอร์หนึ่งในแลปท็อป ทำให้เห็นไฟล์ภาพจำนวนมากที่คิดว่าใครบางคนคงไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

นั่นคือ...

เด็กหนุ่มค่อยๆ เดินมาใกล้ ทำให้เห็นภาพทุกใบชัดเจน สองแก้มร้อนผ่าวกระแสความอบอุ่นแทรกเข้ามาทำให้รู้สึกตื้นตันใจ นี่คือภาพทั้งหมดของเขาจริงๆ หรือ...

เดียร์จำไม่ได้ว่าตัวเองถูกถ่ายตอนไหน นั่นเป็นรูปของเขาในวันที่แข่งกีฬา กำลังทำหน้าพะวงก่อนการแข่งขัน ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังโดนถ่ายรูป แล้วนั่นก็ยังเป็นรูปเขาตอนซ้อมวิ่งที่ชายหาด ตามด้วยรูปที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าอิ่มเอม มีความสุข แล้วความขัดเขินก็ทำให้สองแก้มค่อยๆ กลายเป็ฯสีแดงระเรื่อ

“มาแอบถ่ายทำไมเนี่ย?”

 “นายนี่มัน! ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

“ถะ ถอยออกไปหน่อย” เดียร์ถอยกรูดไปสองก้าวด้วยสีหน้ายากลำบาก ไอ้ที่โกรธมาทั้งหมด ที่งอนมาหลายวันน่ะหายแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่อยากเข้าใกล้ แต่เวลานี้มันเขินมากกว่า เขินที่ได้มาเห็นอะไรแบบนี้

เขาอยู่ในสายตาหมอนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่...

ไม่ใช่ว่าตัวเองหรอกหรือที่เป็นฝ่ายชอบหมอนั่นก่อน ทั้งที่คิดมาตลอดเลยว่าเป็นฝ่ายชอบเขาข้างเดียว และกว่าจะกล้ายอมรับว่าชอบ แต่หมอนั่นกลับ...

ชอบเขาก่อนเสียอีก

“ทำไมล่ะ พอรู้ความจริงแล้ว...ทำตัวไม่ถูกเลยสินะ” ฝ่ายนั้นก็ยังรุกเข้ามาแบบจริงจัง จนไม่แน่ใจแล้วว่าแกล้งแหย่เล่นๆ หรือคิดจะเอาจริง “แล้วทีนี้นายจะยังน้อยใจกันอยู่ไหม? จะยอมรับได้รึยังว่าเราเป็นอะไรกัน”

“มาถามทำไมอีกเล่า…” สองแก้มร้อนผ่าว กับความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลย

“งั้นก็อย่าให้รู้ว่ากล้าพูดแบบนั้นอีก" อธินยิ้มบาง ก่อนกลับมาทำน้ำเสียงจริงจัง "นายจะโกรธ งอน หรือทะเลาะกับฉัน ก็อย่าคิดเด็ดขาดว่าเราจะต้องเลิกกันเพราะปัญหาแค่นั้น ไม่มีอะไรจะมาตัดสินเราได้นอกจากหัวใจ ถ้าหากยังรักก็ไม่ต้องสนใจอย่างอื่น โกรธกันแค่ไหนสุดท้ายเราก็กลับมาเข้าใจกันได้ หรือนายอยากจะงอนฉันก็ไม่ว่า แต่ห้ามหนีหน้า หรือหายไปไหนทั้งนั้น แค่อยู่ในสายตาของฉัน อย่าหายหน้าไป เพราะมันยิ่งทำให้ฉันหวาดกลัว กลัวนายจะได้รับอันตราย รู้ใช่ไหมว่าฉันไม่ใช่บุคคลที่ควรจะเข้าใกล้ เพราะฉะนั้น…เมื่อนายเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตฉันแล้ว แน่นอนว่าศัตรูมันจะมองเห็นเราเป็นคนเดียวกัน และฉันก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นกับนาย”

เหตุผลต่างๆ ที่อธินไม่เคยพูดมันออกมา พอได้รับรู้แล้วมันซับซ้อนยิ่งกว่าที่เด็กอย่างเขาจะนึกถึง ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดอะไรแบบนี้เลย ช่างเป็นคนที่งี่เง่า เอาแต่ใจ ไร้เหตุผลอย่างที่ว่าจริงๆ

“เราไม่ได้อยู่ด้วยกันในฐานะแฟน ไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ฉาบฉวยแบบคู่รักทั่วๆ ไป ที่เจอปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็เลิกกัน สำหรับฉัน...ความรักมันมีความหมายมาก เข้าใจใช่ไหม?” มือหนาเฉยคางมนขึ้นสบตา เขามองลึกไปในดวงตาคู่เดิมที่เคยพยศใส่ บัดนี้เริ่มฉายแววไร้เดียงสา ยอมรับฟังทุกอย่างที่เขากำลังเอื้อนเอ่ย

“หมายถึงความรับผิดชอบที่จะดูแลชีวิตคนๆ หนึ่งไปตลอด อย่างที่ฉันเคยทำมาทั้งหมด นายมั่นใจในตัวฉันรึเปล่า แค่เชื่อใจฉัน…ไม่มีต้องกลัวอะไรอีกแล้ว”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารัวด้วยเสียงสะอื้น ตอนนี้พูดอะไรไม่ออก มันรู้สึกตื้นตันราวกับว่าที่กำลังยืนฟังอยู่นั้นมันคือคำมั่นสัญญา รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ จนคิดว่าตัวเองนั้นโชคดีเกินไปที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้จากคนที่ตัวเองรัก ส่วนตัวเขานั้นไม่รู้จะพูดตอบกลับไปอย่างไรดี อาจจะเพราะเป็นคนที่คิดคำพูดดีๆ ไม่เก่ง ความรู้สึกของเขานั้นอาจจะตอบกลับไปได้ดีกว่า 

เดียร์เขย่งปลายเท้าขึ้นไปให้ใกล้ชิดกับคนตรงหน้า จูบลงแผ่วเบาเพื่อต้องการซึมซับทุกถ้อยคำให้ตราตรึงไปถึงหัวใจ

คนตรงหน้าเป็นของเขา...ไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?

สองมือโอบรอบต้นคอของร่างสูงไว้ ต้องการให้แนบชิดยิ่งกว่าเก่า ราวกับอยากกลืนหายไปกับอ้อมกอดนั้น เรียวลิ้นตวัดแผ่วเบาอยู่บริเวณริมฝีปาก เอาใจคนตัวสูงกว่าด้วยการขบเม้มเบาๆ

“อย่ามายั่วกันตอนนี้นะไอ้เด็กโง่!” อธินกระซิบห้ามด้วยเสียงที่เร่าร้อน แต่เหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว เมื่อบางคนนั้นดูเหมือนจะรู้งานมากเกินไป เด็กตรงหน้าพรมจูบอยู่บริเวณซอกคอ ขบเม้มเบาๆ แกล้งให้เขาหวั่นไหวก่อนจะเงยขึ้นมามองกันอย่างท้าทาย

เขาไม่อยากเป็นเสือใจดีต่อไปแล้ว...คงต้องรีบจัดการเหยื่อที่กล้าท้าทายให้รู้จักเข็ดหลาบซะบ้าง

     0303

แล้วหมอนั่นก็เฉลยให้เขารู้ว่ารหัสของห้องนี้คืออะไร ก็ตอนที่นาฬิกาดิจิตอลบนหัวเตียงบอกเวลาตีสามสามนาที กว่าเขาจะได้รับอิสระก็เป็นตอนที่ไร้เรี่ยวแรงจะลุกจากเตียงแล้ว สาบานเลย ถ้ารู้ว่ามันจะลงเอยแบบนี้...อยู่เฉยๆ ตั้งแต่แรกเสียก็ดี ไม่น่าไปท้าทายหมอนี่เลย!

 

ดวงตากลมโตมองไปยังคนที่อยู่ข้างๆ เจ้าของใบหน้าคมคายทรงเสน่ห์นั้นกำลังหลับสนิท นิ้วเรียวไล่แตะไปตามสันจมูก จบลงที่ริมฝีปากหยักสวยที่เคยสัมผัสมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ก็ไม่เคยรู้สึกเบื่อ เขาเท้าคางมองคนที่กำลังหลับใหล เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่ามีคนนอนไม่หลับเพราะเอาแต่มองอยู่แบบนี้ เดียร์ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าท้ายที่สุดแล้ว ชีวิตของเขาจะมาลงเอยกับคนๆนี้

ตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ารัก ก็ไม่อาจละสายตาไปไหนได้อีกแล้ว

"เดียร์....อธิน...." เสียงแผ่วเบากระซิบบอก นั่นคือความรู้สึก คือความในใจ อย่างที่ไม่รู้จะสรรหาคำใดได้อีกแล้ว

 

14/10/16

 

อธินที่รัก!

ได้ยินอะไรไหม? ที่ฉันเพิ่งบอกไปอ่ะ หลับอยู่สินะ ถึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังถูกลวนลามทางสายตาแบบนี้ ฮ่าๆ นายนี่มันไม่ได้เรื่องเลยว่ะ ทั้งที่ฉันตั้งใจบอกรักอยู่แท้ๆ (ไม่ได้เรื่องๆๆๆๆๆ)

(u_U zzzZZZ ) อธิน!!!! <<< ขอบใจนะที่ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน ขอบใจที่ทำให้รู้ความหมายของการดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ รักของนายมันทำให้ฉันเข้าใจอะไลรหลายๆ อย่าง ฉันรู้สึกดีใจมากที่เราได้เจอกัน (แม้จะเคยเกลียดมากก็ตาม^^5555555555)

อ้อ! ที่เขียนจดหมายมายืดยาวขนาดนี้ ก็เพราะว่าฉันไม่กล้าพูดอะไร(เลี่ยนๆ)ต่อหน้านายว่ะ (จริงๆ)(ไม่ได้กวนนะ สาบาน! เชื่อ!!!)
ฉันคงจะลิ้นพันจนพูดไม่รู้เรื่อง ถถถถถถถถถ+ หรืออาจเผลอด่านายกลับได้ หากนายแหย่ให้ฉันรู้สึกเขินน่ะ (เว่อร์จริมๆ^0^) แล้วก็ไม่อยากพิมพ์บอกในข้อความด้วย (เปลืองเนต) อยากให้นายได้อ่านแบบนี้มากกว่า นายจะได้รู้ว่าฉันตั้งใจขนาดไหน^^

เอาเป็นว่ารีบตื่นขึ้นมาอ่านได้แล้ว! (เร็วๆ ) อย่าขี้เซานักเลย (ไอ้ขี้เซาๆๆๆ)

รักนาย!<<<<<<(เดียร์ไม่ได้เขียน)

เดียร์<<<<<(ไม่รู้จักว่าใครชื่อนี้)

 

 

 

 

 

THE  END

 ...

 




อิจฉาน้องเดียร์เนอะที่ได้พี่อธินเป็นแฟน ฮ่าๆ ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ

เรื่องนี้จบแล้ว แต่อาจจะเขียนถึงช่วงที่ 4 คนมาเจอกันอีกครั้ง น้องเดียร์จะได้เจอพี่ปั้น
และการปิดบังของคนน้องที่ไม่ยอมให้พี่ปั้นรู้ว่าเป็นอะไรกับอธิน
ยังไงฝากติดตามด้วยนะคะ

รักกกกกกกกกก

 
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Gatjang_naka ที่ 23-06-2018 09:03:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 30-06-2018 15:46:20
มาอ่านเรื่องนี้เลย ไม่มีพื้นฐานจากเรื่องปั้นแต่อย่างใด แต่ก็น่ารักอบอุ่นดี หัวแข็งทั้งคู่ ขอบคุณคนเขียนมากสำหรับผลงานดีๆ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 30-06-2018 15:55:17
เพิ่งไปหาเรื่องปั้นมา ดูชื่อเรื่องปรากฎว่าเคยอ่านแล้วแต่ลืม ขอโทษอย่างรุนแรงเน้อคนเขียน
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: kun ที่ 14-07-2018 10:47:48
น่ารัก ชอบคู่นี้จัง
รอตอนพเศษน่ะ
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-09-2018 20:44:06
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 25-09-2018 19:44:18
 :L1:
หัวข้อ: Re: Dear to me >> 23 : Dear...Atin (End)
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:47:56
 :pig4: