พิมพ์หน้านี้ - แ ค่ เ อื้ อ ม . . .

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: RAJCHABUT ที่ 01-05-2009 17:33:15

หัวข้อ: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 01-05-2009 17:33:15


แค่เอื้อม  

นิยายเรื่องนี้ . . . ขอขอบคุณ  "ต้นสาย"

ที่อนุญาตให้นำเรื่องเดิมมา . . .

ปรับ  ปรุง  ต่อเติมใหม่  ตามที่ใจ  จขกท.  ปรารถนา

ที่เลือกเรื่องนี้ . . .

. . .ชอบกับสถานการณ์บางเรื่อง  และคาดว่าหลายคนที่ไม่เคยอ่านจะได้อ่าน

 **คำเตือน**  

เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อสร้างความบันเทิง . . .

ไม่เกี่ยวข้องกับ  บุคล  แต่อาจเกี่ยวพันกับสถานที่  

หรือเหตุการณ์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นในบรรณภิภพนี้

ผู้อ่านควรใช้วิจารณญาณในการอ่านอย่างมากถึงมากที่สุด

 



สรุปข้อสำคัญดังนี้

ประกาศ

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด


2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์  และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้

4.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

5.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

6.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ยกเว้นแนะนำนิยายหรือเรื่องราวที่อยากให้เพื่อนๆตามไปอ่านแล้วขอมาลงไม่สะดวก และช่วยกรุณาโพสลิงค์ที่บอร์ดนั้นกลับมาที่เวป http://www.thaiboyslove.com แห่งนี้ด้วยนะครับ

7.ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บเพจนี้ เกิดจากการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และ ไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง

8.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด

9.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

10.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ




ตอนที่ ๑
   
   “ความฝันไม่เคยทำร้ายใคร  แล้วทำไมเราต้องทำลายความฝันด้วยล่ะ”  

เคยมีคนเปรียบเปรยเอาไว้เช่นนั้น  บอยกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น  เขารับรู้ได้ว่าฝ่ามือของเขาเย็นเฉียบ  แต่เหงื่อมันกลับซึมออกมามากมาย  อีกมือของเขามีกระดาษแผ่นเล็ก ๆ  ที่เขาเพิ่งได้รับตัวเลข ๙ หลักจากคนที่อยู่ไกลกันเกือบครึ่งฟ้า


   “เอาไงดีว่ะ  พี่ต้นนะพี่ต้น  ผมกำลังจะลืมอยู่แล้วเชียว  ดันมาบอกอีกว่าวันนี้เจอนัท”  ชายวัยเลยเบญจเพศเดินกระสับกระส่ายไปมาราวหนูติดจั่น

   เขามองลอดหน้าต่างอพาร์ตเม้นท์ออกไป . . .

. . . หิมะกำลังโปรยปราย  ทั่วทั้งบริเวณตึกขาวโพลนไปหมด  ต้นไม้เหลือแค่กิ่งก้านที่โดนเกล็ดหิมะจับ  ที่มองออกไปสุดลูกหูลูกตา  ไม่แตกต่างอะไรจากกองขี้เถ้าสีเทา  ที่โดนโถมทับด้วยหิมะที่ตกติดต่อกันมาหลายวัน

     ข้างนอกนั้นมันหนาวเหน็บ . . .  

. . . ไม่แตกต่างไปจากหัวใจของเขา  ที่มันทั้งหนาวทั้งแห้งแล้ง เพราะไร้น้ำมาหยดรดรินหัวใจมานานแล้ว  หัวใจที่แห้งผากเพราะความรักที่ตัวเองสร้างมันขึ้นมา

     แต่ . . .

. . . บอยอาจจะโชคดีอยู๋บ้างที่ด้านในมีฮีตเตอร์  ร่างกายเขาเลยอบอุ่นหากทว่าหัวใจของเขาล่ะ  มันหนาวกว่าหิมะที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกกระมัง
หนาวกายห่มผ้า . . .

. . .หนาวใจจักทำเยี่ยงไรดี

   . . .  really love you Nat.   From boy . . . .

   บอยมันยังจำแม่นข้อความสั้นที่มันส่งผ่านโทรศัพท์เมื่อหลายปีก่อน  

ตอนที่บอยรู้ตัวว่าต้องมาทำงานไกลถึงจังหวัดทางภาคใต้  มันห่างไกลจากจังหวัดที่เขาเรียนจบมาเกือบ ๑,๕๐๐  กิโลเมตร  จากโอบล้อมของขุนเขา และสายลมหนาว  เมืองที่หยุดหัวใจรักของเขาเอาไว้  

บอยเรียนมา ๖ ปีเต็ม  เป็นหกปีที่เจ้าตัวเองก็ไม่อยากจากมันเลย  แต่ตอนนี้  มันจำใจจาก  เมืองที่คุ้นเคยมาสู่จังหวัดร้อยเกาะ  หัวใจมันต้องโบยบินไกลเหลือเกิน  จากฟากหนึ่งของฟ้า  ลัดมาสู่อีกฝั่งของท้องนภา  และมันรับรู้หลังจากมันตัดสินใจส่ง SMS  ไปครั้งนั้น  

. . . นัทมันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่

   ข่าวสุดท้ายที่บอยรับรู้  นัททำงานที่นิคมอุตสาหกรรมที่จังหวัดเล็ก ๆ  ติดกับจังหวัดใหญ่ทางภาคเหนือ  และครั้งสุดท้ายที่บอยเจอนัท  บนห้างสรรพสินค้าในงานแสดงรถยนต์ของที่นั่น

   “มาคนเดียวเหรอ”  

คำถามนี้บอยจำแม่น  บอยจำทุก ๆ  อิริยาบถของนัทได้ดีเสมอ  นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน  จนถึงวันสุดท้ายที่บอยต้องลาจาก  มันเก็บความรู้สึกส่วนลึกของหัวใจตัวเองไว้มิดชิด  ความรักของมันงดงามเสมอ  มันไม่ยอมเอาความรักของมันไปแปดเปื้อนตัวนัทเด็ดขาด  มันสัญญากับตัวเอง

   มันยินดีที่จะเก็บหัวใจรักของมันเอาไว้แบบนี้แหละ

   รักที่ไม่ต้องการการครอบครอง . . .  

. . . รักเพราะหัวใจสั่งให้รัก  

ไม่ใช่รักเพื่อเอาเขามาไว้ในกรงขังของหัวใจ  . . .

บอยมันยิ้ม  มันสุขกับรอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้านัท  เหมือนรอยยิ้มที่มันเห็นครั้งแรก  จากชายแปลกหน้า  ที่วันนี้กลายมาเป็นชายแรกที่มันรักอย่างเต็มหัวใจ  หัวใจที่ไม่เคยเปิดรับใครอีกเลยมาเกือบสิบปีเต็ม ๆ

   หัวใจของมันเหมือนอยู่ในโลกที่มืดสนิท  ลึกจนแทบไม่มีใครหยั่งไปถึง  

แต่วันนี้ . . . พี่ต้น  

กลับมากระตุกความรู้สึก  ที่มันเองก็แทบจะลืมไปแล้วว่าความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร  แต่บอยมันยิ้ม  มันยินดีที่จะเดินกลับไปในห้วงเวลานั้นอีกครั้ง  แม้มันจะรู้ว่า  มันทำได้แค่  แอบมองนัทเงียบ ๆ  เท่านั้น

   แค่นั้นเอง . . .

. . . ที่มันต้องการ  เก็บความรักที่มีเอาไว้กับตัวเอง

   “โทรเลย  รอไรอยู่อีก”   เสียงภายในตัวออกคำสั่ง

   “อย่าเชียวนะแก  เดี๋ยวนัทมันเปลี่ยนเบอร์หนีอีก”  

อีกเสียงคอยเตือน   บอยมันละล้าละลัง   จะทำอย่างไรดี  ในเมื่อตอนี้สมองของมันสับสน  และพะว้าพะวง  มันกำลังต่อสู้กับความรู้สึกที่มีในหัวใจตัวเอง  

 “โทรสิ  โทรไปขอโทษนัทมันที่คิดไปแบบนั้น  เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว  อีกอย่างตอนนั้นมันเหมือนการคิดยึดใครเอาไว้มากกว่าใช่คิดจะมีไรแบบนั้นกับเขาสักหน่อย”

   “โธ้โว้ย!  พี่ต้นนะพี่ต้น  ผมกำลังทำใจได้อยู่แล้วเชียว”  มันตะโกนออกมาดัง ๆ  พอที่จะดับอารมณ์อันเดือดพล่านภายในได้บ้าง

   บอยหงายโทรศัพท์ในมือ . . .

นับหนึ่งถึงสิบในใจก็แล้ว  นอนกลิ้งไปกลิ้งมาก็แล้ว  มันยังไม่สามารถเลือกสิ่งที่จะทำได้  มันนอนนิ่ง ๆ  มองเพดานห้อง

“เอาว่ะ  จะเสียอะไรมากกว่านี้อีก”

มันตัดสินใจแล้ว  จะเดินตามรอยหัวใจตัวเองอีกครั้ง   แล้วกดตามเบอร์ที่เพิ่งได้มา  เขารอสายแล้วกดมันทิ้ง  เขาทำไม่ได้  เขากลัวไปหมด  กลัวเสียงตอบรับจากปลายสาย  กลัวว่าปลายสายจะตัดสายทิ้งถ้ารู้ว่าเขาโทรไป  ถ้าเป็นแบบนั้นบอยมันคงเศร้าไปอีกหลายวัน  มันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเดินไปหยุดที่หน้าต่างริมกระจก

บอยไม่กล้า . . .

. . . ไม่กล้าเดินไปหาหัวใจตัวเอง

   หิมะยังคงตกมาโปรยปราย . . .

. . . เหมือนหัวใจของบอยตอนนี้กระมัง  

บอยมันเหมือนกับอะไรสักอย่าง  อาจเหมือนกับแก้วน้ำที่เต็มไปด้วยตะกอน  ตะกอนที่ตกอยู่ก้นแก้วจนน้ำในแก้วนั้นใส  แล้วจู่ ๆ  ก็มีคนมากวนตะกอนนั้นให้มันขุ่นมัวขึ้นอีกครั้งแทนที่จะตักตะกอนในหัวใจของเขาทิ้งไป  

บอยกดโทรศัพท์อีกเป็นครั้งที่สอง . . .  

แต่ . . .

เขาก็ต้องกดสายทิ้งอีกก่อนที่ปลายสายจะได้ยินเสียงตอบรับ  มันยากเหลือเกินกับการที่เราจะทำในสิ่งที่หัวใจปรารถนา

   “แม่งเอ้ย . . .”   มันถอนหายใจเฮือกใหญ่  

“. . .ไอ้พี่ต้นกล้าจังเลยว่ะ  เขาโทรไปคุยกับนัททั้ง ๆ  ที่ไม่รู้จัก  เอาดิ  กลัวไรว่ะมึงโทรเลย”  

ไม่รู้ว่าเป็นตัวร้ายหรือตัวดีในร่างกายบอยบอกให้บอยโทรอีก  มันกดโทรศัพท์อีกเป็นครั้งที่สาม  แล้วมันก็ต้องทำแบบสองครั้งแรก

   “โอ้ยอยากบ้า”

   บอยเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนเตียงนอน  ก่อนกระโดดตัวทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน  เขาลืมตาโพลงมองฝ้าเพดานอีก  สีมันเหมือนเดิม  ไม่ได้แตกต่างไปจากที่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ   มือควานหาโทรศัพท์ที่ทิ้งลงมาก่อนหน้านี้  

บอยตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย . . .

“เอาว่ะ  เป็นไงเป็นกัน  อย่างน้อยมันคงไม่เจ็บเท่าที่ผ่านมามั้ง”

เจ้าตัวสูดลมหายใจเต็มปอด  รวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย    เพราะตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับนัทแล้วนี่หว่า  หรือ  ยังรู้สึก  แต่มันฝังอยู่ลึกเกินกว่าที่จะเห็น  มันไม่รู้เหมือนกัน  รู้เพียงแค่ว่า  อยากขอโทษที่เผลอคิดอะไรไปกับเพื่อนเก่า  

   เอ! ใช้คำว่าเพื่อนเก่าได้หรือปล่าวหว่า

     เพราะมันนานมาก  มากจนบอยไม่นึกว่าจะเจอกับนัทอีกแล้วในชาตินี้   บอยมันเหมือนคนที่ยืนในที่มืด  เฝ้ามองดูนัทอยู่ห่าง ๆ  เท่านั้นเอง  สิ่งที่มันต้องการคือแค่ได้เห็นคนที่มันรัก ยิ้ม  หัวเราะสนุกสนานในหมู่เพื่อนสนิทของเขาเท่านั้นเอง

   ส่วนมันเพื่อนร่วมงานที่บังเอิญสนิทกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง  นัทมันรายล้อมด้วยเพื่อนฝูงมากมาย  จะมีที่ว่างในหัวใจของนัทที่มองมาที่บอยหรอกหรือ  บอยมันคิดไปต่าง ๆ  นานา  เท่าที่สมองมันจะคิดได้ในตอนนั้น

   “ตื้ด . . .  ตื้ด”  

   เสียงปลายสายว่าง . . .  

. . . แต่หัวใจของบอยมันว้าวุ่น  

แต่ละเสียงเรียกที่ผ่านไปมันช่างนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์  เขารอปลายเสียงตอบรับด้วยความทรมานหัวใจเป็นที่สุด  แล้วหัวใจของบอยก็เต้นแรงขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงจากคนไกลจากเมืองไทย

   “สวัสดีครับ”

   “ขอสายนัทครับ”  มันพยายามกลั้นหัวใจตัวเองให้พูดแบบที่ปกติที่สุด

   “ครับผม  นัทพูดอยู่ครับ  ใครนะ”  เสียงปลายสายมันจำได้ดี  เสียงที่ไม่เคยห่างหายไปจากหัวใจของมัมนเลย  มันแอบยิ้มกับเสียงที่ได้ยิน  แม้น้ำเสียงจะดูเป็นผู้ใหญ่กว่าตอนที่มันรู้จักกัน  หรืออาจเป็นเพราะว่า มันไม่กล้าที่จะคุยกับนัทตั้งนานมาแล้วก็เป็นได้  

มันนึก . . .  

. . .  มันนานแค่ไหนแล้วนะที่มันได้ยินเสียงนัท  ช่างเหอะ  บอยสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง  รวบรวมความกล้าพูดกับปลายสายต่อไป

   “ณัฐพงศ์หรือปล่าวครับ”

   “ครับผม  ณัฐพงศ์เองครับ”

   โอย!  

บอยมันเข่าอ่อน . . .

ร่างกายมันเหมือนคนหมดแรงเอาดื้อ ๆ  พี่ต้นนะพี่ต้น  ทำไรลงไปนี่  เมื่อวานตอนมันแชทกับพี่ต้น  พี่ต้นบอกรู้แล้วเบอร์นัท  กำลังโทรคุยกันอยู่มันยังคิดว่าพี่ต้นอำมันเล่นเสียอีก  แต่วันนี้ . . .  

. . . มันกลับได้คุยกับคนที่มันรู้สึกว่าสร้างความผิดเอาไว้  มันรู้สึกหมดกำลังวังชาที่จะยืนอยู่บนโลกนี้เสียด้วยซ้ำ  กระนั้นแหละ

   แล้วถ้ามันรู้อีกว่า  พี่ต้นของมันรู้จักกับนัทก่อนหน้านี้  มันจะทำหน้าแบบไหนกันนี่  ก็พี่ต้นเล่นปิดเงียบ  จนมันแทบไม่รู้สึกอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ  เพราะคนนึงไม่ถาม  อีกคนเลยไม่จำเป็นต้องบอก

   โลกก็เช่นนี้แหละ . . .

. . . โลกมันกลม

   สิ่งที่เราไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่รู้ตัวเสมอแหละ  มันคือความเที่ยงแท้ของโลก  ที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามยากที่จะปฏิเสธมันไปได้  เพราะเรายังต้องยืนอยู่บนโลก บูด ๆ เบี้ยว ๆ  ใบนี้  โลกที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่ากลมไงล่ะ

   “โทรมาอย่าเงียบดิครับ”   เสียงจากปลายสายกระตุ้นให้บอยมันตื่นจากความคิด

   “ครับ ๆ  เราบอยนะครับ  บอยวิดยา๔๐   จำได้มั้ย”  

บอยละล่ำละลัก  คล้ายอะไรจุกอยู่ที่ปาก  ก็มันไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูด  แค่นี้มันก็อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแล้วล่ะ  หัวใจมันแทบจะกระดอนออกมาจากหน้าอกอยู่แล้ว  สิ่งที่มันไม่เคยคิดจะได้ยินได้เจออีกในชีวิตนี้

บอยแอบหยิกที่ต้นแขนตัวเอง . . .

. . . มันไม่ได้ฝันไปนี่หว่า  มันเจ็บที่รอยหยิก

   “บอย…”  

นัทมันทวนชื่อ  มันคลับคล้ายคลับครากับชื่อนี้  มันคุ้นเหมือนเคยรู้จัก  มันติดอยู่แถว ๆ  ตะเข็บหัวใจนี่แหละ  มันพยายามนึก  บอยวิดยา  ใครกันนะ  เอ  หรือมันหลงลืมเพื่อนบางคนไปหรือปล่าว  

“ . . . โทษทีนะครับ  นึกไม่ออกเลย  พอดีช่วงนี้มึน ๆ  เลยจำอะไรไม่ค่อยได้”

   ดูเอาเหอะ. . .  

. . . แม้จะจำไม่ได้  

แต่นัทมันยังคงเหมือนนัทคนเดิม ที่อ่อนโยนกับเพื่อนเสมอ  บอยมันจำได้แม่น  นัทที่คอยดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างตลอดเวลา  ทุกสิ่งทุกอย่างของนัทเริ่มเข้ามาในความทรงจำที่แทบจะเลือนหายไปของบอย  

เขาเริ่มเห็นภาพ . . . นัท  

. . . กลับมาชัดเจนในความรู้สึกอีกครั้ง  หรือว่าที่แท้จริงแล้ว  ภาพนัทไม่เคยเลือนหายไปจากหัวใจของบอย  ภาพที่ติดตาตรึงใจของบอยตลอดมา  

ภาพจากเทคโลโลยี่อาจลบเลือนไปตามกาลเวลา . . .

. . . แล้วภาพจากความทรงจำ  ลบเลือนได้หรือ?

   “เพื่อนบิ้กไงครับ  อยู่กลุ่มเดียวกัน”  บอยมันไม่ละพยายามที่จะให้อีกฝ่ายจดจำมันได้

   “อืม . . .”  เสียงนัทขาดหายไปชั่วครู่  

“. . . ผมจำบิ้กได้ครับ  แต่จำบอยไม่ได้  โทษอีกครั้งนะครับ”

   บิ้ก . . .  นัทจำได้  

และมันยังจำเลยไปถึงอีกคนที่เป็นเพื่อนบิ้ก  นัทมันเริ่มจำอะไรได้ราง ๆ  ไม่ใช่สิ  ต้องเรียกว่าเริ่มแจ่มชัดมากที่สุดแล้ว  คนจากปลายสายที่หายไปร่วมสิบปี  มันจำได้แล้ว  นัทยิ้มกับตัวเอง  

แต่เดี๋ยวก่อน . . .  

. . . มันไม่รู้ว่าบอยจะมาแบบไหน  ขอมันอำเล่นสักพักนึงก่อนเหอะ  เพื่อให้แน่ใจว่าใช่ ไอ้บอยแน่ ๆ  คนที่คอยช่วยเหลือมันห่าง ๆ  ในงานของชมรม  นัทมันนึกในใจ  น่าจะใช่คนเดียวกัน

   “ผมจำบิ้กได้ครับ  แต่จำบอยไม่ได้  โทษอีกครั้งนะครับ”  

เอาอีกแล้ว . . .  

. . . คำตอบของนัท  คล้ายมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของบอย  

หรือจะเหมือนฟ้าผ่ากลางกบาล  นัทมันจำบอยไม่ได้จริง ๆ  เลยหรือ  

ช่างเหอะ . . .  

. . .จำไม่ได้ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยเขาอาจจะลืมคนที่แค่เคยผ่านมาเท่านั้น  สำหรับบอย  นัทไม่ใช่แค่คนเคยผ่าน  ไม่ใช้สายลมที่พัดมาแล้วห่างหาย  

แต่ . . .

. . . นัท

คือ . . . ความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตของบอย

   ความทรงจำ . . .

. . . ลืมกันง่าย ๆ  กระนั้นหรือ

   ถ้าลืมกันง่ายเขาจะเรียกมันว่า . . . ความทรงจำฤๅ

   “ได้ข่าวว่านัทมาเรียนต่อโทพลังงานเหรอครับ เป็นไงยากมั้ยครับ”

   “ครับผม  ก็ยากพอตัวอยู่ครับ  แล้วบอยละครับทำอะไรอยู่”  เสียงจากปลายสายเริ่มเป็นกันเองมาขึ้น  บอยมันค่อย ๆ  หายกลัว มันยิ้มออกมาได้  หรือจะมีใครบอกมันมั้ยนะว่าตอนนี้มันหน้าแดงกว่าปกติทั่วไป  บอยมันนอนบิดไปบิดมาบนที่นอนด้วยความเขิน

   มันเขินตัวเองหรือเขินที่ได้ยินเสียงนัทกันแน่นะ . . .  

แต่ที่มันรู้แค่มันเหมือนตัวเบา  คล้ายจะลอยได้  มันเหมือนปุยนุ่นที่โดนกระแสลมพัดลอยไปมาในอากาศมิปาน  มันเป็นเอามากขนาดนั้นเลยทีเดียวเทียวแหละ

   “ผมเรียนครับ เรียนต่อเหมือนกัน”

   “เรียนที่ไหนครับ”

   “เยอรมันครับ”   มันพูดออกไปแล้วนึกขึ้นได้  

ตายห่า . . .

. . . นี่มันเดาะโทรทางไกลหานัทจากเยอรมันเลยเหรอ  ปลายสายจะคิดยังไงนะที่จู่ ๆ  มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้โทรหาแถมยังโทรจากอีกซีกหนึ่งของโลกเสียด้วยสิ  นัทจะยังโกรธมันไหมที่มันเคยบอกอะไรนัทไป  

   “ไกลจัง  สบายดีมั้ยครับไปเรียนที่โน่น”

   “ก็พอปรับตัวได้แล้วครับ  เออ  นัทยุ่งหรือปล่าว  ถ้ายุ่งผมไม่กวนแล้วนะครับ”  

บอยมันไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว  จู่ ๆ  มันก็หมดเรื่องราวที่จะคุยเอาเสียงั้นแหละ  ทั้ง ๆ  ที่ก่อนโทรมันตั้งใจเสียดิบดี  ว่าจะโทรแล้วคุยโน่นคุยนี่  แต่เมื่อปลายสายยืนยันว่าจำไม่ได้  มันคงไม่เซ้าซี้หรอก  แค่นี้มันก็ดีนักหนาแล้วล่ะ  ได้ยินเสียงคนที่มันอยากได้ยินมาหลายปี

   “คุยได้ครับ  พอดีมาแข่งกีฬา ปริญญาโทที่ชลบุรีนะครับ”

   “อ่อครับเป็นไงมั้งครับ”

   “แพ้หมดแล้ว  ตกรอบแล้วล่ะ”   น้ำเสียงปลายสายไม่มีที่ท่าเสียใจเลย  แถมยังมีท่าทางร่าเริงเสียด้วยซ้ำ  เหมือนนัทคนเดิมที่บอยเคยเจอ

   “ไม่ใช่  ผมหมายถึงสบายดีมั้ยครับ”  บอยมันเริ่มกล้าที่จะคุยมากขึ้น

   “ก็ดีครับ  เรื่อย ๆ  ครับ ชีวิตถ้าไม่ดิ้นรนมากก็ไม่เหนื่อยมาก  บางครั้งคนเราอาจอยากได้โน่นได้นี่ก็เหนื่อยเป็นธรรมดาครับ”  นัทยังคงเป็นนัท  มันจะมีคำพูด  ดี ๆ  แฝงไว้ทุกครั้ง

   บอยมันยิ้มกับตัวเอง . . .  

. . . นัทของมัน  

. . . ไม่ใช่สิ  นัทเพื่อนเก่าของมันยังคงเป็นนัทคนเดิมที่มันรู้จัก  เป็นนัทที่มีความคิดความอ่านโตเกินตัวอยู่เสมอ  บอยมันยิ้มเมื่อมันมองย้อนไปในวันเก่า ๆ  ตั้งแต่แรก ๆ  ที่มันเริ่มรู้จักกับนัท  

   เหมือนวันเวลาเหล่านั้นไม่เคยผ่านไปเลย

   บอยมันเก็บเวลาทุกอย่างสำหรับนัทไว้ได้อย่างดี  ความรู้สึกที่มันมีทั้งหมด  มันรู้ตัวเองดี  มันมีสติดีทุก ๆ  เรื่อง  ที่มันรู้กว่ารู้  มันรู้มันรักนัทมากกว่าเพื่อน  มากว่าอะไรทั้งหมดที่มันเคยรู้มา

     บอยมันจะยิ้มทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา  

มันไม่เคยโกรธนัท  เพราะรู้ดีว่า  เรื่องราวของหัวใจมันบังคับกันไม่ได้   แม้มันจะแอบน้อยใจนัทบ้าง  มันแอบคิดนัทน่าจะมองมันบ้าง  เห็นหัวใจที่มันทำทุกอย่างเพื่อนัทบ้าง  

แต่ . . .

. . . บอยมันรู้ตัวเอง  มันไม่มีวันที่จะโกรธรักแรกของมันเป็นอันขาด  บอยมันเฝ้าเก็บความรักของมันไว้เป็นอย่างดี  บัดนี้ความรักที่มันเก็บไว้มิดชิด  โดนมือดีมาเปิดอีกครั้ง

   และบอยมันยินดีที่จะให้เขาเปิด  มันยินดีเป็นที่สุดด้วยซ้ำไป

   “ครับ  ไม่กวนนัทแล้วดีกว่าครับ  บอยค่อยโทรหาใหม่แล้วกันนะครับ”

   “ได้ครับได้  หวัดดีครับ”

   ปลายสายตัดไปนานแล้ว . . .  

. . . แต่บอยมันยังนอนยิ้มมองเพดานห้องอยู่เลย  มันลองเอามือมาหยิกที่แก้มตัวเอง  

เออ!  เจ็บนี่หว่า  

. . . มันไม่ได้ฝันไปหรอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งนั้นแหละ  บอยมันยิ้มเป็นสุข  มันอาจเป็นวันที่มันสุขที่สุดในชีวิตตั้งแต่ที่มันส่งข้อความนั้นไปหานัทแล้วก็ได้

   “เฮ้ย  ยิ้มทำไม  พี่ต้นแกล้งเตี้ยมกับใครแล้วอำเล่นหรือปล่าว”  อีกเสียงภายในใจมันสอดแทรกมาในความคิด

   “นั่นดิ”  มันตอบคำถามที่มันตั้งขึ้นมาเอง

   “พี่ต้นชอบแกล้งด้วย  ถ้าเป็นนัททำไมเสียงเปลี่ยนไปจังเลย  เปลี่ยนมากด้วยนะโว้ย”  มันยังโต้ตอบกับความคิดของตัวเอง

   “ช่างเหอะ  คิดทำไมในทางไม่ดี  อย่างน้อยวันนี้ก็มีความสุขไม่ใช่หรือ”  

บอยมันตัดความคิดทุกอย่างออก  ค่อย ๆ  ลุกจากเตียงนอนมองลอดหน้าต่างออกไป  สนามบาสที่ข้าง ๆ  หอพักขาวโพลนไปด้วยหิมะ มันยิ้มกับตัวเองเอาหน้าพิงกระจก  ไอเย็นจากด้านนอกทะลุผ่านกระจกสัมผัสมาที่แก้มของบอยเบา ๆ  สายตาทอดยาวออกไปทางทิศตะวันออกราวกับจะมองให้เห็นถึงอีกซีกหนึ่งของโลก

อีกซีกโลกคนที่มันเพิ่งวางสายจะยิ้มแบบที่มันยิ้มอยู่ตอนนี้ไหม . . .





ขออนุญาตแก้ไขหัวเรื่องให้เหลือแต่ชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อลงค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: imon ที่ 01-05-2009 17:47:51
จองที่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: DEMON3132 ที่ 01-05-2009 18:23:20
เข้ามาจองที่ด้วยคน เจิมเรื่องใหม่ น่าสนุกนะ เรื่องที่ผ่านมาหลายปี
แต่ยังคงระลึกถึงกันอยู่ น่าติดตาม .....
 :mc4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 01-05-2009 19:52:43
แวะมาเจิมเรื่องใหม่ด้วยคน   :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 01-05-2009 21:12:58
น่าติดตามมั่กๆๆๆ

ธีมของอารมณ์น่าจะอยู่ในลักษณะ เหงา เศร้า ซึ้งรึป่าวน๊อ

ขอบคุณ ราชบุตร และต้นสาย กับเรื่องดีๆค๊าบบบ
 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 02-05-2009 10:07:57
ตอนที่  ๒
เขมรไทรโยค แสงจันทร์นวลและเมฆฝน  
 
ปลายเดือนพฤษภาคม  ๒๕๔๐

   บอยมันนั่งเหงา ๆ  อยู่ที่ร้านอาหารใต้หอชาย๔  บ้านมันไกลนี่หว่ามันเลยมาก่อนมหาวิทยาลัยเปิด  ผมมันเริ่มยาวขึ้นเล็กน้อยจนตัดรองทรงได้  หลังจากที่ต้องทนตัดหัวเกรียนมา ๖ ปีเต็ม
 

   ตอนนี้มันเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว  มันกำลังจะได้เริ่มเรียนที่มหาวิทยาลัยเก่าแก่แห่งนึงของประเทศ  ช่วงนี้มหาวิทยาลัยใกล้เปิด  นักศึกษามากมายทยอยกันขนของเข้ามาอยู่  มันเหมือนคนแปลกหน้าในที่ใหม่  เพราะหลายคนมีเพื่อน ๆ  จากโรงเรียนเดิม  แต่มันหัวเดียวกะเทียมลีบมาเลยแหละ

   มันต้องปรับตัวอีกมาก  เพราะมันไม่เคยออกไปไกลนอกบ้านเลยนี่น่า  

   แต่ครั้งนี้ . . .  

   . . .  ครั้งแรกในชีวิตกระมังที่มันต้องรอนแรมมาจากจังหวัดที่อยู่คาบเกี่ยวกับอีสานตอนบน  ติดมาทางเหนือ  มาสู่รั้วมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของภาคเหนือ มันต้องใช้เวลาอีกกี่ปีนะสำหรับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่  ในรั้ว  “ลูกช้าง”

   “เอาเหอะ  ค่อย ๆ  ปรับไปเดี๋ยวชินเอง”  บอยปลอบใจตัวเอง  ทั้ง ๆ  ที่ยังอดหวาดหวั่นไม่ได้  กับการต้องใช้ชีวิตในต่างบ้านครั้งแรก

   ใครไม่เคยจากบ้านไม่รู้หรอกว่ามัน  เหงา  โดดเดี่ยว  ขนาดไหน

   แต่มันไม่กลัว . . .

   . . . มันกลัวไม่เหงามากกว่า  เพื่อนใหม่อีกเยอะแยะกลัวทำไมกัน

   อีกร่างของมันเถียงในใจ  เปิดเรียน  เพื่อนใหม่  ที่เรียนใหม่  มีอะไรมากมายให้ทำ  จะเหงาได้อย่างไร  อาจจะยุ่งจนไม่มีเวลาเหนื่อยด้วยซ้ำไป

   แล้วบอยมันจะรู้  ว่าจริง ๆ  แล้ว  มันเหงา  หรือสนุกกันแน่

   รอเวลาอีกนิดเหอะบอยเอ๋ย . . .  

   เส้นทางชีวิตเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง  อย่าเพิ่งล้าเสียก่อนเป็นพอ  ชีวิตไม่ได้จบแค่หลังเอ็นทรานซ์สักหน่อย . . .  

   แต่ . . .

   . . . เส้นทางชีวิตมันเพิ่งเริ่มต้นต่างหาก    การเอ็นฯ  เข้าได้  ไมใช่การจบ  แต่มันคือจุดเริ่มต้นต่างหาก  มันต้องฝ่าฟันไปอีกสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัย  

   บอยเขี่ยข้าวในจานไปมา  

   อร่อยหรือ?  

   ไม่รู้ดิ . . .  

   มันรู้มันมีหน้าที่ต้องกิน  อย่างน้อยมันต้องอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งสี่ปีเชียวล่ะ  ระหว่างที่มันเกลี่ยข้าวไปมานั้น สาตาบอยทอดยาวไปตามทางเดินของหอที่มีนักศึกษาเริ่มเดินทางเข้าพัก  สายตาบอยมันไปหยุดที่คนกำลังเดินเข้ามา  

   มันขมวดคิ้วคล้ายรู้จัก . . .

   . . . เด็กหนุ่มร่างผอมเพรียว  ผิวค่อนไปทางคล้ำเล็กน้อย  คิ้วหนา ปากบางแดง  แบกเป้ใบโตเดินมายังหอชาย  บอยมองเขาเดินผ่านไปช้า ๆ  เขาคนนั้นหันมายิ้มให้  รอยยิ้มแรกที่บอยเจอในรั้วมหาวิทยาลัย

    รอยยิ้มนั้น . . .

   ยังคงไม่เลือนหายไปจากหัวใจของบอย ยิ้มจากชายแปลกหน้าในวันนั้น มันยังคงให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและจริงใจกับบอยได้เสมอ  หัวใจมันเต้นระทึก  แปลกกว่าที่เคยเป็น  บอยแปลกใจ  แต่มันกลับจำหน้าเด็กหนุ่มรุ่นเดียวที่เพิ่งเดินขึ้นไปบนอาคารหอพักได้แม่นทีเดียว

   ถ้า . . .

   . . . บอยมันรู้อนาคตข้างหน้า  มันจะต้องยิ้มรับชายแปลกหน้านั้นแน่ ๆ  แต่มันอ่อนต่อโลก  มันอ่อนต่อความรู้สึกของหัวใจตัวเอง  มันไม่กล้าที่จะสบสายตากับเจ้าของรอยยิ้มนั้นด้วยซ้ำ  สิ่งที่มันทำได้คือก้มหน้าแล้วยิ้มกับตัวเอง  เหมือนกับที่เพื่อน ๆ  ชอบล้อบอยว่า

   “ก้มหน้าหาเหรียญบาทเหรอ”

   คงจะจริงกระมัง . . .  

   . . . เพราะเวลามันอายมันจะก้มหน้า  หรือมันกำลังก้มมองหาเหรียญบาทที่ใครทำตกหล่นไว้  แต่สำหรับนัท  มันคงก้มลงหาหัวใจมั้ง  อาจจะหัวใจของมันที่ชอบหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทุกครั้งที่มันเจอหน้ากับนัท  

      อ้าว !  ก็มันอายนี่หว่า

   แค่ความอายตัวเดียวแท้ ๆ  ที่มันไม่กล้าพาหัวใจตัวเองไปใกล้ชิดนัทมากกว่าที่เป็นอยู่  มันทำได้เพียงเอาร่างกายไปร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยกับนัทเท่านั้น   ขอเพียงแค่ได้เห็นเงาคนที่มันรัก มันก็พอใจแล้ว  แม้จะเจ็บปวดกับหลาย ๆ  ภาพที่เห็น

   แต่ . . .

   . . . เมื่อเทียบกับความสุขที่ได้รับ  มันยิ่งกว่าคุ้มค่า

   . . . แค่นั้นหัวใจของมันก็อิ่มเอมแล้วล่ะ  มันไม่เคยต้องการให้นัทมารักตอบมันเลยสักนิด  เพราะความรักของมันเหมือนรักที่ต้องคำสาป  มันต้องคำสาปให้รักเขาข้างเดียว

   แต่มันก็ยิ้มรับกับคำสาป . . .

   . . . ที่มันปรารถนาจะให้เป็นคำสาปแบบนั้นไปชั่วนิรันดร์  

   มันขอแค่มันได้รักเขาแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้นมันก็สุขหัวใจแล้วล่ะ  คนอย่างบอยไม่บังอาจดึงนัทลงมาต่ำหรอก  มันยินดีที่จะยืนอยู่ตรงนี้  ตรงที่หัวใจมันขีดเส้นเอาไว้  มันไม่อยากล้ำเส้นหัวใจไปมากกว่านี้   สมองมันคิดได้แค่นี้จริง ๆ

   มันใกล้แค่มือเอื้อม . . .  

   . . . แต่มันไม่เอื้อมมือคว้า

   แค่เอื้อม . . .

   มันก็อาจได้นัทมาเชยชม  แต่มันกลับไม่ทำ  หัวใจของมัน  รักเพื่อรักจริง ๆ  มันไม่อยากให้นัทลงมาเดินในเส้นทางของคำว่า . . . เกย์  

   เพราะบอยมันเชื่อแน่  นัทเป็น  ผู้ชาย  มันไม่อยากทำลายผู้ชายที่มันรัก  มันไม่อยากเอาสีดำไปทาทาบที่นัท



   หอพักนักศึกษาชายภายในมหาวิทยาลัย  ตั้งอยู่ใกล้กับถนนสายหลักในมหาวิทยาลัย  ที่เชื่อมระหว่างถนนสองเส้น  คือถนนหน้ามหาวิทยาลัยที่เลี้ยวซ้ายแล้วเลยขึ้นไปบนพระตำหนัก  สิ้นสุดที่หมู่บ้านม้ง  หากเลี้ยวขวาก็จะเข้ามาในเมือง  ส่วนถนนหลังมหาวิทยาลัยนั้นคลาคล่ำไปด้วยร้านค้าและหอพัก  นักศึกษาปีหนึ่งส่วนมากจะอยู่หอในเพราะราคาถูก  และมีกิจกรรมมากมายที่ต้องทำร่วมกับรุ่นพี่ในคณะ   ใกล้ ๆ  หอพักมีวงเวียนหอนาฬิกาที่มีเรื่องเล่าต่อ ๆ  กันมาว่า  ในเวลาเที่ยงคืน  ถ้าใครขับรถทวนเข็มนาฬิกาจะเจอผีเปรต  ซึ่งเรื่องเล่านี้ก็ยังไม่มีใครกล้าพิสูจน์อยู่ดี

   ถัดจากหอนาฬิกา  ทางฝั่งขวามือจะเป็นคณะวิศวกรรมศาสตร์  นัทมันเรียนที่นั่น  มันไม่ไกลจากหอพักเท่าบอย  เพราะบอยเรียนคณะวิทยาศาสตร์ฯ  ซึ่งอยู่ถัดไปอีก

   ภายในหอพัก  ด้านล่างเป็นร้านอาหาร  หอพักที่นี่คล้ายตัว  H  ที่  I  คือหอพัก  ส่วน  ---  คือทางเดินเชื่อมถึงกันระหว่างหอพัก   ที่ว่างข้าง ๆ  หอพักจะเป็นสนามแบดบินตันบ้าง  สนามตะกร้อบ้าง  แล้วแต่ว่าจะใช้งานอย่างไหนกันมากกว่า  ภายในห้องพักเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดสองเตียงนอน  ที่แต่ละฟากของหอจะเป็นห้องอาบน้ำรวม  เพราะที่นี่ไม่มีห้องน้ำส่วนตัว  นักศึกษาที่อยู่หอพักจะต้องไปใช้ห้องน้ำรวมซึ่งมีอยู่ในทุกชั้นของหอพัก

   บอยกระหืดกระหอบเพราะใกล้เวลาค่ำ  เกือบถึงเวลาที่อาจารย์คุมหอพักเรียกประชุมนักศึกษาใหม่ทุกคนเพื่อนเข้าร่วมประชุมทำความรู้จักกัน  มันเดินมาจากคณะวิทยาศาสตร์  มาถึงหอ๔   ระยะทางไม่ใกล้เลย  

   . . . เหงื่อมันโทรมตัวราวกับเดินผ่านสนามบอลมาสักสิบสนาม

   “อ้าวเฮ้ย  ทำไมเพิ่งมาถึงว่ะ  เดี๋ยวป๋าแกเรียกประชุมแล้วนะโว้ย”  บิ้กเพื่อนร่วมห้องเอ่ยทักเมื่อเห็นบอยมันเดินเข้ามาในห้อง

   ป๋า . . . ที่บิ้กพูดถึงหมายถึงอาจารย์คุมหอ  ที่สวมแว่นหนา ๆ  แต่ใจดีผิดกับใบหน้าที่ดูดุอยู่ตลอดเวลา

   “แม่งจารย์ปล่อยโครตช้าเลยว่ะ  ร้อนชิบขออาบน้ำก่อนแล้วกันว่ะ”  บอยมันเอาหนังสือวางไว้ที่หัวเตียง  ก่อนที่จะถอดกระดุมเสื้ออกทีละเม็ด

   “รีบหน่อยเหอะมึง  ไปช้าโดนป๋าซ่อม”

   “เออ  กูรู้น่า  รีบอยู่นี่ไง”

   “ช้าห้านาทีโดนแน่มึง”  ไอ้เพื่อนมันขู่เสียด้วย

   “มือชั้นกูแล้ว  ไม่มีทาง”  บอยหันไปยักคิ้วให้เพื่อนร่วมห้อง

   บอยมันหยิบเอาไม้แขวน  มาแขวนเสื้อขาวไว้กับระเบียงด้านหลัง เพื่อให้ลมโกรก  เสื้อที่ชุ่มเหงื่อจะได้แห้งไม่เป็นราดำ  

   บอยมันค่อย ๆ  เรียนรู้การอยู่คนเดียว . . .  

   . . . ไม่ใช่สิ  เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนที่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันถึงจะถูก   การต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นที่ไม่ใช่บ้าน  ตอนนี้มันเหมือนนักศึกษาประจำที่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองเสียแทบทุกอย่าง

   บอยเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดไว้กับราวที่ระเบียง  มันเอามาห่อตัว  แล้วถอดกางเกงขายาว  มันดูหนุ่มขึ้นแฮะ  เพราะมันชินกับกางเกงขาสั้นมาหลายปี  

   แต่ตอนนี้มันเป็น . . . นักศึกษา  

   มิใช่ . . . นักเรียน  เหมือนปีที่ผ่านมา  บอยมันไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำที่อยู่ในขันพลาสติกสีสด  ก่อนค่อย ๆ  เดินออกมาที่ห้องน้ำของชั้นสาม

   มันเดินผิวปากมาอย่างสบายอารมณ์  แต่แล้วบอยมันกลับผิดหวังห้องอาบน้ำมีแค่ ๔ห้องไม่เพียงพอเสียด้วย  มันเดินกลับไปอีกฟากของหอพัก  แล้วบอยมันผิดหวังเป็นครั้งที่สองเมื่อห้องน้ำชั้นสามเต็มหมดทุกห้องเสียด้วย

   “อาบชั้นสองก็ได้ว่ะ”  

   เร็วเท่าความคิด  บอยมันวิ่งลงมาที่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว  

   เหมือนฟ้าเป็นใจ  เมื่อมันก้าวเข้ามาในห้องน้ำ  มีเสียงเปิดประตูห้องออกมาพอดี  มันยิ้ม มีที่ว่างสำหรับมันแล้ว  ประตูห้องค่อย ๆ  เปิดออก  นัทเดินออกมาหยดน้ำก็พราวตามตัว  บอยมันเห็นคนที่เดินออกมาเต็มตา  มันรู้สึกอาย ๆ  อย่างไรไม่รู้  ระยะมันห่างกันราว ๓ เมตร  แต่บอยกลับรู้สึกร้อนผ่าวกับคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ

   “เฮ้ยยยยยยยย”  

   เสียงร้องจากคนที่เดินออกมา พร้อม ๆ  กับไหลลื่นไปตามพื้นห้องน้ำที่เปียกชุ่ม  นัทลื่นไถลจนก้นจ้ำเป้า  ผ้าขนหนูสีน้ำเงินหลุดจากตัว  ขันน้ำกระจาย  กางเกงในที่ชักไว้หลุดไปคนละทาง  บอยมันมองไปตามเสียงร้อง  มันเห็นถนัดตา  นัทลื่นล้มกับพื้นในสภาพเปล่าเปลือย

   มันต้องแอบซ่อนหน้า  ข่มอารมณ์ขันเอาไว้เต็มที่

   “เป็นไงบ้างครับ”  บอยเก็บผ้าขนหนูส่งให้นัท  แต่ไม่วายชำเลืองมอง

   “ขอบคุณครับ  พื้นมันลื่นอ่ะ  เลอะหมดเลย  เราขอล้างตัวอีกแปบนะ”  นัทบอก  ยิ้มเก้อ ๆ  เพราะรู้สึกอายเหมือนกัน  มันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ  ออกมาทั้ง ๆ  ที่ยังไม่ได้ใส่กางเกงใน  แต่กลับมาทะเล่อทะล่าโชว์ความเป็นชายให้เพื่อนแปลกหน้าดูซะแล้ว

   บอยมันเขินจนหน้าแดง . . .  

   ไม่รู้สิมันบอกไม่ถูกว่าทำไมมันต้องเขิน  ต้องอายทุกครั้งที่มันเจอหน้านัท  มันแพ้ทางกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า  เพราะตั้งแต่มหาวิทยาลัยเปิดมันเจอกับนัทแค่สามสี่ครั้งเอง  แล้วมันก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเสียด้วยซ้ำ  แต่บอยมันเขินทุกครั้งที่เจอหน้ากับนัท

   เหมือนงูเจอเชือกกล้วยยังไงยังงั้น

   บางเรื่องมันอธิบายยากอยู่ . . .

     . . . ยิ่งเป็นเรื่องของหัวใจยิ่งพูดยากใหญ่  

   ความรู้สึกของหัวใจห้ามกันไม่ได้เสียด้วย  มันผิดหรือที่มันจะอายกับคนที่มันรู้สึกดี  บอยมันแปลกใจตัวเองเหมือนกันตั้งแต่มันเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมามันไม่เคยมีความรักเสียด้วยซ้ำ  มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักหน้าตาเป็นแบบไหน  

   ถ้าบอยรู้ . . .

   . . . มันจะยังรักอีกหรือ?

   รักที่มันต้องเก็บ  ต้องซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด

   ความรักที่มันพูดไม่ได้เหมือนน้ำท่วมปาก . . .  

   . . . มันอึดอัดแทบตายกับรักแรกที่มันเจอ  แต่อย่างว่าชะตาชีวิตของเรา ฝืนกันไม่ได้  ในเมื่อบอยมันโดนขีดมาแบบนี้  มันโดนสาปมาแบบนี้  มันก็ต้องเจอกับสิ่งที่รอมันอยู่ด้านหน้า

   ทุกสิ่งในโลกล้วนโดนขีดมาทั้งนั้น

   นัทกลับออกมาอีกครั้ง  มันยิ้มให้บอยอย่างอาย ๆ   แล้วนัทเดินสวนออกไป  

   . . . บอยมันมองตามจนลับตา  มันไม่รู้หรอก  สายตาที่มันมองตามนัทมีความหมายอย่างไร  แต่มันรู้  หัวใจมันชุ่มชื้น  มันยิ้มบาง ๆ  โดยที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  แล้วบอยมันเดินเข้าไปในห้องน้ำ  มันสูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุด  ราวกับจะเก็บเอากลิ่นของคนที่เพิ่งเดินออกไป

   มันแทบจะแยกได้ด้วยซ้ำว่ากลิ่นไหนเป็นกลิ่นสบู่  กลิ่นไหนเป็นกลิ่นของนัท


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: Lesses ที่ 03-05-2009 19:17:07
ยังไม่มาเหรอ รออยู่ครับ :call:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 03-05-2009 20:21:27


ตอนที่ ๒ (ต่อ)

   ห้องอ่านหนังสือของหอชาย คราคร่ำไปด้วยเด็กรุ่นเดียวกัน  ต่างส่งเสียงแข่งกันราวนกแตกรัง  เป็นธรรมดาของเด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่เมื่อมารวมกลุ่มกันแล้วจะต้องมีเรื่องมากมายที่มาพูดคุยกัน  แล้วยิ่งเป็นวัยรุ่น  วัยที่เพิ่งก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยด้วยแล้ว  ไม่ต้องบอกเลยว่าภายในห้องที่อาจารย์เรียกประชุมนั้นจะมีเสียงดังกันขนาดไหน

   “หวัดดีครับ  ผมชื่อนัท  เกียร์๒๘”   เสียงแนะนำทักทายตัวเองทำเอาบอยต้องเงยหน้าไปมอง

   ใบหน้ายิ้ม ๆ  ตาหยี ที่ลอดมาจาแว่นเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ  ทำเอาบอยแทบจะละลายไปกองอยู่กับพื้น  บอยมันมองหน้านัทราวกับจะจดจำใบหน้านั้นเอาไว้ชั่วชีวิต  มันยิ้มน้อย ๆ  กับใบหน้าที่ห่างกับมันไม่ถึงเมตร

   “บอยครับผม  บอยวิดยา”  มันยิ้มตอบคำถาม

   “เราเจอกันหลายครั้งแล้ว  แต่ยังไม่ได้คุยกันเลย   เมื่อกี้ตอนออกจากห้องน้ำซุ่มซ่ามไปหน่อย บอยมาจากไหนครับ”  นัทมันเอ่ยชวนคุยพลางนั่งลงใกล้ ๆ  บอย

   บอยใจเต้นรัวราวกับจะทะลุออกมาจากอก . . . 

   . . . มันอายกว่าทุก ๆ  ครั้ง  นัทนั่งเบียดอยู่กับมันเพราะห้องมันแคบ  ผิวแขนของนัทสีกับแขนของบอย  บอยมันยิ้มน้อย ๆ  ใจลอยแทบไม่อยู่กับตัว  มันไม่รู้เลยเหมือนกันว่าทำไมต้องมีอาการแบบนั้น

   แบบนี้หรือปล่าวหว่าที่เขาเรียกว่า . . .

   . . . รัก

   “เห็นอยู่ไม่ใช่หรือ  พื้นมันลื่น  เรายังกลัวเลยตอนเดินออกมา  กลัวโป้”  บอยหัวเราะเบา ๆ 

   นัทเลยพลอยหัวเราะตามไปด้วย

   บรรยากาศของความเป็นเพื่อนเริ่มคืบคลานเข้ามาทีละน้อย  เมื่อต่างคนต่างพร้อมที่จะเปิดรับเพื่อนใหม่ ๆ   บ่อยครั้งที่บอยแอบเหลือบมองนัท  มันไม่กล้ามองนัทตรง ๆ  บอยมันยังอายอยู่

   “ตกลงบอยมาจากไหนนี่  เรามาจากน่าน  ได้โควต้ามา”   นัทบอกบอย

   ในมหาวิทยาลัยประจำภาคแห่งนี้  มีนักศึกษาที่สอบในระบบโควตามากมาย  เพราะฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก  ถ้านัทมันจะเป็นหนึ่งในนักเรียนระบบโควต้า

   “เราสอบเข้ามาแหละ  มาจากเพชรบูรณ์  เคยไปมะ” 

   นัทส่ายหน้าแทนคำตอบ

   “ไม่เคย  ไม่เคยไปไหนไกลจากน่านเสียด้วยซ้ำ” 

   เสียงคุยเริ่มเงียบลงเมื่ออาจารย์ประจำหอเดินเข้ามา  การสนทนาของทั้งสองก็ค่อย ๆ  สิ้นสุดลงเช่นกัน  อาจารย์ป๋า  เริ่มคุย  เริ่มแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ  ของการใช้ชีวิตในหอชาย  บอยมันเหลือบมองนัทเป็นระยะ 

   บางครั้งที่นัทหันมายิ้ม . . . 

   . . . บอยมันจะเขินจนหน้าแดง

   “นามสกุลนายนี่สงสัยเป็นลูกหลานเจ้าผู้ครองนครเก่านะ”   บอยถาม  เมื่ออาจารย์ป๋าให้ทุกคนที่พักในหอแนะนำตัวเอง 

   “อ๋อ  เห็นพ่อบอกมาแบบนั้นแหละ  แต่เราไม่รู้ไรมากนักหรอก”

   บอยมันเริ่มเข้าใจหัวใจตัวเองที่ละนิด   

   มันค่อย ๆ  เก็บเอาทุกสิ่งทุกอย่างของนัทไว้ในหัว  มันมองนัทด้วยสายตาชื่นชม  มันยิ้มกับตัวเอง  อย่างน้อยชีวิตของบอย มันก็ยังได้รักคนที่มันอยากรัก  มันไม่สนด้วยซ้ำว่าคนที่บอยรัก  จะมองบอยหรือไม่ 

   . . .  มันไม่เรียกร้องให้นัทมารักมัน 

   แค่นัทพูด . . .

     . . . นัทยิ้มกับมัน 

   บอยมันก็สุขหัวใจแล้ว  มันต้องการเพียงเท่านี้จริง ๆ    มันไม่ได้เรียกร้องอะไรไปมากกว่าที่หัวใจมันรู้ว่า  มันจะได้สิ่งที่มันควรจะได้เท่านั้น

   “บอยเลือกชมรมหรือยัง”  นัทต้องเป็นฝ่ายชวนคุยทุกครั้งเมื่อป๋า  แกไม่ใช้สายตาปรามสักเท่าไหร่

   “ยังเลย  นัทล่ะ”

   “ว่าจะลงชมรมวอลเลย์บอล  ส่วนอีกชมรมต้องดูก่อน”

   “นัทเล่นวอลเลย์ด้วยเหรอ”  บอยมันแปลกใจ  มันหันมามองหน้าอีกฝ่าย

   “เล่นดี  พูดแล้วจะหาว่าคุย  ตอนอยู่น่านสมัยเรียนม.ปลายเคยเล่นทีมเยาวชนเขตด้วยนะ  เราชอบกีฬาแทบทุกชนิดแหละ  บอล  แบด  แต่ถนัด ๆ  นี่บอลกับวอลเลย์”  นัทยิ้มพลางขยับแว่นไปมา

   “อืม  ผิดกับเราแฮะ  เล่นได้เกือบทุกอย่าง  แต่ไม่เก่งสักอย่างเดียว”

   “เอาน่า  เล่นได้หมดก็ดีไง”

   “ดียังไง”

   “ดีที่ยังเล่นได้ไง  เล่นอย่างละนิดละหน่อย  รู้จักเพื่อนเยอะดีไง  มีเพื่อนเยอะดีออก  ไม่เหงาไง”  นัทยิ้มตาหยี

   บอยมันเปิดหัวใจรับข้อมูลของนัทไปเรื่อย ๆ   มันจะเก็บทุก ๆ  รายละเอียดที่เพื่อนบอกกับมัน  เก็บเอาไว้ในหัวใจของมัน   ผู้ชายคนแรกที่ยิ้มให้มันตั้งแต่ที่มันก้าวเข้ามาในรั้ว  “เฌองดอย”   

   จะเรียกว่าบอยมันยึดนัทเอาไว้ก็ได้ . . .

   . . . แต่มัน  ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทุกครั้งที่มันเจอนัท  มันจะต้องอายทุกครั้ง  บอยมันไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง  เหมือน ๆ  ที่มันไม่เข้าใจแหละว่านั่นคืออาการเริ่มแรกของคนตกหลุมรัก

   บอยมันค่อยตกหลุมหัวใจของนัทช้า ๆ . . . 

   มันไม่รู้สึกเจ็บเพราะมันหายเจ็บทุกครั้งที่มันเห็นหน้านัท    ใบหน้าที่มันเองก็ไม่รู้ว่าจะมาอะไรนักหนากับหัวใจของมัน  บางครั้งมันเหนื่อยมันล้า 

   แต่เพียงแค่มันเดินลงมาจากห้องของมันที่ชั้นสาม . . . 

   มาหยุดยืนหน้าห้องนัทที่ชั้นสอง  บอยมันก็ยิ้มกับตัวเอง  มันยิ้มกับประตูห้องของนัท  ทั้ง ๆ  ที่มันรู้ว่านัทอยู่ภายหลังประตูบานนั้น  แต่บอยมันกลับไม่กล้าที่จะยกมือเคาะ  มันแค่ยืนนิ่ง ๆ  สักพัก  แล้วมันเดินกลับขึ้นไปนอนที่ห้องของมันเหมือนเดิม 

   บอยมันทำแบบนี้บ่อยมาก
   



   บอยนอนกระสับกระส่ายไปมา  มันหลับไปตื่นนึงแล้ว  แต่อากาศมันอบอ้าวคล้ายฝนจะตก  บอยลืมตามาช้า ๆ  แสงจากภายนอกลอดผ่านหน้าต่างบานเกร็ดเข้ามา  บอยมันลืมตาโพลงในความสลัว ๆ  ของคืนข้างแรม  มันลุกขึ้นจากเตียงช้า ๆ  มาหยุดที่ระเบียง 

   จันทร์กระจ่างสว่างนวลละออกลางฟากฟ้า คล้ายโคมดวงใหญ่  บอยมองแสงจันทร์นวลเต็มดวงที่บดบังแสงดาวจนหมดสิ้น  มันยืนนิ่ง ๆ  ริมระเบียงหลังห้องมองเพ็ญโพยมดวงกลมโต  ที่อาบแสงไล้มาตั้งแต่เหนือยอดไม้ที่เขาสูงไล่ระดับลงมาตามยอดไม้ที่ไหวอ่อน ๆ  ด้วยแรงลม   แนวทิวเขาที่สลับซับซ้อน  ซ่อนความงามเอาไว้ยามคืนเดือนหงาย

   เสียงขลุ่ยแว่วมาตามลมเย็นเสนาะหู . . . 

   . . . ทำนองคล้ายคนรำพึงรำพันตัดพ้อ  ฟังดูเหงายิ่งนัก  เสียงนั้นไล่ทำนองสูงต่ำ  บางครั้งโหยหา  บางครั้งมีสุข  บอยขมวดคิ้ว  เขาตั้งใจฟังเสียงขลุ่ยนั้น  มันแว่วมาจากที่ไหนสักแห่ง  ไม่ไกลจากที่บอยยืนอยู่ 

   บอยแน่ใจ . . . 

   . . . มันมาจากตึกเดียวกันกับที่บอยอยู่  เสียงมาจากด้านบน    มันค่อย ๆ  เปิดประตูออกไปเบา ๆ  ราวกับจะกลัวเพื่อนร่วมห้องตื่นเพราะมันทำเสียงดัง  เสียงขลั่ยสะกดให้เจ้าตัวหยุดนิ่ง  เงี่ยหูฟังแหล่งที่มาของเสียง

   บอยมายืนตรงทางเดินกลางของหอพัก . . . 

   เสียงนั้นยังคงล่องลอยมาตามลม  บอยเดินตามเสียงนั้นไปช้า ๆ   คล้ายมนต์สะกด ที่ค่อย ๆ  พาเขาเดินตามเสียงนั้น  อย่างช้า ๆ   มันเดินขึ้นไปที่ชั้นสี่  เสียงนั้นค่อย ๆ  แจ่มชัดขึ้น  บอยแน่ใจมันมาถูกทางแล้ว  แล้วเสียงชัดยิ่งขึ้นเมื่อบอยเดินผ่านประตูเหล็กที่ชั้นดาดฟ้า  ที่เป็นราวตากผ้า

   บอยเห็นชัด  คนที่นั่งที่ดาดฟ้าใช่คนเดียวกับที่มำให้เกิดเสียงขลุ่ยเป็นแน่แท้

   คนที่นั่งหันหลังให้บอย . . . 

    . . . คนนั้นแน่นอนที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงขลุ่ย 

   บอยมันยืนพิงกับประตูเหล็ก . .   

   สายตาที่ทอดมองไปยังบุรุษหนุ่มที่นั่งเป่าขลุ่ยใต้แสงจันทร์  อ่อนหวานจับหัวใจ  แววตาที่ไม่อาจซ่อนความรู้สึกของหัวใจตัวเองเอาไว้ได้เลยแม้แต่น้อย   ด้านบนดาดฟ้าลมพัดหวิว  บอยยกมือมาประสานกันไว้ที่หน้าอก  สายตาจ้องมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่มที่นั่งอาบแสงจันทร์ 

   แววตามันยิ้ม . . . 

   . . . บอยปล่อยหัวใจให้ลอยไปตามเสียงเพลงจากขลุ่ยเลานั้น   เสียงเพลงที่บ่งบอกจิตใจของคนเป่า  เสียงที่ปล่อยออกมา  บอกตัวตนที่แท้จริงของคนเป่าได้เป็นอย่างดีที่สุด  บอยมันไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าหรอก  เพราะแค่แผ่นหลังมันก็รู้แล้ว  ใบหน้าของคนที่นั่งครวญเพลงจากขลุ่ยนั้นเป็นใคร

   นัทระรัวนิ้วลงบนเลาขลุ่ย . . . 

   เสียงทำนองสูงต่ำ  คร่ำครวญหา ฟังดูกินใจยิ่งนัก  สักพัก  เสียงค่อย ๆ  ทอดต่ำลง  แล้วระรัวมาอีกครั้งก่อนที่นัทจะเอาริมฝีปากออกจากเลาขลุ่ย 

   “เศร้าจังเลย  เพลงอะไรเหรอนัท”   บอยมันเดินเข้ามาทางด้านหลัง   แล้วนั่งลงที่ม้าหินกลมตรงข้ามกับนัท

   ด้านบนไม่มีไฟ . . .

   . . . มีเพียงแสงจันทร์อาบไล้ใบหน้า  บอยมองเห็นชัดเจน  ใบหน้าอีกคนที่นั่งด้วยกัน  ทุก ๆ  ความรู้สึกที่บอยเก็บเอาไว้กับตัว  บอยจำได้ดีเสมอ  ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ  หรือ  แววตาที่หวาดวิตก . . .

   . . . จารจำทุก ๆ  สิ่งที่สัมผัสได้ด้วยหัวใจของบอย

   นัทมันสะดุ้งเล็กน้อย  มันคาดไม่ถึงว่าดึกดื่นขนาดนี้แล้วจะยังมีคนที่ไม่หลับไม่นอนอยู่อีก  เอ  หรือเสียงขลุ่ยมันปลุกคนทั่วทั้งหอนะ  มันยิ้มแห้ง ๆ  แววตานัทคล้ายมีทุกข์

   “เพลงเขมรไทรโยค  บอยยังไม่หลับรึ”  นัทมันยิ้ม

   “หลับแล้ว  แต่ตื่นเพราะเสียงขลุ่ยนี่แหละ  ทีแรกนึกว่าผีหลอกเสียอีก  แต่พอฟังดี ๆ  ถึงรู้ว่ามีคนเป่าเลยเดินขึ้นมานี่แหละ” 

   “อ้าว  เราเลยปลุกให้บอยตื่นเลย”  นัทเกาศรีษะไปมาแก้เก้อ

   “ไม่ใช่หรอนัท . . .”  บอยรีบปฎิเสธ

   “. . . ข้างล่างร้อน  ขนาดพัดลมยังช่วยไม่ได้เลย  นัทมีไรในใจหรือปล่าวเล่นเพลงเสียเศร้าเชียว  ทำเอาเราเหงาไปเลย  มีไรไม่สบายใจเล่าเราฟังได้นะ  ยังไงเราก็เพื่อนกัน  เราช่วยไรไม่ได้  แต่เรานั่งเป็นเพื่อนนัทได้เสมอ”  บอยมันเริ่มกล้ามากขึ้น  แต่มันยังรู้สึกอายอยู่ดี 

   นี่คงเป็นประโยคแรกกระมังที่มันพูดยาว ๆ  กับนัท

   “วันนี้ร้อนแหละ  เรานอนไม่หลับเหมือนกัน  เลยออกมานั่งเล่น  อากาศบนนี้ดีหน่อยลมพัด”  นัทหันไปรอบ ๆ  ตัว

   นัทไม่เคยสังเกตด้วยซ้ำว่าบอยมองนัท   และไม่ใช่มองแค่เพื่อนธรรมดาแบบคนอื่น ๆ  หากบอยมองแบบเก็บทุกรายละเอียดเลยทีเดียว   ทุก ๆ  อย่างของคนที่นั่งตรงหน้าสำคัญสำหรับบอยเสมอ

   “คิดถึงบ้านมั้ยบอย”   นัทมันหันมาถาม  เมื่อต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบกันอยู่นาน

   แต่ . . .

   สำหรับบอยมันไม่อยากให้เวลาเคลื่อนคล้อยไปด้วยซ้ำ  มันอยากหยุดเวลาทั้งหมดเอาไว้ตรงนี้  ตรงที่มันอยู่กับคนที่มันรัก  ในเวลาที่ไม่มีใคร  มีแค่มันสองคนแบบนี้  เวลาที่บอยคิดว่าดีที่สุดแล้ว. . .

   บอยขมวดคิ้ว  มองหน้าคนที่นั่งตรงข้าม  แสงจันทร์กระจ่างส่องสว่างให้บอยเห็นนัทได้ชัดเจนทีเดียวแหละ  บอยมันยิ้มอย่างเคย

   “คิดถึงดิ  แทบร้องเลยแหละ”

   “เราก็คิดถึง  แต่ทำไงได้มาเรียนแล้วนี่  เวลาเหงาก็ทำได้แค่มานั่งเป่าขลุ่ยเล่นให้มันหายเหงาลงได้บ้าง”  แววตานัทเริ่มสดใสขึ้นเมื่อมีเพื่อนคุย

   นัทมันไม่รู้หรอก . . . 

   . . . คนเดียวหัวหาย  สองคนเพื่อนตาย

   ก็ตอนนี้มันอยู่กันสองคน  มันก็ดีกว่าอยู่คนเดียวมิใช่หรือ   แม้มันจะยังไม่สนิทกันมาก  ที่มันเพิ่งแค่เวลาเริ่มต้นเท่านั้นเอง  มันยังมีเวลาอีกมากที่จะเรียนรู้กัน  ถนนสายมิตรภาพนี้เพิ่งเริ่มต้นเอง

   ความเหงา . . . 

   ไอ้นี่สิมันตัวร้ายเลยทีเดียว  มันชอบเข้ามายามที่เราอยู่คนเดียว  มันเข้ามาเมื่อไหร่ จิตใจเราจะค่อย ๆ  อ่อนลง ๆ  จนแทบอยากร้องไห้ออกมาเลยทีเดียวล่ะ  มันชอบคิดว่าเราคือเพื่อนแท้ของมัน  แต่มันไม่เคยถามเราว่าเราต้องการมันไหม  แต่เมื่อเวลาที่มันต้องการเรา  มันจะเดินมาอยู่ใกล้ ๆ  เราทันที  โดยที่เราไม่ต้องร้องขอ   นัทมันรู้ดี  ตั้งแต่มันมาอยู่ที่นี่  มันเหงาหลายครั้งแล้วล่ะ

   “นึกว่าคิดถึงแฟน”

   บอยหลุดปากมาแล้วมันทำหน้าแหย . . . 

   . . . มันยังไม่สนิทกับนัทถึงขั้นที่จะเข้าไปในโลกส่วนตัวของเขา  มันพยักหน้าทำหน้าแหย  คล้ายขอโทษ  นัทยิ้ม  รอยยิ้มของนัทสว่างกว่าพระจันทร์ที่ลอยอยู่เหนือหัวด้วยซ้ำไป

   “โอ้ย  ยังไม่มี  ใครจะมาเอาคนอย่างเรา”  นัทมันรีบปฏิเสธ  ก่อนหัวเราะเบา ๆ

   “เราก็ยังไม่มี  หายากว่ะ”   บอยเลยพลอยหัวเราะตามนัทไปด้วย

   มิตรภาพเล็ก ๆ  ก่อเกิดขึ้นในใจของบอย  บอยมันเริ่มยึดติดกับนัทมากขึ้น  มันไม่แยกหรอกว่ามันรักนัท แบบไหน  มันรู้แค่ว่า  ผู้ชายคนนี้คนที่อยู่ตรงหน้ามัน  สร้างรอยยิ้มให้มันได้ทุกครั้ง   และผู้ชายคนเดียวกันนี้แหละ  ที่ทำให้มันคลายเหงาทุกครั้งในเวลาที่มันนึกถึงรอยยิ้มของนัท

   ความรักเหมือนเส้นไหม . . . 

   . . . ที่ต้องใช้เวลาในการเพาะเลี้ยงม่อนไหม  จนมันมีใยไหม  แล้วผ่านกรรมวิธีสาวไหม  จนได้เป็นเส้นไหมเส้นบาง ๆ  แล้วถึงจะนำมาถักทอเป็นผ้าไหม  ทุกอย่างที่ประกอบกันเป็นผ้าไหม  ล้วนเกิดจากความทะนุถนอมแทบทั้งสิ้น 

   บอยมันอยากให้รักมันถักทอขึ้นช้า ๆ  มันไม่เร่ง  ไม่รีบ เพราะรู้ดีว่าการเร่งรีบย่อมนำมาซึ่งความไม่สมบูรณ์  ยังมีเวลาอีกมากสำหรับการได้เรียนรู้คนที่บอยรัก  เวลาที่จะทำให้ได้หัวใจของอีกฝ่าย

   เมฆทะมึนเริ่มเข้ามาบดบังดวงจันทร์   ลมกรรโชกแรงมากยิ่งขึ้น  เพียงชั่วเดียวฝนที่ไม่มีทีท่าก็เทกระหน่ำลงมาอย่างรวดเร็ว  บอยกับนัทต้องรีบวิ่งเข้าไปด้านในเพื่อหาที่หลบฝน

   “ฝนจะตกนี่เอง มิน่าร้อนซะแทบแย่”   บอยมันบ่นเมื่อเดินลงมาจากดาดฟ้า

   “นั่นสิ  ท่าจะตกแรงเสียด้วยสิ  ดีเหมือนกันหลับสบาย  ตอนเด็ก ๆ นะ  นัทไปบ้านยาย  แล้วบ้านยายมุงสังกะสี  พอฝนตกทีไร  เสียงเม็ดฝนกระทบสังกะสีดังไปทั่วบ้านเลย  นอนฟังเสียงฝนกระทบหลังคาจนหลับไปทุกทีเลย”

   “ช่าย ๆ  เสียงมันเพราะดี”  บอยเห็นด้วย

   “เฮ้ยจะไปไหน  ห้องบอยอยู่ชั้นนี้  ลงไปอีกชั้นก็ห้องเราดิ”  นัทมันทักเมื่อบอยจะเดินลงจากชั้นสามไปชั้นสอง

   บอยยกมือเกาหัว  มันเพลินจนลืมห้องตัวเอง

   “เออ  จริงแฮะ  คุยเพลินไปเลย  งั้นเราแยกกันตรงนี้นะ”  บอยมันยิ้มอีกครั้งก่อนที่นัทหันหลังให้แล้วเดินลงไปยังห้องของตัวเอง

   “อืมไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ  ฝันดีล่ะ”  นัทยกมือที่ถือขลุ่ยร่ำลา

   “ได้ ๆ  แล้ววันหลังเป่าขลุ่ยอีกนะ  เพราะดี” 

   บอยมองนัทเดินไปจนลับตา  มันค่อย ๆ  ย่องลงมา  แล้วแอบมองไปทางระเบียงทางเดินกลาง  มันเห็นหลังนัทไวๆ    มันมองจนนัทเดินเข้าห้องไป  บอยเอนหลังพิงกับพนังห้องที่บันไดทางขึ้น  มันหลับตาพริ้ม

   มันต้องฝันดี แน่ ๆ 

   คืนนี้น่าจะเป็นคืนที่ดีที่สุดตั้งแต่มันย่างก้าวเข้ามาในรั้วมหาวิทยาลัย น่าเสียดายที่มันน่าจะมีเวลาอยู่ด้วยกันยาวนานกว่าน้อีกสักหน่อย  มันเกลียดฝน  ไม่น่ามาตกเอาตอนนี้เลย  มันรักเสียงขลุ่ย  รักพระจันทร์เข้าแล้วสิ 

   เอ!  หรือมันรักคนที่นั่งกับมันหนอ

   ช่างเหอะ !

   บอยมันไม่อยากรู้อะไรแล้วล่ะ  มันรู้แค่ว่า  คืนนี้ของมันมันสุขหัวใจยิ่งนัก  มันเดินช้า ๆ  กลับไปที่ห้อง  เสียงฟ้าร้องด้านนอก  แต่บอยมันแทบไม่ได้ยินเสียง  หัวใจของมันล่องลอยกลับไปบนดาดฟ้า  ตอนที่มันนั่งคุยกับนัทใต้แสงจันทร์มากกว่า  บอยค่อย ๆ  ทิ้งตัวลงนอน  มันหยิบหมอนข้างมากอด  แล้วมันก็ค่อย ๆ  หลับตารอยยิ้มพริ้มบนใบหน้า  มันอยากให้ในฝันของมันคืนนี้มีแต่นัทเท่านั้น



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: mhu_porm ที่ 03-05-2009 22:13:27
 :z13: :z13: :z13: :z13: :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับรียู้ดดดดดดด)
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 03-05-2009 23:12:03
ดูบอยจะมีความสุขเนอะกับการรักเงียบๆแบบนั้น
แต่นานๆไป มันจะยังสุขอยู่ได้มั้ยน๊อ

ขอบคุณนะคะที่เอาฉบับรียู้ดดดดดดดมาให้อ่าน
รออ่านตอนต่อไปค่า :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 03-05-2009 23:35:34
วุ๊ยๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
อึดอัดจัง
อยู่นานๆไปแล้วทำไมบอยจะทนได้เนี่ย :เฮ้อ:

รอตอนต่อไปอยู่ค๊าบบคุงราชบุตร ...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 04-05-2009 10:37:59
:L1: :กอด1: :L1:

สองตอน

ตั้งเยอะ

แต่ทำไม

ดูเหมือนน้อยจัง

อ่านยังไมจุใจเลย

เข้าใจอะนะว่าคนโพสเหนื่อย

แต่ถ็โพสทีละมาก ๆ ก็ไม่ต้องโพสบ่อย

อาจจะทำให้เหนื่อยน้อยลงก็ได้นะ...ว่ามั๊ย

ชอบอีกแล้วครับ

แค่เอื้อม

+1

 :pig4: :pig4:

 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: SweetOrange ที่ 04-05-2009 21:51:31
น่าติดตามมากค่ะ

แวะมาปูเสื่อรออ่านด้วยคน  :3123:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 04-05-2009 22:52:01
วันนี้ก็มารออีกค๊าบบบบ
คุงราชบุตร สู้ๆๆ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 04-05-2009 23:28:58
ตอนที่ ๓

เมย์  สาวมอเตอร์ไซด์กับผ้าเช็ดหน้า



   ภาคเหนือตอนบน . . .

   นับว่าเป็นเมืองแห่งขุนเขา  ที่มีแอ่งที่ราบเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ  ทั่วประเทศ  ผืนป่าส่วนใหญ่ยังอุดมสมบูรณ์ด้วยสรรพชีวิตมากมาย  นี่คือผืนป่าใหญ่ของโลกแห่งความเป็นจริง  ขุนเขาก่อให้เกิดวิถีชีวิตต่อเนื่องมากมายที่ต้องอาศัยผืนป่า  สายน้ำ  ในการดำรงชีวิต 

   เชียงใหม่ . . .
   

. . . เมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ  เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านที่นี่ยังคงเงียบสงบและน่าอยู่เมืองหนึ่ง  แต่ตอนนี้  เมืองที่เปี่ยมด้วยมนต์เสน่ห์แห่งอาณาจักรล้านนาโบราณแห่งนี้  กลับกลายเป็นเมืองที่กำลังโดนเริ่มฉาบด้วยสีสันของสังคมเมือง  สังคมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ  เหมือนกรุงเทพฯ

   ความเปลี่ยนแปลง . . .

   . . . ก้าวมาครอบครองเมืองแห่งนี้  โดยที่ไม่มีใครสามารถที่จะหยุดมันได้  วัตถุที่เป็นสิ่งบ่งบอกความเจริญค่อย ๆ  กลืนกินวัฒนธรรมดั้งเดิมอย่างไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้  ไม่มีใครหยุดการไหลบ่าของวัตถุ

   . . . แล้วจิตใจของผู้คนล่ะ ?

   ไม่เคยมีใครที่จะพูดถึงการพัฒนาจิตใจ  เพราะสังคมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  คือสังคมที่ฉาบไว้ด้วยวัตถุ  ผู้คนสรรเสริญเยินยอ  และยินดีกับ  ความร่ำรวยทางด้านเงินทอง

   โดยลืมมองถึง . . . น้ำใจ

   ชีวิตของผู้คน . . .

   . . . ชีวิตที่ไม่มีใครมาขีดเส้นทางให้เดิน   นอกจากตัวเราเอง

   ชีวิตที่อาจไม่สวยหรู  แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำมากมาย  มีอะไรมากมายที่ก่อเกิดขึ้นในช่วงเวลาของคนหนึ่งช่วงอายุ  มันมีทั้งสิ่งที่น่าจดจำ  และสิ่งที่ไม่น่าจดจำ  มันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกจับเอาสิ่งใดกันแน่

   ในห้วงชีวิตของคน . . . 

   . . . คนที่มีทั้งส่วนที่ดีและส่วนที่ไม่ดี  เป็นส่วนผสมคละเคล้ากันในมนุษย์ทุกคน  อยู่ที่จิตใต้สำนึก  มันหล่อหลอมให้เกิดสิ่งไหนมากกว่ากันเท่านั้นเอง  ถ้าไม่มีความชั่ว  แล้วเราจะรู้สึกได้อย่างไรว่าอะไรคือความดี

   บอยตระหนักดีกับสิ่งที่ตัวเองเก็บเอาไว้ในใจ . . . 

   . . . สิ่งที่มันพยายามซ่อนเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเท่าที่มันจะทำได้   แม้บางช่วงเวลามันจะรู้สึกอึดอัด  ขื่นขม  แต่บอยมันยิ้ม มันไม่เคยเลยสักครั้งที่จะเศร้าโศกกับความรู้สึกที่มันมีให้กับชายที่ชื่อ  “นัท”

   ความรักเป็นเช่นนี้แล . . .

   . . . บางคน  รักเพื่อจะครอบครอง  ให้ได้มาซึ่งคนที่ตัวเองรัก

   แต่ . . .

    . . . กับอีกหลายคน  รักที่จะรัก

   เขายินดีที่จะเก็บใจรักของตัวเองเอาไว้ตราบนานเท่านาน เก็บมันไว้ในหัวใจที่เขาเองก็สุขทุกครั้งเมื่อนึกถึงรอยยิ้ม  ของคนที่เขารัก . . .

   . . . ความรักเช่นนี้น่าสรรเสริญนัก

   บอยเลิกเรียนนานแล้ว   เขาออกไปกาดต้นพยอมกับเพื่อนอีกหลายคน  เดือนที่สองในรั้วมหาวิทยาลัย  เขาสนุกมากขึ้น  ความเหงาเริ่มเลือนหายไป  กิจกรรมมากมายที่รุ่นพี่จัดขึ้นมาทำให้เขาคลายความคิดถึงบ้านลงได้มาก  บอยเจอกับนัทมากขึ้น  แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่บอยเจอ  บอยจะยังอาย ๆ  ทุกครั้ง  ซึ่งบอยมันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม  มันตอบตัวเองไม่ได้กับความรู้สึกแปลก ๆ  ที่มันมีต่อนัท  มันรู้แค่วันไหนมันไม่เห็นนัทมันจะหงุดหงิด 

   แต่เพียงแค่ . . .

   มันเห็นนัทจากมุมไกล ๆ  ที่นัทเดินผ่าน    หัวใจที่ห่อเหี่ยวของบอยกลับพองโตมาทันที  มันจะยิ้มแล้วก้มหน้าอายทุกครั้ง  บอยไม่กล้าที่จะถามตัวเองด้วยซ้ำไปว่ารักนัทหรือ?

   บอยกลัว . . .

   . . . บอยมันยอมรับว่ามันกลัวคำตอบ   

   “ใช่”

   บอยมันไม่เคยคิด . . .

   . . .  ไม่นึกมาก่อนด้วยซ้ำไปว่าในชีวิตนี้มันจะต้องมารักผู้ชายด้วยกัน  อย่างน้อยสมัยเรียนมัธยมปลายมันก็มีเพื่อนสนิทเป็นผู้ชาย  แต่มันก็แค่เพื่อนที่กอดคอ  เฮไหน  ฮานั่น  ไปตามเรื่องตามราวของวัยรุ่น  วันนี้  เมื่อนัทเดินเข้ามาในชีวิตของมัน  บอยกลับรู้สึกแปลก ๆ  ในหัวใจตัวเองเข้าแล้ว

   “บอย  บอยมาเรียนที่นี่ด้วยเหรอ”   หญิงสาววันเดียวกับบอยเอ่ยทักด้วยความแปลกใจ  ขณะที่บอยเดินออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่หน้ากาดต้นพยอม

   บอยมันขมวดคิ้ว  สมองมันประมวลข้อมูลผู้หญิงตรงหน้า

   “เมย์  เมย์จริง ๆ  ด้วย”  บอยมันยิ้มตาหยี

   “ไม่เจอตั้งนานบอยสบายดีหรือปล่าว”  เมย์ยิ้มหวาน  น้ำเสียงตื่นเต้นที่ได้เจอ

   “สบายดี  เมย์ไปอยู่ไหนมานี่  ตั้งแต่จบม.๓ ยังไม่ได้เจอกันอีกเลยนะ”

   “ก็พ่อย้ายไปประจำที่พิจิตร  เลยย้ายตามพ่อ    แล้วบอยมาเรียนไรนี่”  เมย์ถามก่อนหลีกทางให้คนที่เดินผ่านไปมา

   “หาที่คุยกันดีกว่ามั้ย  พอดีเพื่อนมันทิ้งบอยไปหมดแล้ว  เมย์ไปไหนป่ะ” 

   “ดีเหมือนกัน  เมย์ก็กำลังจะกลับที่หอน่ะ  พอดีแวะมาซื้อของนิดหน่อย  บอยพักที่หอไหน  หอในหรือปล่าว”  เมย์หมายถึงหอพักของมหาวิทยาลัย

   “ช่าย ๆ  อยู่หอชาย ๔   เมย์ล่ะ”

   “หอสามค่ะ  งั้นเราเดินคุยดีกว่ามั้ย”  เมย์ยิ้ม

   “โอเค”

   บอยพยักหน้ารับ  ก่อนจะเดินมาข้ามแยกที่ถนนเลียบคลองชลประทาน  แสงแดดเริ่มอ่อนแรงเพราะเย็นมากแล้ว  รถราเริ่มมากมายบอยมันเลียวมองขวาก่อนผายมือให้เมย์เดินก้าวข้ามถนนไป

   “ยังไม่บอกเลย  บอยมาเรียนอะไรต่อ”  เมย์ถาม  ขณะที่เท้าก้าวเดินไปอย่างช้า ๆ

   “วิดยา  เมย์ล่ะ”

   “วิศวคอมฯ”

   “เก่งจัง  เรียนวิศวะด้วย” 

   บอยมันพาลนึกไปถึงใบหน้าของอีกคน  เพื่อนใหม่ของมันไง  เรียนวิศวเหมือนกัน  คนที่รูปร่างผอม ๆ เดินขาโก่ง ๆ  นิด ๆ  คนที่ใส่แว่น  แต่รอยยิ้มนั้นจริงใจ  จนบอยมันต้องแอบยิ้มทุกครั้งที่มันนึกถึง

   “ยิ้มอะไรบอย”  เมย์หันมาทำหน้าสงสัย

   “ปล่าว ๆ  แค่รู้สึกว่าโลกกลม  เอ  หรือโลกแคบดีนะ”

   บอยมันหัวเราะเบา ๆ  ไม่รู้สินะ  มันรู้จักกับเมย์ตั้งแต่เรียนตอน ม.๑  พ่อเมย์เป็นตำรวจ  สมัยก่อนพ่อเมย์ดุมาก  แต่มันกลับเฉย ๆ  เพราะบ้านมันติดกัน  ถึงบอยกับเมย์จะเรียนห้องเดียวกัน  แต่ทั้งคู่กลับไม่ค่อยสนิทกัน  อาจเพราะเมย์เขาเป็นผู้หญิงทุกกระเบียดนิ้ว  ส่วนบอยมันลิงทะโมนดี ๆ  นี่เอง  เวลาว่างส่วนมากของบอยคือการปั่น  BMX  กับเพื่อน ๆ  วัยเดียวกัน  หรือไม่ก็แบกคันเบ็ดไปตกปลาตามริมบึง  ซึ่งมักจะถูกเมย์ว่าเอาบ่อย ๆ

   “บาปกรรม  เอาเบ็ดไปเกี่ยวปากปลา  ระวังเหอะกรรมจะตามทัน”




   ประตูใหญ่หลังมอ  รถค่อนข้างมาก  เพราะเป็นเส้นทางที่สามารถทะลุไปยังถนนห้วยแก้วที่หน้ามอได้  บอยเดินริมฟุตบาทช้า ๆ  เมย์เดินทอดน่อง  มีเรื่องราวที่ถ่ายทอดกันไปมา    แดดเริ่มหมดความร้อนแรง  ในสนามฟุตบอลเริ่มมีคนมาซ้อม  บางคนก็ออกวิ่งจ๊อกกิ๊งช้า ๆ  บอยมันเหมือนกลับสู่ห้วงเวลาเก่า ๆ  อีกครั้ง  เพื่อนข้างบ้านสมัยก่อนกลายมาเป็นเพื่อนเก่าคนเดียวในมหาวิทยาลัย  เพราะนอกจากเมย์แล้วมันมีแต่เพื่อนใหม่ ๆ  ทั้งนั้นเลย

   “อ้าวไอ้เสือบอย  วันนี้ควงสาวเลยเหรอ  แฟนเหรอแก  ไม่แนะนำให้เพื่อนฝูงรู้จักเลยนะ”  เสียงจากด้านหลัง  ทำเอาบอยหน้าแดง

   บิ้ก  เพื่อนร่วมห้องยิ้มแผล่  เมื่อบอยมันเดินผ่านหน้าคณะวิศวะ  เพื่อจะกลับไปยังห้อง  แต่ที่บอยหน้าแดงอาจเพราะคนที่เดินมากับบิ้กมากกว่า

   “เอ้ยไม่ใช่  เพื่อนโว้ย . . .”  บอยรีบบอก

   “. . . เมย์นี่บิ้กรูมเมทบอย”   บอยแนะนำเพื่อนร่วมห้องให้เมย์รู้จัก 

   “หวัดดีค่ะ”  เมย์ยิ้ม

   “ผมนัทครับ  เพื่อนบิ้ก  เพื่อนบอยมันด้วย  แต่อยู่ชั้นล่าง . . .”   ไอ้คนท่าทางขี้อายชิงแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ

   “. . .  อะไรว่ะ  แนะนำแต่บิ้ก  กับบอยล่ะทำลืม”    นัทมันเย้าบอยเล่น

     “ค่ะ  เมย์ค่ะ . . .”   เพื่อนสาวผมยิ้มหวาน  พอ ๆ  กับใบหย้า

   “. . .   แต่เอ๊ะ  เมย์ว่านัทนี่อยู่ชมรมเดียวกับเมย์นะ  วันก่อนเห็นแว๊บ ๆ  ที่ชมรม” 

   นัททำท่านึก  เขาหันไปมองหน้าบอย  ที่มัวแต่ก้มหน้าด้วยความเขิน  นัทมันไม่รู้  มันไม่เคยมองบอยมากไปกว่าเพื่อน  เพราะฉะนั้น  เวลาที่มันเจอนัท  มันเหมือนปกติของมัน  แต่ทำไม บอยกลับเขิน  เขินได้ทุกครั้งสิน่า

   “เมย์อยู่ชมรมวอลเลย์ด้วยเหรอ”   นัททำหน้าแปลกใจ

   “ปล้าวววววว  วิชาการ”   เมย์ตอบเสียงสูง

   “เออช่าย  คุ้นแล้ว”  นัทมันยิ้ม 

   “แล้วบอยออกไปไหนมานี่   ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน”    นัทมันลงมาเดินข้าง ๆ  บอย    นัทต้องคอยหลบรถที่วิ่งผ่านไปมาลงเดินบนถนนที  ขึ้นมาเบียดบอยบนฟุตบาทที

   “อยู่ในมอนี่แหละจะไปไหนได้   แต่งานเยอะ  รุ่นพี่สั่งงานเพียบเลย” 

   บอยมันจะกล้าบอกได้อย่างไร  ว่ามันอยากเจอนัทแทบทุกวัน  มันพูดไม่ได้หรอก  มันยังไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง  มันยังละอ่อนกับความรัก  หรือเพราะรักมันไม่ควรเปิดเผยก็ไม่รู้สิ  บอยมันเริ่มรู้สึกขาสั่น ๆ  เหมือนคนไร้เรี่ยวแรงเอามาดื้อ ๆ  ที่นัทเดินเบียดมันบนฟุตบาท  ภายในใจหัวใจมันเต้นระส่ำ

   นั่นนะสิ . . .

   . . . แล้วมันเป็นอะไรไป  ในอกในใจถึงได้แกว่งไกวไหวโยนขนาดนี้  บ้ามันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ  เลย  มันเคยรู้สึกแบบนี้กับใครที่ไหนเล่า  มันไม่เคยรู้สึกกับใครเลย  แต่ทำไมกับนัทมันถึงรู้สึกเช่นนี้ไปได้

   ความรักทำหัวใจเต้นแรงได้ขนาดนี้เลยหรือ ?

   บอยรู้สึกราวกับว่าชีวิตอันเรียบง่ายสงบสุขของเขา  ในอาณาจักรหัวใจกำลังถูกรบกวน  โดนสั่นคลอนอย่างหนักหน่วงที่สุดในชีวิต  ด้วย  อะไรบางอย่างที่บอยมองไม่เห็น  หากแต่บอยรู้สึกได้ถึงพลังมากมายมหาศาลที่ส่งผ่านจากผิวแขนของนัททุกครั้งที่มากระทบกับแขนบอย

   “เฮ้ยบิ้ก  แตะบอลกันมั้ย  แตะบอลมั้ยบอย”  นัทมันชวนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มรุ่นเดียวกันหลายคนกำลังแตะบอลกันอย่างสนุกสนาน

   บอยสั่นหน้าแทนคำตอบ

   “เอาสิว่ะ  บอยฝากหนังสือกลับด้วยว่ะ  หรือถ้ายังไม่อยากขึ้นห้อง ชวนเมย์นั่งดูข้ากับนัทแตะบอลที่ริมสนามก็ได้นะโว้ย”  บิ้กมันเอาหนังสือวางแหมะไว้บนแขนบอย 

   “งั้นนัทฝากของนัทด้วยคน”  นัทเอาหนังสือวางไว้ที่แขนบอยเช่นกัน 

ปลายนิ้วนัทสัมผัสกับแขนบอยเบา ๆ . . .

   . . . บอยรู้สึกเหมือนมีพลังไฟฟ้าอ่อน ๆ  ไหลจากตัวนัทมาสัมผัสกับบอย 
มันแทบจะละลายลงตรงนั้นไปเลย  สีเลือดฝาดฉาบบนใบหน้าบอยอีกครั้ง  แม้จะไม่ได้เกิดจากความตั้งใจของนัท  แต่บอยมันยินดีอย่างที่สุด  อย่างน้อยมันก็ได้สัมผัสเผ่วเบาจากชายที่มันรู้สึกแปลก ๆ  ในหัวใจตอนนี้

   “เราไปนั่งคุยริมสนามดีกว่ามั้ยบอย  เมย์ยังไม่อยากกลับหอเหมือนกัน  เมย์ชวนบอย  บอยยิ้มกว้าง

   บอยมันอยากชวนเมย์เหมือนกัน . . . 

   . . . อยากเห็นนัทนาน ๆ  ไม่อยากกลับไปห้องเลยสักนิดเดียว  ที่ห้องไม่มีอะไร  แต่ที่ในสนามฟุตบอล  มีหัวใจมันวิ่งไล่ลูกไปมาอยู่ 

   แต่ . . .

   บอยมันกลัวเมย์จะเบื่อ  แต่ในเมื่อเมย์เอ่ยปากชวน บอยมันเลยยิ้มเสียกว้างกว่าที่เคย  มันค่อย ๆ  เดินนำหน้าเมย์ไปที่ม้านั่งริมสนาม

   บอยมองทอดสายตาไปในสนามคนที่เอ่ยปากชวนวิ่งฉิวเข้าไปขอเพื่อน ๆ  เล่น   แล้ววิ่งกลับมากที่มันนั่งอยู่  นัทมันถอดเสื้อ  แล้วโยนมาที่บอย  บอยมันรับรู้เพื่อนฝากไว้  แล้วนัทมันวิ่งกลับไปที่สนามตามเดิม  ตอนนี้ในสนามแบ่งเป็นสองฝั่ง  ฝั่งที่ใส่เสื้อและไม่ใส่เสื้อ  บอยมันไม่สนหรอกเกมส์วันนี้จะเป็นอย่างไร  บอยมันรู้เพียงแต่ว่าสายตามันจับจ้องไปที่คนร่างสูงที่วิ่งพลิ้วอยู่กลางสนามนั่นเอง

   บอยเอาเสื้อนัทมาพาดบ่าเอาไว้  หลายครั้งที่มันแอบเหลียวหน้าไปสูดเอากลิ่นจากเสื้อ  ที่เจ้าของกำลังวิ่งไล่ลูกกลม ๆ  อยู่กลางสนาม

   แค่กลิ่น . . .

   . . . เท่านี้กระมังที่มันมีสิทธิ์

   นัทมันโฉบเอาได้ลูกตั้งแต่กลางสนาม  มันเลี้ยงลูกไปมา  สายตาสอดส่องหาช่องที่จะส่งลูกไป  มันชี้ให้เพื่อนที่อยู่ทางปีกขวาเป็นสัญญาณ  คู่แข่งต่างเข้าประกบคนที่นัทชูมือ  กว่าคู่แข่งจะรู้  มันก็โยนลูกข้ามหัวไปทางปีกซ้าย  ที่อีกคนรออยู่  คนรับลูกต่อจากนัท  เลี้ยงหลบ  แล้วชะลอทำท่าจะยิง  ก่อนเปลี่ยนใจ  ส่งกลับมาทางหลัง  ทำเอาอีกทีมรวนไปเหมือนกัน 

   แล้วทีมนัท  ค่อย ๆ  บุกอย่างมีจังหวะ  มีชั้นเชิงก่อนที่จะส่งบอลกลับมาที่นัทอีกครั้ง  นัทเลี้ยงเข้าไปใกล้ประตู  กองหลังสองคนออกมาสะกัด  แต่นัทมันกลับหลัง  ใช้หลังบังเอาไว้  แล้วสาดลูกไปทางขวา  อีกคนคอยท่าอยู่แล้วกระโดดขึ้นโหม่งลูกเสียบสามเหลี่ยมบนหมดปัญญาที่นายประตูจะรับลูกได้  เสียงเฮ วี้ดหวิว  ของฝ่ายทำประตูนำดังลั่น  นัทมันวิ่งไปเอาลูกในประตู  แล้ววิ่งไปมา 

   บอยมั้นยิ้มกับประตูแรกที่นัทมีส่วนด้วย  มันกระโดดดีใจไปกับภาพที่มันเห็น  บอยมันมองนัทเล่นโดยที่ไม่รู้สึกเบื่อเลยแม้แต่น้อย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 04-05-2009 23:55:42
ขอบคุณคับ
คืนนี้คงไม่อัพแล้วใช่มั๊ย
เด๋วรอพรุ่งนี้น๊า
ฝันดีกั๊บ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 06-05-2009 01:24:06
อยากที่เคยบอก
เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกอึดอัดดีจัง
แต่ก็อยากรู้ว่าเรื่องราวมันจะดำเนินต่อไปยังไง

รออยู่น๊าคุงราชบุตร ^_^
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 06-05-2009 08:00:55
มาอ่านแค่เอื้อมฉบับสมบูรณ์ เรื่องของนัท กับ บอย

ขอบคุณมากค่ะ แม้เนื้อเรื่องจะเปลี่ยนไปบ้าง

แต่กำลังใจที่มีให้คุณต้น ยังมีเหมือนเดิมค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 06-05-2009 09:02:45


ตอนที่ ๓ (ต่อ)


   แสงไฟสนามเริ่มจุดใส้หลอด  จากจุดแดง ๆ  ตรงกลางหลอด  ค่อย ๆ  สว่างพรึ่บทั้งสนามในที่สุด  มันเหมือนหัวใจของบอย  ที่โดนนัทจุดความสว่างในหัวใจด้วยรอยยิ้มเล็ก ๆ  ในครั้งแรกที่เจอ  จนสว่างพรึ่บในวันนี้  วันที่บอยมันกล้ามองนัทได้เต็มตาในระยะไกล ๆ 


   สักวันนึงเหอะ . . . 

   บอยจะมองนัทให้เต็มทั้งตาทั้งหัวใจเลย วันที่บอยกล้าพอที่จะยิ้มและมองคนที่ตัวเองรัก มันจะไม่ต้องแอบอายเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา 

   วันนั้นคงเป็นวันที่บอยมีความสุขที่สุด . . .

   . . .  แม้ว่า

   ตอนนี้จะยังไม่กล้า   สักวันข้างหน้าจะยิ้มอย่างเต็มใจ

   “นัทเก่งนะบอย  เล่นพลิ้วดีจังเลย”   เมย์เอ่ยออกมาเมื่อนัทยิงประตูที่สามให้ทีม 

   หลายคนในทีมวิ่งมาจับคนยิงสวมกอดด้วยความดีใจ  บอยมันนึกอิจฉาคนพวกนั้นเล็ก ๆ  ที่ได้กอดนัท  แต่เขาเหล่านั้นอาจไม่ได้คิดอะไรแบบที่บอยคิดอยู่ก็เป็นได้

   “บอย  ใจลอยเชียว  เป็นไร”  เมย์ผลักบอยเบา ๆ

   บอยหันมายิ้มเก้อ ๆ  . . .

   . . . โอ้ยนี่มันเป็นเอามากขนาดนี้เลยเหรอ  อีกหน่อยถ้านัทสนิทกับมันกว่าที่เป็นอยู่มันจะอาการหนักขนาดไหนนะ    บอยไม่อยากนึก  ถึงเวลาข้างหน้า  เวลาที่จะค่อย ๆ  สร้างความผูกพันให้เกิดขึ้นในหัวใจ 

   บอยมันรู้ . . .

   . . . ในความผูกพันนั้นเจ็บปวดเสมอ  บอยมันแอบถอนหายใจเบา ๆ

   “อยากเล่นเก่ง ๆ  แบบนัทมั่งจัง  แต่ไม่ไหวบอยกับบอลมันไม่ค่อยสามัคคีกัน  ต้องวอลเลย์ถึงจะไหว . . .”  บอยหันมายิ้ม 

   “. . . เมย์รอบอยที่นี่แปบนึงนะ  เดี๋ยวไปซื้อน้ำก่อนนะ  ใกล้หมดเวลาแล้วล่ะ  เดี๋ยวสองคนนั้นหิวแย่”  บอยบอกเมย์  ก่อนจะวิ่งปรู้ดไปที่ร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ

   เมย์มองบอยวิ่งออกไปแล้วยิ้ม . . . 

   บอยยังเป็นบอยคนเดิมที่มีน้ำใจกับเพื่อนฝูงตลอดมา  เมย์จำได้ดี  สมัยเรียนมัธยมต้น  บอยมันเคยแบ่งข้าวครึ่งจานกับเพื่อนสนิทในห้องที่ไม่มีเงินกินข้าวตอนเที่ยง  แล้วบอยมันแบ่งกันทุกวันด้วยซ้ำไป

   ภาพของเพื่อนผู้มีน้ำใจยังจำติดตาเมย์

   บอยวิ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมน้ำกับขนมถุงใหญ่  บอยเปิดเครื่องดื่มชากระป๋องแล้วเก็บเอาหูหนีบออกจากกระป๋องมาใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก่อนเอาหลอดใส่แล้วส่งให้เมย์ 

   “ขอบคุณค่ะ . . .” เมย์ยิ้มก่อนรับกระป๋องที่บอยส่งมา

   “. . . บอยเก็บไปทำไม”

   “อะไรเหรอ”  บอยถาม

   ในขณะที่มือกำลังทำแบบเดียวกันกับกระป๋องน้ำดำสีน้ำเงิน  เขาเอาหูกระป๋องบิดออกจากกระป๋องก่อนใส่ไว้ที่กระเป๋า

   “ไอ้นี่ไง”  เมย์ชี้มาที่อลูมิเนียมหูหนีบ

   “อ่อ  เก็บไว้บริจาคนะ  เขาเอากลับไปทำน้อตขาเทียมให้คนพิการได้บุญดีออก”  บอยมันเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเหมือนเดิม

   “ทำได้เหรอ  เมย์ไม่เคยรู้เลยนะเนี่ย”  เมย์ยิ้ม  ทำหน้าแปลกใจ

   “ได้ครับ  เหมือนกับที่เขาเอาขวดยาคูลท์มาทำขาเทียมนั่นแหละเมย์ . . .”  บอยยิ้มตาหยี

   “. . . เราช่วยเท่าที่จะช่วยได้ไงเมย์  คนละไม้คนละมือ  ยังมีอีกหลายคนที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้  ถ้าเราคนในสังคมช่วยกันคนละนิด  เขาเหล่านั้นก็มีชีวิตที่ดีกว่าเดิมแน่ ๆ”

   เมย์ยิ้มกว่างกว่าเดิม  มองหน้าบอยเนิ่นนาน

   “เฮ้ย  ยังไม่กลับกันอีกเหรอ”  บิ้กตะโกนมาก่อนเสียง  แล้วมานอนแผ่หราที่ใกล้ ๆ บอย

   บอยส่งขวดน้ำให้นัท . . .

   หัวใจบอยเต้นแทบไม่เป็นจังหวะเมื่อ  นัทยิ้มตอบ

   “ขอบใจนะบอย”

   เจ้าตัวรับไปเปิดดื่ม  ก่อนจะหยิบเอาเสื้อมาเช็ดเหงื่อที่เกาะพราวเต็มใบหน้าและตามตัว  บอยมันเอาน้ำอีกขวดโยนไปให้บิ้ก  บิ้กรับอย่างชำนาญ  ก่อนจะยักคิ้วให้บอยเป็นเชิงขอบคุณ

   “แม่งเอ้ย  ทีมแกโกงวะนัท”  บิ้กอยู่ในทีมแพ้   ลดขวดน้ำจากปาก  ก่อนที่จะบอก

   “อ้าว  โกงไร”  นัทมันนั่งลงใกล้ ๆ  บอย

   “โกงดิ  ก็แกเล่นยิงก่อนได้ไง”  บิ้กมันหัวเราะชอบใจ

   “ห่าเอ้ย”  นัทใช้เท้ายันไปที่สะโพกบิ้กเบา ๆ 

   ที่สนามกีฬาวันนั้นบอยมันยังจำได้แม่น . . . 

   . . . วันที่มันรู้สึกใกล้นัทมากที่สุด  ใกล้กว่าตอนอยู่บนดาดฟ้าในคืนจันทร์เต็มดวงเสียอีก  เพราะอย่างน้อยวันนั้นมันกล้าที่จะมองนัทได้เต็มสายตา    เวลาเหล่านั้นแทบจะไม่เคยเคลื่อนย้ายไปจากบอยเลยด้วยซ้ำไป 



   เวทีโดนจัดอย่างเรียบง่าย  มีลูกโป่งหลากหลายสีมาประดับประดา  สนามข้างหอดูแคบไปถนัดตา  เมื่อเวลาใกล้เริ่มงาน  นักศึกษาต่างทยอยกันมาร่วมงานมากมาย  ไฟราวต่าง ๆ  สว่างขึ้นเมื่อพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า  เป็นสัญญาณบอกว่าเวลางานจะเริ่มขึ้นแล้ว

   หลายเดือนแล้วสินะที่บอยมันมาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ . . . 

   และหลังจากสนามฟุตบอลวันนั้นบอยมันเห็นภาพที่บอยไม่อยากเห็นอีกเลย ภาพที่เจ้าตัวรู้สึกขุ่นเคืองในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก  เป็นความรู้สึกที่เจ้าตัวเองพยายามข่มเอาไว้ให้ลึกที่สุด  เพราะรู้ดีว่าตัวเองมีสิทธิ์แค่ไหน

   ภาพที่บอยเห็น . . .

   . . . นัทกับเมย์ 

   ภาพสองคนที่บอยเริ่มคุ้นตา  เมื่อสองคนนั้นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยขึ้น  หลายครั้งที่เมย์เจอบอยแล้วถามหานัท  เหมือนที่นัทเจอบอยแล้วถามถึงเมย์ 

   หัวใจบอยมันรู้สึกเหงา ๆ . . . 

   . . .แต่

   บอยกลับเป็นสุขที่ได้เล่าเรื่องราวของคนที่โดนถามถึงไปสู่คนถาม  ก็มันรักเพื่อรัก  ไม่ใช่รักเพื่อนครอบครอง

   บอยมันตอบคำถามตัวเองได้แล้ว . . . 

   . . . คำถามที่มันตั้งขึ้นมาเพื่อถามหัวใจตัวเอง  ตั้งแต่วันแรกที่มันรู้สึกแปลก ๆ  กับนัท

   รักนัทว่ะ . . .

    . . . คือคำตอบจากหัวใจส่วนลึกของบอย 

   หัวใจของบอย มีรัก  เท่าที่หัวใจรักของมันจะรักได้  มันยิ้มทุกครั้งที่เห็นนัทเดินไปกับเมย์  แม้ว่าความจริงแล้ว ภายในหัวใจส่วนลึกของบอยจะสั่นไหวบ้าง  แต่บอยมันยิ้มเสมอ  มันสู้ความจริงได้ตลอด  มันยอมรับในสิ่งที่มันเป็น  แต่มันแค่ยอมรับกับตัวเอง  เหมือนกับที่มันยอมรับว่าเมย์กับนัทตกลงใจจะคบกันนั่นแหละ  เพราะอะไรนะหรือ?

   เมย์คือเพื่อนเก่า

   ส่วน. . .

   . . . นัท

   นัท . . .คือ  ทั้งหมดที่บอยมันมีตอนนี้ไง

   หัวใจของบอยมันจะเจ็บก็เจ็บอยู่ . . . 

   . . . แต่บอยมันสุขหัวใจมากกว่าที่คนที่มันรักสองคนเข้าใจกันได้ 

   อย่างน้อยทั้งสองก็เดินบนถนนของความเป็นจริง  ส่วนมันเหมือนคนเดินอยู่ในที่มืด  ความรักของบอยใครเขารู้  เขาจะสมน้ำหน้ามากกว่าที่จะเห็นอกเห็นใจ  ใครเล่าจะมาเห็นใจในความรักที่ผิดธรรมชาติแบบที่บอยรู้สึกอยู่ในตอนนี้

   “ตื่นเต้นจังเลยเมย์”   นัทบอกเมย์เบา ๆ  เมื่อยืนอยู่ข้างเวที

   “เอาน่าเมย์เชื่อว่านัททำได้”  เมย์ตบไปที่หลังมือของนัทที่กุมมือเมย์เอาไว้มือนัทเย็นเฉียบเมย์รู้แหละ

   เมย์ยิ้มกว้างให้กำลังใจ

   บอยมันยืนมองภาพนั้นเงียบ ๆ  . . . 

   . . . แววตามันคล้ายมีน้ำเอ่อ 

   มันอิจฉาเมย์หรือ? 

   . . . ไม่ 

   ไม่มีทางแน่ ๆ  . . . 

   เมย์เพื่อนมันนะ  มันจะไปอิจฉาเมย์ทำไม  แต่มันก็แค่เพื่อนเท่านั้น  เพราะตอนนี้มันเหมือนคนนอก  บอยไม่เคยคิดโทษใครหรอก  โดยเฉพาะนัท  เพราะบอยคิดเสมอ  ว่านัทเป็นผู้ชาย . . . 

   . . .ไม่ใช่เกย์ 

   การที่นัทคบกับบอยให้ความสนิทกับบอย  บอยมันก็ดีใจแทบตายแล้ว  มันไม่เอื้อมนัทให้มากไปกว่านี้หรอก

   “บอย  ตื่นเต้นว่ะ  จับดูดิใจกูเต้นไม่เป็นจังหวะเลย”  นัทมันเอามือมาจับมือบอยแล้วไปทาบที่อกด้านซ้าย

   บอยสัมผัสได้ด้วยมือที่กุมมือบอยแตะไว้ที่หน้าอก . . . 

   . . . ก้อนเนื้อที่มีชีวิตด้านในเต้นตุ๊บตั๊บ  มันเหมือนน้ำที่รดรินหัวใจบอย  อุ้งมือนัทที่จับมือบอยให้แนบอยู่กับหัวใจนัท  บอยมันไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่ามือมันจะมีโอกาสสัมผัสกับหัวใจนัท  เพราะมันแค่อยากรักนัทเงียบ ๆ  แบบนี้

   แต่ตอนนี้เหมือนหัวใจนัทอยู่ในกำมือมัน . . .

   “เออว่ะ  เอาน่ากูเชื่อว่ามึงทำได้”  บอยยิ้มมั่นใจ

   เสียงพิธีกรของงานเริ่มประกาศเปิดงาน . . . 

   “หนุ่ม-สาวชาวหอ”   หรือหลายหลายคนรู้จักว่ามันคืองาน  หาคนที่เป็นขวัญใจนักศึกษาประจำหอในของมหาวิทยาลัยนั่นเอง นักศึกษาใหม่ล้วนมากันเนืองแน่น

   หลาย ๆ  คนเริ่มขึ้นไปแสดงความสารถของตัวเองกันเต็มที่  จนเสียงพิธีกรประกาศเรียกชื่อนัท  บอยมันยิ้มอีกครั้ง

   “ไอ้บอยยืนอยู่ตรงนี้นะมึงอย่าไปไหน”  นัทมันเอื้อมมาจับมือบอยอีกครั้ง

   “เออ  กูกับเมย์จะยืนตรงนี้แหละ  เต็มที่เลยนะโว้ย”  มันตบไหล่นัทเบา ๆ

   นัทไม่รู้หรอก . . .

   . . . นัทไม่มีวันรู้แน่ ๆ 

   บอยมันถอดทั้งหัวใจไปช่วยนัทมันหมดแล้ว . . . 

   ตอนนี้ . . .

   . . . บอยมันมีแค่ร่างที่ยืนมองหัวใจตัวเองเท่านั้น 

   แค่ไออุ่นจากมือนัท . . . 

   ก็ทำให้บอยมันแทบจะตายให้ได้อยู่แล้ว มันมีความสุขกว่าใคร ๆ  ทั้งหมดในงานแห่งนี้เสียด้วยซ้ำ

   อีกแปบเหอะ . . . 

   . . . อีกแปบเดียวเท่านั้น 

   รอแค่เวลาที่นัทมันจะปรากฏตัวบนเวที  เวลานั้นแหละมันจะจ้องมองนัทไม่ให้กระพริบตาเลยทีเดียว  วันนี้มันจะจดจำนัท 

   มันจะจารจำไปชั่วชีวิตของมันเลยทีเดียว

   เสียงอินโทรลดนตรีดังขึ้น . . .

   . . . สปอร์ตไลต์ส่องไปข้างเวที 

   นัทมันเดินออกมาพร้อมจูงจักรยาน  เสียงทั้งกองเชียร์ทั้งชายจริงหญิงแท้ ชายเทียมดังกระหึ่มไปหมด  นัทมันคนเพื่อนเยอะ  และมันยังเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลตัวมหาวิทยาลัยอีก  เพราะฉะนั้นกองเชียร์จัดตั้งของนัทมันเยอะเป็นธรรมดา

   “อ้ายคนจนจำต้องทนปั่นรถถีบ  จะไปจีบอีน้องคนงาม  พอไปถึงอ้ายก็ฟังเอิ้นถาม  อีน้องคนงามกินข้าวแลงแล้วก๋า  น้องได้ยินก็ปิดประตู๋ดังปัง!  อ้ายเลยนั่งจูงรถถีบออกมา  อ้ายคนจนบ่อมีวาสนา  จะไปขี่ฮอนด้า  ขี่ยามาฮ่าไปได้จะได๋...”

   บอยมันยิ้มกับภาพที่มันเห็นตรงหน้า . . . 

   เสียงกองเชียร์ร้องกรี๊ดดังลั่นไปหมด เมื่อนัทเลือกเพลงของศิลปินชื่อดังแห่งล้านนามาโชว์บนเวที

   บอยมันมองนัทใส่ลีลาท่าทาง  จนมันเองยังอดนึกไม่ได้  ถ้ามันไปยืนตรงจุดเดียวกับนัทมันจะกล้าทำแบบที่นัททำอยู่ตอนนี้มั้ย 

   มันตอบได้ทันที . . . 

   . . . มันทำแบบนัทไม่ได้หรอก  มันไม่ใช่คนกล้าแสดงออกแบบนัท   แค่มันเดินขึ้นเวทีที่แสงไฟคอยตามส่องมันคงก้าวขาไม่ออกแล้ว

   ทำไปได้ . . .

   . . . มันได้แต่แอบยิ้มกับตัวเองในใจ  กับภาพที่เห็น  กับทุก ๆ  สิ่งที่นัททำ  บอยยิ้มกว้างอย่างที่สุดเมื่อเห็นนัทโดดเด่นอยู่บนเวทีแห่งนั้น

   บอยมันยืนมองไปบนเวทีจนกระทั่งนัทมันโชว์จบเพลง  แล้วนัทตรงรี่มาที่มันกับเมย์    มันยิ้มให้นัท  มันยิ้มกว้างกว่าทุกครั้ง 

   “โอยสั่นแทบตาย”  คำแรกที่นัทมันพูดออกมา 

   นัทมันคงสั่นจริง ๆ    เม็ดเหงื่อพราวอยู่เต็มใบหน้าของนัท  วันนี้นัทไม่ใส่แว่นด้วย  บอยมันมองเห็นแววตานัทชัดเจนที่สุด  แววตาที่นัทซ่อนไว้ใต้กรอบแว่น  แต่วันนี้ไม่มีม่านกระจกมาบิดบัง

   “บอยมีผ้าเช็ดหน้ามั้ย  ของเมย์ลืมหยิบมา”  เมย์หันมาถาม

   บอยหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อหน้าอกส่งให้เมย์ 

   เมย์ค่อย ๆ  บรรจงซับเหงื่อจากใบหน้าของนัท  บอยมันยิ้มตามเคย  กิริยาที่เมย์ทำให้นัทมันบาดใจบอย  แต่บอยมันสุขกว่าสุข

   อย่างน้อย . . .

   . . . ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กของมันได้คอยซับหยาดเหงื่อจากชายที่มันรู้สึกดี

   “ขอบใจนะบอย”  เมย์ส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้บอย 

   เหงื่อของนัทมันซึมอยู่ตามเส้นด้าย บอยยิ้มให้เมย์อีกครั้ง  แต่เมย์ไม่มีวันเข้าใจความหมายในรอยยิ้มของบอยหรอก

   บอยค่อย ๆ  เอาผ้าเช็ดหน้ามาบรรจงพับเก็บไว้ในกระเป่าเสื้อตามเดิม  มันเข้าใกล้นัทขึ้นทุกที  หัวใจมันสุข  แม้บางครั้งมันอาจนึกอิจฉาเมย์อยู่ลึก ๆ 

   แต่ . . .

   . . . บอยมันรักเพื่อรัก

   มิใช่รักเพื่อนครอบครอง . . .

   แค่มันได้อยู่ใกล้ ๆ  นัท  ใกล้ ๆ  หัวใจของมันเท่านั้นมันยินดี  มันไม่กลัวหรอก  เพราะตราบใดที่มันไม่เผยหัวใจให้นัทรู้  บอยรู้ดี  ความเป็นเพื่อนระหว่างมันกับนัท  นัทมีให้เสมอมิเปลี่ยนแปลง

   มันกลัวการสูญเสียมากกว่า  มันเลยจำต้องเก็บความรักไว้กับอก

   เสียงพิธีกรประกาศให้ทุกคนขึ้นเวทีอีกครั้ง . . .

   แล้วพิธีกรเริ่มประกาศรางวัล  บอยมันตื่นเต้นสุดชีวิตเมื่อสองคนที่เหลือ  มีนัทรวมอยู่ด้วย  บอยมันจ้องไปหน้าเวทีนิ่ง  หัวใจมันแทบหยุดเต้น  มันค่อย ๆ  เอามือมาจับที่ผ้าเช็ดหน้าชุ่มเหงื่อนัทช้า ๆ  สิ้นเสียงประกาศของพิธีกร

   หนุ่มชาวหอไม่ใช่ . . . นัท 

   . . . เพราะนัทได้แค่รอง 

   บอยมันมีแววหม่นหมองเล็กน้อยแอบเสียใจเล็ก ๆ  ที่คนที่บอยรักไม่ใช่คนที่เป็นหนึ่งบนเวทีแห่งนั้น 

   แต่ . ..

   . . .นัท

   นัทมันยิ้มกว้างยินดีกับคนที่ได้ตำแหน่ง  รอยยิ้มในคืนนั้นของนัท  ยังคงแจ่มสว่างในใจบอยเสมอ  เหมือน ๆ  กับที่บอยเก็บผ้าเช็ดหน้าชุ่มเหงื่อของนัทเอาไว้โดยไม่เคยเอามาใช้อีกเลย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 07-05-2009 19:16:15

ตอนที่ ๔

หนาวแรกบนดาดฟ้ากับโคมลอยที่อ่างเกษตร  
 



   หนาวแรกของเชียงใหม่ . . . 

   อากาศหนาว ค่อย ๆ  ลอยมาสัมผัสกระทบผิวบอย  มันคล้าย ๆ  ว่าความหนาวเหน็บจะแทรกซึมไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว   มันเหมือนคนโดดเดี่ยวที่ยืนอยู่ริมผา  เวลาสายลมเอื่อยลอยมากระทบจนมันต้องห่อไหล่ 


   มันใช้มือขวากอดมือซ้ายของตัวเองเอาไว้  แนบไว้กับลำตัว  ที่นี่มันไม่มีใครให้กอด ผิดกับตอนมันอย่าเพชรบูรณ์มันยังมีแม่ให้กอดคลายเหงาได้บ้าง  ใครจะว่ามันลูกแหง่มันไม่สนหรอก  มันรู้ถ้ามันอยากได้ความอบอุ่น อกแม่ของมันอุ่นกว่าอ้อมกอดของใครในโลกที่มันเคยเจอ

   เสียงประทัดยักษ์  พลุ  ดังกันแทบทั้งเมือง  เสียงเพลงจากเวทีต่าง ๆ  ล้วนเป็นทำนองสนุกสนาน  แต่มันกลับบาดลึกไปในความรู้สึกของบอย  มันมองลอดระเบียงออกไปด้านนอก  โคมสีขาวที่มีดวงไฟสีส้มสุก  ล่องลอยไปในอากาศช้า ๆ  ลูกแล้วลูกเล่า  งานประเพณีที่ขึ้นชื่อของล้านนา  “ลอยยี่เป็ง”

   นัทแต่งตัวสบาย ๆ  กางเกงยีนส์เสื้อยืด  นัทมันชอบยีนส์เก่า ๆ  ขาดนิด ๆ  มันเซอร์ ๆ  ดี  นัทมันเดินลง  มาด้านล่างของหอพักคืนนี้แม้ไม่ใช่การเที่ยวครั้งแรกกับเมย์  แต่มันอาจเป็นครั้งแรกของนัทที่ควงสาวออกงานลอยกระทงเพราะแต่ไหนแต่ไรมา  มันเคยชินกับการเที่ยวกับเพื่อนรุ่นเดียวกันมากกว่า  เมย์เป็นผู้หญิงคนแรกที่เข้าก่อกวนหัวใจนัทได้มากที่สุด  ซึ่งนัทเองมันก็เต็มใจที่จะยอมให้เมย์ก่อกวน

   มันไม่เคยปิดประตูหนีความรัก . . .

    . . . เพราะมันรู้ว่าในความรักย่อมมีสิ่งสวยงามซ่อนเร้นอยู่  มันมีเสน่ห์ที่จะค้นหา

   “รอนานมั้ย  ไปกันหรือยัง”  นัทเอ่ยถามเสียงนุ่ม

   “อ้าว  นัทไม่ได้ชวนบอยไปด้วยเหรอ  เมื่อเย็นเมย์เจอบอย  เห็นบอกว่าปวดหัวคงไม่ออก  วันนี้ลอยโคมใหญ่  น่าจะชวนบอยไปด้วยกันนะนัท”  เมย์ถามเพราะเห็นนัทลงมาคนเดียว

   “เหรอ  นัทไม่เจอบอยหลายวันแล้ว  ตกลงจะให้นัทไปชวนบอยเหรอ”  นัทถาม  พลางชี้ไปทางบนห้อง

   “นัทไม่อยากให้บอยไปก็ไม่ต้องชวนก็ได้”  เมย์อาจมองสายตานัทมันออก

   “ไม่ใช่แบบนั้น  โธ่เมย์ก็  งั้นรอแปบนะ  เดี๋ยวนัทขึ้นไปดูบอย”  นัทมันวิ่งปรู๊ดกลับไปยังชั้นสาม

   เมย์ยิ้มออกมา  . . . 

   . . . ในความเป็นเพื่อนเมย์มีความจริงใจให้กับทุกคน  เมย์อาจโดนเลี้ยงมาจากที่บ้านให้มองทุกคนเป็นมิตร  หัวใจของเมย์เลยอ่อนโยน  อ่อนหวานสอดรับกับกิริยาและใบหน้าที่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ

   นัทมันวิ่งหอบ ๆ  มายืนอยู่หน้าห้อง ๓๓๑  ของหอชาย ๔

   ยังไม่ทันที่นัทมันจะเคาะประตู . . . 

   . . . เสียงบานพับที่โดนสนิมเกาะก็เปิดออกมา  นัทมันยิ้ม  แต่มันคล้ายมีแววตาผิดหวังเพราะคนนั้นไม่ใช่คนที่มันจะมาหา

   “อ้าวไอ้นัท  ไม่ไปลอยโคมเหรอวันนี้กูกำลังจะออกไปพอดี  นัดสาววิจิตรไว้ว่ะ”  บิ้กมันค่อย ๆ  ปิดประตู

   “ว่าจะไป  เห็นเมย์บอกว่าไอ้บอยไม่สบายเหรอ  แล้วมันไม่ไปด้วยเหรอ”

   “เฮ้ย  มึงไม่ได้สวนกับมันหรอกเหรอ  มันออกไปก่อนหน้านี้ไม่ถึงสองนาทีเอง  แต่เอ!  กูลืมถามมันด้วยดิ  ว่ามันจะไปหรือปล่าว  หรือมันไปหาเพื่อนที่ห้องอื่นว่ะเห็นมันหยิบกีตาร์ไปด้วยนะดิ  หาเอาเองนะโว้ย  ถึงเวลานัดกับสาวแล้วล่ะ กูไปล่ะ”  บิ้กมันตบไหล่นัทเบา ๆ  ก่อนผละจากไป

   นัทมันยืนมึนอยู่กับคำตอบของบิ้ก 

   ตายห่า . . . 

   . . . มันจะหาบอยได้ที่ไหนวะเนี่ย 

   เพราะมันไม่ได้สนิทกับบอยขนาดที่รู้ว่าบอยมันชอบไปห้องไหนเสียด้วย  นัทมันค่อย ๆ  หมุนตัวกลับ  มันเดินก้มหน้าคล้ายใช้ความคิด  มันเดินมาถึงบันได  มันได้ยินเสียงเพลงลอยมาจากด้านบน 

   เร็วเท่าความคิด . . .

   นัทมันก้าวขาไปทันทีก็บิ้กมันบอกเองว่านัทเอากีตาร์ไป  นัทอาจเล่นกีตาร์อยู่กับเพื่อนที่ห้องไหนก็ได้  แต่เสียงนั้นมันไม่ใช่กีตาร์  มันเป็นเสียงเมาออแกน  แม้เสียงมันจะไม่ดังมาก  แต่เสียงมันเหงา ๆ  เศร้า ๆ  เย็นเยียบเข้าไปในหัวใจ ยังไงไม่รู้ 

   . . . นัทเดินตามเสียงมาจนถึงดาดฟ้า     

   นัทมันขมวดคิ้วบอยมันทำห่าอะไรแปลก ๆ  มันจุดเทียนไว้ตามระเบียงมากมาย  ลมเบา ๆ  พัดจนเปลวเทียนไหวเอนไปตามลม    พริ้วจนแทบจะมองออกว่าอันที่จริงแล้วที่ไหวเอนนั้นเป็นแสงเทียนหรือสายลมกันแน่

   เพราะเรามองไม่เห็นสายลม . . . 

   แต่ . . . ตอนนี้นัทมันเห็น  เปลวเทียนพลิ้วไปตามสายลม

   สายตาบอยมันมืดมิดมันต้องการแสงเทียนในการนำทาง . . . 

   . . .  ส่วนหัวใจบอยมันหนาวเหน็บ ไออุ่นจากเปลวไฟ คงพอช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บของหัวใจมันได้บ้าง 

   กีตาร์มันวางไว้ใกล้ ๆ  ตัว บอยมันเป่าเพลงจากเม้าออแกน  มันขึ้นเพลงใหม่  เสียงเม้าท์ออแกนสะกดให้นัทมันทำได้แค่ยืนเฉย ๆ  เท่านั้น  นัทมันร้องตามในใจ  เพลงนี้มันเหงา  มันเศร้า 

   บอยมันหยิบกีตาร์มาไว้ในมือ  คราวนี้มันเริ่มไล่สาย  แล้วมันค่อย ๆ  เล่นใช้มือสองมือของมันกระทำให้ก่อเกิดทำนองเดิมขึ้นมาอีกครั้ง 

   เสียงหวีดกรีดลอยไปบนอากาศ  แล้วแตกกระจายดวงไฟเล็ก ๆ  หลากสีแตกจากพลุดวงใหญ่ที่ยิงขึ้นไป มองเห็นชัดบนดาดฟ้า. . .   

   . . . โคมลอยเริ่มมากดวงขึ้น 

   ที่อาบไล้ทั่วทั้งเมืองคือแสงจันทร์โผล่พ้นทิวเขาหลังพระธาตุ  ส่องสว่างกระจ่างบนดาดฟ้า  สมเป็นคืนเพ็ญเดือนสิบสอง  นัทมันยืนนิ่งคล้ายคนถูกสะกด  เมื่อบอยมันค่อย ๆ  ปล่อยเสียงร้องออกมา  น้ำเสียงมันแหบ ๆ  เศร้า ๆ  ยังไงไม่รู้  เสียงทำนองกีตาร์มันแทบไม่ผิดเพี้ยนจากต้นตำรับ



 บทชีวิตคือบทละครที่สวรรค์กำหนด

ได้บทที่เหี้ยมโหดเฝ้าโทษตัวเอง

ก่อนจากหากได้ลาปัญหาฉันคงทุเลา

เพียงได้สบตาทุกข์คงบรรเทา

คำว่ารักคงยังไม่พอ เธอคงไม่รับฟัง

รักคงยังไม่พอ  แต่อยากจะขอ

ได้พบได้พูดให้เธอเข้าใจให้รู้ในใจยังรักเธออยู่

แต่กลัวจะซ้ำเติมทุกข์ให้เธอเจ็บช้ำเพราะรักคงยังไม่พอ

หมดความหมายแต่บทแสดงยังหายใจอยู่

ถูกคนลบหลู่ปลอบใจทุกวัน

ปิดฉากไปเสียดีกว่าแสดงเป็นคนไร้ค่า

อาจมีสักวันเข้าใจมากกว่านี้

คำว่ารักคงยังไม่พอ เธอคงไม่รับฟัง

รักคงยังไม่พอ  แต่อยากจะขอได้พบได้พูดให้เธอเข้าใจ

ให้รู้ในใจยังรักเธออยู่แต่กลัวจะซ้ำเติมทุกข์ให้เธอเจ็บช้ำ

เพราะรักคงยังไม่พอ

ดังเรือใบล่องหาทิศทางแบกภาระสูงจนเต็มลำ

ติดตามไปคงไม่ถึงฝั่ง ดูใจดำแต่ฉันหวังดีที่ต้องทิ้งเธอตามลำพัง

ไม่อยากให้เธอมาลำบากด้วยกัน ความจริงใจสื่อสารลำบาก

ฝากความหมายในเพลงบางคำ เผื่อสักวันเธออาจเข้าใจ

เผื่อสักวันเธอให้อภัย


(“รักคงยังไม่พอ”  ขอบคุณ  พี่เสือ  ธนพล)  
 


   “เพราะมากเลยโว้ย  พ่ออารมณ์ศิลปิน”  เสียงนัทตบมือ  แล้วเดินมาทางด้านหลัง

   บอยมันชาวาบไปทั้งตัว . . . 

   . . . น้ำเสียงแบบนี้คือนัท 

   มันจะซ่อนหยาดรอยน้ำตาเอาไว้ได้อย่างไร ? 

   ในเมื่อตอนนี้น้ำตามันไหลอาบแก้ม  มันเหนื่อยมันอ่อนล้า  มันเห็นตั้งแต่เมย์เดินมาแล้ว  มันมองจากริมระเบียง  แล้วรู้โดยทันที  คืนนี้นัทออกไปกับเมย์แน่ ๆ  มันถึงได้ขึ้นมาทำอารมณ์ศิลปินแบบที่นัทบอกมันนี่ไง  บนดาดฟ้า

   บนนี้ . . .

   . . . บนโลกที่บอยมันคิดว่ามีแค่มัน  กับเงาของนัท

   เงาที่มันไม่สามารถสัมผัสได้ . . . 

   . . .แต่

   นี่มันอะไรกัน  เสียงทักจากด้านหลัง  เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ ๆ มันเข้าทุกที  หัวใจมันยังสั่งให้น้ำตามันหยุดไหลไม่ได้  มันต้องกลั้นเสียงสะอื้นกดไว้กับอก  มันเหมือนมีอะไรมาบีบหัวใจของมัน  มันแทบอยากหยุดหายใจเอาไว้ตรงนั้น

   “ไปอ่างเกษตรกันเหอะ  ไปลอยโคมกัน”  นัทมันดึงไหล่บอยให้หันกลับมา

    นัทมันเห็นเต็มสองตา . . . 

   . . . น้ำตาเพื่อนมันไหลเป็นทาง  แววตานัทมันเปลี่ยนไป  มันไม่เข้าใจบอยมีเรื่องคับอกคับใจอะไรนักหนา  มันพยายามดึงหน้าบอยมาเพื่อจะมองบอยให้ชัด  แต่บอยมันเอี้ยวตัวหลบ  มันจะสู้หน้านัทได้อย่างไร 

   มันจะพูดได้อย่างไร . . . 

   . . . หัวใจมันอ่อนแอ

   มันเหนื่อยมันล้า  มันแค่คิดนัทไปกับเมย์แล้ว  แต่มันคิดผิด  นัทยังอยู่ตรงนี้  อยู่ตรงหน้ามันนี่  มันแค่อยากให้มันแค่ฝันไปเท่านั้น  มันไม่อยากอ่อนแอให้นัทเห็น  แต่เหมือนมันอยากเข้มแข็งมากเท่าใด ความอ่อนแอในส่วนลึกมันกลับมากขึ้นทวีคูณ  มันไม่ร้อง  แต่น้ำตามันไหล

   เคยไหมที่ห้ามน้ำตาตัวเองไม่ได้

    “มีเรื่องไรว่ะ  บอกกูดิบอย  เล่าให้กูฟังก็ได้  กูเพื่อนมึงไง  เพื่อนมึงนะ  มึงมีอะไรในใจทำไมต้องมาเก็บไว้คนเดียว”  นัทมันตบไหล่บอยเบา ๆ

   แค่นี้แหละ . . .

   . . . แค่นี้จริง ๆ  ที่บอยมันต้องการอย่างนั้นหรือ

   มันยกมือมาปาดน้ำตา  กับน้ำมูกที่ใหลลงมารวมกันจนหน้ามันเหนอะไปหมด มันมองหน้านัท  มองด้วยความกล้ที่สุดแล้ว . . . 

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . อย่างน้อยมันยังเหลือนัท  มันเหลือความเป็นเพื่อนที่นัทมีให้  มันยอมเก็บเอาไว้กับตัว  มันจะกลืนเก็บความช้ำให้มันไหลย้อนคืนกลับไปในหัวใจเพราะมันรู้ดี  วันไหนมันไม่เผยความรู้สึกของหัวใจ นัทจะยังไม่ไปไหน  จะยังอยู่กับมันในฐานะ . . . 

   . . . เพื่อน

   แต่วันใดที่มันบอกออกไป

   . . . มันไม่อยากนึกต่อ  มันใช้สองมือปาดน้ำตาจนหมด  มันยิ้ม  มันยิ้มตาหยีแบบเคย

   “มีไรว่ะ”  มันปรับน้ำเสียงเป็นปกติ

   “ไปลอยโคมกัน  ไปอ่างเกษตรกัน”

   บอยมองหน้านัท . . . 

   แม้บนดาดฟ้าจะมืด  แต่ใต้แสงจันทร์มันรู้หน้านัทสว่าง  ถึงไร้แสงจันทร์  บอยมันก็รู้  นัทสว่างในหัวใจบอยเสมอ มันจำได้แทบจะทุกริ้วรอยบนใบหน้าของนัทด้วยซ้ำ

   “ไม่ไปได้มั้ย  แล้วนัทไม่ไปกับเมย์เหรอ”

   “ทีแรกก็ได้อยู่นะ  บอยไม่ไปก็ได้  แต่หลังจากที่เห็นน้ำตามึงกูขอสั่ง  ต้องไปโว้ย ไป ไป  อย่าลีลา  แล้วเรื่องที่เก็บไว้หนักอกมาก  ถ้าอยากจะบอกกูบอกได้นะโว้ย  กูเพื่อนมึง”  นัทมันหยิบกีตาร์  พลางผลักบอยให้เดินลงกลับไป

   กูเพื่อนมึง . . .

   . . . บอยมันยิ้ม  แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วสำหรับคนอย่างบอย  มันน่าจะห้ามหัวใจตัวเองได้แล้ว  บอยมันรู้ดีที่สุด  ในความเป็นเพื่อนนัทมันไม่เคยระแวง  มันไม่เคยระแวงบอยเลยด้วยซ้ำไป

   แล้วมันล่ะ . . . 

   . . . มันเดินเลยเส้นเพื่อนไม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?

   หรือว่ามันไม่เคยรู้สึกกับนัทแบบเพื่อนเลย  มันรู้สึกแบบนั้นกับนัทก่อนที่จะมันรู้สึกแบบเพื่อนเชียวหรือ  มันเดินคิดมาตลอดทางจนถึงห้อง  นัทตบไหล่มันนั่นแหละมันถึงได้รู้สึกตัวว่ามันเดินเหม่อมาตลอดทาง

   “เฮ้ยกูให้เวลาล้างหน้า ๕ นาทีนะมึง  แล้วตามกูลงไป  เมย์รอนานแล้วว่ะ  กูเริ่มจับเวลาแล้วนะโว้ย”  นัทมันเอากีตาร์ส่งกลับให้บอยก่อนก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือ 

   บอยมันยิ้ม . . . 

   ก่อนเผ่นแน่บเข้าห้องไป  แค่ห้านาทีมันจะรีบเก็บอาการทั้งหมดที่มีอยู่ตอนนี้  มันจะลงไปที่เพื่อนมันรออยู่ให้เร็วที่สุดเท่าที่หัวใจมันสั่ง   
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 08-05-2009 12:07:56
 :monkeysad:
อ่านแล้วหายใจไม่ออก มันอึดอัดอยู่ตลอดเวลา
รักเพื่อรัก มันดูสวยงามนะคะ แต่อีกด้านมันก็ทรมานมาก
อาจจะเก็บความรู้สึกแบบบอยไม่ได้
เลยไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าบอยอยู่ได้ยังไงกับความรู้สึกแบบนั้น

ชอบเรื่องนี้ค่ะ ทรมานดี  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 08-05-2009 17:39:11
:monkeysad:
อ่านแล้วหายใจไม่ออก มันอึดอัดอยู่ตลอดเวลา
รักเพื่อรัก มันดูสวยงามนะคะ แต่อีกด้านมันก็ทรมานมาก
อาจจะเก็บความรู้สึกแบบบอยไม่ได้
เลยไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าบอยอยู่ได้ยังไงกับความรู้สึกแบบนั้น

ชอบเรื่องนี้ค่ะ ทรมานดี  o13

^
^
^
ใจตรงกันเลย

สำหรับเรานะการแอบรัก หรือรักข้างเดียวเนี่ย มันปกติธรรมดา ใครๆก็เป็นกัน
แต่กับเจ้าบอยนี่ มันหดหู่ หม่นหมองเกินไปแล้ว...
 :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 10-05-2009 21:43:53
รอคอยอยู่เสมอ...
แวะเวียนมาให้ไม่เงียบเหงา

เป็นกำลังใจให้เจ้าบอยนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 11-05-2009 07:16:54
ชอบนัท - บอย เรื่องนี้น่ารักดี

ชอบมุมมองความรักของบอย ความรักที่ไม่ต้องครอบครอง

แค่ได้ทำอะไรให้กับคนที่รัก แล้วเขามีความสุขก็พอ

ขอบคุณคนโพสและคนแต่งค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: C2U ที่ 11-05-2009 20:06:21
ชอบความรัก ของบอยจัง

ถึงจะเจ็บปวด  แต่งดงาม   :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 17-05-2009 00:58:30
เป็นห่วงเจ้าบอย
เลยแวะมาคับ

อยากรู้จังนัทมันจะเคยรู้ถึงความรู้สึกของบอยมั่งมั๊ยนะ???
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 22-06-2009 01:19:21
แหะๆๆ
ขออนุญาตขุดกระทู้ค่ะ
เผื่อคุณราชบุตรจะแว๊บๆมาเห็น
แล้วเห็นใจคนรอมั่ง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 22-06-2009 07:00:17
อยากอ่านต่ออ่ะ

เรื่องราวเป็นไงต่อไปอีก

มารอๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 24-06-2009 12:13:50
อ่า... อ่านแล้วคุ้นตัวละคร นัท กับ เมย์ มากๆเลย 2 คนนี้มีตัวตนจริงๆด้วยนี่นา...
นัท วิดวะเครื่องกล กับ เมย์ วิดวะคอมพ์ อะ ใช่ป่าวครับ (อิงจากพูดถึงนามสกุลนัท และจังหวัดของนัทกับเมย์) คู่นี้รักกันน่ารักมากๆเลยนะ ในชมรมมีแต่คนอิจฉา


ปล. แฟนเก่าผม ปลื้มนัทมากๆเลยอะ เคือง  :m16:
ปล2. นัท เปรี้ยวมากนะเนี่ย เพิ่งเข้าเรียน บอกเกียร์ 28 พี่เค้ายังไม่รับเป็นเกียร์เลยนา...
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 25-06-2009 15:58:36
 :z3:

นัทกับบอย

มันแค่เอื้อมจริงๆ

ภาษา นะ ภาษา

ทำเอาเราคนอ่าน

หลงตะเลิดเปิดเปิง

ไปใหนต่อใหนแล้วเนี่ย

เมื่อไรมาต่อคร้าบบบบ

คุณราชบุตร
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แค่เอื้อม . . . (ฉบับสมบูรณ์ที่สุด)
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 28-06-2009 23:12:55


ตอนที่  ๔  (ต่อ)


อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่อยู่ตีนดอยสุเทพ ตั้งอยู่ในบริเวณสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ภาคเหนือ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หรือที่เรียกกันติดปากว่าบริเวณอ่างเกษตร หากมาทางเส้น ถ.สุเทพ (หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ให้ตรงมาเรื่อยๆ จะเจอกับเนินสูงก็ให้ตรงขึ้นมา เลี้ยวโค้งทางซ้ายเสร็จแล้วตรงมา ให้เลี้ยวขึ้นไปบนเนินสูงทางขวามืออีกครั้ง ก็จะเจอห้องอาหารกาแล  แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะเจออ่างเกษตร

   เสียงดนตรีพื้นเมืองดังถนัดขึ้นเมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในบริเวณงาน  บนท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวไปด้วยโคมลอย  นับร้อย ๆ  ดวง  หนุ่มสาวมากหน้าหลายตาล้วนสนุกสนานกับประเพณีที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่

   ปลายตุลาคม . . .   

ช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศกำลังดี  เพราะต้นไม้แถวตีนดอยเพิ่งได้รับฝนอย่างเต็มที่  ต่างออกใบเขียวขจี  อีกไม่นานเมื่อถึงธันวาคม  ต้นไม่เมืองเหนือจะแข่งกันผลิดอกอวดสีสันต่อสายตาผู้คนอีกครา

   นัทมันเอาโคมลอยที่มีลักษณะกลม ๆ  ก้านด้านล่างทำด้วยไม้ไผ่  ห่อด้วยกระดาษว่าวจนเป็นรูปทรงกระบอก  ความบางของกระดาษทำให้สามารถพับเก็บได้  ส่วนตัวเชื้อเพลิงนั้นทำจากกระดาษชำระที่ตัดมาทั้งก้อน ชุบด้วยน้ำมันและขี้ผึ้งเพื่อให้มันแข็งตัวและไหม้ไฟช้าขึ้น    ทั้งหมดช่วยกันผูกก้อนเชื้อเพลิงที่ด้านตรงกลางของโคมเพื่อให้มันได้สมดุล  แล้วโคมจะลอยขึ้นสวย 

   “บอยผูกดี ๆ  หน่อยสิ  เดี๋ยวลอยโย้ไปเย้มานะ”  เมย์บอก  พางดึงกระดาษให้กลายเป็นรูปทรงกระบอก

   “ผูกดีแล้ว  แน่นแล้วด้วย  เอาเลยนัทจุดเลย”  บอยบอก

   นัทเอาไฟจุดที่ก้อนเชื้อเพลิง  ควันสีดำพวยพุ่งเป็นทาง  เข้าไปดันในกระดาษว่าวทรงกระบอกที่เมย์ถือไว้

   “เมย์ดึงสูง ๆ  ดิ  เดี๋ยวไฟไหม้โคม”  นัทร้องบอก  เมื่อแรงลมโหมไฟแรงขึ้น

   “เริ่มเต็มแล้วเมย์  จับขอบไม้ที่โคมไว้”  นัทร้องบอก  เมื่อควันไฟ  เข้าๆไปดันให้โคมนั้นกลายเป็นโคมที่พร้อมจะล่องลอยไปในอากาศ

   “แปลกจังมันลอยได้ไงนี่”  เมย์ทำหน้าแปลกใจ  เมื่อกระดาษจากโคมลอยค่อย ๆ  ตึงขึ้น

   “คิดตามหลักวิทยาศาสตร์ไงเมย์  ก๊าซที่เกิดจากการเผาไห้มวลต่ำกว่าอ๊อกซิเย่น  มันจะลอยขึ้นสู่ที่สูง  แต่มันมีโคมกระดาษมาดักเอาไว้  แล้วถ้าดักจนเต็ม  และยังมีมวลก๊าซอยู่เรื่อย ๆ  มันก็จะทำให้โคมลอยได้เหมือนบอลลูนไง”  บอยอธิบายฉาดฉาน

   ก็มันเด็กวิดยานี่นา  แล้วเรื่องพวกนี้ก็เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แล้วด้วย

   คนล้านนาเก่ง  สามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์มาปรับใช้กับภูมิปัญญาชาวบ้าน  จนออกมาเป็นงานประเพณีที่หาดูได้ยาก  โคมเริ่มตึง  ลมพัดโคมไหวไปมา  แต่มือของทั้งสามยังยึดติดกันอยู่  โคมเลยยังไม่สามารถลอยได้อย่างอิสระ

   “เอาละนะ  คราวนี้หลับตาแล้วอธิษฐานนะ  คนโบราณเชื่อว่าการลอยโคมคือการลอยทุกข์ลอยโศก  ใครที่มีทุกข์โศกลอยมันไปให้หมดนะ  อย่าเก็บมันมาจนต้องเสียน้ำตาอีกล่ะ”  นัทบอก  แต่สายตามองมาที่บอย

   บอยมันอ่านสายตานัทออก  นัทจงใจจะบอกมันแหละ  ในสายตาของนัท  มันเห็นแหละ  มีความรู้สึกเป็นเพื่อนให้มันเสมอ  มันละอายใจจังเลยที่กลับไปคิดกับนัทแบบนี้

   เสียงประทัด  และลูกโยนดังกันระงมไปหมด  บอยมันหลับตานิ่ง  มันขอ  มันขอให้อะไรก็ได้ในที่นี้  ช่วยมัน  ช่วยให้มันเดินกลับมาที่เส้น  “เพื่อน”  มันไม่อยากทรมานกับการรัก   แม้มันเต็มใจที่จะรัก  แต่มันรู้รักของมันผิด  มันผิดธรรมชาติ  มันไม่ใช่แนวทางที่ควรจะเป็น

   ไม่มีใครผิดที่จะรัก  และผิดที่เป็นคนถูกรัก  แต่มันผิด  ถ้าไม่รู้จักแยกแยะความรักนั้น

   บอยมันไม่อยากผิดหรอก  มันเฝ้าบอกหัวใจตลอดมาแหละ  หัวใจของมันที่มันเก็บมันซ่อนเอาไว้มานาน  นานตั้งแต่วันแรกที่มันเจอกับนัทด้วยซ้ำ  มันไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง  แต่มันก็ถอยหลังเสมอเมื่อมันรู้ว่ามันเดินล้ำเส้นหัวใจของความเป็นเพื่อน  ใครเลยอยากสูญเสียเพื่อนดี ๆ  ไป

   เพื่อนที่ดีไม่ได้หากันง่าย ๆ เหมือนหาซื้อปลาทูในตลาดนะ

   มิตรภาพมันต้องใช้เวลา  และใจ  สร้างมันขึ้นมา

   “ปล่อยแล้วน๊า”  นัทบอกพลางค่อย ๆ  ปล่อยมือจากที่เกาะกุมโครงโคม 

   เมย์กับบอยก็ปล่อยพร้อม ๆ  กับนัท

   โคมลอยสีขาวค่อย ๆ  ลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ  ท่ามกลางแสงจัทร์นวลของเดินสิบสอง พลุดวงใหญ่หลากหลายสีถูกจุดขึ้นเรื่อย ๆ  นัทมันแหงนมองดูโคมที่ลอยไปในอากาศ เหมือนหัวใจของมันหลุดลอยไปตามโคม  ถ้ามันลอยความรู้สึกที่เกินเลยกับนัทได้ก็ดีสินะ  มันคงไม่ต้องทนเก็บความรู้สึกส่วนนั้นเอาไว้  มันอาจจะมองนัทได้เต็มตากว่านี้  หรือมันอาจเดินกอดคอนัทเล่นได้เหมือนเพื่อนสนิทคนนึ่ง  โดยที่มันไม่รู้สึกตะขิดตะขวงหัวใจเหมือนในตอนนี้
   


   ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว  บอยมันเดินกอดอกตัวเอง  ข้าง ๆ  มันมีนัทเดินมาด้วยกัน  มันเพิ่งกลับจากการส่งเมย์กลับเข้าหอ  ถนนในมหาวิทยาลัยเริ่มเงียบ  เพราะดึกมากแล้ว  แสงไฟจากโคมถนนส่องสว่างเป็นระยะ  ลมหนาวกระทบผิวจนบอยมันรู้สึกได้ 

   “ดีขึ้นยัง”  นัทเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ

   บอยยิ้ม  ก่อนหันไปมองคนที่เดิน  เคียงใกล้  “อะไรว่ะ”

   “ก็มึงไง  อาการดีขึ้นยัง”  นัทหันมามอง

   บอยมันยิ้ม  มันอดดีใจไม่ได้  นัทมันห่วง  แม้จะแตกต่างอย่างคนละความรู้สึกที่บอยอยากได้ก็เหอะ  แต่สิ่งที่นัทมีให้มันมีค่ามากกว่าสิ่งที่บอยอยากจะได้ด้วยซ้ำไป

   บอยมันลืมคิด  “เพื่อน”  มันยิ่งใหญ่  กว่า  “คนรัก”

   เพราะจะนาน สิบปี  ยี่สิบปี  หรือตายจาก  เพื่อนก็ยังเป็นเพื่อน

   แต่

   คนรักอาจจะคลายกันไปตามกาลเวลา  เมื่อใดที่เลิกรักจะยังมองหน้ากันได้อีกหรือปล่าวยังไม่มีใครสามารถตอบได้  แต่เพื่อนนั้นมันคงอยู่  และยังอยู่ในหัวใจตลอดไป   

   “เป็นไร  ไม่ได้เป็นไรนี่”  บอยมันทำหน้าตาย

   “ไอ้ห่าบอย  ไอ้เวรนี่  ทีเมื่อค่ำเล่นไปทำมิวสิคบนดาดฟ้า  ทีตอนนี้มาบอกไม่เป็นไรถุยขอแตะทีเหอะมึง”  นัทกวาดเท้ามาที่ก้นบอย 

   แต่ช้ากว่าบอย  มันหลบส้นเท้านัทได้อย่างเฉียดฉิว  แล้วยังหันมาทำหน้าเยาะเย้ยอีก  “เอาดิ  แตะให้โดนดิมึง”  บอยมันทำหน้าล้อเลียนอีก  ก่อนวิ่งหนีนัทที่ไล่แตะมันไปตลอดทาง

   ถ้าบอยมันหยุดมองสักนิดอย่างตั้งใจแล้วล่ะก็ มันจะรู้เองแหละว่านั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง  ความสุขที่มันสามารถเล่นสนุกกับเพื่อนได้  ภาพที่มันวิ่งไล่แตะกันบนถนนสายเล็ก ๆ  ในคืนเดือนสิบสอง  ในคืนของหนาวแรก  มันมีความสุขขนาดไหน  มันคือความสุขแท้ ๆ  ของเพื่อนพึงกระทำต่อเพื่อน



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 28-06-2009 23:49:42

ตอนที่ ๕


   แสงแดดยามเย็นสอดส่องทิวเขาเบื้องหน้า  และเห็นทิวเขาหลังมหาวิทยาลัยที่สลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา    มองเห็นยอดเขาลูกแล้วลูกเล่า  บางลูกสูงแทบเทียมเมฆที่ลอยต่ำ  แมกไม้บางต้นเริ่มเปลี่ยนสี  กุมภาพันธ์ไม้เริ่มเปลี่ยนใบ  ยอดไม้ที่ยังคงมีสีเขียวปลิวไหวลู่ลมอ่อนช้อยราวคลื่นทะเลสีมรกตระลอกแล้วระลอกเล่า  ไล่ล้อเล่นใบกันอย่างสนุกสนาน  และด้วยอาการล้อไหวของยอดไม้  นกหลายสิบตัวที่แอบซ่อนตัวตามยอดไม้  พากันตื่นตระหนกโผบินออกมาทั้งฝูงขึ้นสู่ท้องฟ้าสีสดใสของยามเย็น  เมฆขาวก้อนน้อย ๆ  ลอยต่ำแต้มอยู่ตรงโน้นนิดตรงนี้หน่อย  ปลิวละล่องอย่างช้า ๆ  ท่ามกลางฟ้ากว้าง


   ดูเหมือนความงามของธรรมชาติ มันจะไม่เข้าไปซึมซับในหัวใจของบอยได้เลย แม้แต่น้อย  บนดาดฟ้าของหอพักที่บอยมันยึดเอาเป็นโลกของมันกับเก้าอี้ม้าหินตัวเดิมที่มีหนังสือกองอยู่มากมาย   

   บอยมันยังคงนั่งนิ่ง . . . 

   . . . หน้ามุ่ย  หัวคิ้วขมวดมุ่น  และเม้มริมฝีปากแน่น

   เสียงเพลงจากวิทยุจากห้องด้านล่างลอยมาตามลม  แต่มันไม่ได้เข้าในหูบอยแม้แต่น้อย  มองมันไม่นึกถึงตำราที่กองอยู่ด้วยซ้ำ  ที่มันพาลกลับนึกไปถึงการประชุมเมื่อเที่ยง  ที่ชมรมค่ายอาสาพัฒนาจะไปออกค่ายอาสากันที่บ้านแม่นะ  อ.เชียงดาว การออกค่ายครั้งนี้จะออกหลังจากสอบปลายภาคเสร็จ  กำหนดการ ๓๐ วัน  บอยมันเป็นตัวแทนของชมรมค่ายอาสา  ที่ปีนี้  มีการประสานงานไปยังชมรมอื่น ๆ  เพื่อจะไปช่วยกันสร้างห้องสมุดให้นักเรียนที่นั่น  และสอนหนังสือให้กับเด็กชาวเขาที่นั่นด้วย

   บอยยังจำได้ดี . . . 

   ตัวแทนชมรมวิชาการที่เข้ามาร่วมประชุมออกค่ายครั้งนี้ด้วย  นัทนั่นแหละที่เสนอเรื่องที่จะต้องช่วยเหลือกันโดยให้แยกไปทำงานต่าง ๆ  ที่ประชุมมีโครงการต่าง ๆ  มากมายที่จะเสนอ  สำหรับเวลาอันน้อยนิดที่ลำพังนักศึกษาอย่างพวกเขาจะพอช่วยกันได้

   บอยมันยังจำได้แม่น . . . 

   ตอนที่นัทลุกขึ้นเสนอเรื่องที่ควรจะทำและดำเนินการ  ทุกคนในห้องล้วนเงียบกริบ  ฟังนัทอธิบายถึงโครงการเร่งด่วนที่ควรทำควบคู่ไปกับห้องสมุดของโรงเรียน

   “ผมคิดว่า  เราน่านำทฤษฏีเศรษฐกิจแบบพอเพียงกับการเกษตรทฤษฏีใหม่ของในหลวงมาปรับใช้ที่นี่  เพราะตอนนี้เราโดนพิษเศรษฐกิจเล่นงานประเทศต้องไปกู้ IMF  เศรษฐกิจปลายน้ำพังพินาศ  ธุรกิจต่าง ๆ  ล่ม  บริษัทล้ม  โรงงานหลายแห่งทยอยปิด  ไม่มีงาน  ไม่มีเงินเดือน  ชาวบ้านหลายคนต้องกลับมาบ้าน  เราน่าจะมีโครงการองรับพวกเขาเหล่านั้น  จะทำอย่างไรให้เขาเหล่านั้นมีแรงที่จะต่อสู้กับปัญหาที่พวกเขาเจอมา  ซึ่งมันออกจะยากอยู่สักหน่อยเพราะเขาเหล่านั้นชาชินกับการใช้ชีวิตแบบมนุษย์เงินเดือน  การที่เขาต้องมาเริ่มทำเกษตรซึ่งเขาเหล่านั้นอาจเป็นลูกหลานของคนที่นั่นก็จริงอยู่แต่มันไม่ชิน   เราต้อง ค่อย ๆ  ช่วยกันให้เขาเหล่านั้นกลับมาลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง  อีกอย่างเรามีคณะเกษตรที่มีการทดลองทำฟาร์มเห็ดอยู่แล้ว  เราแค่ขอความร่วมมือไปกับทางคณะ  ขอให้คนไปสอนการเพาะเห็ด  ซึ่งอุปกรณ์ในการเตรียม  เราก็ประยุกต์ใช้เอาจากวัสดุในพื้นที่  ซึ่งทางพวกวิศวะเองก็เต็มใจกับงานนี้”

   ที่ประชุมต่างนั่งนิ่งฟังนัทอธิบายโครงการนี้ไม่เหมาะสำหรับ ๓๐ วัน แน่ ๆ   

   แต่ . . .

   ทุกคนในที่ประชุมเห็นด้วย  และเสนอว่า  หลังจากกลับมาแล้วจะยังคงมีคนคอยประสานงานที่นั่นต่อเพื่อจะทำเป็นโครงการนำร่อง สำหรับการออกค่ายอาสาพัฒนาแบบยั่งยืนต่อไป  โดยจะทำโครงการนี้และดูผลระยะยาว  ว่าสิ่งที่ในหลวงวางรากฐานเอาไว้นั้น  มันใช่แนวทางที่ประชาชนของพระองค์ท่านจะดำเนินตามรอยหรือไม่

   “อีกอย่าง  ทางเราขอประสานงานไปกับเทคโนตีนดอย  อยากได้เด็กช่างไปช่วยด้วย  สิ่งที่สำคัญคือ  ทางโน้นเขามีโครงการที่จะช่วยสร้างฝายแม้วอยู่แล้ว  เพราะที่แม่นะสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบ  เวลาฝนตกน้ำจะไหลแรงมาก  พอหน้าร้อนน้ำในลำห้วยก็จะลดลง  จนเหลือน้อยมาก  ฝายแม้วที่ทางการก็เก่ามากแล้ว  เห็นทางตีนดอยบอกว่า  ไปสำรวจมาแล้วจะสร้างเพิ่มเป็นระยะ  ห่างกันราว ๕๐๐ เมตร  สักสามถึงสี่ฝาย  ผมว่างานนี้เราคงต้องประสานงานกันให้ดี  เพราถ้าเราทำสำเร็จนั่นหมายถึงชีวิตคนอีกมาก  ที่จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้”

   ที่ประชุมสรุปกันว่า  ในการประชุมครั้งหน้าอีกสามวันจะมาลงความเห็นกันว่า  ข้อเสนอของชมรมต่าง ๆ  ที่มารวมกันออกค่ายอาสาในครั้งนี้  จะทำอะไรเพิ่มเติมนอกจากภารกิจหลักคือ  การสร้างห้องสมุดให้กับนักเรียนที่บ้านแม่นะ

   บอยใช้ปลายนิ้วบีบที่ขมับเบา ๆ   

   มันปวดหัวจิ้ดมาตั้งแต่ตอนบ่าย  มันไม่รู้เหมือนกัน  ทำไมภาพที่นัทลุกขึ้นเสนอที่กลางวงประชุม  คอยตามติดอยู่ในใจของมันมาเรื่อย ๆ  ภาพที่นัทลุกขึ้นอธิบายอย่างฉาดฉานยังคงฝังอยู่ในหัวของบอยยากที่จะสลัดมันทิ้งง่าย ๆ

   “นึกแล้วเชียวว่าต้องมาอยู่บนนี้”

   นั่นไงแค่บอยมันนึกถึงคนนั้น  เสียงเจ้าตัวก็ตามหลอกหลอนมันอีกจนได้  มันเงยหน้ามอง  นัทเดินเข้ามาใกล้ ๆ  มัน    แล้วนั่งที่ม้าหิน

   “เป็นไรว่ะหน้าเครียดเชียว  อ่านหนังสือสอบไม่ทันเหรอ”  นัทมันหยิบกองหนังสือที่บอยมันขนมากองอยู่พลิกไปมา

   มันยังไม่ได้อ่านสักวิชาเลย . . . 

   . . . แล้วแบบนี้จะเรียกว่าอ่านไม่ทันหรือปล่าวหว่า 

   ไม่รู้สิ . . . 

   ตอนนี้สมองมันไม่แล่น  มันคล้าย ๆ  ตื้อไปหมด  ที่ผ่านมาบอยมันจะมีสมาธิกับการอ่านหนังสือ  แต่ครั้งนี้มันบอกไม่ถูก  มันตอบตัวเองไม่ได้เช่นกันว่าทำไม

   “ยังไม่ได้อ่านเลยว่ะ  ไม่รู้สิ  ไม่เข้าหัวเลย  แล้วนัทอ่านจบแล้วเหรอ”

   “โอ้ย  ของเรานะอ่านคืนนี้พรุ่งนี้สอบทันถมเถไป”  มันตอบอย่างมั่นใจในตัวเอง

   “ถ้าเป็นบอยก็คงกินแต่เอฟแน่แบบนั้น . . .”   มันหัวเราะเบา ๆ 

   “. . . เออ  ว่าแต่เมื่อตอนประชุมนะ  ทำไมชมรมวิชาการถึงได้เสนอเรื่องนั้นเข้าไปล่ะ”  บอยหันมาถามในสิ่งที่ยังติดคาหัวใจอยู่

   นัทมันนิ่ง  มันขยับแว่นเล็กน้อย

   “ก็เราลองมาคิดเล่น ๆ  นะบอย”  ไอ้คนต้นคิดท่าทางจริงจังเมื่อคุยถึงเรื่องนี้

   “. . . ชาวบ้าน  เขาไม่มีเวลามาลองผิดลองถูกแบบการทดลองในห้องแลปหรอก  แล้วตอนนี้พวกแรงงานที่ไปทำงานตามกรุงเทพฯ  ก็กลับมาบ้านกันเรื่อย ๆ  เพราะบริษัทต่างทยอยปิดเพราะพิษค่าเงินทำให้โรงงานเจ๊งกันเป็นแถว  แล้วทีนี้พวกที่กลับมานี่ส่วนมากเป็นลูกหลานคนในท้องถิ่น  ซึ่งแน่นอนพวกเขาเหล่านั้นเหมือนพวกเรานี่ไง  ที่ละถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อมาเรียนต่อ  แล้วหางานทำ  เป็นมนุษย์เงินเดือน  เข้าใจมั้ย”

   บอยมันพยักหน้ารับ 

   “แล้วไงต่อ”

   “ก็พอพวกเขาไม่มีงาน  ไม่มีเงินเดือน  เขาก็ต้องกลับมาอยู่บ้าน  แล้วที่บ้านเราน่ะมันมีงานตรงที่เขาเรียนมาหรือ . . .”

   บอยส่ายหน้า

   “. . . ถูกต้อง ก็มันไม่มีงานที่คนส่วนมากเรียนจบมา” 

   “เรายังเรียนอยู่  ไม่จบเลย  เขาจบกันหมดแล้ว  เราจะช่วยอะไรได้”  บอยมันนิ่ง  เพราะ  คนที่จบมาสูงกว่าจะเชื่อคนที่กำลังเรียนได้หรือ

   สังคมเรา  ไม่เคยเปิดโอกาสให้คนที่เรียนน้อยกว่าอยู่แล้ว

   “มันต้องลองดูว่ะบอย”

   “แต่มันยากว่ะ  โครงการนี้มันหมายถึงปากท้องของคนนะนัท”

   “ยากสิดี  ถ้าเราทำได้แปลว่าเราเจ๋งเหมือนที่เราบอกไง  ชีวิตคนจริง ๆ  ไม่ใช่การทดลอง”  เจ้าตัวยิ้มมั่นใจ

   “จะทำไงว่ะ”

   “ก็ทางเดียวที่จะต้องช่วย ๆ  กันคนละไม้คนละมือตอนนี้ก็คือ เราต้องให้เขามีกินก่อน  ถ้าเขาไม่เริ่มทำอะไรเขาจะมีกินมั้ย  ก็ไม่มี  แล้วบ้านเรานะมันเป็นสังคมกสิกรรมไม่ใช่สังคมอุตสาหกรรม  เราต้องทำการเกษตรแผนใหม่ตามโครงการของในหลวง  สร้างชุมชนให้เข้มแข็งขึ้นมาก่อน  ให้เขารู้จักเรียนรู้อาชีพดั้งเดิมของบรรพบุรุษ”

   บอยมันฟังนิ่ง . . .

   มันทึ่ง  มันอึ้งกับสิ่งที่นัทพูดมา 

   มันคิดตามแหละ  ถูกต้องบ้านเราเป็นสังคมเกษตรกรรม ไม่ใช่สังคมอุตสาหกรรมหรือสังคมทุนนิยมแบบที่นายกมาดนักซิ่งจากโคราชวางรากฐานเอาไว้

   “สิ่งที่เราต้องทำมากที่สุดในตอนนี้นะบอย . . .”  นัทยิ้มอีกรอบ

   หัวใจบอยมันชุ่ม  ราวต้นไม้เจอฝนแรกกับรอยยิ้ม

   “. . . คือการเพิ่มรายได้  และลดรายจ่ายของครอบครัวก่อน  แน่นอนว่ารายได้ของชาวบ้านมันไม่สูงอยู่แล้ว  แล้วลูกหลานที่กลับมาอีกเล่า  เขาเคยชินกับความสะดวกสบายในเมือง  การที่จะให้เขาต้องมาปรับตัวเพื่อใช้ชีวิตอีกแบบ  เขาคงยังไม่ชิน  นี่แหละคือปัญหาที่ชมรมวิชาการมอง  ไม่ใช่แค่ว่าเราไปสร้างห้องสมุดแล้วจบ  นั่นมันแค่การเข้าไปมีส่วนร่วมในสังคมส่วนหนึ่ง  แต่ที่ชมรมวิชาการอยากจะทำคือการเข้าไปช่วยให้เขามีหนทางที่ดีขึ้นต่างหาก”

   “อ้าว  แล้วถ้าเกิดเราไปส่งเสริมให้เขาปลูกผัก  ทำไร่แบบทฤษฏีใหม่แล้ว  คราวนี้เมื่อทุกคนหันมาทำแบบที่นัทบอก  สินค้าที่ผลิตออกมาล้นตลาด  ดีมานด์ไม่สัมพันธ์กับซัพพลายอีก  มันจะก่อเกิดปัญหาตามมาอีกนะนัท”

   บอยมันตั้งคำถามขึ้นมา  คำถามที่เพิ่งผุดมาจากหัวของมัน 

   นัทยิ้ม . . .   

   มันรู้ดี  ว่าคำถามแบบนี้จะต้องตามออกมาอีกแน่  และยังมีคำถามอื่นที่คนไม่เข้าใจอีกมากมายที่อยากจะรู้  แต่นัทมันไม่ห่วงหรอก  มันเป็นตัวแทนของชมรมวิชาการ  มันรู้ดี  รู้จักดีถึงความเป็นอยู่ของผู้คน

   คำว่า . . .

   . . . ชาวบ้าน

    ถ้าเขียนเป็นตัวอักษรมันก็แค่ตัวหนังสือไม่กี่ตัวบนกระดาษ ตัวหนังสือ  ที่เป็นตัวประกันได้อย่างดี  ในระบบการเสนอโครงการขอรับความช่วยเหลือจากข้าราชการ  ที่ต้องการงบประมาณเบิกจ่าย

   แต่  ที่นัทมันต้องการคือ  วิถีชาวบ้านจริง ๆ

   “ข้อนั้นเราเตรียมไว้หลายทางออกนะบอย . . .”

   “ยังไง”

   “. . .  บอยต้องรู้ไว้อย่างนึงว่า  บ้านเรานี่จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับต้น ๆ  ของประเทศ  และมีนักท่องเที่ยวแทบทั้งปี  เราจะส่งเสริมให้ชาวบ้านทำเกษตรไร้สารพิษตามทฤษฏีใหม่ แล้วอย่าลืมอีกนะว่าที่มหาวิทยาลัยของเราก็มีคณะที่จะแปรรูปสินค้าเกษตรกรรมด้วย  อีกอย่าง  เราอาจขอความช่วยเหลือจากมูลนิธิโครงการหลวงได้อีกทาง  แต่ทุกอย่างมันต้องเป็นไปอย่างช้า ๆ  เราไม่สามารถทำโครงการนี้ได้ใน ๓๐ วันหรอก  ไอ้ ๓๐ วันที่เขียนในการเสนอนะมันแค่แผ่นกระดาษ  แต่ความจริงแล้วเราต้องใช้เวลา  บางทีอาจตลอดชีวิตเราก็ยังต้องทำเลย”

   อันที่จริงสิ่งที่นัทมันพูดมาก็ถูกต้อง . .   

   การจะทำอะไรสักอย่างมันต้องค่อยเป็นค่อยไป  ชีวิตชาวบ้านนะไม่มีการทดลองซ้ำแบบในห้องแลปหรอก  ถ้าพลาดมันหมายถึงรายได้ที่เสียไป  เวลาที่ทุ่มเทลงไป  บอยมันปวดหัวจื้ดขึ้นมาอีก  ดูเหมือนว่าเมื่ออายุมันมากขึ้น  ความรับผิดชอบมันก็ค่อย ๆ  มากตามขึ้นเป็นเงาตามตัว

   บอยมันเริ่มมองโลกกว้างใบนี้ใหม่ . . . 

   มันเริ่มมองในมุมที่นัทมอง มันมองนัทอย่างชื่นชม  มันเริ่มลบภาพนัท  ที่มันเห็นเป็นเด็กหนุ่มร่าเริงเมื่อตอนแรก ๆ  ที่มันรู้จัก  วันนี้นัทโตขึ้นมาก  ทั้งความคิดดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว  แววตามีความมุ่งมั่น  ท่าทางมั่นอกมั่นใจ  ดวงตารีคู่นั้นฉายแววฉลาดเฉลียวและสนใจกับปัญหาของผู้อื่น 

   บอยยิ้มกว้างกับชายหนุ่มที่นั่งประจันหน้ากัน



   ตำบลแม่นะ มีฐานเป็นตำบลหนึ่งใน อ.เชียงดาว ตำบลแม่นะ เป็นตำบลที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอเชียงดาว มีจำนวนหมู่บ้านทั้งสิ้น ๑๓ หมู่บ้าน  ต.แม่นะเป็นพื้นที่ราบลุ่มหุบเขาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมีจำนวนหมู่บ้าน ๙ หมู่บ้านที่อยู่บริเวณหุบเขา ล้อมรอบด้วยภูเขา และป่าไม้ตามธรรมชาติ ระยะทางห่างจาก อ.เชียงดาวประมาณสิบกว่ากิโลเมตร ส่วนอีก ๔  หมู่บ้าน อยู่ห่างจาก อบต.แม่นะไปอีก ราวยี่สิบกิโลเมตร การเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถจักรยานยนต์ ตั้งอยู่บริเวณบนภูเขาที่มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติไหลผ่าน ระยะทางห่างจาก อ.เชียงดาว ประมาณ ยี่สิบกิโล ปัจจุบันประชากร ต.แม่นะ ประกอบด้วยชนหลายเผ่า และมาจากหลายแห่ง เพราะ ต.แม่นะเป็นตำบลที่เขตติดต่อกับพื้นที่อื่น ๆ หลายแห่ง เช่น ติดเขตพื้นที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ และตำบลต่าง ๆ ใน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ประกอบด้วยชนเผ่าไทยใหญ่ ลีซอ มูเซอ กะเหรี่ยง และคนพื้นเมือง เป็นต้น

   บอยล้ากับงานที่ทำกันมาทั้งวัน . . . 

   วันแรกของการมาถึง  มันยืนตะลึงกับที่ราบเล็ก ๆ  ที่รายล้อมด้วยหุบเขาของบ้านแม่นะ    สิ่งที่อยู่รอบตัวมันคือป่าไม้แทบทั้งนั้น   บอยมันมองภาพชาวบ้านที่มาช่วยนักศึกษาปรับพื้นที่เล็ก ๆ  ในเขตโรงเรียนเพื่อจะสร้างห้องสมุดให้นักเรียนที่นี่  เหงื่อมันโทรมกาย  แต่มันไม่เหนื่อย  เพราะยามใดที่มันท้อ  มันจะหันไปมองคนที่ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยมิปริปากบ่น  ที่อยู่ใกล้ ๆ  กัน  แค่นั้นบอยมันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งแล้วล่ะ

   แรงผลักดันในหัวใจมันมีมากกว่าความเหน็ดเหนื่อยเสียด้วยซ้ำ

   “เหนื่อยมั้ยว่ะ”  น้ำเสียงที่เข้ามาทักทายเหมือนน้ำทิพย์ที่ริดโชลมหลั่งรดหัวใจอันแห้งเหี่ยวของมัน

   บอยมันยิ้มตามเคย . . . 

   มันส่ายหน้าแทนคำตอบ  พลางเก็บอุปกรณ์เอาไว้เข้าที่  แล้วเดินลงไปล้างมือในลำห้วยใกล้ ๆ  น้ำเย็นเฉียบสมกับที่ไหลมาจากบนผืนป่าใหญ่  นัทมันลงมาล้างใกล้ ๆ  งานวันนี้ของพวกผู้ชายหมดลงแล้ว  พรุ่งนี้พวกเขาจะมีงานใหม่เริ่มต้นขึ้นอีก

   “พวกตีนดอยสร้างฝายกันอยู่ข้างบน  มีเด็กก่อสร้างมาช่วย  เลยดีหน่อยอย่างน้อยฝายที่พวกนั้นสร้าง คงช่วยบรรเทาความแห้งแล้งในยามหน้าร้อนได้บ้าง  แล้วเดี๋ยวอาคารห้องสมุดเสร็จ  เด็กตีนดอยอาสามาติดตั้งระบบไฟฟ้าให้  เห็นลุงกำนันบอกว่าอีกสองวันจะจัดงานผูกขวัญนักศึกษาที่มาช่วยกัน”  นัทมันเล่า  แต่กมหน้ากวักน้ำที่ไหลแทบติดท้องห้วย

   หน้าร้อนเดือนมีนาคม . . . 

   แม้จะอยู่เขตต้นน้ำ  แต่ที่แม่นะยังขาดแคลนน้ำอยู่ดี  พื้นที่ชันทำให้น้ำไหลลงที่ราบเร็วกว่าปกติ 

   “ก็บ้านเราคนตัดไม้กันเยอะนี่  แถมยังไปตัดที่แหล่งต้นน้ำอีก  เฮ้ย”  บอยมันถอนหายใจเฮือกใหญ่

   นัทมันยิ้ม . . .

   อย่างน้อยเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ  มันยังสนใจที่จะอนุรักษ์เป็นอย่างดี  นัทมันจำแม่น  วันที่ประชุมลงมติ  มันเห็นบอยเดินล้อบบี้คนโน้นที คนนี้ทีกับข้อเสนอของชมรมวิชาการที่นอกจากงานสร้างอาคารห้องสมุดแล้ว ยังมีโครงการนำความรู้ทฤษฏีใหม่ของในหลวงเข้ามาปรับใช้กับชีวิตของชาวบ้านที่นี่ด้วย 

   จนในที่สุด . . . ที่ประชุมยอมรับคำเสนอของชมรมวิชาการ

   แต่สิ่งนึงที่บอยไม่รู้ . . . 

   คือ . . . ความคิดนี้เกิดจากนัท

   พ่อของนัทเป็นข้าราชการ  บ้านนัทรับราชการมาตั้งแต่สมัยปู่ของปู่  ที่พร่ำสอนให้นัทมสำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน นัทเติบโตมากับความซื่อสัตย์  ความชัดเจน  ตรงแน่วยิ่งกว่าไม้บรรทัดของผู้เป็นพ่อที่ตลอดระยะเวลาในการรับราชการ  พ่อของนัทได้ชื่อว่าเป็นคนมือสะอาดไม่มีนอกมีในกับใคร  ไม่อยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองคนใดเสียด้วย

   ความดีทั้งหมดถ่ายทอดมาสู่นัททางสายเลือดของผู้เป็นพ่อ . . .

   . . . นัท คือ ลูกไม้ใต้ต้น

   บอยมันเดินตามนัทมาเงียบ ๆ 

   อากาศเริ่มเย็นลงทั้ง ๆ  ที่พระอาทิตย์ยังไม่ลาดับลับขอบฟ้า  ที่ราบเล็ก ๆ  ในหุบเขา  ย่อมมีความชื้นจากต้นไม้มากกว่าปกติเป็นธรรมดา  บอยมันเห็น  นัทตรงแน่วไปที่โรงครัว  ที่ทั้งชาวบ้านและนักศึกษาหลายคนต่างช่วยกันคนละไม้คนละมือ  กลิ่นอาหารโชยกรุ่นมาแตะจมูก  นัทยิ้มแผ่เมื่อมองเห็นคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาซอยหอมอยู่

   “อ้าวเมย์  เมย์เป็นอะไรนะ”  นัทมันเห็นอาการแปลกตาของเมย์ชัดเจนขึ้นเมื่อไปถึงที่ตรงนั้น

   “หัวหอมค่ะ  หัวหอม”  จากที่แสบตาในตอนแรกที่เมย์เริ่มสัมผัสกับเจ้าหอมแดง  ขณะนี้เมย์ปวดร้าวที่กระบอกตา  จนไม่อาจฝืนลืมตาได้อีกต่อไป

   นัทมันยิ้มขำ . . .

   กับภาพที่เห็นข้างหน้า อาการของเมย์  มองน้ำตาที่ไหลหยาดเป็นทางบนร่องแก้มสีชมพูระเรื่อ  หลากหลายความคิดที่นัทมองภาพนั้นหลากหลายมากมาย  และหนึ่งในความรู้สึกนั้น  คือนึกอยากจะซับน้ำตาของเมย์ด้วยมือของเขาเอง

   “งั้นพอเถอะ  บอยช่วยเมย์หน่อยได้มั้ย”  นัทหันมาทางบอย

   บอยมันพยักหน้ารับแทนคำตอบ   

   ไม่มีใครรู้ความคิดของบอยในตอนนั้น เพราะบอยเก็บเอาความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้อย่างมิดชิดที่สุด   หรือหากว่า นัทรู้ทันความคิดของบอย  นัทจะคิดที่จะขอให้บอยช่วยอีกมั้ย

   บอยนั่งลงใกล้ ๆ  เมย์  เอามือแตะหลังมือเมย์ที่จับมีดอยู่  แล้วค่อย ๆ  จับมีดที่เมย์ค่อย ๆ  วางลง  เมย์กำลังคิดว่าใครจะช่วยให้เขาหายปวดแสบปวดร้อนกับอาการแพ้หอมแดง  เสียงเหมือนคนนั่งตรงหน้า  แม้พยายามฝืนตามอง  แต่เมย์ปวดกระบอกตาจนแทบลืมตาไม่ขึ้น

   สัมผัสเผ่วเบาที่ปลายนิ้วมือทั้งสองข้าง  บอกให้รู้ว่าเมย์ต้องลุกขึ้น

   “เดินตามนัทมานะเมย์”

   ในความมืดมิดและปวดร้าวที่ดวงตาทั้งสองข้าง . . . 

   . . . สิ่งเดียวที่เมย์รับรู้ 

   สิ่งที่หัวใจของเมย์สัมผัสได้  เมย์รู้สึกถึงสัมผัสเผ่วเบาที่จับจูงอย่างอ่อนโยน  พาเดินช้า ๆ  และหูเมย์ได้ยินน้ำเสียงที่นุ่มบอกทางตลอดเวลา

   “หมุนตัวนิดนึง  แล้วเดินก้าวเท้าออกมาช้า ๆ  นะครับเมย์”

   เมย์ไม่นึกกลัวที่จะสะดุดหรือล้มลงไปเลยแม้แต่น้อย  ความมั่นใจจากปลายนิ้วที่อีกฝ่ายถ่ายทอดออกมาจากปลายนิ้วไหลรี่ตรงมาสู่หัวใจของเมย์อย่งรวดเร็ว

   “ดีมากครับ  ตรงมาเรื่อย ๆ  นะครับ  อย่างนั้นแหละเมย์  ตอนนี้เมย์มีหัวใจนำทาง  ส่วนนัท  นัทจะเป็นดวงตาให้เมย์เองนะครับ” 

   นัทบอก . . . 

   . . .แต่

   นัทมันไม่รู้ 

   มันไม่ได้อยู่กันแค่สองคน  คนนั่งก้มหน้าซอยหอม  ร้าวรวดไปถึงหัวใจ  บอยแค่เหลือบตามองนัทที่จูงเมย์ออกไปอย่างเผ่วเขา  หัวใจของเขาคล้ายตกลงในก้นเหวลึกกับคำพูดเพียงไม่กี่คำที่นัทเอ่ยกับเมย์

     เมย์มีหัวใจนำทาง . . . 

   . . . ส่วนนัท 

   นัทจะเป็นดวงตาให้เมย์เองนะครับ . . .

   บอยมันรวดร้าวเหลือที่จะคณานับ  ความเจ็บแล่นจิ้ดเข้ามาถึงในหัวใจของบอย  แต่มันต้องฝืนกลืนความเจ็บปวดเอาไว้   ก็คนเคยพูดกัน  ดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

   มันรู้ทั้งรู้ว่าสองคนนี้รักกันแต่มันยังอดสงสารตัวเองไม่ได้  บอยก้มหน้าซอยหอม  ทั้ง ๆ  ที่ตาเริ่มพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตา

   “ซ้ายนิดนึงครับเมย์ . . .”

   “. . . น่าน   ดีมาก”

   “แบบนั้นแหละครับ  ยกเท้าสูงนิดนึงครับ”

   จากแตะต้องเพียงปลายนิ้ว . . . 

   นัทรวบกุมมือนุ่มไว้แน่น  กระชับในอุ้งมือใหญ่ของนัท  นิ่งนาน เมย์ได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรง

   เป็นเสียงหัวใจของเมย์เองหรือเสียงหัวใจของนัท  เมย์เองก็ยากที่จะคาดเดา

   “รู้ไหม  ใจเมย์นำทางนัทมาตลอดเลยนะเมย์”  นัทเอ่ยเสียงนุ่มก่อนจะจับมือเมย์ไปวางไว้ที่ก้อกน้ำ  ที่ต่อลงมาจากภูเขา

   บอยมันหมดแรงที่จะต่อสู้กับหัวใจตัวเอง . . . 

   . . . มันปล่อยให้น้ำตาไหลพรากลงเป็นทางยาว  มันหมดเรี่ยวแรง  แม้บอยมันจะทำใจมาก่อนหน้าแล้วว่าระหว่างมันกับนัท  มันแค่พวกหลงรูปจูบเงาเท่านั้น  แต่คำพูดและกิริยาที่นัทแสดงออกต่อเมย์  บอยกลับรู้สึกปวดร้าวอย่างที่บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม

   บอยซอยหอมหัวสุดท้ายหมด พอดีกับที่เมย์กลับมาที่เดิม

   “อ้าวไอ้บอย  แพ้หอมเหมือนกันเร่อะ  มาเดี่ยวพาไปล้าง”  นัทมันหัวเราะเบา ๆ

   “ไม่ต้อง”  บอยตอบเสียงห้วนกว่าทุกครั้ง  ก่อนที่จะเดินออกไป

   บอยมันเดินออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว  มันรู้มันนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้แค่วินาทีเดียว  มันสาวเท้าเร็ว ๆ  มาถึงริมห้วย  น้ำตามันไหลหยดรดอาบแก้ม  มันเดินตามลำห้วยขึ้นไปช้า ๆ  มันรู้มันไม่สามารถบังคับหัวใจตัวเองให้แข็งแรงได้ในตอนนี้  มันกระเซอะกระเซิงราวสมันน้อยโดนตะปบจากเจ้าป่า 

   บอยมันแค่อยากอยู่คนเดียว  มันปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปเรื่อย ๆ  ในขณะที่เท้ามันก้าวไปโดยไร้จุดหมาย

   ใช่สิ . . .

   . . .  มันไม่มีหัวใจนำทางนี่หว่า

   แล้วมันก็ไม่มีดวงตาที่จะพาหัวใจมันไปไหนด้วย

   มันเคยยิ้มกับภาพนัทกับเมย์มาตลอด  แต่วันนี้คำพูดของนัทเฉือนหัวใจมัน  เฉือนหัวใจมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  มันมีหัวใจอยู่อีกกระนั้นหรือ  มันเฝ้าถามตัวเอง  ก่อนที่จะพาร่างมันมานั่งละที่ริมห้วย   ไม้ใหญ่ให้ร่มเงา  มันค่อย ๆ  นั่งลงรงรากไม้ใหญ่  เอาขาแช่ในลำห้วย  มันเอนหลังพิงไม้ใหญ่   มันเหนื่อย  มันอ่อนล้า  มันคล้ายคนหมดเรี่ยวแรง  น้ำตามันยังไม่หยุดไหล  ในสายตาที่พร่ามัวมันมองเห็นแม่ 

   มันนึกถึงแม่ขึ้นมาจับขั้วหัวใจ . . . 

   . . . บอยรู้ 

   แม่รักมัน  รักมันมาก  แต่ตอนนี้มันรักใครอยู่  ทำไมมันไม่รักแม่  ทำไมมันต้องรักคนที่ไม่เคยหยุดมองหัวใจของมันเลย

   รู้ไหม . . . ใจเมย์นำทางนัทมาตลอดเลยนะเมย์

   เสียงนี้ยังตามก้องในหัวสมองบอย  มันยังได้ยินชัดเจน  มันก้มหน้าลงกับฝ่ามือ  สะบัดหน้าไปมาอย่างแรง  แต่ดูเหมือนตอนนี้อะไรในร่างกายของบอยมันอ่อนไปหมด  มันล้าเหลือเกิน     บอยกวักน้ำจากลำห้วยมาล้างคราบน้ำตาที่มันมี  แล้วมันนั่งลงพิงกับต้นไม้ใหญ่อีกครั้ง มันหลงคิดว่ามันพิงอยู่กับอกของแม่  สายตามันทอดยาวไปไกล  ไร้ซึ่งจุดหมาย

   เสียงฝีเท้าที่เข้ามาใกล้  บอยมันหลับตานิ่ง  มันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นในเวลานี้  เพราะใจมันแหลกไปหมดแล้ว  ใครจะมาทำอะไรมันได้  มันนิ่งซะอย่าง  เสียงฝีเท้าเดินมาหยุดลงใกล้ ๆ  มัน

   “เป็นอะไรหรือปล่าวครับ”  น้ำเสียงแปลกหูเอ่ยถามมัน  บอยลืมตาขึ้นช้า ๆ  มองเจ้าของเสียง

   “ปล่าวครับ  พอดีเหนื่อยนิดหน่อยเลยนั่งพัก”  บอยมันยิ้ม  แต่ยิ้มมันเศร้า

   “มากับค่ายอาสาหรือปล่าวครับนี่”  คนร่างใหญ่ตั้งคำถาม

   “ครับ”  บอยตอบแบบขอไปที 

   มันอยากอยู่คนเดียวในเวลานี้  มันไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น  โลกของมันแคบลงเมื่อมันไม่อยากยุ่งกับใคร  แต่คนร่างใหญ่กลับไม่สะทกสะท้านยังคงคอยถามโน่นถามนี่มันอยู่อีก

   “ใกล้มืดแล้วนะครับ  กลับลงไปที่พักเหอะครับ  บนนี้มันอันตราย”  คนร่างใหญ่บอก  หากแต่ไม่ได้สนใจบอย  เขาใช้กล้องถ่ายรูปซูมไปมาหามุมที่จะถ่าย  เขาแค่หันหลังคุยกับบอย

   “อืม  ขอบคุณนะครับ”  บอยบอกเบา ๆ  พลางหลับตาลงอีกครั้ง

   “ผมชื่อต้นนะครับ  มากับค่ายของตีนดอย  ผมว่าเราลงกันไปเหอะครับ  มืดแล้วจะลำบาก  ทางไม่ชินด้วย”  บอยหันกลับมาที่เจ้าของเสียงอีกครั้ง

   คราวนี้เขาเห็น  ยิ้มจากชายแปลกหน้าอีกคน

   “ผมบอยครับ”

   บอยมันยิ้มซื่อ ๆ  อาจเพราะมันระอากับคนที่ก้าวมาในโลกส่วนตัวของมัน  ในห้วงเวลาที่มันอยากอยู่คนเดียวแบบนี้  แต่เขาคนนั้นกลับทำให้มันลืมเรื่องของนัทลงไปได้บ้าง  เมื่อเขาชวนมันคุยเสียมากมาย  จนมันรู้สึกว่า  บางทีในโลกนี้มันไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว  แต่มีคนอีกมากมายที่ยืนอยู่บนโลกนี้กับมัน  เพียงแต่มันไม่ได้เปิดประตูออกไปหาคนเหล่านั้นเลยก็เป็นได้



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 29-06-2009 00:25:48

ตอนที่  ๖

   สองวันแรกของการทำงานที่นี่  นัทมัวแต่ช่วยเพื่อน ๆ  ทำงานอยู่กับการก่อสร้างอาคารที่จะให้เป็นห้องสมุด  จนลืมไปว่า  เมล็ดพันธุ์  และกากน้ำตาล  รวมทั้ง  น้ำเอ็นไซน์  ยังกองอยู่เต็มไปหมด  แล้วการหมักปุ๋ย  และทำน้ำชีวภาพนั้นมันต้องใช้เวลาเสียด้วย  มันไม่ค่อยสันทัดเรื่องพวกนี้หรอก  มันรู้เพียงแต่ว่ามีการทำปุ๋ยหมักและน้ำชีวภาพได้  งานนี้นัทมันต้องอาศัยบอย  เพราะบอยนั่นแหละที่วิ่งโร่ประสานงานขอสนับสนุนเมล็ดพันธุ์พืชทั้งที่เกษตรจังหวัด  ที่โครงการหลวง  และในส่วนของคณะเกษตรที่มหาวิทยาลัยเองก็ตาม
 

   “บอยเราไปที่บ้านกำนันกันเถอะนะ  ปรึกษากันเรื่องเกษตรทฤษฏีใหม่”    นัทมันเดินมาที่บอยที่กำลังง่วนอยู่กับงานก่อสร้าง

   บอยมันมุงานหนัก . . . 

   . . . มันคอยหลบหน้านัทมาตั้งแต่วันนั้น 

   ไม่รู้สิ  มันเหมือนมันเป็นอณูในอากาศที่นัทไม่เคยมองเห็นมันมั้ง  ยิ่งใกล้นัทมันยิ่งรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ  มันก็คน  มีเลือดเนื้อและชีวิต  มันไม่อยากอยู่ใกล้นัทมากไปกว่านี้อีกแล้ว

   “ก็ไปดิ  ไปคนเดียวก็ได้  เราทำงานอยู่”

   “ได้ไง  นัทไม่รู้เรื่องไรเลยนะ  ต้องบอยเพราะบอยรู้เรื่องการทำปุ๋ยหมักอะไรพวกนี้  ไปด้วยกันหน่อยเหอะ”

   บอยมันหรือจะยอมให้นัทลำบาก . . . 

   มันมองหน้าบอย  แววตานัทมันอ้อนวอนหรือ  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันต้องเป็นแบบนี้   แค่มันเห็นหน้านัท  มันก็ใจอ่อนวูบ  บอยเดินไปล้างมือช้า ๆ  แล้วค่อย ๆ เดินกลับมาที่นัท

   “ไปดิไป”

   นัทมันค่อยยิ้มออก  แล้วมันเดินนำหน้าบ้านกำนันดวงหาไม่ยากหรอก  แม้มันจะไม่เคยมา  แต่มันอาศัยถามชาวบ้านเอา  มันเดินตามที่ชาวบ้านบอกมาเรื่อย ๆ  นัทมันบอก

   “หนทางอยู่กับปากว่ะกลัวทำไม”

   บอยมันได้แต่ทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี . . . 

   ชั่วแค่ได้เหงื่อซึมกาย  นัทมันเดินมาถึงบ้านกำนันดวง  มันเห็นแล้วรั้วผักหวานที่กำลังแตกยอดอ่อนทอดยาวไปตลอดแนว  มีต้นแคขาวและแคม่วงสลับกันเป็นระยะ ๆ  ตรงกึ่งกลางแนวรั้วมีประตูไม้กลางเก่ากลางใหม่  ที่เปิดเอาไว้ราวกับจะรอการมาของลูกบ้าน    นัทเดินผ่านเข้าประตูไปช้า ๆ  โดยที่บอยยังทำหน้าที่เป็นผู้ตามเช่นเคย 

   บอยมองเห็นบ้านที่สร้างแบบทางเหนือ . . . 

   ไม้สักแท้ทั้งหลังตั้งเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า  ด้านบนที่มุกเชิงหลังคามีกาแล  สมกับเป็นบ้านทรงล้านนาแท้ ๆ  ตัวบ้านดูเก่า  แต่สะอาดนั่นหมายถึงเจ้าของบ้านเขาดูแลเป็นอย่างดี  ด้านซ้ายของบ้านมีโรงรถ  ที่มีทั้งรถมอเตอร์ไซด์  รถไถ  และปิคอัพจอดอยู่  ต้นลำไยใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา รอบ ๆ  บ้านที่ปลูกห่างกันเป็นระยะ ๆ    สวนอีกฝั่งของบ้านมีแปลงดอกไม้นานาพันธุ์ปลูกอยู่เป็นดง เลยออกไปเป็นสวนลำไยที่บอยเองก็ไม่รู้ว่ามันไปสิ้นสุดตรงไหน  เมื่อมองลอดใต้ถุนบ้านออกไปจะเห็นพวกแปลงผักสวนครัวกับเล้าไก่  บางแปลงมีไม้ไผ่ปักเป็นนั่งร้านสำหรับให้ไม้เถาว์ได้เลื้อยเกาะ  บ้านกำนันดวงร่มรื่นดีแท้บอยมันนึกใจใจ

   เสียงสวบสาบจากทางด้านโรงรถ  ทำให้ทั้งสองต้องหันไปมอง  นัทมองเห็น  ชายวัยไล่เลี่ยกับเขาเดินนำเพื่อนอีกสามสี่คนออกมา  มือหอบผักพื้นเมืองหลากหลายชนิดติดมือมาด้วย

   “สวัสดีครับ  มาหากำนันเหรอครับ”  เด็กหนุ่มสูงโปร่งผิวขาวเอ่ยทัก  เมื่อเห็นนัทกับบอยทำท่าละล้าละลัง

   บอยมองเห็นชัดเจน  หนึ่งในกลุ่มที่เพิ่งออกมาจากในสวนคือ  . . .

   . . . ต้น

   “ครับผม  พอดีผมมีเรื่องจะเรียนปรึกษากำนันดวงนะครับ”  นัทยิ้มตอบกับคนที่เอ่ยถาม

   “เชิญเลยครับ  พ่ออยู่บนบ้านนะครับ  ผมแดนนะครับเป็นลูกพ่อดวง  มากับค่ายอาสาหรือปล่าวครับ  ขาดเหลืออะไรบอกผมก็ได้นะครับ”  แดนยิ้มพลางกุลีกุจอนำทางนัทไป

   ต้นยิ้มให้บอยเล็กน้อย . . .

   . . .  บอยยิ้มตอบ  ก่อนเดินตามนัทเข้าไป

   “อ้าวใครมาละนั่นเจ้าแดน”   เสียงห้าวทุ้มดังทรงอำนาจดังมาจากบนบ้าน

   บอยมองเห็นชายคนหนึ่งอายุไม่น่าจะเกินห้าสิบ  ท่าทางยังทะมัดทะแมง  สวมเสื้อฝ้ายทอมือแบบชาวพื้นเมือง  สีซืด  สวมกางเกงขาแค่เข่า ผ้าขาวม้าพาดที่บ่าเดินลงมา

   “อ้าวพ่อหนุ่มที่มาช่วยงานสร้างห้องสมุด  เชิญ ๆ  เชิญนั่งคุยกันก่อน”  พ่อกำนัน  เดินนำทั้งสองไปนั่งที่แคร่ใต้ถุนบ้าน

   “แดนเอ้ย  หาน้ำหาท่า  เอาขะหนมขะต้มมาเลี้ยงแขกหน่อยลูกเอ้ย  พ่อหนุ่มเขามาเหนื่อย ๆ”  กำนันตะโกนสั่งไป

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . ภาพกำนันบ้านนอก  ที่แสดงให้ทุกคนเห็นแล้วว่ามีนำใจเหลือเฝือ  เพราะเพียงแค่แขกที่ไม่รู้จักผ่านมา  กำนันยังยินดีต้อนรับโดยไม่เลือกด้วยซ้ำว่ารู้จักหรือไม่ 

   คนบ้านนอกน้ำใจเหลือเฝือ . . . 

   . . . ผิดกับคนในเมืองที่นับวันเริ่มเหือดแห้งด้วยน้ำใจ  แต่กำนันดวงคนนี้ยังเป็นคนไทยแท้ ๆ

   อ้าว ! 

   ธรรมเนียมไทยแท้แต่โบราณใครมาถึงเรือนชานให้ต้อนรับ

   แคร่เป็นแคร่ดีหรือปล่าว  เพราะมันสร้างจากไม้สักแผ่นโตกว้างประมาณศอกนิด ๆ  ที่เอามาต่อกันขัดเงามันแวววับ  เนื้อไม้ไม้ผุกร่อนไปตามเวลา  แต่ขาไม้ที่ฝังอยู่ในดินเริ่มผุพังไปบ้างแล้ว

   “สวัสดีครับ”  ทั้งนัทและบอยยกมือไหว้กำนัน

   “นั่งก่อนลูกเอ้ย  มีอะไรให้ช่วยบอกมาเลย  ติดขัดเรื่องไรกันมั่งละเนี่ย  เดี๋ยวคืนนี้พวกชาวบ้านจะเลี้ยงรับขวัญที่มาช่วยสร้างห้องสมุดให้เด็ก ๆ  กัน . . .”  ผู้นำชุมชนยิ้ม  แสดงอาการขอบคุณ  ก่อนหันไปทางเด็กหนุ่มอีกกลุ่ม

   “ . . .  นั่นก็พวกเพื่อน ๆ  เจ้าแดนมัน  เรียนกันอยู่ตีนดอย  ท่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันละมั้ง  พวกที่มากันช่วยสร้างฝายแม้วนั่นแหละ”   พ่อกำนันบุ้ยปากไปทางกลุ่มที่ออกมาจากสวน

   ขันทองเหลืองใบโตยื่นมาที่บอย . .   

   . . . บอยรับก่อนยกขึ้นดื่ม  น้ำเย็นจับใจแม้จะไม่ใช่น้ำที่แช่เย็นหรือใส่น้ำแข็งมาด้วยก่อนส่งต่อให้นัท

   “น้ำฝนลูกเอ้ยสะอาด  แต่นับวันจะหากินยากทุกที  อ้าวเจ้าแดนจะไปไหนละนั่น”  พ่อกำนันร้องถาม  เมื่อเห็นคนที่นำน้ำมาให้กำลังจะถอยไป

   “จะเอาผักไปให้ยายทองนะพ่อ  แกให้ไอ้หนุ่ยมาบอกตั้งแต่เช้าแล้วว่าคืนนี้จะเลี้ยงรับขวัญพวกมาสร้างห้องสมุดนะพ่อ” 

   “เอ้า ๆ  ไป ไป  แต่ไอ้หนูเอ้ย  เอ็งลองเข้าไปดูที่เล้าไก่ดิ เก็บเอาไข่ไปด้วยนะลูก  แล้วเอาที่พ่อใส่เข่งแขวนไว้ที่หลังบ้านไปด้วยแล้วกัน . . .”  กำนันใจดี  ตะโกนบอกลูกชาย

   “. . .  เออ   จับไก่ที่มันไม่ตกไข่ไปสักห้าหกตัวก็ดีนะให้แม่ทองต้มยำหม้อใหญ่ ๆ  เลี้ยงพวกเด็ก ๆ  กัน  รายนั้นนะฝีมือหาตัวจับยาก”  ประโยคสุดท้ายกำนันหันมาบอกกับสองคนที่นั่งสนทนากัน

   “จ้ะพ่อ”

   บอยมันยิ้มตามเคย . . . 

   . . . มันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก  ท่ามกลางภาวะที่รุมเร้า  แต่บอยมันยังรับรู้ได้  ผู้คนที่แม่นะล้วนมีน้ำใจ  มันมองตามร่างชายหนุ่มที่หายไปด้านหลังบ้านด้านที่มีเล้าไก่ 

   “ว่าไงพ่อหนุ่ม  มีอะไรให้ลุงช่วยก็บอกมาไม่ต้องเกรงใจ”  กำนันหันกลับมายิ้ม 

   แววตาที่ดูเหมือนจะดุ  แต่ไม่ดุเลย  น้ำเสียงที่ห้าวนั้นแค่ภายนอก  เพราะที่จริงแล้วกลับใจดีเสียมากกว่า

   เสียงไก่ร้องลั่นเล้าดังมาตามลม . . .   

   “คือผมมีเรื่องมาเรียนปรึกษา เพราะทางคณะที่มาเมล็ดพันธุ์ผักที่ได้มาจากสำนักงานเกษตร  กับสูตรปุ๋ยชีวภาพ  ไม่ทราบว่าทางลุงกำนันจะสนใจบ้างหรือปล่าวครับ”  นัทเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างจะเกรงใจลุงกำนัน

   กำนันดวงตบเข่าฉาดด้วยความถูกใจ

   “เออดีพ่อหนุ่ม  ลุงเองก็ทดลองทำอยู่เหมือนกัน  ก็เจ้าแดนนะซิ  มันบอกตอนนี้ที่ในเมืองกำลังเห่อกระแสผักปลอดสารพิษ  เลยเอาสูตรชีวภาพอย่างที่พ่อหนุ่มว่ามาลองทำดู  แต่ลุงมันแค่ลองที่แปลงหลังบ้านก่อน  ยังไม่มีกำลังมากพอที่จะกระจายให้พวกลูกบ้าน  อีกอย่างยังกลัว ๆ  อยู่  ขืนเราลงกายลงแรงไปแล้วมันไม่ได้ผล  ชาวบ้านเขาจะเสียกำลังใจเอาปล่าว ๆ  ชีวิตชาวบ้านเขาไม่มีเวลามาทดลองอยู่หรอกนะ”  กำนันดวงยิ้มอย่างพอใจ

   “ครับ  ผมก็เห็นเช่นนั้น  เลยให้เพื่อนที่เรียนอยู่คณะวิดยากับพวกที่คณะเกษตรซึ่งมีโครงการวิจัยของโครงการหลวง  ขอปันเมล็ดพันธุ์กับสูตรปุ๋ยที่ทดลองแล้วได้ผลมานั่นแหละครับ  เพราะผมเองก็เชื่ออย่างที่ลุงกำนันเชื่อแหละครับ  ชีวิตชาวบ้านเขาไม่มีเวลามาทดลองเล่น  เพราะถ้าพลาดมันหมายถึงความหวังที่เขาตั้งไว้ดับวูบไปด้วย”

   กำนันดวงยิ้มอย่างผู้ใหญ่ใจดี   แววตาที่ทอดมองมามีแต่แววเอ็นดู . . .   

   . . . ยังเด็กอยู่มาก  ปากคอ  คิ้วคาง  ยังโตไม่เต็มที่เลย  น่าจะรุ่น ๆ  เดียวกับลูกชาย  ผิวพรรณแม้ไม่ขาวแบบชาวเหนือทั่วไป  แต่ก็ละเอียดเนียนไม่ทิ้งเค้าชาวล้านนา  ดูท่าก็พอรู้  ตัวเล็กกว่าเจ้าแดนนัก  แต่แววตาดูแกร่ง มุ่งมั่น  และคงจะมีความคิดที่แน่วแน่เอาเรื่องทีเดียว

   “ลุงดีใจพ่อหนุ่ม  ที่เห็นพวกเด็ก ๆ  รุ่นพ่อหนุ่มสนใจเรื่องความเป็นอยู่ของชาวบ้าน  ที่นี่บ้านเราดินดี  น้ำชุ่ม  เพียงแต่เราปล่อยให้พื้นที่มันรกร้างว่างปล่าวกันไปมาก  พวกชาวไร่ชาวสวนเขาก็ไม่ค่อยสนใจกันหรอกเรื่องปุ๋ยชีวภาพ  เพราะเขาไม่แน่ใจ  ไปเห่อไปปู๋ยสุตรตัวเลขที่ขายกระสอบนึงหลักร้อยหลักพัน  ปุ๋ยพวกนั้นมันให้ผลดีในระยะแรกเท่านั้นแหละ  แต่ระยะยาวดินมันจะเสีย  แล้วทีนี้พอดินเสียชาวสวนอย่างเรา ๆ จะทำอะไรกินกัน  นี่พวกเจ้าแดนก็มารนณรงค์ให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยสัตว์ . . .”   ลุงกำนันใช้ผ้าขาวม้า  สะบัดไปมาไล่ความร้อน

   “. . . แต่อย่างว่าแหละ มันยังไม่มีคนที่จะอบรมจริงจังสักที เลยได้แต่ทดลองที่แปลงหลังบ้านไปก่อน  ทีนี้พอผักในไร่หลังบ้านลุงมันงอกงาม  เขาเริ่มมาถามหาสูตรกันอยู่  ไอ้ลุงมันก็ไม่รู้เรื่องอะไรมาก  ต้องรอเจ้าแดนกับเพื่อน ๆ  มาช่วย  แต่ก็นั่นอีกแหละพ่อหนุ่มเอ้ย   มันยังเรียนอยู่  มาได้เวลาว่างเท่านั้น  พวกหนุ่ม ๆ  ไฟแรงทั้งนั้น  ดี  ดี  ช่วยกันคนละไม้คนละมือ  อย่าให้ไฟที่จะกระทำความดีมันมอดเร็วนักล่ะ  บ้านเมืองยังต้องการคนที่ทำงานเอาจริงเอาจังไม่เหยาะแหยะ”

   ลุงกำนันหยิบขันน้ำมาดื่มแก้กระหาย 

   บอยมันแอบมองนัทด้วยสายตาที่ชื่นชม . . . 

   . . . มันเห็นความรู้สึกรักเพื่อนมนุษย์ในตัวนัท  แม้นัทจะเรียนวิศวะ  แต่นัทมันยังรู้สึกว่าชนกลุ่มใหญ่ของประเทศยังคงยากจนอยู่

   จะด้วยนโยบายของรัฐ . . . 

   . . . หรืออะไรก็แล้วแต่ 

   คนส่วนใหญ่ที่เป็นเกษตรกรยังลำบากยากจนอยู่ดี  แม้เวลาจะผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม  แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศล้วนแต่มุ่งไปที่ภาคอุตสาหกรรมแทบทั้งสิ้น จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วบ้านเราเป็นสังคมเกษตรกรรม 

   ไม่ใช่ . . .

   . . .   “ทุนนิยม”

   แต่ . . .

   ตอนนี้ทุกคนเริ่มรู้แล้วว่านโยบายของประเทศเริ่มผิด  ก็ต่อเมื่อระบบเศรษฐกิจที่เราพยายามจะเปิดเสรีมันล่มสลาย  การเปิดเสรีทางการเงินในสมัยรัฐมนตรีคลังที่เป็นชาวเชียงใหม่  มันย้อนกลับมาทำร้ายคนทั้งประเทศเพราะเพียงแค่พ่อมดทางการเงินจอร์ส โซรอส  ทุ่มเงินมาปั่นตลาดหุ้นบ้านเราไม่เท่าไหร่  ฟองสบู่ก็แตกดังโป๊ะ  จนนายกที่ประกาศตนว่าจะกระโดดแม่น้ำโขงตายถ้าทำให้คนไทยหายจากความจนไม่ได้ต้องแสดงสปิริตโดยการ . . .

   . . .   “ลาออก”

   “ตอนนี้ทางผมมีทั้งสูตรปุ๋ยน้ำชีวภาพ  และปุ๋ยดินชีวภาพนะครับ  แล้วอีกสามสี่วันทางคณะเกษตรจะส่งคนมาอบรมเรื่องการเพาะเห็ด  เพื่อจะจะเป็นรายได้เสริมสำหรับคนที่ตกงานกลับมาบ้านนะครับ  ทางพวกผมเห็นว่ามันน่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ”  บอยเสริมขึ้นมา

   “เออดี  ลุงเองก็ขอไปทางเกษตรจังหวัด วันก่อนพัฒนากรอำเภอก็มาดู  เขาบอกจะช่วยโน่นช่วยนี่กับพวกแรงงานคืนถิ่น  บ้านเราตอนนี้ก็มีหลายคนที่กลับมาเพราะโรงงานปิด  เขายังไม่รู้กันด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรกันต่อดี  ได้แต่ช่วยงานเล็ก ๆ  น้อย ๆ  ที่พ่อแม่ทำไว้นั่นแหละ  ลุงเองก็ห่วงอยู่  ถ้าเศรษฐกิจบ้านเรายังแย่  ยังไม่รู้จะมีพวกแรงงานคืนถิ่นกลับมาอีกมากเท่าใด  แต่นั่นแหละรู้กันทั้งนั้นขืนเรารอระบบราชการมีหวังอดตายกันแน่  ก็ระบบราชการบ้านเรามันพิกลพิการ  คนที่ทำเหมือนไม่เต็มใจ  ทางบ้านเรายังดีที่มีในหลวงมาสร้างโครงการหลวง  บ้านเราดินดำน้ำชุ่ม  แต่ทางอีสานสิแย่ดินทรายแห้งแล้งทั้งนั้น”  กำนันยกมือไหว้ท่วมหัวเมื่อเอ่ยถึงศูนย์รวมของชาวไทย

   เราโชคดีที่มีกษัตริย์นักพัฒนา . . . . 

   . . . พระองค์ไม่เคยหยุดนิ่งและดูดายราษฏร 

   แม้พระชนม์มายุจะมากขึ้น  แต่พระองค์ยังทรงงานตรากตรำ  สารพัดโครงการที่พระองค์ดำริขึ้นมาเพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฏร์ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น

   คนไทยโชคดีที่สุดในโลกที่มีกษัตริย์ที่รักประชาชนอย่างเต็มเปี่ยม

   แล้วเราเคยคิดที่จะทำประโยชน์ใดถวายตอบแทนพระองค์ท่านบ้าง?

   “คือตอนนี้นะครับ  ผมว่าเราช่วยกันได้ก็ช่วย ๆ  กันก่อน  คนที่เขากลับมา  เขาก็คิดมากเรื่องงาน  เรื่องเงิน  ส่วนผลผลิตที่จะได้นี่  ผมคุยกับเจ้าหน้าที่โครงการหลวงไว้แล้วนะครับ  ทางโน้นยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่  จะรับซื้อสินค้าด้วยนะครับ  แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องปลูกแบบไร้สารพิษเท่านั้น”  นัทบอกรายละเอียดเพิ่มเติม

   เขาไม่ใช่แค่เสนอ . . . 

   แต่ . . .

   นัทมันยังวางแผนไปถึงอนาคต  มันอยากช่วยด้วยหัวใจที่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ชาติเดียวกันมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

   นัทรู้ . . .

   . . .  ถ้าผลิต 

   แต่ไม่มีตลาดมันก็แย่  นอกจากจะส่งเสริมการผลิตแล้วยังต้องมีการหาตลาดรองรับด้วย  ใช่แต่ว่าส่งเสริมการผลิต  แต่ไม่มีตลาดเราก็ไม่รู้ว่าจะผลิตไปขายใครที่ไหน

   “ลุงดีใจพ่อหนุ่ม  อย่างน้อยลุงก็รู้ว่านักศึกษาสมัยใหม่ยังสนใจความเป็นอยู่ของคนบ้านนอกอยู่บ้าง  ไม่เหมือนพวก สส.  ที่จะเห็นหน้าก็โน่นตอนจะเลือกตั้ง  มาถึงก็ไหว้ไปทั่วทุกทิศ  แต่พอเดินเข้าสภาลืมคนที่ให้เขาเข้าไปหมดสิ้น  เมื่อไหร่นักการเมืองบ้านเราจะเห็นแก่ประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวเสียทีก็ไม่รู้”  ลุงกำนันบ่นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

   “ครับลุง  ผมกับเพื่อน ๆ  ก็แค่ตัวจักรเล็ก ๆ  ในสังคมเท่านั้นแหละครับ  ได้แต่หวังไว้ว่าสักวันนึง เราจะได้คนที่เข้ามาปกครองด้วยหัวใจที่อยากช่วยเหลือประชาชนจริง ๆ  ไม่ใช่อ้างประชาชนแต่หาประโยชน์เข้าพกเข้าห่อ”

   บอยมันไม่เคยมองภาพสังคมกว้าง ๆ . . . 

   มันรู้แค่เพียงหน้าที่ของตัวเองเท่านั้น  การที่ตามนัทมา  ทำให้บอยมันรู้  ในประเทศของเรายังมีคนอีกมากที่ยังลำบากตรากตรำ  คนส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับค่านิยมยกย่องคนมีเงิน

   “ขอบใจพ่อหนุ่มขอบใจ  เอาอย่างงี้นะ  เดี๋ยวพรุ่งนี้วันพระ  คนส่วนมากจะไปวัดกัน  พ่อหนุ่มไปที่วัดด้วยกันนะ  ลุงจะได้ให้พ่อหนุ่มคุยเรื่องนี้กับพวกชาวบ้านกัน  เพราะมีหลายคนที่เขาเข้ามาขอเรื่องนี้กับลุง  แต่ลุงมันยังทำอะไรไม่ได้มาก”  ลุงกำนันตบที่ขานัทเบา ๆ

   นัทมันหันมายิ้ม กับบอย

   งานของมันง่ายมากยิ่งขึ้นเมื่อผู้นำหมู่บ้านเห็นด้วย  อย่างน้อยคนในชนบทส่วนใหญ่  ยังไม่ค่อยมีความรู้มากนัก  การชักจูงให้คล้อยตาม  จะมาจากผู้นำแทบทั้งสิ้น  ที่ใดได้ผู้นำดี  ก็นับเป็นบุญของชาวบ้าน 

   แต่ในทางกลับกัน

   . . . ถ้าที่ใดผู้นำเห็นแก่ตัวแล้ว  ชาวบ้านจะเดือดร้อนไม่รู้จักจบจักสิ้น

   ลุงกำนันแม้จะเป็นผู้นำหมู่บ้าน  แต่ไม่ถือตัว  สิ่งใดที่จะเกิดประโยชน์แก่ลูกบ้าน  ลุงกำนันไม่เคยปฏิเสธ 

   นัทมันยิ้ม . . . 

   . . . หัวใจมันพองโต  อย่างน้อยในยามที่บ้านเมืองประสบปัญหารุมเร้า  ทุกคนช่วยกันคนละไม้คนละมือ  คนไทยแม้จะต่างเชื้อชาติ  ต่างศาสนาแต่เมื่อถึงเวลาคับขัน  ชาวไทยพร้อมจะหันหน้าเข้าหากัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยความเต็มใจ



   บอยมันเฝ้าคิดถึงเรื่องที่นัทคุยกับกำนันเกือบทั้งวัน  มันตั้งใจแน่วแน่  สิ่งที่มันเรียนมาคงพอช่วยเหลือชาวบ้านได้มาก  น้ำชีวภาพ  กับปุ๋ยสูตรต่าง ๆ  ที่มันเคยทำในแลป  บอยมันเอาสูตรตำราที่มันจดมาอ่านทวนดูคร่าว ๆ  อีกครั้ง  มันรู้  ในห้องเรียนกับชีวิตจริงมันแตกต่างกัน  ก็ คงเหมือนกับที่นัทบอก

   ในแลปผิดเราก็แก้ . . .

   . . .  แต่

   ชีวิตชาวบ้านแก้ไม่ได้

   . . . ชีวิตในมหาวิทยาลัยมีวันหยุดเสาร์อาทิตย์ 

   แต่ . . .

   . . . มหาวิทยาลัยชีวิตไม่มีวันหยุด

   การหยุดหมายถึงรายได้ที่จะหยุดตาม  รายได้ที่หดหายหมายถึงรายจ่ายที่ต้องจ่ายไปกับค่ากับข้าว  ค่าน้ำค่าไฟของวันนั้นด้วย  เพราะฉะนั้น ความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่มีวันหยุดแบบนักศึกษา

   เรื่องความเป็นอยู่ของชาวบ้านไม่ใช่เรื่องล้อเล่น  การทำอะไรผิดพลาดไปนั่นย่อมหมายถึงการหมดความเชื่อถือ  และหมดกำลังใจ  ในช่วงเวลาที่สภาพบ้านเมืองประสบปัญหาเช่นนี้  ถ้าทำให้ชาวบ้านยิ่งหมดกำลังใจจะยิ่งทำให้เกิดปัญหามากขึ้นไปอีก  บอยมันรวบรวมสติ  คิดแต่งานที่มันต้องทำ  งานที่นัทมันฝันเอาไว้  มันจะต้องทำความฝันของนัทให้เป็นจริงให้ได้

   มันลืมเรื่องที่มันเศร้าใจเพราะนัทเสียสนิท  เมื่อนึกถึงคนอีกหลายคนที่จะได้ประโยชน์จากสิ่งที่มันกำลังจะทำ

   เสียงเพลงจากเครื่องขยายเสียงที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน ลอยมากระทบหูมันเป็นระยะ  ใกล้เย็นแล้วพวกเด็กจากเทคโนตีนดอยเอาเครื่องขยายเสียงที่มาจากวัดติดตั้ง  แล้วเปิดเพลงจังหวะคึกคัก  บอยมันนั่งอยู่ที่ม้าหินทางหน้าประตูโรงเรียน 

   ชาวบ้านทยอยกันมาในมือหอบหิ้วปิ่นโตอาหาร . . .   

   . . . ตามาแบกกล้วยมาเครือใหญ่ 

   ลุงสนเอาแตงแคนตาลูปใส่รถเข็นมาเข่งเบ่อเร่อ 

   แม้แต่ . . เถ้าแก่ฮวดที่เค็มแบบเกลือเรียกพ่อ ยังมีน้ำใจเอาน้ำอัดลมกับน้ำแข็งมาเลี้ยงพวกนักศึกษาที่มาช่วยงานสร้างห้องสมุด

   บอยมันอดยิ้มกับภาพที่เห็นไม่ได้  ภาพที่บอยมันไม่ชินตามากนัก  ชาวบ้านไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือร่ำรวย ต่างแสดงความมีน้ำจิตน้ำใจมารับขวัญนักศึกษาที่เปรียบเสมือนลูกหลาน  หัวใจมันตืบตันเพราะคาดไม่ถึง  ในหมู่บ้านเล็ก ๆ  ที่ห่างไกลความเจริญแบบแม่นะยังคงมีความรักให้กับทุก ๆ  คนอย่างเหลือเฟือ  กลิ่นอาหารที่แม่ครัวเอกประจำหมู่บ้านปรุงหอมฟุ้งกำจายไปทั่วบริเวณงาน

   สังคมเล็ก ๆ  ที่อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขด้วยคำสั้น ๆ 

   . . . น้ำใจ

   “หวัดดีครับ  ไม่เข้าไปรวมกลุ่มกับเพื่อนเหรอครับ”  บอยมันสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีเสียงเอ่ยทัก   

   คนตัวโตยิ้มกว้าง . . . 

   บอยมันจำได้  คนเดียวกับที่ชวนมันเดินลงมาจากลำห้วย  คนเดียวกันกับที่ยิ้มให้มันที่บ้านผู้ใหญ่เมื่อเช้า  บอยยิ้มให้เพราะเริ่มคุ้นเคย

   “ก็กำลังคิดอะไรเพลิน ๆ  นิดหน่อยนะครับ  ผมไม่แน่ใจว่าระหว่างผมกับนายใครจะอายุมากกว่ากัน ผม  ๑๙  แล้วครับ”  บอยยิ้ม

   “งั้นพี่คงเรียกเราว่าน้องบอยแล้วล่ะ  เพราะพี่ ๒๑  แล้ว  เมื่อเช้าเห็นแวบ ๆ  ที่บ้านพ่อแดนมัน  เห็นว่าจะมาช่วยกันทำปุ๋ยหมักชีวภาพเหรอครับ”    คนตัวโตยิ้มพลางถือวิสาสะนั่งลงใกล้ ๆ  มัน

   “ก็ใช่ครับ  พอดีได้เมล็ดพันธุ์ที่ทางคณะปรับปรุงให้กับโครงการหลวงมานะครับ  แล้วทางโครงการหลวงก็ยินดีที่จะสนับสนุนด้วย  เลยเอาไปเรียนปรึกษาลุงกำนันดู  พี่ต้นเรียนที่ตีนดอยเหรอครับ”  บอยมันเริ่มคุ้น  มันเริ่มคุยกับเพื่อนใหม่ต่างวัยมากขึ้น

   “ใช่ครับผม  เรียนไฟฟ้าครับ  น้องบอยเรียนไรครับ”

   “วิดยาครับ” 

   “อืมดีนะ  เรียนวิดยา  คงมีสูตรดี ๆ  เยอะนะครับ  ชาวบ้านที่นี่ใจดี  แต่รายได้น้อย  พี่รู้จักกับแดนมันนานแล้วล่ะ มากันทุกปิดเทอม  คราวนี้ทางเฌองดอยประสานงานไปจะทำฝายแม้ว  เลยระดมพลกันมาช่วยก็สนุกดี  ได้รสชาติชีวิตอีกแบบ”

   “งั้นพี่ต้นก็ออกค่ายบ่อยสิครับ” 

   บอยมันถาม  มันไม่ได้สนใจอะไรมากมายกับคนที่นั่งอยู่ตรงหน้ามัน  เพียงแต่บอยมันอยากมีเพื่อนคุยมากกว่า

   บอยมันแค่อยากให้มันไม่มีเวลาว่าง . . . 

   . . . มันอยากให้ทุก ๆ  เวลาของมันมีแต่งาน  มันรู้  ถ้ามันว่างมันอาจเผลอคิดไปถึงเรื่องนั้นอีก  มันไม่กลัวเจ็บหรอก  เพราะมันเจ็บเสียจนชิน  มันไม่กลัวช้ำเพราะมันช้ำจนถึงที่สุดแล้ว  มันไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้วนอกจาก

   บอยกลัวว่านัทจะรู้ว่ามันรักนัทเกินกว่าเพื่อน

   ให้มันตายเสียตอนนี้ดีกว่าที่จะให้นัทต้องเดินหันหลังให้มัน 

   “บ่อยนะ  บางทีไม่อยากกลับบ้านก็ออกมาตามบ้านเพื่อน  บางครั้งก็ไปบนดอยไกล ๆ เดินข้ามเขาไปสี่ห้าลูก ไปสอนหนังสือชาวเขาชาวดอย  ไปกับพวกสอนศาสนา หรือไม่ก็กับพวกค่ายอาสาต่าง ๆ  สนุกดี  บอยละ  ออกค่ายบ่อยมั้ย”   ต้นเล่าเหมือนกับเป็นเรื่องปกติ

   บอยมองคนที่นั่งใกล้ ๆ  มัน

   คน ๆ  นี้จะเป็นใครมันไม่รู้

   แต่มันรู้  โลกของเขาผาดโผนดี  ขาใช้ชีวิตค่อนข้างคุ้ม  ถ้าเทียบกับอายุที่ห่างจากบอยไม่เท่าไหร่ มันเสียอีก  ที่ยังไม่เคยออกไปสร้างประโยชน์ให้สังคมเลย  งานนี้ถือว่าเป็นงานแรกของมันเลยก็ว่าได้

   “ครั้งแรกในชีวิตเลยพี่”  มันยิ้มตาหยี

   ปกติมันก็หยีอยู่แล้วแต่ยิ่งมันยิ้มดวงตารี ๆ  ของมันคล้ายปิดสนิท

   “บอยนัทตามหาบอยอยู่แน่ะ เห็นว่าอยากคุยเรื่องที่จะไปที่วัดพรุ่งนี้”  เมย์เดินมาบอกบอยใกล้ ๆ 

   บอยหันไปส่งสัญญาณรับทราบ

   “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับพี่ไว้คุยกันใหม่นะครับ”  บอยหันมายิ้ม  ก่อนจะเดินไปกับเมย์


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 29-06-2009 00:45:32


ตอนที่ ๗

   . . . การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ  สำคัญที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน  แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า  อุ้มชูตัวเองได้ให้มีพอเพียงกับตัวเอง . . .


   แนวพระราชดำริล้ำค่าอันหาที่เปรียบมิได้นี้ . . .



   . . . พระราชทานมาในช่วงเวลาอันเหมาะเจาะยิ่งนัก  

   นัทมันเชื่อว่าถึงเวลาแล้ว ที่คนไทยทุกคนควรจะหันกลับมามองเรื่องชีวิตที่พอเพียงอย่างจริงจังเสียที  เพราะวันนี้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศชาติทรุดหนักลง  และมันกำลังส่งผลไปยังทุกชีวิตที่เกี่ยวข้องทั้งสังคมเมืองและสังคมชนบท

   “กระแสโลกาภิวัตร”  

   ที่มุ่งทางภาคการผลิตและบริโภคอย่างบ้าคลั่ง  หลาย ๆ  ชุมชนรับเอากระแสโลกเข้ามาแบบไม่เคยไตร่ตรอง  ทดสอบ  หรือแม้แต่จะค้นหาขีดระดับความสามารถที่เหมาะสมทางการแข่งขันของตัวเอง  ทุกคนเปิดรับกระแสความเปลี่ยนแปลงที่โถมเข้ามาราวน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้าน เรือกสวนไร่นา  พัดพาเอาชีวิตและจิตใจไปสู่วังวนของความอยากได้อยากมี  ที่ได้มาอย่างง่าย ๆ  ในช่วงแรก ๆ  จวบจนกระทั่ง  ความแรงนั้นมันย้อนมาทำลายแบบขุดรากถอนโคนเลยทีเดียว   

   ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ . . .

   . . . ภาครัฐขยับนโยบายเร่งเพื่อจะปรับตัวเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย  

   กระแสการตั้งโรงงานเพื่อผลิตโน้นผลิตนี้มากมาย  บางคนขายที่นา  ที่สวนได้เป็นล้าน ๆ   ธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์และที่ดินได้รับการสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก  หลายคนแอบหวังจะรวยจากการตั้งโรงงาน  แล้วพอมาเจอวิกฤติเศรษฐกิจแบบนี้  โรงงานก็ต้องปิด  เงินก็หมดจากการลงทุน  ที่ดินเรือกสวนไร่นาก็หมดไปแล้วกับการลงทุนตั้งโรงงาน  ธุรกิจต่าง ๆ  พาลล้มกระทบกันเป็นโดมิโน่   เพียงเพราะเราไม่รู้จักพอนั่นเอง

   สองหนุ่มคลานเข่าไปตามพื้นศาลา . . .  

   เมื่อลุงกำนันพยักหน้าบอกสัญญาณ  หลังจากที่หลวงตาก้อง  ได้ให้ศีลให้พรจบแล้ว  หลายคนที่สองคนเห็นเมื่อคืนยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร    ในวันพระ  ชาวบ้านต่างมาชุมนุมกันที่วัด  สถานที่เปรียบเสมือนแหล่งรวมศูนย์กลางทางจิตใจของผู้คนที่นี่

   “เอ้า ๆ  เงียบ ๆ  กันหน่อยญาติโยมทั้งหลาย”  หลวงตาก้องเอ่ยออกมา  ทำให้ผู้คนที่จับเข่าคุยกัน  รีบหันมาทางหลวงตา

   “เออ  เงียบ ๆ  แบบนี้ค่อยดีหน่อย  เอ้าไอ้ดวงมีอะไรว่าไป”  หลวงตาหันมาทางกำนัน

   กำนันดวงขยับผ้าขาวม้าที่คาดเอวนิดนึงก่อนจะเอ่ยกับลูกบ้าน

   “พ่อแม่พี่น้อง  คือยังงี้  ตอนนี้เราก็รู้ว่าพวกนักศึกษาเขามากันช่วยสร้างห้องสมุดให้ลูกหลานบ้านเรา    แล้วทีนี้  เขาก็มีเมล็ดพันธุ์  กับปุ๋ยชีวภาพที่ไม่เป็นอันตรายต่อสภาพของดินและไม่มีผลตกค้างกับพืชผล  เหมือนที่ไอ้แดนมันลองทำที่บ้านข้านั่นแหละ  ข้าเห็นว่ามันมีประโยชน์กับบ้านเรา  ใครสนใจอยากจะอบรมเรื่องการปลูกพืชตามแผนเกษตรทฤษฏีใหม่  ข้าก็อยากให้เรามาลงชื่อกันไว้  เพราะทางค่ายอาสาเขาจะมีทั้งเมล็ดพันธุ์และการทำปุ๋ยหมัก  เอางี้  รายละเอียดนี่  ข้าให้พ่อหนุ่มสองคนที่บอกแล้วกัน”  

   สิ้นเสียงของกำนันดวง . . .  

   บางคนหันหน้าเข้าหากัน  เสียงซุบซิบดังกันทั่วไปทั้งบริเวณศาลา  จนหลวงตาบัวต้องเอาไม้ตะพดเคาะกับพื้นไม้นั่นแหละ  กลุ่มคนถึงได้เงียบ

   “ฟังกันก่อนสิวะ  ลูกหลานมันเรียนกันมา  มันอยากเอามาช่วย  จะฟังมันหน่อยไม่ได้ดอกหรือ”  เสียงปรามจากผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวบ้านทำเอาเสียงในศาลาเริ่มเงียบอีกครั้ง

   บอยมันสะกิดนัทเบา ๆ  ให้ลุกขึ้นอธิบาย

   “สวัสดีครับ  พี่ป้าน้าอา ลุง  ทุกคน  คือทางผมมีเมล็ดพันธุ์ที่ขอปันมาจากคณะเกษตรที่พัฒนาเมล็ดพันธุ์มาจากโครงการหลวงนะครับ  แล้วยังมีสูตรปุ๋ยชีวภาพด้วยนะครับ”

   “แล้วไอ้ปุ๋ยชีวภาพมันดียังไงรึพ่อหนุ่ม  มันดีกว่าปุ๋ยที่ร้านเถ้าเส็งในตัวอำเภออย่างไรรึ”  ตาสา  ยกมือขึ้นถาม  

   เพราะแกไม่คุ้นกับชื่อ . . .  

   . . . แกรู้จักแค่ปุ๋ยสูตรตัวเลขเท่านั้น  

   นัทหันมาทางบอย . . .

   มันประหม่าเล็กน้อย  ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับกลุ่มชาวบ้าน  แล้วค่อย ๆ  ตอบอย่าฉาดฉานเต็มคำ

   “ปุ๋ยหมักชีวภาพ  คือ ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่มีประโยชน์ในการปรับปรุงบำรุงดิน สามารถผลิตได้ง่าย ใช้เวลาน้อย โดยการนำเอาเศษวัสดุเหลือใช้ผสมคลุกเคล้าหมักรวมกับมูลสัตว์ แกลบดำ รำละเอียด คลุมด้วยกระสอบป่าน ใช้เวลาประมาณ ๓ วัน สามารถนำไปใช้ได้ การใช้ปุ๋ยหมักชีวภาพ ว่าเป็นการหันหลังให้กับการใช้สารเคมี นำสิ่งที่มักจะถูกมองว่าไร้ค่ามาสร้างมูลค่าช่วยทำให้สภาพแวดล้อมดีขึ้นได้ และเป็นการใช้ธรรมชาติดูแลรักษาธรรมชาตินะครับ”

   “โอ้ย  แล้วถ้ามันดีจริงทำไมคนเขาไม่ทำกันใช้ละพ่อหนุ่ม  เขายังไปซื้อปุ๋ยกันที่ร้านเถ้าแก่เส็งกันโครม ๆ  แถมยังใช้ง่าย  แค่หว่าน ๆ  ซัด ๆ  ไปก็ได้แล้ว  เอาปุ๋ยมาใช้ก่อนพอเก็บผลผลิตค่อยไปจ่าย”  ยายแช่ม  ตะโกนมาจากด้านหลัง

   นัทกับบอยมองสบตา . . .  

   มันเริ่มมองเห็นกับปัญหาที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาทีละน้อย  ความคิดและความเชื่อของชาวบ้านนี่แหละคืออุปสรรคด่านใหญ่  จะทำอย่างไรให้ชาวบ้านเปลี่ยนแนวความคิด

   “แล้วไงล่ะยายแช่ม  ไอ้ดอกเบี้ยที่ไปเชื่อปุ๋ยร้านเถ้าแก่เส็งมันงามยิ่งกว่าเห็ดหน้าฝนมั้ยล่ะ  เราทำมากี่ปียังไม่รวยเลย  แค่ไอ้เถ้าแก่มันให้เชื่อปุ๋ยไม่กี่ปี  มันขยายร้านรวงเสียใหญ่โต  ดอกเบี้ยกับเงินเชื่อนะมันโตเร็วนะยายแช่ม”  

   เสียงกำนันตะโกนดักคอขึ้นมา  เมื่อเห็นว่าเริ่มมีเสียงซุบซิบดังขึ้นเรื่อย ๆ บนศาลาวัด

   หลวงตาก้องยิ้มพยักหน้าช้า ๆ

   “แหมพ่อกำนัน  ชั้นก็แค่อยากให้มันติดผลดี  จะขายได้ราคาดี”  ยายแช่มเสียงเริ่มอ่อนล้าลง

   “ผมไม่เถียงนะครับว่าปุ๋ยเคมี ให้ผลดีในระยะเวลาสั้น  แต่ในระยะยาวนั้น  ปุ๋ยเคมีจะมีผลต่อดิน  เพราะปุ๋ยเคมีจะฆ่าจุลินทรีย์ที่อยู่ในดิน  ทำให้ดินแข็ง  และดินเสื่อมสภาพเร็วขึ้นนะครับ  แต่โครงการที่ผมเสนอให้พ่อแม่พี่น้องนั้นเป็นโครงการเกษตรแบบไร้สารพิษ การทำเกษตรไร้สารพิษอยู่ภายใต้หลักการที่ว่า . . .”  บอยหยุดยิ้มอีกครั้ง

" . . . เลี้ยงดินเพื่อให้ ดินเลี้ยงพืช   และผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือ  มนุษย์  เพราะเราจะต้องไม่กินผัก  ผลไม้ที่ยังมีสารพิษตกค้างอีกต่อไป  มันอาจจะยากสักหน่อยในระยะแรกที่เริ่มทำเพราะความเคยชินกับการใช้ปุ๋ยเคมี  แต่ถ้าเราไม่เริ่มต่อไปข้างหน้า  ถ้าดินมันเสียแล้วจะแก้ไขยากนาครับ”   บอยยกข้อมูลที่ได้ศึกษามาเป็นอย่างดี

   เสียงคนจับกลุ่มแสดงความคิดเห็นกันอีกครั้ง . . .  

. . . เท่าที่บอยมันฟังชาวบ้านเริ่มเห็นคล้อยตามกันมากขึ้น  ก็ปุ๋ยที่ว่าต้นทุนมันต่ำ  แถมยังทำเองใช้เองได้อีก  ไม่ต้องไม่เชื่อเถ้าแก่เส็งที่แม้จะมาส่งถึงไร่  แต่พอถึงฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตแทบจะไม่มีเงินเหลือไว้ทำอย่างอื่น  ต้องไปจ่ายค่าปุ๋ยค่าดอกที่เพิ่มขึ้นทวีคูณ

   “เอาล่ะ  ไม่ต้องเถียงกัน  ข้าแค่อยากจะบอกให้พวกที่สนใจเท่านั้น  ใครไม่สนข้าก็ไม่บังคับ  แต่ถ้าใครที่มันเคยเห็นแปลงผักที่หลังบ้านข้าก็จะรู้แหละ  ว่ามันได้ผลขนาดไหน  งานนี้ข้ามาบอกสำหรับคนสนใจเท่านั้น”  กำนันตัดบท

   “เอาก็เอาว่ะ  ลูกหลานมันอุตส่าห์ตั้งใจจริงลองกับมันสักตั้งว่ะ”  ตาสาโผล่งขึ้นมา

   “ชั้นก็เอาด้วยคน เบื่อดอกเบี้ยไอ้เถ้าแก่เส็งเต็มทนแล้ว”  ยายมีที่นั่งคุยกับยายแช่มยกมือด้วยคน

   เท่านั้นแหละ . . .  

   . . . คนโน้นก็เอาด้วย  

   คนนี้ก็เอาด้วย . . .  

   นัทมันหันไปยิ้มกับบอย  เรื่องคนที่จะรับการอบรมมันโล่งใจไปเปราะหนึ่ง  แต่ปัญหามันอยู่ที่  สถานที่และอุปกรณ์ที่จะทำปุ๋ยหมักชีวภาพอีก  บอยมันลืมนึกถึงเรื่องนี้ไปเสียสนิทใจ  เมื่อมันเอ่ยกับนัทเบา ๆ  เรื่องนี้  นัทถึงกับสีหน้าไม่สู้ดี  ลำพังวัสดุที่จะเอามาทำปุ๋ยหมักหาได้ไม่ยากหรอก  แต่อุปกรณ์นี่สิ  ปัญหาหนักของมัน

   “ว่าไงว่ะไอ้หนุ่ม  ทำสีหน้าเหมือนมีอะไรในใจ”  หลวงตาก้องเอ่ยถามเมื่อเห็นสองคนยืนซุบซิบกัน

   “คือ  สถานที่กับพวกอุปกรณ์บางอย่างนะครับ  ทางพวกผมไม่ได้เตรียมมาขอรับหลวงพ่อ”

   “แล้วมันต้องเอาอะไรมั่งล่ะ”

   “ถังพลาสติกใบใหญ่ ๆ  หรือจะเป็นโอ่งก็ได้ครับ  แล้วถ้าได้สถานที่กว้างสักนิดก็จะดีขอรับหลวงพ่อ”

   “เอา . . . เอา  ไอ้ถังไอ้โอ่งที่วัดมีเยอะแยะ  ส่วนสถานที่ก็ที่ศาลาหลังเก่าใกล้โรงเรียนนั่นล่ะพอใช้ได้มั้ย  อะไรที่พ่อหนุ่มคิดว่ามันดีมันมีประโยชน์ก็เอาไปใช้เหอะ  อาตมาไม่หวงหรอก  ขอชาวบ้านกินมามากแล้ว  ถึงเวลาตอบแทนคืนให้ชาวบ้านมั่งก็ดี”  หลวงตาก้องยิ้ม

   บอยกับนัทมันก้มลงกราบ

   พระแบบนี้สิมันกราบได้อย่างสนิทใจ . . .  

   . . . พระที่อยู่กับชาวบ้าน  ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน  ไม่ใช่หลงยึดติดกับสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่  อยากได้โบสถ์ใหญ่  วิหารใหญ่   ขนาดพระศาสดามีทุกสิ่งทุกอย่าง  มีวัง ๓ ฤดู  แต่พระองค์กลับละทิ้งเพื่อแสวงหาทางดับทุกข์  

   แต่ . . .

   แปลกจัง พระในสมัยนี้กลับเดินในทางตรงกันข้าม

   “แล้วทางกระผมอยากขอรบกวนหลวงพ่ออีกอย่างขอรับ”  นัทมันพนมมือแต้

   “มีอะไรว่ามาเลยพ่อหนุ่ม”

   “คืออีกสองสามวันที่คณะเกษตรจะมาอบรม  และสอนให้ชาวบ้านเพาะเห็ดนะครับ  มีทั้งเห็ดนางฟ้า  เห็ดฟาง  และเห็ดหอมครับ  คือทางพวกผมเห็นว่ามีคนที่หมู่บ้านเราหลายคนตกงานมาจากกรุงเทพฯ  อยากให้เขาเหล่านั้นได้มีอาชีพเสริมเล็ก ๆ  น้อย ๆ ไปก่อนระหว่างที่ยังหางานใหม่ไม่ได้นะขอรับ  เลยอยากขอที่วัดสักเล็กน้อยเพื่อสร้างเป็นโรงสาธิตนะขอรับ  เพราะเห็ดพวกนี้มีระยะเวลาเก็บเกี่ยวไม่นานนะขอรับ  เขาจะได้เก็บขายกันได้”

   หลวงตาก้องตบเข่าฉาด

   “เออ . . .  เข้าท่าว่ะ  ดี  ดี  เศรษฐกิจมันตกสะเด็ดแบบนี้ต้องช่วย ๆ  กันคนละไม้คนละมือ  อย่ามัวแต่คิดว่ามันไม่ใช่เรื่องอะไรของตัวเอง  เอาเลยไอ้หนุ่ม  เอาเลยข้าสนับสนุนเต็มที่  ไอ้ที่ทางมันยังเหลืออีกเยอะ  แถว ๆ  หลังวัดนี่ก็ได้  ส่วนพวกโรงเรินโรงเรือนอะไรนั่นก็  เสาไม้เศษฝาโลงเยอะเยอะไปเอามาใช้เหอะ”

   ชาวบ้านหัวเราะกันทั้งศาลา

   “ไม่ไหวล่ะมั้งหลวงตา  ประเดี๋ยวพวกที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองจะจับไข้หัวโกร๋นกันหมด  ไม่ทันได้เห็นผลผลิตกันพอดี”  กำนันดวงยิ้มขัน ๆ

   หลวงตาก้องยิ้มอย่างเมตตา  

   “เอา ๆ  จะเริ่มกันวันไหนก็เอาไอ้ดวง เอ็งนั่นแหละนัดวันกันมา  พาพวกที่กลับมาจากพิษเศรษฐกิจมาให้ข้ารดน้ำมนต์  ชาวบ้านเดือดร้อนกันขนาดนี้จะให้ข้านั่งสวดมนต์อยู่แต่ในโบสถ์ในกุฏิข้าทำไม่ได้ว่ะ  หรือจะให้นั่งมาคิดเรื่องผ้าป่า กฐินข้าก็ไม่เอา  อาบัติเป็นอาบัติสิวะ  เอาเลยไอ้หนุ่ม  งานนี้ข้าช่วยเต็มที่”

   นัทอมยิ้ม  . . .

   มันก้มลงกราบหลวงตาก้องอีกครั้ง  ศรัทธาในพุทธศาสนาที่คลานแคลงมาจากในเมือง  กลับเริ่มสว่างอีกครั้งในหัวใจ เมื่อเจอหลวงตาก้อง



   บอยมันลืมเรื่องหัวใจเสียสนิท  เพราะมันต้องเตรียมงานจนแทบไม่มีเวลาคิดเรื่องอื่น  หลังจากที่ได้ไฟเขียวมาจากหลวงตาก้องมันก็มุทำงาน  ประชุม  แบ่งกลุ่มชาวบ้านออกเป็นกลุ่ม ๆ  มันนัดแนะชาวบ้านให้หาเอาเศษวัสดุเหลือใช้ที่จะนำมาเป็นปุ๋ยหมัก  กำนันให้ชาวบ้านช่วยกันยกกระดานดำมาที่โรงเรือนหลังเก่า  เพื่อใช้เป็นฐานปฏิบัติการ

   “นัท  ทำไมนัทไม่ช่วยบอยมันบ้างล่ะ  ปล่อยให้บอยทำคนเดียวอยู่ได้”  เมย์เอ่ยกับนัทหลังจากที่เห็นว่า บอยมันมุงานจนบางครั้งมันลืมแม้กระทั่งมากินข้าวกับเพื่อน ๆ   เมย์เอาน้ำเย็นมาส่งให้บอย  ก่อนเดินกลัมายืนคุยกับนัท

   “ใครบอกเมย์นัทไม่ช่วย  นี่เราแบ่งงานกันไง  เรื่องทำปุ๋ยนัทไม่รู้สักแอะเลย  ต้องบอยมัน  บอยมันรู้ดี  มันเด็กวิดยานะเมย์  ใช่มั้ยบอย”    นัทยิ้มอย่างเคย  ก่อนหันไปพยักเพยิดกับบอย

   บอยมันพยักหน้าตอบ

   “จ้า  แหมช่างคิดโครงการ  แต่ไม่ลงมือช่วยเลย”

   “ใครบอกล่ะ  นัทช่วยนะ  ช่วยมากกว่าใครทั้งหมดที่มาด้วยกันอีก  นี่ไง  ที่บอยมันจดให้นัทไปเตรียมมา”  นัทมันงัดเอาหลักฐานเป็นแผ่นกระดาษที่มีรายการยาวเป็นหางว่าว

   “แล้วหาได้ครบยังล่ะ”

   นัทส่ายหน้าช้า ๆ  

   “ยังเลย  ยังไม่ครบ  อยากเห็นหน้าเมย์  ไม่เห็นหน้าแล้วหมดเรี่ยวแรงที่จะทำอะไร  เมย์ก็ใจดำไม่แวะมาให้ดูหน้าบ้างเลย  นัทจะได้มีกำลังใจทำงาน”

   คำหวานจากปากนัททำเอาเมย์อายหน้าแดง . . .

   . . . ก้มหน้าหงุด  

   นัทมันยิ้มกับท่าทางเอียงอายของเมย์  แค่รอยยิ้มบาง  ๆ  จากคนที่มันรัก หัวใจนัทมันก็พองโตแล้ว  มันเหมือนต้นไม้ที่ได้น้ำพร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้ไปอีกครั้ง

   บอยมันมองภาพนั้นด้วยหัวใจเหงา ๆ

   . . . มันแบนหน้าหนี  

   ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อไป  แดดยามเที่ยงร้อนระอุ  แต่มันจะร้อนเท่าหัวใจบอยในตอนนี้หรือปล่าวไม่รู้  บอยมันเฝ้าถามตัวเอง  ทำไมมันดึงตัวเองออกมาที่จุดนั้นไม่ได้  จุดที่ความสัมพันธ์มันมีแค่คำว่า . . .

   . . . เพื่อน

   มันอยากจะคิด  แต่มันไม่มีเวลาคิด เพราะชาวบ้านกำลังรอมันอยู่  หลายคนกระตื้อรือร้นที่จะเรียนรู้งานจากมัน  มันจะไม่ปล่อยให้หัวใจตัวเองเรียกร้องนานนัก  เพราะความต้องการของชาวบ้านย่อมมาก่อน  ชาวบ้านอีกหลายคนที่เดือดร้อน  และต้องการความช่วยเหลือ  ต้องการเรียนรู้เพื่อสิ่งที่ดีกว่าในปัจจุบัน  บอยเดินไปที่ศาลาที่ชาวบ้านรออยู่ก่อนแล้ว

   “หวัดดีครับพี่ ๆ  น้า ๆ  ทุกท่าน”  บอยมันยกมือไหว้  หลายคนมันเริ่มรู้จักแล้ว  แต่อีกหลายคนเหมือนกันที่มันยังแปลกหน้า

   “ว่าไงครับตาสา  วันนี้พาใครมาด้วยครับ”  บอยหันไปทักตาสาที่วันนี้มาพร้อมกับหนุ่มใหญ่  น่าจะแก่กว่ามันหลายปี

   “อ๋อ  ลูกชายนะ  ชื่อสมชายพอดีเห็นว่าบริษัททมันเลย์ออฟ เลย์เอ้าน์อะไรนี่แหละ  มันบอกอยากมาเรียนรู้ด้วยคน”

   “หวัดดีครับพี่สมชาย”  

   บอยยกมือไหว้  มันยิ้ม  ชายต่างวัยมองมันด้วยแววตาที่มันเองก็บอกไม่ถูก

   มันไม่อยากอ่านสายตาใครหรอก  เพราะมันไม่มีหัวจิตหัวใจจะมองอะไรอีกแล้ว  หน้าที่ของมันคือสานงานให้กับนัท  คนที่มันยอมรับให้เข้ามาเพ่นพ่านและก่อกวนหัวใจมันนั่นแหละ  มันยอมนัทคนเดียว  คนเดียวเท่านั้น  

   “ได้แล้วครับ  ได้ของครบแล้ว”  นัทมันเข็นวัสดุหลาย ๆ  อย่างมายังศาลา    นัทหันมาทางบอยพยักหน้าบอกให้บอยเริ่ม

   “เอาละนะครับ  คราวนี้เริ่มกันเลยนะครับ  ของทั้งหมดนี้  เราจะเอามาทำปุ๋ยหมักชีวภาพกันก่อนนะครับ”  บอยมันชี้ไปที่วัสดุที่กองอยู่ด้านหน้า

   “อันนี้เราเรียกว่า  น้ำสกัดชีวภาพ หรือ น้ำเอนไซม์  อันที่จริงเราทำเองได้นะครับ  เห็นขวดเล็ก ๆ  แบบนี้  เราใช้งานได้นานนะครับ  แล้วต่อไปถ้าหมด  ก็ขอรับได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอหรืออาจขอไปทางคณะเกษตรที่มหาวิทยาลัยก็ได้ครับ  ส่วนที่ทางพวกผมเตรียมมาเราจะเก็บไว้ที่บ้านกำนันดวงนะครับ  ใครอยากได้ก็ไปขอแบ่งปันกันได้ครับ”   บอยมันยกขวดขนาดขวดน้ำปลามาส่งต่อให้ชาวบ้านดูกัน  

   ชาวบ้านรับไปดู  พลางจดใส่สมุดที่เตรียมกันมา  

บอยมันยิ้ม  มันเหมือนเป็นครูกำลังสอนนักเรียนอยู่เลย  แต่นักเรียนของมันล้วนแต่แก่กว่ามันแทบทั้งสิ้น  แต่เขาเหล่านั้นกระตื้อรือร้นที่จะเรียนรู้กับสิ่งใหม่ ๆ

   “ส่วนนี้กากน้ำตาลนะครับ  สองสิ่งนี้เป็นส่วนสำคัญสำหรับทำปุ๋ยหมักชีวภาพนะครับ  เราขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ครับผม”  บอยมันอธิบายช้า ๆ  เพราะมันรู้ชาวบ้านจะรับรู้สิ่งใหม่ ๆ  ได้  แต่ต้องให้เวลาเขาด้วย

   บอยหันไปมองหน้านัท . . .

. . . นัทยกหัวแม่โป้งให้ด้วยมือทั้งสองข้าง

   แค่นี้บอยมันก็มีกำลังใจโขแล้ว  มันแค่เห็นนัทมีรอยยิ้ม  มีความสุขจากสิ่งที่นัททำ  กับสิ่งที่นัทต้องการช่วยเหลือชาวบ้าน  บอยมันเต็มใจจะสร้างฝันให้นัท  ฝันที่มันเองก็ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้มันจะทำแบบนัทได้

   “เรามีเจ้าสองตัวนั้นแล้ว  คราวนี้เรา  มีมูลสัตว์แห้ง  มีแกลบดำ  มีรำละเอียด  มีขี้เลื่อยถ้าเราไม่ใช้ขี้เลื่อยเราอาจใช้ขุยมะพร้ามแทนก็ได้นะครับ  แล้วเราก็มีถึงวิธีทำกันนะครับสำหรับปุ๋ยหมักชีวภาพกันนะครับ”  บอยมันบอก  พลางเดินมาที่กองวัสดุต่าง ๆ  ที่กองอยู่

   ชาวบ้านล้อมวงกันเข้ามามุงดู

   “เราใช้กากน้ำตาล ๑ ขวดนะครับ  แล้วก็น้ำเอ็นไซด์ ๑ ขวด  กับน้ำอีก ๑๐๐ ขวดโดยประมาณนะครับ”  บอยเทส่วนผสมทั้งหมดลงในถังพลาสติกสีดำ

   นัทมันใช้ไม้พายลงไปคนให้ส่วนผสมนั้นเข้ากันดี

   “เราต้องคนให้มันกลายเป็นเนื้อเดียวกันนะครับ  เพราะจะทำให้เวลาที่เราเอาไปรดที่ส่วนผสมอื่นดียิ่งขึ้นนะครับ”   นัทมันบอก  พลางคนส่วนผสมไปมา

   คนที่ล้อมวงกันมา  พยักหน้ารับ

   “เอาละครับ  ทีนี้  ให้ทุกคนที่ได้แบ่งกลุ่มกันแล้ว  ทำขั้นตอนนี้พร้อมกันนะครับ  เพราะเราจะได้รู้ว่า  สิ่งที่เราทำกันนั้นมันจะออกมาได้ผลหรือไม่  แยกย้ายกันนะครับ”  บอยบอก  ก่อนที่ชาวบ้านจะแยกกันไปกลุ่มนึง ๔ คนบ้าง ๕ คนบ้าง

   หลวงตาก้องมายืนมองยิ้ม ๆ . . .    

ไม่มีใครรู้ว่าหลวงตาคิดอะไร  เพราะเห็นหลวงตาหันไปซุบซิบกับกำนันดวงก่อนที่กำนันดวงจะพยักหน้ารับ  แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่

   สักพักใหญ่ . . .  

งานแรกที่บอยให้ทำก็เสร็จสมบูรณ์  โดยที่มันกับนัทเดินไปดูตามกลุ่มต่าง ๆ  และคอยแนะนำอย่างใจจดใจจ่อกับงานแรกของพวกเขา

“เอาละครับ  ที่นี่พี่ ๆ  ลุง ๆ  ก็ เอาวัสดุทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากันแบบนี้นะครับ  แล้วค่อย ๆ  ใช้ฝักบัวรดน้ำที่เราผสมให้ชุ่ม  ทำไปทีละชั้นแบบนี้นะครับ  แล้วค่อยเกลี่ยกองปุ๋ยหมักบนพื้นให้หนาประมาณ ๑ ศอก คลุมด้วยกระสอบป่าน  หรือคลุมด้วยแกลบสด หรือฟางก็ได้ครับ เพื่อไม่ให้ถูกแสงแดดประมาณ ๕ วัน ตรวจดูความร้อนในวันที่ ๒ หรือ ๓ ไม่ต้องกลับกองปุ๋ย”

“ตรวจความร้อนแบบไหนเหรอพ่อบอย”  ลุงชมตะโกนถามมา

บอยชูเทอร์โมมิเตอร์ในมือ   “นี่ครับผม  เขาเรียกเทอร์โมมิเตอร์ใช้วัดอุณหภูมิ  อุณหภูมิในการหมักที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง ๔๐ - ๕๐ องศาเซลเซียส ถ้าให้ความชื้นสูงเกินไป จะเกิดความร้อนนานเกินไป ฉะนั้นความชื้นที่ให้พอดีครับผม”

เสียงชาวบ้านขานรับ  พลางรับเทอร์โมมิเตอร์ไปดู

“ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ได้จะประกอบด้วยจุลินทรีย์ สารอินทรีย์ต่าง ๆ ที่มีสารอาหารเหมาะสำหรับพืชนำไปใช้ทันที ปุ๋ยหมักชีวภาพที่ดีจะมีกลิ่นหอม มีใยสีขาวของเชื้อรา ในระหว่างการหมักถ้าไม่เกิดความร้อนแสดงว่ามีข้อผิดพลาด   เราจะต้องเริ่มทำใหม่นะครับ”  นัทบอกเสริมขึ้นมา

หลายคนทำตามที่บอยบอก . . .  

. . . เสียงหัวเราะ  พูดคุยดังขึ้นพร้อม ๆ  กับลงแรงช่วยกันคนละไม้คนละมือ

“ไอ้สองหนุ่มนี้ไม่เบาเลยนะไอ้ดวง  มีวิธีการให้ชาวบ้านร่วมมือกันทำ  เด็กพวกนี้แหละจะเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติต่อไป”  หลวงตาก้องเปรยกับกำนันเบา ๆ

   “ครับหลวงตา  ผมอดปลื้มใจแทนพ่อแม่เขาไม่ได้จริง “

   “เอาละครับ  คราวนี้เราก็เสร็จปุ๋ยหมักชีวภาพแล้ว  เดี๋ยววันพรุ่งนี้ผมจะสอนการทำปุ๋ยน้ำชีวภาพอีกอย่าง  อันโน้นใช้เวลาน้อยกว่าอันนี้เยอะเลยครับ  ส่วนปุ๋ยนี้  ให้พี่ ๆ  ช่วยกันผลัดเวรกันมาเช็คอุณหภูมิทุกวันนะครับ ราว ๑๐  วันเราก็เอาปุ๋ยนี้มาใช้ได้แล้วครับ  แล้วที่เหลือเราเก็บใส่ถุงปุ๋ยไว้ใช้ได้เป็นปีเลยแหละครับ”

   “อ้าว  ไม่สอนเลยล่ะพ่อบอย”  ยายแจ่มใจร้อนเรียกเสียงหัวเราะกันครื้นแครง

   “ใจเย็น ๆ  ครับ  เดี๋ยวผมจะขอแรง  พี่ ๆ  ลุง ๆ  ช่วยกันยกร่องผัก เราจะมาปลูกผักสวนครัวกันนะครับ  เพราะมีปุ๋ยน้ำชีวภาพกับปุ๋ยหมักชีวภาพที่ผมขอแบ่งมาจากโครงการหลวง  เราจะได้รู้ว่า  ระหว่างของที่เราขอมากับของที่เราทำเอง  อย่างไหนมันจะได้ผลดีกว่ากัน”  นัทมันหันมาตอบแทน

   มันเริ่มคุ้นเคยกับชาวบ้านมากยิ่งขึ้น . . .  

   . . . งานที่ทั้งหมดร่วมกันทำอยู่ในสายตาของหลวงตาก้องทั้งนั้น  หลวงตาไม่เอ่ยอะไรมากมาย  แค่มายืนดูห่าง ๆ  และเดินมาทักทายกับคนโน้นทีคนนี้ที  ทั้งหมดทั้งสิ้นหลวงตาปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสองหนุ่ม


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 30-06-2009 00:43:38
มาลงชื่ออ่านไว้ก่อน
ยังอ่านไม่ทันเลย ๆๆๆ
จะรีบตามอ่านน๊า ๆๆ  :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 30-06-2009 10:37:44
เนื้อเรื่องช่วงไปค่ายนี่ จินตนาการตาม เหมือนดูละครเฉลิมพระเกียรติเลยอะครับ ชอบๆ  :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 30-06-2009 14:37:27
ยิ่งอ่านยิ่งอยากไปออกค่ายบ้าง แต่ของผมอยากออกค่ายที่ชายแดนใต้
โดนค้านหัวชนฝา  :serius2:

ชอบๆ มาต่ออีกนะครับ เป็นอีกคนที่รออยู่
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 06-07-2009 16:22:45
 :L2:

คุณราชบุตรครับ

ผมอ่านเรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว

นึกถึงตอนที่เรียนอยู่มหาวิทยาลัย

ได้ออกค่าย ทุกปี ตั้งแต่ปี ๑ ยัน ปี๓

ปี ๔ จบแล้วต้องหางานเลยไม่ได้ ออกไปใหน

บรรยากาศเก่าๆ กลับมาเลยอ่ะครับ

มหาวิทยาลัยสอนแนวคิด ทฤษฏี

การออกค่าย ไปเจอะเจอชาวบ้าน

เป็นการสัมผัส โลกแห่งความเป็นจริง

ที่คนยุคนี้คงต้อง หันมาเอาใจใส่มากขึ้นแล้วล่ะครับ

ชอบที่บอกว่า มหาวิทยาลัยหยุดวันเสาร์ - อาทิตย์

แต่ชีวิต ชาวบ้านไม่มีวันหยุด หยุดทำก็ต้องหยุดกินด้วย

การนำเสนอแนวคิด แบบเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ

เป็นสิ่งที่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องใส่ใจมากๆ ทำให้มากกว่านี้ ให้จริงจังกว่านี้

ผมชื่นชมการนำเสนอของคุณราชบุตรมาก ๆ

แต่พอเราลงเรื่องยาวๆ หนักไปทางแนวคิดมาก

ดูเหมือนพวกเราในเล้า ไม่ค่อยอ่านไงไม่รู้นะ

ผมยังติดตามอ่านอยู่ตลอดไปนะครับ

ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆ

ที่นำเสนอ

ครับ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 07-07-2009 12:10:54

^

^

^

เหมือนคนอ่านจะห่วงเรื่อง "เรตติ้ง"


แต่ . . .

. . . คนเล่าเรื่องแบบผม  ไม่พะวง  ทั้งเรตติ้ง  ทั้งความนิยม  บวก  หรือ ลบ  เพราะมันไม่ได้ทำให้ท้องผมอิ่ม  ไม่ได้มีแรงกระทบใด ๆ  ต่อผมเลยสักนิดเดียว  ตามนี้นะครับ  คนอ่านอย่าห่วงว่าผมจะไม่มีกำลังใจเขียน  เพราะยังไง ก็เขียน 

จบไม่จบ  ค่อยว่ากัน  แต่โดยเนื้อแท้พยายามให้จบทุกเรื่อง  นอกจากว่า  มุขจะตันจริง ๆ  ครับผม

ผมเขียนเพราะอยากเขียน  ไม่ได้เขียนเพราะเรตติ้ง  ใครก็มาชี้นำผมไม่ได้

ในเวลาที่ผมเขียน  ผมมักถามตัวเองเสมอ  เขียนเพื่ออะไรหว่า ?

สำหรับผม . . .

. . .คำตอบอยู่ในใจ  ผมอยากใช้ภาษาเขียนให้สวยงามที่สุด  ผมมักจะเลี่ยงภาษาพูด  มาเป็นภาษาเขียน  เพราะนอกจากมันไม่ทำให้ภาษาสวยงามแล้ว  มันจะค่อย ๆ  ฆ่าภาษาของเราให้ตายลงในที่สุด

ผมห่วงตรงนี้มากกว่า  ห่วงเด็กรุ่นใหม่หลงไปกับกระแส  จนทำลายภาษาโดยไม่รู้ตัว

"คำเมือง" ไพเะราะเสนาะหู

แต่

จะมีสักกี่คนที่เขียนภาษาล้านนาได้ 

ภาษาเขียนล้านนา  ค่อย ๆ ตายไป  ทั้ง ๆ  ที่เป็นภาษาที่สวยงาม  ผมได้แต่วาดหวังเอาไว้  อย่าให้มีประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยวัฒนธรรมทางด้านภาษาอีกเลย  เพราะอย่างน้อยที่สุดผมหวงแหน

ภาษาไทย . . .

. . . จะเหลือแค่ภาษาพูดหรือไม่  อยู่ที่คนไทยทุกคนจะช่วยกันรักษา  หรือ ทำลาย


ผมยืนยัน  และ  ยืนหยัด  ในความตั้งใจเดิมของผม

. . . ทุก ๆ  งานเขียน  จะอนุรักษ์ภาษาเขียนให้ดีที่สุดครับผม . . .

ในหนังตลกดาษดื่น  ยังมีหนังนอกกระแสแบบ . . . นางไม้  ในนิยายที่มีแต่รักใส ๆ  แบบเฟิร์สเลิฟ  ผมขอแหวกระแสด้วยคน  เพราะผมเชื่อว่า

. . . พลุ  ยิ่งขึ้นฟ้าสว่างสวยงาม  แต่ผมขอเป็นดาวดวงเล็ก ๆ  ที่  สว่างทุกค่ำคืน


ผมขอเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากซึมซับอรรถรสในภาษาจริง ๆ เท่านั้นก็เพียงพอ




หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 07-07-2009 12:32:37


ตอนที่ ๘

   แดดสุดท้ายของวันสาดส่องมายังอาคารโรงเพาะชำเห็ด ที่อยู่ริมรั้วระหว่างเขตวัดกับโรงเรียนติดกับอาคารหลังเก่า  ที่บอยเคยใช้เป็นที่อบรมการทำปุ๋ยหมักชีวภาพ  บอยมันเดินดูโรงเพาะเห็ดที่ตอนนี้เริ่มมีเห็ดตูม ๆ  ออกมาแล้ว  ส่วนนัทกำลังช่วยชาวบ้านแบกปุ๋ยหมักชีวภาพ ที่เสร็จสิ้นกระบนการหมักเรียบร้อยแล้ว  บรรจุในถุงปุ๋ย  ขนมาเรียงไว้เป็นชั้น ๆ  ในอาคารหลังเก่า    ทั้งหมดล้วนเหงื่อโทรมกาย  หากแต่แววตาเท่านั้นที่บ่งบอกว่าพวกเขามีความสุขกับงานที่กำลังทำแข่งกับเวลา


   “กินน้ำกินท่าเสียก่อนเต๊อะ พ่อนัท  บ่อต้องยะแล้วก๋า  ให้พวกอ้ายเขายะกั๋นเน้อ”  ป้าแช่ม  ที่ตอนนี้กลายมาเป็นสมาชิกคนสำคัญของ  “สหกรณ์คนจน”  ที่หลวงตาก้องตั้งขึ้นมา  เอ่ยด้วยสำเนียงคนเมืองพลางส่งขันน้ำใขใหญ่ให้นัท

   “ขอบคุณครับป้าแช่ม”  นัทมันรับขันน้ำจากป้าแช่มมา  พลางยกขึ้นดื่ม

   น้ำในขันเย็นชื่นใจดีเหลือเกิน  มันค่อย ๆ  ดับความกระหาย  ในตัวของนัทได้มากทีเดียว  เขาไม่รู้เหมือนกันว่าไม่ได้ดื่มน้ำมานานแค่ไหนแล้ว  เพราะตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ  เมื่อประชุมกันเสร็จแล้ว  นัทมันก็ง่วนอยู่กับกองปุ๋ยที่ได้จากการหมักครั้งแรกจนลืมหิว  ลืมกระหายไปเสียเลย

   “ยะก๋านยะง๋านเก่งจะอี้  มีลูกสาวจายกฮื้อฟรี ๆ  เน้อ”    ป้าแช่มเอ่ยตามเคย

   นัทมันอายหน้าแดง  มันโดนคนแก่แซวต่อหน้าเสียด้วยสิ  มันแทบวางไม้วางมือไม่ถูก  เพราะชาวบ้านที่มาช่วยกันทำงานต่างขานรีบเป็นเสียงเดียวกัน

   “พ่อบอยอีกคนน๊าแม่แช่ม  ยกให้แต่พ่อนัทเร่อะ”  เสียงตาสาแซวมา  ทำเอากลุ่มชาวบ้านร้องรับกันอีกครั้ง

   “ป้าแช่มแซวผมอีกแล้ว”   นัทอายหน้าก่อนส่งขันคืนป้าแช่ม

   “สหกรณ์คนจน”  เริ่มเป็นรูปเป็นร่างมาด้วย  เงินจากวัดที่หลวงตาก้องสมทบทุนมาก้อนใหญ่  เมื่อตอนวันที่กำนันดวงนำลูกหลานชาวบ้านที่ตกงานจากกรุงเทพฯ  มากราบ  วันนั้นนัทยังจำได้แม่น  เมื่อฉันท์เพลเรียบร้อยแล้ว  หลวงตาก้อง  ก็ให้ศีลให้พร   

   “ไปอยู่ในเมืองกันตั้งแต่เล็กแต่น้อย  คราวนี้เจอวิกฤติต้องกลับกันมาตั้งหลักที่บ้าน  เอา...เอา  ไม่มีที่ไหนอุ่นใจเท่าบ้านเราหรอกนะ  พ่อดวงเอ้ย  ที่วันก่อนไอ้สองหนุ่มนี่มันคุยกันเรื่องสหกรณ์นะ  ข้าเห็นด้วยว่ะ  เอางี้  เอานี่ไป”  หลวงตาก้องส่งห่อผ้าห่อใหญ่ไปให้กำนันดวง

   “อะไรขอรับหลวงตา”  กำนันรับห่อผ้าคะม้า ออกมา  แล้ววางกับพื้น

   ชาวบ้านที่นั่งอยู่บนศาลาตีวงล้อมกันเข้ามา  บางคนซุบซิบกันถึงว่าหลวงตาก้องใบ้หวยเลยก็มี        เสียงดังลั่นศาลาไปหมด  จนเมื่อกำนันแกะผ้าดูนั่นแหละ  ถึงเห็นว่า  ข้างในห่อผ้ามีธนบัตร  หลากหลายชนิด  บางฉบับยังอยู่ในซองที่ญาติโยมบริจาคอยู่เลย

   “มันคืออะไรครับหลวงตา”  กำนันดวงยังไม่เข้าใจ

   “อ้าว  ก็เงินก้อนแรกที่จะตั้งสหกรณ์ไงว่ะ  เอาเงินนี้ไปเหอะ  อยู่กับพระอย่างข้ามันก็แค่กระดาษ  สู้เอามาเป็นกองทุนไว้คอยช่วยเหลือพวกที่ยังไม่มีงานจะทำ  ก็เงินที่พวกชาวบ้านทำบุญนั่นแหละ  เงินของพวกเอ็ง  ข้าก็เอามาช่วยเหลือพวกเอ็งยามตกทุกข์ได้ยากกันนี่แหละ”  หลวงตาบัวยิ้มอย่างมีเมตตา

   ชาวบ้านรวมทั้งพวกที่ตกงานมาจากกรุงเทพฯ  ก้มลงกราบ  หลวงตาก้อง  พระแก่ ๆ  ที่ชาวบ้านนับถือกันมานาน . . .

   บอยมองภาพนั้นน้ำตารื้น  มันไม่นึกว่าชั่วชีวิตของมันจะมาเจอพระที่กราบได้อย่างสนิทใจ  พระที่ไม่ยึดติดกับทรัพย์  ก็ก่อนหน้านั้น  มันแค่คุยกับนัทเล่น ๆ  ว่าถ้าชาวบ้านรวมกลุ่มกันเป็นสหกรณ์  มันก็มีแรงเพิ่งขึ้น เหมือนมีข้อต่อรองมากขึ้น  แล้วถ้ามีเงินทุนมากพอ  ก็ซื้อของใช้ที่จำเป็นพวกสบู่ยาสีฟัน  น้ำปลา น้ำตาลมาขาย  ให้ชาวบ้านมาถือหุ้นสหกรณ์ มันก็จะทำให้ชุมชนเข้มแข็งขึ้น

   ต้องสร้างชุมชนให้เข้มแข็งก่อน  แล้วเราถึงจออกไปต่อสู่กับที่อื่นได้ . . .

   . . . . ก็เป็นบางส่วนของพระราชดำรัสที่สองหนุ่มรับมาใส่สมอง

   มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลวงตาก้องยืนฟังมันสองคนคุยกันอยู่  แล้วหลวงตาเรียกมันทั้งสองมาถามเรื่องสหกรณ์อีกมากมาย  ก่อนที่จะนำเอาเงินก้อนใหญ่สุดลงมาในนามสหกรณ์คนจน

   “เออ . . . เออ   ช่วย ๆ  กันนะ  เราอยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน  วัดพึ่งชาวบ้าน  ชาวบ้านพึ่งวัด  มีอะไรที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็มาช่วย ๆ  กัน”   เสียงที่อ่อนโยนยังคงพรั่งพรูออกมา

   “. . .  อ้อ ไอ้ดวงเอ้ย  เอ็งลองประชุมกัน  จะเอาใครมาเป็นสมาชิกกันบ้าง  ระหว่างที่ยังไม่มีรายได้ ก็ช่วย ๆ  กันไปก่อน    สำหรับไอ้พวกที่เพิ่งกลับมาใหม่  ขอให้จำใส่กะโหลกเอาไว้ว่าพวกเอ็งไม่ได้เป็นคนแพ้มาจากที่ไหนหรอก   กลับมาบ้านเราครานี้ก็ช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน ตราบใดที่ยังมีแผ่นดิน ความคิด  มีปัญญา  ไม่อดตายหรอกว่ะ มองไปทางไหนก็พี่น้องกันทั้งนั้น สิ่งที่พวกเอ็งต้องกอบกู้มันไม่ใช่ฐานะทางเศรษฐกิจ ให้มั่งคั่งมั่นคงเหมือนที่เอ็งไปทำงานที่โน่นหรอกว่ะ . . .”  หลวงตาก้องมองกวาดไปยังชาวบ้านที่นั่งกันสงบนิ่ง

   “. . . แต่สิ่งที่พวกเอ็งจะต้องกอบกู้คือจิตใจ  ใจหรือจิต  ของพวกเอ็งที่เศร้าหมองตกต่ำไปเพราะวิกฤติต้มยำกุ้งนั่นแหละ   อย่าลืมเทียวละมันมีตก  มันก็มีขึ้น  มีขึ้นได้ก็มีตกได้  ต่อให้พวกเอ็งมีเงินเป็นหมื่นล้าน  รถคันเป็นสิบล้าน แต่ถ้าใจพวกเอ็งมันไม่สุข  ไม่สงบ  เงินทองมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอกว่ะ  กอบกู้หัวใจให้ได้นั่นแหละคือชัยชนะ  พวกเอ็งจำคำข้าเอาไว้”

   หลวงตาแก่ ๆ  ที่ปรับตัวตามกระแสโลกาภิวัตร  ไม่ยอมตกยุคเอ่ยออกมาอย่างไม่ต้องมีพิธีรีตองกวาดสายตามองไปยังผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาชุมนุมกันศาลาแห่งนี้

   “ข้าจะยกคำของในหลวงที่พระราชทานเอาไว้ใน สคส  เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมา  พวกเอ็งจดจำน้อมรับใส่กะโหลกเอาไว้เถอะ . . .”  หลวงตาแห่งแม่นะยิ้มอีกคำรบ

   “. . . ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง  เราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ท่ามกลางมหาสมุทร  โภคะทั้งหลายมิได้สำเร็จด้วยเพียงคิดเท่านั้น  จำกันไว้ให้ดีล่ะ”

   ชาวบ้านพนมมือท่วมหัว . . . 

   นัทมันขนลุกซู่  ก่อนก้มกราบหลวงตาก้องพระแก่ ๆ   ตามชาวบ้านที่กราบลงทั้งศาลา  พระที่ยืนหยัดบนโลกเบี้ยว ๆ  ใบนี้ด้วยหัวใจบริสุทธิ์  ธรรมบางอย่างไม่ได้สอนแบบภาษาธรรมเพราะมันยากที่จะเข้าถึงหัวใจที่หยาบกร้านของคนในสังคมปัจจุบัน 

   แต่ . . .

   . . . หลวงตาก้องสอนธรรมที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ

   “เอา เอา  ค่อย ๆ  ทำกันไป พอเราเริ่มแข็งแรงก็ค่อย ๆ  ให้เงินดาวน์เงินเดือนกันไป  อ้อ  ไอ้พวก  ข้าวสารอาหารกระป๋องทั้งหลาย  ผ้าขนหนู  ที่ญาติโยมเขามาทำสังฆทานนะเอ็งเอาไปลงบัญชีในนามสหกรณ์ได้เลย  ใครไม่มีตังค์ซื้อก็มายืม มาเชื่อกันไปก่อน  ดูแลทุกข์สุขลุกบ้านให้ทั่วถึงละเอ็ง  มา ๆ  ประเดี๋ยวข้าจะพรมน้ำมนต์ให้”

   หลวงตาก้องลุกขึ้นยืน  ในมือท่านมีก้านมะยมที่มัดรวมกัน  หลวงตาเดินลงจากที่นั่งยกพื้นด้านหน้า  มายืนอยู่ท่ามกลางชาวบ้านแม่นะ  ที่เป็นคนเก่าแก่  และพวกที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองด้วยพิษเศรษฐกิจ  กำนันดวงอุ้มบาตรน้ำมนต์เดินตามหลวงตาก้อง

   “นี่ใครล่ะ  ลูกแม่แช่มดอกรึ”

   “เจ้าค่ะ  ไอ้จุกไงเจ้าค่ะ”

   “โรงงานที่ผมทำอยู่  เขาปลดพนักงานขอรับหลวงตา”  จุกพนมมือแต้

   “เออ  เออ  กลับมาอยู่บ้านเรานี่แหละ  มีงานมีการไรก็ช่วย ๆ  กันทำไปก่อน  แล้วค่อยขยับขยายกัน”

   หลวงตาก้องจุ่มก้านมะยมในบาตรน้ำมนต์ก่อนสะบัดไปยังกลุ่มคน  ที่บนศาลา    หยาดน้ำเย็นฉ่ำจากแรงสะบัดของพระรูปแก่ ๆ  ปลิวมากระทบกับผิวเนื้อ  แทรกซึมเข้าไปโชลมหัวใจที่แห้งผากของพวกแรงงานคืนถิ่น

   “อยู่เย็นเป็นสุขนะพวกเอ็ง  สามัคคี  แบ่งปันกันไว้  คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น  มีอะไรก็ช่วย ๆ  กันไป  เดือดเนื้อทุกข์ใจมาหาข้า  ข้าจะดับทุกข์ให้”  หลวงตาก้องเดินแหวกฝ่าฝูงชาวบ้าน  ประพรมน้ำมนต์ไปทั่วทุกผู้ทุกคน

   “อ้าว  ไอ้สองเสือมานั่งอยู่นี่เอง  เอ๊า  เอา  รดน้ำมนต์เป็นศิริมงคลกับตัว  รักษาสิ่งดี ๆ  ที่ทำในวันนี้ไปจนแก่จนเฒ่านะเอ็ง”  หลวงตาก้องซัดข้อมือมาที่นัทที่ก้มลงกราบกับพื้น

   นัทหันมายิ้มกับบอย  . . .

   . . . เป็นครั้งแรกกระมังที่บอยมันเห็นรอยยิ้มจากนัทในระยะใกล้  มันยิ้มทั้งแววตาเลยทีเดียวแหละ  นัทมันคงไม่แตกต่างจากชาวบ้านบนศาลาในวันนั้นหรอ  ที่รู้สึกซาบซึ้งกับเมตตาธรรมอันสูงสุดยามที่ชาวบ้านหลายคนกำลังตกทุกข์ได้ยาก 



   “ใจลอยไปถึงโรงเรียนเลยเหรอว่ะเพื่อน”  บอยมันตบที่ไหล่นัทเบา ๆ   เมื่อมันเดินออกมาโรงเพาะเห็ด  แล้วมันเห็นนัทนั่งเหม่ออยู่

   “อ้าวบอย  มาเงียบ ๆ”  นัทมันหันมายิ้ม

    นัทยิ้ม . . . 

   . . . บอยเห็นชัด 


   รอยยิ้มของนัท  รอยยิ้มที่จะทำให้มันหายเหนื่อยล้าจากงานที่มันทำมาทั้งวัน  รอยยิ้มที่เปรียบเสมือนหยาดฝนแรก  ที่ตกมาให้ความชุ่มฉ่ำยามที่ต้นไม้กำลังขาดน้ำ  เหมือนหัวใจที่มันอยากให้มีน้ำมารดหยดรินหล่อเลี้ยงหัวใจให้มันมีแรงที่จะต่อสู้

   “กำลังนั่งคิดอะไรเพลิน ๆ  นึกถึงวันแรกที่เรามาที่นี่  นึกถึงหลวงตาก้องที่เมตตาชาวบ้าน  นึกถึงน้ำใจของพี่ป้าน้าอาทั้งหลาย  ที่ร่วมแรงแข็งขัน  จนงานมันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  บางทีนะบอย  สิ่งที่เราได้จากที่นี่  มันมีค่ามากกว่าที่เราเรียนในห้องเรียนเป็นไหน ๆ  มันคือชีวิตจริง ๆ  ของชาวบ้านเลยนะเนี่ย” 

   แววตานัทช่างฝัน . . .

   . . . นัทอาจมุ่งมั่นกับงานนี้มาก  สิ่งที่สำคัญที่บอยมองเห็น  มันไม่ใช่แค่ความสำเร็จ  แต่บอยมองลึกไปมากกว่านั้น  มองลึกลงไปเห็นถึงหัวใจของคนที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันต่างหาก

   คนแบบนัทมันหายากขึ้นทุกวันในสังคมที่แก่งแย่งแข่งขัน

   “แต่มันแค่เริ่มเองนะนัท   ทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้นเท้านั้น”

   “มันเพิ่งเริ่ม  เข้าใจแหละบอยว่ามันเพิ่งเริ่ม  แต่บอยอย่าลืมนะ  ว่าถ้าเราไม่หัดคลานเราก็เดินไม่ได้  ถ้าเราเดินไม่ได้  เราก็จะวิ่งไม่ได้  วันนี้เราเริ่มแล้ว  ชาวบ้านทุกคนเห็นดีด้วยกับแนวคิดสหกรณ์  ทุกคนยกปุ๋ยที่ผลิตล้อตแรกให้สหกรณ์  แล้วล้อตต่อไป  พวกเขาก็ยินดีที่จะรับจ้างสหกรณ์ผลิต  แล้วเขาก็ขายให้สมาชิกในราคาถูก”

   “เห็นพี่สมชายที่เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพฯ  แกเอาปุ๋ยไปเสนอขายที่เชียงดาว  ที่โน่นสั่งซื้อมาตั้งห้าร้อยกระสอบ  แถมจ่ายมัดจำไว้ก่อนมาตั้งเจ็ดพันแล้วด้วย”  บอยบอกข่าวที่เพิ่งทราบมาวันนี้

   “เหรอ . . .”  แววตานัทเบิกกว้าง  แสดงออกถึงความดีใจอย่างชัดเจน

   “. . . ห้าร้อยกระสอบ  กระสอบละ สามสิบบาทก็ตกหมื่นห้าพันบาท  หักต้นทุนกระสอบละ สิบห้าบาท  สหกรณ์ก็เหลือเงินอีก เจ็ดพันห้า”  นัทมันคิดรวดเร็วสมเป็นเด็กวิศวะ

   มันยิ้มเมื่อเริ่มมองเห็นทางสว่าง . . .

   . . . ไม่ใช่ทางสว่างของตัวนัทเองหรอก 

   แต่ . . .

   . . . นั่นมันหมายถึง  ปากท้องของชาวบ้าน  เงินที่ได้จะกลับคืนสู่ชาวบ้าน  ชาวบ้านมีงานเพิ่งจากการทำปุ๋ย  รายได้ส่วนนี้เพิ่มมาจากงานสวนงานนาที่เขาเคยทำกันประจำ  ถ้าชาวบ้านมีเงินเพิ่ม  ความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น  นัทมันหวังไว้  อยากให้ชาวบ้านร่วมมือกันแบบนี้ตลอดไป

   นัทมองแค่เหรียญด้านเดียว  โดยลืมมองในเหรียญอีกด้าน

   บอยมันเผลอคิด . . . 

   . . . ถ้าชาวบ้านมีเงินเพิ่ม  แล้วเกิดอยากได้โน่น  ได้นี่ขึ้นมาอีก  ถ้าตาสีอยากเปลี่ยนมอเตอร์ไซด์ใหม่  ยายแช่มอยากได้ตู้เย็น  ยายทองอยากมีทีวีสีใหม่  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นกิเลสที่ทุกคนเมื่อมีแรงเพียงพอต่างอยากได้มาประดับบ้านทั้งสิ้น

   บอยมันได้แต่หวัง . . .   

   . . . สิ่งที่มันคิดอย่าเกิดขึ้นมาเลย  เพราะถ้าทุกคนอยากได้สิ่งเหล่านั้น  แล้วคิดแต่ว่ามีกำลังที่จะผ่อนได้  ไปซื้อสินค้าเงินผ่อนดอกเบี้ยแพงในตัวอำเภอหรือตัวจังหวัด  สุดท้ายคนที่ได้ประโยชน์จริง ๆ  คือพ่อค้าเงินผ่อนอีกนั่นแหละ  เหมือนเถ้าแก่เส็งที่ร้านค้าปุ๋ยนั่นไง

   วงจรความยากจนแบบไม่มีที่สิ้นสุด . . .

   . . .  ก็จะเดินมาเยี่ยมชาวบ้านแม่นะอีกครั้ง 

   ความพอเพียง . . . 

   . . . ที่พวกมันพยายามจะให้เกิดขึ้นก็ล้มสลายตายจากในทันที  ทุกคนจะต้องตกไปเป็นทาสนายทุนอีกครั้ง

   บอยมันหวั่นวิตกในใจลึก ๆ  กับสิ่งที่มันคิด

   “เออ  นัท  เห็ดเริ่มออกดอกแล้วล่ะ  อีกไม่กี่วันก็จะเก็บล้อตแรกได้  ชาวบ้านที่นี่เขามีฐานความรู้เรื่องการเพาะปลูกอยู่แล้ว  เราแค่ปรับให้เขารับกับเทคโนโลยี่นิดหน่อย  แล้วเขาก็เรียนรู้กันเร็ว”  บอยมันสลัดความคิดเก่าออกจากหัวสมองอย่างรวดเร็ว  มันเอาข่าวใหม่  มาเล่าสู่กันฟัง

   “จริงดิ  ในแปลงเกษตรที่เราทดลองปลูกก็เริ่มโตแล้วล่ะ  คะน้า  สวยต้นอวบอ้วนดี  กวางตุ้งก็ใช้ได้  น้ำหมักสมุนไพรสูตรกำจัดแมลงที่บอยขอสูตรมาจากคณะเกษตรได้ผลดีชะมัด  ชาวบ้านเองยังทึ่งเลย  ว่าไม่ใช้ปุ๋ยเคมีซักเม็ดกับยาฆ่าแมลงสักหยด  แต่พืชผักกลับสวยทั้งแปลงเลย”   นัทมันยกหัวแม่โป้งให้บอย

   มันต้องยกความดีให้บอย  . . .

   . . . แค่นัทมัน คิด ๆ  แล้วเปรยให้บอยฟัง  บอยมันก็คอยประสานงานไปยังหน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งในมหาวิทยาลัย  และตามหน่วยราชการนอกมหาวิทยาลัยด้วยความเต็มใจยิ่ง

   บอยยินดีทำทุกอย่าง . . . 

   . . . ขอแค่สิ่งที่บอยทำมันสามารถสร้างรอยยิ้มเล็ก ๆ  บนใบหน้านัทมันยินดี

   “แล้วผักที่รั้วอีก  กำลังเลื้อยขึ้นร้าน  ทั้งมะระหวาน บวบ  ฟัก  ถั่วฝักยาว  พืชพวกนี้ล้วนแต่เจริญดีทั้งนั้นเลยบอย  แต่นั่นแหละ  อีกไม่กี่วันเราก็จะกลับแล้ว  เมื่อเรากลับไป  ยังไม่รู้เหมือนกันว่า  สิ่งที่เราทำอยู่จะมีใครสานต่อหรือปล่าว  แต่นัทตั้งใจไว้แล้วนะบอย  ว่านัทจะหาเวลาเข้ามาทุกเดือน”  นัทมันเน่วแน่กับงานที่มันลงไปทั้งหัวใจ

   นัทมันสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจ . . . 

   . . . ด้วยหัวใจของเด็กหนุ่มคนนึงที่อยากเห็นความเป็นอยู่ที่ดีของชาวบ้านมากขึ้น  มันจะเหนื่อยมันก็ยอม  เพียงแค่ให้มันได้ทำในสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อคนในชาติบ้างก็เท่านั้น

   “บอยมาด้วย  อยากเห็นสิ่งที่เราทำกับมือมันเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง”  บอยมันบอก  มันอยากมา  ที่ไหนที่นัทอยู่  ที่นั่นมันก็อยากอยู่  มันไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นยังไง  มันรู้แค่มันเห็นนัทมีความสุข  มันก็สุขแล้วในหัวใจมันเอง

   “จริง ๆ  นะ  บอยมาจริง ๆ  นะ”   นัทมันตื่นเต้นเหมือนเด็ก ๆ 

   บอยมันเห็นท่าทางของนัท . . .

   . . .  มันยิ้ม นัทเหมือนเด็ก ๆ  ที่เจอของเล่นถูกใจ  มันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้  นัทอาจจะรู้สึกกับมันแบบที่มันรู้สึกกับนัท  แต่มันต้องสะลัดความคิดนั้นทิ้ง  เพราะมันรู้  หัวใจของนัทในตอนนี้ไม่มีที่ว่างสำหรับมันหรอก  นัทมันมีหัวใจเพื่อคนอื่นไปแล้ว  ซึ่งบอยเองมันก็รู้ดีว่าหัวใจนัทอยู่ที่ใคร

   “ไปหาเมย์กันเหอะ   ไม่ค่อยได้คุยกับเมย์เลยว่ะ”  บอยเปลี่ยนเรื่องพลางลุกขึ้นเดิน  บอยมันรู้ดี  หน้าที่บางอย่างที่มันต้องทำ  แม้มันจะเดินเหยียบเดินย่ำไปในหัวใจของมันก็ตาม  แต่มันยินดี  ยินดีกับรอยยิ้มที่ที่เกิดขึ้นบนใบหน้านัทอีกคราเมื่อเจอคนนั้นของนัท

   นัทมันลุกตาม . . . 

   . . . ก่อนที่มันจะเอามือวางแหมะที่ไหล่บอย  มันเดินกอดคอบอย  บอยมันรู้สึกร้อนวาบแทบจะละลายไปกองอยู่ตรงนั้น  มันไม่รู้นัทคิดแบบไหน  แต่รอยสัมผัสที่นัทวางบนไหล่มัน  มันรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด  หรือเพราะสิ่งนี้ที่หัวใจมันต้องการ  มันก็เลยทึกทักเอาไปเองว่านี่แหละคือสิ่งที่หัวใจมันต้องการ  มันต้องการแค่นี้จริง ๆ

   แค่สัมผัสเบา ๆ  ที่นัทมีให้เหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ 


   เสียงลั่นเปรี๊ยะจากฟืนที่สุมลงไปในกองไฟ  สะเก็ดไฟกระเด็นออกเป็นระยะ ๆ    คืนนี้เดือนมืดมิด  ยามค่ำหลังอาหารเย็นพวกที่มาออกค่ายบางคนไม่รู้จะทำอะไร  การมานั่งล้อมวงรอบกองไฟ  ร้องเพลงกัน  นั่งคุยกันจึงเป็นกิจกรรมที่ทุกคนเห็นว่าสนุกที่สุดยามค่ำคืน  บอยมันนั่งอยู่เยื้อง ๆ  กับนัทที่นั่งชิดเบียดไหล่อยู่กับเมย์   บอยมันสนุกสนานไปกับกิจกรรมที่เพื่อน ๆ  จัดขึ้น  คนที่นั่งล้อมวงจะต้องมีอะไรมาเล่นกับเพื่อนหรือจะโซโล่เดียวก็ได้แล้วแต่ถนัด

   บ่อยครั้งที่บอยเหลือบไปมองนัทหันไปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับเมย์  หัวใจมันเหงา ๆ  ขึ้นมาทันที  มันพยายามบังคับสายตาตัวเองไม่ให้มองไปบ่อย ๆ  แต่ดูเหมือนมันจะยิ่งยากเสียเหลือเกิน  มันต้องทนเก็บสิ่งที่มันคับแน่นอยู่ในหัวอก  บอยมันฝืนบังคับให้ค่อย ๆ  หล่นลงไปในหัวใจอย่างช้า ๆ

   “อ้าว  น้องบอยถึงคิวน้องบอยแล้วครับ  นั่งเหม่อไปถึงเชียงใหม่แล้วเน้อน้องบอยเรา”   เสียงรุ่นพี่แซว เพราะบอยมันพยายามลบภาพที่มันเห็นอยู่ตลอดเวลา

   มันหันไปมองนัท . . .

   . . . นัทยิ้ม  เหมือนที่ทุกในกองไฟยิ้มนั่นแหละ  บอยมันอาย  ก้มหน้าเล็ก ๆ  ก่อนละลุกขึ้นโค้งคำนับรอบวง

   “โทษครับ  พอดีผมมคิดไรเพลินไปหน่อย  เอาล่ะครับ  เดี๋ยวผมจะเดี่ยวกีตาร์ให้ฟังแล้วกันนะครับ  เพราะดูเหมือนว่ามันน่าจะเป็นสิ่งที่ผมถนัดที่สุด”  บอยบอกพลางรับกีตาร์มาจากเพื่อนอีกคน

   คืนนี้เงียบ  . . . 

   . . . ลมนิ่ง 

   บอยมันแหงนมองดูฟ้า  แม้แต่ดาวสักดวงมันแทบจะมองไม่เห็นเสียด้วยซ้ำ  ทั้ง ๆ  ที่มันเป็นคืนเดือนมืด  เหมือนหัวใจของมันตอนนี้กระมังมืดมิดไร้แสงสว่าง  มันมองไม่เห็นทางต่อเลย  ชีวิตมันจะอยู่มืดมิดแบบนี้อีกนานเท่าใดหนอ   บอยกวาดสายตามองไปรอบ ๆ  ท้องฟ้า  แต่มันก็หาทางสว่างไม่เจอ  มันหันไปมองเพื่อน ๆ  ในกลุ่มที่นั่งจับกลุ่มกันรอบกองไฟ  หลายคนเร่งให้บอยเล่น  เพราะรู้ดี  ว่าฝีมือกีตาร์ของบอยหาตัวจับยากเลยคนนึง   

   บอยมันเกากีตาร์เพื่อเทียบเสียง  ก่อนที่มันจะขึ้นอินโทรล  เสียงคุยกันเงียบกริบเพราะรอฟังเสียงบอย  แค่เสียงนิ้วสัมผัสกับสายกีตาร์มันก็เหงาจับใจพอดู  แล้วบอยมันค่อย ๆ เปร่งเสียงออกมาท่ามกลางความเงียบของผู้คนในรอบกองไฟ


อยากจะมีใคร คอยห่วงใยดูแลกัน  ในวันที่ฉันเหงาใจ

อยากจะมีใครที่จับมือกันเดินไปในคืนที่ฟ้ามืดมน

แต่มันเหมือนทั้งโลกว่างเปล่า  ไม่มีคนเข้าใจเหมือนไม่เคยเจอใครสักคน

อาจจะเคยมีคนที่เคยมองตากัน  แต่ก็ไม่เคยซึ้งใจ

อาจจะเคยมีคนที่เดินเคียงกันไป   แต่ก็ดูเหมือนไม่มี

ก็ชีวิตฉันยังว่างเปล่า ไม่มีคนเข้าใจ ฉันต้องการแค่ใครสักคน

ใครสักคนที่เป็นทุกอย่าง  ให้ความหวังและคอยห่วงใยทุกวัน

ใครที่คอยจะอยู่เคียงข้างกัน ที่จะพร้อมให้ความผูกพันจริงใจ

ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษ  ช่วยให้เหงาที่มีได้จางหายไป

ช่วยเป็นแสงสว่างให้หัวใจ  อยากจะขอแค่ใครสักคนที่รักจริง

ก็ชีวิตฉันยังว่างเปล่า ไม่มีคนเข้าใจ ฉันต้องการแค่ใครสักคน

ใครสักคนที่เป็นทุกอย่าง  ให้ความหวังและคอยห่วงใยทุกวัน

ใครที่คอยจะอยู่เคียงข้างกัน ที่จะพร้อมให้ความผูกพันจริงใจ

ใครสักคนที่เป็นคนพิเศษ  ช่วยให้เหงาที่มีได้จางหายไป

ช่วยเป็นแสงสว่างให้หัวใจ  อยากจะขอแค่ใครสักคนที่รักจริง

บอยมันค่อย ๆ  โซโล่กีตาร์อย่างเหงา ๆ

   . . . บ่อยครั้งที่มันเหลือบสายตาไปมองนัท  นัทแค่ยิ้มให้มันอย่างเคย  นัทไม่เคยรู้หรอก  ไม่เคยมองมาที่หัวใจของมันเลย มันพูดไม่ได้  บอยมันพูดอะไรไปไม่ได้  บอยทำได้แค่ส่งความรู้สึกทั้งหมดผ่านเสียงเพลง  บอยมันแค่อยากให้เสียงเพลงสื่อความหมายจากหัวใจของมัน  ล่องลอยผ่านสายลมไปกระทบหัวใจของบางคน  บางคนที่บอยมันรักยิ่งชีวิต  แต่ดูเหมือนสายลมจะไม่ทำงานเอาเสียเลย เพราะเสียงเพลงของมันไม่สามารถเข้าไปกระทบกับหัวใจของชายคนนั้นได้เลย  เพราะชายคนนั้นเขาเลือกแล้ว 

   คนที่เขาเลือกไม่ใช่ . . .

   . . . บอย

   เสียงตบมือเกียวกราว  เมื่อบอยมันโชว์จบสิ้น  ทุกคนชื่นชม  ชื่นชอบ  แต่บอยมันกลับรู้สึกยิ่งเหมือนตัวคนเดียวในโลก  เมย์ยิ้มให้มัน  ยิ้มแบบเคย แบบที่เมย์เคยยิ้ม  มันยิ้มแหละ  แต่ตอนนี้มันรู้สึกแปลก ๆ  ในหัวใจ  มันส่งกีตาร์ต่อไปให้กับคนอื่นที่ต้องโชว์ต่อจากมัน

   สายตาบอยเหลือบไปเห็น  เขาอิงแอบแนบชิดกับเมย์  นัทมันยิ้มอย่างมีความสุข  แต่บอยล่ะ  หัวใจของบอยตอนนี้มันเป็นอะไรไปหนอ  มันตอบตัวเองไม่ไหรอก  สิ่งเดียวที่มันจะทำได้ตอนนี้คือเดินออกจากที่ตรงนี้  มันควรจะมีที่เป้นของตัวเองซึ่งมันไม่ใช่ที่รอบกองไฟแน่นอน

   นัทมันขมวดคิ้ว . . .

   . . . เมื่อมองมาทางบอย  ที่ไม่กล้าแม้จะมองหน้านัทอีกต่อไป 

   บอยลุกเดินออกมาจากกองไฟไปเงียบ ๆ  มันเหนื่อยหัวใจอีกแล้วหรือ  มันพยายามเป็นอย่างมากที่จะต่อสู้กับหัวใจ  ต่อสู้กับความรู้สึกในหัวใจของตัวเอง  แต่มันเหมือนยิ่งสู้มันจะยิ่งแพ้  มันแพ้หัวใจตัวเอง  มันห้าม  มันหยุดความรู้สึกที่หัวใจมันสั่งมาไม่ได้   ความอ่อนแอเหรอ  หรือความอ่อนล้าไม่รู้  ค่อย ๆ  มาเยือนมัน  หัวตามันร้าว  แววตามันพร่ามัว  มันรับรู้สองแก้มของมันเริ่มมีหยาดน้ำอุ่น ๆ  มาเยือน  บอยมันไปปัด  มันไม่เช็ด  ในเมื่อมันอยากไหลออกมา  บอยก็จะปล่อยให้มันไหล  แล้วมันจะแห้งไปเองแหละ  มันไหลมาเองได้  มันก็ต้องหยุดไหลได้เหมือนกัน

   เสียงหรีดหริ่งเรไรร้อง  สลับกับเสียงเพลงจากองไฟที่ล่องลอยมาตามลม  บอยมันแหงนมองฟ้า  คืนนี้ฟ้ามืด  แม้ยามดึกฟ้ายังมืด  มิดมิดแบบไร้ดาวเสียด้วย  มันแค่อยากมีแสงสว่างเล็ก ๆ ของดวงดาวดวงไหนก็ได้ มานำทาง  นำหัวใจของมันให้หลุดพ้นจากความมืดมิด  แต่มันไม่มี  มันไม่มีเลย  บอยมันจำต้องปล่อยให้สายลมที่พัดโชยเอื่อยโลมเลีย  และโอบกอดมันเอาไว้  ก็มันไม่มีมือใด ๆ  มาโอบกอดมันไว้นี่หว่า  ความอบอุ่นเหรอ  มันก็เอาจากน้ำตาที่ยังไหลมาแบบไม่มีที่ท่าว่าจะหยุดนี่ไง   มันมีตัวเองเป็นเพื่อน  ยามที่มันหว่าเหว่หัวใจเป็นที่สุด

   มันค่อย ๆ  เดินช้า ๆ  มาหยุดที่ชิงช้าที่เป็นสนามเด็กเล่น  มันนั่งเงียบ ๆ เพื่อฟังเสียงหัวใจมันสะอื้นให้  มันไม่ไหวแล้ว  มันสะอื้นเบา ๆ  ปลดปล่อยสิ่งที่คับข้องหมองใจของมัน  ยามนี้น้ำตานั่นแหละคือเพื่อนที่ดีที่สุดของมัน  รอเดี๋ยวนะ  รออีกเดี๋ยวเดียวเท่านั้น  รอให้มันเข้มแข็งกว่านี้อีกสักหน่อย  ตอนนี้มันยังไม่แข็งแรงพอ  ขอมันปลดปล่อยความอ่อนแอทั้งหมดของมันไว้ที่นี่  ไว้ตรงนี้แหละ  ที่ตรงนี้อาจจะเหมาะที่สุดสำหรับบอย  เหมือนกับที่บนดาดฟ้าที่หอในเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 07-07-2009 20:37:56
เรตติ้งอาจไม่สำคัญ
แต่อยากเข้ามาให้กำลังใจค่ะ
ดีใจที่คุณราชบุตรมาเขียนต่อแล้ว
ขอบคุณค่ะ
 :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 07-07-2009 23:00:01
ตอนที่ ๙
ใต้ร่มพระบารมี



   นัทแปลกใจ  บอยค่อย ๆ  เดินหายลับไปทางสนามเด็กเล่น  บอยมันเป็นอะไรไปหว่า  เมื่อตอนเย็นมันยังดี ๆ  อยู่เลย  มันยังสนุกสนานกับงานที่มันช่วยกันทำ  มันยังยิ้มยังหัวเราะตามปกติ    แถมตอนกินข้าวด้วยกันมันยังคอยแซวคนโน้นคนนี้  และที่สำคัญ  เมื่อก่อนหน้านี้สักประเดี๋ยวเดียว  มันยังหน้าระรื่นอยู่เลย 

   “เมย์  บอยเป็นอะไรไปหรือ”  นัทพูดเบา ๆ  ในขณะที่คนอื่น ๆ  ยังสนุกสนานกับกิจกรรมรอบกองไฟ

   “อืม  เมย์ยังแปลกใจอยู่เลย  บอยเหมือนมีอะไรในใจ  นัททำงานอยู่กับบอยทั้งวันไม่เห็นเลยเหรอ”  เมย์หันกลับมาตั้งคำถามกับนัท

   นัทมองหน้าเมย์ . . . 

   . . . แม้เดือนจะมืด  แต่นัทมันเห็นชัด  ประกายวับวาวจากแววตาเมย์  นัทมันจำได้ดีเสมอ  แววตาที่นัทมันยึดถือเป็นแสงสว่างของหัวใจ  แววตาที่นัทมันหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งยามเห็นแววตาคู่นี้พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ  เหมือนกำลังใจ

   “งั้นนัทไปดูบอยมันหน่อยนะ  เผื่อมันจะไม่สบาย  วันนี้มันขลุกอยู่กับงานทั้งวันเลย”  นัทบีบมือเมย์เบา ๆ 

   เมย์พยักหน้ารับรับรู้ . . . 

   นัทมันค่อย ๆ  ลุกเดินตามบอยไปตามทางที่บอยเดินไป  แม้มืด  แต่นัทมันปรับสภาพสายตาได้อย่างรวดเร็ว  ในความเป็นเพื่อนนัทมันห่วงเพื่อนแหละ  มันห่วงเพราะรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ  ในหัวใจของนัท  บอยมันก็เพื่อนคนนึง  และออกจะเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับบอยเสียด้วยสิ

   นัทย่างเท้ามาช้า ๆ . . .

   ก่อนที่จะหยุดอยู่ห่าง ๆ  เมื่อมันได้ยินเสียง สะอื้นให้มาตามสายลม ที่โชยเอื่อยอ้อยอิ่ง  ลมพัดใบไม้กรูไหว  ราวกับรับรู้กับความเสียงใจของคนที่นั่งอยู่ที่ชิงช้า  นัทมันรู้  บางเรื่อง ไม่สมควรเดินเข้าไป  นัทมันก็เคย  มันอยากอยู่คนเดียวเหมือนกัน  เพราะบางเวลา  มันไม่ต้องการใคร 

   ไม่ต้องการแม้คำปลอบประโลมใด ๆ  จากใครทั้งสิ้น

   นัทนั่งลงเงียบ ๆ  ที่ม้าหินใต้ต้นไม้  มันควรนั่งมองห่าง ๆ  ตรงจุดนี้  ตรงนี้น่าจะเหมาะที่สุด  นัทมองไปยังร่างของบอยที่นั่งหันหลังอยู่  คิ้วมันเริ่มขมวด  นัทมันเริ่มคิด  งานเหรอ  ไม่น่าจะใช่เพราะบอยมันสนุกกับงาน  เรื่องอื่นที่จะกระทบจิตใจบอยมะไรอีหว่า นัทมันคิดไปมากมายร้อยแปด  จนมันมาหยุดที่ . . .

   . . . เมย์

   ต้องเป็นเมย์ . . .

   . . . เมย์ แน่ ๆ 

   บอยชอบเมย์

   นัทมันสรุปเอาในใจ . . . 

   เพราะตั้งแต่วันแรกที่มันเจอบอยเดินมากับเมย์  ท่าทางสนิทสนมกัน  จนกระทั่งถึงวันลอยโคมยี่เป็ง  ที่บอยมันนั่งเกากีตาร์ร้องให้อยู่บนดาดฟ้า  แล้วยังวันแรก ๆ  ที่มาถึง 

   วันที่นัทจูงเมย์ไปล้างตาเพราะพิษของหัวหอม  แล้วนัทกลับมาเห็น  บอยเองก็น้ำตาไหล  แถมยังลุกหนีไปเสียดื้อ ๆ  แล้วมาวันนี้อีก  วันนี้ที่มันนั่งอิงแอบแนบชิดกับเมย์หยอกล้อต่อกระซิก  บอยมันร้องเพลงจบ  มันค่อย ๆ  ปลีกตัวออกมาห่างจากกิจกรรมที่มีเมย์เกี่ยวข้อง

   มาถึงตอนนี้นัทเองก็รู้สึกเครียด . . . 

   . . . ในความเป็นเพื่อนมันจะบอกกับบอยยังไงดี   เพราะนัทเองก็รู้สึกดีกับเมย์  นัทยอมรับในเวลานี้  ไม่มีใครมาปั่นป่วนหัวใจของนัทได้เท่าเมย์   แล้วเรื่องความรักมันก็อยู่ที่คนสองคน  มันไม่ใช่จะมาบังคับเอาให้ได้  ว่าจะต้องให้ใครคนใดคนนึงมารัก  แบบนั้นมันไม่ใช่ความรัก



   ลมเย็นจากชายป่าพัดเข้ามากระทบกับร่างบอย  ถ้าเป็นช่วงที่บอยอารมณ์ดี ๆ  มันคงสุขใจกับบรรยากาศตอนนี้  แสงดาวเริ่มสุกสกาวพราวแสง  หลังจากเมฆครึ้มผ่านพ้นไป  มันค่อย  ๆ  ใช้หลังมือเช็ดนำตา  ยิ้มรับกับทุกสิ่งทุกอย่างที่มันจะต้องเกิดขึ้น  มันยังต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวันทีเดียว  มันต้องทำหัวใจของมันให้สนุกกว่านี้  มันนึกถึงคำของนัท

   . . . มหาวิทยาลัยยังมีวันหยุด  แต่ความเดือดร้อนของชาวบ้านไม่มีวันหยุด

   นัทพูดถูก . . . 

   บอยมันตัดเรื่องส่วนตัวของมันทิ้ง  มันค่อย ๆ  เอาจุดใหญ่ที่มันจะต้องทำ  ถ้ามันอ่อนแอ  อ่อนล้าทิ้งงานไปตอนนี้  คนที่จะเหนื่อยคือนัท  และชาวบ้านอีกนับร้อยที่ฝากความหวังไว้กับมัน  ฝากความหวังไว้กับเกษตรทฤษฏีใหม่  ที่นัทมันพยายามปั้นขึ้นมา  แล้วมันเองมิใช่หรือ  ที่ช่วยนัทมันปั้น  แล้วมันจะทิ้งไปกลางคันแบบนี้เชียวหรือ 

   ชิงช้ามันโยกไหวเพราะแรงไกว . . . 

   . . . บอยมันสะดุ้ง 

   มันปล่อยจิตใจให้คิดเตลิดจนแทบไม่ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาเลยหรือนี่  คนที่จับชิงช้ามันไกว  ก้าวข้ามมานั่งที่ชิงช้าอีกตัว  บอยมันเห็นแหละ  แม้ในความมืดมิดของรัตติกาล  แต่ในหัวใจของบอยมันไม่มืด  เพราะมันใช้รอยยิ้มของคนที่นั่งอยู่ที่ชิงช้าอีกตัวนำทาง 

   . . . นำทางหัวใจของบอย 

   “มึงเป็นห่าอะไรของมึงไอ้บอย  อยู่ ๆ  ลุกออกมาเฉยเลย”  นัทถาม  เมื่อชิงช้าที่มันไหวแรง ๆ  เพียงครั้งเดียวของบอยเริ่มไกวช้าลง

   บอยมันยิ้ม . . .

   มันยิ้มเพราะสุขหัวใจกับแรงไกวชิงช้าเพียงครั้งเดียว  หรือมันสุขใจเพราะในที่ตรงนี้มีเพียงมันกับนัทเท่านั้น  มันอยากหยุดเวลาทั้งโลกเอาไว้แบบนี้ทุกครั้งในเวลาที่มีเพียงมันกับนัท

   “ไม่ได้เป็นไรนี่  แค่เหนื่อยนิดหน่อย”  มันไม่ได้ปดนัท

   บอยเหนื่อยจริง ๆ 

   . . . แต่บอยเหนื่อยที่หัวใจ 

   หัวใจที่มันพยายามรักษาระยะห่างของหัวใจตัวเองเอาไว้  ให้เท่ากับระยะห่างที่นัทไม่สงสัยในความเป็นเพื่อน  มันรู้  มิตรภาพที่มันสร้างขึ้นมาต้องใช้เวลา  มันไม่อยากทำลายมิตรภาพอันนั้นไป  มันคงเสียใจเจียนตาย  ถ้ามันต้องเสียมิตรภาพที่ดีระหว่างมันกับนัทไป

   “บอย  คนเราเหนื่อยกันได้  แต่อย่าท้อนะ”  นัทมันยิ้ม

   บอยสุขไปถึงหัวใจที่เหือดแห้งก่อนหน้านี้ . . . 

   น้ำเสียงนุ่มทุ้มลึกที่พูดออกมาอ่อนโยน  เหมือนน้ำทิพย์หลั่งไหลมาชโลมหัวใจของบอยที่แห้งผากเพราะพิษรัก  ที่บอยมันเพาะพิษนั้นเอาไว้เอง  นัทเคยรู้อะไรด้วยหรือ  ในเมื่อความรักที่บอยมีให้  มันแค่รักเงียบ ๆ  รักในเงามืด  รักที่มันก็เอ่ยไม่ได้เช่นกัน

   ความรักบางครั้งก็คือยาพิษที่คอยเกาะกินใจเราดี ๆ  นี่เอง

   แต่บอยมันรู้ . . . 

   . . .ในความรัก   

   ความรักที่มันมีให้นัท  มีแต่ทุกข์  แต่บอยมันไม่เคยทุกข์  มันเก็บเอารอยยิ้มของนัทมาเป็นยาดับพิษ  หรือที่จริงแล้วมันกลับสะสมพิษในหัวใจของมันให้มากกว่าเดิมหรือแปล่าวมันไม่รู้

   มันคล้ายตะกอนที่ค่อย ๆ  ตกลงในห้วงลึกของหัวใจ

   “บอยกำลังใจมันอยู่ตรงนี้ . . .”   นัทเอามือมาแตะที่หัวอกข้างซ้ายของบอย 

   บอยมันเขินจนหน้าแดง . . . 

   . . . สัมผัสเผ่วเบาจากมือของชายที่มันมาดหมาย  แต่บอยมันโชคดียามนี้ค่ำคืน  มืดมิดมีเพียงดาวนับหมื่นล้านทอประกายพราวแสงที่คุ้งฟ้า  มันอิ่มหัวใจที่ได้รับสัมผัสจากมือคนที่มันรัก  แม้แค่เพียงสัมผัสแค่เผ่วเบาเท่านั้น

   “. . . มันอยู่ที่นี่  และอยู่มานานแล้ว  บางครั้งบอยอาจท้อ  บอยอาจสิ้นหวัง  แต่สิ่งที่อยู่ในนี้  มันสร้างขึ้นมาใหม่ได้  กำลังใจบอยสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้  มันเป็นของบอย  มันเป็นสิ่งที่ติดมากับตัวบอย”   นัทยิ้มกับบอยอย่างเคย

   บอยมันอิ่มซ่านรับรู้ไปถึงส่วนลึกสุดในหัวใจของมัน

   “ขอบใจนะนัท  ขอบใจที่ทำให้เวลาที่เรารู้สึกว่าเลวร้ายที่สุด  กลับกลายมาเป็นเวลาที่เราควรจดจำไว้มากที่สุดเช่นกัน”

   ถ้าบอยมันมีมนต์วิเศษ  มันจะร่ายมนต์บทนั้นให้นัทได้ยินในเสียงหัวใจของมัน  ให้นัทรับรู้ว่าในหัวใจของมันสุขมากเพียงใดที่ได้ยินคำปลอบโยนจากนัท  แต่มันไม่มีมนต์วิเศษ  มันแค่แค่หัวใจที่รักด้วยความรู้สึกที่อยากรัก 

   รักที่มันเองก็ไม่ปรารถนาจะดึงนัทมาเป็นของมัน . . . . 

   . . . . หัวใจรักมันมีเท่านั้นเอง


   โรงเพาะเห็ด  เริ่มมีดอกหลายขนาด  บอยมันเดินตรจดูด้วยความกระปรี้กระเปร่า  ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนมันกลับยิ้มอายหน้าแดง  มันรู้มันเป็นเอามาก  ขนาดเก็บเอาไปฝันเป็นตุเป็นตะ  ในฝันมันเห็นนัท  มันฝันว่านัทรู้แล้ว  ว่ามันรู้สึกอย่างไรกับนัท  แต่นัทไม่รังเกียจมัน  นัทบอก 

   “เราเพื่อนกันไงบอย  บอยจะเป็นอะไรไม่สำคัญ  เท่ากับว่าบอยเป็นเพื่อนของนัท” 

   เท่านั้นแหละที่บอยมันยิ้ม  มันอดขำตัวเองไม่ได้  ที่เก็บเอาเรื่องจริงไปต่อเติมเข้ากับฝันจนได้

   ความฝันไม่เคยทำร้ายใคร . . .

   . . . แล้วทำไมเราต้องทำลายความฝันด้วยล่ะ

   “แหมบอย  ยิ้มกับเห็ดก็เป็นด้วยนะคนเรา”  เสียงนุ่ม ๆ  ทำเอาบอยต้องแหงนหน้าไปดู

   “อ้าวเมย์นั่นเอง  นัทมันอยู่ที่ลานผสมปุ๋ยมั้ง  เพราะวันนี้ต้องหมักปุ๋ยเพิ่ม”  บอยบอกพลางชี้ไปที่ลานวัดที่ชาวบ้านต่างช่วยกันคนละไม้คะละมือ

   “มาหาบอยนี่แหละ  ไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”  เมย์เดินดูโรงเห็ด  ที่สร้างเป็นชั้น ๆ  มีถุงเห็ดสอดไว้  แล้วเห็ดนางฟ้าที่ออกดอกเร็ว  โผล่พ้นถุงเห็ดออกมา

   “ต้องรีบแหละเมย์  อีกไม่กี่วันต้องกลับมหาวิทยาลัยแล้ว  ต้องเรียนซัมเมอร์อีก  กว่าจะปลีกตัวมาได้ก็อีกหลายวันแหละ  กลัวชาวบ้านเขาจะทำต่อกันไม่ได้  เลยต้องรีบถ่ายทอดให้คนที่เพิ่งกลับมาจากในเมืองให้มากที่สุด”  บอยตรวจความชื้น  ตรวจอะไรไปตามเรื่องตามราว  เดินนำเมย์ที่มองดูเห็ดในโซนโน้นทีโซนนี้ที

   “บอยเป็นอะไรไปหรือปล่าว  เห็นเมื่อวานดูเศร้า ๆ  ยังไงไม่รู้”  เมย์ถามออกมาตรง ๆ

   บอยหันกลับมามองหน้าเมย์ . . . 

   . . . มันยิ้มแบบเคย 

   เห็นเมย์จ้องมันด้วยสีหน้าของคนที่คอยคาดคั้น  เหมือนครูใหญ่ที่กำลังจับผิดนักเรียน  หากแฝงไว้ด้วยความห่วงใย  ความห่วงใยที่บอยเองก็สัมผัสได้ 

   บอยมันอดที่จะขำไม่ได้มันหัวเราะเบา ๆ  นี่มันเป็นเอามากขนาดที่เพื่อน ๆ จับความรู้สึกได้เทียวหรือ  แล้วยังมีใครจับได้อีกไหมนั่นว่ามันรักนัท  ตายละหวา  ขืนใครจับได้มีหวังมันอายจนต้องมุดแผ่นดินหนีแน่ ๆ

   เรื่องแบบนี้สังคมยังไม่เปิดรับนี่หว่า

   “ทำไมมองแบบนั้น  ไม่มีอะไร”  บอยมันยิ้มอีก

   “แน่นะ”  เมย์คาดคั้น

   “อืม  แน่สิ  จะมีอะไรได้ล่ะ”  บอยมันยังยืนยันเช่นเดิม

   “แต่ท่าทางบอยอย่างกับคนอกหักเลยนะบอย”  เมย์ยังไม่ยอมเลิก  แววตาเมย์มันห่วงใยบอยจริง ๆ 

   เมย์จี้เข้าจุดตายของมันเลย

   บอยรู้ เพื่อนห่วงมัน  มันน่าเขกกะโหลกตัวเองนัก  เผลอหลุดอาการแบบนี้ไปให้คนอื่นเห็นได้อย่างไร  เมื่อคืนนัทปลอบมันทีนึงแล้ว  มาเช้านี้เมย์ยังตามมาแสดงความเป็นห่วงมันอีก มันถอนหายใจช้า ๆ  อดสงสารตัวเองไม่ได้  ที่ดันไปหลงรักเพื่อนดี ๆ  แบบนัท

   “อูยเมย์พูดเข้า  แฟนยังหาไม่ได้เลย  จะมาอกหักได้ไง  ถ้าจะอกหักจริงก็เมย์แหละที่หักอกบอย”    มันพูดทีเล่นทีจริง

   “บ้า  บอยนี่บ้าใหญ่แล้ว”  เมย์มันอาย

   แต่ . . .

   . . . บอยมันพูดไปแล้ว 

   มันพูดไปโดยไม่ทันคิด . . .

   อีกแล้ว  อีกครั้งแล้วนะที่มันอยากเขกกบาลตัวเอง  พูดไปได้อย่างไรกัน  เดี๋ยวเมย์พาลคิดแบบที่บอยมันคิดจะยิ่งยุ่งหนักไปอีก  แต่เออมันก็เรื่องจริงนี่หว่า  ก็เมย์หักอกมันจริง ๆ  นี่หว่า

   ก็เมย์เล่นตกลงเป็นแฟนกับนัท    คนที่มันแอบมอบหัวใจให้ไปทั้งดวงนี่

   “หน้าแดงเลยเมย์  เมย์ก็รู้  บอยไม่มีใคร  เมย์ก็เพื่อนบอยบอยจะคิดแบบนั้นได้อย่างไรกัน  เมย์ไม่ต้องเป็นห่วงบอยหรอก  ไม่มีอะไรจริง ๆ  ไว้ถ้ามีบอยจะบอกเมย์เป็นคนแรกเลย”  บอยยิ้ม  ยืนยัน

   “จริง ๆ  นะบอย  มีอะไรที่บอยไม่อยากเก็บไว้เล่าให้เมย์ฟังนะบอย”  แววตาเมย์จริงจัง

   “จ้าสัญญา”  บอยชูสองนิ้วส่ายไปมา

   “อ้าว ๆ ๆ ๆ  มาอยู่นี่เอง  บอย  ชาวบ้านรอกันอยู่  รอแกจะไปสอนสูตร  การผลิตน้ำสกัดชีวภาพสมุนไพรไล่แมลงและป้องกันเชื้อรา  เห็นตามิ่งขน ใบสะเดาแก่  ใบน้อยหน่า  ใบฝรั่ง  โอ้ยใบอะไรต่อมิอะไรมาเต็มคันรถเข็นเลย”

   นัทตะโกนมาบอกก่อนที่ตัวจะมาถึงเสียอีก

   “อ้าวเมย์  มาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ  ไปดูบอยมันทำน้ำสกัดชีวภาพกันมั้ย  บอยมันเก่งนะ  สอนจนชาวบ้านจะยกลูกสาวให้มันอยู่แล้ว”  นัทแหย่  พลางเดินมาใกล้ ๆ  เมย์

   “จริงเหรอนัท  เอ!  ลูกสาวใครน๊า  โชคดีจะได้บอยไปเป็นคู่”  เมย์เอียงคอล้อเลียนบอย

   “อูยเมย์  ไปเชื่อนัทมัน  บ้าแล้วล่ะ  มันนั่นแหละ  ยายแช่มจะยกลูกให้อยู่แน่ะวันนั้น”  บอยโยนกลับมาที่นัท

   “อ้าวบอย  ไหงโยนกลับมาวะแบบนี้ล่ะ อย่าปล่อยให้เขารอเลย  ไม่ดีว่ะ”    นัทมันพยักหน้า  แล้วเดินนำหน้าออกไป

   บอยมันเดินตามมาอีกตามเคย 

มันยินดีที่จะตามนัทไปอยู่แล้ว  ตามไปทุกที่แหละ  แม้จะไม่ได้ใกล้ตัวนัท  มันขอเดินใกล้ ๆ  เงาของ นัทที่ทอดยาวลงมาที่พื้นดินก็ยังดี  เพราะมันรู้ในเงาดำ ๆ  นั้นเจ้าของเงาคือชายที่มันแอบมอบหัวใจไปให้แล้วทั้งหัวใจ


   สถานที่ที่ชาวบ้านแม่นะนึกถึงมากที่สุดในเวลานี้คือ . . . 

. . . สหกรณ์คนจน 

ที่หลวงตาก้องให้ใช้สถานที่ของวัดดำเนินการได้    ใกล้ ๆ  ที่ทำการสหกรณ์มีหมู่มวลสามชิกต่างมาชุมนุมพูดคุย  ปรึกษาหารือกันถึงงานต่าง ๆ  บางคนมีสีหน้าเคร่งเครียด  ใบหน้าหม่นหมอง  ดวงตามีม่านหมองทาบทับ  ทุกข์ที่เกาะกินใจชาวบ้านมีทุกวี่ทุกวัน

   ความเดือดร้อนไม่เคยจางหายไปจากผืนแผ่นดินของชาวไร่  ชาวนา ชาวสวน  เกษตรกรไทยยังคงต้องเจอกับความยากจนอีกนานเท่าใด  เพราะทั้งฟ้า  ฝน  ธรรมชาติ  และนายทุน  พ่อค้าคนกลางต่างคอยจ้องเอารัดเอาเปรียบผู้อ่อนแอกว่าอยู่เสมอ 

   “กำนันเราจะทำอย่างไรดี  นี่ก็ใกล้สงกรานต์แล้ว  ฝนไม่ตกเลย  ฝายแม้วที่พวกเด็ก ๆ  มันมาช่วยสร้างก็ช่วยได้แค่เรามีน้ำกินน้ำใช้เท่านั้น  ไม่เหลือพอทำเกษตรหรอกนะ  แล้วลำไยมันก็ติดลูกอยู่  ขืนฝนไม่ตกไม่มีน้ำรด  ปีนี้ท่าจะแย่เอานา”   ลุงชม  เป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมา

   เสียงอื้ออึงของคนโน้นคนนี้ตามมา  ปีนี้ฝนทิ้งช่วงนาน 

   “บ่อหลังบ้านฉันก็แห้งขอด  แทบจะตักน้ำมาใช้ไม่ได้แล้วเหมือนกันนะกำนัน”    ยายดวงยกมือบอกถึงความเดือดร้อนอีกคน

   “ขืนเป็นแบบนี้มีหวังปีนี้  สวนล่มอีกแหงเลยนะกำนัน  ไอ้ฉันอดดีใจที่พวกเด็ก ๆ  มันเอาปุ๋ยชีวภาพมาฉีดไล่แมลง  ทุ่นค่ายาฆ่าหญ้าไปได้โข  ยังแอบหวังลึก ๆ  ว่าจะปลดหนี้ไอ้เถ้าแก่เส็งมันให้หมดเสียที  เพราะปีหน้าคงต้องเอาปุ๋ยของสหกรณ์นี่แหละไปใช้  แต่ถ้าฝนไม่ตก  ไม่มีน้ำรดแบบนี้  ลำใยมันจะยืนต้นตายเอานา”    ตาสม  บอกด้วยแววตาที่มีความหวังในตอนแรก  แต่ลงท้ายด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง

   ความทุกข์อันใหญ่หลวงของคนทำมาหากิน  ทุกข์ที่ไม่รู้จะหมดไปเมื่อใด   

   ทุกข์ . . .

. . . ที่แต่ละคนแบกเอาไว้ไม่เหมือนกัน

   ยามเด็ก  เราทุกข์  ว่าจะมีอะไรกินมั้ย  มีเวลาวิ่งเล่นมั้ย  พอโตมาหน่อยวัยรุ่น  ทุกข์คือความรัก   เรื่องเรียนจะเอ็นท์ติดคณะอะไร  พอเรียนจบก็ทุกข์อีก  จะหางานที่ไหนทำดี

   แต่งงาน . . . มีลูก  ก็ทุกข์

   มนุษย์เราแบกทุกข์  ตั้งแต่เกิด. . . . จนตาย

   “แล้วพรุ่งนี้พวกเด็ก ๆ  ต้องกลับกันแล้วด้วย  มีแต่พ่อนัทกับพ่อบอย  ที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ  จะกลับมาทุกเดือน  จะมาช่วยพวกเรา  ชั้นก็ได้แต่หวังนะกำนัน  พวกเด็ก ๆ  มันจะทำให้เรามีรายได้เพิ่มบ้าง ซึ่งมันก็เริ่มมองเห็นทางแหละ  เพราะพืชที่พวกเด็ก ๆ  นำมาให้  มันโตดี  และต้านโรค  แต่ถ้าเราไม่มีน้ำนี่สิมันเรื่องใหญ่นา”    ยายแช่มเองก็ยังทุกข์

   ความกังวลใจที่แผ่ออกมาจากเนื้อตัวและหัวใจของแต่ละคน  ดูจะครอบคลุมทุกพื้นที่ทุกตารางนิ้วของพื้นที่แห่งนั้นเอาไว้เสียสิ้น เหมือนม่านหมอกหนาทึบที่ยังมองไม่เห็นทางสว่างอันใดเลย 

หลวงตาก้องเองก็มีสีหน้าเคร่งเครียด   ทุกข์ของชาวบ้านมากมายเสียเหลือเกิน  มีเรื่องนี้แล้วมีเรื่องโน้นตามอีก  แม้แต่พระสงฆ์  ยังกังวลเพราห่วงใยชาวบ้านที่ล้วนแต่ประเดประดังด้วยทุกข์

   สองหนุ่มคนที่ยายแช่มอ่ยถึง . . .

. . . เดินผ่านเมฆหมอกที่อึมครึมอยู่ทั่วบริเวรเข้ามาด้วยกันช้า ๆ       กลับทำให้หลายคนในที่นั้นเริ่มรู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด  และเริ่มมองเห็นแสงสว่าง

   ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยยิ่มอ่อน ๆ  ที่แฝงความเคร่งเครียดที่ฉาบอยู่บนสีหน้าของนัท  เขาเดินเข้ามาได้ยินชัดเจนทีเดียว  ทุกข์ของชาวบ้านนานับประการ  ตอนนี้โครงการของเขาเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง  แต่มาสะดุดเพราะขาดน้ำ

   “น้ำ”   ปัจจัยหลัก  หัวใจสำคัญของการเกษตร

   บ้านแม่นะ  โอบล้อมด้วยขุนเขายังประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำ  แล้วที่อื่น ๆ  ที่อยู่ไกลออกไปอีกล่ะ  จะเจอปัญหาหนักขนาดไหน  แหล่งต้นน้ำโดนทำลายไปมาก  มากเสียจนภัยแล้ง  กลายเป็นภัยที่น่ากลัวขึ้นทุกวี่ทุกวัน

   ฤดูแล้ง  แล้งยาวนานร้อนเพราะไร้ต้นไม้ให้ร่มเงา

   หากแต่พอถึงฤดูฝน  ฝนตกหนัก  ภูเขาไร้ต้นไม้ไม่มีอะไรต้านทานน้ำ  กลางเป็นปัญหาดินถล่ม  น้ำป่าหลาก

   ปัญหาที่มนุษย์เองทั้งนั้นเข้าไปย่ำยีธรรมชาติ

   ถึงตอนนี้ . . .

. . . ธรรมชาติเริ่มทวงคืน

   “พ่อนัท  จะทำยังไงกันดี  ลำใยกำลังออกผล  ผักที่พ่อนัทให้ปลูกกำลังโต  แต่ถ้าขาดน้ำนี่ท่าจะแย่นา  ไอ้ฝายที่พ่อแดนกับเพื่อน ๆ  มาช่วยทำ  มันก็ช่วยได้แต่ให้เราพอมีน้ำกินน้ำใช้  เพราะมันยังไม่เต็มฝาย  มันไม่พอกับการเพาะปลูกหรอกนะพ่อนัท  ป้าล่ะกลุ๊ม กลุ้ม”    ป้าชมมาลูบที่ต้นแขนนัทเบา ๆ

   นัทมันหันมาสบตากับบอย . . . 

. . . แววตานัทมันร้าวรวด  เจ็บปวดกับสิ่งที่มันรับรู้  ธรรมชาติโหดร้ายนัก  หรือเพราะมนุษย์ไปรุกรานธรรมชาติก่อนก็ไม่รู้

มันอยากให้ชาวบ้านลืมตาอ้าปากได้ดีขึ้น  แต่ดูเหมือนว่า  ยิ่งทำมันกลับยิ่งมองไม่เห็นทางเอาเสียเลย  มันแก้ปัญหานี้ได้  อีกปัญหาก็ตามมา  แล้วเมื่อไหร่ปัญหาที่มันแก้จะหมดไปเสียทีนะ  บอยเข้าใจดีเป็นที่สุด   มันเข้าใจเพื่อนมันดี  นัทมันแบกภาระเอาไว้มาก 
ภาระอันหนักอึ้ง  ที่ไม่ใช่เป็นปัญหาของตัวเองด้วยซ้ำ

   “เอ๊า ๆ ๆ ๆ    ใจเย็น ๆ  เงียบ ๆ  กันหน่อย  เราค่อย ๆ  คิดกัน  ตั้งสติกันก่อน  อย่าเพิ่งโวยวาย  ปัญหามาเราก็ค่อย ๆ  แก้กัน  ไอ้นัท  ไอ้บอย  มันก็ต้องมีหน้าที่ของมัน  มันก็ต้องกลับไปร่ำไปเรียน  ที่มันมาช่วยเราที่นี่เดือนกว่า ๆ  มันก็เป็นฐานที่ดีอยู่แล้ว  ถ้าพวกเรารักมันสองคนก็ช่วยกันทำให้สิ่งที่มันทำเอาไว้เกิดผลสิวะ”  หลวงตาก้องปรามเมื่อหลายคนเริ่มวิตกกันมากขึ้น

   “โธ่หลวงตา  พ่อนัทพ่อบอย  ก็เหมือนลูกเหมือนหลาน  ใครที่นี่ไม่รักสองคนนี้บ้าง  พวกชาวบ้านรู้แหละ  ว่าพ่อนัทพ่อบอยทุ่มเทขนาดไหน  แต่ตอนนี้เรากำลังเดือดร้อนเพราะขาดน้ำ”  ลุงมีเอ่ยออกมาบ้าง

   “อ้าว  เอ็งพูดแบบนี้จะให้ไอ้สองหนุ่มนี่มันเป็นเทวดารึ  จะได้เสกน้ำได้  ค่อยค่อยคิด  คนเราลองมีสติ  ปัญญามันก็จะบังเกิด  พระพุทธองค์สอนเอาไว้  ให้เราใช้ปัญญาในการแก้ปัญหา”     หลวงตาก้องหันไปถามลุงมี

   “ไม่ใช่ขอรับหลวงตา  พวกผมมันแค่คนบ้านนอก  แค่อยากรู้  เราพอจะมีวิธีไหนได้บ้างก็แค่นั้น”   ลุงมีบอกกลับไป

   บอยสบตานัท  แล้วมันดีดนิ้วดังเปาะ

   เทวดา . . .

. . . ของหลวงตา  ทำไมบอยมันลืมเสียสนิท

   “หลวงตาครับ  เรายังพอมีหวังครับ  พวกผมไม่ใช่เทวดาที่จะสั่งฟ้าสั่งฝนได้  แต่ยังมีคนที่สั่งฟ้าสั่งฝนได้ครับหลวงตา”    บอยมันยิ้มกว้างมันหาทางออกได้แล้ว

   “ใครหรือพ่อบอย  จะมีใครมาสั่งฟ้าสั่งฝนได้”    เสียงใครคนหนึ่งเอ่ยนำมาจากในกลุ่ม

   แล้วเสียงถามหาคนสั่งฟ้าสั่งฝนได้ก็ดังกันเซ็งแซ่  บอยหันมามองหน้านัท  นัทพยักหน้ารับ  มันรู้แล้วเช่นเดียวกัน 
นัทรู้เหมือนกับที่บอยมันรู้เหมือนกัน

   “หลวงตาครับ  กำนันครับ พี่ป้าน้าอาทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ครับ พวกเราต้องทำหนังสือด่วนขอพระราชทานฝนหลวงจากตัวจังหวัดครับ  ในหลวงท่านทรงมีหน่วยงานฝนหลวงไว้ช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้ง”      บอยมันยกมือขึ้นท่วมหัว

   . . . ขอพระราชทานฝนหลวง 

ชาวบ้านยกมือกันท่วมหัว  ใบหน้าที่เหือดแห้งไร้ความหวัง  เริ่มมีหนทางขึ้นมาอีกครั้ง  เพราะชาวบ้านรู้ความหวังไม่เหือดแห้งไปจากหัวใจ  ตราบใดที่เรายังอยู่ในร่มเงาของพระองค์

“พ่อของแผ่นดิน”   


ผู้ที่ไม่เคยทิ้งประชาชนให้เดียวดายต่อสู่เพียงลำพัง

   นัทมันยิ้มกว้าง . . . 

. . . หัวใจมันชุ่มชื่นเมื่อนึกถึงพระบารมีที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทิศที่ชาวประชาของพระองค์เดือดร้อน  พระองค์ทรงงานหนักเพื่อความอยู่ดีกินดีของเหล่าประชาราษฏรของพระองค์  ที่พึ่งที่สุดท้ายของประชาชนชาวไทย 



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 08-07-2009 00:43:18
 :L2:ขอมอบดอกไม้ให้คุณราชบุตร  ภาษาที่คุณราชบุตรใช้ในนิยายทุกเรื่องบอกตรงๆ  ว่าเป็นภาษาที่สวยงามมาก อยากให้เด็กรุนใหม่เอาเป็นแบบอย่างในการที่จะเขียนภาษาไทยให้สวยงามแบบนี้ :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 08-07-2009 08:32:40

^

^

^

เหมือนคนอ่านจะห่วงเรื่อง "เรตติ้ง"


แต่ . . .

. . . คนเล่าเรื่องแบบผม  ไม่พะวง  ทั้งเรตติ้ง  ทั้งความนิยม  บวก  หรือ ลบ  เพราะมันไม่ได้ทำให้ท้องผมอิ่ม  ไม่ได้มีแรงกระทบใด ๆ  ต่อผมเลยสักนิดเดียว  ตามนี้นะครับ  คนอ่านอย่าห่วงว่าผมจะไม่มีกำลังใจเขียน  เพราะยังไง ก็เขียน 

จบไม่จบ  ค่อยว่ากัน  แต่โดยเนื้อแท้พยายามให้จบทุกเรื่อง  นอกจากว่า  มุขจะตันจริง ๆ  ครับผม

ผมเขียนเพราะอยากเขียน  ไม่ได้เขียนเพราะเรตติ้ง  ใครก็มาชี้นำผมไม่ได้

ในเวลาที่ผมเขียน  ผมมักถามตัวเองเสมอ  เขียนเพื่ออะไรหว่า ?

สำหรับผม . . .

. . .คำตอบอยู่ในใจ  ผมอยากใช้ภาษาเขียนให้สวยงามที่สุด  ผมมักจะเลี่ยงภาษาพูด  มาเป็นภาษาเขียน  เพราะนอกจากมันไม่ทำให้ภาษาสวยงามแล้ว  มันจะค่อย ๆ  ฆ่าภาษาของเราให้ตายลงในที่สุด

ผมห่วงตรงนี้มากกว่า  ห่วงเด็กรุ่นใหม่หลงไปกับกระแส  จนทำลายภาษาโดยไม่รู้ตัว

"คำเมือง" ไพเะราะเสนาะหู

แต่

จะมีสักกี่คนที่เขียนภาษาล้านนาได้ 

ภาษาเขียนล้านนา  ค่อย ๆ ตายไป  ทั้ง ๆ  ที่เป็นภาษาที่สวยงาม  ผมได้แต่วาดหวังเอาไว้  อย่าให้มีประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยวัฒนธรรมทางด้านภาษาอีกเลย  เพราะอย่างน้อยที่สุดผมหวงแหน

ภาษาไทย . . .

. . . จะเหลือแค่ภาษาพูดหรือไม่  อยู่ที่คนไทยทุกคนจะช่วยกันรักษา  หรือ ทำลาย


ผมยืนยัน  และ  ยืนหยัด  ในความตั้งใจเดิมของผม

. . . ทุก ๆ  งานเขียน  จะอนุรักษ์ภาษาเขียนให้ดีที่สุดครับผม . . .

ในหนังตลกดาษดื่น  ยังมีหนังนอกกระแสแบบ . . . นางไม้  ในนิยายที่มีแต่รักใส ๆ  แบบเฟิร์สเลิฟ  ผมขอแหวกระแสด้วยคน  เพราะผมเชื่อว่า

. . . พลุ  ยิ่งขึ้นฟ้าสว่างสวยงาม  แต่ผมขอเป็นดาวดวงเล็ก ๆ  ที่  สว่างทุกค่ำคืน


ผมขอเป็นทางเลือกสำหรับคนที่อยากซึมซับอรรถรสในภาษาจริง ๆ เท่านั้นก็เพียงพอ




ไม่มีอะไรจะพูด

นอกจาก  o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 08-07-2009 14:16:37


แต่

จะมีสักกี่คนที่เขียนภาษาล้านนาได้ 

ภาษาเขียนล้านนา  ค่อย ๆ ตายไป  ทั้ง ๆ  ที่เป็นภาษาที่สวยงาม  ผมได้แต่วาดหวังเอาไว้  อย่าให้มีประวัติศาสตร์เกิดการซ้ำรอยวัฒนธรรมทางด้านภาษาอีกเลย  เพราะอย่างน้อยที่สุดผมหวงแหน

ภาษาไทย . . .


ภาษาเขียนล้านนา หรือที่เรียกกันว่า "ตั๋วเมือง" นี่ ผมก็เคยอ่านออกเขียนได้เหมือนกันนะครับ แต่ว่าเมื่อนานมาแล้วอะ พอไม่ได้ใช้ ก็ลืมๆไปบ้าง ยังจะพอจำได้แค่บางตัว

ที่พอรู้บ้างก็เพราะเคยเรียนอะครับ ตอน ป.6 ถึง ม.3 ที่โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แล้วตั้งแต่ ม.4 เป็นต้นมา ก็ไม่ได้แตะอีกเลย  :m17:

แต่ถ้าจะให้ถึงขนาดอ่าน "ปั๊บยา" ได้นี่ ไม่ไหวแหละครับ แอ๊ดว้านซ์เกิน ขนาดอาจารย์ที่สอนผม ยังอ่านได้ไม่ถึง 70% เลยอะ

ส่วนหนึ่งที่ "ตั๋วเมือง" ค่อยๆหายไป เพราะการกั๊กความรู้ของคนรุ่นเก่าๆด้วยอะครับ อะไรที่เป็นความลับมากๆ ก็จะเขียนแบบใส่รหัสจนชนิดที่ว่า คนที่อ่านออกเขียนได้ทั่วๆไป อ่านไม่รู้เรื่องกันเลย ประหนึ่งคำภีร์วิทยายุทธในหนังจีนกำลังภายในยังไงยังงั้นเลยอะครับ ถ้าไม่ได้เคล็ดวิชามา มีคำภีร์ไปก็เท่านั้นจริงๆ





นอกเรื่องไปเยอะเลย แหะๆ

นัทนี่ก็คิดเองเออเองเนาะ เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 08-07-2009 20:53:12
ต อ น ที่  ๑ ๐


   เพียงแค่รถแล่นเข้ามาในเขตเมือง  นัทมันก็สัมผัสได้ถึงรถราที่มากมาย  ผิดกับตอนที่อยู่แม่นะ  ที่นั่นแม้จะมีรถ  แต่มันก็ไม่ได้พลุกพล่านวุ่นวายเหมือนในเมือง  ที่ชีวิตผู้คนล้วนแก่งแย่งแข่งขันกันทั้งนั้น  มองไปทางไหนผู้คนมีสีหน้าแห้งแล้ง ไร้ชีวิตชีวา  นี่ขนาดเป็นแค่เมืองเชียงใหม่  แล้วถ้าเป็นเมืองหลวงแบบกรุงเทพฯ  จะมีอะไรมากกว่านี้หนอนัทมันคิด

   ทันทีที่รถจอด  นัทมันก็ตรงไปที่ห้องแลปของมหาวิทยาลัย  มันแบกเอาความเดือดร้อนของชาวบ้านแม่นะมาเต็มหัวอก  นัทตรงเข้าไปที่คอมพิวเตอร์ตัวที่ว่าง  แล้วเข้าไปตามเวปไซด์ที่นัทมันได้มาจากรุ่นพี่  ความคิดที่จะส่งหนังสือขอพระราชทานฝนหลวงด้วยมือตัวเองหมดไป  เพราะนัทมันรู้แล้ว  มีทางที่เร็วกว่านั้น

   http://www.royalrainmaking.thaigov.net/index1.php 

   เวบไซด์สำหรับการขอสนับสนุนการทำฝนหลวง ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบอยู่  นัทเข้าไปในเวบ  แล้วค่อย ๆ  หาแหล่งที่จะเข้าไปร้องเรียน หรือขอการสนับสนุน

     มันยิ้มกับตัวเอง . . .

   เมื่อคลิ้กไปที่ลิ้งค์ขอสนับสนุนการทำฝนหลวง  นัทกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม  พร้อมทั้งเหตุผลที่ขอสนับสนุน  แล้วนัทมันคลิ้กส่ง  หัวใจมันพองวาบ  เมื่อเรื่องที่นัทร้องเรียนได้ส่งไปยังสำนักประมวลผลกลางเรียบร้อยแล้ว

   ขั้นตอนต่อไป . . .

   . . .  มันต้องรอ 

   ทางสำนักฝนหลวงจะตรวจสอบปริมาณเมฆในพื้นที่แม่นะ  และปริมาณความชื้นในอากาศ เพื่อที่จะทำการเลี้ยงเมฆให้อ้วน  ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการของสำนักงานการทำฝนหลวงต่อไป  มันคิดไม่น่าจะเกินหนึ่งอาทิตย์  เพราะสำนักงานการปฏิบัติการฝนหลวงมีภารกิจทุกวัน 

   ไม่เคยรีรอ . . .

   . . . ว่าจะต้องเป็นพรุ่งนี้ 

   หรือมะรืนนี้ . . . 

   เพราะทุกข์ของราษฏร คือ ทุกข์ของพ่อ 

   ราษฏรทุกข์หนัก  พ่อย่อมแบกหนักกว่าเป็นร้อยเท่าพันทวี

   นัทมันเดินกลับมาจากห้องแลปอย่างเหนื่อยล้า  แดดยามบ่ายร้อนแรง  ราวกับจะแผดเผาคนที่เดินอยู่กลางแดดให้ล้มลงในเวลานั้น  แต่นัทมันรู้  ร้อนแค่ไหนมันทนได้  มันยังไม่ถึงเวลาที่จะล้มหรอก  มันแค่เพิ่งเริ่มต้นเองเท่านั้น  ชีวิตของคนต้องเดินไปอีกยาวไกล  และหนทางข้างหน้ามันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะลำบากตรากตรำหรือโรยด้วยกลีบกุหลาบ

   ที่ใต้ถุนตึก . . . 

   . . . มีอะไรกันหว่า 

   ผู้คนต่างมึงดูบอร์ดที่ติดประกาศเต็มไปหมดเลย  มันค่อย ๆ  เดินเข้าไปที่กลุ่มคนที่กำลังมุงดูกันอยู่  นัทขยับแว่นอ่านข้อความที่ประกาศ  พร้อมรายชื่อที่แนบติดอยู่กับประกาศ  มันขยับแว่นไปมาอีกครั้งก่อนถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยอาการเว็งสุดขีด

   “อ้าวนัท  เพิ่งกลับมาเหรอ  เอ็งเห็นประกาศแล้วหรือยัง”  น้ำเพื่อนร่วมหอที่อยู่ห้องติดกันกับนัทเอ่ยทัก

   “เออว่ะ เห็นแล้ว  ทำไมต้องย้ายด้วยว่ะ”  นัทมันบ่น

   ทางมหาวิทยาลัยประกาศปิดหอ ๕ ชาย  ให้นักศึกษาที่จะเรียนซัมเมอร์ที่ลงชื่อเอาไว้แล้วย้ายไปหออื่น  เพราะการเปิดหอ  ที่นักศึกษาส่วนน้อยอยู่  มันทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย  ทางมหาวิทยาลัยเลยจำต้องปิดหอบางหอเพื่อให้นักศึกษาไปรวมกันที่หออื่นแทน

   “แล้วมึงไปหอไหนว่ะ”  น้ำถามอีก

   “หอสี่ว่ะ  แม่งต้องย้ายให้หมดภายในพรุ่งนี้ด้วยนี่หว่า  คืนนี้คงได้นอนล่ะ  ขนแม่งกันทั้งคืนแน่”  นัทมันบ่นไปตามเรื่องตามราว 

   การย้ายหอมิใช่เรื่องสนุก . . . 

   . . . ไหนจะต้องขนข้าวของที่หอเดิมเพื่อไปหอใหม่อีก  ทุกอย่างมันล้วนฉุกละหุกทั้งนั้น  นัทมันเพิ่งกลับมาจากออกค่ายมันก็มาเจอเรื่องที่ต้องใช้แรงงานอีกแล้ว  นัทมันวางแผนไว้  กลับมาจากออกค่าย  มันจะทำเรื่องขอพระราชทานฝนหลวงจากสำนักงานฝนหลวง  เสร็จแล้วมันจะนอนนิ่ง ๆ  สัก ๑๘  ชั่วโมง  มันจะนอนให้สมกับที่ไม่ได้หลับได้นอนเต็มตามาร่วมเดือน

   แต่ . . . 

   . . . มันได้แค่หวัง

   เพราะความเป็นจริงแล้วมันแทบไม่ได้หลับได้นอนเลย  มันเร่งขนของที่เป็นของตัวเองย้ายไปหอสี่  มีผู้คนมากมายที่ตกในสภาพเดียวกับนัท  ต่างก็ขนย้ายข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของตัวเองเพื่อไปยังที่อยู่ใหม่แทบทั้งสิ้น 

   นัทมันเดินสวนกับบอย 

   มันแค่ยิ้มให้บอยเล็กน้อยเท่านั้น  เพราะรู้ดีว่าต่างคนต่างเร่งให้งานของตัวเองเสร็จสิ้นลง

   บอยมันได้หอสาม . . . 

   . . . มันโชคดีหรือโชคร้ายหว่าที่ไม่ได้อยู่หอเดียวกับนัท  มันไม่รู้เหมือนกัน เพราะมันอาจไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่นก็เป็นได้  งานของมันท่วมหัว  การย้ายหอเป็นอะไรที่น่าเบื่อมากสำหรับมัน  แต่มันจำต้องย้าย

   “แม่งเอ้ย  กว่าจะขนมาหมด”  บอยมันบ่น  พลางแผ่หราลงกับพื้นห้องที่ยังเกลื่อนกราดไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวที่มันยังเก็บเข้าที่เข้าทางไม่หมด

   “หิวยังวะบอย  ไปหาอะไรที่กาดหลังมอกินกันดีกว่ามั้ง  จะสามทุ่มแล้วนี่”  ดินเพื่อนใหม่ของมันเอ่ยชวน

   บอยหันหน้ากลับมา . . . 

   . . . เออ 

   มันทำงานเสียเพลินจนลืมหิวไปเลยหรือนี่  แค่เพื่อนร่วมห้องชวน  ท้องมันก็ร้องจ๊อกขึ้นมาทันที  มันดีดตัวลุกขึ้นนั่ง  แล้วยิ้ม

   “รอแปบนะโว้ยล้างหน้าแปบ  หิวจนจะแดกช้างได้ทั้งตัวแล้วนี่” บอยมันบอกพลางวิ่งปรี่ออกไปที่ห้องน้ำ



   กาดหลังมอ  มีร้านอาหารรถเข็นนานาชนิด  บอยมันเดินคุยมากับดินเรื่อย ๆ  อาหารมากมายหลายชนิดจนมันเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว  เพราะตลอกระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมามันเคยชินกับอาหารที่พวกนักศึกษาช่วยกันทำ  มันคุ้นลิ้นกับอาหารบ้าน ๆ  ที่นั่งล้อมวงกันกินอย่างเอร็ดอร่อย  แต่ตอนนี้มันมาเดินอยู่ท่ามกลางร้านค้าเยอะแยะที่มีให้มันเลือกตามความชอบ


   “เป็นไงว่ะ  ไปออกค่ายมาสนุกมั้ย”   ดินถามพลางเดินตามบอยมานั่งที่ร้านข้าวต้มเจ้าประจำ

   “ก็ดี  สนุกดี  งานเยอะจนวันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน  แล้วดินไปไหนมา”  บอยบอก  พลางหยิบเมนูพลิกดูไปมา  มันเล็งอาหารไว้สองสามอย่าง

   “กลับบ้าน  ไปช่วยงานที่บ้าน  ร้อนมากที่กรุงเทพฯ  เลยกลับมาเรียนซัมเมอร์ดีกว่า”   ดินเล่าพลางเรียกเด็กเสริฟมาสั่งอาหาร

   มันสั่งไปสองอย่าง  แล้วปล่อยให้บอยสั่งอีกสองอย่าง

   “มึงจะลงกี่ตัวว่ะบอย”  เสียงดินถาม 

   แต่หูบอยมันอื้อไม่ได้ยินอะไรแล้วมั้ง  มันมองเห็นคนที่เดินคู่กันมามากกว่า . . . 

   . . . นัทกับเมย์

   เขาคงออกไปหาอะไรกินมั้ง  บอยมันเห็นชัดแหละ  สองคนนั้นเดินผ่านมันไปอย่างช้า ๆ  โลกของคนสองคนที่ไม่มองเห็นมันที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ มันเหมือนอากาศธาตุที่ลอยไปมาบนโลกใบนี้กระนั้นหรือ

   “อ้าวเพื่อนเรา  เอ้ย  ลอยไปถึงไหนนี่”  ดินมันเอามือจุ่มน้ำในแก้วแล้วสะบัดไปโดนบอย

   นั่นแหละ . . .

   . . . บอยมันถึงรู้สึกตัว 

   บอยมันรู้แล้ว  มันคงโชคดีที่อยู่คนละหอกับนัท  เพราะไม่อย่างนั้นมันอาจจะเห็นภาพแบบเมื่อกี้อีก แล้วบอยมันจะทนได้หรือ  ถ้ามันต้องเห็นภาพแบบเมื่อกี้นานกว่านี้  มันรู้ดี  หัวใจของมันใช่แข็งแรงมากมาย  มันก็อ่อนแอไปตามสายตาที่มันเห็น

   “ถามว่าไงนะ”  บอยสลัดทุกอย่างทิ้งกลับมาที่ดินตามเดิม

   “อ้าว  ก็ถามว่าจะลงกี่ตัวไง . . .”  อีกฝ่ายยิ้ม

   “. . . แน่ะ  ลอยไปถึงไหนแล้วล่ะหัวใจนะ”  ดินแซว 

   บอยมันยิ้มตอบ . . . 

   เพราะว่ามันต้องซ่อนความรู้สึกเอาไว้  เก็บสิ่งที่บอยไม่อยากเห็น  ยามที่คนอื่นสังเกตเห็นความเปลี่ยนไปในตัวมัน

   บอยจะต้องซ่อนความรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานเท่าใดนะ

   “สองตัวพอล่ะมั้ง  เพราะเสาร์อาทิตย์ยังต้องไปที่แม่นะอีก”  บอยมันบอก

   มันจำได้ . . . 

   . . . สัญญา

   ระหว่างมันได้ให้สัญญาไว้กับชาวบ้านที่นั่นก่อนที่มันจะจากมาเมื่อเช้า  หลายคนเข้ามากอดมันแล้วร้องไห้  เวลาแค่เดือนเดียว แต่มันกลับรู้สึกว่าที่นั่นเหมือนบ้านของมัน  ความผูกพันมันก่อตัวขึ้นช้า ๆ  เพราะทั้งมันและนัทเองก็รู้สึกวังเวงหัวใจตั้งแต่ที่เห็นน้ำตาชาวบ้านแล้วล่ะ

   เป็นน้ำตาแห่งความอาลัยรักที่ต้องจาก . . .

   มันสัญญามันจะหาเวลากลับไปที่นั่นอีก  มันจะต้องกลับไปสานต่อเจตนารมณ์ที่นัทกับมันได้ช่วยกันสร้างเอาไว้ 

   ต้นไม้ทุกต้นที่งอกงามขึ้นมาด้วยน้ำมือของมัน  ความเป็นอยู่ขของชาวแม่นะจะต้องดีขึ้น  ที่นั่นเปรียบเสมือนอนุสรณ์ของบอยมัน  มันมีภาพวันคืนดี ๆ  ที่มันได้ทำร่มกับคนที่มันรัก  มันจะไม่ลืม . . .

   . . .  และไม่มีวันลืมไปแม่นะเลยชั่วชีวิต

   “กลับไปทำไมอีก  ห้องสมุดยังไม่เสร็จเหรอ”

   “เสร็จแล้ว  แต่มีอีกหลายอย่างที่เราต้องไปว่ะดิน  งานของเรามันยังไม่เสร็จ  แล้วเราก็ไม่รู้ว่าชาตินี้มันจะเสร็จหรือปล่าว”  แววตาบอยมันหวาดหวั่นเมื่อนึกถึงความยากจนของคนที่นั่น 

   แต่ . . . มันยังมีหวัง  ว่าสักวันที่นั่นต้องดีกว่าวันนี้

   . . . ความหวังงดงามเสมอสำหรับบอย

   บอยไม่เคยไร้ความหวัง 

   . . . มันเก็บเอาคำของนัทที่บอกกับมันที่ชิงช้าที่บ้านแม่นะ มาจดจำไว้ในหัวใจเสมอ  กำลังใจเป็นของมัน  มันสร้างขึ้นมาเอง  แล้วคนที่จะทำลายกำลังใจของมันก็ตัวมันเองอีกนั่นแหละ 

   เพราะฉะนั้น . . .

   มันไม่กลัวความสิ้นหวัง  ตราบใดที่มันยังมีลมหายใจอยู่  มันจะต้องทำให้ดีกว่าวันนี้
      


   กี่วันแล้วนะที่บอยไม่ได้เจอหน้านัทเลย  มันรู้สึกทรมาน  ยามหลับตามันก็ได้แค่นอนกระสับกระส่ายไปมา  มันอยากเจอนัท  แต่มันไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับนัท  มันเขินทุกครั้งที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ  นัท  ระยะเวลาเดือนกว่า ๆ  ที่แม่นะ  ไม่ได้ช่วยให้บอยมันคลายอาการประหม่าเวลาเจอนัทได้เลย  บอยยังรู้สึกอายทุกครั้งที่นึกถึงนัทไม่ได้

   “โทรหานัทมันดิ๊  ถ้าอยากเจอ”  เสียงในหัวใจมันสั่ง 


   บอยมันกำลังต่อสู้กับความคิดของตัวเองอีกแล้ว

   “แล้วจะคุยอะไรกับมันล่ะ  อยู่คนละหอกันด้วย”  มันแย้งตัวเองเสียงอ่อย ๆ 

   “อ้าว  ก็คุยเรื่องที่จะไปแม่นะวันมะรืนไง  ถามนัท  ว่านัทจะไปด้วยหรือปล่าวไง”  ตัวมันเองนั่นแหละที่ถามตัวมันเอง

   “ก็นัดกันไว้แล้วนี่  ตอนกลับมาจากแม่นะ  จะไปถามอีกทำไม” 

   บอยมันเฝ้าตั้งคำถาม . . . 

   . . . แล้วเฝ้าเถียงตัวเองอยู่  นาน 

   จนในที่สุดบอยมันรู้  มันไม่ไหวแล้วล่ะ  มันอยากจะเจอ  แค่หน้านัทมันไม่เห็นมาหลายวันแล้ว  มันคิดถึงจนแทบบ้าไปแล้วล่ะ  ก็หลายวันที่ผ่านมามันยุ่งกับการเรียนภาคฤดูร้อนจนมันไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่น ๆ  เสียด้วยซ้ำ

   บอยตัดสินใจแล้ว . . . 

   . . .  มันตัดสินใจอย่างเด็ดขาด

   บอยค่อย ๆ  เดินลงมาจากหอสาม  บอยหยิบเหรียญในกระเป๋ากางเกงออกมา  มันยกหูโทรศัพท์  แล้วค่อย ๆ  รวบรวบความกล้าครั้งสุดท้าย  บอยหยอดเหรียญในช่องใส่เหรียญ  เสียงสัญญาณบอกให้กดหมายเลขบอยกดหมายเลขช้า ๆ  เสียงเรียกจากปลายสายดังอยู่สักครู่

   “สวัสดีครับหอชายสี่ครับ”  เสียงจากปลายสายดังมาตามสาย

   “ขอสายณัฐพงศ์  ห้อง ๔๑๐   ครับ”  บอยกรอกเสียงไปตามสาย

   “สักครู่นะครับ”

   บอยมันวางหูลงช้า ๆ  เมื่อมันได้ยินเสียงประกาศเรียก 

   “ณัฐพงศ์ ห้อง ๔๑๐ รับโทรศัพท์ด้วยครับ”

   มันรู้อีกประเดี๋ยวนัทคงต้องลงมาจากห้องเพื่อรับสาย  แล้วบอยมันเดินลัดสนามบาสไปยืนแอบอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่  หัวใจมันเต้นราวกลองเพล  สายตามันจดจ้องไปที่เครื่องรับโทรศัพท์ของหอชาย ๔ 

   แต่ . . .

   ดูเหมือนเวลามันจะเดินผ่านไปอย่างเชื่อช้าเสียเหลือเกิน  ยุงเจ้ากรรมก็คอยมาขออาหารจากต้นขามันเรื่อย  บอยมันตัดใจแล้วมันขอบริจาคเลือดให้ยุงหนึ่งคืน  เพราะวันนี้เวลานี้มันเฝ้ารอการลงมาของใครบางคน

   บอยกระสับกระส่าย . . . . 

   หัวใจมันเฝ้าร้องบอก  ขอให้อยู่ทีเหอะมันจะบ้าตายอยู่แล้ว  หลายวันที่มันไม่ได้เห็นนัทมันแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย  มันเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง  มันแค่อยากเห็นนัทสักแวบนิดนึงก็ยังดี 

   แล้วบอยมันก็ยิ้ม . . . 

   . . . เมื่อมันเห้นคนทั่นรอวิ่งลงมาจากห้อง  นัทหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแนบหู

   “สวัสดีครับ  สวัสดีครับ”  มันกรอกเสียงลงไป   แต่ทุกอย่างเงียบเป็นสัญญาณว่าวางหูไปแล้ว

   นัทวางหูโทรศัพท์กับแป้นช้า ๆ  มันเดินไปมา  อาจเป็นแม่โทรมาหา  รออีกสักประเดี๋ยวก็ได้  บางทีแม่อาจโทรกลับมาใหม่  เพราะยังไม่ดึกมาก  แต่นัทมันไม่เฉลียวใจเลย  ยังมีอีกร่างที่แอบอยู่ใกล้ ๆ  นัท

   บอยมันยิ้มกว้าง . . .

   . . . แค่นี้นะหรือที่มันต้องการ

   นี่มันเป็นเอามากขนาดหลอกให้นัทลงมารับสาย  แล้วมันทำได้แค่แอบมองนัทห่าง ๆ  แบบนี้กระนั้นหรือ 

   ทำไมมันไม่เดินไปหานัท . . . 

   . . . แล้วพูดกับนัทเหมือนที่อยู่แม่นะ  บอยมันบอกตัวเอง  แค่นี้ก็ดีถมไปแล้วสำหรับคนอย่างบอย

   แววตาที่ฉาบด้วยรอยยิ้มของบอยค่อย ๆ  กลายเป็นความเศร้าอย่างช้า ๆ 

   เมื่อบอยเห็นอีกคนที่แยกจากเพื่อนเดินยิ้มเข้ามาหานัท  นัทยิ้มรับ  บอยมันไม่รู้เขาพูดอะไรกัน  บอยเห็นเพียงเขาคนนั้นส่งถุงขนมให้นัท  บอยมองภาพนั้นด้วยแววตาพร่ามัว  บอยค่อย ๆ  หันหลังเดินกลับไปอย่างเงียบ ๆ 

   ตอนนี้มันไม่อยากกลับห้อง . . . 

   . . . มันอยากไปที่ไหนก็ได้ 

   หัวใจมันหรือ  เจ็บปวดอีกแล้วกระมัง  มันแค่อยากเห็นนัท 

   แต่ทำไม   คนนั้นจะต้องกลายมาเป็นเงาของนัทด้วย  บอยมันเดินมาเรื่อย ๆ  ตามถนนสายเล็ก ๆ   มันนั่งนิ่ง ๆ  ที่ริมถนน  สายตามองยาวออกไปในความมืด

   เหมือนหัวใจของมันที่มืดมิด

   “เจอนัทพอดีไปกาดหลวงกับเพื่อนมา  เลยซื้อขนมมาฝาก  นัทลงมาทำอะไรเหรอ”  เมย์ถามพลางส่งถุงขนมให้นัท

   “รอโทรศัพท์  ไม่รู้ที่บ้านโทรมาหรือปล่าว  พอนัทรับก็สายหลุดไปแล้ว  เลยรอ”  นัทบอกพลางรับถุงขนม

   “นัทเจอบอยบ้างมั้ย  นี่  เมย์เอาอีกถุงมาฝากบอยด้วย”  เมย์ชูขนมอีกถุง

   “บอยไม่ได้อยู่หอเดียวกับนัท  ไม่ได้เจอบอยเลยตั้งแต่กลับมา  เลยไม่รู้ว่าอย่าหอไหน”  นัทบอกไปตามตรง

   “ว้า . . . เมย์ก็ไม่ถามเหมือนกัน”

   “แล้วจะไปไหนต่อ”

   “กลับหอสิ  ดึกแล้ว”

   “เดี๋ยวนัทเดินไปส่ง”  นัทยิ้ม

   “ไปรอโทรศัพท์แล้วเหรอ  เดี๋ยวที่บ้านโทรมาไม่เจอ”

   “ไม่เป็นไรหรอก  เดี๋ยวหลังสี่ทุ่มนัทโทรไปเองดีกว่า  ราคาถูกกว่าตอนนี้   ไปกันเถอะนัทเดินไปส่งเมย์เอง”  นัทบอกพลางเดินตามเมย์กับเพื่อนมาอย่างช้า ๆ



   ถนนในมหาวิทยาลัยเงียบสงบเพราะเริ่มดึกแล้ว   โคมไฟที่ส่อสว่างมีแมลงตัวน้อยบินว่อนเล่นไป  เสียงรถยนต์จากถนนหลังมอดังลอยละลิ่วมาตามลม  นัทเดินมากับเมย์และ สาวอย่างเงียบ ๆ

   “เดินลัดมาทางนี้ดีกว่านะนัท  เร็วกว่า”  เมย์บอก  พลางเดินเข้าไปตามถนนสายเล็ก ๆ

   นัทเดินตามอย่างว่าง่าย

   “เออ  นัทจะไปแม่นะวันไหนอีกล่ะ”

   “วันมะรืนนะเมย์  นัดกับบอยมันไว้ไม่รู้มันจะว่างมั้ย”    นัทบอก  เพราะเขาไม่ได้เจอบอยมาหลายวันแล้ว 

   ตั้งแต่นัทกลับมาจากแม่นะ 

   . . . นัทก็เจอบอยแค่ครั้งเดียวตอนย้ายหอ 

   แล้วตอนนั้นมันก็แทบไม่ได้คุยอะไรกันเลยเสียด้วยซ้ำ  ต่างคนต่างรีบเร่งกับงานของตัวเอง  แล้วยังต้องลงทะเบียน  แล้วเข้าเรียนอีก  นัทมันนึกขึ้นมาแล้วโมโหตัวเอง  ไม่ถามบอยมันนะว่าอยู่หอไหน

   เสียงฝีเท้าคนที่เดินมา . . .   

   . . . ทำให้บอยต้องแหงนหน้าไปมอง  มันเห็นหน้าชัด  มันรีบก้มหน้า  หันหลัง  แล้วแอบปาดน้ำตาที่เอ่ออยู่ล้นดวงตา 

   ไม่ได้ . . .

   . . . นัทจะเห็นมันเศร้าไม่ได้  จะเห็นได้อย่างไรกัน

   “อ้าวบอย  มาทำไร  หาอะไรอยู่แน่ะ”  เมย์ร้องทักขึ้นมาก่อน

   บอยหันกลับมายิ้ม . . . 

   . . . มันต้องแสดงละครอีกแล้ว  มันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ  มันต้องสวมหน้ากากอีกรอบแล้วล่ะ

   เดอะ โชว์ มัส โก ออน . . .

   . . . ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น  มันต้องแสดงต่อให้จบ  ให้ดูงดงามอย่างที่สุด

   “แหวนเงินน่ะ  พอดีออกมาเดินเล่น  แล้วทำแหวนหล่น  ไม่รู้กลิ้งไปไหน แล้วนัทกับเมย์ไปไหนกันมา” 

   นั่น . . . 

   . . . มันปรับวิกฤติของตัวเองได้อย่างรวดเร็ว  บอยมันรู้  เมย์ไม่ได้ไปกับนัท  เพราะมันก็รู้  นัทอยู่ห้องตลอด

   แต่บทที่บอยเล่น  มันต้องเล่นให้เนียน

   “เมย์ออกไปกับสาว ซื้อขนมมาฝากนัท  แล้วนี่อีกถุงของบอย  แต่นัทมันดันบอก  ไม่ได้อยู่หอเดียวกันแล้ว  โชคดีจังเจอบอย”  เมย์ยิ้มหวาน

   เมย์มีน้ำใจบอยเองก็รู้อยู่เต็มอก

   มันเลยต้องเก็บความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ไง . . .

   . . . มันบอกใครไม่ได้  เพราะทั้งนัททั้งเมย์ล้นแต่ดีกับบอยทั้งนั้น  บอยไม่มีวันทำร้ายคนที่ดีกับบอยหรอก 

   บอยไม่เคยคิดจะดึงนัทใกล้บอยเลยแม้แต่น้อย 

   แค่บอยได้เห็นนัทบ้างบอยก็สุขหัวใจแล้ว  และในบางครั้งบอยยังเจ็บปวดกับการที่เห็นเมย์เดินเข้ามาในชีวิตนัท  แต่บอยก็ยังอยากจะให้มันชินชา  ไม่รู้สึกแบบนั้นกับภาพที่เห็น  มันอาจจะยาก  แต่บอยจะพยายามทำ  บอยจะพยามทำให้ได้

   “งั้นเดี๋ยวนัทช่วยหานะ”

   “ช่างเหอะ  มันไม่มีราคาค่างวดอะไรหรอก  จะไปส่งเมย์เหรอ”  บอยหันมาถามนัท

   น่าแปลก . . .

   . . . ทุกครั้งที่มีเมย์อยู่ด้วย  บอยกลับมองนัทได้เต็มตา  มันแทบไม่กลัวอะไรอีกต่อไป  หรือบอยมันอาจคิดว่า  มันมีสิทธิ์แค่เพื่อนเท่านั้น

   “ไปส่งเมย์กันก่อนนะบอย  นัทมีเรื่องจะคุยกับบอยด้วยดิ  หลายเรื่องทีเดียวแหละ”  นัทบอกด้วยน้ำเสียงนุ่ม

   บอยมันยิ้ม  มันยินดีที่ได้ยินนัทบอกแบบนั้น

   “งั้นบอยเอาขนมไปกิน  แล้วไม่ต้องไปส่งหรอก  หอแค่นี้เอง  คุยกับนัทไปเหอะ . . .”  เมย์ยัดถึงขนมมาใส่มือบอย 

   “. . . ไปแล้วนะนัท  บอย  ไว้เจอกัน”  เมย์บอกลาอีกครั้งก่อนเดินจากไป

   “บอยอยู่หอไหน”

   “หอสาม . . .”  บอยมันบอก  มันนั่งลงที่ริมฟุตบาทอีกครั้ง 

   “. . . นัทมีไรหรือปล่าว”

   “มะรืนนี้ว่างมั้ย”  นัทนั่งลงที่ใกล้ ๆ  บอย

   บอยมันยิ้มบาง ๆ . . .

   . . . มันรู้สึกอิ่มหัวใจ  มันได้กลิ่นหอมจาง ๆ  ของสบู่มาจากร่างกายคคนที่นั่งอยู่ใกล้มัน  ความรู้สึกแย่ ๆ  ที่มีมาก่อนหน้านี้มลายหายไปหมดสิ้น  มันกลับรู้สึกอิ่มเอิบหัวใจที่ได้นั่งลงใกล้ ๆ  คนที่บอยรัก

   “ไม่ว่าง”

   “อ้าว  แล้วที่นัดไว้ล่ะ  ไปแม่นะล่ะ  ไม่ไปแล้วเหรอ”  น้ำเสียงนัทคล้ายผิดหวังเล็กน้อย

   “ก็ไปแม่นะไง  เลยไม่ว่าง”  บอยมันหันมายิ้ม 

   “โอ้ยนึกว่าต้องไปคนเดียวเสียแล้ว”  นัทบ่นเบา ๆ

   บอยยิ้มตามเคย  ไม่หรอก  บอยไม่มีวันให้นัทเดินอย่างโดดเดี่ยวโดยเด็ดขาด  มันจะยอมเดินตามนัท  ตามไปทุกแห่ง 

   “อีกเรื่องนึงนะบอย  บอยตอบมาอย่างแมน ๆ  เลยนะบอย”  นัทหันมาจ้องหน้า

   บอยมันอยากหลบสายตานัทนัก . . . 

   . . . สายตาแบบนี้บอยมันกลัว 

   มันกลัวคำถาม  ถ้าเกิดนัทจะถามถึงความรู้สึกของมัน  มันจะทำอย่างไร  มันจะกล้าตอบนัทล่ะหรือ 

   “ถามว่า”  บอยก้มหน้าต่ำ  มันไม่กล้าสู้ตานัทจริง ๆ  แหละ

   “มองตาเราดิบอย . . .”  นัทหันมาทางบอย

   นั่นไง . . .

   . . . สิ่งที่บอยกลัว  หัวใจบอยเต้นระส่ำ  มันจะทำอย่างไร  หากสิ่งที่นัทจะถาม  คือสิ่งที่บอยกลัว  มันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  และ  จะมองหน้านัทได้เต็มตาอีกหรือปล่าว  มันกลัว  แต่มันหันหน้ามามองนัทช้า ๆ 

   “. . . บอยบอกเรามา  ว่าบอยชอบเมย์หรือปล่าว”

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . มันโล่ง 

   มันหัวเราะเบา ๆ  ก่อนที่จะมองตานัท  คราวนี้มันไม่กลัวแล้วล่ะ  คำถามนี้ไม่น่ากลัวเลยสักนิด  ที่ผ่านมามันคิดไปเอง  มันคิดไปเองทั้งนั้นมันกลัวไปเอง  กลัวไปสารพัด

   “ชอบดินัท  เมย์เพื่อนบอยนะ  แต่ถ้าชอบแบบชู้สาวล่ะก็นัทลืมไปได้เลย  บอยไม่มีวันรู้สึกแบบนั้นกับแมย์เด็ดขาด  ขอให้นัทเชื่อบอย  เชื่อบอยได้อย่างสนิทใจเลยนะนัท  บอยไม่เคยคิดแบบชู้สาวกับเมย์เลย”

   บอยยืนยันหนักแน่น . . . 

   . . .  มันมองลึกไปที่ตานัท 

   นัทไม่รู้จริง ๆ  . . .

   นัทไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบอยคิดยังไง 

   นัทยิ้ม . . . 

   . . . มันคิดไปเองแหละ  มันคิดไปเองว่าบอยชอบเมย์  มันไม่น่าไปดูถูกน้ำใจเพื่อนเลย  ตอนนี้นัทรู้แล้ว  ว่าระหว่างบอยกับเมย์  บอยเห็นเมย์แค่เพื่อนเท่านั้น   

   “ขอโทษนะบอยที่ต้องถาม”  นัทมันตบไหล่บอยเบา ๆ

   “โอ้ยเรื่องเล็ก  อย่าคิดมาก  กลับหอเหอะดึกแล้ว”  บอยลุกขึ้นเอามือสะบัดฝุ่นที่ติดกับกางเกงไปมา

   บอยมันยิ้มให้นัทอีกครั้ง . . .

   . . . บอยมันอยากให้นัทรู้จักหัวใจมันมากกว่านี้ด้วยซ้ำ แล้วถ้านัทรู้จักถึงหัวใจของมันจริง ๆ  แล้ว  นัทจะยังอยากถามคำถามแบบนี้อีกมั้ย



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 08-07-2009 21:32:27
ต อ น ที่  ๑ ๑

พ ร ะ บ า ร มี แ ผ่ ทั่ ว ห ล้ า
  


   อาหารกลางวันในวันนั้น คืออาหารที่แต่ละคนนำมาทำบุญและเหลือจากถวายพระแล้วนั่นเอง  ชาวบ้านที่มาร่วมงานต่างนั่งล้อมวงร่วมกินข้าวด้วยกันที่ศาลาโรงครัว  ลมโชยมาเป็นระยะ ๆ  แม้จะผ่านสงกรานต์มาได้ร่วมเดือน  แต่อากาศที่แม่นะไม่ร้อนมาก  อาจเพราะแม่นะล้อมรอบด้วยป่า  เพียงแต่วันนี้แม่นะยังขาดน้ำ ชาวบ้านจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรส  หลายคนเพลิดเพลินกับงานที่ตัวเองได้เริ่ม  แต่แววตายังแฝงไว้ด้วยความกังวลถึงน้ำที่กำลังจะหมดจากลำห้วย

   เสียงถามไถ่สนทนาปราศรัย . . .  

   . . . ทักทายกันอย่างยินดี  

   ทั้งรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่เกิดขึ้น ล้วนเกิดจากจิตใจที่ปราศจากความอิจฉาริษยา  ชาวบ้านที่นี่รวมกลุ่มกันดี  เพราะมีวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ  ราวกับว่านั่นคือมือที่มองไม่เห็นที่โอบรวบรวมหัวจิตหัวใจของชาวแม่นะมารมอยู่ด้วยกัน  หัวใจที่เคยแห้งแล้งเพราะปัญหาทำกินเริ่มคลี่คลายเพราะมีหลวงตาคอยช่วยเหลือ  แต่พวกเขาขาดแค่น้ำเท่านั้น

   “นี่เป็นข้าวมื้อแรกในรอบหลายเดือนของฉันเลยนะยายแช่ม  ที่ได้อิ่มหนำอร่อยขนาดนี้”   สารภี  สาวน้อยที่ระหกระเหเร่รอนมาจากพิษเศรษฐกิจอีกคนเอ่ยน้ำตานองหน้า

   “กรุงเทพฯ  มันอดอยากขนาดนั้นเลยเหรอ  งั้นเอ็งก็มาอยู่กันที่บ้านเรานี่แหละ  มีอะไรก็แบ่ง ๆ  กันไป”  ยายแช่มตักแกงฮังเล  ใส่ในจานสารภี  ลูกบ้านแม่นะอีกคนที่เพิ่งกลับมาได้สามสี่วันเพราะทนพิษเศรษฐกิจจากเมืองหลวงไม่ไหว

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกป้าแช่ม  ข้าวมีขาย  อาหารเยอะแยะไปหมดแหละจ้ะ  แต่ไม่มีเงินจะซื้อกินนะสิ  ไอ้โรงงานชั้นนะสิจ้ะมันผัดจ่ายเงินเดือนมาสามงวดแล้ว  เงินเก็บก็หร่อยหรอลงไปทุกที  จนสุดท้ายโรงงานมันก็ชิงปิดตัวหนีไปลอยแพพนักงานแบบพวกฉันนะจ้ะ”

   “เงินชดเชยละสารภี”  สมชายที่กลับมาก่อนหน้าเอ่ยถาม

   “ไม่ได้หรอกพี่  เจ้าของโรงงานมันบอกอยากได้ให้ไปฟ้องเอา  แล้วอย่างพวกฉันนี่นะจะมีปัญญาไปฟ้องลำพังเงินจะกินยังแทบไม่มีเลย  จะเอาเงินไหนไปฟ้องกันเล่า”  แววตาสารภีหมองหม่น

   “เออ  เออ  เอ็งคิดถูกแล้วที่กลับมาบ้านเรา  ยังไงก็ยังมีที่ซุกหัวนอน  มีข้าวกินไม่อดอยากล่ะว้า  ค่อย ๆ  คิด  หลวงตาแกเตรียมที่เตรียมทางไว้ให้พวกกลับมาช่วยกันทำมาหากินแล้วล่ะอีหนูเอ้ย  แม้มันจะไม่ร่ำรวยเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ  แต่มันก็พอมีพอกินล่ะว้า”  ยายแช่มปลอบ

   “แล้วเอ็งมาอยู่กับใครล่ะสารภีเอ้ย”   ยายทองคำที่นั่งวงใกล้ ๆ  เอ่ยถาม

   “ก็มาอยู่ที่บ้านเก่าของพ่อนะจ้ะ  อาศัยเก็บผัก  หากบหาเขียดในท้องไร่  ท้องห้วยไปก่อนล่ะยาย  เงินเก็บก็มีไม่มากหรอกจ้ะ”  คนพูดตอบน้ำตาคลอหน่วย

   “ขาดเหลืออะไรเอ็งก็มาเอาจากครัวบ้านข้าไปก่อนนังหนูเอ้ย  อย่าเกรงอกเกรงใจกันเลย  ลูกหลานกันทั้งนั้น”  ยายทองคำยิ้มฟันดำเพราะฤทธิ์หมากที่กินมาตั้งแต่สาว ๆ

   “ขอบใจจ้ะยาย”  สารภียกมือไหว้ท่วมหัว  น้ำตาร่วงเผลาะ

   คนไม่เคยได้รับย่อมไม่มีวันรู้หรอก . . .  

   . . . ค่าแห่งน้ำใจมันประเมินราคาเป็นเงินทองไม่ได้  

   สารภีรู้ซึ้งดี . . .  

   ชีวิตในเมืองหลวงหล่อนต้องซื้อต้องหาด้วยเงิน  แทบทั้งสิ้น  ห้องที่เคยอยู่สบายกว่าแม่นะ  มีทีวี  มีเครื่องเล่นสเตอริโอ  มีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม  

   แต่ที่ไม่มี . . .

   . . . คือความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จากผู้คน

   “อ้าว  พ่อบอย  พ่อนัท   มา  มากินข้าวกันเร็ว”  ป้าแช่มร้องตะโกนเรียกเมื่อเห็นสองหนุ่มวางเป้ที่นอกศาลา  แล้วคลานเข่าเข้ามา  

   สองคนยิ้มหน้าใส  . . .

   . . . ยกมือไหว้คนโน้นทีคนนี้ที  

   แววตาชาวแม่นะยิ้มกว้างเมื่อเห็นสองคน  อย่างน้อยทั้งคู่ก็รักษาคำพูด  รักษาสิ่งที่ตัวเองได้พูดเอาไว้  ความเดือดร้อนของชาวบ้านนับวันจะเพิ่มมากขึ้น  เพราะบอยและนัทต่างเห็นผู้คนแปลกหน้าอีกหลายคนที่ร่วมวงกินข้าวกันอยู่

   “กำลังหิวเลยครับ  ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยป้า”  นัทมันกระแซะเข้ามาที่ในวง

   คนนั่งอยู่ก่อนขยับ  ให้เกิดช่องว่าง  นัทมันยิ้มแต้  พลางรับจานข้าวที่ป้าแช่มส่งมาให้

   “กินเลยลูกกิน  หิวก็กิน”  ป้าแช่มยิ้ม

   “อ้าวพ่อบอย  ไปนั่งกับตาสุขเหรอ  ประเดี๋ยวเหอะ  ตาสุขก็ชวนไปเก็บกระดูกที่ป่าช้าอีกหรอก”   ป้าแช่มแหย่  บอยมันหันมายิ้ม

   ก็ตาสุขแกเป็นสัปเหร่อของวัด  แกมักจะมีอะไรที่ชาวบ้านไม่เข้าใจอยู่เสมอ

   “แล้วกำนันดวงกับหลวงตาล่ะป้า”  บอยถามมา

   “โอ้ย  หลวงตาลงไปเมื่อกี้แหละ  กำนันก็ตามลงไปด้วย  เอ้อ  พ่อนัท  เรื่องฝนหลวงล่ะว่างัยได้เรื่องมั้ย”  ลุงมีชิงตอบแทนยายแช่ม

   “ได้ครับ  พรุ่งนี้น่าจะได้ครับ  เพราะผมเช็คไปครั้งเมื่อวานทางสำนักงานบอก  ตอนนี้เขากำลังดำเนินการ  น่าจะไม่เกิน ๓ วันครับ”  

   “โอย  บุญของพวกเราที่มีในหลวง”  ตาชมยกมือท่วมหัว

   “อ้อ  ผมมีเมล็ดพันธุ์ผักมาเพิ่มด้วยนะครับ  ส่วนบอยมันยังมีสูตรยาฆ่าแมลงชีวภาพอีกหลายสูตรเลยแหละครับ”  นัทยิ้มกว้าง

   “น้ำจ้ะพ่อนัท”   น้าสายนั่นเองที่ส่งขันน้ำใบโตมาให้นัท

   “ขอบคุณครับ”  นัทรับมาดื่ม  

   เขารู้สึกดีขึ้นมามาก  เพราะตั้งแต่เช้าที่เขามาจากเชียงใหม่  นัทเฝ้าคิดมาตลอดเลย  ชาวบ้านจะเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ  สำนักงานฝนหลวงบอกว่า  กำลังดำเนินการอยู่  อยู่ในขั้นเลี้ยงเมฆให้อ้วน

   อีกไม่นานหรอก . . .

   . . . น้ำที่ชาวบ้านรอก็จะเต็มฝายเต็มอ่าง

   “เมื่อวานนะพ่อนัท  มีเครื่องบินอะไรไม่รู้บินไปมาเกือบทั้งวันเลย”  ตาชมบอก

   ชาวบ้านขานรับกันเซ็งแซ่

   บอยยิ้ม . . .

   . . . ข่าวดีที่สุด

   บอยหันมามองนัท  นัทเองก็ยิ้มแต้ไม่แพ้กัน  บางทีฝนอาจมาเร็วกว่าที่คิดเอาไว้ก็ได้ นัทมันรู้สึกอิ่มขึ้นมาเฉยเลย  ทั้ง ๆ  ที่ตอนลงจากรถนัทมันรู้สึกหิวเสียเต็มประดา  แต่ข่าวเรื่องเครื่องบินบินวนทำให้นัทมันอิ่มแบบไม่รู้ตัว

   “ฝนหลวงจะตา  เครื่องบินทำฝนหลวง”  นัทมันบอกแววตามันตื้อตัน



   นัทมันรู้สึกอิ่ม  หูมันไม่แว่วมั้ง . . .  

   . . . มันได้ยิน  

   สองหูมันได้ยินเสียงเครื่องบินอีกแล้ว  เสียงเครื่องบินต่ำใกล้เหลือเกิน   และมันชัดเต็มรูหู


   นัทวางจานข้าว  แล้วรีบวิ่งลงมาจากศาลาโรงครัว ชาวบ้านหลายคนวิ่งตามนัทลงมา มันเห็นแล้ว  เครื่องบินของสำนักงานฝนหลวงแน่เลยเพราะเป็นสีเดียวกับที่นัทมันเห็นในเวบ  เครื่องกำลังโปรยอะไรมันไม่รู้เป็นทางสีขาวยาว  ตัดกับเมฆดำที่เริ่มตั้งเค้ามาแต่ไกล

   “ฝน  ฝนมาแล้ว”  มันเอ่ยน้ำตามันเอ่อ

   “แอะอะอะไรกันว่ะ”  เสียงหลวงตาก้องดังแว่วมาจากด้านหลัง

   ชาวบ้านหลีกทางให้หลวงตาที่เดินจีวรปลิวมาแต่ไกล  นัทมันนั่งย่อตัวพนมมือแต้

   “อ้าว  ไอ้นัทดอกหรือ  มาเมื่อไหร่กันล่ะนี่  แล้วไอ้บอยล่ะ”  หลวงตาก้องทักทายพลางกวาดสายตาไปที่หมู่ชาวบ้าน

   “อยู่นี่จ้ะหลวงตา”  บอยมันนั่งลงกราบหลวงตา

   “เออ  มากันทั้งคู่เลยนะ  ได้เรื่องได้ราวแล้วสินะ”  หลวงตาแหงนมองท้องฟ้าที่ฝนเริ่มตั้งเค้าทะมึน

   “ครับหลวงตา  แม่นะกำลังจะมีน้ำแล้วครับ  เรากำลังจะมีน้ำครับ”

   “บารมีปกเกล้าแท้ ๆ  เลย”  หลวงตาแก่ ๆ  ยกมือท่วมหัว

   เสียงฟ้าคำรามมาแต่ไกล . . .

   . . .  สายฟ้าฟาดเปรี้ยงเป็นระยะ ๆ  

   แต่ . . .

   ตรงลานกว้างของวัดไม่มีใครถอยหนี  ทุกคนยืนมองเมฆดำที่เคลื่อนมาปกคลุมแม่นะอย่างช้า ๆ  มันคือความหวังของชาวแม่นะทุกคน  สายลมเริ่มพัดแรงหอบเอาฝุ่นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ  และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจอะไรเลยนอกจากหมู่เมฆที่ลอยต่ำ

   ละอองฝนเริ่มกระเด็นเป็นสายโดนหน้า . . .  

   นัทมันยิ้มแววตารื้น  

   มันสุขหัวใจเป็นที่สุดเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้นฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา  มันค่อย ๆ  ทรุดเข่าลงกับพื้น  เหมือน ๆ  ที่ชาวบ้านในที่นั้นก็ทรุดเข่าลงเช่นเดียวกัน  ในม่านฝนที่หนาตานัทมองเห็น  ชาวบ้านทุกคนยกมือท่วมหัว  ไม่มีใครคิดจะลุกหนีจากสายฝนนั้น  

   สายฝนแรกแห่งปี . . .

   . . . สายฝนที่เกิดจากน้ำพระทัยอันแน่วแน่ของพ่อแห่งแผ่นดิน

   ในม่านฝนนัทมันแยกไม่ออกหรอก ว่าส่วนไหนคือน้ำฝนหรือส่วนไหนคือน้ำตาของมัน  มันรู้เพียงแต่ว่า  ถ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวแล้วไซร้   คนส่วนใหญ่ในบ้านนี้เมืองนี้จะอยู่กันอย่างไร  

   ในขณะที่พระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ทุ่มเทพระวรกาย  และกำลัง  รวมทั้งทรัพย์สินส่วนพระองค์เพื่อช่วยเหลือราษฏรของพระองค์ให้อยู่ดีกินดี  

   แต่ . . .

   . . .  นักการเมืองบางคนกลับกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม คดโกงแผ่นดิน โกงประเทศชาติ  โดยไม่รู้สึกรู้สาถึงความเดือดร้อนของราษฏรเลยแม้แต่น้อย

   คนเหล่านั้นเลวยิ่งกว่าจะเรียกว่าคน

   “หลวงตานิมนต์เข้าด้านในเถอะครับ  ประเดี๋ยวจะไม่สบาย”  กำนันดวงนิมนต์หลวงตาก้องเข้าด้านใน  เพราะเห็นว่าหลวงตายื่นนิ่ง ๆ  กลางสายฝนมาร่วมชั่วโมง

   พื้นดินในลานวัดเริ่มแฉะไปด้วยน้ำฝน . . .  

   . . . ฝนที่เกิดจากกำลังสติของในหลวงของชาวไทย

   ชาวบ้านบางคนเริ่มมีความหวังอีกครั้ง  

   ลำใยจะไม่ต้องยืนต้นตาย . . .

   . . . ผักหญ้าที่ปลูกไปกำลังเจริญเติบโต  ก็ได้น้ำ  

   และอะไรอีกมากมายหลายอย่างที่จะตามมา  การได้ผลผลิตดีนั่นหมายถึงเงินก้อนโต  และมันอาจจะมากพอที่จะปลดหนี้เถ้าแก่เส็งได้เสียด้วย

   ฝนที่ตกมาร่วมสี่ชั่วโมงยังไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด . . .  

   ชาวบ้านหลายคนเข้ามานั่งล้อมวงกันในศาลาแล้ว  บางคนตัวเริ่มแห้งแล้วด้วยซ้ำ  น่าแปลกที่ก่อนหน้านี้  ทุกคนล้วนมีแววตาแห้งแล้งไร้ความหวัง  แต่พอฝนมาเท่านั้น  แววตาพวกเขากลับมีความหวังขึ้นอีกครั้งเพราะบารมีปกเกล้าแท้ ๆ  

   “วันก่อนพี่ดูข่าว  รัฐบาลจะอนุมัติงบมาช่วยเหลือพวกตกงานเหรอน้องบอย”  สมชายที่โดนพิษเศรษกิจเหมือนกันเอ่ยถาม

   บอยมันหันไปทางนัท . . .  

   . . . เรื่องนี้มันไม่รู้  มันไม่รู้อะไรเลยเรื่องการเมืองมากกว่า  เพราะมันยินดีทำทุกอย่างตามที่นัทบอก  แต่มันไม่เคยเรียนรู้อะไรเองก่อนนัทกระมัง

   “ครับพี่สมชาย แต่ผมว่าเราอย่ารอเลย  ขืนรอไม่ต้องทำอะไรกันพอดี  เราต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันก่อน  ผักที่ปลูก เห็ดที่เพาะไว้เราคงต้องเก็บไปขายกันที่ตลาดในตัวอำเภอก่อนล่ะครับ  ขืนรอรัฐบาลมีหวังได้อดตายกันพอดี”   นัทมันรู้  ระบบราชการกว่าจะผ่านการอนุมัติ  ไม่รู้จะเหลือมาถึงมือชาวบ้านจริง ๆ  สักเท่าไหร่

   “โอย  มันเป็นแผนหาเสียงของพวก สส. หรือปล่าวไม่รู้”  ตามิ่งเองก็สนใจการเมือง  พอจะมองออกแหละว่านโยบายไหนออกมาเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน  หรือนโยบายไหนที่ออกมาเพื่อตัวเอง

   “แต่ผมคงทำไร่ทำสวนไม่ไหวหรอกน้องนัทเอ้ย”  พร  หนุ่มประเทืองตกงานจากกทม อีกคนบอกมาจากฝั่งตรงข้าม

   “เหมือนกัน”  สมชายหันไปพยักเพยิด

   “ที่ผมคิดไว้คงไม่ใช่งานสวนหรอกครับ  เห็นบอยบอกเห็ดออกดี  แล้วบ้านเราอากาศก็เย็นด้วย  น่าจะปลูกเห็ดให้เป็นล่ำเป็นสัน  แล้วเอาส่งโครงการหลวงที่เชียงดาวก็ได้ครับ  ถ้าคุณภาพดอกได้ตามที่โรงการกำหนด  โครงการหลวงรับซื้อในราคาที่ยุติธรรมที่สุดครับ”  นัทหันมายิ้ม

   กลุ่มคนที่ตกงานมาจากกรุงเทพฯ  พยักหน้าหงิกงัก  พวกเขาเหล่านั้นจากบ้านไป ตั้งแต่จบ ป.๖ บ้าง ม.๓ บ้าง  คนเหล่านี้ไม่เคยสัมผัสกับประสบการณ์ในการทำไร่ทำสวน  ที่ห้องพักในกทม. หรือตามเมืองใหญ่ ๆ  ที่พวกเขาไปทำงานก็ไม่มีที่ดินพอให้เขาได้ปลูกพืชปลูกผัก  จะให้กลับมาตั้งต้นทำสวนใหม่มันก็ยากอยู่

   มันไม่ใช่วิถีชีวิตของพวกเขา

   “แล้วระยะยาว  ผมว่า  เราน่าจะลองปลูกพวกสมุนไพร  เพราะกระแสเรื่องสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมในหมู่คนมีเงิน  วันก่อนผมไปที่โครงการหลวง เจ้าหน้าที่เขาบอกมาว่าน่าจะปลูกสมุนไพร  แล้วแปรรูปเป็นพวก สบู่ แชมพู  เครื่องดื่มอะไรพวกนี้นะครับ”  นัทเล่าถึงเวลาที่เขาไปอยู่ในเมืองไม่กี่วัน

   บอยมองนัท . . .  

   . . . มันยิ้ม  

   ในขณะที่ตัวมันเองวุ่นกับการเรียนภาคฤดูร้อน  แต่นัทมันกลับวุ่นอยู่กับปัญหาของชาวบ้าน  หัวใจของนัทมันเหลือที่ไว้สำหรับคิดเรื่องอื่นอีกมั้ยนะ  บอยเห็นแล้วคนแบบนัท มุ่งมั่นตั้งใจ  ทำอะไรก็ต้องทำให้จบ  ให้สำเร็จ  นัทไม่กลัวความผิดพลาดจากการลงมือกระทำเลยแม้แต่น้อย

   “ช่าย ๆ  พ่อนัท  สมัยพี่อยู่กรุงเทพฯ  ยังเคยใช้แชมพูประคำดีควายเอย  แชมพูมะกรูดเอยเลย”  สมชายยิ้ม

   “ครับพี่  เอาไว้ผมจะลองติดต่อที่คณะที่เขาทำเรื่องพวกนี้  จะหาคนมาสอนนะครับ  เผื่อเราจะได้ไม่ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิดไปทำงานที่อื่นอีก”  นัทบอก  

   หลายคนพยักหน้ารับ

   “ไอ้นี่ไม่เลวเลยนะพ่อดวง  คนแบบนี้สิที่บ้านเมืองเราต้องการ”  หลวงตาก้องเอ่ยเบา ๆ  

   กำนันดวงพยักหน้ารับ  พลางมองสองหนุ่มด้วยแววตาเอ็นดู  



   ไก่ตัวที่ขี้เกียจที่สุดในแม่นะขันเสียงดังกังวาน  ปลุกนัทตอนตีห้าเศษ ๆ  ชายหนุ่มพลิกกายจะนอนต่อ  แต่แล้วลมเย็น ๆ  ฉ่ำชื้นที่พัดโชยเข้ามาทางหน้าต่างหัวนอนก็มาปะทะกับร่างกาย  ปลุกให้ต้องลืมตาขึ้นรับวันใหม่  ทั้งกลิ่นหอมจาง ๆ ของดินที่โดนน้ำฝนทั้งคืน ดูเหมือนว่าจะลอยตามสายลมเข้ามาปะทะจมูก  เร่งเร้านัทอีกแรง  นัทขยับกาย  มองดูอีกร่างที่นอนอุตุใต้ผ้าห่มผืนหนา

   ฝนยังคงโปรยปราย . . .  

   . . . แม้จะไม่หนักเท่าสามวันก่อน  

   แต่เสียงฝนที่กระทบหลังคายังทำให้คนที่อยู่ใต้ผ้าห่มไม่อยากตื่นเสียด้วยซ้ำ  ช่วงนี้ฝนตกทุกวัน  ลมหอบเอากลิ่นดินชื่นฉ่ำและกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไม้ใบหญ้า ให้ตลบอบอวลไปทั่วทุกอณูอากาศของแม่นะเลยทีเดียว  นัทมันแทบจะได้ยินเสียงเมล็ดพันธุ์ที่นำมาแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน เหยียดรากทิ่มแทงลงไปนพื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ของแม่นะ  และผลิแตกกิ่งก้านใบ  แทงทะลุดินขึ้นมารับสายฝนเลยทีเดียว

   ทุกวันที่นัทกับบอยเดินเหยียบย่ำโคลนแลนเฉอะแฉะ  ไปตามร่องผักที่วัด  และในโรงเพาะเห็ด  ดอกเห็ดต่างเบ่งบานแข่งกันราวกับจะบอกถึงความสำเร็จขั้นแรกที่ทั้งสองทุ่มทั้งกายทั้งหัวใจเลยทีเดียว

   หากเปรียบไปแล้ว  ระยะเวลาที่ทั้งสองมาลงกายลงแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ  ไม่แตกต่างอะไรไปจากเมล็ดพันธุ์ที่เริ่มแทงราก  ชูช่อใบโผล่พ้นผิวดินออกมา  เหลือเพียงแต่จะต้องประคองให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นเจริญงอกงามต่อไป

   แล้วเมล็ดพันธุ์รักของบอยล่ะ

   มันงอกงามบ้างหรือปล่าว . . .

   . . . หรือมันแคะเกร็นอยู่แบบเดิม

   ยิ่งนานวัน โครงการที่ทั้งสองช่วยกันสร้างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง    อย่างน้อยที่สุดพวกแรงงานคืนถิ่นยังมีงานทำ  หัวใจที่แห้งโหย  เหนื่อยล้ามาจากกรุงเทพฯ  ก็มีความหวังขึ้นอีกครา  วันนี้พวกเขาเหล่านั้นไม่อดตาย  เพราะมีผักหญ้าให้ได้เก็บกินและเหลือพอที่จะขายได้บ้าง  พอเป็นรายได้เล็ก ๆ  น้อย ๆ  

   แต่ที่เป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำคือปุ๋ยหมักชีวภาพที่มียอดสั่งเข้ามามากมายจนต้องทำกันทั้งเดือนเลยทีเดียว

   จริงแท้อย่างที่หลวงตาก้องบอก

   . . . แค่มีแผ่นดินก็ไม่อดตาย

   แม้ไม่มีเงินทองล้นฟ้าก็ไม่ใช่เรื่องสาหัสของชีวิตอีกต่อไป

   “ตื่นนานแล้วเหรอนัท”  บอยมันขยี้ตา  พลางบิดขี้เกียจไปมา

   “เออดิ  ใครจะนอนแบแกละว่ะ”  นัทมันหันมาจากที่มันมองไกลออกไปลอดหน้าต่างทางด้านหัวนอน

   “แหม  ฝนตก  เลยหลับเพลินไปหน่อย  วันนี้ต้องเข้าเมืองอีกแล้วล่ะ  พรุ่งนี้มีเรียน”  บอยมันพับผ้าห่มเข้าที่

   “อืม  รู้งี้ไม่ลงซัมเมอร์ดีกว่า  อยู่ที่นี่สบายดีเยอะเลย”  

   แววตานัทมันลอย  มันช่างฝันเหลือเกิน

   “โอย  ถึงเวลาก็ต้องกลับไปเรียนแหละ    ไปล้างหน้าดีกว่า  ดูสิป้าแววทำไรกินหิวแล้วว่ะ”  บอยมันเอามือลูบท้องไปมา

   “โอ้ย  ตื่นมาหิวเลยนะเอ็ง  เห็นลุงกำนันแวบ ๆ  เดินไปในทางสวนครัว  สงสัยไปหาอะไรมาให้ป้าแววแหงเลย”  นัทมองเห็น  จากมุมห้องที่ตรงนี้มันเห็นบริเวณสวนผักกำนันดวงชัด

   ทั้งสองมาอาศัยบ้านกำนันดวง  เพราะว่าค่ายอาสากลับไปแล้ว  และทั้งสองก็มานอกเหนือจากเวลาที่จะช่วย  ทั้งนัทและบอย  ปลีกเวลามาเพื่อสานต่องานให้สำเร็จ

   “พ่อนัท  พ่อบอย  ตื่นกันหรือยัง  มากินข้าวต้มกันเร็วกำลังร้อน ๆ  เลย”  เสียงป้าแววตะโกนมาจากในครัว

   ทั้งสองคนหันมายิ้ม  บอยเห็นนัทยิ้มกว้าง  คล้ายล้อเลียนมันเรื่องกิน  แต่มันก็เฉย ๆ  เพราะตอนนี้มันไม่กินอะไรก็ได้  มันได้อยู่ใกล้ ๆ  นัทมันก็อิ่มไปได้ทั้งวันแล้วล่ะ



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: [เพชร]uาคSาช ที่ 08-07-2009 21:42:06
 :z13:
ครับ 
แล้วจะตามอ่านให้ครบ
 :-[ :-[ :L2: :-[ :-[
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 09-07-2009 10:27:45

 :pig4:

รับทราบครับผม

ไม่ได้ห่วงอะไรหร็อกครับ

เพียงแต่อยากให้ได้อ่านเรื่องดีๆ ภาษาสวยๆ

เหมือนที่ผมได้อ่านอยู่เนี่ย

แค่นั้นครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 09-07-2009 11:34:49
:L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 09-07-2009 22:02:46

ตอนที่  ๑๒
หยุด . . . และพอ


   ลานกว้างใกล้ ๆ  หอพัก  มีจักรยานและมอเตอร์ไซด์จอดเรียงชิดติดกันนับร้อยคัน  ตั้งแต่ใหม่สุดไปจนถึงเก่าสุด  จักรยานบางคันเป็นมรดกตกทอดที่รุ่นพี่ได้ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า  แต่มันยังใช้การได้ดีสำหรับคนที่คิดว่าดีกว่าเดินไปเรียน  ใกล้ค่ำแล้วแต่บอยมันยังคงนั่งอยู่ที่ม้าหินใต้หอ  มหาวิทยาลับกำลังจะเปิด  มันกลับมาเร็วตามเคย  เหมือนรออะไรสักอย่างกระนั้นแหละ

   ใช่ . . . 

   . . . บอยรอ

   บอยรอชายแปลกหน้าในปีก่อน  ที่เดินส่งยิ้มให้มัน  มันหวังไว้  ปีนี้  ถ้าชายคนนั้นส่งยิ้มให้มันอีก  มันจะยิ้มตอบ  คราวนี้มันจะไม่หนีรอยยิ้มนั้นอีกแล้ว

   “เอ้ยบอย  จะมืดแล้วยังไม่ขึ้นตึกเหรอ”  ดิน  เพื่อนร่วมห้องคนใหม่ของมันเอ่ยถาม 

   มันหันกลับไปยิ้มนิดนึง  ดินมันชุ่มด้วยเหงื่อมาทั้งตัว  มันอยู่ในชุดที่บ่งบอกว่าเพิ่งกลับมาจากออกกำลังกาย

   “ยังโว้ย  ข้างบนมันร้อน”

   “แน่ะมาอ้างนะมึง  ดักรอสาวดิไม่ว่า  สาวคณะไรว่ะ”  ดินยิ้มยั่วแบบรู้ทัน

   “ไม่มี  ไม่มีใครเลยจริง ๆ  มึงนี่”

   “ไม่มีแต่หน้าแดง  คนเรานะคนเรา  ไปแล้วเหนียวตัวว่ะ”  ดินมันโบกมือ  ก่อนจะวิ่งปร๋อขึ้นไปบนหอ 

   บอยมันส่ายหัวไปมาเล็กน้อย  อย่างมันนี่หรือจะมีใครในหัวใจไปได้

   . . . เพื่อนต่างหาก

   เพื่อนไม่ใช่คนรักโว้ย  มันบอกตัวเอง

   . . . เพราะเพื่อนให้ความสุขแก่กัน 

   แต่ . . .

   . . . คนรักมักให้ความทุกข์มากกว่าเสมอ 

   บอยมันรู้ดี  มันจึงขีดเส้นตัวเองเอาไว้แค่เพื่อน แต่บางครั้งที่บอยมันล้ำเส้นไป  มันรู้  มันล้ำเส้นที่มันขีดไป  แต่มันไม่เคยคิดจะให้นัทรับรู้ถึงเส้นที่มันล้ำไปแล้ว  มันแค่เก็บความรู้สึกของหัวใจเอาไว้เงียบ ๆ  เท่านั้น  บอยมันคิด  มันกับนัทน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีกันได้  ถ้ามันไม่มีความรู้สึกให้นัทไปมากกว่านี้  กว่าที่หัวใจมันคิด

   มันรักนัท . . .   

   . . . แน่ 

   แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งเสียอีก

   ทว่า . . . นัทล่ะ 

   . . . นัทมันเคยมองเขาแบบนี้ละหรือ

   บอยมันรู้ . . . 

   . . . สุดปลายสายถนนหัวใจของมันมีนัทอย่าเสมอ 

   แต่ปลายถนนของนัท . . . 

   . . .  บอยมันไม่รู้หรอกว่าเป็นที่ใด  แล้วมันจะไปบรรจบกันที่ไหนด้วย

   บอยรู้แต่เพียงว่าเขาเป็นสุข  เมื่อเห็นนัทยิ้ม  นัทหัวเราะ  บอยจะนั่งทุกข์  ถ้ารู้ว่านัททุกข์

   หัวใจของบอยอ่อนโยน .. . 

   . . . และ บางครั้งก็อ่อนแอ

   ความอ่อนนี่  ตัวอันตราย

   เหมือนเหรียญที่มีสองด้านไง

   หัว . . . ก้อย

   เหมือนโลกที่มีทั้ง . . .

   สว่าง . . . และมืดมิด

   แต่ชีวิตคนเราแปลก  บางคนสว่างไสวตลอดกาล  แต่บอยมันกลับรู้สึกว่าชีวิตของมัน  มืดมิดนิรันดร . . .



   แสงไฟจากโคมริมถนนเริ่มจุดติดใส้หลอด  ที่ที่บอยนั่งอยู่ค่อนข้างมืดมิด  มันปล่อยความคิดไหลลื่นไปอย่างไร้จุดหมาย  สายตาบอยมันเห็น  มันเห็นตั้งแต่ร่างนั้นเดินมาไกล ๆ  เสียด้วยซ้ำ  ชายร่างโปร่งที่เดินเคียงมากับคนนั้น  คนนั้นของนัท    คนที่นัทเลือกแล้ว 

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . ใบหน้ามันฉาบด้วยรอยยิ้มแต่แววตามันร้าวลึก

   ไม่มีใครรู้หรอก  ภายในหัวใจของคนที่แอบรักมันเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน  บอยมันยังไม่อยากรู้เลย  ไม่อยากนับความเจ็บปวดของหัวใจตัวเอง

   “ทีแรกเมย์ว่าจะกลับตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ  แต่พอดี  ยายไม่สบาย  แม่เลยบอกว่าอยู่เป็นเพื่อนยายอีกวัน  เมย์เลยต้องอยู่”  เมย์ยิ้ม 

   รอยยิ้มของเมย์  สว่างเสมอแหละ

   “แบบนี้เขาเรียกบุพเพสันนิวาสมั้งเมย์  เพราะเมื่อวานนัทจะกลับเหมือนกันแต่ดันท้องเสีย  เลยกลับเสียวันนี้  แถมพอมาถึงได้เจอเมย์อีกต่างหาก  คิดถึงเมย์จังเลย  คิดถึงทุกวัน”  นัทหันไปยิ้ม

   “แหวะ  ดูพูดเข้า  สำนวนบ้านนอกมากเลยนัท”  เมย์ตีไปที่ต้นแขนนัทเบา ๆ

   “อ้าว  ก็คนบ้านนอกนี่ครับ  แต่จริงใจนะครับ”  นัทหันไปจ้องหน้า

   “ไม่เอาแล้วนัทนี่  พูดอะไรไม่รู้ . . .”    เมย์หลบสายตาด้วยความเขินอาย

   “. . . เออ  แล้วที่แม่นะเรียบร้อยดีมั้ยนัท”

   “จ้ะ  เรียบร้อยดี  ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่จากโครงการหลวงลงมาประจำอยู่หลายคนแล้วล่ะ  ชาวบ้านที่นั่นน่าจะดีขึ้นแหละ  เพราะอย่างน้อยเจ้าหน้าที่ของโครงการหลวงก็คงจะช่วยชาวบ้านได้มากกว่านักศึกษาแบบเรา ๆ  ล่ะ เมย์”  นัทแววตามีสุขเมื่อพูดถึงงานที่ตัวเองมีส่วนร่วมไปกระทำเอาไว้

   “ดีจัง  นัทนี่เก่งเหมือนกันนะ”

   “ไม่ใช่นัทคนเดียวหรอกเมย์  พวกเราหลาย ๆ  คนต่างหากที่ช่วยกัน  โดยเฉพาะบอย  ถ้าไม่มีบอย นัทยังไม่รู้เหมือนกันเลยว่ามันจะสำเร็จแบบนี้มั้ย  บอยช่วยได้มากเลยนะเมย์  ทั้งปุ๋ย ทั้งยาฆ่าแมลงชีวภาพ  สารพัดเลยล่ะ”  นัทยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงอีกคนที่เป้นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงาน

   “นั่นสิ  บอยนี่ชอบช่วยเหลือคนอื่นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

   “ช่ายเมย์  คนแบบนี้หายากนะ”  นัทเองก็รู้สึกแบบที่เมย์รู้สึก 

   บอยมันเต็มใจช่วย  และรู้สึกว่ามันจะเต็มใจที่จะช่วยเหลือทุกคนเสียด้วยซ้ำ  ไม่ใช่เอฉพาะเจาะจงมาที่ใครคนใดคนหนึ่ง

   แต่ทั้งนัทและเมย์ไม่มีวันรู้เลย . . .

   . . . คนที่ทั้งสองกำลังเอ่ยถึงด้วยความชื่นชม 

   นั่งมองทั้งสองที่เดินคุยกันมาอย่างเงียบ ๆ  ที่ที่บอยนั่งอยู่  มันอาจจะมืดลับสายตาคนที่ไม่ทันสังเกต  เมย์กับนัทเลยมองไม่เห็น  แต่บอยมันเห็น  มันเห็นทุกอย่าง  แววตามันพร่ามัวเพราะมีบางอย่างมาบดบัง

   บอยยิ้ม . . .

   . . . ยิ้มทั้งน้ำตา

   บอยไม่รู้หรอกว่าจะดีใจหรือเสียใจ  เพราะความรู้สึกทั้งสองอย่างมันระคนผสมปนเปกันอยู่ในความรู้สึกนั่น   มันอาจรักนัท  แต่เมย์ก็เพื่อนมัน  การที่คนสองคนรักกันมันควรยินดีมิใช่หรือ  มันไม่โทษใครหรอก  ไม่ว่านัท  หรือเมย์

   บอยมันโทษได้ก็แค่ตัวเองเท่านั้น

   มันควรโทษหัวใจตัวเองที่ห้ามไม่ให้คิดกับนัทเกินกว่าเพื่อนไปได้



   ภายในมหาวิทยาลัยร่มครื้นด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่  โคนต้นไม้จะมีโต๊ะยาวสำหรับนั่งพักผ่อน  ตอนนี้คนอื่น ๆ  ก็นั่งดีอยู่หรอก  ยกเว้นไอ้คนตัวผอมที่ยืนออกท่าออกทางล้อเลียนเพื่อนที่นั้งก้มหน้าหงุด


   “โด่เอ้ย  ไอ้ห่าอ๋า  อุตส่าห์มาเรียนวิดยา  ดันเสือกอยากไปเป็นขี้ข้าบนเรือบิน” 

   “ไอ้บ้า  ไอ้ควายบอย  กูอยากเป็นสจ๊วตโว้ย”  อ๋ามันเถียงออกนอกหน้า  เพื่อน ๆ 

   “ต๊าย  อีนี่ก๋า  นับวันจะแฮ่นเหลือขน๊าด”  บอยมันอู้คำเมืองแบบงู ๆ  ปลา ๆ  เพราะบ้านมันไม่ได้พูดคำเมืองกันนี่หว่า  แล้วท่าที่มันเท้าสะเอวล้อเลียนอ๋า  ก็ถูกใจเพื่อนกลุ่ม  เรียกเสียงฮากันกระจาย

   “ไอ้บ้า ไอ้ห่าบอย  มาว่าเอาแฮ่น  จะไดมาอู้จะอี้”  คราวนี้คนเมืองแท้งอนค้อนสองสามตลบ

   “เออ  กูไม่ล้อมึงแล้ว  ไอ้ห่านี่  มึงจะไปเป็นจ๊วตทำห่าไรหว๊า  หนอยเป็นมิสเตอร์จั๊กกะแหล่นวิชาภาษาอังกฤษ  เสือกอยากเป็นแอร์ ไปเป็นแอร์บัสเหอะมึง  ท่าจะรุ่งว่าแอร์โฮสเตส”

   “กูจะเป็นจ๊วตโว้ย”  อ๋ามันตะโกนตอบ

   “อ้าวกูนึกว่ามึงผู้หญิงนะเนี่ย  ใช่มะวะ”  ประโยคหลังบอยหันไปขอเสียงสนับสนุนเพื่อน ๆ  ในกลุ่ม  จนบิ้กมันงอนเนตูดบิดหนีไป

   “ไอ้ห่าบอย  มึงไปยั่วมันจนมันเดินงอนไปแล้ว”  ดินเพื่อนในกลุ่มบอก

   “ช่างแม่งมัน  เดี๋ยวมันก็ดีเองแหละ  พวกมึงลองแกล้งไม่สนใจมันสักสองสามชั่วโมงนะมึงเดี๋ยวมันมาง้อเองแหละ”  บอยบอก

   “รู้ใจจริง ๆ  นะมึง  อยู่ห้องติดกันกับมันมาตั้งปีนึง  เสร็จมันหรือยังว่ะ”  ดินเหย้าถาม

   “แหม  พี่ดินข๋า  พี่ดินอย่าพูดแบบนี้สิค่ะ พี่ดินอยู่กับหนูมาตั้งเดือนกว่าแล้วนะค่ะ  แล้วปีนี้พี่ดินต้องอยู่กับหนู๋อีกปีนะค่ะพี่ดิน”  บอยมันกระแดะ  มันกระแซะเข้าไปหาดิน  เรียกเสียงหัวเราะให้เพื่อนในกลุ่มได้ฮาใหญ่

   “โอ้ยห่านี่  เดี๋ยวเหอะมึง  กูคิดมาจริง ๆ  หรอกค่ะน้องบอยข๋า”  ดินมันเล่นด้วย  ทำเอาทั้งกลุ่มหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง

   บอยมันเริ่มสนุก . . . 

   . . . มันเริ่มติดเพื่อนในคณะมากขึ้น 

   มันกลับห้องมืดลง  ทั้ง ๆ  ที่ปีนี้นัทมันย้ายมาอยู่ที่ห้องชั้นเดียวกับบอย  บอยมันรู้ตัวเองดี  มันกำลังวิ่งหนีหัวใจตัวเอง  มันกำลังจะเดินเข้าไปยืนหลังกำแพงที่มันก่อขึ้นมา 

   กำแพงที่กั้นมันกับนัทให้อยู่คนละฝั่งกันอย่างสิ้นเชิง




   เชื้อเห็ดหมดแล้ว  ดอกเห็ดที่เคยตูมขาวผุดไสวลดน้อยลง  แปลว่าเตรียมเพาะรุ่นใหม่ได้  ผักที่ลงในแปลงก็เหมือนกัน  มีลูกค้าจากในเมืองมารับถึงที่  เพราะผักที่แม่นะเริ่มติดตลาด  รายได้ที่ชาวบ้านรวมตัวกันเป็นสหกรณ์สามารถทำรายได้ให้กับชาวบ้านได้ดีในระดับนึง  จนทุกคนเริ่มมีความหวังใหม่ ๆ  อีกครั้ง


   “พ่อนัท  เดี๋ยวปันผลเดือนหน้าลุงว่าจะไปดาวน์มอเตอร์ไซด์ใหม่สักคัน  เห็นบ้านแม่แจ่มเขาเพิ่งไปถอยทีวี ๒๑ นิ้วมาจากในเมืองผ่อนเดือนละไม่ถึงพันเอง”  ลุงชม  บอกเมื่อนัทมันกลับมาที่แม่นะอีกครั้ง

   “นั่นนะสิพ่อนัท  ป้าเองก็เก็บเงินสักก้อนจะบวชไอ้ลูกชายมัน  นี่ก็เก็บไว้ได้หมื่นกว่า ๆ  แล้ว”  ป้าแช่มบอกมาเหมือนกัน

   นัทมันได้แต่ยิ้มรับ . . . 

   . . . ทำไมชาวบ้านถึงได้มีแต่เรื่องที่จะจับจ่ายใช้สอยกันนักก็ไม่รู้  ทุกคนล้วนคิดถึงเรื่องเงินที่ต้องจ่ายออกไป

   “พี่ก็ว่าจะไปดาวน์เครื่องสักผ้าสักเครื่องเหมือนกันนะนัท  งานมันเยอะแทบไม่มีเวลาทำงานบ้านเลย”  สารภี  สาวน้อยที่ระเห็จมาจากพิษเศรษฐกิจบอกเหมือนกัน

   นัทมันรับรู้แต่เรื่องที่ชาวบ้านอยากใช้เงิน  จนมันแทบไม่ได้ทำอะไรในวันนั้น  ทุกคนล้วนอ้างภาระความจำเป็นในการใช้เงินแทบทั้งสิ้น  มันคิดจนหัวแทบระเบิด  ทำไมชาวบ้านอยากได้โน่นได้นี่ไม่รู้จักจบจักสิ้นสักทีนะ

   ปัญหาที่บอยมันเคยคิด  ค่อย ๆ  คลืบคลานเข้ามาหาชาวบ้านแม่นะทีละน้อย

   “เออ  ไหว้พระซะ  อาทิตย์ก่อนไอ้บอยก็เพิ่งจะมา  อาทิตย์นี่แกมา  ดี ๆ  มาอยู่เป็นลุกเป็นหลานบ้านนี้เลยมั้ยละไอ้นัท”  หลวงตาก้องเพิ่งกลับจากรับกิจนิมนต์ที่หมู่บ้านถัดไป  ค่อย ๆ  นั่งลงบนพื้นไม้กระดานขัดมันเรียบ

   นัทค่อย ๆ  รินน้ำชาจากกา  หลวงตาก้องรับไปฉันท์  ก่อนสะบัดสบงไปมาไล่แมลงที่บินว่อน

   “มีเรื่องทุกข์ใจเหรอ  สีหน้าไม่สู้ดีเลย”  หลวงตาถาม 

    นัทมันเก็บอาการไม่อยู่หรอก  เพราะเรื่องที่ชาวบ้านพูดจากัน  มันเข้ามากระทบจิตใจอยู่ตลอดเวลา  แล้วมันก็รู้ว่าความอยากล้วนแต่ไม่สิ้นสุดในชีวิตของคน  เมื่อตอนบ่ายมันปรึกษาลุงกำนัน  ลุงกำนันเองก็ได้รับรู้มาบ้างและยังไม่รู้จะหาทางออกเช่นไรดีกับปัญหาที่เริ่มคลืบคลานเข้ามาเช่นกัน

   “เรื่องชาวบ้านนะครับหลวงตา  ตอนนี้สหกรณ์ปันผลกันทุกเดือน  ชาวบ้านเริ่มมีรายได้  แล้วเขาก็เริ่มอยากมีโน่นมีนี่  ผมไม่ได้ดูถูกชาวบ้านนะครับที่อยากได้โน่นได้นี่  แต่ว่าการไปซื้อสินค้าเงินผ่อน  ดอกเบี้ยมันแพงนะครับ”  นัทเล่าความ

   “เออ ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน  อ้าว  พ่อดวง มา ๆ  เข้ามา”  หลวงตาก้องหันไปเห็นกำนันที่ก้าวเท้ายาว ๆ  มาทางหลวงตา

   “เป็นไงบ้างพ่อนัท  เรียนปรึกษาไปยัง”  กำนันดวงหันมาถาม

   “กำลังเริ่มครับลุง” 

   “ไอ้ดวงละคิดว่าไง”  พระนักพัฒนาหันไปขอความเห็นจากกำนัน

   นัทนั่งนิ่ง  ดูผู้นำสองคนใช้ความคิดกัน 

   กำนัน . . .

   . . . ผู้นำของคนทั้งตำบล 

   กับ

   หลวงตา . . . ผู้นำทางด้านจิตใจ

   “ไอ้กระผมจะพูดมันก็เกรงจะกระทบใจกันปล่าว ๆ  หลวงตา  แต่ละคนก็พี่น้องกันทั้งนั้น  หวังพึ่งบารมีหลวงตานี่แหละขอรับ”

   สีหน้ากำนันดวงกังวล 

   “เอ้า  เอาไงเอากันเดี๊ยวพรุ่งนี้เพลเสร็จข้าจะลองคุยดูอีกที  ไม่ใช่กิจของสงฆ์ก็เหมือนกิจของสงฆ์แหละว้า” 
   


   ข่าวหลวงตาก้องจะบอกทางสว่าง แพร่กระจายไปที่แม่นะอย่างรวดเร็ว  ราวไฟลามทุ่ง กำนันดวงหันมายิ้มกับนัท  เมื่อเห็นว่าผู้คนต่างมาทำบุญกันแน่นศาลา  บางคนจับกลุ่มคุยกันถึงเรื่องที่หลวงตาก้องจะคุยให้ฟัง

   “แม่ทองคำ  หรือหลวงตาจะให้เลขเด็ดหว่า”  ยายแช่มเขี่ยปูนในใบพลูเขียว  ก่อนจะเข้าปากเคี้ยกร้วม ๆ

   “ก็รอฟังอยู่นี่แหละแม่แช่มเอ้ย”

   “ถ้าบอกตรง ๆ  นะยายฉันจะทุ่มสุดตัวเลย  จะเอาไปซื้อเครื่องซักผ้า  สารภี  สาวน้อยที่เริ่มยิ้มหน้าใส  ผิดกับตอนกลับมาใหม่ ๆ

   “นั่นนะสิ  อีหนูเอ้ย  ลุงก็จะเอาไปดาวน์รถคันใหม่สักคัน”  ลุงชมนั่งอยู่ใกล้ ๆ  กันหันหน้ามาบอก

   เสียงคนโน้นคนนี้จับกลุ่มกันเซ็งแซ่

   ฝูงชนค่อย ๆ  แยกกันเป็นทางเพื่อให้หลวงตาก้องเดินผ่านไปนั่งบนอาสนะ  หลวงตาหันมายิ้มกับชาวบ้าน  ที่กำลังจ้องหลวงตากันแทบตาไม่กระพริบเพื่อรอดูว่าหลวงตาก้องจะทำเช่นไรต่อไป

   “ได้ข่าวว่าหลวงตาจะบอกสูตรแก้จนหรือเจ้าค่ะ”   ยายทองทำโผล่งมาก่อนใครเพื่อน

   หลวงตาก้องหันไปยิ้มเช่นเคย 

   “ได้ยินมาอย่างนั้นรึแม่ทองคำ”

   “ก็ชาวบ้านเขาลือกันนี่เจ้าค่ะ”  หญิงฟันดำเพราะน้ำมาก  ยกผ้ามาซับที่มุมปาก

   “เลยเชื่อตามงั้นสิ”

   “แหมหลวงตาเจ้าข๋า  หลวงตานิมิตดีหรือเจ้าค่ะ  เล่ามาก็ได้เจ้าค่ะ  พวกชาวบ้านจะได้สบายสักที”  สารภีในชุดสวย  ยิ้มสดใสกว่าวันวานก้มลงต่ำ

   “เออ  พวกเอ็งอยากสบายใช่ไหม”  เสียงหลวงตาก้องเปี่ยมด้วยเมตตา

   “เจ้าค่ะ  ขอรับ”  เสียงตอบรับจากชาวบ้าน  ที่กระเถิบกันเข้ามาใกล้หลวงตาก้อง

   ความหวังของชาวบ้าน  ที่หวังว่าจะได้เลขเด็ดจากหลวงตาก้อง  พระที่ไม่เคยใบ้หวย  และยิดติดกับวัตถุมงคลทั้งหลายกระแอมในลำคอเล็กน้อย  ก่อนที่จะเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด

   “จงหยุด  และก็พอ”  หลวงตายิ้ม

   ชาวบ้านหันหน้าเข้าหากัน . . . 

. . . ตีความหมายของปริศนาธรรมที่หลวงตาก้องเอ่ยออกไป  บางคนตีเป็นตัวเลขโน้นตัวเลขนี้  มีเพียงกำนันดวงกับนัทเท่านั้นที่มองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันเพราะเข้าใจในความหมายของคำพูดหลวงตาก้อง

   “ขอแม่น ๆ  แผง ๆ  เลยได้มั้ยเจ้าค่ะหลวงตา”  ยายแช่มต่อรอง

   “อ้าวที่ข้าพูดนี่ยังไม่แม่นอีกหรือ . . .”   หลวงตามองก่อนยิ้ม

“. . . เอาละข้าจะอธิบายให้ฟัง”

   เสียงที่ดังระงม  เงียบลงทั้งศาลา  ต่างคอยเงี่ยหูฟัง  ด้วยความหวังว่าหลวงตาจะให้ทางสว่าง  บางคนมาดหมาย  ทุ่มหมดหน้าตัก

   “. . . จงหยุด  คือจงหยุดความอยากทั้งหลาย  อยากได้  อยากมี  ความอยากมันไม่สิ้นสุดหรอก  มันเป็นกิเลส  เมื่อพวกเจ้าอยากได้โน่นอยากได้นี่  พวกเจ้าก็ต้องขวยขวาย  แล้วเป็นไงล่ะ  มันก็เหนื่อยอีก  ซื้อสินค้าเงินผ่อนมันก็ดอกเบี้ยทั้งนั้น  ตอนนี้เพิ่งลืมตาอ้าปากกันได้  อยากจะกลับไปตกในวังวนเก่า ๆ  ที่ทำเท่าไหร่ก็ไม่พอจ่ายดอกเบี้ยอีกหรือ  ถ้าพวกเจ้าหยุดสิ่งเหล่านี้ได้  ค่อย ๆ  เก็บหอมรอบริบไป  แล้วเมื่อมีกำลังพอก็ค่อยขยับขยาย  ไม่ใช่ไปเป็นหนี้เพื่อมาขยายฐานะ  มันไม่ถูกต้อง”   หลวงตามองไปทางกำนันดวง

   กำนันยิ้ม . .

   “. . . ส่วนก็พอ  ให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่  รถเก่า ๆ  ซ่อมนิดหน่อยมันก็ยังขับได้  ผ้าผ่อนก็ซักได้ด้วยมือนี่แหละ  ทีวี ๑๔  นิ้วมันก็รายการเดียวกับ ๒๑  นิ้ว  มันไม่แตกต่างกันหรอก  ให้เรารู้จักพอ  พอใจใจสิ่งที่ตัวเอาเองมี  แล้วเมื่อนั้นเราจะมีเงินทองเหลือเก็บ  เรามีเงินเหลือเก็บเราก็ได้ชื่อว่ารวย  รวยด้วยน้ำพักน้ำแรง  โดยไม่ต้องเป็นหนี้ใครเขาอีก”

   หลวงตาก้องหยุดนิ่ง  . . .

   . . .  มองดูชาวบ้าน  ทั้งหมดเหมือนจะเข้าใจ  เพราะต่างนิ่งเงียบ

   “ข้าเป็นพระพูดมากจะไม่งาม  แต่พวกเอ็งพึงระลึกเอาไว้  เมื่อสี่ห้าเดือนก่อนเป็นยังไง  หนี้สินพะรุงพะรัง  ไม่ใช่เพราะไปเชื่อเขามาไปผ่อนเขามาดอกหรือ  แล้วเป็นไงล่ะ  ทีนี้พอสบายขึ้นมาหน่อย  พวกเอ็งกลับอยากจะลงไปลำบากแบบเก่าอีกเหรอ  เอาแบบนั้นก็ได้  ข้าจะไม่ห้ามละ  ใครอยากไปดาวน์  ไปผ่อนอะไรเชิญเลย  ใครจะจัดงานบวชลูกชายล้มหมูล้มวัวให้มันดังไปทั้งอำเภอก็ตามสบาย  แต่ถ้าใครไม่มี  เอามานี่  ข้าจะบวชให้  คนจะบวชมันอยู่ที่พระ  ไม่ใช่อยู่ที่ต้องจัดงานให้ยิ่งใหญ่ขนาดคนลือไปทั้งตำบล  ข้าพูดแค่นี้หวังว่าคงเข้าใจนะ”  หลวงตาก้องขยับกายจะลุกขึ้น

   ชาวบ้านก้มลงกราบ  ก่อนจะค่อย ๆ  หลีกทางให้พระนักพัฒนาเดินลงไปจากศาลาอย่างเงียบ ๆ 

นัทยิ้ม . . .

. . .   มันเข้าใจ 

นัทมันเข้าใจในทุกคำสอนของหลวงตาก้อง  มันหวังเอาไว้ลึก ๆ  อยากให้ชาวบ้านเข้าใจแบบที่มันเข้าใจ 

   แค่ทุกคนเข้าใจคำว่า . . .

. . . หยุด

   และ . . . พอ



   นัทลงจากรถที่ตลาดหลังมอ บนหลังมันมีเป้ใบเก่ง  ส่วนอีกสองมือก็ถือชะลอมที่ชาวบ้านแม่นะฝากมา  เขาเดินผ่านหน้าประตูมาอย่างเงียบ ๆ  คำสอนของหลวงตาเมื่อตอนเพลยังก้องอยู่ในหัว


   มันยิ้ม . . . 

   . .  มันเดินเข้ามายังหอภายในมหาวิทยาลับอย่างมีความสุข

   “อ้าวบอย จะไปไหน”  มันหันมายิ้มกับบอย 

   มันไม่ได้เจอบอยนานเท่าไหร่แล้วหว่า  มันไม่แน่ใจ  เพราะมันเองก็ไม่ได้นับ  มันอยู่หอเดียวชั้นเดียวกัน  แต่มันกลับไม่ได้พบเจอกัน  เหมือนอยุ่กันคนละฟ้ากั้นมิปาน

   “นี่  ยายแช่มฝากลำไยมาให้บอยแน่ะ”  นัทส่งชะลอมให้

   “ขอบใจนะ”  บอยบอกสั้น ๆ

   “เห็นหลวงตาบอกอาทิตย์ก่อนบอยแวะไปเหรอ  ทำไมไม่รอไปพร้อมกันอาทิตย์นี้ละบอย”  นัทมันหันมาถาม  ขณะที่บอยตัดสินใจเดินกลับห้องพร้อมนัท

   บอยมันล้มเลิกความตั้งใจที่จะไปหาอะไรกินข้างนอกเสียสนิท

   “พอดีมีงานที่คณะเมื่อวาน  เลยต้องไปก่อน” 

   “วันนี้หลวงตาเทศน์ยาวเลยล่ะ  เทศน์เสียจนชาวบ้านเคลิ้มไปเลย”  นัทมันยิ้ม  เมื่อมันนึกถึงภาพเมื่อตอนสาย

   บอยรับฟังอย่างเงียบ ๆ  มันยินดีที่จะรับฟังเรื่องราวจากปากของนัท  มันอยากร่วมรับรู้ทุก ๆ  เรื่องของนัทเสียด้วยซ้ำไป  มันอยากทอดระยะจากตรงนี้กับหอให้ยากออกไปไกลสุดสายตา  เพื่อว่ามันจะได้เดินบนถนนเส้นนี้กับนัทนาน ๆ  แต่มันได้แค่คิด เพราะความจริงก็คือความจริง

   ความจริงที่นัทเห็นมันเป็นแค่เพื่อนคนนึงเท่านั้น

   “ว้าถึงหอแล้ว  ยังไม่ได้คุยไรกันเลย  เอางี้  นัทฝากเป้ให้บอยเอาไปเก็บที่ห้องนัทด้วยนะ  เดี๋ยวนัทจะเอาลำไยชะลอมนี้ไปฝากเมย์  แล้วเราค่อยคุยกันคืนนี้  บนดาดฟ้าดีมั้ย  ไม่ได้ขึ้นไปนานแล้ว”  นัทส่งเป้ให้บอย

   บอยยิ้ม . . . 

   . . . แม้ในแววตามันออกจะรวดร้าวสักหน่อย  นัทมีเมย์ในห้วงความคำนึงอยู่ตลอดเวลา  ส่วนมันนะเหรอ  มันเคยอยู่ในสายตาของนัทบ้างใหมนี่  มันรับเป้มาจากนัท  ก่อนที่จะมองนัทเดินลับสายตาไปอย่างเงียบ ๆ

   บอยมันไม่รู้ตัวเลย . . . 

   น้ำตามันเอ่อออกมาโดยไร้เหตุผล  เมื่อเห็นนัทหิ้วชะลอมลำไยเดินไปทางหอเมย์  มันพยายามที่จะห้ามตัวเอง  ห้ามหัวใจตัวมันเองแหละ

   เมื่อใดรัก . . .

   . . . มีแต่การให้โดยไม่ต้องการการครอบครอง

   รักนั้นสว่างไสวใยยองประดุจทิพยธารสายน้ำอันเย็นฉ่ำแตะต้องตรงที่ไหนเหมือนน้ำทิพย์ชโลมใจ

   เมื่อใดรัก . . .

   . . . หวงแหนเป็นของตน

   รักนั้น . . .

   . . . มิแตกต่างไปจากลาวาร้อนรน เผาหัวใจของตนให้หมองไหม้ พินาศลงในพริบตา


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 10-07-2009 08:27:43
เรื่องนี้อ่านกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อเลย

เอามาเขียนใหม่ก็ยังติดตามอ่าน

เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ชอบบอยมากถึงมากที่สุด o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 10-07-2009 20:52:54
นับถือบอยจริงๆนะเนี่ย ที่ยอมอยู่อย่างทุกข์ใจเพื่อความรักอะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 10-07-2009 23:40:30
อายแล้วเหนื่อยใจแทนบอย หวังว่าจะไม่เจอจุดพลิกพลันจนรับมือไม่ทันกันทั้งคู่่น่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 11-07-2009 12:11:39
ต อ น ที่  ๑๓
ร อ คอย  .  .  .


   บอยกั้นหัวใจตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา มันไม่ยอมวอกแวกหันเหความคิดไปทางอื่น  บอยพยายามรักษาความพิสุทธิ์ของหัวใจไว้  มันแน่วแน่ต่อมิตรภาพ  ที่มันมีต่อนัท  บอยมันเริ่มเข้าใจ  สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความเปลี่ยนแปลง   


   เหมือนโลก . . . 

   . . . โลกหมุนเวียนเปลี่ยนเป็นฤดูกาล  ไม่แตกต่างไปจากชีวิตของผู้คนที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปมีทั้งดีและไม่ดี

   ลมพัดหวีดหวิว  คล้ายจะมีฝนตก  ช่วงนี้กำลังเปลี่ยนฤดูจากฤดูร้อนเป็นฤดูฝน  บางวันฝนตกลมกรรโชกแรง  แต่คืนนี้มีเพียงแค่ลมพัดแรงเท่านั้น  บอยค่อย ๆ  แหงนมองฟ้า  คืนนี้ดาวสวย  ระยิบระยับวับวาวไปทั่วท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม  แสงดาวแวววับกระพริบถี่ ๆ  บอยมันยิ้มกับฟ้า  มันไม่รู้หรอกเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน  บอยรู้เพียงแต่ว่า  นัทบอกว่าจะมา  มันจำต้องรอ

   บอยมันรออย่างมีความหวัง

   เวลาในการรอที่มีหวัง  มันไม่นานหรอก  คนรอไม่เคยรู้สึกว่านาน  เพราะอย่างน้อยมันก็คิดเพียงว่าเดี๋ยวคงมา . . .

   . . . อีกเดี๋ยว

   ผิดกับ

   การรอแบบไร้หวัง . . .

   . . . มันช่างเนิ่นนาน  นิรันดร์กาล

   เสียงเวลาเที่ยงคืนจากหอนาฬิกาดังกระหึ่มมานั่นแหละ  บอยมันถึงรู้เวลา  มันดึกแล้ว  มันรอมากี่ชั่วโมงแล้วหว่า  เมื่อมันคิดแววตามันเศร้า 

   ใช่ . . . 

   . . . มันคิดไปเอง 

   มันคิดไปเองว่านัทจริงจังกับคำพูด  มันน่าเฉลียวใจก่อนหน้านี้  บางทีนัทอาจแค่บอกไปเรื่อยเปื่อย  มันคิดเอาเองทั้งนั้น  นัทอาจสนใจมันบ้าง  แต่เมื่อเวลานี้แล้วมันรู้แล้วมันคิดผิด  คิดผิดจริง ๆ

   บอยค่อย ๆ  แหงนหน้ามองฟ้า  ดวงตาบอยพร่าพราว  บอยมันยายามที่จะสั่งบางสิ่งบางอย่างให้กลับลงไปข้างใน  ให้มันกลับไปรดรินหัวใจที่มันกำลังแหลกราญเพราะไร้ความหวัง  แต่มันยิ่งสั่งมันยิ่งแพ้  บอยมันแพ้ตัวเองต้องยอมก้มหน้าน้ำตาร่วงพรู

   ตอนกระพริบตา  บอยรู้สึกว่าขอบตามันแห้งเจ็บ  เมื่อน้ำตามันไม่ยอมไหลย้อนลงในหัวใจ  ร่างมันทั้งร่างคล้ายต้นไม้ที่ขาดน้ำ

   น้ำฝน . . .

   . . . มาจากเมฆ

   แม่น้ำสายใหญ่ . . .

   . . . มาจาก ห้วย ธาร สายเล็ก ๆ

   น้ำค้าง . . .

   . . . มาจากสายหมอก

   ใครก็ได้บอกได้ไหม . . .

   . . . บอกฉันที

   น้ำตามาจากไหน ?

   เมื่อตอนค่ำ ๆ มันยังมีความหวังไว้เต็มเปี่ยม  มันหวังที่จะได้พบเจอนัทอีกสักครั้ง  บนดาดฟ้านี่  บนที่ของมัน  ที่นี่มีความทรงจำที่ดีสำหรับมันกับนัท  มันอยากเก็บภาพเหล่านั้นเอาไว้กับตัว กับหัวใจ

   มโนภาพ . . .

   . . .  งดงามกว่าความจริงเสมอ  โลกในมโนภาพสวยสดงดงาม  น่าอยู่กว่าโลกแห่งความเป็นจริง  เพราะโลกในมโนภาพจะแต่งแต้มวาดไว้อย่างไรก็ย่อมได้  ขณะที่โลกแห่งความเป็นจริงนั้น  แปรเปลี่ยน  ไม่เคยจีรังยั่งยืน

   ความแปรเปลี่ยน ก่อให้เกิดทุกข์

   บอยมันฟุบหน้าลงกับต้นแขน  มันใช้สายลมปลอบประโลมให้หัวใจคลายเศร้าหมอง  ใช้ท้องฟ้าห่มกอดตัวเองเอาไว้กันหนาวเหน็บ  ใช้แสงดาวนับล้านเป็นแสงสว่างนำทางหัวใจของมัน  แล้วบอยมันก็เผลอหลับไป . . . 

   . . . หลับไปทั้งน้ำตา




   ปลายนิ้วเบา ๆ  แตะที่ไหล่  บอยมันยิ้ม  มันฝัน  นัทเดินเข้ามาหามัน  นัทจริง ๆ  ที่เดินมา  นัทมันอาจมาสายแต่นัทก็มา  ปลายนิ้วที่ไหล่มันไง  ยังอยู่มั้งบอยมันรู้สึกตัว  มีอีกมือแตะอยู่ที่ไหล่มันจริง ๆ    มันไม่ฝันไป  มันไม่ได้ฝันไปเลย


   “นัท” 

   บอยมันเอ่ยเบา ๆ  ก่อนจะหันหน้ามามองเจ้าของมือ แววตาที่เปี่ยมด้วยความหวังของบอยเศร้าสร้อย  บอยรู้แล้วว่าความฝันมันมีความสุข  ความฝันไม่เคยทำร้ายใครหรอก  มันคิดไปเองฝันไปเองคนเดียว

   “เป็นอะไรไปมึง  มาหลับทำไมบนนี้”  เจ้าของมือนั่งลงที่ม้าหินอ่อนตรงกันข้ามกับบอย

   “ไม่มีอะไรหรอก  แล้วทำไมมึงยังไม่นอนว่ะ”  บอยมันหยิบกีตาร์มาเกาเล่น  มันอยากหลบสายตาเพื่อนที่จ้องมองมันมากกว่า

   “เป็นห่วง  เห็นหายมานาน  นอนหลับไปตื่นนึงเห็นบอยยังไม่เข้ามาเลยขึ้นมาดู”  แววตาดินมันห่วงจริง ๆ 

   บอยมันเกลียดแววตาแบบนี้นัก  แววตาที่บอยเองก็ไม่อยากจะหาคำตอบ

   “เขาไม่มาหรอกบอย  อย่ารอเลย”

   บอยหันกลับมามองหน้าดิน  ดินรู้อะไร  ดินมันพูดอะไรแปลก ๆ  มันไม่เคยแสดงออกให้ใครรู้  แล้วทำไมดินมันถึงพูดแบบนี้  ดินมันรู้อะไรเกี่ยวกับมันหรือ  บอยมันหวาดหวั่น  มันไม่กลัวหรอกถ้าดินจะรู้ว่ามันเป็นแบบนี้  แต่มันกลัว  ดินจะมองอีกคนมากกว่า  มันคงทนไม่ได้  ถ้าดินคิดว่านัทเป็นเหมือนมัน

   “พูดอะไร  ไม่เห็นเข้าใจ  บ้ามั้ยมึง”  บอยมันไล่เสียงกีตาร์ไปเรื่อย

   “บอย  ถ้าแกคิดว่าแกหลอกตัวเองแล้วมีความสุข แกหลอกไปเลยนะโว้ย  แต่แกจะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต  เพราะใจแกคิดอยู่เสมอว่าแกหลอกตัวเอง  กูเพื่อนมึงนะโว้ยไอ้บอย  ถ้ามึงหันมามองกูสักครึ่งนึงของสายตาที่มึงมองเด็กวิศวะ  มึงจะรู้เองแหละว่าสิ่งที่กูพูดคืออะไร”

   บอยมันเอ๋อไปชั่วขณะ . . . 

   . . . คำพูดของดิน  มันเสียดแทงหัวใจบอยอยู่ลึก ๆ  ใช่  มันหลอกตัวเองแหละ  แล้วใครจะทำไมล่ะ  ในเมื่อมันก็ตัวของมันเองนี่หว่า  มันมองหน้าดินก่อนถอนหายใจเบา ๆ 

   “ช่างแม่งเหอะ  เอากีตาร์มาดิ  เดี๋ยวจะเล่นให้แกฟังสักเพลง ฟังดี ๆ นะไอ้บอย”  ดินยิ้ม

   “เออ  เพลงไรล่ะ  บอกมา  จะได้เป่าเม้าท์ออแกนคลอด้วย”

   ดินยิ้ม . . . 

   . . . มันมองบอย 

   แบบเดียวกับที่บอยมองนัทแหละ  แต่บอยไม่เคยมองมันหรอก  เพราะในสายตาของบอย  บอยมันไม่มองใครอยู่แล้วล่ะ  สายตามันมีไว้มองแค่คน ๆ  เดียวเท่านั้น

   “ถ้าคิดว่า  เล่นได้  ก็เล่นตามดิ”  ดินมันยิ้ม  พลางเอากีตาร์  มาวาง  ก่อนจะ ค่อย ๆ  ขึ้นทำนองเพลง ดินหันมายักคิ้วให้บอย  สายตาจับจ้องใบหน้าเพื่อนร่วมห้องเอาไว้


  ยังเป็นเธอที่ทนเจ็บซ้ำหัวใจ  รู้ว่าเขาจากไปไม่ร่ำลา

เขาที่ทิ้งให้เธอต้องเสียน้ำตา  เธอก็ยังไม่เคยลืมไป

ฉันก็รู้ว่าเธอรักเขา  ถ้าหากต้องทำให้เธอเจ็บ

ก็ขอให้รักตัวเอง  อย่ารออีกเลยเธอ  เขาคงไม่มา

อย่ารอให้เวลาซ้ำเติมเธอให้มากมาย

หากไม่ลืมเขาให้เธอได้เข้าใจ

มีคนที่เป็นห่วงอยากเห็นเธอดีขึ้นมาเหมือนดังเดิม

เพราะฉันก็รู้ว่าเธอปวดร้าวเพียงใด  ในเมื่อเธอยังคิดถึงเขาอยู่

เขานะหรือก็คงไม่แคร์และไม่รับรู้เธอจะเป็นจะอยู่ยังไง

ทรมานในใจของฉัน  ไม่อยากให้เธอต้องทนอยู่กับรักที่เลื่อนลอย

อย่ารออีกเลยเธอ  เขาคงไม่มา

อย่ารอให้เวลาซ้ำเติมเธอให้มากมาย

หากไม่ลืมเขาให้เธอได้เข้าใจ

มีคนที่เป็นห่วงอยากเห็นเธอดีขึ้นมาเหมือนดังเดิม

ทรมานในใจของฉัน  ไม่อยากให้เธอต้องทนอยู่กับรักที่เลื่อนลอย

อย่ารออีกเลยเธอ  เขาคงไม่มา

อย่ารอให้เวลาซ้ำเติมเธอให้มากมาย

หากไม่ลืมเขาให้เธอได้เข้าใจ

มีคนที่เป็นห่วงอยากเห็นเธอดีขึ้นมาเหมือนดังเดิม


   ดินเล่นไปร้องไป . . .   

   . . . แต่

   สายตาจับจ้องที่บอยตลอดเวลา  บอยไม่อยากอ่านสายตา  ไม่อยากอ่านความรู้สึกของคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม  ถ้าบอยมันคิดไปเองอีกมันจะเจ็บเสียเปล่า ๆ  เสียงทำนองกีตาร์ของดินกับเสียงเป่าเม้าท์ออแกนของบอยบาดลึก  ไปในหัวใจของทั้งสองฝ่าย  ที่ไม่ยอมเปิดรับมัน

   “จะไปนอนแล้วนะ  ง่วงว่ะ”  บอยมันลุกเดิน  เมื่อดินเล่นเพลงจบ 

   บอยมันรู้ . . .

   . . .  สายตามันสื่ออะไรได้มากกว่าคำพูดเสมอ  แต่ในห้วงเวลานี้  บอยมันไม่อยากรู้อะไรมากกว่านี้อีกแล้ว

   ดินได้แต่เดินตามบอยลงมาเงียบ ๆ 



   นัทแจ้งเจ้าหน้าที่หอพักว่าต้องการมาเจอใคร  แล้วนัทก็มานั่งรอเมย์ที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้  นัทแหงนหน้าไปทางประตูหอหลายครั้ง  นัทกระวนกระวายใจ  หลายวันมานี่เขาไม่ได้เจอเมย์  มันช่างนานเนิ่นเสียเหลือเกิน  นัทยิ้มกับตัวเองเมื่อเห็นเมย์ก้าวเดินมาใกล้ ๆ

   “มาซะมืดเลยนัท  มีอะไรด่วนมั้ย”  เมย์นั่งลงใกล้ ๆ 

   “เพิ่งกลับมา  เอาลำไยมาฝากเมย์  แต่คงน้อยกว่าความคิดถึงของนัทมั้ง”  นัทยิ้ม

   เมย์ย่นจมูกใส่นัท  ระยะหลังนัทพูดจาหวาน ๆ  ใส่  เมย์เองก็ชอบตามประสาคนที่รักกัน   ถ้าอยู่กันแค่สองคน  แต่ถ้าอยู่หลาย ๆ  คน  เมย์ก็อายเหมือนกัน

   “นัทน่ะพูดอะไรไป  อายคนอื่นเค้า”  เมย์ก้มหน้า

   “อายทำไม  ไม่มีใครสักหน่อย  หิวข้าว  เมย์ออกไปกินข้าวกับนัทหน่อยได้มั้ย”  นัทมองหน้าเมย์  พยักเป็นเชิงขอร้อง

   เมย์ทำท่าคิด  แต่ก็ตอบตัวเองได้แล้ว  เพียงแต่นิสัยผู้หญิงยังมีอยู่มากมั้ง  เลยดูเหมือนว่าเมย์กำลังเล่นองค์ทรงเครื่องอยู่สักเล็กน้อย  เมย์ชายตามาที่นัท เห็นแววตานัทที่อ้อนวอน  เมย์ได้แต่พยักหน้ารับ

   “กลับมาก่อนสี่ทุ่มนะ  เดี๋ยวหอปิด”

   “ครับผม”  นัทเอาสามมือแตะที่ปลายคิ้ว 

   “รอเมย์สักแปบนะ  เอาลำไยไปให้สาวก่อนเดี๋ยวลงมานะ”

   แค่รอยยิ้มของเมย์ . . . 

   . . . นัทมันก็ลืมเหนื่อย 

   มันลืมไปเสียแล้วว่า  สองวันก่อนยังง่วนกับการช่วยงานที่แม่นะ  แต่วันนี้แค่นัทมาเจอเมย์  นัทมันก็หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง  นัทมันอยากให้เวลาระหว่างนัทกับเมย์มีมากกว่านี้เสียด้วยซ้ำ

   นัทคงรู้แล้ว . . .

   . . .  ความรักมีพลานุภาพ  ทำให้โลกนี้น่าอยู่

   แต่ที่นัทไม่รู้  ยังมีอีกคนที่อยู่ได้ด้วยการ . . .

   . . . รอคอย

   เมย์กลับลงมาอีกครั้ง  พร้อมทั้งชูพวงกุญแจรถไปมา  นัทมันทำหน้าแปลกใจ  เมื่อเมย์ส่งกุญแจรถให้นัท

   “เมื่อวันเสาร์  พ่อมา  สงสารเมย์มั้งเลยไปซื้อรถป็อบมาให้นะ  สองคนน่าจะไปไหวนะ  ดีกว่าเดิน”  เมย์เดินนำมาที่รถคันใหม่ที่จอดอยู่ที่ลานจอดรถของหอ

   นัทมองที่รถ  แล้วก้มมองตัวเอง  ก่อนจะมองที่เมย์  รถคันนิดเดียวเอง  จะไหวเหรอ  มันน่าจะเขกกะโหลกตัวเองนัก  ทำไมเมื่อกี้ไม่แวะเอารถที่หอนะ  ไม่น่ารีบเดินมาหาเมย์เลย  หรือเพราะนัทรีบ ใจจดจ่ออยู่ที่เมย์เลยลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

   “จะไหวเหรอเมย์”  นัทขึ้นคร่อมที่เจ้ารถคันเล็ก  แล้วหันมามองด้านหลัง  ที่มีที่ว่างไม่มากนัก

   “น่า  แค่หลังมอเองนัท  ดีกว่าเดินนะ”  เมย์พยักหน้า

   “เอ้า  ไหวก็ไหว  ขึ้นมา”  นัทเอามือตบที่เบาะหลังก่อนที่จะ ค่อย ๆ  ออกตัวไปช้า ๆ



   นัทเดินผิวปากเข้ามาในหออย่างอารมณ์ดี  เขานึกถึงภาพที่เมย์ซ้อนท้ายรถคันเล็กของเมย์  แล้วนัทมันยิ้มกว้าง  ไม่เหมือนตอนที่เมย์ซ้อนเจ้าดรีมคันเก่งของนัทเลยสักนิด  รถเมย์คันเล็กกระจ้อยร่อยไปเลยเมื่อต้องซ้อนทั้งนัทและเมย์  แต่นัทมันกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นยามเมย์เอามือเกาะไว้ที่เอว

   “เฮ้ย  ยิ้มมาแต่ไกลเลยเพื่อน  สงสัยได้ยาดี”  น้ำเพื่อนร่วมห้องเอ่ยทักเมื่อนัทเปิดประตูห้องเข้ามา
   
“อะไร  กูยิ้มก็ผิดด้วยเหรอ”  นัทมันเดินไปที่เป้ที่ยังกองอยู่  นัทเปิดเป้  หยิบเอาลำไยในถุงที่ใส่ไว้ในเป้มาโยนไปให้น้ำ

   “เอ๊า  แดกซะ  จะได้ไม่ต้องพูดมาก”

   น้ำใช้สองมือรับคล้ายนายประตูรับลูกฟุตบอล  พลางแกะปากถุง  ลำใยสดใหม่ลูกโต  ส่งกลิ่นหอมชวนกิน  น้ำหยิบลำใยออกมาช่อใหญ่  พลางใช้สายตาพิจารณา

   “โอ้โฮ  มิน่าเพื่อนเราตาหวานเยิ้มมา  สงสัยไปแม่นะกินลำไยมาทั้งสวนแน่”  น้ำพูดพลางใช้มือแกะลำใยเข้าปาก

   “ยัง  ยังไม่เลิก เดี๋ยวอดเลยมึง”  นัทมันยื่นมือจะคว้าถุงลำใย  แต่น้ำดึงถุงหนี

   “ยากว่ะเพื่อน  อ้อยเข้าปากช้างแล้วว่ะ  เออ  เกือบลืมไป  เมื่อวานแม่เอ็งโทรมาแน่ะ  ข้าบอกไปแม่นะ  แม่สั่งไว้ให้แกรีบโทรกลับ  สงสัยมีเรื่องด่วนว่ะ” 

   “เหรอ  ขอบใจโว้ย  งั้นกูออกไปโทรหาแม่ก่อนนะโว้ย”

   นัทมันหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า  แต่หูของนัทคลับคล้ายคลับคลามีใครร้องเพลงอยู่แว่ว ๆ  เสียงเพลงคล้ายเสียงกีตาร์กับเม้าท์ออแกนผสมกัน  นัทพลิกตัวไปมาคล้ายว่ายังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง  แต่ความเหนื่อย  มันมีมากกว่าความอยากรู้  นัทมันพยายามข่มตาหลับอีกรอบ  พอ ๆ  กับเสียงเพลงนั้นขาดหายไปในที่สุด

   แล้วนัทมันดีดตัวลุกขึ้นนั่งบนที่นอน . . . 

   . . . จริงสิ 

   มันเป็นคนบอกบอยเองให้รอที่ดาดฟ้า 

   ตายแล้ว . . . 

   ป่านนี้บอยมันไม่รอแย่แล้วเหรอ  มันออกไปกินข้ากับเมย์กลับเข้ามาก็ออกไปโทรศัพท์กลับบ้านอีก  นัทมันวุ่นจนลืมเสียสนิท  เสียงเพลงเมื่อกี้  แสดงว่าบอยมันยังไม่หลับ  บอยมันอาจจะรอที่ดาดฟ้า  เร็วเท่าความคิดนัทมันเดินออกจากห้องไปยังจุดหมายในทันที

   ลมพัดโบกมาปะทะใบหน้า . . .

   . . . นัทมันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ  ดาดฟ้า

   ทุกอย่างล้วนเงียบสนิท  ไม่มีใครอยู่บนนั้นเลย  และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเสียด้วยซ้ำ  นัทมันเดินมาช้า ๆ  มานั่งที่ม้าหินอ่อนตัวเดิม  ที่มันเคยนั่งกับบอย  นัทมันส่ายหน้าช้า ๆ  นึกขันตัวเอง  มันคงหูแว่วไปเองแหละ  ใครจะบ้ามานั่งรอมันจนป่านนี้  นัทแหงนหน้ามองฟ้า  ฟ้าคืนนี้สวยแหละ  ดาวดาษดื่นเต็มท้องฟ้า



   ไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงา  ใต้ร่มไม้มีโต๊ะไม้รูปแบบเดียวกันตั้งวางเอาไว้สำหรับให้นักศึกษาได้ใช้นั่งอ่านหนังสือหรือพักผ่อน    บอยมันนั่งอยู่ตรงนั้น  บอยนั่งอยู่นานแล้ว  นานพอ ๆ  กับที่คนที่วิ่งไล่แตะบอลอยู่ในสนามลงเล่นนสนามนั่นแหละ  นับตั้งแต่คืนนั้นบอยมันบอกตัวเอง

   พอเถอะ . . . 

   . . . เหนื่อย

   มันเหนื่อยที่จะวิ่งไล่หัวใจตัวเอง

   บอยยินดีที่จะนั่งเงียบ ๆ  ในมุมที่นัทจะไม่มีวันที่เห็นมันเด็ดขาด  มันพอใจที่จะอยู่ในมุมตรงนี้  มุมที่บอยขีดเส้นให้ตัวเองเอาไว้แค่นี้ จริง ๆ  บอยมันเห็น  คนที่วิ่งไล่บอลอยู่ไกล ๆ  มันจำได้แทบทุกอณูของคนไกลด้วยซ้ำ 

   นั่นไง . . .   

   . . . เขาโฉบได้ลูกจากริมเส้นด้านซ้าย  ค่อย ๆ  เลี้ยงหลบ  แล้วลากบอลเข้าไปในฝั่งของคู่ต่อสู้  มือก็คอยส่งสัญญาณให้เพื่อน  แต่แล้วบอยมันแทบหัวใจหลุดลงกองตรงพื้น

   เมื่อร่างที่มันจับจ้องอยู่  ปะทะเข้ากับอีกร่างอย่างจัง ! 

   บอยมันชาวาบ . . . 

   . . . เพราะมันเห็นนัทลงไปนอนกองกับพื้น  เอามือจับหัวเข่าด้านซ้ายเอาไว้  นอนบิดไปบิดมาคล้ายคนเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส  บอยมองเห็นเพื่อนในทีม ประคองปีกนัทออกมาที่ข้างสนาม  บอยเห็นชัดเจน  เมย์นั่นอีกที่ปรี่เข้าไปหานัท  เมย์เอาน้ำแข็งห่อผ้ามั้งประคบที่หัวเข่านัทที่นัทนอนร้องโอดโอยอยู่ไกล ๆ

   บอยมันอยากเจ็บแทนนัทเหลือเกิน  แม้มันอยู่ไกลกัน  แต่มันเห็นชัด  ใบหน้านัทบูดบิดเบี้ยวไปมา  นัทคงเจ็บมาก  เหมือนที่บอยมันรู้สึกเจ็บที่หัวใจตอนนี้กระมัง  บอยมันเจ็บเพราะเมย์ได้อยู่ช่วยเหลือนัท  ในขณะที่ตัวมันเองได้แค่ยืนมองนัทเงียบ ๆ  เท่านั้น

   “เป็นห่วงก็เข้าไปดูสิวะ  ยืนมองแบบนี้เขาจะรู้เหรอ”  เสียงทักจากด้านหลัง 

   บอยมันเกลียดนัก . . . 

   . . .  มันเกลียดน้ำเสียงที่เหมือนตัดพ้อมันในที

   “มึงเลิกบ้าสักทีได้มั้ยไอ้ดิน  น่ารำคาญว่ะ”  บอยหันกลับมา  บอยมองหน้าดินนิ่ง

   “เออ  กูมันน่ารำคาญ  ไม่ใช่เด็กวิศวะนี่หว่า”  ดินตัดพ้อ

   “มึงพูดอะไร  ให้กูเข้าใจมั่งได้มั้ย  ไม่ใช่มึงพูดเองเออเองแบบนี้” 

   “บอย  มึงจะวิ่งหนีหัวใจตัวเองไปถึงไหน  มึงไม่รู้เหรอสายตาที่มึงมองนัทนะ  กูรู้  กูดูออกแหละบอย  มึงรักนัทมันเหรอ”  ดินถามตรง ๆ

   บอยมองหน้าดินนิ่ง . . . 

   . . . ไม่รู้สิ 

   มันไม่รู้ว่าจะตอบคำถามดินแบบไหนดี  เรื่องแบบนี้  ไม่ใช่เรื่องที่จะเปิดเผยกันง่าย ๆ    แววตาดินเหรอ  มันเห็นและมันแปลออก  ดินเหมือนจะตัดพ้อมันอยู่ในทีด้วยซ้ำ

   “มึงรักกูเหรอดิน  มึงชอบผู้ชายด้วยกันเหรอดิน” 

   บอยไม่ตอบคำถามเพื่อนร่วมคณะและเพื่อนร่วมห้อง  แต่มันกลับตั้งคำถามกลับไปหาดิน  บอยยิ้มเยาะที่มุมปากเมื่อเห็นว่าดินเองก็จนมุม  ไม่กล้าที่จะตอบคำถามของมันเช่นกัน

   “เออ  กูรักมึง  กูชอบมึงว่ะไอ้บอย”  ดินมันเอ่ยเบา ๆ  หลังจากนิ่งเงียบอยู่นาน

   บอยมันอึ้ง . . . 

   . . . มันตะลึงกับคำพูดของดิน  มันแบนหน้าหนีดิน  มันหันกลับไปทางนัท  มันเห็นแหละ  เมย์คอยประคบน้ำแข็งที่เข่าของนัท  มันยิ้มกับภาพนั้น  แต่ยิ้มมันเศร้า  มันก็เป็นได้แค่คนที่ยืนในมุมมืดเท่านั้นแหละ

   “บอย . . . มึงรักกูไม่ได้เหรอ”  ดินมันอ้อนวอน

   “เป็นเพื่อนกันก็ดีแล้วว่ะดิน  อย่าคิดแบบที่มึงคิดเลย  มันเจ็บปล่าว ๆ  แหละดิน”  บอยมันรู้  เพราะมันเองก็เจ็บอยู่ตอนนี้ไง

   “แต่กูห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้ว่ะบอยมึงได้ยินมั้ยกูห้ามหัวใจตัวเองได้  กูเห็นสายตาที่มึงมองนัททีไรก็เจ็บลึกเข้าไปในหัวใจกูนี่”  ดินมันเอามือตบที่อกด้านซ้าย

   “ไม่มีใครห้ามหัวใจตัวเองได้หรอกดิน   แม้กระทั่งตัวเราเองก็เหมือนกัน  เราห้ามหัวใจตัวเองไม่ได้  แต่เราห้ามไม่ให้พูดออกไปได้ดิน  ขอบใจนะที่รักเรา  แต่เรารักใครไม่ได้หรอกว่ะ  ขอโทษนะ” บอยเดินมาตบไหล่ดินเบา ๆ  ก่อนที่จะเดินไปหยิบหนังสือที่โต๊ะแล้วเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ

   ความรัก . . .

   . . . ไม่มีใครสมบูรณ์แบบหรอก 

   เหมือนที่มีใครเคยบอก 

   ที่ใดมีรัก . . .

   . . . ที่นั่นมีทุกข์

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 11-07-2009 16:47:42
ไม่ได้ตามอ่านเรื่องนี้หลายตอนเลย
ขอบคุณคุณราชบุตรมากนะคะสำหรับความรู้และแนวคิดที่แทรกเข้ามาในเรื่องนี้
ความจริงของคนเมืองกับคนในชนบท
ที่บางครั้งเราๆก็ทำเป็นลืมๆมันไปเพียงเพราะปัญหาที่ตัวเองยังต้องแบกอยู่  :เฮ้อ:

ส่วนเนื้อเรื่องของนัทกะบอย ยังไงก็ยังเจ็บปวดได้คงเส้นคงวา
แถมตอนนี้มีคนมาเจ็บเพิ่มขึ้นมาอีกคน
ทรมานชะมัดเลยค่ะ  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 11-07-2009 16:51:34
 :m15:ความรักบังคับกันไม่ได้และห้ามใจให้ไม่รักก็ไม่ได้ เรารักเขา เขาออาจะไม่รักเราก็ได้ มันทรมานนะกับการที่รักใครสักคนข้างเ :m15:ดียว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 11-07-2009 17:32:38
เหนื่อยใจแทนบอยด้วยเหมือนกันครับ เฮ้ออออ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 13-07-2009 07:49:24
 :pig4: สำหรับเรื่องราวที่ดี

ยังใช้ภาษาคม บากลึกเข้าไปในความรู้สึกเหมือนเดิม

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 13-07-2009 14:56:01
 :pig4:

ยังอิ่มเอมกับภาษาสวยงาม
กับเรื่องราวที่ชวนปวดหัวใจ
มันใกล้เกินไปรึเปล่า
ใกล้มากก็รับรู้มาก
ก็ยิ่งเจ็บมาก
เห็นใจบอย
ครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 13-07-2009 18:08:39

ต อ น ที่  ๑ ๔

ข่ า ว ร้ า ย


   นัทเข้าใจดี  อาการเจ็บแบบรวดเร้าเข้ากระดูกมันเป็นเช่นไร  กี่วันแล้วนะ  ที่นัทมันร้องโอดโอย  โอดครวญด้วยความเจ็บปวด นัทมันคิดแค่  น่าจะกล้ามเนื้ออักเสบเดี๋ยวก็หาย  นัทมันอาจลืมไปก็ได้กระมัง  ว่ามันเรียนวิศวะ  ไม่ใช่หมอ  มันดันวินิจฉัยโรคเองเสียด้วยสิ . . . 

   . . . กว่านัทมันจะรู้ตัวว่าตัวเองควรไปหาหมอก็เมื่อมันรู้สึกว่าเข่าข้างซ้ายมันปวมเป่ง  แทบจะลุกไม่ไหวเสียแล้ว

   หมอค่อย ๆ  ปิดไฟที่แผ่นเอ็กซเรย์  แล้วหันมาทางคนดันทุรังที่นั่งหน้าตูม  หมอขยับแว่นเบา ๆ  พลางมองหน้าคนป่วย

   “เข้าใจนะครับที่ผมอธิบาย”

   นัทพยักหน้ารับช้า ๆ . . . 

   มันเข้าใจดีอย่างที่สุด   เรียกว่ามันเข้าใจดีแจ่มแจ้งเสียด้วย  มันแทบอยากจะโขกกบาลตัวเองเสียเหลือเกินที่ปล่อยให้แผลมันเรื้อรังมาถึงขนาดนี้  เมย์ได้แต่เอื้อมมือมาแตะที่หลังมือนัทเบา ๆ

   นัทรับรู้ได้ถึงความห่วงใยที่เมย์มีให้

   “ต้องผ่าตัดเลยเหรอครับหมด”  นัทมันถาม  ทั้ง ๆ  ที่ตัวมันเองก็รู้อยู่แล้ว  หมออธิบายชัดเจนแล้วตั้งแต่เมื่อกี้

   “เส้นเข่ามันอักเสบ  แล้วคุณก็ปล่อยจนมันเป็นหนอง  เราต้องใช้วิธีผ่าตัด  เอาเส้นที่เป็นหนองทิ้ง  แล้วเอาเนื้อเยื่อจากเข่าที่ดีอีกข้างมายึดต่อ  มิฉะนั้น  ขาข้างที่เป็นอยู่อาจใช้การไม่ได้ตลอดชีวิต  ไม่ต้องกังวลน่า  ผ่าเข่าแล้วรักษาอีกระยะก็เดินได้เหมือนเดิม  เพียงแต่เล่นกีฬาหนัก ๆ  ไม่ได้ก็เท่านั้น”

   “ครับ  ผ่าก็ผ่า”  มันก้มหน้านิ่งคล้ายรับชะตากรรม

   “คุณติดต่อที่ด้านนอกนะครับ  ทำเรื่องเข้าเป็นผู้ป่วยในเลย  แล้วกินข้าวซะก่อน  เพราะเย็นนี้หมอจะให้อดข้าวอดน้ำ  เตรียมผ่าพรุ่งนี้เลย”

   “พรุ่งนี้”  นัทมันตกใจ  ทำไมมันรวดเร็วหว่า

   “อ้าว  หรือคุณจะรอให้มันกินไปทั้งหัวเข่าก่อน”

   เออ . . . 

   . . . หมอพูดถูก 

   เพียงแต่นัทมันนึกไม่ถึงว่ามันจะรวดเร็วขนาดนั้น  นัทมันออกมาจากห้องหมอพร้อมกับเมย์  นัทตรงรี่ไปที่โทรสัพท์สาธารณะ  มันยกหูโทรศัพท์  แล้วกรอกหมายเลขอันคุ้นเคยอย่างช้า ๆ 

   “แม่เหรอครับ  นัทนะครับ  พรุ่งนี้แม่มาเชียงใหม่นะครับ  นัทมีธุระด่วนกับแม่นะครับ”  นัทมันกรอกเสียงไปตามสาย  มันไม่อยากจะบอกให้แม่ต้องตกอกตกใจไปมากกว่านี้  มันรู้แค่นี้  แม่ก็อกสั่นขวัญแขวนแล้วล่ะ  ถ้าแม่มาถึงเชียงใหม่แล้วเห็นมันนอนขาเข้าเฝือกอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งสองข้าง

   “เมย์  เมย์ต้องไปหาไอ้น้ำแล้วล่ะ  ให้มันเอาของใช้มาให้นัทด้ยนะเมย์” 

   เมย์จับมือนัทเอาไว้นิ่ง

   “ไม่ต้องกลัวนะนัท  เมย์ไม่ไปไหนหรอก  จะอยูใกล้ ๆ  นัทนี่แหละ  พอผ่าแล้วอีกไม่นานก็หายนะนัท  นัทอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” 

   นัทมันแค่นยิ้ม . . . 

   . . . มันแค่ยิ้มบาง ๆ  เท่านั้นเอง 

   นัทมันรู้  หลังฝ่าต้องนอนโรงพยาบาลอีกหลายวัน  แล้วคนอย่างมันที่เคยกระโดดโลดเต้น  เห็นกีฬาเป็นต้องวิ่งเข้าหา  จะต้องทนมานั่งดูแค่เพื่อนเล่นเท่านั้นเหรอ  มันแค่คิดก็หงุดหงิดตัวเองที่ไม่ยอมมาหาหมอตั้งแต่วันแรก

   
   เสียงค้อนกระทบกับไม้  สังกะสี  ดังโป้งป้าง ระคนกับเสียงเพลงที่ร้องกันแทบฟังไม่ได้ศัพท์ เจ้าคนร่างผอมหน้าตามอมเมม  ชุดนักศึกษาเลอะไปทั่วทั้งตัว  ทุกคนต่างเร่งทำงานให้เสร็จแข่งกับเวลาที่เริ่มตะวันเริ่มรอน ๆ  เข้ามาทุกขณะ


   “มันดอกอะไรกันจ๊ะน้องอ๋าข๋า  สามสี่ดอกบานสะพรั่งไปทั้งตัว”  ดินมันยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาใกล้ ๆ  ประเทืองน้อยที่ยื่นกระติกน้ำมาให้บอย

   “ดาวเรืองมั้ง  หรือเบญจมาศหว่า”    อ๋า  ก้มลงมองเสื้อลายดอกไม้ที่ตัวสวมใส่อยู่

   “อ่อ  ดอกเบญจมาศเหรอ  ไอ้เราก็นึกว่าดอกทอง”  บอยมันหัวเราะ  พาเพื่อน ๆ  ในกลุ่มหัวเราะตาม

   “ไอ้หมาบอย ห้ามกิ๋นมัน เอามานี่”  มันพยายามจะดึงกระติกน้ำกลับ

   “โอ๋  น้องอ๋านะ  แค่ล้อเล่น  ใครจะกล้ากับน้องอ๋าใจดี๊  ใจดีได้ละครับ”  คราวนี้มันเห็นท่าจะไม่ได้กินกลับมาเอาอกเอาใจ

   อ๋ามันสะบัดหน้าให้  ทำปากย่นจมูกเชิด  ก่อนเดินออกมาจากโรงเพาะชำ  ที่พวกเด็กวิดยา  มันสร้างขึ้นมาง่าย ๆ  มันต้องทดลองอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้กันอีกในเทอมนี้

   “ว้า  เป๊บซี่มะมีหรือน้องอ๋า  น้ำเปล่าอีกแหละ”  บอยมันส่งกระติกน้ำให้ดิน  แต่ไม่วายโวยคนเอาน้ำมาให้

   “คิงบ่าเกยซื้อทองก๋า”  นั่นเจ้าคนเสื้อลายดอกหันมาทำหน้าตาย

   บอยมันทำหน้างง แบบหมาเจอแดด  มันถามทำไมเรื่องทอง  มันเกี่ยวกันมั้ยนี่กับเป๊บซี่นะ

   “กูเคยโว้ย  เลิกอู้กำเมื๋องได้ก๋า  กูไม่ชอบแปลไทยเป็นไทยอีแฮ่น . . .”  สองที่เดินออกมาจากโรงเพาะชำร้องบอก  ก่อนขยายความต่อ   

   “. . . ทองคำเปลวไง”

   “ไม่ใช่โว้ย  ทองที่เป็นเส้น  ไม่ใช่ท้องม้วนหรือทองก้อน”  ประเทืองสาวเริ่มขัดใจ  ออกลีลาท่าเต้นเล็กน้อย

   “แล้วไงว่ะอีอ๋า”  บอยมันหันมาถาม

   “อ้าว  ก็เวลาเอ็งไปซื้อทอง  ถ้าเอ็งตกลงที่จะซื้อ  จะเอาเส้นไหน  เขาถึงจะเลี้ยงโค้กไง  นี่ก็เหมือนกัน  ไว้เอ็งทำโรงเพาะกันเสร็จข้าจะเลี้ยงเป๊บซี่”  มันลอยตาลอยตาเล่าเรื่องการซื้อทองซะงั้น

   “เอ้ย   น้องตุ่มมาแล้วโว้ย  หอบของกินมาเพียบเลย”  ยุทธที่ยังอยู่บนหลังคาโรงเพาะชำตะโกนบอกพวกด้านล่าง  เมื่อเห็น  คนร่างคล้ายตุ่ม เดินหิ้วของตัวเอียงมาแต่ไกล

   “ไอ้ปากมอม  คอยดูนะ  ชั้นจะบอกกัลยามัน”  น้องอ๋า  ชี้หน้ายุทธ  แต่คนพูดกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

   แค่คำว่าของกินเท่านั้นแหละ  พวกที่อยู่ด้านล่างก็เพ่นแนบไปยังคนที่หอบของมาแล้วล่ะ

   “เอ้ยกินกันก่อนโว้ย”  บอยตะโกนบอกเพื่อน ๆ  เมื่อดินมันช่วยกัลยาหอบของกินมาวางไว้ที่โต๊ะไม้สารพัดประโยชน์ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่

   “ไอ้บอย  แล้วโรงเพาะชำเมื่อไหร่จะเสร็จ”  น้องอ๋าเท้าสะเอวก๋า

   “พอรอน รอน สุริยันอัสดง  พี่ก็คงทำเสร็จน้องเอ้ย  แต่ตอนนี้กองทัพเดินเดินท้องว่ะ  กัลยายอดยาหยี  มีอะไรกินมั้งอ่ะ”  มันสาระแนไปทางของกินในทันที

   “ข้าวหมูแดง  ข้าวหมูกรอบ  แล้วก็ข้าวมันไก่  เลือกเอาเอง  คนล่ะห่อนะพวกแก  งบจำกัดว่ะ  อ้อ  มีเป๊บซี่สองลิตรด้วย  หิ้วได้แค่นี้แหละ  หนัก”

   “แล้วอีกถุงนั่นอะไร”  บอยชี้ไปที่ถุงอาหารอีกถุง

   “อ้อ  มีส้มตำ  ข้าวเหนียว  ไก่ย่างด้วย  อีอ๋ามันอยากจะกินเลยซื้อมาเผื่อ”  กัลยาชูอีกถุงใหญ่

   “บุคลพิเศษโว้ย  กินไม่เหมือนชาวบ้าน  แต่มีเป๊บซี่ว่ะ  ไม่ต้องง้อแกแล้วอีอ๋า  อีแฮ่น”  บอยมันหันไปด่า

   “แม่พระมาโปรดโว้ย  ตั้งแต่เที่ยงยังมะมีไรตกถึงท้องเลย”  ยุทธมันเอามือลูบท้องไปมา

   แล้วเพียงไม่นานทุกอย่างก็เรียบร้อยเหลือเพียงผักบุ้งไทย  ที่แม่แค้ส้มตำให้มาแนม  บุคลพิเศษโดนพวกทโมนแย่งซะแทบจะกินไม่ทัน  บอยมันพลิกไปพลิกมามองผักบุ้งอย่างสนใจ

   “ไอ้นี่มันพันธุ์เอธิโอเปียแหงเลยวะ”

   “รู้ได้ไง  นี่มันผักพื้นเมือง  ผักบุ้งไทยโว้ย”  ดินดึงกลับมา

   “อ้าว  เอ็งดูดี ๆ  สิวะไอ้ดิน  ผอมเหมือนน้องอ๋าเลย  นี่ถ้าน้องอ๋าไปประกวดนะ  รับรองเลยได้มิสอีโบล่าแหง ๆ  ไอ้เชื้อนี่แรงกว่าอหิวาต์อีกนะมึง”   มันยังไม่วายไปแขวะอีกคน

   อีโบล่า  โรคพื้นเมืองพวกแอฟริกัน

   “ไอ้หมาบอย  วกมาที่กูเรื่อยนะมึง  นี่ นี่” 

   “เฮ้ย  มึงสองคนจะกัดกันไปถึงไหนว่ะ”   ดินมันห้ามทัพ  เพราะมันเองก็โดนลูกหลงจากน้ำแข็งที่อ๋าปามายังบอย

   “ก็ดูไอ้บอยดิ  แม่งกวนประสาท”

   “อ้าวหรือใครว่าไม่จริง  ใครจะส่งอีอ๋าส่งประกวดมิสอีโบล่ามั้งว่ะ”  บอยมันหันไปหาพวก  เพื่อน ๆ  มันเฮฮากันใหญ่  จนน้องอ๋างอนตุ๊บป่อง

   “เอ้ยอีนี่  เล่นน้ำทั้งแก้วเลยเหรอ . . .”  ดินมันสะบัดเสื้อที่โดนน้ำสาดมา 

   “. . . ถ้ามึงยังไม่หยุดนะอีอ๋า  กูจะปล้ำมึงทำเมียตรงนี้แหละ”  ดินชี้หน้า 

   “ก็พี่ดินหล่อยังกับเดวิด  ถ้ามาปล้ำน้องอ๋าก็ยอมล่ะค่า”  มันยานคางพลางกระแซะเข้าหาดิน

   ดินมันยืดเมื่อโดนชมงว่าหล่อ 

   แต่ . . .

   . . . ผลักอ๋าออกห่าง ๆ 

   “อย่ามึงเดี๋ยวกูอดใจไม่ไหว”

   เพื่อน ๆ  ฮากันอีกยกใหญ่    พวกเพื่อน ๆ  ที่คิดว่าตัวเองหล่อโดยไม่ต้องตะไบตะโกนถามกันเซ็งแซ่

   “เดวิด แบคแฮม เหรอน้องอ๋า”

   “นี่ แก  แก  แก  แล้วก็แก  มันพวกสายพันธุ์ไหนว่ะนี่  สายพันธุ์ลาหรือว่ากระบือว่ะ  ถึงไม่รู้จักรูปปั้นเดวิด”  อ๋ามันแทบจะใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากรายคนเลยทีเดียว

   “อ๋อ . . . รูปปั้น  แล้วปั้นไว้ที่ไหนว่ะ”

   “ไอ้บอย  ทำไมเอ็งแดกหญ้าแทนข้าวเหรอนี่”  อ๋าเอามือตบกบาลตัวเอง พลางมองหน้าบอย

   “เออดิ  มึงไม่รู้เหรอ  กูชอบกินหญ้าอ่อน”  มันหันมาลิ่วตาให้อ๋า

   “เฮ้ยตกลงเดวิดนี่ใครว่ะ  แล้วเขาปั้นไว้ที่ไหนว่ะอีอ๋า  มันจะหล่อสู้ไอ้ดินได้เหรอ  ไอ้ดินของเรานี่จัดว่าหล่อสุดในรุ่นแล้วนะมึง”  ยุทธยังไม่เลิก  หันมาถามอีก

   “เดวิดรูปปั้นผู้ชายแก้ผ้าที่หล่อที่สุดในโลกไง  หล่อที่ซู้ดดดดดดดดด”  อ๋าทำตาหวานเชื่อม

   “อีอ๋า”  ดินชี้หน้า

   “แหม . . .”  มันทำท่าห้ามดินไม่ให้ก้าวเข้ามา 

   “. . . มันปิดไว้มั่งสิวะ  ใครจะแก้หมด”

   “ปิดหน้าเหรอวะ”  บอยถาม

   “เวรเอ้ย  ไม่สงสัยเลย  ทำไมหญ้าแถวคณะเราไม่รก  ไอ้บอยเล็มหมดนี่เอง”

   “อ้าว  ก็มันอายไง  เลยต้องปิดหน้าเอาไว้  หรือมึงไม่อายถ้าต้องแก้ผ้า”  บอยมันเถียงอีก

   “ถ้าอายทำไมไม่ปิดที่อื่นล่ะ  ที่ที่มันอายนะ”  กัลยานั่งฟังอยู่นานเอ่ยออกมา

   น้องอ๋าได้ที  ตบที่กบาลบอยเบา ๆ     

   “เห็นมะ  ผู้หญิงเขามีอัจฉะ  กว่าเอ็งอีก”   

   “แล้วมันปิดตรงไหน”  บอยหันมาถาม

   “ก็เดวิดมันเอาใบองุ่นมาปิดไว้”

   “ใบองุ่น? . . .”  ดินมันทำหน้าสงสัย 

   “. . . องุ่นพันธุ์ไหนหว่าจะปิดมิด”

   “เออ  ใบมันแค่เนี้ยะ”  ยุทธทำมือประกอบ

   “เออ”  น้องอ๋า  ตอบหน้าตาเฉย

   “แล้วมันปิดมิดเหรอ”  บอยถาม

   “ก็ทำนองนั้นแหละ . . .”  มันลอยหน้าลอยตา 

   “. . . ชั้นถึงบอกไง  ถ้าพี่ดินหล่อแบบเดวิดจะยอมให้ปล้ำ  เพราะมันเล็กกระจิ้ดริด  แค่ใบองุ่นปิดเท่านั้นเอง”  ประโยคสุดท้ายมันหันมาทางดิน

   เพื่อน ๆ  ได้ทีฮากันอีกครา

   “อีอ๋า  มึงอย่าอยู่เลย  แม่งดูถูกกูว่ะ”  ดินมันค่อย ๆ  ไล่แตะอ๋า  ที่ร้องพลางวิ่งหนีพลาง

   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . โลกมันสนุกเมื่ออยู่ในหมู่เพื่อน 

   มันแทบจะลืมเรื่องหัวใจของมันเองเสียสนิท  ในวงล้อมของเพื่อน ๆ  โลกของมันสนุกสนาน  ต่างคนต่างมีเรื่องทะลึ่งตึงตังมาเล่นกันมากมาย  จนมันไม่อยากเดินกลับไปในโลกของมันอีกเลย 

   โลกที่บอยมันหวงแหนเอาไว้   มันเก็บโลกของมันที่มีนัทเอาไว้เงียบ ๆ  คนเดียว


   เสียงรถมอเตอร์ไซด์ที่แล่นเข้ามา  ทำเอาทุกคนรับหันไปมอง  บางคนมองด้วยสายตาแปลก ๆ  เพราะว่านาน ๆ  จะมีสาวจากต่งคณะมาหา  แล้วยิ่งเป็นพวกคณะวิศวะด้วยแล้วอีก ยิ่งแทบไม่มีย่างกรายเข้ามาเลยเสียด้วยซ้ำ

   “ไอ้บอยโว้ย  เมย์มาหาโว้ย”  ดินมันหยุดไล่แตะน้องอ๋า  แล้วหันมาตะโกนบอก

   “ลงมาก่อนมั้ยเมย์  กำลังง่วนเลย”  ดินยิ้ม

   “ดินเป็นไงบ้าง  ไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ”  เมย์ทักทาย

   “อืม  ดีแหละ  บอยมาแล้ว   คุยกับบอยไปก่อนนะเมย์  ขอตัวจัดการกับสาวสวยประจำกลุ่มก่อน”  ดินมันลา  ก่อนจะเดินปรี่ไปหาคู่กัด

   “เมย์มาถึงนี่เลย  มีอะไรมั้ย”  บอยมันยิ้ม หน้าตามันดูไม่ได้เชียวล่ะ  มอมอย่างกับลูกหมา

   “เมย์แค่แวะมาบอกบอย  นัทอยู่โรงพยาบาล”  น้ำเสียงเมย์ดูเศร้า ๆ  ไม่เหมือนเมย์ที่บอยรู้จัก

   “อะไรนะเมย์  นัทเป็นไร”  บอยมันถามกลับไปอย่างรวดเร็ว 

   มันลืมตัวมั้ง . . 

   . . . แค่เมย์บอกนัทอยู่โรงพยาบาล  หัวใจมันก็ตกอยู่ที่ตาตุ่มแล้วล่ะ  มันห่วงแหละ  มันห่วงนัทจริง ๆ

   อาจเป็นโชคดีของบอยที่เมย์มัวแต่ห่วงอาการของนัท  จนลืมสังเกตุความเปลี่ยนไปของมัน  ถ้าเมย์มองมันสักนิดเมย์อาจจะเฉลียวใจเพราะมันเองยังรู้สึกเลยว่ามันออกจะห่วงนัทจนออกนอกหน้าเลยก็ได้

   “ผ่าตัดเข่า  อาทิตย์ก่อนนัทไปแตะบอล  แล้วสวนกับอีกฝ่าย  เข่าฉีก  นัทไม่ยอมไปหาหมอ  จนมันอักเสบ  แล้ววันนี้นัททนไม่ไหว ชวนเมย์ไปหาหมอ  หมอบอกว่าต้องผ่าตัด  เอาอะไรจากเข่าอีกข้างนึงมั้งมาใส่ในข้างที่อักเสบ”

   “จะผ่าเมื่อไหร่ละเมย์”  น้ำเสียงบอยมันละห้อย  มันเห็นชัด  ภาพที่นัทล้มลงที่สนามบอลวันนั้น  มันไม่นึกว่าจะร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้

   “พรุ่งนี้แหละบอย  หมอจะผ่าพรุ่งนี้  เมย์ไปก่อนนะ  แวะมาบอกบอย  ต้องกลับไปเฝ้านัท  เพราะแม่นัทคงมาถึงพรุ่งนี้” 

   “ขับรถดี ๆ  นะเมย์  เดี๋ยวหมอผ่าแล้วนัทมันก็หายน่า”  บอยยิ้ม

   บอยยืนมองเมย์ขับรถจากไปจนลับตา . . . 

   . . . มันรู้สึกอย่างไรก็บอกไม่เช่นกัน  หัวใจมันอ่อนเหลือเกิน  มันอยากปรี่ไปหานัทเสียด้วยซ้ำ  แต่มันตัดสินใจแล้วนี่นา  ระหว่างมันกับนัทก็แค่เพื่อนธรรมดาคนนึง  มันต้องมองนัทแบบที่มันมองเพื่อนคนอื่นให้ได้สิ

   มันรู้ดี . . . 

   . . . การห้ามความรู้สึก  รัก ห่วงนะยาก 

   แต่ . . .บอยมันต้องพยายาม 

   มันเหมือนคนที่ยืนอยู่บนทางแยก  มันไม่รู้หรอกหนทางข้างหน้าจะมีอะไรบ้าง  มันไม่กล้าทั้งที่จะเดินไปทางไหน  มันได้แค่ยืนนิ่ง ๆ  ตรงทางแยก  รอเวลาที่มันจะกล้ามากกว่านี้

   นี่อาจเป็นข่าวร้ายที่สุดของบอยในรั้วมหาวิทยาลัยก็ได้

   มันยืนนิ่ง ๆ . . .

   . . . กับข่าวที่เมย์มาบอก 

   ทำไมต้องเกิดกับนัท  ทำไมไม่มาเกิดกับมันแทนหว่า  มันไม่อยากให้นัทเจ็บ  มันเองก็เจ็บแหละ  มันแทบอยากจะรี่ไปหานัทด้วยซ้ำ 

   แต่ . . .

   . . . มันรู้ตัวเอง 

   มันควรยืนอยู่ที่ไหน  มันก็แค่เพื่อนต่างคณะ  จะมีที่ยืนสำหรับมันเชียวเหรอ  มันได้แต่ส่งใจไปให้  มันฝากหัวใจของมันไว้กับเมย์  มันรู้เมย์น่าจะดูแลนัทได้ดี  และดีกว่าที่มันจะดูแลเสียด้วยซ้ำไป

   บอยมันรู้ตัวอีกทีก็เมื่อดินมายืนใกล้ ๆ 

   ดินโอบบ่ามันเอาไว้  ตบที่ไหล่มันเบา ๆ  โดยที่ดินมันไม่พูดอะไรสักคำ  บอยมันได้แต่ยืนนั่งเหมือนคนถูกสาป  มันจะทำอย่างไรกับชีวิตของมันต่อไปดี

   “คิงสองคนจะยืนกอดกั๋นแหมเมินก่อ”    อ๋ามันตะโกนไล่หลังมา

   บอยมันฟังรู้ . . . 

   . . . แม้มันจะอู้กำเมืองบ่อได้ 

   แต่มันรู้ . . . 

   . . .  อ๋าพูดว่าอะไร  มึงสองคนจะยืนกอดกันอีกนานมั้ย

   “อีวอกอ๋า ดักปากไปเลย ถ้าบ่าอั้นจะหาว่าฮาบ่าเตือน ได้ก้า  เล่นบ่าฮู้เวล่ำเวลา”    ดินตวาดใส่

   อ๋า  มันทำหน้าหน้าเศร้า . . . 

. . . เพราะมันไม่เคยเห็นดินมีน้ำโหกับมันมากขนาดนี้มาก่อนเลย

   “อารมณ์บ่าดีก่อบ่าบอก หมะเล่นก่อได้วะ”  มันค่อย ๆ  ถอยห่างออกไป

   “อย่าไปว่ามันเลยดิน  สงสารมัน  ดูมันดิ  มันเศร้าไปเลย”  บอยมองอ๋าที่เดินจากไปเงียบ ๆ  บอยมันรู้แหละ  อ๋ามันแค่แหย่เล่น  มันเล่นกันเสียจนชิน

   “บอย  เมย์มาพูดไรเหรอ  เรื่องนัทเหรอบอย”  ดินถามหลังจากที่เห็นว่านัทเริ่มคุย

   “อืม”

   “เมย์รู้แล้วเหรอ”   ดินทำหน้าตกใจ

   “รู้อะไร  ไม่มีใครรู้อะไรทั้งนั้นแหละดิน  แม้แต่ตัวกูเองกูยังไม่รู้เลยว่ะ  ว่ากูกำลังคิดอะไรทำอะไร  เมย์แค่แวะมาบอกว่านัทอยู่โรงพยาบาล”

   “นัทเป็นไร”  น้ำเสียงดินมันก็เป็นห่วง      มันห่วงนัทหรือมันห่วงความ รู้สึกของบอยมันเองก็ตอบไม่ได้เช่นกัน   

   บอยมันหันมายิ้ม . . . 

. . . มันยิ้มให้ดินเหมือนที่มันยิ้มให้เพื่อนคนอื่น ๆ    มันรู้  มันไม่เคยกลัวสายตาดิน  มันไม่เคยคิดว่าดินจะมารู้อะไรในความคิดของมัน    

   “เห็นเมย์บอกผ่าตัดเข่าพรุ่งนี้”

   “ผ่าตัด  เลยเหรอ”

   “เบา ๆ  ก็ได้  ตกใจอะไรขนาดนั้น”  บอยมันปรามเมื่อดินกึ่งตะโกนออกมา

   “แล้วมึงว่าไง  ไปเยี่ยมนัทมันเหอะ”  ดินเร่ง

   “ไม่เอาไง  ยังไม่ว่าง  ทำไม  มาจับผิดไรกูไอ้ดิน  อย่ามามองกูด้วยสายตาแบบนี้  รับรองมึงหาอะไรในแววตากูไม่เจอหรอกน่า  กลับไปช่วยงานพวกนั้นต่อเหอะ  จะมืดแล้วนะมึงเดี๋ยวไม่เสร็จ”  บอยมันดันหลังดินเข้าไป

   ดินมันไม่รู้หรอก  ตราบใดที่บอยมันไม่รับ  ดินก็ได้แต่คิดไปเองเท้านั้นแหละ  เรื่องแบบนี้ใครจะรับกันง่าย ๆ  เล่า

   บอยมันรู้ดีว่ามันต้องทำเช่นใดต่อไป . . . 

 . . . หัวใจมันเองทำไมมันจะไม่รู้ 

   เพียงแต่เวลานี้มันเหนื่อย  มันเหนื่อยทั้งกายทั้งหัวใจ  มันแค่อยากได้พักบ้างเท่านั้น  บางทีการที่มันอยู่ห่างจากนัท  อาจทำให้มันลบความรู้สึกที่มันมีต่อนัทมากกว่าความเป็นเพื่อนได้เร็วขึ้นก็ได้




หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 13-07-2009 23:49:41
เฮ้อ....เจ็บแทนเขาอีกแล้ว บอย
ยังคงต้องอยู่ในวังวนของความรู้สึกแบบนี้ไปอีกนานเลย
เห็นใจมากๆ 

นัทค้าบบบ
รับรู้หัวใจเพื่อนมั่งหรือปล่าวนี่

 o13
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 14-07-2009 01:45:24
ความรัก มันมีหลายการกระทำหลายความหมาย
การแอบรัก ถ้าทำให้เรามีความสุข มันก็มีความสุข

การฝันเพียงชั่วคืน แค่ได้ยิ้มก็มีความสุขแล้วแหละ......
เมื่อเลือกที่จะเดินไปข้างหน้าเราก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
ถ้าเลือกถอยออกมา เราก็ต้องยอมรับ ในเรื่องที่ต้องพบเจอ

รัก บางทีมันก็เจ็บปวด บางทีมันก็ให้เราได้เรียนรู้ถึงความกล้า
กล้าที่ต้องเผชิญหน้ากับทุกสิ่งทุกอย่าง

เป็นกำลังใจให้ใครอีกหลายๆคน ที่ยังวนเวียนอยู่ใจห้วงแห่งความรัก
รัก....ที่ถึงแม้ยังไงก็ยังรัก

อยู่เหมือนเดิม
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 14-07-2009 09:24:49
ภาคนี้ อยากให้บอยสมหวังจัง

 :เฮ้อ:

 :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 14-07-2009 15:22:19
ไปเยี่ยมนัทหน่อยเหอะบอย ทำใจคิดว่าไปในฐานะเพื่อนก็ได้
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 14-07-2009 18:59:48

ตอนที่ ๑๕

   “ไปเถอะบอย  เพื่อนเจ็บทั้งทีไม่ไปน่าเกลียดว่ะ ดีไม่ดีเขาอาจสงสัยหนักกว่าเดิมอีก”   ดินมันส่งถุงผลไม้  ที่มันเพิ่งซื้อมาให้บอย

   ดินรู้ดี เรื่องราวที่มันปะติดปะต่อเอาเอง . . . 

   . . . มันรู้เหมือนที่บอยรู้กระมัง 


   เพื่อนมันทำปากแข็งไปแบบนั้นเอง  แต่ภายในใจแล้วมันคงโลดแล่นไปถึงเตียงคนไข้แล้วกระมัง  ดินดึงบอยให้ลุกขึ้นยืน  แล้วดันหลังมัน

   “ไปอาบน้ำไป๊มึง  เดี๋ยวกูไปเป็นเพื่อน”    ดินยิ้ม

   บอยมันยิ้มให้ดิน . . . 

   . . . บอยมันใช้สายตาบ่งบอกมั้ง 

   มันไม่พูด . . . 

   . . . เพราะมันไม่รู้จะพูดอะไร 

   แต่มันใช้สายตาขอบอกขอบใจดินเป็นการใหญ่  มันนอนกระสับกระส่ายมาทั้งคืน  ทำไมเพื่อนที่อยู่ด้วยกันจะไม่รู้

   เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็ได้  แค่การเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  คนที่เราอยู่ด้วยเขาก็จับอาการได้แล้ว

   ดินมันจับอาการเพราะมันรักบอย

   มันบอกไปแล้ว . . . 

   . . . มันไม่กลัวหรอก 

   ดินมันรู้ บอยคงอึดอัดมากกว่ามันเพราะบอยไม่พูด  บอยไม่กล้าบอกออกไปด้วยซ้ำ  แต่ดินมันเข้าใจ  เรื่องแบบนี้ใครจะกล้าลุกขึ้นมาประกาศถ้าไม่แน่ใจว่าคนที่เรารักเขาจะรักเราด้สวยหรือไม่

   บอยมันรู้สึกเหมือนจะไม่มีแรงเอาดื้อ ๆ 

   มันมายืนนิ่งที่หน้าห้องพิเศษของโรงพยาบาล  ดินยังไม่ทิ้งมัน  ยังอยู่เป็นเพื่อนมัน  แต่มันขอเวลาสักเดี๋ยวได้ไหม  ขอเวลาทำใจสักเล็กน้อย  มันแค่คอยดูนัทห่าง ๆ  มานานแค่ไหนแล้ว  แม้มันจะอยู่ชั้นเดียวกัน ตึกเดียวกันแต่มันเหมือนอยู่กันคนละโลกด้วยซ้ำ 

   โลกของมัน . . .

   . . . กับโลกของนัท

   โลกที่เหมือนดั่งเส้นขนานกันไปตลอดชีวิต

   ดินเอามือมาแตะที่หลังมือบอยเบา ๆ  พยักหน้า

   บอยหันกลับไปมอง  แววตาดินที่มองมายังมัน  ที่คอยให้กำลังใจมันอยู่  บอยพยักหน้ารับก่อนสูดลมหายใจลึก ๆ  แล้วรวบรวมความกล้าทั้งหมดค่อย ๆ  ยกมือเคาะประตู  ก่อนจะเปิดเข้าไป

   กลิ่นยาจากในห้องลอยมาปะทะจมูก . . . 

   . . .  บอยมันย่นจมูกปรับสภาพกลิ่นเล็กน้อย  ก่อนหันไปยกมือไหว้ หญิงวัยกลางคนที่บอยเองก็ยอมรับว่าช่างละม้ายคล้ายกับคนที่นอนหลับอยู่บนเตียง  บอยมันเดินเข้าไปช้า ๆ  ส่งของเยี่ยมให้

   “หลับอยู่เหรอครับ”  บอยถามแม่นัท

   “จ้ะ  สงสัยยังไม่หมดฤทธ์ยาสลบ  เมย์เพิ่งกลับไปเมื่อครู่นี้เอง  เห็นว่าจะกลับไปที่หอก่อน  เชิญนั่งก่อนสิค่ะ”  น้ำเสียงที่ฟังดูอบอุ่นทำให้บอยรู้สึกคลายความรู้สึกต่าง ๆ  ที่มีมาก่อนหน้านี้

   “หมอบอกต้องนอนโรงพยาบาลกี่วันครับนี่”  ดินเดินไปอีกฝั่งของเตียงคนป่วยก่อนหันมาถามแม่

   “หมอยังไม่กำหนดเลย  นัทโทรไปบอกแม่เมื่อวาน  แม่ยังไม่นึกว่าจะมีอะไร  พอเมย์ไปรับที่ขนส่ง  แล้วพามาโรงพยาบาล  แม่ตกใจหมดเลย  กลัวว่านัทจะเป็นอะไร  นัทนี่แปลกคน  ไม่ค่อยกล้าบอก  กลัวแม่เป็นห่วงกระมัง”  แม่เล่ายิ้ม ๆ  ก่อนจะส่งแก้วน้ำให้ผู้มาเยี่ยม

   “ขอบคุณครับ”  บอยรับแก้วน้ำจากมือแม่มา

   บอยนั่งมองสายน้ำเกลือที่ห้อยระโยงระยาง  กับถุงยาถุงเล็ก ๆ  ที่ห้อยอยู่กับเสาเดียวกับสายน้ำเลือ  แล้วมาบรรจบกันก่อนจะไหลลงมาที่หลังมือนัท  บอยมันกวาดสายตาไปมองหน้าคนนอนหลับนิ่งช้า ๆ  แม้ร่างนั้นจะนอนหลับใบหน้าค่อนข้างไร้เลือด  ไม่เหมือนปกติ  แต่ร่างนั้นนอนหายใจสม่ำเสมอ 

   บอยกวาดตามตามร่างเรื่อย ๆ  จนมาหยุดที่เข่าทั้งสองข้างที่ใช้ผ้าพันแผลพันเอาไว้  มันรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในหัวใจ  โดยที่บอยเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม บอยจะต้องเจ็บด้วย  อย่างนี้กระมังที่เขาเรียกว่าความรัก

   บอยมันรู้ . . .

   . . .  และยอมรับกับตัวเองอย่างเต็มหัวใจแล้ว

   บอยรักนัท

   มันรักทั้ง ๆ  ที่รู้ว่าผิด  และไม่มีวันจะเป็นไปได้  แต่บอยมันยังอยากที่จะรัก  เพราะมันไม่ได้รักเพื่อทำลาย  แต่มันรักเพราะหัวใจสั่งให้รัก  บอยแหงนหน้าไปมองดินช้า ๆ  ดินยิ้มให้มัน  เข้าใจมันแหละ  ดินน่าจะเข้าใจความรู้สึกของมันดี  ดีกว่าใครทั้งหมด

   เพราะดินกับมันเป็นพวกเดียวกันนี่หว่า . . .

   . . . พวกที่รักด้วยหัวใจรัก

   บอยมันไม่รอให้นัทฟื้นจากฤทธิ์ยาหรอก  มันแค่รู้ว่าควรได้เวลากลับ  แล้วมันก็ลากลับ  มันยังจำรอยยิ้มของหญิงวัยกลางคนนั้นได้ดี ไม่ต่างไปจากรอยยิ้มของชายแปลกหน้าที่มันเคยเจอเลย



   ถนนรอบคูเมืองรถราขวักไขว่วุ่นวาย บอยมันค่อย ๆ  เลี้ยวรถไปตามโค้งด้วยความชำนาญ  ดินนั่งซ้อนท้ายมันตัวเกร็งแหละ  บอยมันมองทางกระจกข้างเห็นดินนั่งตัวลีบ  มันยิ่งได้ใจ  มันบิดรถปาดซ้ายทีขวาที  จนดินต้องกอดเอวมันไว้แน่น  แล้วบอยมันก็ลี้ยวมาตามถนนห้วยแก้ว  พอไปเขียวที่แยกเชียงใหม่ภูคำบอยบิดคันเร่งเต็มที่ ทะยานไปด้านหน้าที่ ถนนยังว่าง

   “ขับเบา ๆ  หน่อยดิมึง  กูเสียวนะโว้ย”  ดินมันตะโกนดัง ๆ  แข่งกับสายลมที่โต้มาตามใบหน้า

   “เออน่า มือชั้นนี้แล้ว  มึงนั่งดี ๆ  ล่ะ”  บอยหันมาบอก  แต่ยังไม่ลดคันเร่ง  มันยังคงปล่อยเจ้าสองล้อทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

   มันรู้จังหวะแล้วมันไม่กลัวหรอก  มันจะกลัวทำไม  รถเคย ๆ  มือมันมาตั้งนาน  จนเกือบจะเป็นชีวิตเดียวกับมันอยู่แล้ว

   มันขับรถกินลมสบายใจเฉิบ  แต่คนซ้อนท้ายหลับตาปี๋เวลามันเร่งแซงรถคันหน้า

   บอยตีวงขวาขึ้นมาตามถนนที่จะไปบนดอยสุเทพ  เขาค่อย ๆ  เปลี่ยนเกียร์ต่ำเมื่อเริ่มขึ้นบนทางลาดชันของถนน  ยามนี้ฝนเพิ่งเริ่มตก  ใบไม้เริ่มผลิใบแตกยอดอ่อน  อากาศไม่ร้อนเท่าช่วงก่อนหน้านี้  บอยมันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ  นานแล้วที่มันไม่ได้ขี่รถขึ้นมาทางถนนบนดอย 

   “ขึ้นมาทำไมว่ะ  จะมืดแล้วนะมึง”  ดินบอก  เพราะมันเย็นมากแล้ว

   “ก็อยากขึ้น”  บอยมันตอบกวน ๆ 

   . . . เออมันอยากขึ้น  แล้วมันถามคนซ้อนท้ายสักคำไหมว่าเขาอยากขึ้นมาด้วยมั้ย

   มันรู้แค่มันอยากทำอะไรตามใจตัวเอง  มันลุ้นแทบตายตั้งแต่ที่อยู่โรงพยาบาล  มันไม่อยากให้นัทฟื้นมาเจอว่ามันไปเยี่ยมหรอก  มันยังไม่อยากเจอนัทในตอนนี้  มันไม่พร้อมด้วยทุกสิ่งทุกประการแหละ  มันออกจะดีใจด้วยซ้ำที่เจอกับแม่นัท  แล้วแม่นัทไม่ได้ถามมันสักคำว่ามันชื่ออะไร  อย่างน้อยนัทมันก็จะได้ไม่รู้ว่ามันไปเยี่ยม 

   มันตัดสินใจแล้ว . . . 

   . . . มันจะไม่เข้าใกล้นัทอีกแล้ว 

   มันขออยู่ในมุมที่มันยืนอยู่ตรงนี้แหละ

   “อ้าวไม่ขึ้นไปต่อล่ะ”  ดินถาม  เมื่อเห็นบอยเอารถมาจอดไว้เทียบริมถนน

   บอยมันไม่ตอบ  มันลงจากรถ  แล้วเดินไปอยู่ที่ริมเหว  จากจุดที่บอยยืนอยู่  มันสามารถมองลงไปเห็นตัวเมืองเชียงใหม่ได้ชัดเจน  มันกวาดสายตามองไปรอบ ๆ  ถนนซุปเปอร์ไฮเวย์นั่นคล้ายงูใหญ่ที่เลื้อยมาจากที่ไหนสักแห่ง  แล้วยังสนามบินอีก  มันจับจุดใหญ่ ๆ  ของเมืองไว้  แล้วมันมองไปที่ตั้งของโรงพยาบาล  มันแทบอยากมองให้เห็นคนที่นอนอยู่ในอาคารโรงพยาบาลด้วยซ้ำ

   ดินมันเดินมาหยุดที่ใกล้ ๆ  บอย  มันยืนอยู่เคียงใกล้  มองลงไปในตัวเมือง  แต่มันคงจะคนละความคิดกับบอยเป็นแน่  ดินมันไม่ได้คิดแบบที่บอยคิดตอนนี้แน่นอน

   ลมพัดโบกใบไม้ไหว . . . 

   . . . ดินมันได้กลิ่นจากคนที่ยืนอยู่เหนือลม  สลับกับกลิ่นดินกลิ่นใบไม้แรกผลิ  มันยืนอยู่นิ่ง ๆ  บางครั้งมันก็หันไปมองคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ  มัน  มันยิ้ม  มันมีความสุขแล้วล่ะ

   “ดิน”  บอยเรียกมันหลังจากที่ยืนนิ่ง ๆ  อยู่นาน

   ดินหันไปตามเสียงเรียก   

   แต่ . . .

   . . . ดินมองเห็นแค่เสี้ยวหน้าของบอยเท่านั้นแหละ  เพราะสายตาของบอยยังทอดยาวไปยังเบื้องหน้า  สายลมเริ่มพัดแรงขึ้นกว่าตอนขึ้นมา  แต่เพียงแค่สายลมพัดผ่านเท่านั้น เพราะมันแค่พัดผ่านไปจริงๆ

   “อะไร  เรียกทำไมว่ะ”

   “ขอบใจนะ”  บอยหันมายิ้ม

   “ขอบใจ ขอบใจเรื่องไร” 

   ดินมันทำหน้างง . . . 

   . . . เพราะมันไม่รู้ว่า  บอยจะมาขอบอกขอบใจมันทำไม  เรื่องอะไรที่มันต้องมาขอบใจ  มันเลิกคิ้วมองบอยด้วยความประหลาดใจ

   “ทุกเรื่องแหละ”  บอยยิ้ม  มันยิ้มคล้ายมีเลศนัย

   “บ้าแล้วว่ะมึงไอ้บอย  อยู่ ๆ  มาขอบใจกูทุกเรื่องนี่นะ”  ดินส่ายหน้าไปมา  มันยิ้ม ๆ 

   “จริง ๆ  นะดิน  กูขอบใจมึงจริง ๆ  มึงเป็นเพื่อนคนเดียวที่กูคิดว่าน่าจะเข้าใจกูมากที่สุด”  บอยมันจริงจัง  มันมองดิน 

   มันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  มันรู้แค่ตอนนี้มันไม่อยากยึดตัวมันกับใคร  ไม่ว่าจะนัทหรือใครก็ตาม  มันอยากเป็นเหมือนเดิมก่อนที่มันเคยเจอนัท  มันแค่อยากเป็นบอยคนเดิมที่มันเคยเป็น

   แต่บอยมันไม่รู้หรอก

   มันยาก . . .

   . . .  ยากนักที่จะลืมใครสักคน

   แล้วยิ่งคน คนนั้นเป็นคนที่เรารักยิ่งชีวิตแล้วล่ะก็  มันยากพอ ๆ  กับการที่มันจะหักห้ามหัวใจของตัวมันเองเชียวแหละ  มันไม่รู้ดอกหรือ  ถ้าคนเราลืมกันง่าย ๆ  มันคงไม่ต้องมาเจ็บมาปวดเช่นทุกวันนี้

   “บอย  มึงเจ็บมากมั้ย”  ดินถามเสียงละห้อย 

   บอยมันรู้ . . . 

   . . . ดินห่วงมัน 

   รักมันเหมือนที่มันรักนัทหรือปล่าวมันไม่รู้ 

   แต่ . . .

   . . . มันรู้ 

   หน้าตาอย่างดินนี่ ไม่ควรมามองคนแบบมันเสียด้วยซ้ำ  ดินหล่อ  บ้านมีฐานะ เป็นผู้ชายในแบบฉบับที่ผู้หญิงหลายคนต้องการเลยทีเดียว  แต่ทำไมดินต้องมาองมัน  มันไม่เข้าใจ

   เหมือนที่บอยมันไม่เข้าใจ . . . 

   . . . ว่าทำไมมันรักนัท

   “ไม่รู้เหมือนกันดิน  ว่ามันเจ็บหรือมันชา  เพียงแค่เราอยากมองคนที่เรารักเท่านั้นเองดิน  ดินเคยรู้สึกมั้ย  แค่รอยยิ้มของคนที่เรารัก  แม้รอยยิ้มนั้นไม่ใช่รอยยิ้มที่เขายิ้มให้เรา  แต่มันกลับสร้างความสุข  ความอิ่มเอมในหัวใจให้เราได้อย่างมากมาย  เรารู้  ดินเคยเจอแหละ  เรามองดินเราก็รู้” 

   บอยมันมองดินแววตามันเศร้า 

   มันรู้ดีสายตาที่ดินมองมัน . . . 

   . . . แต่มันเอง  มันกลับไม่มองดิน

   “จะพูดถึงมันทำไมว่ะไอ้บอย  ในเมื่อแกบอกข้าเองนะโว้ย  เป็นเพื่อนกันก็ดีอยู่แล้ว  ข้าไม่ได้บอกให้เอ็งมารักข้าสักหน่อย  แต่ข้าก็ดีใจนะโว้ยที่เอ็งยังรู้สึกกับข้าเหมือนเดิม  ไม่รังเกียจที่ข้าเป็นแบบนี้”  ดินมันยิ้มเจื่อน ๆ

   “แบบนี้แบบไหนว่ะดิน” 

   “มึงจะถามทำไม  แบบเดียวกับที่มึงรู้สึกกับนัทไง  ก็ไม่อยากตอกย้ำนะโว้ย  แต่มึงน่าจะรู้จักตัวมึงดีที่สุด”

   “เออ  กูเข้าใจดิน  กูสัญญานะโว้ยว่ากูจะเป็นเพื่อนที่ดีของมึง”  บอยมันยื่นมือออกมาตั้งฉากกับลำตัว

   ดินมันยิ้ม . . . 

   . . . ก่อนยื่นมือมาสัมผัสมืออีกฝ่าย 

   มันรู้แหละ  เพราะมือมันสัมผัสกัน ความรู้สึกมันส่งถึงกัน  จะมีอะไรดีไปกว่าความเป็นเพื่อนกันอีกได้เล่า  บอยมันคิดถูกก็ได้  ที่มันบอกดินไป เป็นเพื่อนกันก็ดีอยู่แล้ว  เพราะเพื่อนมีไว้ยามเพื่อนท้อแท้มิใช่หรือ

   ถึงบอยมันจะยังไม่เจอรักแท้ 

   แต่ . . .

   . . . มันก็มีเพื่อนแท้แบบดิน

   บางทีมันอาจจะมีค่ากว่ารักแท้ที่มันตามหาอยู่ก็เป็นได้




   นัทค่อย ๆ  พยุงกายออกมาจากห้องอย่างช้า ๆ  เขามาอยู่ตรงทางเดินกลางแคบ ๆ  ของหอ  นัทมันหันไปมองที่ห้องเยื้อง ๆ  กัน  แววตามัน คล้ายน้อยใจ  มันไม่รู้เหมือนกันทำไมคนในห้องใจดำกับมันเหลือเกิน  ไม่โผล่หน้าไปเยี่ยมมันเลยตลอดเวลาที่มันอยู่โรงพยาบาล  แล้วนี่มันกลับออกมาอยู่หอแล้ว  คนในห้องนั้นยังไม่โผล่หน้ามาหามันเลยสักครั้งเดียว  นัทใช้ไม้เท้าพยุงกายลงไปตามบันไดอย่างยากลำบาก 

   บอยมันค่อย ๆ  โผล่หน้ามามองคนที่เดินลงไปช้า ๆ 

   มันเจ็บร้าวในหัวใจอยู่ลึก ๆ  . . .

   มันอยากเข้าไปช่วย ไปประคองจนกว่านัทจะเนได้เป็นปกติ  แต่มันรู้  ไม่ใช่ที่ของมัน  ไม่ใช่เวลาของมัน  มันค่อย ๆ  ปิดประตูไว้ตามเดิมก่อนเดินไปที่ระเบียงก้มมองไปยังด้านล่างของตึก

   เมย์ยิ้มตรงรี่เข้ามาหานัท 

   เมย์รับเป้จากนัท  ก่อนค่อย ๆ  เลื่อนมอเตอร์ไซด์ของนัทมาใกล้ ๆ  ก่อนที่นัทจะขึ้นไปนั่งซ้อนท้ายเมย์

   “นัทนั่งได้ยังล่ะ”  เมย์หันมาถาม  ขณะที่ตัวเองประคองมอเตอร์ไซด์ที่สตร์ทเครื่องรออยู่ก่อนแล้ว

   “ได้ ได้แล้ว  ขับดี ๆ  นะยังไม่อยากไปนอนที่โรงพยาบาลอีก”   

   นัทมันเหย้า  มันแหย่ทุกครั้งที่เมย์เอารถนัทมารับนัท  เพราะรถเมย์คันกะจิ้ดริ้ดเอง  ส่วนรถนัทมันรุ่นพิมพ์นิยมของนักศึกษาที่นี่

   “แหมนัทก็  ทุกวันเลยฯ  มือชั้นเมย์แล้ว  ไม่ตกหรอกน่า”  เมย์หันมาค้อนเล็กน้อย

   นัทมันสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่เมย์มีให้มา . . .   

   . . . ตั้งแต่วันแรกที่นัทเข้าไปนอนโรงพยาบาลจนถึงวันนี้ เมย์มันยังไม่เคยห่างนัทไปไหนเลย  เมย์ต้องมารับนัททุกเช้า  และมาส่งทุกเย็น  เด็กวิศวะเหมือนกัน ไปเรียนทางเดียวกันอยู่แล้วล่ะ

   “ถ้าไม่มีเมย์นัทคงแย่เหมือนกันนะเนี่ย  ทำไมต้องมาเจ็บทั้งสองขาก็ไม่รู้สินะ  เลยเป็นภาระให้เมย์”  นัทบ่น

   “ไม่เป็นภาระหรอกนะนัท  นัทอย่าคิดมากสิ ยังไงเมย์ยืนยันว่าไม่เป็นภาระนะ  เมย์ยินดี”  เมย์ค่อย ๆ  ออกรถไปช้า ๆ

   บอยมันยืนมองภาพนั้นจากมุมสูง . . .   

   . . . น้ำตามันเอ่อ 

   มันอิจฉาเมย์เหรอ . . . 

   . . . ไม่รู้สิ 

   มันรู้แค่ว่าถ้ามันได้ดูแลนัทเหมือนที่เมย์ดูแล  มันจะมีความสุขไม่น้อยทีเดียวล่ะ  แต่มันทำไม่ได้ 

   . . . อย่าว่าแต่ดูแลเลย 

   แม้จะเดินไปเคาะห้องนัทแล้วถามว่า  นัทเจ็บมากมั้ย  มันยังไม่กล้าทำเลย  มันไม่กล้าเอาหัวใจตัวเองไปใกล้นัทมากกว่านี้

   มือที่จับที่ไหล่มันเบา ๆ  แล้วกดที่ไหล่มัน 

   บอยมันรู้ . . .

   . . . มันไม่อยากหันหน้ามามองเจ้าของมือด้วยซ้ำ

   “เอาน่า  เดี๋ยวก็ดีเองแหละ  มองมันทุกวันแบบนี้ได้ประโยชน์อะไรเล่า  ไปเรียนเหอะไป  นัทมันไปแล้วล่ะ

   ดินตบที่บ่ามันอีกครั้ง  ก่อนที่จะถอยห่างออกไป

   บอยมันแทบอยากจะร้องไห้ออกมาตรงนั้น  ทำไมมันต้องทำร้ายหัวใจตัวมันเองขนาดนี้  มันไม่เข้าไปใกล้นัทเลยเหรอ  มันไม่อยากเข้าไปใกล้จริง ๆ  หรือว่ามันกำลังหนีกันแน่



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 14-07-2009 21:31:23
 :m15:เศร้าจังเลย คน 2 คนที่รัก คนหนึ่งรักแบบเพื่อน อีกคนรักมากกว่าเพื่อน ทำให้ต้องหลบกันนแบบนี้มันช่างทรมานจริงๆ :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 15-07-2009 06:36:00
บอยจะทนทำแบบนี้ไปได้นานแค่ไหนเหรอ
มันจะเจ็บกว่าการเจอหน้ากันมั้ย เฮ้อ....
ขอบคุณดินที่อยู่ข้างๆบอย
เฮ้อออ เจ็บจี๊ดๆกันทั้งเรื่อง คนอ่านก็เจ็บด้วย  :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 15-07-2009 08:13:46
 :m15:

เศร้าซึม....ยาวนาน
คนแบบบอย  จะมีมากมั๊ยนี่
ทำไมต้องทำร้ายหัวใจตัวเองขนาดนั้น
เข้าไปพูดเข้าไปคุย ในฐานะเพื่อนไม่ดีกับหัวใจกว่าเรอะ

คอยตอนต่อไปครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 15-07-2009 08:44:46
เจ็บ จิ๊ดดดดดดดด เลยนะ

ทำไมคนดีอย่างบอย ต้องมาเจออะไรแบบนี้ล่ะ :z3:

เฮ้ออออ
 :z13:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 16-07-2009 09:00:21
อ่านแล้วก็ เฮ้อ... สงสารบอยอะ  :L3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 16-07-2009 11:45:15
ต อ น ที่  ๑ ๖
สิ่ ง ที่ ไ ม่ เ ค ย รู้

   บอยรู้สึกปวดหัวมาตั้งแต่เช้า  เขาพยายามทนนั่งเรียนจนถึงเที่ยง  แล้วบอยมันก็บอกตัวเองว่าไม่ไหวแล้วล่ะ  มันคล้ายจะเป็นไข้  มันฝืนนั่งกินข้าวร่วมกับเพื่อนที่คณะ  แต่มันคล้าย ๆ  เจ็บคอ  จนไม่สามารถกลืนอาหารลงไปได้ด้วยซ้ำ  สุดท้ายมันเลยตัดสินใจกลับไปนอนพักที่หอ

   บอยจอดมอเตอร์ไซด์ไว้ที่ลานจอดรถข้างหอพัก . . .  

   . . .  มันปวดหัวจิ้ด ๆ   จนแทบจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ  ก็ว่าได้   มันรู้สึกคล้ายโลกนี้จะหมุนเร็วเมื่อมันเดินขึ้นไปบนบันได  สมองมันแทบไม่ได้ยินอะไรเสียด้วยซ้ำ  แล้วบอยมันต้องยืนตัวชาวาบกับคนที่เดินลงมาเผชิญหน้ากับมัน  

   มันมองหน้าเขานิ่ง . . .

   . . . อีกฝ่ายใองหน้าบอยนิ่งเช่นกัน  

   ต่างฝ่ายต่างไม่มีใครคิดจะพูดอะไร  บอยมันเลยหลบไปทางซ้าย  ขณะที่อีกฝ่ายหลบไปทางขวา  มันเลยต้องไปเจอกันอีกทางฝากฝั่งของบันได  แค่รอยยิ้มจากคนที่เพิ่งเดินลงมา  บอยมันคล้ายจะหายไข้เสียด้วยซ้ำ

   “ไม่มีเรียนแล้วเหรอ  กลับมาเร็วเชียว”  บอยมันได้ยินชัด

   คนที่ทักทายมัน  หอบข้าวของพะรุงพะรัง  อีกทั้งไม้เท้า  ที่ตัวเองยังต้องหนีบเพราะยังเดินไม่ถนัด

   “ปวดหัว เหมือนจะเป็นไข้  นัทเพิ่งไปเรียนเหรอ” บอยมันถาม  ก่อนค่อย ๆ  เข้าพยุงเพื่อน

   มือมันสัมผัสกับนัท . .  

   . . . มันพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่มันตั้งความหวังเอาไว้  มันไม่คาดคิดจะเจอนัทด้วยซ้ำ  แต่เหมือนมันบังเอิญเจอ  เหมือนสวรรค์เล่นตลกกับมันอย่างไรไม่รู้  มันอยากให้นัทได้รับรู้เหลือเกินกับสัมผัสเผ่วเบาที่มันจับต้องตัวนัทอยู่

   บอยค่อย ๆ  ประคองนัทลงมาอย่างนิ่มนวลมือมากที่สุดเท่าที่บอยมันจะทำได้  เพราะมันรู้แหละว่ามันไม่มีโอกาสแบบนี้บ่อยนัก  แม้ว่ามันอยากจะทำแบบนี้ทุกวันก็ตามทีเหอะ

   “วันนี้นัทมีเรียนบ่ายเหรอ”  บอยมันเอ่ยถามหลังที่ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบอยู่นาน

   “ใช่แล้ว  วันนี้มีเรียนบ่าย  ขอบใจนะบอย”  นัทมันบอก  เมื่อบอยมาส่งนัทถึงด้านล่างของหอ

   นัทสะพายเป้ไว้กับหลัง  ก่อนที่จะเอาไม้เท้าที่เจ้าตัวเริ่มรู้สึกว่าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้วหนีบไว้กับรักแร้  แล้วหันมายิ้มกับบอยอีกครั้ง

   “ไปนะบอย  ไว้ค่อยคุยกัน”  นัทยิ้ม

   “เดี๋ยวก่อนนัท”  มันมันร้องเรียก

   นัทหันหน้ามามองมันแหละ  แววตาคล้ายสงสัย  บอยมันสูดลมหายใจเข้าปอดรวดเร็ว ก่อนจะพูดออกมา

   “เมย์ไม่มารับเหรอวันนี้”

   “อืม  เขามีเรียนตั้งแต่เช้า”  นัทยิ้มตอบก่อนจะหันหลังกลับไป

   “นัทรอบอยที่นี่นะ  เดี๋ยวบอยไปส่ง  จะเดินไปได้ยังไง  ตั้งไกล  รอบอยที่ตรงนี้แปบนะ”  บอยมันสั่ง  แล้วมันวิ่งปร๋อไปที่ลานจอดรถ

   มันไม่สนใจหรอก  ว่ามันตั้งใจเอาไว้แบบไหน  บอยมันรู้แค่ว่ามันต้องไปส่งนัท  จะปล่อยให้นัทเดินด้วยไม้เท้าจากหอ ๕  ไปยังคณะวิศวะ  นะหรือ  มันไม่ยอมให้นัททำแบบนั้นเป็นแน่

   แค่อึดใจเดียว . . .  

   . . . บอยมันก็เอารถมาจอดเทียบที่นัทยืนคอยอยู่  นัทมันเจ็บขาอยู่  มันเลยนั่งได้แบบสะพายข้างแบบผู้หญิง  บอยมันไม่เคยชินกับการที่มีคนนั่งซ้อนแบบนี้  แต่มันก็อาศัยความชำนาญในการขับ  ค่อย ๆ  ขับพานัทออกไป

   ดินมองเห็นตั้งแต่ที่บอยเอารถมาจอดเทียบแล้วรับนัทออกไปแล้ว . . .  

   . . . แววตามันหม่นหมอง  

   มันค่อย ๆ  ไปจอดรถที่ลานจอด  แล้วหยิบเอาถุงยาหน้ารถที่มันออกไปซื้อมาจากร้านขายยาที่ตลาดหลังมอ  ดินมองถุงยาในมื่อ  ก่อนที่จะเดินขึ้นมาบนห้อง  แล้วดินมันค่อย ๆ  แขวนถุงยาที่มันซื้อมาไว้กับลูกบิด  ก่อนที่มันจะเดินกลับลงไปด้วยความรู้สึกน้อยใจ

   ถ้าบอยบอกว่า  . . .

   . . . จะมารับนัท  

   มันจะทำไรบอยได้  มันไม่ทำอะไรบอยอยู่แล้ว  เพราะมันรู้  มันแค่เพื่อนบอย ส่วนนัทคือคนที่บอยมันรัก  มันรู้ตัวมันเองดีแหละ  มันห่วงว่าบอยจะเป็นไข้มากไปกว่านี้  มันเลยไปซื้อยา  ที่แท้บอยมันไม่ได้เป็นอะไร  แค่มันอยากไม่ให้ดินรู้สึกเสียใจมั้งมันเลยต้องบอกว่าเป็นไข้

   ดินมันปาดน้ำตา . . .  

   . . . ก่อนที่จะขับรถของตัวเองกลับไปที่คณะ

   โลกนี้ล้วนมีปัญหามากมาย

   แต่ละคนย่อมเจอสิ่งที่ตนเองไม่ปรารถนา  ดินมันเห็นด้วยสายตาของตัวเอง  มันไม่ผิดที่จะคิดแบบที่มันคิด

   บอย . . .  

   . . .  มันก็เจอแบบที่มันเจอ  แล้วมันก็ไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำที่จะปล่อยให้คนที่มันรักเท่าชีวิตต้องลำบาก  เดินหนีบไม้เท้าไปเรียน

   เรื่องบางเรื่องมันยากที่จะบอก .  . .  

   . . .  หรือยากที่จะอธิบายให้เข้าใจ  แค่คุยกันมันไม่พอหรอก  ถ้ามันไม่มีเยื่อใย

   เยื่อใยมันเหมือนอะไรบาง ๆ  ที่เรามองไม่เห็น  แต่เราสามารถสัมผัสได้  ด้วยใจ  ด้วยความรู้สึกที่เขามีต่อเรา เหมือนกับบอย  ที่มันเองก็รู้สึกได้  บอยจะเปิดกุญแจเข้าห้อง  แต่มันเห็นถุงยาที่แขวนไว้กับลูกบิด  ทีแรกมันขมวดคิ้วสงสัย  แต่พอมันนึกไปว่าใครล่ะที่จะสนใจมันขนาดนี้ถ้าไม่ใช่ . . .   

   . . . ดิน

   แต่บอยมันลืมไป  

   บอยลืมคิดไปเลย  ว่าดินมองเห็นบอยตั้งแต่บอยออกไปส่งนัทแล้วล่ะ  มันแค่คิดว่าดินเข้ามาแล้วเห็นว่ามันไม่อยู่ห้องเลยเอายาแขวนไว้ที่ประตู  เพื่อว่ามันกลับมาจะได้เห็นยาที่ดินซื้อมาให้

   “โธ่เอ้ย  ไอ้หมาดิน  ทำมาเป็นห่วง”  มันยิ้มกับสิ่งที่เพื่อนร่วมห้องกระทำให้  

   แต่ . . .

   . . . บอยมันไม่รู้เลย เพื่อนร่วมห้องของมันหัวใจแหลกสลายตั้งแต่เห็นมันพ่วงนัทออกไปส่งที่คณะแล้วล่ะ  

   บอยมันค่อย ๆ  อ่านซองยาที่ดินซื้อมา  มีทั้งยาแก้ปวด  ยาลดน้ำมูก  ยาแก้อักเสบแก้เจ็บคอ  มันอ่านฉลากยาที่ตรงกับอาการของมัน  ก่อนที่จะฉีกซองยา
แล้วหย่อนลงคอก่อนดื่มน้ำตามไป    เพื่อนห่วงมันมันรู้  เพราะฉะนั้นมันจะต้องกินยาที่เพื่อนซื้อมาให้  แล้วบอยมันก็หลับไปเพราะฤทธิ์ยา
   


   แล้ววันเวลาที่ชาวหอรอคอยก็มาถึง . . .  

   “วันเปิดหอ”


   เป็นวันที่หลาย ๆ  คนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย  เพราะวันนี้  ชาวหอทั้งชายและหญิงสามารถขึ้นไปมาหาสู่กันได้  ชายจะเดินขึ้นไปกินข้าว กินปลา ร้องรำทำเพลงบนหอหญิงได้  ในขณะเดียวกัน  หญิงก็สามารถทำแบบเดียวกันได้  โดยที่ทางอาจารย์ผู้คุมหอจะยืนมองกันแค่ห่าง ๆ  เท่านั้น  กิจกรรมนี้จะทำกันสองวัน ให้ทางหอสลับกันเปิดเพราะหอนึงสามารถทำได้แค่วันเดียว

   วันนี้เด็กหอทั้งหลายต่างแต่งเนื้อแต่งตัวกันเป็นพิเศษ  เพราะมันมีแค่ปีละครั้งเท่านั้นเอง  บอยเองมันก็ตื่นเต้นเหมือนกับหนุ่ม ๆ  ในหอนั่นแหละ  การได้ขึ้นหอหญิงหรือพวกหอหญิงมาสนุกที่หอชายนั้นมันเห็นเป็นเรื่องที่น่าสนุกมากกว่า . . .  

   . . . ปีที่แล้วมันกลับบ้าน  

   มันเลยไม่ได้ร่วมกิจกรรมครั้งนี้ แต่ปีนี้ บอยมันตั้งใจจริงแล้มันไม่ยอมพลาดโดยเด็ดขาด  วันนี้หอมันเปิดด้วย  มันกับดินช่วยกันเก็บกวาดห้องตั้งแต่เมื่อวานแล้วล่ะ  ไม่รู้ใครจะโผล่ขึ้นมาบ้าง  ประเดี๋ยวมันได้อายกันไปข้างนึงแน่ ๆ  ถ้าสาว ๆ  มาเห็นสภาพห้องที่รกรุงรังของมัน  

   “เสร็จแล้ว  ไปที่ห้องไอ้ปิ่นดีกว่าว่ะ  มันนัดสาวบริหารมาเพียบเลยวะ”  ดินมันเร่ง  เมื่อมันแต่งตัวซะเฟี้ยวเชียว

   “อ้าวกูนึกว่ามึงจะนัดสาวมาเสียอีก  เสียชื่อหนุ่มหล่อประจำคณะหมดเลย”  บอยมันเหย้า  มันแหย่ตามเคย

   “โอ้ยไม่เอา  มึงพูดอย่างกับไม่รู้จักกู”  ดินมันมองหน้า

   บอยมันหลบตา  มันไม่อ่านสายตาดินดีกว่า  ขืนมันอ่าน  ดินจะยิ่งกว่านี้อีก  มันค่อย ๆ  ดีดตัวลุกขึ้นจากที่นอน

   “ไปดิ๊ไป”

   บอยมันเดินออกมาจากห้อง  หลายห้องที่มีสาว ๆ  มาทำอาหารกินเปิดประตูห้องค้างเอาไว้  เสียงพูดคุยกระเซ้าเย้าแหย่ดังก้องมาตามทางเดินตรงกลาง  กลิ่นอาหารที่เกิดจากการปรุงของสาว ๆ  ลอยมาปะทะจมูกเบา ๆ  บอยมันเดินมาตามทางเดินช้า ๆ  

   มันรู้สึกใจเต้นแรง . . .  

   . . . เพราะมันต้องผ่านประตูห้องที่เปิดอยู่  

   มีเสียงผู้คนหัวเราะพูดคุยกันสนุกสนาน  บอยมันเดินผ่าน  มันเหลือบสายตาไปมองคนในห้อง  มีเพื่อน ๆ  ของเจ้าของห้องมากมาย  และแขกของเจ้าของห้องอีก  ห้องนั้นดูคับแคบไปถนัดตา

   “นัทนี่  เขยิบไปก่อนสิ  เมย์ทำไม่ถนัด”  เสียงจากแขกจากหอหญิง  บอกให้เจ้าของห้องเขยิบหนีห่าง

   นัทเหมือนยิ่งยุ  กระเถิบตัวเข้าใกล้  เตาไฟฟ้าที่ควันฉุย ส่งกลิ่นหอมชวนกิน  มันคอยชะโงกหน้าไปสูดกลิ่นที่ลอยมาตามลม

   “เสร็จยังอ่ะเมย์  หิวแล้วนะ”

   “ใกล้แล้วล่ะ  ไปทุบพริกขี้หนูกับ  ผ่ามะนาวมาอีก 2 ใบไป๊”  เมย์  ผลักนัทเบา ๆ

   “จ้า  กลัวแล้วจ้า  ใช้จังเลยนะคนเรา”  นัทมันบ่น  แต่มันก็ถอยออกมาแล้วหันไปหยิบพริกขี้หนู

   “จะเอากี่เม็ดละเมย์”

   “ตามใจดิ  กินเผ็ดก็ทุบมาเยอะ ๆ  เลย”  

   เสียงเมย์ยังแว่วมาตามลม . . .  

   . . . บอยเดินก้มหน้านิ่ง  มันคล้ายปลาช่อนโดนทุบหัวกระมัง  เพราะมันอยากนอนดิ้นพล่านให้ตายลงตรงหน้านั้นให้ได้  มันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม

   ดินเดินมาตบไหล่มันเบา ๆ  ก่อนที่จะเดินขึ้นมาเดินเคียงกับบอย  แล้วเอามือเดินกอดคอบอยเอาไว้  

   “น่า  ไม่ตายหรอกน่า  ชินแล้วล่ะ  เห็นมาจนชิน”  บอยมันหันไปบอกดิน

   “ก็ดีที่ไม่ตาย  ชินไว้แหละดี  กูเห็นนะมึง  ตอนมันกลับมาหอ  มึงมองแม่งทุกวันเลย  มึงจะมองทำไม  ถ้ามองแล้วใจมันไม่สุข”  ดินถาม

   บอยมันไม่ตอบคำถาม . . .

   . . . มันแค่ยักไหล่ไปมาเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องของปิ่น  ที่เต็มไปด้วยสาว ๆ

   มันสนุกสนานอยู่ที่ห้องของปิ่นจนเกือบค่ำ  แล้วทั้งหมดก็ยกโขยงขึ้นไปกันบนดาดฟ้า  ที่นั่นมีหลาย ๆ  คนรวมตัวกันอยู่ก่อนแล้ว  บอยมันเห็น  นัทกับเมย์นั่งอิงแอบแนบกันบนดาดฟ้า เหมือนคืนนั้น  คืนที่มันอยู่รอบกองไฟที่แม่นะ

   “อ้าว  บอย  นึกว่าไปหอสาวมา  เดินไปดูที่ห้องก็ไม่เห็นอยู่”  นัทมันเอ่ยทักเมื่อเห็นบอยเดินมากับเพื่อน ๆ  อีกกลุ่มใหญ่

   “ไปอยู่ห้องปิ่นมา  มืดเลยยกโขยงกันมานี่แหละ”  บอยบอกยิ้ม ๆ  มันมองเมย์แล้วมันทำหน้าล้อเลียน

   “บอยพรุ่งนี้ไปหอเมย์  นัดสาวที่ไหนไว้ก็ต้องไปนะ  ต้องไปให้ได้นะบอย”  เมย์หันมาสำทับ  บอยพยักหน้ารับ  ก่อนหาที่นั่ง

   คราวนี้บนดาดฟ้ากลายเป็นกลุ่มใหญ่ . . .  

   . . . บ้างก็ร้องเพลง  

   นั่งคุยดื่มกันนิดหน่อย  บอยมันเหลือบมองไปที่นัทเป็นระยะ ๆ  มันแอบหลบสายตาทุกครั้ง  มันยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม  มันกระดกรวดเดียวเข้าปาก  แต่มันเพิ่งรู้เหล้าเพียว ๆ  มันขม  มันบาดคอ  บอยคล้ายสำลักเหล้าในปาก  บอยหันไปมองรอบ ๆ  วงไม่มีใครเห็นมันมั้ง  มันเลยแกล้งแหงนหน้ามองฟ้า มองดาว  สลับกับตบมือให้จังหวะเพื่อน ๆ  ที่กำลังสนุก

   “อ้าว  ดินครับ  คราวนี้ตาดินแล้วนะครับ  เอ้าสาว ๆ  ตบมือหน่อยครับ  เดือนวิดยาจะโชว์เพลงให้ฟังแล้วนะครับ”  น้องเด็กวิจิตร  ส่งกีตาร์ให้ดินเป็นรายต่อไป

   เสียงตบมือเกรียว . . .  

   . . . ดินมันแจกยิ้มหวาน  โค้งไปรอบ ๆ  วง  

   “ขอบคุณครับ  สาว ๆ  ทุกท่าน  และเพื่อน ๆ  ทุกคน  เพลงนี้นะครับ  ผมขอเล่นให้กับทุกคนในวันนี้นะครับ  ผมว่าทุกคนน่าจะเหนื่อยกันทั้งวันแล้วนะครับ  คืนนี้มาสนุกกันให้เต็มที่ไปเลย  เมื่อกี้ฟังเพลงจังหวะสนุกมาหลายเพลงแล้ว  ขอสลับเพลงช้าบ้างแล้วกันนะครับ”  ดินมันเกากีตาร์คลอ  

   มันเห็นเพื่อน ๆ  ตั้งหน้าตั้งตารอฟังมัน  เพราะกิติศัพท์มันเรื่องเล่นกีตาร์นี่หาตัวจับยากเลยทีเดียว  จะมีก็บอยเท่านั้นที่น่าจะสูสีกับดิน

   “อ้อ  แล้วผมขอมอบเพลงนี้พิเศษสุดสำหรับคนที่สำลักเหล้าเมื่อสักครู่ด้วยนะครับ”   ดินบอก  ก่อนจะค่อย ๆ  โซโล่เสียงกีตาร์

   บอยมันแทบจะสำลักเหล้าอีกรอบ . . .  

   . . . เมื่อมันได้ยินดินบอกแบบนั้น  มันกวาดตาไปมองเพื่อน ๆ  ไม่มีใครเฉลียวใจมั้ง  มันคล้ายโล่งใจ  แต่เพียงแค่มันสบตากับนัท  มันร้อนวูบวาบไปในหัวใจ  เมื่อนัทขมวดคิ้วคล้ายตั้งคำถามกับมันหรือปล่าวหว่า  

   บอยไม่รู้ . . .  

   . . . มันหลบสายตานัท  

   ก่อนหยิบแก้วเหล้ามากระดกหมดแก้ว


เจอะเธอทุก ๆ  ครั้ง พร้อมรอยน้ำตา

กับความทุกข์ที่มีมาเพื่อมาระบาย

เมื่อคนที่เธอรักเขาไม่เคยแคร์ แหละเหมือนโดนเขารังแกอยู่ร่ำไป

ไม่อยากจะถามเธอให้เสียบรรยากาศ

ว่ารักตัวเขามากมายสักเพียงไหน

มีเพียงคำถามเดียวที่ฉันไม่เข้าใจ

สิ่งที่ฉันนั้นห่วงใยแหละอยากรู้

เหนื่อยมั้ยสิ่งที่เธอทำอยู่ สิ่งที่ฉันได้คอยเฝ้าดูยิ่งรู้ยิ่งห่วงใย

เหนื่อยมั้ยกับที่ต้องร้องให้  ให้กับเขาที่เธอปักใจแหละเขาไม่เคยรับรู้เลย

กับคนที่เธอรัก รักด้วยน้ำตา ช่างดูเหมือนมีคุณค่ากว่าใครทั้งนั้น

ส่วนคนที่รับรู้ รักเธอมากมาย กลับเหมือนเป็นที่ระบายอย่างเพื่อนกัน

ไม่อยากจะถามเธอให้เสียบรรยากาศ

ว่ารักตัวเขามากมายสักเพียงไหน

มีเพียงคำถามเดียวที่ฉันไม่เข้าใจ

สิ่งที่ฉันนั้นห่วงใยแหละอยากรู้

เหนื่อยมั้ยสิ่งที่เธอทำอยู่ สิ่งที่ฉันได้คอยเฝ้าดูยิ่งรู้ยิ่งห่วงใย

เหนื่อยมั้ยกับที่ต้องร้องให้  ให้กับเขาที่เธอปักใจแหละเขาไม่เคยรับรู้เลย

เหนื่อยมั้ย  สิ่งที่เธอทำอยู่  สิ่งที่ฉันได้คอยเฝ้าดูยิ่งรู้ยิ่งห่วงใย

เหนื่อยมั้ยกับที่ต้องร้องให้  ให้กับเขาที่เธอปักใจแหละเขาไม่เคยรับรู้เลย  



   ดินมันเรียกความสนใจจากหมู่เพื่อน . . .  

   จนทั้งวงนั่งเงียบกริบ  

   บอยมองหน้าคนร้องเพลง  มันเข้าใจความหมายดีมันรู้  ว่าดินจะสื่ออะไรให้กับมัน  แต่มันไม่ทรยศหัวใจตัวเองหรอแก  มันได้แต่ก้มหน้านิ่ง  ไม่กล้าที่จะมองหน้าดินเลย

   สิ้นเสียงโซโล . . .  

   . . . ครั้งสุดท้าย  

   เสียงปรบมือจากเพื่อนทั้งวงดังกระหึ่มและยาวนาน  บอยมันมองหน้าคนร้องเพลงที  มองหน้านัทที  มันโชคดีมั้งที่ฤทธิ์แอลกอฮอร์ทำให้มันซ่อนสีหน้าเอาไว้ได้  เพราะทุกคนเข้าใจแค่ว่าบอยเมา

   ใช่แล้ว . . .  

   . . . บอยเมา

   มันเมารักเสียหัวปักหัวปำ

   ก็เพราะว่าความรักมันห้ามกันไม่ได้ มันบอกไม่ได้ด้วยสิว่า  จะต้องรักใคร  หรือรักแบบไหน  หัวใจของบอยมันมีไว้เพื่อรัก  มันรักด้วยน้ำตาจริง ๆ  หรือ  แต่มันก็ยอม  มันยอมทั้งน้ำตานี่แหละ . . .  

   . . . ใครจะทำไม


   บอยมันเดินกระสับกระส่ายไปมาที่หน้าห้องตรวจ  เมื่อคืนดินท้องเสียทั้งคืนเลย  มันไม่ยอมบอก  จนรุ่งเช้า  บอยมันจะไปเรียน  บอยมันถึงรู้ว่าดินมันมีอาการไข้แฝงอยู่ด้วย  มันจำต้องลากดินไปโรงพยาบาล  แล้วมันก็เดินวนไปวนมาราวหนู่ติดจั่นอยู่ครงนี้

   “บอย  มาทำอะไรที่นี่”  เสียงทักทายมันคุ้น  ไม่ใช่มันมันจำได้ดี  เสียงนี้มีคนเดียวในหัวใจมันด้วยซ้ำ

   บอยมันหันไปมอง . . .  

   . . . นัทนั่นเอง  

   นัทเดินมากับพยาบาลสาว  บอยมันยิ้มให้กับทั้งสองคน

   “ดินนะนัท  ดินมันท้องเสีย  แล้วนัทมาทำอะไรล่ะ”

   “อ๋อ  หมอนัดมาตรวจนะ  เรื่องขานั่นแหละ  ไปก่อนนะบอย”

   นัทค่อย ๆ  เดินแยกตัวออกมาจากบอย  พยาบาลที่เดินมาด้วยกันมองนัทแล้วยิ้มก่อนจะเอ่ยออกมา

   “เพื่อนเหรอนัท”

   “ใช่แล้วพี่กุ้ง  อยู่หอเดียวกัน  ไหนแม่บอกจะมาไงพี่กุ้งวันนี้”  นัทมันหันไปถาม

   “อ้าวก็น้าเขาบอกพี่มาแบบนี้นี่นา  ตอนพี่กลับไปบ้านอาทิตย์ก่อน”

   “สงสัยติดงานอีกแหงเลย  เลยปล่อยผมเป็นลูกพี่ไปเลย  เฮ้ย”

   “ทำมาติดแม่ไปเหอะ  ตอนเข้ามาผ่าตัดสาวมาเฝ้าทุกวันเลยนะ  เออ  แล้วเพื่อนนัทคนเมื่อกี้  พี่ก็เห็นนะ  เขามามองนัททุกวันเลย”

   “ผิดคนแล้วมั้งพี่  ไอ้บอยนี่นะ  ผมไม่เคยเห็นมันโผล่มาเลยสักนิดเดียว”  นัทมันหันไปมองหน้าญาติผู้พี่

   “จริง ๆ  นัท  พี่เห็นเขามาตั้งแต่วันแรกแล้ว  ตอนนัทเพิ่งออกจากห้องผ่าตัด  เขายังเข้าไปคุยกับแม่นัทตั้งนานเลย  แล้ววันอื่น ๆ  เขาก็มานะ  บางวันเขาแค่ยืนมองนอกห้อง  บางวันเขาก็เข้าไปในห้องแหละ  พี่เห็นจริง ๆ  ไม่ผิดคนแน่”

   นัทมันขมวดคิ้ว . . .

   . . .  บอยมาเหรอ  

   บอยเคยมาเยี่ยมมันด้วยเหรอ  มันไม่เคยเจอบอยสักครั้งเดียวเลยด้วยซ้ำ  ถ้าบอยมันมา  ทำไมมันไม่รอให้เขาฟื้นล่ะ  หรือถ้าบอยมันมาแค่ยืนดูเขาจากด้านนอก  มันจะมาทำไมกัน  คำบอกเล่าของพี่กุ้งทำให้นัทมันคิด  มันไม่เข้าใจว่าบอยทำแบบนั้นทำไม

   แต่อย่างน้อยมันก็รู้แหละ . . .

   . . .   บอยมา  บอยมาเยี่ยมมัน  

   นัทมันเดินตามพี่กุ้งเข้าไปยังห้องตรวจของหมอช้า ๆ  สมองมันยังติดใจในเรื่องที่เพิ่งรับรู้มา  มันคงต้องหาโอกาสถามบอยมันดู  อย่างน้อยมันจะได้ขอบใจที่เพื่อนอุตส่าห์มาเยี่ยมมันยามมันเจ็บไข้ได้ป่วย

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 16-07-2009 13:09:43
นัทถามบอย แล้วบอยจะกล้าตอบเหรอ

กล้าๆหน่อยนะบอย

ป้าเชียร์อยู่ สู้โว้ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 17-07-2009 06:47:14
เฮ้อ... จากที่สงสารบอย ตอนนี้ก็สงสารดินอีกคนแล้วสิ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 17-07-2009 08:32:50

ต อ น ที่  ๑ ๗

ร อ ย ด่ า ง . . .




   “เมย์...”  นัทเรียกเมย์เสียงละห้อย  แววตานัทหมองเศร้าคล้ายแบกความทุกข์ไว้เต็มบ่า

   “หือ”  เมย์หันมายิ้มแจ่มใจ


   นัทมองหน้าเมย์นิ่ง . . .  

   . . . เขาจะทำอย่างไรดีหนอเรื่องบางเรื่อง  มันก็ยากที่จะบอกจะพูดออกไป  

   เมย์ผิดหรือ ?  

   ก็ไม่ผิดอะไรนี่นา . . .  

   . . . นัทผิดหรือที่เกิดมาต่ำต้อยกว่าเมย์

   ก็ไม่ผิดอีกนั่นแหละ  . . .

   แต่ . . . บางครั้ง  

   ความเหมาะสมมันทำให้คนสองคนต้องหมางใจกัน

   “นัทมีอะไรเหรอ  ท่าทางนัทเหมือนมีอะไรในใจ”  เมย์ห่วงใย  ระหว่างเมย์กับนัท  ทั้งสองแทบจะไม่เคยมีเรื่องที่ปิดบังกันมาก่อนเลย  เรื่องของอีกฝ่ายมีหรือที่อีกฝ่ายจะไม่รับรู้  

   “สมมุตินะเมย์  สมมุติว่าวันนึง  เรื่องระหว่างเมย์กับนัท  มันไม่ได้เป็นแบบนี้  ไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดตอนนี้  เมย์จะยังคุยกับนัทมั้ย”  นัทจ้องหน้าเมย์นิ่ง

   อย่างน้อยนัทมันก็เริ่มที่จะพูด  มันกล้าที่จะพูดออกไป

   “ทำไมนัทถามแบบนั่นล่ะ  นัทมีอะไรมากกว่าเรื่องสมมุติมั้ย”  เมย์ทำหน้าประหลาดใจเพราะคาดไม่ถึงนัทจะคุยเรื่องนี้

   นัทมันหลบสายตาเมย์ . . .  

   . . . มันจะพูออย่างไรดีกับเรื่องนี้  บางสิ่งบางอย่างมันอัดอั้นอยู่ในหัวใจ  มันมองเมย์  นัทอยากมองเมย์ให้เต็มตาอีกครั้ง  เหมือนครั้งก่อน ๆ  ที่นัทเคยมองเมย์  มองแบบเต็มหัวใจด้วยซ้ำไป

   “เมย์”  นัทมันจับมือเมย์เอาไว้ มันพูดอะไรไม่ออกอีกแล้วล่ะ  มันได้แค่แต่จับมือมือเอาไว้นิ่ง ๆ  นัทมันอยากจะถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีในหัวใจให้เมย์ได้รับรู้ด้วยซ้ำไป

   เมย์จะรับรู้และสัมผัสมันได้มั้ยนะ . . .  

   . . . สัมผัสของหัวใจที่นัทส่งไปนั่นเอง

   “นัท . . . นัทมีอะไรในใจ  บอกเมย์ได้มั้ยนัน”  

   เสียงเมย์ยิ่งอ้อนวอนมากเท่าไหร่  นัทมันเหมือนรู้สึกผิดมาเท่านั้น  ทุกอย่างนัทเริ่มต้นขึ้นเอง  นัทเดินไปหาเมย์เองตั้งแต่ตอน  แล้วมาวันนี้

   วันนี้ . . .

   นัทมันคล้าย ๆ  จะยอม  แต่มันกลับฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง

   “เมย์  เราถอยคนละก้าวดีมั้ย”  นัทมันบอก  น้ำตามันร่วงพรู  มันหันหน้าหนีเมย์เอามือปาดน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว

   เมย์มันเหมือนโดนฟาดอย่างแรง . . .

   . . . เมย์มองนัท  ด้วยแววตาทุกข์  เมย์ทุกข์ใจแหละ  จู่ ๆ  นัทมาบอกเรื่องถอยคนละก้าว

   “ทำไมเหรอนัท  นัทบอกเมย์ได้มั้ยว่าทำไม”  เมย์จับแขนนัทเขย่าไปมา

   “เมย์อย่าถามนัทได้มั้ย  นัทไม่รู้จะตอบเมย์อย่างไรดี  นัทรู้แค่ว่า  ระหว่างเรามันเหมือนมีอะไรบาง ๆ  มากั้นอยู่  นับวันมันยิ่งมากขึ้น  มันหนาขึ้นทุกทีเลยนะเมย์  ขอเวลาให้เราถอยไปตั้งหลักกันอีกสักก้าวนะเมย์”  นัทมันเห็น  

   น้ำตาเมย์อาบแก้ม  มันอยากจะเอามือไปซับน้ำตาเหมือนวันก่อน  แต่นัทมันทำไม่ได้  มันจะยิ่งทำให้เมย์เจ็บปวดยิ่งขึ้นไปอีก

   “นัท  นัทเคยมีเหตุผลมาตลอด  แล้วทำไม ตอนนี้นัทถึงกลายเป็นคนไร้เหตุผลไปได้ล่ะนัท  เมย์ผิดอะไรเหรอนัท  บอกเมย์หน่อยสินัท”  เมย์ปล่อยน้ำตาไหลเป็นทาง

   คนโดนเฉือนใจเป็นแบบนี้เองเหรอ

   “นัทไม่มีเหตุผลหรอกเมย์  นัทขอโทษ”  

   นัทปลดมือเมย์เบา ๆ  ก่อนหันหลังให้เมย์  น้ำตานัทไหลเป็นทาง    นัทมันไม่แม้แต่จะหันหลังไปมองเมย์ด้วยซ้ำ  มันรู้  ถ้ามันหันไปมองเมย์อีก  มันจะต้องกลับไปหาเมย์แน่ ๆ  นัทมันทำไม่ได้  เสียงพ่อของเมย์ยังก้องในหัวนัท

   “ผมไม่ได้ดูถูกคุณหรอกนะ  แต่ลูกเมย์  ผมเลี้ยงมาแบบยุงไม่ให้ใต่ไรไม่ให้ตอม  คุณคงเข้าใจนะว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่อยากเห็นลูกตัวเองมีอนาคตที่ดี  ไม่ใช่ต้องมาจมอยู่กับคนที่ยังไม่รู้อนาคตของตัวเอง  ผมไม่ได้ดูถูกคุณนะ  แต่ผมว่าคุณเลี้ยงลูกผมไม่ไหวหรอก  ถ้าคุณมีความเป็นลูกผู้ชายพอ  ออกจากชีวิตลูกสาวผมเถอะ  ถือว่าผมขอ”

   นัทมันจำแม่น . . .  

   . . . คำพูดของพ่อเมย์ยังก้องในสมอง  

   แววตามันมุ่งมั่น  มันต้องเอาชนะคำพูดของพ่อเมย์ให้ได้  คนอย่างมันต้องดีกว่าพ่อเมย์ปรามาสเอาไว้  แต่ตอนนี้มันขอเดินออกมาจากชีวิตของเมย์ก่อน  เมย์อาจไม่เข้าใจมันหรอก  แต่สักวันนึง  

   เมย์อาจจะรู้  . . .

   . . . แล้วเข้าใจในสิ่งที่มันทำ

   นัทมันรู้ะ  เมย์นะอยู่แค่ปลายนิ้วของมันนั่นแหละ

   แค่เอื้อม . . .

   . . . แต่นัทมันเลือกที่จะไม่เอื้อม  

   แค่เอื้อมของมันจึงดูห่างไกลเสียเหลือเกิน



   ตะวันจวนลับเหลี่ยมฟ้า  หมู่นกกาโผผินคืนรัง  อากาศรอบ ๆ  ตัวเริ่มเย็นชื้น  เมย์ยังนั่งนิ่ง ๆ  ที่ริมอ่างเกษตร  ที่เดียวกับที่เขามาปล่อยโคมลอยเมื่อปีก่อน  เมย์ไม่เข้าใจนัทหรอก  นัททำอะไรออกไป  เมย์รู้แต่สมองเมย์มันตื้อ ๆ  คิดอะไรไม่ออก  ไม่มีคำสั่งหรือประมวลผลใด ๆ  ลอยออกมาจากสมองของเมย์เลยแม้แต่น้อย  ผู้คนมากมายที่มาวิ่งออกกำลังกายมองเมย์แหละ  แต่เมย์กลับไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับสายตาของคนเหล่านั้นเสียเลย

   เหมือนโลกนี้มีแค่เมย์เพียงคนเดียว

   เมย์ฟุบหน้าลงกับฝ่ามืออีกครั้ง . . .  

   . . . มันเจ็บนะ  เจ็บที่โดนบอกเลิกโดยไร้สาเหตุ  เมย์พยายามคิดทบทวนว่าทำอะไรผิดลงไป  แต่ยิ่งคิดมันยิ่งมืด  เหมือนที่โบราณบอกไว้กระมัง

   มืดแปดด้านไปหมด

   “ขอนั่งด้วยคนได้มั้ยครับ”

   เสียงทักทาย . . .  

   . . . ทำให้เมย์ต้องแอบปาดน้ำตาทิ้ง  เมย์หันกลับมาที่ต้นเสียง  รอยยิ้มของเพื่อนเก่า  ทำให้เมย์ยิ้มออกมานิดนึง

   “บอย  มาทำอะไร”

   “มาวิ่ง เห็นนั่งอยู่นานแล้ว”  บอยนั่งลงที่ใกล้ ๆ  เมย์

   บอยมันหยิบก้อนหินที่ริมอ่าง . . .  

   ก่อนเขวี้ยงลงไปในอ่าง  เสียงก้อนหินกระทบน้ำดังตุ๋ม  ก่อนที่ระลอกคลื่นจะค่อย ๆ  ตีวงกว้าง  กว้างขึ้น ๆ  จนมาถึงริมตลิ่ง  บอยมันทำแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมาหลาย ๆ  ครั้ง

   “เราจะไม่คุยกันเลยเหรอเมย์”  บอยมันเอ่ยขึ้นหลังจากที่นิ่งเงียบกันอยู่นาน

   “คุยอะไรล่ะ  บอยอยากคุยอะไร”  เมย์พยายามฝืนให้เหมือนเมย์คนเดิม  บอยเห็นแหละ  มันเพื่อนกันนี่หว่า  ความเปลี่ยนไปของเพื่อนทำไมบอยจะมองไม่ออก

   “ช่างเหอะ  ถ้าเมย์ไม่อยากคุย  แต่บอยขอนั่งเงียบ ๆ  เป็นเพื่อนเมย์อยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน”  บอยมันหยิบหินมาก้อนหนึ่ง

   “เมย์เห็นหินมะ  นี่”  

   บอยมันแบมือให้เมย์ดู . . .  

   . . . หินก้อนขนาดย่อมที่วางอยู่ในมือ  แล้วบอยมันค่อย ๆ  กำมือ  มันกำแน่นเข้า  แน่นเข้าไป  จนมันรู้สึกเจ็บ  

   “โอ้ย . . .”  

   บอยร้องออกมาเมื่อกำเอาไว้แน่นที่สุดแล้ว

   “เป็นอะไรไปบอย  ไปกำแน่น  มันก็เจ็บสิ”  เมย์รีบเอามือมาจับมือบอย  กางออกดู  รอยหินที่กำไว้  แดงเป็นจ้ำ ๆ

   บอยหันมามองหน้าเมย์ . . .  

   . . . มันยิ้ม  ยิ้มอย่างเคยแหละ

   “เมย์เห็นที่ตรงนั้นมั้ย  จำได้มั้ย  ครั้งนึงเราเคยมาทำอะไรกันที่นี่”  บอยชี้ไปยังที่ ที่ทั้งสามเคยมาลอยโคมยี่เป็งด้วยกัน

   เมย์พยักหน้ารับ

   “จำได้  จำได้สิบอย  ปีแรกที่เราเรียนที่นี่แล้วเรามาลอยยี่เป็งไง”

   “ใช่เมย์  บางครั้งความสุข  มันอยู่ที่ความทรงจำของเรานี่แหละ  มันอยู่กับเราตลอดเวลานะเมย์  เหมือนความทุกข์  ความทุกข์มันก็วนเวียนอยู่กับเราตลอดเวลาเหมือนกัน . . .”  บอยหยุดยิ้มมอหน้าเมย์

   “. . . เมื่อกี้บอยกำหิน  เรารู้ทั้งรู้ว่าหินมันแข็งกว่ามือแต่เรายังจะไปกำมันไว้อีก  แล้วทีนี่พอกำไว้นาน ๆ  มันก็เจ็บ  ถ้าเรารู้ว่าเราเจ็บแล้วเราจะกำมันไว้ทำไม  เราก็ปล่อยมันแบมือออกแบบนี้ไง  เห็นมั้ย”  

   บอยแบมืออีกครั้ง  ยิ้มกับเมย์อย่างเคย

   “พอเราแบมันก็หายเจ็บแล้วล่ะ  เหมือนความสุขไง  ความสุขมันเหมือนความทรงจำ  ที่เมย์เห็นไง  เมย์เห็นมันไม่ใช่เหรอที่เราเคยมาลอยโคมนะ  บอยไม่รู้ว่าเมย์จะทุกข์เพราะเรื่องคนนั้นหรือปล่าว  แต่เมย์อยากให้รู้  เราเก็บความสุขได้เมย์  และเราก็ทิ้งความทุกข์ได้เช่นกัน”  บอยมันเขวี้ยงหินก้อนที่กำไปในน้ำ  

   น้ำกระจายระลอกคลื่นตีวงกว้างเรื่อย ๆ . . .  

   “บอย  นัทเขาไม่อยู่แล้ว  เขาไม่อยู่กับเมย์แล้วบอย”  เมย์หมดแรงจะจะแข็งขืนหัวใจตัวเอง

   บอยรับรู้ข่าวใหม่ด้วยหัวใจแห้งแล้งพิกล . . .  

   . . . ความจริงบอยมันน่าจะดีใจเสียด้วยซ้ำที่เมย์กับนัทไม่มีอะไรกันแล้ว  อย่างน้อย  นัทก็ไร้พันธะ  

   แต่ . . .

   บอยมันกลับรู้สึกว่า  ระยะห่างของมันกับนัท  ห่างขึ้นไปเรื่อย ๆ  เพราะว่าคนที่เชื่อมมันกับนัทคือเมย์  เมย์เหมือนตัวเชื่อมให้มันถึงนัท  แต่ตอนนี้  มันเหมือนไร้แล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง

   ด้ายเส้นสุดท้ายที่เชื่อมมันไว้กับนัทขาดสะบั้นลงแล้วหรือ ?

   “เมย์ . . .”  บอยเรียกชื่อเมย์เสียงอ่อนโยน

   “. . . เมย์ต้องเข้มแข็งไว้นะเมย์  ก่อนเจอนัท  เมย์อยู่ได้ใช่ไหมเมย์”  บอยหันมาถาม  มันเอามือแตะที่หลังมือเมย์เบา ๆ

   “ถ้าเมย์เคยอยู่ก่อนไม่มีนัท  เมย์อยู่ได้  เพราะฉะนั้น  ตอนนี้เมย์ต้องกลับมาอยู่แบบนั้นให้ได้นะเมย์  ถึงมันจะยากสักหน่อย  แต่เมย์ต้องอยู่ให้ได้นะ  บอยเชื่อว่าเมย์จะต้องอยู่ได้  เมย์คนเก่งจะต้องเข้มแข็งไว้นะ”  

   บอยมันปลอบ  มันเองก็เศร้า . . .

   . . .  มันเคยเห็นเมย์ยิ้ม  มันเคยเห็นนัทยิ้ม

   แม้มันจะเคยแอบร้องไห้เพราะรอยยิ้มของคนสองคน  แต่มันก็ยังสุขในหัวใจอยู่บ้าง  ตอนนี้มันเหมือนไร้หัวใจมั้ง  มันเกือบจะร้องไห้ตามเมย์อยู่แล้วทีเดียว  ถ้ามันอ่อนแอกว่านี้อีกนิด  มันร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าแน่ ๆ

   มันไม่รู้หรอกว่า  ทั้งสองต้องเลิกกันด้วยเรื่องอะไร  บอยมันรู้แค่ว่า  มันเองก็ไม่สบายเหมือนกัน  มันไม่อยากเห็นเพื่อนที่มันรู้จักมาแต่เล็กแต่น้อยต้องทุกข์  แล้วมันพาลนึกไปถึงอีกคน . . .  

   . . . คนนั้นจะทุกข์แบบเมย์มั้ยนะ




   “มาเสียค่ำเชียวนะเอ็ง”  ดินทัก  เมื่อบอยเปิดประตูเข้ามา

   “เออ  พอดีมีธุระนิดหน่อย  แต่งตัวซะหล่อ  ไปหาเด็กเหรอ”  บอยมันทักเพราะมันเห็นดินแต่งซะเต็มคราบ  พร้อมออกเที่ยวกระมัง

   “ป่าว  จะออกไปเที่ยวนะ  พอดีน้ำมันมาชวนให้ออกไปนะ  เห็นบอกนัทมีเรื่องกลุ้มใจ  มึงรู้มั้ยนัทมันมีเรื่องไร”   ดินบอก  แล้วจ้องหน้าบอย  คล้ายค้นหาอะไรบางอย่างในตัวบอย


   บอยมันมองหน้าดิน . . .  

   . . . มันไม่หลบสายตาเสียด้วย  

   มันจะกลัวทำไม  ในเมื่อมันพอจะรู้เรื่องมาจากเมย์บ้างแล้ว  เรื่องที่นัทกลุ้มใจคงไม่พ้นเรื่องเมย์หรอก  แต่มันไม่รู้หรอกรายละเอียดปลีกย่อยมันเป็นเช่นไร  มันคงไม่อยากรู้ไปมากกว่านี้แล้วล่ะ  เพราะเมื่อตอนมันขับรถตามรถคันเล็กของเมย์มาส่งที่หอมันเองก็แอบปาดน้ำตาทิ้งไปหลายทีเหมือนกัน

   “อย่าเพื่อนอย่า  อย่ามามองแบบนี้  กูไม่รู้เรื่องอะไร”  บอยมันยกมือห้ามดิน  เพราะมันเกลียดสายตาที่ดินจ้องมันแบบจับผิด

   “นึกว่าจะรู้  ไม่ไปด้วยกันหน่อยเร่อะ  โอกาสทำแต้มนะมึง”  ดินมันยั่ว

   มันเกิดมายามไหนนะ . . .  

   . . . ช่างยั่วเสียเหลือเกิน  

   ถ้าบอยมันไม่รู้จักดิน  มันอาจจะแตะดินไปสักป๊าบ  แต่นี่มันรู้จักเพื่อนดี  มันเลยแกล้งไม่สนใจ

   “ไม่ไปว่ะ  เหนื่อย  อยากนอน”  มันตั้งท่าจะถอดเสื้อ

   “ไม่ได้โว้ย  กูบอกนัทกับน้ำมันแล้วเดี๋ยวตามไป  ยังไงกูก็จะลากมึงไปให้ได้  ไปหน่อยเหอะว้า  ทีมันนอนโรงพยาบาลมึงยังไม่โผล่ไปเลย  แล้วคราวนี้มันท่าจะหนักเอาการนะมึง  สงสารมันไปนะบอย”  ดินบอก

   บอยมันทำท่าอยู่พัก  . . .

   . . . มันไม่ต้องตัดสินใจอะไรแล้วล่ะ  

   มันไปนะไปแน่  แต่ต้องเล่นตัวซะหน่อย  อย่างน้อยก็ให้ดินมันไม่พูดเอาได้ว่า พอเป็นเรื่องนัท  มันต้องไป  มันต้องไปทุกครั้ง  ถ้านัทต้องการ  มันไม่อยากให้ดินรู้สึกแบบนั้น

   “เออ . . เออ” มันเออออไปทั้ง ๆ  ที่หัวใจพองโต

   “. . . แม่งเอ้ยยุ่งกับกูจัง  รอเดี๋ยวอาบน้ำก่อนวิ่งมาเหนื่อย เหม็นด้วย”  มันบอก  ก่อนจะคว้าผ้าขนหนู  และขันอาบน้ำเดินออกไป

   ดินส่ายหน้าไปมา  

   “หนอยมาทำฟอร์มไอ้ทุเรศเอ้ย”

   เสียงดนตรีจังหวะคึกคัก  ดังแว่วมาตามลม  ดินมันจอดรถไว้แล้วมันเดินนำบอยเข้าไป  ในร้านคนยังไม่มาก  อาจเพราะเป็นวันธรรมดา  ดินมันกวาดสายตามองไปในร้าน  โน่น  มันเห็นแล้ว  นัทกับน้ำนั่งอยู่  มันค่อย ๆ  เดินนำหน้าไปยังโต๊ะด้านใน

   “ทำไมเพิ่งมาว่ะ”  นัทมันถามเสียงยาน ๆ  

   บอยมันเหลือบมองไปที่ขวดเหล้า  มันเห็นเหล้าพร่องไปแล้วกว่าครึ่งขวด  มันเดาได้ไม่ยาก  คนพูดน่าจะเริ่มเมาแล้วล่ะ  มันหันมายิ้มก่อนที่จะมองไปยังคนที่ถาม  แม้ไฟไม่สว่างมาก  แต่นัทหน้าแดงเพราะฤทธิ์เหล้าหรือเพราะพิษรักมันก็สุดจะคาดเดา

   หรืออาจจะทั้งสองอย่างก็เป็นได้

   “ไปวิ่งเพิ่งกลับมา  นึกไรขึ้นมาว่ะ  มากินเหล้าตั้งแต่ค่ำนี่”  บอยมันถาม  พลางหยิบน้ำแข็งใส่แก้ว  แล้วมันรินเหล้าใส่  ก่อนจะรินโซดาลงเต็มแก้ว  แล้วมันใช้นิ้วคนไปมา

   “ฉลองความเป็นโสดโว้ย  แม่งเอ้ยคนเราก็เท่านี้แหละว้า  กว่าจะรู้ว่าดอกฟ้าก็ตอนที่หลงเสียหัวปักหัวปำ”  นัทมันยกแก้วขึ้นซดคราวเดียวหมดแก้ว

   “เหล้านะโว้ย  ไม่ใช่น้ำปล่าว”  บอยมันปราม

   “ขอโว้ย  วันนี้ขอวันนึง  ฉลองความโง่งี่เง่าให้กับตัวเอง  แม่งเอ้ยแค่มือคว้าแต่ดันไม่คว้า  แค่เอื้อมเท่านั้นแต่ดันไม่เอื้อม  โง่ฉิบหายเลยคนอะไร”  มันเริ่มเมามั้ง  เพราะมันพูดจามากกว่าเก่า

   แค่เอื้อม . . .

   . . . มันแทงใจบอยจิ้ด  

   มันมองหน้านัทแล้วยิ้มเยาะตัวเองก่อนจะกระดกไปหมดทั้งแก้วเช่นกัน  นัทพูดถูกทุกอย่างแหละ  มันโง่ฉิบหาย  แค่ปลายนิ้วมันก็เอื้อมถึงแต่มันเสือกทะลึ่งไม่ยอมเอื้อม

   “เออ  แม่งแบบนี้ดิถึงเรียกเพื่อน  เห็นมั้ยน้ำ  บอยมันยังหมดแก้วเลย  มึงนี่ไม่ได้เรื่องว่ะ  อ่อนโครตเลย  บอยคืนนี้มึงมาเมากับกู”  นัทมันยกแก้วที่ดินชงให้ให้ชูมาตรงหน้า

   บอยมันยกแก้วไปชน  . . .

   . . . มันกลัวที่ไหนเล่า  

   เหล้ากินเมื่อไหร่ก็เมาเมื่อนั้นแหละ

   ดินกับน้ำมองหน้ากันเงียบ ๆ  มันได้แต่มอง  เพราะมันรู้ดี  ว่าน้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง  มันรู้การขวางนอกจากไม่สำเร็จแล้วยังพาลจะทำให้เรือล่มเสียง่าย ๆ  ด้วย

   “กูรักเค้านะโว้ย  ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยรักใครเท่านี้มาก่อน  แต่ทำไม  ฟ้าถึงต้องแกล้งกูด้วยว่ะ  กูเจ็บนะโว้ย  เจ็บตรงนี้”  นัทมันตบที่อกข้างซ้ายแรง ๆ

   บอยมันปวดใจจิ้ด . . .  

   . . . นี่มันต้องมาทนนั่งฟังนัทระบายความรู้สึกอีกนานแค่ไหนกันนะ  มันไม่พูด  มันยกแก้วทีไร  นั่นหมายถึงเหล้าหมดแก้ว  ดินเอื้อมมือมาแตะมือมันเบา ๆ  บอยสลัดมือดินทิ้งอย่างไม่ใยดี

   “บอยกูขอบใจมึงนะโว้ย  ที่อย่างน้อยมึงก็ทำให้กูเจอเค้า  แต่วันนี้  เค้าไปแล้ว  ไม่ดิ  ไม่ดิ๊  ก็ไปแล้วกูไปจากชีวิตเค้าแล้วบอย  กูไม่ดี  กูมันต่ำไม่ควรกับเขาบอย  มึงได้ยินมั้ยกูมันไม่ควรกับเค้า”  

   จากหนึ่งแก้ว . . .

   . . .  เป็นสองแก้ว  

   จากสองแก้ว เป็นสามแก้ว

    แล้วเหล้าที่มีอยู่น้อยนิดก็หมดไป  นัทมันสั่งมาอีกขวด  คราวนี้มันไม่รู้อะไรแล้ว  บอยมันเริ่มตาลาย  มันมองอะไรซ้อนกันไปหมด  แสงสีกับเสียงเพลงที่เร่งเร้ากลับทำให้มันเมายิ่งขึ้น

   นัทมันเมารักแน่แล้ว

   บอยล่ะ . . .

   . . .บอยเมาอะไร

   หูมันอื้อ  สมองมันเบา ๆ  ความรู้สึกและสติมันถดถอย  บอยมันไม่รู้สึก  มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันกลับมาที่ห้องได้อย่างไร  มันรู้แค่ว่า  ตอนร้านปิดมันแทบจะเดินไม่ตรงทาง  ไม่แตกต่างไปจากนัทเลยด้วยซ้ำ



   แสงแดดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง  บอยมันรู้สึกปวดหัวจิ้ด ๆ  มันสะบัดหัวไปมา  มันรู้สึกอึดอัด  ในความหนักแน่นของศรีษะ  มันรู้สึกเหมือนร่างกายมันโดนรัดอยู่  มันค่อย ๆ  รวบรวมสติ  แล้วบอยมันรับรู้  ร่างกายมันไร้เสื้อผ้าติดกาย  มันรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณทวารหนัก


   มันผลักดินออกจากการโอบกอดร่างของมัน  คนที่ยังหลับอยู่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะแรงผลัก  บอยมันจ้องมองดิน  ร่างกายดินไร้เสื้อผ้าเช่นร่างกายมัน  

   บอยมองตาดิน . . .  

   . . . คล้ายจะถาม  

   ดินหลบสายตาวูบ  

   เท่านั้นเอง . . .  

   บอยมันรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืน  มันไม่ได้ฝันหรอก  เพราะในฝันมันไม่ใช่ดิน  แต่เป็นผู้ชายอีกคนที่มันเฝ้าหลงรักมานาน  ผู้ชายคนเดียวที่เมากับมันเมื่อคืน  แต่พอรุ่งเช้าคนที่บอยมันเจอกลับเป็นดิน

   “บอย  กูรักมึงจริง ๆ  นะ”  ดินเข้ามาสวมกอดมันเมื่อมันเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาพันกาย

   บอยมันสะบัด . . .  

   . . . มันไม่พูด  

   แต่แววตามันซ้ำ  มันซ้ำหนัก  เสียแรงที่มันไว้ใจเพื่อน  แต่เพื่อนกลับมาทำกับมันแบบนี้  มันไม่พูด  มันจ้องหน้าดินนิ่ง  มันเกลียดเหลือเกิน  มันขยะแขยงคนที่แก้ผ้าอยู่ตรงหน้ามัน

   “เพื่อนกันเขาไม่ทำกันแบบนี้หรอกโว้ย  ต่อไปนี้มึงกับกูขาดกัน”  บอยมันจ้องหน้านิ่ง  ก่อนที่มันจะเดินออกไปอาบน้ำ

   “บอย  ๆ  ฟังกูดิ๊”  ดินมันร้องเรียก  

   แต่ . . .

   บอยมันปิดประตูโครมใหญ่  

   ดินมันนั่งลงกับเตียง  มันเอาหน้าซุกกับมือตัวเอง  มันเสียใจ  มัมนเสียใจไม่น้อยไปกว่าบอยหรอก  แต่มันทำไปแล้ว  มันรักบอยเกินกว่าที่มันจะห้ามหัวใจตัวเองได้

   “ไอ้ดิน  ไอ้ห่าเอ้ย  มึงทำไรลงไป  มึงทำไรนี่”  มันเฝ้าถามตัวเอง

   บอยเดินเข้ามาอย่างคนใจลอย . . .  

   . . . ระยะจากห้องนอนไปห้องน้ำไม่ไกล  

   แต่ . . .

   บอยมันกลับรู้สึกไกล  เสียเต็มประดา  สมองมันมีแต่ความชิงชัง  มันเจ็บแปลบเวลาที่มันก้าวขาออกไปแต่ละก้าว  มันไม่รู้หรอกเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่มันเดาเอาจากสิ่งที่มันเห็นเมื่อเช้า

   “อ้าวบอยเพิ่งตื่นเหรอ  เมาว่ะปวดหัวจิ้ดเลย”  คนที่เดินสวนกับมันมาเอ่ยทัก    

   นัทมันยิ้มเหมือนที่เคยยิ้มให้บอยเสมอมา . . .

   . . .บอยมันแทบจะแทรกแผ่นดินหนีไปตรงนั้น  

   มันอาย  มันเกิดอาการอายนัทขึ้นมาดื้อ ๆ  ไม่รู้สิ  มันอาจจะคิดไปต่าง ๆ  นานา  กลัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นมั้ง  มันได้แต่พยักหน้าให้นัท  ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ

   มันเปิดน้ำจากฝักบัว . . .  

   . . . น้ำราดรดตั้งแต่ศรีษะมัน  

   บอยมันใช้มือถูร่างกายอย่างแรง  ราวกับจะขัดเอาสิ่งที่ดินยัดเยียดให้มันออกไปให้หมดจากตัว  มันปล่อยน้ำตาไหลปะปนไปกับสายน้ำ  มันทรุดร่างลงกับพื้นห้องน้ำปล่อยให้น้ำชำระล้างสิ่งที่มันไม่ต้องการจากดิน  

   มันรู้ . . .

   . . . ต่อให้ล้างอย่างไรก็ไม่หมดไปจากตัวมันหรอก  เพราะสิ่งที่ดินทำไว้กับมันเกินที่มันจะรับได้

   มันไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย  สิ่งที่ดินสร้างรอยด่างให้ชีวิตมัน  




หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 17-07-2009 10:02:05
เกลียดดิน มากกก :beat:

คนฉวยโอกาส  :z6:

สงสารบอย :serius2:

 :z3:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: teenza ที่ 17-07-2009 11:27:43
ยังไม่ได้อ่านเลยแวะมามอบดอกไม้เป็นกำลังใจให้คนโพสก่อน :L2:
ไม่ให้ไม่ได้ลงอย่างฟิตขนาดนี้ ท่าทางเรื่องจะเข้มข้นดูจากอาการของรีบน เดี๋ยวไปอ่านก่อน :bye2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: patz ที่ 18-07-2009 15:24:37
อ้าว... ไหงเป็นงี้ล่ะ ตอนที่แล้ว ดินยังเป็นคนที่น่าสงสารอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ละเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 18-07-2009 18:49:34

ต อ น ที่  ๑ ๘

ก ลั บ สู่ จุ ด เ ดิ ม  .  .  .  ด า ด ฟ้ า


   ตั้งแต่เกิดเรื่องกับดินก็ดูเหมือนว่าโลกของบอยจะแคบลง . . .  

   . . . ชีวิตของบอยเปลี่ยนไป  


   บอยไม่ร่าเริงเหมือนเก่าชีวิตเหมือนจะแค่ให้ผ่านไปวัน ๆ  เท่านั้น  บางครั้งบอยมันก็นั่งมองฟ้าเงียบ ๆ  ให้น้ำตามันไหลออกมา  บอยมันเหมือนจะลบลี้หนีจากโลกนี้ไปเสียด้วยซ้ำ  เวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของบอยคือเวลาที่บอยได้แอบมองนัทเงียบ ๆ  จากริมระเบียงในเวลาที่นัทเดินกลับมาที่หอเท่านั้น

     ชีวิตของบอยกลับเข้าสู่สภาพเดิมอีกครั้ง  

   สภาพที่บอยทำได้แค่ยืนมองนัทในมุมมืด . . .

   . . .  มุมที่ดินมันยัดเยียดให้บอย

   หรือเพราะบอยอยากยืนที่มุมนั้นตลอดชีวิตก็สุดจะคาดเดา

   ดินเองเสียอีกที่พยายามจะให้บอยยกโทษให้  แต่ดูเหมือนว่าในสายตาที่บอยมองออกไปจะไม่เห็นดินเสียด้วยซ้ำ  ดินเป็นเหมือนอากาศธาตุ ที่ล่องลอยไปมาในห้อง  บอยมันไม่รู้สึกเลยว่าดินเดินอยู่  หรือดินจะคุยกับบอย

   ช่วงแรก ๆ  นั้นดินมันจะแทบบ้าให้ได้  มันผิดเต็ม ๆ  มันรู้  

   มันรู้ดี . . .  

   . . .  มันคิดว่าบอยอาจจะเห็นใจมันบ้าง  แต่ดินคิดผิด  เวลาไม่ได้ช่วยอะไรดินเลย  นับวันสายตาที่บอยมองดินมันยิ่งห่างออกไปทุกที  ห่างจนดินมันกลัว  กลัวว่าบอยกับมันคงจะไม่พูดกันอีกตลอดชีวิต

   บอยมันรักแรงและมันออกจะซ้ำแรงเสียด้วยกระมัง

   เรื่องแบบนี้มันถือ  

   บอยมันจำ . . .

   . . . จำจนตาย



   ฟ้าเริ่มมืด  แสงแดดจ้า เริ่มกลายมาเป็นสีเทาคราม  ก่อนที่จะกลายมาเป็นสีส้ม  แล้วความมืดก็ค่อย ๆ  เข้ามาครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณ  บอยมันไม่รีบ  มันเดินช้า ๆ  ผ่านทางศูนย์กีฬา  บอยมองเห็น ไฟข้างในยังสว่าง  บอยมันเดินเข้าไปใกล้ ๆ  โรงยิม  มันใช้สายตาลอดผ่านไปทางช่องลมเล็ก ๆ  แล้วบอยก็ยิ้มกว้างกับตัวเอง

   คนตัวเล็กร่างสูงโปร่ง . . .  

   . . . เหงื่อชุ่มตัวกระมัง  

   เขากำลังตั้งท่าที่จะเสริฟลูกขนไก่  มือขวากระชับไม้แบดไว้แน่น  สายตามองหาช่องว่างในสนามของคู่ต่อสู้  ก่อนที่จะเหวี่ยงแขนไปสัมผัสกับลูกขนไก่สีขาว  แล้วลูกก็กระดอนข้ามเน็ตไปยังอีกฝั่ง  ทางโน้นตีโต้กลับมาทางขวาของสนาม  นัทกระเถิบตัวเข้ามารับลูกอย่างชำนาญ  แล้วตวัดข้อมือรับให้ลูกข้ามไป  อีกฝั่งตบกลับมาอย่างรวดเร็ว  นัทแค่หักข้อมือเบา ๆ  ลูกหยอดไปหน้าเน็ทของอีกฝั่ง แล้วฝั่งโน้นตบกลับมา  นัทมันถอยมา  แล้วกระโดดตบจนลูกไหลเลียดไปทางริมเส้น  ทั้งคู่โต้กันไป โต้กันมาต่างไม่มีใครยอมใคร  แล้วในที่สุดนัทมันก็เสียทีอีกฝั่งหยอดลูกมาริมเน็ทสุดวิสัยที่นัทจะรับไว้ได้

   บอยมันยืนลุ้นอยู่ด้านนอก . . .  

   . . . มันอดเสียดายไม่ได้  ที่หลายครั้งที่นัทเกือบจะปิดเกมส์ได้แต่นัทปิดไม่ได้  

   มันได้แค่ยืนมองนัทห่าง ๆ  จากนอกกำแพงเท่านั้น  

   เพราะบอยมันรู้ดี  ตอนนี้ระหว่างมันกับนัท  เหมือนคนห่างกันเสียแล้ว  บอยมันไม่เสียใจหรอก  ระยะเวลาหนึ่ง  มันเคยมีเวลาอยู่กับนัท  มันเชื่อว่านัทจะเป็นเพื่อนที่ดีของมันได้  แต่มันคิดอีกแบบ  มันกับนัทแตกต่างกันมาก . . .  

   . . . นัทเขาเป็นผู้ชาย  

   ผู้ชายแท้ ๆ  ส่วนบอยล่ะ ?

   บอยตั้งคำถามให้ตัวเอง

   . . . บอยมันก็แค่มนุษย์ที่ถูกสาป  มันตอบตัวเองทันควัน  

   คนที่ต้องคำสาปแบบมันนี่นะ จะรักเพศตรงกันข้ามก็ไม่ได้  ต้องมารักกับเพศเดียวกันแถมยังต้องยืนอยู่ในมุมที่ทุกคนไม่อยากยืนเสียด้วย  

   บอยมันยิ้มกับภาพนัทอีกครั้ง . . .  

   . . . ยิ้มกับนัทที่ไม่เคยมองเห็นบอยเลยด้วยซ้ำ  

   แล้วบอยก็ค่อย ๆ เดินถอยหลังมาช้า ๆ  มันยิ้มกับตัวเอง  แววตามันพร่ามัว  มันสูดหายใจลึก ๆ  เข้าปอด  อย่างน้อยวันนี้บอยก็เห็นนัท  นานแหละ  นานกว่าทุกวันด้วยซ้ำ

   บอยมันเดินมาช้า ๆ  ตามถนนในมหาวิทยาลัย  

   บอยรู้แล้วล่ะ . . .  

   . . . โลกนี้มันมีความสุขได้  

   ความสุขของคนอื่นอาจจะอยู่ที่การได้อยู่กับคนที่ตนเองรัก  

   แต่ . . .

   . . . ความสุขของบอย

   มันอยู่แค่การได้เห็นนัท  การได้แอบมองนัทห่าง ๆ  แบบนี้  

   มันอาจจะเศร้า  อาจจะแอบร้องไห้บ้าง  นั่นเพราะบอยมันรู้สึกเหงา  เพราะบอยมันรู้สึกโดดเดี่ยว  แต่บอยมันรู้  ตราบใดที่บอยมันยังไม่ออกไปหานัท  มันยังมีสิทธิ์ที่จะมองนัทแบบนี้  มันพอใจกับการได้แอบรักนัทอยู่แบบนี้  ใครจะมองว่ามันบ้ามันไม่สนใจหรอก  เพราะบอยมันรู้ไง  ไม่มีใครบ้าได้เท่ามัน

   มันเดินมาเรื่อย ๆ  

   . . . ถนนสายนี้จะไปสิ้นสุดที่ไหนบอยมันไม่รู้  มันรู้แค่ว่าขามันก้าวพาร่างมันมาเรื่อย ๆ  มันรู้ด้วยว่าถึงที่ไหนควรเลี้ยวทางซ้าย  ตรงไหนควรเลี้ยวทางขวา  

   แต่ . . .

   . . . บอยมันไม่รู้เลย  

   ผู้คนที่เดินสวนไปสวนมา  มีใครบ้างที่บอยรู้จัก  เพราะบอยมันไม่รู้  และมันไม่คิดจะรับรู้ด้วยซ้ำ  ตอนนี้สมองมันเห็นแต่ภาพนัทกับลูกขนไก่เท่านั้น  มันยินดีเก็บภาพทรงจำนั้นเอาไว้  ยามมันคิดถึงนัท  อยากจะเห็นหน้านัท  บอยมันรู้แหละว่าควรจะไปดูนัทได้ที่ตรงไหน  นัทไม่เคยไปไหนไกลจากห้องแลปและศูนย์กีฬาของมหาวิทยาลัย

   ความรักของบอยมันออกจะแปลก  และไม่มีใครคาดคิดเสียด้วยซ้ำ



   กว่าบอยจะรู้ตัวว่าเดินกลับมาถึงที่หอพักก็ได้เหงื่อไม่น้อยเลยทีเดียว  บอยมันเห็นตั้งแต่ไกล ๆ   คนที่นั่งที่ใต้หอมันคุ้นหน้ามัน  และไม่ใช่คนในมหาวิทยาลัยเดียกันกับมันด้วย  เขายิ้มให้มันเหมือนเคย  เหมือนวันแรกที่รู้จักกัน  บอยมันยิ้มตอบ  มันดีใจหรือปล่าวหว่าที่ได้เจอกันอีก

   “หวัดดีครับพี่ต้น”  บอยมันยิ้มมันปรี่เดินเข้าไปหาคนที่นั่งที่ม้าหินอ่อนใต้ตึกหอชาย

   “หวัดดี  เป็นไงบ้าง  ไม่ได้เจอกันเลย  วันนี้เพิ่งกลับจากแม่นะพี่สารภีเขาฝากสะตอเบอรี่มาให้บอยชะลอมนึง  ของนัทอีกชะลอมนึง  แต่พี่ไม่รู้ว่านัทอยู่หอไหน  ต้องฝากบอยไปให้แล้วล่ะ”  พี่ต้นชี้ไปที่ชะลอมไม้ใผ่สาน

   บอยมันยิ้ม . . .  

   . . . มันเห็นชะลอมแล้วมันตื้นตันหัวใจ  

   หัวใจมันแบ่งบาน  

   มันยังมีคนที่คิดถึงมัน  มันไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลกเสียที่ไหน  อย่างน้อย ๆ  มันยังมีคนที่แม่นะคิดถึงมันอยู่  แม้ว่ามันจะไม่ได้ไปที่นั่นหลายเดือนแล้ว  ก็ตั้งแต่ที่เจ้าหน้าที่โครงการหลวงไปประจำที่นั่น  มันแทบจะไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว  เพราะเจ้าหน้าที่เขาสอนชาวบ้านแทนมันได้

   “หลวงตาเป็นไงบ้างพี่ต้น   แล้วลุงกำนันล่ะ  อ้อยายทองคำ  ตาสุข  ตามา  ตามีอีกละพี่  . . . “  มันถามยาวรัว  จนคนตอบหน้าเหวอ

   “. . . ว้า  ผมนี่แย่จังไม่ได้ไปที่นั่นเลย  เขายังนึกถึงยังฝากของมาให้อีกแน่ะ”    มันเกาหัวไปมาแก้อาย

   บอยมันอดโทษตัวเองไม่ได้  มันไม่น่าจะปล่อยให้สิ่งที่ดีในชีวิตของตัวเองต้องหล่นหายไปเลย

   “ถามแบบนี้ตอบไม่ทัน  หลวงตาก็เหมือนเดิมแหละ  ทุกคนสบายดี  โครงการที่บอยไปทำไว้ได้ผลดี  ตอนนี้ชาวบ้านเขาผลิตสินค้าสมุนไพรกันเยอะขึ้นเพราะออเดอร์เข้ามามาก  จนผลิตกันแทบไม่ทัน  ทุกคนยังนึกถึงเรานะบอย  เขายังอยากให้บอยไปหาบ้าง  เห็นบอกว่าเมื่อสองอาทิตย์ก่อน  นัทก็เพิ่งเข้าไป  แล้วนัทไม่ได้เล่าให้บอยฟังเหรอ”   พี่ต้นเล่าเรื่องราวของแม่นะให้บอยฟัง

   บอยมันอดภูมิใจเล็ก ๆ  ไม่ได้  ที่อย่างน้อยมันก็ได้ทำให้หลาย ๆ  สิ่งของที่นั่นเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น  

   แต่ . . .

   สำหรับนัท  มันส่ายหน้าช้า ๆ  แทนคำตอบ

   “ไม่ค่อยได้เจอกับนัทหรอกพี่  คงเรียนหนักกันแหละครับ  ถ้ามีธุระกันถึงจะไปหากันสักทีนะครับ”

   บอยมันไม่ได้โกหกนี่หว่า  มันไม่มีธุระอะไรแล้วมันจะแบกหน้าไปหานัททำไมกันล่ะ  มันรู้ดีระหว่างมันกับนัท  ก็แค่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น  และคงไม่มีโอกาสเป็นจริงได้เลยสักวันแน่นอน

   “เออ  อีกเรื่องนึง  ได้ข่าวบอยเล่นกีตาร์เก่งเลยนี่  ไปเข้าวงกับเพื่อนพี่มะ  ตอนนี้เขาตั้งวงกัน  แต่ละคนฝีมือพอไหวทั้งนั้นเลย  แล้วยังรับงานที่ผับที่จะเปิดใหม่เอาไว้ด้วยล่ะ  เดือนหน้าผับคงเปิดแหละ  สนใจมั้ย”   พี่ต้นยิ้ม  

   บอยเห็นชัดแม้ไฟใต้หอจะไม่ส่างมากมาย  รอยยิ้มแบบนี้  มันอุ่นหัวใจ  เหมือนพี่ชาย  ที่อยู่ใกล้ ๆ  มันยามมันท้อแท้

   “ฝีมือผมแค่หางอึ่งพี่  ไม่ไหวมั้ง . . .”  บอยมันถ่อมตัว  มันไม่มั่นใจหรอก  

   “. . . ดีไม่ดีจะพาเขาล่มทั้งวงสิไม่ว่า”

   “ลองดูสักหน่อยน่า  ไม่เห็นเป็นไรเลย  สอบเสร็จแล้วค่อยไปเล่ยก็ได้นี่  สอบวันไหนล่ะ”

   “อาทิตย์หน้าพี่  ก็ดีเหมือนกันพี่  ไว้สอบเสร็จผมจะลองไปเล่นดูนะครับ  แต่ผมว่าคงไม่ผ่านหรอกฝีมือแค่ลูกเด็กแบบผม”  บอยมันยิ้มมันหัวเราะ

   มันเองไม่รู้ตัวหรอกว่ามันไม่ยิ้มไม่หัวเราะมานานเท่าใดแล้ว  แต่วันนี้บอยมันยิ้มได้  มันหัวเราะเสียจนตาหยีไปเสียด้วยซ้ำ

   “งั้นพี่ไปก่อนนะบอย  ว่าง ๆ  อย่าลืมไปเยี่ยมพี่ ป้า น้า อาที่แม่นะบ้างนะ  เขาคิดถึงบอย “  พี่ต้นบอกก่อนลุกขึ้นช้า ๆ

   บอยลุกตาม . . .  

   . . . เขาเดินไปส่งพี่ต้นที่ลานจอดรถมอเตอร์ไซด์  บอยมันมองพี่ต้นขับรถออกไปจนลับตา  

   มันยิ้ม . . .  

   . . . วันนี้มันเหมือนมีความสุขหลังจากที่มันโหยหามานาน  ยามมันไม่มีใครเลยในชีวิต  แต่ชาวบ้านที่แม่นะกลับยังนึกถึงมันยังต้องการมัน

   มันไม่ใช่คนไร้ค่า . . .  

   . . . ในสายตาคนอื่นมันอาจไร้คารา  แต่ที่แม่นะ  มันคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดของคนที่นั่นกระมัง

   “บอย บอย”  เสียงเรียกจากด้านหลังในขณะที่บอยกำลังจะหิ้วชะลอมที่บรรจุสตอเบอรี่เต็มชะลอม  

   บอยมันยืนนิ่ง . . .

   . . . คอยฟังเสียงฝีเท้าที่เดินมาใกล้ ๆ  มันขึ้นทุกขณะ  มันใจเต้นราวกับจะทะลุออกมาจากอก  บอยจำได้ดีเสียงเรียกนี้ไม่มีใครหรอก  มีคนเดียวแหละ มันจำได้น้ำเสียงที่บอยมันอยากได้ยินชั่วชีวิต

   “ไปไหนมากลับเสียค่ำ  ไม่เจอกันเลยนะบอย  เรียนหนักเหรอ”  คนที่ส่งเสียงเรียกตอนแรก  ก้าวเท้ามาถึงตัวบอยกลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ  ลอยมาปะทะจมูกมันมั้ง  มันเผลอกสูดดมเข้าไปเต็มปอด

   “งานมาก  ใกล้สอบด้วยล่ะ  เลยไม่ได้ออกไปไหน  นัทไปไหนมา”  บอยมันรู้แหละ  แต่มันถามไปยังงั้นเอง

   “ตีแบดมา เหนื่อยเลยวันนี้”  นัทยิ้ม

   บอยมนอิ่มเข้าไปในหัวใน  นานแค่ไหนแล้วที่บอยไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ  นัท  นานแค่ไหนแล้วที่บอยได้แต่แอบมองนัทเงียบ ๆ  นานแค่ไหนแล้วที่มันไม่ได้ยินเสียงนัทยาว ๆ  แบบวันนี้  และอีกมากมายที่บอยมันเฝ้าถามตัวเอง  

   มันมองนัทนิ่ง  แววตามันระรื่นกว่าที่เคย

   “มองอะไร  มีอะไรแปลกเหรอ”  นัทมันเอามือมาคลำหน้าตัวเอง

   บอยมันรู้ตัว  มันมองนัทมากกว่าที่เป็นไปแล้ว  มันยิ้มส่ายหน้าไปมา  นึกอยากเขกกะโหลกตัวเองสักป๊าบที่เผลอมองจนนัทมันถามเอาได้

   “ไม่มีอะไร . . .”  มันรีบปฎิเสธ  ก่อนที่นัทจะจับความรู้สึกของมันได้มากกว่านี้

   “. . . เออ  เมื่อกี้พี่ต้นเอานี่มาให้  บอกว่าพี่สารภีฝากมาให้นะ”  บอยยกชะลอมสะตอเบอรรี่ส่งให้นัท

   “อ้าวสุกแล้วเหรอ  ไปเมื่อสองอาทิตย์ก่อนยังเขียวอยู่เลย  พี่สารภีบอกเหมือนกัน  ว่าสะตอเบอรี่ชุดแรกน่าจะเก็บได้ปลายเดือน . . .”  นัทรับชะลอมนั้นมาจากบอย

   “. . .  แกบอกว่าจะเก็บให้บอยคนแรกเลย  อย่างน้อยตอนนี้แกก็ดีกว่าตอนกลับมาจากกรุงเทพฯ ใหม่ ๆ  แกบอกนัทนะบอย  ว่าถ้าไม่ใช่เพราะบอยที่สอนให้แกผสมปุ๋ยเอา  อะไรเอา  แกไม่มีวันกลับมาลืมตาอ้าปากได้แบบวันนี้หรอก  ทุกคนบ่นถึงบอยทั้งนั้นแหละ  เห็นบอยหายไปนาน”

   บอยฟังนัทเล่าเงียบ ๆ  

   เขารู้สึกสับสนในหัวใจกว่าคราวใดทั้งสิ้น  เขารับรู้ได้จากคำบอกเล่าจากปากนัท  ทุกคนที่นั่นไม่เคยลืมบอย  ยังคงคิดถึงบอย  แต่บอยกลับหลงลืมคนที่นั่น  

   บอยลืมคนที่นั่นจริง ๆ  หรือ ?  

   เขาตั้งคำถามกับตัวเอง . . .

   . . . ไม่หรอก  ไม่ใช่หรอกบอย  บอยอาจยุ่ง  แต่บอยไม่เคยลืม  บอยตอบกับตัวเอง

   “ช่วงนี้ใกล้สอบไง  งานค้างมากเลยนัท”

   “ถึงว่าสิ  ไม่ค่อยได้เจอบอยเลย  ปิดเทอมนี้ไปอยู่แม่นะกันมั้ยบอย”  นัทมันชวน

   บอยมันแทบจะตอบตกลงในทันที . . .  

   . . . แต่มันนึกได้  

   มันไม่ควรใกล้นัทเกินกว่านี้  หัวใจของมันขีดเส้นเอาไว้แค่ไหนมันควรจะอยู่ในเส้นแค่นั้น  มันไม่ควรล้ำเส้นหัวใจออกไป  มันต้องทำให้ได้  มันต้องพยายามคิดกับนัทแค่เพื่อนให้ได้

   ดูเหมือนยิ่งบอยจะพยายามถอยห่างจากนัท . . .  

   . . . บอยกลับรู้สึกรักนัทเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้จบ

   ความรักมันห้ามกันไม่ได้  ห้ามกันยาก

   แต่มันนี่แหละจะห้าม . . .

   . . .   มันจะห้ามหัวใจตัวเอง  แม้มันรู้ว่ามันต้องเจ็บเจียนแทบขาดใจเลยก็ตาม  แต่มันจะยอมเจ็บ  มันไม่ยอมดึงนัทลงมาต่ำเทียมเท่ามันเป็นอันขาด

   “น่าจะไปไม่ได้หรอกนัท  เพราะบอยต้องทำงานพิเศษนะปีนี้ แต่ถ้าว่างบอยจะไปนะ  บอยมันยิ้ม

   นัทพยักหน้ารับรู้  มันรับรู้ในสิ่งที่บอยบอก

   “อ้าวดิน  มานานแล้วเหรอ”  นัทมันหันไปทัก  

   บอยหันไปมองอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ

   “ก็สักพักแล้วล่ะนัท  ไปเล่นกีฬามาเหรอนัท”   ดินยิ้ม  เดินเข้ามาใกล้อีกนิด

   “อืม  เพิ่งกลับมาเจอบอยเลยคุยกันแปบนึง  ดินเป็นอะไรไป  หน้าตาเหมือนไม่ค่อยสบายใจ  ผอมไปนะเนี่ย”  นัทมองดินที่เคยสมาร์ททุกท่า  แต่วันนี้เขาเหมือนซากอะไรสักอย่าง

   “อกหักมั้ง  คนที่รักเขาไม่สนใจ”  ปากตอบแต่สายตามองมาที่บอย

   บอยมันไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว . . .  

   . . . เพราะในสายตาของบอย  มันไม่เคยมองเห็นดินอีกเลยตั้งแต่คืนนั้น  บอยมันสาบาน  สาบานกับตัวเอง  มันจะไม่ยอมพูดกับคนที่ทำร้ายหัวใจมันเด็ดขาด

   “แหม เดือนคณะอกหัก  ใครจะกล้ามาหักอกเดือนคณะวิดยาได้ว่ะบอย”  นัทมันหันมาทางบอย  

   บอยมันชาวาบ  . . .

   . . . คำถามนัทมันตอบได้เหรอ  มันควรจะตอบเหรอ

   “ไม่รู้ว่ะ  ขอตัวก่อนนะ  งานเพียบเลยส่งพรุ่งนี้ด้วย”  บอยมันหันมายิ้มให้นัทก่อนจะค่อย ๆ เดินหลีกไปขึ้นตึก

   ดินมองตามบอยด้วยสายตาร้าวราน . . .  

   . . . มัดผิดเองที่รวบรัด  มันผิดเองแหละที่บอยหมางเมินไป  แต่มันต้องอยู่ให้ได้  มันต้องยอมรับในสิ่งที่ตัวเองข่มแหงน้ำใจเพื่อนเอาไว้  เรื่องนี้ดินผิด  ดินผิดเต็ม ๆ  นะ  

   ดินได้แต่คิด . . .



   บอยมันถอนหายใจยาว ๆ  มันยิ้มกว้างก่อน ๆ  ค่อย ๆ  เก็บสัมภาระที่จำเป็นลงในกระเป๋าและลังอีกสองสามใบ  มันสอบเสร็จแล้ว  จบปีสองแล้ว  คราวนี้มันได้อยู่หอนอกแล้วล่ะ มันดีใจที่มันได้งานด้วยอย่างน้อยการร้องเพลงกลางคืนทำให้บอยมันทุ่นค่าใช้จ่ายได้บ้าง  

   สำหรับดิน . . .

   . . .  มันเหมือนตกนรกมาหลายเดือน  มันจำต้องทนอยู่ร่วมกัน  แต่ตอนนี้มันมีเส้นทางเดินกันคนละเส้นทางแล้วล่ะมันจะไปกลัวอะไร  ปีสามเจอกันแค่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้น  ใช่เจอกันแบบยี่สิบสี่ชั่วโมงแบบที่ผ่านมา

   นัทล่ะ ?

   แค่นึกถึงนัทบอยมันก็ใจหาย  

   นัทจะไปอยู่ที่ไหน  สายใยระหว่างมันกับนัทจะขาดหายกันเพราะต่างฝ่ายต่างต้องไปอยู่ที่หอใหม่กะนั้นหรือ  บอยมันอยากจะอยู่ใกล้ ๆ  นัท  

   แต่ . . . มันตั้งใจแน่วแน่  

   ถ้ามันคิดกับนัทแค่เพื่อนไม่ได้มันจะถอยห่างออกมา  ไม่มีวันที่มันจะเดินไปบอกนัทเด็ดขาด  มันยอมเก็บงำความรู้สึกของหัวใจตัวเองเอาไว้เงียบ ๆ  แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว

   ถ้ามันคิดถึงนัท . . .

   . . .  มันจะแอบไปมองนัทเงียบ ๆ  มันตั้งใจแน่แน่ว

   “บอย  จะไม่พูดกันเลยเหรอ”  ดินมันเรียกหาบอยเสียงละห้อย

   บอยมันรู้ . . .

   . . .  มันเจ็บ  

   มันจำ . . .  

   สิ่งที่ดินทำกับมันยากเกินที่หัวใจบอยมันจะรับได้  มันได้แต่หันไปมองดิน  คล้าย ๆ  จะเอ่ยอะไร  แต่บอยมันก็เงียบเหมือนที่เคยเป็นมา

   ปล่อยเหอะ  . . .

   . . . ปล่อยให้เป็นเป็นไปเช่นที่ผ่านมานั่นแล

   มันเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า  ผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ  บอยมองแล้วยิ้ม  ค่อย ๆ  หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมาดม  บอยมันหลับตา  ที่มาของผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นบอยจำได้ดี  จำได้จนตาย

   ภาพของนัทตอนวันประกวดหนุ่มสาวชาวหอ . . .  

   . . . ภาพที่นัทร้องเพลงบนเวที  

   บอยมันอายแทน  มันอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีด้วยซ้ำ  กับภาพที่นัทมันหน้าตื่นลงมาจากเวที  แล้วเมย์ค่อย ๆ  เอาผ้าเช็ดหน้าผืนนี้วับเหงื่อให้นัท  

   บอยมันยิ้ม  มันยิ้มกว้างกับภาพความหลังที่มันมีความสุข

   แล้วมันนึกถึง . . .

   . . .  ดาดฟ้า

      ที่ของมันที่แรกที่มันเดินตามเสียงขลุ่ยไป  มันเห็นนัทนั่งเป่าขลุ่ยอยู่ด้านบน  บอยมันนึก  มันค่อย ๆ  เดินไปช้า ๆ  มันเดินไปบนดาดฟ้า  ที่ที่หวงแหนของมัน ในมือกุมผ้าเช็ดหน้านิ่ง  บอยมองกวาดสายตาไปช้า ๆ  มัมนคล้ายจะเก็บทุกสิ่งของที่บอยเห็นเอาไว้  บอยมันอยากเก็บสถานที่ที่บอยรักเท่าชีวิตเอาไว้ในหัวใจ

   บอยปล่อยใจให้อิ่มเอมไปกับความสุขบนดาดฟ้าอยู่นาน . . .

   . . . นานจนบอยแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขายืนอยู่นานแค่ไหนแล้ว  บอยรู้เพียงบนนี้เขามีความสุข  เขารู้ทุกอณูของนัทบนนี้  บอยเก็บมันเอาไว้  เก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจตัวเอง

   “อ้าวบอย  มาทำไรบนนี้”  เสียงนี้อีกแล้ว  เสียงที่เข้ามาก่อกวนหัวใจบอยเป็นระยะ ๆ

   บอยมันรีบขยำผ้าเช็ดหน้าให้เล็กสุด . . .

   . . . มันไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจำได้หรือปล่าว

   “นัท  มาทำอะไร  แอบดูสาวจากบนดาดฟ้าเหรอ”  บอยมันหันมาตีหน้าเซ่อ

   “ป่าว  แค่มาดูวิว  วันนี้ต้องย้ายแล้ว  คงไม่ได้มาบนนี้อีกแล้ว  เร็วนะสองปี  ผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน  แรก ๆ  ที่มาอยู่ที่นี่นัทยังจำได้เลย  เหมือนเมื่อวานเอง  บางคืนเหงายังแอบมานั่งมองดาว  นั่งเป่าขลุ่ยเล่นบนนี้  แล้วตอนลอยกระทงยังมาเจอคนนั่งทำมิวสิคบนนี้อีกด้วยสิ”  นัทมองหน้าบอย

   บอยมันอาย . . .

   . . . หน้ามันแดง  

   นัทจำได้ด้วยเหรอ  นัทจำวันนั้นได้  มันควรจะดีใจหรือเสียใจดี  บางครั้งบอยมันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่านัทเองก็มีใจให้มัน  หลายครั้งที่มันเจอนัทบนนี้  เหมือนการเจอแบบนัทตั้งใจเดินมาหามันเสียด้วยซ้ำ  

   แต่บอยมันก็ได้แค่คิด . . .

   . . . เพราะมันรู้ดีอย่างที่สุด  ความคิดห้ามไม่ได้   มันแค่คิดเข้าข้างตัวเองให้มีความสุขไปวัน ๆ

   “บอยย้ายไปอยู่ไหน”  

   “ริมดอย”  

   นัทมองหน้าบอยแล้วทำปากจู๋  

   “หูย . . .  หรูเสียด้วยแฮะ  แพงนะที่นั่น  ย้ายไปอยู่กับดินมันเหรอ”

   บอยส่ายหน้าช้า ๆ

   “ปล่าวหรอก  บางทีคนเราอยู่กันปีเดียวก็พอมั้ง  นัทล่ะไปอยู่ไหน”

   “หลังมอแหละ  ไม่แพงมากหรอก  เราอยู่กันคนละทิศเลยนะบอย  ย้ายแล้วเราจะเจอกันมั้ยนี่  ขนาดอยู่ที่เดียวกันยังแทบไม่เจอกันเลย”  นัทเอ่ยมา  สายตามองที่บอย

   บอยมันแทบละลายไปกองกับพื้น . . .

   . . . นัทมาพูดอะไรกับมันแบบนี้นี่  เวลานี้นัทมาพูดแบบนี้ทำไม  มันคิดเตลิดไปไกลจนได้  นัทนะนัท  พูดอะไรให้บอยต้องคิดอีกแล้ว

   “เจอสิ  เชียงใหม่ไม่ได้กว้างนี่นา”

   “ขนาดมหาวิทยาลัยแคบ ๆ  ยังเจอกันยากเลย”  นัทพูด  หากแต่แววตาทอดยาวไปไกล

   บอยยิ้ม  เข้าข้างตัวเอง  แปลในสิ่งที่ตัวเองได้ยินเองอีกแล้ว

   “นัทจะไปแม่นะวันไหน  บอกทุกคนนะบอยว่างจะรีบไป  จะไปกราบหลวงตา”

   “หลังจากย้ายหอเสร็จละบอย . . .”  นัทมันหันมามองหน้าบอย

   “. . . ว่าแต่ไม่ไปพร้อมกันจริง ๆ  เหรอบอย”

   “ขอดูวันว่างก่อนได้ไหม  อยากไป แต่มันไม่ว่างจริง ๆ  นะนัท”  

   บอยบอก . . .

   . . .  แล้วมันเดินไปนั่งที่ริมดาดฟ้าช้า ๆ  

   นัทเดินไปนั่งใกล้ ๆ  บอย  

   “อืม  อย่านานล่ะ  ที่แม่นะเขารอบอยกันอยู่”

   “ไม่ขนาดนั้นมั่งนัท”

   “พูดจริง ๆ  ไปทีไร  มีแต่คนถามหา  พ่อบอยล่ะพ่อนัท  พ่อบอยไม่มาเหรอ  โอ้ย  ลองไปดูเหอะ  ยายแช่มเชือดไก่รับขวัญบอยแหง ๆ”  นัทมันยิ้ม  

   “บอยจะรีบไป”  มันบอก

   หากหัวใจมันโลดแล่น . . .

   . . . มันไม่รู้จะทำอย่างไรกับหัวใจมัน  ที่มีต่อคนใกล้ ๆ  นี้ดี  มันได้แต่ถอนหายใจเบา ๆ  ก่อนที่จะนั่งเงียบ ๆ  

   มันแทบไม่มีเรื่องคุยกันเลยด้วยซ้ำ  สิ่งที่ทำได้คือต่างฝ่ายต่างนั่งมองไปเบื้องหน้าเงียบ ๆ  เพราะไม่รู้ว่าวันข้างหน้าชีวิตจะดำเนินไปในทางใด  วันนี้บอยรู้  บอยมีความสุข  สุขที่สุดแล้ว  แค่มันมีนัทอยู่ใกล้ ๆ  เท่านั้น  มันไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในโลกนี้




หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 19-07-2009 02:59:20
 :m15:เข้าใจความรู้สึกบอยที่โดนเพื่อนกระทำแบบนั้น และเข้าใจว่าที่ดินทำลงไปเพราะรักบอยมากเลยคิดจะผูกมัดบอยด้วยวิธีนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรทั้งดินและบอยต่างก็เจ้ฐปวดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 19-07-2009 08:55:28
ดินพลาดจริงๆที่ตัดสินใจรวบรัดแบบนั้น
เข้าใจนะว่ารัก แต่การกระทำที่เกิดจากความคิดชั่ววูบ
มันทำลายความสัมพันธ์ได้ตลอดชีวิตจริงๆ

ระหว่างบอยกะนัท ระยะทางดูห่างขึ้นเรื่อยๆจริงๆ
บอยพยายามไม่ก้าวเข้าไป ทั้งที่ใจเจ็บจะแย่
เฮ้ออออ อึดอัดกว่านี้ มีอีกม้ายยยยย :serius2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 19-07-2009 22:09:59
การตัดสินใจเร็ว ทำให้เกิดความพลาดหลายๆอย่างมากมาย

บางอย่างมักอยู่เพียงแค่ใต้ความนึกคิด
บางสิ่งเพียแค่เส้นผมที่บังภูเขา


ความรักไม่ใช่แค่รัก.....แต่ต้องกล้าที่จะรักด้วย


 :เฮ้อ:  ดิน นัท บอย  ทางแยกที่ต้องเลือก
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 20-07-2009 07:50:50
นิยามความรักที่แตกต่าง

บอย รักคือการเห็นคนที่รักมีความสุข แม้ตัวเองจะเป็นทุกข์ก็ตาม :serius2:

ดิน รักคือการครอบครอง :beat: :z6:

นัท รักคือ??? :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 20-07-2009 13:38:01

ต อ น ที่   ๑ ๙


อี ก ก้ า ว ข อ ง ชี  วิ ต




   แม้จะเป็นเวลาที่ใกล้เที่ยงวัน  เข้าไปทุกที  หากแต่   แสงแดดในปลายฤดูหนาวกลับไม่ร้อนแรงอย่างที่คิด   ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย  ล้วนละลานตาไปด้วยดอกไม้เมืองหนาวที่บานสะพรั่ง    ลมหนาวพัดโชยมาเอื่อย ๆ  บอยแยกตัวจากเพื่อนฝูงและญาติมิตรที่มาแสดงความยินดี  เพื่อมายังป้ายประกาศบอกแถว  ซึ่งคราคร่ำไปด้วยบัณฑิตหนุ่มสาว  ที่ต่างแย่งกันดูชื่อตัวเองบนป้ายประกาศ



   บอยอาศัยรูปร่างที่เล็กกว่าคนอื่น ๆ  ลอดเข้าไปดูป้ายชื่อตัวเองจากด้านใน  ซึ่งก็กะว่าคงจะไม่แตกต่างไปจากวันซ้อมใหญ่สักเท่าไหร่  เมื่อทราบตำแหน่งของตัวเองแล้วเขาก็ถอยหลังออกมาจากป้ายประกาศแห่งนั้น

   รองเท้าคู่ใหม่ยังไม่ชินเท้าทำให้บอยต้องหาที่พักเพราะการเดินมาก ๆ   จะทำให้เกิดความเมื่อยล้า  เขาก้มลงปลดตะขอรองเท้าให้หลวม  กว่าเดิมเพื่อที่จะเดินได้สะดวกยิ่งขึ้น

   “Congratulations  ไอ้น้องชาย” 

   เสียงทักทายพร้อมทั้งการ์ดใบเล็ก ๆ  ผูกติดกับช่อดอกไม้  ที่ส่งมาให้ขณะที่บอยกำลังก้มลงเพื่อจัดการกับรองเท้า

   บอยเงยหน้ามองเจ้าของมือที่ยื่นการ์ดมาให้   คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย  ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มกว้าง

   “พี่ต้น . . . มาได้ยังไงครับ”

   “ไม่มาได้อย่างไร  วันที่น้องชายเป็นบัณฑิตเต็มตัวทั้งที  ยินดีด้วยใจจริงไอ้น้องที่เดินมาจนถึงวันนี้”

   ผู้สูงวัยกว่ายิ้มโชว์ฟันขาวตัดกับผิวสีแทน

   บอยรู้สึกปลาบปลื้มอยู่ไม่น้อย  ที่วันนี้นอกจากญาติพี่น้องหลาย ๆ  คนที่มาแสดงความยินดีกับตัวเขาแล้วยังมีเพื่อน ๆ  และรุ่นพี่อีกหลายคนที่เห็นว่าเขาเองก็เป็นคนที่สำคัญอยู่  ยกเว้นแต่

   นัท . . .

   บอยมันพยายามกวาดสายตามองหานัทแต่มันไม่เจอ  อาจเพราะนัทกับบอยรับกันคนละรอบก็ได้กระมัง  นานแค่ไหนแล้วที่มันไม่ได้เจอนัท  นานเหลือเกิน แต่หัวใจของบอยมันรู้สึกว่านานชั่วกัปชั่วกัลป์ 

   คราวนี้ . . .

   . . .  พ้นรั้วมหาวิทยาลัย 

   ระหว่างบอยกับนัทคงจบลงแล้วเหมือนกันกระมัง  เพราะบอยมันก็ไม่รู้ว่าตอนนี้นัทไปทำงานที่ไหน  ส่วนบอย  บอยได้ทุนเรียนต่อปริญญาโทที่เดิม  มันยังคงวนเวียนไปตามสถานที่ ที่นัทเคยไป  ด้วยหวังไว้ว่าจะเจอนัทบ้าง 

   แต่ . . .

   . . . ทุกที่ของบอยล้วนมีแต่ความว่างปล่าวเช่นเคยมา

   มันยิ้มกับคนที่ยืนมองมันอยู่  มันยิ้มจนตาหนี

   แน่นอนที่สุดสำหรับจุดหมายปลายทางของการศึกษาทุกคนหวังที่จะมีวันนี้ด้วยกันทั้งนั้น  เพราะมันได้กลายมาเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว  สำหรับสังคมไทยที่เห็นว่า “ปริญญาบัตร”  คือเครื่องหมายวัดความสำเร็จในระดับหนึ่ง

   “ขอบคุณครับพี่  พอดีผมยุ่ง ๆ  อยู่เลยไม่ได้โทรไปบอก  แต่พี่มาวันนี้ทำผมประหลาดใจมากเลยล่ะ  ว่าแต่พี่รู้ได้อย่างไรครับ”

   บอยถามพลางเลือกนั่งที่ม้าหินใกล้ ๆ 

   “อย่ารู้เลยว่ารู้   ได้อย่างไร  เอาเป็นว่าดีใจที่เห็นน้องในวันนี้”   

   พี่ต้นนั่งลงใกล้ ๆ

   “แล้วพี่   สบายดีหรือเปล่าครับ  นานแล้วนะครับที่ไม่ได้เจอกันเพราะเจอกันครั้งหลังสุดก็ปีกว่าแล้วเห็นจะได้  ตั้งแต่พี่ลงไปทำงานที่กรุงเทพฯ  ใช่มั้ยพี่”

   “ใช่แล้ว  งานก็ดี เรื่อย ๆ  ไม่หวือหวา  บอยละยังไปร้องเพลงที่เดิมหรือปล่าว”   

   พี่ต้นยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง

   บอยยิ้มรับพี่ชายร่วมโลก อย่างเป็นสุขที่สุด . . .

   . . . เพราะอย่างน้อยเขาก็มีวันเวลาที่ดีที่พึงระลึกได้เสมอ    กว่าสี่ปีที่รู้จักกันพี่ต้น  ยังคงเป็นพี่ชายที่น่ารักเหมือนเดิม  แม้ว่าโอกาสที่จะได้เจอกันมีไม่บ่อยก็ตาม  ด้วยต่างฝ่ายต่างมีภาระกิจของตนเอง  แต่ในการเจอกันแต่ละครั้งมันก็สร้างความรู้สึกที่ดีให้แก่กันเสมอ

   เสียงประกาศเรียกให้บัณฑิตไปตั้งแถวรอ  ตามจุดที่ได้กำหนดไว้  ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง  เพราะบัณฑิตต่างก็แยกย้ายกันไปตามจุดของตนเอง

   “พี่ต้นครับผมคงต้องไปแล้วล่ะ”

   บอยร้องบอก  เมื่อเห็นบัณฑิตต่างทยอยไปยังจุดของตัวเองเกือบหมดแล้ว

   “เออ  นี่นามบัตรพี่   ค่ำนี้พี่จะกลับกรุงเทพฯ  เลย คงไม่ได้อยู่ฉลองกับเราหรอกนะ โดดงานมาวันนึง   เอาเป็นว่าถ้าว่าง  จะมาเที่ยวเชียงใหม่อีกล่ะกัน”  พี่ต้นพูดยิ้ม ๆ

   “ครับพี่  งั้นผมลา ตรงนี้เลยนะครับ”   บอยยกมือไหว้พี่ชายร่วมโลก  ก่อนที่จะเข้าไปสวมกอดเบา ๆ  แล้วเดินขึ้นไปยังจุดที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดไว้

   ต้นมองภาพรุ่นน้องที่เดินหายไปในฝูงคน  มันยิ้มบาง ๆ  ก่อนที่จะเดินหายไปอีกทาง




   ต้นหยิบมือถือขึ้นมา  เขากดเบอร์โทรออก  ก่อนที่จะเอามันมาแนบหู  เสียงเรียกจากปลายสายดังสองสามครั้ง  ก่อนที่ฝ่ายนั้นจะรับสายตอบกลับมา

   “หวัดดีครับพี่”

   “นัทเหรอ  ออกจากหอประชุมแล้วเหรอ . . .”   ต้นยิ้มกับตัวเอง


   “. . . อยู่ไหนนี่  อืม . . . รู้จักแหละ  เดี๋ยวไปไม่เกิน ห้านาที”   ต้นกดปิดเครื่องก่อนจะเดินไปยังที่นัดหมาย

   ต้นเดินมาตามทางที่อากาศเริ่มร้อนมากยิ่งขึ้น . . . 

   . . . เขานึกถึงเด็กรุ่นน้องสองคน 

   คนแรก  “บอย” 

   คนที่เขาเจอที่แม่นะ 

   และ . . . 

   . . . “นัท” 

   คนนี้เขาก็เจอที่แม่นะอีกเช่นกัน  แต่หลังจากที่บอยมันหายไปนาน  แต่นัทยังคงวนเวียนมาที่ชาวบ้านแม่นะสม่ำเสมอ  แม้หลายครั้งที่ชาวบ้านถามนัทถึงบอย  แต่ต้นมันไม่เคยคิดจะถามนัท  ว่ารู้จักบอยด้วยหรือ 

   ไม่รู้สิ . . .   

   . . . มันไม่ถาม  เพราะมันไม่อยากถาม หรือมันไม่ถามเพราะไม่ใช่เรื่องอะไรของมันก็เป็นได้กระมัง

   ต้นยิ้มให้กับเด็กหนุ่มรุ่นน้องที่ขยับกายมาทางเขา 

   “ยินดีด้วยนัท  บัณฑิตเต็มตัวเลยนะเราวันนี้”  ต้นส่งดอกไม้ที่เขาแวะซื้อให้นัท

   “ขอบคุณครับพี่  อุตส่าห์มาจนได้”

   “อะไร ๆ  พูดดี ๆ นะ  ใครบอกอุตส่าห์มา  ตั้งใจเลยน้อง  ตั้งใจมางานรับปริญญานัทโดยเฉพาะเลยนะเนี่ย  วันนี้ดูหล่อกว่าทุกวันแฮะ  หรือครุยลูกช้างนี่มันทำให้คนหล่อได้ด้วยสิ”   

   “แหมพี่  ผมหล่ออยู่แล้ว  หล่อเสมอแหละ”  นัทมันหัวเราะเบา ๆ

   “นั่น คนเรา  ยกหางปั๊บขี้ใส่มือเลยนะเนี่ยเวรกรรมจริง ๆ  ว่าแต่คืนนี้ไปเลี้ยงที่ไหนนี่”  ต้นเดินมาข้าง ๆ  นัท 

   บางครั้งต้องเบียดกับฝูงคนมากมาย  บางคราวต้องหลบจากหลาย ๆ  คนที่จะถ่ายรูป  งานรับปริญญามีผู้คนมากหน้าหลายตา  จนดูจะเวียนหัวเสียด้วยซ้ำไป

   “ยังไม่รู้เลยพี่  พี่ไปกับผมมั้ย”

   “คงไม่ได้หรอก  เพราะบินกลับคืนนี้แล้ว  เออว่าแต่ทำงานที่ไหนแล้วล่ะเรา  อยากไปทำงานที่กรุงเทพฯ มั้ย”

   “ไม่ไหวมั้งพี่  ทำที่ลำพูนดีแล้วครับ  ใครจะเหมือนพี่  บินมาเช้า บินกลับค่ำ  สบายจริง ๆ  งานพี่นี่”

   “ไอ้นี่  วกมาจนได้  บอกแล้วไง  ถ้านัทรับปริญญาพี่จะมา  ก็ต้องมาแหละ  จะลำบากขนาดไหนก็ต้องมา สัญญาไว้แล้วนี่นา”

   สัญญา . . .

   . . . คนบางคนรักษาสัญญา

   หากแต่อีกหลายคนเลือกที่จะไม่รักษาสัญญา

   “ถ่ายรูปกันนะพี่” 

   “เอาดิ  ได้ถ่ายกับวิศวกรคนใหม่”   ต้นหันไปยิ้มบาง ๆ

   มิตรภาพเล็ก ๆ  ที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่สองปีก่อนที่แม่นะ . . .

     ต้นมันจำได้ดี 

   บอยค่อนข้างขาว . . . 

   . . . แต่นัทออกจะดำ 

   มันรู้ จักสองคนนี้ที่เดียวกันคือที่แม่นะ  แต่มันไม่เคยเจอสองคนนี้พร้อมกัน  ต้นไม่รู้หรอก  มันเคยเจอ  เจอทั้งนัทและบอยพร้อมกัน  ก็ตั้งแต่วันแรกที่นัทกับ
บอยเดินไปหากำนันดวงนั่นแหละ  แต่ต้นมันดันจำไม่ได้เสียด้วยส

   สิ่งที่จำกลับลืม . . .

   . . .   สิ่งที่ลืมกลับจำ



   กว่าบอยจะเดินออกมาจากหอประชุมก็เย็นย่ำ  ท้องฟ้าเกือบหมดแสงสุริยา  แต่ผู้คนยังรออยู่มากมาย  มันเหนื่อย  มันร้อน มันอยากจะกลับห้องไปอาบน้ำ  มันไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้คือวันที่ดีที่สุดในชีวิตการเรียนของมันหรือปล่าว  แต่มันรู้สึกแย่ตรงที่  มันเหนื่อยทั้งวันเหนื่อยจนแทบขาดใจจริง ๆ


   “บอย”  เสียงเรียกละห้อยหา   ทำให้บอยมันหยุดเดิน  มันหันไปตามเสียงเรียกช้า ๆ

   เดือนวิดยา  ในชุดเดียวกับบอย  เดินมา  มองหน้าบอยนิ่ง

   “ดีใจด้วยนะบอย  ขอโทษด้วยกับเรื่องที่ผ่านมา”  ดินเอ่ยเพียงเบา ๆ  สายตามันจับจ้องไปที่บอยนิ่ง

   บอยมันก้มหน้าคล้ายจะคิดอะไรอยู่

   “ดีใจกับดินเหมือนกัน  ตอนนี้ดินทำงานที่ไหน”  มันถามเบา ๆ  เช่นเดียวกัน

   “กรุงเทพฯ  บอยเรียนต่อหรือเห็นเพื่อน ๆ  บอก”   

   เมื่อบอยคุยดินมันกล้าที่จะคุยมากขึ้น  จริง ๆ  แล้วดินมันอยากจะคุยกับบอยแบบนี้ทุกวันเสียด้วยซ้ำ    สิ่งที่ผ่านมา  มันไปหักหาญน้ำใจเพื่อนมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ  มันไม่โทษบอยหรอก  ที่บอยไม่พูดกับมัน  เป็นมัน  มันเองก็คิดนานไม่แพ้บอยหรอก 

   แต่ . . .

   . . .วันนี้บอยยอมพูด  ดินมันรู้สึกคล้ายกับว่า  คำพิพากษาที่บอยเคยพิพากมันไว้จบลงแล้ว

   “อืม  เรียนต่อ”  บอยเหมือนจะยังสงวนคำพูด  ไม่มากเหมือนตอนก่อนเกิดเรื่อง

   “เจอนัทบ้างมั้ย . . .”  ดินถามออกมา  แล้วมันสังเกต  สีหน้าบอยเปลี่ยนไป  คล้ายไม่พอใจ 

   “. . . ขอโทษ  ถ้าทำให้ไม่สบายใจเรื่องนี้” 

   “ไม่เป็นไรหรอก  ก็ไม่ค่อยเจอหรอก  ตั้งแต่แยกไปอยู่หอนอกเจอกันแทบนับครั้งได้ แล้วที่เจอก็เราเจอเขาเสียมากกว่า  เขาไม่เจอเราหรอก”

   บอยมันรู้ . . .

   . . . เวลามันอยากเจอนัท 

   มันจะแอบไปมองนัทที่โรงยิมหรือที่คณะ  มันไม่กล้าเข้าไปใกล้นัทอีกแล้ว  มันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  แต่มันรู้แค่ว่า  มันขอรักนัทแบนี้แหละ  สักวันมันจะลืมนัทได้เอง  แต่บอยมันคิดผิด  ยิ่งมันหนี  มันกลับยิ่งอยากเจอ  มันลืมนัทได้เหรอ

   ไม่ได้หรอก . . . 

   . . . มันไม่เคยลืมนัทได้เลย

   สองปีที่ผ่านมา  มันทำได้แค่แอบมองนัทห่าง ๆ  แต่หัวใจของบอยมันกลับเอาไปผูกไว้กับนัทมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

   “บอยพักที่ไหนเหรอ”

   “ริมดอย  ที่เดิมนั่นแหละตั้งแต่ย้ายออกจากหอในนั่นแหละ  ดินมีแฟนยัง  ไม่พามารู้จักเพื่อน ๆ  มั่งล่ะ”

   “ยังเลย  ทำงานก่อน  ชีวิตไม่เร่งรีบหรอก  นัทมันก็ยังพักที่เดิมนะบอย  ที่อพาร์ทเม้นท์ใหญ่  ตรงข้ามตึกวิศวะที่หลังมอนั่นแหละ  รู้สึกจะทำงานอยู่ที่นิคมลำพูนมั้ง  เห็นเพื่อนดินเขาบอกมา”

   “จะมาบอกทำไม”  บอยมันยิ้มเจื่อน ๆ

   “อ้าว  เผื่อบอยคิดถึง  แอบไปมองมันที่อพาร์ทเม้นได้ไง  เห็นตอนอยู่หอในทำบ่อยมิใช่เหรอ”

   “นั่นมันเมื่อก่อนดิน  เหมือนกันที่ไหนกับปัจจุบัน”  บอยมันบอก 

   แต่มันรู้ . . .

   . . . มันตอบในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับหัวใจตัวเอง  จะสมัยก่อนหรือสมัยนี้  มันก็ทำได้แค่แอบมองนัทอยู่ดี

   ดินมันรู้ใจ . . . 

   . . . รู้ใจบอย

   ในขณะที่บอยมันก็รู้หัวใจตัวเอง

   แต่ . . .

   บอยมันไม่พูด  มันไม่ยอมพูดหรอก  ตราบใดที่มันเก็บไว้  มันจะยังคงมีนัทในหัวใจตลอดไป  แต่ถ้ามันเปิดออกมาเมื่อไหร่  นัทจะมองมันอีกหรือ  มันอยู่ตรงนี้  ในสภาพแบบนี้แหละดีที่สุดแล้วเพราะอย่างไรเสียเวลาที่มันเจอนัท  นัทคงมองมันอย่างเต็มตาเหมือนที่เคยเป็นมากระมัง

   “บอย . . .”  ดินเรียกเบา ๆ  แล้วหยุดเดิน

   บอยหันมาทางดิน  . . .

   . . . มองหน้าดิน 

   แววตาดินมันรวดร้าวอยู่เลย  บอยมันยิ้ม  ยิ้มให้ดินเหมือนเก่าก่อน

   “หือ”

   “เรายังเป็นเพื่อนกันอีกมั้ยบอย”   น้ำเสียงดินคล้ายคนอยากร้องไห้

   บอยเอื้อมมือมากุมมือดินเอาไว้ช้า ๆ   มันคล้ายอยากถ่ายเทความรู้สึกที่ดีจากหัวใจของตัวเองให้ดิน 

   เวลาที่ผ่านมา . . . 

   . . . บอยมันคิดอะไรได้หลายอย่าง

   “เป็นสิดิน  เรายังเป็นเพื่อนกัน . . .”  บอยบีบมือดินเบา ๆ 

   “. . . แม้ว่าครั้งนึงบอยเคยคิดนะว่าชาตินี้เราคงจะไม่พูดกันอีก  แต่พอเวลามันผ่านไป  อะไร ๆ  มันผ่านตาม  เราได้เจอ  ได้เรียนรู้อะไรมากมาย  มากจนบอยรู้ว่าเพื่อนมันมีค่า  แต่นั่นแหละ  ทุกคนใช่จะสมหวังเสมอไป  บางทีมันอาจมีอุปสรรคบ้าง  เหมือนที่ดินทำ  ที่บอยเจอไง  แต่เราเลือกที่จะจำได้ดิน  บอยจะจำในสิ่งที่ดีของดินไว้ในใจของบอยเสมอ”   บอยพูดยาว  มากกว่าที่ดินคิดเอาไว้เสียด้วยซ้ำ

   “ขอบใจนะบอย  ขอบใจ”  ดินมันยิ้ม

   “น่า  อย่าคิดแบบที่ผ่านมาอีกก็แล้วกัน  ถ้ามันใช่มันก็ใช่แหละดิน  เราไม่เอื้อมมันก็ไม่เจ็บ  แต่ถ้าเราเอื้อมเราก็เจ็บเจียนตาย”

   “เหมือนที่บอยทำอยู่ทุกวันนี้นะเหรอบอย”

   บอยพยักหน้ารับ 

   “ใช่ดิน  แค่เอื้อมเท่านั้น  แต่ไม่ดีกว่า  เพราะผู้ชายแท้ ๆ  ที่ไหนเขาจะมารับความรู้สึกที่ผู้ชายมอบให้ไปได้เล่า  ถ้าเอื้อมแล้วเจ็บปล่อยไว้แค่เอื้อมแบบนี้น่าจะดีที่สุด”

   บอยมันคิดถูกมั้ยนะ  . . .

   . . . แค่เอื้อม

   จริง ๆ  หรือ  ถ้ามันเอื้อมนัทมันก็น่าจะทำได้ 

   แต่มันกลับปล่อยให้รอยเวลาขยายตัวกว้างขึ้นเรื่อย ๆ  จนมันเองยังอดคิดไม่ได้  นัทคงลืมมันไปแล้วล่ะ  เพราะมันพ้นรั้วมหาวิทยาลัยไปแล้ว  ชีวิตนัท  กลายเป็นคนทำงานเต็มตัวไปแล้วล่ะ  เขาคงเจอสังคมอีกสังคมนึง  ที่มันแตกต่างจากเด็กอายุ ๑๘  ในเวลานั้นที่ทั้งสองเพิ่งเจอกัน

   บอยยินดีที่จะเก็บเอาวันเวลาที่ดีเอาไว้ในหัวใจตัวเองเงียบ ๆ  แบบนี้



   บอยมันหงุดหงิดตัวเองมาหลายวันแล้วล่ะ  งานที่อาจารย์สั่งยังไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ  แถมงานที่มันร้องเพลงยังปรับเวลากันใหม่อีก มันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม  สิ่งเดียวที่บอยอยากทำตอนนี้คือเดินออกจากห้องแคบ ๆ  จากหน้าโต๊ะคอมที่มันไม่มีหัวจิตหัวใจที่จะทำงานเอาเสียเลยเร็วเท่าความคิด  บอยมันปิดหน้าจอคอม  แล้วเดินมาหยิบเอากุญแจรถมอเตอร์ไซด์  ก่อนที่จะลงมาจากห้องพักอย่างรวดเร็ว


   บอยสตาร์ทรถ . . .

   แล้วขับมาตามถนนห้วยแก้ว อากาศยามเช้ามีหมอกลงบาง ๆ  มันไม่หนาวหรอก    เพราะไม่ใช่หน้าหนาวสักหน่อย  บอยเลี้ยวเข้ามาทางหน้ามหาวิทยาลัย  มันนั่งทำงานหน้าจอคอมแทบทั้งคืน  แต่มันไม่มีความคืบหน้าของงานเลยแม้แต่น้อย 

   ยามเช้าแบบนี้ . . .

   . . .  ถ้ามันได้สูดอากาศบริสุทธิ์บ้างมันอาจจะดีขึ้นก็เป็นได้  บอยขับผ่านหอนาฬิกามาช้า ๆ  จนถึงประตูหลังมอ  บอยเลี้ยวขวา  มันรู้  ปลายถนนเส้นนี้เป็นอ่างเกษตร  แต่ก่อนจะสุดถนนนั้น  ฝั่งซ้าย  อพาร์ตเม้นท์หลังสูง  ใช่หลังนี้หรือปล่าวที่ดินบอก   มันเองก็อยากรู้เหมือนกัน  บอยมันเห็นต้นฉ่ำฉาต้นใหญ่  ริมกำแพงมหาวิทยาลัยหน้าตึกวิศวะ  บอยมันเอามอเตอร์ไซด์ไปจอดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นในทันที

   มันรอ . . .

   . . . รออย่างมีความหวัง

   การรอคอยอาจจะทรมาน . . .

   . . . แต่

   สำหรับบอย  บอยมันสนุกกับการรอคอยมากกว่า  เพราะบอยมันคิดเสมอถ้ารอแล้วสมหวังมันยินดีที่จะรอ  เพราะมันรู้ปลายทางของการรอคอยคือความสุข

   แต่ . . . ทว่า

   การรอ  โดยไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลยมันทรมาน  แล้วมันยิ่งทรมานยิ่งกว่า  ถ้าการรอแบบนั้นไร้ซึ่งสิ่งที่ตนเองเองรอคอย  บอยมันกำลังอยากรู้เหมือนกัน  ว่าตอนนี้  บอยรอแบบแรกหรืออย่างหลังกันแน่

   สายตาบอยจดจ่อไปที่ประตูทางออกของอพาร์ตเม้นท์  ยังเช้าอยู่เลย  ไฟถนนเพิ่งดับไปเมื่อสักครู่นี้เอง  ถ้านัทอยู่ที่นี่  อีกไม่นานนัทคงต้องลงมา  เพราะนัทต้องไปทำงานที่ลำพูน  จะต้องเดินทางก่อนโมงเช้าแน่นอน 

   มันยกข้อมือมาดูเวลาก่อนบอกตัวเองว่า  ไม่น่าจะเกินชั่วโมง

   บอกแล้วบอยมันสนุกกับการรอ  เพราะมันรอมาตั้งห้าปีแล้ว  มันรอทั้ง ๆ  ที่อีกฝ่ายไม่เคยรับรู้ด้วยซ้ำว่ามีคนรออยู่

   บอยมันลุ้นทุกครั้งที่มีคนเดินออกมา  มันหวังไว้  ในหลาย ๆ  คนที่เดินออกมา  ขอให้เป็นคนนั้นด้วยเถิด  มันไม่ได้เห็นหน้านัทมานานเท่าไหร่แล้ว    ภาพของนัทแทรกซึมอยู่ในทุกอณูหัวใจของบอยจนมันจำได้แทบทุกอย่าง 

   แต่ . . .

   . . . บอยยังหวัง  อยากเห็นหน้านัท  ตัวเป็น ๆ  ของนัทอีกสักครั้งก็ยังดี

   เกือบโมงเช้า . . .

   . . . บอยมันยิ้มกว้าง 

   เมื่อคนที่เดินออกมานั้น  ใช่คนเดียวกับคนที่บอยรอ  มันยิ้ม  หัวใจมันพอโต  บอยมันรู้สึกตื้นตันไปหมดในหัวใจ  มันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาที่มันกำลังจะเอ่อออกมาด้วยความดีใจ  บอย ค่อย ๆ  แทรกตัวเข้าหลังต้นฉ่ำฉาต้นใหญ่  มันไม่ต้องการให้นัทเห็นมันหรอก 

   แค่มันแอบมองนัทอยู่ตรงนี้มันก็สุขหัวใจแล้วล่ะ 

   นัทเดินไปไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามีใครมองอยู่  บอยมองนัทที่เดินห่างออกไปอีกฝากถนน  บอยค่อย ๆ  เข็นรถตัวเอง  แล้วเดินตามนัทไปช้า ๆ  บอยมันทิ้งระยะห่างระหว่างตัวเองกับนัทไว้พอสมควร 

   ถ้า . .

   . . .นัทเห็น 

   มันก็แกล้งก้มแล้วทำเป็นรถเสีย  นัทไม่รู้หรอกว่าคนที่รถเสียจะใช่บอยหรือไม่

   บอยมันยังคงเข็นรถตามนัทมาเรื่อย ๆ  บอยเดินทางฝั่งมหาวิทยาลัย  ส่วนนัทเดินนำหน้าไปอีกฟากฝั่งของถนน  บอยมันรู้ดี  ชีวิตของมันกับนัทอยู่กันคนละฝั่งแหละ  แม้จะอยู่บนถนนเส้นเดียวกันแต่นัทไม่เคยมองเห็นบอยเลยด้วยซ้ำไป 

   บอยต่างหากที่แอบมองนัทเงียบ ๆ  บอยมันสุขหัวใจที่ทำได้แค่แอบมอง     มันกลัวหรือมันไม่กล้ากันแน่  ถ้ามันเข้าไปทัก  นัทคงคุยกับมันแหละ  แต่มันไม่อยากเอาตัวไปพัวพันกับนัท  บอยมันตั้งใจแน่แน่ว  ถ้ามันคิดกับนัทแค่เพื่อนไม่ได้  มันจะไม่เดินเข้าไปหานัทอีกเป็นอันขาด

   ความสุขของมันอยู่ที่การได้รัก . . .

   . . .  ไม่ไช่อยากครอบครอง

   นัทเดินมาถึงคลองชลประทาน  แล้วนัทข้ามฟากมาทางเดียวกับบอย  บอยมันได้แค่แอบมองห่าง ๆ  ๐๗.๑๕ น. รถบริษัท  เข้ามาจอดเทียบ  แล้วนัทก็เดินหายไปบนรถคันนั้น  บอยรู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองวิ่งตามรถคันนั้นไปด้วย 

   แต่ . . .

   . . . สิ่งที่บอยรู้สึกยิ้มได้ 

   บอยรู้แล้ว  ถ้าบอยคิดถึงนัท  บอยก็รู้แล้วว่าบอยจะมาหานัทได้อย่างไร  เพราะนัทจะต้องออกมาเวลานี้ทุกวันแน่ ๆ  เพื่อไปทำงาน

   พรุ่งนี้ . . .

   . . . พรุ่งนี้นะ

   พรุ่งนี้จะมาอีก  จะมาแอบดูนัทอีก  บอยมันบอกตัวเองเบา ๆ  ก่อนที่จะสาตร์ทรถแล้วขับไปตามทางที่รถนัทแล่นไปพักใหญ่แล้วล่ะ  หัวใจบอยมันอิ่มเอม  วันนี้มันได้เห็นหน้าคนที่มันรักยิ่งชีวิต  แม้เขาจะไม่มองมาที่มันเลยก็ตาม








หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 20-07-2009 15:04:43
 :m15:การที่เราได้เฝ้ามองคนที่เรารักอยู่ห่าง ๆ เพียงเท่านี้มันก็สุขใจที่ได้คอยเฝ้ามองแม้ว่าคน ๆ นั้นจะไม่รับรู้ก็ตาม :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 20-07-2009 23:35:24
 :L3:

แค่ได้รัก

แค่ได้มอง

แม้ไม่ได้ครอบครองก็อิ่มใจ

บอย ทำให้คนอ่านอย่างเรา เศร้าซึม

เห็นใจ เอาใจช่วย

ต้องมีสักวัน ที่จะมีความสุขมากขึ้น

กับความเป็นจริงที่สัมผัสได้

ขอบคุณ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 21-07-2009 08:04:56
บอย เอ้ย กล้าๆ หน่อย :serius2:้

เฮ้อ

พี่ต้น นี่ใช่คุณต้นสายหรือเปล่าคะ อิอิ



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 21-07-2009 22:03:44
รัก....แค่รู้สึกรักก็มีความสุข.......

บางอย่างไม่ต้องการครอบครอง
มันก็ทำให้เรายิ้มได้..

แค่ได้เห็น แค่ได้รู้สึก
ความรักก็เป็นเพียงกระจกบางๆที่อยู่ตรงหน้า

สายลมที่ส่งผ่านไปยังบุคคลที่รัก
อ้อมกอดที่หวังว่าซักวันหนึ่งจะเป็นจริง.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 21-07-2009 23:27:27
เรียนจบก็แล้ว เรียนต่อก็แล้ว
ก็ยังต้องแอบมองกันต่อไป เฮ้ออออ บอยเอ๊ย
แค่เอื้อมจริงๆ
นึกย้อนไปตอนแรกๆแล้วชักเริ่มสงสัยว่า หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 22-07-2009 12:18:02

ต อ น ที่  ๒ ๐


เ สี ย ง ที่ ไ ม่ ไ ด้ ยิ น




    
   เวลาที่บอยเศร้า  เหงาและต้องการกำลังใจ  บอยมักจะแอบมามองนัทในยามเช้าเสมอ  บอยรู้ดีแค่มองไม่ผิดอะไรหรอก  นัทไม่เสียหาย  บอยอาจจะแอบหวัง  อยากเข้าไปใกล้นัทเหมือนสมัยเรียนปีแรก ๆ  แต่บอยมันรู้  ไม่ดีกว่า  เวลามันผ่านเลยมาหลายปีแล้ว  นัทอาจจะลืมมันไปแล้วก็ได้  


   บอยไม่หวังอะไรอีกแล้วล่ะ . . .  

   . . . เพราะบอยรู้ดี  

   อีกไม่เกินสี่สิบแปดชั่วโมง  บอยก็ต้องไปไกล   ไกลจากนัทแล้ว

   บอยมันนึกสามเดือนที่บอยพยายามจะห่างนัท  ไม่ไปแอบดูเหมือนเช่นที่ผ่านมา  มันยากมาก  มันทุรนทุราย  

   แต่ . . .

   . . .  บอยรู้

   มันต้องทำให้ได้  

   พรุ่งนี้ . . .

   มันจะเดินตามวันเวลาเก่า ๆ  

   แล้วมะรืนนี้ . . .

   . . . มันต้องเดินไปบนเส้นทางใหม่ของมัน  บอยต้องเดินทาง  บอยต้องไปรายงานตัวยังมหาวิทยาลัยเจ้าของทุนที่ทำให้บอยได้ต่อโทจนจบ  บอยรู้  เรื่องราวระหว่างบอยกับนัทก็คงจะจบกันสำหรับนัท  บอยไม่รู้หรอก  นัทจะมีความทรงจำระหว่างมันเหลืออยู่บ้างไหม  

   แต่ . . .

   . . . สำหรับบอย  

   นัทจะอยู่ในความทรงจำของบอยตลอดไป

   . . . ความทรงจำของวันวาน

   ความรู้สึกที่เหมือนพลังงานอันมหาศาล ที่คอยขับเคลื่อนให้บอยเดินต่อไปข้างหน้า  เหมือนความเย็นที่แผ่ซ่านมายามบอยร้อนรนและทุกข์ใจแสนสาหัส  ภาพความหลังที่บอยได้รับยังแจ่มชัดเสมอ  

   นัทในวันก่อนโน้นของบอย . . .

   . . .  ยังคงแจ่มสว่างกลางใจบอยอยู่มิรู้ลืม  บอยมันยิ้มเมื่อนึกถึงวันคืนเก่า ๆ  ที่มันเคยทำร่วมกันกับนัท  มันไม่เคยลืมเลือนไปแม้แต่วินาทีเดียว

   บางคนยินดีที่จะเก็บวันคืนเก่า ๆ  เอาไว้

   เพราะวันเวลาที่ผ่านมาเป็นทั้งบทเรียน  และความหวังทั้งหมดที่เขามี  ใครจะมองว่าจมอยู่กับอดีต  แต่คนเราต้องมีอดีตด้วยกันทุกคน  ใครบ้างเล่าที่ไม่เคยมีอดีต

   อดีตคือพื้นฐานสู่อนาคต

   บอยมันแค่อยากเก็บอดีตเอาไว้ . . .

   . . . มันนึกขันตัวเองที่เมื่อสองสามวันก่อน  มันขอยามที่เฝ้าตึกหอชาย  มันบอกยามว่ามันอยากไปบนดาดฟ้า สักครู่  

   ยามทำหน้างง ๆ . . .

   แต่ก็ยอมให้บอยเข้าไป  บอยมันเดินไปที่ชั้นสอง  มันเดินไปที่ห้องที่นัทเคยอยู่ตอนปีหนึ่ง  มันเอามือลูบไล้ไปที่ประตูอย่างเผ่วเบาราวกับว่าบานประตูนั้นจะพาบอยกลับไปสู่ห้วงอดีตที่ผ่านมา

   บอยยิ้ม . . .

   . . . แต่แววตามันร้าว  

   มันคล้าย ๆ  จะยิ้มทั้งน้ำตาแบบที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ  

   มันใช้เวลาอยู่ที่ห้องเดิมของนัทอยู่นาน  โชคดีที่มหาวิทยาลัยปิด  นักศึกษาอยู่กันไม่มาก  บางคนที่เดินผ่านบอยมองมันแปลก ๆ  แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครสนใจบอยเลยเสียด้วยซ้ำ

   . . . บอยมันเดินมาเรื่อย ๆ  จนถึงห้องน้ำของชั้นสอง  มันอดยิ้มกับตัวเองไม่ได้  ภาพความหลังยังคงแจ่มชัดในสายตาของบอยเสมอ
   
   เหมือนฟ้าเป็นใจ . . .

   . . .   เมื่อมันก้าวเข้ามาในห้องน้ำ  

   มีเสียงเปิดประตูห้องออกมาพอดี  มันยิ้ม มีที่ว่างสำหรับมันแล้ว  ประตูห้องค่อย ๆ  เปิดออก  นัทเดินออกมาหยดน้ำก็พราวตามตัว  บอยมันเห็นคนที่เดินออกมาเต็มตา  มันรู้สึกอาย ๆ  อย่างไรไม่รู้  ระยะมันห่างกันราว ๓ เมตร  แต่บอยกลับรู้สึกร้อนผ่าวกับคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำ

   “เฮ้ยยยยยยยย”  

   เสียงร้องจากคนที่เดินออกมา พร้อม ๆ  กับไหลลื่นไปตามพื้นห้องน้ำที่เปียกชุ่ม  นัทลื่นไถลจนก้นจ้ำเป้า  ผ้าขนหนูสีน้ำเงินหลุดจากตัว  ขันน้ำกระจาย  กางเกงในที่ชักไว้หลุดไปคนละทาง  บอยมันมองไปตามเสียงร้อง  มันเห็นถนัดตา  นัทลื่นล้มกับพื้นในสภาพชีเปลือย

   มันต้องแอบซ่อนหน้า  ข่มอารมณ์ขันเอาไว้เต็มที่

   “เป็นไงบ้างครับ”  บอยเก็บผ้าขนหนูส่งให้นัท  แต่ไม่วายชำเลืองมอง

   “ขอบคุณครับ  พื้นมันลื่นอ่ะ  เลอะหมดเลย  เราขอล้างตัวอีกแปบนะ”  นัทบอก  ยิ้มเก้อ ๆ  เพราะรู้สึกอายเหมือนกัน

   มันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ  ออกมาทั้ง ๆ  ที่ยังไม่ได้ใส่กางเกงใน  แต่กลับมาทะเล่อทะล่าโชว์ความเป็นชายให้เพื่อนแปลกหน้าดูซะแล้ว

   บอยมันเขินจนหน้าแดง . . .

   . . . ไม่รู้สิมันบอกไม่ถูกว่าทำไมมันต้องเขิน  ต้องอายทุกครั้งที่มันเจอหน้านัท  มันแพ้ทางกันมาตั้งแต่เมื่อไหร่หว่า  เพราะตั้งแต่มหาวิทยาลัยเปิดมันเจอกับนัทแค่สามสี่ครั้งเอง  แล้วมันก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเสียด้วยซ้ำ  แต่บอยมันเขินทุกครั้งที่เจอหน้ากับนัท

   เหมือนงูเจอเชือกกล้วยยังไงยังงั้น

   บางเรื่องมันอธิบายยากอยู่ . . .

   . . . ยิ่งเป็นเรื่องของหัวใจยิ่งพูดยากใหญ่  ความรู้สึกของหัวใจห้ามกันไม่ได้เสียด้วย  มันผิดหรือที่มันจะอายกับคนที่มันรู้สึกดี  บอยมันแปลกใจตัวเองเหมือนกันตั้งแต่มันเกิดเป็นตัวเป็นตนขึ้นมามันไม่เคยมีความรักเสียด้วยซ้ำ  มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความรักหน้าตาเป็นแบบไหน  

   ถ้าบอยรู้ . . .

   . . . มันจะยังรักอีกหรือ?

   รักที่มันต้องเก็บ  ต้องซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด

   ความรักที่มันพูดไม่ได้เหมือนน้ำท่วมปาก  มันอึดอัดแทบตายกับรักแรกที่มันเจอ  แต่อย่างว่าชะตาชีวิตของเรา ฝืนกันไม่ได้  ในเมื่อบอยมันโดนขีดมาแบบนี้  มันโดนสาปมาแบบนี้  มันก็ต้องเจอกับสิ่งที่รอมันอยู่ด้านหน้า

   ทุกสิ่งในโลกล้วนโดนขีดมาทั้งนั้น

   นัทกลับออกมาอีกครั้ง  มันยิ้มให้บอยอย่างอาย ๆ   แล้วนัทเดินสวนออกไป  บอยมันมองตามจนลับตา  

   บอยไม่รู้หรอก  สายตาที่มันมองตามนัทมีความหมายอย่างไร  

   แต่ที่บอยมันรู้  หัวใจมันชุ่มชื้น  มันยิ้มบาง ๆ  โดยที่มันไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ  แล้วบอยมันเดินเข้าไปในห้องน้ำ  มันสูดลมหายใจเข้าปอดให้มากที่สุด  ราวกับจะเก็บเอากลิ่นของคนที่เพิ่งเดินออกไป

   มันแทบจะแยกได้ด้วยซ้ำว่ากลิ่นไหนเป็นกลิ่นสบู่  กลิ่นไหนเป็นกลิ่นของนัท

   บอยมันเดินเข้าไปในห้องน้ำที่นัทเคยใช้ . . .

   . . .  มันบ้าไปแล้ว  มันต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ  เลย  

   บอยมันหลับตา  มันสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  ราวกับว่าจะพยายามจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาของนัท  บอยันไม่รู้เลยหรือ  นัทจากสถานที่ตรงนี้ไปตั้งหลายปีแล้ว  มันจะหลงเหลือร่องรอยใด ๆ  อยู่อีก  นอกจากความทรงจำของบอยเท่านั้นเอง
   


   บอยเดินเรื่อย ๆ  มาจนถึงดาดฟ้า  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเก่าลงตามกาลเวลา  แต่บอยมันกลับรู้สึกเหมือนเวลาเหล่านั้น ไม่เคยเคลื่อนคล้อยผ่านไปเลยเสียด้วยซ้ำ  บอยเดินมานั่งเงียบ ๆ  ที่ม้าหิน  มันมองก้าวอี้ม้าหินตัวตรงกันข้าม  บอยมองอากาศแต่กลับเห็นเหมือนนัทนั่งมองมันอยู่  บอยมันเหมือนคนที่เอื้อมคว้าแค่เงา  มันทำได้แค่คว้าเงาเท่านั้นหรือ

   เสียงนาฬากาจากหอนาฬิกาบอกเวลา . . .

   . . . บอยถึงรู้

   ว่าสิ่งที่บอยเห็นสิ่งที่บอยสัมผัสมันแค่ฝันเท่านั้น  เวลาแห่งความเป็นจริงผ่านพ้นไปนานแล้ว  มันโง่เองที่ปล่อยให้เวลาแยกให้มันกับนัทห่างออกจากกันเรื่อย ๆ  ถ้ามันย้อนเวลาได้มันจะไม่ยอมให้เวลาแยกมันออกจากนัทแบบนี้เป็นแน่  

   บอยมันคิดมาถึงตอนนี้ . . .

   . . . มันรู้  

   เหมือนมีอะไรมาจุกที่หน้าอก  มันคับแน่นไปหมด  บอยพยายามแหงนหน้ามองฟ้า  ราวกับจะสะกดกลั้นสิ่งที่มันอัดอั้นอยู่ด้านใน  แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศรอบ ๆ  ตัวจะไม่เป็นใจเอาเสียเลย

   ลมพัดเผ่วเบาโชยมากระทบผิวบอย

   บอยสุดที่จะห้ามหัวใจตัวเองอีกต่อไป . . .

   . . .  มันปล่อยให้ตาตาค่อย ๆ  รินไหล  ร้องไปเถอะร้องเสียให้พอ  อีกไม่นานก็ต้องจากสถานที่เหล่านี้ไปแล้ว   และไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้กลับมาอีก  คราวก่อนโน้นสมัยเรียนยังมีนัท  แม้จะไม่กล้าเข้าไปหาเขาเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ  ทั่ว ๆ  ไปเพราะหัวใจตัวเองมันคิดกับนัทเกินกว่าเพื่อนไปเสียแล้ว  

   อีกไม่นาน . .

   . . . มันก็จะจากที่นี่ไปแล้ว  และเมื่อนั้นสายใยสายสัมพันธ์ที่มันถักทอให้นัทฝ่ายเดียวก็คงจะขาดสะบั้นลง  

   ฝูงนกการ้องเสียงระงมไปทั่ว . . .

   . . . อากาศใกล้ค่ำลงทุกขณะ  

   บอยมันสะอื้นให้ราวกับจะขาดใจ  มันไม่สามารถควบคุมหัวใจตัวเองได้เลย  บอยรู้เพียงแต่ว่าอีกไม่นานมันจะต้องห่างนัท  แล้วมันจะอยู่ได้อย่างไรกันในเมื่อมันยิ่งรักนัทเข้าทุกวัน  รักทั้ง ๆ  ที่มันแทบจะไม่ได้เจอหน้านัทมาเลยในระยะสามเดือนหลัง  มันกำลังต่อสู้กับความรู้สึกของตัวเอง  

   ความรู้สึกที่มันยากจะเอ่ยออกมาด้วยซ้ำ . . .

   . . . ใครบ้างเล่าที่ห้ามความรู้สึกของตัวเองได้

   บอยมันปล่อยให้ความอ่อนแอเข้ามาครอบงำหัวใจของมัน จนมันหมดน้ำตาที่จะรินไหล  แต่มันรู้  ชีวิตของมันต้องเดินต่อ  มันค่อย ๆ  พาร่างลงมาจากดาดฟ้า  มันยิ้มและเอ่ยขอบคุณคนเฝ้าหอ ที่ยอมให้นักศึกษาปริญญาโทอย่างมันขึ้นไปได้  

   บอยขับรถมาช้า ๆ  ผ่านทางศูนย์กีฬา  ไฟในโรงยิมยังสว่าง  บอยมันคิด  นัทอาจจะอยู่ที่นั่นมั้ง  เพราะนัทชอบมาเล่นกีฬาที่นี่เสมอ  บอยมันจอดรถ  แล้วเดินไปในโรงยิมเนเซี่ยมอย่างช้า ๆ  

   วอลเลย์บอล . .

   . . .มีคนกำลังซ้อมวอลเลย์บอลกันอยู่  

   บอยมันยิ้ม เพราะนี่ก็เป็นกีฬาอีกอย่างที่นัทชอบเล่นและชอบดู  

   บอยยิ้ม  เดินเข้าไปนั่งบนอัฒจันทร์ช้า ๆ  บอยมันจำได้  จำได้ดีแหละ  ทุกครั้งที่มีแข่งวอลเลย์ในสนามแห่งนี้  บอยมันจะมานั่งตรงนี้  ที่ที่มันนั่งอยู่ตอนนี้แหละ  บ่อยครั้งที่บอยเห็นนัทนั่งอยู่ตรงโน้นบ้าง  ตรงมุมนั้นบ้าง  บอยกวาดตาไปทุกมุมที่นัทเ คยนั่ง  บอยแทบจะเก็บเอาทุกอย่างที่นัทเคยทำไว้ในสมอง  ไว้ในหัวใจส่วนที่ลึกที่สุดของบอย

   บอยจำได้ . . .

   . . . จำได้ดีไม่มีวันลืม  

   ในขณะที่บอยนั่งอยู่ตรงนี้  แล้วนัทนั่งอยู่อีกมุม  มันอยากจะตะโกนบอกให้นัทมานั่งใกล้ ๆ  มัน  แต่อีกใจมันกลับบอก  อย่าเลย  นั่งมองเขาตรงนี้ดีกว่ามั้งเห็นหน้าเขาชัดด้วย   และบางความรู้สึกก็สั่งให้บอยเดินไปนั่งลงใกล้ ๆ  นัทเสียด้วยซ้ำ  

   แต่บอยมันกลับไม่ยอมกระทำ  

   บอยมันกลับให้เวลาแยกให้มันกับนัทห่างกันไปเรื่อย ๆ  แบบที่ผ่านมา  บอยทำได้แค่นั่งมองนัทจากที่เดิม ๆ  ของบอย  โดยที่ไม่กล้าจะเข้าไปหานัทเลยด้วยซ้ำ  

   บอยทำได้ไง . . .

   . . .  บอยทำร้ายหัวใจตัวเองไปเพื่ออะไรกัน

   จะมีสักกี่คนกันที่ยอมทำร้ายหัวใจตัวเอง

   บอยมันทำร้ายหัวใจตัวเอง  เพียงเพื่อมันได้รักคนที่มันรักแบบนี้  มันคิดว่ามันทำดีแล้วกะนั้นหรือ  บอยไม่กล้าที่จะเอื้อมไปหานัทจริง ๆ

   บอยจำได้  บ่อยครั้ง  ที่นัทเดินผ่านกลับมาทางที่มันเดิน  นัทแค่ยิ้มบาง ๆ  ให้กับมัน  มันคิดไปเองหรือปล่าวว่านัทไม่อยากคุยกับมัน  มันยอมให้นัทเดินผ่านมันไปช้า ๆ  ทั้ง ๆ  ที่หัวใจของมันอยากจะดึงมือนัทเอาไว้  อยากจะดึงให้นัทนั่งลงใกล้ ๆ

   มันอยากกอดนัท  อยากอดให้สาสมกับที่หัวใจมันต้องการ  แต่บอยไม่เคยกล้าที่จะทำ  บอยกลับปล่อยให้นัทเดินผ่านมันไปจนลับตาแทบทุกครั้ง

   “คุณครับโรงยิมจะปิดแล้วครับ”  เสียงยามเดินมาบอกมัน

   บอยมันกวาดสายตาไปรอบ ๆ . . .

   . . . ไม่มีใครเลยอยู่ตรงนั้นแล้ว  

   มันปล่อยให้เวลาในอดีตไหลมาทับความรู้สึกในปัจจุบัน  มันจมกับอดีต  กับความรักของมัน  รักเพียงฝ่ายเดียวที่บอยมันคิดว่าดีที่สุดเท่าที่คนอย่างบอยจะทำได้กระมัง




   ห้างสรรพสินค้าที่ใกล้กับสนามบินคลาคล่ำไปด้วยผู้คน อาจเพราะตอนนี้ที่นี่มีงานแสดงรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือก็ได้กระมัง  บอยมันไม่รู้จะทำอะไรดีกว่ามาเดินฆ่าเวลา  

   มันจัดของลงกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว . . .

   วันนี้มันรอให้ค่ำ  แล้วมันจะไปเล่นดนตรีอีก  วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่มันได้ไปเล่นดนตรีแล้วล่ะ  มันต้องจากสิ่งที่มันรัก  จากแผ่นดินที่ให้ความรู้มันมาถึงหกปีเต็ม  มันยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์โหยหาในสิ่งที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตของมัน

   “บอย  ไอ้บอย”  เสียงเรียกทักทายมันท่ามกลางผู้คนมากมาย  ทำให้บอยต้องหันไปมอง

   บอยยิ้มให้อย่างเคย  อย่างน้อยมันก็ได้เจอเพื่อนเก่า  เพื่อนเก่าที่มันไม่ได้เจอกันนานแล้วแหละ  หลายปีแล้วกระมัง

   “บิ้ก  อ้วนขึ้นนะมึง  ไปอยู่ไหนมาว่ะ”  บอยมันทักทาย  มันกวาดสายตามองเพื่อนร่วมห้องที่อยู่หอเดียกับมันตอนปีหนึ่ง

     “กลับไปอยู่บ้านว่ะ  เรียนจบเลยได้งานทำที่บริษัทเล็ก ๆ  ว่าง ๆ ไปเที่ยวบ้านข้าดิเอ็ง  ที่น่านที่เที่ยวเยอะนะโว้ย . . .”  เพื่อนมันยิ้ม  ตบที่ไหล่บอยเบา ๆ

   “. . . แล้วมึงละ  ทำไรว่ะ  ไหนว่าเรียนต่อโท  จบแล้วสินะ”  บิ้กเอ่ยชวน  ก่อนจะถามสารทุกข์สุขดิบ

   น่าน . . .

   . . . จริงสิ  

   บิ้กมันคนน่าน  บอยยิ้มพาลนึกไป ถึงอีกคน  มันยิ้มกว้างเมื่อนึกไปถึงเพื่อนของบิ้ก

   “ไม่ได้แล้วมั้ง  พรุ่งนี้ต้องลงไปใต้แล้วล่ะ  ไปใช้ทุนเรียนโทนี่แหละ . . .”  บอยยิ้ม

   “. . . เออ  ถ้าว่างคืนนี้ไปนั่งที่ร้านดิ  คืนนี้เล่นคืนสุดท้ายแล้วล่ะ  เพราะพรุ่งนี้คงไม่มีโอกาสเล่นดนตรีอีกแล้ว”  บอยมันชวน  

   บิ้กเคยไปนั่งกินเหล้าที่ร้านที่มันเล่นดนตรีออกบ่อย

   “ไอ้ห่าบิ้ก  มาอยู่นี่เองเดินหาตั้งนาน”  เสียงทักทายที่ดังมาจากด้านหลังบอย  ทำเอาบอยหัวใจพองโต

   ไม่ว่าจะนานแค่ไหน . . .

   . . .  บอยก็จำได้  

   เสียงแบบนี้บอยจำได้ดี  จำได้ไม่เคยลืมและไม่มีวันลืมมันเลยตลอดชีวิต

   “อ้าวบอย  มาคนเดียวเหรอ  ไม่เจอกันตั้งนาน”  คนที่บอยตั้งหน้าตั้งตารอเพื่อจะเจอเอ่ยทักเมื่อบอยหันกลับไป

   รอยยิ้มของชายแปลกหน้าในหกปีที่แล้ว . . .

   . . .  ยังเหมือนเดิม

   วันนี้รอยยิ้มดูเป็นมิตรมากขึ้น  แต่สำหรับบอย  บอยยังอาจเหมือนคนแปลกหน้าของเขาอยู่ดีแหละ  ไม่รู้เหมือนกันทำไมบอยถึงคิดแบบนั้น  อาจเพราะบอยปล่อยเวลาให้ห่างนานกว่าที่ควรจะเป็นก็ได้มั้ง

   “มาคนเดียว  นัทละสบายดีมั้ย”  บอยยิ้ม

   “สบายดี  ไม่เจอกันเลยนะบอย  หลายปีเลยแหละทำไรอยู่ที่ไหนล่ะตอนนี้”  นัทถาม  

   เขาอยากรู้เรื่องของบอยหรือถามด้วยมารยาทกันแน่นะ . . .

   . . .  บอยไม่สนหรอก  

   บอยรู้เพียงแต่ว่าวันนี้บอยสุขหัวใจ  

   พรุ่งนี้ . . .

   บอยจะเดินทางไกลด้วยหัวใจที่เปี่ยมสุข  มันอาจจะคิดไปไกล  ขนาดที่อยากให้นัทไปส่งมันที่สถานีรถไฟ  แต่มันต้องสลัดความคิดนั้นโดยเร็ว  แค่เจอกันตรงนี้  ร่ำลากันที่นี่ น่าจะดีที่สุดแล้วสำหรับบอย

   “เรียนต่อ  เอ้อ  บิ้ก  ขอเบอร์หน่อยดิ  ไว้โทรคุยกันได้”   บอยหันไปขอเบอร์เพื่อน  อย่างน้อยยังมีโอกาสติดต่อเพื่อน ๆ  ได้บ้าง

   “ได้ดิ  เอาโทรศัพท์มึงมาดิ”  บิ้กแบมือขอโทรศัพท์จากบอย  

   บอยส่งให้ไป  บิ้กมันจัดการแจกเบอร์ของตัวเองเรียบร้อย  ก่อนจะยิ้มแล้วส่งให้บอยเหมือนเดิม

   “ว่าง ๆ  โทรไปนะโว้ย  ขอตัวก่อนนะ  คืนนี้ถ้าว่างจะไปนั่งกินเหล้าด้วยว่ะ”  บิ้กมันร่ำลา

   “ไปก่อนนะบอย”  นัทหันมายิ้ม  

   บอยยิ้มตอบ

   . . . มันมองนัทเดินจากไปจนลับตา  

   บอยสุขหัวใจ

   อย่างน้อยวันสุดท้ายในเชียงใหม่  มันยังได้เห็นหน้านัท  มันก้มหน้ามองเบอร์ในเครื่อง  บิ้กมันเมมเบอร์ไว้จริง ๆ  ด้วยล่ะ  

   แล้วบอยก็ยิ้มกว้าง . . .

   . . . เมื่อบิ้กมันเผื่อแผ่เบอร์ของอีกคนไว้ในเครื่องของบอยเช่นกัน  บอยมองชื่อในเครื่องด้วยความสุขเต็มหัวใจ

   “NAT”



   นัทเดินตามบิ้กมาเงียบ ๆ  ท่ามกลางผู้คนที่มากหน้าหลายตาที่มาชมงานแสดงรถยนต์  มันเหนื่อยมั้ง  หิวด้วย  นัทมันกำลังจะบอกให้บิ้กหาอะไรกินก่อน  แต่ดูเหมือนบิ้กจะเดินนำมันเข้าไปยังร้านอาหารก่อนแล้วด้วยซ้ำ


   “เหนื่อยว่ะ  หิวยังไอ้นัท”

   “เออ  ไม่ได้กินไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว”  นัทตอบมันพลางรับเมนูมาเปิดดู

   มันสั่งอาหารไปสองสามอย่าง  เสียงเพลงเบา ๆ  ผสานแอร์เย็น ๆ  ทำให้มันรู้สึกผ่อนคลายลงมาบ้าง  เพียงครู่เดียวบริกรเอาเครื่องดื่มมาเสริฟ  นัทหยิบมันมาดื่มอย่างกระหาย

   “คืนนี้ไปกินเหล้ากันมั้ยไอ้นัท”  บิ้กมันชวน  สายตามันมองนัทแปลก ๆ

   “อารมณ์ไหนว่ะมึง  ไหนบอกไม่กินเหล้ามาหลายเดือนแล้วไง”

   “เออน่า  ไปที่ร้านที่บอยมันเล่นดนตรีกัน  คืนนี้มันเล่นที่นั่นคืนสุดท้ายแล้วล่ะ  เห็นมันบอกพรุ่งนี้มันต้องไปใช้ทุนทางใต้โน่น”

   “เหรอ  ไม่ยักรู้”

   “อ้าว  มึงเคยรู้ไรมั้ยไอ้นัท  มึงเคยมองไอ้บอยมันมั้ยเล่า”  บิ้กปรายตามามองนัท

   นัทมันขมวดคิ้ว . . .

   . . .  มันเข้าใจในคำพูดของบิ้กเสียเมื่อไหร่กัน  

   บิ้กมันพูดอะไรแปลก ๆ  ก็มันกับบอยรู้จักกันทำงานร่วมกัน  แล้วบิ้กจะมาบอกว่ามันไม่มองบอยได้อย่างไรเล่า

   “มึงพูดอะไรกูไม่เข้าใจมึงเลย”

   “อ้าว  กูนึกว่ามึงรู้แล้วเสียอีกไอ้นัท”  บิ้กหยิบแก้วน้ำมาดื่ม

   “อะไรของมึง  รู้อะไร  พูดมาเหอะไอ้นี่ลีลาเยอะว่ะ”

   “บอยมันชอบมึงว่ะ  มันแอบชอบมึงมานานแล้ว”

   “ห๊า . . . อำกูแล้ว  ไอ้บอยนี่นะมาชอบกู  มันเป็นกะเทยเหรอ”   นัทตกใจ  

   คาดไม่ถึงบิ้กจะพูดอะไรออกมาแบบนั้น  บอยที่มันรู้จักไม่เคยมีอาการกับมันเลยด้วยว้ำ  ถ้าบอยชอบมัน  บอยต้องเข้าหามันสิ  แต่นี่บอยมันปกติดีทุกอย่างด้วยซ้ำ  มันไม่เคยมีทีท่าแบบที่บิ้กพูดเลย

   “กูไม่ได้อำนะโว้ย  เกย์ว่ะเพื่อน  ไม่ใช่กะเทย  กูดูออกน่า  มันอยู่กับกูมาตั้งปีนึงทำไมกูจะไม่รู้  เวลาที่มันมองมึงตาเยิ้มเชียว  มีแต่มึงล่ะมั้งที่ไม่รู้”

   “กูไม่เชื่อว่ะ  ถ้ามันชอบแล้วทำไมมันไม่เข้าใกล้กูว่ะ  กูเห็นเวลามันอยู่กับกูมันก็เฉย ๆ  นะโว้ย”

   “เชื่อกูเหอะไอ้นัท  บอยมันรักมึงเข้าแล้วด้วยซ้ำ  บางคนรักนะโว้ยแต่ไม่กล้าที่จะพูด  กูว่าบอยมันคิดกับมึงแบบที่กูคิดแน่นอน  พิสูจน์กับกูคืนนี้ไปกินเหล้าที่ร้านไอ้บอยมันร้องเพลง  ตกลงนะโว้ย”

   นัทพยักหน้ารับ . . .

   . . .  มันอยากรู้เหมือนกัน  

   บอยจะเป็นแบบที่บิ้กคิดเหรอ  ในเมื่อตลอดระยะเวลาที่มันรู้จักกับบอย  บอยแทบไม่มีทีท่ารู้สึกกับเขาแบบออกนอกหน้าเลยด้วยซ้ำ  

   นัทมันพยายามนึก  มีตอนไหนบ้างนะที่บอยมองมันแบบแปลก ๆ  แต่มันยิ่งคิดยิ่งมึน  ไม่มีเลย  ไม่มีทีท่าว่าบอยจะเป็นแบบที่บิ้กพูดเลยด้วยซ้ำไป  แต่เพื่อความสบายใจ  มันจะไป  มันอยากรู้เหมือนกัน  

   . . . ว่าบอยรักมันที่ตรงไหน

   
   เสียงเพลงดังกระหึ่มอยู่ทั่วทั้งร้าน  ไฟสีสลัว ๆ  สร้างให้บรรยากาศน่านั่ง  บิ้กเดินนำมาที่โต๊ะ  มันกะดูให้เห็นยังหน้าเวทีชัดเจน  และคนบนเวทีคงจะมองมาเห็นมัน  ผู้คนในร้านกำลังสนุกสนานกับเสียงเพลงจากดีเจ  ที่เล่นสลับกับดนตรีสด    บริกรชงเหล้าให้มัน  มันพยักหน้าขอบใจ  ก่อนทำอารมณ์ให้ลอยไปกับเสียงเพลง

   “เป็นไง  มาบ่อยมั้ยเอ็ง”  บิ้กถาม

   “ถ้าร้านนี้ไม่บ่อยว่ะ  ส่วนมากไปที่ร้านอื่น”  นัทมันยิ้ม  มันยกแก้วเหล้าขึ้นกระดก

   นัทกวาดสายตามองไปรอบ ๆ   ร้าน  บรรยากาศร้านตกแต่งใช้ได้ทีเดียว  มันนั่งดื่มกับบิ้กเงียบ ๆ  

   “แปบว่ะ  ไอ้ดินโทรมา”   บิ้กบอก  พลางเดินออกไปนอกร้าน

   นัทมันพยักหน้าให้  แล้วปล่อยอารมณ์ไปตามเสียงเพลง  สมองมันยังคิดเรื่องที่บิ้กบอก  มันไม่น่าใช่  บอยจะคิดอะไรกับมันขนาดนี้เลยเหรอ  บอยไม่มีทีท่าเลยด้วยซ้ำไป

   “นัทหวัดดี”   เสียงคนทักทายนัทหันไปตามเสียงทัก

   “อ้าวดิน  นั่ง ๆ  มาได้ไงนี่  ทำงานที่กรุงเทพฯไม่ใช่เหรอ”  นัทมันบอก  พลางสั่งแก้วมาเพิ่ม

   บิ้กมันนั่งลงตรงข้ามกับนัท  ปล่อยให้ดินนั่งชิดกัน

   “เออดิ  พอดีมาสัมนา  เลยโทรหาบิ้กมัน  มันบอกคืนนี้จะออกมากินเหล้า  ส่งไอ้บอยมันไปแดนใต้  แล้วเจ้าตัวมันไปไหนเสียล่ะ  มันรู้มั้ยนี่นัทมาด้วยนะ”  ดินถามกลับ

   นัททำหน้าแปลกใจ  ดินมันพูดอะไรแปลก ๆ  อีกคน

   “ทำไมเหรอ  นัทมาแล้วมันดีกว่าคนอื่นตรงไหนเหรอ”

   “ไม่รู้ว่ะ  งานนี้ต้องคุยกับมันเองโว้ย  โน่นไง  มันเตรียมขึ้นจะเล่นแล้วล่ะ”  ดินบุ้ยปากไปทางหน้าเวที

   บอยมันยิ้มตามเคย . . .

   . . . มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี  มันเหลือบสายตามามองตามโต๊ะต่าง ๆ  มันยิ้มเมื่อเห็นนัท  วันนี้แล้ว  วันสุดท้ายแล้วล่ะมันจะทำหน้าที่นี้ของมันให้ดีที่สุด  มันจำต้องรับแก้วเหล้าจากนักเที่ยวบ่อยครั้ง  

   มันยกขึ้นดื่ม  เขาคะยั้นคะยอให้มันหมดแก้ว  มันก็ทำตามอย่างขัดเสียมิได้

   จากแก้วแรก . . .

   . . .  เป็นแก้วสอง  

   และตามมาเรื่อย ๆ  

   จนบอยมันเริ่มรู้สึกมึน  มันเริ่มตึง  มันรู้สึกเลือดในกายสูบฉีดเร็วขึ้นมั้ง  มันเหมือนจะกล้ามากขึ้น  มันมองไปที่โต๊ะนัท  มันมองนัทได้เต็มตาขึ้น    ดินนั่งอยู่ด้วย  มันดีใจอย่างน้อยมันจะได้เจอเพื่อนเก่า ๆ อีกครั้ง  

   มันมีเวลาอยู่ที่นี่ไม่มาก . . .

   . . .  เพราะพรุ่งนี้มันจะไปไกลแล้ว  มันไม่กลัวอะไรแล้วมั้ง

   “ขอบคุณครับ  แล้วก็มาถึงช่วงสุดท้ายนะครับ  มีเพลงที่ขอขึ้นมาอีกเยอะเลยนะครับ  แต่ผมคงเล่นให้ได้ไม่หมดนะครับ  ต้องขอโทษด้วยนะครับ  พรุ่งนี้ผมคงต้องลาทุกคนแล้วล่ะครับ  วันนี้ผมดีใจนะครับที่ได้มาร้องเพลงที่นี่  และวันนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขมาก  อย่างน้อยที่สุดผมได้ร้องเพลงที่ผมรัก  ได้มอบความสุขให้กับทุกคน  เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายที่ผมจะเล่นนะครับ . . .”  บอยหยุดเพียงชั่วครู่  ก่อนทอดสายตามายังนัท

   “. . .  ผมขอมอบเพลงนี้ให้กับคนที่ผมรักมากที่สุดในชีวิต  ผมเคยคิดนะครับว่าผมจะไม่บอกเขา  แต่วันนี้ผมขอบอกตรงนี้เลยนะครับ  ผมดีใจมากที่วันนี้เขามานั่งในร้านนี้ด้วย  เพลงนี้คงแทนความรู้สึกทั้งหมดในหัวใจของผมนะครับ”  บอยมันพูดยาว  

   มันพูดยาวกว่าทุกครั้ง  แล้วมันหันไปพยักหน้ากับเพื่อน ๆ  ในวง  ก่อนที่ดนตรีจะคลอเบา ๆ  แล้วบอยมันเปล่งเสียงร้องออกมาสะกดผู้คนในร้านให้นิ่งเงียบ



“เธอคงไม่รู้เลย  ไม่เคยจะเข้าใจในความเปลี่ยนไปที่ฉันมี

เรายังอยู่ใกล้กันดังเพื่อนที่แสนดี  เธอคงรู้สึกแค่นั้น

เพราะฉันซ่อนเอาไว้ข้างใน ความในใจที่ตัวฉันมี

ไม่เคยบอกให้เธอได้ฟังสักที  คำ ๆ นี้ที่ดังอยู่ก้องในใจ

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยินหัวใจฉันพูดกับเธอทุกทีที่พบที่ได้เจอ

ฉันรู้ว่าเธอไม่เคยจะสัมผัสถึงในใจฉันมันเปลี่ยนไปแล้วคำว่าเพื่อน

เธอคงไม่ตั้งใจฉันเองก็รู้ดี บางทีที่มาใกล้ชิดกัน

เธอคงไม่คิดเกิน เกินคำว่าเพื่อนกัน  ฉันพอเข้าใจฉันรู้

เพราะฉันซ่อนเอาไว้ข้างใน ความในใจที่ตัวฉันมี

ไม่เคยบอกให้เธอได้ฟังสักที  คำ ๆ นี้ที่ดังอยู่ก้องในใจ

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยินหัวใจฉันพูดกับเธอทุกทีที่พบที่ได้เจอ

ฉันรู้ว่าเธอไม่เคยจะสัมผัสถึงในใจฉันมันเปลี่ยนไปแล้วคำว่าเพื่อน

เสียงที่เธอนั้นไม่ได้ยินหัวใจฉันพูดกับเธอทุกทีที่พบที่ได้เจอ

ฉันรู้ว่าเธอไม่เคยจะสัมผัสถึงในใจฉันมันเปลี่ยนไปแล้วคำว่าเพื่อน

มันเปลี่ยนไปแล้วคำว่าเพื่อน”

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 22-07-2009 12:18:26
บอยมันตั้งใจร้องสุดชีวิต . . .

   . . . มันเศร้า

   น้ำตามันเอ่อไปตลอดที่มันร้องทั้งเพลง 

   วันนี้แล้ว . . .

   . . . วันนี้มันจะเปิดหัวใจของมัน 

   หัวใจที่มันปิดตายมาหกปีเต็ม  บอยมันร้องมาถึงท่อนสุดท้าย    นัทลุกขึ้นยืน  มองมันนิ่ง  แล้วนัทค่อย ๆ  เดินหันหลังเดินออกไปจากร้าน 

   บอยมันปล่อยน้ำตาไหลพราก . . .

   . . . มันทำอะไรลงไปหรือนี่ 

   นัท คิดอะไรกับมันหรือ ?

   ทำไมนัทเดินหนีออกไป . . .

   . . .  มันไม่รู้ 

   มันได้แต่มองนัทเดินจากมันออกไป 

   มันเดินตามนัทออกมาที่หน้าร้าน  มันอยากจะร้องเรียกนัทให้กลับมา  แต่บอยมันทำไม่ได้  มันได้แต่เดินตามหลังนัทห่าง ๆ  มาที่ลานจอดรถ  แล้วมันก็เห็น นัทค่อย ๆ  ออกรถจากไป  โดยที่ไม่พูดกับมันสักคำ 

   บอยปล่อยน้ำตาไหลพรากเมื่อรู้ว่านัทจากมันไปแล้ว . . . 

   . . . คราวนี้นัทจากมันไปแล้วจริง ๆ 

   มันทำอะไรออกไป  มันไม่รู้เหรอ  มันต้องสูญเสียนัทไปแล้ว  มันไม่เหลือใครแล้วกระมัง  ชีวิตมันไม่เคยได้พบพานความสุขที่แท้จริง  แม้คนที่มันหลงรักยังรับไม่ได้ที่รู้ว่ามันบอกรัก 

   นัท . . .

   . . .  บอยมันเฝ้าเรียกชื่อนี้อยู่ในใจเบา ๆ  ด้วยหัวใจที่แหลกสลาย

   บอยมันทำลายหัวใจของตัวมันเองหรือ?

   มือที่แตะที่ไหล่ . . .

   . . .  แล้วมาโอบมันไว้ 

   เอาศรีษะมันพิงอิงแอบกับไหล่  มันอยากให้มือนี้เป็นมือของนัท  แต่มันไม่ใช่  มันออกแบบความรักไม่ได้  เหมือนกับที่มันบอกหัวใจให้รักเจ้าของมือนุ่มมือนั้นไม่ได้เช่นกัน

   “เจ็บมากมั้ยบอย  กูเจอมึงทุกครั้งที่มึงเห็นนัท  กูเห็นน้ำตามึงทุกครั้ง  มันไม่ต่างกันหรอกบอย  บอยเจ็บเหมือนที่ดินเจ็บ  แต่ดินช่วยให้บอยหายเจ็บไม่ได้  สิ่งที่ดินทำได้คือยืนนิ่ง ๆ  ข้าง ๆ  บอยแบบนี้  ร้องเหอะบอย  ถ้าบอยอยากจะร้องออกมา  ดินจะยืนตรงนี้  ข้าง ๆ  บอยแบบนี้ ปล่อยน้ำตาออกมาเป็นเพื่อนบอยเองนะ  บอยร้องให้สมกับที่บอยเจ็บเหอะ”   ดินปลอบบอยเสียงสั่น 

   มันเองไม่ต่างจากบอยหรอก . . .

   . . .  มันทนเห็นคนที่มันรักเจ็บได้อย่างไรกัน

   โลกล้วนแต่ไม่พอดี 

   เหมือนความรัก . . .

   . . .  ห้ามกันไม่ได้ 

   ขอให้รักไม่ได้  ทุกอย่างล้วนเกิดมาจากหัวใจทั้งนั้น  ไม่มีใครที่จะออกแบบความรักได้เลย  บอยมันเจ็บ  ดินเองมาทนเจ็บที่เห็นมันเจ็บ  แต่มันรักดินแบบที่มันรักนัทไม่ได้  มันเป็นความผิดของบอยหรือที่บอยรักเพียงแค่นัทคนเดียว

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 22-07-2009 17:51:59
ไม่รู้ว่านัทคิดอะไร

เพียงความอยากรู้....เกิดความสับสน

เวลาบางอย่างมันน้อยไป ในการที่จะยอมรับอะไรบางอย่าง

ความรักที่ยังต้องการเวลา..........
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 22-07-2009 23:34:56
วันนี้กะว่าจะนอนซัก 4 ทุ่ม ตอนนี้ ใหล้เที่ยงคืนและ เพราะว่ามาอ่าน"แค่เอื้อม"นะเนี่ยครับ
แบบเศร้าอ่ะ สงสารดินอ่ะ มันเจ็บเนอะ
และก็เหนื่อยกับบอยจังครับ

เป็นกำลังใจให้เจ้าของเรื่องนะครับ   อย่าลืมมาต่อหล่ะ ฝันดีครับ นอนแล้วววววว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 23-07-2009 14:05:24
ต อ น ที่  ๒ ๑

วั น ว า น  .  .  .  มิ ต ร ภ า พ



   นัทยืนขึ้นช้า ๆ  สองหูของเขาได้ยินแจ่มชัด  เสียงเพลงนั่นเหมือนบอกอะไรบางอย่างเขากระนั้นหรือ  นัทยืนนิ่งมองหน้าคนร้อง  ราวกับจะมองให้ลึกไปถึงหัวใจ  แล้วนัทมันค่อย ๆ  หันหลังก่อนจะเดินออกมาจากที่นั่นช้า ๆ  เสียงดนตรียังแว่วมาตามลม  นัทมันรู้สึกไม่ไหวแล้วล่ะ  เรื่องที่บิ้กบอกมันยังคงแล่นมารบกวนในประสาทสัมผัส  มันยังวกวนอยู่ในทุก ๆ  อณูของมองนัทด้วยซ้ำ


   นัทเข้านั่งประจำในที่คนขับ  เขาหลับตานิ่งเฝ้าถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา    นัทมันไม่เข้าใจ  ไม่เข้าใจกับเรื่องที่มันเจอ  มันยังงง ๆ  กับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่  สมองมันมีแต่คำถาม

   บอยคิดแบบนั้นจริงหรือ?  

   บอยมันคิดตั้งแต่เมื่อไหร่?  

   ทำไมบอยถึงรู้สึกกับมันแบบนั้น?  

   สารพัดคำถามที่นัทมันเฝ้าคิดวกไปวนมา  นัทมันเอามือที่สั่นไขไปในกุญแจเบา ๆ  ก่อนที่จะสตาร์ทเครื่อง  เสียงเครื่องยนต์ครางกระหึ่ม  นัทมองลอดกระจกหลัง  

   บอยเดินออกมาไม่ห่างจากมันเท่าไหร่  

   นัทมันหลับตาสลัดภาพที่มองเห็นในกระจกหลังอย่างรวดเร็ว  ก่อนที่จะค่อย ๆ  ออกรถไปจากที่นั่น

    นัทมันเห็น . . .

   . . . แม้จะไกล  

   บอยร้องไห้มั้ง ?

   นัทมันขับรถเลยผ่านที่พัก  ขึ้นเลยไปทางอ่างเกษตร  มันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมาที่นี่  แต่มันรู้เวลาเที่ยงคืนที่นี่เงียบสงบเหมาะสำหรับให้มันได้คิดอะไรเพลิน ๆ  เสียด้วยซ้ำ  นัทชะลอรถไว้ที่ริมอ่าง  ก่อนที่จะลงมานั่ง  

   มันแหนหน้ามองฟ้า . . .

   . . . ดวงดาวพร่าวพราวระยิบระยับวับวาวตัดกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม  ลมลอยมาปะทะผิวจนนัทมันต้องยกมือขึ้นกอดตัวเองเอาไว้  ความคิดมันค่อย ๆ  จมลงไปในอดีต  กับห้วงเวลาที่ผ่านมา

   นัทจำได้ . . .

   . . . และจำได้ดี  

   วันที่นัทเจอบอยครั้งแรก  

   วันที่นัทมันทำเปิ่นลื่นล้มในห้องน้ำนั่นไง  มันอายแทบแทรกแผ่นดินหนี  ที่ผ้าขนหนู สบู่อะไรต่อมิอะไรของมันกระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทาง  แล้วหลังจากนั้น  มันก็เจออีก  เด็กหนุ่มคนเดิม  มันเจอกันที่ห้องอ่านหนังสือวันที่มีการประชุมเพื่อแนะนำเรื่องราวต่าง ๆ  ให้นักศึกษาใหม่ได้รับทราบกฏข้อบังคับของการอยู่ร่วมกันในหอใน  ภาพของบอยในความทรงจำของนัทค่อย ๆ  เลื่อนมาเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายย้อนกลับ  มันอาจจะเลือนราง  ไม่แจ่มชัดเท่าใดนัก  เพราะระยะหลัง  นัทแทบจะไม่เจอกับบอยเลยก็ว่าได้

   ความทรงจำของนัทในเรื่องของบอยมีน้อยเต็มที . . .

   . . . น้อยเสียเหลือเกิน

   แล้วนัทมันนึกต่อ  

   บอยเดินมากับเมย์ . . .

   . . . ใช่แล้ว  

   บอยมันเพื่อนเมย์นี่หว่า  

   มันยังจำได้เลยวันแรกที่มันเจอกับเมย์  เมย์อยู่กับบอย  ทั้งสองคนนั่นต่างมาดูมันเล่นบอล  แล้วบอยเองก็เป็นคนวิ่งไปซื้อน้ำที่ร้านสะดวกซื้อ  นัทมันเริ่มเห็นภาพบอยชัดขึ้น  ภาพบอยออกจะทับซ้อนมากับภาพของเมย์  

   จนกระทั่งที่นี่ . . .

   . . . นัทมันกวาดตัวไปรอบ ๆ  อ่างเกษตร

   คืนนั้น . . .

   . . .   คืนลอยกระทงแรกของชีวิตในรั้วลูกช้าง  

   นัทมันคลับคล้ายคลับคราว่ามันนัดกับเมย์  แต่เมย์เสียอีกที่เร่งเร้าให้นัทไปชวนบอย  แล้วนัทก็ไปเจอบอยที่บนดาดฟ้า  ใช่แล้วบนดาดฟ้าของหอ  นัทเจอบอยบ่อยครั้งบนนั้น  ตั้งแต่คืนแรก ๆ  ที่นัทเข้าไปอยู่ในหอในด้วยว้ำ  บอยเดินขึ้นมาในห้วงเวลาที่นัทอยากมีเพื่อนคุยสักคน  แล้วคืนที่ลอยยี่เป็งที่เมย์ให้นัทมาชวนบอยอีก  บอยมันจุดเทียนไว้รอบตัว  มันร้องเพลง  เพลงไรน๊า  

   นัทมันนึก . . .

   . . . ใช่  

   เพลงของเสือ . . .

   บอยมันร้องเพลงนั้นทำไม  ในวันก่อนนั้น  นัทไม่เคยคิดเลย  แต่มาถึงเวลานี้  มันอดคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้  บอยมันอาจอัดอั้นตันใจ  มันไม่รู้จะระบายให้ใครฟังก็ได้กระมังเลยต้องถ่ายทอดออกมาเป็นเพลง  ตอนที่มันเข้าไปเจอบอย  บอยเหมือนคนเพิ่งเสียน้ำตามาด้วยซ้ำ  แต่ตอนนั้นนัทมันไม่ได้คิดอะไรนี่หว่า  มันเร่งบอย  เร่งให้มาที่นี่ไง  ที่นัทนั่งมองฟ้า  มองดาวอยู่ตอนนี้

   ภาพในคืนนั้นค่อย ๆ  แจ่มชัดขึ้นในความรู้สึกของนัท
   

   อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่อยู่ตีนดอยสุเทพ ตั้งอยู่ในบริเวณสำนักงานเกษตรและสหกรณ์ภาคเหนือ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ หรือที่เรียกกันติดปากว่าบริเวณอ่างเกษตร หากมาทางเส้น ถ.สุเทพ (หลังมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) ให้ตรงมาเรื่อยๆ จะเจอกับเนินสูงก็ให้ตรงขึ้นมา เลี้ยวโค้งทางซ้ายเสร็จแล้วตรงมา ให้เลี้ยวขึ้นไปบนเนินสูงทางขวามืออีกครั้ง ก็จะเจอห้องอาหารกาแล  แต่ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะเจออ่างเกษตร

   เสียงดนตรีพื้นเมืองดังถนัดขึ้นเมื่อทั้งสามเดินเข้ามาในบริเวณงาน  บนท้องฟ้าเริ่มสว่างไสวไปด้วยโคมลอย  นับร้อย ๆ  ดวง  หนุ่มสาวมากหน้าหลายตาล้วนสนุกสนานกับประเพณีที่สวยงามของเมืองเชียงใหม่

   ปลายตุลาคม . . .

   . . . ช่วงปลายฝนต้นหนาวอากาศกำลังดี  เพราะต้นไม้แถวตีนดอยเพิ่งได้รับฝนอย่างเต็มที่  ต่างออกใบเขียวขจี  อีกไม่นานเมื่อถึงธันวาคม  ต้นไม่เมืองเหนือจะแข่งกันผลิดอกอวดสีสันต่อสายตาผู้คนอีกครา

   นัทมันเอาโคมลอยที่มีลักษณะกลม ๆ  ก้านด้านล่างทำด้วยไม้ไผ่  ห่อด้วยกระดาษว่าวจนเป็นรูปทรงกระบอก  ความบางของกระดาษทำให้สามารถพับเก็บได้  ส่วนตัวเชื้อเพลิงนั้นทำจากกระดาษชำระที่ตัดมาทั้งก้อน ชุบด้วยน้ำมันและขี้ผึ้งเพื่อให้มันแข็งตัวและไหม้ไฟช้าขึ้น    ทั้งหมดช่วยกันผูกก้อนเชื้อเพลิงที่ด้านตรงกลางของโคมเพื่อให้มันได้สมดุล  แล้วโคมจะลอยขึ้นสวย  

   “บอยผูกดี ๆ  หน่อยสิ  เดี๋ยวลอยโย้ไปเย้มานะ”  เมย์บอก  พางดึงกระดาษให้กลายเป็นรูปทรงกระบอก

   “ผูกดีแล้ว  แน่นแล้วด้วย  เอาเลยนัทจุดเลย”  บอยบอก

   นัทเอาไฟจุดที่ก้อนเชื้อเพลิง  ควันสีดำพวยพุ่งเป็นทาง  เข้าไปดันในกระดาษว่าวทรงกระบอกที่เมย์ถือไว้

   “เมย์ดึงสูง ๆ  ดิ  เดี๋ยวไฟไหม้โคม”  นัทร้องบอก  เมื่อแรงลมโหมไฟแรงขึ้น

   “เริ่มเต็มแล้วเมย์  จับขอบไม้ที่โคมไว้”  นัทร้องบอก  เมื่อควันไฟ  เข้าๆไปดันให้โคมนั้นกลายเป็นโคมที่พร้อมจะล่องลอยไปในอากาศ

   “แปลกจังมันลอยได้ไงนี่”  เมย์ทำหน้าแปลกใจ  เมื่อกระดาษจากโคมลอยค่อย ๆ  ตึงขึ้น

   “คิดตามหลักวิทยาศาสตร์ไงเมย์  ก๊าซที่เกิดจากการเผาไห้มวลต่ำกว่าอ๊อกซิเย่น  มันจะลอยขึ้นสู่ที่สูง  แต่มันมีโคมกระดาษมาดักเอาไว้  แล้วถ้าดักจนเต็ม  และยังมีมวลก๊าซอยู่เรื่อย ๆ  มันก็จะทำให้โคมลอยได้เหมือนบอลลูนไง”  บอยอธิบายฉาดฉาน

   ก็มันเด็กวิดยานี่นา  แล้วเรื่องพวกนี้ก็เรียนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ  แล้วด้วย

   คนล้านนาเก่ง  สามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์มาปรับใช้กับภูมิปัญญาชาวบ้าน  จนออกมาเป็นงานประเพณีที่หาดูได้ยาก  โคมเริ่มตึง  ลมพัดโคมไหวไปมา  แต่มือของทั้งสามยังยึดติดกันอยู่  โคมเลยยังไม่สามารถลอยได้อย่างอิสระ

   “เอาละนะ  คราวนี้หลับตาแล้วอธิฐานนะ  คนโบราณเชื่อว่าการลอยโคมคือการลอยทุกข์ลอยโศก  ใครที่มีทุกข์โศกลอยมันไปให้หมดนะ  อย่าเก็บมันมาจนต้องเสียน้ำตาอีกล่ะ”  นัทบอก  แต่สายตามองมาที่บอย

   บอยมันอ่านสายตานัทออก . . .

   . . .  นัทจงใจจะบอกมัน  

   ในสายตาของนัท   มีความรู้สึกเป็นเพื่อนให้มันเสมอ  มันละอายใจจังเลยที่กลับไปคิดกับนัทแบบนี้

   เสียงประทัด  และลูกโยนดังกันระงมไปหมด  บอยมันหลับตานิ่ง  มันขอ  มันขอให้อะไรก็ได้ในที่นี้  ช่วยมัน  ช่วยให้มันเดินกลับมาที่เส้น  

   “เพื่อน”  

   มันไม่อยากทรมานกับการรัก   แม้มันเต็มใจที่จะรัก  แต่มันรู้รักของมันผิด  มันผิดธรรมชาติ  มันไม่ใช่แนวทางที่ควรจะเป็น

   ไม่มีใครผิดที่จะรัก . . .

   . . .   และผิดที่เป็นคนถูกรัก  

   แต่มันผิด  ถ้าไม่รู้จักแยกแยะความรักนั้น

   เพื่อนที่ดีไม่ได้หากันง่าย ๆ . . .

   . . .  เหมือนหาซื้อปลาทูในตลาดนะ

   มิตรภาพมันต้องใช้เวลา  และใจ  สร้างมันขึ้นมา

   “ปล่อยแล้วน๊า”  นัทบอกพลางค่อย ๆ  ปล่อยมือจากที่เกาะกุมโครงโคม  

   เมย์กับบอยก็ปล่อยพร้อม ๆ  กับนัท

   โคมลอยสีขาวค่อย ๆ  ลอยละลิ่วขึ้นไปในอากาศ  ท่ามกลางแสงจัทร์นวลของเดินสิบสอง พลุดวงใหญ่หลากหลายสีถูกจุดขึ้นเรื่อย ๆ  

   ยิ่งดึกอากาศยิ่งหนาว  บอยมันเดินกอดอกตัวเอง  ข้าง ๆ  มันมีนัทเดินมาด้วยกัน  มันเพิ่งกลับจากการส่งเมย์กลับเข้าหอ  ถนนในมหาวิทยาลัยเริ่มเงียบ  เพราะดึกมากแล้ว  แสงไฟจากโคมถนนส่องสว่างเป็นระยะ  ลมหนาวกระทบผิวจนบอยมันรู้สึกได้  

   “ดีขึ้นยัง”  นัทเอ่ยขึ้นมาทำลายความเงียบ

   บอยยิ้ม  ก่อนหันไปมองคนที่เดิน  เคียงใกล้  

   “อะไรว่ะ”

   “ก็มึงไง  อาการดีขึ้นยัง”  นัทหันมามอง

   บอยมันลืมคิด . . .

   . . .  “เพื่อน”

   มันยิ่งใหญ่  กว่า . . .

   . . . “คนรัก”

   คนรักอาจจะคลายกันไปตามกาลเวลา  เมื่อใดที่เลิกรักจะยังมองหน้ากันได้อีกหรือปล่าวยังไม่มีใครสามารถตอบได้  

   แต่ . . .

   . . . เพื่อนนั้นมันคงอยู่  และยังอยู่ในหัวใจตลอดไป    

   “เป็นไร  ไม่ได้เป็นไรนี่”  บอยมันทำหน้าตาย

   “ไอ้ห่าบอย  ไอ้เวรนี่  ทีเมื่อค่ำเล่นไปทำมิวสิคบนดาดฟ้า  ทีตอนนี้มาบอกไม่เป็นไรถุยขอแตะทีเหอะมึง”  นัทกวาดเท้ามาที่ก้นบอย  

   แต่ช้ากว่าบอย  มันหลบส้นเท้านัทได้อย่างเฉียดฉิว  แล้วยังหันมาทำหน้าเยาะเย้ยอีก  “เอาดิ  แตะให้โดนดิมึง”  บอยมันทำหน้าล้อเลียนอีก  ก่อนวิ่งหนีนัทที่
ไล่แตะมันไปตลอดทาง

   นัทมันถอนหายใจยาว  ยาวกว่าที่เคยเป็นมาเสียด้วยซ้ำ  

   “บอยเอ้ย  แกคิดอะไรแบบนี้ว่ะ  แกคิดตั้งแต่เมื่อไหร่ว่ะบอย  เราน่าจะเป็นเพื่อนที่ดีกันได้นะบอย  แกไม่น่าคิดแบบนี้กับกูเลย”  นัทมันบ่นกับตัวเอง  เมื่อนึกถึงวันคืนเก่า ๆ  ที่มันรู้สึกว่า  มันเองก็สุขที่มีเพื่อนแบบบอย  มันไม่ได้คิดแบบบอยเกินกว่าที่บอยคิดเป็นแน่

   นัทมันไม่อยากจะเชื่อเลย . . .

   . . .  มันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบอยรู้สึกกับมันแบบนั้น  

   อย่างน้อยมันก็อยู่ชมรมวอลเลย์บอล  มันมีเพื่อนที่เป็นกะเทยมากหน้าหลายตา  บางคนชะม้ายชายตาให้นัทเสียด้วยซ้ำ  แต่ดูเหมือนว่านัทจะรู้ตัวว่าพวกนั้นคิดอย่างไรกับนัท  แต่สำหรับบอย  ทำไมบอยมันถึงปกปิดมิดชิด  มิดเสียจนนัทเองก็คาดไม่ถึง  

   นัทมันพยายามนึกถึงบอยในมุมที่นัทเห็น . . .

   . . . บอยคนนี้ไม่ใช่หรือที่ช่วยนัทสร้างสิ่งที่นัทอยากรู้  

   ก็ที่แม่นะไง . . .

   . . .  นัทนึกตาม  

   ใช่ !  

   ตอนปิดเทอมปีหนึ่ง  ที่แม่นะ  นัทมันมีโอกาสได้ใกล้บอย  และดูเหมือนว่าระยะเวลาหนึ่งเดือนนั้นมันเข้าใกล้บอยมากที่สุดแล้วล่ะ  มันกินนอนด้วยกัน  ทำงานร่วมกันแทบทุกอย่างแต่ทำไมบอยไม่มีอาการมารุกล้ำในร่างกายของนัทเลย  

   ถ้า . . .

   . . . คนที่แอบหลงรักนัท  

   มันต้องมีบ้างแหละ  ที่เขาจะต้องคอยถูกเนื้อต้องตัว  แต่บอยไม่ใช่  บอยเคยทำแบบนั้นกับมันหรือ

   นัทมันถอนหายใจอีกครั้ง  สมองมันเริ่มหนักอึ้ง

   ใช่ . . .

   . . . บอยมันมีอาการแหละ  

   ตอนที่เมย์แสบตาเพราะหอมแดง  คราวนั้นมันอยู่ด้วยกัน  แล้วบอยมันคล้าย ๆ  จะไม่พอใจเดินออกไปจากลุ่ม  บอยมันหึงนัทเหรอ  มันหึงที่นัทเอาอกเอาใจเมย์กระนั้นหรือ  แล้วภาพแห่งวันคืนเก่า ๆ  มันล่องลอยมายังนัทอีก  

   นัทจำได้ . . .

   . . .  คืนนั้นเล่นรอบกองไฟ  

   บอยมันร้องเพลงอะไร  คล้ายสื่อความหมาย  ทีแรกนัทอคิดว่าบอยมันชอบเมย์  แต่ความจริงแล้วไม่ใช่หรอกหรือ  บอยไม่ได้ชอบเมย์แบบที่นัทคิดในตอนแรก  แต่บอยชอบนัท

   มันแน่ใจแล้ว . . .

   . . . บอยแอบชอบมันจริง ๆ  

   เพราะหลังจากนั้น  หลังจากที่นัทกลับมาจากออกค่าย  บอยมันเริ่มห่างไป  มันห่างไปจนผิดสังเกตด้วยซ้ำ  เพียงแต่ตอนนั้นนัทมันทำอะไรอยู่หว่า  มันถึงได้ปล่อยให้บอยหลุดไปจากความรู้สึกของความเป็นเพื่อนไปได้  มันอาจจะเรียนอยู่คนละคณะด้วยมั้ง  แม้จะอยู่หอเดียวกัน  แต่มันก็คนละคณะอยู่ดี  

   นัทยิ่งมาตอกย้ำคำพูดของบิ้กก็ตอนที่นัทนึกได้  ตอนนัทผ่าเข่า  บอยไม่เคยไปเยี่ยมมันเลย  แต่มันรู้ตอนหลัง  บอยแอบมาตอนที่มันหลับ  และแอบมามองมันทุกวันตั้งแต่วันแรกที่มันเข้าโรงพยาบาลด้วยซ้ำ  

   นัทมันไม่เข้าใจ . . .

   . . .  บอยจะแอบมองมันทำไม  

   ถ้าบอยเข้าไปหามัน  คบกับมันเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ  บอยมันก็น่าจะคบกันได้ดี  และน่าจะคบกันได้ยืนยาวเสียด้วยสิ  เพราะบอยมันมีมุมหลาย ๆ  มุมที่นัทเองก็ยังอดชื่นชมบอยมันไม่ได้  อย่างน้อยก็เรื่องที่บอยมันมีแนวคิดใหม่ ๆ  ไปช่วยเหลือชาวบ้านไง

   เสียงโทรศัพท์มือถือ . . .

   . . . ปลุกให้นัทตื่นจากความฝันครั้งเก่า  

   นัทมองเบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอ  ก่อนจะกดปิดเครื่อง  เขาไม่อยากรับ  บิ้กมันอาจจะยังมีอะไรที่อยากบอก  

   แต่ . . .

   . . . มันไม่ใช่เวลานี้  

   เวลานี้นัทมันสับสน  มันยอมรับ  บอยเป็นเพื่อนที่ดีคนนึง  แต่มันไม่เคยมองบอยมากกว่านี้  วันนี้บอยมองมันเกินกว่าเพื่อน  มันจะทำอย่างไรกับบอยดี  มันได้แต่ถอนหายใจยาว  แล้วนอนลงบนพื้นถนนบนอ่างเกษตร  

   นัทมองไปบนท้องฟ้า . . .

   . . .   มันยากตั้งคำถามกับดวงดาวนับแสน  จะมีดาวดวงไหนที่ตอบคำถามมันได้บ้างนะ  ว่ามันควรจะทำอย่างไรกับเรื่องที่มันเพิ่งรับรู้มา

   นัทมันปล่อยให้ความคิดตัวเองไหลไปเรื่อย ๆ



   อพาร์ทเม้นท์ที่บอยอยู่ไม่ไกลจากร้านเท่าไหร่  บอยมันเลือกที่จะเดินกลับมาเงียบ ๆ  โดยมีดินเดินมาส่งมัน  ขณะนี้  ระหว่างมันกับนัท  เหมือนไม่มีอะไรกันแล้วกระมัง  ด้ายเส้นบาง ๆ  ที่ยึดมันเอาไว้ขาดสะบั้นลง ตั้งแต่ที่นัทยืนมองมันแล้วค่อย ๆ  หันหลังเดินจากมันไป  


   บอยมันรู้ . . .

   . . . มันเริ่มทำใจ  

   บางทีเวลาที่มันรักมาหกปี อาจจะนานมากเกินไปที่จะทำให้บอยทำใจได้ง่าย ๆ  ก็ได้กระมัง  บอยไม่รู้หรอก  อีกนานแค่ไหน  มันถึงจะลืมเรื่องร้าย ๆ  ที่เกิดกับมันได้  มันไม่โทษนัทหรอก  ไม่โทษนัทเลยจริง ๆ  นัทเป็นผู้ชาย  การที่นัทมารับรู้เรื่องราวแบบนี้  นัทคงช๊อคและยังรับไม่ได้

   บอยได้แต่หวัง . . .

   . . . สักวันนัทจะเข้าใจมัน  และยอมรับในสิ่งที่มันเป็น

   “บอย  บอยไม่อยากพูดอะไรเลยเหรอ”  ดินเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เดินเงียบ ๆ  กันมานาน  มันหันไปมองบอย  

   ดินมันห่วงบอย  

   ดินคงเป็นคนที่เข้าใจหัวอกของบอยที่สุดในเวลานี้  เพราะอย่างน้อย  ดินเองก็เคยตกยู่ในสภาพนี้มาก่อน

   บอยแค่หันมายิ้ม . . .

   . . . ดินมองลึกไปในแววตาของบอย  

   มันก็แค่อาการยิ้มเท่านั้น  ปากบอยมันฉีกกว้างออกบ่งบอกว่ายิ้ม  

   แต่ . . .

   . . . แววตาบอยมันร้าวลึก  

   มันไม่ได้สุขเลย  ดินมันรู้สึกเจ็บแปลบเข้าไปในหัวใจเลยทีเดียว  มันเข้าใจบอยดี บอยรักนัทมานาน  บอยมันปิดหัวใจรักไม่ให้ใครรู้มานาน  แต่วันนี้บอยมันเปิดแล้ว

   บอยเอื้อมมือไปคว้านัทแล้วล่ะ . . .

   . . . เหมือนที่ดินเคยเอื้อมมือไปคว้าบอย

   บอยมันคงเจ็บไม่ต่างจากดินวันนั้น  หรือบอยอาจจะเจ็บกว่าดินเสียด้วยซ้ำ  เพราะบอยคว้าได้แค่อากาศ  แค่ความว่างเปล่าเฉกเช่นที่เคยมา  

   แต่ . . .

   . . . ดินได้  

   ดินได้ในสิ่งที่ดินต้องการ

   บางครั้งถ้าบอยมันปล่อยไว้ . . .

   . . . แค่เอื้อม

   บอยอาจไม่เจ็บแบบวันนี้ก็ได้  

   บอยเคยบอกมันเอง  ถ้าเอื้อมแล้วเจ็บจะเอื้อมทำไม  ดินมันอยากถามบอยกลับเหมือนกัน  บอยเอื้อมทำไม  บอยเอื้อมนัทมันทำไมกัน

   “ขอบใจนะดิน  ขอบใจที่เป็นห่วง  บอยไม่เป็นไรแล้วล่ะ  ดีเหมือนกันจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เสียที  การที่เ ราหลงรักใคร  โดยที่เขาไม่รู้ตัวนี่มันเจ็บนะ  บอยหลอกตัวเองมาตลอดเลยดิน  บอยหลอกว่าสักวันนึง  นัทมันอาจจะมองบอยบ้าง  แต่บอยลืมคิดไป  นัทมันเป็นผู้ชายนะดิน  ผู้ชายที่ไหนเขาจะมามองอย่างเรา ๆ  ดินว่ามั้ย”  บอยมันหันมาถาม

   ดินได้แต่พยักหน้ารับ

   “บอยมันโง่เองดิน  โง่ที่คิดว่าผู้ชายเขามจะมารักเราได้  ถ้าบอยคิดกับนัทแค่เพื่อน  บางทีเรื่องแบบวันนี้มันอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้  เรื่องของบอยกับนัทมันคงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญในชีวิตบอยละดิน  แต่อย่างน้อยบอยก็ดีใจนะที่ดินอยู่วันนี้”   บอยหันไปมองดิน  มันมองดินดีกว่าวันเก่าก่อน

   อย่างน้องดินก็แสดงให้บอยเห็นว่า  ดินยืนข้างบอยเสมอ  แม้บอยจะไม่เคยมองดินเลยก็ตาม  บอยมันน่าจะมองดินแบบนี้มานานแล้ว  ถ้ามันย้อนเวลาได้  มันคงรักดินให้มากกว่าความเป็นเพื่อนที่มันมี  

   แต่ . . .

   . . . บอยมันรู้  

   มันให้ดินได้แค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น  เพราะมันปิดประตูหัวใจของตัวเองแล้วล่ะ  มันไม่กล้าจะรักใครอีกแล้ว  รักครั้งแรกของบอยมันเจ็บปวด  เสียจนแทบจะก้าวขาเดินไปข้างหน้าไม่ไหวด้วยซ้ำไป

   “ดินเสียใจนะบอย  ที่เคยทำอะไรไม่ดีลงไป  แต่ดินทำเพราะอะไร  ดินไม่พูดอีกแล้วล่ะ  บอยน่าจะรู้ดี”

   “บอยเข้าใจดินแหละ  เหมือนวันนี้แหละ  สิ่งที่ดินทำไปวันนั้นเหมือนกับสิ่งที่บอยทำไปวันนี้  ดิน . . .”  บอยเรียกเสียงอ่อนล้า

   “. . . กรรมมันสนองบอยแล้วล่ะ  บอยทำกับดินเอาไว้มาก  มาวันนี้  บอยกำลังโดนนัทมันทำแบบที่บอยเคยทำกับดินไง”  บอยมันปลง  บางเรื่องมันยากที่จะเอ่ยออกมา

   “ถึงแล้ว  บอยอยู่คนเดียวได้นะ”  ดินเอ่ยเมื่อเดินมาถึงหน้าอพาร์ทเม้นท์

   “ได้  บอยอยู่ได้แหละดิน  พรุ่งนี้บอยต้องลงไปใต้แล้วล่ะ  เอาเป็นว่าเราลากันตรงนี้เลยนะดิน  ถ้าบอยขึ้นกรุงเทพฯ  จะมาหาดินมาค้างกับดินนะ”  บอยมันยิ้ม

   ดินยิ้ม . . .

   . . .   มันรู้ดีที่สุด

   บอยอาจแค่พูดให้มันดีใจเล่น  แต่มันก็ยินดี  ที่อย่างน้อยบอยก็ยังไม่ลืมมัน  บอยยังมีใจจะมาหามันอยู่

   “ให้ดินโทรหาบอย บ่อย ๆ  นะ”  ดินย้ำคำว่า  “บ่อย”

   บอยหัวเราะเบา ๆ  ยิ้มกว้าง  

   คราวนี้ดินเห็นแล้ว . . .

   . . . บอยมันยิ้มจริง ๆ   มันไม่ได้แสแสร้ง

   “ได้สิดิน  โทรมาทุกวันเลยนะ  บอยจะได้ไม่เปลืองค่าโทรสัพท์หาดิน”

   “จริง ๆ  นะบอย  ดินโทรหาบอยทุกวันได้นะ”  ดินดีใจเหมือนเด็กได้ของถูกใจ  เขายิ้มให้บอย

   บอยไม่ตอบ . . .

   . . .  บอยเดินมากอดดินเอาไว้หลวม ๆ  

   บอยมันไม่เคยทำแบบนี้กับใครบ่อยนัก  แต่วันนี้มันรู้มันอยากกอดดิน  มันอยากกอดเพราะมันอยากกอด  มันไม่ได้คิดกับดินแบบนั้นแน่นอน  แต่มันก็กอดดินเอาไว้นาน  นานทีเดียว

   “จริงสิเพื่อนรัก  ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่  แค่ดินเห็นบอยเป็นเพื่อน  ไม่รู้สึกมากกว่าเพื่อนบอยก็ดีใจแล้ว  ดินเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่บอยเคยเจอมาเลยนะดิน  กูรักมึงนะโว้ย  ไอ้เพื่อนดิน”  บอยมันตบบ่าดินก่อนจะผละออกมา

   กูรักมึงนะโว้ย . . .

   . . . ไอ้เพื่อนดิน  

   ดินมันรู้แล้ว  มันได้เพื่อนคนเดิมของมันกลับคืนมาแล้ว  บอยห้ามไม่ให้มันคิดกับบอยเกินเพื่อนไม่ได้หรอก  เหมือนกับที่บอยห้ามไม่ให้บอยคิดกับนัทเกินเพื่อนไม่ได้นั่นแหละ

   “ไปนอนเหอะดิน  ค้างกับบอยก็ได้นะ”  บอยมันยิ้ม

   “นอนโรงแรมแหละดีแล้ว  ใกล้แค่นี้เอง  ดินคงไปส่งบอยพรุ่งนี้ไม่ทันนะ  แต่ดินจะส่งบอยตรงนี้แล้วกัน  บอยขึ้นไปเหอะ  ดินขอมองบอยเดินไปนอนจนลับตาแหละ  เดี๋ยวดินเดินกลับโรงแรมได้  ไม่ต้องห่วงหรอก”  ดินยิ้ม

   บอยมันเอื้อมมือมาจับมือดิน . .

   . . . บอยยิ้ม  มองหน้าดิน

   “ขอบใจอีกครั้งนะดิน  ขอบใจที่สุด”  บอยค่อย ๆ  ปล่อยมือจากดิน  ก่อนที่จะเดินเข้าไปในอพาร์ทเม้นท์  บอยหันกลับมามอง  ดินทำอย่างที่พูดแหละ  ดินยังยืนมองมอง  ดินยังหันมายิ้มกับบอยด้วยซ้ำไป  

   บอยมันยิ้ม . . .

   . . . ก่อนที่ประตูลิฟท์จะปิดลง

   บอยมันยืนพิงลิฟท์คล้ายคนหมดแรง  มันต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อไม่ให้ดินต้องกังวลใจ  มันแกล้งทำได้ตั้งนาน  แล้วถ้านับเวลาต่อจากนี้  บอยมันจะเข้มแข็งเหมือนที่มันทำต่อหน้าดิน  มันจะทำได้มั้ยนะ  มันถามตัวเองเงียบ ๆ

   มันจะลองทำดู  มันจะเก็บเรื่องราวของนัทเอาไว้ในความทรงจำเก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจของมัน   นับจากวินาทีที่มันเดินทางออกจากเชียงใหม่  นัทจะกลายเป็นความทรงจำของมัน  เพราะมันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง  ชีวิตที่มันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 23-07-2009 23:28:08
ความทรงจำแห่งความรัก

มันมีค่า....

แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไป ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำหรือยังไม่ได้เกิดขึ้น

เศร้าวันนี้ให้มากที่สุด....เเละเดินต่อไปด้วยรอยยิ้มที่มีค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 24-07-2009 18:16:33
 :m15:

ไม่เคยไม่เศร้า เวลาที่ได้อ่านเรื่องนี้
แต่ก็เชื่อนะ ว่าเพื่อน คำนี้น่ะ
มีค่าที่สุดแล้ว

เกินกว่านี้ บางที
ก็ทำให้ไม่สนิทใจพอ
ในความรู้สึกของอีกคนหนึ่ง

เขียนได้บรรยากาศ เศร้ามาก
อีกแล้วครับ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 25-07-2009 14:19:50
ขอบคุณครับ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: moonoi_sert ที่ 25-07-2009 15:01:22
 :m15:ความทรงจำแห่งรักคือความทรงจำที่มีค่าเช่นเดียวกับความทรงจำอื่น ไม่ผิดที่จะรักใครสักคนจนหมดใจ :m15:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 25-07-2009 16:22:17
เฮ้อ...อ่านแล้ว ทั้งดีใจปนไปกับความสงสาร อยากรู้จริงๆ ว่าต่อไปจะเป็นยังไง
ขอบคุณสำหรับเอาเรื่องมาแบ่งปันนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 25-07-2009 19:11:33
ไม่อยากเดาเลยว่าตอนจบเป็นยังไง

กลัวสุดท้ายจะเป็นเหมือนหนังไต้หวันเรื่องอะไรนี่แหล่ะเรื่องนึงเลยอ่ะ


อ๊ายยยยย   ไม่อยากคิด :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: mango ที่ 25-07-2009 20:06:11
Thank you Khun ราชบุตร,

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 26-07-2009 12:31:20

ต อ น ที่  ๒ ๒

แ ค่ เ สี้ ย ว น า ที


   ตอนพักเที่ยงจากสัมมนา  ดินมันรีบไปที่อพาร์ทเม้นท์นัท  วันนี้วันอาทิตย์มันหวังว่านัทคงจะอยู่ที่ห้อง  มันได้แต่ภาวนาในใจไปตลอดทาง  ระหว่างโรงแรมที่มันสัมนากับอพาร์ทเม้นต์ของนัท  มันไม่ไกลกันมากนัก  แต่ดินกลับรู้สึกเหมือนมันช่างไกลเสียเหลือเกิน

 
   ดินมันเร่ง . . .

   . . . ใจมันรีบ 

   เมื่อใจมันรีบ  แล้วพาตัวมันไปไม่ได้ดั่งใจ  มันเลยรู้สึกว่าไกล  ทั้ง ๆ  ที่ความจริงแล้ว  ปางสวนแก้วกับหลังมอชอมันไม่ไกลกันเลย  มันห่างกันไม่มากด้วยซ้ำไป  ดินจ่ายค่ารถมอเตอร์ไซด์  แล้วมันปรี่ไปแจ้งที่อพาร์ทเม้นว่ามันต้องการมาพบใคร  เจ้าหน้าที่  โทรไปติดต่อยังเจ้าของห้องก่อน อนุญาตให้ดินขึ้นไปได้

   มันโล่งใจไปเปราะนึงอย่างน้อยนัทมันอยู่ที่ห้อง  ดินกดลิฟท์ไปยังชั้นที่นัทอยู่  มันนึกในใจตลอดทางจะพูดอะไรกับนัทดี  มันจะพูดกับนัทเรื่องอะไรดีหว่า  มันรู้เพียงแต่ว่ามันสงสารบอย  มันไม่อยากเห็นน้ำตาของบอยอีกต่อไป

   ดินเดินออกมาจากลิฟท์  มันเดินมาช้า ๆ  ตามทางเดินที่ดูเหมือนจะมืดเสียด้วย 

   เหมือนหัวใจดินตอนนี้กระมัง . . .

   . . . หัวใจของดินมืดมิดไร้แสงสว่างมั้ง  ดินมาหยุดที่หน้าห้องนัท  ก่อนจะยกมือเคาะประตูเบา ๆ 

   แค่อึดใจเดียว  ประตูก็เปิดออก  ดินมันเห็น  นัทคล้ายเพิ่งตื่นมั้ง  เพราะยังอยู่ในชุดนอนอยู่เลย  นัทเปิดประตูค้างไว้  ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้อง  ดินเดินตามนัทเข้ามาเงียบ ๆ 

   นัทเดินไปเสียบกาต้มน้ำร้อน  ดินมันมองนัท  มันแอบถอนใจเบา ๆ  ชีวิตของนัทเรียบง่าย สบาย ๆ  แล้วนัทมันไม่เคยระแวงในความเป็นเพื่อนของบอยเสียด้วย 

   นัทมันรู้ . . .

   . . . รู้แล้ว 

   เมื่อคืนนัทมันเลยหนีออกมาก่อน  นัทมันคิดอะไรอยู่บ้างนะ

   “เอากาแฟสักถ้วยมั้ยดิน  เพิ่งตื่นว่ะ  เมื่อคืนมึน ๆ  เหมือนเมาค้าง”  นัทหันมาถามดิน

   “ไม่ดีกว่า  อยากคุยกับนัท  พักจากสัมมนาเลยรีบมา”  ดินมันไม่อ้อมค้อม  มันบอกเรื่องที่อึดอัดค้างคาหัวใจตัวเองมานาน

   “ด่วนขนาดนั้นเลยเหรอว่ะ  ขอล้างหน้าแปบนะ”  นัทหันมาบอกก่อนกลับหายเข้าไปในห้องน้ำ

   ดินหลับตาลงช้า ๆ 

   มันต้องรวบรวมความกล้า  มันต้องกล้ามากกว่าที่เป็นอยู่ 

   มันรู้ . . .

   . . . ถ้ามันพูดออกไปนัทอาจจะถามอะไรมันต่ออีกมากมาย  วันนี้มันพร้อมแล้วล่ะ  มันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแล้ว

   ดินมองนัทกลับออกมาจาห้องน้ำอีกครั้ง  หยดน้ำเกาะพราวตามหน้า  นัทหยิบผ้าขนหนูมาคล้องคอ  เขาใช้ชายผ้าซับน้ำที่เกาะอยู่ตามใบหน้า  แล้วเดินมานั่งลงบนเตียงใกล้ ๆ  กับดิน

   “เสร็จแล้ว  มีเรื่องด่วนเหรอ  หนีสัมมนามาเลยนะเรา”  นัทมันยิ้ม  มันไม่รู้มั้งว่าดินจะมาคุยกับมันเรื่องอะไรในเวลานี้

   นัทมันไม่เคยระแวง . . .

   . . . มันไม่เคยระแวงเพื่อน  มันคบกับเพื่อนด้วยความรู้สึกจริงใจเสมอ

   “เมื่อคืนรีบกลับออกมาทำไมว่ะ  ไม่รออีกหน่อยเล่า”  ดินยิงหมัดตรงเข้าไปหานัท

   นัทมันมองหน้าดิน . . .

   . . .   มันก้มหน้าต่ำ  มันกำลังใช้ความคิดมั้ง

   “บอยให้ดินมาพูดเรื่องนี้เหรอ”

   ดินยิ้มหยัน ๆ 

   นัทไม่เคยรู้จักบอย . . .

   . . . ไม่รู้จักบอยจริง ๆ  เพราะถ้านัทรู้จักบอยนัทจะไม่มีวันพูดแบบนี้ออกมาเป็นอันขาด

   “ไม่ใช่หรอกนัท  บอยมันคงจะกล้าหรอก  ถามจริง ๆ  เหอะนัทแกไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบอยมันเลยเหรอ”   ดินจ้องหน้านัท

   นัทพยักหน้าคล้ายยอมรับ

   “เวรจริง ๆ  เลย”   ดินมันบ่นออกมาเบา ๆ

   “ดินมึงรู้อะไรมาบ้าง  บอกกูได้ไหมดิน  กูไม่รู้อะไรเลย  เมื่อวานบิ้กกับกูเจอบอยที่เซ็นทรัล  แล้วบิ้กมันบอกกูว่าบอยชอบกู  กูไม่เชื่อไง  บอยมันเคยมีอาการที่ไหน  กูรู้จักกับมันเห็นมันปกติทุกอย่าง  พอเมื่อคืน  เพลงที่บอยมันร้อง  ทำให้กูคิดไงดิน   มันรวดเร็วมาก  มันตั้งตัวไม่ทันว่ะ”   นัทมันบ่นออกมายืดยาว

   มันตั้งตัวทันเสียที่ไหน  เพื่อนที่มัน คิดว่าเพื่อนกลับรู้สึกกับมันมากกว่าเพื่อน

   แล้วเพื่อนที่ว่าดันเป็นเพศเดียวกับมันเสียอีก

   “นัท. . . ”   ดินเรียกนัทเสียงละห้อย 

   ดินมองหน้านัท . . .

   . . . คล้ายจะบอกว่าถ้าวันก่อนนัทมองบอยให้ลึก  นัทคงจะเห็นแบบเดียวกับที่มันเห็น

   “บอยมันรู้สึกแบบนั้นกับมึงมาตั้งนานแล้วนัท  มึงไม่เคยมองมันเลยเหรอมึงถึงไม่รู้  ก่อนที่มึงจะไปแม่นะ  บอยมันวิ่งวุ่นหาสูตรปุ๋ย  เมล็ดพันธุ์ผัก  แทบไม่มีเวลาเรียนเลย  มันทำไปทำไม ถ้าเพราะงานนั้นไม่ใช่งานของมึง  มันจะบ้าทำไปทำไมว่ะนัทกูถามสิ  ถ้าไม่ใช่เพราะมันรักมึง”

   นัทแน่ใจแล้ว . . .

   . . .   แน่ใจทั้งความคิดของตัวเอง  และทั้งเรื่องที่ดินมันเล่ามา  นัทไม่เฉลียวใจเลยด้วยซ้ำว่าบอยจะคิดกับมันเกินเพื่อน  มันรู้สึกปวดหัวจิ้ดขึ้นมา

   นัทได้แต่มองหน้าดิน . . .

   . . .   ฟังดินเล่าต่อไปเรื่อย ๆ

   “ตอนมึงผ่าตัดเข่า  บอยมันไปโรงพยาบาลทุกวันไอ้นัท  มันไปดูมึง  แต่มันไม่เข้าไป  แม้กระทั่งตอนมึงออกจากโรงพยาบาล  บอยมันยังยืนมองมึงที่ระเบียงทุกวันเลย  มันมองมึงที่เมย์มารับไปเรียน  แม้กระทั่งเวลามึงไปเล่นแบดที่โรงยิมเย็น ๆ  บอยมันยังแอบไปมองมึงเลยนัท  มันรักมึงนัท  บอยมันรักมึงมานานแล้ว”    ดินย้ำ  ดินย้ำให้นัทรับรู้ในเรื่องที่บอยไม่เคยบอกใครเลย 

   สิ่งที่บอยกระทำ . . .

   . . . อยู่ในสายตาของดินตลอด  ดินไม่กล้าห้ามเพราะรู้ตัวเองดี  แม้กระทั่งตอนที่ย้ายมาอยู่หอนอก 

   ดินมันเห็น . .

   . . . บอยแอบไปมองนัทบ่อยครั้งที่โรงยิมหรือที่คณะ

   นัทนั่งนิ่ง  อย่างน้อยดินมันยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

   “แต่กูไม่เคยรู้สึกกับบอยมันเกินเพื่อนเลยนะดิน  กูคิดว่ามันเป็นเพื่อนกูคนนึง  กูไม่ได้มีความรู้สึกกับบอยมันแบบนั้นนะดิน”

   “เออ  กูรู้  ไอ้นัท  มึงมันผู้ชายคนนึง  มึงจะมองบอยมันแบบนั้นได้อย่างไรกัน  บอยเองมันก็รู้  มันเลยห่างมึงอกมาไง  มึงไม่เห็นเหรอ  พอออกมาอยู่หอนอก  มึงเคยเจอบอยมันกี่ครั้ง  ถ้าไม่บังเอิญจริง ๆ  มึงไม่ได้เจอบอยมันหรอก  บอยมันคิดเสมอว่ะนัท  มันอยากคบกับมึงแบบเพื่อน  แต่มันคิดแบบเพื่อนไม่ได้ไงมันเลยต้องคอยหลบหน้าไม่เอาตัวไปใกล้ชิดมึงเหมือนตอนปีหนึ่งปีสอง  มันรักมึง  แต่มันไม่อยากอยู่ใกล้มึง  มันแอบมองมึงเพราะความสุขของมันอยู่ที่มันได้มองมึง  มึงเข้าใจมั้ยนัท”   ดินมันมองบอย 

   แววตามันปวดร้าว . . .

   . . . มันกำลังทำอะไรลงไปหว่า  มันจะมาพูดกับนัท  ทำไม  ให้นัทเข้าใจบอยผิด ๆ  ไปเสียยังจะดีกว่า  อย่างน้อย  มันยังมีโอกาสได้ใกล้บอย 

   แต่ . . .

   . . . ดินไม่ทำ

   ดินไม่ทำ  เพราะดินรู้แล้ว  การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข  มันจะสุขมากกว่าการที่เราได้คนที่เรารักมาครอบครอง

   ความรักของดิน . . .

   . . .   มันเริ่มจากการอยากได้ครอบครอง 

   แต่ตอนนี้มันรู้แล้วล่ะ  มันอยากรักเพราะรักแบบที่บอยมีให้นัท  ดินมันอยากเห็นรอยยิ้มของบอย  มันอยากได้บอยที่สนุกสนานกลับคืนมา  มันเห็นแหละ  น้ำตาของบอย  ทำให้มันเจ็บปวด  มันไม่สุขเลย  ที่เห็นบอยร้องไห้  มันกลุ้มใจเรื่องน้ำตาของบอย

   ทุก ๆ  ครั้งที่มันเห็นบอยมองนัท . . .

   . . .  บอยไม่เคยมีแววตาของคนสมหวังเลย  ดินมันเห็นแววตามที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก  มันไม่อยากเห็นบอยเศร้า  ดินมันคิดเอาเอง บอยเศร้ามามากแล้ว  เศร้ามานานเกินไปแล้วกระมัง

   ดินมันเริ่มรู้จักรักแท้แล้วมั้ง

   “เมื่อคืนตอนมึงเดินออกมา  บอยมันเป็นไงมึงรู้มั้ยนัท  มึงลองคิดดูนะนัท  ถ้ามึงรักใครซักคนแล้ว  แล้วมึงกำลังจะจากคนที่มึงรักไปไกล มึงจะอยากเจอเขามั้ย  มึงอยากจะเห็นรอยยิ้มของเขามั้ย  บอยมันผิดหรือที่มันรักมึง  มันผิดมั้ยนัทกูถามมึงแบบนี้”

   นัทส่ายหน้าแทนคำตอบ . . .

   . . . บอยไม่ผิดหรอก  บอยมันรักแต่มันไม่บอก  มันไม่เอารักของมันมาครอบครองนัทไว้ด้วยซ้ำ

   “อย่างน้อยนะโว้ยไอ้นัท  บอยมันยังเป็นเพื่อนมึงนะ  ถ้ามึงเห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่เคยมีมา  มึงควรจะรู้นะโว้ยว่ามึงจะทำอย่างไรต่อไปดี  เกย์มันไม่เป็นกันง่าย ๆ  เหมือนหวัดนกนะมึง  ถ้าใจมึงไม่เป็นเสียอย่าง  ใครจะมาบังคับให้มึงเป็นไม่ได้ . . .”  ดินยิ้ม

   “. . . แต่ความเป็นเพื่อนนะนัท  มันไม่ได้หากันง่าย ๆ  นะโว้ย  มึงอาจคิดบอยเข้ามาในชีวิตมึงเพราะมันคิดแบบนั้นกับมึง  แต่มองลองมองย้อนกลับ  บอยมันเคยทำอะไรให้มึงเสียใจมั้ย  มันก็แค่อยากรักของมัน  ถ้ามึงคิดว่ามันยังเป็นเพื่อนมึงอยู่  มึงควรทำอะไรสักอย่างนะนัท  ก่อนที่บอยมันจะไปวันนี้  กูมีเรื่องจะคุยกับมึงแค่นี้แหละ  ขอโทษนะมึงที่กูมารบกวนเวลามึง  แต่เพราะกูไม่อยากเห็นคนที่กูรักต้องเสียใจ  บอยมันเพื่อนกูว่ะ  กูคงทำให้มันได้แค่นี้แหละ  ไปก่อนนะโว้ยนัท”  ดินลุกมาตบบ่านัทเบา ๆ  ก่อนที่จะเดินจากไป

   นัทเดินมาส่งดินที่ประตู . . .

   . . .  นัทมองดินเดินลับหายไปที่ลิฟท์ 

   ก่อนที่จะเดินกลับมาทิ้งตัวลงนอน  สายตาจ้องไปที่เพดานนิ่ง ๆ   มันคิดเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อคืนแหละ  มันคิดมาแทบทั้งคืนเสียด้วยซ้ำ  มันไม่รู้หรอกว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไปดี  ตอนนี้สมองมันสับสนไปหมด

   มันไม่เคยรังเกียจกะเทยหรือเกย์เลยนี่หว่า  เพื่อนในทีมวอลเลย์บอลมันก็มีหลายคน  แล้วกับบอยล่ะ  นัทมันตั้งคำถาม  มันรังเกียจบอยเหรอ

   ดินพูดถูก . . .   

   บอยรักเพราะอยากจะรัก 

   บอยห่างมันเพราะรักมันมากขึ้นหรอกหรือ  บอยไม่อยากรักมันเกินเพื่อนหรอกหรือ  บอยมาแอบมองมัน  เรื่องราวต่าง ๆ  ที่ดินเล่ามา  ทำให้นัทมันคิด  และมันคิดหนักเสียด้วย 

   นัทมันรู้ . . .

   . . . มันควรต้องทำอะไรสักอย่าง  เพื่อชดเชยสิ่งที่มันกระทำเมื่อคืน

   มันลุกเดินออกมาโดยไม่ล่ำลาบอยสักคำ  มันควรบอกลาเพื่อน  ก่อนที่เพื่อนจะไปทำงานไกล มันควรไปส่งบอยใช่ไหม

   นัทมันถามตัวเอง  มันควรไปให้บอยรู้ว่ามันยังเป็นเพื่อนกัน



   บอยลากกระเป๋ามาตามชานชาลาอย่างช้า ๆ  หัวใจมันหวิว ๆ  ชอบกล  มันยิ่งใกล้เวลาหัวใจมันยิ่งเหี่ยวแห้ง  ผู้คนที่เดินผ่านไปมา  มันเหมือนร่างที่ไร้ชีวิตที่อยู่คนละมิติกับคนเหล่านั้นเสียด้วยซ้ำ  มันแทบไม่รู้สึก รู้สากับสิ่งต่าง ๆ  รอบตัวมันเลย

   บอยชินกับการใช้ชีวิตในเชียงใหม่มาหกปี . . .

    ตอนนี้มันกำลังจะเดินทางไกลอีกครั้ง  มันต้องเดินทางจากจังหวัดทางเหนือ  ไปสู่จังหวัดทางด้ามขวานทอง  แม้มันไม่อยากจะไป  แต่บอยมันต้องไป  เพราะมันขอทุนของที่นั่นเอาไว้  มันต้องไปสอนใช้ทุน

   เส้นทางเดินชีวิตของมันกับนัทคงจบลงแล้วล่ะ . . .   

   มันไม่รู้ใครเป็นคนขีดเส้นกำหนดชีวิตของมัน  ทำไมต้องขีดให้มันเป็นแบบนี้  มันรู้ดีรักแบบมันรังแต่จะเจ็บ  จะมีแต่ความทุกข์  มันพยายามแล้วที่จะไม่รักนัทแบบนั้น  มันพยายามมาหกปีเต็ม  แต่มันทำไม่ได้  มันไม่สามารถห้ามหัวใจของมันได้เลย

   มันเดินเลยเส้นคำว่าเพื่อนมาตลอด

   ทั้ง ๆ  ที่บอยมันรู้ ถ้ามันกับนัทเป็นเพื่อนกัน  มันน่าจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้  แต่มันทำไม่ได้  มันไม่เคยจะทำได้เลย

   บอยมันอยากให้เวลาย้อนกลับ  ถ้ามันทำได้  มันอยากย้อนเวลาใหม่ทั้งหมด  มันไม่เคยเสียใจกับเรื่องที่ผ่านมา  มันดีใจด้วยซ้ำที่ชีวิตมันมีนัทก้าวเข้ามาในชีวิต 

   ถ้ามันย้อนเวลาได้มันจะย้อน  . . .

   . . .  มันจะทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่  มันจะทำให้ดีกว่าที่ผ่านมา  มันจะไม่ยอมหลบหน้านัท  มันจะยอมเป็นแค่เพื่อนกับนัท  ไม่ใช่เป็นแบบทุกวันนี้เด็ดขาด

   แต่ . . .

   . . . บอยมันไม่สามารถย้อนเวลาได้

   ไม่ใช่แต่บอย . . .

   . . .   ไม่มีใครสามารถย้อนเวลาได้เลยต่างหาก

   เวลามันเดินของมันไปเรื่อย ๆ  เราต่างหากที่ปล่อยให้เวลาเหล่านั้นมันตกหล่นเรี่ยราด  โดยที่ใยดีกับมันเลยด้วยซ้ำไป

   บอยมันไม่รู้ตอนนี้มันมีหัวใจหรือปล่าว  หรือแค่ร่างที่เดินได้  เพราะมันแทบไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น  มันเหลือบมองดูนาฬิกาเรือนกลมตัวเลขโรมันที่ชานชาลา  ยังมีเวลาอีกกว่าครึ่งชั่วโมงที่รถจะออก 

   บอยมันเดินไปยังตู้ที่มันได้จองเอาไว้  มันเดินขึ้นไปช้า ๆ  ของแล้วนั่งลงยังที่นั่งของมัน  มือบอยกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น  บอยกำลังใช้ความคิด 

   บอยกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง . . . 

   แล้วบอยมันก็แพ้ตัวเอง  บอยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู  ก่อนจะกดไปยังเมนูข้อความ  ด้วยมือที่สั่นระริก  แล้วบอยกดไปที่ส่งข้อความใหม่

   “ . . I . .  “  บอยกดตัวนั้นลงไปช้า ๆ  มันแหงนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง  คล้ายตัดสินใจบางอย่าง

   “really. . “  บอยกดอักษรอีก ๖ ตัว  น้ำตามันเริ่มเอ่อ  มันกำลังต่อสู่กับความรู้สึกของตัวเอง

   “. . . love”    บอยกด  แล้วยิ้ม  บอยยิ้มทั้ง ๆ  ที่สายตาพร่ามัว

    “you”    บอยมันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกกว่าที่เคย

   “. . . Nat.”   มันตั้งใจแน่วแน่ 

   ชาตินี้ . . . 

   มันจะไม่มีวันลืมชื่อนี้เป็นอันขาด  เจ้าของชื่อคือคนที่มันรัก  แม้เขาจะไม่เคยรักมันเลยก็ตาม  แต่มันยินดีที่จะรักเขาแบบนี้  ต่อจากวันนี้ไป  มันคงจะมีแค่วันวานเท่านั้นที่พอทำให้บอยมันระลึกถึงได้บ้าง  มันจะเก็บเอาความรู้สึกที่ดีที่มันเคยมีให้นัทเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจยามมันอ่อนล้า  มันจะต้องทำให้ได้  มันต้องอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ  ใบนี้ให้ได้

   “From boy.”     มันกดอักษรชุดสุดท้าย  ก่อนที่จะมองที่หน้าจอนั้นอีกครั้ง

   “I really love you Nat.   From boy.”   

บอยมองตัวอักษรทั้งหมดที่หน้าจอ  บอยมันตัดสินใจแล้ว  มันชั่งใจแล้วแหละ  ว่าหลังจากที่มันส่งข้อความนี้แล้ว  คนรับอาจจะไม่อยากเจอมันอีกเลยตลอดชีวิตก็ได้  เขาอาจไม่มองมันเป็นเพื่อนอีก 

แต่ . . .

มันไม่สนใจแล้ว  มันเดินมาถึงสุดสายปลายทางแล้วล่ะ  มันไม่เห็นมีนัทเลย  แล้วถ้าข้อความนี้จะทำให้มันกับนัทขาดลง  มันก็ยินดี  เพราะบอยมันตัดสินใจแล้ว

   บอยมันหลับตา . . .

. . .   น้ำตามันไหล 

   ก่อนที่จะใช้นิ้วกดส่งข้อความไปหานัท!

   บอยซบหน้าเข้าหากระจก . . .

   . . .   มันไม่อายหรอกใครจะมองมันแบบไหนมันไม่สนใจใครทั้งนั้น  มันรู้แค่ว่า  มันไม่ไหวแล้ว  มันอยากจะร้องไห้  มันเสียใจที่หัวใจมันรักนัทแบบเพื่อนไม่ได้  มันไม่อยากจากเชียงใหม่ไป  มันอยากยืนอยู่บนแผ่นดินเดียวกับคนที่มันรัก

   บนแผ่นดินที่มีแต่หยาดน้ำตาของมัน

   ข้อความถูกส่งแล้ว  บอยมันคล้ายโล่ง ๆ  อย่างไรไม่รู้  มันรู้สึกเหมือนพันธนาการความรัก . . .

   . . . ระหว่างมันกับนัทขาดลงแล้ว 

ตอนนี้มันไม่เจ็บแล้วล่ะ  มันเหมือนเป็นอิสระ  มันค่อย ๆ  ยกมือปาดน้ำตาทิ้ง  แล้วยิ้มกับตัวเอง  บอยปลอบโยนตัวมันเอง

   เข้มแข็งไว้นะบอย . . .

. . .  เอ็งต้องไปอยู่ไกล 

ไกลมาก . . .

    ต่อจากนี้  เวลาเอ็งต้องการกำลังใจเอ็งมาแอบมองไม่ได้แล้วนะ  เพราะฉะนั้นเอ็งต้องใช้สองขาของเอ็งยืนหยัดบนโลกนี้ให้ได้นะ  เอ็งต้องรักตัวเองมาก ๆ  นะ 

    บอยมันเฝ้าแต่ปลอบโยนตัวเอง  ก็บอยมันไม่มีใครที่จะปลอบใจมันนี่หว่า
   


   นัทเดินออกมาจากห้องน้ำ  เพราะเมื่อคืนกว่านัทจะได้นอนก็เกือบรุ่งสาง  นัทมันทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาระหว่างมันกับบอย  บอยอาจคิดไปเอง  แต่ถ้านัทไม่เล่นด้วยกับบอย  บอยมันก็ทำได้แค่การแอบรักข้างเดียวเท่านั้นเอง   แล้วยิ่งดินมาบอก  นัทมันสงสารบอยจับใจ 

   คนเราห้ามหัวใจตัวเองมันยากนัก . . .

   . . .  แต่นัทเห็นแล้วบอยมันห้ามตัวมันเอง  บอยห้ามหัวใจตัวเองไม่ให้รักนัทไม่ได้  แต่บอยห้ามไม่ให้ร่างกายมาพัวพันกับนัทได้  นัทมันตั้งใจแล้ว  มันจะไปส่งบอย  มันจะบอกบอย   

   “บอย อย่าคิดแบบที่ผ่านมาเลย  เราเป็นเพื่อนกันเถอะ” 

   ความรักห้ามกันไม่ได้ . . .

   . . .   แต่มันยังมีความเป็นเพื่อนกันได้

   เพื่อน . . .

   ในความเป็นเพื่อนนัทมีให้บอยเสมอ  บอยไม่ใช่เหรอที่คอยช่วยเหลือมัน  ทำความฝันของมันให้สำเร็จ  บอยจะทำเพราะอะไรก็ช่าง  แต่บอยพิสูจน์ให้นัทเห็นแล้ว  บอยมีน้ำใจกับทุกคนที่บอยช่วย  บอยอาจจะเหนื่อย  แต่นัทมันก็ไม่เคยเห็นบอยจะบ่นเลยสักครั้งเดียว

   นัทหยิบเอายีนส์ตัวโปรดมาสวม  แล้วหยิบเสื้อคอกลมสีขาวมาสวม  แล้วหยิบโทรศัพท์มามอง  หน้าจอโชว์   

   “คุณมี ๑ ข้อความใหม่”

   นัทเปิดเข้าไปดู  แล้วมันขมวดคิ้ว

   “I really love you Nat.   From boy.”

   “ไอ้นี่  จะไปอยู่แล้ว  ยังเล่นไม่เลิก”  นัทส่ายหน้าไปมา  มันไม่คิดหรอกว่าบอยจะมั่นคงกับมันขนาดนี้ 

มันไม่รู้หัวใจบอย . . .

    . . . แต่มันรู้หัวใจมัน 

ไม่เคยโกรธบอย  เมื่อวานมันอาจจะยังงงกับเรื่องที่มันรับรู้  แต่มันคิดแล้ว  มันทบทวนแล้ว  บอยไม่ผิด  มันไม่ผิด  เพราะฉะนั้น  การที่มันเดินออกมาเมื่อวานอาจจะกระทบใจเพื่อน  มันจะต้องไปเจอบอย

   บอยส่ง  SMS มาให้มัน 

   แต่นัทมันตั้งใจแล้วมันจะต้องไปคุยกับบอยให้รู้  มันรีบออกมาจากอพาร์ทเม้นท์  นัทมันเอาโทรศัพท์ใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง  แล้วนัทมันคร่อมที่มอเตอร์ไซด์คันโปรดของมัน  ก่อนจะสตาร์ทแล้วปิดออกไปอย่างรวดเร็ว 

   ถนนวันอาทิตย์ค่อนข้างโล่ง . . . 

   นัทลัดเลาะมาตามถนนสายในกำแพงเมืองอย่างชำนาญ  จากเส้นสวนดอก  มาออกยังเส้นสะพานนวรัฐ  มันรู้เพียงแต่ว่า  มันต้องคุยกับบอย 

   ถึงนัทมันจะรู้  บอยคิดกับมันแบบไหน  แต่มันอยากจะบอกบอย  มันยังเป็นเพื่อนบอย  ที่เมื่อวานมันเดินจากมา  เพราะมันยังช๊อคกับเรื่องที่มันเพิ่งรับรู้  ตอนนี้มันรู้แล้วล่ะ  ความเป็นเพื่อนกันมันสำคัญ  มันต้องใช้เวลาที่สร้างกันมานาน

   นัทไม่โกรธหรอกที่บอยจะคิดแบบนั้น  เพราะเหมือนที่ดินบอก  บอยมันห้ามหัวใจตัวเองมาตลอด  ถ้าเจอบอย  นัทจะบอกบอยว่า 

   “ตามใจมึงเหอะ  ถ้ามึงจะคิดกับกูแบบนั้น  แต่กูคิดกับมึงแค่เพื่อนเท่านั้นเอง  เพราะอย่างไร  กูก็เคยเป็นเพื่อนมึง  และเป็นเพื่อนที่มึงน่าจะจำได้ดีกว่าเพื่อนคนอื่นด้วยซ้ำไป”

   นัทมันขับมอเตอร์ไซด์ผ่านสะพานนวรัฐ  สายลมพัดหอมกลิ่นน้ำ  นัทมันสูดเข้าเต็มปอด  แล้วมันก็มาชะลอเพื่อเลี้ยวขวาเข้าไป 

   “สถานีรถไฟเชียงใหม่”
   
   บอยมันสูดลมหายใจเข้าปอดลึก  ราวกับว่าจะจดจำกลิ่นเชียงใหม่เอาไว้นานเท่านาน  เสียงประชาสัมพันธ์ประกาศ  ขบวนรถพร้อมเดินทาง  เสียงหวูดสัญญาณจากหัวรถจักร  ดังแหลมบาดเข้าไปในหัวใจของบอย  แล้วขบวนรถก็ค่อย ๆ  เคลื่อนตัวออกอย่างช้า ๆ  บอยมันหลับตานิ่งราวกับจะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่เชียงใหม่เอาไว้

   สิ่งที่บอยจะเก็บเอาไว้ได้คือความรู้สึกดี ๆ  ที่ผ่านมาเท่านั้น

   มันเลือกเก็บเอาเฉพาะสิ่งที่ดี . . .

   . . .  ส่วนที่ดีที่สุดในชีวิตของบอยที่เชียงใหม่ 

   คือการที่มันได้รู้จักความรัก 

   แม้จะเป็นรักที่ไม่สมหวังก็ตาม  แต่มันได้เรียนรู้  ตราบใดที่บอยรักเพื่อนที่จะรัก  ความรักไม่มีวันย้อนมาทำอะไรบอยได้เลย  แต่ถ้าหากวันใดบอยคิดจะครอบครองคนที่บอยรัก  วันนั้นบอยจะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

   บอยมันได้เรียนรู้ด้วยตัวเองเรียบร้อยแล้ว

   นัทมันจอดรถไว้  . . .

   แล้วมันวิ่งรี่เข้ามาในชานชาลา   

   ขบวนรถกำลังเคลื่อนตัวออกไป    นี่มันมาช้าไปเหรอ  มันวิ่งตามขบวนรถที่กำลังออกไป  มันมองลอดไปตามหน้าต่าง  มันหวังจะเห็นบอยอยู่ในนั้น  ขบวนรถยังวิ่งช้ากว่ามันเสียอีก  มันวิ่งตามไปจนถึงโบกี้ที่บอยนั่งอยู่แล้วเชียว  แต่มันหมดเรี่ยวแรงเพราะขบวนรถเคลื่อนเร็วขึ้นตามลำดับ   

   ถ้านัทมันไปอีกแค่สองหน้าต่างของโบกี้ . . .

   . . . มันจะเห็นบอย

   นัทมันคิด  ถ้ามันเห็นบอยมันจะกระโดดขึ้นตามไป  แล้วมันจะคุยกับบอย  มันค่อยไปลงที่ลำพูนก็ได้  ขบวนรถเพิ่ม ความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ    นัทมันเริ่มหมดหวัง  มันยืนนิ่ง ๆ  ให้ขบวนรถค่อย ๆ  ลับหายไปในที่สุด

   บอยมันรู้สึกเหมือนหัวใจโดนกระชากเมื่อขบวนรถเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ  มันลืมตาขึ้นอีกครั้ง  ด้วยสายตาที่ยังพร่ามัวด้วยหยาดน้ำตา  ทิวเขาที่สลับสล้างมันเห็นอยู่ไกล ๆ  มันยกมือท่วมหัวไหว้พระธาตุดอยสุเทพ . . . .

   ต่อจากนี้ . . .

   . . .  ชีวิตของมันคงจะไม่ได้เจอนัทอีกแล้วกระมัง 

   แต่ไม่เป็นไรหรอก  มันยังมีนัทในหัวใจมันเสมอ  ต่อจากนี้ไปมันต้องเข้มแข็ง  มันต้องอยู่อีกต่อไปให้ได้  หกปีสำหรับคนอื่นอาจจะนาน  แต่สำหรับบอยมันเหมือนเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อวานนี้เองด้วยซ้ำไป

   ถ้าเพียงแต่บอยชะโงกหน้าออกมานอกหน้าต่าง  แล้วมองกลับหลัง 

   บอยจะเห็น . . .

   . . . . ที่ปลายทางเส้นนี้มี

   นัท

   คนที่บอยรอมาตลอดหกปีที่เชียงใหม่  มันคลาดกันแค่เสี้ยวนาทีเท่านั้นเอง

   ถ้าเพียงแต่ . . .

   . . . นัทมาเร็วกว่านี้ 

   ถ้าเพียงแต่ . . .

   . . . บอยชะโงกหน้ามองย้อนออกมา

   มันจะเข้าใจเองโดยไม่ต้องพูดกันเลยด้วยซ้ำ 

   “เพื่อน” 

   ยังไงก็คือเพื่อน 

   แต่มันคงไม่ใช่  สวรรค์จึงเล่นตลกกับมัน  โลกให้ความสุขมาคู่กับความทุกข์ฉันใด  โลกก็ให้เสียงหัวเราะมาคู่กับเสียงร้องไห้ฉันนั้น

   ใครเลยจะเลี่ยงสิ่งที่โลกให้มาได้

   นัทมันยืนนิ่ง ๆ . . .

   มองขบวนรถที่แล่นหายลับไปกับตา  ก่อนที่นัทจะกวาดตามองไปรอบ ๆ  ชานชาลา  นัทมันหวัง  บอยอาจจะไปกับรถอีกขบวนก็ได้  มันมองผ่านผู้คนที่มันไม่คุ้นตาเลยสักคน  มันไม่ได้บอกกับบอย  มันไม่ได้ให้บอยรู้เลยด้วยซ้ำ 

   “มันยังเป็นเพื่อนบอย  มันยังเป็นเพื่อนกับบอยเสมอ”

   ใช่ . . . 

   . . . บอยส่งข้อความเข้ามา 

   มันต้องมีเบอร์บอยสิ  มันยิ้ม  พลางล้วงกระเป๋า  แล้วใบหน้านัทก็มีแววฉงน  นัทใช้มือควาญหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง  ทั้งสองข้าง 

   นัทจำได้  มันหยิบมาแล้วนะ  มันหยิบโทรศัพท์มาแล้วจริง ๆ 

   หรือว่าหล่นหาย . . .

     โธ่โว้ย! 

   แล้วมันจะมาหล่นหายเอาอะไรตอนนี้  มาหายเอาตอนที่มันต้องการใช้เสียด้วย  มันไม่ได้จดเบอร์เพื่อน ๆ  ไว้ด้วยสิ  ทุกเบอร์มันบันทึกเอาไว้ในเครื่องทั้งนั้น  แล้วมันจะคุยกับบอยได้อย่างไรกันนี่   

   มันหันซ้ายหันขวา  คล้ายคนที่กำลังหงุดหงิด  มันไม่รู้เหมือนกัน  วันนี้ทำไมมันซวยแบบนี้  มันมาส่งบอยไม่ทัน  แล้วโทรศัพท์เจ้ากรรมของมันก็ดันหายเสียอีก  มันได้แต่ปลงกับเรื่องที่เกิดขึ้น 

   นัทเดินคอตกกลับออกไปจากชานชาลาช้า ๆ

   ทุกอย่างคล้ายหยุดนิ่ง . . . 

   นัทมันได้แต่หวัง  สักวันมันจะได้เจอบอยอีกครั้ง  แล้วมันจะบอกบอย  ถึงมึงจะคิดแบบไหน  แต่มึงยังเป็นเพื่อนของกูเสมอนะบอย  มันได้แต่หวังสายลมจะพาความรู้สึกของมันในตอนนี้ไปถึงบอย  นัทมันหวังแค่นั้นจริง ๆ


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 26-07-2009 14:59:25
ขอบคุณมาก ๆ ครับ คุณราชบุตร

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 26-07-2009 15:05:16
 :serius2:

ให้มันได้อย่างนี้ซิครับ

ทำไมซื้อหวยไม่ถูก

ชื่อมัน...แค่เอื้อม...ดังนั้น

เอื้อมยังไงก็ไม่มีทางถึง

คนอ่านก็อ่านไป สงสารไป

ร้าวใจไปกับ คนชื่อ...บอย

ถ้าเปลี่ยนชื่อเรื่อง อาจสมหวังขึ้นมาบ้าง

จะรอตอนที่เขาเจอกัน

ครับ

 o13

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 26-07-2009 22:52:37
เอื้อมไคว่....

เอื้อมคว้า....

กลับมา  มือเปล่า....

เพียงแค่สองเรา ฝันเฝ้า ทรงจำ.........

 :o12:

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: jackoo ที่ 27-07-2009 10:44:09
ใจจะขาดแล้วครับ.....คุณราชบุตร   ขอบคุณมากๆเลย :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 27-07-2009 23:01:44


ตอนที่ ๒๓

วันใหม่  . . .  ชีวิตใหม่



   ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในรถ  ทำให้กระจกมีฝ้าขาว  คนที่นั่งเอาหน้าพิงกระจกมองลอดออกไปตามรายทางอย่างแปลกตา  สองข้างทางล้วนมีต้นไม้แปลก  ๆ  ที่เขาไม่คุ้นตา


   ต้นอะไรก็ไม่รู้ปลูกเป็นแถวเป็นแนวอย่างเป็นระเบียบ  แต่ทำไมมันไร้ใบหว่า  มันคล้ายไม้ทิ้งใบพร้อมกัน  หรือว่ามันตายยกสวนกันแน่นะ  บอยมันมีคำถามกับตัวเอง  เมื่อรถแล่นผ่านสวนยางพาราที่กำลังผลัดใบ

   เมื่อวานมันมาถึงกรุงเทพฯ  ตอนเช้า  มันเข้าไปพักที่บ้านญาติ  ก่อนที่จะมาขนส่งสายใต้ที่อยู่แถวปิ่นเกล้า  บอยมันไม่ชอบเลยกับสถานีขนส่งที่ดูเล็ก  เมื่อมันไปเทียบกับสถานีขนส่งหมอชิต  รู้แบบนี้มันนั่งรถไฟต่อไปดีกว่า 

   แต่พี่ต้นนะสิ . . .

   . . .  พี่ต้นบอกมันว่า 

   ที่อำเภอเมืองสุราษฏร์ธานีไม่มีสถานีรถไฟ  เพราะสถานีรถไฟสุราษฏร์ธานีนั้นตั้งอยู่ที่อำเภอพุนพิน  ซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ ที่บอยต้องไปใช้ทุน  รถทัวร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับบอย

   ที่จริงรถควรจะมาถึงตั้งแต่รุ่งสางเสียด้วยซ้ำ  แต่บังเอิญว่าตอนที่รถวิ่งมาถึงทับสะแก  ยางรถยนต์เกิดระเบิดไปเส้นนึง  บอยมันจึงเสียเวลาไปร่วมสองชั่วโมง  ก็ดีเหมือนกัน  เพราะถ้ามันมาถึงรุ่งสางมันจะหารถไปยังสถานที่นั้นได้อย่างไรกัน  การมาถึงเช้าทำให้บอยมีเวลาที่จะเดินทางเข้าไปรายงานตัวได้ง่ายขึ้นกระมัง

   บอยมันเดินทางไกล  กว่า ๑,๕๐๐  กิโลเมตรเห็นจะได้ 

   จากจังหวัดที่โอบล้อมด้วยขุนเขา  บัดนี้มันมายืนงงเหมือนกะเหรี่ยงตกดอยอยู่ที่จังหวัดริมทะเลแห่งหนึ่งในภาคใต้  เสียงรถสองแถวตะโกนโหวกเหวกเรียกคนให้ต่อรถเพื่อจะเข้าไปในเมือง  ขนส่งของที่นี่อยู่ห่างจากตัวเมืองมาราว  ๔ กม. 

   บอยมันชินกับการอยู่ในจังหวัดใหญ่ แบบเชียงใหม่  มันจึงมองที่นี่ด้วยสายตาที่แปลกออกไป  ขนส่งมันไม่ใหญ่แบบเชียงใหม่อาเขต  แล้วรถราที่จะต่อเข้าในเมืองมันไม่มากเหมือนที่เชียงใหม่

   “ไปไหนน้อง  เข้าเมืองหม้าย” 

   คนหน้าตาดุ ๆ  ชี้หน้ามัน  แล้วพูดกับมันด้วยภาษาท้องถิ่น  สำเนียงดุ ๆ  ห้วน ๆ  บอยมันไม่กล้าตอบ  มันฟังไม่รู้เรื่อง  มันได้แต่ ก้มหน้าหงุด

   เวรเอ้ย! 

   บอยเฝ้าโทษตัวเอง  ห่าบอยเอ้ย  ทำไม ไม่เลือกเอาทุนที่มันดีกว่านี้ว่ะ  มาเลือกห่าไรที่นี่  มันหงุดหงิดพาลโทษตัวเอง

   “ไอ้ไหรบ่าวนี้  ถามไหรก็ไม่แหลง” 

   ชายคนเดิมพูดอะไรกับมันอีก  มันไม่เข้าใจ  มันอยากร้องให้ออกมาด้วยซ้ำ  เวรกรรมจริง ๆ  บอยเอ้ย  มันจะไปยังไง  จะเอายังไงกับชีวิตต่อไปดีหว่า

   “ไงไอ้เสือ  นึกว่าไม่รอแล้วนี่” 

   บอยเงยหน้ามองคนที่ทักทายมัน 

   บอยยิ้มตาหยี . . .

   . . . พี่ต้นนั่นเอง 

   มาช้ากว่ามันเสียอีก  มันแทบจะกระโดดกอดเลยด้วยซ้ำไป  มันดีใจอย่างที่สุด  มันนึกไม่ออกเลย  ถ้าพี่ต้นไม่มารับมัน  มันจะไปยังไงต่อดีหว่า  เช้า ๆ  แบบนี้  กับสถานีขนส่งเล็ก ๆ  มันไม่ชินเลยให้ตายดิ

   “ของมีแค่นี้เองเหรอ”  พี่ต้นชี้ไปที่สัมภาระของมัน

   “ครับพี่  มารายงานตัวก่อนนะพี่  แล้วค่อยขึ้นไปขนของที่เพชรบูรณ์อีกรอบ  ผมกลัวแทบตายพี่  นึกว่าจะไม่มารับซะแล้ว”  มันบอก  พลางลุกตาม   พี่ต้นที่หยิบของของมันหิ้วแล้วเดินไปที่รถ

   “เอา  ก็เอ็งบอก  รถยางแตกเสียเวลาราวสองชั่วโมงไง  เลยไม่อยากตื่นมาเช้า  เป็นไงบ้างมาสุราษฏร์เที่ยวนี้ถึงสุราษฏร์เสียทีคราวที่แล้วไปเกาะเต่าลงทางชุมพรไม่ได้เข้าเมือง”  พี่ต้นยิ้มให้มัน  ก่อนเปิดกระโปรงหลังเอาของมันไว้  แล้วไปประจำที่คนขับ

   “ไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน  เดี๋ยวสาย ๆ   พี่จะพาเข้าไปที่ทำงานของเอ็ง  พี่หยุดได้แค่สองวัน  ต้องขึ้นไปทำงานกรุงเทพฯ  อีก . . .”  คนมารับหันมายิ้มอีกรอบ

   “. . . สองวันนี้  จะพาให้รู้จักสุราษฏร์ฯ  ให้ทั่วก่อน  เวลามาอยู่จริงจะได้ไม่หลง  แต่เมืองมันเล็กจิ้ดเดียวเอง  ไม่กี่วันมาอยู่ก็ชินไปเองแหละ”

   บอยมันเข้าไปนั่งข้างคนขับ  มันควรขอบคุณพี่ต้น  อย่างน้อยพอพี่ต้นรู้ว่ามันต้องมาใช้ทุนที่สุราษฏร์ฯ  พี่ต้นก็บอกกับมันเลย  ว่าลงมาวันไหนให้บอกมาล่วงหน้า  จะมาพาตะรอนในเมือง  ในความโดดเดี่ยวเดียวดาย มันยังพอมีโชคดีหลงเหลืออยู่บ้าง

   “บอบคุณนะพี่ต้น  อุตส่าห์ลางาน”  มันบอก  บอยมันเกรงใจจริง ๆ 

   “โอ้ย  เรื่องเล็กว่ะ  หาเรื่องหยุดอยู่แล้วด้วย  นี่ถนนเส้นนี้  เขาเรียกถนนสุราษฏร์ฯ – พุนพิน  นะ  จำไว้ล่ะเลี้ยวขวาไปพุนพิน  ซ้ายเข้าเมือง  มันเป็นเส้นทางเดียวที่จะไปกรุงเทพฯ ได้”  พี่ต้นบอกเมื่อ  ออกมายังถนนใหญ่  ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าเมือง

   บอยมันพยักหน้ารับ  มันมองสองข้างทาง  มันเริ่มเห็นรถราเริ่มมาก  เพราะวันจันทร์ เช้า ๆ  คนเริ่มออกมาทำงานกระมัง

   “นี่  ตรงไปทางโลตัสนั่นเป็นถนนเลี่ยงเมือง  คล้าย ๆ  ซุปเปอร์ไฮเวย์ที่เชียงใหม่แหละ  แต่ที่นี่ถนนเล็กกว่า  สุราษฏร์ฯ เป็นจังหวัดที่เพิ่งเจริญมั้ง  เพราะสมัยก่อนความเจริญทางภาคใต้ตอนบนไปกระจุกตัวอยู่ที่นครศรีธรรมราช  แต่ตอนนี้สุราษฏร์ฯ  เริ่มแทรงหน้าแล้วล่ะ  ส่วนเส้นที่เราไปนี่  เป็นถนนเข้าเมือง  ซ้ายมือนั่นโรงแรมไดมอนด์เพิ่งมาเปิดได้มั้ยนาน” 

   บอยมองตามพี่ต้นที่ชี้ไปที่อาคารแท่งสี่เหลี่ยมสูง ๆ  ที่ริมถนน  มันเริ่มจดจำกับสิ่งที่พี่ต้นบอก  อย่างน้อยมันยังต้องใช้ทุนที่นี่อีกนาน  มันต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานที่ใหม่ให้เร็วที่สุด  พี่ต้นขับมาเรื่อย ๆ    ไม่เร่งรีบ  อาจเพราะอยากให้มันคุ้นกับสถานที่  ตามที่พี่ต้นบอกก็เป็นได้

   “นี่โรงพยาบาลสุราษฏร์ฯ  เล็ก ๆ  ไม่ใหญ่เหมือนที่เชียงใหม่หรอก  ส่วนขวามือนั่น  โรงเรียนพาณิชย์กับวิทยาลัยตาปี  เดี๋ยวพอเราข้ามสะพานก็จะถึงโรงแรมวังใต้ทางซ้ายมือนะ  เป็นโรงแรมที่เก่าแก่ของจังหวัดมั้ง”  บอยมองเมื่อพี่ต้นขับรถข้ามสะพาน    ทางริมแม่น้ำมั้ง  ทางซ้ายของมันมีโรงแรมที่ค่อนข้างเก่าตั้งอยู่

   “แล้วแม่น้ำนี้ล่ะครับแม่น้ำอะไร”  บอยมันถาม

   ต้นหัวเราะเบา ๆ

   “ไม่ใช่แม่น้ำ  นี่เขาเรียกคลองมะขามเตี้ย  อยากเห็นแม่น้ำเหรอ  เดี๋ยวพาไปดู” 

   “หัวเราะทำไมพี่  คลองอะไร  ทำไมใหญ่จัง”

   “คลองจริง ๆ  คลองนี้จะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำตาปี  ตรงข้างหน้านี้แหละ  แยกนี้เรียกแยกวัดโพธิ์นะ  ถ้าเราเลี้ยวขวาไปในลึก  ออกทางเยื้อง ๆ แมคโคร  แต่ถนนแคบมาก  ส่วนตรงไปนี่เป็นถนนสายหลัก  ชื่อถนนชนเกษม  เป็นที่ตั้งของศูนย์ราชการหลายที่  เลี้ยวซ้ายดีกว่านะ  อยากเห็นแม่น้ำไม่ใช่หรือ” 

   พี่ต้นหักพวงมาลัยมาทางซ้าย  แล้วบอยมันก็เห็น  แม่น้ำสายใหญ่  ที่ขนานไปกับถนน  ไกล ๆ  ของสายตามันมองเห็นสะพานข้ามแม่น้ำ

   มันแปลกใจ . . .

   . . .  ทำไมฝั่งที่มันอยู่เจริญด้วยอาคารพาณิขย์ต่าง ๆ  มากมาย 

   ส่วนอีกฝั่งของแม่น้ำเต็มไปด้วยต้นมะพร้าว  แล้วยังมีสวนสุขภาพที่กลางแม่น้ำอีกด้วย  เกาะอะไรหว่า  ใหญ่ทีเดียว  ดูร่มรื่น  มันเคยชินกับจังหวัดที่โอบล้อมด้วยขุนเขา  แต่ตอนนี้มันมาอยู่ในจังหวัดที่ติดกับแม่น้ำแล้วล่ะ

   “เกาะตรงนั้น  เกาะอะไรเหรอ พี่”  บอยมันชี้ไปที่เกาะกลางแม่น้ำ

   “เกาะลำพู  ไว้จะพาข้ามไปนะ  ฝั่งขวานี่ตำรวจน้ำ  แล้วก็สถานีตำรวจ  ส่วนที่เห็นเป็นศาลาเรือนไทยนั่นนะ ศาลหลักเมือง  เพิ่งสร้างไม่กี่ปีเอง  สมัยก่อนที่ศาลหลักเมืองนี่ยังเป็นสนามศรีสุราษฏร์อยู่เลย”  พี่ต้นอธิบายบอยมันไปเรื่อย ๆ 

   บอยยกมือไหว้ไปที่ศาลหลักเมือง   

   บอยคงเหมือนคนไทยทั่วไปกระมัง  เพราะอย่างน้อย  สิ่งยึดเหนี่ยวที่หลาย ๆ คนยึดถือไว้สืบมาจากความเชื่อทั้งทางศาสนา และความเชื่อที่สืบต่อกันมาทั้งนั้น  บอยมันก็เหมือนคนไทยคนอื่น ๆ  ที่พร้อมจะยกมือไหว้ไปยังสถานที่ที่คนทั่วไปเคารพบูชา

   “แยกหน้าเราตรงไปไม่ได้นะ  มันเป็นวันเวย์  ต้องเลี้ยวซ้ายกับขวาเท่านั้น  ตรงที่คนเยอะ ๆ  นะตลาดสด  เหมือนกาดหลวงที่เชียงใหม่ไง  เราเลี้ยวซ้ายดีกว่านะเลียบแม่น้ำไปเรื่อย ๆ”  พี่ต้นบอก  พลางเลี้ยวไปทางซ้าย

   แถวนี้ล้วนแต่มีพ่อค้าแม่ค้าขายของเต็มไปหมดเลย  สมกับที่พี่ต้นบอกว่าเป็นตลาดสดจริง ๆ    เมื่อพี่ต้นเลี้ยวมาทางถนนเลียบแม่น้ำบอยมันมองผ่านไปยังอีกฝั่งของแม่น้ำ  อาคารไม้เก่า ๆ  ที่ดัดแปลงเป็นร้านอาหารมั้งเพราะป้ายมันบอกชวนชิม  เต็มไปหมด  ส่วนฝั่งที่พี่ต้นขับ มันก็พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่มาจับจ่ายตลาด  เพราะถนนเส้นนี้ มีทั้งรถเร่ที่มาจอดขายผักผลไม้มากมายทั้งเส้นทางเลยทีเดียว

   บอยตื่นตาตื่นใจกับวิถีชีวิตผู้คนที่แปลกตาไป . . .

   มันมองไปในแม่น้ำ  มีเรือหางยาวลำเล็ก ๆ  มั้งจอดเรียงรายกันแน่นไปหมด  บางลำวิ่งหัวเชิดเสียงดังไปอีกฝั่งของแม่น้ำ  แล้วลับหายไปตามคลองเล็ก ๆ 

   “นั่นนะท่าเรือเกาะ  สมัยก่อนคนที่จะไปสมุย พะงัน  ต้องมาขึ้นเรือที่นี่ทั้งนั้น  เรืออกห้าทุ่มกว่าจะไปถึงเกาะก็เช้า  แต่เดี๋ยวนี้เหรอสะดวก  เฟอรรี่วิ่งกันทั้งวัน  ท่าเรือเกาะเลยกลายเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าเสียส่วนมากนะ” 

   บอยมองตามพี่ต้นบอก  เรือลำใหญ่ ๆ  ที่ดัดแปลงมาจากเรือหาปลาจอดเรียงรายอยู่สามสี่สำ  คนงานกำลังง่วนกับงานของตัวเอง  มีทั้งลังพลาสติกหลากสี  ถังแก๊สขนาดต่าง ๆ  ที่คนงานละเลียงขึ้นมาจากเรือ  ถัดจากท่าเรือ  บอยเห็นอาคารหลังเล็ก ๆ  มันอ่านป้ายที่อาคาร 

   “ห้องสมุดประชาชน”

   บอยมันตื่นตา  ตื่นใจกับสถานที่แปลกใหม่  จนมันลืมไปเลยว่า  เมื่อสองวันก่อน  มันเพิ่งเสียน้ำตามาหมาด ๆ  ที่นี่อาจทำให้บอยเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง  ฟ้าที่เมืองริมทะเลสวยจริง ๆ  มันเป็นสีฟ้าอ่อน

   บอยมันเริ่มวาดภาพ . . .

   . . . ชีวิตใหม่ของบอยจะเริ่มต้นอีกครั้ง  ที่นี่บอยจะมีชีวิตอีกแบบ  อย่างที่บอยไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิตมั้ง  เพราะสถานะของบอยในที่นี่คือ คนที่พร้อมจะทำงาน

   มันหมดสภาพนักศึกษาแล้วล่ะ  ต่อจากนี้มันจะเป็นผู้ให้  มันต้องโตเป็นผู้ใหญ่  สิ่งที่ผ่านมาในชีวิตเหมือนบทเรียนที่บอยมันได้เรียนรู้และผ่านมาได้ 

   มันจะไม่ลืมนัท . . .

   . . . เพราะมันรู้  นัทคือส่วนที่ดีที่สุดในชีวิตที่บอยเคยเจอ  มันจะไม่ลืม  และไม่มีวันลืมได้เลยตลอดชีวิต



   บอยมันแปลกตา  มันตื่นเต้นกับสถานที่ใหม่ของมัน  พี่ต้นขับรถพามันออกมาทางอำเภอนาสาร  ผ่านเขาลูก ๆ  เล็ก ๆ  ที่พี่ต้นบอกมันว่า 

   “เขาท่าเพชร” 

   เป็นที่ตั้งของพระธาตุศรีสุราษฏร์ฯ  แล้วพี่ต้นเลี้ยวซ้ายเข้าทางถนนสายใหม่  ที่จะมุ่งไปสู่สถานที่ทำงานของมัน  บอยมันชินกับการเรียนในมหาวิทยาลัยใหญ่ติดอันดับของประเทศ  มันชินกับเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศอย่าง เชียงใหม่ 


   แต่ . . .

   . . . ที่นี่ 

   เป็นเพียงแค่เมืองขนาดกลาง  องค์กรที่บอยทำงานยังเป็นเพียงองค์กรขนาดเล็กเท่านั้นเอง

   อาคารหลังใหญ่สีขาวหลังคาสีน้ำเงินเข้ม ที่สร้างเป็นจั่วลดหลั่นกันลงมา  สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างสมัยใหม่ กับสถาปัตยกรรมท้องถิ่นดูแปลกตาในสายตาของบอยที่เป็นคนทางเหนือ 

   แต่ . . .

   . . . อาคารหลังใหญ่นี้กลับดูเด่นเป็นสง่าท่ามกลางฉากหลังเขียวขจีของเขาลูกย่อม ๆ  ใกล้ตัวเมือง  บอยมันรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง  อย่างน้อยบรรยากาศที่นี่ก็ไม่เลวร้ายจนเกินไป  บอยมันชินกับมหาวิทยาลัยที่มีเขาด้านหลังมาหกปี 

   หกปีก่อนนั้นมันอยู่ในฐานะนักศึกษา 

   ต่อจากนี้มันอยู่ในอีสถานะหนึ่ง   ตอนนี้บอยไม่ใช่นักศึกษาแล้วล่ะ  แต่บอยคือทรัพยากรของชาติที่สมบูรณ์ที่พร้อมจะทำงานแล้วกระมัง

   บอยมันลงจากรถ  พี่ต้นพยักหน้าให้มัน  ก่อนจะออกรถกลับไป  มันต้องรายงานตัว  และไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด  พี่ต้นบอกมันเสร็จธุระของมันให้โทรบอก  จะกลับมารับ  บอยกะเวลาที่พี่ต้นขับรถมาจากในเมืองไม่เกิน ๑๕  นาที 

   มันสูดลมหายใจเต็มปอด  ก่อนที่จะเดินเข้าไปในอาคารหลังนั้น  มันพร้อมแล้วล่ะที่จะเดินไปในเส้นทางใหม่ของชีวิต  เส้นทางที่มันขีดเองตั้งแต่วันที่มันตัดสินใจขอทุนเรียนต่อบอยรู้มันต้องมาใช้ทุนในองค์กรเล็ก ๆ  ที่นี่

   กว่ามันจะทำอะไรต่อมิอะไรเสร็จก็บ่ายแก่ ๆ . . . 

   ที่นี่มีหอพักสำหรับบอยด้วยแฮะ  บอยค่อนข้างโชคดีเพราะหลังจากที่รายงานตัวเรียบร้อยแล้ว  มันก็ได้ห้องพักเลย  มันยิ้มแย้มแจ่มใสกับแม่บ้านที่พามันไปดูห้องพัก  ห้องยังใหม่มั้ง  เพราะที่นี่เปิดมาไม่นานแหละ  และมีไม่กี่หน่วยงานในองค์กรของมัน   แต่ที่บอยชอบที่สุดเห็นจะเป็นบรรยากาศของที่นี่  ที่บอยรู้สึกเหมือนว่าไม่แตกต่างจากรั้วลูกช้างที่บอยจากมา  บอยชอบภูเขา 

   เพราะบอยเกิดท่ามกลางแนวทิวเขาที่รายล้อมโอบอ้อมมันอยู่  แล้วมันยังไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่ริมเขาอีกตั้งหกปี  ตอนนี้มันจบ  มันต้องทำงานตามที่ได้ร่ำเรียนมา  มันยังมาอยู่กับภูเขาอีก  มันแปลกชีวิตมันคงแยกจากภูเขาไม่ได้แน่ ๆ  มันคิดถึงเชียงใหม่จับใจเมื่อมองไปยังภูเขาทีไร

   บอยยังอาลัยในสถานที่เก่าอย่างมิลืมเลือน . . .

   . . . หรือยังอาวรณ์ถึงคนที่โน่นกันแน่

   มันจะลืมได้อย่างไรกัน 

   ที่นั่น . . . 

   . . . มีอะไรให้บอยได้จดจำเยอะเลยทีเดียว

   บอยมันเดินดูรอบ ๆ  องค์กร  ที่เหมือนบริษัทเล็ก ๆ    มันไม่ได้ใหญ่เท่าเฌองดอย  แต่ที่นี่มันอยู่ตีนเขาเหมือนกัน  มันคิดดูแล้วเห็นทีต้องเอามอเตอร์ไซด์มาใช้  เพราะเวลาที่ออกไปในเมืองจะลำบากมากทีเดียว  ไม่เป็นไร  ยังมีเวลาอีกเกือบเดือนที่มันจะเริ่มทำงาน  มันต้องกลับไปบ้าน  เอาเจ้ามอเตอร์ไซด์ทะเบียนเชียงใหม่มาวิ่งในเมืองหอยใหญ่ให้ได้ 

   มันไม่ซื้อใหม่หรอก . . .

   . . .  เปลือง

   สำหรับบอยแล้ว 

   . . . เงินมีค่าทุกสตางค์  ไม่ใช่ทุกบาท

   เสียงโทรศัพท์บอยดัง  โทรศัพท์มันยังรุ่นเก่าอยู่เลย  เครื่องนี้แม่ซื้อให้มันตอนมันเรียนปริญญาโท  ราคาหลายเงินอยู่แหละ  แต่มันยังใช้การได้ดี  มันยังไม่เปลี่ยนหรอก  จะใช้มันไปเรื่อย ๆ  แบบนี้แหละ  เงินเดือน เดือนแรก  บอยจะให้แม่ทุกบาททุกสตางค์เลย  อย่างน้อยมันยังมีเงินเก็บอีกเล็กน้อย  สำหรับใช้ไปได้อีกหลายเดือน  แม่คงภูมิใจ  ที่เห็นมันได้ทำงานเสียที

   บอยตั้งใจ . . .

   . . .  มันจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ 

   ต่อไปนี้บอยจะรักตัวเอง  บอยจะรักแม่ให้มาก  บอยรู้แม่ลำบากเพื่อมันมามาก  มันรู้แหละ  แม่รักมัน  ในขณะที่มันไปรักใครก็ไม่รู้  แต่หลังจากนี้มันจะรักแม่ให้มากขึ้น 

   “ครับแม่  ถึงแล้วครับ”  บอยพูดไปยิ้มไป 

   แม่โทรมา  ห่วงมันมั้ง  นอกจากพี่ต้นแล้ว คนแรกที่โทรหาบอยเมื่อบอยเหยียบผืนดินที่นี่คือ . . .

   . . . แม่

   แม่พูดอะไรอีกมากมาย  สอนเหมือนมันเป็นเด็ก  เป็นลูกเล็ก ๆ  ของแม่   ในสายตาของแม่มันยังไม่โตหรอก  แม่เห็นมันเป็นเด็กอยู่เสมอ  มันไม่ได้เจอแม่นานแค่ไหนแล้วนะ  มันคิดถึงแม่จัง  มันอยากกอดแม่  หอมแก้มแม่  ใครจะว่ามันลูกแหง่มันไม่สนหรอก 

   มันรู้แค่  นี่แม่ของมันมันอยากกอดอยากหอมได้ทุกเวลา  ไม่เหมือนคนอื่นหรอกมันได้แค่หลงรูปจูบเงาเท่านั้น

   หลงรูปจูบเงา . . .

   . . . ดูเอาเหอะ 

   แม้แต่เวลาที่มันคิดถึงแม่ คนนั้นยังมาป่วนในหัวใจมันเล่นอีกจนได้

   มันยิ้ม . . .

   . . .  ช่างมันเหอะ 

   ไกลกันตั้งพันกว่ากิโลเมตร  ยังไงเสีย  มันก็คงดีขึ้นกว่าเดิม  ดีกว่าที่มันอยู่ใกล้ ๆ  นัทด้วยซ้ำไปมั้ง  ตอนนี้มันไกลทั้งตัว  ไกลทั้งใจแล้วล่ะ  มันถอนหายใจเบา ๆ  ก่อนที่จะเดินไปนั่งรอพี่ต้น

   เสียงเรียเข้ามาอีก  บอยดูเบอร์แล้วยิ้ม  มันกดรับทันที 

   “หวัดดีครับ”

   “บอย  เป็นไงบ้างที่ทำงานของบอยลำบากมั้ย”  เสียงดินทักทายมา  ดินมันห่วงมั้ง  น้ำเสียงมันบอก

   “ก็ดี  ไม่ใหญ่มากนะดิน  พี่ต้นพามา  ดินจำพี่ต้นได้มั้ยดิน  พี่ต้นที่เรียนที่ตีนดอยไง  บ้านแกอยู่ที่นี่ดิน”  บอยเล่าไปพลางนั่งมองไปตามถนนรอคนที่กำลังพูดถึง

   “จำได้บอย  จำได้  บอยอยู่ได้แน่นะ”  ดินยังไม่วายห่วง

   “ได้สิดิน  มาใช้ทุนเขานะ  อยู่ไม่ได้ก็ต้องได้แหละดิน  ที่นี่เมืองไม่ใหญ่แบบเชียงใหม่หรอก  ออกจะเล็กกว่าเชียงรายอีกมั้ง  แต่ที่ทำงานของบอย  ติดภูเขาด้วยดิน  เหมือนที่มอชอแหละ  แต่ที่นี่เขาลูกเล็กไม่ใหญ่มากดิน  ไว้ดินว่างดินลงมาเที่ยวนะ”  บอยมันรู้ 

   มันแพ้ดินแล้วล่ะ . . .

   . . .  ดินดีกับมันเหลือเกิน

   มันหลงไปเองที่คิดคว้าดาว . . .

   . . . ทั้ง ๆ  ที่รู้ว่าดาวนั้นไกลเหลือเกิน

   มันหลงกับแสงของดาว  โดยไม่ก้มหน้าลงมองดิน

   ดินที่มันเหยียบ  ที่มันย่ำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน  ถ้ามันรักดินได้ก็คงจะดี  แต่มันรักดินได้แค่เพื่อนเท่านั้น  แม้ตอนนี้มันจะไม่มีใคร  แต่ดินก็ไม่อาจแทรกเข้ามาในหัวใจของมันได้  เพราะดินก็เป็นดิน  ไม่อาจเข้ามาแทนที่หัวใจได้เลย

   หัวใจของบอยมันไม่เอาใครเข้ามาซ้ำรอยคนนั้นโดยเด็ดขาด

   ถ้ามันไม่มีใครในชีวิตนี้ก็ช่างหัวมัน  แต่มันจะไม่ยอมให้ใครมาเบียดพื้นที่ในหัวใจของมันที่มีให้นัทเด็ดขาด

   “ดินจะไปนะบอย  ดินจะไปหาบอย  แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ  นี้หรอกบอย  ถ้าบอยมีอะไร  โทรหาดินนะบอย  ดินจะกลับกรุงเทพฯ แล้วล่ะไว้ดินกลับถึงกรุงเทพฯ  จะโทรหาบอยใหม่นะ  ดูแลตัวเองนะบอย”  น้ำเสียงดินเหมือนไม่อยากจะวางสายด้วยซ้ำไป 

   “อืม  ไว้บอยเข้าที่เข้าทางจะโทรหาดินนะ  เพื่อนรัก”  บอยมันเน้นตรงคำพูดสุดท้าย

   สิ่งที่บอยมีให้ดินคือ . . .

   . . .   “เพื่อน”

   มันต้องพูดกันเอาไว้  อย่างน้อยเพื่อไม่ให้ดินคิดว่ามันหันมามองดิน  ตราบใดที่มันยังไม่เปิดหัวใจ  ใครก็เข้ามาไม่ได้  มันไม่อยากให้ดินเจ็บเพราะมันอีก  บอยรู้  การรักเขาข้างเดียวมันเจ็บปวดเช่นไร  มันไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับใคร

   รถพี่ต้นเลี้ยวเข้ามาแล้ว  บอยดีใจอย่างน้อยมันก็ยังมีคนที่รักมันหลงเหลืออยู่บ้าง  มันไม่ได้โชคร้ายไปทั้งหมดหรอก  มันโง่เองที่หลงคิดว่าโลกนี้มีแต่นัท  แต่ตอนนี้บอยรู้แล้ว  โลกนี้กว้างกว่าที่มันเคยเจอ  มันมีมิตรที่ดีหลายคนเชียวล่ะ  มันควรรักษามิตรที่มันมีเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่มันจะทำได้

   ส่วนนัท . . .

   . . .  นัทคือคนที่มันรัก 

   อย่างไรเสียมันคงจะลืมนัทไม่ได้หรอก  เพราะหัวใจมันหลอมเป็นเนื้อเดียวกับคนชื่อนัทแล้วกระมัง



   “เป็นไง  รายงานตัวเรียบร้อยแล้วเหรอติดขัดมั่งมั้ย”  พี่ต้นถามด้วยความห่วงใย  เมื่อมันขึ้นมานั่งบนรถ

   “เรียบร้อยดีพี่  มีที่พักให้ด้วย  ย้ายเข้ามาอยู่ได้เลยนะครับ  แต่ผมคงต้องอาสัยพี่ไปก่อนคืนนี้  พรุ่งนี้ค่อยย้ายเข้ามาดีกว่านะพี่”  มันหันไปยิ้มกับคนขับ

   “ได้ ๆ  จะย้ายวันไหนก็ได้  เพราะพี่อยู่อีกแค่สองวันเอง  วันพุธต้องขึ้นกรุงทพฯ  แล้วล่ะ  ทำงานต่อ”


   พี่ต้นบอก . . .

   . . .   บอยมันนึกเศร้า  เดี๋ยวมันก็ต้องอยู่คนเดียวอีกแล้วล่ะสิ  มันยังไม่รู้จักใครในเมืองนี้เลย  แต่ช่างเหอะ  มันเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมาหกปีแล้ว  จะสนทำไมว่าจะมีใครที่มันรู้จักหรือไม่รู้จักเหลืออยู่ในแผ่นดินที่มันยืนอยู่อีก

   “จำได้มั้ยนี่สี่แยกอะไร”  พี่ต้นถาม  เมื่อรถมาจอดรอสัญญาณไฟ

   บอยมันนึก  มันแอบเปิดสมุดเล่มเล็ก ๆ ที่มันจดเอาไว้

   “สี่แยกบางใหญ่ใช่มั้ยพี่  ตรงไปก็เข้าเมือง  ส่วนถนนเส้นที่ตัดกันนั่นเป็นถนนเลี่ยงเมืองเลี้ยวซ้ายไปกรุงเทพฯ  แล้วขวาไปนครศรีธรรมราช  หรือจะเข้ามเมืองอีกก็ได้  แล้วก็มีค่ายวิภาวดีรังสิต  สุสานคนจีน  ห้างบิ้กซี”  บอยมันยิ้ม  มันจดไว้ไม่น่าพลาด

   พี่ต้นยิ้ม  ก่อนจะออกตัวเมื่อได้สัญญาณไฟเขียว

   “เก่งนี่  รู้จักถนนหลักหลายเส้นแล้วด้วย  แบบนี้รับรอง  อีกไม่นานปิดตาเดินได้ทั่วเมืองแน่”

   “อ้าวพี่  ก็ผมจดไว้นี่ไง  แต่เหมือนที่พี่บอกแหละ  ที่นี่เมืองเล็ก  ผมจำแค่ถนนสายหลักที่พี่พามาเมื่อเช้า  มันทอดยาวจากเหนือจดใต้  กับถนนเส้นนี้  รู้สึกว่ามันจะขนานกับถนนสายหลักในเมืองนะพี่”

   “ใช่แล้ว  เพราะมันคือถนนเลี่ยงเมืองนี่หว่า  แล้วถนนสายหลักในเมืองก็ขนานไปกับแม่น้ำตาปีอีก  เพราะฉะนั้นใครขับรถในสุราษฏร์ฯ  แล้วหลงนี่  เชยระเบิดเลยว่ามั้ย”

   “ใช่ครับพี่ . . .”  บอยยืดอก

   “. . . เออ  พี่ต้น  แล้วตรงไปนี่ไปที่ไหนเหรอครับ”  บอยถามอีก  เมื่อต้นมาหยุดรถรอสัญญาณไฟที่สี่แยกอีกครั้ง

   “นี่เขาเรียกสี่แยกบางกุ้ง  ตรงไปก็เป็นปากน้ำตาปี  มีถนนอีกสายก็สายเดียกับที่เรือที่จะไปเกาะสมุยจอดอยู่ไง  ที่ผ่านมาเมื่อเช้านะ  จำได้มั้ย”  ต้นอธิบายพลางหันไปมอง

   บอยพยักหน้ารับ

   “ส่วนเลี้ยวซ้ายก็เข้าเมือง  ทางขวานี่ไปไหนรู้มั้ย”  พี่ต้นแสร้งถาม

   “นครศรีธรรมราชไงพี่  ป้ายออกโตขนาดนั้น”  บอยมันชี้ไปที่ป้ายบอกทาง

   “เออ  จริงแฮะ  ไม่น่าถามเลยตู  เดี๋ยวจะพาไปกินอาหารทะเล  ชอบกินอะไรเหรอเรานะ”  พี่ต้นหันมาถาม

   “ปูครับพี่  ปูทะเล  ปูม้ากินได้หมดเลยพี่  ยิ่งกรรเชียงนึ่งมะนาวนะพี่  อร่อยสุด”  มันชักหิวขึ้นมาทันทีเมื่อพี่ต้นพูดถึงของกิน

   ก็มันยังไม่มีอะไรตกถึงท้องตั้งแต่เช้าเลยนี่หว่า

   พี่ต้นขับรถออกมานอกเมือง  มันมองสองข้างทาง ที่ล้วนไปด้วยสวนยางพาราที่กำลังผลัดใบ

   “พี่  แล้วที่นี่มันแล้งขนาดต้นไม้ตายยกสวนเลยเหรอ  มีแต่ยืนต้นตายเต็มไปหมด”  มันชี้ไปสองข้างทาง

   “อะไรนะ  ไหน”

   “นั่นไง”

   พี่ต้นหัวเราะชอบใจใหญ่  ขันมันแหละ  พลางเหลือบมามองมันด้วยสายตาเอ็นดู

   “ไม่ใช่  นี่นะพืชเศรษฐกิจของภาคใต้เลยนะ  ยางพาราไง  รู้จักมั้ย  พอหมดฤดูฝนย่างเข้าฤดูร้อนยางพาราจะผลัดใบจนร่วงโกร๋นแบบที่บอยเห็นนั่นแหละ  แล้วพอไม่นาน  มันก็จะมีใบอ่อนออกมาเหมือนเดิม  ช่วงยางผลัดใบนี้ชาวสวนเขาจะไม่ตัดยางกันหรอก”  พี่ต้นอธิบาย

   “ตัดยาง  อะไรเหรอพี่”

   “เออลืมไป  พูดยากวุ้ย  คนละภาคนี่  ตัดยางคือกรีดยาง  ชาวสวนถือว่าช่วงยางผลัดใบนี่เขาไม่กรีดกัน  ให้ต้นยางได้พัก  จนกว่าจะมีใบใหม่นั่นแหละถึงจะกรีดยางอีกครั้งนึงที่นี้เข้าใจยัง” 

   บอยพยักหน้ารับ . . .

   . . . มันได้ความรู้ใหม่ ๆ  มันไม่รู้นี่หว่า  ชีวิตมันเดินทางไกลสุดก็ครั้งนี้ละมั่ง  คราวก่อนมันมาแค่ชุมพรเอง  แล้วข้ามไปเกาะเต่า  แต่คราวนี้มันมาไกลเหลือเกิน  สิ่งที่มันไม่รู้  มันก็ต้องถาม  ถามพี่ต้นไว้ก่อนแหละดี  ดีกว่าคอยถามคนอื่น ๆ  เพราะเขาอาจจะมองว่ามันเปิ่นก็เป็นได้  ก็ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในแต่ละภาคเหมือนกันที่ไหนเล่า 

   ที่นี่ไม่มีเขามากมายเหมือนเมืองเหนือที่มันเรียนจบมา 

   อากาศแม้จะอบอ้าวกว่า  แต่มีลมพัดมาตลอดเวลาแหละ  บอยหลับตานึกถึงแผนที่ประเทศไทย  จังหวัดทางใต้ดีตรงที่มีลมมรสุมจากสองฝั่งทะเลพัดมาตลอดเวลา  ทำให้ไม่ร้อน 

   พี่ต้นเลี่ยงมาทางซ้ายมืออีกครั้ง  เมื่อมาถึงสามแยกใหญ่  บอยมองป้ายบอกข้างทาง  มันอ่านเสียงเบา ๆ 

   “กาญจนดิษฐ์”



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 28-07-2009 10:17:53
กาญจนดิษฐ์ คือไรอ่ะ

หุหุหุหุ

ขอบคุณครับที่มาต่อ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 28-07-2009 14:28:39

ไปไกลเลยอ่ะทีนี้
กาญจนดิษฐ์  อำเภอหนึ่ง ที่สุราษฏร์
อ่านๆไป คุ้นมากเลย
ถนนหนทาง ชื่อสถานที่ต่างๆ

แล้วเมื่อไรจะเจอ นัท ล่ะครับ

 :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 29-07-2009 16:10:56
ยังเป็นคำถามที่รอคอยการตอบ....


 :z10: ความพยายามที่อยสกหลุดพ้นในห้วงรัก
ที่ยาก.....จะลบเลือน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 30-07-2009 00:41:10

คนเรานี้  คิดให้ดีก็น่าขำ . . .

. . . อยากจำกลับลืม  อยากลืมกลับจำ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 30-07-2009 13:31:38
ู          ^

          ^

          ^

บอยคงไม่ได้จำ แต่ไม่เคยลืมมากกว่า :z3:

อิอิ  :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: winney555 ที่ 30-07-2009 15:14:27
คุ้นๆว่าเคยอ่านเวอร์ชั่นของพี่ต้นสาย ตอนอยู่เวป ปาล์ม ตอนนั้นจำได้ว่า ตอนจบ มันแค่เอื้อมจริงๆๆ บีบคั้นหัวใจมาก พอตอนนี้คุณราชบุตร เอามารีเมค ใหม่ ภาวนา นะคับ .....ย้ำ ภาวนา  ขอตอนจบ ขอให้เอื้อมถึงหน่อย หัวใจที่แห้งผาก มันจะได้ชุ่มชื้นบ้าง .............สงสารตัวละคร ชื่อ บอย มาก ดูชีวิต ถ้าเทียบกับสี คงเป็นสีเทา ..............เห้อ *--*
            รักคนแต่งคับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 30-07-2009 22:39:16
ไม่รู้ผมคิิดไปเองหรือเปล่า แต่เรื่องนี้ดูยังไงก็ท่าจะ แค่เอื้อม ตามชื่อเรื่องไม่ใช่หรือ
เพราะแค่บทนำ ก็นู้น บอยเรียนเอกอยู่ที่เยอรมัน โทรกลับมาหลังจากรู้ข่าวจากพี่ต้น

ตอนนี้บทมาถึงแค่บอยจบโท กำลังไปทำงานใช้ทุน อีกนานแน่ครับ รู้ว่าชีวิตบอย
คงแค่เอื้อม... ไปอีกหลายปี ผมรอลุ้นเหตุการณ์หลังโทรศัพท์ดีกว่า มันจะยังเป็น
ชีวิตแค่เอื้อมอีกหรือเปล่า คงต้องรอดูต่อไปนะน่ะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: winney555 ที่ 30-07-2009 23:17:34
ไม่รู้ผมคิิดไปเองหรือเปล่า แต่เรื่องนี้ดูยังไงก็ท่าจะ แค่เอื้อม ตามชื่อเรื่องไม่ใช่หรือ
เพราะแค่บทนำ ก็นู้น บอยเรียนเอกอยู่ที่เยอรมัน โทรกลับมาหลังจากรู้ข่าวจากพี่ต้น

ตอนนี้บทมาถึงแค่บอยจบโท กำลังไปทำงานใช้ทุน อีกนานแน่ครับ รู้ว่าชีวิตบอย
คงแค่เอื้อม... ไปอีกหลายปี ผมรอลุ้นเหตุการณ์หลังโทรศัพท์ดีกว่า มันจะยังเป็น
ชีวิตแค่เอื้อมอีกหรือเปล่า คงต้องรอดูต่อไปนะน่ะครับ
จะว่าไปนะ ถ้าเป็นความจริง ไม่รู้ว่า บอยเขาทนได้ยังไงนะคับ เป็นผมนี่ มีแฟนไปหลายคนแล้ว 55555555
   คลายเครียดคับ เห็นเรื่องมันเศร้าๆ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 31-07-2009 23:52:02
ตามพี่บอยไปเรื่อยครับ จากมอชอ มาสุราษฏร์แล้ว  :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 01-08-2009 08:59:47
ไม่บอกก็อึดอัด บอกไปแล้วก็เจ็บ
แต่อย่างน้อย คนที่ถูกรักก็ยังได้รู้ว่าตัวเองกำลังถูกรัก
เอาใจช่วยบอยให้ใช้ชีวิตในเมืองใหม่ได้อย่างมีความสุขขึ้นนะ
ขอบคุณค่ะคุณราชบุตร :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 01-08-2009 11:00:21

ตอนที่ ๒๔

ความคิดไปเอง...ย้อนมาทำร้ายตัวเราเสมอ




   จากถนนเส้นใหญ่ ที่แยกมา  ถนนเริ่มบีบเล็กลงเรื่อย ๆ  บอยมองสองข้างทางที่เป็นอาคารไม้สองชั้นเก่า ๆ  มันไม่เห็นอาคารทรงแบบนี้มานานเท่าใดแล้วนะ  มันยังเพลิดเพลินกับสิ่งที่มันเห็น  พี่ต้นเลี้ยวซ้ายอีกครั้งเมื่อถึงสามแยก 


   บอยมันแปลกใจ . . . 

   ทำไมพี่ต้นเลี้ยวซ้ายบ่อยจังเลยนะ  ตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ  หรือเมืองนี้สถานที่สำคัญจะอยู่ทางซ้ายกันทั้งเมือง  บอยมันลองนับเล่น ๆ  สถานีขนส่งก็อยู่ทางซ้าย  ถ้ามาจากกรุงเทพฯ 

   ห้างโลตัสก็อยู่ทางซ้ายอีก . . . 

   . . .โรงแรมไดมอนด์ 

   หรือโรงแรมวังใต้ก็ทางซ้าย . . .

   . . . ท่าเรือเกาะก็ทางซ้ายอีกแล้ว 

   แถมมหาวิทยาลัยที่มันสอนก็อยู่ทางซ้ายอีกเช่นกัน  มันอดยิ้มขัน ๆ  ไม่ได้ เมื่อนึกถึงแต่ละสถานที่ที่ได้เจอมา

   “ยิ้มอะไร  นั่งยิ้มคนเดียวได้ด้วยคนเรา”  พี่ต้นแซวมันเมื่อเห็นมันนั่งนึกไปยิ้มไป

   “ปล่าวพี่  ไม่มีอะไร  แล้วพี่จะพาผมไปไหนนี่”

   “หาไรกินไง”

   “อะไรพี่  ร้านอาหารอะไรอยู่ลึกมาขนาดนี้  ทางเข้าดูลึกลับชอบกล”  บอยมันบอก  เพราะเห็นว่า  ตั้งแต่แยกมาจากถนนสุราษฏร์ฯ – นคร  มันก็ไกลมากแล้วล่ะ

   “อ้าว  ของอร่อยมันต้องซ่อนตัวดิ  ไม่เคยได้ยินเหรอ  ช้างเผือกมันต้องอยู่ในป่า”  พี่ต้นยิ้ม

   “มีงี้ด้วยเหรอพี่  ร้านอะไรเหรอพี่”

   “เคียงเล”

   “ห๊า  มีความหมายมะ”  บอยมันทำหน้างง

   “เคียงนี่ภาษาใต้หมายถึง  ใกล้  ติดกัน  ส่วนเล  ก็ทะเล  เพราะฉะนั้นเคียงเล  ก็น่าจะหมายถึง  ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ชิดหรือติดทะเล”  เจ้าบ้านอธิบายได้ไม่มีจนมุมมันหรอก

   บอยยิ้ม . . .

   . . . เออ 

   มันเริ่มเข้าใจแล้วล่ะ  คนใต้ชอบใช้คำสั้น ๆ  เล  มาจากทะเล  แต่มันไม่เข้าใจ  คนใต้จะประหยัดคำไปทำไมกัน  คอยดูนะ  ไอ้ร้านเคียงเลที่ว่านี่  มันต้องอยู่ทางซ้ายมืออีกแหง ๆ  เลย  บอยมันคิดในใจ 

   รถมาจอดเทียบที่ลานกว้าง ๆ  บอยมองไปรอบ ๆ  มันคล้าย ๆ  ลานจอดรถที่สามารถจอดรถทัวร์ขนาดใหญ่พี่ต้นเอียงหน้าส่งสัญญาณให้มันเดินตามเข้าไป  มันเดินตามพี่ต้นไปเงียบ ๆ  เสียงแม่ค้าจาเพิงขายของรองเรียกลูกค้นกันดังลั่นไปหมด 

     อาหารทะเลแปรรูปมากมายหลายอย่าง  ที่แม่ค้าเอามาขาย  และยังมี  ขนมทองม้วนสด  ที่แม่ค้าทำกันตรงนั้นเลย  แต่ที่มันสนใจ  หอยอะไรไม่รู้ตัวโตเท่าฝ่ามือ  ที่แม่ค้าพ่อค้าบรรจงใช้ฆ้อนตอกให้มันแยกจากกัน  ข้างในเนื้อขาวมันเมื่อมเลยทีเดียว

   “หอยนางรมหม้าย  ตัวสิบบาทเองนิ  ข้างในไม่มีขายนะ  ซื้อไปลองกินหิดตะ  สด หรอย  รับรองน้ำจิ้มใช้ดีปรีขี้นก  กับลูกนาวไม่ใช้น้ำส้มสายชูเลย”  แม่ค้าร่างอ้วน ๆ  ร้องบอก  บอยมันทำหน้างงกับภาษาถิ่นที่มันยังไม่คุ้นเคย 

   พี่ต้นยิ้ม  เมื่อเห็นมันทำหน้าแปลก ๆ

   “กินเป็นป่ะ  นี่นะหอยนางรม  ที่นี่หอยใหญ่นะเอ็ง  รับรองในประเทศไทยไม่มีหอยที่ไหนใหญ่เท่าหอยสุราษฏร์ฯ  หรอกน่า”  พี่ต้นยิ้มพลางหยุดที่ร้านค้า

   “อย่ามาอำผมเลยพี่  ทำไมหอยจังหวัดอื่นเล็กเหรอ”  บอยมันไม่เชื่อหรอก 

   มันไม่เชื่ออะไรง่าย ๆ . . .

   . . .  โดยเฉพาะกับพี่ต้น  ขาอำอันดับหนึ่ง

   “อ้าวไม่เชื่ออีก  จริงโว้ย  สุราษฏร์ฯ  หอยใหญ่อันดับหนึ่งแน่นอน  ไม่งั้นจะได้ชื่อว่าเมืองหอยใหญ่เรอะ”  พี่ต้นยิ้มหัวเราะเบา ๆ

   “ทะลึ่งอีกแล้วพี่ต้น”  มันอายมั้ง  หน้าบอยมันแดง ๆ  มันเพิ่งเคยได้ยิน  เมืองหอยใหญ่

   “จริง ๆ  นะโว้ย  นอกจากหอยจะใหญ่แล้ว  ไข่ยังแดงอีกต่างหาก”

   นั่น . . .

   . . . พี่ต้นเอ้ย 

   ลามกได้ไม่เลือกสถานที่เลย  บอยมันมองหน้าแม่ค้า  กะเทยสาวสองคนที่กำลังใช้พิมพ์เหล็กทับทองม้วนสดมองหน้ามันแล้วหัวเราะกันคิกคัก  คล้าย ๆ  มีความลับ  บอยมันทำหน้าไม่ถูกเลยแฮะ

   “พอเหอะพี่ต้น  พูดอะไรอายเด็กมัน”

   “อายทำไม  ก็ที่หอยหอยก็ใหญ่  ใข่ก็แดง  จริงหม้ายน้องสาว”  ประโยคหลังพี่ต้นหันไปถามกะเทยสาวรุ่น ๆ  สองคนที่หัวเราะมันเมื่อกี้

   “จริงพี่  เชื่อเขาตะพี่บ่าวเขาแหลงจริง ๆ  แหละพี่คนหล่อ”  กะเทยสาวรุ่นกะเตาะหันมายืนยันกับมันเสียด้วย

   แม่ง . . .

   . . .  คนที่นี่ทะลึ่งกันทั้งจังหวัดแน่ ๆ 

   บอยมันเริ่มทำใจ  เฮ้ยกรรมเวรอะไรของมันหว่า  มันต้องมาทำงานที่นี่  ดูเอาเหอะ  ทั้งหอยทั้งใข่  แล้วยังมีอะไรที่หนีไม่พ้นเบื้องต่ำอีกนะ  บอยมันไม่รู้  สมองมันคิดไปเตลิดเสียแล้วในตอนนี้

   พี่ต้นหันมาพยักหน้า  ยักคิ้วกับบอยเหมือนจะบอกว่า  เห็นมะ  พี่พูดจริง ๆ

   “เอาหกตัวพี่  หกตัวห้าสิบได้หม้าย  แล้วน้ำจิ้มกับยอดตอเบานี่แถมหม้ายเลา”  พี่ต้นหันไปสั่งแม่ค้าเป็นภาษาถิ่น

   “น้ำจิ้มชุดยี่สิบเองนิ อย่าให้แถมหลาวตะน้องบาวเหอ  ดีปรีก็แพง  ลูกนาวก็หนวยนึง ห้าบาทเข้าไปแล้ว”  แม่ค้าบอก  พลางใช้ค้อนตอกหอยออก  แล้วแคะลงล้างในน้ำสะอาด  ก่อนจะใส่ถุงพลาสติก  แล้วเอาน้ำแข็งอัดลงไปอีกที

   “ขอบใจนะหนาน้องบาว  เดี๋ยวขากลับซื้อไปฝากแฟนมั้งต่ะ”  แม่ค้าทอนเงินให้พลางชวนซื้อต่อ

   “ครับ”  พี่ต้นบอกก่อนเดินนำเข้ามาทางเดิน เล็ก ๆ 

   สะพานไม้เล็ก ๆ  ทอดตัวจากริมตลิ่งที่อุดมไปด้วยไม้แสมของป่าโกงกางริมทะเล  ร้านอาหารสองร้านติดกัน  ต้นเลือกเดินไปทางขวามือ  บอยมันทำหน้าแปลกใจ  คราวนี้มันทายผิดแฮะไม่ยักทางซ้ายแบบที่มันคิด  มันดูตามร่องสะพาน  ด้านล่างเป็นดินเลนมั้ง  มีตออะไรไม่รู้คล้ายหน่อไม้ขึ้นมาเต็มไปหมด  ระยะทางจากสะพานไม้มายังอาคารที่สร้างยื่นไปในลำคลองราวยี่สิบเมตร  พี่ต้นเลือกมานั่งที่โต๊ะด้านที่ติดกับริมแม่น้ำเลย

   “น้องเอาหอยใส่จานพี่กันนะ  เดี๋ยวพี่เลือกอาหารกันแปบ”   พี่ต้นบอกเด็กเสริฟ  แล้วส่งถุงหอยนางรมไปให้ 

   “กินไรดี  ที่นี่อาหารอร่อย  ราคาไม่แพงมาก”

   “ไม่รู้พี่  พี่สั่งมาผมกินได้หมดแหละหิวจนกินช้างได้ทั้งตัวแล้วนี่”

   “อืม  ได้ ๆ  เดี๋ยวสั่งให้  กินเผ็ดได้มั้ยเรานะ  อาหารใต้นะรสชาติจัดจ้านเผ็ดเป็นเผ็ดเลยนะแก” 

   บอยมันพยักหน้ารับ  เรื่องอาหารใต้ที่รสชาติเผ็ดมันรับรู้มาบ้าง  มันกินได้  แต่มันยังไม่รู้ว่าถ้ามาเจอรสชาติแบบใต้แท้ ๆ  มันจะกินได้หรือปล่าวก็เท่านั้นเอง

   “แล้วนั่นต้นไรพี่  คล้ายหน่อไม้เลย”  บอยชี้ไปที่ยอดเล็ก ๆ  ที่โผล่พ้นดินเลน

   “แสมกับโกงกาง  แถวนี้นะเป็นป่าชายเลนไง . . .”  เจ้าบ้านมองไปยังพื้นป่าชายเลนที่น้ำลด

   “. . . รู้จักใช่มั้ยป่าชายเลนนะ  ที่ไหนมีป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ที่นั่นย่อมมีอาหารทะเลที่อุดมสมบูรณ์ด้วย  เพราะป่าชายเลนเป็นแหล่งอนุบาลของสัตว์ทะเลวัยอ่อนไง  สุราษฏร์ฯ  นี่เป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้  แต่ประชากรน้อยกว่านครศรีธรรมราชและสงขลา  พื้นที่ริมฝั่งทะเลของจังหวัดส่วนใหญ่เป็นป่าชายเลนแทบทั้งนั้น  แทบจะหาหาดทรายน้อยมาก  แต่สุราษฏร์ฯ  โชคดีตรงที่มีเกาะแก่งมากมาย  ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอันดับหนึ่งฝั่งอ่าวไทยเลยทีเดียว  ส่วนอาหารทะเลก็สมบูรณ์เพราะสุราษฏร์ฯ  เป็นชะวากอ่าว  เขาเรียกว่าอ่าวบ้านดอน  เป็นแหล่งสัตว์ทะเลที่สำคัญเลยทีเดียว”  เจ้าบ้านเล่าเรื่อย ๆ 

   บอยนึกภาพตามแผนที่ประเทศไทย  อืม  เป็นอ่าวจริง ๆ      

   “. . . แต่ถ้าอยากเที่ยวนั่งเรือข้ามไปเกาะราวสองชั่วโมงแกก็จะเจอกับฝรั่งอาบแดดตึมเลย  ถ้าไม่ชอบทะเล  ก็ขึ้นเขา  ที่นี่เขาสก  สวยมากป่าดิบชื้นที่สำคัญของภาคใต้เลยทีเดียว  แล้วยังมีเขื่อนอีก  เขื่อนเชี่ยวหลาน  อ้อ  ลืมไป  ในหลวงพระราชทานชื่อใหม่แล้ว  “เขื่อนรัชชประภา”  หมายถึงแสงสว่างแห่งรัชกาล  ที่เขื่อนนะเขาเรียกกุ้ยหลินเมืองไทยเลยนะเอ็ง  ไว้ลงมาคราวหน้าจะพาไป  ถ้าไม่มีเมียเสียก่อนนะโว้ย  เพราะฉะนั้นเอ็งคิดถูกแล้วที่มาอยู่ที่นี่  เพราะทั้งอาหารการกินและที่เที่ยวสมบูรณ์ที่สุด . . .”  พี่ต้นเล่าไปเรื่อย ๆ   

   “. . . อ้อที่สำคัญนะเอ็ง  สุราษฏร์ธานี  ยังเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีสนามบินพาณิชย์เปิดบริการมากที่สุดถึงสองแห่ง”

   “โม้ป่ะพี่”

   “ไอ้นี่  พี่ทำงานสนามบินนะโว้ยโม้ทำไม  สนามบิน  URT  สุราษฏร์ธานี  กับสนามบิน  USM  สมุย  ที่สมุยนะมีบางกอกแอร์เวย์บินวันนึงเกือบยี่สิบไฟล์จากกรุงเทพฯ  แถมยังมีบินไป ภูเก็ต สิงคโปร์  ฮ่องกงอีกด้วยนะแก  เชียงใหม่ที่ว่าแน่มีแค่สนามบินเดียวเอง  แต่สุราษฏร์ธานีมีสนามบินพาณิชย์สองแห่ง  อันนี้เป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยชัวร์เลยน้องเอ้ย” 

   “เชื่อแล้วพี่  รักจังหวัดจังเลยนะพี่”

   “แน่นอนเฟ้ย”  พี่ต้นยักคิ้วให้มันแหละ

   เด็กเสริฟยกหอยนางรมมาวาง  พี่ต้นหยุดเล่า  แล้วหันไปสั่งอาหาร

     “เอายำเคียงเล  หมึกผัดน้ำพริกเผา  ผัดผักรวมเนื้อปู  แกงส้มปลา  ปลาสำลีราดพริก เป๊บซี่ลิตร”

   “โหยพี่  สั่งมาทำไมเยอะแยะ”  บอยมันท้วง

   “อ้าวก็เอ็งบอกหิวกินช้างได้ทั้งตัวไง   เอาน่าเหลือห่อกลับบ้าน  แต่ขี้คร้านจะไม่พอว่ะ”

   เสียงเรือหางยาวติดเครื่องครางกระหึ่มดังก้องไปทั้งท้องคลอง  บอยหันไปมอง  ชาวบ้านตัวดำ ๆ    กำลังจะเอาใบจักรที่หมุนติ้วอยู่ลงจุ่มในน้ำ  แล้วเพียงชั่วครู่หัวเรือก็แหวกสายน้ำออกตัวไปอย่างช้า ๆ  ระลอกคลื่นทำให้แพลูกบวบที่มีโต๊ะอีกหลายโต๊ะริมน้ำกระเพื่อมตามแรงคลื่น  บอยมันมองเรือที่แล่นออกไปยังทะเล  ที่มีเสาอะไรไม่รู้ปักอยู่ตามทะเลเต็มไปหมด

   “เล่าต่อสิพี่  ป่าโกงกางมีประโยชน์อะไรอีก”  บอยมันหันกลับมา 

   พี่ต้นตักหอยตัวใหญ่ ๆ  วางบนจานของมัน  ก่อนเอาหอมเจียวมาโรยหน้า  พริกนี้หนูเม็ดเล็ก ๆ  กับกะเทียม  แล้วทำแบบเดียวกันที่จานของพี่ต้นเอง  ก่อนจะหันมาบอกกับบอย

   “เอ้าลองซะ  เอ็งมาสุราษฏร์ฯ  ไม่กินหอยใหญ่  ถือว่ามาไม่ถึงสุราษฏร์ฯ นะโว้ย  นี่หอยนางรม  กินกับหอมเจียวพริกกะเทียม  น้ำจิ้ม  แล้วที่ขาดไม่ได้นี่เลย . . .”  พี่ต้นชูให้มันดู

   “. . . รู้จักมั้ยยอดตอเบา” 

   “กระถินเหรอพี่”

   “ใช่แล้วที่นี่เรียกยอดตอเบา  กินแบบนี้นะ ตามที่พี่กิน”  พี่ต้นตักหอยที่มีเครื่องครบเข้าปาก  แล้วเอากระถินตามเข้าไปก่อนเคี้ยวกร้วม ๆ  ด้วยท่าทางที่อร่อยสุด 

   บอยมันมองหอยในจานตัวใหญ่ทีเดียว  มันกลั้นใจทำตามพี่ต้นเพราะกลัวเจ้าภาพจะเสียน้ำใจ  มันเอาหอยเข้าปากแบบเดียวกับพี่ต้น หอยตัวใหญ่สด ๆ  เข้าไปอยู่ในปากมันนุ่มลิ้น  มันรู้สึกพะอืดพะอม  เพราะไม่คุ้นลิ้น  มันอมไว้สักพักก่อนที่จะค่อย ๆ  เคี้ยวรสหวานจากหอยสดกับน้ำจิ้มรสชาติเยี่ยม  ทำให้ลิ้นมันเริ่มรับรส  มันเคี้ยวแล้วกลืน  อร่อยดีแฮะ

   “เป็นไง  ถึงสุราษฏร์ฯ  ครึ่งทางแล้ว  เดี๋ยวต้องหาโอกาสพาไปกินไข่แดง” 

   “โหยพี่  ลามกไม่เลิกเลยนะ”

   “ลามกเรื่องอะไร” 

   “ทั้งหอยทั้งใข่ไงพี่”   บอยมันตอบ  คราวนี้มันไม่ต้องรอให้พี่ต้นบอกมันเรื่องกินหอยอีกแล้ว  มันทำเป็นแล้วล่ะ  มันค่อย ๆ  ตักหอยมาวางที่จานเอาหอมเจียวพริกนี้หนูกะเทียม  แล้วเอาน้ำจิ้มราดจนชุ่มเลยทีเดียว

   พี่ต้นมองมันแหละ  ยิ้ม ๆ   เสียด้วย

   “อ้าวไอ้นี่  เอ็งไม่เคยรู้อะไรเลยเหรอนี่”

   “รู้อะไรพี่”

   “ก็หอยใหญ่ ไข่แดงไง”

   “ฮือ” 

   บอยสั่นหัวปฏิเสธ  ก็คนมันไม่รู้  จะให้มันรู้ได้อย่างไรกันเล่า  มันมองหน้าพี่ต้น แกขำมันอีกมั้งหัวเราะชอบใจเลยทีเดียวก่อนจะชี้แจง

   “ที่บอกว่าที่นี่หอยใหญ่ไข่แดงเพราะเมืองสุราษฏร์ฯ  นะมีคำขวัญโว้ย  เมืองร้อยเกาะ  เงาะอร่อย  หอนใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ ชักพระประเพณี  แล้วแกไปคิดถึงอะไรว่ะ  หอยใหญ่ก็หอยนางรมที่แกเปิบไปสองตัวแล้วนั่นไง  ส่วนไข่แดงก็ไข่เค็มไชยา  สินค้าขึ้นชื่ออันดับต้น ๆ  ของประเทศนะแก  ถ้าเชียงใหม่มีใส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มแคบหมู  สุราษฏร์ฯ  ก็ต้องไข่เค็มไชยาโว้ย”

   ตาย . . .

   . . . บอยมันอยากจะนอนตายลงไปตรงนั้น

   เมื่อฟังคำอธิบาย  มันหลงคิดไปลึก  มิน่าสองสาวเทียม ๆ  ที่ร้านขายหอยถึงได้หัวเราะมัน  ทำไมมันไม่ศึกษาประวัติหรือข้อมูลของจังหวัดที่มันจะมาอยู่เลยนะ  มันอายจริง ๆ  แหละ  คราวนี้มันอายมากเลย

   เด็กเสริฟยกยำมาวาง  บอยมันเห็นเลย  กุ้งชุบไข่ทอด  ปลาหมึกชุบไข่ทอด  เนื้อปลา  เม็ดมะม่วงหิมพานต์อีก  กับเครื่องยำที่คลุกเค้ากันกลิ่นยั่วน้ำลายมันเหลือเกิน

   “เอาลองซะ  ยำสาวเคียงเล  อาหารเรียกน้ำย่อย”  พี่ต้นตักยำใส่จานมันแล้วยิ้ม

   มันมองหน้า คราวนี้มันจะโดนอำอะไรอีกหว่า  มันไม่แน่ใจแล้วล่ะ  พี่ต้นที่มันรู้จักอำเก่งชะมัด  อำมันได้เรื่อย ๆ  เชียวแหละ   

   บอยมันเริ่มเข้าใจแหละ  บางที่โลกที่มันเห็นมันเคยเจออาจเป็นอีกสีหนึ่ง  แต่โลกที่มันเดินอยู่ตอนนี้เป็นสีที่แตกต่างจากที่มันเจอมั้ง  เพราะเวลาหรือระยะทางที่ห่างกันหรือปล่าวมันไม่แน่ใจ  แต่บอยแน่ใจ 

   อย่างน้อย . . .

   . . . โลกที่มันเห็นตอนนี้กว้างกว่าที่เชียงใหม่  โลกกว้างแบบนี้มานานแล้วหรือว่ามันไม่เคยมองว่าโลกกว้างกันแน่นะ  มันยิ้มกับโลก  โลกที่มันเพิ่งเคยมอง




   บอยเริ่มชินกับความเป็นอยู่ในที่ใหม่  ดินยังคงเป็นเหมือนสายใยบาง ๆ  ที่โยงบอยกับโลกที่เชียงใหม่ไว้ด้วยกัน  ดินโทรมาทุกวันตามที่บอกจริง ๆ บอยออกจะเหนื่อยกับงานที่ตัวเองทำ  แต่มันตั้งใจแน่แน่วแล้วล่ะ  มันจะทำงานให้ดีที่สุด  ให้สมกับที่มันอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่  แต่ใครเลยจะหลอกตัวเองได้นาน  บอยมันเองมันก็หลอกตัวเองไม่ได้นานเหมือนกัน

   บอยมันโทรศัพท์เอาไว้แน่น  ในมือชุ่มไปด้วยเหงื่อ  มันกดดูชื่อที่บันทึกเอาไว้หลายครั้งแล้วล่ะ  บอยตั้งใจจะโทร  แต่เหมือนมีเสียงห้ามเอาไว้ทุกครั้ง  มันเดินไปที่ระเบียงหอพัก  มองไปที่ภูเขา  สายลมพัดใบไม้ไหว เหมือนหัวใจบอยในตอนนี้  บอยเองก็หัวใจไหวเหมือนกันแหละ  บอยเหงา  มันเริ่มเหงากับสถานที่ใหม่
   ความเหงามันมักมาเยี่ยมตอนตะวันโพล้เพล้เช่นนี้เสมอหรือ?

   บอยมันหลับตานิ่งถอนหายใจยาว . . .

   . . . เอาว่ะ 

   มันตัดสินใจแล้ว  มันต้องทำ  เป็นไงเป็นกัน  มันกดเบอร์ไปตามหน้าจอที่โชว์อยู่

   NAT… 

   แล้วบอยมันก็กดเบอร์ทิ้ง  มันกลัวไปสารพัด  มันกลัวไปร้อยแปดพันเก้า  นัทรับแล้วมันจะพูดอะไรกับนัท  แล้วถ้าเกิดมันคุยแล้วนัทเกิดตัดสายทิ้งขึ้นมา  มันจะทำอย่างไร  แล้วถ้านัทรับแล้วนัทไม่พูดอีกล่ะ

   แล้ว?

   แล้ว?

   สารพัดคำถามที่เกิดขึ้นในใจ  บอยมันแทบหมดแรง  มันถอนหายใจยาวมองโทรศัพท์ในมือนิ่ง ๆ  มันต้องทำอย่างไรต่อไปดีหว่า  มันคิดถึงนัทจะตายอยู่แล้ว  ที่นี่มันเพิ่งมาทำงานเพื่อนร่วมงานของมัน  มันไม่สนิทเลย  มันได้แต่คุยกับดินให้พอคลายเหงาเท่านั้น  แต่คนที่มันอยากได้ยินเสียงคือ . . .

   . . .นัท

   บอยมันรู้แล้ว  อย่างไรเสียมันก็ลืมนัทไม่ได้ 

   มันคงลืมรักแรกของมันไม่ได้แน่นอน

   แววตามันฮึดสู้  เอาว่ะเป็นไงเป็นกัน  บอยมันกลั้นหายใจก่อนกดไปที่เบอรืเดิมอีกครั้ง  แล้วมันต้องแพ้เช่นครั้งแรก  มันไม่รอให้ปลายสายตอบกลับมา  มันชิงตัดสายไปก่อน

   “โธ่โว้ย  ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยว่ะ”  มันสบถออกมาดัง ๆ  แล้วนั่งลงที่ระเบียง

   มันเหมือนคนหมดหวัง . . .

   . . .  นั่งกอดเข่า 

   มือจ้องมองแต่โทรศัพท์ในมือ  ไม่รู้สิ  มันกลัวอะไรนักหนาว่ะ  มันกลัวนัท  หรือมันกลัวหัวใจตัวเองที่จะไปผูกกับนัทหรือ

   เดือนกว่า ๆ  มันอยู่ได้  มันลืมนัทได้เดือนกว่า ๆ  แล้วมั้ง  แล้วทำไมวันนี้ความรู้สึกในหัวใจมันกลับรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  นะมันไม่เข้าใจหัวใจตัวมันเองเลย

   บอยมันกดโทรสัพท์แบบเดิมซ้ำ ๆ  อีกร่วมสิบครั้ง  มันทำไม่ได้

   ทำไม่ได้เลย

   น้ำตามันเอ่อ  มันปล่อยน้ำตามันไหลออกมาเสียงั้น  หยาดน้ำตาแรกบนแผ่นดินใหม่  แผ่นดินที่ห่างไกลจากหัวใจมันร่วมพันห้าร้อยกิโลเมตร  มันร้องไห้เสียบ้างก็ดีนะ  บางทีอาจทำให้มันหายอึดอัดในหัวใจเหมือนที่เป้นอยู่ในตอนนี้ก็ได้  บอยปล่อยใจตัวเองไปตามความรู้สึกที่มันมี

   แล้วมันลองอีกครั้ง . . .

   . . .  มันกดอีกครั้ง 

   คราวนี้มันเหมือนคนหมดแรง มันไม่กล้าที่จะกดวาง  มันรอสัญญาณตอบรับจากปลายสาย

   “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก”

   มันคล้ายโล่ง . . .

   . . . นัทปิดเครื่องมั้ง 

   มันยิ้มเล็กน้อย  ที่แท้มันกลัวไปเองแหละ  มันกลัวที่จะได้ยินเสียงนัท  บอยรู้แล้ว  ตอนนี้มันได้โทรหานัทแล้ว  แต่นัทไม่เปิดเครื่อง  มันยังรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย เห็นมั้ยไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิดเลย  โทรไปแล้วรู้สึกสบายใจ  กลัวทำไม  นัทมันจะมาทำอะไรได้เล่า

   แล้วบอยมันก็โทรหานัทอีกในสัปดาห์ต่อมา  คราวนี้มันเริ่มแปลกใจมาตะหงิด ๆ  แล้วล่ะ  เพราะมันได้รับ  เสียงตอบรับแบบเดิม

   “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก”

   นัทเป็นอะไรไปหว่า . . .

   . . . ทำไมมันไม่เปิดเครื่อง  บอยมันเฝ้าถามตัวเองเงียบ ๆ  มันอยากถามดินเหมือนกันเวลาที่ดินโทรมา  ว่าดินโทรหานัทหรือปล่าว  แต่ปากมันหนักมั้ง  มันกลัวดินจะเสียใจมั้ง  มันเลยไม่ถาม  มันได้แต่เพียรโทรหานัทเรื่อย ๆ  ทั้งสัปดาห์  ในช่วงระยะเวลาที่ต่างกัน

   “ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก”

   เสียงตอบรับแบบเดิมทุกครั้งจนบอยมันอ่อนใจที่จะโทรหานัทอีก  เพราะบอยไม่รู้  นัทปิดเครื่องทำไม  . . .

   . . .  นัทมันปิดเครื่องทำไมกัน

   จนล่วงเข้าเดือนที่สาม  บอยมันกล้ามากขึ้น  คราวนี้มันกดโทรศัพท์หานัท  มันหวังเต็มเปี่ยมนัทจะรับสายมันสักที  มันรอเสียงสัญญารจากปลายสายด้วยหัวใจเบิกบานเป็นที่สุด

   แล้วเสียงจากปลายสายคล้ายมีดกรีดหัวใจมันเสียเลือดสาด!

   “หมายเลขที่ท่านเรียกยังไม่ได้ลงทะเบียนในระบบ”

   บอยมันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย  ค่ายพันกันหรือมันโทรผิดหว่า  มันกดใหม่อีกครั้ง  แล้วบอยมันก็ได้ยินเสียงตอบรับแบบเดิม  มันทำซ้ำ ๆ  กันเป็นอาทิตย์  จนมันแน่ใจ  ไม่มีเบอร์นัทแล้ว

   บอยเหมือนคนที่โดนโยนหล่นลงเหวลึก . . .

   . . . มันคล้ายตัวเบา ๆ 

   มันตัดสินใจโทรหาดิน  มันไม่รู้จะหันหน้าไปมองใคร  มันแค่อยากมีคนคุย  มันถามดินแหละ  ถามในเรื่องที่มันสงสัย  แต่มันฉลาดพอที่จะไม่ถามดินตรง ๆ  บอยเลียบ ๆ  เคียง ๆ  ถามดินในเรื่องที่บอยสงสัย

   “ดิน  ถ้ามีคนโทรหาดินบ่อย ๆ  แล้วคนนั้นเป็นคนที่ดินไม่ชอบดินจะทำไง”

   เห็นมั้ย . . .

   . . .  บอยมันฉลาด 

   มันพยายามเลี้ยวไปไกล  มันไม่อยากจะถามดินตรง ๆ  แต่มันไม่รู้หรอกดินรู้จักมัน รู้จักมันดีกว่าตัวมันรู้จักตัวเองเสียอีกมั้ง  บอยมันหลงคิดว่ามันฉลาดไง  มันหลงคิดไปเองทั้งนั้น

   “ถ้าเป็นดิน  ก็จะบอกเขาดี ๆ  แต่ถ้าเบื่อมาก ๆ  ดินจะปิดเครื่องหนีหรือถ้าสุด ๆ  จริง ๆ  ก็ปิดเบอร์หนีไปเลย”

   คำตอบของดินทำเอาบอยหมดเรี่ยวแรง . . .

   . . . นัทมันคงอยู่ในคำตอบของดิน

   ทีแรกก็ปิดเครื่องหนี . . .

   . . . แล้วตอนนี้บอยมันรู้แล้ว 

   นัทเปลี่ยนเบอร์หนี

   บอยมันชาวาบไปทั้งตัว  มันค่อย ๆ  ทรุดลงกับพื้น  มันถดตัวเองเข้าหาซอกมุมของห้อง  อย่างน้อยมุมหลีบแคบ ๆ  ก็โอบกอดมันไว้  ไม่ให้มันถอยไปทางไหนได้อีก  แล้วมันร้องไห้ออกมา 

   มันเสียใจ . . . 

   นัททำไมทำแบบนี้  ทำไมนัทเกลียดมันมากนักเหรอที่มันเป็นแบบนี้  ทั้ง ๆ  ที่มันไม่เคยเข้าไปทำให้นัทเสียหายเลย  มันแค่อยากบอกความรู้สึกของตัวเองให้นัทรับรู้  แต่นัทกลับทำเหมือนว่ามันเป็นตัวอะไรที่น่ารังเกียจ 

   แค่ข้อความ  SMS  เท่านั้น  นัทถึงกับรับไม่ได้เชียวหรือ

         “I really love you Nat.   From boy.”


   บอยมันเกลียด . . .

   . . .  มันเกลียดข้อความนี้เหลือเกิน  ถ้าวันนั้นมันไม่เขียนข้อความบ้า ๆ  นี้ไป  นัทคงไม่เปลี่ยนเบอร์หนีมัน  บอยมันเชื่อแล้ว  ระหว่างมันกับนัท  มันนี่แหละที่บ้าไปต่าง ๆ  นานา  นัทไม่เคยมองมัน  ไม่เคยเห็นมันนายตาด้วยซ้ำ  บอยมันร้องจนตามันซ้ำ 

   แต่หัวใจมันแหลกเหลวไปแล้วตั้งแต่ที่บอยคิดว่านัทเปลี่ยนเบอร์หนีมัน

   ความคิดไปเองย้อนกลับมาทำร้ายบอยอย่างเจ็บปวดที่สุด


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 01-08-2009 13:15:55
กรรมจริง ๆ

เจ้าดินนี่ก็นะ

เฮ้อ....

ขอบคุณที่มาต่อครับคุณราชบุตร
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 02-08-2009 12:59:22
อย่าคิดอย่างนั้นซิบอย

นัทมันทำมือถือหาย ไม่ใช่รังเกียจบอยซักกะหน่อย

คุณราชบุตร ใจร้ายมากๆ ให้บอยคิดแบบนี้ได้ไง :z3:

 :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 02-08-2009 15:05:21
เก็บเงินได้เดี๋ยวไปเที่ยวเลบ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 03-08-2009 19:40:41



ต อ น ที่  ๒ ๕


ค รึ่ ง ค่ อ น โ ล ก






   
   นัทกระหืดกระหอบมาแทบแย่  มันเดินเข้ามาในอาคารตรวจผู้โดยสาร  แล้วมันก็ก้าวเท้ายาว ๆ  เข้าไปในเล้านจ์ผู้โดยสารชั้นบิวซิเนส  ท้องมันหิว เพราะมันเลิกจากอบรม  มันก็ตรงดิ่งมาที่ดอนเมืองเลย  มันเกือบจะตกไฟล์อยู่แล้วเชียว  แต่มันโชคดีมั้งที่ อย่างน้อยมันมามาทันเวลาจนได้


   ภายในห้องรับรองตกแต่งอย่างดี  นัทมันเดินไปที่ซุ้มอาหารที่ทางสายการบินเตรียมเอาไว้รับรองลูกค้า  นัทเลือกเอาครัวซองกับน้ำผลไม้รวม  แล้วมานั่งกินด้วยความหิว   จนเจ้าหน้าที่ประกาศขึ้นเครื่องนั่น มันถึงได้เดินออกมาจากห้องรับรอง 

   เกต ๖๕  เจ้าจำปีจอดสงบนิ่งรอมันอยู่มั้ง  มันเดินเข้าไปในงวงช้างช้า ๆ   แอร์โฮสเตสสาวสวยะ  ยืนฉีกยิ้มไหว้มันอย่างนอบน้อม  มันยกมือไหว้ตอบ

   เบาะนั่งหลังใหญ่  อยู่ที่ส่วนหน้าของเครื่อง  วันนี้มันบินกลับบ้านแล้วล่ะ  หลังจากที่มันมาอบรมที่กรุงเทพฯ อยู่ ๓  วัน  นัทมันเข้าไปนั่งประจำที่  มันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน  ไม่สนใจกับผู้คนที่ทยอยเดินเข้าไปด้านหลัง  ชีวิตมันเรียบง่ายมั้ง  เพราะมันมีแต่งาน  มันไม่ค่อยมีเวลาว่างที่จะไปทำอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำไป

   “ไอ้นัท”  เสียงเรียกทักนั่น  นัทถึงเงยหน้ามองไปตามเสียง

   นัทยิ้มก่อนยกมือไหว้  มันมีสีหน้าดีใจไม่น้อย  อย่างน้อย ๆ  มันก็ได้เจอกับคนที่รู้จักบ้าง  มันไม่น่าเบื่อเกินไปสำหรับการเดินทาง 

   นัทยิ้มกว้าง

   “พี่ต้น  นั่งที่นี่เหรอพี่”  นัทมันแปลกใจ  เมื่อต้นนั่งลงที่เบาะติดกับมัน

   “เออดิ  แปลกใจอยู่เลย  แต่เสียดายว่ะ  น่าจะได้นั่งกับสาว ๆ  ไม่น่าเลย”  พี่ต้นหัวเราะก่อนลงนั่งใกล้ ๆ  มัน

   “แหมพี่  นั่งกับผมทำบ่นไปได้  แล้วพี่ต้นไปไหนครับนี่”   

   “เชียงใหม่ไง  นั่งไฟล์เชียงใหม่จะให้ไปลงลำปางเหรอไงวะ  ถามแปลกจังนะเอ็ง”  คนตอบกวนแบบเคย 

   นัทมันยิ้ม . . .

   . . .  มันคุ้นเสียแล้วกับนิสัยแบบนี้

   “ครับพี่  ไปทำอะไรพี่  หาเด็กเหรอ”

   “เอ้ย  เป็นเล่นไป  ไปเรียนอยู่สองปี  มะมีสาวมาหลงสักราย  นี่เลยต้องขอย้ายตัวเองมาทำงานที่เชียงใหม่อีกรอบ  เผื่อคราวนี้จะได้สาวกับเขามั่งไง  แล้วนัทมาทำอะไรนี่  เดาะนั่งบิ้วซิเนสเสียด้วยนะเอ็ง”

   “อ้าวพี่  แล้วพี่นั่งชั้นประหยัดเหรอ  ลำพังผมน่ะให้นั่งเครื่องอย่าหวังเลย  ถ้าบริษัทไม่จ่าย   แถมเขาใจดีให้นั่งกว้าง ๆ  ด้วยสิครับ”  นัทมันยิ้ม

   ลูกเรือเริ่มเข้ามา . . .

   . . . ประตูเครื่องเริ่มปิด  เครื่องค่อย ๆ  ถอยออกจากเกต  อย่างช้า ๆ  นัทมองเห็นอาคารผู้โดยสารภายในเริ่มเล็กลง เรื่อย ๆ     มันผ่านลานจอดที่อาคารภายนอกประเทศ  ที่มีเครื่องบินจอดอยู่เรียงรายมากมายนับสิบลำ

   “อ้าว  วกกลับมาจนได้นะแก  แล้วนัทสบายดีมั้ย”

   “ดีครับพี่”

   “งานที่ทำล่ะ  เงินดีมั้ย”

   นัทมันหันมามองหน้า . . .

   . . .  มันยิ้ม 

   ในขณะที่มือมันเอาเข็มขัดมารัดเอาไว้  เครื่องค่อย ๆ  เลี้ยวตัวหันหน้าลงไปทางใต้  เสียงเครื่องยนต์เร่งเครื่องก่อนที่จะวิ่งไปตามรันเวย์อย่างรวดเร็ว  แล้วหัวค่อย ๆ  เชิดขึ้นก่อนจะ TAKE  OFF  ขึ้นไปอย่างนิ่มนวล

   “ก็ดีพี่  แต่ปีหน้า  ผมว่าจะเรียนต่อโทแล้วล่ะครับ  เรียนแค่ตรีคงไม่ไหวพี่”

   ต้นยิ้ม . . .

   . . . ในหัวมันไม่เคยคิดจะเรียนต่อโทเลยให้ตายดิ  แค่เรียน ป.ตรี  มันก็แทบอ้วกอยู่แล้ว  จะให้ทนมานั่งทำรายงานส่งอาจารย์อีกไม่เอาเด็ดขาดเลย

   “ดีนี่หว่า  แล้วแวะไปแม่นะบ้างมั้ย”  ต้นถาม 

   อย่างน้อย . . .

   . . . มันก็พอรู้มาบ้าง 

   นัทมันผูก  มันพันตัวเองไว้กับคนที่นั่น  มันไปทุกปีแหละ  แต่ตอนนี้มันทำงานแล้ว  ไม่รู้มันจะยังไปแบบเมื่อก่อนอีกมั้ย

   “ก่อนผมมาหลวงตาก้องอาพาธพี่  อยู่ที่สวนดอกนะครับ  นี่กลับไปยังไม่รู้จะออกจากโรงพยาบาลหรือยัง  ผมยังไม่โทรถามเลยครับ”  แววตานัทมันห่วงขึ้นมาเมื่อนึกถึงหลวงตาที่มันคุ้นเคย

   “อ้าวหรือ  เป็นไรมากมั้ย”

   “ไม่รู้พี่  ยังไม่รู้เหมือนกัน  เพราะวันผมมา  หลวงตาเข้าโรงพยาบาลพอดี  พี่ไปเยี่ยมกับผมมั้ย”

   “เอาดิ๊  ไปกราบหลวงตากัน”



   บอยมันค่อย ๆ  ชิน  เมื่อหัวใจมันบอกว่า  มันหมดแล้ว  นัทกับมันคงหมดวาสนากันแค่นี้แหละ  มันไม่เรียกร้องอีกแล้ว  มันไม่ดิ้นรนขวนขวายอีกต่อไป  มันไม่กล้าไปในวันเก่า  ค่อย ๆ  เอาผ้าเช็ดหน้า  ลงเก็บในหีบไม้ใบเล็ก ๆ  แล้วมันล๊อคกุญแจเอาไว้ 

   บอยซุกมันไว้ในตู้เสื้อผ้า . . .

   . . . มันไม่มีวันเอามาดูอีกแล้วล่ะ

   มันจะไม่ยอมเจ็บอีกแล้ว

   มันเจ็บมานานแล้ว 

   พอแล้วล่ะ . . .

   . . .  สำหรับการรักใครสักคน รักที่มันรู้สึกว่ามันรักด้วยหัวใจทั้งหมดที่มี  บอยมันลงมาจากหอพัก  มันรู้  ดินรอมันอยู่  รอมันอยู่ในเมือง  บอย  ค่อย ๆ  ขับมอเตอร์ไซด์คันโปรดมา  อย่างช้า ๆ  มันจำถนนได้แล้ว  แม้ไม่ทุกซอกทุกซอยก็เหอะ  มันมาเลี้ยวซ้ายที่แยกพงษ์เพชร  ผ่านศาลากลาง  และโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด  ก่อนมาหยุดจอดนิ่งที่โรงแรมเก่าที่ตรงข้ามกับศาลหลักเมือง 

   บอยมันนั่งรอดินที่ล้อบบี้หลังจากโทรไปตามดินบนห้อง 

   มันรู้ ดินไม่ยอมไปพักกับมันที่หอพัก  เพราะดินกลัวคนอื่นมองไม่ดี  ดินมาทุกครั้งจะพักที่โรงแรมทุกครั้ง  บอยออกมาหามัน  แต่ดึก ๆ  บอยก็กลับที่พัก  เช่นเดิม

   แค่อึดใจเดียวเท่านั้น  ดินก็ลงมา . . .

   . . . บอยมันยิ้ม  มันทักทายกันเล็กน้อย

   “เดินเล่นดีกว่ามั้ยดิน  ค่ำ ๆ  ค่อยไปหาอะไรกินกันที่ศาลเจ้า”  บอยมันชวน  มันมีเรื่องอยากจะบอกดิน 

   ข่าวดีของมัน . . .

   “เอาดิ  อยากไปเกาะกลางแม่น้ำ  ยังไม่เคยไปเลย”

   “ได้สิ  เดินข้ามไปสองสะพานเอง”  บอยบอก  พลางเดินนำหน้า

   มันเดินข้ามสะพานจากฝั่งในเมืองไปสู่ฝั่งในบาง  สะพานสร้างหลายปีแล้วล่ะ  แต่ถนนที่จะตัดไปหน้าสนามบินยังไม่เสร็จเลย  คงต้องรออีกหลายปีล่ะมั้งถึงจะเสร็จ 

   บอยมันเดินไปช้า ๆ . . .

   . . .  ชีวิตมันไม่เร่ง  มันไม่รีบอีกแล้วล่ะ

   “อากาศดีว่ะบอย”  ดินมันหน้าระรื่น  ในกทม  มันมีอากาศแบบนี้เสียที่ไหนได้เล่า

   “อืม  ข้ามไปที่เกาะ  อากาศดีกว่านี้อีกล่ะดิน  ต้นไม้ทั้งนั้น  ดินเห็นหรือปล่าว”

   “เห็นสิบอย  นึกถึงสวนรุกขชาติที่ตีนดอยเลยเนาะ” 

   ดินมันพูดไป  แล้วมันนึกขึ้นมาได้  มันไม่ควรพูดถึงเชียงใหม่  มันไม่รู้ ว่าบอยยังฝังใจกับที่นั่นมากน้อยขนาดไหน  มันเผลอ   มันได้แค่เหลือบตามองบอยเงียบ ๆ

   แล้วบอยก็พาดิน  ข้ามสะพานเล็ก ๆ  มายังเกาะลำพูจนได้  ลมพัดจนเห็นระลอกคลื่นกลางแม่น้ำ  บอยมันเดินไปเรื่อย ๆ  มันเลือกที่จะเดินไปนั่งที่ศาลาเล็ก ๆ  ริมแม่น้ำ

   บอยมันมาบ่อย . . .

   . . . บางทีเวลามันเหงา  มันจะมานั่งมองน้ำ  มันอยากรู้  แม่น้ำสายนี้  ไหลมานานขนาดไหน  พบพานอะไรมาบ้าง  ชีวิตมันไม่มากเท่าแม่น้ำ  แต่สิ่งที่บอยมันพบ  สิ่งที่บอยมันเจอ  มันท้อ  แต่มันก็ผ่านมาได้  มันผ่านมาทั้งน้ำตาเลยด้วยซ้ำ  แต่บอยมันฮึดที่จะสู้  มันเต็มใจที่จะเดินข้ามวันเวลานั้นให้ได้

   “ไหนบอยบอกมีอะไรจะบอกดินเหรอ”

   ดินมองหน้าบอย . . .

   . . . อยากมองให้ลึกไปในหัวใจบอยด้วยซ้ำ  นาน ๆ  บอยมันอยากจะมีเรื่องที่จะคุยกับดิน 

   บอยยิ้ม  รอยยิ้มของบอยแห้งแล้งพิกลอย่างไรไม่รู้

   “บอยจะเรียนต่อเอกแหละดิน”

   “จริงเหรอ  ดีสิบอย  จะมีเพื่อนในรุ่นเป็นดอกเตอร์กับเขามั้ง”  ดินมันดีใจ  มันไม่ทันสังเกต  แววตาบอยหมอง

   “ว่าแต่บอยสมัครแล้วเหรอ  ที่ไหน จุฬาเหรอ”

   บอยส่ายหน้าช้า ๆ  . . .

   . . . มันจะบอกอย่างไรดีหว่า  มันรอจนทางโน้นเขาตอบตกลงมา  แล้วมันฉุกละหุกเสียด้วยสิ  อีกสองอาทิตย์มันต้องเดินทางแล้วล่ะ  มันรอบอกดินในเวลากระชั้นชิดเกินไปมั้ยหนอ   “อ้าว  แล้วที่ไหนเปิดสอนเอกมั่งล่ะ”

   “ไม่รู้ดิ”

   “อ้าว  ไม่รู้  แล้วจะเรียนที่ไหนยังไม่รู้”

   ดินมันแปลกใจ . . .

   . . . คนอยากเรียนแต่ไม่รู้ 

   จะเป็นไปได้เหรอ  มันมองหน้าบอย  มันเริ่มแปลกใจ  บอยชักมีอะไรแปลก  ๆ  อีกแล้ว  ดินเห็น  แววตาบอยคล้ายมีคำตอบให้มัน 

   ดินชาวาบ . . .

   . . . แค่กรุงเทพฯ  กับ สุราษฏร์ธานี 

   มันมาหาบอยได้เดือนละครั้งมันมาได้  แต่นี่  แววตาบอยบอก  มันกลัว  มันกลัวคำตอบที่บอยจะบอกแล้วล่ะ

   “อีกนานมั้ยบอย”  เสียงดินทอดลงต่ำ

   “สองอาทิตย์”

   “โอ้ย  แล้วทำไมเพิ่งมาบอก  สองอาทิตย์เองเหรอ”  ดินมันรู้แล้ว  หัวใจมันเริ่มไกลออกไป  มันมองหน้าบอยนิ่ง  บอยเองก็ไม่แตกต่าง  ก้มหน้านิ่ง

   “ที่ไหนเหรอบอย” 

   มันเอ่ยออกมาอย่างยากเย็น  มันไม่อยากฟังหรอก  มันไม่อยากยอมรับความจริงว่ามันต้องห่างกันไปไกล

   “เยอรมัน”

   นั่นไง . . .

   . . . ผิดจากที่มันคิดเสียที่ไหนกัน

   ดินมันรับฟัง  แววตามันเศร้า ๆ  หมอง ๆ  มันจุกอยู่ในอก  มันจะทำไรได้นี่  เวลาแค่สองอาทิตย์  ไอ้บอยมันปิดมิดชิด  มันปิดมิดเหลือเกินที่ดินจะรู้ได้  ดินได้แต่แบนหน้าหนีไปมองสายน้ำ

   สายน้ำยังคงไหลลงที่ต่ำเรื่อย ๆ  อย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย

   ดินล่ะ . . .

   . . .  ดินเหมือนอะไรล่ะ

   มันรู้แล้ว  นานแค่ไหน  มันไม่มีวันได้เข้าใกล้หัวใจบอยเลย  แม้บอยจะไปไกล  ยังไม่ได้บอกมันล่วงหน้าเลยด้วยซ้ำ  มันน้อยใจ  บอยทำเหมือนกับมันไม่ใช่เพื่อน

   เพื่อน  . . .

   . . . ใช่มันอาจเคยเป็นเพื่อน     

   ดินรู้มันเองที่ทำลายกำแพงคำว่าเพื่อนของบอยให้พังทลายลง  แล้วการที่บอยยังพูดกับมันบ้าง  มันก็ดีใจแล้วล่ะ  มันมองสายน้ำ  มันอยากเป็นเหมือนสายน้ำ  ไหลไปโดยที่ยังรู้ว่าจุดหมายปลายทางคือทะเล  ห้วงมหรรนพอันกว้างใหญ่  แต่ปลายทางหัวใจของดินล่ะ  คิดมาถึงตอนนีดินได้แต่ยิ้มเยาะตัวเอง

   “ดินจะให้บอยค้างกับดินมั้ยคืนนี้”  บอยมันถาม

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนดินคงยิ้มที่ได้ยินบอยพูดแบบนี้ 

   แต่ . . .

   . . . ตอนนี้

   ดินมันไม่มีอารมณ์อะไรทั้งนั้น  มันไม่อยากให้บอยอยู่กับมันเพราะสงสารมันหรอก  มันไม่ต้องการความสงสาร  แต่สิ่งที่ดินอยากได้คือความรัก

   ความรัก . . .

   . . .  ที่บอยไม่เคยเหลือไว้ให้ใครเลย

   ดินมันรู้ 

   แต่มันยังแอบหวังไม่ได้  ว่ามันอาจจะได้รักจากบอย  แต่วันนี้ดินรู้แล้วไม่มีทางเลย  ไม่มีทางเลยสักนิดที่ดินจะเดินไปใกล้หัวใจบอย  มันไม่อาจเดินไปได้ในจุดที่ดินหวัง

   “บอยจะหนีหัวใจตัวเองไปถึงไหน . . .”  ดินถอนหายใจเบา ๆ ราวกับว่าแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก

   “. . . บอยไม่รู้เหรอ  ถึงบอยจะหนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว  บอยก็ไม่มีวันที่จะหนีหัวใจตัวเองได้หรอก  คนเรานะบอยทำอะไรก็ตามอย่าหนี  เราสู้กับมันสิบอย  อย่างน้อยถ้าเราสู้  เราอาจจะชนะ  ถ้าเราชนะ  เราจะได้ไม่ต้องหนีอีกไง  บอยไม่เหนื่อยบ้างเหรอกับการต้องวิ่งหนีหัวใจตัวเองแบบที่บอยกำลังทำอยู่นี่”

   “ไม่ได้หนีดิน  อยากไปเรียนเองจริง ๆ  นะ”

   บอยมันมองหน้าดิน . . .

   . . . มันไม่หนีหรอก 

   ที่มันตัดสินใจไป เพราะมันมีทุน  มันอยากไป  มันทำใจเรื่องนัทตั้งแต่ที่มันคิดว่านัทเปลี่ยนเบอร์หนีมันแล้วล่ะ

   “ถ้าอยากเรียนจริง ๆ  ก็ดีใจด้วย  แต่ถ้าบอยหนี  บอยจะรู้เองแหละ  ว่าระยะทางต่อให้ห่างขนาดไหน  บอยก็หนีหัวใจตัวเองไม่พ้นหรอก  เพราะมันจะตามติดบอยไปทุกแห่ง  ทุกที่เลยล่ะบอย”

   ดินยิ้ม . . .

   . . . ดินมันยิ้มให้กับสิ่งที่มันคิดว่า  ควรเป็นอย่างที่สุ
   


   บอยมันนั่งเงียบ ๆ  ดินมาส่งมันที่ดอนเมือง  มันไม่อยากมองแววตาดินเพราะบอยรู้ดี  ดินเจ็บปวดกับการตัดสินใจของมัน    โลกภายนอกมืด  เพราะมันบินไปสู่ทิศตะวันตก 

   โลกมีทั้งซีกมืด . . .

   . . . และสว่าง 

   ความสว่างในชีวิต  ในหัวใจ  ไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนสำหรับบอย  เพราะหัวใจมันไม่เคยสว่าง  มันไม่เคยพบแสงสว่างจากหัวใจเลยด้วยซ้ำ

   เพราะมันใช้เทียนของนัทนำทาง . . .

   . . . เทียนที่นัทไม่เคยจุดให้มัน

   มันกลับมองข้ามตะเกียงที่ดินยื่นให้  เพราะมันหลงคิดว่าเทียนนั้นสวย  ถ้าบอยมันคว้าตะเกียงหัวใจ  บางทีมันอาจจะไม่ต้องเดินทางไกลแบบนี้ก็เป็นได้  แต่เส้นทางชีวิต  มันกำหนดเองไม่ได้  มันจึงต้องเดินตามที่ . . .

   . . . พหรมลิขิต

   บอยมันไม่รู้หรอกว่าเมืองที่มันจะไป  มันเป็นยังไง  เพราะมันติดต่อกับมหาวิทยาลัยทางอินเตอร์เน็ท  แล้วทุกอย่าง  มันก็ไม่ได้ดำเนินเรื่องเอง  มันรู้แค่ว่า  มันต้องบินไปลงเฟรงเฟริตก่อน  แล้วมันต้องต่อเครื่องไปที่เบรเมนอีกทีนึง  บอยมันเคยบินที่ไหนเล่า  แต่มันยังอุ่นใจ  แอร์ที่เป็นรุ่นน้องสมัยเรียนเชียงใหม่แวะมาคุยกับมันบ่อย ๆ 

   “เดี๋ยวพอลงที่แฟรงเฟริตแล้วต้องต่อเครื่องไปเบรเมนนะ  อีกสักชั่วโมงก็คงถึง วันนี้เครื่องดีเลย์นิดหน่อย”  แอร์ใจดี  ยิ้มกับมัน

   “แล้วกระเป๋าล่ะ”

   “พาสทรู”  แอร์ยิ้ม 

   บอกแบบคนที่รู้  เพราะบอยมันเอาตั๋วให้ดูแล้ว  มันลงทีจี  มันต่อเครื่องลำเล็กของลุฟฮันซ่าไปลงเบรเมนได้

   “หมายความว่าไงครับ”

   บอยมันกังวลลึก ๆ  กระเป๋ามันส่งขึ้นเครื่อง    ถ้ากระเป๋ามันหาย  มันจะเอาอะไรใส่  เสื้อผ้า ข้าวของมากมายในกระเป๋าของมัน  มันกังวลไปจิปาถะ

   “เขาส่งโหลดให้เรียบร้อยไปยังเมืองปลายทางจ้ะ เดี๋ยวบอยลงก็ไปต่อที่เทอร์มินอลภายในได้เลย  เอาแค่ฉอนด์เบลกไปเท่านั้นแหละ”  แอร์ยิ้มหวานอีกรอบ

   มันยิ้ม . . .

   . . . มันโล่ง 

   ดีไม่ต้องลาก  กระเป่ามันใบใหญ่  มันตุนพวกอาหารแห้งมามากมายเลยทีเดียวเลยล่ะ  พาสทรูก็พาสทรูว่ะ  ค่อยไปเอาที่เบรเมน

   เครื่องดีเลย์แบบที่แอร์บอกมันจริง ๆ 

   บอยมันลงจากเครื่อง  มันก็ตรงดิ่งไปที่เคาเตอร์ภายใน  มันหวุดหวิดเกือบไม่ทันไฟล์แรกเสียด้วย  ไม่อย่างนั้นมันอาจจต้องนั่งเครื่องไปลงที่ฮัมบูก  แล้วนั่งรถไฟย้อนกลับมาเอากระเป๋าที่เบรเมนอีกแหง  มันชักจะสนุกกับความวุ่นวายของเยอรมัน  ที่มันเพิ่งก้าวเท้าลงมาเหยียบแผ่นดินเมื่อสักครู่นี้เอง

   เครื่องภายใน  ลำเล็กจริง ๆ แฮะ  น่าจะเท่ากับลำที่มันขึ้นจากสุราษฏร์ธานีมากรุงเทพฯ  มั้ง

   ช่างเหอะ . . .

   . . .  ไม่น่าจะนานหรอก 

   เพราะบอยมันดูในแผนที่  ภาษาเยอรมัน  ไม่ชินตามันเลย  แต่ยังดีที่มีภาษาอังกฤษควบคู่ไปด้วย  มันเผลอหลับไปงีบนึง  มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อเครื่องมาจอดเทียบที่สนามบินเบรเมน  บอยมันลงมารอกระเป๋า  มันลุ้นเสียแทบแย่  แต่มันยิ้มเมื่อกระเป๋าของมันค่อย ๆ  ลอยมาตามสายพานลำเลียงกระเป๋า

   ประเทศเยอรมันนี่ใจดีแฮะ  เปิดแอร์ทั้งประเทศนี่หว่า . . .

     มันบอกกับตัวเอง  เมื่อมายืนรอเท็กซี่ที่หน้าสนามบิน  อากาศเย็นจับใจทีเดียว  บอยเอามือป้องปากพ่นลมหายใจให้ไออุ่นมาสัมผัสมือมันบ้าง  มันกวาดตามองรอบ ๆ  ตัว  ทุกอย่างล้วนแปลกตาสำหรับมัน  มันเดินไปยังเท็กซี่  ก่อนจะคุยไรกัน  แล้วเขาก็เอากระเป๋ามันใส่ในรถ

   ตึกใหญ่ตรงหน้าละหม้ายคล้ายกับห้างสรรพสินค้ามั้ง แต่ในห้องกระจกที่มันมองเห็นคือ  อินฟอร์เมชั่น  สำหรับนักท่องเที่ยว  มันเดินเข้าไป  แล้วมันก็กลับออกมาพร้อมสมุดเล่มเล็ก ๆ  กับแผนที่และตารางรถไฟ 

   บอยมันนั่งลงเปิดสมุด . . .

   . . .  แล้วเทียบกับสถานที่ของมัน  มันใช้ปากกาเน้นข้อความเขียนอะไรไปในแผนที่  บางทีมันขมวดคิ้วด้วยความสงสัย  บางทีมันก็ยิ้มเพราะมันตรงกันกับสิ่งที่มันเขียนเป็นภาษาไทยมา

   มันลากสังขารไปถึงสถานีรถไฟที่เบรเมน  มันเดินไปซื้อตั๋ว  แล้วบอยมันถึงรู้  มันจะหลงเอาตอนนี้แหละว้า

   ทางรถไฟยังกะใยแมงมุม

   มันไม่มีใครช่วยนี่หว่า  มันดิ้นรนมาตั้งแต่ต้นแล้ว  เพราะฉะนั้น  มันจะกลัวอะไรอีก  หลงเป็นหลงสิวะ  ใครจะมาสนใจกะเหรี่ยงหลงดอยที่มายืนอยู่บนแผ่นดินเยอรมันแบบมันเล่า 

   โลก . . .

   . . . มีแต่คนแปลกหน้าสำหรับบอย

   กว่ามันจะหอบสังขารมาถึงโอเดนเบิร์ก  มันก็แทบแย่  มันหิวจนตตาลายไปหมด  มันได้แค่กัดกินแฮมเบอร์เกอร์กับน้ำอัดลมรองท้องเท่านั้น  มันเหนื่อยมันล้ากับการเดินทางไกลมาค่อนโลก  เมื่อมันมาถึงหอพักที่ทางมหาลัยจัดไว้ให้  มันก็ทิ้งตัวลงนอนทันที  ปล่อยให้กะเป๋าวางไว้แบบนั้นก่อนเหอะ  มันยังไม่ถึงเวลาที่จะเอาของออกมา  ตอนนี้มันอยากนอนมากที่สุดในโลก



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 04-08-2009 13:00:07
ใกล้บทเริ่มต้นของเรื่องแล้ววววววววว

หุหุหุหุหุ.......
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 04-08-2009 16:57:36
 :L1:

นอนหลับให้สบายเถอะนายบอย

ตื่นขึ้นมาจะได้ตามหาหัวใจที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอเมื่อไร

รีบๆเรียนให้จบเน้อ

จะได้ไปเริ่มต้นตอนที่อยากอ่าน

อยากรู้ว่าเขาจะเจอกันแบบไหน ยังไง

ก็เริ่มต้นไว้แบบนี้อ่ะ

คิ คิ คิ

 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 04-08-2009 21:34:49
ตอนนี้ตามไปเยอเลยนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ronney ที่ 05-08-2009 20:12:13
มายังละเนี่ย

บอยเหนื่อยมั้ยนั่น
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 08-08-2009 13:14:41
จากกันไกลกว่าเดิมอีก
แต่ระยะทางจะห่างแค่ไหน
เหมือนในใจบอยก็ยังคงมีนัทอยู่ตลอดเวลา
 :monkeysad:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 08-08-2009 23:35:59
อิ่มเอม ... ดีใจที่ตามอ่านเรื่องนี้ได้ทันท่วงที  :กอด1:
อ่านแล้ว รู้สึกว่า แผ่นดินไทย มันมีอะไรหลากหลาย น่าค้นหาจริงๆ ... ย้อนกลับมาดูตัวเองแล้ว โลกแคบชะมัด

เรื่องนี้ ตอกย้ำมากๆเลยนะคะว่า ... ความรัก แม้จะไม่สมหวัง แต่มันก็ยังงดงามในตัวเองเสมอ  :กอด1:

ถึงแม้ไม่ได้มีเรื่องราวของดินเท่าไหร่นัก ... แต่ก็แอบเชียร์ดินอยู่นะคะ
เชียร์ดินที่กล้าเอื้อม กล้าคว้า กล้าผิดหวัง ... กล้าเสี่ยงที่จะได้รับความรักตอบแทนกลับมาบ้างซักนิด
แต่สุดท้าย ... ดินรู้แล้ว  การได้เห็นคนที่เรารักมีความสุข  มันจะสุขมากกว่าการที่เราได้คนที่เรารักมาครอบครอง

ปล. ชอบคำพูดของดินอยู่ประโยคนึง ... โรแมนติกจับใจเลย อิอิ
“อ้อ  แล้วผมขอมอบเพลงนี้ พิเศษสุดสำหรับคนที่สำลักเหล้าเมื่อสักครู่ด้วยนะครับ”
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 09-08-2009 20:28:10
ต อ น ที่   ๒ ๖
เ ชื่ อ ม โ ล ก ด้ ว ย เ น็ ท


   บอยมันวุ่นอยู่กับการเรียนเสียเกือบเดือน  มันต้องปรับตัวเองใหม่หมดทุกอย่าง  ที่นี่  มีแต่คนที่มันไม่คุ้นหน้าค่าตาเลยสักคน  วันที่บอยไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัยบอยพยายามมองหาพวกเอเชียหัวดำ  และมันก็นับหัวได้เลยมั้ง  เพราะพวกที่เรียนกับมันมีแค่พวกหัวเหลืองแทบทั้งนั้น  มันวุ่นเสียจนแทบไม่มีเวลาทีจะคิดเรื่องอื่น

   จนมันเริ่มปรับตัวให้เข้าที่เข้าทางได้แล้วนั่นแหละ  มันถึงรู้ว่า  เมืองนอกเหงากว่าที่มันคิดเสียอีก  สิ่งเดียวที่เชื่อมมันกับเมืองไทยเอาไว้ได้คือ  คอมพิวเตอร์   

   บอยมีเวลาเหลือมากในแต่ละวัน  เพราะมันต้องเอาเวลาไปลงเรียนภาษาเยอรมันเสียก่อน  ไอ้ภาษาอังกฤษของมันก็จักแล่นเต็มกลืน 

   แต่ครั้งนี้ . . .

   . . .  มันต้องเรียนภาษาเยอรมันด้วยสิ 

   มันพยายามทำใจแล้วให้สนุก  แต่มันไม่ยักกะสนุกตามแฮะ  มันปวดกบาลหนักเข้าไปอีก  แต่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย  เพราะบอยมันเอาสมองไปรบกับการเรียนภาษาจนมันค่อย ๆ  ลืม ภาพที่เชียงใหม่ลงไปชั่วขณะ

   มันลืมไม่ได้หรอก 

   . . . เพราะเชียงใหม่คือส่วนที่มันคิดว่าดีที่สุดในชีวิต

   มันก็เหมือนตะกอนที่ค่อย ๆ  ตกลงก้นบึ้งยามน้ำสงบนิ่ง  รอเวลาว่าเมื่อไหร่จะมีใครกวนน้ำนั้นให้ขุ่นอีกครั้งเท่านั้นเอง 

   บอยมันรู้  หัวใจของมันในส่วนของนัทเริ่มสงบแล้ว  เพราะมันแทบไม่นึกถึงนัทเลย  สมองมันมีแต่เรื่องเรียน  เพราะมันรู้ดี  ทุนสามปีสำหรับมันอาจจะไม่จบ  และถ้ามันไม่จบมันจะลำบากหนักกว่าเดิมอีก  หนี้สินจะค่อย ๆ  เพิ่มพูนขึ้นตามวันเวลาที่มันเรียนไม่จบ  ก็เขาให้ทุนมาสามปี  ถ้ามันอยากเรียนมากกว่านั้นต้องจ่ายเอง

   เมืองที่บอยอยู่เป็นเมืองเล็ก ๆ 

   เมืองที่สงบ  ค่าครองชีพไม่แพงอย่างที่มันคิดไว้แต่แรก  มันได้นั่งรถไฟไปเที่ยวยังเมืองใกล้ ๆ  บ้าง  เป็นครั้งคราว  อย่างน้อยมันก็ได้ออกมาสู่โลกกว้างแล้ว  มันจะทำตัวหดอยู่แต่ในกระดองของ  Oldenburg(โอลเดนบูร์ก) ได้อย่างไรกัน  มันสนุกกับการใช้ชีวิตในโลกใหม่ 

   และมันไม่ลืม . . .

   . . . ดิน 

   มันไม่ลืม . . . พี่ต้น 

   สองคนนี้มันแชท  มันส่ง  mail  ถึงกันเสมอ 

   แต่ . . .

   . . . สำหรับนัท 

   หลังจากคืนนั้น  คืนสุดท้ายที่เชียงใหม่  มันเหมือนคนตายจากกันไปแล้วล่ะ  เพราะมันไม่เคยได้ข่าวคราวของนัทอีกเลย

   บางครั้งมันเหงา  มันจะส่งเมล์ให้ดินหรือพี่ต้น  แต่ดินตอบเมล์มันช้า  ดินมันบอกขี้เกียจ  แต่จะโทรมาหามันมากกว่า  เรื่องของเมล์  มันจึงยกไปให้พี่ต้น  มันมีเมล์หากันเกือบทุกวัน

   
   Oldenburg  (เรียกเป็นภาษาไทยว่า  “โอ้  กระเด็นมาบนบก”)

   วันที่  ไม่บอกแล้วกัน  สถานที่ตอนนี้  ในห้องนอน หน้าโน้ตบุ้ค

   แล้วผมก็หาความหมายของ  Oldenburg มาได้แล้วพี่   แปลว่าปราสาทโบราณหรือเมืองเก่าอะไรเทือกนี้  แต่ช่างเหอะอย่างไรเสียกะเหรี่ยงจากเมืองไทยอย่างเราไม่กลัวหลงอยู่แล้ว

    "หนทางอยู่กับปาก"

    จะไปกลัวอะไร  แต่นั่นดันคิดผิด  อ้าว  เยอรมันมันชาตินิยมจ๋าไม่เดาะภาษาปะกิตเลย  โอ้ว  จอร์ส  งานนี้เกือบเอาตัวไม่รอดกว่าจะปรับตัวได้แบบทุกวันนี้

   พี่ต้นครับ. . .   

    เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา  ผมออกไปตะรอนมาด้วยล่ะครับ  ไปที่  "Hamburg"

    เมืองใหญ่อีกเมืองของเยอรมันครับพี่  ที่นี่มีอะไรมากมายเลยแหละพี่  พี่รู้จัก  Hamburger  มะ  เขาเล่าต่อกันมาว่า  ที่เมือง  Hamburg  นี่แหละเป็นต้นกำเนิดเลยล่ะ    แน่ะ  ทำหน้างงอีกพี่เรา  ก็พี่ดูสิครับแค่เอา  er  ใส่เข้าไปมันก็เป็น Hamburger  แล้วล่ะ

    อันนี้คนที่นี่เขายืนยันว่าจริงนะพี่  ผมไม่ได้คิดเอาเองหรอก  เพราะถ้าผมคิดเองได้  พี่คงไม่พูดบ่อย ๆ  หรอก  ว่า  “วันนี้บอยกินหญ้าแล้วหรือยัง” 

   ตึกที่นี่จะเป็นตึกเก่า ๆ  คล้ายปราสาทตามเทพนิยายที่เคยอ่านนะพี่  เป็นตึกทรงยุโรป  แต่ดันมีดดม  คล้าย ๆ  กับมัสยิดแหละ  แต่อย่างว่าแหละพี่  ก็ศาสนาคริสต์กับอิสลาม  มันก็มาจากพื้นเดียวกัน

(http://img33.imageshack.us/img33/4659/76211528.jpg)

    เอาเป็นว่าเรื่องศาสนาเราอย่าไปแตะแล้วกัน  มันน่ากลัว  อิอิ  วันนี้ผมเดินเสียขาลากเลยพี่  เมืองใหญ่มาก  มองไปทางไหนก็แปลกตาไปหมด  มือกดชัตเตอร์เสียเป็นระวิงเลย  จนมาถึงที่นี่  ไอ้ตึกแดง ๆ  ตามรูปที่ผมส่งมาให้พี่นั่นแหละ

    โอ้ยพี่. . .

    ผมก็นึกว่ามันตึกทำอะไร  ถ้าให้พี่ทายเล่น ๆ  พี่จะทายว่าตึกอะไหนหนอ

(http://img98.imageshack.us/img98/7471/70170077.png)

    อย่าเขกกบาลผมดี  เดี๋ยวฉี่รดที่นอน  แหม  เล่นนิดเล่นหน่อยก็ไม่ได้  ไอ้ตึกแดงที่ว่านะ  มีชื่อว่า speicher Stadt ครับ เป็นโกดังเก็บของขายเครื่องเทศ,พรม ส่วนรูปสะพาน เป็น สะพานข้ามแม่น้ำ เอลเบ่อร์ (Elbe) ครับ ถ้าเดินย้อนหลังไปอีกนิดจะเป็นท่าเรือ ฮัมบูร์ก แล้วก็ ตลาดปลา (Fisch Markt)

    พี่เชื่อมั้ย  ผมเดินอยู่ที่นี่เหมือนกับเดินอยู่ในปราสาทเทพนิยายเลยแหละ  ก็พี่ดูรูปที่ผมส่งมาให้ดูสิครับ  มันน่าชวนขนหัวลุกขนาดไหน 

   ยังพี่  ยังไม่หมดหรอก  นี่แค่น้ำจิ้ม  เพราะอีกวันผมก็ได้ไปที่   "Friedhof"    อันนี้เป็นภาษาเยอรมัน  ถ้าผมบอกคำแปล  พี่คงไม่อยากมาแหง ๆ

   สุสาน

   มันคือสุสานที่ใหญ่ที่สุดในโลก  ที่ตั้งอยู่ที่นี่ครับพี่ แรกเริ่มที่เดียวผมเองยังไม่เชื่อเลยว่ามันคือสุสาน  ก็พี่ดูสิครับ  มันเหมือนสวนสาธารณะมากกว่า  ต้นไม้งี้เขียวครึ้มไปหมด  มันสวยเสียจนผมคิดไม่ได้ว่า  มันไม่เหมาะกับที่อยู่ของคนตายเลยสักนิด  ก็พี่ดูสิครับ  “ป่าช้า”  บ้านเรานะ  มีใครอยากไปเดินเล่นบ้างละครับ  ชวนขนพองสยองเกล้าเสียขนาดนั้น พี่ลองนึกภาพตามที่เคยเห็นในหนังนะ  ป่าช้าไทย  ต้นไม้รกครึ้ม  มีไม้เถาว์เลื้อยระโยงระยาง  แล้วดึก ๆ  มีเสียงหมาหอนเย็นยะเยือก

(http://img200.imageshack.us/img200/930/36707520.jpg)

    โอ้ยพี่  แค่นี้หัวใจก็หล่นตุ๊บไปกองที่หัวแม่เท้าแล้วล่ะครับ   แต่ที่นี่  มีคนมานั่งเล่นกันเยอะนะครับ แปลกดีพี่

   ผมคงต้องจบเมล์ฉบับนี้แล้วล่ะครับ  ไว้ค่อยเมล์หาใหม่นะพี่

 
                                                                                                             บอย


   บอยมันยิ้ม . . . 

   . . . มันกดส่งไป 

   แล้วมันนอนแหงนหน้ามองเพดาน 

   ไม่รู้สิ . . . 

   . . . มันเหมือนคนมาท่องเที่ยวเลยแฮะ  บางครั้งเหมือนมันไม่ได้มาเรียนงั้นแหละ    มันไม่รู้หรอกอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้าบ้างเพราะมันไม่หยั่งรู้อนาคต  มันรู้แค่ว่าวันนี้มันทำดีที่สุดแล้ว  ดีที่สุดของมัน  คนอื่นอาจมองว่าไม่ดีก็ได้  มันไม่สนหรอก

    จดหมายของบอยมันสนุก  มันเขียนมายืดยาว  แถมยังส่งรูปสวย ๆ  มาให้ดูอีก  พี่ต้นอ่านไปยิ้มไป  บอยมันมีเรื่องอะไรอีกมากแหละ  ที่ขยันหามาเล่า  อาจเพราะมันอยู่ต่างถิ่นมั้ง  มันอาจเหงา  ไม่รู้จะทำอะไรก็ได้

   “นั่งยิ้มคนเดียวเลยเหรอพี่เรา”  เสียงทักทายจากคนทื่นยิ้มแผล่หน้าประตู ทำเอาต้นต้องหันไปมอง

   “อ้าว  นัท  มาทำอะไรถึงสนามบินว่ะ  เข้ามาก่อน  เลิกงานแล้วล่ะ   แต่ยังไม่อยากกลับ”  พี่ต้นขยับตัวเป็นท่านั่ง  พลางเลื่อนเก้าอี้ให้นัท

   “พอดีมาส่งเพื่อนนะครับพี่  เลยแวะมาดูคนแอบอู้งาน”

   “ไม่ได้อู้นะโว้ย  งานเสร็จแล้วล่ะ  ว่าแต่แกเหอะ  เพื่อนหรือแฟน”  พี่ต้นทำหน้าล้อ

   “เพื่อนพี่  เพื่อนจริง ๆ  มันลงไปกทม.  เพราะพ่อมันเข้าโรงพยาบาล  ไม่มีใครขับรถมาส่งมัน  ผมเลยต้องมาส่ง”

   “ไม่ได้ว่าไรนี่หว่า  ไอ้นี่ร้อนตัว  ว่าแต่วันนี้วันศุกร์  คืนนี้เที่ยวกันมั้ย  ไปไหนกันดีล่ะ”

   “กินเหล้าอีกเหรอพี่  แล้วงานพี่เสร็จแล้วเหรอ”

   “เสร็จแล้ว  นี่ก็กำลังอ่านเมล์บอยมันอยู่  มันส่งรูปมาให้ดู  ไปเรียนต่อที่เยอรมัน  สวยดีว่ะ”

   บอย . . .

    . . . นัทมันขมวดคิ้ว 

   ชื่อนี้อีกแล้ว

   “เออ  บอยมันก็จบมอชอนี่หว่า  . . .”  พี่ต้นดีดนิ้วเปาะคล้ายนึกอะไรออกมา

   “. . . แกน่าจะรู้จักนะโว้ย  เพราะมันเคยไปช่วยงานที่แม่นะด้วย  เออใช่” 

   นัทมันมอง . . .

   . . .  มันยิ้ม 

   ถ้าบอยคนที่ไปแม่นะ  ทำไมมันจะไม่รู้จักเล่า 

   มันรู้จักดีพอสมควร คนที่แอบชอบมันอยู่ไง  แต่บอยที่ไปเรียนต่อที่เยอรมันนี่มันไม่รู้จักแน่  เพราะบอยที่มันรู้จักไปสอนที่สุราษฏร์ธานีโน่น 

   ก็ข่าวสุดท้ายที่นัทรู้มันเป็นแบบนี้นี่หว่า

   “พ่อกำนันเคยบอก  นัทกับบอยไปช่วย  แต่ลืมถามทุกทีเลย  ปากหนักยังไงไม่รู้  ตกลงแกรู้จักบอยมั้ย”

   “บอยเยอรมันผมคงไม่รู้จักหรอกพี่  เพราะบอยที่ผมรู้จักมันทำงานที่สุราษฏร์ธานีโน่น  เพราะครั้งสุดท้ายที่ผมเจอ  ผมรู้แบบนี้แหละ”

   พี่ต้นยิ้ม  หัวเราะเบา ๆ

   “อ้าว  หัวเราะทำไมพี่”

   “งั้นก็คนเดียวกันว่ะ  ไอ้บอยวิดยา๔๐  ตอนนี้มันไปไกลแล้วล่ะ  มันกำลังจะไปคว้าดอกเตอร์ที่เยอรมันโน่น”

   “จริงเหรอพี่  โลกกลมเนาะ  แล้วมันรู้มั้ยพี่  ว่าพี่รู้จักกับผม”  นัทถาม  มันรู้แล้ว  ต้องแกล้งมันสักหน่อย  โทษฐานที่ไม่ติดต่อกลับกันเลย

   “ยังไม่รู้เลยว่ะ”

   “งั้นพี่อย่าเพิ่งบอกมันแล้วกัน  อำมันเล่น ๆ  ไปก่อน  ไว้ถ้ามันรู้ว่าพี่รู้จักกับผม  พี่จะอึ้ง”  นัทยิ้ม  ยิ้มมันคล้ายมีเลศนัยยังไงไม่รู้

   “ทำไมเหรอ”  พี่ต้นแปลกใจ  ทำไมมันสองคนนี้ช่างมีเรื่องลับลมคมในกันเหลือเกิน

   โลกล้วนมีอะไรมากมายที่เราคาดไม่ถึงเสมอแหละ

   “เอาน่าพี่  ทำตามที่ผมบอกแล้วกัน”

   ต้นพยักหน้ารับ . . .

   . . . บางทีคนเราอาจมีอะไรที่มันควรจะปิดบังเอาไว้ก็ได้  บางคนอาจจะอยากเก็บเรื่องราวเอาไว้  แต่สำหรับบางคน  เขาอาจจะอยากมีส่วนที่เขาอยากมีก็ได้กระมัง

   “เออนัท  อีกสองอาทิตย์ จะลงไปกทม. ว่ะ  ต้องอยู่ที่นั่นอาทิตย์นึง  แกจะเอาอะไรมั้ย”

   “จริงดิพี่  ผมต้องไปแข่งกีฬา ป.โท ที่บางแสนเหมือนกัน  ช่วงเวลาเดียวกันด้วยสิพี่”

   “เหรอ  เออดี  งั้นไว้แกลงไปถึงบางแสนโทรหาพี่แล้วกัน  แต่ว่าคืนนี้เราไปนั่งกินเหล้าที่ร้านนักเรียนเก่ากันเหอะ”

   “Old Scools  นี่นะ  ได้พี่ได้  เดี๋ยวโทรหาเพื่อนอีกสักสองสามคน  กำลังอยากกิน  มีคนเลี้ยงอีกแล้ววันนี้”  นัทมันยิ้ม  มันเจ้าเล่ห์ตามเคย

   พี่ต้นยิ้ม . . .

   . . . อย่างน้อย 

   โลกในเชียงใหม่  ของพี่ต้นยังคงสวยงามเสมอ  บางทีถ้าโลกของบอยในเชียงใหม่เป็นแบบนี้ได้  มันคงดีไม่น้อย  แต่โลกของบอยมันอยู่ที่มุมเศร้าและ  มันเศร้าตลอด


บอยมันตื่นมา  มันตื่นสายกว่าทุกวัน  อาจเพราะวันนี้วันเสาร์ปกติมันชอบตื่นสายในวันหยุด  วันนี้มันก็ตื่นสายอีก  เป็นปกติของมันแล้วล่ะ  วันเสาร์ - อาทิตย์วันสุขที่สุดของมันก็ว่าได้  บอยมองลอดออกไปนอกหน้าต่าง  หิมะเริ่มตกแล้วล่ะ  ตอนนี้ยุโรปเริ่มเข้าสุ่หน้าหนาวแล้ว 

   มันยังจำได้ดี . . .

   . . .  เมื่อสัปดาห์ก่อนหิมะเริ่มตกใหม่ ๆ  มันตื่นเต้นเสียจนใจแทบจะกระดอนออกมาด้านนอก  มันยังจำได้  มันเดินย่ำไปบนพื้นหิมะที่หนาเตอะ  มันไม่รู้นี่หว่าว่าหิมะมันเป็นแบบไหน

     บอยมันใช้สองมือ  โกยหิมะ  แล้วปั้นเป็นลูกกลม ๆ  ก่อนจะปาทิ้งไป  ก้อนหิมะคล้ายน้ำแข็งใสแตกดังโผล๊ะ  กระจายไปคนละทิศคนละทาง  มันเล่นหิมะเสียจนมืดค่ำ  เท้ามันเริ่มชาเพราะหิมะละลาย  รองเท้าผ้าใบมันเปียกชุ่ม  มันไม่รู้ฤดูหนาวเขาต้องใช้รองเท้าสำหรับเดินลุยหิมะ  ไม่ใช้ผ้าใบแบบที่มันใส่อยู่ประจำ

   แล้วบอยมันก็ซาบซึ้งกับหิมะแรกของมัน . . .

   . . .  หิมะเอามันถึงกับนอนซมอยู่สามวันเพราะพิษไข้

   มันได้รู้พิษสงของหิมะก็คราวนี้นี่เอง

   สิ่งแรกเวลามันตื่นคือมันจะต้องมาอยู่หน้าจอคอม  มันไม่รู้จะทำอะไรมั้ง  มันเหงานี่หว่า  หน้าจอคอม  คือสิ่งที่เชื่อมมันกับเมืองไทยเอาไว้ 

   ตอนนี้มันมีเพื่อนมากมายที่เมืองไทย  โดยรู้จักกันผ่านแชท  มันคลายความเหงาได้บ้าง  มันนึกถึงพี่ต้น  มันเอากล้องที่เพิ่งไปตะลุยหิมะ ออกมา  ใช่สาย USB  ต่อเข้ากับเครื่อง  แล้วมันก็โหลดรูปภาพลงในเครื่องอย่างช้า ๆ

   
   ที่เดิมแหละพี่

   เวลา  เกือบเที่ยงพี่  วันนี้นอนรับประทานบ้านรับประทานเมือง

   หิมะเริ่มตกแล้วครับพี่  ขาวโพลนไปหมดสุดลูกหูลูกตาแหละ  วันแรกที่หิมะตก  ผมลงไปเล่นเสียจนจับไข้ไปสามวันเลยทีเดียว  อ้าวก็ไม่รู้นี่ครับว่ามันเป็นแบบไหน  เคยเจอหิมะเสียที่ไหนล่ะครับ  ส่วนมากอยุ่เมืองไทยเคยเจอแต่  “ลูกเห็บ”

   เวลาจะออกไปในเมืองก็ค่อนข้างลำบากสักหน่อยนะพี่ 

   เพราะจักรยานก็ปั่นไปไม่ได้  จอดเรียงรายภายใต้กองหิมะ  ที่เริ่มหนาขึ้นเรื่อย ๆ  เห็นพยากรณ์อากาศปีนี้บอกทางยุโรปจะหนาวมากเสียด้วยนะครับ  ผมแทบไม่อยากออกนอกหอพักเลยครับพี่  เพราะเมื่อออกไปข้างนอกมันหนาวจับไปถึงขั้วหัวใจเลยทีเดียว  ทำให้นึกว่า  ถ้ามีใครมากอดสักคนก็คงจะดีไม่ใช่น้อย  แต่มันจะมีใครเล่า  คนแบบผมใครจะมามอง

(http://img526.imageshack.us/img526/4258/80522639.png)

   ช่วงนี้เมืองไม่ค่อยสวยเลยพี่  ต้นไม้คล้ายยืนต้นตาย เพราะไม้ทิ้งใบเหลือแต่กิ่ง  แบบเดียวกับที่ยางพาราผลัดใบนั่นแหละครับ  แล้วก็โดนหิมะคลุมทับเสียขาวโพลนไปหมด  มองอย่างกับขี้เถ้าของระเบิดภูเขาไฟแหละครับ 

   ไม่รู้สิครับพี่. . . 

   . . . ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เอาเสียเลย  มันเหมือนกับว่าโลกมันเหงา ๆ  อย่างไรไม่รู้  ผมชอบสีเขียวมากกว่า  เพราะสีเขียวสดชื่นหัวใจ  มองแล้วสบายตากว่ากันเยอะเลย อาจเพราะผมโตมากับต้นไม้มั้ง  เมืองไทยบ้านเราต้นไม้เยอะ  อากาศไม่หนาวจัดแบบที่นี่  คนไทยนี่นับว่าโชคดีนะะผมว่า  พี่ดูรูปที่ผมส่งให้ไปแล้วกันนะครับ  มันเหงาแบบที่ผมบอกจริงหรือเปล่า

    แต่ตอนนี้ . . .

   . . . หัวใจผมเหงายิ่งกว่า

    เมื่อผมดันไปนึกถึงใครบางคน  แค่นี้ก่อนแล้วกันนะพี่

         คิดถึงพี่ต้นจังเลย

                                                                                                      บอย


   บอยมันกดส่ง  มันดันนึกถึงนัทขึ้นมาจับใจเลยทีเดียว  มันไม่รู้เหมือนกัน  ว่ามันนึกถึงนัทขึ้นมาอีกทำไม  ทั้ง ๆ  ที่ตอนมันมาอยู่ที่นี่  มันแทบไม่เคยนึกถึงนัทเลยด้วยซ้ำ  มันนอนหงาย  แววตาจ้องมองเพดานนิ่งนาน

   เสียงเรียกมีคนทักทาย  จากเครื่องคอมผ่านโปรแกรมยอดฮิต  บอยมันไม่สนใจที่จะตอบ  จนมันได้ยินเสียงเรียกถี่ ๆ  นั่นแหละ  มันถึงต่องนอนคว่ำหันกลับไปมอง

   “พี่ต้น”  มันยิ้ม  พลางเคาะแป้นพิมพ์

   “วันนี้ออนได้เหรอพี่”  บอยมันทักทายไป  มันยิ้ม  นาน ๆ  มันจะได้คุยกับพี่ต้นสักทีนึง

   “เออดิ  ทำไร  รูปสวยว่ะ  แต่เหงาจริง ๆ    ทำไม  คิดถึงสาวที่เมืองไทยเหรอ”  พี่ต้นพิมพ์ตอบกลับมา 

   บอยยิ้ม . . .

   . . .  สาวที่ไหนว่ะ  หนุ่มโว้ย  มันบอกตัวเองในใจ

   “แหมพี่  มีก็ดีสิ  แต่ผมไม่มี”

   “อ้าวเหรอ  งั้นไม่คิดถึงสาวก็คิดถึงหนุ่มดิ” 

   “เหอะๆๆๆ  พี่รู้ใจผม”  บอยมันยิ้ม  มันไม่รู้หรอก  ส่วนมากมันแกล้งคุยกับพี่ต้นได้ทุกเรื่องอยู่แล้วล่ะ

   “จริงดิ  หนุ่มเหนือ  หนุ่มใต้วะ”

   นั่นพี่ต้นท่าจะเอาจริงเล่นไม่เลิก

   “โอ้ยพี่เชื่อผมเหรอนี่  ผมนี่นะชอบหนุ่ม” 

   “อ้าวเอ็งบอกมาพี่ก็เชื่อ”

   นั่น . . .

   . . . ดูเหอะ 

   ทำไมทีเรื่องแบบนี้พี่ต้นเชื่อได้นะ  คนขี้เล่นแบบพี่ต้น  เชื่ออะไรง่าย ๆ  ด้วยเหรอว่ะ  บอยมันยิ้ม  เออเล่นกับพี่ต้นสักพักก็ได้ว่ะ  บางทีบอกในเรื่องจริงไปบ้าง  พี่เขาจะรู้สึกอย่างไรนะ

   “แล้วถ้าผมเป็นเกย์ขึ้นมาล่ะพี่”

   “เออ  ดีใจด้วยว่ะ”

   บอยมันงง . . .

   . . .  คำตอบพี่ต้น 

   ดีใจด้วย  จะมาดีใจที่มันไม่ใช่ผู้ชายนี่นะ  เขาจะมาดีใจเรื่องอะไรหว่า

   “อ้าวพี่  ดีใจทำไมกันครับ”

   “ก็เอ็งจะได้เป็นชายเหนือชายไง  ๕๕๕”

   พี่ต้นพูดเล่นกับมัน  ในขณะที่มันพยายามจะบอกความจริง  เอาว่ะ  ลองสารภาพกับพี่ต้นว่ามันเป็นเกย์ดิ  ดูว่าพี่ต้นเขาจะรู้สึกเช่นไรบ้าง  อย่างน้อยพี่ต้นก็ไล่แตะมันไม่ได้เหมือนตอนอยู่ที่เมืองไทยหรอก

   “พี่ต้น  ผมพูดจริงนะพี่  ผมเป็นเกย์  ผมชอบผู้ชายจริง ๆ  พี่”

   บอยมันกลั้นใจแทบตายกว่าจะพิมพ์ประโยคนั้นออกไปได้ 

   มันรอ . . .

   . . . รอพี่ต้นตอบกลับมา  มันดูเหมือนว่าเวลาแห่งการรอคอยการตอบกลับจะเนิ่นนานเสียเหลือเกิน

   “จริงดิ๊  ดีใจอีกครั้ง  พลเมืองโลกจะได้ลดลง  เพราะไม่มีคนสืบทอดทายาท”

   “จริงพี่  ผมชอบผู้ชายจริง ๆ  พี่”

   “เออ  แล้วแกชอบใครว่ะ  ถ้าบอกชอบตู  ก็แค่นี้นะโว้ยบ้าย บายเลยเอ็ง”

   นั่น . . .

   . . .  ดูเอา 

   พี่ต้นยังมีอารมณ์เล่นกับมันอีกแน่ะ  มันนะทำใจแทบตายกว่าจะกล้าพูดในเรื่องนี้  แต่พี่ต้นกลับทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาเสียงั้น

   “ไม่ใช่พี่   พี่นะพี่ชาย แต่คนที่ผมชอบนะ  เขาเคยเรียนที่เชียงใหม่กับผม  ไม่ใช่ดินนะพี่  ดินนะเพื่อนผม  สนิทกัน”

   มันรีบชิงบอก  เพราะพี่ต้นเห็นมันกับดินสนิทกัน 

   “แล้วคนนั้นชื่อไรว่ะ  บอกหน่อยดิ  ชื่อย่อก็ได้เอ้า”  นั่นพี่ต้นจะเล่นเกมส์ทายอักษรกับมันดอกหรือ 

   เอาก็เอาว่ะ . . .

   . . .  ลองเล่นกันเกมสืแล้วกัน  ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่หว่า  สนุก ๆ  ขำขำ

   “น หนู  แล้วกันพี่  ให้ทายสามครั้งพี่”

   “นัท”

   บอยมันอึ้ง . . .

   . . .  พี่ต้นพิมพ์ตอบกลับมาเร็วเหลือเกิน  แล้วยังเป็นคำตอบที่โดนใจมันเสียด้วย  พี่ต้นรู้อะไรหว่า  ดินเล่าให้ฟังเหรอ 

   ไม่น่า . . .

   . . .  ไม่น่าจะใช่ดิน  เพราะดินมันไม่น่าจะบอกเรื่องนี้

   “กรรม  เลย  พูดไม่ออกเลยผม”

   “เหอะ ๆ ๆ ๆ   เดี๋ยวจะส่ง  SMS  เบอร์ใหม่ให้เอ็งพรุ่งนี้  แล้วอย่าลืมโทรกลับนะเอ็ง  ว่าแต่ตอนนี้ขอตัวว่ะ  จะไปบางแสนแร้ว  ไปเที่ยวทะเล   อย่าลืมนะโว้ย  พรุ่งนี้  ถ้าส่งเบอร์ให้ปั๊บ  โทรปุ๊บเลยนะโว้ย  สัญญานะ”

   “สัญญาพี่”

   บอยมันตอบกลับไป . . .

   พี่ต้นออกไปแล้ว  แต่มันยังคงงง ๆ  อยู่ดี  พี่ต้นนะพี่ต้น  ทายแค่ชื่อแรกก็ถูกแล้ว  แถมยังมาหัวเราะอีก  ไม่ตอบไม่คุยต่อเสียด้วย  ปล่อยให้มันคิดไปเองเสียอีก  ไว้ค่อยโทรไปถามก็ได้ว่ะ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 10-08-2009 09:48:11
หุหุ....

ชอบพี่ต้นนนนนนนน

ก๊วน กวน

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 10-08-2009 11:28:09
อ้างถึง
“เหอะ ๆ ๆ ๆ   เดี๋ยวจะส่ง  SMS  เบอร์ใหม่ให้เอ็งพรุ่งนี้  แล้วอย่าลืมโทรกลับนะเอ็ง  ว่าแต่ตอนนี้ขอตัวว่ะ  จะไปบางแสนแร้ว  ไปเที่ยวทะเล   อย่าลืมนะโว้ย  พรุ่งนี้  ถ้าส่งเบอร์ให้ปั๊บ  โทรปุ๊บเลยนะโว้ย  สัญญานะ”

   “สัญญาพี่”

   บอยมันตอบกลับไป . . .


ส่งมายังครับ
ถ้าส่งแล้วโทรเลยเน้อ
อยากรู้จะคุยไรกัน
เบอร์ นัท แหงม แหงม
ขอบคุณครับ
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ronney ที่ 10-08-2009 18:42:10
ไกลสุดขอบฟ้าเลยนะนั่น

รอ  ต่อไป
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 10-08-2009 20:27:16
เหมือนว่า พี่ต้น จะเกิดมาเพื่อช่วยเหลือ บอย ในแทบทุกเรื่องเลยนะคะ

แต่ไม่รู้ว่า จะช่วยให้บอยก  นัท ลงเอยกันด้วยดีได้มั้ยนะ !!?  :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 10-08-2009 22:49:23
โทรครั้งนี้ใครจะเป็นคนรับกัน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 11-08-2009 22:52:07
.ช่พี่ต้นแน่หรอ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 12-08-2009 00:22:20
เหอๆ ไอ่คนที่ chat กะบอยตอนหลังเนี่ย

ตัวจริงเร้อ

สงกะสัย

"นัท" สวมรอย

หุหุ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 13-08-2009 09:38:53
มารออ่านว่า บอย จะโทรจริงหรือเปล่า
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 13-08-2009 11:47:07

^

^

^

มาจิ้มรีบนเล่น ๆ 


โทรเลยดิ๊ . . .

. . . อย่ากลัว ๆ ๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 14-08-2009 12:02:44
 :z3:

อ้าว...ยังไม่โทรกันอีกหรือ

จะคอยฟัง

ว่าเขาจะคุยอะไรกัน

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 15-08-2009 09:44:27
อ๊ากกกกก
เบอร์ที่พี่ต้นจะให้ เป็นเบอร์ที่บอยโทรหาตอนเริ่มต้นเรื่องนี้รึเปล่าน๊อ
หุหุ ตื่นเต้นจัง
คุณราชบุตรมาต่อไวๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 20-08-2009 11:19:56
 :z3:

คุณราชบุตร

มัวแต่ไปขลุกอยู่ที่บาหลี

ไม่มาเปิดเสียงโทรศัพท์

ให้เราฟังเสียทีครับ

 :z10:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 20-08-2009 13:41:21

^

^

^

เจอทวงด้วยวุ้ย . . .

. . . จัดไปครับผม



ตอนที่  ๒๗



“08xxxxxxx  เบอร์นัทว่ะ  แน่จริงโทรเลยเด่ะ”

   แล้วพี่ต้นก็  SMS  มาหามันจริง ๆ  บอยกำโทรศัพท์เอาไว้แน่น  เขารับรู้ได้ว่าฝ่ามือของเขาเย็นเฉียบ  แต่เหงื่อมันกลับซึมออกมา  เขาเพิ่งได้รับตัวเลข ๙ หลักจากคนที่อยู่ไกลกันเกือบครึ่งฟ้า


   “เอาไงดีว่ะ  พี่ต้นนะพี่ต้น  ผมกำลังจะลืมอยู่แล้วเชียว  ดันมาบอกอีกว่าเบอร์นัท”  ชายวัยเลยเบญจเพศเดินกระสับกระส่ายไปมาราวหนูติดจั่น

   เขามองลอดหน้าต่างอพาร์ตเม้นท์ออกไป . . .

   . . .  หิมะกำลังโปรยปราย  

   ทั่วทั้งบริเวณตึกขาวโพลนไปหมด  ต้นไม้เหลือแค่กิ่งก้านที่โดนเกล็ดหิมะจับ  ข้างนอกมันหนาวเหน็บ  ไม่แตกต่างไปจากหัวใจของเขา  ที่มันทั้งหนาวทั้งแห้งแล้ง เพราะไร้น้ำมาหยดรดรินหัวใจมานานแล้ว  แต่เขาโชคดีที่ด้านในมีฮีตเตอร์  ร่างกายเขาเลยอบอุ่นแต่หัวใจของเขาล่ะ  มันหนาวกว่าหิมะที่โหมกระหน่ำอยู่ด้านนอกกระมัง

   “I really love you Nat.   From boy.”

   บอยมันยังจำแม่นข้อความสั้นที่มันส่งผ่านโทรศัพท์เมื่อหลายปีก่อน  ตอนที่บอยรู้ตัวว่าต้องมาสอนไกลถึงจังหวัดทางภาคใต้  มันห่างไกลจากจังหวัดที่เขาเรียนจบมาเกือบ ๑,๕๐๐  กิโลเมตร  จากโอบล้อมของขุนเขา  ที่เขาเรียนมา ๖ ปีเต็ม มาสู่จังหวัดร้อยเกาะ  หัวใจมันต้องโบยบินไกลเหลือเกิน

   . . . และมันรับรู้หลังจากนั้นนัทมันเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ใหม่

   บอยจำทุก ๆ  อิริยาบถของนัทได้ดีเสมอ  นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน  จนถึงวันสุดท้ายที่บอยต้องลาจาก  มันเก็บความรู้สึกส่วนลึกของหัวใจตัวเองไว้มิดชิด  ความรักของมันงดงามเสมอ  มันไม่ยอมเอาความรักของมันไปแปดเปื้อนตัวนัทเด็ดขาด  มันสัญญากับตัวเอง

   มันยินดีที่จะเก็บหัวใจรักของมันเอาไว้แบบนี้

   รักที่ไม่ต้องการการครอบครอง . . .

   . . .  รักเพราะหัวใจสั่งให้รัก

   ไม่ใช่รักเพื่อเอาเขามาไว้ในกรงขังของหัวใจ  

   บอยมันยิ้ม  มันสุขกับรอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้านัท  เหมือนรอยยิ้มที่มันเห็นครั้งแรก  จากชายแปลกหน้า  ที่วันนี้กลายมาเป็นชายแรกที่มันรักอย่างเต็มหัวใจ

   หัวใจของมันเหมือนอยู่ในโลกที่มืดสนิท  ลึกจนแทบไม่มีใครหยั่งไปถึง  

   แต่วันนี้  

   “พี่ต้น”  

   กลับมากระตุกความรู้สึก  ที่มันเองก็แทบจะลืมไปแล้วว่าความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร  แต่บอยมันยิ้ม  มันยินดีที่จะเดินกลับไปในห้วงเวลานั้นอีกครั้ง  แม้มันจะรู้ว่า  มันทำได้แค่  แอบมองนัทเงียบ ๆ  เท่านั้น

   แค่นั้นเอง . . .

   . . . ที่หัวใจมันต้องการ

   “โทรเลย  รอไรอยู่อีก”  เสียงภายในตัวออกคำสั่ง

   “อย่าเชียวนะแก  เดี๋ยวนัทมันเปลี่ยนเบอร์หนีอีก”  อีกเสียงคอยเตือน

   บอยมันละล้าละลัง  

   “โทรสิ  โทรไปขอโทษนัทมันที่คิดไปแบบนั้น  เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว  อีกอย่างตอนนั้นมันเหมือนการคิดยึดใครเอาไว้มากกว่าใช่คิดจะมีไรแบบนั้นกับเขาสักหน่อย”

   “โธ้โว้ย!  พี่ต้นนะพี่ต้น  ผมกำลังทำใจได้อยู่แล้วเชียว”  มันตะโกนออกมาดัง ๆ  พอที่จะดับอารมณ์อันเดือดพล่านภายในได้บ้าง

   บอยหงายโทรศัพท์ในมือ  แล้วกดตามเบอร์ที่เพิ่งได้มา  เขารอสายแล้วกดมันทิ้ง  เขาทำไม่ได้  เขากลัวไปหมด  กลัวเสียงตอบรับจากปลายสาย  กลัวว่าปลายสายจะตัดสายทิ้งถ้ารู้ว่าเขาโทรไป  ถ้าเป็นแบบนั้นบอยมันคงเศร้าไปอีกหลายวัน  มันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเดินไปหยุดที่หน้าต่างริมกระจก

   หิมะยังคงตกมาโปรยปราย เหมือนหัวใจของบอยตอนนี้มั้ง  มันเหมือนกับอะไรสักอย่างที่ตกตะกอนจนน้ำใสแล้วจู่ ๆ  ก็มีคนมากวนตะกอนนั้นให้มันขุ่นมัวขึ้นอีกครั้งแทนที่จะตักตะกอนในหัวใจของเขาทิ้งไป  บอยกดโทรศัพท์อีกเป็นครั้งที่สอง  แต่แล้วเขาก็ต้องกดสายทิ้งอีกก่อนที่ปลายสายจะได้ยินเสียงตอบรับ  มันยากเหลือเกินกับการที่เราจะทำในสิ่งที่หัวใจปรารถนา

   “แม่งเอ้ย  ไอ้พี่ต้นกล้าจังเลยว่ะ  เขาโทรไปคุยกับนัททั้ง ๆ  ที่ไม่รู้จัก  เอาดิ  กลัวไรว่ะมึงโทรเลย”  ไม่รู้ว่าเป็นตัวร้ายหรือตัวดีในร่างกายบอยบอกให้บอยโทรอีก  มันกดโทรศัพท์อีกเป็นครั้งที่สาม  แล้วมันก็ต้องทำแบบสองครั้งแรก

   “โอ้ยอยากบ้า”

   บอยเขวี้ยงโทรศัพท์ลงบนเตียงนอน  ก่อนกระโดดตัวทิ้งตัวลงนอนบนที่นอน  เขาลืมตาโพลงมองฝ้าเพดาน  มือควานหาโทรศัพท์ที่ทิ้งลงมาก่อนหน้านี้  บอยตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายเอาว่ะ  เป็นไงเป็นกัน  อย่างน้อยมันคงไม่เจ็บเท่าที่ผ่านมากระมัง  เพราะตอนนี้เขาไม่ได้รู้สึกแบบนั้นกับนัทแล้วนี่หว่า แค่อยากขอโทษที่เผลอคิดอะไรไปกับเพื่อนเก่า  

   เอ!

   ใช้คำว่าเพื่อนเก่าได้หรือปล่าวหว่า   เพราะมันนานมาก  มากจนบอยไม่นึกว่าจะเจอกับนัทอีกแล้วในชาตินี้   บอยมันเหมือนคนที่ยืนในที่มืด  เฝ้ามองดูนัทอยู่ห่าง ๆ  เท่านั้นเอง  สิ่งที่มันต้องการคือแค่ได้เห็นคนที่มันรัก ยิ้ม  หัวเราะสนุกสนานในหมู่เพื่อนสนิทของเขาเท่านั้นเอง

   ส่วนมันเพื่อนร่วมงานที่บังเอิญสนิทกันในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง  นัทมันรายล้อมด้วยเพื่อนฝูงมากมาย  จะมีที่ว่างในหัวใจของนัทที่มองมาที่บอยหรอกหรือ  บอยมันคิดไปต่าง ๆ  นานา  เท่าที่สมองมันจะคิดได้ในตอนนั้น

   “ตื้ด….ตื้ด”  

   เสียงปลายสายว่าง  แต่หัวใจของบอยมันว้าวุ่น  แต่ละเสียงเรียกที่ผ่านไปมันช่างนานราวชั่วกัปชั่วกัลป์  เขารอปลายเสียงตอบรับด้วยความทรมานหัวใจเป็นที่สุด  

   แล้วหัวใจของบอยก็เต้นแรงขึ้นเมื่อเขาได้ยินเสียงจากคนไกลจากเมืองไทย

   “สวัสดีครับ”

   “ขอสายนัทครับ”  มันพยายามกลั้นหัวใจตัวเองให้พูดแบบที่ปกติที่สุด

   “ครับผม  นัทพูดอยู่ครับ  ใครนะ”  เสียงปลายสายมันไม่ค่อยคุ้น  หรือว่าเพราะมันไม่กล้าที่จะคุยกับนัทตั้งนานมาแล้วก็เป็นได้  

   มันนึก . . .

   . . .  มันนานแค่ไหนแล้วนะที่มันได้ยินเสียงนัท    หลายปีทีเดียว เสียงนั้นเปลี่ยนไป  หรืออาจเพราะหูของมันไม่คุ้นกับเสียงที่มีมาตามสายก็ไม่รู้  สิ่งเดียวที่มันรู้ในตอนนี้  ก้อนเนื้อบางอย่างทำหน้าที่แรงเสียด้วย

   ช่างเหอะ  บอยสลัดความคิดทั้งหมดทิ้ง  รวบรวมความกล้าพูดกับปลายสายต่อไป

   “ณัฐพงศ์หรือปล่าวครับ”

   “ครับผม  ณัฐพงศ์เองครับ”

   โอย!  

   บอยมันเข่าอ่อน ร่างกายมันเหมือนคนหมดแรงเอาดื้อ ๆ  พี่ต้นนะพี่ต้น  ทำไรลงไปนี่  เมื่อวานตอนมันแชทกับพี่ต้น  พี่ต้นบอกรู้แล้วเบอร์นัท  กำลังโทรคุยกันอยู่มันยังคิดว่าพี่ต้นอำมันเล่นเสียอีก  

   แต่วันนี้ . . .  

   มันกลับได้คุยกับคนที่มันรู้สึกว่าสร้างความผิดเอาไว้  มันรู้สึกหมดกำลังวังชาที่จะยืนอยู่บนโลกนี้เสียด้วยซ้ำ  

   แล้วถ้ามันรู้อีกว่า  พี่ต้นของมันรู้จักกับนัทก่อนหน้านี้  มันจะทำหน้าแบบไหนกันนี่  ก็พี่ต้นเล่นปิดเงียบ  จนมันแทบไม่รู้สึกอะไรเลยเสียด้วยซ้ำ  เพราะคนนึงไม่ถาม  อีกคนเลยไม่จำเป็นต้องบอก

   โลกก็เช่นนี้แหละ . . .

   . . . มันกลม

   สิ่งที่เราไม่คาดคิดมักจะเกิดขึ้นกับเราอย่างไม่รู้ตัวเสมอ  มันคือความเที่ยงแท้ของโลก  ที่มนุษย์ทุกผู้ทุกนามยากที่จะปฏิเสธมันไปได้  เพราะเรายังต้องยืนอยู่บนโลก บูด ๆ เบี้ยว ๆ  ใบนี้  โลกที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่ากลมไงล่ะ

   “โทรมาอย่าเงียบดิครับ”  เสียงจากปลายสายกระตุ้นให้บอยมันตื่นจากความคิด

   “ครับ ๆ  เราบอยนะครับ  บอยวิดยา๔๐  จำได้มั้ย”  บอยละล่ำละลัก  คล้ายอะไรจุกอยู่ที่ปาก  ก็มันไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาพูด  แค่นี้มันก็อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีแล้วล่ะ

   เวลา . . .

   . . . ไม่ได้ช่วยอะไรมันเลย

   เกือบสิบปี ตั้งแต่รอยยิ้มแรกที่มันเจอ  มาจนกระทั่งวันนี้  มันไม่ได้ทำให้บอยกล้ามากขึ้น  และดูเหมือนว่า  จะทำให้มันอ่อนระโหยโรยแรงได้มากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำไป  มันคงเกิดมาแพ้ทางนัทอย่างแน่แท้

   “บอย . . ”  

   นัทมันทวนชื่อ  เสียงมันบอกมา  เหมือนกับคนที่รู้สึกว่าคลับคล้ายคลับครากับชื่อนี้  มันคุ้นเหมือนเคยรู้จัก  มันติดอยู่แถว ๆ  ตะเข็บหัวใจ  มันพยายามนึก  บอยวิดยา  ใครกันนะ  เอ  หรือมันหลงลืมเพื่อนบางคนไปหรือปล่าว  

   “. . . โทษทีนะครับ  นึกไม่ออกเลย  พอดีช่วงนี้มึน ๆ  เลยจำอะไรไม่ค่อยได้”

   ดูเอาเหอะ  แม้จะจำไม่ได้  แต่นัทมันยังคงเหมือนนัทคนเดิม ที่อ่อนโยนกับเพื่อนเสมอ  บอยมันจำได้แม่น  นัทที่คอยดูแลเอาใจใส่คนรอบข้างตลอดเวลา  ทุกสิ่งทุกอย่างของนัทเริ่มเข้ามาในความทรงจำที่แทบจะเลือนหายไปของบอย  เขาเริ่มเห็นภาพนัท   กลับมาชัดเจนในความรู้สึกอีกครั้ง

   “เพื่อนบิ้กไงครับ  อยู่กลุ่มเดียวกัน”  บอยมันไม่ละพยายามที่จะให้อีกฝ่ายจดจำมันได้”

   “อืม”  เสียงนัทขาดหายไปชั่วครู่  

   “ผมจำบิ้กได้ครับ  แต่จำบอยไม่ได้  โทษอีกครั้งนะครับ”

   บิ้ก  นัทจำได้  และมันยังจำเลยไปถึงอีกคนที่เป็นเพื่อนบิ้ก  นัทมันเริ่มจำอะไรได้ราง ๆ  

   แต่เดี๋ยวก่อน  มันไม่รู้ว่าบอยจะมาแบบไหน  ขอมันอำเล่นสักพักนึงก่อนเหอะ  เพื่อให้แน่ใจว่าใช่ คน ๆ  นั้นแน่ ๆ  คนที่คอยช่วยเหลือมันห่าง ๆ  ในงานของชมรม  นัทมันนึกในใจ  น่าจะใช่คนเดียวกัน

   “ผมจำบิ้กได้ครับ  แต่จำบอยไม่ได้  โทษอีกครั้งนะครับ”  เอาอีกแล้ว  คำตอบของนัท  คล้ายมีดที่กรีดลึกลงไปในหัวใจของบอย  หรือจะเหมือนฟ้าผ่ากลางกบาล  นัทมันจำบอยไม่ได้จริง ๆ  แหละ  

   ช่างเหอะ . .  

   . . . จำไม่ได้ก็ดีเหมือนกันอย่างน้อยเขาอาจจะลืมคนที่แค่เคยผ่านมาเท่านั้น  สำหรับบอย  นัทไม่ใช่แค่คนเคยผ่าน  แต่นัทมันคือความทรงจำที่ดีในรั้วมหาวิทยาลัย

   ความทรงจำ . . .

   . . . ลืมกันง่าย ๆ  กระนั้นหรือ

   ถ้าลืมกันง่ายเขาจะเรียกมันว่า . . .

   . . .  ความทรงจำฤๅ

   “ได้ข่าวว่านัทมาเรียนต่อโทพลังงานเหรอครับ เป็นไงยากมั้ยครับ”

   “ครับผม  ก็ยากเอาการอยู่ครับ  แล้วบอยละครับทำอะไรอยู่”  เสียงจากปลายสายเริ่มเป็นกันเองมาขึ้น  

   บอยมันค่อย ๆ  หายกลัว มันยิ้มออกมาได้  หรือจะมีใครบอกมันมั้ยนะว่าตอนนี้มันหน้าแดงกว่าปกติทั่วไป  บอยมันนอนบิดไปบิดมาบนที่นอนด้วยความเขิน

   มันเขินตัวเองหรือเขินที่ได้ยินเสียงนัทกันแน่นะ  

   แต่มันรู้แค่มันเหมือนตัวเบา  คล้ายจะลอยได้  มันเหมือนปุยนุ่นที่โดนกระแสลมพัดลอยไปมาในอากาศมิปาน  มันเป็นเอามากขนาดนั้นเลยทีเดียวเทียวแหละ

   “ผมเรียนครับ เรียนต่อเหมือนกัน”   

   “เรียนที่ไหนครับ”

   “เยอรมันครับ”  มันพูดออกไปแล้วนึกขึ้นได้  

   ตายห่า . . .

   . . . นี่มันเดาะโทรทางไกลหานัทจากเยอรมันเลยเหรอ  ปลายสายจะคิดยังไงนะที่จู่ ๆ  มีผู้ชายที่ไหนไม่รู้โทรหาแถมยังโทรจากอีกซีกหนึ่งของโลกเสียด้วยสิ

   “ไกลจัง  สบายดีมั้ยครับไปเรียนที่โน่น”

   “ก็พอปรับตัวได้แล้วครับ  เออ  นัทยุ่งหรือปล่าว  ถ้ายุ่งผมไม่กวนแล้วนะครับ”  มันไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว  จู่ ๆ  มันก็หมดเรื่องราวที่จะคุยเอาเสียงั้น  

   ทั้ง ๆ  ที่ก่อนโทรมันตั้งใจเสียดิบดี  ว่าจะโทรแล้วคุยโน่นคุยนี่  แต่เมื่อปลายสายยืนยันว่าจำไม่ได้  มันคงไม่เซ้าซี้หรอก  แค่นี้มันก็ดีนักหนาแล้วล่ะ  ได้ยินเสียงคนที่มันอยากได้ยินมาหลายปี

   “คุยได้ครับ  พอดีมาแข่งกีฬา ปริญญาโทที่ชลบุรีนะครับ”

   “อ่อครับเป็นไงมั้งครับ”

   “แพ้หมดแล้ว  ตกรอบแล้วล่ะ”   น้ำเสียงปลายสายไม่มีที่ท่าเสียใจเลย  แถมยังมีท่าทางร่าเริงเสียด้วยซ้ำ  เหมือนนัทคนเดิมที่บอยเคยเจอ

   “ไม่ใช่  ผมหมายถึงสบายดีมั้ยครับ”  บอยมันเริ่มกล้าที่จะคุยมากขึ้น

   “ก็ดีครับ  เรื่อย ๆ  ครับ ชีวิตถ้าไม่ดิ้นรนมากก็ไม่เหนื่อยมาก  บางครั้งคนเราอาจอยากได้โน่นได้นี่ก็เหนื่อยเป็นธรรมดาครับ”  นัทยังคงเป็นนัท  มันจะมีคำพูด  ดี ๆ  แฝงไว้ทุกครั้ง

   บอยมันยิ้มกับตัวเอง  

   นัทของมัน . . .    

   . . . ไม่ใช่สิ    อย่าแสดงความเป็นเจ้าของโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมสิบอย

   นัทเป็นเพื่อนเก่า . . .

   . . . มันบอกตัวเอง

   แค่เพื่อนเก่าของมันยังคงเป็นนัทคนเดิมที่มันรู้จัก  เป็นนัทที่มีความคิดความอ่านโตเกินตัวอยู่เสมอ  บอยมันยิ้มเมื่อมันมองย้อนไปในวันเก่า ๆ  ตั้งแต่แรก ๆ  ที่มันเริ่มรู้จักกับนัท  

   เหมือนวันเวลาเหล่านั้นไม่เคยผ่านไปเลย

   บอยมันเก็บเวลาทุกอย่างสำหรับนัทไว้ได้อย่างดี  มันจะยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง  มันไม่เคยโกรธนัท  แม้มันจะแอบน้อยใจนัทบ้าง  แต่มันรู้ดี  มันไม่มีวันที่จะโกรธรักแรกของมันเป็นอันขาด  บอยมันเฝ้าเก็บความรักของมันไว้เป็นอย่างดี  บัดนี้ความรักที่มันเก็บไว้มิดชิด  โดนมือดีมาเปิดอีกครั้ง

   บอยมันยินดีที่จะให้เขาเปิด  มันยินดีเป็นที่สุดด้วยซ้ำไป

   “ครับ  ไม่กวนนัทแล้วดีกว่าครับ  บอยค่อยโทรหาใหม่แล้วกันนะครับ”

   “ได้ครับได้  หวัดดีครับ”

   ปลายสายตัดไปนานแล้ว  แต่บอยมันยังนอนยิ้มมองเพดานห้องอยู่เลย  มันลองเอามือมาหยิกที่แก้มตัวเอง  

   เออ!  

   เจ็บนี่หว่า  มันไม่ได้ฝันไปหรอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ล้วนเป็นความจริงทั้งนั้นแหละ  บอยมันยิ้มเป็นสุข  มันอาจเป็นวันที่มันสุขที่สุดในชีวิตตั้งแต่ที่มันส่งข้อความนั้นไปหานัทแล้วก็ได้

   “เฮ้ย  ยิ้มทำไม  พี่ต้นแกล้งเตี้ยมกับใครแล้วอำเล่นหรือปล่าว”  อีกเสียงภายในใจมันสอดแทรกมาในความคิด

   “นั่นดิ”  มันตอบคำถามที่มันตั้งขึ้นมาเอง

   “พี่ต้นชอบแกล้งด้วย  ถ้าเป็นนัททำไมเสียงเปลี่ยนไปจังเลย  เปลี่ยนมากด้วยนะโว้ย”  มันยังโต้ตอบกับความคิดของตัวเอง

   “ช่างเหอะ  คิดทำไมในทางไม่ดี  อย่างน้อยวันนี้ก็มีความสุขไม่ใช่หรือ”  มันตัดความคิดทุกอย่างออก  ค่อย ๆ  ลุกจากเตียงนอนมองลอดหน้าต่างออกไป  สนามบาสที่ข้าง ๆ  หอพักขาวโพลนไปด้วยหิมะ

   มันยิ้มกับตัวเองเอาหน้าพิงกระจก  ไอเย็นจากด้านนอกทะลุผ่านกระจกสัมผัสมาที่แก้มของบอยเบา ๆ  สายตาทอดยาวออกไปทางทิศตะวันออกราวกับจะมองให้เห็นถึงอีกซีกหนึ่งของโลก   



   หันหันกลับมามองเจ้าของความคิด  พี่ต้นนั่งยิ้ม  พี่ต้นขำมันเหรอ  มันอดใจแทบตายที่ไม่หัวเราะออกไปตั้งแต่แรก  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม  มันควรจะคุยกับบอยให้หายคาใจทั้งเรื่องของมันเองที่บอยคิดกับมันแบบนั้น  แต่มันดันแกล้งบอกไปว่าไม่รู้จักบอยเสียงั้น

   “หัวเราะทำไมพี่  แกล้งคนมันสนุกเหรอ  นัทมันถาม  มันไม่ค่อยสนุกด้วยแล้วแหละ  มันฟังน้ำเสียงบอยที่ค่อนข้างจะตื่น ๆ  ร้อนรนชอบกล

   “อ้าวไอ้นี่  ลงเรือลำเดียวกันแล้วนะแก  อำมันต่อไปไง  แกไม่อยากรู้แล้วเหรอ  ทำไมบอยมันถึงผูกพันกับแกนักไอ้นัท”

   นั่นไง  พี่ต้นยกข้อนี้มาขู่มันอีก  เวรกรรมของมึงเลยนัทเอ้ย

   “สงสารมันพี่  คนไปอยู่เมืองนอกนะ  ตัวคนเดียว  พี่ยังแกล้งมันอีก”  นัทมันสงสาร  มันเคยเห็นน้ำตาของบอยหลายครั้งแล้วนี่หว่า  เพียงแต่ในเวลานั้นมันไม่รู้  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบอยแอบชอบมันอยู่  มันดันคิดไม่ถึง

   หรือมันไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเพื่อนจะจริงจังกับมันขนาดนั้นหว่า

   “เริ่มสงสารแล้ว  อีกหน่อยก็รัก  ไอ้นัทเอ้ย”

   “เฮ้ยพี่  ผมผู้ชายนะพี่  ไม่เคยรักผู้ชายด้วยกัน”   นัทมันบอก  มันทำหน้าแปลกใจแหละ  

   พี่ต้นนี่ชักยังไง  ยุให้มันรักผู้ชาย    มันชักไม่เข้าใจ  พี่ต้นอยู่ข้างมันหรือข้างบอยกันแน่หว่า

   “เอาน่า  ลองรักดู . . .”  พี่ต้นหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นนัททำหน้าเลี่ยน  

   “. . . พูดเล่นโว้ย  จริงจังไปได้   รู้แหละความรักห้ามกันไม่ได้โว้ย  ช่างมันเหอะไอ้นัท  คนเรา  ถ้ามันคู่กันมันก็ไม่แคล้วกันหรอกว่ะ”  นั่นพี่ต้นยังวางระเบิดอีกในตอนท้าย

   นัทมันส่ายหัวกับความขี้เล่นของพี่ต้น  แววตาลึก ๆ  ของพี่ต้น  เขาไม่ได้คิดแบบที่เขาพูดหรอก  พี่ต้นอาจแค่อยากแหย่มันเล่น

   “ยุเข้าไปพี่”

   “พูดจริง ๆ  นะโว้ย  ความรักมันห้ามกันไม่ได้หรอก  คนเราลองมีหัวใจตรงกันแล้ว  ต่อให้อะไรมากั้นกลางขวางไว้  ก็ห้ามไม่ได้หรอก”

   “พูดอย่างกะคนกำลังมีความรัก”

   “ว่าได้เหรอ  อาจจะมีก็ได้”

   อาจจะ . . .

   . . . แปลว่า  มี  หรือ  ไม่มีก็ได้

   “ไม่ไหวพี่  คุยกับพี่ทีไร  เหนื่อยใจ  เลี้ยวลดคดเคี้ยวจนผมเริ่มงง”

   “ใช่ดิ๊  กูไม่ใช่ไอ้บอยนี่หว่า”  พี่ต้น  แอบชะม้ายชายตามองมัน

   “โห  วกมาอีก  อย้ามาทำสายตาแบบนั้นพี่ . . .”  มันหัวเราะเบา ๆ  

   “. . . ผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำนะพี่ว่าบอยมันจะอะไรกับผมขนาดนั้น  เพราะมันดูปกติทุกอย่าง   ทีแรกผมคิดว่ามันแอบชอบเมย์เสียด้วยซ้ำ  ผมไม่เคยนึกเลยจริง ๆ นะพี่  ในความเป็นเพื่อน  บอยเป็นคนที่ใช้ได้เลยนะพี่ต้น”  น้ำเสียงบอกความยอกย่องเพื่อนเอาไว้ดีพอสมควร

   “แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรัก”

   “รักสิพี่”

   “จริงอ่ะ”  ต้นยิ้มยั่วมัน

   “มันเพื่อนผมนะพี่  ยังไงเพื่อนก็คือเพื่อน  และผมไม่เคยรู้สึกว่าบอยเป็นอย่างอื่นสำหรับผม  มันอาจจะมีดีเลวบ้าง  แต่เวลาที่ผ่านมา  มันทกให้ผมรู้ว่า  ความรู้สึกของเพื่อนมันยิ่งใหญ่กว่าการเป็นคนรัก  อันนี้ผมมองในมุมของผมนะพี่ต้น . . .”

   “อืม”

   “. . . เวลาที่ผมนึกตอนสมัยเรียน  ผมจะมีความสุขทุกครั้งที่ได้คิดถึง  หลาย ๆ  เรื่องที่ผมไม่สามารถที่จะแก้หรือทำมันได้  มีไอ้บอยเข้ามาอยู่ในความรู้สึกนั้นเสมอ  ถ้ามันจะคิดกับผมมากกว่าเพื่อน  ผมคงห้ามมันไม่ได้หรอก  แต่ผมห้ามตัวผมเองได้  ว่าผมไม่เคยรักบอยมากไปกว่าความรู้สึกของเพื่อนคนนึงที่มีให้อีกคน”

   “พี่เข้าใจ  แหย่เล่นไปอย่างนั้นแหละ”

   “ว่าแต่มันนึกยังไง  ไปต่อที่เยอรมัน”

   “หนีรักมั้ง”

   “พูดเข้า  เป็นเล่นไปพี่”  

   “ใครจะไปรู้    ถ้าอยากรู้ไม่ลองถามมันดูล่ะ”

   “ไว้เจอมันอีกครั้งผมจะถามมันดู  ที่อื่นมีถมเถไม่ไป  ดันไปเยอรมัน  เท่ากับต้องเริ่มเรียนภาษากันใหม่เลยนั่น”  นัทมันยิ้ม

   มันไม่รู้ . . .

   . . . และมันไม่มีวันรู้ ทำไมบอยถึงเลือกไปเยอรมัน



หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ $
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 20-08-2009 15:58:47
จิ้มก่อน

แล้วค่อยอ่านตอนนอกเวลางาน

อิอิ

ขอบคุณครับที่มาต่อ


อ่านแล้ว เฮ้อ ค้างได้อีกคับพี่น้อง
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 20-08-2009 19:57:56
 :z3:
ค้าง....อึดอัด ทำไงดี ....

รอคอยตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ

รีบมาต่อนะค่ะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 20-08-2009 20:08:23
อ๊ากกกกกกกกกกกก ถึงปัจจุบันแล้ววววว  :z3: ค้างอีกแล้ว  :sad4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: jackoo ที่ 20-08-2009 21:08:14
ขอบคุณนะครับ  คุณราชบุตร วันนี้ผมมีความสุขมากนะครับ

เพราะคุณทำให้ผมอินไปกับตัวละครของคุณทุกตัว  ย้ำนะ

ว่า...........ทุกตัว                                                                                           
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: yaoifan ที่ 21-08-2009 09:53:50
“. . . โทษทีนะครับ นึกไม่ออกเลย พอดีช่วงนี้มึน ๆ เลยจำอะไรไม่ค่อยได้”   

“ผมจำบิ้กได้ครับ แต่จำบอยไม่ได้ โทษอีกครั้งนะครับ”

อ่านแล้วอยากเอาไม้ตีหัวนัท ทำเป็นลืม

อยากอ่านต่ออีกล่ะ มาต่อเร็วๆ นะคะ :z13:





หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 12-09-2009 09:59:18
สงสารน้องบอย โดนแกล้งอะ
แต่ยังไงบอยก็ได้คุยกะนัทแล้ว ต่อไปก็คงต้องรอลุ้นว่าเรื่องจะเป็นไงต่อ
พี่ต้นนี่ก็ร้ายเชียว เก่งนะนั่น 555
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: litlittledragon ที่ 12-09-2009 13:59:24
ตกลงเบอร์พี่ต้นก็คือเบอร์พี่ต้น แต่พี่ต้นบอกเบอร์นัทให้บอยด้วย

งานนี้ หวังว่านัทตะเปลี่ยนความรักสำหรับเพื่อนให้มากกว่านั้นได้สักที....
เรื่องราวกลับมาถึงบทแรกแล้วสินะครับ หลังจากได้อ่านอดีตของพวกเขา
แล้ว ในที่สุดก็ถึงปัจจุบันและอนาคต
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 12-09-2009 18:22:16
โอ้  ว้าว  มาต่อแล้ว
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 12-09-2009 20:49:30
.... เอ ๆ ๆ ๆ
.... รู้สึกว่า คุณราชบุตร จะไม่ค่อยมาต่อเรื่องนี้เลยนะค่ะ ... ตะลอนทัวร์บาหลีซะเพลิดเพลิน ทิ้งให้นัทน้ำตาตกในอยู่หลายวันแล้วนะเนี่ย  :haun5:

ค้างคา เหลือเกิน ... จิตตก :sad2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 13-09-2009 16:36:20
 :L1:

มีความสุขที่ได้เข้ามาอ่าน
แม้จะช้าไปอย่างมาก
แต่ก็ไม่ช้าเกินไปกว่าที่คุณราชบุตร
จะมาต่อตอนใหม่

ไม่มีคำที่นอกเหนือไปจากเพื่อน ... นัท
ไม่มีความรู้สึกอะไรที่นอกเหนือไปจากรักอย่างมั่นคง ... บอย

แล้วอย่างนี้จะเอื้อมกันถึงมั๊ยครับ
รอคุณราชบุตร วางบทให้เข้ามาใกล้กันอีกนิด
อยากอ่านบทตอนนั้นครับ

ขอบคุณมาก

 :pig4:

 :z2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 13-09-2009 17:39:29


เข้ามาใกล้ . . .

. . . เดี๋ยวบอยเอื้อมถึง  แย่เลย
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 13-09-2009 18:17:35
^
^
^
^
^

จิ้ม ๆ ๆ ๆ ๆ

เมื่อไหร่จะมาต่ออีกล่ะครับ

รออยู่น๊า.....
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 20-09-2009 23:48:39


เข้ามาใกล้ . . .

. . . เดี๋ยวบอยเอื้อมถึง  แย่เลย

 :z3:

บอยไม่กล้าหร็อกผมว่า
แค่เห็นก็มือไม้อ่อนปวกเปียกแล้ว
ไม่สงสารบอยก็เห็นใจคนอ่านเหอะ

เข้าใจว่างานเยอะมากมาย
แต่ควรกระจายความสุขให้เรื่องนี้บ้าง
สักนิสนึง นะครับ

อิ อิ มีทวงด้วย

 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ $
เริ่มหัวข้อโดย: ka[ze]na ที่ 21-09-2009 15:29:27
แวะเข้ามาเอื้อม....

รู้สึกว่า  ยังไม่ถึงซักที........

ยังรอคอยที่จะเอื้อมอยู่ 


หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: RAJCHABUT ที่ 21-09-2009 23:04:30

ต อ น อ ว ส า น
   
   บอยมันนั่งยิ้มมาตั้งแต่ที่มันขึ้นเครื่องที่มิวนิคแล้ว  พี่ต้นบอกมันว่าจะมาเยี่ยมน้าที่สวิส  นัดให้มันมาเจอที่สวิส  คะยั้ยคะยอมันจนมันยอมรับปากว่าจะมา  แถมในวันที่พี่ต้นจะขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองยังโทรมาสำทับมันเสียอีก  บอยมันกำลังเซ็ง ๆ  อยู่ด้วย  เรื่องงาน  เรื่องเรียนมันมะรุมมะตุ้มจนหัวสมองแทบระเบิด  ได้แวบเจ็ดแปดวัน  คงจะกลับมาชาร์ทพลังในการเรียนใหม่  มันเลยตอบตกลง  เสียดายที่เมื่อวานมันต้องส่งงานอาจารย์  มันเลยต้องบินตามพี่ต้นมาในวันนี้

   สนามบินซูริค  อยู่กลางทุ่งเขียวขจี  ไกล ๆ  ออกไปเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน  ท้องฟ้าสวยสดสมกับเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกจริง ๆ  เครื่องบินของสายการลุฟท์ฮันซ่า ที่พาบอยมันอาศัยมา ร่อนลงแตะรันเวย์ ที่สนามบินซูริค เวลาเจ็ดโมงกว่า ก้าวแรกที่สัมผัสได้คือความหนาวเย็นหลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว

   สิ่งแรกที่บอยต้องทำคือหาสถานีรถไฟ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็น เดินไปตามป้ายบอกทาง ก็จะเจอ บอยติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำการ Activate ตั๋วที่รถไฟที่จะใช้ใน ๘ วัน ที่อยู่ในสวิส และสำรองที่นั่งรถไฟด่วนใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เสร็จ แล้วบอยก็ไปที่ห้อง Baggage เพื่อทำการส่งกระเป๋าใบใหญ่ไปที่สถานีรถไฟที่อินเตอร์เลคเก้น  เพราะพี่ต้นบอกมันไว้  จองโรงนาไว้สำหรับเป็นที่พักแล้ว 

   มันไม่อยากหอบกระเป๋าใบใหญ่  ขอใบเล็ก ๆ  สำหรับใช้สองวันเผื่อพรุ่งนี้ไม่ได้ไปอินเตอร์เลคเกน    ค่อยรับอีกสองวันคงไม่เป็นไรหรอก   เขาคิดราคาค่าส่ง ๑๐ สวิสฟรังค์ ต่อกระเป๋า ๑ ใบ  บอยมันเอาแค่กระเป๋าใบเล็ก ๆ  ที่มีเสื้อผ้าสำหรับสองวันแรกก่อนเท่านั้น  มันไม่อยากหอบข้าวของพะรุงพะรังเป็นกะเหรี่ยงตกดอยอีกแล้วล่ะ

   บอยมันเริ่มรู้แล้ว  บางครั้งกระเป๋าอาจไปถึงจุดหมายก่อนตัวมันก็เป็นได้

   แล้วมันมุ่งตรงเข้าไปในร้านหนังสือ  บอยมันต้องหาตัวช่วยในการเดินทาง . . .

   . . . แผนที่ 

   มันจะขาดไม่ได้ แผนที่สวิสนี่ดี  มีทั้งเส้นทางบอก  รถไฟผ่าน และสายการบินที่จะลง  มันค่อย ๆ  คลี่แผ่นกระดาษที่อยู่ของพี่ต้น  ก่อนที่จะเทียบกับในแผนที่

   “เมือง Thun”   

   เมืองเท่าทุนมั้ง  มันหัวเราะเบา ๆ  อยู่ห่างจากซูริคพอประมาณ  บอยกวาดสายตามองเมืองใหญ่ ๆ  ใกล้ ๆ  เมืองทุน  หรือเมืองเท่าทุนของมัน

   “เข้า  Bern  ก่อนว่ะ  แล้วค่อยหาทางไปที่เมืองทุน”  มันเริ่มวาดแผนที่สำหรับการเดินทาง  แล้วบอยมันก็ลงไปที่สถานีรถไป  มันนั่งขบวนรถไฟเพื่อไปที่เบิร์น

   แค่ชั่วโมงกว่า ๆ  บอยก็มาถึงเบิร์น . .

   . . .  คราวนี้  มันใกล้พี่ต้นเข้ามาทุกทีแล้ว  มันหยิบกล้องถ่ายรูปมา  เพื่อถ่ายสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนที่เบิร์น  คนที่นี่ยิ้มแย้มแจ่มใสกว่าคนเยอรมันเยอะเลยล่ะ  อาจเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวด้วยล่ะมั้ง  มันถึงเห็นผู้คนมากมายหลายสัญชาติเดินไปเดินมาขวักไขว่เต็มไปหมด

   มันลงมาที่สถานีรถไฟที่เบิร์น  คราวนี้บอยมันถึงกับหัวหมุนเคว้งเลยทีเดียว  ก็สถานีรถไฟที่เบิร์นเป็นสถานีใหญ่  มันละลานตาไปกับรางรถไฟที่ผาดผ่านกันไปมา 

   โอ้ย . . .

   . . .  มันอยากจะตายให้ได้ 

   พี่ต้นหนอพี่ต้น  มาเสียไกลลิบโลกขนาดนี้  มันจะทำอย่างไรต่อไปดีหว่า  มันค่อย ๆ  เดินหาอินโฟรเมชั่น  อย่างน้อยมันก็จะได้มีข้อมูลอะไรเพิ่มเติมอีก  แล้วมันก็เดินหา  จนเหงื่อชุ่ม  บอยมันถึงยิ้มออก  เมื่อมันเจอเข้ากับอินฟอร์เมชั่น 

   แล้วมันก็ตาลีตาเหลือกอีกครั้งเพราะรถขบวนถัดไปจะออกอีกห้านาที  มันรีบวิ่ง  ข้ามไปยังชานชาลาที่รถขบวนจะไปเมืองเท่าทุนของมันจะมาจอด

   รถไฟที่นี่ดี . .

   . . .   มาตรงเวลา 

   จอดสองนาทีก็สองนาที  แล้วก็ออก 

   ไม่มีเสียเวลาเหมือนรถไฟบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ที่เปิดวิ่งมาร่วมร้อยปี  แต่ยังห่วยเท่าเดิมหรืออาจจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไป  บอยมันคลี่ไกด์บุ๊คที่มันหยิบติดมา  เพื่อหาทางไปข้างหน้า

   มันไม่กลัวการเดินทาง  เพราะมันชินกับสภาพของชาวยุโรปแล้ว  ผู้คนส่วนมากจะอาศัยรถไฟ  ที่มีทั้งรถภายในและรถระหว่างประเทศ  มันยังเคยนั่งรถไปเที่ยวประเทศอื่น ๆ  บ่อยไป  แต่ที่นี่  มันยังไม่เคยมา   

   “เมือง Thun  จะเอาไงว่ะกรู”  บอยเกาหัวแกรก  เมื่อเห็นจุดหมายในแผนที่

   รถไฟค่อย ๆ  แล่นมาอย่างรวดเร็ว  มันผ่านป่าไม้เมืองหนาว  ก่อนที่จะเห็นบ้านคนอยู่ลิบ ๆ  บ้านหลังเล็ก ๆ สีขาวสร้างไล่ระดับขึ้นไป  เหนือทะเลสาปสีน้ำเงินเข้มเบื้องหน้า  เมืองเล็ก ๆ  ที่รายล้อมด้วยทะเลสาบ Thun  บ้านเรือนล้วนสงบน่าอยู่ 

   บอยมันดูแอดเดรส  แล้วเทียบกับแผนที่เมืองทุน  นั่นไง  ถนนในแอดเดรสกับในแผนที่  ไม่ไกลจากสถานีรถไฟสักเท่าไหร่    มันยิ้ม  หาไม่น่าจะยากเดินหาสักพักคงไหว  เพราะในแผนที่  มันไม่ไกลกันมากนัก

   ราวครึ่งชั่วโมง  รถไฟ  ขบวบที่มันอาศัยมาก็มาจอดสงบนิ่งที่สถานีรถไฟ  บอยมันลงมาจากขบวนรถ  มันมองไปรอบ ๆ  เมือง  เหมือนเมืองในฝันเลยทีเดียว  แม่น้ำมากมาย  ไหลลงทะเลสาบ  สีเขียวมรกต  ที่มีฉากหลังเป็นบ้านเรือนที่สร้างกันมาตั้งนมนาน  สอดรับกับธรรมชาติอย่างที่สุด 

   ไกล ๆ  ออกไปเกินที่สายตามันเห็นจะเป็นทิวเขาที่ขาวโผลนไปด้วยหิมะ  เสียงนกป่า ร้องกันระงม  ในแม่น้ำ  ในทะเลสาบ  มีฝูงเป็ดป่า  ทั้งเป็ดขาวเป็ดดำ  ลอยล่องอยู่เต็มไปหมด  บอยมันไม่แปลกใจเลย  ว่าทำไม  นักท่องเที่ยวถึงได้นิยมมาเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์กันนัก

   บอยเดินลัดเลาะมาตามถนน  ที่เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้  มันข้ามสะพานหินเล็ก ๆ  มายังอีกฝั่งของแม่น้ำ  สายตามันกวาดหาบ้านเลขที่กับเอดเดรสที่พี่ต้นเมล์หามัน หน้าบ้านหลังไม่ใหญ่มาก  หลังคาสองชั้นสีไม้  ที่ติดกับริมแม่น้ำ  ใช่เลขที่เดียวกันกับในแอดเดรสของมัน  มันยิ้ม  มองไปอีกฝั่งของแม่น้ำ  ล้วนเป็นตึกรามบ้านช่อง  ที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมองยุโรปทั้งนั้น  มันเดินไปที่หน้าบ้านกดกระดิ่ง

   เสียงเรียกดังมาถึงข้างนอก . . .

   . . .  บอยมันยืนรอ

   พี่ต้นต้องแปลกใจแน่ ๆ  ที่มันมาได้  ไกลขนาดนี้  แต่มันมาเร็ว  และน่าจะเร็วกว่าที่พี่ต้นคิด  สักพัก  เสียงบานประตูไม้เปิดออก  บอยมันมองเห็นเด็กผู้หญิง น่าจะไม่เกินสิบขวบ  หน้าตามอมแมม  ดวงตาดำคล้ายคนเอเชีย  แต่ผมสีออกไปทางยุโรป

   “Where are you”    เสียงเรียกถามจากเด็กน้อย

   บอยมันยิ้ม  ไม่ทันที่บอยจะตอบมันได้ยินเสียงตะโกนจากในบ้านเป็นภาษาไทย  มันยิ้มเสียงนั้นคุ้นเคยหูมันเหลือเกิน

   “ใครมาล่ะเจนนี่”

   “ม่ายรู้ครายค่ะน้าต้น”  เสียงเด็กน้อยหันไปบอก  สำเนียงภาษาไทยเปร่ง ๆ 

   “อ้าว  บอย  มาเร็วจัง  เข้ามาบ้านก่อนมา  โอ้ยนึกว่าจะมาถึงเย็นเสียอีกนี่”      

   พี่ต้นจริง ๆ  ด้วยแฮะ  มันไม่ได้ฝันไปหรอก  พี่ต้นเป็นคนไทยคนแรกที่มันรู้จักที่มันเจอนอกแผ่นดินไทย

   บอยมันเดินตามพี่ต้นเข้ามาช้า ๆ

   “เจนนี่ เพื่อนน้าจ้ะ  หวัดดีสิค่ะ”  พี่ต้นหันไปบอก  เด็กน้อยยิ้มแต้พนมมือ  ก่อนวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน

   “กินไรมายัง  น้าติ๋มกำลังทำอาหารไทย  แกบอกวันนี้พิเศษที่พี่มา  แกคงลืมไป  กินอาหารไทยจนเบื่อแล้วมั้งอยู่เมืองไทยนะ”  พี่ต้นเล่าพลางเดินนำบอยมายังในครัว

   “บอยนี่น้าติ๋ม” 

   “สวัสดีครับ”  บอยยกมือไหว้

   “จ้า  เห็นต้นบอกว่าเพื่อนจะมาจากเยอรมัน  มายากมั้ย  ที่นี่ไกลหน่อยนะ  ไปนั่งคุยกับต้นมันข้างนอกดีกว่า  เดี๋ยววันนี้กินแกงเขียวหวานไก่ ลองชิมฝีมือน้าหน่อยเป็นไร”  หญิงวัยกลางคน  ยิ้มอ่อนหวาน

   บอยมันยิ้มตอบ . . .

   . . .  ลาภปากแฮะ  ไม่ได้ลิ้มรสอาหารไทยที่ไม่ใช่ฝีมือตัวเองมานานแล้ว  สิ่งที่มันคุ้นลิ้นที่สุดก็สารพัดกะเพราที่มันทำกินจนเป็นอาหารหลักประจำวันของมันนั่นแหละ

   “พี่ต้นมากี่วันครับ” 

   “สิบวัน  พักร้อนว่ะเบื่อเลยมาอาศัยน้าแก้เซ็ง  บอยอ้วนขึ้นนะเนี่ย”

   “เหรอพี่  ไม่รู้แฮะ  แต่น่าจะอ้วนแหละพี่”

   เสียงเปิดประตูจากหน้าบ้าน  ต้นชะโงกหน้าไปมอง  แล้วยิ้ม 

   บอยมันหันตามไป  มันชาวาบกับภาพที่มันเห็น . . .

   . . .  หัวใจของมันแทบหล่นมากองที่พื้นเลยทีเดียว  คนที่เดินเข้ามา มีสีหน้าแปลกใจไม่แตกต่างจากมันหรอกนะ  แต่เพียงชัวครู่เขาก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มให้มัน 

   บอยมันนั่งนิ่ง . . .

   . . . ทุก ๆ  อย่างคล้านหยุดอยู่กับที่  มันกระพริบตาถี่ ๆ  เพื่อให้แน่ใจว่าภาพที่มันเห็นเป็นภาพจริง  ไม่ใช่ภาพที่มันฝัน  มันจำได้  รอยยิ้มแบบนี้  แววตาแบบนี้  มันนั่งง  จนคน ๆ  นั้นเดินมาถึงตัวมัน

   “สบายดีมั้ยบอย  ไม่เจอตั้งหลายปีเลยนะ”  เสียงทักทายนั้นเล่าแทบทำเอาหัวใจบอยหยุดเต้น

   มันมองหน้านัท . . .

   . . . แล้วหันมามองหน้าพี่ต้น

   “อ้าว  รู้จักกันด้วยเหรอ . . .” พี่ต้นหัวเราะเบา ๆ

   “ไงบอย  นัทแฟนพี่หล่อป่าว”

   นั่นไง . . .

   . . .ไอ้พี่ต้นเล่นตลกเสียแล้ว  มันอมยิ้ม  ก่อนเกาหัวตัวเองเบา ๆ

   “ใครแฟนพี่  ซวยตายเลย”  นัทหัวเราะเบา ๆ

   “ทำไมว่ะ”

   “อำโครตเก่ง  แถมตีหน้าซื่ออีก  บอยโดนหลอกมาสวิสเหมือนกันหรือนี่”  นัทหันไปยิ้มให้บอย

     พี่ต้นเสียอีก  ทำไม่รู้ไม่ชี้ 

   บอยมันค่อย ๆ  ลำดับเหตุการณ์ . . .

   . . . ไอ้พี่ต้น

   มันยิ้ม  นี่หากมันรู้ว่าโดนหลอกแบบนี้  มันจะรีบมาตั้งแต่เมื่อวาน  มันนึกแล้วอดที่จะขำตัวเองไม่ได้  พี่ต้นเฝ้าเพียรพยายามตื้อมันแล้วตื้อมันอีกให้มาให้ได้  มันไม่รู้จะวางมือวางไม้ตรงไหนเลยด้วยซ้ำในเวลานี้ 

   นัทยิ้ม   ยิ้มขันมันหรือปล่าวหว่า

   “อ้าว เป็นใบ้ไปเลยโว้ย”  พี่ต้นหันมาทางบอย

   “พี่  ไม่บอกกันเลย ว่าไม่ได้มาคนเดียว  ผมเลยทำไรไม่ถูกเลยนะเนี่ย”  บอยหันมาทางพี่ต้น

   “นั่นดิ  พี่ต้นเล่นไรนี่พี่  ไหนบอกมาสวิสไง มาบ้านน้า  แล้วบอยมาได้ไงนี่”  นัทมันหันมาทางพี่ต้น

   “ไม่รู้โว้ย  ก็ชวนเอ็งมาสวิสไง  ตั๋วฟรีทั้งไปทั้งกลับเพราะน้าจ่าย  ส่วนบอย  ข้าแค่อยากเจอ  เลยนัดมันมาเจอ  ที่เหลือคุยกันเองนะโว้ย  เดี๋ยวจะออกไปซุปเปอร์มาเก็ตก่อนว่ะ  ไปล่ะ”   พี่ต้นลุกขึ้นไม่รับรู้  ตบที่บ่าบอยเบา ๆ

   บอยมันนิ่ง . . .

   . . . มันทำอะไรไม่ถูกเลยด้วยซ้ำมั้ง  ทุกอย่างล้วนเข้ามารวดเร็วเหลือเกิน  มันตั้งตัวไม่ทัน  มันได้แต่ก้มหน้านิ่ง

   “บอยสบายดีไหม  อ้วนกว่าเดิมอีก”

   “ก็เรื่อย ๆ  อยู่นี่นมเนยเยอะ  เลยเป็นแบบที่เห็น”  บอยมันค่อย ๆ  รวบรวมความกล้า  ที่จะคุยกับคนที่มันรัก

   นานแค่ไหน  ที่ไม่ได้เจอกัน . . .

   . . . แต่ทุก ๆ  อย่างเหมือนเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน  ภาพของนัทในความทรงจำของบอยสวยงามเสมอ  นัทยังเป็นนัทที่มันเคยแอบปลื้ม  แอบชอบ  หรือ  อะไรก็ตามแต่  ที่เป็นนัท  บอยไม่เคยลืมไปจากความทรงจำ

   ความทรงจำกว่าครึ่งชีวิตของบอย . . .

   . . . คือนัท

   “เป็นไรไป  เงียบเชียว”  นัทเสียอีกที่ชวนคุย  เพราะคนไกลไม่กล้าพูดไม่กล้าสบตานัทเสียด้วยซ้ำ

   ขอเวลาบอยนิดนึง . . .

   . . . ขอให้บอยได้ปรับสภาพความจริงในสายตาก่อน

   ตอนนี้มันเหมือนฝัน    คล้าย ๆ  ทุก ๆ  อย่างจะล่องลอย  โดยที่มันเองก็ไม่อยากจะเชื่อตัวเอง  ว่าสิ่งที่ประจักษือยู่ตรงหน้าคือความจริง  ตอนอยู่เมืองไทยอยากเจอแทบขาดใจแต่ไม่เจอ  ๆม่เคยได้พบพาน

   มาที่นี่ . . .

   . . . ไกลจากเมืองไทยกว่าค่อนโลก  มันกลับได้เจอ

   “ทำไมมาเรียนเสียไกล”

   “ไม่รู้ดิ  กว่าจะรู้อีกทีก็มาอยู่เยอรมันแล้ว”

   “หนีรักหรือไง”  นัทมองหน้ามัน  ยิ้มกว้าง

   มันแทบจะตายลงตรงนั้น . . .

   . . . อย่าเล่นแบบนี้ได้ไหมนัท  เล่นเรื่องอื่นได้ไหม  มาเล่นเรื่องนี้  บอยตายสนิทไปไหนไม่ถูกกันเลยทีเดียว

   “วู้  ใครจะมามองคนอย่างเรา”

   “ไปเดินเล่นริมทะเลสาบกันมั้ยบอย”  นัทหันไปชวน  บอยได้แต่พยักหน้ารับ




   ลมโชยค่อนข้างแรง  บอยต้องเดินกอดอกมาเรื่อย ๆ  บ่อยครั้งที่มันหันไปมองนัท แล้วมันแอบยิ้มกับตัวเอง  บางครั้งมันเผลอหยิกตัวมันเองด้วยซ้ำไป  บอยมันคิดว่ามันฝันไปเสียด้วยซ้ำ  แต่มันไม่ได้ฝัน  นี่คือภาพจริง ๆ  ที่บอยเจอ  มันมองไปกลางทะเลสาบ  เรือใบสีขาวแล่นโต้ลมไปมา  ที่เบื้องหลังคือทิวเขาที่สลับซับซ้อน  งามดุจภาพวาด  หรือสวรรค์บนดินก็ไม่ปาน


   “นัทมาได้ไงเหรอ”

   แม้จะเคยวาดหวังเอาไว้  ว่าหากวันใด  วันหนึ่งได้เจอนัท  มันจะกล้าพูดกล้าคุยกับนัทมากกว่านี้  แต่ดูเหมือนว่าพอเจอกับนัทเข้าจริง ๆ  มันกลับไม่สามารถที่จะมองนัทได้เต็มตา  ความรู้สึกบางอย่างเหมือนจะกดบอยเอาไว้

   “ก็นั่งเครื่องบินมา  แล้วมาต่อรถไฟ” 

   นั่น  คนตอบ ๆ  ห้วน ๆ  ห้วนเสียจนบอยมันออกจะกลัว ๆ  ด้วยซ้ำ 

   มันไม่กล้าถามแล้วล่ะ  มันกลัวว่าถามไปแล้วจะเจอคำตอบแบบแปลก ๆ  อีก  มันได้แต่มองคนที่เดินนำหน้ามันเงียบ ๆ  ลมหนาวพัดโชยใบไม้ไหวระริก  จนมันต้องขยับคอเสื้อให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

   หนาวเยียบเหมือนหัวใจบอย . . .

     “เงียบทำไม  ทำเหมือนกลัวดอกพิกุลจะร่วง . . .”  นัทหัวเราะเบา ๆ  หันมองบอยที่เดินมาเคียงกัน

   “. . .  ไม่นึกหรอกว่าจะได้มา  มันมีเหตุบังเอิญ  เจอพี่ต้นเขาเมื่อหลายเดือนก่อน  เลยจับพลัดจับผลูมานี่แหละ”

   “บังเอิญให้ได้มา”

   “อืม”

   “ลำบากไหม”

   “ไม่นี่  ก็นั่งเครื่องมา  พอดีพี่ต้นแกชวน  บอกไม่มาหรอก  ไม่มีตังค์ แกบอกมาเหอะ  มาเป็นเพื่อนแกหน่อย  เพราะน้าจะส่งตั๋วเครื่องให้สองที่  เลยเอาว่ะ  มาก็มาของฟรี  ก็เลยมานี่ไง”  นัทหันมายิ้ม

   รอยยิ้มของนัท . . .

   . . . เหมือนรอยยิ้มของคนเก่าที่บอยเคยคุ้นเคย

   รอยยิ้มที่สร้างความสว่างในหัวใจบอยเสมอมา มันชอบแอบมองเวลานัทยิ้ม  แต่ตอนนี้  คนที่อยู่ตรงหน้ามัน  ใกล้แค่มือมันเอื้อมถึง   มันไม่ต้องแอบมองอีกต่อไป

      มันยิ้มตอบนัท 

   บอยมันกล้ามองนัทมากขึ้นแล้วล่ะ  บอยมันเริ่มรู้  หัวใจมันไม่กลัวอีกแล้ว  เวลาที่ใกล้นัท

   “นัท . . .”  บอยเหมือนจะรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี

   “. . .  เรื่องที่ผ่านมา  กูขอโทษนะโว้ย  ที่เผลอคิดไปแบบนั้น”  บอยมันรวบรวมความกล้าแทบตาย  มันเดินมาหยุดที่ริมรั้วในทะเลสาบ  มันไม่กล้ามองนัทหรอก  มันมองไกลไปในทะเลสาบ

   “อืม  ช่างเหอะ  เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว  ว่าแต่ตอนนี้เหอะ  ยังคิดแบบนั้นอีกมั้ย”  นัทหันมามอง

   บอยสั่นหัว

   “ไม่รู้ว่ะ . . .” 

   นัทขมวดคิ้วกับคำตอบของบอย

   “. . . แต่รู้ว่า เวลาเจอนัทคราวนี้  ไม่อายแบบเมื่อก่อนแล้ว  กล้าที่จะคุยมากกขึ้น  กล้ามองหน้าแกแบบนี้ด้วยแหละ”  บอยยิ้ม

   “ดีแล้วล่ะ . . .”   นัทยิ้มให้มันอย่างอ่อนโยน

   “. . . อย่าคิดแบบนั้นเลยบอย  บอยลองคิดดูนะ  เรารู้จักกันมาตั้งนาน  ถ้าบอยเกิดคิดแบบนั้น  แล้วเผลอมีไรกัน  สักวันเราอาจทะเลาะกัน  ไม่มองหน้ากันอีกชั่วชีวิต  แต่ถ้าเราเป็นเพื่อนกัน  เราก็ยังคบกันได้ชั่วชีวิตเหมือนกัน”

   “จริงเหรอนัท  บอยยังเป็นเพื่อนนัทได้เหรอ”   บอยมันตื่นเต้น

   “จริงดิ  ก็เราเพื่อนกันนี่หว่า  หรือแกจะคิดเกินเพื่อน  คราวก่อนตอนบอยย้ายลงไปสุราษฏร์ฯ  นัทมาที่สถานีรถไฟ  มาส่งแกไง  แต่ไม่ทันรถออกเสียก่อน”

   บอยมันยิ้ม มันเพิ่งรู้กับข่าวใหม่

   “เหรอ  เสียดายนะไม่ได้เจอ”

   “ใช่  จะโทรหาบอยแต่เครื่องดันหล่นหายเสียอีก  เบอร์เพื่อน ๆ  หายหมดเลย  คราวนี้เลยจนใจไม่รู้จะติดต่อบอยได้ยังไง  จนมาเจอพี่ต้นนี่แหละ  ถึงรู้ว่าพี่ต้นยังติดต่อบอยอยู่  ก็แค่ได้รับข่าวบอยเงียบ ๆ  ว่ามาเรียนต่อ”

   “อ้าว  ตกลงนัทเครื่องหายเหรอ”

   “ใช่ดิ  ทำไมเหรอ”

   “ปล่าว”  บอยมันยิ้ม

   มันหลงคิดไปเอง  มันคิดไปเองเกือบทุกเรื่อง  เวลาจะผ่านมานานแค่ไหน  นัทยังคงเป็นนัทเหมือนเดิม  มันโง่เองที่หลงกับเงาของพระจันทร์  มันคิดว่าพระจันทร์แสงสวย  แต่มันลืมคิดไป  ว่าที่แท้แสงพระจันทร์ก็มาจากแสงของพระอาทิตย์

   “อย่าคิดแบบนั้นอีกนะโว้ยบอย  เป็นเพื่อนกันแหละ  ดีที่สุด  สบายใจกว่าที่คิดแบบที่บอยคิดด้วย  นัทรู้สิ่งที่ห้ามยากที่สุดคือห้ามหัวใจตัวเอง  แต่ถ้าเราทำได้  เราก็จะมีความสุข”  นัทยิ้ม

   บอยยิ้ม . . . 

   . . .ยิ้มกว้างกว่าทุกคราวมั้ง 

   “ก็คงใช่”

   “ว่าแต่บอยเรียนอีกนานไหม”

   “ทุนสองปี  แต่คาดว่าสามปีคงจะจบ”

   “อ้าว”

   “ไม่ต้องอ้าวหรอก  ต้องมาเรียนภาษาก่อนตั้งปีนึง  เลยช้าไง”

   “แล้วทำไมเลือกเยอรมัน  ไม่เลือกไปอังกฤษหรืออเมริกาล่ะบอย”   นัทมันหันมาทางบอย  หันหลังพิงกับรั้วที่ริมทะเลสาป

   “ก็ตอนนั้นไม่มี”

   “เอาจริง ๆ  ดิ๊”

   “เพราะนัท”  บอยยิ้มเจื่อน ๆ

   “เฮ้ย  ขนาดนั้นเลยเหรอ”  นัทยิ้ม  เอามือมาตบไหล่บอยเบา ๆ

   “ไม่รู้  รู้แค่ว่าตอนนั้นมันทรมาน  อยากไปให้พ้น ๆ  จากที่เป็นอยู่  พอเขามีทุนมา  เลยขอก่อน  ไม่สนทั้งนั้นว่าจะเป็นที่ไหน  มันคงมีสักที่แหละ  ที่จะพอให้หลบลี้หนีโลก”

   “หนีโลกหรือหนีรัก”

   “โห . . .  ยังจะมาย้ำอีก”

   “บอยเอ้ย  ความรักมันสวยงาม  เพียงแค่นัทรู้ว่าบอยรักนัท  นัทก็ขอบใจ  อย่างน้อยที่สุดเราก็มีคนที่รักเรา”

   “ไม่โกรธหรือ”

   “โกรธเรื่อง”

   “ที่บอยคิดแบบนั้นกับนัท”

   “ไม่นะ  ความรักมันห้ามกันไม่ได้  เราห้ามหัวใจคนอื่นไม่ได้หรอกบอย  แต่เราห้ามหัวใจตัวเองได้  ห้ามไม่ให้รักมากกว่าสิ่งดี ๆ  ที่ถูกที่ควร    บางครั้งแค่เราเห็นรอยยิ้มของคนที่เรารัก  เราก็ยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว  ดีกว่าต้องอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความเจ็บปวด”

   “พูดเหมือนคนมีประสบการณ์สูง”

   “ไม่ขนาดนั้นหรอกบอย  นัทไม่เคยรักใครมานานแล้ว”

   “ยังมีอดีตว่างั้น”

   “เมย์ . . .”

   นัทพยักหน้ารับเบา ๆ  กับสิ่งที่บอยบอก  ซึ่งมันก็ไม่เกินสิ่งคาดหมายของบอย  เพราะบอยรับรู้มาตลอด  นอกจากเมย์นัทไม่เคยคบกับใครยาวนานอีกเลย

   “. . . แล้วทำไมต้องเลิก  ขอโทษนะที่ถาม”

   “มันคงเป็นเพราะนัทไม่กล้าเอื้อมมั่ง”

   “ทำไมล่ะ  ทำไมไม่เอื้อม”

   “ผู้ใหญ่เขาคงมองไกลกว่าเรา  แล้วตอนนั้นนัทก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นเหตุผลให้เอื้อมได้  เลยเลือกที่จะไม่เอื้อม”

   “ไม่เจ็บปวดหรือ”

   “เจ็บสิบอย  การที่เราอยู่ใกล้กับหัวใจตัวเอง  อยู่ใกล้กับคนที่เรารักสุดหัวใจแต่เอื้อมไม่ถึงมันเจ็บปวดอย่างที่สุดแล้ว  แค่เอื้อมเท่านั้นบอย  แต่เรากลับไม่เอื้อม”  นัทยิ้มบาง ๆ 

   รอยยิ้มที่สว่างกระจ่างในใจบอย

   “นั่นสิ  แค่เอื้อม  แต่เราไม่เอื้อม  มันอาจจะเจ็บปวด  แต่เมื่อเวลาผ่านไป  เรากลับคิดว่า  หากเราเอื้อม  เราอาจจะเจ็บปวดกว่าการที่เราไม่เอื้อม”

   “พ่อสำบัดสำนวน  เคยคิดจะเอื้อมใครหรือ”

   “นัทไง”

   “จนได้วกมาจนได้”  นัทหัวเราะเบา ๆ

   “เรื่องเก่าไง  ตอนนี้ก็เพื่อนกันแบบที่นัทบอก  เพราะการที่บอยไม่เอื้อมมันทำให้บอยรู้ว่า  ความทรงจำที่ดี  ที่เคยได้ทำร่วมกับนัท  มันมีค่าขนาดไหน”

   “ขอบใจนะบอย  ขอบใจเพื่อน”  นัทดึงบอยมากอดเอาไว้  มันตบที่ไหล่บอย

   บอยยิ้ม . . .

   . . . แค่นี้กระมังที่บอยต้องการ

   บอยรู้แล้ว . . .

   . . . ถ้ามันคิดกับนัทแค่เพื่อน  นัทก็อยู่ในเอื้อมมันนั่นแหละ  มันจะคิดไปให้เกินเพื่อนทำไมกัน  เพราะคิดไปก็เอื้อมไม่ได้  ต่อจากนี้มันไม่คิดแล้ว  นัทพิสูจน์ให้มันเห็นแล้ว  นานแค่ไหน  มันก็ให้บอยได้แค่ความเป็นเพื่อน  บอยไม่อาจจะเอื้อมอีกแล้วล่ะ  ปล่อยให้ความหลังเก่า ๆ  มันตกตะกอนไปล่ะดีแล้ว 

   ต่อจากนี้ . . .

   . . . มันจะเริ่มต้นใหม่กับนัท

   มันจะเริ่มตรงความเป็นเพื่อนนี่แหละดีที่สุด

   บอยยิ้มให้นัทอีกครั้ง . . .

   . . . ขอบคุณในทุก ๆ  สิ่งที่ผ่านมา  ก่อนที่จะหันไปมองฝูงนกที่บินผ่านเลยไปในทะเลสาบ  มันรู้แล้วล่ะ  เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน  เพื่อนก็ยังอยู่ในหัวใจของมันเสมอ  มันมองไปที่นัทอีกครั้ง 

   นัทยิ้มให้มัน . . .

   . . . ยิ้มแบบเดิมที่มันเคยเจอ  ยิ้มจากชายแปลกหน้าเมือเกือบสิบปีก่อน  ที่วันนี้บอยมันรู้แล้ว  ยังไงมันก็เป็นได้  แค่เพื่อน

   บอยมันพอใจกับสิ่งที่มันได้รับแล้วล่ะ

   แค่เอื้อม . . .

   . . . มันห่างกันแค่เอื้อมเท่านั้น 


                                                                                                                                จบบริบูรณ์

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-09-2009 00:21:49

 :m15:

ในที่สุดก็เอื้อมไม่ถึง

แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยส์

 :impress3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: alterlyx ที่ 22-09-2009 09:18:21
ป๊าดดดดด  นัท ... มาเพื่อ !!? :freeze:

ระหว่าง ความเป็นเพื่อน ที่เอื้อมถึงกันได้แบบนี้ ... ขอรักข้างเดียวต่อไปแบบห่างๆ ... แบบเจ็บปวดดีกว่า
ถ้าความผูกพัน มันเปลี่ยนประเภทได้ง่ายๆ ก็คงไม่หนีไปไกลถึงเยอรมันหรอกค่า
เคืองนัทชะมัด ... ตามไปไกลครึ่งค่อนโลก ... เพื่อ ........... ตอกย้ำความเป็นเพื่อน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: ปี้ปี้ปี้~PalmY ที่ 22-09-2009 09:27:07
เคืองนัทเหมือนกัน  :z10:

เอาเหอะเพื่อนก็เพื่อน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: Donpopper ที่ 22-09-2009 10:30:22
ก็แค่เอื้อม

แต่มันก็เอื้อมนี้ล่ะ

เอื้อมยังไงก็ไม่ถึง

ในความรู้สึกผมคำว่าเอื้อม มันจะไม่มีทางที่จะถึงของที่ต้องการแน่นอน
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: tonsai_2520 ที่ 22-09-2009 11:05:20


เก็บตังค์เว้ยยยยยยยยยยยยยย

เที่ยวเมืองทุน . . .

. . . ใครจะไปยกมือขึ้น


(http://img97.imageshack.us/img97/8130/thun28sm.jpg)


(http://img190.imageshack.us/img190/8184/thuncity15a.jpg)


(http://img21.imageshack.us/img21/1733/pi1385hr.jpg)


(http://img190.imageshack.us/img190/3158/thun01gross.jpg)
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: สุขาพาเพลิน ที่ 22-09-2009 18:02:18
เฮ่อ........ :เฮ้อ:    สุดท้ายก็ไม่ได้กัน

 :z3:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: zandwizz ที่ 22-09-2009 21:08:44
กรรม

แล้วเราจะกล้าเอื้อมไหมล่ะเนี่ย

เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีดี คับ

เป็นกำลังใจให้สำหรับเรื่องต่อ ๆ ไปนะครับ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: myxt ที่ 22-09-2009 21:50:45
เข้าใจตรงกันแล้วเนอะบอยกะนัท
แฮปปี้เอ็นดิ้งใช่มั้ยเนี่ย อิอิ
ขอบคุณสำหรับเรื่องดีๆอีกเรื่องนะคะคุณราชบุตร
 :pig4:
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: MonkeYMauS ที่ 22-09-2009 22:19:26
เคืองคนแต่งอ่ะ

ไปหาเค้าเพื่อนที่จะบอกว่าเพื่อนกันเนี่ยะนะ

โอ๊ย  ปวดหัวเลย

แต่ยังไงก้อขอบคุณคับ

จบแบบนี้บ้างก้อดี  เหอๆ

หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: εїзป่วงน้อยεїз™ ที่ 03-10-2009 02:56:52
อ่านกี่รอบก็ทำเอาน้ำตาตกได้ทุกรอบสิ เรื่องนี้ T-T (ผ้าเช็ดหน้าชุ่มไปแล้วหลายผืน)

อ่านเรื่องของคุณราชบุตรทีไร น้ำตาชุ่มผ้าเช็ดหน้าทุกทีเลย แต่ไม่รู้ทำไมอ่านจบไปรอบแล้วต้องอ่านซ้ำอีกหลายๆรอบ(ชอบอ่านเรื่องเศร้าให้ปวดใจเล่น ยิ่งน้ำตาไหลพรากๆยิ่งชอบ <<< ถ้าจะโรคจิตขึ้นทุกทีๆ )

ขอบคุณคุณราชบุตรมากๆเลยนะคะ
หัวข้อ: Re: [นิยาย] แ ค่ เ อื้ อ ม . . . [ อ ว ส า น : เสียทีดีไหม โดนทวงบ่อย อิอิ]
เริ่มหัวข้อโดย: dokjarn ที่ 08-10-2009 12:11:36
 :L1:

ตามมาอ่านตอนจบ
ขอบคุณครับ

 :z10:
หัวข้อ: Re: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: takkie ที่ 17-04-2011 03:02:20
ผมหาเจออีกเรื่องนึงแล้วนะ คุณราชบุตร
ดีหน่อย น้ำตายังไม่ปริ๊ดเลยซักหยด แค่ซึม ๆ
แต่ความอบอุ่นยังมีให้สัมผัสได้เสมอเลย
หัวข้อ: Re: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: mamaUM ที่ 01-06-2011 15:52:06
น้ำ(ตา)ท่วมโลก

ความอบอุ่น ลอย วน

เศร้า แต่มีความสุข

เสียใจที่จบแบบนี้ แต่ก็ดีใจที่เลือกอ่านเรื่องนี้

ขอบคุณมากนะคะ
หัวข้อ: Re: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: Magis ที่ 10-09-2012 13:44:06
อ่านตอนแรกก็ชอบเลยแฮะเรื่องนี้ มันจะมีตอนสมัยเรียนมหาลัยด้วยกันมั้ยะครับ
หัวข้อ: Re: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 27-08-2015 10:44:44
อ่านแล้วหน่วง ๆ แต่ก็รู้สึกดี

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: แ ค่ เ อื้ อ ม . . .
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 00:33:35
 :mew1: