พิมพ์หน้านี้ - It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: undersky ที่ 15-07-2013 23:20:56

หัวข้อ: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 15-07-2013 23:20:56
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้



1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0


------------------------------------------------------------------------------------------------------------






It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก

บทนำ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2433882#msg2433882)
ตอนที่ 1 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2451233#msg2451233)
ตอนที่ 2 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2459593#msg2459593)
ตอนที่ 3 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2475816#msg2475816)
ตอนที่ 4 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2488317#msg2488317)
ตอนที่ 5 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2503653#msg2503653)
ตอนที่ 6 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2518692#msg2518692)
ตอนที่ 7 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2531852#msg2531852)
ตอนที่ 8 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2544869#msg2544869)
ตอนที่ 9 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2563310#msg2563310)
ตอนที่ 10 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2651692#msg2651692)
ตอนที่ 11 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2663063#msg2663063)
ตอนที่ 12 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2675294#msg2675294)
ตอนที่ 13 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg2749090#msg2749090)
ตอนที่ 14 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3108292#msg3108292)
ตอนที่ 15 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3118035#msg3118035)
ตอนที่ 16 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3129213#msg3129213)
ตอนที่ 17 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3146492#msg3146492)
ตอนที่ 18 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3157439#msg3157439)
ตอนที่ 19 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3166498#msg3166498)
ตอนที่ 20 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3181746#msg3181746)
ตอนที่ 21 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3195707#msg3195707)
บทส่งท้าย (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3201091#msg3201091)
ตอนพิเศษ : โลก (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3214351#msg3214351)
ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=38553.msg3221794#msg3221794)





**Note** เป็นภาคของกราฟและไนล์จากเรื่อง  "It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ" นะคะ
ใครที่ไม่ได้อ่านเรื่องก่อน แต่อ่านเรื่องนี้แล้วสนใจคู่พี่ภูกับไฮยีน ติดตามอ่านได้จากลิงค์นี่ค่ะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29969.0



เรื่องอื่นๆ
- It's U, It's Me : กวนนัก แต่รักนะครับ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=29969.0)
- 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」 (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.0)

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 15-07-2013 23:23:47
บทนำ : นับหนึ่ง

















ความทรมานอัดแน่นอยู่เต็มอก ราวกับหายใจไม่ออก และมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง มีแต่ความดำมืดที่โอบล้อมอยู่รอบตัว ผมเกือบจะถูกความมืดนั้นกลืนหายไป ถ้าไม่มีใครคนหนึ่งคว้ามือของผมเอาไว้ พร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

วินาทีที่ลืมตาขึ้นมาและเห็นว่าคนคนนั้นคือใคร ผมก็ถูกกระชากเข้าสู่อ้อมแขนที่เล็กกว่านั้นแล้ว มันกอดผมเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าผมจะหายไป เสียงสะอื้นพร่ำซ้ำแล้วซ้ำอีกแสดงให้ผมรู้อย่างชัดเจนว่ามันเสียใจมากแค่ไหน

“ไอ้กราฟ กลับมา! อย่าทิ้งกูไปนะ กูอยู่ตรงนี้ไง”

ความอบอุ่นที่ห่อหุ้มตัวผมเอาไว้ค่อยๆ ซึมซับเข้ามาทางผิวหนังที่เปียกปอนและเย็นชืดช้าๆ ให้ผมรู้ว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่ได้จมหายไปกับความมืดมิดที่ว่างเปล่า ผมจึงค่อยๆ ยกแขนขึ้นกอดร่างผอมบางนั้นเอาไว้และซุกหน้ากับบ่าของมันแน่น ความรู้สึกผิดเอ่อล้นเต็มหัวใจ

ทั้งที่สัญญากับมันแล้วว่าผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จะอยู่ดูแลมันแทนใครอีกคนที่จากไป แต่ผมก็ยังทำผิดเป็นครั้งที่สอง

“มึงไม่ได้ไม่เหลือใคร มึงยังเหลือกูอยู่ อย่าทำแบบนี้อีก”

“...”

“ไม่ว่ายังไงมึงก็อย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนี้อีก มึงต้องอยู่กับกู ต้องอยู่กับกูตลอดไป”

ประโยคเล่านั้นดังสะท้อนอยู่ในหูของผมหลายต่อหลายครั้ง คล้ายกับจะก้องกังวานจวบจนความเสียใจที่อัดแน่นอยู่เต็มอกจะจางหายไป ผมกระชับวงแขนให้แน่นมากขึ้นราวกับเด็กที่โหยหาความอบอุ่น ทั้งที่ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า... ผมเป็นคนอบอุ่น

“กูรักมึงนะกราฟ กูรักมึงมาก กูทนไม่ได้ถ้าต้องเสียมึงไป มึงห้ามตายจนกว่ากูจะอนุญาต ได้ยินไหม”

เสียงเดิมยังคงดังอย่างตีบตันด้วยอาการหอบสะอื้น ให้ผมรู้ว่าผมสำคัญสำหรับมันมากแค่ไหน ให้ผมรู้ว่าผมยังมีคุณค่า มีความจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตอยู่

“อื้ม”

ผมขานรับมันสั้นๆ ทั้งที่รู้สึกจุกแน่นเต็มลำคอ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกีดขวางทางออกเอาไว้ แต่นั่นก็เป็นดั่งคำยืนยันแล้วว่าผมจะไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นอีก เพราะผมรู้แล้วว่าตอนนี้ผมมีความสำคัญกับใคร และผมก็ยกให้มันเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของผมเช่นกัน

ไฮยีน... เพื่อนรักของผม

คนที่ช่วยฉุดดึงผมจากความตายถึงสองครั้ง...

ผมจะอยู่เพื่อมัน จะมีชีวิตและมีลมหายใจเพื่อมัน แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นหัวใจของผมก็ตาม












ผมลืมตาขึ้นช้าๆ และสิ่งแรกที่เห็นก็คือเพดานสีขาวที่ว่างเปล่า มีเพียงหลอดไฟซึ่งถูกครอบด้วยฝาขุ่นประดับลวดลายสีขาวที่ไร้แสงสว่าง เพราะมันไม่ได้ถูกเปิดทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อคืน เปลือกตากะพริบอยู่สองสามครั้งเพื่อปรับสภาพให้เห็นภาพเบื้องหน้าได้ชัดเจนขึ้น พร้อมกับการจูนสมองกลับมาสู่ปัจจุบันอีกครั้ง

นานแล้วที่ผมไม่ได้ฝันถึงเรื่องราวในอดีต อาจจะเกือบหนึ่งปีได้ อดีตนั้นเป็นที่ดั่งฝันร้ายและตราบาปในชีวิตของผมมาหลายปี ผมทำความผิดกับคนคนหนึ่งเอาไว้ และผมไม่สามารถชดใช้ความผิดนั้นได้หมดจนกว่าผมจะหมดลมหายใจ

กรอบรูปที่หัวเตียงถูกหยิบมาไว้ในมือ ผมทิ้งสายตาค้างไว้ที่แผ่นกระจกใสแต่ไร้ซึ่งรูปถ่ายใดๆ มีเพียงแผ่นไม้ที่รองอยู่ด้านหลังในกรอบนั้น ทว่าแม้จะไม่มีภาพใดปรากฏอยู่ ผมก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจนจากความทรงจำที่ยังหลงเหลืออยู่

ครั้งหนึ่งมันเคยมีภาพของใครคนหนึ่งที่สำคัญกับผมมากๆ แต่คนสำคัญอีกคนก็บอกให้เอารูปนั้นออก เพราะไม่อยากให้ผมต้องจมอยู่กับอดีตที่แก้ไขไม่ได้ และผมต้องมีชีวิตต่อไปเพื่ออนาคต

ไฮยีนบอกกับผมเอาไว้แบบนั้น

ผมวางกรอบรูปไว้ที่เดิม ค่อยๆ ลุกจากเตียง และคว้าผ้าเช็ดตัวก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อจัดการกับร่างกายที่โทรมด้วยเหงื่อจากการฝันร้าย ซึ่งหลังจากอาบน้ำแต่งตัว ฉีดน้ำหอมกลิ่นประจำตัวแล้วผมก็ขับรถออกจากคอนโดตรงไปมหา’ลัย เพราะนัดกับเพื่อนๆ ไว้ที่โรงอาหารเพื่อกินข้าวเช้าด้วยกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปเรียนตามคณะ

แต่เมื่อจอดรถที่ลานจอดรถด้านข้างโรงอาหารแล้ว แทนที่ผมจะได้เดินตรงไปหาเพื่อนๆ ที่นั่งรออยู่ ผมกลับถูกใครบางคนวิ่งชนเสียแรง และร่างนั้นก็กระเด็นลงไปนั่งกองกับพื้นจนผมเองยังตกใจ อาจเพราะว่าเธอค่อนข้างตัวเล็กมากเมื่อเทียบกับผมที่สูงร้อยแปดสิบสี่เซนติเมตร ผมจึงต้องรีบก้มลงมาช่วยเธอเก็บหนังสือและของในกระเป๋าที่เทกระจาดออกมาเต็มพื้น

“ขอโทษครับ”

“ฉันวิ่งชนเอง ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษ”

เสียงหวานๆ ของผู้หญิงที่วิ่งชนผมตอบกลับมาขณะที่ผมยังก้มๆ เงยๆ ช่วยเธอเก็บของ กระทั่งผมเก็บทางฝั่งผมเสร็จ ผมก็หันกลับไปยื่นของในมือที่เก็บได้คืนเธอ และมือเล็กบอบบางสมตัวก็ยื่นออกมาเพื่อรับของจากผมไป

“ขอบคุณค่ะ ฉันวิ่งชนแล้วยังต้องให้ช่วยเก็บของอีก แย่จริงๆ”

ผมได้โอกาสเห็นหน้าเธอเต็มๆ ตา ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมาขอบคุณ รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอหวานจนทำให้คนมองเคลิ้มได้ และชั่ววินาทีนั้น ผมรู้สึกราวกับโลกหยุดหมุนลงอย่างฉับพลัน ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มนั้นที่เธอตั้งใจมอบให้ผมด้วยความจริงใจ แต่เป็นใบหน้าของเธอที่เหมือนภาพซ้อนทับของใครบางคน

“มิ้น...”

ผมคว้ามือของเธอไว้อย่างลืมตัว ตายังมองเธอไม่เลิก เสียงหลุดลอดจากปากอย่างไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ผมรู้แต่ว่าตอนนั้นเหมือนผมหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เสียงอะไรบางอย่างที่เหมือนเข็มนาฬิกาขยับดังสะท้อนอยู่ในอก มันเป็นเสียงที่ผมไม่ได้ยินมานานแล้ว

ช่วงเวลาที่หายไป

หัวใจของผมที่หยุดทำงาน

นาฬิกาเรือนที่ฝังอยู่ในอกของผมเริ่มขยับอีกครั้ง...

“ไม่ใช่มิ้นค่ะ” เธอเหลือบมองเนคไทที่คอผมเล็กน้อย เพราะมันเป็นสัญลักษณ์ของเด็กปีหนึ่ง มือเล็กพยายามเลื่อนออกจากมือของผมอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เสียมารยาท รอยยิ้มที่เจื่อนลงนิดๆ แต่พยายามรักษาเอาไว้ยังปรากฏอยู่บนใบหน้าสวย “พี่ชื่อดาหลา อยู่บริหารฯ ปีสอง”

คำตอบนั้นเหมือนเป็นกุญแจที่ไขหีบซึ่งถูกล็อกเอาไว้ เสียง ‘กิ๊ก’ ดังหนึ่งครั้งก่อนผมจะรู้ตัวว่าเผลอทำอะไรลงไป จึงต้องรีบปล่อยมือเธอออก และรีบขอโทษขอโพยที่ทำให้เธอตกใจ

“ขอโทษครับ ผมเข้าใจผิดนิดหน่อย” ผมยิ้มให้เธอจางๆ อย่างรู้สึกผิด ซึ่งก็ทำให้เธอยิ้มได้กว้างขึ้น ลดท่าทีหวาดระแวงผม “ผมชื่อกราฟครับ อยู่นิเทศฯ ปีหนึ่ง”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

พี่ดาหลาส่งยิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนจะพยุงตัวขึ้นยืนหลังจากเก็บของลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พานให้ผมลุกขึ้นยืนตาม

“ครับ เมื่อกี้ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้พี่ล้ม”

“พี่ซุ่มซ่ามเองค่ะ”

เธอตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มสดใสที่เหมือนกับมิ้นไม่มีผิด ผมรู้สึกเหมือนก้อนเนื้อใต้อกที่เหมือนจะหยุดทำงานไปนานแล้วกำลังไหวระรัว จนผมได้ยินเสียง ‘ตึกตึก’ ค่อนข้างดังจากอกด้านซ้าย

“แต่ผมก็ทำให้พี่เจ็บอยู่ดี พี่มีแผลหรือเปล่าครับ”

เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ผมจึงรีบมองสำรวจตัวเธอว่ามีแผลหรือเปล่า แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงอย่างที่คิด

“พี่ไม่เจ็บตรงไหนจ้ะ แต่ว่าพี่คงต้องไปแล้วล่ะ ไว้มีโอกาสคงได้เจอกันใหม่”

ล่ำลาผมโดยที่ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไรกลับไป เธอก็ก้าวฉับๆ พร้อมกับหอบหนังสือไว้ในอ้อมแขนไปด้วย ปล่อยให้ผมได้แต่มองตามเธออยู่อย่างนั้น พร้อมกับความคิดว่าเธอเหมือนมิ้น... คนที่ผมรักและทำผิดต่อเธอมากจริงๆ

“นี่”

มือของใครบางคนที่วางลงบนบ่าของผมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยทำให้ผมสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันกลับไป เห็นเป็นผู้ชายรูปร่างบางคนหนึ่ง หน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไรเลยสักอย่าง มันเรียบเฉย เหมือนคนไร้ชีวิต แต่กลับเป็นใบหน้าที่เรียกได้ว่าสวยคงไม่ผิด ส่วนสูงของเขาน้อยกว่าผมเกือบสิบเซนติเมตรได้ น่าจะเตี้ยกว่าไฮยีนหนึ่งหรือสองเซนติเมตร ที่คอเสื้อของเขามีเนคไทผูกเอาไว้และมีเข็มกลัดเป็นรูปเฟืองติดอยู่

คณะวิศวะฯ...

“มีอะไรหรือเปล่า”

หลังจากที่ผมหันไป แทนที่มือนั้นจะละออก ทว่ามันยังวางอยู่ที่เดิม เหมือนกับไม่รู้สึกว่าควรทำแบบนั้น ใบหน้าเรียบเฉยนั่นแทบไม่ขยับ มีเพียงหน่วยตาเรียวที่จดจ้องมาทางผมอย่างเลื่อนลอย ปากได้รูปเป็นกระจับสีพีชขยับนิดๆ ราวกับกลัวว่าหากขยับมากกว่านี้จะทำให้เสียพลังงาน

“อย่ายุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”

“ทำไม”

ผมตอบกลับไปทันควันด้วยน้ำเสียงที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งที่ผมพูดด้วยเสียงปกติ แต่เขาต่างหากที่เฉื่อยชาเกินไป

“ฉันจองแล้ว”

เสียงเนิบนาบยังดังมาจากคนที่ไม่เปลี่ยนสีหน้า ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกข้องใจอยู่ไม่น้อย เพราะหากถามว่าผมสนใจรุ่นพี่ที่ชื่อดาหลาคนนั้นไหม ผมตอบได้ทันทีว่าผมสนใจ และผมก็อยากจะเจอเธออีก ซึ่งผู้ชายคนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะห้าม

“นายเป็นแฟนเขาหรือไง”

“เปล่า”

“แล้วมีสิทธิ์มาห้ามฉันได้ยังไง”

ผมถามกลับ ซึ่งก็ทำให้เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ตาเรียวที่มองผมอย่างไร้จุดหมายนั้นกวาดมองที่หน้าของผมจนทั่ว ก่อนจะหยุดที่ตาของผม เขาจ้องมาเหมือนกับจะค้นหาอะไรบางอย่างทั้งที่แววตาของเขาไม่เปลี่ยนไปสักนิด จนเป็นผมเสียเองที่รู้สึกประหม่าขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก

“เพราะว่าฉันจองแล้ว”

“ถ้านายอยากจะจีบพี่เขาก็มาแข่งกันแบบแฟร์ๆ สิ”

เมื่อดูท่าจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมถึงได้เสนอออกไป เพราะมันคงง่ายกว่า แต่อีกฝ่ายกลับทวนคำ ‘แข่งกัน’ พลางยิ้มเยาะนิดๆ โดยที่สีหน้ายังเหมือนเดิม

“ของแบบนั้น ไม่จำเป็นหรอก”

“...”

“เพราะคนที่ฉันจอง...”

มือที่วางบนบ่าของผมเลื่อนเคลื่อนลงช้าๆ จากที่วางทาบอยู่กลายเป็นกำหลวมๆ เหลือเพียงนิ้วชี้ที่ยื่นออกมา และจิ้มลงบนอกของผมด้วยน้ำหนักแผ่วเบา พร้อมกับประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะออกมาจากปากของคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ และยังเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

“ก็คือนาย”










=================
และแล้วก็ได้อัพเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าจะยังมีคนที่รออยู่หรือเปล่า

ช่วงก่อนหน้านี้จัดการเรื่องหนังสือ It's U, It's Me กวนนัก แต่รักนะครับ อยู่ ก็เลยไม่ว่างมาแต่งเรื่องเลยค่ะ
แล้วพอตั้งใจว่าจะแต่ง ก็ไม่สบายตลอด ไม่รู้ว่ามีอาถรรพ์อะไร แต่ตอนนี้ก็สำเร็จแล้ว
ไม่รู้ว่ามันจะสนุกหรือเปล่า เพราะมันคนละสไตล์กับพี่ภูน้องยีนเลย
ก็หวังว่าจะติดตามกันไปนะคะ


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: gupalz ที่ 15-07-2013 23:47:26
ว้าว ภาค 2 มาแล้ว จะติดตามนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-07-2013 23:54:12
ยินดีต้อนรับเรื่องใหม่ของกราฟเพื่อนน้องเกงยีน ดีใจที่ได้อ่านเรื่องของคุณ  ชอบภาษาการเขียนของคุณมาก จะขอติดตามต่อไป :mew1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: guguy ที่ 16-07-2013 00:05:13
มาแล้วๆดีใจจัง ตามจ้า :sad4: :z2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: FFS_Yaoi ที่ 16-07-2013 11:11:52
ตามมาเจิม เรื่อง

 :กอด1: หวังว่ากราฟคงไม่ดราม่าอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: aiaea83 ที่ 16-07-2013 13:36:17
แรว๊งง มาบอกจองตัวนายแล้ว เหวอเลย เคะจะรุก???
เรื่องนี้อย่าให้กราฟดราม่าเลยนะคะะะ

รอตอนต่อไปค่าา  :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 16-07-2013 13:58:15
รอติดตามค่ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: UNAT ที่ 17-07-2013 01:44:27
มาจองเค้าแบบนี้ เดี๋ยวก็โดนเค้าจิ้มหรอก
 o18
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: bobie ที่ 17-07-2013 08:10:02
เย้เย้ คู่นี้มาแล้ววววว
รอติดตามนะคะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: quiicheh. ที่ 17-07-2013 11:04:04
ติดตามมมตอนแรกนึกว่าจะแย่งกันจีบญ
เอ้วเจองี้ไปแบบบบใช่เลย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 17-07-2013 11:28:08
 :mc4: เย้ ถึงเวลาของกราฟไนล์แล้ว
เปิดมานู๋ไนล์ก็จองหัวใจน้องกราฟซะแล้ว
รอติดตามจ้า อย่างนี้ก็ได้เจอพี่ชมภูกะน้องเกงยีนด้วยอะจิ  :m18:
 :กอด1: สำหรับผู้เขียนจ้า  :pig2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 17-07-2013 16:10:50
ไวจริงไรจริง เจอกันก็จองเลยยย 555
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: guguy ที่ 29-07-2013 15:55:51
คนเขียนหายไปไหนหนอออ :mew2: รอตอนต่อไปอยู่น้าาาา :mew6: :mew6:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 29-07-2013 16:18:04
แอร๊ววว  :katai3: เค้ารออ่านอยู่ มาต่อเร็วๆ นะคะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทนำ : นับหนึ่ง [15/7/56]
เริ่มหัวข้อโดย: sbeam14 ที่ 29-07-2013 17:26:46
น่ารักมุ้งมิ้งอ่า o18

เรื่องนี้มาม่าเย่อะแน่ๆ  :z3:
กว่าจะจบคงมาม่าหลายยกจนอิ่มแน่ๆ  :katai1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-08-2013 22:50:17
ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร





















ชีวิตประจำวันของผมไม่มีอะไรที่ค่อนข้างน่าสนใจสักเท่าไร ก็เหมือนๆ กับพวกผู้ชายทั่วไปแหละครับ เที่ยวเฮฮาไปกับเพื่อนบ้าง แต่คงไม่หนักเท่ากับไอ้กัส ไอ้เคลม ที่นอกจากจะขยันเที่ยว ขยันแข่งรถแล้ว ยังหิ้วผู้หญิงกลับคอนโดเป็นว่าเล่น แต่ผมค่อนข้างจะระวังในเรื่องนี้นะ เพราะผมไม่อยากใช้ผู้หญิงเป็นที่ระบายอารมณ์ไปวันๆ เหมือนพวกมัน

หน้าที่สำคัญที่ต้องทำเป็นประจำวันของผมก็คือ การรับไปส่งไฮยีนที่บ้าน เนื่องจากว่าตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมา มันต้องทิ้งลายเดิม จากลุคซ่าๆ ไม่ยอมคน กลายเป็นเด็กเนิร์ดเพราะรับปากป๊าของมันไว้

ที่เคยขับรถซิ่ง มีรถใช้ได้ตามสะดวก ตอนนี้ถ้าไม่ใช่ผม หรือเพื่อนคนอื่นๆ อย่างไอ้กัส ไอ้เคลม ไปรับไปส่ง ก็ต้องพึ่งแท็กซี่ ผมจึงกลายเป็นสารถีส่วนตัวของมันไปโดยปริยาย ซึ่งผมก็ยินดีและเต็มใจที่จะทำเพื่อมัน หรือจะเรียกง่ายๆ ว่ากับมันแล้ว ผมทำให้มันได้ทุกอย่างคงไม่ผิด

ผมมีเพื่อนสนิทสามคน คบหากันมาตั้งแต่ตอนเข้า ม.1 คนที่สนิทที่สุดก็คือ ไฮยีน ซึ่งตอนนี้เรียนคณะนิเทศฯ ชั้นปีที่หนึ่งด้วยกัน ส่วนอีกสองคนก็คือ ไอ้กัส กับ ไอ้เค หรือที่พวกผมเรียกมันว่า ไอ้เคลม เพราะมันเป็นพวกขี้หม้อ คนไหนถูกใจมันก็เอาหมด สองคนนี้เรียนอยู่คณะวิศวะฯ ในมหา’ลัยเดียวกัน

เพราะรู้จักกันมานาน พวกผมจึงสนิทกันมาก แม้ว่านิสัยของพวกเราจะไม่เหมือนกันเลยก็ตาม ทว่าสำหรับผมแล้วพวกเรากลับลงตัวและอยู่รวมกันได้ดี เหมือนธาตุทั้งสี่ที่จะขาดอย่างหนึ่งไปไม่ได้

ไอ้ยีนเป็นพวกอารมณ์ร้อน ลุยไหนลุยนั่น ไม่ค่อยอ้อมค้อม เปรียบได้กับไฟ ส่วนไอ้กัสก็รอบคอบ ฉลาด มีเหตุผล มาดนิ่ง สุขุม เหมือนกับน้ำ และไอ้เคลม เป็นพวกเอาแน่เอานอนไม่ได้ บ้าบอเรื่อยเปื่อย ไม่ค่อยสนใจเรื่องที่ใช้ความคิดหนักๆ ชอบความอิสระ ไม่ต่างจากลม แล้วก็ผม... หนักแน่น ชอบเอาใจใส่ รับฟังคนอื่น เทียบเท่าผืนดิน

ความสนิทสนมของผมกับไฮยีน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าตัวติดกันแทบจะตลอด และยังรู้ใจกันที่สุด จนบางครั้งไอ้เคลมยังงี่เง่าบอกว่าอิจฉาผมกับไอ้ยีนด้วยซ้ำ แถมยังมีการบ่นตัดพ้ออีกว่า ชื่อของพวกผม คือ กราฟ กัส ยีน เวลาที่เขียนด้วยภาษาอังกฤษแล้ว ชื่อจะขึ้นต้นด้วยตัว G กันหมด ยกเว้นมันที่เป็นตัว K เหมือนมันกลายเป็นคนนอกคอก จนโดนไอ้ยีนสวนกลับไปว่า  ‘หรือมึงจะชื่อเกย์ จะได้เป็นตัวจีเหมือนกันกับพวกกู’ แหละครับ ไอ้เคลมถึงได้เงียบปากไปพักหนึ่งก่อนจะบอกกลับมา ‘งั้นกูไม่อยากเป็นตัวจีแล้วก็ได้’ เล่นเอาพวกเราฮาก๊ากกันหมด

ดูๆ แล้วชีวิตในช่วงนี้ของผมก็ดูสุขสงบดีนะครับ ถ้าไม่นับรวมวันที่คนแปลกหน้าทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ให้ผมต้องงุนงงถึงความหมายที่แท้จริงของมัน เพราะผมไม่คิดว่าคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อจะหมายความว่า ‘เขาชอบผม’ อย่างตรงตัว เพราะตั้งแต่วันนั้น ผมก็ยังไม่ได้พบเขาอีกเลย

มันคงเป็นโจ๊กที่คนคนหนึ่งใช้มันเพื่อกีดกันผม ไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคนที่เขาหมายปองเสียมากกว่า แต่ว่าคำพูดแค่นั้นห้ามปรามผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่คิดจะทิ้งโอกาสนี้ไป ในเมื่อผมได้พบกับคนที่ทำให้หัวใจของผมกลับมาเต้นแรงได้อีกครั้ง

วันนี้เป็นวันที่ทางมหา’ลัยมีกิจกรรมกีฬาเฟรชชี่ ผมไม่ได้ลงแข่งอะไรหรอกครับ แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลม ชวนผมวางแผนว่าจะให้ไอ้ยีนลงแข่งกรีฑา เพราะเห็นตัวผอมๆ ขาสั้นกว่าพวกผม แต่มันค่อนข้างวิ่งเร็วนะครับ ถึงตอนม.ปลายมันจะไม่ได้เข้าชมรมอะไรเลย ต่างจากผมกับไอ้กัสที่เข้าชมรมดนตรี ส่วนไอ้เคลมเข้าชมรมฟุตบอล และมันเคยบอกกับผมว่าจะเข้าชมรมให้เสียเหงื่อทำไม เอาเหงื่อออกทางอื่นสนุกกว่าเยอะก็ตาม

นั่นคงเป็นเหตุผลล่ะครับว่าทำไมมันถึงได้ตัวผอมบาง ถึงจะชอบมีเรื่องชกต่อยกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ แล้วยังขาวกว่าพวกผมนัก เรียกได้ว่าขาวจัด ขาวจนแทบซีด ดีที่ว่าปาก คิ้ว ตา ของมันค่อนข้างเด่น ทำให้หน้าไม่ซีดเหมือนคนป่วย เพราะฉะนั้นพวกผมจึงอยากให้มันได้ออกกำลังกายบ้าง

ดังนั้นเมื่อถึงเวลาเลิกเรียน ไอ้กัสกับไอ้เคลมเลยมาดักรอที่หน้าห้องเรียน ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรพวกผมสามคนก็ช่วยกันแบกไอ้ยีนไปที่สนามกีฬาของมหา’ลัยซึ่งกำลังพลุกพล่านไปด้วยผู้คน เพราะกองเชียร์มาจับจองที่กันหมดแล้ว พวกรุ่นพี่ปีสองก็ช่วยกันนัดแนะตกลงเพื่อจัดเตรียมนักกีฬาสำหรับลงแข่ง ดูค่อนข้างวุ่นวายกันทีเดียว

หลังจากเกลี่ยกล่อมเพื่อนสนิทให้ยอมแบกรับชะตากรรมของคณะได้ พวกผมก็ได้พักผ่อนกันตามอัธยาศัยครับ ไอ้เคลมรีบชวนไอ้กัสเดินสำรวจรอบๆ ทั้งที่ไม่มีอะไรให้สำรวจ เพราะสนามฟุตบอลของมหา’ลัยใช่ว่าจะไม่เคยมา

ไอ้เคลมนี่แหละตัวดีเลย มาถึงมหา’ลัยวันแรกก็แทบจะลากพวกผมให้มาชื่นชมสนามแล้ว ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้เข้าชมรมฟุตบอลเหมือนตอนอยู่ม.ปลาย แต่ว่ามันก็ยังภูมิใจกับความเป็นนักฟุตบอลโรงเรียนของมันอยู่ดี

เพราะฉะนั้นการสำรวจในความหมายของมันคงไม่พ้นผู้หญิง ตลอดล่ะครับ ไอ้นี่แม่งทำตัวเหมือนพวกหื่นกามอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นผมเองก็สอดส่องสายตามองหาใครบางคนเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้มองไปทั่วเพื่อหาคนถูกใจเหมือนไอ้เคลมนะครับ ผมมีเป้าหมายที่แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเธอจะมาที่นี่หรือเปล่า

“กูไปทางนี้นะ”

เพื่อความสะดวก ผมเลยตั้งใจว่าจะไปดูแถวอัฒจรรย์ที่ถูกแบ่งเป็นพื้นที่สำหรับคณะบริหารฯ เลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ซึ่งไอ้กัสกับไอ้เคลมก็พยักเอออออย่างเข้าใจ ผมเลยเดินแยกตัวออกมา ถึงจะไม่แน่ใจว่าจะได้เจอก็ตาม แต่ก็อดคาดหวังอยู่ในใจไม่ได้

ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกมันไหวด้วยจังหวะแรงๆ อีกแล้ว ยอมรับว่าตื่นเต้นที่จะได้เจอเธออีกครั้ง เพราะตลอดสามวันที่ผ่านมา หลังจากเจอเธอเป็นครั้งแรก ผมก็ยังไม่มีโอกาสไปหาเธอที่คณะเลยสักครั้งเพราะผมอยู่กับไอ้ยีนตลอด

เหมือนทุกอย่างจะเป็นใจ เพราะหลังจากเดินมาถึงและมองหาอยู่ไม่นานเท่าไร ใบหน้าหวานๆ คุ้นตาก็สะดุดสายตาของผม ผมจึงไม่รอช้า เดินตรงเข้าไปหาเธอก่อนจะส่งยิ้มเป็นการทักทายอย่างแรก ตามด้วยคำพูด

“หวัดดีครับ พี่ดาหลา”

“อ้าว กราฟ”

เธอทำสีหน้าประหลาดอยู่นิดหน่อยที่เห็นผม คงไม่คิดว่าจะได้เจอผมวันนี้ อีกอย่างสแตนด์คณะผมก็อยู่อีกฟากหนึ่งเลย การมาอยู่ตรงนี้ได้จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเจตนา

“ผมนึกว่าจะไม่เจอพี่ซะอีกนะเนี่ย นึกว่าพี่จะไปดูแลเรื่องลีดเชียร์”

ผมยิ้มพลางถาม เพราะคิดว่าคนสวยๆ แบบเธอน่าจะมีตำแหน่งอะไรพวกนี้ในคณะ ซึ่งรอยยิ้มของผมดูจะกว้างกว่าปกติเสียด้วยซ้ำ ถึงผมจะเป็นคนยิ้มง่ายและเป็นมิตรกับคนอื่นอยู่แล้ว แต่กับพี่ดาหลา ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของผมมันพิเศษมากกว่าตอนที่ยิ้มให้กับใคร ทั้งที่มองไม่เห็นด้วยตัวเองก็ตาม

“อ๋อ พอดีพี่มาดู...โอ๊ย”

ยังไม่ทันที่พี่ดาหลาตอบผมจบประโยค เธอก็ร้องออกมาเสียก่อน ทำให้ผมรู้สึกตกใจได้พอควร เห็นเธอหันไปทำหน้ามุ่ยๆ ขมุบขมิบปากกับเพื่อนที่ยืนอยู่ข้างๆ กันแล้วก็คลายความเป็นห่วงลง แล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มนิดๆ แทน เพราะเหมือนว่าเธอกำลังจะโวยใส่เพื่อนที่หยิกแขนเธอ

“นี่ใครอะ แนะนำให้รู้จักหน่อยสิ”

เพื่อนของเธอก็ดูน่ารักดีนะครับ ควงคู่กันไปไหนคงจะเรียกสายตาของผู้ชายทั้งในคณะและต่างคณะได้ดีที่เดียว แต่เรื่องนั้นผมไม่สนใจเท่าไรหรอกครับ เพราะตอนนี้คนที่ผมสนใจมีแค่ผู้หญิงที่ชื่อดาหลา มันก็เหมือนกับคนที่เจอเป้าหมายในชีวิต รู้แล้วว่าตัวเองต้องการอะไร ก็จะมุ่งมั่นและมองแต่มัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้ทำตัวเสียมารยาทกับเพื่อนของเธอ

“ผมชื่อกราฟครับ อยู่นิเทศฯ ปีหนึ่ง”

“อ๋อ เด็กนิเทศฯ นี่เองมิน่า หน้าตาหล่อเชียว”

“ขอบคุณครับ”

ผมยิ้มรับคำชมไม่ค้านว่าผมไม่หล่อ และไม่สำทับว่าผมหล่อมากแค่ไหน ผมไม่ค่อยสนใจรูปกายภายนอกของคนเท่าไร เพราะการที่เราจะคบหากับใครสักคนไม่ว่าจะในฐานะอะไร สิ่งที่ตัดสินได้คือตัวตนของคนคนนั้น เพราะฉะนั้นผมจึงค่อนข้างชินชากับคำชมพวกนี้ ไม่เหมือนยีนกับเคลมที่ค่อนข้างที่อวยตัวเองในเรื่องนี้ชนิดยอมกันไม่ได้เลยทีเดียว

นึกถึงพวกมันแล้วก็ทำให้ผมแอบยิ้มขำกับตัวเองในใจ ไม่ว่าเมื่อไรเพื่อนๆ ก็ทำให้ผมยิ้มและมีความสุขได้เสมอ แต่ดูเหมือนมันจะกลายเป็นอะไรที่แปลกๆ ในสายตาของผู้หญิงน่ารักทั้งสองคนมั้งครับ เธอถึงพากันทำหน้างงๆ ขมวดคิ้วเข้าหากันพลางมองหน้าผมไปด้วย

“กราฟหัวเราะอะไรเหรอ”

พี่ดาหลาเป็นคนถาม ทำให้ผมรู้สึกกระตือรือร้นที่จะตอบทันที ผมกลั้นรอยยิ้มที่แสดงถึงความดีใจเอาไว้ที่เธอสนใจกัน ก่อนจะแจงแบบสรุป

“ผมแค่นึกถึงเพื่อนๆ ผมน่ะครับ พวกมันชอบให้คนชมว่าหล่อ”

“อ๋อออ แล้วหล่อจริงหรือเปล่า”

เพื่อนของพี่ดาหลาที่ผมยังไม่รู้ชื่อถามกลับมาอย่างอยากรู้อยากเห็นจนสุดท้ายผมก็หลุดยิ้มออกมาจนได้

“หล่อครับ คนหนึ่งกำลังเดินหลีสาวอยู่ ส่วนอีกคนกำลังเตรียมตัวลงแข่งวิ่ง”

“เหรอๆ ถ้าอย่างนั้นพี่รอเชียร์ดีกว่า”

“นี่ยัยมะเหมี่ยว นั่นคนละคณะนะจ๊ะ ทำไมเธอไม่เชียร์คณะตัวเอง”

เพราะพี่ที่ผมเพิ่งรู้ชื่อเดี๋ยวนี้แสดงท่าทีอย่างออกหน้าออกตา พี่ดาหลาเลยปรามพร้อมจิกหน่อยๆ แต่คำตอบที่ได้รับมากลับทำให้ผมหัวเราะออกมาเบาๆ ส่วนพี่ดาหลาส่ายหัวแบบละเหี่ยใจ

“ก็เด็กที่แข่งวิ่งคณะเราไม่หล่อนี่เธอ”

“แต่พี่อาจจะผิดหวังก็ได้นะครับ”

ผมแทรกเสียงขึ้นมาหลังจากคนที่ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงส่ายหัวเบาๆ สองสามทีแล้ว พานให้พี่มะเหมี่ยวมองผมตาลุกวาวก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงที่ดูจะสนใจเรื่องนี้ เธอถาม ‘ทำไมล่ะ’ พลางใช้ตากลมๆ คู่นั้นมองตามผมไปด้วย เห็นแบบนี้แล้วผมก็ไม่ได้อยากทำลายความหวังของเธอหรอกครับ แต่ก็ต้องยอมพูดความจริง เพราะตอนนี้คนที่กำลังถูกพูดถึงคงยากจะโชว์ความหล่อให้ใครต่อใครได้เห็น

“ตอนนี้มันไม่หล่อแล้วล่ะครับ”

“โหย ทำไมล่ะเนี่ย”

ไม่ใช่คำถามเพื่อให้ผมตอบกลับ แต่เป็นการระบายความผิดหวังของเธอมากกว่า ผมเลยต้องยิ้มปลอบใจก่อนจะหันไปหาเป้าหมายของผมต่อ

“แล้วเสร็จจากงานนี้พี่ดาหลาว่างหรือเปล่าครับ ผมอยากชวนไปกินข้าวเย็นด้วยกัน”

“เอ่อ... เย็นนี้เหรอ”

“ดาหลาเขาไม่ว่างหรอกจ้ะ แต่พี่มะเหมี่ยวว่าง ให้พี่มะเหมี่ยวไปแทนก็ได้นะ”

ไม่รอให้พี่ดาหลาตอบกลับมา พี่มะเหมี่ยวก็แซงพูดขึ้นมาเสียก่อน หนำซ้ำยังมีการขยิบตาให้ผมเสียอีก เลยโดนพี่ดาหลาตีที่แขนไปเต็มที่ เสียงกระซิบจากเพื่อนสาวดังให้คนออกตัวแรงแบบทีเล่นทีจริง ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นทีเล่น เสียมากกว่าได้ยิน

“เธอนี่ทำเหมือนพวกอดอยากผู้ชายไปได้ ผู้ชายของเธอน่ะมีเป็นกุรุทแล้วนะ”

“แหม ก็ฉันสนใจพวกนั้นเสียที่ไหน เลือกกราฟยังดีซะกว่า ทั้งหล่อ ทั้งหุ่นดี แถมยัง...เป็นคนดีอีกด้วย ได้กินอาหารอิ่มท้องแล้วยังมีอาหารตาดีๆ แบบนี้ ไม่คว้าเอาไว้ก็เสียดายตาย”

เธอเน้นที่คำว่า ‘คนดี’ ครับ เพราะว่าตอนนี้ผมใส่เสื้อยืดสีขาว สกรีนลายสีดำว่า ‘คนดี’ อยู่ ผมเพิ่งมาเปลี่ยนตอนถึงสนามนี่ล่ะ เพราะกว่าจะจับยีนให้มาที่สนามนี้ได้ก็เล่นเอาเหงื่อท่วมตัว ไหนจะต้องแบกมาอีกเพื่อไม่ให้หนีไปได้

“จ้ะๆ เสียดายก็เสียดาย แต่ว่าวันนี้พี่กับมะเหมี่ยวไม่สะดวก กราฟตามสบายเถอะนะ”

ประโยคแรกพี่ดาหลาพูดกับเพื่อน แต่ประโยคท้ายเธอหันมาพูดกับผมพลางทำหน้าลำบากใจเล็กน้อย ซึ่งผมก็เข้าใจเธอดีครับ คนเพิ่งเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง จะให้ตอบตกลงไปกินข้าวด้วยกันเลยก็ออกจะดูไว้ใจกันง่ายเกินไปหน่อย ซึ่งผมก็คิดว่าดีครับที่เธอกล้าปฏิเสธผมอย่างตรงไปตรงมา เพราะมันแสดงให้รู้ว่าเธอค่อนข้างไว้ตัว ไม่เหมือนผู้หญิงหลายๆ คนที่ผมเจอมา ทั้งกับตัวเองหรือผ่านทางเพื่อนๆ ที่มีให้เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะทางไอ้กัสและเคลม

“ไม่เป็นไรครับ ไว้คราวหน้าผมค่อยชวนใหม่ก็ได้ แต่พี่คงไม่ขัดข้องใช่ไหมครับ ถ้าผมจะหาโอกาสมาเจอพี่บ่อยๆ”

“ไม่ขัดข้องเลยจ้ะ กราฟมาหาดาหลา หรือจะมาหาพี่มะเหมี่ยวบ่อยตามที่กราฟต้องการได้เลย”

เป็นอีกครั้งที่พี่มะเหมี่ยวทำตัวเป็นกระบอกเสียงแทนคนที่ผมถาม แต่ผมก็ไม่ได้มองว่ามันน่าเกลียดอะไร คงเป็นเพราะรู้ว่าเธอไม่ได้แสดงท่าทีออกมาว่ากระหายผู้ชาย แต่เป็นการตอบรับแบบโปกฮาตามนิสัยคนอัธยาศัยดี ผมจึงส่งยิ้มตอบ

“อย่างนั้นผมไปก่อนนะครับ เดี๋ยวต้องไปดูเพื่อนแข่งแล้ว”

“จ้ะ ขอบใจนะที่ชวน ไว้เจอกันใหม่”

“ไว้เจอกันนะจ๊ะ กราฟสุดหล่อ”

เสียงพี่มะเหมี่ยวตามมาเป็นคนสุดท้าย ผมจึงยิ้มขำๆ ให้เธอก่อนจะหันไปมองพี่ดาหลา ส่งยิ้มที่พยายามแฝงความอบอุ่นเข้าไปเพื่อบอกให้รู้ว่าผมมีเจตนาแบบไหน ก่อนจะเดินจากมา

ตอนนี้ยังพลาดอยู่ ไม่เป็นไร เพราะผมยังมีเวลาที่จะทำความรู้จักและทำให้เธอไว้ใจผมอีกพักใหญ่ๆ เลย


















หลังจากยีนแข่งเสร็จ พี่ภู รุ่นพี่ตอนมัธยมปลายของผมและยังเป็นเพื่อนกับพี่เจ๋ง ลุงรหัสของผม ก็ชวนไปเลี้ยงฉลองกัน เพราะไอ้ยีนชนะวิ่งแข่งชายเดี่ยวร้อยเมตร แต่ดันติดปัญหาที่ว่ายีนกลับบ้านดึกไม่ได้ เพราะรับปากป๊าเอาไว้แล้วว่าจะไม่เที่ยวกลางคืนอีก ผมก็เลยช่วยพูดให้ แต่พี่ภูไม่ยอมรับ พยายามท้าทาย ล่อหลอกให้ยีนยอมจนได้ แล้วสุดท้ายผมกับไอ้ยีน รวมถึงไอ้กัส ไอ้เคลมก็ต้องไปจนได้

เรื่องไอ้กัส ไอ้เคลม กับพี่ภูนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ พวกมันสนิทกับพี่ภูมากกว่าผมเสียอีก เพราะตอนม.ปลาย ไอ้เคลมอยู่ชมรมฟุตบอลแล้วพี่ภูเป็นประธานชมรม ก็เลยสนิทกัน ส่วนไอ้กัสก็ไปรอไอ้เคลมตอนเลิกชมรมบ่อยๆ ผมเองช่วงแรกๆ ที่รู้จักกับพี่ภู ผมก็ไปครับ เว้นก็แต่ไอ้ยีนเท่านั้นที่ไม่เคยเจอหน้าพี่ภูเลย แต่หลังจากเกิดเรื่องมิ้น ผมก็ไม่ค่อยได้เจอพี่ภูอีก เพราะว่าผมจะอยู่กับยีนมากกว่า เรียกได้ว่าตัวติดกันยิ่งกว่าเงาตามตัวกันเสียอีก

ทว่าการได้เจอหน้ากันระหว่างไอ้ยีนกับพี่ภูทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้ อดระแวงไม่ได้ว่าจะเกิดศึก เพราะดูทั้งคู่จะไม่ชอบขี้หน้ากันสักเท่าไร โดยเฉพาะพี่ภูที่ปกติแล้วไม่ค่อยหาเรื่องใคร แต่พอเจอไอ้ยีนนี่เหมือนจะหมั่นไส้ อยากเตะมันอยู่ตลอดเวลา ส่วนไอ้ยีน ผมเฉยๆ ครับ เพราะปกติมันก็กวนตีนชาวบ้านเป็นกิจวัตร โดนคนเหวี่ยงหมัดใส่จนเป็นเรื่องปกติ อย่างตอนนี้ก็เหมือนว่ากำลังจะเกิดศึกอีกรอบ

“ทำไมมึงไม่แดก”

เสียงของพี่ภูค่อนข้างหาเรื่องเลยทีเดียว ผมที่นั่งอยู่ข้างไอ้ยีนก็ได้แต่เหลือบๆ มองแล้วหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ไอ้ยีนก็ยังตอบกลับด้วยการแฝงความกวนตีนไปตามประสามัน

“ผมยังไม่อยากดื่ม พี่ดื่มไปเถอะครับ ตามสบาย”

“กูเลี้ยงมึง ไม่ได้เลี้ยงตัวเอง มึงก็แดกๆ ไป”

ดูเหมือนว่าคำตอบของไอ้ยีนจะไม่ค่อยเป็นที่พอใจของพี่ภูสักเท่าไร ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่ภูจะคะยั้นคะยอให้ไอ้ยีนดื่มทำไม ทั้งที่แค่ยอมมาที่ร้านด้วยก็น่าจะโอเคแล้ว ผมคิดว่าไอ้ยีนมีความอดทนมากนะครับที่มันไม่ซัดเหล้าเข้าปากตามคำท้าทาย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่มันยังไม่ได้รับปากป๊าว่ามันจะเป็นเด็กดี มันคงเอาขวดเหล้ากรอกปากไปแล้ว เพราะนิสัยอย่างมันท้าไม่ได้ ตายเป็นตาย

“เออ พี่ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นา”

ลุงรหัสของผมเหมือนเป็นหน่วยกล้าตายที่ทะลุกลางปล้องขึ้นมาขณะที่สถานการณ์กำลังคาบลูกคาบดอก บรรยากาศมาคุที่เหมือนมีกระแสไฟแล่นเปรี๊ยะๆ ระหว่างไอ้ยีนและพี่ภูสงบลงเพราะคำพูดของพี่เจ๋ง ผมล่ะอยากจะตบมือให้ลุงรหัสผมจริงๆ

“พี่ชื่อเจ๋งนะ เป็นลุงรหัสของกราฟ พอดีพี่ไม่มีน้องรหัสน่ะ มันซิ่วออกไปแล้วก็เลยมาสนิทกับกราฟแทน”

“ครับ”

ฟิลตอนไอ้ยีนคุยกับพี่เจ๋งและพี่ภูต่างกันสุดๆ เพราะไอ้ยีนตอบพี่เจ๋งเสียนุ่ม ไม่มีน้ำเสียงกวนตีนผสมอยู่แม้แต่นิดเดียว

ผมแอบเหลือบไปมองพี่ภูนิดๆ เห็นพี่แกคิ้วกระตุกไปที ลางสังหรณ์ของผมบอกว่าสถานการณ์มันชักจะไม่ค่อยเข้าท่าอีกแล้ว แต่พี่เจ๋งก็ไม่ได้สนใจว่าเพื่อนจะกำลังรู้สึกยังไง ยังคุยกับเพื่อนรักของผมหน้าตาเฉยและยิ้มแย้มให้อีกต่างหาก

“ส่วนไอ้ภูก็เพื่อนพี่ ไม่มีทั้งน้องรหัสแล้วก็หลานรหัส เพราะงั้นไม่ต้องใส่ใจมันมากหรอกนะถ้าหากว่ามันจะเรียกร้องความสนใจจากพวกรุ่นน้องบ้าง”

“ไอ้เชี่ยเจ๋ง หุบตูดมึงไปเลย กูเรียกร้องความสนใจหอกอะไร!”

ผมเกือบหลุดหัวเราะออกมาอยู่แล้ว แต่ดีว่าเก็บเสียงทัน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังแอบยกนิ้วให้พี่เจ๋งในใจ เพราะพี่แกเจ๋งสมชื่อมากๆ ถึงกล้าตอกพี่ภูกลับไปแบบนั้นได้ แถมยังไม่มีท่าทางว่าจะกลัวเพื่อนที่ตัวโตกว่าแม้แต่นิดเดียว พี่ภูเลยเปลี่ยนมาหาเรื่องไอ้ยีนต่อ เพื่อไม่ให้พี่เจ๋งพูดอะไรที่ไม่ถูกหูหรือจี้ใจดำ ผมก็ไม่แน่ใจ ได้อีก

“แล้วมึง เมื่อไรจะแดกๆ เหล้าของกูสักที”

คราวนี้ผมว่าไอ้ยีนคงรำคาญล่ะครับ มันเลยยอมยกเหล้าขึ้นดื่มจนได้ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ไอ้ยีนคงจำได้ที่มันรับปากป๊าเอาไว้

“มึงจิบไปแค่นั้นเหล้าคงลงถึงกระเพาะมึงหรอก แดกไม่เป็นก็บอกกู กูจะสั่งน้ำส้มให้มึง”

ดูท่าว่าศึกนี้จะไม่จบง่ายๆ แล้วผมก็คิดไม่ออกว่ามันจะจบลงตรงไหน เพราะขนาดลุงรหัสของผมยอมแหกวง ขอสลับที่นั่งกับผมเพื่อไปคุยกระซิบกระซาบกับไอ้ยีนอีกรอบยังหันมาบอก

“เดี๋ยวพี่ออกไปยืดแข้งยืดขาหน่อย ไปไอ้กราฟ ไปกับกู”

ไม่รอให้ผมได้ตอบอะไร พี่เจ๋งก็ลากแขนผมให้ออกไปอยู่กลางฟลอร์ด้วยกันแล้ว ซึ่งผมก็โอเค เต้นก็เต้น เพราะได้แอลกอฮอล์เข้าไปแกล้มกับเลือดพอประมาณ เลยปล่อยเต็มที่ เพราะตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมาแล้วไอ้ยีนไม่ได้มาเที่ยวด้วยกัน ผมก็ลดการเที่ยวไปด้วย มีก็แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลมที่ยังเหมือนเดิม

เต้นไป ผมก็เหลือบไปทางโต๊ะที่เพิ่งลุกออกมา แล้วก็เห็นว่าไอ้เคลมกับไอ้กัสกำลังลุกจากโต๊ะเลย มีไอ้ยีนดึงมือไอ้กัสเอาไว้ เหมือนว่าจะรั้งไม่ให้พวกเพื่อนๆ ทิ้งมันไว้กับพี่ภูสองต่อสอง แต่ไอ้กัสกับไอ้เคลมก็รีบชิ่งเสียก่อน ตามสไตล์พวกมันล่ะครับ แล้วก็ไม่ต้องคิดเลยว่ามันจะไปไหน คงหาเหยื่อแถวๆ นี้แล้วหิ้วกลับคอนโดเหมือนอย่างเคย

ถ้าปกติพวกมันจะเห็นหญิงดีกว่า แต่ถ้าเพื่อนเดือดร้อน มันจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยเหลือโดยไม่คิดว่าตัวเองจะต้องย่ำแย่ตามไปด้วยหรือเปล่า

เป็นข้อดีของพวกมันที่ทำให้ผมเรียกมันว่าเพื่อนตาย

“มึงนี่ห่วงเพื่อนมึงจังนะ”

เพราะเห็นว่าผมยังมองไปทางโต๊ะไม่เลิก พี่เจ๋งที่เต้นอยู่ข้างกันเลยทักขึ้นมา ผมจึงหันไปยิ้มให้ลุงรหัสของตัวเองนิดๆ

“เพราะมันสำคัญกับผมมาก”

“สำคัญยังไงวะ”

พี่เจ๋งยังถามต่อ ซึ่งผมก็ตอบเท่าที่ผมตอบได้ ไม่ได้ปิดบัง เพราะจากที่รู้จักกันมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง ก็นับตั้งแต่เข้ามหา’ลัยแล้วพี่เจ๋งมาแนะนำตัวว่าเป็นลุงรหัส ผมก็พอรู้แล้วว่าพี่แกนิสัยยังไง ค่อนข้างมีเหตุผล จริงจัง และที่เหมือนกับผมเลยก็คือ ชอบเอาใจใส่คนรอบข้าง

“สำคัญเท่าชีวิต”

“เฮ้ย ขนาดนั้นเลยเหรอวะ อย่าบอกนะว่ามึงกับน้องยีนแอบคบกัน เป็นแฟนกันไรงี้”

“เปล่าพี่” ผมตอบแล้วก็หลุดหัวเราะไปด้วยเบาๆ “แต่ถ้ารัก ก็รักมาก”

“กูไม่ค่อยเก็ตว่ะ มึงรักเพื่อนมึงข้างเดียว?”

“มันก็รักผม แต่ความรักของผมกับมันไม่ใช่ความรักแบบคนรัก มันลึกซึ้งกว่านั้น จะเรียกว่าอะไรดี ไม่มีนิยามมั้ง”

“งงว่ะ”

ถึงผมจะอธิบายไป พี่เจ๋งก็ยังทำหน้างงเหมือนที่พี่แกตอบกลับมาอยู่ดี ผมเลยหัวเราะต่ออีกรอบ ซึ่งพี่แกก็เลิกที่จะถามต่อจากนั้น อาจกลัวว่าจะงงมากไปกว่าเดิม เลยเปลี่ยนเรื่องแทน

“แต่ถ้าแบบนั้นมึงคงต้องระวังหน่อย กูว่าไอ้ภูแม่งหมายหัวเพื่อนมึงแล้ว ดูดิ ขนาดลุกกันมาหมดทั้งโต๊ะแล้วพวกนั้นยังเถียงกันไม่เลิก”

พี่เจ๋งพูดขำๆ ทั้งที่ยังเหลือบไปทางเพื่อนตัวเอง ส่วนผมก็เหล่ตาไปมองอีกคนสองคนที่กำลังนินทาไปด้วย พลางหลุดยิ้มออกมาหน่อยๆ กับสิ่งที่พี่เจ๋งเห็นด้วยกับผมโดยไม่ต้องขอความคิดเห็นสักนิด

“ผมก็ว่าอย่างนั้น โอ๊ะ ขอโทษครับ”

ผมตอบลุงรหัสของตัวเองก่อนจะต้องรีบหันไปทางด้านหลัง เพราะรู้สึกเหมือนว่าผมจะชนใครสักคนเข้า และพอหันไป ผมก็เห็นว่าผู้หญิงผมยาวที่น่าจะเป็นคนที่ผมชนกำลังจะล้มลงไปพอดี เลยรีบคว้าตัวเธอเอาไว้ก่อนที่เธอจะล้มลงไปจริงๆ

ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเราหันมามองกันหมด แต่แค่ครู่เดียว ก็หันกลับไปเต้นกันต่อเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่จะมีการชนกันบ้างในร้านแบบนี้ โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนกำลังเต้นกันอย่างเมามันตามจังหวะดนตรีที่เร่งอารมณ์ให้ปลดปล่อยความบ้าคลั่ง

“เจ็บหรือเปล่าครับ”

ผมถามพลางมองสำรวจตัวเธอไปด้วยว่าได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม เพราะมันติดเป็นนิสัยไปเสียแล้วที่มักจะห่วงใยคนอื่น ทั้งที่บางครั้งมันก็ไม่จำเป็น จนผมโดนไอ้ยีนเหน็บบ่อยๆ



‘ให้มันน้อยๆ หน่อย ผู้หญิงจะตบกันตายเพราะมึงหมดแล้ว’



ผมไม่รู้เรื่องหรอกครับว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจนไอ้เคลมวิ่งโร่มาบอกในวันหนึ่งว่ามีเหตุแบบนี้จริงๆ เพราะผู้หญิงสองคนเข้าใจผิด คิดว่าผมมีใจให้ เลยทะเลาะกัน หนำซ้ำตอนนั้นผมไม่มีแฟน... ก็เลยทำให้ยิ่งเข้าใจผิดได้ง่าย ไอ้กัสถึงกับเอ่ยปากว่า



‘มึงก็ใจดีกับคนไปทั่ว มึงไม่ได้คิดอะไรเพราะเป็นนิสัยของมึง แต่คนอื่นไม่ได้คิดเหมือนมึง ยิ่งมึงหน้าตาดี ใจดี ผู้หญิงก็ยิ่งชอบ’



แม้แต่ไอ้เคลม



‘มึงไม่ต้องทำตัวให้ผู้หญิงอยากได้เป็นผัวข้ามชาติก็ได้ เอาแค่เป็นผัวข้ามคืนแบบกูก็พอแล้ว’

‘กูว่ามึงต่างหากที่ต้องหัดทำตัวให้น่าเอาเป็นผัวข้ามชาติเหมือนไอ้กราฟซะมั่ง’




ตอนนั้นที่ไอ้กัสแทรกขัดผมยังจำได้ ซึ่งไอ้เคลมก็ไม่ยอมเหมือนกัน มันสวนไอ้กัสเหมือนมันเหนือกว่ามาก



‘แหม ถุย กล้าวิจารณ์กู นี่มึงดูตัวเองหรือยังครับ คุณชายกษวิญ’



ไอ้กัสไม่ได้มีเชื้อเจ้า เป็นหม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง หรือมี ณ ห้อยอยู่ท้ายนามสกุลหรอกครับ ไอ้เคลมถึงเหน็บเรียกคุณชาย เพียงแต่ตระกูลมันเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงมาแต่เก่าแต่ก่อน เพราะฉะนั้นมันเลยถูกสั่งสอนมารยาทผู้ดีมาพอตัว ถึงได้ดูมีมาดเหมือนคุณชายจนบางครั้งผมก็ยังเรียกมันแบบนั้น

เรื่องชื่อของมัน ไอ้ยีนเคยถามอยู่เหมือนกันว่าแปลว่าอะไร ผมเองก็อยากรู้ เพราะไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่ชื่อ ปฐมพงศ์ ที่มีกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองเหมือนไอ้เคลม ชื่อ พชร ที่หมายถึงเพชรของไอ้ยีน และชื่อ กฤติกร ของผม  แปลว่า ผู้มีเกียรติ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็ทำให้ผม ไอ้ยีน และไอ้เคลม ร้อง ‘อ๋อ’ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ชื่อนี้เหมาะกับมันที่สุดแล้ว

เจ้าของชื่อบอกว่า ชื่อของมันมาจากคำสองคำ คือ กษมา ที่แปลว่า ความอดทน อดกลั้น และ วิญญู ที่แปลว่า ผู้รู้แจ้ง เมื่อเอามาผสมเป็นคำว่า กษวิญ ก็จะมีความหมายว่า ผู้แจ้งในการอดทน ตรงตามนิสัยของมันเป๊ะ ที่มักจะเยือกเย็น รอบคอบ รู้จักควบคุมอารมณ์

“ไม่เป็นอะไรค่ะ ไม่เจ็บ”

เสียงของผู้หญิงที่ผมยังประคองอยู่ดังเรียกให้ผมกลับมาสนใจคนตรงหน้าอีกครั้ง ผมค่อยๆ ปล่อยมือออกจากตัวของเธอหลังจากเธอกลับมายืนได้เป็นปกติแล้ว

“ผมขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ทันระวังจนชนคุณ”

“ถ้าอย่างนั้น คิดคำขอโทษเป็นเครื่องดื่มสักแก้วได้ไหมคะ” เธอมองหน้าผมและส่งยิ้มหวานให้ เป็นสัญญาณเตือนว่าผมก้าวขาไปสะดุดเข้ากับเซนเซอร์บางอย่าง พลางพยักพเยิดหน้าไปทางที่ผมคิดว่าเป็นโต๊ะของเธอ แต่เมื่อหันไปมองตามปลายสายตาของคนที่น่าจะเชิญชวนผมอยู่ ผมก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย เพราะว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวนั้นเพียงลำพัง

คนที่ผมไม่คิดว่าจะเจอกันอีก...

“จะรบกวนคุณเปล่าๆ ครับ” ผมระบายยิ้มให้เธอนิดๆ เพื่อเป็นการตัดบท ก่อนจะหันไปหาพี่เจ๋งที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่เหมือนกัน

“พี่ ผมไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะ”

“เออๆ”

พี่เจ๋งตอบกลับมาทันที ผมจึงผละตัวออกมา ทว่าไม่วายได้ยินเสียงแววๆ ของพี่เจ๋งที่ดังอยู่ทางด้านหลัง เหมือนว่าพี่แกจะคุยกับผู้หญิงคนนั้น

“อย่าตามไปเลยครับ น้องผมไม่ได้ไปห้องน้ำเพราะกำลังเชิญชวนให้คุณตามไป”

ผมยิ้มออกมานิดๆ ที่พี่เจ๋งเข้าใจว่าผมต้องการอะไร จะว่ายังไงดีล่ะครับ ผมเป็นประเภทที่ปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็นล่ะมั้ง โดยเฉพาะกับผู้หญิง เพราะฉะนั้นส่วนมากที่จะทำได้ในสถานการณ์แบบนี้ก็คือการขอแยกตัวออกมาเพื่อความสบายใจของตัวเอง







อ่านต่อด้านล่าง

v

v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-08-2013 22:51:13







ต่อจากข้างบน


v


v








จะว่าผมเป็นพวกปิดตายหัวใจก็ได้ ถึงไม่เปิดโอกาสให้คนที่เข้ามาหา แต่ผมรู้ดีว่าผมไม่ควรให้ใครเข้ามาแทนที่ตรงส่วนที่มีใครเคยอยู่เพื่อให้ตัวเองลืมความเจ็บปวดในอดีต เพราะนั่นเท่ากับว่าผมไม่ให้เกียรติมิ้น ผมอยากจะเปิดรับแค่ใครสักคนที่จะทำให้ผมรักได้เท่านั้น แล้ววันนี้ผมก็เจอคนที่ผมอยากจะให้เดินผ่านช่องแคบๆ ที่ผมกำหนดไว้เข้ามาแล้ว

เดินมาถึงห้องน้ำ ผมก็ตรงเข้าไปยังโถฉี่ รูดซิปกางเกงก่อนจะจัดการกับมัน แต่ยังไม่ทันเสร็จ คนที่เดินเข้ามายืนฉี่ที่โถข้างๆ กันก็ทำให้ผมประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเป็นคนเดียวกับที่ผมเพิ่งเห็นเมื่อครู่ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าผมกับเขาได้สบตากันหรือเปล่า

สายน้ำที่ถูกปล่อยออกมาหยุดลง ผมก็รูดซิปกางเกงให้เรียบร้อยก่อนจะเดินมาที่อ่างล้างมือแล้วล้างมือให้สะอาด ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมา คนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อก็เดินมาหยุดที่อ่างล้างมือข้างๆ กัน เขาถูมือสองข้างเข้าด้วยกันใต้น้ำที่ไหลออกมาจากก๊อก แต่ตาเรียวคู่นั้นกลับจับจ้องที่กระจกเงาตรงหน้า โดยที่ผมรู้สึกว่าจุดโฟกัสของมันคือเงาสะท้อนของผมที่อยู่ข้างกันไม่ใช่ใบหน้าของเจ้าตัว

สีหน้าของผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ซึ่งผมเห็นผ่านเงาสะท้อนยังคงเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง หน้าขาวซีดและสายตาที่จับจ้องผมแบบผ่านเลยเหมือนไม่ได้มองนั้นทำให้สัญชาตญาณบอกกับผมว่าไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ ผมจึงปิดก๊อกน้ำก่อนจะไปดึงกระดาษชำระมาเช็ดมือและโยนมันลงถังขยะ ทำราวกับว่าไม่เห็นว่ามีใครอีกคนอยู่ภายในห้องน้ำนี้ด้วย ก่อนจะเดินผ่านตัวเขาไปเพื่อออกจากห้องน้ำ

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”

ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวขาให้พ้นอาณาเขต เสียงนิ่งเรียบ และออกจะเย็นๆ เหมือนไร้ชีวิตก็ดังขึ้นมาให้ผมรู้สึกเสียวสันหลังอย่างไร้เหตุผล ผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนจะหวั่นๆ กับคนคนนี้

“แต่ฉันว่าเราไม่น่าจะมีอะไรต้องคุยกัน เพราะฉันบอกไปแล้ว เรื่องพี่ดาหลา ฉันไม่คิดจะหลีกทาง”

ผมบอกเจตนาที่ชัดเจนของตัวเอง เพราะคิดว่าเรื่องที่จะคุยคงมีแค่นี้ แต่มันไม่จบแค่นั้นครับ เพราะมือเรียวยื่นออกมาคว้ามือของผมเอาไว้ ก่อนจะออกแรงดึง หรือจะเรียกว่าลากเลยก็ว่าได้ ให้ผมเดินตามเขาไปด้านในห้องน้ำ จนผมร้อง ‘เฮ้ย’ ด้วยความตกใจและงุนงงว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

“ฉันบอกว่าเราต้องคุยกัน”

ไม่แจกแจงอะไรมากกว่านั้น คนที่ดูผอมบาง ซีดเซียวเหมือนวิญญาณล่องลอยก็ผลักผมเข้าไปในห้องน้ำห้องสุดท้ายก่อนจะตามเข้ามาอย่างรวดเร็วและลงกลอนทันที ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้หาทางเลี่ยงจากสถานการณ์นี้

“แล้วจะคุยอะไร”

ในเมื่อถูกปิดทางออกเอาไว้ ทางเดียวที่ผมจะเดินต่อไปได้ก็คือการเจรจา ผมก้มลงมองคนที่มีส่วนสูงน้อยกว่าเพื่อเผชิญหน้าอย่างจริงจังมากขึ้น ซึ่งอีกฝ่ายก็เชยหน้าขึ้นมองผมด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม

“เลิกยุ่งกับผู้หญิงคนนั้น”

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นหมายถึงพี่ดาหลา ฉันทำไม่ได้” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อยข้างกร้าวกว่าปกติ เพราะไม่เข้าใจเหตุผลจากคนตรงหน้า “แล้วนายก็อย่าเอาเหตุผลว่านายจองฉันแล้วมาอ้าง ฉันไม่เชื่อว่านายจะชอบฉัน”

“หนึ่งเทอม”

“...”

อยู่ๆ เขาก็โพล่งเสียงออกมาเบาๆ ให้ผมต้องงุนงงว่ามันหมายความยังไง และกว่าจะรู้ความหมายของมัน ก็เกิดเดธแอร์อยู่พักหนึ่ง

“เวลาหนึ่งเทอม ขอเวลานั้นให้ฉัน แล้วลืมผู้หญิงคนนั้น”

“...”

ความเงียบกลับมาครอบคลุมบรรยากาศเหมือนเดิม ถึงผมจะได้ยินเสียงของลูกค้าคนอื่นๆ ที่แวะเวียนเข้ามาในห้องน้ำบ้าง แต่ในความรู้สึกกลับรู้สึกว่ามันเงียบมากจนไม่ได้ยินเสียงอะไร ผมกับเขาต่างมองหน้ากันเหมือนจะเป็นการต่อสู้ทางสายตาว่าใครจะแพ้ก่อน และก็เป็นผมที่ขยับริมฝีปากขึ้นก่อน

“ทำไมฉันต้องตกลง”

“ไม่กล้าเหรอ”

แม้จะเป็นการพูดอย่างท้าทาย แต่น้ำเสียงของผู้ชายคนนี้กลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด รวมทั้งสายตาที่จ้องตอบผมด้วย เหมือนจะไม่ได้จดจ้องเข้ามา แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกควานลึกยิ่งกว่าเสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตอบอย่างมีสติ ไม่ไขว้เขว้ไปเพราะแรงกดดัน

“ฉันไม่เห็นความจำเป็น”

“ถ้านายต้องการผู้หญิงคนนั้นจริง ทำไมไม่กล้าเผชิญหน้ากับฉัน”

ทั้งที่เมื่อครู่ยังคงใจเย็นอยู่ได้ แต่ประโยคนี้กลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกเข็มเล็กๆ กดลงมาบนก้อนเนื้อใต้อกจนปวดจี๊ดขึ้นมาได้อย่างฉับพลัน

“แล้วถ้าฉันตกลง นายจะได้อะไร ความรักของฉัน? หัวใจของฉันหรือไงที่นายต้องการ”

“ฉันมีเหตุผลของฉัน นายไม่จำเป็นต้องสนใจ

“งั้นฉันก็ไม่ตกลง”

ผมตอบแบบตัดบท ก่อนเบี่ยงตัวหลบคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อออกจากที่นี่ แต่กลับถูกมือที่บางกว่าจับเอาไว้ คนที่ผมยังไม่รู้จักชื่อผลักผมกลับไปที่เดิมจนหลังกระแทกกับกำแพง ทั้งที่ตัวซีดขาวเหมือนคนป่วย ไม่น่าจะมีเรี่ยวแรง ทว่าความจริงแล้วกลับมีแรงไม่น้อยเลยทีเดียว ทำให้ผมประหลาดใจหน่อยๆ

กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่คอเสื้อของผมเปิดออกด้วยมือของคนตรงหน้า เขาดึงเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ผมเปลี่ยนกลับมาใส่แทนเสื้อยืดสกรีนลายจนกระดุมหลุดออกมาสามเม็ด ผมค่อนข้างงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยิ่งก้มลงมองหน้าของอีกฝ่ายที่ยังไม่นิ่งสนิทเหมือนเดิมก็เหมือนจะทำให้ผมมึนหนักกว่าเก่า มีแต่ความไม่เข้าใจ

ปากกาหัวตัดแท่งใหญ่ที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของคนตัวบางกว่าถูกดึงออกมาอย่างรวดเร็ว ปากเรียวสีพีชคาบปลอกสีดำนั้นเอาไว้ ก่อนแท่งกลมๆ จะถูกดึงออกมาเผยให้เห็นปลายตัด และวินาทีต่อมามันก็มาจรดอยู่บนอกของผมเสียแล้ว

“เฮ้ย ทำอะไร”

ผมยกมือขึ้นดันมือของคนที่กำลังจะเขียนอะไรบางอย่างบนอกของผมโดยไม่ขออนุญาตใดๆ แต่กลับถูกสันแขนที่เป็นอิสระอยู่ยันเอาไว้ หนำซ้ำยังใช้ข้อมืองัดคางผมให้เชยขึ้นเหมือนจะล็อกไม่ให้ผมต่อสู้ได้ แต่ใช่ว่าผมจะแพ้ เพราะถึงยังไงผมก็ตัวใหญ่กว่า แรงเยอะกว่า

ทว่าดูเหมือนผมจะพลาด...

ปลอกปากกาที่ถูกปากสีสวยคาบเอาไว้หล่นลงไปกระทบกับพื้นห้องน้ำ ก่อนกลีบเนื้อนิ่มๆ นั่นจะเชิดขึ้นและแตะเข้ากับปากของผมอย่างฉับพลัน ทันทีที่ผมพยายามดึงแขนที่ดันผมเอาไว้ ผมได้แต่เบิกตากว้างอย่างงุนงงที่ถูกทำแบบนี้ ลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นบนอกเสียสนิท ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าปลายสีดำนั่นตวัดลงบนผิวหนังของผมเป็นคำว่าอะไร

ริมฝีปากของคนตรงหน้ายังคงกดปากของผมเอาไว้ไม่ปล่อย มีเพียงแค่แรงกดที่ประทับลงมา แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมอึ้งได้มากพอแล้ว มือของผมที่ตอนแรกใช้ผลักร่างบางๆ ออกกลับหมดแรงเอาเสียดื้อๆ เพราะในหัวตื้อไปหมด และไม่รู้ว่านานเท่าไร กว่าปากของคนตรงหน้าถึงผละออก

ผู้ชายคนนั้นมองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งหลังจากเราทั้งคู่ต่างเป็นอิสระต่อกัน ก่อนจะก้มลงไปหยิบปลอกปากกาที่ตกลงไปบนพื้นมาสวมคืนที่ที่มันควรอยู่ก่อนจะเอามันใส่กระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สีหน้าของเขายังคงไร้ความรู้สึกเหมือนเดิม ทั้งที่ผมกลับตรงข้ามกันเลย

ไม่รอให้ผมถามหรือแสดงท่าทีอะไร ประตูห้องน้ำก็เปิดออก และร่างนั้นก็ก้าวออกไป ขณะที่ผมยังงงอยู่ว่าผมควรจะทำยังไงต่อไป รู้เพียงอย่างเดียว

ผู้ชายคนนี้...รับมือยาก






===============
มาต่อช้าเพราะรู้สึกว่าเรื่องนี้แต่งยาก
ต้องอิงเหตุการณ์จากภูยีนด้วย แล้วไนล์ก็ค่อนข้างเข้าใจยากด้วย
แถมกราฟก็เป็นคนจริงจังกว่ายีนเยอะ
แต่งไปก็กลัวไปว่ามันจะไม่สนุก ต้องขอโทษด้วยนะคะ

ปล. เรื่องนี้ไม่ถึงกับมาม่าเยอะหรอกค่ะ  :z1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: fuku ที่ 07-08-2013 00:23:20
ตอนนี้อ่านแล้วเจ๋งมาก
มันทิ้งปริศนาเล็กๆ ของกราฟ ไนล์

อธิบายนิสัยกราฟได้แจ่มเลย
แต่ก็ไม่ลืมความซับซ้อนของเรื่องที่เกิดช่วงเดียวกับไฮยีน
บวกเป็ดให้เลยค่ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 07-08-2013 00:35:45
ออกแนวลุ้น  :hao4: :hao3:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 07-08-2013 05:42:24
สงสัยเรื่องนี้จะได้ลุ้นตลอดเวแน่ๆ
ไนล์เขียนคำว่าอะไร?
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: คนอ่าน ที่ 07-08-2013 08:43:31
สนุกมากๆๆๆๆค่ะ จะรอติดตามน่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 07-08-2013 12:27:10
รอติดตาม
หวังว่าซักวันเราจะเข้าใจไนล์นะ ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 1 : ต้องการอะไร [6/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 12-08-2013 23:20:40
ตอนหนึ่งมาแล้ว เป็นการเกริ่นนำให้รู้จักนายกราฟมากขึ้นสินะ
เวลามันคาบเกี่ยวกันกะตอนของภูยีน แหะ ๆ รับสารภาพเลยว่าจำไม่ค่อยได้จริง ๆ
เพราะตอนที่ได้อ่านภูยีนก็ตอนที่นิยายจบไปแล้ว พยายามนึกเหตุการณ์ตามอยู่
สงสัยต้องกลับไปอ่านทวนบางตอน แต่ตอนภูยีนกล่าวถึงไนล์น้อยมีแค่เกือบจะท้าย ๆมั่ง
ขนาดตอนนี้ไนล์ยังได้ออกตอนใกล้จบตอนอีกแหละ 555
แถมได้พูดจิ๊ดเดียวเอง แล้วอย่างงี้กราฟจะเข้าใจไนล์ได้มากขึ้นตอนไหนเนี่ย
แล้วตกลงไนล์เขียนอะไรที่ตัวกราฟนะ คงไม่ใช่"ผู้ชายของไนล์"หรอกนะ 555
คิดว่าตอนนี้กราฟก็ยังงง ๆ ว่าตกลงไนล์ต้องการอะไรอยู่ดี แต่กราฟคงไม่คิดว่าไนล์พิศวาสจริง ๆแน่
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะคะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 17-08-2013 16:55:56
ตอนที่ 2 : ใครกลัว




















ตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ผมถึงยกมือขึ้นมาติดกระดุมเสื้อที่ถูกปลดออก เพื่อให้เสื้อผ้าอยู่ในสภาพเรียบร้อยเหมือนกับตอนที่เดินเข้าไป เพราะนึกขึ้นได้ว่าบอกพี่เจ๋งไว้ว่าจะมาแป๊บเดียวจึงรีบสาวเท้าออกมาจากห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ไม่เหมาะกับการยัดผู้ชายสองคนเข้าไป ทว่าเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วผมกลับรู้สึกว่าหัวใจกระตุกและหยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ เพราะใกล้ๆ อ่างล้างมือ มีคนสองคนที่ผมรู้จักดียืนอยู่

“เฮ้ย ไอ้กราฟ มึงออกมาจากห้องน้ำนั่นเหรอวะ”

“อ้าว แล้วทำไมมึงมาอยู่นี่”

ผมตีหน้างงๆ ถามอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด เพื่อไม่ให้ไอ้ยีนสงสัย และไม่เหลือบตาไปมองพี่ภูที่ยืนอยู่ข้างเพื่อนรักของผมด้วย แต่ก็ดูเหมือนจะช้าไปเมื่อมันถามประโยคต่อมา

“กูมาล้างมือ ว่าแต่มึงทำไมออกมาจากห้องน้ำกับผู้ชายคนเมื่อกี้วะ”

“ไม่มีอะไรหรอก”

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังปฏิเสธอยู่ดี เพราะจะให้ผมอธิบายในตอนนี้ผมก็พูดไม่ถูก ไม่รู้จะบอกไอ้ยีนว่ายังไง ในเมื่อผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ผู้ชายคนนั้นต้องการอะไร?

“จะไม่มีอะไรได้ไง มึงบอกกูมา เดี๋ยวนี้มีความลับกับกูเหรอวะ”

“ก็กูบอกว่าไม่มีอะไรนี่หว่า ถ้ามีกูก็บอกมึงไปแล้ว”

แต่นิสัยของมันก็ยังคงเป็นมันล่ะครับ เพราะไฮยีนยังไม่ยอมละทิ้งประเด็นนี้ และผมก็รู้ว่านอกจากความอยากรู้อยากเห็นของมันแล้ว มันยังถามเพราะเป็นห่วงผม

“กราฟ กูอยากรู้”

“เขาบอกว่าไม่มีอะไรก็ถามอยู่ได้”

ดูเหมือนว่าพี่ภูจะค่อนข้างรำคาญที่ไอ้ยีนยังคงถามผมไม่เลิก ถึงได้แทรกเสียงขึ้นมาหลังจากเงียบและมองผมกับไอ้ยีนสลับกันอยู่นาน

“มึงเป็นเพื่อนหรือเมียกันแน่ ทำอย่างกับเมียจับได้ว่าผัวมีเมียน้อย”

“ผมเป็นผัว!”

ผมเกือบผงะไปหน่อยๆ ที่พี่ภูถามแบบนั้นออกมา เพราะไม่คิดว่าจะมีใครมองว่าผมกับไอ้ยีนมีความสัมพันธ์กันในเชิงนี้ ถึงผมจะตัวติดกับมันและสนิทกันมากก็ตาม แต่ไอ้ยีนก็ดันเต้นไปตามคำพูดของพี่ภูครับ มันโพล่งเสียงออกมาให้ผมเหวอไปมากกว่าเก่า จนผมต้องรีบถามออกมาก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านี้

“มึงจะกลับแล้วใช่ไหม”

“เออ มึงพากูกลับบ้านด้วย เดี๋ยวไม่ทัน”

“อืมๆ” ผมรีบรับปากมันทันทีก่อนจะหันไปบอกพี่ภูเพื่อเป็นการตัดบทโดยเร็วที่สุด “เดี๋ยวผมกับไอ้ยีนกลับก่อนนะครับ ฝากบอกพี่เจ๋งด้วย ส่วนไอ้เคลมกับไอ้กัส มันคงไปต่อของมันแล้ว”

“เออๆ”

หลังจากออกมาจากร้านแล้ว ผมก็ขับรถไปส่งยีนที่บ้านเหมือนกับทุกวัน แต่รู้สึกว่าวันนี้จะได้รับรังสีแปลกๆ แผ่ออกมาจากคนที่เป็นตุ๊กตาหน้ารถเจ้าประจำจึงอดถามไม่ได้

“มองกูแบบนั้น มีอะไร”

“กูแค่รู้สึกว่ามึงแปลกๆ”

“แปลกตรงไหนวะ”

ทั้งที่ผมไม่ได้มีท่าทีต่างจากทุกที แต่พอถูกถามแบบนั้นแล้วผมกลับรู้สึกเย็นวูบที่หลังยังไงชอบกล แต่กระนั้นก็ยังควบคุมสีหน้าและการแสดงออกได้เป็นอย่างดี

“ไม่รู้ดิ กูแค่รู้สึกเฉยๆ แล้วนี่มึงจะไม่บอกกูเรื่องผู้ชายที่ออกมาจากห้องน้ำกับมึงเหรอวะ”

คิดว่าอาจจะพ้นจากเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คาดหวังเอาไว้ ผมต้องลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ อย่างไร้เหตุผล ก่อนจะตอบกลับไป

“กูบอกมึงแล้วนี่ว่าไม่มีอะไร”

ปกติแล้วผมกับมันไม่มีความลับต่อกัน แต่ครั้งนี้ผมต้องยอมรับจริงๆ ว่าผมไม่รู้จะอธิบายยังไง

ผู้ชายคนนั้นทำให้ผมสับสนได้ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจริงๆ

“มึงจะแอบมีความรักแล้วไม่บอกกูเหรอ ไหนสัญญากันแล้วไง คิดจะนอกใจกูเหรอ”

ประโยคสุดท้ายของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เรียกให้ผมต้องเหลือบตาไปมอง แล้วก็เห็นว่ามันทำหน้าหงิกนิดๆ เหมือนไม่พอใจ เห็นแล้วก็อดขำไม่ได้ เพราะรู้ว่ามันแกล้งทำ ผมเลยละมือจากพวงมาลัยแล้วยื่นไปกอดคอมัน

“ไม่มีหรอก ถ้ามีกูจะบอกมึงคนแรกเลย”

“ให้มันจริงเหอะ ถ้ากูรู้ว่ามึงปิดกูนะ”

มันไม่พูดต่อจากนั้น แค่ทำเสียงหัวเราะ ‘หึหึ’ เหมือนพวกฆาตกรโรคจิตอะไรเทือกนั้น ผมเลยปล่อยแขนจากคอของมัน ก่อนจะกลับมาจับพวงมาลัยต่อ ซึ่งไอ้ยีนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อย ทว่าเพราะเหตุนั้นทำให้ผมนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ผมจึงค่อยๆ เกริ่นเสียงออกมา

“มึง...”

“อะไร”

ไอ้ยีนหันหน้ามาถามผมเหมือนสนใจนิดๆ ว่าผมกำลังจะพูดเรื่องอะไร

“ถ้ากูเกิดไปชอบใครเข้าจริงๆ”

“ผู้ชายคนเมื่อกี้เหรอวะ”

มันรีบถามผมอย่างตื่นเต้นทันที เพราะผมไม่เคยพูดเรื่องความรักเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น แต่ดูค่อนข้างจะผิดประเด็นไปหน่อยตรงที่มันคิดว่าผมจะชอบคนคนนั้น

“ไม่ใช่คนนั้นเว้ย คนนี้เป็นรุ่นพี่อยู่คณะบริหารฯ ชื่อดาหลา”

“ล่อรุ่นพี่ด้วยนะมึง”

มันแซวผมหน่อยๆ ทำให้ผมอดยิ้มออกมานิดๆ ไม่ได้ นานแล้วจริงๆ ที่ผมไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้ ซึ่งดูเหมือนมันจะยินดีด้วยที่ผมกลับมามีความรู้สึกว่าชอบใครสักคน

“แล้วเขาเป็นยังไง”

“ก็... น่ารักดี”

ผมไม่กล้าบอกมันว่าที่ผมสนใจพี่ดาหลาก็เพราะว่าเขาเหมือนมิ้น เหมือนมาก... จนทำให้ผมรู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่ได้เจอกัน

“งั้นก็ดีแล้ว แต่ยังไงมึงก็ระวังด้วยแล้วกัน เรื่องความรัก มึงไม่ถนัดเท่าไร กูไม่อยากให้ใครมาหลอกมึง”

“ทำเหมือนกูเป็นเด็ก... กูก็แค่อยากจะมีความรัก...อีกสักครั้ง”

“ก็กูรักมึงนี่หว่า”

มันยิ้มให้ผม พลอยให้ผมยิ้มตามไปด้วย การได้อยู่ข้างๆ มัน ได้มีมันเป็นเพื่อนรัก เป็นทุกๆ อย่าง ทำให้ผมมีความสุขมากจริงๆ ผมคิดไม่ออกเลยว่าถ้าชีวิตนี้ผมไม่มีไฮยีน ผมจะยังอยู่ตรงนี้ได้หรือเปล่า

ผมขับรถไปส่งไฮยีนถึงที่บ้านดึกกว่าวันอื่นๆ เพราะต้องไปเลี้ยงตามการบังคับของพี่ภู ฉะนั้นผมจึงต้องเข้าบ้านมันไปสวัสดีป๊าแล้วบอกเหตุผล คล้ายๆ กับไปเป็นพยานว่ามันไม่ได้หนีเที่ยวอะไร ทั้งที่เสื้อผ้าอาจจะติดกลิ่นแอลกอฮอล์หรือกลิ่นบุหรี่มาด้วยก็ตาม แต่ผมก็อ้างไปว่ามีฉลองกันนิดหน่อย เพราะพวกรุ่นพี่เลี้ยง จะไม่อยู่ก็เกรงใจ แต่ยีนไม่ได้แตะของที่ว่า กลิ่นติดมาจากผมกับคนอื่นๆ ซึ่งป๊าก็ไม่ได้ว่าอะไร

หลังจากไอ้ยีนปลอดภัยจากความผิดแล้ว ผมก็ขับรถกลับคอนโดที่พ่อซื้อให้ซึ่งอยู่ใกล้มหา’ลัย ถึงมันจะค่อนข้างลำบาก ที่ต้องขับรถไปๆ กลับๆ ทั้งที่จริงๆ แล้ววันนี้ผมจะกลับบ้านก็ได้ แต่อย่างว่าล่ะครับ ตัวผมติดกลิ่นจากสถานที่อโคจรมา กลับบ้านไปคงทำให้แม่ไม่สบายใจมากกว่า ถึงพ่อกับแม่จะรู้ว่าผมไม่ค่อยเที่ยวเตร็ดหรือใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยเหมือนยีนช่วงก่อนหน้านี้ หรือไอ้กัส ไอ้เคลม ที่ตอนนี้ยังเป็นอยู่ก็ตาม

แม่ผมค่อนข้างขี้เป็นห่วงครับ ผมเลยติดนิสัยนี้จากแม่มาส่วนหนึ่ง แต่ผมก็ว่ามันดีสำหรับผมนะครับที่มีนิสัยแบบนี้ เพราะว่าเพื่อนแต่ละคนของผมบ้าบิ่นกันน้อยที่ไหน โดยเฉพาะไอ้ยีนกับไอ้เคลม มีไอ้กัสนี่ล่ะที่ค่อนข้างสุขุม ควบคุมอารมณ์เป็น ไม่อย่างนั้นกลุ่มพวกผมคงขึ้นชื่อในทางที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไรกันมากกว่านี้

เวลามีเรื่องชกต่อย ทะเลาะวิวาท คนที่เจ็บตัวที่สุดก็เป็นไอ้ยีนครับ แล้วผมก็ต้องเป็นคนทำแผลให้มัน เพราะว่ามันอารมณ์ร้อน อารมณ์ขึ้นง่ายที่สุด แถมยังไม่เจียมตัวด้วยว่าตัวเล็กกว่าคนอื่น ใจมันสู้ ไม่กลัวอะไรเลย ไม่ใช่ว่าเพราะมันไม่เก่งนะครับ แต่นั่นก็ทำให้ผมยิ่งเป็นห่วงมันมากกว่าคนอื่นๆ

ผมถึงคอนโดหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พอถึงผมก็เปิดตู้เย็น หาน้ำเปล่าดื่ม มันเหมือนเป็นนิสัยไปแล้ว เพราะทำแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แต่กระดกน้ำจากแก้วที่เทออกมาได้ไปแค่ครึ่งหนึ่ง โทรศัพท์ที่ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงก็ดังเสียก่อน

“ว่ายังไงครับ คนสวย”

หยิบโทรศัพท์ออกมาดูรูปหน้าจอได้ ผมก็ยิ้มออกมาหน่อยๆ ก่อนจะส่งเสียงทักทายคนปลายสาย

[คิดถึงคนหล่อสิครับ ไม่เห็นหน้ามาสามวันแล้วนะ วันนี้ก็ไม่กลับบ้านอีกเหรอครับ]

“ช่วงนี้กราฟยุ่งๆ ครับแม่ เดี๋ยวก็ใกล้จะสอบแล้ว คงอยู่คอนโดยาวเลย แม่อดทนคิดถึงกราฟไปก่อนนะครับ”

ผมพูดหยอกๆ เพื่อไม่ให้แม่คิดมากหรือว่าเป็นห่วง ซึ่งแม่ผมก็เข้าใจในเรื่องนี้ครับ เพราะแม่ค่อนข้างเชื่อใจว่าผมจะดูแลตัวเองได้ ถึงเมื่อหลายปีก่อนผมจะทำอะไรโง่ๆ จนทำให้แม่เครียดหนักและล้มป่วยไปด้วย แต่หลายปีที่ผ่านมาก็ช่วยพิสูจน์แล้วว่าผมจะไม่กลับไปทำแบบนั้นอีก เรื่องนี้คงต้องขอบคุณไอ้ยีนจริงๆ ที่ทำให้ผมยังมีลมหายใจอยู่จนถึงทุกวันนี้

[จ้ะๆ อย่างนั้นก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ อ่านหนังสือก็อย่าหักโหมมาก เดี๋ยวจะไม่สบายไปสอบ]

“ครับ ฝันดีนะครับ”

[ฝันดีจ้ะ]

ล่ำลากับแม่แล้วผมก็วางสายไป ก่อนจะดื่มน้ำในแก้วอีกหนึ่งอึกใหญ่ๆ แล้วนำแก้วไปวางเก็บที่เดิม จากนั้นเดินเข้าห้องนอนและคว้าผ้าเช็ดตัวไปเข้าห้องน้ำเพื่อจัดการกับร่างกายที่เปียกเหงื่อมาทั้งวัน

ใช้เวลาประมาณสิบนาที ผมก็เช็ดตัวแล้วนุ่งผ้าผืนเดียวกันออกมาจากห้องน้ำ ตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหยิบชุดมาสำหรับใส่นอน แต่ยังไม่ทันไปถึงที่หมาย ก็สะดุดกับอะไรบางอย่างในกระจกที่สูงเกือบเท่าตัวของผมซึ่งตั้งอยู่ริมผนัง ที่ผมมักใช้สำรวจเครื่องแต่งกายของตัวเองก่อนออกจากห้องทุกครั้ง

ผมหยุดอยู่หน้ากระจกที่สะท้อนภาพของผมเอง จับจ้องไปที่ส่วนเกินบนร่างกายของผม ที่มีคนจงใจทิ้งมันเอาไว้ รอยปากกาหัวตัดสีดำยังคงติดแน่นอยู่บนอกด้านซ้ายของผม สิ่งที่ผมลืมไปแล้วหวนย้อนกลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง ทั้งตอนที่ปากกาสีดำลากไปบนกล้ามอกขนาดกำลังดีของผมและตอนที่ริมฝีปากคู่นั้นทาบลงมาบนปากของผม

เผลอขบปากตัวเองไปนิดหน่อยหลังจากคิดถึงตอนนั้น ก่อนผมจะพุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวหนังสือที่เห็นกลับด้านเพราะมันสะท้อนอยู่บนกระจกเงา มองมันพลางคิดไปว่าหากกลับด้านให้ถูกต้องแล้วจะอ่านว่าอะไรก็พอจะเข้าใจเลาๆ ว่าเป็นชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผู้ชายคนนั้น

ไนล์...

รู้ชื่อของคนที่ผมคิดว่ากำลังจะทำให้ชีวิตของผมต้องปั่นป่วนแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย เพราะอย่างน้อยผมก็รู้เรื่องของเขา ไม่ใช่ไม่รู้อะไรเลยเหมือนก่อนหน้านี้ ทว่าคิดอย่างนั้นอยู่แค่แป๊บเดียว ผมก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาถูรอยบนตัว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ผมเพิ่งอาบน้ำมา แต่รอยปากกาที่อยู่บนอกของผมยังเห็นชัดเจน ไม่มีรอยแหว่งหรือซีดลงเลยแม้แต่น้อย

ทั้งที่พยายามเอานิ้วลูบแล้ว แต่รอยสีดำนั้นก็ไม่ได้จางลงเลย ผมต้องรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปแล้วใช้สบู่ถูอีกรอบ ทั้งขัดทั้งถูอยู่หน้ากระจกของอ่างล้างหน้า แต่มันก็ไม่มีทีท่าว่าจะลบออกไปได้หมด จนผมอดจะร้องออกมาไม่ได้

“นี่มันปากกาเหี้ยอะไรวะเนี่ย ทำไมลบไม่ออก!”



















เป็นเรื่องปกติที่พวกกลุ่มผมจะไปไหนมาไหนด้วยกันหากมีเวลาว่างพร้อมกัน วันนี้ก็เหมือนกัน ไอ้เคลมบอกว่าอยากไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ พวกเราเลยยกกลุ่มกันมาซื้อเสื้อผ้าในห้างใกล้ๆ ซึ่งคนที่ได้ของมากที่สุดก็ไม่พ้นคนที่ชวนมานั่นแหละครับ

หนทางของการเสริมหล่อนี่เป็นงานหลักของไอ้เคลมเลย ส่วนผม ไอ้ยีน ไอ้กัส ก็ได้เสื้อ กางเกง กันมาบ้าง คนละสองสามตัว ของผมก็ไม่ค่อยอะไรหรอกครับ ผมชอบใส่เสื้อยืดธรรมดามากกว่า เพราะว่าใส่สบาย ยิ่งเป็นเสื้อเพนท์ลายหรือสกรีนตัวหนังสือที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ค่อยเหมือนใครยิ่งเป็นสไตล์ของผม จนไอ้เคลมชอบเหน็บบ่อยๆ



‘ถ้าหน้ามึงไม่หล่อนะ มึงอย่าฝันว่าใส่เสื้อแบบนั้นแล้วจะมีสาวกรี๊ดมึงเลย’



อย่างที่บอกครับว่าผมไม่ค่อยสนใจรูปลักษณ์ของตัวเองเท่าไร ผมอยากทำอะไร อยากใส่เสื้อผ้าแบบไหน ทำผมสีอะไรก็แล้วแต่อารมณ์ในตอนนั้นๆ จะเรียกว่าอินดี้นิดๆ ก็คงไม่ผิด เพราะตอนนี้ผมของผมก็เป็นสีบลอนด์ที่สามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ เรียกได้ว่าถ้าพลัดหลงกันก็สามารถตามหาผมได้ง่ายๆ โดยดูจากหัวนี่แหละ

เพราะฉะนั้นเสื้อผ้าที่ได้มาวันนี้ ไอ้ยีนเป็นคนเลือกให้ผมครับ มันดูทั้งของมันเองและหากเห็นตัวไหนที่น่าจะเหมาะกับผม มันก็เอามาทาบๆ แล้วยัดเข้ามือผมเลยถ้ามันเห็นว่าโอเค เพราะถึงจะบอกว่าไอ้เคลมเป็นพวกใช้เสื้อผ้าเปลืองสุดๆ เพื่อเสริมความหล่อของมัน แต่คนที่เทสต์ดีที่สุดก็คือไฮยีน

“โอ๊ย หิวแล้วโว้ย ไปหาอะไรแดกกัน”

คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีชวนให้มาซื้อของด้วยกันร้องโหวกเหวกเป็นคนแรก เป็นพวกแอคทีฟเว่อร์ได้ตลอด ส่วนคนที่สนองตอบคำพูดของไอ้เคลมเร็วที่สุดก็ไม่พ้นไอ้ยีน เหมือนลมพัดแล้วไฟโหมนั่นแหละครับ

“แล้วจะแดกอะไรดีวะ”

“ชาบู?”

“ไม่อิ่ม”

“งั้นก็พิซซ่า”

ไอ้เคลมกับไอ้ยีนเสนอความคิด แต่มาจบลงที่ผมกับไอ้กัสที่ตอบพิซซ่าออกมาพร้อมกัน ซึ่งอีกสองคนที่เหลือก็หันมามองเหมือนจะเห็นด้วย ก่อนเราจะเดินไปที่ร้านพิซซ่าสีแดง ตอนนี้เป็นช่วงบ่าย ร้านเลยค่อนข้างว่าง พอไปถึงร้านพนักงานก็พาเราไปนั่งที่โต๊ะด้านในเลย

ได้เมนูมาในมือก็ประชุมสุมหัวกันว่าจะกินหน้าอะไรดี แล้วก็สรุปมาได้สามถาดใหญ่ เพราะเอาจริงๆ พวกผมเป็นประเภทกินได้ทุกอย่างอยู่แล้ว แล้วแต่ว่าตอนไหนอยากกินอะไรเป็นพิเศษมากกว่า ยกเว้นแต่ยีนที่ไม่กินของร้อนๆ เพราะเป็นพวกลิ้นแมว จนบางครั้งไอ้เคลมยังแกล้งหลอกให้กินของร้อน จนโดนไอ้ยีนถีบกลับไปก็มี

เครื่องดื่มที่สั่งมาก็ไม่พ้นโค้กรีฟิลล์ ยีนทำหน้าปุเลี่ยนนิดหน่อยเพราะมันชอบกินเป๊ปซี่มากกว่า มันบอกว่าโค้กหวานเกินไปสำหรับผู้ชายร้อนแรงแบบมัน แต่พอมาดูสภาพตอนนี้ ผู้ชายที่ว่าร้อนแรง กลายเป็นเด็กหนุ่มเนิร์ดๆ ใส่แว่นหนา ติดกระดุมเสื้อถึงคอแล้วก็ตลกดี ยิ่งเห็นตอนนิสัยห่ามๆ บ้าเลือด ไม่ยอมใครหลุดออกมาจากภาพลักษณ์แบบนี้ด้วยยิ่งตลก

“ไอ้เหี้ยยีน มึงกับพี่ภูนี่ยังไงวะ”

อยู่ๆ ไอ้เคลมก็ถามขึ้นมาตอนที่ผมกำลังยัดพิซซ่าหน้าซีฟู้ดเข้าปาก ผมจึงเหลือบตาไปมองทางคนถูกถาม เห็นมันทำตาขวางใส่คนปากมากแล้วก็รู้เลยว่ามันค่อนข้างไม่พอใจ หนำซ้ำยังทำเสียงขุ่น

“ยังไงอะไรของมึง กูไม่มีอะไรกับมันทั้งนั้น”

“อ้าว ก็กูเห็นช่วงนี้มึงสนิทกับพี่ภู”

“สนิทห่าอะไรล่ะ” ไฮยีนแทบจะเขวี้ยงพิซซ่าในมือใส่หน้าไอ้เคลมอยู่แล้ว “ถ้ากูไม่เจอแม่งจะเป็นพระคุณกับกูมาก มึงก็ด้วยอีกคน อย่าพูดถึงมันได้ป่ะ กูแดกไม่ลงแล้วเนี่ย”

“อะไรวะ กูก็แค่อยากรู้ เห็นพี่ภูชอบไปเจ๊าะแจ๊ะกับมึง”

ผมกับไอ้กัสที่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน หันไปมองหน้ากันนิดหน่อยแล้วกลับไปทางไอ้ยีนที่นั่งอยู่ข้างผมต่อด้วยความสนใจ เพราะประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจ ผมจำได้ตอนที่เจอพี่ภูครั้งแรกในมหา’ลัย พี่ภูถามถึงไอ้ยีนด้วย ทั้งที่ตอนม.ปลายพี่ภูไม่เคยเจอหน้ามันจังๆ เลยสักครั้ง มีแต่ฟังวีรกรรมที่ไอ้เคลมเล่านิดๆ หน่อยๆ

แต่ดูเหมือนไอ้เคลมจะใช้คำผิดไปหน่อย เลยไม่เข้าหูไอ้ยีน มันทำหน้าเหี้ยมแล้วจับพิซซ่าที่มันกินค้างอยู่ยัดเข้าปากไอ้เคลมแบบไม่ปรานีปราศรัย ลุกขึ้นมาจับยัดๆ จนไอ้เคลมร้อง ให้คนในร้านหันมามองกันเกือบทั้งร้าน ดีว่าเรานั่งอยู่โต๊ะด้านในสุด เลยไม่ตกเป็นเป้าสายตามากนัก

“พอแล้วน่า ยีน”

ผมต้องช่วยสงบศึก ดึงไอ้ยีนให้กลับมานั่งที่เหมือนเดิม จนตัวมันล้มลงมานั่งบนตักผมเลยด้วยซ้ำ แต่มันไม่สนใจหรอกครับ ยังหันมาเหมือนจะฟ้องผมด้วยซ้ำ

“ก็ดูแม่งดิ หาว่าไอ้พี่ชมพูมาเจ๊าะแจ๊ะกู”

“เพราะมึงชอบโต้ตอบมันแบบนี้แหละ มันถึงได้ชอบแหย่มึง”

ปรามแล้วผมก็เหลือบไปมองทางไอ้เคลมนิดนึง เห็นมันทำปากยื่นปากยาวใส่เหมือนจะล้อเลียนก็เลยลอบถลึงตาใส่ไปนิดหน่อยโดยพยายามไม่ให้ยีนเห็น ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเรื่องไม่จบแน่ๆ นิสัยชอบเอาชนะนี่ไม่มีใครเกิน

“เอ้า กินซะ”

เพื่อเป็นการตัดบท ผมเลื่อนพิซซ่าชิ้นที่อยู่ในมือไปป้อนมันถึงปาก ไอ้ยีนถึงได้ยอมสงบแล้วงับแป้งนุ่มๆ พร้อมเครื่องเข้าปากไปแต่โดยดี ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากตักของผมลงไปนั่งที่เบาะเหมือนเดิม

“แต่จะว่าไป กูก็อยากรู้นะ”

ทว่าดูเหมือนจะไม่จบง่ายๆ เพราะอยู่ๆ ไอ้กัสก็พูดขึ้นมาอีก ผมเหลือบไปมองมันนิดๆ เพราะอยากรู้ว่ามันต้องการอะไรกันแน่ ก็รู้อยู่ว่าไอ้ยีนได้ยินชื่อนี้ไม่ได้ ต้องอารมณ์ขึ้น ถึงผมจะไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมมันอคติกับพี่ภูนักหนา ทำไมถึงไม่ถูกกัน ทั้งที่ผมก็คิดว่าพี่เขาเป็นคนดี เป็นรุ่นพี่ที่พวกผม โดยเฉพาะไอ้เคลม สนิทด้วยมาตั้งแต่ม.ปลาย


“อยากรู้เหี้ยอะไร”

ไอ้ยีนตวัดทั้งเสียงทั้งตาใส่ไอ้กัสทันที เหมือนเรื่องของพี่ภูเป็นสิ่งสุดท้ายที่มันอยากเอามาเป็นหัวข้อสนทนา

“ทำไมมึงดูเกลียดพี่ภูจังวะ”

“ก็แม่งกวนตีน”

“เพราะมึงไปกวนตีนเขาก่อนหรือเปล่าเหอะ”

แทนที่จะเงียบปากอยู่เฉยๆ แต่ไอ้เคลมก็แกว่งปากหาตีนอีกจนได้ เพราะคนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มโพล่งเสียงออกมาทันที

“มันต่างหากที่กวนตีนกู เจอกันครั้งแรกก็ตบหัวกู แล้วก็หาเรื่องกูตลอด จะให้กูพูดดีกับแม่งได้ยังไง”

“แสดงว่าถ้าพี่ภูพูดดีกับมึง ไม่กวนตีนมึง มึงจะยอมญาติดีกับเขา”

ผมลองถามบ้าง เผื่อจะเป็นทางออกที่ดี

“ไม่รู้”

“อ้าว”

ได้รับคำตอบแล้วผมก็ร้องออกมา แต่ไอ้กัสเสือกยิ้มนิดๆ เหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจแล้วถามออกมา

“ต้องแล้วแต่ว่าเขาจะแสร้งพูดดีกับมึง แต่ทำหน้ากวนตีน หรือว่าเขาอยากพูดดีกับมึงจริงๆ กันแน่ใช่ไหม”

คราวนี้ไอ้ยีนไม่ตอบครับ เรียกได้ว่าไอ้กัสจับประเด็นแล้วยิงตรงเป้าที่สุดสมเป็นมัน เหมือนหลักการตามธรรมชาติ ไฟย่อมแพ้น้ำ เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าไฟคนนี้แพ้แล้วพาลครับ ยีนเบี่ยงประเด็นมาทางผมแทน

“ว่าแต่มึงเหอะ เรื่องรุ่นพี่ที่มึงไปชอบ ถึงไหนแล้ว”

“พี่ดาหลา?” ผมครางเสียงถามเบาๆ ก่อนจะบอกไปตามความจริง พลางหยิบพิซซ่าเข้าปากไปด้วย เพราะเหลือชิ้นสุดท้ายแล้ว “ก็ยังไม่ถึงไหน กูเพิ่งเจอเขาสองครั้งเอง ไม่อยากรีบร้อน”

“ระวังหมาจะคาบไปแดกนะมึง ถึงจะเป็นมึงที่หล่อน้อยกว่ากูนิดนึงก็เหอะ”

ไอ้เคลมหวังดีเตือน เลยโดยไอ้กัสตบหัวไปทีหนึ่ง มันจึงหันไปทำปากงุบงิบใส่ไอ้กัสเหมือนจะงอนที่ถูกประทุษร้ายทั้งที่พูดความจริง

“กราฟไม่รีบเหมือนมึงก็ดีแล้ว ให้กูได้มีเพื่อนรักนวลสงวนตัวบ้าง”

“โอ๊ยยยย กูอยากจะถุยน้ำลายใส่หน้ามึงฉิบหายเลยไอ้ยีน แหมๆๆ ไอ้เหี้ย มึงนี่รักนวลสงวนตัวมากนะ เมื่อก่อนน่ะยิ่งกว่ากูอีก”

สองคนนี้อยู่ด้วยกันไม่ได้ ชอบเย้ย ชอบทับถมกันจริงๆ แต่มันก็รักกันจริงๆ จนบางครั้งผมกับไอ้กัสก็รู้สึกตลก แล้วบางทีก็เอือมกับการเถียงกันแบบเด็กๆ ของพวกมัน

“พวกมึงนี่ มีวันไหนที่เจอกันแล้วไม่เถียงกันบ้าง”

“กูว่าคงยาก”

ไอ้กัสสนับสนุนความคิดของผม ผมจึงหันไปยิ้มให้มันอย่างรู้กัน เล่นเอาโดนอีกสองคนที่เหลือค้อนใส่ ทำตัวเป็นเด็กกันไปได้ ผมกับไอ้กัสนี่อย่างกับเป็นผู้ปกครองของเด็กอนุบาล

“แล้วนี่พวกมึงจะสั่งอะไรกันอีกหรือเปล่า ถ้าไม่กูจะได้ไปจ่ายเงินก่อน”

เป็นเรื่องปกติที่ผมชอบจ่ายเงินค่าอาหารก่อนจะลุกออกจากร้านอย่างที่คนอื่นทำ เพราะบางครั้งก็เดินคุยกันออกจากร้านจนลืม ต้องเดือดร้อนพนักงานมาตามเรียก แล้วก็กลายเป็นเรื่องอับอายไปว่าพวกผมกินแล้วชักดาบ เพราะฉะนั้นผมเลยป้องกันไว้ก่อน ไม่อยากให้พนักงานต้องมาลำบาก ส่วนเรื่องค่าอาหารก็ผลัดๆ กันจ่ายครับ เรื่องนี้พวกผมไม่คิดเล็กคิดน้อยกันอยู่แล้ว เพราะเงินที่ใช้เที่ยวๆ หรือเงินเดิมพันตอนแข่งรถมากกว่าค่าอาหารหลายเท่า

“ไม่แล้วว่ะ”

ยีนเป็นตัวแทนตอบกลับมา ผมจึงลุกจากเบาะที่นั่งอยู่พร้อมกระเป๋าเงินและใบเสร็จตรงไปยังเคาน์เตอร์หน้าร้าน แต่ระหว่างที่เดินไปยังเป้าหมาย สายตาของผมก็ปะทะเข้ากับใบหน้าของคนคนหนึ่งเข้า เป็นคนเดิมที่ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกกลมเกินไปแล้ว









อ่านต่อข้างล่าง

v

v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 17-08-2013 16:56:57

ต่อจากข้างบน

v

v






ทำไมผมถึงเจอผู้ชายคนนี้อีก?

คำถามดังก้องอยู่ในหัวของผมขณะที่ผมหันหน้ากลับไปอีกทาง ทำเหมือนไม่เห็นว่าเจ้าของชื่อที่ติดอยู่บนอกของผมมาสามวันเต็มกว่าจะลบออก นั่งอยู่ตรงนั้นกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเดียวกับที่ผับ ทั้งที่ผมแน่ใจว่าเมื่อครู่ผมกับเขาสบตากันราวกับจงใจ

ผมยื่นใบเสร็จและบัตรเครดิตให้กับแคชเชียร์เพื่อให้เขาจัดการต่อ แต่แค่ครู่เดียวผมก็รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่ข้างๆ เมื่อหันไปมองก็เป็นอย่างที่คาดเอาไว้ในใจ คนที่ผมเลี่ยงที่จะสบตาด้วยมายืนข้างผมแล้ว

“ทำไมไม่โทรมา”

เสียงเรียบๆ ดังพอให้ผมได้ยิน และไม่รบกวนการทำงานของพนักงานที่ยืนอยู่ตรงหน้าโดยมีเคาน์เตอร์กั้นเอาไว้ แต่ผมก็ยังเงียบ ไม่ต่อบทสนทนาด้วย หวังว่าเขาจะเลิกยุ่งกับผม เพราะผมคิดว่าการเข้าใกล้ผู้ชายที่ชื่อ ไนล์ อันตรายเกินกว่าที่ผมจะควบคุมได้

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมรู้สึกแบบนั้น

และเขาก็ทำในสิ่งที่ผมคาดไม่ถึง มือเรียวที่ค่อนข้างเย็นเล็กน้อยเลื่อนมาจับมือผมเอาไว้ ทำให้ผมสะดุ้งนิดๆ และต้องหันไปทางเขา แต่เขาเพียงแค่มองหน้าผมเหมือนต้องการคำตอบทั้งที่แววตากลับว่างเปล่า จุดหมายของมันไม่ใช่ใบหน้าหรือตาของผม แต่เป็นอะไรที่เหมือนจะอยู่ลึกกว่านั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกทะลวงเข้าไปในหัวใจอย่างไร้เหตุผล

ผมดึงมือตัวเองออกอย่างระมัดระวัง ไม่ให้เป็นที่สังเกตกับพนักงานที่อยู่ตรงหน้าและลูกค้าในร้าน แต่ก็ยังถูกมือที่เล็กกว่ายึดเอาไว้แน่น สายตาสีดำสนิทคู่นั้นยังทิ้งไว้ในระยะเท่าเดิม ราวกับบอกว่าจะไม่ปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระจนกว่าจะได้คำตอบจากผม และสุดท้ายผมก็ต้องยอมขยับปากตอบ

“ฉันไม่จำเป็นต้องโทรหานาย”

“กลัวเหรอ”

“ทำไมฉันต้องกลัวนาย”

คล้ายว่าเป็นคำพูดท้าทาย ทั้งที่สีหน้าสงบนิ่งและน้ำเสียงยังคงเรียบเฉย พลอยให้ผมต้องโต้ตอบอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าในเวลาเดียวกันผมกลับรู้สึกว่าหัวใจของผมสั่นหน่อยๆ

กลัว?

ทำไมผมจะต้องกลัวคนที่ไม่รู้จักกัน กลัวคนที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ และต้องการอะไรจากผม

“นั่นสิ นายจะกลัวฉันทำไม”

ทั้งที่เป็นประโยคคำถาม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นประโยคที่อีกฝ่ายตั้งใจแทงเข้ามาที่อกของผมอย่างจัง เหมือนเขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกยังไง และมันก็ทำให้ผมหน้าชาไปเล็กน้อย

“เอ่อ... ช่วยเซ็นตรงนี้ด้วยค่ะ”

เหมือนถูกช่วยชีวิตเอาไว้จากพนักงานที่น่าจะกำลังรอจังหวะแทรกเสียงขึ้นมา ผมกระชากมือออกอย่างไร้ความเกรงใจต่างจากก่อนหน้านี้ และคว้าปากกามาเซ็นชื่อในสลิปก่อนจะรับบัตรเครดิตคืน แต่กระนั้นผมก็ไม่วายกวาดตาไปทางคนที่ยืนอยู่ข้างกัน เห็นว่าคนคนนั้นกำลังมองมาทางผมเช่นเดียวกัน ขณะที่มือที่จับมือผมเอาไว้เมื่อครู่ยื่นแบงก์พันให้กับพนักงาน

ผมต้องรีบเดินจากเคาน์เตอร์และไปที่โต๊ะอย่างรวดเร็วโดยไม่ให้ผิดสังเกต เสียงตึกตึกดังก้องอยู่ในอกของผมเหมือนกำลังบอกว่า ‘อย่าเข้าใกล้ผู้ชายคนนี้’ ก่อนที่ผมจะผ่อนลมหายใจออกมาเล็กน้อยและนั่งลงบนม้านั่งเหมือนเดิม

“นานจังวะ”

“พอดีเจอคนรู้จักหน้าร้าน”

ถ้าเป็นคนอื่นถาม ผมอาจจะหาข้ออ้างที่ต่างจากความเป็นจริงได้ แต่คนที่ถามคือไอ้ยีน ผมถึงไม่สามารถโกหกได้

ผมไม่ชอบที่จะปิดบังมัน ผมไม่อยากมีความลับกับมัน ถึงตอนนี้จะเหมือนว่าผมกำลังทำแบบนั้นอยู่ก็ตาม

“เป็นอะไร”

“เปล่า ไม่มีอะไร” ตอบยีนกลับไปแล้วผมก็ยกแก้วน้ำมาดูดน้ำสีน้ำตาลเข้มเข้าไปหนึ่งอึกใหญ่ๆ “แดกกันเสร็จหรือยัง”

“เสร็จแล้ว”

“งั้นก็ไปกันเหอะ พวกมึงจะซื้ออะไรกันอีกหรือเปล่า”

ถุงเสื้อผ้าที่ซื้อมาถูกผมคว้ามาถือเอาไว้พลางลุกยืนอีกครั้ง ขณะที่คนอื่นๆ ก็ยืนตามและก้าวออกจากโต๊ะมาด้วยกัน

“คงไม่ซื้อแล้วมั้ง ดูห่าเคลมดิ จะถือไม่ไหวอยู่แล้ว ซื้ออะไรนักหนา มึงจะเปลี่ยนวันละสิบชุดหรือไง”

เป็นไฮยีนเจ้าเดิมครับที่กระแหนะกระแหนเคลมตามนิสัยระหว่างที่พวกเราเดินออกมานอกร้าน ทว่าตอนที่เดินออกมาก็ไม่พ้นว่าผมเดินสวนกับคนที่ผมพยายามเลี่ยงซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ และแม้ว่าจะไม่อยากสนใจอีกฝ่าย แต่หางตาของผมก็ยังเหลือบไปมองเจ้าของหน้าเรียวนั่น

สายตาของเราสบกันอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเบือนหน้าหลบเล็กน้อย

“กัส มึงช่วยกูถือหน่อยดิ”

“อะไรของมึงเนี่ย มีแต่ของมึง ก็ถือเองสิวะ”

เดินห่างออกจากร้านพิซซ่ามาได้พักหนึ่ง ไอ้เคลมก็งอแง ร้องให้ไอ้กัสช่วย เพราะตอนนี้ถุงเสื้อผ้าที่มันซื้อมาเต็มมือของมันเลย แต่ไอ้กัสไม่คิดจะช่วยครับ หนำซ้ำไอ้ยีนยังซ้ำเติม

“สมน้ำหน้ามึง”

“เสือกว่ะ กูไม่ได้ขอให้มึงช่วยสักหน่อย” คนบ้าช้อปปิ้งตอกกลับก่อนจะทำตาแป๋วใส่คนที่เดินข้างๆ กันต่อ “ไอ้กัส เพื่อนรักของกู ช่วยกูหน่อย เอาไปสามถุงก็ได้”

“ไม่ช่วยเว้ย กูบอกแล้วว่าให้พอ มึงก็จะเอาอยู่ดี”

ดูเหมือนยีนจะพอใจและสะใจอยู่ เพราะมันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด

“มึงไม่รักกูแล้วเหรอ”

“...”

ไอ้กัสไม่ตอบครับ เสียงหัวเราะเบาๆ ของไฮยีนถึงหลุดออกมา ไอ้เคลมเลยถลึงตาใส่แล้วหันมาขอร้องผมแทน

“กราฟ มึงรักกูไหม”

ผมยิ้มออกมานิดๆ กับคำถาม พลางเหลือบมองถุงนับสิบใบที่อยู่ในมือของมัน เป็นแบบนี้ตลอด ซื้อของแบบไม่เจียมตัว แล้วพอกินอิ่มทีไรก็เริ่มขี้เกียจทุกที ทั้งที่ตอนยังไม่กินก็ถือมาเองได้ ไอ้ยีนเรียกอาการแบบนี้ของไอ้เคลมว่า ‘โรคสำออย’ ครับ

“เอามา”

“กราฟ อย่าช่วยมันดิวะ เคยตัวว่ะแม่ง”

ยีนห้าม มีการดึงมือผมเอาไว้ด้วย ทำตัวเหมือนเด็กกำลังหวงพี่เลี้ยง ไม่ให้ไปดูแลเด็กคนอื่น พานให้ผมยิ้มกว้างมากขึ้น ตอนนี้เลยเหมือนเด็กสองคนกำลังแย่งผม คนหนึ่งดึงแขนซ้าย อีกคนดึงแขนขวา ส่วนไอ้กัสได้แต่ยืนมองเหมือนรอดูว่าผมจะตัดสินใจยังไง

แต่เพราะว่าสองคนนั้นยื้อผมกันไปมา ทำให้ผมต้องหัวสั่นหัวคลอนตามไปด้วย และมันก็ทำให้ผมเหลือบไปเห็นคนที่เมื่อครู่อยู่ในร้านพิซซ่าเดินตามมาทางด้านหลัง ทั้งที่ไม่ตั้งใจที่จะสบตากัน แต่ผมก็เหมือนถูกสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นจับจ้องมาอีกแล้ว

หมอนั่นตามมาหรือยังไง?

คำถามดังก้องในหัวของผมอีกครั้ง เพราะว่าเราเดินห่างออกมาจากร้านพิซซ่าจนออกมาอีกโซนหนึ่งแล้ว ก่อนเสียงของยีนจะดึงให้สติของผมกลับมาอยู่กับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่

“กราฟ!”

“อะไร”

“เป็นอะไร อยู่ๆ ก็เหม่อ”

“เปล่า” ผมตอบแล้วยิ้มให้ไอ้ยีน ก่อนจะค่อยๆ ดึงแขนออกจากมือทั้งสองข้างของเพื่อนรักสองคน “เดี๋ยวกูถือให้ทั้งสองคนนั่นแหละ จะได้เท่าเทียมกัน”

ว่าแบบนั้นแล้วผมก็คว้าถุงในมือของไอ้ยีนและไอ้เคลมมาคนละสองใบ พวกมันก็ดูงงๆ ที่อยู่ๆ เหมือนว่าผมจะแปลกไปนิดหน่อย ก่อนเสียงจากด้านหลังจะเรียกความสนใจจากผมอีกครั้งทั้งที่มันเบาจนเกือบไม่ได้ยิน

“ไนล์ เข้าไปดูร้านนี้กันเถอะ พี่ผิงอยากได้กระเป๋า”

ผมเหลือบไปทางต้นเสียง ก็เห็นว่าผู้หญิงที่นั่งโต๊ะเดียวกับผู้ชายคนนั้นในร้านพิซซ่าคล้องแขนของคนที่เธอเรียกแล้วดึงให้เดินเข้าไปในร้านกระเป๋าแบรนด์เนมที่อยู่ใกล้ๆ ด้วยกัน

“กราฟ!”

“อะไร”

เสียงของยีนทำให้ผมต้องหันกลับไปทางด้านหน้าอีกครั้ง และถามอย่างสงสัย เพราะเห็นว่าเพื่อนรักที่สุดกำลังขมวดคิ้วเข้าหากันเหมือนกำลังมีปัญหาหนัก และเดินนำหน้าผมไปเกือบสองช่วงตัวแล้ว

“มึงเป็นอะไร เหม่ออีกแล้ว”

“ไม่มีอะไร กลับกันเหอะ”

“เออ มึงน่ะเดินช้าที่สุดแล้ว”

ไอ้เคลมสวนกลับมาอีกคน ผมเลยต้องรีบก้าวเท้ายาวๆ ตามมันไป แต่ก็ไม่วายเบือนหน้าไปทางด้านหลังเพื่อมองไปที่ร้านกระเป๋าอีกครั้ง และก็ไม่เห็นว่ามีใครคนนั้นอยู่หน้าร้านอีกแล้ว

ทำไมผมจะต้องสนใจหมอนั่น?







===============
ไนล์ออกน้อยอีกแล้ว แต่ตอนหน้าจะออกเยอะขึ้นแล้วค่ะ
ตอนนี้เหมือนเน้นกราฟยีนมากกว่า ฮาาาา  :mew5:

ปล. เรื่องนี้จะแทรกภูยีนมาเรื่อยๆ ค่ะ เพราะเวลามันคาบเกี่ยวกันเป็นช่วงๆ
แต่งไปก็ต้องเปิดอีกเรื่องไล่เช็คตลอด  :o12:


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: First ที่ 17-08-2013 18:51:29
เย่ๆๆ  เรื่องใหม่มาแล้ว  กำลังรออยู่พอดีเลย    เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะครับ :o8:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 17-08-2013 19:30:40
ปากบอกไม่มีอะไร แต่สายตามองไปยามเผลอ แหมมมม
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 18-08-2013 14:45:31
ตอนนี้ไนล์ออกนิดเดียวจริง ๆ แต่ออกมาทีทำนายกราฟใจสั่นตลอด
ชอบความรัก ความผูกพันของยีนกะกราฟอะมันดูลึกซึ้งและก็ให้ความสำคัญกันดีมากเลย
ตอนอ่านในภูยีนก็รู้สึกว่ากราฟเหมือนพยามปกปิดเพื่อนเรื่องของไนล์
แต่มาอ่านตอนนี้ก็เข้าใจมากขึ้น เพราะกราฟก็ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ไนล์ทำ
เลยไม่รู้จะอธิบายยังไงให้เพื่อนฟังละมั่ง ส่วนไนล์ก็ดูเป็นปริศนาจริง ๆ
แบบเจอทีก็รุกที ไม่เจอก็หายไปเลย อย่างงี้กราฟก็คงสับสนอยู่อย่างงั้นแหละ
มันต้องมีที่มาที่ไปกับสิ่งที่ไนล์ทำกะกราฟบ้างสิ คงไม่ใช่รักแรกพบหรอกมั่ง
ตอนหน้าไนล์จะได้ออกมากขึ้นแล้ว ไนล์จะทำอะไรให้กราฟเข้าใจตัวเองมากขึ้นไหมน๊า
รอติดตามนะคะ  :pig4: :mew1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 18-08-2013 18:56:33
ไนล์เป็นผู้ฃายที่แอบน่ากลัวแฮะ
น่ากลัวตรงออกมาน้อยเนี่ยแหละ เหมือนวิญญาณ
รออ่านตอนต่อไปคร้าบบ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 2 : ใครกลัว [17/8/56]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 18-08-2013 20:00:43
แหม่ๆ พยายามที่จะไม่สนใจ แต่สายตาก็หยุดมองหาไม่ได้นะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-09-2013 23:53:44
ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท??





















เสียงโทรศัพท์ดังปลุกให้ผมตื่นไม่ต่างจากทุกวัน ผมเอื้อมมือไปคว้าเครื่องสี่เหลี่ยมนั้นมากดปิดสัญญาณการปลุกพลางเหลือบตามองตัวเลขที่เด่นหราอยู่บนหน้าจอ ก่อนจะต้องเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าวันนี้เป็นวันที่เท่าไร


16 กรกฎาคม


เพียงเห็นเท่านั้นความรู้สึกมากมายก็โถมทับเข้ามาในอกของผม โทรศัพท์ที่ถืออยู่เมื่อครู่ถูกวางลงบนเตียงโดยเร็วก่อนที่ผมจะต้องยกมืออีกข้างขึ้นมาปิดปากเอาไว้ ความรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออกโหมตีขึ้นมาพร้อมกับตาที่ร้อนผ่าวขึ้น

หยดน้ำใสๆ เอ่อขึ้นบนขอบตาของผมราวกับสั่งได้ ทั้งที่ผมไม่อยากรู้สึกแบบนี้ ไม่อยากให้ถึงวันนี้มากที่สุดในรอบปี แต่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงมันได้ ความรู้สึกแย่ตีรวนอยู่ในอก ทำให้ลำคอของผมแห้งผาก มือที่ว่างอีกข้างได้แต่ขยำผ้าปูที่นอนอย่างทุกข์ทรมาน

ผมพยายามสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติเอาไว้ พยายามนึกถึงคำพูดที่เคยได้รับจากเพื่อนรักที่สุดเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น แต่มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าที่ผมจะทำได้ ความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตย้อนกลับมาเป็นฉากๆ จนผมต้องกุมหัวเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ภาพเหล่านั้นย้อนกลับมาทำร้ายผมได้

“มึง”

พยายามฝืนทนต่อความรู้สึกย่ำแย่ที่กำลังรุมเร้าและคว้าโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรหาคนที่จะทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น แม้จะแค่เล็กน้อยก็ตาม หวังให้เสียงของมันทำให้ผมหายจากอาการทุกข์ทรมานนี้

แค่ได้ยินเสียงของไฮยีน ผมจะรู้สึกดีขึ้น

[ว่าไงวะ โทรมาแต่เช้าเชียว กูเพิ่งตื่นเองเนี่ย]

“วันนี้กูไปรับมึงไม่ได้นะ ขอโทษทีว่ะ”

ผมไม่ได้บอกมันว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน ทรมานยังไง พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกทั้งหมดลงไป และสูดลมหายใจเข้าช้าๆ ทั้งที่ตาทั้งสองข้างยังเปียกชื้น

[เออๆ ไม่เป็นไร กูนั่งแท็กซี่ไปได้ ว่าแต่มึงเหอะ ไม่ได้เป็นอะไรใช่หรือเปล่า]

แน่ใจเลยว่าผมไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป แต่เพราะความผิดปกติที่ผมไม่ไปรับมันที่บ้านเสียมากกว่าที่ทำให้มันถาม ทว่าผมก็ไม่ได้บอกมันเพื่อให้มันเป็นห่วงผมไปมากกว่านี้ ผมจะพยายามเพื่อตัวเองบ้าง เพราะผมพึ่งมันมาหลายครั้งแล้ว

วางสายจากไฮยีน ผมก็ขดตัวอยู่บนเตียง พยายามปรับอารมณ์ของตัวเองให้ได้มากที่สุด นึกถึงเสียงของคนที่ผมเพิ่งวางสายไป นึกถึงคำพูดของมันซ้ำๆ เพื่อลบภาพเดิมๆ ที่แล่นเข้ามาในหัวไม่หยุด แต่ยิ่งผมฝืนลบเท่าไร ก็เหมือนภาพนั้นจะยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ความรู้สึกผิดตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ


ความผิดที่ไม่สามารถลบเลือนได้และไม่สามารถแก้ไขได้

ผม...ฆ่าคนที่ผมรักด้วยมือของผมเอง

ทั้งที่บอกตัวเองไม่ให้คิดอย่างนั้นแบบที่ไฮยีนเคยบอก ไม่ใช่ความผิดของผมที่มิ้นตาย แต่มันยากเหลือเกินที่จะทำใจไม่ให้คิดได้ เพราะเหตุการณ์วันนั้นยังแจ่มชัด โดยเฉพาะในวันนี้... วันครบรอบวันตายของเธอ แม้ว่าจะผ่านมาแล้วสามปี

ผมหลับตาลง กอดตัวเองให้แน่นขึ้น น้ำตายังคงไหลออกมาจากตาของผมเรื่อยๆ เหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด เสียงสะอื้นสะท้อนอยู่ในห้องที่เงียบสนิทจนไม่ได้ยินเสียงอื่นใดนอกจากความเศร้าเสียใจของผม

ถ้าผมไม่ชวนมิ้นไปทะเลด้วยกันในวันนั้น...

รอยยิ้มของคนที่ผมรัก ไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหนผุดขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้เสียงสะอื้นของผมยิ่งดังมากขึ้น มากขึ้นอีกหลายเท่า

“มิ้น! กราฟขอโทษ กราฟผิดเอง กราฟรักมิ้นนะ ทำไมต้องจากกราฟไป!!”

เสียงตะเบ็งของผมกังวานไปทั้งห้อง พร้อมกับความเจ็บปวดในอกที่หนักขึ้น ผมได้แต่ร้องออกมาแบบนั้นเหมือนคนเสียสติ ผมไม่สามารถยอมรับการจากไปของเธอได้ ไม่ว่าจะย้อนคิดกลับไปอีกกี่ครั้ง ผมก็ยังคงคิดถึงเธอ และรู้สึกผิดอยู่ทุกครั้งที่นึกถึงผู้หญิงที่ผมรัก



‘กราฟจะไม่ชวนยีนออกมาเล่นด้วยกันเหรอ ปล่อยให้อยู่ในบังกะโลคนเดียว เดี๋ยวก็เบื่อแย่ กว่ากัสกับเคจะกลับมาจากซื้อของก็อีกตั้งนาน’

เสียงสดใสของคนรักทำให้ผมยิ้มออกมานิดๆ เธอเป็นคนน่ารัก และห่วงความรู้สึกของคนอื่นอยู่เสมอ คล้ายๆ ผม ทำให้ผมตกหลุมรักเธอไม่ยากเลย

‘ปล่อยมันไปเหอะน่า มันคงไม่อยากมาขัดตอนเราสวีทกันหรอกมั้ง’

ผมดึงผู้หญิงตัวเล็กเท่าคางของผมมากอดเอาไว้จากทางด้านหลังแล้วยังตีเนียนด้วยการหอมแก้มเธอไปหนึ่งฟอดใหญ่ๆ จนคนที่ถูกลักความหอมของแก้มต้องรีบเบี่ยงตัวหนี พยายามดันตัวผมออก แต่ผมก็ไม่ยอมปล่อย ผมกอดเธอไว้แน่นขณะที่เธอดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของผม

‘ปล่อยสิกราฟ ขี้ฉวยโอกาสสุดๆ’

‘ไม่ให้กราฟฉวยโอกาสกับมิ้น แล้วให้กราฟไปฉวยกับใครล่ะครับ’

แก้ตัวอย่างหน้าด้านๆ แล้วผมยังใช้โอกาสนั้นหอมแก้มเธอไปอีกทีและหัวเราะออกมา เลยโดนมิ้นตีที่แขนเข้าให้ ผมถึงต้องรีบปล่อยตัวเธอออกแล้วเปลี่ยนเป็นสาดน้ำใส่แทน เป็นการป้องกันตัวแบบทีเล่นทีจริง

เสียงหัวเราะของพวกเราดังไปทั่วชายหาดที่แทบจะเป็นส่วนตัว เพราะเป็นหน้าหาดของที่พักของผมและโรงแรมข้างๆ กัน ซึ่งหน้าฝนแบบนี้ไม่ค่อยมีคนนิยมมาเที่ยวทะเลสักเท่าไร ทำให้ชายหาดสงบยิ่งขึ้นไปอีก

ผมกับมิ้นไล่จับกันบ้าง สาดน้ำใส่กันบ้าง หรือไม่เธอก็กระโดดขึ้นหลังของผม ตามประสาคู่รัก ผมมีความสุขมากที่ได้เที่ยวกับเธอแบบนี้ เพราะเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ผมได้พาเธอมาต่างจังหวัด ผมถึงขั้นลงทุนไปขอพ่อกับแม่ของมิ้นเลยด้วยซ้ำ เพื่ออย่างน้อยท่านจะได้วางใจว่าไปกับผมแล้วเธอจะปลอดภัย และผมไม่ได้คบกับเธอเล่นๆ หรือหวังอะไรจากเธอ

แต่ผมไม่รู้ว่านั่นจะเป็นการเที่ยวครั้งสุดท้ายของผมกับเธอ ไม่รู้ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วแบบนี้ ผมแกล้งเธอ ผมผลักเธอให้ล้มลงไปในน้ำ เป็นจังหวะเดียวกับคลื่นลูกที่ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ซัดเข้ามา มันแรงจนแม้แต่ผมยังเซ นับประสาอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างมิ้น เธอจมหายไปกับคลื่นลูกนั้น

เหมือนโลกหยุดหมุนทันทีที่คลื่นผ่านไป หัวใจของผมกระตุกวูบทันทีที่ไม่เห็นว่ามิ้นผุดขึ้นมาจากน้ำเหมือนก่อนหน้านี้ ก้อนเนื้อในอกเร่งจังหวะขึ้นมาอย่างถี่รัวหลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ความกลัวโถมเข้ามาในใจของผมจนสั่นไปทั้งตัว

ผมกลัวมาก กลัวอย่างไร้สาเหตุ แต่การไม่เห็นมิ้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา

‘มิ้น!! มิ้นอยู่ไหน มิ้นออกมานะ! กราฟกลัว’

ผมตะโกนสุดเสียงพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณที่คิดว่าเธอน่าจะอยู่ เธออาจจะแกล้งผมก็ได้เพราะผมแกล้งเธอก่อน ผมพยายามปลอบใจตัวเองแบบนั้น แต่มันกลับไม่ทำให้ใจของผมสงบลงได้เลย ยิ่งเวลาผ่านไปวินาทีแล้ววินาทีเล่า ผมก็ยิ่งรู้สึกหายใจติดขัดมากขึ้นกว่าเดิม

‘มิ้น มิ้น!! อย่าล้อเล่นนะ มิ้น ออกมาเถอะ!!!’

น้ำตาของผมไหลออกมาแล้ว ผมพยายามควานหาตัวเธอในน้ำ หรือแม้แต่ดำน้ำลงไปดูเพื่อหาคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะอยู่กับผม ทว่าผมกลับเจอแต่น้ำทะเลที่ว่างเปล่า ไม่มีคนที่ผมหา ผมพยายามฝ่าแรงต้านของน้ำเพื่อมองหาเธอเรื่อยๆ แต่ก็ไม่พบ หาตั้งแต่ตำแหน่งที่ผมยืนอยู่และเดินลงทะเลให้ลึกลงเรื่อยๆ ความกลัวยิ่งสั่นประสาทผมมากกว่าเก่า

‘มิ้น กราฟจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ออกมานะ มิ้น!!!’

ไร้การตอบรับจากคนที่ผมเรียก ผมคิดอะไรไม่ออกอีกแล้ว สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดของผม ณ ตอนนี้คือการตามหาเธอให้พบ น้ำทะเลเปรอะเปื้อนใบหน้าของผมปะปนกับน้ำตาลจนแยกไม่ออก ผมรู้สึกว่าตาร้อนผ่าวไปหมด จมูกแสบจนแทบหายใจไม่ออก

‘มิ้น!!! ฮึก...’

ลำคอของผมแสบจนเสียงแหบพร่า แต่ผมก็ไม่สนใจ ได้แต่มองหาคนที่หายตัวไปและทำให้ใจของผมร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก ผมจะทำยังไงดี ผมควรจะทำยังไง ความรู้สึกเหมือนจะขาดใจกำลังซัดใส่ผมไม่ยั้ง ทั้งมือและตัวของผมสั่นจนไม่สามารถควบคุมได้

ผมกลัว

ผมกลัว

ผมกลัว

เธออยู่ที่ไหน

มีแต่คำพวกนี้วนเวียนอยู่ในหัวของผมเต็มไปหมด ผมรู้สึกเหมือนผมจะเป็นบ้าแล้วจริงๆ ผมควานมือไปทั่วใต้น้ำ ดำน้ำลงไปซ้ำๆ และพยายามมองหาเธอเหมือนคนบ้า ความรู้สึกปวดร้าวในอกเหมือนถูกขยำแรงๆ ที่หัวใจทำให้ผมแทบหมดแรง มันเจ็บและทรมานมาก

‘กราฟ!!’

เหมือนมีเสียงของคนคนหนึ่งเรียกผมจากทางด้านหลัง แต่มันไม่ใช่เสียงของมิ้น ผมจึงไม่คิดจะหันไปมอง ตอนนี้ที่ผมต้องการที่สุดคือการตามหาคนรักของผมให้เจอ สิ่งไหนก็ไม่สำคัญ ไม่สำคัญเลยสักนิด ผมเดินฝ่าน้ำลึกลงไปเรื่อยๆ เพื่อตามหามิ้นอย่างบ้าคลั่ง สติหลุด จนไม่รู้ว่ากลายเป็นผมที่กำลังจมลงยังก้นทะเลด้วยอีกคน




















ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็รู้สึกถึงแรงกอดจากทั้งสองด้าน ไม่ต้องใช้เวลาคาดเดาก็รู้ได้เลยว่าเป็นใคร ไอ้กัสกับไอ้เคลมช่วยกันดึงแขนทั้งสองข้างของผมขึ้นมา พานให้ผมต้องลุกขึ้นจากท่านอนด้วย พวกมันยิ้มทะเล้นเพื่อให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น ผมรู้ถึงความตั้งใจของพวกมันดี

พวกมันคงนึกได้ว่าวันนี้เป็นวันอะไร ถึงได้พร้อมใจกันมาดูแลผมแบบนี้

“แล้วไอ้ยีน...”

“มันออกไปโทรศัพท์หาป๊า”

ไม่ต้องรอให้ผมถามจบ ไอ้เคลมก็รีบแทรกเสียงขึ้นมาก่อนอย่างรู้ทัน ผมจึงพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับมัน ตามด้วยเสียงของไอ้กัสดังขึ้นอีกคน

“กินข้าวต้มดิ พี่ภูทำไว้ให้”

ผมรู้สึกประหลาดใจหน่อยๆ กับเรื่องนี้ ไม่คิดว่าพี่ภูจะมาที่นี่ด้วย แต่พอคิดถึงไอ้ยีนแล้วก็พอจะเข้าใจได้ สองคนนั้นถึงจะบอกว่าไม่ถูกกัน แต่ก็ชักจะตัวติดกันมากขึ้นทุกที

“ว่าไงวะ ข้าวต้มอร่อยไหม”

กินข้าวต้มฝีมือพี่ภูไปได้สองสามคำ คนที่ออกไปโทรศัพท์นอกห้องก็กลับเข้ามา มันยิ้มทักทายผมและรีบตรงเข้ามาหา ก่อนจะต้องหน้าหงิกลงหน่อยๆ เพราะคำตอบของไอ้เคลมพร้อมหน้าระรื่น ดูภูมิอกภูมิใจกับรสชาติหรือต้องการจะกวนประสาทไอ้ยีน ผมก็ไม่แน่ใจ

“อร่อย ฝีมือพี่ภูแม่งเจ๋งว่ะ”

ถ้าหากว่าเป็นสถานการณ์ปกติ ผมคงยิ้มไปพร้อมกับท่าทางของสองคนนี้ที่ทำตัวเหมือนเด็กทะเลาะอย่างเคย แต่มันไม่ใช่ ผมจึงทำได้แค่นั่งมองทั้งสองคนอย่างไม่ค่อยมีชีวิตชีวานัก ไอ้ยีนที่คงไม่เชื่อทั้งคำพูดของไอ้เคลมและต้องการจะช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นจึงหันมาหา

“กราฟ ป้อนยีนหน่อย”

คนที่ตัวเล็กกว่าผมอ้าปากรอและบอกด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ทำให้ผมฝืนยิ้มออกมาได้นิดหน่อย ผมจึงค่อยๆ หยิบช้อนและตักข้าวต้มเข้าปากที่กำลังรออยู่ไป ซึ่งพอไอ้ยีนได้ของที่ต้องการแล้ว เสียงไอ้เคลมกับไอ้กัสก็ดังตามมา

“กราฟฟฟฟ ป้อนกูหน่อยครับ ป้อนกูหน่อย”

“ป้อนกูด้วย”

ท่าทางออดอ้อนของพวกมันที่ไม่ได้เห็นได้บ่อยๆ และแทบไม่มีใครเคยเห็นทำให้ผมยิ้มออกมาได้กว้างมากขึ้น ผมรู้สึกขอบใจพวกมันจริงๆ ที่พยายามทำเพื่อให้ผมพ้นจากความทุกข์เศร้ากันแบบนี้ จนอดจะบอกความรู้สึกจากใจไม่ได้

“กูรักพวกมึงจริงๆ”



















ผมป่วยหนักอยู่หนึ่งวันเต็ม และสาเหตุหลักของมันก็มาจากผมกดดันตัวเองมากเกินไป ผมตอกย้ำความผิดของตัวเองจนป่วย เป็นผลที่เกิดขึ้นทางจิตใจมากกว่าจะเป็นการป่วยทางร่างกาย ดังนั้นอาการของผมจึงดีขึ้นค่อนข้างเร็ว แต่กระนั้นสภาวะทางอารมณ์ของผมก็ยังไม่ค่อยปกตินัก

รู้ตัวดีเลยว่าผมตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า คงต้องใช้เวลาอีกสักวันหรือสองวันกว่าผมจะหายเป็นปกติ และกลับเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง ดังนั้นไฮยีนที่รู้อาการของผมดีที่สุดจึงคอยอยู่ข้างๆ ผมตลอดเวลา ทำให้ผมยิ้มได้อีกครั้ง แต่ถึงจะบอกว่ามันอยู่กับผมตลอด ก็ยังมีช่วงเวลาที่เราต้องแยกกัน

ผมให้ยีนขึ้นตึกเรียนไปก่อนเพื่อจองที่นั่ง เพราะวิชาที่เราจะเรียนต่อไปเป็นวิชาที่เรียนรวมกับคณะอื่นๆ ถ้าไปช้า จะได้ที่นั่งหลังห้อง ซึ่งผมไม่ค่อยชอบ ส่วนผมแวะซื้อลูกอมใต้ตึกก่อน ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานมาก ยีนจึงยอมที่จะปล่อยให้ผมอยู่คนเดียว

“อ้าว กราฟ”

เสียงจากผู้หญิงคนหนึ่งเรียกให้ผมหันไปมองยังต้นทาง และก็เป็นคนที่ผมภาวนาว่าขอไม่เจอเธอในช่วงเวลาแบบนี้ คนที่เรียกผมคือพี่มะเหมี่ยวครับ แต่คนที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นทำให้ผมต้องหลบสายตา

ผมไม่พร้อมจะเจอคนที่หน้าเหมือนมิ้นในตอนนี้จริงๆ

มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนดิ่งลงไปในห้วงเหวสีฟ้าเข้มมากขึ้น เหมือนถูกแรงบางอย่างจากก้นทะเลดูดตัวผมให้จมลึกลงๆ และผมไม่สามารถประคองตัวให้ก้าวพ้นจากความอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออกนี้ได้

“สวัสดีครับ ไม่เจอกันหลายวันเลย”

แต่แม้จะรู้สึกย่ำแย่สักแค่ไหน ผมก็ยังกล้ำกลืนความรู้สึกลงไปและพยายามคลี่ยิ้มให้กับผู้หญิงสองคนที่ก้าวเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนประจันหน้ากัน ลมหายใจของผมขาดห้วงลงจนรู้สึกได้ และสีหน้าของผมก็คงไม่ดีนักอย่างเห็นได้ชัด พี่ดาหลาถึงได้ถาม

“กราฟเป็นอะไรหรือเปล่า ดูหน้าซีดๆ นะ ไม่สบายเหรอ”

“นิดหน่อยครับ”

ผมเค้นเสียงตอบเธอได้เท่านั้น น้ำเสียงของผมแหบพร่า เพราะยิ่งเธอแสดงความเป็นห่วงผมมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดถาโถมเข้ามาในใจของผมมากยิ่งขึ้น

ผมคิดถึงมิ้น...

ผมทำผิดต่อเธอ

“ท่าทางกราฟแย่ๆ นะ นั่งพักก่อนไหม เดี๋ยวล้มลงไป”

พี่มะเหมี่ยวแนะนำพลางดันตัวผมให้นั่งลงบนม้านั่งที่ชั้นล่างของอาคารซึ่งถูกก่อขึ้นมารอบๆ ตึก ให้นักศึกษาได้ใช้นั่งเล่นหรือนั่งรอเวลาเรียน สภาพของผมคงแย่และน่าเป็นห่วงมากในสายตาของคนที่มองเห็น

“ไม่เป็นอะไรหรอกครับ... พักสักเดี๋ยวก็คงหาย แล้วพวกพี่... มีเรียนที่ตึกนี้เหรอครับ”

“ใช่จ้ะ กราฟก็เรียนตึกนี้เหมือนกันเหรอ”

เพื่อนของพี่ดาหลาถาม ทว่าผมก็ตอบกลับได้เพียงแค่เสียงแผ่วๆ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ผมตัดสินใจว่าจะจีบ และพยายามหาทางเลี่ยงโดยเร็วที่สุด ต่างจากครั้งก่อนๆ

“ผมว่าพวกพี่ขึ้นไปเรียนกันเถอะครับ เดี๋ยวจะเข้าเรียนไม่ทัน”

“แล้วกราฟ...”

คราวนี้เป็นเสียงของพี่ดาหลาครับ ถึงเธอจะหน้าคล้ายกับมิ้นมาก แต่ว่าเสียงต่างกันนิดหน่อย ทำให้ผมไม่รู้สึกแย่เท่าไรถ้าได้ยินเสียงของเธออย่างเดียว ผมจึงแทรกเสียงออกไป พร้อมกับเงยหน้าขึ้นนิดๆ แล้วส่งยิ้มให้เธอเท่าที่ทำได้ในตอนนี้

“ไม่เป็นไรครับ นั่งพักอีกแป๊บคงดีขึ้น”

“งั้นเอาอย่างนั้นก็ได้”

เธอยิ้มตอบผมกลับมา ก่อนจะหันไปหาพี่มะเหมี่ยวและชวนกันเดินขึ้นไปยังชั้นบน แต่พี่มะเหมี่ยวก็ยังไม่วายหันมาลาผม

“พี่มะเหมี่ยวไปก่อนนะ”

“ครับ”

ผมส่งยิ้มให้เธอเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ อย่างเหนื่อยอ่อน รู้สึกเหมือนพลังชีวิตถูกสูบหายไปจนเกือบหมด ทั้งเหนื่อย ทั้งรู้สึกแย่จนอยากจะร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ เพราะภาพของมิ้นฉายขึ้นมาในห้วงความคิดของผมอีกแล้ว

รอยยิ้มของเธอ เสียงของเธอ... ผมคิดถึงมันมากจริงๆ

ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้

นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่านานแค่ไหน เพราะผมไม่ได้สนใจดูนาฬิกา รู้แต่เพียงว่าเวลามันเดินผ่านไปช้ามากเหมือนจะเป็นชั่วนิรันดร์ ทว่าอยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างมาอยู่ข้างตัว เป็นเหมือนอากาศที่มีกลิ่นอายของความมีชีวิตอยู่จางๆ และเมื่อผมหันไปทางนั้น ก็ต้องประหลาดใจ

ไนล์... หมอนี่มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร

เหมือนจะรู้ว่าผมหันไปมอง ทางฝ่ายนั้นถึงหันกลับมามองผมเช่นกัน เพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวกำลังเปลี่ยนไป เขามองผมช้าๆ เหมือนอย่างเคย ดวงตาที่ว่างเปล่ายังคงมองผมเหมือนเป็นอะไรบางอย่างที่ไม่ได้มีความน่าสนใจ แต่กลับทำให้ผมรู้สึกว่าผมกำลังถูกตาสีดำคู่นี้จดจ้องอยู่ กระป๋องโค้กที่อยู่ในมือเรียวถูกยกขึ้นจรดริมฝีปากสีพีช ไนล์กระดกน้ำที่อยู่ภายในขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ก่อนจะดันกระป๋องลงและยื่นมาให้ผม

ไม่เข้าใจการกระทำของผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ

ผมไม่ได้ยื่นมือไปรับ เขาเองก็ไม่ยอมที่จะหดมือกลับไป เหมือนรอคอยให้ผมรับมันให้ได้ และหากผมไม่ทำอย่างที่เขาหวัง เขาก็จะไม่ยอมยกเลิกการกระทำนี้อย่างเด็ดขาด ถึงสายตาของเขาจะเลื่อนลอย เหมือนไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ผม แต่ผมก็รู้สึกว่าเขากำลังคิดแบบนั้น สุดท้ายผมจึงต้องยื่นมือไปรับกระป๋องใบนั้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

ข้างในนั้นมีน้ำอยู่เกือบค่อนกระป๋อง บอกให้รู้ว่าเขาซื้อมันมาดื่ม แต่ไม่ได้ตั้งใจจะดื่มมันทั้งหมดด้วยตัวเองเพียงคนเดียว

หรือตั้งใจจะให้ผมดื่มมันด้วย?

ตั้งคำถามในใจตัวเองอย่างที่ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์และความต้องการของผู้ชายที่ให้ความรู้สึกเหมือนตัวการ์ตูนในเกมที่พลังชีวิตเกือบจะหมดสักเท่าไร ไม่ว่าเมื่อไรที่เจอกัน เขาก็มักจะดูลอยๆ จางๆ จนเหมือนจะเลือนหายไปเมื่อไรก็ได้อยู่ตลอดเวลา

ไนล์ไม่ได้มองผมอีก เขาหันหน้ากลับไปทางเดิมและมองไปด้านหน้าด้วยแววตาที่เหมือนจะไม่สะท้อนภาพอะไรเลย ไม่มีจุดโฟกัสเป็นพิเศษ เหมือนเหม่อมองไปไกล ไม่มีอะไรสำคัญมากพอที่เขาจะมอง รวมทั้งผมที่เขาก็ไม่สนใจเช่นกันว่าจะทำยังไงต่อ

ผมมองผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างกันด้วยระยะห่างไม่ถึงหนึ่งฟุต มีแต่ความไม่เข้าใจ ทว่าในใจผมกลับรู้สึกว่าความรู้สึกแย่ๆ ของผมค่อยๆ เลือนหายไป ราวกับมันถูกดูดซึมออกไปโดยคนข้างๆ เจือจางไปพร้อมกับการมาของคนคนนี้ ทั้งที่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย

สิ่งที่อยู่ในมือผมถูกยกขึ้นช้าๆ ผมจรดปากลงไปตรงขอบกระป๋อง ซ้อนทับตำแหน่งเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ไนล์เคยทำ ก่อนจะค่อยๆ ยกก้นกระป๋องขึ้นช้าๆ เพื่อปล่อยให้น้ำสีน้ำตาลไหลลงคอไป

บรรยากาศรอบตัวระหว่างเรามีแต่ความเงียบ ไม่มีการพูดคุยหรือแม้แต่เริ่มต้นทักทายกันและกัน เสียงของคนอื่นๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันผ่านหูไป ไม่สะท้อนเข้ามาในความคิด คล้ายกับโลกของสุญญากาศที่ว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่อากาศ ทว่ามันกลับทำให้ใจของผมสงบขึ้นมาก

ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคนที่ผมตั้งคำถามกับตัวเองทุกครั้งที่เจอหน้าเขา

ผมกระดกโค้กเข้าปากอีกสองสามอึกพร้อมกับมองไปทางด้านหน้า มองออกไปให้ไกลเหมือนคนข้างกาย ซึ่งกินเวลาไปนานเท่าไร ผมก็ไม่รู้ เหมือนเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ แต่ผมสบายใจขึ้น ความหนักอึ้งในใจและความเจ็บปวด เสียใจจางหายไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็มากพอที่ผมจะเผชิญหน้ากับคนอื่นๆ โดยที่สามารถยิ้มได้

อีกครั้งที่ไนล์ทำให้ผมประหลาดใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมรู้สึกแบบไหน ทั้งที่เขาไม่แม้แต่จะหันกลับมามองผมอีกครั้ง ร่างโปร่งลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งอยู่พร้อมกับย่างเท้าออกไป ผมจึงต้องรีบโพล่งเสียงออกมา

“ขอบใจ”

ถึงจะไม่เข้าใจการกระทำของคนคนนี้เลย แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าเขาทำให้ผมสงบขึ้น อาจจะเพราะความเงียบเฉยของเขาที่ทำให้ผมใจเย็นลงก็เป็นได้ ทว่าเมื่อผมบอกออกไปอย่างนั้นแล้ว เขาก็ชะงักเท้าเล็กน้อย ก่อนจะเบือนหน้ามาทางผม สบตากับผมเพียงแค่เสี้ยววินาทีก่อนจะเบนหน้ากลับไปเหมือนกับเมื่อครู่เขาแค่หูแว่ว ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีแววของความมีชีวิตสะท้อนอยู่บนตาสีดำสนิท ไม่ต่างจากทุกที จากนั้นขาเรียวก็ก้าวออกไปอีกครั้งและไม่หันกลับมาอีก

ผมก้มลงมองกระป๋องโค้กในมือที่ยังเหลือน้ำอัดลมอยู่ภายในครึ่งหนึ่งอย่างงงวยและไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้

“ไม่ว่ายังไง ฉันก็ไม่เข้าใจนายเลยจริงๆ”

กว่าจะได้ขึ้นห้องเรียนก็ผ่านไปเกือบสิบห้านาทีแล้ว ผมโดนไอ้ยีนถามถึงเหตุผลที่ทำให้ขึ้นห้องช้า แต่ก็ได้แค่ตอบอย่างถูไถด้วยข้ออ้างเดิมว่าเจอคนรู้จัก เลยคุยกันติดลมไปหน่อย ซึ่งก็มันเชื่อผม เพราะปกติผมไม่โกหกมันอยู่แล้ว และสภาพของผมก็ไม่ได้ดูแย่หรือน่าเป็นห่วงจนผิดสังเกต ฉะนั้นผมเลยรอดตัวมาได้อย่างหวุดหวิด







อ่านต่อด้านล่าง

v


v


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-09-2013 23:54:48
ต่อจากข้างบน



v


v








ผ่านมาอีกหลายวัน อาการของผมก็หายสนิท ซึ่งก็เข้าสู่ช่วงสอบพอดี ไฮยีนมาขออยู่ที่คอนโดของผมเพื่ออ่านหนังสือด้วยกัน โดยที่พี่ภูอาสามาติวให้บางครั้ง ส่วนผมก็มีบ้างที่พี่เจ๋งเรียกไปติวที่หอของพี่แก ผมเลยอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเวลาที่ผมไม่อยู่ด้วย ไอ้ยีนกับพี่ภูจะฆ่ากันตายคาคอนโดผมหรือเปล่า แต่ก็นับว่ายังดีครับที่ไม่เกิดเหตุฆาตกรรมขึ้น

ฉะนั้นผมเลยรู้สึกวางใจที่จะปล่อยให้สองคนนั้นอยู่ด้วยกันได้ เพราะดูเหมือนว่าหลังๆ ทั้งสองคนจะไม่ได้ทะเลาะหรือต่อปากต่อคำกันแบบรุนแรงแล้ว วันนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะไปหากำลังใจของผมบ้าง

ไม่ใช่ใครอื่นครับ พี่ดาหลาที่ผมไม่ได้เจอมาหลายวัน และครั้งล่าสุดผมก็คุยกับเธอได้ไม่ค่อยเต็มที่เท่าไร

ผมไปหาพี่ดาหลาที่คณะ แต่หาไม่ยากครับ เพราะแค่เอ่ยชื่อ ทุกคนก็รู้จักและพร้อมจะบอกทางผม ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่ดาหลาเป็นดาวคณะบัญชีฯ แต่คงไม่แปลกหรอก เพราะเธอค่อนข้างน่ารักและก็ดูอัธยาศัยดี

หลังจากยิ้มขอบคุณคนที่บอกทาง ผมก็มุ่งตรงไปยังเป้าหมาย แม้จะรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นตัวประหลาดยังไงชอบกลเวลามาเหยียบที่คณะนี้ เพราะหลายๆ คนต่างมองมาทางผมกันหมด ซึ่งผมก็เดาว่าคงเพราะสีผมของผมมันเด่นเกินไปสำหรับคนในคณะนี้

คนธรรมดาคงไม่ค่อยกล้าทำสีอ่อนจนเกือบขาวกันแบบนี้มั้งครับ อาจจะกลัวว่าเหมือนผมหงอก

มาถึงม้านั่งด้านข้างของตึกคณะ ผมก็เห็นว่าพี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวนั่งคุยกันอยู่ รอยยิ้มของเธอทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังคุยเรื่องอะไรกับเพื่อนรักของเธอ แต่ท่าทางจะเป็นเรื่องตลก เพราะผมเห็นหน้าของเธอเปื้อนยิ้มอยู่ตลอด

ผมเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ ไม่เร่งรีบ และพอประชิดโต๊ะได้ก็ส่งคำทักทาย เรียกให้ทั้งสองคนหันมา และเสียงของพี่มะเหมี่ยวก็ดังขึ้นมาก่อน

“อ้าว กราฟ มาได้ยังไงเนี่ย”

“อ่านหนังสือแล้วเบื่อๆ น่ะครับก็เลยแวะมาหา”

ตอบกลับแบบตรงไปตรงมา เพราะผมชอบที่จะแสดงตัวอย่างชัดเจนมากกว่า อีกฝ่ายจะได้ไม่ต้องคิดมากหรือคิดไปเองว่าผมกำลังจะทำอะไร ผมถือว่ามันเป็นการแสดงความจริงใจ และเชื่อว่าถ้าเราเปิดใจ อีกฝ่ายก็จะเปิดใจกลับมา

ยกเว้นก็แต่คนคนเดียวที่ผมเพิ่งรู้จักเมื่อไม่นานมานี้

“นั่งก่อนสิๆ พวกพี่ก็กำลังเบื่ออ่านหนังสืออยู่ เลยเมาท์กันแทน”

“ครับ”

ผมยิ้มให้พี่มะเหมี่ยว ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ม้านั่งอีกฟากหนึ่ง เพราะพี่ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างกันอยู่ก่อนแล้ว จะไปเบียดอีกคนก็ใช่ที่ หนำซ้ำนั่งอยู่ตรงข้ามแบบนี้ก็ทำให้ผมมีโอกาสได้เห็นหน้าของพี่ดาหลาชัดขึ้น

มองกี่ครั้งกี่ครั้ง เธอก็ทำให้ผมนึกถึงมิ้นได้ทุกที

ถ้ามิ้นยังอยู่ ยังยิ้มต่อหน้าผมแบบนี้ ผมคงมีความสุขมาก... แต่มันเป็นไปไม่ได้

“แล้วนี่กราฟหายดีแล้วใช่ไหม”

เสียงเล็กๆ ของคนที่หน้าเหมือนแฟนของผมเรียกให้ผมได้สติอีกครั้ง ผมระบายยิ้มน้อยๆ ให้เธอ ก่อนจะพยักหน้าตอบ

“หายดีแล้วครับ ขอบคุณที่เป็นห่วงนะครับ”

“ก็วันนั้นกราฟหน้าซีดมากเลยนี่นา นึกว่าจะเป็นอะไรหนักไปซะแล้ว”

ไม่ใช่เจ้าของเสียงเดิมที่ตอบกลับมา แต่เป็นเพื่อนของเธอที่แจกจ่ายรอยยิ้มให้ผมเสมอ ผมจึงหันไปยิ้มให้เธอตอบบ้าง ก่อนเราทั้งหมดจะต้องเงยหน้าขึ้นไปตามเสียงของบุคคลที่สี่ที่ผมไม่รู้เหมือนกันว่าเขามาได้ยังไง

“อยู่นี่นี่เอง”

“รู้จักกันเหรอ”

พี่ดาหลาหันมาถามผม เป็นการยืนยันว่าเธอไม่รู้จักคนที่มายืนอยู่ข้างโต๊ะที่เรากำลังนั่งอยู่ ซึ่งก็แน่นอน ผมเชื่อว่าพี่ทั้งสองคนไม่รู้จักเขา เพราะฉะนั้นประโยคที่บอกว่า ‘อยู่นี่นี่เอง’ ต้องหมายถึงผม

“ก็...”

“รู้จักกันสิครับ ผมเป็นเพื่อนสนิทของกราฟ ชื่อไนล์ อยู่คณะวิศวะฯ”

ไม่ทันให้ผมได้ตอบอะไร คนที่เข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนาของพวกเราก็ขัดผมขึ้นมาเสียก่อน และการกระทำรวมทั้งคำพูดของไนล์ก็ทำให้ผมต้องตกใจเหมือนกับทุกครั้ง

ผมกับเขาไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไร ตอนไหน?

ไม่เพียงแค่คำพูดของเขาเท่านั้นที่ทำให้ผมรู้สึกใบ้กินไปครู่หนึ่ง แต่ใบหน้าที่เคยเรียบเฉย ซีดขาวเหมือนคนกึ่งเป็นกึ่งตาย และให้ความรู้สึกเย็นๆ เหมือนเป็นแค่วิญญาณล่องลอยที่ผมเห็นอยู่ทุกครั้งกลับกำลังวาดขึ้นเป็นรอยยิ้ม ...รอยยิ้มที่สดใสมากพอที่จะทำให้ผมคิดว่าผมตาฟาดไป

“มาแล้วก็ไม่บอกกันเลยนะเว้ย ฉันก็ตามหาอยู่ตั้งนาน”

เท่านั้นไม่พอ ร่างซีดๆ ที่เหมือนพลังชีวิตหมดไปยังกลับฟื้นคืนมาอีกครั้ง ผมรู้สึกถึงความมีชีวิตของเขามากขึ้นตอนที่เขาวางมือลงบนบ่าของผมด้วยน้ำหนักที่บ่งบอกให้รู้ว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดไป ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งข้างผม

“ขอนั่งด้วยนะครับ”

“เชิญค่ะ ตามสบายเลย”

พี่ดาหลาทำหน้างงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยินดีต้อนรับคนที่โผล่เข้ามาอย่างงงๆ เพราะเป็นประเภทต้อนรับขับสู้คนที่เข้าหาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงต้องทำใจกล้าสักหน่อยกว่าจะเดินเข้มาหาเธอแบบนี้

“แล้วนี่คุยอะไรกันอยู่เหรอครับ ผมคุยด้วยได้หรือเปล่า”

ผิดกันเป็นคนละคนกับตอนที่อยู่กับผม เวลานี้ไนล์กลายเป็นผู้ชายร่าเริง เข้ากับคนง่าย ไม่ใช่ไนล์ที่นิ่งสงบ เงียบขรึม ไร้ชีวิตชีวา ถึงกระนั้นก็มีอย่างหนึ่งที่ยังเหมือนเดิม

ผมยังไม่สามารถอ่านความคิดของเขาออกได้

“ก็คุยเรื่องทั่วไปๆ แหละจ้ะ พี่ชื่อมะเหมี่ยวนะ ส่วนนี่ดาหลา เพื่อนสนิทพี่ เพิ่งรู้จักกับกราฟไม่นาน”

“ครับ ผมก็พอรู้เรื่องของพวกพี่อยู่นิดหน่อย กราฟเล่าให้ฟังน่ะครับ”

คำโกหกยังคงถูกปล่อยออกมาจากริมฝีปากสีพีชอย่างหน้าตาเฉย ขณะที่ผมได้แต่มองทั้งสามคนที่เริ่มต้นบทสนทนาใหม่อย่างรื่นเริง ทั้งที่ผมยังตื้อกับสิ่งที่คนนั่งข้างๆ ทำ ทว่าก็เพียงครู่เดียวที่ผมถูกตัดออกจากการพูดคุย เพราะมือเย็นๆ เลื่อนมาจับบ่าอีกด้านของผมเอาไว้เหมือนจะเรียกให้รู้ตัว

“กราฟ”

“หืม อะไร”

ผมสะดุ้งนิดหน่อยตอนที่ถูกเรียก ไนล์เอาแขนพาดคอผมเไว้จนทำให้หน้าของเราใกล้กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แสดงความสนิทสนมอย่างจงใจ โดยไม่แยแสสักนิดว่าจะถูกผู้หญิงอีกสองคนมองแปลกๆ หรือเปล่า เขาหันมาคุยกับผมด้วยท่าทางที่ปกติสำหรับคนอื่น แต่ผิดปกติสำหรับผม

“เย็นแล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า พวกพี่ๆ เขาตอบตกลงแล้ว”

สร้างความประหลาดใจให้ผมหน่อยๆ กับประโยคนี้ ผมหันไปทางพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยว พวกเธอสองคนก็ยิ้มๆ ให้กับผม เหมือนเป็นการยืนยันว่าไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะไปกินข้าวเย็นกับผม แต่มันไม่ใช่แค่ผมคนเดียว และคนที่เอ่ยปากชวนก็ไม่ใช่ผม แต่เป็นคนที่ผมคาดไม่ถึง

“ไปร้านไหน ให้กราฟแนะนำเลย เห็นไนล์บอกว่ากราฟรู้จักร้านอร่อยๆ อยู่”

คำอนุญาตที่ชัดเจนกว่าเดิมมาจากคนที่ผมกำลังเล็งเอาไว้ เธอยิ้มให้ผม ทำให้ผมรู้สึกใจสั่นหน่อยๆ แต่นั่นก็ไม่มากพอที่จะทำให้ผมลืมว่าคนที่ทำให้เรื่องเป็นแบบนี้คือใคร ผมหันไปมองร่างโปร่งที่ยังไม่ปล่อยแขนออกจากบ่าของผม แต่ไนล์แค่เลิกคิ้วใส่ เหมือนกับไม่ใช่เรื่องผิดแปลกอะไรที่เขาจะทำแบบนี้ ทั้งที่เขาเป็นคนบอกให้ผมเลิกยุ่งกับพี่ดาหลา

“ไปกันเหอะๆ ฉันไปรถนาย ส่วนสาวๆ จะขับรถไปเองหรือไปรถกราฟกันดีครับ”

เขาพูดกับผมในประโยคแรก ก่อนจะยิ้มแย้มถามคนที่เหลือด้วยท่าทีสนิทสนมทั้งที่เพิ่งทักทายกันได้ไม่ถึงสิบนาที ก่อนพี่มะเหมี่ยวจะตอบกลับมา

“ไปรถดาหลาดีกว่า พี่กลับกับดาหลาอยู่แล้ว ขับรถออกไปเลย กินเสร็จจะได้กลับบ้าน ไม่ต้องแวะเข้ามหา’ลัยอีก”

“งั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ พวกพี่ขับรถตามพวกผมมานะ”

“โอเคจ้ะ”

ได้รับคำตอบตกลงแล้วไนล์ก็ใช้แขนที่ยังพาดคอผมอยู่ดึงผมให้เดินออกมาจากม้านั่ง ไปที่ลานจอดรถ ราวกับรู้ว่าผมจอดรถไว้ที่ไหน และเมื่อเห็นว่าห่างไกลจากสายตาของพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวแล้ว ผมก็จับแขนเรียวที่เล็กเหมือนจะหักได้ถ้าผมเผลอจับมันแรงเกินไปออก

“ทำแบบนี้ต้องการอะไร”

ผมอดถามด้วยความอยากรู้ไม่ได้จริงๆ ว่าเขากำลังเล่นตลกอะไรกับผมอยู่ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ก้าวเข้ามาหาผม กระทั่งตอนนี้ ผมทั้งมึน ทั้งไม่เข้าใจในการกระทำของผู้ชายชื่อไนล์สักอย่างเดียว

“ฉันบอกนายไปแล้ว”

ทันทีที่มือของเขาหลุดออกจากบ่าของผมไป ก็เหมือนกับการเปิดสวิตช์ ไนล์คนเดิมกลับมาอีกครั้ง สีหน้ายิ้มแย้มที่มีอยู่เมื่อครู่หายไปจนเหมือนกับไม่เคยมีมาก่อน สีหน้าเรียบเฉย ท่าทางนิ่งสงบ ให้ความรู้สึกราวกับคนที่ผมคุยด้วยไม่ได้มีตัวตนกลับคืนมา เสียงของเขาดังในระดับที่พอให้ผมได้ยินเท่านั้น

“บอกอะไร นายตั้งใจทำอะไรกันแน่ โกหกพี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวทำไม แล้วชวนสองคนนั้นไปกินข้าวเพื่ออะไร”

“นายต้องการแบบนั้นไม่ใช่หรือไง”

เขายังคงตอบผมกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน หนำซ้ำยังเดินตรงไปยังรถของผมโดยไม่พูดอะไรอีก จนผมต้องก้าวขาเดินตามไปหยุดทางด้านหลัง

“ไนล์!”

ทั้งที่ในบรรดาเพื่อนสี่คน หรือจะรวมถึงคนอื่นๆ ที่เคยพบเจอ ผมถือว่าผมเป็นคนที่มีความอดทนค่อนข้างสูง และใจเย็น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าในใจมันร้อนรน กระวนกระวายไปหมด คล้ายๆ ผมเป็นคนบ้าที่กำลังวิ่งวนไปวนมาในกรอบสี่เหลี่ยมเพราะหาทางออกไม่เจอ แต่ไนล์ก็ยังคงเป็นไนล์ เขาหันกลับมาหาผม และพูดออกมาด้วยเสียงเนิบๆ เหมือนจะดีใจ แต่มันก็ไม่ใช่

“เรียกได้สักที”

“อะไร”

“ชื่อของฉัน นายเรียกมัน”

ผมอยากจะยกมือขึ้นมาขยี้ผมของตัวเองเพื่อแก้เครียดในตอนนี้ ยิ่งรู้จักผู้ชายคนนี้ผมก็ยิ่งงง ผมต้องพยายามตั้งสติและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ แต่ยังไม่ทันได้คิดได้อย่างที่หวัง เสียงรถยนต์ที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ก็ดังพร้อมกับเสียงของผู้หญิงที่ผม หรือจะพูดให้ถูกคือไนล์ นัดเอาไว้ว่าจะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน

“ทำอะไรกันอยู่จ๊ะ ออกรถเร็ว พี่หิวจะแย่แล้ว ถ้าชักช้าพี่มะเหมี่ยวจะหาผู้ชายหล่อๆ แถวนี้กินแทนไปก่อนนะ คิคิ”

ไม่ต้องระบุก็รู้ได้ว่าใครเป็นเจ้าของคำพูดขำขันเชิงหยอกนั้น ผมหันไปมองพี่ดาหลาที่หัวเราะน้อยๆ เพราะตลกเพื่อนตัวเอง ก่อนจะหยิบรีโมตรถขึ้นมาปลดล็อกและขึ้นประจำที่นั่งโดยเร็วเพราะไม่อยากให้เธอรอนาน ซึ่งไนล์ก็ไม่รอให้เสียเวลา เขาขึ้นรถมานั่งที่เบาะด้านข้างผมเช่นเดียวกัน










================
ไม่ได้อัพมาเกือบเดือนเลย ตกใจอยู่เหมือนกันตอนเห็นวันที่อัพครั้งสุดท้าย
ขอโทษด้วยนะคะ เพิ่งเคลียร์งานเสร็จ

ตอนนี้ไนล์ออกเยอะขึ้นอีกหน่อยแล้ว


Undel2Sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 07-09-2013 02:16:57
รอเรื่องนี้ทุกวันเลย
ไนล์คิดอะไรอยู่น่ะ
เป็นผู้ชายที่เข้าใจยากจริงๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 07-09-2013 06:00:13
ไนล์ลึกลับมากก
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 07-09-2013 06:31:36
เขาเป็นคนที่... เราไม่เข้าใจเขาเลย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 07-09-2013 09:17:38
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจไนล์ 5555
รู้ว่านายกำลังทำอะไรอยู่ แต่ไม่เคยรู้ความรู้สึกของไนล์เลย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 07-09-2013 13:43:27
พ่อหนุ่มลึกลับ เปลี่ยนบทบาทได้ด้วยหรือนี่...
สนุกดี น่าติดตาม รออ่านต่อนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 07-09-2013 20:05:33
เกือบพลาดซะแล้ว ดีนะที่ชื่อเรื่องมันคุ้นจนต้องกดเข้ามาดู :laugh:
ไนล์ดูลึกลับดีจัง ชอบ o13
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Mr.กุ๊กกู๋ ที่ 08-09-2013 04:13:26
ยังไม่ได้อ่านเรื่องก่อนเลยครับ... พอดีหลงเข้ามาอ่านเรื่องนี้ ชอบภาษา ชอบการบรรยายแบบนี้ก็เลยอ่านเผลอแป๊บเดียวก็จบตอน 3 ซะแล้ว
เนื้อเรื่องสนุกและชวนติดตามมากครับ ไนล์ ลึกลับ น่าค้นหา น่าสัมผัส น่าลิ้มลอง (เอ๊ยย ไม่ใช่ละ ฮ่าๆ)
ส่วนกราฟ ตอนแรกก็งงๆ ว่าอดีตมีอะไรกับมิ้นท์ T^T นึกว่าต้องไปอ่านตามเรื่องเก่าจนจบซะก่อนค่อยรู้เรื่อง
โชคดีที่มีเฉลยให้ ^^...
สนุกมากๆครับ รอตอนต่อไปนะครับ ^^ คนเขียนสู้ๆ o13
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 3 : เพื่อนสนิท?? [6/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 08-09-2013 09:32:19
ถึงไนล์จะได้ออกมากขึ้นแต่ก็ไม่ทำให้รู้ความคิดของไนล์เลยค่ะ
เพราะเวลาอยู่กันสองคนไนล์ก็จะไม่พูดอะไร อยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ กราฟจะเข้าใจได้ไง
แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นไนล์กลับเปลี่ยนไปเหมือนคนล่ะคน จนกราฟก็ตามไนล์ไม่ทันอีก
ทุกอย่างที่ไนล์ทำ ยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนเดิม จะแค่ว่าหลงรักกราฟก็ไม่น่าใช่
แต่ตอนนี้ถือว่าไนล์รุกเข้ามาในชีวิตกราฟมากขึ้น แต่ก็นะถ้าไนล์ไม่ทำอะไรเลยมันคงไม่มีอะไรคืบหน้า
เพราะยังไงที่ไนล์ทำทั้งหมดกราฟก็คงคิดว่าเป็นการเล่นตลกมากกว่า ถึงกราฟจะแอบใจสั่นบ้างก็เถอะ
หรือไนล์จะเกี่ยวข้องอะไรกะมิ้น เลยยอมไม่ได้ที่กราฟจะมีคนรักใหม่แล้วอาจจะลืมมิ้นก็ได้
แล้วที่ไนล์ตีสนิทกะสองสาวนี่ไนล์คิดจะทำอะไรต่อไป ชอบจังค่ะแค่กราฟเรียกชื่อไนล์ก็ดีใจล่ะ ซึ้งยังไงไม่รู้
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนมาต่อไว ๆ นะค่ะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-09-2013 17:25:29
ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง



















ระหว่างทางที่ขับรถมาร้านอาหาร ผมไม่ได้คุยกับคนที่มานั่งแทนที่ไฮยีนบนรถของผม เพราะผมกำลังใช้ความคิดว่าจะไปร้านไหนดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็เหลือบมองคนที่นั่งเงียบ ทำตัวให้เหมือนอากาศมากที่สุดโดยไม่จำเป็นและไม่ได้แสร้งทำ เป็นระยะ ในใจหวังว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง แต่ก็มีเพียงความเงียบที่โอบล้อมพวกเราเอาไว้

กระทั่งมาถึงที่หมาย เราทั้งคู่ลงจากรถ ไนล์เดินเข้าไปหาพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวพลางยิ้มให้เธอทั้งคู่ แตกต่างกับตอนอยู่บนรถโดยสิ้นเชิง และการได้เห็นภาพแบบนั้นก็ทำให้ผมต้องงงอีกครั้งว่าคนคนนี้เป็นยังไงกันแน่ ทำไมถึงต้องทำตัวแตกต่างกันเวลาอยู่กับผมและคนอื่นๆ

เข้ามาในร้าน พนักงานก็เชิญเรามานั่งที่โต๊ะสำหรับลูกค้าสี่ที่ โดยการจัดเรียงที่นั่งก็ยังเหมือนเดิมครับ ผู้หญิงกับผู้ชายนั่งกันคนละฝั่ง และผมเป็นฝ่ายเลือกนั่งตรงข้ามกับพี่ดาหลา ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือพูดอะไรกับผม เขาเทคแคร์ผู้หญิงทั้งสองคนด้วยการรับเมนูจากบริกรแล้วส่งให้พวกเธอสั่งอาหาร ก่อนจะหันไปบอกพนักงานที่รอรับออเดอร์โดยไม่ต้องเปิดเมนู

“ขอข้าวหนึ่งโถครับ แล้วก็ยำสามกรอบ ไก่ผัดขิง แกงส้มชะอมไข่”

มือของผมชะงักค้างทั้งที่เพิ่งเปิดเมนูอาหารไปแค่หนึ่งหน้า ผมเงยขึ้นมองคนที่สั่งอาหารเรียบร้อยแล้วด้วยความรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ทันได้คิดอะไรมากไปกว่านั้น พี่มะเหมี่ยวก็ถามขึ้นมาเสียก่อน

“สั่งอาหารคล่องจังนะ ชอบกินพวกนี้เหรอ”

“ครับ...”

ไนล์ตอบกลับด้วยใบหน้าที่ติดรอยยิ้ม ทำให้หน้าที่เอนเอียงไปทางสวยอยู่แล้วดูหวานขึ้นอีกนิดหน่อยในความรู้สึกของผม แต่เหตุผลที่ทำให้ผมต้องชะงักและรู้สึกแปลกใจอยู่เมื่อครู่ไม่ใช่สีหน้าของไนล์หรอกครับ เป็นอาหารที่เขาสั่งต่างหาก เพราะทั้งสามอย่างนั้นเป็นเมนูโปรดของผม

ราวกับจงใจ ราวกับเขารู้ว่าผมชอบ ถึงได้ตั้งใจสั่งมัน

ทว่าทั้งที่ผมคิดแบบนั้น แต่ไนล์กลับหันมาถามผมด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่เหมือนกับไม่รู้อะไรทั้งสิ้น แต่ในความรู้สึกของผมกลับคิดว่าเขา...น่าจะรู้ มันคงไม่มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้หรอกมั้งครับ

“นายเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า”

“ไม่ล่ะ ให้พวกพี่เขาสั่งกันมั่งดีกว่า”

ผมตอบทั้งที่ยังไม่ทิ้งความคลางแคลงใจ ก่อนจะหันไปบอกผู้หญิงอีกสองคนที่เหลือ ซึ่งพี่เขาก็ยิ้มตอบกลับแล้วค่อยๆ เปิดดูเมนูก่อนจะสั่งอาหารอีกคนละอย่างเพราะกลัวกินไม่หมด

พวกเรานั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ระหว่างรออาหาร ส่วนมากเป็นไนล์ชวนคุยเสียด้วยซ้ำ ทั้งที่ผมคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนคุยเก่งได้ขนาดนี้ เขาดูสนุกสนาน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่ผมคิดว่าเทคแคร์ผู้หญิงเก่งยิ่งกว่าผมเสียด้วยซ้ำ ผมได้แต่นั่งมองและตอบในบางบทสนทนาเท่านั้น

“พอไนล์มา กราฟดูพูดไม่เก่งไปเลยนะ”

พี่ดาหลาแซวผมหน่อยๆ ทำให้พี่มะเหมี่ยวหันมาหัวเราะเบาๆ กับสีหน้าของผมที่ปั้นไม่ถูก ผมรู้สึกเขินที่ถูกพี่ดาหลาล้อแบบนี้ ทั้งที่ปกติไม่ใช่คนขี้เขินอะไร ออกจะเรียกได้ว่าหน้าด้านเสียด้วยซ้ำ แต่อย่างว่าล่ะครับ กับคนที่ตัวเองสนใจ ใครๆ ก็อยากดูดีในสายตาเขา

“เพื่อนผมคุยกับผู้หญิงไม่เก่งหรอกครับ เพราะแค่อยู่เฉยๆ ก็มีผู้หญิงแห่กันมาชอบแล้ว”

“ท่าจะจริงนะเนี่ย”

ไม่ใช่คำตอบที่ออกจากปากของผม แต่เป็นคนที่ผมไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ที่ตอบกลับมา เสริมด้วยพี่มะเหมี่ยวที่ดูเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย

“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ ผมแค่คุยไม่ทันไนล์กับพี่มะเหมี่ยวมากกว่า”

ผมแก้ตัวไปนิดๆ พลางหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยายังไงตอนที่ผมสวนกลับไปแบบนี้ ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือเขาหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ผมรู้ได้ว่ามาจากการเสแสร้ง เพราะเขาไม่ใช่คนที่ยิ้มพร่ำเพรื่อสำหรับผม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับรอยยิ้มนั้นอยู่ดี

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่คิดว่านานพอสมควรที่ผมมองหน้าของคนข้างตัว ผมมองเขาด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะสามารถยิ้มต่อหน้าผมได้นานไปกว่านี้ไหม จะแสร้งทำตัวแบบที่ไม่ใช่ตัวเขาเองอย่างนี้ได้อีกนานหรือเปล่า แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ประจวบกับอาหารถูกนำมาเสิร์ฟพอดี ผมจึงต้องเป็นฝ่ายละสายตาก่อน

เราทั้งสี่คนลงมือรับประทานอาหาร มีพูดคุยกันบ้างเรื่อยๆ แต่ไม่มากเหมือนก่อนหน้าเพราะถือว่าเป็นมารยาทบนโต๊ะอาหาร จนกินเสร็จเรียบร้อย ผมก็ดื่มน้ำตามอีกเกือบแก้วตามปกติ และตามด้วย...

“เอาสิ”

ไม่ทันที่ผมจะล้วงมือหยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋ากางเกงที่มีติดตัวไว้เสมอ เพราะผมมักจะอมมันหลังจากกินอาหารเสร็จ ลูกอมแผงหนึ่งก็ถูกยื่นมาให้ราวกับรู้ใจ และมันก็มาจากคนที่ผมเพิ่งจะเจอแค่ห้าครั้ง

ผมมองหน้าไนล์อยู่ครู่หนึ่งด้วยความไม่เข้าใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าผมกำลังจะหยิบลูกอมมาอม หนำซ้ำลูกอมที่เขายื่นมาให้ยังเป็นยี่ห้อที่ผมกินประจำเสียอีก แต่คงเพราะผมไม่ยอมรับไปเสียที เขาถึงได้ดึงมือผมไปแล้วยัดแผงพลาสติกนั้นลงในมือของผม และยังบอก

“อมไปเถอะน่า ไม่ต้องอายพี่ๆ อีกสองคนหรอก ปากเหม็นน่าอายกว่าซะอีก”

เพราะแบบนั้นผมถึงรับมาอย่างช่วยไม่ได้ และแกะลูกอมเม็ดสีขาวมาเข้าปากหนึ่งเม็ด ก่อนจะส่งคืนให้กับเจ้าของ ซึ่งไนล์ก็ส่งให้พี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวเช่นกัน และพี่ทั้งสองคนก็รับไปอมกันคนละเม็ด

“มื้อนี้กราฟขอเป็นเจ้ามือเองนะครับ”

เห็นว่าพี่มะเหมี่ยวส่งแผงลูกอมที่เหลืออยู่สามเม็ดคืนให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นเพื่อนสนิทของผมแล้ว ผมก็เปรยขึ้นมา ไนล์และพี่มะเหมี่ยวไม่ได้ปฏิเสธอะไร แต่กลับเป็นพี่ดาหลาที่แย้ง

“ไม่ต้องหรอกกราฟ มากินด้วยกัน ก็แชร์กันสิ”

“ไม่เป็นไรครับ พี่อุตส่าห์เสียเวลามากินข้าวกับผม จะให้พี่จ่ายได้ยังไงล่ะครับ ให้ผมเลี้ยงเถอะครับ”

“ใช่ๆ มีหนุ่มหล่อเลี้ยงข้าว ฟินจะตาย เธอจะปฏิเสธทำไม ขอบใจนะจ๊ะสุดหล่อ พี่มะเหมี่ยวปลื้มจัง”

ก่อนที่พี่ดาหลาจะได้ปฏิเสธอีกที พี่มะเหมี่ยวก็แทรกขึ้นมาก่อน ผมจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย ไม่ใช่ว่าเห็นด้วยว่าผมเป็นหนุ่มหล่อหรอกครับ แต่เห็นด้วยที่ควรจะให้ผมเลี้ยง ซึ่งคราวนี้ก็ดูเหมือนว่าพี่ดาหลาจะอ้างอะไรไม่ได้อีกเพราะเพื่อนสนิทเห็นดีเห็นงามไปด้วย

“อย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณนะกราฟ ไว้คราวหน้าให้พี่เลี้ยงบ้างแล้วกัน”

“ครับ”

รู้ตัวเลยครับว่าผมยิ้มแก้มปริขนาดไหน ไม่ใช่ว่าพี่ดาหลาออกตัวว่าจะเลี้ยงหรอก แต่เพราะคำว่า ‘คราวหน้า’ ของเธอต่างหาก มันทำให้ผมมีความหวังว่าผมพอจะมีโอกาสใกล้ชิดเธอได้มากกว่านี้

“ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเลยไหมครับ สองทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวสาวๆ จะลำบาก กลับบ้านดึกมันอันตราย”

ไม่รู้ว่าเพราะผมกำลังแสดงออกว่ามีความสุขมากเกินไปหรือเปล่า แต่อยู่ๆ ไนล์ก็แทรกขึ้นมาด้วยใบหน้าที่ยังติดด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิม พี่ทั้งสองคนจึงไม่มีใครปฏิเสธเพราะมองว่ามันเป็นความหวังดีจากรุ่นน้อง ผมถึงเรียกเช็คบิลและจ่ายเงินให้เรียบร้อย ก่อนพวกเราจะทยอยกันออกมาจากร้านและแยกย้ายกันขึ้นรถ

เสียงประตูรถปิดลงพร้อมกับความเงียบที่มาย่างกราย ผมเหลือบมองคนที่มาประจำที่นั่งข้างกันเหมือนตอนขามา และก็เช่นเดิมที่ราวกับสับสวิตช์ คนที่ยิ้มแย้มโบกมือส่งพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวขึ้นรถไปเมื่อครู่กลายเป็นอีกคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยมากกว่า

“นายต้องการอะไรกันแน่”

“ฉันว่าฉันบอกนายไปแล้ว”

ผมไม่แน่ใจว่าผมถามคำถามนี้กับคนคนเดิมกี่ครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยจะมีคำตอบที่ชัดเจนออกมาเสียที ครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมจึงต้องถามให้มันชัดเจนกว่าเดิม เพราะตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเขาต้องการให้ผมเลิกยุ่งกับพี่ดาหลาจริงๆ หรือเปล่า แต่ที่มั่นใจคือเจตนาของเขาต้องไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบผมอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะคิดอีกสักกี่ครั้ง ผมก็ยังเชื่อว่าความคิดนี้ถูกต้อง

“เพื่ออะไร”

“สักวันนายจะรู้เอง”

เชื่อได้เลยว่าหากเป็นไอ้ยีนที่ได้ยินคำตอบนี้ มันต้องไม่หยุดแค่การสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์อย่างที่ผมกำลังทำอยู่แน่ เพื่อนรักของผมไม่ใช่คนที่ทนฟังคำตอบที่คลุมเครือแบบนี้ได้ หนำซ้ำท่าทางตอนตอบออกมายังเป็นท่าทางที่ผมพูดได้เลยว่าดูยั่วอารมณ์ในสายตาของไอ้ยีนชัดๆ

“นายรู้ใช่ไหมว่าอาหารที่นายสั่งเป็นของที่ฉันชอบ นายรู้มาจากไหน”

ผมเปลี่ยนคำถามใหม่เพราะรู้ว่าต่อให้ถามคำถามเดิมอีก ผมก็ไม่มีทางที่จะได้คำตอบ ซึ่งก็ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากผมถาม ไนล์กลับเงียบ คล้ายจะบอกว่าเขาไม่มีคำตอบให้ แต่ผมว่าเขาไม่อยากจะตอบเสียมากกว่า

“เรื่องลูกอมก็ด้วยเหมือนกัน นายรู้ใช่ไหม”

“...”

เหมือนเดิมที่ไนล์ไม่ตอบคำถามของผม เขาพูดแค่ว่า ‘ไปส่งฉันที่มหา’ลัยด้วย’ ก่อนจะค่อยๆ เอนตัวลงกับเบาะและปิดตาลง เหมือนเป็นการปิดกั้นการรับรู้ทุกสิ่ง และบอกให้ผมรู้กลายๆ ว่าเขาไม่ต้องการฟังคำถามอะไรต่อจากนี้อีก ผมจึงทำได้แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ กับท่าทีเฉยชา ไร้ความสนใจสิ่งใดรอบตัวของคนที่เป็นเหมือนอากาศ ก่อนจะออกรถเพื่อไปยังสถานที่เป้าหมายอย่างที่อีกฝ่ายบอก











สามทุ่มก็มาถึงหน้ามหา’ลัยอย่างที่อีกฝ่ายบอก ผมจอดรถเข้าข้างทางเพื่อปลุกคนที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว เพราะระหว่าทางมีหลายครั้งที่ผมหันไปมอง แต่ก็ยังเห็นว่าเขายังหลับตาอยู่ด้วยท่าเดิมไม่ได้ขยับตัวหรือแสดงว่าแค่แกล้งหลับตาเพื่อเลี่ยงจะคุยกับผม

“ไนล์”

เสียงของผมดังระดับหนึ่ง เพราะในรถเงียบสนิท ผมไม่ได้เปิดเพลงและไม่มีเสียงรถจากภายนอกมารบกวนจึงคิดว่ามันน่าจะพอปลุกคนข้างๆ ได้ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะหลับลึกกว่านั้น ผมจึงต้องเรียกให้ดังกว่าเดิม

“ไนล์”

“...”

“ไนล์”

ผมเรียกซ้ำอีกเมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะลืมตาขึ้นมา เพิ่มระดับเสียงให้มากขึ้น แต่เขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักอย่าง และต่อให้เรียกดังกว่านี้ผมก็คิดว่าเขาคงไม่ตื่นแน่ๆ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นคนที่นอนหลับลึกแบบนี้อยู่แล้วหรือเปล่า แต่ในใจผมกลับรู้สึกว่าคนที่หลับลึกและเรียกไม่ตื่นได้ขนาดนี้ต้องเป็นคนที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นเวลานานแน่ๆ มันไม่เหมือนกับคนขี้เซาที่ไม่ตื่นเพราะความขี้เกียจ แต่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรที่เขาดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น

“ไนล์”


ถึงจะรู้ว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล แต่ผมก็ลองเรียกอีกครั้ง ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะตัวเขาเบาๆ เพื่อปลุก เพราะคิดว่าวิธีนี้น่าจะได้ผลมากกว่า แต่เขายังคงนอนนิ่งจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาทำตัวเหมือนคนที่มีชีวิตครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างความเป็นกับความตายจนบางครั้งผมก็กลัว

ผมกลัวว่าสักวันหนึ่งสายตาที่เลื่อนลอยจะไม่มีเงาของผม

ผมกลัวว่าร่างกายที่คล้ายกำลังล่องลอยนั่นจะจางหายไป

ผมกลัวว่าอุณหภูมิเย็นๆ ของเขาจะกลายเป็นเย็นชืดในสักวัน

เหมือนร่างของมิ้นที่ผมได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย....ในโลงศพ

“ไนล์ ไนล์ ไนล์ ตื่น!”

เผลอคิดไปแบบนั้นแล้วผมก็เขย่าตัวของคนที่หลับอยู่แรงขึ้น จากที่ก่อนหน้านี้แค่สะกิดตัวเขาเฉยๆ รู้สึกว่าใจเต้นเร็วขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ และเหมือนว่าความตื่นตระหนกของผมจะทำให้เขารู้สึกตัว ร่างโปร่งนั้นสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะลืมตาขึ้นมามองผม แววตาของเขาฉายความตกใจอยู่ครู่หนึ่งที่เห็นว่าสีหน้าของผมซีดเผือด และนั่นก็ทำให้ผมรู้ตัวว่าผมกำลังทำตัวแบบไหน

“ฉัน... ฉันแค่เห็นว่านายไม่ยอมตื่นสักที”

ผมพูดออกไปอย่างตะกุกตะกัก แสดงพิรุธอย่างเต็มที่ ทั้งที่ไม่ต้องการให้เขารู้ว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน ...อ่อนแอแค่ไหนทุกครั้งที่คิดถึงความผิดพลาดในครั้งนั้น ผมละมือออกจากแขนของเขา แต่ไม่ทันพ้น มือที่เล็กกว่าก็คว้ามือของผมแทน

ไนล์จับมือของผมเอาไว้ เขามองตาผม เหมือนมีแววอะไรสักอย่างในนั้น แต่ก็ว่างเปล่าด้วยเช่นกัน เขาไม่พูดอะไร แค่มองตาของผมเฉยๆ เหมือนอย่างทุกครั้ง ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกว่าอาการหัวใจกำลังเต้นแรงด้วยความกลัวเมื่อครู่นี้ค่อยๆ ผ่อนลงทีละน้อยจนมันกลับมาเต้นเป็นปกติ

“เข้าซอยข้างหน้าไป”

เสียงเนิบเรียบมาจากริมฝีปากอิ่มของคนที่จับมือของผมเอาไว้ มือที่ติดเย็นอยู่เล็กน้อยละออกจากมือของผมช้าๆ ก่อนทุกอย่างจะเข้าสู่สภาวะปกติเหมือนเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหันไปมองทางกระจกด้านหน้าของรถ ทำเหมือนผมไม่มีตัวตนอยู่ใกล้ๆ ทำให้ผมมึนตื้อไปชั่วคราว แต่ขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกแปลกๆ ในการกระทำของเขา

เขารู้เสมอว่าผมรู้สึกยังไง...หรือผมคิดไปเอง?

ตั้งสติกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็ขับรถเข้าไปในซอยข้างๆ มหา’ลัยตามคำบอกของคนข้างตัว มันเป็นซอยที่ผมไม่เคยเข้ามาเลยสักครั้ง แม้ว่าจะเห็นบ่อยๆ ตอนที่ขับรถผ่านก็ตาม

“จอดตรงนี้แหละ”

เข้ามาประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตรก็เห็นว่าเป็นตึกสูงห้าชั้น ผมไม่แน่ใจว่าลักษณะภายนอกของมันเป็นยังไง แต่คิดว่าน่าจะค่อนข้างเก่าพอสมควร และมันก็มืดอยู่ไม่น้อย เพราะไฟริมถนนตั้งอยู่ห่างๆ กันเท่านั้น ดูผิดกับถนนด้านหน้าซอยซึ่งค่อยข้างพลุกพล่านด้วยผู้คนจนคิดไม่ถึงว่าจะมีที่แบบนี้อยู่ใกล้กับมหา’ลัยเอกชนที่ค่าเรียนแต่ละเทอมเป็นแสน

“นายอยู่ที่นี่?”

ผมชะโงกหน้ามองผ่านกระจกหน้ารถเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะมันไม่น่าใช่สถานที่ที่เขาจะอยู่ เพราะลักษณะของเขาไม่เหมือนคนที่บ้านขาดรายได้หรือมีฐานะปานกลางถึงต้องมาเช่าอยู่ในแมนชั่นเก่าๆ แบบนี้ แต่คำตอบของเขากลับกลายเป็นคำถามย้อนคืน

“แปลกหรือไง”

“ฉันแค่ไม่คิดว่านายจะอยู่ที่นี่”

ไม่ว่าจะมองยังไง ไนล์ก็ไม่เหมาะกับที่แบบนี้ ไม่ใช่ว่าผมจะดูถูกคนที่ฐานะไม่ดีหรือว่าอะไร ผมไม่แคร์กับเรื่องพวกนั้น แต่มันทำให้ผมรู้สึกสะกิดใจกับสิ่งที่คาดไม่ถึงมากกว่า ผมยังคงมองตึกสูงห้าชั้นที่อยู่ด้านหน้าไม่ละสายตา แต่เหมือนว่าเขาจะรำคาญที่ผมไม่เชื่อ จึงดึงมือของผมให้หลุดจากพวงมาลัยรถที่จับอยู่จนผมต้องหันไปมองหน้าเขาแทน

ผมมองเขางงๆ อยู่แค่ครู่เดียว ก็เห็นว่าเขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง ก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างขึ้นมา และวางบนมือของผม ทำให้ผมตกใจนิดหน่อย เพราะสิ่งที่เขาให้ผมมาเป็นกุญแจดอกหนึ่งที่ไม่ต้องเดาว่ามันคือกุญแจอะไร

“ให้ฉันทำไม”

“สักวันหนึ่งนายอาจจะได้ใช้”

เขาบอกผมแค่นั้นก่อนจะละมือออก ไม่มีการดึงกุญแจ ‘ห้องของเขา’ กลับไป จากนั้นก็เปิดประตูรถออก และก้าวลงจากรถของผม ถึงกระนั้นก็ไม่วายโน้มตัวลงมาเล็กน้อยให้ผมเห็นหน้า และพูดกับผมที่ยังถือกุญแจดอกนั้นค้างเอาไว้อย่างไม่ค่อยเข้าใจการกระทำของเขา

“ห้อง 310 เผื่อนายจะอยากจะขึ้นไป”

สิ้นเสียง ประตูรถก็ปิดลง ร่างนั้นเดินผ่านรั้วของแมนชั่นไปและไม่มีการหันกลับมา โดยที่ผมได้แต่มองตามด้วยความรู้สึกมึนๆ เล็กน้อย ก่อนจะก้มลงมามองกุญแจสีเงินในมืออีกครั้ง












สอบเสร็จก็ถึงเวลาปลดปล่อย แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นการปลดปล่อยจริงหรือเปล่า เพราะคืนนี้จะมีงานเฟรชชี่ไนท์ รุ่นพี่บอกว่าให้ปีหนึ่งแต่ละเมเจอร์เตรียมการแสดงที่จะประทับใจรุ่นพี่เอาไว้ งานนี้ไอ้ยีนไม่รอดเพราะมันได้รับเลือกให้เป็นตัวเอกที่จะสร้างเสียงฮาให้กับทุกคน ตั้งแต่รุ่นน้องยันรุ่นพี่ ส่วนผม ก็ได้เป็นตัวเอกเหมือนกันครับ แต่งานไม่หนักเท่าไอ้ยีน

“กราฟ”

ระหว่างที่เรามาเดินลาดตระเวน หรือจะบอกว่ามาสำรวจสถานที่ ก่อนจะต้องไปแต่งตัวเพื่อเตรียมการแสดง ยีนก็เรียกผมพลางพยักพเยิดหน้าไปทางด้านหลังสุดของโถงใต้ตึกคณะที่ใช้จัดงาน พลอยให้ผมต้องหันไปมองตามด้วย ซึ่งพอเห็นว่าคนที่ยีนเรียกให้ผมหันไปมองเป็นใคร ผมก็ต้องทำเป็นไม่เห็น ทั้งที่เมื่อครู่นี้ผมรู้สึกว่าผมกับไนล์สบตากัน แม้จะแค่เสี้ยววินาทีก็ตาม แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าสายตาของเราประสานกัน

“ไม่ไปหาเขาล่ะมึง ชวนมาใช่หรือเปล่า”

ไอ้ยีนเข้าใจผิดไปใหญ่ ทั้งที่ผมไม่เคยเล่าให้มันฟัง แต่มันก็เคยเห็นว่าผมกับไนล์อยู่ด้วยกันครั้งหนึ่ง ผมจึงต้องแก้ความเข้าใจผิดนั้นซะ ว่าผมกับเขาไม่ได้รู้จักหรือสนิทสนมกันถึงขนาดที่ผมจะชวนมาที่งานของคณะด้วย ไม่เหมือนไอ้กัสกับไอ้เคลมที่อยู่ด้วยในตอนนี้

“กูไม่ได้ชวน ทำไมกูต้องชวน”

“ก็มึงรู้จักเขาไม่ใช่เหรอ”

หน้าไอ้ยีนดูเอ๋อๆ งงๆ ไปเลยหลังจากผมตอบแบบนั้น ผมยอมรับครับว่าคำตอบและท่าทีที่ผมแสดงไปเมื่อครู่มันดูไร้เยื่อใยอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมกับไนล์ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันที่สามารถระบุได้จริงๆ ผมจึงต้องแสดงออกให้ชัด เพื่อไอ้ยีนจะได้ไม่ต้องถามอีก เพราะผมไม่สามารถหาคำมาอธิบายได้

“อืม แล้วไง”

“มึงเข้าไปคุยกับเขาหน่อยดิ ไหนๆ ก็มาแล้ว”

“ปล่อยมันไปเหอะ มันอยากทำอะไรมันก็ทำ”

ผมใช้คำเรียกอย่างที่ไม่เคยเรียกไนล์เลยสักครั้ง เพื่อให้ดูเป็นปกติที่สุด แต่ดูเหมือนคำตอบของผมจะทำให้ไอ้ยีนรู้สึกประหลาดใจหนักกว่าเดิม ถึงกระนั้นผมก็ทำเป็นมองไม่เห็นว่าหน้าของมันมีแต่คำถาม รวมทั้งมองข้ามคนต่างคณะที่ยืนหลบมุมอยู่ ทั้งที่รู้สึกว่าถูกสายตาเลื่อนลอยคู่นั้นจับจ้องอยู่ไกลๆ ทว่าผมก็พยายามไม่หันกลับไปมอง

เหมือนว่าพี่ภูและพี่เจ๋งจะมาช่วยให้ผมรอดพ้นจากสถานการณ์ตอนนี้เอาไว้ได้ เพราะพี่ทั้งสองคนเดินเข้ามาหาและชวนคุย แต่จะเรียกว่าชวนคุยคงไม่ได้ล่ะมั้งครับ เพราะพี่ภูดูเหมือนจะเข้ามาเกทับไอ้ยีนเสียมากกว่า ผมจึงหันไปหาพี่เจ๋งแทน เพื่อจะได้ไม่ต้องคอยเป็นกรรมการมวยของรุ่นพี่และเพื่อนรัก

“สอบเป็นยังไงมั่ง”

“ก็พอถูพอไถแหละพี่ ดีว่าพี่ช่วยเน้นให้ว่าตรงไหนน่าจะออกมั่ง”

“เออ ดีแล้ว กูกลัวเกรดมึงจะเน่า พวกปีหนึ่งเทอมแรกนี่โดนๆ กันทั้งนั้น”

พี่เจ๋งยิ้มให้ผม หัวเราะหน่อยๆ ที่ผมพอจะไม่ทำให้เขาผิดหวัง ซึ่งผมก็ต้องขอบคุณพี่เจ๋งเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นการสอบของผมอาจจะแย่กว่านี้ เพราะยังไม่รู้หลัก ไม่รู้ว่าข้อสอบแต่ละวิชาจะออกประมาณไหน

“วันนี้ผมแสดงด้วยนะพี่ ไม่แน่ใจว่าจะฮาหรือเปล่า ตื่นเต้นอยู่”

“โหย มึงไม่ต้องคิดอะไรมาก รุ่นพี่ไม่ได้เคร่งอะไรขนาดนั้นเว้ย แค่ขำๆ ให้น้องกล้าแสดงออกเฉยๆ ไม่ต้องเกร็ง”

มือที่ใหญ่พอๆ กับผม ทั้งที่ตัวเล็กว่าผมนิดนึงเพราะพี่เจ๋งสูงประมาณร้อยเจ็ดสิบเก้าหรือร้อยแปดสิบตบลงบนบ่าของผมเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจและฮึกเหิมขึ้นนิดหน่อย

“ผมจะพยายาม ไม่ให้เสียหน้าหลานรหัสพี่เจ๋ง”

“ฮ่าๆ มึงมันได้ใจกูจริงๆ”

บ่าของผมถูกตบอีกสองสามทีอย่างพอใจ แถมด้วยเสียงหัวเราะเล็กน้อย ก่อนที่เราจะต้องกลับไปให้ความสนใจกับมวยคู่เอกที่อยู่ข้างๆ กัน เพราะเสียงของพี่ภูดังพอดู

“แต่กูจะรอดูมึง อย่าทำให้กูเสียอารมณ์ล่ะ น้องร้ากกก”

ผมได้ยินแค่นั้นเพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้สนใจฟัง แต่พอคาดการณ์ได้ว่าพี่ภูกับไอ้ยีนคงจะลับฝีปากกันพอสมควร ทั้งที่ผมคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรหนักหนาแล้วสำหรับคู่นี้ แต่ก็ยังกวนกันได้ตลอดอยู่ดี เพราะฉะนั้นหลังจากถูกตั้งความหวัง หรือจะเรียกว่าเป็นการปรามาสไอ้ยีนจากปากของพี่ภูแล้ว ก็ได้เวลาที่เราจะต้องเตรียมตัวแสดงกันสักที

ผมรับบทเป็นคุณเด่นชัย ผู้ชายที่เสงี่ยมศรี ซึ่งรับบทโดยไอ้ยีน หลงรัก เสงี่ยมศรีที่ว่านี้เป็นสาวหน้าตาค่อนข้าง... สวยแบบแปลกๆ จนอกหักมาแล้วหลายสิบครั้ง จึงต้องระหกระเหเร่ร่อนกลับบ้านเกิดอย่างชอกช้ำ พล็อตเรื่องมีเท่านี้ครับ ส่วนนอกเหนือจากนี้ ทุกคนในเมเจอร์ต่างลงความเห็นว่าให้ผมกับไอ้ยีนด้นสดกันเลย คิดได้ก็ใส่ลงไป เรียกได้ว่าให้ผมกับยีนใช้ไหวพริบแก้สถานการณ์ เอาตัวรอดกันเองเต็มที่ จนแม้แต่ผมยังอดเสียวไม่ได้ว่ามันจะล่มหรือเปล่า

ไอ้ยีนถูกจับแต่งตัวจนออกแนวเละเทะมากกว่าสวย เพราะถูกจับใส่คอกระเช้าทับด้วยเสื้อคลุม นุ่งผ้าถุง ทาปากแดงจนเกินขอบมาสองเซนติเมตร แถมยังมีไฝเม็ดเบ้อเริ่มอยู่กลางหน้าผากกับเหนือริมฝีปากที่วาดด้วยลิปสติกสีฉูดฉาด จนผมและเพื่อนๆ ในเมเจอร์ขำแล้วขำอีก เท่านั้นไม่พอ มันยังต้องใส่วิกทรงแอฟโฟ่ด้วย ขณะที่ผมใส่เสื้อเชิ้ตตามปกติ เซ็ตผมให้ดูดี เรียกได้ว่าอยู่ในลุคที่เป็นผู้เป็นคนกว่าไอ้ยีนหลายเท่า








อ่านต่อข้างล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-09-2013 17:27:15
ต่อจากข้างบน


v


v



เราถูกเรียกให้ลงมาเผชิญหน้าต่อหน้าสาธารณชน ผมกับไอ้ยีนก็ขึ้นไปบนเวทีเตี้ยๆ ที่ถูกทำขึ้นมาเป็นกรณีพิเศษ สูงกว่าพื้นปกติไม่มากหรอกครับ แค่เป็นการต่อไม้กระดานเพื่อให้คนด้านหลังสามารถมองเห็นคนที่อยู่บนเวทีได้ทั่วๆ กันเสียมากกว่า

เรื่องราวเริ่มต้นอย่างที่วางเอาไว้ เสงี่ยมศรีกลับมาบ้านเกิดด้วยความเสียใจที่ไม่เคยได้รับความรักตอบจากผู้ชายที่เธอสนใจ ซึ่งเป็นซีนอารมณ์ที่ควรจะน่าสงสาร แต่ไอ้ยีนก็เล่นเอาฮาได้ เพราะแค่หน้าตาของมันที่ถูกแต่งก็เรียกเสียงฮาแล้ว นี่ยังมีการแสดงที่เรียกได้ว่าเว่อร์เกินจริงไปหลายเท่า เพิ่มความอุบาทว์ได้อย่างไม่มีลิมิตนี่อีก

เสียงโห่หัวเราะดังก้องไปทั้งโถงใต้ตึกจนผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกเหมือนกัน ต้องใช้ความพยายามมากเชียวล่ะครับที่จะไม่ปล่อยเสียงก๊ากออกมาตามคนอื่นๆ ผมข่มอารมณ์สุดๆ แล้วเล่นตามบทบาทของตัวเองไป มุ่งความสนใจไปที่คนที่อยู่ข้างๆ ซึ่งกำลังพยายามคิดหาทุกวิถีทางที่จะทำให้คนดูหัวเราะ โดยเฉพาะพี่ภู ตามคำท้าทาย

แต่ผมก็เห็นนะครับว่าพี่ภูมองไอ้ยีนตลอดและยิ้มอย่างถูกใจที่มันอย่างเต็มที่ ไม่มีกลัว ไม่มีอาย เหมือนจะภูมิใจด้วยซ้ำที่ไอ้ยีนทำได้ดีขนาดนี้ จนผมอดเผลอคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าคราวนี้ พี่ภูกับไอ้ยีนอาจจะเลิกตั้งแง่ใส่กันก็ได้ ทว่าระหว่างที่มองพี่ภู มองพี่เจ๋ง ลุงรหัสของผมว่าเป็นยังไงบ้าง สนุกกับการแสดงของพวกผมหรือเปล่า สายตาของผมก็เผลอกวาดมองไปไกลกว่านั้นอย่างไม่ตั้งใจ

คนที่ยังยืนหลบอยู่ริมกำแพงด้านหลังสุดของบริเวณจัดการมองตรงมาที่ผม มันไกลมากจนผมไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ผมก็รู้สึกได้ เขายังคงมีท่าทีเหมือนเดิมคือการทำเหมือนตัวเองเป็นอากาศธาตุที่ไม่มีผลกระทบต่อใครก็ตามที่อยู่รอบตัว เป็นอากาศที่พร้อมจะระเหยและหายไปได้ตลอดเวลา

“คุณเด่นชัยรักเหงี่ยมไหมคะ”

ไอ้ยีนพยายามปรับเสียงให้ดูกระแดะๆ จนผมเกือบจะหลุดขำออกมา ต้องกลั้นสุดชีวิตแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนโยนให้ มองหน้ามันที่ทำตาแป๋วๆ มองผมเหมือนรักผมเหลือเกินตามบทบาท ผมเลยต้องเออออตามไปให้สมกับที่มันใส่ฟิลลิ่งเข้ามา

“รักสิครับ ผมรักเหงี่ยมมากเลยนะ”

ผมใช้หลังมือแตะที่แก้มของยีนเบาๆ ด้วย ซึ่งมันก็ทำท่าเอียงอายจนตัวบิด ซึ่งผมแน่ใจว่าถ้าเป็นปกติ ผมคงหัวเราะก๊ากไปแล้ว และไม่ต้องเดา ไอ้เพื่อนตัวดีอีกสองคนที่นั่งดูอยู่หน้าเวทีคงหัวเราะจนแทบกลิ้ง แต่ไอ้ยีนก็ไม่ปล่อยให้ผมเนียนคนเดียวครับ มับทุบบ่าผมกลับมาเสียแรงจนผมเกือบหลุดเสียงร้องออกมา เล่นเอาคนที่ดูอยู่หัวเราะครืน

ทว่ายังไม่จบแค่นั้น ผมดึงมือมันไปจูบแบบไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า แค่ส่งซิกทางสายตาให้รู้ว่าเล่นต่อไปเลย นึกมุกอะไรได้ก็ใส่ไป ซึ่งไอ้ยีนก็พยายามเพื่อความบันเทิงต่อ ทั้งที่ตอนแรกมันไม่กล้าและไม่อยากจะเล่นละครที่ไม่มีบทตายตัวนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เหมือนอินเนอร์ของมันจะมาเต็มแล้ว เพราะมันแกล้งทำเป็นกัดปากอาย กระมิดกระเมี้ยนเต็มที่จนน่าสยองเมื่ออยู่ในสภาพนี้ แต่ถ้าเป็นสภาพปกติ ผมคิดว่าน่าจะน่ารักนะครับ

“คุณเด่นชัยทำอะไร เหงี่ยมอายนะคะ เดี๋ยวเกิดมีใครมาเห็น”

ท่าทางตอนนี้ของไอ้ยีนเป็นใจมากครับ ผมเลยแกล้งโน้มหน้าเข้าไปหามันเยอะๆ เพราะคิดว่านอกจากจะเล่นให้ฮาแล้ว ก็น่าจะมีอะไรให้ลุ้นหรือตื่นเต้นๆ กันบ้าง ก่อนจะจูบลงไปที่เหนือปากของไอ้ยีนแล้วเบี่ยงตัวนิดหน่อยเพื่อหลบไม่ให้คนเห็นกันชัดนัก ไม่อย่างนั้นจะมองออกว่าผมไม่ได้จูบตรงปากแบบพอดีเป๊ะๆ ซึ่งตอนปากแตะลงไป ผมรู้สึกเหนอะๆ นิดหน่อยครับ เพราะว่ามันเป็นตรงที่ถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงแปร๊ด

แต่แค่นั้นก็เรียกเสียงกรี๊ด เสียงโห่ร้องกันจนกระหน่ำแล้วครับ เสียงดังมากจนผมกลัวว่าตึกจะสะเทือนแล้วถล่มลงมาเลย แล้วพอได้ยินเสียงแบบนี้ก็เหมือนไอ้ยีนจะคึกขึ้นมามากกว่าเดิม มันตอบสนองเสียงพวกนั้นด้วยการยกแขนขึ้นมาคล้องคอผม แถมยังยกขาขึ้นมากอดเอวของผมไว้อีก ถ้าไม่นับว่าปากผมอยู่บนหน้าของมันล่ะก็ สภาพคงเหมือนลูกลิง

แบบนี้ผมจะทำยังไงต่อ?

ผมคิดกับตัวเองเพราะยังหาที่จบไม่ลง ก็เลยแกล้งผลักไอ้ยีนให้หงายหลังตึงลงไปนอนบนม้านั่งที่เรานั่งกันอยู่ แล้วก็แกล้งทำเป็นซุกไซ้มันนิดๆ หน่อยๆ เพราะคิดว่าเดี๋ยวพวกในเมเจอร์ที่เหลือต้องหาทางออกให้ และไอ้การทำแบบนี้ระหว่างผมกับไอ้ยีนก็ไม่ใช่อะไรที่น่าตื่นเต้นหรือว่าน่ากังวลสักเท่าไร เพราะผมกับมันก็ออกแนวชอบกอดฟัดกันบ่อยๆ

อย่างที่บอกล่ะครับว่าไฮยีนไม่ใช่แค่เพื่อนรักของผมเพียงอย่างเดียว มันเป็นเหมือนชีวิตของผม เป็นทุกๆ อย่างในชีวิตของผม และมันก็ยกให้ผมเป็นหนึ่งเหนือคนอื่นๆ ยกเว้นคนในครอบครัวของมันเหมือนกัน การแสดงความรักระหว่างผมกับมันจึงเป็นเรื่องปกติมาก ไม่ว่าจะวิธีไหน

เรานัวเนียกันอยู่แบบนั้นสักพัก ปลายก็เรียกพวกเพื่อนๆ ในเมเจอร์มาวิ่งรอบๆ ตัวผม เหมือนจะเป็นการเซนเซอร์ฉากอื้อฉาวนี้ นับว่าปลายแก้สถานการณ์ได้ดีครับ เพราะผมไม่รู้แล้วว่าจะเล่นฉากนี้ยังไงต่อไป จากนั้นเราเริ่มต้นขึ้นฉากใหม่กัน ซึ่งเข้าสู่ช่วงจบของการแสดงแล้ว เสงี่ยมศรีได้รู้ความจริงว่าผม หรือก็คือคุณเด่นชัยเป็นบ้า แต่ได้กลับมาพักผ่อนที่บ้านก่อนจะถูกส่งกลับไปโรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวต่อ

ผมก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันว่าจุดจบของตัวเองจะกลายเป็นแบบนี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการจบการแสดงโดยสมบูรณ์และได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมครับ เพราะได้รับเสียงตอบมือ โห่ร้องชื่นชมอย่างล้นหลาม เล่นเอาผมกับยีน และคนในเมเจอร์ยิ้มหน้าบานกันเป็นแถบๆ

หลังจากแสดงความดีใจกันในหมู่เพื่อนร่วมเมเจอร์แล้ว พวกผมก็ไปรวมกับกลุ่มลุงรหัสของผมครับ ซึ่งคนเดินทัพก็ไม่พ้นไอ้ยีนที่อยากจะไปเย้ยพี่ภูเต็มแก่จนอกแทบแตก ทว่าผมกลับตรงข้ามกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุอะไร แต่สิ่งแรกที่ผมทำคือการหันไปทางด้านหลังสุดเพื่อมองคนที่คล้ายกับมีพลังชีวิตอยู่เสี้ยวเดียว เพราะไม่อยากรบกวนการมีชีวิตของสิ่งอื่นๆ บนโลกใบนี้ แต่ตำแหน่งที่เคยมีใครคนนั้นอยู่กลับว่างเปล่า...













เมื่อคืนหลังจากที่พี่ภูกับไอ้ยีนฉะกันพอเป็นพิธีแล้ว พี่ภูก็ชวนพวกผม ซึ่งก็มีไอ้ยีน ไอ้กัส ไอ้เคลมไปดื่มกันต่อที่คอนโดของพี่ภู เพราะอยู่ใกล้ที่สุด โดยมีพี่ต้นกับพี่ปาล์ม เพื่อนในกลุ่มของพี่เจ๋งและพี่ภูไปด้วย ตอนแรกก็ปฏิเสธ เพราะไอ้ยีนไปไม่ได้ มันรับปากป๊าเอาไว้แล้วว่าจะไม่กลับบ้านดึก แถมก่อนหน้านี้มันก็ไปค้างที่คอนโดของผมมาหลายวันแล้วด้วย แต่เพราะถูกพี่ภูท้าทาย สุดท้ายก็จบลงที่เมา

ผมเมานะครับ เพราะผมพยายามดื่มแทนไอ้ยีนทั้งหมด ตื่นมาอีกทีก็บ่ายแล้ว เห็นคนอื่นๆ นอนกันเกลื่อนห้อง มีพี่เจ๋งที่เหมือนจะสภาพดีที่สุด และน่าจะพอตอบคำถามผมได้หลังจากที่ผมไม่เห็นว่าไอ้ยีนอยู่ในห้องด้วย

“ไอ้ยีนไปไหนอะพี่”

“โดนไอ้ภูหิ้วไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”

“เฮ้ยยยยย”

ผมร้องลั่น เหมือนเป็นการปลุกคนที่เหลือให้สะลืมสะลือตื่นขึ้นมาด้วย ไอ้กัสกับไอ้เคลมค่อยๆ ดันตัวขึ้นจากพื้นพลางเอามือขยี้ตา หัวยุ่งจนแทบจะหมดความหล่อ ก่อนเสียงของไอ้เคลมจะดังขึ้น

“ร้องอะไรของมึง ไอ้เหี้ยกราฟ”

“หิ้วไป อะไร ยังไง พี่”

ผมไม่ฟังเสียงเห่าของไอ้เคลม แต่หันไปถามพี่เจ๋งแทน ซึ่งพี่เจ๋งก็กระตุกยิ้มนิดๆ ดูเจ้าเล่ห์อย่างที่ผมไม่เคยได้เห็น ก่อนจะกวักมือเรียกผมกับไอ้กัส มีแต่ไอ้เคลมที่โดนไล่

“มึงไปลากไอ้สองผัวเมียในห้องให้หน่อย”

สองผัวเมียที่ว่าก็คือพี่ต้นกับพี่ปาล์มครับ สองคนนั้นเป็นแฟนกัน แล้วพี่ปาล์มก็เป็นกะเทยที่สวยมากๆ จนผู้หญิงยังอาย ผมเห็นครั้งแรกยังคิดว่าเป็นผู้หญิงเลย ขนาดผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมาเยอะที่สุดในกลุ่มพวกผมอย่างไอ้เคลมยังมองตาค้างตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น

“โหย พี่ ทำไมต้องผมด้วยเล่า เกิดเปิดประตูไปเจอเขากำลังร้อยเข็มกันอยู่ ผมไม่ถูกพี่ปาล์มคนสวยเตะออกมาหรือไง”

ครับ คนที่เตะจะไม่ใช่พี่ต้น แต่เป็นพี่ปาล์มอย่างที่ไอ้เคลมว่า เพราะถึงจะบอกว่าสวยยังไง แต่พี่แกก็ห้าวซะจนพวกผมอาจจะสยองได้ พี่เจ๋งแอบเล่าวีรกรรมของพี่ปาล์มให้พวกผมฟังอยู่ตอนดื่มกันเมื่อคืน

“ไม่เจอช็อตเด็ดหรอกน่า มันคงหมดแรงกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ไปตามเร็วๆ ถ้ามึงอยากรู้เรื่องเพื่อนของมึง”

พอได้ยินคำว่า ‘เพื่อนของมึง’ ไอ้เคลมก็เบิกตาตี่ๆ ของมันให้โตขึ้นอีกเท่าตัว แล้วหันรีหันขวางมองหาว่าเพื่อนที่พี่เจ๋งพูดถึงคือใคร และพอไม่เห็นว่าไอ้ยีนอยู่ด้วยเท่านั้น มันก็รีบลุกพรวดขึ้นจากพื้นที่นั่งอยู่แล้วรีบตรงไปยังห้องนอนที่อยู่ใกล้ที่สุดซึ่งคิดว่าเมื่อคืนคงถูกใช้งาน เพราะเท่าที่ผมจำได้ เมื่อคืนพี่ต้นกับพี่ปาล์มเมาแล้วก็กอดรัดจนแทบจะได้กันต่อหน้าพวกผมอยู่แล้ว

เกือบห้านาทีได้มั้งกว่าพี่ต้นกับพี่ปาล์มจะออกมาจากห้อง แต่ไอ้เคลมไม่ได้เข้าไปปลุกในห้องอย่างที่มันพูดก่อนหน้านี้หรอกครับ แค่เคาะประตูรัวๆ อยู่หน้าห้องจนโดนพี่ปาล์มด่ากลับมา ‘เคาะหาพ่อมึงเหรอ’ บอกได้เลยครับว่าเสียงโหดและโฉดมากจนคิดไม่ถึงว่าจะออกมาจากคนสวยๆ

จนพวกเรามารวมตัวกันได้ ทุกคนก็เอาแต่จ้องหน้าพี่เจ๋งที่ตอนนี้เหมือนกำลังยืนอยู่หน้าปะรำพิธี เพื่อแจ้งเรื่องสำคัญมากที่สุดในชีวิต พี่เจ๋งก็มองหน้าพวกเราไล่ไปทีละคนๆ ก่อนจะยิ้มอีกนิด แล้วจึงค่อยพูดออกมา เพราะถ้าพูดช้ากว่านี้ ผมว่าพี่เจ๋งโดนพี่ต้นกระทืบตามคำสั่งของพี่ปาล์มแน่นอน

“กูคิดว่า...”

“ว่า?”

“ว่าอะไร”

พี่ปาล์มกับไอ้เคลมลุ้นพร้อมกันด้วยความอยากรู้ ผมเองก็อยากรู้ด้วยเหมือนกัน รู้สึกเลยว่าผมจ้องหน้าพี่เจ๋งนานมาก กว่าพี่เจ๋งจะต่อประโยคเดิม

“ไอ้ภูชอบน้องยีนว่ะ”

“เฮ้ย!”

“จริงอะ”

“เป็นไปได้เหรอวะ”

“กูว่าแล้ว!!”

เสียงดังมาจากผม ไอ้เคลม ไอ้กัส แล้วก็พี่ปาล์ม ส่วนพี่ต้นงดออกเสียงครับ คงเห็นด้วยกับพี่ปาล์มมั้ง และพอเราถามแบบนั้นกลับไป พี่เจ๋งก็พยักหน้าหงึกหงักๆ ยืนยัน

“เมื่อคืนตอนพวกมึงเมาเป็นหมากันหมดแล้ว กูเห็น...ไอ้ภูจูบน้องยีน”

“จูบ!!!”

คราวนี้ไม่มีการแบ่งแล้วครับ พวกเราร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันหมด พวกผมสามคนตาเหลือกกันแล้ว แต่พี่ปาล์มกับพี่ต้นยิ้มกรุ้มกริ่มกันอยู่สองคน

“กูว่าแล้วว่าต้องมีซัมติงรอง เพราะไม่งั้นไอ้ภูไม่ไปตอแย คอยหาเรื่องน้องแบบนั้นหรอก ใช่หรือเปล่าต้น”

พี่ปาล์มพูดอย่างคนมีประสบการณ์ มองขาด หนำซ้ำยังหันไปถามพี่ต้นด้วย

“อืม กูก็คิดอยู่ว่าไอ้ภูทำตัวแปลกๆ”

“แต่ไอ้ยีนไม่ได้ชอบผู้ชายนะครับ”

ผมขัดเป็นคนแรก คิดไม่ออกเลยว่าไอ้ยีนชอบพี่ภูจะเป็นยังไง มีแต่มันจะอยากกระทืบพี่ภูเสียมากกว่า แต่พี่เจ๋งส่ายหัวครับ แล้วยังมีถามย้อนผมอีกต่างหาก

“เรื่องนั้นไม่เท่าไรหรอก ที่สำคัญเลยคือ มึงกับเพื่อนของมึงต่างหาก เกี่ยวพันกันยังไง ดูเป็นห่วงเป็นใย รักกันออกหน้าออกตา แถมมึงยังเคยบอกกูว่าน้องยีนสำคัญกับมึงเท่าชีวิต”

เอาล่ะครับ กลายเป็นผมที่ตกเป็นเป้าสายตา ส่วนเพื่อนอีกสองคนของผมก็ไม่ได้ช่วยกันเลย ไอ้เคลมหัวเราะคึๆ อะไรของมันสักอย่างแล้วเอามือปิดปากเอาไว้ ส่วนไอ้กัสก็แค่ยิ้มๆ เหมือนรอดูว่าผมจะตอบอะไร ทั้งที่พวกมันรู้ดีแก่ใจที่สุดว่าระหว่างผมกับไอ้ยีนเป็นยังไง

“รักกันจริงครับ รักแบบที่คนคนหนึ่งจะรักอีกคนได้”

ผมตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำตามความรู้สึกของผมทุกประการ แต่ดูเหมือนว่าจะทำให้พี่เจ๋งอึ้งไม่น้อย เพราะพี่แกเบิกตาโต ผมเลยต่อประโยคให้อีกหน่อย

“แต่รักที่ว่านี่ ไม่ใช่รักแบบคนรักนะครับ”

“ยังไงวะ”

เหมือนลุงรหัสของผมจะโล่งใจนิดหน่อยที่เพื่อนของตัวเองพอจะมีความหวัง แต่ก็ยังสงสัยอยู่ดี แน่ล่ะครับ เพราะความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยีนค่อนข้างซับซ้อนและคนอื่นคงเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ถ้าไม่รู้ถึงสาเหตุที่ผมกับไอ้ยีนกลายมาเป็นแบบนี้

“รักเหมือนพ่อ เหมือนพี่ เหมือนเพื่อน รักเหมือนความรักทุกอย่างที่มีอยู่บนโลกนี้ ยกเว้นรักแบบคนรัก แบบนี้พอจะเข้าใจขึ้นไหมครับ”

“เออๆ เหมือนจะเข้าใจ”

พี่เจ๋งอึ้งไปหน่อยๆ กับคำอธิบายของผม ก่อนจะทำหน้านึกแล้วก็พยักหน้าว่าพอจะเก็ตแล้ว ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงรักไอ้ยีนได้ขนาดนั้นก็ตาม ส่วนพี่ต้นกับพี่ปาล์มก็พยักหน้าตามด้วย แต่ก็ดูไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร อาจจะเพราะไม่รู้ว่าผมกับไอ้ยีนสนิทสนมกันขนาดไหนเหมือนพี่เจ๋งก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นพอกระจ่างเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ยีน พี่เจ๋งจึงถามต่อ

“ถ้าอย่างนั้นพวกมึงสามคนจะว่ายังไง ถ้าเพื่อนกูจะชอบหรือจีบเพื่อนมึง”

“พี่ภูยังไม่เห็นมาขอพวกผมเลย พี่จะรีบออกตัวทำไม”

ไอ้กัสยิงประเด็นก่อนคนแรกครับ ต่อด้วยไอ้เคลม

“เห็นผมชอบตีกับมันบ่อยๆ แต่ผมก็รักก็หวงของผมนะเพื่อนคนนี้”

ส่วนผม...

“พี่แน่ใจแล้วเหรอว่าไม่ใช่อารมณ์ชั่ววูบ พี่ภูอาจจะเมา”

“ไม่หรอก”

แต่คนที่ตอบกลับมาแบบทันควันคือพี่ปาล์มเจ้าเดิมครับ ต่อด้วยพี่ต้นที่รู้ใจแฟนของตัวเอง บรรยายถึงเหตุผล

“ไอ้ภูไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับชีวิตใคร แต่นี่เล่นพยายามทำตัวติด เรียกร้องความสนใจจากเพื่อนของพวกมึง ไม่มีทางที่มันจะไม่รู้สึกอะไร”

“ใช่ ตอนสอบที่ผ่านมาก็ไปติวให้ยีนถึงคอนโดมึงเลยนี่”

พี่ปาล์มย้ำอีก ทำให้พวกผมต้องคิดตาม เพราะจริงๆ แล้วก็ใช่ว่าผมกับเพื่อนๆ จะไม่รู้จักพี่ภูว่าเป็นคนยังไง และเท่าที่รู้จัก ถึงจะหลายปีผ่านมาแล้ว แต่พี่ภูก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะมาคอยป้วนเปี้ยนหาเรื่องใครอย่างที่ทำกับไอ้ยีนจริงๆ อย่างที่พี่ต้นและพี่ปาล์มว่า

“ถ้างั้นก็...”

พวกผมสามคนมองหันมองหน้ากัน เหมือนจะตกลงกันว่าจะตัดสินใจยังไงดี ก่อนไอ้เคลมจะพูดขึ้นมาก่อน

“ผมให้ผ่าน”

“ผ่าน”

“ผมก็ให้ผ่าน”

ตามด้วยไอ้กัส และผมเป็นคนสุดท้าย พลอยให้พี่เจ๋งยิ้มตามไปด้วย อย่างกับพี่แกจะเป็นคนจีบเสียเอง แต่ถึงจะบอกว่าให้ผ่าน ถ้าพี่ภูจะจีบไอ้ยีนจริงๆ สุดท้ายคนที่ตัดสินใจได้ก็คือไอ้ยีนเองว่าจะเอาหรือไม่เอา และที่สำคัญ... ผมพูดต่อด้วยเสียงเย็นๆ ที่ทำให้พี่เจ๋งยิ้มค้างและกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ ส่วนไอ้กัสกับไอ้เคลมจ้องหน้าพี่เจ๋งแบบหาเรื่องสุดๆ

“ถ้าเพื่อนพี่ไม่จริงจังกับเพื่อนผมล่ะก็... อย่าหาว่าพวกผมไม่เตือน”







===============
ไนล์นี่น่ากลัวนะ ไม่รู้ว่าคิดอะไร แต่เหมือนจะรู้ว่ากราฟคิดอะไรอยู่ตลอดเลย

ช่วงท้ายของตอนนี้เหมือนเป็นฉากเสริมของภูยีนเลย  :hao5:

ปล. เรื่องนี้เฉลยเรื่องของกราฟเร็ว เพราะว่าปมเรื่องอยู่ที่ไนล์ค่ะ
อีกอย่างถ้าอ่านเรื่องของภูยีนมาก่อน ก็จะรู้เรื่องของกราฟอยู่แล้ว ^^


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 21-09-2013 20:38:34
ไนล์บทน้อยไปปป ภูยีนส์แย่งซีนตัลหลอดดดด
แต่แบบ อยากรู้ว่าทำไม??? 
ไนล์ทำเรื่องพวกนี้ไปทำไม ???
ติดตามฮะ รออ่านตลอดนะะะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 21-09-2013 21:03:53
อ่านเรื่องนี้แล้วเหมือนได้ถึงสอง นอกจากเรื่องของคู่หลักกราฟไนล์ ยังได้รู้เรื่องของพี่ภูกะน้องยีนในมุมที่ยังไม่รู้ด้วย
เพราะตอนนี้พี่ภูเค้าได้ผ่านการอนุมัติจากเพื่อนสนิทสุดรักทั้งสามของน้องยีนไปแบบสบาย ๆ ถึงจะดูงง ๆ
แล้วก็กลัวพี่ภูมาหลอกเพื่อนรักก็เถอะ แต่ทุกคนก็ให้โอกาสพี่ภูเต็มที่ เหลือแต่น้องไนล์นี่แหละ
ถ้าเพื่อน ๆ น้องกราฟรู้จะมีใครรับได้ไหมเนี่ย ถึงน้องยีนจะไม่ว่าอะไรแต่ก็ไม่ได้ชอบไนล์นี่
แล้วตอนนี้อย่าว่าแต่เพื่อนๆ เลย แม้แต่น้องกราฟยังไม่รู้ความรู้สึกตัวเองเลยว่ารู้สึกยังไงกันแน่
เหมือนจะทั้งใจเต้น แอบมองหา แต่บางครั้งก็เหมือนรำคาญเพราะไม่เข้าใจกับพฤติกรรมที่ไนล์แสดงออกมา
แบบคาดเดาไม่ได้ว่าตอนนี้ไนล์รู้สึกและต้องการอะไรกันแน่ แต่ไนล์กลับรู้อะไรเกี่ยวกับกราฟเยอะจัง
แทบจะรู้กระทั่งความคิดของกราฟเลย แล้วทุกอย่างที่ไนล์ทำก็เหมือนมีเหตุผลอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ด้วย
โดยเฉพาะเรื่องกุญแจห้องเนี่ย ทำไมไนล์ถึงคิดว่ากราฟจะได้ใช้ล่ะ ในเมื่อถ้าไนล์ไม่เข้าหากราฟ
กราฟก็ไม่เคยเข้าหาไนล์ก่อนอยู่แล้ว เฮ้อเดายากจัง รอติดตามนะคะ และเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมจ้า  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 22-09-2013 10:38:29
ก็คงต้องรอดูต่อไปกับไนล์
เฮ้อออ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 23-09-2013 12:17:30
น้องไนล์ ช่างลึกลับได้โล่จริงๆ หรือน้องไนล์จะ จะ จะ จะเป็นผู้มีพลังจิต (ฮา) :hao7:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: guguy ที่ 23-09-2013 14:16:37
ยิ่งอ่าน ยิ่งรู้สึกว่าอยากรู้จักตัวตนจริงๆของไนล์ ทำไมมันดูลึกลับ ซับซ้อนอย่างงี้ :katai1: :katai1:
คนเขียนมาต่อเร็วๆน้าาาาาาาาาาาาา :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 23-09-2013 19:04:20
อยากรู้เรื่องของไนล์จัง :hao4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 4 : รู้ได้ยังไง [21/9/56]
เริ่มหัวข้อโดย: fannan ที่ 24-09-2013 05:15:55
ลึกลับ


ให้กุญแจเพื่ออะไร




พี่ภูจะจีบยีนเหรอ



รออ่านตอนต่อไปค้าบ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเข [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 06-10-2013 20:07:04
ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา

















นับจากคืนเฟรชชี่ไนท์ ผมก็ยังไม่เจอผู้ชายที่ชื่อไนล์อีก และกุญแจห้องของเขาก็ยังคงอยู่ที่ผมเหมือนเดิม ผมไม่มีวิธีติดต่อเขานอกจากการไปหาที่แมนชั่น เพราะเบอร์โทรศัพท์ที่ไนล์เคยให้ผม ผมลบทิ้งไปโดยไม่ได้จดเอาไว้ เพราะไม่คิดว่าสักวันจะต้องใช้มัน ผมเลยจำต้องเก็บกุญแจห้องของเขาเอาไว้ในรถอย่างช่วยไม่ได้

วันนี้หลังเลิกเรียน ผมไม่ต้องไปส่งไอ้ยีนครับ เพราะนับตั้งแต่วันที่ไอ้ยีนถูกพี่ภูพาไปค้างที่ไหนก็ไม่รู้ในวันนั้น มันเลยถูกป๊ายึดเงินยึดบัตรเครดิตเดบิตทั้งหมดไป และมันก็เฉ่งผมให้ผมรับผิดชอบที่ทำให้มันกลายเป็นยาจก แต่ก็มีคนออกตัว ยินดีรับผิดชอบชีวิตของไอ้ยีนแทนผมและอีกสองคนที่เหลือ ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร ผมกับไอ้กัส ไอ้เคลมเลยเปิดโอกาสให้พี่ภูได้ดูแลไอ้ยีนเต็มที่ ส่วนพวกผมก็อิสระ

ก็ดีเหมือนกัน เพราะผมจะได้มีเวลาเดินหน้าเรื่องพี่ดาหลา

ผมคิดแบบนั้น แต่เมื่อมาถึงรถของตัวเองแล้วผมกลับต้องชะงักไป เพราะที่ประตูรถมีใครบางคนกำลังนั่งพิงอยู่ ไม่ต้องขยับเข้าไปใกล้ๆ ผมก็พอรู้ว่าคนที่ว่านั้นเป็นใคร เพราะคนที่ผมรู้จักและมีตัวตนที่บางเบาแบบนี้มีเพียงคนเดียว คนที่ผมไม่ได้เจอมาร่วมอาทิตย์

ขาของผมก้าวเข้าไปหาคนที่หลับตาเอนตัวพิงประตูรถอย่างช้าๆ ไม่รู้เหตุผลว่าเขามาทำอะไรที่นี่ มาเพื่อพบผม หรือว่ามีเหตุผลอื่นๆ ที่จะทำให้ผมต้องประหลาดใจในสิ่งที่เขาทำอีกหรือไม่ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง ผมก็ยอมรับว่าเขาทำสำเร็จ เขาทำให้ผมต้องประหลาดใจกับการกระทำของเขาอีกครั้ง

“เฮ้”

ผมส่งเสียเรียกเบาๆ เพื่อปลุกให้เขาตื่น แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยิน จากที่เรียกอย่างเดียวผมก็ต้องย่อตัวลงให้ใกล้กับไนล์มากขึ้น มองใบหน้าที่หลับพริ้มโดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกใครมาทำร้ายหรือเปล่า เพราะผมก็ได้ยินแว่วๆ มาจากไอ้กัสกับไอ้เคลมมาว่าไนล์ไม่ค่อยถูกกับพวกในคณะสักเท่าไร และเหตุผลก็ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่

ความเฉยชา ไม่สนใจใคร เหมือนอย่างที่เขาทำกับผม

แต่ที่ต่างกันก็คือ เขาไม่เข้าหาใครในคณะ แต่กับผม... เหมือนเขาจะพยายามเข้าหา?

“ไนล์”

ผมเรียกอีกครั้งพร้อมกับเอามือวางบนไหล่ เขย่าเรียกคนที่นอนหลับแบบไม่สนใจสถานที่ แต่เขาก็ยิ่งนิ่งเฉย ยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าเขาเป็นพวกหลับลึกจนน่ากลัว ผมต้องกล่อมตัวเองเอาไว้ว่าไนล์เป็นแบบนี้ เป็นคนที่ร่างกายต้องการการพักผ่อนมากเกินกว่าคนปกติ ถึงทำให้ปลุกยาก ไม่ใช่เพราะเหตุผลต่างๆ นานาที่สมองผมพานจะคิดไปเอง

“ไนล์ ไนล์”

เขาไม่ตื่น ผมก็พยายามปลุกเท่าที่จะทำได้ เขย่าร่างผอมบางให้แรงขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเขาจะขยับตัวสักนิด จนผมต้องสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ก่อนจะตัดสินใจ เพราะหากให้เขานอนอยู่แบบนี้ต่อไปคงจะไม่ดีแน่

ผมล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบรีโมตของรถมาปลดล็อก ก่อนจะช้อนคนที่นั่งหลับอยู่ขึ้นมา และอ้อมหน้ารถไปที่ประตูฝั่งข้างคนขับ พยายามใช้มือที่ช้อนอยู่ใต้ตัวไนล์เปิดประตูรถออกและอุ้มเขาเข้าไปนั่งบนเบาะจนสำเร็จ แล้วค่อยย้อนกลับไปนั่งประจำที่นั่งของตัวเอง

ประตูรถปิดลงแล้ว แต่ปัญหาใหม่ก็คือจุดหมายต่อไปของผมควรจะเป็นที่ไหน ผมมีกุญแจห้องของไนล์ ผมรู้เบอร์ห้องของไนล์ และผมก็รู้ว่าแมนชั่นของเขาอยู่ที่ไหน แต่...คงไม่ผิดที่ผมจะไม่อยากไปที่นั่น ผมไม่อยากเหยียบย่างเข้าไปในพื้นที่ของเขาด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่เข้าใจ แต่ที่ผมแน่ใจคือหากผมเป็นฝ่ายก้าวเข้าใกล้ไนล์ไปมากกว่านี้ ผมจะต้องเกี่ยวพันกับเขามากขึ้น

เพราะแบบนั้นสุดท้ายผมจึงตัดสินใจเคลื่อนรถออก แต่เป้าหมายคือคอนโดของผมที่อยู่ห่างจากมหา’ลัยมากกว่าแมนชั่นของไนล์หลายเท่า ทว่ามันก็ทำให้ผมสบายใจมากกว่าที่จะไปที่อยู่ของเขา ซึ่งหลังจากมาถึงคอนโด ผมก็วนรถขึ้นไปจอดชั้นบน ก่อนจะช้อนตัวไนล์ขึ้นมาในวงแขนอีกครั้ง ตัวของเขาเบามากเสียจนผมไม่แน่ใจว่าเขาหนักเท่าไรกันแน่ นั่นคงเป็นอีกอย่างที่ทำให้เขาเหมือนคนที่พร้อมจะหายไปได้ตลอดเวลาในสายตาของผมก็เป็นได้

ผมอุ้มไนล์ขึ้นไปบนห้องและเลือกวางเขาไว้บนโซฟามากกว่าจะพาเข้าไปในห้องนอน ผมไม่อยากให้เขาเข้าใกล้ผมมากเกินกว่าเส้นที่ผมขีดไว้ เพราะแค่นี้มันก็มากเกินกว่าที่ผมคิดไว้แล้ว ทั้งที่ตอนแรกผมไม่คิดที่จะเข้าใกล้เขาเลยด้วยซ้ำ

เกือบห้านาทีที่ผมนั่งมองคนที่นอนหลับอยู่บนโซฟา ผมสังเกตสีหน้าของเขาที่ขาวซีด ท่าทีของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีแววจะตื่น ไม่ขยับตัวไปไหน ไม่ลืมตาหรือเปลือกตาหลุกหลิกให้ผมจับได้แม้แต่น้อยว่าเขากำลังแกล้งผม หรือว่าเขาหลับไปจริงๆ และผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะนอนต่อไปอีกนานแค่ไหน

มันไม่เหมือนครั้งก่อนที่เขาหลับไปบนรถของผม ที่ผมเขย่าตัวเขาจนตื่นด้วยความหวาดกลัว ในเวลานี้ผมรู้แล้วว่ามันไม่ได้น่ากลัวและอันตรายอย่างที่ผมหวาดระแวง ท่าทางของเขาดูเหนื่อยจนผมสังเกตได้ แต่ผมไม่แน่ใจว่าเป็นผมเองหรือเปล่าที่คิดไปแบบนั้น

“นายเป็นคนยังไงกันแน่”

เสียงหลุดออกมาจากปากของผมโดยไร้การควบคุม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่ผมได้ยินเสียงสะท้อนออกมาเสียแล้ว เขาทำให้ผมแปลกใจได้เสมอ และก่อนที่ผมจะรู้สึกว่าตัวผมชักจะแปลกมากขึ้นไปทุกที ผมก็ลุกขึ้นจากโซฟาอีกตัวที่นั่งอยู่ไปที่ห้องครัวแทน

น้ำดื่มถูกเทใส่แก้วครึ่งหนึ่งก่อนผมจะกรอกเข้าปากพลางสำรวจในตู้เย็นไปด้วยว่ามีอะไรที่พอจะใช้เป็นมื้อเย็นได้บ้าง แต่ก็เกลี้ยงสนิทเพราะเสบียงที่ตุนไว้หมดจากการประทังชีวิตตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมจึงต้องคว้ากุญแจรถอีกครั้งเพื่อไปหาซื้ออะไรง่ายๆ สำหรับเป็นมื้อเย็นแบบชั่วคราว แต่เดินมาหยุดที่หน้าโซฟาแล้วผมก็ต้องเผลอหันกลับไปมองคนที่นอนอยู่อีกครั้ง

คงจะไม่ตื่นขึ้นมาตอนที่ฉันออกไปซื้อของหรอกนะ

ผมคิดกับตัวเองเช่นนั้นเพราะคาดว่าไนล์น่าจะหลับอีกนานพอดู และผมก็อยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ จึงออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ได้ออกไปไกลเท่าไรหรอกครับ เพราะขับรถออกมาได้ไม่นาน ผมก็เจอร้านขายบะหมี่เกี๊ยวเลยแวะซื้อบะหมี่หมูแดงกับบะหมี่หมูกรอบแบบพิเศษกลับมาอย่างละถุง

กลับมาถึงห้องอีกครั้ง ไนล์ยังนอนหลับอยู่ในท่าเดิม ผมจึงเอาบะหมี่ที่ซื้อมาไปเก็บไว้ในตู้เย็นก่อน รอให้เขาตื่นค่อยเอาออกมาอุ่นอีกที เพราะเพิ่งจะห้าโมงกว่า ยังไม่ถึงเวลาอาหารของผมเหมือนกัน ผมเลยเข้าไปอาบน้ำและทำงานอยู่ในห้องอีกพักหนึ่ง กระทั่งหกโมงครึ่งก็ออกมาจากห้องนอนเพื่อมาดูว่าไนล์ตื่นหรือยัง แต่ว่าเขายังหลับอยู่ คราวนี้ผมจึงต้องเปลี่ยนความตั้งใจของตัวเองเสียใหม่

“ไนล์”

เหมือนเคยที่เรียกแล้วเขาไม่ตื่น ผมต้องขยับไปนั่งบนโซฟาที่เขานอนอยู่แล้วเขย่าตัวเขาเหมือนที่เคยปลุกเขาสำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่ง

“ไนล์”

“...”

“ไนล์ ตื่นได้แล้ว”

ออกแรงให้มากกว่าเดิมจนคิดว่าน่าจะทำให้เขาได้สติ ซึ่งก็เป็นดั่งคาดไว้ เปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ เขาจ้องหน้าผมขณะที่ผมก็จ้องหน้าเขาเหมือนกัน มือที่เล็กกว่าผมอยู่นิดหน่อยยกขึ้นมาขยี้ตาเหมือนคนเพิ่งตื่นอีกหลายๆ คนพร้อมกับตั้งสติไปด้วย ก่อนเขาจะหันไปมองรอบๆ เพื่อสำรวจให้แน่ใจว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ แล้วจึงค่อยถามออกมาประโยคแรก

“คอนโดของนาย?”

“อือ”

“ทำไมถึงไม่ไปห้องของฉัน”

“ฉันไม่อยากไป”

ผมตอบกลับไปง่ายๆ และตรงตัวที่สุด ซึ่งเขาก็ไม่ได้โต้แย้งหรือว่าสอบถามอะไรเพิ่มเติมนอกจากนั้น กลายเป็นความเงียบที่เข้ามาแทนที่ เราต่างคนต่างไม่พูดอะไร เขามองผมเหมือนอย่างที่ทุกที คือมองเลยไปเหมือนไม่ได้มอง แต่กำลังมอง ขณะที่ผมเริ่มทำหน้าไม่ถูกกับสายตาคู่นั้น จนต้องหยัดตัวขึ้นจากโซฟาแล้วเลี่ยงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“หิวหรือยัง”

“อืม”

คำตอบที่ได้ไม่แปลกจากที่ผมคิดไว้นัก ผมจึงเรียกให้เขามาที่ห้องครัวและนั่งรอที่โต๊ะอาหารสำหรับสี่ที่ เพราะแขกของห้องผมไม่เคยเกินกว่านั้น มียีนเป็นแขกประจำและกัสกับเคลมที่มาบ้างในบางครั้ง

“บะหมี่เกี๊ยว กินได้หรือเปล่า”

ก่อนจะยกชามไปอุ่นในไมโครเวฟ ผมก็นึกขึ้นได้ ลืมถามไปเสียด้วยซ้ำว่าเขากินของที่ผมซื้อมาได้หรือเปล่า แต่คำตอบก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกแย่ที่ซื้อมันมา ‘กินได้ทุกอย่าง’ คือคำตอบของไนล์ ผมจึงยกชามที่อุ่นเสร็จเรียบร้อยมาตั้งตรงหน้าของคนที่กำลังนั่งรออยู่

ไนล์ก้มลงมองชามบะหมี่ของผมกับของเขานิดหน่อย ผมไม่รู้ว่าเขาชอบกินหมูแดงหรือหมูกรอบ ผมจึงเลื่อนชามหมูแดงให้เขา และหมูกรอบเป็นของผม ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบซองเครื่องปรุงไปจัดการเทใส่ชามของเขา และเขาก็ทำให้ผมต้องตะลึง

ผมยอมรับว่าผมเป็นคนกินเผ็ดไม่ค่อยเก่ง ผมถึงเทพริกป่นลงไปแค่ครึ่งซอง แต่ไนล์กลับเทพริกป่นลงไปทั้งซอง รวมถึงน้ำส้มสายชูก็เทลงไปทั้งถุง หนำซ้ำยังมีการเงยหน้าขึ้นมาถามผมอีก

“จะใส่อีกไหม”

“ไม่แล้ว”

แค่สิ้นคำที่ผมตอบ เขาก็ยื่นมือมาเหมือนจะขอพริกป่นที่เหลือจากผม ผมจึงต้องยื่นให้เขาอย่างไม่แน่ใจเท่าไร ทว่าเขาก็ดึงมันไปเทใส่ชามตัวเองจนสีของน้ำบะหมี่ที่ควรออกสีเหลืองกลายเป็นสีแดงอย่างน่ากลัว เขาตักพริกที่ผสมในน้ำส้มสายชูที่ถูกตัดเป็นแว่นๆ เข้าปากพร้อมกับเส้นบะหมี่อย่างไม่มีท่าทีว่าจะเผ็ดเลยแม้แต่น้อย เหมือนผมเข้าใจผิดว่าพริกป่นเป็นคนละอย่างกับน้ำตาลมาตั้งแต่เกิดทั้งที่มันเป็นอย่างเดียวกันจนผมอดถามไม่ได้

“ไม่เผ็ดหรือไง”

“ไม่”

เขาตอบเท่านั้นก่อนจะยัดเส้นสีเหลืองเข้าปากอีกครั้งพร้อมกับหมูแดง แล้วก็ตักน้ำซุปเข้าปากไปด้วยเหมือนรสชาติของบะหมี่ชามนั้นอร่อยมากเสียจนหยุดไม่อยู่ ขณะที่ผมได้แต่กินบะหมี่ในชามตัวเองอย่างหวาดเสียวแทน ผมกลัวว่าเขาจะปวดท้องทีหลังที่กินเผ็ดมากจนเกินไป เพราะในกลุ่มผม ไม่มีใครกินเผ็ดขนาดนี้ อย่างมากก็เป็นไอ้เคลมที่ใส่พริกป่นหนึ่งซองเท่านั้น แต่กับไนล์ เขาดูสบายมากกับการกินรสชาติแบบนี้

หลายครั้งที่เขาเหลือบตามาทางผมที่กำลังกินบะหมี่อยู่ ซึ่งผมก็พยายามเฝ้าสังเกตสายตาของเขาว่ามันไปหยุดอยู่ที่ไหน เพราะเขาไม่พูดอะไร และเมื่อผมแน่ใจว่าจุดหมายของเขาคืออะไร ผมก็อดถามไม่ได้

“อยากกินหมูกรอบเหรอ”

“อืม”

เขาไม่เลี่ยงที่จะตอบ ไม่กลัวว่าจะเสียฟอร์มที่ถูกผมถามแบบนั้น แต่กลับตอบกลับมาตรงๆ โดยไม่มีการแสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ แปลกจากคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอมา ถ้าเป็นคนทั่วไปก็คงเขิน หรือถ้าเป็นเพื่อนๆ ในกลุ่มของผมก็คงตอบกลับมาอย่างฉาดฉาน ‘อยากกินสิวะ’ หรือไม่ก็ฉกจากชามผมไปเรียบร้อยก่อนที่ผมจะอ้าปากถาม

ผมจึงใช้ตะเกียบในมือคีบหมูกรอบในชามของผมไปใส่ในชามของเขาสองชิ้น ซึ่งก็เรียกสายตาของไนล์ได้ เขามองผมเหมือนไม่คิดว่าผมจะทำแบบนั้น เพราะผมแสดงออกมากเกินไปล่ะมั้งว่าผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเขา แต่ผมกลับยกหมูกรอบที่ผมชอบให้เขาง่ายๆ

แต่มันคงไม่แปลกเท่าไรกับสิ่งที่ผมทำ ผมเป็นประเภทชอบเทคแคร์คนอื่นจนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ถึงผมจะไม่อยากยุ่งกับไนล์ แต่ผมก็ห้ามนิสัยของตัวเองไม่ได้ มือของผมขยับไปก่อนที่ผมจะคิดได้ว่าไม่ควรทำอะไรที่จะแสดงถึงความสนิทสนมหรือเปิดโอกาสให้ไนล์เข้าใกล้ผมมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมจึงต้องเอ่ยออกไปด้วยเสียงที่ปรับให้ห้วนกว่าปกตินิดหน่อยเพราะเขายังมองผมไม่เลิก

“อยากกินไม่ใช่หรือไง”

“...”

เขาไม่ตอบผม แต่ใช้ช้อนกดหมูกรอบจนจมไปกับน้ำที่มีพริกป่นลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนจะตักมันขึ้นมาเข้าปากและเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ผมมองตามปากที่ปกติเป็นสีพีชแต่ตอนนี้มันเข้มสีขึ้นเล็กน้อยเพราะรสชาติเผ็ดร้อนที่เขากินเข้าไป และไม่รู้ทำไม อยู่ๆ ผมถึงรู้สึกว่าปากของผมขยับไปหน่อยๆ

เหมือนว่าจะยิ้ม?

เผลอคิดได้ว่าตัวเองกำลังทำแบบนั้นอยู่ ผมก็ต้องหุบปากลง แล้วกลับมาสนใจชามบะหมี่อีกครั้ง กระทั่งเรากินอาหารมื้อเย็นจนหมด ผมก็จัดการล้างชามทั้งสองใบ ส่วนไนล์ ผมให้เขาไปรอที่ห้องนั่งเล่น เพราะการล้างชามแค่สองใบไม่ใช่เรื่องลำบากที่ผมจะต้องให้เขามาจัดการให้ และอีกอย่าง ถึงผมจะพาเขามาที่นี่อย่างจำใจ แต่ผมก็ไม่อยากให้คนที่อยู่ในสถานะแขกมาล้างชามให้

เดินออกมาจากครัวอีกครั้ง ผมก็เห็นว่าไนล์หยุดยืนอยู่หน้าชั้นวางโทรทัศน์ เหมือนเขากำลังมองอะไรบางอย่าง ผมจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ เพื่อดูว่าเขามองอะไรอยู่ กระทั่งอยู่ในระยะที่พอดี ผมก็ได้คำตอบ... ตรงชั้นนั้นเป็นชั้นที่ผมวางกรอบรูปเอาไว้ กรอบรูปที่มีทั้งรูปผมและเพื่อนคนอื่นๆ แต่ที่สายตาของไนล์หยุดอยู่ เป็นรูปที่มีผมกับไฮยีนแค่สองคน

เป็นรูปถ่ายตอน ม.6 เราสองคนกอดคอและยิ้มให้กัน

“รูปนั้นมีอะไรน่าสนใจหรือไง”

ผมส่งเสียงแบบไม่บอกไม่กล่าว หรือเขาไม่ได้สนใจรอบตัวถึงไม่รู้ว่าผมมายืนอยู่ใกล้ๆ แล้วก็ไม่รู้ แต่หลังจากได้ยินเสียงของผม เขาก็สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะรีบหันหลังให้กับรูปถ่ายใบนั้นทันที สายตาของไนล์ที่ผมสังเกตเห็นในตอนนี้ดูแปลกไปจากทุกครั้ง

เขามักมองผมด้วยสายตาที่คล้ายกับเลื่อนลอย แต่ขณะเดียวกันก็จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวและแปรผลว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในตอนนี้มันกลับดูหลุกหลิก เหมือนคนถูกจับผิดได้จนผมต้องจ้องตาของเขามากขึ้นด้วยความอยากรู้ ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ไนล์มากขึ้นโดยที่ยังไม่ละตาจากเขา ซึ่งไนล์ก็พยายามฝืนปรับให้ตัวเองเป็นปกติมากที่สุด ก่อนจะเอื้อนเสียงถามผมเพื่อเลี่ยงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่

“บะหมี่... ซื้อที่ไหน”

“นายยังไม่ตอบฉัน”

ผมไม่ปล่อยให้ตัวเองหลงกล เพราะนี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังเป็นฝ่ายคุมเกม ไม่เหมือนทุกครั้งที่ผมไม่สามารถทำอะไรเขาได้ และเป็นผมที่ถูกปั่นหัวเหมือนเป็นของเล่นของเขา แต่ไนล์ก็ไม่ตกหลุมพรางของผมเช่นกัน เขาเบี่ยงตัวหลบผมแล้วเดินผ่านไป ตรงไปยังประตูห้องเสียเฉยๆ จนผมต้องคว้ามือของเขาเอาไว้

เป็นครั้งแรกที่ผมจับมือนี้ก่อน...

เผลอตัวทำไปแล้วผมเพิ่งจะนึกได้ แต่ให้ปล่อยตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ผมจึงกระชับมือให้แน่นขึ้นอีกเพื่อที่เขาจะได้ไม่หนีผมไป ผมมองตาเขา แต่ในเวลานี้เขากลับมาเป็นไนล์คนเดิมที่สงบนิ่งและเลื่อนลอย เรามองตากันอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขาไม่พูดอะไร และผมก็ไม่รู้จะเริ่มต้นประโยคยังไง ทว่าสุดท้ายผมก็หลุดเสียงออกมาก่อน

เหมือนเคย...ที่ผมเป็นฝ่ายแพ้

“จะไปไหน”

“ร้านบะหมี่ คงไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร”

“จะเดินไปหรือไง”

ผมอดสงสัยไม่ได้ เพราะเขาไม่มีท่าทีว่าจะขอให้ผมไปส่งหรืออะไรก็ตามที่เขาจะไม่ต้องเดินไปเอง แต่ไนล์ก็ตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ผมไม่คาดคิด

“ชินแล้ว”

เขาทำให้ผมแปลกใจได้เสมอจริงๆ

“ชินแล้วอะไร”

“ขอบคุณสำหรับที่นอน”

เขาตอบผมคนละเรื่องกับที่ผมถามราวกับไม่อยากบอกอะไรที่เป็นเรื่องของเขา ทั้งที่เขารู้เรื่องของผมหลายอย่างจนผมรู้สึกว่ามันไม่แฟร์สักนิด ก่อนจะสะบัดมือผมให้หลุดจากการจับมือเขาเอาไว้เสียอีก แล้วเดินออกจากห้องไป เหมือนไม่แยแสว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือว่าผมจะคิดและรู้สึกยังไง

เขากำลังปั่นหัวของผมให้ต้องวุ่นวายอีกครั้ง และผมก็เต้นไปกับการกระทำของเขาเหมือนคนโง่ๆ คนหนึ่ง

ผมต้องย้อนกลับไปหยิบคีย์การ์ดและกุญแจรถก่อนจะรีบออกจากห้องไป แต่ก็ไม่ทัน ลิฟต์ลงไปแล้ว ผมต้องกดปุ่มย้ำหลายๆ ครั้งเพื่อให้ลิฟต์อีกตัวขึ้นมายังชั้นของผม ก่อนจะลงไปอีกชั้นเพื่อเอารถแล้วขับลงไปดักรอไนล์ที่หน้าทางเข้าของคอนโด ทว่าเหมือนจะไม่ทัน เพราะวิ่งเข้าไปที่ล็อบบี้ ผมก็พบว่าลิฟต์ตัวที่ไนล์ใช้ลงมาชั้นล่างมันขึ้นไปชั้นบนแล้ว

วิ่งกลับมาที่รถเหมือนคนบ้าก็ไม่ปาน แต่ผมกำลังทำแบบนั้น ผมขับรถออกไปจากบริเวณของคอนโดและมองสองข้างทางไปด้วย เพื่อหาว่าคนที่ผมไล่ตามมาอยู่ที่ไหน ก่อนจะเห็นว่าเขาเดินนำอยู่ไกลๆ จึงต้องเร่งความเร็วของรถให้มากขึ้น ก่อนจะกดแตรเพื่อเรียกให้เขาหันกลับมา

เสียงของแตรรถดังไปทั่วซอยทั้งที่เป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนมีเงิน แต่ไม่รู้ทำไมความเกรงใจที่ควรมีมันหายไปหมดแล้วสำหรับผมในตอนนี้ สิ่งเดียวที่ผมคิดคือการเรียกคนที่เดินอย่างไม่ทุกข์ร้อนออกจากซอยที่ถือว่าค่อนข้างเปลี่ยวแม้ว่าจะไม่ใช่ซอยลึกมาก แต่ก็เป็นซอยตัน จึงไม่ค่อยมีคนนอกแวะเวียนเข้ามานอกจากคนที่อาศัยอยู่ที่นี่

ไนล์หันมามองผมนะครับ แต่เขาก็ทำเหมือนมองไม่เห็น ยังเดินต่อไปจนผมต้องขับรถไปดักด้านหน้า และลงมารอคนที่เดินทอดน่องสูดอากาศในช่วงหนึ่งทุ่มกว่าๆ ที่ฟ้ามืดแล้วเสมือนว่าบรรยากาศกำลังดี

“ไนล์”

ผมเรียกคนที่กำลังเดินผ่านหน้าผมไปเหมือนมองไม่เห็นผม ก่อนจะตะเบ็งเสียงเป็นชื่อเขาอีกครั้ง และสาวเท้ายาวๆ เพื่อไปคว้าแขนของเขาไว้อีกรอบ

เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่ผมเรียกชื่อนี้ นับตั้งแต่ที่เราไปกินข้าวด้วยกันพร้อมพี่ดาหลาเมื่อคราวก่อน

“เดินหนีทำไม”

“แล้วนาย ตามมาทำไม”

เขาถามโดยโยนความผิดให้เป็นของผม ทำให้ผมต้องชะงักไปเล็กน้อย แล้วคิดหาคำตอบไม่ได้ เพราะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

มันเป็นความผิดของผมที่ผมไล่ตามเขามาเอง และผมก็กำลังประสาทเสียเองกับสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้

“นายกำลังปั่นหัวฉัน”

“ฉันไม่ได้ทำอะไร ฉันแค่จะไปร้านบะหมี่”

“ไนล์!”

เป็นครั้งแรกที่ผมตะคอกเสียงใส่เขาอย่างจริงจัง แต่เขายังมีสีหน้าไม่ต่างจากปกติ มองผมด้วยแววตาเหมือนเดิม ไม่ทุกข์ไม่ร้อนทั้งที่ใจของผมร้อนรนอย่างไร้เหตุผล หนำซ้ำยังย้อนผมกลับมาราวกับท้าทายให้อารมณ์ของผมยิ่งสูงขึ้นอีก

“ฉันชอบเวลานายเรียกชื่อของฉัน”

“นายต้องการอะไรกันแน่”

คำถามเดิมย้อนกลับมาและหลุดออกจากปากของผมอีกครั้ง ทว่าคำตอบในครั้งนี้เปลี่ยนไปจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง เสียงเรียบและเบาหวิวถามผมกลับมา

“แล้วนายล่ะ ตอนนี้ต้องการอะไร”

ผมสะอึกและชะงักทันทีหลังจากได้ยินคำถามนั้น ความร้อนรุ่มในใจมลายหายไปจนหมดสิ้นเหมือนไม่เคยมี มือที่จับแขนของไนล์คลายลงและค่อยๆ หลุดออกอย่างลืมตัว ความเงียบเข้ามาครอบคลุมพื้นที่ระหว่างเราอีกครั้ง ผมกับเขาได้แต่มองหน้ากันโดยไม่ละสายตา ก่อนเสียงของไนล์จะดังขึ้นมาอีกระลอก

“ไว้ได้คำตอบแล้วค่อยบอกก็ได้”

สิ้นเสียงนั้น ขาเรียวในชุดนักศึกษาของคณะวิศวะฯ ก็ก้าวออกไป เรียกสติของผมให้กลับมาทำงาน ผมโพล่งออกไปก่อนจะทันได้รู้ตัว

“เดี๋ยวไปส่ง”

ได้ผล เพราะไนล์หันกลับมาทางผมอีกรอบแล้วถาม

“ไปส่ง? ที่ร้านบะหมี่หรือที่แมนชั่น”

เขาเลิกคิ้วนิดหน่อยเป็นการย้ำให้รู้ว่าเป็นคำถามที่ผมต้องตอบ ซึ่งก็ทำให้ผมอึกอักได้เล็กน้อย เพราะเริ่มทำตัวไม่ถูกอีกแล้ว และผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมผมถึงมีปฏิกิริยากับผู้ชายคนนี้นัก เหมือนเขาสามารถควบคุมความคิดและการกระทำของผมได้ตลอดเวลาเพียงใช้คำพูดแค่ประโยคเดียว

“นายจะไปที่ไหน”

“จะกลับแล้ว”

“อืม”

ไม่ต้องถามเพิ่มเติม ผมก็ตอบรับเหมือนรู้ว่าจะต้องไปที่ไหน ซึ่งไนล์ก็ไม่ดื้อรั้นที่จะเดินออกไปเองอีก เขายอมมาขึ้นรถของผมที่จอดอยู่ใกล้ๆ แทน ผมจึงตามไปขึ้นรถและขับออกจากซอยไปยังสถานที่ที่ไนล์ต้องการ














ในรถมีแต่ความเงียบเชียบมาตลอดทาง ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย คล้ายกับว่าผมมีหลายอย่างที่จะพูดกับเขา แต่ผมกลับไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร และเขาก็ไม่เริ่มประโยคไหนก่อนทั้งนั้น กระทั่งมาถึงแมนชั่นของเขา ผมหยุดรถลงที่เดิมเหมือนกับครั้งก่อนที่พาเขามา ซึ่งมันก็ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นได้

ผมเปิดช่องใส่ก้นกรองบุหรี่ในรถที่ไม่เคยใช้งานออกมา ไม่ใช่เพราะว่าผมไม่สูบบุหรี่หรืออะไร ก็มีสูบบ้างครับ แต่ไม่บ่อย เพียงแต่ผมไม่อนุญาตให้ใครสูบมันบนรถ ผมเป็นประเภทรักรถ ไม่อยากให้มีกลิ่นติด ช่องสำหรับเก็บก้นกรองบุหรี่จึงไม่เคยได้ใช้สักครั้ง มันจึงกลายเป็นที่เก็บของบางอย่างเอาไว้แทน

โลหะสีเงินถูกหยิบออกมาจากช่องนั้น ก่อนผมจะส่งคืนให้คนที่เป็นเจ้าของ ไนล์มองลูกกุญแจในมือของผมก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้าผมโดยที่ไม่ยื่นมือขึ้นมาหยิบของที่ผมส่งให้ เสียงเบาๆ เอื้อนถามโดยที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ไม่มีแววตกใจ ประหลาดใจ ผิดกับคำพูด

“ทำไม”

“ฉันคงไม่ได้ใช้ ฉะนั้นเอาคืนไป”

“รู้ได้ยังไงว่านายจะไม่ได้ใช้”

“ฉันแน่ใจ”

ผมตอบกลับไปอย่างมั่นใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการมองตาของผมจากอีกฝ่ายที่เหมือนจะทะลุทะลวงเข้ามามากขึ้น คล้ายกับจะล่อลวงให้ผมเปลี่ยนใจทั้งที่สายตาคู่นั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง หน่วยตาสีดำยังสะท้อนภาพของผมเหมือนเดิม แม้ว่ามันจะยังคงไม่มีชีวิตชีวาเหมือนคนทั่วๆ ไป ถึงกระนั้นก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึก...ไม่แน่ใจ

ก่อนที่ผมจะเปลี่ยนใจเสียเอง ลูกกุญแจในมือของผมก็ถูกดึงออกไปให้ผมรู้สึกโล่งใจและหายใจได้คล่องขึ้น ทว่าก็เพียงแค่เสี้ยววินาที เพราะหลังจากนั้นมันก็ถูกหย่อนลงไปในช่องทิ้งก้นบุหรี่เหมือนเดิม ตามด้วยช่องนั้นถูกปิดอย่างเรียบร้อยราวกับไม่ได้เปิดออกมา ไนล์บอกกับผม

“ฝากเอาไว้ก่อน”

ผมพูดไม่ออกกับการกระทำของเขา จึงเลือกจะไม่พูดคือค้านอะไรอีก และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้

“วันนี้นายมาหาฉันทำไม”

ไนล์เบือนหน้ากลับมาหาผมอีกครั้ง มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนขยับปากช้าๆ

“เฝ้า”

“เฝ้า?”

“ไม่ให้ไปหาผู้หญิงคนนั้น”

คำตอบคราวนี้ชัดเจนพอให้ผมรู้ความหมายที่แท้จริงของเขา นับเป็นไม่กี่คำตอบที่ผมได้จากผู้ชายคนนี้โดยไม่ต้องสงสัยหรือถามเพิ่มเติม ซึ่งก็นับว่าคราวนี้เขาทำสำเร็จ เพราะความตั้งใจที่จะไปหาพี่ดาหลาในวันนี้ของผมถูกทำลายโดยไนล์จริงๆ

ผมไม่ได้ไปหาพี่ดาหลา หนำซ้ำยังถูกปั่นหัวจนเละอีกต่างหาก

“ฉันถือว่านายทำสำเร็จ”

เขาไม่ได้ยิ้มจากคำตอบของผม แต่เปลี่ยนเป็นคำพูดอีกประโยคแทน

“แต่ฉันจะดีใจกว่า ถ้านายไม่ไปหาเขาและมาหาฉันแทน”

สาบานได้ว่าผมพยายามจะไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ไนล์พูดแล้ว ทว่าทั้งที่ผมพยายามอย่างเต็มกำลัง ผมกลับรู้สึกว่าตอนนี้ใจของผมกำลังสั่น ยิ่งมองสายตาที่ว่างเปล่าของเขา มันก็ยิ่งย้ำว่าผมเป็นแบบนั้นอยู่จริงๆ ไม่ใช่การเข้าใจผิด

เขากำลังทำอะไรกับผม?

“ฉัน... ฉันบอกนายแล้วว่าฉันทำไม่ได้”

“ถ้างั้น...”

ไนล์ยังมีท่าทีเหมือนเดิม แต่ขยับหน้าเข้ามาใกล้ผมมากกว่าเก่า ตาคู่เรียวจับจ้องที่หน้าผมโดยไม่เลื่อนหนี หรือหลบหลีกไปแม้แต่น้อย มันยังมองตรงมาเหมือนกับจะสะกดผมให้ตกลงไปในการควบคุมของเขา

“คิดถึงฉันให้มากกว่าเขา คิดถึงฉันจนลืมเขา...ได้หรือเปล่า”

หัวใจของผมที่กำลังสั่นอยู่เมื่อครู่ มันสั่นกว่าเดิมเสียอีกจนผมรู้สึกได้ ก้อนน้ำลายถูกกลืนในลำคออย่างยากลำบาก เหมือนมันฝืดไปหมด ผมทำอะไรไม่ถูก และก็ไม่สามารถละสายตาจากคนที่เหมือนจะตรึงประสาทสัมผัสทั้งหมดของผมให้ไปหยุดอยู่ที่หน้าของเขาได้เช่นกัน

“ฉัน...”

เสียงที่หลุดออกมาได้มีแค่คำคำนี้เท่านั้น ในหัวของผมตื้อไปหมด อีกทั้งเขาก็ยังมองผมไม่เลิก จนไม่รู้ว่าผมจะทำยังไง ผมต้องรวบรวมสติให้กลับมามากที่สุดก่อนจะโพล่งเสียงออกมา

“ฉันว่านายขึ้นห้องไปได้แล้ว มันดึกแล้ว”

“ดึก?”

ไนล์ทวนคำของผมก่อนจะเหลือบตาไปมองนาฬิกาในรถ ตัวเลขสีเขียวเรืองแสงกำลังบอกว่าเพิ่งจะสองทุ่ม ทำให้ผมรู้สึกหน้าแตกจนไม่รู้ว่าจะแก้ตัวยังไง แต่ไนล์ก็ไม่ดันทุรังกดดันผมให้ต้องเครียดหนักไปกว่าเก่า เขาเอนตัวออกห่างจากผมให้ผมได้หายใจคล่องขึ้นจนผมเผลอสูดลมหายใจเข้าปอดแรงกว่าทุกๆ ครั้ง

“เก็บเอาไปคิดดู แล้วก็รู้เอาไว้ว่าฉันจะทำให้นายเลิกสนใจผู้หญิงคนนั้นให้ได้”

ทิ้งระเบิดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนร่างโปร่งจะก้าวลงจากรถไป ให้ผมทำได้แค่มองตามและคัดค้านอยู่ในใจว่าจะไม่ยอมให้มันเป็นแบบนั้น เพราะผมตั้งใจเอาไว้แล้วว่าผมจะจีบพี่ดาหลา ทว่า... อาการสั่นๆ ในหัวใจที่ยังไม่หายเป็นปกติก็ทำให้ผมต้องด่าตัวเอง

เป็นบ้าอะไรของมึงวะ ไอ้กราฟ!!







==============
ว่าจะมาอัพหลายวันแล้ว แต่ไม่ว่างเลย ขอโทษด้วยนะคะ
เป็นตอนแรกเลยที่มีไนล์ทั้งตอน
แต่น่าสับสนกับไนล์แทนกราฟเนอะ

Undel2Sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 06-10-2013 20:28:32
ไนล์ประหลาดมากๆ
รู้ทันกราฟไปเสียหมด
รู้ทันจนน่ากลัว
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 06-10-2013 21:50:15
ถ้าเราเจอคนอย่างไนล์ เราคง สติแตก...
เค้าเป็นคนที่น่ากลัว... ไม่น่าไว้ใจเอาซะเลย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 06-10-2013 23:00:12
ชอบบุคลิกไนล์นะ
มันดูลอยๆอ่านไม่ออกดี555555
กราฟเอ้ย  หนีไม่พ้นหรอก
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 06-10-2013 23:05:57
แปลก ถ้ามีคนมาจีบเราแบบนี้คง... งง สับสน รึยังไงดี
มันอยากรู้มากเลยว่า อะไร ยัง รออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 13-10-2013 16:04:39
อ่านไปด้วยใจจดจ่อจริง ๆ ค่ะ เหมือนคนอ่านกำลังสมมติตัวเองเป็นกราฟเลยอะ 555
แบบพยายามทำความเข้าใจการกระทำ และคำพูดต่าง ๆของไนล์ที่เข้าใจยากจริง ๆ
ทั้ง ๆ ที่ไนล์ก็พูดชัดเจนนะ ว่าต้องการอะไร แต่เหตุผลที่มานี่สิ เหมือนอยู่ดี ๆ ไนล์ก็เดินเข้ามาทำให้ชีวิตของกราฟปั่นป่วน
เพราะงั้นก็ไม่แปลกเลย ถ้าเราจะเจอคนแบบไนล์แล้วรู้สึกว่าเรากำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา
ทุกอย่างที่ไนล์ทำเหมือนมีเหตุผลอะไรแอบแฝงอยู่ แล้วอย่างการที่ไนล์มาตามเฝ้ากราฟในวันที่กราฟตั้งใจจะไปหาพี่ดาหลาพอดี
เหมือนรู้เลยอะว่ากราฟกำลังคิดจะทำอะไร ถ้าให้เดาแบบฮา ๆคงคิดว่าไนล์มีพรายกระซิบนะเนี่ย แต่มันคงเป็นไปไม่ได้
เพราะงั้นคนอ่านก็คงต้องเดามั่ว ๆต่อไป  555 จนกว่าจะถึงเวลาที่ไนล์เปิดเผยความจริง
อยากบอกผู้เขียนว่าชอบมากเลยค่ะ ผู้เขียนเขียนได้น่าติดตาม สนุกมาก ๆ เลย จนอยากอ่านตอนต่อไปไว ๆจัง
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนนะค่ะ  :pig4:  :L2:
ปล. อยากให้ไนล์ได้ออกเยอะ ๆอย่างงี้ทุกตอนเลยค่ะ ถึงจะดูมืดมนแต่ชอบอะ อยากเห็นกราฟปั่นป่วนอะคะ 555

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 5 : ผมกำลังจะเป็นบ้าเพราะเขา [6/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 13-10-2013 19:14:20
บุกไปเลยไนล์ ทางนั้นเค้าเริ่มเขวแล้ว //ฮะ  :m20:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-10-2013 17:21:12
ตอนที่ 6 : คืนแรก




















ไม่บ่อยนักที่ผมจะมาร่วมกิจกรรมนี้กับไอ้กัสและไอ้เคลมหลังจากที่ไอ้ยีนต้องวางมือไป ทว่าเหมือนโชคจะไม่เข้าข้างสักเท่าไร เพราะมาดูการแข่งรถและวอร์มเครื่องในสนามแข่งของพี่เคนได้ไม่นานก็ถูกท้าทายทันที

พวกผมได้ข่าวมาสักพักแล้วครับว่าตอนนี้ไอ้เบนซ์กำลังอาละวาดฟาดงวงฟาดงาอยู่ มันเป็นคนประเภทแพ้แล้วพาล เลยท้าแข่งกับคนไปทั่ว ใครไม่ยอมลงแข่งกับมันทั้งที่เอ่ยปากแล้ว มันก็ใช้วิธีการข่มขู่ อย่างเช่นตอนนี้ที่มันให้พวกของมันมายืนรุมรถของพวกผมพร้อมกับมีดพกและทำหน้าเหี้ยม

สงสัยผมต้องบอกพี่เคนแล้วว่าใครจะเข้าสนามต้องตรวจอาวุธก่อน

“ถ้าพวกมึงอยากให้รถเยิน ก็เอาเลย”

เสียงไอ้เบนซ์ตะโกนออกมา เรียกสายตาของคนที่อยู่แถวนี้หันมาทางพวกผมกันหมด ตามจริงแล้วผมไม่ได้กลัวคนที่ใช้วิธีการสกปรกและหมาหมู่อย่างไอ้เหี้ยเบนซ์นี่หรอก แต่พวกผมห่วงรถมากกว่า กลุ่มผมรักรถกันหมด โดยเฉพาะรถที่เอามาวันนี้เป็นรถที่จะใช้เฉพาะเวลาแข่งเท่านั้น ไม่ได้เอาออกมาวิ่งบนถนนทั่วไป เพราะกลัวไปจอดที่ไหนแล้วโดนเสยแบบไม่รู้ตัว พวกผมคงทำใจไม่ได้

“เดี๋ยวกูแข่งเอง”

ผมเสนอตัวเพื่อเป็นการตัดปัญหา ฝีมือระดับไอ้เบนซ์ไม่คณามือผมเท่าไรหรอก ไม่ใช่ว่าผมเก่งกาจหรืออะไรนะครับ พวกผมทุกคนก็ถือว่ามีฝีมือพอตัวระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นว่าแข่งแล้วชนะรวดๆ มีชนะบ้างแพ้บ้าง แข่งสนุกๆ ได้ค่าขนมเป็นของแถมนิดหน่อย ไม่ได้กระหายชัยชนะอย่างไอ้เบนซ์ ทว่าทั้งที่ผมตอบรับมันแล้ว ดูเหมือนมันจะไม่ยอม

“ไม่เว้ย กูไม่แข่งกับมึง กูจะแข่งกับไอ้เหี้ยยีน”

“ไอ้ยีนไม่ได้มา มึงจะแข่งกับมันได้ยังไง”

ไอ้เคลมอารมณ์ขึ้นมาหน่อย มันคงหงุดหงิดที่ถูกยืนล้อมแล้วไอ้พวกนั้นยังเอาเรื่องรถมาขู่อีก แล้วเชื่อได้เลยว่ามันไม่ทำแค่พูดเฉยๆ แน่ คนอย่างไอ้เบนซ์ไม่ไว้หน้าใครอยู่แล้ว

“ก็ไปตามมาสิวะ เพื่อนมึงไม่ใช่หรือไง ถ้าพวกมึงไม่ตามไอ้ยีนมา...”

หยุดเสียงแค่นั้นแล้วเจ้าของคำพูดก็พยักพเยิดหน้าไปทางพวกของมันคนหนึ่ง คนที่ได้รับสัญญาณจึงก้าวเข้ามาทางรถของไอ้เคลมที่อยู่ใกล้ที่สุด ง้างมือทำท่าจะกรีดรถของมันเสียให้ได้ ไอ้เคลมเลยรีบปราดเข้าไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อยไอ้คนนั้นก่อนเลย

ผมว่ามันชักจะไม่ดีแล้ว

“มึงไปตามไอ้ยีนเหอะ”

ไอ้กัสที่ประเมินสถานการณ์อยู่จับบ่าของผมพลางบอก ซึ่งผมก็เห็นด้วย เพราะถ้าปล่อยไปนานกว่านี้ ไอ้เคลมได้อาละวาดแน่ ถึงมันจะเป็นพวกเลือดร้อนไม่ต่างจากไอ้ยีน แต่มันก็ไม่เคยทำใครก่อน ถ้าไม่มีใครมากระตุกหนวดมัน ซึ่งก็ดูเหมือนตอนนี้เครื่องมันจะติดแล้ว

ผมพยักหน้าเบาๆ ตอบไอ้กัส ก่อนจะกดโทรศัพท์หาไอ้ยีน แล้วเล่าเรื่องให้มันฟัง ซึ่งพอมันรับรู้ก็ไม่ลังเลที่จะมาจัดการหมาบ้าที่กัดคนไม่เลือกอย่างไอ้เบนซ์ ผมจึงขับทิกเกอร์ รถที่ผมมักใช้ในการแข่งไปหาไอ้ยีนที่บ้านโดยเร็วที่สุด ให้ไอ้กัสอยู่เฝ้าคนของมันไม่ให้ก่อเรื่องเกินกว่าเหตุ

พาไอ้ยีนมาที่สนามได้ ไอ้เบนซ์ก็กระหยิ่มยิ้มอย่างพอใจพลางท้าทายไอ้ยีนอย่างเต็มที่ ทว่าไม่ใช่แค่มันหรอกครับ เพราะพวกผมก็กระตุกยิ้มมุมปากพลางมองหน้ากัน เพราะถึงไอ้ยีนจะไม่ได้แข่งรถมาพักหนึ่งแล้วนับตั้งแต่เข้ามหา’ลัย แต่ผมว่าระยะเวลาแค่สองเดือนคงไม่ทำให้มันฝีมือตกจนสู้ไอ้เบนซ์ไม่ได้ พวกผมเชื่อในฝีมือของมันว่าเอาชนะไอ้เบนซ์ได้สบาย ถึงรถที่มันต้องใช้จะเป็นทิกเกอร์ของผมแทนที่จะเป็นเลพเพิร์ดของมันก็ตาม

รถของพวกผมมีชื่อประจำกันหมดครับ พวกเราตั้งใจตั้งให้คล้ายกัน รถของไอ้ยีนสีแดง ชื่อเลพเพิร์ด ส่วนของผมสีเหลือง ชื่อทิกเกอร์ เลโอของไอ้กัส สีน้ำตาลแก่ และของไอ้เคลมสีเงิน ชื่อไลออน

“มึงระวังตัวหน่อยล่ะ ไม่ได้แตะนานแล้วนี่หว่า”

“เออ กูรู้”

“ระวังทิกเกอร์พยศด้วย”

ผมเตือนไอ้ยีนให้ระวังตัวตอนแข่ง เพราะมันไม่เคยลองขับทิกเกอร์ของผม ผมกลัวมันลืมตัวว่าไม่ชินมือกับรถคันนี้แล้วใส่เข้าไปเต็มแรง ซึ่งมันก็รับปากก่อนจะประจำที่แล้วเตรียมออกสตาร์ท ขณะที่พวกผมสามคนได้แต่ให้กำลังใจมันด้วยการมอง

เป็นอย่างที่ผมคิด ไอ้เบนซ์แพ้ไอ้ยีนหลุดลุ่ย ทำเอามันเจ็บใจฉิบหาย ส่วนพวกผมก็ยิ้มอย่างพอใจ เพราะนอกจากจะหยามน้ำหน้ามันได้แล้ว ยังได้เงินจากการแข่งชนะมาอีกแบบไม่เดือดร้อนอะไร หนำซ้ำคราวนี้ไอ้ยีนยังใจดีโยนเงินที่ได้มาทั้งหมดให้ไอ้เคลมเฉย เล่นเอาไอ้ตี๋ยิ้มแฉ่งหน้าบาน

ทว่าไม่เพียงแค่แข่งกับไอ้เบนซ์เท่านั้น เพราะดูเหมือนว่าฝีมือของไอ้ยีนจะเข้าตาบางคนเข้า พี่เคนเป็นคนเดินมาบอกเองเลยว่าเพื่อนเของขาอยากจะแข่งด้วย ตอนแรกพวกผมก็ไม่รู้ว่าใครหรอกครับ รู้แต่เขาขับเฟอร์รารี่สีน้ำเงินแล้วก็แข่งกับไอ้เบนซ์ตอนผมกับไอ้ยีนมาถึงกันพอดี ฝีมือของเขาเรียกว่าเหนือกว่าพวกผมได้อย่างเต็มปาก

“ไม่เอาหรอก เพื่อนพี่เก่งอะ ผมแพ้แน่”

ไอ้ยีนก็ประมาณตัวเองถูกเหมือนกัน แต่ว่าพี่เคนก็ยังชวน

“เฮ้ย ไม่ลองก็ไม่รู้ มันก็ไม่ได้มืออาชีพอะไร ที่มาวันนี้เพราะพี่ชวน เห็นว่าไอ้เบนซ์มันกร่างมาก เลยชวนมาเล่นด้วยสักหน่อย”

“เอาจริงดิ”

“เออ มันให้กูมาท้ามึงเนี่ย ถ้ามึงไม่เข้าตา มันไม่ให้กูมาท้าให้เสียเวลาหรอก”

โดนพี่เคนตื๊อมาแบบนั้น ทั้งที่ไม่คิดจะทำก็ต้องใจอ่อนแหละครับ ไอ้ยีนยอมแข่งด้วยแบบขำๆ เพราะมันก็เห็นฝีมือของฝ่ายนั้นอยู่แล้วว่าน่าจะเจ๋งกว่ามัน จึงใช้เงินเดิมพันที่ตอนแรกให้ไอ้เคลมมาเป็นของแลกเปลี่ยนแทน ไอ้เคลมทำหน้าเฉาไปหน่อยที่อยู่ๆ เงินจะโดนโฉบไป แต่ก็ต้องยอมเพราะเงินนั้นได้มาจากไอ้ยีน

ผลของการแข่งมีลุ้นนิดหน่อย เพราะไอ้ยีนก็ทำได้ดีไม่น้อย แต่คงไม่ดีมากพอจะสู้กับคนที่เก่งเรื่องเทคนิคแบบเจ้าของเฟอร์รารี่คันนั้น กระทั่งมาถึงเส้นชัย ไอ้ยีนออกมาจากรถด้วยท่าทางเจ็บใจอยู่เหมือนกัน มันคงเสียดายที่ฝีมือมันไม่ถึง ทำให้พลาดท่าไปหลายที

“ฝีมือเจ๋งอยู่เหมือนกันนี่หว่า น้องเกงยีน”

แต่ที่ทำให้ไอ้ยีนเจ็บใจมากที่สุดก็คงเป็นตอนที่เห็นว่าคนที่ขับเฟอร์รารี่คันนั้นเป็นใครนั่นแหละครับ พวกผมเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าจะเป็นพี่ภู โลกมันกลมอย่างเหลือเชื่อ ผมก็รู้จักพี่เคนมาสองสามปีนะครับ แต่ไม่เคยรู้เลยว่าพี่แกเป็นเพื่อนกับพี่ภูด้วย หนำซ้ำตอนที่ไอ้ยีนยื่นซองเงินให้ พี่ภูยังสวนกลับมา

“ใครบอกว่ากูจะเอาเงิน”

“แล้วพี่ชมพูจะเอาอะไรล่ะครับ ต้องการอะไรมิทราบ”

“กูจะเอา.........มึง”

พี่ภูพูดอย่างชัดเจน ปฏิเสธของเดิมพันแบบไม่แยแสเลยว่าจำนวนเงินในซองนั้นจะมากน้อยแค่ไหน ไอ้ยีนนี่แทบผงะ แต่พี่ภูกลับหัวเราะแล้วจับแขนมันเอาไว้

“กูไม่เอาอะไรหรอก แต่กูขอนี่ละกัน”

ไฮยีนมองหน้าพวกผมแบบจำใจ เพราะเถียงอะไรไปพี่ภูก็โต้กลับหมด ผมจึงต้องถามมันทางสายตา ให้มันเลือกตัดสินใจเอง ซึ่งมันก็พยักหน้ากลับมา ผมจึงต้องฝากฝังให้พี่ภูไปส่งไอ้ยีนกลับบ้านแทน ซึ่งพี่เขาก็รับปาก พลอยให้ผมเบาใจ แต่ไอ้เคลมนี่สิ เกือบโดนไอ้ยีนกระโดดถีบเพราะความปากหมาของมัน

“พี่ภูอย่าทำอะไรเพื่อนผมรุนแรงนะ ถนอมๆ มันหน่อย”

ดีว่าพี่ภูพาไอ้ยีนไปได้ก่อนเกิดโศกนาฏกรรม ไอ้เคลมเลยแค่โดนถากถางและอาฆาตทางสายตา พลอยให้ผมกับไอ้กัสส่ายหัวเบาๆ

“งั้นแยกกันกลับเลยแล้วกัน”

ไม่จำเป็นจะต้องไปส่งไอ้ยีน เพราะมีคนรับหน้าที่นั้นไปแล้ว แต่ระหว่างทางจะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านี่ผมก็สุดจะคาดการณ์ได้ ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของไอ้ยีนที่จะเอาตัวรอดเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ค่อนข้างเชื่อใจพี่ภูว่าจะไม่ทำร้ายหรือทำให้เพื่อนของผมเสียใจ ถ้าหากว่ามันไม่เต็มใจ

“เออ ดีเหมือนกัน แม่งจะตีสองแล้ว กูชักง่วง”

สบายใจเรื่องไอ้เบนซ์ว่าคงจะไม่มาหาเรื่องแล้ว หนำซ้ำยังได้เงินไปนอนกอดแบบสบายๆ ไอ้เคลมก็ทำท่าหาวใส่พวกเราทันที ไอ้กัสเลยผลักหัวมันไปหนึ่งที ก่อนจะโบกมือลาผม

“เจอกันพรุ่งนี้เว้ย”

“เออ เจอกันๆ”

ผมโบกมือกลับก่อนจะไปขึ้นรถของตัวบ้าง ทว่ายังเดินไม่ทันถึงรถ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน ซึ่งมันก็ทำให้ผมงงไม่น้อยที่มีคนโทรหาผมตอนนี้ จะว่าเป็นไอ้ยีนก็ไม่น่าจะใช่ และพอหยิบเครื่องที่กำลังส่งเสียงร้องออกมาดูหน้าจอ ผมก็ยิ่งต้องแปลกใจ เพราะเป็นเบอร์ที่ผมไม่ได้บันทึกเอาไว้และไม่รู้จัก

ใครวะ?

คำถามดังในใจผมของเบาๆ ก่อนที่ผมจะกดรับสายและกรอกเสียงลงไป แต่เสียงที่ตอบกลับมากลายเป็นความเงียบ ไร้เสียงของคนที่โทรมา

“สวัสดีครับ ใครครับ”

[กราฟ]

ผมนึกว่าจะไม่ได้ยินเสียงจากปลายสายเสียแล้ว แต่สุดท้ายเสียงที่ผมรอก็ดังขึ้น หนำซ้ำยังเป็นเสียงที่ผมจำได้ทันทีหลังจากได้ยิน น้ำเสียงเรียบเนิบเย็นเหมือนคนไม่มีชีวิตแบบนี้ ไม่มีใครนอกจากคนคนนั้น

“ไนล์”

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมจะพูดหรือถามอะไร เพราะหลังจากรู้ว่าเป็นใคร ก็เหมือนว่าผมจะลืมไปหมดว่าควรจะถามอะไรคนปลายสาย ผมรู้สึกมึนๆ งงๆ มากกว่า แต่ไม่ใช่เพราะว่าเขามีเบอร์โทรศัพท์ของผมทั้งที่ผมไม่เคยให้ ทว่าเป็นเพราะผมไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงโทรหาผมตอนนี้ ...ตีสอง ไม่ใช่บ่ายสอง

[มาหาฉันหน่อย]

“ไปหานาย?”

ดั่งจะเรียกสติของผมให้กลับมาอีกครั้งเมื่อได้รู้เหตุผลที่เขาโทรหาผม ผมเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะยกแขนขึ้นดูนาฬิกาข้อมือเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าผมไม่ได้เข้าใจผิดว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว ซึ่งก็เหมือนเดิมที่เหมือนเขาจะอ่านใจอ่านความคิดของผมได้ เสียงเรียบๆ นั้นจึงดังขึ้นอีกครั้ง และมันก็ทำให้ผมต้องตกใจ

[รามอินทรา]

“เฮ้ย ไปทำอะไรที่นั่น”

หากให้นับจากที่ตั้งของมหา’ลัยของผมซึ่งใกล้กับแมนชั่นของไนล์ที่สุดกับจุดที่ไนล์อยู่ในตอนนี้ มันห่างกันคนละโยชน์เลย แล้วนี่ก็ไม่ใช่ตอนกลางวันด้วย

หมอนั่นไปทำบ้าอะไรที่นั่นตอนตีสอง??

[มาหาฉันหน่อย]

เขาไม่ตอบคำถาม แต่ย้ำคำเดิม ทำให้ผมรู้สึกว่าใจเริ่มไม่สงบยังไงชอบกล ร้อนรนอยู่ในอกหน่อยๆ เพราะไม่เข้าใจการกระทำและเหตุผลของเขา อีกทั้งเขายังไม่ยอมทำให้ผมสบายใจด้วยการตอบคำถามเสียอีก

เก่งกาจในการทำให้ฉันสับสนและร้อนรนได้เสมอ

“ทำไมนายไม่นั่งแท็กซี่กลับแมนชั่นของนายซะล่ะ”

ถึงจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ผมก็พยายามบอกตัวเองไม่ให้หลงกลคนที่มักล่อลวงให้ผมต้องตกหลุมพรางและรู้สึกปั่นป่วนกับกระบวนความคิดของเขาเสมอ ทว่าไนล์ก็ยังตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม

[ถ้ากลับได้ ฉันคงไม่โทรหานาย จะรอนะ]

เป็นการตัดบทสนทนาที่ไม่ไว้หน้าและคิดถึงอีกฝ่ายมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ไนล์วางโทรศัพท์ไปแล้ว และเมื่อผมโทรกลับ เขายังไม่ยอมรับสายอีกต่างหาก เหมือนรู้ว่าถ้ารับสาย ผมจะพูดเรื่องอะไร ผมต้องหลับตาแน่นๆ พลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และทำใจกับตัวเองว่าผมกำลังจะวุ่นวายใจเพราะผู้ชายคนนี้อีกครั้ง

ผ่อนลมหายใจออกมาจนสุดแล้วผมก็ออกรถไปยังเส้นทางที่รู้จุดหมายอย่างกว้างๆ ไนล์ไม่ได้ระบุว่าอยู่แถวไหนแล้วผมจะหาเขาเจอไหม เป็นคำถามที่ดังวนเวียนอยู่ในหัวของผมหลายครั้งขณะที่ผมขับรถเลียบทางพลางมองไปเรื่อยๆ ได้แต่หวังว่าจะเจอเขาโดยเร็ว เพราะแถวนี้ตอนกลางคืนมันไม่ใช่ที่ที่จะมีใครมานั่งสูดอากาศเอาเสียเลย

แสงไฟจากเสาที่ตั้งห่างๆ กันหนำซ้ำยังไม่สว่างนักทำให้ถนนทั้งเส้นค่อนข้างสลัว ผมกวาดตามองให้ทั่วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเกรงว่าจะตกหล่นแถวไหนไป ในใจรู้สึกกระวนกระวายที่หาเท่าไรก็ไม่เจอคนที่บอกให้ผมมาหา มือข้างหนึ่งพยายามกดโทรศัพท์เพื่อโทรกลับไปยังเบอร์เดิมซ้ำๆ หลายครั้งและรอการรับสาย แต่ก็ยังเหมือนเดิมที่ผมได้ยินแต่เสียงสัญญาณ

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์วะ”

ผมสบถออกมา นึกอยากจะขว้างโทรศัพท์ของตัวเองทิ้งเพราะดูเหมือนมันจะไม่มีประโยชน์สักนิดในเวลานี้ ทว่าก่อนที่ผมจะร้อนรนจนเป็นบ้าเพราะคนที่ชอบทำให้ผมวุ่นวายใจ ผมก็เห็นกรอบเงาของคนคนหนึ่งที่ผมภาวนาขอให้เป็นคนที่ผมกำลังตามหา

ทิกเกอร์เคลื่อนเข้าไปใกล้กับเงาของคนนั้นมากขึ้น ก่อนจะหยุดลงข้างทาง ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อแน่ใจแล้วว่าเป็นไนล์ไม่ผิดแน่ เขานั่งอยู่กับขอบทางทั้งที่บริเวณนี้ค่อนข้างมืด หนำซ้ำยังเปลี่ยวอีกต่างหากในช่วงเวลาที่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็เช้า

เสียงของทิกเกอร์ร้องเบาๆ เพราะผมกดลงไปบนปุ่มที่พวงมาลัยของรถ เพื่อเรียกให้คนที่นั่งเอ้อระเหยประหนึ่งกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม ทั้งที่ความจริงแล้วมันตรงข้ามกันทุกอย่าง ทั้งน่ากลัวและอันตราย แต่เจ้าของร่างนั้นกลับไม่ประหวั่นพรั่นพรึงแต่อย่างใด

ไนล์เงยหน้ามามองทางผมนิดหน่อย แต่สายตาของเขาไม่ได้พุ่งตรงเข้ามาในรถ กลับมองผ่านเลยเหมือนไม่สนใจ หรือไม่เห็นทิกเกอร์ด้วยซ้ำ ทั้งที่ผมแน่ใจว่ารถของผมค่อนข้างเด่นแม้ว่าจะเป็นเวลากลางคืนแบบนี้ ผมจึงต้องลงจากรถและเดินตรงไปยังคนที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ลุกขึ้นมา

“มานั่งทำอะไรแถวนี้ ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตรายแค่ไหน”

อดไม่ได้ที่จะโพล่งเสียงออกมาแบบนั้นทันทีที่เห็นหน้าของอีกฝ่าย แต่สายตาที่ได้รับก็ไม่ต่างจากเดิม เลื่อนลอยเหมือนมองผ่านผมไปทั้งที่ตัวของเขาเองต่างหากที่เป็นเหมือนกับอากาศบางเบา จนผมต้องผ่อนลมหายใจออกมาแรงๆ อีกครั้ง

“ทำไมไม่เรียกแท็กซี่ มาทำอะไรแถวนี้ดึกดื่น แล้วถ้าฉันไม่มา จะว่ายังไง”

“นายมา”

ผมพูดเผื่อเอาไว้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงผมก็คงต้องมา เพราะผมคงปล่อยคนที่โทรหาผมในเวลาแบบนี้ไว้โดยที่ไม่ทำอะไรไม่ได้ ซึ่งดูเหมือนไนล์จะรู้จักนิสัยของผมดี เขาถึงสวนเสียกลับมาด้วยความมั่นอกมั่นใจ หนำซ้ำยังจ้องตาผมราวกับเป็นการยืนยันเสียอีกว่าเขาเชื่อว่ายังไงผมก็ต้องมา

โอเคครับ เขาถูก เขาอ่านผมออก แต่ผมอ่านเขาไม่ออก

“ฉันมาแล้ว ทีนี้ก็กลับได้แล้วใช่ไหม”

ไม่รู้ว่าควรจะซักไซ้ให้ได้อะไรขึ้นมาอีก ในเมื่อเขาไม่บอกเหตุผลกับผม ผมจึงตัดบท ก่อนจะดึงมือของเขาให้ร่างซีดจางนั่นลุกขึ้นมาและไปขึ้นรถของผม ซึ่งไนล์ก็ยอมลุกและเดินตามผมมาแต่โดยดี คล้ายกับว่ากำลังรอเวลานี้อยู่ แม้ผมจะไม่รู้ว่าเขารอมานานแค่ไหน แต่ก็คงมากกว่าเวลาที่ผมใช้ในการตามหาเขาอย่างแน่นอน

ผมเป็นคนใจอ่อน ชอบช่วยเหลือคน และไม่สามารถทนเห็น.ใครกำลังเดือดร้อนได้

มันทำให้ผมทิ้งไนล์เอาไว้ไม่ได้

บอกกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ปล่อยมือของไนล์ออกเมื่อเขามาหยุดที่หน้าประตูของทิกเกอร์ ผมเปิดประตูให้เขาเข้าไป ก่อนจะปิดประตูลง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ทำไม ผมรู้สึกว่าเวลานี้เขาต้องการการดูแล

หรือผมอาจจะคิดไปเอง?

ไม่รู้ว่าคำตอบเป็นแบบไหนกันแน่ แต่ผมก็เลือกที่จะสะบัดความคิดนั้นทิ้งไป และกลับมาสนใจกับเส้นทางที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เวลาเดินไปเรื่อยๆ พร้อมกับทิกเกอร์ที่มุ่งตรงไปยังแมนชั่นที่ผมเคยไปส่งคนที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงสองครั้ง ล่วงเข้าตีสามกว่าแล้ว แต่ผมเพิ่งมาจะมาถึงจุดหมาย

ทิกเกอร์หยุดลงที่หน้าแมนชั่นของไนล์ ตำแหน่งเดียวกับที่ผมเคยใช้รถอีกคันมาจอดเอาไว้ แต่วันนี้คนที่กลายเป็นตุ๊กตาหน้ารถอย่างไม่ตั้งใจกลับไม่หลับเหมือนอย่างทุกที ไนล์นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตาว่างเปล่าเหมือนเคยจนผมต้องเรียก

“ถึงแล้ว”

ดวงตาเรียวกะพริบเบาๆ ราวกับกลัวว่าจะเสียพลังงาน ก่อนเรียวหน้ารูปไข่ที่ดูสวยมากกว่าหล่อจะเบือนมาทางผม ไนล์มองหน้าผมเหมือนกับมีอะไรบางอย่างอยากจะพูด ผมจึงมองเขากลับไปเพื่อรอคอยประโยคที่จะหลุดออกมาจากกระจับปากสีพีช

แต่ไม่เป็นอย่างที่ผมคิด ไนล์ไม่ได้พูดอะไร แต่เขาโน้มตัวเข้ามาหาผม ใกล้... หน้าของเขาเข้ามาใกล้ผมมากจนแทบจะชิด ผมจึงต้องเอนตัวหลบไปทางประตูฝั่งตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นหน้าของผมคงชนกับเขาแน่ๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกว่าในอกของผมเหมือนมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่ข้างใน ทว่าแม้จะพยายามหลบแล้ว แต่แววตาที่สะท้อนภาพผมอยู่ก็ทำให้ผมต้องนิ่งค้างไป

เขาจ้องเข้ามาในตาของผมทั้งที่ปกติจะมองแบบผ่านๆ ถึงกระนั้นก็ไม่ได้มีแววของความรู้สึกใดๆ เป็นพิเศษนอกจากแค่จ้องเท่านั้น แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ผมเริ่มทำอะไรไม่ถูก ไนล์มองผมอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ ถอยห่างออกไป

ประตูของรถถูกเปิดออกพร้อมกับร่างนั้นที่ก้าวลงจากรถ ทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้งก่อนจะร้อง ‘เฮ้ย’ ออกมาในใจ เพราะเสียงคำรามของทิกเกอร์เงียบหายไป และพอก้มลงไปดูรูกุญแจก็พบว่าสิ่งที่ควรอยู่ตรงนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ครั้นมองออกไปทางไนล์ ก็เห็นว่าร่างขาวซีดมาหยุดอยู่ด้านหน้ารถ และที่สำคัญในมือเรียวยังมีกุญแจรถที่ตั้งใจโชว์ให้ผมดูเสียอีก

“ไนล์! เอากุญแจรถคืนมา”

ผมพรวดพราดออกจากรถทันทีเมื่อรู้ตัวว่าตกหลุมพรางของคนที่เล่นด้วยยากที่สุดอีกครั้งแล้ว แต่ไนล์กลับทำเหมือนไม่ได้ยินเสียงของผม เขาเดินตรงไปที่ประตูรั้วของแมนชั่นจนผมต้องรีบไปคว้าแขนเอาไว้ แต่ใช่ว่าทำแบบนั้นแล้วเขาจะคืนกุญแจของทิกเกอร์ให้ผมแต่โดยดี ไนล์กำมันเอาไว้แน่น

“เอาคืนมา”

เสียงของผมเข้มขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับว่าจะข่มขู่คนตัวบางกว่า ทว่ามันก็ไม่ได้ผล ไนล์ไม่สะดุ้งสะเทือนกับเสียงของผมแม้แต่น้อย เขาเชยหน้าขึ้นมองผมเหมือนจะท้าทายทั้งที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไป เสียงเนิบเล็ดลอดมาจากปากเรียวช้าๆ

“จะคืนให้ ถ้ายอมขึ้นไปข้างบน”

“ทำไมฉันจะต้องขึ้นไป”

“ตามใจ”

เขาตอบแค่นั้นก่อนจะฝืนแรงของผมและหย่อนกุญแจรถเข้ากระเป๋ากางเกงอย่างไม่ยากเย็นเท่าไร ทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก ทำหน้าไม่ถูก ไนล์จึงฉวยโอกาสนั้นบิดแขนเพื่อให้หลุดจากการจับของผม และก้าวเดินไปทางฝั่งที่เป็นประตูของแมนชั่น

“โอเค ก็ได้ๆ”

สุดท้ายผมก็ต้องยอมทำในสิ่งที่คนตรงหน้าต้องการ เพราะหากผมไม่ยอมทำแบบนั้น คงยากที่ผมจะได้กุญแจรถคืน คนที่รู้ดีที่สุดว่าการรับมือผู้ชายคนนี้มันยากแค่ไหนคงมีแค่ผม

ผมผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติเล็กน้อย อยากจะแสดงให้เขารู้บ้างว่ากำลังทำให้ผมรู้สึกเหนื่อยใจมากแค่ไหน ทว่าไนล์กลับไม่สนใจสักนิด เขายื่นกุญแจรถคืนผมมา

“เอามาจอดข้างใน”

“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวก็กลับแล้ว”

“ไม่กลัวหาย?”

คำถามนี้ทำให้ความคิดของผมหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง พลางมองหน้าคนที่อยู่ตรงหน้า ว่าเขาแฝงความคิดหรือแผนการอะไรเอาไว้ภายใต้สิ่งที่พูดหรือเปล่า ทว่าผมก็มองไม่ออกอยู่ดี ทางเดียวที่เลือกได้คือทำตามที่อีกฝ่ายว่า เพราะผมก็ไม่อยากเสี่ยงเอาทิกเกอร์มาจอดข้างนอกเหมือนกัน

ทั้งที่ขึ้นรถแล้ว ผมจะขับรถชิ่งกลับคอนโดไปเลยก็ได้ ในเมื่อได้กุญแจกลับคืนมาแล้ว ทว่าผมกลับไม่ทำแบบนั้น และไนล์ก็ไม่มีท่าทีเกรงกลัวว่าผมจะทำแบบนั้นแม้แต่น้อย เขาเลื่อนประตูรั้วของแมนชั่นให้ผมขับรถเข้าไปจอดในบริเวณที่สามารถจอดได้ พลอยให้ผมอดตั้งคำถามกับตัวเองไม่ได้

ทำไมถึงเชื่อใจว่าผมจะทำตามที่พูด

ทว่าแม้จะสงสัย แต่ผมก็ไม่ได้ถามกับเจ้าตัว ผมลงจากรถและล็อกให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตามเจ้าถิ่นที่ขึ้นบันไดนำผมไปยังชั้นสี่ที่ผมคุ้นๆ ว่าเขาเคยบอกเลขห้องกับผม กระทั่งมาหยุดที่หน้าห้อง 310 ซึ่งอยู่ริมในสุดของทางเดิน

กุญแจห้องถูกหยิบออกมาไขประตู ก่อนบานไม้ที่ดูสภาพกลางเก่ากลางใหม่จะเปิดออก ตามด้วยแสงจากหลอดไฟบนเพดานสว่างขึ้นเพราะมือเรียวที่ยื่นไปกดสวิตช์ เผยให้ผมได้เห็นภายในห้อง ซึ่งมันก็ทำให้คิ้วของผมต้องมุ่นเข้าหากันอย่างอดไม่ได้

บอกทีว่านี่ห้องของคนที่เรียนวิศวะฯ ไม่ใช่จิตรกรรม?







อ่านต่อข้างล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 20-10-2013 17:21:45
ต่อจากข้างบน


v


v





ห้องของไนล์เป็นแค่ห้องเช่าเล็กๆ ภายในห้องเต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับวาดรูป ทั้งขาตั้ง เฟรมภาพ กระดานวาดรูป สีชนิดต่างๆ ทั้งสีน้ำ สีปลาสเตอร์ หรือแม้แต่สีน้ำมัน จานสี พู่กัน วางกองเรียงรายจนกินพื้นที่ในห้องไปครึ่งหนึ่ง

อื่นๆ นอกเหนือจากนั้นมีเพียงเตียงนอนสามฟุตครึ่ง ตู้เสื้อผ้า และพัดลมเพดาน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของที่มีให้ผู้เช่าอยู่แล้ว ที่เพิ่มมาคงมีแค่โต๊ะญี่ปุ่นเตี้ยๆ หนึ่งตัวที่น่าจะไว้ใช้อ่านหนังสือหรือทำรายงาน  หนังสือเรียนถูกกองรวมๆ กันไว้บนพื้น ไม่มีคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อำนวยความสะดวกใดๆ

ที่สำคัญ... ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นสีและกลิ่นบุหรี่

ผมไม่คิดว่าไนล์จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้

“เตียงนั่งได้”

เจ้าของห้องบอกผมอย่างนั้นก่อนจะเดินไปเปิดหน้าต่างฝั่งตรงข้ามกับเตียงที่มีเก้าอี้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ และให้ผมเดา มุมนั้นน่าจะเป็นมุมหนึ่งที่ไนล์ใช้ในการวาดรูปล่ะมั้ง กับอีกหนึ่งที่ก็คือระเบียงของห้องซึ่งอยู่ติดกับห้องน้ำ มือเรียวผลักประตูออกรับลมยามดึกเพื่อให้อากาศภายในห้องถ่ายเทได้สะดวกยิ่งขึ้น กลิ่นที่ตลบอบอวลอยู่จึงจางลงไปบ้าง

ผมหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงตามคำอนุญาต สายตายังไล่ตามร่างผอมบางไปด้วยความอยากรู้ว่าเขาจะทำอะไรกันแน่ และเขาเรียกผมมาที่ห้องเพื่ออะไร ทว่ากลับไม่ได้คำตอบใดๆ นอกจากไนล์ที่คว้าผ้าเช็ดตัวซึ่งพาดอยู่บนราวตากผ้านอกระเบียงมาแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

เขาทำให้ผมเหวอและไม่เข้าใจอีกครั้ง ไนล์เข้าห้องน้ำไปโดยไม่บอกอะไรกับผมสักคำ สิ่งที่ตอบกลับผมมามีเพียงเสียงน้ำจากฝักบัวที่ดังกระทบพื้นให้ได้ยิน ผมจึงต้องตัดใจที่จะอยากรู้อะไรในเวลานี้และเดินสำรวจห้องของไนล์แทน

ดูจากภาพวาดสองสามภาพที่วางอยู่ในห้องแล้วผมคิดว่าเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการวาดรูปอยู่ไม่น้อย ถ้าไปเอาดีทางนี้น่าจะรุ่ง ทั้งที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนเขาเรียนที่คณะเขาทำมันได้ดีแค่ไหน ถึงกระนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเลือกเรียนวิศวะฯ แทนที่จะเป็นคณะที่เกี่ยวกับพวกศิลป์ๆ

อาจจะเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครรู้?

คิดกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ต้องหันไปตามเสียงประตูที่เปิดออก ไนล์อาบน้ำเสร็จแล้วซึ่งมันค่อนข้างเร็ว แต่คงไม่แปลกสำหรับผู้ชายที่ไม่ต้องพิถีพิถันอะไรมากเหมือนผู้หญิง ไนล์นุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาทั้งที่ตัวเปียกอยู่หน่อยๆ เหมือนแค่เช็ดตัวแบบลวกๆ

ผิวใต้ร่มผ้าของเขาไม่ต่างจากที่เห็นภายนอกเท่าไร ยืนยันได้ว่ามันขาวจนไม่สามารถซีดไปมากกว่านี้ได้แล้ว แต่ที่ต่างไปคือรูปร่างของเขา มันผอมบางกว่าที่ผมคิดไว้ ไม่เหมือนกับไฮยีนที่ขาวเพราะไม่ค่อยได้ออกมาตากแดด และถึงจะผอม แต่เพื่อนของผมก็ผอมแบบมีกล้ามเนื้อ ไม่ใช่เหมือนคนป่วยแบบนี้

ผมรู้สึกใจหายนิดหน่อยที่ได้เห็นว่าไนล์ดูเหมือนคนที่พร้อมจะบุบสลายและหายไปได้ทุกเมื่อมากแค่ไหน

“รีบใส่เสื้อซะสิ เดี๋ยวก็ไม่สบาย”

อดไมได้ที่จะพูดออกมาเมื่อรู้สึกตัวว่ามองอีกฝ่ายนานเกินไป ซึ่งไนล์ก็มองผมกลับมาเช่นกันเหมือนกับรู้ตัวว่าผมมองเขาอยู่ เขาจึงหยิบเสื้อในตู้เสื้อผ้ามาใส่ เป็นเสื้อกล้ามสีขาวที่ตัวใหญ่กว่าเขาสักสองไซส์กับบ็อกเซอร์ที่สั้นแค่ครึ่งต้นขา พลอยให้สิ่งที่คลุมอยู่บนตัวของไนล์ไม่ได้ช่วยปิดบังร่างกายของเขาสักเท่าไร เพราะแค่ขยับแขนนิดๆ หน่อยๆ แขนเสื้อและคอเสื้อที่เหมือนถูกคว้านกว้างเป็นพิเศษ ทั้งที่จริงแล้วมันแค่ใหญ่เกินขนาดตัว ก็ทำให้ผมเห็นผิวขาวๆ ของเขาอย่างชัดเจน แม้กระทั่งอกแบนๆ ที่จุดเด่นสุดเป็นสีน้ำตาลอ่อนนั้นก็ไม่ถูกปิดบัง

ทั้งที่ผมไม่ควรรู้สึกอะไร และไม่ควรจะสะดุดตากับตรงนั้น แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่าผมเหมือนโรคจิตที่เผลอไปเห็นจุดที่ไม่ควรมอง

“พรุ่งนี้...”

เสียงของคนที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ดังขึ้นเหมือนจะเรียกให้ผมหันเหความสนใจไปที่หน้าของเขาแทน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเดินไปนั่งที่เตียงตั้งแต่เมื่อไร เขามองหน้าผมนิดหน่อยแล้วพูดต่อเมื่อเห็นว่าผมกำลังรอฟังว่าเขาจะพูดอะไร

“มีเรียนสายใช่ไหม”

“ใช่” ตอบไปแล้วผมกลับเพิ่งมาเอะใจ ขยับเท้าพาร่างไปนั่งที่เตียงอีกครั้งแล้วเอ่ยถาม “นายรู้ได้ยังไง”

“...”

เหมือนเดิมที่ผมไม่เคยได้รู้ในสิ่งที่ผมอยากรู้ เขาเงียบ ไม่ตอบ ก่อนจะเอนตัวลงบนเตียงราวกับว่ากำลังจะนอน พลอยให้ผมต้องงงว่าสรุปแล้วเขาเรียกผมมาบนห้องทำไม ซึ่งคนที่เก่งในการอ่านความคิดของผมก็คงรู้อีกตามเคย ถึงได้เปล่งเสียงออกมาเฉลยให้ผมรู้

“นอนที่นี่”

“นอนที่นี่?”

ผมเลิกคิ้วมองหน้าไนล์ที่นอนมองผมโดยที่ในสายตาของเขาไม่บอกอะไรผมสักอย่างนอกจากความว่างเปล่าอีกเช่นเคย ผมยอมรับเลยว่าเขาเป็นคนที่เก่งในการเก็บความรู้สึกมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ เขาเหมือนมีปริศนาอยู่มากมาย ดูลึกลับจนผมรู้สึกว่าอันตรายทุกครั้งที่เข้าใกล้ แม้แต่ตอนนี้ที่ผมเริ่มจะไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ

ความว่างเปล่านั้นเหมือนมีบางอย่างซ่อนอยู่

“อืม”

“ไม่จำเป็น ฉันขับรถกลับได้”

สารภาพได้เลยว่าผมเริ่มกลัวที่จะเข้าใกล้ไนล์มากไปกว่านี้ มันเหมือนผมถูกดึงดูดให้เข้าใกล้เขามากขึ้นทุกที เหมือนมีแม่เหล็กใหญ่ๆ กำลังดึงให้ผมเกี่ยวข้องกับเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพียงเพราะการกระทำและคำพูดไม่กี่อย่างของเขา แล้วมันก็คือความจงใจของไนล์ที่จะให้มันเป็นแบบนั้น

“เกือบตีสี่ นอนไม่ดีกว่าเหรอ”

มือที่ปกติก็เย็นอยู่แล้ว แต่หลังอาบน้ำเสร็จก็ยิ่งเย็นจับที่แขนของผมเพื่อดูนาฬิกาที่ข้อมือ เป็นหลักฐานว่าเขาไม่ได้โกหก ซึ่งผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเพลี่ยงพล้ำ จึงต้องรีบฉุดตัวขึ้นจากเตียงโดยเร็วพลางปฏิเสธ

“ขับรถแค่ยี่สิบนาที...”

แต่ไม่ทันได้ลุกขึ้นอย่างที่หวังและพูดได้จบประโยค ผมก็ต้องตัวเซจนหล่นลงไปนั่งบนที่นอน และที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะแขนทั้งสองข้างของคนด้านหลังคว้าเอวของผมเอาไว้ ไนล์กอดเอวผมจากทางด้านหลัง หน้าของเขาซบอยู่บนหลังของผมทำให้ผมวูบชาไปทั้งตัว

“ค้างไม่ได้หรือไง”

น้ำเสียงที่ใช้ยังเป็นโทนเดียวและเรียบสนิท ทว่ามันกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนตัดพ้อ ก้อนเนื้อในอกของผมเริ่มไหวแปลกๆ ผมไม่กล้าขยับตัว ได้แต่ปล่อยให้ไนล์กอดผมอยู่แบบนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ และเลื่อนมือลงแกะแขนที่โอบอยู่ตรงหน้าท้องของผมออกช้าๆ

ผมหันตัวกลับไปทางด้านหลัง มองคนที่ยอมคลายมือจากเอวของผมแบบไม่ขัดขืน ตาคู่เรียวสีดำสนิทมองผมราวกับกำลังอ้อนวอนทั้งที่ประกายของมันไม่ต่างจากเดิม อาจจะเป็นผมเองที่คิดเองไป แต่ผมกลับสลัดความรู้สึกแบบนั้นทิ้งไปไม่ได้

ปากของผมอ้าค้างไว้นิดๆ พลางกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ยังไม่กล้าที่จะตัดสินใจลงไป เพราะไม่รู้ว่าการตัดสินใจครั้งของผมจะทำให้อะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะใจอ่อน

“ก็ได้ คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่”









==============
ขอบคุณคนอ่านที่ชอบไนล์นะคะ แต่งไปก็งงบ้างเหมือนกัน ว่าสรุปไนล์นี่จะทำอะไร
แต่กราฟก็หัวปั่นไปหมดแล้วจริงๆ

ตอนนี้ไนล์เหมือนอ้อนนิดๆ กราฟเลยยิ่งใจอ่อน ทั้งที่ปกติก็จิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอยู่แล้ว
แต่เจอคนที่เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ชอบทำตัวลอยๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไรด้วยมาทำแบบนี้ ไม่ใจอ่อนก็ไม่รู้จะว่ายังไงนะ


Undel2Sky



หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 20-10-2013 19:29:34
ไนล์ อ้อนเยอะๆลูก ปริศนามาอีกเพียบ :serius2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: realland ที่ 20-10-2013 19:42:36
กราฟฟฟฟฟฟฟ :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 20-10-2013 21:28:52
เหมือนบางมุมไนล์ดูน่ารักน่าเอ็นดูอยู่นะ แต่หลายมุมมากที่ดูล่องลอยจนน่ากลัว555
กราฟหวั่นไหวซะแล้วสิพ่อสุภาพบุรุษของเรา อยากใ้ห้ไนล์ชอบกราฟแบบจริงๆ

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: namngern ที่ 20-10-2013 22:51:23
บอกตามตรงเลยนะคะ อ่านทีไร
ก็ยังเดาทางไนล์ไม่ถูกซักที
ดูท่าแล้วปมของไนล์ท่าจะใหญ่น่าดู
กราฟใจอ่อนเร็วๆเท้อออ อ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 20-10-2013 22:54:32
อืมมม คนอ่านก็มึนไม่แพ้กราฟละจร้า...
รออ่านต่อ ไนล์จะทำอะไร

ขอบใจจ้า
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 22-10-2013 16:55:58
ยิ่งอ่านยิ่งมึน :really2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 22-10-2013 19:50:15
อะไรของไนล์เนี่ย
ตีความไม่ออกจริงๆว่าที่ทำอยุ่ทุกอย่างต้องการอะไร
ปวดหัวแทนกราฟๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 22-10-2013 20:45:26
ไนล์จ๋า เอาอีกๆๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 6 : คืนแรก [20/10/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 25-10-2013 16:09:27
 55555 หัวเราะให้กับความสับสนของตัวเองต่อไปค่ะ อ่านยังไงก็ไม่สามารถคาดเดาความคิดของไนล์ได้เลย
ทุกอย่างที่ไนล์ทำยังหาเหตุผลไม่ได้เหมือนเดิม ส่วนกราฟก็ยังคงสับสนอยู่เหมือนเดิมทำได้แค่คอยคล้อยตามไนล์ต่อไป
แล้วสุดท้ายไนล์ก็ทำให้กราฟเข้าไปในห้องไนล์จนได้้ แต่เพื่ออะไรล่ะ ไนล์ต้องการอะไรกันแน่ หรือแค่มีกราฟอยู่ใกล้ ๆ ก็พอแล้ว
นี่แค่คืนแรกแต่ต่อไปต้องมีคืนที่สอง ที่สามแน่ๆ จนกราฟอาจต้องรับกุญแจดอกนั้นจริง ๆ แต่อ่านแล้วชอบกราฟจังค่ะ ดูเป็นผู้ชายที่ดีมากเลย
ถ้าเราเป็นไนล์คงไม่อยากปล่อยกราฟไป แต่คิดว่าไนล์ต้องมีเหตุผลอะไรที่มากกว่านั้นแน่นอน อยากอ่านต่อไว ๆจังค่ะ
ถึงตอนนี้ไนล์จะเหมือนได้ออกเยอะอยู่ แต่ได้พูดไม่กี่ประโยคเองนะคะ รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปค๊า  :pig4:  :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 02-11-2013 18:50:28
ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง















ลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย เพราะสิ่งแรกที่เห็นหลังจากเปิดตาไม่เหมือนกับทุกวัน เพดานห้องที่มีรอยเปื้อนประปรายรวมทั้งพัดลมเพดานทำให้ผมต้องกะพริบตาอยู่สองสามครั้ง ทบทวนกับตัวเองว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ที่ไหน

นึกได้ ผมก็พลิกตัวมาด้านข้างที่เมื่อคืนมีเจ้าของห้องนอนอยู่ แม้ว่าผมจะพยายามนอนหันหลังให้เขามาตลอดทั้งคืน เพราะขนาดเตียงเล็กเกินกว่าผู้ชายสองคนจะนอนแผ่หลาอย่างสบายตัวได้ ถึงตัวของไนล์จะไม่ได้ใหญ่เหมือนผมก็ตาม ทว่าเมื่อหันไปแล้วผมกลับพบความว่างเปล่า ไม่มีร่างของอีกคนอยู่ตรงนั้น

ประหลาดใจไม่น้อยที่คนที่ควรนอนอยู่ข้างกันกลับหายไป ตาของผมเบิกขึ้นกว้างกว่าปกติเล็กน้อยอย่างลืมตัว ก่อนจะดันตัวลุกขึ้นนั่ง ทว่าเมื่อทำเช่นนั้นแล้วผมก็ได้พบความจริง เพราะคนที่หายไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ถูกเคลื่อนย้ายไปที่ระเบียงแทน

มือข้างหนึ่งของไนล์ถือดินสอที่ผมเดาว่าคงจะเป็น EE ตวัดปลายสีดำของมันไปบนผืนกระดาษ ส่วนมืออีกข้างจับกระดานวาดรูปเอาไว้ขณะที่คีบบุหรี่ไปด้วย ปลายสีขาวถูกเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าและมีไฟสีส้มเจืออยู่ บ่งบอกให้รู้ว่าเจ้าตัวคงกำลังตั้งใจร่างเส้นมากกว่าจะสนใจส่วนผสมของนิโคตินที่อยู่ในมือ ผมสีดำสนิทด้านหน้าถูกรวบขึ้นเกือบครึ่งหัวป้องกันการเกะกะอย่างที่ผมไม่เคยเห็น

ผมลุกขึ้นจากเตียงช้าๆ และเดินตรงไปยังระเบียงห้องที่เล็กยิ่งกว่าทางเดินเข้าห้องที่คอนโดของผมเสียอีกด้วยฝีเท้าที่เงียบกริบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนที่กำลังทำงาน เห็นมือข้างที่จับกระดานปล่อยสิ่งที่อยู่ในมือออกโดยใช้ตักเป็นฐานรองมันแทน ก่อนจะยื่นมือออกไปด้านนอก เคาะเถ้าบุหรี่ที่จับตัวกันเบาๆ กับราวกั้นเพื่อให้ผงสีเทาร่อนออก แล้วจึงจรดก้นกรองเข้ากับริมฝีปาก

ควันสีขาวถูกปล่อยออกมาจากจมูกของคนที่สูบมันเข้าไปครู่สั้นๆ ก่อนมือนั้นจะกลับมารับหน้าที่เดิมอีกครั้ง ไนล์หยิบกระดานขึ้นมาถือเหมือนเดิมและร่างเส้นต่อเติมโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมมายืนอยู่ด้านหลังของเขาแล้ว ผมจึงยืนพิงกรอบประตูที่เปิดทิ้งเอาไว้พลางมองเขาอยู่พักใหญ่ ซึ่งสิ่งที่ได้เห็นก็ไม่ต่างจากที่ผ่านตามาเมื่อครู่ ราวกับโปรแกรมที่ถูกตั้งเอาไว้ให้ทำหลายๆ ซ้ำ

“ทั้งที่ชอบวาดรูป แต่ทำไมถึงเรียนวิศวะฯ”

เห็นว่าถึงจะยืนต่อไปนานกว่านี้ คนที่ให้ความสนใจกับแผ่นกระดาษสีขาวคงไม่มีทางหันกลับมามองกัน ผมจึงเริ่มต้นประโยคแรก แต่ก็ต้องผิดหวังเล็กน้อยเพราะคนที่ผมพูดด้วยกลับไม่หันกลับมามองสักนิด ไนล์ยังคงเงียบและขยับมือไปเรื่อยๆ ผมจึงต้องขยับตัวเข้าไปใกล้เขาให้มากขึ้น

“ฉันมีเหตุผลของฉัน”

เหมือนจะรู้ว่าผมยังรอคำตอบอยู่ ความเงียบจึงถูกทำลาย แม้ว่ามันจะช้ากว่าคำถามของผมไปเกือบสองนาที

“แล้วนายวาดรูปมานานหรือยัง”

“นาน”

เขาตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงที่เลื่อนลอยไม่ต่างจากเดิม

“วันนี้นายมีเรียนกี่โมง”

เมื่อไม่รู้ว่าจะถามเรื่องอะไรต่อเพราะดูเหมือนว่าคู่สนทนาของผมจะไม่ค่อยสะดวกในการพูดคุยสักเท่าไร ผมจึงเปลี่ยนเรื่องแทน ถึงกระนั้นคำตอบที่ได้ก็ยังสั้นกุดเหมือนกลัวเสียเวลาอยู่ดี

“บ่าย”

“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อนแล้วกัน ฉันมีเรียนตอนสิบโมง เดี๋ยวจะไม่ทัน”

ไม่แน่ใจหรอกว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว แต่น่าจะแปดโมงได้ เพราะแดดกำลังดี ไม่ร้อนจนเกินไป และก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องอยู่ที่นี่ต่อเช่นกัน จึงล่ำลาเจ้าของห้อง ซึ่งเขาก็เพียงแค่ครางเสียงในลำคอตอบกลับมา เป็นการรับคำผมเฉยๆ จนผมอดจะรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้

มันเหมือนจะหงุดหงิด งุ่นง่านอยู่ในใจ ผมจึงก้าวเท้าเข้าไปใกล้คนที่ยังไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองผม แทรกตัวไปยืนอยู่ต่อหน้าเขาและราวกั้นระเบียงทั้งที่มันก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรพลางเรียกชื่อของคนตรงหน้า

“ไนล์”

ได้ผล ไนล์เงยหน้าขึ้นมามองผมช้าๆ ทำให้ผมได้เห็นหน้าของเขาชัดๆ ปกติแล้วผมหน้าของไนล์จะไล่เลี่ยกับตา แต่ตอนนี้ผมหน้าถูกรวบไปขึ้นไปบนหัวโดยค่อนไปทางด้านหลังเล็กน้อย เผยให้หน้าผากที่เคยถูกปิดด้วยผมมาตลอด ผมเห็นโครงหน้าของไนล์ชัดขึ้น และมันก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นตาเล็กน้อย

เขาดู....น่ารัก? เหมือนเด็กๆ ยกเว้นก็แต่แววตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นซึ่งกำลังสะท้อนภาพของผม

“ทำไมเมื่อคืนให้ฉันค้างที่นี่”

ผมรู้ว่าที่เขาทำแบบนั้นไม่ได้เพราะอยากจะนอนกับผม ไม่อย่างนั้นหลังจากที่ผมตอบตกลงเขาคงทำอะไรสักอย่างหรือพูดอะไรกับผมบ้าง ไม่ใช่การนอนหันหลังให้ผมเหมือนกับที่ผมทำ แม้ว่าผมจะเป็นฝ่ายทำก่อนก็ตาม

“ดีกว่าขับรถกลับหรือไม่ใช่”

กระจับปากสีพีชขยับตอบขณะที่มือเรียวยื่นออกไปเคาะเถ้าบุหรี่อีกครั้ง ก่อนจะส่งฝั่งที่เป็นก้นกรองเข้าปากสูดสารที่ผสมกันอยู่ภายในแท่งทรงกระบอกเข้าไปหลังจากตอบผมแล้ว หนำซ้ำยังกลับมาก้มหน้าวาดรูปต่อราวกับจบเรื่องที่ต้องคุยกับผม

เขายังคงเป็นไนล์ที่ทำให้ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขาเหมือนเดิม

“ไม่อยากให้ฉันขับรถกลับอย่างนั้นเหรอ”

ผมถามลองเชิง ทั้งที่เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น และถึงจะรู้ตัวว่าเป็นเรื่องยากที่คำตอบจะออกมาเป็น ‘ใช่’ ผมก็ยังถามไปอยู่ดี ทว่าคำตอบกลับเป็นความเงียบ ผมจึงลองดูอีกครั้งด้วยคำที่ชัดเจนกว่าเดิม แม้จะไม่เข้าใจตัวเองสักเท่าไรว่าทำไมถึงอยากรู้คำตอบจากคนคนนี้ก็ตาม

“ห่วง?”

“...”

เป็นอีกครั้งที่ความเงียบย่างกรายเข้ามา ทว่าผิดจากเดิมตรงที่มือซึ่งกำลังขยับไปมาเพื่อสรรค์สร้างผลงานที่ผมก็ไม่แน่ใจ่ว่ามันคือรูปภาพของอะไรหยุดชะงัก ใบหน้าได้รูปสวยค่อยๆ เชิดขึ้นมองผมโดยที่หน่วยตาสีดำนั้นจับจ้องมาที่ส่วนเดียวกันของผม

เขามองหน้าผมค้างอยู่อย่างนั้นราวกับกำลังพิจารณาว่าควรจะตอบผมอย่างไร แต่นั่นคงเป็นเหตุผลที่ใช้ได้สำหรับคนอื่น ไม่ใช่กับไนล์ เพราะในใจของเขาน่าจะมีคำตอบอยู่แล้ว

“คงจะแบบนั้น”

ไม่ต่างจากที่ผมคิดและเผลอลำพองใจอยู่เล็กน้อยที่เริ่มอ่านไนล์ออกบ้าง แม้ว่ามันจะไม่ได้ดูมีประโยชน์อะไร และไม่สามารถสร้างความกดดันเขาได้เหมือนอย่างที่เขาทำกับผมก็ตาม ทว่ามันก็ทำให้ผมรู้สึกดีใจอยู่หน่อยๆ อีกทั้งคำตอบที่ได้รับก็ถือว่าชัดเจนพอสมควร

ผมกลั้นยิ้มทำไม?

รู้สึกได้เลยว่าตัวเองกำลังทำแบบนั้น ผมจึงต้องเม้มปากเข้าหากันแน่นเป็นการบังคับตัวเองไม่ให้ทำพฤติกรรมแบบนั้น ทว่าเมื่อเหลือบตาไปเห็นว่าเจ้าของคำตอบยังคงมองผมอยู่เหมือนเดิม ผมก็ต้องเบี่ยงหน้าไปทางอื่นเพราะไม่กล้าสบสายตาที่เหมือนกับมองสิ่งที่อยู่ในใจของผมออกทุกอย่าง

“ถ้าอย่างนั้นฉันกลับก่อน”

เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก เพราะตาคู่นั้นยังไม่วางจากผม ผมจึงบอกลาก่อนจะสูญเสียการควบคุมตัวเอง ผมก้าวเท้าออกมาให้ห่างจากคนที่ทำให้ผมต้องทำตัวแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยทำ ก้อนเนื้อใต้อกมันไหวๆ ยังไงชอบกล ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รุนแรงมากก็ตาม แต่มันก็ไม่ปกติ

เดินมาหยุดที่ประตูหน้าห้องได้ ผมก็หันกลับไปมองไนล์ที่ไม่ได้ขยับเขยื้อนไปไหน เขาไม่ได้หันมามองผม แต่กลับไปร่างเส้นต่อราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น และเป็นผมเสียเองที่เพี้ยนจนแสดงท่าทางแปลกๆ ออกมา














ตั้งแต่เสร็จสิ้นการสอบมิดเทอม ผมก็ได้กลับบ้านแค่ครั้งเดียว วันนี้ผมจึงตัดสินใจว่าจะมานอนค้างที่บ้านสักคืนหรือสองคืนเพื่อให้พ่อกับแม่ได้เห็นหน้าเห็นตาลูกชายบ้าง แต่ว่าผมกลับมาถึงตอนที่ยังไม่เย็นมาก พ่อก็เลยยังไม่ได้กลับจากบริษัท ส่วนแม่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ากำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่ครับ

ถึงที่บ้านของผมจะมีแม่บ้านคอยช่วยงานภายในบ้าน แต่เรื่องอาหารเย็นแม่ของผมอาสาทำเอง เพราะอยากให้มีช่วงเวลาที่เป็นของครอบครัวจริงๆ พ่อแม่ลูกกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยอาหารฝีมือแม่ อีกทั้งแม่ยังเคยบอก



‘เสน่ห์ปลายจวัก สามีรักสามีหลง จะทิ้งลงได้ยังไงกัน’



ตอนได้ยินคำตอบนั้นหลังจากบอกแม่ไปว่าให้ป้านิ่มเป็นคนทำก็ได้ แม่จะได้ไม่ต้องเหนื่อย ผมหัวเราะออกมาเสียงดังเลย แล้วก็ไม่ใช่แค่ผมด้วย เพราะพ่อเองก็หัวเราะร่วนเหมือนกัน ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นครอบครัวจริงๆ จะมีก็แต่ช่วงที่เริ่มเข้ามหา’ลัยนี่ล่ะครับที่ผมไม่ค่อยกลับบ้าน แต่ไปนอนคอนโดเสียมากกว่า เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสผมก็อยากจะกลับมาอยู่บ้านของตัวเองบ้าง

ผมแอบย่องเข้าไปในห้องครัวให้เบาที่สุดเพื่อคนที่อยู่ข้างในจะได้ไม่รู้ตัว ก่อนจะไปยืนอยู่ด้านหลังและชะโงกมองดูว่าแม่กำลังทำอะไร เห็นว่าไม่ได้ถือมีดหรืออะไรที่พอจะเป็นอันตรายได้ ผมก็กอดหมับที่ร่างเล็กๆ นั้นทันที

“อุ้ยตาย ใจหายใจคว่ำ” เสียงอุทานจากแม่ดังขึ้นมาก่อนแล้วจึงตามด้วยเสียงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม่ทำหน้าตึงใส่ผมพร้อมกับตีที่แขนของผมไปด้วย “เข้ามาไม่ให้สุมให้เสียง แม่ตกใจหมด ถ้าเกิดแม่ถือมีดอยู่จะทำยังไง”

“กราฟดูแล้วไงว่าแม่ไม่ได้ถือมีดถึงได้กอด คิดถึงคนสวยของกราฟจังครับ”

ใช้น้ำเสียงที่ติดอ้อนนิดๆ เป็นการเอาตัวรอด ผมก็กระชับวงแขน พลอยให้แม่ถูกผมกอดแน่นขึ้น ก่อนจะตามด้วยกดปากเข้ากับแก้มนิ่มๆ นั่น ทำให้แม่ยิ้มแก้มปริ แล้วผมจึงค่อยคลายกอดออก พลางเหลือบมองสิ่งที่แม่กำลังทำค้างอยู่

“วันนี้แม่ทำอะไรครับ เดี๋ยวกราฟช่วย”

“วันนี้แม่จะทำน้ำพริกอ่อง กราฟมาช่วยแม่ต้มผักแล้วกัน นี่แม่ล้างผักค้างอยู่”

“ครับ”

ผมยิ้มให้แม่ก่อนจะถกแขนเสื้อขึ้น ล้างมือให้สะอาดก่อนค่อยมาล้างผักต่อจากแม่ ส่วนแม่ก็ไปเตรียมอุปกรณ์อื่นๆ เพื่อทำน้ำพริกต่อ

เราสองคนช่วยกันทำอยู่ไม่นาน น้ำพริกอ่องกับผักเครื่องเคียงก็ถูกจัดสำรับเรียบร้อย น่ากินเชียวครับ ที่เหลือก็แค่รอเวลาพ่อกลับมากินข้าวเย็นด้วยกันเท่านั้น ผมจึงขึ้นห้องไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัวเสียก่อน กระทั่งเรียบร้อยผมก็หยิบกีตาร์ที่วางอยู่มุมห้องมานั่งดีดเล่นบนเตียงไปพลางๆ นับว่าเป็นวันสบายๆ ของผมอีกหนึ่งวันเลย

ทว่าเล่นกีตาร์ไปได้สองเพลงไม่ทันขึ้นเพลงที่สาม ผมก็ต้องหยุด เพราะเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นขัด ผมจึงต้องเปลี่ยนมารับโทรศัพท์แทน แต่เบอร์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าจอเป็นเบอร์ที่ไม่ได้บันทึกเอาไว้ และผมก็ไม่คุ้นสักเท่าไรจึงกรอกเสียงกลับไปอย่างสุภาพ แม้ว่าปกติผมจะไม่ค่อยพูดคำหยาบกับคนที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทอยู่แล้วก็ตาม

“สวัสดีครับ”

[อยู่คอนโดหรือเปล่า]

แค่คำถามสั้นๆ ที่มาพร้อมกับเสียงเรียบนิ่งเหมือนคนจะหมดแรงนั้นก็ทำให้ผมจำได้ทันทีว่าเป็นใคร เมื่อคืนผมไม่ได้เมมเบอร์ของไนล์เอาไว้ เพราะมัวแต่วุ่นอยู่กับการตามตัวคนก่อปัญหาให้ผมต้องร้อนรน จึงไม่แปลกที่ผมจะไม่รู้ว่าเป็นเขา และมันก็ทำให้ผมอดคิดในตอนนี้ไม่ได้ว่าผมน่าจะเมมเบอร์ของเขาเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนว่าเป็นเบอร์ที่ห้ามรับ ผมจะได้ไม่ต้องรู้สึกวุ่นวายใจอยู่ตอนนี้ว่าเขาคิดจะทำอะไรอีกกันแน่ถึงโทรมาหาผม

“ฉันอยู่บ้าน นายมีอะไร”

ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชากว่าปกติที่คุยกับคนอื่นๆ เพราะผมรู้สึกถึงความอันตรายที่เพิ่มมากขึ้นจากระยะห่างระหว่างผมกับไนล์ที่หดสั้นลงอย่างรวดเร็ว ผมเข้าใกล้เขามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทั้งที่พยายามจะหลีกหนีหลายต่อหลายครั้ง เพราะฉะนั้นถึงเมื่อคืนผมจะไปนอนค้างที่ห้องของไนล์ ผมก็ต้องระวังและห้ามไม่ให้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไนล์ใกล้ชิดกันไปมากกว่านี้

[บะหมี่เกี๊ยว ฉันอยากกินของร้านนั้น]

ไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติมก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นร้านไหน ผมเลยจะบอกตำแหน่งของร้านแล้วให้ไนล์ไปซื้อกินเอง แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าผมตั้งใจทำแบบนั้น ถึงได้พูดอีกประโยคทั้งที่ผมยังไม่ทันอ้าปาก

[จะรอที่อยู่คอนโด]

เท่านั้นไนล์ก็วางสายไป ทำให้ผมอึ้งได้พอควรที่อยู่ๆ ก็ถูกชิ่งตัดสายใส่ และพอผมโทรกลับไป ก็กลายเป็นว่าติดต่อไม่ได้แล้ว ไนล์ปิดเครื่องตัดหนทางการปฏิเสธของผมโดยสิ้นเชิง จนทำให้ผมต้องถอนหายใจออกมาดังๆ เพราะวันนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะนอนที่บ้าน กินข้าวเย็นกับพ่อและแม่ แต่กลับถูกก่อกวนและเริ่มจะทำให้ใจของผมไม่สงบ

โทรศัพท์ถูกผมนำไปวางไว้ที่เดิม ก่อนกีตาร์จะถูกจับไปตั้งไว้ที่เก่า ผมออกจากห้องนอนโดยทิ้งโทรศัพท์ไว้ เพราะไม่อยากถูกรบกวนอีก อย่างน้อยมันก็จะได้ไม่เป็นเครื่องมือกระตุ้นให้ผมต้องห่วงหน้าพะวงหลังกับการหักดิบไม่สนใจอีกฝ่ายที่โทรมาหา

ผมลงไปชั้นล่างเพราะคิดว่าพ่อน่าจะกลับมาแล้ว ซึ่งก็เป็นจริง ผมไหว้พ่อและทักทายกันนิดหน่อยตามประสาพ่อลูกที่ไม่ได้เจอกันหลายวัน และรอพ่ออาบน้ำเพื่อคลายเหนื่อยอีกประมาณสิบห้านาที อาหารมื้อเย็นของครอบครัวรัตนไพโรจน์ก็เริ่มขึ้น

ช่วงเวลาของการร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวในวันนี้นานกว่าการกินอาหารเย็นตามปกติ เพราะมีการพูดคุยสอบถาม เรื่อยเปื่อย มีสาระบ้าง ไม่มีบ้าง สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป จนผ่านไปเกือบชั่วโมงถึงจะให้แม่บ้านมาเก็บจานและทำความสะอาดโต๊ะได้

ผมมองนาฬิกาเป็นรอบที่สามเห็นจะได้ และเริ่มคำนวณเวลาว่าตั้งแต่ที่ไนล์โทรมาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว รู้สึกร้อนๆ อยู่ในอกเหมือนกำลังกระวนกระวายยังไงชอบกล ตอนที่เผลอคิดไปว่าไนล์กำลังรออยู่หรือเปล่า และรอผมตั้งแต่ตอนไหน

ทว่าอีกใจหนึ่งผมก็บอกว่าตัวเองว่า ‘ช่างสิ จะรอก็รอไป อย่าปล่อยให้เขาชักจูงผมไปมากกว่านี้’ แต่มันกลับดูไม่ค่อยจะได้ผลสักเท่าไร เพราะผมก็ย้อนกลับไปคิดอีกเหมือนเดิมว่าไนล์รอผมนานแค่ไหนแล้ว และจะรอไปถึงเมื่อไร ถ้าผมไม่ไป เขาจะทำยังไง

“กราฟ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ดูลนๆ นะ”

คงเพราะการแสดงออกทางสีหน้าหรืออาจจะเป็นท่าทางที่ลุกลี้ลุกลนของผมล่ะมั้ง ถึงทำให้แม่ต้องเอ่ยปากถามขณะที่พวกเรามารวมตัวกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ทั้งที่ผมพยายามควบคุมตัวเองแล้ว กล่อมตัวเองกลับไปกลับมาอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายผลก็ออกมาอย่างที่ผมบอกตัวเองซ้ำๆ ว่าไม่ต้องการ

“ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“แต่แม่ว่ากราฟเหมือนจะมีเรื่องไม่สบายใจนะ มีธุระที่ต้องไปที่ไหนหรือเปล่าครับ”

คำถามนี้ของแม่ทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย เพราะความตั้งใจว่าจะนอนค้างที่บ้านของผมถูกบั่นทอนลงด้วยความว้าวุ่นใจที่เกิดจากคนบางคน ซึ่งมันก็คงจะทำให้แม่ต้องเสียใจและผิดหวังหากว่าผมออกไปข้างนอกในเวลานี้ เพราะผมรู้ว่าแม่ดีใจแค่ไหนเวลาที่ผมกลับมาอยู่บ้าน ผมจึงต้องข่มความคิดของตัวเองเสียและทำตามที่หน้าที่ของลูกที่ดี ปฏิเสธไปอีกครั้งพลางส่งยิ้มเพื่อให้แม่สบายใจ

“ไม่ได้มีธุระที่ไหนครับ วันนี้กราฟจะอยู่กับแม่ไง”

“ถ้าจำเป็นต้องออกไป ก็ออกไปเถอะ ไม่ต้องทำเหมือนว่าจะไม่ได้กลับมาบ้านอีกหรอก”

คราวนี้เป็นพ่อที่พูดขึ้นมาบ้างราวกับรู้ใจ ถึงกระนั้นผมก็ยังแต้มยิ้มบนหน้าและตอบกลับให้พ่อกับแม่สบายใจ แม้ว่าผมจะรู้สึกหนักใจและ...เป็นห่วงอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร หรือยังรอผมอยู่หรือเปล่าก็ตาม

“กราฟว่าดูละครดีกว่านะ ละครมาแล้ว แม่ชอบเรื่องนี้ด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

ผมจบประเด็นการพูดคุยด้วยการหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์ที่เปิดค้างอยู่ ไตเติ้ลของละครภาคค่ำกำลังเริ่มต้นพอดี เราทั้งหมดจึงเบี่ยงความสนใจไปกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ซึ่งมีภาพฉายอยู่ในนั้น แต่ถึงแม้ตาจะมองสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายในกรอบนั้น สมองของผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่องเดิม และดูเหมือนว่ามันจะหนักขึ้นด้วย

กระทั่งสามทุ่มเกือบครึ่ง ผมยังคงนั่งอยู่ที่เดิม บนโซฟาในห้องนั่งเล่นข้างๆ แม่ที่ยังดูละครอย่างสนุกสนาน ผมดูนาฬิกาบนผนังซ้ำๆ ไม่รู้กี่ครั้งและเริ่มรู้สึกว่าเข็มนาฬิกาหมุนช้าลงเรื่อยๆ และมันก็ทำให้ผมอึดอัดเหมือนถูกจำกัดอยู่ในห้องแคบๆ ที่แทบขยับตัวไม่ได้ ในใจเอาแต่คิดว่า ‘ไนล์จะเป็นยังไง’ อยู่แบบนั้นไม่รู้กี่สิบรอบ

สุดท้ายความพยายามของผมก็พังทลาย ผมฉุดตัวขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่พลอยให้พ่อกับแม่หันมามองกันเป็นตาเดียวคล้ายกับจะถาม ทำให้ผมรู้สึกกดดันหน่อยๆ จนต้องเม้มปากเข้าหากันอยู่ชั่วครู่ พลางคิดหาคำพูดที่จะใช้ในการบอกกับคนในครอบครัวว่าผมคิดจะทำอะไร

“กราฟขอโทษนะครับ แต่กราฟคงต้องออกไปข้างนอกก่อน”

ทั้งพ่อและแม่ดูไม่แปลกใจที่ผมบอกออกมาแบบนั้น แต่กลับระบายยิ้มให้พลางถามด้วยเสียงอารีอย่างเข้าใจ ถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมผมต้องออกไปก็ตาม

“แล้วคืนนี้จะกลับมานอนที่บ้านไหม”

“กราฟไม่แน่ใจ แม่ไม่น้อยใจกราฟนะ”

ผมออกตัวไว้ก่อน เป็นวิธีการที่จะทำให้แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องผมนักว่าจะออกไปทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่ดีตอบกลับมา แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผมสะอึกได้เหมือนกัน

“แม่น้อยใจก็ดีกว่ากราฟใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เอาแต่จ้องนาฬิกานะ คงเป็นเรื่องสำคัญมากใช่ไหม”

เรื่องสำคัญไหม?

ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมไม่สามารถปล่อยให้คนคนหนึ่งรอผมโดยไม่รู้ชะตากรรมอยู่แบบนั้นได้ ถึงผมจะไม่แน่ใจก็ตามว่าเขาจะยังรอผมอยู่เพราะมันผ่านมาสามชั่วโมงแล้ว ผมได้แต่ตอบ ‘กราฟไปก่อนนะครับ’ แล้วไหว้พ่อกับแม่ก่อนจะวิ่งขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและคว้าของติดตัวที่จำเป็นทุกอย่างไปขึ้นรถที่จอดอยู่ในโรงจอดรถของบ้าน














จุดหมายของผมคือคอนโดที่ผมใช้อาศัยอยู่ประจำ พ่อซื้อไว้ให้ผมตั้งแต่เข้ามหา’ลัย เผื่อผมจะได้ใช้พักผ่อนในช่วงรอเข้าเรียนระหว่างวิชา หรือไม่สะดวกกลับบ้าน ซึ่งก็นับว่าผมได้ใช้มันอย่างคุ้มค่าตามที่พ่อคาดการณ์เอาไว้

ขับรถอยู่ครึ่งชั่วโมง ผมก็มาถึงที่หมาย ตอนนี้สี่ทุ่มแล้วยิ่งทำให้ใจของผมกระวนกระวายมากขึ้น ผมจอดรถที่ลานจอดชั้นล่างของคอนโดด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งเข้าไปดูว่ามีคนที่บอกว่าจะรอผมนั่งอยู่ที่ล็อบบี้หรือเปล่า แต่กวาดตามองหาจนทั่วแล้วก็ไม่เจอ

“หรือว่าจะกลับไปแล้ว”

ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ใจของผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรกลับไปยังเบอร์ที่โทรหาผมช่วงหัวค่ำ แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้เหมือนเดิมจนผมรู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

“ทำไมต้องทำแบบนี้ แล้วฉันจะติดต่อนายได้ยังไง”

บ่นกับตัวเองอย่างหัวเสียนิดหน่อยแล้วผมก็ยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ ไปที่ลิฟต์และขึ้นไปยังชั้นที่เป็นห้องของผม เผื่อเอาไว้ว่าคนที่ทำให้ใจของผมร้อนรุ่มจนทนนั่งอยู่ที่บ้านเฉยๆ ไม่ได้จะขึ้นมารอที่หน้าห้อง

แล้วผมก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกจริงๆ เมื่อออกมาจากลิฟต์และเดินตรงไปทางที่เป็นห้องของตัวเองก็เห็นเงาของคนบางคนนั่งอยู่หน้าห้องตั้งแต่ยังเดินไปไม่ถึง ผมก้าวขาให้ช้าลงผิดจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ก่อนจะไปหยุดอยู่ต่อหน้าคนที่นั่งกอดเข่าอยู่บนพื้น

การปรากฏตัวของผมเรียกให้ใบหน้าสวยนั้นช้อนขึ้นมา ไนล์มองหน้าผม ซึ่งผมเองก็มองเขาเช่นกัน ความอัดอั้นในใจของผมถูกระบายออกมาเป็นเสียงทันทีที่เห็นหน้าเขาได้อย่างชัดเจน

“ทำไมถึงปิดเครื่อง ทำไมถึงยังรออยู่ ทำไมถึงไม่กลับไป”

แต่แทนที่ผมจะได้คำตอบจากคำถามพวกนั้น ไนล์กลับชันตัวยืนขึ้น แต่ก็เซน้อยๆ เพราะคงนั่งอยู่นานแล้ว ผมถึงต้องยื่นมืออกไปจับตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ล้มลงไป ขณะที่ตาเรียวที่คล้ายกับแฝงอะไรไว้มากมายในความว่างเปล่ากลับจับจ้องมาที่ผม

มือเย็นๆ นั่นยกขึ้นมาแตะที่ขมับของผมแล้วลูบลงมาตรงจอนผมสั้นๆ เสียงนิ่งเรียบลอดออกมาจากกระจับปากที่ผมมองเห็นได้เด่นชัด เป็นประโยคที่เหมือนกับมีดที่แทงลงมาบนหัวใจของผมจนทำให้ตัวชา และพูดอะไรไม่ออก

“เหงื่อออก รีบมากเหรอ”

ผมต้องกลอกตาหลบสายตาคู่นั้นที่เหมือนกับรู้ทันผมทุกอย่าง อ่านความคิดของผมออกทั้งหมด อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอึกอักเสียงออกมา

“แล้วนี่ทำไมไม่รออยู่ข้างล่าง ถ้าเกิดฉันไม่ขึ้นมาข้างบนจะว่ายังไง”

“ฉันรู้ว่านายต้องขึ้นมา” รอยยิ้มที่ทำให้ใจของผมชาวูบกระตุกที่มุมปากของไนล์ช้าๆ ทั้งที่มือของเขายังแตะอยู่ที่ข้างหูของผม “นายจะตามหาฉันจนกว่าจะเจอ”

ไนล์พูดราวกับมั่นใจว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีดที่คาอยู่บนอกถูกปักลงมาลึกขึ้นอีก มันไม่เจ็บ แต่ทำให้ผมไม่สามารถขยับร่างกายได้ หัวตื้อไปหมด เหมือนกำลังถูกควบคุมโดยคนตรงหน้า

เขารู้ดีทุกอย่าง รู้ดียิ่งกว่าตัวผมเสียอีก

“แล้วนี่กินอะไรหรือยัง”

ผมถามคำถามสิ้นคิดออกไป เพราะไม่รู้ว่าจะแก้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ยังไง ซึ่งคำตอบที่ได้รับมาก็ทำให้ผมจุกได้เหมือนเคย แม้ว่ามันจะไม่ตรงคำถามก็ตาม

“ฉันรอนายอยู่”

“โอเค งั้นไปกินได้แล้ว”

คงไม่แปลกที่ความรู้สึกผิดจะถมขึ้นมาในใจเมื่อคิดว่าไนล์ต้องรอผมนานแค่ไหน ทั้งที่เขาควรจะได้กินข้าวเย็นตั้งแต่หลายชั่วโมงก่อน แต่เป็นเพราะผมพยายามห้ามตัวเองไม่ให้มาที่นี่ เขาถึงต้องทนหิ้วท้องรอแบบนี้ และมันก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าหากว่าผมไม่มาจริงๆ เขาจะทำยังไง จะรอต่อไปอีกหรือเปล่า นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวจนปล่อยไปไม่ได้

ไนล์มักทำอะไรที่ผมไม่คาดคิดอยู่เสมอ

ใช้ชีวิตเหมือนคนที่ไม่กลัวอะไรเลยและพร้อมจะตายได้ทุกเมื่อ

เป็นคนที่น่ากลัวมากสำหรับผม ...แล้วก็น่าห่วงมากเช่นกัน

มือที่แตะอยู่บนหน้าของผมถูกผมคว้าเอาไว้ ก่อนผมจะออกเดินนำและดึงให้เขาเดินตามมา เราลงลิฟต์ไปชั้นล่างและตรงไปที่รถของผมทันที ผมรีบขับรถให้เร็วกว่าปกติเล็กน้อยเพราะกลัวว่าร้านบะหมี่เกี๊ยวจะปิดเสียก่อน ซึ่งมันคงไม่ดีแน่หากคนที่รอจะกินต้องกลายเป็นรอเก้อเพราะผม แต่ว่าโชคยังดีครับที่ไปถึงแล้วร้านยังเปิดอยู่

ผมหาที่จอดรถริมถนนที่อยู่ใกล้ๆ กับร้านนั้น เพราะว่ามันเป็นร้านที่อยู่ในตึกแถวริมถนนแค่หนึ่งคูหา และมีคนแวะเวียนกันมากินเรื่อยๆ วันนี้คนไม่เยอะมากเพราะคงดึกแล้ว ผมสั่งบะหมี่เกี๊ยวหมูกรอบพิเศษหนึ่งชาม ไม่ใช่สำหรับผม แต่สำหรับคนที่มาด้วยกัน ก่อนจะเดินนำไปนั่งที่โต๊ะว่างๆ และสั่งโค้กกับน้ำแข็งเปล่ามาเพิ่ม

รอไม่นานบะหมี่ที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ ผมเลื่อนชามที่ถูกนำมาวางตรงหน้าไปที่ให้ไนล์ พลางบอก ‘กินซะสิ’ ไนล์ถึงได้หยิบตะเกียบขึ้นมาและปรุงเครื่องปรุงตามรสชาติที่ผมเห็นแล้วเสียวไส้ น้ำสีเหลืองอ่อนๆ กลายเป็นสีแดงส้ม ก่อนเส้นบะหมี่จะถูกคีบเข้าปากพร้อมกับหมูกรอบ

“ไม่กินเหรอ”

กินไปได้สองสามคำไนล์ก็ถามผม เพราะผมไม่ได้สั่งอะไรเพิ่ม แค่ดูดโค้กจากแก้วที่เทออกมาแบ่งกับเขาบ้างเป็นระยะ ผมจึงตอบกลับไปตามจริง ถึงมันจะทำให้ผมรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อยก็ตาม

“ฉันกินมาแล้ว”

แต่ไนล์กลับแสดงออกตรงข้ามกับผม เขาคลี่ยิ้มบางๆ ในช่วงเวลาที่สั้นมากจนหากไม่ได้มองอยู่ก่อนแล้วคงไม่ทันเห็น และมันยังเป็นรอยยิ้มที่แตกต่างจากที่เคยเห็นๆ มา

ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มของไนล์ ผมจะรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเย็นชืด ไม่มีชีวิตและไม่มีความรู้สึก แต่ครั้งนี้มันทำให้ผมรู้สึกว่า...มันมีอะไรมากกว่านั้น

ผมเห็นความดีใจที่ซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของไนล์

และก็ทำให้ผมรู้สึกอิ่มเอมในอกอยู่หน่อยๆ จนต้องประหลาดใจ

“ทำไมนายถึงยิ้ม”

“ยิ้ม?”

ไนล์เงยหน้าขึ้นมามองผมเล็กน้อยหลังจากตักน้ำซุปสีส้มเข้าปากและกลืนเรียบร้อยแล้ว ถามผมย้อนกลับมาเหมือนไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“นายยิ้ม แต่ยิ้มไม่เหมือนกับทุกที”

“ก็แค่ดีใจ..........ที่นายมานั่งรอฉัน”

เหตุผลแค่นั้นแต่กลับทำให้คนตรงหน้าของผมยิ้มได้ด้วยความดีใจ ได้ยินอย่างนั้นแล้วก็พลอยให้ผมต้องกลั้นยิ้มอย่างไร้เหตุผล รู้แต่ว่าผมรู้สึกดีกับคำตอบนั้นจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้

ราวกับตกอยู่ในภวังค์ชั่วครู่ ผมมองไนล์ที่ก้มหน้ากินบะหมี่ในชามอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยความรู้สึกว่าผมอิ่มไปด้วย แต่เป็นความรู้สึกอิ่มใจเสียมากกว่า ทว่าผมก็เกือบสะดุ้ง เพราะเสียงโทรศัพท์ของไนล์ดังขึ้นมา ผมเห็นเขาเปิดเครื่องตั้งแต่ตอนอยู่บนรถของผมแล้ว เป็นการยืนยันว่าเขาปิดโทรศัพท์เพราะผมจริงๆ

ไนล์ถนัดในการทำให้ผมว้าวุ่นใจเพราะเขาได้เสมอ






อ่านต่อด้านล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 02-11-2013 18:51:13
ต่อจากข้างบน


v


v


“สวัสดีครับ”

ไนล์วางมือจากตะเกียบและยกแก้วที่ใส่โค้กขึ้นมาดูดไปหนึ่งอึกก่อนจะรับโทรศัพท์ที่ติดต่อเข้ามา ผมไม่รู้ว่าเขาคุยเรื่องอะไร เพราะได้ยินแค่เพียงฝั่งเดียว แต่ก็พอจะคาดเดาได้

“พรุ่งนี้ผมมีแล็บ เลิกสี่โมง”

“เดี๋ยวผมไปหาที่คณะครับ”

“ครับ พี่มายด์ เจอกันพรุ่งนี้ครับ ฝันดีครับ”

วางสายแล้ว ไนล์ก็กลับมากินบะหมี่ที่พร่องลงไปจนเกือบหมดต่อ ผมได้แต่มองเขาพร้อมความรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่ก็พยายามจะไม่คิดอะไร รอกระทั่งไนล์กินเสร็จก็ได้เวลาที่จะแยกย้ายกันเสียที

“เท่าไร”

ตะเกียบถูกวงลงบนชามและดื่มโค้กที่เหลือจนหมดแล้ว ไนล์ก็ถามขึ้น เตรียมหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่ายค่าบะหมี่ แต่ผมหยุดเขาไว้เสียก่อน

“เดี๋ยวฉันจ่ายเอง ถือว่าเป็นการขอโทษที่ทำให้นายต้องทนหิว”

เหตุผลนี้อาจจะฟังขึ้น ไนล์ถึงได้ยอมเก็บกระเป๋าเงินกลับคืนตามเดิม ผมจึงเป็นฝ่ายลุกจากโต๊ะก่อนและเดินไปจ่ายเงินกับคนขาย ไม่ได้เรียกให้เขามาคิดเงินที่โต๊ะ เพราะถึงอย่างไรผมก็ต้องเดินไปทางหน้าร้านอยู่แล้ว จ่ายเงินเสร็จผมก็รอไนล์อยู่หน้าร้าน ซึ่งคนที่ผมรอก็ตามออกมาในเวลาไล่ๆ กัน ก่อนจะเกริ่นประโยคที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยิน

“ไปคอนโดของนายนะ”

“ทำไมต้องไปคอนโดฉัน เดี๋ยวฉันไปส่งนายเหมือนเดิมก็ได้ ยังไม่ดึกเท่าไร”

“เมื่อคืนนายนอนที่ห้องของฉันแล้ว คืนนี้ฉันจะไปนอนที่ห้องของนายบ้าง”

ผมอยากตอบกลับไปว่าไม่ต้อง แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงหยุดเสียงของตัวเองเอาไว้ ไม่ตอบอย่างที่ใจคิด และมองหน้าไนล์อยู่อย่างนั้นราวกับจะให้มันเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งมันก็ทำให้ผมตัดสินใจได้จริงๆ แต่เป็นการตัดสินใจที่ผิดจากความตั้งใจดั้งเดิมของผมโดยสิ้นเชิง

ไม่ได้ตอบเป็นคำพูด ผมไปรอไนล์ที่รถเลย ซึ่งเจ้าตัวก็คงพอจะเดาคำตอบจากผมได้ ถึงตามมาโดยไม่พูดอะไรอีก ผมไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกในทางที่ไม่อยากเดิน หรือเพราะความลังเลของผมเอง ที่ใจหนึ่งอยากจะออกห่างจากไนล์ในมากที่สุด แต่อีกใจกลับอยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นยังไงกันแน่

ในตอนนี้ผมรู้สึกไม่ต่างจาก...ยิ่งห้ามตัวเองเท่าไร ก็ยิ่งถลำลึกลงไปเท่านั้น










มาถึงห้องผมก็เตรียมผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าให้ไนล์เปลี่ยนสำหรับใส่ในคืนนี้ แต่ผมเป็นฝ่ายเข้าไปอาบน้ำก่อน เพราะไนล์เพิ่งกินมาอิ่มๆ ให้อาบน้ำเลยคงจะไม่ดี ซึ่งพอผมจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย มาอยู่ในชุดเสื้อยืดกับบ็อกเซอร์สีเข้ม ไนล์ก็เข้าไปอาบน้ำต่อและมาแต่งตัวที่ด้านนอกเหมือนอย่างเมื่อวาน

ชุดที่ผมเลือกให้ไนล์เป็นเสื้อยืดเช่นเดียวกัน แต่กางเกงที่สวมเป็นกางเกงขาสั้นที่ผมพยายามเลือกตัวที่สั้นที่สุดสำหรับผมแล้ว แต่มันก็ยังใหญ่อยู่ดีเมื่อเทียบกับขนาดตัวของไนล์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อหรือกางเกง ชุดนี้ผมเคยให้ไฮยีนใส่ตอนมันมาค้างที่ห้องของผมอยู่เหมือนกัน แต่ตอนที่มันใส่ดูหลวมน้อยกว่านี้ ซึ่งก็คงไม่แปลก เพราะไอ้ยีนสูงกว่าไนล์นิดหน่อย และก็มีเนื้อมีหนังกว่าด้วย

ผมมองไนล์ที่อยู่ในชุดของผมทั้งตัวแล้วก็ต้องหลุดยิ้มออกมานิดๆ เพราะคนตรงหน้าของผมตอนนี้เหมือนกับเด็กที่หยิบชุดพี่ชายที่อายุมากกว่าหลายๆ ปีหรือว่าพ่อมาใส่ เพราะมันดูหลวมโพรกไปหมด ยิ่งกว่าเสื้อกล้ามที่เขาใส่เมื่อวานเสียอีก ไหล่เสื้อตกไปอยู่ตรงต้นแขนจนผมยังสงสัยว่ามันจะน่ารำคาญหรือเปล่า

“ขำอะไร”

ไนล์ย่อตัวมานั่งข้างผมบนเตียงและถามคำถาม ขณะที่ก็จดจ้องเข้ามาในตาผมด้วย สายตาของเขายังดูเหมือนหลุมสีดำที่เคว้งคว้างและว่างเปล่า ทว่าในวันนี้ผมกลับสังเกตได้ถึงความเปลี่ยนไปนิดๆ ประกายอะไรบางอย่างราวกับแสงสีขาวจุดเล็กๆ ที่ส่องสว่างอยู่ท่ามกลางความมืดดำ มันเป็นแววของความมีชีวิต ไม่ใช้ไร้ชีวิตเหมือนทุกที และมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะมองค้างอยู่ข้างนั้นด้วยความสนใจ

“เสื้อผ้าของฉันคงใหญ่เกินไปสำหรับนาย”

“ไม่เห็นมีอะไรที่ตลกหรือน่าขำ” ไนล์ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ยังเรียบเหมือนเคย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องใหม่แบบไม่ทันให้ผมได้ตั้งตัว “นายเมมเบอร์ของฉันหรือยัง”

ผมชะงักไปนิดหน่อยที่ไนล์รู้ทันผมอีกแล้วว่าผมยังไม่ได้บันทึกเบอร์ของเขาลงในโทรศัพท์ และยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบคำถามนั้น ร่างโปร่งบางนั่นก็ชะโงกเข้ามาหาผมแล้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ที่ผมวางเอาไว้ตรงหัวเตียงอย่างถือวิสาสะ จนผมต้องรีบคว้ามือซนๆ นั่นเอาไว้

“จะทำอะไร”

“เมมเบอร์ฉันลงไป”

“ฉันไม่อยากเมม”

ตอบกลับไปอย่างชัดเจนและลืมตัว ผมไม่รู้ว่าเขารู้สึกอะไรกับคำพูดเมื่อครู่ของผมหรือเปล่า หรือว่าผมอาจจะคิดไปเอง แต่ประกายตาวูบหนึ่งที่ผมได้เห็นมันหายไปแล้ว กลับกลายเป็นไนล์ที่สบตาผมด้วยแววตาที่เหมือนคนไร้ชีวิตเหมือนเดิม

“ถ้านายเมม ฉันจะบอกว่าความลับหนึ่งอย่าง”

คนที่นั่งเผชิญหน้ากับผมยื่นข้อเสนอมาให้ และมันก็เป็นข้อเสนอที่ทำให้ผมสนใจไม่น้อย ผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาที่จะได้รู้เรื่องของไนล์มากขึ้น ได้รู้ถึงเหตุผลที่เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผม จึงรีบโพล่งกลับไปทันควัน

“แน่ใจนะว่าไม่ว่าฉันถามอะไร นายจะตอบ”

“อืม”

“งั้นก็เมมเลย”

ผมไม่รอช้าปล่อยมือตัวเองออกจากมือของไนล์และรีบเร่งให้เขาทำอย่างที่ต้องการ เพราะผมสามารถลบเบอร์ของเขาทีหลังได้ แต่ผลตอบแทนที่ผมจะได้รับมันคุ้มกว่า

“รหัส”

เพราะผมล็อกโทรศัพท์เอาไว้ ไนล์จึงยังจัดการอย่างที่ผมบอกไม่ได้ จึงบอกรหัสปลดล็อกไป ซึ่งก็คือเลขที่ผมกับเพื่อนๆ ในกลุ่มแต่ละคนชอบ รวมกันมาตั้งเป็นรหัส เลขสี่ตัวแทนพวกเราสี่คน เรียงเลขเวียนตามเจ้าของเครื่องและลำดับวันเกิด ฉะนั้นไม่ว่าผม ยีน กัส หรือเคลม ก็จะรู้รหัสของกันทั้งหมด เพราะพวกเราไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว เว้นก็แต่เรื่องไนล์ที่ผมยังไม่ได้บอกใคร

ตราบใดที่เรื่องของไนล์ยังไม่ชัดเจน ผมคงไม่รู้จะบอกว่ายังไง

มือเรียวเล็กเมื่อเทียบกับมือของผมกดตัวเลขไปตามที่ผมบอก ก่อนจะจัดการบันทึกเบอร์ของเจ้าตัวลงไปในโทรศัพท์ กระทั่งเรียบร้อยไนล์ก็เงยหน้าขึ้นมามองผม

“อยากรู้อะไร”

ถึงเวลาที่รอคอย ผมกระหยิ่มยิ้มอยู่ในใจพลางคิดถึงคำถามที่อยากรู้ที่สุดจากคนตรงหน้า คำถามที่ผมจะได้คำตอบที่ชัดเจนและทำให้ผมกระจ่างในทุกๆ เรื่อง และยังเป็นคำถามที่ผมเพียรถามผู้ชายคนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่ไม่เคยได้คำตอบเสียที

“นายต้องการอะไร ถึงเข้ามาในชีวิตของฉัน”

ผมถามอย่างชัดถ้อยชัดคำและเคลียร์หูรอฟังคำตอบ แต่ยังไม่ตอบ ไนล์ก็ถามย้อนกลับมาเสียก่อน

“แน่ใจว่าจะถามคำถามนี้”

“แน่ใจ”

เสียงของผมหนักแน่นกว่าครั้งไหนที่เท่าที่ผมจำได้ ในใจรอลุ้นกับความลับที่จะหลุดออกมาจากริมฝีปากสีพีชด้านหน้า ผมจ้องเรียวหน้าสวยนั้นไม่วางตาด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างที่ไม่เคยทำ

“ฉันเข้ามาในชีวิตนายก็เพราะ.......ฉันอยากให้นายเลิกยุ่งเกี่ยวกับพี่ดาหลา”

คำตอบที่ได้รับมาคล้ายๆ กับครั้งหนึ่งที่ไนล์เคยตอบผม พานให้รีบสวนเสียงกลับไปเพราะกลัวพลาดโอกาสถามต่อ

“แล้วทำไมต้องไม่อยากให้ฉันเข้าใกล้พี่ดาหลา”

ทว่า...

“ความลับหนึ่งอย่าง”

ไนล์ตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มจางที่เย็นชืดแฝงด้วยแววเยาะหยันน้อยๆ ดั่งจะบอกว่าเขาเตือนผมแล้วว่าจะถามคำถามนี้เหรอ แต่ผมก็ยังดันทุรัง ทำให้ผมต้องชะงักและรู้สึกว่าตกหลุมพรางไปเต็มๆ

“เอาโทรศัพท์ฉันคืนมา ฉันจะลบเบอร์นายออกแล้วเมมใหม่ ฉันจะถามนายอีกรอบ”

คิดกลโกงขึ้นมาได้ ผมก็รีบยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์ของผมที่ยังอยู่ในมือของไนล์ แต่ไนล์ก็โยกตัวหลบอย่างคล่องแคล่ว ผิดจากลักษณะที่ดูเหมือนคนไม่มีแรงและพร้อมจะสูญสลายหายไปได้ทุกเมื่อ ทำให้ผมต้องเอื้อมตัวเข้าหามากขึ้น แต่ก็ยังไม่ถึงคนที่เอนหลบอยู่ดี

มือเรียวยื่นของที่อยู่ในมือไปด้านหลังสุดแขน ทำให้ผมที่นั่งอยู่ด้านหน้าต้องโน้มตัวเข้าหามากกว่าเก่า และคงเพราะผมเอาแต่จะแย่งโทรศัพท์คืนจากไนล์ ถึงได้ไม่ทันระวัง เสียหลักจนกลายเป็นโถมตัวเข้าใส่คนตรงหน้าทำให้ร่างผอมบางนั้นหงายลงไปนอนแผ่กับที่นอน ขณะที่ผมก็ล้มลงไปคร่อมเขาเช่นกัน

สายตาของเราสองคนประสานกันอย่างไม่ตั้งใจ ผมไม่รู้ว่าไนล์กำลังรู้สึกแบบไหนตอนที่เราจ้องตากันอยู่แบบนี้ แต่ผมรู้สึกเหมือนหยุดหายใจไปวินาทีหนึ่ง ทุกอย่างรอบตัวคล้ายกับหยุดเคลื่อนไหว ตาของผมจับจ้องไปที่ตาเรียวสีดำสนิทที่สะท้อนภาพของผมอยู่ในนั้น และมันก็ราวกับมีแรงดึงดูดให้ผมอยากจะมองเข้าไปให้ลึกขึ้นจนไม่สามารถละสายตาได้

หน้าของผมขยับเข้าไปใกล้หน้าของไนล์ช้าๆ จนระยะห่างระหว่างเราแทบจะหมดลง ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่เป่าออกมาจากจมูกของคนที่อยู่ใต้ร่างของผม มันอุ่นและก็ทำให้ผมรู้สึกว่าก้อนเนื้อที่อยู่ในอกข้างซ้ายของผมกำลังเต้นแรงขึ้นพร้อมกับใบหน้าของผมและไนล์ที่ห่างกันน้อยลงทุกที...







================
จะจูบไหมน้อ?

ดูท่ากราฟจะหนีไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ

ตอนที่แล้วมีคนบอกว่าถึงไนล์จะออกเยอะ แต่บทพูดยังน้อย
จริงๆ เรื่องนี้บทพูดน้อยๆ ทั้งนั้นเลย กลัวอยู่เหมือนกันว่ามันน่าจะเบื่อหรือเปล่า
แต่คาแรกเตอร์เป็นแบบนี้ ก็เลยต้องออกมาแบบนี้ ฮาาา :katai5:

ขอบคุณที่ติดตามกันนะคะ
ตอนนี้ค่อยๆ เฉลยเกี่ยวกับตัวไนล์ไปเรื่อยๆ ออกมาทีละนิดๆ อยู่ค่ะ


Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 02-11-2013 20:12:29
กราฟ อย่าเล่นตัวมาก
กร๊ากกกกกกกกกกกกกก
คือไนล์เป็นคนน่าค้นหาจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร
ชอบกราฟแน่ๆหรือไม่ใช่ แล้วพี่มายด์อะไรนั่นอีก
รออ่านนิยายเรื่องนี้เสมอนะคะ
ตอนหน้าคงได้จูบกันแล้วแหละ #ไซโคล 5555555555555+
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 02-11-2013 21:06:01
บรรยากาศแบบนี้ก็สนุกดีนะ มันดูเป็นการค่อยๆแง้มความลับออกมาให้ได้ลุ้นตลอด
แต่ไนล์กับกราฟดูผูกพันกันแล้วนะอิอิ กราฟไปไหนไม่รอดแล้วมั้งแบบนี้
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 02-11-2013 21:44:00
จะได้จูบมั้ยหนอ :hao6:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 02-11-2013 22:40:54
โอยยยยยยย แย่แล้วววว
ยังไงนี่!! แม่ยกอึดอัด แต่ก้อลุ้นนะ 5555
สักที่เถอะ! (หมายถึงคุยให้รู้เรื่อง) คึคึ รออ่านต่อ และขอบคุณจ้า
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 07-11-2013 14:18:00
ฮิ๊ววววววว เขิน  :กอด1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 7 : ความลับหนึ่งอย่าง [2/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 07-11-2013 16:07:26
อิอิ ตอนหน้าจูบไม่จูบไม่รู้แต่ตอนนี้น้องกราฟเป็นฝ่ายเริ่มนะนั่น
สงสัยน้องกราฟคงไปไหนไม่รอดเผลอตัวเผลอใจให้กับความน่าค้นหาของน้องไนล์ไปแล้วอะจิ
ขนาดร้อนรนสับสนเพราะกลัวน้องไนล์คอยเก้อเลยอะ แสดงว่าเริ่มแคร์ความรู้สึกน้องไนล์มากขึ้นแล้ว
แล้วความลับหนึ่งอย่างนี่ก็น่าเจ็บใจแทน เหมือนหลงกลน้องไนล์เลยอะ
สรุปไม่ได้รู้อะไรเพิ่มเหมือนเดิม 555 แต่ตอนนี้เริ่มอยากรู้อีกอย่างพี่มายด์คือใคร ? เกี่ยวอะไรกะน้องไนล์นะ
แล้วทำไมเวลาปกติน้องไนล์ก็ดูเฉย ๆกะน้องกราฟ แต่พอตกเย็นต้องหาข้ออ้างให้น้องกราฟไปหาไปค้างด้วยตลอด
แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นหาข้ออ้างมาค้างกะน้องกราฟแทนล่ะ 555 แล้วตอนนี้ยังบังคับให้น้องกราฟเมมเบอร์ตัวเองไว้อีก
น้องไนล์ไม่คิดบ้างเหรอว่าถ้าน้องกราฟจำเบอร์ตัวเองได้อาจไม่ยอมรับสายก็ได้
เพราะที่รับสายแต่ละครั้งนี่ก็เพราะน้องกราฟไม่รู้ว่าเป็นเบอร์น้องไนล์นะ แต่ดูจากตอนนี้
คิดว่าต่อไปน้องกราฟคงไม่ปฏิเสธอะไรที่เป็นน้องไนล์แล้วล่ะมั่ง เอ๊ หรือจะยิ่งหนีไม่รู้ (แบบหนีใจตัวเองอะค่ะ)
รอติดตาม และ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนเหมือนเดิมค่ะ  :pig4:  :กอด1:
ปล.ถึงน้องไนล์จะได้พูดน้อยแต่ไม่ได้น่าเบื่อนะค่ะ น่าค้นหาดีออก  :mew1:

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 16-11-2013 20:29:53
ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ
















การเคลื่อนที่ทีละน้อยราวกับถูกแรงดึงดูดบางอย่างเหนี่ยวรั้งให้หน้าของผมเข้าใกล้ไนล์หยุดลงก่อนที่ริมฝีปากของผมจะแตะลงบนปากของคนที่นอนอยู่ใต้ร่าง เหลือเพียงอากาศเล็กน้อยที่กั้นระหว่างผมกับไนล์เอาไว้ ไออุ่นๆ ที่รดอยู่บนแก้มของผมยังคงทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจเต้นด้วยจังหวะที่เร็วเหมือนเดิม

ผมกะพริบตาอยู่สองครั้งและดึงสติกลับมาได้ก่อนจะเผลอทำอะไรที่ไม่สมควรทำลงไป จากนั้นก็ดันตัวขึ้นถอยห่างคนที่ทอดสายตามองทางผมโดยไม่หลบเลี่ยง แววตาของไนล์ไม่ต่างจากเดิมสักเท่าไรผิดกับผมที่รู้สึกถึงความผิดปกติของตัวเองไปเต็มๆ จนต้องตั้งสติอีกครั้ง

“ฉันไม่ถามนายแล้วก็ได้”

ต้องตัดใจในสิ่งที่อยากรู้ไปเพราะไม่สามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้ ซึ่งหลังจากผมบอกแบบนั้นไนล์ก็ลุกขึ้นนั่งเช่นกันก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้ผม ผมจึงนำไปวางไว้ตรงหัวเตียงแล้วล้มตัวลงบนเตียงเป็นการตัดบททุกอย่างไม่ว่าจะเป็นการสนทนา เจรจา หรืออะไรก็ตามแต่พลางบอก

“นอนได้แล้ว ปิดไฟด้วยล่ะ”

ผมพลิกตัวหันหลังให้ไนล์และหลับตาลงแน่นเพื่อข่มความรู้สึกแปลกๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ให้คนที่ขอมานอนกับผมในคืนนี้มีอิทธิพลหรือทำให้ผมรู้สึกอะไรที่ไม่เป็นตัวเองมากไปกว่านี้

เมื่อผมทำอย่างนั้น ที่นอนทางด้านหลังก็เกิดแรงยวบขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่าน้ำหนักที่มีอยู่ก่อนหน้าหายไป ซึ่งก็เดาได้ไม่ยาก ไนล์เดินไปปิดไฟที่ข้างประตูห้องตามคำบอกของผม ก่อนจะกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ร่างโปร่งบางนั้นหย่อนลงตัวบนที่นอนอย่างช้าๆ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางความมืดจนแทบมองไม่เห็นอะไร ทว่าผมก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวของอีกคน

ไนล์เอนตัวลงนอนข้างๆ ผม ทั้งที่เตียงของผมค่อนข้างกว้าง แต่เขาทำเหมือนมันแคบมากจนต้องมานอนเบียดกับผม และมันก็เป็นสร้างปัญหาให้ผม เพราะมันทำให้ผมไม่กล้าขยับตัวหรือแม้แต่พลิกตัวกลับไปอีกด้านที่มีเขาอยู่ ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกมาทางปากแทน เพราะไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ทว่าสุดท้ายก็ต้องขับเสียงออกมาจากลำคออย่างระมัดระวัง

“ทำไมนายต้องมานอนเบียดฉัน ที่ออกตั้งกว้าง”

“แล้วทำไมนายต้องเดือดร้อนแค่เพียงฉันนอนข้างๆ นาย”

แต่แทนที่ผมจะได้คำตอบกลับมา กลับกลายเป็นคำถามที่ผมไม่คิดว่าจะถูกยอกย้อนจนตอบไม่ถูก เพราะผมก็ไม่เข้าใจเหตุผลเช่นเดียวกัน กับเพื่อนคนอื่นๆ โดยเฉพาะไอ้ยีน ผมเคยนอนกอดมันมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครนอนอยู่ใกล้ๆ ในตอนนี้ ทว่าทั้งที่รู้แบบนั้นผมกลับบอกตัวเองให้รู้สึกอย่างที่คิดไม่ได้

“...”

ความเงียบโรยตัวลงมาอย่างฉับพลันเมื่อสิ้นเสียงของไนล์ ผมตอบคำถามของเขาไม่ได้ เช่นเดียวกับเขาที่ไม่ได้คะยั้นคะยอเพื่อขอคำตอบจากผม ตามนิสัยที่ไม่แยแสต่อใครอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจเขาเลยจริงๆ ว่ากำลังทำอะไรกันแน่

บางครั้งก็ทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ไม่สนใจ

แต่บางครั้งก็ทำเหมือนกับ...กำลังเรียกร้องความสนใจจากผม

แล้วตอนนี้ก็เหมือนว่าผมจะกำลังโดนเรียกร้องความสนใจอยู่จริงๆ เพราะท่ามกลางความเงียบ ผมกลับรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่แตะลงบนหลังจนต้องเอี้ยวตัวหันไปดู ซึ่งคำตอบที่ได้ผ่านความมืดก็คือไนล์เอนตัวเข้าหาผมและวางหน้าผากแตะกับหลังของผมเอาไว้นิดๆ

ไม่มีอะไรที่มากกว่านั้น เพียงแค่จุดเล็กๆ ที่ถูกสัมผัส แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากมายซ่อนอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าไนล์กำลังเหนื่อยและต้องการที่พักผ่อนที่สามารถทำให้สบายใจได้ เขาเหมือนคนที่เวลาชีวิตกำลังจะหมดลงถึงต้องการกำลังใจสำหรับก้าวเดินต่อไป และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมนอนลืมตาอยู่เฉยๆ โดยไม่พูดอะไรไม่ได้

“ถ้าเหนื่อยนัก จะพักก็ได้”

ผมอาจจะหน้าแตกที่เสนอตัวไปแบบนั้น และไนล์อาจจะมองว่าผมหลงตัวเอง คิดไปเอง เขาไม่ได้อ่อนแอแบบนั้น ทว่าสิ่งที่ตอบกลับมากลับเป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่ผมคิดมันถูกต้อง ไนล์ขยับตัวเข้าใกล้ผมอีกก่อนจะกอดผมจากทางด้านหลังและแนบหน้าเข้ากับหลังของผมแน่นขึ้น

ผมรู้สึกเย็นวูบในใจนิดหน่อยเหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้ามา ก่อนที่ความเย็นนั้นจะเลือนหายไปจนกลายเป็นความอุ่นเข้ามาแทนที่ ผมนอนนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อนตัวเพื่อให้ไนล์กอดผมได้อย่างเต็มที่ นอนลืมตาอยู่อย่างนั้นพักใหญ่จนรู้สึกว่าคนด้านหลังสงบลง ไม่มีแรงกอดที่คอยกระชับตัวของผมเอาไว้ แต่เป็นการกอดหลวมๆ ขณะที่หน้ายังแนบอยู่กับแผ่นหลังของผมเบาๆ ผมถึงค่อยๆ เอี้ยวตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อยเพื่อมองคนที่อยู่ในตำแหน่งนั้น

ไนล์นอนหลับด้วยท่าทีที่สบายมากขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าเขาหลับไปแล้ว เห็นอย่างนั้นผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย เพราะไนล์ที่ดูอ่อนแอเป็นคนที่ผมไม่คุ้นเคย และมันก็ทำให้ผมอดรู้สึกห่วงเขาไม่ได้ คงต้องโทษนิสัยขี้ใจอ่อนและชอบเอาใจใส่คนไปทั่วของผมล่ะมั้ง ที่ทำให้ผมเมินเฉยต่อเขาไม่ได้ ทั้งที่เหมือนว่าผมกำลังตกลงไปในหลุมพรางที่ไนล์ขุดเอาไว้มากขึ้นไปทุกที













เพราะวันนี้ทั้งผมและไนล์ต่างก็มีเรียนตอนเช้าด้วยกันทั้งคู่ ผมจึงขับรถไปส่งไนล์ที่แมนชั่นก่อน แล้วค่อยเข้ามหา’ลัย ไปนั่งรอเพื่อนคนอื่นที่โรงอาหารกลางเหมือนวันอื่นๆ ซึ่งพอพร้อมหน้าพร้อมตา ก็เหมือนเดิมครับที่ไอ้ยีนหน้ายุ่ง เพราะมีพี่ภูนั่งประกบอยู่ข้างๆ เพื่อนรักของผมยังบ่นเรื่องเดิมๆ แม้กระทั่งขึ้นห้องเรียนแล้ว

“ทำไมมึงต้องให้ไอ้พี่ชมพู ไปรับไปส่ง ตามติดกูยิ่งกว่าขี้ติดตูดด้วย มึงต่างหากที่เป็นคนผิด มึงสมควรจะเป็นคนรับผิดชอบไม่ใช่มัน โคตรเซ็งเลยว่ะ”

“แล้วพี่ภูไม่ดีตรงไหน เขาก็เอาใจมึง ตามใจมึงไม่ใช่หรือไง”

“ตามใจห่าอะไรล่ะ” ยีนสบถออกมาเต็มเสียงเลยครับ ถึงจะเสียงไม่ดังมากเพราะมีคนอื่นๆ ในเมเจอร์อยู่ในห้องด้วย แล้วก็ทำหน้าเซ็งยิ่งกว่าเดิม มันเอนตัวมาพิงกับบ่าของผมเอาไว้เหมือนคนหมดแรง “กูรำคาญมัน ไม่อยากให้มันมายุ่งกับกู เห็นหน้าแล้วหงุดหงิด”

“ทำไมมึงต้องหงุดหงิดพี่ภูด้วยวะ เขาทำอะไรให้ ตอนนี้ก็ไม่ได้ด่าหรือคอยหาเรื่องมึงเหมือนตอนแรกๆ ไม่ใช่หรือไง”

“แต่มันกวนตีนกู ถ้าเป็นมึงนะ กูคงสบายใจกว่านี้เยอะ”

“มึงก็เปิดใจหน่อย ถ้ามึงอคติ มึงก็ต้องไม่พอใจอยู่แบบนี้”

ผมบอกมันพลางใช้มือขยี้ผมของยีนไปด้วย ซึ่งมันก็ไม่ได้ปัดมือผมออกแต่อย่างใด แค่นั่งพิงผมเฉยๆ เพราะจะว่าไปก็ชินกับการทำอะไรแบบนี้อยู่แล้ว เพื่อนผมคนนี้บางทีมันก็เหี้ย บางทีมันก็อ้อน แล้วแต่อารมณ์ของมัน แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ ในห้องเลกเชอร์จะไม่ค่อยชินเท่าไร ถึงได้มีหลายสายตามองมาทางผมกับไอ้ยีนกัน ก่อนจะตามด้วยเสียงซุบซิบที่ค่อนข้างดังของปลาย สาวสวยประธานเมเจอร์ที่ห้าวสุดๆ

“สวีทกันอีกแล้วว่ะ มึงนี่ฮอตจริงๆ นะไฮยีน ผู้ชายรุมล้อมรอบตัว”

ได้ยินแล้วผมก็ยิ้มขำอยู่หน่อยๆ ปลายไม่ได้จะเหน็บแนมหรือมีเจตนาร้าย แต่แค่แกล้งแซวไอ้ยีนเฉยๆ แต่ไอ้ยีนดูจะไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร มันพูดเสียงลอดไรฟันให้ผมได้ยิน

“นี่ถ้ากูไม่ต้องทำตัวเป็นเด็กเนิร์ดแว่นหนา ไม่มีปากมีเสียงนะ ไอ้ปลายโดยกูตบกบาลแยกไปแล้ว แม่งชอบเชียร์กูให้ได้กับผู้ชายจัง”

“มึงก็ทำเป็นไม่ได้ยิน อย่าไปสนใจเลย ใครอยากล้ออยากแซวอะไรก็ปล่อยเขา”

“ครับ คุณพ่อพระ แหม มึงนี่จิตใจดี ประเสริฐเลิศล้ำเกินไปนะเนี่ย”

เหมือนพูดเหมือนประชดประชันผมนิดๆ ผมเลยขยี้ผมของมันไปอีกที มันก็หัวเราะออกมานิดๆ ก่อนจะเริ่มต้นหัวข้อสนทนาใหม่ที่เป็นเรื่องของผมแทน

“ว่าแต่ช่วงนี้มึงเป็นยังไงมั่งวะ ตามจีบรุ่นพี่ดาวคณะอะไรนั่นถึงไหนแล้ว”

“ก็เรื่อยๆ ว่ะ ว่างๆ กูก็พยายามไปหาเขา เผื่อจะมีโอกาสที่ไม่ถูกขัดขวางบ้าง”

ผมตอบมันไปตามจริง เพราะก่อนหน้านี้มีอยู่หลายครั้งที่ผมไปหาพี่ดาหลา แต่ก็ถูกไนล์ที่รู้ได้ยังไงไม่รู้มาตามขัดตลอด

“มีคู่แข่งซะด้วย แล้วนี่เขารู้หรือยังว่ามึงชอบ”

คราวนี้ไอ้ยีนดูสนใจความคืบหน้าของผมมากขึ้น แถมยังเข้าใจไปว่าผมมีคู่แข่งเสียอีก มันผละตัวออกจากไหล่ของผมแล้วหันหน้ามาคุยกันโดยตรง ตาเรียวกลมสีดำนั่นจ้องมองผมด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมก็ไม่ได้แก้ความเข้าใจผิดของมันว่าไนล์เป็นคู่แข่งของผม เพราะถ้าอธิบาย จะยิ่งแปลกและงงมากขึ้นไปอีก

“รู้ดิ กูก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนี่หว่า”

“แล้วเขามีท่าทีชอบมึงบ้างหรือยัง”

“ไม่รู้วะ กูไม่ได้สังเกตเขาขนาดนั้น”

ไม่ใช่อย่างที่ผมตอบไฮยีนไปเสียทีเดียว ผมก็คอยสังเกตพี่ดาหลาอยู่บ้างว่ามีท่าทีอะไรกับผมไหม ใครล่ะครับที่ไม่อยากรู้ว่าคนที่เราชอบหรือสนใจคิดอะไรกับเราสักนิดหรือเปล่า แต่เพราะอยู่กับพี่ดาหลาทีไร ก็ต้องมีไนล์มาคอยทำตัวแปลกๆ เหมือนเป็นคนละคนอยู่ทุกที มันเลยกลายเป็นว่าแทนที่จะมองพี่ดาหลา ผมกลับเอาแต่สังเกตไนล์ว่าเขาคิดอะไรหรือจะทำอะไรต่อแทน

“ทำไม” ได้ยินคำตอบของผมแล้วมันก็มุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย คงเพราะเคสของผมแตกต่างจากไอ้กัสกับไอ้เคลม หรือแม้แต่มันเอง ที่มักจะเข้าหาผู้หญิงอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่าหน่วยสวาทพุ่งเข้าชาร์จคนร้ายเสียอีก “มึงกลัวอกหักเหรอ โหย ไม่ต้องกลัวหรอก ใครปฏิเสธมึงได้นี่โคตรควายอะ ควายจริงๆ กูพูดเลย เพื่อนกูออกจะดีแสนดี”

ตบท้ายด้วยการยกยอผมแล้วฉีกยิ้มหวานๆ เป็นกำลังใจให้ผมเสียอีก ผมรู้ว่ามันค่อนข้างเชียร์ผมเพราะอยากให้ผมได้มีความรักครั้งใหม่แล้วทิ้งเรื่องของมิ้นเอาไว้เป็นเพียงอดีต ปลดปล่อยความกลัวในใจของผมออกไปเสียที แต่ขณะเดียวกันมันก็ห่วงผมมากเหมือนกัน

“ไม่ได้ถึงขนาดนั้น กูแค่อยากให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่อยากบังคับหรือฝืน มึงก็รู้ว่ากูจริงจังกับเรื่องแบบนี้”

“เออ กูรู้ มึงไม่ได้เปลี่ยนคนละสามวันเจ็ดวันเหมือนไอ้กัสกับไอ้เคลม ถ้ามึงบอกว่าคนนี้ กูก็จะเชียร์ มีอะไรให้กูช่วยก็บอก แต่มึงอย่าลืมระวังตัวด้วย อย่ากลายเป็นว่ามึงโดนหลอกซะล่ะ ยิ่งเป็นพวกใจอ่อนง่าย ชอบเห็นใจชาวบ้านอยู่ด้วย”

ผมเข้าใจสิ่งที่ไอ้ยีนเตือนมาดีครับ มันเป็นห่วงผม ซึ่งที่ผ่านมาผมก็พยายามระวังตัวอย่างที่มันว่า แต่คนที่ผมระวังไม่ใช่พี่ดาหลาหรอกครับ เป็นอีกคนที่ทำให้ผมต้องหัวปั่นไม่รู้กี่ครั้งต่างหาก ...คนที่มาขอนอนกับผมเมื่อคืนนี้

แต่จะบอกว่ามาหลอกก็คงไม่ถูก เพราะผมรู้เจตนาที่ชัดเจนของไนล์ว่าไม่ต้องการให้ผมยุ่งเกี่ยวกับพี่ดาหลา แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าผมไม่รู้เหตุผลของการกระทำนั้น ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องระวังตัว ทว่ายิ่งจำนวนครั้งที่ได้เจอกันมากขึ้นเท่าไร ก็เหมือนว่ามันจะควบคุมยากขึ้นทุกที เพราะแม้แต่เย็นวันนี้ผมก็ถูกไนล์เล่นงาน











หลังจากเรียนเสร็จ ผมแวะไปหาพี่ดาหลาที่คณะ เพราะคิดว่าคงไม่ถูกรบกวนจากไนล์แน่ๆ ในเมื่อเขามีนัดกับคนที่ชื่อพี่มายด์ ถ้าผมได้ยินไม่ผิดตอนที่เขาคุยโทรศัพท์เมื่อคืน ถึงผมจะยังไม่มีเบอร์โทรศัพท์สำหรับติดต่อกับพี่ดาหลา แต่ก็หาตัวเธอไม่ยากครับ เพราะคนในคณะนี้รู้จักเธอกันทั้งนั้น และก็โชคดีว่าเธอเพิ่งเรียนเสร็จ ผมที่รออยู่หน้าตึกถึงได้เจอเธอโดยไม่ต้องตามหา

“อ้าว กราฟ วันนี้มารอเหรอ”

คนแรกที่ทักผมเป็นพี่มะเหมี่ยวที่ยิ้มอย่างร่าเริงและเดินตรงมาหาทันที ก่อนพี่ดาหลาจะตามเข้ามาหาผมด้วยเหมือนกัน ผมยิ้มทักทายผู้หญิงน่ารักทั้งสองคน

“ครับ นี่พวกพี่เรียนกันเสร็จแล้วเหรอครับ มีเรียนต่ออีกไหม”

“ไม่มีแล้ว ขืนมีเรียนต่อคงเซ็งตายเลย” พี่มะเหมี่ยวตอบพลางใส่อารมณ์ให้รู้ว่าเธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆ แล้วแย้มยิ้มอีกครั้งพลางดึงแขนพี่ดาหลามากอดไว้ “เนี่ย พวกพี่คิดกันอยู่ว่าจะไปชอปปิ้งกันให้สะใจเลย แถมท้ายด้วยการดูหนังอีกสักรอบ วิชาวันนี้ทำปวดหัวไปหมดแล้ว”

“ก็ดีนะครับ ถือว่าได้พักผ่อนด้วย”

ท่าทางร่าเริงของพี่มะเหมี่ยวทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ ผมหันไปมองทางพี่ดาหลาที่ส่งยิ้มนิดๆ ให้ผม แต่กลับส่ายหัวเบาๆ ให้กับเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะแสดงออกได้โอเวอร์เกินจริง หนำซ้ำยังมีเหน็บแนมเล็กน้อย

“ต้องปวดหัวอยู่แล้ว ก็เธอเล่นหลับจนหัวเกือบโขกโต๊ะ”

“โห อย่ามาแฉเพื่อนสุดที่รักของเธอต่อหน้าผู้ชายหล่อนะยะ”

คนถูกนินทาซึ่งหน้าทำปากยื่นปากยาวกลับพลางชี้หน้าเจ้าของคำพูดนั้นอีก เรียกเสียงหัวเราะจากผมได้เบาๆ ผมว่าเวลาพี่สองคนนี้อยู่ด้วยกันแล้วน่ารักดีนะครับ ดูโลกสดใสดี

“ถ้าหากว่าไม่รบกวน ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ ผู้หญิงชอปปิ้งกันคงได้ของเยอะเชียว มีผู้ชายสักคนไปช่วยถือของก็น่าจะดี”

“อย่างนั้นก็ดีเลย พี่ชอบเผลอซื้อของเยอะอยู่ด้วย กราฟไปด้วยจะได้ปรามพี่บ้าง”

“ใช่ ไปด้วยกันสิ แต่ไม่ต้องถึงขนาดช่วยถือของหรอก พวกพี่ถือกันได้ รบกวนกราฟเปล่าๆ พี่ไม่ได้อยากให้กราฟไปด้วยเพราะอยากได้คนถือของหรอก”

“งั้นผมถือว่าพี่สองคนอนุญาตแล้วนะครับ”

“อื้อๆ ไปด้วยกันๆ”

พี่มะเหมี่ยวเป็นฝ่ายยืนยันทางคำพูด ส่วนพี่ดาหลายิ้มและพยักหน้านิดๆ ให้ผมอีกที พวกเราก็เลยตกลงกันเรื่องสถานที่ นัดไปเจอกันที่นั่นเพราะว่าพี่ดาหลาจะขับรถไปกับพี่มะเหมี่ยว ผมจึงตอบรับก่อนจะให้ผู้หญิงทั้งสองคนเดินนำไป จนถึงลานจอดรถก็แยกย้ายกันไปที่รถของตัวเองเพราะว่าจอดอยู่คนละด้าน รถของผมจอดอยู่ไกลกว่าเพราะตอนมา ลานจอดรถเหลือที่ให้จอดอยู่แค่สองสามที่

ถึงรถแล้วผมก็เปิดประตูออก ทว่ายังไม่ทันได้เข้าไปนั่งประจำที่ สายตาของผมกลับต้องสะดุดเข้ากับคนคนหนึ่งที่ดูคุ้นตา คนที่ผมคิดว่าคงไม่ได้เจอถ้าไม่นับตอนเช้า แต่ในตอนนี้เขากลับอยู่ห่างจากผมไม่ไกล

ไนล์ยืนอยู่ด้านข้างประตูคนขับที่ผมลองชะโงกดูแล้วว่าเป็นผู้หญิงผมยาวสวมชุดนักศึกษา โดยไม่ต้องคาดเดา ผมก็คิดได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะเป็นพี่มายด์ ไม่คิดว่าคนที่นัดกับไนล์จะอยู่คณะเดียวกับพี่ดาหลาด้วย รู้ดังนั้นผมก็สลัดความสนใจจากสองคนนั้นทิ้งไป เพราะไม่อยากละลาบละล้วงในเรื่องส่วนตัวของคนทั้งคู่ แต่สีหน้าของพี่มายด์กลับทำให้ผมต้องจ้องมองมากไปกว่าเก่า

ผมไม่ได้ยินที่ไนล์คุยกับพี่มายด์ แต่ดูก็รู้ว่าเธอค่อนข้างไม่พอใจ เหมือนว่าไนล์จะทำอะไรขัดใจเธอสักอย่าง แต่เพียงแค่ครู่เดียว สีหน้าของเธอก็ดีขึ้น เหมือนจะอ่อนโอนไปตามคำพูดของผู้ชายที่ผมไม่เคยเข้าใจความคิดของเขา

ทว่าไม่ใช่แค่เพียงสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่เปลี่ยนไป ผมเองก็เช่นเดียวกัน หลังจากเห็นว่าไนล์โน้มหน้าเข้าหาคนที่นั่งอยู่ในรถผ่านทางกระจกหน้าต่างที่ถูกลดลงอยู่นานแล้ว ริมฝีปากสีพีชที่ผมเคยเห็นใกล้ๆ แตะลงบนปากของผู้หญิงคนนั้นอยู่ครู่สั้นๆ และถอนออกมา

อยู่ๆ ผมก็รู้สึกคอแห้งหลังจากเห็นภาพนั้น เหมือนมีอะไรรุมๆ สุ่มๆ อยู่ในใจแต่อธิบายออกมาไม่ถูก แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไรจนผมอยากจะกำจัดมันออก ทั้งที่ผมก็เคยเห็นเรื่องพวกนี้มามากแล้ว เพราะเพื่อนของผมแต่ละคนก็ถือว่ามากประสบการณ์ทางด้านนี้

ผมรีบขึ้นรถและสตาร์ทมันเพื่อขับออกไป แต่ยังไม่ทันเคลื่อนรถจากจุดที่จอดเอาไว้ เสียงเคาะกระจกที่อีกฟากของคนขับก็ดังขึ้นเสียก่อน และพอเงยหน้าขึ้นไป ผมก็เห็นว่าเป็นคนที่เพิ่งจูบกับผู้หญิงคนนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมต้องตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป

แต่ดูเหมือนไนล์จะไม่รอ เพราะเขาเปิดประตูแล้วขึ้นนั่งบนรถผมทันทีจนผมอดโทษตัวเองไม่ได้ที่ลืมล็อกประตูรถเหมือนทุกที ไนล์มองหน้าผมเหมือนไม่รู้สึกอะไรสักนิดทั้งที่เขาน่าจะรู้แล้วว่าผมเห็นไม่อย่างนั้นคงไม่เดินมาที่รถของผมทันทีแบบนี้

“ขอไปด้วยแล้วกัน”

“ฉันไม่ได้จะกลับ”

“ฉันรู้ว่านายนัดกับพี่ดาหลาไว้”

คำตอบของไนล์ทำให้ผมต้องหันไปมองหน้าเขาทั้งที่เมื่อครู่พยายามจะไม่หันไป ความรู้สึกของผมบอกว่ามันคือความจงใจของไนล์

“นายรู้อยู่แล้ว และนายก็ตั้งใจจะขัดขวางฉัน”

“เป็นอย่างที่นายว่า”

เขาไม่บิดเบือนความจริงแต่ตอบกลับผมอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะดึงเข็มขัดนิรภัยมาล็อกให้เรียบร้อยเพื่อบอกให้รู้ว่าต่อให้ผมขับไล่เขาก็จะไม่มีทางลงจากรถ พานให้ผมต้องถอนหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งเฮือกที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่ไนล์ต้องการอีกครั้ง

“นายมีนัดแล้วไม่ใช่หรือไง”

“แต่ฉันก็ยกเลิกไปแล้ว อย่างที่นายเห็น”

ไนล์พูดออกมาอย่างฉาดฉานเหมือนกับรู้ว่าผมมองเขาอยู่ถึงได้มั่นใจเสียเหลือเกิน ซึ่งมันก็ทำให้ผมโต้ตอบอะไรกลับไปไม่ได้ และก็ต้องยอมขับรถออกไปยังสถานที่นัดหมายกับพี่ดาหลา ซึ่งเมื่อไปถึง คนที่ไปถึงก่อนก็ประหลาดใจหน่อยๆ ที่เห็นว่ามีใครอีกคนมาด้วย แต่ไนล์กลับไม่สนใจ หนำซ้ำยังเข้าไปทักทายพี่ทั้งสองคนอย่างเป็นกันเอง สีหน้าเรียบเฉยที่เคยมีเลือนหายไป กลายเป็นไนล์อีกคนที่ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเป็นธรรมชาติ

“พอดีผมเจอกราฟแล้วกราฟบอกว่าจะมาชอปปิ้งกับพวกพี่ๆ ผมก็เลยจะมาขอร่วมแจมด้วย คงไม่ว่ากันนะครับ”

รอยยิ้มออกมาจากผู้ชายที่ชอบทำตัวเหมือนพลังชีวิตกำลังจะหมดฉายกว้างให้กับผู้หญิงอีกสองคน จึงไม่มีใครปฏิเสธคำขอนั้นได้ หรือหากให้บอกจริงๆ ทั้งพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวก็ไม่มีใครต้องการจะไล่ให้ไนล์กลับอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อทักทายกันเรียบร้อย พี่ทั้งสองคนก็ชักชวนกันไปเดินซื้อของ โดยที่ผมกับไนล์คอยเดินตามอยู่ด้านหลัง ผมมองพี่ดาหลาที่สนุกกับการเลือกซื้อของ บ้างก็หันมาถามความคิดเห็นของผมกับไนล์เพื่อการตัดสินใจ

ถุงสินค้าหลายแบรนด์เกือบจะเต็มมือของสาวๆ ผมจึงอาสาไปถือให้ ตอนแรกพี่ดาหลาก็ไม่อยากให้ผมช่วย อย่างที่เขาบอกว่าไม่ได้ให้ผมมาด้วยเพื่อมาถือของ อีกทั้งยังบอก

“แค่กราฟต้องมาเดินเลือกของด้วยก็ทำให้ลำบากแล้ว”

เพราะผมไม่ได้เลือกของของตัวเองสักชิ้น แต่กลับต้องมาเดินตามเธอทั้งที่ไม่จำเป็น เธอจึงอดเกรงใจผมไม่ได้ แต่ผมก็บอกถึงจุดประสงค์ของผมไป

“ผมเต็มใจมาช่วยอยู่แล้ว ให้ผมช่วยถือ พี่จะได้เลือกซื้อของได้สะดวกๆ ไงครับ”

ผมยิ้มให้กับเธอ ก่อนจะแย่งถุงในมือเธอมาถือเสียเอง ไนล์ที่ยืนมองผมอยู่จึงแทรกเสียงขึ้นมาบ้าง

“งั้นเดี๋ยวผมถือให้พี่มะเหมี่ยวแล้วกันนะครับ ต้องโชว์ความเป็นสุภาพบุรุษสักหน่อย”

ไม่รู้ว่าเป็นการแขวะผมหรือเปล่าที่ออกตัวช่วยพี่ดาหลาอย่างออกหน้าออกตา แต่ประโยคนั้นก็มาพร้อมกับแววตาที่จับจ้องผม ผมจึงเบนหน้าไปอีกทางหนึ่งเพื่อหลบสายตาคู่นั้น ทั้งที่ผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทว่ากลับรู้สึกว่ามันทำให้ผมกระอักกระอ่วนเมื่อถูกไนล์จ้องมอง

ราวกับว่าผมกำลังทำผิด...ต่อเขา

จากนั้นพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวก็เข้าไปดูเสื้อผ้าอีกสองสามร้าน ก่อนจะจบการชอปปิ้งลง และแวะที่ร้านอาหารเพื่อกินอาหารมื้อค่ำ เพราะตอนนี้เกือบสองทุ่มแล้ว ผมให้พวกผู้หญิงเลือกร้านได้ตามสะดวกเลย ซึ่งก็ได้ร้านอาหารสไตล์ฟิวชั่น

“ขอโทษนะ พวกพี่ซื้อของกันซะเยอะ ต้องเหนื่อยกราฟกับไนล์เลย”

พี่ดาหลาเริ่มประโยคหลังจากเราสั่งอาหารกันเรียบร้อยแล้ว สีหน้าของเธอตอนพูดเหมือนคนรู้สึกผิดหน่อยๆ ที่ต้องรบกวนผมกับไนล์ ผมจึงต้องรีบแก้ความเข้าใจนั้นอีกครั้งเพื่อที่เธอจะได้สบายใจ

“ผมบอกแล้วไงครับว่าผมเต็มใจช่วย แถมคนที่ขอมาเองก็คือผมนะครับ เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องคิดมากเลย”

“ใช่ครับ ผมก็เหมือนกัน ถ้าพี่ยังพูดเหมือนว่าเป็นการรบกวนพวกเราที่เสนอตัวช่วย ก็เท่ากับเป็นการทำลายน้ำใจของผมกับกราฟนะครับ พวกผมอุตส่าห์เสนอตัวกันขนาดนี้ พี่จะเอาแต่ใจสักหน่อยก็ได้ครับ”

ลงท้ายด้วยน้ำเสียงที่ติดแววหยอกเอินอย่างที่ผมไม่เคยได้ยิน เรียกให้ผมต้องหันไปมองหน้าไนล์ที่นั่งอยู่ข้างกัน ใบหน้าเรียวได้รูปนั้นประดับรอยยิ้มสดใสเหมือนกับทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับพี่มะเหมี่ยวและพี่ดาหลา ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่ได้เห็น

มันเป็นรอยยิ้มที่ผมรู้ดีว่าเป็นการเสแสร้ง และก็ทำให้ผมวิตกกังวลถึงแผนการในใจของไนล์ ทว่า... ผมก็ต้องยอมรับว่าผมอยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้ที่มาจากใจจริงๆ ของเขา

“ในเมื่อพูดกันขนาดนี้ เราจะไม่ยอมรับได้ยังไง เนอะ ขอบใจทั้งสองคนเลยนะที่ช่วยถือของให้ ถ้าไม่อย่างนั้นพี่คงต้องลำบากแน่เลย เกิดไปดูของแล้วเผลอลืมเอาไว้คงแย่แน่ๆ”

พี่มะเหมี่ยววาดยิ้มกลับ ดวงตาของเธอเป็นประกายอย่างสดใสเหมือนกับทุกที ผมจึงได้แต่ยิ้มตอบเมื่อเธอหันมาสบตา ก่อนที่เสียงของไนล์จะดังขึ้นอีกครั้ง

“แล้วนี่กินข้าวเสร็จแล้วพี่ที่น่ารักทั้งสองคนของผมจะไปไหนกันต่อครับ”

“ปากหวานนะเรา” เพื่อนสนิทของพี่ดาหลาแกล้งบิดตัวเล็กน้อยคล้ายกับกำลังเขิน พลางเอ่ยปากชวน “พี่กับดาหลาตั้งใจว่าจะดูหนังกันต่อน่ะ มาดูด้วยกันสิ”

ผมหันไปทางไนล์เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาและรอฟังคำตอบไปในตัว ซึ่งสิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือสีหน้าครุ่นคิดของไนล์ คล้ายกับว่าเขาไม่สะดวกที่จะทำแบบนั้น ทำให้ผมต้องตรึกตรองไปด้วยว่าควรจะเลือกอะไร ทว่าเพียงครู่เดียวผมกลับต้องต่อว่าตัวเอง

โอกาสมาถึงแล้ว จะคิดให้มากความทำไม

“ครับ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จแล้วเอาของไปเก็บที่รถก่อนค่อยไปดูหนังกันนะครับ”

“แล้วไนล์ล่ะ”

พี่ดาหลาถามไนล์ที่ยังนั่งเงียบอยู่ไม่ตอบคำถาม ผมเองก็พยายามจะไม่หันไปมองเขา เพียงแค่เหลือบตามองเท่านั้น รู้สึกแปลกๆ ที่เขาอึกอักแทนที่จะตอบกลับอย่างไม่แยแสว่าผมจะคิดยังไง แค่มาขัดขวางไม่ให้ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ดาหลาอย่างใกล้ชิดก็พอ

“ผม...ขอตัวดีกว่าครับ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

เสียงจากพี่มะเหมี่ยวดังแทรกขึ้นอย่างสงสัยทันที เธอทำหน้าเสียดายอยู่หน่อยๆ ที่ไนล์ไม่ไปดูหนังด้วยกัน ทว่าไม่ใช่เพียงแค่พี่มะเหมี่ยวที่แปลกใจหรอกครับ เพราะผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงปฏิเสธทั้งที่น่าจะไม่

“ผมไม่ค่อยชอบดูหนังน่ะครับ”

“อ้อ งั้นก็ไม่เป็นไรจ้ะ”

ไม่รู้ว่าเป็นการคิดไปเองหรือเปล่า แต่ผมกลับรู้สึกว่าคำตอบของไนล์เป็นการโกหก ถึงกระนั้นผมก็ไม่คิดจะถามออกไป แค่ทำเฉยและลอบมองพฤติกรรมที่ปกตินั้นเป็นระยะพลางคิดคำนวณเหตุผลที่เขาต้องทำตัวเหมือนไม่ใช่ตัวเอง แต่ก็ไม่ได้คำตอบ กระทั่งกินอาหารเสร็จ พวกเราก็กลับไปที่รถของพี่ดาหลาเพื่อเก็บของ ก่อนจะกลับเข้าไปในห้างอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนนะครับ”

ยังไม่ทันเอ่ยปากถาม ไนล์ก็โพล่งเสียงขึ้นมาเสียก่อน พลอยให้ผมหันไปมองเขา เราสบตากันเล็กน้อย แววตาของไนล์ที่จ้องมาที่ผมกลับมาเป็นไนล์คนเดิมอีกครั้ง มันว่างเปล่า แต่กลับมีความหมายที่ผมเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ ก่อนเขาจะกลับไปยิ้มให้คนที่เหลือ

“โอเคจ้ะ ขอบใจมากนะที่วันนี้มาช่วยเลือกของและถือของให้พี่มะเหมี่ยว”

“ครับ”

“ขอบใจมากนะไนล์”

สิ้นเสียงของพี่ดาหลา ไนล์ก็พยักหน้านิดๆ เป็นการตอบรับ ก่อนจะเบือนหน้ามาทางผมราวกับรอว่าผมจะล่ำลาเขาด้วยประโยคแบบไหน ทั้งที่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร เป็นหน้านิ่งๆ ไม่มีรอยยิ้มเหมือนกับเวลามองผู้หญิงอีกสองคน ถึงกระนั้นผมกลับรู้สึกว่าเขากำลังคาดเค้นผมอยู่

“เออ ไว้เจอกัน”

ไม่รู้ว่าควรจะใช้คำพูดแบบไหน ผมจึงบอกไปแบบนั้น ซึ่งไนล์ก็ตอบผมกลับมาด้วยประโยคเดียวกัน ก่อนจะคลี่ยิ้มนิดๆ ที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นการแสดง ไม่ได้มาจากใจจริงๆ เหมือนกับเมื่อคืนที่เขายิ้มให้ผม






อ่านต่อด้านล่าง

v

v

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 16-11-2013 20:30:37

ต่อจากข้างบน


v

v





ล่ำลาเรียบร้อย ไนล์ก็เดินเลี่ยงออกไปก่อน เหลือผมกับพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวที่เดินไปขึ้นลิฟต์เพื่อไปยังชั้นโรงหนังด้วยกัน  และเพราะเป็นหนังรอบดึกแล้ว คนที่มาดูจึงไม่เยอะเท่าไร และไม่ลำบากนักที่จะได้ตั๋วหนังที่ต้องการดูมา

พวกผมรอเวลาอีกประมาณสิบห้านาทีก็ได้เวลาหนังเริ่มฉาย หนังเรื่องที่เลือกนี้เป็นแนวโรแมนติกคอเมดี้ ซึ่งก็เหมาะกับพี่ๆ ทั้งสองคนดี แต่น่าเสียดายที่ที่นั่งของผมแทนที่จะติดกับพี่ดาหลากลับกลายเป็นพี่มะเหมี่ยว ทว่าแม้จะรู้สึกแบบนั้น ผมก็ไม่คิดที่จะบอกกับเธอว่าผมอยากนั่งข้างพี่ดาหลามากกว่า

นั่งดูหนังไปเกือบชั่วโมงได้ อยู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงอาการสั่นที่ขาเพราะมีคนส่งข้อความมาทางโทรศัพท์ที่ผมปิดเสียงเอาไว้ ผมจึงหยิบมันขึ้นมาดูเผื่อว่าจะเป็นเรื่องสำคัญหรือธุระด่วน ทว่าเมื่อเห็นชื่อผู้ส่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วผมกลับรู้สึกเหมือนว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าเดิมเล็กน้อย




ไนล์

                หนังสนุกไหม




เพียงแค่คำถามสั้นๆ นั้นกลับทำให้ผมนั่งดูหนังต่อไปไม่ได้ ความรู้สึกร้อนรนแปลกๆ เหมือนประทุขึ้นมากลางอก ผมเอาแต่นึกถึงคนที่ส่งข้อความนั้นมาจนดูหนังไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ผมกลับรู้สึกสังหรณ์ใจว่ากำลังมีบางอย่างผิดปกติ สุดท้ายผมก็ต้องลุกขึ้นจากตำแหน่งที่นั่งอยู่ พลอยให้พี่มะเหมี่ยวที่นั่งติดกันหันมามอง

“มีอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มีอะไรครับ ผมจะไปเข้าห้องน้ำสักหน่อย”

บอกพี่เขาแบบนั้นแล้วผมก็เดินออกมาเลย ผมเลือกที่จะเดินออกมาทางด้านหน้าของโรงหนัง ไม่ใช่ทางที่เป็นห้องน้ำตามลางสังหรณ์ของตัวเอง ผมชะโงกมองไปทั่วๆ บริเวณนั้นก่อนจะต้องชะงักไปเล็กน้อยเพราะคนที่บอกว่าไม่ชอบดูหนังและขอตัวกลับไปก่อนนั่งอยู่บนม้านั่งซึ่งไม่ห่างจากหน้าทางเข้าโรงหนังนัก

ผมบอกพนักงานพร้อมกับยื่นตั๋วหนังให้เขาดูว่ามีความจำเป็นจะต้องออกไปหาเพื่อนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาไนล์ที่กำลังมองมาทางผมเช่นเดียวกัน และเมื่อผมไปหยุดอยู่ต่อหน้าเขา เขาก็เงยหน้าขึ้นมองผมโดยไม่ละสายตา ท่าทางนิ่งสงบและดูเลือนรางเลื่อนลอยกลับมาอีกครั้ง

“ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ไหนว่าจะกลับ”

ไม่มีการอ้อมค้อมใดๆ เพราะผมออกมาได้ไม่นานนักเพื่อไม่ให้ดูผิดปกติหรือน่าสงสัยทั้งกับพี่มะเหมี่ยวและพนักงานซึ่งยืนอยู่ประจำทางเข้า ผมไม่ได้คาดหวังว่าคำตอบของไนล์จะเป็นแบบไหน เพราะผมไม่สามารถเดาใจเขาได้ ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาก็เกินกว่าที่ผมจะคิดเอาไว้ ผมรู้สึกวูบในใจทันทีที่ได้ยินมัน

“นายยังไม่กลับ”

เขากำลังรอผม... ทำไม?

ยิ่งคิดว่าตั้งแต่ที่ไนล์ขอแยกตัวไปกระทั่งถึงตอนนี้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ผมก็ยิ่งรู้สึกหวิวๆ ในอก เพราะชั่วโมงกว่าแล้วที่เขาต้องนั่งรออยู่ที่นี่ นั่งรอท่ามกลางผู้คนที่เดินมากับกลุ่มเพื่อนหรือคนรัก แต่เขากลับอยู่เพียงลำพังโดยไม่รู้เวลาที่แน่นอนว่าผมจะออกมาตอนไหนและสังเกตเห็นเขาหรือเปล่า เพราะไม่มีอะไรสามารถยืนยันได้ว่าผมจะสะกิดใจกับข้อความของเขาจนออกมามองหาแบบนี้

มันคือการเสี่ยงดวง...

“ยังทำตามแผนการขัดขวางไม่สำเร็จ ว่างั้น”

แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับคำตอบที่ได้รับ อีกทั้งยังเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลที่คิดได้เมื่อครู่ แต่ผมก็พยายามปรับความรู้สึกให้กลับมาถูกต้องตามทางที่ควรจะเป็น ทว่าความพยายามของผมก็ถูกล้มล้างเพราะเสียงที่หลุดออกมาจากปากของคนที่นั่งเงยหน้ามองผมอยู่

“นายคิดว่างั้นเหรอ”

หน่วยตาคู่เรียวนั่นจับจ้องมายังผมด้วยความเวิ้งว้างที่เหมือนกับหลุมลึกราวกับจะดูดทุกสิ่งทุกอย่างลงไป แม้กระทั่งความคิดและความรู้สึกของผมก็ไม่สามารถดิ้นรนให้หนีรอด

ผมรู้สึกปากแห้งขึ้นมาเสียเฉยๆ จนต้องยื่นลิ้นออกมาแตะขอบปากนิดๆ และเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ลมหายใจติดขัดไปราวกับถูกไม้แหลมๆ แทงเข้ามาทะลุปอดจนหายใจได้ยากกว่าปกติ ประตูทางออกที่มีดั่งถูกปิดผนึกเอาไว้ด้วยร่างโปร่งที่ทำหน้าไม่ยินดียินร้าย ไนล์ยืนบังทางออกทางเดียวนั้นไว้ทำให้ผมต้องติดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่เป็นทางตัน

จนปัญญาที่จะหาคำตอบ ผมจึงทำได้แค่เพียงเลี่ยงจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ สาวเท้ายาวๆ ตรงไปยังโรงหนังที่จากมาอีกครั้ง ยื่นตั๋วที่ถูกฉีกแล้วให้พนักงานตรวจสอบก่อนจะกลับเข้าไปยังที่นั่งที่จากมา ทิ้งตัวลงยังเบาะนิ่มช้าๆ และให้เบาที่สุด ทว่ามันกลับไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว แรงกระแทกจากการนั่งเรียกให้พี่มะเหมี่ยวหันมามองเล็กน้อย ผมจึงต้องเอ่ยปากก่อนที่เธอจะถามอะไร

“ขอโทษครับ”

สิ้นเสียงของผม ผมก็กลับไปให้ความสนใจจอขนาดใหญ่เบื้องหน้า เพื่อตัดขาดออกจากการเผชิญหน้ากับคนข้างๆ รวมถึงคนที่ผมเลี่ยงมา ทว่าแม้ว่าจะบอกตัวเองให้สนใจแต่สิ่งที่สายตากำลังจับจ้อง แต่ความคิดของผมกลับไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่มองแม้แต่น้อย

ใบหน้าและคำพูดของไนล์วนเวียนอยู่ในหัวของผมซ้ำแล้วซ้ำอีกจนผมไม่มีสมาธิที่จะดูหนังอีกต่อไป มันรบกวนผมทำให้ร้อนรุ่มในใจจนแทบนั่งไม่ติดเสียด้วยซ้ำ สุดท้ายผมก็ต้องลุกจากที่นั่งอีกครั้งและหันไปบอกพี่มะเหมี่ยว

“ผมขอตัวก่อนนะครับ พอดีว่ามีธุระด่วน ขอโทษด้วยครับ”

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเสียงของผมไปถึงพี่ดาหลาที่นั่งถัดไปอีกเบาะหรือเปล่า แต่หลังจากบอกแบบนั้นแล้วผมก็ออกจากโรงหนังมาทันที และก็ตรงไปยังคนที่ทำให้ผมเหมือนคนบ้าและใจไม่สงบ

ไนล์เงยหน้าขึ้นมองผมที่มาหยุดยืนต่อหน้าเขาอีกครั้งโดยที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงสีหน้าไป ใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่มีรอยยิ้ม ไม่มีการแสดงความรู้สึกใดๆ นอกจากแววตาที่สะท้อนออกมาว่าเขากำลังอ่านความคิดและความรู้สึกของผมอยู่ ซึ่งมันก็เหมือนเป็นตัวกระตุ้นให้ความว้าวุ่นในใจของผมทะลักล้นออกมา

ผมคว้าแขนของไนล์เอาไว้ก่อนจะดึงให้ลุกขึ้นและเดินไปด้วยกัน แม้ไม่ต้องบอกจุดประสงค์หรือจุดหมายปลายทาง แต่ไนล์ก็เดินตามผมมาแต่โดยดี ไม่มีคำพูด คำทักท้วงใดๆ เขาเดินตามผมมาเงียบๆ และขึ้นรถของผมตามด้วยคาดเข็มขัดนิรภัยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น







===============
พลาดซะแล้ว ไม่ได้จูบ
แต่ไนล์ก็ทำให้กราฟหัวปั่นกว่าเดิมได้เยอะแล้ว
ดูน่ากลัวๆ ยังไงไม่รู้แฮะ ทำให้คนนึงร้อนรนเป็นบ้า แต่ตัวเองนั่งยิ้มเย็นๆ 555
ตอนหน้าจะคืบหน้าขึ้นแล้ว

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านอยู่นะคะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ [16/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 17-11-2013 17:21:04
ไนล์น่ากลัวจริงๆ
แล้วผู้หญิงคนนั้นนี่ยังไง
คิดไม่ออกว่ามีอะไรอยู่ในใจ ต้องการอะไรจากกราฟกันแน่ กิสสส กัดหู!
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 :ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ[]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 17-11-2013 19:20:55
 :serius2: โอ๊ย อ่านเรื่องนี้ทีไร เหมือนตัวเองพยายามเป็นกราฟทุกที
อ่านไปแล้วใจมันหวืด ๆ ตลอดเรื่องเลยอะ 555 สงสัยอินจัดไปหน่อย
แบบอยากรู้จักไนล์มากขึ้น ๆ อยากเข้าใจเหตุผลการกระทำและคำพูดของไนล์
เพราะเหมือนการกระทำและคำพูดของไนล์มักอยู่เหนือความคาดหมายของเราตลอด อย่างที่กราฟรู้สึกอะคะ
อธิบายยากจัง  แล้วตอนนี้ไนล์รู้ได้ยังไงว่ากราฟจะไปหาพี่ดาหลา หรือไนล์จะให้พี่มายด์เป็นสายสืบให้
แล้วที่ไม่ยอมเข้าโรงหนังอีก หรือไนล์จะเป็นโรคกลัวความมืด กลางคืนถึงต้องให้กราฟมานอนอยู่ด้วย(แล้วเมื่อก่อนไนล์อยู่มายังไงล่ะ)
ขนาดกราฟไม่กลับไนล์ก็ไม่กลับแล้วตอนนี้สุดท้ายกราฟก็ต้องยอมตัดพี่ดาหลาแล้วกลับมาหาไนล์อีกจนได้
ดีใจจังตอนหน้าจะมีความคืบหน้าแล้ว ลุ้นเลยนะเนี่ยอยากอ่านต่อไว ๆ จังค่ะ
รอติดตามและเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปนะคะ สนุกมากเลย  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ [16/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 17-11-2013 22:26:30
ใจคิดอะไรอยู่ อ่านยากจริงๆ
เรื่องราวในอดีต ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันไนล์แน่ๆ เลย

รออ่านต่อ และขอบใจจ้า
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ [16/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: anuruk97 ที่ 17-11-2013 23:02:49
ไนล์ทำไมดูเย็นๆๆๆ น่ากลัวยังไงไม่รู้
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ [16/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 18-11-2013 11:14:49
คืออยากรู้ว่ากราฟทนได้ไง
เหมือนโดนไนล์ปั่นหัวตลอดเวลาเลยอ่ะ
ว่าแต่มายด์เป็นอะไรกับไนล์นะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ [16/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: blanchet ที่ 18-11-2013 11:53:51
กราฟหัวปั่นจริงๆ รอดูความคืบหน้าจ้าา
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 8 : ตกหลุมพรางลึกลงเรื่อยๆ [16/11/56]
เริ่มหัวข้อโดย: guguy ที่ 29-11-2013 19:52:29
ไนล์ อ่านยากมากกก แต่ว่าคนเขียนหายไปไหนเนี่ย มาต่อเร็วๆนะค้าาาา กำลังสนุกเลย o13 o13
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 07-12-2013 18:24:33
ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง















ไม่นานนัก เส้นทางจากห้างจนถึงแมนชั่นของไนล์ก็สิ้นสุดลง ผมมาจอดรถที่หน้าทางเข้าแมนชั่นของไนล์อีกครั้งจนอดรู้สึกไม่ได้ว่าพักนี้ผมมาที่นี่บ่อยเกินความจำเป็นไปหรือเปล่า อารมณ์ที่ตีรวนอยู่ในอกจางหายไปแล้ว ผมกลับมาควบคุมสติของตัวเองได้อีกครั้งหลังจากเมื่อครู่มันปั่นป่วนไปหมด

“หวังว่าคืนนี้นายจะไม่ชวนฉันนอนด้วยอีก”

ผมหันไปบอกคนข้างๆ ที่มักทำให้ผมต้องสับสนอยู่เสมอ ซึ่งไนล์ก็ไม่ตอบอะไรกลับมา เขาเปิดประตูรถออกและก้าวเท้าลงจากรถไป ให้ผมได้แต่มองตามการเคลื่อนไหวช้าๆ ของเขาที่ราวกับหุ่นยนต์แบตเตอร์รี่อ่อน มองเขาที่ค่อยๆ ห่างผมไปเรื่อยๆ จนสุดสายตา

ร่างนั้นหายเข้าไปในตัวตึกแล้วผมจึงกลับรถและมุ่งสู่เส้นทางซึ่งเป็นคอนโดของตัวเองบ้าง เพื่อจบวันบ้าๆ อีกหนึ่งวันของผม ผมไม่รู้ว่าผมควรจะดีใจที่ได้เจอพี่ดาหลา ได้ไปซื้อของกับเธอ และได้ดูหนังกับเธอหรือว่าควรจะหงุดหงิดหรือไม่พอใจดีที่ไนล์ทำทุกอย่างที่ควรจะออกมาดีกว่านี้พังจนหมด เพราะมันเหมือนว่าผมจะจดจำสีหน้า แววตา และคำพูดของเขาในวันนี้ได้มากกว่าพี่ดาหลาเสียอีก

ถ้าผมไม่บังเอิญเจอไนล์ที่ลานจอดรถ...

นึกย้อนมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ต้องชะงักความคิดของตัวเอง ภาพเหตุการณ์ที่ผมเกือบลืมไปแล้วปรากฏชัดในความทรงจำของผมอีกครั้ง

ไนล์ที่ยืนคุยอยู่ข้างรถผู้หญิงคนนั้น

ไนล์ที่จูบ...

เพียงแค่ภาพนั้นแวบขึ้นมาในสมองของผม ใจที่สงบอยู่เมื่อครู่ของผมก็กลับมาปั่นป่วนอีกรอบ คล้ายกับมีอะไรบางอย่างติดค้างอยู่ในใจและไม่สามารถสลัดให้หลุดออกไปได้ ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านอยู่ในใจ มันน่าโมโหที่ผมไม่สามารถสะบัดมันทิ้งไปได้

ผมพยายามขับรถต่อไปและบอกตัวเองให้เลิกคิดและเลิกนึกถึงภาพนั้น แต่ก็เหมือนจะยิ่งตอกย้ำลงมาซ้ำๆ ราวกับกำลังโจมตีผมให้พ่ายแพ้ และยิ่งมันย้ำลงมามากขึ้นก็เหมือนจะทำให้สติของผมเริ่มพร่าเลือน ผมไม่ชอบอารมณ์นี้เลยจริงๆ มันเหมือนว่าผมทำอะไรไม่ได้สักอย่าง และมันก็ทำให้ผมค้นพบความจริงว่า...

ผมไม่ชอบเลยที่เห็นไนล์จูบผู้หญิงคนนั้น

“บ้าชะมัด เป็นห่าอะไรของมึงวะเนี่ย!”

อดสบถออกมาไม่ได้เมื่อตอนนี้ผมเริ่มโมโหอย่างไร้เหตุผลจนยากจะควบคุมตัวเองได้ แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกยังเป็นจังหวะที่ขัดกันไปมาจนชวนให้หงุดหงิด ผมไม่สามารถขับรถกลับไปคอนโดของตัวเองได้ทั้งที่อีกไม่ถึงห้านาทีก็จะถึงที่หมายแล้ว ถ้าผมฝืนต่อไปแบบนี้คืนนี้ผมคงไม่สามารถข่มตาหลับได้

สุดท้ายสัญชาตญาณของการเอาตัวรอดก็ชนะ ผมวนรถกลับไปยังสถานที่ที่เพิ่งจากมาและจะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด เร่งความเร็วของเครื่องยนต์ให้ไปถึงจุดหมายเร็วกว่าครั้งไหน ก่อนจะขับรถเข้าไปจอดในอาณาบริเวณของแมนชั่น

เสียงถอนหายใจของผมเล็ดลอดออกมาเฮือกใหญ่เมื่อมาถึง ผมกวาดสายตามองไปยังตัวตึกที่เก่าและโทรมก่อนสายตาจะหยุดลงที่ชั้นสาม มองไปยังห้องริมสุดที่คาดว่าน่าจะเป็นห้องของคนที่ก่อปัญหาให้ผมแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ได้อยู่ข้างๆ ก็ตาม เห็นเงาลางๆ ที่ระเบียงนั้นแล้วก็พอเดาได้ว่าเป็นห้องนั้นไม่ผิดแน่

ดับเครื่องยนต์แล้วผมก็ดึงลิ้นชักเล็กๆ สำหรับใส่ก้นบุหรี่ หยิบกุญแจสำรองที่เจ้าของห้องเคยให้มากำเอาไว้ ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่ามาถึงวันนี้ผมจะได้ใช้มันอย่างที่อีกฝ่ายว่าเอาไว้ คิดดังนั้นผมก็ยิ่งกำกุญแจดอกเล็กนั่นแน่นขึ้นอีกแล้วจึงก้าวลงจากรถไป

ตึกนี้ไม่มีลิฟต์เพราะสูงเพียงแค่ห้าชั้น ผมขึ้นบันไดไปทีละก้าวอย่างไม่รีบร้อนนัก ทั้งที่ต้องพยายามบอกตัวเองว่าให้สงบใจลง ผมเดินไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงห้อง 310 ที่ตั้งใจมา แล้วใช้กุญแจที่ถือติดมือมาด้วยไขประตูและเปิดบานไม้สีขาวเก่าๆ ออก

เสียงประตูเรียกความสนใจจากคนที่อยู่ข้างในซึ่งดูไม่ตกใจสักนิดกับการปรากฏตัวของผม ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องกลับมาซึ่งคงไม่แปลก เพราะไนล์คาดเดาความคิดของผมได้เสมอ ตอนนี้ผมที่เคยปรกหน้าผากของเขาถูกมัดขึ้นไปเป็นจุกเล็กๆ อยู่บนหัว ปากสีพีชคาบบุหรี่ค้างอยู่ ขณะที่มือข้างขวาถือพู่กันเปื้อนสีไว้ ในตอนนี้สีหน้าของไนล์นิ่งเฉยเหมือนเคย แม้ว่าจะหันมามองผมก็ตาม

ผมก้าวเข้าไปในห้องพักของไนล์ที่กำลังหันกลับไปลงสีบนรูปวาดของเขาต่อ ราวกับว่าเขาแค่หันมาดูเพราะได้ยินเสียงเปิดประตู แต่เมื่อหันมาแล้วไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ จึงกลับไปทำงานที่ค้างไว้ทั้งที่ผมยังยืนอยู่ห่างจากเขาไม่เท่าไร ผมจึงไปหยุดอยู่ด้านหลังของร่างโปร่งบางนั่นแล้วถามเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจของผมจนทำให้ผมไม่สามารถกลับไปคอนโดอย่างสบายใจได้

“นายกับผู้หญิงคนนั้น...”

เกริ่นเสียงออกมาแล้วผมก็ต้องสับสนว่าควรจะเรียบเรียงประโยคเพื่อถามเขาอย่างไรกันแน่ แต่เพียงแค่ผมพูดไปเท่านั้น เสียงเรียบๆ ของไนล์ก็ตอบกลับมาก่อน

“สนใจด้วยเหรอ”

คล้ายกับการบิดเบือนคำถามของผมกลายๆ แต่ผมไม่ปล่อยให้เขาชักจูงผมให้หลงทางได้อีก ผมตั้งสติให้แน่วแน่ไม่เขวไปตามคำพูดของไนล์แล้วมุ่งตรงไปยังเรื่องที่ผมต้องการรู้ ไม่สนใจอีกว่าควรจะเริ่มต้นประโยคหรือใช้บริบทแบบไหนในการสอบถาม

“ทำไมนายถึงจูบเขา”

ไม่รู้ว่าเป็นการถามอย่างตรงไปตรงมาเกินไปหรือเปล่า แต่ผมก็หลุดปากออกไปแล้ว และก็ไม่รู้ว่าคนที่ได้รับฟังจะเข้าใจว่าผมคิดแบบไหนถึงได้ถามเรื่องนี้ ทั้งที่มันไม่จำเป็นเลยสำหรับคนคนหนึ่งที่เพียงแค่รู้จักกัน แต่จะให้แก้ไขความคิดหรือคำพูดในตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ผมจึงทำได้เพียงแค่รอคำตอบ

ไนล์หันกลับมาทางผมช้าๆ และเชยหน้ามองผม มือข้างที่ว่างอยู่คีบบุหรี่ที่คาบอยู่ในปากออกมาช้าๆ ควันสีขาวลอยขึ้นมาด้านบนตามลมที่พัดเข้ามาเป็นช่วงๆ ให้ผมได้กลิ่นจางๆ ตาเรียวสีดำนั่นทอดมองมาที่ผมไม่หลบเลี่ยง แต่ก็ไม่มีแววอะไรเป็นพิเศษ มันยังเหมือนกับทุกครั้งที่ไม่มีสิ่งใดสะท้อนออกมานอกจากความว่างเปล่าที่มีอิทธิพลกับผม ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกอ่านความคิด ก่อนเรียวปากที่ไร้นิโคตินแท่งจะขยับ

“เป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการยกเลิกนัด นายรู้ไหมว่านายทำให้ฉันต้องลงทุนด้วยส่วนที่แพงที่สุด”

คำตอบของไนล์เหมือนจะชัดเจน แต่ก็ไม่กระจ่างเสียทีเดียวว่าแท้ที่จริงแล้วเขามีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนั้นยังไงกันแน่

เป็นแฟนกัน แล้วยกเลิกนัด ถึงต้องจูบชดเชย หรือว่าไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แค่ติดต่อกันชั่วครั้งชั่วคราว

แต่ที่แน่ๆ คือ... ไนล์กำลังบอกให้ผมรู้ว่า ‘จูบ เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับเขา’ ทว่าถึงอย่างนั้น เขาก็ยังมอบให้กับผู้หญิงคนนั้นอย่างง่ายดาย นั่นต่างหากที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกรอบ ทั้งที่เขาไม่มีท่าทีอะไร ราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดา และยังยกบุหรี่ขึ้นสูบเหมือนเมื่อครู่ไม่ได้พูดอะไรกับผม

ผมมองริมฝีปากคู่นั้นที่มีแท่งสีขาวกั้นกลางเอาไว้อยู่ครู่สั้นๆ แค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นก็ต้องรู้สึกอึดอัดใจจนไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อระบายสิ่งน่ารำคาญที่รุมเร้าอยู่ในใจออกไป ยิ่งมองก็ยิ่งหงุดหงิดจนแทบอยากระเบิดออกมา สุดท้ายเสียงที่ผมไม่รู้ว่ามันมาจากส่วนใดในร่างกายของผมกันแน่ก็โพล่งออกมา

“จูบของฉันก็มีค่ามากเหมือนกัน”

จากนั้นสิ่งที่ผมรับรู้ได้ก็คือใบหน้าของไนล์ที่เข้ามาอยู่ใกล้กับผมจนแทบชิด  แต่ไม่ใช่ฝีมือของเขาเหมือนทุกที เป็นผมที่กระชากตัวเขาขึ้นมาและดึงบุหรี่จากปากสีอ่อนๆ นั้นออก ก่อนจะประกบปากของผมลงไปแทน

ผมได้กลิ่นบุหรี่หน่อยๆ จากริมฝีปากของเขาหลังจากแตะปากลงไป มันไม่เหมือนครั้งแรกที่เกิดขึ้นในห้องน้ำของผับวันนั้นที่เป็นกลิ่นของแอลกอฮอล์ และปากของผมไม่ได้เพียงแค่แตะปากของไนล์เฉยๆ เหมือนที่เขาเคยทำ แต่ผมดูดปากของไนล์ไปด้วยนิดนึงตอนที่ปากของเราสัมผัสกัน

ไนล์กะพริบตาอยู่สองสามครั้งหลังจากผมละจูบออกมา แววตาของเขาที่เคยว่างเปล่ากลับมามีประกายของชีวิตอีกครั้ง คล้ายกับว่าเขากำลังอึ้งกับสิ่งที่ผมทำลงไป อย่าว่าแต่ไนล์เลยครับ เพราะผมเองก็อึ้งเหมือนกันที่ทำแบบนั้น ทว่าเขาก็ตั้งสติได้เร็วกว่าที่ผมคิดไว้ เพราะเพียงครู่เดียว ไนล์ก็ปรับสีหน้าและแววตาให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้

“งั้นฉันคงต้องภูมิใจที่ตัวเองได้ของมีค่ามากๆ ของนายมาล่ะสิ”

เขาเรียบเรียงเสียงออกมาเป็นคำพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรนักกับสิ่งที่ผมทำ ต่างจากปฏิกิริยาตอบรับเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง ไนล์มองผมไม่ละสายตาด้วยแววตาที่ไม่สั่นไหวและยังไร้ชีวิต พลางดึงบุหรี่จากมือผมกลับคืนไป ซึ่งมันก็ทำให้ผมยิ่งรู้สึกงุ่นง่านมากไปกว่าเดิมจากการตอบสนองของเขา

ผมขยับปากอยู่หลายครั้ง แต่เสียงก็ไม่หลุดออกมาเพราะค้นหาคำพูดไม่เจอ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในเวลานี้ ผมเหมือนถูกไนล์ปั่นหัวให้ต้องกลายเป็นคนที่สมองตื้อตันทำอะไรไม่ถูก เหมือนหนูตัวเล็กๆ ที่วิ่งวนไปมาอยู่ในกล่องแล้วไนล์กำลังนั่งหัวเราะมองความโง่เง่าของผม จนสุดท้ายผมก็ต้องระเบิดเสียงออกมา

“เมื่อไรนายจะเลิกทำให้ฉันเหมือนคนบ้าสักที!”

“...”

ไม่มีคำตอบจากคนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นเมื่อเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อยๆ ผมจึงก้มลงจ้องมองตาของไนล์เผื่อว่าผมจะได้คำตอบอะไรกลับมาบ้าง ผมอยากเห็นแววตาที่มีชีวิตของเขาอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปอย่างที่ผมคาดหวัง

“นายจะมองฉันหรือทำตัวตามปกติกับฉันไม่ได้หรือไง ทำไมต้องทำเหมือนคนไร้ชีวิต ไหนบอกว่าให้ฉันสนใจนาย แต่นายกลับไม่สนใจฉันเลย ฉันว่าแบบนี้มันไม่แฟร์”

แต่แม้ว่าผมจะเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่รู้ว่ามันควรจะมีอยู่หรือเปล่า คนที่ผมจ้องตาอยู่ก็ยังไม่มีท่าทีใดๆ ไนล์ยังคงเงียบ จนผมอดจะผ่อนลมหายใจออกมาไม่ได้ และบอกเขาอย่างจำนน ไม่มีหนทางไหนแล้วที่จะทำให้ผมค้นพบว่าเขาเข้ามาปั่นป่วนความคิดและชีวิตของผมเพื่ออะไร

“ฉันอยากรู้จริงๆ ว่านายเป็นคนยังไงกันแน่”

ทว่าคราวนี้ดูท่าว่าไนล์จะยอมเห็นใจผมบ้างที่ต้องวุ่นวายใจเพราะเขามานับครั้งไม่ถ้วน ถึงได้ยอมปริปากสักที แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นคำตอบที่ดี

“ถ้าอย่างนั้นก็คอยมองดูฉันสิ ไล่ตามจับฉันให้ได้”

ข้อเสนอนี้ถูกยื่นมา ผมจึงต้องพยายามตรึกตรองให้ดี ซึ่งผมก็ได้คำตอบและรับรู้แล้วว่าไนล์ทำอะไรได้บ้าง ทำให้ผมร้อนรนและวุ่นวายใจได้มากแค่ไหน ผมก็ปฏิเสธมันไม่ได้ เพราะหากทำแบบนั้นผมคงได้เจอความลำบากมากกว่าเดิม

“ก็ได้ ฉันจะลองทำดู”












การทำรายงานกลุ่มและพรีเซนต์ในชั่วโมงเรียนถือว่าเป็นเรื่องปกติมากสำหรับชีวิตของนักเรียนหรือนักศึกษา ในตอนนี้ผมถึงต้องมานั่งทำรายงานที่จะต้องพรีเซนต์วันมะรืนให้เสร็จเรียบร้อย ซึ่งไฮยีนที่รับหน้าที่ทำเพาเวอร์พอยท์ก็ก้มหน้าก้มตาทำมันอยู่ข้างๆ ผม

ผมนั่งสรุปรายงานอยู่กับมันที่ม้านั่งใต้ตึกคณะซึ่งเป็นโต๊ะประจำของเรามาได้พักหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ที่ทำรายงานกลุ่มเดียวกันไปหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ห้องสมุด จึงมีเพียงแค่ผมกับไอ้ยีนเท่านั้นที่ยังนั่งพิมพ์กรอกแกรกกับแล็ปท็อปของตัวเอง

“มึง กูทำกราฟไม่ได้ว่ะแม่ง”

เสียงของไอ้ยีนเรียกให้ผมต้องหันไปมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่มันคงงมหาฟังก์ชั่นสำหรับการทำกราฟมาพักหนึ่งแล้ว แต่ไม่เจอ ถึงได้มาขอความช่วยเหลือจากผม และเมื่อผมเห็นสิ่งที่มันทำอยู่ ผมก็ถึงบางอ้อ

“มึงทำในเพาเวอร์พอยท์แล้วกราฟจะงอกออกมาให้มึงไหม”

“ก็กูทำไม่เป็น มึงมาทำให้กูหน่อย”

เพื่อนรักของผมขอร้องโดยไม่แสดงอาการอะไรเป็นพิเศษ เพราะตอนนี้เราอยู่ที่ตึกใต้คณะ มันถึงต้องระวังตัว ไม่แสดงท่าทีห่ามๆ เหมือนเวลาอยู่กันตามลำพัง ซึ่งมันก็ทำให้ผมเป็นต่อ ผมจึงสั่งสอนมันไป

“มึงไม่ทำเองมึงก็ทำไม่เป็นอยู่แบบนี้แหละ กูทำให้มึงมากี่รอบแล้ว”

แต่ใช่ว่าบอกแบบนั้นแล้วมันจะสำนึกได้ ยังมีหน้ามาอ้อนผมอีก

“กราฟครับ กราฟทำให้ยีนหน่อยนะครับ ยีนทำไม่เป็นจริงๆ นะ”

ผมแพ้เสียงและท่าทางของมันแบบนี้จริงๆ สุดท้ายผมก็ต้องส่ายหัวเบาๆ ที่ก่อกบฏไม่สำเร็จ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้มันมากกว่าเดิม พลางยืนมืออกไปจับเมาส์และเปิดเอ็กเซลขึ้นมาแทน ส่วนมันน่ะเหรอ ก็นั่งอมยิ้มสบายใจที่มีคนคอยเอาใจ แต่ก็ไม่นานหรอกครับ เพราะอยู่ๆ ก็มีแขนของใครสักคนแทรกเข้ามาระหว่างผมกับไฮยีน ตามด้วยเสียงของเจ้าของแขนนั้น

“ทำอะไรอยู่”

“เพาเวอร์พอยท์ดิ พี่ไม่เห็นเหรอ”

ไอ้ยีนเป็นคนตอบคำถาม ส่วนผมก็หันไปมองตามที่มาของเสียง ซึ่งก็เห็นว่าไอ้ยีนกำลังสะบัดหัวของมันไปมาเพื่อให้คางของพี่ภูที่วางอยู่บนหัวของมันหลุดออกไป เป็นภาพที่น่ารักดีนะครับ จนผมอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ รู้สึกว่าเคมีของสองคนนี้เข้ากันดี ถึงจะชอบเถียงกันเป็นประจำก็ตาม

“อืม แต่ที่เห็นอยู่เป็นเอ็กเซลนะ”   

เพราะสะบัดหัวแล้วพี่ภูก็ยังไม่ยอมปล่อยมันสักที ไอ้ยีนเลยยกมือขึ้นไปจับหน้าพี่ภูแล้วเหวี่ยงจนแทบขว้างออกไปทางไหนก็ได้ที่ว่างๆ พี่ภูเลยยอมผละออกจากตัวมันและลงมานั่งแทรกระหว่างผมกับไอ้ยีนแทน และก็เหมือนจะรู้ทันไอ้ยีนด้วย เขาถึงได้โพล่งออกมาก่อนที่เพื่อนของผมจะปล่อยคำพูดอีกระลอก หนำซ้ำยังมีการเอามือปิดปากไอ้ยีนไว้อีก

รู้จักสันดานเพื่อนของผมดีเชียวล่ะ เพื่อนลุงรหัสของผมคนนี้

“อย่าเพิ่งด่าๆ”

“แล้วพี่มีอะไร อยากมากวนประสาทกันเฉยๆ หรือไง”

“เปล่าสักหน่อย ที่มาเพราะว่ามีเรื่องต่างหาก มึงด้วยกราฟ”

“มีอะไรอะพี่”

ผมโดนพี่ภูดันให้ห่างออกมาหน่อย คงเพราะเขานั่งไม่ถนัด ซึ่งมันก็ทำให้ผมเพิ่งเห็นว่าพี่เจ๋งมายืนอยู่ตรงนี้ด้วย ผมไม่ได้สังเกตเลยว่าลุงรหัสของผมก็อยู่ด้วย คงเพราะมัวแต่มองคู่นี้อยู่

“พอดีว่าพวกกูต้องทำหนังสั้น เลยว่าจะชวนพวกมึงมาร่วมโปรเจกต์”

“จะดีเหรอพี่ ให้แสดงอะนะ”

ข่าวที่ได้รับมาทำให้ผมประหลาดใจ เพราะไม่คิดว่าพวกพี่เขาจะไว้ใจให้ผมกับไอ้ยีนมาช่วยงาน

“ใช่ พวกกูเห็นว่าพวกมึงแสดงดีก็เลยอยากชวนพวกมึง กูเขียนบท ส่วนไอ้ภูเป็นผู้กำกับ”

แต่พี่เจ๋งก็ยังยืนยัน แถมยังมีอะไรเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าจากคำพูดต่อมาของพี่ภูอีก

“นอกจากพวกมึงแล้วไอ้กัสกับไอ้เคก็ด้วย เมื่อกี้กูโทรไปชวนแล้ว มันโอเค”

“แล้วเรื่องเป็นยังไงอะพี่”

ในเมื่อดูจะเลี่ยงไม่ได้ และได้รับความไว้วางใจกันแบบนี้ ก็คงปฏิเสธยากครับ เพราะผมก็ไม่อยากทำให้พวกพี่เขาผิดหวังเหมือนกัน ในเมื่อตั้งใจให้พวกผมช่วยงานแล้ว อีกอย่างตอนสอบพี่เจ๋งก็ช่วยติวให้ผมด้วย พี่ภูก็ช่วยไอ้ยีนเหมือนกัน แต่พี่ภูกลับตอบเอาฮาแล้วหัวเราะ ก่อนจะไปกระซิบข้างหูไอ้ยีน

“สี่ยอดกุมาร ไม่อยากเล่นเหรอ”

“ไม่อะ”

“ไม่คิดจะช่วยกันหน่อยหรือไง”

“ทำไมต้องช่วย?”

“ไม่ต้องช่วยเล่นก็ได้ แต่ช่วยทำให้กูเลิกคิดถึงมึงหน่อย”

ถึงพี่ภูจะกระซิบเบาหวิวข้างหูเพื่อนของผม แต่ผมที่นั่งอยู่โคตรใกล้ก็ได้ยินครับ เห็นไอ้ยีนทำหน้าไม่ถูก แต่ดูหน้าแดงๆ หน่อย พลางก้มหน้างุดๆ ที่ไม่รู้ว่าเพราะอายผม หรืออยากตั๊นหน้าพี่ภูแบบสุดทนกันแน่ ผมก็แอบยิ้มขำๆ แถมพี่ภูยังถือโอกาสตอนที่ไอ้ยีนตอบโต้ไม่ได้มาสรุปกับผมอีก

“สรุปว่าตกลงนะ”

“ถ้ายีนโอเคก็ตามนั้น ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

ผมเหลือบไปมองไอ้เพื่อนรักหน่อยๆ ท่าทางตอนนี้มันน่ารักดีครับ เพราะปกติแล้วผมไม่เคยจะได้เห็นหรอกตอนที่มันหน้าแดงแบบนี้ สงสัยมันคงแพ้ทางพี่ภูไปเต็มๆ

“โอเค ไว้สรุปรายละเอียดอะไรแล้วจะบอกอีกทีแล้วกัน” คงเห็นว่าทุกคนเอาแต่เงียบ ลุงรหัสของผมเลยเป็นคนออกปากขึ้นมาบ้าง เรียกให้ไอ้ยีนเงยหน้าขึ้นมาด้วย ก่อนเขาจะหันไปพูดกับเพื่อนที่มาด้วยกัน แต่อาจจะไม่ได้กลับด้วยกันจากการคาดเดาของผม “งั้นกูไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะไปเตรียมเรื่องบทเพิ่ม แล้วมึงจะไปกับกูเลยหรือเปล่า”

“มึงกลับไปก่อนเหอะ”

เป็นอย่างที่ผมว่าพี่ภูตัดเยื่อใยกับเพื่อนเลยครับ แต่ก็คงจะไม่แปลก ผมเลยขอทำตัวเสียสละบ้าง เสียสละเพื่อนให้กับว่าที่แฟนของมันน่ะครับ แต่แค่ผมลุกจากม้านั่งที่นั่งอยู่ เสียงไอ้ยีนก็รั้งผมไว้ทันที

“มึงจะไปไหนวะ”

ผมยังไม่ตอบอะไรมัน แค่ยิ้มให้ ให้มันเข้าใจไปเองว่าผมจะทำอะไรหรือไปไหน ซึ่งผมคิดว่ามันคงพอจะคิดได้ล่ะมั้งว่าตอนนี้ผมกำลังตามจีบพี่ดาหลาอยู่ เพราะฉะนั้นผมก็น่าจะไปหาพี่ดาหลาเหมือนอย่างทุกที แต่ไม่ใช่หรอกครับ

“ผมฝากพี่ช่วยมันทำกราฟต่อด้วยนะ ไปก่อนครับ”














วันนี้ผมมาโผล่ที่คณะของไอ้กัสกับไอ้เคลม แต่ไม่ได้มาหาไอ้สองตัวนั้นหรอก เพราะเมื่อคืนผมรับปากไนล์ไว้แบบนั้น ผมจึงต้องมาทำตามคำพูดของตัวเอง เป็นครั้งแรกที่ผมก้าวย่างเข้ามาในคณะวิศวะฯ บรรยากาศภายในคณะแตกต่างจากคณะผมหรือคณะของพี่ดาหลาโดยสิ้นเชิง

คนภายในคณะนี้ส่วนมากจะใส่เสื้อช็อปสีต่างๆ แยกไปตามเมเจอร์ ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเมเจอร์ไหนใส่สีอะไร แต่ก็มีอีกส่วนหนึ่งที่ใส่ชุดนักศึกษาตามปกติ เพราะไม่มีเรียนแล็บและนักศึกษาปีหนึ่งจะใส่เสื้อช็อปก็เมื่อเข้าเทอมสองแล้วเท่านั้น

ผมก้าวเข้าไปในคณะของไนล์ด้วยความมึนงงเล็กน้อย เพราะไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นหาตัวคนที่ผมมาหาจากตรงไหน เพราะคณะนี้คนค่อนข้างเยอะ และไนล์ก็คงไม่ใช่คนที่จะเป็นที่รู้จักเหมือนพี่ดาหลา ไม่ใช่เพราะว่าหน้าตาของเขาไม่ดีหรอกนะครับ ผมว่าหน้าตาของไนล์ออกจะโดดเด่น แต่เพราะลักษณะที่เหมือนคนไม่มีชีวิต ไม่สนใจรอบข้างนั่นต่างหากที่ทำให้ผมค่อนข้างแน่ใจว่าน้อยคนที่จะรู้จักไนล์

เนคไทของมหาวิทยาลัยที่มีเข็มกลัดเป็นรูปเกียร์ติดอยู่ถูกใช้เป็นข้อสังเกตของผม เพราะจะมีแค่ปีหนึ่งเท่านั้นที่ยังใส่เนคไทอยู่ ผมเดินไปยังโต๊ะหนึ่งที่มีกลุ่มคนที่ว่านั่งรวมกันอยู่ประมาณห้าหกคน และลองถามดู เผื่อว่าจะมีใครที่รู้จักไนล์บ้าง ซึ่งก็ถือว่าเป็นโชคดีที่มีคนหนึ่งทักขึ้นมา ไม่เหมือนคนอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมไปถามมาแล้วได้รับคำตอบว่าไม่รู้จัก

“ไนล์ก็ไอ้คนนั้นไง ที่อยู่เอ็มอี ดูหยิ่งๆ ไม่คุยกับใคร”

“อ้อๆ ที่ชอบทำหน้านิ่งๆ ตัวขาวๆ หน้าซีดๆ ใช่ป่ะ ”

“เออๆ กูนึกออกแล้ว แม่งชอบทำตัวเหมือนผี แล้วยังทำเหมือนมองไม่เห็นคนอื่นอีก เห็นแล้วโคตรหมั่นไส้เลยวะ”

“ไม่ใช่แค่หมั่นไส้นะมึง เหี้ยเลยว่ะ เสือกเอาพี่ติ๊กที่กูเล็งไว้ไปแดกอีก สัตว์แม่ง”

“ไม่ใช่แค่พี่ติ๊กเว้ย กูเห็นแม่งควงคนนั้นที คนนี้ที เห็นแล้วคันตีนฉิบหาย”

ได้ยินสิ่งที่คนในโต๊ะคุยกันแล้ว ผมก็เริ่มไม่แน่ใจว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่มาถามกับพวกนี้ เพราะดูแต่ละคนไม่ค่อยพอใจไนล์นัก อีกทั้งสิ่งที่แต่ละคนพูดมายังทำให้ผมรู้สึกว่าไม่เข้าหูสักเท่าไร ถึงผมจะได้เห็นมากับตาและได้ยินกับหูว่าไนล์เป็นยังไงเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ดาหลาหรือผู้หญิงคนอื่น แต่ผมก็คิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนอย่างที่กำลังถูกพูดถึง

ลึกๆ ผมเชื่อว่าไนล์ไม่ใช่คนเจ้าชู้แบบนั้น

แต่เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว ภาพของไนล์กับผู้หญิงที่ผมเคยได้เห็นก็ย้อนกลับเข้ามาให้ผมต้องย้ำความคิดของตัวเองอีกครั้งว่าแน่ใจแล้วเหรอ เพราะแต่ละครั้งที่ผมได้เจอ ไม่มีใครซ้ำหน้ากันสักคน

ผู้หญิงในผับ

ผู้หญิงที่ร้านพิซซ่า

หรือแม้แต่เมื่อวาน... คนที่ไนล์จูบ

“ว่าแต่นายมาถามหามันทำไม”

ผมถูกดึงให้กลับมาสนใจกลุ่มคนที่โต๊ะอีกครั้ง จึงต้องยิ้มให้จางๆ แล้วตอบคำถาม

“ฉันมีธุระด้วยนิดหน่อย”

“อย่าบอกนะว่าจะมาเอาเรื่องมันที่มันแย่งแฟนนาย”

“ไม่ใช่ๆ”

รีบปฏิเสธทันทีเพราะเกรงว่าคนอื่นๆ จะเข้าใจผิด แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว เพราะถึงผมจะตอบแบบนั้น แต่อีกคนในกลุ่มก็โพล่งขึ้นมา

“มันไม่อยู่คณะหรอก เลิกเรียนเสร็จมันก็เปิดตูดไปทุกวัน ถ้าไม่มีผู้หญิงมารับ ก็คงไปหาผู้หญิงที่คณะอื่นเองล่ะมั้ง”

รู้สึกว่ามีเสียงครืนๆ เหมือนมีอะไรขูดอยู่ในอกจนก้องออกมาอยู่ชั่วครู่ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าผมจะดึงสติกลับมาแล้วกล่าวขอบคุณคนที่ให้คำตอบกับผม ก่อนจะเดินกลับมาที่รถ ผมทิ้งตัวลงกับเบาะในรถ รู้สึกหัวตื้อขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงคำพูดต่างๆ ที่ได้ยินมาจากคนในคณะของไนล์ สิ่งที่ผมไม่เคยรู้และไม่เคยคิด

ถ้าหากว่าผมอยากรู้ว่าตัวตนของไนล์เป็นยังไง ผมจะต้องเจอเรื่องที่ทำให้ประหลาดใจมากกว่านี้อีกใช่ไหม

ผมจมอยู่กับความคิดนั้นทั้งที่ยังนั่งอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถของคณะวิศวะฯ อยู่พักใหญ่ ยังคิดไม่ออกและไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนหรือทำอย่างไร ที่ผ่านมา ไม่ว่าผมจะอยู่ที่ไหน ไนล์ก็มักจะหาผมเจอและรู้เสมอ แต่เพียงแค่ผมคิดว่าต่อไปผมต้องเป็นคนฝ่ายมาหาเขาบ้าง ก็กลายเป็นว่าผมต้องผิดหวังตั้งแต่ครั้งแรก ทำให้ผมเสียศูนย์ไปพอสมควร ทุกอย่างดูไม่เป็นใจ

ตามจริงแล้วผมจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาเขาเพื่อถามก็ได้ว่าอยู่ที่ไหน แต่ผมก็เก็บโทรศัพท์กลับไปแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ความคิดก็ตาม เพราะหากทำแบบนั้นก็เท่ากับว่าผมยอมแพ้ตั้งแต่แรก ผมจึงเปลี่ยนจากการโทรหาไนล์เป็นการไปรอเขาที่แมนชั่นแทน

ทว่ายังไม่ทันขับไปถึงที่หมาย ผมก็ต้องชะลอรถและหยุดลงข้างทางก่อนจะออกจากมหา’ลัยเสียอีก เพราะคนที่ผมไปหาถึงคณะกำลังลงจากรถคันเดียวกับที่ผมเห็นเมื่อวาน ผมมองดูไนล์ที่ก้มลงคุยกับผู้หญิงในรถซึ่งจอดอยู่หน้าประตูมหา’ลัย เขาระบายยิ้มกว้างให้ พลางโบกมือลาก่อนรถคันนั้นจะแล่นออกไป

เห็นภาพนั้นแล้วผม เสียงกึกๆ ก็ดังในอกของผม คำพูดของคนในคณะของไนล์ที่ผมเพิ่งได้ยินมาย้อนกลับมาในโสตสัมผัสของผมอีกระลอก







อ่านต่อด้านล่าง

v

v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 07-12-2013 18:25:08


ต่อจากด้านบน


v


v






ไนล์ออกไปกับผู้หญิงจริงๆ อย่างที่คนพวกนั้นว่า แต่คงไม่แปลก ในเมื่อนัดเมื่อวานถูกยกเลิก ยังไงก็ต้องมีสักวันที่ไนล์ออกไปกับผู้หญิงคนนั้นเพื่อเป็นการชดเชย ทั้งที่เข้าใจเหตุผลหมดทุกอย่าง แต่ขณะเดียวกันผมกลับรู้สึกไม่ค่อยพอใจกับสิ่งที่ได้เห็นกับตา

ร่างผอมเพรียวที่อยู่ปลายสายตาของผมเดินจากหน้ามหา’ลัยไป เขาไม่ได้ต่อรถ แต่ข้ามถนนไปยังอีกฝั่ง ซึ่งไม่ต้องคาดเดาผมก็พอรู้ได้ว่าคงจะกลับแมนชั่นของตัวเอง ผมจึงค่อยๆ ขับรถตามไป แทนที่จะเลื่อนรถไปเทียบข้างตัวและเรียกเขาขึ้นรถ ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำอย่างที่ผมคิดจริงหรือว่าเป็นการคิดไปเองของผมกันแน่ว่าเขาจะเป็นแบบไหน

คราวนี้ผมไม่ต้องผิดหวังหรือเจอเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะไนล์กลับแมนชั่นอย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้ เขาเดินเข้าซอยไปเรื่อยๆ ด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนกับระยะทาง ทั้งที่ถ้าเป็นเพื่อนผม อย่าง ไอ้ยีนหรือไอ้เคลม คงบ่นด้วยความหงุดหงิดไปแล้วกับการเดินไกลๆ และต้องเรียกแท็กซี่ให้เข้าไปส่งถึงแมนชั่น ไม่มาเดินให้เสียเวลาหรือเปลืองแรง แม้แต่ไอ้กัสที่มีความอดทนมากกว่าก็คงทำอย่างเดียวกัน แต่อาจจะไม่บ่นเหมือนสองคนนั้น

ผมรอให้ไนล์เข้าแมนชั่นแล้วจึงค่อยเลื่อนรถเข้าไปจอด ก่อนจะเดินขึ้นไปยังห้องที่ผมจะเหยียบเป็นรอบที่สาม วันนี้ผมไม่ไขกุญแจเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่เลือกจะเคาะประตู ทว่าเคาะอยู่พักหนึ่งกลับไม่มีเสียงตอบรับหรือการเปิดประตูต้อนรับจากเจ้าของห้อง ผมจึงต้องหยิบกุญแจดอกเดิมที่หยิบมาเผื่อไว้ด้วยขึ้นมาเปิดประตูบานเก่า

เจ้าของห้องอยู่ในห้อง นั่งอยู่ที่เดียวกับเมื่อวาน ที่มือของไนล์ข้างหนึ่งมีพู่กันส่วนอีกข้างมีบุหรี่อยู่เหมือนเดิม ผมข้างหน้าถูกมัดเป็นจุกไม่ต่างจากที่ผมได้เห็น แม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้หันมาหาผมก็ตาม ไนล์คร่ำเคร่งอยู่กับผลงานของตัวเองจนไม่สนใจคนที่ก้าวรุกล้ำเข้ามาในอาณาเขต ไม่ระวังตัวสักนิดว่าจะเป็นคนร้ายที่เข้ามาขโมยของซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าภายในห้องนี้มีของมีค่าอะไรพอให้ขโมยหรือเปล่า จนผมอดพูดออกมาไม่ได้

“ไม่ยอมหันมาดูว่าใครเข้ามาในห้องแบบนี้ ถ้าคนที่เข้ามาไม่ใช่ฉัน นายจะทำยังไง”

“ห้องนี้ไม่มีของให้ขโมย และไม่มีใครรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่นอกจากนาย”

คำตอบแรกทำให้ผมรู้สึกโมโหนิดๆ ที่เขาไม่ห่วงตัวเองเลย แต่คำตอบที่ตามมาทีหลังกลับทำให้ความรู้สึกแรกของผมถูกลบล้างออกไปจนหมดเกลี้ยง

ผมกำลังดีใจหรือไง?

ตั้งคำตอบกับตัวเองในใจแล้วก็เลี่ยงคำตอบจากคำถามนั้นไม่ได้ว่ามันคือความจริง

ผมกำลังถูกดึงดูดด้วยความลึกลับและปริศนามากมายจากผู้ชายคนนี้อย่างปฏิเสธไม่ได้ จนผมอดคิดไม่ได้ว่าคำท้าทายของไนล์กำลังเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาทำให้ผมสนใจเขามากจนผมแทบละความคิดจากเขาไม่ได้ แต่ถึงจะรู้สึกแบบนั้น ผมก็ไม่คิดจะแสดงออกให้มากกว่าที่เป็นอยู่

“แล้วทำไมนายไม่มาเปิดประตูตอนที่ฉันเคาะเรียก ถึงยังไงนายก็สมควรทำแบบนั้นมากกว่า”

มันปลอดภัยกว่า...

เป็นคำที่ผมต่อในใจ ไม่ได้พูดออกมา แต่ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป ไนล์ก็ยังไม่หันมา เขาเพียงปล่อยควันสีขาวออกจากปากและตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ให้ความรู้สึกบางเบาเหมือนร่างของเขาที่ได้เห็นเป็นเพียงภาพลวงตา

“ฉันรู้ว่านายเอากุญแจมา”

“แล้วถ้าฉันไม่ได้เอากุญแจมาด้วย”

เขารู้ทันผมเสมอจนผมต้องหาทางเลี่ยง ให้เขาเข้าใจว่าผมไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเสมอไป แต่ถึงกระนั้นไนล์ก็ยังคงยืนยันราวกับรู้จักผมดีและเขาไม่เคยอ่านความคิดของผมพลาด

“นายต้องเอามา”

“ทำไมนายถึงคิดแบบนั้น”

“เพราะเป็นนาย”

ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน แต่ความหนักแน่นของไนล์ทำให้ผมต้องยอมแพ้ในการซักไซ้ต่อ และเดินไปนั่งที่เตียงของเขาแทน เลิกรบกวนคนทำงานที่ยังไม่มองกลับมาหาผมแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่ผมเปิดประตูและก้าวเข้ามาในห้อง

ผมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่ต่างจากวันอื่นที่ผมมา ไม่มีอุปกรณ์หรือสื่อบันเทิงใดๆ ที่จะให้ผมใช้ฆ่าเวลาในการอยู่ที่นี่ ไม่มีคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ หรือแม้แต่วิทยุ ผมจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นเกมเพื่อรอเวลาที่ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ารอเพื่ออะไร ขณะที่ไนล์ก็ยังคงทำงานต่อไปโดยไม่สนใจผม

เสียงเครื่องยนต์ในเกมดังเบาๆ ภายในห้องที่มีแต่ความเงียบ ผมเหลือบมองไปทางคนที่นั่งอยู่ตรงระเบียงหลังห้องเป็นระยะ ไนล์นั่งหันหลังให้ผมและยังเอาแต่จับจ้องเฟรมภาพขนาดใหญ่ที่ลงสีไปครึ่งหนึ่ง มือที่เล็กกว่าผมพอสมควรขยับไปเรื่อยๆ เพื่อป้ายสีสันไปตามผืนผ้าใบไม่หยุดพัก ให้รู้ว่าเขาตั้งใจทำผลงานชิ้นนี้มากแค่ไหน ผมจึงกลับมาเล่นเกมเหมือนเดิม










ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ผมเผลอหลับไป รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา โทรศัพท์ยังคาอยู่ในมือของผม แต่ว่ามันดับไปแล้ว ผมต้องรำลึกความทรงจำขึ้นมาก่อนจะนึกได้ว่าผมเล่นเกมในโทรศัพท์จนแบตหมด จึงคิดจะพักสายตาสักครู่และกะว่าจะออกไปหาซื้ออะไรเข้ามากิน

คิดได้ดังนั้นผมก็ยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือ ทว่าหลังจากเห็นว่าเข็มสั้นและเข็มยาวพาดอยู่ตรงตัวเลขไหน ผมก็ต้องเบิกตาขึ้นกว้าง เพราะว่ามันตีหนึ่งกว่าแล้ว ผมกระเด้งตัวขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วก่อนจะต้องเบิกตากว้างกว่าเดิมที่เห็นว่าไนล์นั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยๆ ซึ่งนำมากางไว้ข้างเตียง

เจ้าของร่างผอมๆ นั่นกำลังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างอยู่กับหนังสือที่อยู่บนโต๊ะนั้น ผมจึงค่อยๆ ชะโงกตัวไปดูก็เห็นว่าไนล์กำลังใช้ดินสอขีดดอกจันเอาไว้ในหนังสือก่อนจะเอาโพสต์อิทสีสะท้อนแสงติดที่กระดาษหน้านั้น ซึ่งมันไม่ใช่เพียงแค่หน้าเดียว แต่ในหนังสือที่วางอยู่ข้างๆ อีกประมาณสามเล่มก็มีโพสต์อิทติดอยู่เล่มละเกือบสิบหน้า

“ทำอะไร”

“รายงาน”

ไม่ต่างจากเดิม แม้ว่าจะผ่านมามากกว่าแปดชั่วโมง ไนล์ก็ยังไม่เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม แต่ผมก็ไม่เรียกร้องที่จะให้เขาเงยขึ้นมามองหน้าผม ผมเลือกที่จะเป็นฝ่ายมองการกระทำของเขาแทน เพราะตอนนี้เป็นผมต่างหากที่ต้องทำความรู้จักกับเขา ไม่ใช่เขาที่รู้จักผมดี

“นี่มันเกือบจะตีสองแล้ว ไว้ค่อยทำพรุ่งนี้ก็ได้”

ผมบอกด้วยความหวังดี พลางหันไปมองภาพที่ไนล์ลงสีไว้เมื่อตอนหัวค่ำ ตอนนี้มันกลับมาตั้งอยู่ข้างหน้าต่างของห้องแทนระเบียง ซึ่งภาพวาดที่เว้าแหว่งด้วยสีตอนนี้มันถูกทำให้สมบูรณ์แล้ว ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ชื่นชมภาพวาดนั้น ผมก็ต้องเบือนหน้ากลับมาทางไนล์อย่างรวดเร็วเพราะคำตอบของเขา

“ต้องส่งพรุ่งนี้”

“ส่งพรุ่งนี้” ผมตกใจจนหลุดเสียงออกมา เพราะดูจากเวลาแล้วมันไม่น่าจะเสร็จง่ายๆ จึงอดจะถามเรื่องภาพวาดไม่ได้ “แล้วทำไมนายไม่ทำก่อน ค่อยวาดรูปทีหลัง”

“นั่นก็ส่งพรุ่งนี้”

คำตอบของไนล์ทำให้ผมไปต่อไม่ถูก ต้องหยุดเสียงของตัวเองเอาไว้เท่านั้น ก่อนจะเหล่กลับไปมองรูปวาดที่ตั้งอยู่และพลันคิดถึงวันที่ผมตื่นขึ้นมาในห้องนี้ ไนล์ลุกขึ้นมาวาดรูปตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น และภาพนั้นก็น่าจะเป็นภาพเดียวกับที่ผมกำลังเห็นอยู่ในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้น...

เขาต้องเสียเวลาเปล่ามาสองวันก็เพราะผม

รู้ถึงเหตุผลที่ไนล์ต้องมาไล่บี้ทำงานแบบนี้แล้วก็รู้สึกผิดขึ้นมาในใจ หากผมไปหาไนล์ที่คอนโดของผมให้เร็วกว่านี้แทนที่จะปล่อยให้เขารอตั้งสี่ชั่วโมง ถ้าผมไม่ไปซื้อของและดูหนังกับพี่ดาหลาเมื่อวาน ไนล์ก็ไม่ต้องตามผมไปและรอจนกว่าผมจะกลับทั้งที่เขาควรเอาเวลานั้นไปทำงาน ถึงจะนัดกับพี่มายด์ไว้ก็ตาม แต่อย่างน้อยการไปกับผู้หญิงคนนั้น เขาก็สามารถกำหนดได้ว่าจะกลับเมื่อไร ไม่เหมือนการไปกับผม

“แล้วนายจะทำเสร็จเมื่อไร จะได้นอนกี่ชั่วโมง”

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด และยิ่งถามผมก็ยิ่งสะท้อนใจให้ความรู้สึกนั้นทับถมมากขึ้นหลังจากได้ฟังคำตอบ

“นอนกี่ชั่วโมงไม่สำคัญ แค่งานเสร็จก็พอ ฉันชินแล้ว”

“แล้วนายจะพิมพ์ยังไง”

เพราะไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำงานอย่างครบถ้วน และคิดว่าไนล์คงไม่เขียนมันแน่ๆ เพราะยังมีหนังสืออีกตั้งหนึ่งที่เขายังไม่ได้เปิดหาข้อมูลด้วยซ้ำ เพราะไม่มีโพสต์อิทติดอยู่เหมือนอีกตั้งหนึ่ง

“ค่อยเอาไปพิมพ์ที่ห้องคอมคณะ”

เพียงฟังคำตอบของไนล์ ผมก็ไม่คิดจะสอบถามอะไรต่ออีกแล้ว ผมลุกขึ้นจากเตียงทันทีก่อนจะตรงไปยังโต๊ะที่ไนล์เปิดหนังสืออยู่ และดึงหนังสือนั้นขึ้นมาปิดพร้อมกับรวบหนังสืออื่นๆ ที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมาแล้วสั่งทันควัน

“ไปกับฉัน”

“ไปไหน”

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ผมได้เห็นหน้าของไนล์ชัดๆ เขายอมเงยหน้าขึ้นมาประจันกับผมเมื่อถูกแย่งหนังสือไป ซึ่งหลังจากเห็นสีหน้าของเขาแล้วผมก็เผลอขบกรามเข้าหากันแน่น หน้าที่ขาวซีดของไนล์ซีดลงอีกจากเมื่อคืนนี้ ใต้ตามีรอยคล้ำและก็ดูอ่อนเพลียจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อคืนเขาได้นอนหรือเปล่า

แบบนี้ใช่ไหม เขาถึงหลับเป็นตาย ปลุกเท่าไรก็ไม่ตื่นจนผมนึกกลัวเสมอ







==============
ดีใจค่ะที่มีคนรอ
ไม่ได้หายไปไหน แต่ไม่ว่างเลย เพิ่งจะมีโอกาสได้แต่งต่อ

ตอนนี้กราฟเหมือนถลำลงไปทั้งตัวแล้ว
ในที่สุดก็ได้จูบแล้วเนอะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: warin ที่ 07-12-2013 19:59:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 07-12-2013 20:16:34
ผู้หญิงพวกนั้นเป็นอะไรกับไนล์กกันแน่
เริ่มติดบ่วงตามกราฟไปแล้ว 555
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 10-12-2013 13:51:37
แง ถึงได้จูบกันแล้วแต่ดูไม่หวานเท่าไหร่ เพราะยังไงไนล์ก็ยังเป็นไนล์ คงมีแต่กราฟล่ะมั่งที่เปลี่ยนไปกว่าเดิม
แล้วการเลือกไล่ตามไนล์ก็ทำให้กราฟได้รู้แต่เรื่องไนล์ที่มาจากปากคนอื่นทั้งนั้น  ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องดีซักเรื่อง
ไหนจะเหล่าผู้หญิงที่มาเกี่ยวพันกะไนล์อีก ความจริงมันเป็นยังไง ตัวตนของไนล์คือใคร ต้องการอะไรกันแน่
เฮ้อ เหนื่อยแทนกราฟจัง แต่ความลับไม่มีในโลก(นอกจากผู้เขียนไม่เขียนต่อ 555)เราจะค่อย ๆ รู้จักไนล์ไปด้วยกันนะกราฟสู้ ๆ
แล้วตอนนี้ก็ใกล้ถึงตอนกราฟคลั่งที่เจอทะเลแล้ว เบื้องหลังตอนหลักของพี่ภูกะน้องยีน
กราฟกะไนล์จะทำความเข้าใจกันมากขึ้นไหมน๊า รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปจ้า  :pig4:  :mew1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 10-12-2013 17:36:16
กราฟเอ้ย.....สงสัยจะถอนตัวจากไนล์ไม่ขึ้นแล้วเนี่ย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 11-12-2013 00:05:53
ไม่รอดแล้วกราฟ เจอคนนิ่งกว่า
แต่อยากรุ้มากว่า ทำไมไนล์ มั่นใจเรื่องกราฟจ

รออ่านต่อ ขอบใจจ้า
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: Zelsy ที่ 11-12-2013 05:45:38
เจอขนาดนี้ไม่รอดหร๊อกกก~
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 11-12-2013 09:17:13
ตกลงตัวตนที่แท้จริงเป็นยังไงก็ยังไม่รู้เลย เฮ้อออออออออ
แต่ที่แน่ๆกราฟไปทั้งตัวแล้วแหละ รู้ตัวรึยัง ฮ่าาาาา
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: loveyous ที่ 11-12-2013 11:07:56
อ่านแล้วหน่วงมากจริงจริง
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 12-12-2013 14:14:48
อยากรู้จักตัวตนของไนล์เยอะๆ เหมือนมีอะไรในตัวเยอะ :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: КίmY ที่ 19-12-2013 22:09:49
ไนล์เอ๊ย  บางทีก็สนใจตัวเองบ้างเถอะนะ สงสารร่างกายหน่อยยย   :z3:
รอนะฮะ :')
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: ronlbb ที่ 27-01-2014 17:11:15
วิศวะเรียนเหนื่อย แต่นอนบ้างก็ดีนะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 10-03-2014 08:29:32
มาต่อนะคะ

อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ มันหน่วงจิตหน่วงใจดี
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 9 : ตัวตนที่แท้จริง [7/12/56]
เริ่มหัวข้อโดย: waerp_ ที่ 17-03-2014 15:54:01
อ่านแล้วรู้สึกหน่วง ๆ ในจิตชอบกล
ชอบคาแรกเตอร์ของไนล์ แปลกมนุษย์
ยิ่งอ่านยิ่งอยากรู้เหตุผลของไนล์
เหมือนเก็บความลับได้ล้านเรื่อง หรือไม่ก็ต้องเรื่องกุมารทองไว้แน่ ๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 18-03-2014 22:33:16
ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น












สถานที่ที่ผมพาไนล์มาไม่ใช่ที่ไหนเลยนอกเสียจากคอนโดของผม ผมให้เขารอที่ห้องนั่งเล่นและเดินไปหยิบแล็บท็อปออกมาจากห้องนอน ก่อนจะตกลงกันว่าให้เขาหาข้อมูลสำหรับประกอบรายงาน ส่วนหน้าที่พิมพ์มันลงในเวิร์ดผมจะจัดการเอง ทว่าแม้จะออกตัวแล้วว่าใครทำอะไร แต่ไนล์ก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมทำงานของเขาอย่างง่ายดาย

“ไม่ต้องหรอก แค่ให้ฉันใช้คอมก็พอ”

คำตอบของเขาทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะแค่เห็นสีหน้าของเขาในตอนนี้ผมก็เดาได้แล้วว่าหากเขาทำรายงานด้วยตัวเองเพียงคนเดียวล่ะก็สภาพของเขาจะเป็นยังไง และมันเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจินตนาการถึง

“คืนนี้นายคิดจะไม่นอนหรือไง”

“แต่มันรายงานของฉัน”

“อย่าดื้อ ฉันบอกแล้วว่าจะช่วย”

เป็นอีกครั้งที่ผมขึ้นเสียง มิหนำซ้ำเขายังเป็นคนเพียงไม่กี่คนที่ทำให้ผมรู้สึกปั่นป่วนจนเก็บอารมณ์ของตัวเองให้สงบนิ่งไม่ได้ ผมคว้าหนังสือที่มีโพสต์อิทติดเอาไว้มาตั้งข้างตัว เพื่อแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนว่าผมไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ไนล์จึงมองหน้าผมค้างอยู่ชั่วครู่หนึ่งราวกับจะต่อสู้กับผม แต่สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายชนะหลังจากพูดออกมาอีกประโยค

“นายห่วงตัวเองบ้างเหอะ”

นัยน์ตาเรียวนั้นจับจ้องดวงตาของผมต่ออีกหน่อยหลังจากผมพูดแบบนั้น ก่อนเขาจะหลุบตาลงเล็กน้อยคล้ายกับว่าจำยอมต่อเหตุผลของผม ผมจึงเริ่มลงมือพิมพ์ข้อความไปตามหนังสือที่เขาคั่นหน้าเอาไว้ และมีการวงข้อความเป็นช่วงๆ เพื่อให้รู้ว่าจะใช้ข้อมูลตรงไหนบ้าง ขณะที่ไนล์ก็หาข้อมูลในหนังสือต่อไปเรื่อยๆ

เวลาผ่านไปจากตีสอง กลายเป็นตีสามและตีสี่ ปริ๊นเตอร์ถูกใช้งานให้พิมพ์เอกสารออกมาปึกหนึ่ง ก่อนผมจะนำมันมาเข้าเล่ม ดีว่าที่ห้องของผมมีอุปกรณ์พวกนี้เก็บเอาไว้เผื่อใช้งานบ้าง จึงจัดการมันจนเรียบร้อยสำหรับพร้อมส่งได้ในทันทีที่พรุ่งนี้ไปมหา’ลัย

“ขอบใจ”

ประโยคแรกหลังจากที่ผมปิดคอมพิวเตอร์แล้วมาจากคนที่รับรายงานจากมือผมไป แม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะเรียบเฉย แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าเขารู้สึกขอบคุณผมจริงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ไม่น้อยที่ได้รับคำนั้นจากไนล์ รู้สึกดีที่ผมช่วยเหลือเขาได้ ถึงกระนั้นก็ยังอดย้อนเสียงกลับไปไม่ได้

“ขนาดฉันช่วยนาย ยังเสร็จตอนตีสี่ แล้วถ้านายทำคนเดียว ไม่เสร็จหกโมงเช้าเลยเหรอ”

“...”

เขาเงียบ เพราะคงเถียงผมไม่ออก ซึ่งผมก็ไม่อยากจะตอกย้ำเขาในเรื่องนี้อีก จึงเป็นฝ่ายปริปากขึ้นมาอีกครั้ง

“ไปนอนกันได้แล้ว”

แทบจะเช้าอยู่แล้ว ผมจึงไม่ปล่อยให้เราต้องเสียเวลาไปมากกว่านี้ ก้าวขาเดินนำไปทางห้องนอน ทว่าเดินไปได้สองสามก้าว ผมก็หันไปมองทางด้านหลัง ไนล์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ผมจึงเดินย้อนกลับไปอีกรอบแล้วดึงมือของคนที่ยืนขาตายให้เดินไปห้องนอนด้วยกัน ตอนแรกเขามีท่าทางอิดออดเล็กน้อย แต่ก็ยอมตามผมมา

“พรุ่งนี้นายมีเรียนกี่โมง”

“สิบโมง”

“งั้นพรุ่งนี้ออกไปพร้อมกัน เดี๋ยวฉันไปส่งนายที่หอ”

หลังจากตอบคำถาม ผมก็หยิบโทรศัพท์มาเสียบสายชาร์จและตั้งนาฬิกาปลุกเผื่อเวลาไปส่งไนล์ที่หอเพื่อให้เขาได้อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ก่อนจะเดินไปปิดไฟและกลับมาทิ้งตัวลงบนเตียง วันนี้ไนล์มีท่าทีเก้ๆ กังๆ กว่าคืนก่อนที่เขาขอมานอนกับผม จนผมอดแปลกใจไม่ได้ ทั้งที่สถานการณ์ไม่ได้ผิดแผกไป แต่เขากลับทำตัวผิดปกติ แม้ว่ามองแบบผิวเผินเขาจะยังคงความนิ่งสงบได้เหมือนเคยก็ตามที

เขาไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ผมแม้แต่น้อย ระยะห่างระหว่างเราเกินกว่าหนึ่งช่วงแขนด้วยซ้ำ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ในอกยังไงชอบกล

ผมอยากให้เขานอนกอดผมเหมือนคืนนั้นหรือไง?

แทนที่จะรู้สึกใจสงบและนอนหลับได้สบาย ที่ไนล์ไม่ได้มาสร้างความปั่นป่วนให้กับผม ทว่าผลมันกลับตรงกันข้าม ผมรู้สึกว่าตอนนี้ต่างหากที่ไนล์กำลังปั่นหัวผม ราวกับเขารู้และจงใจให้มันเป็นแบบนั้น ผมต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่รู้สึกเหมือนโดนเขาควบคุมอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ตาม

“นอนไม่หลับหรือไง”

อาจเพราะผมขยับตัว คนที่นอนอยู่บนที่นอนเดียวกันถึงรับรู้ถึงแรงสะเทือนได้ เสียงของไนล์ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ทำให้ใจของผมที่มันรุมๆ เหมือนตั้งอยู่บนเตาด้วยไฟอุ่นๆ สงบลงได้เล็กน้อย ผมตรึกตรองอยู่ในใจว่าควรจะตอบคำถามนี้ด้วยประโยคแบบไหนดี ทว่าไม่ทันได้เกริ่นเสียงออกมา ไนล์ก็ขัดขึ้นมาก่อนราวกับรู้ทันความคิดของผม

“หรือเพราะฉันนอนห่างกับนายมากเกินไป”

ผมเบิกตากว้างขึ้นอย่างลืมตัว และนึกขอบคุณความมืดภายในห้องที่ทำให้เขาไม่เห็นว่าผมกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่ ผมเม้มปากเข้าหากันแน่นอยู่ครู่หนึ่งพลางโต้กลับอย่างรวดเร็วราวกับคนร้อนตัว

“ทำไมฉันจะต้องนอนไม่หลับเพราะนอนห่างกับนาย”

“ฉันนึกว่านายอยากให้ฉันนอนกอดนายอีก”

เสียงของไนล์ราบเรียบเหมือนเคย แต่มันเหมือนแท่งหอกแหลมๆ ที่พุ่งมาปักอกของผม โดยที่ผมไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมผมต้องรู้สึกว่าคำพูดของเขาถูกต้อง ไม่เข้าใจเหตุผลสักนิดว่าทำไมผมต้องอยากให้เราใกล้ชิดกัน ทั้งที่พอเป็นแบบนั้นแล้วผมก็ต้องปั่นป่วน

ผมไม่ตอบไนล์ เพราะหาคำตอบไม่ได้ และเขาก็ตัดสินใจเอาเองโดยไม่ถามผมสักคำว่าผมต้องการแบบไหน ถึงได้ขยับตัวเข้ามาใกล้ผมทั้งที่เมื่อกี้ห่างกันคนละฟากของเตียง ไนล์เขยิบตัวมาใกล้จนผมรับรู้ได้ถึงไออุ่นๆ จากตัวของเขา เขามาเผชิญหน้ากับผมทั้งที่ห้องมีแต่ความมืด แต่ผมก็ยังเห็นแววตาที่เฉยชาของเขาสะท้อนวาวเพราะเราอยู่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่คืบ

หัวใจของผมสั่น...

เขามองหน้าผม ขณะที่ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ความเงียบที่เกิดขึ้นระหว่างเราเหมือนความกดอากาศที่ทำให้ผมเริ่มหายใจติดขัด ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่เมื่อรู้สึกว่าในปากเต็มไปด้วยน้ำ พลางเม้มปากเข้าหากันอีกครั้งหนึ่งด้วยเวลาสั้นๆ ขณะที่ตาจับจ้องยังโครงหน้าได้รูปที่ผมมองเห็นเป็นกรอบเงารางๆ

สุดท้ายผมก็ไม่สามารถเผชิญกับอาการที่เกิดขึ้นในใจของตัวเองได้ ผมจึงต้องเปลี่ยนเป็นพลิกหน้ากลับ แล้วหันหลังให้กับไนล์เหมือนคนขี้แพ้ แต่ผมก็ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับความนิ่งสงบของเขาต่อไปไหวจริงๆ เขาทำให้ผมเต้นไปตามจังหวะและความนึกคิดของเขาราวกับผมเป็นของเล่นที่สามารถควบคุมได้อย่างง่ายดาย














ได้เวลาออกเดินทางอีกครั้ง ผมไปส่งไนล์ที่แมนชั่นตามที่บอกเขาไว้เมื่อคืน และรอให้เขาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมามหา’ลัย ผมไปส่งเขาที่คณะวิศวะฯ ก่อน เพราะไนล์ยืนยันว่าจะไปส่งรายงาน และไม่ต้องการให้ผมรอรวมทั้งไม่อยากไปกินข้าวเช้ากับผมด้วย ผมจึงไปที่โรงอาหารคนเดียวและรอพวกเพื่อนๆ ที่มักจะนัดเจอกันที่โรงอาหารแทน

เช่นเคยที่วันนี้พี่ภูก็อยู่ด้วย เขาตามไอ้ยีนเป็นเงาตามตัว มันถึงชอบทำหน้าบูดไม่พอใจอยู่บ่อยๆ แต่พวกผมก็ทำหูทวนลมไม่สนใจคำบ่นของมันหรอกครับ เพราะดูท่าทางแล้วมันก็ไม่ได้เกลียดขี้หน้าพี่ภูเหมือนเมื่อก่อน สถานการณ์ระหว่างสองคนนี้คงจะดีขึ้นไม่น้อยแล้ว ทำให้ผมกับไอ้กัสและไอ้เคลมแอบลอบยิ้มให้กันอยู่หน่อยๆ ตอนมองไอ้ยีนเถียงกับพี่ภู

กินข้าวเช้าที่ค่อนข้างสายเสร็จ พวกผมก็แยกย้ายกันไปเรียนตามคณะของตัวเอง แต่ออกจะโดดเดี่ยวสักหน่อย เพราะพี่ภูยึดเพื่อนของผมแล้ว ไม่ใช่ว่าไอ้ยีนยอมขึ้นรถพี่ภูเพื่อไปคณะแต่โดยดีหรอกครับ แต่ถูกรุ่นพี่ร่างใหญ่ลากให้ขึ้นรถไปด้วยต่างหาก

เห็นแบบนั้นแล้วผมก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะเพิ่งเคยเห็นไอ้ยีนตกอยู่ในสภาพนี้ ปกติแล้วมันชอบอวดเก่ง เบ่งกล้าม เวลาอยู่กับคนอื่น จะขี้อ้อนบ้างเวลาอยู่กับผมหรือไอ้กัส แต่เวลามันอยู่กับพี่ภูนี่เหมือนลูกหมาที่ได้แต่เห่าเพราะฟันยังขึ้นไม่หมดยังไงไม่รู้ น่ารักดี

แต่ไม่ใช่แค่ตอนเข้าเรียนนะครับที่พี่ภูตามติดไอ้ยีน เพราะตอนเลิกเรียน เพื่อนรักของผมก็อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วจนผมไม่ทันได้ล่ำลาด้วยซ้ำ ถือว่าช่วงนี้ผมกับไอ้ยีนค่อนข้างห่างกันกว่าปกติก็ว่าได้ เพราะนับตั้งแต่เสียมิ้นไป ไอ้ยีนจะอยู่กับผมตลอดเวลา จนเรียกได้ว่าแทบจะตัวติดกันด้วยซ้ำ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกย่ำแย่อะไร เหมือนจะรู้สึกดีอยู่หน่อยๆ ด้วยซ้ำ เพราะที่ผ่านมาผมผูกมัดมันไว้กับตัวผม แต่ตอนนี้มันเริ่มมีชีวิตของตัวเองอีกครั้ง ถึงจะทำให้ผมรู้สึกเหงาๆ ไปบ้าง แต่ผมก็ยินดีหากว่าเพื่อนรักที่สุดของผมได้มีความสุข

ผมขับรถไปที่คณะวิศวะฯ แทนที่จะกลับคอนโด เพราะตอนกินข้าวเช้าได้ยินไอ้กัสกับไอ้เคลมคุยกันว่าวันนี้มีแล็บ น่าจะเลิกบ่ายสามหรือบ่ายสี่ ดังนั้นคนที่ผมตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าจะคอยตามดูเพื่อให้รู้ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ และต้องการอะไรจากผมก็คงจะเลิกเรียนพอๆ กัน

รออยู่ในรถพักหนึ่ง เพราะผมจอดรถไว้ในบริเวณที่สามารถมองเห็นด้านหน้าของตึกได้อย่างชัดเจน ฉะนั้นถ้าไนล์ออกมาผมก็ต้องเห็นอย่างแน่นอน ทว่าสี่โมงกว่าแล้วผมก็ยังไม่เห็นคนที่รออยู่ สุดท้ายแทนที่จะนั่งรอเฉยๆ ผมก็ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือ

ผมกดโทรออกไปยังเบอร์โทรศัพท์ของไนล์และฟังสัญญาณรอสาย ทว่ามันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เพราะแทนที่จะมีเสียงตอบกลับมาเพื่อให้ผมรอการรับสายจากคนที่โทรหา กลับกลายเป็นเสียงฝากข้อความของโอเปอร์เรเตอร์ เหมือนว่าเขาไม่ได้เปิดโทรศัพท์เอาไว้หรือว่าแบตหมดอย่างไรอย่างนั้น

“หรือยังไม่เลิกแล็บ ถึงปิดโทรศัพท์”

ตั้งคำถามกับตัวเองแบบนั้นแล้วผมก็ยอมอดทนต่ออีกสักพัก การรอคอยใครสักคนไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับผม เพราะผมค่อนข้างเป็นคนใจเย็น หากเป็นไฮยีนหรือไอ้เคลม ป่านนี้มันคงกดโทรศัพท์จนจอยุบหรือไม่ก็กลับไปแล้ว แต่ใช่ว่าความอดทนของคนใจเย็นจะไม่มีขีดสิ้นสุด

รอต่อไปได้อีกสักพัก ผมก็โทรศัพท์กลับไปที่เบอร์เดิมอีกครั้ง ทว่าก็ยังได้รับคำตอบเช่นเดิม คราวนี้ผมจึงไม่รออีก ผมขับรถออกมาจากที่นั่นและตรงไปยังแมนชั่นของไนล์แทน แต่ใช่ว่าไปแล้วจะได้ผลอย่างที่หวัง เพราะขึ้นไปถึงห้องที่ผมเริ่มคุ้นเคย กลับไม่มีเงาของคนที่ผมตามหาอยู่ ในห้องของไนล์มีแต่ความเงียบและความว่างเปล่าเหมือนเดิม แต่สิ่งที่แปลกไปที่ผมจดจำได้ คือ รูปวาดที่ไนล์วาดเสร็จเมื่อคืนไม่อยู่ในตำแหน่งเดิมของมันแล้ว นั่นทำให้ผมพอจะคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ผมถูกปั่นหัวอีกเหมือนเคย

ประตูห้องถูกผมปิดลงหลังจากเปิดมันอย่างถือวิสาสะโดยใช้กุญแจสำรองที่ได้รับมา ทว่าหลังจากปิดมันลงแล้วเสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกตื่นตัวได้เล็กน้อยเพราะคิดว่าเจ้าของห้องน่าจะเป็นคนโทรเข้ามา แต่เมื่อหยิบเครื่องที่กำลังร้องอยู่ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่คนที่ผมคิดว่าใช่

“ว่าไงวะมึง”

คนที่โทรมาเป็นไอ้เคลมครับ ถึงจะไม่ถาม ผมก็พอจะเดาได้ว่ามันโทรมาทำไม เหตุผลมีไม่กี่อย่าง และมันเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ

[คืนนี้ออกมาแดกเหล้ากัน มึงไม่มาเที่ยวกับกูกับไอ้กัสนานแล้วนะ]

อย่างที่บอกครับ ผมสนิทกับไอ้ยีนมากกว่าไอ้กัสกับไอ้เคลม เพราะฉะนั้นพอไอ้ยีนออกมาเที่ยวกลางคืนไม่ได้ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ออกมาด้วยเหมือนกัน ไอ้กัสกับไอ้เคลมที่เชี่ยวเรื่องท่องราตรีถึงต้องออกมาสองคนเสมอๆ แต่ถือว่าคืนนี้เพื่อนของผมโชคดี เพราะหากเป็นคืนอื่นผมอาจจะปฏิเสธ แต่คืนนี้ผมรู้สึกเซ็งๆ หน่อย ที่ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมจึงรับปากมันและขับรถไปยังจุดหมายที่ไอ้เคลมบอกไว้ทางโทรศัพท์


 











เสียงดนตรีที่ดังเป็นจังหวะเปลี่ยนให้ความสงบกลายเป็นความรื่นเริง ผมนั่งผงกหัวไปตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่ม มือจับแก้วและกรอกน้ำสีน้ำตาลเข้าปากเป็นระยะ ขณะที่ไอ้เคลมกำลังโอ้โลมสาวสวยที่มันสอยมาได้ก่อนหน้าผมมาครู่หนึ่ง ส่วนไอ้กัสก็นั่งอยู่ข้างๆ ผมนี่แหละ มันกวาดตาไปรอบเพราะยังหาเหยื่อที่ถูกใจไม่ได้

“นี่ถ้าไอ้ยีนมาด้วยได้ก็ดี”

อดเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้มาเที่ยวกันครบแก๊งเหมือนเดิม เพราะถ้าไอ้ยีนอยู่ด้วยคงมันกว่านี้แน่นอน มันชอบหาอะไรเล่นกลางวง หรือไม่ก็ดวลเหล้ากับไอ้กัสเพื่อดูว่าใครแน่กว่า แล้วสุดท้ายผมก็ต้องเป็นคนแบกมันกลับบ้านเพราะมันเล่นกินเหล้าแบบไม่บันยะบันยัง แม้แต่ไอ้กัสเองก็แทบสลบไปเหมือนกัน เหนื่อยทั้งผมทั้งไอ้เคลม

ถึงบางครั้งไอ้เคลมจะบ่นอุบ เพราะพอสองคนนั้นดวลกันทีไร แทนที่จะมันจะได้ไปบันเทิงเริงรมย์กับผู้หญิงกลับกลายต้องมาลากเพื่อนกลับบ้านแทน แต่มันก็เต็มใจจะดูแลไอ้กัสแหละครับ

“เออ นั่นดิ นี่กูไม่ได้ดวลเหล้ากับมันนานแล้ว”

“ดวลทีไรมึงก็แกล้งต่อให้ทุกที”

เป็นสิ่งที่ไฮยีนไม่รู้ครับ ไอ้เคลมก็ด้วยเหมือนกัน เป็นความจริงที่ผมกับไอ้กัสรู้กันสองคน ถึงไอ้ยีนจะคอแข็งอยู่บ้าง แต่ก็สู้ไอ้กัสไม่ได้ เพราะไอ้นี่มันคอหินของจริง แต่มันไม่อยากให้ไอ้ยีนเสียหน้าที่สู้มันไม่ได้สักที ถึงได้ยอมอ่อน แกล้งแพ้บางครั้ง พลอยให้ไอ้เคลมต้องรับกรรมตามไปด้วย เพราะไอ้กัสเป็นดาราเจ้าบทบาท แม้แต่แกล้งเมามันก็ยังทำได้เนียนแบบสุดๆ

“ถ้ากูไม่ยอมบ้าง คนที่เดือดร้อนก็คือมึงนะ”

“เออๆ กูรู้”

ไอ้กัสหัวเราะเสียงในคอเบาๆ ตามสไตล์คุณชายของมัน ก่อนจะกระดกเหล้าเข้าปากอีกรอบ ตาก็กวาดมองไปทั่วๆ ก่อนจะหยุดลงที่จุดจุดหนึ่งแล้วเรียกผม

“นั่นมัน... ไนล์ ที่มึงรู้จักใช่ไหมวะ”

ถ้าไม่มีชื่อนั้นอยู่ในประโยค ผมอาจจะไม่ชะงักค้างอย่างที่เป็นอยู่ก็ได้ แต่เพราะมันเป็นชื่อของคนที่ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยจนออกมาดื่มกับเพื่อน ผมถึงได้รีบเบี่ยงหน้าไปทางที่ไอ้กัสบอกทันที และก็เป็นว่าเป็นอย่างที่เพื่อนผมว่าจริงๆ

ไนล์อยู่ตรงนั้น...

อยู่ข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร

กำลังเต้นอยู่กับผู้หญิงคนนั้นที่วางมือสองข้างโอบคอมันเอาไว้อย่างแนบชิด

ผมรู้สึกรำคาญหัวใจของตัวเองแบบไม่มีสาเหตุในเสี้ยววินาทีที่เห็นภาพนั้น มันเหมือนถูกหมากฝรั่งเหนียวๆ ติดเอาไว้ ผมพยายามแกะก้อนขาวๆ นั้นออกแล้วแต่ว่ามันก็ไม่ยอมหลุดไปจนน่ารำคาญ ยิ่งเห็นว่าไนล์กำลังยิ้มให้กับผู้หญิงคนนั้น ผมก็ยิ่งรู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว

แก้วในมือของผมถูกจรดที่ปาก ก่อนน้ำที่อยู่ภายในจะถูกกรอกลงลำคอรวดเดียวจนหมด ผมมองภาพคนสองคนที่กำลังเต้นด้วยกันอย่างใกล้ชิดและดูมีความสุขแล้วก็คว้าขวดเหล้ามาเทของเหลวลงแก้วอีกครั้งตามด้วยกรอกมันเข้าปากอีกรอบ

“มึงรู้ได้ไงว่ากูรู้จัก”

ไม่อยากจะเห็นอีก และรู้ว่าไม่สามารถเลี่ยงบทสนทนากับไอ้กัสได้ ผมจึงเบี่ยงสายตาไปทางอื่นและเค้นเสียงถามกลับแทน ซึ่งไอ้กัสก็ตอบกลับมาสบายๆ

“ไอ้ยีนเคยถามว่ารู้จักไหม เห็นมันบอกว่ามึงรู้จัก”

“อ้อ”

ผมตอบกลับได้เพียงเท่านั้นเพราะคิดอะไรต่อไม่ออก น้ำสีอำพันยังคงถูกส่งเข้าคอเป็นระลอก พลางมองรอบๆ ร้านไปด้วยเพื่อไม่ให้ดูมีพิรุธจนไอ้กัสสงสัย เพราะมันเป็นคนฉลาด ช่างสังเกต ถึงปากมันจะไม่พูด ไม่ถาม แต่มันก็มักจะมองอะไรๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง

แต่แม้จะบอกตัวเองว่าไม่ให้มองไปที่ผู้ชายคนนั้นบ่อยๆ ทว่าหลายครั้งที่ผมเหลือบไปทางนั้น ตอนนี้ไนล์กลับไปที่นั่งที่แล้ว รวมทั้งผู้หญิงคนนั้นด้วย เธอเกาะแขนไนล์ไม่ปล่อย ซบหน้าเข้ากับบ่าของคนที่ทำให้ผมใจไม่สงบ มือข้างหนึ่งส่งแก้วเหล้าให้กับเขา ซึ่งไนล์ก็รับมันไปดื่มอย่างไม่อิดออด อีกทั้งยังยิ้มให้กับเธอด้วยรอยยิ้มที่ดูพิเศษ มันไม่เหมือนรอยยิ้มที่เธอยิ้มให้พี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวอย่างที่ผมเคยเห็น

หรือผู้หญิงคนนี้จะเป็นแฟน?

เกิดคำถามในใจของผมอย่างห้ามไม่ได้ ผมผ่อนลมหายใจออกมาเพราะไม่รู้ว่าจะระบายแบบไหน ก่อนจะฉุดตัวลุกขึ้นจากโซฟาที่นั่งอยู่ ราวกับคนเส้นกระตุก เพราะคนที่ผมลอบมองอยู่ลุกจากเบาะที่นั่งอยู่

“กูไปห้องน้ำ เดี๋ยวมา”

ผมบอกไอ้กัสไว้ก่อน มันจะได้ไม่งงที่อยู่ๆ ผมก็ลุกขึ้นเอาเสียดื้อๆ ไอ้เคลมที่แทบจะป้อนปากผู้หญิงข้างๆ เหลือบมามองผมนิดหน่อย ผมจึงสะบัดมือให้มันนิดๆ บอกให้รู้ว่ามึงจะทำอะไรก็ทำเหอะ แล้วจึงเดินออกจากโต๊ะมา ตรงไปยังสถานที่ที่ผมตั้งใจว่าจะไป

ไม่ได้อยากเข้าห้องน้ำอย่างที่บอกเพื่อนไปหรอกครับ แต่ผมเห็นว่าไนล์เดินมาทางนั้นจึงเผลอแสดงพฤติกรรมแปลกๆ จนต้องแก้สถานการณ์แบบนี้อย่างช่วยไม่ได้ ผมสาวเท้าไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย พลางกวาดตาไปรอบๆ ห้องน้ำด้วยเพื่อมองหาคนที่เดินนำมาก่อน

“ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่”

ไนล์เห็นผมก่อน เสียงของเขาถึงดังขึ้นให้ผมรู้สึกตัว เขาพลิกตัวกลับมาจากโถฉี่ก่อนจะเดินไปล้างมือที่อ่างและมองผมผ่านเงาสะท้อนของกระจกด้วยสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่ตกใจสักนิดที่เจอกันที่นี่ ทั้งที่มันไม่ใช่ร้านเดียวกับที่ผมกับเขาเคยเจอกันก่อนหน้านี้

บางทีเรื่องบังเอิญก็เกิดขึ้นง่ายเกินไปจนน่าเหลือเชื่อ

“ทำไมไม่รับโทรศัพท์”

ผมพยายามห้ามตัวเองที่จะไม่ขยับเท้าเดินเข้าไปใกล้เขา และเลือกสบตาเขาผ่านทางกระจกเงาที่สะท้อนภาพของเราสองคน เพื่อให้เหมือนกับว่าผมเฉยชาต่อการสนทนากับเขาเหมือนที่เขาทำกับผม ดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนมาเข้าห้องน้ำ ผมจึงไม่ต้องระวังในการคุยกับเขานัก เพราะคนอื่นพอจัดการธุระเสร็จก็ออกไป

“แบตหมด”

ไนล์ยังตอบกลับมาเสียงเรียบเหมือนทุกที สีหน้าไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทำให้ผมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้ ที่เหมือนผมจะเป็นเดือดเป็นร้อนอยู่คนเดียวกับการที่ติดต่อเขาไม่ได้ จากที่คิดว่าจะไม่ยอมก้าวเท้าเข้าไปใกล้อาณาเขตของไนล์เพื่อไม่ให้ตัวเองถูกผู้ชายคนนี้ดึงดูดและเสียการควบคุมเหมือนกับทุกครั้ง สุดท้ายความคิดของผมก็ต้องพังไม่เป็นท่า

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขาจนเรายืนอยู่ข้างกันหน้ากระจกบานใหญ่ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่ยอมหันไปทางเขา เรายังสบตากันผ่านเงาสะท้อน

“รู้ไหมว่าฉันโทรหานายกี่รอบ”

“แล้วโทรทำไม”

เขาพลิกตัวหันมาเผชิญหน้ากับผม ทำให้ผมต้องหันไปทางเขาด้วยเช่นกัน เราสบตากันโดยตรง ดวงตาสีดำของเขามองผมด้วยความว่างเปล่าเหมือนคนไร้ชีวิตไม่ต่างจากทุกที เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตตรงหัวใจ เพราะเผลอนึกถึงสีหน้าและแววตาของไนล์ตอนมองผู้หญิงคนที่ผมเห็นว่าเพิ่งอยู่กับเขาหมาดๆ ยิ่งรวมกับคำถามนี้ก็ทำให้ผมเก็บอารมณ์ต่อไปไม่ไหว

ทำไมต้องเป็นผมที่เขามองด้วยสายตาแบบนี้

มองเหมือนกับผมไม่มีค่าหรือความสำคัญอะไรเลย ขณะที่เขามองคนอื่นด้วยแววตาที่แตกต่างออกไป

“นายเป็นคนบอกให้ฉันไล่ตามจับนาย”

“อย่างนั้นก็ไล่จับต่อไปสิ”

ราวกับไม่แยแสสักนิดที่ปั่นหัวผมจนเหมือนคนบ้า ไนล์สาวเท้าผ่านตัวผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าและแววตาแม้แต่น้อย ผมจึงคว้าแขนของเขาเอาไว้เสียก่อนที่เขาจะเดินห่างไปมากกว่านี้ เจ้าของร่างผอมนั้นจึงหันกลับมามองผมอีกรอบ

“นายห้ามไม่ให้ฉันยุ่งกับพี่ดาหลา แต่นายกลับมาเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่นแบบนี้ คิดว่ามันแฟร์เหรอ”

รู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สมควรพูดออกมาเลยสักนิด แต่ผมก็ทวงถามความยุติธรรมสำหรับตัวเองอย่างที่เคยทำเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมพยายามจดจ้องเข้าไปในตาเรียวคู่นั้นเพื่อจับสังเกตว่ามันมีแววตาอะไรสะท้อนออกมาเป็นพิเศษแต่ผมไม่ทันมองเห็นหรือเปล่า แต่มันก็เป็นแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ

“อย่าพูดเหมือนกำลังหึงแบบนั้นสิ”

เสียงไนล์ย้อนกลับมาเรียบๆ แต่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนธูปจี้จนแทบสะดุ้ง เขายื่นหน้าเข้าหาผมหน่อยๆ คล้ายกับจะค้นหาอะไรบางอย่างในใจของผมผ่านทางแววตา เหมือนกับที่ผมทำ แต่ผมมั่นใจเลยว่าผมไม่สามารถมองตอบเขากลับโดยไม่มีแววสะท้อนอะไรได้ เพราะผมรู้สึกว่าแววตาของผมกำลังสั่นไหวจนอยากจะหลบสายตาของเขา

“ฉัน... ไม่ได้หึง แต่มันไม่แฟร์ ทั้งที่นายห้ามฉัน แต่นายกลับทำ มันสมควรแล้วเหรอ นายเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือไงว่านายสนใจฉัน”

“แต่ตอนนี้คนที่สนใจ คือ นายมากกว่าฉัน ไม่ใช่หรือไง”

ราวกับท้าทายให้ผมปฏิเสธ เล่นเอาผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ เพราะไม่สามารถปฏิเสธออกมาได้ว่าไม่ได้เป็นแบบนั้น มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ที่ผมเอาแต่สนใจว่าเขาคิดอะไร เขาจะทำอะไรจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

“ก็ได้ ฉันสนใจนาย นายปั่นหัวฉัน จนฉันทำอะไรไม่ได้ เพราะเอาแต่สนใจนายและอยากรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ นายเองก็รู้ แล้วทำไมจะต้องทำให้ฉันเอาแต่นึกถึงนายเหมือนคนบ้า”

เมื่อไม่สามารถแก้ตัวโดยใช้เหตุผลอะไรได้ ผมก็สารภาพไปตามตรง และมองเขาด้วยความจริงจังพลางคาดหวังว่าเขาจะเห็นแก่คำสารภาพของผมแล้วยอมบอกอะไรออกมาบ้าง ทว่าเขากลับไม่ปรับเปลี่ยนสีหน้าที่ซีดจางนั้นเลย อีกทั้งยังย้อนกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“นั่นคือสิ่งที่ฉันต้องการ”

“ไนล์!”

“ฉันบอกแล้วไงว่าให้คิดถึงฉันให้มากๆ”

ผมไม่ได้ตาฝาด แต่ว่าไนล์กำลังยิ้ม มุมปากของเขายกสูงขึ้นกว่าปกตินิดหน่อย แค่เพียงน้อยนิดแต่มันก็ชัดเจนจนผมเห็นได้อย่างไม่ต้องสงสัยว่ามันเป็นความจริงหรือความฝัน แววตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยผิดจากทุกครั้งที่มันไม่มีแววใดๆ ก่อนมือผอมจะวางบนมือของผมที่จับแขนของเขาเอาไว้แล้วดึงมือของผมออก

“เพราะฉันชอบแบบนั้น”

ไนล์ย้ำมาอีกประโยค ก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำไปขณะที่ลูกค้าคนอื่นเข้ามาทำธุระส่วนตัว ผิดกับผมที่ยืนตัวชาอยู่ที่เดิม ก้อนเนื้อใต้อกเร่งจังหวะขึ้นมาราวกับรัวกลอง มันกระหน่ำและกึกก้องจนสะท้อนไปทั่วทั้งอก ผมพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองตามร่างผอมบางที่เดินห่างไปเรื่อยๆ จนประตูปิดลง







อ่านต่อข้างล่าง


v


v


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 18-03-2014 22:34:10
ต่อจากข้างบน


v



v


เสียงสบถของผมดังก้องในใจเมื่อรู้ตัวว่าพลาดท่าให้กับผู้ชายคนนั้นอีกแล้ว พลางก้าวขายาวๆ เพื่อออกจากห้องน้ำ ผมตรงไปยังโต๊ะที่มีไอ้กัสกับไอ้เคลมอยู่ ทว่าขณะเดียวกันก็เหลือบมองทางโต๊ะที่เห็นไนล์ก่อนหน้านี้ด้วย แต่ว่าผมไม่เจอเขาแล้ว เขากำลังเดินออกจากร้านไปพร้อมกับผู้หญิงคนนั้น ผมจึงรีบสาวเท้าไปหาเพื่อนรักให้เร็วขึ้น

“กูกลับก่อน”

บอกมันแล้วผมก็หยิบแบงก์พันออกมาวางบนโต๊ะสองใบ แล้วจึงก้าวออกมาจากตำแหน่งนั้นทันที ไม่สนใจอีกแล้วว่าไอ้กัสจะงงหรือไอ้เคลมจะมองผมด้วยหน้าเหวอๆ มากแค่ไหน เพียงแต่คิดว่าจะออกจากร้านไปให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้คลาดสายตาจากคนที่ออกมาจากห้องน้ำก่อนผม

ออกมานอกร้านแล้ว คนที่เป็นเป้าสายตาของผมก็ไปหยุดอยู่ที่รถคันหนึ่ง เขาส่งผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถ กระทั่งรถสีขาวแล่นออกจากลานจอดรถไป ร่างที่ผมรู้สึกว่ามันซีดจางก็ค่อยๆ เดินจากจุดเดิม ผมจึงรีบไปที่รถของตัวเองทันที แล้วขับรถตามหลังเขาไปอย่างช้าๆ พลางรอดูว่าไนล์จะทำอะไรต่อไป

กายโปร่งบางเดินเลียบฟุตปาธไปเรื่อยๆ เหมือนคนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ก่อนจะหยุดลงที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด ผมจึงไปหยุดรถตรงนั้นและเลื่อนกระจกฝั่งที่นั่งข้างคนขับลงเพื่อให้คนที่ผมตั้งใจให้เขาเห็นสังเกตได้ง่ายๆ ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่ผมต้องการ ไนล์ทอดสายตาเข้ามาในรถของผม ผมจึงพยักหน้าเบาๆ และขยับปากโดยไร้เสียงให้เขารู้ว่าผมต้องการอะไร

ไม่ต้องให้ผมรอนานจนโดนรถเมล์ที่ต้องเข้าป้ายมาบีบแตรไล่ ไนล์ก็ขึ้นมานั่งบนรถของผม รถของผมเคลื่อนที่ไปตามทางกลับแมนชั่นของไนล์อย่างไม่รีบร้อน เพราะผมมีเรื่องที่ยังอยากพูดกับเขาอยู่ เสียงของผมจึงดังขัดความเงียบที่ไนล์สร้างขึ้นมาโดยการทิ้งสายตาออกไปทางกระจกหน้าต่างของรถ

“ไม่กลับไปกับผู้หญิงคนนั้นล่ะ”

ทั้งที่ผมต้องเรียบเรียงความคิดและพยายามปั้นสีหน้าและน้ำเสียงให้ดูเหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจ แค่ถามไปตามมารยาท ทว่าคำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบเฉย ไนล์ไม่ตอบคำถามของผม สร้างความกดดันให้ผมต้องหายใจติดขัดไปชั่วครู่

“ทำไมถึงอยากรู้”

ผมสะดุดลมหายใจของตัวเองไปจังหวะหนึ่งที่ราวกับถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออก ตาของผมกลิ้งไปมาอยู่ในกระบอกตา สมองพลันคิดถึงเหตุผลต่างๆ นานาที่ผมสามารถยกมาอ้างได้ เพื่อไม่ให้ดูเหมือนว่าผมอยากรู้อยากเห็นเรื่องของเขามากจนเกินไป แม้ว่าผมจะสารภาพออกไปอย่างเต็มปากแล้วว่าเขาทำให้ผมอยากรู้เรื่องของเขามากแค่ไหนก็ตาม

“แล้วทำไมนายต้องทำตัวให้เป็นปริศนานัก”

“ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้”

คำตอบของเขาดูไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่น้อย ผมใช้ตัวเองยืนยันได้เลยว่าเขาจงใจทำตัวลึกลับให้ผมสงสัย ใคร่รู้ จนผมสลัดเรื่องของเขาออกไปจากหัวไม่ได้ ผมหักพวงมาลัยและนำรถจอดลงข้างทางก่อนจะหันไปพูดคุยกับเขาอย่างจริงจัง จับจ้องใบหน้าของเขาที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ทั้งที่สิ้น พลางปรักปรำเขาด้วยความรู้สึกนึกคิดของผม

“นายจงใจ”

ไนล์เบือนหน้าจากที่มองออกไปนอกหน้าต่างมามองผมแทน นัยน์ตาของเขาไม่มีแววหลุกหลิกแต่อย่างใด กลับสะท้อนภาพของผมกลับมาราวกับไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวหาของผม

“ทำไมถึงบอกว่าฉันจงใจ”

“ก็ทั้งที่เวลาอยู่กับคนอื่น นายออกจะร่าเริง ยิ้มแย้ม กับผู้หญิงเมื่อกี้ก็ด้วยเหมือนกัน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าฉัน นายกลับชืดชา ทำเหมือนคนไม่มีชีวิต ไม่มีแรง เหมือน... เหมือนวิญญาณลอยไปลอยมา”

ไม่อยากจะเปรียบเปรยแบบนี้ แต่ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะสาธยายเขาด้วยคำพูดแบบไหนถึงจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด แต่ดูเหมือนไนล์จะไม่แยแสเช่นเดียวกันที่ผมมองว่าเขาเหมือนผี เขายังจ้องหน้าผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย สายตาว่างเปล่านั้นยังคงมีความหมายที่ผมอ่านไม่ออกซ่อนเร้นเอาไว้

“มันไม่เหมือนกัน”

“ไม่เหมือนกันยังไง ฉันไม่เข้าใจสักนิด นายทำกับฉันเหมือนที่นายเป็นกับคนอื่นไม่ได้เหรอ ทำไมนายต้องทำให้ฉันสับสนเพราะนาย เวลาอยู่กับนายฉันคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าควรจะทำตัวแบบไหน หรือนายคิดอะไรอยู่”

“ก็ทำตัวตามปกติ”

“ปกติ? พูดออกมาได้ นายยังไม่ปกติกับฉัน”

แม้แต่ตอนนี้ผมยังรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ต่างจากลูกข่างที่ถูกไนล์ปั่นเล่นอย่างสนุกเสียด้วยซ้ำ รู้สึกได้เลยว่าคิ้วของผมขมวดเข้าหากันมากแค่ไหนตนที่ถามเขากลับไปแบบนั้น แต่ไนล์ก็ยังไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับท่าทีของผมที่จริงจังขึ้นเรื่อยๆ เขาแค่เลื่อนมือมาด้านหน้า กำมือไว้หลวมๆ เหลือเพียงนิ้วชี้ที่ยื่นออกมาและจิ้มเบาๆ ตรงระหว่างคิ้วของผมที่แทบจะมัดแน่นกันเป็นปม ราวกับจะช่วยคลายมันออก แล้วจึงค่อยละมือลง

“ฉันปกติกับนายที่สุดแล้ว”

“นายจะบอกว่าที่นายพูดคุย หยอกล้อ หรือยิ้มให้ใครต่อใคร แม้แต่กับผู้หญิงที่ฉันเจอคืนนี้ มันไม่ปกติหรือไง”

“...”

คลื่นของความเงียบโถมเข้ามาระหว่างเราอย่างฉับพลันหลังจากสิ้นเสียงของผม ไนล์ไม่ตอบ เขาหลุบตาลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาเรียวสีดำขึ้นมองผมอีกรอบ มองราวกับจะตอบผมทางสายตา ผมจึงพยายามสบตาของเขากลับเพื่อให้รู้ว่าผมต้องการคำตอบนี้มากแค่ไหน

ผมอยากรู้... อยากรู้จริงๆ

“เวลาอยู่กับนาย................ฉันเป็นตัวของฉันที่สุดแล้ว”

กินเวลาอยู่นาน กว่าเสียงของไนล์จะหลุดออกมาอย่างราบเรียบ ทว่าประโยคที่เขาตอบมามันทำให้ผมรู้สึกหวิวๆ ในอกยังไงชอบกล ผมมองหน้าไนล์ด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ไม่ต่างจากคนที่คิดว่าตัวเองหูฝาดที่ได้ยินอะไรแบบนี้ แต่ไนล์ก็ไม่ได้แก้ไขคำพูดใหม่ ให้ผมเข้าใจว่าเมื่อครู่เขาโกหก เขามองตาผมด้วยความว่างเปล่า ขณะที่ริมฝีปากสีพีชค่อยๆ ขยับอีกครั้งอย่างเชื่องช้า

“ถ้าฉันยิ้ม......... มันก็คือรอยยิ้มจากฉันจริงๆ”

ระยะห่างของแต่ละคำที่ถูกเรียบเรียงออกมา ราวกับช่วงเวลาที่ตอกย้ำให้ผมรู้ว่ามันเป็นความจริงมากแค่ไหน ยิ่งประกอบกับแววตาของไนล์ที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนความดำมืดเป็นประกายของความหมายบางอย่างที่ผมไม่ค่อยเข้าใจนัก ดั่งจะย้ำหนักให้ผมเชื่อว่าเขากำลังบอกถึงสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งของความรู้สึกที่เขาเก็บซ่อนเอาไว้ และเขาอยากให้ผมได้รู้จริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้ใจของผมสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ตกอยู่ในสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะประโยคต่อมาที่ราวกับว่าเขากำลังขอร้องผม

“เพราะงั้นอย่าขอให้ฉันทำกับนายเหมือนเวลาฉันอยู่ต่อหน้าคนอื่น”

เหมือนเขากำลังบอกว่า... มองตัวตนของฉันสิ ไม่ใช่ใครที่ฉันปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกลวง

ไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และมันก็ทำให้ผมทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ผมดึงมือของไนล์ที่วางอยู่บนตักมากุมและบีบมันเบาๆ ขณะที่ยังไม่ละสายตาจากเขา ซึ่งไนล์เองก็มองตอบผมเช่นเดียวกัน ใบหน้าของเขาไม่ได้ปรากฏรอยยิ้ม ไม่มีแววของอะไรเป็นพิเศษ แต่สายตาของเขาในเวลานี้มันบอกให้ผมรู้ว่าเขากำลังดีใจที่ผมเข้าใจเขามากขึ้น แม้จะแค่น้อยนิดก็ตาม







================
กลับมาอัพแล้วค่ะ หายไปนานมาก
ต้องขอโทษคนที่ยังรออ่านเรื่องนี้ด้วยนะคะ
กว่าจะเสร็จภารกิจ แถมยังคอมเจ๊งเอย คนเจ๊งเอย

ตอนนี้เหมือนเฉลยเกี่ยวกับไนล์มาอีกนิดนึงแล้วหรือเปล่า  :really2:

Undel2sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 18-03-2014 23:38:18
เยสสส!!!
หายไปนานมากเบยยยยยยย
กลับมาแล้ว ดีใจๆ
มาต่อตอนต่อไปเร็วๆนะก๊าบบ
รออยู่ๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 19-03-2014 06:25:20
เราชอบกราฟนะคะ แต่ไนล์นี่ยังไง...


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 19-03-2014 06:26:50
ลึกลับซับซ้อนจริงๆ หนูไนล์
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 19-03-2014 14:05:11
นิยายเรื่องนี้ออกแนวงงๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: michiri.sama ที่ 19-03-2014 18:16:01
เราชอบคาแรกเตอร์ไนล์นะ
คนที่เราไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
แต่รู้สึกดูมีเสน่ห์และน่าค้นหาอะ

แต่ถ้าได้เจอคนแบบนี้กับตัวเองคงว้าวุ่นหัวปั่นพิลึกล่ะเนอะ ฮะๆๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 23-03-2014 18:42:53
เหมือนเริ่มจะเข้าใจว่าเพราะเป็นกราฟไนล์ถึงแสดงความเป็นตัวเองออกมาได้เต็มที่
แม้ความเป็นตัวเองของไนล์จะทำให้กราฟสับสน คาดเดาความต้องการอะไรไม่ถูกก็เถอะ
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องยอมทำอะไรที่ขัดกับการเป็นตัวเองต่อหน้าคนอื่นด้วยละ
ในเมื่อปกติไนล์ก็ไม่สน ไม่แคร์อะไรอยู่แล้ว ตกลงผู้หญิงพวกนั้นเป็นใครกันนะ
ยังไงก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ไนล์กำลังทำอยู่ดีอะค่ะ
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนมาต่อเร็ว ๆ นะคะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 23-03-2014 19:53:17
แบบไนล์นี่น่าสงสัยจนปวดหัว
สงสารกราฟ ถูกปั่นหัวจนถอนตัวไม่ขึ้น
ถ้าเป็นเราคงโมโหมากในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไนล์พยายามทำ แต่พฤติกรรมแบบนี้กลับดึงดูดกราฟได้อย่างไ่ม่น่าเชื่อ
รอติดตามตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 23-03-2014 21:11:18
ไยอ่า ตัวตนไนล์เป็นอย่างนี้เหรอ
ลึกลับอ่า O O
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 10 : ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น[17/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: ณ ที่เดิม™ ที่ 24-03-2014 00:13:00
เป็นการนั่งอ่านแบบอึนๆพอสมควร  :hao7:
รอดูตอนต่อไปละกันฮะ  :katai5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 30-03-2014 21:47:51
ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด












เป็นปกติอยู่แล้วที่ผมจะแวะเข้าไปหาไฮยีนที่บ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เพราะฉะนั้นการที่ผมเดินเข้าบ้านมา ไม่ต้องมารอคอยให้ใครมาต้อนรับจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เพราะการทำตัวเสมือนสมาชิกในบ้านทำให้วันนี้ผมต้องตาค้างไปหลายวินาทีเมื่อเปิดประตูห้องนอนของเพื่อนรักเข้าไป

ไอ้ยีนอยู่ใต้ร่างของพี่ภู แต่ที่สำคัญคือสองคนนั้นกำลังจูบกันนัวเนียอยู่บนเตียง มือพี่ภูเลื้อยไปบนร่างของเพื่อนผมขณะที่สอดอยู่ใต้เสื้อยืดของมัน ผมตะลึงงันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะโพล่งเสียงออกมาอย่างลืมตัว

“ไอ้ยีน!”

นั่นทำให้อีกสองคนที่ถูกผมเข้ามาเห็นฉากเด็ดเข้ารู้ตัว และผมก็รู้ตัวเช่นเดียวกันว่าดันเผลอทำเรื่องที่ไม่น่าทำเข้าเสียแล้ว จึงต้องรีบวิ่งออกมาจากห้องเพื่อจะได้ไม่เป็นก้างขวางคอของรุ่นพี่ที่รู้จักกันมาหลายปีกับเพื่อนรัก

“ไอ้กราฟ เดี๋ยว ฟังกูก่อน!”

ทว่าไอ้ยีนกลับไม่คิดแบบนั้น มันดันตามผมออกมาด้วย มิหนำซ้ำยังดึงแขนของผมเอาไว้ กระชากแบบสุดแรงให้ผมเลิกวิ่ง ผมจึงต้องยอมหยุดแต่โดยดี

“มันไม่ใช่อย่างที่มึงเข้าใจ”

เพียงแค่ได้เห็นสีหน้าเสียๆ ที่ลนลาน รวมกับประโยคเมื่อครู่ของมัน ผมก็รู้แล้วว่ามันคิดว่าผมกำลังรู้สึกแบบไหน แต่ว่าไม่ใช่หรอกครับ มันต่างหากที่กำลังคิดผิด ผิดโดยสิ้นเชิง ผมจึงถามมันกลับด้วยเสียงเรียบๆ และท่าทางใจเย็น เพื่อมันจะได้สงบลงเช่นกัน

“แล้วมึงเข้าใจว่ายังไง”

ยีนปล่อยมือที่จับผมออก เพราะคงรู้แล้วว่าผมจะไม่หนี แต่มันก็ไม่มีคำตอบให้ผม คงรู้ตัวแล้วว่ามันเข้าใจผิดว่าผมจะเสียใจ หรือเจ็บปวดอะไรเทือกนั้น เพราะคำสัญญาของเรา ผมจึงต้องย้ำให้ชัดเจนขึ้นอีกว่าตอนนี้ผมกำลังรู้สึกอย่างไร

“ทำไมถึงไม่บอกกูเนี่ยว่ามึงกิ๊กกะพี่ภูแล้ว กูเข้าไปขัดจังหวะพวกมึงเลยเห็นไหมเนี่ย”

“เฮ้ย กูเปล่านะเว้ย”

มันรีบตอบลิ้นรัวเลยครับ หน้าตาเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก เห็นแล้วก็ขำอยู่ในใจหน่อยๆ เพราะท่าทางแบบนี้มีให้เห็นไม่ได้บ่อย อย่างที่รู้ๆ กันว่าไอ้ยีนเป็นพวกที่มีความมั่นใจค่อนข้างสูง ไม่ค่อยเสียเซลฟ์เท่าไร แล้วยิ่งผมตอกย้ำมันเข้าไปอีกว่า ‘แล้วมึงเล่นจูบจนลิ้นพันกันแบบนี้ จะให้กูคิดยังไง’ มันก็ยิ่งทำหน้าไม่ถูก แล้วก็หน้าแดงขึ้นมาเลย

เพื่อนผมถึงปกติจะดูหล่อ แต่เวลาน่ารัก มันก็น่ารักจริงๆ นะครับ มิน่าพี่ภูถึงได้ชอบมัน

“สรุปมึงกับพี่ภูนี่เอายังไง”

เพราะเห็นวันก่อนมันยังบ่นรำคาญอย่างนั้นอย่างนี้ พยายามจะเลี่ยงหนีอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าเพื่อนของผมจะคล้อยตามเขาไปเสียแล้ว ผมจึงอดถามไม่ได้ เพราะถ้ามันชัดเจน หรือไอ้ยีนตัดสินใจได้ ผมก็จะได้เบาใจ ที่มันจะได้มีความสุขอย่างที่มันสมควรมีสักที ไม่ต้องมีชีวิตที่ผูกติดกับผมเพราะคำสัญญานั่น

ถึงผมมีชีวิตต่อมาจนถึงทุกวันนี้เพราะคำสัญญาของมันก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องปล่อยมันไป ผมก็ควรจะปล่อย ผมไม่คิดจะรั้งมันให้จมอยู่กับความผิดในอดีตของผมตลอดทั้งชีวิต ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่เกี่ยวกับมันด้วยซ้ำ

“......พี่ชมพูบอกว่าชอบกู”

คำตอบของมันไม่ทำให้ผมแปลกใจ เพราะเรื่องนี้ผมกับเพื่อนๆ รู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่อยากรู้ชัดๆ คือความรู้สึกของไอ้ยีนต่างหาก แต่หลังจากผมถามมันกลับไป มันกลับปฏิเสธ ผมจึงต้องสวนมันเหมือนกับจะเค้นเอาความจริง

“ไม่ได้ชอบ แต่มึงก็ให้เขาจูบเขาล้วงมึงอะนะ”

“เหี้ย คำพูดมึงอุบาทว์มาก”

“แล้วกูพูดไม่จริงหรือไง”

มันพูดไม่ออกเลยครับ ได้แต่อ้าปากค้างแล้วก็หุบลงอยู่สองสามครั้ง หน้าตาดูอึ้งๆ หน่อยพลางแก้ตัว

“กูไม่รู้ว่ะ มันก็... กูพูดไม่ถูก”

ถึงกระนั้นผมก็พอจะคาดเดาได้ว่าจริงๆ แล้วตอนนี้ไอ้ยีนรู้สึกยังไงกับพี่ภูกันแน่ เพื่อนผม คบกันมาตั้งหกปี ทำไมผมจะมองมันไม่ออก ผมจึงจ้องตามันเขม็งและตอบโต้มันไปอีกหลายประโยค แต่มันก็ยังไม่ยอมยอมรับความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี เหมือนว่ามันยังลังเล ไม่แน่ใจความรู้สึกของตัวเอง ทั้งที่ผมมองก็รู้ว่าความรู้สึกของมันชัดเจนแค่ไหน เพียงแค่มันกลัว... กลัวที่จะยอมรับว่ามันชอบพี่ภู

“ยีน เรื่องความรักมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะเว้ย”

ผมพูดกับมันจริงจังมากว่าเก่า จ้องเข้าไปในตาของมัน ให้รู้ว่าผมต้องการให้มันบอกออกมาตามตรง อย่างที่ผมเคยให้มันเป็นที่ปรึกษาของผมในหลายๆ เรื่อง อย่างที่ผมไว้ใจและรักมันจนเปิดเผยตัวตนทั้งหมด ทั้งด้านที่อ่อนล้า อ่อนแอ หรือแม้แต่ตอนที่ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนที่กำลังจะตาย ผมที่ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพราะสูญเสียความรักไป ผมไม่อยากให้มันต้องเป็นแบบเดียวกัน

อยากจะอยู่กับสิ่งที่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว...

อย่าให้มันสายเกินไป

ดูเหมือนว่าไอ้ยีนจะอ่านสายตาของผมออก มันถึงได้เปล่งเสียงออกมาแผ่วๆ เจือด้วยความวิตกกังวลและสับสนอยู่หน่อยๆ

“กูรู้ แต่กู...ยังไม่แน่ใจ เขาเป็นผู้ชายเหมือนกูนะเว้ย”

“งั้นถ้ากูทำแบบนี้”

ผมหยุดเสียงของตัวเองไว้แค่นั้นก่อนจะผลักไฮยีนจนหลังมันกระแทกกับผนัง จากนั้นบดปากลงไปบนปากของมันเต็มแรง เม้มคลึงอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน เพราะหากบอกว่าผมกับมันไม่เคยจูบกัน ก็คงจะไม่ใช่ ผมกับมันเคยจูบกันมาแล้ว แต่จะเรียกว่าจูบ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะได้หรือเปล่า เพราะเราเพียงแค่แตะปากกันเฉยๆ ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่ผมกำลังทำอยู่ ทว่าดูเหมือนจะจังหวะไม่ดีเอาเสียเลย เพราะอยู่ๆ ประตูห้องนอนของไอ้ยีนก็ถูกเปิดออกมาพร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่ถูกทิ้งเอาไว้ภายในก้าวออกมา

พี่ภูมองมาทางพวกผมด้วยความตกใจ เขาเบิกตากว้างขึ้น ขณะที่สายตาของเขาที่ผมได้เห็นนั้นเต็มไปด้วยแววของความเจ็บปวด ก่อนจะรีบสาวเท้ายาวๆ ลงไปชั้นล่าง ซึ่งไอ้ยีนก็คงรู้สึกไม่ต่างจากผม และคงจะชัดเจนยิ่งกว่า อีกทั้งคงทำให้มันรู้สึกเจ็บในอกตามด้วย มันถึงได้ผลักผมเสียแรงจนแทบกระเด็น ทว่าผมก็ยังปั้นหน้านิ่งเฉยและถามมันราวกับไม่รู้สึกอะไร

“พี่ภูเห็นซะแล้วว่ะ”

“มึงจะพูดให้ได้อะไร”

สีหน้าของไอ้ยีนตอนนี้ไม่ดีเลยครับ แต่มันกำลังพยายามทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร แล้วทำเป็นหงุดหงิดใส่ผม แต่พอผมถาม ‘แล้วมึงรู้สึกยังไง’ มันก็ตวัดเสียงใส่

“รู้สึกเหี้ยอะไร”

“ที่กูจูบมึงไง”

“ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นแหละเว้ย”

ทั้งที่มันปฎิเสธ แต่ผมรู้สึกเหมือนว่ามันกำลังยอมรับ จริงๆ เพื่อนของผมคนนี้ก็ไม่ได้อ่านยากเลย ผมจึงย้อนเสียงกวนๆ มันกลับไป เผื่อว่ามันจะสะกิดใจและรู้ใจตัวเองขึ้นมาบ้าง

“หรือต้องให้กูใช้ลิ้นด้วย เผื่อมึงจะเคลิ้มเหมือนพี่ภูมั่ง”

มันด่าผม ‘สัตว์’ แถมยังยกตีนขึ้นมาถีบอีก ผมจึงกระเด้งตัวหนี แต่ก็ยิ้มกวนมันไปด้วย ก่อนจะยกแขนขึ้นพาดคอมันแล้วลากให้มันเดินลงไปชั้นล่างด้วยกัน เพราะคิดว่าพี่ภูคงจะกลับไปแล้ว คงไม่อยากอยู่รอดูภาพอะไรที่มัตำตาอีก ถึงเขาจะรู้ว่าผมเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของไอ้ยีนก็ตาม

“กูว่ามึงต้องหาตัวช่วยแล้วว่ะ ถ้ามึงยังดันทุรังแบบนี้”













พาไอ้ยีนไปที่คอนโดไอ้กัสแล้วเรียกไอ้เคลมมารวมพลและสุมหัวหาทางแก้ ก็สรุปได้ว่าจะทำตามแผนการพิสูจน์ของไอ้กัส ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะทำอะไร แต่ถ้าเป็นไอ้กัสล่ะก็ ผมเชื่อว่าแผนการนี้จะลุล่วงไปด้วยดี ความรู้สึกของไอ้ยีนที่มีต่อพี่ภูจะได้ชัดเจนเสียทีว่ามันชอบหรือไม่ชอบกันแน่ ถึงผม ไอ้กัส ไอ้เคลม จะลงคะแนนกันสามเสียงว่ามันชอบพี่ภูไปแล้วก็ตาม

หลังจากแยกย้ายกันไป วันต่อมาผมก็กลับมาทำหน้าที่ของตัวเอง นั่นก็คือการค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวไนล์ ผมเอาแล็บท็อปและกีตาร์จากคอนโดของผมไปที่แมนชั่นของไนล์ เพราะเท่าที่จำได้ ห้องของไนล์ไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกหรือสิ่งบันเทิงที่ผมจะใช้ฆ่าเวลาไปได้เลยหากผมอยู่ที่นั่น

เมื่อไปถึง ผมก็เห็นว่าไนล์นั่งจมอยู่กับรูปวาดของเขาเหมือนเคย แต่เป็นรูปใหม่ที่เพิ่งร่างขึ้นมา ผมจึงไม่คิดรบกวนการทำงานของเขา เพราะไม่อยากให้ไนล์ต้องมานั่งเร่งทำงานจนอดหลับอดนอนอีก ผมนั่งเล่นอินเตอร์เน็ต เล่นเกมไปเรื่อยเปื่อย แต่ที่มากที่สุดคงเป็นการเอากีตาร์ขึ้นมาเล่นในระหว่างที่ไนล์นั่งวาดรูป เพราะถึงช่วงหลังๆ ผมจะไม่ได้เล่นทุกวันเหมือนตอนเรียน ม.ปลาย ที่อยู่ชมรมดนตรี แต่ผมก็ยังชอบหยิบมันมาเล่นอยู่ตลอดทุกครั้งที่ว่าง

“ฉันเล่นกีตาร์แบบนี้รบกวนการทำงานของนายหรือเปล่า”

แม้มันจะเป็นทางที่ช่วยให้ผมมีอะไรทำขึ้นมาบ้างนอกจากการนั่งๆ นอนๆ อยู่ในห้องเล็กๆ นี้ ถึงกระนั้นผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่ามันจะทำให้เขาหนวกหูหรือเสียสมาธิหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้ก็ทำให้ผมสบายใจขึ้น

“ไม่ มีเพลงฟังบ้างก็ดี บางทีก็ทำให้หัวแล่น”

ผมจึงใช้ชีวิตวนเวียนอยู่แบบนั้นซ้ำๆ ในห้องของไนล์ตลอดหลายวันที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นวันที่มีเรียนก็ตาม ถ้าวันไหนไม่มีนัดกับพวกเพื่อนๆ ผมจะกลับมาที่ห้องของไนล์หลังจากเรียนเสร็จ เพราะมีกุญแจห้องของเขาอยู่แล้ว และค่อยกลับไปที่คอนโดของตัวเองตอนประมาณสี่ทุ่ม

เกือบหนึ่งสัปดาห์นี้ผมไม่ได้ไปหาพี่ดาหลาเลยครับ และไม่ได้รู้สึกอยากเจอพี่เขาเหมือนกับเมื่อก่อนด้วยหลังจากที่ล่ำลากันครั้งสุดท้ายในโรงหนังวันนั้น แม้จะมีบางครั้งที่ผมนึกถึงเธอขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ได้ติดต่อหรือไปหาเธอที่คณะ ผมกลับเลือกจะมาที่ห้องของไนล์ เพราะผมไม่อยากรู้สึกกระวนกระวายใจเพราะผู้ชายคนนี้อีก

แต่ตั้งแต่ผมมาที่นี่ทุกวัน ผมกับไนล์กลับแทบไม่ได้พูดคุยกัน นอกจากถึงเวลาที่ผมคิดว่าควรจะออกไปกินข้าว ผมถึงเรียกเขาให้ออกไปกินด้วยกัน โดยที่ไนล์เลือกร้านอาหารที่อยู่ใกล้ๆ กับแมนชั่นเพื่อไม่ให้เสียเวลา ซึ่งผมก็ไม่ใช่คนเรื่องมากเกี่ยวกับการกินอยู่แล้ว และรสชาติอาหารร้านนั้นถึงจะไม่ได้ไม่อร่อย แต่อยู่ในระดับที่กินได้ ผมจึงไม่เดือดร้อนสักเท่าไร

เวลาส่วนมากของไนล์จะหมดไปกับการนั่งวาดรูปที่ระเบียงพร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วยอย่างที่ผมเคยเห็น เขาวาดรูปจนเสร็จ ก่อนรูปที่เขาวาดจะอันตรธานจากห้องอย่างไร้ร่องรอยพร้อมๆ กับตัวเขาที่หายไป ผมเดาว่าเขาคงเอารูปไปขายโดยไม่ได้บอกรายละเอียดอะไรกับผม ผมจึงเฝ้ารอเขาอยู่ที่ห้อง

เลยเวลากลับคอนโดของผมแล้ว แต่ว่าไนล์ก็ยังไม่กลับมา ผมยังคงนั่งทนรอเขา ในใจเริ่มไม่สงบเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าอย่างไรเขาก็ต้องกลับมาเมื่อเห็นว่ามันดึกขึ้นเรื่อยๆ อยากจะโทรศัพท์หาเขาเพื่อสอบถามให้รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมจะได้สบายใจ แต่ก็ต้องแข็งใจเอาไว้

ผมไม่อยากจะเต้นไปตามกับการกระทำของเขาที่ปั่นป่วนความรู้สึกของผมจนผมมองอะไรไม่เห็นเหมือนอย่างที่เคยเป็น ไม่อยากตกอยู่ในการควบคุมของเขา จวบจนเที่ยงคืน ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับคนที่ผมรอคอยเดินเข้ามา ไนล์ไม่มีสีหน้าแปลกใจที่เห็นว่าผมยังนั่งอยู่บนเตียงและจ้องไปที่หน้าประตู ผมสบตากับเขา แต่ไนล์ก็ยังนิ่งเฉยราวกับไม่รู้สึกอะไร เขาเดินผ่านตัวผมและหยุดลงหน้าราวตากผ้าเล็กๆ ที่อยู่หน้าห้องน้ำพลางถอดเสื้อที่สวมอยู่ออก

“นายไปไหนมา”

แน่ใจว่าเขาไม่ได้แค่เอารูปไปส่งเท่านั้น แต่ยังไปที่อื่นต่อด้วย

“ฉันเอารูปไปส่ง”

แต่ว่าเขากลับตอบเฉพาะในสิ่งที่อยากให้ผมรู้ คำตอบของเขาไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้น เพราะกลิ่นต่างๆ ที่ผสมปนปนบนตัวของเขา

กลิ่นบุหรี่... กลิ่นเหล้า.............. กลิ่นน้ำหอมผู้หญิง

นายกำลังปิดบังอะไรอยู่

ความคิดนั้นแล่นขึ้นมาในหัวของผมทันที แต่ผมก็ไม่ถามเพราะรู้ว่าผมคงไม่ได้คำตอบ ผมจึงเลือกที่จะเงียบ ซึ่งเขาเองก็ไม่ได้เริ่มต้นประโยคใหม่กับผม แต่เข้าห้องน้ำไปพร้อมกับผ้าเช็ดตัว

กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ผมต้องหัวปั่น เพราะไนล์ แต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

ผมรอจนไนล์ออกมาจากห้องน้ำและมาใส่เสื้อผ้าที่ด้านนอก เขามองหน้าผมเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ล้มตัวลงบนเตียงและปิดตาลง ราวกับไม่สนใจว่าผมจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือว่าจะกลับคอนโดของตัวเองเหมือนวันอื่นๆ

“คืนนี้ฉันจะนอนที่นี่”

บอกเท่านั้นผมก็เดินไปปิดไฟและกลับมาล้มตัวลงนอนหันหลังให้ไนล์บนเตียงที่คับแคบเกินไปสำหรับผู้ชายสองคน โดยเฉพาะกับผู้ชายตัวใหญ่แบบผม ความว่างเปล่าของอากาศที่กั้นแผ่นหลังระหว่างเราสองคนเอาไว้ทำให้ผมรู้สึกค่อนข้างแย่ ผมอดทบทวนกับตัวเองไม่ได้ว่าผมแคร์เขามากเกินไปแล้ว ผมปล่อยให้เขามีอิทธิพลกับตัวผมมากเกินไป

แต่ผมก็หยุดไม่ได้...











หลังจากงานหนึ่งเสร็จไป ไนล์ก็มีเวลาพักผ่อนวันสองวันก่อนเริ่มงานชิ้นใหม่ตามที่ผมจับใจความได้จากการได้ยินเขาพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ แต่ช่วงเวลาเหล่านั้นก็หมดไปกับการนั่งนิ่งๆ หายใจทิ้งและทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่างด้านข้างของห้อง

ไนล์นั่งรับลมที่โชยพัดเข้ามาราวกับจะปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไม่สนใจว่ามันนานแค่ไหน โดยมีอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับวาดรูปกองอยู่รอบๆ เขาไม่ได้แยแสด้วยซ้ำว่าผมยังอยู่ในห้องนี้หรือเปล่า และไม่เคยแม้สักครั้งที่จะหันหน้ามาคุยกับผม กลายเป็นผมเองที่เหมือนเป็นคนไม่มีตัวตน ไม่ใช่เขาที่ใช้ชีวิตบางเบาเหมือนคนไม่มีชีวิต

ขณะที่ผมนั่งเกากีตาร์ไปด้วย ในหัวคิดต่างๆ นานาเกี่ยวกับเรื่องของเขา สิ่งที่ผมได้รู้ตลอดเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ที่แทบจะอยู่ที่นี่ตลอดยกเว้นตอนไปเรียนและตอนกลับไปนอนที่คอนโด กลับไม่มีอะไรเพิ่มเติมมากเกินไปกว่าการได้รู้ว่าเขารับจ้างวาดรูปก็เท่านั้น

คนที่ทำตัวเปรียบเสมือนวิญญาณซีดเซียวและไร้ตัวตนไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้ผมรู้แม้แต่น้อย เขาไม่พูดเรื่องตัวเอง รวมทั้งไม่พูดอะไรเพื่อดึงดูดหรือเรียกร้องความสนใจจากผม เขานิ่งสงบและเรียบเฉย ทว่านั่นเป็นดั่งกับดักให้ผมตกหลุมพรางไปเต็มๆ เพราะมันทำให้ผมเอาแต่อยากรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรกันแน่

สายตาของผมยังคงทิ้งไว้ที่ร่างของเขาเสมอ ราวกับไม่สามารถหันไปมองทางอื่นได้ เพราะผมอาจจะพลาดบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับเขาไปได้ แม้ว่าเขาจะไม่หันหลังกลับมามองผมเลยก็ตาม

ผมไปหยุดยืนข้างๆ ไนล์ที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างและมองออกไปทางช่องว่างของกรอบสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่หลายชั่วโมงโดยไม่คิดจะกระดิกกระเดี้ยตัวไปไหน เขามองออกไปด้านนอกที่ไม่ว่าผมจะพิจารณาอย่างไรก็ไม่เห็นว่ามันมีอะไรน่าสนใจจนทำให้นั่งมองได้เป็นชั่วโมงๆ อย่างที่เขากำลังทำ จากหน้าต่างห้องริมสุดของชั้นสามผมเห็นแต่ตึกและต้นไม้ปลูกอย่างกระจัดกระจาย รวมทั้งท้องฟ้าที่เวิ้งว้าง

“เวลามองออกไปด้านนอก นายคิดถึงอะไร”

มองเสี้ยวหน้าของคนที่ยังทิ้งสายตาออกไปนอกหน้าต่างแล้วผมก็มองไปยังทิศทางเดียวกันราวกับจะพยายามค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ทั้งที่เคยพยายามแล้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งพิเศษใดๆ

“ไม่ได้คิดอะไร แค่มองออกไปเฉยๆ เพราะในหัวมันว่างเปล่า”

คำตอบของไนล์สร้างความประหลาดใจแก่ผมค่อนข้างมาก แต่คงไม่แปลกนัก เพราะเขามักทำให้ผมคาดไม่ถึงเกี่ยวกับความนึกคิดของเขาเสมอ ทว่าผมก็เผลอคิดไปว่าจะได้คำตอบที่ชัดเจนมากกว่านี้ ดังนั้นผมจึงเริ่มต้นประโยคใหม่ที่น่าจะทำให้ผมได้เข้าไปอยู่ในความสนใจของเขา เหมือนอย่างก่อนหน้านี้ที่เขาพยายามฉุดดึงผมทุกทางเพื่อให้ผมสนใจ

“แล้วนายไม่คิดถึงวิธีดึงความสนใจจากฉันบ้างหรือไง ถึงฉันจะมาหานายแบบนี้ แต่ฉันก็ยังไม่ตัดใจเรื่องพี่ดาหลาหรอกนะ”

ถึงจะเริ่มคิดว่าผมพอจะปล่อยวางเรื่องพี่ดาหลาไปได้บ้าง ผมไม่ได้คิดถึงเธอเหมือนอย่างก่อนหน้านี้ เพราะในใจของผมถูกรบกวนด้วยคนข้างๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็หยิบยกชื่อนั้นขึ้นมาอ้าง เพราะรู้ว่ามันจะทำให้ไนล์หันกลับมามองผม ซึ่งก็ได้ผลอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้

ไนล์ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เก่าๆ หันมามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขึ้นมาประกบสันกรามทั้งสองข้างของผม และคว้าใบหน้าของผมเอาไว้โดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว เขาประกบปากของตัวเองลงบนปากของผมอย่างรวดเร็วโดยไม่มีการบอกกล่าว ทว่าสัมผัสที่ผมรับรู้ได้ในตอนที่ริมฝีปากของเขาแนบชิดกันทำให้หัวใจของผมกระตุก และเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก

ทว่าเพียงชั่วครู่สัมผัสนั้นก็ค่อยๆ ห่างออกไป กลายเป็นผมเสียเองที่ไขว่คว้ามันเอาไว้ ผมใช้สองมือรั้งใบหน้าของไนล์และแนบกลีบปากเข้าชิดกับเขาอีกครั้ง บดเบียดเข้าหาส่วนนิ่มๆ นั้นและดูดคลึงมันราวกับกำลังลิ้มรสชาติหอมหวานของเยลลี่ ก่อนจะสอดลิ้นเข้าไปรุกรานภายใน พลอยให้ไนล์สะดุ้งเล็กน้อย ถึงกระนั้นเขาก็ยินยอมเปิดปากให้ผมได้เข้าไปสำรวจความอ่อนนุ่มที่อยู่ข้างใน

เป็นอีกครั้งที่ผมจูบเขา

แต่เป็นครั้งแรกที่ผมจูบเขาโดยใช้ลิ้นแบบนี้

ลิ้นของเราสองคนคลุกเคล้าเข้าด้วยกันหลังจากที่ผมไล่ต้อนอยู่พักหนึ่ง เสียงลมหายใจของคนที่ผมจูบเล็ดลอดออกมาจากปลายจมูกอย่างยากลำบาก ราวกับว่าลืมวิธีการหายใจไปชั่วคราว พานให้ผมยิ่งอยากไล่บี้ให้เขาหมดทางรอด ผมอยากได้ยินเสียงหายใจของเขาชัดขึ้น อยากให้มันช่วยตอกย้ำให้ผมรู้ว่าเขามีชีวิตอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ ไม่ใช่ร่างที่กลายเป็นภาชนะแต่ไร้วิญญาณ หรือเป็นร่างซีดจางที่ไร้ความรู้สึก

แต่เหมือนว่าผมจะรุกเร้าเขาหนักไปหน่อย เก้าอี้ที่ไนล์นั่งอยู่จึงเริ่มเสียการทรงตัว และมันก็ทำให้เขาต้องหงายหลังลงไปกับพื้นขณะที่ผมได้แต่ตื่นตกใจ ร่างกายขยับไปตามสัญชาตญาณและประคองศีรษะของเขาเอาไว้ไม่ให้กระแทกกับพื้น ก่อนเสียงของซึ่งอยู่บริเวณนั้นล้มระเนระนาดจะดังตามมา

ผมรู้สึกเหมือนของเหลวหนืดๆ ราดไปตามท่อนแขนอีกข้างของผม แต่นั่นไม่สามารถเรียกความสนใจของผมได้เท่ากับคนอีกคนที่กำลังนอนอยู่ใต้ร่าง เพราะถูกผมทับเอาไว้

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“...”

ไนล์ไม่ตอบ แต่เขากลับมองหน้าผมนิ่งๆ และหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยเหมือนพร้อมจะจางหายไปต่อหน้าต่อตาได้ทุกเมื่อกลับปรากฏรอยยิ้ม ผมรู้สึกเหมือนตาของผมพร่ามัวด้วยแสงสว่างในวินาทีนั้น มันอาจจะดูเหมือนว่าผมเว่อร์ แต่สิ่งที่ผมเห็นในเวลานี้มันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของไนล์ที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินและได้เห็น

เหมือนผมกำลังฝันไป...

“นายหัวเราะอะไร”

“หรือนายคิดว่ามันไม่น่าขำ”

คราวนี้เขาตอบผมแล้ว แต่ว่าใบหน้าของเขาก็ยังไม่เปลี่ยนไป ยังมีรอยยิ้มติดอยู่นิดๆ จนผมเผลอจ้องมองมันอยู่แบบนั้น พานให้เขาเลิกคิ้วด้วยความสงสัยที่ผมเอาแต่จ้องเขาไม่เลิก และไม่ทันให้เขาได้เอ่ยปากถามอะไร ผมก็จูบไนล์อีกครั้ง

ผมกำลังเป็นบ้าอยู่หรือไง?

ทั้งที่ไม่กี่วันก่อนผมเพิ่งคุยกับไอ้ยีนเรื่องนี้ ทว่าตอนนี้ผมกลับกำลังทำไม่ต่างจากมัน

ผมเริ่มเข้าใจความสับสนของมันแล้ว และรู้ด้วยว่าสถานการณ์ระหว่างผมกับไนล์ เรื่องแบบนี้ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ในตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะไร้เหตุผล รู้อย่างเดียวว่า...ตอนนี้ผมอยากจูบเขาชะมัด

เขายอมจูบตอบผมโดยไม่หลีกเลี่ยงจนผมเป็นฝ่ายผละออกมาเอง เรามองตากันอยู่ครู่หนึ่งก่อนเขาจะหลบสายตาของผมเล็กน้อยแล้วโพล่งเสียงออกมาเมื่อสังเกตเห็นบางอย่างที่แขนของผม

“แขนนายเลอะ”

ได้ยินเช่นนั้นผมจึงหันไปทางเดียวกับปลายสายตาของไนล์ แล้วก็เห็นว่าน้ำหนืดๆ ที่ติดอยู่บนแขนของผมคืออะไร มันเลอะแขนของผมไปครึ่งหนึ่ง และทำให้ผมต้องรีบเค้นเสียงออกมาด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย

“ฉันขอโทษ ฉันทำสีของนายหก”

ผมดันตัวที่คร่อมทับไนล์ออก เปลี่ยนมานั่งลงข้างๆ เขาแทน ซึ่งไนล์ก็ขยับตัวขึ้นนั่งเช่นเดียวกัน เขามองไปยังกระป๋องสีโปสเตอร์สีเขียวตองอ่อนที่น่าจะเหลืออยู่ครึ่งกระป๋องและหกออกมาเลอะพื้น พลอยให้เลอะแขนของผมด้วยแววตาเศร้าๆ เหมือนกำลังเสียดาย

“อื้ม ช่างมัน”

“เดี๋ยวฉันจะซื้อคืนให้ ฉันเป็นคนทำมันหกเอง”

จำได้ว่าตอนล้มตัวลงมาประคองหัวของไนล์เอาไว้ แขนผมไปโดนกระป๋องสี มันจึงหกออกมาเพราะแรงกระแทกและฝาที่ปิดเอาไว้ไม่สนิทมากนัก แต่แทนที่ไนล์จะตอบรับในเรื่องที่ผมเสนอ เขากลับปัด

“สีนั่นฉันผสมเอง ไว้จะใช้ค่อยผสมใหม่ก็ได้ แต่นายไปล้างแขนก่อนเหอะ”

ในเมื่อเจ้าตัวว่าอย่างนั้น ผมจึงลุกไปห้องน้ำเพื่อจัดการกับแขนที่เลอะของตัวเองตามคำบอก ทว่าก็ไม่วายหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วย ซึ่งไนล์ก็หยิบผ้าเก่าๆ ที่ใส่ถุงเอาไว้ตรงมุมห้องออกมาเช็ดคราบสีที่เลอะบนพื้น จนมันเกือบจะแห้ง ก่อนจะเดินมาที่ห้องน้ำเพื่อล้างสีออกจากผ้าผืนนั้น

ทว่าห้องน้ำภายในห้องเช่าแคบๆ นี้ไม่มีอ่างล้างมือแยกออกมาอยู่แล้ว เขาจึงต้องยืนรอผมที่กำลังล้างแขนของตัวเองอย่างไม่ถนัดนัก เพราะมือหนึ่งต้องจับฝักบัวเอาไว้ ขณะที่เอียงแขนข้างทีเลอะเพื่อล้างคราบสีนั้นออก

ดูท่าว่ามันคงดูทุลักทุเลในสายตาของคนมองเห็น ไนล์จึงเลื่อนมือมาลูบแขนผมบริเวณที่ผมต้องการทำความสะอาด พานให้ผมเงยหน้ามองเขานิดนึง แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรแตกต่างไปจากเดิม เพียงแค่ละมือนั้นออกแล้วไปถูสบู่ที่วางอยู่บนบนแท่นวางให้เกิดฟองเล็กน้อย แล้วจึงมาลูบแขนของผมอีกครั้ง

“เอาผ้ามาล้างสิ”

กระทั่งแขนของผมสะอาดหมดจด ผมก็เป็นฝ่ายช่วยไนล์บ้าง ผมถือฝักบัวและยื่นไปหาเขาเพื่อให้เขาจัดการขยี้ผ้าที่เอาไปเช็ดพื้นมาเมื่อครู่เพื่อกำจัดสีออกไป ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้อิดออดอะไร เขารับความช่วยเหลือจากผม ซักผ้าผืนนั้นก่อนจะกลับไปเช็ดพื้นอีกครั้งเพื่อให้มันไม่มีร่องรอยสกปรกอีก ขณะที่ผมยื่นรอเขาอยู่ในห้องน้ำเหมือนเดิม ถึงกระนั้นก็ชะโงกหน้าไปดูเขาตอนที่เช็ดพื้นด้วย

ผ้าเก่าๆ ที่คงจะเลอะสีมาหลายต่อหลายครั้งแล้วถูกบิดจนหมาด เราทั้งคู่ก็ออกจากห้องน้ำไป ไนล์นำผ้าไปตากไว้ที่ราวของระเบียงด้านหลังห้อง แล้วจึงเดินย้อนกลับมา ส่วนผมช่วยเก็บของที่ล้มจนเกลื่อนพื้นผิดที่ผิดทางของมัน สีที่อยู่ในกระป๋องหลายสีใกล้จะหมดทำให้ผมคิดได้

“เปลี่ยนเสื้อผ้าสิ”

ไนล์มองหน้าผมอย่างไม่เข้าใจสักเท่าไรแม้ว่าจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไป หน้าของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม ไม่ได้เคลือบรอยยิ้มและดวงตาไม่ได้มีประกายเหมือนอย่างตอนที่เขาหัวเราะ ทว่าผมก็พอจะเดาออกว่าเขาค่อนข้างงงที่ผมพูดแบบนั้น

“ฉันจะพานายไปซื้อสีใหม่ ฉันทำของนายหกก็ต้องรับผิดชอบ แล้วสีอื่นๆ ของนายก็จะหมดแล้วด้วย ถือว่าเป็นการไถ่โทษของฉันก็ได้”

ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งที่มันไม่เกี่ยวกัน แต่ผมก็เสนอตัวแบบนั้น ซึ่งมันก็ทำให้ไนล์มองตาผมค้างอยู่ชั่วครู่ ราวกับต้องการพิจารณาให้แน่ใจว่าผมต้องการแบบนั้นจริงๆ หรือ และเมื่อได้คำตอบที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากผมแล้ว เขาก็ยอมหยิบเสื้อและกางเกงที่เหมาะกับการใส่ออกข้างนอกมากกว่าเสื้อกล้ามตัวหลวมๆ กับกางเกงขาสั้นที่เขาสวมอยู่ตอนนี้ออกจากตู้เสื้อ






อ่านต่อด้านล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 30-03-2014 21:48:22


ต่อจากข้างบน


v


v





“แล้วนายจะไปที่ไหน”

ผมรอไนล์เปลี่ยนชุดอยู่ที่หน้าตู้เสื้อผ้าโดยไม่แคร์สายตาของผมสักนิดว่าจะมองอยู่หรือเปล่า จนเป็นผมเองที่ต้องเบี่ยงสายตาไปทางอื่นพลางถามไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา

“หอศิลป์”

คนที่ผมถามตอบกลับก่อนจะมายืนข้างๆ ผม ให้รู้ว่าเขาจัดการกับตัวเองเสร็จเรียบร้อย ผมจึงครางเสียงในลำคอรับคำเล็กน้อย ก่อนเราจะเดินออกจากห้องพักนั้นมา ไปที่รถของผมเพื่อเดินทางไปยังจุดหมายที่ถูกระบุเอาไว้

ระยะทางระหว่างแมนชั่นของไนล์กับหอศิลป์ค่อนข้างไกลจากกัน ทำให้ต้องเสียเวลาเดินทางชั่วโมงกว่าแม้ว่าผมจะเป็นคนที่ขับรถเร็วก็ตาม แต่ด้วยสภาพการจราจรช่วงเย็นของวันหยุดในกรุงเทพฯ ก็เป็นที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าติดขัดมากแค่ไหน ดังนั้นกว่าจะหาที่จอดรถได้ ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว

ผมและไนล์เดินเข้าไปในตึกด้วยกัน ผมไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาที่นี่เลยสักครั้ง ได้แต่มองอยู่ด้านนอกเวลาที่มาเที่ยวห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ นี้ในบางครั้ง บรรยากาศภายในแตกต่างจากข้างนอกที่เต็มไปด้วยรถราและผู้คน เสียงอื้ออึงต่างๆ เหมือนถูกกรองเอาไว้ทำให้ภายในอาคารนี้ค่อนข้างสงบ

ไม่ค่อยมีคนอยู่ในนี้นัก แม้ว่ามันจะเป็นตึกที่ค่อนข้างใหญ่ มีสินค้าแฮนด์เมดตั้งร้านเล็กๆ ขายอยู่บ้างตามแต่ละชั้น แต่ก็ไม่จอแจ เหมือนหลุดมาอยู่อีกโลกหนึ่ง ผมรู้สึกสงบและสบายใจอย่างไรชอบกลเมื่อได้เข้ามาที่นี่

“ปกตินายมาซื้อสีที่นี่เหรอ”

เพราะว่ามันไม่ค่อยสะดวกในการเดินทาง ผมจึงอดสงสัยไม่ได้

“เมื่อก่อน”

คำตอบของเขาทำให้ผมเผลอคิดตามไม่ได้ว่าถ้าเป็นแบบนั้น บ้านของเขาก็คงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ผมเดินตามไนล์ที่เดินกวาดตาไปตามกรอบรูปที่ถูกติดไว้บริเวณผนังของทางเดิน ก่อนเขาจะเข้าไปยังห้องหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีการจัดแสดงภาพอยู่

“แล้วทำไมคราวนี้นายถึงมาที่นี่”

“แค่อยากมา”

เสียงของเขาหลุดออกมาจากปากเพียงเท่านั้นก่อนจะสาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อชมภาพที่ถูกจัดแสดงอยู่ มีคนอยู่ภายในห้องนี้ไม่มากนัก และค่อนข้างสงบมากๆ ผมจึงไม่สอบถามอะไรเพิ่มเติมอีก เพียงเดินตามเขาไปช้าๆ และมองตามเขาไปด้วย ไนล์มองมันอย่างตั้งใจราวกับถูกรูปพวกนั้นตรึงสายตาเอาไว้ บางรูปก็ทำให้เขาต้องขยับตัวเข้าไปเพื่อมองใกล้ๆ และมันก็ทำให้ผมคิดไม่ได้ว่าเขาชอบการวาดรูปมากจริงๆ

ใช้เวลาอยู่เกือบชั่วโมง ไนล์ดูภาพทั้งหมดเสร็จ เราออกมาด้านนอกอีกครั้ง แต่คราวนี้ไนล์เดินนำไปลงบันไดเลื่อนเพื่อไปชั้นล่างสุด ที่นั่นมีคนอยู่บ้างประปราย และก็มีคนที่เหมือนจะรับจ้างวาดรูปอยู่ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด เพราะผมเห็นเขากำลังวาดรูปเหมือนกับในรูปถ่ายที่หนีบอยู่บนกระดานวาดรูปของเขา ส่วนบริเวณใกล้ๆ กันก็มีรูปที่วาดเสร็จแล้วตั้งโชว์อยู่

“ไนล์.....หรือเปล่า”



เสียงเรียกจากคนที่นั่งวาดรูปอยู่เรียกให้ทั้งผมและไนล์ต่างหันไปมองด้วยกันทั้งคู่ ก่อนไนล์จะเบิกตาขึ้นเล็กน้อยและเอื้อนเสียงออกมาเบาๆ

“พี่โป้ง”

“เฮ้ย ไม่ได้เจอกันนานเลย นึกว่าจะไม่ได้แกแล้ว ตั้งเท่าไรวะ สามปีได้หรือเปล่าวะ ที่อยู่ๆ แกก็หายไป”

คำทักทายที่เหมือนรู้จักกันดีดึงให้ไนล์เดินเข้าไปหาผู้ชายผิวเข้มคนนั้น ท่าทางของเขาคล้ายๆ กับพวกจิตรกรทั่วไป เขาแต่งตัวสบายๆ ผมยาวประมาณบ่าแต่มัดรวบเอาไว้หลวมๆ ไม่ให้ดูรุงรัง ผมจึงเดินเข้าไปหาผู้ชายที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าผมสักสี่หรือห้าปีด้วยความสนใจและใคร่รู้

“ประมาณนั้นแหละครับ ไม่คิดว่าพี่จะยังวาดรูปอยู่ที่นี่”

“เวลาว่างๆ น่ะ ช่วยไม่ได้นี่หว่า อยู่ที่นี่แล้วสบายใจดี ว่าแต่แก เป็นยังไงมั่งล่ะ ตอนนี้น่าจะเข้ามหา’ลัยแล้วใช่ไหม สอบเข้าจิตกรรมได้อย่างที่หวังหรือเปล่าวะ”

ใบหน้าของพี่เขาประดับด้วยรอยยิ้มหน่อยๆ มองไนล์ที่มีสีหน้านิ่งเรียบด้วยตาที่เป็นประกายเล็กน้อย ราวกับจะแสดงความยินดีด้วยอย่างไรอย่างนั้นทว่าเพียงได้เสียงของไนล์ดังขึ้น สีหน้าของเขาก็ต้องเปลี่ยนไป

“เปล่าครับ”

“อ้าว ทำไมวะ เฮ้ย ถ้าแกสอบไม่ผ่าน เอาไว้สอบใหม่ก็ได้”

พี่โป้งปลอบใจไนล์พลางตบบ่าเล็กๆ นั้นไปด้วยเหมือนกำลังให้กำลังใจ แต่มันก็ไร้ประโยชน์

“ผมจะไม่สอบเข้าที่นั่นแล้วล่ะครับ”

“แกบอกว่าอยากเข้ามากไม่ใช่เหรอ นั่นความฝันของแกเลยนะเว้ย”

จากที่สนใจบทสนทนาของสองคนนี้อยู่แล้ว ผมยิ่งสนใจมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่อุปาทานไปเอง แต่ผมรู้สึกว่าหูของผมผึ่งขึ้นมาทันทีที่ได้ยินแบบนั้น มันเหมือนอย่างที่ผมคิดตอนที่ไปห้องพักของไนล์ครั้งแรก ว่าเขาน่าจะเรียนเกี่ยวกับศิลปะมากกว่าเรียนวิศวะฯ

“มีเหตุผลนิดหน่อยครับ”

“เออๆ ถ้าแกตัดสินใจดีแล้ว พี่ก็คงยุ่งอะไรไม่ได้ แต่ว่างๆ ก็แวะมาที่นี่บ้างสิ มีลูกค้าเก่าๆ อยากให้แกวาดรูปให้ด้วย มาถามฉันหลายครั้งก็มี”

“ตอนนี้ผมเรียนอยู่ไกลครับ คงมาไม่ค่อยสะดวกเท่าไร แต่ตอนนี้ผมรับจ้างวาดอยู่บ้าง ถ้ายังไงผมทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ที่พี่แล้วกัน”

“เอางั้นก็ได้”

จากนั้นไนล์ก็หากระดาษแถวๆ นั้นมาจดเบอร์ให้กับพี่โป้ง ก่อนจะเดินไปดูภาพวาดของพี่โป้งที่ตั้งอยู่รอบๆ ผมจึงถือโอกาสนี้เข้าไปคุยกับคนที่ยังไม่ได้รู้จักกันอย่างเป็นทางการ แม้จะรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่อยู่ๆ ก็ไปคุยกับเขาเรื่องของไนล์ แต่มันเป็นทางเดียวในตอนนี้ที่จะช่วยให้ผมรู้เรื่องของไนล์มากขึ้น

“พี่รู้จักกับไนล์มานานแล้วเหรอครับ”

เพียงแค่ถูกถาม เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองผมราวกับกำลังพิจารณาว่าผมมีเจตนาอะไรกันแน่ แต่เพียงครู่สั้นๆ เขาก็ตอบคำถามของผม

“ก็ตั้งแต่มันอยู่ ม.2 ได้มั้ง มันชอบมาป้วนเปี้ยนที่นี่ แล้วก็มาขอวาดรูปด้วย มีคนชอบงานของมันอยู่พอสมควรล่ะ ขอซื้อบ้าง จ้างวาดบ้าง มันก็รับงานไปตามที่มันทำได้ มันมีพรสวรรค์ มีความสามารถ เคยชนะการประกวดอยู่หลายครั้ง ฝีมือไม่เบาเชียวล่ะ ถ้าเดินทางนี้คงอนาคตไกลอยู่ น่าเสียดายที่มันทิ้งความฝัน”

สิ้นประโยค พี่โป้งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางมองตามไนล์ที่ไม่ได้สนใจเราสองคนแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่จ้องภาพวาดด้านหน้าอย่างหลงใหล ซึ่งผมเองก็เช่นกัน รู้สึกหน่วงในใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าไนล์กำลังละทิ้งความฝันของตัวเองด้วยเหตุผลบางอย่าง

ผมคิดว่าคนที่มีจุดหมายหรือความฝันที่ชัดเจน ค่อนข้างน่านับถือ และมันก็คงเจ็บปวดไม่น้อยที่ต้องยอมเดินจากความฝันของตัวเองมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลจำเป็นแค่ไหนก็ตาม

“นายเป็นเพื่อนมันใช่ไหม”

สายตาของผมที่ทอดมองไปตามร่างโปร่งบางต้องถอนออกมาหาคนที่อยู่ใกล้ที่สุดอีกครั้งหลังจากคำถามนั้น

“เอ่อ... ครับ”

เสียงของผมเกริ่นออกมาอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะยังระบุสถานะระหว่างผมกับไนล์อย่างชัดเจนไม่ได้ แม้ว่าผมจะเผลอจูบเขาไปแบบนั้นแล้ว แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจ

ผมแค่สนใจเขามาก...

ผมแค่อยากรู้เรื่องของเขาว่าเป็นใครกันแน่ และต้องการอะไรจากผม

ผมยังไม่ได้เผลอไปชอบเขาอะไรแบบนั้นใช่ไหม?

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี”

พี่โป้งยิ้มนิดๆ จะว่าเป็นรอยยิ้มพอใจก็ไม่เชิง รอยยิ้มเหนื่อยใจก็ไม่ใช่ เหมือนเขาจะโล่งใจมากกว่า ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมเหรอครับ”

“ไอ้ไนล์เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก เรื่องที่มันสนใจมีแค่เรื่องที่เกี่ยวกับการวาดรูป”

“...”

“ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงตอนที่อยู่ๆ มันก็หายตัวไป มันมาที่นี่คนเดียวตลอด ไม่เคยพาใครมาด้วยเลย เพิ่งมีนายเป็นคนแรก”

จากที่หน่วงในใจอยู่แล้ว ผมกลับยิ่งรู้สึกเหมือนโดนทุบแรงๆ ลงบนหัวใจจนเจ็บ ผมเลื่อนสายตาไปทางไนล์อีกครั้งอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายที่พี่โป้งพูดกับผม มันทำให้ผมไม่อยากละสายตาจากไนล์อีกเลย

“อย่าทิ้งมันล่ะ”







================
คืบหน้าขึ้นเรื่อยๆ (อย่างช้าๆ) แล้ว

ขอบคุณคนที่ยังติดตามอ่านนะคะ


Undel2Sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: michiri.sama ที่ 30-03-2014 22:09:32
โฮฮฮฮฮฮฮ

เดาว่าไนล์จะต้องมีอดีตที่ไม่ค่อยสวยงามแน่ๆ
ถึงได้ทำให้มีบุคลิก/นิสัยอย่างนี้ ;_______;

กราฟอย่าทิ้งไนล์นะะะะะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 30-03-2014 22:46:32
หือ อะไรอะ ไนท์ นายจะมีความหลังที่ไม่ดีหรือ
อ๊ากกยังไง อยากรู้
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 30-03-2014 23:05:05
 :impress2: :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: from_mars ที่ 30-03-2014 23:25:00
เฝ้าเค้าเลยนะ
แถมไปจูบ(ลึกซึ้ง)กะเค้าอีกด้วยอ่ะ เขินนน

ค่อยๆ เปิดเผยทีละนิดแล้ว...
รออ่านต่อนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 31-03-2014 01:33:41
ใกล้ขึ้นมากหน่อยนึงแล้ว
อยากรู้จักไนล์จริงๆ อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่ไนล์ไม่พูดคืออะไร มีอะไรที่หักเหชีวิตของไนล์
รู้สึกเหมือนจะเป็นกราฟเข้าไปทุกทีแล้วว
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 31-03-2014 10:34:14
ยังคงความเป็นบุคคลที่น่าค้นหาอยู่ตลอดเวลาจริงๆ ไนล์
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 11 : ใกล้เข้าไปอีกนิด [30/3/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 07-04-2014 21:19:42
เอ๊ เรียกว่าใกล้เข้าไปอีกนิดรึเปล่านะ ยังมีเรื่องที่กราฟต้องพยายามหาคำตอบอีกมากเหมือนเดิม
แถมเพิ่มเรื่องเหตุผลที่ไนล์ทิ้งความฝันมาด้วย จะมีอะไรที่เกี่ยวกะกราฟไหมนะ
อยากรู้อดีตหรือเรื่องของไนล์มากกว่านี้อีกจัง เพราะงั้นกราฟก็พยายามเข้านะเพื่อคนอ่านด้วย
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปค๊า  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 14-04-2014 18:51:35
ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า













เราออกมาจากหอศิลป์ก็แวะที่ห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ เพื่อรับประทานอาหารค่ำ ก่อนผมจะชวนไนล์ให้ไปเดินชั้นล่างของห้างฯ ด้วยกัน เพราะผมตั้งใจว่าจะกลับบ้านในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์และผมก็ไม่ได้กลับบ้านมาทั้งอาทิตย์แล้ว จึงตั้งใจว่าจะซื้อป๊อปคอร์นชื่อดังไปฝากแม่เสียหน่อย เพราะว่าท่านชอบมาก

ตั้งแต่ร้านนี้มาเปิดที่ไทย ผมก็ยังไม่เคยมาต่อคิวซื้อกับเขาเลย แม้ว่ามันจะไม่ได้มีคนต่อแถวยาวเหยียดเหมือนในวันแรกๆ ที่เปิดร้านแต่ก็ยังมีอยู่พอสมควร ผมจึงบอกให้ไนล์ยืนรออยู่แถวๆ นี้แทน ส่วนผมก็ไปเข้าแถวเพื่อซื้อ ทว่าแม้ไนล์จะอยู่ไกลจากสายตาของผมแล้ว ผมก็ไม่วายหันไปมองเขาอยู่ดี

เขายืนเฉยๆ เหมือนไม่ได้สนใจอะไร ปล่อยสายตาให้ลอยไปโดยไร้จุดหมาย แต่ขณะเดียวกันกลับกลายเป็นเขาที่ตกเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินผ่านไปมา เพราะหากบอกว่าเขาค่อนข้างโดดเด่นก็คงไม่ผิด ถึงเขาจะชอบทำตัวเหมือนตัวเองเป็นสิ่งมีชีวิตซีดจางราวกับล่องหนอยู่ในอากาศ แต่มันก็ไม่เป็นแบบนั้นเสียทีเดียว

ใบหน้าได้รูปและดูดีซึ่งกระเดียดไปทางสวยแบบผู้ชายนั่นทำให้ใครต่อใครสนใจเขาได้ไม่อยาก แต่ท่าทีเฉยชาและบรรยากาศรอบๆ ตัวของเขาเหมือนเป็นปราการให้ไม่มีใครกล้าเข้าไปในรัศมีของเขา เหมือนกับเกรงว่าหากเข้าใกล้มากเกินไป อาวุธที่มองไม่เห็น แต่ค่อนข้างมีอานุภาพค่อนข้างรุนแรงจะทำร้ายจนได้แผล

ผมยังเอาแต่จ้องไนล์ที่ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับก้าวไปจากเดิมแม้แต่น้อย เหมือนถูกเขาตรึงสายตาจนแถวขยับแล้วคนข้างหลังถึงส่งเสียงบอกให้ผมเดินไปข้างหน้า แต่พอขยับไปตามคิวแล้ว ผมก็ยังหันกลับไปมองไนล์อยู่ดี ผมรู้สึกว่าอาการของผมชักแย่เสียแล้ว เพราะผมไม่สามารถละสายตาจากเขาได้เลยเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ใกล้ๆ แบบนี้

ได้ของที่ต้องการมาแล้ว พวกเราก็เดินกลับไปที่ลานจอดรถ แต่ระหว่างทางก็มีอันต้องชะงักไปอีก ผมเรียกไนล์เอาไว้ เขาก็มองหน้าผมเหมือนไม่ค่อยเข้าใจนัก แม้ว่าจะไม่เปลี่ยนสีหน้าไปก็ตามที แต่ผมก็รู้สึกได้

“แวะร้านนี้ก่อน”

ผมเห็นร้านแพนเค้กระหว่างเราเดินไปทางลานจอดรถด้วยกัน เป็นร้านเล็กๆ ที่มีคนนั่งเกือบเต็มทุกโต๊ะ และรูปภาพของขนมภายในร้านก็ค่อนข้างล่อลวงให้ผมสนใจ เพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้กินขนมหวานหรือพวกเบเกอร์รี่

จะว่าผมชอบของแบบนี้ก็ไม่เชิงนัก มีกินบ้างครับ ส่วนมากก็มากับไฮยีน นานๆ ครั้งมากินด้วยกันสี่คนกับพวกที่เหลือ แต่ที่บ่อยที่สุดก็คงเป็นคนที่ผมสูญเสียไปตลอดกาล ผมอาจจะติดรสหวานๆ มาจากเธอก็ได้ เพราะเราจะกินด้วยกันอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

“นายไม่ชอบกินเหรอ”

เขาหยุดมองหน้าผมไปชั่วครู่ จนทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเขาอาจจะไม่ชอบขนมอะไรแบบนี้ก็ได้ แต่ไนล์ก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วบอกผม

“เดินเข้าไปสิ”

ร้านเป็นแบบเปิดโล่ง ไม่ได้มีการตีกรอบกั้นประตูอย่างชัดเจน ผมจึงเดินเข้าไปนั่งยังโต๊ะที่ว่างอยู่ ขณะที่ไนล์เดินตามเข้ามานั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกัน ผมสังเกตได้ว่าแค่เดินเข้ามานั่ง เราก็ตกเป็นเป้าสายตาของคนในร้านแล้ว ทั้งผู้หญิงกลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่โต๊ะยาวริมในสุด และโต๊ะอื่นๆ แม้แต่โต๊ะที่ผู้ชายสองสามคนนั่งอยู่ด้วยกัน

มันไม่น่าแปลกไม่ใช่เหรอครับที่ผมจะมานั่งกินขนมกับไนล์ ในเมื่อพวกเขาก็มาเหมือนกัน แต่กลับถูกจับจ้องราวกับเป็นเรื่องแปลกประหลาด

นั่งลงเพียงครู่เดียว พนักงานก็นำเมนูมามอบให้ผมกับไนล์ก่อนจะเดินออกไป เพราะลูกค้าจะต้องไปสั่งขนมที่เคาน์เตอร์เอง เราต่างดูเมนูกันคนละเล่ม ถึงกระนั้นผมก็อดมองไนล์อย่างสนใจไม่ได้ว่าเขาจะเลือกเมนูไหน เพราะสำหรับผม ผมเลือกเมนูเอาไว้ในใจตั้งแต่มองเห็นรูปภาพโปรโมตของร้านแล้ว ผมอยากรู้ว่าเขาจะคิดเหมือนกันหรือเปล่า เขาจะรู้ใจผมเหมือนอย่างที่เขาเคยคาดการณ์เรื่องอาหารที่ผมชอบถูกไหม

เหมือนไนล์จะรู้สึกตัวว่าถูกผมมองอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นจากเมนูและสบตาผมชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะถามด้วยเสียงที่ไม่ดังนักด้วยคำถามที่ผมไม่คิดว่าเขาจะถาม

“จะกินด้วยกันหรือแยก”

ไม่รู้ทำไม แต่พอได้ยินคำถามนี้แล้วผมถึงหลุดยิ้มออกมา มันเป็นไปเองโดยที่ไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำว่าผมควรจะยิ้มหรือเปล่า แต่ผมก็ยิ้มไปแล้ว ผมเท้าแขนกับโต๊ะพลางชันคางกับมือข้างนั้น มองไนล์แล้วถามกลับ

“นายอยากกินกับฉันหรือว่าอยากกินแยกกันล่ะ”

ไนล์ไม่ตอบผม  แต่วางเมนูลง ก่อนจะลุกจากโต๊ะและตรงไปที่เคาน์เตอร์ ไม่มีการสอบถามว่าผมต้องการเมนูไหน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเดาได้ว่าคำตอบของคำถามเมื่อครู่นี้คืออะไร และมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ในใจนิดหน่อยที่เขาตัดสินใจแบบนี้ เพราะมันเหมือนกับว่าเขาก็อยากจะทำอะไรร่วมกับผมเหมือนกัน

จากนั้นไนล์ก็เดินกลับมาที่โต๊ะอีกรอบหลังจากสั่งขนมเรียบร้อยแล้ว พอเขานั่งลงที่เก้าอี้เหมือนเดิมผมก็แบมือขอใบเสร็จที่เขาได้รับมาหลังจากจ่ายเงิน ซึ่งเขาก็ยื่นให้ผมดูราวกับรู้ว่าผมต้องการอะไร ทั้งที่ผมไม่ได้บอก

ความจริงแล้วที่ผมขอใบเสร็จก็เพื่อจะดูราคาของขนมที่เขาสั่งไป จะได้จ่ายเงินให้กับเขาครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นรายการขนม ก็ทำให้ผมลืมเรื่องเงินไปชั่วครู่แล้วเงยหน้าถามเขาด้วยความตื่นเต้นอยู่นิดๆ

เขารู้ใจผมอีกแล้ว

“ทำไมถึงสั่งเมนูนี้”

“นายอยากกินอันนี้ไม่ใช่หรือไง”

เขาตอบกลับมาเสียงเรียบราวกับไม่มีอะไรน่าตกใจหรือน่าประหลาดใจแม้แต่น้อย ทั้งที่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น จะมีใครที่รู้จักกันไม่ถึงสามเดือนแต่กลับรู้ว่าเราชอบอะไร อยากกินอะไร หรือแม้แต่คิดอะไรอยู่ มันทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าเขารู้ได้ยังไง

“นายรู้ได้ยังไง”

“นายไม่ชอบกินของที่หวานมากเกินไป แล้วนายก็ชอบช็อกโกแลต มันก็เหมาะสุดแล้วนี่”

คำตอบของเขายิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้นอีก ผมไม่เคยบอกเขาด้วยซ้ำว่าผมชอบรสชาติแบบไหน หรือผมชอบกินอะไร แต่เขากลับรู้ มันทำให้ก้อนเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ในอกของผมทำงานหนักขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ผมรู้สึกได้เลยว่าหัวใจกำลังเต้นแรงและเร็วขึ้นด้วยความตะลึง

“นายรู้ได้ยังไง”

ผมอดถามคำถามเดิมไม่ได้ แต่ก็ถูกเลี่ยงด้วยประโยคอื่นที่ทำให้ผมต้องชะงักความคิดไปชั่วครู่

“นายเห็นเมนูนี้ถึงได้ชวนฉันเข้ามากินที่ร้านนี้ไม่ใช่เหรอ”

ทั้งที่ผมคิดว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย แค่มองไปเรื่อยเปื่อย แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าผมมองอะไร สนใจอะไร และมันทำให้ผมเผลอคิดไปไม่ได้ว่าเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจอะไรเลย ทำตัวเหมือนไม่มีชีวิต แม้ว่าจะอยู่ข้างๆ ผม แต่เขากลับสังเกตผมอยู่ตลอดเวลา... มันทำให้ผมดีใจจนเกือบจะหลุดยิ้มออกมาอีกรอบ

ผมต้องกล้ำกลืนความรู้สึกนั้นเอาไว้ ไม่ให้แสดงออกมามากเกินไป เพราะหลายต่อหลายครั้งที่ผมเผลอแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาชัดเจนเกินไปจนดูเหมือนคนโง่ที่ไร้การควบคุมเมื่ออยู่ต่อหน้าไนล์ ผมอยากจะเก็บอาการของตัวเองที่สนใจเขาจนสะบัดออกไปจากความคิดของตัวเองไม่ได้เอาไว้เสียบ้าง และอยากให้เขาแสดงความรู้สึกของเขาที่มีต่อผมออกมาให้มากกว่านี้แทน

“นายคอยมองฉันอยู่ตลอดเหรอ ถึงได้รู้”

แกล้งย้อนถามกลับไปบ้าง ในใจก็อยากรู้ว่าเป็นอย่างที่คิดจริงหรือเปล่า ทว่าคำถามนี้ก็เหมือนจะแทงใจของไนล์อยู่บ้าง ผมเห็นว่าเขาเบิกตาขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย ถึงจะเหมือนว่าสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปก็ตาม แต่ผมก็จับความผิดปกตินั้นได้

ผมจ้องหน้าเขามากขึ้น และเหมือนไนล์จะเริ่มไขว้เขวไปเล็กน้อยเมื่อถูกผมจ้องตา เขาถึงได้กลอกตาหนีไปด้านข้างหน่อยๆ ไม่ให้ดูเหมือนว่าเขากำลังเลี่ยงผมอย่างโจ่งแจ้ง แม้ว่าเขาจะแสดงท่าทีนิ่งเฉยราวกับไม่สะทกสะท้าน แต่ว่าผมจับเขาได้แล้ว ผมจึงโจมตีเขาต่อไปโดยการยื่นหน้าและจ้องเขาให้มากขึ้นอีก

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเสียงของไนล์หลุดออกมา แล้วพนักงานก็นำขนมมาเสิร์ฟพอดี ผมจึงต้องผละห่างจากเขาและมองแพนเค้กสีน้ำตาลเข้มหน้าตาน่ากินซึ่งเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลา วิปปิ้งครีม และสตรอเบอร์รี่แทน น้ำในแก้วที่นำมาเสิร์ฟพร้อมกันมีสีใสด้านบน ขณะที่ด้านล่างเป็นสีฟ้าสวย ยิ่งกระตุ้นให้เมนูที่ไนล์สั่งมายิ่งน่ากินมากขึ้น

“ฉันสั่งน้ำตามใจตัวเอง นายคงกินได้ใช่ไหม”

“ยังไงก็ได้อยู่แล้ว”

เหมือนถูกช่วยชีวิตเอาไว้ให้รอดพ้นจากสถานการณ์เมื่อครู่ ไนล์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ทำให้ผมพลาดโอกาสที่จะเล่นงานเขา แต่ก็ไม่ได้แย่นักหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ผมรู้ว่าไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่เปลี่ยนไป แต่ไนล์ก็มีปฏิกิริยาอะไรกับผมบ้างแล้ว ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกดีอยู่ในใจ ก่อนผมจะนึกได้ หยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายค่าขนมครึ่งหนึ่งและยื่นให้ไนล์ แต่ว่าเขาไม่รับ

“นายจ่ายค่าข้าวแล้ว ค่าขนมนี่เดี๋ยวฉันจ่ายเอง”

ในเมื่อเขาออกปาก ผมจึงไม่อยากขัดเขาเพื่อให้เราต้องโต้เถียงกัน เพราะตอนที่ผมออกตัวว่าจ่ายค่าข้าวให้ ผมก็ต้องหาเหตุผลหลายอย่างมาเกลี้ยกล่อมเขาให้ยอม ผมเก็บกระเป๋าเงินกลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเปลี่ยนมาจับมีดและส้อมเพื่อตัดแพนเค้กช็อกโกแลตเป็นชิ้นพอดีคำ พลางปาดไอศกรีมสีอ่อนและวิปครีมมาโปะลงบนแผ่นแป้งนั้นก่อนจะส่งเข้าปาก

รสชาติที่สัมผัสได้ทำให้ผมยิ้มเบาๆ เพราะมันถูกปากผมไม่น้อย ผมจึงตัดอีกชิ้นหนึ่งก่อนจะนำเข้าปากอย่างพอใจและคิดว่าไนล์ก็คงไม่ต่างกัน ผมชำเลืองมองเขานิดๆ ก็เห็นว่าเขาอมยิ้มน้อยๆ เมื่อเคี้ยวขนมที่ไม่ได้มีรสชาติหวานจนเกินไปอยู่ในปาก

เรานั่งกินขนมบนจานใบใหญ่นั้นจนหมดในช่วงเวลาอันรวดเร็ว ก่อนไนล์จะยกแก้วน้ำขึ้นมาดูดหลังจากผสมให้ชั้นสีทั้งสองเข้าด้วยกันมาพักหนึ่งแล้ว ก่อนจะยื่นแก้วให้กับผม ผมก็รับมันมาดูดต่อจากเขา พลางมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามไปด้วย จากนั้นผมก็วางแก้วที่ยังมีน้ำสีฟ้าหลงเหลืออยู่ลงบนโต๊ะ

มือของผมยื่นออกไปแตะที่มุมปากของไนล์เบาๆ แล้วปาดคาบสีน้ำตาลเข้มออก ช็อกโกแลตที่ถูกราดบนแพนเค้กเลอะอยู่ตรงนั้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัว ทว่าการกระทำของผมดูเหมือนจะทำให้ไนล์ตกใจหน่อยๆ เขาตะลึงไปนิด เพราะคาดไม่ถึงว่าผมจะทำแบบนี้แทนที่จะบอกเขา ผมเองก็ไม่ได้นึกเอะใจกับการกระทำของตัวเอง

ร่างกายของผมขยับไปเองตามสันชาตญาณ เพราะผมก็เคยทำกับไฮยีนอยู่หลายครั้งเวลาเห็นมันกินแล้วปากเลอะ ซึ่งผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ เป็นเรื่องธรรมดาระหว่างผมกับยีน ทว่าในเวลาผมกลับรู้สึกตัวแล้วว่ามันผิดจากที่เคยรู้สึก

จากตอนแรกที่ไม่ได้คิดอะไร แต่เมื่อเห็นว่าไนล์แสดงอาการออกมา แม้จะเพียงเล็กน้อยจนแทบไม่รู้สึกก็ตาม มันก็พานทำให้ผมรู้สึกว่าผมไม่ควรจะทำอะไรแบบนี้กับคนอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนสนิทอย่างไอ้ยีน หรือไอ้กัสกับไอ้เคลม แต่ผมก็ทำไปแล้ว มิหนำซ้ำยังไม่คิดว่ามันแย่เสียอีกที่เผลอทำอะไรแบบนี้กับไนล์

ผมมองคราบช็อกโกแลตบนนิ้วของตัวเองที่เปื้อนอยู่นิดหน่อยพลางมองหน้าไนล์อีกรอบ เขาก็มองหน้าผมเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อ ผมจึงเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปหาเขาอีกครั้ง และเช็ดที่มุมปากให้อีกรอบหนึ่งพลางยิ้มให้บางๆ

“ปากนายเลอะ ช็อกโกแลต”

ดั่งจะช่วยให้สติของไนล์คืนกลับมา เขากะพริบตาเบาๆ สองครั้งก่อนจะหยิบทิชชูที่ทางร้านให้มาเช็ดที่มุมปากของตัวเอง ราวกับกลัวว่าผมจะเผลอไปแตะต้องเขาเป็นรอบที่สาม ซึ่งมันก็ทำให้ผมยิ้มได้อีกรอบ ก่อนจะหยิบทิชชูอีกแผ่นมาเช็ดมือที่เปื้อน แล้วหยิบแก้วน้ำใบเดิมยื่นไปทางไนล์ที่เช็ดปากเสร็จแล้ว

“ดื่มน้ำอีกไหม”

“ไม่แล้ว นายกินไปเถอะ”

เขาว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ปฏิเสธ ดูดน้ำในแก้วจนหมดและวางแก้วลง เราเตรียมออกจากร้านกันเพื่อจะได้กลับ เพราะตอนนี้ก็สามทุ่มแล้ว ทว่าก่อนจะได้ลุกจากเก้าอี้เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังเสียก่อน พวกเราจึงชะงักกันทั้งคู่ ผมมองหน้าไนล์เล็กน้อยคล้ายกับส่งสัญญาณบอกเขาทางแววตาว่าขอรับโทรศัพท์ก่อน แล้วจึงค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แต่เมื่อหยิบมันออกมาดูชื่อคนที่โทรเข้ามาแล้วผมก็ต้องนิ่งค้างไปชั่วครู่ ชื่อที่ปรากฏอยู่เป็นชื่อที่ผมไม่เคยคิด

“ครับ... พี่ดาหลา”

ผมเคยแลกเบอร์กับพี่ดาหลาและพี่มะเหมี่ยวมาก่อนหน้านี้ แต่เราทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่เคยโทรศัพท์หากันสักครั้ง แม้ว่าผมจะส่งข้อความไปหาพี่เขาบ้างและเขาตอบกลับมาบ้าง ทว่าส่วนมากก็เป็นผมที่เริ่มก่อนทั้งนั้น มันจึงทำให้ผมแปลกใจ

ผมเหลือบมองไนล์เล็กน้อยหลังจากกรอกเสียงลงไปโดยมีชื่อของคนที่อยู่อีกฟากของโทรศัพท์ อยากรู้ว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร แต่ไนล์ก็ยังคงนิ่ง ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้นิ่งอย่างที่แสดงออกมา อาจจะเป็นการคิดเข้าข้างตัวเองของผมก็ได้ที่รู้สึกว่าเขาสนใจบทสนทนาระหว่างผมกับพี่ดาหลา แต่ก็แน่ล่ะ ในเมื่อเขาเป็นคนพูดออกมาจากปากเองว่าเขาไม่อยากให้ผมใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนี้

[กราฟ ขอโทษนะที่พี่โทรมารบกวน คือ... พี่จะถามว่า พรุ่งนี้เราเจอกันได้ไหม]

“พรุ่งนี้เหรอครับ”

ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าประหลาดใจมากๆ สำหรับผม ที่อยู่ๆ พี่ดาหลาก็นึกอยากเจอผมขึ้นมา ถึงขนาดว่าโทรศัพท์มาถามกันแบบนี้ มิหนำซ้ำเสียงของเธอก็ดูจะกล้าๆ กลัวๆ เหมือนวิตกกังวลหน่อยๆ ว่าผมจะปฏิเสธหรือเปล่า

พอได้ยินแบบนี้ ใครจะอยากปฏิเสธจริงไหมครับ ยิ่งสำหรับผมที่อยากจะใกล้ชิดกับเธอมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว มันก็ยากจะหักหาญน้ำใจเธอ ผมจึงตอบตกลงด้วยความรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยที่ได้รู้ว่าพรุ่งนี้เราจะได้เจอกัน ทว่าความรู้สึกเหล่านั้นของผมก็มลายไปทันควันเมื่อเสียงโทรศัพท์ของไนล์ดังขึ้นบ้าง

ผมละความสนใจจากเสียงที่กรอกผ่านหูโทรศัพท์ซึ่งแนบอยู่กับหูของผมเองทันที แล้วจับจ้องคนตรงหน้าที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย หูของผมแทนที่จะฟังเสียงที่อยู่ใกล้และได้ยินชัดที่สุดกลับกลายเป็นรับเอาแต่เสียงซึ่งอยู่ห่างออกไป พยายามจับใจความและขบคิดว่าปลายสายที่ผมไม่ได้ยินกำลังพูดเรื่องอะไร

“พี่เมย์เหรอครับ”

เพียงแค่ประโยคแรกที่หลุดมาจากปากของไนล์ก็ทำให้ผมมุ่นคิ้วเข้าหากันได้แล้ว ชื่อผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับคนก่อนๆ กระตุ้นความสงสัยของผมได้เป็นอย่างดี

“พรุ่งนี้? วันอื่นไม่ได้เหรอครับ”

ผมเกือบดีใจอยู่แล้วที่ไนล์เหมือนจะปฏิเสธคำชวนของอีกฝ่าย ถึงผมจะไม่รู้ก็ตามว่าคนในโทรศัพท์ของไนล์พูดว่าอย่างไรแต่น่าจะเป็นอย่างนั้น อดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าไนล์อยากจะไปขัดขวางผมกับพี่ดาหลามากกว่าจะออกไปกับผู้หญิงคนไหน แต่แล้วมันก็เป็นแค่การ ‘เกือบ’ เท่านั้น

“เหรอครับ งั้นก็ได้ครับ”

“...”

แล้วมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ในใจกับคำพูดสุดท้าย เหมือนมีอะไรจี๊ดๆ อยู่ในหัวใจของผมหลังจากได้ยินมัน

“ครับ ผมก็คิดถึงพี่ เจอกันพรุ่งนี้นะครับ”

ไนล์วางสายไปแล้ว เขาหันกลับมามองหน้าของผมนิดหน่อย พลอยให้ผมรู้สึกตัว ผมดึงสติกลับมาหาคู่สนทนาของตัวเอง แต่ก็เพิ่งรู้ว่าพี่ดาหลาวางสายไปแล้วเช่นกัน ผมไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าเธอบอกสถานที่นัดพบของเราว่าเป็นที่ไหน ผมจึงเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกงเช่นเดิม ก่อนจะนั่งเงียบอยู่ชั่วครู่พลางมองไปทางอื่น

จากตอนแรกที่ว่าจะเดินออกจากร้าน เราทั้งสองคนก็ยังคงนั่งอยู่เฉยๆ แบบนั้น ผมตรึกตรองอยู่ในใจว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ดี อยากรู้ว่าเขามีนัดกับใคร ไปที่ไหน เพราะอะไร แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะถามแบบไหน หรือควรจะถามหรือเปล่าด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าผมมีสิทธิ์อะไรที่จะทำแบบนั้น ทว่าสุดท้ายแล้วผมก็ยอมเกริ่นเสียงออกมา อย่างน้อยก็คิดว่าสถานการณ์มันน่าจะดีกว่านี้มั้ง

“พรุ่งนี้... มีนัดเหรอ”

ผมเบี่ยงหน้ากลับมาถามไนล์ เขาเองก็มองหน้าผมเช่นกัน เราสบตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเสียงของไนล์จะตอบกลับมาสั้นๆ ‘อืม’ ไม่ดัง คล้ายกับเขาครางเสียงในลำคอมากกว่าจะตอบผมอย่างชัดถ้อยชัดคำ ซึ่งมันก็ทำให้ผมเริ่มหลุดออกจากความยั้งคิด

“แต่พรุ่งนี้ฉันนัดกับพี่ดาหลา”

หลุดเสียงไปแล้วผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองโง่งี่เง่าเหลือเกิน ผมชะงักมองหน้าไนล์ค้างอยู่อย่างนั้นเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก ไนล์ก็ยังมองผมกลับมาคล้ายกับจะถามว่า ‘แล้วยังไง’ พานให้ผมยิ่งอยากจะทึ้งหัวตัวเอง ที่คิดจะเอาชื่อของพี่ดาหลามาเหนี่ยวรั้งให้เขาเปลี่ยนใจ มาก่อกวนผมกับพี่ดาหลาแทนที่จะออกไปกับใครก็ไม่รู้

ความเงียบเข้ามาปกคลุมจนผมรู้สึกว่าบรรยากาศมันอึมครึมขึ้นมา เพราะการพลั้งเผลอทำอะไรโดยไร้สติของตัวเอง ทั้งที่ปกติแล้วผมไม่เคยเป็น ผมโดนไนล์ปั่นหัวจนไม่เป็นตัวเองอีกครั้งอย่างง่ายดายจนรู้สึกว่าผมช่างไม่เอาไหน ผมจึงตัดสินใจลุกจากเก้าอี้และเดินออกจากร้านมา ซึ่งไนล์ก็ลุกและเดินตามผมมาที่รถ

แม้จะขึ้นรถมาแล้ว ระหว่างเราก็ยังเต็มไปด้วยความเงียบ กระทั่งผมขับรถออกจากบริเวณของห้างสรรพสินค้าแล้ว เสียงของไนล์จึงดังขึ้นเบาๆ ในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมา เพราะผมคิดว่าเราจะต้องทนอึดอัดกับบรรยากาศแบบนี้ไปจนถึงแมนชั่นของเขา

“วันนี้ฉันจะค้างกับนาย”

ผมชะงักรถเล็กน้อยอย่างอัตโนมัติเพราะตั้งสติไม่ทัน ก่อนจะหันมองหน้าเขาราวกับจะถามหรือต้องการหาคำตอบจากคำพูดเมื่อครู่ของเขาก็ไม่แน่ใจ สบมองนัยน์ตาที่สะท้อนภาพของผมอยู่โดยไม่มีแววใดๆ เป็นพิเศษนอกจากการยืนยันคำพูดของเขาเอง ซึ่งมันก็ทำให้เขาผมตีความหมายเข้าข้างตัวเองไปว่าเขาอยากจะอยู่กับผมในคืนนี้

ทั้งที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมจะถือว่านั่นเป็นโอกาสได้หรือเปล่า

ผมคาดหวัง...

จุดหมายปลายทางในใจของผมเปลี่ยนแปลงจากคราวแรกที่เคลื่อนรถออกมาจากอาคารใหญ่ ผมเปลี่ยนทิศทางไปยังคอนโดของผมแทนตามที่ไนล์บอกโดยไม่คิดปฏิเสธ จอดรถที่ชั้นจอดรถประจำก่อนจะเข้าห้องของผมไป ผมให้ไนล์เข้าไปอาบน้ำก่อนเหมือนเคย และใส่เสื้อผ้าของผมที่ผมเตรียมไว้ให้

เราต่างทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีโทรศัพท์สายเมื่อครู่เข้ามาก่อกวนให้ต้องระคายใจ ทั้งที่ในใจของผมเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อนึกถึงมัน ผมเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและกลับมาทอดสายตามองคนที่นั่งอยู่บนเตียงอีกครั้ง ไนล์นั่งอยู่เฉยๆ ทอดสายตาไปเรื่อยเปื่อยเหมือนทุกทีจนผมรู้สึกข้องใจว่าเขาทนใช้ชีวิตแบบนี้ได้ยังไง

ถึงผมจะไม่ใช่คนขี้เบื่อเหมือนเพื่อนๆ ในกลุ่ม ที่ชอบออกไปเที่ยวเล่นหรือควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้า แต่ผมก็ไม่คิดว่าผมจะทนได้หากต้องนั่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย แค่หายใจทิ้งไปเรื่อยๆ รอให้เวลาเดินไปมันเป็นเรื่องยากสำหรับผม แต่กลับเป็นเรื่องง่ายสำหรับไนล์

“จะนอนเลยหรือเปล่า”

นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มแล้ว ถึงมันจะน่าเสียดายที่เขามานอนที่ห้องของผมแล้วแทนที่ผมจะได้ทำอะไรเป็นพิเศษร่วมกับเขาอย่างที่คาดหวังเอาไว้ในใจว่าอาจจะทำให้ไนล์เปลี่ยนใจ ไม่ออกไปกับผู้หญิงที่ชื่อเมย์ แล้วไปกับผมในวันพรุ่งนี้แทน หรืออย่างน้อยๆ ก็ห้ามปรามไม่ให้ผมไปกับพี่ดาหลา ทว่าผมก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรให้เขาเปลี่ยนความตั้งใจนั้น

ไนล์เป็นคนที่คาดเดาได้ยากเกินไป

“อืม”

เขาตอบผมแค่นั้นก่อนล้มตัวลงนอนราวกับไม่สนใจว่าผมจะรู้สึกอย่างไร ความคิดเข้าข้างตัวเองและความหวังของผมพังทลายหลังจากได้ยินแบบนั้น มันเหมือนกับว่าเขาก็แค่จะมาค้างที่นี่ ไม่มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษแม้แต่น้อย เป็นผมเองที่คิดไปเองคนเดียว

ผมเดินไปปิดไฟที่ประตูห้องก่อนจะเดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง หย่อนตัวลงช้าๆ พลางถอนหายใจออกมาให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าผมผิดหวัง และผมก็คิดไม่ออกเช่นกันว่าควรจะพูดอะไรมากเกินไปกว่านี้ในเมื่อเขาไม่มีท่าทียี่หระกับผมเลย ผมได้แต่นอนลืมตามองเพดานห้องที่ว่างเปล่าฝ่าความมืดที่ค่อยๆ ชินตาทีละน้อย

ทว่าแรงยวบจากที่นอนก็ทำให้ผมที่จมอยู่กับความคิดของตัวเองต้องเบี่ยงหน้ามาทางด้านข้างซึ่งมีใครอีกคนอยู่ด้วยเล็กน้อย ระยะห่างระหว่างผมกับไนล์ที่กว้างหนึ่งช่วงแขนหดสั้นลงเพราะการขยับตัวของเขา ผมเห็นกรอบเงานั้นค่อยๆ ขยับเข้ามาใกล้ทีละนิดท่ามกลางความเงียบ

ช่องว่างที่กั้นเราสองคนเอาไว้หดเล็กลงทุกที ในตอนนี้เหลือเพียงแค่คืบสั้นๆ ที่ขวางผมกับไนล์ ถึงกระนั้นผมก็ยังไม่เคลื่อนไหวใดๆ นอกเหนือจากละมือที่วางอยู่บนหน้าท้องของตนเองลงไปวางข้างตัว และเหมือนเขาจะรู้ เพราะหลังจากผมทำแบบนั้น ไนล์ก็วางมือของเขาลงข้างๆ ผม

ผมรู้สึกว่ามือของเราสองคนอยู่ห่างกันเพียงไม่ถึงนิ้ว เรายังคงนิ่งเฉยต่อกันหลังจากนั้น ผมนอนมองความมืดเบื้องหน้า ไม่กล้าหันไปมองเขาเพื่อหาคำตอบให้ตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังหันมามองทางผม หรือมองเพดานอย่างไร้อารมณ์ และผมก็ไม่กล้าคาดหวังให้เป็นอย่างแรก ผมกลัวว่าผมจะเผลอคิดอะไรไปเองทั้งที่เขาอาจจะแค่อยากจะหาตำแหน่งที่นอนแล้วสบายตัวที่สุด

ความเงียบงันยังแผ่ปกคลุมให้ผมเริ่มอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ ลมหายใจผ่อนออกมาจากจมูกของผมค่อนข้างยากลำบากมากขึ้นทุกที ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความอยากรู้ไม่เข้าใครออกใคร แต่ผมก็พยายามกดเก็บมันเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ผมไม่สามารถข่มตาหลับได้ในขณะที่ในหัวของผมยังเต็มไปด้วยความอยากรู้ ผมจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางตัดสินใจว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง อย่างน้อยก็เพื่อให้ผมได้คำตอบไม่ว่ามันจะเป็นคำตอบอย่างที่ผมต้องการหรือไม่

มือของผมเลื่อนช้าๆ คืบคลานเข้าหาส่วนเดียวกันของอีกคนอย่างระมัดระวัง แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ผมก็อาศัยความรู้สึกที่รับรู้ได้ ค่อยๆ เขยื้อนเข้าหาจนกระทั่งมันไปวางทับอยู่บนมือของไนล์ได้ ทว่าเพียงแตะเบาๆ ที่มือนั้นผมก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวน้อยๆ

ไนล์ขยับมือของเขาเช่นกัน ก่อนจะพลิกมันกลับมาเป็นด้านที่สามารถรองรับมือของผมได้มากกว่า คล้ายกับเขาก็รอให้ผมจับมือของเขาเอาไว้ ผมจึงบิดมือเล็กน้อยและวางมันลงในตำแหน่งที่เหมาะเจาะกว่าเดิม ค่อยๆ ประสานมือของเราเข้าด้วยกัน โดยที่ไนล์ก็กระชับมือของเราให้กุมกันแนบแน่นกว่าเดิม

วินาทีนั้นผมรู้สึกว่าหัวใจของผมเต้นแรง... และเผลอคิดไปว่าเขาก็รอคอยผมอยู่ใช่ไหม

เขาคิดเหมือนกับผมอยู่ใช่หรือเปล่า?

ช่วยไม่ได้ที่ในเวลานี้ผมอยากจะหันกลับไปมองหน้าของเขาว่ากำลังเป็นแบบไหน ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าคงไม่มีสีหน้าอะไรให้ผมได้ยืนยันว่าเขาก็รู้สึกเหมือนกันว่าเขาไม่อยากให้ผมไปกับพี่ดาหลา ทว่าผมก็อดไม่ได้อยู่ดี

ผมเบือนหน้าไปทางไนล์อย่างเชื่องช้าราวกับกลัวว่าเขาจะรู้ตัวอย่างไรอย่างนั้น และทันทีที่สายตาของผมเปลี่ยนจุดโฟกัสใหม่ ก็ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากกว่าเดิม เพราะเมื่อหันไป ผมก็เห็นว่าเขาเบี่ยงหน้ามามองผมอยู่ก่อนแล้ว

เราต่างมองตากันทั้งที่ภายในห้องมืดมิด ทว่าผมกลับมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ขณะที่เขาเองก็คงไม่ต่างกัน ความมืดไม่สามารถบิดเบือนสายตาของเราสองคนในเวลานี้ได้ ผมพยายามส่งสายตาโดยไร้คำพูดใดๆ ว่าความปรารถนาของผมคืออะไร และหากว่าผมไม่เข้าใจผิดไปเอง เขาก็กำลังสื่อสารในสิ่งเดียวกันกับผม

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน ห้องทั้งห้องยังคงเงียบสงัด ไม่มีใครเปล่งเสียงออกมา มีเพียงแววตาที่สะท้อนออกมาถึงความหมายบางอย่างที่ต่างก็รับรู้ได้ เราไม่ละสายตาออกจากกันแม้แต่วินาที ราวกับกลัวว่าหากทำแบบนั้นความพยายามในการสื่อสารโดยไร้คำพูดจะยุติลงอย่างไร้ผล

ทว่าสุดท้ายก็เป็นผมที่พ่ายแพ้ ผมไม่สามารถสบตากับเขาอยู่อย่างนี้ต่อไปได้ ผมอยากให้เขารู้ว่าผมต้องการอะไรได้ชัดเจนมากกว่านี้ แต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะพูดออกมา ทั้งที่ผมไม่ใช่คนปากหนัก แต่เวลานี้ผมกลับรู้สึกว่าผมอยากให้เขารู้ว่าผมรู้สึกอย่างไรโดยไม่ต้องใช้คำพูด อยากให้เขารู้จักการสัมผัสความรู้สึกของผมจริงๆ

ผมขยับตัวเข้าหาไนล์เป็นครั้งแรก ก่อนจะพลิกตัวเข้าหาและดึงเขามากอดเอาไว้ ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้ผลักไสผมแต่อย่างใด เขาอยู่นิ่งๆ ชั่วครู่ก่อนจะวาดแขนขึ้นกอดผมตอบและขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เข้าที่เข้าทางมากกว่าที่เป็นอยู่พลางซบหน้าเข้าหากับอกของผม ผมจึงกระชับร่างผอมบางให้มากขึ้น รับรู้ได้ถึงไออุ่นจากผิวเนื้อและร่างกายของเขา ร่างกายที่มีชีวิต ไม่ได้ซีดจางและอาจจะค่อยๆ อันตรธานหายไปอย่างที่มองเห็นจากภายนอก

มันทำให้ผมรู้สึกอุ่น...









อ่านต่อด้านล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 14-04-2014 18:52:19
ต่อจากข้างบน


v


v





แม้จะเป็นวันหยุด แต่ว่าเราก็ไม่ได้ตื่นสายนัก ผมกับไนล์ตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน มันรู้สึกแปลกๆ นิดหน่อยที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่ามีใครอยู่ในวงแขนและคนคนนั้นไม่ใช่ไฮยีนแต่กลับเป็นอีกคนที่ผมต้องยอมรับกับตัวเองว่าทำให้ผมสับสนว่าผมกำลัง...ชอบเขา

หรือแค่สนใจ?

ไนล์กะพริบตาสองสามครั้งก่อนจะละมือที่กอดผมเอาไว้หลวมๆ จากเมื่อคืนขึ้น ขยี้ตาเบาๆ ชวนให้ผมเผลอยิ้มนิดๆ กับท่าทางแบบนั้น เพราะมันไม่เหมือนกับไนล์ที่ปกติมักจะไม่แยแสกับอะไร และไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมา ในตอนนี้เขาเหมือนคนทั่วๆ ไป และมันก็ทำให้ผมอยากเห็นเขาในลักษณะอื่นๆ อีก

ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังโลภ

กายแบบบางชันตัวขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า สีหน้าที่ดูไร้เดียงสาตอนลืมตาตื่นขึ้นมาแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าเรียบเฉย เขามองผมนิดๆ ขณะที่ผมดันตัวขึ้นนั่งเช่นกัน เสียงติดแหบเล็กน้อยเพราะเพิ่งตื่นนอนดังขึ้นถามผม

“นายจะอาบก่อน หรือให้ฉันอาบก่อน”

“ฉันอาบก่อนแล้วกัน นายทนหิวสักสองชั่วโมงได้ไหม ฉันจะกลับบ้านก่อน”

นึกได้ว่าวันนี้ผมจะไปหาแม่เลยกะว่าจะกลับไปบ้านก่อน แล้วค่อยกลับมาที่คอนโดพร้อมกับอาหารมื้อเช้าที่ค่อนไปทางสายสักหน่อย เพราะผมอยากให้เขาได้กินอาหารดีๆ นอกเหนือจากอาหารจานเดียวที่กินอยู่เป็นประจำบ้าง และคิดว่าเขาน่าจะชอบอาหารจากรสมือของแม่ผม

“ก็...ได้”

ไนล์หันไปมองนาฬิกาบนหัวเตียงเพื่อคำนวณให้แน่ใจว่าสองชั่วโมงที่ผมให้เขารอจะยาวนานแค่ไหน เมื่อเห็นว่ามันไม่เกินเที่ยงก็เอื้อนเสียงตอบกลับมา ผมจึงลุกจากเตียงมาแล้วเข้าไปจัดการกับตัวเองในห้องน้ำ จากนั้นออกมาแต่งตัวที่ด้านนอกอีกครั้ง พลางหันไปบอกไนล์ที่ยังไม่ขยับเขยื้อนกายออกจากเตียงนอนของผม

“นายรออยู่ที่นี่นะ”

“ไว้ใจฉันหรือไง”

เขาถามคำถามที่ผมไม่ทันคิดอีกแล้ว แต่ผมก็ระบายยิ้มนิดๆ กับสิ่งที่เขาถาม เพราะไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยสักครั้ง

“ยกอะไรได้ก็เอาไปเลย”

ผมตอบแบบขำๆ เขาก็มองหน้าผมเหมือนตะลึงหน่อยๆ ถึงใบหน้าจะเรียบเฉยไม่ต่างไปจากเดิม แต่ผมรู้สึกว่าเขากำลังรู้สึกแบบนั้น อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเซนส์ของผมก็ได้ล่ะมั้ง ผมหยิบนาฬิกาข้อมือมาใส่ก่อนจะบอกเขาอีกครั้ง

“ฉันจะรีบกลับมา นายจะได้ไม่ต้องทนหิวนานๆ”

สิ้นเสียงของผมแล้ว ผมก็สาวเท้าออกจากห้องไปโดยเร็วที่สุดตามที่บอกเขาเอาไว้และไม่ลืมหยิบป๊อปคอร์นที่ผมตั้งใจซื้อไปฝากแม่ติดมือไปด้วย ผมมุ่งตรงไปยังบ้านของตัวเองที่นานๆ จะกลับไปที โดยเฉพาะพักนี้ที่ผมแทบไม่ได้กลับเลยเพราะเอาแต่ขลุกอยู่กับไนล์ ดังนั้นพอถึงบ้าน แม่ก็ทำสีหน้าประหลาดใจทันที

“แม่ตาฝาดหรือเปล่าที่เห็นกราฟ”

“แม่ครับ กราฟไม่ได้กลับบ้านนานจนแม่จำหน้ากราฟไม่ได้เลยเหรอครับ”

ผมเข้าไปกอดแม่แน่นๆ ให้สมกับความคิดถึง และเพื่อยืนยันให้แม่แน่ใจด้วยว่าลูกชายกลับมาถึงบ้านแล้วจริงๆ ซึ่งแม่ก็หอมแก้มผมแรงๆ ไปฟอดใหญ่ก่อนจะปล่อยออกมา

“กราฟมีของมาฝากแม่ด้วยครับ ของที่แม่ชอบเลย”

บอกแบบนั้นแล้วผมก็ยื่นของที่ว่านั้นให้กับแม่ ซึ่งก็เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนหน้าของแม่ได้มากกว่าเดิม แม่ดึงหน้าของผมเข้าไปหอมแรงๆ อีกครั้งอย่างดีใจ แล้วจึงยอมปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ ผมหุบยิ้มไม่ได้ที่ได้รับความรักจากแม่มากขนาดนี้ แต่ก็ไม่ลืมจุดประสงค์ของตัวเอง

“วันนี้มีอะไรเหลือให้กราฟกินบ้างไหมครับ”

เพียงเท่านั้น ผมก็ถูกตีที่แขนเบาๆ แม่ทำหน้าน้อยใจใส่พลางถาม ‘นี่กลับมาบ้านเพราะคิดถึงแต่อาหารอย่างเดียวเหรอ’ จนผมต้องยื่นแขนไปกระชับร่างนุ่มนิ่ม ให้แม่หายงอน

“กราฟก็คิดถึงแม่ด้วยไงครับ ไม่อย่างนั้นจะซื้อของชอบแม่มาฝากเหรอ อย่างอนนะครับ”

“ก็ได้ๆ นี่เห็นแก่ว่ากราฟอ้อนแม่นะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีอะไรให้กินแล้วล่ะ กราฟมาเสียสายเลย แถมยังไม่โทรมาบอกแม่ก่อนด้วยว่าจะเข้ามาบ้านวันนี้”

“ถ้าอย่างนั้น...” ผมหยุดเสียงลงนิดนึง เพราะรู้ว่าเป็นการรบกวนแม่ แต่เมื่อนึกถึงคนที่กำลังรออยู่ที่คอนโดแล้ว ผมก็จำต้องพูดออกมา “แม่ช่วยกราฟทำอาหารง่ายๆ สักสองสามอย่างสำหรับสองคนได้ไหมครับ”

ทว่าคำขอนั้นดูเหมือนจะผิดปกติเกินไปสำหรับผม แม่จึงหรี่ตามองผมราวกับจะจับผิด และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเก้อกระดากอยู่สักหน่อยจนต้องกลอกตาหนีสายตาของคนที่ผ่านโลกมามากกว่า พลางต่อประโยคของตัวเองเบาๆ ประหนึ่งคนทำผิด

“กราฟจะเอาไปกินกับเพื่อนที่คอนโดน่ะครับ”

“เพื่อน...”

แม่ย้อนเสียงคล้ายกับจะถาม เพราะคงรู้ว่าผมไม่ได้หมายถึงไอ้ยีน หรือไอ้กัส ไอ้เคลมอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นผมคงพามากินที่บ้านแล้ว ผมจึงไม่กล้าเผชิญหน้าแม่ ทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ แต่ผมกลับคิดว่าหลบเลี่ยงน่าจะดีกว่า

“ครับ”

“คนนี้คงสำคัญมากใช่ไหม กราฟถึงได้อยากเอาอาหารของแม่กลับไปกินกับเขา”

แม้จะได้ยินแต่เสียง ไม่ได้หันไปเผชิญหน้า แต่ผมก็รู้ว่าแม่กำลังยิ้ม ซึ่งมันก็ทำให้ผมปิดบังต่อไปไม่ค่อยได้ เพราะรู้แล้วว่าแม่จับได้ จึงต้องสารภาพไปตามตรง

“ก็... กำลังสนใจมากกว่าคนอื่น......”

ผมหันกลับมาสบตากับแม่และพูดอย่างไม่เต็มเสียงนัก เพราะยังไม่ชัดเจนถึงความรู้สึกของตัวเอง แต่ก็ไม่คิดจะโกหกหรือปิดบังว่าตนเองรู้สึกอย่างไร แต่แม่ก็เข้าใจและระบายยิ้มให้ผมเหมือนท่านจะยินดีด้วยซ้ำที่ผมมีความรู้สึกแบบนี้อีกครั้ง เพราะนับตั้งแต่เสียมิ้นไป ผมไม่เคยมีความรู้สึกพิเศษให้กับใคร และไม่เคยมีใครสำคัญสำหรับผมอีก นอกจากเพื่อนๆ ทั้งสามคนของผม

“ถ้าสรุปได้แล้วว่าเขาพิเศษกับกราฟจริงๆ ก็พามาที่บ้านบ้างนะ แม่อยากเจอคนที่ทำให้กราฟมีความสุขอีกครั้ง”

แม้จะเป็นคำพูดที่ไม่พิเศษอะไร แต่ก็ทำให้ผมซาบซึ้งจนรู้สึกว่าตาชื้นขึ้นมาเล็กน้อย รับรู้ได้ถึงความปรารถนาดีที่แม่มีต่อผม และอยากให้ผมได้หลุดพ้นจากบาดแผลในอดีตเสียที 







================
เหมือนจะผูกพันกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ตอนหน้าน่าจะมีอะไรที่ให้ติดตามมากขึ้นนะคะ

สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะ



Undel2Sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า [14/4/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 15-04-2014 00:05:14
ชอบคู่นี้จังเลย  o13
อยากให้เป็นแฟนกันแล้วววว 55555
สู้ๆนะคร้าบบ ติดตามจ้า :mew1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า [14/4/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Nus@nT@R@ ที่ 15-04-2014 14:42:11
อืม....ค่อยๆเรียนรู้กันไปเนอะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า
เริ่มหัวข้อโดย: Lily teddy ที่ 15-04-2014 17:19:59
อ่านแล้วลุ้นตามเลย เพราะไม่รู้ว่ากราฟคิดแบบนี้แต่ไนล์คิดอะไร
แล้วส่วนใหญ่ก็จะคาดเดาสิ่งที่ไนล์แสดงออกมาไม่ถูกซักที ว่าทำไม ยังไง
เลยกลัวว่ากราฟจะเป็นฝ่ายเผยความรู้สึกตัวเองออกไปเยอะเกินรึเปล่า
แต่คราวนี้ไนล์กลับมีปฏิกิริยาตอบรับที่ทำให้ดีใจไปกับกราฟเลยอะ เขิน ตื่นเต้นตามเลยนะเนี่ย
แค่ได้นอนกอดกันก็รู้สึกถึงความผูกพันที่มากขึ้นมาก ๆ  จนแอบกลัวว่าพอกราฟกลับไปไนล์จะหายไปอีกรึเปล่า
เพราะยังมีพี่ดาหลากะพี่เมย์ที่ยังไม่รู้จะมีผลอะไรกะความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นของกราฟและไนล์อะสิ
ถ้ากราฟกะไนล์ต้องแยกกันไปตามนัด คงไม่มีอะไรเลวร้ายหรอกนะ
อยากให้ไนล์กะคุณแม่ของกราฟเจอกันเร็ว ๆ จัง อยากรู้ว่าไนล์จะทำตัวน่ารักยังไงต่อหน้าคุณแม่น๊า
รอติดตาม และบวก บวก เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนต่อไปนะคะ  :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า [14/4/57]
เริ่มหัวข้อโดย: =นีรนาคา= ที่ 16-04-2014 10:52:48
รู้สึกว่าบรรยากาศตอนอยู่ด้วยกันมันดีขึ้นอ่ะ
รู้สึกผ่อนคลาย สบายๆ

พี่ดาหลาต้องการอะไรคะ?
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-06-2014 22:08:07
ตอนที่ 13 : ความจริง












เกรงว่าคนที่รออยู่ต้องหิ้วท้องรอนานจนเกินไป ดังนั้นหลังจากที่แม่ทำอาหารตามคำขอร้องของผมเสร็จ ผมก็ล่ำลาท่านและออกจากบ้านมา ตรงดิ่งไปที่คอนโดให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ก็เกือบเที่ยงเต็มที ผมเข้าห้องและไปยังห้องนั่งเล่นที่คิดว่าไนล์น่าจะอยู่

เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายก็คือคนที่ผมบอกให้รอ นั่งอยู่บนโซฟาและกอดกีตาร์โปร่งที่เคยอยู่ในห้องนอนของผมเอาไว้ ใบหน้าได้รูปสวยแนบลงกับริบ ดวงตาที่เคยมองผมอย่างทะลุปรุโปร่งทั้งที่มีแต่แววเลื่อนลอยถูกปิดด้วยเปลือกตา

ผมเดินเข้าไปหาไนล์อย่างช้าๆ และเบาที่สุด เพราะไม่แน่ใจว่าเขาหลับอยู่หรือแค่พักสายตาเฉยๆ แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้จนเกือบประชิด ยอบตัวลงเล็กน้อย ขยับหน้าเข้าไปใกล้เขาอีกหน่อย ผมก็รู้ว่าไนล์กำลังหลับอยู่ เสียงหายใจของเขาสม่ำเสมอ ดูท่าทางสบายๆ ทำให้ผมอดที่จะเหยียดยิ้มออกมาเบาๆ ไม่ได้กับภาพที่เห็น

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมไนล์จะต้องหอบกีตาร์ของผมออกมาจากห้องนอนและมากอดมันเอาไว้แบบนั้นด้วย เขาอาจจะชอบดีดกีตาร์ก็ได้ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากขอยืมจากผม หรือ... อาจจะเป็นเหตุผลอื่นที่ผมไม่รู้

ยืนมองคนหลับอยู่ครู่ใหญ่พร้อมกับรอยยิ้มจางๆ บนหน้าที่รู้สึกได้ กว่าผมจะคิดว่าถึงเวลาปลุกเขาแล้ว ผมยื่นนิ้วไปลูบสายกีตาร์เบาๆ เพื่อให้เกิดเสียง แต่ก็ระมัดระวังไม่ให้มันดังเกินไปจนอาจจะเกิดอันตรายกับหูของเขาที่แนบอยู่กับริบ ทว่ามันก็ดังเพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่ได้สติอยู่สะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจ

ผมยิ้มกว้างกว่าเดิมจนเกือบหลุดเป็นหัวเราะกับท่าทางของไนล์ที่เบิกตาโพรง หันมองรอบข้างอย่างเลิ่กลั่ก นับเป็นปฏิกิริยาที่ผมคงไม่มีทางได้เห็นง่ายๆ หากอยู่ในเวลาปกติ เพราะไนล์มักจะวางท่านิ่งเฉยและไม่เคยให้อะไรเป็นจุดสนใจมากไปกว่าความเวิ้งว้างว่างเปล่าและรูปภาพที่เขาวาดเท่านั้น

“กินข้าวได้แล้ว”

ปรับสีหน้าให้ขรึมขึ้นเล็กน้อย ทั้งที่ในใจยังรู้สึกขำอยู่หน่อยๆ ผมก็เดินมา ไนล์จึงต้องตามผมมาที่โต๊ะกินข้าวอย่างช่วยไม่ได้ เขาไม่ได้ต่อว่าอะไรผมที่ทำให้เขาต้องหลุดจากมาดที่เคยเป็นอยู่ และกลับมาเป็นไนล์คนเดิมอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นายไปเอาพวกนี้มาเหรอ”

ผมแกะฝากล่องอาหารที่แพ็คมาอย่างดี ก่อนจะวางลงบนโต๊ะตรงกลางระหว่างผมกับไนล์และส่งกล่องข้าวให้เขา แล้วเดินไปหยิบช้อนส้อมมายื่นให้อีกที

“กินแต่พวกอาหารจานเดียวทุกวันๆ มันน่าเบื่อออก แล้วฉันก็แน่ใจว่าอาหารที่ฉันเอามาอร่อยกว่าอาหารตามร้านที่เคยๆ กินมา”

ไม่ได้บอกความคิดจริงๆ ของผมไปหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็ขอให้ผมได้มีมาดของตัวเองบ้าง ไม่ใช่ว่าเปิดเผยความคิดไปหมดทุกอย่าง แม้ว่าจริงๆ แล้วหากตั้งใจค้นหาเหตุผลของผม มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยสำหรับไนล์ ผมรู้ตัวดีว่าแค่เขาจ้องมองผม ผมก็ไม่สามารถเก็บงำความคิดอะไรของตัวเองเอาไว้ได้ต่อหน้าเขา

“มั่นใจขนาดนั้น”

ไนล์มองผมเหมือนหยั่งเชิงมากกว่าจะไม่เชื่อในคำพูดของผม เขาตักอาหารเข้าปากพร้อมกับข้าว ขณะที่ผมจับจ้องไปที่เขาเพื่อรอดูปฏิกิริยา ทว่าเขาคงรู้ว่าผมรอคำตอบของเขา ถึงได้ไม่ยืนยันคำพูดของผม แต่เปลี่ยนเป็นคำถามแทน

“แล้วนายไปเอามาจากไหน”

“ที่บ้าน ฉันขอให้แม่ช่วยทำให้”

คำตอบของผมทำให้ไนล์ชะงักมือที่กำลังจะนำช้อนเข้าปากอีกรอบ และจ้องผมมากยิ่งขึ้น ผมจึงเป็นฝ่ายตักข้าวเข้าปากแทนและเคี้ยวจนหมดปาก แต่ว่าไนล์ก็ยังไม่เปลี่ยนท่าทางไปจากเดิม เขายังถือช้อนค้างไว้แบบนั้น ตาเรียวสีดำนั่นสะท้อนภาพของผมโดยไม่เปลี่ยนเป็นภาพอื่น

“ไว้วันหลังฉันจะพานายไปกินที่บ้าน”

ผมรู้สึกว่าไนล์เบิกตากว้างกว่าเดิมเล็กน้อย เดาได้ว่าเขาคงไม่ค่อยเชื่อหูของตัวเองเท่าไรที่ผมบอกเขาไปแบบนั้น ดวงตาของเขามีแววสั่นไหวเกิดขึ้นหน่อยๆ จนผมสังเกตได้

“ทำไม”

“ฉันแค่...” เสียงของเขาตีบหายไปในลำคออยู่ชั่วครู่ ก่อนจะต้องบีบเสียงออกมาเป็นคำพูดอีกครั้งให้ผมได้ยิน “ไม่คิดว่านายจะ...”

“ฉันจะพานายไปที่บ้าน”

เสียงของเขาเงียบหายไปอีกคราว ผมจึงต่อประโยคนั้นให้ ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้ตอบอะไรออกมา ผมจึงถือเป็นการตอบรับไปโดยปริยายและคิดว่าเขาก็ต้องการให้ผมสรุปความแบบนั้นเช่นกัน ก่อนจะบอกเหตุผลที่ไม่ได้สร้างความกระจ่างให้กับเขาเลย

“ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก”

นอกจากว่าผมอยากพาเขาไปก็เท่านั้น

ก็เหมือนกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่แวะไปบ้านของผมบ้างในบางครั้ง ในตอนนี้ไนล์ก็ถือว่าเป็นเพื่อนคนหนึ่งของผมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นคงไม่แปลกที่ผมจะอยากพาเขาไปที่บ้านสักครั้ง...ก็เท่านั้นเอง

ทว่าไนล์ก็ไม่ได้ถามเพิ่มเติมอะไรนอกจากนั้น เขาเริ่มกินอาหารที่ผมนำมาจากบ้านต่อ ขณะที่ผมลอบมองท่าทีของเขาที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมว่าตอนนี้เขาไม่ได้ทำตัวจืดจางเลื่อนลอยเหมือนอย่างทุกที

ไนล์ที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้กำลังแสดงความรู้สึก...ดีใจ

...หรือเปล่า?

ผมสังเกตไนล์ไปตลอดมื้ออาหาร ขณะที่เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตากับผมเหมือนเคย เหมือนเขากำลังเลี่ยงอย่างไรอย่างนั้น ทำให้ผมมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกว่าผมไม่ได้คิดผิด กระทั่งกินข้าวเสร็จ ผมก็นำกล่องอาหารมาล้าง ซึ่งไนล์ก็เดินมาหยุดข้างๆ ผมที่อ่างล้างจาน ตามด้วยปล่อยเสียงออกมาเป็นครั้งแรกนับจากที่ผมพูดเป็นครั้งสุดท้าย

“ฉันช่วย”

ไม่ขัดข้องหรอกครับ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ผมจึงเป็นคนล้างด้วยน้ำยาล้างจาน ก่อนจะส่งให้ไนล์ล้างด้วยน้ำเปล่าแล้วนำไปคว่ำบนที่วางจาน ทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่ได้มีคำพูดเกิดขึ้นระหว่างเรา แต่ผมกลับรู้สึกว่าการได้อยู่กับไนล์แบบนี้ทำให้ผมผ่อนคลายและสบายใจ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ผมเคยร้อนรนและหัวหมุนทุกๆ ครั้งที่อยู่ข้างๆ เขา แต่ตอนนี้เหมือนทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปทีละน้อยๆ และกำลังเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น

“ดูหนังไหม ที่ห้องนั่งเล่นฉันมีเก็บเอาไว้หลายเรื่อง”

หลังจากล้างจานเสร็จ ผมก็ชวนไนล์พลางเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่นโดยมีเขาเดินมาข้างๆ กัน เพราะยังมีเวลาเหลืออยู่พอสมควรกว่าจะถึงเวลาที่พี่ดาหลานัดผม ผมโทรไปถามเธอเรื่องสถานที่และเวลานัดหมายเพื่อความแน่ใจระหว่างที่กลับมาคอนโดแล้ว ฉะนั้นเมื่อยังไม่ถึงเวลา ผมก็อยากจะอยู่แบบนี้ อยู่โดยที่มีไนล์อยู่ข้างๆ ให้นานอีกหน่อย เผื่อว่า...เขาจะรู้ว่าผมต้องการอะไรจากเขาในตอนนี้

“แล้วแต่นาย ฉันไม่ค่อยสนใจเรื่องหนังเท่าไร”

เขาทำให้ผมนึกได้ว่าเขาเป็นแบบนั้น เรื่องที่เกิดขึ้นที่โรงหนังวันนั้นหวนกลับมาในความคิดของผมอีกครั้ง ผมจึงต้องถามเขาซ้ำเพื่อความชัดเจน

“นายไม่ชอบดู?”

คำถามนั้นเรียกให้เขาหยุดฝีเท้าที่ก้าวค้างอยู่และหันมามองหน้าผมซึ่งมองไปทางเขาอยู่ก่อนแล้ว

“มันไม่จำเป็น...” ทิ้งห่างประโยคหลังไปชั่วระยะเวลาสั้นๆ เสียงของไนล์ก็เกริ่นขึ้นมาอีกคล้ายกับกำลังขบคิด “แต่ตอนนี้ดูได้”

“ทำไมล่ะ”

ผมรู้สึกว่ามีเหตุผลซ่อนอยู่ในคำตอบนั้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพียงแค่รู้สึก และเสียงก็หลุดออกจากปากของผมก่อนที่หัวสมองจะคิดได้เสียอีกว่าควรจะถามหรือไม่ควรถาม ซึ่งมันก็ทำให้ไนล์จ้องมองมาที่ตาของผมมากขึ้นกว่าเก่าอีกนิดอย่างเงียบเชียบ ขณะที่ผมก็มองตอบดวงตาคู่นั้นที่ทำให้ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างที่เรียกให้ผมเข้าไปค้นหาความจริงที่ถูกซ่อนอยู่

ปริศนามากมายที่ไนล์ปิดบังเอาไว้ ผมอยากจะหาคำตอบจนเจอทีละอย่าง

“ไม่มีเหตุผลอะไร”

แต่ดูเหมือนว่าไนล์จะไม่เปิดโอกาสให้ผมมากนัก เขายกเหตุผลเดียวกับผมมาใช้ และมันก็ทำให้ผมเริ่มสงสัย ถ้าผมเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจของผมคิดเกี่ยวกับเขา ทั้งการกระทำและความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาในตอนนี้ เขาจะยอมเผยตัวตนจริงๆ ของเขาออกมาให้ผมได้เห็นหรือเปล่า

ไนล์ที่ไม่มีเกราะปราการและกั้นผมไม่ให้เข้าใจเขามากจนเกินไป ผมอยากจะเห็นมันจริงๆ

“งั้นนายเลือกแล้วกันว่าจะดูเรื่องไหน”

“นายเลือกเถอะ ให้ฉันเลือก ฉันก็เลือกไม่ถูกอยู่ดี”

เสนอให้แล้ว แต่เขากลับปฏิเสธ ผมจึงต้องเป็นฝ่ายทำหน้าที่นั้นเอง ซึ่งมันก็ค่อนข้างยากสักหน่อย เพราะไนล์คงไม่ชอบหนังประเภทโลดโผน แอ็คชั่น คิดพลางผมก็กวาดตามองไปตามแผ่นหนังที่ผมซื้อมาดูและเก็บไว้จำนวนไม่น้อย และที่มันมีเยอะจนเกือบเต็มชั้นแบบนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลอะไรนอกเสียจากว่าพวกเพื่อนๆ ของผมชอบแวะเวียนกันมาดูหนังที่นี่ โดยเฉพาะยีน

ผมมองหาหนังเรื่องที่น่าจะเหมาะกับไนล์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลือกออกมาได้หนึ่งเรื่อง เป็นแนวดราม่าที่ให้แง่คิดในการใช้ชีวิตและผสานกับความเป็นศิลปะ แต่เรื่องไม่หนักมากนัก ผมมีหนังประเภทนี้ปนๆ อยู่บ้าง เพราะชอบดูอะไรที่หลากหลาย แต่ไม่มีคนดูเป็นเพื่อนหรอกนะครับ เพราะผมเคยชวนไอ้ยีนมาดูด้วยกันครั้งหนึ่ง มันบ่นว่าดูแล้วเบื่อ อึดอัด หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยชวนมันดูหนังแนวนี้อีกเลย แต่สำหรับไนล์ ผมคิดว่ามันอาจจะเข้ากันก็ได้

“ไม่รู้ว่ามันจะน่าเบื่อสำหรับนายหรือเปล่า”

ใส่แผ่นลงในเครื่องเล่นแล้วผมก็มานั่งบนโซฟาข้างๆ ไนล์ พร้อมกับออกตัวไว้ก่อน ทว่าไนล์ก็ยังรักษาน้ำใจ

“ยังไม่ได้ดู จะรู้ได้ยังไงว่าน่าเบื่อหรือเปล่า แต่ฉันว่าคงไม่หรอก”

เขาพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจจนผมอดสงสัยไม่ได้

“ทำไมนายถึงมั่นใจว่าจะเป็นแบบนั้น ฉันอาจจะเลือกผิดก็ได้”

“เพราะว่านายเป็นคนเลือก ไม่มีทางผิดหรอก”

ถึงกระนั้นเขาก็ยังยืนยันคำตอบเดิม และมันก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าหลายต่อหลายครั้งที่เขาเชื่อมั่นในตัวของผม เชื่อว่าผมจะต้องทำแบบไหนในแต่ละสถานการณ์ เหมือนเขารู้จักผมดี

“นาย... คอยคิดถึงความรู้สึกของคนที่อยู่รอบตัวนายเสมอ เพราะแบบนั้นแหละ”

สิ้นประโยคนั้น ไนล์ก็หันกลับไปมองที่หน้าจอโทรทัศน์ ราวกับว่าไม่อยากให้ผมพูดหรือถามอะไรต่อ ผมจึงทำได้แค่มองเสี้ยวหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น แม้ว่าภาพในกรอบสี่เหลี่ยมที่ผมเป็นคนเปิดมันด้วยมือของตัวเองจะเคลื่อนไหวไปแล้วก็ตาม

ผมดูหนังเรื่องนี้ประมาณสามรอบได้ ดังนั้นผมจึงจำเนื้อเรื่องของผมมันได้ทั้งหมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องดูซ้ำเป็นรอบที่สี่ด้วยซ้ำ ผมจึงเลือกที่จะมองในสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นแทน ใบหน้าของไนล์ที่กำลังพุ่งความสนใจไปยังเรื่องราวในโทรทัศน์ มันเปลี่ยนไปตามเนื้อเรื่องที่สะท้อนเข้ากับกระจกตาของเขา

ไนล์มุ่นคิ้วเข้าหากันบ้าง ทำหน้าหดหู่บ้าง และหลุดยิ้มออกมาบ้าง สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันแบบนั้น ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้ เพราะในเวลาปกติ ผมคงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ นอกจากนั้นเขายังทำให้ผมเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดทิ้งท้ายเอาไว้

เขาทำให้ผมเชื่อมั่นในตัวเองว่าผมเข้าใจคนอื่นๆ และรู้ว่าคนรอบตัวผมต้องการอะไร ซึ่งมันก็ทำให้ผมคาดหวังด้วยเช่นกันว่า... ผมจะเข้าใจไนล์และรู้ว่าเขาต้องการอะไรอย่างถ่องแท้เหมือนกัน

ดูหนังจบก็เหมือนจะได้เวลาที่ผมจะต้องออกไปตามนัดกับพี่ดาหลาแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้ผมอดเสียดายอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ที่ผมจะต้องสูญเสียช่วงเวลาแบบนี้ที่ผมอยากจะให้มันคงอยู่ต่อไปให้นานอีกหน่อย ผมเอ่ยปากกับไนล์ด้วยความรู้สึกลำบากใจ และมันก็ค่อนข้างชัดเจนอยู่พอสมควรว่าผมไม่อยากจะแยกจากเขาในตอนนี้

“เดี๋ยวฉัน...ต้องออกไปข้างนอกแล้ว”

ผมหวังอยู่ในใจ หวังอยู่ลึกๆ ว่าไนล์จะรับรู้ได้ว่าผมอยากให้เขาเอ่ยปากห้ามผม เพราะอย่างน้อยผมจะได้รู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกไปเองคนเดียวจริงๆ ที่เริ่มชอบเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้ แต่ความคาดหวังของผมก็ล้มเหลว

“อืม”

เขาเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ราวกับไม่มีสิ่งนั้นมาตั้งแต่แรกแล้ว รวมทั้งความรู้สึกดีๆ ระหว่างเขากับผมที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืนกระทั่งถึงเมื่อครู่ ทำให้ผมรู้สึกจี๊ดๆ ในอกจนรู้สึกได้ จึงเดินไปหยิบกระเป๋าเงินและกุญแจรถเพื่อเตรียมตัว โดยไม่ลืมหยิบถุงใส่กระป๋องสีที่ซื้อมาเมื่อวานพลางเดินนำเขาออกจากห้อง

“นายก็มีนัดใช่ไหม”

ขึ้นรถแล้ว ผมก็ถามอย่างตรงไปตรงมาและลอบสังเกตความเปลี่ยนแปลงของไนล์ไปด้วย พยายามที่จะไม่ให้มีอะไรหลุดลอดสายตาไปได้แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม

“ตอนห้าโมง”

เวลานัดหมายของไนล์ไม่ต่างจากผมแค่ชั่วโมงเดียว และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่สามารถไปกับผมได้เหมือนอย่างทุกทีที่เขาเคยมาขัดขวางเวลาที่ผมไปพบพี่ดาหลา ผมจึงได้แต่ถอนหายใจกับตัวเองในใจอย่างช่วยไม่ได้

“งั้นฉันไปส่งนายที่ห้องก่อนแล้วกัน นายจะให้ฉันไปส่งที่ไหนต่อหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอก นายไปตามนัดของนายเหอะ”

ไนล์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พลางทอดสายตาออกไปทางหน้าต่าง ทำให้ผมไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่ก็เดาได้ไม่ยากกว่าคงจะไม่ต่างจากปกติที่ดูไร้ชีวิต ผมจึงเข้าเกียร์และเคลื่อนรถออกไปด้วยความรู้สึกหน่วงๆ ในใจชอบกล

ผมขับรถพาไนล์ไปส่งที่แมนชั่นตามเส้นทางที่เคยชิน เพราะมาที่นั่นบ่อยมากขึ้นไปทุกที โดยเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมาที่นี่ทุกวัน ผมหยุดรถหน้าทางเข้าแมนชั่นด้วยความรู้สึกค้างคาในใจ บอกตัวเองได้เลยว่าหากคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมตอนนี้เป็นคนอื่น ผมคงกล้าบอกความรู้สึกสับสน ไม่สบายใจ และความต้องการของผมออกไปอย่างชัดเจนโดยไม่คิดปิดบัง แต่เพราะคนคนนี้คือไนล์ ผมจึงไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย

เพราะผมไม่รู้ว่าเขาคิดและรู้สึกยังไงกับผมกันแน่ เขาทำให้ผมหัวหมุนเสมอกับการกระทำของเขา

“นาย... จะกลับดึกหรือเปล่า”

สิ่งที่ผมพูดออกมาได้ในตอนนี้และดูไม่ชัดเจนมากเกินไปมีเพียงเท่านี้ ซึ่งไนล์ก็ตอบกลับมาให้ผมสบายใจได้นิดหน่อย

“คงไม่ดึก”

“อืม”

ผมเก็บคำว่า ‘งั้นฉันจะรอ’ เอาไว้ในคอ ไม่เปล่งมันออกมาเป็นคำพูด ทั้งที่มีคำนั้นอยู่ในใจ พลางมองไนล์ที่เปิดประตูรถและก้าวเท้าลงจากรถไปด้วยความรู้สึกอึดอัดในอกอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะปกติแล้วผมมักจะชัดเจนในความรู้สึกของตัวเองเสมอเมื่ออยู่กับคนอื่น

ตอนนี้ผมต้องทนเก็บความไม่ต้องการให้ไนล์ออกไปตามนัดเอาไว้โดยไม่สามารถปริปากพูดออกมาได้ เพราะผมอ่านไม่ออกว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไรหลังจากผมบอกออกไปแบบนั้น ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ผมสามารถคาดการณ์ได้ว่าคำตอบจะออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งมันจะทำให้ผมตัดสินใจและตัดใจได้






อ่านต่อด้านล่าง

v

v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 12 : คิดเหมือนกันหรือเปล่า [14/4/57]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-06-2014 22:08:36
ต่อจากข้างบน

v


v



เสียงประตูปิดลงโดยที่ผมไม่สามารถละสายตาจากไนล์ไปได้ ผมมองเขาเดินห่างออกไปจากรถของผมมากขึ้นทุกทีๆ จนผมไม่สามารถมองเห็นเขาได้อีกเมื่อเขาขึ้นตึกไป ผมจึงออกรถอีกครั้งเพื่อตรงไปยังปลายทางที่ผมจำต้องไป เป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไรนัก ผมมาถึงก่อนเวลานิดหน่อย เพราะคำนวณเวลาเดินทางไว้แล้ว

ผมมักจะไปก่อนเวลาเสมอครับ เพราะไม่ชอบให้ใครมารอ แต่ตามจริงผมก็ไม่ค่อยได้นัดกับใครหรอก นอกจากพวกเพื่อนๆ ของผม ซึ่งส่วนมากก็จะเจอกันที่คอนโดก่อนแล้วค่อยออกไปพร้อมกัน หรือไม่ก็ผมจะไปรับไอ้ยีนแล้วไปเจอกับไอ้กัส ไอ้เคลมทีหลัง

รอในร้านกาแฟที่ตกลงกันไว้อยู่สักพักพี่ดาหลาก็มาถึง เธอนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับผม วันนี้เธอมาคนเดียว ไม่มีพี่มะเหมี่ยวมาด้วยเหมือนอย่างทุกที

“ขอโทษนะกราฟ พี่มาสาย”

เธอทำให้ผมก้มลงมองข้อมือของตัวเองให้แน่ใจว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว และเมื่อรู้เวลาที่แน่ชัด ผมก็ส่งยิ้มจางๆ ให้เธอที่ทำหน้าเสียเล็กน้อยเพราะเหตุผลที่เธอบอก แต่มันไม่ใช่ความจริงหรอกครับ

“เหลืออีกห้านาทีกว่าจะถึงเวลานัดนะครับ ไม่เห็นจะสายตรงไหนเลย”

“แต่พี่มาช้ากว่ากราฟนี่นา กราฟเลยต้องมานั่งรอ”

ใบหน้าน่ารักที่อยู่ต่อหน้าผมยังคงเจือด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่มันไม่จำเป็น ทำให้ผมรู้ว่าเธอเป็นคนจิตใจดีและรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นมากแค่ไหน

“การจะนัดใครสักคน ก็ต้องมีฝ่ายที่มาเร็วกว่าและอีกฝ่ายมาช้ากว่าอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เห็นจะแปลกเลย อีกอย่าง ถ้าให้พี่มานั่งรอผม ผมจะรู้สึกไม่ดีมากกว่านะ”

เหมือนว่าเธอจะรับฟังเหตุผลของผมและยอมรับมัน ถึงได้ไม่ค้านใดๆ ต่อ

“พี่จะดื่มอะไรดีครับ เดี๋ยวผมไปสั่งให้”

เสนอตัวบริการ แต่พี่ดาหลาก็ปฏิเสธพลางบอก ‘เดี๋ยวพี่จัดการเอง กราฟนั่งรอหน่อยนะ’ ก่อนจะเดินไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์เอง ปล่อยให้ผมได้มองตามการเคลื่อนไหวของเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงด้านหลังเท่านั้นที่ผมได้เห็นในเวลานี้ ทว่าผมก็อยากจะมองเธอให้ชัดๆ

ผมยอมรับว่าพี่ดาหลาหน้าคล้ายกับมิ้นค่อนข้างมาก และมันก็ทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วทุกครั้งที่ได้พบหน้าเธอ แต่น้ำเสียง ท่าทาง รวมถึงนิสัยของมิ้นและพี่ดาหลาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มิ้นของผมจะสดใส ร่าเริง ขณะที่พี่ดาหลาค่อนข้างใจดี วางตัวดี และเป็นผู้ใหญ่ อาจเพราะเธออายุมากกว่าผมก็เป็นได้

การเจอกันวันนี้ผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างแตกต่างจากวันอื่นๆ ที่ผ่านมา ผมไม่รู้สึกว่าใจเต้นเร็วหรือมีอะไรบางอย่างสั่นอยู่ในอกเหมือนอย่างทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าเธอ เงาของมิ้นที่ซ้อนทับกับพี่ดาหลาค่อยๆ จางหายไปเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ผมได้พบพี่ดาหลา วันนี้ผมรู้สึกชัดเจนมากขึ้น ว่าผมไม่สามารถให้พี่ดาหลาเป็นตัวแทนของมิ้นได้

เธอไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกชอบเธอเพราะตัวเธอเอง สิ่งเดียวที่เหนี่ยวรั้งให้ผมยังยึดติดอยู่กับพี่ดาหลาคือใบหน้าของเธอที่คล้ายมิ้น แต่เมื่อผมยอมรับกับตัวเองว่าเธอและมิ้นไม่มีทางที่จะเหมือนกัน ผมก็เหมือนถูกปลดออกจากพันธนาการที่สร้างด้วยตัวเอง และนอกเหนือจากเหตุผลว่าผมรู้ดีแก่ใจว่าทั้งสองคนเป็นคนละคนกันแล้ว ผมค่อนข้างแน่ใจว่าไนล์เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกของผมที่มีต่อพี่ดาหลากระจ่างเร็วขึ้น

พี่ดาหลาไม่เคยทำให้ผมรู้สึกโหยหา กระวนกระวาย ห่วงพะวง หรือแม้แต่คิดถึงเธอ ผมไม่เคยรู้สึกว่าถูกเธอปั่นป่วนในหัวใจจนทำอะไรไม่ถูก มีเพียงแค่การเผชิญหน้ากับเธอเท่านั้นที่ทำให้ผมแสดงอาการตื่นเต้นเล็กน้อย แต่ในเวลานี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับหายไปแล้ว ไม่เหมือนกับคนบางคนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นมากขึ้นทุกวัน

ผมมองพี่ดาหลาที่ถือเครื่องดื่มกลับมาที่โต๊ะ พิจารณาใบหน้านั้นอย่างละเอียด ราวกับเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มองหน้าเธอชัดๆ แบบนี้ จะเรียกว่าเป็นการตัดสินใจของผมก็ได้ที่จะให้ทุกอย่างมันจบลง ในเมื่อผมรู้ตัวเองแล้วว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อเธอในตอนนี้เป็นอย่างไร

แม้ผมจะไม่รู้ว่าเธอเริ่มมีความรู้สึกพิเศษกับผมขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง เพราะเธอไม่เคยแสดงความรู้สึกเช่นนั้นออกมาให้ผมรับรู้ได้เลยสักครั้ง นอกจากครั้งนี้ที่เธอโทรศัพท์มาหาผมก่อน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธออยากพบผม หรือเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูดกับผม แต่ผมก็เริ่มอยากให้มันเป็นอย่างหลัง เพราะไม่อย่างนั้นผมคงรู้สึกผิดกับเธอมาก ที่เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ทว่ากลับกำลังจะทำให้มันจบลง

“พี่มีอะไรจะพูดกับผมเหรอครับ”

เปิดประเด็นก่อนเมื่อปล่อยให้เธอดูดน้ำจากแก้วที่ถือมาได้สักพัก เพราะหลังจากลองประเมินสถานการณ์แล้วดูเธอจะเริ่มต้นบทสนทนาไม่ถูกสักเท่าไร เธอมองหน้าผมหลายครั้งสลับกับก้มลงดูดน้ำสตรอเบอร์รี่แก้ขัด ซึ่งการกระทำของผมก็เหมือนจะช่วยได้เธอ พี่ดาหลาเงยหน้าขึ้นมองผมอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆ ขยับริมฝีปากสีสวย และผ่อนเสียงออกมาช้าๆ

“กราฟ”

“ครับ”

“พี่... มีเรื่องจะสารภาพกับกราฟ”

เธอต่อด้วยประโยคนี้ พานให้ใจของผมเต้นตุบๆ ขึ้นมาได้ด้วยความหวั่นๆ เริ่มกลัวว่าสิ่งที่คิดไว้อาจจะเป็นอีกอย่าง ผมจ้องมองเธอโดยไม่ละสายตา และมันคงจะกดดันเธอมากเกินไป ถึงได้ก้มหน้าหลบสายตาผม เม้มปากอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอีกรอบ

“พี่รู้ว่าที่ผ่านมา กราฟรู้สึกดีๆ กับพี่”

ผมตั้งใจฟังทุกคำที่เธอพูดออกมา ไม่ให้ตกหล่นแม้แต่นิดเดียว ในใจก็ลุ้นไปด้วยว่าเสียงที่ประกอบออกมาเป็นคำในประโยคถัดไปจะเป็นอะไรพร้อมกับภาวนาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่ผมกำลังหวาดหวั่นอยู่ ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับเธอเพราะอารมณ์ชั่ววูบของผม

“แล้วพี่ก็...ตอบรับกราฟมาตลอด ไม่ว่ากราฟจะส่งข้อความมาคุย หรือขอไปไหนมาไหนด้วย”

หัวใจของผมเร่งจังหวะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงของเธอยังคงดังต่อไป ผมไม่สามารถละสายตาจากเธอได้ เพราะเกรงว่าหากไม่เตรียมใจอยู่ตลอดเวลา ผมอาจจะช็อกจนพูดอะไรกับเธอไม่ออกก็เป็นได้ ผมเผลอกลั้นหายใจอยู่หลายครั้งด้วยซ้ำ ระหว่างรอเธอต่อคำพูดของเธอ

“พี่ขอโทษนะ”

“ครับ?”

สิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ยินทำให้ผมรู้สึกงงงวยนิดหน่อยแล้วชะงักจังหวะหัวใจของตัวเองไปชั่วครู่ ผมเลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนเธอจะอธิบายให้ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง

“พี่... มีแฟนอยู่แล้วน่ะ แต่ที่พี่ไม่ได้บอกกราฟ และยังติดต่อกราฟอยู่เรื่อยๆ แบบนี้ก็เพราะมะเหมี่ยวขอร้อง”

พี่ดาหลาทำให้ผมรู้สึกอึ้งอยู่ไม่น้อยกับความจริงที่ผมเพิ่งรู้

“มันดูไม่ดีใช่ไหมที่ทำแบบนี้ พี่รู้ว่ากราฟจริงใจ และกราฟก็เป็นคนดีมากๆ พี่ไม่ได้อยากหลอกกราฟ แต่มะเหมี่ยวอยากมีโอกาสได้ใกล้ชิดและทำความรู้จักกับกราฟมากกว่านี้ ก็เลยขอให้พี่ตามน้ำไป แต่พี่ไม่อยากหลอกกราฟและทำให้กราฟมีความหวังแล้วต้องมาเสียใจทีหลัง พี่รู้สึกไม่ดีเลย ก็เลยขอมาสารภาพความจริงดีกว่า”

“เหรอครับ”

ผมรู้สึกเหมือนโดนตีหัวไปหนึ่งทีแรงๆ ให้มึนและสมองชา ทว่าขณะเดียวกันก็เข้าใจในเหตุผลของเธอ และก็เริ่มคิดว่ามันดีแล้วที่สุดท้ายผลออกมาเป็นแบบนี้ เพราะหากว่าผมจริงจังกับเธอ และถลำลึกชอบเธอไปจริงๆ ผมคงช็อกและเจ็บปวดไม่น้อยเพราะมันไม่ต่างอะไรจากการถูกหลอกลวง

“พี่ขอโทษจริงๆ นะ  พี่รู้ว่าคงทำให้กราฟรู้สึกไม่ดี พี่ก็ไม่ได้อยากให้เป็นแบบนี้ แต่พี่อยากช่วยเพื่อน มะเหมี่ยวไม่ใช่คนที่จะชอบใครง่ายๆ ถึงจะดูขี้เล่นหรือดูเป็นพวกใจกล้าก็ตาม กราฟพอจะอภัยให้พี่กับมะเหมี่ยวได้ไหม”

พี่ดาหลาจ้องมองผมด้วยความรู้สึกผิดอย่างชัดเจน ใบหน้าน่ารักๆ ของเธอสลดลง ดวงตาที่เคยเป็นประกายแวววาวดูเศร้าหมอง ผมที่ไม่ใช่คนใจแข็งอะไรอยู่แล้วโดยเฉพาะกับคนที่แสดงความจริงใจให้ก็ใจอ่อนตามระเบียบล่ะครับ ยิ่งเธอหน้าเหมือนมิ้นด้วยแล้ว ใจของผมยิ่งอ่อนยวบเลย ผมเองก็ไม่ได้คาดหวังจะให้เธอชอบผมอยู่แล้ว เป็นแบบนี้อาจจะดีแล้วด้วยซ้ำ

“ผมไม่โกรธพี่ทั้งสองคนอยู่แล้วล่ะครับ จริงๆ แล้ว ผมก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับพี่วันนี้เหมือนกัน”

เห็นว่ามีลู่ทางที่จะทำอะไรให้ถูกต้องและจบความคลุมเครือนี้ ผมก็รีบคว้าโอกาสไว้ทันที ซึ่งคราวนี้ก็กลายเป็นพี่ดาหลาบ้างที่ทำหน้าสงสัย

“คือ... ที่ผมสนใจพี่และเข้าไปคุยกับพี่ก่อน เพราะว่า...พี่หน้าเหมือนแฟนเก่าของผมน่ะครับ”

ผมหยุดเสียงไปครู่หนึ่งเพื่อดูปฏิกิริยาของเธอ ซึ่งก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมคิดเอาไว้ เธอเบิกตามองผมด้วยความประหลาดใจ

“ผมขอโทษด้วยนะครับ เจตนาของผมก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมคงจะต่อว่าพี่กับพี่มะเหมี่ยวไม่ได้”

“หน้าเหมือน...เหรอ”

“ครับ แต่ว่าเสียงกับนิสัยไม่เหมือนกันเลย ตอนนี้ผมก็เลยคิดว่าผมควรจะมองความจริงได้แล้วว่าจะให้พี่มาแทนที่เธอไม่ได้ ความรู้สึกที่ผมมีต่อพี่ในตอนที่เจอกันแรกๆ มันเป็นความรู้สึกของผมที่หลงเหลืออยู่ ผมอยากจะดูแลและรักษาเธอเอาไว้ ถ้าผมยังมีโอกาส ทั้งที่ผมก็รู้ตัวดีว่ามันเป็นไปไม่ได้”

ไม่รู้ว่าการอธิบายเท่านี้จะเพียงพอต่อความเข้าใจของเธอหรือเปล่า แต่ก็หวังว่าเธอจะเข้าใจในเหตุผลของผมเช่นกัน ทว่าดูเหมือนว่าโชคจะเข้าข้างผมนิดหน่อย เพราะพี่ดาหลาไม่ได้มีอาการโกรธเคืองอะไร เธอเพียงถาม

“แสดงว่ากราฟรักผู้หญิงคนนั้นมากสินะ”

“ครับ”

ผมตอบด้วยรอยยิ้มที่รู้ตัวดีว่ามันแฝงด้วยความเศร้าเล็กน้อย เธอถึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ แต่กลับเปลี่ยนเรื่องถามแทน

“อ้อ... พี่คุยกับมะเหมี่ยวว่าจะมาคุยกับกราฟเรื่องนี้ แล้วมะเหมี่ยวก็อยากจะมาคุยกับกราฟโดยตรงด้วย หลังจากนี้กราฟพอจะมีเวลาไหม”

“ได้ครับ แต่ว่าพี่มะเหมี่ยวจะสะดวกหรือเปล่า”

คำถามจากผมเรียกรอยยิ้มจากพี่ดาหลาได้มากทีเดียว เธอยิ้มให้ผมเหมือนกับปกติก่อนจะตอบคำถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ แล้วยิ้มแหยเล็กน้อยที่ท้ายประโยค เป็นท่าทางที่น่ารักและเป็นธรรมชาติจนผมอดยิ้มตามไม่ได้

“จริงๆ พี่นัดกับมะเหมี่ยวไว้แล้วน่ะ ตอนนี้ก็รออยู่ข้างนอก”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาครับ ได้เคลียร์กันไปเลย จะได้สบายใจกันทั้งคู่ด้วย”

“งั้นพี่ขอตัวเลยนะ ...แฟนพี่รออยู่ด้วยน่ะ”

พี่ดาหลาบอกไม่เต็มเสียงเท่าไรในประโยคท้าย เหมือนเกรงใจผมอยู่ ผมจึงส่งยิ้มให้ด้วยความรู้สึกอิ่มใจแทนแฟนของพี่ดาหลาที่เธอคอยนึกถึงความรู้สึก กลัวว่าจะต้องรอนาน จนผมอดจะอวยพรให้เธออยู่ในใจไม่ได้ว่าขอให้รักยืนยาวกับคนที่เธอรัก

“ครับ”

“กราฟนั่งรอแป๊บนึงนะ เดี๋ยวมะเหมี่ยวก็มา”

เธอบอกผมเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะลุกจากโต๊ะและส่งยิ้มให้ผมจางๆ เป็นการล่ำลา ซึ่งผมก็ยิ้มส่งเธอพลางมองร่างเล็กๆ เมื่อเทียบกับผมเดินห่างออกไป ตามด้วยมีผู้ชายคนหนึ่งมาเดินขนาบข้างกับเธอ

ผมมองภาพคนสองคนที่เดินคู่กันไปอย่างลืมตัว กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง ก็ตอนได้ยินเสียงเรียกชื่อตัวเองอยู่ใกล้ๆ และเมื่อหันไปตามเสียง ก็ไม่ต้องรู้สึกประหลาด เพราะเป็นคนที่ผมกำลังรออยู่ พี่มะเหมี่ยวยิ้มสดใสให้ผมเหมือนอย่างเคยและกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวเมื่อครู่ที่พี่ดาหลานั่ง



“ดาหลาคงเล่าให้ฟังหมดแล้วสินะ พี่ขอโทษนะกราฟ”

จากที่ยิ้มอยู่เมื่อครู่ สีหน้าของพี่มะเหมี่ยวก็เปลี่ยนไป เป็นแบบที่ผมไม่เคยเห็น เพราะปกติแล้วเธอจะมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเสมอๆ พลอยให้ผมรู้สึกไม่ดีไปด้วยที่เห็นแบบนั้น

“ผมเข้าใจครับ ผมเองก็มีเรื่องที่ทำผิดต่อพี่ดาหลาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพี่ไม่ต้องขอโทษอะไรผมหรอกครับ”

“ขอบใจนะ”

เพราะการตอบกลับไปของผมที่ทำให้พี่มะเหมี่ยวสบายใจขึ้น เธอจึงกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ทว่าเพียงครู่หนึ่ง ริมฝีปากสีชมพูที่แต้มด้วยลิปสติกบางๆ ไม่จัดจ้านจนเกินไป แต่ก็ขับให้ใบหน้าที่สวยอยู่แล้วของเธอด้วยสวยขึ้นเม้มเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนมีอะไรอื่นที่อยากพูดกับผมอีก แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง ผมจึงรอเวลาที่เธอจะเอ่ยปากออกมาเอง ซึ่งมันก็ไม่ได้นานนัก

“พี่... พอจะมีโอกาสบ้างไหม”

คำถามของเธอทำให้ผมเข้าใจได้ทันทีว่าหมายถึงเรื่องอะไร ผมพิจารณาใบหน้าที่แสดงถึงความไม่มั่นใจ ผิดจากที่เคยอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ เปิดปากออกทีละน้อยเพื่อตอบคำถามนั้น ทว่ายังไม่ทันได้เปล่งเสียงออกมา คนตรงหน้าก็โพล่งเสียงขึ้นมาก่อน

“อย่าเพิ่งๆ ขอพี่ทำใจก่อนนะ”

เรียกรอยยิ้มจากผมได้ครับ จริงๆ แล้วพี่มะเหมี่ยวก็เป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์ อีกทั้งยังขี้เล่น เป็นกันเอง รวมทั้งมีอารมณ์ขันด้วย น่าจะมีผู้ชายชอบไม่น้อยเลยทีเดียว ผมเองก็ชอบนิสัยของเธอเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ความรู้สึกของผมมันไม่ได้เป็นแบบเดียวกับที่เธอมีให้ผม ผมจึงไม่สามารถตอบรับเธอได้

ผมรอตามที่เธอบอก ได้ยินเสียงเธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เหมือนกับรู้อยู่แล้วครึ่งหนึ่งว่าคำตอบของผมจะเป็นอย่างไร แต่ก็ยังไม่พร้อมจะรับฟังคำตอบที่ชัดเจนในทันที และยังเผื่อใจอยู่หน่อยๆ ว่าอาจจะมีโอกาสสักนิดที่ผมจะหยิบยื่นให้

“เอาล่ะ โอเคแล้วๆ”

เธอเป่าลมออกมาจากปากเบาๆ เป็นระลอกสุดท้าย ก่อนจะจ้องหน้าผมราวกับจะอ่านคำพูดของผมจากการขยับปากอย่างไรอย่างนั้น ผมจึงเว้นระยะไว้ครู่สั้นๆ แล้วค่อยตอบออกมาเป็นเสียงที่ชัดเจนและหนักแน่นเพียงพอว่าเธอไม่มีโอกาส

“ขอโทษด้วยครับ”

“กะอยู่แล้วเชียว”

พี่มะเหมี่ยวตอบกลับมาเจือหัวเราะเบาๆ ที่ฟังอย่างไรก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าขำหรือน่าสนุกแม้แต่น้อย ผมรู้ว่าเธอรู้สึกผิดหวัง แต่เธอก็เข้มแข็งพอจะยอมรับความจริง ผมจึงไม่คิดจะพูดถึงข้อดีของเธอ หรือพูดว่ามันน่าเสียดายที่ผมรักเธอไม่ได้ เพราะแบบนั้นจะยิ่งตอกย้ำให้เธอเจ็บช้ำมากกว่า

เธอเป็นคนมีความมั่นใจ ฉะนั้นคำตอบที่ชัดเจน เหมาะสมกับเธอที่สุดแล้ว เพราะมันจะทำให้เธอรู้สึกว่าผมตาถั่ว ตาไม่ถึง ถึงได้ไม่เลือกเธอ มากกว่ามีความคิดว่าทั้งที่เธอดีขนาดนี้ แต่เธอก็ยังทำให้ผมชอบไม่ได้ ผมไม่อยากให้เธอสูญเสียความมั่นใจ ผมอยากให้เธอก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจในวิถีทางของเธอ เพราะต้องมีคนที่พร้อมจะรักเธอในทุกอย่างที่เธอเป็นอย่างแน่นอน

“งั้นก็... ไหนๆ ก็โดนปฏิเสธแล้ว พี่ขอควงกราฟสักวันจะได้ไหม”

หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คล้ายกับว่าจะตั้งสติให้ตัวเองยอมรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ได้แล้ว พี่มะเหมี่ยวก็โพล่งขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สดใสเหมือนกับทุกครั้ง พลอยให้ผมรู้สึกโล่งอกไปด้วย ที่อย่างน้อยเธอก็ทำใจได้

“ควงไปไหนครับ”

“เดทไง แค่วันนี้แหละ ถือเป็นของขวัญปลอบใจ โอเคนะ”

ไม่แค่ส่งยิ้มให้ผม ยังยื่นนิ้วก้อยออกมาให้ผมเกี่ยวเพื่อเป็นการสัญญาด้วยว่าผมจะยอมทำตาม เห็นท่าทางเธอแบบนั้นแล้ว จะให้ปฏิเสธก็ดูจะใจร้ายเกินไป อีกทั้งผมก็พอมองออกว่าเธอต้องการทำแบบนี้เผื่อจะได้ตัดใจได้อย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีอะไรมาค้างคาใจ ไม่ใช่เพียงแค่การยื้อเพื่อสร้างความหวังให้ตัวเอง ผมจึงยื่นนิ้วก้อยไปเกี่ยวกับเธอโดยไม่อิดออด

“แล้วจะเดทที่ไหนล่ะครับ”

“ที่ห้างนี้แหละ ไม่ต้องไปที่ไหนไกลหรอก”

ว่าแบบนั้นแล้วเธอก็ลุกขึ้นทันที ผมจึงลุกก่อนจะเดินตามเธอออกจากร้านไป ซึ่งหลังจากออกมายืนหน้าร้านได้ พี่มะเหมี่ยวก็ยื่นมือออกมาหาผมทันที ผมก้มมองตามมือนั้นไปครู่นึง คู่เดทในวันนี้ของผมก็ออกคำสั่งทันที

“เดทก็ต้องจับมือกันด้วยสิ”

การเอาแต่ใจเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ดูน่ารักของเธอดึงให้ผมต้องเดินไปตามเกมของเธอได้ไม่ยาก ผมวางมือลงบนมือเรียวๆ นั้นก่อนจะกุมเอาไว้ข้างตัวและเดินออกจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ ก้าวเดินไปทุกๆ ที่ที่เธออยากไปภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้

ผมทำหน้าที่ได้ดีเลยครับ เพราะท่าทางพี่มะเหมี่ยวจะมีความสุขกับการเดทไม่น้อย ซึ่งมันก็พลอยทำให้ผมรู้สึกดีเช่นเดียวกัน ที่ทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้ แม้ว่ามันจะเป็นความสุขชั่วคราวที่เจ้าตัวรู้แก่ใจดีก็ตาม

พี่มะเหมี่ยวชวนชอปปิ้งทางสายตา เพราะยังไม่มีสินค้าแบรนด์ไหนถูกใจเธอ ก่อนที่เราจะไปเล่นโบว์ลิ่งกัน ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าเธอเล่นเก่งไม่น้อย ถึงเอาชนะผมไปได้สบายๆ โดยที่ผมไม่ต้องอ่อนข้อให้เธอเลย หลังจากเดินออกมาจากลานโบว์ลิ่งแล้ว ผมจึงแกล้งแซวเธอนิดหน่อย ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเธอได้

“เพราะพี่เล่นเก่งใช่ไหม ถึงได้ชวนผมมาเล่นเพื่อข่มขวัญ”

“รู้สึกดีจังนะ ที่เอาชนะกราฟได้”

เธอยิ้มยิงฟันอย่างมีความสุขจนผมต้องยิ้มตาม พลางเอ่ยปากชวนเธอให้ไปหาอะไรกิน เพราะว่าค่ำแล้ว เธอน่าจะหิว ซึ่งพี่มะเหมี่ยวก็พยักหน้าเห็นด้วยสุดๆ เราสองคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายเพื่อหาร้านอาหารสำหรับเป็นมื้อเย็น ทว่ายังไม่ทันได้สถานที่ที่ต้องการ ผมก็ต้องชะงักเล็กน้อย เพราะคนที่เดินสวนมาค่อนข้างคุ้นหน้าผม และเขาเองก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

“อ้าว นาย”

เขาทักผมก่อน ผมจึงหยุดฝีเท้าและหันไปเพื่อสนทนากับเขาตามมารยาท แม้ผมจะไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร แต่ผมก็จำได้ว่าเขาเป็นนักศึกษาคณะวิศวะฯ ที่ผมเคยไปถามหาไนล์จากเขา วันนี้เขามากับเพื่อนกลุ่มเดิมแหละครับ ทั้งกลุ่มต่างมองมาที่ผมและพี่มะเหมี่ยวเหมือนกับว่าจะจำผมได้เช่นกัน โดยเฉพาะเจ้าของเสียงที่ทักผม

“ดีใจด้วยที่ดูแฮปปี้กับแฟนดี”

ประโยคของเขาทำให้ผมรู้สึกตงิดๆ อย่างไรชอบกล ผมหันไปทางพี่มะเหมี่ยวและมองเธออยู่ครู่สั้นๆ ก่อนปลดมือที่จับกันอยู่ออกเพื่อเธอจะได้เข้าใจว่าผมไม่ได้มีเจตนาทำให้เธอรู้สึกไม่ดี จากนั้นผมจึงพยักหน้าเบาๆ ให้กับคนที่พูดกับผมเมื่อครู่และเดินนำออกมาจากกลุ่มพวกเรา ซึ่งเขาก็เข้าใจสถานการณ์ว่าผมอยากคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวเสียมากกว่า

“ที่นายพูด หมายความว่ายังไง”

หลังจากแยกตัวออกมาได้ห่างพอสมควร มีเพียงแค่เขาที่ยืนอยู่ต่อหน้าผมแล้ว ผมก็ถามอย่างตรงไปตรงมา เขาทำหน้ามึนเล็กน้อยกับคำถามของผม ก่อนจะโพล่งเสียงออกมาเบาๆ

“อ้าว ก็เรื่องไนล์ที่ฉันเคยเตือนนายไง หมอนั่นไม่ได้แย่งผู้หญิงของนายไปสินะ งั้นก็ดีแล้ว”

คล้ายกับว่าถูกรื้อฟื้นความทรงจำ ผมเริ่มจำได้ถึงสิ่งที่คนตรงหน้าเคยบอกผม แต่ผมก็ไม่เข้าใจความหมายของมันสักเท่าไรอยู่ดี

“ทำไมไนล์จะต้องแย่งผู้หญิงของฉัน”

“นี่อย่าบอกว่านายไม่รู้”

เขาทำให้ผมงงยิ่งกว่าเดิมอีกเมื่อถูกสวนกลับมาแบบนี้ ผมรู้สึกได้ว่าหัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันแน่น สมองพยายามแปลความหมายจากสิ่งที่ได้ยิน ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะยากเกินไปที่จะเข้าใจ อีกฝ่ายถึงได้บอกกับผมอย่างตรงๆ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนทุกอย่างบนโลกหยุดการเคลื่อนไหวในวินาทีนั้น

“ไอ้ไนล์มันเป็นแมงดา”

“...”

“ขายตัวให้พวกผู้หญิง”

“...”

“แต่ฉันว่าหน้าสวยๆ อย่างมันก็คงจะขายให้ผู้ชายได้ราคาดีอยู่ด้วยเหมือนกันล่ะมั้ง”







================
นึกว่าจะไม่ได้มาต่อแล้ว อุปสรรคเยอะเกิน
กว่าจะว่าง กว่าจะแต่งออกมาได้ นึกว่าจะต่อไม่ติดแล้วค่ะ ต้องบิ๊วตัวเองมากๆ  :sad4:

ตอนนี้เหมือนจะคืบหน้าขึ้นแล้วนะคะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: -west- ที่ 29-06-2014 22:58:03
เฮ้ยยยยยยยยยยยยย
ไนล์เป็นอะไร ไนล์มีอะไรซ่อนอีกแล้ววววว
เหมือนจะดีขึ้นกันทั้งคู่แล้วนะ
เรื่องนี้ตามลุ้นมาตลอดค่ะ อย่าเพิ่งหมดไฟนะะะ คือปมมันเยอะมากก อยากรู้มากกกกกกก
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 30-06-2014 02:12:52
นิดหนึ่งกับการเพิ่มความสงสัยขึ้นอีก มันคาใจนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: oreena ที่ 30-06-2014 16:55:02
 :a5: :a5: :a5: :a5: :a5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Tsubamae ที่ 19-09-2014 10:48:08
ปักธง จองที่รออ่านคร่าาา อยากรู้ตอนต่อไปมากเลย ไนล์ จริงรึป่าวเนี่ยะ :katai1: อ้ากกกกกก
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 27-12-2014 22:02:40
อ๊ากกกก ว๊ากกกกกกก...อยากรู้ตอนต่อไปอ่าาาาาาา :katai1: :katai1:

ยังรออยู่นะค่ะ รีบๆมาต่อน๊าาาาาาาา :z3:   :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: woodytha ที่ 03-03-2015 08:54:13
ไม่ต่อแล้วหรอครับ กำลังลุ้นเลย
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 03-03-2015 18:54:39
กล้าดียังไงมาว่าไนล์น่ะห๊า!
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 03-03-2015 22:31:47
เค้ารออยู่นะ

ให้นายเอกของเค้าได้แก้ตัวไรอะไรบ้างเถอะ โฮ
อย่าเชื่อคนง่ายนะตะเอง
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 13 : ความจริง [29/6/57]
เริ่มหัวข้อโดย: envylover ที่ 27-04-2015 05:10:51
ค้างนานเลย ตามมาจากเรื่องพี่ชมพู อยากได้ต่อจังค่า รออยู่น้าาาา
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 28-06-2015 23:53:44
ตอนที่ 14 : ขายตัว









หูอื้อราวกับว่ามันกำลังจะหนวก ผมได้ยินแต่เสียงอื้อดังยาวอยู่ภายในหูของตัวเอง สมองก็มีแต่ประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่วนเวียนอยู่ซ้ำๆ ไม่รู้กี่รอบ ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมได้กะพริบตาบ้างหรือเปล่านับจากได้ยินเรื่องนี้ ในคอรู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างมาจุกอัดอยู่จนแน่นไปหมด ผมต้องพยายามกลืนก้อนหนืดๆ ที่กั้นขวางอยู่ในลำคอและเค้นเสียงออกมาเท่าที่จะทำได้ แต่ว่าเสียงที่เล็อดลอดออกมาจากปากกลับแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน

“นาย...เข้าใจผิดอะไรหรือเปล่า”

แน่นอนว่าความรู้สึกแรกของผมคือ ไม่เชื่อว่ามันจะเป็นแบบนั้น ไนล์ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องแบบนั้น ทว่า...

“จริงๆ คนเขารู้กันเกือบทั่วคณะ แม้แต่พวกรุ่นพี่ผู้หญิงในคณะยังลือๆ กันเลยด้วยซ้ำ ว่าแค่มีเงินก็กระดิกนิ้วเรียกให้มันไปหาได้ ขนาดคนที่ฉันชอบยังเคยไปกับมันตั้งหลายครั้งเลย”

อีกฝ่ายพูดด้วยท่าทางที่จริงจังมากกว่าเดิม โดยเฉพาะท้ายประโยคที่ใส่อารมณ์มากกว่าที่ผ่านมา ราวกับเจ็บใจจนอยากจะระบายความไม่พอใจใส่คนที่ถูกพูดถึงในประโยคเมื่อครู่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกระแทกเข้ามาที่อกแรงๆ จนจุก ทั้งที่ในใจคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ อยากจะเชื่อตัวเอง แต่ขณะเดียวกันภาพที่เคยเห็นไนล์คุยโทรศัพท์กับผู้หญิง หรือแม้แต่ครั้งที่บังเอิญไปเจอเขากับผู้หญิงอีกหลายๆ คนที่มีท่าทางสนิทสนมกัน ก็ทำให้ผมต้องย้ำกับตัวเองอีกหลายครั้งว่ามันไม่ใช่แบบนั้น

“นายเองก็ระวังล่ะ อยู่ห่างๆ มันให้มากที่สุด เพราะเกิดมันถูกใจแฟนนายขึ้นมาแล้วใช้ลมปากหลอกแฟนนายให้ไปตกหลุมเสน่ห์มันจนหมดตัว นายจะเสียใจ ฉันเตือนด้วยความหวังดี”

เขาทิ้งท้ายเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนจะตบบ่าผมเบาๆ สองสามที ก่อนจะเดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนของเขา ขณะที่ผมได้แต่ยืนขาตายอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนขาหมดแรงไปเสียเฉยๆ จนพี่มะเหมี่ยวเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหาผมเอง

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่ากราฟ”

เสียงที่เอ่ยถามผมปะปนมากับความห่วงใยที่ผมรับรู้ได้ ผมจึงต้องเรียกสติของตัวเองให้กลับมาอีกครั้ง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเธอพร้อมข้อแก้ตัว

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร”

“แน่ใจนะ”

เธอยังคงไม่วางใจ จับจ้องผมด้วยสายตาเจือแววกังวล ผมจึงต้องยิ้มให้มากกว่าเก่า แม้จะรู้สึกว่าในอกมันหน่วงและหนักอึ้งราวกับถูกหินผูกถ่วงอยู่ภายใน ผมยื่นมือไปจับมือพี่มะเหมี่ยวเอาไว้ แสร้งทำตัวให้เป็นปกติที่สุด

“ไปหาอะไรกินกันเถอะครับ ผมเริ่มจะหิวจริงๆ แล้ว”

การเล่นละครของผมดูเหมือนว่าจะยังใช้ได้อยู่บ้าง เพราะพี่มะเหมี่ยวกลับมายิ้มให้ผมอีกครั้ง เราสองคนเดินไปยังโซนร้านอาหาร ผมให้เธอเลือกร้านที่เธออยากกิน ขณะเดียวกันก็เพียรพยายามคิดกับตัวเองว่าเวลาที่เหลืออยู่อีกนิดหน่อยสำหรับหน้าที่ของตัวเองในวันนี้ ผมจะต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุด เพื่อพี่มะเหมี่ยว

ทว่าความตั้งใจของผมก็ไม่ค่อยลุล่วงนัก หลายต่อหลายครั้งที่ผมได้แต่ครวญคิดไปถึงคนที่ไม่ได้อยู่ข้างกายในเวลานี้ คนที่ทำให้ผมรู้สึกกังวลจนใจไม่สงบ ผมอยากรีบกลับไปถามไนล์ให้ชัดๆ ว่าความจริงเป็นอย่างไร สิ่งที่ผมได้ยินมามันเป็นการเข้าใจผิดใช่ไหม ความคิดของผมวนเวียนอยู่แต่เรื่องนี้จนผมคิดอย่างอื่นไม่ออก กระทั่งลืมไปด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่

“กราฟ กราฟ”

“คะ ครับ”

ผมาะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงจากใครอีกคนแว่วมา

“เป็นอะไรน่ะ พี่เห็นเหม่อหลายทีแล้ว”

“ขอโทษครับ ผม...เผลอคิดอะไรนิดหน่อย”

รู้ว่าถึงจะโกหกไปก็ไม่มีความหมาย ในเมื่ออาการของผมแสดงออกชัดเจนถึงขนาดนี้ จึงตอบออกไปตามจริง แต่ก็ไม่ได้กระจ่างชัดนัก ถึงกระนั้นพี่มะเหมี่ยวก็ไม่ได้ซักไซถึงเหตุผล อาจด้วยเพราะรู้ว่าเธอเข้าใจขอบเขตของกันและกันก็เป็นได้ ผมจึงกล้าที่จะตอบเธอออกไป

“ไม่ดีเลยนะ มีสาวสวยอยู่ใกล้ๆ แบบนี้แต่กลับเหม่อคิดถึงคนอื่น”

เธอใช้หลังมือสะบัดปลายผมของตัวเองอย่างมีจริต แต่ก็ไม่ได้ดูเกินงามจนขัดตา ดูๆ แล้วก็ค่อนข้างจะน่ารักและเหมือนเธออยากจะกระเซ้าผมมากกว่าจะต่อว่ากันจริงๆ มุมปากของเธอเหยียดออกเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ผมแน่ใจว่ามีผู้ชายอีกหลายคนที่อาจจะตกหลุมรักเธอ

“ขอโทษด้วยครับ แล้วเสร็จจากนี่ พี่จะไปไหนต่อหรือเปล่าครับ”

ผมยิ้มให้เธอน้อยๆ รู้สึกผิดกับเธอนิดหน่อย ถึงจะรู้ว่าเธอไม่ตำหนิผมก็ตาม และเธอคงรับรู้ได้ถึงตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มที่ชัดเจนมากขึ้นและเย้าหยอกผมยิ่งกว่าเก่า

“คงไม่แล้วล่ะ ก็หนุ่มหล่อคนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่อยากเดทต่อแล้วนี่นา พี่ไม่อยากขังไว้หรอก เดี๋ยวจะหาว่าคนสวยใจดำ”

แทนที่จะเอ่ยขอโทษอีกครั้งให้เธอรำคาญใจ ผมเลยเปลี่ยนเป็นพยักหน้าน้อยๆ และเสนอตัวไปส่งเธอที่บ้านแทน ซึ่งเธอก็ตอบกลับมาว่า

“แน่นอนอยู่แล้ว ถึงจะเพิ่งหัวค่ำ แต่ก็อันตรายสำหรับสาวสวยๆ อย่างพี่มะเหมี่ยวน้า”

ทำให้ผมต้องเผลอยิ้มกับความสดใสของเธออีกรอบ แม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวก็ตาม

หลังจากไปส่งพี่มะเหมี่ยวที่บ้าน จุดหมายต่อไปของผมก็ไม่ใช่คอนโดของตัวเอง ผมมุ่งหน้าไปยังแมนชั่นเก่าๆ ของไนล์ คำตอบของเขาที่บอกว่าจะกลับไม่ดึกยังคงดังอยู่ในหูของผม

แต่ตั้งแต่กลับมาถึงห้องของไนล์ ใจของผมก็ยิ่งไม่สงบ รู้สึกกระวนกระวายไปหมดทั้งที่บอกตัวเองหลายครั้งว่าไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกแบบนี้เลย แต่คำพูดของคนที่ผมไม่รู้จักแม้แต่ชื่อยังคงวนเวียนอยู่ในหัวราวกับวนลูปซ้ำๆ และยิ่งจำนวนครั้งมากขึ้นเท่าไร หัวใจของผมก็ยิ่งพะวักพะวนถึงไนล์มากขึ้นเท่านั้น

เวลาแต่ละวินาทีเดินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผมได้แต่เฝ้ามองเข็มนาฬิกาที่หมุนซ้ำกลับมาทีเดิมไม่รู้กี่รอบต่ออีกรอบ พยายามห้ามนิ้วของตัวเองไม่ให้กดโทรศัพท์ไปหาไนล์ เพราะมันช่างไร้เหตุผลที่จะทำแบบนั้น และเปลี่ยนเป็นการหาสิ่งอื่นมาเบนความสนใจแทน

เกมในโทรศัพท์ถูกเปิดขึ้นมาเพื่อฆ่าเวลาทิ้ง เผื่อว่าบางทีมันจะช่วยให้ผมรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วมากขึ้น แต่ก็ไม่เลย มันไม่ได้ช่วยผมขนาดนั้น แม้กระทั่งการหยิบกีตาร์ออกมาเล่นเพื่อให้รู้สึกว่าสิ่งที่กรุ่นอยู่ในใจตกตะกอนลง มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคาดหวังเอาไว้แม้แต่น้อย

เมื่อไร เมื่อไร นายจะกลับมา?

ผมถามตัวเองซ้ำๆ อย่างนั้นราวกับว่ามันจะไปถึงใครอีกคนที่ผมกำลังรออยู่ แต่มันก็เป็นเพียงแค่ความหวังลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ผมอยากได้รับคำตอบในสิ่งที่ผมไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือไม่ และผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น อาจจะเป็นการเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตามแต่ ผมได้แต่บอกตัวเองแบบนั้น แต่ส่วนลึกๆ ในใจที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนก็ส่งเสียงคัดค้านว่ามันอาจจะเป็นไปได้

ไนล์ขายตัว...

เพียงแค่คำตอบนี้ดังขึ้นมาในใจ ผมก็รู้สึกหน่วงไปทั้งอก ผมถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่า แล้วยังไง แล้วมันยังไงเหรอ ในเมื่อมันคือชีวิตของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกทำในสิ่งที่ต้องการ แต่ผมก็ไม่สามารถหาคำตอบให้ตัวเองได้ ว่าทำไมผมจะต้องรู้สึกแบบนี้ ผมกำลังห่วงเรื่องอะไรกันแน่ ผมกำลังสับสนเรื่องอะไรอยู่ ในเมื่อผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย

ผมหาคำตอบไม่ได้

เขาทำให้ผมรู้สึกแบบนี้เสมอ

คนเพียงคนเดียวที่ทำให้ผมสับสนวุ่นวายเหมือนกับไม่เคยรู้จักตัวเองมาก่อน

ทั้งที่เขารู้จักผมมากมาย แต่ผมกลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย

หรือนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ค้างคาใจผมอยู่ก็ได้?

ผมอยากได้คำตอบ

ผมรอคอยไนล์อย่างอดทน แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยาก แต่ผมก็สามารถผ่านมันไปได้ กระทั่งสี่ทุ่ม เวลาที่ผมคิดว่าไนล์น่าจะกลับมา แต่เปล่าเลย ยังคงไร้วี่แววหรือสุ้มเสียงฝีเท้าที่ตรงมายังห้องนี้ เหมือนกับว่ามันกำลังจะทำลายความอดทนของผมอย่างไม่สนใจไยดี ผมจึงตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

เบอร์โทรศัพท์ของไนล์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมก่อนมันจะเปลี่ยนเป็นเสียงสัญญาณดังออกมาตามสาย ผมคาดหวังเอาไว้อยู่ในใจ อย่างน้อยให้ผมได้รับคำตอบว่าเขาจะกลับมาเมื่อไรก็ยังดี ทว่าสิ่งที่ตอบแทนการรอคอยของผมกลับเป็นเสียงสัญญาณว่าอีกฝ่ายไม่ได้เปิดเครื่องเอาไว้

ผมลองติดต่อดูอีกครั้ง บางทีสัญญาณจากทางเครือข่ายอาจจะไม่ดีก็ได้ แต่มันก็เป็นเพียงความคิดเพ้อพกของผม เสียงที่ตอบรับกลับมายังคงเป็นเสียงเดิม ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่หมดลงทันที

หน้าปัดนาฬิกากลายเป็นเป้าหมายของสายตาผม ผมกลับมาจ้องมองมันอีกครั้ง เข็มนาฬิกากระดิกไปอย่างเชื่องช้า แต่ลมหายใจของผมกลับผ่อนเข้าออกได้เชื่องช้ามากกว่าหลายเท่า

ผมเคยบอกตัวเองว่าผมเคยชินกับการรอคอยที่เจ็บปวดอย่างไร้จุดหมายมาแล้ว ความทรมานที่ต้องสูญเสียคนที่รัก ความรู้สึกราวกับหัวใจถูกฉีกทึ้งเป็นชิ้นจนเหลือเพียงเศษซากกองอยู่ที่เท้า ผมรับรู้ถึงรสชาตินั้นดีกว่าใครๆ เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันปวดร้าวมากมายแค่ไหน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่ชินกับการต้องมานั่งรอคอยใครบางคนแบบนี้

ทั้งที่ไม่ใช่คนที่ผมรักเหมือนอย่างมิ้น

แต่ผมก็ไม่สามารถนิ่งเฉยต่อการหายไปของเขาได้

กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่ผมได้แต่จมดิ่งลงไปในหลุมสีดำที่เหมือนกับมีแม่เหล็กอยู่ภายในนั้น มันฉุดร่างของผมให้ลึกต่ำลงไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมหายใจช้าลง แผ่วลง... พร้อมกับน้ำหนักของอะไรบางอย่างถ่วงในอกหนักขึ้น หนักขึ้น... จนผมไม่สามารถทรงตัวอยู่ได้

ร่างของผมทอดลงยังเตียงนอน กอดคู้ตัวเองอยู่อย่างนั้น นัยน์ตาถูกปิดทับด้วยเปลือกตา แต่กลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความฝันเกิดขึ้น สติยังคงหลงเหลืออยู่ราวกับไม่ต้องการพักผ่อนใดๆ ทั้งสิ้น

ผมอยู่ในสภาพนั้นอย่างเดียวดาย

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ท้องฟ้าเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเข้มจนเกือบเป็นสีดำเป็นสีที่สว่างขึ้น ดั่งจะมอบความหวังให้กับผู้คน แต่ผมในตอนนี้กลับไม่ได้รับความหวังนั้นเลย ความหวังนั้นเป็นของคนอื่น

ประตูห้องยังคงปิดเงียบ ไม่มีเสียงหรือแม้แต่การขยับนับตั้งแต่ผมก้าวเข้ามา ผมเหม่อมองมันอย่างอ่อนล้า ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังหน้าปัดนาฬิกาเหมือนก่อนหน้านี้ ตอนที่ผมยังมีเรี่ยวแรงและความหวังริบหรี่อยู่ในใจ

ไนล์ยังไม่กลับ...

...ตั้งแต่เมื่อวาน

ใจของผมร้อนรนยิ่งกว่าเดิม ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง โทรหาเบอร์เดิมที่เมื่อคืนผมได้ลองติดต่อเข้าไป ภาวนาอยู่ในใจให้ได้ยินเสียงของเขาแทนที่จะเป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้กับน้ำเสียงชืดชา ซึ่งในครั้งนี้ความหวังของผมก็เป็นจริง เสียงสัญญาณดังว่าโทรศัพท์ได้เปิดเครื่องแล้ว และมีคนกำลังรับสาย

ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

แต่เพียงครู่เดียว...

รอยยิ้มของผมก็หุบลงเหมือนคนหมดแรง

เสียงที่ตอบกลับมาไม่ใช่ไนล์

แต่เป็นเสียง...ของผู้หญิงคนหนึ่ง

[สวัสดีค่ะ ตอนนี้ไนล์ไม่สะดวกรับสายนะคะ]

“เอ่อ...” ผมอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง เพราะไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอย่างไร ผมไม่ได้เผื่อใจเอาไว้ว่าจะมีคนอื่นนอกจากเขารับสาย แต่สุดท้ายก็เค้นความคิดเดียวที่แวบผ่านเข้ามาในหัวออกมาเป็นคำพูดได้ “ไนล์ไปไหนล่ะครับ”

[ไนล์อาบน้ำอยู่ค่ะ เข้าไปได้สักพักแล้ว อีกแป๊บคงออกมาค่ะ จะถือสายรอไหมคะ เดี๋ยวจะได้บอกไนล์ไว้]

คำตอบของเธอทำให้ผมเหมือนหยุดหายใจไปชั่วครู่หนึ่ง ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าในตอนนี้ผมยังจำวิธีการหายใจได้อยู่หรือเปล่า ทั้งที่ผมรู้ว่าเขาเคยออกไปกับผู้หญิงหลายครั้งและหลายคน แต่เมื่อได้ยินชัดๆ เต็มสองหูว่าเขาอยู่กับเธอ...ทั้งคืน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวผมก็ราวกับหยุดนิ่งอยู่กับที่

อยู่ๆ ผมก็นึกถึงชื่อของเจ้าของเสียงนี้ขึ้นมาได้ คนที่โทรมาขอนัดกับไนล์

ในเวลานี้ผมรู้สึกว่าเสียงของตัวเองแหบแห้งลงไปอย่างไร้สาเหตุ ลำคอของผมแห้งผากจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำพูดได้ สิ่งเดียวที่ผมทำในตอนนี้คือกดตัดสายไปพร้อมกับความรู้สึกปวดหนึบในหัวใจ และเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินลอดผ่านหูโทรศัพท์เข้ามาเป็นเสียงของไนล์

เหมือนกับจะยืนยันว่า... ผมไม่ได้เข้าใจผิดไปเองแม้แต่นิดเดียว

[ทำไมรับโทร...]

เสียงของไนล์หยุดไปโดยยังไม่จบประโยค เช่นเดียวกับเรี่ยวแรงของผมที่หมดลง ผมวางโทรศัพท์ลงบนที่นอน แต่คล้ายว่ามันจะหลุดออกจากมือผมก่อนที่จะวางมันเสียด้วยซ้ำ หัวสมองของผมมึนตื้อไปหมดจนคิดอะไรไม่ออก ประโยคเมื่อครู่ของไนล์ยังดังก้องอยู่ในหัวผมไม่เลิก

ทั้งที่ผมไม่อยากเชื่อ บอกตัวเองมาตลอดทั้งคืนว่ามันคงไม่ใช่ ถึงต่อให้อับจนหนทางแค่ไหน ไนล์คงไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแบบนั้น แต่แล้วก็เหมือนทุกอย่างพังทลายลง

แล้วถ้าอย่างนั้น... ไนล์เข้ามาในชีวิตของผมเพื่ออะไร?

คำถามเดิมที่ผมไม่เคยได้รับคำตอบไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้งย้อนกลับเข้ามาในหัว ก่อนหน้านี้ผมอาจจะอยากรู้เหตุผล ผมจะได้จัดการกับมันได้ แต่เวลานี้ มันเหมือนเครื่องทรมานชิ้นดีที่เขายัดเหยียดให้

เขาเข้ามาทำให้ผมสับสน

ทำให้ผมวุ่นวายใจ

ทำให้ผมร้อนรน

ทำให้ผม...เหมือนจะ............ชอบเขา

แต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าเขารู้สึกอย่างไรกันแน่

ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนที่นอน ที่นอนแคบๆ ที่ผมกับเขาเคยนอนหันหลังชนกัน ...ที่ที่เขาเคยกอดผม

ทุกอย่างเหมือนภาพลวงตา

เปลือกตาปิดลงช้าๆ กล่อมตัวเองให้เข้าสู่ห้วงแห่งความฝันเพื่อให้พ้นจากความสับสนนี้ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่สามารถข่มตาลงได้ ไม่ต่างจากเมื่อคืน ได้แต่ปิดตาและหายใจทิ้งเพื่อข้ามผ่านเวลาไปเรื่อยๆ

กระทั่งเสียงประตูดังขึ้น ผมไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรหลังจากผมวางสายโทรศัพท์นั้น หรือตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว ร่างที่เหมือนจะหมดเรี่ยวแรงอยู่ๆ ก็ราวกับได้รับพลังมหาศาลขึ้นมาในบัดดล ผมผุดตัวขึ้นนั่งทันที สายตาจ้องมองไปยังบานประตูที่ค่อยๆ แง้มออกจากวงกบ

ร่างของคนที่ผมรอคอยมาตั้งแต่เมื่อคืนปรากฏผ่านกรอบประตูเข้ามา สีหน้าของเขายังคงนิ่งเฉย เฉื่อยชา ราวกับไร้ชีวิตและไร้ความรู้สึกเช่นเดิม

ผมนึกประโยคแรกที่จะพูดกับเขาไม่ออก

ช่วงเวลานั้นเหมือนเวลาหยุดเดินลง ผมได้แต่มองใบหน้าของเขา ขณะที่เขาก็มองผมเช่นเดียวกัน และสุดท้ายก็ไม่ใช่ผมที่เป็นคนเอ่ยปากขึ้นมาก่อน เพราะเราเอาแต่มองหน้าและไม่มีเสียงใดๆ ลอดผ่านริมฝีปากของผมเลย

“มีอะไร”

“นาย...” ผมหยุดคำถามว่า นายไปที่ไหนมา เอาไว้เท่านั้น เพราะรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมมีสิทธิ์จะไปซักไซ้ไล่ถาม ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วเปลี่ยนเป็นคำถามที่ดูเหมาะสมกว่าแทน “ไหนบอกว่าจะกลับไม่ดึก”

“พอดีมีเหตุนิดหน่อย”

ไนล์กลับมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าหรือน้ำเสียงเลยสักนิด ทั้งใบหน้าและน้ำเสียงของเขายังไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนเดิม จนผมไม่แน่ใจว่าเพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือเพราะว่าผมไม่สามารถจับความเปลี่ยนแปลงได้กันแน่ แม้พักหลังมานี้ผมจะรู้สึกว่าพอจะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของเขาขึ้นมาได้บ้าง ถึงจะเล็กน้อยจนแทบเรียกได้ว่าเข้าใจไม่ได้ก็ตาม แต่ผมก็ยังรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทว่าไม่ใช่สำหรับเวลานี้ และมันก็กวนให้อารมณ์ที่ผมใช้เวลาทั้งคืนในการทำให้มันตกตะกอนลงไป ฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง ปากของผมพ่นคำพูดออกไปเร็วกว่าความคิด

“กับผู้หญิงคนที่รับโทรศัพท์อย่างนั้นเหรอ”

รู้สึกได้เลยว่าไนล์ชะงักไปนิด ผมคงจะพูดโดนจุดของเขาเข้า ริมฝีปากสีพีชขบเข้าหากันหน่อย ดังจะตอกย้ำความคิดของผมให้ลึกลงไปกว่าเดิม เหมือนจมอยู่ในบ่อโคลนมากยิ่งขึ้น

“ไม่กลับทั้งคืน อยู่กับผู้หญิง อาบน้ำตั้งแต่เช้าตรู่ จะให้ฉันคิดยังไง”

ความมีเหตุผลของผมมันปลิวกระจายหายไปหมดแล้ว ผมรู้สึกถึงความร้อนที่กรุ่นอวลอยู่ในร่างและสุ่มอยู่ในอกขึ้นมาฉับพลัน น้ำเสียงที่เปล่งออกมาห้วนกว่าปกติจนรู้สึกได้ แต่ผมก็ไม่ได้ปรามให้ตัวเองใจเย็นลงเลย เพราะรู้ว่าหากผมยังทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ทุกอย่างก็จะเป็นเหมือนเดิม ย่ำอยู่บนโคลนอยู่อย่างนั้นให้ตัวผมค่อยๆ จมลึกลงไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ถอนตัวออกมาไม่ขึ้น ซึ่งผมไม่ต้องการอีกแล้ว

แต่คำตอบของผมกลับไร้คำตอบ ไนล์เมินผมไปราวกับว่าเป็นผมเสียเองที่กลายเป็นธาตุอากาศ ไม่มีชีวิตอยู่ในห้องนี้แทนที่จะเป็นเขาอย่างทุกที เขาเดินตรงไปยังประตูระเบียง เปิดประตูออกและคว้าพู่กันที่วางเอาไว้ตรงโต๊ะใกล้ๆ เพื่อจะกลับไปสู่โลกแห่งความสงบของเขา แต่ว่าผมก็คว้าแขนเขาเอาไว้พร้อมกับกระชากร่างผอมบางนั้นกลับเข้ามาในห้อง

“อย่าหนี”

“...”

ไนล์ยังคงเงียบ เขามองหน้าผมอย่างเลื่อนลอย ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่มีตัวตน สามารถมองทะลุไปได้ แววตาของเขาไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย จึงยิ่งทำให้อารมณ์ของผมพัดกระพือขึ้นมาอีกโหมใหญ่

“บอกฉันมาสิว่านายไม่ได้ทำแบบนั้น”

“...”

“ไนล์”

ผมกดเสียงต่ำ เรียกชื่อของเขาด้วยความคุกรุ่นอย่างไม่ปิดบัง จ้องมองดวงตาของเขาเพื่อบีบเค้นให้เขายอมเปล่งเสียงออกมา และในที่สุดมันก็สำเร็จ เสียงของไนล์แผ่วหวิวจนแทบไม่ได้ยิน

“...ฉันทำอะไร”

“ยังต้องให้ฉันถามออกมาชัดๆ อีกอย่างนั้นเหรอ”

“ถ้านายไม่พูด ฉันจะรู้ได้ยังไง”

เขายังตอบกลับมาเหมือนกับไม่รู้เรื่องอะไรแม้แต่น้อยได้อย่างแนบเนียน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเผลอออกแรงที่มือมากขึ้น บีบแขนของเขาจนรู้สึกได้ถึงกระดูกที่อยู่ข้างใน ถึงแม้ว่าแขนนั้นจะผอมจนแทบไม่มีเนื้ออยู่แล้วก็ตาม

“ฉันถามจริงๆ เถอะ นาย...” ผมกลืนน้ำลายหนืดๆ ก้อนใหญ่ลงคอ พยายามเปล่งเสียงออกมาให้ดังและชัดเจนที่สุด แต่สิ่งที่เล็ดลอดออกมากลับเบาจนแทบปลิวหายไปหากถูกลมพัด “ขายตัวใช่ไหม”

คำถามของผมถูกหยุดเอาไว้ เช่นเดียวกับคำตอบของเขาที่ควรจะหลุดออกมา ไนล์เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ความเงียบสอดแทรกเข้ามาตรงกลางระหว่างเราเนิ่นนานนับนาที เขาไม่พูด ผมหยุดพูด มีแต่ความเงียบที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา ถึงกระนั้นผมก็ยังจับจ้องเขาไม่วางตา ในเวลานี้ความหม่นมัวที่เคลือบอยู่บนแววตาของเขาเปลี่ยนเป็นความสั่นไหว มันค่อยๆ ระริกมากขึ้นจนผมรู้สึกได้ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกกลัว...อย่างไร้เหตุผล

หัวใจของผมสั่นไหวเหมือนถูกเขย่า เย็นวูบราวกับถูกไอเย็นพัดผ่าน

“เอาอะไรมาพูด”

สุดท้ายไนล์ก็ยอมเปิดปากออกมาอีกครั้ง หลังจากเราต่อสู้ด้วยความเงียบจนเขาต้องพ่ายแพ้ แต่มันเป็นคำตอบที่ผมไม่ต้องการ

“อย่าเฉไฉ”

“นายเอาเรื่องแบบนี้มาจากไหน”

“เขารู้กันทั่วคณะนายไม่ใช่เหรอ”

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่เหมือนว่าเขาจะชะงักไปทันที คงไม่คิดว่าผมจะไปได้ยินข่าวลือจากคณะของเขา เพราะถึงเพื่อนสนิทของผมจะอยู่คณะวิศวะเหมือนกับไนล์ แต่ก็นับครั้งได้ที่ผมจะเหยียบย่างไปที่คณะนั้น คงไม่มีทางอยู่แล้วที่ผมจะรู้ และไอ้กัสกับไอ้เคลมก็ไม่ใช่คนที่จะสนใจเรื่องข่าวลือของผู้ชายแล้วเอามาเล่าต่อด้วย

“ตอบมาสิว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด นายไม่ได้ทำแบบนั้น” มันเหมือนกับคำพูดขอร้องอ้อนวอนของคนที่ไม่ยอมรับความจริง แต่เปล่าเลย ผมจบคำพูดของตัวเองด้วยการต่อประโยคที่คงทำให้ร่างกายที่เหมือนจะโปร่งแสงของเขายิ่งเลือนรางไปอีก “ถ้ากล้าพอ”

เราท้าทายกันด้วยแววตา ผมจ้องตา เขาไม่หลบสายตา มือของผมยังกำแขนของเขาเอาไว้ไม่ปล่อย ขณะเดียวกันเขาก็ไม่สะบัดมือของผมออกคล้ายกับจะบอกว่าไม่เกรงกลัวต่อการเผชิญหน้า

แววตาที่ไหวระริกเมื่อครู่ของเขาเริ่มเปลี่ยนไปอีกครั้ง มันเป็นประกายแรงกล้าขึ้น สะท้อนถึงความมีชีวิตที่สูง มากกว่าครั้งไหนๆ ที่ผมเคยเห็น ไนล์ขยับตัวเข้ามาใกล้ผม เชิดใบหน้าเรียวขาวนั่นเพื่อประจันกัน

“ใช่ ฉันขายตัว แล้วยังไง”






อ่านต่อข้างล่าง

v

v

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 29-06-2015 00:00:23
ต่อจากข้างบน

v


v

ผมชะงักไปครู่หนึ่ง จ้องมองแววตาของเขาส่องสะท้อนความท้าทาย คล้ายต้องการแสดงให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่ามันเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้สึกใดๆ นอกจากมั่นใจกับการกระทำนั้น ชั่ววินาทีนั้น เหมือนกับว่าผมหงายหลังตกลงไปในเหวลึก เสียงเหือดหายไปราวกับทิ้งดิ่งลงยังก้นเหวก่อนที่ตัวของผมจะตกลงไปเสียด้วยซ้ำ จนผมต้องเค้นมันออกมาอีกครั้ง

“นายทำแบบนั้นทำไม”

“แล้วทำไมฉันจะทำไมได้”

“นายไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง ที่เที่ยวไปเร่ขายตัวให้คนอื่น”

ผมเถียงกลับทั้งที่รู้สึกว่ากำลังถูกอะไรบางอย่างเสียดแทงร่างเพราะประโยคสุดท้าย

“ฉันจำเป็นต้องรู้สึกอะไรด้วยหรือไง”

“ไนล์!”

ทนไม่ไหว ผมทนไม่ไหวจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ผมสามารถตะโกนออกมาเสียงดังได้แบบนี้ตั้งแต่เขาก้าวเข้าห้องมา ความรู้สึกไม่พอใจโจมตีเข้ามาในใจผมอย่างรุนแรง ใบหน้าร้อนวูบเหมือนโดนไฟลาม รู้สึกถึงแววตาของตัวเองที่เขม็งมองเขามากกว่าเดิม แต่ไนล์ไม่สะทกสะท้าน เขามองผมด้วยแววตาที่ด้านชา

“ทำไม หรือว่านายอยากจะซื้อฉันด้วยเหมือนกัน”

“ไนล์!!”

เสียงของผมตะเบ็งดังกว่าเดิม แต่ก็ไม่ทำให้เขาเปลี่ยนจุดยืนของตัวเอง ไนล์ดึงแขนของผมจนมือที่บีบแขนเขาอยู่หลุดออกไป ก่อนจะผลักผมอย่างแรงจนหงายหลังลงกระแทกที่นอนซึ่งอยู่ไม่ห่างนัก แล้วตามมาขึ้นคร่อมผมเอาไว้

“จะทำอะไร”

“บริการไง อยากจะซื้อฉันใช่ไหมล่ะ”

ดวงตาของผมลุกโพลงกับคำตอบที่ย้ำชัดอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงหดหายไปชั่วครู่เพราะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ยินคำตอบแบบนี้ กว่าจะรู้ตัวอีกทีเข็มขัดของผมก็กำลังถูกปลดออก ผมดันไหล่ของไนล์ออกเพื่อให้เขาพ้นออกไปจากตัว ทว่ามันไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะเขาเลื่อนลงตัวต่ำอีกนิดเพื่อให้ผมเอื้อมถึงเขาได้น้อยที่สุด จากนั้นปลดกระดุมกางเกงยีนของผม และกระชากกางเกงทั้งชั้นนอกและชั้นออกอย่างไม่ไยดี จนมันหลุดไปกองอยู่เหนือเข่า

ผมดันร่างท่อนบนขึ้นเพื่อออกแรงผลักเขาได้มากขึ้น แต่จุดที่อยู่กึ่งกลางของร่างของผมกลับถูกเขาคว้าเอาไว้ก่อน ผมจึงต้องใช้เสียงห้ามปราม

“ไนล์ หยุด!”

แต่เขาไม่ฟัง มือของไนล์เริ่มขยับ เขาเกลี่ยที่ส่วนปลายก่อนจะรูดรั้งส่วนที่ยังไม่ตื่นขึ้นมาของผม จนผมต้องกัดปากแน่นแล้วรีบผลักเขาออกก่อนที่อะไรๆ จะลุกลามมากไปกว่านี้

“ไนล์ ฉันบอกให้ปล่อย อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่ต้องการ”

“หรือว่าอยากให้ฉันบริการอย่างเต็มที่มากกว่านี้ล่ะ ได้ ไหนๆ ก็เป็นคนคุ้นเคยกันอยู่แล้วนี่ ฉันจะเต็มที่กับนายเลย”

แทนที่จะฟังกันบ้างหรือว่าผ่อนปรนสิ่งที่ทำอยู่กลับกลายเป็นว่าเขาละมือออกจากส่วนนั้นของผมแล้วครอบปากลงไปแทน ผมตาเหลือกโพลงแทบจะอ้าปากค้างกับเหตุการณ์ที่ไม่นึกไม่ฝัน และมันก็ทำให้ผมยิ่งบังคับตัวเองให้สงบนิ่งต่อไปได้ยากขึ้น ลมหายใจของผมเริ่มติดขัดทีละนิด ส่วนที่ควรที่จะอ่อนปวกเปียกกลับค่อยๆ ขืนตัวขึ้นทีละน้อยภายในอุ้งปากอุ่นชื้น

ลิ้นร้อนๆ ลากเลียไปตามความยาวของมันพร้อมกับปากอุ่นที่พยายามดูดกลืนตัวตนของผมเข้าไป ราวกับจะรีดเค้นอะไรบางอย่างที่ซ่อนเอาไว้อยู่ลึกๆ ให้พุ่งทะยานออกมา ผมตัวเกร็ง กลั้นหายใจไปชั่วครู่ ร่างกระตุกเมื่อถูกหยอกเย้ายังส่วนปลายที่ผมรู้สึกว่าน้ำบางอย่างกำลังเอ่อขึ้นมาผสมกับน้ำลาย

ริมฝีปากของไนล์ถูไถไปกับท่อนเนื้อของผมเป็นจังหวะ ขณะที่ปลายลิ้นก็ดุนดันสลับตวัดหยอกไปด้วยจนผมขนลุกซู่ไปทั่วร่าง สติยั้งคิดที่อยากจะผลักไสอีกฝ่ายออกเริ่มรางเลือน ถึงกระนั้นผมก็ยังข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ให้มากที่สุดแม้ว่าสัญชาตญาณดิบจะยังแสดงออกอย่างสวนทาง

ความฉ่ำเยิ้มเอ่อรินออกมามากขึ้นโดยที่ไม่ต้องเห็นก็รู้ตัวได้ เสียงเฉอะแฉะสะท้อนอยู่ในห้องเงียบๆ ที่อยู่ปลายสุดของแมนชั่นเก่าๆ ไนล์ยังคงบรรจงเล่นสนุกกับร่างกายของผม จนผมหายใจกระตุกเป็นห้วงๆ หน้าท้องหดเกร็งจนเห็นเป็นลอนคลื่น ผมยื่นมือที่กำแน่นเพราะพยายามขัดขืนธรรมชาติของลูกผู้ชายอย่างสุดกำลังและออกแรงผลักไนล์อย่างสุดแรง

“พอแล้ว!!”

ปากของไนล์หลุดออกไปแล้ว ผมเป็นอิสระ ทว่าเขายังไม่เลิกล้มความตั้งใจ สีหน้าที่ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ นั้นขยับเข้ามาใกล้ผมอีกครั้ง ไนล์มองหน้าผมโดยไม่ละสายตาขณะที่มือของเขาเริ่มปลดเปลื้องกางเกงของตัวเอง

“จะทำอะไร”

ผมถาม แต่เสียงกลับดังก้องอยู่เพียงแค่ในลำคอ จนเหมือนว่าเขาไม่ได้ยิน ผมจึงฉุดตัวลุกขึ้นแทน แต่ก็ไม่ทัน เพราะเขาผลักผมลงล้มลงไปนอนบนเตียงอีกครั้งก่อนจะคร่อมผมอีกรอบตามด้วยประกบปากลงมา

ลิ้นที่เมื่อครู่เพิ่งปรนเปรอผมโดยที่ผมไม่เต็มใจสอดเข้ามาในปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว มันกวาดต้อนภายในพร้อมกับดูดดึงกลีบปากของผมไปด้วย นานอยู่หลายวินาทีกว่าที่ไนล์จะยอมปล่อยให้ผมได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขากระตุกยิ้มเบาๆ จนแทบจะไม่เห็นและเอื้อนเสียงออกมา

“ถ้าอยากได้ก็จะให้”

ผมไม่เข้าใจแม้แต่น้อย คำพูดของเขากลับมาทำให้ผมสับสนและมึนงงอีกครั้ง แต่มันก็เพียงครู่เดียวที่ผมรู้สึกอย่างนั้น เพราะไนล์บดริมฝีปากสีพีชที่เข้มขึ้นกว่าปกติลงมาที่ปากของผมอีกรอบ มันแนบแน่นยิ่งเดิม ดื่มด่ำมากกว่าที่เคย ผมพยายามเกร็งลิ้นเอาไว้ให้แข็งมากที่สุดเพื่อไม่ให้คล้อยตามไปกับการชักนำของเขา แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ พยายามงัดก้อนหินในปากของผมให้อ่อนลงทุกที ก่อนที่ผมจะรู้สึกอะไรบางอย่าง และมันก็ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างแทบถล่น

“อาย!!”

ผมตะโกนออกมา แต่เพราะถูกปิดปากเอาไว้แน่นมันจึงออกมาได้เพียงเสียงอู้อี้เท่านั้น สิ่งที่ผมเห็นมีเพียงตาของเขาที่ปิดลง มันไม่ชัดนักเพราะอยู่ใกล้มากเกินไป สองมือของผมพยายามดันร่างที่ทับอยู่บนตัวให้มากที่สุด ดิ้นรนราวกับจะเอาชีวิตรอด ตะเกียกตะกายอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สิ่งที่กำลังกดทับลงมากลับไม่ห่างออกไป มิหนำซ้ำมันยังส่งกำลังมากขึ้นกว่าเดิม

ปลายยอดที่ฉ่ำแฉะอย่างไม่เต็มใจนั้นกำลังถูกบีบรัดทีละนิด ขณะเดียวกันปากที่บดลงมาก็ยิ่งขยี้หนักขึ้น มันบดหนักเคล้ากับดูดดึงราวกับจะกลืนกินจนผมรู้สึกว่าได้กลิ่นคาวของเลือด แต่ไนล์ก็ไม่ยอมจะปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ พอผมดันไนล์จนริมฝีปากเราผละออกจากได้ เขาก็กดมันลงมาอีกครั้ง หลายต่อหลายครั้งที่มันวนเวียนอยู่แบบนี้

จากทีแรกที่ริมฝีปากกดทับลงมาก็กลับกลายฟันของเขากระทบลงมาแทน พร้อมกับร่างของผมถูกบีบรัดมากขึ้นเรื่อยๆ มันทั้งเจ็บและทรมานจนผมเริ่มหายใจไม่ออก แต่ปากของผมก็ไม่ถูกปลดปล่อยออกมา กลิ่นสนิมเหล็กคลุ้งมากขึ้นจนผมรู้สึกได้ถึงรสชาติของเลือด

ผมรอจังหวะที่ไนล์ผละปากออกมาจากผมนิดหน่อยเพื่อหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด ยกมือขึ้นมาปิดปากเขาเอาไว้ ไนล์ซึ่งไม่สามารถใช้มือมากระชากมือผมออกจากปากของเขาได้ เพราะกำลังใช้มันในการบีบบังคับให้ร่างกายของเราเชื่อมต่อกัน จึงหันไปสนใจกับส่วนล่างเพื่อให้การกลืนกินผมเข้าไปอย่างยากลำบากนั้นดำเนินต่อไปมากขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็กัดปากของตัวเองแน่น จนมือของผมรู้สึกได้

ผมไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปได้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเข้าไปในตัวเขาทั้งอย่างนี้

คิดดังนั้นแล้วผมจึงใช้โอกาสนี้ในการผลักตัวเขาออกไป จนในที่สุดผมก็หลุดพ้นจากพันธนการของเขา ไนล์ล้มลงไปทางด้านหลัง ทำให้ส่วนที่สอดแทรกอยู่ในกายเขาไม่ถึงครึ่งหนึ่งหลุดออกมา เราต่างเป็นอิสระต่อกัน และผมก็เห็นว่าบนริมฝีปากของเขามีเลือดซึม

“อยากซื้อฉันไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่ใช้ให้คุ้มค่าซะล่ะ ฉันคิดค่าตัวแพงนะ เอาให้มันคุ้มกับที่นายต้องจ่ายซะสิ”

ไนล์ลุกขึ้นมานั่งคร่อมผมอีกครั้ง ประจันหน้ากับผมที่ดันตัวขึ้นมานั่งแล้วเช่นเดียวกัน เขามองหน้าผมโดยที่พูดอย่างนั้นโดยไม่แม้แต่กะพริบตา

“หรือไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ กลัวฉันเอานายไปเปรียบเทียบกับลูกค้าคนอื่นหรือไง หรืออยากให้ฉันเล่าว่าตอนถูกลูกค้ากระแทกเข้ามาแรงๆ ฉันมีความสุขมากแค่ไหน”

อารมณ์ที่ปรับให้สงบลงของผมเหมือนโดนคลื่นลูกใหญ่ซัดโถมเข้ามาเพราะคำพูดของเขา เพียงแค่คิดว่าเขาเคยปรนเปรอใครต่อใครด้วยร่างกายนี้ก็ทำให้ผมเริ่มมีน้ำโห จากตอนแรกที่อยากจะหยุดเรื่องบ้าๆ นี่ที่ผมไม่ต้องการแม้แต่น้อยลงไป

“ถ้าทำไม่ได้ นายก็ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายว่าฉันจะขายตัวให้ใคร ฉันจะขายให้ใครก็ได้ที่เขามีเงิน แต่ถ้าทำให้ฉันมีความสุขได้ ก็ยิ่งดี ต่อให้ทำมากเท่าไร...”

ไม่ต้องรอให้ไนล์พูดจบประโยคอีกต่อไปแล้ว ผมโถมเข้าใส่เขาแทน พลิกร่างของเขาที่อยู่ข้างบนให้กลับมาอยู่ข้างล่าง ก่อนจะประกบปากลงไปบดเบียดเรียวปากที่พ่นคำพูดระคายหูจนอกของผมแทบจะระเบิดอย่างรุนแรง สองมือของผมช่วยกันถอดเสื้อยืดที่เขาสวมอยู่ออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ไนล์เองก็ไม่ได้ห้าม เขาตอบรับจูบร้อนๆ จากผมให้มันยิ่งรุ่มร้อนหนักกว่าเก่าจนกลิ่นคาวก่อนหน้านี้หายไป

สติยั้งคิดใดๆ ของผมหมดสิ้นลงไปแล้ว ผมหน้ามืดตามัวเล็มไล้ยอดอกของเขาอย่างหิวกระหาย ดูดเลีย เกี่ยวตวัดยอดนิ่มๆ นั่นจนมันเริ่มขืนตัวจนแข็งมากขึ้น ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปซุกไซ้ที่ซอกคอชื้นเหงื่อที่ผสมกับกลิ่นสบู่ พอได้กลิ่นนั้นแล้วก็ทำให้ความร้อนในตัวผมยิ่งโหมกระพือจนทนไม่ไหว ไม่อยากคิดจินตนาการไปว่าเมื่อคืนไนล์กับผู้หญิงคนนั้นเร่าร้อนกันแค่ไหน เพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกจะเป็นบ้าแล้ว

ปากของผมขบเม้มดูดแรงๆ ที่ต้นคอของไนล์จนเกิดเป็นรอยสีแดงจัด เสียงครางอื้อเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากกลีบปากที่ขบกันแน่นราวกับไม่อยากให้ผมได้ยินเสียงน่าอายนั้นสะท้อนก้องในหู ผมจึงไล่ปากต่ำลงมาและประทับร่องรอยเรื่อยมาตามทางที่ปากลากผ่าน ทั้งกลางอก เนินเนื้อแบนๆ ที่แทบไม่มีกล้ามเนื้อนูนขึ้นมาเลยแม้แต่น้อยนั่น กระทั่งหน้าท้องเรียบจนเกือบจะเป็นแอ่งลงไปเพราะร่างกายที่ผอมบาง

ส่วนกลางร่างกายที่ผงาดขึ้นมาและเปียกเปื้อนด้วยคราบสีขุ่นนั้นอยู่ต่อหน้าผม ผมจับมันขึ้นมารูดเบาๆ แต่เท่านั้นก็ทำให้ร่างกายของไนล์กระตุกแล้ว ถึงผมจะไม่เคยทำแบบนี้ให้ใคร แต่ก็ใช่ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำแบบไหนถึงจะทำให้ผู้ชายมีความสุขจนสำลัก ผมเกลี่ยปลายนิ้วลงบนจุดบนสุดไปรอบๆ และเน้นย้ำตรงกลางที่มีรูเล็กๆ จนน้ำที่เอ่ออยู่แล้วยิ่งล้นออกมา

“อื้อ”

เสียงของไนล์ดังออกมาอีกครั้งและดังขึ้นกว่าเดิมคล้ายกับว่าเขาเริ่มจะทนไม่ไหว ผมจึงเปลี่ยนมากอบกุมลำแท่งนั้นไว้แล้วรูดขึ้นลงเป็นจังหวะอย่างหนักหน่วง

ร่างกายของไนล์สั่นเทา บิดเร่าไปมา เสียงในลำคอเปล่งออกมาเรื่อยๆ ราวกับคนกำลังทรมานและอัดอั้น ก่อนทั้งร่างจะกระตุกสั่นพร้อมกับสายน้ำทะลักออกมาจนแทบกระเซ็นใส่หน้าของผม เสียงหอบหายใจกังวานในห้องแคบๆ นี้ มันหลอนประสาทผมจนรู้สึกปวดหนึบที่จุดรวมประสาท เมื่อรวมกับภาพเบื้องหน้าที่ใครอีกคนกำลังหอบสะท้านจนอกกระเพื่อมขึ้นลงแรงๆ ใบหน้าที่ปกติไม่ค่อยมีความเปลี่ยงแปลงกลายเป็นสีชมพูระเรื่อ เหงื่อเกาะพราวจนเห็นเป็นเงา ผมก็เริ่มที่จะทนต่อไปไม่ไหว

ก้อนอะไรบางอย่างที่กีดขวางในลำคอถูกกลืนลงไปโดยที่ผมไม่ได้บังคับมันด้วยซ้ำ สองมือของผมจัดการดันขาทั้งสองข้างของไนล์ให้ตั้งชันขึ้นโดยที่ผมไม่ได้สั่ง เปิดทางให้ผมเห็นส่วนด้านหลังที่ก่อนหน้านี้ไนล์พยายามใช้มันเล่นงานผม ผมมองมือตัวเองที่เปรอะเลอะคราบขุ่นๆ ก่อนจะนำคราบเล่านั้นไปละเลงลงยังจุดที่จะให้ผมสอดแทรกกายเข้าไป แต่ดูท่าแล้วมันคงจะไม่เพียงพอ เพราะรู้แล้วว่าผมคงไม่สามารถเข้าไปตัวเขาได้หากไร้ตัวช่วย

ผมมองหาของอะไรบางอย่างที่จะพอใช้ได้ ผมไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อน เลยไม่รู้ว่ามันจะใช้ได้ไหม แต่ผมก็หยิบโลชั่นกันแดดที่ผมเอามาทิ้งไว้ที่นี่ซึ่งอยู่ไม่ห่างมือนักมา บีบของเหลวมันลื่นนั่นใส่เต็มมืออย่างไม่เสียดาย ก่อนจะอาบชโลมมันไปยังเส้นทางที่ผมจะเข้าไปต่อจากนี้ พลางใช้นิ้วมือที่เลอะโลชั่นลื่นๆ นั้นกวาดวนไปทั่วส่วนที่ผมไม่เคยสัมผัสกับมันมาก่อนจนมันเริ่มขยายตัว จากที่เคยขืนแข็งก็อ่อนลง

“อะ...อื้อ”

ภายในตัวของไนล์บีบรัดนิ้วของผมเป็นพักๆ ขณะเดียวกันสะโพกของเขาก็ขยับไปด้วย เสียงร้องเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากปากของเขาเป็นระยะ จนร่างกายของผมตื่นตัวมากขึ้นอย่างรู้สึกได้

เมื่อเห็นว่ามันน่าจะพอใช้ได้เพราะเปียกชุ่มด้วยน้ำสีขาวและนุ่มลงแล้ว ผมก็ค่อยๆ จับส่วนนั้นของผมเข้าไปใกล้ ออกแรงดันมันเข้าไปยังหลุมลึกที่รออยู่ตรงหน้าจนไนล์สะดุ้ง แต่มันเข้าไปง่ายกว่าที่คิด ผมจึงดันเข้าไปอีกเรื่อยๆ แม้ว่าจะมีแรงฝืนต้านอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ยากลำบากนัก ถึงกระนั้นมันก็ทำให้ผมแทบกลั้นหายใจ

ไนล์กระชากผ้าปูที่นอนด้วยสองมือที่วางอยู่ราวกับทุกข์ทรมานแต่ผมไม่ได้สนใจ สอดกายเข้าไปให้ลึกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่มือทั้งสองข้างก็ดันต้นขาของเขาให้อ้าออกกว้างมากขึ้นเพื่อให้ผมทำสิ่งที่กำลังทำอยู่ได้สะดวกยิ่งขึ้น กระทั่งผมเข้าไปได้จนสุด ผมก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เช่นเดียวกับไนล์ที่ผ่อนแรงลงจากมือทั้งสอง

แต่พักเพียงแค่ครู่เดียว ผมก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง สวนแรงกระแทกเข้าไปในร่างของเขา เริ่มจากจังหวะที่ค่อนข้างทุลักทุเลในคราวแล้ว เพราะเพียงผมดันตัวเข้าไป แรงบีบรัดก็ทำให้ผมเสียจังหวะไปทุกที แต่ผมก็กลับมาตั้งลำใหม่แล้วส่งแรงออกไปอีกครั้ง ก่อนจะถอนกลับออกมาจนเกือบสุดแล้วย้ำน้ำหนักเข้าไปอีก... แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ จากที่กระท่อนกระแท่นจึงค่อยๆ กลายเป็นจังหวะที่สอดประสานรับกันดีมากขึ้น

ผนังนุ่มที่ตอดรัดผมอยู่ทำให้ผมไม่สามารถหยุดการกระทำของตัวเองลงได้ ยิ่งไนล์บีบรัดผมมากเท่าไร ผมก็ยิ่งโหมกระหน่ำอารมณ์มากขึ้นเท่านั้น เขาเองก็เช่นเดียวกัน ยิ่งผมโถมซัดด้วยการรุกเร้าที่มากขึ้น สะโพกของเขาก็โยกคลอนไปตามจังหวะของผมและเบียดร่างให้ชิดกันยิ่งกว่าเดิม

ร่างของเราเสียดสีกันทั้งภายในและภายนอก ทั้งเสียงหอบครางและเสียงเนื้อกระทบกันของเราทั้งคู่ดังเป็นจังหวะผสานสลับ สะท้านก้องไปทั่วทั้งห้อง ใบหน้าร้อนผ่าว โคนผมเปียกชื้น เหงื่อหยดกระเซ็นทุกครั้งที่ขยับร่างกายเข้าหากันและกันอย่างบ้าคลั่งราวกับอดยาก ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างจะรวบรวมมาจดจ่ออยู่เพียงที่เดียวและระเบิดออกมา ไนล์บีบเคล้นผมหนักกว่าเดิมเพราะไม่สามารถสกัดกั้นอารมณ์ต่อไปไหวและปลดปล่อยออกมาจนกระเซ็นไปทั่วท้องและอกของผม

ภายในของไนล์เปียกแฉะ ผมถอยร่นตัวออกมาอย่างเชื่องช้า พร้อมๆ กับหยาดน้ำสีขุ่นที่ไหลย้อนออกมาในทิศทางเดียวกัน และเปื้อนลงบนที่นอน ผมทิ้งตัวลงบนร่างของไนล์อย่างเหนื่อยอ่อนสิ้นแรง ฟุบหน้าลงบนที่นอนข้างใบหน้าของเขา

นานแล้วที่ผมไม่ได้เหนื่อยขนาดนี้

ผมไม่ได้เป็นพวกที่ชอบเที่ยวเล่นเหมือนอย่างไอ้กัสไอ้เคลม ที่ตะลอนๆ หิ้วสาวเข้าห้องได้ทุกวี่ทุกวัน นานมาแล้วที่ผมได้มีเซ็กซ์กับใครสักคน นานจนผมเกือบจะลืมรสชาติของมันไปแล้วว่าตอนที่ถูกตอดรัดเป็นอย่างไร การตอบสนองของอีกฝ่ายที่ต้องการเราเช่นเดียวกันเป็นแบบไหน แต่วันนี้ผมได้รับรู้ถึงมันอีกครั้ง

ผมหลับตาลงซึมซาบความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ราวกับทบทวนความทรงจำ ฟังเสียงหายใจถี่ๆ และไอร้อนที่แผดออกมาจากร่างด้านใต้ที่ผมทับเอาไว้ ทว่าครู่เดียวหลังจากนั้น ร่างที่ผมทับอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหว ไนล์ดันผมออกให้พ้นจากตัวเขาก่อนจะลุกขึ้นนั่ง

ผมเบี่ยงหน้าไปทางเขาทั้งที่ไม่ได้ขยับตัว ใช้สายตาจับจ้องไปยังร่างนั้นโดยที่ไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้สึกร่างกายอ่อนล้าเนื่องจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน รวมทั้งความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาให้ต้องรับมือมาตลอดคืนระหว่างรอเขาก็สูบพลังกายของผมไปจนเกือบหมด

ไนล์ลุกขึ้นแล้วเซน้อยๆ ต้นขาของเขาเปรอะคราบที่เป็นของผม มันไหลออกมาจากตำแหน่งที่ผมเพิ่งบุกรุกเข้าไปเป็นทางยาวจนเห็นได้อย่างชัดเจน ราวกับกำลังย้ำเตือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้คืออะไร และร่างกายของคนตรงหน้าในเวลานี้เป็นของใคร

มือเรียวผอมนั่นยื่นไปกระชากผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนราวตากผ้าใกล้ๆ หน้าห้องน้ำก่อนจะที่ไนล์จะผลุบหายเข้าไปในห้องเล็กๆ นั่น และเมื่อประตูห้องน้ำปิดลง ผมก็หลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย ไม่สนใจจะลุกขึ้นมาเช็ดคราบอะไรต่อมิอะไรที่เปรอะเปื้อนอยู่บนร่างกายหรือบนที่นอนแม้แต่น้อย

ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาที เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกแว่วเข้ามาในหูผมอีกครั้ง ผมลืมตาขึ้นช้าๆ มองไนล์ที่ก้าวออกมาพร้อมสภาพที่ตัวชื้นน้อยๆ หัวของเขาเปียกหมาดๆ ร่างกายมีเพียงผ้าเช็ดตัวที่หยิบเข้าไปด้วยห่ออยู่ที่ท่อนล่าง เขาเปิดประตูตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบชุดออกมาใส่ ผมจึงดันตัวขึ้นและเดินเข้าไปหาเขา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้คิด พูด หรือทำอะไรนอกเหนือไปจากนั้น ผ้าเช็ดตัวอีกผืนก็ถูกยื่นมาต่อหน้าผม คล้ายจะบอกว่าให้ผมไปอาบน้ำซะ

ผมรับมันมาเพราะเห็นสมควรว่าน่าจะทำแบบนั้น หากบอกว่าตอนนี้ตัวผมเละเทะไปหมดคงจะไม่ผิด ทั้งเหงื่อทั้งสิ่งที่ไนล์ปล่อยออกมาจนเลอะตัวผมยังกระจายทั่ว ผมจึงเดินเข้าห้องน้ำและปิดประตูลง พาดผ้าเช็ดตัวที่ถือมาด้วยที่ราวเล็กๆ ริมผนังและเปิดน้ำจากฝักบัว ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปใต้กระแสน้ำ พลางคิดไปด้วย

อาบน้ำเสร็จแล้วผมจะพูดกับไนล์ให้รู้เรื่อง

พอได้ใช้น้ำเย็นๆ ราดหัวแบบนี้ก็พอจะทำให้ผมคืนสติกลับมาได้ สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มันน่าจะตอบผมได้แล้วว่าอย่างน้อยไนล์ก็ไม่เคยทำเรื่องพรรค์นั้นกับผู้ชายอย่างที่ปากเขาพูด เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไร แต่ก็ยังดันทุรังจะยัดเยียดให้ผมเข้าไป แล้วผมก็ขาดสติเพราะคำพูดยั่วยุพวกนั้นจนตามืดบอด ผมเผลอทำอะไรแบบนั้นลงไปทั้งที่มันไม่ควร

ทว่าเมื่อออกมาจากห้องน้ำแล้วภายในห้องพักแคบๆ ที่แทบจะไม่มีอุปกรณ์อำนวยความาะดวกใดๆ กลับว่างเปล่า ไร้เงาของคนที่เป็นเจ้าของห้องซึ่งน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้องนี้ แม้แต่ที่ระเบียงก็ไม่มี ผมจึงกวาดตามองอีกครั้ง สภาพเตียงที่เละเทะนั่นทำให้ผมรู้สึกผิดขึ้นมา

ผมยังไม่ได้คุยกับเขาอย่างที่ตั้งใจด้วยซ้ำแล้วเขาหายไปไหน

คิดกับตัวเองแบบนั้นอย่างไม่เข้าใจแล้วสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งหนึ่ง กระเป๋าเงินของผมวางอยู่ที่ปลายเตียงทั้งที่มันไม่ควรอยู่ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผมถึงรู้สึกเหมือนมีลมพัดวูบผ่านหัวใจจนหนาวสะท้านขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมเดินเข้าไปหามัน ยื่นมือไปหยิบมันขึ้นมาก่อนเปิดออกดูช้าๆ ก่อนจะรู้สึกชาวูบไปทั้งร่าง

สิ่งที่หายไปจากกระเป๋าเงินของผม…




.




.




.




…มีเพียงแบงก์สีเขียวใบเดียว



-------------------
ก่อนอื่นต้องขออภัยเป็นอย่างมากกกกกกกกกก ที่หายสาบสูญไป 1 ปี
เนื่องจากปัญหาหลายๆ อย่าง ก็เลยไม่ได้แต่งเลยค่ะ แต่ว่าตอนนี้กลับมาแต่งต่อแล้วนะคะ

ืถือว่าเป็นเรื่องโชคดี (หรือเปล่า) ที่กระทู้นี้ยังไม่หายไป ทั้งที่น่าจะโดนลบทิ้งไปแล้ว เพราะไม่ได้มาอัพเลย
อาจเพราะว่าลืมกันไปหมดแล้วล่ะมั้งคะ เลยไม่ได้ถูกแจ้งลบ 55555555
แต่หากว่ามีคนที่ยังรออ่านอยู่ จะดีใจมากเลยล่ะค่ะ
หรือถ้ามีใครหลงเข้ามาอ่านนิยายน่าเบื่อๆ แบบนี้เพิ่ม ก็ขอขอบคุณมากค่ะ

แล้วก็สำหรับใครที่ตามมาจากเรื่องพี่ภูกับน้องยีนแล้วสนใจหนังสือเรื่องนั้น
เรากำลังเปิดสำรวจคนสั่งจองเพิ่มอยู่นะคะ พอดีมีคนสอบถามมา ก็เลยว่าจะดูจำนวนก่อนว่าจะรีปริ๊นท์ไหม
ถ้าสนใจละก็ รบกวนเข้าไปดูรายละเอียดในเฟซนะคะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 29-06-2015 00:19:54
กราฟฟฟฟ ไนนนนนนนนนนท์

กลับมาแล้ววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-06-2015 19:22:38
ใน






ที่






สุด






ก็






กลับมา






กราฟ ไนล์






คิดถึงมากกกกกกกกก :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: LadyYuly ที่ 29-06-2015 19:40:38
พึ่งเข้ามาอ่าน คือชอบบบบบ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 30-06-2015 00:16:37
ดีใจนะ ที่มาอัพ อิอิ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 14 : ขายตัว [29/6/58]
เริ่มหัวข้อโดย: modelatlove ที่ 04-07-2015 19:02:25
ในที่สุดก็กลับมาาาาาา
รอนานมากๆ นึกว่าจะไม่เขียนต่อแล้ว ขอบคุณที่อัพนะคะ
ตอนที่เห็นว่าโพส ตกใจมาก และดีใจมากด้วย
รอตอนต่อไปนะคะ
 :mew1: :mew2: :mew3: :mew4: :mew6: :mew1: :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 15 : อะไรที่หายไป อะไรที่เพิ่มมา
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 08-07-2015 23:05:54
ตอนที่ 15 : อะไรที่หายไป อะไรที่เพิ่มมา







ร้อนรน คือสิ่งเดียวที่ผมรู้สึกอยู่ในขณะนี้

ไนล์หายตัวไปอีกแล้ว เขาไม่กลับหอมาตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่ผมทำเรื่องบ้าๆ พรรค์นั้นลงไป ไม่ว่าจะโทรศัพท์ติดต่อไปเท่าไร สิ่งที่ตอบรับกลับมามีเพียงเสียงเดียว

เขาไม่เปิดเครื่อง

ภายในอกของผมเหมือนสุ่มเพลิงร้อนเอาไว้ มันร้อนรนกระวนกระวายยิ่งกว่าเดิม ผิดไปจากคืนก่อนโดยสิ้นเชิง หากเทียบกันแล้ว คืนนี้ผมเหมือนตกอยู่ในนรกโลกันต์ ขณะที่เมื่อวันนั้นผมอยู่ในทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างที่เกาะกุมด้วยน้ำแข็ง

ผมไม่รู้ถึงเหตุผลว่าการหายตัวไปของเขาหมายความว่าอะไร เขาทำให้ผมโมโห สาดสีตีไข่ใส่ตัวเองให้เปรอะเปื้อนเหมือนคนสกปรกโสมมจนผมขาดสติ แล้วก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเหมือนไม่มีตัวตนมาก่อน ทำเหมือนกับว่าทุกอย่างที่ผ่านมาเป็นเพียงภาพลวงตา สิ่งที่ผมเห็น สิ่งที่ผมสัมผัส ไม่เคยมีอยู่จริง เป็นเรื่องที่เกิดจากการมโนภาพของผมทั้งสิ้น

ก่อนหน้านี้ผมบอกตัวเองให้ใจเย็น ทำทุกอย่างเหมือนปกติ ไปมหา’ลัยแม้ว่าจะเข้าเรียนช้าไปบ้าง บอกตัวเองว่ากลับมาแล้วคงเจอไนล์อยู่ในห้อง นั่งวาดรูปเหมือนปกติ แต่สิ่งที่ผมพบกลับเป็นห้องที่ว่างเปล่าไร้เงาของคนที่ผมคิดว่าจะได้เจอ ตอนนั้นเหมือนกับความหวังพังครืนลงมา

ผมที่ตั้งใจจะคุยกับเขาให้รู้เรื่องหลังจากสติกลับมาอย่างครบถ้วนอีกครั้ง ไม่มีโอกาสจะได้ทำอย่างที่ต้องการ และแม้ว่าจะสะกดอารมณ์เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเพื่อรอเขา สุดท้ายความพยายามของผมก็เริ่มทลายลงในตอนรุ่งเช้า

วันที่สอง ผมยังไปเรียนได้อยู่ ไอ้กัสกับไอ้เคลมมาที่คณะผมกับยีนเหมือนเคยทั้งที่ไม่ใช่คณะมัน เป็นเรื่องปกติไปแล้วที่มันสองคนจะมาที่นี่ในวันที่มีเรียนช่วงเวลาเดียวกัน คล้ายกับการสานสัมพันธ์ต่อเนื่องแม้ว่าจะไม่ได้เรียนด้วยกันแล้ว

"ตกลงว่ามึงชอบพี่ภูจริงๆ แล้วใช่ไหมวะ"

ไอ้เคลมทักทันทีที่ไอ้ยีนมาถึง แม้ว่าข้างตัวมันจะไม่มีคนที่ถูกพูดถึงด้วยอีกคนก็ตาม ถึงกระนั้นพวกผมก็แน่ใจว่าเขามาส่งมันก่อนจะแยกตัวไปรวมกับกลุ่มเพื่อนของเขา ไอ้ยีนทำหน้าตกใจ พูดไม่ถูก ก่อนจะร้องถาม

"ใคร...ใครบอกมึง"

คำถามเหมือนจะไม่ยอมรับ แต่ก็เหมือนจะยอมรับกลายๆ ไอ้เคลมเลยยิ้มแฉ่ง แต่ดูกวนอารมณ์ไม่น้อย มันทำหน้าเหนือกว่า ยักคิ้วใส่ไฮยีน

"มึงไม่รู้เหรอว่ากูเป็นใคร วงในเส้นใหญ่แค่ไหน"

"ถุย ไอ้ขี้โม้ มึงเป็นพยาธิไส้เดือนหรือไง"

ไอ้ยีนตอบกลับมาจนน้ำลายแทบกระเซ็น ผมยิ้มให้กับบรรยากาศสนุกสนานของเพื่อนๆ แต่เหมือนรอยยิ้มวันนี้จะอ่อนแรงกว่าทุกวัน รู้สึกเหนื่อยแม้ทำแค่เพียงยกมุมปากขึ้น ทั้งที่เวลาอยู่กับพวกเพื่อนๆ มีแต่เรื่องสนุกและความสุขอยู่เสมอ

"มึงก็บอกไอ้ยีนไปสิว่ามึงใช้สกิลหน้าด้านไปออเซาะถามพี่ภูมาด้วยความเสือกของมึงล้วนๆ"

ไอ้กัสเห็นท่าทางอวดเบ่งของไอ้เคลมแล้วก็เฉลยออกมาจนไอ้เคลมตวัดหน้าหันขวับไปถลึงตาใส่

"มึงแม่ง ทำไมชอบแฉกูวะ”

มันตัดพ้อเพื่อนซี้ ซึ่งไอ้กัสก็กระตุกยิ้มเบาๆ ด้วยท่าทางเหมือนคุณชายอย่างที่ทำประจำ แต่แค่แป๊บเดียวไอ้เคลมก็ทำหน้าภูมิอกภูมิใจกับข้อมูลที่ได้มาแล้วโม้ต่อ

“เออ กูไปถามมาเองแหละว่ามึงทำอะไรกับเขามั่ง แล้วกูก็รู้ด้วยนะเว้ยว่าพี่ภูอะ แหกปากง้อมึงหน้าตึกเรียน"

"มึงนี่จะไม่เสือกสักเรื่องได้ไหม"

ไอ้ยีนจ้องไอ้เคลมอย่างเซ็งๆ คงไม่ปลื้มสักเท่าไร ปกติแล้วมันจะคุยเรื่องพี่ภูกับผมเท่านั้น เพราะรู้ว่าถ้าไอ้เคลมรู้ความคืบหน้าอะไรมันต้องโดนล้อแน่ๆ อีกอย่างพี่ภูกับไอ้เคลมก็สนิทกันมาตั้งแต่ ม.ปลาย แล้วด้วย ไอ้ยีนเลยยิ่งไม่ไว้ใจ ถึงมันจะไม่รู้ว่าทั้งสองคนสนิทกันแค่ไหน เพราะไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพี่ภูในช่วง ม.ปลาย เลยก็เถอะ

"เอาน่า ไหนๆ ก็รู้แล้ว มึงก็ดีกับพี่เขาหน่อยแล้วกัน"

ผมพูดปลอบ เพราะรู้ว่ามันทำตัวไม่ค่อยดีกับรุ่นพี่คนนี้เท่าไร แต่ก็คิดว่าต่อไปคงไม่มีปัญหาอะไรนัก เพราะอย่างน้อยมันก็ยอมรับความรู้สึกตัวเองแล้ว แค่ประคับประคองให้ความรักดำเนินต่อไปด้วยดี หรือถ้ามีปากเสียงกันก็ให้เคลียร์กันให้เข้าใจเท่านั้น

อยากให้เหมือนกับผมในตอนนี้ ที่แม้แต่จะคุยกันก็ยังทำไม่ได้





ถึงแม้ว่าผมยังพูดคุยกับเพื่อนและเก็บซ่อนไอร้อนที่แผดเผาภายในร่างเอาไว้ได้ ยังยิ้มเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลใจได้อย่างแนบเนียน แต่พอเรียนเสร็จ ผมก็ตรงปรี่ไปที่แมนชั่นของไนล์ ไขประตูห้องของเขาออก และมันก็ยังเป็นเช่นเดิม เว้นก็แต่ความรู้สึกที่สัมผัสได้

บรรยากาศภายในห้องเปลี่ยนไป ทั้งที่ตอนที่ไนล์อยู่ มันก็ดูอ้างว้าง วังเวง เย็นเยือกราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว ทว่าในเวลานี้มันยิ่งทบทวีความรู้สึกนั้นให้หนักอึ้งขึ้น ผมรู้สึกเย็นจนอยากกอดตัวเองเพราะไอหนาวแม้อยู่ในฤดูฝนที่ร้อนตับแตก ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่หลอนไปเอง แต่ผมก็ยังห้ามตัวเองไม่ให้รู้สึกแบบนั้นไม่ได้

ไออุ่นของความมีชีวิตที่มีเพียงเล็กน้อยอยู่แล้วกำลังหายไปเรื่อยๆ เพราะเจ้าของห้องไม่อยู่ แม้ว่าผมจะอยู่ในห้องนี้แทบทั้งวันทั้งคืน แต่มันก็ไม่ได้ชดเชยหรือทำให้บรรยากาศเหล่านั้นแฝงด้วยความมีชีวิตขึ้นมาเลยสักนิด และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป

ผมเฝ้ารอด้วยความหวังอันริบหรี่และกดโทรศัพท์ครั้งที่นับไม่ถ้วนไปยังเบอร์เดิม แต่ก็ยังไร้การตอบรับจากเสียงที่ผมอยากได้ยินเหลือเกินในเวลานี้ จนเกือบเที่ยงคืนแล้ว เขาก็ยังไม่กลับมา มันทำให้ผมว้าวุ่นใจ ใจของผมร้อนระอุเหมือนโดนเผาเพราะเขาอีกครั้ง

“เปิดเครื่องสักทีสิวะ แม่งเอ๊ย!!”

ผมเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่รอบๆ ห้องจนพื้นห้องจะสึกด้วยซ้ำ กดโทรศัพท์อยู่ที่ปุ่มเดิมจนรู้สึกว่าหากมันเป็นโทรศัพท์รุ่นเก่า ปุ่มอาจจะจมอยู่ใต้แป้นแล้วก็ได้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ซึ่งมันทำให้ผมเริ่มทนไม่ไหว และรู้สึกเหมือนว่าเขาทำให้ผมจะเป็นบ้า ก่อนจะคว้ากุญแจห้องแล้วออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความไม่เข้าใจ

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไนล์ออกไปไหน แต่ผมก็ขับรถวนไปวนมาในละแวกนี้เผื่อว่าจะเจอเขาบ้าง วนรถไปเรื่อยๆ และขยายวงกว้างขึ้นเหมือนคนที่หาทางออกได้เท่านี้ อกของผมร้อนไปหมดเหมือนถูกสุ่มด้วยเปลวไฟ มันรุกรามจนแทบจะท่วมทั้งร่าง ผมได้แต่คิดซ้ำๆ ว่าทำไมเขาถึงชอบทำให้ผมเป็นแบบนี้

รถจอดลงข้างทางบนรถที่โล่งกว้าง ที่ที่หนึ่งที่ผมพยายามเค้นสมองคิดออกมาได้คือที่นี่ ที่ที่เขาเคยโทรเรียกผมให้มารับ ผมขับรถมาพลางมองตลอดทั้งเส้นทาง แต่ก็ไม่พบเงาร่างของเขาเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความเปล่าเปลี่ยวของถนนในช่วงตีสาม กับเสียงรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งผ่านเป็นระยะ

“ทำไมวะ ทำไมนายถึงทำแบบนี้!!”

ผมทุบพวงมาลัยแรงๆ เพราะหมดปัญญาจะตามหาแล้วจริงๆ ไม่รู้จะทำอย่างไร หาคำตอบไม่ได้ มันเหมือนผมวิ่งวนอยู่ในอ่างเล็กๆ โดยไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ามันจะจบลงเมื่อไร หรือต้องรอให้ผมหมดแรงจนขยับไม่ได้เสียก่อน หรือว่าผมอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกเลย

ผมได้เรียนรู้ถึงความทรมานที่เขาหยิบยื่นให้ทั้งที่ผมไม่ต้องการซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ขอร้องได้ไหม ให้ฉันได้เจอนายอีกครั้ง

อย่างน้อยก็ให้เราได้พูดคุยกัน

อย่าให้ฉันต้องอึดอัดจนรู้สึกเหมือนจะขาดใจได้หรือเปล่า

ผมวิงวอนอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าอ้อนวอนกับใคร กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตัวเขาที่ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน หรือเป็นตัวผมเอง







ล่วงเข้าสู่วันที่สาม ผมไม่สามารถทำกิจวัตรแบบเดิมๆ ได้อีกต่อไป หลังจากตระเวนขับรถตามหาไนล์มาตลอดทั้งคืน ผมก็กลับมาเฝ้าที่ห้องไนล์อีกครั้ง หลังจากไปเช็กดูที่คอนโดของตัวเอง แต่ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยใดๆ ที่จะบอกได้เลยว่าเขากลับมา ของทุกอย่างยังคงวางอยู่ในตำแหน่งเดิม เป็นเหมือนกับตอนที่ผมออกไปเมื่อคืน แม้กระทั่งกุญแจที่ล็อกประตูเอาไว้ และผมจดจำมันได้ขึ้นใจว่าคล้องมันไว้ในลักษณะแบบไหน มันก็ยังไม่แม้แต่จะกระดิก

ผมรู้สึกว่าการหายใจมันยากขึ้นมาอีกครั้ง อะไรต่างๆ นานาผุดขึ้นมาในหัวของผม เรื่องราวที่ผ่านมาตลอดช่วงสองสามเดือนตั้งแต่ที่ผมได้พบกับเขา ผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยไปด้วย หากว่าผมสามารถติดต่อพวกเธอได้ ผมคงไปไล่ถามทีละคนว่าเห็นไนล์บ้างหรือเปล่า

ดวงตาของผมปิดลงอย่างอ่อนล้า เหนื่อยไปหมดทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำหนักหนักอึ้งจากสิ่งที่มองไม่เห็นถ่วงลงทับหัวใจของผมจนรู้สึกอึดอัดแน่นอกจนหายใจไม่สะดวก ความรู้สึกไม่เข้าใจกระจัดกระจายเต็มหัวของผมไปหมด

เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

ผมกวาดสายตามองรอบห้องอีกครั้ง หวังว่าจะมีอะไรสักอย่างที่พอจะเป็นเบาะแสให้ผมหาคำตอบได้ ทว่ามันกลับไม่มีเลย สิ่งเดียวที่สะดุดสายตาผมซึ่งก่อนหน้านี้ผมได้มองข้ามมันไป มีเพียงกระป๋องสีทั้งหลายที่ผมซื้อมาให้เขาเมื่อไม่กี่วันก่อน

เห็นมันแล้วผมก็ฉุดตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็วทั้งที่เพิ่งเข้ามาทิ้งตัวลงบนสถานที่เกิดเหตุคราวก่อนได้ไม่ถึงสิบนาที คว้ากุญแจรถที่อยู่ข้างๆ มาไว้ในมือก่อนจะสาวเท้าเร็วๆ ออกจากห้องไป และไม่ลืมล็อกประตูรวมทั้งจดจำตำแหน่งของการคล้องเกี่ยวแม่กุญแจเอาไว้ให้ขึ้นใจ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าบางทีมันอาจจะไม่จำเป็นเลย

รถยนต์ของผมถูกสตาร์ท ก่อนเสียงเครื่องยนต์จะดังขึ้นพร้อมกับร่างปราดเปรียวทะยานออกไปยังจุดหมายที่ผมเพิ่งนึกถึง ฝ่าฟันสภาพจราจรที่ติดขัดในยามสาย แม้ว่าจะล่วงเลยเวลาเข้างานของพนักงานบริษัทจำนวนมากมายไปแล้ว แต่ว่าระยะทางจากต้นทางไปยังปลายทางก็ยังไม่ใกล้อยู่ดี ยิ่งเข้าใกล้ใจกลางเมืองมากเท่าไร ไอร้อนจากแสงแดดภายนอกตัวรถและความคับคั่งของเหล่าโครงเหล็กเคลื่อนที่ก็ราวกับจะเผาไหม้ใจผมไปพร้อมๆ กัน

หากบอกว่านั่งไม่ติดเบาะคงไม่ผิด ผมแทบจะนั่งเขย่าตัว มองซ้ายมองขวาตลอดเวลาที่รถขยับไปทีละนิด นึกในวินาทีนั้นว่าหากรถของผมสามารถเหาะได้คงจะดี เพราะตอนนี้ใจของผมมันไปถึงที่หมายตั้งนานแล้ว

นานกว่าครึ่งชั่วโมงที่ผมต้องทนอยู่ในสภาพเช่นนั้น ทั้งที่ระยะทางที่เหลืออยู่มันไม่มากไปกว่าห้ากิโลเมตร และเมื่อผมสามารถนำรถเข้ามาจอดในตัวอาคารได้ ผมก็พุ่งทะยานร่างกายออกจากห้องโดยสารที่กักขังผมเอาไว้ตลอดเวลาร่วมสองชั่วโมง

ผมตรงไปยังเป้าหมายด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่ฝีเท้าจะกระทำได้ จนเมื่อไปหยุดอยู่ต่อหน้าคนคนหนึ่ง เขาก็เบิกตามองผมอย่างแปลกใจ คิ้วมุ่นเข้าหากันแต่ยังไม่ทันได้อ้าปากออกสร้างคำถาม ผมก็ถามเขาเสียก่อน

“ไนล์มาที่นี่หรือเปล่าครับ”

“ไนล์? เปล่านี่ ตั้งแต่ที่เจอกันอาทิตย์ก่อนก็ยังไม่เห็นเลย นายมี...”

เขาพูดไม่ทันจบ ผมก็ทรุดตัวลงกับพื้นเหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง ราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่แบตหมดลงและไม่ขยับเขยื้อนอีกต่อไป ความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกอะไรได้เลยในตอนนี้ เหมือนความรู้สึกทั้งหมดจะสูญหายไปพร้อมกับใครอีกคน

“ผมจะทำยังไงดี”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น”

พี่โป้งที่รับจ้างวาดรูปอยู่ในหอศิลป์เอ่ยถาม เขาดูตกใจมากกับท่าทางของผม แน่นอนว่าตอนนี้กราฟที่เขาเห็นกับกราฟเมื่อไม่กี่วันก่อนราวกับคนละคน

“ไนล์หายตัวไป เขาไม่ได้กลับมาเลย ตั้งแต่เมื่อวานซืนแล้ว”

ฟังสิ่งที่ผมบอกไปแล้วพี่โป้งก็ขมวดคิ้ว เหมือนจะพยายามจับประเด็นเรื่องที่ผมพูด เพราะผมไม่ได้เล่าต้นสายปลายเหตุใดๆ ให้เขาฟังเลย แต่ผมก็อยากจะบอกเขาถึงความร้อนอกร้อนใจของผม หวังว่าเขาจะช่วยหาคำตอบมาทุเลาอาการของผมได้

อย่างน้อยเขาก็รู้จักไนล์มานาน คงพอจะรู้บ้างว่าผมจะตามหาเขาได้ที่ไหน

“พวกนายทะเลาะกันอย่างนั้นเหรอ”

หลังจากตบบ่าพร้อมบอกผมว่า ‘ใจเย็นๆ ก่อน’ และลากผมให้มานั่งเก้าอี้ที่โต๊ะใกล้ๆ เขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง สีหน้าของเขาเจือด้วยแววกังวลนิดๆ คงเพราะสีหน้าของผมดูแย่จนเขานึกสงสาร

“ผม... ผมไม่รู้ว่าจะเรียกแบบนั้นได้ไหม แต่ผม...ไม่เข้าใจเขาเลย”

ผมไม่สามารถตอบพี่โป้งได้จริงๆ เพราะผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ผมกับไนล์ทะเลาะกันอย่างที่พี่เขาถามหรือเปล่า มันเหมือนว่าผมกับเขาจะสามารถปรับความเข้าใจกันได้ผ่านทางร่างกาย แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนว่าเราไม่สามารถเข้าใจกันได้เลย มันทำให้ผมมืดแปดด้าน

“พี่โป้ง พี่ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหม ว่าไนล์เป็นใครกันแน่ เขาคิดอะไรอยู่ ทำไมอยู่ๆ ถึงหายตัวไป”

ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าพี่โป้งคงไม่สามารถให้คำตอบกับผมได้ แต่รอบด้านที่เต็มไปด้วยความมืดก็ทำให้ผมไม่สามารถมองเห็นแสงสว่างใดๆ ได้เลย ผมเหมือนกำลังตะกุยกำแพงเพื่อค้นหาทางออกให้ตัวเอง แม้จะรู้ว่ามันอาจจะไร้ประโยชน์และผมต้องเจ็บตัว แต่ผมก็อยากจะดิ้นรนให้พ้นจากสภาพนี้

“เอ่อ... พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่าพวกนายมีเรื่องอะไรกัน คงช่วยอะไรไม่ได้มาก เพราะพี่เองก็ไม่รู้หรอกว่าจริงๆ แล้วไนล์เป็นใครมาจากไหน พี่รู้แต่ชื่อมัน รู้แต่ว่าบ้านมันอยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไร แต่ก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ที่ไหน เพื่อนมันพี่ก็ไม่รู้จัก อย่างที่เคยบอกนายไป ว่ามันไม่เคยพาใครมาที่นี่ มีนายเป็นคนแรก พี่ถึงอยากให้นายอยู่กับมัน อย่าทิ้งมัน”

เขาบอกผมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เหมือนพยายามจะเรียบเรียงและรวบรวมสิ่งที่สามารถตอบผมได้ออกมาให้มากที่สุด

“มันเป็นคนเงียบๆ ปกติก็ไม่ค่อยพูดอะไรอยู่แล้ว ขนาดกับพี่อยู่ด้วยกันทั้งวัน บางทีมันยังพูดแค่ว่า ‘หวัดดีพี่’ กับ ‘ผมกลับละนะ’ แค่นั้นด้วยซ้ำ นานๆ จะเห็นมันยิ้มสักที บางวันมันก็มาที่นี่ด้วยหน้าบูดบึ้ง แล้วก็ไม่พูดไม่จา นั่งอยู่เฉยๆ ไม่แตะอุปกรณ์วาดรูป พอดึกมันก็กลับบ้านไปก็มี”

ผมฟังสิ่งที่พี่โป้งพูดถึงอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อเก็บรายละเอียดให้ได้มากที่สุด แม้ว่าบางทีมันเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“สิ่งเดียวที่มันสนใจอย่างจริงจังคือการวาดรูป ตอนรู้ว่ามันไม่ได้เรียนจิตรกรรมอย่างที่เคยบอกเอาไว้ พี่ถึงได้ตกใจไง เพราะมันดูเอาจริงเอาจังขนาดนั้น พี่ยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมมันถึงหันเหชีวิตตัวเองไปเรียนอย่างอื่น แต่คิดว่าสิ่งที่ทำให้คนมุ่งมั่นกับการวาดภาพเปลี่ยนชีวิตตัวเองไป คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู”

ผมเองก็เคยคิดว่าไนล์เหมาะกับการเรียนสายศิลป์จำพวกนั้นมากกว่าจะเรียนวิศวะ พอได้ฟังอย่างนี้ผมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมไนล์ถึงได้ใช้ชีวิตสวนทางกับความต้องการของตัวเองอย่างนั้น

“เอาจริงๆ พี่ก็ไม่รู้หรอกนะว่านิสัยของมันเป็นยังไงกันแน่ แต่มันไม่ใช่คนไม่ดีหรอก ค่อนข้างจะเป็นคนที่บริสุทธิ์ ซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสียมากกว่า ถ้ามันอยู่เฉยๆ ก็คงหมายถึงว่ามันอารมณ์ดีล่ะมั้ง เพราะถ้ามันอารมณ์ไม่ดี มีเรื่องกวนใจ มันจะแสดงสีหน้าออกมาเลยว่าไม่พอใจ หรือถ้ามันไม่อยากอยู่กับใคร มันก็คงไม่เข้าใกล้ เหมือนกับว่าอยู่คนเดียวยังสบายใจกว่า ประมาณนี้”

ฟังพี่โป้งแล้วผมก็พยายามคิดตามดู นึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ไนล์แสดงออกมาแต่ละครั้งเวลาที่อยู่กับผม

เขานิ่งเงียบ ทำเหมือนมีผมอยู่หรือไม่มีก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยพูดหรือทำสีหน้าเหมือนผลักไสผม

เขาไม่พอใจ ทุกครั้งที่ผมไปหาพี่ดาหลา จนถึงขั้นตามมาเฝ้าผมเพื่อไม่ให้ไปหาเธอ

เขายิ้มแย้มเป็นมิตรกับผู้หญิงคนอื่น ไม่ยิ้มให้กับผม แต่กลับบอกว่าเวลาอยู่กับผม นั่นคือตัวจริงที่สุดของเขาแล้ว

เขายิ้มนิดๆ เพียงแค่นิดเดียวจนแทบมองไม่เห็น ตอนที่ผมใส่ใจเขา แต่มันกลับเหมือนรอยยิ้มแห่งความสุขที่แท้จริง

นั่นคือความจริงที่เขาซ่อนเอาไว้อยู่อย่างนั้นเหรอ?

อยู่กับผม เขารู้สึกดีใช่ไหม

อยู่กับผม เขามีความสุขใช่หรือเปล่า

ผมได้แต่ถามตัวเองอยู่แบบนั้น ข้างในของผมที่กลวงโบ๋ เหมือนร่างกายมีแต่ความว่างเปล่าจนกลายเป็นหลุมดำมืดในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาราวกับถูกอะไรบางอย่างเต็มเติม และมันก็ยิ่งทำให้ผมอยากจะรู้คำตอบของสิ่งเหล่านั้นให้ชัดเจน

อยากเจอเขาให้เร็วขึ้นอีก อยากถามเขาให้ชัดๆ

ว่าจริงๆ แล้วเขาอยากอยู่กับผมใช่ไหม

“ที่เล่าไปพอจะมีประโยชน์หรือเปล่า”

พี่โป้งเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง เรียกผมที่เหมือนตกอยู่ในภวังค์ของตัวเองให้กลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ผมพยักหน้าพลางเอ่ยขอบคุณ อย่างน้อยเขาก็ทำให้ผมมีความหวังขึ้นเล็กน้อยว่าถ้าผมได้เจอกับไนล์ เรื่องระหว่างเราจะต้องดีขึ้น

อยากเจอเร็วๆ

อยากเจอเร็วๆ

อยากเจอเร็วๆ

อยากเจอเร็วๆ

มีเพียงความคิดเดียวที่กำลังดังก้องอยู่ในหัวของผม ราวกับกำลังขับกล่อมให้ผมกลับมาร้อนรนอีกครั้ง

ฉันอยากเจอนายเหลือเกิน






หลังจากไปหาพี่โป้ง ผมก็ฝ่าการจราจรที่ติดขัดเข้าไปที่มหา’ลัย แต่ไม่ได้ไปเรียน ผมขับรถไปตามคณะต่างๆ แล้ววิ่งไล่หาตามแต่ละจุดที่สามารถจะเข้าไปได้ ไม่ว่าจะเป็นบนอาคาร ลานอเนกประสงค์ โรงอาหาร หรือแม้แต่ห้องน้ำ เริ่มตั้งแต่คณะวิศวกรรมศาสตร์ เผื่อว่าจะเจอคนที่ผมตามหาอยู่ที่ไหนสักแห่งในที่แห่งนี้ แต่ผ่านไปคณะแล้วคณะเล่าก็ยังไม่เป็นอย่างที่หวัง จนมาถึงคณะบริหารธุรกิจ

“อ้าว กราฟ”

ฝีเท้าของผมหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงทัก พี่ดาหลากับพี่มะเหมี่ยวอยู่ตรงหน้าผมในตอนนี้ สีหน้าของเธอทั้งสองคนดูเหมือนประหลาดใจ แต่คงไม่แปลกนักหรอก เพราะว่าสภาพผมในตอนนี้คงต่างไปจากทุกทีโดยสิ้นเชิง ผมเองก็รู้สึกตัวได้ ผมสีบลอนด์ที่สว่างจนเกือบขาวยุ่งกระเซิงและเปียกชุ่ม ไม่ว่าใบหน้า ร่างกาย หรือเสื้อผ้าต่างอาบด้วยเหงื่อจนร้อนอบอ้าว แต่ผมไม่ได้สนใจมันด้วยซ้ำ

“เป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมสภาพโทรมแบบนี้ล่ะ”

พี่ดาหลาถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ส่วนพี่มะเหมี่ยวก็พยักหน้าหงึกๆ อยู่ข้างๆ พร้อมกับควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋า ก่อนจะยื่นทิชชูออกมาให้ ผมรับมาซับเหงื่อบนหน้าพอเป็นพิธี และพยายามพูดให้รู้เรื่องที่สุดแม้ว่าจะเหนื่อยหอบและยังคงรุ่มร้อนอยู่ในใจจนไม่อยากจะหยุดฝีเท้าของตัวเองก็ตาม

“ผมตามหาคนอยู่ครับ”

“ตามหาคน?”

สองสาวทำหน้างงนิดหน่อย แต่ก็เหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของผมรางๆ ผมเลยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเปลี่ยนเป็นเอ่ยถาม

“พวกพี่เห็นไนล์บ้างหรือเปล่าครับ ไม่ต้องวันนี้ก็ได้ แต่เมื่อวานนี้หรือวานซืน ได้เจอบ้างหรือเปล่าครับ”

“ไนล์เหรอ?”

คนที่ผมเคยมุ่งมั่นว่าจะจีบครางเสียงในลำคอพลางทำท่านึก ส่วนอีกคนเบิกตากว้างก่อนถามย้อนกลับมา

“ที่ว่าตามหานี่หมายถึงไนล์เหรอ”

“ครับ พี่เห็นบ้างหรือเปล่า”

ผมถามซ้ำด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ ไม่มีเวลาจะมาไล่เรียงอธิบายอะไร ตอนนี้ผมอยากรู้แต่เพียงคำตอบเท่านั้น เพราะถ้าพวกเธอไม่เจอ ผมจะได้รีบไปตามหาที่อื่นต่อ ไม่อยากเสียเวลาแม้แต่วินาที อยากเจอเขาให้เร็วที่สุด แม้เพียงเสี้ยววินาทีก็ได้

“ไม่เห็นเลยนะ เธอเห็นบ้างหรือเปล่า”

เป็นพี่ดาหลาที่ตอบกลับมาก่อน เพราะเหมือนเธอจะเข้าใจความรู้สึกผมในเวลานี้ดีกว่าใคร เธอหันไปถามพี่มะเหมี่ยวให้อีกรอบด้วยจนผมนึกขอบคุณในใจ แต่พี่มะเหมี่ยวก็ส่ายหน้ากลับมาและตั้งคำถาม

“ติดต่อไม่ได้เลยเหรอ โทรหาหรือยัง”

“ไม่ได้เลยครับ โทรศัพท์ปิดเครื่องตลอด หอก็ไม่กลับ ผมไม่รู้ว่าเขาหายตัวไปไหน”

“แล้วเพื่อนที่คณะล่ะ”

คำถามนี้ทำให้ผมชะงักไป ควานหาคำตอบอยู่ในใจว่าจะใช้คำพูดแบบไหนดี เพราะไนล์ไม่มีเพื่อนเลยสักคน ถ้าเขามีเพื่อน ผมอาจจะไม่ต้องวุ่นวายใจขนาดนี้ก็เป็นได้ สุดท้ายผมจึงตอบไปได้เพียงแค่กลางๆ

“ไม่มีใครรู้เลยครับ”

“หวังว่าคงจะไม่เกิดอุบัติเหตุหรอกนะ”

เสียงแผ่วเบาจากพี่ดาหลาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทำให้ผมใจกระตุกแรงๆ ไปได้หนึ่งจังหวะ เหมือนโดนอะไรบางอย่างกระชากตัวเอาไว้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดมาก่อนตลอดสองวันที่ผ่านมา และพอได้คิด ผมกลับมีคำตอบโง่ๆ ออกมา

ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็ดี

อย่างน้อย... อาจจะมีใครติดต่อมา

ดีกว่าเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอยแบบนี้

นี่มันบ้าชัดๆ ผมบ้าไปแล้ว ขอแค่ได้รู้ข่าวของเขา ถึงกับยอมรับได้ที่เขาจะเจ็บตัว มันไม่เหมือนความคิดที่ออกมาจากผมด้วยซ้ำ นี่มันไม่ใช่ความคิดของคนที่ชื่อกฤติกรที่ผมรู้จักมาตลอดสิบแปดปี

ความคิดของผมมันบิดเบี้ยวไปถึงขนาดนี้ได้อย่างไร

“คงไม่หรอกมั้ง อย่าคิดในแง่ร้ายสิ”

พี่มะเหมี่ยวตีพี่ดาหลาเบาๆ แต่น้ำเสียงของเธอก็แฝงไว้ด้วยความหวั่นใจ ผมจึงต้องพยายามเหยียดมุมปากออกเป็นรอยยิ้มให้พี่ทั้งสองคนเบาใจ แม้จะรู้สึกว่าปากของผมมันหนักราวกับถูกถ่วงเอาไว้ด้วยหินก้อนมหึมาก็ตาม

“คงไม่หรอกครับ ถ้าเป็นแบบนั้นน่าจะมีคนติดต่อมาบ้างแล้ว ถ้าพี่เจอไนล์ พี่ช่วยโทรบอกผมด้วยนะครับ”

“จ้า”

“ขอให้เจอเร็วๆ นะ”

แม้ไม่รู้ว่าทำไมไนล์ถึงหายตัวไป แต่พวกเธอก็ไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่านั้น นอกจากส่งยิ้มให้กำลังใจผม ซึ่งผมก็รู้สึกขอบคุณพวกเธอมากที่ไม่ซักไซ้ผมมากไปกว่านี้ เพราะผมไม่รู้จะตอบอย่างไร

หลังจากไปที่คณะบริหารธุรกิจแล้วผมก็ยังไล่ตามหาไนล์ต่อ บุกรุกไปยังคณะอื่นทั้งที่ไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาด้วยซ้ำ มีบ้างที่คนหันมามองผมอย่างประหลาดใจ เพราะคงไม่รู้ว่าเป็นใครแต่อยู่ๆ ก็วิ่งพล่านไปทั่วแบบนั้น แต่ผมไม่สนใจสายตาเหล่านั้นเลย กระทั่งมาจนถึงคณะสุดท้าย คณะนิเทศศาสตร์ซึ่งเป็นคณะของผม

ราวกับทุกสายตาจับจ้องมาที่ผม แต่ผมก็เมินเฉย วิ่งอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยแม้เวลาจะล่วงเลยจนถึงเวลาเข้าเรียนคาบบ่ายแล้วด้วยซ้ำ ผมได้ยินเสียงแว่วๆ เรียกชื่อผมจากใครสักคน แต่ก็ไม่ได้หันไปมอง สายตายังกวาดหาคนที่ต้องการพบมากที่สุด ราวกับหาโอเอซิสในทะเลทรายกว้างใหญ่ที่แห้งผากเพื่อช่วยให้ผมซึ่งกำลังจะขาดน้ำตายได้มีชีวิตอยู่รอด

RRrrr

เสียงโทรศัพท์ดังมาจากในกระเป๋ากางเกง ผมไม่แน่ใจว่ามันดังมากี่ครั้งแล้ว แต่เมื่อรู้สึกตัวผมก็รีบคว้ามันขึ้นมาดูอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่าอาจจะได้เบาะแสอะไรสักอย่าง หรือไม่ไนล์ก็โทรมาหาผม แต่ว่าชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอกลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แต่เป็นอีกคนหนึ่งที่มีความสำคัญต่อผมเทียบเท่าชีวิต






อ่านต่อข้างล่าง
v

v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 15 : อะไรที่หายไป อะไรที่เพิ่มมา
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 08-07-2015 23:06:36
ต่อจากข้างบน

v


v



[อะไรของมึงเนี่ย จะรีบไปไหน]

ประโยคแรกทักมาด้วยเสียงโวยอย่างไม่สบอารมณ์ แน่นอนว่าผมไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเขาหมายถึงอะไร จึงทำได้เพียงถามกลับไปสั้นๆ ทั้งที่ขายังคงไม่หยุดนิ่ง

“อะไร”

[ก็มึงนั่นแหละ จะวิ่งไปไหน เมื่อกี้กูเรียกก็ไม่หันมา]

ผมร้องอ๋อในใจทันที ราวกับภาพต่อจิ๊กซอว์ที่ชิ้นส่วนหนึ่งกระเด็นหลุดออกมาจนเป็นรูโหว่ถูกประกอบคืนสภาพดังเดิม

“โทษที กูกำลังรีบ”

[รีบอะไรของมึง แล้วนี่จะไปไหน]

เหมือนคำถามจะยังไม่ได้รับคำตอบอย่างชัดเจน มันเลยถามเป็นครั้งที่สาม แต่ผมก็ตอบได้เพียง

“กูไม่รู้”

[อะไรของมึงวะเนี่ย วิ่งหน้าตั้งเหงื่อซ่กขนาดนั้น แต่บอกว่าไม่รู้จะไปไหน]

“กูไม่รู้จริงๆ ไฮยีน”

[เออๆ เอาไว้มึงรู้ มึงบอกกูด้วยแล้วกัน]

มันคงรำคาญและจับน้ำเสียงของผมได้ว่ากำลังเหนื่อยอ่อนสับสนเลยตัดใจที่จะถาม แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ตัดสายไป แล้วสานต่อบทสนทนาต่อไปอีก ขณะที่ผมหันซ้ายหันขวา กวาดสายตาไปรอบตัว พยายามสังเกตในรัศมีการมองเห็นให้ละเอียดถี่ถ้วนที่สุด

[แล้วนี่มึงจะไม่เข้าเรียนคาบบ่ายเหรอ คาบเช้าก็ไม่เข้า]

“อืม จดเลกเชอร์ไว้ด้วยแล้วกัน เดี๋ยวกูยืม”

[ได้ๆ กูจะพยายามจดให้ละเอียดที่สุดแล้วกัน แต่เรื่องแกะลายมือไก่เขี่ยของกูนี่มึงต้องช่วยตัวเองนะ]

“เออได้ ขอบใจมึงมาก”

[ถ้ามีอะไรให้กูช่วย หรือมีปัญหาอะไร บอกกูนะมึง อย่าลืมว่ากูเป็นเพื่อนรักของมึงล่ะ]

ทั้งที่มันไม่รู้อะไรด้วยซ้ำ แต่มันก็พูดคำนี้ราวกับจะปลอบผม ซึ่งทำให้ใจที่ร้อนผ่าวของผมสงบลงได้โดยทันที เหมือนมีน้ำเย็นมาลูบและรดไฟร้อนให้มอดดับ จนรู้สึกถึงความชุ่มชื้นที่หายไปหลายวันมาแล้ว

ผมหยุดวิ่งโดยที่ไม่ต้องสั่งร่างกายให้ทำแบบนั้น ยกยิ้มแผ่วเบาไปเองตามธรรมชาติ อดไม่ได้ที่จะบอกความรู้สึกจากหัวใจของตัวเอง ความรู้สึกที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยนับตั้งแต่วันที่มันให้คำมั่นกับผมว่าเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป

“กูรักมึงนะ ไฮยีน”

[กูก็รักมึง]

วางสายจากไนล์ไปแล้ว ผมก็กลับไปที่คณะของไนล์อีกครั้ง นอกจากจะวิ่งหาตัวคนแล้ว ผมยังไล่ถามคนในคณะนั้นด้วย มีทั้งคนที่รู้จักและไม่รู้จักไนล์ คนที่ไม่รู้จักเพราะไม่เคยเห็นเขามีตัวตน เพราะไนล์ไม่เคยทำตัวเป็นจุดสนใจ ขณะที่คนที่รู้จักเขา ก็จะรู้จักด้วยชื่อเสียงที่ไม่ดีสักเท่าไร มันทำให้ผมรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจอีกครั้ง เพราะมันเหมือนจะตอกย้ำถึงเหตุผลที่ทำให้เขาหายตัวไป

ย้ำเตือนกับผมว่า...เรื่องที่ไนล์ขายตัวเป็นเรื่องจริง

แต่ในตอนนี้สิ่งที่ผมต้องสนใจที่สุดไม่ใช่เรื่องนั้น ผมต้องการพบเขา ต้องการถามเขา ต้องการคำตอบจากปากของเขา จากใจจริง ไม่ใช่การประชดประชัน ไม่ใช่ความหน้ามืดของผมที่ทำอะไรเลวๆ แบบนั้น เพราะมันไม่ต่างจากผมขืนใจเขาเลย แม้ว่าเขาจะเหมือนเต็มใจ แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองเป็นต้นเหตุที่บีบบังคับให้เขาทำแบบนั้น

ถ้าเขาทำจริง มันก็ต้องมีเหตุผล

หรือถ้าเขาไม่ได้ทำจริงๆ ก็ต้องมีเหตุผลสักอย่างที่ทำให้ใครๆ ต่างเข้าใจผิด

ผมตามหาเขาจนทั่วคณะ แต่ก็ไม่เจอ ไม่มีใครเห็นเขามาหลายวันแล้ว คำตอบที่ได้รับซ้ำๆ ราวกับจะซ้ำเติมกันทำให้ผมรู้สึกหมดแรง หายใจอย่างเหนื่อยหอบอยู่เป็นนาที ก่อนจะต้องหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นเลย

“อ้าว มาทำอะไรที่คณะพวกกูวะ”

ไอ้กัสกับไอ้เคลมอยู่ตรงนั้น มันทำหน้างงๆ มองผม คงแปลกใจที่อยู่ๆ ก็เห็นว่าผมโผล่มาที่คณะของมัน เพราะหากมองในมุมของพวกนั้นแล้ว ผมไม่มีความจำเป็นที่จะมาที่นี่เลย

“กูมาตามหาคน”

ผมบอกไปตามจริง แต่ก็ค่อนข้างแน่ใจว่าพวกมันคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะพวกมันไม่รู้ว่าผมรู้จักไนล์ แต่สิ่งที่ผมคิดมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไอ้กัสถามผมกลับมา

“ไนล์งั้นเหรอ”

“มึงรู้จัก”

ประหลาดใจนิดหน่อย แต่ไอ้กัสพยักหน้าเบาๆ ก่อนที่ไอ้เคลมที่เมื่อครู่ทำหน้าเหลอหลาจะแจงให้ผมรู้ถึงเหตุผล

“ก็ตอนนั้นที่เจอกัน เห็นบอกว่ามึงรู้จัก พวกกูก็จำๆ หน้าเอาไว้ หน้ามันแปลกดี จะว่าสวยก็ใช่ จะว่าไม่หล่อก็ไม่เชิง”

“แล้วพวกมึงเห็นไนล์กันบ้างไหม”

“ไม่เห็นนะ”

ไอ้เคลมตอบมาก่อน ตามนิสัยมันที่ชอบเจ๋อทุกเรื่องเป็นคนแรก ส่วนไอ้กัสก็ส่ายหน้าเบาๆ ตามสไตล์คุณชายของมัน ก่อนจะถามกลับมาแทน

“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”

“ก็...” ผมละเสียงของตัวเองไปครู่หนึ่ง พยายามนึกหาคำพูดที่บอกเล่าถึงสถานการณ์นี้ได้ “เข้าใจผิดกันนิดหน่อย แล้วอยู่ๆ มันก็หายตัวไป”

“ติดต่อแล้วก็ไม่ได้?”

ไอ้กัสยังถามเสียงเรียบๆ กลับมาเหมือนเดิม พลางกวาดตามองสภาพเหงื่อโซมกาย หน้าโทรมของผม แต่ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น แต่ผมก็มองออกว่ามันคงพอรู้รางๆ ว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างระหว่างผมกับไนล์ มันไม่ใช่คนโง่ ถึงจะไม่ชอบพูดโผงผางตามแต่อารมณ์เหมือนไอ้เคลมกับไฮยีน แต่ว่ามันเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้เร็ว มองอะไรได้ทะลุปรุโปร่งมากที่สุดในกลุ่มเรา เพราะฉะนั้นถ้ามีความลับก็ปิดบังมันได้ยาก แต่เรื่องไนล์ ใช่ว่าผมจะปิดบังเสียทีเดียว ผมแค่ยังเปิดเผยไม่ได้เท่านั้น

ผมจะพูดออกไปได้อย่างไร ในเมื่อผมยังไม่รู้อะไรสักอย่าง

“อืม กูถึงตามหาอยู่นี่ไง”

“มึงใจเย็นๆ เดี๋ยวเขาก็กลับมา”

มันบอกพร้อมกับวางมือบนบ่าผมเบาๆ แต่ก็บีบหนักๆ หนึ่งทีให้รู้ว่ามันเป็นกำลังใจให้ผม ทำให้ผมสามารถสูดหายใจเข้าปอดได้แรงขึ้นมาหน่อยอีกหนึ่งเฮือก

“มันหนีหนี้มึงเหรอ หรือว่ายังไง เดี๋ยวกูช่วยตามให้เอามะ กูเส้นสายเยอะนะ ไม่อยากจะบอก”

ดูเหมือนว่าผมจะสร้างโลกส่วนตัวกับไอ้กัสมาเกินไป ไอ้เคลมเลยโพล่งเสียงขึ้นมาบ้าง เหมือนจะบอกว่าให้สนใจมันด้วยนะ ผมเลยหันไปยิ้มอ่อนๆ ให้มัน ถึงมันจะไม่เข้าใจในสถานการณ์เท่าไร แต่ผมก็รู้ว่ามันห่วงผมและอยากช่วยเหลือ

“เปล่าหรอก ไม่ใช่หนี้หรือว่าอะไรทั้งนั้นแหละ แค่มีเรื่องจะต้องคุยกัน”

“งั้นก็แล้วไป เดี๋ยวมันก็กลับมาเองแหละ ยังไงมันก็ต้องกลับมาสอบ ตอนนั้นค่อยตามลากคอมันไปคุยก็ได้ อีกสองอาทิตย์เอง”

เป็นจริงอย่างที่ไอ้เคลมว่า อีกแค่ครึ่งเดือนก็จะสอบแล้ว อย่างไรไนล์ก็ต้องกลับมา

ถึงแม้ปกติผมจะเป็นพวกที่ไม่ชอบเข้าใจผิดกับใครนานๆ และมักใส่ใจความรู้สึกคนรอบตัวเสมอ แต่หากอีกฝ่ายเป็นคนอื่น และหายตัวไปจนติดต่อไม่ได้แบบนี้ ก็ใช่ว่าผมจะทนรอจนกลับมาไม่ได้ ซึ่งพวกมันก็รู้ดี ไอ้เคลมถึงพูดแบบนั้น แต่พอเป็นไนล์ ผมก็ใจร้อนบุ่มบ่ามตามหา แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อใจของผมมันไม่สงบเลย

ผมไม่สามารถรอจนถึงสองอาทิตย์ได้หรอก

“กูเข้าใจ”

ดูเหมือนว่าไอ้กัสจะเข้าใจได้เพียงแค่มองแววตาผม มันตบบ่าของผมเบาๆ อีกที และยิ้มให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น

“ว่าแต่มึงเตรียมตัวหรือยัง เรื่องไปถ่ายหนังให้พี่ภูอะ นี่กูเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วนะเว้ย อยากรู้ฉิบหายว่าจะไปที่ไหน”

“มึงนี่มันเว่อร์จริงๆ”

ไอ้เคลมเปลี่ยนเรื่อง ยิ้มน่าระรื่นแบบไม่ดูสถานการณ์ ไอ้กัสเลยส่ายหัวนิดหน่อยและบอกอย่างระอา ทำให้ผมยิ้มได้น้อยๆ ความร้อนในใจของผมลดระดับลงอีกหน่อย เพราะพวกเพื่อนๆ เพื่อนที่รักของผม ผมนึกขอบคุณพวกมันอยู่ในใจ แม้ไม่แน่ใจว่าไอ้เคลมจงใจพูดเพื่อเปลี่ยนอารมณ์หรือไม่ก็ตาม แต่ผมก็คิดว่าสักเสี้ยวหนึ่งในความคิดของมันน่าจะเป็นแบบนั้น

“ยังเลย ไว้เดี๋ยวค่อยเก็บ”

อันที่จริงผมไม่มีอารมณ์มานั่งเก็บของหรอก ถึงจะเหลืออีกแค่สองวันจะต้องเดินทางแล้วก็ตาม ผมได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้ได้เจอไนล์ก่อนหน้านั้น ก่อนที่ผมจะออกเดินทาง เพราะไม่อย่างนั้นใจของผมคงทุรนทุรายไปตลอดทริปแน่ๆ และมันก็จะทำให้ทุกๆ คนเดือดร้อน

“กูว่ามึงไปหาต่อเถอะ อยู่กับไอ้เคลมเดี๋ยวจะรำคาญหูเปล่าๆ”

ไอ้กัสเข้าใจผมเหมือนเคย มันบอกพร้อมกับพยักพเยิดหน้าให้ แต่ก็ทำให้ไอ้เคลมหน้าบูดขึ้นมาไม่น้อย ตัดพ้อหน่อยๆ ตามประสา

“มึงนี่แม่ง ด่ากูตลอดๆ”

“งั้นกูไปก่อนนะ”

“เออๆ ไว้ถ้ากูเจอจะโทรบอก”

สุดท้ายไอ้เคลมก็เปลี่ยนอารมณ์แล้วบอกผมแบบนั้น ผมพยักหน้าให้มันเบาๆ ก่อนจะเดินแยกตัวออกมา และอดคิดไม่ได้ว่า...

แล้วต่อไปผมจะไปที่ไหน

ผมจะได้เจอเขาอีกใช่ไหม

เขาจะไม่หายไปตลอดกาลเหมือนอย่างมิ้นใช่หรือเปล่า






---------------
มาต่อแล้วค่ะ

ตอนนี้ไนล์ก็ทำอะไรให้งงอีกแล้ว
แล้วกราฟก็ได้แต่พร่ำเพ้อต่อไป แต่ก็เหมือนว่าจะเริ่มคิดอะไรบางอย่างได้แล้ว (หรือเปล่า?)
มีกราฟยีนนิดหน่อยด้วย

แต่งตอนนี้แล้วก็ได้แต่คิดว่า
คนที่อ่านเรื่องนี้ต้องเป็นคนที่มีความอดทนและใจเย็นมากเลยนะ ที่สามารถทนอ่านมันต่อไปได้  :katai5:

เรื่องนี้คาดการณ์ไว้ว่ามีประมาณ 20-22 ตอนนะคะ
ดูๆ ไปก็ใกล้จะจบแล้วล่ะ

ขอบคุณคนที่ยังไม่ลืมกันนะคะ และขอบคุณคนที่เข้ามาอ่านใหม่ด้วยค่ะ

สำหรับเรื่องรีปริ๊นท์ภูยีน ตอนนี้จองเปิดรีปริ๊นท์แล้วนะคะ
รายละเอียดตามได้ในเฟซเช่นเคยค่ะ

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 15 : อะไรที่หายไป [8/7/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ขนมโก๋ ที่ 08-07-2015 23:12:20
 :katai5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่ต่างจากเมื่อวาน
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 19-07-2015 23:35:25
ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่ต่างจากเมื่อวาน


หลายวันที่ผ่านมา ผมคอยเฝ้ารอและตามหาไนล์อย่างไร้จุดหมาย ราวกับว่าสิ่งที่ผมกระทำลงไปเป็นสิ่งไร้ประโยชน์ แต่วันนี้ผมได้รับคำตอบที่ต้องการแล้ว


'ตอนนี้คุณเนรมิตรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ'


หลังจากไปหาไนล์ที่คณะ ผมก็กลับมาที่ห้องของไนล์อีกครั้งเพราะอับจนหนทางที่จะตามหาเขาอีกต่อไป แต่ไม่นานจากนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ผมเบิกตาโพลง ก้อนในใต้อกซ้ายเต้นถี่ระรัวจนจับจังหวะไม่ได้ มือผมสั่น กดรับสายอย่างรวดเร็ว กรอกเสียงลงไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งจนเกือบไม่เป็นคำ หวังจะสอบถามว่าเจ้าของชื่อบนหน้าจอโทรศัพท์ของผมอยู่ที่ไหน แต่คำตอบที่ได้รับทำให้หัวใจของผมกระตุกไปหนึ่งทีแรงๆ

ความต้องการอันบิดเบี้ยวของผมเป็นจริงอย่างนั้นหรือ

ผมถามตัวเองในใจแบบนั้น

เมื่อได้รับคำตอบถึงสถานที่แล้วผมก็ไปยังจุดหมาย อยากรีบไปหาเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้โดยไม่สอบถามด้วยซ้ำว่าอาการของเขาเป็นอย่างไรบ้าง ผมกระวนกระวายร้อนใจและคิดว่าอย่างน้อยให้ผมได้เห็นหน้าของเขาก่อน เปลวไฟในใจของผมถึงจะมอดดับลงได้

ผมมันเห็นแก่ตัว

ผมได้รู้ธาตุแท้ของตัวเองก็วันนี้

กราฟที่ใครๆ บอกว่าแสนดีช่างเอาใจใส่ กราฟที่เพื่อนๆ บอกว่ามักห่วงใย คิดถึงความรู้สึกของคนอื่นก่อนตัวเอง และชอบดูแลคนอื่นอยู่เสมอ กลับกลายเป็นคนที่ไม่สนใจความเป็นไปของคนอื่นเลย เว้นแต่ความรู้สึกของตัวเอง

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่สนใจ

สองเท้าของผมวิ่งไปตามทางเดินที่พลุกพล่านไปด้วยคนไข้และเจ้าหน้าที่ในชุดทำงานหลังจากสอบถามที่อยู่ของคนที่ผมอยากเจอที่สุดแล้ว ตรงดิ่งไปที่นั่นพร้อมกับความร้อนที่อบอวลอยู่ในอกจนร้อนผ่าว กระทั่งถึงห้องพักผู้ป่วยรวม ผมถึงหยุดฝีเท้าและเริ่มหายใจหอบ รู้สึกถึงความเหนื่อยของตัวเองเป็นครั้งแรกตั้งแต่จอดรถ

ผมเดินตรงเข้าไปยังเตียงที่อยู่ด้านในสุด เพราะเตียงที่อยู่ด้านหน้าๆ นั้นมีทั้งเตียงที่ว่างอยู่และเตียงที่มีคนนอน เดินผ่านมันไปโดยไม่สนใจญาติพี่น้องของผู้ป่วยรายอื่นๆ กระทั่งถึงที่หมาย

ร่างผอมๆ คุ้นตานอนอยู่บนนั้น

ผมขยับเข้าไปใกล้เตียง พิจารณาใบหน้าขาวซีดที่ดูซูบเซียวกว่าที่เคยเห็น ดวงตาทั้งสองข้างถูกปิดด้วยเปลือกตาให้รู้ว่าเขายังไม่ได้สติขึ้นมา เขาไม่ได้มีบาดแผลภายนอกใดๆ ทั้งนั้น มีเพียงเข็มจากสายน้ำเกลือที่ติดอยู่บนหลัง

การเห็นว่าคนที่นอนยู่บนเตียงไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้น เสียงผ่อนลมหายใจดังออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว

ในที่สุดผมก็ได้เจอเขาสักที

นางพยาบาลเดินเข้ามายืนอยู่ข้างผม คงเพราะรู้ว่ามีคนมาเยี่ยมเขาจากการที่ผมไปสอบถามข้อมูลมาว่าเขาพักอยู่ที่ห้องไหน จึงเป็นโอกาสให้ผมได้ถามอาการของเขาและความเป็นไปว่าเขามาที่นี่ได้อย่างไร

“เพื่อน...เพื่อนของผมเป็นยังไงบ้างครับ”

“คุณเนรมิตมีอาการพักผ่อนไม่เพียงพอและขาดอาหารค่ะ ถึงได้หมดสติไป แต่ตอนนี้ไม่เป็นอะไรมากแล้วค่ะ แค่พักผ่อนแล้วก็รับสารอาหารให้เพียงพอก็จะกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม”

ได้ยินเช่นนั้นแล้วผมก็ผ่อนลมหายใจออกมาอีกครั้ง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้ เขาไปทำอะไรมา ทั้งที่ก็พอรู้ว่าเขาไม่ค่อยสนใจตัวเอง ไม่ดูแลตัวเองว่าสภาพร่างกายจะเป็นอย่างไร แต่ก็ไม่คิดว่าจะถึงขนาดเป็นลมหมดสติแบบนี้

“แล้วคนที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลล่ะครับ”

“เป็นป้าที่ขายของอยู่แถวๆ นั้นโทรมาแจ้งทางโรงพยาบาลค่ะ ไม่ได้มานำส่งเอง”

ผมร้องอ๋ออยู่ในใจ พยักหน้าเบาๆ แสดงให้รู้ว่าเข้าใจสถาการณ์ ก่อนจะนึกได้อีกเรื่องหนึ่งที่ค่อนข้างสำคัญมาก แม้จะค่อนข้างแปลกใจที่ทางโรงพยาบาลติดต่อผมมาด้วย

“ขอบคุณมากนะครับที่ติดต่อผมมา ผมกำลังกังวลเลยเพราะว่าติดต่อเขาไม่ได้ แล้วไม่ทราบว่าได้ติดต่อญาติเขาหรือยังครับ”

“ทางโรงพยาบาลยังไม่ได้ติดต่อญาติผู้ป่วยค่ะ แต่ที่ติดต่อคุณก็เพราะโทรศัพท์ของคนไข้มีเบอร์ติดต่อที่ถูกบันทึกชื่อเอาไว้อยู่เพียงเบอร์เดียว”

คำตอบที่ได้รับมาทำให้ผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะถึงแม้ผมจะรู้ว่าไนล์ไม่ค่อยมีเพื่อน หรือจะเรียกได้ว่าไม่มีเลยก็ตาม แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีเบอร์เพื่อนตอนมัธยม พ่อแม่ ญาติพี่น้องอยู่บ้าง หรือไม่ก็พวกผู้หญิงที่ติดต่อเขา และเพราะสีหน้าประหลาดใจปนงุนงงของผมล่ะมั้งที่ทำให้ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่งยิ้มให้พลางบอก

“โทรศัพท์ของคุณเนรมิตอยู่ในลิ้นชักที่ตู้ข้างเตียงค่ะ”

ไม่รอช้า ผมยื่นมือไปเปิดลิ้นชักที่ว่านั้นทันที และก็เป็นสิ่งที่นางพยาบาลบอกเอาไว้ โทรศัพท์เครื่องนั้นปิดอยู่ซึ่งน่าจะเป็นสถานเดียวกับที่มันเป็นก่อนที่ไนล์จะถูกพามาโรงพยาบาล ผมจึงเปิดขึ้นมาโดยไม่ต้องตรึกตรองใดๆ กระทั่งได้ยินเสียงเปิดเครื่อง หญิงที่อายุมากกว่าผมน่าจะสิบปีได้ก็บอกออกมา

“ถ้าน้ำเกลือถุงนี้ใกล้หมดแล้ว รบกวนช่วยแจ้งด้วยนะคะ จะมาเปลี่ยนถุงใหม่ให้ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ”

“ครับ ขอบคุณมากนะครับ”

ผมหันเสี้ยวหน้าไปกล่าวคำขอบคุณเธอ ก่อนจะกลับมามองหน้าจออย่างรวดเร็วราวกับเสียดายเวลา กระทั่งหน้าจอโทรศัพท์รุ่นเก่าที่ไม่ใช่แม้แต่สมาร์ทโฟนเปิดขึ้นมา ผมจึงกดเข้าไปดูรายชื่อในสมุดโทรศัพท์ และก็เป็นอย่างที่พยาบาลคนนั้นบอก รายชื่อเดียวที่อยู่ในนั้น คือชื่อของผม



กราฟ


ทั้งที่เป็นการพิมพ์ชื่อตรงๆ ไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรเป็นพิเศษด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้เกิดขึ้นมาในอก จะว่าเป็นความประหลาดใจก็ได้ที่ทั้งโทรศัพท์มีเพียงชื่อผมคนเดียว หรือว่าจะยินดีอยู่ลึกๆ ก็ได้ที่มันเป็นชื่อของผม

ชื่อเพียงชื่อเดียวในโทรศัพท์เครื่องนี้

เหมือนกับว่า...ผมเป็นคนพิเศษ

อาจจะเป็นการคิดเพ้อเจ้อไปเองก็ได้ แต่ว่าสิ่งที่อยู่ในมือทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น และพอกดเข้าไปดูเบอร์โทรเข้าออก มันกลับมีเบอร์หลากหลาย ทั้งเบอร์ของผมและเบอร์ของใครหลายๆ คนที่ไม่รู้ว่าเป็นใคร อาจจะเป็นผู้หญิงพวกที่ติดต่อกับไนล์ หรืออาจจะเป็นลูกค้าที่จ้างเขาวาดรูปก็ได้ทั้งนั้น แต่ทั้งที่มันน่าจะสำคัญ ไนล์กลับไม่บันทึกมันเอาไว้

ราวกับจะตอกย้ำให้ความคิดเพ้อเจ้อของผมฝังลงไปในสมองแน่นขึ้น

ผมมองชื่อของผมในเครื่องสี่เหลี่ยมเก่าๆ นั่นสลับกับมองหน้าของไนล์ เขายังไม่มีท่าทีตื่นขึ้นมา ผมจึงคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ มานั่งและกลับมาจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์อีกครั้ง ฉับพลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของผมราวกับมีแสงสีขาวพุ่งเฉียงลงมา

แล้วเบอร์ติดต่อคนในครอบครัวล่ะ

พ่อแม่ พี่น้อง...

คิดดังนั้นแล้วผมก็รู้สึกว่าปริศนาอีกหนึ่งอย่างของไนล์กำลังเคาะประตูเพื่อจะยัดเยียดตัวมันเข้ามาในตัวผมซึ่งมีแต่คำถามเกี่ยวกับเขาอยู่เต็มไปหมดจนแทบจะไม่มีที่ให้แทรก แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเปิดช่องว่างเล็กๆ ออกให้มันเข้ามา

เพราะว่าเป็นไนล์ล่ะมั้ง ผมถึงได้ทำแบบนั้น

เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ผมก็กดปิดโทรศัพท์และเก็บมันเข้าไปในลิ้นชักของตู้ข้างๆ เช่นเดิม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนที่ยังหลับตาอยู่ ใบหน้าของไนล์ที่ปกติขาวอยู่แล้วดูขาวซีดราวกับไม่มีชีวิตยิ่งกว่าเก่า ลมหายใจของเขาสม่ำเสมอและแผ่วเบาจนเกือบไม่รู้ว่าเขาหายใจอยู่หรือเปล่า

ริมฝีปากที่เคยเป็นสีพีชและเคยเข้มกว่านั้นเพราะผม จางสีลงกว่าครั้งไหนๆ จนผมอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแตะมันเบาๆ ไล้ปลายนิ้วโป้งที่แตะอยู่บนริมฝีปากแห้งๆ นั้นราวกับมันเป็นสิ่งที่เปราะบางจนอาจจะแตกหักลงได้ถ้าลงน้ำหนักมากเกินไป

จะว่าเป็นครั้งแรกก็ได้ที่ผมรู้สึกว่าผมกำลังแตะต้องอะไรบางอย่างด้วยความทะนุถนอมขนาดนี้

ทั้งที่ไนล์เป็นผู้ชาย และเป็นคนที่เหมือนกับไม่มีชีวิตจนไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงว่าผมจะสัมผัสด้วยความรุนแรงมากขนาดไหน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกว่า...

ผมอยากดูแลเขา

ผมรู้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอ รู้ว่าเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่ผมก็ยังรู้สึกแบบนั้น

มันเป็นความรู้สึกของผมเอง เป็นการคิดไปเองของผม ว่าเขา...ต้องการให้ผมอยู่เคียงข้าง

ไม่ใช่เพราะต้องการการปกป้อง ไม่ใช่เพราะต้องการความเอาใจใส่ แต่แค่อยากให้อยู่ข้างๆ เพียงเท่านั้น

ผมนั่งรอคอยโดยไม่ได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร กระทั่งเปลือกตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ ขยับทีละนิดก่อนจะเปิดขึ้นมาให้เห็นดวงตาเรียวนั้น ผมก็ผุดลุกขึ้นอย่างว่องไว ชะโงกเข้าไปดูอาการของคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา

ไนล์กะพริบตาอยู่หลายครั้งเหมือนกับพยายามจะปรับภาพที่เห็น แต่เพียงชั่วครู่หนึ่งเขาก็เบิกตาโพลง ลุกพรวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หันซ้ายหันขวากวาดตามองไปทั่วห้องเพื่อให้รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ก่อนจะมาจบลงที่ใบหน้าของผม แล้วย้ายไปที่ร่างกายของตัวเอง

เมื่อเห็นว่าที่แขนของตัวเองมีเข็มหนึ่งปักอยู่ เขาก็กระชากมันออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ผมตกตะลึงพรึงเพริศไปชั่วครู่ก่อนจะต้องรีบกระชากตัวเขาเอาไว้ เพราะไนล์ทำท่าจะลุกออกจากเตียงไป ผมใช้สองแขนโอบรอบเอวของเขา ก่อนจะดึงเข้าหาตัว ขณะที่ตัวเองพิงตัวไว้กับเตียง ยึดเขาเอาไว้แบบนั้นพลางเอื้อมตัวไปกดปุ่มเพื่อเรียกพยาบาล

เพียงไม่นานคนที่ถูกเรียกก็เข้ามา ไนล์พยายามดิ้น แต่ผมกอดเขาเอาไว้แน่น ผู้คนที่อยู่ในห้องพักเดียวกันอีกสามเตียงและญาติๆ ที่มาเยี่ยมดูตื่นตระหนกกับอาการของไนล์ ผมต้องปรามเขาพร้อมกับบอกพยาบาลไปด้วย

“ไนล์ใจเย็น ใจเย็นก่อน เอ่อ คุณพยาบาลครับ เขาถอดสายน้ำเกลือออก”

“เดี๋ยวจะเสียบให้ใหม่นะคะ คนไข้ใจเย็นๆ นะคะ ตอนนี้ร่างกายไม่แข็งแรง ต้องได้รับสารอาหารและพักผ่อนอย่างเพียงพอเสียก่อนถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้นะคะ”

ผู้หญิงในเครื่องแบบพยายามใจเย็น เธอบอกด้วยน้ำเสียงปลอบ ทำให้ไนล์หยุดนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง แต่เมื่อรู้ว่าผมกำลังกอดอยู่เขาก็สะบัดตัวอีกครั้ง

เขาคงเกลียดผมแล้ว จนไม่อยากเจอหน้าหรือคุยกัน แต่ว่า...

“ไนล์ อย่าดิ้นสิ นายไม่พอใจอะไร หรือจะต่อว่าอะไรฉันก็ได้ แต่ตอนนี้รักษาตัวเองก่อนได้ไหม เอาไว้ให้หายดีก่อนได้ไหม ฉันขอร้อง”

ผมเอ่ยด้วยเสียงที่อ้อนวอนที่สุด เพื่อให้เขาคลายอาการลง แต่ก็เขายังขยุกขยิกอยู่ในอ้อมกอดของผม ผมจึงต้องพูดขึ้นอีกครั้ง

“ได้โปรดไนล์ ฉันเป็นห่วงนายนะ ไม่อยากให้นายเป็นอะไร แล้วฉันก็มีเรื่องอยากจะพูดกับนาย ช่วยรับฟังได้ไหม”

อาจเพราะน้ำเสียงของผมสื่ออารมณ์ได้อย่างชัดเจน เขาถึงยอมสงบลงในที่สุด ผมพยักหน้าให้พยาบาลเพื่อที่เขาจะได้ทำงานของตัวเองต่อไป ก่อนจะก้มหน้าซุกลงกับบ่าของเขา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ที่สุดท้ายเขาก็รับฟังผมสักที ไนล์สะดุ้งนิดหน่อยตอนที่โดนเข็มเจาะลงไปบนผิวหนัง กระทั่งเรียบร้อย เสียงของพยาบาลก็ดังอีกครั้ง

“อย่าดึงเข็มออกมาอีกนะคะ แล้วคนไข้ก็ต้องรับน้ำเกลืออีกถุงถึงจะออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ”

“ขอบคุณนะครับ” ผมยิ้มให้เธออย่างอ่อนแรง เพราะรู้สึกเกรงใจที่ทำให้เธอต้องลำบาก ก่อนจะบอกเธออีกครั้ง “ถ้ายังไงรบกวนช่วยปิดม่านให้ด้วยนะครับ”

เพราะผมมีเรื่องที่จะคุยกับไนล์ และไม่อยากเป็นเป้าสายตาของคนไข้เตียงอื่นๆ จึงบอกไปแบบนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจดีจากอาการของไนล์เมื่อครู่นี้ จึงค่อยๆ ขยับออกไปและรูดม่านปิดรอบเตียงให้ ตอนนี้ผมกับไนล์จึงเปรียบเสมือนอยู่ในห้องส่วนตัว แต่เพราะลำพังแค่ม่านไม่สามารถกั้นเสียงพูดคุยดังๆ ได้ ผมจึงไม่ยอมปลดมือจากไนล์ แต่กลับดันตัวขึ้นนั่งบนเตียงโดยดึงร่างผอมบางขึ้นมานั่งอยู่ตรงหว่างขา และกอดร่างนั้นเอาไว้ เกยคางกับไหล่และพูดเบาๆ ให้เขาได้ยินข้างหู

“นายไปอยู่ที่ไหนมา รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงนายขนาดไหน ตามหาเท่าไรก็ไม่เจอ”

“...”

สิ่งที่ตอบผมกลับมาคืนความเงียบ ไนล์ไม่ได้หันมามองหน้าผม ใบหน้าของเขาตั้งตรง และดวงตาก็ยังคงจ้องมองไปยังม่านที่เป็นลอนลูกคลื่นอย่างเหม่อลอย แต่ผมก็ไม่ยอมแพ้

“ฉันขอโทษที่ฉันเข้าใจนายผิด และทำเรื่องบ้าๆ แบบนั้นกับนาย นายโกรธฉันใช่ไหม ถึงได้หนีไป ไม่ยอมกลับมาแบบนี้”

“...”

“...”

“..........นายไม่ได้เข้าใจผิด”

เงียบอยู่นาน กว่าเสียงเบาหวิวจนแทบไม่ได้ยินของเขาจะดังขึ้น แต่ถ้อยคำนั้นก็ราวกับจะประชดกัน ทำให้ผมรู้ว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำเพราะอารมณ์ชั่วแล่นของผม

“นายอย่าโกหกเลย ฉันรู้ว่านายไม่ได้ทำอย่างนั้น คนอื่นอาจจะเข้าใจนายผิด แต่ว่าฉันจะไม่ยอมเข้าใจนายผิดอีก”

“ฉันทำ...แบบนั้นจริงๆ”

ไนล์ยังคงย้ำ ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง ผมกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นขึ้น และพยายามอธิบายเหตุผล

“นายไม่ได้ทำ ฉันรู้ อย่างน้อยนายก็ไม่ได้ขายร่างกายนี้ให้กับผู้ชายคนไหน”

“แต่ฉัน...ก็ขายให้นายไม่ใช่หรือไง”

น้ำเสียงของเขากดต่ำลงอีกตรงท้ายประโยค เหมือนพยายามจะทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเย็นชา แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น มันเหมือนกับแฝงความเจ็บปวดออกมาต่างหาก ซึ่งมันทำให้ผมไม่ชอบเอาเสียเลย มันเสียดในอก เหมือนโดนของแหลมๆ เสียบเข้ามาและดึงออกอย่างช้าๆ

“ถ้าหมายถึงยี่สิบบาทที่นายเอาไปนั่นละก็ ไม่ถือว่าเป็นการขายหรอก แล้วฉันก็ไม่ได้ซื้อนายด้วย”

“ถึงอย่างนั้น ฉันก็ขายตัวอยู่ดี...อย่างน้อยก็กับผู้หญิง”

ผมรู้สึกว่าใจมันชาขึ้นมาเสียดื้อๆ ไม่ใช่เพราะความรู้สึกเหมือนอะไรที่เสียบอยู่ในอกถูกดึงออกมา แต่เป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่ของเขาต่างหาก ถึงกระนั้นผมก็บังคับเสียงออกมาให้เป็นคำถาม พยายามเหลือเกินที่จะไม่ซักไซ้ไล่ต้อนเขามากเกินไป ถามในสิ่งที่มันมีเหตุผลสมควรแก่การถาม

“แล้วทำไมนายถึงทำแบบนั้น”

“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกให้นายรู้”

“อย่าปิดบังฉันอีกเลยได้ไหม ฉันอยากรู้ว่านายเป็นใคร รู้สึกยังไง อยากรู้ทุกๆ เรื่องของนาย ช่วยบอกฉันได้ไหม ไม่ต้องบอกฉันก็ได้ว่านายเข้าหาฉันเพื่ออะไร แต่ช่วยบอกฉันเถอะ เรื่องเกี่ยวกับนาย ฉันอยากรู้ทุกเรื่อง”

“นายจะอยากรู้ไปทำไม”

น้ำเสียงของเขาเฉยชา แต่ก็แอบซ่อนความสั่นไหวเอาไว้ ผมจับความรู้สึกที่แทรกสอดเข้ามาได้ แม้ว่ามันจะน้อยนิดเหลือเกิน แต่ไนล์ในเวลานี้ไม่ใช่คนเก่งที่เก็บอารมณ์ไว้ได้อย่างมิดชิดอีกต่อไป หรืออาจเพราะผมเฝ้าจับสัมผัสอันน้อยนิด ไม่ว่าจะน้อยสักแค่ไหนของเขาอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้มันหลุดลอดไปก็เป็นได้

“ก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องของนายไง เพราะว่าเป็นเรื่องของไนล์ ฉันถึงได้อยากรู้”

“...”

ไนล์เงียบลงไปอีกครั้ง ผมเองก็เงียบเช่นกัน เฝ้ารอเวลาที่เขาจะยอมเปิดปากพูดออกมาด้วยตัวเอง ซึ่งเขาก็คงจะเฝ้ารอเช่นเดียวกันว่าผมจะยอมแพ้เมื่อไร เราต่างตกอยู่ในห้องสุญญากาศที่สร้างกันขึ้นมา กระทั่งพักใหญ่เขาถึงยอมพูด คงเพราะคิดได้ว่าผมจะไม่ยอมแพ้และตัดใจไปอย่างง่ายๆ

“ฉันจำเป็น”

“...”

ผมไม่ถามเขาต่อ ไม่อยากบีบคั้นให้เขาต้องเล่าออกมา แต่อยากให้เขารู้สึกได้เองว่าผมกำลังรอ รอให้เขาเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองด้วยความเต็มใจ เพราะไว้ใจถึงเล่าให้ผมฟัง ไว้ใจให้ผมได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา ได้รู้ว่าความเป็นมาส่วนหนึ่งของเขาเป็นแบบไหน ให้เขายอมรับ...

...ว่าเขาก็ต้องการให้ผมรู้เหมือนกัน

“ฉันต้องใช้เงิน......... ทั้งเรื่องที่วาดรูปขาย เรื่องที่..........ขายตัว”

เสียงแผ่วหวิวจนแทบไม่ได้ยินในประโยคสุดท้าย แต่เป็นเพราะผมตั้งใจฟังอย่างถึงที่สุด จึงได้ยินมันอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ขายให้ผู้หญิงพวกนั้นน่ะเหรอ”

เพราะรู้ว่าเขาจะไม่อธิบายรายละเอียดมากไปกว่านี้ แต่เพราะผมอยากรู้เองถึงได้ถาม ซึ่งไนล์ก็พยักหน้าเบาๆ ตอบผมกลับมาด้วยเสียงที่เปล่งออกมาได้ไม่เต็มที่นัก

“แรกๆ ฉันก็เสนอตัวเอง หลังจากนั้นลูกค้าก็พูดกันปากต่อปากแล้วโทรเข้ามานัดเอง”

ไม่รู้ทำไมหัวใจของผมถึงรู้สึกเสียดๆ ขึ้นมาอีกครั้งจนต้องกลั้นลมหายใจอยู่ชั่วคราว ราวกับจะตั้งสติให้ดีแล้วค่อยเอื้อนเสียงถาม

“นาย...มีอะไรกับผู้หญิงพวกนั้นเหรอ”

เมื่อเสียงหลุดออกมาจากปากของผม ก็เหมือนว่าตัวเองจะหยุดหายใจไปชั่วระยะหนึ่ง ไนล์เงียบไปในช่วงเดียวกัน แต่เพียงไม่นานเขาก็ตอบกลับมาด้วยคำสั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างพองโตอยู่ในอก

“เปล่า”

ผมรู้สึกเหมือนมุมปากกำลังยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ในเวลานั้น

“แค่เดทกัน จับมือบ้าง กอดบ้าง แต่ไม่เคยถึงขั้นจูบ แลกกับการเลี้ยงข้าวและแถมเงินอีกนิดหน่อย”

รอยยิ้มของผมชะงักลงไปกับคำว่า ‘จูบ’

“แต่ฉันเห็นนายจูบ... กับผู้หญิงบนรถคันนั้น”

ภาพนั้นยังคงติดตาผมอยู่ ผมยังจำได้อย่างแม่นยำ

“นั่นก็เพราะ...ฉันยกเลิกนัด”

ประโยคที่เขาเคยพูดแต่เหมือนว่าผมเกือบจะลืมไปแล้วดังขึ้นมาในหัวผมอีกครั้ง


‘เป็นข้อแลกเปลี่ยนสำหรับการยกเลิกนัด นายรู้ไหมว่านายทำให้ฉันต้องลงทุนด้วยส่วนที่แพงที่สุด’


เพราะเขาไม่ยอมจูบ มันถึงได้เป็นส่วนที่แพงที่สุด แต่เขาก็ยินยอมจ่ายทั้งที่ไม่ยอมใช้มันเพื่อแลกกับเงินเพราะผม เพราะต้องการไปกับผม จะด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ก็ตาม แต่ว่านั่นทำให้ผม...

ดีใจ

คงไม่ผิดใช่ไหมที่ผมจะรู้สึกแบบนั้น

ผมกดหน้าลง สูดจมูกดมกลิ่นกายของเขาที่คงถูกพยาบาลเช็ดเนื้อตัวให้แล้ว เพราะมันไม่มีกลิ่นอะไรนอกจากกลิ่นผิวของเขา พลางบอกสิ่งที่นึกคิดอยู่ในใจ

“ถ้าฉันขอว่าต่อไปอย่าทำได้ไหม จะได้หรือเปล่า”

“บอกแล้วว่ามันจำเป็น”

“เงินน่ะเหรอ”

เขาพยักหน้าเบาๆ ตอบคำถามของผม ซึ่งสำหรับผมแล้วมันไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แม้จะไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องใช้เงินจนกระทั่งยอมทำอะไรแบบนี้ ยอมแม้กระทั่งให้คนอื่นเข้าใจผิดๆ จนมองเขาในแง่ร้าย

“ถ้าเป็นเพราะแบบนั้น ต่อจากนี้นายก็ไม่จำเป็นต้องทำแล้ว นายอยากกินอะไร อยากซื้ออะไร บอกฉันก็ได้”

“นายกำลังดูถูกว่าฉันซื้อได้ด้วยเงินสินะ ก็ใช่ ฉันซื้อได้ด้วยเงิน แต่ฉันไม่ต้องการความสงสาร หรือความสมเพชเวทนาจากนาย”

ไนล์กระโดดลงจากเตียง พลางพยายามยื้อตัวออกจากผมที่กอดเขาเอาไว้มาพักใหญ่ๆ แต่ผมก็ดึงเขาเอาไว้ แน่นอนว่าแรงของผมย่อมมากกว่าเขาอยู่แล้ว นอกจากเขาจะป่วย ขนาดตัวของเราก็ต่างกัน ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้ชายที่เตี้ยมาก แต่ก็ผอมบางจนเกือบจะมีแต่กระดูก

ผมเพิ่งเข้าใจในตอนนี้เองว่าทำไมเขาถึงได้ดูผอมขนาดนี้

เขาไม่ดูแลตัวเอง ไม่ยอมพักผ่อน เอาแต่ทำงานเพื่อหาเงิน

“ฉันไม่ได้สงสารหรือสมเพชนาย ที่ฉันพูดแบบนั้นก็เพราะว่าเป็นห่วง”

ผมจับไนล์ขึ้นนั่งบนเตียงและเปลี่ยนเป็นตัวเองที่ลงมายืนแทน เอาแขนสองข้างค้ำขนาบร่างเขาเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาในระยะที่มองเห็นกันได้ชัดเจนและทำให้เขาไม่สามารถหนีไปจากผมได้

“ฉันเป็นห่วงนายจริงๆ แล้วก็...หวงนายด้วย”

ตาของผมจ้องเข้าไปในดวงตาของเขา มองเข้าไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่และสื่อความรู้สึกอย่างที่พูดออกไป ภาพแววตาของเขาที่สะท้อนใบหน้าของผมมีสั่นไหวเล็กน้อย

เขาเม้มริมฝีปากเข้าหากันเหมือนพยายามจะสะกดกั้นความรู้สึกบางอย่าง ขบฟันลงบนกลีบปากสีพีชที่ซีดกว่าปกติเอาไว้ ผมจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากกว่าเก่า และจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากคู่นั้นซึ่งหลบซ่อนอยู่ครึ่งหนึ่ง ก่อนจะผละออกมาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่มันหลุดออกมาจากปากของผมเองโดยไม่ได้แต่งเติมใดๆ

“ได้ไหม”

ปากที่ผมเพิ่งประจับจูบลงไปยังไม่คลายออก มันยังคงเม้มหนัก ขณะที่นัยน์ตาของเขาก็จับจ้องผมไปด้วย ผมจึงยิ้มให้นิดๆ ก่อนจะเอ่ยขอร้องเขาอีกครั้ง

“ยอมรับความเอาแต่ใจของฉันได้ไหม ให้ฉันดูแลนายเท่าที่ฉันอยากทำเถอะนะ”

ผมยังคงจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ ซึ่งเขาเองก็มองผมตอบกลับมาเหมือนกัน ราวกับกำลังประเมินว่าควรจะอนุญาตหรือไม่ และสุดท้าย เสียงที่ผมรอคอยก็ดังขึ้นในลำคอ

“อืม”




v

v

อ่านต่อข้างล่าง
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่ต่างจากเมื่อวาน
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 19-07-2015 23:35:53
ต่อจากข้างบน


v


v




คืนนั้นไนล์ออกจากโรงพยาบาลได้ ผมพาเขาไปที่คอนโดของผมแทนที่จะกลับไปที่แมนชั่น และเพราะผมอยากให้เขาได้พักผ่อนอย่างสบายๆ ผมจึงส่งเขาเข้าห้องก่อนจะย้อนกลับออกมาอีกครั้งเพื่อซื้ออาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนเหมาะสำหรับคนที่ร่างกายไม่แข็งแรง แทนการสั่งอาหารมากินแบบขอไปที

หลังจากกินอาหารเสร็จเรียบร้อย ผมก็เข้าห้องมาเก็บของเตรียมไว้สำหรับการเดินทางช่วงเช้าตรู่วันมะรืน ขณะที่ไนล์นั่งอยู่บนเตียง ผมกลัวเขาไม่มีอะไรทำก็เลยเปิดละครหลังข่าวทิ้งเอาไว้ด้วย แม้จะรู้ว่าไนล์ไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ก็ตาม เพราะปกติแล้วถ้าเขาไม่วาดรูป เขาก็จะนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง

“เดี๋ยวเช้าวันเสาร์ฉันต้องไปต่างจังหวัดนะ กลับมาอีกทีก็คงค่ำๆ วันจันทร์ นายอยู่ที่ห้องฉันนี่แหละ เอารถฉันไปใช้ก็ได้ นายขับรถเป็นหรือเปล่า”

เก็บของเสร็จแล้วผมก็เดินมานั่งข้างเขาบนเตียง แต่ว่าไนล์ส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันให้ค่าแท็กซี่เผื่อไว้ก็ได้ แต่ฉันอยากให้นายอยู่ที่นี่”

“ทำไม”

“ถ้าไม่นับว่าที่นี่อยู่ไกลจากมหา’ลัยมากกว่าหอของนาย มันก็สะดวกสบายกว่าไม่ใช่เหรอ นายอยากกินอะไรก็หยิบได้ในตู้เย็น ฉันไม่อยากทิ้งนายให้ต้องป่วยอีก”

พูดแบบนั้นไปแล้วผมก็นึกไปพลางๆ ว่าในตู้เย็นมีอะไรบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้มีของสดล้นตู้ แต่อย่างน้อยๆ ก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่กินได้ ทั้งอาหารแช่แข็ง เนื้อสัตว์ ผักอีกเล็กๆ น้อยๆ ที่ผมซื้อมาเผื่อไว้ทำอาหารในบางที น้ำ หรือแม้กระทั่งเบียร์ที่พวกเพื่อนๆ ชอบมาฉกไปกินมากกว่าผมเองที่เป็นคนซื้อ

ไว้เดี๋ยวพรุ่งนี้ซื้อพวกอาหารกับน้ำผักผลไม้มาเติมในตู้ก็ได้

ไนล์ไม่ได้ตอบอะไร แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นการแสดงความยินยอมว่าเขาจะทำตามที่ผมบอก ผมจึงยิ้มให้เขานิดๆ ก่อนจะฉุดตัวลุกขึ้นอีกครั้งและเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าที่เขาน่าจะใส่ได้ออกมาพร้อมกับนึกไปด้วยว่าพรุ่งนี้คงต้องแวะเอาเสื้อผ้าบางส่วนของเขามาไว้ที่นี่เช่นกัน จากนั้นก็ยื่นชุดให้เขา

“ไปอาบน้ำก่อนสิ จะได้สบายตัว คืนนี้รีบๆ นอนพรุ่งนี้จะได้สดใส นายไม่ได้ไปเรียนหลายวันแล้วใช่ไหม”

ผมรู้ตัวดีว่าตอนนี้มีรอยยิ้มติดอยู่บนแก้มผมจางๆ อาจเพราะได้รู้เรื่องของเขาบ้างถึงทำให้ผมรู้สึกเหมือนน้ำหนักของสิ่งที่ทับอยู่บนอกหายไปส่วนหนึ่ง จึงรู้สึกสบายขึ้นก็เป็นได้

“อืม”

ไนล์ตอบอย่างง่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นมาคว้าของที่อยู่ในมือผม ผมจึงยื่นผ้าเช็ดตัวให้อีกหนึ่งชิ้นก่อนเขาจะเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมเองก็หยิบผ้าเช็ดตัวอีกผืนและก้าวออกจากห้องเพื่อไปใช้ห้องน้ำซึ่งอยู่อีกห้องด้วยเช่นกันเพื่อไม่ให้เสียเวลา

กลับมาถึงห้องอีกที ไนล์ก็อยู่ในชุดสำหรับนอนที่ผมเตรียมให้แล้ว เขานั่งอยู่บนเตียงเฉยๆ และมองมาทางประตู แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมยิ้มได้อย่างไม่มีเหตุผล ก่อนจะก้าวเข้ามาและตรงไปที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อหาชุดสบายๆ มาใส่

ผ้าขนหนูสองผืนถูกผึ่งเอาไว้อย่างเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เหม็นกลิ่นอับชื้น ตามด้วยผมที่เดินไปปิดโทรทัศน์และปิดสวิตช์ไฟในห้อง จากนั้นเข้ามาหาเขาและทิ้งตัวลงนั่งใกล้ๆ กัน แม้ว่ามันจะมืด แต่ผมก็รู้ดีถึงตำแหน่งของของทุกอย่างภายในห้อง

“แปรงฟันแล้วใช่ไหม”

“อืม”

ครั้งที่แล้วไนล์มาค้างห้องของผม แปรงสีฟันอันเดิมผมยังไม่ได้ทิ้งไป ยังคงเก็บไว้ราวกับรอให้คนที่เคยใช้มันได้กลับมาใช้อีกครั้ง ซึ่งไนล์ก็คงเห็นว่ามันวางอยู่ตรงนั้น เพียงแค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แต่ก็ทำให้ผมต้องหลุดยิ้มอีกครั้ง

ในวันนี้ผมมีความสุขต่างจากเมื่อวานหรือหลายวันที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง

สุขจนอิ่มล้นในใจ

คิดดังนั้นแล้วผมก็ยื่นแขนออกไปคว้าเอวคนข้างๆ เอาไว้ จากนั้นก็ล้มตัวลงบนที่นอนพลางบอก

“งั้นก็นอนเถอะ”

ไนล์ไม่ได้ดันตัวออกหรือขยับเข้ามาใกล้ เขาแค่นอนเฉยๆ ให้ผมเป็นฝ่ายขยับเข้าไปหาเอง ซึ่งนั้นก็เพียงพอแล้ว เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมรู้สึกดีและพอใจมากแล้ว ผมกอดเขาเอาไว้และหลับตาลง ขณะที่เขาเองก็คงจะทำแบบเดียวกัน เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เสียงลมหายใจของเขาก็สม่ำเสมอ

ผมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง







ก่อนวันเดินทาง หลังจากเรียนเสร็จผมไปรับไนล์ที่คณะ เราไปกินข้าวด้วยกันที่ห้างสรรพสินค้าก่อนจะลงไปซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของด้วยกันตามที่ผมตั้งใจเอาไว้ รวมถึงไปเอาเสื้อผ้าของเขาที่หอ เมื่อกลับถึงคอนโดของผม ผมและเขาก็ช่วยกันจัดของที่ซื้อมาเข้าตู้และตู้เย็นๆ แล้วรีบเข้านอน เพราะผมต้องเดินทางแต่เช้า เห็นพี่เจ๋งบอกว่านัดกันที่บ้านพี่ต้น เพราะจะไปรถตู้ของบ้านเขา

ตอนที่ฟ้ายังไม่สว่างผมก็ตื่นขึ้นมาอาบน้ำแล้ว ผมปลุกไนล์เบาๆ ก่อนที่จะออกจากห้องไป เพราะว่าต้องเอาเงินให้เขาตามที่บอกเอาไว้เพราะไม่อย่างนั้นไนล์จะลำบาก

ถึงผมจะยังไม่รู้เหตุผลและไม่ได้ถามก็เถอะว่าทำไมเขาต้องการเงินมากขนาดนี้ แต่มันคงมีเหตุผลจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ตัดสินใจแบบนั้น รวมทั้งทุ่มเทวาดรูปจนแทบไม่ได้พักผ่อน อีกทั้งยังใช้จ่ายอย่างประหยัดจนผิดปกติ

เมื่อลองมาคิดๆ ดูผมก็เข้าใจเหตุผลในการกระทำอะไรหลายๆ อย่างของเขา

เงินจากการวาดภาพขายไม่ได้มากมายขนาดจะใช้จ่ายได้เป็นเดือนๆ เพราะไหนจะค่าหอพัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหารในบางมื้อที่เขาไม่ได้ไปกับผู้หญิงอีก แล้วไหนจะค่าเดินทางเวลาเขาเอารูปภาพไปส่ง เพราะแบบนี้ในห้องของไนล์ถึงไม่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอะไรเลย แม้กระทั่งโทรศัพท์ก็ยังเป็นรุ่นเก่า นอกจากนั้นอุปกรณ์วาดรูป กระดาษ สี หรือเฟรมผ้าใบที่เขาต้องใช้ ราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ

ไนล์พยายามใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็นให้มากที่สุด

คิดได้แบบนั้น ก็ทำให้ผมฉุกคิดขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เหตุผลที่ไนล์ไม่ได้เข้าไปดูหนังกับผม พี่ดาหลา และพี่มะเหมี่ยวคราวก่อนก็เพราะเขาไม่ต้องการใช้เงินโดยใช่เหตุ ไม่ใช่เพราะเขาไม่ชอบดูมันอย่างที่บอก

ไนล์งัวเงียเล็กน้อยเมื่อผมสะกิดเรียก เปลือกตากระพือขึ้นทีละนิดก่อนดวงตาคู่ที่เคยว่างเปล่าเปิดขึ้น ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่า แต่นับตั้งแต่ที่ไนล์รับปากผมว่าจะเลิกทำงานแบบนั้น แววตาของเขาก็เปลี่ยนไป มันไม่ชืดชาเหมือนเคย และสะท้อนแววนิดๆ เมื่อมองผม

“เดี๋ยวฉันต้องออกไปแล้ว นี่เงินเผื่อไว้ใช้”


ผมยื่นแบงก์สีเทาให้เขาสามใบ แต่ไนล์กลับดันตัวขึ้นมานั่งและมองโดยไม่ยกมือขึ้นมา

“เยอะเกินไปหรือเปล่า นายไม่จำเป็นต้องให้เงินฉันก็ได้”

“บอกแล้วไงว่าฉันจะให้ ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้ใช้เงินเท่าไรอยู่แล้ว”

เพราะช่วงนี้ไฮยีนอยู่กับพี่ภูตลอด ผมก็เลยไม่ต้องออกเงินซื้อของหรือเลี้ยงข้าวมันบ้างในเวลาที่มันอ้อน และมันยังถูกห้ามไม่ให้ออกไปเที่ยวสำมะเลเทเมาแบบเมื่อก่อนด้วย ทำให้ผมหยุดเที่ยวไปด้วยก็เลยแทบไม่ได้ใช้เงินเลยนอกจากที่จำเป็นเท่านั้น แต่ถึงผมจะบอกไปแบบนั้น ไนล์ก็ยังไม่ยอมรับไปอยู่ดี

“เมื่อวานก็จ่ายไปตั้งเยอะ ไหนจะค่าโรงพยาบาลอีก เดี๋ยวฉันกินพวกของในตู้เย็นก็ได้”

“แล้วค่ารถล่ะ นายคงไม่คิดจะเดินจากที่นี่ไปมหา’ลัยหรอกนะ”

“เดินไปขึ้นรถเมล์ก็ได้”

เขายังคงดื้อ อ้างเหตุผลขึ้นมา แต่ผมก็ไม่ยอมให้เขาปัดความตั้งใจของผมทิ้ง ผมดึงมือเขาขึ้นมาแล้วยัดเงินใส่มือไว้แทน

“เอาไปเถอะน่า เพื่อความสบายใจของฉัน เผื่อปุบปับนายต้องใช้ด้วย”

ไนล์ทำคิ้วยุ่งเหมือนไม่พอใจ ผมจึงส่งยิ้มให้เพื่อให้เขายอมใจอ่อนให้ซึ่งมันก็ได้ผล ผมเลยย้ำไปอีกที

“ดูแลตัวเองด้วย แล้วก็อย่าทำให้ฉันเป็นห่วงมากนัก”

พูดจบผมก็วางมือลงบนหัวของเขาแล้วขยี้เบาๆ พร้อมกับยิ้มให้อีกที เขาไม่ได้ตอบอะไร ถึงกระนั้นผมก็รู้ว่าเขารับรู้และยอมรับคำพูดของผม จึงผละออกมาแล้วหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาสะพายบนบ่าและออกจากห้องไป ทว่าก่อนจะปิดประตู ผมไม่ลืมมองหน้าของเขาอีกครั้ง ราวกับจะเก็บภาพนั้นให้เป็นสมบัติติดตัวไประหว่างเดินทางด้วย เมื่อประตูปิดลง ผมก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกับตัวเองด้วยความรู้สึกดีๆ ในใจ

อยากรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานๆ

ทว่า...ผมกลับไม่รู้เลยว่า ในการเดินทางครั้งนี้ ตัวเองจะต้องกลับไปเผชิญกับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง







--------------
เฉลยเรื่องไนล์ไปเรื่องนึงแล้วค่ะ

ตอนนี้รู้สึกว่าจะหวานนะ ในความรู้สึกของเรา
โดยเฉพาะตอนที่กราฟจูบ  :-[

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่... [19/7/58]
เริ่มหัวข้อโดย: sin_no ที่ 20-07-2015 00:15:04
ชอบคู่นี้มากกกกก 

แต่เดาใจไนล์ไม่ออกเลย  ลุ้นๆ



หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่... [19/7/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 20-07-2015 09:40:46
ไนล์ทำไมหนูถึงได้โดเดี่ยวและอ้างว้างขนาดนี้


ต้องเข้มแข็งซักแค่ใหน


ต้องทนอดและอดทนมามากเท่าไร


หนูถึงยืนหยัดมาได้ขนาดนี้


ไม่มีครอบครัว


ไม่มีเพื่อน สนิทที่จะปรับทุกข์ และช่วยเหลือกัน


ไม่มีคนรู้จักใกล้ชิด มีแต่ตัวเองกับความหวัง และหัวใจที่แข็งแกร่ง


หนูเป็นใครลูกไนล์  พ่อแม่หนูอยู่ใหน ทำไมหนูน่าสงสารขนาดนี้  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่... [19/7/58]
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 20-07-2015 12:13:49
 :katai2-1: เย้ มาซักที หนูรอแทบขาดใจเลยอะ ขอบคุณไรท์ ชอบสองคนนี้อะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 16 : ความรู้สึกที่... [19/7/58]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-07-2015 20:40:51
 :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 05-08-2015 22:52:04
ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่









ตัวของผมชาไปหมด สิ่งที่รู้สึกอยู่เหมือนกับไม่รู้สึก เสียงบางอย่างแว่วมาให้ได้ยินเป็นระลอก พร้อมกับอ้อมกอดของใครบางคนที่โอบรอบตัวผมไว้

“กราฟ กูอยู่นี่ กูอยู่นี่”

“เฮ้ย มึงเป็นไงมั่ง”

“กูอยู่กับมึงเหมือนกันนะเว้ย”

เสียงเรียกนั้นเบาเหลือเกินเพราะถูกเสียงคลื่นทะเลกลบจนมิด ตัวของผมสั่นไม่หยุด สั่นจนชา ภาพเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสี่ปีก่อนย้อนกลับมาอีกครั้ง

คนที่ผมรักมากที่สุดหายไปต่อหน้าต่อตา

จมหายไปกับเกลียวคลื่นและผืนทะเลอย่างไม่มีวันกลับมา

ผมคนนี้...เป็นคนฆ่าเธอ

มิ้น

มิ้น

มิ้น

มิ้น

มิ้น

มิ้น

เสียงตะโกนเรียกชื่อนั้นของตัวเองดังก้องอยู่ในหัวราวกับเป็นเสียงเดียวที่มีอยู่ในโลก ขอบตาร้อนผ่าวราวกับลาวากำลังเดือดอยู่ข้างใน ภาพใบหน้าของเธอปรากฏขึ้นมาซ้ำๆ ก่อนจะหายไป สีน้ำที่เป็นระลอกคลื่นกำลังดึงและกลืนร่างกายของเธอจนจมหาย

ไม่

ไม่เอา

อย่าเอามิ้นไป

มิ้น กลับมา!

“มองหน้ากูสิ มองกู กูอยู่กับมึงนี่”

เสียงคุ้นเคยที่ดังกว่าครั้งก่อนๆ ทำให้ผมรู้สึกตัวอีกครั้ง ไฮยีนกอดผมไว้แน่น ซุกหน้าลงบนบ่าของผมและร้องเรียกเพื่อเรียกสติผมซ้ำๆ ราวกับเป็นเขาต่างหากที่ทุกข์ทรมานยิ่งกว่า ตัวของผมสั่นน้อยลงแต่มันก็ยังคงไร้เรี่ยวแรง ผมต้องพยายามบังคับแขนทั้งสองข้างด้วยพลังกายและพลังใจทั้งหมดเพื่อยื่นมือออกไป กอดตอบคนที่กำลังช่วยเหลือผม

เพื่อนที่ผมรักที่สุด

เพื่อนที่ทำให้ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้





รู้สึกตัวอีกที ผมก็เข้ามาอยู่ในห้องพักแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นสมองและร่างกายของผมก็ยังไม่เป็นปกติ ทุกอย่างยังคงพร่าเบลอ สมองมึนตื้อ ร่างกายเฉื่อยชาและรู้สึกหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ เสียงแว่วที่ผ่านเข้าหูมาคือเสียงของไอ้กัสที่สอบถามด้วยความห่วงใย

“มึงเป็นยังไงบ้าง”

“กูก็...ดีขึ้น....หน่อยแล้ว”

ผมตอบทั้งที่เสียงแหบพร่า ไร้เรี่ยวแรงแม้กับแค่การขยับปาก เพราะไม่อยากให้เพื่อนๆ เป็นห่วงมากเกินไป ไม่อยากทำตัวเป็นภาระให้พวกมันต้องคอยเอาแต่พะวงเรื่องของผมจนไม่ได้ทำอะไร ทั้งที่ไม่ได้มาทะเลนานแล้ว

สี่ปีนับตั้งแต่เหตุการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผมครั้งนั้น

“ดีแล้ว มึงไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องนึกถึงเรื่องนั้น พวกกูอยู่กับมึงตรงนี้ โดยเฉพาะกู กูรักมึงมาก รู้ไหม”

“กูรู้ กูรู้ ขอบใจมึงมาก”

ไอ้ยีนยิ้มได้หน่อยๆ หลังจากผมตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้มที่พยายามอย่างสุดความสามารถเท่าที่จะเค้นได้ แม้รู้ว่าร่างกายยังไม่หายสั่นก็ตาม แต่ผมก็รู้สึกดีขึ้นกว่าก่อนหน้านี้พอสมควร

“มึงไม่ต้องมาขอบใจกูหรอก ว่าแต่มึงโอเคขึ้นแล้วจริงๆ นะ”

“อืม กูพยายามอยู่ กูไม่อยากให้พวกมึงห่วงมาก”

“กูเป็นเพื่อนมึง ก็ต้องห่วงมึงอยู่แล้ว”

เสียงของไอ้เคลมทำให้ผมยิ้มค้างต่อไปอีกหน่อย แต่ดูเหมือนไฮยีนจะรู้ว่าผมอ่อนแรงเต็มที่มันจึงบอกให้นอนพัก ซึ่งหลังจากผมเอนตัวลงนอนตามคำแนะนำของมัน ไอ้เคลมก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวผมให้ ส่วนยีนสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่มมานอนข้างๆ ผม และกอดผมเอาไว้ ตามด้วยอีกสองคนที่เหลือที่สอดตัวเข้ามาเหมือนกัน

เคลมกอดผมก่อนโดยมีกัสเอื้อมแขนผ่านเคลมมากอดผมเอาไว้ ถึงแม้ว่าจะคล้ายกับการแตะเสียมากกว่า แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นมากแล้ว

ขอบคุณพวกมึงมากจริงๆ





แรงสะเทือนใต้ร่างและเสียงแว่วๆ ไม่ได้ทำให้ผมได้สนใจนัก จนกระทั่งมีแรงมาสะกิดที่แขนเบาๆ ผมจึงลืมตาขึ้น คนที่อยู่ข้างตัวผมในเวลานี้เป็นไฮยีนเช่นเดียวกับตอนที่ผมล้มตัวลงนอน มันถามผมทันทีที่เห็นว่าผมรู้สึกตัว

“มึงเป็นยังไงมั่ง”

“ก็โอเคขึ้นแล้ว”

ผมยิ้มให้มันนิดๆ รู้สึกมีเรี่ยวแรงมากขึ้นนิดหน่อยแล้ว อาจจะเพราะว่าภายในห้องปิดทึบทำให้ไม่ได้เสียงจากภายนอกดังเข้ามา แต่ถึงกระนั้นไอ้ยีนก็ยังอดห่วงผมไม่ได้

“แล้วถ้ามึงต้องออกไปข้างนอก มึงจะเป็นอะไรหรือเปล่าวะ”

คำถามของมันทำให้ผมชะงักไปชั่วครู่ ในใจหวั่นกลัวว่าจะต้องออกไปเผชิญกับสิ่งที่อยู่นอกห้อง แต่เมื่อมองหน้าเพื่อนๆ ทีละคนและตรึกตรองอย่างถี่ถ้วนดีแล้วก็ผมตัดสินใจ

“กู........จะพยายาม”

รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากแค่ไหน เพราะแค่ที่ผ่านมาก็ทำให้ผมเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว แต่ผมก็ยังอยากจะพยายามเพื่อเพื่อนๆ ของผม ผมจะอดทนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

“เอาเถอะ ยังไงพวกกูก็อยู่ข้างมึง มึงไม่ต้องห่วง”

กัสตบบ่าผมเพื่อยืนยันเจตนารมณ์ของมันเอง ส่วนยีนก็ยิ้มสำทับให้ผม

“ถ้ามึงรู้สึกแย่ มึงอย่าลืมคิดถึงกูนะ จำที่เราสัญญากันได้ใช่ไหม”

“อืม กูจะคิดถึงมึง”

ผมยิ้มตามพลางสบตากับไฮยีน สัญญาที่เราเคยให้กันและกันเอาไว้ยังคงอยู่กับผมและมัน ทั้งในความทรงจำและในความเป็นจริง ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงจะยาวนานไปถึงอนาคต

“อย่าลืมคิดถึงกูด้วยเหมือนกันนะ กูจะดูแลมึงอย่างดีเลย”

เคลมรีบออกตัวด้วยอีกคน คงเพราะกลัวน้อยหน้าคนอื่น ผมจึงแกล้งพูดเบาๆ แต่ดังพอให้มันได้ยิน ไอ้เคลมเลยแหวขึ้นมา

“เชื่อได้เปล่าวะ”

“ได้สิวะ ดูถูกกกก!!”

เสียงหัวเราะของพวกเราดังก้อง ถึงอาการผมจะยังไม่ดีจนหายเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าพวกมันก็ช่วยผมได้มากแล้ว และเพราะผมดูไม่น่าเป็นห่วงเหมือนทีแรก ไอ้ยีนเลยรีบบอกอย่างอารมณ์ไม่ดีเท่าไร แต่ผมก็รู้สึกดีที่มีคนที่ไว้ใจได้มาช่วยดูแลมันแล้ว

“เออ ถ้างั้นกูว่ารีบไปกันดีกว่า เดี๋ยวไอ้พี่ชมพูแม่งบ่นอีก”





หลังจากกินข้าวเสร็จ และจบการพูดคุยอย่างสนุกสนานของคนทั้งโต๊ะ ก็เข้าเรื่องงาน พี่เจ๋งหยิบกระดาษ  A4 มาแจกพวกผมคนละแผ่น เพื่อทำความเข้าใจเรื่องราวและบทบาทที่จะต้องแสดง บทมีอยู่ว่าพวกเราสี่คนเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันมากๆ ซึ่งมาเที่ยวด้วยกัน แต่ดันมาถูกใจผู้หญิงคนเดียวกันทำให้แตกคอกันเอง โดยผู้หญิงคนนั้นซึ่งแสดงโดยพี่ปาล์มมีใจให้ไอ้กัส ไอ้กัสเลยเย้ยเพื่อนคนอื่นๆ แต่ก็มาพบความจริงว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คน พอไอ้กัสรู้ มันก็มาบอกต่อ แต่พวกผมไม่เชื่อ ไอ้เคลมเลยเดินหน้าจีบผู้หญิงคนนั้นบ้าง แล้วก็ได้รู้ความจริงเหมือนกัส แต่ผมกับยีนยังไม่เชื่อ คิวต่อไปเป็นผม และผมก็เกือบเดินลงทะเล...

อ่านมาถึงตรงนี้ ตัวของผมสั่นชาจนเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงเอาเสียดื้อๆ กระดาษในมือเกือบจะหลุดร่วงลงไป แต่เสียงของไฮยีนดังขึ้นก่อน

“บทกราฟเปลี่ยนเป็นผมได้ไหมครับ”

ผมไม่มีแรงเหลือพอจะหันไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น ได้ยินแต่เสียงของยีนดังขึ้น แต่มันก็แผ่วเบาและดูห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับร่างของผมกำลังล่องลอยถอยห่างออกมาเหมือนเป็นที่ไม่ต้องการของกลุ่มคนเหล่านี้

“พอดีไอ้กราฟไม่ค่อยถูกกับน้ำทะเลเท่าไรน่ะครับ เดี๋ยวมันไม่สบายเอา”

“มึงจะเอาอย่างนั้นจริงเหรอ ต้องลุยทะเลตอนกลางคืนนะเว้ย”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรจะต้องกลัว นะครับ ให้ผมเป็นคนเดินลงทะเลแทนไอ้กราฟ ส่วนกราฟก็ให้ยอม ไม่ไปหาผีผู้หญิงนั่น ส่วนบทอื่นๆ ก็ตามเดิม โอเคนะครับ”

“ก็ได้ เปลี่ยนเป็นยีนก็ดี...”

หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย ไม่รู้ว่านานเท่าไร ผมเหมือนโดนขังอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่า เวิ้งว้าง ไร้ผู้คน ไร้เสียงรอบข้าง อยู่ท่ามกลางเวลาอันเป็นนิรันดร์ที่ไร้ทางออก และมันมีแต่จะทำให้ผมรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งมากขึ้นไปทุกที ดั่งทุกส่วนของร่างกายเป็นตะกั่วก่อนจะผุกร่อน สลายเป็นฝุ่นผง

“กราฟกันไปเถอะ”

เสียงคุ้นเคยแว่วมาอีกครั้ง แรงเขย่าเรียกให้ผมที่เหมือนจะกลายเป็นธุลี ไร้ชีวิตและตัวตนหวนกลับมาหายใจได้อีกครั้ง ผมเบือนหน้าไปทางต้นเสียงด้วยพลังกายทั้งหมดที่เหลืออยู่และฝืนบังคับมันจนสำเร็จ จึงได้เห็นรอยยิ้มละมุนของยีน




การถ่ายทำเป็นไปตามขั้นตอนอย่างราบรื่น ฉากไหนที่มีความเสี่ยงว่าผมจะต้องเข้าใกล้ทะเลเกินควร พวกเพื่อนๆ ก็ช่วยกันขอร้องพี่ภูกับพี่คนอื่นๆ ทำให้ผมไม่ต้องเกิดอาการแบบที่แล้วๆ มา ตอนแรกก็เหมือนว่าพวกรุ่นพี่จะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมจะต้องห้ามอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เพราะเพื่อนผมทั้งสามคนอ้อนวอนไม่เลิก พวกพี่เขาถึงได้ยอมใจอ้อน

แม้แต่พี่แชมป์กับพี่บอสที่เพิ่งได้รู้จักกันได้ไม่นาน ก็เป็นกันเองดีและไม่ขัดข้องอะไร มีฉุกละหุกกันนิดหน่อยก็ตรงพวกเพื่อนๆ ผมที่ต้องลงทะเลไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าสำหรับเปียกมา เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะต้องมาสถานที่แบบนี้ นึกว่าจะไปปีนเขา ลุยป่า อะไรเทือกๆ นั้น แต่ก็ผ่านไปได้เพราะพวกพี่เขาเตรียมเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนแล้ว ก็เลยยืมๆ กันไป

กระทั่งมาถึงฉากสำคัญ ฉากที่ไอ้ยีนอาสาว่าจะเล่นแทนผม ก่อนเริ่มการถ่ายทำ มันสั่งกับผมว่าไม่ต้องออกไปดูหรอก เพราะนอกจากสถานที่และสถานการณ์ไม่เอื้อมอำนวยต่อสภาพจิตใจของผมแล้ว ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางคืนด้วย ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวมากขึ้นไปอีก เสียงของน้ำโถมใหญ่ที่ซัดเข้าหาหาดทรายเหมือนกับกำลังเรียกร้องอย่างโหยหวน ฉุดกระชากให้ผมจมอยู่ในโคลนตมของความทุกข์ระทม

แต่ถึงกระนั้นผมก็ยังห่วงไอ้ยีนอยู่ดี ผมกลัว... กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง จึงอยากจะขอยืนดูอยู่ห่างๆ ให้เห็นว่าไอ้ยีนปลอดภัยจนถ่ายทำจบก็พอ แม้ว่าการมองภาพเพื่อนคนสำคัญเดินลงทะเลอาจจะทำให้ผมรู้สึกปวดไปทั้งอกด้วยความหวาดกลัวก็ตาม แต่ไอ้ยีนก็ห่วงผมเกินกว่าจะอนุญาต

ผมได้แต่นั่งอยู่ในห้องด้วยใจพะวักพะวน เดินวนอยู่ในห้องเพื่อรอคอยให้คนที่บอกผมว่า ‘ไม่ต้องห่วงหรอกน่า’ พร้อมยิ้มแฉ่งและชกลงมาเบาๆ ที่อกของผมกลับมาหาผมอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าเสียงโหวกเหวกด้านนอกที่ดังทะลุเข้ามาถึงข้างในก็ทำให้ผมเบิกตาโพลง

“ยีนจมน้ำ!!”

สองขาที่เคยเดินวนไปวนมาราวกับเดินจงกรมขยับไปก่อนความคิด มันก้าวผ่านประตูห้องออกมาอย่างรวดเร็ว ภาพที่ผมเห็นได้จากไกลๆ คือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ผมสั่นไปทั้งตัว แข้งขาอ่อนแรงจนแทบจะทรุดลงไปบนพื้นทราย พยายามอย่างมากที่สุดเพื่อจะมองออกไปว่าเกิดอะไรขึ้น

ไฮยีนตัวเปียกไปทั้งตัวและถูกพี่ภูอุ้มอยู่ มันเอามือเกาะบ่าของพี่ภูและเอาหัวพิงบ่าเอาไว้ เหมือนกับว่าไม่มีแม้แต่แรงจะพยุงตัว ผมรู้ดีว่าเพื่อนรักของผมเป็นอย่างไร ถ้ามันปกติดีมันไม่ยอมให้พี่ภูอุ้มแน่ แต่สิ่งที่เห็นในเวลานี้ราวกับบอกทุกอย่าง

มันร้ายแรงถึงขนาดที่ไอ้ยีนไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้

นึกได้ดังนั้นผมก็ยิ่งไร้เรี่ยวแรงมากขึ้นไปอีก สิ่งต่างๆ รอบตัวเหมือนหยุดเคลื่อนไหวไปแล้ว ในหูอื้ออึงไปด้วยเสียงระลอกคลื่นที่ซัดกระเทาะเข้ามาดังโครมคราม ราวกับปีศาจที่กำลังคอยหลอกหลอนผม

ไม่ ไม่ ไม่เอาแบบนี้!

พอแล้ว พอ!

ผมรู้สึกว่าขอบตาร้อนผ่าวราวกับมีอะไรบางอย่างระอุอยู่ภายใน และก่อนที่ของเหลวร้อนๆ นั้นจะทะลักออกมาจนไม่สามารถควบคุมได้ ร่างของผมก็สะเทือนอย่างรุนแรง

ไอ้ยีนดึงผมเข้าไปกอด ตบหลังเบาๆ พลางลูบ และพร่ำบอกผมว่ามันไม่เป็นอะไร

“กูไม่เป็นอะไรกราฟ กูไม่เป็นอะไร มึงไม่ต้องห่วง กูแค่เป็นตะคริว ยังไม่ตายหรอก อยู่กับมึงได้อีกนาน”

เมื่อสัมผัสผิวหนังที่เปียกชื้นของมัน ผมก็รู้สึกเบาใจลง เพราะแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของยีนจะเย็น แต่มันก็ยังมีความอบอุ่นแทรกซึมเข้ามาในตัวของผม เพื่อย้ำชัดว่ามันยังมีชีวิตอยู่ มันไม่ได้ทิ้งผมไปไหน

“มึงรู้ไหมว่ากูกลัว พอได้ยินเสียงบอกว่ามึงจมน้ำ กูก็สั่นไปทั้งตัว ห่วงมึง แต่ไม่กล้ามองไปทางทะเลด้วยซ้ำ ทั้งที่รู้ว่ามึงอยู่ตรงนั้น อยากไปช่วย แต่กูก้าวขาไม่ออก”

“ไม่เป็นไรมึง กูก็อยู่นี่แล้วไง มึงไม่ผิดหรอก กูยังปลอดภัยดี มึงก็เห็นนี่”

แม้ว่าจะเห็นมันกลับมายิ้มให้ผมอยู่ตรงหน้าแท้ๆ แต่ผมก็ยังยิ้มตามมันไม่ออก ร่างกายยังไม่หายสั่นอยู่ดี ปากผมน่าจะซีดขาวมากกว่ามันที่เปียกซ่กไปทั้งตัวเสียด้วยซ้ำ และมันก็รับรู้ความรู้สึกของผมเป็นอย่างดี ถึงได้ตบบ่าของผมเบาๆ เพื่อให้กำลังใจ

“อย่าลืมดิ ไฮยีนเก้าชีวิตนะเว้ย”

“อืม กูพยายามอยู่ มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ”

“ไม่เป็นอะไรเลย สบายมาก! มึงหายห่วงได้เลย”

มันยิ้มมากกว่าเดิม เหมือนกับรู้ว่ารอยยิ้มของผมกับมันผูกติดกันเอาไว้ ผมถึงฝืนยิ้มออกมาได้หน่อยๆ แต่แล้วไอ้ยีนก็ต้องร้องโอดโอยเพราะพี่ภูเอาเท้ายันที่ขาของมันข้างหนึ่ง ทำเอาผมตกใจขึ้นมาอีกรอบ จากเดิมที่ใจยังหน่วงๆ อยู่ก็ยิ่งตื่นตระหนก

“มึงเป็นอะไร!”

“กูเจ็บขาว่ะ”

คำตอบมาพร้อมยิ้มแห้งๆ ก่อนมันจะโดนพี่ภูอุ้มไปนั่งอยู่ตรงขั้นบันไดหน้าบ้านพัก ผมจะเดินตามไป เพราะรู้สึกห่วงเพื่อน แต่ไอ้กัสที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามันอยู่ตรงไหนเดินมาดึงไหล่ของผมไว้ก่อน มันส่ายหัวเบาๆ

“ไม่ต้องตามไปหรอก ปล่อยให้พี่ภูดูแลมันนั่นแหละดีแล้ว”

“อืม”

ผมตอบได้แค่สั้นๆ แต่ก็ยังชะเง้อมองไอ้ยีนอยู่ดี ไอ้กัสถึงได้พูดออกมาอีกรอบ

“แค่ตะคริว เดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องห่วงมากไปหรอก อย่าลืมสิว่ามึงไม่ได้มีไอ้ยีนเป็นเพื่อนคนเดียว”

ไอ้กัสไม่ได้พูดแดกดันที่ผมเอาแต่ยึดติดอยู่กับไฮยีน ไม่ได้พูดเอาใจว่ามันก็เป็นเพื่อนที่ผมไว้วางใจได้ ไม่ได้พูดเพื่อให้ผมใจสงบลงได้อย่างที่ยีนปลอบผมอยู่บ่อยๆ ก็จริง แต่วิธีการพูดของมันทำให้ผมต้องย้อนกลับมาคิดดู และก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร

ผมมองภาพตรงหน้าด้วยใจที่ความปั่นป่วนภายในถูกบั่นทอนลง ก็เห็นพี่ภูสั่งไอ้เคลมให้ไปเอาน้ำเอาผ้ามาให้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนจึงรู้สึกวางใจหน่อยๆ อาการที่รุมเร้าอยู่ในอกของผมบรรเทาลง

ไอ้ยีนอยู่กับพี่ภู ไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงแล้ว

ผมเชื่อได้ว่าพี่ภูจะดูแลเพื่อนรักของผมเป็นอย่างดี

เพราะคำว่ารัก...ที่เขามอบให้มัน



หลังจากถ่ายทำเสร็จ ก็มีงานเลี้ยงกันตามธรรมเนียม พวกเราตั้งวงใกล้ๆ บ้านพักมากกว่าจะเป็นริมทะเลเพื่อผมโดยเฉพาะ ผมรู้สึกขอบคุณทุกคนมากที่ยอมเสียบรรยากาศการสังสรรค์เพื่อผม พี่เจ๋งตบบ่าผมบอกว่า ‘ไม่เป็นไรหรอก ถ้านั่งแดกเหล้ากันตรงนั้นแล้วปล่อยมึงอยู่ในห้องคนเดียวก็ไม่สนุกสิวะ’ ทำให้ผมหลุดยิ้มออกมากับความเอาใจใส่

ในฐานะลูกชายเจ้าของรีสอร์ท พี่ภูสั่งแอลกอฮอล์มาสนองพวกเราทุกคนอย่างเต็มที่ และจุดกองไฟตรงกลางวงล้อม พี่ต้นดีดกีตาร์เล่นเพลงตามคำขอ ส่วนคนอื่นๆ ก็ร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ช่วยให้ผมผ่อนคลายได้จริงๆ เพราะแม้ว่าจะมีเสียงคลื่นลมลอยมาเบาๆ แต่ความมึนเมาก็ทำให้ผมเริ่มไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นแล้ว

ไอ้เคลมชวนผมออกไปโห่ร้องเต้นด้วยกันกลางวงตอนช่วงที่เป็นเพลงร็อก แหกปากร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่มือหนึ่งถือแก้วที่มีน้ำสีน้ำตาลอ่อนไปด้วย ผมกับมันชนแก้วกันจนน้ำกระฉอก ก่อนจะกระดกเข้าปากรวดเดียว แล้วพวกพี่แชมป์พี่บอสก็เรียกไปเติม เหมือนกับว่ากำลังแจกฟรีอย่างไรอย่างนั้น แต่สักพักเสียงเพลงก็เงียบลง หันไปมองก็เห็นว่ากีตาร์ไปอยู่ที่พี่ภูแล้ว พวกผมเลยเดินเซๆ กลับไปนั่งประจำที และทันทีที่ผมนั่งลง ไฮยีนก็ถาม

“เป็นยังไงมั่งมึง”

“โอเคๆ หนุกๆ ดี”

ผมหัวเราะแล้วยกแก้วที่ถืออยู่ชนแก้วที่มันยื่นออกมา ก่อนเสียงเพลงจะดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเพลงรักที่ทำเอาผมมึนๆ จากที่กรึ่มๆ สมองชาๆ ก็เริ่มตื้อมากขึ้นเมื่อได้ฟังเสียงเพลงช้าๆ นั่น

เหตุการณ์ตรงหน้าเหมือนพี่ภูจะกำลังร้องเพลงจีบไอ้ยีนอยู่นะ ถ้าผมไม่เบลอจนเข้าใจผิดไป เพราะเห็นว่าสายตาของพี่ภูมองไอ้ยีนหวานเยิ้มเลย แล้วก็เอาแต่จ้องหน้ามันคนเดียว ส่วนเพื่อนรักของผมก็ทำท่าลุกลี้ลุกลน เหมือนทำอะไรไม่ถูก กระดกเหล้าเข้าปาก หันซ้ายหันขวา ดูน่ารักจนผมอดยิ้มไม่ได้

เห็นแบบนี้ ขนาดผมยังอยากฟัดมันเลย แล้วพี่ภูจะไม่อยากได้ยังไง

ผมคิดกับตัวเองแบบนั้นพลางมองรุ่นพี่ตั้งแต่สมัย ม.ปลาย ลุกขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลังเพื่อนผมแล้วกระซิบเสียงดังจนได้ยินกันไปทั่ว

“เป็นแฟนกับพี่นะ”

เสียงร้องแซวดังขึ้นระงม ไม่เว้นแม้แต่ผม ไอ้ยีนหน้าแดงแปร๊ดด้วยซ้ำ ยิ่งน่ารักเข้าไปใหญ่ ขนาดพี่เจ๋งกับพี่บอสยังเชียร์ออกนอกหน้า

“ตกลงเลย ตกลงเลย”

“อย่าชักช้า ไอ้ภูลงทุนขนาดนี้เลยนะเว้ย”

พี่ภูได้ทีเลยย้ำอีก แล้วก็ได้เสียงพี่ปาล์มสุดสวยแต่ห้าวเป้งมากสนับสนุน ผมรู้สึกว่าตอนนี้เริ่มตาลายแล้ว ได้ยินเสียงอื้อๆ อึงๆ อยู่ในหูตีกันมั่วไปหมด

“นะ เป็นแฟนกัน พี่ชอบเกงยีน”

“ถ้ายีนไม่เชื่อ ลองกระทืบไอ้ภูดูก็ได้นะ มันไม่สู้หรอก มันยอม”

ไม่รู้แล้วว่ามีเสียงอะไรแทรกเข้ามาในหัวของผมบ้าง แต่เหมือนภาพเบลอๆ ตรงหน้าจะเป็นไอ้ยีนโวยวายที่โดนพี่ภูจูบกลางวง เสียงปรบมือดังก้องไปทั่ว ส่วนพี่ภูก็กอดเพื่อนของผมจากทางด้านหลัง ทำเสียงอ้อนอะไรสักอย่าง เสียงนั้นดูไกลออกไปเรื่อยๆ จนผมเกือบจะไม่ได้ยิน เหมือนไอ้กัสจะร่วมวงตอกย้ำซ้ำเติมเพื่อน

“มึงก็ชอบพี่ภูไม่ใช่หรือไง”

หลังจากนั้นเกิดเหตุการณ์อะไรอีกก็ไม่รู้ ผมเริ่มคิดอะไรไม่ออก มองไม่เห็นภาพตรงหน้า ทุกอย่างกำลังเป็นสีดำ ร่างของผมเอียงไปเอียงมาโงนเงนแปลกๆ ก่อนผมจะรู้สึกเหมือนจะซบลงบนอะไรบางอย่างที่เป็นเม็ดละเอียดๆ





ลืมตาอีกทีเพราะเสียงโทรศัพท์ดัง ผมปรือตาขึ้นอย่างช้าๆ รู้สึกหนักทั้งหัวทั้งตัวไปหมด ผมควานหาโทรศัพท์ขณะที่มองว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือผมกลับมาอยู่ในห้องพักแล้ว ไม่รู้กลับมาได้อย่างไรเหมือนกัน

ตอนนี้ผมยังมึนไม่หาย พยายามจะจับต้นชนปลายว่าก่อนหน้าที่สติของผมจะหลุดไปเกิดอะไรขึ้นบ้าง ภาพที่เห็นยังคงพร่าเบลอ หัวหนักสุดๆ จนคิดอะไรนอกเหนือจากนี้ไม่ออก ลมหายใจมีแต่กลิ่นมึนเมา เสียงโทรศัพท์ยังคงดังเรียกให้ผมต้องหยิบต้นตอมากดรับ ไม่ทันมองหน้าจอด้วยซ้ำ เพราะเริ่มรู้สึกว่ามันกำลังส่งเสียงน่ารำคาญ

“ฮัลโหล”

[กราฟ]

เสียงที่เหมือนจะคุ้นเคยดังมาตามสาย ผมขมวดคิ้วพยายามนึกว่าเสียงนั้นเป็นของใคร แต่เหมือนมันติดอยู่ในสมอง เหมือนจะคิดออกแต่ก็คิดไม่ออก จึงถามเสียงห้วนกลับไปว่าใคร ซึ่งคำตอบของอีกฝ่ายก็ทำให้ผมต้องจูนสมองอยู่พักหนึ่ง

[ไนล์]

ไนล์ไหน?

ผมถามตัวเองในใจอย่างนึกสงสัย ก่อนจะค่อยๆ เห็นภาพอันเลือนรางในสมอง ภาพใบหน้าเรียวกึ่งหล่อกึ่งสวยแต่ดูไร้อารมณ์ปรากฏชัดเจนขึ้นช้าๆ ทีละนิด จนเป็นรูปร่างสมบูรณ์ ผมร้องอ๋อในใจ จากนั้นจึงถามต่อ

“อืม ว่าไง”

[เมาเหรอ]

ไม่รู้ว่าเสียงที่เปล่งออกไปเป็นแบบไหน เขาถึงได้ถามกลับมาแบบนี้ ผมยกมือขึ้นเกาหัวของตัวเองเบาๆ พยายามรวบรวมสติเท่าที่เก็บกวาดมาได้แล้วตอบกลับไป

“น่าจะเมามั้ง ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อกี้ยังนั่งกินเหล้าอยู่ริมทะเลอยู่เลย มาอยู่ที่ห้องได้ยังไงไม่รู้ มายังไงนะ”

[ทะเล!]

น้ำเสียงที่ผมได้ยินมันค่อนข้างดังจนต้องดึงโทรศัพท์ออกให้ห่างจากหู ผมย้อนเสียงกลับไปอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไร

“เสียงดัง”

[ตอนนี้นายอยู่ที่ทะเลเหรอ]

เขาลดเสียงลงมาหน่อย ทำให้ผมแนบโทรศัพท์เข้ากับหูอีกรอบ พลิกตัวให้นอนสบายขึ้นแล้วย้ำอีกครั้ง

“บอกว่าอยู่ทะเลก็อยู่ทะเลสิ”

[แล้วนายไม่เป็นอะไรเหรอ]

คำถามแปลกๆ ของเขาทำให้ผมยิ่งมึนหนักกว่าเก่า จนต้องยกมือขึ้นเกาหัวอีกรอบ

อยู่ทะเลแล้วทำไม อยู่ทะเลแล้วยังไง ทำไมผมอยู่ที่ทะเลไม่ได้ ไม่เห็นเข้าใจเลย

“ต้องเป็นอะไรด้วยเหรอ ทำไมนายพูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย”

หลังจากสิ้นเสียงของผม ปลายสายก็เงียบไปอยู่นาน จนผมต้องจับเครื่องสี่เหลี่ยมในมือเขย่าๆ ดูว่ามีอะไรพังไปหรือเปล่าสลับกับแนบกับหูอยู่หลายครั้ง กว่ามันจะมีเสียงดังออกมาอีกครั้ง

[นายอยู่ทะเลที่ไหน]

“ที่ไหนนะ เสม็ด ภูเก็ต กระบี่ พังงา ปัตตานี ยะลา เชียงใหม่ พะเยา กาญ...”

ผมเริ่มร่ายชื่อสถานที่ต่างๆ ออกมา ไม่รู้หรอกว่ามีทะเลหรือเปล่า แต่ปากก็พร่ำพูดออกไปก่อนสมองจะคิดได้ เสียงของคนที่ผมคุยด้วยถึงได้ดังแทรกขึ้นมา

[พอก่อน ตกลงว่าอยู่ที่ไหนกันแน่]

คำตอบที่ผมคิดได้คือไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ คิดไม่ออก เลยหันมองไปรอบๆ ก่อนจะเจอคนคนหนึ่งนอนคว่ำหน้าแปะอยู่กับพื้น ไม่ห่างจากผมนัก ผมเลยพยุงตัวลุกขึ้น เดินโซซัดโซเซไปหาร่างนั้น เอาเท้าเขี่ยๆ เหยียบๆ ให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นมา มันพลิกหน้าหันมาให้ผมเห็น ผมว่ามันหน้าคุ้นๆ อยู่นะไอ้คนนี้

เหมือนไอ้หมาเคลมเลย

คิดแบบนั้นแล้วผมก็นั่งยองๆ ลงไปใกล้ๆ หน้ามัน ตีแก้มมันเบาๆ แล้วยื่นโทรศัพท์ไปเกือบชิดปากของมันและถาม

“มึงๆ ที่นี่ที่ไหนวะ”

“อื้อ ไอ้สัตว์ ถั่วอยู่ไหน จะกินถั่ว เอาถั่วกูคืนมา”

มันพร่ำเพ้อทั้งที่ยังไม่ลืมตา เอามือตีพื้นเหมือนคนหมดแรง

“ไอ้เชี่ยนี่ บอกมาก่อน อยู่ที่ไหน”

“อยู่ที่.........” มันเงียบเสียงไปนานมากจนผมต้องเอียงคอลงมามองหน้ามัน ดูว่ามันจะตอบเมื่อไร ซึ่งเสียงมันก็ดังขึ้นอีกครั้ง “รีสอร์ทพี่ภูอะ ชื่ออะไรวะ แมกไม้มั้ง ที่ระยอง แล้วถั่วล่ะ”

พอมันตอบจบ ผมก็เอาโทรศัพท์มาแนบหูอีกครั้ง กรอกเสียงไปเบาๆ

“ได้ยินเปล่าๆ”

[ได้ยินแล้ว]

“งั้น...”

“ถั่วกูล่ะ”

พูดไม่ทันจบ มือของคนที่นอนอยู่ก็ดึงที่เสื้อของผมจนผมล้มลงไป มันกอดก่ายขึ้นมาทับผมเอาไว้ ผมรู้สึกหนักจนลุกไม่ขึ้น หายใจไม่ออกจนต้องตะเกียกตะกายเอาตัวออกมาจากใต้ร่างของมัน กว่าจะพ้นได้ก็เหงื่อแตกจนหมดแรง ผมมองสิ่งที่อยู่ในมือ หน้าจอที่ควรจะมีชื่อของคนโทรเข้าดับไปแล้ว จึงทิ้งตัวลงแผ่หลาอยู่ตรงนั้นและหลับตาลง ไม่ขยับเขยื้อน





วันที่สองของการมาทำงานครั้งนี้ ผมตื่นขึ้นมาอย่างมึนงงว่ามานอนอยู่บนพื้นในห้องข้างๆ ไอ้เคลมได้อย่างไร แต่คิดว่าพวกพี่ๆ หรือไม่ก็ไอ้กัสคงทนให้ผมนอนเกลือกกลิ้งอยู่บนพื้นทรายไม่ไหว จึงแบกผมกับไอ้เคลมที่เมาเป็นหมาไร้สติมานอนอยู่ในห้องด้วยกันล่ะมั้ง

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปไหว้พระกัน ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นค่อนข้างมาก ผมตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลให้กับมิ้นที่ได้จากผมไปแล้ว ร่างของเธอ ไม่มีใครพบเห็นมันอีกนับจากวันนั้น แม้ไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่แห่งหนใด แต่ขอให้บุญกุศลทั้งหมดที่ผมได้สั่งสมมาแม้จะไม่ได้มากมายนัก ถูกส่งไปถึงเธอ ให้เธอได้อยู่อย่างเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์ทรมาน

เมื่อรู้สึกว่าใจสงบลงแล้ว ผมก็หายใจได้ทั่วท้องขึ้น ไอ้กัสตบบ่าของผมแล้วยิ้มให้หน่อยๆ เหมือนกับจะให้กำลังใจ ส่วนไอ้เคลมก็ยิ้มกว้าง หน้าทะเล้นเหมือนอย่างเคย ขณะที่ไฮยีนที่พวกเรายินยอมให้พี่ภูคุมเอาไว้ด้วยความเต็มใจ ก็ยังหันมายิ้มให้กับผม เป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกอบอุ่นใจจริงๆ ผมรู้สึกว่าผมช่างเป็นคนโชคดีที่มีเพื่อนดีๆ แบบพวกนั้นที่คอยนึกถึงจิตใจของผมอยู่เสมอ

ออกจากวัดมา พวกเราก็ยกขบวนมาที่ตลาดเพื่อซื้อของกัน โดยพวกเราต่างพร้อมใจกันแยกตัวให้คู่รักหมาดๆ ได้ใช้เวลาร่วมกัน โดยผมโดนพี่เจ๋งลากให้ไปเลือกซื้อพวกผักด้วยกัน พร้อมกับข้ออ้างว่าถ้าพี่เจ๋งไม่ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการซื้อ ก็คงจะไม่มีใครซื้อผักแน่ๆ คงมีแต่อาหารทะเล หมู เนื้อ แล้วก็กับแกล้ม เหล้าอะไรเทือกๆ นี้

ผมพูดคุยกับพี่เจ๋งนิดหน่อย พี่แกก็ไม่ได้ถามอะไรเรื่องอาการของผม ดูเหมือนว่าพวกรุ่นพี่จะคิดว่าเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่งของผม คล้ายๆ กับพวกที่ตอนเด็กๆ เคยจมน้ำ เลยไม่กล้าเข้าใกล้ประมาณนั้น

“ขอบใจมึงมานะเว้ยที่มาด้วยกัน ถ้าพวกกูรู้สักหน่อยว่ามึงมีเรื่องฝังใจกับทะเล คงหาโลเกชั่นอื่นแล้ว ขอโทษทีว่ะ ไม่น่าอยากเซอร์ไพรส์พวกมึงเลย”

“ไม่หรอกครับพี่ ปกติผมก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรอยู่แล้ว พวกพี่จะไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก”

“เออๆ ยังไงก็ขอบใจมึงแล้วกัน ที่พยายามช่วยงานพวกกู คืนนี้ก็ปาร์ตี้กันต่ออีกสักคืน พรุ่งนี้ก็ต้องกลับไปเตรียมอ่านหนังสือสอบแล้ว”

“พี่อย่าพูดถึงความจริงอันโหดร้ายสิ”

ผมแซว เพราะอีกแค่อาทิตย์เดียวต้องสอบวิชาแรกแล้ว แต่ผมยังไม่ค่อยจะพร้อมเท่าไรเลย ถึงผมจะไม่ใช่คนที่การเรียนล่อแล่ แต่ก็ไม่ใช่ประเภทที่ถ้าไม่อ่านหนังสือเลยจะสอบได้ ถึงกระนั้นก็ดูท่าไอ้ยีนน่าจะอาการหนักกว่าผม แต่คงไม่ต้องห่วงหรอก เพราะมันมีพี่ภูอยู่ด้วย

“มึงไม่ต้องห่วง อ่านโน้ตที่กูให้ไปตอนต้นเทอม อย่างน้อยมึงก็ผ่านครึ่งชัวร์ๆ”

พี่รหัสขยิบตาให้ผม พร้อมกับชูนิ้วโป้งไปด้วย ผมหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับผงกหัว ก่อนจะหยุดที่ร้านค้าร้านหนึ่งและเลือกซื้อผักตามจุดประสงค์ที่แยกตัวมา ส่วนพี่เจ๋งก็สอบถามราคาพลางกวาดตาดูไปด้วยว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง

เมื่อซื้อของเสร็จเรียบร้อยตามหน้าที่ พวกเราก็กลับมาที่รถตู้อีกครั้ง เห็นพี่ภูกับไอ้ยีนกำลังสวีทกันพอดีเลยยืนดูอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง จนคนอื่นๆ มารวมตัวกันนั่นแหละ เสียงแซวถึงหลุดออกมาให้พวกที่อยู่ในโลกส่วนตัวรู้ตัว ซึ่งไอ้ยีนก็ร้องโวยกลบเกลื่อนตามปกติของมันไป ทว่ากลับทำให้ผมหุบยิ้มไม่ได้

ผมมีความสุขจังครับ ที่ได้เห็นคนที่ผมรักมากที่สุดกำลังมีความสุขแบบนี้








อ่านต่อข้างล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 05-08-2015 22:56:39


ต่อจากข้างบน






v


v




กว่าจะมาถึงรีสอร์ทก็สี่โมงเย็นแล้ว พี่ต้นกับพี่ปาล์มเตรียมข้าวของสำหรับจัดปาร์ตี้ ส่วนคนอื่นๆ ขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เพราะเมื่อวานทำงานกันทั้งวันเลยตั้งใจว่าจะเล่นน้ำกันให้ชุ่มปอด ซึ่งพวกเพื่อนๆ ก็เป็นห่วงผมเหมือนเคย

“ถ้ามึงไม่ไหวก็ไม่เป็นไรนะเว้ย เดี๋ยวกูอยู่กับมึงเอง”

“พวกกูด้วย”

ไอ้ยีนเสนอมตัวก่อนไอ้กัสกับไอ้เคลมจะตามมา แต่ผมส่ายหัวปฏิเสธความหวังดีของพวกมัน เพราะแค่นี้พวกมันก็ทำเพื่อผมมามากแล้ว ไม่อยากให้มันต้องอดทำในสิ่งที่สนุกสำหรับพวกมันเพราะผมเพียงคนเดียว

“กูไม่อยากทำให้พวกมึงเดือดร้อน”

“เดือดร้อนที่ไหนวะ เพื่อนกันทั้งนั้น”

ไอ้เคลมขยับเข้ามากอดคอผมเอาไว้ ถึงปกติมันจะเป็นคนที่เหมือนจะหาสาระไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของเพื่อน มันจะเต็มที่เสมอ เพราะแบบนี้แหละ ผมถึงได้รักเพื่อนกลุ่มนี้ของผมนัก และมันอาจจะถึงเวลาแล้วก็ได้ที่ผมจะต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ผมหลีกหนีมาตลอด ถึงเมื่อวานผมจะอาการแย่ แต่การได้ไปไหว้พระก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น วันนี้ผมอาจจะทำได้ก็ได้ ขอเพียงแค่สักนิดก็ยังดี

“กูขอบใจพวกมึงมากว่ะ แต่กูจะลองดู พวกมึงทำเพื่อกูมามากแล้ว”

“ถ้ามึงไม่ไหว ไม่ต้องก็ได้นะเว้ย”

ไฮยีนตบบ่าผม เหมือนจะย้ำว่าผมไม่จำเป็นต้องฝืน เพราะพวกมันไม่เดือดร้อนอะไรหากผมจะเป็นแบบนั้นต่อไป แต่ว่าชีวิตคนเราจะต้องเดินหน้า ถ้าไม่สามารถก้าวผ่านมันไปได้ มันก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอด

ผมจะพ่ายแพ้ตลอดไป ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น แม้จะทุกข์ทรมาน เจ็บปวดเจียนตาย แต่ผมก็ต้องผ่านมันไป ผมเองก็อยากจะเผชิญหน้ากับอดีตของตัวเองและยืนหยัดขึ้นมาอย่างเข้มแข็งให้ได้

เพื่อพวกเพื่อนๆ

เพื่อตัวผมเอง

และเพื่อมิ้น

ผมเชื่อว่ามิ้นก็ไม่อยากให้ผมต้องจมอยู่กับการตายของเธอ แม้ว่าผมจะไม่ต่างจากฆาตกรที่ฆ่าเธอก็ตาม แต่ผมเชื่อว่ามิ้นจะให้อภัยผม เพราะเธอเป็นแบบนั้น ผมถึงได้รัก

“ให้กูได้ลองก่อน กูเองก็อยากเอาชนะอดีตให้ได้”

“งั้นไปกัน”

ไอ้กัสปิดท้ายก่อนพวกเราจะเดินไปที่ชายหาดด้วยกัน โดยมีไอ้เคลมกับไอ้ยีนกอดคอผมเอาไว้คนละข้าง ตัวผมสั่นนิดหน่อย พอมองไปที่ทะเลก็เห็นว่าพี่คนอื่นๆ ลงน้ำกันไปหมดแล้ว ผมขบริมฝีปากเข้าหากันเพื่ออดกลั้นความรู้สึกที่กำลังโถมขึ้นมาเอาไว้ พยายามไม่แสดงออกมาว่าผมเริ่มมีอาการให้เพื่อนๆ เห็น

ตอนนี้แดดไม่แรงมาก ลมเหนียวๆ พัดเข้ามาหาพวกผมโดยหอบกลิ่นเกลือมาด้วย ผมกับยีนนั่งลงบนเสื่อที่พวกรุ่นพี่ปูเอาไว้ก่อนแล้ว ส่วนไอ้กัสกับไอ้เคลมถอดเสื้อก่อนจะล้มตัวลงนอน

“กูว่าจะอาบแดดหน่อย มึงว่าดีหรือเปล่าวะ กูผิวแทน กูคงเท่ขึ้น หล่อขึ้น มึงว่างั้นไหม”

“ตาตี่ๆ แบบมึงเนี่ยนะอยากดำ คงกลายเป็นปลาตีน ขาวจั๊วะแบบเดิมไปนั่นแหละดีแล้ว”

ไอ้กัสแย้งกลับพร้อมกับเขาเอาเท้างัดตัวไอ้เคลมที่นอนอยู่ให้กลิ้งออกนอกเสื่อ ส่วนไฮยีนหันมาถามผม

“มึงเป็นยังไงมั่ง”

“ก็คงพอไหวอยู่....มั้ง”

ผมยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับไป แต่เสียงที่หลุดออกมาก็เบาเหลือเกิน ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้หัวใจของผมเต้นช้าจนเกือบไม่เต้นหรือเต้นเร็วจนหายใจไม่ทันกันแน่ รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงวิ้งๆ อยู่ในหู มันเลยกุมมือผมเอาไว้ ผมจึงยิ้มให้มันอีกครั้งด้วยความพยายามที่มากกว่าเดิม

“กูจะอยู่กับมึง เชื่อได้เลย”

“กูรู้”

“มึงอย่าจู๋จี๋กันสองคนสิวะ เดี๋ยวพี่ภูก็มาแทะหัวมึงเล่นหรอกกราฟ”

เคลมที่คลุกทรายไปเมื่อกี้กระดึ๊บกลับมาแทรกหน้าระหว่างผมกับไฮยีนเหมือนอยากขอมีส่วนร่วม ส่วนไอ้กัสก็ยังคงมาดคุณชายบอกพวกผมพลางพเยิดหน้าไปอีกทางหนึ่งที่ผมไม่ค่อยอยากมองเท่าไร

“สงสัยปากมึงจะศักดิ์สิทธิ์จริงว่ะไอ้เคลม”

พี่ภูที่สวมแค่กางเกงขาสั้นเดินตัวเปียกมารวมกลุ่มกับพวกผมและเอ่ยถาม

“พวกมึงไม่ลงไปเล่นน้ำกันเหรอ”

“ไอ้กราฟลงทะเลไม่ได้”

ตามเคยว่าไอ้ยีนเป็นคนตอบ แต่เหมือนพี่ภูจะไม่ทักท้วงอะไร จากเหตุการณ์และคำพูดของไอ้ยีนตลอดเมื่อวานจนถึงวันนี้ เขาคงรู้แล้วล่ะว่ามันเป็นเรื่องที่ยังไม่สามารถพูดคุยกันได้ ทั้งที่ผมไม่ว่าอะไรหากไอ้ยีนจะบอกพี่ภู เพราะเขาเป็นแฟนกับมันแล้ว และก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอย่างที่ไอ้ยีนเคยเอาแต่พาสาวขึ้นเตียง มันรักพี่ภูจริงๆ ดังนั้นเขาจึงมีสิทธิ์ที่จะรู้ เพราะผมเองก็ไม่อยากให้พี่ภูกับไอ้ยีนทะเลาะกันเพราะเข้าใจผิดเรื่องผม

“งั้นมึงไปซื้อน้ำกับกูหน่อย”

“พี่ก็ไปเองสิ ทำไมผมต้องไปด้วย”

“กูอยากให้มึงไปด้วยไง”

สองคนยังเถียงกันเหมือนเดิม ตามนิสัยของเพื่อนผมนั่นแหละที่ไม่ชอบให้ใครมาสั่ง มันเป็นลูกคนเล็ก เคยทำอะไรไม่สนใจใคร มีคนคอยตามใจ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ทำให้มันกลายเป็นเด็กสปอยล์ที่ชอบเอาชนะ แต่พี่ภูก็ไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ใครง่ายๆ เหมือนกัน เขาดึงมันให้ลุกขึ้นจนมือของผมกับยีนหลุดออกจากกันแล้วเถียงต่อ จนเพื่อนอีกสองคนที่เหลือต้องสวนเสียงขึ้นมาพร้อมกันราวกับนัดหมาย

“มึงไปกับพี่ชมพูเหอะ”

“เดี๋ยวพวกกูอยู่กับไอ้กราฟแทน”

ผมเลยร่วมด้วยช่วยอีกคน

“มึงไปเหอะ กูอยู่ได้ ไอ้กัสกับไอ้เคลมก็อยู่ ซื้อมาเผื่อกูด้วยล่ะ”

เมื่อพวกผมพร้อมใจกันขับไล่ ไอ้ยีนก็เลยเรื่องมากเล่นตัวต่อไม่ได้ มันเดินไปพร้อมกับพี่ภูโดยมีสายตาของพวกผมมองตาม ไอ้กัสกับไอ้เคลมเลื่อนตัวมานั่งข้างผมพร้อมกระซิบกระซาบทั้งที่เจ้าตัวที่ถูกนินทาเดินไปไกลแล้ว

“มึงว่าไอ้ยีนเสร็จพี่ภูหรือยังวะ”

“เสือกทุกเรื่อง”

ไอ้เคลมโดนไอ้กัสตีหัวไปหนึ่งที ข้อหาอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป ทำให้ผมรู้สึกสมน้ำหน้ามันหน่อยๆ

“เอ้า ก็กูอยากรู้นี่ หรือมึงไม่อยากรู้”

“ไม่อยากรู้เว้ย”

“โด่ อย่ามาๆ กูรู้ว่ามึงก็อยาก ทำเป็นฟอร์ม ว่าแต่ผู้ชายกับผู้ชายนี่เขาทำกันยังไงวะ”

โดนไอ้กัสตีหัวไปยังไม่หลาบจำ ไอ้เคลมบ่นกระปอดกระแปดแล้วหันหน้ามาทางผมแทน เหมือนจะขอความเห็น ทำให้ผมรู้สึกว่าหัวใจกระตุกไปแวบหนึ่ง ภาพใบหน้าของใครบางคนผุดขึ้นมาในสมอง

“มันจะเสียว มันจะสยิวจริงหรือเปล่า แล้วแม่งโดนเล้าโลมเลียหัวนมอะไรเงี้ยจะทำให้โด่ได้จริงเหรอ”

เสียงของไอ้เคลมยังดังต่อเนื่องด้วยความอยากรู้อยากเห็น พลางแอ่นสะโพกโก่งตูดไปด้านหลัง เอามือวางบนบั้นท้ายที่มันพยายามจะทำให้โค้งงอนกว่าปกติ แต่หน้าตาเหลอหลาเหมือนคนไม่ได้คำตอบ

ใบหน้าและเรือนร่างของไนล์ฉายชัดมากขึ้นกว่าเดิมในความทรงจำของผม ทั้งเสียงครางเบาๆ เสียงเนื้อที่กระทบกันทุกครั้งยามขยับจังหวะเคลื่อนไหว ใบหน้าของเขาที่บิดเบี้ยวด้วยความทรมานชื้นไปด้วยเหงื่อไคล เสียงหอบหายใจของผม

“อยากรู้มึงก็ลองโดนสักทีดิวะ”

ภาพที่มีที่มาจากความผิดของผมเลือนหายไปเพราะเสียงของคุณชาย มันตอกไอ้เคลมกลับไปจนเจ้าตัวคนฟังทำหน้ายู่สวนเสียงกลับมา

“กูอยากรู้เว้ย ไม่ได้อยากลอง”

“ก็เห็นทำท่าประกอบ กูก็นึกว่ามึงอยากลองเดินทางสายใหม่เพราะเบื่อทางเก่าๆ แล้ว”

“กูไม่มีทางเบื่อหรอกเว้ย ว่าแต่มึงเหอะไอ้กราฟ ได้ปลดปล่อยบ้างปะเนี่ย ไม่ได้ใช้งานนานระวังขึ้นรานะมึง ยังไงมือก็ไม่ช่วยให้รู้สึกได้เท่ากับรูจริงหรอก”

ผมสะดุ้งนิดๆ กับคำถามนั้น จนมันขมวดคิ้วเข้าหากันหน่อยๆ กับปฏิกิริยาตอบรับจากผม ผมจึงตอบเลี่ยงๆ ไปก่อนที่จะมันจะถามอะไรมากไปกว่านี้

“กูยังไม่มีแฟนนี่หว่า”

“มึงก็หาสักคนสิ มิ้นไม่อยากให้มึงเป็นม่ายไปจนตายหรอก”

มันกระเถิบตัวมานั่งข้างผมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอาศอกเท้าบนบ่าผมไปด้วย แถมยังยิ้มยิงฟันให้อีกต่อ

“กูรู้ ก็...พยายามอยู่”

ผมนึกถึงหน้าของไนล์อีกครั้ง... ถึงจะไม่ได้เป็นแฟนกันแต่ผมก็รู้สึกพิเศษกับเขา จนมันคล้ายความรู้สึกนั้นเหลือเกิน

ผมอยากจะแน่ใจกว่านี้สักหน่อย ก่อนที่จะพูดมันออกไป

ก่อนที่จะบอกเขาไปว่ารัก

ผมไม่อยากพูดมันอย่างไร้ความรับผิดชอบแล้วมากลับคำทีหลัง เพราะความไม่แน่ใจของตัวเอง

เมื่อไรที่ผมพูดว่ารัก เมื่อนั้นก็คือ...ผมรักและไม่คิดจะเลิกรัก

“ถ้ามึงได้แฟนเมื่อไรนะ กูจะฉลองให้มึงสามวันเจ็ดวันเลย”

“กูบันทึกคำพูดมึงใส่สมองไว้เรียบร้อยแล้ว”

ไอ้กัสแทรกขึ้นมาแทนที่จะเป็นผม พร้อมทั้งหยักยิ้มที่มุมปากดูแสนชั่วด้วยมาดคุณชายสุดคลู จนไอ้เคลมลุกขึ้นมาไล่เตะอย่างอดหมั่นไส้ไม่ได้ แต่ไอ้กัสก็ไม่ยอมง่ายๆ มันหลบแล้วลุกขึ้นมาเตะกลับ

ผมมองตามภาพพวกมันไปเรื่อยๆ รู้สึกได้ว่ามีรอยยิ้มติดอยู่บนใบหน้าหน่อยๆ เพราะชอบรรยากาศแห่งความสุขแบบนี้ รู้สึกเบาใจขึ้น พอจะมองภาพทะเลเบื้องหน้าได้บ้างนิดหน่อยแล้ว ทว่าสักพักพวกพี่เจ๋งก็เดินขึ้นจากทะเลมาทางพวกเพื่อนผม

“เฮ้ย พวกมึง ไปขี่เจ็ตสกีกันไหมวะ”

ไอ้กัสกับไอ้เคลมชะงักการเล่นวิ่งไล่เตะทั้งคู่ มองไปยังพี่เจ๋ง พี่แชมป์ พี่บอสที่มาหยุดอยู่ใกล้ๆ พวกมัน แม้ว่าสองคนนั้นจะไม่ได้หันมามองผม แต่ผมก็รู้ว่าพวกมันกำลังจะทำเพื่อผมอีกครั้ง ผมจึงโพล่งขึ้นก่อนที่พวกมันจะตอบพวกพี่ๆ เขาไป

“ไม่...”

“พวกมึงไปสิ”

“เฮ้ย” ไอ้เคลมร้องออกมา “กูจะอยู่นี่แหละ”

“ไม่เป็นไรหรอกน่า กูโอเคแล้ว”

“มึงแน่ใจ”

ไอ้กัสเหลือบมองอย่างไม่ไว้ใจสักเท่าไร สายตาของมันสำรวจไปทั่วตัวของผมเพื่อสังเกตว่ามีอาการอะไรหรือเปล่า นับว่าเป็นโชคดีก็ได้ที่ผมเริ่มปรับสภาพได้มากขึ้นแล้ว ถึงจะรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอย่างเมื่อวานนี้

“กูโอเค มึงไม่ต้องห่วงหรอกน่า จะให้กูคอยเป็นตัวถ่วงพวกมึงจนพวกมึงอดเล่นสนุกหรือไง พวกมึงไม่ได้มาทะเลกันนานแล้วนะ อย่าทำให้กูต้องรู้สึกผิดสิวะ”

แม้ว่าผมจะพยายามหว่านล้อม แต่พวกมันก็ยังทำหน้าเคลือบแคลง ลังเลว่าจะเอาอย่างไรดี ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน ผมเลยหันไปบอกพี่อีกสามคนที่เหลือ

“พวกพี่ไปเช่าเจ็ตสกีมาเลยครับ เดี๋ยวมันก็เกรงใจแล้วไปเล่นเอง”

“มึงจะเอาอย่างนั้นเหรอ”

พี่รหัสหันมาถามผม ผมก็พยักหน้าให้เพื่อยืนยัน เพื่อนผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก มันคงห่วงผม ไม่อยากทิ้งผมไป และไม่อยากผิดคำพูดที่รับปากไฮยีนไว้ ผมเลยย้ำอีก

“เดี๋ยวไอ้ยีนกับพี่ภูก็มา แค่ห้านาทีสิบนาที กูไม่เป็นอะไรหรอกน่า กูจะนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”

สิ้นเสียง ผมก็แถมใบหน้าที่มีรอยยิ้มติดอยู่ไปให้อีกระลอกเพื่อยืนยัน พวกมันทำหน้ารู้สึกผิดนิดนึงก่อนจะยอมรับคำพูดของผม

“เอางั้นก็ได้วะ แต่ถ้าท่าไม่ดี มึงต้องรีบบอกกูเลยนะ”

“พวกกูจะขี่กันอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ”

“เออ พวกมึงไปสนุกกันเถอะ แต่ก็ระวังตัวด้วย”

“อืม”

ไอ้เคลมครางเสียงรับในลำคอ ส่วนไอ้กัสเดินกลับมาหาผม มันย่อตัวลง นั่งชันเข่าไว้ข้างหนึ่ง มองตาผมเหมือนจะจับผิด จับจ้องอยู่อย่างนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“มึงแน่ใจนะ”

“แน่สิวะ กูไม่อยากให้พวกมึงต้องคอยเป็นห่วงจนไม่ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำ ไม่ได้เล่นสนุกทั้งที่สมควรได้เล่น”

“มึงก็รู้ว่าพวกกูไม่คิดเรื่องหยุมหยิมอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว มันไม่ได้ลำบากเลย”

“กูรู้ แต่มึงลองคิดในแง่ของกูบ้างสิ กูไม่อยากให้พวกมึงต้องติดแหง่กไร้อิสรภาพเพราะกู กูไม่อยากเป็นภาระของพวกมึง มึงก็รู้นี่”

ผมจ้องตาของมันกลับไปอย่างแน่วแน่ ไม่มีความลังเล มันเลยยอมละสายตาจากผมแล้วยื่นมือออกมา มือผมเองก็ยื่นออกไปจับมือมันเอาไว้อย่างแนบแน่น กระชับให้รับรู้ถึงความมุ่งมั่น ก่อนมันจะผงกหัวเบาๆ แล้วปล่อยมือผมออก

ไอ้กัสขยับห่างผมออกไป ก่อนจะไปรวมตัวกับคนอื่นๆ ที่เริ่มเข้าหาพาหนะตะลุยน้ำกันแล้ว ผมมองตามภาพนั้นอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้า สูดกลิ่นอากาศของทะเลขณะที่ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวคืบคลานเข้ามาเกาะกิน เสียงคลื่นน้ำกำลังทะลุทะลวงโสตประสาทของผมราวกับจะทำลายล้าง

หัวใจเริ่มไต่จังหวะขึ้นมาอย่างถี่รัวจนผมรู้สึกแน่นในอกแทบหายใจไม่ออก กระทั่งรู้สึกว่ามันยากเกินไปที่จะต่อสู้มากไปกว่านี้จึงเบี่ยงตัวหันหน้าเข้าหารีสอร์ทแทน ทว่าเมื่อหันไปแล้วผมก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ

ร่างคุ้นเคยยืนอยู่ตรงนั้น...







------------------
ตอนนี้ค่อนข้างยาว แต่ก็เพราะว่าอ้างอิงจากเรื่องของภูยีนด้วย
แต่งไปก็ต้องเทียบกับเรื่องนั้นตลอดเลย 555555 แต่ก็แอบทำให้คิดถึงพี่ภูกับน้องยีนอยู่เหมือนกัน
คนที่เคยอ่าน กวนนักฯ ก็คงรู้แล้วล่ะว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น อย่างกับสปอยล์กันและกันเลยนะสองเรื่องนี้

ตอนนี้เหมือนกับเป็นตอนของมิตรภาพระหว่างเพื่อน 4 คนมากกว่าเลยค่ะ  :กอด1:


Undel2Sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่ [5/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: l3loodl2o5e ที่ 05-08-2015 23:46:07
รอจนขาดใจ :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่ [5/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 06-08-2015 07:58:53
เฮ๊ย...ทำไมตัดงี้ละ






ร่างคุ้นเคย มิ้น หรือ ไนล์






กราฟ น่าสงสารจัง แต่ก็เป็นเพราะกราฟยึดติดกับอดีตจนกลายเป็นหลุมดำของชีวิต






กราฟก็มีปม ไนล์ก็มีปม โฮ๊ะ






ปมมันเยอะแท้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ






อึดอัดใจโพดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด :ling1: :ling1:






อยากรู้วิธีแก้ปม
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่ [5/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 06-08-2015 19:26:47
น่าติดตามๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่ [5/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 18-08-2015 14:44:37
มาต่อเร็วๆ นะครับ ค้างคามาก เปิดมาอ่าน 4 วันรวด ตั้งแต่ ภูยีน มาถึง กราฟไนล์ อยากให้ต่อแบบรวดเดียวจบเลยได้ป่ะ  :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 17 : ความทรงจำที่ยังคงอยู่ [5/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ZeeKiN ที่ 18-08-2015 20:28:21
 :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :hao7: :h

มาต่อเร็วๆๆๆน้าาาาาาาาาาาาาาาาา


ค้างงงงงงงง
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 18-08-2015 22:36:29
ตอนที่ 18 : คนหลงทาง









สองขาเรียวยาวพาใครคนนั้นเข้ามาหาใกล้ผมมากขึ้น ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เหมือนร่างที่วิญญาณหลุดลอยไปยังที่ไกลแสนไกลมาหยุดลงตรงหน้าผม

“มา... มาได้ยังไง”

เสียงของผมหลุดออกมาอย่างไม่เต็มคำนัก นึกประหลาดใจที่เห็นเขาที่นี่

“เมื่อคืนนายบอกฉันเอง”

เมื่อคืน?

ผมทวนเสียงของเขาอย่างงุนงง ก่อนจะนึกถึงเสียงเลือนรางขึ้นได้

“เมื่อคืนนายโทรมา?”

“จำไม่ได้จริงๆ เหรอ”

“เพิ่งจะนึกได้นี่แหละ ขอโทษที”

รู้สึกผิดเล็กน้อย เพราะนานแล้วที่ผมไม่ได้เมา จะเรียกว่าแทบไม่เคยเมาเลยก็ว่าได้ เพราะปกติแล้วถ้าไปดื่ม ผมจะไปกับเพื่อนๆ ในแก๊ง ซึ่งแน่นอนว่าผมต้องดูแลไฮยีนอยู่แล้ว ดังนั้นผมจึงเมาไม่ได้ เหมือนที่กัสก็เมาไม่ได้เพราะต้องคอยลากศพไอ้เคลมกลับคอนโดฯ อยู่เสมอๆ หรือถ้าหากจะเมา ก็มีโอกาสแค่ตอนที่เราดื่มกันที่คอนโดฯ ของใครสักคนนั่นแหละ

“ว่าแต่...” ไนล์หยุดเสียงไว้เท่านั้น มองหน้าผมเหมือนสำรวจอย่างทั่วถ้วน จากนั้นเอื้อนเสียงออกมาไม่ดังนัก “มาอยู่ที่นี่ ไม่เป็นอะไรเหรอ”

“หืม?”

ผมค่อนข้างจะไม่เข้าใจในคำถาม จึงเลิกตาขึ้นเล็กน้อยอย่างสงสัย ไนล์มองท่าทีของผมอยู่แวบหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือออกมาพร้อมบอกว่า

“มาด้วยกันหน่อยสิ”

มือที่ส่งมาให้ยังคงอยู่นิ่งตรงหน้าผม ในขณะที่ผมได้แต่งงงวยและมองมือนั้นอย่างไม่เข้าใจ กระทั่งไนล์เป็นฝ่ายโน้มตัวลงมาใกล้ผมมากขึ้นและฉวยมือของผมไป พลอยให้ผมต้องดันตัวลุกขึ้นจากพื้นทราย ทว่าหลังจากนั้นไม่นานผมก็เข้าใจความหมายของเขา

ไนล์กำลังพาผมให้เดินเข้าไปหาสิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุด

ตัวของผมสั่นเทิ้มขึ้นมาอย่างฉับพลัน ผมสะบัดมือของเขาออกเต็มแรง แต่ดูเหมือนเรี่ยวแรงที่เคยมีจะเหือดหายไปหมด ผมรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเย็นเฉียบขึ้นมาเสียดื้อๆ ปากสั่นกึกๆ จนฟันแทบจะกระทบกัน พยายามรั้งตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ ปลายเท้าจิกกับพื้นเอาไว้จนทรายและรองเท้ากระจุยกระจายไปคนละทิศละทาง

ไนล์ไม่ยอมปล่อยมือผมแม้ว่าผมจะต่อต้านมากแค่ไหน เขาดึงผมด้วยแรงที่มากกว่าผมหลายเท่า พาผมไปยังเสียงโห่ร้องที่ก้องกังวาน ยิ่งเข้าใกล้มันเท่าไร มันก็ยิ่งสะท้อนในหูของผม ราวกับเสียงเรียกจากขุมนรก ผมแผดเสียงลั่น แต่เหมือนมันจะเบาหวิวและถูกเสียงสาดซ่าที่ดังกว่ากลืนหาย

“ไม่ ปล่อย ปล่อยฉัน”

“...”

ไร้เสียงตอบรับจากคนที่เดินนำหน้าอยู่ ผมเอื้อมมือที่สั่นเทาไปแกะมือของตนเองออก แต่ว่าแกะเท่าไรก็ไม่ออก ราวกับว่ามันถูกพันธนาการด้วยมือของมัจจุราช ผมสะบัดมือหลายต่อหลายครั้ง แต่คีมเหล็กนั้นก็ยังบีบรัดผมเอาไว้แน่น ปลายเท้าของผมสัมผัสกับฟองคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมรู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังหมดลงเรื่อยๆ

อย่า

ปล่อย...

อย่าทำแบบนี้

ร่างของผมกำลังจมลงเรื่อยๆ ผมมองไม่เห็นสิ่งอื่นนอกไปจากความว่างเปล่า ผมตะเกียกตะกายร่างขึ้นจากความมืดทึมนั้นอย่างทรมาน ร้องตะโกนเต็มเสียง แต่เหมือนกับที่แห่งนี้เวิ้งว้าง ไม่มีผู้คน ไม่มีใคร ความเย็นเหยียบค่อยๆ โอบรอบร่างของผมเอาไว้จนหนาวสั่น จมลึกลงไปราวกับถูกดูดกลืน

หนาว

กลัว...

ใครก็ได้...

มิ้น กราฟขอโทษ

กราฟขอโทษ

กราฟขอโทษ

กราฟขอโทษ

เพียงคำเดียวที่ดังอยู่ในหัวของผม มันดังซ้ำไปซ้ำมา ตัวของผมเปียกชื้น ใบหน้าอาบไปด้วยของเหลว แต่ผมรู้ดีว่านั่นไม่ใช่สิ่งอื่น แต่มันคือ...

น้ำตาแห่งความเสียใจ

น้ำตาแห่งความหวาดกลัว

น้ำตาแห่งความสำนึกผิด

“มึงทำเหี้ยอะไร!!!”

เสียงหนึ่งดังขึ้น ราวกับแสงสว่างวาบเข้ามา พร้อมกับแรงฉุดกระชาผมอย่างรุนแรงจนร่างเหวี่ยง ผมโผล่พ้นขึ้นมาจากหลุมสีดำ ภาพที่เคยเลือนรางหายไปปรากฏตรงหน้าอีกครั้ง

ตรงนั้นมีไฮยีน

มือของผมถูกยีนกุมเอาไว้แน่น มันดึงผมให้เดินกลับเข้าหาฝั่ง ผมรู้สึกโล่งใจ ความหวาดกลัวที่กัดแทะจิตใจของผมหยุดไปแล้ว แต่เพียงครู่เดียวร่างของผมก็ถูกกระชากอีกครั้งจากคนที่อยู่ด้านหลัง

...ไนล์

มุมปากของเขามีรอยสีแดงที่ไร้ที่มา ความทรงจำที่ขาดหายไปเริ่มกลับคืนสู่ผมอีกครา

ไนล์ลากผมลงมาในทะเล... ทำไม?

“อย่าเสือกเรื่องของกู”

ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงของไนล์ทำให้ผมยิ่งเต็มไปด้วยความสับสน ข้อกังขา ไนล์จับมือผมแน่นไม่แพ้ยีน ก่อนจะดึงผมให้เข้าสู่ทะเลลึกขึ้น ผมตัวสั่น

“เรื่องของมึงเหรอ ถ้าเรื่องของมึงจะทำให้เพื่อนของกูจมน้ำตาย กูก็ต้องเสือก”

ยีนแผดเสียงลั่นก่อนจะถีบไนล์จนล้มลงไปในน้ำ ผมตะลึงงันกับภาพที่เห็น นึกห่วงคนที่เปียกปอนว่าจะลุกขึ้นมาได้ไหม ความหวาดกลัวทะลุทะลวงหัวใจของผมจนกลวงโบ๋ ผมจมดิ่งลงในหลุมลึกซ้ำอีก ไร้แรงขยับเขยื้อน

“มึงไม่รู้เหี้ยอะไรก็อย่ามาเสือกกับเพื่อนของกู!!”

“แล้วใครบอกว่ากูไม่รู้เหี้ยอะไร”

ร่างของผมอ่อนระโหยโรยแรงเกือบจะทรุดลงไปตรงนั้น ตัวสั่นเทิ้ม รู้สึกถึงอะไรบางอย่างสะท้านสะเทือนอยู่ในอกจนวูบโหวง ภาพที่เห็นมีเพียงสีส้มเข้มจนเหมือนสีเลือดละลายเจือจาง ความหดหู่หมองเศร้าเกาะกุมเหมือนไม่รู้ว่าผมยังหายใจอยู่เพื่ออะไร

เนิ่นนานเหลือเกินกับการหายใจแผ่วเบาคล้ายคนเกือบจะสิ้นลม

สัมผัสยุบยับของเม็ดละเอียดแตะลงบนหลัง ผมไม่แน่ใจว่าตอนนี้ตัวเองหายใจอยู่หรือเปล่า ดวงตาเบิกค้างอยู่อย่างนั้นไม่รู้ว่านานแค่ไหน

เมื่อไรเวลาจะหยุดลง

เมื่อไรทุกอย่างจะสิ้นสุด

ผมจะได้หลุดพ้นจากความทรมานนี้เสียที...

มิ้น มาหากราฟได้ไหม พากราฟไปอยู่ด้วยได้ไหม

ถ้อยคำอ้อนวอนอย่างอ่อนล้าคล้ายลอยล่องอยู่ในจิตใต้สำนึกของผม ขณะที่สีเลือดเจือจางนั้นยังคงปรากฏอยู่ตรงหน้า

ถ้าเป็นเลือดของผมคงจะดี

ถ้ามันไหลออกมา...

คิดได้ดังนั้นก็เหมือนเรี่ยวแรงที่เคยเหือดหายไปกลับคืนสู่ร่างของผมอีกคราว พลังมหาศาลผลักดันให้ผมลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมออกวิ่ง วิ่ง วิ่งไปข้างหน้า มุ่งไปหาสิ่งที่พรากผู้หญิงที่ผมรักที่สุดไป...พรากเอาชีวิตของเธอทั้งที่มันไม่สมควร

เอาชีวิตผมไป เอาผมไปแทน

“ไอ้กราฟ หยุด มึงอย่าทำอย่างนั้นนะ!!”

เสียงกระฉอกของคลื่นน้ำที่ต้านทานผมไว้ไม่ได้ทำให้ผมเคลื่อนที่ได้ช้า ยิ่งมันซัดเข้าสู่ร่างของผมมากเท่าไร ก็ยิ่งเหมือนกับมันท้าทายให้ผมพุ่งเข้าหามันมากขึ้นเท่านั้น ผมก้าวขาอย่างมั่นคงกว่าครั้งไหนๆ เพื่อจุดหมายสูงสุดในเวลานี้ของตัวเอง

สิ่งเดียวที่ผมต้องการ สิ่งที่ผมต้องทำ

จบชีวิตของผมลงซะ!

“กราฟ มึงมีสติหน่อยสิ นี่กูไง ยีนเพื่อนมึงน่ะ มองกูสิ!!!”

เสียงตะโกนคุ้นหูบางเบาเหลือเกิน มันผ่านหูของผมไปแล้วลอยไปกับสายลม ผมไม่สนใจมันแต่ยังคงมุ่งมั่นกับเจตารมณ์ที่ฮึกเหิม ทว่าแรงกระชากจากด้านหลังทำให้ร่างของผมชะงักลง แรงกอดรัดทำให้ผมอึดอัด ผมสะบัดอ้อมกอดนั้นออกสุดแรง แต่ว่ามันก็ไม่หลุดออก มิหนำซ้ำคนที่กีดขวางความปรารถนาของผมยังพลิกตัวกลับมาผลักผมให้ถอยกลับไปเต็มแรง

ร่างของผมค่อยๆ ถอยห่างจากมฤตยูที่ผมโหยหา ก่อนความรู้สึกเหมือนวูบหล่นจะสัมผัสกับร่างกาย ผมกระแทกกับหาดทรายอีกหนพร้อมกับน้ำหนักของคนที่ดึงรั้งผมไว้ทับลงมาบนหน้าท้อง

“กราฟ!! มึงมองกูสิวะ มึงอย่าทำแบบนี้”

ใบหน้าของคนตรงหน้าพร่าเลือน ผมมองไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเป็นใบหน้าของใคร เสียงที่โหวกเหวกฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน แต่ผมนึกไม่ออก และมันก็กลายเป็นเสียงน่ารำคาญ ผมพยายามดันตัวขึ้นและผลักคนที่ทับตัวผมออก

“มึงได้สติสักทีสิวะ มันไม่ใช่ตอนนั้นนะเว้ย นึกสิมึง มันผ่านมาสามปีแล้วนะเว้ย ไอ้กราฟ เรื่องมันจบแล้ว มึงเลิกโทษตัวเองสักที!!”

ผมขืนตัวสุดแรงเท่าที่จะทำได้ ผมกำลังจะทำได้แล้ว กำลังจะทำลายสิ่งที่ขัดขวางผมได้สำเร็จ ทว่าเพียงครู่เดียวที่เห็นแสงแห่งความหวัง แขนทั้งสองข้างของผมกลับถูกตรึงเอาไว้อย่างแน่นหนา ราวกับว่ากำลังจะลงโทษผม ให้ผมต้องพบกับความทุกข์ทรมานอีกครั้ง

“มึงฟังไอ้ยีนมั่งสิวะ!”

“กูไม่อยากเห็นมึงเป็นแบบนี้นะเว้ย!”

ทำไม ทำไมถึงไม่ปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระเสียที

“กราฟ มึงลืมกูแล้วหรือไง ยีนเพื่อนมึงอะ มึงอย่าเป็นแบบนี้ดิวะ กูไม่อยากให้มึงเป็นแบบนี้นะ กูไม่อยากเสียมึงไป”

ปล่อยให้ผมหลุดพ้นเถอะ ได้โปรด...

“ได้ยินไหม กูไม่อยากให้มึงตาย!!”

ผมวอนขอต่ออะไรก็ตามแต่ที่จะสามารถทำให้ผมบรรลุความต้องการ แต่สิ่งที่ตอบผมกลับมามีเพียงแค่เสียงตะเบ็งของใครก็ไม่รู้

“กูรักมึงมาก รู้ไหม มึงเป็นเพื่อนที่กูรักที่สุด มึงเป็นคนทำให้กูกลับมามีความสุขอีกครั้ง มึงจำได้หรือเปล่า ตอนที่แม่กูตาย มึงอยู่กับกูตลอด มึงทำให้กูเลิกเศร้า ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ง่ายๆ”

เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นซ้ำๆ จากที่เคยโหมแรงเข้าใส่ผม ราวกับจะให้มันทะลุทะลวงร่างของผมออกไปกลับกลายเป็นสั่นเครือ

“มึงจำสัญญาของเราได้ไหม มึงจะอยู่กับกู จะดูแลกูไม่ใช่เหรอ แล้วนี่มึงจะทำเหี้ยอะไร”

น้ำอะไรสักอย่างตกลงบนใบหน้าของผม

มันหนัก... หนักมาก

ผิดกับน้ำเสียงที่เรียกชื่อของผมในตอนสุดท้าย

“กราฟ”

น้ำหนักของร่างรางเลือนตรงหน้าทิ้งลงมาบนบ่าพร้อมกับความชื้นแฉะที่ค่อยๆ เปียกเสื้อของผมมากขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าจุดนั้นมันเย็นจนเป็นวงกว้าง เสียงอื่นที่ฟังดูคุ้นหูแต่ก็ไม่คุ้นหูเพราะว่ามันสั่นดังสลับกันไปมา

“กราฟ พวกกูก็ขอนะ มึงอย่าทำอะไรแบบนี้อีกเลย ถึงกูจะไม่ใช่เพื่อนรักที่สุดของมึงเหมือนยีน แต่กูก็ไม่อยากให้มึงทำอะไรบ้าๆ แบบนี้ เรื่องนั้นมันเป็นอดีตไปแล้ว ไม่ใช่ความผิดของมึง ไม่ใช่เลย”

“ถึงมึงทำแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก นี่มันคือชีวิตของมึง ไม่ใช่ของใคร มันแทนกันไม่ได้ ถ้ามึงเป็นอะไรขึ้นมา แล้วพวกกูล่ะ พ่อแม่มึงล่ะ พวกกูรักมึงกันหมด แล้วมึงจะไม่รักตัวเองหรือไง”

“มึงได้ยินไหมกราฟ ไม่ใช่แค่กูคนเดียวที่รักมึง ห่วงมึง ไอ้ที่เหลือก็รู้สึก”

ก่อนเสียงที่คุ้นที่สุดจะดังขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ทับอยู่บนบ่าของผมก็ผละออกไป ทั้งที่ผมควรจะรู้สึกตัวเบาลง แต่ไม่เลยมันยังคงหนักอยู่เหมือนเดิม ภาพใบหน้าของคนที่อยู่ต่อหน้าซึ่งเคยพร่าเบลอชัดเจนขึ้น ผมเห็นดวงตาทั้งสองข้างที่รื้นคลอด้วยน้ำใสๆ จนแดงก่ำ จับจ้องมาที่ผมด้วยความเศร้าและห่วงหาอาทร

“อยู่กับกูตลอดไปนะ”

กรอบหน้านั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนผมมองออกว่าเจ้าของน้ำตาบนบ่าของผมเป็นใคร และมันก็เหมือนจะช่วยดึงสติของผมกลับมา

เพื่อนสนิทที่ผมรักที่สุด

คนที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบ ไม่ละทิ้งชีวิตมาตลอดสามปี...

ผมมองมันอย่างลังเล สองจิตสองใจว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป ใจหนึ่งไม่อยากให้มันต้องปวดร้าวเพราะอาการบ้าๆ ของผมที่จะเกิดขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้ และอีกใจก็ไม่อยากให้มันต้องเสียใจเพราะการจากไปของผม ผมรู้ว่ามันจะเสียใจมากแค่ไหน ไม่อย่างนั้นมันคงไม่เหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ด้วยคำสัญญามาโดยตลอด

มันยื่นนิ้วก้อยออกมาราวกับจะทวงหาสิ่งที่ผมเคยรับปาก ผมมองมันอยู่นานมาก ก่อนย้ายสายตาไปหาสองคนที่เหลือซึ่งจับแขนผมเอาไว้ มันถึงได้ปล่อยแขนผมออกเพราะเดาได้ว่าผมคงได้สติแล้ว สีหน้าของพวกมันค่อนข้างแย่ ปกติพวกมันไม่ค่อยมีสีหน้าแบบนี้กันหรอก แต่ตอนนี้ตาของไอ้กัสแดงก่ำ แม้ว่าจะไม่มีน้ำตาหยดออกมาแต่ผมก็รู้ว่ามันกำลังอดทนหักห้ามสิ่งนั้นเอาไว้ไม่ให้ไหล ขณะที่ไอ้เคลมเม้มปากเข้าหากันแน่น มีน้ำใสๆ เกาะอยู่ตรงขอบตาของมัน

เห็นเพื่อนๆ ที่ห่วงใยผมมากขนาดนี้แล้วก็ทำให้ผมสำนึกตัวได้

ผมกำลังทำผิดกับพวกมัน...

กูขอโทษ

สุดท้ายผมก็ยกนิ้วออกมาเกี่ยวกับนิ้วของไฮยีนที่รออยู่ ซึ่งก็ทำให้มันยิ้มทั้งน้ำตา เอ่ยประโยคที่มันไม่สมควรจะพูดกับผมเลยด้วยซ้ำ เป็นผมต่างหากที่ควรจะพูดคำนี้กับมัน

“ขอบคุณนะ ขอบคุณที่มึงเชื่อกู”

“กูต้อง...ขอบคุณมึง....ต่างหาก มึงช่วยกูอีกครั้งแล้ว”

เสียงของผมแหบแห้ง รู้สึกแสบร้อนคอไปหมด ถึงกระนั้นผมก็อยากจะบอกกับมัน อยากให้มันรับรู้ว่าผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอีกกี่พันกี่หมื่นครั้งก็ยังไม่เพียงพอกับสิ่งที่มันทำเพื่อผม

“เพราะงั้น... ชีวิตนี้ของมึงเป็นของกู ถ้ากูไม่อนุญาต มึงห้ามทำอะไรบ้าๆ แบบนี้อีกนะเว้ย”

“อืม กูยกให้มึงทั้งชีวิตเลย”

“แล้วอย่าผิดสัญญาล่ะ”

มันย้ำอีกครั้งราวกับจะเตือนสติผมให้จารึกเหตุการณ์นี้ให้แจ่มชัดในใจและไม่หลงทางอีก แม้ว่าผมจะรับปากมันไม่ได้ แต่ผมจะพยายาม ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับมันหรือไอ้กัสไอ้เคลมอีก

ไฮยีนดึงผมให้ลุกขึ้นมาจากพื้นทราย ก่อนจะออกปากชวนกลับไปที่ห้อง เพราะตอนนี้ตัวเหนียวเหนอะกันไปหมด แต่มันก็ถูกพี่ภูดึงแขนข้างหนึ่งเอาไว้เพราะก่อนหน้านี้เขาอดทนมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความเงียบมาโดยตลอด และแน่นอนว่าเมื่อมันจบแล้วเขาย่อมอยากรู้ ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นของพี่ภูดี แต่ว่ามันก็แทรกขึ้นมาเสียก่อน

“ผมไปส่งกราฟก่อนแล้วค่อยคุย”

“งั้นกูไปด้วย”

“ตามใจ”

หลังจากมันเอ่ยอนุญาต พวกเราก็เดินกลับไปที่บ้านพัก ยีนจับมือผมเอาไว้ไม่ปล่อยโดยมีเพื่อนอีกสองคนเดินตามอยู่ด้านหลัง เมื่อส่งผมถึงห้องและให้ผมเข้าไปอาบน้ำเป็นคนแรกแล้ว ก็ถึงเวลาที่มันต้องไปเคลียร์กับพี่ภู แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่วายย้ำกัสกับเคลมว่าให้ดูแลผมให้ดี ผมจึงได้แต่ยิ้มส่งมันและอวยพรให้มันคุยกับพี่ภูรู้เรื่องและจบลงด้วยดี

ผมคิดว่าคงถึงเวลาแล้วที่ทุกอย่างจะถูกเปิดเผยให้พี่ภูรู้









คืนนั้นแม้ว่าจะมีการเตรียมการฉลองกัน แต่ว่าผมก็ถูกสั่งห้ามจากเพื่อนทั้งสามคนว่าให้พักผ่อนอยู่ในห้องโดยพวกมันจะเอาอาหารมาให้ผมกินข้างใน ซึ่งพวกมันก็ทำให้ผมซึ้งใจอีกครั้ง ยอมเสียสละเวลาแสนสนุกของตัวเองมาอยู่กับผม พร้อมทั้งยังมานอนเบียดบนเตียงเดียวกันด้วย

ผมโดนไฮยีนถามเรื่องไนล์นิดหน่อย ว่าความสัมพันธ์ของผมกับไนล์เป็นอย่างไรกันแน่ แต่ผมก็หลบเลี่ยงและปฏิเสธไป เนื่องจากไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ มันมาถามเรื่องไนล์ทำไม ไม่ใช่ว่าอยากปิดบัง เพราะดูจากอาการตอนมันถามแล้ว ก็รู้เลยว่ามันค่อนข้างไม่พอใจมาก มันคงยากที่ผมจะพูดออกไปในตอนนี้ว่า...ผมหวั่นไหวและกำลังชอบเขา ผมจึงได้แต่บอกว่าผมกับเขาเดิมพันกัน ซึ่งมันก็เป็นข้อตกลงเริ่มแรกที่ทำให้ผมกับเขาเข้ามาอยู่ในวงโคจรเดียวกันจนถึงทุกวันนี้

กระทั่งตอนเช้า ถึงเวลาที่ต้องเดินทางกลับ เรากินอาหารเช้าด้วยกันเสร็จก็ขึ้นรถเพื่อออกเดินทางเลย เพราะไม่อยากกลับเย็นมากนัก ในตอนนั้นผมถึงเพิ่งนึกเรื่องสำคัญที่ผมลืมไปเสียสนิทได้

ไนล์มาหาผมที่นี่

อาจเพราะในช่วงเวลานั้นสติของผมพร่าเลือนและความทรงจำของผมก็ตีกันวุ่นวาย สิ่งที่ผมคิดได้จึงมีเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าและความรู้สึกผิดต่อเพื่อนๆ เท่านั้น

ดังนั้นเมื่อเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายแก่ๆ แล้วผมจึงตรงกลับไปที่คอนโดฯ ของตัวเองอย่างรวดเร็ว หวังเอาไว้ในใจว่าจะเจอคนที่ผมเคยขอร้องเอาไว้ว่าให้อยู่ที่นั่น แต่เมื่อไปถึงมันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมหวัง เป้าหมายของผมจึงเปลี่ยนไป

ผมไปที่แมนชั่นของไนล์ด้วยความรู้สึกว่าก้อนเนื้อในอกเต้นระรัว เท้าเหยียบคันเร่งขณะมือกำพวงมาลัยไว้แน่น เพราะภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อผมตั้งสติและย้อนนึกถึง สิ่งที่รางเลือนอยู่ในความทรงจำ ณ เวลานั้นปรากฏภาพมากขึ้นจนผมแน่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง และทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมเมื่อคืนไฮยีนถึงได้ถามถึงไนล์ด้วยความโมโห

ไนล์ถูกไฮยีนต่อย...

เสียตวาดโต้เถียงกันดังก้องในหัวของผม และมันก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นห่วงคนที่ถูกต่อว่าอย่างรุนแรง ผมรู้ว่าไฮยีนเป็นคนอย่างไร แต่นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไนล์ตอบโต้คนอื่นอย่างดุเดือด ผิดจากไนล์ที่ผมเคยเห็นโดยสิ้นเชิง

ผมอยากขอโทษเขา แม้ไม่รู้ว่าไนล์ทำแบบนั้นเพื่ออะไรก็ตาม แต่เรื่องที่ไนล์ถูกเพื่อนของผมทำร้ายก็เป็นเรื่องจริง และผมเองก็รู้ดีว่าหมัดของไฮยีนไม่ใช่ว่าเบาเลย

เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทาง ผมก็ทะยานร่างวิ่งขึ้นไปชั้นสามอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปยังห้องสุดท้ายของทางเดินก่อนจะไขกุญแจออกโดยไม่ส่งสัญญาณใดๆ ให้คนในห้องรู้ตัวเพราะใจร้อนเกินกว่าจะทำแบบนั้น และเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป สิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าความหนักอึ้งและจังหวะหัวใจผ่อนคลายลง

ไนล์นั่งอยู่ที่ระเบียงแคบๆ นั่น สูบบุหรี่และทอดสายตาออกไปภายนอกเหมือนอย่างเคย

ผมเดินเข้าไปใกล้ หยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังของเขา แต่เจ้าของร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ได้หันกลับมาหาผม เสมือนเขาไม่รู้ว่าผมมายืนอยู่ด้านหลังแล้ว เป็นผมเสียเองที่ขยับเข้าไปใกล้อีกนิด จนยืนอยู่เคียงข้างร่างนั้น ผมชะโงกไปมองใบหน้าของคนข้างๆ เห็นรอยช้ำสีแดงอมม่วงแล้วก็รู้สึกเสียดในใจ

น้ำหนักมือของไฮยีนไม่น้อยเลยทีเดียว

มือของผมยื่นออกไปดึงก้านสีขาวที่ค้างอยู่ระหว่างริมฝีปากสีพีชคู่นั้น ทำให้เจ้าตัวหันมามองหน้าผมนิดหน่อยเพราะถูกขัดจังหวะ ผมขยี้ปลายบุหรี่ที่ติดอยู่ให้ไฟดับลงกับกระป๋องใบเล็กที่ไนล์วางเอาไว้เป็นตัวแทนที่เขี่ยบุหรี่ แล้วเลื่อนมือไปแตะบนรอยแผลของเขาอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บ

“เจ็บไหม”

“ไม่”

เขาตอบแค่สั้นๆ มองหน้าของผมกลับมา สายตาของไนล์ยังคงเดิม เขายังมองผมด้วยแววตาที่ไม่มีอะไรแฝงอยู่ในนั้น

“ขอโทษแทนเพื่อนฉันด้วย”

“ไม่เป็นไร”

ความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเราต่อจากนั้น ทว่าดวงตาของเราทั้งคู่ยังคงทอดมองกันไม่ละ ไม่เลื่อนหลบหนี ก่อนจะเป็นผมเองที่เอื้อนเสียงออกมาเป็นคำถาม สิ่งหนึ่งที่ผมเพิ่งจะสงสัยขึ้นมา เพราะเรื่องราวเริ่มปะติดปะต่อจนเกิดภาพ

“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ”

“...”

สิ่งที่ตอบผมกลับมาคือความเงียบโดยที่ไนล์ไม่คิดจะหลบสายตา ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะตามธรรมชาติของมนุษย์ หากคิดจะปิดบังหรือซ่อนเร้นความจริงบางอย่างก็มักจะหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาซึ่งเป็นจุดที่แอบซ่อนความรู้สึกนึกคิดได้น้อยที่สุด ทว่าไนล์ไม่ใช่แบบนั้น

เขาเก็บงำมันอย่างไม่เกรงกลัว

เห็นดังนั้นผมก็รู้ว่าไนล์คงไม่คิดที่จะบอกกันจริงๆ เพราะนับครั้งได้ที่ผมสามารถง้างปากของเขาให้ตอบคำถามของผมทั้งที่เขาไม่อยากบอก และในขณะเดียวกันการกระทำนั้นของเขาก็เหนี่ยวนำให้ผมอยากจะเป็นฝ่ายเปิดใจเสียเอง เผื่อว่าเขาจะยอมเปิดเผยเรื่องของตัวเองออกมาบ้าง

สายตาของผมเลื่อนไปยังรอยแผลตรงมุมปากของเขาอีกครั้ง ลูบมันเบาๆ ก่อนจะเกลี่ยแก้มที่เกือบจะซูบตอบ รู้สึกสะท้อนใจและปวดใจอยู่ลึกๆ ที่เห็นคนตรงหน้าต้องมาบาดเจ็บเพราะผมแบบนี้ ผมไม่อยากให้ทั้งสองคนต้องมาผิดใจกัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม

ผมอยากจะบอกกับไนล์

อยากให้เขาเข้าใจความเจ็บปวดของผม

อยากให้เขารู้ถึงความจำเป็นของยีนที่ต้องทำร้ายเขา

และผมอยากให้เขายอมรับตัวตนจริงๆ ของผม

บอกให้เขารู้ว่าใจของผมอ่อนลงให้เขามากเท่าไร

ผมละมือจากใบหน้าของที่มีรอยตำหนิจากเหตุการณ์เมื่อวาน และย้ายไปจับมือของเขาแทน ออกแรงดึงเบาๆ ให้เจ้าของร่างลุกขึ้นมาจากตำแหน่งที่นั่งอยู่

“ฉันมีอะไรจะเล่าให้ฟัง”





อ่านต่อข้างล่าง
v


v

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 18-08-2015 22:39:05







ต่อจากข้างบน


v


v




เสียงของผมแผ่วเบาแต่ผมก็มั่นใจว่าเขาได้ยิน ไนล์ไม่อิดออดที่จะเดินตามผมมานั่งลงบนเตียง ผมจับมือของเขาเอาไว้ กุมอยู่อย่างนั้นก่อนจะเรียบเรียงเสียงของตัวเองและเรื่องราวต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น

“ฉันไม่รู้ว่าถ้าฉันเล่าไปแล้วนายจะเกลียดฉันหรือเปล่า”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมาดูแปร่งไปกว่าปกติ เหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างกีดขวางอยู่ในลำคอของผม ดั่งสกัดกั้นเอาไว้ไม่ให้ผมได้พูด ถึงกระนั้นผมก็ยังฝืนเค้นเสียงออกมา

“ไม่ว่าฟังแล้วนายจะคิดหรือรู้สึกยังไงก็ตาม แต่นายช่วยบอกกับฉันตรงๆ ได้ไหม ฉันจะได้รู้ว่าต่อไปฉันควรจะยังไง”

สิ้นคำพูดนี้ผมรู้สึกราวกับความอ้างว้างถาโถมเข้ามาในอก มันซัดกระแทกอย่างรุนแรงจนผมหวาดกลัว ถึงจะตัดสินใจแล้วว่าจะพูดออกไป เพื่อปกป้องและป้องกันเขาจากความเข้าใจผิดกับไฮยีนหากทั้งสองได้เจอหน้ากัน ทว่าผมก็ยังหวั่นใจว่าถ้าหากไนล์ไม่สามารถยอมรับผมได้ ผมจะเป็นอย่างไร

ผมเปิดใจให้เขาแล้ว

หัวใจที่เคยมีบาดแผลบอบช้ำถูกเยียวยาเพราะเขาทีละนิด

มันกลับมาสั่นไหว ร้อนรน กระวนกระวายอีกครั้ง

ผมได้สัมผัสความรู้สึกที่เหือดหายไปจากใจ ก็เพราะไนล์

นัยน์ตาของผมจับจ้องแต่ดวงตาของอีกฝ่าย มองมันเพื่อรอคอยคำตอบด้วยใจที่เต้นระรัวระคนบีบคั้น รู้สึกหายใจได้ยากเย็นกว่าปกติหลายเท่าตัว ก่อนความหวาดกลัวเหล่านั้นจะทุเลาลงจนหายเป็นปลิดทิ้งเมื่อเขาพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับเสียงสั้นๆ

“อืม”

“ขอบคุณ”

เพียงคำเดียวที่ผมบอกเขาได้ อย่างน้อยเขาก็สัญญาว่าจะตอบผมอย่างตรงไปตรงมา ถึงผมไม่รู้ว่าเขาจะตอบกลับมาอย่างไรก็ตาม แต่ผมก็คาดหวังเอาไว้ ภาวนาอยู่ในใจว่ามันจะไม่เป็นคำว่าเกลียดชัง และผลักไสผมออกไปจากชีวิตของเขา

ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะหายใจต่อไปอย่างไร...

ผมคิดไม่ออก

“ฉัน...”

เสียงของผมแหบแห้งลงอีกครา ผมต้องกลืนน้ำลายลงคอเพื่อหล่อลื่นลำคอที่แห้งผากให้ชุ่มชื้นมากที่สุด ก่อนจะเค้นเสียงออกมาอีกรอบ เรื่องราวครั้งเก่าที่เคยสร้างความทรมานและรู้สึกผิดให้กับผมค่อยๆ เวียนกลับมาในหัว ภาพนั้นยังคงชัดเจนแม้ว่าจะผ่านกาลเวลามาสามปี

“........ฉันฆ่าแฟนของตัวเอง”

“...”

ไนล์นิ่งเงียบกว่าที่คิด เขาไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อยตอนที่ผมพูดประโยคนั้นด้วยเสียงที่บีบบี้เหมือนคนหายใจไม่ออก

“วันนั้นฉันไปเที่ยวทะเลกับแฟน...” ลมหายใจของผมติดขัด ต้องพยายามบังคับเสียงให้หลุดลอดออกมาจากลำคอ “แต่แฟนของฉันกลับต้องจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา ฉันช่วยอะไร...ไม่ได้เลย”

จังหวะหายใจของผมเริ่มขาดห้วง เหมือนคนจมอยู่ใต้น้ำ ลำบากเหลือเกินที่จะกระเสือกกระสนขึ้นมาเพื่อให้พ้นจากมวลน้ำที่เรียกว่าความรู้สึกผิด ซึ่งพยายามกระชากร่างและดูดกลืนผมให้จมหายไปยังก้นทะเลไร้จุดสิ้นสุด ผมถีบตัวขึ้นมาด้วยแรงที่มีอยู่ แต่ก็ไม่หลุดพ้นจากพันธนาการที่หนาแน่นนั้น

“สุดท้าย...ฉันก็ต้องเห็นเขาจากไป...และไม่กลับมาอีก”

“...”

“ถ้าฉันไม่ชวนเขาไปที่นั่น... ถ้าฉันไม่ชวนเขาลงทะเล... ถ้าฉันจับมือเขาเอาไว้ให้แน่น... ถ้าฉัน...”

เสียงของผมสั่นเครือเกินกว่าจะพูดต่อไปได้ ก้อนเหนียวๆ ขวางกั้นลำคอของผมเอาไว้อย่างแน่นหนาจนไม่สามารถเปล่งเสียงให้ทะลุผ่านออกมา นัยน์ตาพร่ามัวเกินกว่าจะมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าได้ชัดเจน ร่างของผมสั่น มือของผมกำแน่น

การสูญเสียมิ้นไปยังเป็นเรื่องยากต่อการยอมรับของผม

ผมรู้ว่าเธอไม่อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่สามารถก้าวข้ามสิ่งที่เรียกว่าความตายของมิ้นไปได้

ทุกครั้งที่นึกถึง ทุกคราวที่ครบรอบการจากไป ผมยังคงกลับไปสู่วันนั้นเสมอ...

ผมบีบมือที่กำอยู่ให้กระชับแน่นมากขึ้นอีก ปลายเล็บจิกลงบนฝ่ามือจนอาจเป็นรอยลึก ถึงกระนั้นก็ยังไม่เท่ากับความเจ็บปวดที่ผมต้องเผชิญ ทว่า...

มือของผมถูกคลายออกอย่างอ่อนละมุน ด้วยมือของคนอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกัน

ไนล์มองหน้าผมโดยไม่ละสายตา เขาค่อยๆ แกะนิ้วของผมที่งอหงิกจนเหมือนจะงัดไม่ออกให้แผ่ออกมา และสวมมือของตัวเองลงมาทับไว้ กอบกุมมันแผ่วเบา

ใจผมสั่นสะท้าน...

ความอบอุ่นที่ไม่มีที่มาที่ไปแผ่ซ่านห่อคลุมร่างของผมเอาไว้ ความหนาวที่เย็นเฉียบบาดหัวใจมลายหายราวกับไม่เคยมี ผมมองใบหน้าของไนล์ที่ยังคงมองสบกับผมอยู่ เขาไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า แต่เท่านี้ก็มากเพียงพอจะทำให้ผมกลับมาหายใจได้คล่องขึ้นอีกครั้ง

ริมฝีปากของเขาค่อยๆ ขยับอย่างเชื่องช้า เสมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเคลื่อนตัวด้วยจังหวะที่ช้ากว่าปกติ เสียงราบเรียบของเขาสะท้อนก้อง ดังอยู่ในหัวของผมซ้ำไปซ้ำมา ขณะที่ดวงตาของผมเบิกโพลง

“ฉันรู้อยู่แล้ว”






-----------------
ตอนหน้าจะเฉลยหลายๆ อย่าง (?) แล้วค่ะ
กราฟเป็นชายผู้อ่อนไหวเนอะ ถ้าไม่มีเรื่องมิ้น อาจจะไม่เป็นแบบนี้

คู่นี้มีจุดที่เปราะบางต่างกัน

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 19-08-2015 00:47:00
มาต่อด่วนๆเลยครับ จะคลั่งตายแล้ว  :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 19-08-2015 08:15:46
รอตอนหน้า รีบมาเฉลยนะคะ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 19-08-2015 08:43:12
รีบมาเฉลยนะ รอคำตอบอยู่



ไนล์เข้มแข็งกว่ากราฟนะ ป้าว่า



กราฟดู ช่างคิด ช่างมโนไปพอสมควร



อยากรู้ความคิดของไนล์ ว่าคนที่เงียบและโดดเดี่ยวแบบนี้คิดอะไรอยู่
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 19-08-2015 12:42:26
รู้ได้ไงอ่ะ ไนล์ทำตัวลึกลับจัง
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 18 : คนหลงทาง [18/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 23-08-2015 12:52:50
เมื่อไหร่จะมาต่ออ่ะคร้าบบบบบบ  :serius2: :ling1: :serius2: :ling1: :serius2: :ling1: :serius2: :ling1: :serius2: :ling1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 30-08-2015 21:38:11
ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ










ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ราวกับผมร่วงหล่นลงสู่ความเงียบเมื่อได้ยินเขาพูดประโยคเมื่อครู่ หัวใจที่สะท้านไหวของผมหยุดไปชั่วขณะ ก่อนจะกระชากจังหวะอย่างรุนแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากอกด้วยแรงเหวี่ยงของความประหลาดใจ

ดวงตาที่เคลือบไปด้วยความสงสัยของผมจับจ้องดวงตาของไนล์ที่ไม่แอบแฝงความหมายใดๆ นอกจากความนิ่งเฉย ดังจะถามย้ำว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดอะไรออกมา ผมไม่เข้าใจ

ฉันรู้อยู่แล้ว คืออะไร?

ไนล์รู้อะไร

เหมือนว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่ผมกำลังครุ่นคิด หรือไม่ก็เพราะว่าสีหน้าของผมฟ้องชัดมากเกินไปว่ารู้สึกอย่างไรอยู่ เขาจึงปลดมือออกจากมือของผมและเดินไปยังโต๊ะเล็กๆ ที่เขาเอาไว้เขียนหนังสือ หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมาและหยิบอะไรบางอย่างในนั้นยื่นให้ผม ในขณะที่ผมได้แต่มองตามโดยไม่สามารถละสายตาจากการเคลื่อนไหวของเขาได้ ราวกับว่าหากผมละสายตาจากเขาไป ผมจะไม่ได้คำตอบอีกเลย

มือของผมสั่นเทาอีกครั้ง ยื่นออกไปรับสิ่งที่ถูกส่งมาให้ มันเป็นกระดาษเคลือบเงาเสมือนรูปถ่าย ไม่รู้ทำไมตอนที่แตะสิ่งนั้นแล้วลมหายใจของผมถึงได้หยุดลงชั่วคราว ผมต้องตั้งสติอีกครั้งและค่อยๆ ย่นระยะห่างของมือกับตัวเข้ามา

ภาพที่ประจักษ์อยู่ในสายตาทำให้ผมนิ่งค้าง

ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง

ไม่ว่ากาลเวลาหรือร่างกายของผม

คอของผมไม่ต่างจากเหล็กสนิมเขรอะ เมื่อหันมันเพื่อเบนหน้าไปยังคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันถึงได้ฝืดจนคล้ายเศษเหล็กผุพังจะหลุดลงมา

ทำไม...

ทำไม...

ผมถามตัวเองด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่อยู่ในมือ

“ทำไม...ในรูปนี้นายถึง.........อยู่กับมิ้น”

รสชาติในลำคอขมปร่าไม่ต่างจากอมบอระเพ็ดเข้าไปทั้งอัน จนแม้แต่การกลืนน้ำลายก็ยังทำได้ยากเข็ญ ทว่าไนล์ผิดกับผม เขามีท่าทีที่ดูไม่ทุกข์ร้อนใดๆ เลยกับคำถามนี้ ราวกับเตรียมพร้อมการตอบคำถามมาอย่างดี ทั้งที่ผมมีแต่ความสับสน

มือที่จับรูปขนาดเล็กพอจะพกในกระเป๋าเงินได้เย็นเฉียบเหมือนกำลังจับน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น และมันก็เย็นลงอีกเมื่อเขาตอบคำถาม

“ฉันเป็นญาติกับมิ้น”

ราวกับได้ยินเสียงพังทลายของอะไรบางอย่าง และนั่นอาจจะเป็นหัวใจของผมเอง ภาพระหว่างผมกับไนล์ในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาแล่นวนเข้ามาในหัวของผมเหมือนพายุลูกใหญ่ มันโหมซัดเข้ามาจนผมแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะต่อต้านและล้มพับลงไปอย่างคนสิ้นท่า

หรือเขา... ต้องการแก้แค้นอย่างนั้นเหรอ?

ที่เข้ามาในชีวิตของผม ก็เพื่อทำให้ผมไม่ได้พบกับความสุขใช่ไหม

เพราะผม...ทำลายชีวิตของมิ้น

อ่อนแรงที่จะจับกระดาษเพียงแผ่นเดียวเอาไว้ รูปถ่ายใบนั้นที่แทบไม่มีน้ำหนักใดๆ ถึงหนักอึ้งจนผมถือมันต่อไปไม่ได้และร่วงหล่นลงบนพื้นกระเบื้องที่มีคราบราสีครึ้มเขียวตามยาแนว

ผมได้พบพี่ดาหลา และเขาก็เข้ามาแทรก เพราะไม่ต้องการให้ผมมีความสุข

และขณะที่ผมกำลังจะรักเขา... เขาก็บอกความจริงกับผม

ทำลายความฝันที่ว่าผมจะก้าวไปข้างหน้ากับเขาจนไม่มีเหลือ

มันคือแผนการที่เขาวางเอาไว้แต่แรก

ขอบตาของผมร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้าม ผมคิดว่าผมคงไม่อาจสัมผัสความรู้สึกแบบนี้ได้อีกแล้ว แต่มันกลับไม่เป็นแบบนั้น

ความรู้สึกของการสูญเสียหัวใจของตัวเอง...

มันอาจจะช้าไป

ช้าไปที่ได้รู้ความจริง

ช้าไปที่ได้รู้ว่าเบื้องหลังมันร้ายกาจแบบนี้

หรือช้าไปที่ผมเพิ่งรู้ตัวว่า

.

.

.

.

ผม...รักเขาไปแล้ว

ไม่สามารถหยุดความรู้สึกที่กำลังเอ่อท้นขึ้นมาในใจของผมได้ ราวกับกับน้ำทะลักออกจากเขื่อนที่มีรูโบ๋เพราะถูกทำลายจนปริแยก ผมเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกต่างๆ ที่โถมทับประเดประดังเข้ามา กาลเวลาหยุดหมุนลงอีกครั้ง ผมรับรู้ได้อย่างนั้น

จากนี้ผมอาจจะต้องจมอยู่กับช่วงเวลาที่เป็นนิรันดร์...ที่มีเพียงแค่ตัวเอง

ภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าคืออะไร ผมไม่สามารถมองเห็นได้อีกแล้ว ไม่มีสิ่งที่ใดที่ตกอยู่ในขอบเขตการมองเห็นของผมอีกต่อไป ดั่งความมืดกล้ำกรายเข้ามา กัดกลืนสีสันที่ผมเคยเห็นทีละนิดๆ จนกลายเป็นสีเทา

แรงยวบจากตำแหน่งข้างๆ เหมือนจะทำให้ผมรู้สึกตัว แต่มันก็ด้านชาจนเหมือนไม่รู้สึก ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองยังหายใจอยู่หรือเปล่าด้วยซ้ำ ผมได้แต่ก้มหน้าลงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะรู้สึกเหมือนหัวหนักเกินกว่าจะประคองเอาไว้ต่อไปได้

สาสมแล้วสินะกับสิ่งที่ผมเคยทำเอาไว้

แค่นี้อาจจะไม่เพียงพอต่อการชดใช้ด้วยซ้ำ

กับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตคน

“นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันเข้ามาขัดขวางนายกับผู้หญิงคนนั้น”

ดั่งจะทำให้สิ่งที่ผมประมวลผลได้เองแจ่มแจ้งชัดเจนขึ้น ว่ามันถูกต้องไม่บิดพลิ้วแต่อย่างใด ทว่ามันก็เหมือนถ้อยคำกรีดแทงหัวใจของผมให้ยิ่งร้าวระทม รอยแผลจากปลายมีดเล็กๆ กำลังระอุขึ้นทีละน้อยเมื่อถูกย้ำน้ำหนักลงมาด้วยเสียงของไนล์

“เพราะฉันไม่ต้องการให้นายใกล้ชิดเขา ไม่อยากให้นายได้มีความสุขกับเขา”

ผมหลับตาลง รู้สึกเหมือนยากเหลือเกินที่จะต้องทนรับอะไรไปมากกว่านี้ เหนื่อยเหลือเกิน

พอแล้วได้ไหม...

ผมอ้อนวอนอยู่ในใจ อยากให้อะไรก็ได้ช่วยเห็นใจผมที แต่ว่า...

“เพราะนั่นคือการทำร้ายตัวเอง”

จังหวะหายใจอันแผ่วเบาของผมขาดห้วงไป ดวงตาที่เพิ่งปิดลงไปเมื่อครู่เปิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สองหูของผมราวกับฝาดไปเมื่อได้ยินประโยคเมื่อครู่ ผมหันไปมองใบหน้าของคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ในมือของไนล์มีรูปถ่ายใบนั้นอยู่ เขา...

ยิ้มให้ผม

ยิ้มบางเบา แต่กลับอ่อนโยนเหลือเกิน

หัวใจที่เต็มไปด้วยบาดแผลของผมรู้สึกอุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลันโดยไร้สาเหตุเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มนั้น มันแตกต่างจากที่ผมเคยเห็นมาโดยตลอด

“นาย... หมายความว่ายังไง”

เสียงของผมแห้งผากจนเกือบจะไม่สามารถเปล่งออกมาเป็นคำได้ แต่ว่าเขาก็เข้าใจมันได้อย่างชัดเจน ถึงได้ตอบผมกลับมาได้อย่างตรงคำถามเป็นครั้งแรกโดยที่ผมไม่ต้องวอนขอ

“เพราะพี่ดาหลาหน้าเหมือนมิ้น นายถึงได้เข้าหาเขา ถ้านายรักกับเขา นายอาจจะต้องเจ็บปวดเสียใจในภายหลัง และพี่ดาหลาเองก็คงรู้สึกเหมือนกันถ้าได้รู้ว่าเขาเป็นเพียงแค่ตัวแทน”

ผมพูดไม่ออก

ไม่ใช่ไม่รู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้น แต่ผมก็ลืมไปหมดสิ้นถึงได้เริ่มต้นความสัมพันธ์นั้นขึ้น ถ้าวันนั้นไม่มีไนล์ ถ้าไนล์ไม่พยายามเข้ามาเหนี่ยวรั้งผมเอาไว้ ผมอาจจะเดินทางผิด อาจจะทำให้ตัวเองต้องจมอยู่แต่กับอดีตที่ผมเป็นฝ่ายเดินย่ำอยู่ที่เดิม


“ฉัน... ยอมรับได้ถ้าคนคนนั้นเป็นคนอื่น คนที่ไม่ได้หน้าเหมือนกับมิ้น แต่ฉันยอมรับไม่ได้ที่มันเป็นแบบนั้น ฉันถึงได้ผลักไสนายออกมาจากเขา แม้ไม่รู้ว่ามันจะสำเร็จหรือเปล่า”

มันสำเร็จ นายทำสำเร็จ

เสียงนี้ได้แต่ก้องอยู่ในอกของผม แต่ผมเค้นเสียงไม่ออก ได้แต่มองจ้องดวงตาของเขาที่มีประกายของชีวิตสะท้อนขึ้นมา ไม่เมินเฉยชืดชาเหมือนตลอดเวลาที่ผ่านมา

“ขอโทษด้วยที่ปิดบังมาตลอด”

“ทำไม... ทำไมนายถึงมาบอกฉันตอนนี้ล่ะ”

คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของผมเมื่อได้ยินคำขอโทษจากเขา แต่ผมก็หยิบจับได้เพียงทีละคำถาม และคำถามนี้ก็เป็นคำถามแรกที่ผมคว้ามาไว้ได้

“มัน...อาจจะถึงเวลาแล้วมั้ง หรือไม่ก็...” เขาเงียบเสียงไปชั่วครู่ ก้มหน้าลงมองภาพถ่ายในมือ ก่อนจะเปล่งเสียงออกมาอีกรอบ “เพราะว่านายยอมเปิดเผยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน”

ผมทำถูกแล้วใช่ไหม

ผมตั้งคำถามกับตัวเองทันทีที่สิ้นเสียงของเขา เพราะผมยอมเปิดเผยตัวตนทั้งหมดของผม อดีตอันเลวร้ายที่คอยทิ่มแทงหัวใจของผมมาตลอด เขาถึงได้ยินยอมที่จะเปิดเผยในสิ่งเดียวกัน

ผมก้าวเข้าใกล้เขาไปอีกก้าวหนึ่งใช่หรือเปล่า


คิดดังนั้นแล้วก็ราวกับแสงแห่งความหวังที่เคยริบหรี่กะพริบวาบและส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้ง มันเจิดจ้าเสียจนผมไม่สามารถควบคุมปากของตัวเองได้ จึงเอ่ยถามสิ่งที่วนเวียนอยู่ในความคิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งฉกฉวยมาไว้ในกำมืออย่างรวดเร็ว ประหนึ่งกลัวว่ามันจะหลุดลอยและถูกลำแสงจ้าจนกลายเป็นสีขาวกลืนหายไป

“แล้วนาย... รู้สึกอะไรกับฉันบ้างหรือเปล่า”

น้ำเสียงของผมแหบลงไปนิดหน่อยหลังจากคำนั้นหลุดออกมาจากปาก ผมอยากกระแอมเพื่อเรียกเสียงของตัวเองกลับมา แต่ก็กลัวว่าถ้อยคำจะหลุดออกไปพร้อมกับการทำแบบนั้นจนไม่สามารถพูดต่อไปได้ จึงฝืนขับเสียงออกมาทั้งอย่างนั้นจนมันแหบแห้งพร่าเลือน

“ทั้งที่ทำเรื่องแบบนั้นกันไป”

“...”

ไนล์นิ่งเงียบ มองใบหน้าของผมโดยไม่ละสายตาออกเหมือนอย่างที่เขาทำอยู่ประจำ มันทำให้ผมยิ่งแน่ใจว่าเขากล้าหาญ ไม่หวาดกลัวหรือกริ่งเกรงสิ่งใดต่างจากผมที่มักห่วงพะวงไปเสียทุกอย่าง เขากล้าเผชิญหน้ากับทุกสิ่งแตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง

“ฉัน...”

มันพ้นออกมาจากริมฝีปากของเขาอย่างหนักแน่นกว่าผมมาก แต่ก็เลือนหายไปเพียงวินาทีเดียว เขาเงียบไปอีกครั้ง มองตาผมราวกับกำลังตรึกตรองอะไรบางอย่าง สายตาของเขากวัดแกว่งไปมาเหมือนกำลังสับสน ผมไม่แน่ใจว่าเขาลังเลว่าควรจะตอบผมอย่างไร หรือว่าควรจะพูดมันออกมาดีหรือเปล่ากันแน่

แม้ว่าจะดูห้าวหาญ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ยังมีความไม่แน่นอน

ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกใจสั่นขึ้นมาเสียเฉยๆ เริ่มหวาดกลัวกับคำตอบที่ก่อนหน้านี้ลืมนึกถึงไปเสียสิ้น ผมถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง มานึกได้ตอนนี้ก็สายเกินกว่าจะทวงคืนคำพูดของตัวเองเสียแล้ว

หากเขาบอกว่าไม่รู้สึกอะไรล่ะ?

แน่นหน้าอกไปหมดเมื่อเผลอคิดอย่างนั้น เพราะในตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา มั่นใจแล้วว่ามันคือคำคำนั้นไม่ผิดแน่ แต่ผมไม่มีความมั่นใจ ไม่มีหลักฐานหรือสมมติฐานใดๆ ที่จะโน้มนำให้ผมคิดว่าเขาก็คิดแบบเดียวกัน

สิ่งที่ผมทำได้มีเพียงการรอคอยจากริมฝีปากคู่นี้...

ใจสั่นอย่างไม่อาจห้ามได้ ผมพยายามระงับอากัปกิริยาของตัวเองไว้ไม่ให้แสดงออกมาอย่างมากที่สุด กำมือแน่นบนตักไม่ให้ยกขึ้นมาวางบนหน้าอกเพื่อปลอบประโลมหัวใจที่กำลังสั่นรัว เสียงกระหึ่มกึกก้องอยู่ในอกของผมจนหวาดกลัวว่ามันจะดังทะลุออกมา

ผมไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา ได้แต่ก้มลงเพราะเกรงกลัวในคำตอบ ทั้งที่อีกใจก็ลุ้นระทึกกับคำตอบ และอยากจะมองอย่างขอความเห็นใจ เผื่อว่าเขาจะมีน้ำใจกับผมสักนิด ไม่ตัดรอนผมอย่างไร้เยื่อใย

เวลาเหมือนเดินช้าลงไป หรือไม่ก็หยุดเดินไปแล้วหรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะมันยาวนานเหลือเกินกับการรอคอยคำตอบที่ผมคาดหวัง สุดท้ายผมจึงต้องเงยหน้าขึ้นมองไนล์อีกครั้ง เขายังคงมองผมอยู่เหมือนเดิม และเหมือนว่าเขาจะรอคอยเวลานี้

“ฉันเคยคิดว่า... ฉันแค่อยากมองนายอยู่ห่างๆ มองคนที่มิ้นรักจากหัวใจว่าเขากำลังมีชีวิตที่ดี และได้พบกับคนรักที่ดี”

“...”

“ฉันเคยคิดแบบนั้นมาตลอด ถึงไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของนายเลยสักครั้ง”

ระหว่างฟัง ลมหายใจของผมหยุดลงเป็นห้วงๆ ตามจังหวะการพูดของเขา พยายามคิดตามทุกถ้อยคำที่ผุดออกมาจากริมฝีปากเบื้องหน้า สบตากับเขาอย่างไม่ลดละอย่างตั้งใจ ราวกับกลัวว่าถ้าคราวนี้ละสายตาไป ผมอาจจะไม่ได้ฟังมันจนจบ

“แต่ทุกอย่างก็เริ่มรวนเพราะการตัดสินใจเข้าใกล้นาย”

หัวใจของผมเต้นแรงขึ้นอีก แต่ด้วยจังหวะที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง ความหม่นหมองที่ห่อคลุ้มร่างผมไว้เมื่อครู่ถูกแทนที่ด้วยความสว่างอีกครั้งทีละนิด

ผมไม่ได้เข้าข้างตัวเองใช่ไหม ไม่ได้คิดไปเองใช่หรือเปล่า

ว่ามันกำลังเอนเอียงมาในทิศทางที่ดี

“การเข้าใกล้นายหนึ่งครั้ง ทำให้ฉันต้องเข้าใกล้นายต่อไป และยิ่งนานวัน ฉันก็ยิ่งถอยห่างจากนายไม่ได้”

ตึกตัก ตึกตัก

เสียงนั้นมันชัดเจนจากอกจนก้องกังวานในหู

“ฉันรู้ว่านายเป็นคนช่างเอาใจใส่ เป็นคนที่คอยห่วงใยความรู้สึกของคนอื่น ทั้งที่รู้เรื่องนั้นดี...มานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่นายแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้น มันก็ทำให้ฉันที่คิดอยากวิ่งหนีต้องสะดุดหกล้มอยู่ตรงนั้น ทำได้แค่ลุกขึ้นยืนอยู่ที่เดิม ประคองร่างตัวเองไว้แบบนั้น ถึงใจจะอยากก้าวขาออกไปให้ห่างไกลจากนายมากที่สุด แต่ก็เจ็บเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้อยู่ดี”

นับว่าเป็นคำพูดที่ยาวมากที่สุดก็ว่าได้ที่กลั่นกรองออกมาจากปากของผู้ชายตรงหน้า ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่เขาจะพูดยาวถึงขนาดนี้ แต่ผมก็ซึมซับทุกพยางค์ ถูกคำที่ถูกถ่ายทอดออกมาให้ผมรับรู้

ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะจมน้ำ แต่แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง มันไม่ใช่ความทรมาน แต่มันเป็นความอิ่มเอมที่เอ่อล้นจนไม่รู้จะทะลักออกมาอย่างไร ความสุขมันปริ่มล้นในใจผมจนพูดอะไรไม่ออก

“ฉัน...หนีไปจากนายไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าไม่ควรรู้สึกแบบนี้...”

สิ้นเสียงของเขา ผมก็ไม่สามารถรีรอประโยคต่อไปให้หลุดออกมาได้อีก ผมโถมตัวเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว ระงับการกระทำของตัวเองไม่ได้ ริมฝีปากถึงบดจูบลงบนปากของเขาอย่างรุนแรง ดูดขบกลีบเนื้อนั้นราวกับหิวโหยมาช้านาน ซึ่งไนล์ก็ไม่ได้ปล่อยให้ผมคลุ้มคลั่งไปคนเดียว เขาตอบสนองริมฝีปากของผมกลับมาเช่นกัน

ก้อนเนื้อสองคู่บดเบียดซึ่งกันและกัน ดูดดึงกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ขณะที่ปลายลิ้นของผมสอดส่ายเข้าไปสนุกสนานอยู่ภายใน เกี่ยวกระหวัดกับลิ้นของเขาไว้ พันเกี่ยวกันราวกับไม่สามารถแยกจากกันได้ เสียงเฉอะแฉะดังสะท้อนในหูจนกลายเป็นความรื่นรมย์ที่แสนน่าฟัง ดังซ้ำหลายครั้งจนรู้สึกว่าการหายใจทางจมูกไม่เพียงพอ ทั้งผมและเขาจึงต่างผละห่างออกมา

เรามองหน้ากัน ความปั่นป่วนที่กำลังคลุ้มคลั่งอยู่ภายในสะท้อนออกมาทางแววตา เราต่างโหยหา ปรารถนาในกันและกัน จะแจ้งชัดเจนจนเกิดแรงดึงดูดเข้าหากันอีกครั้ง ผมแนบกลีบปากลงบนต้นคอของเขา ขบเม้มรุนแรงโดยไม่ห่วงว่ามันจะเกิดร่องรอยใดๆ บนเรือนร่างขาวซีดนั้นหรือไม่ ขณะที่ไนล์เองก็เอียงหน้าหลบไปอีกทาง เต็มใจให้ผมได้ทำทุกอย่างตามแต่ใจ

“อื้อ”

เสียงเบาๆ ดังอยู่ข้างหู ออกมาจากตำแหน่งที่ผมไม่ต้องสงสัย ร่างด้านใต้บิดกายนิดหน่อยเมื่อผมเคลื่อนริมฝีปากลงให้ต่ำกว่าเดิม ใช้ลิ้นเกี่ยวพลางขบจุดสูงสุดบนอกที่ถูกปกคลุมด้วยเสื้อยืดตัวบางจนมันชื้นแฉะ ก่อนสิ่งกั้นขวางนั้นจะถูกถกถอดออกให้พ้นผ่านหัวของเขาไป และเปลี่ยนเป็นการสัมผัสผิวเนื้อด้วยความเปียกชื้นโดยตรง

ผมเล็มเลียสลับเม้มคลึง ขณะที่มืออีกข้างก็นวดเฟ้นส่วนเต่งไตที่ขืนตัวขึ้นตอบสนอง ลมหายใจหอบครางลอดออกมาเป็นจังหวะทุกครั้งที่ริมฝีปากสีพีชเผยออ้าเพราะกักเก็บความวาบหวามต่อไปไม่ได้ มือของไนล์เลื่อนขึ้นมาลูบไล้แผ่นหลังของผม ดึงทึ้งเสื้อให้หลุดออกจากศีรษะเช่นเดียวกัน ร่างของผมเปิดเปลือยต่อหน้าเขา เช่นเดียวกับเขาที่เผยเรือนร่างขาวกระจ่างต่อหน้าผม

จากยอดอกที่หยอกเย้าก็เคลื่อนลงต่ำกว่าเก่าเมื่ออารมณ์ที่โหมอยู่ภายในกระพือ มือทั้งสองละจากสิ่งผูกพันเมื่อครู่มายังขอบกางเกงยางยืดขาสั้น เลื่อนมันลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับปราการชั้นใน จนสิ่งงดงามอร่ามตารออยู่ มันฉ่ำเยิ้มตรงส่วนปลาย สั่นระริกราวกับกำลังตื่นกลัว แต่ผมรู้ดีว่าไม่ใช่

มันกำลังเชื้อเชิญให้ผมได้สัมผัส ครอบครอง...

ไม่รอช้ากับสิ่งที่กำลังร่ำร้องเรียกหา ผมครอบปากลงไปอย่างช้าๆ ตวัดลิ้นเลียโดมสีชมพูเข้มจนสะโพกของไนล์กระตุกขึ้นอย่างรุนแรง ก่อนจะรูดปากไปตามความยาว ดูดเกลี่ยมันเล่นอย่างหรรษา ซึ่งปฏิกิริยาที่ตอบรับกลับมาก็มีแต่จะกระเด้งเข้าหาผมทุกจังหวะที่ผมอมลึกเข้าไปจนสุด

ผมสีบลอนด์ของผมยุ่งเหยิงไปหมดเพราะมันกลายเป็นส่วนที่ใช้ระบายความหวามหวิวที่แล่นพล่านอยู่ในกายของไนล์ เขาขยุ้มเส้นผมของผมจนยุ่ง ทั้งบีบขยี้และดึงทึ้งตามอารมณ์ที่ถูกชักพาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนสะโพกจะกระตุกรัวเมื่อรู้สึกราวกับร่างถูกเหวี่ยงขึ้นไปถึงชั้นฟ้าแล้วตกลงมาสู่ก้นเหวลึก

กลิ่นคาวคลุ้งเอ่อท้นในปากของผมจนเกือบสะลักของเหลวลื่นรสขื่นออกมา ทว่าผมก็รู้สึกเสียดายเกินกว่าจะบ้วนมันทิ้งจึงเก็บกลืนมันไปจนหมด มิหนำซ้ำไม่วายตวัดลิ้นเลียมุมปากที่อาบชื้นไปด้วยน้ำขุ่นนั้นจนสะอาดเอี่ยม ก่อนจะช้อนหน้าขึ้นมองใบหน้าของอีกคนที่หายใจหอบจนอกกระเพื่อม ตาปรือลงกว่าปกติเล็กน้อย เสียงลมหายใจของเขาขาดห้วงเป็นระยะ ใบหน้าชื้นด้วยเหงื่อและระบายด้วยสีชมพู

ราวกับกำลังยั่วยวนผม

ทั้งที่ร่างที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้านั้นผอมบางเสียจนเห็นซี่โครง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันกำลังล่อลวงให้ผมยิ่งติดกับดัก ไม่อยากจะแยกจากไปไหน ผมลุกขึ้นไปหยิบตัวช่วยชิ้นเก่าที่ผมเคยใช้มันเมื่อคราวที่แล้ว พลางคิดในใจว่าต้องทำสดอีกแล้วสินะ เพราะถ้าจะให้หยุดตอนนี้ผมก็ห้ามตัวเองไม่ไหว ขณะเดียวกันก็พานคิดไปว่าคงต้องซื้อเจลหล่อลื่นเอาไว้ใช้สำหรับครั้งหน้าพร้อมกับถุงยางซะแล้ว ก่อนจะเดินกลับมาหาร่างที่ยังนอนรอผมอยู่

ดูเหมือนไนล์จะเหนื่อยน้อยลง เพราะเสียงหายใจของเขาเป็นจังหวะมากขึ้น ดวงตาที่เคยเหม่อลอยเหมือนมองไม่เห็นกัน ในเวลานี้ผมรู้สึกว่ามันกำลังสะท้อนภาพผมอย่างชัดเจน มันเลื่อนตามผมทุกย่างก้าว กระทั่งมาหยุดที่เตียง ผมวางขวดของครีมสีขาวลงข้างตัวของเขา ก่อนจะปลดกางเกงของตัวเองออกอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้เสียเวลา เพราะยิ่งเห็นหน้าเขา ผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันกระตุ้นอารมณ์ของผมให้พลุ่งพล่านขึ้นอีกครั้ง

ครีมสีขาวถูกทาไปทั่วรอยยับย่นที่เป็นวงแคบๆ ชโลมเผื่อไปถึงภายในจนผมสามารถเคลื่อนนิ้วผ่านได้อย่างคล่องแคล่ว สะโพกของไนล์กระตุกไปตามปลายนิ้วของผมที่ขยับเข้าออกและควงควานไปจนทั่ว เสียงครางเครือดังในลำคอเป็นจังหวะของเขา ปลุกเร้าความรุ่มร้อนในตัวผมให้มากยิ่งขึ้น

เมื่อทนไม่ไหว ผมก็เทสารหล่อลื่นจำเป็นใส่มือและอาบให้ทั่วส่วนแข็งขึงของตัวเองอย่างลวกๆ ก่อนจะกดมันเข้ากับตำแหน่งที่เปรอะเลอะไม่แพ้กัน

ไนล์สะดุ้งเฮือกเมื่อเปิดรับผมเข้าไป มือของเขาไขว่คว้าหาผมไปกอดก่ายเอาไว้เพื่อให้เราได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น กระทั่งผมฝังตัวเข้าไปจนหมด เขาก็กอดรัดผมอย่างแนบแน่น เสียงหอบครางดังอยู่ริมหูกระตุ้นอารมณ์ของผมให้ยิ่งกระเจิดเจิงจนต้องรีบถอยตัวออกห่างและสวนกลับไปในทิศทางเดิมอย่างรุนแรง

ความอุ่นนุ่มภายในโอบรัดผมเป็นจังหวะ ผมรู้สึกถึงกล้ามเนื้อที่เต้นตุบๆ อยู่ภายในนั้น มันตอดรัดผมแน่นทุกครั้งที่ผมทะลวงกายเข้าหาราวกับเฝ้ารอการมาเยือนของผมมาเนิ่นนาน ทั้งที่การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งของผมนั้นนับได้ในหน่วยวินาทีด้วยซ้ำ

ยิ่งเขาตอบสนอง ผมก็ยิ่งรู้สึกอยากไขว่คว้าใกล้ชิดเขามากยิ่งขึ้น ไนล์กอดผมไม่ปล่อย ขณะที่ริมฝีปากของเขาเองก็พยายามเผยอรับกลีบปากของผมที่บดลงไป เราสองคนต่างเหมือนคนอดอยาก พยายามที่จะเติมเต็มกันและกัน ไม่ต่างจากคนขาดความอบอุ่นท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ อยากจะห่มเนื้อของกันและกันให้ร่างกายรุ่มร้อน

เม็ดเหงื่อผุดตามร่างกายจนซึมไปทั่ว โคนผมเปียกชื้น ใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาจากการกระทำที่ไม่สามารถหยุดได้ เสียงเปียกแฉะดังสะท้อนอยู่ในห้อง ระคนเสียงครางของเราทั้งคู่ กล่อมพวกเราให้ยิ่งโหมแรงเข้าใส่กัน ผมกดร่างลงไป ขณะที่ไนล์แอ่นร่างเข้าหา ผสานส่วนเชื่อมต่อที่เดี๋ยวห่างเดี๋ยวชิดไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

หากให้เปรียบเทียบกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ ภายในร่างของผมคงเกิดพายุไต้ฝุ่นลูกใหญ่ มันหมุนคว้างรุนแรง ปั่นป่วนจนไม่สามารถควบคุมให้กำลังแรงอ่อนลงได้ มีแต่จะกวาดล้างไปทุกหนทุกแห่งที่เคลื่อนผ่าน และผมคิดว่าไนล์เองก็ไม่ต่างกัน








อ่านต่อข้างล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 30-08-2015 21:42:16








ต่อจากข้างบน



v


v




ลมกระโชกโหมแรงราวกับจะทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลองสงบลง แปรเปลี่ยนเป็นกระแสลมอุ่นๆ ห่อหุ้มพวกเราไว้ แม้ว่าเมื่อครู่ร่างกายจะรุ่มร้อน เหงื่ออาบชโลมกาย ทว่าเวลานี้สองเรากลับกกกอดกันเอาไว้ไม่ต่างจากอยู่ในฤดูหนาว

ความชื้นแฉะเปียกลื่นจากของเหลวต่างๆ ถูกลบล้างออกไปจากความรู้สึกชั่วคราว ปลายนิ้วของผมเกลี่ยเส้นผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก ปิดบังดวงตาของคนที่นอนเผชิญหน้ากันอยู่ให้พ้นไป เพื่อมองใบหน้าของอีกฝ่ายให้เต็มตาและชัดเจนขึ้น ก่อนประทับจูบเบาๆ บนเนินกะโหลกที่ถูกคลุมไว้ด้วยผิวอุ่น ตามด้วยคลี่ยิ้มบางเบาปิดท้าย

“เล่าเรื่องนายกับมิ้นให้ฉันฟังได้ไหม”

สิ่งแรกที่นึกถึงเมื่อไฟรักสงบลง ไนล์ช้อนตาที่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าผมนิดหน่อยขึ้นมองชั่วครู่ก่อนจะหลุบลง เหมือนตั้งใจเบี่ยงหลบไปทางอื่น ถึงกระนั้นเขาก็ยอมเปล่งถ้อยคำออกมาอย่างเชื่องช้า

“ฉันสนิทกับมิ้นมาก จนเหมือนพี่น้องกันด้วยซ้ำ”

ไม่ได้คิดไปเอง แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ น้ำเสียงที่ไนล์ใช้เอ่ยเรื่องของมิ้นนุ่มนวลกว่าปกติ เต็มไปด้วยอุ่นไอของความรู้สึก ผิดกับที่ผ่านๆ มาซึ่งมักจะเรียบเฉย ผมกระเถิบตัวเข้าไปใกล้เขามากขึ้นอีกหน่อย กระชับแขนที่โอบร่างเขาเอาไว้ให้แน่ขึ้น แนบริมฝีปากของตัวเองไว้บนหน้าผากของเขาและรอฟังเรื่องราวต่อไป

ไนล์ไม่ได้ขยับกายหนี แต่ซุกเข้าหาผมมากขึ้น

“เวลาที่ฉันไปหามิ้นที่บ้าน มิ้นจะชอบเล่าเรื่องของนายให้ฟังเสมอ บอกว่านายเป็นยังไง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เคยต่อว่ามิ้นด้วยความเป็นห่วงแบบไหน เคยเอาใจใส่มากเท่าไร ทุกอย่างที่มิ้นเล่า มีแต่การสื่อออกมาให้ฉันรู้ว่านายรักมิ้นมากแค่ไหน จนเหมือนกับการอวดอย่างภาคภูมิใจ”

ผมระบายยิ้มจางๆ เมื่อคิดตามสิ่งที่ไนล์เล่า ภาพใบหน้าของมิ้นที่มีรอยยิ้ม เหตุการณ์ต่างๆ ยังชัดเจนอยู่ในความทรงจำของผม ราวกับผมได้พบกับมิ้นที่มีชีวิตอยู่อีกครั้ง มันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความสุข

“แต่แทนที่ฉันจะรู้สึกว่าน่าหมั่นไส้ ฉันกลับมีความสุขมากกว่า ทุกครั้งที่มิ้นเล่าเรื่องของนาย มิ้นมีรอยยิ้มเสมอ และมันก็พลอยทำให้ฉันมีความสุขไปด้วย ฉันนึกขอบคุณนายไม่รู้กี่ครั้ง ที่ทำให้มิ้นมีความสุขได้มากขนาดนี้ รู้สึกยินดีที่มีคนที่รักและดูแลมิ้นอย่างดี หลายต่อหลายครั้งที่ฉันอวยพรเผื่อไปถึงวันข้างหน้าว่าสักวันหนึ่ง นายอาจจะมาเป็นพี่เขย”

อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ผมไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีคนที่คาดหวังในตัวผมมากขนาดนี้ มันเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย แม้ว่าผมจะเคยคิดว่าถ้าผมสามารถคบหากับมิ้นได้ยาวนานขนาดนั้น มันอาจจะมีสักวันที่เราได้แต่งงานกันก็ได้ก็ตามที

“พอเสียมิ้นไป ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของฉันก็เหมือนถูกทำลายไปด้วย ฉันเหมือนเคว้งคว้างอยู่กลางหลุมสีดำใหญ่มหึมาเพียงคนเดียว ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน เพราะมองไม่เห็นทางข้างหน้า ได้แต่นั่งกอดตัวเองอยู่ในเงามืดที่มองไม่เห็นอนาคต แต่สุดท้าย...มิ้นก็ทำให้ฉันก้าวออกมา”

คิ้วของผมขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างงุนงง แม้จะสะเทือนใจอยู่ไม่น้อยกับคำที่ว่า ‘พอเสียมิ้นไป’ ไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เขาบอกว่ามิ้นทำให้เขาก้าวออกมาจนอดถามไม่ได้

“หมายความว่ายังไง”

“รูปใบนั้นทำให้ได้สติ หลังจากเห็นรูปใบนั้นแล้วฉันก็คิดได้ว่าควรจะเดินต่อไปในทิศทางไหน”

ไนล์เงียบไปชั่วครู่ดั่งจะให้ผมนึกตามว่ารูปที่เขาพูดถึงคือรูปไหน แต่ผมไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นก็นึกออกได้ทันที เพราะมันเป็นรูปเดียวผมที่ได้เห็น ใบหน้ายิ้มแย้มของมิ้นและไนล์ที่อยู่ในกรอบเดียวกันมันติดตรึง

คนที่ผมรักและคนที่ผม...กำลังรัก

“นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง ก้าวเดินไปในเส้นทางใหม่อย่างมุ่งมั่น เพราะสิ่งที่ฉันทำได้ในเวลานี้มีเพียงเท่านี้”

ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด แต่คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา เสียงของคนที่ผมเคยพบหน้าเพียงสองครั้ง คนที่บอกเล่าถึงตัวตนของไนล์ให้ผมฟังได้มากที่สุดนับตั้งแต่ผมรู้จักไนล์มา



‘สิ่งเดียวที่มันสนใจอย่างจริงจังคือการวาดรูป ตอนรู้ว่ามันไม่ได้เรียนจิตรกรรมอย่างที่เคยบอกเอาไว้ พี่ถึงได้ตกใจไง เพราะมันดูเอาจริงเอาจังขนาดนั้น พี่ยังคิดไม่ออกเลยว่าทำไมมันถึงหันเหชีวิตตัวเองไปเรียนอย่างอื่น แต่คิดว่าสิ่งที่ทำให้คนมุ่งมั่นกับการวาดภาพเปลี่ยนชีวิตตัวเองไป คงเป็นเรื่องใหญ่น่าดู’



“เส้นทางใหม่ของนายคือการเปลี่ยนมาเรียนวิศวะเหรอ”

“อืม... นั่นก็เป็นทางหนึ่งที่ฉันเลือก”

“ทำไม”

ผมไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร มันมีเหตุผลอะไรที่เขาเลือกเดินทางนั้น มันไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่จะมารองรับหากคิดตามสิ่งที่ผมรู้อยู่ในตอนนี้

“นายก็น่าจะรู้ว่ามิ้นตั้งใจจะเรียนวิศวะ”

ลมหายใจของผมสะดุดไปชั่วครู่หนึ่ง ผมไม่ปฏิเสธเลยว่ามันคือความจริง ผมรู้มานานแล้วว่าเธอตัดสินใจแบบนั้นด้วยความแน่วแน่ เพราะแบบนั้นตอนเข้า ม.4 พวกเราถึงอยู่คนละห้องกัน ครอบครัวของเธอทำกิจการเกี่ยวกับระบบหล่อเย็นอยู่ และเธอก็ต้องการสานต่องานของครอบครัว

ถึงจะพอรู้เหตุผลแล้ว แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมไนล์ถึงต้องทิ้งความฝันของตัวเอง

“แต่นายก็มีความฝันของนาย ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น”

ไนล์แค่นยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ยินคำถามจากผม และพึมพำออกมาเบาๆ เหมือนไม่ได้อยากให้ผมได้ยินนัก

“นายมีสิ่งที่ต้องชดใช้ ฉันเองก็มีสิ่งที่จะต้องชดใช้เหมือนกัน”

ผมไม่เข้าใจนัก แต่ไนล์ก็เงียบไปหลังจากนั้น เหมือนไม่อยากพูดต่อ และมันก็ยากที่ผมจะคาดคั้นเบื้องหลังที่ซ่อนอยู่ลึกไปกว่านั้นจึงไม่เอื้อนเอ่ยคำถาม แต่เปลี่ยนประเด็นอื่นขึ้นมาแทน

“เมื่อกี้นายบอกว่าเรื่องที่เรียนวิศวะเป็นทางหนึ่งที่เลือก แสดงว่ามีทางอื่นด้วยงั้นสิ”

ผมไม่ได้รับคำตอบ ไนล์ยังคงปิดปากสนิท ปล่อยเสียงหายใจยาวๆ ออกมาเป็นระยะ จนกระทั่งความเงียบปกคลุมพวกเรา ความอึดอัดแล่นเข้าสู่กลางใจของผมทีละนิด เริ่มคิดไปว่าเรื่องที่ผมถามมันละลาบละล้วงเกินไปหรือเปล่า

มันอยู่ลึกเกินกว่าที่ผมจะเหยียบย่างลงไปใช่ไหม

ผมยังเข้าถึงหัวใจของเขาน้อยเกินไป เขาถึงยังไม่ยอมพูดออกมา

หากนับหัวใจของไนล์ว่ามีสิบชั้น ผมอาจจะเพิ่งปีนขึ้นไปถึงชั้นที่สามเองก็ได้

“ไม่ต้องบอกก็ได้”

เมื่อรู้สึกว่ามันอาจจะแย่ไปกว่าเก่าถ้ายังเงียบอยู่แบบนี้ ผมจึงโพล่งออกไปเพื่อปรับเปลี่ยนบรรยากาศ ทว่าไนล์กลับแย้งเสียงออกมาให้ผมประหลาดใจ

“ไม่หรอก”

เขาผละตัวออกห่างจากผม เลิกซุกใบหน้าใกล้ผมเสียจนผมสามารถจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากและปลายจมูกของเขาได้ ผมจึงต้องปลดอ้อมกอดของตัวเองออกให้เหลือเพียงหลวมๆ จนเขามาอยู่ในระยะที่มองสบตากันได้อย่างชัดเจน

ริมฝีปากสีพีชที่เข้มกว่าปกติขบเข้าหากันนิดหน่อย ผมมองตามก่อนที่มันจะขยับเพื่อเอ่ยคำพูด และช้อนมองดวงตาคู่ที่อยู่ตรงนั้น

มันเต็มไปด้วยความอ่อนโยนเหนือกว่าครั้งใดๆ

“อีกทางหนึ่งที่ฉันเลือกคือ... เฝ้ามองนาย ...เฝ้ามองตลอดไปจนกว่านายจะได้พบความสุขจริงๆ อีกครั้ง”







-----------------
สรุปคือ ไนล์เป็นสตล็อกเกอร์ของกราฟมาตั้งแต่ม.ปลายแล้วค่ะ 555555555
ถ้าย้อนกลับไปนึกเรื่องที่ไนล์ทำ จังหวะที่เข้าไปทักกราฟ อ่านความรู้สึกกราฟ รู้สิ่งที่กราฟชอบ
นอกจากสิ่งที่รู้มาจากมิ้นแล้ว ก็มาจากการเฝ้ามองกราฟมาตลอดนั่นแหละค่ะ

น่าจะอีกประมาณ 2 ตอนก็จบแล้วค่ะ

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 31-08-2015 00:57:23
อยากอ่านต่อแล้ว มาต่อเร็วๆ นะคร้าบบบบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 31-08-2015 11:09:43
ไนล์มีความมุ่งมั่นอดทนมากมาย






เฝ้ามองเฝ้าติดตามแถมแอบรักกราฟมานาน






โชคดีจังที่กราฟใจตรงกับไนล์






ขอให้ทั้งคู่มีความสุขและหลุดพ้นจากความรู้สึกผิด






มิ้นท์ก็คงดีใจที่ คนที่รักเธอมีความสุขทั้งสองคน :katai2-1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: killerofcao ที่ 31-08-2015 19:19:08
อ่า อ่าอ่าอ่า
ชีวิตเริ่มมีความสุขแล้วซินะ :mew1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 31-08-2015 21:22:49
 :กอด1: หลังจากนี้ต้องมีความสุขแน่ๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 07-09-2015 14:58:21
อยากให้มาต่อเร็วๆ แต่ไม่อนากให้จบเลย :katai1: :katai1: :katai1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 19 : ก้นบึ้งของการกระทำ [30/8/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ZeeKiN ที่ 15-09-2015 21:13:35
มาต่อเร็วๆๆน้าาาาาาาา  :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 20 : ยินยอม [19/9/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 19-09-2015 19:51:03
ตอนที่ 20 : ยินยอม






มันอาจจะเป็นการคิดไปเองของผมก็ได้ที่รู้สึกว่าผมเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ไนล์ยังอยู่ต่อหน้าผม เขาพูดเหมือนเขาสูญเสียจุดหมายของการมีชีวิตอยู่ พูดเหมือนว่าลมหายใจของเขามันไร้ค่า แม้ว่าเหตุผลแท้จริงแล้วจะเป็นมิ้นก็ตาม

สำหรับไนล์... มิ้นคือแสงสว่างที่ส่องนำทางให้เห็นเป้าหมาย

ส่วนผม... มิ้นคือแสงแดดอ่อนๆ ที่ทำให้อบอุ่น แต่ขณะเดียวกันก็เป็นความดำมืดที่ฉุดรั้งให้ตกอยู่ในหลุมลึกที่หนาวสะท้าน

แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ถึงกระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอทำให้เราได้มาพบกัน แม้ว่าเธอจะไม่อยู่แล้ว แต่เธอก็ยังมอบชีวิตที่เหลืออยู่ให้กับไนล์ ถึงมันจะดูครึ่งๆ กลางๆ ไปสักหน่อย เพราะไนล์ใช้ชีวิตบิดเบี้ยวไปจากคนปกติทั่วไป

มีชีวิตก็เหมือนไร้ชีวิต เหมือนจะไร้ชีวิต แต่หัวใจก็ยังเต้นอยู่

เหมือนแค่ให้ผ่านไปวันๆ จนกว่าจะถึงจุดหมายที่ตั้งเป้าเอาไว้เท่านั้น

ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ยึดติดกับเธอแบบนั้น และมันก็ทำให้ผมอดสงสัยไม่ได้

จากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเขาที่ผมรวบรวมมาเก็บไว้เป็นอย่างดี เพื่อจะนำมันมาประกอบเป็นชิ้นและทำให้ผมเข้าใจเรื่องราวและตัวตนของเขาได้อย่างถ่องแท้ มันทำให้ผมนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นในเวลานี้

“ทำไมนายถึงลำบากเรื่องเงิน อยู่อย่างอดๆ อยากๆ ด้วย”

สิ้นคำถามของผม ไนล์เหม่อมองไปไกล ไม่ได้วางปลายสายตาไว้ที่ผม มันเหมือนทะลุใบหน้าของผมไปเสียด้วยซ้ำ ความแวววาวที่สะท้อนอยู่บนหน่วยตาเมื่อครู่ดับวูบลงจนไร้แสง กลายเป็นดวงตาที่ด้านชา บรรยากาศรอบตัวเขาเคว้งคว้างอย่างฉับพลัน อากาศที่ลอยอยู่บางเบาลง

ราวกับเป็นเรื่องต้องห้าม... ถ้าไม่ต้องการให้เขากลับกลายเป็นร่างจืดจาง ไร้ชีวิต

“ฉัน...”

เสียงของเขาเบามาก เขาขยับปากเพียงแค่นิดเดียว เหมือนกับว่าเรี่ยวแรงรั่วไหลออกไปจนเกือบหมด

“ไม่มีพ่อแม่...อีกแล้ว”

เกือบจะไม่ได้ยินท้ายประโยค และนั่นก็เป็นคำตอบสุดท้ายที่เขาพูดออกมา ผมได้แต่ขยับเข้าไปใกล้เขา กระชับอ้อมแขนของตัวเองไว้ เพื่อส่งต่อไออุ่นจากผมไปสู่ร่างกายที่เย็นเฉียบของเขา

เราอาจจะกลายเป็นส่วนที่เติมเต็มกันก็ได้

เมื่อไรที่เขาหนาว ผมจะเป็นคนที่กอดเขาเอาไว้

เมื่อไรที่ผมจมอยู่กับความเสียใจ ผมก็อยากให้เขากอดผมเอาไว้เช่นกัน

และผมก็หวังว่าสักวันหนึ่ง ผมจะมีค่าพอให้เขายอมเปิดเผยเรื่องราวที่ถูกกักเก็บเอาไว้ภายในตัวเขาจนมากเกินไปนั่นออกมาให้ผมได้รู้ ไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไร ผมก็ยินดี เหมือนอย่างที่เขาเฝ้ามองผมมาตลอดสามปี

“ต่อไปนี้ฉันจะอยู่ข้างๆ นายเอง”

ผมเอ่ยคำที่ออกมาจากใจและความคิดในเวลานั้น ทว่ามันทำให้ไนล์ชะงักไปนิดหน่อย เขามองหน้าผมราวกับกำลังสำรวจหาความจริงอะไรบางอย่าง

“ฉันไม่ได้ต้องการให้นายทำแบบนั้น”

เสียงของเขาเหมือนจะแหบลงไป ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง คล้ายกับเป็นสัญญาณบอกว่าใจจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการอย่างที่พูด

“ทำไมล่ะ ทั้งที่ฉันอยากจะอยู่เคียงข้างนายนับจากนี้ นายไม่ได้รู้สึกแบบนั้นเหมือนกันเหรอ”

เขาเงียบไปอึดใจหนึ่ง หลุบสายตาลงต่ำ กระซิบเสียงออกมาราวกับกลัวว่าผมจะได้ยินมัน แต่ผมก็ได้ยินอย่างชัดเจน

“พี่ดาหลา”

“ฉันบอกความจริงเขาไปหมดแล้ว บอกเขาแล้วว่าฉันเข้าหาเขาเพราะอะไร และฉันก็ไม่ได้รู้สึกชอบพอเขาเหมือนอย่างที่ฉันคิดว่าฉันควรจะรู้สึกกับคนที่หน้าเหมือนมิ้น”

ผมหยุดเสียงไปครู่หนึ่งและยื่นมือออกไปเกลี่ยผมข้างขมับของเขาเบาๆ เหมือนกับอยากทะนุถนอมเขาไว้

“นายต่างหากคือคนที่ทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้น คือคนที่ฉันอยากอยู่ด้วย คือคนที่ฉันต้องการมากกว่าใคร”

เขาช้อนตาขึ้นมองผมนิดนึงอย่างลังเลใจ มองสบตากับผมเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วออกมา

“นายแน่ใจแล้วเหรอ”

“ถ้าไม่แน่ใจฉันไม่พูดหรอก” ผมยิ้มให้เขาบางๆ เป็นรอยยิ้มที่เชื่องช้า อ้อยอิ่ง แต่กลับรู้สึกว่ามันคงเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน “ได้ไหม ต่อจากนี้ไปช่วยอยู่ข้างๆ ฉันได้หรือเปล่า”

“อืม”

แม้เสียงที่ตอบกลับมาจะแค่เล็กน้อย เพียงแค่คำสั้นๆ เหมือนไม่ใช่การตอบรับด้วยซ้ำ แค่เสียงเสียงหนึ่งที่ดังในลำคอ ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกยินดีจนหัวใจพองโต ที่เขายอมรับความรู้สึกของผม และยินยอมจะอยู่ด้วยกันอย่างเต็มใจ

จากนี้มันไม่ใช่แค่การอยู่ด้วยกันจากการท้าทายหรือมีเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่เพราะเรามีความรู้สึกดีๆ ให้กัน

เราใจตรงกัน...





หลังจากนั้นพวกเราก็เข้าสู่ช่วงสอบสองสัปดาห์ ไนล์บอกกับผมว่าไม่ให้ผมมาที่ห้องเขาในช่วงสอบ เพราะว่าอยากจะมีสมาธิกับการอ่านหนังสือให้มากที่สุด ถึงผมจะออกปากว่าจะไม่รบกวนการอ่านหนังสือของเขา และขอแค่ผมนอนค้างของห้องเขาเท่านั้น เพราะผมเองก็ต้องออกไปติวกับไฮยีนบ้าง ไปหาพี่เจ๊งเพื่อขอคำแนะนำเรื่องข้อสอบบ้าง แต่ว่าเขาก็ยังยืนกรานว่าจะให้เราแยกกันอยู่สักพัก

‘ฉันไม่อยากมีปัญหาเรื่องการสอบแล้วต้องมาเรียนซ้ำ’

ในเมื่อเขาพูดมาเสียงหนักแน่นขนาดนั้น ผมจึงจำใจต้องทำแบบนั้นอย่างช่วยไม่ได้ และก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าผมทำตามที่ใจผมปรารถนา ผมอาจจะรบกวนเขาจริงๆ เพราะเมื่อกวาดตามองรอบห้องของเขาก็รู้ เขาไม่ได้มีเวลาและสมาธิกับการเรียนมากนัก เขาทุ่มเทเวลาส่วนหนึ่งของตัวเองไปกับการวาดรูปเพื่อหาเลี้ยงชีพ ถ้าผมยังไปขัดขวางช่วงเวลาสอบของเขาอีก จะยิ่งทำให้เขาลำบาก

‘ถ้าอย่างนั้นฉันโทรหานายได้ไหม’

ผมเสนอ เพราะอย่างน้อยก็อยากให้เราติดต่อกันแบบสม่ำเสมอ แต่เขาก็ตอบกลับมาว่า

‘ฉันไม่ถนัดคุยโทรศัพท์กับใคร และมันก็ควบคุมเวลาที่จะพูดคุยได้ยาก’

ถึงผมจะคิดอยู่เล่นๆ ว่าถ้าเขาอยากวาง เขาก็สามารถตัดสายผมอย่างไม่ไยดีได้ก็ตาม แต่พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นแล้ว ผมกลับรู้สึกว่ามีน้ำเย็นๆ มารดรินในใจ พลอยคิดเข้าข้างตัวเองไปว่า เพราะไนล์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาเปิดใจให้ผม ถึงทำเป็นตัดสายผมทิ้งอย่างไม่แคร์เหมือนเมื่อก่อนไม่ได้

เขาห่วงความรู้สึกของผม

คิดถึงเหตุผลแล้วก็ทำให้ผมอดจะยิ้มออกมาไม่ได้ จนไนล์ขมวดคิ้วมองอย่างสงสัย


‘นายยิ้มอะไร’

นับจากวันที่เราเปิดใจให้กันวันนั้น เขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แสดงสีหน้ามากขึ้น แม้ว่ามองเผินๆ แล้วอาจจะเหมือนยังเฉยชาไร้ความรู้สึกและจืดจางเหมือนเดิม แต่สำหรับผมที่เฝ้าสังเกตเขาทุกอิริยาบถ มันง่ายมากที่จะอ่านความรู้สึกของเขา และใช่ว่าเขาเองจะไม่รู้ตัวว่าแสดงกิริยาแบบไหนออกมา ถึงได้เบนหน้าหนีสายตาของผมที่จับจ้องเขามากเกินพอดี

ผมเข้าไปกอดเขาจากทางด้านหลัง กระซิบเสียงแผ่วข้างใบหู

‘แค่รู้สึกว่ามีความสุขเท่านั้นเอง’

หลังจากนั้นผมก็รู้สึกว่าตำแหน่งที่ผมเพิ่งเบียดริมฝีปากเข้าไปชิดเริ่มร้อนขึ้นมา

ผมรู้... เขากำลังเขิน

เขาไม่ชินกับคำหวานๆ ของผม แต่หลังจากนี้เขาอาจจะชินก็ได้

‘เพี้ยนหรือไง’

เสียงของเขาอึกอัก แต่ไม่ได้แกะแขนของผมที่โอบรอบเอวของเขาออก แค่ยืนนิ่งๆ ให้ผมกอด พร้อมกับทำหูร้อนต่อไป จนผมอดไม่ได้ที่จะกดกลีบปากลงไปบนต้นคอของเขา ไนล์หดคอหนีนิดหน่อย ทว่ากลับทำให้ผมกระชับวงแขนแน่นกว่าเดิม

‘น่าจะอย่างนั้น’

ต่อจากนั้นไนล์ก็เงียบกริบ ไม่พูดอะไรอีก ปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายเสนอขึ้นมาอีก

ผมขอให้เราส่งข้อความคุยกันแทน แน่นอนว่าไนล์ปฏิเสธ เพราะจะให้ส่งทางไลน์หรือโปรแกรมแชทอื่นๆ อย่างที่ใครๆ ทำกัน เขาไม่สามารถทำได้ เพราะโทรศัพท์ที่เขาใช้เป็นรุ่นเก่า ไม่ใช่สมาร์ทโฟนที่สามารถใช้แอปพลิเคชั่นได้ ผมจึงแนะนำอีกทาง

‘ส่งเอสเอ็มเอสธรรมดาก็ได้’


แต่เขากลับส่ายหัว ตอบกลับมาเสียงแผ่ว

‘มันไม่คุ้ม’

เขาตอบกลับมาสั้นๆ แต่ผมก็เข้าใจ ถึงตอนนี้จะมีโปรโมชั่นส่งเอสเอ็มเอสพ่วงมากับแพ็กเกจอินเตอร์เน็ต แต่สำหรับผู้ใช้ระบบโทรธรรมดาก็ยังต้องเสียเงินกับค่าเอสเอ็มเอสจำนวนมากอยู่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางออก

‘ใช้โปรเสริมส่งเอสเอ็มเอสก็ได้ แค่เดือนละห้าสิบข้อความก็ได้ นะ’

ผมลงท้ายด้วยเสียงอ้อนหน่อยๆ เพราะอยากให้เขาเห็นด้วย ถ้าห้ามผมติดต่อเขาเลยผมคงทำไม่ได้ และถ้าเขาไม่ติดต่อกลับมาเลย ผมคงทนไม่ไหว เพราะฉะนั้นอะไรที่จะช่วยเหลือผมได้ในตอนนี้ ผมก็พร้อมจะเสนอออกไปทุกวิถีทาง

ตอนนี้ผมรู้แล้วล่ะ ผมเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ความสุขของตัวเอง ผมรู้ดี

ไนล์ทำให้ผมรู้สึกตัว...

‘ก็ได้ ถ้ามันไม่แพง’

‘ถึงแพงฉันก็ออกให้ได้น่า’

พอผมพูดแบบนี้ไป เขาก็ตวัดหน้าหันขวับมามองผมด้วยสายตาร้อนแรงทันที แต่ร้อนแรงในความหมายที่เขาไม่พอใจ ไม่ใช้ว่าอะไรๆ ที่จะทำให้ผมลุกซู่ขึ้นมา สายตาของเขาจับจ้องมองผม แววคมกล้าปรากฏในนั้น

‘นายไม่ได้หาเงินเอง อย่าทำตัวหน้าใหญ่ใจป้ำ’

เหมือนโดนฮุคเข้าเต็มหน้าจนหน้าเกือบหงาย ผมเข้าใจมันได้ดีทีเดียวล่ะ ถ้าหากให้เปรียบเทียบ ผมเป็นลูกแหง่ที่ยังขอเงินพอแม่อยู่ ถึงเดือนๆ หนึ่งจะได้เยอะจนใช้ไม่หมด มีเก็บในบัญชีอีกเป็นกะตั้ก แต่ไนล์ตรงข้ามกับผม เขาเป็นคนหาเงิน รู้คุณค่าของเงินดี

‘ขอโทษครับ อย่าโกรธนะ’

เสียงของผมติดอ้อนน้อยๆ กดหน้าผากลงซบกับหน้าผากของเขาที่อยู่ต่ำกว่าเพื่อให้เขาให้อภัย ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ได้โกรธมากมาย แต่เขาแค่อยากให้ผมทำอะไรที่พอสมควรกับสถานภาพของผม

แค่เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ผมเคยขอร้องว่าไม่ให้รับงานกับผู้หญิงอีก และให้ผมดูแลเรื่องอาหารการกินมันก็เกินกว่าเขาจะยอมรับได้แล้ว

‘ฉันไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น’

ไนล์ตอบกลับมาสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ได้แฝงอารมณ์ใดๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันน่าฟังจึงกดริมฝีปากลงไปเบาๆ กับส่วนเดียวกันที่อยู่ใกล้มากจนอดไม่ได้ ไนล์ไม่ได้จูบตอบ แต่ก็ไม่ได้ขยับหนี ผมเลยเอาแต่ใจเพิ่มไปอีกนิดหน่อย ขบดูดกลีบปากสีสวยไม่เหมือนใครนั่นมากขึ้นอีกนิด ก่อนจะผละออกมายิ้มน้อยๆ

แล้วมันก็ทำให้ผมยิ้มมาถึงตอนนี้เมื่อนึกถึงมัน

“ยิ้มเล็กยิ้มน้อยอยู่นั่น ข้อความจากสาวหรือไง”

เสียงคุ้นหูดังมาจากลุงรหัสของผมเอง ตอนนี้ผมอยู่ที่หอของพี่เจ๋ง เพราะขอให้เขาช่วยเก็งข้อสอบให้ พอผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง เขาก็เหล่ตามองผม แต่ไม่ได้อุกอาจถึงขนาดชะโงกหน้าเข้ามาดูสิ่งที่อยู่ในมือของผม

ถ้าเป็นเพื่อนๆ ทั้งหลายของผม ป่านนี้คงแย่งโทรศัพท์จากมือผมไปแล้วล่ะ อาจจะเพราะว่าพี่เจ๋งได้เชื้อพ่อพิมพ์แม่ของชาติมาก็ได้ เลยค่อนข้างจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของคนอื่นก่อนได้รับอนุญาต ซึ่งมันก็เป็นลักษณะเฉพาะที่ดีที่หาได้ยากจากคนใกล้ตัวผม

เมื่อกี้ผมส่งข้อความไปหาไนล์ ถามว่าเขาทำอะไรอยู่ ซึ่งเขาก็ตอบกลับมาแค่...



อ่านหนังสือ นายน่ะ อย่าอู้



เท่านั้นผมก็กลั้นยิ้มไม่อยู่แล้ว พี่เจ๋งถึงสังเกตได้ง่ายดายถึงความผิดปกติของผม เพราะถ้าเป็นพวกเพื่อนๆ ส่งข้อความมาก่อกวน หรือส่งอะไรติดเรทมาผมคงไม่ยิ้มแบบนี้

“นิดหน่อยน่ะพี่”

“แหมๆ มีแฟนแล้วไม่บอกพี่บอกเชื้อน่ะมึงอะ”

เขาแขวะผมเล็กน้อย แต่นั่นเหมือนการแซวเล่นเสียมากกว่า เพราะตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบจะเทอมนึงแล้ว ผมยังไม่เคยมีอาการแบบนี้ให้เห็น แม้กระทั่งตอนที่คิดจะจีบพี่ดาหลา

“เอาไว้สอบเสร็จก่อนดิพี่”

ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่ผมก็แอบคิดอยู่เหมือนกันว่าตอนนี้ผมคงใช้คำนี้กับเขาได้แล้วใช่ไหม ถึงจะไม่ได้ระบุสถานะเจาะจงอะไร แต่ผมคิดว่ามันคงไม่ผิด แต่ผมจะขอทำให้มันชัดเจนอีกทีแล้วกัน เพื่อความสบายใจของเราทั้งคู่

“โหย น่าเบื่อวะ อะไรวะ เพื่อนก็มีแฟน นี่หลานรหัสก็ยังมีแฟน ปล่อยกูแห้งเหี่ยวเฉาตายอยู่คนเดียว”

หน้าพี่เจ๋งบู้บี้เหมือนเด็ก ตัดพ้ออย่างน้อยใจ แต่ก็น่าสงสารเขาอยู่หน่อยๆ เหมือนกัน เพราะตั้งแต่พี่ภูเป็นแฟนกับไอ้ยีน เขาก็คงขาดเพื่อนซี้ไปไหนมาไหนด้วย เพราะพี่ภูติดไอ้ยีนแจ ตอนนี้ก็ติวส่วนตัวกันอยู่ แต่ได้ความรู้หรือได้อะไรอย่างอื่นนี่ผมก็ไม่แน่ใจ คงได้อย่างใดก็อย่างหนึ่งล่ะนะ

ส่วนพี่ต้นกับพี่ปาล์มเขาก็อยู่สองคนผัวเมียของเขาอยู่แล้ว พี่แชมป์กับพี่บอสจริงๆ ก็อยู่คนละกลุ่มกัน เพราะฉะนั้นพี่แกเลยเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ โดนเพื่อนทิ้งกลายๆ

“พี่ก็หาแฟนสักคนสิ”

“หูย อย่างกูนี่ต้องเตรียมหาคนที่จะมาเป็นแม่ของลูกแล้วมั้ง แต่ก็คงยากว่ะที่จะได้ผู้หญิงในอุดมคติ”

ถ้าให้ผมเดาจากคำพูดของพี่เจ๋ง คงเป็นผู้หญิงเพียบพร้อมที่หาไม่ได้ในยุคนี้ล่ะมั้ง ถ้าเป็นไอ้เคลม คงสวนกลับไปว่า ‘พี่ต้องไปหาเอาในพิพิธภัณฑ์แล้วล่ะ รุ่นนั้นเลิกผลิตแล้ว’ แหงแซะ ผมยิ้มนิดๆ ก่อนจะตอบกลับไป

“พี่ก็อย่าตั้งความหวังไว้สูงสิ แต่เอาจริงๆ ผมว่าเรื่องสเปกคงไม่เกี่ยวล่ะมั้ง เพราะถึงเวลาจริงๆ เราก็ไม่ได้รักคนที่ตรงกับสเปกของเรา”

ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ไอ้ยีน แน่นอนว่ามันไม่ได้หวังจะรักชอบผู้ชายอยู่แล้ว มันชอบผู้หญิงอึ๋มๆ สวยๆ สนองตัณหาของมันได้ หัวไว แต่รู้จักวางตัวว่าต้องไม่ล้ำหน้ามัน ไม่ใช่ผู้หญิงซื่อๆ เพราะมันคงเบื่อ แต่สุดท้ายมันกลับกลายมาได้พี่ภูที่หล่อล่ำ ดักมันได้ทุกทาง แต่ก็ยอมอ่อนข้อให้มันบ้างแทน

ส่วนผม คงยกตัวอย่างไม่ได้ เพราะผมไม่ได้คาดหวังกับผู้หญิงแบบไหน อาจเพราะผมไม่ได้คิดจะเปิดใจให้กับใครจริงๆ แม้กระทั่งพี่ดาหลาที่ผมตัดสินใจเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน แต่สุดท้ายมันก็เหมือนกับผมหลอกตัวเอง ทว่าทั้งที่เป็นแบบนั้น ไนล์กลับเข้ามาอยู่ข้างในใจของผมโดยที่ผมไม่ได้เปิดประตูให้ด้วยซ้ำ เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ผมก็ยังได้แต่ถามตัวเอง แต่ถ้าถามว่าผมพอใจไหม ผมคงตอบได้คำตอบเดียว

ผมยินดีที่เขาเข้ามา...

“คำพูดคนมีความรักนี่มันบาดลึกกกก...”

พี่เจ๋งย้อนกลับมาเสียงยาวเหมือนจะแซวผม มิหนำซ้ำยังทำหน้ายิ้มเจ้าเล่ห์เสียอีก แต่ผมก็ไม่ได้หน้าบางมากระดากอายกับอะไรแบบนี้ เลยหลุดเป็นเสียงหัวเราะเบาๆ

“ก็หวังว่าสักวันลุงรหัสของผมจะได้เจอคนที่มาเติมส่วนที่หายไปเหมือนกัน”

“มึงนี่ทำกูขนลุก”

เขาว่าแบบนั้นแล้วกอดแขนตัวเองแสร้งทำตัวสั่น ก่อนเสียงหัวเราะของเราทั้งคู่จะกังวานไปทั่วห้องผสมผสานกัน และเริ่มเข้าสู่เนื้อหาที่ผมอยากให้เก็งสอบให้อีกครั้ง





สอบมาได้ครึ่งทางแล้ว ไอ้ยีนทำหน้าบู้บี้เหมือนไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไร มันเอาหน้าแนบโต๊ะ ร้องออกมาอยู่คำเดียวเหมือนเด็กเพิ่งหัดพูดแล้วยังพูดคำอื่นไม่ได้

“เบื่อโว้ยๆๆๆๆ”

“ถึงร้องไปก็ไม่ได้ช่วยให้อ่านหนังสือเร็วขึ้นหรอก”

ผมม้วนชีทในมือแล้วเคาะหัวมันเบาๆ พรุ่งนี้กับมะรืนพี่ภูกับพี่เจ๋งมีสอบเลยมาวอแวมันไม่ได้ ผมจึงมานั่งติวนั่งอ่านหนังสือกับไฮยีนแทน ถึงจะเข้าหัวบ้าง ออกจากหัวบ้างเพราะเสียงโวยของมัน แต่ก็ชินแล้ว ก็มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ ม.ต้น ที่รู้จักกันแล้ว

“ทำไมเรียนแล้วต้องมีสอบด้วยวะ มึงไม่คิดว่าวงการการศึกษาไทยควรจะปฏิวัติแล้วหรือไง”

มันอ้างนู่นนี่ก็เพราะความขี้เกียจนั่นแหละ

“ถ้าไม่มีสอบ แล้วเขาจะประเมินได้ไงว่าที่เรียนไปรู้เรื่องหรือเปล่า มึงนี่นะ”

“ก็กูไม่ชอบสอบอะ”

มันงอแงเหมือนเด็กๆ โยนชีทเรียนทิ้งแล้วปีนขึ้นโซฟาในห้องนั่งเล่นของผม เอาหมอนอิงปิดหน้า เหมือนจะกลั้นใจตายมากกว่าที่จะหลับ ผมมองภาพนั้นแล้วก็ได้แต่ส่ายหัว พลางนึกในใจว่าเวลาอยู่ต่อหน้าพี่ภู มันทำตัวแบบนี้หรือเปล่านะ?

เริ่มรู้สึกว่าพี่ภูเป็นผู้ชายที่ต้องพบเจอกับความลำบากแล้วสิ

ลองนึกดูสิครับ แฟนตัวเองทำตัวง้องแง้งน่ารักแบบนี้ ใครจะอดใจไหว?

เวลามันดื้อ มันก็น่าจับปราบพยศ เวลามันงอแง ก็น่าเอ็นดูให้หนำใจ นี่ผมเปล่าคิดอกุศลกับเพื่อนตัวเองนะ แค่คิดเผื่อไปถึงพี่ภูเฉยๆ ผมล่ะนับถือเลยที่เขาทนมันได้มาถึงตอนนี้

เพราะไฮยีนมันไม่ยอมให้กด

พี่ภูเคยไลน์มาถามผมเหมือนกันว่าทำยังไงให้เพื่อนมึงใจอ่อนยอมกูสักทีวะ?

ไอ้ยีนไม่รู้หรอกว่าหลังจากเคลียร์เรื่องค้างคากันระหว่างผมกับมันให้พี่ภูรู้แล้ว ผมกลายเป็นที่ระบายเรื่องอยากได้ใคร่รู้เกี่ยวกับมันให้พี่ภู แต่มันไม่รู้น่ะดีแล้ว ไม่อย่างนั้นผมคงโดนมันด่าว่าขายเพื่อนแน่ๆ

คิดเรื่องนี้ขึ้นมาแล้วอยู่ๆ ผมก็รู้สึกเหมือนแสงสว่างวาบขึ้นมา ไอเดียเด็ดๆ ปิ๊งขึ้นมาในหัวของผมจนต้องยกยิ้มกับตัวเอง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา พลางขยับมือจับโทรศัพท์ของตัวเอง

“ยีนๆ มึงเบื่อใช่ปะ”

“ก็เออดิ กูขี้เกียจอ่านหนังสือ”

มันตอบกลับมาด้วยเสียงอู้อี้ แล้วค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหมอนที่มันบังหน้าตัวเองไว้

“งั้นมึงมานี่ดิ”

ผมกวักมือเรียกมันที่เอนตัวนอนอยู่บนโซฟา มันก็ลุกขึ้นมาอย่างงงๆ ส่วนผมก็ยันตัวขึ้นจากที่นั่งอยู่บนพื้นเล็กน้อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปหอมแก้มมันเบาๆ อยู่แป๊บนึง มันก็เลิกคิ้วมองผมอย่างสงสัยว่าผมทำอะไร

“อะไรของมึงเนี่ย อยู่ๆ มาหอมแก้ม”

ไม่แปลกหรอกที่ผมจะหอมแก้มัน เพราะก็เคยทำอยู่หลายครั้ง ถ้าเป็นไอ้กัสกับไอ้เคลมคงแปลกพิลึกอยู่เหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ แค่จินตการแล้วแอบขนลุกเบาๆ เท่านั้น แต่กับยีนไม่ใช่แบบนั้น คงเพราะเราติดตัวกันมาตลอด ความสัมพันธ์ของพวกเราเกินขอบเขตที่จะหาคำมาอธิบายได้ มันก็เลยเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ผมจะสัมผัสมันโดยไม่คิดอะไรลึกซึ้ง

รอยยิ้มแต้มบนหน้าผมนิดๆ เมินคำถามของมันโดยสิ้นเชิง พลางขยับนิ้วมือที่อยู่บนโทรศัพท์ของตัวเอง กดส่งรูปที่เพิ่งแอบถ่ายเมื่อกี้โดยที่ไอ้ยีนไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อยไปยังห้องแชทที่เปิดค้างอยู่ และเหลือบตาดูนิดๆ ว่าอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาอย่างไร

ทันทีที่ขึ้นคำว่า Read โทรศัพท์ของไฮยีนก็ดังขึ้น

ผมแอบคิกคักอยู่ในใจคนเดียว มองเพื่อนรักที่ขมวดคิ้วมุ่นว่าใครโทรมา มันเอื้อมสุดตัวไปหยิบโทรศัพท์ที่แผดเสียงร้องซึ่งอยู่บนโต๊ะที่วางกองชีทเอาไว้ พอเห็นชื่อบนหน้าจอกับรูปภาพที่ผมเดาว่าพี่ภูคงเป็นคนตั้งเอาเองก็หลุดยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“โทรมาทำไมวะ”

ไฮยีนงึมงำอย่างงงๆ แล้วกดรับสาย ผมไม่รู้หรอกว่าประโยคแรกที่ปลายสายพูดคืออะไร แต่ไอ้ยีนตวัดหน้าหันขวับมามองผม ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินไปที่อีกมุมหนึ่งของห้อง แน่นอนว่ามันตาเขียวปั๊ด จ้องผมเขม็งทั้งที่เดินไปข้างหน้า เหลียวหน้ามาจนคอเกือบหลุด

ผมอ่านสายตาอาฆาตแค้นของมันได้ว่า...ไอ้เหี้ยกราฟ มึงทำห่าอะไร!

ผมไม่สนใจสิ่งที่มันด่าทอหรอก แต่แอบเงี่ยหูฟังว่ามันคุยว่าอะไร กระนั้นเสียงก็เบาเกินว่าจะได้ยินได้ แว่วๆ มาแค่เสียงฮึดฮัดว่า...

“ไม่มีอะไรโว้ย”

“มันแกล้งดิ อย่าโง่สิวะ”

ดุเด็ดเผ็ดร้อนไม่เบาเลยแฮะ

“แค่นี้นะ จะอ่านหนังสือ”

ก่อนหน้านั้นไม่ได้ยินว่ามันพูดอะไรอีก แต่ได้ยินประโยคสุดท้ายก่อนที่มันจะกดตัดสาย ผมเลยตะโกนไปเร็วๆ ก่อนที่สายจะตัด

“ไอ้ยีนมันเบื่ออ่านหนังสือ ทำยังไงดี”

สายถูกตัดไปแล้ว ไอ้ยีนทำหน้าขึงย่างสามขุมมาทางผม ท่าทางอยากให้มีเอฟเฟกต์พื้นสะเทือนมาด้วย แต่ตอนนี้ไม่ได้ถ่ายหนังเลยเติมเข้าไปไม่ได้

“ไอ้เหี้ยกราฟ มึงนะมึง”

พอเข้ามาใกล้ผมแล้วมันก็รีบถลาเข้ามา คงกะถวายศอกหรือเท้าให้ผมสักที แต่ว่าผมเบี่ยงตัวหลบเพราะเสียงไลน์ในมือถือดังพอดี เมื่อกดอ่านดู ผมก็หัวเราะก๊าก ยื่นหน้าจอที่เปิดค้างอยู่ให้เพื่อนดูพร้อมกับเสริมซาวนด์แทรคด้วยเสียงตัวเอง

“พี่ภูบอกว่าถ้ามึงอ่านหนังสือไปบ่นไป ให้กูนับไว้ด้วย บ่นเท่าไร จูบเท่านั้น ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ”

“ไอ้สาดดดดดดดด”

ยีนกระโจนเข้ามาล็อกคอผมแน่นแล้วยันขาถีบท้องผมอักๆ

ถามว่าเจ็บไหม เจ็บครับ แต่ผมสนุกมากกว่า






อ่านต่อด้านล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 20 : ยินยอม [19/9/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 19-09-2015 19:51:56





ต่อจากข้างบน




v


v



ในที่สุดก็ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายอีกครั้งหนึ่งในชีวิตไปได้ ผมสอบเสร็จแล้ว แต่ว่ายังไปหาไนล์ไม่ได้ เพราะว่าเขามีสอบวิชาสุดท้ายวันพรุ่งนี้ ผมเลยตัดสินใจกลับบ้านของตัวเอง เพราะได้กลับบ้านไปแค่ตอนก่อนสอบหนึ่งครั้ง จึงต้องกลับไปรายงานตัวกับคนที่บ้านซะหน่อย

พอถึงบ้าน ก็ได้รับอ้อมกอดอบอุ่นเหมือนเคย แม่หอมแก้มผมซ้ายขวาเป็นการตอบรับ ส่วนผมก็หอมท่านกลับไปเหมือนกัน ก่อนตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องสอบที่ระดมเป็นชุด เป็นอย่างไร ทำได้ไหม ยากหรือเปล่า ตั้งใจอ่านหนังสือไหม ซึ่งจริงๆ แล้วท่านไม่ค่อยสนใจหรอกว่าผมจะสอบได้คะแนนมากน้อยแค่ไหน เทอมนี้เกรดจะออกมาอย่างไร แต่ห่วงความรู้สึกผมเสียมากกว่า

กลัวว่าสอบได้คะแนนไม่ดี เกรดไม่สวยแล้วผมจะกังวล คิดมาก หรือว่าอ่านหนังสือจนพักผ่อนไม่พอ

เรียกได้ว่าความรู้สึกของผมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

แน่นอนล่ะ เพราะผมเคยทำให้ท่านหวาดกลัวว่าจะสูญเสียผมมาแล้ว ท่านจึงยินดียอมรับทุกอย่างถ้าเพียงแต่ไม่ต้องเสียผมไป ผมเองก็รู้สึกผิดอยู่เหมือนกันที่ลืมนึกถึงความรักความอบอุ่นของครอบครัว ยิ่งย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อไม่ถึงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ผมเกือบทำผิดพลาดให้ท่านต้องเสียใจอีกครั้งแล้ว

ผมคงเป็นลูกอกตัญญูที่ตายไปอาจจะตกนรกขุมที่ลึกที่สุดก็ได้ เพราะเกือบฆ่าตัวตายจากความไร้สติและความคิดชั่วแล่นของตัวเอง

เรื่องคราวนี้ผมไม่ได้บอกพ่อกับแม่หรอกครับ และก็นึกขอบคุณเพื่อนๆ อยู่เสมอที่มันคอยช่วยเหลือผมไว้ ทำให้ผมไม่ต้องทำบาปครั้งยิ่งใหญ่จนไม่สามารถแก้ไขได้

“แล้วเรื่องเด็กคนนั้น เป็นยังไงบ้างครับ”

หลังจากคุยเรื่องสอบกันจนจบแล้ว แม่ก็ถามผมขึ้นมา ผมทำหน้างงนิดหน่อย หันไปมองทางพ่อที่นั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ถึงท่านจะนั่งมองหน้าจอแท็บเล็ตในมืออยู่ แต่ผมแน่ใจว่าท่านกำลังเงี่ยหูฟังเหมือนกัน

ผมหันกลับมามองแม่ที่เบิกตากว้างขึ้นกว่าปกติเล็กน้อย รอฟังคำตอบจากผม แล้วก็เผลอยิ้มออกมา เพราะดูเหมือนว่าพวกท่านจะอยากรู้มาก ทั้งที่ตอนก่อนสอบที่ผมกลับมาบ้าน พวกท่านไม่ได้ถามเรื่องนี้เลย

“ก็... กำลังเป็นไปด้วยดีครับ”

“เป็นไปด้วยดียังไงครับ เขารับรักกราฟแล้วใช่ไหมครับ”

“แม่ใจร้อนจังนะครับ”

ผมแกล้งแซวพลางอมยิ้ม แม่ก็ทำหน้าบู้นิดๆ เหมือนน้อยใจ ก่อนจะหันไปตัดพ้อกับพ่อ

“ดูสิพ่อ เดี๋ยวนี้ลูกโตจนกล้าแซวแม่แล้วนะ”

“ก็คุณอยากทำหน้าอยากรู้เสียเกินหน้า ลูกได้ทีก็แซวสิ”

พ่อยังทำเป็นนิ่งอยู่ จริงๆ พ่อผมถ้าดูเฉยๆ แล้วจะเหมือนดุ แต่ท่านไม่ดุเลยครับ ตอนเด็กๆ ชอบชวนผมเล่นมากกว่าผมชวนท่านเล่นเสียอีก เรียกได้ว่าครอบครัวของเราอบอุ่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาจเพราะผมเป็นลูกชายคนเดียวด้วยล่ะมั้ง และพวกท่านก็ไม่อยากให้ลูกเสียคน เหมือนอย่างที่เคยเห็นว่าพอพ่อแม่ทำงานไม่มีเวลาให้ลูก ก็จะกลายเป็นปัญหาครอบครัวตามมา

“แล้วว่ายังไงล่ะครับกราฟ มัวแต่อมพะนำ แม่อยากรู้นะ”

ท่านทำตัวเหมือนเด็กๆ เขย่าแขนให้ผมเล่าให้ฟัง ผมเลยกอดแขนท่านตอบก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก

“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ กราฟรู้ตัวแล้วว่ากราฟรักเขา”

พูดมาถึงตรงนี้ แม่ผมก็ยิ้มหน้าบานแฉ่งเลยทีเดียว พลอยให้ผมยิ้มตามไปด้วยและเล่าต่อ

“แล้วกราฟก็เลยขอให้เขาอยู่กับกราฟ อยู่เคียงข้างกราฟต่อไปแบบนี้”

“ขอเป็นแฟนเหรอครับ”

“ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่กราฟก็บอกไปแล้วว่ากราฟรู้สึกพิเศษกับเขา แต่เดี๋ยวได้เจออีกทีกราฟจะพูดไปชัดๆ เลย”

“ดีมากครับ พูดกำกวมไม่ชัดเจน ผู้หญิงจะคิดมากเอา หาว่าเราไม่จริงใจ”

คำพูดของแม่ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ในความคิดของแม่ คนที่ผมพูดถึงคือผู้หญิง แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องคิดแบบนั้น ผมรู้สึกลำคอตีบตันอย่างกะทันหันจนต้องพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าอุปาทานไปเองหรือเปล่าลงไปในลำคอแล้วออกเสียงเบากว่าปกติ

“แต่ว่า...มันมีปัญหานิดหน่อยน่ะครับ”

“ปัญหาเรื่องอะไรครับ”

แม่ถามมาอย่างง่ายๆ แต่ผมรู้ว่าท่านยินดีรับฟังและพร้อมจะช่วยแก้ปัญหา ไม่อยากให้ผมปิดบัง ซึ่งผมก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรท่านอยู่แล้ว ถ้าเรื่องเหล่านั้นมันแน่ชัด

“เขาไม่มีพ่อแม่แล้ว... ก็เลยใช้ชีวิตลำบากนิดหน่อย ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย”

“น่าสงสารจัง ชีวิตคงลำบาก”

คนฟังเปร่ยเสียงเบา แต่ก็สบตาผมอย่างสงสัย เพราะมองว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรให้ผมต้องกังวลจนไม่กล้าจะเอ่ยเต็มเสียงนัก

“ผมยังไม่ได้รู้จักเขาดีหมดทุกอย่าง เพราะเขายังไม่เปิดใจมากพอจะเล่าเรื่องของเขาให้ผมฟังทั้งหมด แต่ผมจะรอให้เขาเชื่อใจผม ไว้ใจผมจนสามารถเล่าสิ่งที่เขาเก็บเอาไว้ในใจออกมาได้”

“ดีแล้วล่ะครับ กราฟเป็นผู้ชาย ต้องดูแลเขาดีๆ นะ แม่เชื่อว่าเขาจะต้องยอมเปิดใจให้กราฟแน่ๆ”

มืออวบเล็กลูบหัวผมเบาๆ อย่างนุ่มนวลให้ผมรู้สึกอุ่นเหมือนทุกครั้งที่ถูกทำแบบนี้

“แล้วก็...เขาเป็น...” เสียงของผมขาดหายไปช่วงจังหวะหนึ่ง ผมต้องพยายามเค้นเสียงออกมาจนมันหลุดผ่านลำคอที่ตีบตันขึ้นมาชั่วขณะได้ “ญาติของมิ้น”

เหมือนทุกอย่างรอบตัวจะหยุดลงในวินาทีนั้น แม่ชะงักค้างอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเบือนหน้าไปมองพ่อที่นั่งอยู่ที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง ผมรู้ว่าพวกท่านกังวลเรื่องอะไร ผมจับมือแม่มากุมเอาไว้ ลูบเบาๆ บนหลังมือราวกับกำลังปลอบ

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ไนล์ไม่ได้หวังร้ายกับผม”

“...”

ถึงผมจะพูดแบบนั้น แต่ท่านทั้งสองก็ยังนิ่งเงียบเหมือนยังไม่ไว้ใจนัก ถึงพ่อแม่ของผมจะไม่ใช่คนมองโลกในแง่ร้าย แต่ก็พร้อมจะมองทุกอย่างเป็นด้านลบ หากมีสิ่งใดทำให้เกิดอันตรายกับผม

“ไนล์ก็เหมือนกับผม มีจุดศูนย์กลางของชีวิตอยู่ที่มิ้น ผมไม่รู้ว่าเขาเจอกับอะไรมา แต่เท่าที่ได้คุยกัน เหมือนว่าเขามีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ไม่ทิ้งไปง่ายๆ ก็เพราะมิ้น”

มันอาจจะดูเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ที่ใครสักคนจะเป็นได้ขนาดนั้นเพียงเพราะคนคนเดียว แต่ผมที่เคยสัมผัสกับความรู้สึกแบบนั้นมาแล้ว เข้าใจมันได้อย่างถ่องแท้ และผมแน่ใจว่าครอบครัวของผมก็รู้สึกได้เช่นเดียวกัน

แม่ดึงมือออกไปจากมือของผมที่กุมเอาไว้แล้วเปลี่ยนมาลูบหลังมือของผมแทน ดูเหมือนท่านจะเข้าใจ ผมจึงรวบรวมความกล้าอีกครั้ง

“แม่ครับ” ผมเรียก ก่อนจะหันไปอีกทางหนึ่ง “พ่อครับ”

พวกท่านมองผมด้วยแววตาเหมือนกับกำลังรอคอยคำพูดต่อไปของผมอยู่

“ผมรักเขาได้ใช่ไหมครับ ถึงแม้ว่าเขา...จะเป็นผู้ชาย”

เกิดความเงียบงันขึ้นมากกว่าเมื่อกี้จนเหมือนความดันในชั้นบรรยากาศอัดกระแทกเข้าหูจนอื้อไป ผมมองหน้าพ่อแม่ที่ทำหน้าประหลาดใจชั่วครู่หนึ่งก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิตกกังวล ท่านทั้งสองมองหน้ากันอยู่นาน ราวกับกำลังประเมินสถานการณ์ว่าต่อไปจะทำอย่างไรดี เพราะสิ่งที่พวกท่านได้ยินเกินกว่าที่จะคาดเอาไว้

ผมแน่ใจ เพราะผมไม่เคยมีอาการรักชอบผู้ชายมาก่อน ถึงแม้ว่าจะสนิทสนมกับยีนมากเกินกว่าเพื่อนธรรมดา แต่พวกท่านก็เข้าใจว่าเพราะอะไร

ยีนเหมือนที่พึ่งทางใจ

เป็นยาบำบัดให้ผมหายจากอาการป่วยไข้

ผมไม่เรียกร้อง ไม่เร่งเร้าขอคำตอบ เพื่อให้ท่านทั้งคู่ได้ตัดสินใจ แม้ผมจะไม่เคยมีความคิดว่าหากโดนคัดค้านหรือขัดขวาง ผมจะยินยอมทำตามบุพการีแต่โดยดี ผมพร้อมจะอธิบายและให้เวลาพวกท่านค่อยๆ เปิดใจทีละนิด แม้อาจต้องใช้เวลามาก แต่ผมก็ยินดีจะทำ หากพวกท่านจะยอมรับได้ในสักวันหนึ่ง ทว่า...ผมก็คาดหวังเอาไว้ในใจอยู่เช่นเดียวกันว่าพวกท่านจะยอมเปิดใจยอมรับมันตั้งแต่แรก ถึงจะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพ่อแม่คนไหนก็ตาม

เวลาผ่านไปครู่ใหญ่พร้อมกับความรู้สึกอึดอัดในอก สุดท้ายแม่ก็หันกลับมาหาผมอีกครั้ง นัยน์ตาคู่นั้นจับจ้องใบหน้าของผม ก่อนจะมาหยุดที่ดวงตาทั้งสองข้าง เราสบสายตากันราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ผ่านทางนั้น จากนั้นท่านก็ค่อยๆ เขยื้อนริมฝีปากออกจากกัน เอื้อนเอ่ยเสียงที่ผมกำลังเฝ้ารอ

“ถ้าเขาทำให้กราฟมีความสุข... พ่อกับแม่ก็พร้อมจะเปิดใจจ้า”

รอยยิ้มค่อยๆ เผยออกจากใบหน้าของผม มันผุดขึ้นทีละน้อยคล้ายกับกลีบดอกไม้ที่กำลังผลิบานอย่างช้าๆ ผมรู้สึกว่ามันเป็นอย่างนั้น ขณะเดียวกันรอยยิ้มของแม่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

“ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าความสุขของกราฟหรอกครับ”

แม่ยื่นมืออวบอูมนั้นมาแนบแก้มผมเบาๆ ก่อนจะจรดริมฝีปากลงบนแก้มอีกข้างหนึ่ง ส่วนพ่อก็นั่งพยักหน้าเบาๆ มีรอยยิ้มแต้มอยู่บนใบหน้าคมดุนิดหน่อยคล้ายกับว่ายอมรับและเห็นด้วยในคำพูดของแม่เช่นกัน

“ขอบคุณนะครับแม่ ขอบคุณครับพ่อ”

ความรู้สึกหนักในอกที่ก่อตัวขึ้นเมื่อครู่มลายไปจนหมดสิ้น ผมไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากหรือกลุ้มใจกับเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียว เพียงแค่คำตอบจากไนล์อย่างชัดเจน ว่าพร้อมจะยอมเปิดใจให้ผมทั้งหมด

ทว่า...ผมเกือบลืมเรื่องหนึ่งไปสนิท กระทั่งเสียงข้อความเข้าดังมาจากโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู เห็นชื่อคนที่ส่งข้อความเข้ามาแล้วก็อมยิ้มกับตัวเอง เพราะเขาเป็นฝ่ายส่งข้อความเข้ามาในเครื่องของผมก่อน ทั้งที่ผมยังไม่ได้ส่งข้อความไปหาเขาเหมือนอย่างทุกที

นิ้วของผมขยับปลดล็อกเครื่องและเปิดเข้าไปดูสิ่งที่ถูกส่งมา แต่เมื่อเห็นสิ่งนั้น ร่างของผมก็ชาวาบพร้อมกับความสับสนมึนงงและสงสัยก่อตัวรวมกันราวกับพายุฝน



ถ้าฉันสอบเสร็จแล้ว ไปทะเลกัน




-----------
นึกว่าจะได้มาอัพอีกทีตอนสิ้นเดือนซะแล้ว งามท่วมทับมากเลยค่ะ
เหลือตอนหน้ากับบทส่งท้ายอีกหนึ่งตอนก็จบแล้วนะคะ
แล้วก็จะมีตอนพิเศษของไนล์อีก 1 ตอนค่ะ

Undel2Sky


หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 20 : ยินยอม [19/9/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 19-09-2015 21:32:19
ว้าวววว มาแว้วววว :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 20 : ยินยอม [19/9/58]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 19-09-2015 23:20:27
แอบสงสัยว่าพ่อแม่ไนล์ต้องมีประเด็นแน่
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 20 : ยินยอม [19/9/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 23-09-2015 16:59:03
อยากเห็นอิมเมจของ กราฟ กะ ไนล์อ่ะครับ  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 20 : ยินยอม [19/9/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 29-09-2015 11:41:44
คุณพ่อ คุณแม่กราฟ ใจดีจัง



สงสารพี่ภู ที่ยังไม่ได้กดไฮยีนส์ ฮ่าๆๆๆๆ



ไนล์ มีความลับเรื่องครอบครัวเยอะจัง



สงสารหัวใจคนเหงาที่ไร้ครอบครัว :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 21 : ขอบคุณความทรงจำ [5/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 05-10-2015 22:40:14
ตอนที่ 21 : ขอบคุณความทรงจำ










ไม่มีคำตอบกลับไปถึงไนล์หลังจากผมได้อ่านข้อความนั้น เพราะผมไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปว่าอย่างไรดี และก็ไม่กล้าจะเอ่ยถามถึงเหตุผลที่ไนล์กล่าวชวนแบบนั้นด้วย ผมคิดว่าการพูดคุยกันต่อหน้าโดยตรงคงจะดีกว่าจึงเฝ้ารอให้ไนล์สอบเสร็จและตรงไปยังแมนชั่นของเขาเมื่อถึงเวลานั้น

ไนล์ไม่แปลกใจที่เห็นผมอยู่ในห้องทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามา เขาวางหนังสือลงอย่างลวกๆ ดึงชายเสื้อออกจากกางเกงก่อนจะเปลี่ยนมาใส่กางเกงขาสั้นเก่าๆ แทนกางเกงสแล็คที่สวมอยู่ ขณะเดียวกันผมก็เดินไปที่กล่องเบียร์ใบเล็กๆ ที่เขาใช้เป็นที่วางพวกจานชามและหยิบแก้วน้ำมารินน้ำให้

เขารับน้ำไปดื่มโดยที่ไม่รู้พูดอะไรก่อนจะส่งแก้วคืนให้ผม เหลือน้ำอยู่นิดหน่อยในนั้นผมจึงดื่มมันให้หมดและวางแก้วไว้ที่เดิม ไนล์หย่อนตัวลงนั่งบนเตียง ผมจึงเดินไปนั่งข้างเขาเช่นกัน

ปล่อยให้ความเงียบกระจายตัวอยู่รอบพวกเราอยู่ครู่หนึ่ง ผมก็เอ่ยถาม

“สอบเป็นไงบ้าง”

“นึกว่าจะถามเรื่องนั้นเสียอีก”

น้ำเสียงของเขาตอบมาเนือยๆ เฉื่อยชาเหมือนไม่รู้สึกอะไรเท่าไร เขารู้ใจผมดีจริงๆ

“ก็อยากถามอยู่ แต่ตอนนี้อยากถามเรื่องสอบก่อน”

ไนล์หันมามองผมเล็กน้อย คล้ายกับจะดูว่าผมคิดแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา

“ก็โอเคดี ทำได้หมด แล้วนายล่ะ”

“เหมือนกัน พี่เจ๋งช่วยเก็งให้ว่าน่าจะเน้นตรงไหน แล้วก็อ่านหนังสือตลอดเพราะนายบอกว่าห้ามอู้นั่นแหละ”

ผมยิ้มบางๆ ที่ประโยคท้ายพลางนึกถึงข้อความที่เขาส่งกลับมาให้ เวลาที่อ่านหนังสือแล้วเบื่อ ผมจะหยิบมันมาดูทุกครั้ง และมันก็ทำให้ผมรู้สึกมีไฟขึ้น

“งั้นก็ดีแล้ว”

ไนล์เอนตัวไปด้านหลังจนหงายไปนอนบนที่นอน ปล่อยตัวตามสบายก่อนจะตอบมาแบบนั้น ซึ่งผมก็ทำตามเขา ล้มตัวลงนอนหงายมองเพดานห้องสีขาวที่ไม่ค่อยขาวสะอาดสักเท่าไรอยู่ครู่หนึ่ง แล้วค่อยเบือนหน้าไปมองเขา รวบรวมสติ พยายามเค้นเสียงออกมาให้เหมือนปกติที่สุด

“ทำไมนายถึงชวน”

เหมือนวนลูปกลับสู่วงจรเดิม ไนล์ไม่ได้ตอบผมในทันทีราวกับว่าเขาไม่รู้คำตอบ แต่ผมคิดว่าไม่ใช่แบบนั้น เขาคงรู้คำตอบของตนเองดีอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่เอ่ยออกมา ทว่าอาจเพราะเขาไม่รู้ว่าจะเลือกคำพูดแบบไหนเพื่อตอบผม ถึงได้ยังเงียบอยู่

ไนล์หันหน้ามาทางผมช้าๆ สบตากับผมอยู่อย่างนั้น เหมือนควานหาอะไรสักอย่างที่ผมซ่อนลึกอยู่ภายใน ซึ่งผมก็ไม่คิดหลบเลี่ยงสายตาของเขา ผมไม่มีความลับอะไรกับเขาแล้ว เขาสามารถคุ้ยหาทุกอย่างจากตัวตนของผมได้

“มีบางอย่างที่ทำได้เมื่อไปที่นั่นเท่านั้น”

คำตอบของเขาเป็นปริศนาเหมือนอย่างเคย ผมรู้สึกเหมือนมีเครื่องหมายปรัศนีขึ้นอยู่เต็มหัวผมไปหมด ไนล์ยังคงลึกลับไม่เปลี่ยน แม้ว่าเขาจะเปิดใจส่วนหนึ่งให้ผมได้เข้าไปยืนแล้วก็ตาม

“นาย...ไปกับฉันได้หรือเปล่า”

ไม่ทันให้ผมได้เผยอปากออกพูด เสียงของไนล์ก็ดังอีกครั้ง เขาเองก็รู้ว่าอาการของผมจะเป็นอย่างไรเมื่ออยู่ในสถานที่แห่งความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม

สัมผัสอุ่นๆ แตะที่มือ เรียกให้ผมต้องก้มหน้าลงมองทั้งที่รู้ว่ามันคืออะไร

ไนล์จับมือผมเอาไว้...

คล้ายกับว่ากำลังขอร้องให้ผมตอบรับคำขอของเขา

แล้วผมจะปฏิเสธได้อย่างไรกัน?

ทั้งที่มันอาจจะฆ่าผมทั้งเป็นอีกครั้งก็ตาม





หลังจากผมตอบรับเขาในลำคอเพียงสั้นๆ ว่า ‘อืม’ เราก็เริ่มเก็บของ ไนล์เก็บเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าเป้เก่าๆ ที่ผมไม่แน่ใจว่าใช้มากี่ปีแล้ว ก่อนที่ผมจะพาเขาไปที่คอนโดฯ ของผมเพื่อเก็บเสื้อผ้าส่วนของผมบ้าง เขาไม่ได้บอกผมว่าจะไปค้างกี่คืน และผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะทนอยู่กับสถานที่แห่งนั้นได้ไหม เมื่อได้ยินจุดมุ่งหมายที่เขาระบุไว้อย่างชัดเจนตอนนั่งรถมาที่คอนโดฯ ของผม

ที่แห่งนั้น...

ที่ที่มิ้นจากไป...

ไนล์บอกว่าต้องการไปที่นั่น

เก็บเสื้อผ้าของใช้สำหรับค้างสองคืนโดยประมาณแล้วผมกับไนล์ก็ออกไปกินอาหารเย็นด้วยกัน และกลับมาใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยในคอนโดฯ ก่อนจะเข้านอนเพราะตั้งใจว่าจะเดินทางตั้งแต่พรุ่งนี้เช้า ผมขับรถไปเองโดยใช้รถคันประจำ ไม่ได้ถอยทิกเกอร์ออกมาใช้ แม้ว่าจะไม่ได้เอามันมาวิ่งเล่นสักพักใหญ่ๆ แล้ว ไม่รู้ว่าเครื่องยนต์จะมีปัญหาบ้างหรือเปล่าก็ตาม

มันไม่ใช่เรื่องลำบากเท่าที่คิดในการขับรถเข้ามาจอดในโรงแรม เพราะหากมองจากทางด้านหน้า ผมไม่อาจเห็นสถานที่ซึ่งเป็นฝันร้ายของผมได้ เราไม่ได้ไปพักที่บ้านพักซึ่งอยู่ติดทะเลเหมือนในวันนั้น แต่เป็นโรงแรมในละแวกเดียวกัน โชคดีที่ช่วงนี้ไม่ใช่ไฮซีซั่น จึงสามารถหาห้องพักได้แม้ไม่ต้องจองล่วงหน้า

ผมติดต่อประชาสัมพันธ์แล้วดำเนินการเรื่องเช็กอิน ระหว่างเลือกห้องพัก ผมลังเลอยู่ว่าควรจะเลือกฝั่งไหน ด้านที่สามารถมองเห็นทะเลได้อย่างที่แขกคนไหนๆ ก็คงจะชอบกัน หรือฝั่งที่มองเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรมมากกว่าการเลือกแบบห้องเสียอีก สุดท้ายก็เลือกห้องดับเบิลเบดฝั่งสระว่ายน้ำหลังจากมองตาของไนล์อยู่พักใหญ่ แล้วเขาไม่ขัดอะไรขึ้นมา

เขาคงเห็นใจผมและมองว่ามันอาจจะโหดร้ายเกินไปหากเลือกฝั่งทะเลล่ะมั้ง

“ลงไปหาอะไรกินกันก่อนไหม”

หลังจากสำรวจภายในห้องพักและเก็บเสื้อผ้าเข้าตู้แล้ว ผมก็เสนอ เพราะตอนนี้เกือบบ่ายสามแล้ว มื้อเช้าเราแวะกินกันตอนประมาณก่อนสิบโมงเช้า ได้เวลาหิวพอดี

ไนล์ค่อยๆ ละมือจากผ้าม่านสีเทาอ่อนช้าๆ พลางถอนสายตาจากการเหม่อมองไปที่ท้องฟ้าและสระว่ายน้ำด้านนอกมาทางผม

“เปลี่ยนชุดเลยก็ได้”

ผมยักไหล่หน่อยๆ เป็นการรับคำเขา เพราะถึงเสื้อผ้าที่ใส่อยู่จะเป็นแค่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีน แต่เปลี่ยนเป็นชุดที่สบายตัวน่าจะดีกว่า เพราะมาถึงสถานที่พักผ่อนแล้ว แม้ว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาจะไม่ใช่อะไรแบบนั้น

ผมหยิบเสื้อออกมาชุดหนึ่ง เป็นเสื้อยืดสกรีนลายแบบที่ผมชอบ แต่เพราะว่ามันเป็นสีขาว ถึงได้โดนอีกฝ่ายทักอีกรอบ

“เอาชุดที่ลงทะเลได้”

เสี้ยววินาทีนั้น เหมือนผมกลายเป็นตุ๊กตาไขลานที่ลานหมดกะทันหัน ผมเงยหน้าขึ้นไปมองไนล์ที่ก้าวเท้าช้าๆ เข้ามาหาผม เหมือนคนไม่รู้ประสาหรือเพิ่งเคยมาเหยียบสิ่งที่เรียกว่าโลกเป็นครั้งแรก

เขามายืนประจันอยู่ตรงหน้าผมที่หน้าตู้เสื้อผ้า มองสบตากัน คล้ายกับกำลังสื่อสารข้อความบางอย่างผ่านดวงตาคู่นั้นให้ผมรับรู้ว่าเขาพูดความจริง และมีเจตนาแบบนั้น และทั้งที่ผมก็รู้ดีว่าน่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอยู่แล้ว แต่ผมก็ยังเกิดอาการแบบนี้

“อะ...อืม นั่นสินะ”

ได้แค่พูดออกไปแบบนั้น แต่ร่างกายของผมยังหงึกๆ หงักๆ เหมือนฝืนลานที่หมดไปแล้วให้กลับมาทำงานได้ต่อ และดูเหมือนเขาจะเข้าใจอารมณ์ของผม ถึงได้ยื่นมือมาแตะมือผมที่จับเสื้อยืดค้างอยู่ ผมเบือนหน้าไปมองเขาอีกครั้ง

“ฉันโอเค”

มองแววตาของเขาแล้ว ผมก็ตอบออกมาเพื่อให้เขาเบาใจ ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง ขณะเดียวกันก็อยากจะสู้ด้วยตัวเอง ผมยกแขนขึ้นเพื่อสวมเสื้อ เขาจึงปล่อยมือที่จับผมอยู่ออก และมาเปลี่ยนเสื้อผ้าบ้าง ตอนนี้ทั้งผมและเขาจึงอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นกันทั้งคู่ ก่อนจะลงไปที่ห้องอาหารเพื่อกินมื้อบ่ายด้วยกัน

นับว่าเป็นโรงแรมที่บรรยากาศดี และค่อนข้างเป็นส่วนตัว ทำให้ผมกับไนล์นั่งกินอาหารกันได้อย่างสบายๆ จนเริ่มบ่ายคล้อย แดดร่มลมตก เราทั้งคู่ถึงค่อยเคลื่อนตัวออกจากห้องอาหาร

ผมย่างเท้าออกมาจากโรงแรมเดินอ้อมไปทางด้านหลังเล็กน้อยก็มาถึงอาณาบริเวณที่เป็นพื้นทราย ท้องฟ้าสีครามมากกว่าจะเป็นสีฟ้าสว่าง สิ่งที่ผมหวาดกลัวแผ่กว้างสุดลูกหูลูกตา เสียงสาดซัดของมันกัมปนาทอยู่ในหูจนผมรู้สึกสั่นเล็กน้อย

ริมฝีปากของผมขบกันแน่น เพื่อระงับกักเก็บความหวาดกลัวในใจเอาไว้ ทว่าไนล์ก็รับรู้มันได้ เขาขยับเข้ามาใกล้ แล้วยื่นมือมาทางผม แบมันตรงหน้าจากตำแหน่งด้านข้างเพื่อให้ผมใช้มันเป็นหลักยึด หากบอกว่ารู้สึกสบายใจเล็กน้อย อาจจะใช่ ผมปลอบใจตัวเองว่ายังมีใครอีกคนที่กำลังจะก้าวเดินไปพร้อมกับผม

มือของผมวางลงบนมือของไนล์ ก่อนเขาจะกระชับมันแล้วก้าวเดินลงมาจากบันไดหินทีละขั้นให้ผมเดินตามอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งมาเหยียบบนพื้นทรายละเอียดสีครีมได้

“กลัวหรือเปล่า”

ไนล์ถามผมด้วยเสียงเรียบๆ เขาเหม่อมองไปทางด้านหน้า ไม่ได้หันมาทางผม ขณะที่ผมก็ได้แต่มองไปทางเขา ไม่กล้าหันไปยังสิ่งที่เขามองอยู่ คำตอบจากคำถามของเขา ผมแทบตอบได้โดยไม่ต้องผ่านสมอง

“อืม”

“แต่ถ้าเราไม่ก้าวข้ามมันไป ทั้งฉันทั้งนาย ก็ยังคงต้องเจ็บปวดกับมันทุกครั้ง”

เสียงของเขาเหมือนจะลอยไปตามสายลมที่พัดผ่านไป ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เขาพูดนัก หากพูดถึงผมคนเดียวคงจะไม่แปลก แต่เขากลับพูดถึงตัวเอง

“ฉันอยากผ่านมันไปให้ได้ เพราะนาย ฉันถึงรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง แต่ถ้ายังไม่เริ่มก้าวจากตรงนี้ ฉันรู้สึกว่าฉันจะไม่สามารถเดินไปพร้อมๆ กับนายได้ เพราะทั้งนายและฉันต่างก็ยังจมอยู่”

ผมยังงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูดอยู่ดี สิ่งที่ตอบเขาได้จึงมีเพียงความเงียบ และการมองใบหน้าของเขาอยู่อย่างนั้น ไนล์หันมามองหน้าผมเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เราเหยียบลงบนเม็ดละเอียด

“นายจะทำเพื่อฉันได้ไหม”

“...”

“ก้าวไปข้างหน้าพร้อมฉันได้หรือเปล่า”

“...”

“ก้าวไปพร้อมกัน อย่างที่นายอยากให้ฉันอยู่เคียงข้างนาย”

แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลที่เขาพูดออกมา แต่เมื่อถูกขอร้องด้วยคนคนนี้ มีหรือที่ผมจะสามารถจะปฏิเสธได้ ความหวาดกลัวในใจของผมที่ค่อยๆ ขยายตัวเหมือนจะลดความเร็วลง และหดลงไปทีละนิดๆ ผมกระชับมือไนล์ให้แน่นขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“ฉันจะพยายาม... มาผ่านมันไปด้วยกันเถอะ”

สิ้นเสียงของผมแล้ว เราสองคนต่างก้าวเท้าไปข้างหน้า ร่นระยะทางสู่ฝันร้ายให้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

ผมตัวสั่นจนรู้สึกได้ ไนล์ไม่ปล่อยมือจากผม รองเท้าของเราถูกถอดไว้เคียงคู่กัน ก่อนเท้าของผมจะสัมผัสกับฟองคลื่น เพียงเท่านั้นก็ทำให้ผมสะท้านไปกาย ดึงมือไนล์ที่จับกันอยู่ให้เดินกลับไปยังทางเก่า แต่เขาก็ยื้อเอาไว้แน่นพร้อมกับออกแรงดึงให้ผมเดินไปด้านหน้า ฝ่าสัมผัสยุบยับที่เหมือนกับกำลังไต่อยู่ที่ข้อเท้ามากขึ้นเรื่อยๆ

เสียงเซาะสาดหาดทรายดังหึ่งในหูของผม ปากของผมสั่นระริกจนต้องขบเอาไว้แน่น ความเปียกชื้นลามเลียมาจนถึงแข้ง ไล่ขึ้นมาจนถึงหัวเข่า ผมหลับตาแน่นด้วยความหวาดกลัว เสียงกรีดร้องว่า ‘ไม่’ สะท้อนไปทั่วโสตประสาท มือทั้งสองข้างกำจิกจนสุดแรง

ไนล์ไม่ปล่อย แม้ว่าเล็บสั้นๆ ของผมจิกลงไปบนหลังมือของเขา เสียงกระซิบแผ่วแทรกสอดเข้ามาพร้อมกับเสียงของคลื่น

“ลืมตาสิ”

“ฉัน...”

เสียงของผมหลุดออกมาได้เท่านั้น เพราะเริ่มหายใจไม่ออก อยากจะวิ่งออกไปจากตรงนี้เสียตอนนี้ แต่ก็ถูกไนล์รั้งไว้ แขนของผมถูกดึงมาด้านหน้ามากขึ้นจนรู้สึกเหมือนเจ้าของมือที่จับกันอยู่มาหยุดยืนตรงหน้า

“มองหน้าฉันสิ”

ผมยังคงหลับตาแน่น ไม่ยอมทำตามตามอย่างที่อีกฝ่ายบอก ยิ่งถูกเร่งเร้าก็เหมือนจะยิ่งทวีความหวาดกลัว ผมหมุนตัวกลับ ร้องออกมาเสียงดัง

“ไม่เอาแล้ว ฉันไม่ไหว”

จากนั้นก็ก้าวเท้าไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว สะบัดมือของตัวเองออกโดยไม่สนใจว่าร่างกายกำลังถูกใครจับเอาไว้ เพราะหากฝืนมากไปกว่านี้ สิ่งที่พันธนาการผมเอาไว้อาจจะไม่ใช่ไนล์ แต่เป็นหลุมลึกในใจ ก้นทะเลที่ไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งมีร่างของมิ้นอยู่

“กราฟ อย่ายอมแพ้สิวะ”

เสียงตะโกนดังขึ้นมาจากด้านหลังเมื่อผมก้าวออกไปได้แค่สองก้าว เสื้อยืดด้านหลังของผมถูกกระชาก คำพูดที่คล้ายสบถนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินยามเขาพูดกับผม

“ถ้านายไม่เผชิญหน้ากับมัน นายจะผ่านมันไปได้ยังไง”

“ฉันรู้... แต่มันยากเกินไป”

แขนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นมากอดตัวเองไว้ ผมตอบโดยไม่หันหลังกลับไปประจันหน้ากับเขา รู้ว่าตอนนี้ตัวเองช่างขี้ขลาดและน่าหัวเราะ แต่ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นได้แค่ไอ้ขี้แพ้ในตอนนี้

“มันยากเพราะนายไม่เตรียมใจที่จะสู้จริงๆ ต่างหาก นายกลัวอะไรเหรอ กลัวที่ต้องยอมรับว่าเสียมิ้นไป กลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง กลัวว่าจะต้องตายเหมือนมิ้น หรือว่ากลัวอะไร”

คำพูดของเขากระแทกใจของผมทุกประโยค ราวกับก้อนหินเท่ากำปั้นถูกเขวี้ยงมาอัดเข้าตรงอก ผมรู้สึกอึดอัดและเจ็บระบมจนต้องกระชับแขนที่กอดตัวเองเอาไว้มากกว่าเดิม

“นายจะต้องกลัวอะไรอีก ในเมื่อนายเสียมันไปหมดแล้ว”

“...”

“หันหน้ามาสิ หันมามองว่าตอนนี้ใครอยู่ตรงหน้านายกันแน่”

“...”

“ฉันคือมิ้นหรือไง”

น้ำเสียงของเขาสั่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมรู้สึกทนไม่ไหว ค่อยๆ คลายแขนของตัวเองออกก่อนจะหันกลับไปหาเขาอีกครั้ง ใบหน้าของไนล์มีแต่แววเครียดขึง จับจ้องผมเขม็ง ริมฝีปากของเขาสั่นเทาน้อยๆ ทำให้หัวใจที่สั่นด้วยความหวาดกลัวของผมเต้นแผ่วเบาลง

“ขอโทษ...”

สิ่งเดียวที่ผมพูดได้ในตอนนี้คือคำนี้ มันเบาบางจนแทบจะถูกอากาศหอบหายไปเพียงแค่ลมวูบเดียว ผมจ้องมองดวงตาของเขา

“ฉันจะพยายามอีกครั้ง”

บอกเขาแบบนั้นแล้วผมก็ดึงมือที่จับเสื้อด้านหลังของผมเอาไว้มากุมแทน ก่อนจะเดินไปด้วยกัน ก้าวลึกเข้าไปยังสถานที่เดิมที่ผมเคยควานหาร่างของมิ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สิ่งที่ผมจับเอาไว้ได้มีแต่ความว่างเปล่า หัวใจของผมบีบรัดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อคลื่นน้ำแตะร่างของผมสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผมพยายามรั้งเปลือกตาเอาไว้ไม่ให้มันปิดลงมา บีบมือไนล์แน่นพลางบอกตัวเองว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ข้างๆ ผม กระทั่งน้ำมาถึงเอว พวกเราก็หยุดลง ผมขบปากตัวเองแน่น ก่อนจะหันมามองคนที่อยู่ข้างๆ

เพียงเท่านั้นต้นคอของผมก็ถูกกระชากไปด้านหน้าอย่างแรง ใบหน้าของผมถูกประคองด้วยสองมือของคนตรงหน้าที่ผมไม่รู้ว่าเขาปล่อยมือผมออกไปตั้งแต่เมื่อไร ริมฝีปากของผมถูกบดขยี้อย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยกลีบปากนุ่มๆ ที่คุ้นเคย ไนล์ดูดไซ้ปากของผมอย่างรุนแรงราวกับโหยหามาแสนนาน

ปลายลิ้นอุ่นๆ ไล้เลียไปตามกลีบเนื้อก่อนจะหย่อนเข้ามาในปากของผมที่ยอมเปิดอ้าให้แต่โดยดี ผมขบดูดเนื้อนุ่มหยุ่มที่บดกระแซะเข้ามาหาผมไม่หยุดหย่อน กระหวัดลิ้นเข้าหยอกเย้ากับส่วนเดียวกันที่ไล้ลูบไปทั่วภายใน เราจูบกันดุเดือดร้อนแรงราวกับคนอดยาก

เสียงเฉอะแฉะจากเราทั้งคู่ดังสะท้อนอยู่ในหูของผม แทนที่เสียงเดิมที่ผมแสนเกลียด ลมหายใจเป่ารดกันอยู่และร้อนขึ้นเรื่อยๆ ผมโอบรัดรอบเอวบางซึ่งเปียกไปด้วยน้ำเค็มที่เซาะเป็นระยะจากระลอกคลื่น ดื่มด่ำกับรสจูบที่ไม่ยอมผละจากไม่รู้ว่ากี่นาที

กว่าจะละใบหน้าห่างจากกันได้ พวกเราก็หายใจหอบโยนกันทั้งคู่ ไนล์ส่งยิ้มให้ผมเล็กน้อย แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกราวกับว่ามีสัมผัสอ่อนนุ่ม เหมือนสำลี ปุยฝ้าย หรืออะไรสักอย่างคล้ายๆ นั้นกำลังห่อหุ้มร่างของผมเอาไว้

“เห็นไหม เพราะนายพยายาม นายถึงทำได้”

ผมพยักหน้าตามคำพูดของเขา แม้ว่าจะหวั่นๆ ในใจอยู่เล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนอย่างในทีแรก ไนล์ปล่อยมือจากใบหน้าของผม พลอยให้ผมปล่อยมือจากเอวเขาไปด้วย แล้วเขาก็คว้ามือของผมเอาไว้แทน บีบมันเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาอีกครั้ง พลางเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น

“มิ้น... ปล่อยกราฟจากอดีตได้แล้วนะ”

มันเป็นประโยคที่ผมไม่คาดคิดมาก่อน หากพูดว่าตะลึงงันก็คงไม่ผิดไปจากการอาการของผมในตอนนี้ ไนล์บีบมือของผมอีกครั้ง คล้ายว่าจะเรียกสติของผมให้กลับมายังเขา ขณะที่เขาจับจ้องมองเข้ามาในดวงตาของผม เหมือนกับพยายามสื่อความรู้สึกกับผมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

“ส่วนนายก็ปล่อยวางได้แล้ว ทิ้งความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดทุกอย่างเอาไว้ที่นี่ เก็บเฉพาะแต่ความทรงจำที่สวยงามเอาไว้ ว่าครั้งหนึ่งนายเคยมีคนรักที่น่ารักมาก และนายจะจดจำเขาตลอดไป เพราะฉันเองก็จะจดจำเหมือนกันว่ามีญาติที่มีความสำคัญและฉันก็รักมาก ชื่อมิ้น”

ผมพูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองหน้าเขาที่ประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ มันเบาหวิว ล่องลอย ไม่ใช่ความรู้สึกที่หนักอึ้งเหมือนที่ผมเคยแบกรับไว้ และเพราะแบบนั้นน้ำหนักที่ตกตะกอนอยู่ในใจของผมมันถึงค่อยๆ เบาลง ผมหายใจได้สะดวกขึ้น ราวกับความทุกข์กำลังเลือนหายไปช้าๆ เมื่อคิดตามคำพูดของเขา

ทิ้งความเจ็บปวดในอดีตเอาไว้ แล้วจดจำว่าเคยรักใคร

“ต่อจากนี้ ขอให้เราได้ยืนเคียงข้างผู้ชายคนนี้ต่อจากมิ้นนะ ขอให้มิ้นอนุญาตด้วย”

ไม่รู้เพราะอะไร แต่เหมือนความเศร้าเสียใจกำลังโหมกระหน่ำขึ้นมา ขณะเดียวกันความซาบซึ้งใจก็โถมทับ มันคละเคล้ากันจนแทบแยกไม่ออก แต่ก็ในใจลึกๆ กลับรู้สึกว่ากำลังยินดี ผมบีบมือไนล์กลับไป สูดลมหายใจเข้าลึกที่สุด เริ่มเข้าใจความรู้สึกว่าต้องยอมรับมากขึ้น และก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังก้าวผ่านกำแพงสูงตระหง่านออกไปเพื่อพบกับทิวทัศน์ภายนอกที่หลีกหนีมาโดยตลอด

ไนล์ทำให้ผมอยากจะทำแบบนั้น

ผม...อยากจะมีความสุขกับปัจจุบันของผม

ใบหน้าของผมหันไปรอบด้าน กวาดตามองไปทั่วทิศ ผิวน้ำที่เคลื่อนเป็นระลอกคลื่น ไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่เคยเห็น มันสะท้อนแสงแดดสีส้มจนระยิบระยับจนตาพร่า ความสวยงามที่ผมไม่เคยเห็นมาตลอดสามปีกว่า ผมได้มองมันด้วยตาของผมเองอีกครั้ง

ผมสูดลมหายใจลึกสุดปอด เปล่งเสียงให้ดังมากพอที่เราทั้งคู่จะได้ยิน และเผื่อแผ่ไปถึงคนที่ผมอยากจะให้ได้ฟังแม้ผมไม่รู้ว่าตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่ผมอยากให้เธอรับรู้

“ขอโทษนะที่ทำให้ตาย กราฟไม่ได้ตั้งใจ แล้วก็รู้สึกผิดและเสียใจมาตลอด แม้แต่ตอนนี้กราฟก็ยังคงรักและจำเรื่องมิ้นได้เสมอ แต่ต่อจากนี้กราฟจะก้าวเดินแล้วนะ เพราะมีคนทำให้หัวใจของกราฟกลับมาอีกครั้ง หวังว่ามิ้นจะไม่ว่า”

ผมเบือนสายตากลับมามองคนตรงหน้าเล็กน้อย สบนัยน์ตาของเขา ขณะหมุนมือที่จับกันอยู่เล็กน้อย ให้นิ้วของเราสอดประสานกัน ผมมองตาเขาเอาไว้และพูดสิ่งที่ตั้งใจจะทำนับจากนี้

“อดีตทั้งหมดกราฟยกให้มิ้น แต่ปัจจุบันและเผื่อไปถึงอนาคตจะเป็นของไนล์”

ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า แต่ผมคิดว่าสีหน้าของไนล์เปลี่ยนไป เขาก้มหน้าหลบสายตาของผมหน่อยๆ คล้ายกับกำลังซ่อนอะไรบางอย่างอยู่ ผมเอียงคอก้มหน้าลงเพื่ออ่านสีหน้าของเขา ก็เห็นว่ามันเป็นสีระเรื่อกว่าปกติ และผมค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่เพราะแสงแดดที่อาบใบหน้าของเขาอยู่ แต่เป็นเพราะเขากำลังเขินอยู่ต่างหาก

“ไนล์...”

ผมเรียกเขาให้เงยขึ้นมามองผม แต่ว่าเขาทำแค่เหลือบสายตาขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น ผมจึงโน้มหน้าเข้าไปใกล้เขามากขึ้น ก่อนจะบอกคำที่ผมอยากจะบอกเขาในเวลานี้ที่สุดให้ฟัง”

“ฉันรักนาย”

เขาเงยหน้าพึ่บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เหมือนคนไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน จนผมหลุดยิ้มออกมาแล้วพอเขาเห็นรอยยิ้มของผม เขาก็หน้าแดงแปร๊ดขึ้นมา แดงทั้งหน้าอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ก้มหน้างุดไปอีก แล้วพึมพำเสียงเบาจนผมต้องเงี่ยหูเข้าไปฟังใกล้ๆ

“อะไรนะ”

“อืม...”

เขาพูดออกมาแค่นั้น ผมก็ได้แต่งงว่าเขาหมายถึงอะไร เพราะก่อนหน้านี้ผมเหมือนจะได้ยินประโยคที่ยาวกว่านี้ ผมเลยยังไม่ยอมผละถอยออกมา ยังคงโน้มหน้าไปฟังเขาใกล้ๆ พลางมองริมฝีปากสีพีชเข้มนั้นด้วย ก่อนเขาจะทำให้หัวใจของผมพองโตจนแน่นไปทั้งอก เพราะคำพูดแผ่วเบาที่หลุดออกมา

“รัก...นาย”

ไม่ทันให้ผมได้คิดอะไรต่อจากนั้น ผมก็กดริมฝีปากเข้าประกบปากเขาอย่างรวดเร็วเสียแล้ว







อ่านต่อข้างล่าง


v



v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 21 : ขอบคุณความทรงจำ [5/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 05-10-2015 22:40:56




ต่อจากข้างบน




v



v




เมื่อวานหลังจากกลับไปถึงห้องพัก เปลวเพลิงแห่งความปรารถนาก็ลุกลามจนไม่อาจหยุดยั้งได้ ความร้อนแผ่ลามไปทั่วร่างเมื่อย่างเท้าเข้าไปในห้องน้ำ เพื่อชำระร่างกายที่เปียกปอนด้วยน้ำทะเล เราต่างสัมผัสลูบไล้เรือนกายกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เสียงหอบสะท้านดื่มด่ำกับความรักที่เพิ่มพูนจนทะลักล้นก้องกังวานจนอื้ออึงไปทั่วหู ราวกับจะทำให้ทั้งผมและไนล์ต่างเมามายยิ่งกว่า ผมโถมรักเข้าใส่เขาครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่เขาตอบรับผมทุกช่วงจังหวะที่ผมทะยานเข้าฝากฝังไอร้อน บีบรัดเสียจนผมแทบหน้ามืด เหวี่ยงตัวทะลุขึ้นเหนือเมฆละมุน และร่วงหล่นลงมาจนเสียววาบสะท้านไปทั้งกาย

ไฟร้อนแดงฉ่าจบลงที่เตียงนอน ร่างของพวกเราชื้นโชกไปด้วยเหงื่อที่คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นกายจนต้องอาบน้ำซ้ำอีกรอบ และโทรสั่งอาหารให้รูมเซอร์วิสมาส่งห้อง เพราะไม่อยากจะเสียพลังงานไปกับการเคลื่อนไหวโดยใช่เหตุ

ไนล์อ่อนเปลี้ยไปทั้งร่าง ขณะที่ผมเองก็บอกได้ว่าปวดเมื่อยตัวไม่น้อย

ถึงกระนั้นเขาก็ยังเอ่ยกับผมเสียงแผ่วด้วยสีหน้าจริงจัง

‘พรุ่งนี้เราลงไปที่ทะเลอีกนะ’

ผมเข้าใจความคิดของเขาได้ทันที คงเพราะเกรงว่าอาการของผมจะหายเพียงช่วงประเดี๋ยวประด๋าว จึงจำเป็นต้องพิสูจน์ซ้ำอีกครั้งว่าผมสามารถขจัดความกลัวได้อย่างหมดสิ้น

ดังนั้นผมจึงมาเดินเล่นอยู่ริมหาดกับเขาในช่วงเช้าตรู่ มือของเราสอดประสานกันเอาไว้ แกว่งเบาๆ ราวกับในโลกนี้มีอยู่กันเพียงลำพังสองคน ซึ่งมันก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่รู้สึกนัก เพราะเวลานี้ไม่มีใครออกมาเดินเล่นเลยสักคน อาจเพราะพระอาทิตย์ขึ้นไปพักหนึ่งแล้วก็เป็นได้

เสียงคลื่นสาดกระทบชายฝั่งเวลานี้เสนาะหูของคนฟังอย่างผม มันไม่ได้ทำให้ผมขนลุกชัน หัวใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกจากอกเพราะความขยาดเกรง ภาพที่ผมเห็นไม่ได้ดำมืดเหมือนจมอยู่ใต้น้ำที่ไร้หนทางออก แต่กลับเป็นน้ำทะเลสีเขียวครามอย่างที่ใครๆ มองเห็น ท้องฟ้าสว่างสีฟ้า แสงแดดอ่อนๆ ยังไม่ทำร้ายผิวนัก

ผมไม่คิดว่าจะมีวันที่ผมได้เห็นทิวทัศน์แบบนี้อีกครั้ง

แต่ในวันนี้ผมได้สัมผัสมันอีกครั้ง เพราะผมไม่ต้องเกรงกลัวแล้ว ในเมื่อผมมีไนล์อยู่ข้างๆ แบบนี้

“ฉันหายแล้วจริงๆ”

ผมหันไปยิ้มให้ไนล์ เส้นผมและเสื้อผ้าของพวกเราพลิ้วไหวไปตามกระแสลมจนเกือบจะดังพึ่บพั่บ ไนล์ส่งยิ้มกลับคืนมาให้ผม เหมือนว่าเขาเองก็ยินดีเช่นกันที่ผลออกมาเป็นแบบนั้น ก่อนเขาจะดึงมือผมไว้ ทำให้ขาของผมที่กำลังก้าวอยู่ชะงักไป

ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัย ขณะเดียวกันเขาก็จ้องผมอยู่สักพักราวกับมีเรื่องอะไรจะพูด เขากุมมือผมเอาไว้แน่น จนผมรอลุ้นว่าเขาจะพูดอะไรออกมา

“ฉัน...”

เสียงของเขาดังแผ่ว เหมือนยังไม่แน่ใจว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า พานให้ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาจึงเม้มริมฝีปากสีสวยนั่นเบาๆ ก่อนจะเปล่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง

“ฉันเคยมาที่นี่”

ผมไม่เข้าใจ จากที่เลิกคิ้วก็เปลี่ยนเป็นย่นคิ้วเข้าหากันนิดหน่อย คล้ายว่าจะขอคำอธิบาย ไนล์กระชับมือผมเอาไว้แน่นขึ้น

“ฉันอยากสารภาพกับนาย”

“...”

“วันนั้น... วันที่เกิดอุบัติเหตุที่นี่”

เขาเงียบเสียงไปอีก แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลอยให้ผมลุ้นไปด้วย แม้ว่าจะเริ่มรู้สึกถึงเค้าลางของอะไรบางอย่างจากประโยคที่เขาพูดมา ทว่าเมื่อเขาพูดออกมา หัวใจของผมก็หยุดเต้นไปหนึ่งจังหวะ

“ฉันอยู่ที่นี่ด้วย”

ผมมองเขาอย่างไม่เข้าใจ คำพูดของเขาไหลผ่านสมองผม ผมได้ยินชัดเจน แต่ผมกลับรู้สึกว่าผมไม่เข้าใจความหมายนั้น ไนล์จ้องมองเข้าในดวงตาของผมด้วยประกายบางอย่าง ก่อนจะเอื้อนเสียงออกมาอีกรอบ

“มิ้นขอให้ฉันมาที่นี่ด้วย เหตุผลที่พ่อของมิ้นอนุญาตให้มิ้นมาเที่ยวกับพวกนายได้ ก็เพราะว่าฉันมาด้วย มิ้นตั้งใจว่าจะแนะนำให้ฉันรู้จักกับนาย...ในคืนนั้น แต่ว่ามันเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาเสียก่อน ฉันเองก็เป็นเหมือนนาย ฉันช่วยมิ้นไม่ได้ ได้แต่มองนายทุรนทุรายเพราะสูญเสียมิ้นไป ขณะที่ตัวเองได้แต่นิ่งอึ้งเพราะทำอะไรไม่ถูก”

เสียงของเขาสั่นเครือมากขึ้นยามเล่าให้ผมฟัง ดวงตาที่จ้องมองผมอยู่เริ่มรื้นด้วยน้ำใสๆ ผมต้องยกมือขึ้นแตะที่ขอบตาของเขาเบาๆ ให้สิ่งที่เกาะอยู่บนนั้นไหลลงมา แล้วปาดซับมันทิ้งให้อย่างเบามือ

เขาเองก็ปวดร้าว เขาเองก็เปราะบาง...จากการสูญเสียเหมือนกับผม

ผมเข้าใจแล้ว... ไมได้มีผมคนเดียวที่เจ็บปวด

“ขอโทษนะ” ผมเอ่ย

ไม่ใช่ผมคนเดียวที่ต้องเผชิญกับเงาดำมืดของการสูญเสีย

ไนล์เองก็เหมือนกัน

แต่ว่าเขากลับอดทน ฝ่าฟันและผ่านมันมาพร้อมกับฉุดดึงผมขึ้นมาจากก้นทะเลลึก

ตอนนี้ถึงเวลาที่ผมจะฉุดเขาขึ้นมาแล้วใช่ไหม

เป็นผมเองที่ถึงเวลาต้องเข้มแข็งเพื่อเขาบ้างแล้ว

“ฉันไม่เคยรู้ ถึงได้ทำตัวอ่อนแอทั้งที่นายเองก็เสียใจ”

“...”

“แต่ต่อจากนี้ไปมันจะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ผมฉันจะกุมมือของนายไว้ กอดนายเอาไว้ แล้วเข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน จะไม่มีใครต้องจมอยู่กับความเสียใจเพียงลำพังอีกแล้ว”

ผมดึงมือของเขาขึ้นมาจูบเบาๆ เหมือนกับจะให้มันเป็นดั่งการปฏิญาณคำมั่น ไนล์เงยหน้าขึ้นมองผม ดวงตาของเขาสั่นไหว แต่ต่างจากเมื่อครู่นี้ ประกายที่สะท้อนออกมาไม่ใช่ความเศร้าสร้อย ทว่าแวววาวด้วยความหวัง

“เราต่างก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว เรามีกันและกัน”

รอยยิ้มระบายน้อยๆ บนหน้าของผม ขณะที่ใบหน้าของเขาก็ผุดยิ้มขึ้นมาจางๆ เราต่างกระชับมือกันโดยไร้คำพูด แต่รู้สึกได้ถึงความเข้าใจกันและกันอย่างลึกซึ้ง ถ่องแท้

เท้าสองคู่ออกก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง ฝากรอยบุ๋มไว้บนผืนทรายเปียกๆ เอาไว้ชั่วครู่ ก่อนมันจะถูกกลบไปด้วยคลื่นน้ำที่สาดเซาะหาดทราย กลายเป็นพื้นเรียบๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรมาก่อน ถึงกระนั้นก็จดจำได้ว่ามันเคยมีรอยเท้าของเราฝังไว้ เฉกเช่นเดียวกับเราสองคน ที่แม้จะก้าวเดินต่อไป แต่ก็ไม่ลืมเลือนว่าเคยมีใครสำคัญที่สุดสำหรับพวกเรา

ผมทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า มองท้องฟ้ากว้างไกล รับรู้อุณหภูมิจากร่างกายของไนล์ที่ถ่ายทอดผ่านมือมายังร่างกายของผม พร้อมกับพูดกับตัวเองในใจ

เป็นคำขอบคุณ... เป็นคำบอกลา...



ขอบคุณนะ ที่ทำให้กราฟได้มาเจอไนล์

ขอบคุณ... มิ้น ความทรงจำที่ดีที่สุด









-------------------
ตอนหน้าเป็นตอนส่งท้ายแล้วค่ะ
แล้วก็มีตอนพิเศษอีก 1 ตอนนะคะ

ส่วนเรื่องอิมเมจที่มีคนถามไว้
เคยหาอยู่เหมือนกันค่ะ แต่มันยังไม่โดนเลย ก็เลยไม่มีมาให้ดูค่ะ   :hao5:


Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 21 : ขอบคุณความทรงจำ [5/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 06-10-2015 06:21:58
เฮ้อออ ผ่านพ้นความเศร้าไปด้วยกัน จะได้มีความสุขซะทีนะ :katai2-1: :katai2-1:

อ่านแล้วมีความสุขจัง ยิ้มตลอดเลย ยิ้มแก้มจะแตก  :impress2: :impress2:

ไม่อยากให้จบเลยอ่ะ :ling1: :ling1: อยากอ่านไปเรื่อยๆ

แต่อยากรู้อ่ะ ใครจ่ายค่าเทอมให้ไนล์อ่ะ พ่อแม่ไม่มี ค่าเทอมก็แพง สงสัยตั้งนานและ เหอๆๆ :hao3:

มาต่อไวๆนะคับ รออยู่  :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนที่ 21 : ขอบคุณความทรงจำ [5/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 06-10-2015 16:40:45
ในช่วงที่มีความทุกข์ กราฟมีครอบครัว



กราฟมีเพื่อน ไฮยีนส์แอนด์เดอะแกงส์



แล้วไนล์หนูมีใครลูก หนูต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวมานานเท่าไร



หนูต้องอดทน และ ทนอด ขนาดใหนลูก



แต่เรื่องเหล่านั้นผ่านมาแล้ว  กราฟกับไนล์คงไม่ต้องกลับไปเจออะไรทีโหดร้ายอีกแล้ว
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 11-10-2015 19:09:01
บทส่งท้าย : ความสุข










ช่วงปิดเทอม พี่ไฮโซพี่ชายของไฮยีนกลับมาเมืองไทยระยะหนึ่ง ไอ้ยีนเลยจัดเลี้ยงกันที่บ้าน พวกผมกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง หลังจากปิดเทอมไปได้ไม่กี่วัน แต่พอได้เจอหน้า ไอ้ยีนกลับลากผมไปคุยแบบส่วนตัว และพูดประโยคที่ทำให้ผมตกใจ

‘บอกกูหน่อยได้ไหมว่ามึงกับมันมานอนอยู่บนเตียงด้วยกันได้ยังไง การพนันของมึงไม่ใช่แบบนี้ไม่ใช่หรือไง’

ผมจึงถือโอกาสบอกความจริงไปว่าผมกับไนล์เป็นแฟนกันแล้ว แต่ว่ามันไม่พอใจมาก ถึงขนาดขอร้องผมให้เลิกยุ่งกับไนล์ซะ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทำแบบนั้น ผมอยากให้มันเข้าใจ อยากให้มันเปิดใจยอมรับไนล์ และอยากให้มันเข้าใจว่าที่มันไม่ชอบไนล์ก็เพราะเรื่องเข้าใจผิดทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นพอไอ้ยีนกลับมาจากเชียงใหม่กับพี่ภูหลังจากเคลียร์เรื่องของมันเสร็จแล้ว ผมก็เรียกมันกับเพื่อนๆ มาที่คอนโดฯ ของผมเพื่อแนะนำตัวกันอย่างเป็นทางการ หรือจะเรียกว่าประจันหน้ากันก็คงไม่ผิดนัก ไอ้กัสกับไอ้เคลมน่ะยังไม่เท่าไร เพราะมันไม่ค่อยชอบยุ่งวุ่นวายอะไรนัก แต่ผมว่าไอ้กัสคงพอรู้เลาๆ อยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ผมไปตามหาไนล์ที่คณะมัน ปัญหาใหญ่อยู่ที่ไอ้ยีนนี่สิ

ทั้งสองคนต่างมองหน้ากัน เหลือบมองกันเป็นระยะด้วยแววตาที่ไม่ปกติจนผมหวั่นใจว่าจะมีเรื่องกันหรือเปล่า และที่น่าแปลกคือไม่ใช่แค่ยีนที่เป็นแบบนั้น ไนล์ก็เช่นเดียวกัน ทั้งที่ปกติแล้วเขาไม่ค่อยแสดงอารมณ์ความรู้สึกอะไรออกมามากนัก แต่กลับเห็นได้ค่อนข้างชัดเลยว่า...

เขาไม่ขอบขี้หน้ายีน

“มึงมานี่หน่อย”

คงเพราะอึดอัดใจหรืออะไรสักอย่าง ไอ้ยีนถึงล็อกคอผมแล้วลากไปทางห้องนอนของผมด้วยกัน ผมได้แต่มองไนล์ที่มองมาทางผมกับยีนโดยไม่ละสายตา กระทั่งมาถึงห้องนอนมันก็ปิดประตูล็อกกลอนอย่างแน่นหนาทันที ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างถือวิสาสะ แน่นอน เพราะมันมานอนที่นี่หลายครั้งจนนับไม่ได้แล้ว

“ทำไมมึงต้องมองไนล์ตาขวางด้วยวะ”

ผมเริ่มถามขึ้นมาก่อน เพราะมันยังไม่พูดอะไร พลางเดินไปนั่งข้างๆ มัน ซึ่งมันก็ตอบมาง่ายๆ

“หน้าตามันหาเรื่องกูก่อน”

“มันไม่ได้หาเรื่องมึง หน้ามันนิ่งๆ แบบนั้นอยู่แล้ว”

ผมแก้ตัวให้ เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครเห็นไนล์แล้วจะเข้าใจผิด แต่ว่าไฮยีนก็ยังสวนกลับมาแบบไม่ยอมรับคำพูดของผม

“ดูก็รู้ว่ามันไม่ชอบขี้หน้ากู”

“เอ้า อะไรของมึงเนี่ย มึงคิดไปเองหรือเปล่า”

“กูไม่ได้คิดไปเอง”

มันยังคงยืนยันหนักแน่น ปกติมันก็เป็นคนที่ชอบเขม่นคนไปทั่วอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นช่วง ม.ปลาย คงไม่มีอริมากมาย และคอยก่อเรื่องจนป๊ามันต้องหักดิบด้วยการยึดเลพเพิร์ด รถสุดรักสุดหวงของมันหรอก

“เออๆ ก็ได้ๆ แต่ถือว่ากูขอแล้วกัน ไนล์เป็นแฟนกู มึงก็อย่าเขม่นมันให้มาก กูไม่อยากให้เพื่อนกับแฟนมีปัญหากัน โอเคปะ”

“กูรู้ว่ามึงเป็นยังไง แต่อย่าให้มันมาหาเรื่องกูก่อนแล้วกัน”

ผมนึกภาพไม่ออกว่าไนล์จะหาเรื่องไอ้ยีนได้อย่างไร หากให้นึกก็มีแต่เพื่อนรักผมนี่แหละที่จะไปกระชากคอเสื้อไนล์แล้วโวยวายใส่เสียก่อน

“มันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า”

“ใครจะไปรู้ คราวนั้นแม่งยังทำเลย”

คราวก่อนที่ว่าคงเป็นเรื่องสองคนนั้นต่อยกันที่ทะเลนั่นแหละ ผมเพิ่งเคยเห็นไนล์ต่อยคนเป็นครั้งแรก ถึงจะเข้าใจเหตุผลแล้วว่าเขาอยากจะพิสูจน์ว่าผมหายจากอาการกลัวทะเลแล้วหรือยัง เพราะเห็นว่าผมไปที่ทะเลได้ก็ตาม แต่เพราะต่างคนต่างไม่เข้าใจจุดประสงค์ของกัน ถึงได้มีเรื่องกันแบบนั้น

“คงไม่มีคราวหน้าหรอก กูบอกแล้วนี่ว่ากูหายจากกลัวทะเลแล้ว”

“เออ ที่กูยอมก็เพราะว่ากูขอร้องแล้วมึงไม่ยอมเลิก แถมมันทำให้มึงดีขึ้นแล้วก็มีความสุขหรอกนะ แต่ถ้าเมื่อไรมันทำให้มึงต้องเสียใจ กูไม่ปล่อยมันไว้จริงๆ แน่ กูสาบานเลย”

มันตอบด้วยท่าเอาจริงเอาจังสุดๆ จนเหมือนจะมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ในแววตาของมัน ผมยิ้มให้กับท่าทางของเพื่อนนิดๆ ก่อนจะดึงมันเข้ามากอด เข้าใจอารมณ์ของมันดีว่ามันรักมันห่วงผมมากแค่ไหน เพราะผมเองก็ไม่ต่างจากมันหรอก

“อืม กูขอบใจมาก ยังไงกูก็รักมึงเหมือนเดิม”

“กูก็เหมือนกัน”

ไอ้ยีนตบหลังผมแปะๆ ก่อนจะกอดผมกลับแป๊บนึง จากนั้นก็ผละจากกันออกมา ยิ้มให้กันหน่อยๆ แล้วค่อยลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเปิดประตูห้อง

พอเราออกจากห้องมา ก็เห็นว่าไอ้กัส ไอ้เคลม แล้วก็ไนล์นั่งคุยอะไรกันอยู่ ดูเหมือนว่าจะเป็นพันธมิตรกันได้ ถึงไนล์จะยังมีท่าทางและสีหน้านิ่งๆ อยู่ไม่ต่างจากปกติ แต่ผมคิดว่าทั้งสองคนคงเข้าใจ

ไอ้ยีนเดินตรงเข้าไปหาไนล์ ยื่นมือออกไปตรงหน้าเขา ส่วนไนล์ก็เงยหน้ามองยีนหน่อยๆ เหมือนงงว่ายื่นมือออกมาทำไม ไฮยีนเลยต้องพูดออกมาด้วยท่าทางแข็งกระด้าง เหมือนไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“สงบศึก แต่บอกไว้เลย ถ้ามึงทำให้เพื่อนกูเจ็บ มึงตายคาตีนกูแน่”

ไนล์ยังมองมือของยีนที่ยื่นค้างอยู่อย่างนั้นโดยไม่พูดอะไร สีหน้ายังคงนิ่งเฉย จนมองเผินๆ เหมือนกับจะท้าทาย พานให้คิ้วของไอ้ยีนกระตุกเบาๆ ขณะที่คนอื่นๆ มองอย่างลุ้นๆ ว่าจะเกิดการวางมวยขึ้นหรือเปล่า ผมซึ่งเป็นตัวกลางจึงต้องเดินเข้าไปหา วางมือบนบ่าของไนล์เบาๆ เขาถึงได้ยื่นมือออกไปจับมือของยีน

เพียงแค่มือสัมผัสกัน ยังไม่ทันกระชับกันดี ยีนก็ดึงมือออกแล้วหมุนตัวไปทิ้งลงบนโซฟาตัวที่อยู่ใกล้ๆ อย่างไม่สบอารมณ์บ่นพึมพำเบาๆ แต่ก็ดังพอให้ได้ยินกันจนทั่ว

“แม่งทำเป็นเล่นตัว นึกว่ากูอยากหรือไง”

ผมถึงกับส่ายหัว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ไอ้เคลมที่ถนัดเรื่องรื่นเริงเลยวิ่งปรู๊ดไปที่ตู้เย็น หยิบเบียร์หลายกระป๋องมากอบไว้เต็มแขนแล้วเดินเอามาวางที่โต๊ะ

“แดกเบียร์กันดีกว่าเว้ย เมาแล้วเดี๋ยวอะไรไม่ดีๆ มันก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ”

คนเสนอไอเดียยิ้มร่า แจกจ่ายกระป๋องเผื่อแผ่ให้ทั้งวง ไอ้ยีนอิดออดนิดหน่อย ไม่ใช่ไม่พอใจคำพูดของไอ้เคลมหรอก แต่เป็น...

“กูไม่ชอบแดกเบียร์ กูชอบบรั่นดีเว้ย”

คนหวังดีแต่โดนคนเรื่องมากปฏิเสธเลยตบหัวมันไปหนึ่งที แล้วบอก

“งั้นมึงกลับไปแดกกับผัวมึงเลยไป๊ ที่นี่มีแต่เบียร์”

“ไอ้สัตว์!!”

ไอ้ยีนทำหน้าขึงขังขึ้นมาทันทีพอโดนจี้จุดต้องห้าม แทบจะปากระป๋องเบียร์ใส่ไอ้เคลม ไอ้กัสที่นั่งมองอยู่นานเลยปรามบ้าง

“พวกมึงนี่นะ แดกๆ ไปเหอะ สุดท้ายแม่งก็เมาได้เหมือนกัน”

เหมือนว่าเหตุการณ์จะสงบลงแล้ว ผมเลยเดินไปหาขนมขบเคี้ยวมาเพิ่มให้ จากนั้นค่อยมานั่งลงข้างๆ ไนล์ แล้วการสรวลเสเฮฮาของพวกเราก็เริ่มขึ้น กระป๋องเบียร์ที่ไอ้เคลมแบกมาหมดลงอย่างรวดเร็ว ที่อยู่ในตู้เย็นของผมเองก็หมดลงเหมือนกัน แต่สติของพวกเรายังอยู่ครบทั่ว มีแค่เซๆ กันไปบ้างเล็กน้อย ไม่ออกอาการมากนัก

“คืนนี้พวกมึงนอนนี่ใช่ไหม”

พอผมถามแบบนั้น ไอ้พวกที่เหลือก็ทำหน้าคิดกันหน่อย เพราะคอนโดฯ ของผมมีสองห้องนอน อย่างไรก็แบ่งกันนอนได้พออยู่แล้ว แต่ไอ้เคลมกลับพูดขึ้นมา

“จะดีเร้อ ให้พวกกูนอนด้วย เผื่อมึงอยากป้าบๆๆๆ พวกกูมานอนฟัง เดี๋ยวหื่นขึ้นกูจับไอ้กัสปล้ำขึ้นมาทำไง”

มันพูดอย่างเดียวไม่พอ ยังเอามือมากระแทกกันประกอบคำว่า ป้าบๆๆ ด้วย ส่วนไอ้กัสที่ถูกพาดพิงก็ส่ายหัวอย่างเหนื่อยหน่ายใจกับความคิดของมัน ก่อนจะบอก

“กูว่าจะได้ป้าบๆๆๆ แทน”

แล้วมันก็เอาเท้ากระทืบพื้นประกอบให้รู้ว่า ป้าบๆ ที่พูดถึงคืออะไร เล่นเอาไอ้เคลมหัวเราะ

“แล้วมึงอะ”

ผมหันไปถามไอ้ยีน มันก็ส่ายหัว แต่ทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนตอบ

“ไอ้เหี้ยพี่ชมพูบอกจะมารับ”

“หูยยย เอาไปเลยรางวัลผัวดีเด่น”

ไอ้เคลมพูดจาวอนตีนเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ใช่แค่วอนด้วย แต่โดนไอ้ยีนยกเท้าถีบด้วย มันหัวเราะเอิ๊กอ๊ากหน้าแดง ก่อนจะวิ่งไล่ปลุกปล้ำกันไปเหมือนเด็กๆ

“งั้นแล้วพวกมึงจะกลับยังไงกัน”

ผมหันไปถามไอ้กัส

“แท็กซี่ก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยมาเอารถ”

มันว่างั้น ผมก็พยักหน้ารับ มันเลยลุกขึ้นบอกว่า ‘งั้นเดี๋ยวพวกกูกลับเลยดีกว่า ก่อนที่ไอ้เคลมจะตายคาตีนไอ้ยีนจริงๆ’ ผมหัวเราะเสียงแห้ง มองไอ้กัสเดินไปลากคอเสื้อไอ้เคลมให้ออกไปจากห้อง

“กลับดีๆ นะพวกมึง”

มันสองคนโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าไหวๆ ก่อนห้องจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง แล้วเป็นไนล์ที่พูดขึ้นมาก่อน เขาหน้าแดงเรื่อเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ ผมเพิ่งเห็นเขาดื่มครั้งแรก ไม่แน่ใจว่าเมาหรือยัง เพราะสังเกตไม่ออก ตลอดเวลาที่ดื่มกัน เขานั่งฟังเพื่อนผมพล่ามๆ เล่าเรื่องตลก ขำโดยยิ้มบางๆ บ้างนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ผสมโรงหรือพูดอะไร ยังคงเงียบเหมือนเดิม

“ฉันเข้าห้องก่อน”

ไนล์บอกแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปเลย ผมมองตามร่างของเขาที่ผลุบหายเข้าไปหลังกรอบประตูแล้วก็หันมามองหน้าเพื่อนตัวเอง มันทำหน้ายู่ปากย่นใส่เหมือนจะไล่ส่ง จนผมต้องส่ายหัว

“อะไรของมึง”

“นี่กูไม่ชอบขี้หน้ามันจริงๆ นะ”

“ไม่ชอบก็ไม่ชอบ แต่อย่ามีเรื่องกันก็แล้วกัน กูเป็นคนกลาง กูลำบากใจ”

ผมพูดอย่างปลงตก เพราะรู้จักไอ้ยีนดีกว่ายิ่งใคร การเปลี่ยนใจมันยากแบบว่าโคตรของโคตรยาก ชนิดที่ว่าต่อให้ช่วยชีวิตมันไว้ แต่ถ้าเป็นคนที่มันเกลียดขี้หน้า มันก็ไม่สำนึกบุญคุณขึ้นมาหรอก เพราะแบบนั้นผมถึงได้ยิ่งชื่นชมพี่ภู ที่ทำให้มันยอมเปิดใจให้ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันออกจะเกลียด

“เออน่า กูบอกแล้ว ถ้ามันไม่มาหาเรื่องกูก่อนอะนะ”

มันตอบก่อนจะกลิ้งๆ เกลือกๆ หยิบโทรศัพท์มาจิ้มๆ ไปเรื่อยเปื่อย ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้

“แล้วบอกพี่ภูยังว่ามึงจะกลับ”

“บอกตอนที่มึงมองเมียมึงตาละห้อยเข้าห้องไปนั่นแหละ มันกำลังมา”

มันตอบกลับมาแล้วเริ่มหงายท้องนอนแอ้งแม้งบนโซฟาเดี่ยว เหยียดขาพาดพนักแขนออกมา หน้าแดงๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป ผมเลยลุกขึ้นมาเก็บข้าวของที่เกลื่อนกลาดให้ห้องนั่งเล่นกลับมาสะอาดเรียบร้อย สักสิบนาทีได้ โทรศัพท์ไอ้ยีนก็ดัง มันรับแล้วคุยอยู่แป๊บนึงก่อนจะลาผมกลับ เพราะพี่ภูมาถึงแล้ว

ผมไม่ได้ลงไปส่งมันที่ชั้นล่าง เพราะมันบอกไม่ต้อง ให้ผมเข้ามาดูไนล์ เพราะป่านนี้คงหน้าบูดหน้าบึ้งไปแล้วล่ะมั้ง ผมเลยกลับเข้าห้องนอนมา ถึงจะรู้ว่าไนล์คงไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ตาม ซึ่งมันก็จริง คนที่อยู่ในห้องยังหน้านิ่งปกติดี มีแค่สีแดงแต้มๆ บนหน้าเล็กน้อย ผมจึงเดินไปนั่งบนเตียงที่ไนล์กำลังนั่งพิงอยู่

“กลับไปหมดแล้วเหรอ”

เขาเป็นฝ่ายถามผมก่อน ผมจึงพยักหน้ารับ ครางเสียงในลำคอ ‘อือ’ เบาๆ เป็นคำตอบ ก่อนจะมองสำรวจหน้าของเขาอยู่ชั่วครู่ จนเขาต้องหันมาถาม

“มีอะไร”

“ฉันอยากรู้”

ไนล์เลิกคิ้วเหมือนสงสัย ผมเลยเอ่ยถามตรงๆ อย่างที่อยากรู้ เพราะจะว่าข้องใจมาได้พักหนึ่งแล้วก็ว่าได้

“ทำไมนายถึงไม่ชอบยีนล่ะ ถ้าฉันจำไม่ผิด” ผมขุดคุ้ยความทรงจำของตัวเอง ในช่วงที่จำได้ไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เหมือนว่าจะได้ยินมัน “เหมือนว่านายจะใช้คำว่ากูมึงกับมันด้วย ทั้งที่นายไม่เคยใช้กับฉันเลย”

ไม่ใช่เพียงแค่กับผม แต่ผมคิดว่าน่าจะคนอื่นๆ ด้วยเหมือนกัน เพราะปกติแล้วเขาไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ดังนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะใช้สรรพนามแบบนั้นโดยที่ไม่สนิทสนมกัน

“หมอนั่นใช้กับฉันก่อน”

“แต่ปกตินายก็ไม่น่าจะใช้ไม่ใช่เหรอ”

ไนล์ตอบกลับมาง่ายๆ แต่มันกลับทำให้ผมติดใจสงสัยมากกว่าเดิม พอผมมองเขาแบบจับผิดนิดหน่อย เขาก็หลบสายตาของผม เหลือบมองไปทางอื่นอยู่ชั่วครู่ คล้ายๆ ว่าจะกลอกตาหนี แต่เพราะผมไม่เร่งรัดเอาคำตอบ แต่ก็ไม่เลิกล้มความพยายามที่จะรอเช่นกัน เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เหมือนจะยอมแพ้

“ฉันไม่ชอบหมอนั่น”

“ทำไมล่ะ”

ผมรู้ว่าไฮยีนเป็นพวกที่แค่มองก็เหมือนว่าจะไปกวนบาทาคนอื่นเอาได้ง่ายๆ อยู่แล้ว ถ้าคนที่ผมถามอยู่เป็นคนอื่น ผมคงไม่แปลกใจนัก ทว่าเพราะอีกฝ่ายเป็นไนล์ที่มักจะไม่ค่อยสนใจคนอื่น หรือถ้าพูดให้ถูกคือไม่เคยจะสนใจใคร ผมถึงได้แปลกใจ

เงียบไปอยู่พักใหญ่ ไนล์ถึงได้ตอบกลับมา เป็นคำตอบที่น่าเหลือเชื่อ

“...........หมอนั่นสนิทกับนาย”

มีเครื่องหมายปรัศนีมากมายเกินขึ้นในหัวของผม จนนึกคำถามไม่ออก ทั้งที่จริงๆ มันมีแค่สิ่งเดียวที่ผมอยากรู้ ไนล์จึงขยายความให้

“หมอนั่นสนิทกับนายเกินไป เหมือนไม่ใช่แค่เพื่อน...” เสียงของไนล์เงียบลงไปชั่วครู่ ก่อนเขาจะสูดลมหายใจเข้าไป “ถึงมันจะไม่เกี่ยวกับฉันมาตั้งแต่แรก แต่มันก็รู้สึกแบบนั้นเอง ทั้งที่...ฉันอยากให้นายมีความสุข”

“หึง?”

ผมนึกออกแค่คำตอบเดียว จึงหลุดถามออกไป แต่ไนล์ส่ายหัวเบาๆ

“ถ้ามันเกิดขึ้นตอนนี้ อาจจะใช่ แต่มันเกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่อยู่ ม.ปลาย ฉันก็ไม่รู้คำตอบเหมือนกัน แต่แค่รู้สึกแบบนั้นทุกครั้งที่หมอนั่นอยู่กับนาย คงเพราะฉันรู้ว่ามันเป็นความสุขที่หลอกลวงล่ะมั้ง หมอนั่นทำให้นายได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ แล้วก็หนีความจริง”

ฟังจากการคาดการณ์ช่วงหลังๆ ผมก็เริ่มเข้าใจ มันอาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ ที่ผ่านมาผมมีชีวิตมาได้ เหมือนใช้ไฮยีนเป็นตัวแทน เพื่อหนีความจริง เพื่อหลอกลวงว่าตัวเองกำลังมีความสุข ใช้ความรักที่ผมกับมันมีให้กันเป็นกำแพง ขังตัวเองเอาไว้ในนั้น

“แต่ต่อจากนี้ไป มันจะไม่ใช่การหลอกลวงหรือว่าหนีความจริงแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของฉันกับมันก็จะยังคงอยู่ และเป็นแบบนี้ต่อไปอยู่ดี นายจะเลิกตั้งแง่ได้หรือเปล่า”

สิ่งที่ผมได้รับตอบกลับมาคือความเงียบ ไนล์เหม่อมองไปด้านหน้าอยู่พักหนึ่ง เหมือนจะคิดอะไรอยู่ ก่อนจะครางเสียงออกมาเบาๆ

“จะพยายาม”

ผมขยับตัวเข้าไปใกล้เขามากกว่าเดิมอีกนิดหน่อย เอื้อมแขนไปกอดคอเขาไว้แล้วดันให้หัวของเขาซบลงบนบ่า ลูบหัวเขาเบาๆ แล้วเอ่ยออกมา

“ฉันกับมันเป็นเพื่อนกัน เป็นเพื่อนรักและหวังดีต่อกัน เหมือนกับพี่น้อง เหมือนกับครอบครัว คงจะมากไปกว่านี้ไม่ได้ และก็ลดไปกว่านี้ไม่ได้”

“...”

ไนล์ยังคงเงียบ แต่ก็ทิ้งน้ำหนักลงมาบนบ่าผมมากกว่าเดิม เหมือนปล่อยตัวตามสบาย ผ่อนคลายลง ผมจึงพูดต่ออีกด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ

“ระหว่างฉันกับยีน ก็คงเหมือนนายกับมิ้นล่ะมั้ง”

“อืม”

เหมือนเขาจะเข้าใจในคำพูดของผม ถึงได้ตอบกลับมา

ผมหันไปมองเขาที่ซบบนบ่า ไนล์หลับตาลงแล้ว ราวกับว่าจะปล่อยวางในเรื่องนี้ ผมรู้ว่าเขาไม่ใช่พวกดื้อแพ่ง แต่เป็นคนมีเหตุผลและรับฟัง ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้น

“นายเองก็จะเป็นอีกหนึ่งคนที่สำคัญสำหรับฉัน ไม่มีใครแทนได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปนานๆ นะ ฉันอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ มีความสุขกับนาย”

“ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันอยากให้นายได้พบกับความสุขอีกครั้ง ไม่ว่ากับใครก็ตาม ถ้าทำให้นายมีความสุขได้ ฉันก็ยินดี แต่ถ้านายบอกว่าอยู่กับฉันแล้วมีความสุข ...ฉันก็จะอยู่กับนายไปตลอดชีวิต”

คำพูดของเขาออกมาจากใจจริง แต่ขณะเดียวกันมันก็เหมือนกับคำสัญญา คำสาบาน

ผมรู้สึกเหมือนกับหัวใจกำลังล่องลอยหลังจากได้ยินแบบนั้น จึงเอนหัวแนบกับหัวของเขา หลับตาลงผ่อนกายอย่างสบายตัวที่สุด จมอยู่ในความสุขที่แผ่วเบา แต่อบอวลไปด้วยความรู้สึกดีๆ และเขาเองก็เช่นเดียวกัน...

ขอบคุณอะไรก็ตามที่ช่วยให้ผมได้มีวันนี้ วันที่ผมได้พบกับความสุขที่แท้จริงอีกหนึ่งครั้ง ได้พบกับผู้ชายที่ชื่อไนล์

ผมจะรักษามันอย่างดีที่สุด









----------------------
จบแล้วค่ะ แฮปปี้กันไปแบบเรียบง่ายตามคู่นี้
ตอนหน้าเป็นตอนพิเศษ อัตชีวประวัติของไนล์ค่ะ 555
อยากรู้ความเป็นมา ทำไมไนล์เป็นแบบนี้ ติดตามได้นะคะ

แล้วก็ที่เคยบอกไว้ว่ามีตอนเดียว สรุปว่ามี 2 ตอนะคะ
มันยาวเกินกว่าจะเป็นตอนเดียวได้ เลยตัดเป็นสองตอนแทนค่ะ
ยื้อเวลาจบไปได้อีกนิดหน่อย

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: boboman ที่ 11-10-2015 19:23:21
จิ้มจึกๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 12-10-2015 00:48:01
 o13
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 12-10-2015 09:30:47
จบแบบเรียบง่าย แต่บอกเลยว่าฟิน อ่านแล้วยิ้มแก้มจะแตก  :impress2: :impress2: :impress2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 12-10-2015 11:31:18
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: river ที่ 12-10-2015 17:05:16
ถูกใจค่ะ อีกเรื่องที่แสนจะเนียน
แต่มีสงสัยความลับความหลังของไนล์ ที่บอกว่าไม่มีพ่อแม่ ไม่ใช่พ่อแม่ตายนี่นะ เหมือนควรมีอะไรสักอย่างที่ทำให้ครอบครัวแตกหัก หรือว่าพ่อแม่มิ้นเป็นคนอุปการะไนล์ พอมิ้นตายทั้งๆที่ให้ไนล์ไปทะเลด้วยก็เลย......
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 12-10-2015 17:47:23
บอกตามตรง เรื่อง พี่ภูกับไฮยีน กราฟเด่นมากกกกกก






แต่พอเป็นเรื่องนี้ ป้าเทใจให้ไนล์เลย






ดีใจที่ทั้งสองคนมีความสุขกับชีวิตซะที






นุ๋งยีน หนูจะกัดหัวไนล์เหรอลูก ดุแบบนี้ พี่ชมพูมารับเมียกลับบ้านด่วน ฮ่าๆๆ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: chancha ที่ 12-10-2015 18:32:27
 :pig4: จบแล้ว สนุกมากเลย ขอบคุณมากน้า
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: ZeeKiN ที่ 21-10-2015 21:46:16
จบแล้วววววววว นอนรอตอนพิเศษ 55555 :hao6: :hao6: :hao6:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / บทส่งท้าย : ความสุข [11/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 25-10-2015 09:17:48
รอ รอ รอ ตอนของหนูไนล์  :z2: :z2: :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลก [27/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 27-10-2015 17:56:42
ตอนพิเศษ : โลก







ห้องที่มืดมิด ไร้หนทางหนี จนตรอก

ผมเผชิญกับความรู้สึกเหล่านั้นมาอย่างยาวนาน กระทั่งผมได้ค้นพบโลก

แสงสว่างจากโลกใบนั้นฉุดดึงผมขึ้นมาจากความห้องแคบๆ และความเงียบงันอันหดหู่

โลกทั้งใบของผม... สถานที่แห่งความสุขเพียงหนึ่งเดียวของผม




หากนับความสุขในชีวิตของผม คงนับครั้งได้ว่าไม่ถึงสิบครั้ง หรือแม้แต่ห้าครั้งก็ตาม ผมถูกเลี้ยงดูในบ้านที่เคร่งครัด เพราะอาชีพของพ่อที่เป็นนักธุรกิจ มีคนนับหน้าถือตามากมาย และมีคนเฝ้าจ้องจะใช้ผลประโยชน์ ดังนั้นลูกชายเพียงคนเดียวอย่างผมจึงถูกพร่ำสอนพร่ำสั่งว่าห้ามใกล้ชิดกับใคร เพราะทุกคนล้วนมีเจตนาร้าย หวังฉกฉวยผลประโยชน์จากผม

ผมต้องเข้มแข็ง และแข็งกระด้าง ห้ามแสดงความรู้สึกไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ห้ามผมแสดงความอ่อนแอไม่ว่ากรณีใดๆ ทั้งสิ้น

ผมไม่ต่างจากหุ่นยนต์ที่มีหน้าที่ไปเรียนหนังสือตามคำสั่ง และกลับมาบ้านเพียงเท่านั้น ตั้งแต่จำความได้ ผมไม่เคยมีเพื่อน ไม่เคยรู้จักคำว่ามิตรภาพ ได้แต่มองดูคนอื่นหัวเราะ และมีรอยยิ้มเพราะสิ่งที่เรียกว่าความสุขด้วยความรู้สึกปวดร้าวในใจอยู่ลึกๆ โดยที่ไม่มีใครรู้

ครั้งหนึ่งผมเคยพยายามจะมีเพื่อน แต่สิ่งที่ตอบรับกลับมาคือไม้เรียวที่ฟาดลงบนร่างของผม ริ้วรอยมากมายแดงเถือกจนเพียงแค่ขยับตัวก็เจ็บร้าวไปหมด มันปวดแสบปวดร้อนจนน้ำตาของผมไหลออกมา แต่สิ่งที่ตอบแทนน้ำตาหยดหนึ่งของผมคือการด่าทอว่าอ่อนแอ ไร้ความสามารถ ไม่สมเป็นลูกผู้ชาย ถ้าจะเป็นลูกพ่อกับแม่ผมต้องเข้มแข็งกว่านี้

หลังจากถูกจับได้ว่าผมต้องการเพื่อน วันต่อมา ผมก็ถูกเมินเฉยและหลีกหนี พร้อมกับประโยคที่ว่า ‘เราจะไม่เป็นเพื่อนกับไนล์อีกแล้ว พ่อไนล์โทรมาที่บ้านเรา พ่อแม่ว่าเราใหญ่เลย’ ผมที่ตอนนั้นวัยเพียงหกขวบ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทนอยู่ในโลกที่อ้างว้างและเงียบเหงาแบบนั้นมาได้อย่างไร

ผมได้แต่เก็บงำความรู้สึกต่างๆ เอาไว้ และสุดท้ายผมก็ไม่รู้สึกอะไรเลย กระทั่งวันหนึ่งผมได้พบกับมิ้นที่งานเลี้ยงรวมญาติ เราได้พูดคุยกัน มิ้นในตอนนั้นน่ารักสดใส เหมือนโลกทั้งใบเป็นของเธอ ผิดกับผมโดยสิ้นเชิงที่ได้แต่คุดคู้ตัวอยู่ในมุมที่ลึกที่สุดของโลก ฝังตัวเองเอาไว้กับความดำมืดที่ไม่มีใครมองเห็น แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยื่นมือเข้ามา ฉุดดึงผมออกไป

“ไปเล่นด้วยกันสิ”

น่าแปลกที่พ่อแม่อนุญาตให้ผมพูดคุยกับเธอได้

อาจเพราะฐานะที่ทัดเทียมกัน และมีสายเลือดเดียวกันส่วนหนึ่ง

นับจากวันนั้น ชีวิตของผมเปลี่ยนไป ผมไปหามิ้นที่บ้านบ่อยขึ้น ดีว่าบ้านเราไม่ได้อยู่ไกลกันนัก ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขทุกครั้งที่มาบ้านของเธอ มิ้นทำให้ผมรู้จักโลกที่กว้างใหญ่ขึ้น และมันทำให้ผมค้นพบว่า...ผมชอบวาดรูป

“ไนล์วาดรูปสวยนะ ไม่สิๆ เรียกว่ามีพรสวรรค์เลยล่ะ ไม่อยากลองเอาดีทางนี้เหรอ”

ประโยคนั้นมาจากมิ้นตอนที่เราเข้าเรียนชั้น ม.1 เราเรียนกันคนละโรงเรียน เธอเรียนสหศึกษา ขณะที่ผมเรียนโรงเรียนชายล้วน พ่อแม่ไม่อยากให้ผมถูกผู้หญิงจับเพราะฐานะทางบ้าน แม้ว่าอย่างไรเสียโรงเรียนที่ผมเข้าเรียนจะต้องเป็นโรงเรียนเอกชนสำหรับผู้มีอันจะกินอยู่แล้วก็ตาม

คำพูดของมิ้นจุดประกายให้ผมอยากทำมันขึ้นมาอย่างจริงจัง อยากเรียนวาดรูป อยากสร้างผลงาน หลังจากนั้นผมจึงกลับบ้านเย็นทุกวัน โดยอ้างว่าต้องเรียนเสริม แต่แท้จริงแล้วฝึกวาดรูปอยู่ที่ห้องเรียนศิลปะ อยู่ในโลกของตัวเองจนบางครั้งก็ลืมโลกภายนอกไป และนั่นทำให้แม่สงสัย

“นี่มันสามทุ่มเข้าไปแล้ว ทำไมถึงกลับช้านักล่ะไนล์”

ผมยกมือไหว้แม่หลังจากกลับมาถึงบ้าน น้ำเสียงของแม่เกรี้ยวกราดดูไม่พอใจมาก ขณะที่พ่อยังไม่กลับบ้านเพราะยังเคลียร์งานไม่เสร็จ พ่อกลับมาหลังสี่ทุ่มทุกวันในช่วงนี้ เพราะเตรียมจะเปิดสาขาที่สิงคโปร์ และมันก็ทำให้ผมคิดว่านั่นเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้แม่ยิ่งอารมณ์ไม่ดี

“ผมมีเรียนเสริมไงครับ”

เสียงของผมตอบกลับโดยไร้อารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เหมือนอย่างที่แม่กับพ่อพร่ำสั่งสอนมา จนชักจะเหมือนหุ่นยนต์อย่างที่เขาต้องการมากขึ้นไปทุกที แต่ว่าแม่ไม่เชื่อในคำพูดของผม

“เรียนเสริมอะไร เลิกดึกป่านนี้”

“แม่อยากให้ไนล์เรียนเยอะๆ จะได้มาสืบทอดกิจการของพ่อไม่ใช่เหรอครับ”

มันเป็นเพียงแค่คำอ้างข้างๆ คูๆ ผมไม่เคยคิดแม้แต่ครั้งเดียวว่าอยากจะเป็นนักธุรกิจเหมือนพ่อ ผมไม่ได้บ้าเงิน และฝักใฝ่สังคมชั้นสูงอย่างนั้น ทว่าดูเหมือนคำพูดของผมจะยิ่งบันดาลโทสะแก่แม่ แม่เข้ามากระชากกระเป๋าที่ผมสะพายอยู่ออกไป รูดซิปมันแล้วเททุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้นออกมา

ความแตก...

ผมรู้สึกเย็นวูบไปทั้งสันหลังเมื่ออุปกรณ์วาดรูป ไม่ว่าจะเป็นสี พู่กัน จานสี ดินสอ แม้แต่ภาพวาดที่ผมม้วนกลับมาวาดต่อที่บ้านกระจัดกระจายอยู่บนพื้น สีหน้าของแม่เปลี่ยนไป กลายเป็นถมึงทึง ดุดัน เต็มไปด้วยความโกรธ ก่อนจะฟาดมือลงมาบนหน้าของผมเต็มแรงจนหน้าหัน

“ใครใช้ให้แกทำเรื่องไร้สาระพวกนี้!”

เสียงหวีดร้องของแม่เสียดแทงเข้ามาในรูหู มือของแม่เริ่มทุบตีไปตามร่างกายของผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่รู้ว่ากี่ครั้งที่มันกระแทกเข้ามา ผมเจ็บ แต่ก็ไร้เสียงร้องใดๆ ผมได้แต่ขบฟันแน่นพยายามไม่รู้สึก จนแม่พอใจ หอบหายใจจนตัวหอบโยน

“ทำไมแกทำแบบนี้ ฉันไม่เคยสั่งสอนให้แกทำเรื่องสวะแบบนี้”

“ผมชอบวาดรูป ผมจะวาดรูป”

“แกไม่มีสิทธิ์ทำอะไรพรรค์นี้ทั้งนั้น ต่อไปนี้ห้ามกลับบ้านดึกอีกเด็ดขาด แม่จะสั่งให้ป้อมลากแกกลับบ้านก่อนห้าโมงเย็นทุกวัน”

แม่พูดแบบนั้นแล้วหยิบกระดาษวาดรูปของผมไปฉีกทิ้งอย่างไม่ไยดี ราวกับมันเป็นเศษกระดาษไร้ค่า ทั้งที่มันเป็นความฝันของผม ผมได้แต่มองภาพนั้นด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าว รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างอยากจะทะลักออกมา แต่ผมก็ข่มมันเอาไว้ กลืนก้อนแข็งๆ ในคอที่พยายามจะเอ่อขึ้นมาลงไป

ความรู้สึกเจ็บปวดกล้ำกลืน ผมได้รู้จักมันอีกครั้งในวันนั้น

หลังจากวันนั้น การวาดรูปของผมก็เป็นเรื่องยาก ผมไม่สามารถวาดรูปที่บ้านได้ ขณะเดียวกันก็ถูกจำกัดสิทธิ์ที่โรงเรียน เพราะพี่ป้อม คนขับรถของที่บ้านที่มารับผมทุกวันไม่สามารถขัดขืนคำสั่งของแม่ได้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกเห็นใจผมมากแค่ไหนก็ตาม ผมต่างหากที่ทำให้เขาเดือดร้อน ต้องมารอผมวาดรูปทุกวันๆ เมื่อก่อนนี้

สถานที่เดียวที่ผมจะวาดรูปได้อย่างสบายใจก็คือบ้านของมิ้น ผมไปที่บ้านของเธอทุกวันเสาร์จนเป็นเรื่องปกติ คุณลุงคุณป้าก็ต้อนรับผมเป็นอย่างดี และเข้าใจสภาพครอบครัวของผม ท่านไม่เคยเอ่ยห้ามอะไร มิหนำซ้ำกลับสนับสนุนเสียด้วยซ้ำ ท่านซื้อทั้งขาตั้งและเฟรมผ้าใบ รวมถึงอุปกรณ์วาดรูปต่างๆ ให้ผมใช้เพื่อพัฒนาความสามารถของผม ทั้งที่พวกท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยซ้ำ ผมเข้าใจเลยว่าทำไมมิ้นถึงได้เป็นคนที่สดใสได้ถึงขนาดนี้

เพราะสภาพแวดล้อมทางบ้านของเธอสนับสนุนทุกอย่างที่เธอปรารถนา

“ในเมื่อมีฝีมือและใจใฝ่มาทางนี้ ก็ต้องสนับสนุนสิ”

คุณลุงเคยบอกเอาไว้แบบนั้น ตอนที่ผมปฏิเสธสิ่งของต่างๆ ที่เขาให้มา คุณป้าเองก็เตรียมของว่างไว้ให้เสมอ และเอ่ยชื่นชมทุกครั้งที่ผมทำงานสำเร็จ อีกทั้งยังเสนอ

“ทำไมไนล์ไม่ลองส่งผลงานเข้าประกวด หรือว่าขายดูล่ะลูก ป้าว่าน่าจะได้รางวัลหรือว่าขายได้อยู่นะ รูปที่ไนล์วาดๆ มา ให้ป้าไปลองขายเพื่อนๆ ดูดีไหม”

สถานะทางสังคมของคุณป้าไม่ได้ต่างอะไรจากแม่นัก แต่ว่าวิสัยทัศน์ของท่านแตกต่างจากแม่โดยสิ้นเชิงทั้งที่เป็นพี่น้องกัน ท่านให้โอกาสผม และยังแนะนำหนทางดีๆ ให้ มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมเริ่มส่งงานเข้าประกวดในฐานะตัวแทนของโรงเรียนบ้าง ประกวดเป็นการส่วนตัวบ้าง โดยที่พ่อแม่ของผมไม่รู้

“นี่ๆ มิ้นรู้มาว่าที่หอศิลป์เขามีคนที่ไปรับจ้างวาดรูปอยู่นะ แล้วก็มีโชว์ผลงานบ่อยๆ ด้วย ไนล์ลองไปดูไหม เพื่อมีไอเดียหรือได้ลองทำอะไรใหม่ๆ บ้าง”

หลังจากได้รับรางวัลจากการส่งเข้าประกวดและมีเพื่อนของคุณป้าซื้อผลงานของผมไปบ้าง มิ้นก็แนะนำ ผมรู้สึกสนใจทันที จึงเริ่มก้าวไปข้างหน้ามากขึ้นอีกหนึ่งก้าว

ครั้งแรกที่ผมไปหอศิลป์ ผมรู้สึกเหมือนกับมีมนต์สะกดอะไรสักอย่างทำให้ผมยืนแข็งทื่ออยู่ในนั้น บรรยากาศเงียบสงบ เต็มไปด้วยผลงานต่างๆ มากมาย ร้านขายอุปกรณ์สำหรับงานศิลปะ มันเหมือนกับว่าผมเพิ่งค้นพบโลกของตัวเอง

“มายืนทำอะไรตรงนี้เนี่ยไอ้น้อง”

เพราะผมเอาแต่ยืนอึ้งตะลึงอยู่ที่ชั้นล่าง ซึมซาบบรรยากาศเอาไว้อย่างเต็มที่จนลืมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ เสียงของคนที่อายุมากกว่าถึงได้ดังขึ้นมาเรียกผม ผมหันไปมองก็เห็นว่าเป็นผู้ชายที่น่าจะอายุยี่สิบต้นๆ กำลังยืนอยู่ข้างๆ

“พอดีผมเพิ่งมาครั้งแรก”

“อ๋อ ชอบวาดรูปหรือเปล่าเรา”

ผมพยักหน้า พี่คนนั้นเลยแนะนำตัวว่าเขาชื่อโป้ง มาวาดรูปที่นี่ได้ปีหนึ่งแล้ว ถ้าสนใจมาดูรูปวาดเขาก็ได้ หลังจากนั้นผมก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องวาดรูปจากพี่เขาอีกมากมาย รวมทั้งเริ่มวาดรูปขายด้วยตัวเอง และผมก็เริ่มมีความใฝ่ฝันขึ้นมาหนึ่งอย่างว่า... ผมจะเข้าคณะจิตรกรรม

การตัดสินใจของผมได้รับความเห็นชอบจากทุกคนในบ้านของมิ้น แต่แน่นอนว่าผมไม่มีทางปริปากบอกพ่อกับแม่เป็นอันขาดว่าผมเลือกทางเดินของตัวเองแบบไหน เพราะหากถูกรู้เขา โลกของผมคงเหลือแค่กรงเล็กๆ ที่ยิ่งบีบรัดผมมากไปกว่านี้

อุปกรณ์วาดรูปของผมมีมากขึ้น เช่นเดียวกับที่ผมเริ่มก้าวเข้าไปในโลกของศิลปะลึกขึ้น เกือบทั้งหมดอยู่ในบ้านของมิ้น แต่ก็มีบางส่วนที่ผมแอบเก็บซ่อนเอาไว้ที่ห้องของตัวเอง เพราะต้องเอามันไปใช้ที่หอศิลป์

แม้ว่าผมจะเก็บซ่อนมันเอาไว้อย่างไร ป้าน้ำ แม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดห้องของผมก็ยังเจอเข้าอยู่ดี แต่เขาช่วยเก็บเป็นความลับเอาไว้ พี่ป้อมเองก็รู้ว่าผมยังวาดรูปอยู่ เพราะเขาต้องคอยรับคอยส่งผมอยู่เสมอ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตามตามคำสั่งของแม่ แต่ด้วยความเห็นใจ เขาถึงไม่เคยรายงานแม่สักครั้งว่าเขาต้องไปรับผมที่หอศิลป์ทุกสัปดาห์

ความลับของผมดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ขณะเดียวกันก็มีเรื่องแปลกใหม่เข้ามาตอนผมอยู่ ม.3 มิ้นพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งบ่อยมาก ชื่อของเขาคือกราฟ ทุกครั้งที่ผมไปบ้านมิ้น ผมจะได้ยินเรื่องราวของเขาจากปากมิ้นเสมอ มิ้นเล่าให้ผมฟังว่าเขาเป็นคนดีแค่ไหน และช่างเอาใจใส่ จนสุดท้ายมิ้นกับเขาก็ตกลงเป็นแฟนกัน

ใบหน้าของมิ้นเปื้อนยิ้มมากกว่าที่เคยนับจากวันนั้น ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย ผมชอบรอยยิ้มของมิ้น เพราะมันทำให้โลกของผมสว่างไสว มันเหมือนกับน้ำหล่อเลี้ยงชโลมใจของผมให้ได้รับความสดชื่นสดใส หากให้เปรียบเทียบแล้ว โลกที่มีมิ้นคือทุ่งหญ้ากว้างที่มีดอกไม้หลากหลายสีสันผลิดอกออกใบและมีแมลงน้ำหวานบินผ่านไปมา มันช่างหอมหวาน และสดใสจนเหมือนกับผมกำลังตกอยู่ในความฝัน ไม่อยากจะตื่นเลย

ในตอนแรกผมแอบกังวลว่าสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นทำๆ มาเป็นแค่การหลอกลวงหรือเปล่า อาจจะเพียงแค่ช่วงแรกที่เขาต้องการเข้าหาก แต่เปล่าเลย แม้ว่าจะผ่านไปครึ่งปี เขาก็ยังสม่ำเสมอ มิ้นยังมีเรื่องของเขามาเล่าให้ผมฟังทุกครั้งพร้อมเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม เธอไม่เคยต่อว่าเขาให้ผมฟังเลยสักครั้ง จนเหมือนกับเป็นเรื่องโกหกที่คู่รักไม่ทะเลาะกันเลย แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ภาพใบหน้าของกราฟที่ผมได้เห็นผ่านรูปถ่ายในโทรศัพท์ของมิ้นตอนเธอเอามาอวด รอยยิ้มของเขา แววตาของเขา ทำให้ผมรู้สึกวางใจได้ว่าเขาเป็นคนดีและรักมิ้นจริงๆ และผมก็รู้สึกยินดีเหลือเกินที่มีเขาเข้ามาในชีวิตของเธอ และระหว่างที่ผมกับมิ้นกำลังคุยกันเรื่อยเปื่อย เสียงอะไรบางอย่างก็เรียกให้ผมกับมิ้นหันไปสนใจคอมพิวเตอร์ที่เธอเปิดเอาไว้พร้อมกัน มิ้นกระโดดลงจากเตียงที่พวกเรานั่งกันอยู่ไปยังที่มาของเสียง ก่อนจะร้องอย่างตกใจ

“กราฟ”

ผมเปิดตากว้างขึ้นอย่างงุนงงถึงเสียงร้องของเธอ ก่อนจะเห็นว่าเธอรีบถอดสายยูเอสบีของกล้องที่วางอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ออก ทำให้เริ่มเข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร

“วันนี้ไม่เปิดกล้องเหรอ”

เสียงที่ดังมาจากลำโพงทุ้มต่ำ แต่ก็นุ่มนวลฟังดูมีเสน่ห์ไม่น้อย มิ้นพิมพ์ข้อความตอบกลับไปหลังจากผมได้ยินเสียงอีกฝ่ายทักมา ก่อนจะหันมากวักมือเรียกผมให้ไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ ผมมองเธออย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่เธอก็ยังกวักมือเรียกอีก

“มาสิไนล์ มาแอบดูกราฟกัน”

เธอเฉลย ผมจึงค่อยๆ ลงจากเตียงไปนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เธอต้องการ แล้วก็เห็นว่ามิ้นตอบกราฟกลับไปว่า ‘ห้องมิ้นรก ก็เลยไม่อยากเปิดให้ดูน่ะ’ พลางมองเขาที่ไม่อาจมองเห็นผมได้ ใบหน้าของเขาหล่อเหลา ได้รูป เหมือนอย่างในรูปถ่ายที่มิ้นให้ผมดูเมื่อครู่

“อย่างน้อยเปิดไมค์ก็ยังดี ไม่อยากให้กราฟได้ยินแม้กระทั่งเสียงเหรอ”

ประโยคนี้เขาถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนหน่อยๆ และทำหน้าดูน่าสงสาร แม้จะรู้ว่าแสร้งทำ แต่ก็รู้ว่าสำหรับมิ้นแล้วมันไม่ได้ทำให้นึกโกรธขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับรู้สึกว่าน่ารัก และอยากให้เขาทำแบบนั้นอีกเสียมากกว่า เพราะเธอกำลังยิ้มกว้างอย่างพึงพอใจ และมันก็ทำให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมมิ้นถึงได้รักเขานัก

‘ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย ก็แค่...ถ้ากราฟไม่ได้ยินเสียงมิ้น กราฟจะได้คิดถึงมิ้นมากขึ้นอีกไง ฮิฮิ’

เธอพิมพ์ข้อความตอบกลับไปแบบนั้น ทำให้ผมอดยิ้มตามไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าฝ่ายที่กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์กำลังทำหน้าตูมเหมือนไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไร

“แล้วตอนนี้มิ้นทำอะไรอยู่ครับ”

‘ตอนนี้เหรอ กำลังคุยกับกราฟอยู่ไง แต่ถ้าก่อนหน้านั้นก็กำลังคุยกับญาติอยู่น่ะ’

กราฟเบิกตาขึ้นเล็กน้อยหลังจากอ่านประโยคของมิ้น ก่อนจะส่งเสียงกลับมาอย่างนุ่มนวลไม่เปลี่ยน

“ถ้างั้นกราฟคุยแค่นี้ก่อนแล้วกัน มิ้นจะได้คุยกับญาติต่อ ขอโทษด้วยนะที่กราฟรบกวน”

‘เปล่าเลยๆ เดี๋ยวเขาก็กลับแล้วล่ะ’

ที่มิ้นบอก ไม่ใช่การโกหก เพราะอีกสักพัก ผมก็จะไปหอศิลป์แล้ว และผมก็คิดว่าการที่มิ้นตอบไปแบบนั้นเป็นเรื่องดี ผมไม่อยากจะกลายเป็นตัวขัดขวางของคู่รักนักหรอก เห็นมิ้นมีความสุข ผมก็ยิ่งมีความสุขเสียมากกว่า

“กราฟไม่กวนแน่นะ”

‘อืม ไม่กวนจริงๆ ว่าแต่วันนี้หยุด กราฟไม่ออกไปไหนเหรอ น่าแปลกจัง’

“จริงๆ ก็ถูกชวนออกไปเหมือนกัน แต่ว่านี่ใกล้จะสอบปลายภาคแล้ว กราฟก็เลยชวนยีนมาอ่านหนังสือที่บ้านแทน เพราะถ้าไม่ชวนละก็ มันคงไม่ยอมแตะหนังสือหรอก ตอนนี้กราฟกำลังรอมันอยู่น่ะ”

ผมนั่งมองการสนทนาของทั้งสองฝ่ายไปเรื่อยเปื่อย สักพักก็จบลง เพราะว่าคนที่กราฟรออยู่มาถึงแล้ว ทั้งสองล่ำลากันก่อนกราฟจะฉีกยิ้มกว้างที่ดูละมุนละไมและอบอุ่น จากนั้นก็แกล้งทำปากจู๋ส่งจูบให้ ทำให้มิ้นหัวเราะคิกคักอย่างมีความสุขจนผมเผลอยิ้มตาม

“กราฟน่ารักเนอะ”

มิ้นหันมาถามผมหลังจากปิดหน้าต่างสนทนานั้นไปแล้ว ผมพยักหน้าเห็นด้วย หลังจากได้เห็นท่าทางและบุคลิกจริงของเขานอกเหนือจากที่มิ้นเล่าแล้วก็ไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะมันเป็นอย่างที่มิ้นเล่าทุกประการ ไม่มีอะไรเกินจริงไปเลย ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้มิ้นจริงๆ นอกจากนั้นยังเป็นคนที่มีมารยาทรู้จักกาลเทศะด้วย

“เอาไว้เปิดเทอมขึ้น ม.4 แล้ว มิ้นจะแนะนำให้ไนล์รู้จักกราฟอย่างเป็นทางการแน่นอน”

“เขาอาจจะไม่อยากรู้จักเราก็ได้”

“ไม่หรอก กราฟไม่ใช่คนแบบนั้น ยังไงก็ต้องยินดีที่ได้รู้จักอยู่แล้ว ก็เป็นญาติสนิทที่สุดของมิ้นนี่นา”

เธอกอดผมไว้ในอ้อมแขน เหมือนกับผมเป็นน้องชายตัวเล็กๆ ทั้งที่ผมตัวใหญ่กว่าเธอเสียอีก มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ผมก็ไม่กล้าที่กอดเธอกลับ เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่ามากพอจะใช้มือคู่นี้เก็บเธอเอาไว้ได้

“ถ้าอย่างนั้นจะรอวันนั้นก็แล้วกัน”

“แน่นอน แต่มิ้นเชื่อเลยว่าถ้าไนล์ได้รู้จักกับกราฟ ไนล์จะต้องมีความสุขแน่ๆ ไนล์จะได้มีเพื่อนจริงๆ กับเขาสักที รู้ไหมว่ามิ้นเป็นห่วงนะ ชอบทำหน้านิ่งๆ ไม่แสดงความรู้สึกแบบนี้ น่ากลัวจะตาย เหมือนผีน่ะ รู้หรือเปล่า”

เธอฉีกยิ้มพลางยีหัวผมไปด้วย เหมือนกับเล่นสนุก จนผมต้องดิ้นเพื่อให้หลุดออกมาจากการหยอกกระเซ้าของเธอ

“ก็เราไม่รู้สึกอะไร ไม่สนใจอะไร ทำไมต้องแสดงความรู้สึกด้วย”

สิ่งที่ตอบผมกลับมาคือมะเหงกที่โขกลงมาอย่างแรง มิ้นทำหน้าบึ้งเหมือนไม่พอใจกับคำตอบของผม

“ก็คิดซะแบบนี้แหละ อย่าทำตัวมืดมนน่า หัดยิ้มเข้าไว้ ทุกอย่างจะดีเอง”

“มิ้นก็รู้ว่าเราทำแบบนั้นไม่ได้หรอก รอยยิ้มคือความอ่อนแอสำหรับพ่อกับแม่ มิ้นก็รู้”

สิ้นเสียงของผม เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“เอาน่าๆ โลกของไนล์ไม่ได้มีอยู่เท่านี้หรอก เชื่อมิ้นสิ ต่อไปไนล์จะได้ไปอยู่ในโลกที่กว้างสุดลูกหูลูกตา แล้วก็ต้องได้เจอกับใครอีกมากมาย มิ้นจะรอดูด้วยว่าสาวคนไหนนะที่จะช่วยมาทำให้ไนล์ของมิ้นมีความสุขทุกวันๆ”

มิ้นคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิม เป็นรอยยิ้มชวนฝันที่อบอวลไปด้วยความละมุนละไมอบอุ่น ทั้งที่ผมกลับคิดตรงข้ามกันเลย

“ไม่มีหรอก ใครจะมาสนใจไนล์”

“ต้องมีสิ มิ้นเชื่อว่ามีแน่ๆ ไนล์ไม่มีทางโดดเดี่ยวหรอก อย่างน้อยมิ้นก็ไม่ยอม ยังไงมิ้นก็ต้องช่วยอยู่แล้ว”

เหมือนว่าถึงจะแย้งไปก็ไร้ผล ผมจึงต้องพยักหน้ายอมรับอย่างช่วยไม่ได้ มิ้นจึงพยักหน้าหงึกหงักอย่างพอใจ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องของผู้ชายที่ชื่อกราฟให้ฟังอีก

ผมรู้ว่าเขามีนิสัยแบบไหน มีมุมมองอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ถ้าเกิดอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาจะตัดสินใจแบบไหน เธอเล่าเรื่องเขามากมายเสียจนผมรู้สึกว่า ผมสนิทสนมกับเขาไปด้วยแล้วทั้งที่ผมไม่เคยเจอเขาเลยสักครั้ง

ชีวิตของผมยังคงดำเนินต่อไปแบบนั้น ทว่าผมก็ต้องพบวิกฤตอีกครั้งตอนที่ขึ้น ม.ปลาย ผมตัดสินใจว่าจะเรียนสายศิลป์-คำนวณ พ่อกับแม่เห็นด้วย เพราะเมื่อเข้ามหาวิทยาลัยจะได้ต่อคณะบริหารธุรกิจได้ แต่ว่ามันมีแยกย่อยไปอีกว่าเป็นศิลป์ทางด้านภาษาหรือศิลปะ ซึ่งแน่นอนว่าผมเลือกอย่างหลัง และพวกท่านไม่รู้ จนกระทั่งวันหนึ่ง

ป้าน้ำมาทำความสะอาดห้องของผม และช่วยเก็บกระปุกสีที่หมดแล้วไปทิ้งให้ แต่ระหว่างที่นำไปทิ้งกลับถูกแม่พบเข้า เรื่องที่ผมยังคงวาดรูปอยู่จึงแดงออกมา ทั้งพ่อและแม่ต่างโมโหมาก ผมถูกต่อว่าและทำร้ายอีกครั้ง ผมถูกกักบริเวณอยู่ในห้องเก็บของอยู่สามวัน ไม่สามารถก้าวออกมาจากห้องนั้นได้เลยแม้แต่ก้าวเดียว

ความเงียบวังเวงและความอึดอัดในห้องที่เต็มไปด้วยของที่ไม่ถูกใช้งานไม่ได้สร้างความลำบากให้กับผม ผมเคยชินแล้วที่จะอยู่ในโลกที่คับแคบเพียงลำพัง แต่ผมไม่อาจรู้ได้ว่าพ่อกับแม่ทำอะไรบ้างในช่วงเวลาที่ผมถูกขังอยู่ในนี้ และเมื่อผมเป็นอิสระจากการทำโทษ ข้าวของทุกอย่างในห้องของผมก็หายไป

อุปกรณ์วาดรูปทุกชิ้นของผมที่ซ่อนไว้ถูกกำจัด...

เหลือเพียงเตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเรียนหนังสือที่มีแค่หนังสือสำหรับการเตรียมเป็นนักธุรกิจเท่านั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย ไม่มีที่ให้ซุกซ่อน หมกเม้มสิ่งของใดๆ ทั้งสิ้น มันว่างเปล่าเหมือนกับเป็นห้องที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ น้ำตารื้นขึ้นมาในตาของผมอีกครั้ง ผมได้แต่จำทนเก็บมันเอาไว้ กำมือจนแน่นแต่ไม่สามารถระบายสิ่งที่เก็บกักอยู่ภายในออกมาได้

ผมออกจากห้องของตัวเองอย่างรวดเร็ว ตั้งความหวังว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องหาของมีค่าที่สุดของผมซึ่งถูกทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีกลับคืนมา ของอื่นๆ ผมไม่สนใจ ของเพียงแค่มีอุปกรณ์วาดรูปเท่านั้น

ดูเหมือนว่าวันนี้แม่กับพ่อจะไม่อยู่ มันเป็นโอกาสดีของผมเลยก็ว่าได้ ผมจึงตรงออกไปทางหน้าบ้าน ไปหาถังขยะที่ใหญ่ที่สุดซึ่งรอคอยรถขยะมาเก็บ คุ้ยหาของสำคัญของผมในนั้นโดยไม่สนใจกลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนหรือคราบมันคาวสกปรกใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้ผมต้องมาคุ้ยขยะแบบนี้

แต่ผมก็เต็มใจที่จะทำ หากว่ามันทำให้ผมได้ของของผมกลับคืนมา

ผมคุ้ยลงไปลึกมากขึ้นๆ ผ่านสิ่งปฏิกูลทั้งหลายในช่วงสามวันที่ผ่านมา กระทั่งเจอ...รูปวาดของผมที่ถูกฉีกทิ้งไม่เป็นชิ้นดี ผลงานที่ผมสร้างขึ้นด้วยความสามารถของตัวเองมาหลายวันกลายเป็นขยะไร้ค่าไปแล้ว

ความกล้ำกลืนถาโถมเข้ามาในใจผมอีกครั้ง ผมเก็บเสียงสะอื้นที่ดันทุรังจะทะลักออกมาจากลำคอเอาไว้อย่างสุดกำลัง ขณะที่มือยังคว้านหาของอย่างอื่นที่ไม่ถูกทำลาย กระปุกสีโปสเตอร์ถูกทุบแตกจนของที่อยู่ภายในไหลเปรอะออกมาจนปนกันไปหมด จานสีถูกหักออกเป็นสองส่วน พู่กันถูกตัดขนออกจนเหี้ยนเตียน

โหดร้ายเกินไปแล้ว

ในที่สุด...น้ำตาหนึ่งหยดก็ตกลงมาในถังขยะที่ผมกำลังคุ้ยอยู่

ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ไม่เหลือเลยจริงๆ

วันรุ่งขึ้นผมสามารถกลับไปเรียนได้ ผมมีความหวังนิดหน่อยที่จะได้กลับไปอยู่ในโลกเล็กๆ ที่เติมเต็มความสดชื่นให้กับผม ทว่าเมื่อไปถึงโรงเรียน สิ่งที่ผมได้รับรู้มาจากอาจารย์คือ...ผมถูกย้ายห้อง วันก่อนแม่มาดำเนินการขอย้ายห้องเรียนของผม เข่าผมแทบไร้แรงพยุงในตอนนั้น ร่างเกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น

ทำลายของของผมยังไม่พอใจอีกเหรอ ทำไมถึงทำลายที่อยู่ของผมอีก

จะทำร้ายผมไปถึงไหน ต้องทำให้ผมกลายเป็นหุ่นยนต์ไร้ความรู้สึกจริงๆ ใช่ไหมถึงจะพอใจ

ผมไม่สามารถกลับไปเรียนที่ห้องเดิมได้ และกลายเป็นบุคคลส่วนเกินภายในห้องเรียนภาษา เพราะว่าเปิดเทอมมาได้เกือบสองเดือนแล้ว หัวใจของผม ความรู้สึกของผมเกินกว่าคำว่าห่อเหี่ยวและหดหู่ไปแล้ว

ผมไม่รู้ว่า...ทุกวันนี้ผมมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร อยู่เพื่อให้พ่อแม่ทำลายมันอย่างนั้นเหรอ?

บางทีผมไม่น่าเกิดมาด้วยซ้ำ แบบนั้นมันอาจจะดีกว่าก็ได้

สุดสัปดาห์ผมได้ไปหามิ้น โลกแห่งความหวัง โลกที่สดใสเพียงหนึ่งเดียวของผม คนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าผมยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่ได้ตายไปแล้วเหลือเพียงร่างกายที่ไร้วิญญาณ

มิ้นยังสดใสเหมือนเคย รอยยิ้มที่เธอมีให้ผมยังไม่เปลี่ยนแปลง มันช่วยทำให้หัวใจที่แห้งผากและร่างกายที่ไร้กำลังเกินเยียวยาของผมกลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง เสียงใสๆ ของเธอทำให้ผมอยากฟัง ผมอยากอยู่แบบนี้ อยากหยุดเวลาไว้เพียงเท่านั้น อยากให้เธอกักขังผมด้วยเธอเอาไว้และไม่ปล่อยผมให้ออกมาพบกับความจริงอีกเลย

“นี่ๆ อาทิตย์หน้าไนล์ไปกับมิ้นนะ”

อยู่ๆ เธอก็รวบรัดตัดความมาจนผมงุนงง แม้จะไม่รู้ว่าจุดหมายคือที่ไหน แต่หากเธออยากให้ผมไปด้วย ผมก็ยินดีและเต็มใจที่จะไปด้วย ถึงกระนั้นก็ยังเอ่ยถามเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์

“ไปไหน”

“กราฟชวนไปทะเล ไปกับเพื่อนๆ ของกราฟอีกสามคน แล้วก็มิ้น”

“ผู้หญิงคนเดียวเหรอ”

เรื่องที่ผมห่วงที่สุดก็คือเรื่องนี้ เพราะถึงจะรู้มาบ้างว่ามิ้นกับกราฟมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันไปแล้ว แต่การไปเที่ยวต่างจังหวัดกับผู้ชายหลายๆ คนอย่างไรคนก็มองไม่ดี

“อืม ก็คนอื่นๆ ไม่มีแฟนนี่ แต่ถ้ามีแฟนมิ้นว่าแปลกออก ก็พวกนั้นน่ะ มีแต่เสือผู้หญิงทั้งนั้น”

“แล้วแบบนี้ไม่อันตรายเหรอ คุณลุงกับคุณป้าจะให้ไปเหรอ”

“มิ้นถึงต้องมาชวนไนล์ไง เพราะยังไงพ่อกับแม่ก็ไว้ใจไนล์อยู่แล้ว แล้วมิ้นก็จะได้แนะนำกราฟให้รู้จักไนล์ไปเลยไง ทีนี้ทั้งสองคนก็จะได้เป็นเพื่อนกันสักที อยากเห็นจังนะ ตอนที่ไนล์อยู่กับกราฟเนี่ย”

มิ้นยังดูไม่ทุกข์ร้อน ท่าทางออกจะสนุกซะด้วยซ้ำ เธอไม่ห่วงตัวเองบ้างหรืออย่างไรกันนะ ถ้าเกิดพวกเพื่อนๆ ของกราฟเป็นคนไม่ดี แล้วเกิดทำร้ายมิ้นขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร

“ถึงเราไปด้วย แต่มันก็อันตรายอยู่ดี ถ้าเกิดพวกนั้นหวังร้ายขึ้นมาแล้วทำอะไรมิ้น เราก็ช่วยไม่ไหวหรอกนะ พวกนั้นมีตั้งหลายคน แถมเราก็ไม่เคยมีเรื่องกับใครด้วย”

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นหรอก ไนล์ก็รู้ว่ากราฟเป็นคนยังไง แถมไฮยีน กัส เคถึงจะเหมือนเป็นพวกเสเพลเละเทะ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนไม่ดีหรอกนะ พวกเขารักกันจะตาย ไม่มีทางทำร้ายแฟนกราฟหรอก”

“มองโลกในแง่ดีเกินไปแล้ว”

คำแก้ตัวของเธอไม่มีผลกับผมสักเท่าไร ผมได้แต่ถอนใจกับความมั่นใจของเธอ ถึงอย่างไรผมก็ไม่ไว้ใจเสียทีเดียว เพราะผมไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ที่ว่านั่นนิสัยเป็นอย่างไรกันบ้าง ที่ผมไว้ใจมีแค่กราฟเท่านั้น

“ตกลงว่าไปใช่ไหม ดีเลยๆ ไนล์จะได้ไปเปิดหูเปิดตาด้วย ส่วนเรื่องคุณน้า มิ้นจัดการเอง”







อ่านต่อด้านล่าง


v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลก [27/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 27-10-2015 17:57:26



ต่อจากข้างบน


v



v


พอเธอออกปากอย่างนั้น เธอก็จัดการได้เรียบร้อยอย่างที่ออกปากไว้จริงๆ มิ้นเป็นคนที่ร่าเริงคล่องแคล่วทั้งในการพูดและการกระทำ มีลูกล่อลูกชนที่ดี เธอจึงสามารถหาเหตุผลสารพัดอย่างมาอ้างเพื่อให้พ่อแม่ของผมอนุญาตให้ผมไปทะเลกับเธอได้

ในตอนนั้น...ผมเหมือนลูกนกอ่อนหัดที่เพิ่งขยับปีกออกมาจากกรง

โลกมันกว้างใหญ่และสวยงามจนผมคาดไม่ถึง

สีของท้องฟ้า เสียงแห่งท้องทะเล สัมผัสของคลื่นลม

เหมือนผมกำลังเหยียบย่างไปสู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่เคยได้รู้จักว่ามี

ผมรู้สึกแบบนั้นตอนที่ได้ไปทะเลกับมิ้น แต่จะบอกว่าไปกับมิ้นก็ไม่ค่อยถูกนัก เพราะว่าผมแยกไปกับเธอ มิ้นวางแผนเอาไว้ว่าให้ผมตามไปที่นั่น ให้ผมอยู่ในบริเวณที่เป็นเขตที่พักของเธอ แล้วตอนช่วงอาหารเย็นเธอจะเปิดตัวผมกับแฟนของเธอและเพื่อนๆ เราตกลงกันไว้ตามนั้น ทว่า... เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

เมื่อครู่ผมยังได้ยินเสียงหัวเราะของมิ้นกับแฟนของเธอ

เมื่อครู่ผมยังเห็นทั้งสองคนวิ่งไล่กันในทะเล วักน้ำสาดกัน ตามประสาคู่รัก

แต่เมื่อครู่... ผมกลับเห็นมิ้นหายไปต่อหน้าต่อตา หายไปจากมือของกราฟที่จับกันเอาไว้

สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ คือภาพของชายหนุ่มที่ผมคุ้นหน้าเป็นอย่างดีกำลังกระเสือกกระสน ควานหาบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญที่สุดใต้ผืนน้ำที่สาดซัดเข้าหาเขาระลอกแล้วระลอกเล่า เสียงกรีดร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่งของเขาอื้ออึ้งในหูของผม ก้องกังวานเหมือนกับเสียงนั้นเป็นเพียงเสียงเดียวที่มีอยู่บนโลกใบนี้

“มิ้น! มิ้น มิ้นไปไหน! ตอบกราฟสิ!! ตอบกราฟมา อย่าทำแบบนี้! มิ้น!!!”

แสงสว่างที่ผมเคยเห็น ความสวยงามที่ผมประทับใจยามมาเยือนสถานที่แห่งนี้เปลี่ยนไปในฉับพลัน

ทั้งที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้า แต่สิ่งที่ผมรู้สึกว่ากำลังปรากฏอยู่ตรงหน้าคือความดำมืด เงาทะมึนล่องลอย ความอึมครึมแผ่สะพัดไปทั่วทุกจุดที่ผมกำลังทอดสายตามอง

ผมขยับร่างกายไม่ได้...

อะไรบางอย่างในตัวผมกำลังกรีดร้องโหยหวน

ที่ไหนสักทีในร่างของผมกำลังแตกหักพังทลาย...

หัวใจของผมเต้นอยู่หรือเปล่า ผมกำลังหายใจอยู่ไหม

คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัวของผม พร้อมกับประโยคเดียว

มิ้นล่ะ?

มิ้น

มิ้น...

ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไป กลายเป็นใครสักคนวิ่งลงไปยังทะเล ฉุดกระชากร่างของผู้ชายคนที่กำลังบ้าคลั่งขึ้นมา ผมอยากเข้าไปถามเขาว่า มิ้นล่ะ? ญาติของผมล่ะ? โลกของผมล่ะ? แต่ขาของผมก้าวออกไม่ หัวสมองมึนตื้อไปหมด มันหมุนคว้างราวกับว่าผมกำลังตกลงไปอยู่ในมฤตยูอะไรสักอย่าง ที่อยู่คนละมิติกับสิ่งที่ผมกำลังเห็นอยู่

ผมสัมผัสไม่ได้ ผมเข้าไปหามันไม่ได้ เหมือนถูกตะปูตอกเท้าเอาไว้ให้ฝังติดอยู่บนพื้นทรายทั้งที่อยู่ห่างจากเขาไม่เท่าไร

ร่างของผู้ชายที่ชื่อกราฟถูกลากขึ้นมาพ้นทะเล และนอนแผ่อยู่บนพื้นทราย เขาไม่ไหวติง ไม่ขยับเขยื้อนขณะที่ผู้ชายอีกคนทั้งตบทั้งทุบเขา ริมฝีปากของชายคนนั้นประกบลงบนปากคนรักของมิ้น ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก่อนคนที่นอนอยู่ราวกับตุ๊กตาจะสำลักน้ำออกมา

เกิดอะไรขึ้น?

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน ร่างของผู้ชายสองคนที่ผมเห็นก่อนหน้านี้หายไปแล้ว กลายเป็นผู้คนมากมายที่ดำผุดดำว่ายอยู่บริเวณนั้น พร้อมกับกลุ่มชายอีกหลายคนในชุดเครื่องแบบตำรวจ

ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีไปแล้ว จากช่วงบ่ายแก่เข้าสู่ช่วงเย็น และล่วงสู่ค่ำคืน

คนมากมายเหล่านั้นกลับไปหมดแล้ว แต่ผมยังยืนอยู่ที่เดิม ยังมองอยู่ในตำแหน่งเดิม ราวกับกำลังรอให้ใครบางคนมารับ

ผมกำลังรอใคร?

เงารางที่เป็นเค้าร่างของใครบางคนปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันคุ้นตาผมจนทำให้หัวใจที่เหมือนจะหยุดทำงานของผมเริ่มมีจังหวะขึ้นเล็กน้อย เขาก้าวลงไปในทะเล ควานมือหาอะไรบางอย่างเหมือนกับคนบ้า กรีดร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ เสียงสะอื้นไห้ดังก้องมาถึงผมที่ยืนอยู่ตรงนี้

ภาพนั้นกำลังห่างออกไปเรื่อยๆ กระแสน้ำที่เซาะร่างของเขาสูงขึ้น จากเอวขึ้นไปถึงอก ขึ้นไปจนถึงคอ...

ผมมองภาพนั้นทั้งที่น่าจะรู้ว่ามันกำลังจะเกิดอะไร แต่ขณะเดียวกันผมกลับไม่รู้

สมองของผมไม่ทำงาน เหมือนสมองของผมตายไปแล้ว จึงได้แต่ยืนมองภาพนั้นราวกับมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

สักพักคนคนเดิมที่ผมไม่รู้จักก็วิ่งสุดชีวิตลุยน้ำลงไป ลากเอาร่างที่กำลังจะจมหายขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เสียงตะโกนเรียกของเขาก้องไปทั่วบริเวณนั้น แต่มันเงียบสงัดเพราะเป็นพื้นที่ส่วนตัว

“กราฟ มึงจะทำอะไร!! “

“กราฟ มึงพอเถอะ มึงอย่าทำแบบนี้เลยนะ ถ้ามึงเป็นอะไรอีกคนจะทำยังไง“

เสียงบทสนทนาฝ่ายเดียวดังก้อง ผมไม่รู้ว่ากราฟตอบกลับไปว่าอะไรบ้างก็ต้องสะดุ้งเพราะโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง

คุณลุงโทรมา...

ตอนนั้นเองที่ผมคลายออกจากมนต์สะกด ล้วงไปหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง เสียงของคุณลุงสั่นเครือเหมือนกับกำลังร้องไห้

“ไนล์...จริงหรือเปล่า”

“จริงอะไรครับ”

ผมไม่เข้าใจ ถึงถามกลับไปแบบนั้น คุณลุงจึงตอบกลับมาด้วยเสียงที่สั่นมากกว่าเดิม มันแหบแห้ง สั่นไหวเหมือนน้ำที่อยู่ในแก้วกำลังกระเพื่อม

“ตำรวจโทรมาบอกว่า...มิ้นจมน้ำ ยังหาร่างไม่เจอ”

วินาทีนั้นผมเพิ่งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ภาพที่ผมมองเห็นทั้งหมดมาตั้งแต่ช่วงบ่ายคืออะไร หยดน้ำใสๆ พรั่งพรูออกมาจากตาของผมทั้งที่ผมไม่ได้อยากร้องไห้

ผมเบนสายตากลับไปยังสองร่างที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ พวกเขากำลังกอดกัน เสียงร้องไห้ดังระงมจากคนที่ผมไม่ต้องคาดเดาเลยว่าเป็นใคร มันตอกย้ำให้ผมรู้ได้ว่าสิ่งที่คุณลุงพูดมาเป็นเรื่องจริง และสะท้านสะเทือนให้หัวใจของผมต้องปวดร้าว เหมือนถูกบีบขยี้ขยำจนแทบแหลกเหลว เพียงแค่รู้สึกถึงลมหายใจของตัวเอง ผมก็รู้สึกรังเกียจมันแล้ว

ทำไมผมยังมีชีวิตอยู่

ทั้งที่โลกของผมล่มสลายลงไปแล้ว...






----------------
ตอนพิเศษมาแล้วค่ะ เป็นยังไงบ้างคะ ชีวิตของไนล์
มาช้าเพราะแอบอู้ไปหน่อย
เหลืออีกตอนนึงนะคะ

Undel2Sky

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลก [27/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 27-10-2015 19:18:11
โอ้ยยยยยยยย ทำไมชีวิตไนล์มันถึงได้รันทด หดหู่ขนาดนี้เนี่ย ไนล์ยืนหยัดมาได้ยังไงเนี่ย อ่านตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่าชีวิตน่าจะโตมาแบบไม่ปกติ แต่นี่มันเกินไปแล้ว  :sad4: :sad4: :m15: :m15: :monkeysad: :monkeysad: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลก [27/10/58]
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 27-10-2015 20:39:00
 :L2: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 04-11-2015 20:06:22
ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์








ผมเคยคิดว่าผมเหมือนดวงจันทร์

โคจรไปรอบๆ เขาโดยไม่มีทางเข้าไปใกล้เกินกว่านี้

ทว่าผมกลับยิ่งถลำลึกหลังจากก้าวขาข้างหนึ่งเกินขอบเขตของตัวเอง

เคยไหมครับที่ความใกล้ชิด ความเอาใจใส่ ความเห็นอกเห็นใจของใครคนหนึ่งจะทำให้เรารู้สึกอบอุ่น และมีความสุขจนอยากจะอยู่ข้างๆ เขาไปนานๆ ทั้งที่รู้ว่าเราก็ไม่ต่างจากคนอื่นๆ

เขาใจดีกับทุกคน...

แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้

ทั้งที่พร่ำบอกตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้หยุดรู้สึกแบบนั้นเสียที มันไม่มีประโยชน์อะไร





หลังเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนั้น ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมกลับมาที่บ้านได้อย่างไร แต่สถานที่ที่ผมไปเป็นที่แรกคือบ้านของมิ้น ผมก้มลงกราบแทบเท้าคุณลุงคุณป้าด้วยความรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ ผมช่วยมิ้นไม่ได้ ทั้งที่ผมก็อยู่ตรงนั้นด้วย ผมเป็นไอ้โง่ที่ได้แต่ยืนเฉยๆ ไม่แม้จะขยับตัวไปช่วยหาเธอที่หายไปต่อหน้าต่อตา คุณลุงเจ็บปวดเกินกว่าจะมีแรงต่อว่าผม คุณป้าร้องไห้จนหมดสติไป ผมไม่แก้ตัวที่ผมไม่เอาไหน เพราะมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

พ่อแม่ทุบตีด่าทอผมสารพัดด้วยความผิดหวัง กล่าวโทษว่าผมเป็นคนที่พามิ้นไปตาย กล้าดีอย่างไรถึงเอาตัวเองไปรับผิดชอบชีวิตคนอื่นให้พวกเขาต้องอับอายขายขี้หน้า ความเป็นญาติแตกหักเพราะพ่อแม่ไม่กล้าสู้หน้าคุณลุงกับคุณป้า แม้แต่ผมเองก็เช่นเดียวกัน ผมไร้ค่าเกินกว่าจะไปเผชิญหน้ากับพวกท่าน

ในงานศพของมิ้น กล่องที่ตั้งอยู่ต่อหน้าทุกคนไม่มีสิ่งที่สมควรมีอยู่ ไม่มีใครพบเธออีกหลังจากวันนั้น สิ่งที่ถูกบรรจุอยู่จึงมีเพียงเสื้อผ้าชุดที่เธอชอบที่สุดเท่านั้น คุณลุงข่มน้ำตาด้วยความเจ็บปวดสุดกลั้น คุณป้าร้องไห้จวนเจียนจะขาดใจ พ่อกับแม่แค่ส่งพวงหรีดแสดงความเสียใจไปให้ ขณะที่ผมถูกสั่งห้ามไปที่งานโดยเด็ดขาด แต่ผมก็หนีมาจนได้

อย่างน้อยผมก็อยากจะล่ำลาเธอเป็นครั้งสุดท้าย

ที่งานนั้น ผมได้พบกับกราฟอีกครั้ง เขามาพร้อมเพื่อนๆ และพ่อแม่ สภาพของเขาดูไม่ได้เลย ผิดจากกราฟที่แจ่มใสและอบอุ่นอย่างที่ผมเคยได้เห็นจากรูปถ่ายของมิ้น เขาก้มลงกราบขอโทษคุณลุงคุณป้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ หน้าซูบซีดผอมโซ แต่คุณลุงก็ได้แค่เบือนหน้าหนีโดยไม่กล่าวโทษอะไร ไม่ต่างจากที่ท่านปฏิบัติกับผมเลยสักนิด

ผมใช้ชีวิตอย่างเคว้งคว้างหลังจากนั้น เหมือนข่อนไม้เก่าๆ ที่ลอยไปตามกระแสน้ำที่พัดพา อาจเรียกได้ว่าผมทำตัวเสมือนหุ่นยนต์อย่างที่พ่อแม่ต้องการได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ได้ ทว่า...ขณะที่ผมเปิดหนังสือเล่มหนึ่ง รูปถ่ายที่สอดเอาไว้ก็ตกลงมาบนโต๊ะ

ภาพของมิ้นและผมที่กอดคอกันยิ้ม

รอยยิ้มที่ผมมีแทบนับครั้งได้

มันทำให้ผมชาไปทั้งตัว ขอบตาร้อนผ่าวอย่างไม่อาจห้าม ก่อนสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจจะพรั่งพรูออกมาเป็นหยด

ผมคิดถึงมิ้น... ผมคิดถึงช่วงเวลาที่ผมเคยได้พบกับความสุข

ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนกันแน่ ยังมองดูผมอยู่หรือเปล่า

‘รู้ไหมว่ามิ้นเป็นห่วงนะ’

คำพูดของเธอ น้ำเสียงของเธอก้องสะท้อนในหูผมอีกครั้ง เสี้ยววินาทีนั้นเหมือนแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาในใจผม

คนอย่างผมจะทำอะไรได้บ้าง จะทำอะไรเพื่อเธอได้บ้างไหม

หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้ขึ้นมา ผมก็พยายามทบทวนถึงเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับมิ้น คำพูดของเธอ สิ่งที่เธอให้ความสำคัญ และมันก็ทำให้ผมนึกขึ้นได้

‘มิ้นอยากเรียนวิศวะล่ะ เพราะจะได้มาช่วยงานของพ่อหลังจากเรียนจบ’

เธอเคยพูดแบบนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้แล้ว คุณลุงคุณป้าเองก็มีพระคุณกับผม ให้ความรัก ความเอ็นดู และสนับสนุนผมมาตลอด ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ผมจะกลายเป็นคนที่ทำให้ท่านต้องสูญเสียลูกสาวไปเพราะไม่สามารถปกป้องและช่วยเหลือเธอไว้ได้

พอจะเป็นไปได้ไหมที่ผมจะทำเพื่อพวกท่านแทนมิ้น

เมื่อไตร่ตรองถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็ตัดสินใจได้อย่างไม่ยากเย็น ผมจะรับสืบทอดความฝันของมิ้นเอง ผมจะเป็นตัวแทนมิ้น ถึงแม้ไม่รู้ว่าพอถึงวันนั้นที่ผมบากหน้าไปบอก คุณลุงกับคุณป้าจะยอมรับคนบาปแบบผมหรือเปล่า แต่ผมก็จะทำมัน

หลังจากตัดสินใจได้ดังนั้น เสียงบทสนทนาที่เคยเกิดขึ้นก็ดังขึ้นมาในใจผมอีกหน

‘มิ้นน่ะรักกราฟมากๆ เลยนะ เพราะไม่ว่าเมื่อไรกราฟก็ทำให้มิ้นมีความสุข แล้วกราฟก็บอกว่ามิ้นทำให้กราฟมีความสุขเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้ มิ้นก็อยากอยู่ข้างๆ กราฟจนกว่ากราฟจะมีความสุขอื่นที่ไม่ใช่มิ้น แบบนี้มันดูโง่หรือเปล่านะไนล์’

‘ทำไมถึงคิดว่ากราฟจะมีความสุขอื่นที่ไม่ใช่มิ้นล่ะ ทั้งที่กราฟเองก็บอกว่ามิ้นทำให้กราฟมีความสุข’

‘ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนนี่นา วันนี้เราอาจจะรักกันก็จริง แต่ไม่แน่อาจมีสักวันที่ทำให้เรารักกันต่อไปไม่ได้ ถึงอย่างนั้นมิ้นก็มั่นใจว่ามิ้นยังคงจะคิดว่าอยากให้กราฟมีความสุขเหมือนเดิม’


รอยยิ้มที่เธอมีในวันนั้นหลังจากพูดกับผมจบยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจและความทรงจำของผม ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของเธอ และมันก็ทำให้ผมคิดได้ว่าแม้ตอนนี้มิ้นจะไม่อยู่แล้ว แต่ผมเชื่อว่ามิ้นจะยังคงหวังให้กราฟมีความสุข

ถ้าแบบนั้น...ผมจะเป็นคนคอยเฝ้ามองความสุขนั้นแทนมิ้นเอง

ผมจะเฝ้ามองกราฟจนกว่าเขาจะพบกับความสุขอีกครั้ง

เมื่อตั้งปณิธานกับตัวเองแล้ว ผมก็ตัดสินใจออกจากบ้านที่ไร้อิสรภาพแห่งนี้ ผมเอาเงินเก็บทั้งหมดออกมา เก็บของใช้ส่วนตัวกับเสื้อใส่กระเป๋าสองสามชุด และแอบเอาสำเนาเอกสารต่างๆ ที่จำเป็น เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชนพ่อและแม่ออกมาจากบ้านหลังนั้น มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวเหลือทิ้งไว้ในห้องที่ว่างเปล่า พร้อมข้อความสั้นๆ



ถ้าไม่อยากอับอายขายขี้หน้าที่ลูกชายคนเดียวหนีออกจากบ้าน ก็ไม่ต้องตามหา



เหมือนระหว่างเขียนข้อความนั้นจะทำให้ผมรู้สึกปวดหนึบในใจอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็คือความจริง ผมรู้ดีว่าพ่อแม่รักหน้าตาของตัวเองมากแค่ไหน ดังนั้นผมจึงเชื่อว่ามันจะใช้ได้

สถานที่แรกที่ผมมุ่งไปคือร้านถ่ายเอกสาร ผมก๊อบปี้สำเนาเอกสารออกมาสองสามชุด ปลอมลายเซ็นพ่อกับแม่ลงไปบนนั้นสำหรับเตรียมพร้อมไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ สถานที่นอนของผมในค่ำคืนนี้เป็นโรงแรมเล็กๆ ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะหาได้ เพราะผมมีเงินติดตัวมาไม่มาก

ถึงแม้ว่าครอบครัวผมจะมีฐานะ แต่เงินก็ไม่ได้ตกมาถึงผมมากนัก เพราะมันเป็นตัวที่จะช่วยให้ผมมีอิสรภาพมากเกินไป พ่อกับแม่ถึงจำกัดไว้แค่เท่าที่ผมพอใช้ หากพูดว่าเงินเก็บที่ผมมีมาจากการที่คุณป้าช่วยนำรูปภาพของผมไปขายให้ก็คงไม่ผิดนัก

นึกมาถึงตอนนี้ผมก็รู้สึกถึงรสขมปร่าในลำคอ จนจำต้องฝืนกลืนมันลงไปและข่มตาหลับในห้องที่เล็กกว่าห้องน้ำในบ้านของผมอีกทั้งยังสกปรกและเหม็นอับแทบหายใจไม่ออก ถึงกระนั้นผมก็สามารถหลับลงได้ อาจเพราะมนุษย์มีสิ่งที่เรียกว่า การปรับตัว ก็เป็นได้

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมจึงได้มองเห็นพระอาทิตย์ ผมอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันเปลี่ยนชุด ก่อนจะเดินทางไปยังจุดหมายที่หวังไว้ ยื่นเอกสารที่เตรียมมาพร้อมกับลายเซ็นปลอมๆ ของพ่อแม่ เมื่อเห็นหลักฐานที่ว่ามานั้นและข้ออ้างข้างๆ คูๆ ของผม ผมจึงได้รับอิสรภาพอีกครั้ง

ไม่เหลือพันธะใดกับชีวิตของนายเนรมิต แม้กระทั่งโรงเรียนเดิม

เป้าหมายต่อไปของผมคือสถานศึกษาแห่งหนึ่ง ด้วยจำนวนเงินที่ผมมี แน่นอนอยู่แล้วว่าผมไม่สามารถเข้าโรงเรียนเอกชนที่ค่าเทอมสูงลิ่วได้ ผมจึงเลือกโรงเรียนวัดที่อยู่ใกล้โรงเรียนของกราฟมากที่สุดแทน และมันก็ไม่ใช่เรื่องยากในเมื่อผมมีเอกสารเตรียมมาพร้อมทั้งหมดแล้ว

การเริ่มต้นชีวิตใหม่ของผมคือวันพรุ่งนี้ ผมซื้อชุดนักเรียนไว้ แค่ชุดสองชุดยังพอไหว แต่สิ่งสำคัญที่ผมจะต้องคิดต่อจากนี้ไปคือจะดำเนินชีวิตให้อยู่รอดไปวันๆ ได้อย่างไร ไหนจะที่พัก ไหนจะค่ากินอยู่ คิดได้ดังนั้นผมก็เริ่มรู้สึกถึงความลำบากของจริง

ช่วงแรกๆ ผมอาศัยอยู่ในโรงเรียนโดยไม่ให้ใครรู้ ใช้เงินแค่เฉพาะค่าอาหารเท่านั้น แต่เพียงไม่ถึงเดือนเงินที่มีอยู่ก็ร่อยหรอ แม้ว่าจะพยายามใช้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วก็ตาม ผมเครียดมากเพราะคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร เดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยเปื่อยเหมือนคนเร่ร่อนทั่วๆ ไป กระทั่งมีคนมาทัก

“หนุ่มน้อย เป็นอะไรไปจ๊ะ หน้าตาดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจนะ”

ผมหันไปมองเจ้าของเสียงที่บีบให้ดูเล็กหวานเหมือนผู้หญิง สรีระของเขาอ้อนแอ้นอรชร ผมสั้นจนเกือบเกรียน แต่ติดขนตาจนเด้งออกมาหลายเซนติเมตร ริมฝีปากสีชมพูสด เสื้อผ้าบนร่างแม้จะเป็นเสื้อเชิ้ตกางเกงสแล็ก แต่มันก็แน่นฟิตไปทั้งตัว ยิ่งเสริมให้เห็นว่าร่างกายของเขาอัดแน่นด้วยกล้ามเนื้ออย่างสมส่วน

ผมไม่รู้จักเขา และไม่แน่ใจว่าจะตอบเขาไปดีไหม จึงเบือนหน้าไปอีกทางพลางเดินหลบ แต่เขาก็มาดักหน้าผมไว้พร้อมกับเรียก

“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ มีอะไรไม่สบายใจปรึกษาเจ๊ได้นะ เจ๊ชอบช่วยเหลือเด็กหนุ่มๆ โดยเฉพาะเด็กหน้าตาดีๆ แบบน้องเนี้ย ถูกใจเจ๊เลย”

“ผมไม่ขายตัว”

เพราะกลัวว่าจะถูกตามตื๊อหรือวุ่นวายไปมากกว่านี้ ผมจึงรีบตัดบทเพื่อให้เขาเลิกตามผมโดยเร็วที่สุด แต่ว่าเขากลับคว้าแขนของผมไว้พร้อมอุทาน ‘อุ๊ยตายๆ’ กำลังมหาศาลที่แตกต่างจากผมทำให้ผมไม่สามารถก้าวขาต่อไปได้ จึงต้องหยุดและหันไปเผชิญหน้าเขาตรงๆ

“ไปนั่งคุยกันหน่อยไหม เจ๊ไม่ได้จะให้เราขายตัวหรอก”

แม้เขาจะพูดออกมาอย่างนั้น แต่ผมก็ยังเคลือบแคลงและเขาก็อ่านมันออกได้อย่างชัดเจน เพราะผมตั้งใจแสดงสีหน้าอย่างเต็มที่เป็นครั้งแรกในชีวิต ผู้ชายคนนั้นถึงดึงมือผมอีกครั้ง

“เจ๊พูดจริงๆ สาบานเลยเอ้า”

ไม่รู้ว่าเพราะคำพูดนั้นหรือเปล่า ผมจึงยอมผ่อนแรงจิกเท้าเพื่อรั้งร่างตัวเองเอาไว้ และยอมเดินตามเขาไปโดยดี คนที่เรียกตัวเองว่า ‘เจ๊’ พาผมไปนั่งในร้านอาหารติดแอร์ร้านเล็กๆ แถวนั้น ที่นั่นมีบริการขนมหวานและไอศกรีมด้วย เขาสั่งไอศกรีมช็อกโกแลตมาให้ผมถ้วยหนึ่ง ขณะที่เขาเองก็สั่งไอศกรีมสตรอเบอร์รี่กับบูลเบอร์รี่มาถ้วยใหญ่

“ว่ายังไงล่ะจ๊ะ มีความทุกข์เรื่องอะไร”

เขาถามผมง่ายๆ ด้วยท่าทีสบายๆ ทำเหมือนเรารู้จักกันมาก่อน ขณะที่ผมยังคงอุดปากปิดสนิท เอาช้อนเขี่ยไอศกรีมเล่นโดยไม่คิดจะตักเข้าปาก เขาจึงเอียงคอนิดๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอีกครั้ง

“งั้นเจ๊แนะนำตัวก่อนแล้วกัน เจ๊ชื่อช็อกโก้นะ เวลาเรียก็ให้เรียกเต็มๆ ล่ะ อย่าเรียกช็อกหรือโก้ เพราะเดี๋ยวเจ๊หัวใจวาย” ปากของเขาพูดพร่ำขณะเดียวกันก็ตักไอศกรีมสองสีเข้าปากคำใหญ่ ทำหน้าเหมือนพึงพอใจในความหวานและเย็น  “แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร”

“...”

“อย่าระแวงกันนักสิ เจ๊ไม่ทำร้ายหรอกน่า บอกแล้ว่าเจ๊ชอบช่วยเด็กหนุ่มๆ”

ผมไม่เข้าใจเจตนาของเขาเลยว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ดูจากลักษณะแล้ว ก็เหมือนจะไม่มีลับลมคมในอะไร ผมควรจะตอบกลับไปหรือไม่ควรตอบดี

เงียบอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว เจ๊ช็อกโก้ก็ตักไอศกรีมเข้าปากกรวมๆ รอคำตอบจากผม หมดถ้วยเก่าก็เรียกพนักงานมาสั่งถ้วยใหม่เพิ่ม ส่วนไอศกรีมสีน้ำตาลในถ้วยของผมละลายไปเกินครึ่งก้อนแล้ว

“ไนล์”

สุดท้ายผมก็ยอมเปล่งเสียงออกมาสั้นๆ แต่เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้เขายิ้มแป้นแทบปากฉีกแล้ว จากนั้นก็ย้ำถามผมด้วยคำถามเดิม

“แล้วสรุปว่ามีปัญหาอะไร ถ้าให้เจ๊เดานะ หนุ่มๆ แบบนี้ไม่อกหักก็ไม่มีเงินใช้ล่ะสิท่า”

ผมยังคงนิ่ง ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ออกไป แต่เขาหรี่ตามองผมราวกับพิจารณา แล้วเอ่ยเสียงออกมาอีกครั้ง

“เจ๊ยื่นข้อเสนอให้เอาไหม”

“ผมไม่ขายตัว”

ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาอีก ผมก็แทรกขึ้นเสียก่อน เพราะสายตาที่เขามองผมเมื่อครู่มันเหมือนว่าเขากำลังประเมินค่าผมเหมือนสิ่งของอย่างหนึ่งเสียมากกว่าจะเรียกว่าเห็นอกเห็นใจ แต่คำตอบของผมกลับเรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้

“ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้น ไม่ขายตัวก็ไม่ขายตัวจ้ะ ถึงจะเห็นแบบนี้ แต่เจ๊ก็รักนวลสงวนตัวเหมือนกันนะ ก็แค่...” เขาเหลือบตามองผมไปทั่วร่างอีกครั้ง ถ้าไม่ได้นั่งอยู่ ผมแน่ใจได้ว่าเขาคงมองไล่ไปจนถึงเท้า “ชอบเล่นสนุก ควงหนุ่มๆ หน้าอ่อนไปชอปปิ้งให้ชุ่มชื่นหัวใจเท่านั้นแหละ”

ไอศกรีมถ้วยใหญ่ที่เขาสั่งไปมาเสิร์ฟหลังจากพูดประโยคนั้นจบ เขาหันไปยิ้มแฉ่งให้พนักงานก่อนจะจ้วงไอศกรีมก้อนโตเข้าปากราวกับไม่กลัวอาการเสียวฟัน

“สนใจหรือเปล่า”

หลังจากกลืนของกึ่งแข็งกึ่งเหลวนั่นเข้าปากไปแล้ว เขาก็หันมาถามผมอีกครั้ง ผมยังคงนั่งมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่ได้ให้คำตอบใดๆ

“ถ้าเธอให้ฉันควงอวดชาวบ้าน ช่วยถือของและเอาใจฉันสักหน่อย ฉันมีค่าขนมให้นะ” เสียงพูดหยุดไปชั่วครู่ขณะที่เขาย่นคิ้วเข้าหากัน ทำท่านึกอะไรสักอย่าง ก่อนจะอ้าปากออกมา “สักสองพันพอไหม สำหรับวันนี้ ก็แค่ประมาณสี่ห้าชั่วโมงเอง สี่ทุ่มฉันก็จะปล่อยเธอกลับบ้านแล้ว เด็ก ม.ปลาย นอนดึกมันไม่ดีนี่เนอะ”

สิ้นเสียง เขาก็ตักไอศกรีมเข้าปากอีกอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน รอให้ผมพิจารณาข้อเสนอและตอบเขากลับไป ซึ่งมันก็ทำให้ผมมึนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเขาจะมายื่นข้อเสนอแบบนี้กับผมเพื่ออะไร ไม่ใช่คนรู้จักกัน อยากเล่นสนุกเหรอ? หรือว่าอะไร ผมไม่เข้าใจความคิดนี้ของเขา หรือผมไม่เข้าใจความคิดของผู้ใหญ่กันแน่

ผมคิดอยู่นาน จนไอศกรีมถ้วยที่สองของเขาหมดไป ไอศกรีมช็อกโกแลตในถ้วยผมละลายไปจนหมดแล้ว ผมก็ยังมองหน้าเขานิ่งๆ เพื่อจับผิด แต่ไม่มีอะไรที่จะทำให้ผมแน่ใจได้เลยว่าจุดประสงค์ของเขาคืออะไรกันแน่

“คุณต้องการให้ผมทำแค่นั้นจริงๆ เหรอ”

“จะลองเสี่ยงเดิมพันดูไหมล่ะ”

เขาตอบอย่างไม่เป็นเดือดเป็นร้อนเท่าไร กลับเป็นผมเสียเองที่คิดหนักมากกว่าเดิม เพราะมีข้อเสนอดีๆ มายื่นอยู่ตรงหน้า ในขณะที่ตัวเองกำลังจนตรอก แต่ก็ใช่ว่าผมสามารถวางใจว่าจะไม่มีเหตุอันตรายได้ ถึงผมจะเป็นผู้ชาย แต่สังคมทุกวันนี้ ผู้ชายก็ยังต้องระวังตัว

ผมควรจะเสี่ยงหรือว่าหาทางออกอื่น

ไตร่ตรองอย่างหนัก จนเวลาล่วงเลยไปอีกมากกว่าห้านาที เขายังไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนใจแล้วจบการเจรจาครั้งนี้ ยิ่งทำให้ผมกดดันมากกว่าเดิม ทว่าสุดท้ายแล้ว ผมก็ขอลองดูสักตั้ง

“ก็ได้ แต่ถ้ามันไม่ใช่แค่นั้น ผมก็คงไม่อยู่เฉยเหมือนกัน”

หลังจากได้ยินคำตอบของผม เขาก็หัวเราะคิกคักเหมือนเป็นเรื่องสนุกๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินไปจ่ายเงินค่าไอศกรีม แล้วนำออกจากร้านโดยไม่หันมามองผมสักนิด ทำให้ผมรู้ว่าผมมีหน้าที่เดินตามไป และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเริ่มยืนด้วยลำแข้งตัวเองได้

ถือว่าเจ๊ช็อกโก้เป็นผู้มีพระคุณของผมเลยก็ว่าได้ เขาไม่ได้มีแผนการร้ายอยู่เบื้องหลัง และไม่ได้ทำร้ายผมไม่ว่าแบบใดทั้งสิ้นอย่างที่หวาดระแวง มีแต่จะช่วยเหลือและสนับสนุนผมเพราะความเห็นใจ มีอีกหลายครั้งที่เขาชวนผมให้ไปเที่ยวเป็นเพื่อนเขา แต่ก็ไม่เคยทำอะไรเกินเลยที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นการคุกคามทางเพศ อย่างมากก็แค่จับมือ ควงแขน

เขาสอนให้ผมรู้จักยิ้ม รู้จักเทคแคร์ผู้หญิง ตอนแรกๆ โดนเขาตำหนิว่า ‘ถึงร่างกายของฉันจะเป็นผู้ชาย แต่จิตใจของฉันเป็นผู้หญิงนะยะ เพราะฉะนั้นต้องคอยเอาใจใส่ให้ดีหน่อย’ ด้วย ผมถึงเริ่มเรียนรู้วิธีการแสดงให้ผู้อื่นพึงพอใจ

หลังจากได้เงินจากการเป็นเพื่อนเที่ยวหลายๆ ครั้งเข้า ผมก็เริ่มมีที่อยู่เป็นของตัวเอง แม้จะเป็นห้องพักเล็กๆ แต่มันก็ทำให้ผมสะดวกสบายขึ้น อีกทั้งผมยังสามารถกลับมาวาดรูปได้เหมือนเดิม มีลูกค้าที่เคยติดต่อกันไว้ในช่วงที่ผมยังอยู่ที่บ้านมาจ้างงานบ้าง ทำให้ผมมีรายได้อีกทาง

ผมเคยถามเจ๊ช็อกโก้ว่าทำไมถึงมาทักผมในวันนั้น เขายอมบอกแต่โดยดีว่าเพราะเห็นท่าทางผมดูเคร่งเครียด กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีลงไป อย่างเช่น ลักขโมย จี้ปล้น หรือไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เขามีเงินมากมายพอที่จะช่วยเหลือคนได้ หากว่าเขาช่วยผมไว้สักคน ก็ถือว่าได้บุญโขอยู่ แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยเหลือไปหมดซะทุกคน เขาต้องดูด้วยว่าเป็นคนที่สมควรจะช่วยหรือไม่ มีโอกาสที่จะมาหักหลังเขาภายหลังเพราะหวังทรัพย์สินของเขาหรือเปล่า ซึ่งเขามองว่าผมไม่ได้อยู่ในข่ายนั้น เพราะถึงผมจะดูโศกเศร้าเคร่งเครียด แต่ขณะเดียวกันก็ดูว่างเปล่า เหมือนมีเพียงร่างแต่ข้างในกลวงโบ๋จนเขากลัวว่าจะทำอะไรบ้าๆ แบบไม่คิดลงไป

หลังจากชีวิตผมเข้ารูปเข้ารอยมากขึ้น ผมก็ดำเนินชีวิตประจำวันของผมได้ตามปกติ หลังจากเรียนเสร็จ ผมจะเดินไปโรงเรียนของกราฟที่อยู่ไม่ไกลเพื่อดูความเป็นไปของเขา ภาพใบหน้าของเขาที่เศร้าสลดและซีดเซียวค่อยมีชีวิตชีวามากขึ้น ทำให้ผมรู้ว่าเขาคงทำใจเรื่องมิ้นได้อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งแล้ว

ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของกราฟกับเพื่อนอีกคนที่ผมจำได้ว่าเป็นคนที่ช่วยเขาเอาไว้ที่ทะเลก็เริ่มแน่นแฟ้นมากขึ้น มันมากเกินกว่าเพื่อนกันจนผมรู้สึกหน่วงๆ ในใจ แม้ว่าจะได้เห็นรอยยิ้มที่คุ้นตากลับมาเยือนใบหน้าของเขาอีกครั้งก็ตาม

กราฟเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกคนอื่นเสมอ คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง เขาเป็นคนแจ่มใสที่ทำให้ใครก็ตามที่อยู่ใกล้รู้สึกอบอุ่น เขาชอบดีดกีตาร์และอยู่ชมรมดนตรี มีงานอดิเรกคือการไปแข่งรถกับเพื่อนๆ ที่สนามแข่งในตอนกลางคืน ชอบกินอาหารรสไม่จัด และชอบช็อกโกแลต

ผมได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เขาชอบ หรือความรู้สึกนึกคิดของเขาผ่านทางการสังเกตเขาตลอดระยะเวลาที่เลยผ่าน จนบางครั้งก็สามารถคาดเดาการตัดสินใจของเขาได้ล่วงหน้าเสียด้วยซ้ำ คนอื่นอาจจะมองว่าผมเป็นโรคจิตก็ได้ที่คอยตามดูเขาแบบนี้ ตั้งแต่เวลาเลิกเรียนกระทั่งเขากลับถึงบ้าน หากไม่จำเป็นต้องกลับไปวาดรูปหรือถูกเจ๊ช็อกโกเรียกให้ไปเที่ยวด้วย ผมมักจะแอบตามเขาอยู่แบบนั้นโดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

มองดูเขาพูดคุย เล่นหัวกับเพื่อน

มองดูรอยยิ้มของเขาที่กลับมาเป็นเหมือนเดิม

มองดูความสนิทสนมของเขากับผู้ชายคนนั้นที่มากเกินกว่าเพื่อนจนแทบเรียกได้ว่าคนรักกัน

ผมควรจะดีใจหรือเปล่าที่กราฟกำลังมีความสุขกับผู้ชายคนนั้น?

ผมไม่แน่ใจเลย

มันเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง อาจจะเป็นคำพูดแว่วๆ ที่ผมได้ยินที่ทะเลในวันที่มิ้นจากไปก็เป็นได้

‘กูรู้ว่ากูไม่ใช่มิ้น กูแทนที่มิ้นไม่ได้ แต่เวลาที่มึงนึกถึงมิ้น มึงมาหากูได้ กูจะเป็นมิ้นให้มึง เพราะงั้นมึงต้องดูแลตัวเอง แล้วก็ต้องดูแลกู เข้าใจไหม’

ผมเชื่อว่าเวลานี้เขายังไม่ได้พบเจอความสุขที่แท้จริง มันเป็นแค่ความรู้สึกลวงๆ ที่ใช้หลอกตัวเองเท่านั้น เพราะแบบนั้นผมจึงยังคงเฝ้ามองเขาอยู่ต่อไป จากเดือนเป็นปี จากปีเป็นสองปี กระทั่งเราเรียนจบ ม.6

กราฟเลือกเรียนต่อมหาวิทยาลัยเอกชนที่ค่าเทอมสูงมาก และมันก็สร้างปัญหาให้ผมค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน ถึงผมจะขายงานอยู่ และยังได้รับค่าจ้างจากการเป็นเพื่อนเที่ยวของเจ๊ช็อกโก้ แต่มันก็ไม่เพียงพอสำหรับจ่ายค่าเทอม โชคยังดีที่อย่างน้อยมหาวิทยาลัยแห่งนี้มีคณะวิศวกรรมศาสตร์ที่ผมจำเป็นต้องเข้า ที่เหลือผมคงต้องหาทางออกให้ตัวเอง แต่จะทำอย่างไร?

ระหว่างที่คิดไม่ตก ผมก็ต้องกลายเป็นหนี้เจ๊ช็อกโก้อีกครั้ง ถึงปกติผมจะนิ่งเฉย ไม่แสดงสีหน้า แต่เขาก็สามารถจับความผิดปกติได้อย่างง่ายดาย ผมไม่ได้เล่าออกไปว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร แต่เขาก็คะยั้นคะยอให้ผมยอมบอก อย่างน้อยๆ ก็เรื่องที่กำลังเป็นทุกข์ใจอยู่ในตอนนี้

หลังจากรู้ว่าผมต้องการเงินไปเข้ามหาวิทยาลัยเอกชน เขาก็เสนอเงินให้ผมก้อนหนึ่ง แม้ว่าผมจะปฏิเสธแล้ว แต่เขาก็ยังยัดเหยียดให้ผมพร้อมกับคำพูดที่ทำให้ผมรู้สึกใจหาย

“เธอเป็นเด็กดีมาตลอด ขยัน อดทน ถึงเจ๊จะไม่รู้เรื่องราวในอดีตว่าทำไมเธอถึงต้องเป็นแบบนี้ แต่เจ๊ก็เชื่อว่ามันมีเหตุผลมากพอให้เธอตัดสินใจทำ รวมถึงครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถือว่านี่เป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากเจ๊แล้วกัน เพราะว่าต่อจากนี้เจ๊คงไม่ได้ดูแลเธอแล้วล่ะ”

“ทำไมล่ะครับ”

“เจ๊จะไปอยู่อเมริกากับสามีเจ๊แล้วน่ะสิ โรเบิร์ตที่เจ๊เล่าให้ฟังไง แล้วเราก็คงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว”

ผมอึ้งจนพูดไม่ออก เพราะไม่คิดว่าจะมาถึงวันนี้ ไม่ใช่ว่าผมเสียใจที่ต่อไปนี้จะขาดคนที่ให้ความช่วยเหลือ หรือควรจะเรียกว่าคนอุปถัมภ์ด้วยซ้ำ เพราะช่วงสองปีหลังมานี้ เขาค่อนข้างเอ็นดูผมเหมือนน้องชายคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ และมันก็ทำให้ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในน้ำใจและความกรุณาของเขาที่หยิบยื่นให้ผมเสมอมา ถึงเขาจะไม่ได้เปรียบเสมือนโลกที่สดใสเหมือนอย่างมิ้น แต่เขาก็เป็นสายลมอุ่นๆ ที่พัดผ่านเข้ามา จึงอดที่จะรู้สึกผูกพันกับเขาไม่ได้

“จำไว้ว่าเจ๊ไม่เคยรู้สึกเสียใจหรือเสียดายเงินเลยได้ที่ช่วยเหลือเธอ เป็นเด็กรักดีแบบนี้ต่อไปล่ะ”

สุดท้ายผมก็รับเงินจากเขามา พร้อมส่งเขาด้วยรอยยิ้มที่ผมได้เรียนรู้จากเขา

ต่อจากนี้ผมต้องเปลี่ยนการดำเนินชีวิตเสียใหม่ ไม่มีเจ๊ช็อกโก้ที่คอยช่วยเหลือและพยุงหลังผมเอาไว้อีกแล้ว

ตลอดช่วงปิดเทอม ผมคอยติดตามกราฟไปทุกหนทุกแห่ง ขณะเดียวกันก็รับจ้างวาดงานไปเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่เยอะนัก และได้เงินไม่มากมาย กระนั้นก็ยังทำให้ผมเอาตัวรอดต่อไปได้เรื่อยๆ จวบจนกระทั่งเปิดเทอม

ผมเริ่มหาลู่ทางเพิ่มรายได้ให้ตัวเองด้วยการชักชวนผู้หญิงในมหาวิทยาลัยให้เป็นลูกค้าของผม เพราะจะต้องเตรียมเงินไว้สำหรับค่าเทอมหน้าด้วย กฎเหมือนเดิมทุกอย่างคือไม่มีการล่วงเกินหรือสัมพันธ์ที่เกินเลย ซึ่งลูกค้าทุกคนต่างก็ปฏิบัติตามเป็นอย่างดี จะมีบางคนที่ค่อนข้างมีปัญหาเพราะดูเหมือนว่าเขาจะพอใจกับการเทคแคร์ของผม

ถึงผมจะไม่ได้บริการใครเป็นพิเศษ แต่ก็มีลูกค้าประเภทนั้นเข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งผมก็ต้องปฏิเสธ และเลิกรับงานกับคนพวกนั้นไปเพื่อความปลอดภัยของตัวเองและลูกค้าคนอื่นๆ

หากไม่ติดขัดปัญหาอะไร เช่น ต้องวาดงานส่ง ติดเรียน หรืออ่านหนังสือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับควิซแล็บ ผมจะไปดักรอกราฟที่โรงอาหารเสมอ เพราะเขาจะไปกินข้าวกับเพื่อนๆ ทุกวันก่อนจะเข้าเรียน อย่างน้อยก็เพื่อให้ผมได้รู้ความเป็นไปของเขาในแต่ละวัน ทั้งช่วงเช้าและเย็น ทว่าในวันนี้ ผมกลับพบเจอเหตุการณ์ใหม่ และมันก็ยิ่งทำให้ผมตกใจยิ่งไปกว่าเดิมเมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เขากำลังพูดคุยอยู่ด้วย

“มิ้น...”

ผมอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะตั้งสติได้ว่าเจ้าของชื่อนั้นไม่ได้อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แต่ถึงอย่างไรคนที่ผมเห็นว่ายืนต่อหน้ากราฟก็หน้าเหมือนมิ้นไม่มีผิด ขาของผมหยุดชะงัก ไม่ก้าวเข้าไปใกล้และไม่ถอยออก รู้สึกมึนเบลอไปหมด แต่ขณะเดียวกันก็พยายามจับสังเกตสีหน้าของกราฟเอาไว้ไม่ให้พลาดไป เพราะผมอยากรู้เช่นกันว่าเขากำลังรู้สึกแบบไหน

สังหรณ์ประหลาดเริ่มลุกลามในใจของผมในวินาทีนั้น

รอยยิ้มของกราฟมันทำให้ผมรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ เหมือนจะต้องเกิดเหตุอะไรบางอย่างและผมก็ไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น อาจเพราะผมสามารถคาดเดาความรู้สึกนึกคิดของเขาได้เสียส่วนใหญ่ก็เป็นได้ ผมจึงตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง

ในวันนั้นผมได้ยินว่ากราฟจะไปที่ผับแห่งหนึ่ง และผมก็ได้รับโทรศัพท์จากลูกค้า เพื่อนัดไปเที่ยวกินดื่มกัน แน่นอนว่าผมใช้โอกาสนี้แนะนำร้านกับเธอ และเธอก็ยินยอมตอบรับคำขอของผม

ภายในร้านนั้นไม่ต่างจากผับทั่วๆ ไปนัก มีแสงสี เสียงเพลง ผู้คนเบียดเสียดทั้งพร้อมจะลวนลามและมีเรื่องกัน ผมนั่งจิบแอลกอฮอล์พลางจ้องมองใบหน้าของคนที่ผมเฝ้ามองมาตลอดสามปี เขาสังสรรค์เฮฮาอยู่กับเพื่อนๆ ก๊วนเดิม แต่มีเพิ่มเติมเป็นพวกรุ่นพี่ ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่คงไม่มีใครมองออกว่าเขามีหลุมลึกในใจที่ทำอย่างไรก็กลบไม่ผิด

เช่นเดียวกับผม... ที่ทั้งร่างกลวงโบ๋ มีแต่ความว่างเปล่า

ผมรู้ว่าตัวเองไร้ค่า ไร้ตัวตน ที่คงสภาพอยู่ในทุกวันนี้มีเพียงเปลือกนอกที่เรียกว่าร่างกายเท่านั้น

ที่ผมสามารถยิ้มแย้ม พูดคุย เอาใจผู้หญิงได้ก็เป็นเพียงแค่โปรแกรมที่ถูกฝังมาจากการผู้มีพระคุณเท่านั้น เพื่อให้ผมสามารถเอาตัวรอดต่อไป และมีชีวิตอยู่ได้จวบจวนผมสามารถทำตามปณิธานของตัวเองสำเร็จ

ผมมีชีวิตอยู่เพื่อเรื่องเท่านั้น...จริงๆ




อ่านต่อด้านล่าง

v


v
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 04-11-2015 20:08:02

อ่านต่อจากข้างบน



v


v




“นี่ อย่าเอาแต่นั่งเหม่อสิ ช่วยสนใจน้ำผึ้งสักนิด”

เสียงหญิงสาวพะเน้าพะนอพร้อมกับเอนหัวซบลงกับไหล่ของผม ผมจึงจำต้องละสายตากจากกราฟกลับไปหาเธออย่างช่วยไม่ได้ ส่งยิ้มที่เกิดจากกระบวนเรียนรู้ว่ามันสามารถทำให้ผู้หญิงพอใจได้ไปให้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มๆ ที่จำเป็นต้องทำ

“ขอโทษครับ พอดีผมงานยุ่งนิดหน่อย ก็เลยอาจจะเบลอๆ”

“แหม อะไรกัน รับลูกค้าเยอะล่ะสิไม่ว่า”

ผมถูกนิ้วชี้ของเธอกดลงมาบนหน้าผากเบาๆ ขณะที่เธอทำหน้างอนๆ แต่ไม่ได้จริงจังนัก เพราะต่างคนก็รู้ดีว่าผมไม่เคยบริการใครเป็นพิเศษ ทุกคนเท่าเทียมกันหมดเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา ถ้าใครอยากให้ผมเอาใจเป็นพิเศษก็อาจจะต้องจ่ายหนักหน่อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาว่าคุ้มค่าหรือไม่ของลูกค้า

“ผมมีควิซเกือบทุกวันน่ะครับ ก็เลยต้องอ่านหนังสือทุกวันเลย”

ท้ายเสียงผมเอื้อนอ้อนนิดหน่อย ทำให้อีกฝ่ายยอมปล่อยผ่านไม่ตื๊ออะไรมาก ผมจึงได้โอกาสเหลือบไปสนใจกราฟอีกครั้ง เห็นว่าเขากำลังลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่ ดูเหมือนว่าจะไปห้องน้ำ ผมจึงรีบเอ่ย

“เดี๋ยวผมขอไปห้องน้ำหน่อยนะครับ”

ไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายตอบมา ผมก็ลุกขึ้นแล้ว เป้าหมายของผมไม่ใช่ที่อื่นเลยในเมื่อผมมีโอกาสแล้ว ผมจะขัดขวางความตั้งใจของเขา ก่อนจะเกิดเหตุอย่างที่ผมกังวลไว้จริงๆ

ผมไม่อยากให้เขาต้องกลับมานึกเสียใจทีหลังกับการตัดสินใจแบบนั้น

อย่าใช้ใครเป็นตัวแทนมิ้นเลย... เลือกคนที่ทำให้นายรักจริงๆ สิ

ผมก้าวเท้าพร้อมกับมีความคิดนั้นอัดแน่นอยู่ในหัวและในใจ

และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมย่างเท้าเข้าไปในขอบเขตของเขา...

พื้นที่ที่ผมไม่คิดก้าวเข้าไปมาตลอดสามปี

พื้นที่ที่ผมไม่สมควรเข้าใกล้

ผมล้ำเส้นเข้าไปด้วยความหวังดี แต่ว่ามันกำลังทำให้ทุกอย่างผิดเพี้ยนไปหมด แรกเริ่มเดิมทีผมต้องการขัดขวางไม่ให้กราฟใกล้ชิดกับผู้หญิงที่ชื่อดาหลา ไม่ต้องการให้เขาใช้ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวแทนมิ้นเพียงเพราะว่าหน้าเหมือน เพราะต่อให้เหมือนมิ้นทุกอย่าง แต่เธอก็ไม่ใช่มิ้น

ผู้หญิงที่กราฟรัก คือจิตใจของมิ้น ไม่ใช่เปลือกนอกของมิ้น

การแสดงของผมอาจจะดูเหมือนมากไปบ้าง ทั้งการเสนอตัวทำเหมือนว่าผมชอบเขา ฉุดรั้งให้เขามาทางตัวเองแทนที่จะไปหาผู้หญิงคนนั้น ดูๆ เหมือนไอ้โง่ด้วยซ้ำที่ทำแบบนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งทำ ผมกลับยิ่งรู้สึกติดอยู่ในบทบาทมากขึ้น

ผมยัดเยียดกุญแจห้องของผมให้กับเขาทั้งที่ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นก็ได้ เขาปฏิเสธผมอย่างตรงไปตรงมา แต่ผมก็ยังพยายามทำให้เขาติดอยู่ในบ่วงที่ผมสร้างขึ้น เพื่อพันธนาการเขาเอาไว้ให้ห่างจากผู้หญิงคนนั้นให้มากที่สุด และมันก็สำเร็จด้วยดี เพราะว่าผมรู้จักเขาดี ผมถึงรู้ว่าควรทำอย่างไรให้เขาเดินตามเกมของผม

ถึงแม้ผมจะรู้ดีว่าเขาเป็นคนใจดี และคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นอยู่เสมอ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเผลอดีใจตอนที่เขามาหาผมที่คอนโดฯ ของเขาทั้งที่เขาอยู่ที่บ้านแล้ว เพียงเพราะผมบอกว่าอยากกินบะหมี่ และก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน ผมถึงมานั่งเสียเวลาในการทำงานหลายชั่วโมงเพื่อรอให้เขามาหาทั้งที่ไม่จำเป็น

ความใส่ใจของเขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรหมุนวนอยู่ในใจ...นับแต่นั้น

และมันก็น่ากลัวมากขึ้นทุกวัน

รอยยิ้มของเขา น้ำเสียงของเขา ทั้งที่ผมเคยเห็นมาตลอด แต่ยิ่งนานวันผมก็ยิ่งรู้สึกว่า...มันมีอิทธิพลกับผมมากเกินไป

หัวใจของผมสั่นทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มนั้น

แผ่นหลังของเขาอบอุ่น

ผมมีความสุขที่เห็นเขาวุ่นวายใจเพราะไม่เข้าใจการกระทำของผม

มันอันตราย... สัญญาณบางอย่างกำลังร้องเตือนผมแบบนั้น จนผมต้องห้ามปรามตัวเอง

นิ่งเฉยสิ ทำให้เหมือนกับว่าไม่รู้สึกอะไรซะ

ทั้งที่บอกตัวเองอย่างนั้น แต่ผมกลับทำไม่ได้เลย

ผมพยายามนิ่งเฉยให้มากที่สุด จนเหมือนว่าผมเปลี่ยนไป แต่ไม่ใช่ ผมแค่กลับไปเป็นอย่างเดิม ก่อนที่จะเข้าไปทักเขา ทำราวกับเขาไม่มีตัวตน แต่นั่นกลับกลายเป็นตัวเขาเองที่เหวี่ยงตัวเข้ามาหาวงโคจรของผม แล้วผมก็ถูกแรงดึงดูดมากมายมหาศาลจากตัวเขาฉุดรั้งให้เข้าไปใกล้

“จูบของฉันก็มีค่ามากเหมือนกัน”

สัมผัสที่แตะลงมาบนริมฝีปากของผม แผ่วเบา ความรู้สึกบางอย่างกำลังซึมลึกลงมาตามรอยประทับที่แนบชิดนั้นราวกับว่ามีน้ำหนัก ตัวของผมเบาหวิวเหมือนลอยอยู่บนพื้น ทั้งที่สติรับรู้ดีว่าร่างของผมกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ มันช่างขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมรู้สึกแบบนั้น

ตัวของผมลอยขึ้นช้าๆ...

หัวมึนตื้อ เหมือนกับมีเสียงวิ้งๆ ดังอยู่ในหู

ไม่รู้ว่านานแค่ไหน แต่แม้ว่าจะผ่านไปหลายวันแล้ว ผมก็ยังรู้สึกเหมือนยังรู้สึกถึงมันได้อยู่ตลอด ทุกครั้งที่หยิบบุหรี่ขึ้นแตะปาก ผมก็จะคิดถึงช่วงเวลานั้น

กราฟเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น... มากขึ้นทุกที

และผมก็ยิ่งได้รับการดูแลจากเขามากขึ้นเท่านั้น เขาเป็นห่วงผมเสมอ เขาคอยช่วยเหลือ จนผมหยุดคิดถึงเขาไม่ได้

ผมกำลังขาดเขาไม่ได้...

ทว่าพระจันทร์ก็ยังคงเป็นพระจันทร์ ยังคงมีระยะห่างจากโลกเสมอ ต่อให้ใกล้กันเท่าไร ก็ต้องห่างกันไกลกันอยู่ดี และวันนั้นก็กำลังจะมาถึง ถึงมันจะเร็วไปสักหน่อย แต่บางทีมันอาจจะดีแล้ว

ผมและเขาต่างมีนัด เขามีนัดกับพี่ดาหลา ผมไม่รู้ว่าเขาจะพูดคุยกันเรื่องอะไร อาจเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้คืบหน้าไปมากกว่านั้น เพราะถึงช่วงหลังมานี้เขาจะอยู่กับผมบ่อยๆ แต่ก็ด้วยเพราะมีนิสัยประจำตัวที่ชอบห่วงคนไปทั่ว และผมก็ดันใช้ชีวิตได้น่าเป็นห่วงในความรู้สึกของเขามากไปก็เท่านั้น เขาจึงไม่สามารถทิ้งผมไปได้

ขณะที่ผมถูกลูกค้าจ้างให้ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิด ค่าตอบแทนก็ค่อนข้างดี เพราะเขาอยากให้ผมเทคแคร์เขาอวดเพื่อนๆ ซึ่งผมก็ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี เอนจอยปาร์ตี้กันจนดึก มีดื่มผสมโรงไปบ้างประปราย แต่อาจจะเพราะโดนคะยั้นคะยอจากเจ้าของวันเกิดมากเกินไปสักหน่อย ผมจึงได้หมดสภาพ

ตื่นมาอีกครั้งผมอยู่ในห้องนอนของเธอแล้ว ส่วนเธอก็นอนอยู่ข้างๆ แต่ไม่มีอะไรเกินเลยเกิดขึ้น พวกเรายังอยู่ในชุดเสื้อผ้าครบถ้วน แม้ตอนแรกตื่นมาแล้วผมจะตื่นตะลึงไปสักหน่อย แต่เธอก็ยืนยันว่าไม่ทำอย่างนั้น ซึ่งผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าคำพูดของเธอเป็นจริง เพราะนอกจากพวกเราแล้ว ยังมีเพื่อนของเธออีกสองคนนอนอยู่บนเตียงร่วมกันด้วย ผมจึงขอตัวกลับ เพราะเห็นว่าเช้าแล้ว แต่เธอแนะนำว่าให้ผมอาบน้ำก่อนจะดีกว่า เนื่องจากว่าทั้งตัวมีแต่กลิ่นเหล้าคลุ้ง ออกไปข้างนอกทั้งอย่างนี้จะเสียลุคเสียเปล่าๆ ผมจึงยอมรับความหวังดีของเธอแต่โดยดี และเข้าไปอาบน้ำ

ทว่าเมื่อออกมาจากห้องน้ำ สิ่งที่ผมเห็นกลับทำให้ต้องตื่นตะลึงอีกครั้ง จนหลุดเสียงถามออกไป

[...เดี๋ยวจะได้บอกไนล์ไว้]

ผมไม่รู้ว่าปลายสายเป็นใคร อาจจะเป็นลูกค้า หรือ...

กราฟ

ชื่อนั้นดังก้องอยู่ในใจของผม และอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวสั่นขึ้นมา ผมรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่การอุปาทาน แต่กระนั้นก็ยังอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะมีความคิดแบบไหน และทั้งสองคนได้คุยอะไรกันไปบ้าง คิดได้เท่านั้นผมก็ขอตัวกลับ และออกมาจากบ้านของลูกค้าเพื่อตรงไปยังแมนชั่นเก่าซอมซ่อของตัวเอง

ชื่อที่ปรากฏในรายชื่อคนโทรเข้าล่าสุดเป็นกราฟจริงๆ ผมได้แต่คิดว่าเมื่อพบหน้าเขาแล้ว ผมจะพูดอะไรเป็นอย่างแรก ควรจะนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเอ่ยปากบอกเขาก่อนดี ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าตอนนี้เขาอยู่ที่แมนชั่นผมจริงอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า แต่เพราะเขาเป็นคนแบบนั้น ผมจึงคิดว่าเขาต้องอยู่ อีกทั้งผมก็บอกเขาไปแล้วว่าคงกลับไม่ดึก

ตอนนี้เขาคงกำลังเป็นห่วงผมที่ไม่กลับไปเมื่อคืน ห่วงว่าผมไปนอนที่ไหน เป็นอะไรหรือเปล่าถึงกลับไปไม่ได้ ทั้งที่เหมือนจะตอบกึ่งๆ สัญญาเอาไว้แล้ว

เพราะเขาเป็นแบบนั้นถึงทำให้ผมรู้สึกร้อนรนอยู่ในใจเป็นครั้งแรก ทว่าเมื่อไปถึงห้อง สิ่งที่ตอบรับผมมันกลับตาลปัตรไปหมด คำพูดของเขา คำถามของเขา เหมือนมีดแหลมๆ กรีดเข้ามาในใจผม

ผมขายตัวใช่ไหม...

เพียงแค่นั้นผมก็รู้สึกตัวชา ทั้งที่ไม่มีอะไรจะเสีย แต่เมื่อได้ยินคำถามนี้จากเขา ผมกลับรู้สึกว่าเย็นสะท้านไปทั้งร่าง กลัวเขาจะมองผมอย่างเดียดฉันท์ทั้งที่ผมไม่จำเป็นต้องแคร์เขาขนาดนั้นก็ได้ เขาจะมองผมอย่างไร ก็เป็นเรื่องของเขา แค่เพียงผมสามารถทำให้เขาถอยห่างจากผู้หญิงคนนั้นอย่างที่วางแผนไว้ตั้งแต่ทีแรก เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

แต่ผมกลับรู้สึกว่า... ผมไม่อยากให้เขาเข้าใจผิด

ผมรู้สึก...น้อยใจที่เขาไม่เชื่อใจผมเลย

ทั้งที่เขาก็น่าจะรู้จักผมดี หรือว่าจริงแท้แล้วเขาไม่เคยมองผมอย่างตรงไปตรงมาเลยสักครั้ง ไม่เคยมองตัวตนจริงๆ ผม แต่ที่ทำดีด้วยเพียงเพราะว่าเป็นความเคยชิน แค่การกระทำผิวเผินที่มีให้กับคนทุกคนบนโลกนี้

ยิ่งคิดก็เหมือนว่าผมกำลังตกลงไปในหลุมดำมืด เหมือนโดนแม่เหล็กอะไรสักอย่างที่ติดอยู่ก้นหลุมนั้นดึงดูดให้ยิ่งตกลึกลงไป แล้วในที่สุด ผมก็ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวเองลงไป

ร่างกายที่สอดประสานกันนั้นไม่ได้ทำให้ผมมีความสุขเลย แม้สีหน้าจะไม่ได้แสดงออกมา แต่ผมกลับรู้สึกปวดร้าวอยู่ในอก มันเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทุกจังหวะและน้ำหนักที่ถ่ายเทจากร่างของเขามาสู่ร่างของผมมันทำให้ผมยิ่งทรมาน

ผมเจ็บ...

ความรู้สึกร้อนที่ขอบตามันกลับมาอีกครั้งหลายจากผ่านไปหลายปี...ครั้งสุดท้ายคือตอนที่เสียมิ้นไป

ผมลุกขึ้นไปอาบน้ำ สายน้ำเย็นๆ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นแม้แต่น้อย มีแต่จะทำให้ร่างกายของผมเย็นชืดมากกว่าเดิม ผมรู้สึกหนาวสะท้านจนแทบสั่นเยือก แต่ก็พยายามข่มความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ไล่เขาไปอาบน้ำแล้วหยิบแบงก์สีเขียวออกมาจากกระเป๋าเงินของเขา

ค่าตัวของผม...ช่างถูกจริงๆ

แต่มันก็เหมาะสมแล้ว สำหรับคนไร้ค่าอย่างผม

ผมก้าวเดินออกมาทั้งอย่างนั้นโดยไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าคนอย่างผมควรจะยืนอยู่ที่ไหนบนโลกแห่งนี้...

ไม่สิ ผมไม่มีโลกแล้วต่างหาก โลกของผม...สลายไปนานแล้ว เพราะแบบนั้นผมถึงไม่เคยมีที่อยู่เป็นของตัวเองจริงๆ ไม่มีที่พักพิงที่จะทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แม้กระทั่งกราฟ... คนที่ผมให้เขาเป็นเสมือนโลกที่ผมจินตนาการขึ้นมา เพื่อหลอกตัวเองว่ายังมีชีวิตอยู่ได้โดยการเฝ้ามองเขาเหมือนตัวเองเป็นพระจันทร์ มันก็กลับห่างออกไปทุกที

เพราะโลกใบนั้นมันไม่มีอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

ผมทิ้งร่างลงบนพื้นหญ้า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน ตั้งแต่ออกมาจากแมนชั่น ผมก็เดินไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจทิศทาง เมื่อยก็หยุดพัก หายเมื่อยก็เดินต่อ ทำแบบนี้ซ้ำๆ กันกี่ครั้งแล้วก็ไม่แน่ใจ ท้องฟ้าเปลี่ยนสีกี่ครั้งแล้วผมไม่ได้นับด้วยซ้ำ

แบงก์สีเขียวที่หยิบติดมือมาถูกล้วงออกมาราวกับเป็นของดูต่างหน้า

นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบเขาแล้วก็ได้...

เมื่อคิดแบบนั้นผมกลับรู้สึกฝืดเฝื่อนในคอขึ้นมาทันที ลำคอแห้งผากจนไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้

ผมดื่มน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ?

คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัวขณะที่ผมทอดมองดูแอ่งน้ำที่อยู่ตรงหน้า เหมือนที่นี่จะเป็นสวนสาธารณะหรืออะไรประมาณนั้นล่ะมั้ง

คิดพลางผมก็ขยับมือไปด้วย ตายังมองสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอยไร้จุดหมาย กระทั่งรู้ตัวอีกทีสิ่งที่อยู่ในมือก็แปรสภาพเป็นรูปหัวใจไปซะแล้ว

เหมือนมีอะไรทิ่มแทงอยู่ในอก มันมีขนาดใหญ่จนผมรู้สึกเจ็บพอดู พร้อมๆ กับความร้อนที่มาอออยู่ตรงขอบตา และอะไรสักอย่างเหลวๆ ไหลออกมา

อ่า... ผมรู้แล้ว

นี่คือความรัก




-------------------
จบแล้วค่ะ ชีวิตแสนรันทดของไนล์ แล้วก็เป็นการจบเรื่องนี้ด้วย
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านทั้งที่เรามองเห็นและมองไม่เห็นนะคะ
จะมีเรื่องใหม่มาค่ะ จะเปลี่ยนแนวไปสักหน่อย (?)

Undel2Sky
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 04-11-2015 21:34:52
 :o12:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 05-11-2015 13:23:21
จบแล้วหรอเนี่ยยยยยยย ยังไม่อยากให้จบเลยอ่ะ  :o12: :o12: :o12:

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ ที่มีมาให้อ่านแล้วมีความสุข  :sad4: :sad4: :sad4:

อยากให้มีตอนพิเศษแบบ สวีทหวาน อีกสัก 2-3 ตอนจังเลย  :serius2: :serius2: :serius2:

 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 05-11-2015 17:03:28
ชีวิตไนล์น่าสงสารจัง เหมือนทั้งสองคนได้รับผลกระทบมาจากเหตุการณ์เดียวกันแล้วช่วยเยียวยากันและกันเลย
ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ

 :pig4:   :pig4:   :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 06-11-2015 02:14:47
 :o12: :o12: :o12: โฮ~ ไนล์น่าสงสารอ่าาาาาา
ยังไม่อยากให้จบเลยค่ะ อย่างน้อยขอตอนพิเศษมาเพิ่มความหวานให้คู่นี้หน่อยได้มั๊ยค่ะ???!! :call:
อย่างตอนที่ไนล์เปิดใจเล่าทุกๆเรื่องที่ตนเองพบเจอมา ทั้งมาเป็นสตอล์กเกอร์ได้ยังไงให้กราฟฟัง
อยากรู้จริงๆว่ากราฟจะทำหน้ายังไงนะ น้องน่าสงสารขนาดนี้ :hao5: :hao5:
ทั้งนี้ ทั้งนั้น ขอขอบคุณคนเขียนมากๆๆๆๆๆค่ะที่แต่งเรื่องราวสนุกๆแบบนี้มาให้อ่าน ได้แง่คิดเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณจริงๆนะคะ :pig4: :pig4: :กอด1: :L1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58]
เริ่มหัวข้อโดย: kawisara ที่ 06-11-2015 16:52:24
ไนล์ชีวิตหนู รันทดกว่าที่ป้าคิดมากนั๊ก







บางที พ่อกับแม่ที่เป็นแบบนี้ ก็ทำร้ายความสุขของลูกมากกว่าที่คิดนะ







ตอนนี้ หนูมีกราฟและการวาดภาพที่เป็นความสุขของหนูแล้วนะ






ซึมซับเอา ความสุขใว้เยอะๆ รับเอาความสุขไปทดแทนความทุกข์ในอดีตของหนู
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: khuan ที่ 26-12-2015 01:46:28
ขอเพิ่มช่วงน้องมีความสุขอีกหน่อยได้มั๊ย  :กอด1:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Kio ที่ 26-12-2015 18:43:12
ชีวิตไนล์เศร้าจริงๆ ฮรืออออออออออออออออออ  :hao5:

แต่ไนล์เก่งจริงๆ นะ ที่หนีออกมาได้ จัดการอะไรเองได้หมด ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุแค่นั้น

รักเจ๊ช็อกโก้ เจ๊เป็นแม่พระของจริงอะ นึกไม่ออกเลยว่าถ้าตอนนั้นไม่มีเจ๊ ไนล์จะแย่ขนาดไหน #รัก

ปล. อยากให้มีหวานๆ กลบสักตอนจังเลยค่ะ แง
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: kiolkiol ที่ 27-12-2015 00:08:50
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 12-05-2016 18:48:59
คนเขียนเรื่องนี้มีผลงานอะไรอีกมั้ยครับ นอกจาก ภูยีน กราฟไนล์  :hao7: :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 03-07-2016 00:22:54
 :pig4: :sad4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Bejae ที่ 03-07-2016 19:15:27
ตามมาจากเรื่องพี่ภุูไฮยีน เรื่องนี้แตกต่างจากเรื่องนั้นมาก
มันหน่วงๆหนักๆยังไงไม่รู้ ดีใจที่จบแฮปปี้
อยากให้กราฟและไนล์มีความสุขสักที
ยิ่งอ่านตอนพิเศษเรื่องไนล์ ยิ่งเศร้า
น่าสงสารไนล์มาก พ่อแม่ไนล์ใจร้ายมาก
 :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 03-07-2016 23:06:54
ไนล์ชีวิตรันทดมากกกกก
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) *สำรวจรวมเล่ม* [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 21-07-2016 22:39:17


รวมเล่ม ภูยีน & กราฟไนล์


พอดีว่ามีคนอยากให้รีปริ๊นท์ "It's U, It's Me - กวนนัก แต่รักนะครับ" (ภูยีน) ก็เลยทำแบบฟอร์มมาเพื่อหาแนวร่วมค่ะ ใครสนใจมาลงชื่อไว้ได้ที่แบบฟอร์มในลิงค์นี้นะคะ
https://docs.google.com/forms/d/1mQVmMbZOeArCbsmhvFKZnt0FmerVSONq2NJJE_gFRnc/viewform?edit_requested=true

แล้วเราก็ขอถือโอกาสนี้สอบถามเรื่อง "It's U, It's Me - รุก ไล่ รัก" (กราฟไนล์) เลยนะคะ ใครที่อยากจะเก็บเรื่องนี้แบบเป็นเล่ม ช่วยไปทิ้งคอมเมนต์ไว้ในเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/undel2sky ด้วยนะคะ ถ้ามีสัก 15 เล่ม เราจะพิมพ์ไปพร้อมการรีปริ๊นท์ภูยีนรอบนี้ค่ะ ถ้าไม่ถึงก็จะไม่พิมพ์นะคะ
ราคาหนังสือกราฟไนล์ 440 บาท มี 470 หน้าโดยประมาณค่ะ มีตอนพิเศษเพิ่มจากที่อัพในเว็บ 1 ตอนค่ะ
รีไรท์ใหม่ บรรยายกระชับ อ่านง่ายกว่าเดิมค่ะ

หมดระยะเวลาสำรวจจำนวน สิ้นเดือนกรกฎาคมค่ะ






หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) *สำรวจรวมเล่ม* [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 25-07-2016 07:54:35
ชอบไนล์
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) *สำรวจรวมเล่ม* [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: seaz ที่ 25-07-2016 18:25:55
สงสารน้องไนล์มากอ่ะ เศร้าได้อีก
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) *สำรวจรวมเล่ม* [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Aumy8059yaoi ที่ 26-07-2016 14:09:50
สงสารไนล์มากกกกกกก
เรามาอ่านเรื่องนี้เป็นรอบที่2แล้วค่ะ ดีใจที่จะทำเป็นรูปเล่มแล้วววว :กอด1:
แต่!!!....แต่ตอนพิเศษเพิ่มมาแค่ตอนเดียวนี่ไม่พอนะค่ะ
เราอยากได้อีกสัก3-4ตอน อยากเห็นชีวิตของสองคนนี้หลังจากที่คบกันแล้วอ่ะค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นการพาไนล์เข้าบ้านงี้ หลังเรียนจบงี้ แล้วก็...พ่อแม่ของไนล์นี่จะใจดำมากจนาดไม่ตามหาลูกตัวเองอีกเลยหรอกค่ะ???
หรือคงจะตามตอนแก่แล้วตอนที่คิดได้??แต่ถ้าได้รู้ว่าคบกับผู้ชายยังรับไม่ได้เหมือนเดิมงั้นไม่ต้องเจอกันก็ได้ค่ะ(อันนี้เรามโนนะค่ะ แหะ :katai2-1: )
ป.ล.ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนี้ค่ะ :pig4:
ป.ล.2. อย่าลืมเพิ่มตอนพิเศษให้เค้าด้วยน้าาาาา พลีสสสสสสสส :hao5: :hao5: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: undersky ที่ 30-10-2016 22:13:44
คนเขียนเรื่องนี้มีผลงานอะไรอีกมั้ยครับ นอกจาก ภูยีน กราฟไนล์  :hao7: :hao7: :hao7:

เรื่องนี้ค่ะ 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.0
เคยส่งลิงค์ไปทางข้อความก่อนหน้านี้นานแล้วล่ะค่ะ
แต่เห็นว่าหายเงียบไป เลยไม่แน่ใจว่าได้รับข้อความที่ส่งไปบอกหรือเปล่าน่ะค่ะ
ตอนนี้เรื่องที่แต่งล่าสุดลงตอนสุดท้าย ก็เลยถือโอกาสแจ้งอีกครั้งนะคะ

หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) || แจ้งคุณ Wut_Sv ค่ะ[21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 05-11-2016 13:46:29
ทั้งอึน ทั้งครึม แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
แต่งเก่งมากเลยครับ
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) || แจ้งคุณ Wut_Sv ค่ะ[21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: Siran ที่ 13-11-2016 01:49:38
มีความซึ้งงง ชอบบบ  :hao5: :hao5:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก / ตอนพิเศษ : โลกกับดวงจันทร์ [4/11/58] จบแล้ว
เริ่มหัวข้อโดย: Wut_Sv ที่ 13-11-2016 17:13:32
คนเขียนเรื่องนี้มีผลงานอะไรอีกมั้ยครับ นอกจาก ภูยีน กราฟไนล์  :hao7: :hao7: :hao7:

เรื่องนี้ค่ะ 「บ ล็ อ ก เ ก้ อ」
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=50214.0
เคยส่งลิงค์ไปทางข้อความก่อนหน้านี้นานแล้วล่ะค่ะ
แต่เห็นว่าหายเงียบไป เลยไม่แน่ใจว่าได้รับข้อความที่ส่งไปบอกหรือเปล่าน่ะค่ะ
ตอนนี้เรื่องที่แต่งล่าสุดลงตอนสุดท้าย ก็เลยถือโอกาสแจ้งอีกครั้งนะคะ


เห็นแล้วครับ แต่ยังไม่มีจังหวะอ่านเลย ว่าจะไว้ค่อยตามอ่านที่หลังครับ ขอบคุณครับที่มาบอกอีกที ไว้ว่างๆจะไปตามอ่านนะคร้าบบบบ  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 02-07-2020 15:25:42
จบอย่างสวยงาม กว่าจะก้าวผ่านความเจ็บปวดมาได้ทั้งสองคนเลย ชีวิตที่รันทดของไนล์ก็มาได้เจอกับผู้ชายที่ชอบเอาใจใส่คนอื่นอย่างกราฟ เติมเต็มกันและกัน มันสนุกกมากก หน่วงเบาๆ ชอบ  :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: It's U, It's Me : รุก - ไล่ - รัก (จบ) [21/7/59]
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 14-07-2020 16:38:32
 :pig4: